Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 1
ความสำคัญและการจัดจำแนกของไม้ผล
ไม้ผลเป็ นพืชชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ
สามารถจำหน่ายได้ทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากเป็ นอาหารที่อุดมไป
ด้วยคุณค่าทางอาหาร เช่น วิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็ น
สำหรับร่างกายของมนุษย์ นอกจากการบริโภคในรูปของผลสดแล้ว ไม้ผล
หรือผลไม้ยังสามารถแปรรูปเป็ นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อีกมากมายหลายชนิด
เช่น ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้กวน ผลไม้ดอง และผลไม้อบแห้ง เป็ นต้น เป็ นการ
เพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตได้อีกทางหนึ่ง การศึกษาเกี่ยวกับไม้ผลนั้น ถือเป็ น
ศาสตร์หนึ่งของวิชาทางพืชสวน ส่วนใหญ่นิยมศึกษาเกี่ยวกับส่วน
ประกอบต่างๆ ของไม้ผล การเขตกรรมไม้ผล (การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย การ
ป้ องกันโรคและแมลง ฯ) การขยายพันธุ์ไม้ผล การจัดทรงพุ่มและการตัด
แต่งกิ่ง การเก็บเกี่ยว และวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว เป็ นต้น
ต้องมีความเหมาะสมและคุ้มค่ากับการลงทุนของโรงงาน การทำสวน
ประเภทนี้ควรมีพื้นที่ปลูกใกล้กับโรงงาน และควรมีเส้นทางคมนาคมที่
สะดวกต่อการขนส่งผลผลิต การทำสวนประเภทนี้มีจำนวนไม่มากนัก
เนื่องจากคนไทยไม่นิยมบริโภคผลไม้กระป๋ อง ผลไม้ที่ผลิตเพื่อเข้าโรงงาน
เช่น เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย และสับปะรด เป็ นต้น
4. การทำสวนผลไม้เพื่อจำหน่ายกิ่งพันธุ์ (fruit growing for
propagation purpose) การทำสวนไม้ผลวิธีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
จำหน่ายส่วนขยายพันธุ์ต่าง ๆ เช่น กิ่งตอน กิ่งทาบ กิ่งปั กชำ รวมถึงต้น
กล้าที่เพาะจากเมล็ดด้วย แต่บางครั้งก็พบว่าชาวสวนมีการผลิตผลไม้ร่วม
กับการผลิตกิ่งพันธุ์ด้วย ดังนั้นการปลูกสวนผลไม้ประเภทนี้จึงต้องมีการ
วางผังสวนที่ดี สำหรับระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถวอาจกำหนด
ให้แคบกว่าการปลูกไม้ผลเพื่อการค้าได้ เนื่องจากเราต้องการให้ต้นไม้ผลมี
การแตกกิ่งจำนวนมากๆ มากกว่าจะให้มีการติดผล ดังนั้นพื้นที่ที่ใช้ในการ
ทำสวนประเภทนี้จึงต้องการไม่มากนัก แต่ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่
ต้นไม้ผลเหล่านี้ค่อนข้างมาก (เกศิณี และวิรัตน์, 2522)
การปลูกไม้ผลมีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศเป็ นอย่าง
มาก นอกจากจะมีส่วนในด้านการเสริมสร้างเศรษฐกิจของครอบครัว
เกษตรกรและประเทศชาติแล้วยังมีส่วนช่วยในด้านเสริมสร้างความ
สวยงามด้านธรรมชาติของบ้านเมืองอีกด้วย ความสำคัญของการปลูกไม้
ผลพอสรุปได้ ดังนี้
1. ไม้ผลมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ คือ สามารถจำหน่ายผลผลิตได้
ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ทุเรียน มะม่วง ลิ้นจี่ ลำไย กล้วย และ
สับปะรด ฯลฯ
4
เห็นว่าในพื้นที่ซึ่งมีสวนผลไม้มักจะมีความเขียวชอุ่มและมีความชุ่มชื้นดี
เหมือนสวนป่ าโดยทั่วไป (สัมฤทธิ์, 2527)
การจำแนกประเภทของไม้ผล
การจำแนกประเภทของไม้ผลสามารถใช้เกณฑ์ในการจำแนกได้
หลายเกณฑ์ด้วยกัน ได้แก่ การจำแนกตามอุณหภูมิ การจำแนกตามขนาด
ของทรงพุ่ม การจำแนกตามการเจริญเติบโต และลักษณะของลำต้น การ
จำแนกตามอายุตกของผลและฤดูกาลตกผลและการจำแนกตามลักษณะ
ทางพฤกษศาสตร์ การจำแนกพรรณไม้ผลที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือ การ
จำแนกตามอุณหภูมิโดยอาศัยสภาพดินฟ้ าอากาศที่เหมาะสมของไม้ผล
แต่ละชนิดเป็ นหลัก ซึ่งหมายถึง สภาพดินฟ้ าอากาศที่เหมาะสมต่อ
คุณภาพของผลผลิตที่ได้รับด้วย
การจำแนกตามอุณหภูมิ
รวี (2528) ได้จัดจำแนกไม้ผลตามอุณหภูมิออกเป็ น 3 ประเภท
ได้แก่
1. ไม้ผลเมืองร้อน (tropical fruit crops) เป็ นไม้ผลที่ต้องการ
อากาศร้อนหรือต้องการอุณหภูมิสูงจึงจะให้ดอก และผลไม้ประเภทนี้จะ
ปลูกกันมากในเขตเส้นศูนย์สูตรระหว่างเส้นรุ้ง (latitude) ที่ 23.5 องศา
เหนือและใต้ บริเวณที่ปลูกไม้ผลเมืองร้อนอุณหภูมิในรอบปี จะไม่
เปลี่ยนแปลงมากนัก อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำที่สุดประมาณ 18 องศาเซลเซียส
หรือสูงกว่านี้ ไม้ผลประเภทนี้ไม่ต้องการอุณหภูมิสูงเพื่อทำให้สุก มีไม้ผล
จำนวนไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ทนต่อน้ำค้างแข็งได้ Jackson and Looney
(1999) ได้จำแนกไม้ผลเขตร้อนออกเป็ น 3 ชนิด ดังนี้
6
การจำแนกไม้ผลตามขนาดของทรงพุ่ม
สามารถจำแนกออกได้เป็ น 3 ขนาด ดังนี้
1. ไม้ผลขนาดเล็ก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของทรงพุ่ม หรือระยะ
ปลูกประมาณ 1-3 เมตร เช่น สับปะรด กล้วย และทับทิม เป็ นต้น
2. ไม้ผลขนาดกลาง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของทรงพุ่ม หรือระยะ
ปลูกประมาณ 4-8 เมตร เช่น น้อยหน่า ส้ม ลางสาด และลองกอง
เป็ นต้น
3. ไม้ผลขนาดใหญ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของทรงพุ่ม หรือระยะ
ปลูกประมาณ 8 เมตรขึ้นไป เช่น มะม่วง เงาะ ลำไย และลิ้นจี่ เป็ นต้น (ร
วี, 2528)
8
การจำแนกไม้ผลตามการเจริญเติบโตและลักษณะของลำต้น
สามารถจำแนกไม้ผลได้เป็ น 3 ชนิด (สุรพล, 2550) ดังนี้
1. ไม้ผลยืนต้น (tree) ได้แก่ มะม่วง ขนุน ทุเรียน เงาะ และมังคุด
เป็ นต้น
2. ไม้ผลเป็ นเถาเลื้อย (vine) ได้แก่ องุ่น เสาวรส และแก้วมังกร
เป็ นต้น
3. ไม้ผลล้มลุกพวกอวบน้ำ และไม้ผลหลายฤดูอวบน้ำ (annual
and herbaceous perennial) เช่น สตรอเบอรี่ แตงโม แคนตาลูป และ
สับปะรด เป็ นต้น
การจำแนกตามอายุการตกผล
การจำแนกไม้ผลวิธีนี้จะจำแนกไม้ผลชนิดเดียวกัน โดยใช้ระยะเวลา
ตั้งแต่เริ่มปลูกจนกระทั่งให้ดอกให้ผลเป็ นครั้งแรกที่แตกต่างกันเป็ นหลัก
ในการจำแนก สามารถจำแนกได้เป็ น 3 ประเภท ดังนี้
1. พันธุ์เบา หมายถึง ไม้ผลที่ปลูกแล้วใช้ระยะเวลาไม่กี่ปี ก็ได้
ผลผลิต
2. พันธุ์กลาง หมายถึง ไม้ผลที่ใช้ระยะเวลานานกว่าพันธุ์เบา แต่
น้อยกว่าพันธุ์หนัก
3. พันธุ์หนัก หมายถึง ไม้ผลที่ใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะให้
ผลผลิต
การจำแนกตามฤดูกาลตกผล
การจำแนกไม้ผลวิธีนี้จะจำแนกไม้ผลที่คล้ายคลึงกัน คือ เป็ นไม้ผล
ชนิดเดียวกัน ปลูกในที่ใกล้เคียงกัน แต่เวลาการให้ดอกให้ผลในปี เดียวกัน
9
การจำแนกตามลักษณะทางพฤกษศาสตร์
การจำแนกตามลักษณะทางพฤกษศาสตร์นี้อาศัยหลักการของคา
โรลัส ลินเนียส (Carolus Linneaus) โดยอาศัยลักษณะต่างๆ ของไม้ผล
เอง เช่น ลักษณะเกสรเพศผู้ จำนวนพูของรังไข่ ตำแหน่งของรังไข่ การ
เกาะกันของรังไข่บนรก และแบบของช่อดอก เป็ นต้น จนในที่สุดพืชแต่ละ
ชนิดจะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ หรือชื่อทางพฤกษศาสตร์ (scientific
name or botanical name) ประกอบด้วยชื่อสกุล (genus) และชนิด
(species) เช่น ชื่อวิทยาศาสตร์ของพีช คือ Prunus persica L. โดยมีคำ
ว่า ‘Prunus’ เป็ นชื่อสกุล และมีคำว่า ‘persica’ เป็ นชื่อชนิด ส่วน L.
