Professional Documents
Culture Documents
WXSX
WXSX
ติวเข้มเตรียมความพร้อมสู่โอลิมปิกวิชาการ
เอกสารประกอบการสอน
กิจกรรมติวเข้มเตรียมความพร้อมสู่โอลิมปิกวิชาการ
1H 6C
8O
2He
e- e-
10Ne
e- e- 7N
e- 13Al
++ +
+ + +
+ +
e-
e-
วิชาเคมี e
-
e e-
29Cu
26Fe
23V
e-
e-
30Zn
27Co
21Sc 24Cr
e
อาจารย์วราพงษ์ เสนาภักดิ์
โครงการ วมว. คู่ศูนย์ โรงเรียนสาธิต “พิบูลบาเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา
อะตอมและตารางธาตุ
สรุปสาระสาคัญ
1. สมการที่ควรรู้ E = h = hc/
h คือค่าคงที่ของพลังค์ มีค่าเท่ากับ 6.625 x 10-34 จูลวินาที (J.s)
c คือความเร็วแสงเท่ากับ 3 x 108 วินาที (s)
คือความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (Hz) หรือ รอบต่อวินาที (s-1)
คือความยาวคลื่น มีหน่วยเป็นเมตร (m)
2. อะตอมประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน 3 ชนิด ได้แก่ โปรตรอน อิเล็กตรอน นิวตรอน
3. จานวนอิเล็กตรอนที่สามารถอยู่ในแต่ละระดับพลังงานเท่ากับ 2n2; n คือ ระดับพลังงาน
4. สัญลักษณ์นิวเคลียร์
A
z X
- X คือ สัญลักษณ์ของธาตุ
- A คือ เลขมวล บอกจานวนของ โปรตอน + นิวตรอน
- Z คือ เลขอะตอม บอกจานวนของ โปรตอน (เท่ากับอิเล็กตรอนเมื่อธาตุเป็นกลาง)
ถ้าธาตุมีการแสดงประจุบวก (X+) หมายถึง มีการเสียอิเล็กตรอน
ถ้าธาตุมีการแสดงประจุลบ (X-) หมายถึง ได้รับอิเล็กตรอน
หลักเกณฑ์การจัดเรียงอิเล็กตรอน
1. หลักเอาฟเบา (Aufbau principle)
“ บรรจุอเิ ล็กตรอนในออร์บิทัลที่ระดับพลังงานต่่าให้เต็มก่อน แล้วจึงเติมในระดับพลังงานทีส่ ูงขึ้นไป ”
8. การเปรียบเทียบขนาดอะตอม
กรณีหมู่/คาบเดียวกัน
ในหมู่เดียวกัน ขนาดใหญ่ขึ้นจาก บน ลง ล่าง
ในคาบเดียวกัน ขนาดเล็กลงจาก ซ้าย ไป ขวา
(ref. https://f.ptcdn.info/690/054/000/ozjglkf4l8T8X9aU190-o.png)
กรณีหมู่/คาบ ต่างกัน
1) จัดเรียงอิเล็กตรอน
2) พิจารณาระดับพลังงาน ถ้าระดับพลังงานมากกว่าขนาดใหญ่กว่า
3) ถ้าระดับพลังงานเท่ากัน พิจารณาเลขอะตอม ถ้าเลขอะตอมมากกว่าขนาดเล็กกว่า
e-
3+ 4+ -
IE4, Al (g) Al (g) + e
e-
e- 11,600 kJ/mol
e-
e-
e-
Al e-
e-
e- e-
e- e-
e-
IE2, Al+ (g) Al2+ (g) + e- IE3, Al2+ (g) Al3+ (g) + e-
1,816 kJ/mol 2,881 kJ/mol
กรณีหมู่/คาบเดียวกัน
ในหมู่เดียวกัน ค่า IE1 น้อยลงจาก บน ลง ล่าง
ในคาบเดียวกัน ค่า IE1 มากขึ้นจาก ซ้าย ไป ขวา
* ยกเว้น หมู่ 2A มากกว่า หมู่ 3A และ หมู่ 5A มากกว่า หมู่ 6A *
กรณีหมู่/คาบ ต่างกัน
1) จัดเรียงอิเล็กตรอน
2) พิจารณาระดับพลังงาน ถ้าระดับพลังงานมากกว่าค่า IE1 น้อยกว่า
3) ถ้าระดับพลังงานเท่ากัน พิจารณาเลขอะตอม ถ้าเลขอะตอมมากกว่าค่า IE1 มากกว่า
10. EN (Electronegativity), EA (Electron affinity)
EN คือ ความสามารถในการรับอิเล็กตรอนของธาตุ โดย ธาตุที่มี EN สูงสุดในตารางธาตุ คือ Fluorine
(ref. https://d2jmvrsizmvf4x.cloudfront.net/kTbJOHF2Quy8BxvsVcdK_electronegativity_values.jpg)
Chemical Bonding
1)......................................... 1).........................................
