You are on page 1of 24

เสบียงนักดาอียผ เู ชิญชวนสูอัลลอฮฺ

﴾‫﴿زاد ا اﻋﻴﺔ إﻰﻟ اﷲ‬


[  ไทย – Thai – ‫ﺗﺎﻳﻼﻧﺪي‬ ]  

 
 

เชค มุหมั มัด บิน ศอลิหฺ อัล-อุษัยมีน


 
 

แปลโดย : ฟยซอล อับดุลฮาดี


ผูตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน
 

2011 ‐ 1432

 
 
‫‪ ‬‬
‫‪ ‬‬
‫‪ ‬‬

‫﴿زاد ا اﻋﻴﺔ إﻰﻟ اﷲ﴾‬


‫» ﺑﺎﻟﻠﻐﺔ اﺤﻛﺎﻳﻼﻧﺪﻳﺔ «‬

‫ﻓﻀﻴﻠﺔ اﻟﺸﻴﺦ ﺤﻣﻤﺪ ﺑﻦ ﺻﺎﻟﺢ اﻟﻌﺜﻴﻤﻦﻴ رﻤﺣﻪ اﷲ‬

‫ﺗﺮﻤﺟﺔ‪ :‬ﻓﻴﺼﻞ ﻋﺒﺪاﻬﻟﺎدي‬


‫ﻣﺮاﺟﻌﺔ‪ :‬ﺻﺎﻲﻓ ﻋﺜﻤﺎن‬

‫‪2011 ‐ 1432‬‬

‫‪ ‬‬

‫‪ ‬‬
ดวยพระนามของอัลลอฮฺ ผูท รงเมตตา ปรานียงิ่ เสมอ 
 

เสบียงนักดาอียผ เู ชิญชวนสูอัลลอฮฺ


แทจริงการสรรเสริญทั้งหลายเปนสิทธิของอัลลอฮฺ เราขอสรรเสริญพระองค ขออภัยโทษ
ตอพระองค ขอเตาบัตตอพระองค และเราขอความคุมครองตอพระองคจากความชั่วรายของตัว
เราเองและความผิดของการงานเขาพวกเรา ผูใดที่ไดรับทางนําจากอัลลอฮฺก็ยอมไมมีใครใหเขา
หลงทางได และผูใดที่พระองคใหเขาหลงทางก็ไมมีใครใหทางนําเขาได ฉันขอปฏิญาณวาไมมี
พระเจาอื่นใด (ที่ควรแกการอิบาดะฮฺ) นอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองคเดียวเทานั้น ไมมีภาคีใดๆ
ตอพระองค และฉันขอปฏิญาณวามุหัมมัดนั้นคือบาวและศาสนทูตของพระองค พระองคไดสง
ทานดวยทางนําและศาสนาแหงสัจธรรม ทั้งนี้เพื่อใหมันประจักษโดดเดนเหนือทุกศาสนา และ
ทานก็ไดเผยแพรสาสนแหงพระเจา ไดจัดการภาระหนาที่ ไดตอสูในหนทางของอัลลอฮฺอยาง
จริ ง จั ง และได จ ากประชาชาติ ข องท า นไปโดยที่ พ วกเขาได อ ยู บ นเส น ทางที่ ส ว า งไสว
เปรียบเสมือนวากลางคืนของมันนั้นก็ยังคงสวางแจมชัดเหมือนกลางวัน ไมมีผูใดหันเหออกจาก
มันนอกจากวาเขาตองเปนผูที่พินาศบรรลัย ความจําเริญและความสันติสุขจงมีแดทาน วงศวาน
ของทาน เศาะหาบะฮฺของทาน และผูที่เจริญรอยตามพวกเขาดวยความดีงามจวบจนวันสิ้นโลก
ฉันขอวิงวอนตออัลลอฮฺใหฉันและพวกทานเปนผูเจริญรอยตามทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะ
ลัยฮิวะสัลลัม ทั้งในที่ซอนเรนและเปดเผย ใหเราเสียชีวิตในสภาพที่อยูในแนวทางของทาน ให
เราฟนคืนชีพในหมูพวกของทาน ใหเราไดรับความชวยเหลือจากทาน และโปรดใหเราอยูใน
สรวงสวรรคอันสถาพรพรอมกับบรรดาผูที่อัลลอฮฺใหความโปรดปรานจากบรรดานบี บรรดาผูสัจ
จริง บรรดาผูตายในหนทางของอัลลอฮฺ และบรรดากัลยาณชนทั้งหลาย
พี่นองทั้งหลาย !
ฉันรูสึกยินดีและปลาบปลื้มยิ่งนักที่ไดพบปะกับพี่นอง ณ สถานแหงนี้1และไมวาที่ใด ๆ
ก็ตาม เนื่องดวยความปรารถนาในภาคผลอันดีงามและเพื่อเผยแพรสัจธรรมคําสอนแหงอัล-
อิสลาม เพราะอัลลอฮฺไดใหพันธะสัญญากับผูที่พระองคประทานความรูแกเขา วาเขานั้นจะตอง
แจกแจงและเผยแพรความรูที่มี โดยไมปดบังซอนเรนไวแมเพียงประการหนึ่งประการใดก็ตาม
ดังที่พระองคตรัสไววา:
K J I H G F E D C B Am
lW
ความวา : และจงรําลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺทรงเอาคํามั่นสัญญาจากบรรดาผูที่
ไดรับคัมภีรวาแนนอนยิ่ง พวกเจาจะตองแจกแจงคัมภีรนั้นใหแจมแจงแก
ประชาชนทั้งหลาย และพวกเจาจะตองไมปดบังมัน2

                                                            
1
มหาวิทยาลัยกษัตริยอับดุลอะซีซ ณ เมืองญิดดะฮฺ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
2
อาล อิมรอน, 3 : 178

 
พั น ธะสั ญ ญาจากอั ล ลอฮฺ นั้ น มิ ไ ด ถู ก จารึ ก เป น ลายลั ก ษณ อั ก ษรและอยู น อกเหนื อ
ความสามารถในการมองเห็ นของมนุษ ย หากแตมนุษ ยทุก คนรั บ รู ว า เมื่ อใดก็ตามที่ อัล ลอฮฺ
ประทานความรูแกเขา เมื่อนั้นเขาจะถูกผูกมัดดวยพันธะสัญญาดังกลาวทันที ไมวาเขาจะเปน
ชายหรือหญิง ฉะนั้นจําเปนสําหรับทุกคนที่มีความรูจะตองเผยแพรบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ไมวา
เขาจะอยูแหงหนใดและสถานการณใดก็ตาม
พี่นองทั้งหลาย !
หัวขอบรรยายของเราคือ “เสบียงของนักดาอียสูอัลลอฮฺ”3 และเสบียงสําหรับมุสลิม
ทุกคน ดังที่อัลลอฮฺตรัสไววา:
lb ^] \ [ Z Y m
ความวา: และพวกเจาจงตระเตรียมเถิด แทจริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้นคือความ
ยําเกรง4

ดังนั้น เสบียงสําหรับมุสลิมทุกคนคือ ตักวา หรือการยําเกรงตออัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะ


อาลา ซึ่งพระองคตรัสย้ําหลายตอหลายครั้งในคัมภีรอัลกุรอาน ทั้งการสั่งใชใหมีความยําเกรง
สรรเสริญชมเชยผูที่มีความยําเกรง บอกถึงผลตอบแทนของการยําเกรง และอื่น ๆ
อัลลอฮฺตรัสวา:
I H G F E D C B Am
R Q P O N M L K J
\ [Z Y XW V U T S
h g f e d cb a`_ ^ ]
r q p o n m l k j i
} |{ z yx w v uts
l e d c b a` _ ~
ความวา: และพวกเจาจงรีบเรงกันไปสูการอภัยโทษจากพระเจาของพวกเจา
และไปสูสวรรคซึ่งความไพศาลของมันนั้น เสมือนเทากับความไพศาลของ
บรรดาชั้นฟาและแผนดิน โดยที่มันถูกเตรียมไวสําหรับบรรดาผูยําเกรง คือ
บรรดาผูที่บริจาคทั้งในยามสุขสบายและในยามเดือดรอน และบรรดาผูขม
โทสะ และบรรดาผูใหอภัยแกเพื่อนมนุษย และอัลลอฮฺนั้นทรงรักผูกระทําดี
ทั้งหลาย บรรดาผูที่ เมื่อพวกเขากระทําสิ่งชั่วใดๆ หรืออยุติธรรมแกตัวเอง
แลว พวกเขาก็รําลึกถึงอัลลอฮฺ แลวขออภัยโทษในบรรดาความผิดของพวก
เขา และใครเลาที่จะอภัยโทษในบรรดาความผิดทั้งหลายใหไดนอกจากอัลลอ
                                                            
3
มีชื่อเดิมเปนภาษาอาหรับวา "‫"زاد ا اﻋﻴﺔ إﻰﻟ اﷲ‬
4
อัล-บะเกาะเราะฮฺ, 2 : 197

 
ฮฺเทานั้น และพวกเขาไมไดดื้อรั้นปฏิบัติในสิ่งที่เขาเคยปฏิบัติ(อยางผิดๆ)มา
โดยที่พวกเขารูกันอยู ชนเหลานี้แหละการตอบแทนแกพวกเขาคือการอภัย
โทษจากพระเจาของเขาและบรรดาสวนสวรรค ซึ่งมีแมน้ําหลายสายไหลอยู
ภายใตสวนเหลานั้น โดยที่พวกเขาจะพํานักอยูในสวนเหลานั้นตลอดกาล
และรางวัลของผูที่ทํางานนั้นยอมเลิศเลอโดยแท5

พี่นองผูมีเกียรติทั้งหลาย !
บางครั้งทานอาจตั้งขอสงสัยวา แลวความยําเกรงคืออะไร ? คําตอบนั้นก็มีอยูดั่งเชน
รายงานจากทานฏ็อลฺก อิบนุ หะบีบ –ขออัลลอฮฺทรงเมตตาทานดวยเถิด- ทานไดกลาววา:
‫ وأن‬، ‫اﺤﻛﻘﻮى أن ﺗﻌﻤﻞ ﺑﻄﺎﻋﺔ اﷲ ﺒﻟ ﻧﻮر ﻣﻦ اﷲ ﺗﺮﺟﻮ ﺛﻮاب اﷲ‬
‫ﺗﺮﺘك ﻣﺎ ﻧﻰﻬ اﷲ ﺒﻟ ﻧﻮر ﻣﻦ اﷲ ﺨﺗ ﻋﻘﺎب اﷲ‬
"ความยําเกรงคือการที่ทานปฏิบัติการงานที่เปนการภักดีตออัลลอฮฺดวยแสง
สวาง (ความรู)จากพระองค และปรารถนาการตอบแทนจากพระองค และ
การที่ทานละทิ้งสิ่งที่พระองคทรงหาม ดวยแสงสวาง(ความรู)จากพระองค
และเกรงกลัวการลงโทษของพระองค"