คือชื่อผู้ที่ตั้งชื่อนั้นเอง
ชนิดและพันธุ์ไม้ผล
จากการจำแนกไม้ผลตามหลักพฤกษศาสตร์ ไม้ผลจัดเป็ นพืชดอก
(class angiospermae) ซึ่งเป็ นกลุ่มพืชที่มีจำนวนมากที่สุด เนื่องจาก
ส่วนของผลจะต้องพัฒนาการมาจากดอก การศึกษาเรื่องชนิด และพันธุ์
ไม้ผลจำเป็ นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการจำแนกไม้ผลทางพฤกษศาสตร์ การ
จำแนกพืชตามหลักพฤกษศาสตร์จะจำแนกจากระดับสูงไปสู่ระดับต่ำ คือ
จากอาณาจักร (kingdom) ไปจนถึงระดับย่อยที่สุด การจำแนกแบ่งออก
เป็ น 2 ประเภท คือ
10
การจำแนกกลุ่มของพืชได้จัดให้พืชเป็ นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาจักร
เมตาไฟตา (kingdom: metaphyta) สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้แบ่งออก
เป็ น 2 ดิวิชั่น คือ ไบรโอไฟตา (division: bryophyta) และทรีคีโอไฟตา
11
Ridley.
Durio zibethinus ทุเรียน (durian)
Muray.
Brommeliacea Ananas comosus Merr. สับปะรด (pineapple)
e
Caesalpiniacea Cassia acutifolia มะขามแขก
e
Dialium ลูกหยี
cochinchinense Pierre
Tamarindus indica L. มะขาม (tamarind)
Caricaceae Carica papaya L. มะละกอ (papaya)
Enphorbiaceae Baccaurea motleyana ระไม
Muell. Arg.
Baccaurea sapida มะไฟ
Muell. Arg.
Phyllanthus distichus มะยม
Muell. Arg.
Phyllanthus emblica L. มะขามป้ อม
Guttiferae Garcinia atroviridis ส้มแขก
Griff.
Garcinia costata มังคุดป่ า
Hemsl.
Garcinia dulcis Kurz. มะพูด
Garcinia mangostana มังคุด (mangosteen)
15
L.
Lauraceae Persea Americana อโวกาโด (avocado)
Miller.
Meliaceae Lansium domesticum ลางสาด ลองกอง
Correa.
Aglaia dookoo Griff. ดูกู (duku)
Sandoricum indicum กระท้อน (santol)
Cav.
Minosaceae Parkia speciosa Hassk. สะตอ
Pithecellobium dulce มะขามเทศ
Benth.
Moraceae Artocarpus altilis สาเก
Fosberg
Artocarpus จำปาดะ (champedak)
champenden Lour.
Artocarpus chaplasha ขนุนนก
Roxb.
Artocarpus ขนุน (jack fruit)
heterophyllus Lamk.
Musaceae Musa acuminate Colla. กล้วยป่ า
Musa balbisiana Colla. กล้วยตานี
Musa chiliocarpa Back. กล้วยร้อยหวี
Musa sapientum L. กล้วยไข่ กล้วยส้ม กล้วย
หอม กล้วยนาก กล้วย
16
น้ำว้า กล้วยเล็บมือนาง
และกล้วยหักมุก
Mytaceae Eugenia aequea Burm. ชมพู่ป่ า
Eugenia jambos L. ชมพู่น้ำดอกไม้ (rose
apple)
Eugenia javanica Lamk. ชมพู่แก้มแหม่ม
Eugenia malaccensis L. ชมพู่สาแหรก
Psidium guajava L. ฝรั่ง (guava)
Palmae Areca catechu L. หมาก
Arenga pinnata Merr. ตาว ลูกชิด
Cocos nucifera L. มะพร้าว
Borassus flabellifera L. ตาล ตาลโตนด
Nypa fruticans Wurmb. จาก
Phoenix dactylifera L. อินทผลัม
Salacca wallichiana ระกำ
Martius
Punicaceae Punica granatum L. ทับทิม (pomegranate)
Rhamnaceae Zizyphus mauritiana พุทรา
Lamk.
Rosaceae Frangaria ananassa สตรอเบอรี่
Duchesne. (strawberry)
Malus domestica แอปเปิ้ล (apple)
Borkh.
Prunus domestica L. พลัมยุโรป (European
17
plum)
Prunus mume Sieb. & บ๊วย
Zuce.
Prunus peersica พีช (peach)
Batsch.
Prunus salicina Lindl. พลัมญี่ปุ่น (Japanese
plum)
Pyrus communis L. สาลี่ฝรั่ง (European
pear)
Pyrus pyrifolia สาลี่เอเชีย (Asian
(N.L.Burman) Nakai pear)
Rutaceae Citrus sinensis (L.) ส้มเกลี้ยง ส้มตรา
Osbeck (sweet orange)
Citrus hustrix มะกรูด
Citrus reticulata ส้มเขียวหวาน
Blanco. (tangerine)
Citrus grandis Osb. ส้มโอ (pummelo)
Citrus limon เลมอน (lemon)
Citrus aurantifolia มะนาว (lime)
Swing.
Citrus parasidi Macf. เกรพฟรุ๊ต (grape fruit)
Poncirus trifoliata ส้มสามใบ (trifoliate
orange)
Feronia limonia Swing. มะขวิด (wood apple)
18
บทที่ 2
ส่วนประกอบต่างๆ ของไม้ผล
ราก (root)
ราก คือ อวัยวะหรือส่วนของพืชที่ไม่มีข้อ ปล้อง ตา และใบ
(George, 2009) เจริญลงสู่ดินตามแรงดึงดูดของโลก (positive
geotropism) มีกำเนิดมาจากส่วนปลายของรากแรกเกิด (radicle) ของ
ต้นอ่อน หรือเอ็มบริโอ ซึ่งเรียกว่า คอราก (hypocotyl) เมื่อเมล็ดงอก
รากแรกเกิดจะแทงทะลุเปลือกหุ้มเมล็ดออกมา และเจริญเติบโตเป็ นราก
แก้ว (tap root หรือ primary root) รากแก้วนี้สามารถแตกแขนงออกไป
20
ชนิดของราก ถ้าพิจารณาตามการเกิดของรากสามารถจำแนกได้เป็ น 3
ชนิด คือ
1. รากแก้วและรากอันแรก (primary root) เป็ นรากที่เจริญเติบโต
มาจากรากแรกเกิด (radicle) แล้วพุ่งลงสู่ดิน บริเวณโคนรากจะมีขนาด
ใหญ่แล้วค่อยๆ เรียวลงไปจนถึงปลายราก ส่วนใหญ่มักเรียกรากชนิดนี้ว่า
รากแก้ว (tab root) พืชหลายชนิดจะมีรากแก้วเป็ นรากสำคัญตลอดชั่ว
ชีวิตของพืชนั้นๆ
2. รากแขนง (secondary root) เป็ นรากที่เกิดจากส่วนหนึ่งส่วนใด
ของพืช เช่น เกิดจากกิ่ง ใบ หรือข้อของลำต้น มิได้เกิดจาก รากแรกเกิด
หรือ รากแก้วโดยตรง รากของต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวส่วนใหญ่เมื่องอกจา
เมล็ดใหม่ๆ จะมีรากแก้วงอกออกมาก่อน ต่อมาจะมีราก 4-5 เส้นงอก
ออกมาจากเมล็ดอีกที เรียกรากเหล่านี้ว่า รากพิเศษแรกเกิด (seminal
root) ทำหน้าที่อยู่ระยะหนึ่งจนมีลำต้นอยู่เหนือดิน มีใบแรกออกมา จาก
นั้นข้อแรกของลำต้นก็จะมีรากแตกออกมาโดยรอบ รากเหล่านี้เรียกว่า
รากพิเศษ (adventitious root) เมื่อรากพิเศษทำหน้าที่แล้ว รากพิเศษ
แรกเกิดก็จะหายไป ดังนั้นต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวส่วนใหญ่เมื่อเจริญเติบโตมี
ขนาดใหญ่จึงมีแต่รากพิเศษ กิ่งตอนของไม้ดอกและไม้ผลก็มีรากแบบราก
พิเศษทั้งสิ้น
ความรู้เกี่ยวกับระบบรากของไม้ผลจะเป็ นประโยชน์ในการเลือกดิน
ปลูกให้ถูกต้องตามชนิดของไม้ผล เพราะความลึกของดินในแต่ละท้องถิ่น
แตกต่างกัน เช่น พวกมะม่วงและมะม่วงหิมพานต์ เป็ นพืชที่มีรากแก้วสั้น
สามารถขึ้นได้ในดินตื้นๆ แต่ในพืชบางชนิด เช่น อโวกาโด ไม่สามารถ
เจริญเติบโตในดินตื้นๆ ได้ นอกจากนี้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่กระจายของ
รากพืชแต่ละชนิดจะเป็ นประโยชน์ในการใส่ปุ๋ยว่าควรใส่บริเวณใดของพืช
จึงจะได้รับประโยชน์มากที่สุด
23
ลำต้น (stem)
ลำต้นเป็ นอวัยวะของพืชที่โดยทั่วไปเจริญอยู่เหนือพื้นดิน แต่ก็อาจมี
บ้างที่เจริญอยู่ใต้ดิน มีขนาด รูปร่าง และลักษณะแตกต่างกันไป ประกอบ
ด้วย ข้อ ปล้อง และตา (Parker, 2000) หน้าที่ของลำต้นประกอบด้วย
1. เป็ นแกนสำหรรับพยุงอวัยวะต่างๆ ได้แก่ กิ่ง ก้าน ใบ ดอก และ
ผล
2. เป็ นตัวกลางในการลำเลียงโดยลำเลียงน้ำและแร่ธาตุจากรากสู่ใบ
และลำเลียงสารอาหารที่ได้จากการสังเคราะห์แสงจากใบสู่อวัยวะต่างๆ
ของพืช
นอกจากนี้ลำต้นยังทำหน้าที่สร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะของพืช เช่น
