Professional Documents
Culture Documents
อาณาจักรพืช
พืช?
ลักษณะของพืช
เซลล์เป็นชนิดยูแคริโอต
พืชเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์
มีผนังเซลล์เป็นสารเซลลูโลส
สามารถสังเคราะห์ได้ เนื่องจากมีคลอโรพลาสต์
(Chloroplast)
มีระยะเอ็มบริโอในวัฏจักรชีวิต
สาหร่ายไฟ
อาจกล่าวว่าถิ่นทีอ่ ยูอ่ าศัยของบรรพบุรุษของพืชน่าจะอาศัยอยู่ในน้า
หรืออาจเป็นพื้นทีท่ ใี่ กล้กับแหล่งน้า ดังนั้นพืชจึงมีการปรับตัวเพื่อดารงชีวติ บน
พื้นดินดังนี้
1. การปรับตัวด้านโครงสร้าง โดยมีการปรับโครงสร้างของรากที่สามารถดูดน้าได้
ดี มีเนื้อเยื่อลาเลียงที่ใช้ในการลาเลียงน้าแร่ธาตุและสารอาหาร และมีปากใบเป็น
ทางผ่านเข้าออกของแก๊สต่างๆ
2. การปรับตัวด้านองค์ประกอบทางเคมี โดยสังเคราะห์สารที่พืชสร้างขึ้นเป็นพิเศษ
เพื่อใช้ในการดารงชีวิต เช่น ลิกนิน เพื่อให้พืชมีความแข็งแรงและทนทานต่อ
สภาพแวดล้อม และคิวทินที่ปกคลุมผิวของลาต้นและใบเพื่อป้องกันการสูญเสียน้า
เป็นต้น
3. การปรับตัวด้านการสืบพันธุ์ โครงสร้างที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียจะมี
เนื้อเยื่อมาปกป้องเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งจะเจริญเป็นเอ็มบริโอและเป็นต้นสปอโรไฟต์
ต่อไป นอกจากนี้ละอองเรณูของพืชดอกมีการป้องกันการสูญเสียน้าและทนต่อ
ความแห้งแล้งได้ดีและเซลล์สืบพันธุ์ยังมีการปรับตัว โดยใช้น้าน้อยหรือไม่ต้อง
อาศัยน้าเป็นตัวกลางในการผสมพันธุ์
การ
จาแนก
พืช
1.กลุ่มพืชไม่มีท่อลาเลียง
(nonvascular plant)
กลุ่มพืชไม่มีท่อลาเลียง (nonvascular plant)
รวมถึงมีต้นอ่อน(Protonema) ในระยะแกมีโตไฟต์ที่คล้ายคลึงกับ
สาหร่ายสีเขียว พืชกลุ่มนี้ไม่มี ราก ใบ ที่แท้จริงแต่มีไรซอยด์(Rhizoid) ช่วยใน Rhizoid
การยึดเกาะกับวัสดุทเี่ จริญอยู,่ การดูดน้าและเกลือแร่ มีส่วนของ ฟิลลอยด์
(Phylloid)ที่ดคู ล้ายใบ และส่วนเคาลอยด์(Cauloid) ที่ดูคล้ายต้น
ลักษณะของกลุ่มพืชไม่มีท่อลาเลียง
พืชมีวงชีวิตแบบสลับพืชในกลุ่มนี้จะมีระยะแกมีโทไฟต์(Gametophyte)
Sporophyte
เด่นกว่าสปอรโรไฟต์ (Sporophyte) โดย สปอโรไฟต์ทมี่ ีขนาดเล็กมากนัน้ จะ
เจริญพัฒนาอยูบ่ นแกมีโทไฟต์ตลอดชีวิต
โดยเมื่อสปอร์ถูกปลดปล่อยออกจากแคปซูลแล้วต้นสปอโรไฟต์จะตายไป
ดังนั้น ต้นสปอโรไฟต์จึงมีอายุสั้นมาก
