Professional Documents
Culture Documents
Transportation Engineering
พฤษภาคม 2551
ข
คํานํา
สุ รเมศวร์ พิริยะวัฒน์
พฤษภาคม 2551
ค
กิตติกรรมประกาศ
ผูเ้ ขียนขอขอบพระคุณเจ้าของงานประพันธ์ทุกทาน ่ ทีได้เขียนหนังสื อ เอกสารวิชาการ
และตําราทุกเลม่ ไว้สําหรับการค้นคว้าและอ้างอิงเพือประโยชน์ทางวิชาการและสําหรับการเขียน
เอกสารประกอบการสอนฉบับนี และคุณพุทธิ พนั ธุ์ เศรณี ปราการ สําหรับข้อมูลทีมีประโยชน์ใน
บทที 8 อนิสงส์จากความดีดงั กลาวอั ่ นเกดจากการให้
ิ ปัญญาแกผู่ อ้ ืนขอให้สะท้อนกลับไปยังเจ้าของ
ผลงานทุกทาน ่ และขอขอบคุณภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
สําหรับสถานทีทีผูเ้ ขียนใช้เขียนต้นฉบับ
ผูเ้ ขียนขอแสดงความสํานึ กในพระคุณของ รองศาสตราจารย์ ดร. สรวิศ นฤปิ ติ ซึ งเป็ น
อาจารย์ของผูเ้ ขียน ทีได้ให้ความรู ้และโอกาสในวิชาชีพของผูเ้ ขียนมาโดยตลอด ทังยังเป็ นผูส้ ร้าง
โอกาสให้ผูเ้ ขี ย นได้ป ระกอบอาชี พ ที ตนเองรั ก มาจนทุ ก วัน นี และเป็ นแบบอยางเบื ่ องต้น ที จุ ด
ประกายให้ผเู ้ ขียนอยากประกอบอาชีพอาจารย์ ขอขอบพระคุณ ศาสตรจารย์ ดร. วิโรจน์ รุ โจปการ
สําหรับคุณูปการทีอาจารย์มีให้กบสั ั งคม ผลงานของอาจารย์ ไมวาจะเป็ ่่ นงานเขียน บทความวิชาการ
หรื อตํา รา รวมถึ ง แนวทางในการประกอบวิ ช าชี พ ล้ว นเป็ นแบบอยางที ่ ดี สํ า หรั บ ผู ้เ ขี ย น
ขอขอบพระคุ ณ ผูช้ ่ วยศาสตรจารย์ ดร. เยาว์อุไร สุ ถิรนาถ สําหรับแนวคิดที ดี และคําแนะนําที มี
ประโยชน์ในการดําเนิ นชี วิต--ผมยังระลึ กถึ งอาจารย์และพระคุ ณที อาจารย์มีให้ผมเสมอครั บ--
รวมถึงครู อาจารย์ทุกทานตั ่ งแตอดี ่ ตจนถึงปัจจุบนั ทีได้ประสิ ทธิประสาทวิชาความรู ้ให้กบผู ั เ้ ขียนจน
สามารถใช้ป ระกอบวิ ช าชี พ ที เป็ นประโยชน์ ต่ อทัง ตนเองและผู ้อื น และรองศาสตราจารย์
ดร.วัฒนวงศ์ รัตนวราห สําหรับความอนุเคราะห์ในการชวยตรวจต้ ่ นฉบับ
ผูเ้ ขียนขอสํานึ กในพระคุณของญาติพีน้องและผูม้ ีอุปการคุณทุกทานที ่ ให้การสนับสนุ น
ผูเ้ ขียนเป็ นอยางดี ่ ซึงทําให้ผเู ้ ขียนรู ้สึกมันคงและมันใจในการดําเนินชีวิต และสามารถเขียนเอกสาร
่
ฉบับนี ได้อยางสบายใจ ขอขอบคุณ คุณวรางคณา บรรลือวงศ์ สําหรับกาลั ํ งใจทีดีสาํ หรับผูเ้ ขียนทัง
ทางตรงและทางอ้อม
สุ ดท้าย ผูเ้ ขียนขอสํานึ กในพระคุณของบิดามารดาทีให้การสนับสนุ นและเป็ นกาลั ํ งใจแก่
ผูเ้ ขียนมาโดยตลอดในทุกๆ ด้าน จนทําให้ผเู ้ ขียนสามารถเดินทางมาได้จนถึงวันนี ถ้าผูเ้ ขียนเป็ นนก
่ งสองกคงเป็
ทานทั ็ นเสมือนลมทีพยุงอยูใ่ ต้ปีก ทีชวยให้ ่ ผเู ้ ขียนสามารถบินได้สูง มองเห็นสิ งตางๆ ่
ชัดเจน และไปได้ไกลเทาที ่ ต้องการ--You are the wind beneath my wings
คุณูปการและความดีทงั หมดอันเกดจากหนั ิ งสื อเลมนี ่ ขอมอบให้กบั บิดามารดาของผูเ้ ขียน
ข้อผิดพลาดของหนังสื อเลมนี ่ ผูเ้ ขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผูเ้ ดียว ซึ งผูเ้ ขียนจะได้ทาํ การแกไขและ ้
ปรับปรุ งเนือหาให้เหมาะสมยิงขึนในโอกาสตอไป ่
สุ รเมศวร์ พิริยะวัฒน์
พฤษภาคม 2551
ง
สารบัญ
หน้า
คํานํา ……………….……………………………….……………………………………... ข
ิ กรรมประกาศ……………………………………………………………………….…
กตติ ค
สารบัญตาราง……………………………………………………………………………… ฎ
สารบัญรู ป…..……………………………………………………………….…………..… ฐ
บทที่ 1 บทนํา………………………..………………………………………………….. 1
1.1. ความหมายและความสําคัญของการขนสง่….…………...…...…….………. 1
1.2. ความหมายและบทบาทของวิศวกรรมขนสง่………………………….……. 4
1.3. สาขาที่เกยวข้ ี่ องกบวิ ั ศวกรรมขนสง่ ……...……………..…………..........… 6
่
1.4. หนวยงานที ี่ องกบวิ
่เกยวข้ ั ศวกรรมขนสง่ …...…………..……...………...… 9
่
1.4.1. หนวยงานที ี่ องกบวิ
่เกยวข้ ั ศวกรรมขนสงในตางประเทศ
่ ่ …......….…….... 9
1.4.2. หนวยงานที่ ี่ องกบวิ
่เกยวข้ ั ศวกรรมขนสงในประเทศไทย
่ …………..…… 10
1.5. องค์ประกอบของระบบขนสงและประเภทของการขนสง ่ ่ …...…………….. 17
1.5.1. การขนสงทางบก ่ (Land transportation)…...............................….…….... 20
1.5.2. การขนสงทางนํ ่ ้ า (Water transportation)…..............................….…….... 27
1.5.3. การขนสงทางอากาศ ่ (Air transportation)….............................….…….... 30
1.5.4. การขนสงทางทอ ่ ่ (Pipelines)....................................................….…….... 33
่
1.6. เนื้ อหาโดยยอของเอกสารประกอบการสอน ……………………………….. 34
คําถามท้ายบท…………………………………………………………………… 36
บทที่ 2 การวางแผนการขนส่ ง……………………………………………..……………. 37
2.1 ความหมายของการวางแผนการขนสง่……………........................................ 37
2.2 กระบวนการวางแผนการขนสง่……………………………………………... 38
ํ
2.3 การกาหนดแนวทางการสํ ารวจข้อมูลเพื่อการวางแผนการขนสง่ …………… 42
ํ
2.3.1. การกาหนดขอบเขตพื ้นที่เกบ็ข้อมูล........................................................... 43
2.3.2. การเลือกตัวอยาง ่ ………………………………...………...…………….. 45
2.4. การตรวจสอบข้อมูลเพื่อการวางแผนการขนสง่……………………………. 53
2.4.1. ข้อมูลการใช้พ้ืนที่และประชากร………………………………………… 54
2.4.2. การเกบข้ ็ อมูลการใช้พ้ืนที่……………...……………………………...… 55
2.4.3. ข้อมูลระบบขนสง่……………………………………………………..… 56
2.5. การสํารวจจุดต้นทางปลายทาง…………………………………………...… 59
จ
สารบัญ
หน้า
2.6. การสํารวจการเดินทางระหวางพื ่ ้นที่……………………………………..… 61
2.6.1. การสร้างเส้นขอบเขตการศึกษา……………………………………...… 61
2.6.2. การสัมภาษณ์ขอ้ มูลข้างทาง (Road side interviews) ………………….… 61
2.6.3. การสํารวจข้อมูลด้วยไปรษณี ยบัตรหรื อตอบกลับทางไปรษณี ย… ์ ……… 65
2.6.4. การสํารวจป้ ายทะเบียนรถยนต์………………………………………...… 66
2.6.5. การสํารวจข้อมูลจากฐานข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์ (Vehicle
registration)……………………………………………………………... 69
2.6.6. Vehicle intercepts method…………………………………………….… 70
2.6.7. Tag-on-vehicle method………………………………………………..… 70
2.6.8. การศึกษาด้วยวิธีเปิ ดไฟหน้ารถ (Light-on studies) …………………...… 70
2.7. การสํารวจการเดินทางภายในพื้นที่………………………………………… 71
2.7.1. การสัมภาษณ์ตามที่พกั อาศัย…………………………………………...… 72
2.7.2. การสํารวจด้วยแบบสอบถามทางไปรษณี ยส์ าํ หรับเจ้าของรถยนต์…….… 73
2.7.3. การสัมภาษณ์ขอ้ มูลในสถานที่ทาํ งานและแหลงสร้่ างการเดินทางอื่นๆ.… 73
่
2.7.4. แบบสอบถามสําหรับผูโ้ ดยสารระบบขนสงสาธารณะ ………………..… 74
2.7.5. การสํารวจข้อมูลรถแท็กซี่และรถบรรทุก………………………...……… 75
2.8. การนําเสนอข้อมูลจุดต้นทางปลายทาง…………………………………...… 75
2.9. การตรวจสอบความถูกต้องของการสํารวจข้อมูล………………………...… 75
คําถามท้ายบท…………………………………………………………………… 76
บทที่ 3 การวิเคราะห์ ความต้ องการเดินทาง…...……………………...…………………. 77
3.1. การวิเคราะห์ความต้องการเดินทาง………………...………………………. 77
่
3.2. ปั จจัยที่มีอิทธิพลตอความต้องการเดินทาง………………...……………….. 84
3.2.1. การใช้พ้ืนที่………………...…………………………………………….. 84
3.2.2. ลักษณะทางเศรษฐกจและสัิ งคม………………...……………………….. 85
3.2.3. ปัจจัยอื่นๆ………………...……………………………………………... 86
3.3. ตารางจุดต้นทางปลายทาง………………...………………………………... 87
ิ
3.4. แบบจําลองการเกดการเดิ นทาง………………...…………………………... 90
3.4.1. หลักการของจุดต้นทาง-ปลายทาง และการสร้าง-ดึงดูดการเดินทาง…….. 93
3.4.2. การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้น………...……………………………….. 95
ฉ
สารบัญ
หน้า
3.4.3. การวิเคราะห์อตั ราการเดินทาง………...……………………………….... 100
3.4.4. วิธีตวั ประกอบขยาย………...…………………………………………..... 101
3.5. แบบจําลองการกระจายการเดินทาง………...…………………………….... 103
3.6. แบบจําลองการเลือกรู ปแบบการเดินทาง…………………………………... 106
3.7. แบบจําลองการแจกแจงการเดินทาง………………………........................... 113
3.7.1. การแจกแจงด้วยวิธีท้งั หมดหรื อไมมี่ ………………………...................... 114
3.7.2. การแจกแจงด้วยวิธีจุดสมดุล……………………….................................. 116
่
3.7.3. การแจกแจงด้วยหลักความนาจะเป็ น………………………..................... 117
3.7.4. การแจกแจงแบบจล………………………................................................ 117
3.8. บทสรุ ป………………………...................................................................... 118
คําถามท้ายบท……………………….................................................................... 118
บทที่ 4 วิศวกรรมจราจร…...………..……………………………………………...…… 122
4.1. นิยามของวิศวกรรมจราจร………………………………………………….. 122
4.2. ตัวแปรที่ใช้อธิบายกระแสจราจร………………………………………….... 123
4.2.1. ปริ มาณจราจรและอัตราการไหล (Traffic volume and Rate of flow)…… 123
4.2.2. ความเร็ วและเวลาในการเดินทาง (Speed and Travel time) …………….. 128
่
4.2.3. ความหนาแนนและการครอบครองผิ วจราจร (Density and Occupancy)... 130
่ ่ ่ (Spacing and Headway) …………………………
4.2.4. ระยะหางและชวงหาง 131
4.2.5. แผนภูมิเวลา-ระยะทางของการไหล……………………………………... 133
4.3. ความสัมพันธ์พ้ืนฐานของตัวแปรที่อธิบายกระแสจราจร………………...… 134
4.4. ระดับการให้บริ การ…………………………………………………………. 140
4.5. การสํารวจข้อมูลจราจร……………………………………………………... 143
4.5.1. การสํารวจปริ มาณจราจร……………………………………………….... 143
4.5.2. การสํารวจความเร็ว เวลาในการเดินทาง และความลาช้ ่ า………………... 154
4.6. การออกแบบสัญญาณไฟจราจรบริ เวณทางแยก………………………….… 163
คําถามท้ายบท………………………………………………………………….... 177
บทที่ 5 ระบบขนส่ งสาธารณะ……....………………………………………….......…… 179
่
5.1. ความเป็ นมาของระบบขนสงสาธารณะ …………………….......................... 179
5.1.1. ออมนิบสั (Omnibus)….…………………................................................. 180
ช
สารบัญ
หน้า
5.1.2. รถรางลากด้วยม้า (Horse-drawn street railway) ……………………........ 181
5.1.3. รถเคเบิ้ล (Cable car) ……………………................................................. 182
5.1.4. รถรางขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ า (Electric streetcar) ……………………......... 183
5.1.5. รถรางขับเคลื่อนด้วยพลังไอนํ้ า (The steam railroad) ………………..… 184
5.1.6. ระบบรถรางใต้ดินและรถรางยกระดับ (Subway and elevated system)…. 185
่
5.1.7. รถรางขนสงระหวางเมื ่ อง (Interurban or Commuter rails) …………...… 186
5.1.8. รถโดยสารและ Trolley buses (Motor buses and Trolley buses)............... 187
5.2. การจําแนกประเภทระบบขนสงสาธารณะ ่ ……...………………………….. 188
่
5.2.1. การจําแนกประเภทระบบขนสงสาธารณะตามประเภทของ บริ การ……… 189
5.2.2. รู ปแบบการขนสง่ (Transit Modes) ……………...………….................... 190
5.2.3. องค์ประกอบของระบบขนสง่สาธารณะ…………………….................... 195
5.3. รู ปแบบของระบบขนสงสาธารณะ ่ ……………………................................. 197
่
5.3.1. การขนสงแบบราง (Rail transit) ……………………................................ 197
5.3.2. การขนสงด้ ่ วยรถโดยสาร (Bus transit) ……………………..................... 202
5.3.3. การขนสงด้ ่ วยรถรับจ้าง (Paratransit) ……………………........................ 207
5.4. การออกแบบและวางแผนระบบขนสงสาธารณะ ่ ……................................... 213
5.4.1. การจัดตารางเดินรถ (Scheduling)……………..……................................ 216
5.4.2. การวิเคราะห์ความถี่ของการให้บริ การ……………..…............................. 218
5.4.3. การวิเคราะห์ความสามารถรองรับบริ การและจํานวนรถที่ให้บริ การ….… 221
5.4.4. ระดับการให้บริ การ…………………………….…..…............................. 224
5.4.5. ลักษณะการให้บริ การ…………………….…….…..…............................. 225
็ ่
5.4.6. รู ปแบบการเกบคาโดยสาร …………………….…….…........................... 227
่
5.4.7. ลักษณะโครงขายการให้ ่
บริ การระบบขนสงสาธารณะ …………………... 233
5.4.8. การวางตําแหนงเส้ ่ นทาง……………………….…….…........................... 238
5.4.9. การวางตําแหนงสถานี ่ ……………………...….…….…........................... 239
คําถามท้ายบท……………………........................................................................ 243
บทที่ 6 เศรษฐศาสตร์ วศิ วกรรม….....………………………………………….....…… 245
6.1. ความหมายของเศรษฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์วิศวกรรมขนสง่………...… 245
6.2. ความสัมพันธ์ระหวางอั ่ ตราดอกเบี้ ยหรื อผลตอบแทน เวลา และคาของเงิ ่ น 246
ซ
สารบัญ
หน้า
6.2.1. การคํานวณผลรวมคาเดี ่ ยว (Single-sum calculation) ……...…….....…… 248
่ ั
6.2.2. การคํานวณเงินเทากนแบบสมํ ่าเสมอตามชวงเวลา ่ (Uniform series
formulas) …………….....…………………………………………….… 249
6.3. การเปรี ยบเทียบทางการเงินเพื่อคัดเลือกโครงการ…………….....……….… 252
่ ยบเทาปั
6.3.1. การวิเคราะห์มูลคาเที ่ จจุบนั (Present worth analysis) ………..… 252
่ ยบเทารายปี
6.3.2. การวิเคราะห์มูลคาเที ่ (Annual worth analysis) …………..… 257
6.3.3. การวิเคราะห์ผลประโยชน์ต่อเงินลงทุน (Benefit/cost analysis) ……...… 262
6.3.4. การวิเคราะห์อตั ราผลตอบแทน (Rate of return analysis) …………….… 265
คําถามท้ายบท…………….....………………………………………………...… 273
บทที่ 7 ผลกระทบการจราจรและการศึกษาการจอดรถ……..………………….....…… 275
7.1. การศึกษาผลกระทบการจราจร…………...................................................… 275
7.1.1. ลักษณะพื้นฐานของการศึกษาผลกระทบการจราจร…………...............… 276
7.1.2. ขั้ นตอนการดําเนินงาน…………...........................................................… 278
7.1.3. องค์ประกอบหลักของการศึกษาผลกระทบการจราจร…………...........… 280
่
7.1.4. การปรับปรุ งโครงขายถนนโดยรอบโครงการ …………........................… 282
7.2. การศึกษาการจอดรถ…………..................................................................… 283
7.2.1. ประเภทของการศึกษาการจอดรถ…………..........................................… 283
7.2.2. การวิเคราะห์การจอดรถ………….........................................................… 285
7.2.3. การออกแบบที่จอดรถ…………............................................................… 293
คําถามท้ายบท…………....................................................................................… 300
บทที่ 8 การควบคมความต้
ุ องการเดินทางและการจัดการการจราจร…..……….....…… 301
8.1. สาเหตุของปั ญหาการจราจรติดขัดและแนวทางแกไข ้ ................................… 301
8.1.1. สาเหตุของการจราจรติดขัด....................................................................… 301
8.1.2. แนวทางแกไข ้ .........................................................................................… 303
8.2. ความหมายและหลักการของการควบคุมความต้องการเดินทาง..................... 304
8.3. วัตถุประสงค์ของการนําการควบคุมความต้องการเดินทางมากประยุกต์ใช้... 306
8.4. ประเภทของมาตรการควบคุมความต้องการเดินทาง..................................… 308
8.4.1. การปรับปรุ งทางเลือกการเดินทาง..........................................................… 309
ฌ
สารบัญ
หน้า
8.4.2. การลดการใช้รถยนต์และเปลี่ยนมาเดินทางด้วยรู ปแบบการเดินทาง
ประเภทอื่น.............................................................................................… 311
8.4.3. การจัดการการใช้พ้ืนที่............................................................................… 312
8.4.4. การปฏิรูปองค์กรและนโยบาย................................................................… 313
8.5. มาตรการควบคุมความต้องการเดินทางกบการแกปั ั ้ ญหาจราจรใน
่
ตางประเทศ ..............................................................................................… 314
8.5.1. กรณี ศึกษาทวีปอเมริ กา: ประเทศสหรัฐอเมริ กาและแคนาดา..................... 315
8.5.2. กรณี ศึกษาทวีปยุโรป: เมือง Zurich Copenhagen Stockholm และ
Freiburg.................................................................................................… 318
8.5.3. ทวีปเอเชีย: Singapore และ Hong Kong.................................................… 322
8.5.4. บทสรุ ป..................................................................................................… 323
8.6. การประยุกต์มาตรการควบคุมความต้องการเดินทางในประเทศไทย............. 324
8.7. การจัดการการจราจร (Traffic management) .............................................… 350
8.7.1. ความหมายของการจัดการการจราจร.....................................................… 350
8.7.2. วัตถุประสงค์ของการนํามาตรการการจัดการการจราจรไปประยุกต์ใช้...... 350
8.7.3. ประเภทของมาตรการการจัดการการจราจร...........................................… 351
8.8. อุปสรรคในการประยุกต์การควบคุมความต้องการเดินทางและการจัดการ
จราจรในประเทศไทย...............................................................................… 360
คําถามท้ายบท....................................................................................................… 362
บทที่ 9 บทนําของลอจิสติกส์ และห่ วงโซ่ อุปทาน………....…..………………….....…… 363
9.1. ความหมายและความสําคัญของลอจิสติกส์…………................................… 363
่ ่ ปทาน……………......................................................…
9.2. การจัดการหวงโซอุ 367
9.3. บทบาทของการขนสงที ่ ่มีต่อลอจิสติกส์และหวงโซอุ ่ ่ ปทาน…………......… 368
9.3.1. ประเภทของการขนสงสิ ่ นค้า………………..........................................… 368
9.3.2. ต้นทุนการขนสงสิ ่ นค้า…………...........................................................… 371
ํ
9.3.3. การกาหนดอั ตราคาขนสง่ ่ ………..........................................................… 373
9.3.4. การจัดการการขนสง่………..................................................................… 374
คําถามท้ายบท…………....................................................................................… 383
ญ
สารบัญ
หน้า
บรรณนานกรม ุ ...................................................................................................... 384
ประวัติผู้เขียน........................................................................................................ 389
ฎ
สารบัญตาราง
หน้า
ตารางที่ 1.1 ระยะทางการขนสงสิ ่ นค้าทางทอของประเทศสหรั
่ ฐอเมริ กา…………….. 33
ตารางที่ 3.1 ตารางจุดต้นทางปลายทางพร้อมวิธีสาํ รวจข้อมูล………………………... 88
ตารางที่ 3.2 ตารางจุดต้นทางปลายทางของพืนที่ยอยทั ่ งหมดในพืนที่ศึกษา………….. 89
ตารางที่ 3.3 การสํารวจข้อมูลจุดต้นทางปลายทางและวัตถุประสงค์ในการนําไปใช้
ประโยชน์………………………………………………………………... 90
ตารางที่ 3.4 ข้อมูลการเดินทางและข้อมูลพืนฐานของประชากรในแตละพื ่ นที่ยอย ่ …... 98
ตารางที่ 3.5 การวิเคราะห์อตั ราการเดินทางจําแนกตามลักษณะการใช้พืนที่………….. 100
ตารางที่ 3.6 การวิเคราะห์อตั ราการเดินทาง…………………………………………… 101
ตารางที่ 3.7 เมทริ กซ์ของจํานวนการเดินทางที่ถ่ายเทระหวางจุ ่ ดต้นทาง-ปลายทาง…... 103
ตารางที่ 4.1 ่
ตัวอยางการคํ านวณปริ มาณจราจรและอัตราการไหล................................. 123
ตารางที่ 4.2 ิ
การวิเคราะห์การเกดแถวคอยจากตั ่
วอยางในตาราง 4.1………………….. 124
ตารางที่ 4.3 ่
ตัวอยางการคํ านวณปริ มาณจราจรรายวัน………………………………... 126
ตารางที่ 4.4 คา่ K และ D……………………………………………………………… 127
ตารางที่ 4.5 ตัวอยางการคํ ่ านวณ TMS และ SMS…………………………………….. 129
ตารางที่ 4.6 ่
ตัวอยางการปรั บแกจํ้ านวนยวดยานที่นบั ได้ดว้ ยคาเฉลี
่ ่ยของจํานวนเพลา.. 147
ตารางที่ 4.7 การคํานวณคาปรั ่ บแกรายวั ้ น…………………………………………….. 153
ตารางที่ 4.8 การคํานวณคาปรั ่ บแกรายเดื้ อน………………………………………….. 153
ตารางที่ 4.9 ข้อมูลความเร็ วที่ได้จากการสํารวจ………………………………………. 155
ตารางที่ 4.10 การกระจายตัวและความถี่สะสมของข้อมูลความเร็ วที่ได้จากการสํารวจ... 156
ตารางที่ 4.11 ่ อมูลที่ได้จากการวิง่ รถทดสอบ………………………………… 159
ตัวอยางข้
ตารางที่ 4.12 ระดับการให้บริ การและความลาช้ ่ า……………………………………… 163
ตารางที่ 5.1 การจัดระดับการให้บริ การสําหรับรถโดยสารประจําทาง…...…………… 224
ตารางที่ 5.2 การจัดระดับการให้บริ การสําหรับรถราง…………………...…………… 225
ตารางที่ 6.1 สูตรที่ใช้แปลงคาเงิ่ น…………………………………………………….. 252
ตารางที่ 7.1 ่ นที่จอดรถตอ่ 1,000 ตารางฟุตของพืนที่ทงั หมดที่เปิ ดให้เชา่
สัดสวนพื
(Gross leasable area, GLA)……………………………………………… 286
ตารางที่ 7.2 ่ ่ยของเวลาที่ใช้ในการจอดรถในเขตเมืองจําแนกตามวัตถุประสงค์
คาเฉลี
การเดินทาง………………………………………………………………. 290
ตารางที่ 7.3 ข้อมูลที่ได้จากการสํารวจการจอดรถ…………………………………….. 292
ฏ
สารบัญตาราง
หน้า
ตารางที่ 7.4 ํ
ข้อกาหนดในการออกแบบความกว้ ่
างชองจอดรถสํ าหรับกลุ่มผูใ้ ช้บริ การ
่ ั ……………………………………………………………..
ที่แตกตางกน 295
ตารางที่ 8.1 กลยุทธ์ที่ใช้เพือ่ ลดปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลของเมือง Boulder…. 315
ตารางที่ 8.2 กลยุทธ์ที่ใช้เพือ่ ลดปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลของเมือง Portland… 316
ตารางที่ 8.3 กลยุทธ์ที่ใช้เพือ่ ลดปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลของเมือง Boston…... 316
ตารางที่ 8.4 กลยุทธ์ที่ใช้เพือ่ ลดปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลของเมือง Toronto…. 317
ตารางที่ 8.5 กลยุทธ์ที่ใช้เพือ่ ลดปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลของเมือง Zurich…... 318
ตารางที่ 8.6 กลยุทธ์ที่ใช้เพือ่ ลดปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลของเมือง
Copenhagen……………………………………………………………… 320
ตารางที่ 8.7 กลยุทธ์ที่ใช้เพือ่ ลดปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลของเมือง Stockholm. 320
ตารางที่ 8.8 กลยุทธ์ที่ใช้เพือ่ ลดปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลของเมือง Freiburg… 322
ตารางที่ 8.9 กลยุทธ์ที่ใช้เพือ่ ลดปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลของ Singapore และ
Hong Kong………………………………………………………………. 323
ตารางที่ 8.10 ั
มาตรการจํากดการใช้ รถยนต์ส่ วนบุคคลที่อยูใ่ นแผนพัฒนาฯ ฉบับตางๆ ่ .. 325
ตารางที่ 8.11 มาตรการและการปฏิบตั ิใช้ระบบการจัดการความต้องการระบบสัญจรที่
ประยุกต์ใช้ในกรุ งเทพมหานครและปริ มณฑล………………………….. 328
ตารางที่ 8.12 ความเหมาะสมในการนํามาตรการ TDM มาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย... 340
ฐ
สารบัญรปู
หน้า
รู ปที่ 1.1 ่
หนวยงานราชการและรั ฐวิสาหกจที ิ ่เกยวข้
ี่ องกบการขนสงในกากบของ
ั ่ ํ ั
กระทรวงคมนาคม……………………………………………………….. 10
รู ปที่ 1.2 การขนสงสิ ่ นค้า………………………………………………………….. 17
รู ปที่ 1.3 การขนสงผู ่ โ้ ดยสาร……………………………………………………… 18
รู ปที่ 1.4 กาํลังขับเคลื่อนที่เกดขึ ิ นเองตามธรรมชาติ.................................................. 18
รู ปที่ 1.5 ํ งขับเคลื่อนที่ถูกประดิษฐ์ขึน…………………………………………
กาลั 18
รู ปที่ 1.6 เส้นทางที่ดดั แปลงขึนจากธรรมชาติ……………………………………... 19
รู ปที่ 1.7 เส้นทางที่สร้างขึน……………………………………………………….. 20
รู ปที่ 1.8 การขนสงผู ่ โ้ ดยสารสวนบุ ่ คคลทางถนน………………………………… 21
รู ปที่ 1.9 ่
การขนสงสาธารณะ ……………………………………………………… 21
รู ปที่ 1.10 สถานีรถโดยสาร………………………………………………………… 22
รู ปที่ 1.11 ป้ ายรถโดยสารประจําทาง……………………………………………….. 22
รู ปที่ 1.12 พืนที่จอดรอรับบริ การของรถแท็กซี่ (Taxi stand)……………………….. 23
รู ปที่ 1.13 สถานีขนถายสิ ่ นค้าหรื อศูนย์กระจายสิ นค้า……………………………… 24
รู ปที่ 1.14 ตัวรถแบบกลอง ่ ………………………………………………………….. 25
รู ปที่ 1.15 ตัวรถแบบถัง…………………………………………………………….. 26
รู ปที่ 1.16 ตัวรถแบบเปิ ดด้านบน................................................................................ 26
รู ปที่ 1.17 ตัวรถแบบราบ............................................................................................ 26
รู ปที่ 1.18 เส้นทางการขนสงทางนํ ่ ่
าที่อยูภายในแผนดิ ่ น……………………………. 28
รู ปที่ 1.19 Liners (Containers and Break-bulk shipments)…………………………. 29
รู ปที่ 1.20 Non-liners (Bulk bottom หรื อ Bulk carrier)…………………………….. 29
รู ปที่ 1.21 Tanker........................................................................................................ 29
รู ปที่ 1.22 Barge tow................................................................................................... 30
รู ปที่ 1.23 สายการบินในประเทศไทย......................................................................... 31
รู ปที่ 1.24 รู ปแบบของอาคารผูโ้ ดยสาร....................................................................... 33
รู ปที่ 1.25 การขนสงทางทอ ่ ่ ........................................................................................ 34
รู ปที่ 2.1 กระบวนการวางแผนตามหลักการของเหตุและผล..................................... 39
รู ปที่ 2.2 การแบงพื่ นที่ยอยในการวางแผนการขนสงในเมื
่ ่ อง……………………... 44
รู ปที่ 2.3 การกระจายตัวแบบปกติ…………………………………………………. 49
ฑ
สารบัญรปู
หน้า
รู ปที่ 2.4 ขอบเขตของระดับนัยสําคัญและความนาเชื ่ ่อถือบนโค้งการกระจายตัว
แบบปกติ………………………………………………………………… 50
รู ปที่ 2.5 การจัดตําแหนงสถานี ่ สาํ รวจข้อมูลข้างทาง……………………………… 62
รู ปที่ 2.6 แบบบันทึกข้อมูลจุดต้นทาง-ปลายทาง…………………………………... 64
รู ปที่ 2.7 แบบสอบถามที่ใช้สาํ หรับเทคนิคการสํารวจข้อมูลด้วยไปรษณี ยบัตรหรื อ
จดหมาย………………………………………………………………….. 66
รู ปที่ 2.8 แบบบันทึกข้อมูลการสํารวจป้ ายทะเบียนรถยนต์………………………... 68
รู ปที่ 2.9 การติดตังป้ ายและตําแหนงจุ ่ ดสํารวจของการศึกษาด้วยวิธีเปิ ดไปหน้ารถ.. 71
รู ปที่ 3.1 กระบวนการวิเคราะห์ความต้องการเดินทาง.............................................. 78
รู ปที่ 3.2 ขันตอนของแบบจําลองตอเนื ่ ่อง 4 ขันตอน……………………………… 81
รู ปที่ 3.3 กระบวนการวางแผนการขนสงและแบบจํ ่ าลองจราจร-ขนสง่…………... 82
รู ปที่ 3.4 แบบจําลองเพือ่ การวางแผนการขนสงชนิ ่ ดตอเนื
่ ่อง 4 ขันตอน………….. 83
รู ปที่ 3.5 ประเภทการเดินทางเมื่ออ้างอิงกบขอบเขตของพื ั นที่ศึกษา………………. 88
รู ปที่ 3.6 ่ ํ
ตัวอยางการกาหนดจุ ดศูนย์กลางพืนที่ยอย ่ จุดศูนย์กลางรวม
่ เส้นเชื่อมตอ่
และจุดรวม ่ ………………………………………………………………. 92
รู ปที่ 3.7 ํ
การกาหนดจุ ดต้นทาง-ปลายทาง และจุดสร้างและดึงดูดการเดินทาง……. 94
รู ปที่ 3.8 สมการถดถอยเชิงเส้นแบบงาย ่ …………………………………………... 95
รู ปที่ 3.9 การเปรี ยบเทียบระหวาง ่ BNL MNL และ Nested logit model…………. 107
รู ปที่ 3.10 การแจกแจงด้วยวิธีจุดสมดุล…………………………………………….. 116
รู ปที่ 4.1 ลักษณะการวิ่งผานอุ ่ ปกรณ์ตรวจจับของยวดยาน....................................... 131
รู ปที่ 4.2 ่
ระยะหางระหวางยวดยานที ่ ั
่ว่ิงตามกนในกระแสจราจร …………………. 132
รู ปที่ 4.3 ่ ่ ่
ชวงหางระหวางยวดยานที ั
่วง่ิ ตามกนในกระแสจราจร …………………... 132
รู ปที่ 4.4 แผนภูมิเวลา-ระยะทางของการไหล (กรณี การไหลแบบสมํ่าเสมอ)……... 133
รู ปที่ 4.5 ความสัมพันธ์ระหวางปริ ่ มาณจราจร-ความหนาแนน่ ความเร็ ว-ปริ มาณ
จราจร และความเร็ ว-ความหนาแนน่…………………………………….. 135
รู ปที่ 4.6 แผนภาพจําแนกระดับการให้บริ การ…………………………………….. 140
รู ปที่ 4.7 สภาพการจราจรที่ระดับการให้บริ การ A ถึง F…………………………... 141
รู ปที่ 4.8 ่
ตัวอยางแบบฟอร์ มสําหรับบันทึกจํานวนยวดยานในการนับรถด้วย
พนักงาน…………………………………………………………………. 144
ฒ
สารบัญรปู
หน้า
รู ปที่ 4.9 เครื่ องนับจํานวนสะสม (Accumulating hand counters)…………………. 145
รู ปที่ 4.10 เครื่ องนับยวดยานบริ เวณทางแยก………………………………………... 145
รู ปที่ 4.11 ่
เครื่ องนับแบบทอความดั น (Pneumatic road tube)………………………. 146
รู ปที่ 4.12 การติดตังอุปกรณ์นบั รถแบบทอความดั ่ น……………………………….. 146
รู ปที่ 4.13 เครื่ องตรวจจับแบบคลื่นแมเหล็ ่ ก (Magnetic loop detector)……………... 149
รู ปที่ 4.14 การติดตังเครื่ องตรวจจับแบบคลื่นแมเหล็ ่ ก……………………………… 149
รู ปที่ 4.15 ่ ํ
ตัวอยางการกาหนดตํ ่
าแหนงสถานี สาํ หรับสํารวจปริ มาณจราจร………… 150
รู ปที่ 4.16 ่
ตัวอยางการปรั ้ มาณจราจรจากข้อมูลปริ มาณจราจร 1 วัน………...
บแกปริ 151
รู ปที่ 4.17 ตัวอย่างการปรับแกปริ ้ มาณจราจรจากข้อมูลปริ มาณจราจร 6 วัน………... 152
รู ปที่ 4.18 การหาความเร็วเปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 และเปอร์เซ็นไทล์ที่ 85……………… 156
รู ปที่ 4.19 การสํารวจเวลาในการเดินทางด้วยวิธีรถทดสอบ (Test-car run)………… 158
รู ปที่ 4.20 แบบบันทึกข้อมูลการวิ่งรถทดสอบ (Test-car run)………………………. 158
รู ปที่ 4.21 แบบบันทึกข้อมูลการสํารวจความลาช้ ่ า…………………………………. 162
รู ปที่ 4.22 ผังแสดงทิศทางสัญจรของยวดยานบริ เวณทางแยก……………………… 164
รู ปที่ 4.23 การจัดสัญญาณไฟจราจร………………………………………………… 165
รู ปที่ 4.24 การจัดสัญญาณไฟจราจรเสริ มสําหรับการเลียวซ้าย……………………... 166
รู ปที่ 4.25 การจัดสัญญาณไฟแบบ Overlap phasing………………………………... 166
รู ปที่ 4.26 ตารางบันทึกข้อมูลการวิเคราะห์การไหลอิ่มตัว………………………….. 175
รู ปที่ 5.1 Omnibus ให้บริ การบนเส้นทางในกรุ งนิวยอร์คระหวาง ่ ค.ศ. 1827-1907.. 181
รู ปที่ 5.2 รถรางลากด้วยม้าให้บริ การในกรุ งนิวยอร์คระหวาง ่ ค.ศ. 1832-1917…… 182
รู ปที่ 5.3 Cable cars ให้บริ การในเมืองซานฟรานซิสโก…………………………... 183
รู ปที่ 5.4 Electric streetcar สายแรกของเมือง Edmonton ในปี ค.ศ. 1888…………. 183
รู ปที่ 5.5 รถรางขับเคลื่อนด้วยพลังไอนํา…………………………………………... 184
รู ปที่ 5.6 รถรางใต้ดินให้บริ การในกรุ งนิวยอร์คในปี ค.ศ. 1904…………………... 185
รู ปที่ 5.7 รถรางลอยฟ้ าสายแรกที่ให้บริ การในเมืองชิคาโก………………………... 186
รู ปที่ 5.8 ่
รถรางขนสงระหวางเมื ่ อง………………………………………………... 187
รู ปที่ 5.9 รถโดยสารขับเคลื่อนด้วยเครื่ องยนต์ดีเซล.................................................. 188
รู ปที่ 5.10 Rail rapid transit ที่ให้บริ การในเมืองชิคาโก…………………………….. 198
รู ปที่ 5.11 Light rail transit ให้บริ การในเมือง Newark รัฐ New Jersey…………….. 200
ณ
สารบัญรปู
หน้า
รู ปที่ 5.12 Light rail rapid transit ให้บริ การในประเทศ Singapore…………………. 201
รู ปที่ 5.13 Commuter rail ให้บริ การใน Orange County รัฐ California……………... 202
รู ปที่ 5.14 รถโดยสารแบบมาตรฐาน (Standard buses)……………………………... 203
รู ปที่ 5.15 รถโดยสารขนาดเล็ก……………………………………………………... 204
รู ปที่ 5.16 รถโดยสารแบบสองชัน (Double Decker Buses)………………………… 205
รู ปที่ 5.17 รถโดยสารแบบตอพวง ่ ่ (Articulated buses)……………………………... 206
รู ปที่ 5.18 Trolleybuses……………………………………………………………... 206
รู ปที่ 5.19 Dual-powered buses ให้บริ การในเมือง King County…………………… 207
รู ปที่ 5.20 Jitney ให้บริ การในเมือง Chennai ประเทศอินเดีย……………………….. 212
รู ปที่ 5.21 ํ
ลําดับขันของการกาหนดเป้ าหมาย วัตถุประสงค์ และตัวชีวดั …………… 215
รู ปที่ 5.22 การจัดบริ การดวนพิ่ เศษระหวางพื ่ นที่ยอย
่ ……………………………….. 225
รู ปที่ 5.23 การจัดบริ การแบบเจาะจงสถานี…………………………………………. 227
รู ปที่ 5.24 โครงขาย ่ รถโดยสารประจําทางแบบรัศมี……..…………………………. 234
รู ปที่ 5.25 โครงขาย ่ รถโดยสารประจําทางแบบตาราง…....…………………………. 235
รู ปที่ 5.26 โครงขาย ่ รถโดยสารประจําทางแบบผสมระหวางแบบ ่ รัศมีและแบบ
ตาราง……..………………………………………………………...……. 236
รู ปที่ 5.27 ่
โครงขายถนนแบบมี เส้นทางหลักและเส้นทางป้ อนเข้า…………………. 237
รู ปที่ 5.28 ่
โครงขายการให้ บริ การแบบกระจายศูนย์กลางการให้บริ การ……………. 238
รู ปที่ 5.29 ตําแหนงของป้ ่ ั
ายรถโดยสารเมื่อเทียบกบทางแยก ……………………….. 240
รู ปที่ 7.1 ํ
การกาหนดรหั ่ าหรับการสํารวจข้อมูลพืนที่จอดรถแบบชิด
สแบบงายสํ
ขอบถนนในเมือง………………………………………………………… 288
รู ปที่ 7.2 แบบบันทึกข้อมูลสําหรับการสํารวจการจอดรถแบบชิดขอบถนน………. 289
รู ปที่ 7.3 แบบบันทึกข้อมูลสําหรับการสํารวจการจอดรถยนต์ในชองจอด ่ ………... 292
รู ปที่ 7.4 ขนาดมาตรฐานของขนาดรถยนต์ที่ใช้ในการออกแบบ………………….. 294
รู ปที่ 7.5 องค์ประกอบของแบบจําลองพืนที่ช่องจอดรถ…………………………... 295
รู ปที่ 7.6 ขนาดขององค์ประกอบพืนที่ช่องจอดรถรู ปแบบตางๆ ่ ............................... 296
รู ปที่ 7.7 ่
การวางผังพืนที่จอดรถและรู ปแบบของชองจอดรถในกรณี ที่มียวดยาน
ขนาดเล็กและขนาดใหญมาใช้ ่ ที่จอดรถรวมกน่ ั ………………………….. 297
รู ปที่ 7.8 รู ปแบบของระบบสัญจรภายในโรงจอดรถ……………………………… 298
ด
สารบัญรปู
หน้า
รู ปที่ 7.9 ทางเข้าโรงจอดรถระบบลิฟท์ในประเทศญี่ปุ่น…………………………... 299
รู ปที่ 7.10 โรงจอดรถระบบลิฟท์ในประเทศอินเดีย………………………………… 299
บทที่ 1 บทนํ า (Introduction)
ขนสงที่ ่เกดขึ
ิ ้ นแตละครั
่ ้ ง จะต้องอ้างอิงกบกจกรรมของผู
ั ิ ท้ ี่ก่อให้เกดการเดิ
ิ ่ ้ น ด้วย
นทางหรื อขนสงนั
เหตุน้ ี การเดินทางหรื อขนสงจึ ่ งเป็ นสิ่ งที่สืบเนื่ องมาจากกจกรรมที
ิ ่ผกู ้ ่อให้เกดการเดิ
ิ นทางมีความ
ประสงค์ที่จะกระทํา (วิโรจน์ รุ โจปการ, 2544) ทั้ งนี้ โดยทัว่ ไปแล้ว เราสามารถจําแนกการเดินทาง
ออกตามวัตถุประสงค์ได้ 7 ประเภท ได้แก่ การเดินทางเพื่อประกอบอาชีพ การเดินทางเพื่อกลับ
บ้าน การเดินทางเพื่อไปศึกษาหาความรู ้ การเดินทางเพื่อซื้ อสิ นค้า การเดินทางเพื่อธุรกจสวนตั ิ ่ ว
การเดินทางเพื่อติดตอสั ่ งสรรกบผูั อื้ ่น และการเดินทางเพื่อทองเที ่ ่ยว (ประชด ไกรเนตร, 2541)
่ ว่าการขนสงเป็
ด้วยเหตุน้ ี จึ งอาจกลาวได้ ่ นองค์ประกอบหลักของชุ มชนที่มีความสําคัญ
่ ง่ ตอการพั
อยางยิ ่ ฒนาทางสังคมและเศรษฐกจิ บทบาทสําคัญของการขนสงคื ่ อ การให้บริ การหรื อ
อํานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายคนหรื อสิ นค้าจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งที่ตอ้ งการ
เนื่องจากระบบขนสงทํ ่ าหน้าที่เชื่อมโยงกจกรรมตางๆ
ิ ่ ของชุมชนเข้าด้วยกนั ดังนั้ นระบบขนสงที ่ ่มี
ประสิ ทธิ ภาพ จะสงผลให้ ่ การดําเนิ นงาน หรื อการพัฒนาด้านตางๆ ่ ่
ในชุมชนเป็ นไปอยางมี
ประสิ ทธิภาพตามไปด้วย ประชด ไกรเนตร (2541) ได้สรุ ปความสําคัญของการขนสง่ไว้ดงั นี้
่ ่ มต้นของการศึกษาศาสตร์ ดานการขนสง
ในชวงเริ ้ ่ นิ ยมแบงการขนสงออกเป็
่ ่ น 2 ประเภท
กว้างๆ ได้แก่ การขนสงผู ่ โ้ ดยสาร (Passengers) และการขนสงสิ ่ นค้า (Freight) ในเวลาตอมา
่ เมื่อ
ระบบขนสงมี ่ ความซับซ้อนมากขึ้ นจึงแบงระบบขนสง ่ ่ แยกยอยมากขึ
่ ้ นตามลักษณะของเส้นทางที่
่
ยานพาหนะวิ่งผานไป โดยสามารถแบง่รู ปแบบการเดินทาง (Mode) ออกได้เป็ น 4 ประเภท ได้แก่
• การขนสงทางบก
่ ่
(Land transportation) แบงออกเป็ นประเภทยอยเป็ ่ น
่
ก. การขนสงทางถนน (Highway)
ข. การขนสงทางราง ่ (Rail)
• การขนสงทางอากาศ
่ ่
(Air transportation) แบงออกเป็ ่ น
นประเภทยอยเป็
ก. การขนสงในประเทศ ่ (Domestic)
ข. การขนสงระหวางประเทศ ่ ่ (International)
• การขนสงทางนํ ่ ่
้ า (Water transportation) แบงออกเป็ นประเภทยอยเป็ ่ น
ก. การขนสงภายในฝั ่ ่ง (Inland)
ข. การขนสงชายฝั ่ ่ง (Coastal)
ค. การขนสงในมหาสมุ ่ ทร (Ocean)
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 3 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 1 บทนํ า (Introduction)
• การขนสงทางทอ
่ ่ (Pipelines) แบงออกเป็
่ ่ น
นประเภทยอยเป็
่ ้ ามัน (Oil)
ก. การขนสงนํ
่ ๊ (Gas)
ข. การขนสงกาซ
่
ค. การขนสงของไหลอื ่นๆ (Other)
1.2. ความหมายและบทบาทของวิศวกรรมขนส่ ง
จากบทบาทของการขนสงที ่ ่เกยวเนื
ี่ ่องกบชี ั วิตประจําวันของมนุษย์ตามที่กลาวในหั ่ วข้อ 1.1
่ ว่า การขนสงนั
อาจกลาวได้ ่ ้ นมีความสัมพันธ์กบวิ ั ถีชีวิตของมนุษย์และสงผลกระทบตอการดํ
่ ่ าเนิ น
ชีวิตและคุณภาพชีวิตของมนุ ษย์อยางกว้ ่ างขวางโดยเฉพาะอยางยิ ่ ่งในปั จจุบนั ในภาวะที่มีจาํ นวน
ประชากรเพิ่มขึ้ นอยางมาก ่ ่
สงผลให้ ิ
เกดความต้ องการเดิ นทางตามมาเป็ นจํานวนมาก ในขณะที่
ความสามารถในการรองรับความต้องการเดินทางของระบบขนสง่ ไมวาจะ ่ ่ เป็ นโครงขายถนน ่ และ
่
ระบบขนสงสาธารณะนั ่
้ น ไมสามารถที ่จะรองรับความต้องการเดิ นทางที่เพิ่มมากขึ้ นดังกลาวได้ ่
่ ยงพอ และไมสามารถที
อยางเพี ่ ่จะพัฒนาให้ทนั กบความต้ ั องการเดินทางที่เพิ่มขึ้ นได้อยางทั ่ นทวงที ่
่
สงผลให้ ิ ญหาการขนสง่ และการจราจรติดขัดเป็ นผลตามมา ด้วยเหตุน้ ี จึงจําเป็ นต้องพัฒนา
เกดปั
หลักการและทฤษฎี เฉพาะขึ้ นมาเพื่อแกไขปั ้ ญหาดังกลาว ่ และเพื่อบริ หารจัดการการขนสงให้ ่
สามารถดําเนินการได้อยางมี ่ ประสิ ทธิภาพ
จากที่ กลาวข้่ างต้น จึ งได้มีผูค้ ิ ดค้นหลักการขึ้ นมาเพื่อตอบสนองวัตถุ ประสงค์ดังกลาว ่
ข้างต้น ซึ่งได้แกหลั ่ กการของวิศวกรรมขนสงนั ่ น่ เอง วิศวกรรมขนสง่ (Transportation Engineering)
คือ การประยุกต์หลักการหรื อแนวคิดที่เป็ นวิทยาศาสตร์ เพื่อการวางแผน ออกแบบ ควบคุม และ
บริ หารจัดการระบบขนสง่ (Transportation Systems) โดยมีจุดหมายหลักเพื่อการศึกษา และ
ออกแบบระบบขนสงประเภทตางๆ ่ ่ ไมวาจ ่ ่ ะเป็ นทางบก ทางนํ้ า ทางอากาศ และทางทอ่ ให้สามารถ
ขนย้ายคนหรื อสิ นค้าไปตามโครงขายของเส้ ่ ่ ประสิ ทธิ ภาพด้วยทรัพยากรที่
นทางที่ตอ้ งการได้อยางมี
มีอยู่อยางจํ
่ ากดั โดยคํานึ งถึงความเหมาะสมในเรื่ องของความรวดเร็ ว ความสะดวกสบาย ความ
ปลอดภัย คาใช้ ่ จ่าย และผลกระทบตอสิ ่ ่ งแวดล้อม
โดยทัว่ ไปวิศวกรรมขนสงจะถู ่ กจัดอยูใ่ นสาขาวิศวกรรมโยธา เนื่ องจากในเบื้องต้นนั้ นงาน
ด้านการขนสงจะมุ ่ ่งไปที่การสํารวจและออกแบบถนน การออกแบบพื้นผิวจราจร และวิศวกรรม
จราจร แตในปั่ จจุบนั วิศวกรรมขนสงได้ ่ รวมศาสตร์ หลายๆ ด้านเข้าไว้ดว้ ยกนทั ั ้ งนี้ เนื่ องจากปั ญหา
จราจรในปั จจุบนั นั้ นมีความซับซ้อนมากขึ้ น การนําหลักการวิศวกรรมโยธามาแกปั้ ญหาเพียงด้าน
เดียวจึงอาจไมเพี ่ ยงพอ ด้วยเหตุน้ ี ในปั จจุบนั การแกปั้ ญหาด้านวิศวกรรมขนสงจึ ่ งมีลกั ษณะเป็ นสห
สาขา (Multidisciplinary) ที่ รวมศาสตร์ หลายๆ ด้านเข้าด้วยกนั ไมวาจะเป็ ่่ น เศรษฐศาสตร์
(Economics) จิตวิทยา (Psychology) ภูมิศาสตร์ (Geography) การผังเมือง (Urban Planning) การ
บริ หารจัดการด้านสาธารณะ (Public Administration) สังคมวิทยา (Political Science) วิศวกรรม
่
แยกตางระดั บ (Interchange) รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ที่เกยวข้ ี่ องกบถนนด้
ั วย อาทิ การระบาย
นํ้าของถนน การติดตั้ งสัญญาณ ป้ าย และเครื่ องหมายจราจร เป็ นต้น โดยใช้หลักการและทฤษฎีที่
ิ
เหมาะสมเพื่อให้เกดความปลอดภั ่
ยในการสัญจรและมีความคุม้ คาในการกอสร้ ่ างสู งสุ ด วิศวกรใน
ขอบเขตความรับผิดชอบนี้ จะมีชื่อเรี ยกเฉพาะวา่ วิศวกรการทาง (Highway Engineer)
4. การขนส่ งในเชิงพาณิชย์ (Logistics)
เป็ นการศึกษา ออกแบบ และวิเคราะห์เกยวก ี่ บั องค์ประกอบและระบบของการขนสงในเชิ ่ ง
พาณิ ชย์ประเภทตางๆ ่ ทั้ งทางบก ทางนํ้ า ทางอากาศ และทางทอ่ ซึ่ งโดยมากจะเกยวข้ ี่ องกบการ ั
่ นค้า วัตถุดิบ และวัสดุต่างๆ เพื่อให้เกดประสิ
ขนสงสิ ิ ทธิภาพในการขนสง่ ลดความล้าช้าและความ
่
สู ญเปลาในระบบขนสง ่ ทั้ งนี้ การขนสงสิ
่ นค้าที่ มีประสิ ทธิ ภาพจะชวยลดต้ ่ นทุนในการผลิต ลด
จํานวนการวิง่ รถเที่ยวเปลา่ และทําให้เกดความคุ ิ ่
ม้ คาในการขนสง ่ ชวยให้
่ ผบู ้ ริ โภคไมต้่ องรับภาระ
ิ
ราคาสิ นค้าอันเกดจากกระบวนการขนสงมากจนเกนไป ่ ิ
5. การออกแบบและซ่ อมบํารงุพืน้ ทาง (Pavement Design and Maintenance)
เป็ นการศึกษาและออกแบบพื้นทางให้เหมาะสมกบประเภทของยวดยานที ั ่มาใช้เส้นทาง
ปริ มาณการจราจร และชุมชน รวมถึงการเลือกเทคนิ คที่ใช้ในการวิเคราะห์และวัสดุที่ใช้เพื่อการ
่ างพื้ นทางที่ เหมาะสม ด้วย นอกจากการออกแบบแล้ว ขอบเขตของความรั บผิดชอบของ
กอสร้
วิศวกรขนสงในกลุ่ ่มนี้ ยงั รวมถึง การซอมบํ
่ ารุ งพื้นทางให้อยูใ่ นสภาพที่เหมาะสมกบการใช้ ั งานด้วย
่
จราจร เป็ นต้น รวมถึงการศึกษาและออกแบบทั้ งในสวนของการเลื อกเทคนิ คที่ใช้ในการวิเคราะห์
่ างพื้นทางที่เหมาะสมกบประเภทของยวดยาน
และวัสดุที่ใช้เพื่อการกอสร้ ั และปริ มาณการจราจร
่ ่
ขนสงผานทางการประชุ มสมมนาวิชาการ การประชุมประจําปี และวารสารวิชาการ เชนเดี ่ ยวกบั
TRB
่
ตามที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น เป็ นองค์กรด้านการขนสงของประเทศสหรั ฐอเมริ กาและเป็ นที่
ั นอยางดี
คุน้ เคยกนเป็ ่ สาํ หรับนักวิชาการหรื อผูท้ ี่อยูใ่ นแวดวงขนสงในประเ
่ ่
ทศไทย อันที่จริ ง แตละ
่
ประเทศจะมี ห นวยงานด้ านการขนสงที ่ ่ คล้ายคลึ ง กนั กบที
ั ่ ย กตัว อยางข้
่ างต้น ทําหน้าที่ สําหรั บ
ประเทศนั้ นๆ อาทิ The Transport and Road Research Laboratory (TRRL) ของประเทศอังกฤษ The
Australian Transport Council (ATC) ของประเทศออสเตรเลีย National Traffic Safety and
Environment Laboratory (NTSEL) ของประเทศญี่ปุ่น หรื อสํานักงานนโยบายและแผนการขนสง่
และจราจร (สนข.) ของประเทศไทย เป็ นต้น
กระทรวงคมนาคม
สํานักงานรัฐมนตรี
ปลัดกระทรวง
กลุม่ ภารกิจการพัฒนาโครงสร้าง กลุม่ ภารกิจด้านการขนส่ง
พืน้ ฐานด้านทางหลวง รองปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุม่ ภารกิจ
ด้านอํานวยการ
รองปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุม่ ภารกิจ
รองปลัดกระทรวง
่
หนวยงานราชการ ่
หนวยงานราชการ ่
หนวยงานราชการ
สํานักงานปลัดกระทรวง กรมทางหลวง กรมการขนส่งทางนํ้าและพาณิชย์นาวี
สํา นัก งานนโยบายและแผนการขนส่ง กรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก
และการจราจร กรมการขนส่งทางอากาศ
ิ ิ
รัฐวสาหกจ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ิ ิ
รัฐวสาหกจ
ิ ิ
รัฐวสาหกจ ้
การรถไฟฟาขนส่ งมวลชนแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย
บริษทั การบินไทย จํากัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
บริษทั ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน)
บริษทั ขนส่ง จํากัด
บริษทั วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด
บริษทั ไทยเดินเรือทะเล จํากัด
สถาบันการบินพลเรือน
่
รู ปที่ 1.1 หนวยงานราชก ิ ่เกยวข้
ารและรัฐวิสาหกจที ี่ องกบการขนสงในกากบของกระทรว
ั ่ ํ ั งคมนาคม
ที่มา: http://portal.mot.go.th
่
จากรู ปที่ 1.1 เป็ นโครงสร้างของหนวยงานที ี่ องกบการขนสงในกากบของกระทรวง
่เกยวข้ ั ่ ํ ั
่
คมนาคมทั้ งหนวยงานราชการและรั ฐวิสาหกจิ อันที่จริ งยังมีหนวยงานที
่ ี่ องกบการขนสงที
่เกยวข้ ั ่ ่อยู่
ํ ั
นอกเหนื อการกากบของกระทรวงคมนาคม ดังจะได้กลาวถึ ่ งในลําดับตอไป่ สําหรับหนวยงานใน
่
*
ํ ั
กากบของกระทรวงคมนาคม ่
ได้สรุ ปภาระหน้าที่ของแตละหนวยงาน ่ ่
ดังตอไปนี ้
* รายละเอียดของหนวยงานขนสงทั
่ ่ ้ งหมดที่นาํ เสนอในหัวข้อ 1.4.2. นี้ เป็ นคําบรรยายที่ถูกจัดทําและนําเสนอไว้ใน
่ ในปี พ.ศ. 2550
http://portal.mot.go.th ซึ่งผูเ้ ขียนได้สืบค้นข้อมูลดังกลาว
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 11 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 1 บทนํ า (Introduction)
เกยี่วข้องและสนับสนุ นกนั เชน่ การบริ การภาคพื้น ศูนย์ซ่ อมบํารุ ง ทางอากาศยาน คลังสิ นค้า
ิ
กจการทั ศนาจร โรงแรม ภัตตาคาร ครัวการบิน เป็ นต้น
8. บริ ษั ท ขนส่ ง จํ า กัด , บขส. (Transport Company Limited, TCL:
www.transport.co.th)
บริ ษ ัท ขนสง่ จํา กดั มี ห น้า ที่ รั บ ทํา การขนสงโดย ่ ทั่ว ไปเพื่ อ บริ ก ารการเดิ น รถ ขนสง่
ผูโ้ ดยสาร และกจการที ิ ่ต่อเนื่ อง โดยมีระบบการบริ หารงาน และการเดิ นรถเพื่อความสะดวก
รวดเร็ ว ตรงเวลา ประหยัด ปลอดภัย เป็ นระเบียบเรี ยบร้อย และเพียงพอกบความต้ ั องการ อีกทั้ งยัง
่ อกบภาคเอกชน
รวมมื ั ่
สวนราชการ และรัฐวิสาหกจอื ิ ่น ๆ ในการเดิ นรถ ขนสงผู ่ โ้ ดยสาร และ
ิ
กจการที ่ต่อเนื่อง ให้มีการประสานงานและใช้ทรัพยากรรวมกนอยางมี ่ ั ่ ประสิ ทธิภาพ
9. บริ ษัท ท่ าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน), ทอท. (Airports of Thailand Public
Company Limited, AOT: www.airportthai.co.th)
่
บริ ษทั ทาอากาศยานไทย จํากดั (มหาชน) มีภารกจหลั ิ กในการให้บริ การแกเครื ่ ่ องบิน โดย
มุ่งอํานวยความสะดวกแกผู่ ใ้ ช้บริ การอยางมี ่ ประสิ ทธิ ภาพ และมีหน้าที่พฒั นาและบํารุ งทาอากาศ ่
ยาน รวมถึงการรักษาความปลอดภัยด้วย
10. บริ ษัท ไทยเดินเรื อทะเล จํากัด, บทด. (Thai Maritime Navigation Company
Limited, TMN: www.tmn.co.th)
เป็ นสายการเดินเรื อแหงชาติ ่ มีวตั ถุประสงค์ในการดําเนิ นงานเพื่อบริ การขนสงทางทะเล ่
ระหวางประเทศ่ ให้บริ การด้านคลังสิ นค้าและทาเรื ่ อให้เชา่ และเชาเรื ่ อเพื่อประกอบกจก ิ ารขนสง่
ทางทะเล และยังทําหน้าที่ เป็ นตัวแทนของบริ ษทั เรื อและนายหน้าในกจการตาง ิ ่ ๆ ที่เกยวข้
ี่ องกบั
การขนสงทางนํ ่ ้ า นอกจากนี้ ยงั มีหน้าที่สําคัญตอประเทศชาติ ่ คือ เพื่อหารายได้ และเงิ นตรา
่
ตางประเทศให้ แกรั่ ฐ สงวนเงินตราตางประเทศ ่ และบรรเทาปัญหาการขาดดุลชําระเงิน ป้ องกนมิ ั ให้
การขนสงสิ ่ นค้าทางทะเลระหวางประเทศหยุ ่ ิ
ดชะงักเมื่ อเกดความไมสงบ ่ สนับสนุ นการขนสง่
ให้แกกองทั ่ พเพื่อความมัน่ คงของชาติ เป็ นแกนกลางของสายการเดินเรื อไทยในการสนับสนุ น
นโยบายสงเสริ ่ ม พาณิ ช ย์น าวี ข องรั ฐ เพื่ อ พัฒ นาการขนสงทางนํ ่ ้ า ให้เ ป็ น ตัว เสริ ม วงจรพาณิ ช ย์
่
การสงออกและนํ าเข้า ฝึ กอบรมคนไทยให้มีความรู ้ความสามารถในการเดินเรื อยิง่ ขึ้ น
11. บริษัท วิทยการบิ ุ นแห่ งประเทศไทย จํากัด, บวท. (Aeronautical Radio of Thailand
Limited, AERO: www.aerothai.co.th)
่
เป็ นหนวยงานที ่มี อาํ นาจในอันที่ จะปฎิ บตั ิหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากรั ฐบาลตาม
ข้อตกลงในสัญญาระหวางรั ่ ฐบาล และรับผิดชอบในการดําเนิ นการและบํารุ งรักษาการวิทยุสื่อสาร
่
ระหวางสถานี พื้นดิน จุดถึงจุด อากาศ-พื้นดิน-อากาศ เกยวกบการบิ ี่ ั ่
นระหวางประเทศ และ/หรื อ
ในประเทศ การสื่ อสารทางวิทยุเกยวกบอุ ี่ ั ตุนิยมวิทยา เครื่ องชวยกา ่ รเดิ นอากาศ การจัดจราจร
สําหรับเครื่ องบินที่บินด้วยเครื่ องวัดประกอบการบินและบริ การอื่นใดที่เกยวข้ ี่ องตามความต้องการ
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 16 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 1 บทนํ า (Introduction)
่ ่
ของผูด้ าํ เนินการเดินอากาศ เพื่อให้การขนสงทางอากาศในและผานประเทศได้ ดาํ เนิ นไปด้วยความ
ปลอดภัย สมํ่าเสมอ และมีสมรรถภาพ โดยไมคิ่ ดกาไรและไมลํ
ํ ่ าเอียง อันเป็ นภารกจตามข้
ิ อผูกพัน
ที่รัฐบาลไทยมีอยูต่ ่อองค์การการบินพลเรื อนระหวางประเทศในฐานะภาคี
่ ประเทศ
่
ที่กลาวไปทั ่
้ งหมดนั้ นคือหนวยงานราชการและรั ิ ่เกยวข้
ฐวิสาหกจที ี่ องกบการขนสงของ
ั ่
ประเทศไทยที่ อยู่ในสังกดของกระทรวงคมนาคม
ั ่
อยางไรกดี็ ยังมีหนวยงานที
่ ี่ องกบการ
่เกยวข้ ั
่
ขนสงและจราจรที ่ อยูใ่ นสังกดของกระทรวงคมนาคม
่ไมได้ ั ่
ดังตอไปนี ้
• สํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกจและสั ิ ่
งคมแหงชาติ (สศช.)
• สํานักงานตํารวจแหงชาติ ่ ได้แก่ กองตํารวจจราจร กองตํารวจทางหลวง
• กรุ งเทพมหานคร (กทม.) ได้แก่ สํานักการจราจรและขนสง่ สํานักการโยธา
• กรมโยธาธิการและผังเมือง
• องค์การรถไฟฟ้ ามหานคร (รฟม.)
