You are on page 1of 514

บทที่ 201: ราชาแห่งขุมนรก (2)

มูยองพิชิตหอคอยทั้งหมดในเส้นทางแห่งนรกภูมิ

นอกจากนี้เขายังทำให้เจ้าของหอคอยทั้ง 44 แห่งยอมศิโรราบ และขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด

พอมูยองยึดมันทั้งหมดได้ ที่ปลายของหอคอยแต่ละยอดก็เริ่มปล่อยพลังงานความร้อนขึ้นก่อนจะยิงลำแสงสี
แดงพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้ า

หลังจากนั้นทิวทัศน์ของท้องฟ้ าก็เปลี่ยนไป เมื่อเขามองขึ้นไปบนนั้นก็เห็นโลกของอันเดอร์เวิลด์ฉายอยู่ เส้น


ทางแห่งนรกภูมิเริ่มเชื่อมโยงกับโลกแห่งความเป็ นจริงอย่างสมบูรณ์

<คุณเอาชนะ 44 หอคอย>

<คุณสามารถทำให้วิญญาณ 44,000 ตนปรากฏตัวในโลกแห่งความเป็ นจริงได้>

<เจ้าของหอคอยทั้งหมด 44 ตนพ่ายแพ้แล้ว>

<ความสำเร็จของคิงสเลเยอร์ 'เพชรฆาตราชา' เสร็จสิ้นแล้ว>

<ระดับความพึงพอใจในปัจจุบัน: ระดับต่ำ 37, ระดับกลาง 14, ระดับสูง 47, ระดับสูงสุด 2>

<ของรางวัลขึ้นอยู่กับระดับความพึงพอใจ>

+ ระดับทักษะ 'ผู้เชี่ยวชาญดาบ' เพิ่มขึ้น A S

+ ผลความสำเร็จ 'เทพนักดาบ, นักดาบวิญญาณอาฆาต' ได้ถูกเพิ่มเข้ามา

+ ผลความสำเร็จ 'เพชรฆาตราชา' ได้ถูกเพิ่มเข้ามา

<ภารกิจต่อเนื่อง 'คิงสเลเยอร์: เส้นทางของราชันย์' สำเร็จแล้ว>

<เนื่องจากคุณสังหารราชาไปแล้ว 100 ราชา ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเข้ามาแทนที่ราชาที่แท้จริง จง


สร้างอาณาจักร และสร้างผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์>

<คุณได้เสร็จสิ้นภารกิจ 'คิงสเลเยอร์: เส้นทางของราชันย์'>


<คุณได้รับการยอมรับว่าเป็ นราชาแห่งขุมนรก>

+ กองทัพของราชา (สเตตัสของทหารทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของคุณ +10)

+ สุ่มอุปกรณ์ของคิงสเลเยอร์หนึ่งชิ้น

+ คุณได้รับเกราะหุ้มขา 'ไนท์คิง'

<ภารกิจต่อเนื่อง 'คิงออฟเดอะเวิล์ด'>

<จงพิชิตดินแดนมากกว่าครึ่ งโลก นี่คือสิ่งที่แม้แต่คิงสเลเยอร์ก็ไม่สามารถทำได้>

<รางวัล - คิงสเลเยอร์>

<ทันทีที่คุณได้เป็ นผู้ปกครองโลกใบนี้ คิงสเลเยอร์จะยอมเป็ นอัศวินของคุณ>

มีข้อความมากมายขึ้นบดบังสายตาของมูยอง

มูยองมองทุกข้อความอย่างระมัดระวัง

เป็ นเพราะไม่มีอะไรที่จะมองข้าม

เมื่อเขาเสร็จภารกิจเพชรฆาตราชา ก็ผลความสำเร็จเพิ่มมาอีกสามอย่าง

'เทพนักดาบ, นักดาบวิญญาณอาฆาต, เพชรฆาตราชา'

มูยองเปิ ดดูค่าสถานะของตัวเองทันที

จากนั้นเมื่อตัวแสดงสถานะผุดขึ้น เขาก็มองไปที่ผลความสำเร็จดังกล่าว

ผลความสำเร็จ ->

เทพนักดาบ, นักดาบวิญญาณอาฆาต (???, คุณจะกลายเป็ นนักดาบแห่งทวยเทพ หรือนักดาบแห่งผีร้าย)

เพชรฆาตราชา (S ++, สติปัญญา และความฉลาด+50, ได้รับผลกระทบ มันตราราชันย์)


ในกรณีของเพชรฆาตราชานั้นบวกเพิ่มสเตตัสที่สำคัญ แม้ว่าจะเพิ่มแค่สองค่าสถานะ แต่เขาก็รู้สึกว่าร่างกาย
เต็มเปี่ ยมไปด้วยพลัง

'มันเป็ นผลความสำเร็จที่ยังไม่ได้วิวัฒนาการ'

เทพนักดาบ, นักดาบวิญญาณอาฆาตเป็ นผลกระทบที่ยังคลุมเคลือ

ผลลัพธ์จะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อเขากลายเป็ นเทพนักดาบ หรือนักดาบวิญาณอาฆาตซะก่อน

ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะกลายเป็ นร่างไหนตอนไหน

เทพนักดาบ นักดาบวิญญาณอาฆาต เขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นรูปแบบพลังของมัน

และในเมือมันเป็ นทักษะของเขา เขาย่อมจะได้เห็นมันในอีกไม่ช้า

อีกผลความสำเร็จหนึ่งของเพชรฆาตราชาก็เป็ นที่สะดุดตาเช่นกัน

'มันตราราชันย์' [1]

ความหมายง่ายๆของมันคือถ้อยคำของกษัตริย์

ดูเหมือนว่ามันจะคล้ายกับภาษามังกร

นั่นหมายความว่าทุกสิ่งที่มูยองพูดออกมา อานุภาพของถ้อยคำจะไม่ต่างจากคำพูดของเหล่ากษัตริย์

เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับพลังของคำพูดมาก่อน

แม้เขาจะเคยพบกับชายชื่อบัคผู้ที่มีพลังของภาษามังกรในสังเวียนใต้ดิน แต่ยังไงพลังประเภทนี้ก็เป็ นพลังที่คน


ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี

'ฉันทำภารกิจความสำเร็จต่อเนื่องเสร็จในครั้งเดียว'

ในขณะที่พิชิตเส้นทางแห่งนรกภูมิสำเร็จ เขาก็ได้รับการยอมรับในฐานะกษัตริย์ด้วย

ฮา!'

ไม่ใช่ราชาปี ศาจ แต่เป็ นราชาแห่งขุมนรก


เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ และไม่ได้มีความรู้สึกขัดใจอะไรกับสถานะดังกล่าว

เขาไม่รู้สึกถึงความขัดแย้งใดๆ เพราะยังไงผลของกองทัพราชาก็ทำให้เหล่าวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น

นอกจากนี้เขายังได้รับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของคิงสเลเยอร์

'เกราะหุ้มขาไนท์คิง?'

ปัจจุบันมูยองสวม 'เกราะหุ้มขาแห่งการทำลาย - บารอน'อยู่

แต่เนื่องจากเงื่อนไขการเปิ ดใช้งานของบารอนนั้นยากที่จะใช้งานได้จริง

ในแง่นั้น เกราะใหม่ที่เพิ่งได้รับมาจึงไม่เลวนัก

มูยองมองดูเกราะซึ่งถูกสร้างโดยวัสดุที่ไม่รู้จัก

ชื่อ: เกราะหุ้มขา ไนท์คิง

อันดับ: S ++

ความทนทาน: ไม่มีที่สิ้นสุด

ประเภท: เกราะ

ผลกระทบ: เกราะหุ้มขาที่คิงสเลเยอร์ใช้ มันสร้างขึ้นจาก 'ก๊อดเมทัล' ซึ่งถูกตีโดยเทพแห่งช่างตีเหล็ก 'อัสเวน'

+ สเตตัสทั้งหมด +40

+ มันไม่มีทางเสียหาย

+ สัญลักษณ์ของความศรัทธาและภักดี มันจะสร้างความไว้ใจอย่างแข็งแกร่งให้กับใครบางคน

คำอธิบายค่อนข้างชัดเจนและสมบูรณ์

อย่างไรก็ตามนี่ก็เพียงพอแล้ว
สเตตัสที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดนั่นดีอยู่แล้ว และการที่มันมีความทนทานไม่จำกัด หมายความว่าเขาสามารถใช้มันได้
ทุกครั้งโดยไม่ต้องระวังการสึกหรอ

สำหรับสัญลักษณ์แห่งศรัทธาและความภักดีเขาคงไม่ได้ใช้ แต่มันก็ไม่เลวที่จะมีผลกระทบเช่นนี้

'ยิ่งกว่านั้นภารกิจ คิงออฟเดอะเวิล์ด... '

ภารกิจความสำเร็จต่อเนื่องล่าสุด

เป็ นราชาที่แท้จริงด้วยการพิชิตโลกให้มากกว่าครึ่ งหนึ่งของมัน!

มูยองถูคาง

เป็ นที่น่าสนใจสำหรับการได้คิงสเลเยอร์เป็ นส่วนหนึ่งของรางวัล เขาไม่เคยคิดว่าจะสามารถควบคุมหนึ่งใน


จ้าวแห่งความมืดได้

ยังไงก็ตาม กว่าจะบรรลุความสำเร็จนี้เขาคงต้องเอาชนะเทพปี ศาจจำนวนมากให้ได้ซะก่อน

นั่นหมายความว่ามันยังต้องรออีกนาน

มูยองตรวจสอบจากหน้าต่างแสดงสถานะ

ดูเหมือนว่ามีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่าง และเขาต้องการตรวจสอบพวกมันให้ละเอียดที่สุด

สเตตัส ->

พละกำลัง 665 (368 + 297) ความว่องไว 619 (357 + 262)

ความอดทน 629 (371 + 258) สติปัญญา 633 (325 + 308)

ความฉลาด 648 (335 + 313) จิตวิญญาณต่อสู้ 551 (313 + 238)

ต้านทานเวทย์ 613 (165 + 448) ความสามารถวิญญาณ 608 (380 + 228)

แนวโนมความชั่วร้าย 609 (381 + 228)พลังศักดิ์ สิทธิ์ 644 (466 +178)

คุณสมบัติธาตุไฟ 588 (410 + 178)


ระดับทั้งหมด: 631

หมายเหตุพิเศษ: พลังของลูซิเฟอร์ถูกปิ ดผนึก คุณประสบความสำเร็จในพลังของกาเบรียล คุณกำลังสร้างวิชา


ดาบแห่งมูยอง หอกสังหารเทพถูกสลักไว้ในหัวใจของคุณ

สเตตัสส่วนใหญ่ล้วนเกินกว่า 600 จุด

แน่นอนว่ามันคงเป็ นไปไม่ได้หากปราศจากสเตตัสรอง แต่ไม่ว่ายังไงพวกมันก็เป็ นสเตตัสของมูยองอยู่ดี ดัง


นั้นคุณสามารถพูดได้ว่าพวกมันล้วนเป็ นความแข็งแกร่งของมูยอง

แม้แต่ในอดีต เขาก็ไม่ค่อยเห็นคนที่มีสเตตัสรวมถึง 600 จุดมากนัก

นั่นหมายความว่ามูยองเป็ นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติอย่างแท้จริง

แม้แต่ดราก้อนลอร์ดฮันซุงก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับมูยอง ถึงเขาจะใช้มังกรร่วมต่อสู้ด้วยก็ตาม

ทว่าถึงจะมีค่าสเตตัสขนาดนี้ มูยองก็ยังไม่นับเป็ นตัวตนเหนือธรรมชาติ

เป็ นเพราะเขายังไม่ผ่าน 'พิธีตื่นรู้' ที่จะกลายเป็ นตัวตนเหนือธรรมชาตินั่นเอง

พิธีตื่นรู้ ...

กิลด์หรือตระกูลใหญ่ๆกล่าวว่า หลัจากผ่านพิธีกรรมดังกล่าว โลกในสายตาคุณจะเปลี่ยนไป

ตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งหมด หรือเทพปี ศาจต่างยอมรับผู้ที่ผ่านพิธีตื่นรู้

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของโลก

เขารู้เหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงยังไม่ผ่านพิธีตื่นรู้แม้ว่าสเตตัสของเขาจะเพียงพอสำหรับที่จะเข้าร่วม

'สเตตัสหลัก'

เขายังมีสเตตัสหลักไม่มากพอ

ไม่ว่ามูยองจะแข็งแกร่งเร็วแค่ไหน แต่ก็ไม่ถึงกับเร็วแรงทะลุมิติ

ดังนั้นเขาจึงสวมใส่อุปกรณ์ต่างๆเพื่อชดเชยความแข็งแกร่งที่ยังเอื้อมไม่ถึง
ทว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มสเตตัสหลักของตัวเอง

และนั่นสามารถบรรลุได้เองโดยธรรมชาติ หากเขาเดินบนเส้นทางของกษัตริย์

กรรร!

มันเป็ นตอนนั้นเอง

เมื่อมูยองตรวจสอบทุกอย่างแล้ว บางอย่างที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ใจกลางของหอคอยทั้ง 44 แห่ง มีหอคอยแห่งที่ 45 ผุดออกมา

“ นั่นมันหอคอยราชา!”

“ ราชาแห่งเส้นทางนรกภูมิที่แท้จริงได้รับการแต่งตั้งแล้ว!”

สุนัขจิ้งจอกเก้าหางเป็ นกลุ่มแรกที่คุกเข่าน้อมรับ จากนั้นวิญญาณจำนวนมากในเส้นทางแห่งนรกภูมิก็แสดง


ให้เห็นถึงความภักดีของพวกมันเช่นเดียวกัน

มูยองเดินขึ้นไปบนหอคอยที่ 45

และเมื่อเขาไปถึงชั้นบนสุด โลกก็เปลี่ยนไป

***

นักบวชและพาราดินจำนวนหนึ่งกำลังยืนอึ้งอยู่เบื้องหน้าเขา

มูยองไม่ได้ใส่ใจคนเหล่านั้น

แต่สายตาของเขากำลังจดจ่ออยู่กับดาบที่ถือโดยชายคนหนึ่ง

แม้ว่าจะดูไม่เหมือนดาบที่โดดเด่น และจากสนิมที่เกรอะกรังทำให้มันเป็ นได้แค่ดาบเก่าๆเท่านั้น

อย่างไรก็ตามมูยองสัมผัสได้ถึงพลังที่ถูกจารึกไว้บนตัวดาบ

'พลังที่จะทำให้วิญญาณออกไปสู่โลกแห่งความเป็ นจริง'
พลังที่จะทำให้วิญญาณเป็ นตัวเป็ นตนและรักษาพลังอำนาจไว้

ในความเป็ นจริงวิญญาณรอบๆมูยองกลายเป็ นตัวเป็ นตน และกำลังกดดันนักบวชกับเหล่าพาราดินอยู่ การมี


กายหยาบหมายความว่า พลังทางกายภาพสามารถเกิดขึ้นได้

มันไม่ต่างจากการที่มูยองได้รับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งจำนวนถึง 44,000 ตัว

'กลืนมันซะ'

จากนั้นความโกรธเกรี้ ยวก็กลืนดาบเล่มนั้นลงไป

<ความโกรธเกรี้ ยวกลืน 'ดาบแห่งความตาย' แล้ว>

<ความสามารถ 'อุทิศความตาย' ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยว>

จากนั้น มูยองก็เลื่อนสายตาของตัวเองมองโลกภายนอก

มีหอคอยสูง 45 แห่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของโนเบิลคาสเซิล

'ขอบเขตระหว่างเส้นทางแห่งนรกภูมิกับความเป็ นจริงได้ถูกทำลาย'

รอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างช้าๆบนใบหน้าของมูยอง

เหมือนชื่อสถานะของเขา 'ราชาแห่งขุมนรก' มูยองกำลังวางแผนที่จะนำขุมนรกไปสู่โนเบิลคาสเซิล

เขาคิดว่าจะทำอะไรต่อ แต่เขาก็ตระหนักว่าไม่จำเป็ นต้องคิดอีกต่อไป

'ฉันจะไปเอาเอลย่าซีโก้นี่!'

นั่นคือแผนในตอนแรกของเขา

หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบที่ตระกูลแอดวานซ์ เขาวางแผนที่จะค่อยๆเข้าใกล้ผนึกของเอลย่าซีโก้

อย่างไรก็ตามเมื่อไปที่เส้นทางแห่งนรกภูมิแผนการของเขาก็เปลี่ยนไป

เมื่อเขาได้รับตำแหน่งผู้ปกครองเส้นทางแห่งนรกภูมิ เขาก็ไม่จำเป็ นต้องระมัดระวังขนาดนั้น


ในเมื่อสถานที่แห่งนี้คือโนเบิลคาสเซิล สถานที่ที่เปรียบเสมือนหัวใจของตระกูลเรน

มันไม่ใช่การบุกรุกจากภายนอก แต่เป็ นการโจมตีศัตรูจากด้านในโดยตรง

แล้วเขาจะปล่อยมันไปได้อย่างไร?

มันเป็ นโอกาสที่สมบูรณ์แบบ โอกาสแบบที่ยากจะเจอ

“ นายเป็ นใครกัน ปี ศาจหรือเปล่า? หรือ…"

“ ถ้านายยังอยากมีชีวิตก็หลับตาแล้วหุบปากอยู่ที่เดิมนั่นแหละ”

นั่นคือสิ่งที่มูยองต้องการจากนักบวชของมูราลัน

ไม่จำเป็ นต้องทำอะไรไปมากกว่านั้น เพราะเขาเป็ นคนที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของมูยองได้จากการเป็ น


พยานรู้เห็น แม้มูยองจะบอกให้เขาปิ ดหูปิ ดตาทำเป็ นไม่รู้เห็น แต่นิสัยของมนุษย์มักอยากทำในสิ่งที่ถูกห้ามเอา
ไว้เสมอ

เคร้ง! เคร้งง!

มูยองลากความโกรธเกรี้ ยวไปตามพื้น

ด้วยเสียงนั้น เหล่ามอนสเตอร์ก็เริ่มเคลื่อนไหว

และด้วยปี กที่สยายกว้าง

เขาก็บินออกจากหอคอยท่ามกลางความสับสนอลม่านพร้อมเอ่ยเบาๆ

“ จากนี้ไป…เราจะเริ่มพิชิตโลกใบนี้”

***

ทาร์แคนสังเกตเห็นบางสิ่งเปลี่ยนไป

ไม่ใช่แค่ทาร์แคนที่รู้สึก

ทุกคนในโนเบิลคาสเซิลต่างแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้ าโดยอัตโนมัติ
ชายผู้มีหกปี ก

เขาเป็ นเหมือนตัวตนจากนรก

ดาวสีแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือร่างของเขา

และทันทีที่เขาปรากฎตัวท้องฟ้ าก็กลายเป็ นมืดครึ้ ม

ท้องฟ้ าค่อยๆแปรเปลี่ยนสภาพเป็ นเส้นทางแห่งนรกภูมิ

การพลิกกลับของโลก เส้นทางแห่งนรกภูมิกลายเป็ นความจริง และความจริงกลายเป็ นเส้นทางแห่งนรกภูมิ

โฮก!

มอนเตอร์กรูกันออกมาจากหอคอยทุกแห่ง

เพียงแค่เหลือบมองก็พบว่ามีจำนวนหลายพันตัว

“ มอนสเตอร์พวกนี้มาจากไหนกันนี่!”

“ ฉันไม่เคยเห็นมอนสเตอร์หน้าตาแบบนี้มาก่อนเลย!”

ทุกคนจะตื่นกลัวมากขึ้นหากพวกเขาต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ

ผู้คนเกิดความลังเลว่าควรจะหลีกหนีหรือเข้าสู้ ทว่าไม่มีใครสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย

'มูยอง!

แม้ว่าจะไม่มีใครบอกอะไร แต่นั่นย่อมเป็ นเขาแน่นอน

ทาร์แคนชักอาวุธประจำตัวออกมาแล้วเข้าร่วมกับพวกมอนสเตอร์ทันทีโดยไม่ต้องคิด

จากนั้นมูยองก็สยายปี กกลางอากาศ พร้อมกับทำให้ทั้งร่างลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์

ลักษณะที่ปรากฏนั้น เพียงพอที่จะขย่มขวัญทุกผู้คนด้วยตัวตนของราชาแห่งขุมนรก

“ จงคุกเข่าและยอมแพ้ แล้วฉันจะไว้ชีวิตมันผู้นั้น "


ทักษะมันตราราชันย์ถูกปล่อยออกมาด้วยพลังอันทรงอำนาจ

ดูเหมือนเป็ นการอ่อนข้อให้ครั้งสุดท้าย และคำสั่งเดียวของราชาจากขุมนรกคนนี้

แม้ว่าเสียงจะไม่ดังมากนักแต่ทุกคนก็ได้ยินชัดเจน และพวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันไร้ทางต่อต้านจนผู้ที่เต็ม
ไปด้วยความหวาดกลัวเริ่มคุกเข่าลงกับพื้น

*[1] มันตรา (Mantra) แปลว่า การควบคุมจิตด้วยการเปล่งถ้อยคำ หรือ กลุ่มคำ ที่ทรงพลังต่อจิตใจ

บทที่ 202: ราชาแห่งขุมนรก (3)

ผู้คนต่างตกอยู่ในความระส่ำระสาย

พวกเขาไม่สามารถร่วมมือและไว้วางใจซึ่งกันและกันได้

หลังจากการตายของเรนกัน ความโกลาหลและความหวาดระแวงก็เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

ตระกูลเรนไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อผู้อื่นตั้งแต่แรก พวกมันรู้แค่การทำให้กลุ่มของตัวเองรุ่งเรืองเท่านั้น และไม่เคย


ทำสิ่งใดเพื่อผลประโยชน์ของโนเบิลคาสเซิลเลย

นอกจากนี้ นี่ยังเป็ นครั้งแรกที่โนเบิลคาสเซิลถูกรุกรานจากภายใน

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจกลางเมือง

ด้วยการดำเนินการอย่างรวดเร็วของมูยอง ทำให้ไม่มีใครตอบสนองได้ทัน

ขณะที่มองไปยังฉากน่ากลัวตรงหน้า ทั่วร่างของอาแลนซ์ก็ต้องสั่นสะท้าน

'นรก นี่มันนรกชัดๆ ... '

เสียงกรีดร้องไร้ที่สิ้นสุดดังให้ได้ยินไปทั่ว

ไหนจะเสียงของอาคารที่กำลังลุกโหมไปด้วยเปลวเพลิง และพังทลายลงจนเหลือแต่เถ้าถ่าน

ทั้งโลกถูกเปลี่ยนเป็ นสีแดงฉาน โดยมีสัญลักษณ์ของคำสาปชั่วร้ายเป็ นหอคอยตระหง่านสูงเฉียดฟ้ า

แม้กระทั่งพาลาดินที่เคยผ่านการฝึ กฝนอย่างหนักก็ยังพูดไม่ออก
พวกเขาจะพูดอะไรได้?

มอนสเตอร์พวกนั้นจะไม่ทำร้ายผู้ที่คุกเข่า อย่างไรก็ตามคนที่ต่อต้านต่างถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมโดย
ปราศจากความลังเล

สำหรับเหล่าพาลาดิน การได้เห็นท้องใส้ของเหยื่อไหลทะลักพร้อมกับอวัยวะภายในอื่นๆช่างดูเหมือนฝันร้าย

แต่ทว่านรกดังกล่าวกำลังอยู่บนความเป็ นจริง

“ เราจะไม่ไปช่วยพวกเขาหน่อยเหรอ?”

อาแลนซ์พยายามพูดความในใจออกมาอย่างสุดกลั้น

เขารู้สึกที่เหมือนตัวเองต้องเข้าไปช่วยเหลือ เขาเป็ นนักบวชของมูลาลัน ผู้อุทิศตนให้กับหลักคำสอนอันศักดิ์


สิทธ์ และทุ่มเทชีวิตในการช่วยเหลือผู้อื่น

อย่างไรก็ตามเท้าของเขาไม่สามารถขยับได้ และคำพูดแต่ละคำช่างเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก

เหล่าพาราดินไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเช่นกัน

“ พวกเรากลับไปขอความช่วยเหลือที่มูลาลันดีกว่า”

“ ถึงจะไม่อยากยอมรับมัน แต่ถ้ามีแค่พวกเราคงช่วยอะไรที่นี่ไม่ได้มาก”

เห็นได้ชัดว่าเหล่าพาราดินไม่เห็นด้วย

พวกเขาคิดว่านี่ไม่ใช่การพยายามตีก้อนหินด้วยไข่หรอกหรือ?

ไม่ใช่เลย

ใช้คำว่าไข่ก็ยังไม่ได้ ถ้าจะเปรียบเทียบตอนนี้ มันเหมือนการพยายามตีก้อนหินด้วยฟองสบู่มากกว่า

หากคุณใช้ไข่ตีก้อนหิน อย่างน้อยก็คงมีร่องรอยเหลืออยู่ แต่สำหรับฟองสบู่แล้วคงไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น

“ แล้วเราจะออกจากที่นี้เพื่อไปขอความช่วยเหลือยังไง?"”

เสียงของอาแลนซ์ฟังดูราวสิ้นหวัง
พวกเขาไม่สามารถหนีจากไปได้ พวกเขาถูกขังอยู่ในหอคอย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะออกไปก็ต้องเจอกับฝูง
มอนสเตอร์อยู่ดี

“ อย่างน้อย…เด็กๆ ฉันอยากช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้”

สำหรับมนุษย์ที่มีปี กทั้งหก อาแลนซ์มองเขาว่าเป็ นสิ่งชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด

เขาเริ่มสงครามและสังหารหมู่ผู้คน

ไว้ชีวิตต่อผู้ที่คุกเข่า?

หนึ่งความเมตตาดังกล่าว ไม่อาจสร้างดีงามให้คนผู้นั่นได้

ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนผู้รุกรานก็คือผู้รุกราน ความจริงจะไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาจะมีเหตุผลอย่างไร

เหล่ามอนสเตอร์ปล่อยให้เฉพาะผู้ที่คุกเข่าเท่านั้นเหลือรอด ส่วนผู้อื่นไม่ว่าจะเป็ นเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนถูก


สังหารจนสิ้น มันเป็ นคำสั่งที่มีเงื่อนไขเพียงง่ายๆ

“ท่านอาแลนซ์”

“ ฉันไม่ได้บอกให้ทุกคนต้องทำตาม ถึงแม้จะมีเพียงคนเดียว ฉันก็จะไป”

นักบวชอย่างอาแลนซ์พยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง

หน้าที่ของเขาในฐานะนักบวชแห่งมูลาลัน และในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง

ถ้าเขาไม่ทำ ที่นี่จะกลายเป็ นนรกจริงๆ ทุกอย่างจะมีเพียงความวุ่นวาย โดยปราศจากความหวัง และความ


เห็นใจซึ่งกันและกัน

เขาไม่ต้องการให้มันกลายเป็ นโลกแบบนั้น

นี่คือสิ่งที่นักบวชทุกคนในมูลาลันคิดเหมือนกัน

แม้ว่าจะมีแต่ความชั่วร้ายอยู่ในโลกนี้ อย่างน้อยก็ยังมีเขาที่อยากเป็ นคนดี

ความปรารถนาดังกล่าวถือเป็ นคุณธรรมสำคัญสำหรับนักบวช
'ฉันจะไม่ทนต่อสิ่งชั่วร้าย'

อาแลนซ์เคลื่อนไหวทันที

***

มูยองเองก็ไม่ชอบ แต่ต้องทำใจยอมรับมัน

เขาต้องการให้ตระกูลเรนรวมถึงตระกูลอื่นๆรู้สึกอยากต่อต้านและตอบโต้ขึ้นอีกสักหน่อย

เพราะนั่นถึงจะทำให้แผนการเป็ นศัตรูกับทุกคนมีค่า

'เพิ่มความปรารถนาในใจของพวกเขา'

และความปรารถนาจะก่อเกิดเป็ นความหวัง

มันเป็ นไปได้ที่จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วมหาศาล หากมีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ ร่วมกับความ


ปรารถนาที่จะแข็งแกร่ง

เช่นมูยอง เขาแข็งแกร่งขึ้นเพราะตัวเองเป็ นมูยองหรือไม่?

ไม่เลย มันเป็ นเพราะเขาพยายามอย่างมากที่จะแข็งแกร่งตลอดเวลาต่างหาก

แน่นอนว่าไม่มีใครจินตนาการออกว่าปริมาณข้อมูลที่เขาครอบครองมีเท่าไหร่ แต่ก็มีคนมากมายที่มีข้อมูล
จำนวนมากเช่นมูยอง

สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเขาไม่ได้แบ่งปันสิ่งที่พวกเขารู้ และพยายามไล่ล่าแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง

มูยองอยากแก้นิสัยแย่ๆพวกนี้

เมื่อต้องการทำตามแผนที่วางไว้ การเคลื่อนไหวเล็กน้อยย่อมไม่เพียงพอ

ถึงมันออกจะสุดโต่งไปหน่อย แต่ไม่ใช่มูยองคนเดียวแน่นอนที่คิดแบบนี้

ในอดีตดราก้อนลอร์ดฮันซุงก็เคยมีบทบาทเช่นนั้น ยังไงก็ตามเขาล้มเหลว

'ฮันซุง ใจของเขายังไม่แข็งแกร่งพอ'
ถ้าเขารุนแรงขึ้นหน่อยคงจะดีกว่านั้น

ถ้าเขารู้วิธีที่จะอดกลั้นต่อต่อสิ่งต่างๆเพิ่มมากขึ้น

ฮันซุงจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

มนุษยชาติจะเป็ นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และมีพลังมากพอสำหรับการรุกรานของเหล่าปี ศาจ

อย่างไรก็ตามฮันซุงไม่ฮาร์ดคอร์พอ เขาไม่กล้าทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ตัวเอง หรือเดินเข้าไปสู่ด้านมืดผ่านการ


นองเลือด

ในทางกลับกัน…

'ฉันแตกต่าง'

มูยองเดินไปบนเส้นทางนั้นแล้ว

ดังนั้นเแผนของเขาจึงไม่ใช่แค่เป็ นศัตรูของเหล่าเทพปี ศาจ

แต่เป็ นศัตรูกับทุกคน!

เส้นทางที่มูยองต้องการเดินนั้นช่างยาวไกลและเต็มไปด้วยอันตราย มันเป็ นเส้นทางที่ไม่มีใครตระหนักถึง


และคิดที่จะแลเหลียว มันเป็ นเส้นทางที่เขาจะต้องเดินเพียงลำพัง

มันเป็ นอะไรบางอย่างที่มีแค่มูยองเท่านั้นที่ทำได้

'สิ่งแรกที่ฉันต้องทำคือปลดปล่อยความรู้ที่หลายคนฮุบไว้'

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโนเบิลคาสเซิลที่ต้องลงมือเป็ นพิเศษ

จำนวนข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้นับว่าเกินความคาดหมาย

สถานที่เช่นห้องหกปราชญ์ของตระกูลแอดวานซ์ถูกสร้างขึ้น

มีข้อมูลมากมายที่กระทั่งแม้แต่พวกมันเองก็ยังจำไม่ได้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในบ้าง

ดังนั้นจุดแรกที่มูยองมุ่งหน้าไปก็คือ ตระกูลแอดวานซ์
ในขณะที่เขาเหยียดมือ ด้วยเสียงการกระตุ้นบางอย่าง จมูกของเขาก็ได้กลิ่นบางสิ่งกำลังถูกเผาไหม้

ตระกูลแอดวานซ์เปิ ดการใช้งานบาร์เรีย

กำแพงป้ องกันที่มีพื้นที่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ

'น่าสนุก'

อย่างไรก็ตามสำหรับมูยองสิ่งนี้ดูเหมือนเป็ นการกระทำที่น่ารักเท่านั้น

ถ้าอยากทำลายบาร์เรียโดยง่ายที่สุด ก็คือเรียกซออึนเซออกมาจัดการ เพราะความสามารถวิเคราะห์ของเธอ ทำ


ให้มูยองค้นพบเกี่ยวกับหอคอยทั้ง 45 แห่งและเส้นทางแห่งนรกภูมิ

แต่มูยองไม่ได้เรียกซออึนเซ

เขาชูมือขึ้น และเพิ่มขนาดของเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์

ฟูมม!

เปลวเพลิวศักดิ์ สิทธิ์ ขยายจนกลายเป็ นบอลลูนขนาดใหญ่

ขนาดของมันเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

จากนั้นผืนดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและสั่นไหวรุนแรง

เขาไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากฝี มือของใครหรือเปล่า แต่พื้นดินก็ปะทุขึ้นและยิงบางอย่างมาที่เปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์

เห็นดังนั้น มูยองจึงส่งเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ พุ่งไปสู่ตระกูลแอดวานซ์ทันที

บรึม!

นี่คือทั้งหมดของตระกูลแอดวานซ์ เมื่อเกราะป้ องกันถูกสัมผัสโดยเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธ์เสียงกัมปนาทรุนแรงก็


ถูกสร้างขึ้น

บาร์เรียที่ประกอบขึ้นจาก 37ชั้นนั้นเริ่มพังทลายทีละชั้นๆ

1, 2, 3 …ในไม่ช้าพวกมันก็แตกสลายออกไปมากกว่า 30ชั้น
ดวงตาของคนที่อยู่ภายในบาร์เรียเบิกกว้างขึ้น ราวกับว่าพวกมันไม่สามารถเชื่อได้

“ อาชญากรรมของพวกแกคือ…การยืนอยู่เฉยๆ”

ตอนที่โลกล่มสลาย เหล่าวีรบุรุษคนแล้วคนเล่าต่างยอมพลีชีพ แต่ตระกูลแอดวานซ์ไม่ยอมทำอะไรเลย

พวกเขายังคงเกียจคร้าน แม้ว่าพวกเขาจะฉลาด แต่พวกเขาไม่ได้ใช้ความรู้เพื่อช่วยเหลือโลก

พวกเขาเสียเวลาไปกับการศึกษา

มูยองไม่ได้กล่าวหาว่าการศึกษาไม่ดี แต่จะศึกษาวิจัยหาความรู้ไปทำไม ถ้าไม่เอามันออกมาใช้งาน?

เนื่องจากการค้นพบของตระกูลแอดวานซ์ เหล่าปี ศาจกลายเป็ นผู้ได้รับประโยชน์จากพลังนั้นแทนมนุษยชาติ

ราชาปี ศาจและเทพปี ศาจบางตนเริ่มสนใจในข้อมูลที่กลุ่มแอดวานซ์มี และรับมันมาจากพวกเขา มนุษยชาติมี


ช่วงเวลาที่ยากลำบากขึ้นหลายเท่าเนื่องจากเหตุการณ์นี้

คงจะดีกว่าถ้าผลงานวิจัยเหล่านั้นไม่มีตัวตน

เพล้ง!

บาร์เรียทั้ง 37ชั้นถูกทำลาย

อย่างไรก็ตามมวลเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ ไม่ได้สูญเสียความแข็งแกร่งไปแม้แต่น้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าชนปราสาท


ของตระกูลแอดวานซ์ และทำลายทุกอย่างในบริเวณโดยรอบ

ผู้คน สิ่งก่อสร้าง พื้นดิน รวมถึงทุกอย่าง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินยังคงอยู่

มูยองขุดห้องหกปราชญ์ขึ้นมา

ห้องหกปราชญ์ หลุมฝังของความรู้ดีๆนี่เอง

แน่นอนว่าการทำให้มันปรากฏขึ้นมาท่ามกลางสายตาของผู้คน อาจจะไม่ใช่วิธีหยุดยั้งมันจากการถูกฝังอีกครั้ง

ดังนั้นเขาจึงต้องการให้ใครซักคนโกรธเมื่อเห็นสิ่งนี้ สักคนที่แข็งแกร่งและเป็ นที่ไว้วางใจต่อสาธารณะชน


“ หยุดนะ ไอ้ปี ศาจ!”

นักบวชของมูลาลันปรากฏ

ดูเหมือนว่าเขาจะทนไม่ไหวหลังจากเห็นตระกูลแอดวานซ์หายไปต่อหน้าต่อตา

“ ชีวิตของผู้คนไม่มีค่าสำหรับแกเลยเหรอไง?!”

“มันไร้ความหมายสำหรับฉัน”

มันไม่มีอะไรสำคัญจริงๆ

สิ่งที่เรียกว่าชีวิตสามารถถูกลบเลือนไปได้อย่างง่ายดายเพียงแค่โบกมือ

ตอนที่เขาเป็ นนักฆ่า และแม้กระทั่งตอนนี้ น้ำหนักของชีวิตดูเบาเกินไปสำหรับมูยอง และน้ำหนักเช่นนี้ดูจะ


เหมือนกันไปตลอดชีวิตของเขา

“ ทุกชีวิตล้วนมีความดีงาม! มันไม่ได้ไร้ค่าเหมือนที่แกคิด…”

“ นี่แกกำลังพยายามสอนฉันเหรอ?”

ตึง! ตึง!

สุนัขจิ้งจอกเก้าหางขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

ด้วยขนาดที่ใหญ่โตไม่ต่างจากอาคาร 5ชั้น ย่อมไม่มีใครหยุดยั้งหายนะจากพละกำลังมหาศาลและพลังจาก


ลูกปัดวิญญาณของพวกมันได้

กลุ่มพวกเขามีเพียงห้าคน

และตอนนี้จิ้งจอกเก้าหางได้ล้อมอาแลนซ์และผองเพื่อนพาราดินไว้หมดแล้ว

ก๊าซ!

ในขณะที่บนฟากฟ้ ายังมีมังกรกระดูกเจ็ดตัวโบยบินอยู่

มังกรกระดูกกำลังช่วยมอนสเตอร์ตัวอื่นทำลายสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
“ แก...นายคือบันยะใช่ไหม? ใช่แล้ว? นายทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ลงได้ยังไง!”

อาแลนซ์ตระหนักได้ว่ามูยองเป็ นบันยะ

แม้ว่าเขาอาจจะไม่เคยเห็น แต่เหตุผลจากการอนุมานของเขาก็เยี่ยมยอด

อย่างไรก็ตามมูยองส่ายหัว

“ ฉันไม่ใช่บันยะ”

จากนั้นเขาพูดต่อ

“ ฉันชื่อมูยอง”

'มู' คือความว่างเปล่า

'ยอง' หมายถึงเงา

แม้ว่าในตอนแรกเขามีชื่อยู่ยอง แต่เขาก็ยังกลายเป็ นมูยองเงามืดของโลกใบนี้

'มู...ยอง!

อาแลนซ์คิดเกี่ยวกับชื่อนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

“ แกบอกว่าฉันโหดเหี้ยมงั้นเหรอ? ไม่ใช่แค่ฉัน แต่ทุกคนล้วนโหดเหี้ยมและชั่วร้าย”

“ นั่นไม่จริง! ทุกคนมีด้านดีเสมอ!”

"จริงเหรอ ถ้างั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินตอนนี้คืออะไร?”

หลังจากกวาดล้างฐานทัพทิ้ง ประตูโลหะสองสามบานซึ่งนำไปสู่ชั้นใต้ดินก็ปรากฏขึ้น

พวกมันเป็ นประตูเหล็กที่สามารถทนต่อการโจมตีของมูยองได้ สิ่งต่างๆที่อยู่ในนั้นย่อมไม่ธรรมดา

มอนสเตอร์เคลื่อนไปเปิ ดประตูโลหะบานหนึ่ง

จากนั้น ศพจำนวนมากที่ไม่สามารถแยกแยะได้ก็สามารถมองเห็น
“ เพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าวิจัย พวกมันกักขังคนบริสุทธิ์ ไว้ทดลองในนี้”

"อะไรนะ?"

แอ๊ด! ตึง !

ประตูโลหะอีกบานถูกเปิ ดออก

คราวนี้เป็ นซากศพของสัตว์นานาชนิดปรากฏให้เห็น

“ มีเพียงชีวิตของมนุษย์เท่านั้นที่มีค่างั้นหรือ?”

“ มันเกิดขึ้นได้ยังไง…ไม่ มันเป็ นไปไม่ได้ ทำไมมูลาลันถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้!”

อาแลนซ์ส่ายหัวราวกับว่าเขาไม่เชื่อสายตาตัวเอง

อย่างไรก็ตามมูยองยิ้ม

“ การผูกขาดข้อมูล นั่นหมายความว่าเป็ นไปได้ที่จะปกปิ ดข้อมูล”

ถึงตระกูลแอดวานซ์จะไม่เคยยื่นมือเข้าไปช่วยฝ่ ายไหนเลย

แต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งกับพวกมันได้

เป็ นเพราะข้อมูลที่พวกเขามีก็เป็ นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน

เมื่อพวกเขารู้เกี่ยวกับจุดอ่อนของผู้อื่น และผู้อื่นจะเข้าไปยุ่งกับพวกเขาได้อย่างไร

เอี๊ยด!

ตึง!

ประตูเหล็กบานสุดท้าย

คราวนี้ไม่มีซากศพใดๆ

อย่างไรก็ตาม ภายในนั้นมีหนังสือหลายแสนเล่มที่เติมเต็มห้อง รวมทั้งเส้นทางไปยังอีกชั้นหนึ่งด้านล่าง


“ ถ้าเป็ นแก แกคิดว่าตัวเองจะใช้พลังที่ได้รับนี้เพื่อความดีเท่านั้นเหรอ? ข้อมูลและความรู้เป็ นอาวุธที่
แข็งแกร่ง พวกมันสามารถย้อมความคิดของใครก็ตามให้แปดเปื้ อนได้”

“ ฉันไม่มีวันถูกมันล่อลวงเด็ดขาด! ฉันไม่มีวันขายวิญญาณให้กับความชั่วร้าย!”

อาแลนซ์รู้สึกเสียสติเล็กน้อยหลังจากได้เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

มันเป็ นภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากนักบวชที่ต้องสงบอยู่ตลอดเวลา

“ ถ้าเป็ นอย่างนั้นก็รับผิดชอบพวกมันซะ จากนี้ไปมันจะเป็ นการต่อสู้ของแกกับฉัน คงจะสนุกไม่น้อยถ้าได้


เห็นคนอย่างแกถลำเข้าสู่ด้านมืด”

มูยองยั่วยุอาแลนซ์

แต่เขายังแอบให้คำแนะนำเล็กน้อย

มันตราราชันย์ มูยองสามารถใช้มันเพื่อปรับเปลี่ยนความคิดของคนผู้หนึ่งได้

อาแลนซ์จะเปิ ดเผยองค์ความรู้มากมายเหล่านี้เพื่อพัฒนาผู้คน

หากมองจากลักษณะนิสัยของเขา มันเป็ นได้ได้น้อยมากที่อาแลนซ์จะใช้ความรู้ที่ได้รับเพื่อผลประโยชน์ของ


เขาเอง

มูยองกางปี กสยายขึ้น

จากนั้นมุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่อไปอย่างไม่รีบร้อน

“ ฉันจะไม่ถูกมันกลืนกิน! ฉันจะไม่กลายเป็ นปี ศาจเหมือนนาย!”

อาแลนซ์พูดขึ้นในขณะที่แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้ าด้วยท่าทีแข็งกร้าว

ใช่ เขาจะเป็ นอัยการแห่งความยุติธรรมเอง

บทที่ 203: ราชาแห่งขุมนรก (จบ)

นอกจากรายการสองสามอย่างที่ต้องการจากห้องสมุด ที่เหลือเขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่เป็ นสิ่ง


ที่มูยองรู้อยู่แล้วหรือไม่ก็ไม่สามารถใช้งานได้
การที่ห้องสมุดหกปราชญ์ถูกเปิ ดขึ้นมาอย่างไรก็ตามมันมีความหมายต่อมนุษยชาติ คุณสามารถพูดได้ว่ามันจะ
ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างน้อยที่สุดก็ 10 ปี

สำหรับมนุษยชาติ 10 ปี เป็ นเวลาจำนวนมากอย่างแท้จริงเมื่อพิจารณากับการปล่อยให้มันอยู่เฉยๆ

การที่เขาทิ้งมันไว้กับอาแลนซ์ทำให้มูยองสบายใจมากขึ้น

มีอย่างอื่นที่มูยองต้องการตามหาอย่างแท้จริงอยู่

'เอลย่าซีโก้'

อาวุธโบราณ เอลย่าซีโก้!

มันเป็ นอาวุธที่มีความลับที่ซ่อนอยู่มากมาย ดังนั้นมูยองจึงวางแผนที่จะรับมันอย่างแน่นอน

เพื่อสิ่งนี้…

'ตระกูลเรน'

มูยองหันสายตาหันไปยังทิศทางของตระกูลเรน

ตระกูลเรน คือหมายเลขหนึ่งของโนเบิลคาสเซิล เนื่องจากพวกมันเป็ นตระกูลใหญ่โตจึงทำให้มีทั้งชายและ


หญิงที่แข็งแกร่งจำนวนมาก

แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับตระกูลอื่นๆ การป้ องกันของตระกูลเรนนั้นยิ่งแข็งแกร่งกว่า

เหล่าภูตผีวิญญาณไม่สามารถบุกเข้าไปได้อย่างง่ายดายราวกับมือเท้าของพวกมันถูกมัด

อย่างไรก็ตามหลังจากที่วิญญาณอันดับ 1 ปรากฏตัวสถานการณ์ของเหล่าวิญญาณก็ค่อยๆดีขึ้น

วิญญาณอันดับ 1

สุนัขจิ้งจอกเก้าหาง ซ่งหลาง และซองซันกิส

วิญญาณทั้งสามประเภทนี้คือวิญญาณอันดับ 1 ในกลุ่มวิญญาณที่มูยองควบคุม
ซ่งหลางสองตัว และซองซันกิสสามตัว กลุ่มทั้งสองเต็มเปี่ ยมไปด้วยพละกำลัง และมีทักษะที่แตกต่างกันไป
จากกลุ่มของจิ้งจอกเก้าหางห้าตัว

กรร!

ซ่งหลาง พวกมันเป็ นหมาป่ าสีน้ำเงินตัวโต

เมื่อใดก็ตามที่พวกมันเคลื่อนไหว เปลวไฟสีฟ้ าจะถูกปล่อยกระจายไปรอบๆ ราบกับทำหน้าที่เป็ นผู้เฝ้ าประตู


แห่งขุมนรก พวกมันเร็วมากจนแม้แต่มูยองยังต้องชื่นชม

ส่วนซองซันกิสนั้นเหมือนอุรังอุตังธรรมดาๆ แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันถือว่าคนละเรื่องเลย

ถ้าถูกพวกมันตบจังๆอาคารบางแห่งยังต้องพังทลาย

หากพวกมันแข็งแกร่งขึ้นอีกนิด ภูเขาก็ยังสามารถพลิกกลับได้โดยง่าย

จากระยะไกลมูยองเพียงแค่ดูตระกูลเรนล่มสลายลงอย่างช้าๆ

สำหรับส่วนใหญ่ของผู้ที่ยังมีชีวิตรอด คือผู้ที่กำลังคุกเข่ายอมศิโรราบ

พวกเขาต้องการความเมตตา และยอมพ่ายแพ้ต่อเหล่าวิญญาณ

โดยทั้งหมดในนั้นมีทั้งตระกูลเรน รวมไปถึงตระกูลอื่นๆปะปนกันไป

การที่พวกมันไม่สามารถร่วมใจกันต่อสู้ได้ อนาคตข้างหน้าก็สามารถคาดการณ์ได้ชัดเจน

'หืม?'

ในขณะที่การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป จู่ๆมูยองก็เห็นการหลั่งไหลของพลังงานความมืด

มันมาจากฝั่งตรงข้ามของสถานที่ตั้งของตระกูลเรน

'พลังของใครบางคนกำลังตื่น'

ความรู้สึกนี้คุ้นเคยกับเขา

มีคนกำลังตื่นรู้ขึ้นมา
แม้ว่าระดับความมืดที่รู้สึกได้ในปัจจุบันจะอ่อนแอ แต่ความเข้มข้นของมันถือว่าสูงมาก

ความเข้มข้นของมันสามารถกำหนดอนาคตได้อย่างชัดเจน

มูยองเกิดความสนใจเล็กน้อย

เขากางปี กกว้างแล้วมุ่งหน้าไปยังความมืดนั้น

"...อ๊าก! อ๊าาาา!"

ในบ้านที่ถูกทำลายไปกว่าครึ่ ง ชายหนุ่มอายุไม่เกิน 18 ปี กำลังกรีดร้องและร่ำไห้อยู่

ที่ด้านหน้าดูเหมือนจะเป็ นศพของพ่อแม่เขา

หนึ่งในร่างไร้ชีวิตมีคนหนึ่งที่มูยองจำได้

'นักดาบเฒ่าจินยุน'

นักดาบเฒ่าจินยุน เขาเป็ นชายชราที่แข็งแกร่งมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใน 10 อันดับแรก แต่เขาก็ยังคงอยู่ใน


กลุ่ม 100 คนแรกของมนุษยชาติ

อย่างไรก็ตามเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆหลังจากเกษียณเนื่องจากอายุมากแล้ว

ในอดีตเขามีชื่อเสียงในด้านบุคลิกภาพที่ไม่เคยยอมแพ้ และไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งกับเขาได้อย่างง่ายดาย

ดูเหมือนว่าบุคลิกภาพดังกล่าวจะปรากฏต่อหน้าเหล่าวิญญาณด้วยเช่นกัน

มูยองสามารถเห็นการต่อต้านอย่างถึงที่สุดจากดาบที่หักและเลือดที่กระจายอยู่รอบๆ วิญญาณหลายสิบตน
ม้วนตลบไปตามพื้นดินหลังจากกลายเป็ นเถ้าถ่าน

และชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะเป็ นบุตรหรือไม่ก็ลูกศิษย์ของเขา

แม้มูยองจะไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับนักดาบเฒ่า ทว่าการที่ชายหนุ่มร้องไห้ขณะถือร่างไร้วิญญาณเอาไว้ก็
สามารถบอกได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน

ขณะนี้ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มมีความมืดมิดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
'การตื่นรู้ประเภทผิดปกติ'

หากบุคคลดำเนินไปในทางที่ผิดขณะเวลาแห่งการตื่นรู้ พวกเขาจะกลายเป็ นตัวตนที่ไม่มั่นคง

หากไม่สามารถจัดการพลังงานของตัวเองได้ ร่างกายของพวกเขาจะระเบิด พวกเขาจะเอ่อล้นไปด้วยพลังงาน


ก่อนที่จะกลายเป็ นความแปรปรวน และหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกคนจะระเบิด

“ ฉันจะฆ่าไอ้พวกเดรัจฉานที่ฆ่าพ่อแม่ของฉันให้หมด!"

กึด!

เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะที่จ้องมองเหล่าวิญญาณ

มีวิญญาณอันดับ 3 และอันดับ 4 นับร้อยตนรอบสถานที่

ชายหนุ่มคว้าดาบหักของชายแก่

จากคำสั่งของมูยอง เหล่าวิญญาณทำตามมันอย่างเคร่งครัด

- ผู้ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ ผู้ที่ไม่คุกเข่า ฆ่าพวกมันทั้งหมด!

ชายหนุ่มไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น

เหล่าวิญญาณพุ่งไปสังหารชายหนุ่มตามคำสั่งของมูยอง

พวกมันเป็ นวิญญาณที่มีมือเหมือนหนวดยั๊วะเยี๊ยะ

และวิญญาณที่อยู่ในรูปแบบของหัวกะโหลกขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม

พลังงานมืดที่อยู่ในดาบของชายหนุ่มนั้นสามารถสกัดการโจมตีของวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ได้

ชายหนุ่มตวัดดาบไปมาราวกับถูกบางสิ่งครอบงำ

และในขณะที่เขาทำเช่นนั้น พลังงานชีวิตของเขาก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว
เวลาที่เขาฆ่าวิญญาณทั้งหมดสำเร็จ คงเป็ นเวลาที่เขาใช้พลังงานของตัวเองจนหมดเช่นกัน

'น่าเสียดายที่จะปล่อยให้เขาตาย'

มูยองมองเห็นศักยภาพในตัวชายหนุ่ม

เขาไม่เคยเห็นพรสวรรค์เช่นนี้ในอดีต อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของชายหนุ่มมาก่อน

อย่างไรก็ตาม

หากเขาสามารถเบ่งบานผ่านพลังงานความมืดมิด ด้วยความผิดปกติของการตื่นรู้

คุณอาจพูดได้ว่าความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดา

แน่นอนว่ามันดูน่าเสียดายที่เขาจะต้องตายในตอนนี้

ตุบ!

มูยองร่อนลงบนพื้น

ทันใดนั้นทิศทางดาบของชายหนุ่มก็หันไปหามูยองทันที

แม้ว่าดวงตาจะมืดบอดด้วยความแค้น

แต่ดูเหมือนเขาจะรู้โดยสัญชาตญาณว่ามูยองเป็ นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้

เคล้ง! เคล้ง!

อย่างไรก็ตามความสามารถของเขานั้นน่าอายเกินกว่าที่จะเทียบกับมูยองได้

มูยองหยุดการโจมตีของเขาอย่างใจเย็น และตอบโต้กลับไป

ฉึก!

ความโกรธเกรี้ ยวแทงไปด้านข้างและแทงทะลุกล้ามเนื้อส่วนขา

จากนั้นคำสาปอันทรงพลังก็แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของชายหนุ่ม
ความโกรธเกรี้ ยวมีอำนาจของการเสื่อมถอย และการสาปแช่ง

และพลังนั้นทรงอำนาจมากกว่าความมืดมิดที่ชายหนุ่มครอบครอง

ด้วยการใช้พลังแห่งการเสื่อมถอยและคำสาป มูยองผนึกพลังความมืดไว้ที่หัวใจของเขา

มันเป็ นผนึกชั่วคราวเท่านั้น

มูยองไม่ได้กำจัดพลังความมืดทิ้งไป

เนื่องจากพลังแห่งความมืดดังกล่าวสามารถกลายเป็ นกำลังของเขาได้

หัวใจของชายหนุ่มเต้นราวกับกำลังจะระเบิด แต่เขากลับยังมีสติ

“อ๊าก!”

“ แกอ่อนแอ ทั้งภายในและภายนอกพวกมันอ่อนแอเกินไป”

“ ฉัน…ฉันไม่ได้อ่อนแอ!”

“ ถ้าแกไม่อ่อนแอทำไมถึงปกป้ องพวกเขาไม่ได้ล่ะ?”

ชายหนุ่มลุกขึ้นอีกครั้ง

เขาฟาดดาบไปที่มูยองอย่างไร้การควบคุม

โครม!

อย่างไรก็ตาม มูยองไม่ยินยอมรับความโกรธเคืองของชายหนุ่ม

มูยองเตะเข้าไปที่หน้าอกจนชายหนุ่มล้มกลิ้ง

“ แกไม่สามารถปกป้ องพวกเขาได้ เพราะแกมันอ่อนแอ”

“ แม่…พ่อ… แค่ก! อ่อก!”

ดวงตาของเขาพลิกกลับ
เขาร้องไห้จนน้ำตากลายเป็ นสายเลือด

มันเป็ นปรากฏการณ์สำหรับคนที่มีความตึงเครียดทางจิตใจจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้

มูยองเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม และสัมผัสหัวใจของเขา

หลังจากนั้น เขาก็ประสานพลังและพูดขึ้น

“ สาเหตุที่พ่อแม่ของแกตาย และสาเหตุที่แกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เพราะพวกแกมันอ่อนแอ ทุกอย่างก็เพราะ


พวกแกไม่สามารถเผชิญหน้ากับฉันได้”

มูยองให้เป้ าหมายกับเขา

แม้ว่าเขาจะประสานพลังให้ แต่หากชายหนุ่มไม่มีความตั้งใจที่จะมีชีวิตรอดเขาก็จะตายอยู่ดี

ชายหนุ่มเงยหน้าที่แทบยกไม่ไหวขึ้น

จากนั้นมองไปที่มูยอง

“ ฉัน จิน…จากึน จะ... ฆ่าแก”

ชายหนุ่มชื่อจินจากึน

เขาพูดชื่อของเขาและประกาศว่าจะฆ่ามูยอง

มูยองก็แนะนำตัวเองด้วย

“ ฉันชื่อมูยอง นอกจากนี้ฉันยังเป็ นราชาแห่งขุมนรก ถ้าแกต้องการเผชิญหน้ากับฉันอีกครั้ง แกต้องแข็งแกร่ง


ขึ้นกว่านี้”

พลังแห่งความมืด การเสื่อมถอย และคำสาปแช่งล้วนครอบงำจิตใจของเขา

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมูยองผสมเปลวไฟศักดิ์ สิทธิ์ เข้าไปด้วยเล็กน้อย มันจึงสามารถทำให้ทุกพลังเป็ นกลาง


ได้

สุดท้ายก็อยู่ที่ความตั้งใจของชายหนุ่ม หากเขาสามารถตื่นรู้และพัฒนาความแข็งแกร่งได้สำเร็จ เขาจะมีพลัง


การต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ 10 อันดับแรก
และดูเหมือนว่าจินจากึนจะมีศักยภาพเหนือกว่าทุกสิ่งอย่างแน่นอน

ดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้น

มูยองเป็ นวายร้าย และจากึนได้รับการขนานนามว่าเป็ นผู้ล้างแค้นอย่างแท้จริง

พรึ่ บ!

เมื่อมูยองทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วก็กางปี กอีกครั้ง

และมุ่งหน้าไปยังตระกูลเรน

ภาพด้านล่าง...จินจากึนยังคงวิ่งไลล่ตามมูยองต่อไปแม้ร่างกายของเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด

***

'มันเป็ นการโจมตีของราชาปี ศาจ'

'บางทีเทพปี ศาจอาจอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้'

'อย่างไรก็ตามมังกรกระดูกทั้งเจ็ดที่บินอยู่บนฟ้ าดูเหมือนจะคุ้นเคยกันดี'

'บางที…'

ความคิดเห็นถูกแบ่งแยกออก แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ใดๆที่จะมานั่งพูดคุยกันมากนัก

“กาซซ!”

"หยุดพวกมัน! อย่าปล่อยให้พวกมันเข้ามาได้อีก! "

วิญญาณเคลื่อนที่ไปยังตระกูลเรนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวิญญาณหลายหมื่นตนบุกเข้ามาในครั้งเดียว ตระกูลเรนไม่สามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากผลลัพธ์ ถ้ายังเป็ นเช่นนี้ต่อไป เหล่าวิญญาณจะสามารถไปถึงผู้นำตระกูลได้

อย่างไรก็ตาม เหล่าวิญญาณไม่สามารถช่วยได้แต่สั่นไหวไปมา
มันเป็ นเพราะขุนพลแห่งตระกูลเรน เรนซองผู้ที่มีดาบคู่ใจอย่าง 'ดาบฮวังอี'

ในฐานะที่เป็ น 1 ใน 10 คนที่แข็งแกร่งที่สุด เขาเปรียบดั่งความหวังสุดท้ายของตระกูล

"เข้ามา! ไอ้พวกสัตว์ประหลาดน่าขยะแขยง!”

เมื่อใดก็ตามที่ดาบฮวังอีเผยประกายแสง เหล่าวิญญาณก็ต้องสูญเสียศีรษะของพวกมันไป

เหล่าวิญญาณไม่ได้ทิ้งร่างไว้เมื่อพวกมันตาย แต่พวกมันกลายเป็ นเถ้าถ่านและทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นดินเล็ก


น้อย

เขาแข็งแกร่ง วิญญาณส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงเขาได้

“อ่า! ท่านขุนผลกำลังสร้างทางหนีให้พวกเรา!”

“ ตามเขาไป!”

คนที่ยังรอดต่างติดตามเรนซองไปในขณะที่จับอาวุธของตัวเองแน่น

เรนซองผลักดันจนมอนสเตอร์ล่าถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง และเริ่มยึดพื้นที่ของตระกูลคืน

“ สังหารมอนสเตอร์!”

“ ดันพวกมันออกไป !!”

ทันใดนั้นจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลุกโชน

ผู้ที่กระจัดกระจายเริ่มรวมตัวกันและภาพก็เริ่มเปลี่ยนไป

ตอนนี้พวกเขาเห็นแสงแห่งความหวัง

ความหวังที่ว่าพวกเขาจะกำจัดมอนสเตอร์เช่นนี้ได้!

กรรร!

ตอนนั้นเองที่ซ่งหลางปรากฏตัวขึ้น
หมาป่ าสีน้ำเงินตัวโต

เมื่อมันปรากฏ ทุกคนรอบๆก็ถูกคมเขี้ยวของมันสังหาร ด้วยฟันที่แหลมคม คอของพวกเขาถูกเจาะทะลุ และ


ยังไม่มีอาวุธใดที่สามารถเจาะทะลุผิวหนังของซ่งหลางได้

"สารเลว!"

เรนซองใช้ดาบฮวังอี

แน่นอนว่าดาบของเขาสามารถสร้างความเสียหายผิวหนังของซ่งหลางได้ซึ่งแตกต่างจากคนอื่น

โฮก!

ช่งหลางส่งเสียงดังลั่น

แต่มันก็สู้ไม่ถอย มันเริ่มตระหนักถึงเรนซองและพุ่งเข้าจู่โจมเขา

ช่งหลางถูกผลักกลับอย่างช้าๆแต่ทว่าไม่ใช่โดยง่าย

โฮก!

มันเป็ นเพราะช่งหลางตัวเล็กๆเข้ามาร่วมโจมตีด้วย ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนโดยสิ้นเชิง

“อ๊าก! ระยำ!”

ไหล่ของเรนซองฉีกขาด

เรนซองสูญเสียไหล่ซ้าย

โชคดีที่เขาไม่โดนกัดคอ แต่ถ้ามันเป็ นแบบนี้ต่อไปผลลัพธ์ก็ชัดเจน

“ พวกเราไปช่วยท่านขุนพล!”

“ ปกป้ องท่านขุนพล !!”

ชายผู้ที่ยังมีกำลังใจแข็งแกร่งเข้าร่วม
พวกเขาล้วนเป็ นเหล่าหัวกะทิ หากร่วมมือกันซ่งหลางตัวสองตัวก็ยังสามารถรับมือได้อยู่

อย่างไรก็ตาม

ตุ่บ! ตุ่บ!

พวกเขาเริ่มคุกเข่าทีละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ

จู่ๆพวกเขาก็สูญเสียพละกำลังและดวงตาเต็มไปด้วยความเลื่อนลอย ในขณะที่ตัวตนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา

สาวสวยห้าคนที่ดูเหมือนนางฟ้ า กลิ่นแปลกๆที่มาจากพวกเธอดูดพละกำลังทั้งหมดออกไปจากร่างกายของ
พวกเขา

และท่ามกลางพวกเธอก็ปรากฎร่างของชายผู้มีหกปี กแลดูเหมือนปี ศาจ!

เรนซองรู้จักมูยอง

'บันยะ'

ผู้สืบทอดอย่างถูกต้องของตระกูลที่พึ่งกลับมา

อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เห็น เขากลับไม่รู้สึกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือบันยะ

ภาพลักษณ์นั้นไม่ใช่ของมนุษย์ด้วยซ้ำ

และผู้ที่สร้างสถานการณ์ทั้งหมดนี้ ...

“ นรกเถอะ....แกเป็ นราชาแห่งขุมนรกจริงๆเหรอเนี้ย?”

มูยองไม่แม้แต่จะชายตามองเขาและเดินผ่านไป

มูยองตามหาสถานซึ่งผู้นำตระกูลควรอยู่

เขาวางแผนที่จะใช้ผู้นำตระกูลเป็ นตัวประกันเพื่อค้นหาว่าเอลย่าซีโก้ถูกผนึกอยู่ที่ไหน

โฮก!
หลังจากมูยองเดินผ่านไป พวกซ่งหลางก็เริ่มสังหารหมู่อีกครั้ง

เรนซองทำได้เพียงแค่พริ้มตาหลับลง

หากจะมีนรกอยู่ในโลกนี้จริงๆ มันก็คงเป็ นตอนนี้

บทที่ 204: จริงหรือ... (1)

หัวหน้าตระกูลเรนเป็ นชายชราคนหนึ่ง

ใบหน้าของเขาปรากฎริ้วรอยมากมาย จนคุณต้องสงสัยว่าคนผู้นี้ยังหลงเหลือความแข็งแกร่งอยู่อีกหรือไม่
นอกจากนั้นผิวหนังของเขายังบางเสียจนเห็นเส้นเลือดนูนโป่ งได้ชัดเจน

ดูเหมือนว่าสภาพของเขาจะแย่เกินไปสำหรับการเป็ นผู้มีอิทธิพลสูงสุดของโนเบิลคาสเซิล แต่ในความเป็ น


จริงชายคนนี้เป็ นผู้ที่ควบคุมทุกสิ่งมาอย่างยาวนาน และมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความโลภอันไร้ที่สิ้นสุด

ผู้ที่ตกเป็ นทาสของอำนาจตัวเอง ล้วนน่าขยะแขยง มูยองไม่เข้าใจว่า การเป็ นผู้มีอำนาจเป็ นสิ่งที่ดีต่อชีวิตจริงๆ


งั้นเหรอ

“ แกคือสาเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดนี่?”

ชายชราถาม

มูยองไม่ตอบเขา แต่ส่งสัญญาณให้จิ้งจอกเก้าหางออกไป จากนั้นจิ้งจอกเก้าหางก็โค้งคำนับอย่างสุภาพแล้ว


ออกจากห้อง

สวูม!

มูยองวาดความโกรธเกรี้ ยวไปในอากาศ ถึงมูยองอยากถามเรื่องผนึกก่อน แต่ชายชราคงไม่ตอบเป็ นแน่ เพราะ


ฉะนั้นมูยองจึงไม่ได้วางแผนที่จะเอ่ยคำถามสิ่งใด

ยุคสมัยของตระกูลเรนจะต้องสิ้นสุดลงตรงนี้ มูยองจะกลืนกินอสูรกายแห่งอำนาจตัวนี้ด้วยตนเอง และหลัง


จากนั้นเขาค่อยหาวิธีรับข้อมูลเกี่ยวกับเอลย่าซีโก้ก็ยังไม่สาย

“ แกทำแบบนี้ต้องการอะไร? ”

“ทุกๆอย่าง"
จิจิ! ชายชราเดาะลิ้นด้วยท่าทางขบขัน

ฟว้าง! ตูม! ตรึม!

พร้อมกับเสียงนั้น เสาขนาดใหญ่สี่ต้นก็ถูกสร้างขึ้นรอบบริเวณห้อง และดูเหมือนว่าตัวตนของมันจะเป็ น


'ผนึก' อย่างหนึ่ง

“ แกจะไม่ได้อะไรไปจากโนเบิลคาสเซิล เพราะแกจะต้องตายที่นี่”

ชายชราพูดอย่างมั่นใจ

จากนั้นระหว่างช่องว่างของแต่ละเสาจู่ๆก็ปรากฏเงาลึกลับขึ้น

เงาดังกล่าวคือผู้พิทักษ์ที่มีไว้ปกป้ องหัวหน้าตระกูล นักรบ 18 คนที่ถูกเรียกว่าสาวกทั้ง 18

หลายสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าทำได้ล้วนถูกกระทำโดยคนเหล่านี้

ตัวตนทั้ง 18 เป็ นบุคคลที่หัวหน้าตระกูลไว้วางใจมากเสียยิ่งกว่าสิ่งใด และไม่ต้องสงสัยในทักษะของพวกมัน


หากสิบแปดคนนี้ร่วมมือกันย่อมไม่มีศัตรูหน้าไหนสามารถเอาชนะได้

ตอนนี้สาวกทั้งสิบแปดล้อมมูยองเป็ นที่เรียบร้อยแล้ว โอกาสและทางถอยหนีของผู้ที่เป็ นศัตรูถูกปิ ดกั้นอย่าง


สมบูรณ์แบบ

“ ไอ้เด็กน้อย แกทำพลาดแล้วหล่ะที่อยู่กับฉันตามลำพัง ถึงจะคุกเข่าอ้อนวอนก็ดูจะสายไปแล้วสำหรับตอนนี้”

ชายชรารู้สึกผ่อนคลายสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น

ชายชรากล่าวว่ามันเป็ นความผิดพลาดครั้งใหญ่สำหรับมูยองที่สั่งให้จิ้งจอกเก้าหางจากไป มีแต่หัวหน้าตระกูล


เท่านั้นที่สามารถควบคุมเสาทั้งสี่ และจากที่ผ่านมาใครก็ตามที่ถูกขังไว้ด้านในล้วนไม่สามารถหนีออกไปได้
ดังนั้นจากมุมมองของมันมูยองจึงไม่ต่างอะไรกับสุนัขจนตรอก

แสยะ!

อย่างไรก็ตามมีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของมูยอง

จากนั้นเขาขนาดใหญ่ก็งอกขึ้นจากกลางหน้าผากของเขา ในขณะที่ชายชรากำลังจะกระพริบตา
โลกของมูยองก็เริ่มชะลอตัวลง

ก่อนที่สาวกทั้งสิบแปดคนจะสามารถยกอาวุธของพวกมันเพื่อตอบสนอง

มูยองก็เคลื่อนไหวแล้ว แค่ทักษะก็นับว่าต่างกันมากมาย

แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือการเร่งความเร็ว 64 เท่าของมูยอง ทำให้ทุกคนดูช้ากว่าหอยทากซะอีก

ฉัวะ!

อันดับแรกมูยองแทงดาบไปที่สาวกซึ่งอยู่ทางด้านขวา ก่อนที่จะดึงดาบโดยที่ไม่ทำให้เลือดสักหยดกระเซ็น
ออกมา มันปราศจากเสียงกรีดร้องใดๆทั้งสิ้น

ในโลกที่เร็วขึ้น 64 เท่า ทุกอย่างดำเนินไปอย่างช้าๆ เขาขยับร่างใช้ความโกรธเกรี้ ยวแทงตัดขั้วหัวใจของพวก


มันทีละคน เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วมูยองก็กลับไปยืนตรงกลางดังเดิม

ในขณะที่มูยองลดดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยวลงพร้อมกับเขาที่เริ่มหดกลับเข้าไป เลือดสดๆของสาวกทั้งสิบ


แปดคนก็พวยพุ่งขึ้นไปในอากาศทันที

ชู่ววววว!

ร่างของมูยองเปี ยกโชกไปด้วยเลือด เหล่าสาวกทรุดเข่าลงกับพื้น ทุกคนล้วนกลายเป็ นศพเย็นชืด

ทั้งสิบแปดชีวิตถูกสังหารตกตายลงไปโดยแทบจะพร้อมเพรียงกัน และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในการกระพริบตา
ครั้งเดียวของชายชรา

“ …นั่นมัน?”