Gametophyte
กลุ่มพืชไม่มีท่อลาเลียง (nonvascular plant)
พืชในไฟลัมนี้นี้ รู้จักกันทั่วไปในชื่อของลิเวอร์เวิร์ต
(liverwort) ทั่วโลกมีประมาณ 9,000 ชนิดมักพบขึน้ ตาม
พื้นดิน ก้อนหิน
ลิเวอร์เวิร์ต(liverwort)
ต้นที่พบเป็นต้นในระยะแกมีโทไฟต์และมีอายุยนื
มีลักษณะเป็นแผ่นแบนหรือเป็นแบบทัลลัส ฮอร์นเวิรต์ ส่วนมาก
มักพบขึ้นตามพืน้ ดินหรือก้อนหิน มีบางสกุลที่พบขึน้ บนลาต้นพืช
อื่นลักษณะเด่นของต้นแกมีโทไฟต์ฮอร์นเวิรต์ คือ แต่ละเซลล์มี
คลอโรพลาสต์เพียง 1 อัน
ฮอร์นเวิรต์ (hornwort)
แคปซูล
ส่วนประกอบของต้นสปอโรไฟต์อาจแบ่งได้ 2 ส่วน
• ส่วนโคนที่ฝงั อยู่ในต้นแกมีโทไฟต์
• ส่วนแคปซูลที่มีรปู ร่างเป็นแท่งยาวและภายในจะสร้างสปอร์
แคปซูลนี้จะเริ่มแตกทีป่ ลายแยกเป็น 2 แฉกแล้วไล่ลงไป
จนถึงโคนแคปซูล โคน
3. ไฟลัมไบรโอไฟตา (Phylum Bryophyta)
พืชในไฟลัมนี้ รู้จักกันทั่วไปในชื่อของมอส
(moss) ทั่วโลกมีประมาณ 10,000 ชนิด
มอส (moss)
ต้นที่พบเป็นต้นในระยะแกมีโทไฟต์ ประกอบด้วยส่วน
คล้ายต้น มีส่วนคล้ายใบเรียงรอบส่วนคล้ายต้น บริเวณกลาง
แผ่นของส่วนคล้ายใบมีเซลล์ซอ้ นกันหลายชัน้ เซลล์ จึงดูคล้ายเส้น
กลางใบเรียก คอสตา (costa) ซึ่งอาจยาวตลอดแผ่นใบหรือ
อาจสั้นมากจนแทบสังเกตไม่เห็นเลยก็ได้ แกมีโทไฟต์เป็นช่วงทีม่ ี
อายุยนื
มอส (moss)
ส่วนสปอโรไฟต์ของมอสเจริญอยูบ่ นต้นแกมีโทต้นสปอโรไฟต์มอสแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
• ส่วนโคนที่ฝังอยูใ่ นต้นแกมีโทไฟต์
• ส่วนก้านซึ่งอาจสั้นหรือยาวขึน้ กับชนิดของมอส
• ส่วนแคปซูลหรืออับสปอร์ทสี่ ร้างสปอร์อยูภ่ ายใน
ตีนตุ๊กแก กนกนารี
ไอโซอีเทส (Isoetes)
กระเทียมน้า
2)ไฟลัมเทอโรไฟตา (Phylum Pterophyta)
ตัวอย่างของพืชกลุม่ นี้ ได้แก่ หวายทะนอย หญ้าถอดปล้อง และเฟิน
ดังนั้นเฟินที่พบทัว่ ไปคือต้น
สปอโรไฟต์ โดยใบแก่(frond) จะ
สร้าง sporangium ด้านใต้ของใบ
อับสปอร์เหล่านี้เมือ่ อยู่รวมกันเรียกว่า
ซอรัส(sorus) ใบเฟินในขณะทีย่ ัง
อ่อนอยู่ จะมีก้านม้วนเข้าด้านในแบบ
Circinate vernation (การเจริญไม่
เท่ากันเกิดจาก ผิวด้านล่างเจริญเร็ว
กว่าด้านบน) เมื่ออายุมากขึน้ ส่วนที่
ม้วนจะค่อยๆคลายออก
การใช้ประโยชน์จากพืชมีท่อลาเลียงที่ไร้เมล็ด
พืชกลุม่ นี้ได้แก่ แปะก๊วย (Ginkgo biloba ) หรือทีเ่ รียกว่า Maidenhair tree จัดเป็น
