Professional Documents
Culture Documents
/
_________1. เซลลพืชทุกชนิดมีผนังเซลลหุมอยูดานนอกของเยื่อหุมเซลล
___________________________________________________________
-
/
*
_________2. เซลลทุกชนิดของพืชมีคลอโรพลาสต
___________________________________________________________
/ เซลลูโลสเปนโครงสรางหลักของผนังเซลลพืช
_________3. /
___________________________________________________________
/ พืชดูดน้ำและธาตุอาหารผานทางเซลลขนราก
_________4.
/
___________________________________________________________
/x
_________5. ราก ลำตน และใบ เปนอวัยวะที่ไมเกี่ยวของโดยตรงกับการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ
%
=>
ของพืชดอก
___________________________________________________________
_________6. พืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่เจริญเติบโตเต็มที่มีรากแกว
↓
%
___________________________________________________________
ใบเ ยง ไ
เ ยว รากแ ว
/ รากทำหนาที่ชวยยึดโครงสรางของลำตนพืชใหติดอยูกับดินหรือวัสดุปลูก
-
_________7.
___________________________________________________________
/ ลำตนทำหนาที่ลำเลียงน้ำ ธาตุอาหาร และอาหาร ไปยังสวนตาง ๆ ของพืช
_________8.
___________________________________________________________
-
ดี่
ม่
มี
ลี้
ก้
· 1··· เนื้อเยื่อพืช
/
เซลลพชื
เปนหนวยโครงสรางพื้นฐานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต ประกอบดวย
โพรโทพลาสซึม (Protoplasm) ที่มีเยื่อหุมเซลล (Cell membrane) /
ผนังเซลล (Cell wall) หอหุมไว เซลลแตละชนิด มีองคประกอบที่
แตกตางกันทำใหมีลักษณะโครงสรางและหนาที่การทำงานของเซลลที่
แตกตางกันไปดวย มีลักษณะรวมคือการมีผนังเซลลลอมรอบอยูรอบนอก
ใหความแข็งแรงและคงรูปแกโครงสรางเซลลพืช ทำหนาที่ ค้ำจุนและ
ปกปองสวนตาง ๆ ของเซลล ประกอบดวย cellulose, hemicellulose,
pectin และ lignin ซึ่งมีสัดสวนแตกตางกันออกไปตามชนิดของเซลล
ผนังเซลลประกอบดวยชั้นดังนี้
พลาสติด (plastid)
เปนออรแกเนลลที่มีเยื่อหุม 2 ชั้น หนาที่คือ ชวยเก็บเอนไซม สารตาง ๆ เชน ลิพิด
โปรตีน แปง หรือสารสี (Pigment) ชนิดตาง ๆ สามารถจำแนกพลาสติดได 2 ประเภท
ดังนี้
1. พลาสติดที่มีสารสี
1.1 คลอโรพลาสติด (chloroplastid) มีสารสี
ประเภทคลอโรฟลล (chlorophyll) มากกวาสารสี
ชนิดอื่น แสดงสีเขียว
1.2 โครโมพลาสติด (chromoplastid) มีสารสีประเภท แคโรทีนอยด (carotenoid)
มากกวาสารสีชนิดอื่น แสดงสีสม เหลือง แสด แดง
2. พลาสทิดที่ไมมีสารสี (leucoplastid)
-> > ขาว
*** -
8 1*****
ลี้
ม่
คู่
าน าง
3. เนื้อเยื่อเจริญดานขาง (Lateral meristem)
อยูในแนวขนานกับเสนรอบวง มีการแบงเซลลเพิ่มจำนวนออกทางดานขาง ทำใหรากและลำตนขยายขนาดใหญขึ้น