2)......................................... 2).........................................
1. พลังงานทีเ่ กี่ยวข้องในการเกิดสารประกอบไอออนิก
1) การระเหิด 2) IE
3) การสลายพันธะ 4) EA
5) พลังงานแลกทิซ
สารประกอบไอออนิก สารประกอบโคเวเลนต์
1) อ่านประจุบวกก่อนแล้วตามด้วยประจุลบลงท้าย ide เช่น 1) อ่านคล้ายๆ ไอออนิก แต่ถ้าสารประกอบมีอะตอม
NaCl อ่านว่า Sodium chloride มากกว่า 1 อะตอมให้อ่านจานวนอะตอมที่มีด้วยโดย 1 =
MgCl2 อ่านว่า Magnesium chloride mono, 2 = di, 3 = tri, 4 = tetra, 5 = penta, 6 =
2) ถ้าเป็นอนุมูลกลุ่มให้อ่านชื่อตามชื่อของอนุมูลกลุ่มนั้น เช่น hexa, 7 = hepta, 8 = octa, 9 = nona, 10 = deca
NH4+ อ่านว่า ammonium, CN- อ่านว่า cyanide เช่น
NH4CNอ่านว่า ammonium cyanide * ธาตุตัวหน้าที่มี 1 อะตอม ส่วนใหญ่ไม่อ่าน เช่น
(NH4)2SO4 อ่านว่า ammonium sulfate CO อ่านว่า Carbonmonoxide
3) ถ้าประจุบวกเป็นโลหะทรานสิชันให้ระบุเลขออกซิเดชันไว้ CO2 อ่านว่า Carbondioxide
หลังโลหะนั้นแล้วจึงอ่านประจุลบลงท้าย ide เช่น N2O5 อ่านว่า Dinitrogenpentaoxide
FeCl2 อ่านว่า Iron (II) chloride H2S อ่านว่า Dihydrogensulfide
FeCl3 อ่านว่า Iron (III) chloride
ยกเว้นโลหะทรานสิชันที่มีเลขออกซิเดชันเพียงค่าเดียวอ่านปกติ เช่น
AgCl อ่านว่า Silver chloride, ZnCl2 อ่านว่า Zinc chloride
4) อนุมูลกลุ่มที่ควรรู้
OH- อ่านว่า hydroxide, NO3- อ่านว่า nitrate
CO32- อ่านว่า carbonate, SO42- อ่านว่า sulfate
PO43- อ่านว่า phosphate
จงเขียนสูตร/อ่านชื่อ สารประกอบต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1) N2O3 …………………………………………………................................................………………………………
2) P4O10……………………………………………………………………………………………………….......................
3) ……........…..…. โบรอนไตรฟลูออไรด์ (boron trifluoride)
4) ………........…… คาร์บอนเตตระคลอไรด์ (carbon tetrachloride)
5) ………………….. แอมโมเนียมคลอไรด์
6) Cu(NO3)2………………………………………………………………………………………………………................
7) FeCl3 ……………………………………………………………………………………………………………...............
8) CH3COONa………………………………………………………………………………………………………............
