Professional Documents
Culture Documents
Outline
1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอะตอม และโมเลกุล
2. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีอินทรีย์
3. ประเภทของปฏิกิริยาเคมีอินทรีย์
4. การเขียนแสดงกลไกการเกิดปฏิกิริยา
5. เทอร์โมไดนามิกกับการเกิดปฏิกิริยา
References
- Janice G. Smith, “Organic Chemistry”, 3rd edition, McGraw Hill (2011) [1]
- L.G. Wade, Jr., “Organic Chemistry”, 9th edition, Pearson Education (2017) [2]
- สำเนียง อภิสันติยาคม, “กลไกการเกิดปฏิกิริยาเคมีอินทรีย์เบื้องต้น”, พิมพ์ครั้งที่ 3, สำนักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2016) [3]
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอะตอม และโมเลกุล (Atom and Molecule)
อะตอม (atom)
อะตอม เกิ ด ขึ ้ น จากการรวมกั น ของ โปรตอน (proton, p) นิ ว ตรอน (neutron, n) และ
อิเล็กตรอน (electron, e) โดยที่โปรตอน และอิเล็กตรอนเป็นอนุภาคที่มีประจุ
o โปรตอนมีประจุบวก (positive charge) อิเล็กตรอนมีประจุลบ (negative charge)
- ทั้งสองอนุภาคจึงสามารถถูกเหนี่ยวนำในสนามไฟฟ้าได้ เมื่อมีสนามไฟฟ้าภายนอก และทั้งสอง
อนุภาคยังสามารถถูกเหนี่ยวนำในสนามแม่เหล็กได้
- โดยโปรตอนจะอยู่รวมกับนิวตรอนในนิวเคลียส ซึ่งอยู่ตรงกลางอะตอม และมีอิเล็กตรอนอยู่รอบ ๆ
อิเล็กตรอนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ นิวเคลียสจะมีการจัดเรียงตัวให้มีพลังงานของระบบต่ำที่สุด กล่าวคือ
มีความเสถียร (stability) มากที่สุด
- การจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอน (electron configuration) จะสามารถบ่งบอกถึงสมบัติบางประการ
ของอะตอมของธาตุนั้น ๆ ได้ เช่น สมบัติการถูกเหนี่ยวนำในสนามแม่เหล็ก
- โปรตอนในนิวเคลียสเองก็มีการจัดเรียงตัวเช่นเดียวกัน แต่ว่าอนุภาคทั้งหมดในนิวเคลียส (นิวคลีออน
, nucleon) สามารถเกิดการสับเปลี่ยนได้ระหว่างกัน
1
1 p 1
0 n + 0
1+ 1
0 n 1
1 p + 0
−1−
- อิเล็กตรอนจะโคจรอยู่รอบ ๆ นิวเคลียสด้วยค่าพลังงานหนึ่ง ๆ ที่แตกต่างกันไป แต่มีค่าที่แน่นอน
โดยที่อิเล็กตรอนที่อยู่บนระดับชั้นพลังงานเดียวกันจะมีค่าพลังงานที่ใช้ในการโคจรเท่า ๆ กัน
- พลังงานของอิเล็กตรอนที่ใช้ในการโคจรรอบนิวเคลียสจะมีค่าคงที่ค่าหนึ่งเสมอ เราสามารถกล่าวได้
ว่า ระดับพลังงานของอิเล็กตรอนเป็นควอนไตซ์ (quantized)
- แบบจำลองอะตอมมของ Bohr สามารถใช้อธิบายการโคจรของอิเล็กตรอนรอบ ๆ นิวเคลียสได้
[4]
