Professional Documents
Culture Documents
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
1. บทนำ 6. กำรคำยน้ำของพืช
2. เซลล์และเนือ้ เยื่อพืช 7. กำรดูดน้ำของพืช
3. โครงสร้ำงและหน้ำที่ของรำก 8. กำรลำเลียงน้ำของพืช
4. โครงสร้ำงและหน้ำที่ของลำต้น 9. กำรดูดซึมและลำเลียงธำตุอำหำรของพืช
5. โครงสร้ำงและหน้ำที่ของใบ 10. กำรลำเลียงสำรอำหำรของพืช
1. บทนา
การจัดกลุ่มของสิ่งมีชีวิต
Kingdom
➢ Virus ไวรัสและไวรอยด์
➢ Monera Bacteria และ สำหร่ำยสีเขียวแกมน้ำเงิน (Cyanobacteria)
➢ Protista Protozoa, สำหร่ำยต่ำงๆ และรำเมือก
➢ Fungi เห็ด, รำ, yeast
➢ Plant พืชชนิดต่ำงๆ
➢ Animal สัตว์ชนิดต่ำงๆ
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 2
การจัดจาแนกหมวดหมู่ของ Kingdom plant
1. พืชไม่มีท่อลาเลียง (Non-vascular plants) : Gametophyte เด่น
− Phylum Hepatophyta ลิเวอร์เวิร์ต (liverwort)
− Phylum Anthocerophyta ฮอร์นเวิร์ต (hornwort)
− Phylum Bryophyta Moss, Sphagnum moss (ข้าวตอกฤๅษี)
2. พืชที่มีท่อลาเลียง (Vascular plant) : Sporophyte เด่น
2.1 พืชไม่มีเมล็ด (Seedless vascular plants)
− Phylum Lycophyta ตีนตุ๊กแก, สร้อยสุกรม, หางสิงห์
− Phylum Pterophyta หวายตะนอย, หญ้าถอดปล้อง, เฟิร์นต่างๆ
2.2 พืชมีเมล็ด (Seed vascular plants)
➢ พืชเมล็ดเปลือย (Gymnosperm) = ไม่มีผนังรังไข่ (ovary wall) หุ้มเมล็ด
− Phylum Coniferophyta สน 2 ใบ, สน 3 ใบ, สนฉัตร, สนหางสิงห์
− Phylum Cycadophyta ปรง, ปรงป่า, มะพร้าวเต่า, ปรงญี่ปุ่น
− Phylum Ginkophyta แป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba)
− Phylum Gnetophyta มะเมื่อย
➢ พืชเมล็ดไม่เปลือย (Angiosperms) = มีผนังรังไข่ (ovary wall) หุ้มเมล็ด
− Phylum Anthophyta (พืชดอก) = จอก, แหน, แหนเป็ด, ไข่น้า (ผ้า), สนทะเล, สนปฎิพัทธ์,
สาหร่ายข้าวเหนียว, สาหร่ายหางกระรอก
o Class Dicotyledonae พืชใบเลียงคู่
o Class Monocotyledonae พืชใบเลียงเดี่ยว
วงจรชีวิตแบบสลับของพืชดอก
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 4
ตารางแสดงลักษณะต่าง ๆ ในอาณาจักรพืช
Phylum วงจร ท่อ ราก เมล็ด รัง ตัวอย่าง
ชีวิตเด่น ลาเลียง ไข่
Hepatophyta ลิเวอร์เวิร์ต (liverwort)
Anthocerophyta ฮอร์นเวิร์ต (hornwort)
Bryophyta Moss, Sphagnum moss
(ข้าวตอกฤๅษี)
Lycophyta ตีนตุ๊กแก, สร้อยสุกรม, หางสิงห์
Pterophyta หวายตะนอย, หญ้าถอดปล้อง,
เฟิร์นต่างๆ
Coniferophyta สน 2 ใบ, สน 3 ใบ, สนฉัตร,
สนหางสิงห์
Cycadophyta ปรง, ปรงป่า, มะพร้าวเต่า, ปรงญี่ปุ่น
Ginkophyta แป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba)
Gnetophyta มะเมื่อย
Anthophyta พืชดอกต่ำงๆ,จอก, แหน, แหนเป็ด,
ไข่น้า (ผ้า), สนทะเล, สนปฎิพัทธ์,
สาหร่ายข้าวเหนียว,
สาหร่ายหางกระรอก
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 5
2. เซลล์และเนื้อเยื่อพืช
Plant cell
− เป็น Eukaryotic cell
− Plant cell
o Membrane = ผนังเซลล์ (cell wall) + เยื่อหุม้ เซลล์ (cell membrane/plasma membrane)
o Cytoplasm
▪ พบ Organelle ทั่วไป เช่น Chloroplast
▪ ไม่พบ Organelle ………………………………………….....................……
o Nucleus = (Nucleus + Cytoplasm =……………...........…………………..)