สารประกอบไอออนิกที่ละลายนาได้ สารประกอบไอออนิกที่ไม่ละลายนา
1) สารประกอบของโลหะแอลคาไล (หมู่1) ทุกชนิด 1) สารประกอบออกไซด์ของโลหะ (ยกเว้นออกไซด์
2) สารประกอบของแอมโมเนียม (NH4+) ทุกชนิด ของโลหะแอลคาไล และออกไซด์ของ Ca2+, Sr2+
3) สารประกอบไนเตรต (NO3-) คลอเรต (ClO3-) และ Ba2+) เมื่อละลายน้าจะทาปฏิกิริยากับน้าได้
เปอร์คลอเรต (ClO4-) แอซีเตต (CH3COO-) สารประกอบไฮดรอกไซด์ (OH-) เช่น
(ยกเว้นซิล-เวอร์แอซีเตตและโพแทสเซียมเปอร์ CaO + H2O Ca2+ + 2OH-
คลอเรตละลายได้เล็กน้อย) 2) สารประกอบไฮดรอกไซด์ (ยกเว้นไฮดรอกไซด์ของ
4) สารประกอบคลอไรด์ (Cl-) โปรไมด์ (Br-) ไอโอ โลหะแอลคาไลและของ Ba2+ และ Sr2+ ส่วน Ca2+
ไดด์ (I-) (ยกเว้น Ag+, Pb2+, Hg22+ ไม่ละลาย ส่วน ละลายได้เล็กน้อย
PbCl2 ละลายได้เล็กน้อย) 3) สารประกอบคาร์บอเนต (CO32-) ฟอตเฟต (PO43-)
5) สารประกอบซัลเฟต (SO42-) ยกเว้น ซัลเฟตของ ซัลไฟด์ (S ) (ยกเว้นสารประกอบของ NH4 และ
2- +
Ca2+(aq) + 2OH -(aq) + 2Na +(aq) + CO32- (aq) CaCO 3(s) 2OH -(aq) + 2Na +(aq)
แบบฝึกหัด; เขียนสมการไอออนิกและไอออนิกสุทธิแสดงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการผสมสารละลายแต่ละคู่
ต่อไปนี้
1) KBr กับ AgNO3
สมการไอออนิก; ………………………………………………………………………………………………………………
สมการไอออนิกสุทธิ; ………………………………………………………………………………………………………………
H2O CO2
CH3OH PCl5
แบบฝึกหัด: เขียนสูตรลิวอิสของสารต่อไปนี้
Br2 H2O2 CS2 N2H4
6. ความยาวและพลังงานพันธะ
การเปรียบเทียบ
1. ความยาวพันธะ..............................................................................................................
2. พลังงานพันธะ................................................................................................................
การคานวณพลังงาน
มี 2 แบบ ได้แก่ คานวณในรูปสารประกอบ กับคานวณพลังงานของปฏิกริ ิยา (∆H) มีวิธี
คานวณเหมือนกัน ดังนี้
1. วาดสูตรแบบเส้นแสดงโครงสร้างของโมเลกุลต่างๆ ที่โจทย์กาหนดให้
2. เขียนสรุปแจกแจงว่าในโมเลกุลต่างๆ นั้น มีพันธะระหว่างธาตุตัวไหนกับตัวไหนบ้าง
3. แทนค่าพลังงานของพันธะต่างๆ แล้วก็คานวณค่าไว้ แยกเป็นของสารตัง้ ต้น กับ
ผลิตภัณฑ์ (ค่าพลังงานของพันธะต่างๆ โจทย์จะกาหนดมาให้)
4. ตั้งสมการ ∆H = Eสารตั้งต้น – Eผลิตภัณฑ์ (สาหรับให้หาพลังงานของปฏิกริ ิยา)
5. ถ้า ∆H ติด ลบ ก็แสดงว่าปฏิกริ ิยานั้น คายความร้อน ถ้าได้ค่า บวก ก็ ดูดความร้อน
8. การพิจารณาสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์
หลักการพิจารณาแบบเข้าใจง่ายๆ
1) หาอะตอมกลางให้เจอ
2) ดูอะตอมที่มาล้อมรอบอะตอมกลาง
- ถ้า อะตอมล้อมรอบต่างกัน โมเลกุลนั้น มีขัว
- ถ้าอะตอมล้อมรอบเหมือนกัน ดูข้อ 3.