การเจริญเติบโตที่เกิดจากการแบงเซลลที่ไดจากเนื้อเยื่อเจริญดานขางจัดเปน การเติบโตทุติยภูมิ (secondary growth) พบได
ในรากและลำตนของพืชใบเลี้ยงคูทั่วไป เนื้อเยื่อเจริญดานขางเรียกอีกอยางวา แคมเบียม (cambium)
ล เ ยง
3.1. วาสคิวลารแคมเบียม (Vascular cambium) ~เ อเ อ เจ ญ าน าม
-
<Cor K
จำแนกตามระยะการเจริญ
1. โพรเมอริสเทม (promeristem)
เกิดขึ้นตั้งแตระยะเอ็มบริโอ เปนเซลลตนกำเนิดของเนื้อเยื่ออื่น ๆ ทั้งหมด
เซลลมีรูปรางและขนาดใกลเคียงกัน เรียงตัวอยูที่บริเวณปลายยอดและปลายราก
2. เนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิ (primary meristem)
เปนเนื้อเยื่อที่เปลี่ยนแปลงมาจาก protoderm ทำหนาที่สรางเนื้อเยื่อ
ถาวรปฐมภูมิ (primary permanent tissue)
2.1 เนื้อเยื่อเจริญกำเนิดผิว (protoderm) สรางเนื้อเยื่อชั้นผิว (epidermis)
2.2 เนื้อเยื่อเจริญพื้น (ground meristem) สรางเนื้อเยื่อพื้น ไดแก พาเรงคิมา (parenchyma)
คอลเลงคิมา (collenchyma) และ สเกลอเรงคิมา (sclerenchyma)
2.3 โพรแคมเบียม (procambium) สรางเนื้อเยื่อลำเลียงปฐมภูมิ (primary vascular tissue) ไดแก
โฟลเอ็มปฐมภูมิ (primary phloem) และไซเล็มปฐมภูมิ (primary xylem)
3. เนื้อเยื่อเจริญทุติยภูมิ (secondary meristem
เปนเนื้อเยื่อที่เปลี่ยนแปลงมาจาก primary meristem หรือ primary permanent tissue บางชนิดทำหนาที่สราง
เนื้อเยื่อถาวรทุติยภูมิ (secondary permanent tissue) ไดแก
3.1 วาสคิวลารแคมเบียม (vascular cambium)
3.2 คอรกแคมเบียม (cork cambium)
ข้
ด้
ข้
ด้
ำ
ริ
ลี
นื้
ยื่
จำแนกตามชนิดของกลุมเซลล
1. เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว (simple permanent tissue)
ประกอบดวยกลุมเซลลชนิดเดียว ทำหนาที่เดียวกัน ไดแก parenchyma, collenchyma, sclerenchyma, cork
และ epidermis*
2. เนื้อเยื่อถาวรเชิงซอน (compound permanent tissue)
ประกอบดวยกลุมเซลลหลายชนิดมาอยูดวยกันและทำงานรวมกัน ไดแก xylem และ phloem
จำแนกเปนระบบ
เนื้อเยื่อพืชแบงออกเปน 3 ระบบ ตามการจำแนกของ Sach
1. ระบบเนื้อเยื่อผิว (Dermal system) เปนระบบเนื้อเยื่อที่อยูนอกสุด ทำหนาที่ปกคลุมสวนตาง ๆ
2. ระบบเนื้อเยื่อพื้น (Ground system) เปนระบบเนื้อเยื่อสวนใหญของพืช ทำหนาที่เปนโครงสรางพื้นฐาน
3. ระบบเนื้อเยื่อลำเลียง (Vascular system) เปนระบบเนื้อเยื่อที่ใชลำเลียงน้ำ แรธาตุและอาหาร
↓
* รอกตโ porc
4 ->/guard call
1 -
#
call
is a subsidiary
2
เจริญมาจาก.......................................................................................................................................
Cork cambian เ ด จาก
parenchy
ใน cortexเป ยน
ra สภาพ ก บมา
เจริญมาจาก.......................................................................................................................................