ใบ ดอก ผลขึ้นมาใหม่ ตลอดจนทำหน้าที่พิเศษ เช่น สะสมอาหาร
สังเคราะห์แสง สืบพันธุ์ เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ยึดเกาะ มือพันเพื่อพยุง
ค้ำจุนลำต้น สร้างสารบางชนิด เช่น แทนนิน น้ำยาง และเรซิน เป็ นต้น
กิ่ง (branch)
กิ่ง คือ ส่วนของพืชที่แยกออกจากลำต้น หรือกิ่งยอด (leader) แบ่ง
ออกเป็ นหลายชนิด ดังนี้
1. กิ่งใหญ่ (primary หรือ main scaffold) หมายถึง กิ่งที่แยกออก
จากลำต้น หรือกิ่งยอด
2. กิ่งย่อย (secondary scaffold) หมายถึง กิ่งที่แยกจากกิ่งใหญ่
3. กิ่งแขนง (lateral branch) หมายถึง กิ่งที่แยกจากกิ่งย่อย
บริเวณปลายกิ่งแขนงจะเป็ นที่เกิดของสเปอร์ (spur) ซึ่งมีลักษณะคล้าย
กิ่งเล็กๆ มีการเจริญเติบโตประจำปี สั้นมาก มีความยาวน้อยกว่าครึ่งนิ้ว มี
ใบเกิดเป็ นวง มีข้อถี่มาก พืชหลายชนิดจะมีดอกจากสเปอร์ เช่น แอปเปิ้ล
สาลี่ เป็ นต้น
ระมัดระวังเพราะอาจทำให้เปลือกได้รับอันตรายได้ สำหรับในกรณีที่ไม่
สามารถแก้ไขการเกิดง่ามมุมแคบได้ อาจจะใช้ลวดช่วยยืด (brace) หรือ
ใช้การทาบกิ่ง (inarching) เพื่อยึดกิ่งไม่ให้ฉีกเวลารับน้ำหนักหรือมีลม
แรงพัดผ่าน ง่ามไม้ที่มีมากกว่า 2 อัน และเกิดตรงจุดเดียวกันเป็ นลักษณะ
ไม่ดีควรหลีกเลี่ยง เพราะนอกจากจะไม่แข็งแรงแล้วยังทำให้เกิดแอ่งขังน้ำ
ขึ้นได้ และทำให้บริเวณนั้นเกิดการเน่าต่อมา
ตา (buds)
ตาเป็ นโครงสร้างส่วนหนึ่งของลำต้น เป็ นจุดเริ่มต้นของกิ่งก้านสาขา
ใบดอก และผลของพืช ตามีลักษณะนูนโค้งคล้ายกรวย ภายในประกอบ
ด้วยเนื้อเยื่อเจริญจำนวนมาก เซลล์บริเวณนี้จะแบ่งตัวให้กำเนิดกิ่งก้านใบ
และดอกแล้วแต่ชนิดของตา ตาสามารถจำแนกได้เป็ น 2 แบบ คือ การ
จำแนกตาตามการเจริญเติบโต และการจำแนกตาตามตำแหน่งที่เกิด โดย
มีรายละเอียด ดังนี้
26
การจำแนกตาตามการเจริญเติบโต สามารถจำแนกได้เป็ น 3
ประเภท คือ 1) ตาใบ (leaf bud) จะเจริญให้กิ่งหรือใบ 2) ตาดอก
(flower bud) คือ ตาที่จะเจริญเป็ นดอก/ช่อดอก และ 3) ตารวม
(mixed bud) คือ ตาที่จะเจริญเป็ นได้ทั้ง กิ่ง ใบ และ/หรือ ดอก
ใบ (leaf)
ใบมีหน้าที่หลักสำคัญ 3 ประการ คือ สังเคราะห์แสง หายใจ และ
คายน้ำ การสังเคราะห์แสงทำได้โดยใช้อาหารแร่ธาตุ และน้ำจากดิน ได้
ผลลัพธ์ออกมาเป็ น คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ เมื่อสร้างอาหาร
เรียบร้อยจะส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของต้นพืชทางท่ออาหาร หรือ phloem
การจัดระเบียบของใบที่ติดกับลำต้นหรือกิ่งหรือการเรียงใบแบบ
ต่างๆ คล้ายกับการจัดระเบียบของตาบนลำต้น ถือว่าเป็ นการปรับตัวของ
พืชให้ใบได้มีโอกาสรับแสงแดดได้เต็มที่ทุกใบ โดยไม่มีการบดบังแสง
ระหว่างใบต่อใบในพืชที่ต้องการแสงในการเจริญเติบโต การจัดระเบียบ
ของใบบนลำต้นหรือกิ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปดังต่อไปนี้ คือ
1. แบบสลับ (alternate) เป็ นการจัดระเบียบของใบโดยข้อหนึ่งๆ
ของลำต้นจะมีใบเพียงใบเดียวติดอยู่ ใบในข้อถัดไปจะอยู่ตรงกันข้ามกับ
28
การจัดระเบียบของเส้นใบหรือการเรียงเส้นใบแบบต่างๆ สามารถ
แบ่งได้ ดังนี้ (สมบุญ, 2537)
1. แบบขนาน (parallel venation) พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว โดยเส้น
ใบจะเรียงขนานไปตลอด แบ่งออกเป็ น 2 ชนิด คือ
29
ดอก (flower)
ดอก คือ อวัยวะหรือส่วนของพืชที่เจริญ และเปลี่ยนแปลงมาเพื่อ
ทำหน้าที่สืบพันธุ์ โดยกิ่งที่เปลี่ยนสภาพมาเป็ นดอกนี้จะแตกต่างกันจาก
กิ่งธรรมดาทั่วไป คือ มีปล้องซึ่งเป็ นช่วงระหว่างชั้นของรยางค์ต่างๆ สั้น
มาก ตรงข้อไม่มีตาและการเติบโตที่ปลายยอดมีขอบเขตจำกัด ดอกไม่มี
แกนกลาง (axis) เปลี่ยนแปลงมาจากส่วนของกิ่ง แกนกลางของดอก คือ
ส่วนของก้านดอก (peduncle) และฐานรองดอก (receptacle) ซึ่งมี
รยางค์ต่างๆ ได้แก่ กลีบเลี้ยง (sepal) กลีบดอก (petal) เกสรตัวผู้
(stamen) และเกสรตัวเมีย (pistil) รยางค์เหล่านี้มีลักษณะคล้ายใบ เชื่อ
ว่าเป็ นโครงสร้างที่มีจุดกำเนิดร่วมกันมากับใบหรือเป็ นใบที่เปลี่ยนแปลง
มาช่วยเสริมระบบการสืบพันธุ์ของพืชให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น (สมบุญ, 2537)
เพื่อช่วยล่อแมลงมาผสมเกสร กลีบเลี้ยงของดอกแต่ละกลีบจะเรียงกัน
เป็ นวงรอบดอก เรียกว่า วงกลีบเลี้ยง (calyx)
2. กลีบดอก (petal) เป็ นส่วนที่อยู่ถัดจากกลีบเลี้ยงเข้าไปด้านใน
เป็ นวง เรียกว่า วงกลีบดอก (corolla) กลีบดอกจะมีกลิ่นหอมและมีสีสัน
ต่างๆ มากมาย จึงจัดเป็ นอวัยวะช่วย เพราะเป็ นส่วนสำคัญที่ช่วยล่อ
แมลงให้มาผสมเกสร ดอกบางชนิดมีกลีบรองและกลีบดอกคล้ายคลึงกัน
มากจนแยกไม่ออก จึงเรียกรวมกันว่า วงกลีบรวม (perianth)
3. เกสรตัวผู้ (stamen or microsporophyll) เป็ นส่วนที่อยู่ถัด
จากกลีบดอกเข้าไปด้านในจัดเป็ นวงที่สามเรียกว่า androecium จัดเป็ น
อวัยวะที่จำเป็ น เพราะทำหน้าที่เป็ นอวัยวะสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ เกสร
เพศผู้แต่ละอันประกอบด้วย
3.1 ก้านชูอับละอองเกสร (filament)
3.2 อับละอองเกสร (anther or microsorus) มองจาก
ภายนอกมีลักษณะเป็ นพู 2 พูติดกัน ภายในพูแบ่งเป็ นถุงเล็กๆ ยาว 4 ถุง
เรียกว่า ถุงละอองเกสร (pollen sac) ทำหน้าที่บรรจุละอองเกสร
(pollen grain) จำนวนมากไว้
4. เกสรตัวเมีย (pistil or carpel) เป็ นส่วนของดอกที่อยู่วงในสุด
เรียก gynoecium or gynaecium เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากใบ เพื่อทำ
หน้าที่เป็ นอวัยวะสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย จึงจัดเป็ นอวัยวะที่จำเป็ น
เกสรตัวเมียประกอบด้วย
4.1 รังไข่ (ovary) ภายในประกอบด้วยไข่ (ovule)
4.2 ก้านเกสรตัวเมีย (style)
4.3 ยอดเกสรตัวเมีย (stigma)
33
พืชที่มีดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ภายในต้นเดียวกัน เรียกว่า
monoecious plant ถ้าดอกตัวผู้และดอกตัวเมียแยกกันอยู่คนละต้น
เรียกว่า dioecious plant สำหรับพืชที่มีดอกไม่สมบูรณ์เพศจะต้องเป็ น
ดอกไม่สมบูรณ์ด้วย ส่วนพืชที่มีดอกไม่สมบูรณ์ไม่จำเป็ นจะต้องเป็ นดอก
ไม่สมบูรณ์เพศ
3. การจำแนกตามตำแหน่งของรังไข่ สามารถจำแนกได้เป็ น 3
ประเภท คือ
34
4. การจำแนกตามลักษณะการติดผลของดอกบนก้านดอก สามารถ
แบ่งออกเป็ น 2 ชนิด คือ
4.1 ดอกเดี่ยว (solitary flower) หมายถึง ดอกไม้ที่เกิดบน
ก้านดอกเพียงดอกเดียว
4.2 ช่อดอก (inflorescence flower) หมายถึง กลุ่มของดอก
ที่เกิดอยู่บนก้านดอกก้านเดียวกัน
บางครั้งพบว่าดอกของพืชบางชนิดมีลักษณะผสมผสานระหว่างช่อ
ดอกแบบ indeterminate และช่อดอกแบบ determinate ในช่อ
เดียวกัน ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ช่อกระจุกแยกแขนง (thyrsus) เช่น องุ่น
ผล (fruit)
ผล คือ รังไข่ที่เจริญเปลี่ยนแปลงมาภายหลังการปฏิสนธิแล้ว ผล
ของพืชบางชนิดอาจมีส่วนอื่นๆ ของดอกเจริญควบคู่กันมาพร้อมกับรังไข่