▪ อิเล็กตรอน (electrons)
- อิเล็กตรอนสามารถมีคุณสมบัติเป็นได้ทั้ง คลื่น (waves) และอนุภาค (particles) แต่ในการ
พิจารณาคุณสมบัติของอิเล็กตรอน ณ สภาวะหนึ่ง ๆ เราจะใช้พิจารณาโดยใช้สมบัติว่าเป็น คลื่น หรือ
อนุภาคเท่านั้น
- เมื ่ อ เราพิ จ ารณาตาม หลั ก ความไม่ แ น่ น อนของไฮเซนเบิ ร ์ ก (Heisenberg’s uncertainty
principle) ซึ่งกล่าวไว้ว่า เราไม่สามารถที่จะทราบตำแหน่งของอิเล็กตรอน และโมเมนตัมในเวลา
เดียว ๆ กันได้ (ไม่สามารถทราตำแหน่ง และพลังงานที่แน่นอนในเวลาเดียวกัน)
- โดยความไม่นอนของการวัดค่าทั้งสองสามารถเขียนแสดงตามความสัมพันธ์ดังนี้
h
x p
4
- จากการที่เราทราบว่า อิเล็กตรอนสามารถแสดงพฤติกรรมเป็นคลื่นได้ทำให้มีการสร้างแบบจำลอง
อิเล็กตรอนซึ่งเรียกว่า กลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics) ขึ้นมา ซึ่งมีลักษณะดังนี้
o อิเล็กตรอนจะถูกอธิบายโดยใช้สมบัติของคลื่นนิ่ง (stand wave) ซึ่งจะมีการสั่นเป็นควอนไตซ์
และการสั่นของคลื่นจะต้องมีแอมพลิจูดเป็น 0 จำนวนอย่างน้อย 2 จุด (จุดที่แอมพลิจูดเป็น 0
เรียกว่า โหนด (node))
[4]
H = E
E คือ
พลังงานทั้งหมดของอะตอม ผลรวมของพลังงานศักย์เนื่องขจากแรงดึงดูดระหว่าง
โปรตอน และอิเล็กตรอน และพลังงานจลน์ของการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน
o โดยแต่ละฟังก์ชันคลื่นจะมีค่าพลังงานเฉพาะ กล่าวคือพลังงานเป็นควอนไทซ์ จากผลเฉลยที่จะให้
ค่าพลังงานบางค่าที่เป็นไปได้สำหรับอิเล็กตรอน
o ค่าของฟังก์ชันคลื่น ที่จุดหนึ่ง ๆ ในที่ว่าง คือ ค่าแอมพลิจูดของคลื่น โดยค่านี้เป็นไปได้ทั้งค่า
บวก และค่าลบ
o ที่จุดต่าง ๆ ในที่ว่างค่าของฟังก์ชันคลื่นยกกำลังสอง ( 2 ) คือ ค่าความน่าจะเป็นที่จะพบ
อิเล็กตรอน หรือความหนาแน่นอิเล็กตรอน (electron density) และในทางกลศาสตร์คลื่นจะ
เรียกบริเวณนี้ว่า ออร์บิทัล (orbital) หรือ อะตอมมิกออร์บิทัล (atomic orbital)
[2]
[2]
[2]
การรวมกันของอะตอมมิกกออร์บิทัลสามารถพิจารณาได้ 2 แบบเช่นเดียวกับการรวมคลื่น
บริเวณที่แสดงเป็น จุด สื่อถึง นิวเคลียส และการแรเงาเป็นการแสดงถึงเฟส
- การรวมอะตอมมิกออร์บิทัลที่มีเฟสเดียวกัน จะทำให้เกิดออร์บิทัลกระจายไปทั่วรอบ ๆ นิวเคลียส
ของทั้งสองอะตอม* (เกิดออร์บิทัลกระจายรอบ ๆ ทั่วอะตอมทั้งสอง) ออร์บิทัลที่เกิดขึ้นนี้ คือ
โมเลกุลาร์ออร์บิทัล
- การรวมอะตอมมิกออร์บิทัลที่มีเฟสต่างกัน จะทำให้เกิดโมเลกุลาร์ออร์บิทัลที่มีระนาบโหนด อยู่
ตรงกลางระหว่างนิวเคลียสของทั้งสองอะตอม โดยบริเวณนี้เกิดจากการหักล้างกันของฟังก์ชัน
