Professional Documents
Culture Documents
ไวน์ Wine
ไวน์ Wine
ไวน์
(Wine)
วรนุช ภักดีเดชาเกียรติ1
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1
อาจารย์ประจําสาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์78มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ที่ 29 ฉบับที่ 2
สายพันธุ์องุ่น (Vine)
องุ่ น (Grape) อยู่ในสกุล Vitis ที่นิยมปลู กในประเทศไทยส่ วนใหญ่เป็ น Vitis vinifera
ดั้ง เดิ มเป็ นองุ่ นป่ า มี ถิ่ นกําเนิ ดในเอเชี ย ในเขตอากาศอบอุ่น คาดว่ามี การนํา เข้ามาปลู กในไทย
ช่วงรัชกาลที่ 5 ต่อมามีการนําเข้ามาจากแคลิฟอร์ เนี ยมาปลูกที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรม
วิชาการเกษตร และมีการทดลองปลูกจนประสบความสําเร็ จ และขยายความรู ้ส่งเสริ มให้เกษตรกร
ในภาคกลาง โครงการหลวงมีการส่ งเสริ มให้มีการปลูกในภาคเหนื อ และจากสภาพอากาศที่ต่าํ กว่า
ในภาคอื่น จึงทําให้ได้คุณภาพองุ่นที่ดีกว่า
ลัก ษณะทัว่ ไปองุ่ น เป็ นไม้เลื้ อยประเภทยืนต้น การปลู ก จึ ง ต้องมี ค ้า งรองรั บ เถาองุ่ น มี
ลักษณะเป็ นปล้อง บริ เวณข้อจะมีใบ 1 ใบ เรี ยงสลับกันตามข้อ มีมือจับเป็ นช่อดอกบริ เวณโคนก้าน
ใบมีแขนงกิ่งเล็ก 1 กิ่ง และ 1 ตา เป็ นตารวมประกอบด้วยตาเอก (Primary bud) 1 ตา อยูต่ รงกลาง
และตารอง (Secondary bud) 2 ตา ผลองุ่นมีลกั ษณะเป็ นพวง ผลมีหลายลักษณะ มีขนาดและสี
ต่างกัน โดยอาจมีเมล็ดหรื อไม่มีข้ ึนกับพันธุ์ ในฤดูหนาวองุ่นจะเกิดการพักตัว แล้วเมื่ออากาศอบอุ่น
จะมีการแตกตาและเกิ ดยอดใหม่ แล้วจะมีการออกดอกและติดผล บนยอดใหม่ แต่สําหรับในไทย
อากาศไม่หนาวเย็น จึงไม่มีการพักตัว
79
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ที่ 29 ฉบับที่ 2
อาจทํา ให้ มี ระดับ พี เ อชที่ สู ง เกิ น และจะเป็ นปั ญหาต่ อ การแยกให้ใ ส และยัง มี ปั ญหาสํา คัญอี ก
ประการคือ ทําให้เมล็ดแตกซึ่งจะทําให้ปริ มาณแทนนินมีปริ ม าณมากเกินไป เป้ าหมายของวิธีการนี้
จึ งเพื่อเอาส่ วนก้านออกและเพื่อให้คุณสมบัติแบรี่ มีป ระสิ ทธิ ภาพให้การปล่ อยให้ยีส ต์ส ามารถ
ทํา งานได้ ซึ่ ง จะได้ส่ ว นผสมระหว่า งนํ้า คั้น ผิ ว เมล็ ด และเนื้ อผลไม้ หรื อเรี ย กว่า มัส ท์ (Must)
ซึ่ งสําหรับการผลิตไวน์แดง การผสมกันในสารต่างๆ และเนื้ อองุ่นใน Must จะช่วยให้เกิดการสกัด
สารประกอบที่ให้สี ลักษณะ และความลึกซึ้ งของรสชาติ และกลิ่นหอมระเหยในไวน์
Drainers and presses วิธีกดทับ (Presses) มีกระบวนการหลายแบบที่นิยมใช้ เช่นการใช้
เยื่อหรื อถุ ง (Bag presses) ซึ่ งมี ความนุ่ มนวล และปลดปล่ อยตะกอนเล็ก น้อย ซึ่ งตรงข้ามกับ
วิธีการใช้ใบมีดกดทับที่ทาํ ให้มีตะกอนของแข็งมากกว่า