− Cell wall
o เป็นส่วนนอกสุดของเซลล์ พบใน Plant, Fungi, Protista, Monera (ไม่พบในเซลล์สัตว์)
o ทำหน้ำที่เสริมสร้ำงควำมแข็งแรงให้แก่เซลล์
o Cell wall ประกอบด้วยสำรต่ำงๆ เป็นองค์ประกอบ
▪ Fungus cell wall เป็นพวก chitin
▪ Diatom cell wall เป็นพวก silica
▪ Algae cell wall เป็นพวก cellulose
▪ Bacteria cell wall เป็นพวก peptidoglycan (ยกเว้น mycoplasma ไม่มี cell wall)
Intercalary meristem
− พบบริเวณเหนือข้อ (node) ของพืชใบเลี้ยงเดีย่ วเท่านั้น เช่น ไผ่, อ้อย, ข้ำว, ข้ำวโพด, และหญ้ำต่ำงๆ
− ช่วยให้ปล้อง (internode) ของพืชยืดยำวออก จัดเป็นการเจริญขั้นแรก (Primary growth)
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 9
Lateral meristem
− เป็นเนื้อเยื่อที่ที่แบ่งตัวทำให้พืชมีการเพิ่มความกว้าง หรือเส้นผ่านศูนย์กลาง
− จัดเป็นการเจริญขั้นที่สอง (Secondary growth)
− พบใน รำกและลำต้น ของ
o พืชใบเลี้ยงคู่ทุกชนิด (Dicotyledonae)
o พืชเมล็ดเปลือย (Gymnosperm)
o พืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น หมากผูห้ มากเมีย, เข็มกุดั่น, ป่านศรนารายณ์ และจันทน์ผา
− ได้แก่ แคมเบียม (Cambium) แบ่งเป็น
o Vascular cambium หน้ำที่
1. แบ่งเซลล์เพื่อเจริญเป็น
▪ Secondary phloem (ด้ำนนอก) เป็นส่วนของเปลือกไม้ (bark)
▪ Secondary xylem (ด้ำนใน) เป็นส่วนของเนือ้ ไม้ (wood)
2. ใช้แบ่งเนือ้ ไม้ (wood) ออกจำกเปลือกไม้ (bark)
o Cork cambium / Phellogen (พบบริเวณเปลือกไม้ (Bark) ในชัน Periderm) หน้ำที่
1. แบ่งเซลล์เพื่อเจริญเป็น
▪ Cork/Phellem (ด้ำนนอก)
▪ Phelloderm (ด้ำนใน)
การเปรียบเทียบระหว่างเนื้อเยื่อเจริญและการเจริญในพืชต่างๆ
การเปรียบเทียบ Apical meristem Intercalary meristem Lateral meristem
รูปแบบกำรเจริญเติบโต
พืชใบเลีย้ งเดี่ยว
พืชใบเลี้ยงคู่
พืชใบเลีย้ งเดี่ยว
(หมำกผู้หมำกเมีย
เข็มกุดั่น, ป่ำนศรนำรำยณ์,
และจันทน์ผำ)
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 11
เนื้อเยื่อถาวร (Permanent tissue)
− เป็นเนื้อเยื่อที่เจริญเต็มที่ และหยุดกำรแบ่งเซลล์แบบ mitosis
− เป็นเนื้อเยื่อที่เปลี่ยนแปลงรูปร่ำง และส่วนประกอบของเซลล์ มำจำก เนือ้ เยื่อเจริญ (meristem)
เพื่อทำหน้ำที่เฉพำะอย่ำง
− แบ่งเป็น 2 ประเภท
o เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว (Simple permanent tissue) ประกอบด้วยเซลล์ชนิดเดียวกัน
o เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน (Compound permanent tissue) ประกอบด้วยเซลล์ > 1 ชนิด
Epidermis (เนื้อเยื่อผิว)
o เป็นเนื้อที่อยูด่ ำ้ นนอกสุดทัง้ ในรำก ลำต้น และใบ (รำกและลำต้นที่มีอำยุน้อยกว่ำ 1 ปี)
o ประกอบด้วยเซลล์ที่มีชวี ิตเรียงชิดติดกันและเรียงตัวกันเพียงชั้นเดียว
o ผนังเซลล์เป็น Primary cell wall
o ผนังเซลล์บำง อำจมีพวก cuticle เคลือบอยู่ปอ้ งกันกำรระเหยของน้ำ (ยกเว้นราก)
o ถ้ำเปรียบเทียบกับคน คือ…………………………………………………
o ไม่มี Chloroplast
o เปลี่ยนแปลงเป็น
▪ ขนราก (root hair cell) ช่วยเพิ่มพืน้ ที่ผิวในกำรดูดน้ำ
▪ เซลล์คุม (guard cell)
− มีรูปร่ำงคล้ำยเม็ดถั่วแดงมำประกบกัน แล้วมีรูตรงกลำง เรียกว่ำ ปำกใบ (stoma)
− ทำหน้ำที่ควบคุมกำรปิด-เปิดปำกใบ
− ภายในมี chloroplast ผนังด้านในหนากว่าด้านนอก (ผนังเซลล์หนาไม่สม่้าเสมอกัน)
▪ ขน (trichome) หรือ ต่อม (gland)
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 12
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 13
Cork/Phellem
o เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของรากและลาต้นในพืชใบเลี้ยงคู่ ที่มีอายุมากกว่า 1 ปี
o เป็นเซลล์ที่ตายแล้ว ซึ่งองค์ประกอบเซลล์เหลือเฉพำะ cell wall และเจริญถึง secondary cell
wall
o เกิดจำกกำรแบ่งเซลล์แบบ mitosis ของ cork cambium/phellogen
▪ ด้านนอกจะเปลี่ยนเป็น Cork/Phellem เมื่อเจริญเต็มที่ protoplasm และ cell membrane
จะสลำย เหลือเฉพำะผนังเซลล์จัดเป็นเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว
▪ ด้านในเปลี่ยนเป็น Phelloderm เป็นเซลล์ที่มชี ีวิต ผนังเซลล์เป็น cellulose ไม่ซูเบอรินใน
พืชบำงชนิดจะมีกำรเก็บแป้งและสังเครำะห์แสงได้
o Cork, cork cambium และ phelloderm รวมกันเรียกว่ำ……………………………………….………………………..