ชายชราเผลอก้าวถอยหลัง

ผู้ที่เป็ นทั้งเจ้าของและผู้ปกครองของป้ อมปราการอันแข็งแกร่งเช่นโนเบิลคาสเซิลกำลังสั่นไหว นี่เป็ นเหล่า


สาวกทั้ง18 คนที่มันไว้ใจมากที่สุด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังการต่อสู้ของมูยองพวกมันล้วนไม่ต่างจากผีเสื้อยาม
ราตรี

หากต้องการเอาชนะมูยองจริงๆคงต้องใช้กำลังคนนับไม่ถ้วน หรือต้องเป็ นคนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

แค่คนระดับของสาวกทั้งสิบแปดพวกมันเป็ นได้เพียงเหยื่อของมูยองเท่านั้น
ชายชราไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ มันไม่เคยสูญเสียอะไรง่ายดายเช่นนี้มาก่อน

อย่างไรก็ตามนี่เป็ นเพราะชายชราปิ ดหูปิ ดตาตัวเอง

มันมีนิสัยที่หยิ่งยโสและไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา

เนื่องจากโนเบิสคาสเซิลคือป้ อมปราการที่ไม่เคยถูกสั่นคลอนมาก่อน

มันจึงคิดว่ามูยองคงไม่ต่างจากศัตรูในอดีตที่ผ่านมา

และนี่จึงเป็ นความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของมัน

ถ้ามันฉลาดจริงๆคงไม่คิดง่ายๆแบบนี้

แต่แน่นอนว่าถึงมันจะฉลาดขึ้น

ผลลัพธ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับศัตรูอย่างมูยองอยู่ดี

คุณสามารถพูดได้อย่างไม่อายว่ามูยองเป็ นศัตรูที่แข็งแกร่งและเลวร้ายที่สุดในชีวิต

ไม่เพียงแค่โนเบิลคาสเซิล

แต่ทุกตระกูลและเมืองต่างๆก็ไม่อาจหลีกหนีการถูกปฎิบัติด้วยความเย็นชาและเด็ดขาดเช่นนี้

มูยองเป็ นผู้ที่สามารถทำลายรากฐานของพวกมันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วที่สุด

ยิ่งตอนนี้เขามีกองทัพให้การสนับสนุนอยู่ด้วย

โนเบิลคาสเซิลโชคไม่ดีเองที่มูยองเลือกโจมตีเป็ นแห่งแรก

“ แกใช้เวทมนตร์อะไร? แกจัดการสาวกทั้ง 18 คนได้ยังไง?”

"ก็แค่ยอมรับมัน" มูยองพูดต่อ

“ ว่าแกแพ้ ส่วนคนที่ชนะคือฉัน”

สวูม!
ความโกรธเกรี้ ยวกรีดเสียงร้องก่อนที่ผู้ครองโนเบิลคาสเซิลจะถูกลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

***

มูยองเงยหน้าขึ้นมองดูประตูขนาดใหญ่ที่ผนึกเอลยาซีโก้

'มันเปิ ดไม่ออก'

ไม่ว่าจะพยายามลองยังไงก็ไม่ได้ผล ถึงมันจะถูกเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ แผดเผาก็ไม่ปรากฎแม้แต่ร่องรอยขีดข่วน

'คงใช้วืธีปกติไม่ได้สินะ'

มูยองลูบคางพลางครุ่นคิดในขณะที่หันไปดูศพของหัวหน้าตระกูลเรน

มูยองทำให้เขากลายเป็ นกึ่งอันเดธ และรีดข้อมูลทั้งหมดที่เขามีเกี่ยวกับเอลยาซีโก้

ดังนั้นมูยองจึงสามารถไปถึงตราผนึกดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย

อย่างไรก็ตามตระกูลเรนเองก็ไม่สามารถเปิ ดประตูดังกล่าวได้แม้จะศึกษามาเป็ นเวลานาน

มูยองรู้วิธีที่จะปลดปล่อยตราผนึกนี้อยู่แล้ว จากการกระทำของปี ศาจในอดีต

'ลูซิเฟอร์'

มูยองปลุกลูซิเฟอร์ขึ้นมา หลังจากตรวจจับบางสิ่งได้จากอีกฝากหนึ่งของประตูมันก็พูดขึ้น

- ข้ารู้สึกได้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวง เจ้าวางแผนที่จะปลุกสิ่งนั้นหรือ?

'นายไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอ?'

- เป็ นผนึกปี ศาจที่แข็งแกร่งมาก ดูเหมือนว่าผู้ที่สร้างจะเป็ นเทพปี ศาจมากกว่าปี ศาจธรรมดา

ด้วยเหตุผลบางอย่างลูซิเฟอร์พูดมากกว่าปกติ

นั่นหมายความว่าเขาสนใจตราผนึกและเอลย่าซีโก้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามมูยองไม่เคยรู้เลยว่าเทพปี ศาจจะเป็ นผู้วางตราผนึกด้วยตนเอง


เพราะเท่าที่รู้มีเพียงแค่ว่ามันถูกผนึกมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลเท่านั้น

'เป็ นเทพปี ศาจตนไหนกันนะ?'

- มันไม่ใช่เทพปี ศาจของเลเมเกทัล

อืม…ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก ข้ารู้สึกทั้งคุ้นเคยและแตกต่างจากมัน

ตัวตนที่ไม่ใช่หนึ่งใน 72 เทพปี ศาจ

อย่างไรก็ตาม ดันดาเลี่ยนเคยพูดราวกับว่ามันรู้จักที่นี่

แน่นอนว่ามันไม่ได้บอกมูยอง

แต่เป็ นบางคำที่ซออึนเซกล่าว เธอบอกว่าเอลย่าซีโก้เป็ นต้นเหตุแห่งการทำลายโลก

มูยองวางแผนที่จะค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน

'ช่วยฉันลบตราผนึก'

ไม่ว่าจะเป็ นแบบไหน

เขาก็ต้องเปิ ดประตูผนึกเพื่อยืนยันสิ่งเหล่านี้

มูยองขอความช่วยเหลือจากลูซิเฟอร์

ลูซิเฟอร์ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับมูยอง

- แม้ว่าข้าจะไม่ชอบน้ำเสียงของเจ้านัก แต่ข้าเองก็อยากรู้ในสิ่งเดียวกันสำหรับตัวตนของเทพปี ศาจที่ข้าไม่รู้จัก


ผู้นี้ ....

เดิมทีลูซิเฟอร์เป็ นหนึ่งในเนฟี ลิมที่มีระดับสูงสุด

และนั่นคือสาเหตุที่เขาควรรู้ว่าอะไรที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตู

ถ้าลูซิเฟอร์ยังไม่รู้พลังที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตูนั้นคงผิดปกติอย่างแท้จริง
ในไม่ช้าความมืดจำนวนมากก็เกิดขึ้นบนมือทั้งสองของมูยอง

ความแข็งแกร่งในระดับที่แตกต่าง มันเป็ นพลังในสายเลือดเทพของลูซิเฟอร์

ในสถานะนั้น มูยองกุมมือตัวเองเข้าด้วยกัน และเริ่มดึงพลังทั้งหมดของเขา

ซีสสสส!

ตูมมมม !

ประตูที่เปิ ดอย่างยากลำบากเปิ ดออกอย่างง่ายดายหลังจากมูยองได้รับพลังของลูซิเฟอร์

พอประตูบานใหญ่ถูกเปิ ด

มูยองก็รีบเข้าไปด้านในทันที

และเมื่อเข้าไปถึงก็เห็นห้องขนาดใหญ่ซึ่งทอดยาวไปอย่างยาวไกล

ภายในนั้นปรากฎอาวุธรูปทรงแปลกประหลาดคล้ายแมงมุมเรียงอยู่เป็ นแถบๆ

'อาวุธโบราณเอลย่าซีโก้'

อาวุธรูปร่างเหมือนแมงมุมนั่นก็คือเอลย่าซีโก้

อย่างไรก็ตามดูเหมือนเอลย่าซีโก้ทั้งหมดไม่ได้เคลื่อนไหวเป็ นเวลานาน

พวกมันทั้งหมดอยู่ในสถานะที่หลับใหล แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง

มูยองรู้สึกเหมือนรู้วิธีเปิ ดใช้งานพวกมัน มันเป็ นความคิดที่เกิดขึ้นเองในใจเมื่อเขาเข้ามา

'ทั้งหมดมีหกส่วน'

เอลย่าซีโก้จะเปิ ดใช้งานได้เมื่อผู้ใช้งานตระหนักถึงบางอย่างเท่านั้น

มูยองขยับและวางมือบนหินอ่อนที่อยู่ในแต่ละมุมของห้อง

เมื่อถูกมือของเขาประทับลงไป
เส้นแสงก็ถูกวาดขึ้นรอบๆห้องจนดูกลายเป็ นสะพานแห่งแสง

ทั้งหมดหกเส้น

หลังจากรูปทรงหกเหลี่ยมถูกวาด

ห้องก็เต็มไปด้วยแสงสว่าง

ยิ่งกว่านั้นตรงกลางห้องปรากฏภาษาและอักขระมากมายจากสิบเป็ นร้อยเป็ นพันรูปแบบ

มันดูเหมือนเป็ นภาษาทั้งหมดของทุกสิ่งอย่างแท้จริง

มีทั้งภาษาที่พูดกันบนโลกและในอันเดอร์เวิล์ด รวมไปถึงบางภาษาที่มูยองไม่รู้จัก

ในหมู่พวกมัน มูยองพยายามอ่านคำที่เขาสามารถเข้าใจได้

<อาวุธทำลายล้างเผาพันธุ์ เอลย่าซีโก้ ถูกเปิ ดใช้งาน >

<ตั้งค่าสายพันธุ์ที่คุณต้องการทำลายล้าง>

<ผู้ใช้ได้รับอนุญาตให้สามารถตรวจสอบการตั้งค่าของแต่ละสายพันธุ์ในอดีต>

อาวุธทำลายล้างเผาพันธุ์ ? มูยองกลืนน้ำลายลงคอ

เขาไม่เข้าใจความหมายคำว่าค่าของสายพันธุ์

ดังนั้นมูยองจึงวางมือบนหินอ่อนอีกครั้งเพื่อตรวจสอบการตั้งค่าของสายพันธุ์ที่มันหมายถึง

จากนั้นโลกรอบตัวเขาก็เคลื่อนไหว

อากาศเบื้องหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลง

ฉากเหตุการณ์ในระบบผุดออกมาทีละอันจากหลักสิบเป็ นหลักร้อย

แม้ว่าทุกฉากจะต่างกันออกไปแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน

ทุกแห่งกลายเป็ น 'สมรภูมิรบ'
พวกมันทั้งหมดเป็ นภาพของแต่ละเผ่าพันธุ์ที่กำลังถูกทำลายล้างโดยเอลย่าซีโก้

ภาษาเหล่านั้นเป็ นภาษาของผู้ที่ถูกเข่นฆ่าสังหาร และในหมู่พวกมันมีฉากของโลกปรากฎอยู่

มูยองเลือกฉากของโลกทันที

จากนั้นฉากดังกล่าวก็ขยายและปรากฏเป็ นสนามรบขนาดใหญ่

ปัง! ปัง! บรึม!

ระเบิดรุนแรงแตกตัวออก อาวุธนิวเคลียร์พุ่งตกลงมา

สถานที่ของโลกต้องเปลี่ยนแปลงไปจากแผนที่

และมีผู้คนหลายแสนคนถูกสังหาร

อย่างไรก็ตาม

ไม่มีอาวุธทันสมัยใดๆสามารถต่อต้านเอลย่าซีโก้ได้

บาเรียของเอลย่าซีโก้สกัดกั้นอาวุธของโลกยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

เอลย่าซีโก้ทำลายโลกและมนุษยชาติอย่างไร้ความปราณี

แม้ว่าภาพที่เห็นจะเป็ นเพียงข้อมูล

แต่คุณก็ไม่สามารถพูดได้ว่าความชัดเจนดังกล่าวเป็ นเรื่องหลอกลวง

'สิ่งที่ดันดาเลี่ยนบอกเป็ นเรื่องจริงเหรอ?'

เอลย่าซีโก้นั้นทำลายโลก

เขาไม่สามารถเชื่อมันได้

เขาไม่เชื่อมันแน่นอน

มันเป็ นอวตารแห่งการโกหก
มูยองคิดว่านี่เป็ นเรื่องโกหกโดยการใช้เลห์กลบางอย่างของดันดาเลี่ยน

ที่มูยองไม่เชื่อก็เพราะว่ามีคนเข้ามาใหม่ในอันเดอร์เวิลด์ทุกเดือนแม้แต่ตอนนี้

ถ้าโลกถูกทำลายจริงๆพวกเขาเป็ นใคร?

มูยองคิดหนัก มนุษย์ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามนุษยทั้งโลกจะรวมพลังกัน แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยน และ


ในขณะที่เขาดูการต่อสู้ มูยองก็สามารถเห็นด้านหลังของผู้ควบคุมเอลย่าซีโก้ได้

มันเป็ นผู้ชายที่มีผมและหนวดเครายาวสีขาว ในขณะที่มือถือหนังสือเล่มหนึ่ง เขากำลังมองโลกด้วยสายตาอัน


ว่างเปล่า

'เขาเป็ นใคร?'

มูยองไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน เขาไม่สามารถระบุได้ว่าชายดังกล่าวเป็ นใคร อย่างไรก็ตามมันรู้สึกแปลกๆ

- ฮ่า ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อเลย

ลูซิเฟอร์ตอบสนองหลังจากที่ได้เห็นชายคนนั้น

'นายรู้เหรอว่านั่นเป็ นใคร? มูยองอดไม่ได้ที่จะถาม

ลูซิเฟอร์ดูสั่นไหวเล็กน้อย เขาเหมือนกำลังประหลาดใจอยู่มากทีเดียว และนั่นอาจเป็ นเพราะเขารู้ว่ามันเป็ น


ใคร ลูซิเฟอร์ผู้ที่ซึ่งไม่ตอบสนองต่ออะไรเลย ถ้าลูซิเฟอร์ยังแสดงให้เห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ แสดงว่าชายคนนั้น
เป็ นคนที่แข็งแกร่ง จากนั้นลูซิเฟอร์ก็ตอบกลับสั้นๆหลังจากสังเกตชายชราผมขาว

- เขาคือ โซโลมอน

บทที่ 205: จริงหรือ... (2)

เป็ นชื่อที่ไม่เคยคาดคิดดังขึ้นมา

มูยองสงสัยอยู่ครู่หนึ่งว่าหูฝาดไปหรือไม่ แต่เขาก็รู้ว่านั่นถูกต้องแล้ว

อย่างไรก็ตาม... มันช่างแปลก โซโลมอนไม่ใช่ผู้ที่ผนึกเทพปี ศาจทั้ง 72 ตนไว้ และจัดวางระบบต่างๆเพื่อ


ปกป้ องมนุษยชาติหรอกหรือ? ไม่ว่าจะเป็ นพวกภูติ ยันต์ และของวิเศษในแต่ละพื้นที่ หรือจ้าวแห่งความมืด
รวมไปจนถึงเมอร์ลิน ไม่มีสถานที่ใดที่ซาโลมอนไม่เกี่ยวข้อง เหล่ามนุษย์ได้รับพลังและยืนหยัดอยู่ได้ก็เพราะ
โซโลมอน แต่ฉากนี้ที่อยู่ต่อหน้ามูยองคืออะไร? อย่างไรก็ตาม ... ยังมีอีกสิ่งที่น่าแปลกเช่นกัน

'ถ้าโลกถูกทำลายไปมากขนาดนั้นผู้คนมาที่นี่ได้ยังไง แล้วพวกเขาจำอะไรเกี่ยวกับสงครามไม่ได้เลยเหรอ?

- โซโลมอนเป็ นราชาแห่งปัญญา บางครั้งผลลัพธ์ที่เขาเตรียมไว้ให้ก็โหดร้าย

ลูซิเฟอร์ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก ดูเหมือนเขาจะรู้อะไรมากกว่านั้นแต่ไม่อยากพูดถึงมัน

ในฉากเหตุการณ์ถัดไป ชายที่เชื่อว่าเป็ นโซโลมอนก็เปิ ดหนังสือของเขา

หนังสือเล่มนั้นคือเลเมเกทัล หนังสือที่ตอนนี้น่าจะอยู่กับบาอัลปรากฏบนมือของซาโลมอนในฉากเกิดเหตุ

โซโลมอนเปิ ดเลเมเกทัลและร่ายมนต์ มันคืออาร์สพอลลินา

ศาสตร์เวทที่สามารถอัญเชิญทูตสวรรค์แห่งกาลเวลา อาร์สพอลลินาคือสิ่งที่เหล่าเทพปี ศาจต่างกระตือรือร้น


ในการค้นหาเป็ นอย่างมาก จากสิ่งที่เขารู้ เทวทูตแห่งกาลเวลาที่หลับไหลอยู่ภายในเลเมเกทัลถูกสังหารหลัง
จากเทพปี ศาจปรากฏตัว

นั่นหมายความว่านี่เป็ นช่วงเวลาก่อนที่เทพปี ศาจจะถูกอัญเชิญ?

[เวลาจงหยุด]

สิ้นเสียงของโซโลมอนเวลาทั้งหมดก็ถูกทำให้หยุดนิ่ง และในพื้นที่ที่ถูกโซโลมอนทำลายล้างอยู่โลกอีกใบก็
เปิ ดเผยออกมา

มันคือ อันเดอร์เวิล์ด

นับเป็ นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมากเนื่องจากพื้นที่ที่เหลืออยู่กลับกลายเป็ นส่วนหนึ่งของอันเดอร์เวิล์ด!

เส้นทางสู่อันเดอร์เวิล์ดถูกสร้างขึ้นกัดกินส่วนที่เหลืออยู่ของโลก และภายในเวลาที่หยุดนิ่งดังกล่าว ผู้คนก็เริ่ม


ถูกดูดเข้าไปในอันเดอร์เวิล์ดทีละคนๆ ฉากทั้งหมดหยุดลงแค่นั้น ก่อนที่จู่ๆจะมีข้อความโผล่ขึ้นมา

<ค่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์คือ '1'>

<คุณต้องการตั้งค่าเผ่าพันธุ์บนเอลย่าซีโก้เป็ น '1' หรือไม่>


อาวุธทำลายล้างเผ่าพันธุ์

เครื่องมือทรงพลังที่สามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์ตามค่าที่กำหนดไว้ มูยองอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ด้วย
ความสับสน

'เมอร์ลินต้องรู้รายละเอียดมากกว่านี้แน่'

โซโลมอนและเมอร์ลินมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องรู้เรื่องมากกว่านี้ อย่างไร


ก็ตามไม่มีทางที่จะเข้าสู่อารามสีครามได้อีกครั้ง ถ้าอยากจะไปจริงๆเขาต้องทำลาย 'กำแพง' ที่ปกป้ องอารามสี
ครามเสียก่อน แต่เพื่อทำสิ่งนี้เขาต้องเรียนรู้เวทมนตร์ระดับเหนือธรรมชาติของเลเมเกทัล,อาร์สโนวา หรือ
บางทีอาจมีอีกประตูหนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างโลกและอารามสีคราม

มูยองส่ายหัว

หากโซโลมอนอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ ...

'ฉันก็แค่ต้องกำจัดเขาซะ'

หากเขาปรากฏตัวในฐานะศัตรู มูยองก็ตัดสินใจที่จะกำจัดเขาเช่นกัน

จากนั้นมูยองก็ตัดสินใจแน่วแน่และพูดขึ้น

“ ตั้งค่าทำลายเผ่าพันธุ์ไปที่เลขหนึ่ง”

<ผู้ใช้ตั้งค่าเผ่าพันธุ์เป็ น '1'>

<เอลย่าซีโก้เริ่มทำงาน เป้ าหมาย : มนุษย์>

***

เอลย่าซีโก้ทั้งหมดมีจำนวน 32,642 ตัว

แต่ละตัวมีพลังการต่อสู้สูงมากแม้จะเทียบกับพวกระดับสูงอยู่แล้วก็ตาม หากคุณปล่อยพวกมันทั้งหมดรวด
เดียว เมืองสองสามเมืองสามารถหายไปได้ในทันที

อย่างไรก็ตามสิ่งที่มูยองต้องการคือปลูกฝัง 'สติสัมปชัญญะ' ให้มนุษยชาติ และยังคงไว้ซึ่งความเป็ นศัตรู


มูยองจะบอกให้พวกเขารู้ว่าอันเดอร์เวิล์ดไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์คิดว่าตัวเอง
ปลอดภัยพวกเขาจะอยู่เฉยๆ และนั่นจะเป็ นจุดจบของมนุษยชาติจริงๆ

"ไปได้"

ในฐานะหน่วยสอดแนม เขาเตรียมเอลย่าซีโก้ 1,000 ตัวเอาไว้

เมื่อกำหนดค่าเผ่าพันธุ์เป็ นมนุษย์ พวกมันจะโจมตีมนุษย์ทุกคนที่พบเห็นทันที

จากจำนวน 1,000 ตัว มูยองส่งครึ่ งหนึ่งไปยังเมืองเกรทซิตี้ 300 ตัวถูกส่งไปที่มูราลัน และอีก 200 ตัวที่เหลือ
ไปยังเมืองขนาดกลางต่างๆ

'เฉพาะความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้นถึงจะสู้กับเอลย่าซีโก้ได้'

หากไม่ใช่พลังของตนเอง ชั้นป้ องกันของเอลย่าซีโก้จะไม่สามารถถูกเจาะ หากมนุษยชาติตระหนักถึงสิ่งนี้


พวกเขาจะพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ความแข็งแกร่งอันบริสุทธิ์ ดังกล่าวมา นอกจากนั้น 'พลังบริสุทธิ์ ' ดัง
กล่าวก็ส่งผลอันตรายต่อเหล่าปี ศาจเช่นกัน

ขณะนี้ มูยองพิชิตโนเบิลคาสเซิลเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเขาได้รับทุกสิ่งที่ต้องการก็ไม่จำเป็ นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป

เขาเริ่มเคลื่อนพลไปพร้อมกับกองทัพที่เหลือ…วิญญาณประมาณ 40,000 ตน และเอลย่าซีโก้ 30,000 ตัว

ทุกอย่างคืบคลานไปอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามบรรยากาศเหี้ยมโหดที่แผ่ออกมาดูอันตรายอย่างหาที่เปรียบมิได้

***

เกรทซิตี้ยังคงคึกคักจาก 'ผู้เริ่มต้น' ที่เข้ามาทุกเดือน และกลุ่มต่างๆที่จัดตั้งขึ้นตามความเหมาะสม

“ อ่า ท่านราชานักสู้ ผมกำลังรอคุณอยู่พอดี!”

“หืมม”

"กรุณาตามผมมา โฮรานกำลังรอคุณอยู่”
ชายหัวล้านอันมีร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามผู้ที่ถูกเรียกว่าราชานักสู้เดินตามเข้าไปยังอาคารสูง 12 ชั้นซึ่ง
ตกแต่งได้อย่างประณีตสวยงาม แต่เขาก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่แผ่ซ่านอยู่ในชั้นอาคาร มันทำให้
เขารู้สึกเหมือนกำลังจะหมดสติ

ผู้หญิงหลายคนในนั้นที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นและบางเบา กำลังชูไม้ชูมือหลอกล่อราชานักสู้ด้วยข้อมือและแขน
อันเรียวเล็กของพวกเธอ ไม่มีคนไหนเลยที่ดูขี้เหร่ พวกเธอล้วนมีโครงหน้าสวยงามแตกต่างไปคนละแบบ

มันเป็ นสถานบันเทิงสำหรับผู้หญิงขายบริการที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีการควบคุมอย่างเข้มงวด จึง


ไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ เว้นแต่พวกเขาจะมีตำแหน่งใกล้เคียงกับลูกหลานของเก้ากิลด์ใหญ่
หรือตระกูลทั้งห้า

อย่างไรก็ตาม ราชานักสู้เป็ นข้อยกเว้น เพราะเขาเป็ นหนึ่งในสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุด และมีชื่อเสียงเป็ นที่รู้จัก


กันดี

“ ที่นี่แหละครับ”

ชายที่นำทางราชานักสู้มาแสดงความอิจฉาเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะเก่งพอเป็ นการ์ดของที่นี่ได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ เข้าออกตามใจปรารถนา ความเศร้าของเขาจึงเป็ นที่


เข้าใจได้

อย่างไรก็ตาม ราชานักสู้กลับดูไม่ได้รื่นรมย์กับสถานที่แห่งนี้นัก นอกจากนั้นยังแผ่ออร่าดุดันออกมาเสียด้วย


ซ้ำ

ด้วยเหตุนี้ชายที่นำทางจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม

“อะแฮ่ม คุณโฮราน ราชานักสู้มาแล้วครับ”

“เปิ ดประตูให้เขาเข้ามา”

ปัง!

ไม่มีเวลาให้ผู้นำทางเปิ ดประตู เพราะราชานักสู้เพิ่งเตะประตูเข้าไปเอง

ในนั่น มีสาวสวยอายุสามสิบปี คนหนึ่งนั่งอยู่ เธอสวมเดรสลายดอกกุหลาบ มันสวยพอที่จะดึงดูดความสนใจ


ของเขา

เธอคือฮอแรน เจ้าของสถานที่แห่งนี้
วีรสตรีที่สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาจากผืนดินโดยผสมผสานความงามแบบตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน
ไม่มีใครแถวนี้ไม่รู้จักเธอ

นอกจากนี้ฐานะที่ซ่อนอยู่ของเธอยังเป็ นหัวหน้าของตระกูลเฮฟเวนเมด

แม้ว่าจะไม่ใช่หนึ่งในตระกูลทั้งห้า แต่ตระกูลเฮฟเวนเมดก็มีพลังยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใคร

“ ไม่ทราบว่าคุณราชานักสู้มาทำธุระอะไรแถวนี่เหรอ?”

“ อย่ามาเล่นลิ้น เธอก็รู้ว่าฉันมาหาลูกศิษย์ของฉัน แล้วฉันก็บอกเธอล่วงหน้าไว้แล้วด้วย ”

“ ถ้านายหมายถึงสปาร์คเคิล…”

ราชานักสู้ขัดจังหวะเธอ

“ อย่ามาตั้งชื่อไร้สาระให้เธอ เหตุผลที่ฉันส่งเธอมาที่ตระกูลเฮฟเวนเมดก็เพื่อให้เธอได้เรียนรู้ทักษะ ไม่ใช่มา


เป็ นโสเภณีที่นี่“

" เธอยังอยู่ห่างจากการเรียนรู้ทักษะทั้งหมดของเรา และมันจำเป็ นสำหรับเธอที่จะต้องได้รับการสั่งสอนที่นี่


ต่อ”

“ ไม่มีทาง ตอนนี้เธอต้องเรียนรู้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” ราชานักสู้พูดด้วยความมั่นใจ

จากนั้นสาวสวยอย่างฮอแรนก็ขมวดคิ้ว

“ จริงอยู่ที่พรสวรรค์ของสปาร์คเคิลน่าทึ่ง แต่ไม่ใช่ว่านายจะประเมินพวกเราต่ำมากไปหน่อยไหม?"

“ ฉันไม่ได้ดูถูกเธอ ฉันแค่รู้ว่าพรสวรรค์ลูกศิษย์ของตัวเองสูงมากแค่ไหน”

ฮอแรนไม่สามารถพูดอะไรได้อีก สิ่งที่ราชานักสู้พูดออกมาเป็ นเรื่องจริง

เธอเป็ นผู้มากพรสวรรค์อย่างแท้จริง เธอสามารถดูดซับความสามารถของตระกูลได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียง


หนึ่งปี

ฮอแรนพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อซ่อนความสามารถของเธอ ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้น เธอจะเสียเด็กสาวไป


ยังกลุ่มใหญ่อื่นๆ
“ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะพาลูกศิษย์ของฉันไป เธออยู่ที่ไหน?"

“ เวลานี้เหรอ เธอน่าจะดื่มอยู่…”

“ เธอคงไม่ได้กำลังรินเหล้าให้ผู้ชายอยู่ใช่ไหม?”

สายตาของราชานักสู้เปลี่ยนเป็ นดุร้าย จากพลังความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา เธอรู้สึกได้เลยว่าหากพูดอะไรไม่


เข้าหู เขาจะต้องทำลายสถานที่แห่งนี้ทั้งหมดทันที

อย่างไรก็ตาม ฮอแรนส่ายหัวปติเสธและพูด

“ เปล่าหรอก เธอคงรินให้ตัวเองดื่มเองอยู่”

***

ภายในห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยขวดเซรามิกบรรจุเหล้า หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นพูดอยู่คนเดียว
ขณะที่ยกเหล้าดื่มหมดแก้วพร้อมกับเครื่องเคียง

“ อ่ะ ไอ้นี่อร่อยดีแฮะ เอือก!”

เธอเมาแล้ว

จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ

“ ว่ากันว่าชีวิตที่ขมขื่นมีรสชาติไม่ต่างกับเหล้า แต่แปลกที่ไอ้นี่กลับหวานจัง นี่หมายความว่าชีวิตของเรายังไม่


ขมขื่นพอใช่ไหม?”

เธอพูดลิ้นพันกันไปมา ท่ามกลางขวดเหล้าเปล่าหลายขวดมรากลิ้งอยู่ข้างๆ

จากนั้นเธอดูภาพที่ถูกวาดเมื่อตอนเด็ก

"พ่อ…"

ซูจีรู้ว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอข้ามเส้นทางที่เขาไม่สามารถกลับมาได้แล้ว

แม้ว่ามันจะเป็ นข่าวที่ราชานักสู้เป็ นคนบอก แต่ด้วยความเป็ นครอบครัว เธอเองก็รู้สึกถึงมันได้ลางๆเช่นกัน


หลังจากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทั้งหมด ในที่สุดเธอก็ไปตรวจสอบที่หมู่บ้านสนธยา ที่นั่นเบซูจีพบคราบบาง
อย่างที่มีรูปร่างเดียวกับพ่อของเธอ พวกเขาบอกว่าพ่อของเธอกลายเป็ นมอนสเตอร์เข้าโจมตีหมู่บ้านก่อนที่จะ
ถูกชายคนหนึ่งปราบลง เธอเชื่อว่าพ่อของเธอเสียชีวิตแล้ว จากนั้นซูจีจึงถามพวกเขาถึงซากดังกล่าวเพื่อที่จะ
ทำหลุมฝังศพ

“ พ่อคะ ตอนนี้ชีวิตหนูดีขึ้นมาก หนูอยากเจอพี่แทฮวานแต่ก็ไม่กล้าไป พี่แทฮวานเขาเก่งขึ้นมากเลยๆ หนูไม่


อยากไปรบกวนเขา"

ไหล่ของซูจีห้อยลง

“ แล้วหนูก็อยากเจอพี่มูยองด้วย ”

เอี๊ยด! จากนั้นประตูก็ถูกเปิ ดขึ้น

เมื่อซูจีหันไปดูว่าเป็ นใคร ชายหัวล้านที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น

“ เอ่อ อาจารย์”

“ ดูเหมือนพวกนี้จะไม่ได้สอนแค่ทักษะการต่อสู้ให้เธอนะ”

“ เหล้าคือเพื่อนที่ดีที่สุดของชีวิต”

“ ฉันเคยพูดแบบนั้นเหรอ? ยังไงก็เถอะ มันยังเร็วเกินไปสำหรับเธอ”

ชายหัวล้านฉวยแก้วเหล้าออกจากตัวเธออย่างแรง

“ หนูโตแล้วนะ” เธอทำหน้าเศร้า

“ ฉันรู้ว่าเธอใช้ถึงเวลาสองปี ในซากโบราณ แต่ยังไงเธอก็ยังเป็ นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง”

ซูจีถูกกักตัวไว้ที่ซากโบราณเพื่อฝึ กฝนอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง มันเป็ นสถานที่ที่เวลาหยุดนิ่ง และซูจีใช้เวลาสอง


ปี ติดที่นั่น หลังจากออกมาทัศนคติของซูจีที่มีต่อราชานักสู้ก็เปลี่ยนไป อย่างน้อยเธอก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็ น
อาจารย์ของเธอจริงๆแล้ว

ซูจีหยุดทำหน้าเมา ใบหน้าแดงๆของเธอกลับมาเป็ นปกติทันที เสียงอ้อแอ้ของเธอก็กลับมาเป็ นปกติเช่นกัน

“ หนูว่าคิดตอนนี้ตัวเองเก่งพอๆกับคุณแล้วอาจารย์”
“ อย่าลำพองใจไป เธอยังอยู่ไกลจากฉันมาก”

“ ถ้างั้นเรามาประลองกันหน่อยไหม?”

“ ก่อนอื่น เรามา…”

ตูมมมม !

ขณะนั้นเอง

เกิดเสียงระเบิดขนาดใหญ่

เมื่อทั้งสองพยายามฟังก็พบเสียงความปั่นป่ วนด้านนอก

"นั่นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?"

“ มีคนบอกว่ากำแพงพังแล้ว!”

"หา!กำแพงพัง? มีศัตรูบุกรุกเหรอ?”

“ ฉันไม่รู้! แต่พวกมันเป็ นบางอย่างที่เหมือนแมงมุม…”

ตึง! เคล้ง!

ความปั่นป่ วนเกิดขึ้นไม่หยุด แน่นอนว่าย่อมมีเหตุการณ์รุนแรงบางอย่างเกิดขึ้น

ซูจีเงยหน้า

“ ถ้างั้นเรามาแข่งกันทำลายสิ่งนั้นเอามั้ย?”

“ฮึ”

ราชานักสู้พยักหน้าและออกจากห้องเก็บของทันที

จากนั้นซูจีก็ตามออกไปโดยไม่ลืมหยิบเหล้าติดมือไปด้วย

บทที่ 206: ความจริงหรือ...(3)


กีซซ- กีซซ-

พร้อมกับเสียงของโลหะถูกขีดข่วน, เหล่าแมงมุมพ่นใยของพวกมันออกมา

ฟู่ วววว!

ทุกสิ่งที่สัมผัสกับเส้นใยต่างถูกหลอมละลาย และนอกจากนั้นพวกมันยังสามารถยิงลำแสงแห่งเปลวเพลิงที่
สามารถเผาทำลายทุกอย่างได้ทันที

“ ไอ้มอนสเตอร์บ้าพวกนี้โผล่มาจากไหน?”

“ ทหารรักษาการณ์อยู่ไหนกันหมด? ทำไมปล่อยให้พวกมันเข้ามาได้?!"

ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสับสน ก่อนที่ศัตรูจะบุกมาถึงด้านในของเกรทซิตี้ ปกติแล้วทหารรักษาการณ์จะต้องหยุด


หรือแจ้งเตือนเกี่ยวกับผู้บุกรุก แต่เวลานี้กลับไม่มีวี่แววของสัญญาณใดๆทั้งสิ้น

แมงมุมประหลาดที่จู่ๆก็ทำลายกำแพงเมืองและปี นเข้ามาโจมตีผู้คน

พวกมันดูเหมือนจะมีประมาณสัก 500 ตัว

"เวรเอ้ย!"

“ หนีเร็ว!”

มีพลเมืองมากกว่า 100,000 คนที่อาศัยอยู่ในเกรทซิตี้ และในหมู่พวกเขามากกว่าครึ่ งสามารถต่อสู้ได้ ทว่าการ


โจมตีของพวกเขากลับไม่มีผลอะไรกับเหล่าแมงมุม พวกเขาทำอะไรไม่ถูกและไร้ที่พึ่งพา แต่ยังไงก็ตามเกรท
ซิตี้มีกิลด์ต่างๆที่พึ่งพาได้อยู่มากมาย

หลายกิลด์ฟื้ นตัวอย่างรวดเร็วและเข้มแข็งขึ้น หลังจากได้รับความเสียหายใหญ่หลวงจากการปรากฎตัวของ


ปี ศาจนภาเมื่อคราวก่อน และเป็ นไปตามคาดเพียงใช้เวลาไม่นานกลุ่มคนจำนวนมากที่สวมแจ็คเก็ตเหมือนกัน
ก็ปรากฏตัวขึ้น

“ ทีมจู่โจมระยะไกล เดินหน้า!”

"เดินหน้า!"

กลุ่มที่เคลื่อนไหวได้เร็วที่สุดคือสมาชิกของกิลด์จรัสแสง
หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ออกมารับมือกับความโกลาหลด้วยแจ็คเก็ตสีน้ำเงินที่
สลักสัญลักษณ์แห่งแสง ทีมจู่โจมระยะไกลจำนวน 300คนยืนตั้งแถวเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีอย่างเป็ น
ระเบียบ

“นั่น บาฮามุดห์! กิลด์จรัสแสงมาแล้ว!”

“ ดาวรุ่งอย่างคิมแทฮวานก็มาด้วย!”

คนที่หนีไปไหนไม่ได้ต่างส่งเสียงเชียร์ กิลด์จรัสแสงเป็ นหนึ่งในกิลด์ที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเผชิญ


กับบททดสอบของปี ศาจนภา

หัวหน้ากิลด์จรัสแสงบาฮามุดห์ตะโกนขึ้นขณะที่ดึงดาบใหญ่ออกจากด้านหลัง

“ เหล่าหมาป่ าแห่งกิลด์จรัสแสง! จงทำลายพวกมันให้สิ้นซาก ”

สมาชิกกิลด์อีก 500คนที่ถืออาวุธระยะประชิดพุ่งตัวเข้าสู่สมรภูมิอย่างรวดเร็ว

การทำงานเป็ นทีมของพวกเขาดีมาก นักรบระยะประชิดเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู ในขณะที่ทีมโจมตี


ระยะไกลจัดการกับพวกมัน

ทุกการเคลื่อนไหวราบรื่นราวกับว่าพวกเขามีร่างกายเดียวกัน มันดูเป็ นธรรมชาติเหมือนกับการหายใจ คุณ


สามารถบอกได้ว่าพวกเขาฝึ กซ้อมมาหนักแค่ไหนจากฉากนี้

สองปี ที่ผ่านมา หลังจากการบททดสอบของปี ศาจนภาเกรทซิตี้กถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างคนที่ก้าวหน้า


และคนที่ไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และผลลัพธ์ของความคืบหน้าก็แสดงให้เห็นในตอนนี้

“ ช่วยฉันด้วย…!”

ผู้หญิงคนหนึ่งล้มลงกับพื้นตะโกนขอความช่วยเหลือ มอนสเตอร์ไม่ได้แยกแยะระหว่างชายหรือหญิง พวกมัน


จะฆ่ามนุษย์ทุกคนทันทีที่พบเห็น!

แมงมุมหลายตัวที่เห็นเหยื่อของมันพากันวิ่งเข้ามา จากฉากที่พวกมันฉีกเนื้อมนุษย์ออกเป็ นชิ้นๆด้วยขาแปด


ข้างราวกับของเล่น ทำให้มอนสเตอร์พวกนั้นดูน่ากลัวมากขึ้น

และขณะที่แมงมุมกำลังจะฉีกร่างของหญิงสาว ชายคนหนึ่งก็ปรากฏ

ปัง!
ชายคนนั้นพุ่งเข้าชนแมงมุมพร้อมกับเสียงดังสนั่น

เนื่องจากปะทะกับโล่สีเงินขนาดใหญ่รางของแมงมุมจึงปลิวไปไกล

"คุณเป็ นไงบ้าง?

“ ขะ ขอบคุณค่ะ…”

“ รีบหนีออกจากที่นี่ก่อน พวกเราทีมหมาป่ าจะคอยคุ้มกันให้ ไป!"

ผู้หญิงคนนั้นฝื นยืนขึ้นทั้งๆที่ขาแพลง จากนั้นเหล่าหมาป่ าสีฟ้ าก็ห้อมล้อมเธอเอาไว้

“ หัวหน้า ผมคิดว่าพวกมันใช้ทักษะคุ้มกันบางอย่างอยู่ "

ชายคนนั้นเรียกแทฮวานให้ดูมอนสเตอร์แมงมุมอีกครั้ง

ข้างหลังเขามีสมาชิกกว่า 100 คนยืนเรียงกันเป็ นแถว

'ทักษะคุ้มกัน'

แทฮวานสังเกตการเคลื่อนไหวของแมงมุม

ดูเหมือนว่ามันจะดูดซับการโจมตีของศัตรู และกำลังฟื้ นตัว

'ทำไมมีแต่พลังของฉันที่ได้ผลกับพวกมัน'

แทฮวานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว

ทักษะพลังที่เขามี โล่แห่งการปัดเป่ า มันจะปฏิเสธพลังที่ไม่บริสุทธิ์ นั่นหมายความว่าตัวของมันเองบริสุทธิ์


เป็ นอย่างยิ่ง

แทฮวานมองไปที่สนามรบ

ไม่ใช่ว่าพลังของพวกเขาไม่ได้ผลกับพวกมันเลย

แม้ว่ามันจะไม่มากนัก แต่ประเภททักษะที่เพิ่มพลังขึ้นโดยธรรมชาติก็ส่งผลกระทบต่อพวกมัน!
“ ทุกคนฟัง ปลดอาวุธเวททั้งหมดทิ้งไปซะ!”

“ หัวหน้าคุณหมายความว่ายังไง?”

ปลดอาวุธของพวกเขา? ทั้งทีมช่วยไม่ได้ที่จะสับสน

แทฮวานตะเบ็งเสียงจนทุกคนได้ยินชัดอีกครั้ง

“ หากไม่ใช่พลังโดยตรงจากตัวเอง จะโจมตีพวกมันไม่เข้า!”

แทฮวานค้นพบจุดอ่อนของแมงมุมอย่างรวดเร็ว ถ้าใครจะนับคนที่ทำงานหนักที่สุดในช่วงสองปี ที่ผ่านมา


แทฮวานต้องอยู่ในรายชื่ออย่างแน่นอน

นี่เป็ นเพราะเป้ าหมายของเขายอดเยี่ยมเกินไป อย่างไรก็ตามแทฮวานก็ยังไม่พอใจ ม่มีเวลาให้เสียเปล่าหากเขา


ยังอยากตามชายที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในใจของเขา

คนในทีมเปลี่ยนอาวุธเกี่ยวกับเวทมนตร์ทุกชนิดทิ้งไป และถือเพียงดาบ โล่ และหอกซึ่งทำจากโลหะล้วนๆ

กีซซ-!

แมงมุมที่ถูกทำให้ถอยไปก่อนหน้ากลับมาโจมตีแทฮวานอย่างรวดเร็ว

แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แทฮวานเป็ นดาวรุ่งซึ่งเป็ นที่รู้จักในนาม 'ผู้พิทักษ์โล่' ฉายานี้ได้รับมาเพราะ


ในขณะที่เขายังถือโล่ แม้ว่าความสามารถของฝ่ ายตรงข้ามจะสูงกว่าก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้โดยง่าย

ตูม!!

ทว่าในพริบตาแมงมุมเหล่าก็ต้องแตกกระเจิง

'นั่นใคร?'

แทฮวานขมวดคิ้ว

สองนักสู้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นเริ่มโจมตีเหล่าแมงมุมจนหมุนปลิวไปรอบๆ และพวกเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มหมาป่ า
เป็ นผู้หญิงหนึ่ง และผู้ชายที่มีรูปร่างใหญ่โตหนึ่ง พวกเขาสวมหน้ากากทั้งคู่!
ดูเหมือนพวกเขาจะรับมือกับมอนสเตอร์แมงมุมได้เป็ นอย่างดี ร่างของแมงมุมฉีกขาดปลิวกระจายออกเป็ น
ชิ้นๆคล้ายกับถูกพายุพัดโหม

ในขณะการต่อสู้ผู้หญิงสวมหน้ากากก็หันมองไปที่แทฮวาน

เมื่อสายตาของพวกเขาพบกัน ผู้หญิงคนนั้นก็ก้มศีรษะลงก่อนจะกระทืบพื้นส่งตัวเองบินหายขึ้นไปในอากาศ

"เธอเป็ นใคร?"

“ จอมยุทธ์สวมหน้ากาก?”

สมาชิกในทีมก็ดูเหมือนจะไม่รู้ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญสวมหน้ากากทั้งสองคน แทฮวานคิดเกี่ยวกับ


สายตาของหญิงสาวครู่หนึ่ง

“ อย่าละสายตา!”

กีซๆๆ!

ยังมีแมงมุมอีกมากมาย

***

ซูจีกัดริมฝี ปาก

'พี่แทฮวาน...'

ใบหน้าที่เธอไม่ได้เห็นมานาน อย่างต่ำก็ไม่น้อยกว่า 5 หรือ 6 ปี หลังเจอกันครั้งสุดท้าย

แต่แทฮวานก็ยังเหมือนกับแทฮวานในความทรงจำของเธอ นอกจากการมีกล้ามเนื้อมากขึ้น และการแสดงออก


ที่เข้มแข็งขึ้นแล้ว เขาก็ยังคงเป็ นแทฮซานคนเดิม

การที่เธอสวมหน้ากากเพราะไม่ต้องการไปรบกวนเขา เธอเลยบังคับให้ราชานักสู้สวมหน้ากากเช่นกัน อีก


เหตุผลหนึ่งก็เป็ ยเพราะราชานักสู้มีศัตรูจำนวนมากในเกรทซิตี้

"แปดตัว! ซูจีเอ๋ยคนชนะการแข่งขันนี้คงเป็ นฉันแล้วล่ะ!”

ราชานักสู้หัวเราะขณะที่เด็ดขาแมงมุมทิ้ง
ซูจีหยิบเหล้าที่พกออกมา เธอยิ้มขณะรินเหล้าออกจากขวดเซรามิก

“ ถ้าอย่างนั้นหนูจะเริ่มละนะ?”

คว้าง!

อากาศผุดขึ้น

อากาศใกล้ๆซูซี่ขยายออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นขณะที่ซูจีเหยียบเท้าพื้นดินด้านล่างก็ทรุดตัวลง

ตูมมมม !

มันเป็ นหลักวิชาของทักษะค้อนหมื่นชั่ง

ซูจีหายตัวไปทั้งอย่างนั้น ก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้งเหนือศัตรู

ขณะที่ในมือของเธอปรากฏดาบเล่มหนึ่ง ร่างของแมงมุมก็พรุนเป็ นรังผึ้ง หลุมจากบาดแผลดังกล่าวดูไปคล้าย


กับภาพวาดดอกซากุระบานยิ่งนัก

นั่นเป็ น วิชาดาบของตระกูลเฮฟเวนเมด! เมื่อดาบประจำตระกูลเฮฟเวนเมดใช้ประโยชน์จากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น


ของทักษะค้อนหมื่นชั่งที่ช่วยเพิ่มพลังโดยตรงของผู้ใช้ ไม่น่าแปลกใจที่มอนสเตอร์แมงมุมจะไม่สามารถ
ต้านทานการโจมตีของเธอได้

“ อืม ผสมทักษะได้พิลึกพิลั่นจริงๆ ”

ราชานักสู้เดาะลิ้นของเขาขณะที่ดูเธอ

เธอยังแสดงทักษะที่ผสมเทคนิคระหว่างประตูเร้นรับกับหลักการเคลื่อนไหวของทักษะบางอย่าง แม้กระทั่ง
ราชานักสู้ก็ไม่สามารถตามความเร็วนี้ได้ อย่างน้อยในแง่ของความเร็วเธออยู่ใน 10 อันดับแรกของมนุษยชาติ
แน่นอน

ซูจีเหมือนปลาในหนองน้ำ

เธอไล่ตามคะแนนของราชานักสู้ไปทันทีขนาดเริ่มต้นเกมที่ 8 : 0

“ ฉันไม่ควรทำเป็ นเล่นอีกต่อไป”
ราชานักสู้ยิ้ม

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า นักเรียนเก่งหนึ่งคนต่างจากนักเรียนเฉลี่ยสิบคนอย่างไร อย่างไรก็ตามในฐานะครูเขา


ไม่สามารถแพ้ในเกมนี้ได้

ราชานักสู้ใส่ทุกอย่างไม่ยั้ง

ขณะที่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น กิลด์อื่นๆก็เริ่มปรากฏขึ้นอย่างช้าๆหลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมการ จนดูเหมือนว่า


มอนสเตอร์กำลังถูกปราบ

แกรกๆๆ!

ซีสสส!

ความคิดเช่นนั้นมีอยู่จนกระทั่งมีแมงมุมอีกจำนวนมากไต่กำแพงขึ้นลงมา

“ มะ มันมีกี่ตัวกันแน่?”

“ กำแพงพังไปกี่ส่วนแล้ว!”

"อ๊า...!"

ราวกับว่าเป็ นเพียงจุดเริ่มต้น เมื่อพวกเขาเกือบจะกำจัดแมงมุม 500ตัวหมดแมงมุมอีกจำนวนมากก็ไต่กำแพง


ลงมาไม่ใช่สิ พวกมันเพิ่งทำลายกำแพงก่อนจะไต่ลงมาต่างหาก

ฉากด้านหลังของกำแพงที่เผยออกมาสู่สายตาน่าตกใจอย่างช่วยไม่ได้ และคาดไม่ถึง

แมงมุมยักษ์หลายตัวกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

***

มูยองมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างยินดี และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพวกเขา

จากความทรงจำเมื่อ 2 ปี ก่อน เขาคิดว่าแมงมุม 500 ตัวน่าจะเพียงพอ อย่างไรก็ตาม การต่อต้านของเกรทซิตี้


นั้นแข็งแกร่งกว่าที่คิด พวกเขาเรียนรู้วิธีจัดการกับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

'เกรทซิตี้เปลี่ยนไปหลังจากเผชิญหน้ากับการทดสอบของปี ศาจนภา'
นี่เป็ นประโยชน์อย่างแท้จริงของการทดสอบ

นี่คือความหวังของมนุษยชาติ

แค่ไม่ใช้ชีวิตอยู่เฉยๆ แค่นี้พวกเขาก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อสองปี ก่อนแล้ว

ต่างจากอดีต ตอนนี้พวกเขาร่วมมือกันโดยไม่แบ่งแยกเพื่อความแข็งแกร่ง แน่นอนว่ามันเกิดจากการเรียนรู้


เพราะมีศัตรูร่วมกัน อย่างไรก็ตามบททดสอบจะต้องมีเป็ นระยะ เพื่อความสามัคคีที่ยั่งยืน พวกเขาต้องการแรง
ผลักดันอย่างต่อเนื่อง

'ทำไมพวกเขาทำสิ่งนี้ไม่ได้ในอดีต'

อดีตก่อนที่มูยองจะย้อนกลับมา

มนุษยชาตินั้นอ่อนแอ ใครจะสงสัยว่าพวกเขาอ่อนแอได้ยังไง

มันเป็ นเพราะป่ าแห่งความตาย เช่นเดียวกับการยึดติดกับผลประโยชน์ของตระกูลและกิลด์ต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากการทดสอบของปี ศาจนภา พวกคนชั่วช้า และเห็นแก่ตัวส่วนใหญ่


เสียชีวิต ไม่ก็ตกอยู่ในสภาพวิกฤติ

ตำแหน่งที่ว่างเหล่านั้นคือโอกาสสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีอุดมการณ์ พวกเขากลายเป็ นความหวังสำหรับผู้


อ่อนแอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมปัจจุบันจึงแตกต่างจากอดีต

'ทุกอย่างตอนนี้เป็ นไปได้... พวกเขาสามารถเปลี่ยนได้'

มูยองไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้มากมายเลย

เขาไม่เคยคาดหวังว่าเหล่าผู้คนจะเปลี่ยนแปลงมากนักภายในเวลาแค่สองปี

ดังนั้นมูยองจึงรู้สึกตื่นพอใจเล็กน้อย

มันเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ความเป็ นไปได้ มันเป็ นผลลัพธ์

'ฉันจะกลายเป็ นศัตรูกับทุกคน'

ในขณะที่ยืนยันคำตอบตัวเอง มูยองยอมรับบทเป็ นวายร้ายโดยไม่ลังเล


ด้วยคำสั่งจากมูยอง จำนวนของเอลย่าซีโก้ก็เริ่มเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นอีก

เข้าสู่การต่อสู้ การต่อสู้ไร้ที่สิ้นสุดเป็ นหนทางเดียวที่มีชีวิตอยู่!

“ มีบางคนกำลังเคลื่อนที่มาที่นี่ด้วยความเร็วสูง”

“ พวกเราจะไปกำจัดมันผู้นั้น”

จากนั้นจิ้งจอกเก้าหางห้าตัวที่ช่วยสนับสนุนมูยองก็เริ่มเคลื่อนไหว

มูยองก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างเข้ามาใกล้เขาเหมือนกัน

อย่างน้อยในแง่ของเทคนิคการเคลื่อนไหวเร็วก็ถือว่ายอดเยี่ยม มีคนกำจัดมอนสเตอร์ทุกตัวในเส้นทางและ
กำลังมุ่งหน้ามายังที่ที่มูยองอยู่ บางทีอาจมีบางคนตระหนักได้ว่ามีผู้ควบคุมเอลย่าซีโก้

จิ้งจอกเก้าหางสบัดร่างของพวกเธอก่อนที่จะหายไปโดยใช้ทักษะเช่นสึกุจิ อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้สนใจ
พวกมันมากนัก ตอนนี้เขามุ่งความสนใจไปที่เกรทซิตี้อย่างเดียว

มีเหตุผลที่เขาหยุดอยู่ใกล้กับเกรทซิตี้ และตอนนี้เขากำลังใช้ลูกปัดจิ้งจอกลูกหนึ่งมองภาพสถานการณ์ในเกรท
ซิตี้แบบเรียลไทม์อยู่

'อดีตเปลี่ยนไปแล้ว พวกเราทุกคนเปลี่ยนไป '

เหมือนกับที่มูยองมาจากอดีตของเขา แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้สัมผัสประสบการณ์เช่นนั้น แต่พวกเขาก็จะ


กลายเป็ นคนที่แตกต่างจากอดีต

กรร!

จู่ๆซ่งหลางสองตัวก็แยกเขี้ยวฟันของพวกมัน

ดูเหมือนจิ้งจอกเก้าหางไม่สามารถหยุดบุคคลนั้นได้

มีตัวตนหนึ่งกำลังปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ

ในขณะที่เขาหันศีรษะไปก็พบกับหญิงสาวผู้ซึ่งสวมหน้ากากกำลังย่องเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ

"ฆ่า"
กรรร!

ทันทีที่มูยองออกคำสั่ง ซ่งหลางทั้งสองก็พุ่งเข้าหาหญิงสาวทันที

ดูเหมือนว่าร่างกายของหญิงสวมหน้ากากปกคลุมไปด้วยบาดแผลอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีทางที่เธอจะยังสบายดี หลัง


จากฝ่ าฝูงมอนสเตอร์และสุนัขจิ้งจอกเก้าหางมา อย่างไรก็ตามหญิงสวมหน้ากากก็ยังสามารถทะลุผ่านการโจม
ตีของซ่งหลางมาได้

'น่าตกใจจริงๆ'

มูยองพูดเล็กน้อยขณะที่เผชิญหน้ากับหญิงสาวที่กำลังใกล้เข้ามา

ผู้หญิงคนนั้นถือดาบกระโจนไปข้างหน้าโดยมีเป้ าหมายเป็ นมูยอง

อย่างไรก็ตามดาบไปไม่ถึงตัวเขา เพราะเมื่อหญิงสาวเห็นใบหน้าของมูยอง เธอก็หยุดชะงักลงทันที

“พ... พี่... .?”

โครม!

หลังจากพูดคำนี้หญิงสาวก็ล้มลงกับพื้น เลือดพวยพุ่งออกมาจากบาดแผลบนร่างกาย

โฮก !!

ซ่งหลางคำรามอย่างกระหายในขณะที่จมเขี้ยวลงบนร่างของเธอ

และก่อนที่มันจะเขมือบเธอไปทั้งตัว มูยองก็รีบยกมือข้างหนึ่งขึ้น

บทที่ 207: ความจริงหรือ...(4)

จี๊ด-! จี๊ด-!

มูยองสังเกตเห็นสัตว์ตัวเล็กๆที่อยู่ในเสื้อของหญิงสาว

มันเป็ นหนูตัวขนาดเท่าสองกำปั้ น แน่นอนว่ามันคือจักรพรรดิหนูสามขา

ช่งหลางที่กำลังฉุนเฉียวจึงถูกทำให้ชะงักอย่างช่วยไม่ได้
"หยุด"

มูยองพูดเบาๆ

กรรรรร!

ซ่งหลางเต็มไปด้วยความเดือดดาล ในขณะที่จิ้งจอกเก้าหางก็มีสภาพไม่ค่อยดีนักเช่นกัน นั่นหมายความว่าผู้


หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขามีทักษะเป็ นอย่างมาก อย่างไรก็ตามช่งหลางยังตั้งใจจะโจมตีต่อ

หมับ!

มูยองจับฟันซี่หนึ่งของซ่งหลางแล้วบีบแน่น

แคร๊ก!

“ ฉันบอกว่าหยุด”

ช่งหลางรู้สึกตกใจกับการกระทำของมูยองเป็ นอย่างมากในขณะที่ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

มูยองค่อยๆคิดได้ทีละนิด

'การฆ่าไม่ใช่วิธีเดียว'

มีหลายอย่างที่ทำเพียงลำพังไม่ได้ ดังนั้นมูยองจึงรวมมนุษยชาติ และพยายามฝึ กฝนพวกเขารวมไปถึงการกระ


ตุ้นอย่างเหมาะสม ทั้งหมดที่มูยองต้องทำคือสร้างความสามัคคี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าบทบาทของเขาจะ
ต้องโหดร้ายขนาดนั้นและฆ่าทุกคนทั้งหมด

'เบซูจี'

หน้ากากที่เปิ ดขึ้นครึ่ งหนึ่งทำให้ใบหน้าของเธอเผยออกมา เด็กที่เขาเห็นครั้งสุดท้ายที่ห้องสมุดลอยฟ้ า เธอโต


เป็ นวัยรุ่นแล้วเหรอ? แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอจะเปลี่ยนไปมาก แต่มันก็ยังดูคุ้นเคยสำหรับมูยอง

เขาไม่เคยคาดหวังว่าเธอจะเติบโตมากจนสามารถก้าวผ่านไปได้แม้กระทั่งซ่งหลางและจิ้งจอกเก้าหาง แต่มู
ยองจำได้ว่าซูจีมีอะไรบ้าง

'ในร่างของเธอมีสายเลือดแห่งแสง'
พลังที่ใกล้เคียงที่สุดกับพลังแหล่งกำเนิด!

แม้ว่าช่วงแรกการเติบโตจะเป็ นไปอย่างเชื่องช้า แต่มันเป็ นพลังที่สามารถพัฒนาได้อย่างไม่จำกัดหากทุกอย่าง


ผลิบาน

พลังที่ดูเหมือนจะถูกหล่อหลอมเข้าจนถึงแกนกลาง แผ่ออร่าความแข็งแกร่งออกไปด้านนอกราวกับดวงตะวัน
อันเจิดจ้า นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับโชควาสนาอื่นอีก นั่นจึงอธิบายว่าทำไมเธอถึงพัฒนาได้อย่าง
รวดเร็ว

'เทวะพร'

จากมือของมูยองแสงอันเข้มข้นส่องออกมา เทวะพรเป็ นทักษะการรักษาซึ่งสามารถฟื้ นพลังชีวิตของคนที่ยัง


ไม่ตายได้ เนื่องจากเป็ นทักษะอันเยี่ยมยอดที่กาเบรียลมอบให้บาดแผลของซูจีจึงได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์

จากนั้นมูยองก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง และมอบคำสั่งให้กับจิ้งจอกเก้าหาง

“ ทำลายที่นี่ทิ้งซะ พังกำแพงทิ้งให้หมด ให้พวกเขารู้ว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัย”

"รับทราบ" จิ้งจอกเก้าหางเปลี่ยนกลับไปเป็ นร่างมนุษย์ก่อนจะคุกเข่ารับคำสั่ง

มูยองหันหลังกลับ และอีกครั้งที่เขาคิดถึงบทบาทของตัวเอง

มูยองไม่ได้ต้องการให้มนุษยชาติสูญพันธุ์ และเพื่อทำลายเทพปี ศาจมนุษย์จึงเป็ นเผ่าพันธุ์ที่จำเป็ น

แม้เขาจะรู้เงื่อนไขในการสังหารเทพปี ศาจบางตน แต่เขายังไม่มีความคิดโดยเฉพาะเจาะจงกับเรื่องนี้

บาอัล

เทพปี ศาจที่นั่งลำดับ 1

วิธีที่จะเอาชนะบาอัลนั่นจำเป็ นต้องอาศัยอการรวมตัวกันของมนุษยชาติหลังจากทำลายเทพปี ศาจที่เหลือ

"ไปกันเถอะ"

เพื่อสิ่งนั้น มูยองจึงต้องทำลายกำแพงของพวกเขา แม้ว่ากำแพงจะให้ความปลอดภัย แต่มันก็ทำให้พวกเขา


อ่อนแอและแตกแยก
***

ทุกคนหยุดชะงัก

แม้แต่แมงมุมก็หยุดสิ่งที่พวกมันทำ แทนการเข้าห้ำหั่นกับมนุษย์พวกมันหันไปมองด้านนอกของตัวเมือง

ดูเหมือนตรงนั้นกำลังมีดวงอาทิตย์ถูกสร้างขึ้น

มันคือดวงอาทิตย์ที่เกิดจากบอลเพลิงขนาดใหญ่

"นั่น นั่นมันคืออะไร?"

“ เกิดบ้าอะไรขึ้นอีก!”

ผู้คนตื่นตระหนกกับพลังรุนแรงที่ผิวหนังของพวกเขาสามารถสัมผัสได้!

และในขณะที่เปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ พวยพุ่งขึ้นไปยังจุดสูงสุด

แซ่ดด! เปรี้ ยงงง!

สายฟ้ าสีดำภายในความโกรธเกรี้ ยวก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และผสานเพิ่มเข้าไปยังเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์

นั้นยิ่งทำให้เปลวไฟที่ดูเหมือนกำลังจะระเบิดยิ่งเดือดดาลไม่ต่างอะไรกับระเบิดนิวเคลียร์

จากนั้นลูกบอลเพลิงขนาดมหึมาก็เริ่มพุ่งเข้าหากำแพงของพวกเขา

“ เราต้องต้านมันไว้! ทุกคนใช้ทักษะการโจมตีระยะไกลทั้งหมดออกไป!”

"หยุดมัน!"

ทักษะการโจมตีหลายร้อยรูปแบบหลั่งไหลเข้าสู่ลูกบอลแห่งเปลวเพลิง

อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็ น 'นักเวทย์' ในเกรทซิตี้

หากมีบททดสอบ 'หอคอยแห่งปัญญา' ของอามอนคงจะมีอาร์คเมจผู้ที่ตระหนักถึงแก่นแท้ของเวทมนตร์อยู่


บ้าง แต่น่าเสียดายที่มันอยู่อีกด้านหนึ่งของเมืองนี้
ฟูมมมมมมมม!

บอลเพลิงค่อยๆกลืนกินกำแพง และในที่สุดกำแพงทั้งหมดก็พังทลาย อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บจาก


การโจมตีนี้ และหลังการโจมตีดังกล่าว ชายคนหนึ่งที่มีปี กหกปี กก็ปรากฏตัวขึ้น

ชายที่บางคนรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างช่วยไม่ได้

“ เขาคือ…?”

“เป็ นไปได้ยังไง...”

จากสองปี ที่แล้วผู้ที่เคยเห็นมูยองตอนการทดสอบของปี ศาจนภาเกิดขึ้นต่างกระซิบกระซาบกันด้วยความไม่


น่าเชื่อ พวกเขาไม่เคยคิดว่ามูยองจะอยู่เบื้องหลังแมงมุมพวกนี้

ด้วยการแสดงออกอย่างจริงจัง มูยองพูด

“ สงครามเริ่มขึ้นแล้ว พวกนายมีเวลา 5 ปี สำหรับการเตรียมตัว จงสู้เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ หากพวก


นายยังมัวแต่ยืนหลบอยู่หลังกำแพงมนุษยชาติจะต้องล่มสลาย”

นี่คือเป้ าหมายของเขาตั้งแต่จุดเริ่มต้นเพื่อถ่ายทอดคำเหล่านี้ และปลูกฝังความระมัดระวังไปในตัว แต่แค่บอก


ให้พวกเขารู้มันจะเพียงพอหรือไม่?

มูยองส่ายหัว

หากคำพูดได้ผลสำหรับคนเกียจคร้าน พวกเขาคงไม่ถูกผลักดันให้สูญพันธุ์ในอดีต พวกเขาต้องการการกระ


ตุ้นในระดับหนึ่งรวมถึงวิกฤตการณ์ด้วย

แน่นอนว่าเกรทซิตี้ยังถือว่าดีกว่าสถานที่อื่นๆ อย่างไรก็ตามถ้าทุกคนเชื่อว่าตนปลอดภัยพวกเขาก็มักเลือกที่จะ
อยู่อย่างสงบ

เหตุผลเดียวที่เทพปี ศาจและราชาปี ศาจยังไม่ได้โจมตีมนุษยชาติเพราะพวกมันกำลังขัดแย้งกันเอง เมื่อการขัด


แย้งของพวกมันได้รับการแก้ไขเมื่อไหร่ทุกสายพันธุ์จะต้องดับสูญ

มูยองวางแผนที่จะหยุดมหาภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้

'ฉันจะซื้อเวลาให้พวกนายเอง'
เขาคิดว่าเวลาห้าปี เวลามากพอที่จะซื้อได้หลังจากเทพปี ศาจหยุดการขัดแย้งภายใน

'การปรากฏตัวของเดียโบลกลายเป็ นตัวแปรสำคัญ'

แต่เดิมพวกเขาควรมีเวลามากกว่านี้ แต่ด้วยการปรากฏตัวของเดียโบลความขัดแย้งของเหล่าเทพปี ศาจดู


เหมือนจะถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

เดียโบลเป็ นศัตรูของพวกมันทุกตน ดังนั้นพวกมันจึงมีแนวโน้มที่จะถูกบังคับให้ร่วมมือกันในการทำสงคราม

ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ด้วยการกำหนดเวลาแก่พวกเขาใน 5 ปี จะทำให้เกิดแรงผลักดันให้พวกเขาทำหน้าที่เร็วกว่าเดิม


เมื่อเป้ าหมายและวัตถุประสงค์ชัดเจนแล้ว ความเกียจคร้านก็จะหายไปในระดับหนึ่ง

“ ไอ้สารเลว! แกทำอะไรกับลูกศิษย์ของฉัน!”

ชายสวมหน้ากากร่างกายใหญ่โตกระโจนขึ้นไปบนอากาศ และหลังจากรวบรวมพลังงานได้เขาก็เหยียดกำปั้ น
ออก

แม้ใบหน้าจะถูกปกปิ ด แต่มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างพลังงานจำนวนมากได้ด้วยมือเปล่าเช่นนี้

'ราชานักสู้'

ไม่มีใครอีกแล้ว

มูยองเหยียดมือออกไปรับ

ตูม!

“อ๊อก!”

อากาศระเบิดออก

เนื่องจากเลเวลทั้งหมดของมูยองเกินขีดจำกัดของมนุษยชาติในปัจจุบันไปแล้ว

คนที่ต้องกระเด็นถอยไปจึงเป็ นราชานักสู้

“ ไม่มีที่ปลอดภัยในอันเดอร์เวิลด์”
ปัง!

หลังมูยองสยายปี กออกกว้างหอคอยสูงใหญ่ก็ตกลงมากลางเมืองเกรทซิตี้

ตูม!

มันเป็ นหนึ่งใน 45 หอคอยจากโนเบิลคาสเซิล

มูยองเรียกมันมายังเกรทซิตี้เพื่อแทนสัญลักษณ์บางอย่าง

ทุกคนหันมองไปยังหอคอยสีดำที่แผ่พลังแห่งลางร้ายออกมา

และเมื่อพวกเขาหันหลังกลับมาอีกครั้งมูยองก็หายตัวไปแล้ว

***

ไม่ใช่แค่เกรทซิตี้ เมืองและหมู่บ้านทุกแห่งที่มีขนาดกลางต่างก็มีหอคอยสีดำร่วงหล่นลงมา

หอคอยหยั่งรากฝังลึกและกลายเป็ นสัญลักษณ์ขนาดใหญ่

ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่เมืองศักดิ์ สิทธิ์ มูลาลัน

“ หลังจากการโจมตีของพวกแมงมุมก็เป็ นหอคอยสีดำ…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

พระคาร์ดินัลนั่งถอนหายใจอยู่ในโบสถ์

ผู้พิพากษาทุกคนรวมไปถึงพระคาร์ดินัล และเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหมดต่างรวมตัวกันอยู่ที่นี่

ด้านในยังมีหญิงสาวรูปลักษณ์งดงามคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆพระสันตะปาปา

ไฮซินท์ เด็กผู้หญิงที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น

และกลายเป็ น 'นักบุญแห่งบุปผา' ตอนนี้โตเป็ นสาวแล้ว

ด้วยความแข็งแกร่งและพลังอำนาจอันสูงส่งทำให้เธอได้รับตำแหน่งเท่ากับพระสันตะปาปา

และเนื่องจากเธอมูลาลันจึงประสบกับความสับสนภายในอย่างมาก
โดยปกติแล้ว ราชาสององค์ไม่สามารถปกครองประเทศเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และมันยังคงเป็ นเช่นเดียวกันสำหรับทุกกลุ่มก้อน

ไม่มีเหตุผลที่มูลาลันจะต้องต่างไปจากนั้น

อย่างไรก็ตาม

ในสายตาของเจ้าหน้าที่ระดับสูง

ไฮซินท์แข็งแกร่งเกินไปที่จะไปต่อต้าน

แม้กระทั่งพระสันตะปาปาก็ยังหลงมนต์เสน่ห์ของบุปผาเช่นเธอ

จากนั้นพระสันตะปาปาก็พูด

“ อืม ดูเหมือนว่ามันจะเหมือนกับหอคอยที่ปรากฏในโนเบิลคาสเซิล สาวกที่เราส่งไปยังไม่กลับมารายงาน


ข่าวหรือ?”

“ น่าเสียดายที่เราขาดการติดต่อกับโนเบิลคาสเซิลไปแล้ว”

“ จากข่าวที่ได้ยินภายในหอคอยมีแต่ความว่างเปล่า แต่ยังไงมันก็ยังดูเป็ นปัญหาสำหรับเรา…”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็ นปัญหากับพระสันตะปาปาอย่างมาก

เมื่อพวกเขาสามารถหยุดการโจมตีของแมงมุมได้

หอคอยแห่งหนึ่งก็ถูกตั้งกลางเมืองทว่าไม่พบอะไรในหอคอยนอกจากความรู้สึกน่ากลัวอย่างแปลกประหลาด
เท่านั้น

ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้

และตั้งแต่ต้นพวกเขาไม่มีสิทธิ์ อะไรทั้งนั้น

พวกเขารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ก็เพื่อขอความคิดเห็นจากพระสันตะปาปา

ทว่าตัวพระสันตะปาปาเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ ซึ่งหากเป็ นยามปกติเขาคงไม่ลังเลอย่างนั้น


เซราฟี น่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยสังเกตท่าทีของไฮซินท์

'เห็นได้ชัดว่าเธอเป็ นสิ่งที่รบกวนจิตใจของพระสันตะปาปา'

และมันคือเซราฟิ นาที่เป็ นผู้นำตัวไฮซินท์มาที่เมืองมูลาลัน

การที่ไม่สังหารเธอตั้งแต่แรก และยังส่งเธอไปหาพระสันตะปาปาเป็ นต้นเหตุของปัญหานี้

เอี๊ยด!

ทันใดนั้นประตูก็เปิ ดออก และนักบวชก็เข้ามา

“ นักบวชอาแลนซ์! คุณเพิ่งกลับมาถึงเหรอ!”

พระคาร์ดินัลตะโกนขึ้นราวกับมีความสุขหลังจากเห็นคนของตัวเองกลับมา

ทว่าสภาพของอาแลนซ์ดูสาหัสมาก เสื้อคลุมของเขาฉีกขาดและมียาดแผลที่เห็นถึงกระดูก

เขารีดเค้นพลังที่มีทั้งหมดเพื่อพูด

“ เขา…เขากำลังมา เขากำลังมา"

"ใจเย็นๆก่อน เขาที่ว่าหมายถึงใคร?"

"มูยอง! ชายที่มีหกปี ก!

เขา…เขาคือราชาแห่งขุมนรก เขาคือราชาแห่งขุมนรกที่ปกครองนรกภูมิทั้งหมด!

เขากำลังมาที่นี่…"

โครม!