Living fossil อีกชนิดหนึ่งพบได้ตั้งแต่ยุค Permian ปัจจุบนั มีเพียงสปีชสี เ์ ดียว คือ
Ginkgo biloba Linn. มีชื่อสามัญว่าแปะก๊วย ใบเป็นใบเดีย่ วรูปพัดที่ยอดของปลายใบมัก
เว้าลึกเข้ามาในตัวแผ่นใบ ทาให้ดูเหมือนตัวแผ่นใบแยกเป็น 2 ส่วน (Bifid) เส้นใบเห็นชัด
ว่ามีการแยกสาขาแบบแยกเป็น 2 แฉก (Dichotomous) แต่จะไม่เป็นร่างแห ใบติดกับกิ่ง
แบบสลับ จัดเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่และผลัดใบ มีต้นแยกเพศกัน ต้นเพศผูส้ ร้างโคนเพศผู้เป็น
กลุ่มแบบหลวมๆบนปลายกิง่ สัน้ และต้นเพศเมียสร้างโคนเพศเมียซึ่งมีออวุลติดอยูบ่ นก้านชู
ออวูลบนกิ่ง ก้านละ 2 ออวุล แต่จะมีเพียง 1 ออวุล เท่านั้น ที่เจริญไปเป็นเมล็ด
ไฟลัมกิงโกไฟตา (Phylum Ginkgophyta)
3) ไฟลัมโคนิเฟอโรไฟตา (Phylum Coniferophyta)
สนสองใบ
สนสามใบ
Naked seed
4)ไฟลัมนีโทไฟตา (Phylum Gnetophyta)
เป็นพืชทีม่ ลี ักษณะแตกต่างจากพืชเมล็ดเปลือยกลุ่มอื่นคือพบเวสเซลในท่อลาเลียงน้า
และมีลักษณะคล้ายพืชดอกมากคือ มีกลีบดอก มีใบเลี้ยง 2 ใบ แต่เมล็ดยังไม่มเี ปลือกหุ้ม
มีสโตรบิลัสแยกเพศ ปัจจุบนั พบประมาณ 3 จีนัส แต่ที่พบในประเทศไทยมีเพียงจีนัสนีตมั
(Gnetum)คือ มะเมือ่ ย(Gnetum spp.) และผักเหลียง มักพบตามป่าชื้นเขตร้อน
ไฟลัมนีโทไฟตา (Phylum Gnetophyta)
มะเมือ่ ย ผักเหลียง
การใช้ประโยชน์จากพืชเมล็ดเปลือย
ซากดึกดาบรรพ์และภาพจาลองของพืชแฟมิลีอาคีฟรักเทซี
ความหลากหลายของพืชดอก
พืชดอกแบ่งออกเป็น2class คือ
1. Class monocetyledon คือพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
2. Class dicetyledon คือพืชใบเลี้ยงคู่
แต่ในปัจจุบนั ความรู้จากการศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยา กายวิภาค และ
สารชีวโมเลกุล ทาให้แนวคิดเกีย่ วกับสายวิวฒ ั นาการของพืชดอกมีการเปลี่ยนแปลง โดยพืช
ที่เคยจัดอยูใ่ นกลุม่ ของพืชใบเลี้ยงคู่ได้มกี ารแยกสายวิวฒ
ั นาการเป็นพืชดอกกลุ่มอื่นๆ เช่น
กลุ่มแอมโบเรลลา กลุ่มบัว กลุ่มจาปี จาปา เป็นต้น เนื่องจากยังคงมีลักษณะของบรรพบุรุษ
ที่เชื่อว่าน่าจะมีววิ ฒ
ั นาการเกิดขึน้ ในช่วงแรกก่อนจะแยกสายวิวฒั นาการเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
และพืชใบเลี้ยงคู่
ความหลากหลายของพืชดอก
การใช้ประโยชน์จากพืชดอก