ถอยประโยคขางตนไดรวบรวมระหวางความรู การปฏิบัติ ความปรารถนาการตอบแทน


และการหวั่นเกรงตอการลงโทษ เหลานี้แหละคือความยําเกรง(ตักวา)
ดังกลาวนี้ นักดาอีย หรือผูที่ทํางานเชิญชวนผูอื่นสูอัลลอฮฺและคําสอนของพระองค ก็
เปนผูสมควรที่สุดกวาใครอื่นที่จะตองประดับประดาตนดวยความยําเกรงตอพระองคทั้งในที่ลับ
และเปดเผย และฉันจะขอบรรยาย ณ ที่นี้ –ดวยความชวยเหลือจากอัลลอฮฺ- ในเรื่องที่เกี่ยวของ
กับนักดาอียและเสบียงตางๆ ที่เขาสมควรตระเตรียมไว

เสบียงที่หนึ่ง : ความรู

เสบี ย งแรกที่ นั ก ดาอี ย พึ ง จะต อ งตระเตรี ย มไว คื อ มี ค วามรู เ กี่ ย วกั บ สิ่ ง ที่ เ ขากํ า ลั ง
เผยแพรอยู ความรูที่ถูกตองคือความรูที่วางอยูบนบรรทัดฐานของอัลกุรอานและสุนนะฮฺของ
ทานเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เนื่องจากความรูตาง ๆ ที่ไดมานอกเหนือจากสอง
แหลงนี้ จําเปนที่จะตองนํามาเทียบเคียงกอนวามีความสอดคลองหรือขัดแยงประการใดกับอัลกุ
รอานและสุนนะฮฺ หากวามีความสอดคลองกันเราก็รับ แตถาหากมีความขัดแยงกันเราก็ปฏิเสธ
ไมวาผูที่กลาวจะเปนใครก็ตาม ดังที่มีรายงานจากทานอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ทาน
ไดกลาววา:

                                                            
5
อาล อิมรอน, 3 : 133 – 136

 
‫ أﻗﻮل ﻗﺎل رﺳﻮل اﷲ وﺗﻘﻮﻟﻮن ﻗﺎل‬، ‫ﻳﻮﺷﻚ أن ﺗﺰﻨل ﻋﻠﻴﻜﻢ ﺣﺠﺎرة ﻣﻦ اﻟﺴﻤﺎء‬
‫أﺑﻮ ﺑﻜﺮ وﻋﻤﺮ‬
"กอนหินจากทองฟาเกือบหลนใสพวกทานแลว (เพราะพวกทานแยงฉัน)
ขณะที่ฉันกลาววาทานเราะสูลุลลอฮฺไดกลาวอยางนี้ แตพวกทานกลับพูดวา
ทานอบูบักรฺและอุมัรฺไดกลาวอยางนั้น"

เปนที่ชัดเจนวา คําพูดใดๆ ก็ตามที่คานกับทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตอให


เปนคําพูดของทานอบูบักรฺและทานอุมัรฺก็ยังตองปฏิเสธ แลวนับประสาอะไรหากคําพูดที่คาน
กับทานนบีและอัลกุรอานนั้นมาจากผูที่มีสถานะต่ํากวาทานทั้งสอง ทั้งในดานความรู ความยํา
เกรง การเปนเศาะหาบะฮฺของทานนบี และการเปนเคาะลีฟะฮฺ ทําไมจึงมิอาจปฏิเสธไดเลา ?
อัลลอฮฺตรัสวา:
w v u ts r q p o n m l m
c b a ` _ ~ } |{ z y x
l i h gf ed
ความวา: พวกเจาอยาทําใหการรองเรียกของเราะสูลในหมูพวกเจา เปน
เชนเดียวกับการรองเรียกระหวางพวกเจาดวยกันเอง แนนอนอัลลอฮฺทรงรู
บรรดาผูที่แอบหลีกออกไปในหมูพวกเจา ดังนั้นบรรดาผูที่ฝาฝนคําสั่งของ
เขา (มุหัมมัด) จงระวังตัวเถิดวา ฟตนะฮฺจะเกิดขึ้นแกพวกเขา หรือวาการ
ลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแกพวกเขาเชนกัน6

ทานอิหมามอะหฺมัดไดกลาววา: ทานรูหรือไมวาฟตนะฮฺนั้นคืออะไร? ฟตนะฮฺคือการตั้ง


ภาคี เมื่อเขาปฏิเสธบางคําพูดของทาน (นบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ความหลงทาง
อาจติดตรึงในหัวใจของเขา แลวเขาก็จะประสบกับความหายนะในที่สุด
ดังนั้น เสบียงแรกที่นักดาอียควรตระเตรียมไวคือความรูที่สืบสายมาจากอัลกุรอานและ
สุนนะฮฺของทานเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดวยสายสืบที่ถูกตอง หากการดะอฺ
วะฮฺตั้งอยูบนหลักของอวิชชา แทจริงแลว มันคือการดะอฺวะฮฺสูความเขลา และการดะอฺวะฮฺที่
ตั้งอยูบนหลักของอวิชชานั้นโทษของมันยอมมากกวาประโยชน เนื่องจากนักดาอียอยูในสถานะ
ของผูชี้แนะ หากเขาเปนผูไมมีความรู ใชเพียงแตเขาเทานั้นที่จะหลงทาง แตทวาเขายังนําพา
ผูคนอีกหลายๆ คนสูการหลงทางอีกดวย –ขออัลลอฮฺทรงคุมครองเราดวยเถิด- ความอวิชชา
ของเขานี้ เรียกวา “ญะฮฺลุน มุร็อกกับ” (‫ )ﺟﻬﻞ ﻣﺮ ﺐ‬หรือ “ตัวเองไมรู แตไมรูตัววาตนนั้นไมรู”
ซึ่งเปนอันตรายยิ่งกวาการไมรูแบบธรรมดาหรือการไมรูแลวรูวาตัวเองไมรู เพราะการไมรูแบบ
ธรรมดานั้นเขาจะเงียบและไมพูดอะไร และยังพอที่จะสั่งสอนได แตคนที่ไมรูแลวยังอวดฉลาด
นั้นเปนปญหายิ่ง คนประเภทนี้จะไมนิ่งเงียบแตเขาจะพูดแมแตในเรื่องที่ตัวเองไมมีความรู และ
เมื่อเปนเชนนี้แลวเขาก็คือผูบอนทําลายมากกวาจะเปนผูที่นําแสงสวาง
                                                            
6
อัน-นูรฺ, 24 : 63

 
พี่นองทั้งหลาย !
การดะอฺ ว ะฮฺสู อัล ลอฮฺโดยไมมีเ สบียงความรูนั้น มันขั ดแยงกับแนวทางของทานนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแนวทางของผูเจริญรอยตามทาน
พวกทานจงสดับฟงคําตรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ทรงสั่งใชแกนบีของพระองควา:
} |{ z y x w vu t s r q pm
l c b a ` _ ~
ความวา : จงกลาวเถิด (มุหัมมัด) นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกรองไปสูอัล
ลอฮฺ อ ย า งประจั ก ษ แ จ ง ทั้ ง ตั ว ฉั น และผู ป ฏิ บั ติ ต ามฉั น และมหาบริ สุ ท ธิ์
แหงอัลลอฮฺ ฉันมิไดอยูในหมูผูตั้งภาคี7

พระองคไดตรัสวา "ฉันเรียกรองไปสูอัลลอฮฺอยางประจักษแจง ทั้งตัวฉันและผูปฏิบัติ


ตามฉั น " นั่ น คื อ ปฏิ บั ติ ต ามท า นนบี ศ็ อ ลลั ล ลอฮุ อ ะลั ย ฮิ ว ะสั ล ลั ม ดั ง นั้ น จํ า เป น ที่ เ ราจะต อ ง
เรียกรองไปสูอัลลอฮฺอยางประจักษแจง (ดวยความรู) มิใชอยางไมมีความรู
นักดาอียทั้งหลาย !
ทานจงสังเกตและใครครวญคําตรัสของอัลลอฮฺที่วา “อยางประจักษแจง” นั่นคือประจักษ
แจงในสามประการ
หนึ่ ง ประจั กษ แ จ ง ในสิ่ ง ที่ เ ขากํ าลั ง ดะอฺ ว ะฮฺอ ยู นั่น คือ การที่ เ ขาจํ า เปน จะตอ งมี
ความรูอยางชัดแจงเกี่ยวกับบทบัญญัติตางๆ ในสิ่งที่กําลังเผยแพรอยู เนื่องจากบางทีเขาอาจ
กําลังเชิญชวนสูสิ่งที่เขาคิดวาเปนวาญิบ(ความจําเปนบังคับ) ทั้งๆ ที่ในบทบัญญัติของอัลลอฮฺ
แลวไมไดเปนสิ่งที่วาญิบ เมื่อเปนเชนนี้แลวก็เทากับวาเขากําลังบังคับบาวของอัลลอฮฺใหถือ
ปฏิบัติในสิ่งที่พระองคไมไดบังคับใช และบางทีเขาอาจเชิญชวนใหละทิ้งบางสิ่งบางอยางโดยคิด
วามันเปนสิ่งที่หะรอม(ความจําเปนตองละทิ้ง) ทั้งๆที่ในบทบัญญัติของอัลลอฮฺไมไดเปนสิ่งที่หะ
รอมแตประการใด เมื่อเปนเชนนี้ก็เทากับวาเขากําลังหามบาวของพระองคในสิ่งที่พระองคทรง
อนุมัติ

สอง ประจักษแจงถึงสภาพของผูที่จะถูกดะอฺวะฮฺ(กลุมเปาหมายที่เขาทําการดะอฺ
วะฮฺ) เมื่อครั้งที่ทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไดสงทานมุอาซฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ไปยัง
ประเทศเยเมน ทานไดกลาวกําชับแกทานมุอาซฺวา “แทจริงแลวทานกําลังจะเผชิญกับชนกลุม
หนึ่งจากชาวคัมภีร” ทั้งนี้ ก็เพื่อใหมุอาซฺไดรับรูถึงสภาพของบุคคลที่เขากําลังจะเชิญชวนเพื่อจะ
ไดเตรียมตัว ฉะนั้นแลวจําเปนอยางยิ่งที่ทานจะตองรูถึงสภาพของบุคคลที่ทานจะเชิญชวนวา
ระดับความรูและระดับการตอบโตของเขาอยูในเกณฑใด ทั้งนี้ ก็เพื่อที่ทานจะไดเตรียมพรอม
และตอบโตเขาได เพราะเมื่อทานถลําสูการโตเถียง แลวเขาเหนือกวาทาน เชนนี้แลวมันทําจะให
เกิดเคราะหรายอันใหญหลวงแกสัจธรรมและทานก็คือตนเหตุในเรื่องนั้น ทานอยาเพิ่งคิดวาสิ่งที่