และถือว่าเป็ นส่วนหนึ่งของผลด้วย เช่น กลีบเลี้ยง ได้แก่ ผลฝรั่ง ทับทิม
มังคุด หรือส่วนของฐานรองดอก ได้แก่ แอปเปิ้ล ชมพู่ ทับทิม มะเดื่อ
สำหรับไข่ (ovule) ภายในรังไข่ (ovary) จะเจริญไปเป็ นเมล็ด (seed) ผล
ประเภทนี้จัดเป็ นผลที่แท้จริง โดยปกติส่วนของดอกจะเจริญพัฒนาเป็ น
ผลภายหลังจากกระบวนการถ่ายละอองเกสร (pollination) และการ
ปฏิสนธิ (fertilization) แต่มีผลบางชนิดอาจเจริญขึ้นมาทั้งที่ไม่การผสม
เกสร ผลชนิดนี้เรียกว่า ผลเทียม หรือผลลม หรือ parthenocarpic fruit
เราเรียกกระบวนการเกิดผลแบบนี้ว่า pathenocarpy ผลชนิดนี้โดย
ทั่วไปเกิดขึ้นได้จากการกระตุ้นดอกด้วยการใช้สารควบคุมการเจริญ
เติบโต ได้แก่ ออกซิน (auxin) และจิบเบอเรลลิน (gibberellins) ฉีดพ่น
ดอกทำให้รังไข่เจริญเป็ นผลได้ ผลที่เจริญขึ้นมานี้จึงไม่มีเมล็ด ซึ่งจะให้ผล
ดีในพืชบางชนิด เช่น มะเขือเทศ แตง กล้วย และส้มบางพันธุ์ เป็ นต้น ผล
จัดเป็ นโครงสร้างที่สำคัญช่วยเสริมให้วงชีพของพืชสมบูรณ์ ในพืชมีดอก
ทำหน้าที่ช่วยป้ องกันเมล็ดที่อยู่ภายในผล และช่วยในการกระจายพันธุ์
38
ผนังผลในผลต่างชนิดกันมีลักษณะแตกต่างกันไป ผลบางชนิดผนัง
ผลเชื่อมกันจนแยกชั้นต่างๆ ได้ยากมากหรือไม่สามารถแยกออกจากกัน
ได้ชัดเจน เช่น ข้าวโพด ถั่วเขียว ถั่วเหลือง บางชนิดส่วนของเปลือกชั้น
นอกและชั้นกลางเชื่อมติดกันหรือแยกกันไม่เด่นชัด เช่น มะเขือเทศ
มะละกอ ฟั ก แต่ผนังผลของพืชอีกหลายชนิดสามารถแบ่งออกเป็ น 3
ส่วนได้อย่างชัดเจน เช่น มะม่วง พุทรา มะพร้าว มะปราง มะยม พีช บ๊วย
พลัม และสาลี่ เป็ นต้น
2. จำนวนรังไข่
3. จำนวนคาร์เพล (carpel) ในแต่ละรังไข่
4. ลักษณะของผนังผล อ่อนนุ่ม แห้ง เหนียว แตกเมื่อผลแก่หรือไม่
แตก เป็ นต้น
5. ส่วนอื่นๆ ของดอก เช่น กลีบเลี้ยง กลีบดอก ฐานรองดอก เจริญ
ไปเป็ นส่วนประกอบของผลหรือไม่ (สมบุญ, 2537)
บทที่ 3
ดอกและการเกิดดอกของไม้ผล
เมื่อปลูกและดูแลรักษาไม้ผลจนกระทั่งถึงเวลาที่ไม้ผลจะเกิดดอก
ออกผลให้ผลผลิตบางครั้งเกิดปั ญหาไม้ผลไม่ยอมเกิดดอกออกผลทั้งๆ ที่
ถึงเวลาสมควร คือ ไม้ผลมีอายุสมควรจะให้ผลผลิต มีฤดูกาลเหมาะสม
ตลอดจนสภาพแวดล้อมก็เหมาะสม ปั ญหาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับปั จจัย
ต่างๆ ในการสร้างตาดอก และเมื่อไม้ผลสร้างตาดอกแล้วบางครั้งก็ไม่
สามารถติดผลและให้ผลผลิตได้ การศึกษาเกี่ยวกับการเกิดดอกและการ
ติดผลจะทำให้นักพืชสวนทราบถึงวิธีการแก้ไขปั ญหาดังกล่าว ทำให้การ
ปลูกไม้ผลประสบความสำเร็จมากขึ้น
การเกิดดอก
ปั จจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดอกของไม้ผลที่ทราบกันมานาน
แล้ว คือ อัตราส่วนระหว่างสารประกอบคาร์โบไฮเดรตหรือคาร์บอนต่อ
ไนโตรเจน (C/N ratio) ในต้นไม้ผล ซึ่งสรุปได้ว่าไม้ผลที่มีปริมาณ
คาร์โบไฮเดรตสูงและมีไนโตรเจนปานกลางพืชจะเกิดดอกได้ แต่ถ้ามี
สารประกอบไนโตรเจนสูงกว่าคาร์โบไฮเดรตพืชจะมีการเจริญทางกิ่งใบ
เท่านั้น นอกจากอัตราส่วนของคาร์โบไฮเดรตต่อไนโตรเจนแล้ว การสร้าง
ตาดอกยังมีฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง
กับการเกิดดอกที่เรียกว่า ฟลอริเจน (florigen) ฮอร์โมนชนิดนี้อาจมีส่วน
สัมพันธ์กับอัตราส่วนของคาร์โบไฮเดรตต่อไนโตรเจนในการสร้างตาดอกก็
เป็ นได้ นอกจากนี้ยังมีปั จจัยด้านอื่นๆ ที่อาจมีบทบาทด้านการส่งเสริมให้
เกิดอัตราส่วนระหว่างคาร์โบไฮเดรตต่อไนโตรเจนที่เหมาะสมต่อการเกิด
ตาดอก ได้แก่ การให้ธาตุอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม การเขตกรรมต่างๆ
47
ปั จจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดอก
การเกิดดอกของไม้ผลมีการเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานโดยเนื้อเยื่อที่
กิ่งก้านมีการเปลี่ยนแปลงเป็ นตาดอก เป็ นการแสดงให้ทราบว่ามีการ
ชักนำให้เกิดการออกดอก ซึ่งต่อไปจะมีการพัฒนาไปเป็ นส่วนของดอก
และมีกระบวนการอื่นๆ เกิดขึ้นตามมา ได้แก่ การติดผล และการเจริญ
ของผล
การเจริญเติบโตทางกิ่งก้านและการสร้างส่วนสืบพันธุ์ของพืช
ต้องการสารประกอบคาร์โบไฮเดรตและธาตุอาหาร การเกิดดอกของพืช
หลายชนิดขึ้นอยู่กับสมดุลย์ของการเจริญเติบโตทางกิ่งใบ (vegetative
growth) กับการเจริญทางด้านการสืบพันธุ์ (reproductive growth)
หมายความว่า เมื่อใดก็ตามที่การเจริญเติบโตทางกิ่งใบลดต่ำลงถึงระดับ
หนึ่ง จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเจริญทางกิ่งใบเป็ นการเจริญทาง
สืบพันธุ์ทันที โดยที่สมดุลย์ของการเจริญนั้นส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับความ
สัมพันธ์ระหว่างคาร์โบไฮเดรตและไนโตรเจน พบว่า ในเนื้อเยื่อพืชถ้าหาก
พืชสร้างและสะสมสารประกอบคาร์โบไฮเดรตไว้มากจะสนับสนุนการเกิด
ดอก ในขณะที่มีปริมาณธาตุไนโตรเจนในพืชสูงมีผลต่อการลดหรือการ
ยับยั้งการพัฒนาด้านสืบพันธุ์และจะส่งเสริมการเจริญทางกิ่งใบแทน
ปริมาณความสมดุลย์ระหว่างคาร์โบไฮเดรตและไนโตรเจนในไม้ผลมัก
เปลี่ยนแปลงได้ตามการเขตกรรม เช่น การใส่ปุ๋ย การตัดแต่งกิ่ง และการ
ดูแลรักษาอื่นๆ ในรอบปี ต้นไม้ผลที่ได้รับปุ๋ยไนโตรเจนมากๆ จะมีปริมาณ
ไนโตรเจนสูง และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่สะสมปานกลาง ทำให้มีการ
เจริญเติบโตทางกิ่งก้านใบมาก แต่มีปริมาณดอกและการติดผลน้อย ใน
ขณะเดียวกันต้นไม้ผลที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษาเลยอาจทำให้ปริมาณ
ไนโตรเจนต่ำ ปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงมาก ทำให้มีการเจริญเติบโตทาง
กิ่งใบและการออกดอกติดผลน้อยเช่นเดียวกัน สำหรับต้นไม้ผลที่ได้รับ
การเขตกรรมที่เหมาะสมจะพบว่ามีปริมาณไนโตรเจนระดับปานกลางและ
มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตในระดับสูง ทำให้เกิดการพัฒนาของกิ่งใบใน
50
ต้นไม้ผลนั้นไม่ได้รับการตัดแต่งกิ่งทรงพุ่มจะหนาทึบทำให้แสงเข้าไปได้ไม่
ทั่วถึง ทำให้มีการออกดอกน้อย เนื่องจากอาหารที่สร้างขึ้นมาได้ในต้นจะ
ถูกนำไปใช้เพื่อการเจริญของกิ่งใบเสียหมด ไม่มีเหลือพอที่จะไปช่วยใน
การพัฒนาการเกิดตาดอก โดยทั่วไปแล้วไม้ผลแทบทุกชนิดต้องการ
ปริมาณแสงที่สูงสำหรับการเกิดดอกออกผล นอกจากจะช่วยในการสร้า
งอหารแล้ว ยังช่วยในการสังเคราะห์สารเคมีรวมทั้งรงควัตถุที่ช่วยในการ
เจริญของผลทำให้คุณภาพผลดีขึ้นด้วย การเกิดดอกจะมีมากน้อยขึ้นอยู่
กับความเข้มข้นของแสง (light intensity) กล่าวคือ ดอกจะเกิดมากใน
บริเวณที่ได้รับความเข้มข้นของแสงสูง ถ้าสังเกตการเกิดดอกของไม้ผล
โดยทั่วไปแล้ว จะเห็นได้ว่าดอกจะเกิดบริเวณรอบนอกของทรงพุ่ม
มากกว่าในทรงพุ่ม จากการวัดความเข้มข้นของแสงในต้นมะม่วง พบว่า
บริเวณในทรงพุ่มวัดได้ประมาณ 300-500 ลักซ์ ส่วนภายนอกทรงพุ่มวัด
ได้สูงกว่า 2,000 ลักซ์ การที่บริเวณใจกลางพุ่มไม่ค่อยมีดอกนั้นอาจเป็ น
เพราะมีการสังเคราะห์แสงน้อยหรือมีอาหารพวกไนโตรเจนในกิ่งเหล่านี้