คลื่นของทั้งสองอะตอมมิกออร์บิทัลที่มีเฟสตรงกันข้ามกัน
[4]
สั ง เกตได้ ว ่ า ผลต่ า งที ่ เ กิ ด ขึ ้ น จากค่ า 2 เมื ่ อ เที ย บกั บ ค่ า ที่ พ ิ จ ารณาการรวมกั น ของ
อะตอมมิกออร์บิทัล ( cAA ) + ( cBB ) คือ 2cAcBAB เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาเราจะกำหนดให้
2 2
electron density
electron density
โดยจากที่เราทราบว่า โมเลกุลาร์ ออร์บิทัลที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของ 1s อะตอมมิกออร์บิทัล
ซึ่งมีสมมาตรแบบ cylindrical ถูกกำหนดด้วยสัญลักษณ์ เราจึงเรียก molecular orbital ที่เกิด
จากการรวมแบบ bonding ว่า bonding molecular orbital เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ 1s และใน
ขณะเดียวกันเราเรียก molecular orbital ที่เกิดจากการรวมแบบ antibonding ว่า antibonding
molecular orbital เขี ย นแทนด้ ว ยสั ญ ลั ก ษณ์ 1s , สั ญ ลั ก ษณ์ asterisk ( )สื ่ อ ถึ ง antibonding
orbital ดังนั้นเราจึงสามารถเขียนแสดงแผนภาพการเกิด molecular orbital ของ H − 1s ออร์บิทัล
ได้อีกแบบดังนี้
เช็คความเข้าใจเกี่ยวกับ MO ของ H2
1. เกิ ด จาก atomic orbitals (AOs) 2 orbital รวมกั น ขึ ้ น เป็ น molecular orbitals (MOs)
2 orbital – จำนวน AOs ที่เกิดการรวมกันจะเท่ากับจำนวนของ MOs เสมอ
2. การรวม wavefunction ของ AOs แบบเฟสเหมื อ น จะเกิ ด bonding orbital ส่ ว นการรวม
wavefunction ของ AOs แบบเฟสต่าง จะเกิด antibonding orbital
3. ถ้าหากเกิดการรวมกันของ AO ของธาตุชนิดเดียวกัน แต่ละ AO จะมีส่วนร่วม (contribute) ใน
การสร้าง MOs เท่า ๆ กัน
4. bonding MO จะมีพลังงานต่ำกว่า AOs – ความเสถียรที่เพิ่มขึ้น (พลังงานที่ลดลง) จะเกิดขึ้นก็
ต่อเมื่อมีอิเล็กตรอนบรรจุลงไปใน bonding MO
5. antibonding MO จะมี พ ลั ง งานสู ง กว่ า AOs – ความเสถี ย รที ่ ล ดลง (พลั ง งานที ่ เ พิ ่ ม ขึ ้ น )
จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีอิเล็กตรอนบรรจุลงไปใน antibonding MO
6. แต่ละ Hydrogen atom จะมีอิเล็กตรอนอยู่อย่างละ 1 ตัว ซึ่งการที่อิเล็กตรอนแต่ละตัวในตอน
แรกมี spin แบบไหนก็ตาม spin เดิมนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับ spin ที่กำหนดให้ใน MOs
7. อิเล็กตรอนที่บรรจุลงไปใน MO จะบรรจุลงในชั้นพลังงาน MO ที่ต่ำสุดก่อน – บรรจุลงไปใน
bonding MO
8. การบรรจุอิเล็ก ตรอนลงไปใน MO จะเหมือนกับที ่บรรจุใ น AOs คือ แต่ล ะ MO สามารถมี