3) ดูอะตอมกลาง
- ถ้า อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว โมเลกุลนั้น มีขวั
- ถ้าอะตอมกลางไม่มอี ิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว โมเลกุลนั้น ไม่มีขั้ว
*** ทิศทางของขั้วจะพุ่งไปทางอะตอมที่มีค่า EN สูงทีส่ ุด
9. แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์
1. แรงแวนเดอร์วาลส์
- แรงลอนดอน เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลไม่มีขวั้ (แรงนี้จะมีสภาพขั้วเกิดขึ้น
ชั่วคราวเนื่องจากอิเล็กตรอนในอะตอมไม่อยู่นงิ่ ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนรอบๆ นิวเคลียส
เปลี่ยนแปลงได้ ทาให้ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนไม่สม่าเสมอ จึงเกิดเป็นขั้วและโมเลกุลที่อยู่ข้างเคียงถูก
เหนี่ยวนาทาให้เกิดขั้วเช่นกัน โมเลกุลเหล่านั้นเกิดแรงดึงดูด เรียกว่า แรงลอนดอน)
- แรงดึงดูดระหว่างขัว เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีขั้วแต่ขั้วน้อยๆ (EN ต่างกันไม่
เยอะความเป็นขั้วจึงน้อยกว่า) แต่เป็นแรงยึดเหนี่ยวที่แข็งแรงกว่าลอนดอน
2. พันธะไฮโดรเจน
เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่สภาพขั้วของโมเลกุลสูงมากๆ (ENมันต่างกันเยอะมากๆ) เกิด
กับโมเลกุลของสารที่มี H ติดกับธาตุที่มี EN สูง ได้แก่ F, O, N เช่น น้า แอมโมเนีย กรดอะซิติก
สารประกอบคลอไรด์ของธาตุในคาบที่ 2 และ 3
คาบที่ 2 LiCl BeCl2 BCl3 CCl4 NCl3 Cl2O FCl
จุดหลอมเหลว (oC) 610 405 -107 -23 -27 -20 -154
จุดเดือด (oC) 1350 520 12 77 71 (สลาย) 4 -101
สถานะ ของแข็ง ของแข็ง แก๊ส ของเหลว ของเหลว แก๊ส แก๊ส
ไม่ละลาย ไม่ละลาย
ความเป็นกรด-เบส กลาง กลาง กรด กรด กรด
น่า น่า
สารประกอบออกไซด์ของธาตุในคาบที่ 2 และ 3
คาบที่ 2 Li2O BeO B2O3CO2 N2O5 OF2
-78.5
จุดเดือด (oC) 1200 3900 1860 47 (สลาย) -144.8
(ระเหิด)
สถานะ ของแข็ง ของแข็ง ของแข็ง แก๊ส ของเหลว แก๊ส
การละลายนาและ ละลายได้
ละลายได้ดี ละลายได้ ละลายได้ ละลายได้เล็กน้อย
เล็กน้อย
สมบัติของ สารละลาย ไม่ละลาย สารละลาย สารละลาย แยกสลายให้แก๊ส O2
สารละลาย
สารละลาย เป็นเบส เป็นกรด เป็นกรด สารละลายเป็นกรด
เป็นกรด
ธาตุทรานสิชันคาบที่ 4
1. เวเลนต์อเิ ล็กตรอนเท่ากับ 2 ยกเว้น โครเมียมและคอปเปอร์
2. รัศมีอะตอมเล็กลงจากซ้ายไปขวา
3. จุดเดือดจุดหลอมเหลวสูง
4. ความหนาแน่นเพิ่มขึนจากซ้ายไปขวา
5. สามารถดึงดูดด้วยแม่เหล็กและสามารถแสดงคุณสมบัตเิ ป็นแม่เหล็กได้ เช่น Fe, Co, Ni
6. มีเลขออกซิเดชั่นได้หลายค่า ยกเว้น Sc และ Zn มีค่าเดียวคือ +3 และ +2 ตามล่าดับ
การคิดเลขออกซิเดชั่น
เลขออกซิเดชัน คือ เลขที่ถกู ก่าหนดขึนเพื่อแสดงค่าประจุไฟฟ้าหรือประจุไฟฟ้าของไอออนหรือ
อะตอมของธาตุ
การก่าหนดว่าธาตุต่างๆ จะมีเลขออกซิเดชันเท่าใด เป็นไปตามเกณฑ์ต่อไปนี
1. ธาตุอิสระทุกชนิดทีอ่ ยู่ในรูปอะตอมหรือโมเลกุลมีเลขออกซิเดชันเท่ากับ 0 เช่น Ca, Na, Zn, He,
O2, P4, และ S8
2. ออกซิเจนในสารประกอบทั่วไปมีเลขออกซิเดชั่นเท่ากับ -2
2.1 ในสารประกอบออกไซด์ เช่น H2O2 หรือ BaO2 ออกซิเจนจะมีเลขออกซิเดชั่น -1