Ground meristant
↑
A B C D
↳
Leucoplast ที่ยอมดวย Iodine จากตนสาวนอยปะแปง (A) Chlorenchyma จากตนกระสัง (B) Aerenchyma จากตนกกรม (C) Stellate parenchyma จากมะละกอ
ที่มา: นายสิรวิชญ สินประเสริฐรัตน
ทุ
ภู
ทุ
สุ
พื
พื
ด้
ำ
ต้
ติ
นื้
ดี่
ป็
ชั้
ลี้
ห่
มิ
ลั
ติ
ส้
ติ
ยื่
ลี่
ว้
ภู
ภู
มิ
มิ
กิ
2.2. คอลเลงคิมา (collenchyma)
เปนเนื้อเยื่อที่พบบริเวณถัดจาก epidermis เขามา สวนมากพบในลำตนสวนที่ยังออนของพืชลมลุกหรือไมเลื้อย
บางชนิด กานใบและเสนกลางใบ ประกอบดวยเซลลที่มีชีวิต เรียกวา เซลลคอลเลงคิมา (collenchyma cell) มี
ลักษณะคลาย parenchyma cell มีเพียง primary cell wallแตพอกหนาไมสม่ำเสมอกัน*** ประกอบดวย
เซลลูโลสและสารประกอบเพกติน (pectin) ทำหนาที่พยุงและทำใหเกิดความแข็งแรงแกโครงสรางพืช
A B C D
Sclereid จากผลสาลี่ (A) Fiber จากกะลามะพราว (B) Fiber จากเฟรน (C) Astrosclereid จากมะละกอ (D) ที่มา: นายสิรวิชญ สินประเสริฐรัตน
1. จงอธิบายองคประกอบของเซลลพืช
middle samea
well
primary wall
cail membrand
well walk
Secondary
2. จงเติมคําเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของพืชใหสมบูรณ
appical resistan
ground Mersistem
Brutoderm epidermis
Primaryvascular fissue
vascular cambiam
Secondary vascular Tissue
Cork cambium
3. จงเติมเนื้อเยื่อถาวรที่พบในระบบเนื้อเยื่อพืชทั้งสามประเภทจากคำที่กำหนด พรอมอธิบายหนาที่
-กา
(phloem, parenchyma, ร periderm, xylem, sclerenchyma)
รบ
epidermis, collenchyma, -
ระบบเนื้อเยื่อผิว ระบบเนื้อเยื่อพื้น ระบบเนื้อเยื่อทอลําเลียง
Dermal tissue system Ground tissue system Vascular tissue system
epidermis, Periderma Parsuchyna, zofenchyma, sclerenchyma tylem, thloem
4. จงเติมขอมูลการเปรียบเทียบเนื้อเยื่อถาวรแตละชนิดลงในตารางใหถูกตองและครบถวน
pai…………………………….
renchy
man call
hyma cell
……………………………. F : bes
…………………………….
…………………………….
trichom (
I tail wai
10 will wall I call wall
ชนิดผนังเซลล
นsuficie Cellulose
และความหนา ……………………………. …………………………….
ผ ง นาง
…………………………….
เ ยง
primarycall
10
…………………………….
wall แ Left Wall และ
โต
…………………………….
เจ ญ
…………………………….
ไ ส เสมอ
พอกห า
pactin
น พก.
…………………………….
ห าปก. (
บCellulose อน าง allulose น fignin
เ ม
ปฐม
แบบ
ความมีชีวิต ต ตา ต ไ ต
……………………………. ……………………………. ……………………………. …………………………….
ก -ท ห า พ แ
ง ละ
โครงส างภายใน
……………………………. ……………………………. ……………………………. …………………………….
าง แ งแรง
ม สะสม สารอาหาร
ท ใ เ ด ใ- ความ นโครงส างของ น
=: 621
Vessel
Pareuchyma
tracheit
Vessel
…………………………………………………………………………… Prachatte
……………………………………………………………………………
จงเปรียบเทียบความแตกตางของเซลลทั้ง 2 ชนิด
vessel อกลวง ให เ นทรงกระบอก