สิ้นคำพูดเขาก็เป็ นลมหมดสติไปทันที

หลังจากนั้นก็มีข้อมูลอื่นตามมาอย่างรวดเร็ว

“ สายข่าวแจ้งมาว่าชายคนหนึ่งชื่อมูยองปรากฎตัวที่เกรทซิตี้!
ดูเหมือนเขาจะเป็ นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีของพวกแมงมุม ... ”

จากข่าวที่ได้ยินทุกคนก็ทำได้แค่กระพริบตา

มูยอง! มันเป็ นชื่อที่พวกเขาคิดว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน

อย่างไรก็ตามไม่มีใครแน่ใจในเรื่องดังกล่าวนอกจากเธอทั้งสอง

“อ่า!”

ริมฝี ปากของไฮซินท์ขยับขึ้น

เธอปล่อยเสียงที่ฟังดูมีความสุขแปลกๆ

มันเป็ นรอยยิ้มที่เธอไม่เคยแสดงให้ใครเห็นในมูลาลัน

ทุกคนต่างหลงใหลในรูปลักษณ์ของเธอ และเสียงแห่งความสุขของเธอ

มีแต่เซราฟิ น่าเท่านั้นที่ยังมีสติครบถ้วน

'มูยอง...!

เธอรู้จักมูยองเป็ นอย่างดี

เธอค้นหาเขามาสองปี แล้วและพบกับความล้มเหลว แต่เขากลับมาปรากฏตัวที่เกรทซิตี้ด้วยตนเอง?

บทที่ 208: ความจริงหรือ... (สิ้นสุด)

เซราฟี น่ามีทีท่าร้อนรน

เธออยากไปที่นั่นเพื่อยืนยันด้วยตัวเอง

ถ้าหากเป็ นมูยองจริงๆทำไมเขาถึงทำอย่างนี้?

สำหรับเซราฟิ น่าแล้วมูยองเป็ นทูตสวรรค์เพียงองค์เดียวในอันเดอร์เวิลด์

'ไม่มีทูตสวรรค์ในอันเดอร์เวิลด์'
บางทีอาจเป็ นอย่างที่ทุกคนพูด หรือว่ามูยองเองก็ไม่ใช่ทูตสวรรค์?

'ฉันต้องเชื่อมั่น เพื่อใช้ในการค้นหาความจริง'

เซราฟิ นาหลับตา

เธอไม่ควรสรุปอะไรง่ายๆ เธอต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ภายในก่อน

ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องจริงหรือโกหกเธอก็ต้องยืนยันด้วยสองตาของเธอเอง

มีหลายครั้งที่จุดประสงค์ของพระเจ้ายากต่อการตีความสำหรับมนุษย์

นอกเหนือจากเธอแล้วยังมีอีกคนหนึ่งที่มีปฏิกิริยากับเรื่องนี้เป็ นพิเศษ

ผู้หญิงอีกคนที่ว่าก็คือไฮซินท์

'เขามาแล้ว ในที่สุดเขาก็มาหาฉัน '

ไฮซินท์ไม่มีความทรงจำในอดีต

เธอแค่รู้สึกว่าต้องรอ

เมื่อได้ยินชื่อมูยองโลกของเธอก็เปลี่ยนไป เพราะเขาเป็ นทั้งผู้ชี้ทางในความมืดมิด

เป็ นทั้งผู้ที่เธอหวาดกลัว และผู้ที่กุมหัวใจของเธอเอาไว้

เธอมั่นใจว่าผู้ที่เธอปรารถนาและรอคอยอยู่ก็คือมูยอง

เธอคิดว่ามูยองจะพาเธอไปกับเขาเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น

เธอรู้สึกว่าในที่สุดเธอก็สามารถไปจากสถานที่ที่น่าเบื่อแห่งนี้สักทีและค้นหาความจริงเกี่ยวกับตัวเอง

นั่นคือสิ่งที่เธอคิด

ไฮซินท์ไม่สนใจว่ามูยองทำอะไร แค่เขาปรากฏตัวออกมาก็สำคัญที่สุดแล้ว

“ไฮซินท์?”
ทุกคนมองพฤติกรรมแปลกๆของไฮซินท์ด้วยสายตาที่งุนงง

จู่ๆไฮซินท์ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไป

'ฉันต้องสวยขึ้นกว่านี้'

'เขาจะต้องเห็นรูปลักษณ์ที่สวยงามที่สุดของฉัน'

ไฮซินท์ก็มีท่าทีเร่งรีบไม่ต่างจากเซราฟิ น่าเช่นกัน

***

จี๊ด! จี๊ด!

แม้ว่าจะเป็ นถึงจักรพรรดิแต่มันก็มีขนาดเพียงสองกำปั้ นเท่านั้น

มันจึงทำได้เพียงร้องโวยวายเมื่อเห็นเจ้านายของตนล้มลง

ข้างๆกันนั้นแม้แต่ราชานักสู้ก็อยู่ด้วย

“ บาดแผลถูกรักษาไปหมดแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่ฟื้ น”

พอตกเย็น เบซูจีก็เรื่มส่งเสียงพึมพัมภายใต้กองไฟที่สุมขึ้น

อย่างไรก็ตามเธอก็ยังหมดสติอยู่ แม้ว่าระดับพลังงานของเธอจะสูงกว่าก่อนหน้านี้และไร้บาดแผล แต่เธอก็ยัง


ไม่ยอมตื่นสักที

“ มีปัญหาด้านจิตใจหรือไม่?”

เขาไม่สามารถรู้สึกถึงคำสาบใดๆ ความเป็ นไปได้เพียงอย่างเดียวนั้นดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับจิตใจ แต่ก็ยังมี


หลายสิ่งหลายอย่างที่อาจเป็ นสาเหตุ

อย่างไรก็ตาม เบซูจีเป็ นเด็กที่มีจิตใจแข็งแกร่ง

หากไม่เช่นนั้นเธอคงสติแตกไปนานแล้วตั้งแต่ที่รู้ว่าพ่อของตัวเองตาย

หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านั้นก็มีเหตุการณ์มากมายที่จะมีอิทธิพลต่อเธอ
เบซูจีเอาชนะมันทั้งหมด

แม้แต่ราชานักสู้ยังชื่นชมเธอ

"ไม่ อย่า…."

ราวกับว่าเธอกำลังฝันอยู่และละเมอ

“ เธอละเมอเรื่องอะไร? จะพูดอะไรก็พูดออกมาสิ”

ราชานักสู้ข้องใจมาก

สองวันแล้วที่เธอหลับเป็ นตาย เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถเดินทางไปไหนได้

วันนั้นจู่ๆซูจีก็หายตัวไปในขณะที่ตามล่าแมงมุมหลังจากบอกว่าเธอพบ 'ผู้ควบคุมแมงมุม' แล้ว

จากนั้นมูยองก็ปรากฏตัวและโจมตีเกรทซิตี้

ราชานักสู้คิดว่าซูจีเสียชีวิตไปแล้ว

นั่นคือเหตุผลที่เขามุทะลุโจมตีมูยอง

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำอะไรมูยองได้ เนื่องจากมีความแตกต่างใน 'ระดับ' มากเกินไป

มันเป็ นความรู้สึกที่ราชานักสู้ไม่สามารถรู้สึกได้แม้แต่กับมังกรโบราณส่วนใหญ่

หลังจากออกค้นหาเขาก็โล่งอกมากเมื่อรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ... แต่ด้วยสภาพของเธอเช่นนี้ ...

“ ได้โปรดอย่าไป พ่อ..พี่ชาย อย่าไป”

“เหอะ”

เขาสบถออกมาและปลงตก

ความจริงที่ว่าราชานักสู้ลักพาตัวเธอไปนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไป

ในเวลานั้นเขาทำอะไรหุนหันพลันแล่น แต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วว่าต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำ
ขณะที่เธอไม่รู้แม้กระทั่งการเสียชีวิตของพ่อตัวเอง และทำได้เพียงแตะต้องศพของเขาเท่านั้น มันทำให้เธอเจ็บ
ปวด

"ฉันขอโทษจริงๆ"

หลังจากที่แก่ขึ้นและยอมรับลูกศิษย์คนนี้จริงจังแล้ว ความคิดมุทะลุต่างๆของเขาก็ลดลง

ซูจีได้เปลี่ยนพื้นฐานความคิดของราชานักสู้

นั่นอาจเป็ นสาเหตุว่าทำไมเขาจึงสอนทุกอย่างให้เธอ

เขาคิดว่านี่เป็ นวิธีเดียวที่สามารถชดใช้ในสิ่งที่ตนทำ

ด้วยการมอบพลังแก่เธอสำหรับอยู่รอดในอันเดอร์เวิลด์

ถึงแม้มันอาจจะชดเชยทั้งหมดไม่ได้ก็ตาม

'พี่ชายที่เธอเรียกน่าจะเป็ นผู้ชายที่เธอพูดถึง'

เมื่อใดก็ตามที่เธอมีโอกาสซูจีจะพูดถึง 'พี่ชาย'คนนั้นเสมอ

ว่าเขาเป็ นคนที่น่าทึ่งได้อย่างไร

ถึงจะเทียบกับราชานักสู้เขาก็ยังสุดยอดกว่า

มีคนเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ?

แม้ว่าเขาจะคิดถึงมนุษย์ทุกคนก็ไม่มีใครเทียบได้กับดราก้อนลอร์ดฮันซุง หรือราชานักสู้

ดังนั้นเขาจึงหัวเราะ

และเมื่อใดก็ตามที่เขาหัวเราะเธอก็มักจะพูดว่า 'แล้วคุณจะเสียใจในภายหลัง'

แม้ตอนนี้เขาก็ยังไม่เชื่อ

เขาคิดว่าไม่มี 'มนุษย์' คนไหนที่สามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น


นั่นคือสิ่งที่ราชานักสู้คิดเสมอ แต่ยังไงก็ตามเขาก็เข้าใจว่าพี่ชายคนนี้มีบทบาทสำคัญต่อซูจีมาก

“ไม่!”

ผึ่ง!

ทันใดนั้นซูจีก็ยกร่างกายส่วนบนของเธอขึ้นมา ราวกับพึ่งผ่านฝันร้ายร่างกายของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อเปี ยก
โชก

ทันทีที่ตื่นขึ้น เธอก็หันมองไปรอบๆ หลังจากเห็นราชานักสู้เธอจึงรีบถามอย่างรวดเร็ว

“ ที่ไหน พี่ชายไปไหนแล้ว?”

“ เธอกำลังพูดอะไรหลังจากสลบไปตั้งสองวัน”

ซูจีแสดงออกอย่างจริงจัง

“ นี่...ผ่านไปสองวันแล้ว?”

“ ก็ใช่นะสินี่มันสองวันครึ่ งแล้วด้วยซ้ำ เกิดบ้าอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?”

ซูจีกุมหน้าผาก

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกให้พอใจเย็นลงเธอก็พูด

“ หนูเจอพี่ชาย”

“คนที่เธอมักจะพูดถึงเหรอ?”

“ ใช่ หนูแน่ใจ ถึงเขาจะดูจะเปลี่ยนไปมากแต่หนูจำได้”

“ คิดว่าพี่ชายที่เธอพูดถึงตอนนี้น่าจะอยู่ที่ไหน?”

“ …หนูไม่รู้ หนูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขากลายเป็ นคนควบคุมมอนสเตอร์พวกนี้”

ราชานักสู้ขมวดคิ้ว
“ เธอกำลังบอกว่าเขาเป็ นตัวการเรื่องนี้เหรอ”

ซูจีพยักหน้า

ตัวการหลัก ใช่คุณสามารถพูดได้ว่าเขาเป็ นตัวการหลัก แต่เธอก็ยังไม่อยากเชื่อ

แม้ว่าเธอจะรู้ว่ามูยองนั้นทำตัวเย็นชาและไม่ชอบสุงสิงกับใคร

แต่เขาก็เป็ นคนเดียวที่มักจะทำทุกอย่างเพื่อทางออกที่ดีเสมอ

เธอมั่นใจว่าเขาเป็ นคนที่มีความอบอุ่นถึงจะเล็กน้อยก็ตาม

ดังนั้นเขาจะไม่ทำอะไรโดยไม่มีเป้ าหมายแน่นอน

“ ต้องมีเหตุผลสิ เหตุผลที่เขาจำเป็ นต้องโจมตีเกรทซิตี้…”

ซูจีพยายามอย่างที่สุดเพื่อหาเหตุผล

ปัจจุบันเธอยังรู้สึกดีใจอย่างท่วมท้นจากข้อเท็จจริงที่ว่ามูยองยังมีชีวิตอยู่

'เขายังไม่ตาย'

เธอคิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วในห้องสมุดลอยฟ้ า

เธอคิดว่าคงไม่สามารถพบเขาได้อีก

ราวกับว่าเธอหนีออกมาได้เพียงผู้เดียว บางคืนบางวันเมื่อเธอนึกถึงยังคงร้องไห้

แต่…เขายังมีชีวิตอยู่ แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่นั่นก็เป็ นมูยองแน่นอน

“ หนูต้องไปยืนยันให้เห็นกับตา”

“ เธองั้นเหรอ?”

“ รู้เหรอว่าเขาไปที่ไหน?”

“ เขาเป็ นคนอันตราย อันตรายยิ่งกว่าใครที่ฉันเคยพบซะอีก "


ราชานักสู้ทั้งหวั่นและเอือมระอา

คนที่ปัดการโจมตีเต็มกำลังของเขาราวกับเรื่องตลก

ต่อหน้าความแตกต่างของ'ระดับ'ที่สูงเกินไป

ราชาต่อสู้รู้สึกเหมือนชนเข้ากับกำแพง

กำแพงที่ไม่สามารถปี นข้ามได้

เขาเชื่อว่ามูยองได้ไปถึงระดับที่มนุษย์ไม่สามารถเอื้อมถึงไปแล้ว

บางทีที่ราชานักสู้รู้สึกเช่นนี้อาจเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองถึงขีดจำกัด

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ราชานักสู้พูดเป็ นความจริง

แม้ว่าเขาจะเคยเห็นมอนสเตอร์ และราชาปี ศาจมากมาย แต่เขาไม่เคยรู้สึกถึงอันตรายเช่นนี้มาก่อน

พวกเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งกับชายผู้นี้

โดยเฉพาะซูจี

เธออาจจะถูกกลืนกินโดยความมืดของเขาได้

“ ถ้าคุณกลัว หนูจะไปคนเดียว แล้วก็ไม่ต้องมาห้ามหนู”

ซูจีแน่วแน่กับการตัดสินใจของเธอ

เธอต้องการค้นหาความจริง

มูยองเป็ นคนที่ชอบทำมากกว่าพูด

เขาจะไม่โจมตีเกรทซิตี้โดยไร้เหตุผล

เธอปรารถนาในการค้นหาความจริง

ราชานักสู้ไม่มีเหตุผลใดที่จะหยุดเธอได้อีกต่อไป
ฝี มือของเธอเกือบจะไล่ทันระดับของเขาอยู่แล้ว

หากต้องการหยุดเธอไว้ที่นี่ คงได้สู้ตายกันไปข้างหนึ่งพอดี

“ เธอต้องทำถึงขนาดนี้จริงเหรอ?”

แววตาของราชานักสู้เปลี่ยนไป

ถึงกระนั้นเขาก็อยากหยุดเธอไว้

ชายที่ชื่อว่ามูยองนั้นอันตรายเกินไปสำหรับผู้คน

“ คุณจะหยุดหนูไหม?”

“ ฉันต้องการหยุดเธอ”

“ ถ้างั้นก็ลองดู”

ซูจีลุกขึ้นจากที่นั่ง

แววตาของซูจีเปลี่ยนเป็ นก้าวร้าวอย่างถึงที่สุด

เธอชักดาบออกมาและเข้าสู่ตำแหน่ง

ราบกับเธอต้องการพูดว่า พยายามหยุดฉันถ้าคุณทำได้!

ไม่ว่ายังไงเธอก็ดูไม่เปลี่ยนใจ แม้ว่าจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงแค่ไหน

และไม่มีทางที่ราชานักสู้จะอ่านไม่ออก

“ เธอ…ไม่สามารถรับมือกับมันได้หรอก”

“ คุณไม่รู้หรอกว่าหนูทำอะไรได้บ้าง”

ราชานักสู้หยุดเถียง มันเป็ นเรื่องจริง ไม่มีข้อจำกัดใดๆสำหรับซูจี

นั่นคือสิ่งที่แม้แต่ราชานักสู้ก็รู้ ความสามารถของเธอน่าทึ่งมากขึ้นทุกครั้งที่เห็น
อย่างไรก็ตามเขายังรู้สึกราวกับว่านี่เป็ นการทิ้งเด็กน้อยไว้กลางแม่น้ำเพียงลำพัง

"ฉันจะไปกับเธอด้วย"

ราชานักสู้พูดพลางยักไหล่

ไม่มีอาจารย์คนใดสามารถปฏิเสธลูกศิษย์ของตัวเองได้ คำพูดนี้ถูกต้อง

ซูจีมองเขาราวกับไม่เคยคาดคิด ก่อนจะเก็บดาบของเธอเข้าไป

จ๊อก!

ในตอนนั้นเองที่มีเสียงท้องร้องดังขึ้น มันได้ยินมาจากตำแหน่งของซูจี

ซูจียักไหล่ของเธอบ้าง

“ ถ้างั้นเราหาไรกินก่อนเถอะ ไอ้จี๊ดแกก็หิวด้วยใช่มั้ย”

จี๊ด จี๊ด!

เจ้าจี๊ดจี๊ดดูตื่นเต้นก่อนจะหมุนตัวไปรอบไหล่ของซูจี

“ฮ่า ๆ ...”

ราชานักสู้ส่ายหัวของเขา

เธอเป็ นเด็กที่น่าทึ่งในหลายด้านจริงๆ

***

มูยองกลับไปแล้ว

กำแพงเมืองทั้งหมดถูกทำลาย

ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งพวกเขาได้ในขณะนี้

กำแพงเป็ นสัญลักษณ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง
และเมื่อมันถูกทำลายผู้คนก็ตระหนักว่าได้สิ่งนี้ไม่เพียงพอที่จะปกป้ องพวกเขา

และจะค้นหาวิธีการอื่นเพื่อพยายามปกป้ องตนเอง

นอกจากนี้ ... หอคอยยังเป็ นสัญลักษณ์ที่ทำให้ทุกคนไม่มีวันลืมเขา

สำหรับเวลาห้าปี นี้หอคอยจะถูกมองว่าเป็ นสิ่งเตือนภัย

และมูยองจะกลายเป็ นอวตารของลางบอกเหตุดังกล่าว

'ฉันไม่สนใจ'

มูยองเดิน

ข้างหลังเขามีมอนสเตอร์มากมายติดตาม

ในหมู่พวกมันยังมีทาร์แคน

"ตอนนี้เจ้าจะทำอะไรต่อ? เจ้าจะไปหาอันเดธตนอื่นๆหรือไม่?”

“ ฉันจะกลับไปที่ดินแดนเทพปี ศาจ”

“ ในการทำเช่นนั้น เราจำเป็ นต้องตามล่าสกายลอร์ด พวกเขากล่าวว่าเทพปี ศาจทิ้งมันไว้ในเขตแดนเทพปี ศาจ


เพื่อหยุดกองทัพของเดียโบลไม่ให้เข้าไป”

สกายลอร์ด

เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับมัน

สัตว์ประหลาดขนาดมหึมาอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้อยู่ที่เขตชายแดนของดินแดนเทพปี ศาจ

แต่มูยองไม่สนใจ

ไม่ว่ามันจะเป็ นอะไรมันก็เป็ นแค่มอนสเตอร์ เขาไม่ได้วางแผนที่จะมาพัวพันกับมอนสเตอร์ที่ไม่ใช่เทพปี ศาจ

'หืม?'
อย่างไรก็ตามมูยองไม่สามารถผ่อนคลายได้

เมื่อไม่นานมานี้เขารู้สึกถึงตัวตนที่ไม่รู้จัก

'มีคนตามฉันมา'

ความรู้สึกของมูยองไม่สามารถถูกหลอก ความสามารถซ่อนตัวที่แม้แต่ทาร์แคนยังไม่สังเกตเห็น

ดูเหมือนว่าไม่มีใครรู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน

มูยองสยายปี กทันที เขาบินขึ้นไปบนท้องฟ้ าแล้วผ่าก้อนเมฆเบื้องหน้าออกเป็ นสองซีก

คลืน!

ด้วยเสียงเบาๆก้อนเมฆก็แยกออกจากกัน และมูยองก็เจอนักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใน

“อทาราเซีย”

อทาราเซีย! เป็ นนักฆ่าที่มูยองควบคุมก่อนหน้านี้

เขาสามารถควบคุมงู และเป็ นผู้เชี่ยวชาญในการลอบสังหาร

มูยองไม่คิดว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆ

ไหล่ของอทาราเซียถูกฟันเป็ นแผลยาว

อย่างไรก็ตามราวกับว่าเขาไม่สามารถรู้สึกเจ็บปวดใดๆ

อทาราเซียร่วงลงบนพื้นและคุกเข่าทันที

ทว่าท่าทีเหล่านั้นไม่ได้บ่งบอกถึงการเชื่อฟัง

ไม่มีความรู้สึกว่าเขาถูกผูกไว้กับมูยอง ดูเหมือนว่าเขาจะผูกพันกับบุคคลอื่นไปแล้ว

มูยองขมวดคิ้ว

"นายต้องการอะไร?"
มูยองถาม อทาราเซียตอบ

“ เจ้านายเบซองมินต้องการพบคุณ”

เบซองมิน

มูยองไม่มีทางลืมเขาได้

เขาเป็ นพ่อของซูจี และในเวลาเดียวกันก็เป็ นลิซที่คอยช่วยเหลือมูยองอย่างใกล้ชิด

เขาเป็ นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ซึ่งขาดไม่ได้เช่นทาร์แคน

บทที่ 209: สกายลอร์ด (1)

อย่างไรก็ตาม...มูยองขมวดคิ้ว

อทาราเซียต้องการให้มูยองไปพบซองมินงั้นเหรอ จะเป็ นไปได้ยังไง?

ช่วงที่มูยองไม่อยู่เป็ นเรื่องดีที่ซองมินควบคุมอทาราเซียไว้ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ซองมินน่าจะเป็ นคนที่มา


หาเขาเองสิ ไม่ใช่ส่งอทาราเซียมา

“ ซองมินอยู่ที่ไหน”

“ เจ้านายอยู่ไกลจากที่นี่มาก เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นโปรดยกโทษให้เขาด้วย”

“ เหตุการณ์ไม่คาดฝันงั้นเหรอ”

มูยองไม่รู้สึกถึงความจริงใจใดๆ

นอกจากนี้อทาราเซียไม่ได้บอกแม้แต่ตำแหน่งที่แน่นอนของซองมินเลยด้วยซ้ำ

ราวกับกำลังถูกทดสอบ

ใช่แล้วดูเหมือนอทาราเซียกำลังทดสอบบางอย่างจากมูยองอยู่

'กล้ากันขึ้นมากเลยสินะ'
มูยองกางปี กสยายออก และยิงขนนับพันไปทางอทาราเซียทันที

ฟุ่ มๆๆ

วูบ!

อทาราเซียหลบการโจมตีของเขา

โดยปกติแล้วอันเดธไม่สามารถต่อต้านผู้ที่สร้างมันขึ้นมาได้

แต่ตอนนี้เขากลับหลีกเลี่ยงการโจมตีของมูยอง

นอกจากนั้นนี่ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของซองมินด้วย

“ เป็ นการกระทำที่โง่มาก"

ทั้งๆที่รู้จักมูยองเป็ นอย่างดีแต่ยังวางแผนแบบนี้ และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดถ้าหากเบซองมินกำลังตีจาก

มูยองก็จะกำจัดซองมินไปให้พ้นทางซะ เพราะว่าซองมินรู้เรื่องของมูยองมากเกินไปที่จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่
จริงๆคนที่รู้จักมูยองดีที่สุดในโลกนี้ก็คือซองมิน

ในขณะนั้นจู่ๆร่างของอทาราเซียก็ดูเลือนลาง

ดูเหมือนเขากำลังจะใช้ทักษะเปิ ดช่องว่างเพื่อหนีไปยังพื้นที่อื่น

พยายามหนีงั้นเหรอ

ทว่ามูยองไม่ใช่ประเภทที่จะปล่อยให้ใครจากไปได้ง่ายๆ

ฉัวะ!

มูยองตวัดความโกรธเกรี้ ยวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

จากนั้นช่องว่างที่อทาราเซียเปิ ดก็ถูกฟันขาดสะบั้น

วิชาดาบของมูยองสามารถฟันได้ทุกสิ่ง
แม้แต่ทักษะประเภทการเคลื่อนย้ายก็ไม่สามารถทำงานต่อหน้ามูยองได้

ร่างกายของอทาราเซียกลับเด่นชัดขึ้นเหมือนเดิมอีกครั้ง

ปัง!

มูยองใช้เท้าส่งร่างของอทาราเซียร่วงลงสู่พื้น

จากนั้นก็สะบัดปี กส่งขนจำนวนหลายเส้นไปตรึงร่างของเขาไว้

หลังจากทำให้อทาราเซียขยับไม่ได้ มูยองก็ยื่นมือออกมา

วิญญาณที่อยู่เหนือหัวของอทาราเซียยังคงมีสภาพสมบูรณ์ทุกประการ

ในเงื่อนไขนี้ถ้าเขาใช้ทักษะอุทิศจิตวิญญาณ

มูยองจะสามารถดูดซับวิญญาณของอทาราเซียได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

และนี่คงเพียงพอที่จะส่งคำเตือนไปยังซองมิน

"คุณเป็ นมูยองจริงๆ ขออภัยผมที่หยาบคายด้วย”

ขณะที่มูยองกำลังจะใช้ทักษะอุทิศจิตวิญญาณ

เสียงบางคนก็ดังออกมาจากปากของอทาราเซีย

มันเป็ นเสียงของซองมิน

เสียงที่ฟังดูติดขัดแต่ก็เต็มเปี่ ยมไปได้ความยินดี

จากนั้นมูยองก็พบว่าวิญญาณของอทาราเซียและซองมินเชื่อมต่อกันอยู่

“ นายคิดทดสอบฉันเหรอ?”

“ ผมแค่ต้องการยืนยันว่าคุณยังเป็ นมูยองจริงๆหรือเปล่า เพราะการที่คุณหายตัวไปในช่วงสองปี ที่ผ่านมา


ทำให้ผมไม่รู้ว่าคุณยังสามารถควบคุมลูซิเฟอร์ได้อยู่หรือเปล่า”
มูยองกอดอก

ดูไม่เหมือนว่าเขาจะโกหก

มูยองมีปัญหามากมายภายในจิตวิญญาณ

การที่เขาใช้เวลาสองปี ในเปลวเพลิงของเดียโบลหากไม่ระวังอาจทำให้สูญเสียจิตใจไปได้

หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น

ร่างกายของเขาจะถูกมอบให้กับลูซิเฟอร์ หรือกลายเป็ นสิ่งมีชีวิตอื่น

รูปลักษณ์ของเขาตอนนี้ยิ่งไม่แปลกเลยที่จะกลายเป็ นของลูซิเฟอร์ไปแล้ว

สองปี ที่ผ่านมาถือเป็ นสถานการณ์อันตรายอย่างมากกับมูยอง

ซองมินทราบเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ซองมินรู้ว่าจิตวิญญาณมูยองยังไม่มั่นคง

และยังมีลูซิเฟอร์อยู่ในร่าง ดังนั้นเขาจึงต้องมีความระมัดระวัง

“ ฉันยังเป็ นฉัน”

แม้ว่าจะมีความเป็ นไปได้ แต่ปัจจุบันไม่เป็ นเช่นนั้น

ตอนนี้จิตวิญญาณของมูยองไม่อาจถูกสั่นคลอนได้เหมือนก่อน

เขาพูดต่อด้วยท่าทีนอบน้อม

"โปรดรอสักครู่ ผมจะเปิ ด 'ประตู' ไปสู่สถานที่บางแห่ง อ่าคุณช่วยยกเลิกขนที่ตรึงร่างอทาราเซียออกได้


ไหม…”

มูยองพยักหน้า และยกเลิกขนที่ควบคุมร่างกายของอทาราเซียออก

พอขนเปล่งแสงออกมาและหายไปราวกับว่าพวกมันพังทลาย

อทาราเซียก็ลุกขึ้นและนำขวดขนาดเล็กออกมา
เขาเทของเหลวจากขวดลงไปบนพื้นลากเป็ นเส้นวงกลม

จากนั้นภายในวงกลมก็กลายเป็ นพื้นที่สีดำและเชื่อมต่อกับพื้นที่อื่น

อทาราเซียหันไปมองมูยองอีกครั้ง

วูม!

ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเบซองมินก็ปรากฏตัวผ่านช่องทางดังกล่าว

ในขณะที่รูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย

เขาสวมเสื้อคลุมสีดำ และถือไม้เท้าที่สร้างจากกระดูกมังกร เนื้อหนังทั้งหมดหายไปเหลือเพียงกระดูกเท่านั้น


อย่างไรก็ตามกระดูกดังกล่าวหนาแน่นกว่าปกติและมีสีดำสนิท

กระดูกสีดำที่ไม่ได้เกิดจากพลังงานชั่วร้ายที่กำลังจะตายและตกสู่ความมืดมิด แต่พวกมันกลายเป็ นสีดำเพราะ


แสงและพลังงานทั้งหมดถูกดูดซับไปจนหมดสิ้น

'น่าตกใจจริงๆ'

มูยองชื่นชมด้วยใจ

ซองมินยกระดับขึ้นด้วยตนเอง

เขาแตกต่างจากเมื่อสองปี ก่อนจนเทียบกันไม่ได้

ความรู้สึกแบบนี้ที่มูยองเคยรู้จักในอดีต

ความรู้สึกที่สามารถรับรู้ได้จากลิชคิง! ในอดีตลิชที่ถูกเรียกว่าลิชคิงก็ให้ความรู้สึกคล้ายกันเช่นนี้

“ ผมทำภารกิจบางอย่างจนร่างกายเปลี่ยนไป และทุกคนต่างเรียกผมว่าเอลเดอร์ลิช”

รูปร่างของซองมินดูไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ถึงเขาจะห่างไกลจากการเป็ นลิชปกติตั้งแต่แรก

แต่เอลเดอร์ลิชนั้นคือสิ่งใด...เอลเดอร์ลิชเป็ นรูปแบบสุดท้ายของลิชหรือไม่?

นี่อาจเป็ นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถควบคุมวิญญาณของอทาราเซีย
“ ผมมีคำถามมากมายที่อยากพูด แต่ตอนนี้อยากแสดงให้คุณเห็นอะไรบางอย่างก่อน”

ซองมินมองเบื้องหลังของมูยองที่เต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณ และเอลย่าซีโก้จำนวนมากมายเหลือคณานับ ต่อ


หน้าพวกมันทั้งหมดดูเหมือนว่าหัวใจของซองมินจะถูกครอบงำเล็กน้อย

“ หลังวงเวทย์นี้มีหมู่บ้านที่ผมสร้างขึ้นอยู่ โปรดตามผมมา”

ซองมินกลับเข้าไปในช่องว่างด้วยความเชื่อมั่น

มูยองไตร่ตรองอยู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวกับเหล่าวิญญาณ

"จงรอที่นี่"

“ โปรดให้เราติดตามท่านด้วย”

สุนัขจิ้งจอกทั้งเก้าหางร้องขอ

ดูเหมือนว่าพวกเธอยังไม่ไว้วางใจซองมิน

มูยองพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย

แค่ซ่งหลางกับซองซันกิสก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับควบคุมกลุ่มทั้งหมด

"งั้นก็ไปกันเถอะ"

ทาร์แคนยืนอยู่ข้างมูยองแล้ว ดูเหมือนว่าเขายังสงสัยเกี่ยวกับซองมิน

แต่ก็ดีใจที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากเฝ้ าดูครู่หนึ่งทาร์แคนก็เดินตามเข้าไปในวงเวทย์ด้วย

***

แม้ว่ามูยองไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากสิ่งที่ซองมินเรียกว่าหมู่บ้าน แต่พอได้เห็นจริงๆกลับรู้สึกทึ่งอย่าง
ถึงที่สุด

มีบ้านหลายร้อยหลังกระจายอยู่กลางเทือกเขา

ด้วยเหตุผลบางอย่างผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่กลับยิ่งดูยิ่งคุ้นเคย
แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหาร

บางคนกระทั่งมีเนื้อหนังที่เหวอะหวะเหมือนซากศพ..อย่างไรก็ตามพวกเขายังดูคุ้นเคยกับเขาเป็ นอย่างมาก

"พวกนี่คือ…"

มูยองพูดไม่ทันจบประโยคก็ฉุกใจคิดขึ้น

ไม่มีความเป็ นไปได้อย่างอื่นอีกแล้ว

เขาจะลืมคนพวกนี้ได้อย่างไร

ราวกับรับรู้ว่ามูยองคิดอะไรอยู่ ซองมินก็อธิบายเพิ่มเติม

“ ไม่ง่ายเลยที่จะหาพวกเขาเจอ แต่ละคนกระจายกันอยู่ตามที่ต่างๆ กว่าผมจะหาตำแหน่งของทุกคนได้ต้อง


รวบรวมข้อมูลลับจากทั้งเมืองมูลาลันและเกรทซิตี้”

“ นักฆ่าของป่ าแห่งความตาย ?”

"ถูกต้อง"

"นายรู้ตัวตนของพวกเขาได้ยังไง?"

มูยองไม่เคยพูดถึงคนพวกนี้ให้เบซองมินฟัง

แม้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็ นพิเศษเกี่ยวกับพวกนักฆ่า

แต่มันก็ยากที่จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์จากสิ่งนั้น

ซองมินพูดขณะที่เดินนำเข้าไปในหมู่บ้าน

“ จิตวิญญาณของคุณและผมเชื่อมโยงกัน การเชื่อมต่อของมันรุนแรงขึ้นเป็ นครั้งคราว แต่ก็เป็ นเพราะมัน ถึง


แม้จะไม่ค่อยมากนักแต่ผมก็สามารถเห็นบางสิ่งที่ถูกฝังไว้ในจิตวิญญาณของคุณ ผมต้องขออภัยด้วย"

“ นี่เป็ นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องนี้”

เขาไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน
ซองมินพยักหน้าแล้วพูดต่อ

“ ผมยังเคยคิดเหมือนกันว่ามันเป็ นแค่ความฝัน เหมือนฝันที่ลืมไปแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็รู้ว่าคนเหล่านี้


ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเลย”

ความทรงจำของซองมินไม่ปกติ มีพื้นที่ว่างจำนวนมากในหน่วยความจำของเขา

กระทั่งเรื่องของซูจีเขาก็จำไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกมันจะเริ่มดีขึ้น

“ผมทำสิ่งที่ไม่สมควรหรือเปล่า?”

“เปล่าเลย นายทำได้ดีแล้ว”

มูยองพูดจากใจจริง

หลังจากฆ่าหวังซุงหลินแล้วมูยองก็เข้าสู่บททดสอบของเดียโบลทันที

หากอยู่ในสถานการณ์ปกติเขาคงไปยังที่ตั้งทั้งหมดของสมาชิกป่ าแห่งความตายและปลดปล่อยผู้คน

แต่เนื่องจากเขาติดอยู่ในบททดสอบ เขาจึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

และซองมินก็ทำสิ่งนี้เพื่อเขา แล้วเขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร?

จากนั้นซองมินพูดด้วยน้ำเสียงกังวล

“ ถึงผมจะพบพวกเขา แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก”

“ ก็ไม่ต่างจากที่ฉันคิดไว้”

“ ผมทำให้จิตใจของพวกเขามั่นคงขึ้นโดยใช้วิธีผสานรวมจิตวิญญาณ แต่การล้างสมองเกิดขึ้นมานานมากเกิน
ไป "

หากการล้างสมองของชุงหลินฝังอยู่ลึกเกินไปก็ไม่มีอะไรที่มูยองจะทำได้เช่นกัน

หากเขาฝื นลบมัน

พวกเขาอาจสูญเสียตัวเองไปโดยสิ้นเชิง สมองของพวกเขาอาจตายได้
“ แล้วหมู่บ้านที่นี่อยู่ได้ด้วยวิธีไหน?”

ต่างจากเหล่าภูติผีและเอลย่าซีโก้

มนุษย์เป็ นสิ่งมีชีวิตที่ต้องกินต้องใช้ เพื่อรักษาสภาพหมู่บ้านในระดับดังกล่าวเป็ นเวลานาน

ทรัพยากรจำนวนมหาศาลเป็ นสิ่งจำเป็ น

“ ตอนนี้ผมเป็ นผู้ค้าข้อมูล มีบางคนสามารถหลุดออกจากการล้างสมองได้ และเลือกที่จะเป็ นผู้อยู่ใต้บังคับ


บัญชาของผม ผมใช้พวกเขาเป็ นแหล่งข้อมูลในการซื้อขาย”

มูยองพยักหน้า

การเป็ นอิสระจากการล้างสมองเป็ นไปได้น้อยมาก เพราะยังไงก็ยังผลกระทบที่ต้องตามมา

อาทิเช่น

หากพวกเขาไม่ได้รับใช้ใครบางคนหรือไม่ได้รับคำสั่งใดๆ

พวกเขาจะกลายเป็ นกังวลและอาจฆ่าตัวตายในที่สุด

ไม่ว่าจะมองด้วยมุมไหนมูยองก็ไม่สามารถละสายตาจากพวกเขาได้ในตอนนี้

ทั้งหมดเป็ นใบหน้าของผู้ทีคนที่ยากจะลืมเลือนแม้ว่าพวกเขาจะจำมูยองไม่ได้ก็ตาม

มูยองมองดูซองมินที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าอย่างลึกซึ้ง

หากมองในมุมของซองมิน แม้แต่ตอนนี้ตัวตนของมูยองก็ยังคงเป็ นที่น่าสงสัย

การที่เขาแสดงหมู่บ้านนี้ให้เห็นเสี่ยงต่อการถูกลูซิเฟอร์ทำล้ายล้างเป็ นอย่างมาก

"ขอบคุณ"

“...”

นี่เป็ นครั้งแรกที่เขาได้ยินมูยองขอบคุณ จึงทำให้เขาตอบสนองช้ากว่าปกติเล็กน้อย


“ มันเป็ นสิ่งที่ผมสมควรทำอยู่แล้ว คุณไม่จำเป็ นต้องขอบคุณเลย”

***

มูยองคุยกับซองมินเป็ นเวลานาน

ส่วนใหญ่ที่มูยองฟังเป็ นสิ่งที่ซองมินทำในช่วงสองปี ที่ผ่านมา และมันค่อนข้างน่าสนใจ

“ ผมพยายามตามหาเบาะแสของเดียโบล ตอนนี้มันกำลังรวลรวม 'หินรอยแยก [1]'อยู่ ปี ศาจตนอื่นก็ทราบ


ข้อมูลนี้เช่นเดียวกัน”

“ รู้เหตุผลที่เดียโบลรวบรวมหินรอยแยกไหม? "

“ มันใช้หินรอยแยกเพื่อเรียกกองทัพจำนวนมากทั้งหมดออกมา”

เดียโบลกำลังรวบรวมหินรอยแยกงั้นหรือ?

หินรอยแยกเป็ นหินที่ใช้เปิ ดและปิ ดรอยแยกของพื้นที่ มูยองถูกเกรโมรี่ขอให้รวบรวมหินรอยแยก 3ก้อนไป


ให้เธอ

“ เพื่อหยุดยั้งกองทัพของเดียโบล เทพปี ศาจเลยวางกองกำลังวิญญาณปี ศาจไว้ที่ชายแดนของดินแดนเทพ


ปี ศาจ”

“ มันคือสกายลอร์ด”

“ ถูกต้อง มันเป็ นวิญญาณปี ศาจที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อต่อสู้กับเดียโบลโดยเฉพาะ ด้วยสิ่งนี้เห็นว่าเดียโบลเลยไม่


สามารถเข้าสู่ดินแดนเทพปี ศาจได้"

“ วิญญาณปี ศาจประดิษฐ์? นายหมายถึงมีใครบางคนสร้างมันขึ้นมา?”

“ ผมไม่แน่ใจว่าใครเป็ นคนสร้าง แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็ นสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งเกินกว่าความเข้าใจทั่วไป”

“ ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหน ฉันก็ต้องเข้าสู่ดินแดนเทพปี ศาจอยู่ดี”

มูยองต้องไปที่ดินแดนเทพปี ศาจเพื่อทำตามแผนของตัวเอง อย่างไรก็ตามหากสกายลอร์ดขวางเส้นทางไว้มัน


จะเป็ นปัญหา
ซองมินไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยอีกครั้ง

“ ผมรู้จักปี ศาจที่จะช่วยให้เราข้ามไปที่นั่นได้ ”

เขารู้จักปี ศาจและปี ศาจตนนั้นจะช่วยพวกเขา? มันเป็ นสิ่งที่มูยองไม่เคยคิดมาก่อน

ซองมินพูดอย่างต่อเนื่อง

“ เขาเป็ นปี ศาจที่หมกมุ่นอยู่กับการค้าขาย หากเราให้บางสิ่งที่เขาต้องการ วิธีการผ่านสกายลอร์ดย่อมสามารถ


เจรจาได้”

[1] หินรอยแยก - ฝรั่งคิดว่ามันเป็ นอีกชื่อหนึ่งของ ชิ้นส่วนของรอยแยก ที่เคยกล่าวในบทก่อนๆ

บทที่ 210: สกายลอร์ด (2)

มูยองตกอยู่ในห้วงของความคิด

ในเมื่อจับมือกับเกรโมรี่ได้ก็คงไม่มีปัญหาสำหรับเขาที่จะจับมือกับปี ศาจตนอื่นอีก

ไม่ใช่แค่ต้องขยันและอดทน แต่เพื่อบรรลุเป้ าหมายแล้วมูยองพร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง

“ ฉันจะไปเจอปี ศาจนั่น”

“ ผมต้องการเวลาประมาณ 7วันเพื่อติดต่อเขา จะเป็ นไรไหมถ้าคุณต้องพักผ่อนในหมู่บ้านไปก่อนระหว่างนี้?


ถึงจะไม่สะดวกสบายมากนัก แต่…”

ซองมินดูประหม่าอยู่บ้าง

เนื่องจากที่นี่เป็ นสถานที่ที่เขาสร้างและพัฒนาขึ้นเอง ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจเล็กน้อย

"ฉันไม่ได้ขัดข้องอะไร"

เขาไม่ได้อยากแค่ทัศนียภาพหมู่บ้างแห่งนี้เฉยๆ แต่อยากตรวจสอบเหล่ามือสังหารที่อาศัยอยู่ที่นี่อีกครั้ง
มากกว่า

ถ้าเป็ นไปได้เขาก็ไม่อยากจะพลาดอะไร
การก้าวไปข้างหน้าแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือเป็ นเรื่องดี ถึงคนๆเดียวจะสร้างความแตกต่างไม่ได้

แต่หากเป็ นทุกๆคนหรือสิ่งเล็กๆน้อยๆที่รวมตัวกันแล้วย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

ยังมีอีกหลายสิ่งที่มูยองไม่รู้ แต่เขารู้จักความเป็ นจริงเหล่านั้น

***

ฟุ่ บ!

เหล่ามือสังหารเงารวมตัวกันบนยอดกิ่งไม้สูง

ทุกคนสวมหน้ากาก และมูยองคือผู้นำของพวกเขา

หงึก!

หลังจากมองตามกันพวกเขาก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง

นั้นคือสัญญาณสำหรับการเริ่มภารกิจ

เป้ าหมายคือชายที่ชื่อว่าไลอ้อนคิง

เขาถูกเรียกว่าไลอ้อนคิงเพราะมีหนวดสีน้ำตาลเหมือนแผงคอของสิงโต

อาวุธของเขาคือดาบใหญ่ที่สลักลวดลายอันเป็ นเอกลักษณ์ของสิงโตเอาไว้

พลังทำลายของมันสามารถทำให้เหล่าศัตรูทั้งหลายสิ้นชีพราวกับใบไม้ร่วงมาแล้วนักต่อนัก

ทำไมต้องฆ่าเขา?

แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลในการกระทำดังกล่าว ทั้งหมดก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น มือสังหารทุกคนที่รวมตัว


กัน ณ สถานที่แห่งนี้ต่างก็เหมือนกัน

“ เหอะ! แห่กันมาเต็มเลยสินะไอ้พวกลูกหมา”

การโจมตีเริ่มขึ้นบนเนินเขาแคบๆ
เทคนิคการลอบสังหารรวมถึงกับดักหลากหลายรูปแบบต่างแสดงประสิทธิภาพออกมา พวกมันเลือกโจมตี
เฉพาะจุดอ่อนของไลอ้อนคิง

อย่างไรก็ตามไลอ้อนคิงยังไม่ตายแม้จะได้รับบาดเจ็บรุนแรง

ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายดุจดั่งดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างก่อนตกดิน มือสังหารต่างรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันไม่คาด
คิดจากเขา

เมื่อไม่สามารถล่าถอยได้เหล่ามือสังหารจึงตัดสินใจเลือกผู้เสียสละ

เริ่มต้นจากผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม พวกเขาสละตัวเองเข้าสู่การโจมตีของไลอ้อนคิงโดยไม่ลังเล ในขณะที่ไล


อ้อนคิงผ่าร่างมือสังหารผู้สละตน มือสังหารคนอื่นๆก็โหมโจมตีไลอ้อนคิงจากด้านหลัง

นั่นคือวิธีการเสียสละผู้อ่อนแอ และผู้เข้มแข็งจำเป็ นต้องรอดชีวิตเพื่อสังหารไลอ้อนคิงต่อไป จนสุดท้ายมี


เพียงมูยองเท่านั้นที่ยังยืนอยู่

“ แค่ลูกหมาฝูงหนึ่ง แกคิดว่าจะฆ่าสิงโตได้งั้นเหรอ…?!”

ฉึก!

มูยองแทงมีดเข้าไปกลางหน้าผากของไลอ้อนคิงก่อนจะเดินจากไปโดยไม่นึกเสียใจเพื่อนร่วมทีมที่ต้องตายไป
ก่อนหน้านี้ทั้งหมด แม้จะเหลือมูยองเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้น มูยองก็ไม่รู้สึกถึง
อารมณ์ใดๆ

มันเป็ นโลกที่ผู้อ่อนแอต้องตกตาย และเพียงผู้เข้มแข็งมีชีวิตอยู่ ก็แค่นั้น

***

พอลืมตาขึ้นมูยองก็เห็นเพดานด้านบน

'หมู่บ้านของซองมิน…'

มูยองส่ายหัว

ความฝันรู้สึกเหมือนจริงมากจนมูยองสงสัยว่ากำลังฝันอยู่หรือไม่เมื่อเขาตื่นขึ้นมา อย่างไรก็ตามในไม่ช้ามูยอง
ก็จำได้ว่าตัวเองได้รับเชิญไปที่หมู่บ้านของซองมินและมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้นอนหลับดีๆแบบนี้

และดูเหมือนว่าเขาจะหลับอยู่บนเตียงมาสองสามวันแล้ว

สถานที่แห่งนี้ทำให้เขารู้สึกดี

มูยองลุกขึ้นและเดินออกไปหลังจากเตรียมตัวอยู่ครู่หนึ่ง

ผู้คนจำนวนมากที่เคยเป็ นมือสังหารอาศัยอยู่ที่นี่

“คิกคิกคิก”

“อ่าา อ่าาา...”

อย่างไรก็ตามพวกเขาดูน่าสังเวชมาก บางคนเอนกายพิงบ้านไม่ก็กลิ้งตัวลงบนพื้นพร้อมกับหัวเราะราวคนเสีย
สติ นี่เป็ นอาการของพวกที่ไม่สามารถหลุดออกจากอาการถูกล้างสมองของหวังซุงหลิน

ในหมู่พวกเขามีนักฆ่าที่มูยองเห็นในความฝันเมื่อสักครู่ด้วย

มูยองมองดูพวกเขาอย่างละเอียด และเกิดความรู้สึกแปลกๆที่ไม่ทราบเหตุผล

แน่นอน มูยองไม่สามารถช่วยพวกเขาได้

การล้างสมองของชุงหลินเป็ นสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง หากใครบางคนไม่สามารถเอาชนะมันด้วยตนเองปฏิกิริยา


โต้กลับจะยิ่งรุนแรง

“เจ้านายให้ผมมาตามคุณ”

ชายสวมหน้ากากปรากฏขึ้นด้านหน้ามูยอง

เขาก็เป็ นมือสังหารเช่นกัน อย่างไรก็ตามเขาสามารถเอาชนะการล้างสมองได้ในระดับหนึ่ง และทำหน้าที่เป็ น


ผู้แจ้งข้อมูล

“ เจ้านายให้แจ้งอีกว่า แขกที่เชิญมาถึงแล้ว”

มูยองพยักหน้า
มันเร็วกว่าที่คาดไว้เล็กน้อยเนื่องจากใช้เวลาเพียงห้าวันหลังจากเข้ามาในหมู่บ้านเท่านั้น แน่นอนว่าเขา
ต้องการเห็นปี ศาจตนนี้เพราะมันอาจเป็ นปี ศาจที่เขาคุ้นเคยก็ได้

***

ชายที่มีผมและผิวสีดำสนิทกำลังนั่งดื่มชา

มูยองรู้ทันทีที่เห็นเขา นั่นเป็ นปี ศาจที่ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว มันแข็งแกร่งจนกระทั่งนำพาพลังแห่งความมืด


เข้ามาในหมู่บ้านด้วย

'หืม?'

ปี ศาจหันศีรษะไปมองทิศที่มูยองเดินเข้ามาจากนั้นรูม่านตาของมันก็ขยายขึ้น เป็ นเพราะมันมองเห็นพลังความ


มืดจากมูยองหรือไม่?

"เจ้าคือใคร? ข้าไม่เคยเห็นราชาปี ศาจเหมือนเจ้ามาก่อน…”

เขากล่าวว่ามูยองเป็ นราชาปี ศาจ

ถูกต้องเขากล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิด

อย่างไรก็ตามมูยองอยากรู้เหตุผล

“ ทำไมนายถึงคิดว่าฉันเป็ นราชาปี ศาจ”

“ เพราะข้าก็เป็ นราชาปี ศาจไง เป็ นเรื่องปกติไม่ใช่หรือที่ราชาปี ศาจจะรับรู้ตัวตนซึ่งกันและกัน?”

มูยองยกปลายคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

หนึ่งเทพปี ศาจมีราชาปี ศาจอยู่ใต้ปกครองนับสิบนับร้อยตน ดังนั้นไม่มีทางที่มูยองจะรู้จักพวกมันทั้งหมด

“ เอาล่ะยังไงเจ้าก็มาเพื่อเจรจาการค้าขายใช่มั้ย มันไม่สำคัญว่าข้ากับเจ้าจะอยู่ฝ่ ายไหนถูกหรือเปล่า? ”

ราชาปี ศาจพูดก่อนเพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาพร้อมที่จะทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกันหรือไม่

มูยองดูไม่เหมือนปี ศาจปกติ…ถ้าเขาเป็ นราชาปี ศาจจริงๆก็นับว่าเป็ นราชาปี ศาจที่ไม่ธรรมดา


มันต้องตรวจสอบปฏิกิริยาของฝ่ ายตรงข้ามก่อน เพราะราชาปี ศาจหลายตนต้องทำตามสิ่งที่เทพปี ศาจสั่ง
เท่านั้น

“ ใช่มันไม่สำคัญ”

มูยองตอบก่อนจะลงไปนั่งที่ฝั่งตรงข้าม

แป๊ บเดียวซองมินก็ชงชาอีกหนึ่งถ้วยแล้วเดินเข้ามา

“ นี่คือชาที่ผมเป็ นคนปลูกเอง”

ซองมินวางถ้วยไว้ที่ด้านหน้ามูยองอย่างระมัดระวัง

“ น่าประหลาดใจเสียจริง ที่ตัวตนอย่างเอลเดอร์ลิชจะยอมติดตามผู้ใด ... ”

ชายอีกคนพูด

เอลเดอร์ลิชเป็ นตัวตนที่เทียบเท่าได้กับลิชคิง! แน่นอนว่าเอลเดอร์ลิชมีอาณาเขตของตนเอง ปกติพวกเขาจะมี


ฐานะเป็ นดั่งราชาและไม่อยู่ภายใต้ใคร ในความเป็ นจริงเอลเดอร์ลิชสามารถคุกคามราชาปี ศาจได้อย่างไม่ยาก
เย็นโดยการรวบรวมเหล่าลิชและอันเดธทั้งหลายแหล่ เพราะอย่างนั้นการที่เอลเดอร์ลิชติดตามใครสักคนจึง
เป็ นเรื่องที่แปลกมาก

“ เพื่อความสะดวกเราเรียกเขาว่า 'อาซูล' และบุคคลนี้คือเจ้านายของผม 'มูยอง”

“ ช่างเป็ นชื่อที่แปลกนัก ”

ปี ศาจเพศชาย อาซูลพูด

ซองมินไม่รู้จักชื่อเต็มของเขา แต่มันไม่สำคัญหากประวัติการค้าของเขาเป็ นเรื่องจริง

“ งั้นมาเริ่มธุรกิจกันเถอะ”

“ เจ้าต้องการผ่านทางที่สกายลอร์ดขวางอยู่หรือ”

“ ใช่ ถูกต้อง”

“ จำนวนเท่าไหร่ที่อยากพาข้ามไป?”
มูยองพูดโดยไม่ล่าช้า

“ ไม่ต่ำว่า 60,000คน”

มันมากเกินที่จะทำให้พวกเขากลายเป็ นยันต์และพาข้ามไป

ขณะที่มูยองตอบอาซูลลูบคางของเขา

“ กองทัพขนาด 60,000 …มันก็ไม่ยากเกินไปนัก แต่ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะนำมาแลกเปลี่ยนล่ะนะ”

“ แล้วนายต้องการแลกเปลี่ยนอะไร?”

“ ข้าชอบสะสมของแปลก และมันต้องเป็ นของที่ไม่สามารถพบเห็นได้โดยง่าย”

จากคำกล่าวดูเหมือนเขาจะอยากได้ของที่มีความลึกลับและน่าค้นหา

หากกล่าวถึงความลึกลับ จริงๆตัวของมูยองก็อาจเรียกได้ว่าความลึกลับหนึ่ง แต่มันเป็ นไปไม่ได้ที่จะมอบตัว


เองให้กับอาซูล หรือมูยองอาจจะมอบไอเท็มบางอย่างให้เขาแทน?

“ สิ่งนี้น่าจะมากพอ”

มูยองนำเกราะหุ้มขาแห่งการทำลายล้างออกมา มันเป็ นไอเท็มที่สามารถอัญเชิญบารอนได้ ทุกคนที่เคยเห็น


ต่างต้องการครอบครองมัน และเพราะมูยองสวมอุปกรณ์ของคิงสเลเยอร์แล้วเขาจึงไม่ต้องการมันอีกต่อไป

ทว่าอาซูลดูเหมือนจะไม่ตื่นเต้นสักเท่าไหร่

“20,000 นาย สำหรับอุปกรณ์นี้ข้าพาทหารของเจ้าไปได้แค่ 20,000 นาย ไม่ใช่ 40,000”

“ ไม่โลภมากไปหน่อยเหรอ”

“ เจ้าคิดว่าสกายลอร์ดคืออะไร? สกายลอร์ดกลืนกินได้แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตศักดิ์ สิทธิ์ เพื่อให้ผ่านตัวตนเช่นนี้


ได้อย่างปลอดภัยเห็นได้ชัดว่าราคาของมันย่อมสูงมากเป็ นธรรมดา”

มูยองก็รู้เช่นกันว่ามันเป็ นสิ่งมีชีวิตที่มีไว้เพื่อสกัดกั้นเดียโบล ดังนั้นเขาจึงเตรียมพร้อมสำหรับความสูญเสีย


ครั้งใหญ่อยู่บ้าง อย่างไรก็ตามมูยองไม่สามารถมอบอุปกรณ์ที่เขาสวมใส่ในปัจจุบันได้

และระหว่างที่มูยองครุ่นคิด…
“ แล้วถ้าเป็ นชิ้นนี้ล่ะ นี่เป็ นไอเทมที่เรียกว่า 'ชิ้นส่วนความยุ่งเหยิง' ”

ซองมินส่งผลึกหินให้เขา

อาซูลพยักหน้าหลังจากที่ได้ดู

“ อืมๆ มันเป็ นไอเทมที่ปลุกเจ้าให้กลายเป็ นเอลเดอร์ลิช แม้ว่าจะเป็ นชิ้นเล็กๆแต่ก็น่าสนใจมาก”

อาซูนวางผลึกหินไว้ข้างๆจากนั้นเขาก็พูดต่อ

“ เอาล่ะข้าจะเคลื่อนย้ายกองทัพของเจ้า 60,000นายผ่านสกายลอร์ดภายในสามวัน แล้วเจอกันที่ 'ภูเขานิลกาฬ


'”

กึก!

อาซูลลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา ในขณะที่ได้รับทุกสิ่งที่ต้องการแล้ว เขาก็จากไปโดยไม่สนใจอะไรอีก

'ราชาปี ศาจผู้ที่ไม่เคยแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา' และนอกจากนี้สำหรับราชาปี ศาจที่ไม่มีผู้ติดตามมาด้วยนั้น


หายากมาก

มูยองดื่มชาจนหมดและลุกขึ้นจากที่นั่ง

ถ้าต้องไปที่ภูเขานิลกาฬ แม้ว่าเขาจะรีบเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้มันก็ยังถือว่าช้า

***

เส้นทางไปยังภูเขานิลกาฬนั้นค่อนข้างใกล้กับเส้นทางเพื่อไปยังดินแดนเทพปี ศาจ

และคุณสามารถเห็นดินแดนเทพปี ศาจได้จากยอดเขา

พอมูยองยืนอยู่บนจุดดังกล่าวก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออกอยู่พักนึง

"ตัวใหญ่มาก"

เป็ นขนาดใหญ่โตจนไม่รู้จะกวาดสายตาหลบไปทางไหน ไม่มีคำพูดใดจะสามารถอธิบายได้มากกว่านั้น

'สกายลอร์ด' เป็ นงูตัวใหญ่


ใหญ่จนคับฟ้ าหรือกระทั่งสามารถทะลุผ่านออกไปไกลกว่านั้นได้

มูยองรู้สึกได้ถึงความตะกละและความโลภจากมัน มันคล้ายกับอำนาจแห่งความโลภภายในความโกรธเกรี้ ยว
มาก

เขาไม่เคยคิดเลยว่าสกายลอร์ดจะเป็ นมอนสเตอร์ประเภทหนึ่ง ยังไงก็ตามมันเป็ นถึงมอนสเตอร์ที่มีไว้เพื่อหยุด


เดียโบล เนื่องจากเพลิงของเดียโบลเป็ นเหมือนกับต้นกำเนิดแห่งเปลวเพลิง หากไม่ใช่พลังแห่งความโลภที่
สามารถดูดกลืนได้ทุกอย่าง ย่อมไม่สามารถหยุดยั้งเปลวเพลิงดังกล่าวได้

นอกจากนี้มูยองรู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่างจากมัน

พลังนักล่าของลูซิเฟอร์กำลังบอกเขาเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่คนๆเดียวแน่ที่สร้างมันขึ้นมา แต่ต้องเป็ นการทำงานร่วม


กันของเทพปี ศาจที่แข็งแกร่งอย่างต่ำสองสามตน

ตึง!

ไม่นานหลังจากนั้นชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

เขาคืออาซูลพร้อมอาวุธครบมือ อุปกรณ์ที่เขาสวมใส่นั้นไม่ธรรมดา และทั้งหมดเพียงพอที่จะป้ องกันการ


โจมตีจากมูยอง

“ ช่างเป็ นกองทัพที่ยิ่งใหญ่”

อาซูลมาเพียงลำพัง

เขาชื่นชมกองทัพของมูยองซึ่งรวมตัวกันภายใต้ร่มเงาของภูเขา จำนวน 60,000ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับกองทัพ


ของราชาปี ศาจตนอื่น อย่างไรก็ตามทหารแต่ละ 60,000 นายของมูยองนั้นมีเอกลักษณ์

ในความเป็ นจริงมูยองก็มั่นใจเช่นนั้น กองทัพของราชาปี ศาจส่วนมากไม่มีใครเทียบกับเขาได้ และพวกมัน


สามารถรับมือได้อย่างยาวนาน หากต้องต่อสู้กับกองทัพของราชาปี ศาจที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นคือสิ่งที่อาซูล
ตระหนักได้หลังจากเห็นพวกมัน

- ข้าได้กลิ่นของดันดาเลี่ยน!

เมอร์ดูดันโผล่ออกมาหลังจากประตูของเส้นทางแห่งนรกภูมิถูกเปิ ดออก

เมอร์ดูดันวนเวียนอยู่รอบอาซูลราวกับเป็ นบ้า
อย่างไรก็ตามชื่อที่เมอร์ดูดันพูดออกมากวนใจมูยองเป็ นอย่างมาก

'ดันดาเลี่ยน?

มูยองรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง

ในอดีตเมอร์ดูดันตายหลังจากถูกหลอกโดยดันดาเลี่ยน แม้เมอร์ดูดันจะเป็ นถึงราชาแห่งท้องทะเล แต่เขาก็ยัง


ตายโดยไม่รู้ตัว มันเป็ นความตายที่ไร้สาระมาก

ปฏิกิริยาของอาซูลกลายเป็ นผิดปกติเมื่อได้ยินสิ่งที่เมอร์ดูดันกล่าว

“ …อย่าเชื่อมโยงข้ากับเจ้าสารเลวนั่น”

อาซูลมีสีหน้าบูดบึ้งทันที

บทที่ 211: สกายลอร์ด (ตอนจบ)

มันแสดงให้เห็นว่าอาซูลเกลียดการถูกเชื่อมโยงเข้ากับดันดาเลี่ยนมากแค่ไหน

ดูเหมือนสิ่งที่อาซูลแสดงออกจะเป็ นความเกลียดชัง

เนื่องจากมูยองไม่เคยพบกับดันดาเลี่ยนเขาจึงจับสัมผัสเหมือนเมอร์ดูดันไม่ได้

“ ความสัมพันธ์ของนายกับดันดาเลี่ยนเป็ นยังไง?”

เรื่องของดันดาเลี่ยนเป็ นข้อมูลสำคัญ ดังนั้นมูยองจึงอดไม่ได้ที่จะถามแม้ตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเรื่องอื่นนอกจากการ


แลกเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม

หากอาซูลเกี่ยวข้องกับดันดาเลี่ยน เขาอาจจำเป็ นต้องพิจารณาการค้าของตัวเองใหม่

อาซูลถอนหายใจออกมา

“ ถึงซ่อนมันต่อไปก็คงไม่มีความหมายอีกแล้วสินะ ถูกต้องข้าเป็ นบริวาลของเขา”

กล่าวอีกนัยหนึ่งเขาเป็ นราชาปี ศาจที่รับใช้ดันดาเลี่ยนอยู่

มูยองยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขาคิดว่าดันดาเลี่ยนทำงานตามลำพังซะอีก แต่มันกลับมีราชาปี ศาจที่ติดตามอยู่ด้วย?

“ อย่ามองข้าฉันด้วยสายตาแบบนั้น ข้าเหนื่อยและเบื่อกับคำโกหกของดันดาเลี่ยนจึงจากเขามานานแล้ว”

“ ราชาปี ศาจถอนตัวจากเทพปี ศาจได้ด้วยเหรอ?”

“ ราชาปี ศาจต่างก็ถูกถูกดึงดูดโดยพลังของเหล่าเทพปี ศาจ มันเป็ นเรื่องธรรมดาที่จะจากไปหากปราศจากพลัง


อำนาจที่พวกเขาเคยหลงใหลมาก่อน เจ้าเข้าใจใช่มั้ย”

อาซูลคิดว่ามูยองเป็ นราชาปี ศาจเหมือนกัน และนั่นก็ไม่ผิดไปซะทีเดียว

มูยองกำลังเดินไปตามทางเส้นทางที่ใกล้เคียงกับการเป็ นราชาปี ศาจ และแนวโน้มของเขาก็เกือบจะเป็ นราชา


ปี ศาจอยู่แล้ว

'ราชาปี ศาจและความสัมพันธ์ของเทพปี ศาจ'

นี่เป็ นครั้งแรกที่เขาคิดเกี่ยวกับมุมมองของพวกปี ศาจ ราชาปี ศาจอาจใกล้เคียงกับการเป็ นทหารรับจ้างหรือ


พวกรับจ้างอิสระก็เป็ นได้

ถ้างั้นราชาปี ศาจได้รับอะไรจากเทพปี ศาจที่มันทำงานรับใช้?

มันเป็ นหัวข้อที่ควรค่าแก่การพิจารณา อย่างไรก็ตามมีบางอย่างเร่งด่วนกว่านั้น

“ ดันดาเลี่ยนอยู่ที่ไหน”

เทพปี ศาจตนแรกที่เขาต้องการสังหารคือดันดาเลี่ยน มูยองหันหน้าไปถามอาซูลตรงๆ

“ ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่มีใครในโลกสามารถทำนายตำแหน่งของเขาได้”

เขาพูดเหมือนกับดันดาเลี่ยนเป็ นสายลมที่จับต้องไม่ได้

มูยองไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมอีก

มูยองจะสามารถเชื่อใจอาซูลผู้ซึ่งเคยเป็ นบริวารของดันดาเลี่ยนในอดีต สำหรับการผ่านสกายลอร์ดหรือไม่


หรือมูยองต้องการหาวิธีใหม่?
“ ถามเช่นนี้หมายความว่ายังไง ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจข้าข้าก็ไม่รังเกียจถ้าเจ้าต้องการกลับไป แต่ขอบอกก่อนว่าข้าไม่
คืนของให้เจ้าเด็ดขาด”

"ฉันตกลงจะไปกับนาย"

มูยองตัดสินใจแล้ว

เพราะไม่งั้นเขาต้องเสียสละกำลังพลจำนวนมหาศาลเพื่อผ่านมันไป

งูตัวนี้เป็ นสิ่งมีชีวิตแบบนั้น มันไม่มีอัตตาและความรู้สึก มันแค่กลืนกินทุกสิ่งไม่เลือกหน้าและกินจุเสียด้วย

คงมีคำสั่งเดียวเท่านั้นที่ถูกมอบให้กับสกายลอร์ด 'จงกินทุกอย่างที่เห็น' นั่นทำให้มันสามารถหยุดยั้งได้แม้แต่


กองทัพของเดียโบล

“ ถ้าเช่นนั้นก็มารอข้าที่นี่ตอนพลบค่ำ ในคืนนี้ 'จุดอ่อน' ของมันจะเผยออกมา ”

อาซูลไขว้แขนกอดอก

มูยองมองดูสกายลอร์ดจากระยะไกล

'รู้สึกเหมือนได้เห็นจุดสุดยอดของสิ่งมีชีวิตเทียม'

มูยองไม่รู้ว่าใครเป็ นคนสร้างมัน แต่พลังที่เขารู้สึกจากมันอยู่ในอีกระดับหนึ่ง หากเขาสามารถผ่ามันออกมา


วิเคราะห์น่าจะรู้อะไรมากกว่านี้ มันน่าจะสามารถช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

“ กระผมตรวจเจอผู้หญิงสองคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ โปรดสั่งว่าผมควรจัดการยังไง?”

เบซองมินที่สวมเสื้อคลุมสีดำสนิทพูดขึ้น

หลังจากที่เป็ นเอลเดอร์ลิชการรับรู้ของซองมินก็เพิ่มขึ้นไปด้วย มูยองสัมผัสได้เลือนลางมากในขณะที่ซองมิน


ดูจะสังเกตเห็นชัดกว่า

หลังจากได้ยินว่ามันเป็ นผู้หญิงสองคนเขาก็พอคิดออกว่าพวกเธอเป็ นใคร

“ จับพวกเธอแบบมีชีวิตแล้วพามาให้ฉัน”

"รับทราบ"
วูม

ร่างของซองมินหายไปอย่างไร้ร่องรอย

มูยองมองไปยังทิศทางดังกล่าวด้วยความอยากรู้

'การต่อสู้ระหว่างเอลเดอร์ลิชกับไฮเอลฟ์ ... '

เขาสนใจผลลัพธ์เล็กน้อย

***

จินเป็ นไฮเอลฟ์ ที่มีอันดับสูงที่สุด

เธอมีพลังศักดิ์ สิทธิ์ อันเปี่ ยมล้น และมีระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับมังกรส่วนใหญ่ ในความแตกต่างนั้นเพียง


พอที่จะทำให้เธอเปรียบได้กับมังกรโบราณตัวหนึ่ง

นอกจากนั้นเธอยังเป็ นสาวกในเส้นทางแห่งดวงจันทร์ที่มีทักษะอำพรางตัวอย่างดีเยี่ยม

“ มอนสเตอร์พวกนั้นคืออะไร? ”

“ปา?”

จินกับสโนว์มองไปที่ขบวนของเหล่าภูติผีวิญญาณ

เดิมทีจินเป็ นสมาชิกของชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในบ้านเกิดของมันกรแห่งแสงเชนดาลตัน และเนื่องจากอิทธิพลของ


เชนดาลตันเธอจึงได้รับพลังแห่งแสงมาด้วย

แม้ว่าเธอจะติดตามมูยองเพื่อการฟื้ นฟูและสร้างความปลอดภัยให้กับชนเผ่า แต่การที่มูยองหายตัวไปเป็ นเวลา


เกือบหนึ่งเดือนแล้วกลับมาพร้อมมอนสเตอร์พวกนี้ทำให้เธอเกิดความไม่ไว้วางใจ

'เขานำมอนสเตอร์เหล่านี้ไปยังดินแดนของเทพปี ศาจเพื่อสิ่งใดกันแน่?'

…การกระทำของมูยองนั้นเพียงพอที่จะสร้างความสงสัยให้กับเธอ นั่นเป็ นสาเหตุที่เธอไม่สามารถติดตามเขา


ได้อย่างง่ายดาย นี่คือเหตุผลที่เธอซ่อนตัว

“ปาาา...”
สโนว์เอื้อมมือและทำท่าเหมือนจะวิ่งออกไปหามูยองจนจินต้องหยุดเธอ

“ อย่าทำเช่นนั้น ตัวตนที่บริสุทธิ์ อย่างเจ้าจะได้รับอิทธิพลความชั่วร้ายเอาได้หากไม่ระวัง เจ้าต้องอยู่กับข้า


ก่อนที่เราจะรู้เจตนาของเขา”

จินมองพลังที่ซ่อนอยู่ของสโนว์ออก เธอจะกลายเป็ นตัวตนแบบไหนขึ้นอยู่กับการเติบโตและเรียนรู้

แน่นอนว่าถ้าหากมูยองเป็ น 'ความชั่วร้าย' สโนว์จะได้รับอิทธิพลจากเขาและเดินไปสู่เส้นทางแห่งการทำลาย


ล้างโลก

เธอปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ หากโลกถูกทำลาย การฟื้ นฟูเผ่าของเธอก็จะไร้ประโยชน์ทันที อย่างไรก็ตามนั่น


ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องการทอดทิ้งเขา

เธอแค่ต้องการทราบความตั้งใจที่แท้จริงของเขา ดังนั้นในขณะที่ซ่อนตัวเธอก็แอบติดตามเขาไปโดยการใช้
พลังของไฮเอลฟ์ 'เงาแห่งจันทรา'

วูม!