่ โ้ ดยสาร
รู ปที่ 1.3 การขนสงผู
2. กําลังขับเคลือ่ น
กาลัํ งขับเคลื่อน หรื อ Motive power สามารถแบงออกได้
่ เป็ น 2 ประเภท ได้แก่
• กาลั ํ งขับเคลื่อนที่เกดขึ
ิ ้ นเองตามธรรมชาติ (Natural motive power) อาทิ กาลั
ํ งขับเคลื่อนที่
ิ ลม มนุษย์ หรื อสัตว์ เป็ นต้น
เกดจาก
• กาลั ํ งขับเคลื่อนที่ถูกประดิ ษฐ์ข้ ึน (Artificial motive power) อาทิ เครื่ องจักรไอนํ้ า
่ กไฟฟ้ า เป็ นต้น
เครื่ องยนต์ดีเซล เครื่ องยนต์เบนซิน กระแสไฟฟ้ า หรื อแมเหล็
ํ งขับเคลื่อนที่เกดขึ
รู ปที่ 1.4 กาลั ิ ้ นเองตามธรรมชาติ
3. ยานพาหนะและหน่ วยบรรทกุ
ยานพาหนะ (Vehicles) สามารถจําแนกตามประเภทของการขนสงได้ ่ ดงั ตอไปนี
่ ้
• การขนสง่ทางบก (Land transportation) อาทิ รถยนต์ รถบรรทุก รถโดยสาร รถรางไฟฟ้ า
หรื อรถไฟ เป็ นต้น
• การขนสง่ทางนํ้ า (Water or maritime transportation) อาทิ เรื อโดยสารแบบตางๆ ่ เป็ นต้น
• การขนสง่ทางอากาศ (Air transportation) อาทิ เครื่ องบิน บอลลูน อวกาศยาน เป็ นต้น
• การขนสง่ทางทอ่ (Pipeline) จะแตกตางกบการขนสงประเภทอื
่ ั ่ ่นตรงที่ สิ่ งที่ใช้เคลื่อนย้าย
่
สิ่ งที่ตอ้ งการขนสง่ ซึ่ งได้แกระบบความดั นและทอ่ จะอยู่กบที
ั ่ ขณะที่ส่ิ งที่ตอ้ งการขนสง่
่
ซึ่งสวนใหญได้ ่ แก่ ของไหล อาทิ นํ้ า นํ้ ามัน หรื อก๊าซ จะถูกขับเคลื่อนให้ไหลไปตามทอ่
่
สําหรับหนวยบรรทุ ก (Carrying unit) ที่ใช้สาํ หรับบรรทุก หรื อบรรจุส่ิ งที่ตอ้ งการขนสง่
รู ปแบบตางๆ ่ ควรได้รับการออกแบบให้มีความเหมาะสมกบสิ ั ่ งที่ต้องการลําเลียงขนสง่ เชน่ ถ้าสิ่ งที่
ต้องการขนสงเป็ ่ นของเหลว ก็ควรใช้ถงั (Tank) ในการลําเลียง หรื อถ้าเป็ นสิ นค้าที่บรรจุในกลอง ่
รู ปทรงสี่ เหลี่ยม อาจลําเลียงโดยใช้ตบู ้ รรทุกสิ นค้า (Containers) เป็ นต้น
4. เส้ นทาง
เส้นทาง (Route, Way or Path) ที่ใช้สาํ หรับการขนสง่ สามารถแบงออกได้
่ เป็ น 3 ประเภท
ได้แก่
• เส้นทางที่เกดขึ
ิ ้ นเองตามธรรมชาติ (Natural way) เชน่ ท้องทะเล นานฟ้
่ า เป็ นต้น
• เส้นทางที่ดดั แปลงขึ้ นจากธรรมชาติ (Artificial improved natural way) เชน่ ลําคลอง แมนํ่้า
เป็ นต้น
• เส้นทางที่สร้างขึ้ น (Artificial way) เชน่ ถนน รางรถไฟ เป็ นต้น
5. สถานีหรืออาคารทีพ่ กั ผ้ ูโดยสาร
่ ่ งที่
สถานี หรื ออาคารที่พกั ผูโ้ ดยสาร (Station or Terminal) คือ บริ เวณที่ใช้สาํ หรับขนถายสิ
ต้องการขนสงขึ ่ ้ นหรื อลงจากยานพาหนะ ในกรณี ที่เป็ นการขนสงผู ่ โ้ ดยสาร สถานที่ดงั กลาวยั
่ งเป็ น
บริ เวณที่ ใช้สําหรั บรอใช้บริ การ เปลี่ยนรู ปแบบการเดิ นทาง ตอรถ ่ หรื อซื้ อตัว ฯลฯ สถานี หรื อ
อาคารที่พกั ผูโ้ ดยสารสามารถจําแนกตามประเภทการขนสงได้ ่ ดงั นี้
• การขนสง่ทางบก อาทิ สถานีขนสงผู ่ โ้ ดยสาร สถานีขนถายสิ ่ นค้า สถานีไฟฟ้ า เป็ นต้น
• การขนสง่ทางนํ้า อาทิ ทาเรื ่ อนํ้ าลึก เป็ นต้น
่ อ ทาเรื
• การขนสง่ทางอากาศ อาทิ สนามบิน เป็ นต้น
่
การขนสงสามารถจํ ่ ตามลักษณะของยานพาหนะและเส้นทาง
าแนกออกเป็ นประเภทตางๆ
่
ได้ดงั ตอไปนี้
กลุ่มนี้ แบงเป็
่ นประเภทยอยตามลั ่ ่
กษณะของสิ่ งที่ทาํ การขนสงออกเป็ น 2 ประเภท ได้แก่ การขนสง่
ผูโ้ ดยสาร (Passenger transportation) และการขนสงสิ ่ นค้า (Freight transportation)
การขนสงผู ่ โ้ ดยสาร หรื อการขนสงคน ่ สามารถแบงออกได้ ่ ่ ได้แก่ การ
เป็ น 2 กลุ่มยอย
่ ่ คคล (Private transportation) และการขนสงสาธารณะ
ขนสงสวนบุ ่ (Public transportation) การ
่ ่ คคลได้แก่ การเดินทางที่ผเู ้ ดินทางไมต้่ องจ้างวานหรื อใช้บริ การยานพาหนะของบุคคล
ขนสงสวนบุ
่ นการขนสงสวนบุ
อื่ น การเดิ น ทางที่ ถื อ วาเป็ ่ ่ ค คล ได้แ ก่ การเดิ น ทางด้ว ยการเดิ น จัก รยาน
จักรยานยนต์ รถยนต์ 4 ล้อ เป็ นต้น จํานวนการเดิ นทางด้วยการขนสงสวนบุ ่ ่ คคลจะเพิ่มขึ้ นตาม
ความต้องการเดินทาง (Travel demand) ด้วยเหตุน้ ีการเดินทางด้วยการขนสงสวนบุ ่ ่ คคลบางรู ปแบบ
อาทิ รถยนต์ส่ วนบุคคล (Private cars) และรถจักรยานยนต์ (Motorcycle) จึงอาจกอให้ ่ เกดปั
ิ ญหา
การจราจรติดขัดขึ้ นได้ ถ้าความต้องการเดินทางที่วานี ่ ้ มีจาํ นวนมากกวาความสามารถรองรั
่ บปริ มาณ
จราจรของโครงขายถนน่ (Capacity) จะรองรับได้
่ โ้ ดยสารสวนบุ
รู ปที่ 1.8 การขนสงผู ่ คคลทางถนน
ที่มา: www.oxford-chiltern-bus-page.co.uk
่
รู ปที่ 1.9 การขนสงสาธารณะ
ที่มา: www.fta.dot.gov
่
การขนส่ งคนในรู ปแบบของการขนสงสาธารณะที ่ใช้ถนนเป็ นทางวิ่งนั้ น ได้แก่ บริ การรถ
่
โดยสารประจําทาง รถตู ้ รถแท็กซี่ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง รถตุ๊กตุ๊ก เป็ นต้น ระบบขนสงสาธารณะที ่มี
่
เส้นทางการให้บริ การที่แนนอน (Fixed route) อาทิ รถโดยสารประจําทาง รถโดยสารระหวาง ่
จังหวัด หรื อรถตูม้ วลชน ฯลฯ จะต้องมีสถานีหรื อป้ าย (Terminal or Station) สําหรับเป็ นสถานที่ให้
ผูโ้ ดยสารรอใช้บริ การ เปลี่ยนสายการเดินทาง หรื อเปลี่ยนรู ปแบบการเดินทาง สําหรับระบบขนสง่
่ ่
สาธารณะที่มีเส้นทางให้บริ การไมแนนอน หรื อมีลกั ษณะเป็ นรถรับจ้าง (Paratransit) อาทิ แท็กซี่
มอเตอร์ ไซด์รับจ้าง ตุ๊กตุ๊ก ฯลฯ อาจไมจํ่ าเป็ นต้องมีสถานี หรื อป้ ายที่กาหนดไว้
ํ ่ นทางการก็
อยางเป็
ได้ เชน่ บริ การรถแท็กซี่ อาจมีการจัดบริ เวณสําหรับจอดรอรับบริ การที่เรี ยกวา่ Taxi stand ไว้
สําหรับจอดรอรับผูโ้ ดยสารบริ เวณห้างสรรพสิ นค้า เป็ นต้น
่ ้ น เนื่ องจากคาใช้
เทานั ่ จ่ายเกยวกบการกอสร้
ี่ ั ่ างถนน และโครงสร้างพื้นฐานตางๆ ่ ที่เกยวข้
ี่ อง รัฐจะ
่ างให้ท้ งั สิ้ น โครงสร้างพื้นฐานที่สาํ คัญของการขนสงสิ
เป็ นผูล้ งทุนกอสร้ ่ นค้าทางถนน ได้แก่ สถานี
รถบรรทุก (Truck terminal) และสถานีขนถายสิ ่ นค้าหรื อศูนย์กระจายสิ นค้า (Depot) ดังแสดงในรู ป
ที่ 1.13
่
รู ปที่ 1.14 ตัวรถแบบกลอง
ที่มา: www.tdc.ca/hay.htm
่ ้ าที่อยูภ่ ายในแผนดิ
รู ปที่ 1.18 เส้นทางการขนสงทางนํ ่ น
ที่มา: www.wldelft.nl/cons/area/rem/index.html
่
สําหรับการขนสงระหวางประเทศ ่ ได้แก่ การขนสงทางทะเลและมหาสมุ
่ ทร เป็ นการขนสง่
่
ระหวางประเทศจะเป็ นต้องอาศัยเมืองทาเป็ ่ นที่ รับสงสิ
่ นค้าผูโ้ ดยสาร เติ มเชื้ อเพลิ ง และสํารอง
่
อาหาร และซอมแซมเรื อ เป็ นต้น เนื่ องจากความจําเป็ นในการขนถายสิ ่ นค้าที่ทาํ ให้ทั้ งผูใ้ ห้บริ การ
ขนสง่และผูร้ ั บสิ น ค้าต้องเข้าสู่ บริ เวณเมื องทาและเส้ ่ นทางการลําเลี ยง ด้วยเหตุน้ ี การเชื่ อมตอ่
ระหวางรู ่ ปแบบการเดินทาง (Intermodal transportation) ระหวางการขนสงทางนํ ่ ่ ้ าและระบบราง
และรถบรรทุ ก เป็ นเรื่ อ งสํา คัญ ที่ ผูว้ างแผนการขนสงจํ ่ า เป็ นต้อ งนํา มาพิ จ ารณาด้ว ย ที่ สํา คัญ
่
ความสามารถในการบรรทุกสิ นค้าของเรื อนั้ น มากกวาความสามารถในการบรรทุ กของระบบราง
และรถบรรทุ กเป็ นอยางมาก ่ ด้ว ยเหตุน้ ี การกระจายสิ น ค้าด้วยระบบรางและรถ บรรทุ กอาจไม่
สามารถดําเนินการได้ทนั ในเวลาจํากดั บริ เวณทาเ่รื อขนาดใหญ่จึงจําเป็ นต้องมีคลังสิ นค้าไว้สาํ หรับ
็ นค้าเพื่อรอการขนสง่ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จาํ เป็ นสําหรับอํานวยความสะดวกในการ
เกบสิ
่ นค้าด้วย รู ปแบบของเรื อที่ใช้บรรทุกสิ นค้า ได้แก่ แบบ Liners (Containers and Break-
ขนถายสิ
bulk shipments) Non-liners (Bulk bottom หรื อ Bulk carrier) Tankers และ Barge tow
่
การขนสงทางนํ ้ า เป็ น อุต สาหกรรมที ่ม ีต น้ ทุน คงที ่ต ํ่า และมี ต น้ ทุน ผ นั แปรสู ง
่ กษาพยาบาลและประกนชี
คารั ั วิตเป็ นคาใช้
่ จ่ายหลักที่จดั อยูใ่ นต้นทุนผันแปร เนื่ องจากผูใ้ ห้บริ การ
่
ขนสงทางเรื อจําเป็ นต้องสร้ างหลักประกนให้ ั ครอบคลุมในทุกประเด็น เนื่ องจากการขนสงทาง ่
ั
ทะเลต้องเผชิ ญกบความผั นแปรของสภาพอากาศและท้องทะเลที่ไมแนนอน ่ ่ มีความผันแปรสู ง
สําหรับต้นทุนคงที่น้ นั เนื่ องจากการขนสงทางทะเลใช้ ่ ิ ้ นตามธรรมชาติ ผูใ้ ห้บริ การ
เส้นทางที่เกดขึ
ขนสงจึ่ งไมจํ่ าเป็ นต้องลงทุนเพื่อกอ่ นสร้างเส้นทางสําหรับลําเลียงพาหนะ
่
องค์ประกอบของการขนสงทางอากาศประกอบด้
วย
ผ้ ูประกอบการ (Operators)
็ สําหรับประเทศไทย
คือ ผูใ้ ห้บริ การสายการบิน ซึ่ งอาจดําเนิ นการโดยรัฐหรื อเอกชนกได้
ได้แก่ บริ ษทั การบินไทย จํากดั (มหาชน) ซึ่ งเป็ นรั ฐวิสาหกิ จขนาดใหญที่ ่ให้บริ การขนสงทาง
่
อากาศหลักของประเทศ นอกจากนี้ ยงั มีบริ ษทั เอกชนอื่นๆ อาทิ สายการบินนกแอร์ (บริ ษทั สายการ
บินนกแอร์ จํากดั) สายการบินบางกอกแอร์เวย์ (บริ ษทั การบินกรุ งเทพ จํากดั) เป็ นต้น
ยานพาหนะ (Airplane)
ได้แก่ อากาศยานรู ปแบบตางๆ ่ ได้แก่ เครื่ องบิน และเฮลิคอปเตอร์ กรณี ที่เป็ นเครื่ องบิน
อาจใช้เครื่ องยนต์แบบใบพัด หรื อไอพน่ ในกรณที่เป็ นเครื่ องบินแบบไอพน่ อาจจําแนกออกเป็ น
่
เครื่ องบินไอพนแบบธรรมดา และเครื่ องบินเร็ วเหนื อเสี ยง (Supersonic) ซึ่ งได้แก่ เครื่ องบิน
คองคอร์ ด (Concorde) ที่ให้บริ การโดยโดยบริ ติชแอร์เวย์ (British Airways) และแอร์ ฟรานซ์ (Air
France) ทั้ งนี้ ปั จจุบนั (พ.ศ. 2551) เครื่ องบินคองคอร์ ดได้หยุดให้บริ การแล้วเนื่ องจากประสบกบั
ภาวะการขาดทุนอยางตอเนื ่ ่ ่ อง สําหรั บเฮลิ คอปเตอร์ น้ ัน เหมาะสําหรั บการขนสงผู ่ โ้ ดยสาร
ภายในประเทศที่มีระยะทางไมไกลมากนั ่ ก โดยเฉพาะอยางยิ ่ ่งในบริ เวณที่มีพ้ืนที่จาํ กดั เชน่ บน
ดาดฟ้ าของอาคารสู ง แทนขุ ่ ดเจาะนํ้ ามัน เป็ นต้น เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์น้ นั สามารถขึ้ นลงในแนวดิ่ง
จึงใช้พ้ืนที่ในการขึ้ นบินและลงจอดน้อยกวาเครื ่ ่ องบินมาก
สนามบิน (Airport)
ถือได้ว่า คือ สถานี สาํ หรับการขนสงทางอากาศนั
่ น่ เอง สนามบินเป็ นจุดที่ผใู ้ ช้บริ การและ
ผูป้ ระกอบการมาพบกนั ด้วยเหตุน้ ี การจัดให้บริ การจึงต้องคํานึ งถึงผูท้ ี่เกยวข้ ี่ องทั้ ง 2 กลุ่มนี้ ดว้ ย
สําหรับประเทศไทย หนวยงานที ่ ่ทาํ หน้าที่บริ หารและดําเนิ นการภายในสนามบิน ได้แก่ การทา่
่
อากาศยานแหงประเทศไทย นอกจากนี้ ภายในสนามบินยังมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็ นเครื่ องชวยสํ ่ าหรับ
่
การขนสงทางอากาศ อาทิ วิทยุสื่อสาร ระบบนํารองสํ ่ าหรับการรอนลงจอด
่ การควบคุมการจราจร
ทางอากาศ (Air traffic control) เป็ นต้น
สนามบิ น มี อ งค์ประกอบหลัก หลายสวน ่ ไมวาจะเป็
่่ น ทางขับ (Taxiways) ทางวิ่ ง
(Runways) โรงเกบเครื ็ ่ องบิน ฯลฯ แตองค์ ่ ประกอบสําคัญซึ่งเป็ นบริ เวณที่เกดกจกรรมหลั
ิ ิ กภายใน
สนามบิน ได้แก่ อาคารผูโ้ ดยสาร (Terminal) แนวคิดในการวางผังอาคารผูโ้ ดยสารภายในสนามบิน
มีหลายรู ปแบบ ดังตอไป ่ นี้
• อาคารผูโ้ ดยสารแบบทาเรื ่ อหรื อนิ้วมือ (Pier or finger terminal) คือ อาคารผูโ้ ดยสารที่
มีส่ วนสําหรับให้เครื่ องบินเข้าเทียบมีลกั ษณะเป็ นแกนยาวยื่นออกไปจากอาคารผูโ้ ดยสารหลัก ดัง
แสดงในรู ปที่ 1.24 (ก)
• อาคารผูโ้ ดยสารแบบดาวเทียม (Satellite terminal) คือ อาคารผูโ้ ดยสารที่มีส่ วนสําหรับ
ให้เครื่ องบินเข้าเทียบรายล้อมด้วยเครื่ องบิน และสวนที ่ ่ให้เครื่ องบินเข้าเทียบนี้ จะเชื่อมตอกบอาคาร
่ ั
ผูโ้ ดยสารหลักด้วยทางเชื่อมใต้ดิน (Underground connector) ทางเชื่อมเหนือพื้นดิน (Aboveground
connector) และทางเชื่อมบนผิวดิน (Surface connector) ดังแสดงในรู ปที่ 1.24 (ข)
• อาคารผูโ้ ดยสารแบบเส้นตรง (Linear, frontal, or gate arrival terminal) คือ อาคาร
ผูโ้ ดยสารที่ มีรูปแบบพื้ นฐานที่ สุด พื้ นที่ ขายตัวและรอขึ้ นเครื่ อง จะอยู่ติดกบทางออกทีั ่ นาํ ไปสู่
ตัวเครื่ องบินที่จอดเทียบอยูด่ า้ นหน้าอาคาร ดังแสดงในรู ปที่ 1.24 (ค)
• อาคารผูโ้ ดยสารแบบเคลื่อนย้ายผูโ้ ดยสาร (Transporter, open apron, or mobile
conveyance) คือ รู ปแบบอาคารผูโ้ ดยสารที่มีรถรับสงผู ่ โ้ ดยสารระหวางอาคารผู
่ โ้ ดยสารหลักกบั
เครื่ องบินที่จอดอยูห่ ่างออกไปจากตัวอาคาร ดังแสดงในรู ปที่ 1.24 (ง)
• อาคารผูโ้ ดยสารแบบผสมผสาน (Concept combinations and variations) คือ การ
ผสมผสานอาคารผูโ้ ดยสารแบบตางๆ ่ เข้า ด้ว ยกนตามความเหมาะสม
ั ่ ิ
สวนมากเกดจากการ
เปลี่ยนแปลงแนวคิดหรื อรู ปแบบอาคารที่พกั ผูโ้ ดยสารจากเดิมที่กาหนดไว้ ํ เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ทั้ งนี้
อาจเนื่องมากจากการเปลี่ยนแปลงของข้อกาหนด ํ สภาพแวดล้อมและปั จจัยตางๆ ่ ที่เปลี่ยนแปลงไป
อาทิ จํานวนผูโ้ ดยสารที่เพิ่มขึ้ น ความต้องการขยายพื้นที่ให้บริ การ หรื อนโยบายการดําเนิ นงานที่
เปลี่ยนไป เป็ นต้น
(ก) (ข)
(ค) (ง)
่ นค้าทางทอของประเทศสหรั
ตารางที่ 1.1 ระยะทางการขนสงสิ ่ ฐอเมริ กา
ประเภทสิ นค้า ิ
ระยะทาง (กโลเมตร )
นํ้ ามันดิบ 185,000
ผลิตภัณฑ์ปิโตเลียม 140,000
๊
กาซธรรมชาติ 412,000
่
ทอกระจายกา ๊ ซธรรมชาติ 1,600,000
ที่มา: Banks (2002)
่
การขนสงทางทอมั ่ กถูกจํากดด้ ั วยลักษณะของภูมิประเทศ และเป็ นการขนสงแบบทางเดี ่ ยว
(One-way transportation) เส้นทางการเดินทออาจมี ่ ลกั ษณะเป็ นโครงขายที่ ่ประกอบด้วย ทอสาย ่
่
หลัก (Trunk lines) และทอกระจายสิ นค้า (Distribution lines) โดยสําหรับทอสายหลั ่ ก มักเป็ นการ
วางแนวทอ่ใต้พ้ืนดิน ขณะที่ท่อกระจายสิ นค้า มักเป็ นการวางแนวทอบนพื ่ ้นดิน ลักษณะอีกประการ
่
หนึ่ ง ของการขนสงทางทอคื ่ อ เป็ นการขนสงที ่ ่ มี ค วามเร็ ว ตํ่า แตสามารถขนสงได้
่ ่ ใ นปริ ม าณ
มาก นอกจากนี้ ยงั ต้องการระบบจัดเกบที ็ ่สามารถบรรจุสินค้าได้ปริ มาณมากที่จุดปลายทาง
่ จ่ายหลักของการลงทุนระบบขนสงทางทอ
คาใช้ ่ ่ ได้แก่ การกอสร้ ่ างโครงขายระบบทอ
่ ่ และ
สถานี ดนั ของเหลวไปตามทอ่ (Pumping station) ซึ่งคิดเป็ นร้อยละ 70 ถึง 80 ของเงินลงทุนทั้ งหมด
่ างเรี ยบร้ อยแล้ว การขนสงทางทอเป็
โดยทัว่ ไป เมื่อทําการกอสร้ ่ ่ นรู ปแบบการขนสงที ่ ่ไมสงผล
่ ่
กระทบตอสิ ่ ่ งแวดล้อมมากนัก ถ้ามีการวางแผนและเลือกเส้นทางการวางแนวของทออยางเหมาะสม ่ ่
่
อยางไรกดี ็ ผลกระทบที่เกดขึ ิ ้ นกบสภาพแวดล้
ั อมขณะทําการกอสร้ ่ าง มักเป็ นปั ญหาสําคัญที่ตอ้ ง
่
ควบคุมสําหรับการขนสงประเภทนี ้
่ ่
รู ปที่ 1.25 การขนสงทางทอ
ที่มา: http://commons.wikimedia.org
คําถามท้ ายบท
1. จงอธิบายความหมายและความสําคัญของการขนสง่
2. จงอธิบายความหมายและบทบาทของวิศวกรรมขนสง่
่ ่
3. ระบบขนสงแบงออกเป็ ี่
นกประเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย
4. จงอธิบายขอบเขตงานและความรับผิดชอบของวิศวกรขนสง่
่
5. จงยกตัวอยางหนวยงานที ่ ี่ องกบการขนสงทั
่เกยวข้ ั ่ ้ งในและนอกประเทศ พร้อมระบุหน้าที่หลัก
่
ของหนวยงานนั ้น
่ ่
6. จงยกตัวอยางหนวยงานขนสงของภาครั ่ ่
ฐในตางประเทศพร้ อมบรรยายหน้าที่ และความ
่
รับผิดชอบของหนวยงานเหลานั ่ ้ นมา 5 หนวยงาน
่
่ องการเป็ นวิศวกรขนสง่ หรื อต้องการทํางานในหนวยงานที
7. ถ้าทานต้ ่ ี่ องกบการขนสง
่เกยวข้ ั ่
ลักษณะงานหรื อหนว่ยงานที่ท่านต้องการทํางานมากที่สุด 5 อันดับแรกคือหนวยงานใด ่
่ ดวานั
8. ทานคิ ่ กผังเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักภูมิศาสตร์ และนักจิตวิทยา เกยวข้
ี่ องกบการศึ
ั กษาด้าน
่ ่ จงอธิบาย
การขนสงอยางไร
2.1. ความหมายของการวางแผนการขนส่ ง
กระบวนการที่สาํ คัญขั้ นตอนหนึ่ งของการขนสงคื ่ อ การวางแผนการขนสง่ โดยทัว่ ไปแล้ว
การวางแผนนั้ นเป็ นสิ่ งที่จาํ เป็ น และมีความสําคัญในการดําเนิ นกจการทุ ิ กด้านที่มีความเสี่ ยงในการ
่่
ดําเนิ นงาน ไมวาจะเป็ น การดําเนิ นชี วิต ธุ รกจิ กจการทหาริ ฯลฯ การวางแผนที่ดีและรอบคอบ
โดยคํานึงถึงปั จจัยที่ส่ งผลกระทบในทุกๆ ด้าน สามารถลดความเสี่ ยงในการดําเนินกจการที ิ ํ งจะ
่กาลั
ปฏิบตั ิลงได้ ในทางตรงกนข้ ั าม ถ้าปราศจากการวางแผนเลย กจการที ิ ํ งจะดําเนิ นการนั้ น อาจ
่กาลั
ประสบความล้มเหลวอยางไมเป็ ่ ่ นทา่ ทั้ งนี้ เพราะเราไมได้ ่ จดั เตรี ยมความพร้ อมที่ จะรองรั บกบั
สถานการณ์ที่อาจเกดขึ ิ ้ นในอนาคตระหวางที ่ ่กาํ ลังดําเนินกจการนั ิ ่ ่ ในการทําสิ่ ง
้ นๆ ดังที่มีผกู ้ ลาววา
ใดกตาม็ ถ้ามีการวางแผนเป็ นอยางดี ่ แล้ว ผลลัพธ์ของการปฏิบตั ิอาจเป็ นไปได้สองแนวทาง นัน่ คือ
เสมอตัว และประสบความสําเร็ จ แตถ้่ าไมได้ ่ มีการวางแผนเลย ผลลัพธ์ของการปฏิบตั ิจะเป็ นได้ทาง
เดียว นัน่ คือพบกบความ ั ล้มเหลว ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าหลักการสําคัญของการวางแผนกคื็ อ การเลือก
และพิจารณาปั จจัยแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อนํามาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อนําผลการวิเคราะห์น้ นั มา
ทํานายสถานการณ์ในอนาคตในประเด็นที่เกยวข้ ี่ องกบปั ั ญหาที่กาลั ํ งพิจารณาอยูน่ น่ั เอง
จากที่ ก ลาวข้ ่ า งต้น อาจกลาวได้ ่ ว่ า กา รวางแผน (Planning) คื อ การดํา เนิ น การหรื อ
กระบวนการที่ใช้ประเมินแนวโน้มของสิ่ งที่จะเกดขึ ิ ้ นในอนาคตเพื่อใช้เป็ นเครื่ องมือสําหรับแนะ
แนวทางปฏิบตั ิที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุเป้ าหมายที่กาหนดไว้ ํ ประเด็นสําคัญประการหนึ่ งของการ
วางแผนคือ การคาดการณ์ สิ่งที่น่ าจะเกดขึ ิ ้ นในอนาคต การดําเนิ นการเพื่อวางแผนมักเกดขึ ิ ้ นใน
่
ชวงเวลาหนึ ่
่ ง แตการนํ าแผนนั้ นไปปฏิบตั ิมกั เกดขึ ิ ้ นในอนาคต ด้วยเหตุน้ ี แม้วาการวางแผนจะเป็่ น
การเพิ่มความนาเชื ่ ่อถือของสิ่ งที่อาจเกดขึ ิ ้ นจริ งในอนาคต แตกไมสามารถรั่ ็ ่ บรองได้วาเมื ่ ่อถึงเวลาที่
นําแผนนั้ นไปปฏิบตั ิจริ ง ผลที่ได้และเวลาชวงเวลาดํ ่ าเนินการจะตรงตามที่คาดการณ์ไว้หรื อไม่
การขนสงเป็ ่ นกจกรรมหนึ
ิ ่ งที่มีความสําคัญตอการดํ ่ าเนิ นชีวิตของผูค้ นและสงผลกระทบ ่
ตอวิ่ ถีชีวิตของผูค้ นในวงกว้าง การที่จะทําให้การขนสงมี ่ ประสิ ทธิภาพนั้ น จําเป็ นอยางยิ ่ ง่ ที่ผมู ้ ีส่ วน
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 37 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 2 การวางแผนการขนสง่ (Transportation Planning)
2.2. กระบวนการวางแผนการขนส่ ง
ในทางปฏิ บ ัติ โดยมากการวางแผนการขนสง่ มัก ถู ก กาหนดให้
ํ เ ป็ นกระบวนการที่ ใ ช้
หลักการของเหตุและผล นั่นคือ ในการแกไขปั้ ญหาด้านขนสงนั ่ ้ น จะต้องดําเนิ นการให้เป็ นไป
่
ตามลําดับขั้ นตอนและมีเหตุผลรองรับ โดยมีขั้นตอนดังตอไปนี
้
่ างต้น สามารถแสดงในรู ป
กระบวนการวางแผนตามหลักการของเหตุและผลตามที่กลาวข้
่
ของแผนภาพได้ดงั ตอไปนี
้
ํ
กาหนดเป้ าหมาย
• คุณคาของสิ
่ ่ งที่มีอยูใ่ นชุมชน
• เป้ าหมาย
• วัตถุประสงค์
• ตัวชี้ วดั ประสิ ทธิภาพ
ระบุความจําเป็ นของการดําเนินการ
่
พัฒนาวิธีการสําหรับแตละทางเลื อก
การดําเนินการ
่
ประเมินวิธีการสําหรับแตละทางเลื อก
การดําเนินการ
• ความเป็ นไปได้ของโครงการ
• ความต้องการระบบขนสง่
• ต้นทุน
• ผลกระทบด้านสิ่ งแวดล้อม
กระบวนการตัดสิ นใจ
• เลือกแนวทางที่เหมาะสมสําหรับ
นําไปปฏิบตั ิ
การปฏิบตั ิตามแนวทางที่เหมาะสมเพื่อ
บรรลุจุดหมายตามที่วางแผนไว้
กระบวนการวางแผนตามหลักการของเหตุและผลจะเกยวข้ ี่ องกบประเด็
ั นทางการเมืองอยู่
ํ
2 ขั้ นตอน นั่นคือการกาหนดเป้ าหมายและกระบวนการตัดสิ นใจ การกาหนดเป้ ํ าหมายมักจะถูก
ํ
กาหนดให้ อยู่ในความรั บผิดชอบของนักการเมื อง และกระบวนการตัดสิ นใจมักจะถูกมองวามี ่
ลักษณะเป็ นกระบวนการทางการเมือง โดยความรับผิดชอบหลักของนักการเมืองในจุดนี้ ก็คือทํา
การตัดสิ นใจภายใต้ขอ้ มูลทางเทคนิคและข้อเท็จจริ งที่ได้จากการวิเคราะห์โดยผูว้ างแผน
่
หนวยงานวางแผนการขนสงมั ่ กจะต้องทําการศึกษาปั ญหาเฉพาะหน้าที่เกดขึ ิ ้ นในการวาง
แผนการขนสงอยู่ ่เสมอ การศึ กษาดังกลาวถื
่ อได้ว่าเป็ นงานหลักที่ดําเนิ นการโดยเจ้าหน้าที่ ซ่ ึ งมี
่
วิชาชีพด้านการขนสงโดยตรงของกองวางแผนการขนสงของเมื ่ อง อาทิ สํานักการจราจรและขนสง่
และสํานักการโยธาของกรุ งเทพมหานคร เป็ นต้น หนวยงานรั ่ ฐอื่นๆ ที่มีส่ วนรับผิดชอบในการ
วางแผนด้า นการขนสง่ อาทิ สํา นัก งานนโยบายและแผนการขนสงและจราจร ่ (สนข.) และ
ิ
สํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกจและสั ่
งคมแหงชาติ (สศช.) เป็ นต้น และบริ ษทั ที่ปรึ กษาด้านการ
วางแผนการขนสง่ เป็ นหนวยงานเอกชนที
่ ่มีหน้าที่วางแผนและแกปั้ ญหาด้านการขนสงโดยตรง ่ ซึ่ ง
ี่ องกบการศึ
โดยมากแล้ว จะเกยวข้ ั กษาเพื่อการวางแผนในประเด็นดังตอไปนี ่ ้
่ ่ ้นที่ยอย
ตัวอยางของการแบงพื ่ ดังแสดงในรู ปที่ 2.2
่ ้นที่ยอยในการวางแผนการขนสงในเมื
รู ปที่ 2.2 การแบงพื ่ ่ อง
ที่มา: Meyer and Miller (2001)
ํ
การที่ผวู ้ างแผนจะเลือกใช้แนวทางใดในการกาหนดขอ ็
บเขตพื้นที่สาํ หรับการเกบรวบรวม
ข้อมูลนั้ น ขึ้ นอยูก่ บวั
ั ตถุประสงค์ของโครงการ ลักษณะของข้อมูล งบประมาณในการดําเนิ นการ
ํ งคน และความละเอียดถูกต้องของข้อมูลที่ตอ้ งการ การกาหนดขอบเขตพื
กาลั ํ ่
้นที่ได้อยางเหมาะสม
ั ตถุประสงค์ของโครงการและทรั พยากรที่มีอยู่ จะชวยใ
กบวั ่ ห้ผูว้ างแผนได้รับข้อมูลที่ดี มีความ
่ ่อถือสูง และสามารถนําไปใช้ในการวิเคราะห์ได้อยางมั
นาเชื ่ น่ ใจเป็ นผลตามมา
2.3.2. การเลือกตัวอย่ าง
การเกบ็ข้อมูล หรื อการรวบรวมข้อมูลถือได้ว่าเป็ นอีกขั้ นตอนหนึ่ งของการวางแผนที่ยาก
และมีค่าใช้จ่ายในการดําเนิ นการสู ง ในการเกบรว็ บรวมข้อมูลเพื่อการวางแผนการขนสงนั ่ ้ น คง
่ ที่จะทําการเกบข้
เป็ นไปไมได้ ็ อมูลจากทุกหนวยสมาชิ
่ ก อาทิ ทุกครัวเรื อน หรื อรถทุกคัน ฯลฯ ที่อยู่
ในพื้นที่ศึกษา เนื่ องจากการดําเนิ นการในลักษณะดังกลาว ่ เกดความลาช้
่ จะกอให้ ิ ่ า และสิ้ นเปลือง
ํ
1. กาหนดขอบเขตและวั ตถุประสงค์ของการสํารวจข้อมูลให้ชดั เจน
2. นิยามประชากรที่จะใช้ในการสุ่ มตัวอยางและกลุ ่ ่มเป้ าหมายของการสํารวจข้อมูล
3. กาหนดข้ ํ อมูลที่ตอ้ งการจากการสํารวจข้อมูล ทั้ งนี้ ควรเป็ นข้อมูลที่สอดคล้องกบวั ั ตถุประสงค์
ของการสํารวจ
ํ
4. กาหนดระดั บ ความถู ก ต้อ งและความนาเชื ่ ่ อ ถื อ ที่ ต ้อ งการจากผลการสํา รวจ (ระดับ ของ
ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกดขึ ิ ้ นได้ในผลการสํารวจ)
ํ
5. กาหนดแนวทางดํ าเนินการในการสํารวจข้อมูล
่
6. แบงประชากรออกเป็ ่ ่ าหรับการสุ่ มตัวอยาง
นหนวยยอยสํ ่
7. เลือกวิธีการที่ใช้ในการสุ่ มตัวอยาง ่ (Sampling procedure) และกาหนด ํ ขนาดของกลุ่มตัวอยาง ่
(Sample size) ที่ตอ้ งการ
8. ทําการทดสอบแนวทางที่ใช้สาํ รวจข้อมูล เพื่อให้เกดความมั ิ ่
น่ ใจวาแนวทางที ่เลือกใช้น้ นั มีความ
ิ
เป็ นไปได้ในทางปฏิบตั ิ และเพื่อให้เกดความเข้ าใจที่ตรงกนในก ั ระบวนการทํางาน
9. จัด โครงสร้ า งและระดับ ของการให้ค าํ ปรึ ก ษาที่ ดี เ พื่ อ การบริ ห ารการสํา รวจข้อ มู ล อยางมี ่
ประสิ ทธิภาพ
ํ
10. กาหนดแนวทางการวิ เคราะห์ขอ้ มูลและสรุ ปผลที่ได้จากการสํารวจ
11. วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้ จากนั้ นทําการจัดเกบข้ ็ อมูลในฐานข้อมูล เพื่อใช้สาํ หรับการอ้างอิงในการ
ทํางานครั้ งตอไป่
็
จากขั้ นตอนการสํารวจและเกบรวบรวมข้ อมูลตามที่ นําเสนอข้างต้น ขั้ นตอนที่ 7 เป็ น
่
ขั้ นตอนที่สําคัญและสงผลกระทบเป็ ่ งตอความนาเชื
นอยางสู ่ ่ ่ อถือของข้อมูลที่ได้จากการสํารวจ
่ ได้แก่ การกาหนด
ขั้ นตอนนี้ ประกอบด้วยการดําเนิ นการ 2 สวน ํ ่ และ
วิธีที่ใช้ในการเลือกตัวอยาง
ํ
การกาหนดขนาดของกลุ ่มตัวอยาง
่
1. การเลือกตัวอย่ าง (Sampling)
่ ่
การเลือกตัวอยางแบงออกเป็ น 2 แนวทาง ได้แก่ การเลือกตัวอยางโดยไมพิ ่ ่ จารณาความ
่
นาจะเป็ น และการเลือกตัวอยางโดยพิ ่ จารณาความนาจะเป็่ น
่
การเลือกตัวอยางโดยไมพิ ่ จารณาความนาจะเป็ ่ นที่นิยมใช้ในการสํารวจข้อมูลมีอยู่ 3 วิธี
ได้แก่ การเลือกแบบบังเอิญ (Accidental random sampling) การเลือกตามสัดสวน ่ (Quota
sampling) และการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) (วิโรจน์ รุ โจปการ, 2544)
การเลือกแบบบังเอิญ (Accidental random sampling) คือ การเลือกตัวอยางโดยผู ่ ท้ าํ การ
สํารวจข้อมูล จะทําการเลือกผูท้ ี่เดินผานมาหรื ่ อบุคคลที่ผสู ้ าํ รวจข้อมูลพบเห็นในทันที โดยไมได้ ่ มี
การเจาะจงหรื อกาหนดไว้ ํ ล่วงหน้า จนได้จาํ นวนตัวอยางครบตามต้ ่ ่
องการในชวงเวลาที ํ
่กาหนด
การเลือกตามสั ดส่ วน (Quota sampling) เป็ นการเลือกตัวอยางโดยแยกประช ่ ากรออกเป็ น
่
สวนตามประเภทของตั วแปรที่ตอ้ งการศึกษา ทั้ งนี้ จาํ นวนตัวอยางที ่ ่ เลือกจากแตละกลุ ่ ่มตัวแปร
่ ั
จะต้องเป็ นสัดสวนกบขนาดของกลุ ่มตัวแปรนั้ นในประชากรทั้ งหมด
การเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) คือ การเลื อกตัวอยางโดยคํ ่ านึ งถึ ง
วัตถุประสงค์ของการสํารวจข้อมูลหรื อการวิจยั นั้ น
สําหรับการเลือกตัวอยางโดยพิ ่ จารณาความนาจะเป็ ่ น โดยทัว่ ไปแล้วมีวิธีการหลักที่นิยมใช้
อยู่ 4 วิธีดว้ ยกนั ได้แก่ การเลือกตัวอยางแบบไมเจาะจง ่ ่ (Simple random sampling) การเลือก
ตัวอยางแบบ ่ เรี ยงลําดับ (Sequential sampling) ่ ่ จงแบบจัดอันดับ
การเลือกตัวอยางไมเจาะ
(Stratified random sampling) และการเลือกตัวอยาง ่ แบบจัดกลุ่ม (Cluster sampling) เพื่อให้เกดิ
ความเข้า ใจที่ ต รงกนั เราจะเรี ย กสมาชิ ก ทั้ ง หมดที่ เ ราให้ค วามสนใจศึ ก ษาข้อ มูล วา่ ประชากร
(Populations) และเรี ยกสมาชิกบางสวนที ่ ่ถูกเลือกจากสมาชิกทั้ งหมดด้วยวิธี การตางๆ ่ วา่ ตัวอยาง ่
(Samples)
การเลือกตัวอย่ างแบบไม่ เจาะจง (Simple random sampling) คือ การเลือกตัวอยางจาก ่
ประชากรโดยสมาชิกทุกตัวของประชากรนั้ น มีโอกาสถูกเลือกอยางเทาเที ่ ่ ยมกนั สมาชิกทั้ งหมดใน
ํ
ประชากรจะถูกกาหนดหมายเลยประจํ าตัวจาก 1 ถึง N ตัวเลขที่อยู่ในชวงตั ่ ้ งแต่ 1 และ N จะถูก
ํ
กาหนดขึ ้ นจากตารางที่ใช้กาหนดตั ํ วเลขสุ่ ม หรื อจากโปรแกรมประมวลผลที่ถูกออกแบบขึ้ นมา
สําหรับกาหนดตัํ วเลขสุ่ ม ตัวเลขสุ่ มดังกลาว ่ จะถูกกาหนดขึํ ่ ั
้ นมาโดยมีจาํ นวนเทากบขนาดของกลุ ่ม
ตัวอยางที ่ ่ตอ้ งการ (N1 โดยที่ N1 น้อยกวา่ N) สมาชิกในประชากรที่มีหมายเลขตรงกบชุ ั ดตัวเลขสุ่ ม
จะถูกเลือกเป็ นกลุ่มตัวอยาง ่
การเลือกตัวอย่ างแบบเรียงลําดับ (Sequential sampling) คือ การเลือกตัวอยางโดย ่ ทําการ
่
แบงประชากรออกเป็ นกลุ่มเรี ยงลําดับจาก 1 ถึง n แล้วทําการเลือกตัวอยางจากทุ ่ กกลุ่มประชากรนั้ น
กระบวนการเลื อ กตัว อยางในรู ่ ป แบบนี้ ตั้ ง อยู่ บ นสมมติ ฐ านที่ ว่ า ประชากรทั้ ง หมดได้ถู ก จัด
เรี ยงลําดับไว้แบบไมเจาะจงอยู่ แ่ ล้ว
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 47 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 2 การวางแผนการขนสง่ (Transportation Planning)
2. การกําหนดขนาดของกล่ มุ ตัวอย่ าง
การทํางานที่สาํ คัญอีกขั้ นตอนหนึ่ งของการเกบ็ รวบรวมข้อมูลกคื็ อ การกาหนดขนาดของ ํ
กลุ่มตัวอยาง ่ โดยทัว่ ไปแล้วจํานวนตัวอยางที ่ ่เพิ่มขึ้ นมักจะมีผลตอความนาเชื
่ ่ ่อถือและความถูกต้อง
ในการใช้เป็ นตัวแทนของประชากรทั้ งหมด แตจะมี ่ จาํ นวนตัวอยางคาหนึ ่ ่ ่ งที่แม้ว่าจะเพิ่มจํานวน
่
ตัวอยางมากกวาคานี ่ ่ ้ กจะไมทํ
็ ่ าให้ความถูกต้องของข้อมูลเพิ่มขึ้ นอยางมี ่ นัยสําคัญ และยังทําให้
่ จ่ายในการเกบรวบรวมและวิ
คาใช้ ็ ่
เคราะห์ขอ้ มูลสู งขึ้ นมากกวาความถู กต้องและนาเชื่ ่อถือที่เพิ่มขึ้ น
ของกลุ่มตัวอยางนั ่ ้น
ในการวางแผนการขนสง่ การกาหนดขนาดของกลุ
ํ ่มตัวอยาง ่ หรื อจํานวนข้อมูลที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ ขอ้ มูล เป็ นเรื่ องที่ซับซ้อนทั้ งนี้ เนื่ องจากการวิเคราะห์เพื่อวัตถุประสงค์ที่ต่างกนั ทําให้
ต้องการจํานวนตัวอยางที ่ ่แตกตางกนไปด้
่ ั ่ ่ เราอาจใช้ฐานข้อมูลชุดเดียวกนเพื
วย ตัวอยางเชน ั ่อการ
ี่ ั
วิเคราะห์เชิงสถิติเกยวกบสภาพการจราจรในปั จจุบนั และเพื่อสร้างแบบจําลองทํานายปริ มาณการ
เดินทางที่จะเกดขึ ิ ้ นในอนาคต ดังนั้ นในฐานข้อมูลเดียวกนนี ั ้ อาจมีจาํ นวนข้อมูลที่เพียงพอสําหรับ
การวิเคราะห์แบบแรก แตอาจไมเพี ่ ่ ยงพอสําหรับการวิเคราะห์แบบหลังกได้ ็ เนื่ องจากการวิเคราะห์
ทั้ งสองแบบนั้ น ต้องการระดับความถูกต้องและจํานวนขั้ นตํ่าของกลุ่มตัวอยางที ่ ่ไมเทากน
่ ่ ั
นอกจากเงื่อนไขเรื่ องความถูกต้องและความนาเชื ่ ่อถือของข้อมูลแล้ว ปั จจัยที่มีอิทธิ พลตอ่
ํ
การกาหนดจํ านวนข้อมูลอีกประการหนึ่ งได้แก่ กาลั ํ งคน เงินทุนที่ใช้ดาํ เนิ นการ และระยะเวลา
ทํางาน ในกรณี ที่ปัจจัยดังกลาวมี ่ อยางเพี
่ ยงพอ จะสงผลให้ ่ ํ
ผวู ้ างแผนสามารถกาหนดขอบเขตของ
็
การเกบรวบรวมข้ ่
อมูลได้อยางสะดวกและมี ความยืดหยุน่ ในการทํางานมากขึ้ น ในทางตรงข้าม ถ้าผู ้
วางแผนมีปัจจัยดังกลาวจํ ่ ากดั ขอบเขตของการเกบรวบรวมข้็ อมูลทั้ งในเรื่ องของจํานวนตัวอยาง ่
ํ
1. กาหนดการกระจา ยตัวของข้อมูล
่ ก ารกระจายตัว แบบปกติ (Normal
โดยทั่ว ไป เราจะสมมติ ใ ห้ ข ้อ มู ล ของตัว อยางมี
distribution) ลักษณะสําคัญของการกระจายตัวแบบปกติกคื็ อ สัดสวนของ
่ พื้นที่ที่อยูใ่ นชวงระหวาง
่ ่
่ ่ย (Mean, μ) และคาเบี
คาเฉลี ่ ่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation, σ) ใดๆ จะมีค่าคงที่เสมอ ดัง
แสดงในรู ปที่ 2.3
ํ
2. กาหนดระดั ่ ่อถือ (Level of confidence) หรื อระดับนัยสําคัญ (Level of
บความนาเชื
significance)
ํ
เมื่อกาหนดการกระจายตั ํ
วแล้ว จากนั้ นจะต้องทําการกาหนดระดั บความนาเชื่ ่ อถือ (Level
of confidence, 1-α) หรื อระดับนัยสําคัญ (Level of significance, α) ที่ยอมรับได้สาํ หรับข้อมูลที่จะ
ทําการวิเคราะห์ ดังแสดงในรู ปที่ 2.4
่ ่อถือบนโค้งการกระจายตัวแบบปกติ
รู ปที่ 2.4 ขอบเขตของระดับนัยสําคัญและความนาเชื
ที่มา: Meyer and Miller (2001)
3. คํานวณหาจํานวนตัวอยาง ่
ํ
เมื่อกาหนดสมมติ ฐานการกระจายตัวของตัวแปรของข้อมูลกลุ่มตัวอยาง ่ และกาหนดระดั
ํ บ
ความนาเชื ่ ่อถือเป็ นที่เรี ยบร้อยแล้ว ลําดับตอไปกคื
่ ็ อ การคํานวณจํานวนตัวอยางหรื
่ อจํานวนข้อมูล
ขั้ นตํ่าที่ตอ้ งการเพื่อให้อยูใ่ นเกณฑ์ที่ยอมรับได้ตามหลักเกณฑ์ทางสถิติ โดยมีสมการที่ใช้ในการ
คํานวณคือ
σ⎤
2
⎡Z
n = ⎢ 1 − (α / 2 ) ⎥ (2.1)
⎣ d ⎦
โดยที่
n = จํานวนตัวอยาง่
d = ่
คาความคลาดเคลื ่ ่ยที่ยอมให้เกดขึ
่อนของการประมาณคาเฉลี ิ ้ นได้
σ = ่ ่ยงเบนมาตรฐานการกระจายตัวของข้อมูล
คาเบี
α = ่ ดับนัยสําคัญ
คาระ
Z1− (α / 2 ) = คาสถิ่ ติปกติมาตรฐาน Z ของการกระจายตัวแบบปกติที่ระดับความนาเชื
่ ่อถือ
1-α
2
⎡Z (0.04) ⎤ ⎡ (1.96)(0.04) ⎤ 2
่
อยางไรกดี ็ ปั ญหาประการหนึ่ งของการใช้สมการ 2.1 กคื็ อ เรามักจะไมทราบคาเบี ่ ่ ่ยงเบน
มาตรฐานของข้อมูล ปั ญหาดังกลาวพอที ่ ้
่จะแกไขได้ โดยการใช้ขอ้ มูลในอดีต หรื อข้อมูลที่มีอยูใ่ น
ปั จ จุ บ ัน บางสวน่ หรื อ อาจทํา การเกบข้ ็ อ มู ล เบื้ อ งต้น บางสวนเพื
่ ่ อ นํา ไปใช้ใ นก ารประมาณคา่
เบี่ยงเบนมาตรฐาน และนําไปใช้ในการประมาณขนาดของตัวอยางด้ ่ วยสมการ 2.1 ตอไป ่ การ
กระจายตัวของข้อมูลอีกประเภทหนึ่ งที่นิยมใช้ในการประมาณคาจํ ่ านวนตัวอยาง ่ และเหมาะสม
่
สําหรับกรณี ที่ผวู ้ างแผนไมทราบคาเบี ่ ่ยงเบนมาตรฐานที่แท้จริ งของข้อมูลตามที่กลาวข้ ่ างต้น ได้แก่
การกระจายตัวแบบที (t-distribution) นอกจากนี้ การกระจายตัวแบบที ยังเหมาะสําหรับการ
วิเคราะห์ในกรณี ที่จาํ นวนตัวอยางมี ่ ขนาดเล็ก (น้อยกวา่ 30 ตัวอยาง ่ )
อีกแนวทางหนึ่ งที่นิยมใช้ในการคํานวณหาจํานวณตัวอยางในกรณี ่ ที่สามารถประมาณคา่
่
สัดสวนของกลุ ่มเป้ าหมายที่สนใจซึ่ งอยูใ่ นประชากรทั้ งหมดออกมาได้ โดยเราสามารถคํานวณหา
จํานวนตัวอยางที ่ ่ตอ้ งการได้จากสมการตอไปนี ่ ้
n=
[Z 1 − (α / 2 ) ] ( p)(1 − p)
2
(2.2)
d2
่ ดสวนของกลุ
โดย p คือ คาสั ่ ่มเป้ าหมายที่ได้จากการสังเกตุจากประชากรทั้ งหมด หรื อใน
ั ามคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์ (Relative error, r) แทนความคลาด
กรณี ที่ผวู ้ างแผนให้ความสําคัญกบคว
เคลื่อนสัมบูรณ์ (Absolute error, d) สมการ 2.2 อาจถูกดัดแปลงเป็ นสมการดังนี้
n=
[Z 1 − (α / 2 ) ] ( p)(1 − p) = [Z
2
1 − (α / 2 ) ] (1 − p)
2
(2.3)
(rp ) 2 r2 p
โดย r ่
คือ คาขอบเขตของความคลาดเคลื ํ
่อนที่ กาหนดให้ ่ ่ยของจํานวน
สําหรั บคาเฉลี
่
ตัวอยาง
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 51 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 2 การวางแผนการขนสง่ (Transportation Planning)
่
ตัวอยางการใช้
สมการ 2.3 สมมติผวู ้ างแผนต้องการที่จะประมาณจํานวนเที่ยวการเดินทาง
สําหรับการเดินทางประเภทหนึ่ งที่เกดขึิ ้ นในเขตเมืองซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น สามารถ
่
ประมาณสัดสวนของการเดิ ่ ั อยละ 50 (p = 0.50) จากการเดินทางทั้ งหมด
นทางประเภทนี้ ได้เทากบร้
ิ ้ นในเขตเมือง สมมติให้การประมาณคาเฉลี
ที่เกดขึ ่ ่ยมีระดับความเชื่อมัน่ ร้อยละ 95 (α = 0.05,
1-0.05 = 0.95) และอยูใ่ นชวงความคลาดเคลื
่ ่ จํานวน
่อนร้อยละ ±5 (r = 0.05) จากข้อมูลดังกลาว
่ ่ตอ้ งการสามารถหาได้ดงั นี้
ตัวอยางที
(1.96) 2 (0.50)
n= = 1,537
(0.05) 2 (0.50)
ในบางกรณี การสํารวจข้อมูลจากกลุ่มตัวอยางอาจใช้
่ เทคนิคที่เรี ยกวา่ การสํารวจข้อมูลทาง
่
ไปรษณี ย ์ (Mail-back survey) ซึ่ งทําได้โดยการสงแบบสอบถามทางไปรษณี ยไ์ ปยังกลุ่มเป้ าหมาย
จากนั้ นให้กลุ่มเป้ าหมายตอบและสงกลั่ บมายังผูส้ ํารวจข้อมูล กรณี ดงั กลาวนี
่ ้ ผูส้ ํารวจข้อมูลอาจ
คาดหวังถึงอัตราการตอบกลับแบบสอบถามของกลุ่มเป้ าหมาย ด้วยการกาหนดคาร้ ํ ่ อยละของอัตรา
การตอบกลับ (Percentage of response rate, s) และสามารถคํานวณจํานวนตัวอยางที ่ ่ตอ้ งการได้จาก
่
สมการตอไปนี ้
n=
[Z 1 − (α / 2 ) ] (1 − p)
2
(2.4)
2
r ( p)( s )
่ ่
จากตัวอยางกอนหน้ านี้ ถ้าผูว้ างแผนหรื อผูส้ ํารวจข้อมูลคาดหวังวาอั่ ตราการตอบกลับ
่
แบบสอบถามนาจะมี ค่าเทากบร้
่ ั อยละ 60 ดังนั้ น จํานวนตัวอยางที ่ ่ตอ้ งสงแบบสอบถามไปให้
่
สามารถคํานวนได้ดงั นี้
(1.96) 2 (0.50)
n= = 2,561
(0.05) 2 (0.50)(0.60)
n0
n1 = (2.5)
1 + n0 / N
โดยที่
n0 = จํานวนตัวอยางที ่
่ ่ได้จากการคํานวณกอนการปรั บแก ้
n1 ่
= จํานวนตัวอยางภายหลังการปรับแก ้
N = จํานวนประชากรทั้ งหมด
2,561
n1 = = 1,970
1 + 2,561 / 8,537
2.4.1. ข้ อมลการใช้
ู พนื้ ทีแ่ ละประชากร
ข้อมูลการใช้พ้ืนที่ประกอบด้วย ข้อมูลลักษณะทางกายภาพของพื้นที่และกจกรรมที ิ ิ ้น
่เกดขึ
ในพื้นที่น้ นั ซึ่ งได้แก่ ลักษณะการใช้ที่ดิน และพื้นที่วางเปลา
่ ่ โดยทัว่ ไปข้อมูลการใช้พ้ืนที่มกั จะถูก
นําไปใช้เพื่อ
• เป็ นพื้นฐานสําหรับประมาณคาปั ่ จจัยการเกดการเดิ
ิ นทาง (Trip generation factors) และ
ิ
ทํานายการเกดการเดิ นทาง (Trip generation forecasts)
• เป็ นข้อมูลเชื่อมโยงระบบขนสงกบการใช้ ่ ั ่ ่นในพื้นที่
งานอยางอื
• เป็ นฐานข้อมูลที่อยูอ่ าศัยสําหรับการเลือกกลุ่มตัวอยางในการสํ
่ ารวจข้อมูลการเดินทางของ
่ วเรื อน
แตละครั
• เป็ นข้อมูลพื้นฐานสําหรับวางแผนการทํางานของหนวยงานอื ่ ่ นๆ
• แนวโน้มการพัฒนาของพื้นที่ในชวงเวลาที ่ ่
่ผานมา
• ลักษณะภูมิประเทศและลักษณะทางกายภาพของพื้นที่
• ลักษณะการใช้พ้ืนที่ในปัจจุบนั
• ่ ่ ่ถูกจับจองแล้ว
พื้นที่วางเปลาที
• ิ
ที่ต้ งั ของสถานที่ที่สร้างการเกดการเดิ นทาง
• ข้อมูลเฉพาะที่ระบุขอบเขตพื้นที่ยอย ่ อาทิ หมู่บา้ น ฯลฯ ที่ต้ งั อยูใ่ นชุมชน
• การควบคุมการใช้พ้ืนที่ การแบงพื ่ ้ นที่ตามประโยชน์การใช้พ้ืนที่ แผนที่ของหนวยงาน
่
ราชการ และกฏข้อบังคับตางๆ ่ ในพื้นที่
• ข้อมูลเฉพาะที่ระบุพ้นื ที่ที่ตอ้ งทําการปรับปรุ งหรื อจัดรู ปพื้นที่ใหม่
่
โดยมากแล้วหนวยงานที ่รับผิดชอบการวางแผน มักจะพยายามรั กษาสภาพปั จจุบนั ของ
ชุมชนหรื อพื้นที่ศึกษา ไมวาจะเป็่่ ่ ่ และกจกรรมที
น การใช้ประโยชน์พ้ืนที่ พื้นที่วางเปลา ิ ิ ้ นใน
่เกดขึ
พื้ น ที่ ให้ค งอยู่ต ามเดิ ม การนํา เทคโนโลยีร ะบบข้อ มู ล สารสนเทศทา งภู มิ ศ าสตร์ (Geographic
information systems, GIS) มาประยุกต์ใช้ ทําให้การทํางานในสวนนี ่ ้ ง่ายและสะดวกขึ้ นกวาในอดี
่ ต
่
เป็ นอยางมาก
่่
สําหรับข้อมูลประชากรในพื้นที่ ไมวาจะเป็ น การกระจายตัวของประชากร ความหนาแนน่
รายได้เฉลี่ย ประเภทของที่อยู่อาศัย และข้อมูลการถือครองยวดยาน จะถูกนํามาใช้ในการสร้าง
แบบจําลองการเดินทาง ประวัติของรู ปแบบการกระจายตัว การอพยพย้ายถิ่นฐาน ความหนาแนน่
2.4.3. ข้ อมลระบบขนส่
ู ง
่ า ให้ ผู ้ว างแผนทราบโครงขายการขนสงที
ข้อ มู ล ระบบขนสงทํ ่ ่ ่ ถู ก สร้ า งขึ้ น ในพื้ น ที่
การศึ กษาและสํารวจข้อมูลในสวนนี ่ ้ ก็เพื่อตรวจสอบปริ มาณการจราจรที่เกดขึ ิ ้ นในปั จจุบนั และ
อนาคต ข้อมูลระบบขนสงนี ่ ้ อาจหาได้จากฐานข้อมูลที่มีอยูแ่ ล้วของหนวยงานรั
่ ่ ่ นเทศบาล
ฐ ไมวาเป็
จังหวัด หรื อตามกระทรวงทบวงกรมตางๆ ่ ทั้ งนี้ การสํารวจข้อมูลระบบขนสง่ เป็ นกระบวนการที่
1. การตรวจสอบระบบรองรับการเดินทาง
การสํ า รวจระบบรองรั บ การเดิ น ทาง ซึ่ งสวนมากจะหมายถึ ่ ง ถนนและทางหลวง
ประกอบด้วย การสํารวจสถานที่ต้ งั และคําอธิ บายเส้นทางที่ใช้สาํ หรับการเดิ นทางแตละเส้ ่ นของ
่
ระบบขนสงในพื ้ น ที่ ศึ ก ษา คํา อธิ บ ายในที่ น้ ี ได้แ ก่ ความสามารถในการรองรั บ ความต้อ งการ
เดินทางในปั จจุบนั ปริ มาณการใช้งานในปัจจุบนั และการบรรยายลักษณะของเส้นทาง การสํารวจ
ระบบรองรับการเดินทางนี้ ได้แก่
• การจัดระดับและจําแนกประเภทของถนนและทางหลวง
• ลักษณะทางเรขาคณิ ต อาทิ ความยาวของเส้นทาง ความกว้างชองจราจร ่ ความกว้างของ
เขตทาง สัญญาณไฟจราจร ชวงเวลาไฟเขี ่ ่
ยว จํานวนชองจราจร การควบคุมการจอดรถ
การควบคุมความเร็ ว และลักษณะการใช้พ้ืนที่ของพื้นที่ซ่ ึงอยูต่ ิดกบเส้ ั นทาง
• เวลาที่ใช้ในการเดินทางเมื่อใช้ความเร็ วได้อยางอิ ่ สระตลอดทั้ งโครงขาย่
• ความสามารถสู งสุ ดในการรองรับความต้องการใช้เส้นทาง (Capacity) และระดับการ
ให้บริ การ (Level of service, LOS)
่
ชองจราจร การควบคุมความเร็ ว และลักษณะการใช้พ้ืนที่ของพื้ นที่ซ่ ึ งอยู่ติดกบเส้
ั นทาง ข้อมูล
่ ้ ส่ วนใหญจะอยู
เหลานี ่ ่ในกลุ่มของการตรวจสอบอุปกรณ์ ควบคุ มการจราจรแล้วเชนกน ่ ั สําหรั บ
่ ่
ความเร็ วและเวลาในการเดินทางนั้ น อาจสงผลตอความจํ าเป็ นในการเลือกวาจะใช้่ ถนนเส้นใด หรื อ
จะเลือกการเดินทางรู ปแบบใด ความสามารถในการรองรับความต้องการใช้เส้นทางและระดับการ
ให้บริ การ สามารถวิเคราะห์ได้โดยใช้วิธีการที่แนะนําไว้ในคู่มือ ที่เป็ นที่นิยมและได้รับความเชื่อถือ
อาทิ Highway Capacity Manual (TRB, 2000) และข้อมูลที่ตอ้ งการสําหรับทางแยกที่มีสัญญาณไฟ
จราจร ได้แก่ ลักษณะทางเรขาคณิ ต ข้อมูลชวงเวลาของสั
่ ญญาณไฟจราจร ปริ มาณจราจร ประเภท
ของการใช้พ้ืนที่ และลักษณะของผูข้ บั ขี่ยวดยาน
2. ข้ อมลการจอดรถ
ู
การตรวจสอบการจอดรถประกอบด้ว ยข้อมูลหลัก ที่ จ าํ เป็ น ได้แ ก่ สถานที่ ต้ งั ความจุ
ํ
กาหนดเวลาที ่ให้จอดได้ และลักษณะอื่นๆ ของพื้นที่จอดรถไมวาจะเป็ ่่ นการจอดรถแบบชิ ดขอบ
ถนน หรื อการจอดรถในพื้นที่ที่จดั ไว้ให้ ข้อมูลที่ตอ้ งการประกอบด้วย
• จํานวนชองจอดรถ่
• กาหนดเวลาที
ํ ่ให้จอดได้และเวลาทําการ
• ข้อมูลผูใ้ ห้บริ การ อาทิ หนวยงานราชการ
่ หรื อเอกชน เป็ นต้น
• อัตราคาบริ ่ การ (ถ้าเกบเงิ
็ น) และวิธีการที่ใช้เกบเงิ็ นคาบริ
่ การ
• ประเภทของที่จอดรถ อาทิ เป็ นการจอดริ มถนน ชองจอดรถ ่ หรื อเป็ นโรงจอดรถ เป็ นต้น
3. ข้ อมลการเดิ
ู นทางและเทีย่ วของการเดินทาง
ข้อมูลการเดินทางและเที่ยวของการเดินทางสามารถตรวจสอบได้จากการศึกษาจุดต้นทาง
ปลายทาง (Origin-destination studies) การศึกษาดังกลาวจะถู ่ ็
กออกแบบขึ้ นมาเพื่อเกบรวบรวม
ข้อมูลจํานวนและประเภทของการเดินทางที่เกดขึ ิ ้ นในพื้นที่ศึกษา รวมถึงการเดินทางของยวดยาน
่ ่ ที่เป็ นจุดต้นทาง ไปยังพื้นที่ยอยตางๆ
ผูโ้ ดยสาร และสิ นค้าจากพื้นที่ยอยตางๆ ่ ่ ที่เป็ นจุดปลายทาง
โดยทัว่ ไป ข้อมูลที่ตอ้ งการ ได้แก่ สถานที่ที่เป็ นจุดต้นทางและปลายทางของแตละเที ่ ่ยวการเดินทาง
วัตถุประสงค์การเดินทาง เวลาที่ใช้ในการเดินทาง ระยะทางที่ใช้ในการเดินทาง พาหนะ (Modes)
ที่ใช้ในการเดินทาง และลักษณะการใช้พ้ืนที่ของสถานที่ที่เป็ นจุดต้นทางและจุดปลายทาง ข้อมูลจะ
ถูกนํามาวิเคราะห์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเดินทาง (Travel behavior) และรู ปแบบของการเดินทาง
่
(Travel patterns) ภายในพื้นที่ศึกษา โดยจําแนกตามชวงเวลาของวั น พาหนะที่ใช้ในการเดินทาง
และวัตถุประสงค์ของการเดินทางในแตละเที ่ ่ ยว
ผูว้ างแผนอาจศึกษาพฤติกรรมการเดินทางของกลุ่มเป้ าหมายในชวงวั ่ นทํางาน (Weekday)
่ นหยุดสุ ดสัปดาห์ (Weekend) รวมถึงการเดินทางที่เกดขึ
หรื อชวงวั ิ ้ นสู งสุ ดในแตละชวงฤดู
่ ่ กาลด้วย
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 58 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 2 การวางแผนการขนสง่ (Transportation Planning)
จุดต้นทางปลายทาง โดยทําการกาหนดตํ ํ ่
าแหนงของสถานี สํารวจข้อมูลตามแนวเส้นขอบเขต ผู ้
สัมภาษณ์ซ่ ึ งประจําอยูท่ ี่สถานี สาํ รวจข้อมูลจะสอบถามผูข้ บั ขี่ยวดยานเพื่อตรวจสอบ วัตถุประสงค์