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
tracheit อเ ก เ ยว ฟลาย งสอง าน แหลม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ด้
ป็
รี
ล็
ทั้
ญ่
ท่
ท่
6. จงระบุเซลลที่พบในเนื้อเยื่อโฟลเอ็ม (label)
Companion all
6.1. จงระบุวิธีการสังเกตลักษณะของเซลลแตละชนิดในโฟลเอ็มวาสามารถสังเกตไดจากลักษณะใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
·Sieve tube Member เ น ต
เซล เ อ เจ เญ ม จะ
ไ
ห อ
วเค ย Vacuoleขนาดให ผ ง าน ว าย กษณะ
เ ตะแกรง
นแ น เพล
ต
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
Sieve tube Member หลาย
ๆ
เ ยง
เซล อ นเ น อ เ ยก าsieve tube
·…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
companion cell - เ น
เซล ต วม บ
ก เ ด อ กา desmufa จ นวน
Steve tube ป าง ยาวเ น
member และ ขนาดเ ก
ด น pโหง จ มาก เ อม ง น ผอม เห ยม
· ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
phoem fiber - เ น ความ แ งแรง
ต วยเ
8
ม
เซล ใ บ อ ล เ ยงอาหาร
มี
นิ
มี
มีลั
ท้
หั
ด้
ต่
ส์
ซีพี
ว่
ท่
มี
ที่มี
ร่
ที่
ติ
มีรู
กั
ถึ
มี
มี
มี
ม่มี
ช่
ท่
กั
ชื่
ป็
ป็
ล็
ต็
ห้
ป็
รี
ำ
รี
ริ
ชี
มื่
นั
ป็
ำ
ม่
ชี
ข็
ำ
ผ่
ชี
วิ
ชี
พิ่
รื
ลี่
วิ
ลี
กั
มี
ที่
วิ
ล์
กั
กั
ล์
ล์
นิ
วิ
ยู่
ลี
ร่
ล์
ร์
ญ่
ป็
ป็
ป็
โครงสรางและการเจริญเติบโตของราก
ราก (root) คืออวัยวะของพืชทเี่จริญมาจากรากแรกเกิด (radicle) ซึ่งรากแรกเกิดเปนกลุม เซลลของเอ็มบริโอที่อยู
ดานลางของสวนใตใบเลี้ยง (hypocotyl) เปนสวนแรกสุดที่จะงอกออกจากเมล็ด โดยจะงอกออกมาผานรูไมโครไพล
(micropyle)
หนาที่ของราก
1. พยุงและยึดลำตนติดกับพื้นดินหรือวัสดุปลูก
2. ดูดซึมน้ำและธาตุอาหารที่อยูใ นดินเขาไปยังสวนตาง ๆ ของลำตนและใบ
3. ทำหนาที่พิเศษเฉพาะในพืชบางชนิด เชน สะสมอาหาร หายใจ หรือการสังเคราะหดวยแสง
โครงสรางภายในของปลายราก
เมื่อตัดปลายรากตามแนวยาวและศึกษาลักษณะของโครงสรางภายใน
สามารถแบงปลายรากตามลักษณะของเนื้อเยื่อพืชที่ปรากฏไดเปน 4 บริเวณ
ไดแก
1. หมวกราก (Root cap)
เปนสวนที่อยูปลายสุดของราก ทำหนาที่ปกคลุมปลายรากและปองกัน
-
อันตรายใหกับเนื้อเยื่อสวนปลายสุดของรากที่กำลังแบงตัว ขณะเดียวกันก็ชวยในการ
ชอนไชของรากลงไปในดิน ประกอบดวยเซลลพาเรงคิมาเรียงตัวเปนเปลือกหุม
เนื้อเยื่อเจริญที่ปลายราก เซลลหมวกรากมีการสะสมเม็ดแปงอยูทางปลายเซลล
ดานลาง ทำหนาที่เกี่ยวกับการรับรูทิศทางของแรงโนมถวง มีการสรางเมือกออกมา
ที่มา: นายสิรวิชญ สินประเสริฐรัตน
รอบ ๆ ทำใหปลายรากชุมชื้นและลดเสียดทานกับเม็ดดิน
2. บริเวณการแบงเซลล (zone of cell division)
เปนบริเวณที่ขึ้นไปจากหมวกราก ประกอบดวยเนื้อเยื่อเจริญปลายราก (Root apical meristem) ที่มีการแบงเซลล
แบบไมโทซิสตลอดเวลา โดยแบงเซลลลงดานลางไปเปนหมวกรากและแบงเซลลขึ้นดานบนเพื่อเจริญเติบโตเปน
เนื้อเยื่อชนิดตาง ๆ
ลักษณะของเซลลในบริเวณนี้ ที่โดดเดน