พลังความมืดก่อตัวเป็ นทรงกลมและหมุนวนขึ้นด้านบนจนเธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง

และจากนั้นลิชที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันแล้วเข้าร่วมกับกองกำลังของมูยองก็ปรากฏตัวออกมาจากพลังงาน
ดังกล่าว นี่เป็ นครั้งแรกที่จินกับสโนว์ได้เจอกับเบซองมินผู้เป็ นเอลเดอร์ลิช

คว้าง!

คฑาในมือของลิชตนนั้นส่งเสียงดังขึ้น

'เราถูกจับได้แล้ว'

จินที่มีปฏิกิริยารวดเร็วสร้างบาเรียปกป้ องสโนว์เอาไว้ก่อนจะตวัดมีดสั้นขึ้น ในช่วงเวลากระพริบตา มีดสั้นก็


ส่องแสงเปล่งประกายราวกับเต็มไปด้วยวิญญาณแห่งดวงจันทร์

เคล้ง!

เสียงของอาวุธกระทบกันดังกังวานราวกับกระดิ่งแห่งความตาย

พรึ่ บ!
หลังจากนั้นจู่ๆเปลวไฟสีดำก็ลอยขึ้นกลางอากาศ

หนึ่งดวง สองดวง สามดวง…

ตามพื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยหลุมดำมืดมิด และจำนวนเปลวไฟดังกล่าวก็เพิ่มจำนวนขึ้นแบบทวีคูณ

แกว๊ก!

พอจินแตะไปที่ใบหูของตัวเอง รูปร่างของเธอก็เปลี่ยนเป็ นนกอินทรีสีขาวขนาดใหญ่ เมื่อใดก็ตามที่เธอ


กระพือปี กสายลมรุนแรงจะถูกส่งออกไปต่อสู้กับเปลวไฟ

จากนั้นลิซก็ปักคฑาลงที่พื้นเสียงดังสนั่น

พื้นที่หลายเมตรรอบๆถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทันที และภายในนั้นมือสีดำก็โผล่พรวดออกมาพยายามคว้า
จับไฮเอลฟ์

คว้าง!

จินไม่สามารถหลีกเลี่ยงมือสีดำจำนวนเป็ นหมื่นได้จึงอ้าปากกว้างปล่อยระเบิดอนุภาคแสงจำนวนมากออกมา

มือสีดำจำนวนมากที่เข้ามาใกล้เธอหายไป แต่ยังไงก็ตามเธอไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้ทั้งหมด เท้าของจิน


ถูกจับข้างหนึ่งกำลังถูกมือสีดำลากลงพื้นอย่างช้าๆ

'หืม?'

ลิชจับคฑาของตัวเองและหมุนมันในอากาศ จากนั้นสิ่งที่ดูเหมือนประตูก็ถูกเปิ ด

ด้วยเสียง 'ตึง' ประตูสีดำขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นในอากาศ และหลังจากที่ประตูถูกเปิ ดออก ค้างคาวสีดำก็ถูก


ปลดปล่อย

กี๊ซ! กี๊ซ!

จำนวนของมันมีมากจนไม่อาจนับได้

ไม่ว่าเธอจะกำจัดไปมากแค่ไหนทั้งหมดก็ดูไม่ลดลงและยังพุ่งเข้ามาที่เธอ

พวกมันกัดปี กและกระชากขนของเธอจนหลุดลุ่ย
อย่างไรก็ตามด้วยระดับของไฮเอลฟ์ อย่างเธอ ไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ให้กับมอนสเตอร์อย่างค้างคาวทมิฬ

ตึง!

ซองมินเปิ ดประตูอีกบาน

'น่าตกใจจริงๆนานมาแล้วที่ฉันต้องใช้ประตูถึงสองบานในการต่อสู้”

เคล้ง!

เมื่อประตูเปิ ดขึ้น เงาของมอนสเตอร์ที่เคลื่อนไหวเงอะงะก็แสดงตัวออกมา หลังจากเห็นพวกมันแล้วจินก็รู้สึก


หวาดหวั่นทันที

'อาชญากรเงา!'

เป็ นไปได้อย่างไรที่ลิชจะอัญเชิญมอนสเตอร์เช่นนี้ออกมาจากอากาศได้อย่างง่ายดาย!

อาชญากรเงามีลูกเหล็กและโซ่ผูกมือเท้าของพวกมันไว้ อย่างไรก็ตามพวกมันสามารถเพิ่มความยาวของโซ่ได้
อย่างอิสระ

อาชญากรเงาสองสามร้อยตัวปรากฏขึ้นก่อนจะเหวี่ยงลูกเหล็กไปทางจินราวกับตกปลา

พลังและความเร็วของพวกมันไม่สามารถปฏิเสธได้

มันยากมากที่จินจะหลีกเลี่ยงโซ่บอลเหล็ก และเหล่าค้างคาวในเวลาเดียวกัน

เคล้ง!

หลังจากป้ องกันได้หลายครั้ง ร่างกายของเธอก็ถูกโซ่และลูกเหล็กมัดตัวในที่สุด

โคร่ม!

เธอกลับมาเป็ นร่างมนุษย์และร่วงลงสู่พื้น

ซองมินก้มหัวลงเล็กน้อยหลังจากมองสโนว์ที่กำลังสั่นเทาอยู่ข้างๆ

“ เจ้านายของผมปรารถนาที่จะพบพวกคุณทั้งสอง”
***

มูยองมองสโนว์และจินผู้ที่ถูกมัด

“ปา! ปา!”

สโนว์กระโดดชูมือขึ้นเหมือนจะให้เขาอุ้มก่อนจะเอาหน้าถูไปมาที่ขาของเขา

ในทางกลับกันการแสดงออกของจินนั้นมืดมนอย่างถึงที่สุด

“ เจ้าวางแผนจะทำอะไรกันแน่?”

" เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

“ เจ้าใช้มอนสเตอร์พวกนี้ทำลายเมืองต่างๆแล้วตอนนี้ยังอยู่กับ...ราชาปี ศาจ”

เธอกำลังพูดถึงอาซูล

มูยองยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

"ถ้าเธอต้องการจากไปก็ออกไปได้เลย ฉันจะไม่ขวาง"

มันดูน่าเสียดายเล็กน้อยที่ต้องละทิ้งพลังการต่อสู้ของจิน แต่ถ้าเธอไม่อยากช่วย เขาก็ไม่ง้อ

“ ข้าไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าความตั้งใจของเจ้าคืออะไร”

“ ฉันจะไปที่ดินแดนเทพปี ศาจ พวกเอลฟ์ คงไม่ชอบมันหรอก”

เธอรู้สึกเหมือนถูกประตูปิ ดใส่หน้า อย่างไรก็ตามจินกัดริมฝี ปากของเธอ

“ข้า…จะไปกับสโนว์”

'สโนว์?'

“ ข้าไม่ยอมให้เธอถูกอิทธิพลของเจ้าครอบงำเด็ดขาด”

จินรู้ว่าศักยภาพที่ซ่อนเร้นของสโนว์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
ศักยภาพของเธอเปรียบได้กับมูยองเลยทีเดียว

แต่ถ้าพลังของเธอได้รับอิทธิพลจากเขา มันจะกลายเป็ นพลังแห่งความชั่วร้าย

เธอต้องการหยุดสิ่งนั้นไม่ให้เกิดขึ้น

มูยองมองเธอออกจากสายตาที่จินส่งมา

การใช้สำนวนที่ว่าสโนว์อาจได้รับอิทธิพล นั่นหมายความว่าเธอมีความระมัดระวังตัวมาก

สโนว์เคยเป็ นนักบุญในอดีต และตอนนี้ก็เป็ นตัวตนที่ไม่มีใครรู้จัก อย่างไรก็ตามหากมีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ


เธอจะต้องเติบโตขึ้นจนมีพลังที่สามารถต่อสู้กับราชาปี ศาจและแม้กระทั่งเหล่าเทพปี ศาจได้แน่นอน

และเพื่อต่อสู้กับพวกมัน เธอไม่สามารถได้รับอิทธิพลจากเขา นี่เป็ นสิ่งที่มูยองก็เห็นด้วย

“ งั้นก็ตามใจ”

มูยองมองไปในอีกทางหนึ่ง ท้องฟ้ าค่อยๆจมลงสู่ความมืด

ถึงเวลาแล้ว

***

อาซูลพบจุดอ่อนของสกายลอร์ด

“ ทุกๆสิบสี่วันสกายลอร์ดจะลอกคราบ และมันเป็ นไอ้โง่ที่กินแม้แต่คราบของตัวเอง ต้องขอบคุณจุดนี้มันเลย


กลายเป็ นช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในทุกๆ 14วัน”

เนื่องจากมันต้องใช้พลังในการลอกคราบจึงมีพื้นที่บางส่วนที่มันไม่สามารถให้ความสนใจได้

“ มันยังไม่ใช่ตัวเต็มวัยใช่ไหม”

เมื่อมูยองถามอาซูลก็พยักหน้า

“ มันยังโตได้อีก ทั้งการป้ องกันและโจมตีของมันจะเพิ่มขึ้นทำให้มันเป็ นมอนสเตอร์ที่น่ากลัวมาก”

ดูเหมือนว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาให้วิวัฒนาการได้อย่างต่อเนื่องเพื่อทนต่อการโจมตีของเดียโบล
อาซูลเจาะรูเข้าไปในคราบที่สกายลอร์ดลอกออกมา

“ เราต้องรีบเดินทางก่อนที่มันจะกินคราบทั้งหมด ข้าไม่แน่ใจว่าเราสามารถทำทันไหมในเวลาแค่นี้...”

อาซูลมองไปที่กองทัพของมูยอง มีมอสนเตอร์มากมายที่มาพร้อมกับมูยอง

“ จากนี้ไปทุกคนห้ามส่งเสียง”

เตือนเสร็จอาซูลก็รีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาเจาะรูแล้วโผล่ออกไปอีกด้านหนึ่ง

มูยองและกองทัพของเขาก็เคลื่อนตัวเร็วขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

วี้ดดด!

ขณะนั้นเสียงผิวปากก็ได้ยินจากที่ใดที่หนึ่ง

“ บัดซบ!”

อาซูลขมวดคิ้ว

ครืน!

พื้นดินสั่นสะเทือน สกายลอร์ดเริ่มเคลื่อนไหว

โชคดีที่เป้ าหมายไม่ใช่มูยองแต่เป็ นบางอย่างที่กำลังเริ่มโจมตีสกายลอร์ด

บึม! ตูม!

ท่ามกลางการระเบิดทั้งโลกดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ

-โจมตี!

เสียงคำสั่งดังแว่วมา

อัศวินขี่ม้านำมอนสเตอร์หลากหลายสายพันธุ์ออกมาโจมตีสกายลอร์ด อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่อาจสร้าง
ความเสียหายใดๆให้กับมัน
และแทนที่จะพุ่งไปหาสกายลอร์ด ตอนนี้มูยองกลับมุ่งไปหาผู้ที่โจมตีสกายลอร์ดอย่างรวดเร็ว

'บาลตัน'

ผู้พิทักษ์อาณาเขตของเขา บาลตัน!

หนึ่งในผู้ที่มูยองดึงขึ้นมาจากความตาย

มูยองมอบหมายให้เขาดูแลอาณาเขตในดินแดนเทพปี ศาจเอาไว้

แต่ทำไมบาลตันถึงมาโจมตีสกายลอร์ดอยู่ที่นี่?

KotB ตอนที่ 212

บทที่ 212: ราชาปี ศาจเหล็กเอนโรธ (1)

โชคดีที่สกายลอร์ดเพิ่งเสร็จสิ้นการลอกคราบ งูที่ผ่านกระบวนการดังกล่าวมักจะอ่อนแอเสมอ

ในความเป็ นจริงสกายลอร์ดเคลื่อนไหวของช้ากว่าที่คาดไว้ แต่ด้วยความที่มีขนาดใหญ่โตมันจึงยังแข็งแกร่ง


ยังไงก็ตามบาลตันเลือกเวลาได้อย่างเหมาะสม เขาใช้กลุยุทธ์โจมตีและล่าถอยซ้ำๆ ดูเหมือนว่าบาลตันจะรอ
ให้มันลอกคราบอยู่แล้วตั้งแต่แรก

“ …นี่เป็ นสถานการณ์ที่ดีสำหรับเรา เราต้องรีบไปก่อนที่สกายลอร์ดจะจัดการศัตรูพวกนั้นเสร็จ ”

อาซูลพูดด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนเขาจะกลัวสกายลอร์ดโดยสัญชาตญาณ ถ้าราชาปี ศาจยังมีอาการแบบนี้นั่น


ก็หมายความว่าพลังของสกายลอร์ดนั้นยิ่งใหญ่

“มูยอง”

ซองมินเรียกเขา มีเพียงเหตุผลเดียวที่เรียกมูยอง เขาต้องถามถามว่าควรไปช่วยบาลตันกันดีไหม

"เจ้ากำลังทำอะไร? อย่าคิดอะไรโง่ๆ แม้ว่าสกายลอร์ดจะอ่อนแอลงก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาชนะมันได้!”

การโจมตีของสกายลอร์ดนั้นเรียบง่าย มันใช้ร่างใหญ่โตเพื่อกลืนกินทุกอย่างด้านหน้า บาลตันทำได้ดีสำหรับ


การโจมตีในเวลาที่เหมาะสม แต่ก็รู้สึกว่าพวกเขาถึงขีดจำกัดแล้ว และตอนนี้เริ่มมีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้น

ในขณะที่สกายลอร์ดฟาดหางออกโจมตีพายุทรายก็เริ่มพัดไปทุกทิศทาง
“ ซองมินพาทุกคนเดินทางไปต่อ”

“ ผมจะไปช่วยอีกคน”

“ ไม่ต้อง จะดีกว่าถ้าฉันไปเพียงลำพัง”

มูยองกางปี ก

สำหรับสกายลอร์ด…มูยูองไม่ได้คิดที่จะเสี่ยงชีวิตในการต่อสู้กับมัน เขาแค่อยากจะซื้อเวลาเท่านั้น

มีหลายสิ่งที่เขาต้องการถามบาลตัน แต่ก่อนอื่นต้องให้เขามีชีวิตรอดก่อน นอกจากนี้เขายังสงสัยเล็กน้อยเกี่ยว


กับพลังของสกายลอร์ดที่สามารถหยุดได้แม้แต่เดียโบล

เมื่อรู้ว่าพลังของมันลดลงอย่างมากหลังจากลอกคราบ ดังนั้นนี้เป็ นโอกาสดีที่จะตรวจสอบว่ามันแข็งแกร่งแค่


ไหน

"งี่เง่าจริง...!"

อาซูลทำหน้าคิดหนัก อย่างไรก็ตามเขาเป็ นพ่อค้าที่เคร่งครัด เขาไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือมูยองอย่างใด เขา


จะเคลื่อนไหวตามสัญญาในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น

มูยองบินขึ้นไปในอากาศ

วูม!

เขาหยิบความโกรธเกรี้ ยวออกมาและร่ายเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ ไว้บนมัน เมื่อพลังแห่งการสาปแช่งและเปลวไฟ


ศักดิ์ สิทธิ์ รวมเข้าด้วยกันแล้วเขาก็ฟันเข้าใส่สกายลอร์ดอย่างรวดเร็ว

ตูม! เกิดการระเบิดครั้งใหญ่

ร่างของสกายลอร์ดเอนไหวเล็กน้อย แต่นั่นไม่สามารถทำให้มันกรีดร้องออกมาสักแอะด้วยซ้ำนอกจากมีรอย
ขีดข่วนเพียงเล็กน้อย

'ความต้านทานไฟสูง มันเป็ นสิ่งที่เตรียมไว้เผชิญหน้ากับเดียโบล'

ประการแรกเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ ไม่สามารถสร้างความเสียหายไดๆได้ มีเพียงคำสาปที่ยังพอมีผล แต่ทว่าพลัง


แห่งการสาปแช่งก็อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว
อาจเป็ นเวทต้านทานที่ถูกสร้างไว้โดยเทพปี ศาจ แม้ว่าคำสาปจากความโกรธเกรี้ ยวจะรุนแรงมากเพียงใดก็ส่ง
ผลกระทบกับมันได้แค่นี้

อย่างไรก็ตาม มูยองมีความสามารถมากมายนอกเหนือจากพลังทั้งสอง

ในขณะที่สยายปี กของกาเบรียล ขนจำนวน 7,777 เส้นก็ลอยค้างอยู่กลางอากาศ

บูมบูมบูม..!!

เกิดการระเบิดจำนวนนับไม่ถ้วน แต่คราวนี้มันเป็ นการระเบิดของพลังเทวะ

ก๊าซ!

เป็ นครั้งแรกที่สกายลอร์ดส่งเสียงกรีดร้องออกมา

มันได้ผล ในขณะที่สกายลอร์ดเป็ นสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่าย มันจึงหันความสนใจไปที่มูยองแทน

'มันไม่มีความต้านทานต่อพลังเทวะ'

อย่างน้อยมันก็ไม่ได้รับการป้ องกันจากพลังศักดิ์ สิทธิ์ อันบริสุทธิ์ ใดๆ ถ้าเทพปี ศาจผู้สร้างยังพ่ายแพ้ต่อพลัง


เทวะ แล้วสกายลอร์ดจะมีพลังเช่นนั้นได้อย่างไร

มูยองมองลงไปที่ดาบของตัวเอง เสียดายที่เขาไม่สามารถเสริมพลังศักดิ์ สิทธิ์ ให้กับความโกรธเกรี้ ยวได้มาก


นัก

วิ้ง!

มูยองสัมผัสหน้าอกตำแหน่งเดียวกับหัวใจของเขาและรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง

มันเป็ นหอก

หอกสังหารเทพ…อาวุธของกาเบรียล

หอกของกาเบรียลเป็ นตัวลบล้างความชั่วร้ายทั้งหมดในวิญญาณของมูยอง คอยหยุดเขาไม่ให้ตกอยู่ในความ


เสื่อมทราม และเป็ นเครื่องมือสำหรับควบคุมลูซิเฟอร์
ไอเทมชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็ นของ 'ระดับสูง' กว่าเปลวเพลิงของเดียโบลซะอีก เรียกได้ว่าเป็ นสมบัติในหมู่สมบัติ
กันเลยทีเดียว

สกายลอร์ดจะสามารถรับการโจมตีจากหอกที่มีพลังเช่นนี้ได้หรือไม่? และนี่เป็ นครั้งแรกที่มูยองใช้หอกเล่มนี้


ต่อสู้

วาบ!

ท่ามกลางความเจิดจ้า มีแสงเปล่งประกายออกมาจากหน้าอกของมูยอง เป็ นแสงที่สว่างมากเสียจนทำให้ดิน


แดนเทพปี ศาจที่มืดมิดดูชัดเจนขึ้น

หลังจากมองดูแสงสว่างที่สว่างไสว อาซูลก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนร่างกายถูกแผดเผา นานแล้วที่เขาเคยรู้สึกเจ็บ


ปวดแบบนี้ และหลังจากเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ าด้วยความเจ็บแปลบ เขาก็เห็น 'ชาย' ที่มีปี กขนาดใหญ่ทั้งหก
ลอยอยู่กลางอากาศ

ชื่อของชายผู้นี้คือ มูยอง?

'นี่เขายังเป็ นราชาปี ศาจอยู่ใช่ไหม?'

อาซูลได้กลิ่นความชั่วร้ายรุนแรงจากมูยองตั้งแต่พบกันครั้งแรก ถึงมูยองจะดูมีนิสัยไม่เหมือนราชาปี ศาจ


ทั่วไป แต่ก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราชาปี ศาจผู้ใดสามารถใช้พลังเทวะเหมือนมูยองมาก่อน

'เขาไม่ใช่เทวทูต นั่นเป็ นไปไม่ได้’

ไม่มีทูตสวรรค์ในนรก นี่ไม่ใช่ความจริงที่มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่รู้ ปี ศาจก็รู้ความจริงข้อนี้เช่นเดียวกัน

ที่นี่คืออันเดอร์เวิล์ดสถานที่ที่เป็ นแหล่งกำเนิดความชั่วร้ายทั้งปวง ถ้าเช่นนั้นพลังอันศักดิ์ สิทธิ์ ที่รู้สึกได้จากเขา


คืออะไร?

มันดูไม่เหมือนพลังเทวะที่นักบวชของมนุษย์ หรือเผ่าพันธุ์ใดๆใช้ นอกจากนั้น…ความรู้สึกของมันราวกับมา


จากแหล่งพลังงานต้นกำเนิด

ด้วยสิ่งนี้อาซูลสามารถเห็นสกายลอร์ดได้รับความเสียหายเป็ นครั้งแรก

ก๊าซ!!!!

พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับโลกจะล่มสลายเมื่อใดก็ตามที่ร่างกายอันใหญ่โตของสกายลอร์ดบิดส่ายไปมาด้วย
ความเจ็บปวด มิหนำซ้ำอากาศรอบๆยังกรรโชกแรงจนกลายเป็ นพายุทรายขนาดใหญ่
เป็ นครั้งแรกจริงๆที่อาซูลเจอสิ่งที่น่าสนใจระหว่างการค้าขาย นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม ... มันดูแแปลกๆ

ด้วยเหตุผลบางอย่างราวกับมูยองยังไม่คุ้นเคยกับพลังของตัวเอง

“ หากเจ้าไม่อยากตายก็ตามข้ามา เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าไม่ช่วยเจ้าหรอกนะ ”

อาซูลพูดกับซองมิน

แน่นอนว่าซองมินดูแข็งแกร่งอย่างมากในฐานะเอลเดอร์ลิช แต่นั่นใช้ไม่ได้กับสกายลอร์ด

ด้วยกองทัพในปัจจุบันถ้าคู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่สกายลอร์ด เบซองมินคงจะมีบทบาทในการต่อสู้อยู่บ้าง อย่างไร


ก็ตามสถานการณ์แตกต่างกันจากที่กล่าวมา

"เข้าใจแล้ว"

ซองมินรู้เรื่องนี้ดี

เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาเติบโตขึ้นมากจนไม่สามารถเทียบได้กับตัวตนในอดีตของตัวเอง อย่างไรก็


ตามมูยองยังคงนำหน้าซองมินไปสองสามก้าว และดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถปิ ดช่องว่างนี้ได้อย่างง่ายดาย

***

ในฐานะผู้บัญชาการ บาลตันมีความสามารถที่โดดเด่น เขาสังเกตสิ่งต่างๆและอ่านสถานการณ์ได้อย่างยอด


เยี่ยม

หลังจากที่เห็นการโจมตีของมูยอง เขาก็เริ่มสั่งถอย

แทนที่จะตื่นเต้นกับการพบเจอ ตอนนี้เป็ นเวลาที่พวกเขาจะถอยกลับมากกว่า

- ถอนกำลัง!

บาลตันและกำลังทหารที่ถืออาวุธจากฝี มือคนแคระเริ่มออกจากสนามรบ

ชิ้ง! ตูม!
ขณะที่พวกเขาถอยห่างออกจากสนามรบเสียงระเบิดครึกโครมก็ดังขึ้น

การต่อสู้ระหว่างเทพเจ้าก็คงจะทำนองนี้ใช่ไหม?

'ถ้าตาของเราไม่ได้ฝาดไปหล่ะก็... '

อย่างไรก็ตามบาลตันอดไม่ได้ที่จะตื่นตัว ในช่วงเวลาที่เขาเห็นมูยอง เขาก็รู้สึกเหมือนการเชื่อมต่อที่หายไป


กลับมาแล้ว

“ นั่น…ลอร์ดของพวกเราใช่หรือไม่?”

เอลฟ์ คนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาและถาม

แม้ว่าจะมีบางสิ่งเปลี่ยนไป แต่บุคคลที่เขาเห็นในตอนนี้เป็ นเจ้าของอาณาเขตที่ชื่อมูยองแน่นอน

ดูเหมือนว่าบาลตันไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้

“ ลอร์ดของพวกเรายังมีชีวิตอยู่”

“ ถ้าหากเป็ นเช่นนั้นเราต้องสามารถยุติสงครามนี้ได้แน่”

“ ในที่สุด ในที่สุดเขาก็กลับมา!”

ทหารทั้งหมดของเขาต่างรู้สึกยินดี

อย่างไรก็ตามบาลตันยังคงมีสีหน้าเศร้าสร้อย ถ้ามูยองยังมีชีวิตอยู่ทำไมถึงขาดการติดต่อไปถึงสองปี ? ทำไม


เขาถึงออกจากอาณาเขตและหายตัวไป ... ?

เนื่องจากตำแหน่งที่ว่างดังกล่าวทำให้อาณาเขตของเขาต้องพบกับความเจ็บปวดเป็ นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะ


เติบโตขึ้น แต่การขาดมูยองไปก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี

ตูม!

เสียงระเบิดดังออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมันก็เงียบสงบลง และเพียงไม่กี่วินาทีหลังจาก


เสียงสุดท้ายดังขึ้นเท่านั้น?

“ ไม่ได้เจอกันสักพักแล้วสินะ”
มูยองปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับปี กที่สยายกว้าง

“ ท่านลอร์ด”

บาลตันคุกเข่าลง

ถึงแม้ว่าบาลตันจะเสียใจจากการหายไปของมูยอง แต่เขาก็ยังเป็ นผู้พิทักษ์อาณาเขตเหมือนเดิม และนายของ


เขาก็ยังคงเป็ นมูยองเหมือนเดิม

เมื่อบาลตันคุกเข่า ทุกคนรอบตัวก็ทำเช่นกัน

“ มีหลายสิ่งที่ฉันอยากถามนาย แต่…ก่อนอื่นเปลี่ยนที่คุยกันก่อนเถอะ เพราะเดี๋ยวสกายลอร์ดจะตื่นขึ้นอีก "

จากน้ำเสียงของมูยอง,บาลตันสามารถสังเกตได้ว่าเขาต้องการออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด นั่นหมายความว่า
สกายลอร์ดเป็ นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวจริงๆ

บาลตันพยักหน้า

มูยองเกาหัวเล็กน้อยก่อนจะบินไป

***

ประสิทธิภาพของหอกกาเบรียลนั้นน่าทึ่งมาก

มันแข็งแกร่งกว่าสิ่งอื่นใด

แต่มูยองไม่คุ้นเคยกับการใช้พลังของกาเบรียล มันดูดพละกำลังของมูยองไปมากและต้องใช้เวลาในการกู้คืน
ความรู้สึกที่ได้แตกต่างจากตอนใช้การเร่งความเร็วด้วย 'เขา' อยู่มากโข

'ฉันต้องงดใช้มันไปก่อน'

เขาสามารถทำให้สกายลอร์ดไร้สติได้ครู่หนึ่ง และอย่างที่คาดไว้เขาสามารถสร้างความเสียหายได้มากเลยที
เดียว แต่ทั้งนี้ก็เพราะผิวหนังของมันอ่อนแอกว่าปกติด้วย อย่างไรก็ตามหากมูยองยังสู้ต่อไปเขาจะตกอยู่ใน
อันตราย

เหตุการณ์นี้ทำให้เข้าใจว่าทำไมเดียโบลถึงไม่สามารถข้ามชายแดนได้ และทำไมแม้แต่เทพปี ศาจผู้สร้างมันขึ้น


ยังต้องหลีกเลี่ยงมัน
คิดได้ดังนั้นมูยองจึงต้องถอย และค่อยกลับมาคิดบัญชีกับมันทีหลัง นอกจากนี้ในระหว่างการต่อสู้ เขาประสบ
ความสำเร็จในการเก็บตัวอย่างผิวหนังและเนื้อของมันมาแล้ว

'ถ้าฉันนำมันไปศึกษาน่าจะได้ผลลัพธ์บางอย่าง'

มันเป็ นสิ่งที่น่าสนใจ

ผิวหนังและเนื้อหนังที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันแตกต่างจากอวัยวะของสิ่งมีชีวิตปกติมากๆ

ถ้าเขาทำการศึกษาและได้ผลลัพธ์ที่ดี เขาจะสามารถใช้มันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเหล่าอันเดธ หรือบางที


มันอาจทำให้เขาได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทพปี ศาจ

หลังจากที่เขาเก็บตัวอย่างพวกนั้นมาได้จึงมอบให้บาลตัน จากนั้นก็นำกองทัพกลับไปยังอาณาเขตของตน

อาซูลจากไปอย่างรวดเร็วหลังจากถึงอาณาเขตของมูยอง เขากล่าวทิ้งท้ายเพียงว่า“ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องการ


ข้าก็บอกเจ้าลิชนี่ไว้” ดูเหมือนเขาจะรีบร้อนหลังจากรู้สึกไม่มั่นคงในบางอย่าง มันดูราวกับว่าเขาได้มาเหยียบ
ในสถานที่ที่ไม่ควรเข้ามา

แม้มูยองคิดว่ามันแปลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดมาก

“ อาณาเขตขยายใหญ่ขึ้นมาก”

“ เมื่อเทียบกับ 2 ปี ที่ผ่านมาน่าจะมีขนาดใหญ่กว่าประมาณ 3 เท่า จำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน”

มูยองเดินไปตามถนนสายหลักที่นำไปสู่ปราสาท ในขณะที่ด้านหลังยังมีกองทัพเดินติดตาม

มีหลายคนในพื้นที่ที่มองมูยอง

“ ฉันคิดว่ามีเด็กมากขึ้นนะ?”

“ เกิดสงครามขึ้น แม้แต่ตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงสงคราม ผู้ใหญ่จำนวนมากเสียชีวิตไปหมดแล้ว แน่นอนว่าคนที่


รอดต่างแข็งแกร่งขึ้นมาก”

“ นี่อาณาเขตอยู่ในช่วงสงครามเหรอ? ฝ่ ายตรงข้ามคือใคร?”

บาลตันยืนนิ่งอยู่หน้าปราสาทครู่หนึ่ง
ปราสาทของลอร์ดนั้นใหญ่โต และกระทั่งใหญ่โตกว่าเมื่อก่อน

สถานที่สะอาดสะอ้านเพราะพวกเขาดูแลอย่างต่อเนื่อง

บาลตันพูดอย่างจริงจัง

“ เรากำลังทำสงครามกับราชาปี ศาจเหล็ก, เอนโรธ ”

ราชาปี ศาจแห่งเหล็ก เอนโรธ!

ช่วยไม่ได้ที่มูยองจะต้องตอบสนองต่อชื่อดังกล่าว

มี 3 ระดับในการจำแนกราชาปี ศาจที่เก่งที่สุด

-เจ็ดขุนเขา -หกลอร์ด -ห้าดวงดาว

ทั้งหมด 18 ตัวตน

ยิ่งจำนวนน้อยก็ยิ่งแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้าคนสุดท้ายที่เป็ นเหมือน 'กำแพง'สูงตระหง่าน

จ้าวแห่งราชาปี ศาจ ที่อยู่ใต้การปกครองของเทพปี ศาจ

และถ้ามันคือราชาปี ศาจแห่งเหล็ก เอนโรธ...

'มันก็คือหนึ่งในห้าดวงดาว'

ผู้ที่เป็ นหนึ่งในราชาปี ศาจที่ทรงพลังที่สุด!

มูยองเข้าใจแล้วว่าทำไมอาซูลจึงดูรีบร้อนนัก

บทที่ 213: ราชาปี ศาจเหล็กเอนโรธ (2)

ยิ่งกว่านั้นฉายาดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ราชาปี ศาจตั้งกันเองตามอำเภอใจ มันเป็ นชื่อที่บาอัลมอบให้เพื่อเป็ นเกียรติ


แก่ราชาปี ศาจทั้งสิบแปดตนเหล่านั้น

พวกมันล้วนเป็ นราชาปี ศาจมีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่ง และมีกองทัพที่ยิ่งใหญ่กว่าราชาปี ศาจตนอื่นๆ


เพราะเหตุนี้การทำสงครามกับเอนโรธจึงทำให้มูยองตกใจ

“ พวกนายมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ได้ยังไง?”

มูยองอดไม่ได้ที่จะถาม

เห็นได้ชัดว่าพลังรบของอาณาเขตในปัจจุบันเต็มไปด้วยศักยภาพ หัวเมืองส่วนใหญ่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
กับที่นี่อีก และที่นี่ยังเต็มไปด้วยประชากรมากมายหลายสายพันธุ์ที่รวมตัวกันอย่างแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตามมันไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเอนโรธ หากมองตามปกติทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาเขตแห่งนี้จะต้อง
ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์

แต่ในความเป็ นจริงอาณาเขตกลับมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าในอดีตซะอีก แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในภาวะ


สงครามแต่ก็ยังสามารถขยายอาณาเขตและประชากรเพิ่มมากขึ้น

ไม่ใช่แค่นั้น ผู้ที่รอดชีวิตต่างก็มีทักษะที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นเช่นกัน มอนสเตอร์ระดับสูงส่วนใหญ่ยังไม่แข็งแกร่ง


ไม่เท่าพวกเขา

ตอนนี้แม้ว่ามูยองจะกลับมาแล้ว แต่พลเมืองก็ดูเหมือนจะไม่เคารพเขาจริงๆเท่าไหร่

ลอร์ดที่หายตัวไปเป็ นเวลาสองปี โดยไม่บอกกล่าวในขณะที่สงครามเริ่มขึ้น แน่นอนว่ามันเป็ นที่เข้าใจสำหรับ


พวกเขาที่จะจมอยู่ในความรู้สึกแย่ๆ

ถึงกระนั้นพวกเขาก็มองมูยองด้วยสายตาที่มีความหวัง พวกเขาเชื่อว่ากองทัพที่มูยองนำมาจะช่วยได้อย่าง
แน่นอน

บาลตันไม่ตอบคำถามของมูยอง ในขณะที่พามูยองไปยังปราสาท

“ ผมจะบอกท่านทุกอย่างหลังจากที่เราขึ้นไปข้างบน”

***

ด้านในของปราสาทนั้นไม่แตกต่างจากที่มูยองจำได้

อันดับแรกทุกอย่างถูกทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูเป็ นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดถูกแตะต้องและเคลื่อนย้าย ด้วยเหตุ


นี้มูยองจึงเชื่อว่าศรัทธาของพวกเขาต่อลอร์ดของตนยังไม่ตกต่ำจนถึงขีดสุด
'การปรับดวงวิญญาณ ... '

มูยองนั่งอยู่บนบัลลังก์แล้วมองไปที่บาลตัน

บาลตันคุกเข่าลงต่อหน้าเขา และดวงวิญญาณก็ถูกทำให้เฉียบคมอีกครั้ง

การเชื่อมต่อที่เสียไปเริ่มเชื่อมต่อใหม่

นี่เป็ นผลให้บาลตันกลายเป็ นบริวารของมูยองอย่างแท้จริงอีกครั้ง ผู้พิทักษ์อาณาเขต ในฐานะอันเดธที่สร้างโด


ยมูยองเขาได้รับหน้าที่และอำนาจเดิมกลับคืนมา

ชื่อ:บาลตัน

เลเวล: 445

ประเภท: อัศวินผู้พิทักษ์

พละกำลัง 447 (427+20) ความว่องไว 355 (335+20) ความอดทน 498 (478+20)

ความฉลาด 320 (300 + 20) ภูมิปัญญา 345 (325 + 20) ความทรหด 483 (463 + 20)

+ ความเข้าใจในดาบขั้นดีเยี่ยม

+ สมรรถภาพการต่อสู้ทางกายขั้นดีเยี่ยม

+ ผู้พิทักษ์อาณาเขต (ภายในอาณาเขตที่กำหนด สเตตัสทั้งหมด +20)

+ เสียงตะโกนของผู้พิทักษ์ (ภายในอาณาเขต ความอดทนของ 'พันธมิตร' เพิ่มขึ้นเล็กน้อย)

+ เพิ่มศักยภาพ (แข็งแกร่งขึ้นเมื่อต่อสู้เพื่อปกป้ องบางสิ่ง)

+ สะสางหนี้แค้น

+ อัตราอนุรักษ์นิยมสูง (มีความอิสระสูง)

พอมูยองตั้งใจสังเกตบาลตันหน้าต่างแสดงสถานะก็แสดงข้อมูลออกมา
'อย่างที่คาดไว้'

บาลตันเติบโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงไม่มีหน้าต่างแสดงข้มูลดังกล่าวมูยองก็ยังรู้สึกได้

ถ้าเขาเติบโตมากขนาดนี้มันก็เพียงพอที่จะพิจารณาว่าเขามีพลังพอๆกับมอนสเตอร์ชั้นยอด

เงื่อนไขที่ต้องการต่อสู้เพื่อปกป้ องผู้อื่นทำให้บาลตันเติบโตขึ้น

และสองปี ที่ผ่านมาก็มีการต่อสู้ที่ไม่เคยหยุดชะงักจึงทำให้เขาแข็งแกร่งเช่นนี้

แต่ถึงกระนั้นมันก็เติบโตเร็วผิดปกติอยู่ดี

'ต้องมีสาเหตุอื่นอีก'

มันยากที่จะกลายเป็ นผู้แข็งแกร่งด้วยการต่อสู้เพียงอย่างเดียว

"พูดต่อไป"

มูยองสั่งราวกับรู้ว่ายังมีเรื่องที่บาลตันยังไม่ได้รายงาน

บาลตันเงยหน้าขึ้น

“ หลังจากที่ท่านหายตัวไปเราก็ขยายพื้นที่ของเรา เมื่ออาณาเขตมีขนาดใหญ่ขึ้น ข่าวเกี่ยวกับเราที่ต้อนรับทุก


เผ่าพันธุ์ก็แพร่กระจายจนมีผู้เข้าร่วมมากมาย และนั้นเราจึงมีกองทัพที่แกร่งขึ้นมาก”

เผ่าพันธุ์ต่างๆมารวมตัวกัน และอาศัยอยู่ในดินแดนเทพปี ศาจ! แน่นอนว่าจะมีหลายเผ่าที่กำลังรอสถานที่ดัง


กล่าว แม้ว่าจะเป็ นดินแดนเทพปี ศาจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่มอนสเตอร์จำพวกดุร้าย มีผู้ที่เชื่อว่าพวก
เขาควรรวมกำลังกันเมื่ออยู่ในดินแดนแห่งนี้และสร้างอารยะธรรมที่เจริญรุ่งเรืองขึ้น

“ และเมื่ออาณาเขตมีขนาดที่ใหญ่โตระดับหนึ่ง ดันเจี้ยนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง”

ดันเจี้ยนที่ว่าก็คืออาณาจักรของเมอร์ดูดันที่ซึ่งเมอร์ล็อคอาศัยอยู่

“ มีเรื่องแปลกอะไรเกิดขึ้น”

“ รูปร่างของเมอร์ล็อคเปลี่ยน และเส้นกั้นเขตแดนของดันเจี้ยนหายไป เมื่อใครก็ตามไปยังสถานที่ที่ 'เซจ'


ดำรงอยู่ พวกเขาจะได้รับการฝึ กฝนจากพวกนั้น "
เซจ?

จู่ๆเมอร์ดูดันโผล่ก็ออกมาจากมูยอง และทำหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่ง

- ดูเหมือนว่าเจ้านี่กำลังพูดถึงนักปราชญ์โบราณของเมอร์ล็อค แต่พวกมันควรตายไปหมดแล้วนี่ เพราะพวก


มันจะสูญเสียพลังไปหลังจากที่ข้าเสียชีวิต

"ถูกต้อง พวกเขาทั้งหมดเป็ นเพียงรูปปั้ นหิน แต่ว่าความรู้ของพวกเขายังคงอยู่ ต้องขอบคุณสิ่งนี้นักรบของทุก


เผ่าพันธุ์รวมทั้งตัวผมจึงสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว "

- อืมโชคดีนัก เจ้าพวกนั้นก็ยอดเยี่ยมจริงๆนั่นแหละ ถ้าพวกมันไม่หนีไปเพราะความเผด็จการของข้า ข้าคงไม่


ถูกหลอกด้วยเล่ห์กลโง่ๆของดันดาเลี่ยน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็ นความพ่ายแพ้ของดันดาเลี่ยนด้วยซ้ำ

เมอร์ดูดันพูดด้วยความเสียใจ

แม้ดันดาเลี่ยนจะเป็ นเทพปี ศาจ แต่เมอร์ดูดันพูดราวกับว่ามันเป็ นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาที่จะเอาชนะเทพ


ปี ศาจด้วยพลังของเซจ ดูเหมือนว่านักปราชญ์ของเมอร์ล็อคจะแข็งแกร่งเมื่อพวกเขามีชีวิตอยู่

มูยองยังคงยิงคำถามต่อไป

“ แล้วนายไปมีเรื่องกับเอนโรธได้ยังไง?”

“ ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าพวกปี ศาจต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงดินแดน?”

"ฉันรู้"

“ พวกมันทำสงครามพิชิตดินแดนอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าเอนโรธก็เช่นเดียวกัน อาณาเขตของเราในปัจจุบัน


เป็ นหนึ่งในบางแห่งที่มันกำลังไล่ล่าอยู่”

มันไม่ใช่สงครามเพียงแห่งเดียวของเอนโรธ นั่นอาจเป็ นเหตุผลว่าทำไมที่นี่ถึงทนมาได้ถึง 2 ปี แต่ ...

'สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว'

มูยองคิดถึงสิ่งที่บาลตันพูด

สงครามรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว มันไม่ได้เริ่มต้นหลังจากผ่านมหาภัยพิบัติเหมือนในอดีตที่ผ่านมาหรอกเหรอ?
เดียโบลและสกายลอร์ดรวมถึงสิ่งอื่นๆสร้างตัวแปรใหม่ขึ้นมา

และตัวแปรเหล่านั้นล้วนถูกสร้างหรือได้รับอิทธิพลจากมูยองทั้งสิ้น

'ฉันได้รับพลังเพิ่มขึ้นเพื่อต่อสู้กับตัวแปรต่างๆ'

อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้รอให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นเฉยๆ แม้ว่าตัวแปรมากมายจะปรากฏขึ้น แต่เขาก็ได้รับพลังมาก


ขึ้นเช่นกัน

เมื่ออนาคตยังไม่ได้เกิด ย่อมมีหลายวิธีที่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

“ มีราชาปี ศาจสี่ตนที่ภายใต้คำสั่งของเอนโรธ นายรู้ไหมใครนำทัพมา?”

ราชาปี ศาจไม่สามารถมีราชาปี ศาจอื่นอยู่ภายใต้บังคับบัญชานี่เป็ นกรณีปกติ แต่มันแตกต่างกันสำหรับราชา


ปี ศาจสิบแปดอันดับแรก โดยเฉพาะสี่ราชาปี ศาจที่มีชื่อเสียงของเอนโรธ

“ชาร์-ซาซ่า มันนำปี ศาจหนึ่งแสนตนบุกมา ในขณะที่เราต้องปกป้ องอาณาเขต เหล่าไฟทาร์เองก็ใกล้จะถูกสูญ


พันธ์เช่นกัน”

“ พวกนายไม่ได้ร่วมมือกันเหรอ?”

“ พวกเขามีความภูมิใจในตัวเองสูง บางทีอาจเป็ นเพราะท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาจึงไม่เคยคิดร่วมมือกับผม”

มูยองพยักหน้า

ไฟทาร์เป็ นเจ้าของและชนพื้นเมืองของภูมิภาคนี้

นักล่าตามธรรมชาติ และยักษ์ใหญ่แห่งเปลวเพลิง

ปี ศาจส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงไฟทาร์ แต่ถ้ามันเป็ นหนึ่งในสี่ขุนพลของเอนโรธเรื่องราวก็แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตามถ้าเป็ นโอการ์ เขาควรจะสามารถสร้างความร่วมมือได้ แต่สุดท้ายก็เป็ นไปไม่ได้งั้นเหรอ?

“ อาณาเขตของเราสูญเสียบุคลากรที่แข็งแกร่งไปหลายคน แม้แต่ไอรีน ... ก็ยังถูกชาร์-ซาซ่าฆ่าตายด้วย”

ไอรีนงั้นเหรอ? มูยองจำได้ เธอเป็ นผู้หญิงที่คอยสนับสนุนบาลตัน


อย่างไรก็ตามบาลตันเป็ นอันเดธ เขาไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ แต่กระนั้นบาลตันก็ยังโกรธ
นี่เป็ นสาเหตุของผลกระทบ 'สะสางหนี้แค้น' ที่ปรากฏบนตัวแสดงสถานะหรือไม่?

จนกว่าการแก้แค้นจะสำเร็จ เขาจะอดทนต่อความยากลำบากทุกประเภท เมื่อเห็นมันถูกเขียนบนหน้าต่างสเต


ตัสแล้วมูยองก็สามารถเข้าใจได้ว่าเขาพยาบาทคาดแค้นขนาดไหน

“ นี่เป็ นวิวัฒนาการของอันเดธหรือเปล่า? '

ในส่วนนี้มูยองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเป็ นอันเดธ แต่บาลตันก็ฟื้ นความรู้สึกในฐานะ


มนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ

จริงๆแล้วพอมาลองคิดดูสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับบาลตันคนเดียว เบซองมินก็เป็ นเช่นนี้

'เป็ นเพราะศิลปะแห่งความตายหรือไม่ก็มีบางอย่างเกี่ยวกับอันเดธที่ฉันไม่รู้ "

ขณะที่มูยองกำลังครุ่นคิดประตูก็ถูกเปิ ดออก

“ลอร์ดของข้า! เป็ นท่านจริงๆใช่ไหม!”

ร่างท้วมเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเขา

เขาผู้นั้นคือคนแคระนามว่าการ์มูส

ในอดีตมูยองเคยช่วยเขาขึ้นมาจากสังเวียนใต้ดิน และหลังจากนั้นการ์มูสก็กลายเป็ นผู้ติดตามของมูยอง

“การ์มูส”

“ อ่าท่านกลับมาแล้วจริงๆ!”

ร่างกายของการ์มูสสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และเกือบจะร้องไห้เมื่อเห็นหน้ามูยอง

“ ข้าคิดว่าต้องมีบางสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับท่าน ถึงแม้ข้าจะไม่เชื่อก็ตาม แต่เวลาก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน”

“ ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก”

"แน่นอน ข้าเชื่อในตัวท่าน"
“ ฉันอยากรู้รายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของเรา"

"ย่อมได้ ข้าจะอธิบายทุกอย่าง”

การ์มูสพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น

สิ่งที่เปลี่ยนไปในสองปี ที่ผ่านมา ถ้าเขาใช้ทักษะของ 'ลอร์ด' เขาสามารถค้นหาสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่ทุกสิ่ง


ไม่สามารถเข้าใจได้เพียงการมองผ่านตัวเลขอย่างเดียว

มันเข้าใจได้ง่ายกว่าเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นกับหู รวมไปถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง


เหตุการณ์ในสงคราม

“ …เนื่องจากสงครามพิชิตดินแดนเริ่มขึ้น คนแคระจึงไม่สามารถติดต่อกันได้ และเนื่องจากเราไม่สามารถ


ติดต่อกับหัตถ์พระเจ้าบาร์ทัส ตอนนี้พวกเขาอาจเริ่มสร้างเส้นทางป้ องกันตนเองแล้ว”

การป้ องกันตัวเอง

เป็ นระดับการซ่อนตัวขั้นสูงสุดจากศัตรูของคนแคระ เหมือนตอนที่พวกเขาหนีจากมังกรในอดีต

ยังไงก็ตามมูยองต้องการความสามารถของบาร์ทัส ในการสร้างส่วนที่เหลือของเซ็ตอุปกรณ์ 'ราชันอมตะ'

ชิ้นส่วนของราชันอมตะ และไอเทมที่บรรจุพรแห่งดวงจันทร์ ขณะเตรียมไอเทมเหล่านั้นหมดแล้วสิ่งที่เหลือ


อยู่ก็คือหาช่างฝี มือมาสร้างมัน

“ ถ้าเราเปิ ดทางและมอบทหารส่วนหนึ่งกับนาย นายมั่นใจหรือเปล่าว่าจะหาบาร์ทัสเจอ”

"ท่านหมายถึงข้า?"

"ใช่"

การ์มูสคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

“ ข้าจะพยายาม ไม่สิ ข้าทำได้แน่นอน”

“ ไปกับทาร์แคน เขาใช้เวทย์มนตร์เกี่ยวกับการส่งผ่านทางไกลได้ พอนายเจอบาร์ทัสจะได้กลับอาณาเขตได้


ทันที "
"ตกลง"

การ์มูสตอบอย่างร่าเริง ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งที่มีความสุขจริงๆที่มูยองกลับมา

“ อะไรคือเหตุผลที่นายต้องสู้กับสกายลอร์ด?” มูยองหันไปถามบาลตัน

“ เป็ นเพราะเกล็ดของมัน เราสรุปว่ามันเป็ นวิธีเดียวที่จะป้ องกันสายฟ้ าของชาร์ซาซ่าได้…สกายลอร์ดจะลอก


คราบทุกๆ 14 วันและอ่อนแอลง ผมเชื่อว่าเราสามารถใช้ประโยชน์จากเวลานั้นได้”

แต่ความเป็ นจริงนั้นแตกต่างจากที่คิดไว้มาก บาลตันพูดด้วยความเสียใจเล็กน้อยขณะที่เขาได้เผชิญกับพลังที่


ท่วมท้นของสกายลอร์ด หากมูยองไม่แทรกแซงการต่อสู้เขาจะต้องสูญเสียทหารเกือบทั้งหมดไปแล้ว

อย่างไรก็ตามหากพูดถึงชาร์ซาซ่า มันเป็ นราชาปี ศาจผู้ใช้สายฟ้ า

ถึงมูยองจะไม่เคยพบมันมาก่อน แต่มันเป็ นหนึ่งในราชาปี ศาจอันดับต้นๆ ดังนั้นมันจะต้องมีพลังมากแน่ๆ

แม้ว่าพวกบาลตันจะแข็งแกร่งขึ้น แต่มันคงยากที่จะต่อสู้กับราชาปี ศาจอย่างชาร์ซาซ่า นั่นเป็ นเหตุผลที่เขาเดิม


พันเพื่อให้ได้ส่วนผสมสำหรับป้ องกันการโจมตีด้วยสายฟ้ า

ถึงมันจะไม่ง่าย แต่มูยองไม่เคยคิดว่าเขาจะแพ้

หากเขาไม่สามารถเอาชนะราชาปี ศาจตนนี้ได้ เขาจะแข่งขันกับเหล่าเทพปี ศาจได้อย่างไร

มูยองสัมผัสดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยว จากนั้นความโกรธเกรี้ ยวก็ส่งเสียงหึ่งๆออกมาด้วยความกระตือรือร้น

***

ชาร์ซาซ่าชอบเล่นเกม

แทนที่จะบดขยี้คู่ต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่ง เขาชอบให้ความหวังก่อนจะสังหารศัตรูมากกว่า

“ นี่คือศิลปะอย่างแท้จริง”

ชายผิวเหลืองผู้ที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้ากล่าว

ชาร์ซาซ่าชื่นชมยักษ์ที่กำลังถูกตรึงด้านหน้า นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆที่มีสภาพไม่ต่างกันอยู่รอบๆ
ขณะที่ชาร์ซาซ่ายื่นมือออกมา คลื่นไฟฟ้ าก็วิ่งวนไปทั่วร่างของผู้ที่ถูกตรึงก่อนจะค่อยๆเผาไหม้พวกเขา

“ ตายซะยังดีกว่าหากจะนำความอับอายมาสู่นักรบของเรา! สังหารข้าซะ !!”

ยักษ์ทั้งหมดเสียชีวิต สิ่งมีชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่นก็ตายเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีลมหายใจ มีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่เหลือรอดอยู่เพียงหนึ่ง

นักรบที่ถูกขังอยู่ในกรงเหล็กขนาดใหญ่ รองหัวหน้าเผ่าไฟทาร์ โอการ์

ในขณะที่มองเขา ชาร์ซาซ่าหัวเราะ

“ พวกมันไม่ได้วิ่งแจ้นเข้ามาช่วยเจ้าเองหรอกเหรอ? แล้วจะให้ข้ารีบสังหารเจ้าได้ยังไง หมดสนุกกันพอดี”

ยักษ์ใหญ่เหล่านี้เผชิญหน้ากับชาร์ซาซ่าเพื่อช่วยโอการ์

ทว่าเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่นๆ สำหรับซาซ่าทั้งหมดก็เป็ นแค่มดปลวกที่อาศัยอยู่ใน 'ดินแดน' แห่ง


นี้เท่านั้น เขาไม่ได้สนใจพวกมันมากนัก

"สารเลว! ข้าจะ... ฆ่าเจ้า! ไม่ว่าจะเลือดเนื้อหรือแม้แต่กระดูกข้าก็จะไม่ทิ้งเหลือไว้ในร่างกายเจ้า!”

“ ฟังดูค่อนข้างสนุกเหมือนกันนะ”

ชาร์ซาซ่าระเบิดเสียงหัวเราะ

ในขณะนั้นปี ศาจผู้ใต้บังคับบัญชาของมันก็มารายงานบางสิ่ง

“ท่านซาซ่า”

"มีอะไร? ข้าเหมือนจะเคยบอกเจ้าไปแล้วนะว่าห้ามรบกวนข้าเวลาสร้างผลงานศิลปะ?”

"โปรดอภัย แต่เจ้าของ 'อาณาเขต' ผู้รวบรวมเผ่าพันธุ์ต่างๆกลับมาแล้ว”

'หืม?'

สิ่งมีชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่นนอกจากปี ศาจ เจ้าของอาณาเขตของเผ่าพันธุ์ที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย? แค่เพิ่มมาอีกหนึ่ง


แล้วพวกมันจะทำอะไรได้? ชาร์ซาซ่าหัวเราะ
“ นั่นไม่มีความสำคัญใดๆ ”

โผล๊ะ!

ร่างของปี ศาจตนนั้นแตกออกเป็ นชิ้นๆ และในขณะที่ซาซ่าหัวเราะ โอการ์ก็หัวเราะด้วย

'เขากลับมาแล้ว! มูยอง! ฮ่าๆ!

“ มีอะไรน่าขันง้ันเหรอ?”

“ เขายังไม่ตาย! อย่างที่คาดไว้เขาเป็ นอมตะ ข่ะฮ่าๆๆๆ!”

โอการ์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ เจ้าสารเลวนี่เสียสติไปแล้ว”

ซาซ่าเชื่อว่าสุดท้ายโอการ์ก็สูญเสียความคิดของเขา

เขาคงเป็ นบ้าไปหลังจากเห็นพวกพ้องเสียชีวิต

และแน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับเจ้าของอาณาเขตที่ชื่อว่ามูยองมากเท่าไหร่

KotB บทที่ 214 : ราชาปี ศาจเหล็กเอนโรธ (3)

พื้นที่ที่เรียกว่าอาณาเขต?

มูยองเหมือนไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของอาณาเขตตัวเอง ดังนั้นคุณสามารถพูดได้ว่ามูยองเป็ นลอร์ดที่มีความ


สามารถในการปกครองต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

เขากลายเป็ นผู้ปกครองอาณาเขตเพียงเพราะมันเป็ นสิ่งจำเป็ นเท่านั้น

และแน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าคนในปกครองของตนจะพัฒนาไปถึงขั้นที่หยุดการโจมตีของซาซ่าได้

หนึ่งในข้อมูลที่เขาได้ยินมา มีโดเกบิคนหนึ่งเป็ นผู้นำในการป้ องกันการโจมตีของซาซ่า

โดเกบิเป็ นเผ่าพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์ยาวนานกับมูยอง หลังจาก 'เซฮุน' เสียชีวิตโดเกบิที่เหลือต่างตกอยู่ใน


ความระส่ำระสายงก่อนที่ผู้นำคนใหม่จะปรากฎตัว
“ ข้าชื่อดอนทัค เป็ นหัวหน้าของโดเกบิเผ่าทองคำจำนวนกว่า 2,000 ตนและตอนนี้เป็ นผู้นำโดเกบิในอาณาเขต
ของเรา”

มูยองไม่เคยเห็นผู้นำคนใหม่คนนี้มาก่อน แต่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับโดเกบิเผ่าทองคำ พวกมันมีผิวสีทองและเก่ง


มากที่สุดในบรรดาเหล่าโดเกบิทั้งหลาย อย่างไรก็ตามจำนวนของพวกมันน้อยมากจนไม่สามารถแข่งชิง
ตำแหน่ง 'โอม' ได้ และเข้าร่วมอาณาเขตมาตอนที่มูยองไม่อยู่

อาจเพราะเหตุนั้นมูยองจึงรู้สึกว่าดอนทัคไม่ให้ความเคารพเท่าไหร่ แม้ว่าดอนทัคจะพูดเหมือนเคารพแต่ก็ไม่
พบความเคารพในพฤติกรรมของเขา ดูเหมือนมูยองจะกำลังประเมินดอนทัคอยู่ว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใด

'เขาแข็งแกร่ง'

เขาแข็งแกร่งจริงๆแต่แน่นอนว่าเป็ นในแง่ของโดเกบิ ดอนทัคดูเหมือนจะมีความมั่นใจในทักษะของตน และ


ไม่พอใจกับตำแหน่งปัจจุบัน

มูยองไม่ชอบดวงตาของดอนทัคที่เต็มไปด้วยความท้าทาย อย่างไรก็ตามเขาไม่ชอบพูดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ชอบ


ดูความประพฤติและผลงานมากกว่า

“ นายรับผิดชอบแทนฮันซุงใช่ไหม?”

“ ใช่ เพราะเราไม่สามารถปล่อยตำแหน่งนี้ให้ว่างนานๆได้…”

“ ดังนั้น นั่นก็หมายความว่ามันเป็ นเพียงชั่วคราว”

ตำแหน่งชั่วคราว

ดอนทัคไม่พอใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาไม่เคยคิดว่ามูยองจะพูดใส่หน้าตนแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เป็ น


เรื่องจริงที่มูยองไม่เคยแต่งตั้งดอนทัคให้เป็ นผู้นำของโดเกบิ

แม้ว่าดอนทัคสามารถก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งดังกล่าว ใช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติและปกป้ องดินแดน แต่เมื่อมูยอง


กลับมาแล้วเขาต้องแก้ไขสายบังคับบัญชาให้ถูกต้องอีกครั้ง

“ เป็ นเวลาสองปี ที่โดเกบิได้รวมเป็ นหนึ่งเดียวภายใต้คำสั่งของข้า และหน่วยที่ข้าเป็ นผู้นำก็คือหน่วยที่


แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตนี้”

เขาเรียกความสนใจต่อมูยอง อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้ถูกชักนำ มูยองไม่เชื่อคำพูดใครง่ายๆโดยปราศจากการ


พิสูจน์
“ ฉันยังไม่เคยเห็นความสามารถของนายเลย ดังนั้นนายจะต้องพิสูจน์พวกมัน”

“ ท่านหมายถึงอะไร”

“ ไปช่วยอลันและผู้ที่ถูกซาซ่าจับตัวไว้ ”

มูยองได้ข่าวว่ามีพลเมืองหลายคนของตนถูกซาซ่าจับและคุมขังเอาไว้ เนื่องจากนิสัยที่ชอบเล่นสนุกกับเหยื่อ
ดังนั้นมันจะไม่สังหารเหยื่อในทันที และในเมื่อพลเมืองของเขายังไม่ตาย ก็จำเป็ นต้องช่วยเหลือพวกเขาเป็ น
เรื่องธรรมดา นอกจากนี้หนึ่งในมือดาบที่ดีที่สุดในอาณาเขตอย่างอลันก็ตกเป็ นเชลยของซาซ่าด้วย

การแสดงออกของดอนทัคกลายเป็ นแข็งทื่อ

“ มันออกจะยากเกินไปสำหรับเผ่าพันธุ์อย่างโดเกบิ”

“ นายกำลังพูดอะไร?”

“... ?”

“ การช่วยเหลือต้องทำด้วยคนจำนวนน้อยที่สุด นายคิดจะพาโดเกบิทั้งหมดไป? อยากให้ทุกคนตายหรือไง”

นำโดเกบิทั้งหมดไปช่วยเชลยศึก นั่นก็เหมือนการบอกศัตรูว่าเขากำลังจะไปทำสงคราม ซึ่งเป็ นวิธีที่โง่เขลา


อย่างแท้จริง

ใบหน้าของดอนทัคเปลี่ยนเป็ นสีแดง มูยองไม่สนใจและพูดต่อไป

“ สำหรับการออกล่า ฉันต้องการสุนัขนักล่าที่เก่งกาจ ไม่ใช่สุนัขที่เอาแต่เห่า”

ซาซ่าทำตัวเหมือนเป็ นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ขณะที่มูยองไม่อยู่ แต่เจ้าของตัวจริงกลับมาแล้ว สิ่งที่ต้องทำตอน


นี้คือตามล่าคนที่แอบอ้างเป็ นเจ้าของพื้นที่ของเขา!

'เอนโรธ'

ในความเป็ นจริง มูยองจะไปจัดการราชาปี ศาจชาร์ซาซ่าเองก็ได้ แต่ถ้าเขาเป็ นผู้ลงมือเอนโรธจะไหวตัวทัน

เอนโรธ คือราชาปี ศาจผู้ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็ นจักรพรรดิปี ศาจ ในการเข้าไปยุ่งกับมันมูยองจำเป็ นต้องเตรียม


การให้ดี และเป็ นการดีที่สุดที่จะมีหน่วยไล่ล่าจำนวนมาก
นอกจากนี้ถ้าเขาโจมตีเอนโรธเทพปี ศาจอามอนอาจจะปรากฏตัวขึ้น การโจมตีโดยไม่เตรียมตัวใดๆย่อมไม่
ต่างกับการฆ่าตัวตาย

“ ตกลงข้าจะทำมัน ด้วยโดเกบิจำนวน 300 ตนข้าจะช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขังรวมไปถึงอลันออกมา”

มูยองชอบความมั่นใจของเขา ก่อนที่ดอนทัคจะได้รับอนุญาตให้จ้องมองมูยองด้วยสายตาท้าทายเขาจะต้อง
พิสูจน์ตัวเอง

“ จัดการให้ได้ภายใน 7 วัน ระหว่างนั้นฉันจะไปรวบรวมเผ่าพันธุ์ที่อยู่ใกล้ๆทั้งหมด จำไว้ว่าทุกอย่างต้องเป็ น


ไปอย่างรวดเร็วตามที่วางแผนไว้ "

เขาจะทำแบบเดียวกับพวกไฟทาร์หากไม่มีใครให้ความร่วมมือ เพราะหากไม่มีความร่วมมืออย่างเต็มใจ มัน


คงจะไม่ต่างไปกว่าการทำงานแยกกัน แต่หากเป็ นการใช้กำลังสักเล็กน้อยเขาก็ไม่เกี่ยงที่จะรวมพลังของทุกคน
มา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำให้ไฟทาร์เข้าร่วมได้ มันจะกลายเป็ นความช่วยเหลือที่ดี มูยองเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดี


กับพวกไฟทาร์อยู่บ้าง สิ่งต่างๆย่อมสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น และหากทุกอย่างเป็ นไปอย่างราบรื่นจริงๆ
เขาก็จะชนะซาซ่า หลังจากนั้นก็เป็ นเอนโรธ...และ

'ฉันจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการต่อสู้กับเทพปี ศาจ'

พอถึงตอนนั้นอามอนและเหล่าเทพปี ศาจตนอื่นๆก็จะเริ่มเพ่งเล็งมูยอง ก่อนหน้านี้เขาต้องการที่จะแข็งแกร่ง


ขึ้นในขณะที่หลีกเลี่ยงความสนใจ แต่ตอนนี้เป็ นเวลาที่จะค่อยๆโชว์ของบ้างแล้ว

มูยองลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา

ไม่มีเวลาให้เสียเปล่าอีกต่อไป

***

ไฟทาร์เป็ นยักษ์ที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมทั่วตัว นั่นเป็ นเหตุผลที่พวกเขาใช้ 'ต้นโพธิ์ ' เพื่อต่อต้านไฟของตัวเอง


สำหรับพวกเขาต้นโพธิ์ เป็ นดั่งเสมือนมารดาและผู้พิทักษ์ หลังจากมูยองแก้ไขปัญหาเรื่องแมลงของต้นโพธิ์ ให้
พวกเขา ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ ายก็ถือว่าไม่เลวนัก

พอมูยองนำมังกรกระดูกเจ็ดตัวไปเยี่ยมหมู่บ้านของพวกไฟทาร์ก็พบว่าจำนวนนักรบของไฟทาร์ลดลงอย่าง
เห็นได้ชัด ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาไม่เจอโอการ์ในสถานที่ดังกล่าว

'น่าแปลก'
ครั้งหนึ่งโอการ์เคยบอกกับมูยองว่าเขาจะสร้างอาณาจักรของไฟทาร์ขึ้น เขาไม่ใช่คนที่จะถูกสังหารได้ง่ายๆ
แม้จะถูกราชาปี ศาจจู่โจมก็ตาม...

เนื่องจากการปรากฏตัวของมังกรกระดูกทำให้ไฟทาร์มารวมตัวกันที่ทางเข้า

"กลับไปซะ"

มูยองได้พบกับคนที่เหมือนจะเป็ นหัวหน้าของพวกไฟทาร์และเขาถูกปฎิเสธ

หลังจากหัวหน้าใหญ่ของเผ่าเสียชีวิต มูยองคิดว่าโอการ์จะกลายเป็ นผู้ปกครองที่นี่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขา


ไม่สามารถเห็นโอการ์ได้

“ พวกนายสู้กับซาซ่าเพียงลำพังได้งั้นเหรอ?”

“ เราเป็ นไฟทาร์ และไม่มีอะไรที่เป็ นไปไม่ได้สำหรับไฟทาร์”

ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น มีความตึงเครียดปนอยู่

จำนวนไฟทาร์ลดลงอย่างมาก มูยอนเห็นความวิตกกังวลของพวกเขา มันเป็ นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นจากในอดีต


อย่างไรก็มูยองยังไม่เจอโอการ์

“หรือว่าโอการ์…ตายแล้ว?”

มูยองพูด

หากพูดเรื่องการต่อสู้ไฟทาร์มีประสบการณ์ที่ไม่สามารถจินตนาการได้ และสำหรับสงครามครั้งนี้มันก็ไม่น่า
จะมีอะไรพิเศษสำหรับพวกเขา

ดังนั้นเหตุผลที่ไฟทาร์มีปฎิกิริยาแบบนี้ บางทีคงมีบางอย่างเกิดขึ้นกับโอการ์!

หลังจากที่มูยองถาม การแสดงออกของหัวหน้าก็แข็งทื่อ

“ ราชาของผืนดินเล็กๆเช่าเจ้าไม่จำเป็ นต้องกังวลกับเรื่องของเรา”

“ฉันก็แค่กังวลเรื่องของโอการ์ เขาคือเพื่อนของฉัน ”
แม้จะดูแปลกๆหากพูดว่าโอการ์เป็ นเพื่อนของเขา แต่ถ้านับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่โอการ์เป็ นคนใกล้ชิดกับมูยองจริงๆ
ตั้งแต่แรกเริ่มเขาเป็ นคนเดียวที่เข้าใจมูยอง หรือพูดอีกด้านหนึ่งก็คือเขาเป็ นไฟทาร์เดียวที่พยายามเข้าใจเขา

มูยองพูดต่อ

“ นอกจากนี้ฉันยังผ่านบทสดสอบของไฟทาร์แล้ว จะทำเหมือนฉันเป็ นคนนอกก็คงไม่ถูกต้องนัก”

“ ผู้ที่ผ่านการทดสอบเพียง 18 คลื่น ไม่สามารถนับได้ว่าเป็ นนักรบที่แท้จริง”

มูยองเคยผ่านคลื่นการทดสอบสิบแปดครั้งในสมรภูมิไร้จุดจบของไฟทาร์ อย่างไรก็ตามเขามีโอกาสอีกครั้งใน
การเข้าสู่สมรภูมิไร้จุดจบตอนอยู่กับพวกโดเกบิ

เมื่อมูยองโชว์ไหล่ของเขาหมายเลข '34' ก็ปรากฎให้ทุกคนเห็น มันเป็ นตัวเลขที่เขาไปถึงเมื่อเข้าบททดสอบ


ของโอมพร้อมกับเหล่าโดเกบิ

“ นี่เป็ นบันทึกครั้งที่สองของฉัน มันพอหรือยัง?”

“ 34 …แค่โดเกบิสามารถไปถึงระดับนั้นได้ยังไง”

"ฮึ"

การผ่านไปถึง 34 คลื่น ไฟทาร์ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำลายสถิติจำนวนนี้ได้ อย่างไรก็ตามหัวหน้าของพวกเขา


ยังคงมีความเคลือบแคลงอยู่

“ ข้าไม่ยอมรับการ 'ทดสอบ' จากภายนอก”

“ ถ้างั้นฉันจะทำการทดสอบของนักรบเผ่าไฟทาร์อีกครั้ง ถ้าฉันทำลายสถิติของนาย นายจะต้องบอกทุกอย่างที่


รู้เกี่ยวกับโอการ์และไฟทาร์ทั้งหมดจะต้องติดตามฉันออกไป”

มูยองยื่นคำท้า

สำหรับไฟทาร์นักรบ การทดสอบดังกล่าวมีความสำคัญ ผลลัพธ์ของมันไม่สามารถปฎิเสธได้ หมายเลขสูงสุด


ของคลื่นที่ผ่านจะถูกเขียนไว้บนร่างกายของคนๆนั้นและแสดงให้เห็นว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน

เขาสามารถได้รับการยอมรับและความเคารพผ่านการทดลองมากกว่าการประลองฝี มือ

ในขณะที่หัวหน้าเพิ่มแรงกดดันไปที่ไหล่ข้างหนึ่ง ตัวเลขที่สร้างขึ้นจากเปลวไฟก็ปรากฏ
จำนวนคือ 57!

มันเป็ นตัวเลขที่สูงมาก ดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่ารองหัวหน้าเมื่อสองปี ก่อนซะอีก แม้ว่าเขาจะดูด้อยกว่า


เล็กน้อยเมื่อเทียบกับหัวหน้าใหญ่ของเผ่าคนนั้นก็ตาม

“ย่อมได้ แล้วเจ้าจะเดิมพันอะไร”

“ ฉันจะเดิมพันด้วยทุกอย่างที่มี”

มูยองนำกองทัพและอาณาเขตของเขาเข้าเดิมพัน

หัวหน้าไฟทาร์มองมังกรกระดูกที่อยู่ข้างหลังเขา หากนักรบของเขาสามารถใช้มังกรกระดูกเหล่านั้น พลังการ


ต่อสู้ของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นทันที

“ ข้ายอมรับการเดิมพันของเจ้า”

หัวหน้ามองไปที่มูยองด้วยความกระหาย อย่างไรก็ตามมูยองไม่สนใจ

****

<คุณได้เข้าสู่ 'สมรภูมิไร้จุดจบ'>

<บันทึกทั้งหมดในสถานที่นี้จะถูกบันทึกไว้ในหอคอยเกียรติยศของโซโลมอน>

<บันทึกปัจจุบันของผู้ใช้คือคลื่นที่ '34'>

<ป้ องกันศัตรู คุณสามารถกลับมาได้ตลอดเวลาหลังจากสกัดกั้นคลื่นอย่างน้อย 5 ครั้ง>

<คลื่นลูกแรกกำลังเริ่ม>

<คลื่นลูกแรก - 100 ก๊อบลิน>

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากสำหรับสนามรบอันไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้

'การทดสอบของนักรบ' ที่ไฟทาร์ยึดถือกันมาจริงๆแล้วเป็ นสิ่งที่ภูติอย่างวูฮีสร้างขึ้น อย่างไรก็ตามเจ้าของการ


ทดสอบนี้หายไปด้วยเหตุนี้สนามรบจึงไม่เปลี่ยนไปมากนัก
ก๊อบลิน 100 ตัวล้อมมูยองจากทั่วทุกแห่ง

ตูม!