การเดินทาง จุดต้นทาง และจุดปลายทางของการเดินทางเที่ยวนั้ นๆ สถานที่ต้ งั ของจุดสํารวจข้อมูล
ํ
จะถูกกาหนดให้ อยูบ่ นถนนหลักทุกเส้น และบางเส้นสําหรับถนนประเภทอื่นที่ไมใชถนนหลั ่ ่ กซึ่ ง
่ นขอบเขตของพื้นที่ศึกษา สถานีสาํ รวจข้อมูลจะถูกตั้ งอยูใ่ นตําแหนงที
ตัดผานเส้ ่ ่สามารถตรวจสอบ
่ อยร้อยละ 95 ของยวดยานที่ว่ิงผานเส้
อยางน้ ่ นขอบเขต และต้องเป็ นตําแหนงที ่ ่ก่อให้เกดความ
ิ
ปลอดภัยในการทํางานและไมกอให้ ่ ่ เกดการจราจรติ
ิ ั
ดขัดกบกระแสจราจรโดยรวม ถ้าเป็ นการ
สํารวจข้อมูลเพื่อต้องการข้อมูลการเดินทางที่เกดขึ ิ ้ นบนถนนเส้นเดียวที่ไม่เกยวข้
ี่ องกบถนนเส้
ั นอื่น
่ ่
การสัมภาษณ์ผขู ้ บั ขี่ที่ตาํ แหนงชวงกลางของถนนอาจเพี ยงพอสําหรับวัตถุประสงค์ดงั กลาว ่ ในกรณี
ที่ตอ้ งการข้อมูลของยวดยานทั้ งหมดที่ว่ิงเข้าและออกจากพื้นที่ศึกษาซึ่งเป็ นเมืองขนาดเล็ก ผูส้ าํ รวจ
ํ
จําเป็ นต้องกาหนดจุ ดสัมภาษณ์บนถนนทุกเส้นที่ว่ิงตามแนวรัศมีจากเมือง รู ปที่ 2.5 แสดงตัวอยาง ่
การจัดตั้ งสถานีสาํ รวจข้อมูลข้างทาง
่
รู ปที่ 2.5 การจัดตําแหนงสถานี สาํ รวจข้อมูลข้างทาง
ที่มา: Institute of Transportation Engineering (1994)
่
จากรู ปที่ 2.5 เป็ นตัวอยางของการจั ่
ดตําแหนงของสถานี สาํ รวจข้อมูลบนถนนที่มีปริ มาณ
การจราจรปานกลาง มี 2 ชองจราจร่ และ 2 ทิ ศทาง ตําแหนงที่ ่ ต้ งั ของจุ ด สํารวจควรอยู่ในภู มิ
ประเทศที่ค่อนข้างราบเรี ยบและมีระยะมองเห็นปลอดภัยมากกวา่ 240 เมตร ขึ้ นไป ในกรณี ที่การ
ี
สัมภาษณ์อาจทําการกดขวางการจราจรโดยรวม ควรมีการจัดทางเลี่ยง (Bypass) ไว้เพื่อหลีกเลี่ยง
ิ
การเกดการจราจรติ ดขัด ในกรณี ที่เป็ นถนนนอกเมือง พื้นที่บริ เวณไหลทาง ่ หรื อบางสวนของขอบ
่
ถนนอาจใช้เป็ นทางเลี่ยงจากกระแสจราจรหลักสําหรับการจอดเพื่อสัมภาษณ์ขอ้ มูลได้ โดยมากแล้ว
การสํารวจจะดําเนิ นการตอเนื ่ ่อง 16 ชัว่ โมงตอวั ่ น โดยทัว่ ไปจะเริ่ มจาก 6.00 น. ถึง 22.00 น. การ
สํารวจข้อมูลบนถนนเส้นหลักอาจดําเนิ นการตอเนื ่ ่ องถึง 24 ชัว่ โมงตอวั ่ น ในการสํารวจปริ มาณ
จราจรด้วยการนับรถตอเนื ่ ่ อง 24 ชัว่ โมง ควรจะทําการสัมภาษณ์ขอ้ มูลข้างทางควบคู่กนไปด้ ั วย
เนื่องจากการจราจรบนท้องถนนขณะทําการสํารวจข้อมูล อาจหนาแนนไปด้ ่ วยยวดยาน จึงอาจต้อง
อาศัยเทคนิคหรื ออุปกรณ์เสริ มเข้ามาประกอบเพื่อให้การสัมภาษณ์เป็ นไปอยางราบรื ่ ่ นและได้ขอ้ มูล
ตามที่ตอ้ งการ
เทคนิ ค ที่ ผูส้ ํา ภาษณ์ ข อ้ มู ล ข้า งทางมัก นิ ย มใช้เ พื่ อ ชะลอความเร็ ว ของยวดยานหรื อ ให้
่
คนขับรถที่ วิ่งผานไปมาหยุ ดรถเพื่อตอบคําถามกคื็ อ การขอความรวมมื ่ อจากตํารวจจราจรหรื อ
ตํารวจทางหลวงให้เข้ามาชวยในการทํ ่ าหน้าที่ดงั กลาว่ และยังสามารถชวยในการชี
่ ้ แจงเพื่อขอความ
่ อในการตอบแบบสอบถามให้กับผูข้ บั ขี่ ย วดยานที่ ไ มเข้
รวมมื ่ า ใจและเกรงที่ จะไมได้ ่ รับ ความ
ปลอดภัยในการจอดรถเพื่อตอบคําถามได้ดว้ ย นอกจากนี้ บริ เวณกอนถึ ่ งจุดสัมภาษณ์ขอ้ มูลเล็กน้อย
และที่จุดสัมภาษณ์ขอ้ มูล ควรมีการติดตั้ งป้ ายประกาศที่มีขนาดใหญพอสมควรเพื ่ ่อแจ้งให้ผขู ้ บั ขี่
ยวดยานทราบเกยวกบวั ี่ ั ตถุประสงค์ของการขอความรวมมื ่ อ รวมถึงแจ้งรายละเอียดและขั้ นตอน
ของการสัมภาษณ์ขอ้ มูลให้ผขู ้ บั ขี่ยวดยานทราบ ทั้ งนี้ เพื่อให้ผูข้ บั ขี่ได้เตรี ยมตัวให้เกิดความพร้อม
ในการตอบคําถาม สิ่ งที่ตอ้ งคํานึ งถึงเสมอในการสัมภาษณ์ขอ้ มูลลักษณะนี้ ก็คือ พยายามหลีกเลี่ยง
่ เ กดการจราจรติ
การกอให้ ิ ด ขัด และควรระมัด ระวัง ในเรื่ อ งของความปลอดภัย ในการทํา งาน
เนื่ องจากเมื่อเกิดการจราจรติดขัด สิ่ งที่ตามมาคือสภาพการจราจรที่ผิดปกติไปจากเดิมซึ่ งอาจสงผล ่
่ อมูลการเดิ นทางที่ ได้รับจากกลุ่ มเป้ าหมายได้ จากลักษณะการสํารวจข้อมูลตามที่ อธิ บาย
ตอข้
ข้างต้น จะพบวาเป็ ่ นไปไมได้ ่ ที่เราจะขอความรวมมื ่ อจากรถทุกคันที่ วิ่งผานให้ ่ หยุดเพื่อทําการ
สัมภาษณ์ ขอ้ มูล ดังนั้ นผูส้ ํารวจจะต้องเลือกรถเพียงบางคันเทานั ่ ้ นเป็ นกลุ่มตัวอย่างสําหรั บการ
สัมภาษณ์ขอ้ มูล โดยทัว่ ไปกลุ่มตัวอยางควรจะมี ่ ่ อยอยูร่ ะหวางร้
จาํ นวนอยางน้ ่ อยละ 20 ถึง ร้อยละ
50 ของการจราจร สําหรับจํานวนกลุ่มตัวอยางร้ ่ อยละ 50 ของการจราจร อาจประมาณได้จากวิธี
เลือก 3 เว้น 3 โดยเลือกรถ 3 คัน เป็ นกลุ่มเป้ าหมาย โดยเว้นรถ 3 คัน ที่ว่ิงตามมา จากนั้ นจึงเลือกรถ
่
3 คัน ที่ว่ิงตามมาตอจากนั ้ น และดําเนินการแบบนี้ ไปเรื่ อยๆ จนได้จาํ นวนกลุ่มตัวอยางตามต้ ่ องการ
สําหรับการสํารวจข้อมูลยวดยาน 3,000 ถึง 5,000 คันตอวั ่ น บนถนนที่วิ่งสวนกนั 2 ทิศทาง
ต้องการสมาชิ กในแตละกลุ ่ ่มประกอบด้วย หัวหน้ากลุ่ม 1 คน ผูบ้ นั ทึกข้อมูล 2 คน ผูส้ ัมภาษณ์
ข้อมูล 6 คน และผูป้ ระสานงาน 1 ถึง 2 คน ผูส้ ัมภาษณ์ขอ้ มูลควรมีจาํ นวนเทากบจํ ่ ั านวนรถที่ถูก
เรี ยกให้จอดในแตละชุ ่ ด ขณะที่ผบู ้ นั ทึกข้อมูลจะทําหน้าที่นบั และบันทึกรถทุกคันที่ว่ิงผานจํ ่ าแนก
ตามประเภทของรถและทิศทางการสัญจร เจ้าหน้าที่ตาํ รวจอาจทําหน้าที่เพิ่มเติมด้วยการชวยแจก ่
แผนพั่ บหรื อเอกสารประชาสัมพันธ์ซ่ ึ งอธิ บายวัตถุ ประสงค์ของการสํารวจข้อมูลให้กับคนขับ
ขณะที่รถหยุดได้ดว้ ย ตัวอยางของแบบบั ่ นทึกข้อมูลจุดต้นทางปลายทาง ดังแสดงในรู ปที่ 2.6
่ จ่ายตํ่า ความลาช้
ข้อดี ของการสํารวจด้วยวิธีน้ ี คือ คาใช้ ่ าของการจราจรที่เกดขึิ ้ นในชวง ่
เวลาสํารวจข้อมูลน้อยกวากรณี ่ ที่ ใ ช้เทคนิ คการสัมภาษณ์ โดยตรง นอกจากนี้ ผูท้ ี่ ทําหน้าที่ แ จก
แบบสอบถามอาจไมจํ่ าเป็ นต้องมีความเชี่ยวชาญมากนักในการสัมภาษณ์ขอ้ มูลเนื่ องจากมีหน้าที่
แจกแบบสอบถามเพียงอยางเดี ่ ยว สําหรับข้อจํากดที ั ่สาํ คัญคือ คนขับรถบรรทุกและผูโ้ ดยสารมากบั
ยานพาหนะที่ ใช้พ้ื นที่ ศึกษาเป็ นเพี ยงทางผานมั ่ กไมให้ ่ ความรวมมื
่ อในการตอบคําถามแ ละสง่
แบบสอบถามกลับมา นอกจากนี้ ในกรณี ที่พ้ืนที่ศึกษาเป็ นเมืองใหญ่ ผูส้ าํ รวจข้อมูลจะไมสามารถ ่
ํ
กาหนดได้ ่ องการข้อมูลจากยวดยานประเภทใดเป็ นพิเศษ ตัวอยางเชน
เลยวาต้ ่ ่ ในการสํารวจข้อมูล
่ ่
ต้อ งการข้อ มู ล สํา คัญ จากคนขับ รถตู ้ แตเราไมสามารถกาหนดได้ ํ ่
เ ลยวาคนขั บ รถตู ้ที่ เ ราแจก
่
แบบสอบถามให้ไปนั้ น จะสงแบบสอบถามตอบกลั บมาหรื อไม่ เป็ นต้น และกรณี ที่ใช้วิธีน้ ี ในการ
สํา รวจข้อ มู ล ในเขตเมื อ ง การหยุ ด รถเพื่ อ แจกแบบสอบถามกจํ็ า เป็ นต้อ งทํา เชนเดี
่ ย วกบการ ั
สัมภาษณ์ขอ้ มูลข้างทาง
่
รู ปที่ 2.8 แสดงตัวอยางของแบบบั นทึกข้อมูลที่ใช้ในการสํารวจป้ ายทะเบียนรถยนต์
สําหรับการสํารวจข้อมูลในโครงการหรื อการศึกษาขนาดเล็ก ในการบันทึกข้อมูลโดยทัว่ ไปจะนิ ยม
บันทึกตัวเลข 3 ตัวท้ายของเลขทะเบียนรถยนต์ การบันทึกข้อมูลโดยใช้แถบบันทึกเสี ยงกเป็ ็ นอีกวิธี
หนึ่ งที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ โดยผูส้ าํ รวจจะบันทึกเลขทะเบียนรถยนต์และเวลาที่สังเกตรถ
่
คันดังกลาวลงบนแถบบั ่ นที่ว่ิงผานจุ
นทึกเสี ยงเรี ยงตามลําดับรถแตละคั ่ ดสํารวจ จากนั้ นข้อมูลที่ได้
จากการสํารวจนี้ จะถูกคัดลอกลงตารางหรื อป้ อนเข้าสู่ เครื่ องคอมพิวเตอร์เพื่อนําไปวิเคราะห์ต่อไป
่
ตัวอยางแผนภาพของการติ ่
ดตั้ งป้ าย และตําแหนงของจุ ดสํารวจ แสดงในรู ปที่ 2.9
่ ดสํารวจของการศึกษาด้วยวิธีเปิ ดไปหน้ารถ
รู ปที่ 2.9 การติดตั้ งป้ ายและตําแหนงจุ
ที่มา: Institute of Transportation Engineering (1994)
่ สามารถดําเนินการได้เฉพาะชวงเวลากลางวั
การสํารวจข้อมูลด้วยวิธีการดังกลาว ่ น และจะ
่ อจากคนในชุมชนและผูข้ บั ขี่ยวดยานมี
มีประสิ ทธิ ภาพเฉพาะพื้นที่ศึกษาที่มีขนาดเล็ก ความรวมมื
่ าคัญตอความสํ
สวนสํ ่ ่
าเร็ จของการสํารวจข้อมูลด้วยวิธีน้ ีเป็ นอยางมาก
• การสัมภาษณ์ตามที่พกั อาศัย
• การสํารวจด้วยแบบสอบถามทางไปรษณี ยส์ าํ หรับเจ้าของรถยนต์
• ่ างการเดินทางอื่นๆ
การสัมภาษณ์ขอ้ มูลในสถานที่ทาํ งานและแหลงสร้
• ่
แบบสอบถามสําหรับผูโ้ ดยสารระบบขนสงสาธารณะ
• การสํารวจข้อมูลรถแท็กซี่และรถบรรทุก
• สิ่ ง กดขวางที
ี ิ ้ น ตามธรรมชาติ อาทิ แมนํ
่ เ กดขึ ่ ้ า หรื อ ทางรถไฟ ฯลฯ จะถูก กาหนดให้
ํ
่ (Screen line) ซึ่ งแบงพื
เป็ นเส้นแบงเขต ่ ้นที่ภายในพื้นที่ศึกษาออกเป็ นสองสวน ่ ปริ มาณ
จราจรที่ได้จากการประมาณคาด้ ่ วยการคูณปริ มาณจราจรที่ว่ิงข้ามเส้นแบงเขตซึ
่ ่ งวิเคราะห์
มาจากการสํารวจข้อมู ลการเดิ นทางภายในและภายนอก ด้วยตัวคู ณขยาย จะถูกนําไป
ั มาณจราจรจริ งที่ได้มาจากการนับรถ
เปรี ยบเทียบกบปริ
• การเปรี ยบเทียบปริ มาณจราจรที่ผานเส้ ่ นขอบเขต (Cordon line) โดยเปรี ยบเทียบปริ มาณ
จราจรที่ได้จากการสํารวจข้อมูลการเดิ นทางภายในของจุดสํารวจซึ่ งตั้ งอยู่ที่เส้นขอบเขต
ั มาณจราจรที่จุดสํารวจเดียวกนแตได้
กบปริ ั ่ มาจากการสํารวจข้อมูลการเดินทางภายนอก
• การเปรี ยบเทียบข้อมูลผูโ้ ดยสารระบบขนสงสาธารณะที
่ ่ได้มาจากการสํารวจข้อมูลการ
เดิ น ทางภายใน กบคาที ั ่ ่ ไ ด้จ ากการสํา รวจภาคสนามหรื อ จากบัน ทึ ก ของหนวยงานที ่ ่
่
ให้บริ การขนสงสาธารณะนั ้น
่ างต้นแล้วพบวา่ มีความแตกตางกนมาก
ถ้าทําการตรวจสอบข้อมูลตามวิธีดงั กลาวข้ ่ ั ควรทํา
่ ่จะนําไปวิเคราะห์ในขั้นตอนตอไป
การปรับแกข้้ อมูลที่ได้จากการสํารวจกอนที ่
คําถามท้ ายบท
1. การวางแผนการขนสงคื ่ ออะไร มีความสําคัญอยางไร
่
2. การวางแผนการขนสงจํ ่ าแนกออกเป็ นกประเภท
ี่ อะไรบ้าง
3. การเลือกกลุ่มตัวอยางมี
่ กี่วิธี อะไรบ้าง
ั
4. การสํารวจจุดต้นทางปลายทางคืออะไร มีความสําคัญกบการวางแผนการขนสงอยางไร ่ ่
่ (Screen line) คืออะไร จงอธิบาย
5. เส้นขอบเขต (Cordon line) และเส้นแบงเขต
6. การสํารวจข้อมูลการเดินทางมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
7. การสํารวจข้อมูลการเดินทางภายนอกคืออะไร สามารถดําเนินการได้กี่วิธี
8. การสํารวจข้อมูลการเดินทางภายในคืออะไร สามารถดําเนินการได้กี่วิธี
่ นนักวางแผนเมืองและการขนสงของเมื
9. ถ้าทานเป็ ่ อง สิ่ งที่ท่านต้องคํานึ งถึงในการวางแผนมี
อะไรบ้าง จงอธิบาย
10. นักวางแผนเมืองที่ดีควรมีคุณสมบัติใดบ้าง
่ ่ อถือของการวิเคราะห์ความต้องการเดิ นทางไมได้
ในทางปฏิ บตั ิ ความถูกต้องและนาเชื ่
ขึ้ นอยูก่ บความถู
ั กต้องในการสร้างแบบจําลองแตเพี่ ยงอยางเดี
่ ยว แตยั่ งขึ้ นอยูก่ บความเข้
ั าใจและการ
ั
ให้ค วามสําคัญ กบรายละเอี ่ ที่ เ กยวข้
ย ดของบริ บ ทตางๆ ี่ อ งด้ว ย ไมวาจะเป็
่่ น แผนพัฒ นาเมื อ ง
นโยบายด้านขนสง่ รวมถึงสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมการเดินทางของผูค้ นในพื้นที่ เป็ นต้น
่
โดยทัว่ ไป กระบวนการวิเคราะห์ความต้องการเดินทาง แบงออกเป็ น 6 ขั้ นตอน ดังแสดง
ในรู ปที่ 3.1 และมีรายละเอียดของแตละขั ่ ้ นตอนโดยสังเขป ดังนี้
นิยามปัญหาและขอบเขตการวิเคราะห์
การรวบรวมข้อมูล เลือกเทคนิควิเคราะห์
ความต้องการเดินทางในปี ฐาน
การสร้างแบบจําลอง
ข้อมูลลักษณะประชากรและ
พฤติกรรมการเดินทางในปี ฐาน
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จากการ
การตรวจสอบแบบจําลอง
่
รวบรวมข้อมูลที่ผานมาในอดี ต
พยากรณ์ตวั แปร
การทํานายความต้องการเดินทาง
ํ
ข้อกาหนดนโยบาย
1. การนิยามปัญหาและขอบเขตการวิเคราะห์
่
กอนการวิ ํ
เ คราะห์ จะต้อ งกาหนด ิ ้ น ในพื้ น ที่ ศึ ก ษา และขอบเขตของการ
ปั ญหาที่ เ กดขึ
่
วิเคราะห์ดงั ตอไปนี ้ ให้ชดั เจน
• ช่ วงเวลาสํ าหรับการวิเคราะห์ โดยทัว่ ไปจะต้องกาหนดปี ํ ่
ฐาน (Base year) และชวงเวลาที ่
ทําการวิเคราะห์ (Horizontal year) เชน่ 5 ปี หรื อ 10 ปี นับจากปี ฐาน เป็ นต้น การกาหนด ํ
ํ
ช่วงเวลาวิเคราะห์เป็ นสิ่ งที่จาํ เป็ นต้องกาหนดให้ ่
ชดั เจน เนื่ องจากจะสงผลถึ งลักษณะของ
ข้อมูลที่ตอ้ งการสําหรับการวิเคราะห์ และเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ดว้ ย
• พืน้ ที่ศึกษาและโครงสร้ างของพืน้ ที่ย่อย ขอบเขตของพื้ นที่ศึกษาและพื้นที่ย่อย เป็ นสิ่ งที่
ํ
กาหนดประเภทของการเดิ นทางวา่ การเดิ นทางที่พิจารณานั้ น เป็ นการเดิ นทางที่เกดขึ ิ ้น
ภายในพื้นที่ หรื อระหวางพื่ ้นที่
2. การเลือกเทคนิควิเคราะห์
โดยมากแล้วการเลื อกเทคนิ คการวิเคราะห์จะขึ้ นอยู่กบปั
ั ญหาที่ จะวิเคราะห์ และได้รับ
่
อิทธิพลอยางมากจากขอบเขตของการวิ ่ างต้น
เคราะห์ตามที่ได้กลาวข้
3. การรวบรวมข้ อมลู
เมื่ อนิ ยามปั ญหาและขอบเขตของการวิเคราะห์ และเทคนิ คที่ ใช้ในการวิเคราะห์ เป็ นที่
เรี ยบร้ อยแล้ว จะทําให้ทราบลักษณะและประเภทของข้อมูลที่ตอ้ งการสําหรั บการวิเคราะห์
่
โดยทัว่ ไป ข้อมูลที่ตอ้ งการแบงออกได้ เป็ น 2 ประเภท ได้แก่
• ข้ อมลในอดี
ู ต (Historical data) ได้แก่ ข้อมูลในอดีตที่มีการเกบรวบรวมไว้
็ ่่
แล้ว ไมวาจะ
เป็ น พฤติกรรมการเดินทาง สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม (โครงสร้างรายได้ อายุ เพศ
ิ
ของประชากร เป็ นต้น) กจกรรมที ิ ้ นในพื้นที่ และระบบขนสง่ เป็ นต้น
่เกดขึ
• ข้ อมลทํ ู านาย (Forecasts data) ได้แก่ ข้อมูลสถานะทางเศรษฐกจและสั ิ ิ
งคม กจกรรมที ่
ิ ้ นในพื้นที่ และระบบขนสง่ ที่คาดวาจะเกดขึ
เกดขึ ่ ิ ้ นในปี อนาคต ข้อมูลเหลานี
่ ้ จะนําไปใช้
เป็ นตัวแปรในแบบจําลองสําหรับวิเคราะห์ความต้องการเดินทางที่จะเกดขึ ิ ้ นในอนาคตตาม
กรอบของเวลาที่ทาํ การวิเคราะห์
4. การสร้ างแบบจําลอง
่
ในขั้ นตอนนี้ จะเป็ นการหาความสัมพันธ์ระหวางความต้ ิ ้ นในพื้นที่
องการเดินทางที่เกดขึ
่ มต้องการเดินทางนั้ น ความต้องการเดินทาง หรื อปริ มาณการ
ศึกษา และตัวแปรที่มีอิทธิ พลตอควา
ํ
เดินทางจะถูกกาหนดเป็ ่
นตัวแปรตาม (Dependent variables) และตัวแปรที่มีอิทธิ พลตอความ
ิ ้ นกบปริ
ต้องการเดินทาง ซึ่ งจะถูกใช้ในการอธิ บายความเปลี่ยนแปลงที่เกดขึ ั มาณการเดินทาง อาทิ
ํ
จํา นวนประชากร รายได้ การจ้า งงาน ฯลฯ จะถู ก กาหนดเป็ น ตัว แปรต้น หรื อ ตัว แปรอธิ บ าย
(Independent variables or Explanatory variables)
5. การตรวจสอบความถกต้ ู องของแบบจําลอง
่ าแบบจําลองที่สร้างขึ้ นมาจากขั้ นตอนกอนหน้
กอนนํ ่ านี้ ไปใช้พยากรณ์ปริ มาณการเดินทาง
หรื อความต้องการเดิ นทางในปี อนาคต จะต้องนําแบบจําลองมาตรวจสอบความถูกต้องเสี ยกอน ่
การตรวจสอบนี้ ได้แก่ การตรวจสอบความสมเหตุสมผล (Reasonableness) ของเครื่ องหมายหน้า
่ ่ในแบบจําลอง การตรวจสอบนัยสําคัญของตัวแปรต้นแตละตั
สัมประสิ ทธิ ของตัวแปรและคาคงที ่ ว
ที่ปรากฏอยูใ่ นแบบจําลอง และการทดสอบความออนไหว ่ (Sensitivity test) ของแบบจําลอง ด้วย
การแปรผันคาตั ่ วแปรต้นแตละตั
่ วในแบบจําลองในชวงคาข้ ่ ่ อมูลของตัวแปรนั้ นๆ ขณะที่ตวั แปรต้น
่ ่ จากนั้ นตรวจสอบชวงของคาตั
ตัวอื่นๆ ในแบบจําลองมีคาคงที ่ ่ วแปรตามที่เปลี่ยนแปลงไป
6. การทํานายความต้ องการเดินทาง
่
เมื่อแบบจําลองผานการตรวจสอบความถู ้ นที่เรี ยบร้อยแล้ว
กต้องและได้รับการปรับแกเป็
ขั้ นตอนสุ ดท้ายจะเป็ นการนําแบบจําลองนั้ น มาใช้ในการพยากรณ์ ความต้องการเดิ นทาง หรื อ
ปริ มาณการเดินทางที่จะเกดขึิ ้ นในปี อนาคตเมื่อเทียบกบปี
ั ฐาน
• แบบจําลองการเกดการเดิ
ิ นทาง (Trip generation model) คือ แบบจําลองที่ใช้พยากรณ์
ิ ้ นและถูกดึงดูดเข้าสู่ แตละพื
ปริ มาณการเดิ นทางทั้ งที่เกดขึ ่ ้ นที่ยอยในพื
่ ้ นที่ศึกษา ซึ่ งกคื็ อ
จํานวนเที่ยวการเดินทางทั้ งหมดที่ถูกสร้างขึ้ นในเขตเมืองนัน่ เอง การวิเคราะห์ในขั้ นตอนนี้
จะทําให้ทราบปริ มาณการเดินทางที่เกดขึ ิ ้ นและมุ่งเข้าสู่ แตละพื
่ ้นที่ยอย ่ ่
่ แตไมสามารถบอก
่ มาณการเดินทางที่เกดขึ
ได้วาปริ ิ ้ นจากแตละพื
่ ้นที่ยอยนั
่ ้ น ต้องการจะเดินทางไปที่ไหน หรื อ
ปริ มาณการเดินทางที่มุ่งสู่ พ้ืนที่ยอยนั
่ ้ น เดินทางมาจากที่ใด
พยากรณ์จาํ นวนประชากรและ
จํานวนการจ้างงาน
ิ
แบบจําลองการเกดการเดิ นทาง
แบบจําลองการกระจายการเดินทาง
แบบจําลองการเลือกรู ปแบบ ่ ่
โครงขายการขนสงและ
การเดินทาง ตัวแปรการให้บริ การ
แบบจําลองการแจกแจงการเดินทาง
่
ปริ มาณการเดินทางในโครงขาย
่ ่อง 4 ขั้นตอน
รู ปที่ 3.2 ขั้นตอนของแบบจําลองตอเนื
ที่มา: Meyer and Miller (2001)
การสร้าง/ดึงดูด
การเดินทาง
่
โครงขายถนนและ การกระจาย
่
ระบบขนสงสาธารณะ การเดินทาง
การเลือกประเภท
การขนสง่
จํานวนผูโ้ ดยสารตอ่
รถยนต์ส่ วนบุคคล
การเดินทางบนระบบ การเดินทางบนระบบ
่ ่ คคล
ขนสงสวนบุ ่
ขนสงสาธารณะ
่ าลองจราจร-ขนสง่
รู ปที่ 3.3 กระบวนการวางแผนการขนสงและแบบจํ
ที่มา: วิโรจน์ รุ โจปการ (2544)
ิ
แบบจําลองการเกดการเดิ นทาง
ิ ้ นและสิ้ นสุ ดที่ใด? จํานวนเทาใ
(การเดินทางเกดขึ ่ ด?)
แบบจําลองการกระจายการเดินทาง
(จากไหน ไปไหน?)
แบบจําลองการเลือกรู ปแบบการเดินทาง
่
(ใช้ระบบขนสงประเภทใด ?)
แบบจําลองการแจกแจงการเดินทาง
(ใช้เส้นทางใด?)
่ ดตอเนื
รู ปที่ 3.4 แบบจําลองเพื่อการวางแผนการขนสงชนิ ่ ่อง 4 ขั้ นตอน
ที่มา: วิโรจน์ รุ โจปการ (2544)
การสร้ า งแบบจํา ลองเพื่ อ วิ เ คราะห์ ค วามต้อ งการเดิ น ทาง มี ข้ ัน ตอนการดํา เนิ น งาน
่
ดังตอไปนี ้
1. การสํารวจและวิเคราะห์จุดต้นทางปลายทาง
2. คาดการณ์รูปแบบและลักษณะการใช้พ้ืนที่ในอนาคตจากข้อมูลการวางแผนการใช้พ้ืนที่ที่มี
อยูใ่ นปัจจุบนั
3. คํานวณจํานวนเที่ยวการเดินทางที่ถูกสร้างขึ้ นและถูกดึงดูดเข้าไปของแตละพื ่ ้นที่ยอย่
4. คํานวณเที่ยวการเดินทางทั้ งหมดที่ถูกสร้างขึ้ นและถูกดึงดูดเข้าไปของจุดต้นทางปลายทาง
่ ่
แตละคู
5. คํานวณปริ มาณการเดินทางที่เกดขึ ิ ้ นในแตละเส้
่ นทาง (Link) ที่อยูใ่ นโครงขายการขนสง
่ ่
่
6. ประเมิ น ความสมดุ ล ระหวางความต้ อ งการเดิ น ทางที่ ค าํ นวณได้จ ากขั้ น ตอนที่ 5 กบั
ความสามารถในการให้บริ การของระบบขนสงที ่ ่มีอยู่ ปรั บแกตั้ วแปรที่เกยวกบการใช้
ี่ ั
ประโยชน์ที่ดินในอนาคต ถ้ายังไมสมดุ ่ ล ให้กลับไปปรับแกในขั ้ ้ นตอนที่ 3
่
7. ทําการคํานวณซํ้ าจนกวาจะได้ ผลลัพธ์เป็ นที่พอใจ
3.2.3. ปัจจัยอืน่ ๆ
นอกจากปั จจัยตางๆ ่ ตามที่กลาวไปแล้
่ ่
วข้างต้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีอิทธิ พลตอความ
ต้องการเดินทางดังตอไปนี่ ้
• อัตราการเสี ยภาษี การจายคาเชา ่ ่ ่ หรื อการชําระดอกเบี้ ยเพื่อการลงทุน ฯลฯ เป็ นปั จจัยที่
แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถของกาลั ํ งทรัพย์ที่เพียงพอสําหรับใช้จ่ายเพื่อการเดินทาง
• โครงสร้างอายุของประชากรในพื้ นที่ศึกษา กลุ่มคนที่มีอายุแตกตางกนจะมี ่ ั ลกั ษณะการ
่ ั วย เชน่ กลุ่มคนอายุน้อยมีโอกาสที่จะเดิ นทางเพื่อพบปะเพื่อนฝูง
เดิ นทางที่แตกตางกนด้
ตามสถานที่ต่างๆ มากกวากลุ ่ ่มคนที่มีอายุมากกวา่ เป็ นต้น
• อาชีพของประชากร อาชีพที่ทาํ ให้มีรายได้ดียอมทํ ่ าให้ฐานะและสถานภาพทางสังคมของผู ้
นั้ นดี ตามไปด้วย โอกาสที่ จะเดิ น ทางไปตามสถานที่ ต่ างๆ กจะเพิ ็ ่มขึ้ น สงผลให้
่ ความ
ต้องการเดินทางสู งขึ้ นตามไปด้วยเชนกน ่ ั
• ความเจริ ญของพื้นที่ ถ้าพื้นที่ใดมีความเจิรญทัว่ ถึง มีการพัฒนาสิ่ งอํานวยความสะดวกที่
สนับสนุ นการเดิ นทางที่สมบูรณ์ กจะเป็ ็ นสิ่ งกระตุน้ ให้คนในพื้นที่น้ ันเกดความต้
ิ องการ
่
เดิ น ทางเพิ่ มขึ้ น ความเจริ ญของพื้ นที่ น้ ี อาจนําตัว แปรระยะหางจากศู น ย์กลางเมื องมา
พิจารณาประกอบด้วยกได้ ็ ่
ยิ่งพื้นที่ศึกษาหางจากศู ่ รกจมากขึ
นย์กลางเมืองหรื อยานธุ ิ ้น
่ โอกาสที่จะเกดการ
เทาใด ิ เดินทางเพื่อเข้าสู่ ตวั เมืองและความเจิรญของพื้นที่กจะลดลงมาก
็
่ ้น
ขึ้ นเทานั
่
ตัวอยางของการเดิ นทางประเภทตางๆ่ ตามที่กลาวข้
่ างต้น ดังแสดงในรู ปที่ 3.5 (ก) จากรู ป
ที่ 3.5 (ก) พบวา่
• การเดินทางภายในพื้นที่ศึกษา ได้แก่ เที่ยวการเดินทาง a b c และ h
• การเดินทางจากภายในไปยังภายนอกพื้นที่ศึกษา ได้แก่ เที่ยวการเดินทาง d และ i
• การเดินทางจากภายนอกไปยังภายในพื้นที่ศึกษา ได้แก่ เที่ยวการเดินทาง f และ g
• การเดินทางภายนอกพื้นที่ศึกษา ได้แก่ เที่ยวการเดินทาง e
• การเดินทางผานพื
่ ้นที่ศึกษา ได้แก่ เที่ยวการเดินทาง j
a
บ้าน d
b บ้าน
e
c
f
j
บ้าน
h
g
i
ขอบเขตพื้นที่ศึกษา
บ้าน
(ก)
่ (Screen line)
เส้นแบงเขต
่ นแบงเขต
การสํารวจปริ มาณจราจรที่ผานเส้ ่
การเดินทางภายในพื้นที่ศึกษา (Screen line survey) ข้อมูลที่ตอ้ งการ: ปริ มาณจราจร
(ข)
ั
รู ปที่ 3.5 ประเภทการเดินทางเมื่ออ้างอิงกบขอบเขตของพื
้นที่ศึกษา
ที่มา: ดัดแปลงจาก Department of town and country planning (1989)
ในทางปฏิ บ ัติ พื้ น ที่ ต ้น ทางและพื้ น ที่ ป ลายทาง หรื อ จุ ด ต้น ทางปลายทางนั้ น มี ห ลาย
ตําแหนง่ หลักการของการสํารวจการเดินทางดังกลาวกคื ่ ็ อ การหาปริ มาณการเดินทางระหวางจุ ่ ดต้น
ทางปลายทางแตละคู ่ ่ที่เกดขึ
ิ ้ นทั้ งหมดในพื้นที่ศึกษา การสํารวจข้อมูลการเดินทางประเภทตางๆ ่ ที่
ิ ้ นในพื้ นที่ศึกษาจึ งควรดําเนิ นการไปพร้อมๆ กนในวั
เกดขึ ั นเดี ยวกนั ซึ่ งอาจทําการสํารวจในวัน
ทํางานของสัปดาห์ ในกรณี ที่ตอ้ งการตรวจสอบการเดินทางไปทํางาน (Work trips) และทําการ
สํารวจในวันหยุดสุ ดสัปดาห์ เพื่อตรวจสอบการเดิ นทางเพื่อการพักผอน ่ (Recreational trips)
เนื่ องจากจุดต้นทางปลายทางในพื้นที่ศึกษามีหลายตําแหนง่ จึงต้องนําปริ มาณการเดินทางระหวาง ่
จุดต้นทางปลายทางแต่ละคู่ มาสรุ ปในรู ปของตารางจุดต้นทางปลายทางดังนี้
่ ้ งหมดในพื้นที่ศึกษา
ตารางที่ 3.2 ตารางจุดต้นทางปลายทางของพื้นที่ยอยทั
พื้นที่ปลายทาง รวม
พื้นที่ตน้ ทาง
1 2 ……………………..... j ………………………..... N
1 T11 T12 ……………………..... T1j ………………………..... T1n G1
2 T21 T22 ……………………..... T2j ………………………..... T2n G2
. . . . . . . .
. . . . . . . .
. . . . . . . .
i Ti1 Ti2 ……………………..... Tij ………………………..... Tin Gi
. . . . . . . .
. . . . . . . .
. . . . . . . .
n Tn1 Tn2 ……………………..... Tnj ………………………..... Tnn Gn
รวม A1 A2 ……………………..... Aj ………………………..... An Ttotal
ที่มา: ดัดแปลงจาก Department of town and country planning (1989)
ํ ดจากพื้นที่ยอย
โดยที่ Gi คือ จํานวนเที่ยวการเดินทางทั้ งหมดที่มีตน้ กาเนิ ่ i
่ j
Aj คือ จํานวนเที่ยวการเดินทางทั้ งหมดที่ถูกดึงดูดเข้าไปยังพื้นที่ยอย
่ กพื้นที่ยอย
จากตารางที่ 3.2 จะเห็นได้วาทุ ่ ไมวาจะเป็
่่ ่ 1, 2, 3, 4,……, n สามารถ
นพื้นที่ยอย
ิ ้ นภายในพื้นที่ยอย
เป็ นได้ท้ งั จุดต้นทางและจุดปลายทาง T11 คือ การเดินทางที่เกดขึ ่ 1 T12 คือ การ
่ 1 และมีจุดปลายทางเป็ นพื้นที่ยอย
เดินทางที่มีจุดต้นทางเป็ นพื้นที่ยอย ่ 2 ในทํานองเดียวกนั Tij คือ
การเดิ นทางที่มีจุดต้นทางเป็ นพื้นที่ย่อย i และมีจุดปลายทางเป็ นพื้ นที่ย่อย j Gi คือ การเดิ นทาง
่ ํ ดจากพื้นที่ยอย
ทั้ งหมดที่มีแหลงกาเนิ ่ i มีค่าเทากบผลรวมของ
่ ั Ti1 ถึง Tin และ Aj คือ การเดินทาง
่ j มีคาเทากบผลรวมของ
ทั้ งหมดที่ถูกดึงดูดเข้าไปยังพื้นที่ยอย ่ ่ ั T1j ถึง Tnj
จากรู ปที่ 3.5 (ข) การเดินทางประเภทตางๆ ่ ที่เกดขึ
ิ ้ นในพื้นที่ศึกษานั้ น ได้มาจากการสํารวจ
ข้อมูลจุดต้นทางปลายทางที่มีวิธีการ แนวทางการดําเนิ นงาน และวัตถุประสงค์ที่แตกตางกน ่ ั ดัง
แสดงในตารางที่ 3.3
่
การสํารวจปริ มาณการเดินทางที่ผาน การสัมภาษณ์ขา้ งทาง เพื่ อ ตรวจสอบปริ มาณการเดิ นทาง
เส้นขอบเขต (Cordon line survey) ่ ้นที่ และการเดินทางผานพื
ระหวางพื ่ ้นที่
่ นแบง่
การสํารวจปริ มาณจราจรที่ผานเส้ การนับรถ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของปริ มาณ
เขต (Screen line survey) การจราจรที่ แ จกแจงไปตามถนนเส้ น
่ ของโครงขายถนนในปั
ตางๆ ่ จจุบนั
ที่มา: Department of town and country planning (1989)
3.4. แบบจําลองการเกิดการเดินทาง
ิ
แบบจําลองการเกดการเดิ นทาง (Trip generation model) ถูกสร้างขึ้ นโดยมีวตั ถุประสงค์
เพื่อใช้ในการทํานายจํานวนเที่ยวการเดินทาง (คน-เที่ยวการเดินทาง) ที่เริ่ มต้นและสิ้ นสุ ดในแตละ่
พื้นที่ย่อยทั้ งหมดที่อยู่ในขอบเขตพื้ นที่ศึกษาในชวงเวลาที
่ ่ทาํ การวิเคราะห์ จํานวนการเดิ นทางที่
ิ ้ นจะถูกพิจารณาเป็ นตัวแปรตาม (Dependent variable) ของแบบจําลอง สําหรับตัวแปรต้นหรื อ
เกดขึ
ตัวแปรอธิ บาย (Independent variables or Explanatory variables) นั้ น ได้แก่ ปั จจัยการใช้ประโยชน์
ิ
การวิเคราะห์แบบจําลองการเกดการเดิ นทางอาจจําแนกออกตามวัตถุประสงค์การเดินทาง
(Trip purposes) ทั้ งนี้ เนื่ องจากพฤติกรรมการเดิ นทางของผูเ้ ดินทางนั้ น จะได้รับอิทธิ พลจาก
วัตถุประสงค์การเดิ นทางเป็ นสําคัญ ดังนั้ นผูเ้ ดินทางที่มีวตั ถุประสงค์การเดินทางแตกตางกน ่ ั จะ
่
สงผลให้ ่ ั
มีพฤติกรรมการเดินทางแตกตางกนไปด้ วย โดยทัว่ ไปจะจําแนกออกเป็ น การเดินทางไป
ทํางาน (Work trips) การเดินทางไปโรงเรี ยน (School trips) การเดินทางไปซื้ อสิ นค้า (Shopping
trips) และการเดินทางเพื่อพบปะญาติมิตรเพื่อนฝูงและสันทนาการ (Social or recreational trips)
่
หรื ออาจจํา แนกอยางกว้ า งๆ โดยพิ จ ารณาจากความเกยวข้ ี่ อ งกบสถานที
ั ่ ที่ เ ป็ นที่ พ ัก อาศัย
(Residential areas) ของเที่ยวการเดินทางนั้ นๆ ซึ่งสามารถจําแนกเป็ น การเดินทางที่เกยวข้ ี่ องกบที ั ่
HB อื่นๆ NHB
O A D A
NHB
O
D P
A
ธนาคาร ร้านค้า
ํ
รู ปที่ 3.7 การกาหนดจุ ดต้นทาง-ปลายทาง และจุดสร้างและดึงดูดการเดินทาง
ที่มา: วิโรจน์ รุ โจปการ (2544)
ิ
วิธีการที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์แบบจําลองการเกดการเดิ นทาง ได้แก่ การวิเคราะห์การ
ถดถอยเชิงเส้น (Linear regression analysis) การวิเคราะห์อตั ราการเดินทาง (Trip-rate analysis)
่
และวิธีตวั ประกอบขยาย (Expansion factor method) ดังจะได้นาํ เสนอตามลําดับในหัวข้อตอไป
Yi
Yˆi = aˆxi + bˆ
Yi − Yˆ
Yi − Y
Yˆi Yˆi − Y
b̂
X
Xi
่
รู ปที่ 3.8 สมการถดถอยเชิงเส้นแบบงาย
ที่มา: วิโรจน์ รุ โจปการ (2544)
ํ
ขั้นตอนที่ 1 กาหนดสมการทั ่
ว่ ไปของแบบจําลอง โดยในการแสดงตัวอยางการวิ เคราะห์ น้ ี
ํ
กาหนดให้ เป็ นแบบจําลองเชิงพหุ ประกอบด้วยตัวแปรอธิบาย 2 ตัวแปร
Y = a x +a x +b+e i 1 i1 2 i2
(3.1) i
ei = Yi − Yˆi (3.3)
ขั้นตอนที่ 4 จากหลักการวิธีกาลั ํ งสองน้อยที่สุด (Least square method) คือทําผลรวมกาลั ํ งสอง
่
ของคาคลาดเคลื ่ อยที่สุด
่อน ( ∑ e ) ให้มีคาน้ 2
i
e = [Y − Yˆ ]
2
i i i
2
(3.4)
e = Y − 2Y Yˆ + Yˆ
2
i i
2
i i
(3.5) i
2
ํ
กาหนดให้ F = ∑e 2
i
(3.7)
= ∑ [Y − 2Y (aˆ x + aˆ x + bˆ) + (aˆ x + aˆ x + bˆ) ] (3.8)
i
2
i 1 i1 2 i2 1 i1 2 i2
2
∂F (3.9)
= 0
∂aˆ1
จะได้ aˆ1 ∑ xi21 + aˆ 2 ∑ xi1 xi 2 + bˆ∑ xi1 − ∑ xi1Yi = 0 (3.10)
∂F (3.11)
= 0
∂aˆ 2
จะได้ aˆ 2 ∑ xi22 + aˆ1 ∑ xi1 xi 2 + bˆ∑ xi 2 − ∑ xi 2Yi = 0 (3.12)
ดังนั้ น จะได้ bˆ = Yi − aˆ1 xi1 − aˆ 2 xi 2 (3.13)
และ aˆ1 =
∑ x Y − Y ∑ x − aˆ (∑ x x
i1 i i1 2 i1 i 2 − xi 2 ∑ xi1 )
(3.14)
∑x − x ∑x 2
i1 i1 i1
aˆ 2 =
∑ x Y − Y ∑ x − aˆ (∑ x x
i2 i i2 1 i1 i 2 − xi1 ∑ xi 2 )
(3.15)
∑x − x ∑x 2
i2 i2 i2
R2 =
∑ (Yˆ − Y )
i
2
(3.16)
∑ (Y − Y )
i
2
R2 เป็ นคาที
่ ่ แ สดงความสามารถในการอธิ บ ายความแปรปรวนของตัว แปรตามใน
แบบจําลอง R2 จะมีค่าระหวาง ่ 0 ถึง 1 ถ้าคา่ R2 เทากบ
่ ั 0.80 หมายความวา่ ตัวแปรต้นทั้ งหมดใน
แบบจําลองสามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรตามได้ร้อยละ 80
่ ั เชน่ จํานวนตัวแปรต้นไมเทากน
ถ้าต้องการเปรี ยบเทียบแบบจําลองที่ปรั บเทียบตางกน ่ ่ ั
หรื อจํานวนข้อมูลที่ นํามาใช้วิเคราะห์ ต่างกนั อาจตรวจสอบ ความสามารถในการอธิ บายความ
แปรปรวนของตัวแปรตามได้จากคา่ Adjusted R2 ดังสมการตอไปนี ่ ้
n −1 (3.17)
Adjusted R 2 = 1 − (1 − R 2 )
n − (k + 1)
bˆ =
∑ x ∑Y − ∑ x ∑ x Y
2
i i i i i
(3.19)
n∑ x − (∑ x ) 2
i i
2
aˆ =
∑ x ∑ Y − n∑ x Y
i i i i
(3.20)
(∑ x ) − n∑ x
i
2 2
i
่ ดกาเนิ
ในกรณี ที่เป็ นสมการเส้นตรงผานจุ ํ ด (0,0) จะได้
aˆ =
∑xY i i
และ bˆ = 0 (3.21)
∑x 2
i
่ ่ 10 พื้นที่ในเมืองหนึ่งได้ผลสํารวจ
ตัวอย่ างที่ 3.1 การสํารวจข้อมูลการเดินทางบริ เวณพื้นที่ยอยตางๆ
ดังแสดงในตารางด้านลางนี ่ ้ จากข้อมูลดังกลาว
่ จงสร้างแบบจําลองการสร้างการเดินทางของเมืองนี้
ํ
กาหนดให้ สมการทัว่ ไปของแบบจําลองมีรูปแบบดังนี้ Y = a x + a x + b + e (ตัวอยางนี
i
่ ้ มีที่มา
1 i1 2 i2 i
่ ้นที่ยอย
ตารางที่ 3.4 ข้อมูลการเดินทางและข้อมูลพื้นฐานของประชากรในแตละพื ่
่
พื้นที่ยอย การสร้างการเดินทาง ระยะจากใจกลางเมือง จํานวนครอบครัว
Yi (การเดินทาง) ิ
x1 (กโลเมตร ) x2 (ครอบครัว)
1 5 2 3
2 8 3 4
3 8 5 6
4 9 4 5
5 9 6 7
6 13 2 6
7 6 3 4
8 9 4 6
9 4 5 4
10 3 6 3
่ ้นฐานที่ใช้ในการสร้างสมการแบบจําลองได้ดงั นี้
จากข้อมูลในตารางที่ 3.4 สามารถคํานวณคาพื
่
พื้นที่ยอย Yi x1 x2 xi1Yi xi2Yi xi1xi2 xi21 xi22
1 5 2 3 10 15 6 4 9
2 8 3 4 24 32 12 9 16
3 8 5 6 40 48 30 25 36
4 9 4 5 36 45 20 16 25
5 9 6 7 54 63 42 36 49
6 13 2 6 26 78 12 4 36
7 6 3 4 18 24 12 9 16
8 9 4 5 36 45 20 16 25
9 4 5 4 20 16 20 25 16
10 3 6 3 18 9 18 36 9
รวม 74 40 47 282 375 192 180 237
เฉลี่ย 7.4 4 4.7
่ ่ ลงในสมการ จะได้
จากสมการ 3.14 และ 3.15 แทนคาตางๆ
aˆ =
∑ x Y − Y ∑ x − aˆ (∑ x x − x ∑ x )
i1 i i1 2 i1 i 2 i2 i1
∑x − x ∑x
1 2
i1 i1 i1
aˆ 2 =
∑x i2 i Y − Y ∑ xi 2 − aˆ1 (∑ xi1 xi 2 − xi1 ∑ xi 2 )
∑x 2
i2 − xi 2 ∑ xi 2
27.2 − 4aˆ1
=
16.1
aˆ1 = −1.092
่ ่ ลงในสมการ จะได้
จากสมการ 3.13 แทนคาตางๆ
bˆ = Yi − aˆ1 xi1 − aˆ 2 xi 2
bˆ = 2.552
∑ (Y − Y ) i
2
68.64
=
78.40
= 0.876
หรื อจากคา่ Adjusted R2 ในสมการ 3.17
n −1
Adjusted R 2 = 1 − (1 − R 2 )
n − (k + 1)
10 − 1
= 1 − (1 − 0.876)
10 − (2 + 1)
= 0.841
่
วิโรจน์ รุ โจปการ (2544) ได้แสดงตัวอยางการวิ เคราะห์อตั ราการเดินทางดังแสดงในตาราง
ที่ 3.6
่
จากตัวอยางในตารางที ่ 3.6 พบวา่ อัตราการเดินทางเฉลี่ยตอครอบครั
่ วในเขตพื้นที่ศึกษา
่ ั 7.16 การเดินทางตอครอบครั
เทากบ ่ ่ น และอัตราการเดินทางเฉลี่ยตอคนในเขตพื
วตอวั ่ ้นที่ศึกษา
่ ั 1.92 การเดินทางตอคนตอวั
เทากบ ่ ่ น
3.4.4. วิธีตัวประกอบขยาย
ิ
วัฒนวงศ์ รัตนวราห (2545) ได้สรุ ปขั้ นตอนการคํานวณการเกดและสิ ้ นสุ ดการเดินทางในปี
่
อนาคตด้วยวิธีตวั ประกอบขยายไว้ดงั ตอไปนี ้
่ ิ
1. คํานวณหาคา่อัตราการเติบโตของปั จจัยใดๆ i (Growth factor, Fi) ที่มีอิทธิ พลตอการเกดและ
่
สิ้ นสุ ดการเดินทาง จากสมการตอไปนี
้
Fi =
Ai (T =t )
(3.22)
Ai (T =0 )
่
ตัวอยางของปั ่ ิ
จจัยที่มีอิทธิ พลตอการเกดและ สิ้ นสุ ดการเดินทาง อาทิ จํานวนประชาการ
่ างงาน เป็ นต้น
จํานวนการจ้างงาน จํานวนครัวเรื อน พื้นที่พกั อาศัย และพื้นที่แหลงจ้
FA = F1 × F2 × F3 × ..... × Fn (3.23)
โดยที่ FA = ิ
อัตราการเติบโตของกจกรรมทั
้ งหมด
F1 , F2 ,....., Fn = ิ
อัตราการเติบโตของกจกรรมที ่ 1, 2,…,n
3. คํานวณหาคา่จํานวนการเกดและสิ
ิ ่
้ นสุ ดการเดินทางในปี อนาคตจากสมการตอไปนี
้
ิ
ตัวอย่ างที่ 3.2 เมือง ก มีจาํ นวนการเกดและสิ ่ นเป็ นฟังกชั์ น่ ของการครอบครอง
้ นสุ ดการเดินทางตอวั
รถยนต์ การใช้น้ าํ มัน และจํานวนคนงาน จากการสํารวจข้อมูลและคาดการณ์สิ่ งที่จะเกดขึ ิ ้ นใน
ปี อนาคต พบวาอั ่ ตราการครอบครองรถยนต์ อัตราการใช้น้ าํ มัน และจํานวนคนงาน ในปี พ.ศ. 2551
และ พ.ศ. 2556 มีคาดั ่ งตอไปนี
่ ้
ํ
จากโจทย์ กาหนดให้ A1 = การครอบครองรถยนต์
A2 = การใช้น้ าํ มัน
A3 = จํานวนคนงาน
t = 2556 – 2551 = 5 ปี
จาก Fi =
Ai (T =t )
Ai (T =0 )
จะได้ F1 =
A1(T =5)
=
32,000
= 1.6
A1(T =0) 20,000
A2 (T =5) 250,000
F2 = = = 1.67
A2(T =0) 150,000
และ F3 =
A3(T =5)
=
140,000
= 1.56
A3(T =0 ) 90,000
FA = F1 × F2 × F3
= 4.17
= 50,000 × 4.17
= 208,500
3.5. แบบจําลองการกระจายการเดินทาง
วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์การกระจายการเดินทางกเพื ็ ่อคาดการณ์จาํ นวนการเดินทางที่
ิ ้ นระหวางพื
เกดขึ ่ ้ นที่ย่อยทั้ งหมดในพื้ นที่ศึกษา ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้จากการวิเคราะห์การกระจาย
การเดินทางจะอยูใ่ นรู ปตารางเมทริ กซ์ของคาคาดการณ์ ่ จาํ นวนการเดินทางที่เกดขึิ ้ นระหวางจุ
่ ดต้น
ทาง-ปลายทางทุกคู่ในพื้นที่ศึกษา ดังแสดงในตารางที่ 3.7 โดยกาหนดให้ ํ Tij คือ จํานวนการเดินทาง
ที่มีจุดเริ่ มต้นที่ i และจุดปลายทางที่ j
Tij =
Pi ( A j Fij ) (3.25)
∑(A F )
j
j ij
หรื อ
Tij =
A j ( Pi Fij ) (3.26)
∑ ( Pi Fij )
i
่ i ไปยังพื้นที่ยอย
โดยทัว่ ไป ปั จจัยต้านการเดินทางจากพื้นที่ยอย ่ j มักจะอยูใ่ นรู ปฟั งกชั์ น่
ของเวลาในการเดินทาง หรื อคาใช้ ่ จ่ายในการเดินทางระหวางพื
่ ้นที่ยอยนั
่ ้ น โดยมีรูปแบบทัว่ ไปที่
นิยมใช้ได้แก่
ํ
ตัวอย่ างที่ 3.3 กาหนดให้ ฟังกชั์ น่ ของปั จจัยต้านการเดินทางอยู่ในรู ปของสมการ F = C α และ −
ิ ้ นของแตละพื
ข้อมูลจํานวนการเดินทางที่เกดขึ ่ ้นที่ยอยและปั
่ จจัยต้านการเดินทางดังแสดงในตาราง
ด้านลาง่ จงใช้แบบจําลองความโน้มถวงประมาณคาจํ
่ ่ านวนการเดินทางที่เกดขึ
ิ ้ นจากพื้นที่ยอย
่ 1 ไป
่ ่นๆ กาหนดให้
ยังพื้นที่ยอยอื ํ α = 1.90 (Banks, 2004)
่
พื้นที่ยอย เวลาในการเดินทางมายัง การสร้างการเดินทาง การดึงดูดการเดินทาง
่ 1 (นาที)
พื้นที่ยอย
1 20,000 10,000
2 10 15,000 30,000
3 20 30,000 18,000
4 15 25,000 10,000
5 30 18,000 40,000
่ 1 ไปยังพื้นที่ยอยอื
เนื่องจากโจทย์ให้คาํ นวณหาการเดินทางจากพื้นที่ยอย ่ ่นๆ ซึ่งกคื็ อการคํานวณวา่
่ 1 นั้ น ได้ถูกกระจายไปยังแตละพื
การสร้างการเดินทางจากพื้นที่ยอย ่ ้นที่ยอย่ เป็ นจํานวนเทาใดบ้
่ าง
สมการที่ใช้ ได้แก่
P1 ( A j / Cijα )
T1 j =
∑(A
j
j / Cijα )
่
เราสามารถคํานวณ T1j ได้จากขั้นตอนตอไปนี ้
1. คํานวณคา่ A / C α สําหรับทุกจุดปลายทาง j
j ij
2. หาผลรวมของ A / C α j ij
α
3. คํานวณคา่ ( A / C )α ของทุกจุดปลายทาง j และตรวจสอบผลรวมของคาดั
j ij ่ งกลาว
่
∑ ( A / C )
j
j ij
่ ั 1
ทุกจุดปลายทางซึ่งจะต้องเทากบ
4. คํานวณคา่ T1j และตรวจสอบผลรวมของคาดั ่ งกลาวทุ
่ กจุดปลายทางซึ่ งจะต้องเทากบ
่ ั
่ 1 (P1)
จํานวนการสร้างการเดินทางจากพื้นที่ยอย
่
พื้นที่ยอย Aj Cij (นาที) A j / Cijα ( A j / Cijα ) T1j
∑ ( A j / Cijα )
j
1 10,000
2 30,000 10 337.68 0.675 13,500
3 18,000 20 60.72 0.109 2,180
4 10,000 15 58.27 0.104 2,080
5 40,000 30 62.45 0.112 2,240
∑ 559.12 1.000 20,000
่
ตัวอยางการคํ ่ 2
านวณสําหรับพื้นที่ยอย
Aj 30,000
α
= = 337.68
Cij 101.90
( A j / Cijα ) 377.68
= = 0.675
∑ ( A j / Cijα )
j
559.12
P1 ( A j / Cijα )
T1 j = = 20,000 × 0.675 = 13,500
∑(A
j
j / Cijα )
3.6. แบบจําลองการเลือกรปแบบการเดิ
ู นทาง
แบบจําลองการเลือกรู ปแบบการเดินทาง (Mode choice or Modal split model) มักนิ ยม
วิเคราะห์เป็ นแบบจําลองแยกยอย ่ (Disaggregate model) แบบจําลองการเลือกรู ปแบบการเดินทาง
จะอยู่ในรู ปของแบบจําลองโลจิท (Logit model) ที่ประกอบด้วยฟั งกชั์ น่ อรรถประโยชน์ของ
่
รู ปแบบการเดินทางแตละประเภทที ่พิจารณา โดยทัว่ ไป ถ้ามีตวั เลือก 2 รู ปแบบการเดินทาง เชน่
่
การเลื อ กระหวางการเดิ น ทางด้ว ยรถยนต์ส่ วนบุ ค คล และระบบขนสงสาธารณะ ่ เราจะเรี ย ก
แบบจําลองนี้ วา่ Binary logit model (BNL) แตถ้่ ารู ปแบบการเดินทางที่มาวิเคราะห์พฤติกรรมการ
เลือกของผูเ้ ดิ นทางมีมากกวา่ 2 รู ปแบบ เราจะเรี ยกแบบจําลองนี้ ว่า Multinomial logit model
(MNL) ในกรณี ที่ทาํ การวิเคราะห์การเลือกรู ปแบบการเดินทางมากกวา่ 2 รู ปแบบ แตการเลื ่ ่
อกแตละ
ครั้ งมีลกั ษณะเป็ นลําดับขั้ น (Hierarchical choice model) เราจะเรี ยกแบบจําลองการเลือกรู ปแบบ
การเดินทางลักษณะนี้ ว่า Nested logit model ความแตกตางระหวางแบบจํ
่ ่ าลองทั้ ง 3 รู ปแบบดัง
แสดงในรู ปที่ 3.9
การเลือก
รถยนต์ส่ วนบุคคล ่
ระบบขนสงสาธารณะ
การเลือก
การเลือก
รถยนต์ส่ วนบุคคล ่
ระบบขนสงสาธารณะ
รถไฟฟ้ า รถโดยสารประจําทาง
่
รู ปแบบทัว่ ไปของแบบจําลองโลจิท ดังแสดงในสมการตอไปนี
้ (Banks, 2004)
Pm =
eU m (3.27)
∑ eU m′
m′
โดยที่ Pm = ่
ความนาจะเป็ นที่รูปแบบการเดินทาง m จะถูกเลือก
Um = อรรถประโยชน์ที่ได้รับจากการเลือกรู ปแบบการเดินทาง m
่ ่ งที่มีความสําคัญในแบบจําลองโลจิทกคื็ ออรรถประโยชน์
จากสมการ (3.27) จะเห็นได้วาสิ
อรรถประโยชน์ (Utility, Um) คือ ความพึงพอใจที่ได้รับจากการที่รูปแบบการเดินทางที่ถูกเลือก
สามารถสร้ างความพึงพอใจให้เกดขึ ิ ้ นกบบุ
ั คคลที่เลื อก ซึ่ งสามารถเขียนในรู ปของสมการหรื อ
ฟังกชั์ น่ อรรถประโยชน์ได้ดงั นี้
U m = β m + ∑ β j xmj +ε (3.28)
j
โดยที่ βm = ่
คาพารามิ ่ ่ของรู ปแบบการเดินทาง m
เตอร์เฉพาะหรื อคาคงที
βj = ่ มประสิ ทธิของลักษณะการเดินทางที่มีอิทธิพลตออรรถประโยชน์
คาสั ่ x mj
U = β m − 0.30C − 0.02T
ํ
กาหนดให้ ่ จ่ายในการเดินทาง (บาท) T คือ เวลาในการเดินทาง (นาที) และ β สําหรับ
C คือ คาใช้ m
่ จ่าย (บาท)
คาใช้ เวลาในการเดินทาง (นาที)
BUS 1.00 30
RL 1.50 20
PC 2.50 15
่ จงหาจํานวนการเดินทางของแตละประเภทการเดิ
จากข้อมูลดังกลาว ่ นทางของตลาดกลุ่มนี้
(Banks, 2004)
่
จากสมการอรรถประโยชน์ สามารถคํานวณคาอรรถประโยชน์ ่
ของแตละประเภทการ
เดินทางได้ดงั นี้
U BUS = 0.00 − 0.30(1.00) − 0.02(30) = −0.90
่ ่
คํานวณคาความนาจะเป็ ่
นของรู ปแบบการเดินทางแตละประเภทจากแบบจํ
าลองโลจิท ซึ่ ง
ในที่น้ ีจดั อยูใ่ นประเภท Multinomial logit model ได้ดงั นี้
e −0.90 0.406
PBUS = −0.90 −0.45
= = 0.112
e +e +e 0.95
0.406 + 0.638 + 2.586
e −0.45 0.638
PRL = −0.90 = = 0.176
e + e −0.45 + e 0.95 0.406 + 0.638 + 2.586
e 0.95 2.586
PPC = −0.90 = = 0.712
e + e −0.45 + e 0.95 0.406 + 0.638 + 2.586
่
คํานวณจํานวณการเดินทางหรื อจํานวนคนที่เลือกเดินทางในแตละประเภทการเดิ นทาง
T = 0.112 × 500 = 56 คน เดินทางด้วยรถโดยสารประจําทาง
BUS
่ ปแบบราง
T = 0.176 × 500 = 88 คน เดินทางด้วยระบบขนสงรู
RL
่
ตรวจสอบความถูกต้องจากผลรวมของจํานวนผูเ้ ดินทางแตละประเภทได้ 56+88+356 = 500 การ
คํานวณถูกต้อง
่
ตัวอย่ างที่ 3.5 การประยุกต์แบบจําลองการเลือกประเภทการขนสงประกอบด้
วยรายละเอียด ดังนี้
จากการปรับเทียบแบบจําลองการเลือกรู ปแบบการเดินทางของเมืองเมืองหนึ่ ง ได้สมการ
่
อรรถประโยชน์ของแตละประเภทการเดิ นทาง ดังนี้
U DL = 2.20 − 0.20TC DL − 0.03TTDL
U SR = 0.80 − 0.20TC SR − 0.03TTSR
UB = − 0.20TC B − 0.01TTB
ํ
กาหนดให้ ่ จ่ายในการเดินทาง (บาท) TT คือ เวลาในการเดินทาง (นาที) DL
TC คือ คาใช้
คือ การขับรถคนเดียว SR คือ การเดินทางรวมกน ่ ั และ B คือ รถโดยสารประจําทาง กาหนดให้
ํ
่ ่ ่พกั อาศัยและยานธุ
ระหวางยานที ่ รกิจมีคนที่ตอ้ งเดินทางไปทํางานในชวงชั
่ ว่ โมงเรงดวนเช้
่ ่ าทุกวัน
เป็ นจํานวน 4,000 คน การเดินทางมีค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางของการเดินทางแตละประเภท
่
ดังนี้
่ จ่าย (บาท)
คาใช้ เวลาในการเดินทาง (นาที)
DL 4.00 20
B 0.50 25
ํ
กาหนดให้ ่ จ่าย
ผเู ้ ดินทางประเภท SR จะมีคนเดิ นทางในรถ 2 คนเสมอ รับผิดชอบคาใช้
่ กนั จากข้อมูลดังกลาว
เทาๆ ่ จงคํานวณหาผูเ้ ดินทางในแตละประเภทการขนสง
่ ่ (Mannering and
Kilareski, 1990 อ้างถึงใน วิโรจน์ รุ โจปการ, 2544)
ํ
เริ่ มต้นการวิเคราะห์ดว้ ยการกาหนดรู ปแบบทัว่ ไปของแบบจําลอง
eU mk
Pmk =
∑ eU sk
s
่
จากนั้ นคํานวณคาอรรถประโยชน์ ่
ของรู ปแบบการเดินทางแตละประเภท
U DL = 2.20 − 0.20(4.00) − 0.03(20) = 0.80
U SR = 0.80 − 0.20(2.00) − 0.03(20) = −0.20
่
แทนคาอรรถประโยชน์ ่ ่
ลงในสมการทัว่ ไปเพื่อหาคาความนาจะเป็ น จะได้
e 0.80 2.226
PDL = −0.20 −0.35
= = 0.594
e +e
0.80
+e 2.226 + 0.819 + 0.705
e −0.20 0.819
PSR = 0.80 −0.20 −0.35
= = 0.218
e +e +e 2.226 + 0.819 + 0.705
e −0.35 0.705
PB = 0.80 = = 0.188
e + e −0.20 + e −0.35 2.226 + 0.819 + 0.705
่
คํานวณจํานวณการเดินทางหรื อจํานวนคนที่เลือกเดินทางในแตละประเภทการเดิ นทาง
T = 0.594 × 4,000 = 2,380 คน เดินทางโดย DL
DL
่
ตรวจสอบกรณีที่ 1 คํานวณคาอรรถประโ ่ ่ 3.5
ยชน์โดยอ้างอิงจากตัวอยางที
U DL = 2.20 − 0.20(4.00) − 0.03(20) = 0.80 คงเดิม
U SR = 0.80 − 0.20(2.00) − 0.03(20) = −0.20 คงเดิม
UB = − 0.20(0.50) − 0.01(10) = −0.20
่
แทนคาอรรถประโยชน์ ่ ่
ลงในสมการทัว่ ไปเพื่อหาคาความนาจะเป็ น จะได้
e 0.80 2.226
PDL = −0.20 −0.20
= = 0.576
e +e
0.80
+e 2.226 + 0.819 + 0.819
e −0.20 0.819
PSR = 0.80 −0.20 −0.20
= = 0.212
e +e +e 2.226 + 0.819 + 0.819
e −0.20 0.819
PB = 0.80 = = 0.212
e + e −0.20 + e −0.20 2.226 + 0.819 + 0.819
่
คํานวณสัดสวนการเลื อกประเภทการเดินทาง
TDL = 0.576 × 4,000 = 2,304 คน เดินทางโดย DL
TSR = 0.212 × 4,000 = 848 คน เดินทางโดย SR
่
ตรวจสอบกรณีที่ 2 คํานวณคาอรรถประโยชน์ โดยอ้างอิงจากกรณี ที่ 1
U DL = 2.20 − 0.20(4.00) − 0.03(20) = 0.80 คงเดิม
U SR = 0.80 − 0.20(2.00) − 0.03(10) = 0.10