2.2 ในสารประกอบซูเปอร์ออกไซด์ เช่น KO2 ออกซิเจนจะมีเลขออกซิเดชั่น –1/2
2.3 ในสารประกอบ OF2 ออกซิเจนจะมีเลขออกซิเดชั่น +2
3. ไฮโดรเจนในสารประกอบทั่วไปมีเลขออกซิเดชั่น +1 ยกเว้นในสารประกอบไฮไดร์ของโลหะ เช่น
NaH หรือ CaH2 ไอโดรเจนมีเลขออกซิเดชั่น -1
4. โดยทั่วไป หมู่ 1, 2, 3 เลขออกซิเดชั่นเท่ากับ +1, +2, +3 ตามล่าดับ
5. โดยทั่วไป หมู่ 7, 6, 5 เลขออกซิเดชั่นเท่ากับ -1, -2, -3 ตามล่าดับ
6. ไอออนที่ประกอบด้วยอะตอมมากกว่าหนึ่งชนิด ผลรวมของเลขออกซิเดชั่นของทุกอะตอม
จะเท่ากับประจุของไอออนนัน เช่น SO42- มีประจุ -2 ผลรวมประจุของธาตุทุกตัวจึงเท่ากับ -2
7. ไอออนที่เป็นอนุมูลกลุม่ ที่ควรรู้ เช่น
NH4+, OH-, NO3-, NO2-, CO32-, PO43-, CN-, SCN-, H2O, NH3
ปฏิกิริยานิวเคลียร์
1. ปฏิกิริยาฟิชชัน (Neclear fission) เป็นปฏิกริ ิยาที่นิวเคลียสของธาตุหนัก แตกออกเป็นสอง
ส่วนที่มีขนาดประมาณครึง่ หนึง่ ของนิวเคลียสเดิม
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้น่าปฏิกริ ิยาฟิชชันในเตาปฏิกรณ์ปรมาณูมาใช้ประโยชน์ในการ
ผลิตไอโซโทปกัมมันตรังสี ใช้ในทางการแพทย์ เกษตร และอุตสาหกรรมม นอกจากนีพลังงานความร้อนที่
ได้จากการควบคุมปฏิกิริยาสามารถน่าไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้
2. ปฏิกิริยาฟิวชั่น (Nuclear fussion, Thermonuclear reaction) เป็นปฏิกิริยาทีเ่ กิดจากแก่น
ของอะตอมเบาหลอมรวมกันเข้าเป็นแก่นอะตอมทีห่ นักกว่าแล้วมีพลังงานเกิดขึนอย่างมหาศาล
การหาเกี่ยวกับปริมาณของสารกัมมันตรังสี
การค่านวณเกี่ยวกับค่าครึง่ ชีวิต (t1/2)
(จากหนังสือแบบเรียน สสวท.)
กามะถัน
ฟอสฟอรัส
คาร์บอน
การระเหยในภาชนะเปิด การระเหยในภาชนะปิด
ประเภทของก๊าซ
นักวิทยาศาสตร์แบ่งก๊าซออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
1. ก๊าซอุดมคติ (ideal gas) หรือ ก๊าซสมบูรณ์ (perfect gas) เป็นก๊าซสมมติที่นกั วิทยาศาสตร์
กาหนดขึ้นมาเพือ่ อธิบายพฤติกรรมบางอย่างของก๊าซ ไม่มอี ยู่จริงในธรรมชาติ ไม่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่าง
โมเลกุล ไม่มีปริมาตร (ถือว่าเป็นเพียงจุดทีอ่ ยู่ในภาชนะที่บรรจุก๊าซเท่านั้น ซึ่งมีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ
ขนาดของภาชนะ ทาให้สามารถตัดทิ้งได้และถือว่าไม่มปี ริมาตร) ก๊าซอุดมคติจะมีพฤติกรรมต่างๆ เป็นไป
ตามกฎของก๊าซอุดมคติ
2. ก๊าซจริง (real gas) หมายถึง ก๊าซทีม่ ีอยู่ในธรรมชาติจริงๆ เช่น H2, O2, CO2 ฯลฯ มีแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างโมเลกุล มีปริมาตรโมเลกุล มีพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามกฎของก๊าซอุดมคติ
ก๊าซจริงจะมีพฤติกรรมเป็นก๊าซอุดมคติหรือคล้ายกับก๊าซอุดมคติเมื่ออุณหภูมิสงู ๆ และเมื่อความดันต่่าๆ
ซึ่งอาจจะท่าให้โมเลกุลของก๊าซอยู่ห่างกันมาก ท่าให้มีจ่านวนโมเลกุลน้อย มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่าง
โมเลกุลน้อยจนถือว่าไม่มีและจัดได้ว่าเป็นก๊าซอุดมคติ
“เมื่อใช้อุณหภูมิและมวลของก๊าซคงที่ ปริมาตรของก๊าซจะแปรผกผันกับความดัน”
P1V1 = P2V2 = P3V3 = ……..