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 14
❖เนื้อเยือ่ พื้น (Ground tissue)
ประกอบด้วย Parenchyma, Collenchyma, Sclerenchyma, Endodermis
Parenchyma
o เป็นเนือ้ เยื่อพืน้ ที่พบมากที่สดุ ในพืช และมีกระบวนกำร Metabolism เกิดขึ้นมากสุด
o เป็นเซลล์ที่มีชีวิต โดยมีรูปร่ำงเป็นทรงกระบอกกลม และมีหน้ำตัดหลำยเหลี่ยม
o มี vacuole ขนำดใหญ่ ผนังเซลล์บำง และมีช่องว่ำงระหว่ำงเซลล์ ซึ่งจัดเป็น Primary cell wall
o หน้ำที่
▪ สะสมน้ำและอำหำรจำพวกแป้ง โปรตีน และไขมัน เรียกว่ำ reserved parenchyma
▪ สะสม chloroplast เรียกว่ำ chlorenchyma ทำให้สำมำรถสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลง
เป็นชั้น Mesophyll (เนื้อใบ) แบ่งเป็น 2 ชั้น
− Palisade mesophyll
− Spongy mesophyll
▪ ในพืชบำงชนิด จะเจริญรอบท่อมัดลำเลียง (vascular bundle) เรียกว่ำ Bundle sheath cell
▪ เปลี่ยนเป็นกลุ่มเซลล์กระเปำะ (pulvinus) ที่พบบริเวณโคนก้ำนใบ พบในพืชตระกูลถั่ว เช่น แค
กระถิน ไมยรำพ ทำหน้ำที่หุบ-กำงใบในรอบวัน
▪ เปลี่ยนเป็นชั้น pericycle ในรำก ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อเจริญทาให้เกิดรากแขนง
▪ ในพืชบำงชนิด จะเปลี่ยนเป็นต่อมสร้างสารบางชนิด เช่น น้ำมันหอมระเหย น้ำยำง
▪ ในก้ำนใบและเส้นกลำงใบบำงชนิด เช่น พุทธรักษำ กล้วย จะเปลี่ยนเป็น Aerenchyma (ช่อง
อำกำศของพืชบำงชนิดซึ่งช่วยให้กำรแลกเปลี่ยนก๊ำซและช่วยในกำรลอยน้ำ)
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 15
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 16
Collenchyma
o คล้ำย Parenchyma แต่มีขนำดเล็กกว่ำ ซึ่ง ไม่พบในราก
o ผนังเซลล์หนำไม่สม่ำเสมอ ซึ่งบริเวณมุมของเซลล์จะมีผนังหนำกว่ำบริเวณอื่น และมันวำว
o เป็นเซลล์ที่มีชีวิต จัดเป็น Primary cell wall และมี vacuole ขนำดใหญ่
o มักอยู่ใต้ชั้น epidermis ช่วยเพิ่มควำมแข็งแรงให้กับลำต้น และเพิ่มควำมยืดหยุน่ พบได้ตำมส่วนที่
ต้องกำรควำมเหนียว เช่น ที่กำ้ นใบ และบริเวณส่วนมุม ขอบหรือเหลี่ยมในต้นพืช
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 17
Sclerenchyma
Epidermis > Cortex > Endodermis > Pericycle > Vascular bundle > Pith
Stele =
………………………............................................…………………
…..
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 28
การจัดเรียงตัวของมัดท่อลาเลียง (vascular bundle) ในรากพืช
o Xylem จะมีลักษณะเป็นแฉกอยูต่ รงกลำง
▪ พืชใบเลีย้ งคู่ จะมีแฉก 2-5 แฉก (diarch, triarch, tetrarch, pentarch)
▪ พืชใบเลีย้ งเดี่ยว จะมีแฉกมำกกว่ำ 5 แฉก (polyarch) ตรงกลำงเป็น pith (เนือ้ เยื่อ parenchyma)
o Phloem จะอยู่ระหว่ำงแฉกของ xylem
o Stele ของพืชใบเลีย้ งคู่.............................................พืชใบเลีย้ งเดี่ยว................................................
เปรียบเทียบระหว่างรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวกับใบเลี้ยงคู่
ลักษณะ รากใบเลี้ยงคู่ รากใบเลี้ยงเดี่ยว
จำนวนแฉกของ xylem
Vascular cambium
Endodermis
ตำแหน่งตรงกลำงรำก
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 29
3. การเจริญเติบโตของราก
o กำรเจริญเติบโตขั้นแรก (Primary growth : แกน y ) ในบริเวณ apical meristem แบ่งเป็น 3 บริเวณ
▪ Protoderm (นอกสุด) เจริญเป็น…………………………………………………...................................………….
▪ Ground meristem (กลำง) เจริญเป็น…………………………………………………………….............................
▪ Procambium (ในสุด) เจริญเป็น……………………………………………………………....................................
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 30
o กำรเจริญเติบโตขั้นที่สอง (Secondary growth : แกน x, z) : พบในรากใบเลี้ยงคู่
▪ ทำให้เส้นผ่ำนศูนย์ของรำกขยำยให้ใหญ่ขนึ้
▪ แบ่งเป็น
− vascular cambium แบ่งเซลล์แบบ mitosis ทำให้เกิด....................................................
− Cork cambium แบ่งเซลล์แบบ mitosis ทำให้เกิด.........................................................
Root modification
ชนิดราก หน้าที่ ตัวอย่าง
Parasitic root (haustoria) รำกชอนไช ทะลุเนื้อเยื่อพืชอื่น กำฝำก ฝอยทอง
เพื่อแย่งอำหำร
Photosynthetic รำกสังเครำะห์แสงได้ กล้วยไม้ ไทร โกงกำง
Pneumatophore/Aerating มีส่วนของรำกโผล่ขึ้นมำเหนือพืน้ น้ำ โกงกำง แสม ลำพู
root/Breathing root (รากหายใจ) เพื่อใช้ในกำรหำยใจ
Aerial root/Brace root/Stilt root/ มีลักษณะที่รำกเจริญจำกโคนต้น แล้ว ข้ำวโพด โกงกำง แสม ลำพู ไทร
Prop root (รากอากาศ/รากค้า เจริญลงสู่ดิน (ไม่แทงเข้ำไปในดิน) ซึ่ง เตย กล้วยไม้ พลูด่ำง
จุน) ช่วยดูดซับควำมชืน้ ในอำกำศได้
Buttress root รำกที่เกิดจำกโคนลำต้น เป็นแผ่นสัน ต้นงิว้ ตะแบก กระบำก
(รากพูพอน) บริเวณโคนต้น
Storage root สะสมอำหำร มันแกว มันสำปะหลัง มันเทศ
กระชำย แครอท หัวไชเท้ำ
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 32
4. การเจริญเติบโตของลาต้น
o การเจริญเติบโตขั้นแรก (Primary growth : แกน y) มีลักษณะคล้ำยกับในรำก
➢ Apical meristem ที่ปลำยยอด แบ่งออกเป็น 3 บริเวณ
− Protoderm เจริญเป็น………………………................................…………………………...........………
− Ground meristem เจริญเป็น…………………………….………....................................……………….