UB = − 0.20(0.50) − 0.01(10) = −0.20 คงเดิม
่
แทนคาอรรถประโยชน์ ่ ่
ลงในสมการทัว่ ไปเพื่อหาคาความนาจะเป็ น จะได้
e 0.80 2.226
PDL = −0.20
= = 0.536
e +e +e
0.80 0.10
2.226 + 1.105 + 0.819
e 0.10 1.105
PSR = 0.80 −0.20
= = 0.266
e +e +e 0.10
2.226 + 1.105 + 0.819
e −0.20 0.819
PB = 0.80 = = 0.197
e + e 0.10 + e −0.20 2.226 + 1.105 + 0.819
่
คํานวณสัดสวนการเลื อกประเภทการเดินทาง
TDL = 0.536 × 4,000 = 2,144 คน เดินทางโดย DL
TSR = 0.266 × 4,000 = 1,064 คน เดินทางโดย SR
่
ตรวจสอบกรณีที่ 3 คํานวณคาอรรถประโยชน์ โดยอ้างอิงจากกรณี ที่ 2
U DL = 2.20 − 0.20(4.00) − 0.03(20) = 0.80 คงเดิม
U SR = 0.80 − 0.20(2.00) − 0.03(10) = 0.10 คงเดิม
UB = − 0.20(0.00) − 0.01(10) = −0.10
่
แทนคาอรรถประโยชน์ ่ ่
ลงในสมการทัว่ ไปเพื่อหาคาความนาจะเป็ น จะได้
e 0.80 2.226
PDL = −0.10
= = 0.525
e +e +e
0.80 0.10
2.226 + 1.105 + 0.905
e 0.10 1.105
PSR = 0.80 0.10 −0.10
= = 0.261
e +e +e 2.226 + 1.105 + 0.905
e −0.10 0.905
PB = 0.80 = = 0.214
e + e 0.10 + e −0.10 2.226 + 1.105 + 0.905
่
คํานวณสัดสวนการเลื อกประเภทการเดินทาง
TDL = 0.525 × 4,000 = 2,100 คน เดินทางโดย DL
TSR = 0.261 × 4,000 = 1,044 คน เดินทางโดย SR
3.7. แบบจําลองการแจกแจงการเดินทาง
ขั้ นตอนสุ ดท้ายของแบบจําลองตอเนื่ ่อง 4 ขั้ นตอนกคื็ อ การแจกแจงการเดินทางของแตละ ่
ประเภทการเดินทางไปยังเส้นทางจริ งที่เชื่อมโยงระหวางจุ ่ ดต้นทาง-ปลายทางแตละคู ่ ่ในโครงขาย ่
ระบบขนสงของการเดิ่ ่
นทางแตละประเภท การแจกแจงการเดินทางในโครงขายการขนสงขนาดเล็่ ่ ก
อาจทําได้โดยใช้บุคคลเป็ นผูด้ าํ เนิ นการ อยางไรก่ ็ดี ในความเป็ นจริ งพบวาโครงขายการขนสงของ
่ ่ ่
เมืองมีความซับซ้อนเกนที ิ ่มนุ ษย์จะสามารถวิเคราะห์ได้ในเวลาที่จาํ กดั ในทางปฏิบตั ิจึงมักทําการ
วิเคราะห์การแจกแจงการเดินทางโดยใช้โปรแกรมประมวลผลเป็ นเครื่ องมือชวยในการวิ ่ เคราะห์
(Computer-based analysis)
การวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมประมวลผลมักอ้างอิงหลักการจุดสมดุลของผูเ้ ดินทาง (User
่
equilibrium) หลักการนี้ ผูเ้ ดินทางจะไมสามารถปรั บการเดินทางโดยเลือกเส้นทางใหมที่ ่มีปัจจัย
ต้านทานการเดินทางน้อยกวาเส้ ่ นทางที่ได้เลือกไปแล้วได้ การเลือกเส้นทางจึงตั้ งอยูบ่ นสมมติฐาน
ที่ว่า ผูเ้ ดินทางแตละคนได้
่ เลือกเส้นทางที่ดีที่สุด (ตามที่รับรู ้ขอ้ มูล) ที่มีค่าใช้จ่ายหรื อเวลาในการ
เดินทางน้อยที่สุดหรื อเหมาะสมที่สุดแล้ว หลักการจุดสมดุลนี้ จะตรงข้ามกบการวิ ั เคราะห์การแจก
แจงการเดินทางโดยหลักการระบบที่เหมาะสม (System optimization) ซึ่งมีสมมติฐานวาผู ่ ใ้ ช้ระบบ
่ กแจกแจงไปในเส้นทางที่มีปัจจัยต้านการเดินทาง อาทิ เวลา หรื อคาใช้
ขนสงจะถู ่ จ่ายในการเดินทาง
่
ฯลฯ ที่นอ้ ยที่สุดซึ่ งได้จากการวิเคราะห์โครงขายการขนสงทั ่ ว่ ทั้ งพื้นที่ศึกษา จากสมมติฐานการ
่ ั
วิเคราะห์ที่แตกตางกนตามที ่
่กลาวมาแล้ ว เส้นทางที่ถูกแจกแจงด้วยวิธีจุดสมดุลจึงอาจไมใชเส้ ่ ่ นทาง
ั ั นทางที่ถูกแจกแจงด้วยวิธีระบบที่เหมาะสม นัน่ คือ เส้นทางที่ถูกแจกแจงด้วยวิธีจุด
เดียวกนกบเส้
สมดุล จึงอาจไมใชเส้ ่ ่ นทางที่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ต่าํ ที่สุดกได้ ็ การกาหนดวิ ํ ธีการที่ชดั เจน
ในการวิเคราะห์ จึงมีความสําคัญตอการ ่ ดําเนินการในภาพรวม เนื่องจากวิธีจุดสมดุลนั้ น เป็ นเทคนิค
ที่มีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายที่สูงกวาวิ ่ ธีระบบที่เหมาะสม
ในลําดับตอไป่ จะนําเสนอเนื้ อหาเกยวกบ ี่ ั เทคนิ คที่ ใช้ในการวิเคราะห์การแจกแจงการ
เดินทางโดยสังเขป โดยเทคนิคที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การแจกแจงด้วยวิธีท้ งั หมดหรื อไมมี่
tu = t ff × f (v) (3.29)
โดยที่ t ff = ่ จ่ายในการเดินทางบนชวงเส้
ระยะเวลาหรื อคาใช้ ่ นทางภายใต้สภาพการไหล
อิสระ (นาที หรื อ บาท)
f (v ) = [1 + 0.15(V / C ) 4 ]
V = ่ ว่ โมง)
ปริ มาณจราจร (คันตอชั
C = ่ นทาง (คันตอชั
ความจุบนชวงเส้ ่ ว่ โมง)
δ1 = ∑ Vl tul (3.30)
l
(ก)
(ข)
รู ปที่ 3.10 การแจกแจงด้วยวิธีจุดสมดุล
ที่มา: ดัดแปลงจาก Meyer and Miller (2001)
่
จากรู ปที่ 3.10 แสดงตัวอยางของหลั ่ ่
กการการแจกแจงด้วยวิธีจุดสมดุลอยางงายระหวางจุ ่ ด
ต้นทาง-ปลายทางคู่ห นึ่ งที่ มี ทางเลื อกในการเดิ น ทางระหวางกน ่ ั 2 แนวทาง (Paths) โดยแตละ ่
แนวทางประกอบด้วย 1 เส้นทาง (Link) แตละเส้ ่ นทางจะมีฟังกชั์ น่ ปริ มาณจราจร-ความลาช้ ่ า
(Volume-delay function) อยูใ่ นรู ปของ ti = f (Vi ) ซึ่งเป็ นการประมาณเวลาเฉลี่ยในการเดินทางบน
เส้นทางใดๆ i จากปริ มาณจราจรหรื อระดับของความแออัดของการจราจรบนเส้นทางนั้ น จากรู ปที่
3.10 (ก) จะได้ t1 = f (V1 ) และ t2 = f (V2 ) คือ ฟั งกชั์ น่ ปริ มาณจราจร-ความลาช้
่ าของเส้นทาง 1
และ 2 ตามลําดับ ถ้านําฟั งกชั์ น่ ปริ มาณจราจร-ความลาช้ ่ าของเส้นทาง 1 และ 2 ( t1 = f (V1 ) และ
t 2 = f (V2 ) ) มาแสดงในแผนภูมิเดียวกนดั ั งแสดงในรู ป 3.10 (ข) จะพบวาแกนนอนของแผนภู
่ มิ ก็
่ ่เป็ นไปได้ของการแจกแจงปริ มาณจราจรทั้ งหมด (VAB) ไปยังเส้นทาง 1 และ 2 นัน่ เอง ถ้าให้
คือคาที
ปริ มาณจราจรบนเส้นทาง 1 และ 2 เทากบ ่ ั V1 และ V2 ตามลําดับ จะได้ VAB = V1 + V2 ดังนั้ น ที่จุด
สมดุลของปริ มาณจราจรบนเส้นทาง 1 และ 2 จะได้ชุดของปริ มาณจราจรบนเส้นทางทั้ งสอง
(V1* ,V2* ) ที่มีค่าตางกนไป
่ ั โดยที่จุดสมดุลของปริ มาณจราจรบนเส้นทางทั้ งสองนี้ คือจุดที่ใช้เวลาใน
การเดินทางหรื อมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางบนทั้ งสองเส้นทางที่เทากน
่ ั
3.7.4. การแจกแจงแบบจล
ทั้ งการแจกแจงการเดินทางแบบสมดุลและการแจกแจงด้วยหลักความนาจะเป็ ่ นนั้ น เป็ น
การวิเคราะห์แบบคงที่ (Static) โดยพิจารณาวาป ่ ริ มาณจราจรนั้ นไมเปลี
่ ่ยนแปลงไปตามเวลา หรื อ
เปลี่ ยนแปลงไปตามปริ มาณจราจรที่ แ ปรผันไปตามสภาพการเดิ นทางที่ เกดขึ ิ ้ นจริ ง นอกจากนี้
สมมติฐานของการวิเคราะห์แบบคงที่ยงั ไมสะท้ ่ อนสภาพความเป็ นจริ งของการเลือกเส้นทางของผู ้
เดินทาง เนื่ องจากในความเป็ นจริ งนั้ น ผูเ้ ดิ นทางจะสามารถเลือกเส้นทางในการเดินทาง ณ เวลา
่ ้ น ขณะที่การวิเคราะห์แบบคงที่จะพิจารณาแจกแจงผูเ้ ดินทางลงไป
หนึ่ ง ได้เพียงเส้นทางเดียวเทานั
ในโครงขายทุ่ กเส้นทางพร้อมๆ กนั
สมมติฐานและหลักการวิเคราะห์แบบคงที่น้ ี ได้รับการยอมรับและเป็ นที่นิยมใช้ในการวาง
่
แผนการขนสงมายาวนาน ่
อยางไรกดี ็ ในปั จจุบนั เมื่อการขนสงของเมื
่ องมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้ น
และเทคโนโลยีดา้ นการประมวลผลและการให้บริ การข้อมูลขาวสารด้ ่ านการขนสงได้่ รับการพัฒนา
่ ยงพอกบความต้
ให้มีประสิ ทธิ ภาพสู งขึ้ น จึงทําให้การวิเคราะห์แบบคงที่น้ ี เริ่ มไมเพี ั องการในการ
วางแผนการขนสง่ โดยเฉพาะอยางยิ ่ ่ง ในการวิเคราะห์เกยวกบระบบขนสงอั
ี่ ั ่ จฉริ ยะ (Intelligent
transportation systems, ITS) ด้วยเหตุน้ ี จึงเริ่ มมีการนําหลักการวิเคราะห์การแจกแจงการเดินทาง
แบบจล (Dynamic assignment) มาประยุกต์ในการวิเคราะห์ความต้องการเดินทาง ซึ่ งเป็ นการนํา
ข้อมูลปริ มาณการจราจรในลักษณะทันเวลา (Real time) มาใช้ในการวิเคราะห์การแจกแจงการ
เดินทาง ซึ่ งการวิเคราะห์ในลักษณะนี้ จะทําให้ได้ขอ้ มูลปริ มาณจราจรในแตละเส้ ่ นทาง มีลกั ษณะที่
ปรับเปลี่ยนไปตามเวลา (Adaptive) และสะท้อนความเป็ นจริ งของสภาพการจราจรในขณะนั้ น ซึ่ ง
จะมีประโยชน์อยางยิ ่ ่งสําหรั บระบบบริ การข้อมูลแกผู่ เ้ ดิ นทางในลักษณะทันเวลา (Real time
traveler information systems) ซึ่ งปั จจุบนั (พ.ศ. 2551) สําหรับประเทศไทย กาลั ํ งเป็ นระบบที่ได้รับ
ความสนใจและถูกพัฒนาเพื่อให้บริ การแกผู่ เ้ ดินทางในอนาคต
3.8. บทสรปุ
การวิ เ คราะห์ ค วามต้อ งการเดิ น ทางด้ว ยแบบจํา ลองตอเนื ่ ่ อ ง 4 ขั้ น ตอน (Four-step
sequential models) เป็ นเทคนิ คที่นิยมใช้ต่อเนื่ องกนมายาวนานตั
ั ้ งแตเริ่ ่ มมีการพัฒนาเทคนิ ค
่ ้ นเป็ นครั้ งแรกในชวงทศวรรษ
ดังกลาวขึ ่ 1950 และ 1960 จนถึงปั จจุบนั (ค.ศ. 2008 หรื อ พ.ศ. 2551)
่ ็ ง คงเป็ นที่ นิ ย ม ทั้ ง นี้ เป็ นเพราะความสะดวกในการสํา รวจข้อ มู ล การสร้ า ง
เทคนิ ค ดัง กลาวกยั
เครื่ องมื อสํารวจข้อมูล และความสะดวกในการจัดหาเครื่ องมือที่ จะนํามาใช้ในการประมวลผล
เนื่ องจากในปั จจุบนั ได้มีผปู ้ ระดิษฐ์โปรแกรมประมวลผลสําหรับวิเคราะห์แบบจําลองตอเนื ่ ่ อง 4
่
ขั้ น ตอนขึ้ น มามากมาย ซึ่ งล้ว นได้รั บ ความนิ ย ม อย่ า งแพรหลาย ่ ่
และงายตอการใช้ ง าน อาทิ
TRANSIM และ TRIPS เป็ นต้น เนื้ อหาที่นาํ เสนอในบทนี้ คงจะเป็ นพื้นฐานสําหรับผูอ้ ่านในการ
วางแผนการขนสง่ การวิเคราะห์ความต้องการเดินทาง และการศึกษาเพิม่ เติมตอไป ่
คําถามท้ ายบท
1. การวิเคราะห์ความต้องการเดินทางคืออะไร มีหลักการอยางไ ่ ร จงอธิบาย
2. จงอธิบายความหมายและหลักการของแบบจําลองตอเนื ่ ่อง 4 ขั้ นตอนโดยละเอียด
ิ
3. แบบจํา ลองการเกดการเดิ ่
น ทางตอไปนี ้ ถู ก นํา มาใช้สํา หรั บ การวางแผนของเมื อ งๆ หนึ่ ง
่ คือ
รู ปแบบของแบบจําลองดังกลาว
โดยที่ Pi = ่ วเรื อน i
จํานวนการเดินทางที่ถูกสร้างขึ้ นตอครั
HH i = จํานวนสมาชิกในครัวเรื อน i
AOi = จํานวนรถยนต์ในครัวเรื อน i
ADULTi = จํานวนคนวัยทํางานในครัวเรื อน i
CHILDi = จํานวนเด็กในครัวเรื อน i
่ ่
จงวิจารณ์ แบบจําลองดังกลาวในแงของความเหมาะสมของขนาดและเครื ่ องหมายของ
่ ่ และสัมประสิ ทธิ ของตัวแปร วามี
คาคงที ่ ความถูกต้องตามสมมติฐานการวิเคราะห์หรื อไม่ (Meyer
and Miller, 2001)
ิ
4. แบบจําลองการเกดการเดิ นทางดังแสดงในสมการด้านลางนี่ ้ ได้ถูกปรั บเทียบขึ้ นมาสําหรั บ
่ ่
วิเคราะห์การดึงดูดการเดินทางของพื้นที่ยอยในการวางแผนการขนสงเขตเมื อง
A = 3.47 EMP + 59.24 RFS + 235.42
่
พื้นที่ยอย การจ้างงาน พื้นที่ร้านขายปลีก
(1,000 ตารางฟุต)
1 3,400 210
2 5,600 75
3 3,900 35
4 2,200 80
ตารางที่ 1 ข้อมูลที่ได้จากการสํารวจ
ขนาดครัวเรื อน = 1 ขนาดครัวเรื อน = 2 ขนาดครัวเรื อน = 3+
รายได้ครัวเรื อน จํานวน จํานวนการ จํานวน จํานวนการ จํานวน จํานวนการ
ครัวเรื อน เดินทาง ครัวเรื อน เดินทาง ครัวเรื อน เดินทาง
< 20,000 500 1,220 450 1,300 500 1,950
20,001-40,000 600 1,860 700 2,950 800 3,700
> 40,000 500 2,125 800 4,500 750 3,600
่
ตารางที่ 2 คาคาดการณ์ จาํ นวนครัวเรื อน
ขนาดครัวเรื อน
รายได้ครัวเรื อน 1 2 3+
< 20,000 35 69 47
20,001-40,000 50 83 29
> 40,000 71 23 16
ํ
6. กาหนดให้ ฟังกชั์ น่ ของปั จจัยต้านการเดินทางอยูใ่ นรู ปของสมการ F = C α และข้อมูลจํานวน −
ิ ้ นของแตละพื
การเดินทางที่เกดขึ ่ ้นที่ยอยและปั
่ จจัยต้านการเดินทางดังแสดงในตารางด้านลาง ่
จงใช้แบบจําลองความโน้มถวงประมาณคาจํ่ ่ านวนการเดินทางที่ถูกดึงดูดมายังพื้นที่ยอย
่ 3 จาก
่ ่นๆ กาหนดให้
พื้นที่ยอยอื ํ α = 2.10 (Banks, 2004)
่
พื้นที่ยอย เวลาในการเดินทางมายัง การสร้างการเดินทาง การดึงดูดการเดินทาง
่ 1 (นาที)
พื้นที่ยอย
1 15 10,000 30,000
2 30 20,000 10,000
3 40,000 20,000
4 10 30,000 40,000
5 20 60,000 30,000
6 30 50,000 80,000
U = β m − 0.35C − 0.015T
ํ
กาหนดให้ ่ จ่ายในการเดินทาง (บาท) T คือ เวลาในการเดินทาง (นาที) และ β สําหรับ
C คือ คาใช้ m
่ จ่าย (บาท)
คาใช้ เวลาในการเดินทาง (นาที)
BUS 1.50 25
RL 2.00 15
PC 2.80 10
่ จงหาจํานวนการเดินทางของแตละประเภทการเดิ
จากข้อมูลดังกลาว ่ นทางของตลาดกลุ่มนี้
(Banks, 2004)
8. จงอธิบายความหมายและหลักการของแบบจําลองการแจกแจงการเดินทาง
ภัทเทกรัตตสูตร ๑๔/๒๙๗
4.1. นิยามของวิศวกรรมจราจร
วิศวกรรมขนสง่ (Transportation Engineering) คือ การประยุกต์หลักการที่เป็ นวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีดา้ นการขนสงเข้ ่ าด้วยกนั เพื่อการวางแผน ออกแบบ ดําเนินการ และบริ หารจัดการ
โครงสร้างพื้นฐานของระบบขนสงประเภทตางๆ ่ ่ ที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายคนและสิ่ งของ ทั้ งนี้ เพื่อให้
ิ
เกดความปลอดภั ่ ่
ย รวดเร็ ว สะดวกสบาย ประหยัด และไมสงผลกระทบตอสิ ่ ่ งแวดล้อม (Institute of
Transportation Engineers, 1999) ขอบขายงานวิ ่ ศวกรรมขนสงที ่ ่สาํ คัญอยางมาก
่ สาขาหนึ่ง ได้แก่
วิศวกรรมจราจร (Traffic Engineering) โดยนิ ยาม วิศวกรรมจราจร คือ สาขาหนึ่ งของวิศวกรรม
ขนสงที ่ ่เกยวข้
ี่ องกบการวางแผน
ั การออกแบบทางเรขาคณิ ตและการควบคุมกระแสจราจรของถนน
่ ถนนหลัก ทางหลวง โครงขายถนน
ยอย ่ สถานี พื้นที่โดยรอบถนน และความสัมพันธ์ระหวางการ ่
ขนส่ งประเภทตางๆ ่ ที่มาใช้เส้นทางรวมกน
่ ั
นอกจากนี้ วิศวกรรมจราจรยังรวมถึงการศึกษาพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของผูเ้ ดินทาง
ความสัมพันธ์ระหวางลั ่ กษณะของถนนและพฤติกรรมของผูข้ บั ขี่ และปฏิสัมพันธ์ต่อกนระหวาง ั ่
ยวดยานแตละคั ่ นในกระแสจราจร ทั้ งนี้ ผูอ้ ่านอาจคิดวางานด้
่ านวิศวกรรมจราจรนั้ น เป็ นการศึกษา
ี่ ั
เกยวกบการเคลื ่อนที่ของยวดยานประเภทตางๆ ่ ซึ่ งถือได้วาเป็ ่ นวัตถุ ที่วิ่งอยูบ่ นถนนหรื อในกระแส
่
จราจร แตในความเป็ นจริ ง การเคลื่อนที่ของยวดยานเหลานั ่ ้ น ล้วนเกดจากการควบคุ
ิ มของมนุษย์ซ่ ึง
เป็ นคนขับทั้ งสิ้ น ด้วยเหตุน้ ี การศึกษาและขอบขายงานด้่ านวิศวกรรมจราจรจึงต้องเกยวข้ ี่ องกบั
พฤติกรรมและการตัดสิ นใจของมนุษย์อยางหลี ่ กเลี่ยงไมได้ ่
เนื่ องจากยวดยานแตละคั ่ นที่เคลื่อนที่ไปบนถนนนั้ น เมื่อรวมกนหลายๆ ั ็ จาํ นวน
คันกจะมี
มาก และกลายเป็ นกระแสของยวดยาน หรื อกระแสจราจร (Traffic stream) ยวดยานที่อยูใ่ นกระแส
จราจรนี้ จะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกนเนื ั ่ องจากยวดยานเหลานี ่ ้ อยู่ในกระแสจราจรในลักษณะวิ่งตามกนั
ด้วยเหตุน้ ี เมื่อยวดยานที่ว่ิงนําหน้าทําการเบลคหรื อเปลี่ยนชองจราจร ่ ็ อง
ยวดยานที่ว่ิงตามมากจะต้
่
ทําการเบลคตามไปด้วย หรื อเมื่อยวดยานที่ว่ิงนําหน้าทําการเรงความเร็ ็
ว กอาจทํ
าให้ยวดยานที่วิ่ง
่ ้ คือตัวอยางของปฏิ
ตามมา เพิ่มความเร็ วตามไปด้วย เหลานี ่ สัมพันธ์ต่อกนของยวดยานในกระแส
ั
จราจร ซึ่ งจะเห็ นได้ว่า พฤติกรรมการขับขี่และการตัดสิ นใจของคนขับในยวดยานคันหนึ่ ง จะมี
่
อิทธิ พลตอพฤติ กรรมและการตัดสิ นใจของยวดยานคันอื่นๆ บนท้องถนนไมมากกน้ ่ ็ อย ทั้ งนี้ ข้ ึนอยู่
ั ่ ่ ั
กบระยะหางระหวางกนของยวดยานในกระแสจราจร
่
ตารางที่ 4.1 ตัวอยางการคํ
านวณปริ มาณจราจรและอัตราการไหล
่
ชวงเวลา ่
ปริ มาณจราจรในชวงเวลา ่ (คัน)
ยอย ่
อัตราการไหลในชวงเวลา ่
ยอย
่ ว่ โมง)
(คันตอชั
5:00-5:15 PM 1,000 1,000/0.25 = 4,000
5:15-5:30 PM 1,100 1,100/0.25 = 4,400
5:30-5:45 PM 1,200 1,200/0.25 = 4,800
5:45-6:00 PM 900 900/0.25 = 3,600
5:00-6:00 PM รวม 4,200 4,200 vph = Hourly volume
ที่มา: ดัดแปลงจาก Roess, Prassas, and McShane (2004)
่ ่
จากตารางที่ 4.1 จะพบวาในชวงเวลา 15 นาที แรก (ระหวาง ่ 5:00 PM ถึง 5:15 PM)
ปริ มาณจราจรที่นบั ได้เทากบ่ ั 1,000 คัน ชวงเวลา
่ 15 นาที หรื อ 0.25 ชัว่ โมง นี้ จะมีอตั ราการไหล
(Flow rate) เทากบ ่ ั 1,000/0.25 เทากบ
่ ั 4,000 คันตอชั ่ ว่ โมง ในชวงเวลา
่ 15 นาที อื่นๆ ที่เหลือก็
คํานวณในลักษณะเดียวกนั คาอั ่ ตราการเคลื่อนตัวของยวดยานที่คาํ นวณได้ในแตละชวงเวลา ่ ่ ่ 15
ยอย
นาทีน้ ี เรี ยกวา่ อัตราการไหล ถ้าเรารวมปริ มาณจราจรทั้ งหมดของแตละชวงเวลายอยเข้
่ ่ ่ าด้วยกนจะ ั
มีค่าเทากบ
่ ั 4,200 คัน ดังนั้ นในชวงเวลา
่ ่ ่
1 ชัว่ โมง จะมีปริ มาณจราจรวิ่งผานชวงถนนที ่เราศึกษา
่ ั 4,200 คัน คิดเป็ นปริ มาณจราจร (Volume) เทากบ
เทากบ ่ ั 4,200 คันตอชั
่ ว่ โมง
ิ วคอยจากตัวอยางในตาราง
ตารางที่ 4.2 การวิเคราะห์การเกดแถ ่ 4.1
่
ชวงเวลา ยวดยานที่วิง่ เข้าสู่ ระบบ ยวดยานที่ว่ิงออกจากระบบ ขนาดของแถวคอย ณ
(คัน) (คัน) ่
จุดสิ้ นสุ ดของชวงเวลา
(คัน)
5:00-5:15 PM 1,000 1,050 0
5:15-5:30 PM 1,100 1,050 0 + 1,100 – 1,050 = 50
5:30-5:45 PM 1,200 1,050 50 + 1,200 – 1,050 = 200
5:45-6:00 PM 900 1,050 200 + 900 – 1,050 = 50
ที่มา: ดัดแปลงจาก Roess, Prassas, and McShane (2004)
PHF =
Hourly volume (4.1)
Max. rate of flow
่
สําหรับชวงเวลามาตรฐานสํ
าหรับการวิเคราะห์ 15 นาที จะได้
PHF =
V (4.2)
4 × Vm15
่
ดังนั้ น จากตัวอยางในตารางที ่ 4.1 จะได้
4,200
PHF = = 0.875
4 × 1,200
v=
V (4.3)
PHF
โดยที่ v = ่
คาประมาณของปริ ิ ้ นได้ในชวงเวลายอย
มาณจราจรสู งสุ ดที่ อาจเกดขึ ่ ่ 15
่ คันตอชั
นาที ใดๆ ในชัว่ โมงที่ทาํ การสํารวจข้อมูล หนวย ่ ว่ โมง (veh/h)
V = ปริ มาณจราจรรายชัว่ โมง (Hourly volume) หนวย ่ คันตอชั
่ ว่ โมง (veh/h)
่ าแหนงหรื
นําจํานวนยวดยานที่ว่ิงผานตํ ่ อชวงถนนที
่ ํ
่กาหนดในระยะเวลา 1 ปี หารด้วย 365 วัน
(หรื ออาจเป็ น 366 วัน สําหรับปี อธิกสุ รทินที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน)
• คาเฉลี
่ ่ยปริ มาณจราจรรายสัปดาห์ตลอดปี (Average annual weekday traffic, AAWT) คือ
่ ่ยปริ มาณจราจรใน 24 ชัว่ โมง ที่นบั ได้ในวันที่อยู่ระหวางสั
คาเฉลี ่ ปดาห์ (วันจันทร์ -วันศุกร์ )
ตลอดระยะเวลา 365 วัน หาได้จากการนําจํานวณยวดยานที่วิ่งผานตํ ่ าแหนงหรื ่ อชวงถนนที
่ ่
ํ
กาหนดระหวางวั ่ นจันทร์ถึงวันศุกร์ในระยะเวลา 1 ปี หารด้วยจํานวนวันที่อยูใ่ นชวง ่ สัปดาห์ใน
1 ปี (โดยทัว่ ไปจะใช้ 260 วัน)
• คาเฉลี
่ ่ยปริ มาณจราจรรายวัน (Average daily traffic, ADT) คือ คาเฉลี ่ ่ยของปริ มาณจราจรใน
24 ชัว่ โมง ณ ตําแหน่งหรื อชวงถนนที
่ ํ ่
่กาหนดตลอดชวงเวลาที ่ทาํ การสํารวจข้อมูลซึ่งน้อยกวา่ 1
ปี โดยมากจะวัดเป็ นคา่ ADT ของแตละเดื ่ อนใน 1 ปี
• คาเฉลี
่ ่ยปริ มาณจราจรรายสัปดาห์ (Average weekday traffic, AWT) คือ คาเฉลี ่ ่ยปริ มาณจราจร
ใน 24 ชัว่ โมง ณ ตําแหนงหรื่ อชวงถนนที
่ ํ
่กาหนดของวั ่ ปดาห์ตลอดชวงเวลาที
นระหวางสั ่ ่ทาํ
การสํารวจข้อมูลซึ่งน้อยกวา่ 1 ปี โดยมากจะวัดเป็ นคา่ AWT ของแตเดื ่ อนใน 1 ปี
่ น คันตอวั
ปริ มาณจราจรตามที่อธิ บายข้างต้น มีหนวยเป็ ่ น (veh/day) โดยทัว่ ไป ปริ มาณ
่
จราจรรายวันจะพิจารณาเป็ นคารวมตลอดทั ่
้ งชวงถนนที ่ศึกษา จะไมจํ่ าแนกตามทิศทาง หรื อชอง
่
่
จราจร ตัวอยางการคํ
านวณปริ มาณจราจรรายวัน ดังแสดงในตารางที่ 4.3
่
ตารางที่ 4.3 ตัวอยางการคํ
านวณปริ มาณจราจรรายวัน
1. 2. 3. 4. 5. 6. 7.
เดือน จํานวนวันในชวง ่ จํานวนวันทั้งหมด จํานวนยวดยานทั้งหมดที่ จํานวนยวดยานทั้ งหมดที่นบั ได้ใน AWT ADT
สัปดาห์ของแตละ ่ ่ อน
ของแตละเดื ่ อน
นับได้ในแตละเดื ่ ปดาห์ของแตละเดื
วันระหวางสั ่ อน (5/2) (4/3)
เดือน (วัน) (วัน) (คัน) (คัน) ่ น)
(คันตอวั ่ น)
(คันตอวั
มกราคม 22 31 425,000 208,000 9,455 13,710
กุมภาพันธ์ 20 28 410,000 220,000 11,000 14,643
มีนาคม 22 31 385,000 185,000 8,409 12,419
เมษายน 22 30 400,000 200,000 9,091 13,333
พฤษภาคม 21 31 450,000 215,000 10,238 14,516
มิถุนายน 22 30 500,000 230,000 10,455 16,667
กรกฎาคม 23 31 580,000 260,000 11,304 18,710
สิ งหาคม 21 31 570,000 260,000 12,381 18,387
ั
กนยายน 22 30 490,000 205,000 9,318 16,333
ตุลาคม 22 31 420,000 190,000 8,636 13,548
พฤศจิกายน 21 30 415,000 200,000 9,524 13,833
ธันวาคม 22 31 400,000 210,000 9,545 12,903
รวม 260 365 5,445,000 2,583,000 - -
ที่มา: ดัดแปลงจาก Roess, Prassas, and McShane (2004)
่ น
AADT = 5,445,000/365 = 14,918 คันตอวั
่ น
AAWT = 2,583,000/260 = 9,935 คันตอวั
โดยที่ K = ่ ดสวนของปริ
คาสั ่ ิ ้ นในชัว่ โมงที่มีปริ มาณจราจร
มาณจราจรรายวันที่เกดขึ
สู งสุ ด
D = ่ ดสวนของปริ
คาสั ่ มาณจราจรในชัว่ โมงที่มีปริ มาณจราจรสู งสุ ดที่เดินทางใน
ิ ้น
ทิศทางที่มีปริ มาณจราจรสูงสุ ดเกดขึ
่
คาของ K และ D แปรผันตามลักษณะของพื้นที่ดงั แสดงในตารางที่ 4.4
่
สมมติวาในการออกแบบทางหลวงชนบ ทเส้นทางหนึ่ง จากการสํารวจข้อมูลวิเคราะห์ได้คา่
่ ั 30,000 คันตอวั
คาดการณ์ของ AADT ในอีก 20 ปี ข้างหน้า เทากบ ่ น จากตารางที่ 4.4 สามารถหา
่ ่ DDHV ที่ใช้ในการออกแบบได้จากชวงของคา
ชวงของคา ่ ่ K และ D ดังนี้
่ ว่ โมง
DDHVLOW = 30,000×0.15×0.65 = 2,925 คันตอชั
่ ว่ โมง
DDHVHIGH = 30,000×0.25×0.80 = 6,000 คันตอชั
s=
d (4.5)
t
่ นจะวิ่งด้วยความเร็ วที่แตกตางกน
ในกระแสจราจร ยวดยานแตละคั ่ ั การอธิ บายคุณสมบัติ
ความเร็ วของกระแสจราจรจึงใช้ลกั ษณะการกระจายตัวของความเร็ วของยวดยานในกระแสจราจร
่ และจําเป็ นต้องใช้ค่าความเร็ วเฉลี่ ยเป็ นตัวแทนความเร็ วของ
ในการอธิ บายคุ ณสมบัติดังกลาว
ยวดยานทั้ งหมดในกระแสจราจร สําหรับอธิบายลักษณะของกระแสจราจรนั้ น
่
TMS และ SMS คํานวณได้จากสมการตอไปนี
้
d
∑t
TMS = i i (4.6)
n
SMS =
d
=
nd (4.7)
∑ ti
i
∑ ti
i
n
่ ่ยในลักษณะของคาเฉลี
จากหลักคณิ ตศาสตร์ TMS เป็ นการหาคาเฉลี ่ ่ยเลขคณิ ต (Arithmetic
่ ่ยในลักษณะคาเฉลี
mean) และ SMS เป็ นการหาคาเฉลี ่ ่ยฮาโมนิ ค (Harmonic mean) ในการวิเคราะห์
่
ด้านวิศวกรรมจราจรสวนมากจะใช้ ค่า SMS เป็ นหลัก ตัวอยางของการคํ
่ ่ ่ยทั้ งสองแบบ
านวณคาเฉลี
ดังแสดงในตารางที่ 4.5
ความเร็ วเดินทางเฉลี่ย = 1 km
× 60 min/ hr = 20 km/h
3 min
ความเร็ วรถวิง่ เฉลี่ย = 1 km
× 60 min/ hr = 30 km/h
(3 − 1) min
่
จากตัวอยางจะเห็ นได้ว่า ในกรณี ที่ไมมี่ การหยุดระหวางการเดิ
่ นทาง เวลาในการเดินทาง
และเวลารถวิ่งจะมีค่าเทากน
่ ั ซึ่ งจะสงผลให้
่ ความเร็ วเดินทางเฉลี่ยมีค่าเทากบความเร็
่ ั วรถวิ่งเฉลี่ย
่ ั
ด้วยเชนกน
รถยนต์
Lv อุปกรณ์ตรวจจับ
Ld
่ ปกรณ์ตรวจจับของยวดยาน
รู ปที่ 4.1 ลักษณะการวิ่งผานอุ
ํ
จากรู ปที่ 4.1 กาหนดให้ ่ น ฟุต และ Ld คือ
Lv คือ ความยาวเฉลี่ยของยวดยาน มีหนวยเป็
่
ความยาวของอุปกรณ์ตรวจจับซึ่ งสวนมากจะมี ลกั ษณะเป็ น Loop detector ฝังอยูใ่ นพื้นผิวจราจร
่
และ O คือ คาการครอบครองพื ่
้นผิวจราจรของอุปกรณ์ตรวจจับซึ่ งทาบผานโดยยวดยาน ความ
่
หนาแนนกระแสจราจร (k) สามารถคํานวณได้จากสมการตอไปนี ่ ้
5,280 × O (4.8)
k=
Lv + Ld
สมมติให้ความยาวเฉลี่ยของยวดยานมีค่าเทากบ
่ ั 28 ฟุต ความยาวของอุปกรณ์ตรวจจับ
่ ั 3 ฟุต และคาการครอบครองอุ
เทากบ ่ ่
ปกรณ์ตรวจจับของยวดยานในชวงเวลา ่ ั 0.20
15 นาที เทากบ
่
ความหนาแนนกระแสจราจรจะมี ่ ่ ั
คาเทากบ
5,280 × 0.20
k= = 34.1 veh / mi / ln
28 + 3
การครอบครองพื้นผิวจราจรที่วดั ได้จากอุปกรณ์ตรวจจับที่ฝังอยู่ในพื้นทางในชองจราจร
่
่ าะของแตละชองจราจรนั
หนึ่ งๆ จะเป็ นคาเฉพ ่ ่ ่
้ น ในกรณี น้ ี ความหนาแนนกระแสจราจรจะมี ่
หนวย
่
เป็ น คันตอไมล์ ต่อชองจราจร
่ ่
ถ้ามีการติดตั้ งอุปกรณ์ตรวจจับในชองจราจรข้ างเคียงด้วยครบทุกชอง่
่ ่
จราจรของถนน จะสามารถนําคาความหนาแนนของแตละชองจราจรมารวมกนทํ ่ ่ ั าให้ค่าความ
หนาแนนที ่ ่คาํ นวณได้มีหนวยเป็
่ น คันตอไมล์
่
ทิศทางการเคลื่อนที่
s1
1 2 3 ......... n-1 n
s1 s2 sn-1
่ ่
รู ปที่ 4.2 ระยะหางระหวางยวดยานที ั
่วงิ่ ตามกนในกระแสจราจร
sa =
5,280 หรื อ sa =
1 (4.9)
k k
โดยที่ sa = ่
ระยะหางเฉลี ่ ่ ่
่ยระหวางยวดยานในแตละชองจราจร ่ ฟุต (ft)
หนวย
k = ่
ความหนาแนนกระแสจราจร ่ คันตอไมล์
หนวย ่ ต่อชองจราจร
่ (veh/mi/ln)
ทิศทางการเคลื่อนที่
3 2 1
t1 = 0
3 2 1
t2 = h1
่ ่ ่
รู ปที่ 4.3 ชวงหางระหวางยวดยานที ั
่วงิ่ ตามกนในกระแสจราจร
ha =
3,600 หรื อ ha =
1 (4.10)
q q
โดยที่ ha = ่ ่
ชวงหางเฉลี ่ ่ ่
่ยระหวางยวดยานในแตละชองจราจร ่ วินาที (s)
หนวย
q = อัตราการไหลของกระแสจราจร หนวย ่ ่ ่วโมงตอชองจราจร
คันตอชั ่ ่
(veh/h/ln)
dx
Slope = = speed
dt
Spacing
B
Headway
ระยะทาง (x)
•
A • • • • • • • • A
•
L
•
•
•
เวลา (t) T
B
รู ปที่ 4.4 แผนภูมิเวลา-ระยะทางของการไหล (กรณี การไหลแบบสมํ่าเสมอ)
ที่มา: ดัดแปลงจาก Papacostas and Prevedouros (2001)
่ นที่ลากตามแนวทะแยง ใช้แทนแนวสัญจรของยวดยานแตละ
จากรู ปที่ 4.4 เส้นตรงแตละเส้ ่
่ ่
คันที่วิ่งผานชองจราจรในชวงเวลาที ่ ่ทาํ การสํารวจข้อมูล จากรู ปจะเห็นได้ว่าเส้นตรงทุกเส้นขนาน
กนั แสดงให้เห็นถึงความชันที่เทากน ่ ั หรื ออาจกลาวได้
่ ว่ายวดยานทุกคันวิ่งด้วยความเร็ วสมํ่าเสมอ
่ ั เนื่ องจากความชัน (Slope) จะเทากบผลตางของระยะทางหารด้
ที่เทากน ่ ั ่ ่
วยผลตางของเวลา (dx/dt)
ซึ่งกคื็ อ ความเร็ ว นัน่ เอง ระยะราบระหวางเส้ ่ นทะแยงแตละคู ่ ่ คือ คาชวงหาง
่ ่ ่ (Headway) ระหวาง ่
ยวดยานแตละคั ่ น ที่ ว่ิ ง ตามกนมาั ขณะที่ ร ะยะดิ่ ง ระหวางเส้
่ น ทะแยงแตละคู ่ ่ คื อ คาระยะหาง
่ ่
่
(Spacing) ระหวางยวดยานแตละคั ่ นที่ว่ิงตามกนมาั
ที่ตาํ แหนงใดๆ ่ ่ ่ทาํ การสํารวจข้อมูล ในที่น้ ีสมมติให้เป็ นตําแหนง่ A และแนว
บนถนนชวงที
A-A คือ เส้นอ้างอิงสําหรับสํารวจข้อมูลจราจร จากรู ปที่ 4.4 จะเห็นได้ว่าจํานวนจุดตัดของเส้น
ทะแยงและแนวเส้นอ้างอิง A-A คือ จํานวนยวดยานที่นบั ได้ในชวงเวลาที ่ ่ทาํ การสํารวจข้อมูล (T)
่
ซึ่ งวิ่งผานแนวเส้ นอ้างอิง A-A ในทํานองเดียวกนั ถ้ากาหนดให้
ํ จุดเวลาใดๆ ซึ่งในที่น้ ีสมมติให้เป็ น
ณ เวลา B (แทนด้วยแนว B-B) เป็ นเวลาอ้างอิงสําหรับสํารวจข้อมูลจราจรบนชวงถนนที ่ ่มีความยาว
L แล้ว จํานวนจุดตัดของเส้นทะแยงและแนว B-B จะเป็ นจํานวนยวดยานทั้ งหมดที่นบั ได้ ณ เวลา B
่
บนชวงถนนที ่ทาํ การศึกษานั้ น
s 1
= (4.11)
us q
1/ k 1
= (4.12)
us q
จะได้
q = ku s (4.13)
(ข)
(ค) (ก)
⎛ ⎞
u s = u f ⎜1 −
⎜ k
k ⎟
⎟
(4.14)
⎝ j ⎠
่
อยางไรกดี ็ ในสภาพความเป็ นจริ ง ความสัมพันธ์ระหวางความเร็
่ วและความหนาแนนอาจ ่
่ นเส้นตรงดังแสดงในรู ปที่ 4.5 (ค) แตอาจมี
ไมเป็ ่ ลกั ษณะเป็ นเส้นโค้งเล็กน้อย ด้วยเหตุน้ ี จึงได้มีผู ้
่
นําเสนอแบบจําลองความสัมพันธ์ระหวางความเร็ วและความหนาแนนอี ่ กรู ปแบบหนึ่ ง ซึ่ งได้แก่
Greenberg’s logarithmic relationships โดยสามารถเขียนเป็ นสมการได้ดงั นี้
u s = a log e bk (4.15)
่ ั 1/b จะได้
ถ้า kj เทากบ
us =
a log e k (4.16)
kj
่
แบบจํา ลองความสั ม พัน ธ์ ร ะหวางความเร็ ่ ก รู ป แบบหนึ่ ง ที่ มี ผู ้
ว และความหนาแนนอี
นําเสนอ ได้แก่ Underwood’s exponential relationships โดยมีรูปแบบสมการดังตอไ
่ ปนี้
u s = ae − bk (4.17)
่ ั a จะได้
ถ้า uf เทากบ
u s = u f e − bk (4.18)
จากแบบจํา ลองทั้ ง หมดตามที่ นํา เสนอไป ข้า งต้น นั้ น จะเห็ น ได้ว่ าแบบจํา ลองของ
Greenshields มีรูปแบบที่ง่ายและสะดวกในการใช้งานมากที่สุด พิจารณารู ปที่ 4.5 ประกอบ และ
จากสมการที่ (4.13) และ (4.14) จะได้
⎛ k ⎞
q = ku f ⎜1 − ⎟
⎜ k ⎟
(4.19)
⎝ j ⎠
ตําแหนง่ที่ q มีคาสู
่ งสุ ด จะมีความชันเทากบศู
่ ั นย์ ดังนั้ นจากสมการที่ (4.19) จะได้
dq 2u k
= uf − f (4.20)
dk kj
่ ั นย์ จะได้
ให้สมการ (4.20) เทากบศู
km =
kj
(4.21)
2
่
ตัวอย่ างที่ 4.1 ในการสํารวจข้อมูลสภาพจราจรตรวจสอบพบรถยนต์ 6 คัน ในชวงถนนความยาว
่ ่ ่
600 ฟุต ที่ทาํ การศึกษา คาชวงหางเฉลี ่ ั 4 วินาที จากข้อมูลดังกลาว
่ยเทากบ ่ จงหา (1) ความหนาแนน่
(2) การไหลของกระแสจราจร และ (3) Space mean speed (Garber and Hoel, 2002)
k=
N (4.24)
L
่ ว่ โมง
q = 900 คันตอชั
จะได้ us =
q
k
่ ว่ โมง) / (52.8 คันตอ่ไมล์)
us = (900 คันตอชั
us = 17.0 ไมล์ต่อชัว่ โมง
ํ ่
ตัวอย่ างที่ 4.2 กาหนดคาความเร็ ่
วและความหนาแนนของกระแสจราจรบนถนนเส้ ่ งนี้
นหนึ่งมีคาดั
ความเร็ ว ความหนาแนน่
่ ว่ โมง)
(ไมล์ตอชั ่
(คันตอไมล์
)
14.2 85
24.1 70
30.3 55
40.1 41
50.6 20
55.0 15
่
ข้อมูลดังแสดงในตารางสามารถนํามาวิเคราะห์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหวางความเร็ วและ
่
ความหนาแนนในรู ปของแบบจําลอง Greenshields ดังแสดงในสมการ (4.14)
⎛ k ⎞
u s = u f ⎜1 − ⎟
⎜ k ⎟
⎝ j ⎠
หรื อ us = u f −
uf
k
kj
(1) ความเร็ วอิสระเฉลี่ย (Mean free flow speed) จะได้ uf = a = 62.8 ไมล์ต่อชัว่ โมง
จะได้ ⎛ 62.8 ⎞ 2
q = 62.8k − ⎜ ⎟k
⎝ 110.49 ⎠
q = 62.8k − 0.5684k 2
0 = 62.8 − 1.1368k
kj
่
ที่ q = qmax จะได้ k = 55.25 คันตอไมล์
่
แทนคาในสมการ จะได้ u = 62.8 − 0.5684(55.25) = 31.4 ไมล์ต่อชัว
s ่ โมง
ิ
27 คัน เป็ นระดับการให้บริ การที่ทาํ ให้เกดความสบายในการขั บขี่มากที่สุด อุบตั ิเหตุและสภาพถนน
่
ที่เป็ นอุปสรรคตอการขั ่ ่
บขี่จะไมสงผลกระทบมากนั กที่ระดับการให้บริ การนี้
08.15 – 08.30
08.30 – 08.45
08.45 – 09.00
09.00 – 09.15
09.15 – 09.30
09.30 – 09.45
09.45 – 10.00
รวม
่
รู ปที่ 4.8 ตัวอยางแบบฟอร์ มสําหรับบันทึกจํานวนยวดยานในการนับรถด้วยพนักงาน
4.5.1.2. อปกรณ์
ุ นับเชิงกลแบบเคลือ่ นย้ ายได้ (Portable mechanical counters)
อุปกรณ์นบั รถประเภทนี้ ใช้หลักการของการสงสั ่ ญญาณความดัน (Pneumatic pulse) ซึ่ ง
ิ
เกดจากการที ่ ่
่ยวดยานวิ่งผานทอยางที ่
่วางพาดตามความกว้างของชองจราจร (Pneumatic road tube)
่ ่ ่
ความดันที่เกิดขึ้ นจะถูกสงจากทอผานไปยั งเครื่ องนับแบบสะสม (Accumulating counters) ซึ่งจะทํา
่ ่
การบันทึกจํานวนครั้ งของการวิ่งผานทอของยวดยานในชวงเวลาที ่ ่ทาํ การสํารวจข้อมูล นอกจากนี้
ยังมีเครื่ องนับแบบรายงานผลด้วยการพิมพ์ (Printed-tape counters) ซึ่ งจะทําการพิมพ์จาํ นวนครั้ ง
่ ่
ของการวิ่งผานทอโดยอั ่
ตโนมัติ ทุกชวงเวลาที ่ ตัวอยางเครื
่ต้ งั คาไว้ ่ ่ องนับดังกลาว ่ ดังแสดงในรู ปที่
4.11 และรู ปแบบการติดตั้ งอุปกรณ์เพื่อวัตถุประสงค์ในการสํารวจข้อมูลจราจรที่แตกตางกนดั ่ ั ง
แสดงในรู ปที่ 4.12
่
รู ปที่ 4.11 เครื่ องนับแบบทอความดั
น (Pneumatic road tube)
ที่มา: www.irdsa.com
่ ทิศทาง
(ข) การติดตั้งสําหรับการนับจํานวนเพลาแยกแตละ
่
(ค) การติดตั้งสําหรับการนับจํานวนเพลาแยกตามชองจราจรในทิ ศทางเดียว
่
รู ปที่ 4.12 การติดตั้ งอุปกรณ์นบั รถแบบทอความดั
น
ที่มา: ดัดแปลงจาก Roess, Prassas, and McShane (2004)
ั
ข้อจํากดของวิ ธีการนี้ ก็คือ จํานวนที่เครื่ องนับบันทึกนั้ นจะเป็ นจํานวนเพลาของยวดยานที่
่ ่ ไมใชจํ
วิ่งผานทอ ่ ่ านวนยวดยาน แตละเพลาของยวดยานที
่ ่ ่ จะทําให้เกดสั
่ว่ิงผานทอ ิ ญญาณความดัน
่
ถูกสงไปบั นทึกที่เครื่ องนับ ด้วยเหตุน้ ี ในกรณี ที่ยวดยานในกระแสจราจรไมได้ ่ เป็ นรถยนต์ที่มีสอง
เพลาทั้ งหมด ควรใช้การนับรถด้วยพนักงานมาทําการสํารวจตัวอยาง ่ เพื่อนําผลการสํารวจที่ได้ไป
่
ตารางที่ 4.6 ตัวอยางการปรั บแกจํ้ านวนยวดยานที่นบั ได้ดวยคาเฉลี
้ ่ ่ยของจํานวนเพลา
ผลลัพธ์ที่ได้จากการนับจําแนกประเภทยวดยานตามจํานวนเพลาในเวลา 2 ชัว่ โมง
ประเภทยวดยาน จํานวนยวดยาน
2 เพลา 80
3 เพลา 10
4 เพลา 5
5 เพลา 5
การคํานวณปรับแก้
ประเภทยวดยาน จํานวนยวดยาน จํานวนเพลา
2 เพลา × 80 = 160
3 เพลา × 10 = 30
4 เพลา × 5 = 20
5 เพลา ×5 = 25
รวม 100 235
่ น = 235/100 = 2.35
จํานวนเพลาเฉลี่ยตอคั
้ ว = 8,500/2.35 = 3,617 คันตอวั
จํานวนยวดยานที่นบั ได้ใน 24 ชัว่ โมง หลังจากปรับแกแล้ ่ น
ที่มา: ดัดแปลงจาก McShane and Roess (1990)
4.5.1.3. อปกรณ์
ุ นับติดตั้งถาวร (Permanent counters)
การสํารวจข้อมูลปริ มาณจราจรบางประเภท อาทิ การสํารวจปริ มาณจราจรระดับจังหวัด
่ ่ ่ องตลอดทั้ งวัน (24 ชัว่ โมง) หรื อ
และภูมิภาค ฯลฯ จําเป็ นต้องดําเนิ นการสํารวจข้อมูลอยางตอเนื
ตลอดทั้ งปี (365 วัน) กรณี ดงั กลาว ่ ต้องการอุปกรณ์ที่สามารถตรวจสอบปริ มาณจราจรได้อยาง ่
่ ่ องโดยไมต้่ องใช้พนักงานในการควบคุมอุปกรณ์ดงั กลาวตลอดเวลา
ตอเนื ่ ในกรณี เช่นนี้ เครื่ องนับ
ปริ ม าณจราจรแบบติ ด ตั้ ง ถาวรจะถู ก นํา มาใช้ ซึ่ งจะประกอบด้ว ยอุ ป กรณ์ ต รวจจับ ยวดยาน
่
(Detectors) อุปกรณ์บนั ทึกข้อมูล และอุปกรณ์ประมวลผล ที่ถูกติดตั้ งไว้อยางถาวรบนชวงถนน ่
หลักที่จาํ เป็ นต้องใช้การสํารวจข้อมูลในลักษณะดังกลาว่ อาทิ บนถนนสายหลัก หรื อทางแยกขนาด
ใหญ่ เป็ นต้น
อุปกรณ์นบั รถแบบติดตั้ งถาวร สามารถจําแนกออกได้เป็ น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
่
1. เครื่ องตรวจจับแบบแผนความดั น (Pressure-plate detector)
เป็ นอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยแผนโลหะ ่ ่
สองแผนประกบกนฝั ั งอยู่ในพื้ นผิวจราจร ระหวาง
่
่
แผนโลหะทั ้ งสองจะมีสปริ งและวัสดุรองรับการกระแทกติดตั้ งไว้ เมื่อยวดยานวิ่งผานผิ ่ วจราจรที่มี
่
แผนโลหะดั ่ งอยู่ นํ้ าหนักยวดยานจะทําให้แผนโลหะทั
งกลาวฝั ่ ่ เกดสั
ั ว่ คราวกอให้
้ งสองติดกนชั ิ ญญา
ที่มีลกั ษณะเป็ นกระแสไฟฟ้ าสงไปยั ่ งเครื่ องรับเพื่อทําการบันทึกข้อมูลตอไป่
่ ั เครื่ อ ง
ลัก ษณะของข้อ มู ล ที่ บ ัน ทึ ก โดยอุ ป กรณ์ ท้ ัง สามประเภทนี้ มี ค วามแตกตางกน
่
ตรวจจับ แบบแผนความดั นจะบัน ทึ ก ข้อ มู ล เป็ นจํา นวนเพลาของยวดยานที่ ว่ิ ง ผาน ่ ขณะที่
่ ก และเครื่ องตรวจจับแบบคลื่น จะบันทึกข้อมูลเป็ นจํานวนยวดยาน
เครื่ องตรวจจับแบบคลื่นแมเหล็
ที่วิง่ ผาน ่
่ ตัวอยางของอุ ปกรณ์ตรวจจับ ดังแสดงในรู ปที่ 4.13 และ 4.14
่ ก
รู ปที่ 4.14 การติดตั้ งเครื่ องตรวจจับแบบคลื่นแมเหล็
ที่มา: ops.fhwa.dot.gov
2 6
3 5
่ ํ
รู ปที่ 4.15 ตัวอยางการกาหนดตํ ่
าแหนงสถานี สาํ หรับสํารวจปริ มาณจราจร
ที่มา: ดัดแปลงจาก Roess, Prassas, and McShane (2004)
ํ
จากรู ปที่ 4.15 กาหนดให้ A คือ สถานีควบคุมซึ่งตั้ งอยูใ่ นตําแหนงที
่ ่เหมาะสมสําหรับการ
ติ ดตามความเปลี่ ยนแปลงปริ มาณจราจร เพื่ อตรวจสอบข้อมูลปริ มาณจราจรที่ สามารถใช้เ ป็ น
ตัวแทนของปริ มาณจราจรของโครงขายถนน ่ โดยจะทําการสํารวจข้อมูลที่สถานี A เป็ นเวลา 8
ชัว่ โมง ตั้ งแต่ เที่ยงวัน (12.00 น.) ถึง 2 ทุ่ม (20.00 น.) สถานี 1 ถึง 6 คือ สถานี ยอยซึ
่ ่ งอยูใ่ นตําแหนง่
ที่ ครอบคลุ มโครงขายในพื ่ ้ น ที่ สํารวจข้อมู ล ที่ สถานี ย่อยนี้ จะทําการสํารวจปริ มาณจราจรบาง
่
ชวงเวลา รู ปที่ 4.16 แสดงตัวอยางการคํ่ านวณปรับแกปริ ้ มาณจราจรในกรณี ที่สาํ รวจข้อมูล 1 วัน
ข้อมูลปริ มาณจราจรที่สถานี A และสถานี 1 ถึง 6 ดังแสดงในรู ปที่ 4.16 (ก) สําหรับขั้ นตอนการ
ปรับแกดั้ งแสดงในรู ปที่ 4.16 (ข) และ (ค)
่
(ข) การคํานวณสัดสวนปริ มาณจราจรรายชัว่ โมงจากข้อมูลสถานีควบคุม
เวลา ่ ว่ โมง)
จํานวนที่นบั ได้ (คันตอชั ่ ่อเทียบกบปริ
สัดสวนเมื ั มาณจราจรทั้งหมดใน 8 ชัว่ โมง
12.00-13.00 825 825 / 7,075 = 0.117
13.00-14.00 811 811 / 7,075 = 0.115
14.00-15.00 912 912 / 7,075 = 0.129
15.00-16.00 975 975 / 7,075 = 0.138
16.00-17.00 1,056 1,056 / 7,075 = 0.148
17.00-18.00 1,153 1,153 / 7,075 = 0.163
18.00-19.00 938 938 / 7,075 = 0.133
19.00-20.00 397 397 / 7,075 = 0.056
รวมปริ มาณจราจรใน 8 ชัว่ โมง = 7,075 คัน
่
(ค) การคํานวณปรับแก้ปริ มาณจราจรของสถานียอยใน 1 ชัว่ โมง เป็ นปริ มาณจราจรใน 8 ชัว่ โมง
่
สถานียอย เวลาที่ทาํ การ จํานวนที่นบั ได้ ่
คาประมาณปริ มาณจราจรใน 8 ชัว่ โมง ่
คาประมาณปริ มาณจราจรสูงสุดในชัว่ โมง
สํารวจข้อมูล ่ ว่ โมง)
(คันตอชั
1 12.00-13.00 840 840 / 0.117 = 7,719 × 0.163 = 1,170
2 13.00-14.00 625 625 / 0.115 = 5,435 × 0.163 = 886
3 14.00-15.00 600 600 / 0.129 = 4,651 × 0.163 = 758
4 16.00-17.00 390 390 / 0.149 = 2,617 × 0.163 = 431
5 17.00-18.00 1,215 1,215 / 0.163 = 7,454 × 0.163 = 1,215
6 18.00-19.00 1,440 1,440 / 0.133 = 10,827 × 0.163 = 1,765
่
รู ปที่ 4.16 ตัวอยางการ ปรับแกป้ริ มาณจราจรจากข้อมูลปริ มาณจราจร 1 วัน
ที่มา: ดัดแปลงจาก Roess, Prassas, and McShane (2004)
ประมาณคาปริ ่ มาณจราจรในชวงเวลา ่ ้
8 ชัว่ โมง โดยปรับแกจากปริ มาณจราจรที่สาํ รวจใน 1 ชัว่ โมง
่
ได้โดย คาประมาณ ปริ มาณจราจรที่สถานียอย ่ 1 ใน 8 ชัว่ โมง = ปริ มาณจราจรใน 1 ชัว่ โมง/0.117 =
840/0.117 = 7,179 คันตอชั ่ ว่ โมง
กรณี ที่ทาํ การเกบข้ ็ อมูลตอเนื
่ ่ องหลายวัน สามารถคํานวณปรับแกได้ ้ ดงั แสดงในรู ปที่ 4.17
รู ปที่ 4.17 แสดงตัวอยางการคํ่ านวณปรับแกปริ ้ มาณจราจรในกรณี ที่สาํ รวจตอเนื
่ ่ อง 6 วัน ข้อมูล
ปริ มาณจราจรที่สถานี A และสถานี 1 ถึง 6 ดังแสดงในรู ปที่ 4.17 (ก) สําหรับขั้ นตอนการปรับแก ้
ดังแสดงในรู ปที่ 4.17 (ข) และ 4.17 (ค)
่ ่อง 6 วัน
(ก) ข้อมูลจากการสํารวจปริ มาณจราจรตอเนื
สถานีควบคุม A ่
สถานียอย วันที่ทาํ การสํารวจข้อมูล จํานวนที่นบั ได้ใน
่
ชวงเวลา 8 ชัว่ โมง
(คันตอ่วัน)
วัน ่
จํานวนที่นบั ได้ในชวงเวลา 8 ชัว่ โมง (คันตอ่วัน) 1 จันทร์ (1) 6,500
จันทร์ (1) 7,000 2 อังคาร 6,200
อังคาร 7,700 3 พุธ 6,000
พุธ 7,700 4 พฤหัสบดี 7,100
พฤหัสบดี 8,400 5 ศุกร์ 7,800
ศุกร์ 7,000 6 จันทร์ (2) 5,400
จันทร์ (2) 6,300
่ บแกรายวั
(ข) การคํานวณคาปรั ้ นจากข้อมูลสถานีควบคุม
วัน ่
จํานวนที่นบั ได้ในชวงเวลา 8 ชัว่ โมง (คันตอ่วัน) ่ บแก้
คาปรั
จันทร์ (1) 7,000 7,350 / 7,000 = 1.05
อังคาร 7,700 7,350 / 7,700 = 0.95
พุธ 7,700 7,350 / 7,700 = 0.95
พฤหัสบดี 8,400 7,350 / 8,400 = 0.88
ศุกร์ 7,000 7,350 / 7,000 = 1.05
จันทร์ (2) 6,300 7,350 / 6,300 = 1.17
รวมปริ มาณจราจร = 44,100 คัน
่ ่ย = 44,100/6 = 7,350 คันตอวั
คาเฉลี ่ น
้ มาณจราจรของสถานียอย
(ค) การคํานวณปรับแกปริ ่
่
สถานียอย วันที่ทาํ การสํารวจข้อมูล ่
จํานวนที่นบั ได้ในชวงเวลา 8 ชัว่ โมง ่ มาณจราจรใน 8 ชัว่ โมงที่ปรับแกแล้
คาปริ ้ ว
(คันตอ่วัน) (คันตอ่วัน)
1 จันทร์ (1) 6,500 × 1.05 = 6,825
2 อังคาร 6,200 × 0.95 = 5,890
3 พุธ 6,000 × 0.95 = 5,700
4 พฤหัสบดี 7,100 × 0.88 = 6,248
5 ศุกร์ 7,800 × 1.05 = 8,190
6 จันทร์ (2) 5,400 × 1.17 = 6,318
่
รู ปที่ 4.17 ตัวอยางการปรั ้ มาณจราจรจากข้อมูลปริ มาณจราจร 6 วัน
บแกปริ
ที่มา: ดัดแปลงจาก Roess, Prassas, and McShane (2004)
่ บแกรายวั
ตารางที่ 4.7 การคํานวณคาปรั ้ น
วัน ่ ่ยปริ มาณจราจรรายปี ของแตละวั
คาเฉลี ่ น ่ บแกรายวั
คาปรั ้ น
่ น)
(คันตอวั
จันทร์ 1,332 1,429/1,332 = 1.07
อังคาร 1,275 1,429/1,275 = 1.12
พุธ 1,289 1,429/1,289 = 1.11
พฤหัสบดี 1,300 1,429/1,300 = 1.10
ศุกร์ 1,406 1,429/1,406 = 1.02
เสาร์ 1,588 1,429/1,588 = 0.90
อาทิตย์ 1,820 1,429/1,820 = 0.80
รวม = 10,000 คัน
่ น
ADT = 10,000/7 = 1,429 คันตอวั
ที่มา: ดัดแปลงจาก Roess, Prassas, and McShane (2004)
่ บแกรายเดื
ตารางที่ 4.8 การคํานวณคาปรั ้ อน
เดือน ปริ มาณจราจรรวม ADT ของเดือน ่ บแกรายเดื
คาปรั ้ อน
(คัน) ่ น)
(คันตอวั (AADT/ADT)
มกราคม 19,840 /31 = 640 797/640 = 1.25
กุมภาพันธ์ 16,660 /28 = 595 797/595 = 1.34
มีนาคม 21,235 /31 = 685 797/685 = 1.16
เมษายน 24,300 /30 = 810 797/810 = 0.98
พฤษภาคม 25,885 /31 = 835 797/835 = 0.95
มิถุนายน 26,280 /30 = 876 797/876 = 0.91
กรกฎาคม 27,652 /31 = 892 797/892 = 0.89
สิ งหาคม 30,008 /31 = 968 797/968 = 0.82
ั
กนยายน 28,620 /30 = 954 797/954 = 0.84
ตุลาคม 26,350 /31 = 850 797/850 = 0.94
พฤศจิกายน 22,290 /30 = 743 797/743 = 1.07
ธันวาคม 21,731 /31 = 701 797/701 = 1.14
รวม = 290,851 คัน
่ น
AADT = 290,851/365 = 797 คันตอวั
ที่มา: ดัดแปลงจาก Roess, Prassas, and McShane (2004)
่
ตัวอยางการปรั ้
บแกโดยใช้ ข้อมูลจากตารางที่ 4.7 และ 4.8 สมมติทาํ การสํารวจข้อมูล
ปริ มาณจราจรภายในพื้นที่ควบคุม ในวันอังคาร ของเดือนกรกฎาคม จะได้
ความเร็ วของยวดยานสามารถตรวจสอบได้โดยวิธีการพื้นฐานตอไปนี ่ ้
• มาตรวัดเรดาร์ (Radar meter) การตรวจจับความเร็ วของยวดยานที่กาลั ํ งวิ่งผานจุ
่ ดคงที่ใดๆ บน
ถนนโดยใช้อุปกรณ์เรดาร์ หรื ออุปกรณ์ตรวจจับความเร็ วอื่นๆ ซึ่งทําให้สามารถวัดคาความเร็่ ว
ยวดยานได้โดยตรง
• ํ
กาหนดชวงสั ่ ้ นๆ ขึ้ นบนถนนโดยกาหนดแนวอ้
ํ างอิงขึ้ น 2 แนว ตามความกว้างถนนในตําแหนง่
ที่ตอ้ งการสํารวจความเร็ ว และทําการบันทึกเวลาที่รถแตละคั ่ นใช้ในการวิ่งบนชวงถนน
่ นั้ น
• ํ ่
กาหนดชวงถนนที ่มีความระยะทางพอสมควร จากนั้ นบันทึกเวลาในการเดินทางที่ยวดยานใช้
ในการเดินทางในชวงถนนนั่ ้น
• ใช้รถทดสอบ (Test-car) วิ่งบนชวงถนนที ่ ํ
่กาหนดไว้ โดยทําการบันทึกเวลาในการเดินทางที่ใช้
่
ในการวิ่งแตละรอบ ่
จากนั้ นนําข้อมูลดังกลาวมาคํานวณหาความเร็ ว
่ สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้ดงั แสดงในตารางตอไป
ความเร็ วของยวดยานที่วดั คาได้ ่ นี้
100.00
90.00
80.00
70.00
60.00
ความเร็วเปอร์เซ็นไทล์ที่ 85 = 55 กม./ชม.
50.00
40.00
30.00
10.00
0.00
35.0 37.0 39.0 41.0 43.0 45.0 47.0 49.0 51.0 53.0 55.0 57.0 59.0 61.0 63.0 65.0
A A
N
Ms
On
T Pn
B B
ชื่อถนน................................................................................................... วันที่…………………………………………
จุดต้นทาง………………………………………………. จุดปลายทาง………………………………………………..
สภาพอากาศ……………………………………………………………………………………………………………….