กฎของชาร์ลส์ (Charles , law)
d =
P
M RT
ตัวอย่างที่ 1 ก๊าซ N2 จานวน 10.0 dm3 ที่ 25 0 C อ่านค่าความดันได้ 0.40 atm
ก. ถ้าเพิ่มความดันเป็น 2.0 atm จะมีปริมาตรเป็นเท่าใด (สมมติก๊าซขยายตัวโดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง)
(2)
ข. ถ้าลดปริมาตรของภาชนะให้เหลือ 5.0 dm3 ที่อุณหภูมิ 25 0C เท่าเดิมจะวัดความดันได้เท่าใด (0.8)
ตัวอย่างที่ 2 ก๊าซออกซิเจน จานวนหนึ่งบรรจุในถังปิดที่ปรับขนาดได้ จากการทดลองพบว่าที่ 30 0C วัด
ความดันได้ 380 mmHg ในปริมาตร 500 cm3
ก. ถ้าต้องการให้ความดันเพิม่ ขึ้นอีกเท่าตัว จะต้องลดปริมาตรลงกี่ cm3 (250)
ข. ถ้าขยายปริมาตรให้เพิ่มขึ้น 100 cm3 ความดันจะลดลงกี่ mmHg (316.7)
ตัวอย่างที่ 3 ก๊าซ He จานวนหนึ่งอยู่ในถังปิดที่ 20 0C วัดความดันได้ 400 mmHg. ถ้านาก๊าซ He
ทั้งหมดมาใส่ในถังอีกใบหนึ่งขนาด 20 dm3 ปรากฏว่าเหลือ 150 mmHg. ถังที่บรรจุก๊าซในตอนแรกมี
ปริมาตรเท่าใด (7.5)
ตัวอย่างที่ 4. ก๊าซออกซิเจนจานวนหนึ่งวัดปริมาตรได้ 200 cm3 ที่ 27 0C ความดัน 700 mmHg
ก. ถ้าทาให้อุณหภูมิเป็น 40 0C จะมีปริมาตรเท่าใด (ความดันคงที่) (208.7)
ข. ถ้าต้องการให้เหลือปริมาตรเพียง 120 cm3 ที่ 700 mmHg จะต้องทาทีอ่ ุณหภูมิเท่าใด (-93 oC)
ตัวอย่างที่ 5 ก๊าซไนโตรเจน 2.5 ลิตรที่ 1 atm 30 0C
ก. ถ้าเพิ่มอุณหภูมิ 10 0C ปริมาตรจะเพิม่ กี่ลิตร (2.583)
ข. ถ้าต้องการให้ปริมาตรลดลง 300 cm3 จะต้องลดอุณหภูมิกี่ 0C (กาหนดให้การทดลองทัง้ 2 กรณี ทาที่
ความดันคงที่) (36.4)
การแพร่ของก๊าซ
เนื่องจากโมเลกุลของก๊าซมีการเคลือ่ นที่ตลอดเวลาด้วยอัตราเร็วเฉลี่ยคงที่ ขณะทีเ่ คลื่อนที่อาจจะ
ชนกันเองบ้างชนกับโมเลกุลของอากาศที่ก๊าซนั้นเคลื่อนที่ผ่านหรือชนกับผนังภาชนะบ้างจึงทาให้ทิศ
ทางการเคลือ่ นที่ไม่แน่นอน ลักษณะของการเคลือ่ นที่ดังกล่าวของก๊าซที่เกิดขึ้นในทุกทิศทางก็คือการแพร่
นั่นเอง
V = ระยะทาง
เวลา (t)
(s) ลงในสูตรดังกล่าวซึง่ จะได้ความสัมพันธ์ทั่ว ๆ ไปดังนี้
V1 s1 t2 M2 d2
V2 = t1 . s2 = M1 = d1
ในกรณีที่การแพร่ของก๊าซมีระยะทางเท่ากัน ( s1 = s2 ) จะได้
V1 t2 M2 d2
V2 = t1 = M1 = d1
ในกรณีที่การแพร่ของก๊าซมีระยะทางเท่ากัน ( s1 = s2 ) จะได้
V1 s1 M2 d2
V2 = s2 = M1 = d1
ตัวอย่างที่ 1 จงเรียงลาดับอัตราการแพร่ของก๊าซใดต่อไปนี้จากเร็วไปหาช้าตามลาดับ
Ne, N2, NO, O2, Ar
ตัวอย่างที่ 2 ถ้าก๊าซ X มีมวลโมเลกุลเท่ากับ 81 เคลือ่ นที่ในภาชนะหนึ่งได้ระยะทาง 30 เซนติเมตร
ในเวลา 2 วินาที ก๊าซ Y มีมวลโมเลกุล เท่ากับ 25 จะเคลื่อนที่ได้ในระยะทางกีเ่ ซนติเมตรในเวลา 4
วินาที (108 cm)
ตัวอย่างที่ 3 ที่ 25 องศาเซลเซียส 1 atm ก๊าซ A มีความหนาแน่นเป็น 3 เท่าของก๊าซ B ถ้า