ต่ำ สำหรับระยะเวลาการรับแสงจะไม่มีผลต่อการเกิดดอกของไม้ผล (สุ
เมษ, 2537)
2.1.2 อุณหภูมิ เป็ นปั จจัยที่สำคัญเกี่ยวกับการเกิดดอก
ในไม้ผลหลายชนิด การจำแนกไม้ผลตามสภาพท้องถิ่นที่ปลูก เช่น ไม้ผล
เขตหนาว ไม้ผลเขตกึ่งร้อน และไม้ผลเขตร้อน ก็อาศัยการปรับตัวของไม้
ผลแต่ละชนิดตามแต่อุณหภูมิที่พืชนั้นได้รับและไม้ผลแต่ละประเภทก็
ตอบสนองต่ออุณหภูมิในการเกิดดอกไม่เหมือนกัน ไม้ผลเขตหนาวซึ่งมีถิ่น
กำเนิดในเขตอบอุ่น (temperate region) ที่มีช่วงฤดูหนาวที่เย็นมาก
และในบางครั้งอุณหภูมิก็ลดต่ำลงไปจนถึงจุดเยือกแข็ง ซึ่งอุณหภูมิต่ำนี้
อาจทำให้ตาดอก หรือตายอดที่แตกออกไปใหม่ๆ เป็ นอันตรายได้ ดังนั้น
ไม้ผลเขตหนาวส่วนใหญ่จึงมีการทิ้งใบในช่วงฤดูหนาวและธรรมชาติได้
52
สร้างให้ต้นไม้ผลนี้สร้างตาดอกในช่วงปลายของฤดูการเติบโตและตาดอก
ที่เกิดขึ้นนี้จะยังคงอยู่ในสภาวะพักตัวอยู่จนผ่านช่วงฤดูหนาวแล้ว ช่วง
ของอุณหภูมิต่ำในฤดูหนาวอยู่ประมาณ 7.2 องศาเซลเซียส ซึ่งจะช่วยใน
การขจัดการพักตัวของตาดอก ทำให้ระดับของสารฮอร์โมนในต้น
เปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะให้ตาดอกแตกออกมาได้ ดังนั้นในไม้ผลเขต
หนาวต่างๆ เช่น แอปเปิ้ล พลับ พีช และสาลี่ ช่วงอุณหภูมิต่ำในฤดูหนาว
จึงนับว่าจำเป็ นต่อการเกิดดอกหรือที่ถูกแล้วควรจะกล่าวว่าช่วงอากาศ
หนาวจำเป็ นสำหรับขจัดการพักตัวของตาดอกในต้น สำหรับไม้ผลเขตกึ่ง
ร้อน (sub-tropical fruit) ได้แก่ ลิ้นจี่ ลำไย องุ่น และส้ม เป็ นกลุ่มของ
ไม้ผลที่ต้องการอากาศหนาวเย็นช่วงเวลาหนึ่งเช่นเดียวกับไม้ผลเขตหนาว
แต่เป็ นช่วงระยะเวลาที่สั้นกว่า และต้องการความหนาวเย็นน้อยกว่า
ความหนาวเย็นนี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างตาดอก อุณหภูมิที่เหมาะ
สมสำหรับไม้ผลเขตกึ่งร้อน คือ ระหว่าง 10-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิ
ต่ำนี้นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างตาดอกแล้ว ยังมีผลทำให้การ
เจริญทางกิ่งใบชงักได้อีกด้วย ไม้ผลอีกประเภทหนึ่งได้แก่ ไม้ผลเขตร้อน
(tropical fruit) ได้แก่ เงาะ ทุเรียน มังคุด ขนุน ชมพู่ มะม่วง และ
มะขาม เป็ นต้น อุณหภูมิมีบทบาทน้อยต่อการเกิดดอกของไม้ผลกลุ่มนี้
แต่การเกิดดอกจะขึ้นกับปั จจัยด้านอื่นๆ เช่น ความชื้นในบรรยากาศ
ความชื้นในดิน แสง ส่วนใหญ่ไม้ผลเขตร้อนจะเกิดดอกในช่วงฤดูแล้ง ซึ่ง
เป็ นช่วงที่ต้นไม้ได้รับความเครียดจากน้ำในดิน ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงใน
ระดับของอาหารและสารฮอร์โมนในต้นให้อยู่ในสภาพที่เหมาะแก่การเกิด
ตาดอกได้
สั้นในไม้ผลเขตร้อนและค่อนข้างยาวในไม้ผลเขตหนาว ส่วนไม้ผลเขตกึ่ง
ร้อนจะมีช่วงอยู่ในระหว่างกลางของไม้ผลทั้งสองประเภท หรืออาจจะ
พิจารณาง่ายๆ ว่า ไม้ผลที่มีช่วงชงักการเติบโตทางกิ่งใบสั้นจะมีช่วงการ
พัฒนาการของดอกสั้นด้วย
การลดการให้น้ำก่อนจะถึงฤดูเกิดดอกจะทำให้ความชื้น
ในดินน้อยลง พืชจะมีการสะสมคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น ทำให้ออกดอกเร็ว
ขึ้น ถ้าเราให้น้ำมากๆ เกินไปจนถึงฤดูเกิดดอกก็จะทำให้เกิดการออกดอก
ล่าช้าไปเพราะพืชจะมีการเจริญทางกิ่งใบเสียมากกว่า การกักส้มเขียว
หวานไว้รอจำหน่ายในเทศกาลตรุษจีนอาจทำได้โดยการควบคุมเรื่องน้ำ
กล่าวคือ ปกติส้มเขียวหวานจะเก็บเกี่ยวเดือนตุลาคมถึงธันวาคม แต่
สามารถยืดเวลาเก็บเกี่ยวออกไปจนถึงปลายมกราคมหรือกุมภาพันธ์ได้
โดยการทดน้ำเข้าช่วยตลอดระยะเวลาที่ไม่เก็บเกี่ยวจะสามารถบังคับให้
ส้มเกิดดอกช้ากว่าปกติทำให้มีส้มขายนอกฤดูได้
54
ในการทำสวนผลไม้เป็ นการค้านั้นการทรมานพืชเพื่อให้
เกิดดอกนั้นมีความสำคัญน้อยมาก โดยเฉพาะการทรมานแบบควั่นกิ่ง
(ringing) จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง คือ ควรจะทราบนิสัยของไม้ผล
ชนิดนั้นๆ เสียก่อนว่าทนต่อการทรมานหรือไม่ ปกติเขาไม่ใช้การควั่นกิ่ง
กับ stone fruit เพราะอาจได้รับความเสียหายได้ นอกจากนี้ไม่ควร
55
ทรมานไม้ผลที่โทรมหรือไม่ค่อยสมบูรณ์หรือไม้ผลที่มีอายุน้อย ในการ
ปฏิบัติควรลงมือทำก่อนถึงฤดูออกดอกประมาณ 3-5 สัปดาห์ เมื่อทำ
เสร็จแล้วควรหาวัตถุบางอย่างมาหุ้มหรือเคลือบเพื่อป้ องกันน้ำและเชื้อ
โรคเข้าสู่แผล
ตาดอกแต่น้อยมาก สำหรับสภาพการนี้อาจอธิบายได้ว่าพืชในระยะที่
กำลังสร้างตาดอก ถ้ามีสภาพความชื้นในดินลดลงการดูดซึมน้ำขึ้นไปใช้
ตระเตรียมการสร้างสารชีวเคมีภายในพืชก็จะเข้มข้นขึ้น ทำให้สารชีวเคมี
อาจมีสัดส่วนของปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ปริมาณไนโตรเจน หรือฮอร์โมน
ดอกอยู่ในสภาพที่พอเหมาะแก่การกระตุ้นการสร้างตาดอก
58
บทที่ 4
การติดผลและการเจริญของผล
การเกิดเมล็ดและจำนวนเมล็ดในผลจะขึ้นอยู่กับการผสมพันธุ์
(fertilization) กล่าวคือ ถ้าการผสมพันธุ์เป็ นไปด้วยความเรียบร้อย การ
เกิดเมล็ดก็จะเป็ นไปด้วยดี ทำให้ลักษณะและขนาดของเมล็ดอยู่ในสภาพ
สมบูรณ์ ถ้าการผสมพันธุ์มีอุปสรรค เช่น การรวมตัวของเชื้อเพศผู้และ
เพศเมียเป็ นไปอย่างผิดปกติ หรือการเจริญของคัพภะหรือส่วนอื่นๆ
ภายในไข่มีน้อย เมล็ดอาจลีบหรือไม่สมบูรณ์ ขณะที่เมล็ดกำลังพัฒนานั้น
จะมีการสร้างฮอร์โมนขึ้น และฮอร์โมนเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เซลล์ใน
เปลือกผล (pericarp) ขยายตัวออก ทั้งนี้ต้องมีธาตุอาหารและน้ำอย่าง
เพียงพอ ถ้าขาดสิ่งดังกล่าวแล้วการเจริญของคัพภะอาจชะงักและในที่สุด
จะร่วงหล่นไป
การเจริญเติบโตของผลเกิดขึ้นเกือบจะทันทีที่มีการติดผล โดยถือ
เอาจุดที่รังไข่เริ่มมีการขยายตัวเป็ นจุดเริ่มต้น ลักษณะการเจริญเติบโต
ของผลนั้นเป็ นการเพิ่มขึ้นด้านปริมาณ (quantitative) โดยสามารถ
สังเกตได้ง่ายจากขนาดที่โตขึ้น โดยอาจวัดเป็ นความยาว ความกว้าง หรือ
ความหนา หรืออาจวัดในรูปของการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก ซึ่งส่วนมากใช้น้ำ
หนักแห้งเป็ นเกณฑ์หรือวัดการเพิ่มขึ้นในรูปของปริมาตรก็ได้ ส่วนทาง
ด้านการพัฒนาของผลนั้นเป็ นการเปลี่ยนแปลงทางด้านคุณภาพ
61
เมื่อศึกษาถึงการเจริญเติบโตของผลที่สัมพันธ์กับช่วงระยะเวลาแล้ว
นำมาสร้างเป็ นกราฟ เราสามารถแบ่งได้เป็ นหลายรูปแบบ แต่เมื่อนำมา
จัดแบ่งแล้วจะสามารถจำแนกได้เป็ น 2 ลักษณะ ดังนี้
ปั จจัยที่เกี่ยวข้องกับการติดผล
ในการทำสวนผลไม้ชาวสวนมักจะพบปั ญหาเกี่ยวกับการติดผลของ
ไม้ผลอยู่เสมอ ไม้ผลบางชนิดจะเกิดดอกเป็ นจำนวนมาก แต่ติดผลจริงๆ
เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้เพราะมีดอกร่วงมากหรือผลเจริญผิด
ปกติ เช่น เงาะขี้ครอก (ผลมีรูปบูดเบี้ยว ขนสั้น) และบางทีดอกจะมี
ลักษณะไหม้และแห้งตายไป ปั จจัยที่เกี่ยวข้องกับการติดผล และการ
เจริญของผลมีทั้งปั จจัยภายในผลเอง และปั จจัยภายนอก ดังนี้
64
ปั จจัยภายใน
1. ความโน้มเอียงในวิวัฒนาการ การวิวัฒนาการของพืชจะทำให้