รอบที่ เวลาเริ่ มต้น เวลาสิ้ นสุ ด เวลาในการเดินทาง จํานวนรถที่วิง่ สวน จํานวนรถที่แซง จํานวนรถที่ถกู แซง
มุ่งทิศ
1
2
3
4
รวม
เฉลี่ย
มุ่งทิศ
1
2
3
4
รวม
เฉลี่ย
่ อมูลที่ได้จากการวิ่งรถทดสอบ
ตารางที่ 4.11 ตัวอยางข้
รอบที่ เวลาในการเดินทาง (Tn) จํานวนรถที่วง่ิ สวน (Ms) จํานวนรถที่แซง (On) จํานวนรถที่ถูกแซง (Pn)
(นาที)
มุ่งทิศ เหนือ
1N 2.65 112 1 0
2N 2.70 113 3 2
3N 2.35 119 0 2
4N 3.00 120 2 0
5N 2.42 105 1 1
6N 2.54 100 2 1
รวม 15.66 669 9 6
รอบที่ เวลาในการเดินทาง (Ts) จํานวนรถที่วง่ิ สวน (Mn) จํานวนรถที่แซง (Os) จํานวนรถที่ถูกแซง (Ps)
(นาที)
มุ่งทิศใต้
1S 2.33 85 2 0
2S 2.30 83 0 2
3S 2.71 77 0 0
4S 2.16 85 1 1
5S 2.54 90 0 2
6S 2.48 84 0 1
รวม 14.52 504 3 6
⎛ M + On − Pn ⎞
vn = 60 ⎜⎜ s ⎟⎟ (4.25)
⎝ Tn + Ts ⎠
60(On − Pn ) (4.26)
Tn = Tn −
Vn
Sn =
60 d (4.27)
Tn
ํ
กาหนดให้ ่ นอ้างอิง A-A ถึง B-B มีค่าเทากบ
ระยะทางระหวางเส้ ่ ั 0.75 กโลเมตร
ิ จากสมการ
ที่ (4.25) จะได้ปริ มาณจราจรในทิศมุ่งหน้าสู่ ทิศเหนือและทิศใต้ ดังนี้
่
จากตัวอยางจะเห็ นได้วา่ ถ้าเป็ นกรณี ที่รถทดสอบวิ่งไปทางทิศใต้ รู ปแบบสมการจะยังคง
เดิม แตสั่ ญลักษณ์แสดงทิศทางจะเปลี่ยนเป็ นตรงกนข้ ั ามในทุกตําแหนง่ การแทนคาในสมการจึ
่ ง
ควรระมัดระวังในจุดนี้ ดว้ ย
่ า
รู ปที่ 4.21 แบบบันทึกข้อมูลการสํารวจความลาช้
ที่มา: ดัดแปลงจาก Currin (2001)
่ าเฉลี่ยตอจํ
ความลาช้ ่ านวนยวดยานที่ล่าช้า = 2,310 / 233 = 9.9 วินาทีต่อคัน
่
คาความลาช้่ าที่คาํ นวณได้ตามที่กลาวมาข้
่ ่ ่ไมสามารถนํ
างต้น เป็ นคาที ่ าไปเปรี ยบเทียบเป็ น
่
ระดับการให้บริ การของทางแยกได้ คาความลาช้ ่ าที่สามารถนําไปประเมินระดับการให้บริ การของ
่
ทางแยกได้น้ นั คํานวณโดย นําคาความลาช้ ่ ารวมไปหารด้วยปริ มาณจราจรรวมทั้ งหมด และนําคาที ่ ่
ได้ไปคูณด้วย 1.3 (233/176) ดังนั้ น จากรู ปที่ 4.21 จะได้
่ า
ความลาช้ = (2,310 / 409) × 1.3 = 7.3 วินาทีต่อคัน
่
คาความลาช้่ าที่คาํ นวณได้จากวิธีน้ ี สามารถนําไปประเมินระดับการให้บริ การของทางแยก
่ ่คาํ นวณได้กบตารางตอไปนี
ได้ โดยเปรี ยบเทียบคาที ั ่ ้
่ า
ตารางที่ 4.12 ระดับการให้บริ การและความลาช้
ระดับการให้บริ การ (Level of service, LOS) ่ า (วินาทีต่อคัน)
ความลาช้
A ≤ 10.0
B 10.1 to 20.0
C 20.1 to 35.0
D 35.1 to 55.0
E 55.1 to 80.0
F > 80.0
ที่มา: ดัดแปลงจาก Currin (2001)
่
การจัดการกระแสจราจรที่ว่ิงผานทางแยก ่ ้ นไม่
ในกรณี ที่ปริ มาณการจราจรที่ผานทางแยกนั
สู งมาก อาจควบคุมและจัดระเบียบการเคลื่อนตัวด้วยเครื่ องหมายจราจร (Traffic markings) ป้ าย
จราจร (Traffic signs) หรื อใช้หลักการจัดชองทางสั ่ ญจร (Channelization) ในบริ เวณทางแยก
่
อยางไรกดี ็ ทางแยกที่ตอ้ งรองรับปริ มาณจราจรสูง การใช้เครื่ องมือควบคุมกระแสจราจรตามที่กลาว ่
ข้างต้นอาจไมเพี ่ ยงพอ ในกรณี น้ ี จะใช้การติดตั้ งสัญญาณไฟจราจรในการควบคุมกระแสจราจร
ในทางแยกดังกลาว ่
ในการควบคุมกระแสจราจรบริ เวณทางแยกด้วยสัญญาณไฟจราจรนั้ น สิ่ งสําคัญประการ
หนึ่ งที่ส่ งผลตอความสามารถในการรองรั
่ บปริ มาณจราจรของทางแยก ประสิ ทธิ ภาพของทางแยก
ความลาช้ ่ าในการเดิ นทาง และความยาวของแถวคอยกคื็ อ การจัดสัญญาณไฟจราจร เนื้ อหาใน
หัวข้อนี้ จะพิจารณากรณี ศึกษาที่เป็ น 4 แยก และมีทิศทางการสัญจรของยวดยานตามมาตรฐานของ
4 แยกทัว่ ไปแสดงในผังทางแยกตามรู ปที่ 4.22
ั
เขียว ซึ่ งจะเหมือนกบการรอสั ่
ญญาณไฟจราจรเพื่อเลี้ ยวขวาของประเทศที่ขบั รถชิดชองจราจรซ้
าย
สุ ด และรถยนต์เป็ นแบบมีพวงมาลัยอยูด่ า้ นขวามือ เชน่ ประเทศไทย เป็ นต้น
สัญญาณไฟจราจร 2 จังหวะ
สัญญาณไฟจราจร 3 จังหวะ
สัญญาณไฟจราจร 4 จังหวะ
การจัดสัญญาณไฟเขียวนําสําหรับการเลี้ ยวซ้าย
การจัดสัญญาณไฟเขียวเหลื่อมสําหรับการเลี้ ยวซ้าย
การจัดสัญญาณไฟเขียวนําและเหลื่อมสําหรับการเลี้ ยวซ้าย
∑ (v / s) = max( NBLT + SB, SBLT + NB) = max(0.20 + 0.23, 0.18 + 0.27) = 0.45
่ กคือกระแสจราจรที่มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ดังนั้ น
จากข้อมูล จะเห็นได้วากระแสจราจรหลั
จังหวะสัญญาณไฟจราจรควรเป็ น
จังหวะสัญญาณไฟจราจร ทิศทางที่ได้สัญญาณไฟเขียว
1 (NBLT, SBLT)
1a (overlap) (NBLT, NB)
2 (NB, SB)
แตถ้่ าคาสั
่ ดสวน
่ v/s เป็ นดังนี้ NBLT 0.18 SBLT 0.20 NB 0.27 และ SB 0.23 จะได้
∑ (v / s) = max( NBLT + SB, SBLT + NB) = max(0.18 + 0.23, 0.20 + 0.27) = 0.47
ในกรณี น้ ี จังหวะสัญญาณไฟจราจรควรเป็ น
จังหวะสัญญาณไฟจราจร ทิศทางที่ได้สัญญาณไฟเขียว
1 (NBLT, SBLT)
2 (NB, SB)
่
จากนั้ น สามารถหาคาระยะเวลา 1 รอบสัญญาณไฟจราจร (Cycle length) ตามวิธีของ
่
Webster ได้จากสมการตอไปนี ้
C=
1.5 L + 5 (4.28)
1 − ∑ (va / s ) ci
i
่ ดสวนปริ
ตัวอย่ างที่ 4.3 คาสั ่ ่ ศทางการเคลื่อนที่ของ
มาณจราจรและการไหลอิ่มตัวสําหรับแตละทิ
กระแสจราจรในทางแยกแหงหนึ ่ ่ งดังแสดงด้านลาง
่ จงคํานวณระยะเวลาหนึ่ งรอบสัญญาณไฟ
ํ
จราจรที่นอ้ ยที่สุด และกาหนดจั ํ
งหวะสัญญาณไฟจราจรด้วยวิธี Webster กาหนดให้ เวลาสูญเปลา่ ซึ่ง
่
เป็ นชวงเวลาสั ่
ญญาณไฟเหลืองของจังหวะการเปลี่ยนสัญญาณไฟของแตละขาของทางแยก ่ ั 3
เทากบ
่ ั 15 วินาที (Bank, 2004)
วินาที และระยะเวลาของจังหวะสัญญาณไฟเขียวที่นอ้ ยที่สุดเทากบ
่ ดสวนอั
1) หาคาสั ่ ตราการไหลวิกฤติ
ํ
2) กาหนดจั
งหวะสัญญาณไฟจราจร
ํ
กาหนดให้ มี Overlap สําหรับจังหวะที่ 1 และ 2
จังหวะที่ 1 NBLT + SBLT
จังหวะที่ 1a SBLT + SB
จังหวะที่ 2 SB + NB
จังหวะที่ 3 EB + WB
3) หาระยะเวลา 1 รอบสัญญาณไฟจราจร
C=
1 .5 L + 5
=
1.5(3 × 3) + 5
=
18.5
= 84.1 วินาที ใช้ 85 วินาที
1 − ∑ (va / s ) ci 1 − (0.49 + 0.29) 1 − 0.78
i
่ ดสวนระยะเวลาสั
4) หาคาสั ่ ่
ญญาณไฟเหลืองตอระยะเวลา 1 รอบสัญญาณไฟจราจร
= 0.035 ใช้ 0.04
Y 3
=
C 85
่ ดสวนระยะเวลาสั
คาสั ่ ่
ญญาณไฟเหลืองตอระยะเวลา 1 รอบสัญญาณไฟจราจร = 3 × 0.04 = 0.12
่ งหวะสัญญาณไฟจราจร
5) กระจายระยะเวลาสัญญาณไฟเขียวทั้ งหมดไปยังแตละจั
G
Total = 1 − 0.12 = 0.88
C
จังหวะที่ 1 และ 2 (Overlapping)
NBLT ⎛ 0.18 ⎞
⎜ ⎟ × 0.88 = 0.20
⎝ 0.78 ⎠
SBLT ⎛ 0.20 ⎞
⎜ ⎟ × 0.88 = 0.23
⎝ 0.78 ⎠
SB ⎛ 0.31 ⎞
⎜ ⎟ × 0.88 = 0.35
⎝ 0.78 ⎠
NB ⎛ 0.28 ⎞
⎜ ⎟ × 0.88 = 0.32
⎝ 0.78 ⎠
จังหวะที่ 3
WB ⎛ 0.29 ⎞
⎜ ⎟ × 0.88 = 0.33
⎝ 0.78 ⎠
่ ดสวน
6) ตรวจสอบคาสั ่ G/C
จังหวะที่ 1 NBLT + SBLT 0.20
จังหวะที่ 1a SBLT + SB 0.03
จังหวะที่ 2 SB + NB 0.32
จังหวะที่ 3 EB + WB 0.33
รวม 0.88 OK
7) ตรวจสอบระยะเวลาของจังหวะสัญญาณไฟเขียวที่นอ้ ยที่สุด
่ งหวะสัญญาณไฟจราจร
8) ระยะเวลาแตละจั
จังหวะสัญญาณไฟจราจร ่
สัดสวนระยะเวลาสั ญญาณไฟจราจร ระยะเวลา (วินาที)
จังหวะที่ 1 0.20 0.20 × 85 = 17.0
จังหวะที่ 1a 0.03 0.03 × 85 = 2.55
ไฟเหลือง 0.04 0.04 × 85 = 3.40
จังหวะที่ 2 0.32 0.32 × 85 = 27.2
ไฟเหลือง 0.04 0.04 × 85 = 3.40
จังหวะที่ 3 0.33 0.33 × 85 = 28.05
ไฟเหลือง 0.04 0.04 × 85 = 3.40
รวม 1.00 1.00 × 85 = 85.0
ระยะเวลา 1 รอบสัญญาณไฟจราจร 85 วินาที
9) แผนภาพจังหวะและระยะเวลาสัญญาณไฟจราจร
0.31 0.20
0.29
0.27
0.18 0.28
แผนภาพจังหวะสัญญาณไฟจราจร
แผนภาพระยะเวลาสัญญาณไฟจราจร
0 19.55 22.95 50.15 53.55 81.6 85.0
G Y R
R G Y R
R G Y
X c = ∑ (v a / s ) i +
L (v a / s ) c (4.29)
i gc
และ C=
LX c (4.30)
X c − ∑ (va / s ) ci
i
โดยที่ Xc = ่ ่ ่มตัววิกฤติของทางแยก
สัดสวนคาอิ
gc = ่ วินาที
ระยะเวลาของจังหวะสัญญาณไฟเขียวที่นอ้ ยที่สุด หนวย
(v a / s ) c = ่
สัดสวนของปริ ่
มาณจราจรและคาการไหลอิ ่มตัวของระยะเวลา
ของจังหวะสัญญาณไฟเขียวที่นอ้ ยที่สุด
่ ดสวนปริ
ตัวอย่ างที่ 4.4 คาสั ่ ่ ศทางการเคลื่อนที่ของ
มาณจราจรและการไหลอิ่มตัวสําหรับแตละทิ
กระแสจราจรในทางแยกแหงหนึ ่ ่ งดังแสดงด้านลาง
่ จงคํานวณระยะเวลาหนึ่ งรอบสัญญาณไฟ
ํ
จราจรที่น้อยที่สุด และกาหนดจั งหวะสัญญาณไฟจราจรด้วยวิธี Highway Capacity Manual
ํ
กาหนดให้ ่ ่ งเป็ นชวงเวลาสั
เวลาสู ญเปลาซึ ่ ญญาณไฟเหลืองของจังหวะการเปลี่ยนสัญญาณไฟของ
่
แตละขาของทางแยกเทากบ ่ ั 3 วินาที ระยะเวลาของจังหวะสัญญาณไฟเขียวที่น้อยที่สุดเทากบ
่ ั 15
่ ่ ่มตัววิกฤติของทางแยกมีค่าไมเกน
วินาที และสัดสวนคาอิ ่ ิ 0.85 (Bank, 2004)
่ ดสวนอั
1) หาคาสั ่ ตราการไหลวิกฤติ
NBLT + SB = 0.18 + 0.25 = 0.43 (วิกฤติ)
SBLT + NB = 0.16 + 0.22 = 0.38
EB = 0.20
WB = 0.22 (วิกฤติ)
ํ
2) กาหนดจั
งหวะสัญญาณไฟจราจร
ํ
3) ตรวจสอบข้อกาหนดที ่ควบคุมโดยระยะเวลาสัญญาณไฟเขียวน้อยที่สุด
่
เวลาสูญเปลารวม = 3 × 3 = 9 วินาที
X c = ∑ (v a / s ) i +
L (v a / s ) c
= (0.18 + 0.25 + 0.22) +
9 (0.18)
= 0.758 < 0.85 อยูใ่ นเกณฑ์ที่กาหนดไว้
ํ
i gc 15
4) หาระยะเวลา 1 รอบสัญญาณไฟจราจร
LX c 9 × 0.758 วินาที
C= = = 63.2
X c − ∑ (v a / s ) ci 0.758 − (0.18 + 0.25 + 0.22)
i
่ งหวะสัญญาณไฟจราจร
5) หาระยะเวลาสัญญาณไฟเขียวแตละจั
(v a / s ) c × C (4.31)
Green time / phase =
Xc
่
รวมชวงเวลาสั ญญาณไฟเขียวทั้ งหมด = 15.0 + 20.8 + 18.3 + 9.0 = 63.1 < 63.2 OK
็ ในที่น้ ีเลือกจังหวะที่ 2
เพิม่ 0.1 วินาที ที่จงั หวะใดกได้
่ งหวะสัญญาณไฟจราจร
6) ระยะเวลาแตละจั
7) แผนภาพจังหวะและระยะเวลาสัญญาณไฟจราจร
0.25 0.16
0.22
0.20
0.18 0.22
แผนภาพจังหวะสัญญาณไฟจราจร
แผนภาพระยะเวลาสัญญาณไฟจราจร
0 15.0 18.0 38.9 41.9 60.2 63.2
G Y R
R G Y R
R G Y
การเคลื่อนตัวออกมาเป็ นกลุ่มเมื่อได้รับสัญญาณไฟเขียวของยวดยานที่สะสมตัวในชวง ่
สัญญาณไฟแดงนั้ น เรี ยกวา่ Platoon จากตัวอยางที ่ ่ 4.3 และ 4.4 ตัวแปรที่จาํ เป็ นในการออกแบบ
สัญญาณไฟจราจรทั้ งวิธี Webster และวิธี Highway Capacity Manual กคื็ อ คาการไหลอิ ่ ่มตัว
(Saturation flow) คาดั ่ งกลาวจะอธิ
่ บายพฤติกรรมของผูข้ บั ขี่ในการเคลื่อนที่ออกจากเส้นหยุดของ
ทางแยก และบงบอกถึ่ งอัตราการให้บริ การของทางแยก นัน่ คือ จํานวนยวดยานมากที่สุดที่สามารถ
่
ผานทางแยกไปได้ ใน 1 ชัว่ โมง โดยสมมติว่าการเคลื่อนที่น้ นั ได้รับสัญญาณไฟเขียวอยางตอเนื่ ่ ่ อง
ั
และมี จาํ นวนยวดยานในแถวคอยวิ่งตามกนมาอยางตอเนื ่ ่ ่ อง มีหนวยเป็่ น คันตอชั ่ ว่ โมงของชวง่
สัญญาณไฟเขียว (Vehicles per hour of green) ในการหาคาการไหลอิ ่ ่มตัว จะใช้ตารางสําหรับการ
บันทึกและวิเคราะห์ขอ้ มูลดังแสดงตัวอยางในรู ่ ปที่ 4.26
จากรู ปที่ 4.26 ในการสํารวจข้อมูลเพื่อนํามาใช้ในการคํานวณการไหลอิ่มตัว Highway
Capacity Manual แนะนําให้ทาํ การเกบข้ ็ อมูลจํานวน 15 รอบสัญญาณไฟ T4 คือ เวลาที่เพลาท้าย
ของรถยนต์คนั ที่ 4 เคลื่อนผานเส้ ่ นอ้างอิงเข้ามาในพื้ นที่ของทางแยก N คือ จํานวนยวดยาน
(โดยมากได้แก่ รถยนต์ส่ วนบุคคล) ทั้ งหมดที่ว่ิงผานเข้ ่ ามาในพื้ นที่ทางแยก และ Tn คือ เวลา
ทั้ งหมดที่ยวดยาน N คัน ใช้ในการเคลื่อนที่ผานเข้่ ามาในพื้นที่ทางแยก จากข้อมูลดังกลาว ่ Highway
Capacity Manual ได้เสนอสมการที่ใช้ในการคํานวณคาชวงหางเฉลี ่ ่ ่ ่ย (Average headway) และคา่
การไหลอิ่มตัวของแตละรอบสั่ ญญาณไฟ ได้ต่อไปนี้
Tn − T 4 (4.32)
Average headway =
N −4
รอบ T4 N Tn ่ ่
ชวงหางเฉลี ่ย การไหลอิ่มตัว ความลาช้ ่ า ่
ระยะเวลาระหวาง
สัญญาณ (วินาที) ่ ว่ โมงของ
(คันตอชั ่
ชวงออกตั ว แถวคอย
ไฟ ่
ชวงไฟเขี ยว) (วินาที) (วินาที)
1 9.2 10 21.0 1.97 1,831 1.33 0
2 9.4 15 33.9 2.23 1,616 0.49 3.9
3 9.7 8 17.0 1.83 1,972 2.40 0
4 9.9 10 22.1 2.03 1,770 1.77 0
5 9.9 8 17.5 1.90 1,895 2.30 0
6 9.5 9 19.7 2.04 1,765 1.34 0
7 9.4 11 23.5 2.01 1,787 1.34 0
8 9.2 10 21.0 1.97 1,831 1.33 0
9 9.4 15 33.9 2.23 1,616 0.49 3.9
10 9.7 8 17.0 1.83 1,972 2.40 0
11 9.9 10 22.1 2.03 1,770 1.77 0
12 9.9 8 17.5 1.90 1,895 2.30 0
13 9.5 9 19.7 2.04 1,765 1.34 0
14 9.4 11 23.5 2.01 1,787 1.34 0
15 9.5 9 19.7 2.04 1,765 1.34 0
เฉลี่ย 2.00 1,803 1.55
พิจารณารอบสัญญาณไฟที่ 1
21.0 − 9.2
Average headway = = 1.97 วินาทีต่อคัน
10 − 4
Saturation flow rate =
3,600
= 1,831 ่ ว่ โมงของชวง
คันตอชั ่ สัญญาณไฟเขียว
1.97
คํานวณคาดั่ งกลาวทุ
่ กรอบสัญญาณไฟ จากรู ปที่ 4.26 จะได้ค่าการไหลอิ่มตัวเฉลี่ยเทากบ
่ ั
่ ว่ โมงของชวงสั
1,803 คันตอชั ่ ญญาณไฟเขียว โดยทัว่ ไป คาการไหลอิ
่ ่มตัวจะมีค่าอยูร่ ะหวาง
่ 1,700
่ ว่ โมงของชวงสั
ถึง 2,000 คันตอชั ่ ญญาณไฟเขียว ในกรณี ที่ไมสามารถตรวจสอ
่ บข้อมูลจราจรได้จาก
การสํารวจภาคสนาม Highway Capacity Manual แนะนําให้ใช้ค่าการไหลอิ่มตัวเทากบ่ ั 1,900 คัน
่ ว่ โมงของชวงสั
ตอชั ่ ญญาณไฟเขียว เป็ นคามาตรฐานในการออกแบบ
่
่ าชวงออกตั
ดังนั้ น จากรู ปที่ 4.26 เมื่อพิจารณารอบสัญญาณไฟที่ 1 จะได้ความลาช้ ่ ่ ั
ว เทากบ
ทําการคํานวณความลาช้ ่ าชวงออกตั
่ วทุกรอบสัญญาณไฟ จากนั้ นหาคาเฉลี่ ่ย จะได้ ความ
่ าชวงออกตั
ลาช้ ่ ่ ั 1.55 วินาที จากนั้ น เราสามารถคํา นวณชวงสั
วเฉลี่ย เทากบ ่ ญ ญาณไฟเขี ย ว
่
ประสิ ทธิผล (Effective green) และความจุของชองจราจร ่
(Lane capacity) ได้จากสมการตอไปนี้
Effective green time = Maximum green – Startup delay + Clearance time used (4.35)
Lane capacity = [Effective green time / Cycle length] × Saturation flow rate (4.36)
่ ว่ โมง
Lane capacity = [28.45 / 90] × 1,803 = 570 คันตอชั
คําถามท้ ายบท
1. จงอธิ บ ายความหมายของวิ ศ วกรรมจราจรรวมถึ ง ขอบเขตความรั บ ผิ ด ชอบของวิ ศ วกรที่
ปฏิบตั ิงานด้านนี้
2. จงอธิ บายความหมายของปริ มาณจราจร และการไหลกระแสจราจร สองคํานี้ มีความหมาย
่ ั ่ จงอธิบาย
ตางกนอยางไร
3. จงอธิบายความหมายของ Time mean speed (TMS) และ Space mean speed (SMS)
่
4. ความหนาแนนของการจราจรคื ออะไร จงอธิบาย
่
5. ถ้าทานทราบคาระยะหาง ่ ่ (Spacing) และชวงหาง
่ ่ (Headway) จากข้อมูลดังกลาว ่ ทานจะ
่
่
สามารถหาคาความเร็ ่ จงอธิบาย
วเฉลี่ยของกระแสจราจรได้อยางไร
6. จงอธิ บายความหมายของเวลาในการเดิ นทาง (Travel time) เวลาที่รถใช้ในการเคลื่อนที่
(Running time) ความเร็ วในการเดินทาง (Travel speed) และความเร็ วที่รถใช้ในการเคลื่อนที่
(Running speed)
7. จงอธิบายความสัมพันธ์พ้ืนฐานของตัวแปรที่ใช้อธิบายกระแสจราจร พร้อมวาดภาพประกอบ
ํ
8. กาหนดให้ ่
ความสัมพันธ์ระหวางความเร็ ่
วและความหนาแนนของกระแสจราจรเป้ นไปตาม
่
สมการตอไปนี ้
u = 54.5 − 0.24k
จงประมาณคา่ qmax um และ kj
9. ระดับการให้บริ การคืออะไร จงอธิบาย
่
10. ในการสํารวจข้อมูลจราจรครั้ งหนึ่ ง ทําการบันทึกข้อมูลรถยนต์ 5 คัน ที่ว่ิงผานแนวอ้ างอิง X-X
ไปยังแนวอ้างอิง Y-Y ที่ห่ างกนั 1,500 เมตร โดยพบวาเวลาที
่ ่ห่ างกนระหวางรถยนต์
ั ่ ่ น
แตละคั
่ ั 3 4 3 และ 5 วินาที ตามลําดับ และความเร็ วของรถยนต์แตละคั
เทากบ ่ นเทากบ ่ ั 50 45 40 35
ิ
และ 30 กโลเมตรตอชั ่ ว่ โมง ตามลําดับ จากข้อมูลดังกลาว่ จงหา Time mean speed (TMS)
Space mean speed (SMS) ความหนาแนน่ และปริ มาณจราจร
่ ดสวนปริ
11. คาสั ่ ่ ศทางการเคลื่อนที่ของกระแสจราจร
มาณจราจรและการไหลอิ่มตัวสําหรับแตละทิ
ในทางแยกแหงหนึ ่ ่ งดังแสดงด้านลาง่ จงคํานวณระยะเวลาหนึ่ งรอบสัญญาณไฟจราจรที่นอ้ ย
ํ
ที่สุด และกาหนดจั งหวะสัญญาณไฟจราจรด้วยวิธี Webster กาหนดให้ ํ เวลาสู ญเปลาซึ ่ ่ งเป็ น
่
ชวงเวลาสั ่
ญญาณไฟเหลืองของจังหวะการเปลี่ยนสัญญาณไฟของแตละขาของทางแยกเทากบ ่ ั
3 วินาที และระยะเวลาของจังหวะสัญญาณไฟเขียวที่นอ้ ยที่สุดเทากบ ่ ั 15 วินาที (Bank, 2004)
่ ดสวนปริ
12. คาสั ่ ่ ศทางการเคลื่อนที่ของกระแสจราจร
มาณจราจรและการไหลอิ่มตัวสําหรับแตละทิ
ในทางแยกแหงหนึ ่ ่ งดังแสดงด้านลาง
่ จงคํานวณระยะเวลาหนึ่ งรอบสัญญาณไฟจราจรที่นอ้ ย
ํ
ที่สุด และกาหนดจั ํ
งหวะสัญญาณไฟจราจรด้วยวิธี Highway Capacity Manual กาหนดให้ เวลา
สู ญเปลาซึ่ ่ งเป็ นชวงเวลาสั
่ ญญาณไฟเหลืองของจังหวะการเปลี่ยนสัญญาณไฟของแตละขาของ่
ทางแยกเทากบ ่ ั 3 วินาที ระยะเวลาของจังหวะสัญญาณไฟเขียวที่นอ้ ยที่สุดเทากบ
่ ั 15 วินาที และ
่ ่ ่มตัววิกฤติของทางแยกมีค่าไมเกน
สัดสวนคาอิ ่ ิ 0.80 (Bank, 2004)
่
เป็ นระบบขนสงสาธารณะที ่ ่ ่ องตลอดชวงศตวรรษที
่ให้บริ การอยางตอเนื ่ ่ 19 จนกระทัง่ ถูกแทนที่
่
ด้วยรถยนต์โดยสาร (Motor buses) ตัวอยางของ Omnibus ดังแสดงในรู ปที่ 5.1
่ ค.ศ. 1827-1907
รู ปที่ 5.1 Omnibus ให้บริ การบนเส้นทางในกรุ งนิวยอร์คระหวาง
ที่มา: http://www.transitmuseumeducation.org
่ ค.ศ. 1832-1917
รู ปที่ 5.2 รถรางลากด้วยม้าให้บริ การในกรุ งนิวยอร์คระหวาง
ที่มา: http://www.transitmuseumeducation.org
่
ปัจจุบนั การขนสงรางดวน ่ เป็ นรู ปแบบการขนสงที่ ่มีประสิ ทธิ ภาพและจําเป็ นสําหรับพื้นที่
ชุ มชน หรื อเมื องที่ มีประชากรหนาแนน ่ ซึ่ งมักเกดสภาพการจราจรติ
ิ ดขัดและความแออัดของ
ยวดยานบนท้องถนน ในพื้นที่ดงั กลาว ่ ระบบขนสงรางดวนเป็
่ ่ นทางเลือกสําคัญในการเดินทางที่
สามารถเคลื่อนย้ายผูค้ นได้คราวละมากๆ และมีความเร็ วในการเดินทางสูง
่ ่ อง
รู ปที่ 5.8 รถรางขนสงระหวางเมื
ที่มา: http://upload.wikimedia.org
5.2.2. รปแบบการขนส่
ู ง (Transit Modes)
ระบบขนสง่ถูกกาหนดให้
ํ ั
แตกต่างกนไป ่
ด้วยคุณลักษณะ 3 ประการดังตอไปนี
้
• เขตทาง (Right-of-way)
• เทคโนโลยี (Technologies)
• ประเภทของการให้บริ การ (Type of services)
1. เขตทางประเภท C
่ ยวกบพื
เป็ นเขตทางที่ มี ลกั ษณะเชนเดี ั ้ น ผิวถนน ยวดยานที่ ใ ห้บริ การขนสงในเขตทาง
่
่ ั
ประเภทนี้ จะสัญจรรวมไปกบกระแสจราจร ประเภทอื่น ระบบขนสง่ในกลุ่มนี้ อาจปรั บปรุ งให้มี
ประสิ ทธิภาพการเดินทางดีข้ ึนด้วยการกาหนดสิ ํ ทธิพิเศษเหนือยวดยานประเภทอื่นในกระแสจราจร
เชน่ การกาหนดชองทางพิ
ํ ่ ่
เศษสําหรับระบบขนสงสาธารณะ ่
หรื อการให้สิทธิระบบขนสงสาธารณะ
่
ในการผานทางแยกทางรวมได้ ่ ก่อน เป็ นต้น
2. เขตทางประเภท B
่
คือ เขตทางที่ใช้วิธีการแบงแยกการสั ญจรของยวดยานออกจากกระแสจราจรอื่นด้วยการใช้
ี
สิ่ งกดขวางวางเป็ นแนวก้ นั ตามทางยาวของเส้นทาง สิ่ งกดขวาง
ี ่ ้ ได้แก่ ขอบทาง (Curbs) เกาะ
ที่วานี
(Barriers) เขตทางแบบตางระดั่ บ (Grade separation) เป็ นต้น เขตทางประเภทนี้มกั มีการควบคุมการ
เข้าถึงเป็ นบางชวง่ (Partial control of access) โดยยังอนุญาตให้ยวดยานประเภทอื่น หรื อการเดิน
เท้าสามารถตัดผานเส้่ นทางการสัญจรได้ ทางแยกและทางรวมยั ่ งสามารถพบเห็นได้เชนกนในเขต
่ ั
ทางประเภทนี้
3. เขตทางประเภท A
เขตทางประเภทนี้ ถือได้ว่าเป็ นเขตทางที่ ถูกควบคุ มการเข้าออกอยางเต็่ มรู ปแบบ (Full
control of access) เป็ นขอบเขตทางที่ไมมี่ การตัดผานโดยกระแส
่ จราจรประเภทอื่นในลักษณะที่เป็ น
่
ทางรวมทางแยก ่ ารถตัดผาน
และเป็ นเขตทางที่ไมสาม ่ ได้ท้ งั จากยวดยานประเภทอื่น หรื อการเดิน
่
เท้า ตัวอยางของ เขตทางประเภทนี้ ได้แก่ การกาหนดํ ่
เขตทางแบบตางระดั บ (Grade separation)
หรื อเขตทางพิเศษ (Exclusive ROW) เป็ นต้น
1. ส่ วนรองรับ (Support)
่
คือ จุดสัมผัสทางตามแนวดิ่ งระหวางยวดยานและพื ้ นผิวที่ยวดยานนั้ นใช้เป็ นทางวิ่ง ซึ่ ง
่
รองรับนํ้ าหนักทั้ งหมดของยวดยานนั้ น ประเภทของสวนรองรั ั่ ได้แก่ ยานพาหนะ
บที่เห็นได้ทวไป
บนผิวนํ้ า อาทิ เรื อ และไฮโดรโพลส์ ฯลฯ หรื อยานพาหนะบนอากาศ อาทิ ยานโฮเวอร์คราฟท์
เป็ นต้น
2. การควบคมทิ
ุ ศทาง (Guidance)
่ ่ทาํ หน้าที่ควบคุมทิศทางในแนวราบของยานพาหนะ ยานพาหนะที่ว่ิงบน
หมายถึง สวนที
ถนน อุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมทิศทาง ได้แก่ พวงมาลัย (ควบคุมโดยคนขับ) สําหรับยานพาหนะที่ว่ิงบน
ราง จะมีการควบคุมทิศทางตามแนวราบด้วยล้อที่ออกแบบให้มีลกั ษณะเป็ นรอง ่ และวิ่งบนรางที่
ั ่
ออกแบบให้มีลกั ษณะเป็ นแกนรู ปกรวยที่พอดีกบรองของล้ อ เป็ นต้น
3. การขับเคลือ่ น (Propulsion)
่ ํ งจาก
หมายถึง ชนิ ดของเครื่ องยนต์ที่ใช้ในการขับเคลื่อน และวิธีการที่ใช้ในการถายเทกาลั
่ ่ทาํ หน้าที่ควบคุมการเรงและ
เครื่ องยนต์ไปยังสวนที ่ ่
การหนวงความเร็ วของยวดยาน องค์ประกอบ
หลักของการขับเคลื่อน ได้แก่
• วิธีที่ใช้ในการถายกาลั
่ ํ งจากเครื่ องยนต์เพื่อเปลี่ยนเป็ นแรงขับเคลื่อน (Methods of
transferring tractive force)
ได้แก่ การใช้หลักของการยึดติดกนของผิ
ั ํ งแมเหล็
วสัมผัส กาลั ่ ก สายเคเบิล ใบพัด เป็ นต้น
4. การควบคมยานพาหนะ
ุ (Control)
หมายถึง การบังคับหรื อควบคุมการเคลื่อนตัวของยานพานะหรื อกลุ่มของยานพาหนะใน
ระบบ การควบคุมที่มีความสําคัญที่สุดของระบบขนสง่ คือ การควบคุมระยะหางระหวางกนของ
่ ่ ั
ยานพาหนะตางๆ ่ ในทางราบซึ่ งอาจใช้วิธีการควบคุ มด้วยพนักงานควบคุม และป้ าย พนักงาน
ควบคุมและสัญญาณ การควบคุมแบบอัตโนมัติเต็มรู ปแบบ หรื อการผสมผสานระหวาง ่ หลายวิธี
เป็ นต้น
1. บริการที่กาํ หนดตามเขตเส้ นทางที่ให้ บริการ (Type of routes and trips served) แบง่
ออกเป็ น 3 รู ปแบบ คือ
• การขนสงระยะสั ่ ้ น (Short-haul transit)
หมายถึง ระบบขนสงที ่ ่ให้บริ การด้วยความเร็ วตํ่า ภายในพื้ นที่ขนาดเล็กที่มีปริ มาณการ
เดินทางสู ง เชน่ พื้นที่ศูนย์กลางธุ รกจิ และชุมชน (Central business district, CBD) ภายในบริ เวณ
มหาวิทยาลัย สนามบิน และพื้นที่ที่มีการจัดแสดงนิทรรศการ เป็ นต้น
• การขนสงนอกเขตเมื
่ อง (Regional transit)
เป็ นรู ปแบบการขนสงที ่ ่มีระยะทางไกล ด้วยพาหนะที่มีความเร็ วสู งมาก การหยุดระหวาง่
ิ ้ นน้อยครั้ ง ให้บริ การแกผู่ โดยสารที
ทางเกดขึ ้ ่ องใหญ่ ตัวอยา่ งของการ
่ตอ้ งการเดินทางระหวางเมื
่
ขนสงประเภทนี ้ ได้แก่ รถไฟและรถดวน ่ (Rail and express buses) ระหวางเมื
่ อง เป็ นต้น
• บริ การแบบเรงดวน
่ ่ (Accelerated service)
คือ ระบบขนสงที ่ ่กาหนดให้
ํ มีการจอดให้บริ การในลักษณะ “ป้ ายเว้นป้ าย” ตลอดทั้ ง
เส้นทาง รถที่ให้บริ การจะจอดให้บริ การที่จุดรับ-สงผู่ โ้ ดยสารสลับป้ ายกนกบพาหนะคั
ั ั นที่บริ การ
่
ไปแล้ว กอนหน้ ั ้ จะถู ก กาหนดไว้
า นี้ โดยป้ ายที่ จ ะให้บ ริ ก ารแบบสลับ กนนี ํ ่
ลวงหน้ ่
า กอนออก
ให้บริ การ
่
3. บริการที่กําหนดตามช่ วงเวลาการให้ บริการ (Time of operation) แบงออกได้
เป็ น 3
รู ปแบบได้แก่
ํ
(Tracks in roadways) ที่ถูกกาหนดเขตทาง ให้มีระดับเดียวกนั สู งกวา่ หรื อตํ่ากว่าผิวจราจรปกติ ใน
่
บางชองของเส้ ่
นทางหรื อทุกชองทาง
5.3. รปแบบของ
ู ระบบขนส่ งสาธารณะ
่
ระบบขนสงสาธารณะมี หลายรู ปแบบที่แตกตางกน ่ ั และสามารถจําแนกหรื อจัดกลุ่มเป็ น
่ ดังได้กลาวไปแล้
ประเภทตางๆ ่ ่
วตามที่ได้กลาวไปแล้ ่
วในหัวข้อกอนหน้ ่ จะ
านี้ ในลําดับตอไป
่ งรู ปแบบตางๆ
กลาวถึ ่ ของระบบขนสงสาธารณะที
่ ่ ่
่มีความสําคัญตอการขนสงและพบเห็ นได้ทว่ั ไป
่
โดยจะนําเสนอตามลําดับหัวข้อดังตอไปนี ้
• การขนสงแบบราง
่ (Rail transit)
• การขนสงด้่ วยรถโดยสาร (Bus transit)
• การขนสงด้
่ วยรถรับจ้าง (Paratransit)
รู ปที่ 5.11 Light rail transit ให้บริ การในเมือง Newark รัฐ New Jersey
ที่มา: http://www.fta.dot.gov
่ ่ ่
การขนสงเรงดวนแบบราง ความจุต่าํ (Light rail rapid transit, LRRT) เป็ นรู ปแบบการ
่ ่ผสมผสานระบบขนสง่ RRT และ LRT เข้าด้วยกนั ลักษณะอยางหนึ
ขนสงที ่ ่ งของ LRRT ที่ต่างจาก
่ ดเจน คือ เขตทางที่ถูกกาหนด
LRT อยางชั ํ เฉพาะและมีระดับแตกตางจ ่ ากพื้นผิวจราจรปกติตลอดทั้ ง
่่
ระบบ ไมวาจะเป็ นแบบยกระดับ แบบใต้ดิน หรื อทั้ งสองแบบรวมกนั ซึ่งเป็ นคุณสมบัติของบริ การ
่ ่
แบบเรงดวนอยา ่ งแท้จริ ง การควบคุมพาหนะสามารถทําได้ท้ งั แบบใช้พนักงานควบคุม และควบคุม
โดยใช้สัญญาณ (Signal control) ระบบขนสง่ LRT บางระบบสามารถพัฒนาบางชวงของเส้ ่ นทาง
่ ั LRRT ได้เชนกน
ให้มีคุณสมบัติของการให้บริ การเทียบเทากบ ่ ั
รู ปที่ 5.13 Commuter rail ให้บริ การใน Orange County รัฐ California
ที่มา: http://www.masstransitmag.com
่ เพื่อให้
ใช้ หรื อรู ปแบบการให้บริ การ ฯลฯ ในหัวข้อนี้ จะนําเสนอบริ การรถโดยสารรู ปแบบตางๆ
ผูอ้ ่านมองเห็นภาพรวมของบริ การขนสงสาธารณะรู
่ ปแบบนี้ ชดั เจนยิง่ ขึ้ น
่ วยรถโดยสารสามารถจําแนกออกได้เป็ น
โดยทัว่ ไป ยานพาหนะที่ ใช้ในบริ การขนสงด้
3 ประเภท ได้แก่ รถโดยสารแบบมาตรฐาน รถโดยสารขนาดเล็ก และรถโดยสารความจุสูง
2. รถโดยสารขนาดเล็ก (Minibuses)
เป็ นรถโดยสารที่มีรูปแบบและลักษณะของตัวรถที่หลากหลาย รถโดยสารขนาดเล็กแตละ ่
รุ่ น มัก ผลิ ต ในปริ ม าณที่ ค่ อนข้า งน้อ ย เนื่ อ งจากเป็ นรถที่ ม ัก ถู ก นํา ไปใช้ใ นบริ ก ารที่ มี ล ัก ษณะ
เฉพาะตัว ได้แก่ การจัดให้บริ การแกผู่ ส้ ู งอายุและผูพ้ ิการ การให้บริ การในลักษณะรถรับจ้าง และ
การให้บริ การในพื้นที่เขตชานเมืองหรื อพื้นที่มีความหนาแนนของผู ่ ใ้ ช้บริ การตํ่า
โดยมาก ผูค้ นทัว่ ไปมักเข้าใจวา่รถโดยสารขนาดเล็กนาจะมี ่ ค่าใช้จ่ายในการดําเนิ นการ
ตํ่ากวาร ่ ถโดยสารขนาดมาตรฐาน ซึ่ งความจริ งแล้วเป็ นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน คาใช้ ่ จ่ ายที่
เกยวข้ี่ องกบการดํ
ั าเนินการนั้ นโดยมากแล้วจะไมแปรผั ่ นตามขนาดของรถโดยสารที่ใช้ ด้วยเหตุผล
ที่ว่าคาใช้
่ จ่ายสวนนี
่ ้ จะเป็ นคาจ้่ างของพนักงานขับรถเป็ นสวนใหญ ่ ่ ซึ่ งเป็ นคาใช้
่ จ่ายที่ไมเกยว
่ ี่ ข้อง
ั
กบยานพาหนะแตอยางใด ่ ่ ่ ่ จ่ายที่เกยวข้
นอกจากนี้ ยงั พบวาคาใช้ ี่ องกบั นํ้ ามันเชื้ อเพลิงของรถโดย
สารทั้ งสองแบบนี้ มีความแตกตาง ่ กนเพี
ั ยงเล็กน้อยเทานั ่ ้ น และถึงแม้ว่าคาใช้ ่ จ่ายเริ่ มต้นในการ
ลงทุนของรถโดยสารขนาดเล็กจะตํ่ากวาของรถโดยสา ่ รขนาดมาตรฐานกตาม ็ แตรถโดยสารขนาด
่
่
เล็กจะมีอายุการใช้งานสั้ นกวารถโดยสารขนาดมาตรฐาน ดังนั้ นถ้ามองโดยรวมแล้ว คาใช้ ่ จ่ายใน
การดําเนินการของรถโดยสารแบบมาตรฐานและของรถโดยสารขนาดเล็กจะมีค่าที่ใกล้เคียงกนมาก ั
บริ การรถโดยสารขนาดเล็ก จะมีความสําคัญในพื้นที่ที่มีปริ มาณการจราจรตํ่า และในพื้นที่มีการ
สัญจรของยวดยานในลักษณะที่มีการเปลี่ยนแปลงชองทางจราจรไป ่ ปมาคอนข้ ่ างสูง อาทิ พื้นที่แถบ
ชานเมือง เป็ นต้น
่
ของผูโ้ ดยสารเป็ นไปด้วยความสะดวกและรวดเร็ วกวารถสองชั ่
้ น ด้วยขนาดของตัวรถที่ใหญและมี
การต่อพวง ่ จึงทําให้รถโดยสารแบบตอพวงครอบครอ
่ ่ ่
งพื้นผิวถนนมากกวารถโดยสารแบบสองชั ้น
ั
เมื่อเทียบกบการให้ บริ การแกผู่ โ้ ดยสารในอัตราสวนที
่ ่เทากน่ ั
่ ่ (Articulated buses)
รู ปที่ 5.17 รถโดยสารแบบตอพวง
ที่มา: http://www.transitmuseumeducation.org
4. รถโดยสารรปแบบพิ
ู เศษ (Specialized categories)
่
นอกเหนื อ จากการจํา แนกรถโดยสารออกเป็ นประเภทตางๆตามขนาดของตั ว รถแล้ว
ลักษณะพิเศษที่มีอยูใ่ นรถโดยสารบางประเภทกนาจะนํ
็ ่ ามาพิจารณาในที่น้ ีดว้ ยเชนกน
่ ั
• Trolleybuses
่
รถโดยสารลักษณะนี้ ปั จจุบนั ได้รับการออกแบบและผลิตให้มีความทันสมัยมากขึ้ น สวน
่ กผลิตออกมาเป็ นรถขนาดมาตรฐาน และรถแบบตอพวง
ใหญจะถู ่ ่
• Dual-powered Buses
คือ รถโดยสารที่ ถูกออกแบบมาให้สามารถขับเคลื่อนด้วยเครื่ องยนต์ 2 แบบ ได้แก่
เครื่ องยนต์ดีเซลในชว่งที่เดิ นทางบนเส้นทางหลักหรื อเส้นทางปกติ และขับเคลื่อนด้วยพลังงาน
ไฟฟ้ าในชวง่ ที่เดินทางผาน
่ อุโมงค์
• Trolley replicas
คือ รถโดยสารที่ถูกออกแบบให้มีลกั ษณะต่างๆ คล้ายคลึงกบรถ ั Trolleys หรื อรถ Tram ใน
่ ่ ่ยว พื้ นที่ศูนย์กลางธุ รกจและชุ
อดี ต มักพบให้บริ การในพื้ นที่ แหลงทองเที ิ มชน และพื้ นที่แหลง่
่ นค้า รถรู ปแบบนี้ มีลอ้ ที่ทาํ จากยางและไมต้่ องใช้เสาสงกระแสไ
จับจายสิ ่ ฟในการขับเคลื่อน
5.3.3.1. Dial-a-Ride
1. ความหมายและรปแบบการให้
ู บริการ
มีหลายคําที่มีความหมายคล้ายคลึงกบั Dial-a-ride คําเหลานั ่ ้ นได้แก่ Demand-responsive
่
transit และ Demand actuated transit ทั้ งหมดนี้ ใช้เรี ยกบริ การขนสงสาธารณะ ที่มีลกั ษณะการ
ให้บริ การที่ ยืดหยุ่นมากกวาบริ
่ การของระบบขนสงสาธารณะแบบปกติ
่ การให้บริ การสามารถ
ตอบสนองความต้องการของผูใ้ ช้บริ การได้ใน 2 ลักษณะ ได้แก่
• เส้นทางให้บริ การ Dial-a-ride สามารถให้บริ การสงผู ่ โ้ ดยสารไปยังจุดหมายปลายทาง
ในลักษณะของการสงถึ ่ งที่ (Door-to-door services)
• กาํหนดการเดินทาง Dial-a-ride เป็ นรู ปแบบการที่ผใู ้ ช้บริ การสามารถกาหนดเวลาใน
ํ
การเดินทางได้เอง
ํ
ระบบการให้บริ การแบบ Dial-a-ride นั้ นมักจะถูกกาหนดขอบเขตของการดํ าเนิ นงานโดย
่ ่จะกาหนดโดยใช้
ใช้พ้ืนที่ให้บริ การมากกวาที ํ เส้นทางการให้บริ การ ดังนั้ นจึงมีการรับสงผู ่ โ้ ดยสาร
ํ
เฉพาะภายในเขตพื้นที่ให้บริ การที่ถูกกาหนดไว้ แล้วเทานั ่ ้ น จะไมมี่ การให้บริ การข้ามเขตพื้นที่ที่ได้
ํ
กาหนดไว้ ่
ลักษณะการให้บริ การแบงออกเป็ น 3 รู ปแบบ ได้แก่
• Many-to-one
รถที่ให้บริ การจะรับผูโ้ ดยสารจากสถานที่ตน้ ทางหลายแหง่ แตจะสงผู ่ ่ โ้ ดยสารเหลานั ่ ้ นยัง
่ ยวกนทั
สถานที่แหงเดี ั ้ งหมด เชน่ สถานที่ซ่ ึ งเป็ นที่ต้ งั ของสํานักงานสําคัญๆ เป็ นต้น การให้บริ การ
รู ปแบบนี้จะดําเนินการควบคู่กบบริ ั การแบบ One-to-many
• Many-to-few
รถที่ให้บริ การจะรับผูโ้ ดยสารจากสถานที่ตน้ ทางหลายแหง่เพื่อนําไปสงยั
่ งสถานที่สําคัญ
2 - 3 แหง่ อาทิ ศูนย์กลางชุมชน ห้างสรรพสิ นค้า โรงพยาบาล เป็ นต้น การให้บริ การลักษณะนี้ จะ
ดําเนินการควบคู่กบการให้
ั บริ การในลักษณะ Few-to-many
• Many-to-many
คล้ายคลึงกบับริ การ 2 ลักษณะข้างต้น แตจุ่ ดต้นทางและจุดปลายทางจะเป็ นที่ใดกได้
็ ที่ต้ งั
อยูใ่ นพื้นที่ให้บริ การ
่
Dial-a-ride เป็ นบริ การที่เหมาะสําหรับพื้นที่ซ่ ึงมีบริ การขนสงสาธารณะแบ บปกตินอ้ ยมาก
่ ้ นอาจเป็ นพื้นที่ที่มีความหนาแนนของประชากรตํ
พื้นที่เหลานั ่ ่า เชน่ บริ เวณชานเมือง เมืองขนาดเล็ก
ที่ไมมี่ บริ การรถโดยสารประจําทาง และพื้นที่ในเขตชนบท เป็ นต้น ซึ่ งโดยทัว่ ไป พื้นที่ลกั ษณะนี้
มักมีจาํ นวนการใช้รถยนต์ส่ วนบุคคลสูง แตกมี ่ ็ ผเู ้ ดินทางบางกลุ่มที่ยงั ต้องการใช้บริ การระบบขนสง่
สาธารณะอยูด่ ว้ ยเชนกน
่ ั เนื่องจากไม่มีรถยนต์เป็ นของตัวเอง
2. ยานพาหนะ
่
สวนมากแล้ วบริ การ Dial-a-ride ไมนิ่ ยมใช้รถโดยสารแบบมาตรฐานสําหรับให้บริ การ แต่
นิยมใช้พาหนะที่มีขนาดเล็ก โดยทัว่ ไปมี 4 รู ปแบบด้วยกนั ได้แก่
• รถตูม้ าตรฐาน (Standard van)
มีความจุ 5 - 15 ที่นง่ั มีอายุการใช้งานสั้ น (ประมาณ 3 – 5 ปี ) และมีหลังคาตํ่าทําให้การ
เดินเข้า-ออกเป็ นไปด้วยความลาช้ ่ า
1. รปแบบ
ู การให้ บริการ
จากการพิจารณารู ปแบบการให้บริ การของรถแท็กซี่ที่ให้บริ การในหลายประเทศ สามารถ
จําแนกรู ปแบบการให้บริ การได้เป็ น 3 ประเภทด้วยกนั คือ
• การเรี ยกใช้บริ การผานทางโทรศั
่ พท์
เป็ นวิธีพ้ืนฐานที่นิยมใช้มากที่สุดในหลายประเทศ วิทยุสื่อสารจะถูกติดตั้ งไว้ในรถแท็กซี่
พนักงานขับรถจะได้รับข้อมูลตําแหนงหรื ่ อเส้นทางที่ผโู ้ ดยสารเรี ยกใช้บริ การผานทางศู
่ นย์ขอ้ มูล
ซึ่ ง จะมี เ จ้า หน้าที่ ป ระจําการอยู่เ พื่อรั บโทรศัพ ท์จ ากผูโ้ ดยสารที่ เ รี ย กใช้บริ ก ารจา กสถานี ต่ างๆ
รู ปแบบดังกลาวนี ่ ้ เป็ นที่นิยมใช้กนมา
ั กในพื้นที่เขตเมืองหรื อเมืองที่มีขนาดเล็ก ในเมืองใหญวิ่ ธีการ
ดังกลาว ่ อาจเป็ นสาเหตุที่ทาํ ให้ไมสามารถจั
่ ั โ้ ดยสารได้อยางทั
ดบริ การให้กบผู ่ ว่ ถึง
ให้บ ริ ก าร ได้แ ก่ โรงแรม โรงภาพยนต์ ห้า งสรรพสิ น ค้า สถานี ข นสง่ และบริ เ วณโดยรอบ
สนามบิน เป็ นต้น บริ การรู ปแบบนี้ มกั กอให้ ่ เกดความไมสะดวก
ิ ่ แก่ผใู ้ ช้บริ การ โดยเฉพาะอยางยิ ่ ่ง
ผูใ้ ช้บริ การที่ เดิ นทางมาจากพื้ นที่ภายนอกเมือง เนื่ องจากผูโ้ ดยสารเหลานี ่ ้ มกั ไมทราบวาควรจะ
่ ่
เรี ย กใช้บริ ก ารได้จ ากที่ ใ ด และในบางกรณี ผูข้ บั รถแท็ก ซี่ บางรายอาจไมจอดรอ ่ ให้บริ ก ารใน
ํ
สถานที่ที่ถูกกาหนดไว้ ิ ้ นในกลุ่มผูใ้ ช้บริ การได้
ในกรณี น้ ีอาจทําให้มีความสับสนเกดขึ
2. การคํานวณค่ าบริการ
วิธีคาํ นวณคาบริ ่
่ การแบงออกได้ เป็ น 3 วิธี คือ
• การคํานวณคาโดยสารโดยใช้
่ มาตรวัด (Taxi meter)
ั ว่ ไป ราคาคาโดยสารเริ
เป็ นวิธีที่นิยมใช้กนทั ่ ํ
่ มต้นจะถูกกาหนดเ ่ ่ค่าหนึ่ ง เมื่อรถ
ป็ นคาคงที
่
ออกวิ่งราคาคาโดยสารจะเพิ ่มขึ้ นตามระยะทางที่รถวิ่งไปตามอัตราที่กาหนดไว้ ํ ในเมืองใหญที่ ่มี
สภาพการจราจรแออัด อัตราคาโดยสาร ่ ํ
จะถูกกาหนดให้ ่
เพิ่มขึ้ นในอัตราที่สูงกวาปกติ เมื่อมีการหยุด
ิ ้ นอันเนื่องมาจากการจราจรติดขัด
เกดขึ
• การคํานวนค่าโดยสารด้วยวิธีการแบงตามเขตพื ่ ้นที่
่
ราคาคาโดยสารจะเพิ ่มขึ้ นเมื่อเดินทางข้ามเขตไปนอกพื้นที่ให้บริ การ ภายในรถแท็กซี่จะมี
แผนที่แสดงพื้นที่ให้บริ การที่ถูกแบงออกเป็่ ่ ชวยให้
นเขตตางๆ ่ ผูโ้ ดยสารทราบราคาคา่ โดยสารที่
่ ดเจน วิธีดงั กลาวมี
ต้องชําระได้อยางชั ่ ขอ้ ดี คือ ทําให้พนักงานขับรถไม่สามารถที่จะโกงคาบริ ่ การ
ผูโ้ ดยสารด้วยการแกล้งวิ่งอ้อมเป็ นระยะทางไกลๆ เพื่อให้ผ่านเขตพื้นที่หลายๆ เขตซึ่ งมีผลทําให้
่
ราคาคาโดยสารสู งขึ้ นโดยไมจํ่ าเป็ น
• การใช้อตั ราคาบริ
่ การแบบคงที่
่ ่ ่ยนแปลงไปตามระยะทางที่ให้บริ การ เป็ นวิธีที่มกั นิ ยมใช้ใน
วิธีน้ ีราคาคาโดยสารจะไมเปลี
่ การสําหรับผูโ้ ดยสารที่
เมืองขนาดเล็กที่มีระยะการเดิ นทางสั้ น และเป็ นวิธีที่มกั นําไปใช้คิดคาบริ
เดินทางจากบริ เวณสนามบินเข้าสู่ บริ เวณกลางเมือง
5.3.3.3. Jitney
่ ่มีลกั ษณะการให้บริ การที่ผสมผสานกนระหวางรถแท็
เป็ นรู ปแบบการขนสงที ั ่ กซี่ และรถ
โดยสารประจําทาง พาหนะที่ใช้สําหรั บให้บริ การมีท้ งั รถยนต์ส่ วนบุคคล รถตู ้ หรื อรถโดยสาร
ํ
ขนาดเล็ก Jitney จะให้บริ การในเส้นทางที่ถูกกาหนดไว้ ่
ลวงหน้ าเหมือนบริ การรถโดยสารประจํา
ทาง โดยทัว่ ไปจะให้บริ การบนถนนสายหลัก และมีจุดรับ-สงผู ่ โ้ ดยสารที่ถูกกาหนดไว้
ํ แล้ว และ
่ ั
เป็ นบริ การที่ผูโ้ ดยสารต้องใช้บริ การยานพาหนะรวมกน ่
อยางไรกดี ็ Jitney ก็มีลกั ษณะการ
้
อาจแกไขได้ ํ
ดว้ ยการกาหนดจุ ดรับ-สง่ในตําแหนงที ่ ่เหมาะสมซึ่ งผูโ้ ดยสารทุกคนเห็นพ้องต้องกนั
ิ
อีกปั ญหาหนึ่ งที่เกดจากการรั บผูโ้ ดยสารจากที่พกั จนครบทุกคน ได้แก่ ความลาช้ ่ าในการเดินทาง
้ อเสี ยดังกลาว
เพื่อแกไขข้ ่ บริ การที่จดั ขึ้ นควรเป็ นการขนสงระยะไกล ่ และมีความเร็ วในการเดินทาง
สู ง ระบบขนสงนี ่ ้ จึงมีประโยชน์สูงสุ ดสําหรับผูโ้ ดยการที่มีที่พกั อาศัยหางไกลจากสถานที ่ ่ทาํ งาน
มากๆ โดยทัว่ ไประยะทางแตละเที ่ ่ยวสําหรับบริ การที่เหมาะสมของ Vanpooling มีค่าอยางน้ ่ อย 50
ไมล์ โดยมากแล้ว Vanpooling เป็ นระบบขนสงที ่ ่ให้บริ การในเขตเมืองใหญที่ ่การเดินทางเป็ นระยะ
ทางไกลเป็ นเรื่ องปกติ ของผูค้ นในเมื องนั้ น สิ่ งที่ แตกตางจาก ่ Carpooling อี กประการหนึ่ งกคื็ อ
Vanpooling มีการดําเนิ นการที่ประกอบไปด้วยผูว้ ่าจ้างและพนักงานขับรถที่มีสถานะเป็ นลูกจ้าง
ขณะที่ Carpooling นั้ นเจ้าของรถจะเป็ นผูใ้ ห้บริ การด้วยตัวเอง
3. Subscription buses
เป็ นรู ปแบบการขนสงที ่ ่ผใชู้ ้ บริ การจะต้องชําระเงินค่าโดยสารลวงหน้ ่ าเป็ นรายเดือน เป็ น
บริ การที่มีการรับประกนที ั ่นงั่ ผูโดยสารจะมี
้ ที่นงั่ เพียงพอเสมอเมื่อใช้บริ การ บางแหงอาจมี ่ บริ การ
่
เสริ มที่ ไ มอาจพบได้ จ ากบริ การรถโดยสารประจํา ทางทัว่ ไป เชน ่ การให้บริ ก ารของวาง ่ และ
หนังสื อพิมพ์ เป็ นต้น โดยทัว่ ไปแล้วรถโดยสารแตละคั ่ นจะให้บริ การเพียงวันละ 1 รอบ โดยจะจอด
พักตลอดทั้ งวันบริ เวณศูนย์กลางเมืองเพื่อรอให้บริ การในเที่ยวกลับ เนื่องจากเป็ นบริ การที่มีรูปแบบ
การเดินทางที่ซ้ าํ ไปมาแตละวั ่ น ผูใ้ ห้บริ การจึงสามารถกาหนดเส้ ํ นทางในการเดินทางที่ดีที่สุดได้
การให้บริ การรถโดยสารในลักษณะดังกลาว ่ มักดําเนินกจการโดยผู
ิ ่ าง บริ ษทั เอกชนที่ให้บริ การ
ว้ าจ้
รถโดยสาร หนวย ่ งานขนสงในพื ่ ้นที่ และกลุ่มผูโ้ ดยสารที่เดินทางรวมกน ่ ั เป็ นต้น
่
สํา หรั บ หั ว ข้อ ตอไปจะ ่ ง ภาพรวมของการออกแบบและวางแผนระบบขนสง่
กลาวถึ
สาธารณะทุกรู ปแบบ ยกเว้นระบบขนสงสาธารณะประเภท ่ Paratransit ที่มีลกั ษณะการให้บริ การที่
ยืด หยุ่น ในเรื่ อ งของเวลาและเส้น ทางให้บริ ก าร แ ละเป็ นบริ ก ารที่ ข้ ึ น อยู่กับความต้อ งการของ
ผูโ้ ดยสารโดยตรง จึงไมจํ่ าเป็ นต้องมีการออกแบบและวางแผนการให้บริ การเหมือนระบบขนสง่
สาธารณะประเภทที่มีเส้นทางและเวลาการให้บริ การที่แนนอน ่ อาทิ รถโดยสารประจําทาง หรื อ
รถรางประเภทตางๆ ่ เป็ นต้น
• วิเคราะห์ผลที่ตามมาของแตละทางเลื
่ อก
• ตัดสิ นใจและนําแผนไปสู่ การปฏิบตั ิ
่
อนึ่ ง เนื้ อหาบางสวนของหั วข้อนี้ ได้อา้ งอิงมาจากเอกสารประกอบการอบรมที่จดั ทําขึ้ น
่ ่ อ งแหงจุ
โดยศู น ย์ก ารศึ ก ษาตอเนื ่ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลัย และภาควิ ช าวิ ศ วกรรมโยธา คณะ
วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อใช้ในการอบรมเจ้าหน้าที่สาํ นักงานคณะกรรมการ
จัดระบบการจราจรทางบก หรื อ สจร. (ชื่อที่ใช้ในขณะนั้ น) ในปี พ.ศ. 2542
เป้ าหมาย
ตัวชี้ วดั A ตัวชี้ วดั B ตัวชี้ วดั C ตัวชี้ วดั D ตัวชี้ วดั E ตัวชี้ วดั F ตัวชี้ วดั G
ํ
รู ปที่ 5.21 ลําดับขั้นของการกาหนดเป้ าหมาย วัตถุประสงค์ และตัวชี้ วดั
2. การกําหนดทางเลือกการพัฒนาและปรับปรงบริ
ุ การ
่
เมื่อทราบปั ญหาของการให้บริ การระบบขนสงสาธารณะ ที่มีอยู่ หรื อโอกาสที่จะพัฒนา
บริ การรู ปแบบใหมแล้่ ว ขั้ นตอนตอไป
่ คือการกาหนดทางเลื
ํ อกในการแกไขปั ้ ญหาที่เกดขึ
ิ ้ น หรื อ
ทางเลือกในการพัฒนาบริ การรู ปแบบใหม่ ทั้ งนี้ ทางเลือกหนึ่ งที่เกดจาก
ิ ํ
การกาหนดทาง เลือกเพื่อ
้ ญหาหรื อชวยให้
ปรับปรุ งการให้บริ การ นั้ นอาจใช้แกไขปั ่ บรรลุเป้ าหมายหลายด้านได้พร้อมกนั
• การวิเคราะห์โดยการสร้างสถานการณ์จาํ ลอง
คือ การจําลองสถานการณ์ เพื่อวิเคราะห์ผลที่ตามมาในเชิ งปริ มาณของทางเลือกตางๆ ่ ที่
ํ
กาหนดไว้ ั
แล้วเลือกแนวทางที่ให้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและตรงกบความต้ องการมากที่สุด วิธีน้ ี เรี ยก
่ ธี Simulation
อีกชื่อหนึ่งได้วาวิ
3. ค่ าสั ดส่ วนระหว่ างจํานวนรถโดยสารในช่ วงเวลาเร่ งด่ วนกับนอกช่ วงเวลาเร่ งด่ วน (Peak
to base ratio)
่ ดสวนดั
คาสั ่ งกลาว ่ คือ จํานวนยานพาหนะที่ให้บริ การนอกชวงเวลาเ
่ ่ ่ หรื อเวลาชวง
รงดวน ่
กลางของแตละวั ่ น (Base period) ระบบขนสงบางแหงที
่ ่ ่ มี สัดสวนของผู
่ ่
ใ้ ช้บริ ก าร ในชวงเวลา
p
f = (5.1)
αc
td
f = (5.2)
2q
โดยที่ f = ่ ว่ โมง)
ความถี่ของบริ การ (คันตอชั
d = ่
จํานวนผูโ้ ดยสารที่คาดวาจะมาใชั ่ ว่ โมง)
บริ การตลอดเส้นทาง (คนตอชั
q = ่ จ่ายในการเดินรถ (บาทตอคั
คาใช้ ่ นตอชั ่ ว่ โมง)
t = ่
มูลคาเวลาของผู โ้ ดยสาร (บาทตอชั ่ ว่ โมง)
ํ ่ ่
ความถี่ของการให้บริ การอาจพิจารณาได้จากการกาหนดระยะหางระหวางรถโดยสารที ่ ว ิ่ ง
ั หรื อที่เรี ยกวา่ Headway ได้เชนกน
ถัดกนมา ่ ั บนเส้นทางการให้บริ การที่มีความต้องการใช้บริ การ
ํ ่
สูง นิยมกาหนดระยะหางจากคา ่ Capacity headway จากสมการตอไปนี
่ ้
ML
hc = (5.3)
rP
่
คาระยะหาง่ ระหวางรถโดยสาร
่ ํ
อาจถูกกาหนดโดยคํ านึ งถึ งความต้องการที่ จะควบคุ ม
่ จ่ายและเวลาที่ใช้ในการดําเนิ นการให้มีค่าน้อยที่สุดได้ดว้ ยเชนกน
คาใช้ ่ ั ในกรณี น้ ี คาระยะหางจะ
่ ่
เรี ยกวา่ Optimum headway โดยสามารถคํานวณได้จากสมการตอไปนี ่ ้
2γ oθ
ho = (5.4)
γ wP
ในทางปฏิ บ ัติ เพื่ อ ความสะดวกในการจดจํา เวลาที่ ร ถจะวิ่ ง เข้า ป้ ายของผูโ้ ดยสาร คา่
่ กถูกปัดให้เป็ นเลขลงตัว เชน่ 10 15 หรื อ 30 นาที เป็ นต้น
ระยะหางมั
3600 R 3600 R
Cv = = (5.5)
h D + tc
3600 nSR
C p = nSC v = (5.6)
D + tc
่
ในกรณี ที่นาํ อิทธิ พลของการเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจรที่ระบบขนสงสาธารณะต้ ่
องวิ่งผาน
่ วย สามารถคํานวณจํานวนผูโ้ ดยสารที่สามารถรองรับได้จากสมการตอไปนี
มาพิจารณารวมด้ ่ ้
( g / C )3600 nSR
Cp = (5.7)
(g / C)D + tc
โดยที่ g = ่ วินาที
ระยะเวลาสัญญาณไฟเขียว หนวย
C = ่ วินาที
ระยะเวลา 1 รอบสัญญาณไฟจราจร หนวย
่
ตัวอย่ างที่ 5.2 รถโดยสารประจําทางให้บริ การบนถนนในเมืองมีเส้นทางให้บริ การวิ่งผานทางแยกที ่
มีสัญญาณไฟจราจรซึ่งมีค่า g/C = 0.45 และมีระยะเวลาจอดให้บริ การที่สถานีหรื อป้ ายเทากบ ่ ั 90
ํ
วินาที จงหาจํานวนผูโ้ ดยสารที่รถโดยสารประจําทางนี้ สามารถรองรับได้ ถ้ากาหนดให้ รถโดยสาร
สามารถบรรทุกคนได้สูงสุ ด 60 คนตอ่คัน ระยะหางของรถที
่ ่ ั 120 วินาที และตัว
่ว่ิงเข้าป้ ายเทากบ
้ ่ ่ ั 0.833
ปรับแกลดคาเทากบ
( g / C )3600 nSR
จากสมการที่ (5.7) Cp =
(g / C)D + tc
่
ในกรณี ที่เป็ นระบบขนสงสาธารณะแบบราง ่ ว่ โมง (T)
อาจนําจํานวนรถที่ให้บริ การตอชั
่
จํานวนตูโ้ ดยสารตอขบวนรถ ่ โ้ ดยสาร (S) และคาเฉลี
(C) จํานวนที่นง่ั ตอตู ่ ่ยของจํานวนผูโ้ ดยสาร
่ ่น่ัง (P) มาใช้ในการคํานวณหาความสามารถรองรับบริ การหรื อจํานวนผูโ้ ดยสารที่สามารถ
ตอที
่ ว่ โมง (Cp) จากสมการตอไปนี
ให้บริ การได้สูงสุ ดตอชั ่ ้
Cp = T × C × S × P (5.8)
่
ตัวอย่ างที่ 5.3 รถไฟฟ้ าใต้ดินสามารถให้บริ การได้ 15 ขบวนตอรางตอชั ่ ว่ โมง แตละขบวน
่
่ ่ ่
ประกอบด้วยตูโ้ ดยสาร 5 ตู ้ โดยเฉลี่ยแล้วในชวงเวลาเรงดวนจะมี ผูโ้ ดยสาร 2 คนตอที่ ่นง่ั จง
ํ
คํานวณหาจํานวนผูโ้ ดยสารที่ บริ การรถไฟฟ้ าใต้ดิน นี้ สามารถให้บริ การได้ กาหนดให้ ่ ้
แ ตละตู
โดยสารมีจาํ นวนที่นงั่ ทั้ งสิ้ น 60 ที่นงั่
จากสมการที่ (5.8) Cp = T × C × S × P
จะได้ C p = 15 × 5 × 2 × 60
C p = 9,000 ่ ว่ โมง
คนตอชั
N = qT (5.9)
⎛T ⎞
F = N ⎜ rt ⎟ = qTrt (5.10)