อิเล็กตรอนอยู่ได้แค่ 2 ตัวเท่านั้น โดนอิเล็กตรอนแต่ละตัว ใน MO จะต้องมี spin ตรงกันข้ามกัน
( ms มีขนาดตรงกันข้าม)
9. ใน bonding MO ของ H2 ซึ่งมีอิเล็กตรอนบรรจุอยู่ 2 ตัว อิเล็กตรอนทั้งสองตัวนั้นจะอยู่ระหว่าง
นิวเคลียสของอะตอมทั้งสอง ทำให้เกิดแรงดึงดูดขึ้นเกิดการรวมเป็นโมเลกุลได้ – เกิดพันธะเคมี
10. จากการที่อิเล็กตรอนทั้งสองตัวบรรจุอยู่ใน bonding MO ซึ่งมีพลังงานต่ำกว่า AOs โมเลกุล H2
ที่เกิดขึ้นจึงมีความเสถียรมากกว่าเมื่อ H อยู่เป็นอะตอมเดี่ยว ๆ – มีพลังงานลดลงเมื่ออะตอมทั้ง
สองรวมเป็นโมเลกุลขึ้น
bond order =
( no. of electrons in bonding MOs ) − ( no. of electrons in antibonding MOs )
2
การสร้างพันธะของอะตอมในระดับชั้นพลังงานที่ 2
จากที่เคยกล่าวไปในเนื้อหาส่วนของอะตอมว่าในระดับชั้นพลังงานที่สูงขึ้นจาก n = 1 คือ ชั้น
พลังงานที่ n = 2 จะมีออร์บิทัลที่สามารถเป็นไปได้มากขึ้นจากเดิม ได้แก่ 2s และ 2 p ออร์บิทัลซึ่งจะ
เป็นออร์บิทัลที่พบในชั้นพลังงานนี้ และลักษณะของทั้ง 2s และ 2 p ออร์บิทัล ก็เคยได้กล่าวไปแล้วใน
ส่วนแรก ตอนนี้เราเริ่มที่จะศึกษาการเกิดพันธะของธาตุในคาบที่ล่างลงมาจากคาบที่ 1 ซึ่งมีแค่ H และ
He ต่อจากนี้เราจะเริ่มศึกษาการเกิดพันธะของธาตุในคาบที่ 2 ซึ่งกระกอบไปด้วยธาตุ Li, Mg, B, C, N,
O, F และ Ne ในการศึกษาวิชาเคมีอินทรีย์ สารประกอบอินทรีย์ส่วนใหญ่นอกเหนือจาก H ที่อยูบ่ นคาบ
ที่ 1 ก็มักจะประกอบไปด้วยธาตุในคาบที่ 2 นี้ ได้แก่ C, N, O และ F
ก่อนที่จะเริ่มศึกษาการเกิดพันธะของธาตุในคาบที่ 2 เราควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ สมมาตร
(symmetry) ที่จะเกิดขึ้นจากการรวมกันของ AO แต่ละชนิด โดยจะมีสมมาตรที่เป็นไปได้ดังนี้
- การเกิดการซ้อนเหลื่อมระหว่าง s − s orbital
ทั้ง 1s และ 2s AO ต่างก็มีรูปร่างเป็นทรงกลมทั้งสิ้น ซึ่งลักษณะของการรวมกันจาก 2s AO
เกิดขึ้นเป็น MOs ก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นใน 1s AO คือ มีทั้ง bonding MO และ antibonding MO
เกิดขึ้น และรูปร่างของทั้งสอง MOs ก็เหมือนกับที่เกิดจาก 1s AO แต่ MOs ที่เกิดขึ้นจาก 2s AO
จะมีพลังงานสูงกว่า เนื่องจาก 2s orbital มีพลังงานสูงกว่า 1s orbital และขนาดของ 2s orbital
ก็ใหญ่กว่า 1s orbital แต่โดยคร่าว ๆ เราสามารถพิจารณาการเกิด MOs ของ 2s orbital ใน
รูปแบบเดียวกันกับ MOs จาก 1s orbital โดยการเกิด bonding MO และ antibonding MO เป็น
ดังแสดง
- การเกิดการซ้อนเหลื่อมระหว่าง p − p orbital