ขณะที่เขาก้าวเท้าออกไปพื้นดินก็สั่นสะเทือน ในขณะนั้นเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ ก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งพื้นที่

เปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ ไม่ได้หายไปในทันที มันลุกท่วมรอบบริเวณสมรภูมิไร้จุดจบ

ฟูมม!

กี๊ซซซ!

เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังขึ้นพร้อมกับคลื่นลูกแรกที่ถูกเคลียร์อย่างรวดเร็ว

<คุณจัดการคลื่นลูกแรกแล้ว>

<คลื่นลูกที่สองเริ่มขึ้นแล้ว>

<คุณจัดการคลื่นลูกที่สองแล้ว>

<คลื่นลูกที่สาม…>

...

<คลื่นลูกที่ 20 ได้เริ่มขึ้นแล้ว>

<300 โกเลมเหล็ก>

ขอบคุณเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ ที่ทำให้เขาใช้เวลาเพียง 10 นาทีสำหรับการเคลีย์คลื่นทั้ง 19 ลูก แต่โกเลมนั้นเป็ น


เรื่องราวที่แตกต่าง พวกมันเป็ นสิ่งมีชีวิตประดิษฐ์ที่จะไม่ตาย หากคุณไม่ทำลายแกนกลางของพวกมัน

เหล็กละลายได้หากถูกไฟเผา แต่ถ้ายังมีแกนกลางพวกมันจะสามารถสร้างตัวเองขึ้นใหม่ได้

มูยองกางปี กสะบัดขนจำนวน 300 เส้นออกไปเจาะแกนกลางของโกเลมทั้ง 300 ตัว

แม้ว่าเปลวไฟจะทำลายมันไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถทำให้การเคลื่อนไหวของโกเลมช้าลงจนง่ายสำหรับเขาที่จะ
ดูแลพวกมันต่อ
<คุณจัดการคลื่นลูกที่ 20 แล้ว> <ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ! สมรภูมิไร้จุดจบพึ่งผ่านไปเพียง 15 นาทีเท่านั้น>
<คุณได้รับคะแนน '3' แต้ม> <คุณจะมีโอกาสใช้คะแนนในทุกๆ 50 คลื่น>

เป็ นเรื่องแปลกที่ได้รับแต้มคะแนนในสมรภูมิไร้จุดจบ

'ร้านค้า' ที่ปรากฏหลังจากเคลียร์ 50 คลื่น แตกต่างจากร้านค้าทั่วไปอย่างแน่นอน คุณสามารถซื้อไอเทมด้วย


คะแนนเท่านั้นโดยที่พวกมันทั้งหมดล้วนเป็ นไอเทมที่มีเอกลักษณ์และหายาก

'ฉันจะคิดว่ามันเป็ นโบนัสแล้วกัน'

มูยองยักไหล่และรอให้คลื่นลูกต่อไปเริ่ม เขาอยากรู้ตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน

บทที่ 215: ราชาปี ศาจเหล็กเอนโรธ (4)

ไฟทาร์รวมตัวกันรอบๆการทดสอบ

สำหรับทุกยุคสมัย การทดสอบผ่านคริสตัลทรงกลมขนาดใหญ่เป็ น 'ประเพณี' ที่ยึดมั่นกันตลอดมา และ


ผลลัพธ์จากมันก็กลายเป็ นสิ่งที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือ

อย่างไรก็ตามมีเพียงคนเดียวที่สามารถก้าวข้ามคลื่นลูกที่ 57 ได้ นั่นก็คือหัวหน้าใหญ่ของเผ่า แต่อนิจจาเขาเสีย


ชีวิตไปแล้ว

ตามประเพณีผู้ที่เป็ นรองหัวหน้าควรจะเข้ามาแทนที่ในฐานะผู้นำ แต่เขายังเยาว์วัยเกินไปและไม่แข็งแกร่งมาก


พอ ดังนั้นในตอนนี้ 'ยาตาร์' จึงต้องรับบทบาทหัวหน้าใหญ่แทนไปก่อน

“ อืม คงเป็ นไปไม่ได้ที่โดเกบิจะก้าวข้ามคลื่นที่ 57 ได้”

“ แต่ก่อนหน้านี้ดยุคก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเขา”

“ นั่นเป็ นเพราะหัวหน้าใหญ่ของเราทำให้ดยุคอ่อนแอลง ไม่อย่างนั้นเขาคงทำไม่สำเร็จหรอก”

เกิดเป็ นความคิดเห็นที่แตกต่าง

พวกเขามีจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ ยมไปด้วยความเป็ นนักรบและเคารพผู้ที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่ง


ของมูยองยังไม่ได้รับการประเมินอย่างชัดเจนเหมาะสม

สองชั่วโมงเพิ่งผ่านไปและโดยปกติแล้วการทดสอบจะต้องใช้เวลาหลายวัน ยาตาร์ถือหอกของเขาขณะเงย
หน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้ า
พระอาทิตย์กำลังค่อยๆตกดิน

จากนั้น...เมื่อราตรีย่างกลายเข้ามาเหล่าปี ศาจก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้น

“ กลับไปประจำตำแหน่ง”

“ เราจะไม่ไปช่วยเหลือรองหัวหน้าเผ่าหรือ?”

หนึ่งในไฟทาร์อาวุโสถาม

ที่จริงแล้วรองหัวหน้าเผ่าคือผู้ที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งผู้สืบทอดมากที่สุดและยาตาร์เป็ นเพียงผู้นำชั่วคราว ผู้ที่


ไฟทาร์ติดตามอย่างแท้จริงคือโอการ์เท่านั้น

ยาตาร์ก็รู้ความจริงนี้ด้วย

อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถทำตามความต้องการของทุกคนได้

ยาตาร์ลองส่งนักรบกลุ่มหนึ่งไปช่วยโอการ์แล้ว แต่ก็ไม่มีใครได้กลับมาอีกเลย

ทุกคนกำลังตกอยู่ในความสับสน และเขาจำเป็ นต้องตัดสินใจ เขาไม่สามารถเสียสละนักรบอีกต่อไปได้เพราะ


ต้องรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองเอาไว้

“ หยุดคิดถึงเขาเถอะ ข้าไม่อาจส่งนักรบออกไปได้อีกแล้ว”

"นั่นมัน…!"

“ หากสถานการณ์ยังเป็ นเช่นนี้เราเองก็จะไม่รอดเช่นกัน ต้นโพธิ์ จะถูกโค่นและเผ่าพันธุ์ของเราจะถูกทำลาย”

เมื่อใดก็ตามที่ปี ศาจเข้ายึดครองอาณาเขตสิ่งดังกล่าวจะเกิดขึ้น เพราะนั่นเป็ นนิสัยของพวกมันที่จะทำลายสิ่ง


สำคัญที่สุดเสมอ

“ แต่วางใจเถอะข้าจะแก้แค้นให้กับรองหัวหน้าเอง ข้าจะสังหารชาร์ซาซ่าด้วยมือทั้งสองข้างนี้”

ยาตาร์กำหมัดแน่น

สงครามที่กินเวลายาวนานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานั้นชาร์ซาซ่าทำเหมือนพวกเขาเป็ นของเล่น มันจับตัวไฟ


ทาร์ไปและสร้างความอับอายให้ก่อนที่จะลงมือสังหารอย่างเหี้ยมโหด
จำนวนไฟทาร์ลดลงมากกว่าครึ่ ง หากยังดำเนินต่อไปเช่นนี้พวกเขาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกฆ่าล้างเผ่า
พันธุ์ได้ ดังนั้นยาตาร์ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่

ถ้าโอการ์รอดชีวิตมาได้ก็นับว่าโชคดี แต่ชาร์ซาซ่าไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยให้ตัวประกันของมันมีชีวิตอยู่
ได้นานนัก

“ พวกมันจะเข้ามาโจมตีในอีกสองวัน! เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่จะเกิด เพื่อสังหารชาร์ซาซ่า การ


ต่อสู้ของเหล่านักรบที่ยิ่งใหญ่จะเริ่มขึ้น!”

ตึง! ตึง! ตึง!

ยาตาร์กระทืบเท้าลงพื้นในขณะที่ไฟทาร์อื่นๆก็กระทืบเท้าตาม

สถานการณ์ของรองหัวหน้าเผ่านับว่าเลวร้าย แต่สิ่งที่ยาตาร์พูดนั้นเป็ นเรื่องจริง หากพวกเขาต้องเสียสละ


มากกว่านี้โอกาสในชัยชนะของพวกเขาจะใกล้เคียงกับศูนย์

เพื่อก้าวย่างที่จะได้รับชัยชนะ...เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดิมพันทุกอย่างในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในอีก
สองวัน

***

ฮย๊าาาาาาาา!

ฉัวะ! ฉึก!

ช่วงเวลาเช้ามืด เหล่าปี ศาจเร้นกายลอบปี นข้ามรั้วและกำแพงบุกเข้าไปในหมู่บ้านของไฟทาร์

การจู่โจมอย่างกะทันหัน!

มันเป็ นเช้าก่อนที่จะครบสองวัน ปี ศาจกว่าพันตนได้บุกโจมตีเหล่าไฟทาร์โดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว

“เหล่านักรบทั้งหลาย! คว้าอาวุธของพวกเจ้า! สังหารปี ศาจชั่วให้หมด!”

ยาตาร์ตะโกนขึ้นขณะที่หักคอปี ศาจตัวหนึ่งที่บุกรุกเข้ามาในบ้าน อย่างไรก็ตามเขาไม่เข้าใจ พวกปี ศาจไม่เคย


บุกแบบนี้มาก่อน

สิ่งเหล่านี้เป็ นกลยุทธ์ที่แตกต่างจากที่ผ่านมาเป็ นอย่างมาก


มันเป็ นเพราะชาร์ซาซ่านั้นหยิ่งผยอง

มันมักสู้ซึ่งๆหน้าและได้รับชนะอย่างต่อเนื่องราวกับว่าไม่จำเป็ นต้องลอบจู่โจมศัตรูที่อ่อนแอกว่า

แต่ทำไม ?

'ข้อมูลรั่วไหลหรือไม่'

นั่นเป็ นความคิดเดียวที่สมเหตุสมผล

ชาร์ซาซ่าคงจะไม่สบายใจกับสงครามที่เริ่มตึงมือ และด้วยข้อมูลที่รั่วไหลออกมา พวกมันจึงรู้ว่านี่เป็ นเวลาที่


จะบุกเข้าโจมตีไฟทาร์

ยาตาร์รีบออกจากที่พักของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ทุกสิ่งในบริเวณใกล้เคียงกำลังถูกเผาไหม้ ซากศพของไฟทาร์กระจายไปทั่ว กลิ่นของร่างที่ถูกเผาเหม็นโชย


คละคลุ้ง

“ เจ้าพวกปี ศาจ! แน่จริงก็มาสู้กับข้ายาตาร์ผู้นี้!”

เขาควงหอกเล่มใหญ่ไปมาอย่างเกรี้ ยวกราด จากนั้นปี ศาจก็กรูไปหายาตาร์ราวกับพบเหยื่อ

ฟุบ ฟุบ

ปี ศาจตัวเดียวนับว่าอ่อนแอ แต่หากเป็ นปี ศาจหลายตัวก็ถือเป็ นอีกเรื่องหนึ่ง

การรวมตัวกันของปี ศาจสร้างเสียงสั่นสะเทือนไปทั่ว และทุกครั้งที่พวกมันพร้อมใจกันกางปี ก สายลมรุนแรง


จะพัดเปลวเพลิงบนร่างของยาตาร์ให้อ่อนแอลง

“ กลยุทธ์อ่อนหัด!”

ยาตาร์หมุนควงหอกของเขาเร็วขึ้น จากนั้นอากาศรอบด้านก็กลับสู่ปกติอีกครั้ง

ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่กำลังบ้าคลั่ง ยาตาร์พุ่งเข้าหาปี ศาจตัวแล้วตัวเล่าและฉีกพวกมันออกเป็ นชิ้นๆ ไฟทาร์ที่


รอดจากการลอบจู่โจมเริ่มหยิบอาวุธขึ้นสู้และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์
อย่างไรก็ตามปี ศาจยังไหลหลั่งเข้ามาเรื่อยๆเหมือนฝูงปลาในน้ำ เมื่อเทียบกันแล้ว ดูเหมือนจะมีปี ศาจมากกว่า
ไฟทาร์อย่างน้อยถึง 10เท่า

หากไฟทาร์จากทุกเผ่ารวมตัวกันทันการลอบจู่โจมเช่นนี้คงไม่ได้ผล ทว่าพวกเขายังอยู่ในระหว่างเตรียมการ
รวบรวมกองกำลังจากพื้นที่อื่น

'ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะบุกก่อนที่เราจะรวมตัวกัน'

'ข้อมูลรั่วไหลจากไหนกันนะ?'

“เจ้าตัวงี่เง่าทั้งหลาย พวกแกไม่คิดบ้างเหรอว่าข้าจะจับตาดูหมู่บ้านนี้อยู่?”

เปรี้ ยง!

ใช้เวลาเพียงเสี้ ยววิ บอลสายฟ้ าก็ถูกส่งเข้าไปที่กลางหลังของยาตาร์

“อ๊าก!”

ขณะที่ร้องด้วยความเจ็บปวดยาตาร์ก็หันไปยังทิศทางของศัตรู

มันเป็ นปี ศาจเปลือยกายล่อนจ้อน ผิวสีเหลือง ดูแตกต่างจากปี ศาจตนอื่นๆ

และปี ศาจที่สามารถควบคุมสายฟ้ านามว่าชาร์ซาซ่าก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อสายตาของเขา

“ เจ้านี่มันยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ พยายามขัดขวางความสุขของข้างั้นเหรอ? ฮึ? พวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจศิลปะของข้า


หรอก!”

ชาร์ซาซ่าทึ้งผมตัวเอง จากนั้นก็พูดขณะที่มองไปยังยาตาร์ ผู้ซึ่งดูเหมือนว่าเกือบจะหมดสติอยู่รอมมะร่อ

“ ไฟทาร์มีเลือดของนักรบไหลเวียนอยู่แล้วยังไง เมื่ออยู่ต่อหน้าความตายทุกเผ่าพันธุ์ล้วนไม่แตกต่างกัน ”

ชาร์ซาซ่าดูผ่อนคลายมาก

“ รองหัวหน้า…เกิดอะไรขึ้นกับรองหัวหน้าของเรา”

ยาตาร์พยายามยืนหยัดขึ้น แม้ว่าเลือดของเขาจะไหลออกมาจากบาดแผล แต่มันก็ถูกความร้อนกัดกร่อนและ


หายเป็ นปกติอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามอวัยวะภายในร่างของเขากลับถูกทำลายอย่างทั่วถึง
ซาซ่ายิ้มสดใส

“ เจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่ด้วยสติที่ยึดมั่นกับอะไรบางอย่าง ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะทนได้ขนาดนี้ แต่ในอีกหนึ่งหรือ


สองชั่วโมงนี้ก็ไม่แน่นัก เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้”

“ ถ้างั้น…ข้าจะสังหารเจ้าก่อน”

"เจ้างั้นรึ? ที่จะสังหารข้า?”

ชาร์ซาซ่าทำหน้าเย้ยหยัน

จากนั้นวงแหวนสายฟ้ าก็ถูกสร้างขึ้นรอบตัวมัน

“ เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถฝ่ า 'สายฟ้ า' ของข้าเข้ามาได้?”

แซ่ดดด !!!

กระแสไฟเริ่มแข็งแกร่งขึ้น

เกี่ยวกับกำแพงสายฟ้ าที่ซาซ่าสร้างขึ้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทะลุผ่านได้ แน่นอนว่ามันเป็ นไปไม่ได้


สำหรับไฟทาร์

ถึงแม้ว่าไฟทาร์จะเป็ นผู้ล่าในบรรดามอนสเตอร์ แต่ในสายตาของราชาปี ศาจพวกเขาก็ไม่ต่างไปจากเผ่าพันธุ์


อื่นๆ เป็ นเพียงสิ่งมีชีวิตที่อาจตายได้หากเผลอไปเหยียบเข้า

“ ไหนให้ข้าชมความสามารถของเจ้าหน่อย รับรองว่าแม้แต่นิ้วข้าก็จะไม่ขยับหนีไปไหน”

นี่ก็เป็ นหนึ่งในเกมของเขา ชาร์ซาซ่าชอบเล่นเกมเช่นนี้

และยาตาร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเล่นตาม

ชาร์ซาซ่าพูดต่อ

“ ถ้าเจ้ายังไม่รีบล่ะก็ ไฟทาร์ทั้งหมดที่นี่จะต้องตาย”

กระทั่งขณะที่มันพูดร่างของเหล่าไฟทาร์ก็ยังถูกดับสังหารไปทีละร่าง เป็ นเวลาเกือบหนึ่งปี แล้วตั้งแต่ชาร์ซา


ซ่าแสดงให้ทุกคนเห็นว่าตัวมันแข็งแกร่งไร้ทางต่อต้านเพียงใด
หากมีความเป็ นไปได้ใดที่ยาตาร์จะประสบความสำเร็จก็คงเป็ นเพราะความประมาทของซาซ่า

ยาตาร์ก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน

เขาถือหอกและสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะวิ่งไปที่ชาร์ซาซ่า

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!!!

ทั่วทั้งร่างของยาตาร์ปริแตก ถึงแม้ว่าตามธรรมชาติไฟทาร์จะควบคุมเปลวไฟได้ด้วยรากของต้นโพธิ์ ที่แขวน


ไว้รอบเอว

อย่างไรก็ตามมันไม่เกี่ยวกับสายฟ้ าของซาซ่า กระแสไฟไหลทั่วร่างกายของยาตาร์ เจาะผ่านกระดูกสันหลัง


และสมองของเขา ยาตาร์กัดฟันแน่นเมื่อจิตใจเริ่มว่างเปล่าและสูญเสียการมองเห็น

“ อย่างน้อยต้องกำจัดเจ้าให้ได้…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น!”

หลังจากหัวหน้าใหญ่ของเผ่าเสียชีวิต แม้ว่าเขาจะได้รับตำแหน่งนี้เพียงชั่วคราว แต่ยาตาร์ก็มีความรับผิดชอบ


มากพอ

หากสามารถยุติสงครามนี้ได้แม้ต้องตายเขาก็ยินยอม เพื่อการทำเช่นนี้เขาต้องสังหารชาร์ซาซ่าให้ได้ นั่นเป็ น


วิธีเดียวที่เขาสามารถรักษาหน้าที่ของตน

ยาตาร์เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

เขาผ่านกระแสไฟฟ้ ารุนแรง และค่อยๆย่างก้าวไปข้างหน้าโดยมีเป้ าหมายอยู่ที่หัวใจของชาร์ซาซ่า

เมื่อห่างกันเพียงสี่ก้าวชาร์ซาซ่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเช่นกัน

ซาซ่าไม่เคยคาดคิดว่าไฟทาร์จะผ่านกำแพงดังกล่าวมาได้ อย่างไรก็ตามผลที่ออกมาทำลายความเชื่อเหล่านั้น

ตึง! ตึง!

เขายิ่งเข้าไปใกล้มากขึ้นทีละก้าวๆ

ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในระยะทางที่ลมหายใจของพวกเขาสามารถส่งถึงกันและกันได้

ร่างของชาร์ซาซ่าสั่นเบาๆ และนิ้วของเขาก็ขยับโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
แซ่ดดดดดด!

กระแสไฟฟ้ ากลายเป็ นแข็งแกร่งมากขึ้น มันรุนแรงเป็ นสองเท่าในขณะที่พุ่งผ่านไปทั่วร่างกายของยาตาร์ จาก


นั้นร่างกายทั้งหมดของยาตาร์ก็เริ่มหลอมละลาย

หากมาถึงจุดนี้สิ่งมีชีวิตจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป หรือโดยปกติจะเป็ นแบบนั้น

อย่างไรก็ตาม

เปรี๊ยะ!!!

ตึง!

ใบหน้าของยาตาร์เริ่มพังทลาย หอกของเขาโดนเผาจนกลายเป็ นฝุ่ น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยื่นมือออกมา

ตึบ!

เขาใช้มือแตะไปที่หน้าอกของชาร์ซาซ่า

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

“ ถึงแม้ว่าความห้าวหาญของเจ้าจะน่าชื่นชม แต่ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องตาย”

ชาร์ซาซ่ายิ้มแต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียหน้า ชาร์ซาซ่าไม่คิดว่ายาตาร์จะสามารถทำลายความภาคภูมิใจของ
มันลงได้เช่นนี้

และในตอนนั้นเอง...

“ แกมันน่ารังเกียจจริงๆ”

เสียงดังมาจากด้านข้างจนชาร์ซาซ่าต้องเอียงศีรษะแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง

ชาร์ซาซ่าหันศีรษะของมัน

จากนั้นมันก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ในวงล้อมของกระแสไฟฟ้ าราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

ซาซ่าไม่คิดว่าจะมีผู้ใดเข้ามาใกล้ตัวเองได้โดยที่มันไม่รู้ตัวเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นชาร์ซาซ่าไม่ได้สังเกตเห็นชายคนนั้นจนกว่าเขาจะพูดขึ้น!

ทว่าชายคนนั้นไม่ได้มองมายังชาร์ซาซ่า

เขามองไปที่ยาตาร์ซึ่งกำลังจะดับสลายด้วยการถูกเผาไหม้

“ ตามที่สัญญาไว้ฉันจะรับผิดชอบเรื่องไฟทาร์เอง นายมีข้อขัดข้องอะไรอีกไหม?”

ยาตาร์มองไปที่ชายคนนั้น

เขามองไหล่ของชายคนนั้นและยิ้มอย่างมีความหวัง จากนั้นเขาก็ค่อยๆหลับตาในขณะที่ทรุดตัวลงกับพื้น

"เจ้าคือใคร?"

ชาร์ซาซ่าถามด้วยความรู้สึกระแวดระวังเล็กน้อย

ชายคนนั้นมองไปรอบๆราวกับไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ในเขตสงครามตอนปรากฎตัวออกมา

ยังไงก็ตามเขาไม่ได้แสดงความเกลียดชังใดๆต่อสงครามที่เกิดขึ้น มันเหมือนกับเขาจะเคยชินกับเหตุการณ์
เช่นนี้อยู่แล้ว

“ ฉันคือผู้นำคนใหม่ของที่นี่”

สวูม!

ชายคนนั้นหยิบดาบออกมา

“ ส่วนเรื่องอื่นนายไม่จำเป็ นต้องรู้”

เขาควงอาวุธของเขา

อาวุธสีดำที่กำลังปลดปล่อยความรู้สึกอันชั่วร้าย

ความชั่วร้ายที่ดูเหนือยิ่งกว่าความมืดมิดของราชาปี ศาจ ชาร์ซาซ่าตระหนักถึงเรื่องนี้ได้โดยสัญชาตญาณ

ชายผู้นั้นกางปี กสีเทาทั้งหกของเขา ในเวลาเดียวกันสายฟ้ าทั้งหมดก็แตกกระเจิงหายไป


กำแพงสายฟ้ าหายไปในขณะที่เขากางปี ก!

ชาร์ซาซ่ามองมูองราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง อย่างไรก็ตามชายคนนั้นทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรพิเศษ

เช่นเดียวกับที่ซาซ่าทำก่อนหน้า ชายคนนั้นยิ้มก่อนจะพูดต่อไป

“ เพราะนายกำลังจะตายด้วยมือของฉัน”

วูม!

ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็พัดผ่านและเสื้อผ้าของมูยองก็กระเพื่อม

จากนั้นตัวเลขบนไหล่ของเขาก็ปรากฏอย่างชัดเจน

127!

.................................

บทที่ 216: ราชาปี ศาจเหล็ก เอนโรธ (จบ)

ด้วยจำนวนที่สูงอย่างท้วมถ้น ไม่มีไฟทาร์คนไหนแม้แต่หัวหน้าใหญ่ที่สามารถท้าทายไปถึงคลื่นลูกที่ 100ได้

อย่างไรก็ตามมูยองก็ประสบความสำเร็จสำหรับคลื่นลูกที่ 127 ...การทดสอบที่ไม่มีใครเคยไปถึง ระดับที่ไม่


เคยมีมาก่อน

ถึงอย่างนั้นมูยองก็ยังไม่พอใจ

'คลื่นลูกที่ 127เป็ นด่านสุดท้าย'

สมรภูมิไร้จุดจบ เขาคิดว่ามันจะสามารถดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนชื่อซะอีก

มูยองผ่านคลื่นลูกต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้งจนกระทั่งมันจบลงที่คลื่นลูกที่ 127

หลังจากจัดการสิ่งมีชีวิตอย่างมังกรประดิษฐ์ มูยองก็ถูกส่งคืนสู่ความเป็ นจริงพร้อมข้อความที่ระบุว่าไม่มี


สมรภูมิรบอีกต่อไป
สมรภูมิไร้จุดจบน่าจะอยู่ระหว่างการสร้าง ดังนั้นมันจึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แม้จะพอเดาออกว่ามันย่อมมีจุดสิ้น
สุด แต่เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่พอใจได้

มูยองแค่อยากรู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถสัมผัสประสบการณ์นั้นได้ จึงไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าความผิดหวัง

ทุกอย่างควรเป็ นเช่นนั้น ทว่า...

มูยองเหลียวมองไปที่ชาร์ซาซ่า

ทันทีที่ออกมา เขาก็เจอคู่ต่อสู้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาได้สัมผัสกับขีดจำกัดของตัวเอง

หนึ่งในสามผู้ใต้บังคับบัญชาของราชาปี ศาจเหล็กเอนโรธ และคนที่ถูกกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุดก็คือ ชาร์ซา


ซ่า

เขาไม่เคยคิดว่าชาร์ซาซ่าจะบุกโจมตีในช่วงต้นเกมเช่นนี้ แต่มันค่อนข้างเป็ นเรื่องดีสำหรับเขา

มูยองดึงความโกรธเกรี้ ยวออกมา

เขาต้องการคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

“ เจ้านะหรือจะสังหารข้า?”

ชาร์ซาซ่าหัวเราะราวกับว่ามันเป็ นเรื่องตลกสนุกสนาน

อย่างไรก็ตามมันก็ยังประหลาดใจ

เมื่อไหร่กันที่มูยองเข้ามาสู่เขตการรับรู้ของมัน?

หากมูยองไม่พูดขึ้นมาซะก่อนก็มีโอกาสสูงมากที่มันจะถูกลอบโจมตี

พอคิดได้ดังนั้น ชาร์ซาซ่าก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลังเล็กน้อย

นานมาแล้วที่มันไม่ได้เจอกับตัวตนแบบนี้
แน่นอนชาร์ซาซ่าย่อมไม่ถูกสังหารด้วยการลอบจู่โจมเพียงครั้งเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งผลกระทบอย่างมาก
ต่อจิตใจ

มันจะไม่ประมาทอีกเป็ นครั้งที่สอง

'ชายผู้นี้คือใครกันแน่?'

ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสัย

ภาพลักษณ์ของมูยอง ไม่ว่าจะเป็ นปี กทั้งหกและความรู้สึกสุดขั้วนั้นจะอธิบายอย่างไรดี? เขาไม่ได้เป็ นทั้ง


ปี ศาจ ทูตสวรรค์ มนุษย์หรือแม้แต่โดเกบิ

ถ้าในโลกนี้มีความดีและความชั่วร้ายอยู่ มันก็เหมือนกับว่าเขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง

มันเป็ นครั้งแรกที่ชาร์ซาซ่าได้พบกับตัวตนที่แปลกประหลาดเช่นนี้

เพียงแค่มองผู้ชายคนนี้ก็รู้สึกเหมือนว่าเส้นผมทั้งหมดของมันกำลังตั้งชัน

“ ฉันจะดูว่าสายฟ้ าของแกจะหยุดการโจมตีของฉันได้ไหม”

มูยองถือความโกรธเกรี้ ยวอยู่ในมือ

จากนั้นคลื่นแสงรุนแรงก็สาดส่องไปทั่วบริเวณ

เรื่องราวดำเนินเร็วไปกว่าที่คาดไว้ เขากะจะรวบรวมกองทัพแล้วค่อยไปโจมตีชาร์ซาซ่า แต่กลับบังเอิญเจอมัน


ที่นี่ซะก่อน ถ้าตอนนี้สามารถกำจัดมันไปได้เลยก็จะลดการสูญเสียโดยไม่จำเป็ นลงได้

ยังไงมูยองก็จะทำทุกอย่างให้จบ ก่อนที่ราชาปี ศาจเอนโรธจะรู้ข่าว

ฟูว!

ในไม่ช้าแสงที่เปล่งออกมาจากดาบก็กลายเป็ นเปลวเพลิงกลืนกินทั้งร่างของมูยอง ปี กทั้งหมดสยายกว้างและ


เตรียมพร้อมที่จะทะยานออก

“ เปลวไฟเหล่านี้…!”

ชาร์ซาซ่ารู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง
มันอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจจริงๆ

เปลวเพลิงที่แผ่กระจายรอบๆมูยองเป็ นสิ่งที่มันคุ้นเคยมาก

ศัตรูของปี ศาจทุกตน...เดียโบล!

เปลวเพลิงของมูยองคล้ายกับของเดียโบลมาก

มูยองไม่สนใจสิ่งที่ชาร์ซาซ่าคิดและลอยร่างเข้าไปหามันอย่างช้าๆ

เปรี้ ยง! เปรี้ ยง!

กำแพงสายฟ้ าปิ ดกั้นมูยองอย่างรวดเร็ว โดยปกติมันจะแผดเผาทุกอย่างที่สัมผัส แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเปลวเพลิง


ของมูยองพวกมันไม่มีประโยชน์

เปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ จะลบล้างทุกสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าระดับตนเอง นั้นหมายความว่าสายฟ้ าของชาร์ซาซ่าอยู่ใน


อันดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์

“หนอย..!”

และชาร์ซาซ่าไม่ใช่คนโง่เง่าถึงขนาดไม่เข้าใจเรื่องนี้

มันกัดฟันตัวเองแน่น มันรู้สึกอับอายที่ถูกกยอกล้อโดยตัวตนที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าสายพันธุ์ผสม

คลืน! เปรี้ ยง! ตูม!

จากท้องฟ้ าสายฟ้ าทั้งหมดทั้งมวลก่อตัวขึ้นรวมกันกลายเป็ นพายุสายขนาดมโหฬาร พวกมันทั้งหมดต่างผ่าลง


มาใส่กำแพงของชาร์ซาซ่าทำให้มันทรงพลังยิ่งขึ้น

เสมือนการต่อสู้ระหว่างโล่และดาบ

การห้ำหั่นกันของดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยวที่มุ่งพุ่งทะลวง กับโล่สายฟ้ าที่คอยปัดสกัดกั้นการโจมตี

อย่างไรก็ตามถึงจะดูเป็ นรูปแบบการต่อสู้ที่เรียบง่าย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งหมู่บ้านของไฟทาร์ระเบิด


เป็ นจุลได้เลยทีเดียว
แน่นอนว่าถ้าเปลวเพลิงเหล่านั้นเป็ นของเดียโบลดังที่ชาร์ซาซ่าคิด พวกมันจะกลายเป็ นความต่างชั้นของระดับ
ปัจจุบันทันที แต่...

“ เจ้ามีเปลวเพลิงเช่นนั้นได้ยังไง?!”

มันเป็ นไปไม่ได้

แต่เดิมเดียโบลก็เป็ นเทพปี ศาจที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้อยู่แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็ นความผิดปกติ

ไม่ควรมีการดำรงอยู่ของตัวตนอันเป็ นไปไม่ได้ถึงสอง!

หากมูยองมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเดียโบล เขาย่อมจะกลายเป็ นที่สนใจของราชาปี ศาจและเทพปี ศาจทุก


ตน พวกมันทั้งหมดจะพยายามกำจัดมูยอง

และถ้าชาร์ซาซ่าฆ่ามูยองตอนนี้ได้ มันจะได้รับเกียรติยศที่เพิ่มสูงขึ้น!

แต่มูยองไม่ตอบกลับ

แทนที่การพูดจามูยองฟาดดาบออกไป

ชิ้ง! ตูมมมมม!

ดั่งแส้แห่งเปลวเพลิง เมื่อใดก็ตามที่ความโกรธเกรี้ ยวตวัดผ่านกำแพงสายฟ้ าที่อยู่รอบๆก็ต้องถูกฉีกทำลาย

“ หากเจ้าไม่ยอมตอบ งั้นข้าจะง้างปากของเจ้าเค้นมันออกมาเอง!”

ชาร์ซาซ่าไล่ความคิดอันน่าตกตะลึงของมูยองทิ้ง

แม้ว่าจะมีความแตกต่างในระดับพลัง แต่นั้นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถเอาชนะได้

จากนั้นกำแพงสายฟ้ าก็เริ่มเกาะกลุ่มอย่างช้าๆ และก่อร่างเป็ นรูปดาบให้ซาซ่าคว้าจับเป็ นอาวุธ

เป็ นเวลาไม่นานนักก่อนที่มันจะพบว่านั้นเป็ นความผิดพลาดที่น่าเสียใจ

เพล้ง!

ดาบสายฟ้ าแตกพังทลาย
มูยองเป็ นผู้เชี่ยวชาญดาบ เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่ถูกเรียกว่า 'ดาบ' ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

แม้ว่ามันจะเป็ นดาบที่สร้างจากสายฟ้ า แต่ตราบใดที่มันยังเป็ นดาบ มันก็ไม่สามารถหนีจากดวงตาของมูยอง


ได้

องค์ประกอบมีอยู่แม้ในสายฟ้ า ดังนั้นหากอยู่ในรูปของดาบ มูยองสามารถมองเห็นองค์ประกอบได้ง่ายยิ่งขึ้น


กว่าเดิม

ชาร์ซาซ่างงไปพักหนึ่ง มันไม่เคยคิดว่าดาบสายฟ้ าของตัวเองจะถูกพลิกคว่ำได้อย่างง่ายดาย

"แกมันน่าเบื่อ"

มูยองพูดออกด้วยความจริงใจ

แม้ในอดีตมูยองจะไม่เคยต่อสู้กับราชาปี ศาจ

ส่วนใหญ่แล้วมูยองสังหารแต่มนุษย์ด้วยกันเอง และราชาปี ศาจก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เขาต้องเผชิญหน้า

อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งที่เขารู้ได้จากการสังเกต

ราชาปี ศาจเป็ นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งกว่าปี ศาจใดๆ

รวมไปถึงชาร์ซาซ่า

ดังนั้นมูยองจึงมีความคาดหวังสูง แต่ถ้ามันเป็ นแบบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับปี ศาจตนอื่นๆ

“น่ะ-น่าเบื่อ?”

เป็ นคำพูดที่สะทกสะเทือนต่อความภาคภูมิใจของชาร์ซาซ่ามาก

ตัวตนแปลกประหลาดที่ปรากฏขึ้นอย่างไร้ที่มา นอกจากนี้ยังมีเปลวเพลิงของเดียโบลที่ทำให้มันสับสน

'มันกล้าพูดว่าเราน่าเบื่อ!'

ชาร์ซาซ่ามีความภาคภูมิใจต่อตัวเองอย่างแรงกล้า ผู้ที่กล้าดูถูกมันไม่ใช่เทพปี ศาจ แต่กลับเป็ นเพียงเผ่าพันธุ์


ผสม
แซ่ด! เปรี้ ยง!

สายฟ้ าสีดำพุ่งลงมาปกคลุมร่างทั้งหมดของชาร์ซาซ่า

จากนั้นก็กลายเป็ นชุดเกราะ

ยามก่อนร่างของมันเปลือยเปล่า ทว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

“ ไม่มีใครรอดชีวิตไปได้หลังจากเห็นชุดเกราะของข้า”

ชาร์ซาซ่ากระตุ้นมูยอง

มันแสดงความมั่นใจอย่างท้วมทันออกมา นี่ไม่ใช่ชุดเกราะที่มันใช้อย่างพร่ำเพรื่อ การสวมชุดเกราะนี้


หมายความว่าศัตรูของมันจะต้องตายสถานเดียว!

นอกจากนั้นยังหมายความได้ว่า จากนี้ไปจะเป็ นการต่อสู้อย่างจริงจัง

มูยองยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

พลังที่แท้จริงของชาร์ซาซ่า ราชาปี ศาจผู้ครองสายฟ้ าดำ!

'ตอนนี้มันควรคุ้มค่าที่จะต่อสู้แล้ว'

มูยองยังไม่ได้เอาจริงเต็มที่เลย

ขนาดคลื่นลูกที่ 127ของสมรภูมิไร้จุดจบก็ยังไม่สามารถเรียกเหงื่อจากเขาได้

และนี่เป็ นครั้งแรกที่เขาต่อสู้กับ 'ราชาปี ศาจ'

ดังนั้นจึงเป็ นโอกาสที่เขาจะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขีดจำกัดของตัวอง

ชาร์ซาซ่าควรพยายามเอาจริงตั้งแต่แรก

จากนั้นเมื่อมูยองหุบยิ้ม การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

เปรีี้ ยง!
สายฟ้ าสีดำขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนก่อนจะกลืนกินมูยองเข้าไป

***

วาบ!

ลำแสงขนาดใหญ่ส่องสว่างในทุกที่

การต่อสู้ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมักจะทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังส่งอิทธิพลต่อ
สภาพแวดล้อมรอบๆด้วย

อย่างไรก็ตามแสงก็สงบลงในทันใด มันเป็ นช่วงเวลาเดียวกันเมื่อตัวตนหนึ่งได้จากไปหรือไม่ก็กำเนิดใหม่ขึ้น


มา

“ ดาวของชาร์ซาซ่าดับไปแล้ว”

ณ ปราสาทขนาดใหญ่บนยอดเขา

ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำนั่งอยู่บนบัลลังก์กลางปราสาท

เอนโรธ

บางคนเรียกมันว่า 'ราชาปี ศาจแห่งกาลอวสาน' และบางคนเรียกมันว่า 'ราชาปี ศาจเลือดเหล็ก'

ชื่อแห่งความสำเร็จของมันล้วนแต่ฟังดูน่าเกรงขาม

และตอนนี้เอนโรธรู้แล้วว่าหนึ่งในสามดวงดาวอันเป็ นบริวาลของมันกำลังร่วงหล่น

ดวงดาวแห่งผืนดินกระซิบบอกกับมัน

“ ราชาปี ศาจสายฟ้ า… ?!”

“ ใครบังอาจกล้าทำร้ายเขา”

“ หรือจะเป็ นราชาปี ศาจตนอื่น?”

ปี ศาจในปกครองมากมายกำลังยืนเตรียมพร้อม
หากพวกมันกางปี กออกพร้อมกันผืนดินจะต้องแห้งเหี่ยว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดินแดนนี้จะหายไป เพียงแค่ได้
รับคำสั่งเดียวพวกมันก็พร้อมจะทำทุกสิ่ง

เอนโรธลุกขึ้นจากที่นั่ง

ร่างอันใหญ่โตของมันมากพอที่จะทำให้พวกยักษ์ดูเล็กไปเลย

มันเหวี่ยงคฑาขึ้นไปในอากาศ คฑาที่ได้รับจากอามอน เทพปี ศาจผู้ซึ่งครอบครองความรู้และเวทมนตร์ทุก


แขนง

“ ผู้สังหารชาร์ซาซ่าไม่ใช่ราชาปี ศาจ”

“ เป็ นเทพเจ้าปี ศาจงั้นหรือ?”

“ นั่นไม่ใช่เทพปี ศาจเช่นกัน”

“ ถ้าเช่นนั้นหรือมันเป็ นตัวตนเหนือธรรมชาติ?”

“ จ้าวแห่งขุนเขา ราชันย์มังกร และผู้สืบทอดแห่งดวงจันทร์ ล้วนไม่ใช่หนึ่งในนั้น”

ตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งสี่ดำรงอยู่ในส่วนต่างๆของโลก

หากเป็ นหนึ่งในนั้นพวกเขาสามารถฆ่าชาร์ซาซ่าได้

อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่หนึ่งในสี่

“ ถ้าอย่างนั้นยังมีใครหน้าไหนสามารถสังหารราชาปี ศาจสายฟ้ าอีก? มันเป็ นไปไม่ได้อีกแล้ว”

“ เขาเป็ นมนุษย์”

คฑาแห่งความรอบรู้กำลังบอกมันว่าผู้ที่สังหารชาร์ซาซ่าเป็ นมนุษย์ อย่างไรก็ตามนั่นคือทั้งหมด ไม่มีข้อมูล


อื่นใดนอกจากนี้อีก

ไม่เคยมีอะไรเช่นนี้เกิดขึ้น หากเป้ าหมายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน หรือกระทั่งใกล้เคียงกับเทพปี ศาจ คฑา


แห่งความรอบรู้จะไม่เปิ ดใช้งาน แต่ขนาดสามารถเปิ ดใช้พลังแห่งความรอบรู้ได้ ก็ยังมีข้อมูลไม่มากนักที่มัน
สามารถค้นหา ...
นี่อาจหมายถึงสิ่งเดียวเท่านั้น

“ เขาเป็ นความผิดพลาดที่เกิดจากรอยแยก”

ผู้ที่รอดพ้นจากความตาย

ความผิดพลาดที่ไม่รู้จักเป็ นสิ่งที่เทพปี ศาจพึงระมัดระวัง

เมื่อพวกมันไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น และปรากฏการณ์ใดที่พวกมันไม่สามารถนำมาใช้ประโชยน์ พวกมัน


จะเรียกสิ่งนั้นว่า 'ความผิดพลาดที่เกิดจากรอยแยก'

คนที่ควบคุมรอยแยกได้ดีที่สุดคือเทพปี ศาจลำดับที่หนึ่งบาอัล แต่รอยแยกนั้นไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่เขาก็สามารถ


ควบคุมได้อย่างเต็มที่

มนุษย์ที่ฆ่าชาร์ซาซ่านั้นไม่แตกต่างจากความผิดพลาดดังกล่าว

ความผิดพลาดจะต้องถูกทำลายจนสิ้นซากทันทีที่พบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดที่ถูกรอยแยกสร้างขึ้น
โดยไม่มีจุดประสงค์

“ จากนี้ไปจงไปยังพื้นที่ที่ชาร์ซาซ่ารับผิดชอบ และสังหารมนุษย์ผู้นั้นซะ”

เอนโรธสั่งการ

ฟูม!

ในขณะนั้นปี ศาจหลายแสนตนก็แผ่ปี กออกไป

เมื่อใดก็ตามที่พวกมันกางปี กบินผืนดินจะต้องแห้งตายโดยไม่มีข้อยกเว้น ภายในแผ่นดินนั้นสิ่งมีชีวิตทั้งหมด


จะต้องหายไป สิ่งเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งในเวลานี้

ผ่านคำสั่งของเอนโรธ

นี่คือจุดจบที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

บทที่ 217: จ้าวแห่งหนองน้ำ (1)

สุดท้ายสายฟ้ าของชาร์ซาซ่าก็ช่วยอะไรมันไม่ได้
แม้จะยอมเผยพลังที่แท้จริงออกมา แต่ชาร์ซาซ่าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมูยอง

ส่วนในด้านของมูยองเขารู้สึกผิดหวังมาก

แน่นอนเมื่อชาร์ซาซ่าสู้เต็มกำลังบางครั้งก็ดูน่าตื่นเต้นดี

อย่างไรก็ตามมันกลับไม่สามารถคงอยู่พลังเช่นนั้นไว้ได้นาน

พอผ่านไปประมาณ 10 นาที เกราะของชาร์ซาซ่าก็หายไป และกลายเป็ นอ่อนแอดังเดิม

ด้วยสิ่งนี้จึงทำให้มูยองสามารถเข้าใจสถานะปัจจุบันของตนได้บ้าง

ขนาดชาร์ซาซ่าที่เป็ นราชาปี ศาจระดับสูงยังสู้มูยองไม่ได้ นั่นหมายความว่าอำนาจพลังการต่อสู้ของมูยองนั้น


เกินกว่าที่ราชาปี ศาจส่วนใหญ่จะต้านทาน

'แล้วถ้าเป็ นเอนโรธล่ะ?'

ปี ศาจที่ถูกกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเหล่าราชาปี ศาจ

เป็ นไปได้มากที่เอนโรธจะทราบเกี่ยวกับการตายของชาร์ซาซ่า และเรื่มเคลื่อนไหวพุ่งเป้ ามาที่มูยองแล้ว

อย่างไรก็ตามมูยองคิดว่าตนยังเร็วกว่า การลงมือสังหารฆ่าชาร์ซาซ่าทันทีทำให้เขามีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น

ในด้านความแข็งแกร่งเอนโรธมีมากกว่าชาร์ซาซ่าอย่างเทียบไม่ติด และมันอาจแข็งแกร่งพอที่จะเป็ นคู่ต่อสู้ขอ


งมูยองก็ได้

<คุณล่าราชาปี ศาจ 'ชาร์ซาซ่า' สำเร็จแล้ว>

<คุณได้รับ 'ผลึกของราชาปี ศาจ'>

<พลังแห่งความเที่ยงธรรม! สเตตัสทั้งหมดเพิ่มขึ้น '3' หน่วย>

<เนื่องจากชาร์ซาซ่าเป็ นราชาปี ศาจอันดับที่ 49 มันจึงได้รับการยกย่องเป็ นอย่างดีเสมอมา สายฟ้ าของมันช่วง


ชิงชีวิตของสรรพสิ่งไปแล้วมากมาย แต่สุดท้ายก็ถูกผู้ใช้ 'มูยอง' กำจัด>

<การล่าราชาปี ศาจถูกเพิ่มไว้ในประวัติของคุณ'>
<อันดับของทักษะ 'ราชาปี ศาจแห่งกองพันที่ 27' เพิ่มขึ้นเป็ นระดับ S. >

ข้อความจำนวนสั้นๆปรากฏขึ้นในสายตาของมูยอง

ท่ามกลางข้อความเหล่านั้นสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือ 'ผลึกราชาปี ศาจ' เพราะมันอาจทำให้เขาได้รับทักษะ


ของปี ศาจตัวนั้นๆมา

เขาอาจสามารถเรียนรู้บางสิ่งเช่นทักษะสายฟ้ าของชาร์ซาซ่าได้ หากได้สายฟ้ ามาจริงๆมันคงเข้ากันกับเปลว


เพลิงของเขาอยู่ไม่น้อย

'ราชาปี ศาจแห่งกองพันที่ 27'

ดูเหมือนเขาจะลืมมันไปแล้วสำหรับทักษะเกี่ยวกับ 'ราชาปี ศาจแห่งกองพันที่ 27' ซึ่งได้รับจากอารามสีคราม


รวมถึงการที่มันเป็ นภารกิจที่ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการให้แล้วเสร็จ

เขาคิดว่ามันสามารถะยกระดับได้จากการทำให้เกรโมรี่พอใจเท่านั้น ทว่าหลังจากสังหารราชาปี ศาจชาร์ซาซ่า


แล้วระดับที่เคยหยุดนิ่งกลับเพิ่มขึ้น

มูยองเลื่อนดูสถานะของตัวเองเพื่อตรวจทักษะปัจจุบัน

ชื่อทักษะ: 'ราชาปี ศาจแห่งกองพันที่ 27' (S)

คำอธิบาย - คุณสมบัติที่จะทำให้คุณกลายเป็ นราชาปี ศาจแห่งกองทัพที่ 27 แต่เดิมเกรโมรี่มีกองทัพภายใต้


บังคับบัญชาทั้งสิ้น 26 กองพัน ผู้นำทัพทั้ง 26 ล้วนเป็ นราชาปี ศาจที่แข็งแกร่ง

* ผลของทักษะขั้นแรก สเตตัสหลักทั้งหมดเพิ่มขึ้น 5 หน่วย

* ผลของทักษะขั้นที่สอง สเตตัสหลักทั้งหมดเพิ่มขึ้น 10 หน่วย และมอบเอฟเฟกต์ 'พลังงานอันล้นเหลือ' ให้


กับกองทัพทั้งหมดภายใต้อิทธิพลของคุณ (พลังงานอันล้นเหลือ: จะช่วยลดความเหนื่อยล้าให้กับแต่ละบุคคล
และยกระดับค่าพละกำลังกับความอดทนขึ้น 10 หน่วย)

* ผลของทักษะขั้นสุดท้าย. - ???

เมื่อรวมผลลัพธ์ทั้งหมดแล้ว แค่ทักษะนี้ทักษะเดียวก็เพิ่มสเตตัสหลักถึง 15 หน่วย

เกี่ยวกับเอฟเฟกต์ 'พลังงานอันล้นเหลือ'
การที่มันเพิ่มค่าพละกำลังกับความอดทนมากถึง 10 หน่วย คุณสามารถพูดได้ว่ามันดีกว่าเอฟเฟกต์ประเภท
เสริมความแข็งแกร่งทั้งหมดเสียอีก

และผลของทักษะขั้นสุดท้าย หากบรรลุภารกิจบางอย่างมันคงเปิ ดใช้งานขึ้นมาเอง จากนั้นเขาก็จะได้เดินตาม


เส้นทางของ 'ราชาปี ศาจ' อย่างแท้จริง

มีโอกาสสูงที่ภารกิจดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับเกรโมรี่ บางทีถ้าเขารวบรวมชิ้นส่วนของรอยแยกครบ ผลของ


ทักษะขั้นสุดท้ายอาจจะเปิ ดใช้งานได้

อีกเพียงหนึ่งขั้น เขาก็จะได้ต่อสู้กับเหล่าเทพปี ศาจ เขาจะได้รับสิทธิ์ ในการเข้าร่วมสงครามและกำจัดพวกมัน


ให้สิ้นซาก

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!

สายฟ้ าในอากาศทั้งหมดเหือดหายไปเมื่อชีวิตของชาร์ซาซ่าสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตามบนร่างที่ไร้ชีวิตของมันยัง


คงมีประจุไฟฟ้ าจำนวนหนึ่งไหลเวียนอยู่

มูยองครุ่นคิดเกี่ยวกับร่างของชาร์ซาซ่า

เขายังไม่เคยลองเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตระดับราชาปี ศาจให้เป็ นอันเดธเลย แม้ความสามารถของศิลปะแห่งความตาย


ดูเหมือนจะมีผลกับทุกสิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้มีผลอย่างสมบูรณ์ไปซะทีเดียว หากเป้ าหมายเป็ นสิ่งมีชีวิต
ระดับสูง หรือหากเป็ นการสร้างอันเดธจำนวนมากในคราวเดียว ร่างกายของมูยองจะได้รับผลกระทบที่เลว
ร้าย

อย่างไรก็ตาม ...

'มันน่าเสียดายที่จะทิ้งไป'

ทำให้ราชาปี ศาจกลายเป็ นอันเดธ!

ใครจะนึกถึงเรื่องนี้บ้าง? หรือพวกเขาอาจจะคิด แต่มันก็คงจบอยู่ในจินตนาการเท่านั้น

ทว่าสำหรับมูยองจินตนาการกลับสามารถกลายเป็ นจริง

หากเขาสามารถทำให้ราชาปี ศาจกลายเป็ นอันเดธ และเพิ่มจำนวนของมันล่ะก็...

นอกจากนั้น การทำให้ชาร์ซาซ่ากลายเป็ นอันเดธจะทำให้เขาสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอนโรธได้


ด้วย
เมื่อคิดดังนั้นมูยองก็ลงมือทันที

'ศิลปะแห่งความตาย'

ในขณะที่เขาใช้ทักษะ พลังงานสีดำก็ไหลหลั่งออกจากมือของเขาลุกท่วมไปทั่วร่างชาร์ซาซ่า

อย่างไรก็ตามพลังงานสีดำไม่สามารถเจาะทะลวงเข้าไปในร่างกายของชาร์ซาซ่าได้โดยทันที

เหตุผลคงเป็ นระดับเลเวลของชาร์ซาซ่ายังคงอยู่ แม้ว่าตอนนี้ร่างของมันจะเป็ นเพียงแค่ซากศพ

หากเทียบกันแล้วมังกรกระดูกทั้งเจ็ดตัวยังไม่สามารถเทียบได้กับระดับของชาร์ซาซ่า มูยองจึงได้แต่รอคอย
อย่างอดทน

ศิลปะแห่งความตายเป็ นทักษะที่มูยองคุ้นเคยเป็ นอย่างมาก ตั้งแต่ได้รับมันมาจากเดธลอร์ดเขาก็ใช้มันจน


ชำนาญจนกระทั่งสามารถปรับเปรียบรูปแบบพลังให้กลายเป็ นเอกลักษณ์ของตัวเอง

คู่ต่อสู้ของมูยองล้วนแข็งแกร่งกว่าตนเสมอ เขาไม่คิดว่าแค่อันเดธที่สร้างจากราชาปี ศาจเขาจะทำมันไม่ได้


ทั้งหมดเป็ นเรื่องของเวลาเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ไฟทาร์ก็ค่อยๆมารวมตัวกันหลังจากที่การต่อสู้ทั้งหมดจบลง

ไม่ว่าจะเป็ นศพของยาตาร์ หรือหมายเลขบนไหล่ของมูยองพวกเขาต่างมองเห็น กระทั่งพลังงานที่กำลังไหล


เข้าสู่ร่างไร้วิญญาณของชาร์ซาซ่าพวกเขาก็รับรู้ได้เช่นกัน

“นั่น”

“ ท่านกำลังทำพิธีกรรมบางอย่างใช่หรือไม่?”

“ อย่าแตะต้องมัน”

ไฟทาร์ทุกคนพากันเงียบ และดูว่ามูยองกำลังทำอะไรอยู่

แม้ว่ายาตาร์จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ทุกคนก็ยังหลงเหลือศรัทธาและรู้จักความภักดี

ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ว่าตัวเลขบนไหล่ของมูยองหมายถึงอะไร

ตามที่สัญญากันไว้มูยองจะต้องกลายเป็ นหัวหน้าใหญ่คนต่อไปของไฟทาร์
แม้สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของไฟทาร์มาก่อน แต่มูยองก็เป็ นผู้ที่ได้ช่วยพวกเขาหลายครั้งหลายหน
และยังเป็ นนักรบที่แข็งแกร่ง

ในยุคของการต่อสู้และสงคราม นักรบที่แข็งแกร่งย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเยี่ยมเสมอ

แน่นอนว่าผู้สืบทอดอย่างโอการ์ยังมีชีวิตอยู่และยังมีปัญหามากมายที่ต้องสะสาง แต่พวกเขาก็ตระหนักได้ถึง
ความสัมพันธ์ของมูยองกับโอการ์

สุดท้ายไม่ว่าด้วยอะไร…พวกเขาก็จำเป็ นต้องเคารพมัน หากหัวหน้าเผ่าใหญ่กำลังทำบางสิ่งอยู่ พวกเขาเพียง


แต่ต้องคอยดูผลลัพธ์อย่างเงียบๆ

'ได้ผล'

30 นาทีหลังจากนั้นริมฝี ปากของมูยองก็ขยับขึ้นเล็กน้อย

ตามที่มูยองคาด พลังงานสีดำไหลเข้าสู่ร่างกายของชาร์ซาซ่าอย่างช้าๆ

ท้ายที่สุดมันก็ไม่ใช่ว่าเป็ นไปไม่ได้

หลังจากพบจุดอ่อนบางแห่งบนชุดเกราะ การป้ องกันนั้นๆก็จะพังอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพลังงานสีดำจึงไหลผ่าน


ร่างของชาร์ซาซ่าเข้าไปจนสิ้น และในไม่ช้าก็มีข้อความปรากฏต่อหน้าเขา

<ราชาปี ศาจชาร์ซาซ่าเป็ นผู้ควบคุมสายฟ้ า ด้วยการเป็ นผู้ติดตามของราชาปี ศาจเอนโรธ รวมถึงเทพปี ศาจอา


มอน ในสนามรบเขาได้สังหารศัตรูไปมากมาย ในสายฟ้ าของเขายังมีพลังของอามอนสถิตย์อยู่ด้วย>

<ราชาปี ศาจ 'ชาร์ซาซ่า' กำลังอยู่ในขั้นตอนของการกลายเป็ นอันเดธ>

<ประสบความสำเร็จ! 'ชาร์ซาซ่า' ถูกทำให้ดกลายเป็ นอันเดธแล้ว>

<คะแนนศิลปะ 99 คะแนน! แม้แต่เดธลอร์ดก็ยังต้องประหลาดใจ ตามปกติแล้วมันเป็ นไปไม่ได้ที่จะทำให้


ราชาปี ศาจกลายเป็ นอันเดธ>

ชื่อ:ชาร์ซาซ่า

เลเวล: 620

ประเภท: ความมืด
พละกำลัง 620 ความว่องไว 615 ความอดทน 550

ความฉลาด 673 ภูมิปัญญา 673 ต้านทานเวท 600

พลังเวท 670 พรแห่งสายฟ้ า 650

+ เปิ ดการใช้งาน หอกสายฟ้ าที่ฆ่าคู่ต่อสู้ได้ด้วยการแทง, ดาบสายฟ้ าที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงได้, กำแพง


สายฟ้ า และพายุสายฟ้ า

+ อำนาจพลังของราชาปี ศาจ - สายฟ้ าผู้พิทักษ์ (สามารถใช้ความทรงพลังของสายฟ้ าสร้างเป็ นชุดเกราะ)

ร่างของชาร์ซาซ่ายกตัวขึ้นอีกครั้ง

ไฟทาร์แตกตื่นทันที แต่พอเหลือบไปเห็นการกระทำของมูยองพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสับสน

มูยองมองชื่นชมและสัมผัสร่างกายของชาร์ซาซ่าราวกับว่าไม่มีอะไรแปลกประหลาด ก่อนที่มันจะหายไปตาม
ความคิดของเขา

'ดีมาก'

มันแข็งแกร่งกว่าอันเดธที่เคยสร้างมา

เลเวลที่มากกว่า 600!

แน่นอนว่าเลเวลดังกล่าวยังต่ำกว่ามูยอง แต่สิ่งสำคัญคือนี่เป็ นอันเดธตนแรกของมูยองที่แข็งแกร่งขนาดนี้

อย่างไรก็ตามดูเหมือนค่าความฉลาดของมันจะดูน้อยไปกว่าที่คิดไว้ อาจเป็ นเพราะตอนที่ตายมันดรอปผลึก


ทักษะออกมาเลยทำให้ความแข็งแกร่งของมันลดลงก็ได้

มูยองยักไหล่และดึงคริสตัลสีดำออกมา

มันเป็ นผลึกที่ดรอปมาจากราชาปี ศาจ

มูยองกลินมันลงไปโดยปราศจากความลังเล หลังจากนั้นตัวของเขาก็สั่นราวกับถูกไฟช็อต

<คุณกลืน 'ผลึกของราชันปี ศาจ'>


<คุณได้รับ 'พลังแห่งสายฟ้ า'>

<'เปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ ' ดูดซับ 'พลังแห่งสายฟ้ า'>

<'เปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ ' เพิ่มระดับขึ้นจาก S ถึง S ++.>

เปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ ถูกสร้างขึ้นโดยการรวมทักษะทุกประเภทเข้าด้วยกัน บางทีการที่มันดูดซับสายฟ้ าเข้าไป


อาจทำให้มีประโยชน์กว่าเดิม

เปลวเพลิงศักดิ์ สิทธิ์ เป็ นหนึ่งในพลังบริสุทธิ์ อันแข็งแกร่งของมูยอง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเลวร้ายเกี่ยวกับการเพิ่ม


ระดับของมัน

มูยองหันไปมองทุกคน

ไฟทาร์ที่ยืนอยู่รอบๆต่างมองมาที่เขา

“ จากนี้ไปฉันจะเป็ นผู้ปกครองของที่นี่ พวกนายมีข้อขัดข้องอะไรไหม?”

“ชาร์ซาซ่ายังไม่ตายเหรอ?”

"นายพูดถูก ฉันเพิ่งทำให้มันฟื้ นขึ้นมาจากความตาย ตอนนี้มันเป็ นทาสของฉัน”

“ พวกเราได้ให้คำมั่นสัญญาไว้แล้ว เราต้องรักษาสัญญา แต่เรายังมีรองหัวหน้าเผ่าโอการ์อยู่ หากเจ้าช่วยโอ


การ์ได้ เราจะติดตามเจ้าอย่างแท้จริง”

ไฟทาร์ทั้งหมดตกลงเช่นนั้น

สำหรับโอการ์มูยองยังไม่ได้คิดวางแผนอะไรไว้

“เอาล่ะ ฉันจะไปช่วยโอการ์ทันที”

มูยองตอบรับโดยไม่ลังเล

จากนั้นไฟทาร์ก็ติดตามมูยองไป

***
ปี ศาจที่เหลือถูกกำจัดลงอย่างง่ายดาย

เมื่อพวกมันทราบว่าชาร์ซาซ่ากลายเป็ นพวกเดียวกับศัตรูไปแล้วก็สูญเสียความตั้งใจในการต่อสู้ไปจนหมด

ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการตามล่าปี ศาจที่พยายามหลบหนี

และจากสถานการณ์ดังกล่าวโอการ์ก็ถูกช่วยตัวออกมา อย่างไรก็ตามโอการดูสิ้นสติไปแล้ว

มีรอยแผลน่ากลัวมากมายปกคลุมทั่วร่างกายของเขา แม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่สิ่งนี้ก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขา


ถูกทรมานรุนแรงขนาดไหน

อย่างไรก็ตามการรักษาอาการบาดเจ็บของเขานั้นง่ายดายมาก

ด้วยทักษะ 'พรเทวะ'ของมูยอง เขาสามารถรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของโอการ์ได้ในครั้งเดียว

“มูยอง…เจ้ากลับมาแล้ว”

ทันทีที่โอการ์ตื่นขึ้นก็ตระหนักถึงมูยองทันที จิตใจของเขาแข็งแกร่งมากแม้จะถูกชาร์ซาซ่าทรมานมากมายก็
ยังไม่ยอมแพ้

เขาแสดงสีหน้าแปลกๆหลังจากรู้ว่ามูยองนำกองทัพไฟทาร์ติดตามมาด้วย แต่ไม่นานก็ได้แต่ยอมรับมัน

โอการ์ใฝ่ ฝันที่จะสร้างอาณาจักรแห่งไฟทาร์ขึ้น แต่เขารู้ว่ามันไม่มีทางเป็ นไปได้หากสงครามกับพวกปี ศาจยัง


ไม่จบลง

“อีกไม่นานเอนโรธจะมาที่นี่”

“เอนโรธงั้นหรือ? ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของราชาปี ศาจตนนี้อยู่บ้าง ด้วยนามของข้าเจ้าจงใช้มันเพื่อรวบรวมไฟ


ทาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่เถอะ ”

โอการ์ให้ความร่วมมือกับมูยองเป็ นอย่างดี

หลังจากที่เขาประกาศว่าจะช่วยมูยอง ในแต่ละวันก็มีไฟทาร์หลายร้อยตนมาเข้าร่วมกับกองกำลัง

'เราต้องเคลื่อนไหวให้เร็วกว่าเอนโรธ'
ก่อนที่เอนโรธจะทำอะไร เขาต้องชิงทำก่อน แม้ผลลัพธ์จะออกมาเป็ นสงครามเช่นเดียวกัน แต่หาก
กระบวนการแตกต่างกันผลของสงครามย่อมแตกต่างกันออกไปด้วย

แต่การทำเช่นนั้นเขาจำเป็ นต้องรวบรวมกองกำลังทหารให้ได้มากที่สุด ราวกับว่าเข้าใจความกังวลของมูยอง,


โอการ์พูด

“ จ้าวแห่งหนองน้ำ 'อาจสามารถช่วยเหลือเจ้าได้ พวกนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ค่อยแสดงตัว แต่ถ้าเป็ นเจ้าจะ


ต้องหาพวกนั้นเจอแน่ เจ้าควรจะลองดู"

จ้าวแห่งหนองน้ำ?

มูยองไม่เคยได้ยินชื่อดังกล่าวเลย แต่ไม่มีทางที่โอการ์จะโกหก

หากพวกเขาแข็งแกร่งจนโอการ์ยังยอมรับ นั้นหมายความว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ต้องมีระดับเดียวกับเหล่าไฟ
ทาร์

เพื่อเอาชนะราชาปี ศาจเหล็กเอนโรธ มูยองต้องเตรียมการสำหรับทุกสิ่ง

บทที่ 218: จ้าวแห่งหนองน้ำ (สิ้นสุด)

จะว่าไปเหล่าภูตินั้นก็เหมือนคนไร้บ้าน

ไร้บ้านที่ว่าหมายถึงการที่พวกเขาไม่มีโลกเป็ นของตัวเองเช่นมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่นๆ ดาวเคราะห์ไม่นับว่า


เป็ นที่อยู่อาศัยของพวกเขา

ที่ที่เหมาะสมแห่งนั้นต้องไม่ใช่โลกแห่งวัตถุ แต่เป็ นโลกแห่งจิตวิญญาณ เช่นเดียวกับวิญญาณพวกเขาต้องการ


โลกที่เหมาะสมกับตัวเองเพื่อการอยู่รอด ปราศจากโลกที่เหมาะสมพวกภูติทุกตนล้วนมีเวลาจำกัดที่จะมีชีวิต
อยู่ก่อนตกตายไป

ดังนั้นเหล่าภูติจึงทำสัญญากับโซโลมอนเพื่อสร้างโลกใบดังกล่าว พวกเขาสร้างการทดสอบและเสียสละสิ่ง
ต่างๆเพื่อที่จะได้รับดินแดนในอุดมคติที่เฝ้ ารอคอย และในการทดสอบเหล่าภูติย่อมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน พวก
เขาสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้อย่างละเอียด

นั่นคือความสามารถที่วูฮีก็มีเช่นกัน

สมรภูมิไร้จุดจบ เธอได้รับการแจ้งเตือนจากการทดสอบทั้ง 127 ชั้นที่เธอสร้างไว้

<ผู้ใช้ 'มูยอง' ผ่านการทดสอบคลื่นที่ 127 ของ สมรภูมิไร้จุดจบแล้ว>


<ไม่มีคลืนลูกต่อไปอีก การทดสอบที่ถูกเคลียร์จะถูกทำลายใน 30 วัน>

บางคนเคลียร์การทดสอบทั้งหมด วูฮีอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างเมื่อเธอเห็นชื่อเขา

'มูยอง!'

ไม่มีทางที่วูฮีจะลืมชื่อนั้น มันเป็ นชื่อที่เธอเฝ้ าทวิลหามาเนิ่นนาน

จากทะเลสาบที่อยู่ใต้ปราสาทแห่งหนึ่งวูฮีผุดลุกขึ้น เธอปี นขึ้นบันไดผ่านความมืดมิดอันน่าสิ้นหวังทั้งหลาย


ก่อนจะโผล่ออกไปสู่แสงสว่างด้านบน ที่นี่คือสถานที่ที่วูฮีเรียกว่าบ้าน มันเต็มไปด้วยเหล่ามอนสเตอร์
มากมาย ทว่าเธอไม่สนใจ

วูฮีเกิดและเติบโตขึ้นที่นี่ เธอกลับมาหลังจากที่สูญเสียมูยองไปเพื่อฟื้ นฟูร่างกายที่ใกล้จะเลือนหาย

“ โอ้วูฮี เจ้าออกมาแล้ว!”

"ท่านแม่!"

จริงๆเหล่าภูมิไม่มีพ่อแม่ และอาจกล่าวได้ว่าธรรมชาติคือพ่อแม่ของพวกเขา ด้วยเวลาที่ผ่านไปพวกเขาจะ


ค่อยๆก่อตัวขึ้นจากจิตวิญญาณของก้อนหิน มอส และพืชขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามวูฮีไม่ลังเลเลยที่จะเรียกภูติ
ตรงหน้าราวกับมารดาของตนเอง

“ ชายคนนั้นกลับมาแล้ว เขาผ่านการทดสอบทั้งหมดของวูฮีด้วย วูฮีต้องไปหาเขา”

“ ทำไมเจ้าถึงไม่พักอยู่ที่นี่อีกสักหน่อย ?”

“ ข้าอยู่ที่นี่เฉยๆไม่ได้ หากจะจัดการกับเดียโบลเขาจำเป็ นต้องพึ่งพาวูฮี”

น้ำเสียงของวูฮีเต็มไปด้วยความเด็ดขาด

มันไม่ใช่เรื่องไม่แปลกที่วูฮีจะพูดถึงเดียโบลที่นี่ เพราะที่นี่คือโลกที่แต่เดิมเคยมีตัวตนอย่างเดียโบลอยู่...หลัง
จากสูญเสียโลกเดิมไป พวกภูติก็อาศัยอยู่ที่นี่นับแต่นั้นมา

ภูติที่วูฮีเรียกว่าแม่ทำสีหน้าเศร้า

“ เห้อ...ถ้าวูฮีไม่อยู่สักคน ที่นี่คงจะเงียบเหงาน่าดู”
“ ให้ท่านพ่อเล่นกับท่านสิ ยังไงวูฮีก็จะออกไป”

“ เอาเถอะๆ หากจะไปจริงก็ไปหาพ่อของเจ้าหน่อย เขามีอะไรจะมอบให้”

"ให้ข้า?"

“ ถูกต้อง เมื่อเจ้าออกจากห้องนี้ให้ไปห้องที่สี่ทางซ้ายมือ ไปพบพ่อของเจ้าก่อนที่จะต้องออกเดินทาง”

"วูฮีจะไป"

หลังจากบอกลาสั้นๆ วูก็ออกจากห้องไป

ณ ชั้นบนสุดของปราสาท สถานที่ที่มอนสเตอร์อันแข็งแกร่งอาศัยอยู่ นี่ก็เป็ นอีกเหตุผลที่ทำไมวูฮีถึงไม่กลัวมู


ยอง

เพราะเธออาศัยอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์น่ากลัวมากมายจึงค่อนข้างชินชากับเรื่องดังกล่าว

"ห้องที่หนึ่ง สอง สาม สี่!"

และแล้ววูฮีก็เดินไปถึงห้องที่สี่

ทว่าหลังจากเข้าไปในห้องนั้นแล้ว เธอก็ไม่สามารถขยับตัวได้

"เอ๊ะ? นี่มันอะไรเนี้ย?"

เมื่อเอี้ยวศีรษะไปดูหลังจากรู้สึกผิดปกติ ก็พบว่าจากกำแพงมีกาวเหนียวหนึบติดอยู่ที่ปี กตัวเอง ตามปกติแล้ว


ภูติไม่ใช่สิ่งมีชีวิตซะทีเดียว ดังนั้นผลกระทบทางกายภาพจึงใช้ไม่ได้ผล แต่หากใช้เวทมนตร์ที่อยู่ในไอเท็มก็
เป็ นอีกเรื่องหนึ่ง

“โฮ๊ะๆ”

“ชิ!”

วูฮีทำแก้มป่ องด้วยความโมโหทันทีที่รู้ว่าใครแกล้งเธอ

“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าจะหนีไปจากข้าได้เหรอ?”
"ท่านแม่! นี่ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ วูฮีต้องรีบไปแล้ว ข้าต้องไปลงโทษเจ้ามอนสเตอร์เกเรอย่างเดียโบล”

วูฮีทำท่าจริงจังมาก

ขนาดผู้ที่ถูกเรียกว่ามารดายังไม่เคยเห็นเธอเป็ นเช่นนี้มาก่อน

เธอหุบยิ้มที่ดูขี้เล่น และกลายเป็ นขึงขังอย่างช่วยไม่ได้

“ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเดียโบลเป็ นตัวที่อันตรายแค่ไหน?”

“ ถึงจะร้ายกาจแค่ไหน ท่านก็เคยเล่าว่ามันเคยพ่ายแพ้ท่านพ่อมาก่อน!”