− Procambium เจริญเป็น……………………………………………………….........................................…
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 37
o การเจริญเติบโตขั้นที่สอง (Secondary growth : แกน x, z)
− เป็นผลจาก Cambium ซึ่งพบเฉพาะพืชใบเลี้ยงคู่เท่านั้น (ใบเลียงเดี่ยวไม่มี cambium)
− ยกเว้น พืชใบเลี้ยงเดี่ยวบำงชนิด เช่น...........................................................................................
− เป็นกำรเจริญเติบโตที่ทำให้ลำต้นมีกำรขยำยขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำง
เพิ่มเติม...
− กำรเจริญของ secondary xylem จะมีไม่เท่ำกัน ขึน้ อยู่กับปริมาณน้า
o Summer wood / Latewood ปริมำณน้ำน้อย ทำให้เกิดกำรแบ่งเซลล์น้อย วงจึงแคบ สีเข้ม
o Spring wood / Earlywood ปริมำรน้ำมำก ทำให้เกิดกำรแบ่งเซลล์มำก วงจึงกว้าง สีจาง
− Summer wood + Spring wood = 1 ปี เรียกว่ำ วงปี (Annual ring) ซึ่งพบในพืชใบเลีย้ งคู่เท่ำนัน้
− พืชในป่ำดิบชื้นเขตร้อน ที่มีฝนตลอดปีเท่ำ ๆ กัน จะไม่เห็นวงปี เนื่องจำกมีกำรแบ่งได้เท่ำ ๆ กัน
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 38
5. ช่องอากาศ/รอยแตก (Lenticel)
o พบในลำต้นเมื่อมีอำยุมำก ในชั้น cork ซึ่งจะมีรอยแตกที่ผวิ ลำต้น
o รอยแตกนีเ้ กิดจำก complementary cell ซึ่งเป็นเซลล์คล้ำย
parenchyma สำมำรถอุ้มน้ำได้ดี ทำให้บริเวณนั้นบวม และแตก
ออกเป็นช่องอำกำศ
o Lenticels พบเฉพาะพืชใบเลี้ยงคู่เท่านั้น
o สามารถคายน้าและแลกเปลี่ยนแก๊สได้บ้าง
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 43
6. ชนิดของลาต้น
ประเภทลาต้น ลักษณะ พบใน
Stolon เป็นลำต้นที่เจริญในแนวรำบ บัวบก จอก ผักแว่น ผักตบชวำ สตรอเบอรี่
สำมำรถใช้ขยำยพันธุ์ได้
Climbing stem ลำต้นที่เลื้อยพันรอบวัตถุ ฟักทอง พลู พลูด่ำง ตำลึง บวบ เสำวรส
Thorny stem ลำต้นที่เจริญเป็นหนำม ส้ม เฟื่องฟ้า กุหลาบ
Cladode ลำต้นคล้ำยใบ กระบองเพชร แก้วมังกร
Stem tendril ลำต้นมือเกำะ ตำลึง องุ่น แตงกวำ
1. Tuber กลม รี มีตำโดยรอบ สะสม หัวมันฝรั่ง หัวมันมือเสือ
แป้งจำนวนมำก
2. Corm กลมสั้น อวบ มีข้อปล้องชัดเจน เผือก แห้ว ซ่อนกลิ่นฝรั่ง (ลิลลี่)
Subterranean stem มีตำตำมข้อ
3. Rhizome เป็นเหง้ำ มีข้อปล้องและใบ ขิง ข่า ขมิ้น พุทธรักษา หญ้าคา ไพล
(ล้าต้นใต้ดิน)
ที่ข้อ และมีตำ
4. Bulb ลำต้นอำจโผล่พ้นดินบ้ำง ปล้อง หัวหอม กระเทียม พลับพลึง
สั้น มีรำกฝอยมำก
5. Root stock ลำต้นตั้งตรง ส่วนที่อยู่ ต้นกล้วย
เหนือพืน้ ดิน มีสเี ขียว คือ กำบใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 44
เปรียบเทียบระหว่างรากและลาต้น
ข้อเปรียบเทียบ ราก ลาต้น
Epidermis
Cortex
Vascular bundle
Endodermis
Pericycle
Pith
จุดกาเนิดแขนง
A =…………………………………
B =…………………………..…….
C =………………….……………..
D =……………………………….
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 46
5. โครงสร้างและหน้าที่ของใบ
1. ส่วนประกอบและชนิดของใบ
➢ ใช้ในกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสงมำกที่สุด เนื่องจำกมีรงควัตถุ (pigment) หนำแน่น
➢ ส่วนประกอบภำยนอกของใบ
o แผ่นใบ (blade) มีปลำยใบ (apex/tip), ขอบใบ (margin), เส้นใบ (vein) = midrib,
branch veins, vein network (ภายในมี vascular bundle)
o กำรจัดเรียงของเส้นใบ
− Parallel venation เป็นจัดเรียงแบบขนาน พบในพืชใบเลียงเดี่ยว
− Reticulate venation เป็นจัดเรียงแบบร่างแห พบในพืชใบเลียงคู่
o ก้ำนใบ (petiole) เป็นส่วนที่ต่อกับกิ่งและลำต้น
o หูใบ (stipule) อยู่บริเวณโคนก้ำนใบ ทำหน้ำที่ป้องกันอันตรำยให้กับตำอ่อน
พบทั่วไปในพืชใบเลี้ยงคู่
o ตำ (bud) พบตำมซอกกิ่งของใบ (ใช้เป็นข้อสังเกตชนิดของใบ)
➢ ใบมีลักษณะแบนเพื่อเพิ่มพืน้ ที่ผิวในกำรรับแสง แบ่งเป็น 2 ด้ำน
o ด้ำนหลังใบ (Dorsal/Upper epidermis) มักมี Cutin เคลือบเพื่อลดกำรสูญเสียน้ำ
o ด้ำนท้องใบ (Ventral/Lower epidermis)
➢ พืชใบเลีย้ งเดี่ยว มักจะมีลิ้นใบ/ลิ้นกาบ (ligule) เช่น ข้ำว หญ้ำ
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 47
➢ ประเภทของใบ