การ เซล แนนไม โท สตลอดเวลาผ งเซล บางแว ลโอ
คือ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แ ง ขนาด เ ก
และ วเค ยส ขนาดให
…………………………………………………………………………………………………………………………
3. บริเวณการยืดตัวของเซลล (zone of cell elongation)
เปนบริเวณที่เซลลเกิดการยืดออก และเริ่มจะเปลี่ยนรูปรางและขนาด เซลลในบริเวณนี้มีการเจริญโดยการขยายตัว
ทางดานยาวมากกวาทางดานกวาง จึงทำใหเซลลมีความยาวเพิ่มขึ้น แวคิวโอลมีขนาดใหญขึ้น มีการสะสมสารตาง ๆ
ทำใหเซลลมีขนาดใหญขึ้น และบางบริเวณสามารถแบงเซลลได
ลักษณะของเซลลในบริเวณนี้ ที่โดดเดน
เซล บ เวณ การเจ ญเ บโต โดยการ ขยาย วทาง เฉยาวมากก า านก าง
คือ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
4. บริเวณเซลลโตเติมวัย (zone of cell maturation)
เปนบริเวณที่เซลลเจริญเต็มที่ มีการเปลี่ยนแปลงรูปรางและเจริญเต็มที่ไปเปนเซลลชนิดตาง ๆ มีการพัฒนาทอ
ลำเลียงอาหารที่ชัดเจน สามารถพบขนราก (Root hair) ที่มีการยืดดานขางเพื่อดูดซึมน้ำและแรธาตุเขาสูรากพืช
ลักษณะของเซลลในบริเวณนี้ ที่โดดเดน
เจ ญเ ม เซล หลายช ดเ นเซล วเซล นราก เซล ไซ เซล โฟลเ ม
คือ…………………………………………………………………………………………………………………………………………
เซล ผม น เ มและ
โครงสรางและการเจริญของลำตน
โครงสรางและการเจริญของใบ
cortex
572 / C
entodermis
pericy ( 12
phloem
eylem
pith
ไ แฉก 4 - 6 แจก
ไ
ไ
เพิ่มเติม
รากพิเศษ (adventitious root)
รากที่ไมไดกำเนิดมาจากรากแรกเกิดโดยตรง แตเกิดมาจากสวนอื่น ๆ ของพืช เชน ลำตน กิ่ง ใบ ขอ เชน ขาวโพดมี
รากพิเศษที่เกิดจากขอของลำตนอยูใกลพื้นดิน, สตรอเบอรรีมีรากพิเศษที่เกิดจากขอของลำตน, โกงกางมีรากพิเศษที่เกิดจาก
ลำตน
ชนิดของรากที่มีการ
หนาที่ ตัวอยางพืชที่พบ
เปลี่ยนแปลงไป
รากสะสมอาหาร
(storage root)
รากค้ำยัน (prop root)
หา เอา
รากสังเคราะหดวยแสง
(photosynthetic root)
รากหายใจ (respiratory root
หรือ pueumatophore)
รากกาฝาก (parasitic root)
……………………………………………………
pericycle
1.1
ร
secondary "ออ
……………………………………………………..
raticle
……………………………………………………..
epidermis
แ ราก อาจ
แขนง น จน ขนาดเ า น
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
จะเจ ญ ไ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
· ราก ขนาดใก เ ยง
ราก
ก
น
4
ฝ่
อื่
มี
มี
ทุ
กั
ส์
ด้
ส์ลี
ข้
ด้
บ้
ด้
บ่
ท่
ต่
ยุ
ริ
ดี
ลั
ริ
รื
ริ
นั
ยู่
ล์
ล์
ล็
ล์
ตั้
ล้
ว่
ตั
กั
นิ
คี
ต่
ก้
ล์
ยู่
ล์
โครงสรางและการเจริญของลำตน
ลำตน (stem) หมายถึง อวัยวะของพืชที่เจริญมาจากเอ็มบริโอสวนเหนือรากแรกเกิด เปนโครงสรางที่อยูเหนือดิน
ของพืช มีลักษณะเปนขอปลองซึ่งเห็นไดชัดในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ขณะที่พืชใบเลี้ยงคูอาจเห็นไดไมชัดเจน
หนาที่ของลำตน
1. ตนของพืชมีหนาที่สรางใบ ค้ำกิ่งกานสาขาใหใบไดรับแสง