“ นั่นมันก็นานมากแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงเดียโบลก็เป็ นตัวที่อันตรายมาก ถึงจะเป็ นแค่ลูกหลานของมันก็อันตราย


ไม่แพ้กัน”

“ นั่นเป็ นคำพูดของแม่รองไม่ใช่เหรอ”

“ ไม่ว่าจะยังไงมันก็เป็ นไปไม่ได้! ข้าไม่รู้ว่ามูยองทำให้เจ้าตกหลุมรักได้อย่างไร แต่ยังมีผู้ชายอีกมากมายใน


โลกนี้ให้เจ้าเลือก”

“ เขาเหมือนท่านพ่อ”

"ว่าไงนะ?"

“ เขาทำให้ข้านึกถึงท่านพ่อ แต่เขาดูไว้ใจได้กว่าท่านพ่อซะอีก”

วูฮีไม่เคยพูดเกี่ยวกับมูยองมากจนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่เพราะมันจะทำให้เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์
อย่างหนัก ภูติเป็ นสิ่งมีชีวิตขี้เล่นและปกติจะไม่ซีเรียสกับเรื่องอะไร มันเป็ นครั้งแรกที่วูฮีจริงจังเช่นนี้

“ ถ้างั้นล่ะก็..รับสิ่งนี้ไป”

"มันคืออะไร?"

ดูเหมือนจะเป็ นน้ำหอมขวดเล็กๆที่บรรจุของเหลวอยู่ไม่กี่หยด

“ พวกมันแต่ละหยดจะทำให้ความปรารถนาเป็ นจริง แม้ว่าจะมีเวลาจำกัดแต่มันก็อาจช่วยเติมเต็มความฝันเล็ก


น้อยๆของเจ้าได้ หลังจากนั้นหากหัวใจของพวกเจ้าเป็ นดุจเดียวกัน ข้าจะยอมรับความสัมพันธ์นั้น”
เธอสะบัดข้อมือเล็กน้อย จากนั้นประตูเล็กๆก็ถูกสร้างขึ้น ด้วยพลังแห่งราชินีภูติจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะ
สามารถเปิ ดประตูสู่อีกโลกหนึ่ง

"ไปเถอะ แต่ยังไงก็ตามจำไว้ว่าไม่มีชายคนใดไว้ใจได้เท่ากับพ่อของเจ้า”

“ นั่นไม่ใช่เรื่องจริง!”

พูดจบวูฮีก็บินตรงไปที่ประตูมิติ

วูฮีรู้ดีว่าราชินีภูติมักจะเปลี่ยนใจได้ง่าย เธอไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ราชินีจะเปลี่ยนความคิดของเธออีกครั้ง และเมื่อ


วูฮีเดินผ่านประตูออกไปแล้วราชินีภูติก็ถอนหายใจ

“ เดียโบล เจ้าทำลายทุกอย่างเอง เพราะความภาคภูมิใจอันไร้ประโยชน์ของเจ้า…ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้อีก


แล้ว”

***

ไม่ใช่แค่โอการ์ที่ถูกมูยองช่วยออกมา

อลัน ผู้ที่มีทักษะฝี มืออันยอดเยี่ยม และเปรียบเสมือนตัวแทนของเผ่าเอลฟ์ ก็ถูกช่วยออกมาพร้อมกับโอการ์ด้


วย

มูยองเจอเขาในสังเวียนใต้ดิน และด้วยความนับถือจากใจจริงอลันก็ไม่ลังเลที่จะกลายเป็ นดาบของมูยอง

แน่นอนว่าเขามีทัศนคติที่ดื้อรั้นเป็ นครั้งคราว แต่ทั้งหมดต่างก็มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะของตัวเอง

"ข้าจะไปกับท่านด้วย"

ขณะมูยองเตรียมออกเดินทางอลันก็พูดขึ้น อย่างไรก็ตามมูยองปฏิเสธ

“ นายต้องไปช่วยงานพวกคนแคระทางทิศตะวันตก ไม่ช้าเอนโรธจะพาสมุนของมันบุกมาถึงสถานที่แห่งนี้”

ทุกคนมีบทบาทของตัวเอง

เบซองมินกับทาร์แคนออกจากที่นี่ไปแล้ว พวกเขาล่วงหน้าไปเบี่ยงเบนความสนใจของเอนโรธ

อลันทำสีหน้าผิดหวัง อย่างไรก็ตามมูยองไม่คิดจะพาใครไปที่นั่นด้วย
'จ้าวแห่งหนองน้ำ'

ชื่อที่เขาเคยได้ยินเป็ นครั้งแรก

เป็ นเพราะเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพวกมันเลย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมูยองถึงอยากไปด้วยตัวเองเท่านั้น

แม้กระทั่งยามสงคราม ในบรรดาราชาปี ศาจ ปี ศาจ และมนุษยชาติทั้งหมดไม่เคยมีใครเอ่ยถึงชื่อนี้เลย นั่น


หมายความว่าพวกเขาน่าจะเก่งในการซ่อนตัว หรือมีบางสิ่งทำให้พวกเขาสามารถซ่อนตัวได้ พลังที่ยอมให้
พวกเขาหลบหนีความสนใจจากทั้งโลก

มูยองอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของพลังนี้ โชคดีที่โอการ์บอกเส้นทางคร่าวๆเกี่ยวกับที่อยู่ของพวกมันให้มูยอง
ทราบแล้ว

"ข้าเข้าใจแล้ว อีกเรื่องหนึ่งบาทัสบอกว่าเขาจะมาถึงในไม่ช้า ท่านจะให้ข้าบอกอะไรแก่เขาไหม?”

มูยองไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วหยิบแผ่นหนังออกมาสองสามผืน

“ เอาของพวกนี้มอบให้เขา หลังจากเห็นวัตถุดิบเขาจะรู้เองว่าต้องสร้างเป็ นอะไร”

แผ่นหนังที่ได้รับพรจากดวงจันทร์และได้รับความแข็งแกร่งจากราชันอมตะ!

มูยองกำลังวางแผนที่จะสร้างอุปกรณ์ส่วนที่เหลือให้เสร็จในชุดเซ็ตราชันอมตะ ในการสร้างของแบบนี้เขา
ต้องการทักษะของบาทัส บาทัสเป็ นราชาของคนแคระ และเป็ นคนแคระที่มีทักษะดีที่สุด หากอุปกรณ์ถูก
สร้างขึ้นด้วยมือของเขา มูยองจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด

"ข้าเข้าใจแล้ว"

ด้วยใบหน้าที่ยังผิดหวังเล็กน้อยอลันเดินหลบไปด้านข้าง

หลังจากตระเตรียมสิ่งของไม่กี่อย่างมูยองก็กางปี กแล้วจากไป

***

ในส่วนที่ลึกที่สุดของป่ า
มีผืนน้ำอันแสนลึกดำรงอยู่ ผืนน้ำที่จ้าวแห่งหนองน้ำอาศัยอยู่เบื้องล่าง ในขณะที่เขาเข้าไปในพื้นที่ที่กิ่งก้าน
ของต้นโพธิ์ เหยียดถึง หนองน้ำก็กลืนมูยองไปทั้งตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความรู้สึกคลื่นใส้มูยองล้มตัวลง
และในไม่ช้าเขาก็โผล่ออกมาพบกับโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

'ที่นี่คือ... '

ภายใต้หนองน้ำ มีสถานที่อื่นอยู่

ในบริเวณโดยรอบมีแต่เศษขยะซึ่งดูเหมือนมันจะถูกดูดเข้ามาติดอยู่ที่นี่เป็ นเวลานานแล้ว และตอนนี้มูยอง


กำลังยืนอยู่บนยอดของกองขยะขณะมองไปรอบๆ

บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยภูเขาขนาดใหญ่ ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้คงอยู่เป็ นเวลานานมากๆแล้ว การเจริญ


เติบโตของใบไม้ที่หนาแน่นดึงดูดความสนใจของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อมูยองเข้าไปใกล้ๆก็คล้ายจะ
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย

[ระบุรูปแบบสิ่งมีชีวิต] [ระบุรูปแบบสิ่งมีชีวิต]

[ปล่อยโดรน เริ่มใช้การค้นหา] [ปล่อยโดรน เริ่มใช้การค้นหา]

หึ่งหึ่งหึ่ง!

เมื่อภูเขาขนาดใหญ่เริ่มส่งเสียงพูด สิ่งเล็กๆที่คล้ายแมลงก็บินออกมาจากปากของมัน และส่องแสงไปรอบตัว


มูยอง

มูยองขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เนื่องจากมันไม่ได้คุกคามอะไรเขาก็เลยแค่ปล่อยให้พวกมันทำตามใจชอบ อย่างไร


ก็ตามนั่นไม่ใช่ปัญหา

'นั่นคือภาษาบนโลก…'

แค่มูยองลืมเรื่องอดีต แต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะลืมเรื่องพื้นฐานเหล่านั้นไปแล้ว ผ่านตัวแสดงสถานะ ทุกภาษาได้


รับการแปลโดยอัตโนมัติ และมนุษยชาติทั้งหมดต่างก็ใช้ภาษาที่ใช้ในประเทศของตนเอง

‘มันน่าแปลกที่สิ่งนี้คือ 'จ้าวแห่งหนองน้ำ'

'จ้าวแห่งหนองน้ำน่าจะมีอยู่นานมากแล้วนี่?'

โอการ์เป็ นคนบอกเรื่องนี้กับมูยองเอง
พวกมันมีอยู่ก่อนที่ไฟทาร์จะเกิดขึ้นในสถานที่นี้เสียอีก โอการ์กล่าวว่าเคยเห็นพวกมันมานานแล้ว และอีก
หลายๆคนก็พากันเรียกพวกมันว่า 'จ้าวแห่งหนองน้ำ' หากเป็ นเช่นนั้นจ้าวแห่งหนองน้ำมาจากโลกใช่หรือไม่

'คล้ายกับเรื่องของเอลย่าซีโก้หรือเปล่า?'

เอลย่าซีโก้เป็ นอาวุธที่สร้างขึ้นเพื่อลบล้างมนุษยชาติบนโลก อย่างไรก็ตามเครื่องจักรที่อยู่ข้างหน้าเขาแตกต่าง


ออกไป

[ระบุหมายเลขผู้ใช้ - 3569947521]

['เรือโนอา' กำลังถูกเปิ ดผนึก]

ภูเขาแยกออกเป็ นสองฝั่ง

ภายในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องจักรทุกชนิดที่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และมีบางสิ่งที่มูยองจำได้ ด้วยทั้งสองตาเขา


สามารถยืนยันได้ว่ามันคือ 'โลงศพ' จำนวนนับไม่ถ้วน และสิ่งที่คล้ายกับเมล็ดพันธุ์ จากนั้นภาพโฮโลแกรม
ของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามูยอง

[ยินดีต้อนรับ หมายเลข 3569947521 สู่เรือโนอาลำที่สิบเจ็ด เมื่อมนุษย์จากโลกเดินทางมาถึงเรือโนอา มันจะ


ถูกเปิ ดผนึก เรือโนอาลำนี้มีไว้เพื่อปกป้ องมนุษยชาติต่อผู้บุกรุกและหลีกเลี่ยงการตรวจจับของพวกมัน ที่แห่ง
นี้คือสถานที่ในการรวบรวมความหวังและซ่อนตัวชั่วคราว สิ่งต่างๆใน 'เรือ' คือ 'ชีวิต' หากคุณเปิ ดใช้งาน
ระบบ คุณจะสามารถสร้างมนุษยชาติที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทำลายขึ้นมาใหม่ เรือโนอามีอาหารเพียงพอสำหรับทุก
ชีวิตเป็ นเวลา 5 ปี ]

มูยองรู้สึกเวียนหัวอยู่ครู่หนึ่ง

จ้าวแห่งหนองน้ำ คือเรือโนอางั้นเหรอ?

หลังจากถูกโจมตีโดยเอลย่าซีโก้ ความหวังสุดท้ายของมนุษย์ก็อยู่ที่เรือโนอาก่อนที่พวกเขาจะใช้มันหนีไป
อย่างไรก็ตามไม่มีร่องรอยของมนุษย์ในบริเวณโดยรอบ มองในอีกมุมหนึ่งอาจมีเพียงเรือไม่กี่ลำที่ได้ลงจอดที่
นี่โดยไม่คาดคิด อย่างไรก็ตามมีบางคำที่ดึงดูดความสนใจของมูยอง

'มนุษยชาติที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทำลาย'

มันน่าแปลกมาก มนุษย์ทุกคนเข้ามาในอันเดอร์เวิลด์ผ่านอารามสีคราม ประโยคที่ว่า 'มนุษยชาติที่ถูกทำลาย'


ฟังดูไม่ถูกต้อง เพราะมันพูดราวกับว่ามนุษยชาติถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว

ก่อนหน้านี้ก็เอลย่าซีโก้ และตอนนี้ก็เป็ นเรือโนอา


'ทุกสิ่งคงจะเป็ นชะตากรรม'

มูยองรู้สึกถึงความสัมพันธ์แปลกๆ มันเหมือนเป็ นการบ้านที่มูยองต้องกลับไปคิด การบ้านอันยุ่งเหยิงที่เขา


ต้องแก้ปัญหาเอง

[ผ่านมาแล้ว 1,139,720 ชั่วโมง กับอีก 56 นาที นับตั้งแต่มีการรุกรานโลก คุณจะเปิ ดใช้งานระบบหรือไม่?]

ถ้าคำนวนจะพบว่ามันเป็ นเวลาประมาณ 130 ปี แล้ว เป็ นอีกครั้งที่สิ่งนี้ไม่เข้ากับการไหลของเวลา มูยองขมวด


คิ้วคิดหนัก แต่ทว่าไม่มีทางที่เครื่องจักรจะโกหก และไหนจะโซโลมอนที่อาจอยู่เบื้องหลังของปัญหาทั้งหมด
เหล่านี้

โซโลมอน เขาเป็ นใครกันแน่?

'ฉันต้องหาคำตอบให้ได้'

เสมือนบอลด้ายที่ยังคงกลิ้งไปเรื่อยๆด้วยความยุ่งเหยิง

และดูเหมือนจะมีเพียงมูยองที่จะสามารถคลี่คลายเส้นด้ายเหล่านั้นได้

บทที่ 219: ลางแห่งการทำลายล้าง (1)

“ ฉันขอปฏิเสธการเปิ ดใช้งาน”

[หมายเลข 3569947521ถูกยอมรับให้เป็ นกัปตันคนใหม่]

[ด้วยคำสั่งของกัปตัน ระบบจะถูกปิ ด]

มูยองตัดสินใจตามนั้น เขาตัดสินใจว่ายังไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามเกี่ยวกับเรื่องนี้ มูยองต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม


เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเรือโนอากับเอลย่าซีโก้ก่อน

หากโลกถูกโจมตีตั้งแต่130ปี ที่แล้วจริงๆ ปัญหาทั้งหมดจะต่างไปจากที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง

เขาต้องจัดการกับ 'ชีวิต' ต่างๆภายในเรือโนอาซึ่งเป็ นคำตอบของสาเหตุเหล่านั้นอย่างรอบคอบ นี่ไม่ใช่สิ่งที่มู


ยองสามารถตัดสินใจได้ในตอนนี้

แทนที่จะมาคิดเรื่องปวดหัว มูยองเอาเวลาไปคิดเกี่ยวกับฟังชั่นก์ต่างๆของเรือดีกว่า
ถ้าหากเอลย่าซีโก้เป็ นอาวุธสำหรับโจมตี เรือโนอาก็มีจุดประสงค์ในการป้ องกัน

โดรนของเรือสามารถทำเป็ นหน่วยลาดตระเวนได้ นอกจากนั้นมันอาจมีอาวุธอื่นๆสำหรับขัดขวางหรือโจมตี


ของศัตรูอีก

เมื่อต้องเผชิญกับบางสิ่งที่แปลกประหลาดและไม่รู้จัก ก็ไม่แปลกเลยที่โอการ์เรียกพวกมันว่า 'จ้าวแห่งหนอง


น้ำ'

'แต่…ดูเหมือนเทคโนโลยีของมันจะก้าวหน้าไปกว่าที่ฉันจำได้'

มูยองมองดูส่วนต่างๆของเรืออย่างพินิจพิจารณา แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักอะไรดีขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าเรือโนอา


มีเทคโนโลยีที่สูงมากกว่าที่มูยองเคยเห็น มันเหมือนเป็ นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าไปอีก 10 ปี หรือกระทั่ง 100ปี ใน
อนาคต

แน่นอนว่าเทคโนโลยีดังกล่าวอาจเกิดจากการวิจัยลับๆ ท่ามกลางสงครามและความรุนแรงเป็ นไปได้ที่ความ


ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จะเป็ นไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามมูยองยังอดเกิดคำถามไม่ได้

เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงจากความทรงจำของมูยองเกี่ยวกับโลกในช่วงยุค 2000ไม่มีทางมีเทคโนโลยีในการ
สร้างเรือโนอาลำนี้ได้

‘หมายเลข 3569947521’

นั่นก็เป็ นสิ่งที่เขาสงสัยเช่นกัน

มันอาจเป็ นหมายเลขที่มอบให้กับมนุษย์แต่ละคน แต่เท่าที่คิดดูมันไม่มีอยู่ในความทรงจำของมูยองเลย ยังไง


ก็ตามความทรงจำของเขายังไม่สมบูรณ์แบบจึงด่วนสรุปอะไรได้ยาก

มันคืออะไรกันแน่? เขาพลาดลืมสิ่งไหนไปหรือเปล่า?

แม้ว่าจะมีชิ้นส่วนปริศนาอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่พอให้มูยองเห็นภาพรวม เปรียบเสมือนเหล่าต้นไม้หนาทึบที่บดบัง


หนทางด้านหน้า เขาไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เห็นเป็ นเพียงแค่เนินเล็กๆหรือภูเขาอันสูงใหญ่

มีหลายสิ่งมากเกินไปที่เขาไม่รู้

'ทุกอย่างก็ยังเชื่อมโยงกับพวกเทพปี ศาจ'

เขาเอะใจขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่าเทพปี ศาจรู้วิธีใช้งานเอลย่าซีโก้
อย่างน้อยพวกมันก็มีความเชื่อมโยงกับเอลย่าซีโก้

เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้เรื่องเกี่ยวกับเอลย่าซีโก้ไม่มากก็น้อย

ไม่ว่าจะเป็ นเป็ นดันดาเลี่ยน หรือเทพปี ศาจทั้ง 71 ตน พวกมันจะต้องรู้รายละเอียดมากกว่านี้

เป็ นไปได้สูงว่ามูยองจะเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นหากยังมีเป้ าหมายอยู่ที่เทพปี ศาจ

'สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน'

มันไม่เปลี่ยนอะไร และไม่มีอะไรเปลี่ยน

สำคัญที่สุดคือมูยองต้องยึดมั่นในสิ่งที่เขามีอยู่แล้ว แม้ว่าตอนนี้เขาจะเห็นแต่ต้นไม้ แต่ในไม่ช้าเขาก็จะได้เห็น


ภูเขา

130 ปี ที่หายไป และตัวตนที่เรียกว่าโซโลมอน ทั้งสองสิ่งเสมือนป้ อมปราการที่ได้รับการปกป้ องจาก


ธรรมชาติ

มูยองมองไปยังเรือโนอาอีกครั้ง

เขาพอคิดวิธีใช้งานเรือโนอาออกเล็กน้อย แม้เป็ นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจทุกอย่างเนื่องจากมันเป็ นเทคโนโลยีขั้น


สูง แต่เรือโนอาตั้งค่าให้มูยองเป็ นกัปตันเรียบร้อยแล้ว และนั่นจะทำให้เขาสามารถใช้งานมันได้อย่างที่
ต้องการ

เรือโนอามีขนาดมหึมา แค่จอดมันขวางไว้เฉยๆก็ดูเป็ นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่แล้ว และถ้าเขาใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ


ของเรือโนอาเป็ น มันอาจจะกลายเป็ นสิ่งที่สามารถคุกคามเอนโรธได้

มูยองเก็บเรื่องสร้างชีวิตที่เก็บไว้ในเรือไว้ก่อน ตั้งแต่แรกเขาก็คิดว่ามันต้องมีประโยชน์สำหรับการเผชิญหน้า
กับเอนโรธ

มูยองพยักหน้าและรีบทำตามแผนต่อไปอย่างรวดเร็ว

***

ทาร์แคนยืนอยู่บนเนินเขาเล็กๆกับเบซองมิน
พวกเขาทั้งสองมีกองกำลังทหารคนละหนึ่งหมื่น ในด้านของเบซองมินเขาเป็ นผู้บัญชาการเอลย่าซีโก้หนึ่ง
หมื่นตัว ส่วนทาร์แคนบัญชาการเหล่าภูตผีวิญญาณหนึ่งหมื่นตน

กองกำลังทั้งหมดนี้พลางตัวไว้อย่างแนบเนียนผ่านการใช้เวทมนตร์ร่วมของเบซองมินและจิน

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือพวกกำลังแอบดักซุ่มโจมตีศัตรู ยังไงซะเส้นทางนี้ศัตรูก็ต้องเดินทัพผ่านพวกเขาจึงรอ
ที่นี่อย่างเงียบๆ นี่คือภารกิจที่มูยองมอบให้พวกเขา

“ จะว่าไปแล้วดูเหมือนทุกเส้นทางที่มูยองเลือกเดินจะต้องเต็มไปด้วยการต่อสู้สินะ”

ทาร์แคนพูด

ตั้งแต่ทาร์แคนกลับมาเขาก็ผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ที่จริงแล้วมูยองเป็ นเช่นนั้นก่อนพวกเขาจะแยกจากกัน


เสียอีก ไม่มีสักวันที่ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดูมูยองจะไม่เหน็ดเหนื่อย นอกจากนั้นเขายังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆและกลายเป็ นตัวตนใหม่ที่ไม่มี


ใครรู้จัก

ขอบคุณสิ่งนี้ที่ทำให้ทาร์แคนได้รับแรงบันดาลใจ แต่บางครั้งแม้แต่ทาร์แคนก็รู้สึกว่ามูยองหักโหมจนเกินไป

“ มูยองเป็ นไต้ฝุ่ นลูกใหญ่ พวกเราเป็ นเพียงสายลมเล็กๆที่หมุนตามเขาเท่านั้น”

“ หรือเขาอยากเป็ นเทพเจ้าของโลกใบนี้?”

จริงๆมูยองก็ดูเหมือนจะเป็ นเทพเจ้าอยู่บ้างแล้ว เพราะในร่างของเขามีลูซิเฟอร์ที่เป็ นครึ่ งเทพอยู่

อย่างไรก็ตามมูยองยังไม่พอใจ แม้จะสามารถกลืนกินลูซิเฟอร์ แต่เขากลับต้องการมากกว่านั้น

“ มูยองเป็ นผู้กอบกู้อิสรภาพ เป็ นไปไม่ได้ที่แค่ลมหมุนเล็กๆอย่างพวกเราจะเข้าใจความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ของ


ไต้ฝุ่ นหรอก ชะตากรรมของเขาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”

“ สำหรับผู้ที่ยังฟื้ นฟูความทรงจำได้ไม่เต็มที่อย่างเจ้าก็ถือว่าพูดได้ไม่เลวเลยทีเดียว ยังไงก็เถอะนั่นอาจเป็ น


เหตุผลว่าทำไมอาชูร่าถึงเลือกเขาให้เป็ นผู้สร้างความโกลาหลแก่โลกใบนี้ "

ทาร์แคนยักไหล่
ราวกับเป็ นส่วนหนึ่งของสงคราม มูยองเข้ากันได้เป็ นอย่างดีกับสมรภูมิรบ มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาจะมี
ชีวิตแบบไหนถ้าไม่ได้อยู่ในอันเดอร์เวิลด์

อาชูร่ารู้ว่ามูยองจะมีแนวโน้มแบบนี้ตั้งแต่แรกหรือไม่?

ทาร์แคนส่ายหัว ไม่มีอะไรดีในการพยายามค้นหาว่าพระเจ้าคิดอย่างไร เป็ นการดีมากกว่าเสียอีกที่เขาไม่ต้องรู้


เกี่ยวกับมัน

“ความทรงจำ ...”

ซองมินไม่สามารถพูดอะไรเพิ่มเติมได้อีก

พูดเกี่ยวกับความทรงจำ

เบซองมินถูกปลุกให้ตื่นและแข็งแกร่งขึ้น ทว่าไร้ความทรงจำที่แน่นอน

แม้จะอยากรู้ว่าผู้ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาคือใครกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าไม่ควร
พบบุคคลนั้น

สิ่งต่างๆมากมายได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาเชื่อว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในตำแหน่งใดๆที่จะยืนหยัดอย่างมั่นใจต่อหน้า
อดีตของตน

คนที่เขาต้องการค้นหาย่อมไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไป ถึงจะหาคนๆนั้นเจอก็รังแต่จะสร้างความสับสนวุ่นวายเท่านั้น
บางทีมันอาจส่งผลในทางลบมากกว่า

อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงเวลา เขาเชื่อว่ามันยังไม่ถึงเวลาและตอนนี้ยังไม่อยากจำอะไรได้ทั้งนั้น

ขณะที่ซองมินคิดทบทวนกับตัวเอง ทาร์แคนก็พูดถึงสิ่งที่ทั้งคู่กำลังกังวล

“ ได้ข่าวว่าเอนโรธครอบครองพลังแห่งความรอบรู้ไม่ใช่หรือ? งั้นมันก็รู้นะสิว่าเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่”

ซองมินก็ควงคฑาไปมาก่อนจะตอบ

“ พลังแห่งความรอบรู้ที่เอนโรธครอบครองนั้นไม่สมบูรณ์แบบ มันก็แค่พลังชั่วคราวที่ได้รับจากเทพปี ศาจ'อา


มอน'

หลังจากซองมินกลายเป็ นเอลเดอร์ลิชเขาก็ทราบข้อมูลหลายอย่างมากขึ้น
โดยพื้นฐานแล้วเขากลายเป็ นผู้รู้แจ้งเกี่ยวกับพลังจิตวิญญาณ เขาเห็นจักรวาลและค้นพบลำดับการทำงานของ
ธรรมชาติ

“ จะบอกว่าเวทมนตร์ของเจ้าแข็งแกร่งกว่าอามอนงั้นหรือ?”

ขณะที่ทาร์แคนถาม ซองมินก็ยุ่งกับการจัดการพลังแห่งการทำนายของเอนโรธ

หนึ่งในสามประตูที่เขาได้รับตอนเลื่อนขั้นเป็ นเอลเดอร์ลิชกำลังทำงานอย่างเต็มที่

“ไม่ ผมแค่รบกวนการทำนายของมันได้นิดหน่อยเท่านั้น ถ้าเป็ นเรื่องเวทมนตร์ไม่มีใครสามารถเอาชนะอา


มอนได้หรอก แม้แต่นักเวทผู้ยิ่งใหญ่แห่งอารามสีครามก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”

ทาร์แคนพยักหน้า

“ ช่างเถอะ แต่ไม่ว่ายังไงก็มีโอกาสสูงที่ราชาปี ศาจทั้งสองจะพากองกำลังของพวกมันบุกเข้ามาก่อนกองกำลัง


หลัก เพราะหลังจากตำแหน่งของชาร์ซาซ่าว่างลง พวกมันก็ต้องแย่งกันทำผลงาน มีโอกาสสูงที่พวกมันจะห้ำ
หั่นกันเอง เราจะรอจนถึงโอกาสนั้นแล้วค่อยจัดการพวกมันทีละตัว”

“ ผมจะจัดการรูสเวลต์เอง พลังของมันคล้ายกับผม”

“ งั้นเฟรด้าก็ยกให้ข้า”

ชาร์ซาซ่าเป็ นราชาปี ศาจที่แข็งแกร่งที่สุดของเอนโรธ เมื่อมันถูกมูยองสังหาร สิ่งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อเอน


โรธ และสายบังคับบัญชาทั้งหมดของมัน แน่นอนว่ารูสเวลต์และเฟรดาก็อยู่ในผลกระทบนั้นด้วย

แม้ว่าพวกมันจะมีอันดับที่ต่ำกว่าชาร์ซาซ่า แต่พวกมันก็ยังคงเป็ นราชาปี ศาจ ซองมินและทาร์แคนไม่สามารถ


รับประกันชัยชนะของพวกเขาได้ การซุ่มโจมตีจึงเป็ นกลยุทธ์ที่สำคัญ

“ ทำสงครามกับราชาปี ศาจ…”

ทาร์แคนพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าพอใจ

นับว่าการติดตามมูยองเป็ นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

ทาร์แคนมีความปรารถนาในความแข็งแกร่งอยู่เสมอ

ราชาปี ศาจนั้นเป็ นความชั่วร้ายที่ยิ่งยวด หากได้ต่อสู้กับพวกมันทักษะของทาร์แคนก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


“ เด็กๆของผมตรวจเจอตำแหน่งของศัตรูแล้ว”

ซองมินเหวี่ยงคทาไปด้านหน้า ในไม่ช้าก็มีภาพเล็กๆปรากฎขึ้น ภายในนั้นสามารถมองเห็นเหล่าปี ศาจอย่าง


น้อยก็ห้าหมื่นตนที่กำลังบินข้ามสันเขามายังทิศทางนี้

ซองมินพูด

“ พวกมันจะมาถึงใน 30นาที”

“ เราจะรออยู่ที่นี่อย่างเดียวหรือ?”

“ เราจะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อศัตรูติดกับแล้ว”

***

การเสียชีวิตของคนๆหนึ่งอาจเป็ นโอกาสสำหรับใครบางคนเช่นกัน

นี่เป็ นความจริงสำหรับราชาปี ศาจอย่างรูสเวลต์และเฟรด้า

เมื่อชาร์ซาซ่าเสียชีวิตตำแหน่งของมันก็ว่างเปล่า ทั้งสองกำลังแข่งขันกันเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ชิดใกล้กับเอน
โรธมากที่สุด ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงรุดหน้ายกทัพเดินทางมาก่อนกองทัพหลักของเอนโรธเพื่อทำผลงาน

“ กะอิแค่ตามล่ามนุษย์คนเดียว เราต้องไม่แพ้กองทัพของเจ้าเฟรดา”

รูสเวลต์พูดขณะถือดาบที่ทำด้วยงาของมอนสเตอร์อาวุธคู่กาย เอกลักษณ์ของรูสเวลต์คือปี กสีดำสามคู่ และ


ใบหน้าอันดุร้ายน่ากลัว

ฉายาของมันคือ 'ราชาปี ศาจแห่งความหวาดหวั่น' ซึ่งได้มาเพราะการสังหารศัตรูในวิธีการที่โหดร้ายและชั่วช้า


สามานย์

ตอนนี้มันนำกองกำลังกว่าสองหมื่นตนเพื่อตามล่ามนุษย์คนหนึ่ง

มันยังไม่อยากเชื่อว่าเพียงแค่มนุษย์จะสามารถสังหารชาร์ซาซ่าได้ แม้ว่าการทำนายของเอนโรธไม่มีทางผิด
พลาด ทว่าต้องมีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องแน่นอน

มันไม่ได้คิดอะไรมากเลย เพราะในสายตาของรูสเวลต์มนุษย์นั้นไม่แตกต่างจากมดปลวก สิ่งมีชีวิตที่ทำได้แค่


โดนพวกมันเหยียบตาย
ราชาปี ศาจทุกตนล้วนมองในแบบเดียวกัน

“ รูสเวลต์เจ้าคิดอย่างไรกับกองกำลังที่เหลือของชาร์ซาซ่า?”

ปี ศาจอัศวินตนหนึ่งพูดกับรูสเวลต์

รูสเวลต์ส่ายหัว

“ ชาร์ซาซ่าเป็ นตัวโรคจิต สมุนของเจ้านั้นก็คงไม่ต่างกัน ถึงรับเข้ากลุ่มไปก็รังแต่จะทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง


เปล่าๆ แต่สำหรับเฟรด้าอาจไม่คิดเช่นนี้ พวกวิปริตทั้งหลายก็มักจะมีรสนิยมเหมือนกันหรือเจ้าไม่คิดอย่าง
นั้น?”

“ ท่านพูดถูก”

“ สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ทั้งชายและหญิงอย่างเฟรอะไรก็เป็ นไปได้!”

“ ข่าวลือที่ว่าเจ้านั้นมอบด้านหลังให้กับชาร์ซาซ่าคงเป็ นเรื่องจริงแน่นอน”

"ฮ่าๆๆๆ!"

ปี ศาจของรูสเวลต์พูดคุยกันอย่างสนุกปาก

พวกมันช่างผ่อนคลาย พวกมันช่างดูมั่นใจในชัยชนะของตน

แน่นอนพวกมันยังยกทัพนำหน้าเร็วกว่าเฟรด้าเล็กน้อย

“ เดี๋ยวก่อนความรู้สึกนี้…”

รูสเวลต์หยุด

กองกำลังสองหมื่นนายที่ติดตามมันก็หยุดบินเช่นกัน

พวกมันหยุดทัพอยู่เหนือที่ราบอันว่างเปล่า และท่ามกลางสภาพสถานที่แห่งนั้นรูสเวลต์ก็เจอร่างของคนที่มัน
คุ้นเคย

“ชาร์-ซาซ่า?”
ดวงตาของรูสเวลต์เบิกกว้าง

ตัวตนของผู้ที่ยืนอยู่บนที่ราบดังกล่าวคือ ชาร์ซาซ่า!

ทำไมมันถึงยืนอยู่ตรงนั้นในเมื่อมันควรจะตายไปแล้ว?!

บทที่ 220:ลางแห่งการทำลายล้าง (2)

‘นี่เป็ นเรื่องไม่ถูกต้อง’ หัวใจของรูสเวลต์ราชาปี ศาจผู้สร้างความหวาดหวั่น และมีชื่อเสียงเป็ นที่รู้จักในฐานะ


จอมพิฆาตที่โหดเหี้ยมที่สุดกำลังตกใจ

'เจ้านั้นตายแล้ว' ชาร์ซาซ่าเป็ นราชาปี ศาจที่ได้รับความโปรดปรานจากเอนโรธ เพราะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดา


ราชาปี ศาจทั้งสามตน แต่มันเสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน นี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

สิ่งที่เอนโรธบอกเองคงไม่ต้องมีข้อสงสัยใดๆ ถ้างั้น 'ร่าง' ที่อยู่ตรงหน้าพวกมันคืออะไร? 'มีผู้ใช้ประโยชน์


จากร่างของมัน' รูสเวลต์พยายามมองหาพิรุธจากชาร์ซาซ่าอย่างยิ่ง ด้วยความแข็งแกร่งของชาร์ซาซ่า หากสู้กัน
มันคงจะมีโอกาสแพ้ถึง 60% แต่ถ้านี่เป็ นเพียงร่างที่เป็ นดั่งภาชนะเปลือยเปล่าล่ะ?

หมายความว่ามันคือกับดักของศัตรูใช่ไหม? 'หลังจากสังหารชาร์ซาซ่าแล้วพวกมันคงทำอะไรบางอย่างกับ
ศพ... ' ในที่สุดรูสเวลต์ก็มั่นใจว่านี่เป็ นแผนการบางอย่างของศัตรู ทว่ายังคงไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมศัตรูถึงได้วาง
กับดักให้พวกมันเห็นชัดเจนเช่นนี้

“ท่านรูสเวลต์! นั่นคือชาร์ซาซ่า!” “ ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”

เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างสับสน ปี ศาจทุกตนรู้ว่าชาร์ซาซ่าเป็ นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ารูสเวลต์เสียอีกจึงอดใจไม่


ได้ที่จะเกิดคำถาม

“ นั่นต้องเป็ นบางสิ่งที่ยึดร่างของชาร์ซาซ่าไว้ ค้นหาบริเวณโดยรอบ! ข้าต้องหาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”

ถูกต้อง! ขั้นแรกต้องค้นหาผู้ที่วางกับดักก่อน บางทีมันอาจเป็ นคนที่สังหารชาร์ซาซ่าก็ได้

รูสเวลต์ไม่เชื่อว่าทุกอย่างจะเป็ นฝี มือของมนุษย์ มนุษย์จะสังหารชาร์ซาซ่าได้อย่างไร? 'นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเสีย


หน่อย' ถึงคำทำนายของเอนโรธจะค่อนข้างแน่นอน แต่มันก็ไม่ได้บอกรายละเอียดของทุกสิ่ง รูสเวลต์คิดว่า
ต้องมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังมนุษย์ผู้นั้น ใครกันที่อยู่เบื้องหลัง?

เป็ นสิ่งมีชีวิตแบบไหน?

'มังกรหรือว่าตัวตนเหนือธรรมชาติ?'
เทพปี ศาจเดียโบล และสมุนของมันย่อมไม่สามารถผ่านสกายลอร์ดได้

นอกนั้นในบรรดามนุษย์ก็มีเพียงไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนเทพปี ศาจและสามารถยุ่งเกี่ยวกับปี ศาจ...

'หรือว่าเป็ นราชันย์มังกร!'

ตัวตนระดับเหนือธรรมชาติทั้งสี่อยู่ในดินแดนภาคเหนือ, ใต้, ตะวันออก และตะวันตก ท่ามกลางตัวตนเหล่า


นั้น ราชันย์มังกรตั้งรกรากอยู่ในสวนลอยฟ้ าทางด้านตะวันตก มีข่าวลือว่าเขาซึ่งเป็ นศัตรูกับปี ศาจจะเข้าทำ
พันธะสัญญากับมนุษย์ที่มีทักษะดีพอ

'ผู้ที่สังหารซาซ่าเป็ นมนุษย์' นั่นคือความคิดที่รูสเวลต์มีต่อเรื่องนี้

มนุษย์ผู้ที่ทำสัญญากับราชันย์มังกรสามารถควบคุมมังกรสองตัวได้ รูสเวลต์ก็รู้จักมนุษย์เช่นนี้คนหนึ่ง
เนื่องจากมันได้สังหารราชาปี ศาจไปสองสามตนแล้ว การที่มีคนฆ่าชาร์ซาซ่าอย่างโจ่งแจ้ง นั่นหมายความว่า
คนๆผู้นั้นไม่ได้เกรงกลัวเอนโรธ

หากเป็ น 'มนุษย์' ที่มีราชันย์มังกรอยู่เบื้องหลังก็มีความเป็ นไปได้เล็กน้อยที่จะสังหารชาร์ซาซ่าได้ อย่างไรก็ตา


มรูสเวลต์ไม่เหมือนชาร์ซาซ่า เมื่อเทียบกับผู้ที่มีสติวิปลาสเช่นซาซ่า รูสเวลต์มีพลังและความบ้าน้อยกว่า ทว่า
ความสามารถของรูสเวลต์ในการควบคุมกองทัพนั้นเป็ นหนึ่งในบรรดาราชาปี ศาจ

“ ห้ามเข้าใกล้ร่างนั้น ชัดเจนว่าต้องมีบางคนซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆนี้ รีบทำการค้นหา”

เหล่าปี ศาจใช้เวทมนตร์ค้นหาทุกชนิดเพื่อตรวจสอบพื้นที่บริเวณรอบๆชาร์ซาซ่า และทั้งหมดนี้ชาร์ซาซ่าไม่


ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว รูสเวลต์ยังกระจายกองกำลังออกไปค้นหาอีกจำนวนมาก

แม้ว่าจะเป็ นแค่ร่างแต่มันก็เป็ นถึง 'กับดัก' ที่สร้างจากชาร์ซาซ่า ดังนั้นพวกมันจึงต้องระมัดระวังเอาไว้ให้มาก


'ทำไมมันไม่เคลื่อนไหวอะไรบ้างเลย'

ดวงอาทิตย์เริ่มลอยต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามชาร์ซาซ่ายังคงไม่เคลื่อนไหว

ทำไม? เป็ นกับดับประเภทไหนกันนะ?

ไม่พบพลังเวทใดๆซ่อนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และมันเองก็ไม่รู้สึกถึงพลังเวทย์มนตร์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
พวกมันคาดเดาอะไรไม่ออกเลย

เวลาที่เริ่มล่วงเลยไปคือปัญหา รูสเวลต์อดไม่ได้ที่จะรีบร้อน “ กองกำลังของเฟรด้าใกล้จะมาถึงที่นี่แล้ว " ผู้ใต้


บังคับบัญชาคนหนึ่งของมันพูด เฟรด้าเป็ นราชาปี ศาจผู้แข็งแกร่งเช่นเดียวกับรูสเวลต์ พวกมันกำลังแข่งขันกัน
เพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปรานจากเอนโรธ
เฟรด้าเป็ นคนใจร้อน หากมันมาถึงสถานที่นี้มันจะต้องพุ่งเข้าหาชาร์ซาซ่าทันที

'มีสองทางเลือก เข้าไปดูให้รู้แล้วรู้รอด หรือว่าจะเดินผ่านมันไป '

เหตุการณ์ไม่สามารถล่าช้าได้อีกต่อไป มันต้องเลือกและยอมรับผลที่จะตามมา รูสเวลต์ถือดาบที่สร้างจากงา


มอนสเตอร์แล้วชูขึ้น

“ ล้อมมันไว้”

ถ้าเฟรด้ามาถึงที่นี่ทุกอย่างจะสายเกินไป การจัดการร่างของชาร์ซาซ่าและนำมันกลับไปล้วนเป็ น 'ผลงาน' นี่


เป็ นโอกาสที่ดีในการรับคะแนนความโปรดปรานจากเอนโรธ มันไม่ปล่อยโอกาสแบบนี้ให้กับเฟรด้าแน่ '

เราตรวจสอบพื้นที่แถบนี้ทั้งหมดหลายครั้งแล้ว'

ไม่พบอะไรผิดปกติในการตรวจสอบ มีเพียงแค่ร่างของชาร์ซาซ่า!

ตามคำสั่งของรูสเวลต์ ปี ศาจ 20,000 ตนเข้าล้อมชาร์ซาซ่าอย่างแน่นหนาโดยไม่มีช่องว่าง

“ ร่ายคำสาปแห่งความเสื่อมโทรมลงบนร่างของมัน!”

แน่นอนว่ามันย่อมไม่เข้าโจมตีโดยตรง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดในขณะที่เกิดความเสียหายน้อยที่สุด มันจึง


ต้องรอบคอบ

ปี ศาจหน่วยเวทมนตร์จำนวน 500 ตนขยับมาที่ด้านหน้าตามคำสั่งของรูสเวลต์ แม้กระทั่งราชาปี ศาจก็ไม่


สามารถป้ องกันคำสาปจากปี ศาจระดับสูง 500 ตนได้

ตึง!ตึง!ตึง!

พอหน่วยเวทโบกไม้เท้าร่ายคาถา เสียงที่คล้ายกับการตีกลองก็ดังขึ้น จากนั้นมือสีดำก็โผล่ออกมาจากเหล่า


ปี ศาจก่อนจะเข้าโอบล้อมชาร์ซาซ่าเอาไว้ มือสีดำแต่ละข้างล้วนเป็ นตัวแทนของพลังแห่งการเสื่อมโทรม มือที่
จะมอบความสิ้นหวังให้แก่ทุกสิ่งที่พวกมันสัมผัส และคุณไม่ไม่มีวันป้ องกันการสัมผัสจากพวกมันได้

'นั่นเป็ นแค่ร่างที่ไร้วิญญาณจริงๆหรือ?'

มันง่ายเกินไปหรือไม่

ทว่าตอนนี้มันกลับสัมผัสได้ว่าคำสาบที่ร่ายออกไปเริ่มอ่อนแอลง
“ เปิ ดใช้งานบาเรียชนวนไฟฟ้ า ”

เมื่อไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นจึงเป็ นสาเหตุที่ต้องระมัดระวังเป็ นพิเศษ ชาร์ซาซ่าเคยเป็ นผู้เชี่ยวชาญการใช้


สายฟ้ า ดังนั้นหากพวกมันป้ องกันตรงนี้ได้ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องกังวล บาเรียที่เกิดจากดินขนาดใหญ่ถูกสร้าง
ขึ้น ด้วยพลังป้ องกันของบาเรียชนิดนี้ แม้ว่าร่างของซาซ่าจะระเบิดออกความรุนแรงจะเหลือเพียงเล็กน้อย
เท่านั้น

'นี่ข้ากังวลไปเองหรือนี่?'

ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ดูเหมือนว่ามันจะเป็ นแค่ร่างเปล่าจริงๆ

นี่คือความรอบคอบที่สุดแล้ว หากยังมัวพะวงจนเสียเวลามากกว่านี้สิ่งที่ได้อาจจะไม่คุ้มเสีย

รูสเวลต์ถืออาวุธเดินไปอยู่เบื้องหน้าชาร์ซาซ่า ทว่าหลังจากนั้นชาร์ซาซ่ากลับเงยหน้าขึ้น!

นี่เป็ นครั้งแรกที่มันแสดงปฏิกิริยา!

“ หลังจากถูกมนุษย์สังหารแม้กระทั่งตายก็ยังทำไม่ได้งั้นรึ?”

ดาบของรูสเวลต์เริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว แรงหมุนที่ทำให้อากาศสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง ทักษะอย่างหนึ่งของ


รูสเวลต์คือดาบที่สามารถแยกชิ้นส่วนทุกอย่างที่มันสัมผัสได้

“ ถึงกระนั้นเจ้าก็เคยเป็ นราชาปี ศาจ เพื่อเป็ นเกียรติแก่เจ้า ข้าจะแยกชิ้นส่วนเจ้าอย่างประณีตที่สุด”

คว้าง! มันเป็ นดาบที่หมุนเร็ว 300,000 รอบต่อหนึ่งวินาที ดาบที่หมุนเร็วจนเหลือเพียงแต่ภาพติดตา

จากนั้นรูสเวลต์ก็พุ่งเข้าหาชาร์ซาซ่าอย่างฉับพลัน

ซวก!

ดาบของรูสเวลต์แทงทะลุผ่านหัวใจของชาร์ซาซ่า

'แทงโดนแล้ว'

เมื่อได้สัมผัสกับคมดาบนั้นก็เท่ากับจุดจบ ชาร์ซาซ่ากำลังจะกลายเป็ นเศษเนื้อแหลกเหลว... แต่ในจังหวะนั้น


เอง โลกที่มันมองเห็นเบื้องหน้าก็บิดเบี้ยว และเปลี่ยนไป 'เรียลลิตี้มาเบิ้ล!' "...หืม! รูสเวลต์ถึงกับขมวดคิ้ว สิ่ง
นี้หมายความว่าอย่างไรในเมื่อชาร์ซาซ่าไม่มีพลังของเรียลลิตี้มาเบิ้ล?
โลกที่ปรากฎหลังจากนั้นคือภาพของป่ าอันกว้างใหญ่ สถานที่ที่ไม่มีสิ่งใดอาศัยอยู่นอกจากความรกร้างที่
แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ในสถานที่เช่นนี้ทักษะดั้งเดิมของพวกเขาจะถูกขยายเพิ่มจนถึงขีดสุด

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

ทั้งร่างของชาร์ซาซ่ากลายเป็ นพายุสายฟ้ า นั้นทำให้การโจมตีของรูสเวลต์ไร้ผล

อย่างไรก็ตามร่างของรูสเวลต์กำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะบอกว่ามันเป็ นรูปร่างของช้างก็ได้แต่ก็มีขนาดใหญ่


กว่านั้นมาก

'เรียลลิตี้มาเบิ้ลนี่เสริมความแข็งแกร่งให้กับลักษณะตามธรรมชาติของแต่ละคน!'

มันเป็ นมิติที่ไม่เหมือนใคร

อย่างไรก็ตามสิ่งที่แน่นอนคือรูสเวลต์โดดเดี่ยวในสถานที่แห่งนี้ เพราะแกนหลักของพลังดังกล่าวถูกควบคุม
โดยชาร์ซาซ่า เว้นแต่รูสเวลต์จะสังหารซาซ่ามันถึงจะสามารถหนีจากที่นี่ได้

แซ่ด!

ชาร์ซาซ่าเริ่มเคลื่อนไหว

“ เจ้าต้องการเช่นนี้ตั้งแต่แรกสินะ!”

รูสเวลต์ตะโกนออกไป

มันพยายามมองดูพื้นที่โดยรอบ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เตรียมตัวสำหรับเรียลลิตี้มาเบิ้ล เพราะนี่ไม่ใช่ทักษะ


ของชาร์ซาซ่าตั้งแต่แรก และมันไม่คิดว่าจะมีไอเท็มใดที่สามารถเปิ ดใช้งานเรียลลิตี้มาเบิ้ลได้

'บัดซบที่สุด ถ้าข้าไม่ลงมือด้วยตนเองคงไม่ติดกับศัตรูเช่นนี้ !'

รูสเวลต์ก้าวถอยหลังเล็กน้อย ถ้ารูสเวลต์ไม่พยายามจัดการกับชาร์ซาซ่าด้วยตัวเอง มันก็คงไม่ตกหลุมพราง


อย่างไรก็ตามปี ศาจทุกตนต่างรู้ว่ารูสเวลต์นั้นรักเกียรติศักดิ์ ศรี และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันตกอยู่ในกับดักของ
ศัตรู

'ฝ่ ายตรงข้ามต้องรู้จักข้า'
จากแผนการของศัตรูทำให้มันอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้ รูสเวลต์ลอยตัวขึ้น ใช่ถึงมันจะตกหลุมพราง แต่มันก็ไม่
สามารถยอมแพ้ได้เพียงเพราะถูกหลอก

“ เจ้าคิดว่ามิติแบบนี้จะขวางข้าได้งั้นหรือ?!”

* * * ซองมินพยักหน้า ตามคำแนะนำของมูยอง รวมถึงการตัดสินใจของเขาเองทำให้สามารถขังรูสเวลต์ได้


สำเร็จ และตอนนี้ไม่จำเป็ นต้องรออะไรอีกแล้ว

“กอเดียมัส”

ซองมินชูคฑาขึ้น ซองมินมีทักษะเกี่ยวกับประตูที่สามารถเปิ ดได้สามบาน โดยที่ประตูทั้งสามจะมีสัตว์วิเศษที่


แข็งแกร่งหลับไหลอยู่ข้างใน

ตอนนี้ซองมินเปิ ดประตูบานที่สาม

แกร๊ก! ซว๊าก! ตรึม!

มอนสเตอร์ขนาดมหึมาฉีกอากาศก่อนจะปรากฏตัวออกมา สิ่งมีชีวิตที่สูงเสียดฟ้ า และมีถึงเก้าหัว ...

ราชันย์มอนสเตอร์ ไฮดร้า!

ซองมินลอยตัวขึ้นไปขี่อยู่บนหลังของมัน จากนั้นก็สั่งเหล่าวิญญาณและอันเดธรอบๆ

“ โจมตีรูสเวลต์”

รูสเวลต์ถูกขังอยู่ในมิติเฉพาะ และนั่นทำให้มันแยกออกจากผู้ใต้บังคับบัญชาของตน

ซองมินพูดกับตัวเองอย่างเงียบๆ

“ เพื่อชัยชนะของเขา”

* * * ในขณะเดียวกันทาร์แคนกำลังยกพลไปโจมตีเฟรด้าพร้อมกับเหล่าไฟทาร์ของโอการ์ และโดเกบิ

เฟรด้าราชาปี ศาจผู้มีอารมณ์แปรปรวน ทาร์แคนไม่รู้จักมัน

แต่มูยองรู้จัก
ถึงแม้ว่ามูยองจะไม่รู้อะไรมากขนาดนั้นแต่เขาก็รู้ว่ามันเป็ นอย่างไร และเหมือนที่มูยองคาดไว้ เขาสามารถ
สังเกตเห็นเฟรด้าพร้อมลูกสมุนกำลังตรงดิ่งมาที่นี่จากระยะไกล

“ หากเปิ ดร้านดูดวง เขาจะต้องประสบความสำเร็จมากแน่ๆ”

ทาร์แคนพูดถึงมูยองนิดหน่อย อย่างไรก็ตามเนื่องจากคู่ต่อสู้ปรากฏตัวขึ้นแล้วจึงไม่มีเวลาว่างให้คิดอะไรอีก
ทาร์แคนหันร่างกลับไปด้านหลัง

“ เฟรด้าเป็ นของข้า พวกเจ้าไปนอนรอได้เลย”

ทาร์แคนมั่นใจมาก โอกาสที่จะได้สู้เช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก การที่ฝ่ ายตรงข้ามเป็ นราชาปี ศาจ ความกระหายของ


เขาคงได้รับการตอบสนองเป็ นอย่างดี

“ ฝ่ ายตรงข้ามคือราชาปี ศาจ มันจะไม่หนักมือไปหน่อยหรือ? ทำไมเราไม่ทำตามแผนของมูยองล่ะ?”

โอการ์พูด

แน่นอนว่าทาร์แคนแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าระดับของราชาปี ศาจ ดังนั้นมูยองจึงต้องการให้ทาร์


แคนทำงานร่วมกับโอการ์เพื่อหยุดเฟรด้าแต่ทาร์แคนกลับยืนกรานที่จะต่อสู้คนเดียว

“ ข้าไม่อยากแบ่งปันโอกาสทองเช่นนี้ให้ใคร นอกจากนี้ข้ายังมีไพ่ลับอยู่ แม้คู่ต่อสู้จะเป็ นมูยองข้าก็มั่นใจใน


การสู้กับเขา!”

โอการ์ก้าวไปด้านหลัง เขาไม่สามารถโต้เถียงอะไรไปมากกว่านั้นเมื่ออีกฝ่ ายอยากจะสู้ หากเป็ นความดื้อดึง


ของทาร์แคน ดูเหมือนว่าไม่มีทางอื่นที่จะจัดการกับสถานการณ์นอกเหนือจากรอดูและเข้าไปช่วยเหลือใน
ตอนจบ เมื่อพวกเขาตัดสินใจกันเสร็จก็เป็ นเวลาเดียวกันกับที่ศัตรูเห็นกองกำลังทหารที่อยู่ที่นี่พอดี

“คิฮี่ฮี่ฮี่! เหยื่อแบบไหนกันนะที่มารอข้าอยู่ที่นี่!?”

ในขณะที่มันสยายปี กขนาดใหญ่ทั้งสาม ปี ศาจรูปร่างผอมเพรียวผู้ที่ทำให้คนพบเห็นต้องเข้าใจผิดว่าเป็ นชาย


หรือหญิงก็ลอยตัวเด่นขึ้น

“ ข้าไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ต่อสู้ขณะขี่มังกรกระดูก”

โอการ์พูดขณะที่อยู่บนมังกรกระดูก และในขณะนี้ทาร์แคนก็บุกเข้าไปโจมตีเฟรด้าแล้ว

'เราชนะแน่นอน'
โอการ์ยกกระบองขนาดใหญ่ขึ้นพาดไหล่

* * * ศึกครั้งนี้รูสเวลต์เป็ นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด เฟรด้าเป็ นราชาปี ศาจที่อารมณ์ร้อน การสู้กับมันจึงค่อนข้าง


เดาทางง่าย ในทางกลับกันรูสเวลต์เป็ นคนใจเย็น มันรู้วิธีอ่านเกมการต่อสู้ สำหรับสงครามของเอนโรธ ปี ศาจ
ที่ทำให้มันนำหน้าผู้อื่นได้ก็เป็ นรูสเวลต์เช่นกัน เหตุผลที่พวกเขาใช้ชาร์ซาซ่าเป็ นเหยื่อล่อรูสเวลต์ก็เป็ นเพราะ
เหตุผลนี้

'แค่ทำให้รูสเวลต์ทำอะไรไม่ได้นั่นก็เพียงพอแล้ว'

มูยองมาถึงอาณาเขตของตัวเองโดยนำ 'เรือโนอา' ที่โอการ์เรียกว่าจ้าวแห่งหนองน้ำมาด้วย

เรือโนอามีกลไกการป้ องกันตัวที่แข็งแกร่ง ด้วยสิ่งนี้การปกป้ องอาณาเขตของเขาจะง่ายขึ้นมาก มูยองไม่ได้


เข้าร่วมการต่อสู้ของทั้งสอง แต่เลือกปกป้ องอาณาเขตของตนแทน

เอนโรธกำลังจับตามองการต่อสู้ของรูสเวลต์และเฟรด้าอยู่

มูยองไม่ต้องการเปิ ดเผยพลังการต่อสู้ทั้งหมดของตัวเอง พลังของเขาจะถูกใช้ตอนเผชิญหน้ากับเอนโรธจริงๆ


เท่านั้น

“ ท่านลอร์ด การ์มูสกลับมาแล้ว”

การ์มูสผู้ซึ่งได้รับคำสั่งให้นำหัตถ์เทพเจ้าบาร์ทัสมาที่อาณาเขตกลับมาแล้ว มูยองพยักหน้า

"ลุกขึ้น"

หลังจากประตูถูกเปิ ดออกในไม่ช้าคนแคระที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราก็เดินเข้ามา

“ บาร์ทัสล่ะ?”

“ น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถมากับข้าได้”

“ เป็ นอย่างนั้นเหรอ?”

มูยองขมวดคิ้ว

หัตถ์เทพเจ้าบาร์ทัสเป็ นคนที่มูยองต้องการให้เขาสร้างชุดเซ็ตอุปกรณ์ราชันอมตะส่วนที่เหลือให้
และราวกับว่าการ์มูสสามารถอ่านความผิดหวังของมูยองได้, เขายิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ ถึงเขาจะมาไม่ได้ แต่อุปกรณ์เหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นแล้ว”

คลืน! คลืน!

ด้วยเสียงที่ดังฟังชัด คนแคระสองสามคนก็เข้ามาพร้อมกับกล่องขนาดใหญ่

บทที่ 221: ลางแห่งการทำลายล้าง (3)

คนแคระแบกกล่องขนาดใหญ่เข้ามาจากนั้นก็วางไว้เบื้องหน้ามูยอง กล่องที่ภายนอกดูเหมือนธรรมดา อย่างไร


ก็ตามมูยองสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่เอ่อล้นจากมันได้

“ จากการเคลื่อนไหวล่าสุดของพวกปี ศาจทำให้บาร์ทัสไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ เขาเลยสร้างอุปกรณ์ด้วย


วัสดุที่ให้มาแทน”

บาร์ทัสเป็ นราชาของคนแคระ

เขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่ออาณาจักรของตนเอง

จริงๆแล้วเรื่องของบาร์ทัสมูยองไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะมูยองก็ต้องการเพียงอุปกรณ์ของเขาเท่านั้น

'พลังของราชันอมตะ'

อุปกรณ์ที่ดีที่สุดของมูยองคือดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยว และถัดไปก็คือเกราะหุ้มหน้าอกของราชันอมตะ ถ้า


หากเขาสวมใส่อุปกรณ์ส่วนที่เหลือของเซ็ตราชันอมตะได้การเผชิญหน้ากับเอนโรธก็ไม่ใช่ปัญหา

กล่องใหญ่ตรงหน้าให้ความรู้สึกราวกับว่าพลังบางอย่างกำลังไหลเอ่อออกมา

อย่างไรก็ตามมันให้ความรู้สึกถึงภัยร้ายมากกว่า หากความโกรธเกรี้ ยววเป็ นพลังที่ปฏิเสธทุกอย่าง พลังจาก


กล่องก็เหมือนจะสามารถปลุกพลังบางอย่างของแต่ละคนออกมาได้

แค่มองมูยองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้ว

เหมือนการ์มูสจะสังเกตเห็นสีหน้ามูยองเขาจึงพูดขึ้นอย่างขมขื่น
“ มันเป็ นของที่เหนือความคาดหมาย แม้แต่บาร์ทัสเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าจะสร้างมันออกมาได้ ข้าเองก็เห็น
ตอนเขาสร้างมันแค่ชั่วครู่เท่านั้น แต่ความน่าหวาดเกรงของมันตอนเสร็จสมบูรณ์นี่สิยิ่ีงกว่า …"

"ยังไงเหรอ?…"

“ พลังเวทของอุปกรณ์ชิ้นนี้ดึงดูดเหล่ามอนสเตอร์ นอกจากนั้นยังทำให้พวกมันดุร้ายขึ้นอีก”

จริงตามนั้น การ์มูสดูค่อนข้างเหนื่อย ดูเหมือนว่าเส้นทางกลับมายังอาณาเขตจะไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ผลกับสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูง

อิทธิพลดังกล่าวส่งผลกับมอนสเตอร์ที่สติปัญญาต่ำเท่านั้น และไปปลุกสัญชาตญาณของพวกมัน

มูยองเอื้อมมือไปสัมผัสตัวกล่อง

จากนั้นเขาก็เปิ ดมันออกและบางสิ่งที่ดูคล้ายเกล็ดก็ปรากฎสู่สายตา มันเป็ นเกล็ดที่ดูโปร่งใสมาก จะเรียกมัน


ว่าส่วนหนึ่งของอุปกรณ์สวมใส่ก็ดูกะไรอยู่เพราะมันไม่เหมือนอุปกรณ์แม้แต่นิดเดียว

"นี่คืออะไร?"

มูยองถาม การ์มูสตอบ

“ มันคือผิวหนัง”

“ผิวหนัง?”

“บาร์ทัสกล่าวว่าด้วยวัตถุดิบอย่างหนังแสงจันทร์ที่บ่งบอกถึงความเป็ นนิจนิรันดร์ และพลังของราชันอมตะ


ซึ่งหมายถึงความไร้ที่สิ้นสุด ทำให้เกิดเป็ นไอเทมเช่นนี้”

“ แม้แต่บาร์ทัสก็ไม่รู้เกี่ยวกับมันทั้งหมดใช่มั้ย?”

บาร์ทัสเป็ นผู้สร้างสิ่งนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามบาร์ทัสเองก็ไม่ได้รู้ว่าเขาสร้างอะไรขึ้นมาจริงๆ

“ เขายังกล่าวอีกว่า 'พระเจ้าแห่งช่างตีเหล็กผู้ยิ่งใหญ่ใช้ร่างของข้า'สร้างมันขึ้นมา ”

หมายความว่าบาร์ทัสสร้างสิ่งนี้ขึ้นในขณะที่เขาถูกตัวตนอันยิ่งใหญ่เข้าควบคุมร่างงั้นหรือ?
มูยองยิ้ม เขาคิดว่าบาร์ทัสคงดื่มเหล้าจนเมาขณะสร้างมันขึ้นมามากกว่า

เขามองไปที่เกล็ดดังกล่าวอีกครั้ง

นอกเสียจากจะจดจ่อกับมัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถบอกได้ว่าเกล็ดดังกล่าวมีตัวตนหรือไม่

และเมื่อมูยองถือมันขึ้นมามองใกล้ๆข้อความก็ปรากฎ

ชื่อ: นิจนิรันดร์

อันดับ: ?

ประเภท: ?

ความคงทน:?

เอฟเฟกต์: ?

อย่างไรก็ตามมีข้อมูลไม่มากนัก

นอกจากชื่อเขาก็ไม่สามารถยืนยันอะไรได้อีก

นั่นคงหมายความว่าเขาต้องใช้มันดูเพื่อให้รู้ถึงความสามารถของมันจริงๆ

'นิจนิรันดร์'

นิจนิรันดร์ คำที่หมายถึงไม่มีที่สิ้นสุด

'ไอเทมที่ดึงดูดมอนสเตอร์และทำให้พวกมันดุร้าย'

ไอเทมประเภทสวมใส่ที่ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนผิวของคุณให้กลายเป็ นสิ่งที่แข็งแกร่ง แต่มันจะ 'เปลี่ยนแปลง'


แม้กระทั่งผู้ที่ใช้มัน มูยองรู้สึกอย่างนั้น

ในบรรดาสิ่งต่างๆที่ถือเป็ นเครื่องมือ ผู้คนกล่าวว่าสิ่งของที่สามารถเปลี่ยนผู้ใช้ได้ล้วนเป็ น 'ความชั่วร้าย' และ


หากมองในแง่นี้เจ้าเกล็ดดังกล่าวคงไม่ได้ให้ผลเชิงบวก
อย่างไรก็ตามมันเป็ นไอเทมที่มีความแข็งแกร่งของราชันอมตะ ขนาดเกราะอกของเขายังเป็ นระดับ S+ เขาก็
ไม่แน่ใจว่าผิวหนังดังกล่าวจะมีพลังมากแค่ไหน

ทว่าแล้ว...

'เครื่องมือก็เป็ นเพียงเครื่องมือ'

เครื่องมือไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเขาได้ เครื่องมือคือสิ่งที่ต้องถูกใช้ หากบางคนให้ความหมายมากเกิน


สำหรับเครื่องมือ เครื่องมือนั้นก็จะกลืนกินผู้ใช้ไปในที่สุด

มูยองเริ่มถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออก

ขนาดของเกล็ดนั้นใหญ่กว่าร่างของมูยองเสียอีก แต่เมื่อเขาสวมมัน ขนาดของเกล็ดก็หดตัวลงมาเพื่อให้พอดี


กับเขา

'ผิวหนังใหม่'

หนึบ!

ทุกจุดที่มันสัมผัสกับผิวหนังของเขาจะรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างที่เหนียวมากเข้าไปยึดเกาะ

หลังจากนั้นไม่นานผิวเดิมก็ถูกย้อมเป็ นสีแดงและถูกกัดกิน และจากกระบวนการดังกล่าวผิวหนังใหม่ก็เริ่มถูก


สร้างขึ้น

มันฆ่าเซลล์เดิมที่มีอยู่ตามปกติ และเข้าแทนที่

ผิวหนังที่มีชื่อว่า 'นิจนิรันดร' ได้ถูกย้ายไปที่ร่างของมูยอง มันไม่ได้รู้สึกแตกต่างอะไรเลย

รู้สึกเหมือนเป็ นผิวตามธรรมชาติของเขา

อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่เป็ นธรรมชาตินี้อยู่เพียงชั่วขณะเท่านั้น

“... !”

มูยองขมวดคิ้ว

การปฏิเสธเริ่มเกิดขึ้น ผิวหนังและร่างกายที่รักษาสมดุลได้อยู่พักหนึ่งกำลังจะหายไป
เขารู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดของตัวเองบิดเบี้ยว ไม่ว่าจะเป็ นกระดูกหรืออวัยวะอื่นๆล้วนแต่ได้รับผลกระทบ
เนื่องจากทุกกระบวนการคือความเจ็บปวดที่ทำให้เขาแทบหมดสติ นานมากแล้วที่มูยองรู้สึกถึงความทรมาน
แบบนี้ มูยองขดตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ และทำได้เพียงกัดฟันทนจนแทบรู้สึกว่าลูกตาจะระเบิดออกมา

“ท่าน-ท่านลอร์ด! ท่านยังไหวหรือไม่?

"ออก..ไปก่อน"

มูยองชี้นิ้วไปที่ประตูและบอกให้ทุกคนออกไปในขณะที่การ์มูสกลืนน้ำลายลงเฮือกพร้อมกับพยักหน้า

มูยองตระหนักว่ามันเป็ นปัญหาที่เขาต้องจัดการด้วยตัวเอง

“ ถ้าฉันไม่ได้เรียก…อย่าปล่อยให้ใครเข้ามา”

หลังจากนั้นมูยองก็ปิ ดประตูโครมด้วยความรุนแรง

ในสภาพนั้นมูยองทรุดตัวลงนั่งข้างๆเก้าอี้

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั้งหมดยังคงดำเนินต่อไป

'พลังของราชันอมตะ'

ทั้งหมดนี้เป็ นเพราะความแข็งแกร่งของราชันอมตะ

มูยองเป็ นมนุษย์ มนุษย์ที่ถูกกำหนดให้ตายในวันหนึ่ง อย่างไรก็ตามความเป็ นอมตะจะยังมีอยู่ตลอดไป


แน่นอนว่าความตายและความเป็ นอมตะไม่สามารถดำรงอยู่พร้อมกันได้ในสิ่งเดียวกัน มันคงไม่สมเหตุสมผล
ที่จะได้รับผิวหนังที่มีพลังความอมตะได้โดยไม่ต้องรับผลกระทบใดๆ

'ความเจ็บปวดที่ฉันสามารถตายได้'

ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการได้รับพลังนั้นอยู่ในขั้นสุดยอด

ถ้าไม่ใช่มูยอง 99%คงเสียชีวิตตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นแล้ว

มูยองสามารถทนได้เพราะเขาคุ้นเคยกับความเจ็บปวดยิ่งกว่าใคร

'ฉันต้องรอด ฉันจะต้องรอด. ฉันจะต้องอยู่รอดไปจนถึงวันที่ทุกอย่างจบสิ้น '


หากมูยองได้รับผิวหนังของราชันอมตะ เขาจะสามารถใช้ทักษะ 'เร่งความเร็ว' ได้อย่างอิสระมากขึ้น

ถึงแม้ว่าตอนนี้มูยองจะสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 64 เท่า แต่ทว่าไม่อาจใช้งานมันได้นานนัก ไม่ใช่ข้อจำกัด


ของเวลาแต่ส่วนใหญ่เป็ นเพราะข้อจำกัดทางกายภาพของเขา

ด้วยสิ่งนี้เขาสามารถเอาชนะขีดจำกัดนั้นได้

ดังนั้นความเจ็บปวดในปริมาณนี้จึงไม่มีค่าอะไรหากเทียบกับสิ่งที่จะได้รับมา

'ฉัน ... จะเอาชนะมัน'

ชนะ มีเพียงการเอาชนะทุกสิ่งเท่านั้นที่เป็ นบุญญานุภาพเดียวในการดำรงอยู่ของตัวตนอย่างมูยอง

และมูยองให้คำสาบานที่จะชนะอีกครั้งในเวลานี้

***

“กอเดียมัส”

เมื่อซองมินร่ายมนต์ประตูเวทก็ถูกสร้างขึ้นทันทีในบริเวณใกล้เคียง

และเมื่อประตูเปิ ดออกเครื่องพันธนาการนับร้อยก็พุ่งไปจับปี ศาจก่อนจะระเบิดพวกมันออกเป็ นซากแหลก


เหลว

บูม!

ฃยังมีไฮดราที่อัญเชิญออกมาจากประตูที่สาม มันใช้เวทมนต์ที่แตกต่างกันจากหัวทั้งเก้าเข้าโรมรันพันตูกับ
เหล่าปี ศาจอย่างดุเดือด

'ปี ศาจเหล่านี้ก็เหมือนกับผึ้ง'

เพราะหากไร้ซึ่งนางพญา ผึ้งเหล่านั้นก็ต้องตกอยู่ในความสบสนอลม่านอย่างช่วยไม่ได้ ตัวตนของเหล่าปี ศาจ


มีอยู่เพื่อราชาปี ศาจและเทพปี ศาจเท่านั้น ไม่แปลกที่ซองมินจะเปรียบเทียบพวกมันกับผึ้งแมลง

พอราชาปี ศาจรูสเวลต์หายตัวไป กองทัพปี ศาจของมันต่างก็ตกอยู่ในความสับสน

กระทั่งในขณะที่ซองมินบุกเข้าไปโจมตี พวกมันก็ยังดูสับสนวุ่นวาย
อย่างน้อยในสนามรบแห่งนี้ ตำแหน่งผู้ควบคุมก็ตกอยู่ใต้ฝ่ ามือของซองมินแล้ว

'ฉันต้องรีบไปหลังจากจบสถานการณ์ที่นี่'

อย่างไรก็ตามซองมินกำลังรีบ

การต่อสู้ที่นี่ไม่ใช่ของทั้งหมด

กองทัพหลักของเอนโรธยังไม่มาถึง

เพื่อที่จะต่อสู้กับปี ศาจนับล้านตน มันจำเป็ นที่จะต้องเร่งดำเนินการแม้จะสักเล็กน้อย

ถึงเขาจะผนึกรูสเวลต์ไว้ได้ แต่ยังเหลือราชาปี ศาจที่ชื่อว่าเฟรดาอยู่

ดังนั้นซองมินจึงพยายามที่จะยุติการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้ไปช่วยเหลือทาร์แคนและโอการ์

“ จงออกไปทำลายศัตรูให้สิ้นซาก”

ซองมินโบกคฑาของเขา

จากนั้นผืนดินก็รวมตัวกัน และโกเลมสิบกว่าตัวก็ปรากฏขึ้น

ตอนนี้ปี ศาจรู้แล้วว่าใครเป็ นผู้ควบคุมการต่อสู้ครั้งนี้

“ ลิชนั่น ฆ่ามันซะ!”