o ใบเดี่ยว (simple leaf) หนึ่งก้ำนใบเดียว เช่น มะม่วง ขนุน มะละกอ มันสำปะหลัง
o ใบประกอบ (compound leaf) หนึ่งก้ำนมีหลำยใบ เช่น มะขำม จำมจุรี มะพร้ำว หำงนกยูงมะรุม
➢ ชนิดของใบ
o ใบแท้ (foliage leaf) เป็นใบพืชทั่วๆ ไป ทำหน้ำที่สังเครำะห์ด้วยแสง แลกเปลี่ยนแก๊สและคำยน้ำ
o ใบเกล็ด (scale leaf) ลักษณะเป็นเกล็ด บำงชนิดอำจมีขนำดใหญ่ ทำหน้ำที่เก็บน้ำและอำหำร
เช่น กลีบหอม กลีบกระเทียม
o ใบดอก (floral leaf) เป็นใบที่คล้ำยกลีบดอก สีสันสวยงำม เรียกว่ำ ใบประดับ (bract) เช่น
หน้ำวัว เฟื่องฟ้ำ
o ใบเลีย้ ง (cotyledon) เป็นใบที่อยูใ่ นเมล็ด มีขนำดใหญ่และหนำเพื่อสะสมอำหำร โดยเฉพำะพืช
ตระกูลถั่ว ซึ่งในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมี 1 ใบ และพืชใบเลีย้ งคู่มี 2 ใบ
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 48
➢ องค์ประกอบภำยในของใบ
1) Epidermis = Upper epidermis + Lower epidermis
− อยู่ชั้นนอกสุด ซึ่งเรียงตัวเป็นชั้นเดียว ไม่มี chloroplast ยกเว้น เซลล์คุม (guard cell)
− มี cuticle มำเคลือบเพื่อป้องกันกำรคำยน้ำ โดยเฉพำะด้ำนหลังใบ (Upper epidermis)
2) Mesophyll (เนื้อใบ) เป็นเนื้อเยื่อประเภท.........................................เรียกว่ำ....................................
− Palisade mesophyll (palisade = รั้วบ้ำน) เป็นที่เกิดการสังเคราะห์ดว้ ยแสงมากและดี
− Spongy mesophyll (spongy = ฟองน้ำ) เป็นที่อยูก่ ันอย่ำงหลวมๆ เหมำะแก่กำรแลกเปลี่ยนก๊ำซ
− กำรเรียงตัวของ mesophyll ในพืชแต่ละชนิดแตกต่ำงกัน
▪ พืช C3 จะมีกำรเรียงตัวของ palisade อยู่ด้ำนหลังใบ และ spongy อยู่ด้ำนท้องใบ
▪ พืช C4 จะเรียงตัวกันแน่น ไม่สำมำรถแยกได้ว่ำส่วนใดเป็น palisade หรือ spongy
3) Bundle sheath cell (เป็นกลุม่ เซลล์ที่อยู่รอบท่อลำเลียง)
− พืช C3 พบหรือไม่พบก็ได้ แต่ถ้ำพบจะไม่มีการสะสม Chloroplast
− พืช C4 พบ และมีกำรสะสม Chloroplast
4) ตัวอย่างพืช
− พืช C3 พืชทั่วๆ ไป เช่น ข้ำว, ข้ำวบำร์เลย์, ข้ำวสำลี, ข้ำวโอ๊ต
− พืช C4 อ้อย, ข้ำวฟ่ำง, ข้ำวโพด, หญ้ำคำ, หญ้ำขน, หญ้ำแห้วหมู, หญ้ำแพรก,
หญ้ำขจรจบ, ลูกเดือย, ผักโขมจีน, บำนไม่รู้โรย
5) Vascular bundle (ท่อลาเลียง) จะอยู่บริเวณเส้นใบ (vein)
− จะมี phloem ใช้ในกำรลำเลียงอำหำร และ xylem ใช้ในกำรลำเลียงน้ำและแร่ธำตุ
− Xylem อยู่ด้ำนหลังใบ และ Phloem อยู่ด้ำนท้องใบ
− พืชใบเลีย้ งเดี่ยว จะขนำนกันทั้งหมด
− พืชใบเลีย้ งคู่ จะมีกำรกระจำยตัวไม่ขนำนกัน
6) Guard cell (เซลล์คุม)
− ตำแน่งของปำกใบที่พบในพืชแต่ละชนิด
o พืชทั่วไป ปำกใบมักอยู่ด้ำน ventral เป็นส่วนใหญ่
o พืชปริ่มน้ำ เช่น บัว ปำกใบจะอยู่ด้ำน dorsal เพียงด้ำนเดียว
o พืชจมน้ำ เช่น สำหร่ำยหำงกระรอก สำหร่ำยข้ำวเหนียว จะไม่มีปำกใบ
− ระดับของปำกใบที่พบในชั้น epidermis ของพืช
o อยู่ในระดับเดียวกับเซลล์อื่น (ordinary stomata) พบใน....................................................
o สูงกว่ำเซลล์อื่น (raised stomata) พบใน....................................................
o ต่ำกว่ำเซลล์อื่น (sunken stomata) พบใน……………………………….……………………
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 49
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 50
เคล็ดลับยอดวิชา...
ต้น : หัวมันมือเสือ มันฝรั่ง เผือก แห้ว ขิง ขา ขมิ้น
รำก : มันแกว มันสาปะหลัง มันเทศ กระชาย แครอท หัวไชเท้า
ใบ : หอมหัวใหญ่สว่ นที่กนิ
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 53
เพิ่มเติม....การควั่นกิ่ง
− กำรควั่นกิ่งพืชเป็นกำรลอกส่วนเปลือกและเนือ้ เยื่อเจริญออก (Vascular cambium)
− จำกนั้นพอกด้วยดินและกำบมะพร้ำว รอจนกระทั่งมีรำกงอกออกมำ และค่อยตัดไปปลูกที่ใหม่
− ข้อดี จะได้พันธุ์เดิม ข้อเสีย ต้นไม้จะไม่มีรำกแก้ว ทำให้กำรยึดกับดินไม่แข็งแรง
− หำกไม่มีกำรพอกดิน จะทำให้สำรอำหำรเคลื่อนมำสะสมที่เหนือรอยควั่นทำให้สว่ นของเปลือกบริเวณ
นั้นพองขยำยออก เมื่อเทียบกับสภำพเดิมหลังกำรควั่น
รากที่พบเจริญมาจากเนื้อเยื่อ......................................................................