                                                            
7
ยูสุฟ, 12 : 108

 
บาฏิล(ไมถูกตอง)จะตองมลายหายไปเสมอ เพราะทานเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได
กลาววา :
‫ وﻟﻌﻞ ﺑﻌﻀﻜﻢ أن ﻳﻜﻮن أﺤﻟﻦ ﺤﺑﺠﺘﻪ ﻣﻦ ﺑﻌﺾ‬، ‫»إﻧﻜﻢ ﺨﺗﺘﺼﻤﻮن إﻲﻟ‬
«‫ﺑﻨﺤﻮ ﻤﻣﺎ أﺳﻤﻊ‬ ‫ﻓﺄﻗ‬
ความวา : “แทจริงพวกทานไดยกขอพิพาทมาใหฉันตัดสิน บางที คนบางคน
ในหมูพวกทานอาจมีวาทศิลปดีกวาในการพูดยกอางหลักฐาน ดังนั้น ฉันจึง
ตัดสินใหกับเขาดวยเพราะสิ่งที่ฉันไดยิน(ดวยเกณฑผิวเผินที่คูกรณียกอาง
มา ซึ่งอาจจะไมตรงกับขอเท็จจริงแตอยางใด)”

นี่คือสิ่งที่แสดงใหเห็นวาผูที่โตเถียงถึงแมวาเขาจะยืนอยูบนสัจธรรมก็จริง แตเมื่อคูกรณี
มีวาทศิลปและตรรกะในการพูดและยกหลักฐานดีกวา การโตเถียงก็จะถูกตัดสินใหเขาเหนือกวา
ได ฉะนั้นแลว จําเปนที่ทานจะตองรูถึงสถานะของบุคคลที่ถูกเชิญชวนดวย

สาม ประจักษถึงกลยุทธในการดะวะฮฺ
อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา ตรัสวา:
¡  ~ }| { z y x w v m
° ¯ ® ¬« ª © ¨ § ¦ ¥ ¤ £¢
l ±
ความวา: จงเรียกรองสูแนวทางแหงพระเจาของสูเจาโดยหิกมะฮฺ(วิทย
ปญญา, หลักฐานอันชัดเจนตามกาลเทศะของมัน)และดวยการตักเตือนที่ดี
และจงโตแยงพวกเขาดวยสิ่งที่ดีกวา แทจริง พระเจาของเจานั้นพระองคทรง
รูดียิ่งถึงผูที่หลงออกจากทางของพระองค และพระองคทรงรูดียิ่งถึงบรรดาผู
ที่อยูในทางที่ถูกตอง8

บางคนเมื่อเห็นสิ่งที่เปนมุงกัรฺ (สิ่งที่ขัดกับหลักศาสนา) เขาก็โหมโจมตีอยางรุนแรง โดย


มิไดคํานึงถึงผลกระทบที่จะตามมา มิใชเฉพาะแกตัวเขาเทานั้นแตยังจะสงผลตอนักดาอียผูเชิญ
ชวนสูสัจธรรมคนอื่นๆ อีกดวย
ดังนั้น จําเปนอยางยิ่งสําหรับนักดาอียทุกคนกอนที่จะขับเคลื่อนใดๆ ตองใครครวญให
มากถึงผลกระทบที่จะตามมาและพิเคราะหพิจารณาเปรียบเทียบชางน้ําหนักเสียกอน ฉะนั้น ฉัน
จึ ง ใคร ข อให พี่ น อ งนั ก ดาอี ย ทุ ก คนใช หิ ก มะฮฺ ( วิ ท ยป ญ ญา) ค อ ยเป น ค อ ยไปอย า ได รี บ ร อ น
ถึงแมวาผลของมันอาจจะไมรวดเร็วทันใจ แตมันจะเปนผลสําเร็จอยางแนนอนในที่สุด –ดวย
ความประสงคของอัลลอฮฺ-
เมื่อเป น เช นนี้ แล ว –ฉั น หมายถึ ง การที่นั ก ดาอียต อ งตระเตรีย มเสบีย งของความรู ที่
ถูกตองซึ่งอยูบนฐานของอัลกุรอานและสุนนะฮฺของทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม - สิ่ง
                                                            
8
อัน-นะหฺลุ, 16 : 125

 
ที่มาบงชี้วานักดาอียจําเปนจะตองมีความรูอยูบนฐานของอัลกุรอานและสุนนะฮฺมิไดมีเฉพาะ
หลักฐานจากศาสนบัญญัติเทานั้น หากแตหลักการทางสติปญญาก็เปนสิ่งที่บงชี้ไดเชนกัน เมื่อ
ทานใชสติปญญาใครครวญจะพบวา ทานจะดะอฺวะฮฺสูหนทางของอัลลอฮฺไดอยางไรหากทานยัง
ไมมีความรูอยางชัดแจงถึงเสนทางที่จะนําไปสูพระองค อีกทั้งยังไมรูถึงบทบัญญัติของพระองค
แลวทานจะเปนนักดาอียสูอัลลอฮฺไดอยางไร ?
ดังนั้น เมื่อไมมีความรู สิ่งแรกที่จะตองทําก็คือควรพยายามขวนขวายหาความรูเสียกอน
บางทีอาจมีบางคนทวงติงวา การกลาวเชนนี้ไมคานกับคําพูดของทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ
วะสัลลัม ดอกหรือที่วา:
«‫»ﺑﻠﻐﻮا ﻋﻲﻨ وﻟﻮ آﻳﺔ‬
ความวา: “พวกทานจงเผยแพรจากฉันถึงแมวาจะหนึ่งอายะฮฺก็ตาม”

คําตอบคือ ไม , เพราะทานเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กลาววา : "จาก


ฉัน"
สิ่งที่เราจะเผยแพรจําเปนตองที่จะตองมาจากทานเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ
วะสัลลัม และนี่คือความหมายของคําพูดเรา(ที่บอกวาตองมีความรูเสียกอน นั่นคือความรูที่มา
จากทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) และเมื่อเราบอกวานักดาอียจําเปนจะตองมีความรู
เรามิไดหมายความวาเขาตองบรรลุถึงความรูทั้งหมด แตเราหมายถึงเขาจะไมเผยแพรนอกจาก
สิ่งที่เขารู และไมพูดนอกจากสิ่งที่เขาทราบเทานั้น

เสบียงที่สอง : ความอดทน

นักดาอียตองเปนผูที่มีความขันติอดทน
- อดทนในการดําเนินงานดะอฺวะฮฺ
- อดทนตออุปสรรคของการดะอฺวะฮฺ
- และอดทนตอความเดือดรอนที่นักดาอียอาจตองประสบ
อดทนในการดําเนินงานดะอฺวะฮฺ
นั่นคือนักดาอียตองเปนผูที่มีความอุตสาหะ ไมละทิ้ง และไมเบื่อหนาย แตใหยืนหยัดใน
งานดะอฺวะฮฺจนสุดความสามารถ ยืนหยัดในขายกรณีที่การดะอฺวะฮฺมีประโยชนกวา ดีกวา และมี
ผลยิ่งกวา เขาจงอดทนและอยาเบื่อหนาย เพราะเมื่อใดก็ตามที่ความเบื่อไดยางเขามาในชีวิตนัก
ดาอีย ความเหนื่อยหนายและการละทิ้งก็จะตามมาในที่สุด แตถาเขามีความอุตสาหะและอดทน
ในการดะอฺวะฮฺ แทจริง เขาจะไดรับผลบุญเปนผลบุญในระดับของเหลา อัศ-ศอบิรีน (บรรดาผูที่
อดทน) และสุดทายเขาจะประสบกับความสําเร็จอยางแนนอน
อัลลอฮฺไดตรัสแกนบีทานหนึ่งวา:
r q p o n m l kj i h g f e m
l { z y x wv ut s

 
ความวา: เหลานั้นคือสวนหนึ่งจากเรื่องราวอันเรนลับที่เราไดประทานวิวรณ
มายังเจา(มุหัมมัด) เจาไมรูเรื่องนี้และกลุมชนของเจาก็ไมรูมากอนเลย ดังนั้น
เจาจงอดทน แทจริงบั้นปลายที่ดีนั้นจะบังเกิดขึ้นสําหรับบรรดาผูยําเกรง9

อดทนตออุปสรรคของการดะอฺวะฮฺ
นักดาอียตองเปนผูที่มีความอดทนตออุปสรรคตางๆ นานาของการดะอฺวะฮฺ จากการถูก
ตอตานและตอบโต เพราะทุกคนที่ยางกาวสูสนามดะอฺวะฮฺยอมหนีไมพนการถูกตอตานและขัด
ขวางอยางแนนอน ดั่งที่อัลลอฮฺตรัสวา:
¾ ½ ¼ »º ¹ ¸ ¶ µ ´ ³m
l À ¿
ความวา: และเชนนั้นแหละ เราไดทําไดทําไดมีศัตรูผูกระทําผิดแกนบีทุกคน
และพอเพียงแลวที่ พระเจาของเจาเปนผูแนะทางฮิดายะฮฺ และทรงเปนผู
ชวยเหลือ10

สัจธรรมของการดะอฺวะฮฺคือยอมมีผูตอตาน คัดคาน ตอบโต และใสไคลเคลือบแคลง แต


ทั้งนี้ นักดาอียจําเปนตองอดทนและฝาฟนอุปสรรคตางๆ เหลานั้นใหได ถึงแมจะถูกครหาวาการ
ดะอฺ ว ะฮฺ ของเขานั้ นผิ ดหรื อจอมปลอม ตราบใดที่การดะอฺว ะฮฺของเขานั้นตั้งอยูบนหลักการ
ของอัลกุรอานและสุนนะฮฺของทานเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เขาก็จงอดทนตอ
อุปสรรคเหลานั้นเถิด
แตก็มิไดหมายความวา ใหเขายืนกรานในสิ่งที่เขาพูดและเผยแพร(ในสิ่งที่เขาคิดวาถูก
แตมันกลับผิดในขอเท็จจริง)ทั้งๆ ที่สัจธรรมไดประจักษแกเขาแลว ผูที่ยืนกรานหรือดื้อดึงอยูกับ
สิ่งที่เขาเผยแพรทั้งๆ ที่ความถูกตองนั้นคานกับสิ่งที่เขานําเสนอ ก็ยอมเสมือนกับบุคคลที่อัลลอ
ฮฺไดตรัสไววา

lu n m l k ji m
ความวา: พวกเขาโตเถียงกับเจาในความจริงหลังจากที่มันไดประจักษขึ้น
แลว11

การตอตานสัจธรรมหลังจากที่มันไดประจักษขึ้นคือคุณลักษณะที่ถูกตําหนิ อัลลอฮฺได
ตรัสถึงผูที่มีคุณลักษณะนี้วา:

                                                            
9
ฮูด, 11 : 49
10
อัล-ฟุรฺกอน, 25 : 31
11
อัล-อันฟาล, 8 : 6

 
i h gf e d c b a ` _ ^ m
l s r q po n m l k j
ความวา: และผูใดที่ฝาฝนเราะสูลุลลอฮฺหลังจากที่คําแนะนําอันถูกตองได
ประจั ก ษ แ ก เ ขาแล ว และเขายั ง ปฏิ บั ติ ต ามในสิ่ ง ที่ มิ ใ ช ท างของบรรดาผู
ศรั ท ธานั้ น เราก็ จ ะให เ ขาหั น ไปตามที่ เ ขาไดหั น ไป และเราจะให เ ขาเข า
นรกญะฮันนัม และมันเปนที่กลับอันชั่วราย12

โอนักดาอีย !
หากสิ่งที่มาคานกับการเผยแพรของทานคือสัจธรรม ทานก็จงนอมรับมันแตโดยดี(อยา
ถือทิฐิและผลักไสสัจธรรมนั้น) แตถาหากมันเปนสิ่งจอมปลอมทานก็จงอยาเพิ่งหมดกําลังใจที่จะ
เดินไปขางหนาในการทํางานดะอฺวะฮฺของทาน

อดทนตอความเดือดรอนที่นักดาอียอาจตองประสบ
และเชนเดียวกัน นักดาอียตองอดทนตอความเดือดรอน เพราะนักดาอียยอมตองเผชิญ
กับมันไมวาจะโดยทางวาจาหรือการกระทํา แมแตบรรดาศาสนทูตของอัลลอฮฺก็ยังถูกรังควานทั้ง
ดวยวาจาและการกระทํา
อัลลอฮฺตรัสวา:
l NM L K J I H G F E D C B A m
ความวา: เชนนั้นแหละ ไมมีเราะสูลคนใดมายังบรรดา(หมูชน)กอนหนา
พวกเขา เวนแตพวกเขากลาวหาวาเราะสูลนั้นเปนนักเลนกลหรือคนบา13

ทานมีความคิดเห็นเชนไรตอผูทีไดรับวะฮียฺจากพระผูอภิบาล แตเขากลับถูกตราหนาวา
เปนนักไสยศาสตรหรือคนวิกลจริต ? มิตองสงสัยเลยวาเขายอมรูสึกเจ็บปวด แตถึงกระนั้น
บรรดาศาสนทูตก็อดทนตอสิ่งที่พวกเขาไดรับความเดือนรอนจากคําพูดครหาและการกระทํา
สรางความเดือดรอนเหลานั้น
ทานจงครุนคิดถึงเราะสูลคนแรก นั่นคือนบีนูหฺ อะลัยฮิสสลาม ดูสิวา กลุมชนของเขาได
เดินผานมาในขณะที่เขากําลังสรางเรืออยู พวกเขาไดเยยหยันและดูแคลนทานนบีนูหฺ แลวทานก็
ตอบไปวา

W V U TS R Q P O N Mm
l ` _ ^ ] \ [ Z Y X

                                                            
12
อัน-นิสาอ, 4 : 116
13
อัซ-ซาริยาต, 51 : 52

 
ความวา: หากพวกทานเยาะเยยพวกเรา แทจริงเราก็จะเยาะเยยพวกทาน
เชนเดียวกับที่พวกทานเยาะเยย แลัวพวกทานก็จะรูวาผูใดที่การลงโทษอัน
อัปยศจะมายังเขา และการลงโทษอันยั่งยืนจะประสบแกเขา14

ไมเพียงแคการเยยหยันเทานั้น แตพวกเขายังขูจะหมายชีวิตนบีนูหฺ อะลัยฮิสสลาม อีก


ดวย
l d c b a ` _ ^ ] \m
ความวา: พวกเขากลาววา โอ นูหฺ หากทานไมหยุดยั้ง (จากการดะอฺวะฮฺ)
แนนอนทานจะอยูในหมูผูถูกขวางดวยกอนหิน15

นั่นคือ ทานจะเปนผูหนึ่งที่ถูกฆาโดยการถูกปาดวยกอนหิน ดังกลาวนี้คือการขูฆาพรอม


กับสําทับวาพวกเขาจะขวางปาคนอื่นๆ อีกดวยเพื่อสําแดงถึงอํานาจ และทานก็จะเปนผูหนึ่งที่
ถูกปาดวย แตทั้งนี้ก็มิไดทําใหทานนบีนูหฺหวาดผวาและหยุดนิ่งจากการดะอฺวะฮฺ ทวาทานยังคง
เดินหนาและเผยแผศาสนาจนสุดทายอัลลอฮฺไดเปดทางนําแกกลุมชนของนบีนูหฺ
ทานนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ก็เชนเดียวกัน กลุมชนของทานไดปฏิเสธอีกทั้งยัง
ประจานทานตอหนามหาชน
l c b a` _ ^] \ [m
ความวา: พวกเขากลาววา พวกทานจงนําเขามาทามกลางสายตาของ
ประชาชน หวังวาเขาทั้งหลายจะไดเปนพยาน16

หลังจากนั้นพวกเขาไดขูหมายเอาชีวิตดวยวิธีการเผา
l¦ ¥ ¤£ ¢ ¡  ~ m
ความวา: พวกเขากลาววา จงเผาเขาเสีย และจงชวยเหลือพระเจา(รูป
เคารพ)ทั้งหลายของพวกทาน หากพวกทานจะกระทําเชนนั้น17

แลวพวกเขาก็ไดกอไฟอันมหึมา และไดโยนนบีอิบรอฮีมดวยหนังสติ๊กใหญ เพราะพวก


เขามิอาจอยูใกลกองไฟไดเนื่องจากความรอน แตทวาพระผูอภิบาลผูทรงเกรียงไกรไดตรัสวา:
l¯® ¬ « ª © ¨ § m
ความวา: เรา (อัลลอฮฺ) กลาววา ไฟเอย จงเย็นลงและใหความปลอดภัย
แกอิบรอฮีมเถิด18
                                                            
14
ฮูด, 11 : 38 – 39
15
อัช-ชุอะรออ, 26 : 116
16
อัล-อัมบิยาอ, 21 : 61
17
อัล-อันบิยาอ, 21 : 63
18
อัล-อัมบิยาอ, 21 : 69
10 
 
แลวไฟก็ไดเย็นลงและมีความปลอดภัย และทานนบีอิบรอฮีมก็รอดพนจากเปลวไฟอัน
ลุกโชนนั้น สุดทายชัยชนะก็ประสบแกทาน
lµ´ ³ ² ± ° m
ความวา: และพวกเขาปรารถนาที่จะวางแผนรายแกเขา (คือตองการจะเผาน
บีอิบรอฮีม) แตเราไดทําใหพวกเขาประสบกับความสูญเสียมากยิ่งกวา19

ทานนบีมูซาก็เชนเดียวกัน ฟรฺเอานฺไดขูหมายจะเอาชีวิตทาน:
L K J I HG F E D C B A m
lT S R Q P O N M
ความวา: (ฟรฺเอานฺกลาววา) จงปลอยฉัน ฉันจะฆามูซา และใหเขาวิงวอนขอ
ตอพระเจาของเขา แทจริงฉันเกรงวา เขาจะมาเปลี่ยนศาสนาของพวกทาน
หรือจะกอความหายนะใหเกิดขึ้นในแผนดิน20

แตสุดทายชัยชนะก็ประสบแดนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม
l m lkj i hm
ความวา: และการลงโทษที่เลวรายก็จะหอมลอมบริวารของฟรฺเอานฺ21

ทานนบีอีซา อะลัยฮิสสลาม ก็เชนเดียวกัน ทานตองเผชิญกับการขมเหงรังแกจาก


ชาวยิว อีกทั้งยังถูกกลาวหาทานวาเปนลูกนอกสมรส และพวกเขาก็ไดฆาและตรึงกางเขนทาน
–ตามความเชื่อของพวกเขา- แตอัลลอฮฺ สุบหาะฮุวะตะอาลา ตรัสวา:
v u t s r q po n m l k j i m
g f e d c b a` _ ~ } | { z y xw
l o n m l k ji h
ความวา: และพวกเขาหาไดฆาอีซาและหาไดตรึงเขาบนไมกางเขนไม แต
ทว า เขา(ผู ต รึ ง กางเขนนั้ น )ถู ก จํ า แลงให ดู เ หมื อ น(อี ซ า)แก พ วกเขา และ
แทจริงบรรดาผูที่ขัดแยงในตัวเขานั้น แนนอนยอมอยูในความสงสัยเกี่ยวกับ
เขา พวกเขาหามีความรูใดๆ ตอตัวเขาไม นอกจากคลอยตามความนึกคิด
เทานั้น และพวกเขามิไดฆาเขาดวยความแนใจ หามิได อัลลอฮฺไดทรงยก

                                                            
19
อัล-อัมบิยาอ, 21 : 70
20
ฆอฟรฺ, 40 : 26
21
ฆอฟรฺ, 40 : 45
11 
 
เขา(อีซา)ขึ้นไปยังพระองคตางหาก และอัลลอฮฺเปนผูทรงเดชานุภาพ ผูทรง
ปรีชาญาณเสมอ22

แลวพระองคก็ทรงชวยเหลือใหนบีอีซารอดพนจากพวกเขา
และนี่ ศาสนทูตทานสุดทาย ผูนําของบรรดาศาสนทูตและเปนผูนําของลูกหลานอาดัม
นบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺไดตรัสเกี่ยวกับทานวา:
k ji hg f e d c b a ` m
l r q p o nm l
ความวา: และจงรําลึกขณะที่บรรดาผูปฏิเสธศรัทธาวางอุบายตอเจา เพื่อ
กั ก ขั ง เจ า หรื อ ฆ า เจ า หรื อ ขั บ ไล เ จ า ออกไป และพวกเขาวางอุ บ ายกั น
และอัลลอฮฺก็ทรงวางอุบาย และอัลลอฮฺนั้นทรงเปนผูเยี่ยมกวาในหมูผูวาง
อุบาย23

l s r q ponmlkm
ความวา: และพวกเขากลาววา โอผูซึ่งขอตักเตือนถูกประทานแกเขา แทจริง
ทานเปนคนบาอยางแนนอน24

l sr q po n mm
ความวา: และพวกเขาจะกลาววา จะใหเราทอดทิ้งพระเจาตางๆ ของพวกเรา
เพื่อนักกวีบาคนหนึ่งกระนั้นหรือ?25