ก๊าซ A แพร่ได้ 50 cm ในเวลา 20 วินาที
ก. ก๊าซ B จะแพร่ได้เร็วกี่ cm/วินาที (4.33)
ข. ถ้าต้องการให้ก๊าซ B แพร่ได้เร็ว 80 cm จะต้องใช้เวลากี่วินาที (18.5)
1 โมลอะตอม เท่ากับ.....................................อะตอม
1 โมลโมเลกุล เท่ากับ.....................................โมเลกุล
1 โมลไอออน เท่ากับ.......................................ไอออน
4. สารในข้อใดมีมวลมากทีส่ ุด
ก. แก๊ส CO2 2,240 cm3 ที่ STP ข. น้า 5.4 กรัม
ค. กลูโคส 0.25 โมล ง. แก๊ส O2 6.4 กรัม
5. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณเท่าใด จึงจะมีจ้านวนอะตอมของธาตุออกซิเจนเท่ากับจ้านวนอะตอม
ของ ธาตุไฮโดรเจนใน C2H6 1.204×1023 โมเลกุล
ก. 0.3 โมล ข. 52.8 กรัม
ค. 3.01×1023 โมเลกุล ง. 13.44 dm3 ที่ STP
6. ข้อใดต่อไปนีไม่ถูกต้อง
ก. NaOH 2 โมล มีมวล 80 กรัม
ข. แก๊สออกซิเจน 0.3 โมล มีปริมาตร 6.72 dm3 ที่ STP
ค. H2SO4 0.5 โมล มีจ้านวน 3.01×1023 โมเลกุล
ง. โพแทสเซียม 4 โมล มีมวล 4×6.0×1023 กรัม
1. จงค้านวณมวลอะตอมเฉลี่ยของ 20
10Ne และ 10Ne โดยก้าหนดให้ 10Ne และ 10Ne มีในธรรมชาติ 80%
22 20 22
และ 20 % ตามล้าดับ
มวลอะตอมของธาตุ 𝐱 จ้านวนอะตอมของธาตุในสูตร
ร้อยละของธาตุในสารประกอบ = x 100
มวลโมเลกุลของสารประกอบ
จงหามวลร้อยละของธาตุ C ใน CO2
ปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรต มีธาตุไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบร้อยละเท่าใด
สูตรอย่างง่ายและสูตรโมเลกุล
การหาสูตรอย่างง่าย มีวิธีการดังนี้
1. ต้องทราบว่าสารที่จะหาสูตรอย่างง่ายประกอบด้วยธาตุใดบ้าง
2. ต้องทราบมวลอะตอมของแต่ละธาตุ
3. ต้องทราบน้าหนักหรือปริมาณสารอื่นๆ เช่น จ้านวนอะตอม, ปริมาตรที่ STP ของแต่ละธาตุที่
4. หาจ้านวนโมลของแต่ละธาตุ
5. น้าค่าจ้านวนโมลที่น้อยที่สุดหารตลอด จะได้อัตราส่วนของสูตรอย่างง่าย
6. การปัดจุดทศนิยมของตัวเลขในการหาอัตราส่วนกรณีหารไม่ลงตัว (ไม่เป็นเลขจ้านวนเต็ม)
- ถ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.2 ให้ปัดลง
- ถ้ามากกว่าหรือเท่ากับ 0.8 ให้ปัดขึน
- ถ้าอยู่ระหว่าง 0.2-0.8 ให้หาเลขมาคูณให้เป็นจ้านวนเต็ม
มวลโมเลกุล = (มวลของสูตรเอ็มพิริคัล)n
ร้อยละโดยมวล
(% w/w)
ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร
(% w/v)
ร้อยละโดยปริมาตร
(% v/v)
โมลาร์ (Molar, M)
โมแลล (Molal, m)
ppm
ppb
จากของแข็ง
การเตรียมสารละลาย การเจือจาง
จุดเยือกแข็ง
สมบัติคอลิแกทีพ ***
สารละลายที่มีความเข้มข้น (m) เท่ากัน ที่ละลายในตัวทาละลายเดียวกัน
จะมีจุดเดือด จุดเยือกแข็ง เท่ากัน
***
เช่น สารละลาย A ตัวถูกละลาย คือ น้าตาล และ มี “น้า” เป็นตัวท้าละลาย
สารละลาย B ตัวถูกละลาย คือ เอทานอล และ มี “น้า” เป็นตัวท้าละลาย