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 54
ทดสอบความเข้าใจ...
A =…………………………….…… B =………………………………....…….
C =………………………………….. D =…………………………………..……
E =………………………….………. F =…………………………………………
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 55
แบบฝึกหัด
เรื่อง โครงสร้างของพืชดอก
ตอนที่ 1
1. bundle sheath cell, spongy mesophyll cell และ palisade mesophyll cell ล้วนเป็นเนือ้ เยื่อชนิด
parenchyma (True/False)
2. endodermis เป็นชั้นนอกสุดของ stele มีกำรพอกสำรเป็นแถบหนำเรียก casparian strip (True/False)
3. เนือ้ ฝรั่ง กะลำมะพร้ำว และเปลือกถั่วลิสง ต่ำงก็ประกอบด้วยเนื้อเยื่อถำวรเชิงเดี่ยวชนิดเดียวกัน
(True/False)
4. chloroplast สำมำรถพบได้ทั้งที่รำก ลำต้น ใบ ของพืช (True/False)
5. สี safranin ที่ใช้ในห้องปฏิบัติกำรจะทำให้เห็นนิวเคลียสติดสีแดงชัดเจน (True/False)
6. ทั้งกระพีแ้ ละแก่นของต้นจำมจุรี ต่ำงก็เป็นเนือ้ เยื่อลำเลียงน้ำทั้งหมด (True/False)
7. เนือ้ ไม้ เปลือกไม้ และวงปี ล้วนเป็นผลจำกกำรเจริญขั้นที่สอง (secondary growth) (True/False)
8. กำรเจริญขั้นที่หนึ่งเป็นผลจำก apical meristem ส่วนกำรเจริญขั้นที่สองเป็นผลจำก lateral meristem
(True/False)
9. หมวกรำก (root cap) คือส่วนปลำยสุดของรำก ช่วยแบ่งเซลล์และสร้ำงเมือกมำหล่อเลี้ยงกำรชอนไชของ
รำกพืช (True/False)
10. lenticel ที่พบที่ cork คือโครงสร้ำงแลกเปลี่ยนแก๊สอย่ำงหนึ่งของพืช (True/False)
11. ลำต้นพืชใบเลีย้ งคู่ที่อำยุมำก จะไม่พบ primary phloem ที่เปลือกไม้ (True/False)
12. rhizoid ของมอส หวำยทะนอย มีโครงสร้ำงและหน้ำที่คล้ำยกับรำกแขนงและรำกฝอยในพืชชั้นสูง
(True/False)
13. ด้ำนบนของใบไม้โดยทั่วไปมีสีเขียวเข้มกว่ำด้ำนล่ำง เพรำะเซลล์ผิวมีคลอโรพลำสต์มำกกว่ำ
(True/False)
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 56
ตอนที่ 2
1. ลักษณะในข้อใดไม่ใช่ลักษณะสาคัญของเซลล์ในบริเวณปลายยอด
ก. ผนังเซลล์บำง ข. รูปร่ำงกลม
ค. เห็นแวคิวโอลชัดเจน ง. นิวเคลียสมีขนำดใหญ่
1. ก ข 2. ข ค 3. ค ง
4. ก ง 5. ก ข ค ง
3. สารในข้อใดที่ไม่พบในผนังเซลล์ของเซลล์พืชโดยทั่วไป
ก.เพกติน ข. ซูเบอริน
ค. คิวติน ง. ลิกนิน
1. ก 2. ข 3. ข และ ค
4. ข, ค และ ง 5. ก, ข, ค และ ง
4. สารประกอบในข้อใดเมื่อย้อมด้วยสีซาฟรานินแล้วติดสีแดงมากที่สุด
ก. คิวติน ข. เซลลูโลส
ค. ซูเบอร์ลิน ง. ลิกนิน
1. ก ข 2. ข ค 3. ค ง
4. ก ง 5. ก ข ค ง
5. เซลล์ในข้อใดต่อไปนี้จะตาย เมื่อโตเต็มที่
1. เซลล์ประกบ (companion cell) 2. เซลล์คุม (guard cell)
3. เซลล์ท่อลำเลียงอำหำร (sieve tube members) 4. เซลล์เวสเซล (vessel members)
5. เซลล์คุม (guard cell)
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 57
6. เซลล์ในข้อใดมีการสลายอาหารระดับเซลล์ต่าที่สุด
1. เทรคีด ซีพทิวป์ ซินเนอร์จดิ
2. เวสเซล ไฟเบอร์ เซลล์คอร์ก
3. เซลล์คุม เซลล์ผิว เซลล์คอมพำเนียน
4. วำสคิวลำร์แคมเบียม เซลล์เนือ้ เยื่อเจริญ คอร์กแคมเบียม
5. พำเรนไคมำ เพอริไซเคิล วำสคิวลำร์แคมเบียม
7. ข้อใดทาให้ลาต้นยาวขึ้น
ก. เนือ้ เยื่อเจริญส่วนปลำย ข. เนือ้ เยื่อเจริญเหนือข้อ
ค. คอร์กแคมเบียม ง. วำสคิวลำร์แคมเบียม
1. ก และ ข 2. ก และ ค 3. ข และ ค
4. ค และ ง 5. ก และ ง
8. ข้อใดทาให้ลาต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มขึ้น
ก. เนือ้ เยื่อเจริญส่วนปลำย ข. เนือ้ เยื่อเจริญเหนือข้อ
ค. คอร์กแคมเบียม ง. วำสคิวลำร์แคมเบียม
1. ก และ ข 2. ก และ ค 3. ข และ ค
4. ค และ ง 5. ก และ ง
9. เมื่อเกิดพายุฝนและลมแรงทาให้ต้นข้าวในนาล้มและเมื่อเวลาผ่านไป 2 -3 วันจะพบว่าส่วนยอด