ส่วนต่างๆ ของพืชมีลักษณะรูปร่างผิดแผกไปจากเดิมไม่มากก็น้อย หรือ
บางส่วนอาจขาดหายไป และบางส่วนอาจมีของใหม่มาเพิ่ม เช่น
2. ลัษณะทางพันธุกรรม การผสมตัวเองไม่ติดและการผสมตัวเองที่
ให้ผลไม่ดก เป็ นลักษณะที่สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม ไม้ผลที่ผสม
ตัวเองไม่ติด ควรจะปลูกปนกับไม้ผลอื่นๆ ในพืชชนิดเดียวกันที่มีการผสม
ข้ามได้ และต้นที่ปลูกไว้เพื่อเอาละอองเกสรนั้น ควรเลือกพันธุ์ที่ให้ละออง
เกสรที่สมบูรณ์ การบานของดอกควรจะพร้อมกันกับพันธุ์ที่ปลูก นอกจาก
นี้อาจจะใช้วิธีเสี่ยบกิ่ง โดยนำเอากิ่งจากต้นที่ให้ละอองเกสรดีมาเสียบเข้า
กับไม้ผลที่ผสมตัวเองไม่ค่อยติด เป็ นต้น
3. อิทธิพลทางสรีระของพืช
66
3.1 การให้ผลที่ไม่ดกอันเนื่องมาจากการเจริญของหลอด
ละอองเกสร (pollen tube) ที่ช้าเกินไป ทำให้ดอกร่วงหล่นไปก่อนที่จะมี
การปฏิสนธิระหว่างละอองเกสรกับไข่ แต่การที่หลอดละอองเกสรเจริญ
ช้านั้นอาจเนื่องมาจากเหตุอื่นๆ ได้ด้วย เช่น อุณหภูมิต่ำเกินไป เป็ นต้น
ปั จจัยภายนอก
มีปั จจัยภายนอกหลายอย่างด้วยกันที่เกี่ยวข้องกับการติดผลและ
การเจริญของผล เช่น ปั จจัยเรื่องธาตุอาหรและน้ำ และปั จจัยทางนิเวศน์
วิทยาอื่นๆ จำแนกได้ออกเป็ น ดังนี้
4. ผลอันเนื่องมาจากการพ่นสารเคมี ไม่ควรพ่นสารเคมีใดๆ ใน
ขณะที่ดอกกำลังบาน เพราะอาจจะทำให้ละอองเกสรหรือส่วนของดอก
อื่นๆ ได้รับอันตราย ดอกอาจร่วงและอาจเป็ นอันตรายต่อแมลงที่ช่วย
ผสมเกสรได้ การป้ องกันโรคและแมลงที่จะทำลายดอกหรือช่อดอกนั้น
ควรมีแผนพ่นสารเคมีล่วงหน้าไว้ก่อนดอกบาน
นอกจากการร่วงของผลในสามระยะดังกล่าวแล้ว ยังมีการร่วงอีก
ลักษณะหนึ่ง เรียกว่า การร่วงก่อนเก็บเกี่ยว (pre-harvest drop) ผลจะ
มีขนาดโตประมาณ ¾ ของผลที่โตเต็มที่ การร่วงของผลในระยะนี้มี
สาเหตุจากสภาวะทางสรีรวิทยาของพืช คือ เอทธิลีน (ethylene) ที่ผลิต
71
1. ลม ถ้ามีลมแรงโดยเฉพาะลมพายุฝนฟ้ าคะนองจะทำให้ผลร่วงได้
เช่น การร่วงของมะม่วง เงาะ ลำไย ในช่วงเดือนเมษายนและเดือน
พฤษภาคม เนื่องจากลมพายุฝนฟ้ าคะนอง เป็ นต้น
2. อุณหภูมิและความชื้น ถ้าอากาศร้อนและความชื้นสัมพันธ์ต่ำมาก
จะทำให้ขั้วผลหลุด
3. ความชื้นในดิน ถ้ามีการให้น้ำที่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่ให้น้ำเลยจะ
ทำให้เกิดผิดปกติทางสรีรวิทยาขึ้น เป็ นเหตุให้ผลร่วงได้
4. ขาดไนโตรเจนจะทำให้กิ่งอ่อนแอ จะเกิดผลร่วงมากกว่ากิ่งที่แข็ง
แรง
การป้ องกันผลร่วง
การสร้างสวนไม้ผลนับเป็ นการลงทุนประกอบอาชีพที่ต้องใช้ทุนมาก
และใช้ระยะเวลาหลายปี กว่าจะได้รับผลตอบแทน เนื่องจากสวนไม้ผล
ส่วนใหญ่เป็ นไม้ยืนต้น การสร้างสวนจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะ
หากลงทุนในระยะแรกไปแล้ว แต่ผลตอบแทนที่ได้รับไม่คุ้มค่าก็จะเกิดผล
เสียยากที่จะแก้ไข แต่ถ้ามีการวางแผนอย่างดี โดยพิจารณาลักษณะของ
ที่ดิน การเลือกทำเล การเลือกชนิดและพันธุ์ไม้ผลที่ใช้ปลูก ตลอดจนการ
73
กำหนดแผนผังที่ใช้ปลูกไม้ผลให้มีประสิทธิภาพ โอกาสที่จะเกิดความผิด
พลาดก็จะน้อยลง
ดินกับการผลิตไม้ผล
ชนิดและความอุดมสมบูรณ์ของดิน: ไม้ผลส่วนใหญ่จะชอบดินร่วน
หรือดินร่วนปนทรายที่มีอินทรียวัตถุสูงหรือดินที่ชาวบ้านเรียกว่าดินน้ำ
ไหลทรายมูลหรือดินร่วนปนเหนียว ในสภาพดินเหนียวจัด ดินที่มีลูกรัง
และกรวดไม่เหมาะต่อการปลูกไม้ผล แต่ถ้ามีความจำเป็ นก็สามารถปลูก
ได้ แต่ควรมีการปรับปรุงลักษณะของดินให้เหมาะสมเสียก่อน การเลือก
ปลูกไม้ผลในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงก็จะได้เปรียบ เพราะไม้ผลจะให้
ผลตอบแทนได้เร็วกว่าและมากกว่า ในปั จจุบันการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
เพื่อปรับปรุงดินมีมากขึ้น ดินที่ใช้ปลูกไม้ผลอาจไม่เหมาะสมและมีความ
อุดมสมบูรณ์ต่ำก็ไม่มีปั ญหา เพราะสามารถปรับปรุงได้ไม่ยากนัก
74
2. ระดับน้ำใต้ดิน พื้นที่ปลูกไม้ผลควรมีระดับน้ำใต้ดินอยู่ต่ำกว่า
180 เซนติเมตร ตลอดทั้งปี เพราะถ้าระดับน้ำใต้ดินตื้นหรืออยู่สูงจะทำให้
การถ่ายเทอากาศในดินชั้นล่างมีน้อย น้ำจะขังและทำให้รากเน่า เพราะ
ดินเปี ยกแฉะรากพืชหายใจไม่สะดวก
การกำหนดทิศทางปลูก ควรให้ร่องปลูกในลักษณะขวางตะวัน
คือ หัวร่อง ท้ายร่องอยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้ ขนาดคันคูที่ทำไว้เพื่อป้ องกัน
น้ำท่วม กำหนดโดยอาศัยระดับน้ำเป็ นหลัก คือ ยึดเอาระดับน้ำสูงสุดของ
น้ำแต่ละท้องที่ เช่น กว้าง 2 เมตร สูง 1 เมตร บางท้องที่สูง 2 เมตร
กว้าง 3-4 เมตร เป็ นต้น
การขุดหลุมปลูกในที่ลุ่ม ควรขุดขนาดกว้างและยาวประมาณ
50-100 เซนติเมตร แล้วแต่ชนิดของไม้ผลและคุณลักษณะของดิน ความ
ลึกให้ใช้ระดับน้ำในดินเป็ นหลัก เพราะระดับน้ำในดินเป็ นตัวกำหนดความ
ลึกของรากพืช ดินที่ขุดขึ้นมาจากหลุมนั้นตากแดดให้แห้งสนิท แล้วย่อย
ให้ละเอียดผสมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปุ๋ยฟอสเฟต กระดูกป่ น รวมทั้ง
เศษใบไม้ผุผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกลบลงหลุมปลูกตามเดิม ดินใน
หลุมปลูกควรให้สูงกว่าดินในแปลงปลูกเล็กน้อย แล้วปล่อยให้ดินในหลุม
หยุบตัวดีเสียก่อนจึงลงมือปลูก
เมื่อเตรียมแปลงปลูกแล้วก็วางแผนการปลูกโดยให้มีระยะปลูกตาม
ที่ต้องการแล้วทำเครื่องหมายไว้ให้เสร็จหมดทั้งแปลง จากนั้นลงมือขุด
หลุมปลูก หลุมที่ขุดอาจจะเป็ นหลุมกลมหรือหลุมเหลี่ยมก็ได้ ขนาดของ
หลุมให้มีขนาดกว้าง x ยาว x ลึก ประมาณ 50-100 เซนติเมตร แล้วแต่
ขนาดของไม้ผลและลักษณะของดิน ถ้าดินดีอุดมสมบูรณ์ก็ขุดหลุมขนาด
เล็กได้ แต่ถ้าดินขาดความอุดมสมบูรณ์ก็ต้องขุดหลุมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
เพื่อปรับปรุงดินในหลุมปลูกให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้าไม้
ผล การขุดหลุมปลูกในที่ดอนควรขุดดินออกเป็ น 2 ส่วน ส่วนหนึ่ง คือ ดิน
ชั้นบนแยกกองไว้ปากหลุมทางหนึ่ง เพราะดินชั้นบนเป็ นดินที่มีอินทรีย
วัตถุสูง ส่วนดินชั้นล่างซึ่งมีสภาพแตกต่างจากดินชั้นบน คือ มีสีแตกต่าง
กันและมีอินทรียวัตถุน้อยกว่า ตากดินไว้จนแห้งแล้วผสมดินทั้งสองกอง
กับปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เศษใบไม้ผุ กระดูกป่ น หรือปุ๋ยฟอสเฟต เมื่อผสมกัน
ดีแล้วให้รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก และปุ๋ยฟอสเฟต จากนั้นก็กลบดินชั้น
บนลงก้นหลุมก่อน ส่วนดินชั้นล่างให้กลบตามหลัง เมื่อกลบแล้วดินใน
หลุมปลูกจะสูงกว่าดินทั่วไปเล็กน้อย ปล่องทิ้งไว้จนดินยุบตัวดีก่อนแล้วจึง
ลงมือปลูก
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการปลูกไม้ผล
การปลูกไม้ผลจำเป็ นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาเลือกสภาพแวดล้อมที่
เหมาะสมกับการเจริญเติบโต และการพัฒนาการของไม้ผลแต่ละชนิด
79