“ หากสังหารลิชได้ชัยชนจะตกเป็ นของเรา!”

กลุ่มที่เกิดจากปี ศาจหลายร้อยตนเริ่มเข้าใกล้ซองมิน

พอถึงจังหวะหนึ่งซองมินก็ชูคฑาขึ้นและร่ายมนต์อย่างรวดเร็ว

“อะมาเดอุส”

วี๊ดดดดดดด!

เสียงกรีดร้องที่น่าขนลุกดังขึ้นจากสภาพแวดล้อมรอบๆ
แม้แต่ปี ศาจก็อดไม่ได้ที่จะปิ ดหูและตัวสั่นเทา

ซองมินเหวี่ยงคฑาและตัดหัวไฮดรา 5ตัวออกทันทีโดยไม่รอช้า

หัวที่ถูกตัดขาดงอกใหม่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บาเรียเวทถูกสร้างขึ้น

โดยการเสียสละหัวไฮดร้า การอัญเชิญของซองมินก็เสร็จสิ้น

ยักษ์ที่มีผมพันกันยุ่งเหยิงปรากฏกายขึ้น

นั่นคือยักษ์ไซคลอปส์มีขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่าไฮดรา เมื่อมันก้มลงแสงสีแดงจากดวงตาก็พุ่งออกไปโจมตีศัตรู

แซ่ดดด!

ปี ศาจทุกตนที่สัมผัสถูกลำแสงนั้นสลายหายไปทันที

“ อะไรกัน?”

“ นั่นมันมอนสเตอร์แห่งความว่างเปล่า…?”

เหล่าปี ศาจต่างหวาดกลัวและดูกระวนกระวาย ความว่างเปล่าเป็ นพื้นที่ลึกลับแม้กระทั่งสำหรับพวกมัน มอนส


เตอร์ที่โผล่ออกมาจากที่นั่นล้วนแต่แข็งแกร่งและชั่วร้าย

ยังมี แม่มดเบียทริซ

มอนสเตอร์แข็งแกร่งที่สุดของซองมินไม่ใช่ไฮดรา แต่เป็ นแม่มดเบียทริซ

ซองมินไม่ได้เป็ นแค่ลิชธรรมดาๆ

เขาคือเอลเดอร์ลิช

เขาผู้ซึ่งเป็ นราชาลิชที่สามารถควบคุมความว่างเปล่าได้

“ รีบจบเรื่องนี้ดีกว่า”

ความคิดของซองมินไม่ได้อยู่ในสนามรบแห่งนี้แล้ว
เขามั่นใจในชัยชนะ และกำลังวางแผนที่จะย้ายไปช่วยเหลือการต่อสู้อื่นๆ

***

เอนโรธเดินทางไปพร้อมกับป้ อมปราการขนาดใหญ่

ป้ อมปราการที่ว่าคือปราสาทซึ่งเป็ นส่วนหนึ่งของมัน

ในบริเวณโดยรอบปี ศาจนับแสนตนบินเต็มท้องฟ้ าดูราวกับกำลังปกป้ องป้ อมปราการอยู่

“ ท่านเอนโรธ กองกำลังที่ล่วงหน้าไปถูกโจมตี”

เอนโรธนั่งอยู่บนบัลลังก์ขนาดใหญ่กลางป้ อมปราการ

ปี ศาจโน้มตัวลงรายงานข่าวด้วยความเคารพและยำเกรง ในขณะที่เอนโรธผงกหัวรับฟัง

“ ข้ารู้แล้ว”

“ รูสเวลต์หายตัวไป ส่วนเฟรดาหนีไปแล้วกับทหารไม่กี่นาย”

“ เรื่องนั้นข้าก็รู้เช่นกัน”

เอนโรธเห็นทุกสิ่งแล้ว

มันกำลังมองกลยุทธ์ของศัตรูผ่านการต่อสู้กับราชาปี ศาจทั้งสอง

“ เราควรทำอย่างไรดี”

ปี ศาจที่อยู่รอบตัวมันต่างมีสีหน้าของความเหลือเชื่อ

ราชาปี ศาจทั้งสองล้มเหลว เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น

แม้ว่าจำนวนของทีมจู่โจมล่วงหน้าจะน้อย แต่การที่ราชาปี ศาจพ่ายแพ้ เอนโรธคงไม่นิ่งดูดายเป็ นแน่

หลังจากดูฝูงปี ศาจของตน เอนโรธพูดช้าๆ

“ ส่ง 'บัลร็อก' ออกไป”


ทันใดนั้นดวงตาของปี ศาจทั้งหลายก็เบิกกว้าง

“บัลร็อก... !”

“ นายท่านมันไม่อันตรายเกินไปเหรอ?”

บัลร็อกเป็ นหนึ่งในมอนสเตอร์ของเอนโรธที่มันไม่สามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่

ปี ศาจโบราณอันแข็งแกร่งและผู้ทำลายล้างที่บ้าคลั่ง!

ทุกแห่งที่บัลร็อกย่างกรายไปถึงต่างถูกพังทลาย

ฉายาที่มอบให้กับบัลร็อกคือ 'ลางแห่งการทำลายล้าง'

เพียงดูที่พลังการต่อสู้บัลร็อกก็แข็งแกร่งกว่าราชาปี ศาจทั้งสามแล้ว

แต่การปลดปล่อยบัลร็อก?

แค่ส่งมันไปไม่ใช่ปัญหา แต่การที่จะเรียกมันกลับมาต้องเสียสละเป็ นจำนวนมาก

ถึงแม้ว่าจะเป็ นเช่นนั้นก็ตามเอนโรธยังคงยืนยัน ...

“ ข้ายังไม่เห็นไพ่ทั้งหมดของพวกมัน”

มันต้องการเข้าใจความสามารถของศัตรูอย่างทะลุปรุโปร่ง

การส่งบัลร็อกออกไป พวกมันย่อมไม่มีทางเก็บความลับอะไรไว้ได้อีก

พวกมันจะต้องเผยไพ่ทั้งหมดบนมือออกมา

จากนั้นเอนโรธก็จะทำลายศัตรูของมันลงอย่างสมบูรณ์

บทที่ 222: ลางแห่งการทำลายล้าง (4)

เอนโรธประเมินเกี่ยวกับศัตรูผู้สามารถสังหารชาร์ซาซ่าไว้ในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม...
เอนโรธเป็ นที่รู้จักกันในนามของราชาปี ศาจเลือดเหล็ก

ปี ศาจที่แข็งแกร่งจนถูกกล่าวขานว่าไร้ซึ่งศัตรู

มีโอกาสน้อยมากที่ศัตรูของมันจะต้านทานบัลร็อกไหว แต่ถึงจะผ่านมาได้ก็ไม่มีเอาชนะตัวมันได้แน่นอน

'แสดงให้ข้าดูหน่อยแล้วกัน'

เอนโรธบีบไม้เท้าในมือแน่น

พวกมันจะสามารถต้านทานได้นานสักแค่ไหนเชียว?

ดวงตาของเอนโรธเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อยที่กำลังชื่นชมของเล่น

***

เฟรด้ากัดริมฝี ปากจนเลือดไหลซิบ

ราชาปี ศาจผู้มีอารมณ์แปรปรวน

ตามฉายาที่ได้รับมันมักจะทำอะไรแปลกๆที่ไม่มีใครคาดถึง และด้วยความที่เป็ นถึงราชาปี ศาจจึงไม่มีใครเคย


ขวาง หรือปฏิบัติต่อมันอย่างเลวร้ายได้

อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาอำนาจพลังและเกียรติยศดังกล่าว เฟรด้าจำเป็ นต้องฝึ กตนให้แข็งแกร่งอย่างมากที่สุด

ดังนั้นเหตุการณ์ตอนนี้จึงเป็ นสิ่งที่มันไม่สามารถยอมรับได้

'ตัวตนอย่างข้าเนี่ยนะที่พ่ายแพ้!'

กึด!

มันบดเขี้ยวเคี้ยวฟัน

อันเดธตนแรกที่ปรากฏ ชื่อว่าทาร์แคนหรือเปล่านะ?

ไม่มีอะไรแปลกสำหรับการต่อสู้กับเขา เขาเป็ นนักรบอันเดธประเภทหัวแข็งโดยสมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะ


แข็งแกร่งกว่าที่เฟรด้าคาดไว้ แต่เขาก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะมันได้
จากพื้นที่ต่อสู้ที่พังทลายออกเป็ นวงกว้าง ทาร์แคนถูกมันกดดันเป็ นอย่างมาก ปัญหาคือมีลิชตนหนึ่งปรากฏตัว
ขึ้นในขณะที่มันกำลังจะได้รับชัยชนะ

'เอลเดอร์ลิช…ทำไมถึงมีเอลเดอร์อยู่ที่นี่?'

หากราชาปี ศาจหมายถึงราชาของเหล่าปี ศาจเช่นไร เอลเดอร์ลิชก็เป็ นราชาของเหล่าอันเดธเช่นนั้น

และลิชที่มีชื่อเอลเดอร์นำหน้านั้นแข็งแกร่งจนกระทั่งอาจมากกว่าราชาปี ศาจด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามมีเอลเดอร์ลิชเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้

นั่นคือ จ้าวแห่งความตาย!

เขาเป็ นหนึ่งในสี่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ อวตารของความตายที่แม้แต่ปี ศาจยังต้องหลีกเลี่ยง

ยังไงก็ตามจ้าวแห่งความตายไม่เคยออกจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งซึ่งถูกเรียกว่า 'ภูเขาแห่งความตาย' เลย


แม้แต่ครั้งเดียว

ถ้างั้นอะไรคือสิ่งที่เฟรดาเห็น ภาพลวงตางั้นเหรอ?

'เฉพาะเอลเดอร์ลิชเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังจากความว่างเปล่าได้ แต่ลิชผู้นี้ดูมีพลังเวทย์น้อยกว่าจ้าวแห่ง
ความตาย ถ้างั้นมันคือใครกันแน่? '

ความว่างเปล่าที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้

เหล่าราชาปี ศาจแทบไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความว่างเปล่า ในขณะที่เทพปี ศาจบางตนโอ้อวดว่าสามารถควบคุมพลัง


ความว่างเปล่าได้ แต่เมื่อเทียบกับจ้าวแห่งความตายแล้วมันก็ดูจริงจังกว่าการละเล่นของเด็กน้อยนิดเดียว
เท่านั้น

ไม่มีลิชตนไหนอีกที่สามารถควบคุมมอนสเตอร์แห่งความว่างเปล่าได้นอกเหนือจากจ้าวแห่งความตาย

อย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่จ้าวแห่งความตายแน่นอน

“ หรือว่ามันเป็ นผู้สืบสายเลือด?”

ตึง!
เฟรด้ากระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจทำให้พื้นที่รอบๆสั่นไหวอย่างรุนแรง

ลิชไม่สามารถมีผู้สืบทอดทางสายเลือดได้ อันเดธทุกตนล้วนเหมือนกันทั้งหมด นี่เป็ นสามัญสำนึกปกติ แต่สิ่ง


ที่มันเห็นขัดแย้งกับสามัญสำนึกเช่นนั้น

และมันไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะเป็ นศิษย์ของจ้าวแห่งความตาย โดยเฉพาะไม่มีทางที่มันจะเป็ นเอลเดอร์ลิช


เพราะแค่การกลายเป็ นลิชนั้น นักเวทสักคนก็ต้องอาศัยระยะเวลานานกว่าสองถึงสามพันปี

กึด! กึด! กึด!

เฟรด้ากัดเล็บตัวเองราวกับคนโรคจิต

อย่างไรก็ตามความจริงที่ว่ามันพ่ายแพ้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป

และมันรู้ตัวว่าสมควรต้องถอย

ความภาคภูมิใจของมันกำลังเจ็บปวด

มันพยายามที่จะได้รับความโปรดปรานจากเอนโรธ แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร และโชคดีแค่ไหน


แล้วที่ตัวเองยังมีชีวิตรอด

“ เจ้ารูสเวลต์มัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนในเวลานี้?”

เหลือปี ศาจแค่ประมาณ 200 ตนรอบๆเฟรด้า

แม้ว่ามันจะนำปี ศาจมาถึง 10,000 ตน แต่ตอนนี้เหลืออยู่เพียง 200 ตนเท่านั้น

“ เมื่อเหตุการณ์เป็ นเช่นนี้เราจะหันไปโจมตีรูสเวลต์แทน ข้าจะปล่อยให้เจ้านั้นได้รับความชอบไปไม่ได้”

เฟรดาเริ่มเคลื่อนไหวตามอารมณ์ที่แปรปรวนของตน

เมื่อมันไม่ได้รับของที่มันอยากได้ ผู้อื่นก็ต้องไม่ได้รับเช่นกัน

“ ท่านหมายความว่าจะโจมตีรูสเวลต์จริงๆเหรอ?”

“ ทหารจำนวนแค่นี้ไม่น่าจะเพียงพอนะท่าน…”
เหล่าปี ศาจพยายามยับยั้งความคิดดังกล่าว

แม้ว่าปี ศาจจะเป็ นพวกเดียวกัน แต่ก็ไม่มีความรักหรือความจงรักภักดีระหว่างปี ศาจจริงๆ

เป็ นเรื่องปกติที่พวกปี ศาจมักจะทำเรื่องอย่างแทงข้างหลัง มันเป็ นธรรมชาติของพวกมันที่จะล่าเหยื่อที่อ่อนแอ


กว่าตัวเอง

ฉัวะ!

เฟรด้าหั่นคอของปี ศาจที่อยู่ข้างกายทิ้ง

ตุบ!

เมื่อปี ศาจตัวหนึ่งกลายเป็ นศพที่เหลือก็นิ่งเงียบ

เส้นเลือดบนคอของเฟรด้าปูดโปงในขณะที่พูด

“ การกลับไปมือเปล่าก็หมายถึงความตายด้วย”

รูสเวลต์จะต้องคิดสังหารมันเหมือนกัน

“ ก่อนที่เราจะถูกโจมตี ดังนั้นเราจะโจมตีมันก่อน พวกแกยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

เฟรด้านำกองกำลังของตน 10,000 นายมาที่นี่ จากความสูญเสียที่เกิดขึ้นทำให้พลังการต่อสู้ของเฟรด้าถูกลด


ทอนลงอย่างมาก

รูสเวลต์คงจะไม่นั่งอยู่เฉยๆรอให้เฟรด้าโจมตีก่อนเป็ นแน่

ด้วยเหตุผลดังกล่าวเหล่าปี ศาจที่เหลือไม่ได้พยายามรั้งเฟรด้าอีกต่อไป

“ถ้างั้นตอนนี้รูสเวลต์อยู่ที่…”

ตูม! เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น

จู่ๆสิ่งมีชีวิตสีดำก็บินลงมาจากฟากฟ้ า

เป็ นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันโดดลงมาจากด้านบนอย่างรวดเร็ว และหลุดรอดจากการรับรู้ของเฟรด้า


มอนสเตอร์ที่มีร่างกายสีดำขนาดใหญ่ด้านหลังปรากฎปี กสี่คู่

“บัลร็อก ... ?”

มันมีสองเขาเหมือนแพะ ร่างกายใหญ่โต และใบหน้าของมันทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงดุจเปลวเพลิง


จากขุมนรก

บัลร็อกเป็ นปี ศาจแข็งแกร่งที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล

ตอนนี้พวกมันส่วนใหญ่ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว และมีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในอันเดอร์เวิล์ด
เนื่องจากพลังอันแข็งแกร่งของพวกมัน เทพปี ศาจจึงจับพวกมันด้วยตนเองและควบคุมพวกมันเอาไว้

เอนโรธเก็บบัลร็อกไว้ตัวหนึ่ง

ด้วยการใช้เวทมนตร์ที่แข็งแกร่งทำให้สามารถกักขังบัลร็อคเอาไว้ได้

บางครั้งมันถูกส่งไปยังสนามรบ แต่เมื่อใดก็ตามที่ทำเช่นนั้น แม้แต่ปี ศาจก็ไม่สามารถช่วยได้แต่ต้องตกใจกับ


ฉากที่เห็น

เพราะมันโจมตีศัตรูและพันธมิตรโดยไม่เลือกหน้า

บัลร็อกจัดเป็ นนักล่าชั้นสูงและเป็ นผู้ทำลายล้างโดยสมบูรณ์แบบ

แต่ทำไมบัลร็อกถึงอยู่ในสถานที่นี้?

กรรรรรร

บัลร็อกก้มหน้าลงมองไปทางเฟรด้า

จากการจ้องมองนั้นไม่มีทางที่เฟรด้าจะอ่านความตั้งใจอันชั่วร้ายของมันไม่ออก

นั้นเป็ นสายตาชั่วร้ายที่ต้องการเพียงการทำลายล้างเท่านั้น!

"หยุดมันไว้!"

เมื่อได้รับคำสั่งเหล่าปี ศาจก็กางปี กถืออาวุธพร้อมกับร่ายเวทมนตร์ทันที


“Σ? Αγαπ?...... .”

“Γει? Σου!”

บูม! บรึม!

เวทมนตร์จำนวนมากสาดใส่ร่างของบัลร็อก

หมอกควันจากการระเบิดหนาเต็มพื้นที่ มันเป็ นการโจมตีวงกว้างที่รุนแรงมาก หากพวกมันถูกเวทมนตร์


โจมตีโดยตรงเช่นนี้คงไม่มีใครรอดชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม

ตึง!

บัลร็อกยังเคลื่อนไหวดีอยู่ภายในหมอกควัน

หากมีการเคลื่อนไหวถึงจะด้วยความรวดเร็วหมอกควันก็ย่อมถูกรบกวน แต่จากหมอกควันที่ดูเหมือนจะยังไม่
เคลื่อนไหว บัลร็อกกลับปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าของปี ศาจทุกตนแล้ว

บัลร็อกใช้มืออันใหญ่โตบดขยี้ปี ศาจราวกับเป็ นของเล่น

เมื่อมันอ้าปากกว้างสิ่งที่อยู่ข้างหน้ามันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และยามที่มันกระพือปี กเลือดเนื้อของเหล่า


ปี ศาจก็ถูกตัดปลิวว่อนกระจัดกระจาย

บัลร็อกเคลื่อนที่มายืนอยู่หน้าเฟรด้า

“ เจ้ากล้าแยกเขี้ยวใส่ข้างั้นรึ!”

เฟรด้าขมวดคิ้วขณะใช้หอกที่สร้างขึ้นมาจากหางของตัวเอง

หากใครถูกหอกเวทเล่มนี้แทงเข้าไปจะถูกสังหารโดยทันที หอกเล่มนี้เป็ นส่วนหนึ่งของร่างกายเฟรด้า รวมถึง


เป็ นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของมันด้วย

กึงง! อย่างไรก็ตามหอกเวทไม่สามารถแทงผ่านชั้นผิวหนังของบัลร็อกได้

หรือเป็ นเพราะมันใช้พลังไปหมดแล้วในการต่อสู้ก่อนหน้า?
“ นี่เป็ นไปไม่ได้…!”

เมื่อหอกเวทไม่ได้ผลดวงตาของเฟรดาก็เบิกกว้างอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามเฟรดาไม่เคยคิดเลยว่านี่จะเป็ นสิ่งสุดท้ายที่มันจะได้รับรู้

กร๊วบ!

บัลร็อกอ้าปากแล้วเขมือบร่างกายท่อนบนของเฟรด้า

ฮูมม

จากนั้นมันก็ส่งเสียงครางออกมาราวกับพอใจ

อย่างไรก็ตามมันเลียริมฝี ปากแล้วหันมองไปรอบๆราวกับยังไม่อิ่ม

ภาพที่ปรากฏในสายตาของนักล่าอย่างมัน ปี ศาจที่กำลังทรุดตัวลงตัวแข็งทื่อทั้งหมดนั้นคือเหยื่อที่กำลังรอให้
มันเขมือบ

***

เปรี๊ยะ!

ผิวของเขาปริแตกถูกทำลาย และงอกใหม่ขึ้นหลายครั้ง

เขารู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้ว่าเขาจะฝึ กซ้อมอย่างหนักในฐานะนักฆ่า แต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวดขนาดนี้

เขารู้สึกราวกับวิญญาณจะต้องแหลกสลาย หากสมดุลผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย

กระบวนการบีบอัดพลังของความเป็ นอมตะเข้าไปในมนุษย์

แน่นอนว่ามันคงไม่ราบรื่น

"ยอมแพ้เถอะ เจ้าทนความเจ็บปวดนี้ไม่ได้หรอก”
เสียงบางคนดังขึ้น

มูยองตระหนักว่าบุคคลที่พูดกับเขาอยู่คือลูซิเฟอร์

“ มอบพลังนั่นให้ข้า หากข้าได้รับพลังอมตะ เจ้าจะไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป”

ด้วยการส่งผ่านพลังอำนาจนี้แก่ลูซิเฟอร์ มูยองสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้

ลูซิเฟอร์กำลังล่อลวงเขาด้วยการบอกว่าทุกสิ่งจะถูกแก้ไขหากสละสิทธิ์ ในการควบคุมนี้ให้แก่มัน

สิ่งที่กล่าวไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก

ยังไงก็ตามลูซิเฟอร์ไม่ได้โกหก มันแค่เกลี้ยกล่อมเขาอย่างชาญฉลาด

มูยองไม่ตอบกลับ

เขาแค่ต้องอดทนเท่านั้น ทั้งหมดที่มูยองสามารถทำได้คือกัดฟันทนต่อไป

“ หากเจ้าไม่ยอมรับข้อเสนอ ความเจ็บปวดนี้จะไม่สิ้นสุดลง พลังของความเป็ นอมตะจะทำลายเจ้า หาก


วิญญาณและร่างกายของเจ้าเสียหาย ข้าก็จะพลอยได้รับอันตรายไปด้วย ดังนั้นข้าจะให้เจ้ายืมความแข็งแกร่ง
ของข้า หากเจ้าไม่ยอมรับข้าจะปล่อยเจ้าให้รับความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เพียงลำพัง”

ปัจจุบันวิญญาณของมูยองและวิญญาณของลูซิเฟอร์ผูกติดอยู่ด้วยกัน

ในสถานะดังกล่าวถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับมูยอง ลูซิเฟอร์ก็จะไม่ปลอดภัย

นั่นคือเรื่องถูกต้อง มันคือความจริง ดังนั้นเป็ นธรรมดาที่ลูซิเฟอร์จะต้องเป็ นกังวล

อย่างไรก็ตามหากมูยองส่งผ่านพลังอำนาจนี้ให้มัน มันจะส่งพลังดังกล่าวกลับคืนให้มูยองหรือไม่?

นั่นคงไม่เกิดขึ้นเป็ นแน่

มันเป็ นไปไม่ได้เลยที่จะขอคืนพลังอำนาจที่ลูซิเฟอร์ได้รับไปแล้วกลับคืนมา

ในอดีตมูยองซ่อนวิญญาณบางส่วนของตัวเองไว้เพื่อตีกลับลูซิเฟอร์ แต่วิธีการนั้นคงไม่ได้ผลเป็ นครั้งที่สอง!

วืด! วืด!
ร่างกายของเขาหดตัวก่อนที่จะขยายอีกครั้ง

แม้ว่ามูยองจะมีประสบการณ์ในการย้ายเอ็นถ่ายกระดูก แต่นี่เป็ นสิ่งที่แตกต่างจากความเจ็บปวดประเภทนั้น


อย่างสิ้นเชิง

“ เจ้าไม่เจ็บปวดหรือไง? แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งแต่มนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด หากยังเป็ นสิ่งมีชีวิตเจ้าไม่มีทาง


ต้านทานพลังของความเป็ นอมตะได้หรอก หรือเจ้าวางแผนที่จะกลายเป็ นอันเดธหลังจากที่ตายงั้นหรือ? เหมือ
นลิชที่เจ้าสร้างขึ้น? อืมนั่นก็เป็ นความคิดที่ไม่เลว”

มันค่อนข้างพูดมาก

ปกติแล้วลูซิเฟอร์ไม่ใช่คนพูดมากแบบนี้

ลูซิเฟอร์อาจตระหนักว่านี่เป็ นโอกาสที่ดีที่สุดในการยึดอำนาจจากมูยอง

อย่างไรก็ตามถึงอย่างนั้นมูยองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

แม้ว่าความคิดเขาจะอ่อนแอลงด้วยความเจ็บปวด แต่มูยองก็ไม่พลาดสิ่งเล็กๆน้อยๆนี้

นี่เป็ นครั้งแรกที่ลูซิเฟอร์มีทีท่าหมดหวัง

“อ่า!

และแล้วมูยองก็ตระหนักได้

วิญญาณของพวกเขาถูกผูกติดเข้าด้วยกัน

หากมูยองอ่อนแอ ลูซิเฟอร์ก็อ่อนแอเช่นกัน

จนถึงตอนนี้ลูซิเฟอร์แค่ปกป้ องตนเอง

มันปกป้ องตัวเองจากพลังของกาเบรียลเช่นเดียวกับพลังอื่นๆที่มูยองครอบครอง

มันปิ ดกั้นพลังอื่นๆเพื่อไม่ให้ตัวเองสูญเสียตัวตนไป

อย่างไรก็ตามตอนนี้เหมือนประตูถูกบังคับให้เปิ ด เมื่อวิญญาณของมูยองอ่อนแอลง มันจึงไม่มีพลังมากพอ


สำหรับการป้ องกันตัวเองได้อีก
พลังของกาเบรียลไม่ใช่ประเภทที่จะกระตุ้นอย่างรุนแรง แต่หากเป็ นพลังของความเป็ นอมตะลูซิเฟอร์รู้ตัวว่า
มันอาจถูกดูดกลืนได้

ลูซิเฟอร์มั่นใจว่ามูยองคงไม่เข้าใจความจริงนี้

และถ้ามูยองอ่อนแอลงกว่านี้อีกเล็กน้อยมันก็อาจจะฝื นต่อไปไม่ไหว

นั่นคือเหตุผลที่มันพยายามล่อลวงเขา

“ ส่งผ่านการควบคุมมา ข้าจะพยายามต่อต้านความแข็งแกร่งของพลังอมตะให้ ในนามของข้าลูซิเฟอร์ ... ”

"อ่อใช่แล้ว เจ้าจะยังคงได้รับความเป็ นอมตะอยู่”

ในขณะนั้นเอง มูยองก็ยื่นมือออกไปคว้าวิญญาณของลูซิเฟอร์

บทที่ 223: ลางแห่งการทำลาย (5)

ทาร์แคนก้มลงมองดาบตัวเอง

มันหักออกเป็ นสองส่วน หลังจากพ่ายแพ้ให้แก่เฟรด้า

แม้ว่าทาร์แคนจะสามารถซ่อมแซมได้ทันที แต่เขาก็ไม่ทำเช่นนั้น

เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับสาเหตุที่พ่ายแพ้

'ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ?'

เขาคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น แน่นอนว่าเขาพิสูจน์ตัวเองไปแล้ว ด้วยการเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งเป็ นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่เขาเอาชนะมา เป็ นเพียงระดับมาตรฐานของ 'มนุษย์' เท่านั้น

แม้ว่าทาร์แคนจะแข็งแกร่งขึ้น แต่มูยองและซองมินก็ยิ่งพัฒนามากขึ้นเช่นกัน

สำหรับตัวตนลึกลับเช่นมูยองนั้นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ซองมินนี่สิที่คาดไม่ถึง

ทาร์แคนยังตกใจอยู่เลย เมื่อเห็นว่าซองมินรับมือรูสเวลต์และแม้กระทั่งกับเฟรด้าได้อย่างไร
มีซากศพมากมายที่เกิดขึ้นจากฝี มือของซองมิน และมอนสเตอร์แห่งความว่างเปล่าของเขา

เฟรด้าไร้หนทางต่อหน้าซองมินโดยสิ้นเชิง เหล่าสมุนปี ศาจของมันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้


ตัวเองถูกโจมตีอย่างไร้ประโยชน์

นอกจากมูยองแล้ว ทาร์แคนจำใจต้องยอมรับว่าซองมินก็มี 'ระดับ' เหนือกว่าตน

เขารู้สึกเหมือนกำลังแหงนหน้ามองดอกไม้ที่งอกอยู่บนหน้าผา

ที่แม้จะเอื้อมมืออย่างไรก็ไม่สามารถไปถึงได้

มันเป็ นเรื่องที่ทำให้ทาร์แคนตกใจอย่างยิ่ง เนื่องจากเมื่อก่อนซองมินยังอ่อนแอกว่าเขา

เมื่อไหร่ที่เจ้านี่แซงหน้าข้าไป ?

เกิดอะไรขึ้นในเวลาเพียงสองปี ?

แล้วสองปี ที่ผ่านมาข้ามัวไปทำอะไรอยู่ ?

'อันดับเปลี่ยนไปแล้ว'

บางทีเขาอาจถูกครอบงำโดยความทระนงของตนเอง

'ข้าแข็งแกร่ง ข้ากลายเป็ นผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม และข้าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีก'

เขาไม่ได้คิดมากไปเอง เพราะมันเห็นได้ชัดเจนมาก?

ทาร์แคนก้าวออกจากอาณาเขต ซึ่งกำลังฉลองชัยชนะอยู่ในขณะนี้

เนื่องจากพวกเขาหยุดกองกำลังที่ล่วงหน้ามาของศัตรูได้ ดังนั้นจึงมีพักหนึ่งก่อนที่ศัตรูที่เหลือจะตามมาถึง

ทาร์แคนเดินออกจากอาณาเขต และเข้าไปในป่ าลึก

'การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น'

ถูกต้องแล้ว มัวแต่โทษตัวเองคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้
ถ้าซองมินแข็งแกร่งขึ้นได้ ทาร์แคนก็แค่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

สงครามเป็ นเวทีที่ดีที่สุดที่จะแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะจัดการกับราชาปี ศาจได้ แต่เอนโรธยังคงอยู่ น่าจะ


มีปี ศาจอีกอย่างน้อยสองสามแสนตนภายใต้คำสั่งของมัน

การเฉลิมฉลองในอาณาเขตตอนนี้ก็มีเพื่อบรรเทาความตึงเครียดเท่านั้น

ฉวับ! ฉวับ!

ทาร์แคนเหวี่ยงดาบหักๆของเขาไปด้านหน้า

เขาซ้อมฟันดาบอย่างแข็งขันเพื่อลดช่องว่างดังกล่าวลง ขณะที่คนอื่นกำลังเพลิดเพลินไปกับงานฉลอง

'ก่อนหน้านี้ข้าคงจะขี้เกียจไปหน่อย'

เขาละเลยการฝึ กเล็กๆน้อยๆไปเมื่อรู้สึกว่าตนแข็งแกร่งขึ้น

จากการต่อสู้ครั้งนี้และการปรากฏตัวของซองมิน เขาก็ตระหนักได้อย่างสุดซึ้ง

แม้ว่าเขาจะเป็ นหนึ่งในผู้ปกครองของเส้นทางแห่งอาชูร่า แต่เขาก็ขาดพลังอีกเยอะในฐานะผู้ปกครอง

เขาต้องการพลังมากกว่านี้เพื่อที่จะเป็ นผู้ปกครองที่แท้จริง

อย่างน้อยก็จนกว่าจะเอาชนะซองมินและมูยองได้…ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเรียกตัวเองว่าผู้ปกครอง

ผู้ปกครองจะต้องชนะเท่านั้น และขึ้นครองราชย์!

แกร๊บ!

ทาร์แคนสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของใครสักคน

เขาหยุดการฝึ กและหันกลับไปอย่างระมัดระวัง

ดูเหมือนพวกนั้นจะเก่งพอตัว เพราะหากไม่สังเกตเสียงลมและหญ้าเขาคงไม่รู้ว่ามีคนมาที่นี่

"พวกเจ้าเป็ นใคร?"
ปี ศาจที่รอดชีวิตหรือ?

เฟรด้าหลบหนีไปพร้อมกับสมุนของมัน

และถ้าเป็ นเฟรด้าจริงๆทาร์แคนคงยินดีเป็ นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นก็มีคนสองคนปรากฏตัวขึ้น

ทั้งสองคนมีสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่

เป็ นชายแก่ที่ดูเหนื่อยล้า และหญิงสาวผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งคู่มองเขาจากบนต้นไม้สูง

“ อาจารย์ เรากินอัศวินแห่งความตายตรงนั้นได้มั้ย ”

" หยุดคิดอะไรบ้าๆ เธอจะกินมอนสเตอร์ที่มีแต่กระดูกได้ยังไง”

ดูเหมือนว่าทั้งสองจะหิวเป็ นอย่างมาก

ถึงแม้ว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยป่ าไม้ แต่ทว่าสัตว์ที่ยังมีชีวิตกลับมีอยู่ไม่มากนัก

นอกจากนั้นแม้แต่พืชส่วนใหญ่ก็ยังมีพิษ

หากมนุษย์กินมันอย่างไม่ระมัดระวังพวกเขาจะต้องป่ วยหนัก

“ ทำไมมนุษย์ถึงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้”

ทาร์แคนยกดาบขึ้น

เขาเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

'สกายลอร์ด' ย่อมไม่ยอมให้มีผู้บุกรุกเข้าไปในดินแดนเทพปี ศาจ นอกจากพวกเขาเป็ นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใน


สถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว

หญิงสาวและชายแก่มองไปที่ทาร์แคนด้วยความประหลาดใจ

“ ดูเหมือนว่ามันจะเป็ นอัศวินแห่งความตายที่มีสติปัญญานะ”
“ งั้นเรามาจับมันถามเอาข้อมูลกันเถอะ”

จากนั้นทั้งสองก็ตั้งท่าแปลกๆ ก่อนจะกระโจนเข้าหาทาร์แคนทันที

“ ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็ นใคร แต่ในเมื่อบังอาจโจมตีข้าก่อน คงไม่คิดว่าจะจากไปทั้งที่ยังมีชีวิตสินะ”

หลังจากสลดจากเรื่องเมื่อสักครู่ การได้ต่อสู้กับใครสักคนจึงเป็ นเรื่องที่ดี

ถึงจะไม่ใช่เฟรด้าและเหล่าสมุนปี ศาจ แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ผู้ที่ไม่ได้รับเชิญบุกรุกเข้ามาเช่นนี้ได้

ทาร์แคนเหวี่ยงดาบหักในมือออกไป

ซู่ม!

คลื่นพลังเวทพุ่งผ่าอากาศออกมาจากตัวดาบ

ราวกับนัดหมายไว้แล้ว หญิงสาวและชายชราแยกหนีออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะโจมตีทาร์แคนจาก


หลายทิศทาง

'ค่อนข้างมีฝี มือ'

เป็ นการประสานการต่อสู้ที่ดี

นอกจากนั้นทักษะของพวกเขาก็ยังค่อนข้างดีอีกด้วย

ในบรรดามนุษย์ เขาไม่ค่อยเห็นผู้ที่สามารถเคลื่อนไหวได้เช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ทาร์แคนเคยต่อสู้กับผู้ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็ น 'ท็อป 10' ของมนุษย์มาก่อนแล้ว

ตูม!

หญิงสาวและชายชรายังไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้กับทาร์แคนได้

แต่พวกเขายังคงป้ องกัน และคอยโจมตีออกไปเรื่อยๆ

แม้ว่าจะเป็ นศิลปะการต่อสู้ที่เรียบง่าย แต่ความสามารถของพวกเขาก็ไม่เหมือนใคร และเมื่อพวกเขาประสาน


การโจมตีเข้าด้วยกันก็สามารถแสดงประสิทธิภาพของทักษะได้มากยิ่งขึ้น
'แต่ก็ยังไม่เพียงพอ'

ทาร์แคนไม่ได้อ่อนแอ แม้ว่าเขาจะรู้สึกแย่เมื่อนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับมูยองและซองมินก็ตาม แต่ความ


จริงแล้วทาร์แคนนั้นแข็งแกร่งพอ

ทาร์แคนใช้ฟันดาบออกไป ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกระโดดหลบการโจมตี เขาก็บิดร่างกายในทิศทางที่คาดไม่


ถึง และโจมตีเธออีกครั้ง

หากไม่ใช่อัศวินแห่งความตายคงเคลื่อนไหวเช่นนี้ไม่ได้

“ชิ!”

เคล้ง!

หญิงสาวซัดมีดสั้นออกไปหยุดดาบของทาร์แคนไว้

“ฮ่าๆ! แกเสร็จฉันแล้ว ไอ้กระดูกระยำ!”

จากนั้นชายชราก็คว้าทาร์แคนจากด้านหลัง

ชายชรากอดรัดเอาไว้อย่างแน่นหน้าราวกับจะสามารถบดขยี้ร่างของทาร์แคนได้

วูม!

แต่แล้วทาร์แคนก็อันตรธานหายไป

ขณะที่ชายชรากวาดสายตาตามหา หญิงสาวก็ขว้างมีดสั้นออกไปอีกอย่างรวดเร็ว

"อาจารย์! มันอยู่ข้างหลัง!"

วูม!

อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถป้ องกันได้อย่างสมบูรณ์

ดาบแทงทะลุหลังของชายชรา

ด้วยเวทการเคลื่อนย้ายทางไกล ทาร์แคนสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหลังของชายชราได้
“ แกเป็ นมอนสเตอร์ที่มีทักษะค่อนข้างดีเลย!”

ชายชราตะโกนพูดราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บ

'ทั้งๆที่ข้าเล็งที่ศีรษะแล้วแท้ๆ'

ความเร็วในการตอบสนองของมนุษย์คนนี้ผิดปกติ

หากเขาช้ากว่านี้สัก 0.01วินาทีศีรษะคงเป็ นรูไปแล้ว

'น่าสนใจ'

ทาร์แคนเริ่มรู้สึกสนุก

มนุษย์พวกนี้ค่อนข้างมีทักษะ

บางทีพวกเขาอาจแข็งแกร่งกว่าคนส่วนใหญ่ที่รู้จักกันว่าอยู่ใน 'ท็อป 10' ของมนุษย์

***

ทั้งสามต่อสู้กันอยู่หลายชั่วโมง

ผลสรุปของฉากนั้นทำให้เขานึกถึงสงครามอีกครั้ง

ป่ าโดยรอบถูกทำลาย ต้นไม้จำนวนมากถูกโค่นลง พื้นดินปริแตกราวกับเกิดแผ่นดินไหว และในท่ามกลางสิ่ง


เหล่านี้มีมนุษย์สองผู้ล้มลงอยู่

“ มนุษย์เป็ นเผ่าพันธุ์ที่คาดเดาได้ยากเสียจริง”

ถึงชนะแต่ทาร์แคนยังคงตกใจ

ดาบที่หักอยู่แล้วแทบไม่เหลือชิ้นดี

กระดูกบางส่วนของทาร์แคนแตกหัก และหลังจากนี้เขาต้องการพักผ่อนเป็ นเวลาอย่างน้อยสักสองวัน

เฟรด้าไม่ได้ต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบ มนุษย์สองคนนี้ก็เหมือนกัน
ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอเนื่องจากไม่ได้รับอาหารที่เหมาะสมเป็ นเวลานาน

แต่มันยังไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่า ทั้งสองคนโจมตีทาร์แคนก่อน

ทาร์แคนชูดาบขึ้นเหนือร่างของคนทั้งสอง ซึ่งกำลังหมดสติจากการบาดเจ็บ

“ ถึงกระนั้นข้าจะให้พวกเจ้าได้ตายอย่างมีเกียรติ”

มันเป็ นการแสดงความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง

สังหารศัตรูให้ตายในการโจมตีครั้งเดียวโดยไม่ให้ได้รับความเจ็บปวด

ทาร์แคนเดินไปที่หญิงสาวก่อน แต่ในขณะที่เขากำลังจะเหวี่ยงดาบ หญิงสาวก็ครางออกมาเบาๆ

“ พ่อ…พี่มูยอง…”

ทาร์แคนหยุดชะงัก

มูยอง?

เขาไม่ได้ยินผิดแน่นอน

ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า 'มูยอง'

ทาร์แคนรู้จักกับมูยองเพียงคนเดียวเท่านั้น

เธอกำลังพูดถึงมูยองที่เขารู้จักใช่หรือไม่?

'นางรู้จักเขางั้นหรือ?'

ทาร์แคนส่ายหัว

หากเธอเกี่ยวข้องกับมูยอง คงดีกว่าที่จะไม่สังหารพวกเขา

“ ชื่อของเขาช่วยชีวิตเจ้าไว้”

ทาร์แคนแบกทั้งสองคนไว้บนไหล่
***

เหมือนเธอกำลังตกอยู่ในความฝันอันยาวนาน

ซูจียิ้มอย่างมีความสุขอยู่กับพ่อตัวเอง และมูยองก็อยู่ที่นั่นด้วย

อย่างไรก็ตามความมืดก็ปกคลุมฉากทั้งหมดในไม่ช้า และทั้งสองคนก็หายไป

เธอร้องไห้ตามหาพวกเขา และความฝันก็สิ้นสุดลงแค่นั้น

“อือ... .!”

เธอยกร่างกายส่วนบน อันปกคลุมไปด้วยเหงื่อขึ้นอย่างรวดเร็ว

'ฉันอยู่ที่ไหน?'

หลังจากที่ลุกขึ้น ซูจีก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอีกครั้ง

เธออยู่ในสถานที่ที่เธอไม่รู้จัก นอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ด้านบนเป็ นเพดานสีขาว และมีภาพวาดโบราณ


แขวนอยู่บนผนัง

“ ตื่นแล้วเหรอ”

ผู้หญิงสวมชุดสาวใช้เดินเข้ามาหาซูจีด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“ อ่า ดูสิ เหงื่อท่วมตัวเลย”

จากนั้นเธอก็ใช้ผ้าเปี ยกเช็ดหน้าผากให้ซูจี

“ คุณเป็ นใคร?”

ซูจีอดไม่ได้ที่จะถามอย่างงุนงง

ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็ นสาวใช้ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ ฉันได้ยินมาว่าเธอเป็ นแขกของท่านลอร์ด”
“แขก”

จากนั้นสาวใช้ก็พยักหน้า

“ จักรพรรดิอัศวินพูดอย่างนั้น”

“ จักรพรรดิอัศวิน…?”

“ ก็อัศวินโครงกระดูกนั่นไง เธอไม่เห็นเขาเหรอ?”

“ อัศวินแห่งความตาย…”

“ ใช่ นั่นคือชื่อที่คนอื่นเรียก”

ซูจีเบิกตากว้าง

หลังจากพบอัศวินแห่งความตาย ซูจีและราชานักสู้ก็เข้าโจมตีเขา

อย่างไรก็ตามพวกเขาพ่ายแพ้

ผู้ที่ควรถูกสังหารกลับได้รับการต้อนรับในฐานะแขก

มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

โดยเฉพาะสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้า เธอเป็ นมนุษย์แน่นอน

เพราะเธอไม่มีอ่อร่าแห่งความตายแผ่ออกมาสักนิด

อัศวินแห่งความตายจะอยู่กับมนุษย์ได้อย่างไร?

“ เธอช่วยรอสักระยะหนึ่งได้ไหม ตอนนี้เรายังไม่สามารถพาเธอไปพบท่านลอร์ดได้”

“ อื้ม แล้วคนที่อยู่กับฉันล่ะ? คนหัวล้านๆ”

“ อ้อ เขาอยู่อีกห้องหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย”

ฟู่ ว!
ซูจีถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ไม่ว่าจะเพราะอะไรดูเหมือนว่าเธอยังไม่ตาย

“ นอนพักอีกสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวฉันจะหาอะไรมาให้กิน”

“ อ๊ะ ไม่เป็ นไร ฉันยังไม่หิว ร่างกายของฉันแข็งแรงกว่าคนปกติน่ะช่วยพาฉันเดินไปดูรอบๆแทนได้มั้ย?”

“ เธอไหวแน่นะ? เกิดปัญหาแน่หากมีอะไรเกิดขึ้นกับแขกของท่านลอร์ด ”

“อื้อ! ฉันสบายดีจริงๆ ไม่เชื่อดูสิ"

ซูจียกมือขึ้น

จากนั้นใช้เพียงนิ้วมือดันเตียงไปข้างหน้า

“ บอกแล้วว่าฉันแข็งแรงดี?”

“ ดูเหมือนว่าเป็ นอย่างนั้น”

สาวใช้หัวเราะและพยักหน้า

“ ฉันจะนำทางให้เธอเอง”

ที่นี่คือปราสาท

มันเป็ นปราสาทขนาดใหญ่!

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่น่าแปลกใจ

'โดะ-โดเกบิ, เอลฟ์ , คนแคระ…ไฟทาร์! ที่นี่คือที่ไหนกันแน่? '

มีหลากหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ที่นี่

เผ่าพันธุ์ต่างๆที่ไม่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อน

และเธออดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่ามีแม้กระทั่งไฟทาร์
“ อ่า เดี๋ยว กรุณารอสักครู่”

ทันใดนั้นสาวใช้ที่นำทางเธออยู่ก็หายตัวไปราวกับมีบางสิ่งเกิดขึ้น

ซูจีที่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังไตร่ตรองสักครู่ ก่อนที่เธอจะเดินเตร่ต่อไป

'ที่นี่แปลกจริงๆ ฉันต้องสำรวจดูสักหน่อย '

มันยากที่จะเชื่อว่าความตั้งใจของพวกเขาบริสุทธิ์

สำหรับโลกที่เหมือนอยู่ในเทพนิยายเช่นนี้ เธอต้องตื่นตัวเข้าไว้

ซูจีพยายามเดินให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

พอเธอเดินมาถึงห้องหนึ่งหลังจากขึ้นบันไดก็ได้ยิน

“ อลันซ์, ดอนทัค ฉันเห็นมอนสเตอร์ตัวสีดำป้ วนเปี้ ยนอยู่รอบๆนอกอาณาเขตของเรา นอกจากนั้นฉันยังเห็น


ศพของเฟรด้ากับสมุนปี ศาจของมัน”

“ แล้วท่านจะให้เราทำอย่างไร?”

“ สร้างหน่วยขึ้นไปเสริมกองกำลังลาดตระเวน แม้ว่าจะมีเวลาอีกประมาณ 10 วันก่อนที่เอนโรธจะยกกองทัพ


มาถึง แต่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างนี้”

“ ข้าเข้าใจแล้วท่านจอมเวทย์”

“แล้ว…”

แกร๊ก!

บางคนในห้องเคาะเก้าอี้ของตัวเอง

“มีหนูกำลังซ่อนตัวอยู่”

ซูจีกลั้นหายใจทันที

ปัง!
จากนั้นประตูก็ถูกทำให้เปิ ดออก ก่อนที่จะมีมือสีดำพุ่งไปหาซูจี

ในขณะเดียวกันพอประตูถูกเปิ ด ซูจีก็เห็นคนภายในห้อง!

'ลิช?'

บทที่ 224: ลางแห่งการทำลายล้าง (6)

อย่างไรก็ตามไม่มีเวลาให้เธอได้ตอบสนอง ไม่ใช่เพราะว่าเธอมัวแปลกใจอยู่ เพียงแต่ลิชดังกล่าวนั้นเกินไป


ร่างของเธอถูกมัดด้วยมือสีดำทันที

“อู้ อี้! อื้อ!”

เธอพยายามอ้าปากพูดแต่ก็เปล่าประโยชน์ จากนั้นลิชก็เข้ามาหาพร้อมกับโดเกบิ และเอลฟ์

"มนุษย์?"

“ ฉันไม่เคยเห็นเธอมาก่อน?”

หลังจากเห็นใบหน้าของซูจีทุกคนก็รู้สึกแปลกใจ

ดีที่พวกเขาไม่ได้สังหารเธอทันที

อย่างไรก็ตาม ซูจีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเวทแห่งความมืดอันหนาแน่นที่เธอรู้สึกได้ก่อนหน้านี้

'เขาไม่ใช่ลิชธรรมดา!'

ไม่ว่าจะเป็ นมือเหล่านี้ที่ผูกมัดเธอไว้ รวมถึงความรู้สึกที่ได้รับนั้นอยู่เหนือกว่าลิชทั่วไป

ทว่า…มีบางสิ่งแปลกๆ ในขณะที่ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้น เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด

“ เธอเป็ นสายลับหรือ?”

ลิชพูดอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของเขาเย็นชามากเสียจนทำให้เธอรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

ซูจีรู้สึกราวกับว่าศีรษะจะต้องถูกแยกออกจากร่างกาย หากเธอตอบว่า 'ใช่' ออกไป


มือที่ปิ ดปากของซูจีเปิ ดออก

เธอได้รับโอกาสให้พูด

'ฉันควรทำไงดี?'

ถึงลิชตนนี้ดูจะคุ้นเคยแปลกๆ แต่เขาก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี เพราะยังไงซะลิชก็เป็ นตัวตนที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นต้อง


รู้สึกหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว

ความปรารถนาในการต่อสู้ของเธอหายไป และถึงแม้ว่าเธอจะสู้ แต่เธอก็ไม่คิดว่าจะชนะได้

'ฉันต้องพูดอะไรสักอย่าง'

ไม่มีอะไรดีขึ้นหากเธอปิ ดปากเงียบ

“ ฉันคิดว่า ฉันเป็ นแขกของท่านลอร์ด "

เธอพูดในสิ่งที่ได้ยินมาก่อนหน้า

แน่นอนว่าเธอไม่เคยพบลอร์ดที่ว่ามาก่อน แต่เนื่องจากพวกเขาบอกอย่างนั้น เธอเลยคิดว่าควรตามน้ำไป

ลิชดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

“ ท่านลอร์ดงั้นเหรอ?”

เธอไม่แน่ใจว่าทำไม แต่คำว่า 'ลอร์ด' ดูเหมือนจะเป็ นตั๋วผ่านทางที่ปลอดภัย แม้ว่ามันจะเป็ นเพียงชั่วขณะหนึ่ง


แต่มันก็ทำให้ลิชต้องคิดทบทวน

“ คำพูดของเธอดูคลุมเครือนะ ฟังดูเหมือนเธอไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็ นแขกสักเท่าไหร่? อธิบายให้ชัดเจนกว่านี้


ไม่งั้นฉันจะทำให้เธอทรมานด้วยความเจ็บปวดจนรู้สึกอยากตาย”

เล็บแหลมคมสัมผัสไปที่คางของซูจีเบาๆ หัวใจของเธอเต้นแรง ในขณะนั้นเธอรู้สึกอึดอัดใจเป็ นอย่างมาก

รู้สึกได้เลยว่าพลังแห่งความตายกำลังท่วมท้นอยู่ภายในร่างของเธอ พลังของลิชกำลังแทรกซึมผ่านเข้าไปใน
จิตใจของซูจีอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้ องกันไม่ให้เธอโกหก
“ หลังจากต่อสู้กับอัศวินแห่งความตายฉันก็สลบไป…พอตื่นขึ้นมาอีกทีฉันก็อยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ พวกคุณเป็ น
ใคร แล้วฉันอยู่ที่ไหนกันแน่?"

ซูจีบอกความจริง เพราะถ้าเธอโกหกไม่เนียนพอ ลิชจะจับได้ทันที

“ เธอเป็ นแขกของทาร์แคนเหรอ?”

ซองมินดึงมือตัวเองกลับมาแล้วลูบคาง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้โกหก

ทาร์แคน? อัศวินแห่งความตายชื่อทาร์แคนงั้นหรือ?

แต่ซูจีส่ายหัว

“ ฉันไม่ใช่แขกของใครทั้งนั้น ฉันไม่ได้อยากเข้ามาที่นี่”

“ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้โดยตนเองอยู่แล้ว”

ลิชพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นหันไปพูดกับเอลฟ์ ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“อลันซ์ ฉันคิดว่าเธอคงแค่หลงทางเข้ามา ช่วยนำเธอกลับไปหน่อย”

"ข้าเข้าใจแล้ว"

เอลฟ์ เพศชายร่างผอมโค้งคำนับ และทำตามคำสั่งของเขาอย่างเชื่อฟัง

จากนั้นเขาก็จับแขนของซูจี บังคับให้เธอลุกขึ้น และเริ่มฉุดเธอออกไป

ในขณะที่ถูกลากออกมา สายตาของเธอก็ยังคงจ้องอยู่ที่ลิช

ความรู้สึกนี้คืออะไร?

ราวกับว่าเคยพบเขาที่ไหนมาก่อน...

เธอรู้สึกอย่างนั้น

ซองมินหันร่างอีกครั้งกลับเข้าไปในห้อง
จะต้องมีเหตุผลที่ทาร์แคนนำมนุษย์เข้ามาในอาณาเขต

เนื่องจากทาร์แคนเป็ นหนึ่งในผู้ที่เขาเชื่อถือได้ ซองมินจึงยังไม่ควรทำอะไรกับ 'แขก' ที่เขาพามา

“ มอนสเตอร์ที่มีร่างสีดำขนาดใหญ่โต..”

ภายในห้องมีคริสตัลสองสามลูกปรากฎอยู่

และภายในคริสตัลนั้น มีภาพของสัตว์ร้ายสีดำปรากฏขึ้น

มันเป็ นภาพจากเวทมนตร์ค้นหา ที่ซองมินกระจายไปทั่วอาณาเขต

อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันสูงมาก มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถจับภาพร่างของมันได้

สิ่งที่ทราบแน่ๆคือมันแข็งแกร่ง และบางทีอาจจะมากกว่าที่ซองมินคาดไว้ด้วยซ้ำ

เขารู้สึกเหมือนไม่มีใครในดินแดนอีกแล้ว ที่สามารถต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับมันได้ นอกเหนือจากมูยองลอร์ด


ของเขา

ปัญหาคือเขาไม่เข้าใจเจตนาของมอนสเตอร์ตัวนี้

นอกจากท่องไปทั่วอาณาเขตของพวกเขา มันต้องการอะไรอีกหรือเปล่า?

'หืม?'

ซองมินสะบัดหัว

ด้วยเหตุผลบางอย่าง มีบางสิ่งดึงดูดความสนใจของเขา

หลังจากเห็นผู้หญิงที่เขาคิดว่าเป็ นสายลับเมื่อสักครู่นี้ เขาก็รู้สึกเกิดความสับสน

'เหมือนฉันเคยเห็นเธอมาก่อน'

ซองมินโบกคฑาอัญเชิญกระทิงสีดำ

หลังจากขึ้นไปนั่งอยู่ด้านบนของมัน ซองมินก็จมอยู่ในความคิดพลางลูบคางตนเองไปมา
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูจะยังมีอายุยังไม่มากนัก เธอน่าจะอยู่ในช่วงปลายของชีวิตวัยรุ่น

ยังไงก็ตามเขารู้สึกเหมือนเคยเห็นเธอมาก่อน

ซองมินไม่เคยลืมใครที่เคยพบเห็น ดังนั้นสำหรับกรณีที่เขาจำไม่ได้...

'หรือฉันเห็นเธอก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำไป?'

ความทรงจำของซองมินไม่สมบูรณ์

เขาพยายามจำ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะปรากฏในใจเขา

แม้ว่าเขาจะมีความรู้สึกรุนแรงในการ 'ตามหาอะไรซักอย่าง' แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

ทว่าความรู้สึกที่คุ้นเคยและความสูญเสียที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร?

เธอเป็ นคนที่เขาตามหาใช่หรือไม่?

'มันบังเอิญเกินไป'

ไม่เป็ นอย่างนั้นแน่

แต่ถ้าใช่ ชะตากรรมคงกำลังเล่นตลกกับพวกเขา

และซองมินไม่เชื่อในโชคชะตา

ไม่มีทางที่อะไรก็ตามที่เขาตามหาจะมาหาเขาซะเอง

แม้ว่าเธอจะดูเหมือนสิ่งนั้น แต่เธอก็อาจเป็ นแค่หนึ่งในสิ่งมากมายที่เขาเคยผ่านมาก็ได้

'เอาไว้ชนะสงครามนี้เมื่อไหร่ ฉันค่อยออกตามหาความทรงจำที่หายไป'

เอนโรธนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาราชาปี ศาจทั้งหมด

หากพวกเขาชนะมันได้ ก็เท่ากับสามารถก้าวหน้าไปอีกขั้นสำหรับการต่อสู้กับเหล่าเทพปี ศาจ

มูยองคาดหวังเป็ นอย่างมากสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้
และบทบาทของซองมินก็คือการดึงเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จนกว่าเอนโรธจะเดินทางมาถึง

'เพื่อชัยชนะของเขา'

มันเป็ นสิ่งหนึ่งที่ซองมินผู้ซึ่งสูญเสียความทรงจำได้ตระหนักถึง

แม้เขาจะเป็ นเพียงเบี้ยสำหรับชัยชนะของมูยองก็ตาม

***

“ ข้าขออภัย ขออภัย ขออภัยจริงๆ!”

สาวใช้ก้มขออภัยเอลฟ์ ที่ชื่ออลันซ์ไม่หยุด

“ ไปขอบคุณท่านจอมเวทย์ที่เมตตาเถอะ ”

"เจ้าค่ะ!"

หญิงสาวดูดีใจกับสิ่งที่เอลฟ์ พูดก่อนออกไป

พอเอลฟ์ หายไปจากสายตา สาวใช้ก็เริ่มพูด

“ เฮ้อ ฉันบอกเธอแล้วไงว่าอย่าไปไหน การกระทำของเธออาจทำให้ชีวิตของพวกเราจบสิ้นซะแล้ว”

"ฉันขอโทษจริงๆ"

ซูจีพูดอย่างสุจริต

หากเธอฟังที่สาวใช้พูด พวกเขาคงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

“ แต่เราโชคดีนะ เพราะท่านจอมเวทค่อนข้างใจดี แต่ถ้าเธอถูกท่านการ์มูสจับแล้วล่ะก็…เฮ้อ! ไม่อยากจะคิด


เลย”

“ ใครคือการ์มูสเหรอ?”

“ คนที่พาเหล่าคนแคระมาอาศัยอยู่ในอาณาเขตนี้น่ะ ทักษะการสร้างของเขายอดเยี่ยมมากเลย!”
ทักษะการสร้าง...

ดูเหมือนว่าเธอกำลังพูดถึงทักษะของช่างตีเหล็ก

“ เราคงปล่อยให้เหตุการณ์อย่างเมื่อกี้เกิดขึ้นไม่ได้อีก คราวนี้ตามฉันมาดีๆล่ะ ฉันจะพาเธอชมปราสาทเอง”

"ขอบคุณ"

สาวใช้จัดเสื้อผ้าของเธอแล้วเริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง

“ นี่คือห้องครัว นี่คือห้องเก็บของ นี่เป็ นห้องวิจัยเวทมนต์ และนี่เป็ นห้องหลอมโลหะ... ”

การแสดงออกของซูจีเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง

และท่ามกลางการแสดงออกของเธอ ดูเหมือนมันจะเต็มไปด้วยความ 'ประหลาดใจ'

อันดับแรกเลย ทุกอย่างล้วนใหญ่โต สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดมีขนาดใหญ่มาก

ซูจีอาศัยอยู่ในเมืองเกรทซิตี้ เธอเคยเห็นอาคารขนาดใหญ่จำนวนมากมาย

ทว่าที่นี่กลับไม่ด้อยกว่าเกรทซิตี้เลย บางพื้นที่ยังดูดีกว่าด้วยซ้ำ

'ที่นี่คือที่ไหนกันแน่?'

เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีกลุ่มใหญ่ขนาดนี้อาศัยอยู่ในดินแดนเทพปี ศาจ

นับว่าสั่นสะเทือนอารมณ์ของเธอเป็ นอย่างมาก เนื่องจากเธอคิดมาตลอดว่าเกรทซิตี้เป็ นเมืองที่เยี่ยมที่สุด

สิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคือ มีเผ่าพันธุ์ต่างๆอาศัยอยู่ในแต่ละส่วนของอาณาเขต

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในพื้นที่ของเผ่าอื่น แต่พวกเขาก็ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็ นอย่างดี ฉาก


ของที่นี่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังฝันไป

“ นี่คือห้องสุรา ตามชื่อเลยมันมีไว้เพื่อใช้เก็บเหล้า”

“ ห้องสุรา?”
แน่นอนว่าสถานที่ที่เธอสนใจมากที่สุดย่อมคือห้องสุรา

“ สำหรับที่นี่เธอสามารถเข้าไปได้ อยากเข้าไปมั้ย?"

"ไปสิ ไปๆ"

ซูจีตอบทันที

สาวใช้ยิ้มแย้มขณะที่เข้าไปในห้องสุรา

สถานที่นั้นใหญ่โต มันเป็ นที่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ซูจีเคยเห็นมา

“ มีคนมากมายชอบดื่มเหล้า กว่าจะเป็ นแบบนี้ได้เราต้องปรับปรุงใหม่อยู่หลายครั้ง”

สาวใช้อธิบายต่อไปอย่างตื่นเต้น

ซูจีซึ่งกำลังฟังอย่างระมัดระวัง ไม่สามารถช่วยได้แต่ต้องกังวลเมื่อพวกเขามาถึงกลางห้อง

“ ยักษ์นั่นคือ?”

“ไหนล่ะ? ้อ้อ!

ยักษ์ที่มีเปลวไฟลุกท่วมร่างตนหนึ่งนั่งอยู่ที่มุมห้องกำลังดื่มเหล้าอยู่

มันเป็ นไฟทาร์ มอนสเตอร์ที่รู้จักกันดีว่าแข็งแกร่งและดื้อรั้นที่สุด!

นอกจากนี้ไฟทาร์ตนนี้ยังดูไม่เหมือนไฟทาร์ทั่วไป

ซูจีดูกลัวหน่อยๆ แต่สาวใช้ที่มาด้วยกันกลับมีท่าทีขึงขังก่อนจะเดินปรี่เข้าไป

“โอการ์! ท่านมาแอบอยู่ในนี้อีกแล้ว! ข้าบอกท่านตั้งหลายครั้งแล้วว่าอย่าดื่มให้มันมากนัก!”

“ ข้าคงกลายเป็ นผู้ผิดบาป หากไม่ยอมดื่มสุรารสเยี่ยมของพวกเอลฟ์ ”

ไฟทาร์ที่ถูกเรียกว่าโอการ์ตะโกนตอบ

จากนั้นโอการ์ก็เหลือบมองไปที่ซูจี
“ ข้าไม่เคยเห็นเธอมาก่อน หรือว่านี่คือลูกของเจ้า?”

"ท่านกำลังพูดอะไร! ข้ายังสาวยังแส้ และยังไม่เคยแต่งงาน!”

“ ข้าจะไปรู้เร๊อะ พวกเจ้าดูเหมือนกันไปหมด มีแต่มูยองที่ดูแตกต่าง ทำไมพวกเจ้าไม่ลองสวมเขาบนหัวดูบ้าง


ล่ะ?”

“ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เลิกดื่มได้แล้ว!”

“ เข้าใจแล้วน่า...เจ้านี่น่ารำคาญเหมือนแมลงวันจริงๆ ให้ตายเถอะ แค่ดื่มสุราข้าก็ยังทำไม่ได้งั้นเหรอนี่”

โอการ์ลุกขึ้นพร้อมกับเช็ดริมฝี ปาก

ไฟทาร์ถูกมนุษย์ข่มขู่ ซูจีเพิ่งเคยเห็นแบบนี้เป็ นครั้งแรก

แต่ทันใดนั้นเธอก็เบิกตากว้าง หลังจากทบทวนคำพูดของโอการ์

'มูยอง!

"ฮะ?"

“ เมื่อกี้คุณพูดคำว่ามูยองใช่มั้ย?”

“ ทำไมข้าจะเรียกมูยองว่ามูยองไม่ได้?”

โอการ์เกาหัว

ใจของซูจีเต้นเร็ว

มีทั้งความกังวล ประหลาดใจ และความสุขอยู่ในนั้น

เธอไม่คิดว่าจะมีใครใช้ชื่อ 'มูยอง' อีก

“ ไม่ใช่อย่างนั้น…คุณรู้จักมูยองใช่ไหม?”

“ มูยองคือราชาของที่นี่ใครจะไม่รู้จัก เจ้ากำลังมองข้าเป็ นตัวตลกหรือ? ”


ราชา…!

เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้กระทั่งสาวใช้ก็บอกเธอว่าซูจีมาเยี่ยมท่านลอร์ด

อัศวินแห่งความตายทาร์แคน พาเธอมาที่นี่เพราะเขารู้ว่าเธอเกี่ยวข้องกับมูยองใช่ไหม?

'พี่ชายอยู่ที่นี่'

เธอรู้ว่าเขายังไม่ตาย

เธอรู้ว่าเขาเป็ นผู้โจมตีเกรทซิตี้

หากหาเขาเจอ เธออยากจะถามเขาว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม เธอยังรู้สึกตกตะลึงเมื่อพบว่าเขาอยู่ใกล้ๆนี่เอง

เธอคงโผกอดเขาไปแล้วหากตอนนี้เขาอยู่ข้างๆ

“ พาฉันไปเจอท่านลอร์ดได้ไหม”

จากนั้นสาวใช้ก็ส่ายหัว

"ตอนนี้ยังไม่ได้หรอก ไม่มีใครสามารถเข้าไปในห้องของท่านลอร์ดได้”

"ทำไมล่ะ?"

“ มันเป็ นคำสั่งของท่านลอร์ด ฉันไม่รู้อะไรนอกเหนือจากนี้แล้ว ถ้าอยากรู้จริงๆเธอลองไปถามการ์มูสดูได้นะ


เขาอาจจะรู้รายละเอียดเพิ่มเติม”

หลังจากฟังเธอพูดจบ โอการ์ก็พูดแทรกเข้ามาพอดี

“ โอ้ เจ้ากำลังจะไปพบการ์มูส? ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับเจ้า ข้าอยากเจอเขาอยู่พอดี”

“ ท่านจะไปขอสุราจากการ์มูสใช่ไหม?”

“อะแฮ่ม”
โอการ์กระแอม

***

“ ไม่ เจ้าเข้าไปไม่ได้”

หลังจากได้ยินเรื่องราวของซูจีแล้ว การ์มูสก็ส่ายหัว

รู้สึกเหมือนคำว่า 'ไม่มีทาง' เขียนติดอยู่บนใบหน้าของเขา

“ ฉันต้องพบเขา”

“้เจ้าไม่สามารถพบเขาได้ในตอนนี้ นอกจากนี้เขาไม่ใช่คนที่คนนอกเช่นเจ้าจะสามารถพบได้”

“ ถ้าอย่างนั้นฉันต้องทำยังไง”

“ ไม่มีอะไรที่เจ้าสามารถทำได้ ข้าจะให้มนุษย์ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนพบเขาได้ยังไง?”

“ แต่คนที่พาฉันมาที่นี่คืออัศวินแห่งความตายที่ชื่อทาร์แคนนะ..”

"ข้าไม่สนเรื่องนั้น"

การ์มูสยังคงยืนกราน

เขาเป็ นเหมือนดั่งกำแพงหิน

จากนั้นโอการ์จึงถามบ้าง

“ มูยองยังไม่ออกมาอีกเหรอ? นี่มันก็ผ่านไปตั้งสามวันแล้วนะ”

“ น่าจะต้องรออีกสักหน่อย กระบวนการในการสร้างความเป็ นนิรันดร์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครจะทำก็ทำได้ แม้


ผู้นั้นจะเป็ นลอร์ดของเราก็ตาม”

“ ข้าไม่กังวลหรอก เขาเป็ นมนุษย์ที่ดูเหมือนทำได้ทุกอย่าง ยังไงก็เถอะเจ้ามีสุราเหลืออยู่ไหม?”

“ เจ้ากลายเป็ นพวกขี้เมาแล้ว”
“ สุราคือความโรแมนติก คนที่ไม่รู้จักความรักไม่เข้าใจข้าหรอก "

"เจ้านี่มัน…"

คลืน!

จู่ๆในขณะนั้นทั้งปราสาทก็สั่นไหว

มีเสียงดังขึ้นจากด้านนอกของปราสาท

ปู่ นนนนน!

แตรเขาสัตว์ถูกเป่ าต่อจากนั้นทันที

หลังจากได้ยินเสียงนี้ การแสดงออกของโอการ์ก็จริงจังขึ้น

“ ศัตรูมาถึงแล้ว ”

“ เสียงแตรดูผิดปกติไปจากทุกที มีมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นหรือ?”

โอการ์เป็ นคนแรกที่มีปฎิกิริยา

จากนั้นการ์มูสก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกันราวกับว่ามีบางอย่างที่ต้องทำ

“ อ่าว แล้วฉันล่ะ?”

“ รออยู่ที่นี่เงียบๆ! ”

นั่นคือคำแนะนำทั้งหมดที่พวกเขาให้

ในท้ายที่สุดซูจีก็ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง

อยู่ตามลำพัง ...