ต้นข้าวมีการเจริญเติบโตตั้งตรงเป็นปกติ เกิดจากการทางานของเนื้อเยื่อเจริญในข้อใด
ก. เนือ้ เยื่อเจริญส่วนปลำย
ข. เนือ้ เยื่อเจริญเหนือข้อ
ค. เนือ้ เยื่อเจริญด้ำนข้ำง
1. ก 2. ข 3. ค
4. ก ข ค 5. ก ข
16. ข้อใดเจริญพัฒนามาจากเซลล์เอพิเดอร์มิสของพืช
ก. ขนรำก ข. เซลล์คุม
ค. ขนปลุกคลุมลำต้น ง. มือเกำะ
1. ก และ ข 2. ก , ข และ ค 3. ข , ค และ ง
4. ก , ข และ ง 5. ก , ข , ค และ ง
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 59
17. เมแทบอลิซึม (Metabolism) ของพืชส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อส่วนใด
1. เอพิเดอรืมิส 2. คอลเล็งคิมำ 3. สเคลอเร็งคิมำ
4. พำเร็งคิมำ 5. เอนโดเดอร์มิส
พิจารณาจากไดโคโทมัสคีย์ข้างล่างนี้แล้วตอบคาถามข้อ 19 ถึงข้อ 22
1. ก. ประกอบด้วยเซลล์ที่ผนังเซลล์มีคิวทินมำก ไม่มีช่องว่ำงระหว่ำงเซลล์ เนือ้ เยื่อ A
ข. ผนังเซลล์ที่เป็นส่วนประกอบไม่มคี ิวทินมำก ดูข้อ 2
2. ก. ประกอบด้วยเซลล์ที่มคี วำมหนำของผนังเซลล์ไม่สม่ำเสมอทั่วทั้งเซลล์ เนือ้ เยื่อ B
ข. ประกอบด้วยเซลล์ที่มคี วำมหนำของผนังเซลล์สม่ำเสมอทั่วทั้งเซลล์ ดูข้อ 3
3. ก. ผนังเซลล์บำงและมีช่องว่ำงระหว่ำงเซลล์อยู่ทั่วไป เนือ้ เยื่อ C
ข. ผนังเซลล์หนำ มีสำรลิกนินที่ผนังเซลล์มำก เนือ้ เยื่อ D
25. เซลล์ในข้อใดสามารถเปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อเยื่อเจริญได้
ก. คอร์เทกซ์ ข.เพริไซเคิล ค. เอนโดเดอร์มิส
1. ก ค 2. ก ข 3. ข ค
4. ก ข ค 5. ก
27. คาอธิบายข้อใดไม่ถูกต้อง
ข้อ ซีฟทิวบ์ (Sieve tube) เวสเซล (Vessel)
1. ประกอบด้วยเซลล์ที่ตำยแล้ว ประกอบด้วยเซลล์ที่ตำยแล้ว
2. เป็นผนังเซลล์ขนั้ ต้น (Primary wall) เป็นผนังเซลล์ขนั้ ที่สอง(Secondary cell wall)
3. ผนังกั้นเซลล์มีรูเปิดคล้ำยตะแกรง ผนังกั้นเซลล์สลำยไป
4. ทำหน้ำที่ลำเลียงอำหำร ทำหน้ำที่ลำเลียงน้ำและแร่ธำตุ
5. เป็นเซลล์หลักในกำรลำเลียงอำหำร เป็นเซลล์ที่ใช้ลำเลียงน้ำและแร่ธำตุในพืชดอก
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 61
28. เซลล์ในภาพ A พบในบริเวณใดในภาพ B
1. ก 2. ข 3. ค
4. ง 5. ข ง
ข้อ ก ข ค
1. โพรโทพลำสซึม ผนังเซลล์ปฐมภูมิ ผนังเซลล์ทุติยภูมิ
2. โพรโทพลำสซึม ผนังเซลล์ทุติยภูมิ ผนังเซลล์ปฐมภูมิ
3. ช่องว่ำงของเซลล์ ผนังเซลล์ปฐมภูมิ ผนังเซลล์ทุติยภูมิ
4. ช่องว่ำงของเซลล์ ผนังเซลล์ทุติยภูมิ ผนังเซลล์ปฐมภูมิ
5. ช่องว่ำงระหว่ำงเซลล์ ผนังเซลล์ปฐมภูมิ ผนังเซลล์ปฐมภูมิ
1. ก 2. ข 3. ค 4. ง 5. ค ง
36. รากพืชไม้ยืนต้นไม่มีโครงสร้างหรือเซลล์ในข้อใด
1. เซลล์คุม 2. เซลล์คุมและเลนติเซล
3. เซลล์คุมและเซลล์คอร์ก 4. เซลล์คุม เซลล์คอร์ก และเลนติเซล
5. ถูกทุกข้อ
37. ข้อใดไม่เป็นจริงเกี่ยวกับรากไม้ยืนต้น
ก. ไม่มีกำรสร้ำงคอร์ก ข. มีคิวติเคิลป้องกันกำรคำยน้ำ
ค. มีกำรสร้ำงไซเลมระยะที่สอง ง. มีกำรคำยน้ำผ่ำนเลนติเซล
1. ก และ ข 2. ข และ ง 3. ข , ค และ ง
4. ก , ข และ ง 5. ก , ข , ค และ ง
40. เนื้อเยื่อในข้อใดที่มีผลต่อการสร้างกิ่งและรากแขนง
ก. เอนโดเดอร์มิส ข. คอร์เทกซ์
ค. แคมเบียม ง. เพริไซเคิล
1. ก ข 2. ข ค 3. ค ง
4. ข ง 5. ก ข ค ง
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 64
41. วงปีของรากเกิดจากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสของเนื้อเยื่อชนิดใด
ก. แคมเบียม ข. พำเรงไคมำ ค. เพอริไซเคิล
1. ก 2. ก และ ข 3. ก และ ค
4. ข และ ค 5. ก , ข และ ค
43. ภาพปลายยอดพืช
ตำแหน่ง โครงสร้ำงและหน้ำที่
ก. ประกอบด้วยเซลล์มชี ีวิต ทำหน้ำที่ลำเลียงสำรอินทรีย์
ข. ประกอบด้วยเซลล์ที่มผี นังเซลล์บำง ทำหน้ำทีส่ ร้ำงเนื้อเยื่อลำเลียง
ค. ประกอบด้วยเซลล์ที่ไม่มชี ีวิต ทำหน้ำที่ให้ควำมแข็งแรงและลำเลียงสำรอนินทรีย์
1. ก ข 2. ก ค 3. ข ค