ต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมแตกต่างกันไปตามประเภทของไม้ผล ตาม
ชนิดของไม้ผล และตามพันธุ์ของไม้ผล
ไม้ผลเขตร้อนต้องการอุณหภูมิสูงสำหรับการเจริญเติบโตตลอดชั่ว
อายุทั้งระยะการเจริญเติบโตทางกิ่งก้านสาขาและลำต้น (vegetative
growth) และระยะการเกิดดอกออกผล (reproductive growth) โดย
เฉพาะระยะการเกิดดอกออกผลจะต้องการอุณหภูมิสูง เนื่องจาก
ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงเป็ นส่วนใหญ่จึงเหมาะกับการปลูกไม้ผลเขตร้อน
มาก
ไม้ผลเขตกึ่งร้อนต้องการอุณหภูมิสูงสำหรับการเจริญเติบโตทางกิ่ง
ใบ แต่ต้องการอุณหภูมิต่ำช่วงหนึ่งประมาณ 13-18 องศาเซลเซียส เพื่อ
ทำให้เกิดการเตรียมตัวเพื่อการออกดอก ช่วงระยะเวลาที่ได้รับอุณหภูมิ
ต่ำนี้ ถ้าได้รับติดต่อกันเป็ นระยะเวลานานประมาณ 2-3 เดือน ก็จะทำให้
เกิดดอกออกผลดีมาก แต่ถ้าได้รับอุณหภูมิไม่ต่ำเพียงพอหรือระยะเวลาที่
ได้รับอุณหภูมิต่ำไม่ต่อเนื่องกันเป็ นระยะเวลานานพอ การเกิดดอกอาจจะ
ไม่ดีพอ หรือพบปั ญหาการออกดอกติดผลได้
ไม้ผลเขตหนาวต้องการอุณหภูมิต่ำมากๆ เพื่อทำลายการพักตัวของ
ตาดอก เนื่องจากไม้ผลประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็ นไม้ผลัดใบ จึงมีความจำเป็ น
ที่จะต้องได้รับความเย็นติดต่อกันเป็ นระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน เช่น
แอปเปิ้ลต้องการอุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส เป็ นระยะเวลาอย่าง
น้อย 1,000 ชั่วโมงติดต่อกันไป เพื่อทำลายการพักตัวของตาดอก โดยไม้
ผลประเภทนี้จะมีช่วงการเจริญเติบโตที่ชัดเจน แบ่งออกเป็ น 4 ช่วง ได้แก่
ฤดูหนาวจะพักตัว ฤดูใบไม้ผลิจะมีการออกดอกและเริ่มติดผล ฤดูร้อนจะ
81
มีการพัฒนาของผลรวมถึงการพัฒนาของตาดอก การเก็บเกี่ยวผลผลิต
และฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มหยุดการเจริญเติบโต ทิ้งใบ เก็บสะสมอาหาร เพื่อ
เตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ฤดูหนาวต่อไป
ความชื้น ความชื้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับฝนเพราะฝนให้น้ำและ
ความชื้นในบรรยากาศไม้ผลเขตร้อนหลายชนิดที่ต้องการอากาศร้อนและ
ความชื้นสูง เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด ลางสาด ลองกอง แต่มีไม้ผลบาง
ชนิด เช่น องุ่น ถ้าได้รับอากาศร้อนและความชื้นสูงจะทำให้เกิดโรค
ระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคราน้ำค้าง เพราะสาเหตุนี้การปลูกองุ่นใน
ภาคใต้จะกระทำได้ยาก ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงความชื้นอย่างกระทันหัน
เช่นเกิดฝนตกหนักในช่วงที่พืชกำลังติดผลก็จะทำให้ผลแตก เช่น ทับทิม
องุ่น มะม่วง ฯลฯ สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับความชื้นของอากาศแตกต่าง
กันได้อย่างเด่นชัด เช่น ไม้ผลเขตร้อนชื้นพวกเงาะ ทุเรียน มังคุด ลางสาด
ลองกอง จะปลูกได้ผลในจังหวัดทางภาคใต้และภาคตะวันออกของ
ประเทศไทย มีการนำไปปลูกในจังหวัดแถบภาคกลาง ภาคเหนือ และ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้บ้างในบางพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ซึ่งส่วนใหญ่
พื้นที่จะเป็ นหุบเขาและมีแหล่งน้ำอย่างเพียงพอ
2. ความเข้มของแสง จะเกี่ยวข้องกับไม้ผลในแง่ของปริมาณ
แสงที่ได้รับซึ่งจะสัมพันธ์กับความร้อนด้วย ถ้าพืชเจริญเติบโตกลางแจ้งจะ
ได้รับความเข้มของแสงมาก แต่ถ้าพืชเจริญเติบโตใต้ร่มเงามาบังก็จะได้รับ
ความเข้มของแสงน้อย ไม้ผลสามารถจำแนกได้ 2 ประเภทตามความเข้ม
ของแสง คือ ไม้ผลกลางแจ้ง (sun plant) และไม้ผลในร่มเงา (shade
plant) ส่วนใหญ่ไม้ผลจะมีลักษณะเป็ นไม้ผลกลางแจ้ง มีเพียงส่วนน้อยที่
มีลักษณะเป็ นไม้ผลในร่มเงา เช่น ลางสาด ลองกอง มังคุด เป็ นต้น
คุณสมบัติการเป็ นไม้ผลในร่มเงาจะมีความจำเป็ นมากที่ต้องมีการบังแสง
ให้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกของการเจริญเติบโต (ประมาณช่วงสอง
ปี แรกของการปลูก) ถ้าความเข้มของแสงไม่เหมาะสมจะมีผลต่อการเจริญ
85
การเลือกทำเลผลิตไม้ผล
ในการเลือกที่ทำสวนไม้ผลโดยทั่วไปมีปั จจัย 2 ประการที่ควรนำมา
พิจารณา ได้แก่ ท้องถิ่น (location) และทำเล (site) ปั จจัยที่เกี่ยวกับ
ท้องถิ่นจะเกี่ยวข้องกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ หรือพื้นที่ที่สวนไม้ผลตั้งอยู่ใกล้
ไกลจากถนนหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทางด้านธุรกิจ ส่วนปั จจัย
เกี่ยวกับทำเล หมายถึง สถานที่ตั้งของสวนว่าอยู่ในระดับความสูงต่ำ
อย่างไร อยู่ใกล้ไกลจากแหล่งน้ำ สภาพของสถานที่ตั้งเป็ นเนินลาดเทหรือ
พื้นราบ เป็ นต้น ในที่นี้สถานที่ใช้ทำสวนไม้ผลจะกล่าวรวมๆ ทั้งสภาพของ
ท้องถิ่นและทำเล การเลือกทำเลการผลิตไม้ผลที่ถูกต้องจะมีความสำคัญ
ยิ่ง เพราะถ้าเลือกทำเลดีมีความเหมาะสมโอกาสจะประสบความสำเร็จ
ย่อมมีมากกว่าการเลือกทำเลที่ไม่เหมาะสม ทำเลที่ควรนำมาพิจารณาใน
การผลิตไม้ผล ได้แก่
1. ทำเลที่สร้างสวนควรเป็ นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าสามารถปลูกไม้ผล
ได้ผลดี โดยดูจากประสบการณ์ของเกษตรกรในท้องถิ่นว่าสามารถปลูกไม้
ผลนั้นได้ดีเพียงใด เช่น เงาะโรงเรียนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลองกองที่
จังหวัดนราธิวาส ลิ้นจี่ที่จังหวัดเชียงราย ลำไยที่จังหวัดลำพูน ส้มโอที่
อำเภอนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม เป็ นต้น ซึ่งแหล่งปลูกเหล่านี้สามารถ
ปลูกไม้ผลดังกล่าวได้ดี ถ้าลงทุนสร้างสวนไม้ผลเหล่านั้นก็จะสามารถ
ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
2. ทำเลควรอยู่ใกล้ตลาดทำให้สามารถส่งสินค้าไปจำหน่ายได้ง่าย
ไม่สูญเสียค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในการดำเนินการขนส่งมากนัก
3. ทำเลที่สร้างสวนมีภูมิอากาศเหมาะสมทำให้ลดภาวการณ์เสี่ยงให้
น้อยลง
4. ทำเลที่สร้างสวนควรมีแหล่งน้ำเพียงพอ น้ำมีคุณภาพดีและมีน้ำ
ใช้ได้เพียงพอตลอดทั้งปี
87
5. ทำเลที่สร้างสวนควรมีการระบายน้ำได้ดีทั้งในและนอกฤดูฝน
6. ทำเลนั้นควรมีสภาพของดินเหมาะสมทั้งในด้านความอุดม
สมบูรณ์ของดิน ความลึกของหน้าดิน คุณสมบัติทางเคมีของดิน เป็ นต้น
7. ทำเลนั้นควรจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกของครอบครัวได้ง่ายและ
สะดวก เช่น โรงเรียน วัด โรงพยาบาล สถานที่ราชการ เป็ นต้น
8. ที่ดินมีราคาพอสมควร
9. หาแรงงานได้ง่ายและค่าแรงไม่แพงมากนัก
10. ไม่มีขโมยหรือปั ญหาการปกครองของบ้านเมือง เช่น ปั ญหา
ศาสนา ปั ญหาการแบ่งแยกดินแดน และปั ญหาการเรียกค่าคุ้มครอง
เป็ นต้น
การคัดเลือกชนิดและพันธุ์ไม้ผลให้เหมาะสม
การที่จะเลือกปลูกพืชชนิดใด และควรจะใช้พันธุ์อะไรในการปลูก
ควรทำการพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะ ถ้าเลือกพืชปลูกผิดอาจจะทำให้