ทานไดรับการขมเหงจากพวกเขาไมวาจะโดยการกระทําหรือคําพูดดั่งที่รูกันในหมูนัก
ประวัติศาสตรอิสลาม แตถึงกระนั้นทานก็อดทน
ดังนั้น นักดาอียทุกคนจึงตองประสบกับอุปสรรคอยางเลี่ยงไมพน แตเขาก็ตองอดทน
ฉะนั้นครั้นเมื่ออัลลอฮฺ ไดตรัสแกเราะสูลของพระองควา
lÝ ÜÛ ÚÙ Ø × m
ความวา: แทจริงเราไดประทานอัลกุรอานใหแกเจาเปนขั้นตอน26

สิ่งที่ถูกคาดหวังไวก็คือ พระองคจะกลาวหลังจากอายะฮฺนั้นวา และจงขอบคุณตอนิอฺมัติ


ของอัลลอฮฺที่ไดประทานอัลกุรอาน แตหาเปนเชนนั้นไม พระองคกลับตรัสวา
                                                            
22
อัน-นิสาอ, 4 : 157 - 158
23
อัล-อันฟาล, 8 : 30
24
อัล-หิจญรฺ, 15: 6
25
อัศ-ศ็อฟฟาต, 37 : 36
26
อัล-อินสาน, 36 : 23
12 
 
lç à ß Þm
ความวา: ดังนั้น เจาจงอดทนตอขอตัดสินของพระเจาของเจา27

นี่ก็เปนการบงบอกวาทุกคนที่ยืนหยัดในสิ่งที่อัลกุรอานไดกลาว จําเปนที่จะตองประสบ
กับสิ่งที่จะตองมีความอดทนอยางมหาศาล ดังนั้น จําเปนสําหรับนักดาอียที่จะตองเปนผูมีความ
ขันติอดทนอยางสูงและยืนหยัดในงานดะอฺวะฮฺจนอัลลอฮฺจะเปดประตูความสําเร็จใหแกเขา ไม
จําเปนวาความสําเร็จนั้นจะตองเกิดขึ้นในชวงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู ประการสําคัญก็คือสิ่งที่เขา
ไดเผยแพรนั้นยังคงอยูและถูกนํามาปฎิบัติตลอดไป ตัวบุคคลมิไดเปนสิ่งสําคัญ ที่สําคัญคืองาน
ดะอฺวะฮฺ
ถาหากงานดะอฺวะฮฺของเขายังคงเหลือใหเห็นอยู แมวาเขาจะจากไปแลวก็ตาม แทจริง
แลว เขาก็เสมือนยังมีชีวิตอยูนั่นเอง
r qp o n m l kj ih gm
l ¡ yx w v u t s
ความวา: หรือวาผูที่ตาย แลวเราไดใหเขามีชีวิตขึ้น และเราไดใหแสงสวาง
แกเขาซึ่งเขาใชแสงสวางนั้นเดินทางไปในหมูมนุษยจะเหมือนกับผูที่เสมือน
อยูในบรรดาความมืดโดยไมเคยออกจากมันเลยกระนั้นหรือ28

ที่จริงแลว ชีวิตของนักดาอีย ไมใชแคเฉพาะใหวิญญาณยังคงอยูในรางกายของเขา


เทานั้น แตคือการใหผลงานการดะอฺวะฮของเขายังคงมีชีวิตอยูในหมูผูคน จงดูเรื่องราวของอบู
สุ ฟ ยาน กั บ ฮิ ร็ อ กฺ ล (Heraclius) 29 เมื่ อ เขาทราบข า วการบั ง เกิ ด ขึ้ น ของท า นนบี มุ หั ม มั ด
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เขาก็ไดเรียกทานอบู สุฟยาน และไดถามเรื่องตางๆ เกี่ยวกับทาน
ถามถึงรูปรางของทาน เชื้อสายวงศตระกูลของทาน สิ่งที่ทานไดเผยแพร และถามถึงสาวกของ
ทาน และเมื่ออบู สุฟยานไดตอบคําถามของฮิร็อกฺลทั้งหมดตามความเปนจริง เขาก็ไดบอก
กับอบู สุฟยานวา "หากสิ่งที่ทานกลาวมานั้นเปนความจริงแลวไซร สักวันเขาจะครอบครองสิ่งที่
อยูใตฝาเทาของขาทั้งสองนี้"
สุบหานัลลอฮฺ !
ใครจะคาดคิดวากษัตริยแหงราชอาณาจักรจะเอยคําพูดเชนนี้กับนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอ
ฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทั้งๆ ที่ขณะนั้นทานยังไมไดปลดแอกคาบสมุทรอาหรับจากการเปนทาสของ
ชัยฏอนและอารมณใฝต่ําเลย ใครเลยจะคาดคิดวาชายผูคนนี้จะเอยคําพูดเชนนั้นได ? และดวย
เหตุนี้ เมื่อทานอบู สุฟยานไดเดินทางออกไป ทานไดกลาวแกกลุมชนของทานวา
َ ْ ُ ُ ُ َ َ ُ َّ َ َ ْ َ َ َْ َ ْ ََ
‫ ِإﻧﻪ ﺨﻳﺎﻓﻪ َﻣ ِﻠﻚ ﺑَ ِﻰﻨ اﻷﺻﻔﺮ‬،‫ﻟﻘﺪ أ ِﻣ َﺮ أﻣ ُﺮ اﺑْ ِﻦ أ ِﻰﺑ ﻛﺒﺸﺔ‬

                                                            
27
อัน-อินสาน, 36 : 24
28
อัล-อันอาม, 6 : 122
29
กษัตริยของโรม
13 
 
ความวา: เรื่องของอิบนุ อบี กับชะฮฺ (หมายถึงทานนบีมุหัมมัด) นั้นใหญ
หลวงนั้น แทจริงกษัตริยกรุงโรมนั้นเกรงกลัวเขา

ทานนบีไดครอบครองอํานาจของเฮราคลีอุส (ฮิร็อกฺล) ก็เนื่องดวยการดะอฺวะฮฺของทาน


หาใชเพราะตัวของทานเอง เพราะการดะอฺวะฮฺของทานไดขจรไปทั่วพื้นแผนดินนี้ และไดทําลาย
บรรดาเจว็ด การตั้งภาคี และผูที่นิยมชมชอบมัน บรรดาเคาะลีฟะฮฺผูทรงปราชญไดปกครองผืน
แผนดินหลังจากทานนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ดวยเพราะการดะอฺวะฮฺและชะ
รีอะฮฺ (กฎหมาย) ของทา นนบี ฉะนั้น นั ก ดาอียต องอดทนอดกลั้น และสุดท ายชั ย ชนะก็จ ะ
ประสบแกเขาในชวงที่เขายังมีชีวิตอยู หรืออาจจะหลังจากที่เขาไดเสียชีวิตไปแลวหากเขามี
ความเชื่อมั่นและบริสุทธิ์ใจตออัลลอฮฺ ตะอะลา

£ ¢ ¡  ~} | { z y x m
l « ª © ¨§ ¦ ¥ ¤
ความวา: มูซาไดกลาวแกพวกพองของเขาวา จงขอความชวยเหลือตออัลลอ
ฮฺเถิด และจงอดทนดวย แทจริง แผนดินนั้นเปนสิทธิของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค
จะทรงใหมันสืบทอดแกผูที่พระองคทรงประสงค จากปวงบาวของพระองค
และบั้นปลายนั้นยอมเปนของผูยําเกรงทั้งหลาย30

อัลลอฮฺตรัสวา :
l s r qp o nm l kj i m
ความวา: แทจริง ผูใดที่ยําเกรงและอดทน แนนอน อัลลอฮฺจะมิทรงให
รางวัลของบรรดาผูทําความดีนั้นสูญหายไป31

 
เสบียงที่สาม : มีหิกมะฮฺ (วิทยปญญา)

ดังนั้น เขาจงดะอฺวะฮฺดวยหิกมะฮฺ ใหเริ่มการดะอฺวะฮฺสูอัลลอฮฺดวยหิกมะฮฺกอน หลังจาก


นั้น ก็ดวยการตักเตือนที่ดี (อัล-เมาอิเซาะฮฺ อัล-หะสะนะฮฺ) หลังจากนั้นก็ดวยการโตแยงดวยสิ่ง
ที่ดีกวาเฉพาะกับผูที่ไม มีความอยุติธรรม และสุดทายคือการโตแยงดวยกับสิ่งที่ไมไดดีกว า
สําหรับผูที่อยุติธรรม ฉะนั้น ลําดับขั้นทั้งหมดจึงมีสี่ประการ อัลลอฮฺ สุบหาะฮุวะตะอาลา ไดตรัส
วา:
l £¢ ¡  ~ }| { z y x w v m

                                                            
30
อัล-อะอฺรอฟ, 7 : 128
31
ยูสุฟ, 12 : 90
14 
 
ความวา จงเรียกรองสูแนวทางของพระผูอภิบาลของเจาดวยหิกมะฮฺและการ
ตักเตือนที่ดีและจงโตแยงพวกเขาดวยกับสิ่งที่ดีกวา32

และพระองคไดตรัสอีกวา:
l NM L K J I H G F E D C B m
ความวา: และพวกเจาอยาโตเถียงกับพวกอะฮฺลุลกิตาบเวนแตดวยวิธีที่ดีกวา
นอกจากบรรดาผูอธรรมในหมูพวกเขา33