2. มีโครงสรางลำเลียงเพื่อนำน้ำ ธาตุอาหาร และผลิตภัณฑจากกระบวนการสังเคราะหดวยแสงไปยังสวนตาง ๆ
3. สรางอวัยวะสืบพันธุ (ดอก)
4. สามารถทำหนาที่พิเศษอื่น ๆ เชน สะสมอาหาร สังเคราะหดวยแสง
โครงสรางภายนอกของลำตน
โครงสรางภายนอกของลำตน แบงออกเปน 2 สวน คือ
1. ขอ (node)
• เปนสวนลำตนที่มีตา ใบ กิ่ง หรือดอก งอกออกมา
• มักจะพองใหญกวาสวนอื่นของลำตน
• เปนที่ที่มีใบติดอยู
2. ปลอง (internode)
• เปนสวนลำตนที่อยูระหวางขอ
• การปรากฏของขอและปลองอาจไมชัดเจนในพืชบางกลุม
เนื่องจากการปกคลุมของไทรโคม (trichome) หรือคอรก (cork)
โครงสรางปลายยอดตัดตามยาว (Shoot longitudinal section)
เมื่อนำปลายยอดตนออนตัดตามยาว (Longitudinal section) จะเห็น 4 โครงสราง
1. เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด (Shoot apical meristem) เปนบริเวณที่เแบงเซลลตลอดเวลา จะพัฒนาไปเปนลำตน กิ่ง ใบ
2. ใบแรกเกิด (Leaf primordium) ใบที่อยูดานขางเนื้อเยื่อเจริญ ทำหนาที่ปกคลุมและปองกันอันตรายเนื้อเยื่อเจริญ
3. ใบออน (Young leaf) ใบพืชที่ยังเจริญไมเต็มที่ ยังสามารถแบงเซลลและเปลี่ยนรูปรางได ในระยะนี้ใบออนจะยังแผกาง
ไมเต็มที่ โดยที่ซอกของใบออนจะมีเนื้อเยื่อตนกำเนิดกิ่ง เรียกวา ตาแรกเกิด (Axillary bud) ตาแรกที่เกิดบริเวณซอกกิ่ง ซึ่ง
จะเจริญไปเปนกิ่งหรือดอกใหมได
4. ลำตนออน (young stem) อยูถัดจากตำแหนงใบเริ่มเกิดลงมา เปนบริเวณที่พบเซลลที่มีแนวการแบงเซลลตั้งฉากกับแกน
ยาวของลำตน เซลลที่ไดจากการแบงจะมีการขยายขนาดทั้งดานความยาวและความกวาง ทำใหลำตนสูงขึ้นและมีขนาดใหญ
ขึ้น จาดนั้นเซลลจะเปลี่ยนสภาพและเจริญเต็มที่เพื่อเปนเซลลชนิดตาง ๆ ในเนื้อเยื่อถาวรเพื่อทำหนาที่เฉพาะตอไป
โครงสรางและการเจริญของใบ
โครงสรางภายในของลำตนระยะที่มีการเติบโตปฐมภูมิ
โครงสรางภายในของลำตนพืชตัดตามขวาง (Stem cross section)
เมื่อนำลำตนพืชที่มีการเติบโตปฐมภูมิ (Primary growth) มาตัดตามขวาง (Cross section) พบวาแบงออกเปน 3
ชั้น เรียงจากดานนอกเขาสูดานใน ไดแก ชั้นเนื้อเยื่อผิว (Epidermis) ชั้นเนื้อเยื่อพื้น (Dermal tissue) หรือบริเวณคอรเทก
(Cortex) และชั้นเนื้อเยื่อลำเลียง (Vascular tissue) หรือสตีล (Stele)
1. ชั้นเนื้อเยื่อผิว (Epidermis) เปนชั้นนอกสุดของลำตน ประกอบดวยเซลลเรียงตัวชั้นเดียว ผนังเซลลบางดานนอกโคงออก
ไมมีคลอโรพลาสต มีสารคิวตินเคลือบเพื่อปองกันการระเหยของน้ำ เรียกชั้นนี้วา Cuticle อาจพบเซลลคุมหรือตอมได
pro
s t o สด
ไ
ม่
2. บริเวณคอรเทก (Cortex) เปนบริเวณระหวาง Epidermis และ Stele ซึ่งจะแคบมาก ประกอบดวยเซลลพาเรงคิมา อาจ
พบเนื้อเยื่อคอลเลนคิมาตามมุมหรือขอบ ในพืชน้ำมีการจัดเรียงใหเกิดชองอากาศ (Air space) เพื่อชวยในการลอยตัว โดยจะมี
เซลลพาเรงคิมามาเรียงลอมรอบ เรียกวา Aerenchyma
เพิ่มเติม
** ในการเจริญแบบทุติยภูมิจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของ Procambium กลายเปน Fascicular cambium ที่ทำหนาที่ในการ
สรางเนื้อเยื่อทอลำเลียงทุติยภูมิ และเนื้อเยื่อพาเรงคิมาระหวางทอลำเลียงจะเกิด Redifferentiation ไปเปนเนื้อเยื่อเจริญที่
เรียกวา Interfascicular cambium เพื่อสรางเนื้อเยื่อลำเลียงเชนเดียวกัน โดยจะเกิดการสรางในลักษณะวง โดยเรียกเนื้อเยื่อ
เจริญทั้งสองวา Vascular cambium
node
shoot metistem
apical
2. จงระบุบริเวณ/ชั้นเนื้อเยื่อ/เนื้อเยื่อที่พบในลำตนลงในชองวางใหถูกตอง
Ground fisSUR
epidermis
Cortex
↑: / h
vascular bundle
(อะ fex
thloem
Vascular cambiam
Vessel
3. จงระบุบริเวณ/เนื้อเยื่อของลำตนลงในชองวางใหถูกตอง
phelloderm
Cork cambuim
CorK
phloem
Vasculars Cumbrin
dem
xy
Primary xylem
4. Bark ประกอบไปดวยเนื้อเยื่อใดของลำตนบาง
20
phloem, i phloem, phello term,
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
campain, Cork lork
5. วงปของตนไมเกิดจากสาเหตุใด
เยอะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เพราะ า ล เ ยง
เลยสามารถแ ง เลย
เซล เจ ญ ไ พอ เยอะ อง เยอะ เวสเซล เยอะขนาดให เลย อน
6. จากภาพเปนชิ้นสวนที่มาจากตนไมที่มีอายุกี่ป
…………………………………………………………………………
วา
·.........
น้
น้
ต้
มี
ต์
น้
ปู
รีอ่
ำ
ำ
ด้
พ่
ำ
ำ
ริ
ดี
ลี
ล์
ว่
ญ่
โครงสรางและการเจริญของใบ
ใบเปนโครงสรางที่อยูเหนือดิน สวนใหญมักมีสีเขียว ทำหนาที่สังเคราะหดวยแสง แลกเปลี่ยนแกส
และคายน้ำ โดยโครงสรางใบจะแบงออกเปน 3 สวน คือ แผนใบ (Blade) กานใบ (Petiole) และหูใบ
(Stipule)
กเธอ คน 24 วโมง
1. แผนใบ (Blade/ Lamina) มีลักษณะเปนแผน แบน บริเวณตรงกลางมีเสนกลางใบ (Midrib) เสนใบ (Vein) ที่
ภายในมีเนื้อเยื่อลำเลียง และเสนใบยอย (Veinlet) ซึ่งในพืชใบเลี้ยงคูมีการจัดเสนใบแบบรางแห (Netted
venation/ Reticulate venation) สวนในใบเลี้ยงคูมีการจัดเสนใบแบบขนาน (Parallel venation) เปนพื้นที่สว น
ใหญของใบ มีลักษณะแผ แบนบริเวณตรงกลางประกอบไปดวยเสนกลางใบ (midrib) และเสนใบ (vein) ซึ่งมี
เนื้อเยื่อลำเลียงของพืชที่แยกมาจากลำตน การจัดเรียงเสนใบมักแตกตางกันในพืชใบเลี้ยงคูและพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
upper epidermis xy
lem
%:: chome
Vascular bundle
↓ phloem
sto ma
i
spongy mesophy
mesophyll xylem
phloem
/อ พาล epidermis
เอพาร epidermis
phloem
bundle Sheath cell
ใบกิจกรรมที่ 4 เรื่อง โครงสรางและการเจริญเติบโตของใบ
คำชี้แจง : จงเติมคำตอบลงในชองวางใหสมบูรณ
1. ระบุสวนประกอบของใบลงในชองวางใหถูกตอง
Milfib
ปรง:ท
set: 0 / e
&
3 Ma
Nette 2 vein
stipules
2. จงวงกลมลอมรอบชนิดของใบใหสอดคลองกับตัวอยางที่กำหนดให
palisade mesophyll
ใจ พอะ epidermis
upper epidermis
bundle Sheath cell
stomat a
Vascular bundle
1/
Mesophy
cris
epidermal
stonatal
prote
guard cells
call
subsidiary