⎝T ⎠
่ ั
ดังนั้ น อัตราการวิ่งบนสายทางจะเทากบ
134
q= = 67 ่ ว่ โมง
คันตอชั
2
3
่ โ้ ดยสาร
⊗ สถานี ที่มีการเปลี่ยนถายผู ่ โ้ ดยสารตามปกติ
สถานีที่การรับสงผู
่ เศษระหวางพื
รู ปที่ 5.22 การจัดบริ การดวนพิ ่ ้นที่ยอย
่
ที่มา: ดัดแปลงจาก Black (1995)
่ เศษระหวางสถานี
จากรู ปที่ 5.22 สายการเดินรถที่ 1 เป็ นบริ การดวนพิ ่ ั ้นที่
นอกสุ ดกบพื
ศูนย์กลางเมือง ผูโ้ ดยสารสามารถเปลี่ยนไปใช้สายการเดินรถที่ 2 ได้ในกรณี ที่ตอ้ งการลงที่สถานี
่ ่
ยอยระหวางสถานี ั
นอกสุ ดกบสถานี ่ เศษที่
พ้ืนที่ตอนกลาง สายการเดิ นรถที่ 2 เป็ นบริ การดวนพิ
่
ให้บริ การระหวางสถานี ั ้นที่ศูนย์กลางเมือง เชนเดี
พ้ืนที่ตอนกลางกบพื ่ ยวกนกบกรณี
ั ั แรก ผูโ้ ดยสาร
่ ่
ที่ตอ้ งการลงที่สถานียอยระหวางสถานี ั ้นที่ศูนย์กลางเมือง กสามารถเปลี
พ้ืนที่ตอนกลางกบพื ็ ่ยนไป
ใช้สายการเดินรถที่ 3 ซึ่งจอดทุกสถานีในเส้นทางดังกลาวได้ ่ เชนเดี
่ ยวกนั
3. บริการแบบเจาะจงสถานี (Skip-stop)
่ ยการเดินรถที่อยูใ่ นเส้นทางเดียวกนออกเป็
คือ รู ปแบบของบริ การที่แบงสา ั นกลุ่ม และสาย
่
การเดิ นรถแตละกลุ ่มจะถูกกาหนดให้
ํ ่ โ้ ดยสารได้เฉพาะป้ ายหรื อสถานี ที่กาหนดไว้
จอดรั บสงผู ํ
่ ้ น ยกตัวอยาง
เทานั ่ ในเส้นทางให้บริ การเส้นทางหนึ่ ง แบงสายการเดิ
่ นรถออกเป็ น 2 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่ม A และ B จากนั้ นกาหนดสถานี
ํ ่
เฉพาะสําหรับรถแตละกลุ ่มในการจอดรับสงผู
่ โ้ ดยสาร โดยรถ
กลุ่ม A จะถูกกาหนดให้
ํ ่ โ้ ดยสารเฉพาะที่สถานี A เทานั
จอดรับสงผู ่ ้ น ขณะเดียวกนั รถกลุ่ม B กจะ
็
ํ
ถูกกาหนดให้ ่ โ้ ดยสารได้เฉพาะที่สถานี B เชนเดี
จอดรับสงผู ่ ยวกนั อยางไรกดี่ ็ ในจุดที่มีผใู ้ ช้บริ การ
่
หนาแนนมาก อาจจัดสถานี AB ไว้สาํ หรับให้ท้ งั รถกลุ่ม A และ B สามารถจอดให้บริ การได้
พร้อมๆ กนั สําหรับสถานี A และ B นั้ น อาจตั้ งอยูใ่ นจุดที่มีผใู ้ ช้บริ การตามปกติที่มีความหนาแนน่
่
ไมมากนั ก
การจัดบริ การลักษณะนี้ เป็ นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถลดจํานวนการจอดรถรับสงผู ่ โ้ ดยสาร
่ ่มความรวดเร็ วในการเดินทางและการให้บริ การอีก
ตามสถานี หรื อป้ ายลงได้ นอกจากนี้ ยงั ชวยเพิ
่
ด้วย ตัวอยางของการจั ดบริ การแบบเจาะจงสถานี ดังแสดงในรู ปที่ 5.23
5.4.6. รปแบบ
ู การเก็บค่ าโดยสาร
่
ปั จจัยที่ผใู ้ ห้บริ การขนสงสาธารณะต้ ํ
องพิจารณาในการกาหนดอั ่
ตราคาโดยสาร ได้แก่
1. การคืนทนุ
่
ระบบขนสงสาธารณะมั ั
กเป็ นบริ การที่รัฐจัดให้กบประชาชนในชุ มชน ดังนั้ น เงินลงทุน
่ ่
สวนใหญจะมาจากภาครั ฐ เนื่ อ งจากเป็ น บริ ก ารที่ จ ัด โดยภาครั ฐ จึ ง เป็ นบริ ก ารที่ ไ มคํ่ า นึ ง ถึ ง
ผลประโยชน์ในรู ปของกาไรที ํ ่กลับคืนสู่ ผลู ้ งทุนมากนัก ผลประโยชน์ที่คาดหวังมักอยู่ในรู ปของ
ประโยชน์ที่จะเกดขึิ ้ นภายในชุมชนอันเนื่องมาจากการพัฒนาระบบขนสงสาธารณะดั ่ งกลาว ่
่
อยางไรกดี ่
็ อาจมีการให้สมั ปทานแกเอกชนให้ เข้ามามีส่ วนรวมในการลงทุ
่ นด้วย ในกรณี น้ ี
ภาคเอกชนอาจจําเป็ นต้องคํานึ งถึงผลกาไร ํ และระยะเวลาในการคืนทุน และนําปั จจัยดังกลาวมา ่
พิจารณาในการศึกษาความเหมาะสมในการวางแผนพัฒนาระบบขนสงสาธารณะด้ ่ วย ทั้ งนี้ รายได้
่
หลักที่ ผูล้ งทุนจะได้รับจากการให้บริ การระบบขนสงสาธารณะจะมาจากคาโดยสาร ่ โดยทัว่ ไป
ประสิ ทธิภาพในการจัดหารายได้จากคาโดยสารเพื่ ่อมาสนับสนุ นคาใช้ ่ จ่ายในการดําเนิ นการ จะวัด
ในรู ปของอัตราการคืนทุน (Cost recovery ratio) ซึ่ งเป็ นคาที ่ ่แสดงถึงสัดสวนของรายได้
่ จากคา่
โดยสารตอต้ ่ นทุนดําเนิ นการ นอกจากนี้ ผูล้ งทุนอาจต้องพิจารณากาหนดระยะเวลาคื ํ นทุนที่
ั
เหมาะสมกบระยะเวลาที ่
่ได้รับสัมปทานจากรัฐ ซึ่ งสวนมากแล้ ี่ ั ่
วในการลงทุนเกยวกบระบบขนสง
่ ั 30 ถึง 50 ปี
สาธารณะนั้ น ระยะเวลาคืนทุนมักมีระยะเวลานาน โดยอาจเทากบ
4. ความสะดวกในการจัดเก็บค่ าโดยสาร
็ ่
วิธีการจัดเกบคาโดยสารควรเป็ นวิธีการที่สะดวก รวดเร็ ว เชื่ อถือได้ และสอดคล้องกบั
่
พฤติกรรมของผูใ้ ช้บริ การระบบขนสงสาธา ็ ่
รณะประเภทนั้ นๆ ระบบการจัดเกบคาโดยสารที ่มีความ
ซับซ้อนและใช้เวลานานอาจกอให้่ เกดความลาช้
ิ ่ าในการเดินทางและการให้บริ การได้ วิธีการเกบคา
็ ่
่
โดยสารควรเอื้ อตอความปลอดภั ยในการเกบรั ็ กษาและขนย้ายเงิ นที่ ได้จากการจัดเกบด้
็ วย เพื่อ
ั
ป้ องกนการรั ั งกลาวมี
่วไหลของเงินจากระบบ ทั้ งนี้ ถ้าการป้ องกนดั ่ จุดบกพรองและ ่ อาจนําไปสู่ การ
ขาดทุนของผูใ้ ห้บริ การได้
ิ
ธุ ร กจและชุ ม ชนเพื่ ออํา นวยความสะดวกให้กับผูท้ ี่ ต อ้ งเดิ น ทางอยู่ใ นเขตพื้ น ที่ ดัง กลาว
่ โดยมี
จุดประสงค์เพื่อลดความแออัดของสภาพการจราจรในเขตพื้นที่ชุมชน และพบวาการนํ ่ ่
าวิธีดงั กลาว
่ ทีเดียว
มาประยุกต์ใช้น้ นั โดยทัว่ ไปแล้วได้รับผลสําเร็ จเป็ นอยางดี
ิ
ตามไปด้วย ด้วยเหตุน้ ี เพื่อให้เกดความเหมาะสมในการใช้ บริ การ ผูโดยสารที
้ ่เดินทางระยะทางไกล
่ ็
กวากควรที ่
่ จะต้องชําระคาโดยสารที ่
่สูงกวาตามไปด้ ่
วย อยางไรกดี ็ การจัดเกบอั
็ ตราคาโดยสาร
่
ลักษณะนี้ จะสร้ างปั ญหาและความยุ่งยากในการจัดเกบ็ เพราะต้องใช้พนักงานจัดเกบ็ หรื อต้อง
็ ่
ติดตั้ งอุปกรณ์ เกบคาโดยสาร ที่ สามารถระบุระยะทางของการใช้บริ การได้ สําหรั บรถโดยสาร
็ ่
ประจําทาง นิยมใช้พนักงานเกบคาโดยสาร และสําหรับระบบรถรางไฟฟ้ า นิยมติดตั้ งอุปกรณ์ชาํ ระ
่
คาโดยสารอั ตโนมัติบริ เวณทางเข้าออกของการใช้บริ การ
1. การเก็บค่ าโดยสารขณะขึน้ รถ
่
คือ การที่ผใู ้ ช้บริ การต้องชําระคาโดยสารที ่ประตูทางเข้ารถ โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการชําระ
่
คาโดยสารอาจเป็ ่
น กล่องชําระคาโดยสาร ่ อมูลจากบัตรคา่
หรื ออุปกรณ์อิเล็คทรอนิ คสําหรับอานข้
ั การรถโดยสารประจําทางและเหมาะสมสําหรับบริ การที่มีอตั ราคา่
โดยสาร วิธีการนี้ นิยมใช้กบบริ
โดยสารแบบคงที่
2. การเก็บค่ าโดยสารขณะอยู่บนรถ
็ น คาโดยสารจากผู
คื อ การเกบเงิ ่ ใ้ ช้บ ริ ก ารภายหลัง จากที่ ผูใ้ ช้บริ ก ารเดิ น เข้า มาในรถ
็ ่
เรี ยบร้ อยแล้ว วิธีการนี้ จาํ เป็ นต้องใช้พนักงานเกบคาโดยสาร และเหมาะสมสําหรั บบริ การที่คิด
่
อัตราคราโดยสารตามระยะทางและอั ่
ตราคาโดยสารตามพื ้นที่
โดยสารลวงหน้ ่ ่ ่ต่างกนตามกรอบของเวลาข
าในสัดสวนที ั องการใช้บริ การ เชน่ สวนลดของตั
่ วรายปี
่ ่
จะมากกวาสวนลดของตั วรายเดือน และตัวรายเดือนจะมีส่ วนลดมากกวาสวนลดของตั
่ ่ วรายวัน เป็ น
ต้น ทั้ งนี้ การชําระเงินวิธีการดังกลาว่ จะชวยให้
่ ิ
เกดความรวดเร็ ็ ่
วในการจัดเกบคาโดยสาร ลดเวลา
ในการจอดรับผูโ้ ดยสารตามสถานี และลดเวลาในการเดินทาง
1. โครงข่ ายรปแบบรั
ู ศมี (Radial patterns)
่
เป็ นรู ปแบบโครงขายถนนนของเมื องสมัยเก่า ซึ่งมีสถานที่สาํ คัญตั้ งอยูร่ วมกนในเขตเมื
ั อง
หลวง หรื อเมืองสําคัญ ด้วยเหตุน้ ี การวางแนวเส้นทางขนสงจึ ่ งมีลกั ษณะของการกระจายออกไป
โดยรอบ จากบริ เวณพื้ นที่ศูนย์กลางธุ รกจและชุ ิ มชนภายในเมืองในรุ ปแบบที่เป็ นรัศมีไปสู่ ชาน
่
เมืองเมื่อมีพ้ืนที่ชานเมืองแหงใหมเกดขึ ่ ิ ้ น เส้นทางดังกลาวกจะได้
่ ็ รับการขยายออกไปยังเมืองแหง่
นั้ น ในปั จจุบนั ถึงแม้ว่าจะมีเส้นทางใหมที่ ่ตดั ผานบริ ่ เวณศูนย์กลางชุมชนแล้วกตาม ็ ระบบขนสง่
ภายในท้องถิ่นบางแหงกยั ่ ็ งมีการใช้เส้นทางแบบรัศมีเหมือนเดิม
ในการเดินทางเพื่อเข้าสู่ ชุมชนพื้นที่เขตเมือง ด้วยโครงขายถนน ่ แบบรัศมีน้ ียงั เป็ นรู ปแบบที่
ยังใช้ได้ต่อไป ตราบเทาที ่ ่ภายในเขตเมืองยังคงเป็ นศูนย์กลางความเจริ ญในด้านตางๆ ่ อยูเ่ ชนเดิ
่ ม แต่
็
เมื่อใดกตามที ่มีการกระจายความเจริ ญออกไปจากบริ เวณศูนย์กลางเมือง เชน่ มีการย้ายสถานศึกษา
โรงพยาบาล หรื อสถานที่ราชการที่สาํ คัญตางๆ ่ ไปไว้ยังบริ เวณแถบชานเมืองแล้ว การเดินทางโดย
การใช้รูปแบบของโครงขายแบบรั ่ ่ รับความสะดวกเทาที
ศมี จะทําให้ผูเ้ ดิ นทางไมได้ ่ ่ควร ในการ
เดิ นทางไปยังสถานที่ต่างๆ ดังนั้ นถ้าสถานการณ์ดงั กลาวนี ่ ้ เกดขึ
ิ ้ น จึงควรพิจารณาปรั บปรุ งโดย
เลือกใช้โครงขายถนนรู่ ปแบบใหมเพื ่ ่อรองรับรู ปแบบของผังเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
่ รถโดยสารประจําทางแบบรัศมี
รู ปที่ 5.24 โครงขาย
ที่มา: Gray and Hoel (1992)
2. โครงข่ ายรปแบบตาราง
ู (Grid type networks)
่ เส้นทางที่ มีลกั ษณะคอนข้
เป็ นรู ปแบบโครงขาย ่ างตรง มีแนวเส้นทางที่ขนานกนโดยมี ั
่ ่
ระยะหางระหวางของเส้ น ทางที่ ค่ อนข้า งสมํ่า เสมอ และมี ก ลุ่ ม ของถนนสายรอ งที่ มี ล ัก ษณะ
ั ดผานเป็
คล้ายคลึงกนตั ่ นชวงๆ
่ ข้อได้เปลี่ยบที่สาํ คัญของเครื อขายถนนแบบตาราง
่ คือ เป็ นรู ปแบบที่
ั ้นที่ที่มีแหลงศู
เหมาะสมกบพื ่ นย์กลางธุรกจกรื
ิ อสถานที่สาํ คัญ ตั้ งอยูใ่ นตําแหนงที
่ ่กระจัดกระจาย
่ ั ่ างมาก
และหางกนคอนข้
่ รถโดยสารประจําทางแบบตาราง
รู ปที่ 5.25 โครงขาย
ที่มา: Gray and Hoel (1992)
ศู น ย์ก ลางชุ ม ชนที่ เ พิ่ ม เข้า ไป ได้แ ก่ ห้า งสรรพสิ น ค้า หรื อ สถานศึ ก ษา เป็ นต้น ด้ว ยรู ป แบบ
โครงขายดั่ งกลาว ่ ผูโ้ ดยสารสามารถที่จะทําการตอรถไปยั ่ งสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ระหวางจุ่ ดต้นทาง
และปลายทางได้ ในลักษณะของการเดินรถในโครงขายแบบตาราง ่ และสามารถเดินทางจากพื้นที่
ศูนย์กลางธุ ระกจิ และชุ มชนไปยังศูนย์กลางการค้า (ศูนย์กลางชุ มชนแหงใหมที ่ ่ ่เพิ่มเข้าไป) ได้
โดยตรงโดยไมต้่ องตอรถแตอยา
่ ่ ่ งใด ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็ นข้อได้เปรี ยบที่ได้จากโครงขาย ่ เส้นทาง
แบบรัศมี
่ รถโดยสารประจําทางแบบผสมระหวางแบบรั
รู ปที่ 5.26 โครงขาย ่ ศมีและแบบตาราง
ที่มา: Gray and Hoel (1992)
่
รู ปที่ 5.27 โครงขายถนนแบบมี เส้นทางหลักและเส้นทางป้ อนเข้า
ที่มา: Gray and Hoel (1992)
่
รู ปที่ 5.28 โครงขายการให้
บริ การแบบกระจายศูนย์กลางการให้บริ การ
ที่มา: Black (1995)
่
สังคมสามารถใช้บริ การระบบขนสงสาธารณะได้ ่ ่ ยมกนั นอกจากนี้ ยงั ต้องคํานึ งถึ ง
อยางเทาเที
่่
ลักษณะทางเรขาคณิ ตของถนนด้วย ไมวาจะเป็ นรัศมีความโค้งของถนน หรื อรัศมีของหัวมุมทาง
่ ยและเกดิ
แยก (Edge radii) ควรออกแบบให้เหมาะสมและเพียงพอสําหรับการเลี้ ยวได้อยางปลอดภั
ความสบายในการสัญจรมากที่สุด
่
รู ปที่ 5.29 ตําแหนงของป้ ั
ายรถโดยสารเมื่อเทียบกบทางแยก
ที่มา: Banks (2002)
3,600( g / C )
Bbb = (5.11)
t c + ( g / C )t d + Z a cv t d
t d = Pa t a + Pb tb + t oc (5.12)
โดยที่ Pa ่ ้ งนั้ น
= จํานวนผูโ้ ดยสารที่ลงรถที่ประตูที่มีคนใช้มากที่สุดในการจอดรับสงครั
่
ในชวงเวลา 15 นาที ที่มีผโู ้ ดยสารมากที่สุด
ta = เวลาที่ผโู ้ ดยสารใช้ลงรถ หนวย ่ วินาทีต่อคน
Pb ่ ้ งนั้ น
= จํานวนผูโ้ ดยสารที่ข้ ึนรถที่ประตูที่มีคนใช้มากที่สุดในการจอดรับสงครั
่
ในชวงเวลา 15 นาที ที่มีผโู ้ ดยสารมากที่สุด
tb = เวลาที่ผโู ้ ดยสารใช้ข้ ึนรถ หนวย ่ วินาทีต่อคน
t oc = เวลาที่ใช้ในการเปิ ดปิ ดประตูร้ ถ หนวย ่ วินาที
่ ั
จากโจทย์ จํานวนรถโดยสารที่ให้บริ การเทากบ
60 min/ h
N= = 30 buses / h
2 min/ bus
หาเวลาดําเนินการและเวลาให้บริ การ
เวลาดําเนินการ
tc = 15 วินาที
เวลาให้บริ การ
t d = Pa t a + Pb tb + t oc
Pa = 4 คน
Pb = 10 คน
t a = 2.0 วินาที
tb = 3.0 วินาที
t oc = 3.0 วินาที
จะได้ t d = (4)(2.0) + (10)(3.0) + 3.0 = 41 วินาที
่ ้นที่รับสง่
หาจํานวนรถโดยสารตอพื
= 0.50 (g / C)
่
Z a = 1.440 (ความนาจะเป็ ิ
นของการเกดแถวคอย ่ ั อยละ 7.5)
เทากบร้
cv = 0.60
3,600( g / C ) 3,600(0.50)
Bbb = = ่ ว่ โมง
= 25 คันตอชั
t c + ( g / C )t d + Z a cv t d 15 + (0.50)(41) + (1.440)(0.60)(41)
่ โ้ ดยสารรองรับจํานวนรถโดยสารได้ 25 คันตอชั
พื้นที่รับสงผู ่ ว่ โมง < 30 คันตอชั่ ว่ โมง
่ ว่ โมง) พื้นที่รับสงที
(จํานวนรถโดยสารที่ให้บริ การตอชั ่ ่เดียวจึงไมพอ
่ จึงทดลองเพิ่มพื้นที่รับส่ งที่ 2
จะได้
่ โ้ ดยสารรองรับจํานวนรถโดยสารได้ 46 คันตอชั
พื้นที่รับสงผู ่ ว่ โมง > 30 คันตอชั
่ ว่ โมง
่ โ้ ดยสารเทากบ
ดังนั้ น จึงใช้พ้ืนที่รับสงผู ่ ั 2 ที่
่
จากเนื้ อหาตามที่ได้นาํ เสนอในหัวข้อที่ผานมา ่ ทําให้ผอู ้ ่านทราบถึงความเป็ นมาของ
นาจะ
่
การให้บริ การขนสงสาธารณะรู ่ ตลอดจนลักษณะของระบบขนสงสาธารณะโดยสั
ปแบบตางๆ ่ งเขป
พอที่จะทําให้ผทู ้ ี่ศึกษาได้มองเห็นภาพรวม ตลอดจนทําให้สามารถมองเห็ นถึงข้อดีและข้อจํากดั
่
ของระบบขนสงสาธารณะรู ่ ได้อยางชั
ปแบบตางๆ ่ ดเจนยิ่งขึ้ น โดยผูท้ ี่ศึกษาสามารถที่จะนําความรู ้
และความเข้าใจที่ได้จากการศึกษาในสวนนี ่ ้ ไปใช้เป็ นข้อมูลพื้นฐาน และใช้เป็ นแนวทางสําหรับการ
วางแผนและประเมินระบบขนสงสาธารณะรู่ ปแบบตางๆ ่ ตอไ ่ ป
คําถามท้ ายบท
่
1. ระบบขนสงสาธารณะจํ าแนกตามลักษณะการให้บริ การแบงออกได้ ่ เป็ นกี่ประเภท จงอธิบาย
่
2. ระบบขนสงแบบรางมี อะไรบ้าง จงอธิบาย
3. Light rail transit คืออะไร มีลกั ษณะการให้บริ การอยางไร ่ จงอธิบาย
4. รถไฟฟ้ า BTS และรถไฟฟ้ าใต้ดิน (MRTA) ที่ให้บริ การในกรุ งเทพมหานคร จัดอยูใ่ นระบบ
่
ขนสงแบบใด จงอธิบาย
5. รถโดยสารประจําทางแบงออกได้ ่ ี่
เป็ นกประเภท อะไรบ้าง
่
6. โครงขายของเส้ นทางให้บริ การของรถโดยสารประจําทางแบงออกได้ ่ ี่
เป็ นกประเภท อะไรบ้าง
จงอธิบาย
7. Paratransit คืออะไร จงยกตัวอยางการให้ ่ บริ การที่จดั อยูใ่ นระบบขนสงกลุ ่ ่มนี้
8. ในประเทศไทย บริ การขนสงสาธารณะใดบ้ ่ างที่ถูกจัดอยูใ่ นกลุ่มของ Paratransit
9. ในชุ ม ชนของทานมี ่ ระบบขนสงสาธารณะรู่ ป แบบใดให้บริ ก ารอยู่บ ้าง จงยกตัว อยางและ ่
่ ดอยูใ่ นระบบขนสงรู
วิเคราะห์วาจั ่ ปแบบใด
10. Jitney คืออะไร จงอธิบายและยกตัวอยางพื ่ ้นที่ที่มีระบบขนสงนี ่ ้ ให้บริ การ
่
11. ระบบขนสงสาธารณะในประเทศไทยมี อะไรบ้าง จงอธิ บายข้อมูลพื้ นฐานและลักษณะการ
่
ให้บริ การของระบบขนสงสาธารณะเหลานั ่ ้ นโดยละเอียด
12. รถโดยสารประจําทางเส้นทางหนึ่ งให้บริ การโดยมีรอบของการให้บริ การเทากบ ่ ั 2.5 ชัว่ โมง
และมีผโู ้ ดยสารใช้บริ การโดยเฉลี่ย 250 คนตอชั ่ ว่ โมง คาดํ ่ าเนิ นการเทากบ ่ ั 75 บาทตอคั ่ น-
่
ชัว่ โมง ระยะหางระหวางคั ่ นเทากบ ่ ั 30 นาที ถ้าผูโ้ ดยสารใช้เวลาเฉลี่ยในการรอเพื่อรับบริ การ
่ ั ่ งหนึ่ งของชวงเวลาระยะหาง
เทากบครึ ่ ่ จงคํานวณหามูลคาของเวลาที ่ ่ผโู ้ ดยสารใช้ในการรอรถ
โดยสารประจําทางสายนี้
P = ่ อผลรวมของเงินในชวงเวลาที
มูลคาหรื ่ ํ
่กาหนดให้ เป็ นปั จจุบนั หรื อที่เวลา t = 0 อาจใช้
แทนคาของ่ Present worth (PW) Present value (PV) Net present value (NPV)
Discounted cash flow (DCF) และ Capital cost (CC) หนวย ่ บาท
F = มูลคา่หรื อผลรวมของเงินในอนาคต อาจใช้แทนคาของ ่ Future worth (FW) และ Future
value (FV) หนวย่ บาท
A = ่
มูลคาของเงิ นรายเดือนหรื อรายปี ที่มีค่าสมํ่าเสมอเทากน
่ ั อาจใช้แทนคาของ ่ Annual worth
(AW) และ Equivalent uniform annual worth (EUAW) หนวย ่ บาทต่อปี หรื อบาทตอเดื
่ อน
n = ่
จํานวนชวงเวลาสํ าหรับการวิเคราะห์ หนวย ่ ปี เดือน หรื อวัน
i = ่ ่
อัตราดอกเบี้ ย หรื ออัตราผลตอบแทนตอชวงเวลา หนวย ่ เปอร์ เซ็นตอปี
่ เปอร์ เซ็นตอเดื
่ อน
่ น
หรื อเปอร์เซ็นตอวั
ํ ่ วแปร และแผนภูมิกระแสเงินหมุนเวียนดังแสดงในตัวอยางตอไปนี
การกาหนดคาตั ่ ่ ้
ํ
และกาหนดชํ ้ ่อสิ้ นปี ที่ 5 จากข้อมูลดังกลาว
าระเงินงวดเดียวเป็ นเงินกอนเมื ่ จงกาหนดคาตั
ํ ่ วเลขให้
ั วแปรที่ใช้ในการวิเคราะห์มูลคาของเงิ
ตรงกบตั ่ นและแผนภูมิกระแสเงินหมุนเวียน ถ้าต้องการหา
้ ้ งหมดที่ตอ้ งชําระเมื่อสิ้ นปี ที่ 5
จํานวนเงินกอนทั
จากโจทย์ จะได้
P = 10,000 บาท i = 8% ตอปี ่ n = 5 ปี F = ค่าที่ตอ้ งการทราบ
ตัวอย่ างที่ 6.2 นาย ก กูเ้ งินจากธนาคารเป็ นเงินจํานวน 2,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ ยร้อยละ 7 ตอปี
่
่ าระเป็ นงวดเทาๆ
โดยผอนชํ ่ กนั เป็ นระยะเวลา 10 ปี ในแตละปี
่ นาย ก ต้องชําระเงินให้กบธนาคาร
ั
่ จากโจทย์ดงั กลาว
เป็ นจํานวนเงินเทาใด ่ จงกาหนดคาตั
ํ ่ วเลขให้ตรงกบั ตัวแปรที่ใช้ในการวิเคราะห์
่
มูลคาของเงิ นและแผนภูมิกระแสเงินหมุนเวียน
จากโจทย์ จะได้
P = 2,000 บาท ่
i = 7% ตอปี n = 10 ปี ่ ่ตอ้ งการทราบ
A = คาที
่ ่ 1 จงเขียนแผนภูมิกระแสเงินหมุนเวียนจากข้อมูลดังกลาว
ตัวอย่ างที่ 6.3 จากตัวอยางที ่
จากโจทย์ จะได้
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
2 5
ปี
0 1 3 4
- F=?
่ ่ 2 จงเขียนแผนภูมิกระแสเงินหมุนเวียนจากข้อมูลดังกลาว
ตัวอย่ างที่ 6.4 จากตัวอยางที ่
จากโจทย์ จะได้
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
ปี
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
A=?
⎡ 1 ⎤ (6.2)
P = F⎢ n ⎥
⎣ (1 + i ) ⎦
ิ
ตัวอย่ างที่ 6.5 นําเงินจํานวน 12,000 บาท ไปลงทุนในธุ รกจประเภทหนึ ่ งที่ให้อตั ราผลตอบแทน
ร้อยละ 8 ตอปี่ โดยตั้ งใจจะลงทุนเป็ นเวลา 24 ปี จากนั้ นจึงจะถอนตัวออกจากธุรกจนี ิ ้ จงคํานวณหา
ํ
เงินที่จะได้รับทั้ งหมด กาหนดให้ ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้ นใช้การคํานวณแบบจายครั ่ ้ งเดียว (Blank
and Tarquin, 2008)
จากโจทย์ จะได้
P = 12,000 บาท ่
i = 8% ตอปี n = 24 ปี ่ ่ตอ้ งการทราบ
F = คาที
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
+
F=?
i = 8% per year
ปี
0 1 2 3 …………...………………... 22 23 24
P = 12,000
-
F = P (1 + i ) n = 12,000(1 + 0.08) 24
= 12,000(6.341181)
= 76,094.17 บาท
่ ่ งคิดอัตราผลตอบแทนให้กบผู
ตัวอย่ างที่ 6.6 สถานประกอบการแหงหนึ ั ร้ ่ วมหุ น้ ร้อยละ 10 ตอปี
่ ถ้า
ต้องการผลตอบแทนการลงทุนเป็ นจํานวน 50,000 บาท ในระยะเวลา 10 ปี ข้างหน้า จะต้องใช้เงิน
่ (Blank and Tarquin, 2008)
ลงทุนในปั จจุบนั เทาใด
จากโจทย์ จะได้
่ ่ตอ้ งการทราบ
P = คาที ่
i = 10% ตอปี n = 10 ปี F = 10,000 บาท
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
+
F = 50,000
⎡ 1 ⎤ ⎡ 1 ⎤
P = F⎢ n ⎥
= 50,000 ⎢ 10 ⎥
⎣ (1 + i ) ⎦ ⎣ (1 + 0 . 10) ⎦
= 50,000(0.385543)
= 19,277.15 บาท
⎡ i (1 + i ) n ⎤
A = P⎢ ⎥ (6.4)
⎣ (1 + i ) − 1⎦
n
(1 + i ) n − 1
โดย เรี ยกวา่ Uniform-series present worth factor เขียนสัญลักษณ์ได้เป็ น
i (1 + i ) n
i (1 + i ) n
(P/A, i%, n) และ เรี ยกวา่ Capital recovery factor เขียนสัญลักษณ์ได้เป็ น (A/P, i%, n)
(1 + i ) n − 1
จากโจทย์ จะได้
่ ่ตอ้ งการทราบ
P = คาที ่
i = 16% ตอปี n = 9 ปี ่
A = 600 บาทตอปี
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
A = 600
ปี
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9
P=?
i = 16% per year
-
⎡ (1 + i ) n − 1⎤ ⎡ (1 + 0.16) 9 − 1 ⎤
P = A⎢ n ⎥
= 600 ⎢ 0.16(1 + 0.16) 9 ⎥
⎣ i (1 + i ) ⎦ ⎣ ⎦
= 600(4.6065)
= 2,763.93 บาท
่ ั ่
การคิดจํานวนเงินแบบเทากนตามชวงเวลาอาจใช้ ่ นใน
ในการคํานวณเงินรายปี จากคาเงิ
่ นในอนาคตจากเงินรายปี โดยใช้สมการตอไปนี
อนาคต หรื อคํานวณคาเงิ ่ ้
⎡ i ⎤ (6.5)
A = F⎢ ⎥
⎣ (1 + i ) − 1⎦
n
⎡ (1 + i ) n − 1⎤ (6.6)
F = A⎢ ⎥
⎣ i ⎦
โดยที่ i เรี ยกวา่ Sinking fund factor เขียนสัญลักษณ์ได้เป็ น (A/F, i%, n) และ
(1 + i) n − 1
(1 + i ) n − 1 เรี ยกวา่ Uniform-series compound amount factor เขียนสัญลักษณ์ได้เป็ น (F/A, i%, n)
i
ิ
ตัวอย่ างที่ 6.8 นําเงินไปลงทุนในธุรกจประเภทหนึ่ งที่ให้อตั ราผลตอบแทนร้อยละ 14 ตอปี ่ เป็ น
จํานวนเงินปี ละ 1,000 บาท เมื่อครบ 8 ปี จะได้ผลตอบแทนทั้ งหมดเทาไร ่ กาหนดให้
ํ เริ่ มคํานวณ
ผลตอบแทน 1 ปี หลังจากปี ที่ทาํ การลงทุน
จากโจทย์ จะได้
่ ่ตอ้ งการทราบ
F = คาที ่
i = 14% ตอปี n = 8 ปี ่
A = 1,000 บาทตอปี
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
F=?
i = 14% per year
ปี
0 1 2 3 4 5 6 7 8
A = 1,000
-
⎡ (1 + i ) n − 1⎤ ⎡ (1 + 0.14) 8 − 1⎤
F = A⎢ ⎥ = 1,000 ⎢ ⎥
⎣ i ⎦ ⎣ 0.14 ⎦
= 1,000(13.2328)
= 13,232.80 บาท
่ งจะได้ผลตอบแทนในอนาคตอีก 7 ปี ข้างหน้าเทากบ
ตัวอย่ างที่ 6.9 จะต้องลงทุนปี ละเทาไรถึ ่ ั 6,000
ํ
บาท กาหนดให้ อตั ราผลตอบแทนเทากบร้่ ั อยละ 5.5 และให้เริ่ มคํานวณ 1 ปี หลังจากปี ที่ทาํ การ
ลงทุน
จากโจทย์ จะได้
F = 6,000 บาท ่
i = 5.5% ตอปี n = 7 ปี ่ ่ตองการทราบ
A = คาที ้
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
F = 6,000
i = 5.5% per year
ปี
0 1 2 3 4 5 6 7
A=?
-
⎡ i ⎤ ⎡ 0.055 ⎤
A = F⎢ ⎥ = 6,000⎢ ⎥
⎣ (1 + i ) − 1⎦ ⎣ (1 + 0.055) − 1⎦
n 7
= 1,000(0.12096)
่
= 725.76 บาทตอปี
่ นทั้ งหมดตามที่กลาวถึ
สมการที่ใช้สาํ หรับแปลงคาเงิ ่ งข้างต้น สามารถสรุ ปได้ดงแสดงใน
ั
่
ตารางตอไปนี้
่ น
ตารางที่ 6.1 สูตรที่ใช้แปลงคาเงิ
ชื่อสมการ สัญลักษณ์ ่ ่ทราบ
ต้องการหา คาที สมการ
Single-sum compound amount factor (F/P, i%, n) F P F = P (1 + i ) n
่ ยบเทาปั
ตัวอย่ างที่ 6.11 จงเปรี ยบเทียบมูลคาเที ่ จจุบนั แตละคู
่ ่ต่อไปนี้ แล้วระบุว่าทางเลือกใด
เหมาะสมที่จะได้รับการคัดเลือก (Blank and Tarquin, 2008)
่ ยบเทาปั
ตัวอย่ างที่ 6.12 จงใช้หลักการมูลคาเที ่ างเครื่ องจักร 3
่ จจุบนั เปรี ยบเทียบการลงทุนกอสร้
ประเภทดังแสดงในข้อมูลด้านลางนี ่ ้ กาหนดให้
ํ อัตราผลตอบแทนที่ดึงดู ดน้อยที่สุด (Minimum
่ ั อยละ 10 ตอปี
attractive rate of return, MARR) เทากบร้ ่ (Blank and Tarquin, 2008)
ํ
จากโจทย์กาหนด สามารถเขียนในรู ปของแผนภูมิกระแสเงินหมุนเวียนได้ดงั นี้
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
i = 10% per year 200
ปี
0 1 2 3 4 5
2,500 A = 900
-
PWE = ?
(ก) เครื่ องจักรพลังงานไฟฟ้ า
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
ปี
0 1 2 3 4 5
6,000 A = 50
-
PWS = ?
่ ่ องจักรพลังงานไฟฟ้ า มีความเหมาะสมในการลงทุนมากที่สุด
จากการวิเคราะห์ พบวาเครื
ั ่ องจักรประเภทอื่น เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนตํ่าที่สุด
เมื่อเปรี ยบเทียบกบเครื
่ จ่าย
รายการคาใช้ เครื่ องกลึงแบบ A เครื่ องกลึงแบบ B
เครื่ องจักรราคา (บาท) 300,000 320,000
่ จ่ายตอปี
คาใช้ ่ (บาท) 80,000 85,000
่
มูลคาซาก (บาท) 20,000 40,000
อายุ (ปี ) 5 5
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
ปี
0 1 2 3 4 5
300,000 A = 80,000
-
PWA = ?
(ก) เครื่ องกลึงแบบ A
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
่ ่ องกลึงแบบ A มีความเหมาะสมในการลงทุนมากกวาเครื
จากการวิเคราะห์ พบวาเครื ่ ่ องกลึง
แบบ B เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนตํ่ากวา่
่ านักงานสําหรับใช้ในการดําเนิ นโครงการออกแบบ
ตัวอย่ างที่ 6.14 วิศวกรโครงการต้องการเชาสํ
่ ่ ง โดยมีทางเลือกในการเชาสํ
โรงบําบัดนํ้ าเสี ยแหงหนึ ่ านักงาน และรายละเอียดของแตละทางเลื
่ อก
ดังแสดงในตารางด้านลางนี ่ ้ จงเปรี ยบเทียบความเหมาะสมระหวางทางเลื
่ อกทั้ งสองด้วยวิธีมูลคา่
่ จจุบนั ถ้ากาหนดให้
เทียบเทาปั ํ ่ ั อยละ 15 ตอปี
MARR เทากบร้ ่
ปี
0 1 6 12 18
A = 3,500
15,000
15,000 15,000
-
PWA = ?
(ก) สํานักงาน A
2,000 2,000
ปี
0 1 9 18
A = 3,100
18,000
18,000
- PW = ?
B
(ข) สํานักงาน B
่
จากการวิเคราะห์พบวาควรเลื ่ านักงาน B เนื่องจากใช้เงินลงทุนตํ่ากวาสํ
อกเชาสํ ่ านักงาน A
่ ่
สงผลกระทบตอความผั ่
นแปรของมูลคาการลงทุ นทั้ งสิ้ น ด้วยเหตุน้ ี การกระจายเงินลงทุนออกเป็ น
่ ยบเทารายปี
มูลคาเที ่ แทนการรวมเงินลงทุนให้อยูใ่ นรู ปของมูลคาเที ่ ยบเทาปั ่ จจุบนั จะเป็ นการลด
ิ
ความผิดพลาดในการวิเคราะห์ที่เกดจากสาเหตุ ขา้ งต้นได้
ตัวอย่ างที่ 6.15 ต้องการตัดสิ นใจเลือกลงทุนระหวาง ่ 2 แผน ได้แก่ แผน ก. ลงทุนซื้ อเครื่ อง 20,000
่ จ่ายตอปี
บาท คาใช้ ่ 8,000 บาท เมื่อครบ 3 ปี ซื้ อเครื่ องจักรใหมในราคาเดิ
่ มและมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ใน
ราคาเดิม แผน ข. ลงทุนซื้อเครื่ องจักรราคา 25,000 บาท มีค่าใช้จ่ายตอปี
่ 7,500 บาท สามารถใช้งาน
่ ั และโครงการนี้ ตอ้ งลงทุน 2 ครั้ ง หางกนครั
ได้ 3 ปี เชนกน ่ ั ้ งละ 3 ปี ถ้าอัตราดอกเบี้ ยเทากบร้
่ ั อยละ
่ โครงการไหนเป็ นโครงการที่ควรเลือก (ไพบูลย์ แย้มเผือ่ น, 2548)
10 ตอปี
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
A = 8,000
- 20,000 20,000
(ก) แผน ก
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
A = 7,500
- 25,000 25,000
(ข) แผน ข
แผน ก.
่ ยบเทารายปี
มูลคาเที ่ = -20,000(A/P,10%,3) - 8,000
= -20,000(0.40211) - 8,000
= -16,042.2 บาท
แผน ข.
่ ยบเทารายปี
มูลคาเที ่ = -25,000(A/P,10%,3) - 7,500
= -25,000(0.40211) - 7,500
= -17,552.75 บาท
่
จากการวิเคราะห์ พบวาควรเลื ่ จ่ายรายปี น้อยกวาแผน
อกแผน ก. เนื่องจากคาใช้ ่ ข.
i = 9% per year
ปี
0 1 2 3 ............... 9 10
A = 51,000
- 150,000
(ก) แผน B
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
50,000
i = 9% per year
ปี
0 1 2 3 ............... 9 10
A = 43,000
- 250,000
(ข) แผน C
แผน A
่
คาแรงรายปี = ่
92,000 บาทตอปี
แผน B
่ ยบเทารายปี
คาเที ่ ่
ของเครื่ องมือผอนแรง = 150,000(A/P,9%,10)
= 150,000(0.15582)
= 23,373 บาท
่ จ่ายประจําปี
คาใช้ = 4,000 + 11,000 + 3,000 + 33,000
= 51,000 บาท
่ จ่ายรายปี ของแผน B
รวมคาใช้ = 23,373 + 51,000
= 74,373 บาท
แผน C
่ ยบเทารายปี
คาเที ่ ่ สดุ
ของเครื่ องจักรขนถายวั = 250,000(A/P,9%,10)
= 250,000(0.15582)
= 38,955 บาท
คา่ใช้จ่ายรายปี = 6,000 + 15,000 + 5,000 + 17,000
= 43,000 บาท
่ จ่ายรายปี ของแผน C
รวมคาใช้ = 38,955 + 43,000
= 81,955 บาท
่
คิดมูลคาซากเป็ นรายปี = 50,000(A/F,9%,10)
= 50,000(0.06582)
= 3,291 บาท
่
หักด้วยมูลคาซาก = 81,955 – 3,291
่ ยบเทารายปี
มูลคาเที ่ ของแผน C = 78,664 บาท
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
2,000
i = 15% per year
ปี
0 1 2 3 4 5 6
A = 11,800
- 26,000
(ก) แบบ A
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
3,000
i = 15% per year
ปี
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
A = 9,900
- 36,000
(ข) แบบ B
่ ยบเทารายปี
มูลคาเที ่ ของเครื่ องจักรแบบ A = -26,000(A/P,15%,6) + 2,000(A/F,15%,6) - 11,800
= -26,000(0.26424) + 2,000(0.11424) - 11,800
= -18,441.76 บาท
่ ยบเทารายปี
มูลคาเที ่ ของเครื่ องจักรแบบ B = -36,000(A/P,15%,10) + 3,000(A/F,15%,10) - 9,900
= -36,000(0.19925) + 3,000(0.04925) - 9,900
= -16,925.25 บาท
่
จากการวิเคราะห์ขา้ งต้น พบวาควรเลื อกเครื่ องจักรแบบ B เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเทียบเทาราย
่
่ ่ องจักรแบบ A
ปี น้อยกวาเครื
B / C ratio =
Benefit (6.7)
Cost
โครงการที่มีค่า B/C ratio มากกวา่ 1 เป็ นโครงการที่น่าลงทุน ถ้า B/C ratio น้อยกวา่ 1 จัด
่ นโครงการที่ไมเหมาะสมตอการลงทุ
วาเป็ ่ ่ น และถ้า B/C ratio เทากบ ่ ั 1 หมายความวาโครงการนั
่ ้น
คุม้ ทุนพอดี ไมได้ ่ กาไรหรื
ํ อขาดทุน
ิ ้ นจากโครงการ และคาใช้
เนื่ องจากผลประโยชน์ที่เกดขึ ่ จ่ายหรื อเงินลงทุนที่ตอ้ งชําระนั้ น
อาจไมได้ ่ เป็ นเหตุการณ์ที่เกดขึ
ิ ้ นในชวงเวลาเดี
่ ยวกนั ดังนั้ นจึงจําเป็ นต้องใช้หลักการแปลงคาเงิ
่ นซึ่ ง
่
เป็ นมูลคาของผลประโยชน์ และเงินลงทุนให้มาอยู่ในชวงเวลาเดี
่ ั
ยวกนตามหลั กการแปลงค่าเงินที่
่
ได้กลาวไปแ ล้วในตอนต้น
่ คิดเป็ นมูลคา่
ผลประโยชน์ที่ได้รับตอปี 500,000 บาท
่ ่ ปกรณ์ต่อปี
เสี ยผลประโยชน์เป็ นคาเชาอุ 200,000 บาท
ผลประโยชน์สุทธิต่อปี 500,000 – 200,000 = 300,000 บาท
่
ต้นทุนตอปี 1,500,000(A/P,6%, 10)
1,500,000(0.13587) = 203,805 บาท
่ จ่ายในการดําเนินงานตอปี
คาใช้ ่ 50,000 บาท
่ าเนินการ
ผลประโยชน์ที่ได้รับ – ผลประโยชน์ที่เสี ยไป – คาดํ
ก.) B/C =
เงินลงทุนครั้ งแรก
300,000 − 50,000
=
203,805
= 1.23
ผลประโยชน์ที่ได้รับ – ผลประโยชน์ที่เสี ยไป
ข.) B/C =
่ จ่ายทั้ งหมด
คาใช้
= 300,000
203,805 + 50,000
= 1.18
โครงการ A
เงินลงทุนขั้ นต้นคิดเป็ นรายปี = 4,000,000(A/P,8%,20)
= 4,000,000(0.10185)
= 407,400 บาท
่ ารุ งรักษารายปี
คาบํ = 200,000 บาท
่
รวมเงินลงทุนตอปี = 407,400 + 200,000 = 607,400 บาท
ผลประโยชน์ต่อปี = 125,000 บาท
โครงการ B
เงินลงทุนขั้ นต้นคิดเป็ นรายปี = 6,000,000(A/P,8%,20)
= 6,000,000(0.10185)
= 611,100 บาท
่ ารุ งรักษารายปี
คาบํ = 120,000 บาท
่
รวมเงินลงทุนตอปี = 611,100 + 120,000 = 731,100 บาท
ผลประโยชน์ต่อปี = 100,000 บาท
่
จากการวิเคราะห์ พบวาโครงการ ่
B จะมีการลงทุนสู งกวาโครงการ ่ ั 123,700 บาท
A เทากบ
่ และผลประโยชน์ที่ได้รับน้อยกวาโครงการ
ตอปี ่ ่ ดเจนวา่ โครงการ A
A ด้วยเหตุน้ ี จึงเห็นได้อยางชั
่
มีความเหมาะสมในการลงทุนมากกวาโครงการ B
่ ยบเทารายปี
ในกรณี ที่คาํ นวณโดยใช้มูลคาเที ่ (Equivalent uniform annual worth, EUAW)
สามารถเขียนเป็ นสมการได้ ดังนี้
ํ
โดยกาหนดให้ ่ ย บเทาปั
PWD คื อ มู ล คาเที ่ จ จุ บ ัน ของเงิ น ลงทุ น (บาท) PWB คื อ มู ล คา่
่ จ จุ บ นั ของผลตอบแทน (บาท) EUAWD คื อ มูลเที ย บเทารายปี
เที ยบเทาปั ่ ของเงิ น ลงทุ น (บาท)
EUAWB คือ มูลคาเที ่ ยบเทารายปี
่ ของผลตอบแทน (บาท) และ i% คือ อัตราผลตอบแทนตํ่าสุ ดที่
ตัวอย่ างที่ 6.20 ลงทุนเป็ นเงิน 1,000 บาท ได้รับเงินในปี ที่ 3 ทั้ งสิ้ น 500 บาท และในปี ที่ 5 อีก 1,500
บาท จงหาอัตราผลตอบแทนของการลงทุนครั้ งนี้ และถ้ากาหนดให้ ํ ่ ั อยละ 12 จง
MARR เทากบร้
่
สรุ ปวาสมควรจะลงทุ นหรื อไม่ (Blank and Tarquin, 2008; ไพบูลย์ แย้มเผือ่ น, 2548)
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
500 1,500
ปี
0 1 2 3 4 5
- 1,000
ํ
สมมติครั้ งที่ 1 กาหนดให้ i = 16%
PWi = 16% = 500(P/F,16%,3) + 1,500(P/F,16%,5) – 1,000
= 500(0.6407) + 1,500(0.4761) – 1,000
= 34.5 บาท ≠ 0
ํ
สมมติครั้ งที่ 2 กาหนดให้ i = 17%
PWi = 17% = 500(P/F,17%,3) + 1,500(P/F,17%,5) – 1,000
= 500(0.6244) + 1,500(0.4561) – 1,000
= -3.65 บาท ≠ 0
i% 16 i 17
PWi% 34.5 0 -3.65
่ ยบเทาปั
∴ อัตราผลตอบแทนที่ทาํ ให้มูลคาเที ่ จจุบนั ของเงินลงทุนเทากบมู
่ ั ลคาปั
่ จจุบนั ของ
่ ่ ั 16 + 0.904 = 16.904%
ผลตอบแทน มีคาเทากบ
อัตราผลตอบแทน 16.904% > 12% โครงการนี้ จึงมีความเหมาะสมในการลงทุน
ํ
ตัวอย่ างที่ 6.21 ลงทุนเป็ นเงิน 500,000 บาท ได้กาไรจากเงิ ่ โดยลงทุน
นลงทุนนี้ 10,000 บาทตอปี
้ านวน 700,000 บาท จงคํานวณหา
เป็ นเวลา 10 ปี และปลายปี ที่ 10 ได้รับผลตอบแทนเป็ นเงินกอนจํ
อัตราผลตอบแทน และถ้ากาหนดให้ ํ ่ ั อยละ 10 ตอปี
MARR เทากบร้ ่ ควรที่จะลงทุนในโครงการนี้
หรื อไม่ (Blank and Tarquin, 2008)
+
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
700,000
A = 10,000
ปี
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
-
500,000
ํ
สมมติครั้ งที่ 1 กาหนดให้ i = 5%
PWi = 5% = 10,000(P/A,5%,10) + 700,000(P/F,5%,10) – 500,000
= 10,000(7.7217) + 700,000(0.6139) – 500,000
= 6,946 บาท > 0
ํ นดให้ i = 6%
สมมติครั้ งที่ 2 กาห
PWi = 6% = 10,000(P/A,6%,10) + 700,000(P/F,6%,10) – 500,000
= 10,000(7.360) + 700,000(0.5584) – 500,000
= -35,519 บาท < 0
i% 5 i 6
PWi% 6,946 0 -35,519
่ ยบเทาปั
∴ อัตราผลตอบแทนที่ทาํ ให้มูลคาเที ่ จจุบนั ของเงินลงทุนเทากบมู
่ ั ลคาปั
่ จจุบนั ของ
่ ่ ั 5 + 0.16 = 5.16%
ผลตอบแทน มีคาเทากบ
อัตราผลตอบแทน 5.16% < 10% โครงการนี้ จึงไม่เหมาะสมที่จะลงทุน
่ ่ 6.21 จงวิเคราะห์โดยใช้วิธีมูลคาเที
ตัวอย่ างที่ 6.22 จากตัวอยางที ่ ยบเทารา
่ ยปี (ไพบูลย์ แย้มเผือ่ น, 2548)
ํ
สมมติครั้ งที่ 1 กาหนดให้ i = 5%
EUAWi = 5% = 10,000 + 700,000(A/F,5%,10) – 500,000(A/P,5%,10)
= 10,000 + 700,000(0.07950) – 500,000(0.1295)
= 900 บาท ≠ 0
ํ
สมมติครั้ งที่ 2 กาหนดให้ i = 6%
EUAWi = 6% = 10,000 + 700,000(A/F,6%,10) – 500,000(A/P,6%,10)
i% 5 i 6
PWi% 900 0 -4,841
่ ยบเทาปั
∴ อัตราผลตอบแทนที่ทาํ ให้มูลคาเที ่ จจุบนั ของเงินลงทุนเทากบมู
่ ั ลคาปั
่ จจุบนั ของ
่ ่ ั 5 + 0.157 = 5.157%
ผลตอบแทน มีคาเทากบ
อัตราผลตอบแทน 5.157% < 10% โครงการนี้ จึงไม่มีความเหมาะสมในการลงทุน
ตัวอย่ างที่ 6.23 เครื่ องจักร 2 ประเภท คือแบบ A และแบบ B มีรายละเอียดคาใช้ ่ จ่ายสําหรับ
เครื่ องจักรทั้ ง 2 ประเภทดังแสดงในตารางด้านลางนี่ ้ จงใช้วิธีวิเคราะห์อตั ราผลตอบแทนของมูลคา่
่ (ไพบูลย์ แย้มเผือ่ น, 2548)
ปั จจุบนั ในการเลือกซื้ อเครื่ องจักรดังกลาว
A = 2,500 1,000
0 1 2 3 4 5
ปี
- 10,000 แบบ A
กระแสเงินหมุนเวียน (บาท)
A = 2,700 900
0 1 2 3 4 5
ปี
- 10,000 แบบ B
แบบ A
ํ ่
กาไรตอปี = 5,000 – 2,500
= 2,500 บาท
ํ
กาหนดสมการ
0 = 2,500(P/A,i%,5) + 1,000(P/F,i%,5) – 10,000
สมมติ i = 10%
PWi = 10% = 2,500(P/A,10%,5) + 1,000(P/F,10%,5) – 10,000
= 2,500(3.791) + 1,000(0.6209) – 10,000
= 98.40 บาท
สมมติ i = 11%
PWi = 11% = 2,500(P/A,11%,5) + 1,000(P/F,11%,5) – 10,000
= 2,500(3.696) + 1,000(0.5935) – 10,000
= -165.5 บาท
อัตราผลตอบแทน ⎛ 11 − 10 ⎞ = 10.37%
i = 10 + ⎜ ⎟ × (98.4 − 0)
⎝ 98.4 + 166.5 ⎠
แบบ B
ํ ่
กาไรตอปี = 5,400 – 2,700
= 2,700 บาท
ํ
กาหนดสมการ
0 = 2,700(P/A,i%,5) + 900(P/F,i%,5) – 10,000
สมมติ i = 12%
⎛ 13 − 12 ⎞
อัตราผลตอบแทน i = 12 + ⎜ ⎟ × (244.16 − 0) = 12.94%
⎝ 244.16 + 15.58 ⎠
ตัวอย่ างที่ 6.24 การลงทุนซื้ อเครื่ องจักร 2 ประเภทคือแบบ A และแบบ B มีรายละเอียดคาใช้ ่ จ่ายใน
การลงทุนดังแสดงในตารางด้านลางนี ่ ้ จงวิเคราะห์เพื่อเปรี ยบเทียบความเหมาะสมในการลงทุนด้วย
การวิเคราะห์อตั ราผลตอบแทนโดยใช้วิธีมูลคาปั ่ จจุบนั วาควรเลื
่ ํ
อกเครื่ องจักรแบบใด กาหนดให้
MARR = 15% ตอปี ่ (ไพบูลย์ แย้มเผือ่ น, 2548)
่ จ่าย
รายการคาใช้ เครื่ องจักร A เครื่ องจักร B
ลงทุนขั้ นต้น (บาท) 8,000 13,000
่ จ่ายตอปี
คาใช้ ่ (บาท) 3,500 1,600
่
มูลคาซาก (บาท) 0 2,000
อายุการใช้งาน (ปี ) 10 5
ปี ที่ ่
กระแสเงินหมุนเวียน กระแสเงินหมุนเวียนการลงทุน ผลตางของกระแสเงิ นหมุนเวียนการ
การลงทุนเครื่ องจักร A เครื่ องจักร B ่ ่ องจักรแบบ A
ลงทุนระหวางเครื
(บาท) (บาท) และ B (บาท)
0 -8,000 -13,000 -5000
1 -3,500 -1,600 +1,900
2 -3,500 -1,600 +1,900
3 -3,500 -1,600 +1,900
4 -3,500 -1,600 +1,900
5 -3,500 -1,600 และ -13,000 + 2,000 +1,900 และ -11,000
6 -3,500 -1,600 +1,900
7 -3,500 -1,600 +1,900
8 -3,500 -1,600 +1,900
9 -3,500 -1,600 +1,900
10 -3,500 -1,600 และ +2,000 +1,900 และ +2,000
2,000
A = 1,900
ปี
0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
- 5,000
11,000
ํ
กาหนดสมการสํ าหรับการคํานวณ
0 = 1,900(P/A,i%,10) + 2,000(P/F,i%,10) – 11,000(P/F,i%,5) – 5,000
สมมติ i = 12%
PWi = 12% = 1,900(P/A,12%,10) + 2,000(P/F,12%,10) – 11,000(P/F,12%,5) – 5,000
= 1,900(5.650) + 2,000(0.3220) – 11,000(0.5674) – 5,000
= 137.60 บาท
สมมติ i = 13%
PWi = 13% = 1,900(P/A,13%,10) + 2,000(P/F,13%,10) – 11,000(P/F,13%,5) – 5,000
= 1,900(5.426) + 2,000(0.2946) – 11,000(0.5428) – 5,000
= -72.2 บาท
อัตราผลตอบแทน ⎛ 13 − 12 ⎞ = 12.66%
i = 12 + ⎜ ⎟ × (137.6 − 0)
⎝ 137.6 + 72.2 ⎠
คําถามท้ ายบท
1. จงระบุสมการและสัญลักษณ์ที่สอดคล้องกบคํ ั าตอไปนี
่ ้ Single-sum compound amount factor
Single-sum present worth factor Uniform series present worth factor Capital recovery factor
Sinking fund factor และ Uniform series compound amount factor
2. ฝากเงิน 2,000 บาท ทุกปี เป็ นระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ ยร้อยละ 10 ตอปี ่ เมื่อถอนเงินออก
่ จงเขี ย นแผนภู มิ ก ระแสเงิ น หมุ น เวี ยนประกอบการคํา นวณ
ทั้ ง หมดจะได้เ งิ น ทั้ งสิ้ น เทาไร
(ไพบูลย์ แย้มผือ่ น, 2548)
3. จงเปรี ยบเทียบทางเลือกการลงทุนของโครงการทางหลวงดังตอไปนี ่ ้ ดวยการวิ
้ เคราะห์มูลคา่
่ จจุบนั การวิเคราะห์มูลคาเที
เทียบเทาปั ่ ยบเทารายปี
่ การวิเคราะห์ผลตอบแทนตอเงิ ่ นลงทุน
และการวิเคราะห์อตั ราผลตอบแทน กาหนดให้ ํ MARR เทากบร้ ่ ั อยละ 8 ตอปี ่ (วัชริ นทร์
วิทยกุล, 2539)
่ จ่าย
รายการคาใช้ ทางเลือก A ทางเลือก B
เงินลงทุนเบื้ องต้น (ล้านบาท) 280 320
่
มูลคาซาก (ล้านบาท) 80 100
่ าเนินการและบํารุ งรักษารายปี (ล้านบาท)
คาดํ 14 16
่ จ่ายสําหรับผูใ้ ช้ถนนรายปี (ล้านบาท)
คาใช้ 148 140
อายุการใช้งาน (ปี ) 10 10
่ จ่าย
รายการคาใช้ สะพานไม้เดิม สะพานไม้ใหม่ สะพานคอนกรี ต
เงินลงทุนเบื้ องต้น (พันบาท) 18,000 30,000 56,000
่ ารุ งรักษารายปี (พันบาท)
คาบํ 600 400 200
่
มูลคาซาก (พันบาท) 1,000 0 4,000
อายุการใช้งาน (ปี ) 9 15 22
่
5. จงเปรี ยบเทียบทางเลือกในการลงทุนระหวางทางเลื อก A และ B ดังแสดงข้อมูลการลงทุนของ
่ ้ ด้วยการวิเคราะห์อตั ราผลตอบแทน กาหนดให้
ทางเลือกทั้ ง 2 ในตารางด้านลางนี ํ MARR
่ ั อยละ 10 ตอปี
เทากบร้ ่ (วัชริ นทร์ วิทยกุล, 2539)
่ จ่าย
รายการคาใช้ ทางเลือก A ทางเลือก B
เงินลงทุนเบื้ องต้น (พันบาท) 7,000 10,000
่
ราบรับเทียบเทารายปี (พันบาท) 3,800 5,000
่ ยบเทารายปี
รายจายเที ่ (พันบาท) 1,290 2,766
่
มูลคาซาก (พันบาท) 0 0
อายุการใช้งาน (ปี ) 4 8
บทที 7 ผลกระทบการจราจรและการศึกษาการจอดรถ
(Traffic Impact and Parking Studies)
เนื อหาในบทนี จะกล่ าวถึง การศึ กษาผลกระทบการจราจร ลักษณะพืนฐานของการศึ กษาผลกระทบการจราจร
ขันตอนและองค์ ประกอบหลักของการศึกษาผลกระทบการจราจร การปรั บปรุ งโครงข่ ายถนนโดยรอบโครงการ
การศึกษาการจอดรถ ประเภทของที่ จอดรถ ประเภทของการศึกษาการจอดรถ การวิเคราะห์ การจอดรถ และการ
ออกแบบที่จอดรถ
“บัณฑิตย่อมไม่ประพฤติกรรมชวเพราะเหตุ
ั่ ่ ตน”
แห่งสุขเพือ
พุทธภาษิต
โครงการพัฒนาที่เกดขึ ิ ้ นในชุมชนไมวาจะเป็
่่ นโครงการที่เกดขึ ิ ้ นใหม่ หรื อการปรับปรุ ง
ขยายโครงการที่มีอยูเ่ ดิม ล้วนสงผลกระทบตอพื
่ ่ ้นที่และโครงขายถนนที
่ ่อยูโ่ ดยรอบโครงการทั้ งสิ้ น
นอกจากนี้ โครงการดังกลาว ่ เกดการดึ
่ ยังอาจกอให้ ิ งดูดการเดินทางเข้ามาสู่ โครงการเพิ่มขึ้ น การ
บริ หารจัดการพื้นที่จอดรถภายในโครงการจึงเป็ นสิ่ งจําเป็ น เพื่อเตรี ยมพร้อมสําหรับรองรับจํานวน
ยวดยานที่เพิ่มขึ้ น เพื่อให้การสัญจรของกระแสจราจรภายในโครงการเป็ นไปอยางราบรื ่ ่ น ทั้ งนี้ ถา้
ิ
เกดการจราจรติ ่
ดขัดขึ้ นภายในโครงการ การติดขัดนั้ นอาจสงผลกระทบออกไปยั งพื้นที่โดยรอบได้
7.1. การศึกษาผลกระทบการจราจร
่
มีผคู ้ นไมมากนั ่
กที่คาํ นึ งถึงความสัมพันธ์ระหวางการจราจรและการพั ฒนาพื้นที่ ทําไมการ
วิเคราะห์การขนสงของชุ ่ มชนจึงเป็ นสิ่ งจําเป็ นเมื่อมีห้างสรรพสิ นค้า อาคารที่พกั อาศัยขนาดใหญ่
หรื อแหลงจ้ ่ างงานแหงใหม ่ ่ ฯลฯ เกดขึ ิ ้ นในเมือง หลายคนอาจตอบวาการวิ ่ เคราะห์การขนสงมี ่ ความ
จําเป็ นเนื่ องจากโครงการดังกลาวอาจต้ ่ องการการออกแบบการไหลเวียนของกระแสจราจรภายใน
โครงการ หรื อการออกแบบพื้ นที่ จอดรถที่ เหมาะสม คําตอบดังกลาวถู ่ กต้องเพียงบางสวน ่ แต่
สําหรับวิศวกรขนสงแล้ ่ ว หน้าที่ในการวิเคราะห์น้ นั มีขอบเขตมากกวาเพี ่ ยงวิเคราะห์การไหลเวียน
กระแสจราจรและออกแบบพื้นที่จอดรถ
การพัฒนาพื้นที่ขึ้ นเป็ นจุดศูนย์รวมกจกรรม ิ อาทิ ห้างสรรพสิ นค้า แหลงที ่ ่พกั อาศัย หรื อ
แหลงจ้ ่ างงาน ฯลฯ หรื อการขยายขอบเขตของศูนย์รวมกจกรรมดั ิ ่ ่มีอยูเ่ ดิม ให้มีขนาดใหญ่
งกลาวที
ขึ้ น เหลานี ่ เกดการเดิ
่ ้ ลว้ นกอให้ ิ นทางเพิ่มขึ้ น อาทิ ลูกค้า ผูอ้ ยูอ่ าศัย หรื อลูกจ้างกลุ่มใหม่ โดยทัว่ ไป
โครงการที่ พ ฒ ั นาขึ้ น ใหมนี่ ้ ม ัก ดึ ง ดู ด ผูค้ นได้ม ากกวา่ เนื่ อ งจากมัก มี จุ ด เดนที
่ ่ ต อบสนองความ
ต้องการของผูค้ นได้ตรงจุดกวา่โครงการที่มีอยูเ่ ดิ ม เชน่ ห้างสรรพสิ นค้าแหงใหม ่ ่ อาจอยูใ่ กล้กวา่
และมี ขนาดที่ใหญกวาห้ ่ ่ างสรรพสิ นค้าเดิ ม หรื อศูนย์รวมกจกรรมแหงใหมที ิ ่ ่ ่มีท้ งั โรงภาพยนต์
• สภาพการจราจรของโครงขายถนนโดยรอบโครงการพั
่ ่
ฒนาในปั จจุบนั มีสภาพเป็ นอยางไร
• การจราจรที่เพิ่มขึ้ นอันเป็ นผลสื บเนื่องจากโครงการพัฒนา มีปริ มาณเทาไร
่
• ปริ มาณจราจรที่เพิ่มขึ้ นนี้ สงผลกระทบตอสภาพการจราจรของโครงขายถนนในปั
่ ่ ่ จจุบัน
่
อยางไร
• จําเป็ นต้องมีการปรับปรุ ง หรื อเปลี่ยนแปลงสภาพของถนนบริ เวณโดยรอบโครงการพัฒนา
หรื อไม่ เพื่อลดผลกระทบการจราจรอันเป็ นผลสื บเนื่องจากโครงการดังกลาว ่
• การกาหนดขนาดที
ํ ่เหมาะสมของขอบเขตพื้นที่ศึกษาโดยรอบโครงการ
• เวลาที่เกดการจราจรสู
ิ ่ า ชวงบาย
งสุ ดสําหรับการวิเคราะห์ อาทิ ชวงเช้ ่ ่ ชวงเย็
่ น หรื อสุ ด
สัปดาห์ เป็ นต้น
• กรอบเวลาของการวิ เคราะห์ การกาหนดปี ํ ฐานที่ โครงการเริ่ มเปิ ดดําเนิ นการ และปี
เป้ าหมายหรื อปี อนาคตสําหรับการประเมินผลกระทบ
• ข้อมูลพื้นฐานการเจริ ญเติบโตของเมือง และชุมชนโดยรอบโครงการ
• แผนพัฒนาและปรับปรุ งการขนสงของเมื ่ ํ
องที่ถูกกาหนดไว้ ่ ที่ทาํ การวิเคราะห์
ในชวงปี
• วิธีการที่จะนํามาใช้ในการศึกษา
• ข้อมูลที่จาํ เป็ นอื่นๆ สําหรับการวิเคราะห์ อาทิ ข้อมูลอุบตั ิเหตุ ระยะการมองเห็น การ
ิ
เกดแถวคอย ฯลฯ
ี่ ั
ขนาดของโครงการพัฒ นาจะเป็ นสิ่ ง ที่ บ อกให้ ท ราบในเบื้ อ งต้น เกยวกบขนาดของ
ผลกระทบที่ตามมา และขนาดของพื้นที่ศึกษา โดยทัว่ ไป ขนาดพื้นที่ศึกษา 300,000 ตารางฟุต จะ