เกิดความยุ่งยากในการดูแลรักษาและอาจจะไม่ประสบความสำเร็จได้ มี
หลักการกว้างๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกชนิดและพันธุ์พืชเพื่อใช้ปลูก
คือ
1. พืชชนิดนั้นหรือพันธุ์นั้นๆ สามารถเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อม
ในท้องถิ่นนั้นๆ ได้หรือไม่ สภาพแวดล้อมถือว่าเป็ นสิ่งจำเป็ นมากเพราะ
โดยทั่วๆ ไป เกษตรกรไม่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ง่ายๆ ดังนั้น
จะต้องเลือกพืชที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ สภาพแวดล้อม
ได้แก่ ดินและธาตุอาหารกับลมฟ้ าอากาศ ลักษณะของดินในด้าน
คุณสมบัติต่างๆ ทั้งทางฟิ สิกส์ เคมี และชีวภาพ เหมาะสมกับพืชที่จะปลูก
88
3. ผลผลิตที่ได้จากไม้ผลชนิดและพันธุ์นั้นๆ จะต้องมีคุณภาพดีเป็ น
ที่นิยมของผู้บริโภค สามารถแข่งขันกับผลไม้ชนิดอื่นและพันธุ์อื่นๆ ได้
7. เป็ นชนิดและพันธุ์ไม้ผลที่เมื่อนำมาปลูกแล้วใช้ต้นทุนการผลิตต่ำ
ระยเวลาคืนทุนสั้น อายุการให้ผลนานให้ผลผลิตสูง และทำกำไรได้มาก
12. ผลิตผลจากชนิดและพันธุ์ไม้ผลนี้ไม่ต้องการการปฏิบัติหลังการ
เก็บเกี่ยวมากนัก ทนทานต่อการขนส่ง และเน่าเสียช้า หรือมีระยะเวลา
การวางจำหน่ายนาน
ลักษณะที่คาดหวังดังกล่าวนี้อาจยากเกินไปเสียหน่อยถ้าต้องการ
คุณสมบัติครบทั้งหมด แต่หากคัดเลือกได้ชนิดและพันธุ์ที่มีคุณสมบัติคาด
หวังมากที่สุดก็จะเป็ นสิ่งที่ดี
ชนิดและพันธุ์ของต้นตอ
โดยทั่วไปต้นตออาจเป็ นไม้ผลต่างชนิดหรือต่างพันธุ์กับส่วนพันธุ์ดี
(scion) หรือเป็ นคนละชนิดและพันธุ์เดียวกันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับว่าผู้ปลูก
91
ต้องการคุณสมบัติใดจากต้นตอ อย่างไรก็ตามต้นตอที่ดีควรมีคุณสมบัติ
ดังนี้ (กวิศน์, 2545)
1. หยั่งรากได้ลึกและแน่นหนา
2. มีความสามารถในการดูดน้ำและธาตุอาหารพืชได้ดี
3. ทนทานต่อสภาวะวิกฤตในดิน เช่น ความแห้งแล้ง สภาพดินเค็ม
สภาพน้ำท่วมขัง เป็ นต้น
4. ช่วยควบคุมขนาดของยอดพันธุ์ดีให้มีการเจริญเติบโตที่เหมาะสม
5. ถ่ายทอดลักษณะที่ดีสู่ยอดพันธุ์ดีและไม่ถ่ายทอดลักษณะที่ไม่ดี
ให้กับยอดพันธุ์ดี
6. หาพันธุ์ได้ง่ายและเชื่อมติดกับส่วนยอดพันธุ์ดีได้อย่างสมบูรณ์
7. มีความต้านทานต่อโรคหรือแมลงศัตรูไม้ผลที่เกิดขึ้นในส่วนราก
หรือโคนต้น
การวางแผนผังสวนไม้ผล
การวางแผนผังสวนไม้ผลเป็ นสิ่งที่ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง
เป็ นพิเศษ เพราะหากวางแผนผิดตั้งแต่ระยะเริ่มต้นแล้วจะทำให้เจ้าของ
สวนไม่สามารถที่จะแก้ไขปั ญหาที่จะเกิดในอนาคตได้ สิ่งที่ต้องกระทำใน
การวางแผนผังสวนก็คือ ต้องรู้แผนที่ของภูมิประเทศของบริเวณสวน
ทั้งหมด นอกจากนั้นต้องคำนึงถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ท่อส่งน้ำของ
ระบบชลประทาน บ้านพักคนงาน สำนักงาน โรงเก็บของ แหล่งน้ำ
เป็ นต้น การวางแผนผังสวนต้องคำนึงถึงชนิดของไม้ผลด้วยว่ามีขนาดทรง
พุ่มเท่าใด จะต้องเตรียมกิ่งพันธุ์จำนวนเท่าไร ควรวางแผนการปลูกให้
92
การวางผังปลูกไม้ผลต้องการความเป็ นระเบียบและสะดวกในการ
เข้าปฏิบัติงาน โดยมีจุดมุ่งหมายหลักๆ ดังนี้
1. เพื่อให้มีจำนวนต้นมากที่สุด เพราะนั้นหมายถึงผลผลิตที่มี
ปริมาณมากขึ้น
2. เพื่อให้มีระยะห่างพอเหมาะแก่การเจริญเติบโตของต้นไม้ผล
3. เพื่อสะดวกต่อการเข้าปฏิบัติงานในแปลง เช่น การกำจัดวัชพืช
การพ่นยาป้ องกันโรคและแมลงศัตรูไม้ผล เป็ นต้น
การวางแผนผังสวนไม้ผลเป็ นการจัดเรียงต้นไม้ผลในแปลงปลูก ซึ่ง
จะมีความสัมพันธ์กับระยะปลูก ทิศทางของแถวปลูกและรูปร่างของแปลง
ปลูก โดยทั่วไปการวางแผนผังสวนไม้ผลในแปลงปลูกแบ่งออกเป็ น 5
แบบ ดังนี้
ระยะปลูกไม้ผล
วัตถุประสงค์ในการจัดระยะปลูกไม้ผล ประกอบด้วย
1. เพื่อให้ใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดหรือเพื่อให้มีจำนวน
ต้นไม้ผลต่อหน่วยพื้นที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็ นไปได้ โดยมีความสอดคล้องกับ
ปั จจัยอื่นๆ ของระบบสวนไม้ผล
95
2. เพื่อให้มีระยะห่างระหว่างต้นไม้ผลแต่ละต้นอย่างพอเหมาะอัน
จะมีผลให้ต้นไม้ผลแต่ละต้นเจริญเติบโตดี ให้ผลผลิตสูงสุด ผลิตผลมี
คุณภาพดี ให้ผลผลิตสม่ำเสมอในทุกๆ ปี มีความสมบูรณ์แข็งแรงและ
มีอายุยืน เนื่องจากได้รับปั จจัยต่างๆ เช่น แสง น้ำ ธาตุอาหาร อย่างเพียง
พอและเหมาะสม เพราะไม่ต้องแข่งขันแก่งแยงกัน
3. เพื่อให้สะดวกและมีประสิทธิภาพในการเข้าทำงาน ปฏิบัติบำรุง
รักษาต้นไม้ผล รวมทั้งการเก็บเกี่ยวและขนส่งผลิตผลออกจากแปลงปลูก
โดยใช้เครื่องจักรกลหรือการใช้ระบบดูแลรักษาต่างๆ เช่น ระบบการให้
น้ำ เป็ นต้น
4. เพื่อให้การปลูกไม้ผลในแปลงปลูกเป็ นไปอย่างมีระเบียบ
เรียบร้อยและสวยงามง่ายต่อการวางแผนปฏิบัติการและตรวจสอบ
การจัดระยะปลูกที่เหมาะสม
1. ให้ดูปริมาณน้ำฝน ในที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยควรปลูกห่างๆ
2. ชนิดของดินและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดินเหนียวควรปลูกถี่
เพราะรากไม่แผ่ ทรงพุ่มจะเล็ก ดินที่อุดมสมบูรณ์ดีควรปลูกถี่และใช้การ
ตัดแต่งกิ่งเข้าช่วย เพราะจะปลูกได้มากต้น ใช้ประโยชน์จากดินได้เต็มที่
แต่ถ้าดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรปลูกห่างๆ เพราะจะได้ปรับปรุงดิน
ให้ดีขึ้นได้
3. ต้นตอ ถ้าต้นตอเตี้ยหรือต้นตอแคระ จะต้องปลูกถี่ แต่ถ้าต้นตอ
ปกติก็ปลูกห่างตามชนิดและพันธุ์ของไม้ผลนั้นๆ
4. การตัดแต่งกิ่งและการจัดโครงสร้าง ถ้ามีการตัดแต่งกิ่งอย่างหนัก
และโครงสร้างแบบปิ รามิดก็อาจจะปลูกถี่ได้ แต่ถ้าตัดแต่งกิ่งน้อยและมี
โครงสร้างแบบแผ่ออกกว้าง เช่น แบบเปิ ดแกนกลาง หรือแบบแปรง ก็
ควรปลูกให้ห่าง
96
5. ระบบการให้น้ำ ถ้ามีแหล่งน้ำมากและสามารถให้น้ำได้มากก็
สามารถปลูกถี่ได้ แต่ถ้าประหยัดน้ำหรือแหล่งน้ำน้อยควรปลูกให้ห่าง (สุร
พล, 2550)
การคำนวณจำนวนต้นไม้ผลที่ปลูกแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยม
ผืนผ้า วิธีการคำนวณแบบนี้จะใช้สูตรง่ายๆ ดังนี้
พื้ นที่ปลูก
จำนวนต้น=
ระยะปลูก
ระยะปลูกในรูปแบบการปลูกแบบนี้จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ตัว
เช่น 4 x 4 เมตร ซึ่งตัวเลขตัวแรกหมายถึงระยะระหว่างต้น และตัวเลข
ตัวที่สองหมายถึงระยะระหว่างแถว หากตัวเลขทั้งสองเท่ากันหมายถึงการ
ปลูกแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส หากตัวแรกน้อยกว่าตัวหลังหมายถึงการปลูก
แบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า สำหรับแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส สามารถคำนวณได้ ดังนี้
ต้องการหาจำนวนต้นไม้ผลที่ปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ (กว้าง 40 เมตร
ยาว 40 เมตร) โดยใช้ระยะปลูก 4 x 4 เมตร จะปลูกไม้ประธานเต็มพื้นที่
ได้กี่ต้น
40 × 40
จำนวนต้นปลูกตามหลักการ =
4×4
= 100 ต้น
97
เอกสารอ้างอิง