จะละลายน้าตาลกี่กรัม ในน้า เท่าไหร่ก็ได้ หรือ จะละลายเกลือกี่กรัม ในน้าเท่าไหร่ก็
ได้ แต่สุดท้าย ถ้า สารละลาย A และ B มีความเข้มข้นเท่ากัน แสดงว่า สารละลายทั้ง
สองนั้น จะมีจุดเดือด และ จุดหลอมเหลว เท่ากัน
หมายเหตุ: สาร A และ B ต้องเป็นสารที่ไม่แตกตัว
2. สารละลาย NaOH 40% โดยมวล/ปริมาตร ความหนาแน่น 1.2 g/cm3 เศษส่วนโมลของ NaOH เป็น
เท่าใด
4. ผสมสารละลายกรดชนิดเดียวกัน 2 ขวด ที่มีฉลากปิดว่า 0.1 M ปริมาตร 100 cm3 กับ 0.3 M จ้านวน
100 cm3 อยากทราบว่าสารละลายที่ได้ใหม่จะมีความเข้มข้นเท่าใดในหน่วยโมลาร์
6. ต้องใช้ตัวถูกละลายกี่กรัมในการเตรียมสารละลายต่อไปนี
6.1) 5.24 X 10-5 M CaC2O4 1 ลิตร
10. จงค้านวณหาจ้านวนโมลของตัวถูกละลายในสารละลายต่อไปนี
10.1) 2.35 L ของสารละลาย Cu(NO3)2 2.0 M
11. จงค้านวณจ้านวนกรัมของตัวถูกละลายในสารละลายต่อไปนี
11.1) 0.500 L ของสารละลาย KCl 1.00 M
12. จงค้านวณปริมาตรที่ใช้ในการเตรียมสารละลายต่อไปนี
12.1) 4.267 mole ของ Li2SO3 ละลายให้มีความเข้มข้น 3.89 M
20. ต้องชั่งสารละลาย NaCl เข้มข้น 5.0% โดยน้าหนัก ปริมาณกี่กรัม จึงจะได้เนือ NaCl จ้านวน 3.2 กรัม
อยู่ใน
สารละลายนี
23. เอธิลีนไกลคอล C2H6O2 เข้มข้น 0.10 M ความหนาแน่น 0.90 g/ml คิดเป็นกี่ molal
26. สารละลายทีม่ ีตัวถูกละลายชนิดไม่แตกตัว จ้านวน 4.5 กรัม ละลายในน้า 125 กรัม เกิดการแข็งตัวที่
อุณหภูมิ –0.372 ๐C จงค้านวณน้าหนักโมเลกุลของตัวถูกละลายนี ก้าหนดให้ Kf = 1.86 oC/m
27. ละลายสารประกอบเกลือของโพแทสเซียม (KX) จ้านวน 8.00 กรัม ในน้า 100 กรัม สารละลายนี
แข็งตัวที่ –1.25 oC จงหาว่า X คือธาตุใดของหมู่ 7A
2. ดุลสมการต่อไปนี
2.1) C2H6 + O2 CO2 + H2O
1.2)
CO(g) + H2(g) CH 3OH(g) ....................(1)
1.3)
HBr(g) + O2(g) HOOBr(g) .........................(1)
จงค้านวณ
2.1) สารใดเป็นสารก้าหนดปริมาณและมวลของสารที่เหลือเท่ากับเท่าใด
2.2) ปริมาตรของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึนเท่ากับเท่าใดที่ STP
2. จากปฏิกิริยาเคมี
2H2S(g) + SO2(g) 3S(s) + 2H2O(l)
4.1) สารใดเป็นสารก้าหนดปริมาณ
4.2) เมื่อปฏิกริ ิยาสินสุดจะได้สารละลายโซเดียมคลอไรด์กี่โมลาร์
4.3) เมื่อทดสอบสารละลายหลังสินสุดปฏิกริ ิยากับกระดาษลิตมัสสีแดงและน้าเงิน มีการ
เปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
ผลที่ได้จริง (กรัมหรือโมล)
ผลได้รอ้ ยละ = x 100
ผลที่ได้ตามทฤษฎี (กรัมหรือโมล)
ตัวอย่าง
1. ถ้าน้าเบนซีน (C6H6) จ้านวน 15.6 กรัม มาท้าปฏิกริ ิยากับกรดไนตริก (HNO3) จ้านวนมากเกินพอ
พบว่าเกิดไนโตรเบนซีน (C6H5NO2) 18.0 กรัม จงหาผลได้ร้อยละ
C6H6(l) + HNO3(aq) C6H5NO2(l) + H2O(l)