การมีหิกมะฮฺคือ การมีความประณีตบรรจงในการงานตางๆ กลาวคือการจัดตําแหนง


ของกิจการงานตางๆ ตามสถานะความเหมาะสมของมันและวางมันในที่ของมัน การรีบรอนใน
ผูคนเปลี่ยนแปลงจากสภาพเดิมของเขาสูสภาพในยุคสมัยของบรรดาเศาะหาบะฮฺเพียงแครุงวัน
มิใชแนวทางของหิกมะฮฺ และใครที่ประสงคเชนนั้น แทจริงเขาเปนคนเบาปญญาและไมมีหิกมะฮฺ
เพราะหิกมะฮฺของอัลลอฮฺมิไดประสงคใหเปนเชนนั้น
และที่เปนหลักฐานในเรื่องดังกลาวก็คือ ทานนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ผู
ซึ่งเปนศาสนทูตของอัลลอฮฺ ผูที่อัลลอฮฺไดประทานคัมภีร พระองคไดบัญชาบทบัญญัติตางๆ
ใหแกทานอยางคอยเปนคอยไปจนกระทั่งมันไดยืนหยัดและสมบูรณ การละหมาดถูกบัญญัติ
กอนการฮิจญเราะฮฺสามป และบางรายงานระบุวาหนึ่งปครึ่ง และบางก็วาหาป ซึ่งเปนที่ขัดแยง
กันในบรรดาอุละมาอในเรื่องนี้ แตถึงกระนั้นก็มิไดถูกบัญญัติเหมือนรูปแบบในปจจุบัน กลาวคือ
แรกๆ นั้นการละหมาดถูกบัญญัติใหปฏิบัติเพียงสองร็อกอัตในเวลาซุฮรฺ, อัศรฺ, อิชาอ, ศุบหฺ และ
สามร็อกอัตในเวลามัฆริบ ทั้งนี้เพื่อเปนวิตรฺสําหรับชวงกลางวัน และหลังจากฮิจญเราะฮฺคือ
หลังจากสิบสามปที่ทานไดพํานักอยูมักกะฮฺ ก็ไดเพิ่มจํานวนร็อกอัตใหกับการละหมาดในชวงที่
พํานักกับภูมิลําเนา(ไมไดเดินทาง) กลาวคือ สี่ร็อกอัตในเวลาซุฮรฺ อัศรฺ และอิชาอ สวนศุบหฺ
ยังคงร็อกอัตตามเดิม เพราะในเวลาละหมาดศุบหฺนั้นจะมีการอานที่คอนขางยาว และมัฆริบก็
ยังคงสามร็อกอัตเพราะถือเปนวิตรฺสําหรับชวงกลางวัน
ซะกาตถู ก บั ญ ญั ติ ใ นป ที่ ส องของการฮิ จ ญ เ ราะฮฺ หรื อ ถู ก บัญ ญั ติ ที่ มั ก กะฮฺ (ตามบาง
ทัศนะ) แตทั้งนี้ ก็มิไดกําหนดอัตราสวนที่ตองจายและไมไดถือเปนศาสนบังคับแตประการใด
และทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็มิไดสงเจาหนาที่เก็บซะกาตจนกระทั่งถึงปฮิจญเราะฮฺ
ศักราชที่เกา
การจายซะกาตมีลําดับการบัญญัติสามขั้น คือ
- ที่มักกะฮฺ อัลลอฮฺตรัสวา
l ©¨ § ¦ ¥ m
ความวา: และจงจายสวนอันเปนสิทธิ์ใหมันดวยในวันแหงการเก็บเกี่ยวมัน34

                                                            
32
อัน-นะหฺลฺ : 125
33
อัน-อันกะบูต : 46
34
อัล-อันอาม : 141
15 
 
พระองคไมไดกลาววามันเปนศาสนบังคับและไมไดกําหนดอัตราสวนที่ตองจาย แตได
มอบภาระใหตามความประสงคของผูตองการจายซะกาต
- ในปที่สองของการฮิจญเราะฮฺ พระองคไดกําหนดอัตราสวน (นิศอบ) ของการจายซะ
กาต
- ในปที่เกาของการฮิจญเราะฮฺทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไดสงเจาหนาที่ไป
ยังผูเลี้ยงปศุสัตวและเกษตรกรเพื่อเก็บซะกาต
ทานจงใครครวญถึงบทบัญญัติของอัลลอฮฺที่ใหความสําคัญกับสภาพของผูคนเถิด และ
พระองคนั้นคือผูทรงปญญายิ่ง
และการถือศีลอดก็เชนเดี ยวกัน เปนที่ ทราบกั นดีวาบัญญัติการถื อศีล อดมี ลําดั บขั้ น
ในชวงแรกมีการใหเลือกระหวางการถือศีลอดและการใหอาหาร หลังจากนั้นก็เจาะจงใหถือศีลอด
อยางเดียว สวนการใหอาหารนั้นถู กกําหนดเปนบัญญั ติสําหรับผูที่ไมสามารถที่จะถือศีลอด
ตลอดไปได
ฉันขอกลาววา หิกมะฮฺของอัลลอฮฺมิไดประสงคใหโลกเปลี่ยนแปลงเพียงแคขามวัน แต
จําเปนที่ตองใชเวลา ทานจงเขาไปหาสหายของทานที่ทานตองการเชิญชวนเขา และจงเชิญชวน
เขาอยางคอยเปนคอยไปจนกระทั่งเขาไดละทิ้งสิ่งที่บาฏิล(จอมปลอม)ไป และจงอยามองมนุษย
วาอยูในระดับเดียวกัน เพราะคนที่ไมรูยอมตางจากคนที่ดื้อดึง
เปนการดียิ่งที่ฉันจะขอกลาวถึงตัวอยางการดะอฺวะฮฺของทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะ
ลัยฮิวะสัลลัม
ตัวอยางแรก มีชายคนหนึ่งจากชนบท (อะอฺรอบิยฺ) ไดเขาไปในมัสญิด ขณะนั้นทานนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และเศาะหาบะฮฺไดนั่งอยูในมัสญิดดวย แลวชายคนนั้นก็ไดปสสาวะ
ที่มุมหนึ่งของมัสญิด บรรดาเศาะหาบะฮฺก็ตางตะโกนไล แตทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ผูซึ่งอัลลอฮฺไดประทานหิกมะฮฺแกทาน ไดหามพวกเขา และเมื่อชายคนนั้นไดปสสาวะเปนที่
เรียบรอยแลว ทานก็ไดสั่งใชใหเอาน้ําหนึ่งถังแลวรดน้ําปสสาวะของเขา แลวรอยของน้ําปสสาวะ
ก็หมดไป หลังจากนั้นทานก็ไดเรียกชายคนนั้น แลวกลาววา “มัสญิดนี้ไมเหมาะและไมควรที่จะ
ใหมีสิ่งสกปรกหรือสิ่งที่กอความเดือดรอน แทจริงมันคือสถานที่เพื่อการละหมาดและอานอัลกุ
รอาน” แลวหัวใจของชายคนนั้นก็เปดรับคําตักเตือนของทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
เนื่องดวยเพราะการปฏิสัมพันธที่ดี และดวยเหตุนี้ ฉันพบวามีนักวิชาการบางทานไดระบุวาชาย
คนนั้นไดวิงวอนตออัลลอฮฺวา “โออัลลอฮฺ โปรดประทานความเมตตาปรานีแกและมุหัมมัดดวย
เถิด และพระองคจงอยาประทานความเมตตาปรานีแกคนอื่นใดอีก”
ทั้งนี้ เพราะท านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิว ะสัล ลัม ไดปฏิสั มพันธ กับเขาอย างดี ส ว น
บรรดาเศาะหาบะฮฺนั้นตางรีบเรงเพื่อยับยั้งสิ่งที่เปนความชั่วโดยมิไดตระหนักและมองถึงสภาพ
ของชายคนนั้นที่เปนคนไมมีความรู
ตัวอยางที่สอง ทานมุอาวิยะฮฺ อิบนุ อัล-หะกัมไดเขามาในขณะที่ทานนบี ศ็อลลัลลอ
ฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไดนําละหมาดผูคนอยู แลวมีชายคนหนึ่งในบรรดาเศาะหาบะฮฺที่ละหมาดอยู
นั้นไดจาม แลวเขาก็กลาววา “อัล-หัมดุลิลลาฮฺ” -เมื่อคนหนึ่งคนใดไดจามในขณะละหมาดใหเขา

16 
 
กลาววา “อัล-หัมดุลิลลาฮฺ” ไมวาเขาจะอยูในอิริยาบถยืน รุกูอฺ หรือสุูดก็ตาม”- ชายคนนั้นกลาว
วา “อัล-หัมดุลิลลาฮฺ” มุอาวิยะฮฺก็ตอบไปวา “ยัรฺหะมุกัลลอฮฺ” คํากลาวของมุอาวิยะฮฺนี้เปนคํา
กลาวของมนุษยซึ่งทําใหการละหมาดเปนโมฆะ แลวผูคนตางก็จองมองมุอาวิยะฮฺ
ทานก็กลาวขึ้นวา “แมพวกทานไดพรากไป” 35 แลวทานมุอาวิยะฮฺก็ละหมาดตอไปจน
เสร็จ แลวทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็เรียกเขา ทานมุอาวิยะฮฺกลาววา ฉันขอสาบาน
ดวยอัลลอฮฺ ฉันไมเคยเห็นผูสอนที่สอนไดดียิ่งกวาทานเลย ฉันขอสาบานตออัลลอฮฺ ทานไมไดดุ
วาและตวาดใสฉันเลย แตทานกลาววา: “แทจริงการละหมาดนี้ไมเหมาะกับคําพูดใดๆ ที่เปน
คําพูดของมนุษย แทจริงมันคือการตัสบีหฺ การตักบีรฺ และอานอัลกุรอาน”
ทานจงดูการเชิญชวนที่ถูกตอบรับนี้เถิด ผูคนยอมรับและเปดใจนอมรับ
สวนสาระทางฟกฮฺที่ไดจากหะดีษบทนี้คือ ใครก็ตามที่พูดในขณะละหมาดโดยที่เขาไมรู
วาการพูดในขณะละหมาดนั้นทําใหการละหมาดเปนโมฆะ การละหมาดของเขายังถือวาใชได
ตัวอยางที่สลาม ชายคนหนึ่งมาหาทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แลวกลาววา:
“ฉันบรรลัยแลว” ทานนบีถามเขาวา “อะไรละที่ทําใหทานบรรลัย?” เขาตอบวา: “ฉันหลับนอนกับ
ภรรยาของฉันในชวงกลางวันของเดือนเราะมะฎอนในขณะที่ฉันถือศีลอด” ทานนบีเลยใชใหเขา
ปลอยทาสเปนไท เขาตอบวา: “ฉันไมมีทาส” หลังจากนั้นทานนบีก็ใชใหเขาถือศีลอดสองเดือน
ติดตอกัน เขาตอบวา : “ฉั นไมมีความสามารถ” หลังจากนั้นทานก็ใ ชเขาให อาหารแกคนจน
จํานวน 60 คน เขาตอบวา “ฉันไมมีความสามารถ” แลวชายคนนั้นก็นั่งอยูชั่วครู จูๆ ก็มีคนมา
มอบผลอินผลัมใหแกทานนบี แลวทานก็กลาววา ทานจงเอานี้ไปบริจาค แตเขาเกิดความโลภใน
ความเอื้อเฟอของทานนบี ซึ่งทานเปนผูที่มีความเอื้อเฟอมากที่สุด แลวชายคนนั้นก็พูดขึ้นวา
“จะมีใครจนไปกวาฉันอีกละ โอทานเราะสูลุลลอฮฺ แทจริงแลวในนครมะดีนะฮฺนี้ไมมีใครจนไป
กวาฉันอีกแลว” ทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หัวเราะจนเห็นฟนกราม เพราะชายคนนี้มา
หาทานในสภาพที่ตื่นตระหนกและกลาววา “ฉันบรรลัยแลว” แลวเขาก็ไดกลับไปในสภาพที่ได
ลาภ โดยที่ ท า นนบี ศ็ อ ลลั ล ลอฮุ อ ะลั ย ฮิ ว ะสั ล ลั ม ได ก ล า วแก เ ขาว า “ท า นจงเอาไปให แ ก
ครอบครัวของทานเถิด” แลวชายคนนั้นก็เดินจากไปในสภาพที่สบายใจ อิ่มเอิบใจ และสุขใจ
ดวยศาสนา และนี่คือความสะดวกงายดายที่มาจากตัวนักดาอียคนแรกในอิสลาม ขอความสันติ
สุขจงมีแดทานดวยเถิด
ตัวอยางที่สี่: เรามาดูเถิดวาทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ประพฤติปฏิบัติ
อยางไรกับคนที่ไดกระทําผิด ทานไดเห็นชายคนหนึ่งสวมแหวนทองคําที่นิ้วมือของเขา แลวทาน
ก็ไดดึงแหวนวงนั้นออกจากนิ้วของเขาแลวโยนทิ้งลงบนพื้นดิน แลวทานก็พูดขึ้นวา: “คนหนึ่งคน
ใดที่ปรารถนาถานไฟจากนรกก็จงสวมมันที่นิ้วของเขา” ทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
                                                            