ครอบคุลมทางแยกที่อยู่ในขอบเขตที่ตอ้ งทําการวิเคราะห์ 2 ถึง 4 ทางแยก ขนาดของโครงการเป็ น
ํ
สิ่ งที่กาหนดเครื ่ ยวกนั สําหรับโครงการขนาดเล็ก การวิเคราะห์ “ด้วย
่ องมือที่ใช้วิเคราะห์ดว้ ยเชนเดี
มือ (By hand)” อาจเพียงพอ แตสํ่ าหรับโครงการขนาดใหญอาจจํ ่ าเป็ นต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยใน
การประมวลผล แบบจําลองการไหลของกระแสจราจร อาจถูกนํามาใช้เพื่อการวิเคราะห์และจําลอง
สถานการณ์ รู ป แบบตางๆ ่ ที่ ก ําหนดไว้เ ป็ นทางเลื อ กซึ่ งอาจเกดขึ ิ ้ น ได้ใ นอนาคต การศึ ก ษา
ผลกระทบการจราจรสําหรับโครงการขนาดใหญ่ อาจจําเป็ นต้องทําการศึกษาเป็ นระยะตามขั้ นตอน
การพัฒนาของโครงการ และตามความต้องการของเจ้าของโครงการ เนื่ องจากโดยมากแล้ว การ
่ างจริ ง มักจะแตกตางจากแผนเริ
ดําเนิ นการกอสร้ ่ ่ มต้น ซึ่ งอาจเป็ นผลมาจาก การปรับปรุ งโครงการ
่
ให้ตอบสนองตอภาวะเศรษฐกจและความต้ ิ องการของกลุ่มเป้ าหมายในชวงเวลา ่ ิ
หรื ออาจเกดการ
่ านจากชุ มชน เป็ นต้น การใช้คอมพิวเตอร์ ในการวิเคราะห์ จะชวยให้
ตอต้ ่ สามารถปรั บเปลี่ ย น
ํ
ข้อกาหนดในการวิ ่ อยางรวดเร็
เคราะห์ที่ซบั ซ้อนดังกลาวได้ ่ วและมีประสิ ทธิภาพ
7.1.2. ขั้นตอนการดําเนินงาน
่
การศึกษาผลกระทบการจราจร มีข้นั ตอนดังตอไปนี
้
่
1. เข้าพบหนวยงานราชการที ี่ องเพื่อขอความคิดเห็ นและกาหนดขอบเขตการศึ
่เกยวข้ ํ กษาที่
ํ
ต้องการ รวมถึงกาหนดสมมติ ฐานเบื้องต้น และกรอบเวลาสําหรับการวิเคราะห์ ในขั้ นตอน
่ ่ เ ป็ นประโยชน์ สํา หรั บ การวิ เ คราะห์ จ าก
นี้ อาจขอความอนุ เ คราะห์ ข ้อ มู ล บางสวนที
่
หนวยงานราชกา ร อาทิ ข้อมูลปริ มาณจราจร จังหวะสัญญาณไฟจราจร อุบตั ิเหตุ และ
แผนการปรับปรุ งการขนสงของเมื ่ อง เป็ นต้น
2. การสํารวจภาคสนาม โดยทัว่ ไปประกอบด้วยการตรวจสอบข้อมูลดังตอไปนี ่ ้ การสํารวจ
็
สังเขปโครงการเพื่อเกบรายละเอี ยดบริ เวณพื้นที่ก่อสร้าง โครงขายถนนภายในพื
่ ้นที่ศึกษา
อุปกรณ์ควบคุมการจราจร จังหวะการเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจรบริ เวณทางแยก ลักษณะ
ทางเรขาคณิ ตของถนน การควบคุมการจอดรถ เส้นทางและป้ ายหยุดของระบบขนสง่
สาธารณะ ลักษณะการใช้พ้ืนที่ของพื้นที่ขา้ งเคียง และตําแหนงที ่ ่ต้ งั ของถนน เป็ นต้น
3. การนับรถ และสํารวจข้อมูลจราจร ทําการนับปริ มาณจราจรตามมาตรฐานที่ กาหนดไว้ ํ
สํา หรั บ การสํารวจข้อมู ลจราจรในชวงเวลา ่ วัน และฤดู กาลที่ เ หมาะสม และเห็ น พ้อ ง
ั ่
ต้องกนระหวางหนวยงานรั ่ ฐและผูด้ าํ เนิ นการ ควรสํารวจข้อมูลการเดิ นทางของผูข้ บั ขี่
ยวดยาน ผูอ้ าศัยในพื้นที่ และผูท้ าํ งานในพื้นที่ เพื่อนําข้อมูลที่ได้มาใช้เป็ นแนวทางสําหรับ
การวิเคราะห์การกระจายการเดินทาง การเลือกรู ปแบบการเดินทาง และการแจกแจงการ
เดินทาง
4. การวิเคราะห์ ประกอบด้วยขั้นตอนตางๆ ่ เรี ยงตามลําดับดังนี้
• วิ เ คราะห์ ก ารเกดการเดิ
ิ น ทาง ทํา การประมาณคาอั ่ ต ราการเดิ น ทาง และการ
ประยุก ต์ก ารเลื อ กรู ป แบบการเดิ นทางที่ อา้ งอิ งจากประสบการณ์ (ได้จ ากการ
สื บค้นข้อมูลในอดีตของพื้นที่) หรื อจากการสํารวจในท้องที่กได้ ็
• การวิเคราะห์การกระจายการเดินทาง
• การประมาณปริ มาณจราจรนอกพื้นที่ศึกษา
• แจกแจงปริ มาณการเดินทางไปยังโครงขายถนนทั ่ ้ งภายในขอบเขตพื้นที่ศึกษาและ
นอกพื้นที่ศึกษาโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์จุดสมดุล
• การวิเคราะห์ประสิ ทธิ ภาพและความจุของทางแยก ทั้ งทางแยกสัญญาณไฟและ
ทางแยกไมมี่ สญ ั ญาณไฟ
• ประเมินผลลัพธ์และข้อแนะนําเพื่อนําไปใช้ประกอบการปรับปรุ ง
้
5. แกไขแผนที ํ
่กาหนดไว้ และนําการปรับปรุ งที่ได้รับการอนุมตั ิมารวมไว้ในแผน
่ ่
6. จัดทํารายงานเพือ่ เสนอตอหนวยงานที ่เป็ นเจ้าของงาน
่
การเกิดการเดินทาง (Trip generation) การประมาณคาการเกดการเดิ ิ นทางสามารถ
ั ทั้ งสําหรับภายในพื้นที่ศึกษา และนอกพื้นที่ศึกษา การเดินทางภายนอกพื้นที่
วิเคราะห์แยกกนได้
ศึกษา ได้แก่ การเดินทางผา่ นพื้นที่ศึกษา ซึ่ งอาจเกดจากการ
ิ เดินทางที่มีท้ งั จุดต้นทางและปลายทาง
อยูภ่ ายนอกพื้นที่ศึกษา ฯลฯ Institute of Transportation Engineering (ITE) ได้แนะนําสมการ
่ ิ
สําหรับประมาณคาการเกดการเดิ นทางไว้ใน ITE’s Trip Generation manual ดังนี้
T = a + bX (additive)
(7.1)
ln T = a + b ln X (multiplicative; original form T = a ' X b )
ิ
จํานวนการเกดการเดิ นทางที่ ได้จากการคํา นวณในปี ปั จ จุ บ นั จะถู ก นําไปใช้คาดการณ์
ิ
จํานวนการเกดการเดิ ิ ้ นในปี อนาคตที่กาหนดไว้
นทางที่จะเกดขึ ํ ตามกรอบเวลาที่ใช้วิเคราะห์ คา่
่
ดังกลาวสามารถคํ านวณได้โดยใช้อตั ราการเติบโตรายปี (Annual growth rate) หรื ออาจประมาณคา่
อัตราการเติบโตโดยวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีตกได้ ็ ในกรณี ที่ทาํ การวิเคราะห์ในพื้นที่ที่ปกติธรรดา
่ ่าเสมอ
ทัว่ ไปที่มีการเจริ ญเติบโตของชุมชนอยางสมํ
การเลือกรปแบบการเดิ
ู ิ
นทาง (Modal split) การเกดการเดิ นทางที่ประมาณคาได้ ่ จะถูก
นํามาปรับแกให้ ้ สอดคล้องกบสั ั ดสวนการใช้
่ ่
ระบบขนสงสาธารณะและการเดิ นทางประเภทอื่นๆ
่
โดยทัว่ ไปสัดสวนการเลื อกรู ปแบบการเดินทางในโครงการพัฒนาที่มีลกั ษณะคล้ายคลึงกนในพื ั ้นที่
ที่มีลกั ษณะปกติธรรมดาทัว่ ไป อาจถูกนํามาประยุกต์ใช้ ถ้าในโครงการพัฒนาที่ดาํ เนิ นการอยูน่ ้ ัน
ไมได้่ ทาํ การศึกษาการเลือกรู ปแบบการเดินทางไว้
่
ปรับปรุ งดังกลาวนอกจากจะเน้ นเรื่ องการใช้งานแล้ว ควรคํานึ งถึงความสวยงามและมุมมองจาก
ชุมชนด้วย
การควบคมุความต้ องการเดินทาง (Demand management programs) เป็ นเครื่ องมือที่มี
ประสิ ทธิ ภาพสําหรั บควบคุ มจํานวนยวดยานที่ มาใช้โครงขายถนน ่ และสัญจรภายในโครงการ
รวมถึงเข้ามาใช้พ้ืนที่จอดรถภายในโครงการ การประสานความรวมมื ่ อกบหนวยงานขนสงภายใน
ั ่ ่
ชุมชนในการจัดเส้นทางการให้บริ การระบบขนสงสาธารณะให้ ่ ั
สอดคล้องกบความต้ องการของ
ผูค้ นที่ตอ้ งการเดินทางมายังโครงการ หรื อการสร้างแรงจูงใจแกผู่ เ้ ดินทาง อาทิ การให้สิทธิ พิเศษ
การยกเว้นคาที ่ ่จอดรถ ฯลฯ เป็ นแนวทางหนึ่งที่มีประสิ ทธิภาพในการลดจํานวนยวดยานที่เข้ามายัง
โครงการ ในกรณี ที่โครงการมีลกั ษณะเป็ นศูนย์กลางการจ้างงานขนาดใหญ่ การเหลื่อมเวลาหรื อ
ยืดหยุ่นเวลาทํางาน กเป็ ็ นวิธีการหนึ่ งที่ช่วยลดความหนาแนนของการจราจรโดยเฉพาะอยา
่ ่ งยิ่งใน
่
ชวงเวลาเรงดวน ่ ่
7.2. การศึกษาการจอดรถ
พื้นที่จอดรถเป็ นสวนหนึ่ ่ งของระบบขนสงที ่ ่มีอิทธิ พลตอการเดิ
่ นทางของผูคน ่่
้ ไมวาจะ
เป็ นการเลือกรู ปแบบการเดินทาง ความหนาแนนของปริ ่ ่ จ่ายใน
มาณจราจรในเขตเมือง หรื อคาใช้
การเดิ นทาง เป็ นต้น ด้วยเหตุน้ ี การจัดพื้ นที่ จอดรถที่ มีรูปแบบเหมาะสมและเพียงพอกบความั
่ ง่ ในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแนนและมี
ต้องการ จึงเป็ นสิ่ งจําเป็ นโดยเฉพาะอยางยิ ่ ความต้องการใช้ที่
จอดรถสูง
7.2.1. ประเภทของการศึกษาการจอดรถ
โดยทัว่ ไปการศึกษาการจอดรถประกอบด้วย การศึกษาความเป็ นไปได้ทางการลงทุน การ
ออกแบบประโยชน์การใช้งาน การออกแบบโครงสร้าง และการศึกษาความต้องการใช้งานที่จอด
่
รถ อยางไรกดี ็ เนื้ อ หาในบทนี้ จ ะมุ่ ง เน้นไปที่ ก า รศึ ก ษาความต้องการใช้ง านที่ จ อดรถและการ
ออกแบบประโยชน์การใช้งานเป็ นสําคัญ การศึกษาดังกลาวแบงออกได้ ่ ่ เป็ น 3 วิธี ได้แก่ การศึกษา
แผนหลัก การศึกษาแบบจํากดั และการศึกษาเฉพาะพื้นที่
การศึกษาแผนหลัก (Comprehensive studies) เป็ นการศึกษาการจอดรถแบบครอบคลุมทั้ ง
พื้นที่ เชน่ การศึกษาการจอดรถของพื้นที่ศูนย์กลางธุรกจิ (Central business district, CBD) เป็ นต้น
โดยมีวตั ถุประสงค์หลักเพื่อหาความต้องการการใช้พ้ืนที่จอดรถเป็ นสําคัญ ทั้ งนี้ ความต้องการใช้
่
พื้ น ที่ จ อดรถอาจถู ก ควบคุ ม โดยเงื่ อ นไขและสภาพของชุ ม ชน ทํา ให้ไ มสามารถบงบอกความ ่
ต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถที่แท้จริ งได้ การสํารวจข้อมูลภาคสนามจะทําให้ได้ขอ้ มูลที่จาํ เป็ นสําหรับ
การออกแบบ ไมวาจะเป็ ่่ น ข้อ มู ล พฤติ ก รรมการเดิ น ทาง ความต้อ งการใช้พ้ื น ที่ จ อดรถ และ
พฤติกรรมการใช้พ้ืนที่จอดรถ เป็ นต้น ข้อมูลความต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถ จะถูกนํามาสร้ างเป็ น
จํานวนพื้นที่ที่ถูกครอบครอง
การครอบครองพื้นที่จอดรถ = 100 × (7.2)
พื้นที่จอดรถทั้งหมด
การสะสมของยวดยาน = จํานวนยวดยานทั้ งหมดที่จอดอยู่ ณ เวลาที่ทําการศึกษา (7.3)
่ จอดรถ = จํานวนยวดยานที่ใช้ช่องจอดรถเดิมอยางตอเนื
การครอบครองชอง ่ ่ ่องในชวงเวลา
่ (7.4)
ที่ทาํ การศึกษา (ถ้าครอบครองเป็ นเวลา 4 ชัว่ โมงหรื อนานกวา่
่
นั้ นในชวงเวลา ่ อตั ราการครอบ
8 ชัว่ โมงที่ทาํ การศึกษา ถือวามี
่
ครองชองจอดรถสู ง)
ผลรวมของเวลาครอบครองพื้นที่จอดรถของยวดยานแตละคั ่ น
เวลาเฉลี่ยในการครอบครองพื้นที่จอดรถ = (7.5)
จํานวนยวดยานทั้ งหมดที่เข้ามาจอดในพื้นที่
N
∑t i
= i =1
N
่
โดยที่ ti คือ ชวงเวลาการครอบครองพื
้นที่จอดรถของยวดยานคันที่ i
่ ่
พิจารณาตัวอยางตอไปนี ้ : ห้างสรรพสิ นค้าตา่งจังหวัดแหงหนึ
่ ่ งที่กาลั ่ าง มีพ้ืนที่
ํ งจะกอสร้
่ าหรับการลงทุนทั้ งสิ้ น 1,000,000 ตารางฟุต ร้อยละ 15 ของพื้นที่ท้ งั หมดถูกจัดสรรไว้
เปิ ดให้เชาสํ
สําหรับโรงภาพยนต์ ร้านอาหาร และแหลงบั ่ นเทิงอื่นๆ จากข้อมูลดังกลาวผู
่ อ้ อกแบบควรจัดพื้นที่
่ พิจารณาตารางที่ 7.1 ในกรณี น้ ี สัดสวนพื
จอดรถไว้เป็ นจํานวนเทาไร ่ ้นที่จอดรถมีค่าเทากบ่ ั 4.65 ที่
ตอ่ 1,000 ตารางฟุตของพื้นที่ท้ งั หมดที่เปิ ดให้เชา่ ดังนั้ นจํานวนพื้นที่จอดรถที่ตอ้ งจัดเตรี ยมไว้
จะต้องเทากบ่ ั
1,000,000
= 4.65 ×
1,000
= 4,650 ที่จอดรถ
ความต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถอาจประมาณโดยพิจารณารายละเอียดของข้อมูลมากยิ่งขึ้ น
่
โดยใช้สมการตอไปนี้
N K R P × pr
D= (7.6)
O
K = ่ ิ ิ
สัดสวนของการเกดกจกรรมที ่
่จุดปลายทางในชวงเวลาใดเวลาหนึ ่ง
R = คน-จุดปลายทาง ตอวั่ น (หรื อหนวยเวลาอื
่ ่ ่
่นๆ) ตอหนวยของ ิ
กจกรรม
P = ่
สัดสวนของผูเ้ ดินทางที่มาถึงพื้นที่ศึกษาด้วยรถยนต์
O = ่
คาการครอบครองเฉลี ่ยของรถยนต์
pr = ่
สัดสวนของผู ิ
ค้ นที่มีวตั ถุประสงค์หลักเพื่อประกอบกจกรรมที ่สอดคล้อง
ั กษณะการใช้พ้ืนที่ของพื้นที่ศึกษา
กบลั
่
เพื่อเป็ นการแสดงตัวอยางการ ่ ่
คํานวณ จงพิจารณาตัวอยางตอไปนี ้ ศูนย์การค้าแหง่หนึ่ งมี
พื้นที่ 400,000 ตารางฟุต ตั้ งอยูใ่ จกลางพื้นที่ศูนย์กลางธุรกจิ (CBD) ของเมือง โดยมีขอ้ มูลพื้นฐาน
ดังนี้
ํ
กาหนดให้ ่
หนวยของขนาดพื ้นที่เป็ น 1,000 ตารางฟุตของ GLA ดังนั้ น จะได้ N = 400 จาก
่
สมการที่ (7.6) คาความต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถสูงสุ ด สามารถคํานวณได้ดงั นี้
• สําหรับการจอดแบบขนานขอบถนน: ความยาวชองจอดรถเทากบ
่ ่ ั 23 ฟุตตอชอง
่ ่
• สําหรับการจอดแบบทํามุมกบขอบถนน
ั ่ ่ ั 12 ฟุตตอชอง
: ความยาวชองจอดรถเทากบ ่ ่
• สําหรับการจอดทํามุม 90o กบขอบถนน
ั ่ ่ ั 9.5 ฟุตตอชอง
: ความยาวชองจอดรถเทากบ ่ ่
่ ํ
รู ปที่ 7.1 แสดงตัวอยางของระบบการกาหนดรหั ่ าหรับการสํารวจข้อมูลพื้นที่
สแบบงายสํ
จอดรถแบบชิ ดขอบถนนในเมืองที่มีรูปแบบการจัดพื้ นที่ของเมื องเป็ นแบบตาราง และรู ปที่ 7.2
่
แสดงตัวอยางแบบบั นทึกข้อมูลสําหรับการสํารวจการจอดรถแบบชิดขอบถนน
ํ
รู ปที่ 7.1 การกาหนดรหั ่ าหรับการสํารวจข้อมูลพื้นที่จอดรถแบบชิดขอบถนนในเมือง
สแบบงายสํ
ที่มา: Roess, Prassas and McShane (2004)
ํ
ในกรณี ที่มีการกาหนด ่
ข้อบังคับและชวงเวลาที ่อนุ ญาตให้จอดรถได้ จํานวนที่จอดรถที่
สามารถรองรับความต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถ และระยะเวลาเฉลี่ยของการจอดรถจะได้รับอิทธิ พล
่ ในกรณี น้ ี เราสามารถประมาณคาความสามารถในการรองรั
จากปั จจัยดังกลาว ่ บความต้องการใช้
่
พื้นที่จอดรถในชวงเวลาที ํ
่กาหนด ่
ได้จากสมการตอไปนี้
⎛ ∑ NT ⎞
⎜ ⎟
P=⎜ n ⎟× F (7.7)
⎜ D ⎟
⎝ ⎠
่ ่
พิจารณาตัวอยางตอไปนี ่
้ จากการศึกษาพื้นที่จอดรถในชวงเวลา 11 ชัว่ โมง พบวา่ มีที่จอด
่
รถ 450 ที่ ซึ่ งวางพอสํ าหรับช่วงเวลา 12 ชัว่ โมง ที่จอดรถ 280 ที่ ซึ่ งวางพอสํ
่ ่
าหรับชวงเวลา 6
่
ชัว่ โมง ที่จอดรถ 150 ที่ ซึ่งวางพอสํ ่
าหรับชวงเวลา ่
7 ชัว่ โมง และที่จอดรถ 100 ที่ ซึ่ งวางพอสํ าหรับ
่
ชวงเวลา ่ ่ยของระยะเวลาที่ใช้ในการจอดรถเทากบ
5 ชัว่ โมง คาเฉลี ่ ั 1.4 ชัว่ โมง ความสามารถในการ
รองรับความต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถสามารถคํานวณได้จาก
= 5,548 คัน
่ ่ยของเวลาที่ใช้ในการจอดรถในเขตเมืองจําแนกตามวัตถุประสงค์การเดินทาง
ตารางที่ 7.2 คาเฉลี
วัตถุประสงค์การเดินทาง เวลาเฉลี่ย
(ชัว่ โมง นาที)
เมือง Boston เมือง Charlotte
(1972) (1987)
ไปทํางาน
• ผูจ้ ดั การ 5 ชัว่ โมง 30 นาที
• นายจ้าง 5 ชัว่ โมง 59 นาที
• รวมทั้ งหมด 8 ชัว่ โมง 8 นาที
ิ ่ ว
ธุรกจสวนตั 2 ชัว่ โมง 6 นาที 1 ชัว่ โมง 5 นาที
่ ่ยของเวลาที่ใช้ในการจอดรถ สามารถคํานวณได้จากสมการตอไปนี
คาเฉลี ่ ้
∑ (N x × X × I)
D= x
(7.8)
NT
่
การครอบครองชองจอดรถ ่ ตราการครอบครอง
(Turnover) สามารถแสดงในรู ปของคาอั
่
ชองจอดรถ ่
(Turnover rate, TR) และสามารถคํานวณได้จากสมการตอไปนี้
TR =
NT
(7.9)
PS × TS
โดยที่ TR = ่
อัตราการครอบครองชองจอดรถ หนวย่ คันตอชองตอชั
่ ่ ่ ว่ โมง
NT = จํานวนยวดยานรวมที่ได้จากการสังเกตการจอดรถ
PS = ่ ่ กต้องตามระเบียบ
จํานวนยวดยานทั้ งหมดที่จอดในชองจอดรถอยางถู
TS = ่ ชัว่ โมง
ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา หนวย
่
ตัวอยางของแบบบั ่
นทึกข้อมูลสําหรับการสํารวจการจอดรถยนต์ในชองจอด ดังแสดงใน
รู ปที่ 7.3
่
รู ปที่ 7.3 แบบบันทึกข้อมูลสําหรับการสํารวจการจอดรถยนต์ในชองจอด
ที่มา: Institute of Transportation Engineers (1976) อ้างถึงใน Roess, Prassas, and McShane (2004)
[(875 × 1× 0.5) + (490 × 2 × 0.5) + (308 × 3 × 0.5) + (275 × 4 × 0.5) + (143 × 5 × 0.5) + (28 × 6 × 0.5)]
D=
2,119
่ น
D = 1.12 ชัว่ โมงตอคั
่
และอัตราการครอบครองชองจอดรถ หาได้จาก
TR =
2,119
่ ่ ่ ว่ โมง
= 0.20 คันตอชองตอชั
1,500 × 7
ํ
ตารางที่ 7.4 ข้อกาหนดในการออกแบบความกว้ ่ าหรับกลุ่มผูใ้ ช้บริ การที่แตกตางกน
างชองจอดรถสํ ่ ั
ระดับชั้ นของ ่
ความกว้างชองจอดรถ ่
การครอบครองชองจอดรถ กลุ่มผูใ้ ช้บริ การ
พื้นที่จอดรถ (ฟุต) ตํ่า กลาง สูง
A 9.00 9 ่ ้นที่ ธนาคาร
ผูใ้ ช้บริ การเชาพื
ร้านอาหารจานดวน ่ และ
ผูใ้ ช้บริ การอื่นๆ ที่ตอ้ งจอดรถไว้
นานๆ
B 8.75 9 9 ่ ้นที่ ผูเ้ ข้าเยีย่ มชม
ผูใ้ ช้บริ การเชาพื
พื้นที่
C 8.50 9 9 ผูเ้ ข้าเยีย่ มชมพื้นที่ พนักงานบริ ษทั
ที่พกั อาศัย สนามบิน โรงพยาบาล
D 8.25 9 อุตสาหกรรม ผูเ้ ดินทางไปทํางาน
มหาวิทยาลัย
ที่มา: ดัดแปลงจาก The Institute of Transportation Engineers, Guideline for parking Facility Location and Design: A
Recommended Practice of the ITE, Washington DC., 1994 อ้างถึงใน Roess, Prassas, and McShane (2004)
่
รู ปที่ 7.7 การวางผังพื้นที่จอดรถและรู ปแบบของชองจอดรถในกรณี ที่มียวดยานขนาดเล็กและขนาด
่ ที่จอดรถรวมกน
ใหญมาใช้ ่ ั
ที่มา: The Institute of Transportation Engineers, Guideline for parking Facility Location and Design: A Recommended Practice of
the ITE, Washington DC., 1994 อ้างถึงใน Roess, Prassas, and McShane (2004)
7.2.3.3. โรงจอดรถ
โรงจอดรถ (Parking garage) สามารถจําแนกได้เป็ น 2 กลุ่มใหญ่ ตามลักษณะการทําหน้าที่
ของทางลาดเชื่อม (Ramps) ภายในโรงจอดรถ ได้แก่
• ระบบเน้นความคลองตั ่ ว (Clearway systems) โรงจอดรถรู ปแบบนี้ จะมีทางลาดเชื่ อม
สําหรับสัญจรระหวางชั ่ ้ นแยกจากกนอยางเด็
ั ่ ดขาดจากทางลาดเชื่ อมสําหรั บใช้เป็ นทาง
เข้า-ออกจากโรงจอดรถ
• ระบบเน้นการเชื่อมตอระหวางพื ่ ่ ้นที่ (Adjacent parking systems) โรงจอดรถรู ปแบบนี้ จะมี
ทางลาดเชื่ อมบางสวนหรื ่ ่ ่นาํ ยวดยานเข้าไปสู่ พ้ืนที่
อทั้ งหมดที่ทาํ หน้าที่เป็ นจุดเชื่อมตอที
จอดรถที่อยูช่ ้ นั ติดๆ กนั
คําถามท้ ายบท
1. คอนโดมิเนี ยมที่กาลั ่ างขึ้ นใหมมี่ จาํ นวนห้องพักทั้ งสิ้ น 600 หนวย
ํ งจะกอสร้ ่ จงหาวาความ
่
ต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถสู งสุ ด (Peak parking demand) สําหรับคอนโดมิเนี ยมนี้ มีค่าเทาไร ่
สมมติว่าคอนโดมิเนียมดังกลาว ่ สร้างอยูใ่ นตําแหนงที ่ ่ระบบขนสงสาธาร
่ ่
ณะไมสามารถเข้ าถึง
ได้เลย
2. ศูนย์การค้าแหงหนึ ่ ่ งที่กาลั
ํ งจะสร้างขึ้ นใหม่ มีพ้ืนที่ประกอบกจกรรมทางการค้
ิ า (GLA) ทั้ งสิ้ น
600,000 ตารางฟุต เมื่อสร้างเสร็ จแล้วคาดหวังวา่ร้อยละ 10 ของพื้นที่ภายในจะถูกใช้เป็ นโรง
ภาพยนต์และร้านอาหาร จากข้อมูลดังกลาวจงวิ ่ เคราะห์หาความต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถสู งสุ ด
ของศูนย์การค้าแหงนี ่ ้
3. จากคําถามข้อที่ 1 และ 2 ความสามารถในการรองรับความต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถที่ผวู ้ างแผน
ต้องเตรี ยมไว้สาํ หรับความต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถในคําถามข้อที่ 1 และ 2 คิดเป็ นจํานวนเทาไร ่
4. สํานักงานแหงหนึ ่ ่ งต้องการจ้างพนักงานประจําจํานวน 2,000 ตําแหนง่ เพื่อทํางานในตําแหนง่
่ คนนอกพื้นที่ที่เข้าเยีย่ มชมสํานักงานถือวามี
ตางๆ ่ นอ้ ยมาก พนักงานแตละคนเดิ
่ นทางคิดเป็ น 1
คน-จุดปลายทาง ตอวั ่ น ในการเดินทางดังกลาว ่ คาดวาร้ ่ อยละ 35 เป็ นการเดิ นทางที่เกดขึ ิ ้น
่ ่ ่ มีเพียงร้อยละ 7 ของพนักงานที่มายังสํานักงานด้วยระบบขนสงสาธารณะ
ในชวงเรงดวน ่
ํ
กาหนดให้ ค่าเฉลี่ยของการครอบครองพื้นที่จอดรถเทากบ ่ ั 1.3 จากข้อมูลดังกลาว ่ จงหาความ
ต้องการใช้พ้ืนที่จอดรถสู งสุ ดสําหรับสํานักงานแหงนี ่ ้
5. ในการศึกษาการจอดรถครั้ งหนึ่ง พบวาคาเฉลี ่ ่ ่ยของเวลาที่ใช้ในการจอดรถมีค่าเทากบ ่ ั 35 นาที
่ าหรับการจอดในชวงเวลา
และมีที่วางสํ ่ 14 ชัว่ โมงที่ทาํ การศึกษา (ตั้ งแต่ 6.00 น. ถึง 20.00 น.)
ํ ่
กาหนดคาประสิ ทธิ ผลของที่จอดรถเทากบ ่ ั 0.90 จงหาจํานวนยวดยานที่เข้าจอดในพื้นที่จอดรถ
่
ในชวงเวลา 14 ชัว่ โมง
บทที 8 การควบคมความต้
ุ องการเดินทางและการจัดการการจราจร
(Travel Demand Management and Traffic Management)
เนื อหาในบทนี จะกล่ าวถึง สาเหตุของปั ญหาการจราจรติดขัดและแนวทางแก้ ไข ความหมายและหลักการของ
การควบคุมความต้ องการเดิ นทาง วัตถุประสงค์ ของการนําการควบคุมความต้ องการเดิ นทางมากประยุกต์ ใช้
ประเภทของมาตรการควบคุมความต้ องการเดินทาง มาตรการควบคุมความต้ องการเดินทางกับการแก้ ปัญหา
จราจรในต่ างประเทศ การประยุกต์ มาตรการควบคุมความต้ องการเดินทางในประเทศไทย การจัดการการจราจร
และอุปสรรคในการประยุกต์ การควบคุมความต้ องการเดินทางและการจัดการจราจรในประเทศไทย
การจราจรติ ด ขัด เป็ นปั ญ หาที่ อ ยู่คู่ กับกรุ ง เทพมหานครมาอยางตอเนื ่ ่ ่ อ งและยาว นาน
กรุ งเทพมหานครเคยถูกจัดอันดับให้เป็ นเมืองที่มีปัญหาการจราจรติดขัดติดอันดับโลกเลยทีเดี ยว
รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยพยายามแกไขปั ้ ญหาที่ว่านี้ และบางครั้ งกได้ ็ นาํ ความพยายามดังกลาวมาใช้
่ ใน
การหาเสี ยง ซึ่ งกทํ ็ าให้การหาเสี ยงนั้ นได้ผล แตอยางไรกดี ่ ่ ็ ปัญหาจราจรติดขัดกยั็ งคงเกดขึ
ิ ้ นอยู่
เชน่เดิ ม ทําไมปั ญหาดังกลาว ่ ยังคงอยู่ท้ งั ๆ ที่หลายฝ่ ายที่ เกี่ ยวข้องกได้็ พยายามแกไข ้ อยางเต็
่ มที่
เป็ นไปได้หรื อไมวาเป็ ่ ่ นเพราะเราใช้วิธีการที่ไมเหมาะสมจั ่ ั ญหา
ดการกบปั
ในบทนี้ เราจะได้เรี ยนรู ้ถึงสาเหตุที่ก่อให้เกดปั ิ ญหาจราจร โดยพิจารณากรุ งเทพมหานคร
เป็ นพื้ น ที่ ศึ ก ษา เนื่ อ งจากเป็ นพื้ น ที่ ที่ เ ป็ นศู น ย์ร วมของความเจริ ญ ในทุ ก ๆ ด้า นของประเทศ
ขณะเดียวกนก ั เ็ ป็ นศูนย์รวมของปั ญหาทุกประเภท รวมถึงปัญหาจราจรติดขัดด้วยเชนกน ่ ั จากนั้ นจะ
นําเสนอแนวทางแกไขปั ้ ญหาจราจรอยางยั ่ ง่ ยืน ซึ่งได้แก่ การควบคุมความต้องการเดินทาง และการ
จัดการการจราจร
8.1. สาเหตของปั
ุ ญหาการจราจรติดขัดและแนวทางแก้ ไข
8.1.1. สาเหตของการจราจรติ
ุ ดขัด
่
การจราจรติดขัดมีสาเหตุหลักพอสรุ ปได้ดงั ตอไปนี
้
่ ยงพอ
1. พื้นผิวจราจรไมเพี
2. ถนนและโครงขายถนน ่ ่ รณ์: ถนนเป็ นหลุมเป็ นบอ่ ถนนขาดความตอเนื
ไมสมบู ่ ่ อง ขาดถนนที่
กระจายปริ มาณการจราจรและถนนเข้าออกที่สะดวก
่
3. ระบบขนสงสาธารณะ ไมมี่ ประสิ ทธิภาพ:
่
ปั จจัยที่กลาวมานี้ คือรายละเอียดของปั จจัยทั้ งหมดที่เป็ นสาเหตุของการจราจรติดขัด แตถ้่ า
พิจารณาในภาพรวมของความต้องการเดินทางและองค์ประกอบรองรับความต้องการเดินทาง อาจ
่
กลาวได้ ว่ า การจราจร ติ ด ขัด นั้ น โดยแท้จ ริ ง แล้ว เป็ นผลมาจากความต้อ งการใช้ถ นน (Travel
่
demand or Transport demand) ที่มีปริ มาณมากกวาความสามารถของถนน (Capacity of road
networks) ที่จะรองรับความต้องการดังกลาวได้่ ซึ่งโดยมากแล้ว ความต้องการใช้ถนนที่ก่อให้เกดิ
8.1.2. แนวทางแก้ไข
จากสาเหตุของปั ญหาจราจรตามที่กลาวข้่ างต้น ทําให้เกดแนวทางแกไขปั
ิ ้ ญหาการจราจร
่ ั ่ ด เจน ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู่กับ การพิ จ ารณาปั ญ หาดัง กลาววา
ติ ด ขัด ที่ แ ตกตางกนอยางชั ่ ่ มี ส าเหตุ ม าจาก
องค์ประกอบใด ซึ่ งโดยทัว่ ไป สาม ารถจําแนกออกได้เ ป็ น 2 แนวทาง ได้แ ก่ การแกไขปั ้ ญหา
การจราจรติดขัดโดยพิจารณาอุปสงค์การเดินทาง (Demand side consideration) และการแกไข ้
ปั ญหาการจราจรติดขัดโดยพิจารณาองค์ประกอบรองรับการเดินทาง (Supply side consideration)
การแก้ ไขปัญหาการจราจรติดขัดโดยพิจารณาอปสง ุ ค์ การเดินทาง มีหลักการที่มุ่งเน้นการ
จัด การ การควบคุ ม และการเปลี่ ยนแปลงความต้องการเดิ น ทางให้อยู่ใ นระดับที่ เ หมาะสมกบั
องค์ประกอบรองรับการเดิ นทางที่มีอยู่ วิธีการที่นิยมใช้ในทางปฏิบตั ิ ได้แก่ การควบคุมความ
ต้องการเดินทาง (Travel demand management, TDM) โดยมีมาตรการที่นิยมนํามาประยุกต์ใช้ อาทิ
• การสัญจรรวมกน
่ ั อาทิ Car-sharing Vanpooling Park and ride เป็ นต้น
• การสนับสนุ นด้านการเงิน อาทิ การให้สิทธิ พิเศษแกผู่ ใ้ ช้ระบบขนสงสาธารณะโดย
่
่
ได้รับการลดหยอนภาษี เป็ นต้น
• การเหลื่อมเวลาทํางาน
• การใช้มาตรการด้านผังเมือง
8.3. วัตถประสงค์
ุ ของการนําการควบคมความต้
ุ องการเดินทางมากประยกต์ ุ ใช้
Transportation Canada (1999) (อ้างถึงใน พุทธิพนั ธุ์ เศรณี ปราการ, 2550) กลาววา ่ ่ การ
ควบคุมความต้องการเดิ นทางนั้ น มิ ได้มุ่งเน้นเพียงการแกปั้ ญหาการจราจรเพียงอยางเดี ่ ยวแตยั่ ง
มุ่งหวังให้เกดการเดิ
ิ นทางและการขนสงที ่ ่ยงั่ ยืนด้วย โดยมีเป้ าหมาย คือ เพื่อตอบสนองและจัดการ
ความต้องการการเดินทางโดยพิจารณาถึงผลกระทบตอ่สิ่ งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกจเป็ ิ นสําคัญ
่
โดยมีวตั ถุประสงค์หลักของการนําหลักการดังกลาวมาประยุ กต์ใช้ ดังนี้ (Victoria Transport Policy
Institute, 2007)
8.4.1. การปรับปรงุทางเลือกการเดินทาง
การปรับปรุ งทางเลือกการเดินทาง คือ การนํามาตรการควบคุมความต้องการเดิ นทางมา
่่
ประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุ งการเดินทางให้มีประสิ ทธิภาพ สะดวกสบาย และปลอดภัยมากขึ้ น ไมวาจะ
เป็ น การพัฒนารู ปแบบการเดิ นทาง หรื อการปรั บลักษณะการเดิ นทาง มาตรการควบคุ มความ
ต้องการเดินทางในกลุ่มนี้ ได้แก่
่
เป็ นต้น การพัฒนาระบบขนสงสาธารณะจั ดทําเพื่อเพิ่มปริ มาณผูเ้ ดินทางที่มาใช้ระบบนี้ และลดการ
เดิ นทางโดยรถยนต์ส่ วนบุคคล ซึ่ งการพัฒนาทําได้หลายแนวทางเชน่ เพิ่มเส้นทางเดิ นทาง เพิ่ม
่
ความถี่ในการให้บริ การ การให้สิทธิพิเศษ (สัญญาณไฟ ชองจราจร ) ปรับปรุ งที่นงั่ โดยสาร ตัวรถให้
สะอาดและสะดวกสบาย การเพิ่มความปลอดภัยในการเดิ นทาง การให้ขอ้ มูลการเดิ นทาง การ
พัฒนาการเข้าถึงสถานีให้ง่ายขึ้ น เป็ นต้น
1. มาตรการเกีย่ วกับความหนาแน่ นในการใช้ พนื้ ทีแ่ ละการจัดกล่ ุมพืน้ ที่ (Land use density
and clustering)
เพื่อสามารถวางแผนการจัดการความหนาแนน่ (จํานวนคนหรื อการจ้างงานที่เกดในพื ิ ้นที่)
ที่เพิ่มขึ้ น การวางแผนมีหลายระดับเชน่ ระดับชุมชน ระดับอําเภอ ระดับจังหวัดและระดับประเทศ
รวมทั้ งการจัดกลุ่มพื้นที่ที่มีลกั ษณะทางกจกรรมคล้
ิ ั ่ ศูนย์การค้า หรื อโรงแรมไว้อยูร่ วมกนั
ายกนเชน
่ านักงานตางๆโดยการจั
หรื อยานสํ ่ ดกลุ่มนั้ นทําเพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่ และการ
่ นทางของรู ปแบบการเดินทางตางๆ
เชื่อมตอเส้ ่ โดยลดการเดินทางด้วยรถยนต์และเพิ่มการเดินทาง
โดยระบบขนสงสาธารณะ ่ รวมทั้ งอํานวยความสะดวกแกการเดิ ่ นทางโดยไมใช้ ่ ยานยนต์เชน่ การ
เดินเท้า การปั่ นจักรยาน เป็ นต้น
8.5.4. บทสรปุ
จากที่นาํ เสนอไปทั้ งหมดนั้ น จะเห็ นได้ว่าในประเทศที่พฒั นาแล้ว เชน่ ประเทศในทวีป
อเมริ กา และประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ความสําเร็ จของการนํามาตรการ TDM มาประยุกต์ใช้
ิ
นั้ น เกดจากองค์ ประกอบสําคัญ 2 ประการ ได้แก่ ชุมชนและคนในชุมชน และภาครัฐ
ชมชนและคนในชมชน
ุ ุ
มาตรการ TDM ประสบความสําเร็ จในการประยุกต์ใช้ได้น้ นั ปั จจัยที่สาํ คัญประการหนึ่งมา
จากความต้อ งการของชุ ม ชน และคนในชุ ม ชนที่ ต ้อ งการปรั บ ปรุ ง พัฒ นา และเห็ น ความ
เปลี่ ย นแปลงไปในทางที่ ดี ข้ ึ น ของเมื อ งหรื อ ชุ ม ชนที่ พ วกเขาอาศัย อยู่ เมื่ อ คนในชุ ม ชนเห็ น
ความสําคัญของมาตรการ จึงพร้อมใจกนรณรงค์ ั ่ ่ งจังโดยไม่
และปฏิบตั ิตามแนวคิดดังกลาวอยางจริ
่ มงวดเชนในประเทศที
ต้องมีการบังคับใช้กฎข้อบังคับอยางเข้ ่ ํ งพัฒนา อาทิ ประเทศไทย เป็ นต้น
่กาลั
ิ
นอกจากนี้ การที่คนในชุมชนเป็ นผูร้ ิ เริ่ มให้เกดการใช้มาตรการดังกลาว ่ จึงเป็ นการถวงดุ
่ ลอํานาจการ
ตัดสิ นใจของภาครัฐที่จะทําการกอสร้่ างสาธารณูปโภคที่คนในชุมชนไมต้่ องการ เชน่ การกอสร้ ่ าง
่ ดผา่ นชุมชน เป็ นการกระตุน้ ให้เกดการใช้
ถนน หรื อทางดวนตั ิ รถยนต์ส่ วนบุคคลเพิ่มขึ้ น ซึ่ งขัดกบั
ความต้อ งการของชุ ม ชนที่ ต ้อ งการลดอํา นาจการใช้ร ถยนต์ ส่ วน บุ ค คล และรั ก ษาคุ ณ ภาพ
สิ่ งแวดล้อมของเมืองจึงพร้อมใจกนตอต้ั ่ านโครงการดังกลาวอยางจริ
่ ่ งจัง และเข้มแข็ง เป็ นต้น
ภาครัฐ
ปั จจัยอีกประการหนึ่ งที่ส่ งเสริ มให้การใช้มาตรการ TDM ประสบความสําเร็ จได้น้ นั คือ
การให้ความชวยเหลื ่ อจากภาครัฐในเรื่ องของกฎหมายและการบังคับใช้มาตรการ คนในชุมชนจะ
่
เป็ นปั จจัยสําคัญตอความสํ ่
าเร็ จของการใช้มาตรการถ้าคนในชุมชนสวนใหญเห็ ่ นความสําคัญของ
ประโยชน์ที่จะเกดขึ ิ ้ น แตถ้่ าในกรณี ของชุ มชนที่คนเห็ นความสําคัญมีจาํ นวนที่ก้ ากงกบคนที
ํ ่ึ ั ่ไม่
เห็ นความสําคัญ การใช้พลังจากมวลชนเพียงอยางเดี ่ ยวที่จะทําให้การประยุกต์ใช้มาตรการ TDM
่
ประสบความสําเร็ จได้น้ นั คงเป็ นไปได้ยาก ด้วยเหตุน้ ี ภาครัฐจึงต้องมีหนวยงานที ่ทาํ หน้าที่ควบคุม
ดูแล และตรวจสอบการบังคับใช้มาตรการให้เป็ นไปตามข้อกาหนดที ํ ่วางไว้
่ ั
โดยสรุ ปแล้วความแตกตางกนระหวางการใช้ ่ มาตรการ TDM ในประเทศพัฒนาแล้วกบั
ประเทศกาลั ํ ง พัฒ นานั้ น แตกตางกนที
่ ั ่ ค นในชุ ม ชน การที่ ค นในประเทศสิ ง คโปร์ ป ฏิ บ ัติ ต าม
กฎหมายอยางเข้ ่ มงวดนั้ นสวนหนึ่ ิ
่ งอาจเกดจากความมี ่ ่
วินัยในตนเอง แตไมอาจกล ่าวได้ว่าการ
่ ิ
ปฏิบตั ิดงั กลาวเกดจากความต้ องการที่จะปรับปรุ งและสภาพแวดล้อมของเมือง ในขณะที่ชุมชนใน
Stockholm และ Toronto เห็นความสําคัญของการปรับปรุ งและพัฒนาเมือง จึงพร้อมใจกนปฏิ ั บตั ิ
และสนับสนุ นมาตรการ TDM เอง โดยมีกฎหมายเป็ นเพียงสิ่ งที่ทาํ ให้มาตรการดังกลาวได้ ่ ถูก
ํ
กาหนดอยางเป็ ่ นทางการ และถูกต้องตามหลักการทางสังคมเทานั ่ ้น
8.6. การประยกต์
ุ มาตรการควบคมคว
ุ ามต้ องการเดินทางในประเทศไทย
้ ญ หาจราจรในกรุ ง เทพมหานครเป็ นสิ่ ง ที่ ภ าครั ฐ ให้ ค วามสํ า คัญ และได้
การแกไขปั
้ ญหาดังกลาว
ดําเนิ นการในหลายๆ แนวทางเพื่อแกไขปั ่ เชน่ การตัดถนนเพิ่ม การพัฒนาโครงขาย ่
่
ถนน การปรับปรุ งการให้บริ การขนสงสาธารณะ ่ งการแกไขปั
เป็ นต้น ในหัวข้อนี้ จะกลาวถึ ้ ญหา
็ ่ ่
1. การเกบคาผานทางเข้ าพื้นที่ ่ จ่ายที่
1. สะท้อนคาใช้ 1. ผูเ้ สี ยประโยชน์หรื อคน อยูใ่ นขั้ นตอน ? 1. มลพิษทางอากาศที่ลดลง ่ รับการยอมรับปฏิบตั ิใช้จาก
ไมได้ สจร.
็ ่ ่
เรี ยกเกบคาผานทางที ่รถยนต์วง่ิ เข้าพื้นที่ที่ แท้จริ งของการใช้พ้ืนผิว ในพื้นที่อาจต่อต้าน การศึกษา, 2545 2. จํานวนที่ลดลงของรถยนต์ ประชาชน
่
การจราจรติดขัดในชวงเวลาเรงดวน ่ ่ ถนนในการสัญจร 2. มีความยุง่ ยากในการ ่ วที่เข้าสู่ พ้ืนที่ควบคุม
สวนตั
2. มีรายได้เข้ารัฐเพือ่ จัดระบบการคิดอัตราคา่
นําไปใช้พฒั นา/ปรับปรุ ง ่
ผานทาง
คุณภาพการให้บริ การ
่
ระบบขนสงสาธารณะ
2. การห้ามรถยนต์ส่ วนบุคคลที่มีเฉพาะเลขตัว 1. สะท้อนคาใช้่ จ่ายที่ ิ
1. เกดการตอต้่ านจากผูใ้ ช้ ทําการศึกษาและ ? 1. มลพิษทางอากาศที่ลดลง ่ รับการยอมรับปฏิบตั ิใช้จาก
ไมได้ สจร.
สุ ดท้ายของป้ ายทะเบียนรถตรงกบเลขท้ ั ายของ แท้จริ งของการใช้พ้ืนผิว รถยนต์ส่ วนตัว วางแผน 2538- 2. จํานวนที่ลดลงของรถยนต์ ประชาชน
ํ
วันที่ วิง่ เข้าในเขตพื้นที่ที่กาหนดในชวงเรงดวน ่ ่ ่ ถนนในการสัญจร 2. ความยุง่ ยากในการวาง ปั จจุบนั ่ วที่เข้าสู่ พ้ืนที่ควบคุม
สวนตั
เช้า ็ นคา่
2. ในกรณี ที่เกบเงิ แผนการจัดการ
รถยนต์ส่ วนบุคคลที่มีเลขตัวสุ ดท้ายของ ่
ผานทางจะทํ าให้มีรายได้
ทะเบียนรถตรงกบเลขท้ ั ายของวันที่ จะถูกห้าม เข้ารัฐ
่ วงิ่ เข้าในเขตพื้นที่ที่กาหนด
ไมให้ ํ หรื ออาจต้อง
่ ่
ชําระเงินคาผานทางกอนถึ ่ งจะวิง่ ผานเข้ ่ าพื้นที่
่
ดังกลาวได้
3. การควบคุมการเดินรถบรรทุกในเขตเมือง 1. ลดอุบตั ิเหตุ - ดําเนินการอยูใ่ น 9 ความเร็ วเฉลี่ยโดยรวมที่เพิ่มขึ้ น ่ ่
ปฏิบตั ิใช้ได้ แตไมสามารถ สจร./ตร./
ํ
รถบรรทุกจะถูกกาหนดให้ ่ ามาใน
วง่ิ ผานเข้ 2. เพิ่มความคลองตั ่ วใน ปั จจุบนั แกปั้ ญหาจราจรในภาพรวมของ กทม.
่
เขตเมืองได้เฉพาะชวงเวลาที ํ
่กาหนดไว้ ่ ้น
เทานั ั
การสัญจรให้กบกระแส กรุ งเทพฯ ได้
จราจรโดยรวม
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
่
ชวงเวลาดํ
าเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
่ นรถประจําทางชนิดตามกระแสจราจร
4. ชองเดิ ่ วและ
เพิ่มความคลองตั ํ
1. การกาหนด bus lanes 2535-ปั จจุบนั 9 ความเร็ วเฉลี่ยที่เพิม่ ขึ้ นของสาย ่ มประสิ ทธิภาพ
ปฏิบตั ิใช้ได้ไมเต็ สจร./ตร./
(bus lanes) ความรวดเร็ วในการ ในบางเส้นทางอาจตัด การเดินรถที่ใช้ bus lanes เนื่องจากความไมสมบู ่ รณ์ของ กทม.
เพื่อปรับปรุ งความเร็ วของรถประจําทางและ ั
เดินทางให้กบรถโดยสาร ่
ผานหรื อขัดขวางกระแส ่
โครงขายถนน ่
ไมสามารถ
ํ
สร้างแรงจูงใจให้ใช้บริ การ โดยกาหนดให้ มีช่อง ประจําทาง การจราจรอื่นๆ แกปั้ ญหาจราจรในภาพรวมของ
จราจรเฉพาะรถประจําทางเทานั ่ ้น 2. ประโยชน์ที่ได้ยงั ไม่ กรุ งเทพฯ ได้
ชัดเจนเนื่องจากยังวิง่ ใน
ั
ทิศทางเดียวกบกระแส
จราจรอื่นๆ
่ นรถประจําทางชนิดทวนกระแสจราจร
5. ชองเดิ ่ วและ
เพิ่มความคลองตั ํ
การกาหนด bus lanes ใน 2535-ปั จจุบนั 9 ความเร็ วเฉลี่ยที่เพิม่ ขึ้ นของสาย ่ มประสิ ทธิภาพ
ปฏิบตั ิใช้ได้ไมเต็ สจร./ตร./
ํ
กาหนดให้ มีช่องจราจรเฉพาะรถประจําทาง ความรวดเร็ วในการ บางเส้นทางอาจตัดผาน ่ การเดินรถที่ใช้ bus lanes เนื่องจากความไมสมบู ่ รณ์ของ กทม.
่ ้ น และวิง่ ในทิศทางตรงกนข้
เทานั ั ามกบรถชนิ
ั ด ั
เดินทางให้กบรถโดยสาร หรื อขัดขวางกระแส ่
โครงขายถนน ่
ไมสามารถ
อื่น ประจําทาง การจราจรอื่นๆ แกปั้ ญหาจราจรในภาพรวมของ
กรุ งเทพฯ ได้
6. การประสานบริ การระบบขนสงประเภท ่ 1. ผูใ้ ช้บริ การได้รับความ 1. ระบบบริ หารการ ทําการศึกษาและ ? ปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนตัวที่ ่
ไมสามารถปฏิ บตั ิใช้ได้ท้ งั ระบบ สจร./รฟม./
ตางๆ่ /การประสานโครงการขนสงขนาดใหญ ่ ่ สะดวกสบายในการ จัดการมีความซับซ้อน วางแผน 2536- ลดลง เนื่องจากความไมพร้ ่ อมของระบบ กทม./ขสมก./
และโครงการศึกษาระบบโครงขายการขนสง ่ ่ เดินทางเพิ่มขึ้ น 2. ถ้าระบบการบริ หาร ปัจจุบนั ่
โครงขายถนนและระบบขนสง ่ จท./รฟท.
ั
สาธารณะทั้ งในประเภทเดียวกนและตาง ่ 2. ผูใ้ ช้บริ การประหยัด ดําเนินการทั้ งภายใน
่
ประเภท (การรวมบริ การขนสงโดยเฉพาะอยาง ่ ่ จ่ายในการเดินทาง
คาใช้ ั อ
องค์กรเดียวกนหรื
ยิง่ บริ การรถประจําทางและรถไฟในพื้นที่ที่มี ได้มากขึ้ น ่
ระหวางองค์ กรไมมี่
ขนาดใหญซึ่ ่ งมีบริ การขนสงที
่ ่จดั โดยหนวยงาน
่ ประสิ ทธิภาพ อาจ
ิ
รัฐวิสาหกจหลายหนวยงาน ่ และมีรูปแบบการ ั
ประสบกบภาวะขาดทุ น
เดินทางหลายชนิด) ได้
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
่
ชวงเวลาดํ
าเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
7. โครงการจัดระบบรถเมล์รางเพื่อเสริ มระบบ 1. ความรวดเร็ วในการ 1. ใช้งบประมาณในการ ทําการศึกษาและ r 1. ปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนตัว ่ นาํ ไป
เป็ นแผนการศึกษา ยังไมได้ สจร.
่
ขนสงสาธารณะ เดินทางเพิ่มขึ้ น ลงทุนสู ง วางแผน 2536-2537 ที่ลดลง ปฏิบตั ิ งบประมาณดําเนินการสู ง
การจัดระบบรถเมล์รางให้บริ การในเส้นทาง 2. เพิม่ ความปลดภัยใน 2. ระยะเวลาในการคืน 2. จํานวนการเปลี่ยนรู ปแบบการ
ํ
ที่มีการจราจรคับคัง่ โดยกาหนดให้มีทางสัญจร การเดินทาง/ลดอุบตั ิเหตุ ิ
ทุนกนเวลานาน เดินทางจากการใช้รถยนต์
่
เฉพาะแยกตางหากจากกระแสจราจรทั ว่ ไป ่ วมาเป็ นการเดินทาง
สวนตั
รู ปแบบราง
8. โครงการระบบรถไฟใต้ดิน (sub way) 1. ความรวดเร็วในการ 1. ใช้งบประมาณในการ เริ่ มให้บริ การ 2547 9 ปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนตัวที่ อยูใ่ นระหวางดํ ่ าง
่ าเนินการกอสร้ สจร./กทม./
่
บริ การขนสงมวลชนระบบรางขนาดใหญ ่ เดินทางเพิ่มขึ้ น ลงทุนสู ง ลดลง ่ างลาช้
แผนการดําเนินงานกอสร้ ่ า รฟม.
่
(Mass Transit) ที่มีเส้นทางสัญจรแยกตางหาก 2. ลดอุบตั ิเหตุบนท้อง 2. ระยะเวลาในการคืน กวาที่ ่ประมาณไว้
จากกระแสจราจรอยางเด็ ่ ดขาดด้วยการลดระดับ ถนน ิ
ทุนกนเวลานาน
่
ชองทางวิ ง่ ให้อยูต่ ่าํ กวาระดั
่ บผิวดิน 3. ผูโ้ ดยสารได้รับความ
สะดวกสบายเพิ่มขึ้ น
9. โครงการรถไฟฟ้ าขนสงมวล ่ ชน (BTS) 1. ความรวดเร็วในการ 1. ใช้งบประมาณในการ เริ่ มให้บริ การ ปี 2542 9 ปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนตัวที่ เปิ ดดําเนินการตั้ งแตปี่ 2542 มี สจร./กทม./
่
บริ การขนสงมวลชนระบบรางขนาดใหญ ่ เดินทางเพิ่มขึ้ น ลงทุนสู ง ลดลง จํานวนผูใ้ ช้บริ การเพิ่มมากขึ้ น รฟม.
่
(Mass Transit) ที่มีเส้นทางสัญจรแยกตางหาก 2. ลดอุบตั ิเหตุบนท้อง 2. ระยะเวลาในการคืน ่ ่
ตามลําดับ แตไมสามารถแกปั ้ ญหา
จากกระแสจราจรอยางเด็ ่ ดขาดด้วยการยกระดับ ถนน ิ
ทุนกนเวลานาน การจราจรของกรุ งเทพฯ ได้
่
ชองทางวิ ่
ง่ ให้สูงกวากระแสจราจรปกติ 3. ผูโ้ ดยสารได้รับความ เนื่องจากระยะทางให้บริ การสั้ น
สะดวกสบายเพิ่มขึ้ น ิ
เกนไป
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
่
ชวงเวลาดํ
าเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
่
ชวงเวลาดํ
าเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
12. มาตรการสงเสริ ่ มการขนสงสาธา ่ รณะ เพิ่มทางเลือกในการ ต้องใช้งบประมาณในการ 2536-ปั จจุบนั 9 ปริ มาณการใช้รถยนต์ส่ วนตัวที่ ่ มประสิ ทธิภาพ
ปฏิบตั ิใช้ได้ไมเต็ สจร./กทม./
รู ปแบบอื่นนอกเหนือจากรถประจําทาง เชน่ เรื อ เดินทางให้ปับผูใ้ ช้บริ การ ปรับปรุ งที่ค่อนข้างสู ง ลดลง ่
ไมสามารถแกปั ้ ญหาจราจรใน รฟม./จท.
และรถไฟชานเมือง ระบบขนสงสาธารณะ ่ ภาพรวมของกรุ งเทพฯ ได้
รู ปแบบอื่นๆ เชน่ รถไฟชานเมือง และเรื อ
ซึ่งเป็ นระบบขนสงที ่ ่มีอยูด่ งั เดิมแตมิ่ ได้
ให้บริ การแกผู่ โ้ ดยสารอยางเต็ ่ มประสิ ทธิภาพ
่ ่ควร ถูกนํามาพิจารณาปรับปรุ งให้มี
เทาที
คุณภาพการให้บริ การดีข้ ึนเพื่อเป็ นทางเลือกใน
การเดินทางให้กบผู ั โ้ ดยสาร
13. มาตรการสงเสริ ่ มการใช้รถแท็กซี่ /รถตู้ 1. เพิ่มทางเลือกในการ ผูใ้ ช้บริ การต้องเปลี่ยน 2536-ปั จจุบนั 9 จํานวนที่ลดลงของการเดินทาง ่ มประสิ ทธิภาพ
ปฏิบตั ิใช้ได้ไมเต็ สจร./ขสมก./
่
ขนสงมวลชนในการเดิ นทาง เดินทางให้กบผู ั เ้ ดินทาง รู ปแบบการเดินทาง ด้วยรถยนต์ส่ วนตัว ่
ไมสามารถแกปั ้ ญหาจราจรใน ขส.
ระบบขนสงแบบ ่ paratransit ได้รับการ 2. ผูใ้ ช้บริ การได้รับความ เพิ่มขึ้ น ภาพรวมของกรุ งเทพฯ ได้
่ มให้สามารถตอบสนองความต้องการใน
สงเสริ สะดวกสบายเพิ่มขึ้ น
การเดินทางและเป็ นทางเลือกให้กบผู ั โ้ ดยสารที่
ต้องการความรวดเร็ วในการเดินทาง โดยเฉพาะ
่ ง่ ในชวงเวลาเรงดวน
อยางยิ ่ ่ ่
14. การรณรงค์การให้ความสําคัญกบระบบ ั ประชาชนให้ความสําคัญ - อยูใ่ นขั้นตอน ? - ่ รับการยอมรับจากประชาชน
ไมได้ ตร./กทม./รฟ
่
ขนสงสาธารณะมากกวารถสวนบุ ่ ่ คคล และเห็นประโยชน์ที่ การศึกษา 2545 ่
เนื่องจากสวนใหญยั ่ งนิยมใช้ ม.
นโยบานของรัฐที่พยายามรณรงค์เพื่อ ได้รับจากระบบขนสง่ รถยนต์ส่ วนตัวอยู่
ปรับเปลี่ยนคานิ ่ ยมของคนในสังคมให้เกดิ สาธารณะพิ่มขึ้ น
จิตสํานึก และเห็นความสําคัญของการเดินทาง
ด้วยระบบขนสงส ่ าธารณะ
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
่
ชวงเวลาดํ
าเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
15. การจัดสัญญาณไฟจราจรที่ให้สิทธิ พิเศษแก่ 1. เพิม่ ความเร็ วในการ - อยูใ่ นขั้นตอน ? ความเร็ วเฉลี่ยในการเดินทาง ่
งบประมาณลงทุนสู ง ไมสามารถ กทม./ขสมก./
่
ระบบขนสงสาธารณะ ั
เดินทางให้กบระบบ การศึกษา 2545 ่
ของระบบขนสงสาธารณะที ่ ิ
จัดระบบได้ครบวงจร และเกดการ ตร./สจร./
่
การให้สิทธิพิเศษแกรถประจํ
าทาง หรื อ ่
ขนสงสาธารณะ เพิ่มขึ้ น ่ รฟท.
ขัดแย้งในการประสานงานระหวาง
รถราง โดยได้รับสัญญาณไฟจราจรพิเศษที่ 2. เป็ นจุดดึงดูดให้ผู ้ ่
หนวยงานที ่รับผิดชอบ
บริ เวณทางแยก เดินทางเปลี่ยนมาใช้
่
ระบบขนสงสาธารณะ
เพิ่มขึ้ น
16. บริ การรถรับ-สงนั่ กเรี ยน 1. ลดความแออัดของ - ดําเนินการอยูใ่ น 9 ความเร็ วเฉลี่ยของการเดินทาง ่ รับการยอมรับจากประชาชน
ไมได้ ศธ./ทุก
จัดบริ การรถโดยสารสําหรับนักเรี ยนเพื่อ การจราจรในชวงเวลา ่ ปัจจุบนั โดยรวมที่เพิ่มขึ้ น ่
เนื่องจากสวนใหญยั ่ งนิยมใช้ ่
หนวยงาน
่ กนักเรี ยนของผูป้ กครอง เรงดวน
เปลี่ยนวิธีการรับ-สงเด็ ่ ่ รถยนต์ส่ วนตัวอยู่
โดยใช้รถยนต์ส่ วนตัว มาใช้บริ การรถรับ-สงที ่ ่ 2. เพิ่มความรวดเร็วใน
ทางโรงเรี ยนจัดไว้สาํ หรับให้บริ การ การเดินทางโดยรวม
17. มาตรการการใช้รถรวมกน ่ ั รถรับ-สง่ 1. ลดความแออัดของ - 2536-ปั จจุบนั 9 ความเร็ วเฉลี่ยของการเดินทาง ่ รับการยอมรับจากประชาชน
ไมได้ ่
ทุกหนวยงาน
พนักงาน ลูกจ้าง การจราจรในชวงเวลา่ โดยรวมที่เพิ่มขึ้ น ่
สวนมาก
่ ่
จัดบริ การรถโดยสารสําหรับพนักงาน ลูกจ้าง เรงดวน
เพื่อเปลี่ยนวิธีการเดินทางจากการใช้รถยนต์ 2. เพิ่มความเร็ วเฉลี่ยของ
่ วมาเป็ นการเดินทางโดยใช้รถสวัสดิการที่ การเดินทางโดยรวม
สวนตั
่
ทางหนวยงานจั ดไว้ให้
18. รถบริ การในหมู่บา้ นและชุมชนชานเมือง ผูใ้ ช้บริ การซึ่ งอยูใ่ น ในการเดินทางออกจาก 2536-ปั จจุบนั 9 จํานวนการเดินทางด้วยรถยนต์ ่ รับการยอมรับจากประชาชน
ไมได้ ่
หนวยงานใน
่ โ้ ดยสารที่จดั ให้บริ การโดย ชุมชนได้รับความสะดวก
บริ การรถรับ-สงผู เขตพื้นที่ให้บริ การต้อง ่ วที่ลดลง
สวนตั ่
เนื่องจากสวนใหญยั ่ งนิยมใช้ ชุมชน
องค์กรในท้องถิ่น ในการเดินทางเพิ่มขึ้ น ่
ตอรถหลายเที ่ ยว รถยนต์ส่ วนตัวอยู่
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
่
ชวงเวลาดํ
าเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
่
ชวงเวลาดํ
าเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
23. การย้ายสถานีรถประจําทางออกจากบริ เวณ 1. ลดความแออัดของ อาจทําให้ตน้ ทุนการ ดําเนินการอยูใ่ น 9 ปริ มาณการจราจรในพื้นที่ที่ ่ มประสิ ทธิภาพ
ปฏิบตั ิใช้ได้ไมเต็ สจร./บขส./
ศูนย์กลางเมือง เมือง ดําเนินการของรถ ปั จจุบนั ลดลงหลังจากมีการย้าย ่
ไมสามารถแกปั ้ ญหาจราจรใน กทม.
ย้ายสถานีรถประจําทางในเมืองซึ่ งตั้งในเขต
2. สภาพการจราจร ่
โดยสารสู งขึ้ นสงผลทํ า สํานักงานออกไปแล้ว ภาพรวมของกรุ งเทพฯ ได้
ิ อใกล้พ้ืนที่ธุรกจิ ให้ไปตั้ งอยูน่ อก
พื้นที่ธุรกจหรื ่ วขึ้ นเนื่องจากมี
คลองตั ให้ค่าโดยสารสู งขึ้ นด้วย
เขตเมือง การขัดจังหวะการจราจร
จากพาหนะที่มีขนาด
่
ใหญลดลง
่ นค้าไปยังบริ เวณชาน 1. ลดความแออัดของ
24. การย้ายสถานีขนถายสิ อาจทําให้ตน้ ทุนของ เปิ ดดําเนินการแล้ว 9 ปริ มาณการจราจรในพื้นที่ที่ ่ มประสิ ทธิภาพ
ปฏิบตั ิใช้ได้ไมเต็ สจร./ขส.
เมือง เมือง ่
สิ นค้าสู งขึ้ นสงผลให้ ในปัจจุบนั ลดลงหลังจากมีการย้าย ่
ไมสามารถแกปั ้ ญหาจราจรใน
การกระจายสถานีขนสงสิ ่ นค้าจากบริ เวณ 2. สภาพการจราจร ราคาสิ นค้าสูงขึ้ นด้วย สํานักงานออกไปแล้ว ภาพรวมของกรุ งเทพฯ ได้
ศูนย์กลางเมืองไปยังบริ เวณชานเมืองเพื่อลด ่ วขึ้ นเนื่องจากมี
คลองตั
ความแออัดของยวดยาน การขัดจังหวะการจราจร
จากพาหนะที่มีขนาด
ใหญลดลง ่
25. การพัฒนาและควบคุมการใช้พ้ืนที่แยกเป็ น 1. สามารถควบคุม อาจต้องมีการ เริ่ มดําเนินการแล้วใน 9 - ่ มประสิ ทธิภาพ
ปฏิบตั ิใช้ได้ไมเต็ สจร./กทม./
ประเภทตางๆ่ (zoning) ปริ มาณการจราจรใน เปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ปั จจุบนั ่
ไมสามารถแกปั ้ ญหาจราจรใน ตร./ผม.