4. ก ข ค 5. ก
50. ส่วนที่ใช้สะสมอาหารของพืชในข้อใดที่ไม่ใช่โครงสร้างหรืออวัยวะเดียวกัน
1. หอม กระเทียม 2. ขิง พุทธรักษำ 3. เผือก แห้ว
4. มันเทศ มันฝรั่ง 5. มันแกว มันสำปะหลัง
51. ข้อมูลจากวงปีของต้นไม้ในป่าดิบแล้งสามารถบอกให้ทราบในเรื่องใด
ก. กำรเจริญของโฟลเอ็มในแต่ละปี ข. กำรเจริญของไซเล็มในแต่ละปี
ค. ปริมำณควำมมำกน้อยของน้ำฝนในแต่ละปี ง. คุณภำพของเนือ้ ไม้ในแต่ละปี
1. ก และ ค 2. ข และ ค 3. ก , ค และ ง
4. ข , ค และ ง 5. ก , ข , ค และ ง
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 68
52. วงปีของต้นไม้จะมีสีเข้มและสีอ่อนแตกต่างกันอย่างชัดเจน ถ้าขึ้นอยู่ในพื้นที่แบบใด
ก. มีอุณหภูมิแตกต่ำงกันระหว่ำงฤดูร้อนและฤดูหนำว
ข. ได้รับแสงแดดแตกต่ำงกันมำกระหว่ำงฤดูฝนและฤดูหนำว
ค. ได้รับธำตุอำหำรแตกต่ำงกันมำกระหว่ำงฤดูฝนและฤดูหนำว
ง. ได้รับปริมำณน้ำฝนแตกต่ำงกันมำกระหว่ำงฤดูฝนและฤดูแล้ง
1. ก 2. ก และ ข 3. ข และ ค
4. ก ข ค ง 5. ง
54. ข้อใดอธิบายการเจริญเติบโตของพืชในภาพได้ถูกต้องที่สุด
ก. ตำแหน่งที่ดอกตะปูไม่มีกำรเจริญเติบโต
ข. ไม่มีกำรเจริญเติบโตระยะที่ 2 เกิดขึน้
ค. เส้นผ่ำนศูนย์กลำงบริเวณที่ดอกตะปูเพิ่มขึ้น
ง. กำรเจริญเติบโตปีที่ 1 -3 เกิดจำก apical meristem มำกกว่ำ lateral meristem
1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ค และ ง
4. ก และ ง 5. ก ข ค และ ง
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 69
55. จะพบ sieve tube member ในส่วนใดของต้นไม้
ก. วงปี ข. เปลือกไม้
ค. กระพี้ ง. แก่นไม้
1. ก 2. ข 3. ข และ ค
4. ก , ค และ ง 5. ก , ข , ค และ ง
57. ข้อใดมีจานวนชนิดของเนื้อเยื่อที่เป็นองค์ประกอบมากที่สุด
1. ท่อลำเลียงน้ำ 2. คอร์เทกซ์ 3. เปลือกไม้
4. เนือ้ ไม้ 5. เพอริเดิม
58. ข้อใดเป็นลักษณะของแก่นไม้
ก. อยู่ใจกลำงลำต้นของไม้ยืนต้น
ข. เกิดจำกแคมเบียมในฤดูที่ได้รับน้ำมำก
ค. มีสำรอินทรีย์สะสมไว้ในเซลล์มำก และขยำยบริเวณเพิ่มขึน้ เรื่อยๆ
ง. นอกจำกลำเลียงน้ำแล้วยังเป็นโครงสร้ำงหลักทำให้ลำต้นแข็งและตั้งอยูไ่ ด้
1. ก และ ข 2. ก และ ค 3. ข และ ค
4. ค และ ง 5. ก ข ค และ ง
61. ข้อใดเป็นความแตกต่างระหว่างเซลล์คุมกับเอพิเดอร์มิสด้านบนและมีคลอโรพลาสต์มาก
67. ข้อใดควรจะเป็นลักษณะของใบบัว
ก. มีปำกใบที่ผิวทั้งสองด้ำน ข. มีปำกใบเฉพำะผิวใบด้ำนบน
ค. มีช่องอำกำศใหญ่กว่ำใบพืชบก ง. มีคิวทิเคิลเคลือบผิวใบหนำ
1. ก และ ค 2. ข และ ค 3. ก , ค และ ง
4. ข , ค และ ง 5. ก , ข , ค และ ง
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 72
68. ข้อใดอาจเกี่ยวข้องกับการปรับตัวของต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่มีใบเป็นกับดักจับแมลง
ก. อำหำรที่ได้จำกกำรสังเครำะห์ด้วยแสงไม่เพียงพอ
ข. พืชขึน้ อยู่ในดินที่ขำดธำตุอำหำรที่จำเป็น
ค. ธำตุอำหำรที่อยู่ในดินไม่สำมรถอยู่ในสถำนะที่พืชจะนำไปใช้ได้
ง. พืชขึน้ ในลุม่ หรือหนองน้ำที่มีสภำพเป็นกรด
1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ก และ ค
4. ข และ ง 5. ก ข ค และ ง
69. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับโครงสร้างของพืชมีดอก
ก. ก้ำนใบประกอบขึน้ จำกเซลล์ที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
ข. พิธ (Pith) สำมำรถพบได้ทั้งในรำก ลำต้น และใบของพืชใบเลีย้ งคู่ที่อยู่ในกำรเจริญเติบโตขั้นแรก
ค. เซลล์ขนรำก และเซลล์คุมเป็นเซลล์ที่พบในเนือ้ เยื่อชนิดเดียวกัน แต่เซลล์ขนรำกไม่มี
คลอโรพลำสต์
ง. ใบของพืชน้ำต้องมีเซลล์คุม จึงจะเกิดกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสงและกำรลำเลียงน้ำได้
1. ก และ ข 2. ค และ ง 3. ก และ ค
4. ข และ ง 5. ก ข และ ค