35
คําพูดนี้เปนคําพูดที่เอยโดยไมไดมีจุดมุงหมายในความหมายของมัน และทานนบี ‫ ج‬ก็ไดใชคํากลาวนี้แก
ทานมุอาซ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ในตอนที่ทานไดกลาวแกมุอาซฺวา “เอาไหมฉันจะบอกแกทานซึ่งสิ่งที่ครอบคลุม
ทั้งหมดดังที่ไดกลาวมา” ทานมุอาซฺตอบวา “เอาสิ ทานเราะสูลุลลอฮฺ” ทานตอบวา “ทานจงยับยั้งสิ่งนี้” แลว
ทานก็จับลิ้นของทาน ทานมุอาซกลาววา: “พวกเราจะถูกไตสวนในสิ่งที่เราไดพูดดวยกระนั้นหรือ?” ทานตอบ
วา “แมขอทานไดพรากทานแลวโอมุอาซฺ แลวที่มนุษยตองถลําหนาหรือจมูกในไฟนรกมิใชเพราะผลจากลิ้น
ของพวกเขาดอกหรือ?”

17 
 
มิไดปฏิบัติกับเขาเสมือนกับที่ทานปฏิบัติกับบุคคลกอนๆ ที่ยกตัวอยางมา กลาวคือทานดึงเอา
และโยนทิ้งลงบนพื้นดิน และเมื่อทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เดินจากไป ก็มีคนบอกแก
ชายคนนั้นวา “ทานเอาแหวานนั้นกลับมาสิ เผื่อทานจะไดเอาประโยชนจากมัน” แตเขาตอบ
กลับไปวา: “ฉันขอสาบานตออัลลอฮฺ ฉันไมมีวันหยิบแหวนที่ทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ
วะสัลลัม ไดโยนทิ้งแลว” อัลลอฮุอักบัรฺ นี้คือการปฏิบัติตามที่ยิ่งใหญของบรรดาเศาะหาบะฮฺ
ขออัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยตอพวกเขาดวยเถิด
ที่สําคัญ นักดาอียตองเผยแพรอยางมีหิกมะฮฺ คนไมรูยอมไมเหมือนกับคนที่รู คนที่ดื้อ
ดึงยอมไมเหมือนกับคนที่นอมรับ ทุกๆ สภานภาพยอมมีวิธีการของมันโดยเฉพาะ

เสบียงที่สี่ : จรรยามารยาทที่ดีงาม

นักดาอียตองเผยความรูของเขาใหปรากฏทั้งในหลักความเชื่อ การอิบาดะฮฺ อิริยาบถ


และในทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขา กระทั่งสามารถแสดงถึงบทบาทของนักดาอียสูอัลลอฮฺ และ
หากมิ เ ช น นั้ น แล ว การดะอฺ ว ะฮฺ ข องเขาก็ จ ะประสบกั บ ความล ม เหลวหรื อ ถ า หากประสบ
ความสําเร็จก็ไมมาก
นักดาอียจําเปนตองประพฤติปฏิบัติตามที่เขาไดเรียกรองเชิญชวนจากการอิบาดะฮฺ การ
ปฏิสัมพันธ จรรยามารยาท ทั้งนี้ก็เพราะวาการดะอฺวะฮฺของเขาจะไดเปนที่ถูกตอบรับและเพื่อมิ
ใหเขาเปนหนึ่งในบุคคลแรกๆ ที่ถูกไฟนรกเผาไหม
โอพี่นองทั้งหลาย!
เมื่อเรายอนกลับมาดูสภาพของเรา เราจะพบวา ในความเปนจริงนั้นเราไดเชิญชวน
เรียกรองสูสิ่งหนึ่งแตเรามิไดยืนหยัดบนสิ่งนั้นเลย ไมตองสงสัยเลยวานี่คือขอบกพรองอันใหญ
หลวง นอกเสียจากวาจะมีการใชดุลยพินิจแลววาการละทิ้งในบางเรื่องที่เชิญชวนเรียกรองนั้น
ดีกวา เพราะในทุกๆ สภาพการณหนึ่ง ยอมมีวิธีการหนึ่ง บางทีสิ่งที่ดีกวาอาจจะเปนสิ่งที่ดีนอย
กวาในบางกรณี เพราะมีบางอยางที่ทําใหสิ่งที่ดีนอยกวามีน้ําหนักมากกวา ดวยเหตุนี้ จะเห็นวา
บางทีทานเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไดเชิญชวนเรียกรองสูบางอยาง แตทาน
กลับหมกมุนอยูกับอยางอื่นที่สําคัญกวา และบางทีทานถือศีลอดกระทั่งถูกกลาววาทานไมละศีล
อดเลย และบางทีทานก็ไมถือศีลอด กระทั่งถูกกลาววาทานไมถือศีลอดอีกเลย
โอพี่นองทั้งหลาย!
ฉันหวังและประสงคที่จะใหนักดาอียทุกๆ คนมีจรรยามารยาทอันดีงามที่เหมาะสมกับ
การเปนนักดาอีย กระทั่งเขาเปนนักดาอียที่แทจริงและคําพูดของเขาเปนที่ยอมรับไดมากที่สุด

18 
 
เสบียงที่หา : เขาหาผูคน

นักดาอียตองทําลายกําแพงที่ขวางกั้นระหวางเขาและผูคน เพราะมีพี่นองนักดาอียของ
เราหลายตอหลายคนเมื่อเห็นกลุมชนหนึ่งงมงายอยูกับความไมถูกตอง และดวยความเกลียดชัง
กับสิ่งที่ไมถูกตองนั้นๆ ถึงกับทําใหเขาไมไปมาหาสูและตักเตือนพวกเขาเหลานั้น และนี่คือสิ่งที่
ผิด และไมไดเปนหลัก "หิกมะฮฺ" (วิทยปญญา) แตประการใด แตหิกมะฮฺคือการเขาไปหา เชิญ
ชวน เผยแพร ตัรฺฆีบ(ปลุกใจหรือแจงขาวที่ดีสําหรับผูที่ปฏิบัติตามคําสั่งของอัลลอฮฺ) และตัรฺฮีบ
(เตือนสําทับหรือแจงขาวรายสําหรับผูที่ไมปฏิบัติตามคําสั่งของพระองค) และจงอยาพูดวา "เขา
เหลานั้นทําไมดี ฉันไมอาจรวมเดินกับเขาได"
โอนักดาอีย!
เมื่อทานไมเดินไปหาพวกเขาเพื่อทําการดะอฺวะฮฺสูอัลลอฮฺ แลวใครเลาที่จะดะอฺวะฮฺพวก
เขา ? ผูที่มีลักษณะเฉกเชนเดียวกับพวกเขากระนั้นหรือที่จะดะอฺวะฮฺพวกเขา? หรือผูที่ไมรู ผูที่
อวิชชา? ไมอยางแนนอนดวยประการทั้งปวง ฉะนั้นแลว จําเปนอยางยิ่งที่นักดาอียตองอดทน
และนี่คือการอดทนที่เราไดบอกไปแลวกอนหนานี้ นั่นคือการอดทนตอตัวเอง บังคับและทําลาย
กําแพงระหวางเขากับผูคน กระทั่งสามารถสงสาสนแหงการดะอฺวะฮฺไปยังผูที่จําเปนและตองการ
มัน สวนการตัดขาดนั้นมันขัดแยงกับแนวทางของทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ได
ปฏิบัติไวเปนแบบอยาง และทานนบีนั้นดังที่ทราบกันวาในชุมนุมที่มินา(ชวงหัจญ)ทานจะไปหา
พวกมุชริกีนถึงที่พํานักของพวกเขาและเชิญชวนพวกเขาสูอัลลอฮฺ ดังที่มีรายงานจากทานนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งทานไดกลาวแกพวกเขาเหลานั้นวา:
ً
« ‫»أﻻ أﺣﺪ ﺤﻳﻤﻠﻲﻨ ﺣ أﺑﻠﻎ ﺎﻠﻛم ر ﻓﺈن ﻗﺮﻳﺸﺎ ﻣﻨﻌﺘﻲﻨ أن أﺑﻠﻎ ﺎﻠﻛم ر‬
“จะมีใครสักคนไหมที่ชวยเหลือฉัน กระทั่งฉันสามารถเผยแพรถอยคําของ
พระผูอภิบาลของฉัน เพราะแทจริง ชาวกุร็อยชฺไดขัดขวางมิใหฉันเผยแพร
ถอยคําของพระผูอภิบาลของฉัน”

และหากนี่คือแนวทางของนบีของเรา อิมามของเรา และแบบอยางของเรา ทานนบีมุหัม


มัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังนั้นจําเปนสําหรับเราที่จักตองปฏิบัติตามใหเหมือนกับทานใน
การดะอฺวะฮฺสูอัลลอฮฺ

เสบียงที่หก : ยอมรับความเห็นตาง

นักดาอียตองใจกวางตอผูที่มีความคิดเห็นไมตรงกับเขา โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อรูวาผูที่มี
ความคิดเห็นคานกับเขามีเจตนาที่ดีและบริสุทธิ์ และเขาก็ไมไดเห็นคานนอกจากดวยเพราะตาม
มูลหลักฐานที่เขามี ดังนั้นแลวจําเปนอยางยิ่งที่จะตองมีความสุภาพในประเด็นดังกลาวและไม
นํามาเปนสาเหตุของความเปนศัตรูและบาดหมางกัน นอกเสียจากวาผูที่เห็นคานมีความเยอหยิ่ง
และไมยอมรับสัจธรรมถึงแมวามันจะประจักษขึ้นมาแลวก็ตาม แตกลับดื้อดึงอยูกับความไม