ํ
การกาหนดลั กษณะการใช้ประโยชน์พ้ืนที่ให้ พื้นที่ต่างๆ ได้อยางมี
่ และโครงสร้างของเมือง ภาพรวมของกรุ งเทพฯ ได้
มีความชัดเจน เพื่อความสะดวกในการควบคุม ประสิ ทธิภาพ ่ างขวาง ทําให้รัฐ
อยางกว้
ปริ มาณการเดินทางเข้าและออกพื้นที่ต่างๆ 2. สามารถวางแผนหรื อ ั ญหาตางๆ
ต้องพบกบปั ่
ํ
กาหนดมาตรการที ่ มากมาย
เหมาะสมกบแตละพื ั ่ ้นที่
ได้ดียง่ิ ขึ้ น
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
่
ชวงเวลาดํ
าเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
่
ชวงเวลาดํ
าเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
การดําเนินงาน
ดัชนีช้ ีวดั ความสําเร็จของ ่
หนวยงานที ่
มาตรการ ข้อดี ข้อเสี ย ผลการดําเนินมาตรการ
ช่วงเวลาดําเนินการ สถานะ มาตรการ รับผิดชอบ
33. สื่ อสารข้อมูลโดยรายงานสภาพจราจรผาน ่ 1. ผูเ้ ดินทางสามารถ 1. เงินลงทุนสู ง ดําเนินการแล้วใน 9 ประสิ ทธิภาพโดยรวม เชน่ สจร./กทม./
ระบบ Internet เข้าถึงข้อมูลได้สะดวก 2. ระบบ Internet ยังไม่ ปัจจุบนั ความเร็ วเฉลี่ยในการเดินทาง ตร.
ข้อมูลตางๆ่ ที่จาํ เป็ นตอการเดิ
่ ่่
นทางไมวาจะ รวดเร็ ว จากที่พกั อาศัย ทัว่ ถึงในบางพื้นที่ ความคลองตั ่ วในการเดินทางที่
เป็ น สภาพการจราจรบนท้องถนนในขณะนั้ นๆ 2. ผูเ้ ดินทางสามารถวาง เพิ่มขึ้ น
หรื อการเกดอุิ บตั ิเหตุ ฯลฯ จะถูกนําเสนอผาน ่ แผนการเดินทางได้
ทางระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อให้ผเู้ ดินทางสามารถ ่
ลวงหน้ า ลดปั ญหา
่
นําข้อมูลดังกลาวไปใช้ สาํ หรับวางแผนการ การจราจรติดขัดในบาง
่
เดินทางลวงหน้ า เส้นทางได้
่ มการใช้ระบบโทรคมนาคมเพื่อลด
34. สงเสริ ปริ มาณการเดินทางลดลง เงินลงทุนสู ง ํ
กาหนดเป็ นแผน ? ประสิ ทธิภาพโดยรวม เชน่ ่
งบประมาณลงทุนสู ง ไมสามารถ สจร./ทุก
การเดินทางที่ไมจํ่ าเป็ น จํานวนยวดยานลดลง ทํา 2545 ความเร็ วเฉลี่ยในการเดินทาง ิ
จัดระบบได้ครบวงจร และเกดการ ่
หนวยงานที ่
ให้ปริ มาณการจราจร ความคลองตั ่ วในการเดินทางที่ ่ เกยวข้
ขัดแย้งในการประสานงานระหวาง ี่ อง
ติดขัดลดลง เพิ่มขึ้ น ่
หนวยงานที ่รับผิดชอบ
8.7.1. ความหมายของการจัดการการจราจร
การจัดการการจราจร (Traffic management) หมายถึง แนวทางแกไขปั ้ ญหาจราจรที่มุ่งเน้น
การเพิ่มศักยภาพในการเคลื่อนตัวของกระแสจราจร และการปรับปรุ งสภาพการจราจร โดยการใช้
พื้นผิวจราจรที่มีอยูเ่ ดิมให้เกดประโยชน์
ิ สูงสุ ด ด้วยการเพิ่มความจุ หรื อความสามารถในการรองรับ
ปริ มาณการจราจรของถนน โดยหลีกเลี่ยงการกอสร้ ่ างขนาดใหญ่ อาทิเชน่ การกอสร้่ าง หรื อตัด
ถนนเส้นใหม่ (ยอดพล ธนาบริ บูรณ์, 2542) ทั้ งนี้ การจัดการการจราจร จะเน้นไปที่องค์ประกอบ
รองรับการเดินทาง (Supply side consideration) แทนการมุ่งเน้นการควบคุมความต้องการเดินทาง
่ ง
ตามที่ได้กลาวถึ
8.7.2. วัตถประสงค์
ุ ของการนํามาตรการการจัดการการจราจรไปประยกต์ ุ ใช้
• เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกให้กบผู ั ข้ บั ขี่ยวดยาน คนเดินเท้า และผูท้ ี่มี
ิ
กจกรรมที ี่ องกบการใช้
่เกยวข้ ั รถใช้ถนน
• เพื่อพัฒนาถนนให้มีลกั ษณะเฉพาะที่ดึงดูดสายตาแกผู่ พ้ บเห็น
8.7.3. ประเภทของมาตรการการจัดการการจราจร
การจัดการการจราจรสามารถนําไปประยุกต์ในการแกไขปั ้ ญหาจราจรได้ท้ งั ในระดับชุมชน
และระดับเมือง หลักการจัดการการจราจร แบง่ได้เป็ น 4 ประเภท ดังนี้ (TrafficCalming.org, 2007;
Victoria Transport Policy Institute, 2007; Wikipedia, 2007)
• มาตรการสําหรับจัดการการจราจรในชุมชน
• มาตรการสําหรับคนเดินเท้า
• มาตรการจํากดการจราจรระดั
ั บปานกลาง
• มาตรการจํากดการจราจรระดั
ั บรุ นแรง
รายละเอียดของมาตรการแตละประเภท่ ่
มีดงั ตอไปนี้
* ที่มา: ดัดแปลงจากเนื้ อหาใน TrafficCalming.org (2007), Victoria Transport Policy Institute (2007)
และ Wikipedia (2007)
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 351 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 8 การควบคุมความต ้องการเดินทางและการจัดการการจราจร (Travel Demand Management and Traffic Management)
* ที่มา: ดัดแปลงจากเนื้ อหาใน TrafficCalming.org (2007), Victoria Transport Policy Institute (2007)
และ Wikipedia (2007)
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 352 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 8 การควบคุมความต ้องการเดินทางและการจัดการการจราจร (Travel Demand Management and Traffic Management)
8.7.3.3. มาตรการจํากัดการจราจรระดับปานกลาง*
1. เนินลกกระโดด
ู (Speed Humps)
ี
Speed Humps คือ สิ่ งกดขวางการจราจรที ่มีลกั ษณะเป็ นเนิ น
ซึ่ ง ทํา จากวัสดุ แอสฟั ลส์ โดยติ ดตั้ งบนพื้ นถนนทุ กๆ ระยะ
300 ถึง 600 ฟุต สําหรับถนนในเขตที่พกั อาศัย ซึ่ งยวดยานจะ
ํ
ถูกกาหนดให้ ใช้ความเร็ วได้ไมเกน ่ ิ 25 mph จะใช้เนิ นลูก
กระโดดที่มีความกว้าง 14 ฟุต สู ง 3 นิ้ว และสําหรับถนนที่ใช้
ความเร็ วในการสัญจร 30-35 mph จะใช้เนิ นลูกกระโดดที่มี
ความกว้า ง 22 ฟุ ต สํ า หรั บ ถนนที่ มี ป ริ มาณการจราจร
14 feet Speed Hump – Parabolic shape, 3 to 3.5 inches หนาแนน่ มักใช้เนินลูกกระโดดที่มีความกว้าง 22 ฟุต
high. ข้ อดี
• เป็ นมาตรการที่จาํ กดความเร็
ั ่ ประสิ ทธิภาพ
วได้อยางมี
• ทําให้การใช้เส้นทางที่ตดั ผานที ่ ่พกั อาศัยเป็ นทางลัดลดลง
• ไมมี่ ผลกระทบตอการกาหนดสั
่ ํ ญญาณไฟจราจรบริ เวณ
ทางแยก
• ไมมี่ ผลกระทบตอผู ่ เ้ ดินทางด้วยรถจักรยาน
ข้ อควรพิจารณาอืน่ ๆ
• อาจเกดการหลี
ิ กเลี่ยงเส้นทางที่มีการติดตั้ งเนินลูกกระโดด
22 feet Speed Hump – Flat-top shape, 3 to 3.5 inches ไปใช้เส้นทางอื่ น ทําให้ปริ มาณการจราจรไปสะสมใน
high, 6 foot ramps, 10 foot top. บริ เวณอื่นแทน
• ในกรณี ฉุ ก เฉิ น ที่ ต ้อ งการความรวดเร็ ว ในการเดิ น ทาง
่
อุปกรณ์ดงั กลาวอาจกอให้ ่ เกดความลาช้
ิ ่ าขึ้ นได้
* ที่มา: ดัดแปลงจากเนื้ อหาใน TrafficCalming.org (2007), Victoria Transport Policy Institute (2007)
และ Wikipedia (2007)
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 353 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 8 การควบคุมความต ้องการเดินทางและการจัดการการจราจร (Travel Demand Management and Traffic Management)
4. ถนนคอขวด (Chokers)
่
Chokers คือ การทําชองจราจรบริ เวณทางแยก ระหวาง ่
่
ทางแยก (Mid-block) หรื อชวงใดชวงหนึ ่ ่ งของถนนให้มี
ความกว้างลดลงอยางถาวรด้ ่ วยการขยายความกว้างของ
ทางคนเดินหรื อฟุตบาทให้มีความกว้างเพิ่มขึ้ น
ข้ อดี
• ชวยให้
่ ความเร็ วในการสัญจรลดลง
ระยะทางในการเดินข้ามถนนสั้ นลง ชวยให้ ่ อุบตั ิเหตุ
ลดลง
• พื้นที่ใช้สอยของคนเดินเท้าเพิ่มขึ้ น
• จํากดการสั
ั ญจรของรถบรรทุกขนาดใหญ่
ข้ อควรพิจารณาอืน่ ๆ
• ในชวงเวลาที
่ ่มีปริ มาณการจราจรหนาแนน่ เชน่ ชวง ่
่ ่ าและเย็น อาจกอให้
เรงดวนเช้ ่ เกดปั
ิ ญหาการจราจร
ติดขัดขึ้นได้
7. Serpentine
่
Serpentine คือ การลดพื้นที่การสัญจรหรื อความกว้างของชองจราจรบริ เวณหัวโค้งด้วยการขยายความกว้างของขอบถนนเข้าไป
ในพื้นที่ผวิ การจราจรในลักษณะตามรู ป โดยมีช่วงหางระหวางกนประมาณ
่ ่ ั 100 ฟุต
ข้ อดี
• ชวยจํ
่ ากดความเร็
ั วในการสัญจรได้อยางมี ่ ประสิ ทธิภาพ
• ชวยจํ
่ ากดปริ ั มาณจราจรที่เข้ามาใช้เส้นทาง
ข้ อควรพิจารณาอืน่ ๆ
• เพิ่มคาใช้ ่ างและบํารุ งรักษา และติดตั้ งป้ ายเตือน
่ จ่ายในการกอสร้
*
8.7.3.4. มาตรการจํากัดการจราจรระดับรนแรง
ุ
1. มาตรการเดินรถทางเดียว (One-Way Street(s))
One-Way Street(s) คือ การกาหนดให้ ํ มีการเดินรถ
ในทิศทางเดียวทุกเส้นทาง หรื อบางทิศทางตามความ
เหมาะสม
ข้ อดี
• ชวยลดปริ
่ มาณการจราจรโดยรวมในบางเส้นทาง
• เพิ่มความสามารถในการรองรับปริ มาณการจราจร
ของถนน
Two Way One Way • เพิ่ ม ความปลอดภัย ในการสั ญ จร เนื่ องจากลด
ั
จุ ด ตัด กนของกระแสจราจรบริ เ วณทางแยกได้
่ ประสิ ทธิภาพ
อยางมี
• ลดอุบตั ิเหตุอนั เกดจากการชนประสานงาน
ิ
ข้ อควรพิจารณาอืน่ ๆ
• กระแสจราจรในทิ ศ ทางเดี ย วกนจะมี ั ค วามเร็ ว
ิ บ ัติ เ หตุ จ ากการชนท้ า ยกนั
เพิ่ ม ขึ้ น อาจเกดอุ
เพิ่มขึ้ น
• เพิ่ ม ระยะในการเดิ น ทางให้ กั บคนในชุ ม ชน
เนื่องจากต้องเดินทางอ้อม
• การเดินทางอ้อมอาจทําให้ตอ้ งผานเข้ ่ าไปในถนน
เส้ น อื่ น เป็ นการเพิ่ ม ความแออั ด ให้ กั บถนน
ข้างเคียง
• เป็ นการจํากดการเลี
ั ้ ยวบริ เวณทางแยก
* ที่มา: ดัดแปลงจากเนื้ อหาใน TrafficCalming.org (2007), Victoria Transport Policy Institute (2007)
และ Wikipedia (2007)
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 357 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
บทที่ 8 การควบคุมความต ้องการเดินทางและการจัดการการจราจร (Travel Demand Management and Traffic Management)
6. ถนนแบบถงแป้
ุ งหรือถนนปลายตัน (Cul-de-sac)
Cul-de-sac คือ การตัดขาดการเชื่อมตอของเส้ ่ นทาง ด้วย
การทําให้เป็ นถนนปลายตัน ซึ่ งอาจทําได้ท้ งั ในบริ เวณ
่ึ
ทางแยก หรื อบริ เวณกงกลางระหวางทางแยก ่
ข้ อดี
• ชวยเพิ
่ ่มความเร็ วในการสัญจรบนชวงถนนระหวาง ่ ่
่ ประสิ ทธิภาพ
ทางแยกได้อยางมี
• สามารถลดปริ มาณการจราจรบนท้องถนนได้อยางมี ่
ประสิ ทธิภาพ
• เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง
ข้ อควรพิจารณาอืน่ ๆ
• กรณี มีเหตุฉุกเฉิ นเกดขึ ิ ้ นอาจทําให้การเดินทางเพื่อเข้า
่
ให้ความชวยเหลื อในเส้นทางดังกลาวเป็ ่ นไปอยาง ่
่ า
ลาช้
• เป็ นการกระจายปั ญหา หรื อภาระอันเนื่องมาจาก
ปริ มาณการจราจรไปยังพื้ นที่อื่นๆ โดยรอบเส้นทาง
ดังกลาว่
• ถ้าไมมี่ การติดตั้ งป้ ายแนะนําอยางเหมาะสม
่ อาจทํา
ิ
ให้เกดความสั บสน และความลาช้ ่ าในการเดินทางได้
• ทําให้คนในชุมชนไมได้ ่ รับความสะดวกสบายในการ
เดินทาง ต้องเดินทางด้วยระยะทางที่เพิ่มขึ้ น
8.8. อปสรรคในการประยกต์
ุ ุ การควบคมความต้
ุ องการเดินทางและการจัดการจราจรในประเทศไทย
การประยุกต์แนวทางแกไขปั ้ ญหาจราจรด้วยมาตรการควบคุมการเดิ นทางและมาตรการ
่ อจากผูท้ ี่เกยวข้
จัดการจราจร จําเป็ นต้องอาศัยความรวมมื ี่ องหลายฝ่ าย ไมวาจะเป็
่่ น
• ผูก้ าหนดนโยบายด้
ํ ่
านขนสงและจราจร
• ผูว้ างแผนด้านขนสงและจราจร
่
• ผูบ้ งั คับใช้นโยบายหรื อผูท้ ี่นาํ นโยบายไปปฏิบตั ิ
• ผูค้ นในชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งสามารถแบงออก ่ เป็ น 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู ้
ได้รับประโยชน์ (สนับสนุ นมาตรการ) และผูเ้ สี ยประผลประโยชน์ (ตอต้ ่ าน
มาตรการ)
่
จากหัวข้อที่ผานมา ่
จะเห็นได้วาการประยุกต์ใช้มาตรการในประเทศไทยนั้ น มักไมประสบ ่
่ ่ ค วร ทั้ งนี้ สามารถสรุ ปสาเหตุ ที่ เ ป็ นอุ ปสรรคตอ่ การประยุก ต์ใ ช้มาตรการใน
ความสํา เร็ จ เทาที
ประเทศไทยได้ ดังนี้
• ความไมเข้ ่ มงวดในการบังคับใช้มาตรการ
• ความไมตอเนื ่ ่ ่องของการบังคับใช้มาตรการ
• การตอต้
่ านจากผูเ้ สี ยผลประโยชน์
• การที่ผคู ้ นในสังคมไมเห็
่ นความสําคัญของมาตรการแกไขปั้ ญหาจราจร
• ขาดมาตรการเสริ มที่มีประสิ ทธิ ภาพ อาทิ การปรับปรุ งคุณภาพของระบบขนสง่
สาธารณะที่มีอยู่ หรื อการพัฒนาระบบขนสงที่ ่มีประสิ ทธิภาพเพื่อเป็ นทางเลือกใน
การเดินทาง เป็ นต้น
• การขาดงบประมาณสนับสนุน
• ขาดบุคลากรที่มีความรู ้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
้ ญหาดังกลาวข้
แนวทางที่ใช้สาํ หรับแกไขปั ่ างต้น สามารถทําได้ดว้ ยใช้กลยุทธ์ Three E’s
(Shade and Schlag, 2000) ได้แก่
• Education คือ การให้ความรู ้ความเข้าใจแกทุ่ กฝ่ ายที่เกยวข้
ี่ องกบการแกไขปั
ั ้ ญหาจราจรตามที่
่
กลาวไปแล้ ่ ั
วข้างต้น การให้ความรู ้จะแตกตางกนไปตามกลุ ่มของผูท้ ี่เกยวข้
ี่ อง อาทิ การจัด
ี่ ั
เดินทางไปดูงานเกยวกบการแกไขปั ้ ญหาจราจรสําหรับผูกาหนดนโยบาย
้ํ การจัดประชุมเชิง
วิชาการหรื อสัมมนาเชิงปฏิบตั ิการสําหรับผูว้ างแผนการขนสง่ การจัดอบรมเพื่อให้ความรู ้แก่
ํ
ผูน้ าํ นโยบายไปปฏิบตั ิ และการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ทราบถึงแนวทางปฏิบตั ิขอ้ กาหนดของ
มาตรการตางๆ ่ แกผู่ ค้ นในชุมชน เป็ นต้น
เห็ น ชอบของภาคประชาชนนั้ น ถื อ ได้ว่ าเป็ นพลัง สํา คัญ ที่ มี บ ทบาทต่ อ ความสํา เร็ จ ของการ
ประยุกต์ใช้มาตรการเป็ นอยางยิ ่ ง่ ด้วยเหตุน้ ี สิ่ งสําคัญที่นกั วางแผนแกไขปั ้ ญหาจราจรควรตระหนัก
กคื็ อ แม้ว่ามาตรการที่นาํ มาใช้แกปั้ ญหาจะดีแคไหนกตาม ่ ็ ถ้าขาดการยอมรับจากคนในชุมชนแล้ว
่ นไปไมได้
ยอมเป็ ่ ที่จะทําให้มาตรการนั้ นสามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้จริ งในทางปฏิบตั ิ เนื่องจากจะ
ทําให้ขาดการสนับสนุ นจากฝ่ ายการเมือง ด้วยเหตุน้ ี การทําให้มาตรการเป็ นที่ยอมรับจากคนใน
ชุมชนจึงเป็ นสิ่ งสําคัญเบื้ องต้นที่นกั วางแผนควรทราบและทําความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงข้อเท็จจริ ง
ดังกลาว่ สุ ดท้าย มาตรการที่จะนํามาประยุกต์ใช้ ควรได้รับการปรับแตง่ให้เกดความเหมาะสม ิ และ
สามารถตอบสนองได้ตรงกบัความต้องการในการแกไขปั ้ ญหาจราจรของคนในชุมชนมากที่สุด สิ่ ง
่ เหลานี
ตางๆ ่ ้ น่าจะทําให้การประยุกต์ใช้มาตรการพบกบความสํ ั ่ ็ อย
าเร็ จบ้างไมมากกน้
คําถามท้ ายบท
ิ
1. ปั ญหาจราจรเกดจากอะไร จงอธิบาย
้ ญหาจราจรมีกี่แนวทาง อะไรบ้าง
2. แนวทางที่ใช้ในการแกไขปั
่
3. การควบคุ มความต้องการเดิ นทางคืออะไร แบงออกเป็ ี่
นกประเภท อะไรบ้าง จงอธิ บายทุก
ประเภท
็ นคาผานเข้
4. การเกบเงิ ่ ่ าใช้ถนน (Road pricing) คืออะไร จัดอยูใ่ นแนวทางแกไขปั ้ ญหาจราจร
กลุ่มใด
่
5. การจัดการการจราจร คืออะไร แบงออกเป็ ี่
นกประเภท ่
แตละประเภทมี รายละเอียดอะไรบ้าง จง
อธิบาย
่ ด วาปั
6. ทานคิ ่ ญหาจราจรในกรุ งเทพมหานครและเมื องใหญทั ่ ว่ โลกมี ลกั ษณะที่ เ หมื อ นหรื อ
่ ั ่ จงอธิบาย
แตกตางกนอยางไร
การขนสงสิ ่ นค้า วัสดุ และวัตถุดิบตางๆ ่ ระหวางผู ่ ผ้ ลิตและผูบ้ ริ โภค เป็ นหนึ่ งในขั้ นตอน
สําคัญของกระบวนการผลิตสิ นค้า ต้นทุนที่เกดขึ ิ ้ นในขั้นตอนดังกลาว ่ จึงมีส่ วนสําคัญอยางยิ่ ง่ ตอการ
่
ํ
กาหนด ราคาของสิ นค้าอยางหลี ่ กเลี่ยงไมได้ ่ การขนสงและกระจายสิ
่ นค้าที่มีประสิ ทธิภาพ จะมีส่ วน
สําคัญที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตและราคาสิ นค้า ซึ่ งสงผลกระทบโดยตรงตอ
่ ่ ผูบ้ ริ โภค เศรษฐกจของ
ิ
ชุมชนและของประเทศ การเข้าใจถึงหลักการของการขนสงและกระ ่ จายสิ นค้าจึงมีความจําเป็ นอยาง ่
ยิง่ สําหรับผูศ้ ึกษาด้านวิศวกรรมขนสง่ เนื่ องจากเรื่ องดังกลาว ่ เป็ นกจกรรมด้
ิ านขนสงที่ ่นบั วันจะมี
ภาวะการแขงขั ่ นที่สูงขึ้ น ทั้ งนี้ เพื่อพยายามที่จะลดต้นทุนการผลิต อันจะนํามาซึ่ งความได้เปรี ยบ
คู่แขงขั
่ นในเชิงธุรกจิ โดยหลักการที่เกยวข้ ี่ องกบสิ
ั ่ งที่กลาว
่ ไปทั้ งหมดนั้ น จะเกยวข้ ี่ องกบหลั
ั กการ
ของลอจิสติกส์และหวงโซอุ ่ ่ ปทาน (Logistics and supply chain)
่ ยวกนั กจการ
เชนเดี ิ เหลานี ่ ้ มีกิจกรรมและการดําเนิ นการในสวนตางที ่ ่ ่สามารถพิจารณาให้เป็ นการ
ดําเนินการในรู ปแบบของระบบโลจิสติกส์ได้เชนเดี ่ ยวกนั แตจะตางกนในรายละเอี
่ ่ ั ยดเทานั ่ ้ น ดังนั้ น
วิธีการทางวิศวกรรมที่ใช้ออกแบบและบริ หารระบบเป็ นจํานวนมาก อาจมีรายละเอียดที่แตกตางกน ่ ั
ไป แต่กม็ าจากหลักการเดียวกนั
การจัด การโลจิ ส ติ ก ส์ จ ะมี ค วามยุ่ ง ยากมากขึ้ นเมื่ อ ความต้อ งการขนสงสิ ่ น ค้า ของ
่
ผูป้ ระกอบการแตละรายนั ่ อนกนั ซึ่ งจะทําให้เกดิความผันแปรด้านปริ มาณและเวลาของ
้ นไมเหมื
ความต้องการในการขนสง่ ประกอบกบความ ั ผันแปรในกระบวนการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และ
การจัดจําหนาย่ ทําให้ลอจิสติกส์อาจถูกพิจารณาเป็ นระบบ Dynamic ด้วยเหตุน้ ี การออกแบบระบบ
การจัด การและการแกปั้ ญหาตางๆในระบบโลจิ
่ สติ ก ส์ จึ งต้องมี เครื่ องมื อทางวิศวกรรมที่ ต อ้ ง
นํามาใช้ออกแบบและแกปั้ ญหาทั้ งที่เป็ นแบบ Static และแบบ Dynamic เพื่อบรรลุวตั ถุประสงค์
เชิงกลยุทธ์ 3 ประการ ซึ่งได้แก่ การลดต้นทุนการดําเนินงาน การลดขนาดเงินลงทุนทรัพยากร และ
การเพิ่มระดับการให้บริ การลูกค้า
วัตถุประสงค์ 3 ประการข้างต้น จะประสบผลสําเร็ จในทางปฏิบตั ิได้กตอเมื ็ ่ ่อ ผูว้ างแผนการ
ขนสง่สามารถทําการตัดสิ นใจเชิงกลยุทธ์ 3 ประการสําคัญดังตอไปนี ่ ้ (วิโรจน์ พุทธวิถี, 2547)
3. การตัดสิ นใจเชิงกลยทธ์
ุ ด้านวัสดคงคลั
ุ ง (Inventory Decision) ได้แก่
• การกาหนดระดั
ํ บวัสดุคงคลัง
• การกาหนด ํ วิธีการจัดหาวัสดุคงคลัง
• การกาหนด
ํ วิธีการควบคุมวัสดุคงคลัง
่
ทั้ งนี้ คําวาการตั
ดสิ นใจเชิงกลยุทธ์ หมายถึง การตัดสิ นใจใดๆที่ผลการตัดสิ นใจสงผลตอ ่ ่
ความสามารถในการแขงขั ่ น ของธุ ร กจิ ในการตัด สิ น ใจ 3 ่ ้ น ล้วนสงผลตอ
ด้า นที่ ก ลาวนั ่ ่
ความสามารถในการแขงขั ่ นทั้ งสิ้ น เพราะมี ผลตอต้
่ น ทุน (Costs) ความสามารถในการสงมอบ ่
(Delivery capability) ความเร็ ว (Speed) ความพร้ อมของสิ นค้าและบริ การ (Availability) และ
ประสิ ทธิ ภาพในการใช้ทรัพยากร (Efficiency of resource utilization) ให้มากหรื อน้อยเมื่อ
เปรี ยบเทียบกบคู ั ่แขงขั
่ นได้อยางชั
่ ดเจน
่
ดําเนิ นงานเป็ นไปอยางราบรื ิ ญหาน้อยที่สุดระหวางองค์
่ นและเกดปั ่ กร (กฤษดา วิศวธี รานนท์ และ
กุลพงษ์ ยูนิพนั ธ์, 2548; วิทยา สุ หฤทดํารง, 2546)
่ ่
3. การขนสงระหวางประเทศ (International transportation)
คือ ระบบการขนสงสิ ่ นค้าระหวางประเทศ่ ่ มิภาคของโลก ระหวางทวี
ระหวางภู ่ ป หรื อ
่
ระหวางเขตเศรษฐกจตางๆ ิ ่ ระบบการนสงแบบนี ่ ่ ่เป็ นการขนสงในระยะทางไกลๆ
้ เป็ นการขนสงที ่
โดยจะอาศัยผูใ้ ห้บริ การระดับสากล อาทิ เรื อเดินสมุทร เครื่ องบิน รถไฟ เป็ นต้น แตกมี ่ ็ การขนสง่
ชายแดนที่เป็ นประเทศหรื อเขตเศรษฐกจติ ิ ดกนกยัั ็ งคงใช้รถบรรทุกอยูม่ าก ในระบบการขนสงนี ่ ้ จะ
ใช้เวลานาน โดยการเชื่ อมโยงการขนสงจะสิ ่ ้ นสุ ดลงที่ท่าเรื อ ดานผานแดน
่ ่ ่
ทาอากาศยาน ที่มีด่าน
่ ้ น การขนสงระหวางประเทศจะดํ
ศุลกากรเทานั ่ ่ าเนินการจากระบบเศรษฐกจการค้ ิ ่
าระหวางประเทศ
่
1. การขนสงทางถนน หรื อการขนสงด้่ วยรถบรรทุก (Road transportation)
่
สวนมากแล้ ว การขนสงสิ่ นค้าทางถนนมักใช้รถบรรทุกสิ นค้าเป็ นรู ปแบบการขนสงหลั ่ ก
่
สวนใหญสิ ่ นค้าที่นิยมใช้บริ การขนสงทางถนน
่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เกษตร อาทิ ผลไม้ เนื้ อสด เนื้ อแช่
แข็ง วัตถุดิบทางการเกษตร ฯลฯ และผลิ ตภัณฑ์จากโรงงานอุตสาหกรรม อาทิ รถยนต์ เสื้ อผ้า
่
อุปกรณ์สาํ นักงาน เฟอร์ นิเจอร์ ฯลฯ ทั้งนี้ การขนสงทางถนนเป็ นที่นิยม เนื่ องจากสามารถขนสง่
สิ นค้าได้ในลักษณะ Door-to-door มีความสามารถในการเข้าถึง (Accessibility) พื้นที่ต่างๆ สู ง เป็ น
บริ การขนสงที ่ ่ รวดเร็ ว และมี อตั ราการสู ญหายและเสี ยหายของสิ นค้าระหวาง ่ การขนสงตํ
่ ่ ากวา่
่
การขนสงประเภทอื ่น
ั งกลาว
ข้อจํากดดั ่ การขนสงสิ ่ นค้าระบบรางจึงมุ่งเน้นที่การขนสงบนเส้ ่ นทางหลักระยะทางไกลๆ
่
และเป็ นการขนสงระหวางสถานี ่ ่ ้ น ด้วยเหตุน้ ี จึงจําเป็ นต้องมีรูปแบบการขนสงที
เทานั ่ ่ทาํ หน้าที่
่ นค้าตอจากสถานี
กระจายสิ นค้า หรื อรั บชวงสิ ่ ไปยังสถานที่ต่างๆ ตอไป ่ ซึ่ งสวนมากรู
่ ปแบบการ
ขนสงที ็ แก่ รถบรรทุกหรื อการขนสงทางถนนนั
่ ่ทาํ หน้าที่กระจายสิ นค้านี้ กได้ ่ น่ เอง
การขนสง่ระบบรางที่มีองค์ประกอบหลัก คือ หน่วยบรรทุก (Unit carrier) ที่มาตอกนเป็ ่ ั น
ขบวนรถ ทําให้สามารถบรรทุกสิ นค้าได้คราวละมากๆ เมื่อเทียบตอหนวยสิ ่ ่ นค้าแล้ว จะทําให้อตั รา
่ ่
การสิ้ นเปลืองของการใช้เชื้ อเพลิงตํ่ากวาการขนสงทางถนนเป็ ่
นอยางมาก และเป็ นปัจจัยสําคัญที่ท ํ
ให้การขนสงสิ ่ นค้าระบบรางมีตน้ ทุนตํ่ากวากา ่ รขนสงทางถนน
่ ซึ่งเป็ นการสร้างจุดได้เปรี ยบให้กบั
่
การขนสงระบบราง ่
โดยทัว่ ไปการขนสงระบบราง นิ ยมใช้สําหรั บการขนสง่ที่ไมต้่ องการความ
รวดเร็ วในการขนสงมากนั่ ํ
กและสามารถกาหนดเวลาและปริ มาณการขนสงได้ ่ แนนอน ่ สิ นค้าที่นิ
มขนสงด้่ วยระบบราง อาทิ วัสดุก่อสร้าง เชื้ อเพลิงสารเคมี ไม้ เป็ นต้น
่
3. การขนสงทางอากาศ (Air transportation)
่
การขนสงทางอากาศโดยมากแล้ วหมายถึงการขนสงโดยใช้ ่ เครื่ องบิน เป็ นการขนสงที ่ ่มี
่ จ่ายสู งสุ ดในบรรดารู ปแบบการขนสงสิ
คาใช้ ่ นค้าทั้ งหมด สามารถขนสงระยะทางไกลได้ ่ รวดเร็ ว
่
ที่สุดและใช้เวลาน้อยที่สุด สิ นค้าที่นิยมใช้บริ การขนสงทางอากาศมั กมีราคาแพง มีน้ าํ หนักน้อย ม
่ ่ ิ แตในบางกรณี
ขนาดไมใหญจนเกนไป ่ ่
ที่มีสถานการณ์จาํ เป็ น สิ่ งที่ถูกขนสงทางอากาศกอาจมี ็ ขนาด
ใหญได้่ เชน่ การขนสงรถถั ่ ่
ง และอาวุธยุทโธปกรณ์ระหวางการเกดสงคราม ิ เป็ นต้น ปั จจุบนั มีการ
ขนสง่ สิ น ค้า ทางอากาศเพิ่ มขึ้ น จากในอดี ต เป็ นอยางมาก ่ แต่ เ นื่ อ งจากคาใช้ ่ จ่ ายในการขนสงที ่ ่
่ างสู ง แนวคิดของผูใ้ ช้บริ การจึ งยังคงยึดติดอยู่ที่ภาพการขนสงทางอากาศที
คอนข้ ่ ่ใช้สําหรับการ
ขนสงที ่ ่ เป็ นบริ การพิ เศษที่ ตอ้ งการความรวดเร็ ว สู งเทานั ่ ้ น สิ นค้าที่ นิ ยมขนสงทางอากาศ ่ อาทิ
จดหมายและวัสดุที่เป็ นบริ การขนสงไปรษณี ่ ย ์ หนังสื อ เสื้ อผ้า และเครื่ องใช้ไฟฟ้ า เป็ นต้น
่
4. การขนสงทางนํ ้ า (Water transportation or Marine transportation)
่
การขนสงทางนํ ้ าเป็ นการขนสงที ่ ่ถูกที่สุดเมื่อเทียบตอนํ่ ้ าหนักบรรทุก นิยมใช้เป็ นรู ปแบบการ
่ กสําหรับการขนสงสิ
ขนสงหลั ่ นค้าระหวางประเทศ
่ ่
โดยทัว่ ไป การขนสงทางนํ ้ าสามารถจําแนก ออ
ได้เป็ น 3 รู ปแบบ ได้แก่ การขนสงทางนํ ่ ้ าภายในประเทศ การขนสงชายฝั ่ ่
่งทะเล และการขนสงทาง
ทะเลระหวางประเทศ่ คู่แขง่ สําคัญของการขนสงทางนํ ่ ่
้ า คือ การขนสงทางรถไฟและการขนสง ่
ทางทอ่ สําหรับสิ นค้าที่นิยมขนสงทางนํ ่ ้ า ได้แก่ วัตถุดิบในอุตสาหกรรมการผลิตนํ้ ามัน หิ น ทราย
่ ่ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยม
ข้าว แรตางๆ
5. การขนสงทางทอ ่ ่ (Pipeline)
ก า ร ข น ส่ ง ท า ง ท่ อ เ ห ม า ะ สํ า ห รั บ ก า ร เ ค ลื่ อ น ย้ า ย วั ส ดุ ที่ เ ป็ น ข อ ง ไ ห ล อ า ทิ
นํ้ า นํ้ ามัน สารเคมี หรื อกาซ ๊ เป็ นต้น โดยวัสดุที่นิยมขนสงทางทอมากที
่ ่ ่สุด ได้แก่ คือ กาซธรรมชาติ
๊
และนํ้ ามันดิบ การขนสงทางทอมี ่ ่ ตน้ ทุนการขนสงตอหนวยที
่ ่ ่ ่ต่าํ มาก และสามารถระบุเวลาที่ใช้ใน
การขนสงที ่ ่แนนอนได้
่ ่
เนื่ องจากการขนสงทางทอนั ่ ้ นควบคุมด้วยเครื่ องคอมพิวเตอร์ ทําให้มีความ
แมนยํ่ าในการกาหนดเวลาในการขนสง
ํ ่ นอกจากนี้ การขนสงทางทอนั ่ ่ ้ นไมจํ่ าเป็ นต้องใช้พนักงาน
ในการขนสงตั ่ วสิ นค้าหรื อวัตถุดิบโดยตรง ด้วยเหตุน้ ี จึงชวย ่ ลดอัตราการสู ญหายหรื อเสี ยหายของ
สิ นค้าลงได้เป็ นอยาง ่ มาก
9.3.2. ต้ นทนการขนส่
ุ งสิ นค้ า
ต้นทุนการขนสง่ผูโ้ ดยสารหรื อการขนสงสิ ่ นค้า ประกอบด้วย ต้นทุนคงที่ (Fixed cost)
และต้นทุนแปรผัน (Variable cost) โดยตัวอยางของต้่ นทุนคงที่ ได้แก่ คากอสร้
่ ่ างโครงสร้างพื้นฐาน
และอาคารสถานที่ เครื่ อ งมื อ อุ ป กรณ์ และเครื่ อ งจัก ร เป็ นต้น สํา หรั บ ต้น ทุ น ผัน แปร ได้แ ก่
่ จ่ายในการบํารุ งรักษาอาคารและเครื่ องจักร คาแรง
คาใช้ ่ และคาดํ ่ าเนินการ เป็ นต้น ต้นทุนการขนสง่
เป็ นหนึ่ งในปั จจัยสําคัญที่ส่ งผลตอ่ ราคาสิ นค้า สิ นค้าจะมีราคาสู งหรื อตํ่านั้ นขึ้ นอยูก่ บต้
ั นทุนใน
่ จ่ายในการขนสงจึ
การผลิต คาใช้ ่ งเป็ นตัวแปรสําคัญที่มีอิทธิ พลตอการกาหนดราคาสิ
่ ํ ่
นค้าเป็ นอยาง
่ นทุนการขนสง่ แบงออกได้
มาก โดยทัว่ ไป ปั จจัยสําคัญที่มีอิทธิ พลตอต้ ่ 2 กลุ่ม ได้แก่ ปั จจัยด้าน
สิ นค้าหรื อผลิตภัณฑ์ และปั จจัยการตลาด (สาธิ ต พะเนี ยงทอง, 2548; กมลชนก สุ ทธิ วาทนฤพุฒิ
และคณะ, 2544)
2. ปัจจัยการตลาด
ี่ ข้องกบลั
คือ ปั จจัยที่เกยว ั กษณะทางกายภาพและสภาพแวดล้อมของการขนสง่ โดยทัว่ ไป
ได้แก่
การเชื่ อมต่ อระหว่ างรปแบบการขนส่
ู ่ นค้าระหวางรู
ง การสงสิ ่ ปแบบการเดินทางที่แตกตาง ่
กนั อาทิ เรื อกบรถไฟ
ั เครื่ องบิ นกบรั ถไฟ ฯลฯ เป็ นปั จจัยหนึ่ งที่เพิ่มต้นทุนในการขนสงสิ ่ นค้า
โดยเฉพาะอยางยิ ่ ง่ ในกรณี ที่การเชื่อมโยงระหวางรู ่ ปแบบการเดินทางแตละประเภทนั
่ ้ นเป็ นไปอยาง ่
ไมมี่ ประสิ ทธิภาพ
สถานที่ตัง ที่ต้ งั ของสถานที่ผลิตและกระจายสิ นค้าอาจสงผลตอต้ ่ ่ นทุนในการขนสง่ ได้
เนื่องจากในพื้นที่ตางกน่ ั อาจมีขอ้ กาหนด ํ ระเบียบข้อบังคับ และกฏหมายที่แตกตางกนไป่ ั ซึ่ งปั จจัย
เหลานี่ ้ อ าจสงผลกระทบตอต้
่ ่ น ทุ น การขนสงสิ
่ น ค้า ไมมากกน้
่ ็ อ ย เนื่ อ งจากเป็ นสิ่ ง ที่ ทํา ให้เ กดิ
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 372 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
์
บทที่ 9 บทนํ าของลอจิสติกสและห่ ่ ปทาน (Introduction of Logistics and Supply Chain)
วงโซอุ
ข้อจํากดในการ ั ่ ่
ดําเนิ นการ การที่จะทําการขนสงตอไปได้ จําเป็ นต้องดําเนิ นการอยางหนึ ่ ่ ง เชน่ การ
ขออนุ ญาตจากหน่ วยงานราชการในพื้นที่ การดําเนิ นการดังกลาว ่ นี้ ลว้ นเป็ นสาเหตุที่ทาํ ให้ตน้ ทุน
การขนสงสิ ่ นค้าเพิ่มขึ้ นได้ทั้ งสิ้ น
ข้ อ จํา กัด ของทางเลือ กการขนส่ ง พื้ น ที่ ที่ ต่ างกนั อาจมี รูป แบบการขนสงและเส้ ่ น ทาง
ให้บริ การที่ แตกตางกน ่ ั บางพื้ นที่ อาจมี รูปแบบการขนสงและเส้ ่ นทางให้บริ การที่ ตอ้ งการและ
ตอบสนองได้ตรงตามวัตถุประสงคืของผูด้ าํ เนิ นการ ขณะที่ในอีกพื้นที่หนึ่ งอาจไมมี่ ก็ได้ ข้อจํากดั
่
ดังกลาวสามารถกอให้ ่ เกดคาใช้
ิ ่ จ่ายที่เพิ่มขึ้ นได้ เนื่ องจากผูด้ าํ เนิ นการจําเป็ นต้องเอาชนะอุปสรรค
ดังกลาวด้ ่ วยการจัดหารู ปแบบการขนสงและเส้ ่ นทางที่เหมาะสมเพียงพอสําหรั บความต้องการ
ขนสงสิ ่ นค้า หรื อถ้าเลื อกที่ จะใช้รูปแบบการขนสงและเส้ ่ ั
นทางให้บริ การที่ มีขอ้ จํากดแทนการ
พยายามที่ จ ะเอาชนะอุ ป สรรค การขนสงสิ ่ น ค้า กอาจดํ ็ า เนิ น การไปได้แ ตจะเป็ ่ ่ ่
นไปอยางไมมี
ประสิ ทธิภาพ ซึ่งทั้ งสองแนวทางล้วนกอให้ ่ เกดคาใช้
ิ ่ จ่ายในการขนสงเพิ ่ ่มขึ้ นทั้ งสิ้ น
การขนส่ งสิ นค้ าระหว่ างประเทศ ในกรณี ที่มีการขนสงสิ ่ นค้าระหวางประเทศ่ ่ จ่ายการ
คาใช้
่
ขนสงจะเพิ ํ
่มขึ้ นทันทีซ่ ึ งเป็ นผลมาจากข้อกาหนดเกยวกบ ี่ ั ภาษี ระเบียบศุลกากร หรื อการตรวจสอบ
ี่ ั ้ อโรคและลักษณะทางชีวภาพของสิ นค้าบางประเภทที่ถูกควบคุมในบางประเทศ
เกยวกบเชื
ความพยายามลดจํานวนรถเที่ยวเปล่ า ควรจัดให้มีสินค้าบรรทุกมาในยานพาหนะในการ
ขนสงทั ่ ้ งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ ซึ่งการดําเนิ นการดังกลาวจะทํ ่ าให้การวิ่งรถเที่ยวเปลา่ หรื อเที่ยวรถ
ที่ว่ิงกลับโดยไมมี่ สินค้าบรรทุกมากบตั ั วรถเลยนั้ น ลดลงและชวยให้ ่ การขนสงมี ่ ประสิ ทธิ ภาพและ
ประหยัดมากยิง่ ขึ้ น
ประเภทอัตราค่ าขนส่ ง
่
อัตราคาขนสงที ่ ่ผให้ ู ้ บริ การขนสงเรี ่ ยกเกบ็ แบงออกได้ ่ เป็ น 2 ประเภท ได้แก่ คาระวาง ่ การ
ขนสง่ ที่ เรี ยกเกบจากการให้
็ บริ การขนสงสิ ่ นค้าระหวาง ่ สถานที่ ที่ไมได้ ่ อยู่ในเขตเดี ยวกนั และ
่
คาธรรมเนี ยมอื่นๆ นอกเหนือจากคาระวางที ่ ่ผใู ้ ห้บริ การขนสง่เรี ยกเกบจากผู ็ ่่
ใ้ ช้บริ การ ไมวาจะเป็ น
คาใช้ ่ จ่ ายในการ ขนถายสิ ่ น ค้า หรื อ คาใช้ ่ จ่ าย ในการให้บ ริ ก ารสวนอื ่ ่ น ๆ ที่ อ าจเพิ่ ม เติ ม เข้า มา
โดยทัว่ ไปแล้ว อัตราคาระวาง ่ (Line haul rates) แบงออกเป็ ่ น 5 ประเภท ได้แก่ (กมลชนก สุ ทธิ
วาทนฤพุฒิ และคณะ, 2544)
Class rates เป็ นการรวมกลุ่มของสิ นค้าที่คล้ายกนั เพื่อคิดคาขนสงเป็ ่ ่ นอัตราเดียวกนั โดย
ปกติจะใช้ตวั เลข Class 100 เป็ นอัตราคาขนสงพื ่ ่ ้นฐาน ซึ่ งหากสิ นค้าใดมีตวั เลขสู งกวา่ 100 กจะคิ ็ ด
่
คาขนสงแพงขึ ่ ้ น และหากสิ นค้าใดมีตวั เลขตํ่ากวา่ 100 กจะคิ ็ ดคาขนสงถู ่ ่ กลง
Exception rates เป็ นอัตราคาขนสงที ่ ่ ่ต่าํ กวาอั ่ ตราคาขนสงที ่ ่ ่ตีพิมพ์เผยแพรไว้ ่ อัตราคาขนสง
่ ่
พิเศษมักเป็ นอัตราที่นาํ ไปใช้เฉพาะบางเส้นทางหรื อบางรายการสิ นค้าเทานั ่ ้ น เชน่ ใช้ในกรณี ที่ใน
เส้นทางนั้ นมีการแขงขั ่ นมากหรื อต้องการสงเสริ ่ มการขนสงสิ ่ นค้าประเภทใดประเภทหนึ่ งในกรณี
พิเศษชัว่ คราว
Commodity rates เป็ นอัตราคาขนสงที ่ ่ ่ใช้ในกรณี ที่ขนสงสิ ่ นค้าปริ มาณมากในเส้นทางที่มี
การขนสงเป็ ่ นประจํา โดยไม่คาํ นึงถึงวาสิ ่ นค้าที่ทาํ การขนสงนั ่ ้ น เป็ นสิ นค้าประเภทใด
Contract rates เป็ นอัตราคา่ขนสงที ่ ่เกดจากการทํ
ิ าความตกลงรวมกน ่ ั กรื อเกดจากการตอรอง
ิ ่
ราคากนัระหวางผู ่ ใช้ ้ บริ การและผูใ้ ห้บริ การขนสง่สิ นค้า
Freight all kinds – FAK rates เป็ นอัตราคาขนสงที ่ ่ ่อ้างอิงตามต้นทุนคาขนสงมากกวา
่ ่ ่ การ
พิจารณาจากสิ นค้าที่ทาํ การขนสง่ โดยคาขนสงจะขึ ่ ่ ้ นอยูก่ บนํ ั ้ าหนักของสิ นค้าที่ตอ้ งการขนสง่ FAK
เป็ นที่นิยมใช้สาํ หรับกจการค้ ิ าปลีก ซึ่ งต้องทําการขนสงสิ ่ นค้าหลายประเภทในคราวเดียวกนั จึงคิด
่ ่
คาขนสงแบบเหมารวมทุ กประเภทไป
9.3.4. การจัดการการขนส่ ง
่ นองค์ประกอบที่สาํ คัญในกลยุทธโลจิสติกส์ ผูข้ นสงต้
การขนสงเป็ ่ องเข้าใจถึงบทบาทของ
่ ่
การขนสงตอระบบโลจิ ิ
สติกส์ของกจการ ั ็ องเข้าใจความพยายามของผูข้ นสง่ ใน
ในขณะเดียวกนกต้
การสนองความต้องการของลูกค้าด้วยเชนกน ิ ่
่ ั การจัดการกจกรรมการขนสงในบางครั ้ งเรี ยกวา่ การ
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 374 ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
์
บทที่ 9 บทนํ าของลอจิสติกสและห่ ่ ปทาน (Introduction of Logistics and Supply Chain)
วงโซอุ
แนวคิดเรื่องการจัดการการขนส่ ง
่
โดยทัว่ไปการจัดการขนสงหมายถึ งการบริ หารจัดการการเคลื่อนย้ายสิ นค้า วัตถุดิบ หรื อ
ผลิตภัณฑ์ จากจุดหนึ่ งไปยังอีกจุดหนึ่ งในหวง ่ โซอุ่ ปทาน ทั้ งนี้ องค์ประกอบของการขนสง่ในหวง ่
โซอุ่ ปทาน ประกอบด้วยองค์ประกอบสําคัญ 4 ประการ คือ (สาธิต พะเนียงทอง, 2548)
การรวบรวมสิ นค้ า (Collection) เริ่ มจากการรับสิ นค้าจากแหลงที ่ ่มา โดยปกติการรวบรวม
สิ นค้าจะเป็ นการดําเนิ นการในระดับภูมิภาค (Regional basis) แล้วจึงสงตอไป ่ ่ รวมกนที ั ่คลัง
่
รวบรวมสิ นค้าสวนกลาง อีกทอดหนึ่ง
การขนส่ ง (Transportation) จากจุดรวมสิ นค้าในภูมิภาค สิ นค้าจะถูกสงไปที ่ ่จุดหมาย
ํ
ปลายทางที่กาหนด ่ ปแบบตางๆ
ด้วยการขนสงรู ่ ที่เหมาะสม เมื่อถึงจุดกระจายสิ นค้าสิ นค้า สิ นค้าจะ
ถูกแยกออกจากกนเพื ั ่อดําเนินการจัดสงตอไป
่ ่
่ ที่ กลาวมาข้
ปั จจัยตางๆ ่ างต้นได้เพิ่มความหลากหลายของการให้บริ การขนสง่ ซึ่ งผูส้ ่ ง
่ ่ พิเศษ (Express service)
สิ นค้าสามารถเลือกใช้ตามความต้องการ นอกจากนี้ ยงั มีบริ การขนสงดวน
บริ การขนสง่รับประกนเวลาถึ
ั งที่หมายปลายทางชัว่ ข้ามคืน (Overnight service) และบริ การเหมา
เฉพาะกจิ (Charter service)
ิ
กจกรรมที ่ ตอ้ งทําในกระบวนการนี้ ได้แก่ การเลื อกผูใ้ ห้บริ การขนสงสิ ่ นค้า การเจรจา
่ ง การสื่ อสาร และการบริ หารความสัมพันธ์ กระบวนการนี้ จะมุ่งเน้นที่แผนการทํางานรวมกบ
ตอรอ ่ ั
ผูใ้ ห้บริ การขนสงสิ ่ น ค้า ในการปรั บปรุ งกระบวนการสื่ อสารอยางตอเนื ่ เ กดิ
่ ่ ่ อง ทั้ งนี้ เ พื่อ กอให้
ประสิ ทธิ ภาพของโซอุ่ ปทานสู งสุ ด ซึ่ งกระบวนการนี้ ตอ้ งมีการปฏิบตั ิอยางตอเนื่ ่ ่ อง และจําเป็ นที่
ผูบ้ ริ หารทุกระดับของผูใ้ ห้บริ การจัดสงสิ ่ นค้าและผูใ้ ห้บริ การขนสงสิ
่ นค้าต้องเข้ามามีส่ วนรวม ่
ในการบริ หารจัดการยานพาหนะ (Fleet) ขนสง่ ไมวาจะเป็ ่่ นยานพาหนะของบริ ษทั เอง
หรื อ ยานพาหนะของผูใ้ ห้บ ริ ก ารจากภายนอก เป้ าหมายสําคัญที่ สุ ด กคื็ อ การใช้ทรั พ ยากรของ
ิ
ยานพาหนะให้เกดประโยชน์ ให้มากที่สุด วัตถุประสงค์ของการจัดระบบเส้นทางและตารางเวลาการ
ขนสงคื ่ อ การสร้างแผนการจัดสงสิ ่ นค้าที่มุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากยานยนต์ขนสงให้ ่ มาก
ที่สุด ด้วยต้นทุนที่ต่าํ ที่สุด โดยบริ ษทั ยังคงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะรายได้
เพื่อให้ยานพาหนะมีผลการทํางานดีที่สุด จําเป็ นจะต้องทําให้การขนสงสิ ่ นค้าขาเข้าและขาออกมี
ประสิ ทธิภาพมากที่สุด
ในการวางแผนการขนสง่ เราจะต้องคํานึ งถึงคําสั่งของลูกค้า ความพร้อมของทรัพยากรที่
ใช้ในการขนสง่ และข้อจํากดของระดั ั บความสามารถในการให้บริ การ ปริ มาณของสิ นค้าที่จะต้อง
ขนสง่ การกระจายตัวเชิงภูมิภาคของจุดกระจายสิ นค้า ความจําเป็ นของการสงและการรั ่ บสิ นค้าและ
การเปรี ยบเทียบระหวางต้ ่ นทุนของการขนสงตรงไปยั่ ั นทุนของการขนสงที
งลูกค้า กบต้ ่ ่ผานหลาย
่
ขั้นตอน
ิ ญหาคอขวดของเส้นทางเดินรถ ทําให้การกาหนดเส้
การเกดปั ํ ่ นไปตามสภาพ
นทางของรถขนสงเป็
เส้นทางที่แท้จริ ง
่
เมื่อมีการสั่งซื้ อสิ นค้าจํานวนมากจากลูกค้า แนนอนวาจะต้ ่ องมีการตัดสิ นใจที่เกยวข้ ี่ องกบั
การขนสงสิ ่ นค้าในแตละวั ่ นหรื อแตละชั ่ ว่ โมงเกดขึิ ้ นอยางมากมาย
่ การตัดสิ นใจเหลานี ่ ้ ได้แก่ การ
รวบรวมสิ นค้าเพื่อที่จะจัดสง่ การเลือกวิธีการจัดสง่ การเลือกผูใ้ ห้บริ การขนสง่ และเส้นทางที่จะใช้
ิ
ซึ่งก่อให้เกดกระบวนการของการรวบรวมสิ นค้าสําหรับการขนสงตามวิ ่ ํ
ธีที่กาหนด ทั้ งนี้ เพื่อจะได้
ํ
กาหนดราคาอั ่
ตราคาขนสงตามที่ ่ได้ตกลงไว้ กระบวนการนี้ เป็ นกระบวนการที่เกดขึ ิ ้ นอยางตอเนื
่ ่ ่ อง
และต้อ งการความคิ ด สร้ า งสรรค์ เพื่ อ ให้ เ กดประสิ ิ ท ธิ ภ าพสู ง สุ ด ในการขนสงและสามารถ่
ตรวจสอบย้อนกลับ (Tracing) ได้ ซึ่ งหมายถึงการสื บค้นประวัติการเคลื่อนย้ายของสิ นค้า จาก
่ ํ ดไปยังจุดหมายปลายทาง
แหลงกาเนิ
่
ถึงแม้วาเราจะสามารถติ ดตามสถานภาพและตรวจสอบย้อนกลับในแตละวิ ่ ธีของการขนสง่
่
ได้ แตการขนสงแตละวิ ่ ่ ธีก็มีความรวดเร็ วและคาใช้ ่ จ่ายในการติดตามสถานภาพและตร วจสอบ
ย้อนกลับที่แตกตางกนอยางมาก่ ั ่ กระบวนการนี้ ประกอบด้วยการเชื่อมโยงระบบของการสื่ อสารกบั
ผูใ้ ห้บริ การขนสง่ เพื่อที่จะติดตามสถานะและตรวจสอบย้อนกลับของการขนสงสิ ่ นค้าในแตละครั ่ ้ง
่
และการรายงานการรับสิ นค้าได้ ผูใ้ ห้บริ การขนสงหลายรายยอมให้ ผใู ้ ห้บริ การจัดสงสิ่ นค้า สามารถ
เข้าเชื่อมโยงระบบการตรวจติดตามและการตรวจสอบย้อนกลับของตนได้ นอกจากนี้ ยงั สามารถใช้
บริ การเหลานี ่ ้ ผานทางผู
่ ใ้ ห้บริ การบุคคลที่สาม เชน่ การขนสงทางรถไฟ่ เป็ นต้น
คําถามท้ ายบท
่ ั
1. ลอจิสติกส์ (Logistics) คืออะไร และมีความสําคัญอยางไรกบการขนสงสิ ่ นค้า
่ ่ ปทาน (Supply chain) คืออะไร จงอธิบาย
2. หวงโซอุ
่ ่ ปทานมีความเหมือนและแตกตางกนอยางไร
3. ลอจิสติกส์และหวงโซอุ ่ ั ่ จงอธิบายโดยละเอียด
่ ่
4. จงยกตัวอยางหนวยงานภาครั ่ ่ ปทานไป
ฐที่ สามารถนําหลักการลอจิ สติกส์ และหวงโซอุ
่ อย 5 หนวยงาน
ประยุกต์ใช้ได้อยางน้ ่
่ ่
5. จงยกตัวอยางหนวยงานภาครั ี่ องกบระบบโลจิ
ฐที่เกยวข้ ั ่ ่ ปทาน
สติกส์และหวงโซอุ
บรรณานกรม
ุ
ภาษาไทย
กมลชนก สุ ทธิ วาทนฤพุฒิ, ศลิษา ภมรสถิตย์ และจักรกฤษณ์ ดวงพัสตรา, 2544. การจัดการ
โลจิสติกส์. แมคกรอ-ฮิล อินเตอร์เนชัน่ แนล เอ็นเตอร์ไพรส์, อิงค์, กรุ งเทพฯ.
กฤษดา วิศวธีรานนท์ และกุลพงษ์ ยูนิพนั ธุ์, 2548. Supply Chain & Logistics: ทฤษฎีและตัวอยาง ่
จริ ง. สํานักพิมพ์ ส.ส.ท., กรุ งเทพฯ.
จิรพัฒน์ โชติกไกร, 2549. วิศวกรรมการทาง. สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ.
ประชด ไกรเนตร, 2541. การขนสงผู ่ โ้ ดยสาร. สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคําแหง กรุ งเทพฯ.
พุทธิพนั ธุ์ เศรณี ปราการ, 2550. ผลกระทบของมาตรการเชิงจูงใจด้านราคาตอทั ่ ศนคติและ
พฤติกรรมการเดินทาง: กรณี ศึกษาของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วิทยานิพนธ์ปริ ญญา
มหาบัณฑิต ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไพบูลย์ แย้มเผือ่ น, 2548. เศรษฐศาสตร์วิศวกรรม. ซีเอ็ดยูเคชัน่ กรุ งเทพฯ.
ภาควิ ช าวิ ศวกรรมโยธา คณะวิ ศ วกรรมศาสตร์ จุ ฬ าลงกรณ์ มหาวิท ยาลัย , 2542. เอกสาร
ประกอบการอบรม “การขนสงสาธารณะในเมื่ ่ ่ องแหงจุ
อง”. ศูนย์การศึกษาตอเนื ่ ฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, กรุ งเทพฯ.
ยอดพล ธนาบริ บูรณ์, 2542. ปั ญหาการจราจรและวิธีการแกไขปั ้ ญหาโดยระบบการจัดการ และการ
ควบคุมปริ มาณการจราจร. ใน: เอกสารหมายเลข 5 ปั ญหาการจราจรและวิธีการแกไข ้ , เอกสาร
ประกอบการอบรมสัมมนาหลักสู ตรวิศวกรรมจราจรและขนสงเบื ่ องต้น สํานักงาน
คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกและวิศวกรรมสถานแหงประเทศไทย ่ ในพระบรม
ราชูปถัมภ์.
เยาว์อุไร สุ ถิรนาถ. แนวทางการใช้ระบบการจัดการความต้องการระบบสัญจรแบบยัง่ ยืนใน
กรุ งเทพฯ” คณะสถาปั ตยกรรมศาสตร์ สาขาการวางผังเมืองและสภาพแวดล้อม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ.
วัชริ นทร์ วิทยกุล, 2539. หลักการขนสงเบื ่ องต้น. สํานักพิมพ์ฟิสิ กส์เซ็นเตอร์ กรุ งเทพฯ.
วัฒนวงศ์ รัตนวราห, 2545. วิศวกรรมขนสง่. ไลบรารี่ นาย พับลิชชิ่ง กรุ งเทพฯ.
วิทยา สุ หฤทดํารง, 2546. ลอจิสติกส์และการจัดการโซอุ่ ปทาน อธิ บายได้...งายนิ ่ ดเดียว. บริ ษทั
ซีเอ็ดยูเคชัน่ จํากดั (มหาชน), กรุ งเทพฯ.
วิโรจน์ พุทธวิถี, 2547. การจัดการโลจิสติกส์ ขุมพลังของธุ รกจยุ ิ คใหม่. โอเอซิ ส ปริ นติง แอนด์
พับลิชซิ่ง จํากดั , กรุ งเทพฯ.
วิโรจน์ รุ โจปการ, 2544. การวางแผนการขนสงเขตเมื ่ อง. ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะ
วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพฯ.
ภาษาต่ างประเทศ
Banks, J.H., 2002. Introduction to Transportation Engineering. McGraw-Hill, New York.
Black, A., 1995. Urban Mass Transportation Planning. McGraw-Hill, New York.
Blank, L, and Tarquin, A., Basics of Engineering Economy. McGraw-Hill, New York.
Currin, T.R., 2001. Introduction to Traffic Engineering: A Manual for Data Collection and
Analysis. Brooks/Cole.
Department of Town and Country Planning, 1989. City Planning Manual: Volume 5 Transport
Planning. Japan International Cooperation Agency.
Garber, N.J. and Hoel, L.A. 2002. Traffic and Highway Engineering. Brooks/Cole.
Gärling, T., Schuitema, G., 2007. Travel demand management targeting reduced private car use:
effectiveness, public acceptability and political feasibility. Journal of Social Issues, 63,
139-153.
Grey, G.E. and Hoel, L.A., 1992. Public Transportation. Prentice-Hall, New Jersey.
Highway Capacity Manual 2000, 2000. Transportation Research Board, Washington, DC.
Horonjeff, R., McKelvey, F.X., 1994. Planning and design of airports. McGrew-Hill, Inc.
Institute of Transportation Engineers, 1994. Manual of Transportation Engineering Studies.
Prentice-Hall, New Jersey.
Judycki, D.C. and Berman, W., 1992. Transportation System Management. In: Edwards, J.D.
(Ed), Transportation Planning Handbook, Institute of Transportation Engineers, Prentice-
Hall, Englewood Cliffs, New Jersey.
Litman, T., 2000. Shifting Gears, Transportation Demand Management in the Vancouver Region.
Victoria Transport Policy Institute, Victoria, Canada.
Marshall, S. and Banister, D., 2000. Travel reduction strategies: intentions and outcomes,
Transportation Research A 34, 321-338.
May, A.D., 1990. Traffic Flow Fundamental. Prentice-Hall, New Jersey.
McBryan, B., Shadoff, J., Pike, D., and Loseff, D., 2000. TDM Guide for Planners: Including
Transportation Demand Management (TDM) Strategies in the Planning Process. Washington
State Department of Transportation.
McShane, W.R. and Roess, R.P., 1990. Traffic Engineering. Prentice-Hall, New Jersey.
Meyer, M.D. and Miller, E.J., 1984. Urban Transportation Planning: A Decision-Oriented
Approach. McGraw-Hill, New York.
Meyer, M.D. and Miller, E.J., 2001. Urban Transportation Planning. McGraw-Hill, New York.
Meyer, M.D., 1999. Demand management as an element of transportation policy: using carrots
and sticks to influence travel behavior. Transportation Research A 33, 575-599.
Newman, P. and Kenworthy, J., 1999. Sustainability and Cities: Overcoming automobile
dependence. Island Press, Washington, DC.
Papacostas, C.S. and Prevedouros, P.D., 2001. Transportation Engineering and Planning.
Prentice-Hall, New Jersey.
Roess, R.P., Prassas, E.S., and McShane, W.R., 2004. Traffic Engineering. Pearson Prentice Hall,
New Jersey.
Schade, J. and Schlag, B. 2000. Acceptability of urban transport pricing. Government Institute for
Economic Research, Helsinki, Finland.
Taylor, C.J., Nozick, L.K., and Meyburg, A.H., 1997. Selection and Evaluation of Travel
Demand Management Measures. Transportation Research Record No. 1598, Transportation
Research Board, Washington, DC.
Vuchic, V.R., 1981. Urban Public Transportation Systems and Technology. Prentice-Hall,
Englewood Cliffs, New Jersey.
เว็บไซต์
Answer.com [online]. www.answers.com [15/03/08].
Auros Co., Ltd. [online]. www.auros.co.th/th/aboutus.html [20/03/08].
Australian Manufacturers Guide [online]. http://www.ausmanufacturers.com.au/ [2/01/08].
Chamber of Shipping [online]. www.british-shipping.org. British Shipping [12/02/08].
College of Engineering, Marquette University [online]. http://www.eng.mu.edu [01/04/08].
Cyngor Gwynedd Council [online]. http://www.gwynedd.gov.uk [02/04/08].
Department of Transport, Thailand [online]. http://portal.mot.go.th [10/10/07].
Education Community [online]. http://edcommunity.apple.com [10/03/08].
Federal Highway Administration, United State Department of Transportation. [online].
http://ops.fhwa.dot.gov [2/01/08].
Federal Transit Administration, United States Department of Transportation [online].
http://www.fta.dot.gov [02/04/08].
Greg Goebel/In The Public Domain [online]. www.vectorsite.net [15/03/08].
Hay is Going West! [online]. www.tdc.ca/hay.htm [15/03/08].
International Road Dynamic South Asia Pvt. Ltd. [online]. http://www.irdsa.com [2/01/08].
Jan Gisholt Shipping Inc. [online]. www.gisholt.com [14/01/08].
King County, Washington [online]. http://www.metrokc.gov [02/04/08].
Light Rail Now! [online]. http://www.lightrailnow.org [02/04/08].
Maritime Administration Home Page [online]. www.marad.dot.gov. U.S. Department of
Transportation [12/03/08].
Maryland Transit Administration, Department of Transportation [online]. http://www.mtamaryland.com
[02/04/08].
Mass Transit [online]. http://www.masstransitmag.com [02/04/08].
Massachusetts Institute of Technology, MIT OpenCourseWare site [online].
http://ocw.mit.edu/OcwWeb/Civil-and-Environmental-Engineering/1-258JSpring-
2006/CourseHome/index.htm [30/04/08].
New York Transit Museum, Metropolitan Transportation Authority [online].
http://www.transitmuseumeducation.org [03/04/08].
ประวัตผ
ิ ู ้เขียน
ื่
ชอ ดร. สุรเมศวร์ พิรย
ิ ะวัฒน์
ตําแหน่งทางวิชาการ อาจารย์
สถานทีท
่ า
ํ งาน ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ต.แสนสุข อ.เมือง
จ.ชลบุร ี 20131
โทร. 0-3810-2222 ต่อ 3356, 3358 กด 16 โทรสาร 0-3810-2222 ต่อ 3355,
0-3874-5806 มือถือ 08-9053-8168 Email address: suramesp@buu.ac.th
ึ
ประว ัติการศกษา
พ.ศ. 2549 วิศวกรรมศาสตรดุษฎีบณ ั ฑิต (Ph.D. in Civil Engineering) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วิทยานิพนธ์ “Applying structural equation modeling for investigating
community’s attitudes towards area licensing scheme in Bangkok”
ประว ัติการทํางาน
เม.ย. 2546-ปั จจุบน
ั ตําแหน่ง อาจารย์
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
การฝึ กอบรม/ดูงาน
18 เม.ย.-16 ก.ค. 2550 นั กวิจัยแลกเปลีย
่ นโครงการ the Core University Program,
The Japan Society for the Promotion of Science (JSPS),
Tokyo Institute of Technology, Tokyo, Japan
สาขาทีส
่ นใจ - การวิเคราะห์พฤติกรรมการเดินทาง
- การออกแบบ วางแผน และวิเคราะห์ระบบขนสง่ / ระบบขนสงสาธารณะเขตเมื
่ อง
- การออกแบบ วางแผน และวิเคราะห์การจราจร
- การแก ้ไขปั ญหาจราจรและขนสงด่ ้วยเทคนิคการควบคุมความต ้องการ
เดินทาง
- การวิเคราะห์ทัศนคติของมวลชนทีม่ ต
ี อ
่ นโยบายสาธารณะ