การเกิดปฏิกิริยาออกซิ เดชัน่ อาจเกิดขึ้นได้ กับสารตั้งต้นหลักอย่าง Caffeoyl tartaric acid,
p-coumaroyl tartaric acid และ Feruloyl tartaric acid สารเหล่านี้ เป็ นตัวตั้งต้นในการเร่ งปฏิกิริยา
ของ PPO-catalysed ที่ทาํ ให้เกิดสี น้ าํ ตาลในไวน์เมื่อมีผิวของผลไม้ ในการเร่ งให้ผลิตภัณฑ์มีความ
ใส เอนไซม์เพคติเนสมักถูกนํามาใช้ ด้วยการเติมในช่วงที่มีการคั้นนํ้า (Bamforth, 2005)
การหมัก (Fermentation)
โดยทัว่ ไปนํ้าองุ่นก่อนนํามาหมักควรมีน้ าํ ตาลประมาณ 23°-25° ºBrix ก่อนการหมักนํ้าคั้น
ต้องคํานึ งปั จจัยที่มีผลต่อการหยุดชะงักในระหว่างการหมัก (Stuck fermentation) ได้แก่ปริ มาณ
นํ้าตาล ความเป็ นกรดที่พอเหมาะ กรดที่มากเกินไปทําให้ยบั ยั้งการเจริ ญของยีสต์ได้ และเป็ นสาเหตุ
ที่ทาํ ให้เกิ ดการเน่ าเสี ยของนํ้าคั้น รวมถึ งปริ มาณอากาศ สารเจือปนในนํ้าคั้น อย่างเช่ นสารกําจัด
ศัตรู พื ช การหมักมี ผ ลต่ อคุ ณภาพทั้งสี กลิ่ น และรสชาติ ข องไวน์ การหมัก ไวน์ อาจแบ่ง ได้เป็ น
2 ระยะ คือ Primary fermentation และ Secondary fermentation
การหมักในช่ วง Primary fermentation เป็ นช่ วงตั้งแต่เริ่ มต้นการหมัก จนถ่ายเอาส่ วนใส
ออก หรื อแยกส่ วนใสออกจากตะกอนเชื้ อ ช่ วงเริ่ มการหมักนํ้าคั้น กับยีสต์ ซึ่ งมีปริ มาณนํ้าตาลอยู่
มาก ยีสต์ทาํ หน้าที่เปลี่ยนนํ้าตาลไปเป็ นแอลกอฮอล์ โดยอาจเป็ นระยะเวลา 2 – 3 สัปดาห์ ขึ้นกับ
สายพัน ธุ์ ยีส ต์แ ละอุ ณหภู มิ ในระหว่า งการหมัก นี้ ส ามารถใช้วิ ธี ก ารให้ อ ากาศได้ด้ว ย (Macro
aeration) ซึ่ งผูผ้ ลิตจะประมาณปริ มาณออกซิ เจนที่ ตอ้ งการในระหว่างการหมักไวน์ โดยวิธีการนี้
ช่วยรักษาความมีชีวติ ของยีสต์ และลดการผลิตของเสี ยอย่างซัลไฟด์ (Sulfide) และมีบทบาทในการ
เริ่ มความคงตัวของสี ส่ วนใหญ่ เป็ นพวกการหมักที่ ได้สีแดง จะดี ก ว่า การมี ออกซิ เจนน้อย และ
นอกจากออกซิ เ จนจะลดปั ญ หาการเกิ ด ซั ล ไฟด์ แ ล้ ว ยัง ช่ ว ยลดปั ญ หาของเมอร์ แ คปแทน
(Mercaptan) ในช่วงหลังของการเก็บรักษาอายุไวน์ดว้ ย
การหมักไวน์ขาวที่ 10-15 องศาเซลเซี ยส ส่ วนไวน์แดงหมักที่ 20-30 องศาเซลเซี ยส ทั้งนี้
การหมักจะเร่ งให้เร็ วขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่ งการหมักควรสมบูรณ์ใน 20-30 วัน ซึ่ งทําได้ดว้ ยการ
ติดตามการลดลงของนํ้าตาล จากการวัดค่าองศาบริ กซ์ (°Brix)
ส่ วน Secondary fermentation เป็ นช่วงที่ต่อมาจาก Primary fermentation เมื่อส่ วนใสถูก
แยกออกจากผลไม้ และตะกอน ถ่ายเข้าไปในภาชนะอื่น ซึ่ งบางครั้งเรี ยกภาชนะนี้ ว่า Carboy ใช้
เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
82
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ที่ 29 ฉบับที่ 2
เอกสารอ้างอิง
83