19 
 
ถูกตอง เชนนี้แลวก็ใหปฏิบัติตามที่เขาควรจะไดรับ ดวยการหนีออกหางจากตัวเขาและตักเตือน
ผูคนใหระแวดระวังจากเขา เพราะความเปนศัตรูไดกอเกิดขึ้นในตัวเขาแลว เนื่องจากสัจธรรมได
ปรากฏแตเขากลับไมยอมปฏิบัติตาม
ยังมีประเด็นปญหาขอปลีกยอย(มะสาอิล ฟรฺอิยฺยะฮฺ)ตางๆ ที่บรรดาอุละมาอตางมีทัศนะ
ที่แตกตางกัน ซึ่งที่จริงแลว มันเปนสิ่งที่อัลลอฮฺไดใหความสะดวกแกปวงบาวของพระองค –
ปญหาขอปลีกยอย ณ ที่นี้ฉันหมายถึงที่ไมไดเปนปญหามูลฐาน (อุศูล) ที่ผูที่เห็นคานถึงขั้นตก
เปนกาฟรฺ- และนี่คือสิ่งที่อัลลอฮฺไดเปดกวางแกปวงปาวของพระองค และทรงทําใหความ
ผิดพลาดในประเด็นเหลานั้นเปนสิ่งที่เปดกวาง
ทานนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไดกลาววา
ُ َ ْ َ َ َ ْ َ ُ َ َ َ َ َ َّ ُ َ َ َ ْ َ ُ ْ َ َ َ َ
‫ َوإِذا َﺣﻜ َﻢ ﻓﺎﺟﺘَ َﻬﺪ ﻋ َّﻢ‬، ‫ان‬
ِ ‫ﺮ‬َ‫ﺟ‬ ‫ﺎﻛﻢ ﻓﺎﺟﺘﻬﺪ ﻋﻢ أﺻﺎب ﻓﻠﻪ أ‬ ِ َ ‫» ِإذا ﺣﻜﻢ اﺤﻟ‬
ْ َ ََُ َ ْ َ
« ‫أﺧ َﻄﺄ ﻓﻠﻪ أﺟ ٌﺮ‬
ความวา: เมื่อผูตัดสินทําการตัดสินและเขาไดวินิจฉัยอยางเต็มความสามารถ
แลวเขาก็ตั ดสิ นถู กตองเขาจะไดรับสองผลบุญ และเมื่อเขาตั ดสินและได
วินิจฉัยอยางเต็มความสามารถ แลวเขาก็ตัดสินผิดเขาจะไดรับเพียงผลบุญ
เดียว36

ดังนั้นผูที่วินิจฉัย (มุจญตะฮิด) เขาจะไมหลุดออกจากกรอบของผลบุญ ไมสองผลบุญก็


หนึ่งผลบุญ สองผลบุญเมื่อเขาวินิจฉัยถูกและหนึ่งผลบุญเมื่อเขาวินิจฉัยผิด และเมื่อทานไม
อยากใหคนอื่นเห็นตางกับทาน คนอื่นก็เฉกเชนเดียวกัน เขาก็ไมอยากใหใครเห็นตางกับเขา
ดังที่ทานประสงคอยากใหคนอื่นยึดเอาคําพูดของทาน คนที่เห็นตางกับทานก็ประสงคเชนนั้น
เหมือนกัน ดังนั้น ขอชี้ขาดเมื่อมีความเห็นขัดแยงกันนั้นก็คือดังที่อัลลอฮฺไดตรัสไวในอัลกุรอาน
วา
l Ñ ÉÈ Ç Æ Å Ä Ã Â Á m
ความวา: และอันใดที่พวกเจาขัดแยงกันในเรื่องนั้น ๆ ดังนั้นการชี้ขาดตัดสิน
ยอมกลับไปหาอัลลอฮฺ37

และพระองคไดตรัสอีกวา
â á àß Þ Ý Ü Û Ú Ù Ø × Ö Õ Ô Ó Ò m
lå ä ã
ความวา : แตถาพวกเจาขัดแยงกันในสิ่งใด ก็จงนําสิ่งนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺ
และเราะสูลุลลอฮฺสูล หากพวกเจาศรัทธาตออัลลอฮฺแตวันปรโลก นั่นแหละ
เปนสิ่งที่ดียิ่ง และเปนการกลับไปที่สวยงามยิ่ง38
                                                            
36
อัล-บุคอรีย หะดีษลําดับที่ 7352,และมุสลิม หะดีษลําดับที่ 4584
37
อัช-ชูรอ : 10
38
อันนิสาอฺ : 59
20 
 
ฉะนั้น จําเปนสําหรับทุกๆ คนที่มีความเห็นขัดแยงกันที่จะตองกลับไปสูสองหลัก นั่นก็
คือคัมภีรของอัลลอฮฺและคําสอนของทานนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ศาสนทูตของพระองค
และไมเปนที่อนุญาตที่จะใหใครเห็นคานกับพระดํารัสของอัลลอฮฺและวจนะของศาสนทูตของ
พระองคดวยการใชคําพูดของมนุษยอื่นไมวาจะเปนใครก็ตาม
ดังนั้น เมื่อสัจธรรมเปนที่ปรากฏแลว ก็จําเปนที่จะตองละทิ้งคําพูดของคนที่เห็นคาน
เหมือนกับ ทิ้งของใหชนกํ าแพง และไมเ หลียวมองมันถึงแมวาเขาจะมี ฐานะทางความรูแ ละ
ศาสนาสูงสงแคไหนก็ตามที เพราะมนุษยยอมมีผิดมีพลาด แตพระดํารัสของอัลลอฮฺและวจนะ
ของเราะสูลุลลอฮฺนั้นไมมีผิดพลาด
และสิ่งที่ทําใหฉันรูสึกเสียใจอยางมากก็คือ การที่ไดยินวาคนบางกลุมที่มุมานะและเอา
จริงเอาจังในการศึกษาหาความรู แตพบวาพวกเขากลับแบงแยกเปนฝกเปนฝาย ทุกๆ กลุมมีชื่อ
เฉพาะหรือมีคุณลักษณะเฉพาะ ในความเปนจริงแลวนี่เปนสิ่งที่ผิดพลาด เพราะแทจริงศาสนา
ของอัลลอฮฺนั้นหนึ่งเดียว และประชาชาติอิสลามก็หนึ่งเดียว
อัลลอฮฺไดตรัสวา
l § ¦ ¥ ¤ £ ¢ ¡  ~m
ความวา: แทจริงนี่คือประชาชาติของพวกเจา เปนประชาติเดียวกัน และขา
คือพระเจาของพวกเจา ฉะนั้นพวกเจาจงยําเกรงตอขา39

และพระองค สุบหานะฮุวะตะอาลา ไดตรัสถึงนบีของพระองควา


z y x w v u t sr q p o n m l k j i m
l} | {
ความวา : แทจริงบรรดาผูที่แบงแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได
กลายเปนนิกายตางๆ นั้น เจา(มุหัมมัด)หาใชอยูในหมูพวกเขาแตอยางใดไม
แทจริง เรื่องราวของพวกเขานั้นยอมกลับไปสูอัลลอฮฺ แลวพระองคจะทรง
แจงแกพวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทํากัน40

และพระองคไดตรัสอีกวา
x w v u t s r q p o n m l k j im
l s a ` _ ~ } | {z y
ความวา : พระองคไดทรงกําหนดศาสนาแกพวกเจาเชนเดียวกับที่พระองค
ไดทรงบัญชาแกนูหฺ และที่เราไดประทานวิวรณแกเจาก็เชนเดียวกับที่เราได

                                                            
39
อัลมุอมินูน : 52
40
อัลอันอาม : 159
21 
 
บัญชาแกอิบรอฮีม มูซา และอีซา วาพวกเจาจงดํารงศาสนาไวใหมั่งคงและ
อยาแตกแยกกันในเรื่องศาสนา41

ดังนั้น เมื่อนี่คือการชี้แนะของอัลลอฮฺแกเรา ก็จําเปนที่เราจะตองยึดเอาคําชี้แนะนี้ และ


พวกเราตองรวมเปนหนึ่งบนหลักการคนควาศึกษา และวิภาษกันเพื่อการปรับปรุงแกไข มิใช
เพื่อการตําหนิดูแคลน แทจริงใครก็ตามที่โตเถียงคนอื่นโดยมีเจตนาเพื่อตองการหาชัยชนะใหแก
ทัศนะของตนและดูถูกดูแคลนทัศนะของคนอื่น หรือเพื่อตองการเพียงแคการติเตียนโดยไมมี
เจตนาเพื่อการปรับปรุงแกไขเลย โดยทั่วไปแลวเขาจะหลุดออกจากความโปรดปรานของอัลลอฮฺ
และเราะสูลของพระองค จึงจําเปนสําหรับเราที่จะตองเปนประชาติเดียวกัน
แตทั้งนี้ ฉันก็มิไดจะกลาววาทุกคนไมมีใครผิด ทุกๆ คนยอมมีผิดมีถูก แตเรากําลังพูด
ถึงแนวทางในการปรับปรุงแกไขขอผิดพลาด
ซึ่งที่จริงแลว มันมิใชแนวทางการปรับปรุงแกไขสิ่งที่ผิดพลาดเลย ที่เราจะพูดลับหลัง
และติติงเขา แตทวาแนวทางการแกไขคือ การที่ตองเขาไปหาเขาและเสวนากัน และเมื่อเปนที่
ประจักษแลววาเขายังคงดื้อดึงอยูกับความดันทุรังของเขาและกับความจอมปลอมของเขา เมื่อ
ถึงครานั้นเราก็มีขออางและสิทธิ ซึ่งจําเปนดวยซ้ําที่เราจะตองแจกแจงอธิบายถึงความผิดพลาด
ของเขา และตองบอกใหคนอื่นๆ ไดระแวดระวังจากความผิดพลาดดังกลาวของเขาดวย และ
ดวยวิธีการนี้เรื่องทั้งปวงก็จะดีขึ้น สวนการแตกแยกแบงเปนพรรคเปนพวกนั้นไมมีใครที่อยาก
ใหเกิดขึ้นนอกจากผูที่เปนอริตออิสลามและบรรดามุสลิมเทานั้น
โออัลลอฮฺ ฉันขอใหพระองคทรงรวบรวมหัวใจของพวกเราสูการเคารพภักดีตอพระองค
และโปรดใหพวกเราเปนผูที่ตัดสินดวยดวยบัญญัติของอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค และโปรด
ใหการเจตนาของเราบริสุทธิ์เพื่อพระองค และโปรดแจกแจงในสิ่งที่ซอนเรนในบทบัญญัติของ
พระองคใหแกเรา แทจริง พระองคทรงมีพระทัยที่กวางและทรงเอื้อเฟอยิ่ง

‫واﺤﻟﻤﺪ ﷲ رب اﻟﻌﺎﻤﻟﻦﻴ وﺻﻰﻠ وﺳﻠﻢ ﺒﻟ ﻧﺒﻴﻨﺎ ﺤﻣﻤﺪ وﺒﻟ آ وﺻﺤﺒﻪ‬


.‫أﻤﺟﻌﻦﻴ‬

                                                            
41
อัชชูรอ : 13
22 
 

You might also like