ไม่มีใครจับตามองดูเธออีก

'โอกาสดีแบบนี้พลาดไม่ได้แล้ว '
คราวนี้ซูจีวางแผนที่จะระวังตัวมากขึ้น เธอไม่อยากถูกลิชจับตัวอีก

ซูจีลดการปรากฏตัวของเธอให้มากที่สุด และกลายเป็ นหนึ่งเดียวกับเงา

'พี่มูยองอยู่ที่นี่'

มีคนที่เธอไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกอยู่ที่นี่

การบอกให้เธอรออยู่เฉยๆนั้นไม่ต่างไปจากการถูกทรมาน

และตอนนี้ซูจีก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่แล้ว

บทที่ 225: ลางแห่งการทำลายล้าง (7)

มูยองถูกขังอยู่ในเปลือก

หรือคุณจะเรียกมันว่ารังไหมก็ได้

กระบวนการการเปลี่ยนแปลงสำหรับพลังชนิดใหม่ มันเป็ นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่มูยองยึดครอง


วิญญาณของลูซิเฟอร์ได้อย่างสมบูรณ์

'พลังเทวะที่ถูกผนึกไว้ถูกชักนำออกมา' แม้ว่ามูยองจะอยู่ร่วมกับลูซิเฟอร์ แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถใช้พลัง


เทวะของลูซิเฟอร์ได้ และอย่างมากเขาทำก็ได้เพียง 'เลียนแบบ' เท่านั้น

แต่ถ้ามูยองเปลี่ยนตัวเองไปสู่ความเป็ นอมตะ เขาน่าจะสามารถแสดงพลังเทวะที่แท้จริงได้ และปัจจุบันมูยอง


กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเข้าสู่ความเป็ นอมตะ หลังจากเปิ ดประตูที่ลูซิเฟอร์ล็อคเอาไว้ เขาก็บังคับช่วงชิง
พื้นที่ดังกล่าว และดูดซับวิญญาณของลูซิเฟอร์เข้าไปอย่างเต็มที่

ลูซิเฟอร์กำลังจะหายไป และถูกทำให้เกิดใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ภายในดวงวิญญาณของมูยอง…ลูซิเฟอร์ได้กลาย


เป็ นมูยองเรียบร้อยแล้ว และมูยองกำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงดวงวิญญาณเพื่อให้เข้ากันอยู่

รังใหม่โปร่งใสถูกสร้างขึ้น และมูยองอยู่ในใจกลางของมัน ตาของเขาพริ้มหลับ และอยู่ในสภาวะที่ไร้จิตสำ


นึกใดๆ

'เป็ นเทพเจ้า' ประโยคนี้ดังซ้ำไปมาในสมองเขาราวกับต้องมนต์ เสมือนติดอยู่กับความฝันที่มีเมฆหมอกอัน


หนาทึบ และเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ดั่งที่ต้องการ
ทว่าจู่ๆพลังชนิดหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้น มันเป็ น 'พลังของกาเบรียล' พลังศักดิ์ สิทธิ์ อันบริสุทธิ์ เริ่มคุกคามจิต
วิญญาณของมูยอง

บางที…พลังของกาเบรียลคงสัมผัสได้ถึงพลังความเป็ นอมตะ และมองว่าสิ่งดังกล่าวคือรูปแบบหนึ่งของความ


ไม่ถูกต้อง สิ่งที่กำหนดให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด กำลังจะเข้าสู่ความเป็ นอมตะ

มีตัวแปรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ทว่าการเปลี่ยนแปลงยังคงไม่มีอะไรแน่นอน ถึงแม้ว่ามันไม่ได้หยุดกระบวนการ


ดังกล่าว แต่พลังของกาเบรียลก็เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง มันไม่อาจยอมให้มนุษย์ผู้ต้องตายกลายไปสู่ความ
เป็ นอมตะได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อลูซิเฟอร์หลอมรวมเข้ากับวิญญาณของมูยอง รังไหมที่แข็งแกร่งจึงถูกสร้างขึ้น และในทาง


กลับกัน พลังของกาเบรียลเริ่มอ่อนแอลง

หากมนุษย์ผู้พลิกผันเป็ นอมตะนั้นคือความไม่ถูกต้อง เขาก็แค่ต้องพยายามทำให้ดวงวิญญาณของตนกลมกลืน


กับความเป็ นอมตะให้มากที่สุด มูยองพยายามเขียนวิญญาณของตนลงบนพลังของกาเบรียล

แต่หากเขาไม่สามารถหยุดการแทรกแซงจากพลังของกาเบรียลได้ และหากวิญญาณถูกเขียนขึ้นมาใหม่จริง...มู
ยองอาจจะไม่ใช่มูยองคนเดิมอีก

อย่างไรก็ตามพลังของกาเบรียลกำลังผลักดันให้มูยองมุ่งสู่เส้นทางที่ดีที่สุดในการเป็ น 'ผู้อมตะที่แท้จริง' หาก


มุ่งไปตามคำแนะนำนั้น มูยองจะสามารถกลายเป็ น 'เทพเจ้าที่แท้จริง' ได้

สิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าอาร์คแองเจิล เหนือกว่ากาเบรียล และเทพเจ้าผู้ที่ปกครองสวรรค์! มูยองจะกลายเป็ นบาง


สิ่งที่สุดยอดยิ่งกว่าในปัจจุบัน หรืออย่างน้อยเขาก็จะได้รับความศักดิ์ สิทธิ์ อันบริสุทธิ์

อย่างไรก็ตามแต่ เทพเจ้าที่สมบูรณ์แบบย่อมไม่มีความปรารถนาใดๆ บางทีหากเขากลายเป็ นเทพเจ้าที่แท้จริง


ความปรารถนาและปณิธานทั้งหมดที่ผ่านมาคงหายไป เขาอาจก้าวไปสู่จุดสูงสุด และแม้กระทั่งสร้าง 'โลก'
ของตัวเองขึ้นมา พลังทั้งหมดที่มูยองมีย่อมสามารถจัดการทุกอย่างให้เป็ นจริงได้

'ดูดซับพลังเทวะ' สติของมูยองในปัจจุบันค่อนข้างอ่อนแอ นั่นหมายความว่าเขาทำได้แค่ปล่อยให้พลังขอ


งกาเบรียลชักนำเท่านั้น

'ดูดซับพลังเทวะ' การเปลี่ยนแปลงได้สิ้นสุดลงแล้ว ร่างกายของมูยองประสบความสำเร็จในการปลูกถ่าย


ผิวหนังของความเป็ นอมตะ

ดวงวิญญาณของมูยองค่อยๆเปลี่ยนเป็ น 'ดวงวิญญาณอื่นที่ยอดเยี่ยม' การเปลี่ยนแปลงช้ามากจนแม้แต่มูยองก็


ยังไม่รู้ตัว การแสดงออกของเขาเริ่มค่อยๆเปลี่ยนไป
'ความอ่อนโยน' มันเป็ นภาพที่มูยองไม่เคยแสดงออกมาก่อน

'ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า' ชีวิตของคนเรานั้นแสนสั้น แม้มูยองจะได้รับชีวิตใหม่มาแต่ก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่ยืดยาว เมื่อ


ย้อนมองดูโลกที่มูยองเคยผ่านมาจนถึงตอนนี้ มันช่างดูกระจ้อยร้อยเหลือเกิน ทุกอิริยาบถของมูยองกลายเป็ น
ว่างเปล่า อารมณ์ความรู้สึกก็เหมือนกัน บางครั้งอารมณ์ของคนเราก็เป็ นดาบสองคมที่สามารถขจัดได้ทุกสิ่ง
และหากทุกอย่างถูกลบหายไป ...

“พี่มูยอง!”

ตุบ! ตุบ! มีคนสัมผัสรังไหมจากด้านนอก อย่างไรก็ตามมันแข็งแรงและแน่นหนา

การบุกรุกจากภายนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้น ไม่ว่าฝ่ ายตรงข้ามจะเป็ นใคร มันเป็ นไปไม่ได้ที่จะแทงทะลุ


รังไหมนี้ และนั่นควรเป็ นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

“ อย่าหายไปนะ พี่!” ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพยายามใช้กำลังฝ่ าทะลุรังไหมอย่างรีบร้อน

'สายเลือดแห่งแสง'ของซูจี มีความสามารถพิเศษบางอย่าง มันสามารถทำให้ทุกอย่างทำงานได้อย่างมี


ประสิทธิภาพ และถูกต้อง ประสาทสัมผัสทุกอย่างจะถูกเพิ่มขึ้น และป้ องกันไม่ให้พวกเขาหลงทาง มูยองเริ่ม
มีความรู้สึกเนื่องจากถูกกระตุ้นจากสายเลือดแห่งแสง ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขากลับมา และเริ่มรับรู้ถึง
ความเป็ นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น

ถ้าหากยังเป็ นอย่างนี้ เขาจะหายไป ... ถึงจะไม่ทราบเหตุผลแน่ชัด แต่เขาต้องป้ องกันไม่ให้มันดำเนินต่อไปอีก

“ ได้โปรด ได้โปรด…!” ชั่วระยะเวลาครู่หนึ่ง มือของซูจีก็เกิดแสงเปล่งประกาย 'สายเลือดแห่งแสง' ตอบ


สนองต่อ 'พลังของกาเบรียล''

พวกมันทั้งคู่คล้ายกันแต่ก็แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามส่วนที่คล้ายกันกำลังสร้างความแปรปรวน พลังของกาเบรี


ยลอ่อนแอลงอีก ในขณะที่มูยองพยายามทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนดวงวิญญาณของเขาคืน และเนื่องจาก พลังขอ
งกาเบรียลเข้าใจว่าพลังแห่งแสงของซูจีนั้นเหมือนกัน จึงทำให้ซูจีสามารถเข้าไปในรังไหมได้

ซูจีหยุดความตื่นตระหนก และตัดสินใจ เธอลากมูยองออกไปนอกรังไหม

โผล๊ะ! ทันทีที่มูยองออกจากที่นั่น รังไหมก็พังทลายลงมากลายเป็ นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

"แค่ก! "แค่ก!

ซูจีจ้องไปที่มูยอง
“ พี่ พี่…” เหมือนมีอะไรอยากถามแต่ เธอพูดไม่ออก

ท่ามกลางความงุนงง มูยองลืมตาขึ้น มูยองเพิ่งเริ่มรู้สึกตัวก็ตอนที่ซูจีบุกเข้าไปในรังไหม ถ้าซูจีเข้ามาช้ากว่า


นั้นอีกสักเพียงเล็กน้อย วิญญาณของมูยองคงจะเลือนหายไปแล้ว เขาจะลืมทุกสิ่ง และใช้ชีวิตในฐานะ 'ภาชนะ
ขนาดใหญ่'

“ อันตรายทีเดียว” เขาตระหนักได้ทันทีที่ลืมตาตื่น

'ฉันเกือบสูญเสียทุกอย่างไปซะแล้ว' ภาชนะขนาดใหญ่? เทพเจ้าที่แท้จริง? ทั้งหมดล้วนดี แต่คงดีกว่าที่เขาจะ


ไม่ลืมตัวตนของตัวเอง ถ้าตัวตนจะต้องเลือนหายไป แล้วความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาจะไปมีความหมายอะไร

'ฉันคือมูยอง' มูยองยังต้องการอยู่กับปัจจุบัน ชื่อของเขาเป็ นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของตน การลืมปณิธานคง


ไม่ต่างอะไรกับร่างไร้วิญญาณ และเช่นนั้นเขาคงยินดีที่จะตายมากกว่า

“ คุณยังเป็ น..พี่มูยองใช่ไหม” ซูจีถามเบาๆ มูยองจำซูจีได้ เขาเจอเธอตั้งแต่ตอนโจมตีเกรทซิตี้ด้วยเอลย่าซีโก้

“ เธอมาที่นี่ได้ยังไง?”

“ ฉันออกตามหาพี่ มีคำถามที่ยังค้างคามากมาย ฉัน...”

ซูจีน้ำตาไหล จากนั้นเธอก็กระโดดเข้าไปกอดเขา

"ดีใจจัง ฉันคิดว่าจะไม่ได้เจอพี่อีกแล้ว” ซูจีปล่อยโฮออกมา ไม่ใช่แค่การพบเจอกันธรรมดาทั่วไป เพราะมันมี


ทั้งความโศกเศร้าโหยหา และอารมณ์ที่ซับซ้อนเอ่อล้นออกมาเมื่อเห็นมูยอง

มูยองยังคงเป็ นมูยอง ตัวตนของเขายังคงอยู่ แต่เหมือนเขาสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของซูจีได้มากขึ้น

'ฉันวิวัฒนาการไปแล้วหรือว่ายัง?'

ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้เขารู้สึกว่าสามารถค้นพบทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ภายในรัศมีหลายกี่กิโลเมตรได้ ทุกอย่างรวมถึง


เสียงหายใจของสิ่งมีชีวิต แม้แต่เสียงสงคราม กลิ่นอบอวลของเลือด

และ…

'ความเป็ นเทพเจ้า' เขายังได้รับพลังในฐานะครึ่ งเทพ ตอนนี้เขาเข้าสู่ความเป็ นอมตะไปแล้วครึ่ งหนึ่ง การที่เขา


ไม่สามารถเป็ นเทพเจ้าที่แท้จริงได้ นั่นหมายถึงเขาได้ยืนอยู่ตรงกลางของทั้งสองฝั่ง อาจกล่าวได้ว่า ตัวตนเช่น
นี้มีเพียงมูยองผู้เดียวเท่านั้น เขาสามารถได้ยินเสียงจากดินแดนเล็กๆและธรรมชาติ เข้าใจการไหลเวียนของ
อากาศ เหนือสิ่งอื่นใดความสามารถในการ 'รับรู้' ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แค่อยู่เฉยๆเขาก็รู้ เช่นอารมณ์รุนแรงของซูจีในขณะนี้ มันอยู่ในระดับเทียบเท่ากับความหลงใหลของทารก
แรกเกิดที่เพิ่งออกมาสู่โลก

'ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ฉันก็ยังได้รับมา'

มูยองใกล้ชิดกับการเป็ นพระเจ้ามาก แม้ว่าเขาจะไม่สามารถได้รับพลังเทวะที่แท้จริงซึ่งสร้างโลก แม้ว่าเขาจะ


ไม่ได้มีอำนาจอันไร้ที่สิ้นสุดดุจเทพเจ้า แต่หากเป็ นพื้นที่เฉพาะของเขาเองก็ยังพอเป็ นไปได้ มันเกิดจากความ
ร่วมมือกันของพลังลูซิเฟอร์ พลังของกาเบรียล และพลังความเป็ นอมตะ

แค่นี้ก็เพียงพอ มันเป็ นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว

“ ฉันมีบางอย่างให้เธอช่วย” มูยองเหยียดมือออกไป จากนั้นเขาสัมผัสหน้าผากของซูจี แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่


พลังของมูยองก็เริ่มไหลผ่านเข้าสู่ร่างของซูจี ทั้งร่างของเธอส่องแสงเป็ นประกาย ก่อนที่ความสามารถทาง
กายภาพของเธอจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสายเลือดแห่งแสงที่ซูจีมี และการที่เธอเข้าไปในรังไหมของมู
ยอง ทำให้กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้

ซูจีหยุดร้องไห้ เธอพูดด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ

“ พี่ทำได้ยังไงนี่?”

“ ฉันจะบอกเธอหลังการต่อสู้จบลงแล้้ว มีหลายอย่างที่เธอต้องรู้เลยล่ะ”

ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเบซองมิน และสาเหตุที่เขาโจมตีเกรทซิตี้ มีสองทางเลือกสำหรับมูยอง คือหนึ่งบอกทุก


อย่างเพื่อให้เธอติดตามเขา และสองสังหารเธอซะ บุคคลเดียวที่สามารถ 'ประสานจิต' กับเขาได้ตอนนี้กลาย
เป็ นซูจี กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้เธอสามารถทำให้มูยองสับสนเช่นเดียวกับทำให้เขาปลอดภัย

“ ฉันคิดว่ารู้แล้วว่าต้องทำอะไร ฉันเห็นบาร็อค... ฉันได้ยินเสียงรอบๆด้วย พี่ใช้เวทย์มนตร์แบบไหน?”

“ ฉันจะบอกให้เธอรู้หลังจากจบเรื่องนี้”

มูยองนั่งลง หลังจากการเปลี่ยนแปลงเขาก็ได้รับพลังใหม่ แต่เขาต้องการเวลาในการฟื้ นตัว นอกจากนั้น เขายัง


ต้องการปกปิ ดพลังและรักษากำลังของตัวเองเอาไว้เพื่อสู้กับเอนโรธ ด้วยเหตุผลดังกล่าวซูจีสามารถช่วยได้
มาก

“ พี่อย่าหายไปไหนอีกนะ”

"ฉันจะรออยู่ตรงนี้"
“ ถ้างั้น…เดี๋ยวฉันกลับมานะ”

ซูจีเดินออกไปทำหน้าที่ให้มูยอง หลังจากได้ปลดปล่อยอารมณ์ เธอก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้นมาก

บทที่ 226: ลางแห่งการทำลายล้าง (สิ้นสุด)

บัลร็อกปี ศาจโบราณ ข้อมูลของมันไม่เป็ นที่แน่นอน พวกมันมีตัวตนอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งและหายไป มีเรื่องเล่า


เกี่ยวกับมันมากมายแตกต่างกัน แต่ที่ดูน่าเชื่อถือสุดก็คือเรื่องเล่าที่ว่า ครั้งหนึ่งโลกเคยถูกทำลายโดยกลุ่มขอ
งบัลร็อก

บัลร็อกนั้นแข็งแกร่งเกินไป และไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถต่อกรกับพวกมันได้ ทว่าจากนิสัยคลั่งสงคราม


ทำให้พวกมันไม่สามารถอดกลั้นความรู้สึกอยากทำลายล้าง และหากอยู่ในยามหิวโหยพวกมันก็จะหันไป
โจมตีกันเอง

ในท้ายที่สุดบัลร็อกก็กลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอันเดอร์เวิล์ด รวมถึงพวกเดียวกันเองจนสูญพันธุ์

ส่วนบัลร็อกที่รอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ คือตัวที่ถูกทำให้หลับใหลโดยใช้ทักษะเวทมนต์ระดับสูง ในหมู่พวก


มัน

บัลร็อกที่เก่งๆมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเทพปี ศาจเลยทีเดียว แทบไม่มีใครสามารถควบคุมพวกมันได้


นอกจากนั้นพวกมันยังกินได้กระทั่งพลังเวท และปกติมันมักจะอาละวาดจนกว่าตัวเองจะตายลง แต่แน่นอน
ว่ากว่ามันจะตายสิ่งรอบๆก็คงพังพินาศสิ้นราพณาสูรไปหมด ชนิดที่ว่ากลายเป็ นดินแดนแห่งความตายที่ไม่มี
แม้แต่พืชหญ้าต้นเดียวจะเหลือรอด

“ ต้นกำเนิดของชีวิต คือพลังขับเคลื่อนของมัน”

ตูม!

บรึ้ ม!

มอนสเตอร์ขนาดใหญ่ยักษ์กำลังบดขยี้ทุกสิ่งที่มันสัมผัส เมื่อใดก็ตามที่อุ้งเท้าของมันประทับลง ทุกอย่างก็จะ


พบกับความวิบัติฉิบหาย

เบซองหมิงมองดูฉากดังกล่าวอย่างปราศจากอารมณ์

ฉากของสัตว์ประหลาดที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน และกลืนกินสิ่งมีชีวิตรอบๆอย่างตะกละตะกลาม

แม้ว่าพวกเขาจะส่งกองกำลังออกไปพยายามหยุดมันด้วยความรวดเร็ว แต่ความเสียหายก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“ แค่ตัวเดียว! เราหยุดศัตรูแค่ตัวเดียวไม่ได้หรือนี่!”

โอการ์ที่รับบทบาทเป็ นผู้นำของไฟทาร์ตะโกน

ถูกต้องแล้ว ศัตรูแค่ตัวเดียว

อย่างไรก็ตาม บัลร็อกดูไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย เพราะมันไม่ได้เสียพลังงานอะไรเลยสำหรับการโจมตี

'การดูดซับ'

มันสังหารและดูดซับชีวิตของทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงมาใช้เป็ นพลังงานของตัวเอง

จากการสังเกตอย่างรอบคอบ แม้ว่าจะไม่แน่ใจเต็มร้อย แต่เขาก็สามารถสรุปได้ดังนั้น

'เราคงใช้ไฮดรากับเบียทริซสู้มันไม่ได้'

ไฮดราเป็ นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังชีวิตสูงสุด และเบียทริซเป็ นแม่มดที่ใช้มันสำหรับการอัญเชิญ

หากอัญเชิญพวกมันทั้งคู่ออกมาคงจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ เพราะบัลร็อกคงทำลายดินแดนทั้งหมดทิ้งได้อย่าง
รวดเร็วจากการดูดพลังชีวิตของพวกมันมาใช้

ซองมินจำต้องผนึกความสามารถดังกล่าวเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้

“ เราต้องสู้กับมันโดยใช้วิญญาณและอันเดธเท่านั้น ”

เนื่องจากอันเดธกับพวกวิญญาณไม่มีพลังชีวิตให้ดูด

ตามที่ซองมินประกาศ โดเกบิกับพวกเอลฟ์ จึงต้องถอยออกไปจากสนามรบ

“ เจ้าต้องการให้เราถอยกลับด้วยงั้นหรือ?”

โอการ์ร้องคร่ำครวญ ซองมินตอบอย่างเข้าใจ

“ บัลร็อกดูดซับพลังชีวิตมาเป็ นของตัวเองได้ ถ้าขืนเราไม่เปลี่ยนแผน ก็เท่ากับไปเพิ่มพลังให้มันแข็งแกร่ง


เรื่อยๆ”

“ สหายของข้าถูกสังหารไปมากมาย ถ้าข้าถอยกลับ แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปพบพวกเขาในปรโลกได้ "


แม้โอการ์จะเป็ นไฟทาร์ผู้มีมุมมองกว้างไกล แต่เขาก็ต้องทำตามกฎประเพณีของเหล่าไฟทาร์ หากเขาไม่
สนใจการตายของสหาย โอการ์ก็ไม่สามารถเป็ นผู้นำได้อีก ซองมินอธิบายเพิ่มเติม

“ รอทำลายเขาทั้งสองของมันได้ก่อน เพราะความสามารถในการดูดซับของมันจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเรา


ทำสำเร็จ นายอยากจะทำอะไรฉันจะไม่ห้าม”

บัลร็อกสามารถดูดซับพลังชีวิตผ่านเขาโง้งยาวทั้งสอง หากพวกเขากำจัดมันทิ้งได้ ความได้เปรียบจะกลับมา


อย่างท่วมท้น

"เข้าใจแล้ว"

โอการ์รู้ว่าตนไม่สามารถดื้อรั้นกับเรื่องนี้ได้อีก

มันคือสงครามของมูยอง โอการ์ไม่สามารถทำให้สงครามของมูยองพังได้ หลังจากนั้นโอการ์ก็ออกไปพร้อม


กับกลุ่มไฟทาร์

มีวิญญาณประมาณ 40,000 ตน หากนับจำนวนอันเดธด้วยก็ราวๆ 50,000

จากนั้นซองมินก็เริ่มออกสั่งการ

“ ฉันต้องจัดการฐานพลังของมันก่อน”

เขามั่นใจว่าบัลร็อกดูดซับพลังชีวิตมาเป็ นของตัวเองได้ และตอนนี้เขาต้องการทราบว่า หากมันดูดซับไม่ได้


มันจะเก่งแค่ไหน ยิ่งรู้ข้อมูลของศัตรูมากเท่าไหร่ การต่อสู้ก็ยิ่งจะง่ายขึ้นเท่านั้น

'สร้างคลื่นความถี่ต่ำโจมตีมัน'

ซองมินรวบรวมวิญญาณประเภทหนึ่งออกมา วิญญาณประเภทนั้นสามารถสร้างคลื่นความถี่ต่ำได้ ความถี่ที่


เป็ นต้นกำเนิดของความหวาดกลัวและพลังที่ไร้รูปแบบแน่นอน

เขารวบรวมวิญญาณได้ประมาณ 2,000 ตน จากนั้นก็สร้างความถี่ด้วยความเร็วสูง

วงเวทย์ที่เกิดจากเหล่าวิญญาณหมุนวนด้วยความเร็วสูง จนเกิดเป็ นพลังคลื่นความถี่ออกมา

กระบวนการนี้เป็ นไปไม่ได้เลยสำหรับนักเวทปกติ มันต้องการความรอบรู้ และการปรับจูนที่แม่นยำโดยห้าม


ไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น
ในไม่ช้าซองมินก็ทำให้มันเกิดการสะท้อนกลับ และคลื่นความถี่ก็เพิ่มขึ้นเป็ นสองเท่า ก่อนจะถูกยิงไปทา
งบัลร็อก บัลร็อกสามารถดูดซับเวทย์มนตร์ แต่คลื่นความถี่ไม่ใช่เวทมนตร์

ดังนั้นซองมินคิดว่ามันจะไม่สามารถดูดซับพลังปกติเช่นนี้ได้ เมื่อสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตามรับการโจมตีแบบนี้
เข้าไป ภายในร่างของสิ่งมีชีวิตนั้นๆจะเกิดความขัดแย้งในตัวเองเป็ นอย่างมาก และหลังจากนั้นพวกมันก็จะ
เริ่มทำร้ายตัวเองจนสิ้นชีพ

ก๊าซซซซซซ! มันได้ผล

บัลร็อกปล่อยเสียงกรีดร้อง

เริ่มถลาชนกับก้อนหินที่อยู่รอบๆ มันกระแทกศีรษะเข้ากับทุกสิ่งอย่างบ้าคลั่ง

กระทั่งเริ่มกัดแขนตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีบาดแผลใดๆเกิดขึ้นเนื่องจากมันมีผิวหนังที่แข็งแกร่ง

'ต้องทำให้ผิวหนังของมันอ่อนแอลง'

และสิ่งนี้จะต้องทำโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์

“ ฉันต้องใช้ลูกปัดวิญญาณ”

ซองมินพูดกับจิ้งจอกเก้าหาง จิ้

งจอกเก้าหางทั้งห้าตัวเป็ นวิญญาณที่แข็งแกร่งซึ่งติดตามมูยองเท่านั้น

ความแข็งแกร่งของพวกเธอเปรียบได้กับมังกรเลยทีเดียว และแหล่งกำเนิดพลังของพวกเธอก็คือสิ่งที่อยู่ใน
ลูกปัดวิญญาณ มันคล้ายกับ 'ภาชนะแห่งชีวิต' ที่ลิชใช้

“ ลูกปัดวิญญาณ?”

“ เจ้าวางแผนจะใช้มันยังไง?”

จิ้งจอกเก้าหางต้องระมัดระวังและชัดเจนในการกระทำนั้น

เพราะหากลูกปัดถูกทำลาย พวกเธอจะไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขจิ้งจอกธรรมดา
หากมูยองเป็ นคนขอพวกเธอคงยอมโดยไม่ลังเล แต่นี่ไม่ใช่

อย่างไรก็ตามพวกเธอรู้ว่าซองมินเป็ นคนที่ติดตามมูยองมาเป็ นเวลานาน

หากเป็ นคนอื่นร้องขอ พวกเธอคงจะฉีกกะชากหัวใจของมันผู้นั้นออกไปแล้ว

“ ฉันจะลดความแข็งแกร่งของบัลร็อกลง”

สุนัขจิ้งจอกเก้าหางมองหน้ากัน

มนต์เสน่ห์หรือการยั่วยวนไม่ได้ผลกับบัลร็อก

มีเพียงการโจมตีที่สร้างจากซองมินเท่านั้นที่ได้ผล

พวกเธอไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะส่งมอบลูกปัดให้

ลูกปัดวิญญาณมีขนาดเท่ากำปั้ น แต่กลับส่องแสงเปล่งประกาย

“ เจ้าไม่สามารถใช้มันอย่างไร้เหตุผลได้”

"อย่ากังวล"

ลูกปัดลอยอยู่รอบๆซองมิน มันเป็ นประเภทการป้ องกัน

พลังของลูกปัดวิญญาณคล้าย 'กำแพง' ที่แยกระหว่างภายในและภายนอกออกจากกัน

เหตุผลที่บัลร็อกแข็งแกร่งก็เพราะมันสามารถ 'ดูดซับ' ได้

ไม่เพียงแค่สิ่งมีชีวิต แต่มันยังสามารถดูดซับเวทย์มนตร์โดยรอบ

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้คนถึงบอกว่าบัลร็อกเคยทำลายโลกไปแล้วครั้งหนึ่ง

แต่ถ้าเขาสามารถปิ ดกั้นพื้นที่รอบๆของมันโดยใช้ลูกปัดห้าเม็ด

บัลร็อกก็จะอ่อนแอลง

“Καλην?χτα.”
ลูกปัดวิญญาณทั้งห้าลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะพุ่งเข้าไปหาบัลร็อก

จากนั้นพวกมันก็ปล่อยแสงออกไปเชื่อมต่อกันและกัน

แสงจากลูกปัดวิญญาณเชื่อมโยงกันผ่านตัวลูกปัดกลายเป็ นสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก

โดยมีบัลร็อกถูกตรึงไว้ตรงกลาง

มันเป็ นพลังของการปิ ดกั้นที่สมบูรณ์

'หากไม่ทุ่มเทอย่างมากคงยากที่จะผ่านกำแพงพวกนี้ไปได้'

ในขณะที่สติถูกทำให้ปั่นป่ วนจากคลื่นความถี่ต่ำ มันยังจะสามารถบุกทะลุกำแพงทั้งห้าได้หรือไม่?

ซองมินปักคฑาลงกับพื้นอีกครั้ง

“ โจมตีไปทางทิศเหนือ ทางด้านนั้นคือทิศที่พลังงานธาตุน้ำเข้มแข็งที่สุด มันจะทำให้ผิวของบัลร็อกอ่อนแอ


ลง”

ดาวห้าแฉกที่ล้อมรอบบัลร็อกกลายเป็ นดั่งค่ายกลที่มีองค์ประกอบของธาตุทั้งห้า

ในบรรดาทั้งห้าจุด ทิศเหนือเป็ นตำแหน่งที่ซึ่งองค์ประกอบของธาตุน้ำถูกขยายให้ใหญ่สุด หากพวกเขาโจมตี


ไปยังที่นั่น ย่อมสร้างผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของบัลร็อก และความคิดของซองมินก็ได้ผล

เมื่อเหล่าภูติผีวิญญาณโจมตีไปยังทิศทางดังกล่าว รอยแตกร้าวก็เริ่มปรากฏบนผิวหนังของบัลร็อก กำแพงดาว


ห้าแฉก ป้ องกันทุกสิ่งจากภายในเท่านั้น มันไม่ได้จำกัดสิ่งที่เข้าไปจากภายนอก

โฮกกก!

เสียงกรีดร้องดังขึ้น

กลยุทธ์ของซองมินมีประสิทธิภาพตามที่วางแผนไว้ หลังจากที่ได้เป็ นเอลเดอร์ลิช ซองมินก็ได้รับความรู้ที่


กว้างขวาง เขาสามารถเข้าใจการใช้สิ่งต่างๆได้ตามธรรมชาติ

ซองมินกระแทกคฑาลง และทำการเทเลพอร์ตไปทางด้านเหนือของดาวห้าแฉก หลังจากรวบรวมพลังงานน้ำ


จากบริเวณโดยรอบ เขาก็ทำให้มันกลายเป็ นดาบก่อนจะสั่งมันฟันออกไป
ตูม!

เขาข้างหนึ่งของบัลร็อกถูกตัดออก

ก๊าซ! ก๊าซซซ! โฮกกก!

ตูม! ตูม! ตูม!

บัลร็อกโมโห

มันพยายามออกไปโดยการกระแทกร่างกายเข้ากับกำแพง

อย่างไรก็ตามนั่นเป็ นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ และทำให้มันใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

หลังจากนั้นบัลร็อกหยุดเคลื่อนไหว ร่างกายของมันบิดเบี้ยว และล้มลมสู่พื้น

'มันตายแล้ว'

ซองมินยกมือขึ้นสั่งหยุดการโจมตี

ไม่มีการกระเพื่อมขึ้นลงจากหน้าอกของมัน

มันตายแล้ว

ยังไงมันก็ยังเป็ นสิ่งมีชีวิต และตอนนี้ชีวิตของมันได้หายไป

แต่… ซองมินขมวดคิ้ว

“ รีบออกไปจากที่นี่!”

ผิวหนังของบัลร็อกเปลี่ยนเป็ นสีแดงก่ำ

จากนั้นร่างของมันก็เริ่มถูกเผาไหม้ มันกำลังจะฟื้ นคืนชีพ

มันใช้พลังงานเฮือกสุดท้ายในการฟื้ นฟูตัวเองขึ้นมาใหม่

ไม่สิ นี่มันไม่ใช่การฟื้ นฟูแล้ว


มันคือการ ระเบิดตัวเอง!

วูม!

ร่างของบัลร็อกลอยสูงขึ้น จากนั้นเปลวไฟขนาดใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้นบนฝ่ ามือของมัน

แกร๊ก! แคล๊ก!

กำแพงเริ่มพังทลาย

'ฉันช้าไป' มันสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยง

ซองมินสร้างกำแพงอีกอันขึ้นมาโดยเร็ว

กำแพงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยกองกระดูก

กำแพงที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความตายและเหล่าภูติผีทุกชนิด

มันคือเกราะสามารถป้ องกันได้แม้แต่ลมหายใจของมังกร

บูมม!

หลังจากนั้นดาวห้าแฉกก็แตกกระจาย และเปลวไฟที่รุนแรงกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง

เหล่าภูติผีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงระเหิดหายไปกลายเปลวเพลิงที่ขยายกว้างขึ้น

ถ้าพวกมันลุกลามออกไปจากที่นี่ได้ ทั้งอาณาเขตจะต้องถูกกลืน

'ไม่คิดเลยว่ามันจะระเบิดตัวเองได้'

ซองมินตกตะลึงอย่างสมบูรณ์

มันอาจถูกตั้งโปรแกรมในระบบชีวภาพของตัวเองให้เกิดการระเบิดเมื่อตาย จากเปลวเพลิงอันรุนแรง

กำแพงที่สร้างขึ้นโดยซองมินเริ่มละลายอย่างช้าๆ ถ้าขืนยังเป็ นแบบนี้ต่อไป ...

“ ดูเหมือนว่าฉันจะมาทันนะ!”
ซูจีปรากฏตัวขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

ท่ามกลางเปลวเพลิง! เปลวเพลิงที่เผาไหม้ทุกสิ่งอย่าง

ไม่มีวิญญาณหรือมอนสเตอร์ตัวไหนสามารถหยุดยั้งเปลวเพลิงเหล่านั้น แต่ราวกับว่าไม่เป็ นอะไร

ซูจียักไหล่และยื่นมือออกมา

จากนั้นเปลวเพลิงก็เริ่มถูกดูดเข้าไปในมือของซูซี่

'ผู้หญิงคนนั้น?'

เธอเป็ นผู้หญิงที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

เธอในตอนนั้นยังดูไม่ได้พิเศษอะไรเลย

เธอมีความสามารถทางกายภาพที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีความสามารถทางเวทมนตร์มากนัก

อย่างไรก็ตาม พลังเวทที่เขารู้สึกได้ในตอนนี้ ...

“ ทุกคนตามฉันมา”

ซูจีกางมือทั้งสองของเธอออก

จากนั้นกำแพงแสงขนาดใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้น และดูดกลืนเปลวเพลิงอย่างกว้างขวาง

ทุกอย่างเป็ นไปโดยธรรมชาติ เหล่าภูติผีวิญญาณ และอันเดธต่างพากันไปรวมตัวอยู่ด้านหลังซูจี

มันน่าแปลกมาก

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็ นอย่างไร ไม่มีเหตุผลใดที่เหล่าวิญญาณและอันเดธจะทำตามคำพูดของเธอเช่นนี้

มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้

เว้นแต่จะเป็ นมูยองหรือซองมินเท่านั้น

“ได้ยังไง?...”
ซองมินตกใจอย่างช่วยไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ซองมินรู้จักพลังนั้น

“อ่า! 'อร่อยจัง ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าไฟจะอร่อยแบบนี้”

ซูซี่ตบพุงตัวเองขณะที่เธอเงยหัวขึ้น

เธอไม่ได้คิดว่าตัวเองจะกินไฟได้ตั้งแต่แรก

เธอแค่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ และทำไปโดยธรรมชาติเท่านั้น

ซองมินเบิกตากว้าง

ลักษณะ...ของพลังนั้น

แน่นอนว่ามันเป็ น... 'พลังของมูยอง' เจ้าแห่งเปลวเพลิง!

ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาดไปล่ะก็ นั่นเป็ นพลังของมูยองแน่นอน

บทที่ 227: อัลโนวา (1)

ความสามารถในการควบคุมและกลืนกินเปลวเพลิงแบบนี้ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว

แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือเธอใช้พลังของมูยองได้อย่างไร?

'การเลียนแบบ'

มันเป็ นแค่การลอกเลียนแบบ

นั่นไม่ใช่พลังที่แท้จริงของมูยอง ถ้าเป็ นมูยองเปลวเพลิงจะถูกกลืนกินเข้าไปแทบจะทันที

แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

เหมือนเธอกำลังผนวกใช้บางอย่างจากคุณสมบัติของธาตุแสง

แม้จะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับที่มูยองครอบครอง แต่มันก็เป็ นอะไรที่คล้ายกัน


"ช่วยฉันหน่อยได้ไหม? ฉันคงป้ องกันไฟทั้งหมดไม่ได้”

เบซูจีมองไปที่เบซองมิน

เปลวเพลิงแห่งการเผาไหม้ เพลิงที่ดูเหมือนว่าจะสามารถทำลายโลกได้

บาร็อกเป็ นสิ่งมีชีวิตสมัยโบราณ พลังงานที่มันเก็บสะสมไว้และปล่อยออกมาจึงสุดที่จะคะนึงคิด

'จะต้องเกี่ยวข้องกับเจ้านายแน่'

ซองมินหาข้อสรุปออกมาด้วยตนเอง

สามารถสั่งการอันเดธและเหล่าวิญญาณ

รวมถึงเลียนแบบพลังแห่งเพลิงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำก็ทำได้

แม้ว่าตอนแรกมูยองยังไม่สามารถถ่ายทอดพลังให้ใครได้ก็ตาม

แต่ด้วยพลังที่ไม่เหมือนใคร และมีเอกลักษณ์เช่นนี้

ความเป็ นไปได้จึงเหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น

และนั่นต้องหมายความว่า มูยองอนุญาตให้ใช้พลังนั้นได้

'แต่ทำไม?'

เขาไม่เคยเห็นทำอะไรแบบบนี้มาก่อน

มูยองขังตัวเองไว้และห้ามไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน

แล้วเธอไปติดต่อกับมูยองได้ยังไง...โดยที่ซองมินยังไม่รู้

ซองมินไม่ชอบสิ่งนี้ เพราะคนที่ใกล้ชิดมูยองที่สุดคือทาร์แคนไม่ก็ตัวเขาเอง

แต่เธอเป็ นแค่ใครก็ไม่รู้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวมา

“ ฉันต้องการคำอธิบายหลังจากที่ทุกอย่างจบลง”
เสียงของซองมินเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาอย่างที่ควรจะเป็ น

มูยองเป็ นผู้ที่ช่วยเขา สร้างเขาขึ้นมา

และมอบทุกสิ่งในปัจจุบันนี้ให้แก่เขา

ความจริงนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้ว่าพวกเขาจะห่างกันไปถึง 2 ปี

ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ติดตาม และสนับสนุนอยู่เคียงข้างเขา

เหตุผลที่ซองมินพยายามแข็งแกร่งขึ้นทุกวันก็เพราะรอมูยองผู้เป็ นเจ้านายกลับมา

'เหมือนจะมีบางอย่างที่ฉันไม่รู้'

สิ่งนั้นรบกวนเขา

และเธอก็เป็ นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกประสาทเสีย

เธอยังคงรบกวนจิตใจของเขาแม้ว่าเขาจะพยายามเลิกคิดไปแล้วก็ตาม

ตัวตนของเธอดูจะรบกวนจิตใจเขาอย่างรุนแรง

จนทำให้ซองมินไม่อยากเข้าใกล้เธอ

ซูจียิ้มร่าจากการสัมผัสรสชาติของไฟครั้งแรก

แม้ว่าเธอจะ 'ได้รับ' พลังของมูยองมา

แต่เทียบกับมูยองแล้วสิ่งที่ซูจีสามารถใช้ได้มีขีดจำกัด

มูยองเป็ นดั่งเขื่อนเก็บน้ำ

นั่นหมายความว่าเขาเป็ นคนที่ตัดสินใจว่าจะได้ปล่อยน้ำออกไปมากแค่ไหน

หากเปรียบมูยองเป็ นเหมือนทะเล และซูจีก็เป็ นเพียงแค่บึง

ถ้าเธอรับพลังมามากเกินไปร่างกายของเธอคงจะไม่ไหว
"ฉันเข้าใจแล้ว"

“Καλην?χτα.”

“Καλην?χτα”

ซองมินสร้างบาเรียออกไปป้ องกันอีกครั้ง มันคือโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขามีแล้ว

นอกจากนั้นซองมินยังสังเวยไฮดร้าเพื่ออัญเชิญแม่มด 'เบียทริซ' ออกมาด้วย

“ กันไฟนั่นเอาไว้”

กรี๊ด! แม่มดกรีดร้อง

ลำแสงพุ่งออกจากดวงตาและปากของเธอแยกกันไปหยุดเปลวเพลิง

คฑาของซองมินสั่นอย่างรุนแรงเนื่องจากเริ่มถึงขีดจำกัด

อย่างไรก็ตามความสามารถของซองมินในการควบคุมเวทย์มนตร์แทบจะไม่มีใครเหมือน

นี่หมายความว่ารากฐานในฐานะนักเวทของเขามาถึงจุดสูงสุดแล้ว

ถ้าเป็ นพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์

ซองมินมั่นใจว่าตนไม่เป็ นรองแม้จะเทียบกับเอนโรธหรือกระทั่งอามอน

เวทมนตร์ของเขายังคงระเบิดตัวขยายพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้ค่าพลังเวทของเขาจึงทะลุ 700 หน่วยไปแล้วในชั่วพริบตา

“จงพลิกกลับ”

สิ้นคำพูดผืนดินก็พลิกคว่ำกลืนกินเปลวเพลิงรอบๆทันที

ถ้าซูจีรับหน้าที่ในการจัดการช่วงแรก

สิ่งที่เหลือหลังจากนั้นก็เป็ นหน้าที่ดูแลของซองมิน
วูบ!

ร่างของซองมินไหวเอน

“ เหมือนสถานการณ์จะยากลำบาก...คุณโอเคไหม?”

ซูจีเอ่ยถาม

ลิชคือสิ่งชั่วร้ายโดยธรรมชาติ แต่มันกลับมาเป็ นผู้ติดตามของมูยอง

ทว่าไม่ใช่แค่ลิชเท่านั้น ยังมีพวกอันเดธ วิญญาณ และอื่นๆอีกมากมายที่ติดตามมูยอง

ซูจียังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรให้มูยอง และอยู่ที่ไหนกันแน่

แต่เธอคิดว่ามูยองจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน

สำหรับซูจี

มูยองเป็ นคนดีคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะมีนิสัยเย็นชาก็ตาม

“ พักกันซักหน่อยเถอะ”

ซองมินใช้คฑารักษาสมดุลของร่างตัวเองเอาไว้

จากนั้นสุนัขตัวโตตัวหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาให้ซองมินขี่

ซูจีมองไปที่ซองมินซึ่งกำลังขี่สุนัขสีดำตัวโตด้วยสายตาแปลกๆ

'ไม่น่าเชื่อว่าระดับจอมเวทจะติดตามพี่ชาย ... '

กล่าวโดยสุจริต นี่เป็ นครั้งแรกที่เจอนักเวทที่มีพลังในระดับนี้

ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำสิ่งที่ลิชพึ่งทำไปได้

แม้แต่อาร์ชเมจที่ได้รับ 'อามอนสตาร์' ก็ไม่สามารถแสดงปาฏิหาริย์แบบนั้นได้

และแม้ว่าเธอจะไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด
แต่ความแข็งแกร่งของเหล่าอันเดธและวิญญาณ

รวมถึงมอนสเตอร์ต่างๆที่ติดตามมูยองต่างก็แข็งแกร่งกว่าปกติทั้งสิ้น

แม้แต่เกรทซิตี้ก็ยังต้องตกอยู่ในอันตรายต่อหน้าพวกมันเหล่านี้

คิดได้ดังนั้นซูจีก็ถึงกลับต้องเผลอกลืนน้ำลาย

'…'

แค่เพียงไม่กี่ปี

มูยองที่ประสบความสำเร็จหลายอย่างในเวลานั้น จะต้องทำงานหนักกว่าใครแน่ๆ

ซูจีกำหมัดแน่น

เธอไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่เธอตัดสินใจจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้

เธอคิดกับตัวเองเช่นนั้น

***

ปัง!

เอนโรธกระแทกไม้เท้าลงกับพื้น

มันเห็นภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับบาร็อก

เอนโรธเฝ้ าดูทุกอย่างด้วยความรู้สึกอันท้วมท้น

ตั้งแต่บาร็อกถูกโจมตีด้วยวิธีต่างๆกระทั่งทำลายตัวเองลง

'เจ้าเอลเดอร์ลิชนั่นรับมือได้ยากจริงๆ'

ถึงจะเป็ นเพียงชั่วครู่หนึ่ง แต่พลังของเอลเดอร์ลิชกระทั่งสามารถต่อกรกับมันได้

ขนาดรับแรงโจมตีจากการระเบิดตัวเองของบาร็อกก็ยังไม่ได้รับความเสียหายเท่าไหร่
ว่าแต่มนุษย์ผู้หญิงที่จู่ๆปรากฏตัวขึ้น มาจากไหน?

'เธอเป็ นผู้สังหารชาร์ซาซ่าหรือเปล่า?'

ชาร์ซาซ่าเสียชีวิตลงด้วยมือของมนุษย์ มันเป็ นมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นเหรอ?

ผู้ที่สามารถควบคุมไฟ

ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถแสดงความแข็งแกร่งได้เมื่ออยู่ในเงื่อนไขพิเศษ

หากชาร์ซาซ่าตกหลุมพราง มันอาจพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนนั้นได้

'แต่ก็ยังไม่เท่าไหร่'

มันไม่ได้มากอย่างที่เขาคาดไว้

เขาอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเอลเดอร์ลิชมากกว่า

คุณสามารถพูดได้ว่าเวทที่ใช้ขยายเวทเป็ นศิลปะ แม้แต่เอนโรธก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

'ข้าต้องการลิชนั่น'

ราชาปี ศาจ 3 ตนสิ้นชีพ

มันต้องการราชาปี ศาจตนใหม่เพื่อปกป้ อง และช่วยเหลือตน

ลิชถือเป็ นราชาตั้งแต่แรกแล้ว

มันไม่รู้ว่าทำไมราชาถึงไปติดตามสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยเช่นมนุษย์

และมันคิดว่าอาจนำพาเขาไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้

นอกจากนี้ มันยังคิดว่าปี ศาจสามตนรวมกันยังไม่คุ้มค่าเท่ากับลิชตนเดียวเลย

เอนโรธคิดว่าเอลเดอร์ลิชตนนั้นยังเติบโตได้อีก

แต่เนื่องจากไม่มีนักเวทคนไหนสามารถชี้แนะเรื่องพลังเวทให้ มันจึงดูยังไม่สมบูรณ์
และเอนโรธคิดว่าตนเหมาะสมในด้านนั้น และถ้าความสามารถของลิชโดดเด่นพอ

มันสามารถพาเขาไปหาอามอนเพื่อรับความรู้เกี่ยวเวทมนตร์เพิ่มเติมได้

บางทีลิชตนนี้อาจโดดเด่นกว่า 'ราชาแห่งความตาย' เสียอีก

ตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งสี่

หากเขาได้รับสิ่งมีชีวิตที่สามารถเอาชนะราชาแห่งความตายได้

พลังของอามอนก็จะยิ่งมากขึ้น

มันเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียราชาปี ศาจทั้งสามตนรวมถึงบาร็อก

แต่การได้รับลิชนั้นสามารถชดเชยสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดได้

ลิชนั้นมีค่ามากกว่านั้น

จริงๆแล้วถือว่าสูญเสียน้อยไปด้วยซ้ำหากได้รับลิชมา

“ เพิ่มความเร็ว”

เอนโรธสั่ง

จากนั้นปราสาทลอยฟ้ าก็เคลื่อนตัวเร็วขึ้น

***

มูยองลอยอยู่กลางอากาศในท่าคุกเข่า

เขาหลับตาและกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งหมด

พลังเทวะ แม้ว่ามันจะเป็ นเพียงครึ่ งเดียว แต่ตอนนี้เขาก็เป็ นผู้อมตะแล้วครึ่ งหนึ่ง

โลกดูแตกต่างออกไปตั้งแต่ที่เขากลายเป็ นอมตะ

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะใช่สิ่งมีชีวิตหรือไม่ แต่พวกมันล้วนอยู่ในการ 'เวียนว่าย'


มูยองเองก็เป็ นเพียงหน่วยๆหนึ่งของการเวียนว่ายเหล่านั้น

บางทีการเป็ นพระเจ้าก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย

สำคัญคือเราสามารถตระหนักได้ถึงสุขทุกข์ของการเวียนว่ายเหล่านั้นได้ดีเพียงใด

สิ่งเหล่านั้นยังรวมไปถึงเช่น อากาศ และพลังเวทมนตร์ที่อยู่บนโลกด้วย

'แล้วปี ศาจเป็ นตัวตนแบบไหนกันนะ?'

ทันใดนั้นเขาก็อยากรู้

ปี ศาจก็นับเป็ นเทพเหมือนกัน แต่พวกมันไม่ได้เป็ นส่วนหนึ่งของการเวียนว่าย

'พวกมันไม่สามารถมีความรู้สึกทุกข์สุข'

แม้ว่าจะเป็ นเทพ แต่พวกมันไม่มีความสามารถที่จะรู้สึกทุกข์สุข

นั่นเป็ นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงชั่วร้าย และโลกถึงไม่ยอมรับพวกมัน

มูยองเข้าสู่การเวียนว่าย เขาคิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ที่รอบๆของการเวียนว่ายเหล่านี้

ระหว่างตกอยู่ในตะกอนความคิด วิญญาณของมูยองก็เริ่มหดเล็กลงเรื่อยๆ

และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งเขาก็หลุดเข้าไปใน 'ช่องโหว่ของรอยแตก'

ช่องโหว่…หรืออาจเป็ นประตูสู่อีกมิติหนึ่ง

ทันทีที่เขาเปิ ดประตูนั้น เขาก็พบกับตัวตนของบางสิ่ง

“ เจ้าไม่ใช่ผู้ได้รับเชิญ”

"คุณเป็ นใคร?"

มันเป็ นเรื่องที่น่าประหลาดใจ

วิญญาณของมูยองนั้นหดเล็กลงจนสามารถผลัดหลงเข้าสู่ช่องโหว่ดังกล่าว
ทว่ามีผู้ที่อยู่ที่นั่นก่อนแล้ว

“ ข้าเป็ นผู้ดูแลความว่างเปล่า และนี่คือชั้นล่างสุดของทั้งหมด

นี่คือสถานที่ของผู้ที่ไม่สามารถเป็ นเทพเจ้า หรือไม่ก็สูญเสียพลังเทวะของตนไป

แต่เจ้า...ไม่ใช่ทุกอย่างที่กล่าวมา”

มันเป็ นเสียงของผู้ชาย แต่ก็ฟังเหมือนผู้หญิง

'ความว่างเปล่า'

มูยองย้ำคำพูดนั้น

ความว่างเปล่า หรือ ความไม่มีอะไร

มีหลายคนพูดถึงสถานที่นี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็ นสถานที่แบบไหน

ผู้ดูแลพูด

“ เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ตกลงสู่บาป ถ้างั้นเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเองหรือ?

ข้าเคยเห็นใครบางคนเช่นเจ้าอยู่ครั้งหนึ่ง”

“ คุณบอกได้ไหม?”

“ ชื่อของคนๆนั้นถูกเรียกว่าโซโลมอน เขาต้องการกุญแจ เจ้าต้องการกุญแจด้วยหรือไม่?”

มูยองขมวดคิ้ว

เขาบอกว่าโซโลมอนมาที่นี่เพื่อค้นหากุญแจ

นั่นหมายความว่าเขาเป็ นผู้อมตะที่พบพื้นที่แห่งความว่างเปล่า

'แต่ถ้าโซโลมอนเป็ นอมตะ….'

นั่นหมายความว่าเขายังไม่ตายใช่ไหม?
"กุญแจอะไร?”

“ กุญแจที่มีอยู่เพื่อเปิ ดสิ่งต่างๆที่ถูกปิ ด

กุญแจที่ผู้นั้นต้องการคือกุญแจในการเปิ ดประตูแห่งความว่างเปล่า และโลกปี ศาจ

ประตูแห่งความว่างเปล่า และประตูโลกปี ศาจ!

นี่คือเหตุผลว่าทำไม ทางเชื่อมต่อโลกกับโลกปี ศาจจึงปรากฏขึ้นในสักแห่งหนึ่ง

แต่ทำไมเขาถึงต้องการกุญแจแห่งความว่างเปล่า?

“ ผมจะขอรับกุญแจพวกนั้นได้ด้วยหรือเปล่า?”

“ ย่อมได้ แต่เจ้าต้องมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดตอบแทน เพราะนั่นคือกฎของความว่างเปล่า”

“ คุณหมายถึงผมต้องตัดแขนสักข้างเหรอ?”

"ไม่ใช่เช่นนั้น ของที่ต้องแลกเปลี่ยนคือสิ่งที่เจ้ารัก ความรู้สึกนึกคิด หรือชื่อของเจ้าเป็ นต้น สิ่งที่จับต้องได้


ไม่มีความหมายใดๆในความว่างเปล่า”

“ ดังนั้นโซโลมอนจึงโยนของสองสิ่งออกไปเพราะต้องการกุญแจสองดอก”

โซโลมอนได้รับกุญแจสองดอก

นั่นหมายความว่าผู้อมตะที่มีพลังเทวะ โยนของมีค่าสองอย่างออกไปเพื่อรับกุญแจ

มูยองส่ายหัว เขาไม่ได้วางแผนที่จะทิ้งสิ่งสำคัญของตัวเองเพื่อรับกุญแจจากใครบางคน

“ ผมไม่ต้องการมัน”

“ อืมเจ้านี่แปลกจริงๆ แต่ก็ดีเพราะข้าคิดว่าเจ้าสามารถให้สิ่งมีค่ากับข้าได้มากกว่านั้น”

“ ผมไม่ได้ต้องการอะไร”

“ แล้วถ้าเป็ นหนังสือเวท อัลโนวา ล่ะ? ”


มูยองตกใจ

อัลโนวา!

มันเป็ นหนังสือที่มีพลังเวทย์เพียงพอที่จะทำลายอารามสีคราม

ในอดีตอัลโนวาตกอยู่ในมือของเหล่าเทพปี ศาจ

และพอนักเวทผู้ยิ่งใหญ่ 'เมอร์ลิน' เสียชีวิตด้วยมือของปี ศาจ โลกก็ตกสู่หายนะ

แต่ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าเมอร์ลินยังเป็ นตัวตนเช่นเดิมหรือไม่

“ โซโลมอนบอกข้าให้มอบมันกับคนต่อไปที่มาถึงสถานที่แห่งนี้

นั่นอาจเป็ นเทพฝ่ ายดีหรือชั่วร้าย หรือบางทีอาจเป็ นมนุษย์

เขายังบอกข้าว่าสามารถตัดสินใจเองได้ ว่าจะให้สิ่งนี้กับพวกเขาหรือไม่”

ปัญหาคือโซโลมอนมอบความรับผิดชอบนี้ให้กับเขา

อย่างไรก็ตาม อัลโนวาเป็ นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ

"คุณต้องการอะไรจากผม?"

ผู้ดูแลพูดโดยไม่แสดงสีหน้า

“ บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องราวประสบการณ์ที่เจ้ามีกับโลกอีกแบบหนึ่ง

เจ้าเป็ นผู้ที่หาเจอได้ยาก ถ้าข้าได้ฟังเรื่องราวของเจ้า

ข้ารู้สึกว่าคงมีอะไรเพิ่มเติมลงไปในความว่างเปล่าได้อีกสักหน่อย”

“...... !”

บทที่ 228: อัลโนวา (2)

มูยองประหลาดใจมาก แต่ยังคงความสงบไว้
เรื่องราวประสบการณ์ของโลก จากอีกช่วงเวลาหนึ่ง

แสดงว่าผู้ดูแลรู้เรื่องที่มูยองย้อนเวลากลับมา

ผู้ดูแลพูด “ แนวคิดเรื่อง 'เวลา' ไม่มีอยู่ในพื้นที่แห่งความว่างเปล่า

ข้าที่เจ้าเห็นอาจมาจากอนาคตหรืออดีตก็ได้

นั่นเป็ นเหตุผลที่ข้าสามารถรับรู้ถึงตัวตนที่เดินอยู่บนเส้นทางอันผิดพลาดเช่นเจ้า”

ดูเหมือนมูยองจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด

อย่างน้อยก็หมายความว่าสถานที่นี้ไม่ได้ทำงานด้วยวิธีคิดปกติ

การดำรงอยู่ของตัวตนเช่นผู้ดูแห่งความว่างเปล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งใด

บางสภาพกลับเหมือนภาพลวงตามากกว่าความจริงเสียอีก

ไม่มีอะไรเสียหายหากมูยองบอกเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง

“ คุณสนใจเรื่องอะไร”

"ก็ทุกอย่าง อย่ากังวลไป เวลาที่เจ้าใช้ที่นี่ไม่มีผลกับเวลาในความเป็ นจริง”

เขามีเวลาค่อนข้างเหลือเฟื อ

มูยองจึงค่อยๆเริ่มเล่าเรื่อง "ผม…"

สิ่งที่ผู้ดูแลต้องการคือเรื่องราว

และมูยองมั่นใจได้เลยว่าสามารถเล่าให้เขาฟังได้จนกว่าจะเบื่อ

* * * * ปราสาทลอยฟ้ าของเอนโรธเคลื่อนที่เข้ามาใกล้

มันใหญ่พอที่จะครอบคลุมทั่วทั้งอาณาเขตของมูยอง และรอบๆปราสาทนั้นก็เต็มไปด้วยปี ศาจจำนวนนับไม่


ถ้วน
อย่างไรก็ตาม

มันยังไม่ได้โจมตี

อย่างแรกที่พวกมันทำคือการเจรจา

“ ข้าไม่สนุกกับการคุกคามผู้อ่อนแอ จงยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามคำสั่งของข้าซะ”

แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่มันต้องการที่นี่คือเอลเดอร์ลิช

เหตุผลที่มันพูดอย่างนั้นก็เพื่อเรียกความน่าเชื่อถือจากเอลเดอร์ลิชนั่นเอง

เพราะถ้าเอลเดอร์ลิชรักและหวงแหนสถานที่แห่งนี้ มันย่อมต้องยอมติดตามเอนโรธ

ลิชไม่ใช่ตัวตนที่มีสติปัญญาต่ำ

ไม่มีทางที่นักเวทนระดับนั้นจะทำอะไรงี่เง่า

หากเทียบกับความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ของเอนโรธ

ราชาปี ศาจทั้งสามและบาร็อกก็ถือเป็ นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น

เป็ นไปไม่ได้ที่ลิชจะไม่ทราบเรื่องดังกล่าว

และหากเป็ นนักเวทที่ชาญฉลาดแล้วก็ย่อมรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างพวกมัน

ทว่าแน่นอน…

บรึ้ ม

ตูม

บรึ้ ม!

เวทระเบิดที่ติดตั้งไว้

ระเบิดพลังทำลายล้างออกไปทำลายปี ศาจที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด
มันเป็ นกับดักที่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า

และนั่นหมายความว่า เขาไม่ได้วางแผนที่จะยอมรับเงื่อนไขของมัน

“ช่างเป็ นการตัดสินใจที่โง่เขลา”

คงจะดีถ้าลิชยอมรับความพ่ายแพ้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าไหร่

มันใช้กำลังจับลิชมาแล้วค่อยล้างสมองทีหลังก็ได้

เอนโรธกระแทกไม้เท้าลงที่พื้น

ตูม!

อนุภาคสีน้ำเงินแพร่กระจายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไปรอบๆปราสาทเคลื่อนที่

ปี ศาจที่สัมผัสเข้ากับอนุภาคนั้นต่างคลุ้มคลั่ง และกลายเป็ นนักรบแสนดุร้าย

โดยจำนวนของปี ศาจในปราสาทนั้นคือ 300,000 ตน !

เมื่อเปรียบเทียบกับที่กล่าวมาแล้ว

กองกำลังทั้งหมดในอาณาเขตของมูยองมีเพียง 100,000 คนเท่านั้น

แม้ว่านักรบของอาณาเขตจะเป็ นกองกำลังที่มีคุณภาพ

แต่ความแตกต่างของจำนวนก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำลายได้ง่ายๆ

หากอำนาจเด็ดขาดสามารถพลิกคว่ำกระแสน้ำได้

เทพปี ศาจคงไม่จำเป็ นต้องมีราชาปี ศาจอยู่ภายใต้อำนาจของตน

เอนโรธคิดว่าพลังที่แข็งแกร่งก็มีข้อจำกัดเช่นกัน

มันจึงเรียนรู้วิธีการต่างๆเพื่อเสริมกองกำลังของตน

เอนโรธนั่งบนบัลลังก์อีกครั้งและมองภาพสนามรบ
'พวกมันก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ'

ปี ศาจชอบที่จะกำราบผู้อื่นโดยใช้กำลัง และคลั่งไคล้การพรากชีวิตของศัตรูด้วยพลังทำลายล้าง

เอนโรธเองก็ไม่ได้ต่างจากนั้น

ทว่าเหล่าปี ศาจกลับไม่สามารถเจาะทะลวงได้โดยง่าย

เป็ นเพราะอันเดธที่แข็งแกร่งรวมถึงเอลเดอร์ลิชกำลังหยุดพวกมัน

'มาดูกันว่าพวกแกจะทนได้นานแค่ไหน'

บางสิ่งที่เหมือนภาพโฮโลแกรมปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเอนโรธ

มันกำลังถ่ายทอดสดภาพของสมรภูมิตอนนี้

เอนโรธมองดูลิชผู้อาวุโสด้วยสายตาของอาจารย์ที่กำลังมองลูกศิษย์

เบซองมินแสยะปากยิ้มเล็กน้อย

เขาได้เตรียมหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้ เขารู้อยู่แล้วว่าเอนโรธกำลังจะบุก

จึงระดมสติปัญญาทั้งหมดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนั้น

กำแพงถูกสร้างให้สูงขึ้นด้วยความช่วยเหลือของคนแคระ และยังติดตั้งระเบิดที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนใน
อากาศ

เขาค้นคว้ามนตร์ดำเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอันเดธ

จนกระทั่งปรับปรุงคุณภาพชุดเกราะที่ทหารสวมใส่อยู่

นอกจากนั้นยังสังเวยหลายสิ่งเพื่ออัญเชิญ 'อัศวินอันเดธ' ออกมาช่วยรบ

แต่ ... 'เวลาของฉันน้อยเกินไป'

เอนโรธเดินทางมาถึงก่อนการคำนวณไว้มาก
เบซองมินคาดว่า 10 วัน แต่เอนโรธมาถึงใน 2 วัน

มีข้อจำกัดมากมายสำหรับการเตรียมตัวภายในสองวัน

นั่นเป็ นเหตุผลที่เขาต้องเค้นทุกอย่างออกมาใช้ก่อน

“ เบียทริซ โจมตีปราสาทของศัตรูซะ”

อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเบซองมินคือแม่มดเบียทริซ

หากลำแสงพลังของเธอพุ่งเข้าใส่สิ่งใด มันจะทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความว่างเปล่า

และมันง่ายที่จะโจมตีเป้ าหมายขนาดใหญ่อย่างปราสาทของศัตรู

กรี๊ด!

ใบหน้าของเบียทริซปรากฏหยดเลือดไหลออกมาจากดวงตาหลังจากได้รับคำสั่งจากเบซองมิน

จากนั้นลำแสงขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้าหาปราสาทของเอนโรธ

ปังงงงงงงงงงงง!

เกิดการระเบิดเสียงดังจนพื้นดินสั่นสะเทือน

ทว่าเบซองมินที่เห็นภาพดังกล่าวกลับส่ายหัว

'มันไม่ได้ผล' เบาเกินไป

ตัวปราสาทได้รับการปกป้ องด้วยเวทมนตร์ของเอนโรธ

นั่นหมายความว่าแม้กระทั่งเบียทริซก็เทียบไม่ได้กับเอนโรธในด้านเวทย์มนตร์

หากพวกเขาไม่สามารถเจาะทะลวงบาเรียของปราสาทได้

การรบแบบกองโจรที่เตรียมไว้ก็คงไม่ได้เคลื่อนไหว

สุดท้ายเมื่อศัตรูตัดผ่านทุ่งระเบิดเข้ามาได้
พวกเขาจะต้องต่อสู้แบบประชิดตัว

'มันเสริมพลังให้พวกปี ศาจจำนวนมากได้ยังไง?'

ปัญหาไม่ใช่แค่จำนวนตัวเลข

ปี ศาจที่สูญเสียจิตสำนึกและบ้าคลั่ง ดูเหมือนพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นเป็ นสองเท่า

มันแทบจะเป็ นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับปี ศาจนับหมื่นในเวลาเดียวกัน

อย่างน้อยเบซองมินก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

ขีดจำกัดของเขาคือการเสริมความแข็งแกร่งให้อันเดธ 500 ตนเท่านั้น

'เอนโรธ...' เขาได้ยินว่ามันเองก็เป็ นนักเวท

ตัวตนทรงพลังที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“ ฉันจะเข้าไป”

จู่ๆเบซูจีก็โผล่มายืนอยู่ข้างเบซองมินพร้อมกับพูดขึ้น

เบซองมินรู้จักชื่อของเธอ แม้พวกเขาจะมีนามสกุลเดียวกันแต่ซองมินก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เธอรู้

'ชื่อของฉันในอดีตไม่สำคัญ ถึงบอกเธอไปก็คงจะมีแต่เรื่องน่ารำคาญ'

'หรือเพราะแบบนั้นเจ้านายจึงอนุญาตุให้เธอยืมพลังไปใช้'

ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งเพิ่มขึ้น

อีกเหตุผลที่มูยองส่งเบซูจีออกมา เพราะมูยองยังไม่คุ้นเคยกับพลังใหม่ที่ได้รับ

'ฉันต้องอดทนจนกว่าเจ้านายจะพร้อม'

เขาตัดสินใจทิ้งความรู้สึกที่ไม่จำเป็ นออกไป

ไม่ว่ากรณีใดๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรอ
“ เธอจะไปที่ปราสาทของเอนโรธเหรอ?”

“ ถ้าได้รับพรจากดวงจันทร์ของจิน บวกกับความสามารถในการเร้นกายที่มีแล้ว ฉันสามารถเข้าไปในนั้นได้


โดยไม่มีใครสังเกตเห็น สงครามนี้จะจบถ้าเรากำจัดราชาปี ศาจได้ใช่ไหม?”

จินเป็ นหนึ่งในผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของการเป็ นไฮเอลฟ์

เบซองมินไม่สามารถรับรู้ถึงการมีตัวตนของเบซูจีได้เลย จนกว่าเธอจะเข้าใกล้ๆและพูดขึ้น

แต่การลอบสังหารจะได้ผลกับเอนโรธหรือไม่?

ด้านนอกมีปี ศาจสามแสนตัวเท่านั้น ทว่าด้านในต้องมีมากกว่านั้นแน่นอน

“ แค่บอกฉันว่าเอนโรธอยู่ที่ไหน ฉันจะไปเด็ดหัวของมันเอง”

เบซองมินคิด

'โง่อะไรขนาดนี้'

ความคิดของเบซูจีนั้นโง่จริงๆ

โอกาสประสบความสำเร็จนั้นใกล้เคียงกับ 0% ไม่ว่าจะระบุที่อยู่ของเอนโรธได้หรือไม่

แต่…มีความน่าจะเป็ นเกิดขึ้นได้เสมอ และมันสามารถซื้อเวลาให้พวกเขาได้

ภารกิจที่สำคัญที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบันคือ การซื้อเวลา

พวกเขาจะทนได้หรือไม่จนกว่ามูยองจะปรากฏตัว เพราะถ้ามูยองแพ้ทุกอย่างก็จบ

แต่เบซองมินไม่เคยคิดว่ามูยองจะแพ้ใครอยู่แล้ว

"งั้นรอเดี๋ยว!

เบซองมินตั้งใจเป็ นแน่แท้แล้วว่าจะใช้เบซูจีเป็ นเครื่องมือซื้อเวลา

แต่ก่อนหน้านั้นต้องทำลายแหล่งพลังงานบางส่วนที่สนับสนุนปราสาท
และหาที่ตั้งของเอนโรธให้ได้เสียก่อน

เบซองมินลอยตัวขึ้นไปบนอากาศ

เอนโรธก็เป็ นนักเวทคนหนึ่ง และนักเวททุกคนล้วนมีความภาคภูมิใจของตนเอง

เบซองมินวางแผนที่จะยั่วยุเอนโรธด้วยเวทมนตร์ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้

“ สนามแรงโน้มถ่วง”

วูบ!

ท้องฟ้ ามืดครึ้ มราวกับฝนจะตก อนุภาคสีดำร่วงหล่นลงมาจากนภากาศก่อนจะยุบติดกับพื้นดิน

จากนั้นก็เริ่มดึงทุกอย่างลงสู่เบื้องล่างอย่างรุนแรง

นี่เป็ นเวทมนตร์สำหรับการต่อสู้วงกว้างที่เบซองมินคิดขึ้น

ทว่าแม้แต่พันธมิตรก็ไม่สามารถหนีออกจากอิทธิพลนี้ได้

เขาจึงไม่สามารถทำให้มันสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับปราสาทได้เช่นกัน

มันยังเป็ นเวทย์มนตร์ที่ต้องได้รับการปรับปรุง

ตูมมมมมมม!

ปราสาทลอยฟ้ าขนาดใหญ่ถูกดึงลงมาที่สู่พื้น

ไม่มีการยั่วยุใดใหญ่โตกว่านี้อีกแล้ว

มันไม่สามารถสร้างความเสียหายได้เท่าไหร่

แต่ถ้าซองมินเป็ นเอนโรธเขาจะต้องเสียหน้ามากแน่ๆ

ฟูมมมมมมม!

อย่างที่คาดไว้
ปราสาทเริ่มลอยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพลังที่โต้ตอบแรงโน้มถ่วง

เอนโรธกำลังแทรกแทรงเวทของซองมิน

แต่ด้วยเหตุนี้เบซองมินจึงสามารถระบุตำแหน่งของเอนโรธผ่านจุดศูนย์กลางของพลังนั้นได้

"ตรงนั้น"

สูงขึ้นเล็กน้อยจากกึ่งกลางของตัวปราสาท

เบซองมินส่งตำแหน่งของเอนโรธ

และข้อมูลทุกสิ่งที่ทราบให้เบซูจีด้วยพลังเวท เบซี่ซูจีพยักหน้า

“ ฉันจะยุติสงครามนี้เอง”

เธอต้องเข้าไปก่อนที่ปราสาทจะลอยขึ้นอีกครั้ง เบซูจีพุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนู

ในขณะที่เบซองมินยังคงเผชิญหน้ากับความภาคภูมิใจของเอนโรธ

*** “ นี่คืออัลโนวา มันเป็ นคัมภีร์ที่มีพลังเวทไหลเวียนอยู่มากมาย”

ผู้ดูแลมอบอัลโนวาให้มูยอง มันเป็ นเหมือนหินอ่อนขนาดเล็กมากกว่าคัมภีร์เสียอีก

อย่างไรก็ตาม ชัดเจนว่ามันไม่ใช่หินอ่อนธรรมดา

เมื่อมูยองตรวจดูมันอย่างใกล้ชิด

ข้อมูลจำนวนมากก็ไหลหลั่งเข้าสู่สมองของเขาทันที

“อึก”

มูยองเซถอยหลัง

ข้อมูลที่มีอยู่นั้นกว้างใหญ่เกินกว่าที่เขาจะเห็นหมดทุกส่วน

“ วิญญาณของเจ้าจะถูกทำลายถ้ามองมันเป็ นเวลานาน”
“ ผมก็คิดอย่างนั้น”

ขนาดมีพลังครึ่ งเทพยังไม่สามารถจัดการข้อมูลของอัลโนวาได้ทั้งหมด

หินอ่อนนี้จะโจมตีไปที่จิตสำนึกและจิตวิญญาณของคุณโดยตรง

ยังไงก็ตาม เขาสามารถจดจำเวทมนตร์ที่สำคัญในช่วงเวลาสั้นๆนั้นได้

“ เรื่องราวของเจ้าน่าสนใจมาก ข้าหวังว่าเราจะได้พบกันอีก”

จากนั้นผู้ดูแลแห่งความว่างเปล่าก็หายตัวไป

ส่วนมูยอง เขามองดูสถานที่ที่ตัวเองยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันหลังกลับ

เขาได้รับสมบัติที่ไม่คาดคิด

เขาไม่ทราบว่าจะเจอพื้นที่แห่งความว่างเปล่าในขณะที่จิตวิญญาณอยู่ในสภาวะที่เล็กที่สุด

นอกจากนี้…มูยองยังได้รับคำใบ้ว่าโซโลมอนยังมีชีวิตอยู่

'ฉันจะตามหาเขา ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่'

มูยองต้องไปถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่โซโลมอนมอบให้

เขาพร้อมแล้วที่จะออกไป

วิญญาณของเขาเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆจนไปปรากฏตัวอยู่บนโลกปกติ

บูมมมม!

สิ่งแรกที่ได้ยินหลังจากลืมตาคือเสียงระเบิด

จริงๆแล้วพวกมันอยู่ค่อนข้างไกล แต่มูยองสามารถได้ยินสิ่งนั้นราวกับว่ามันกำลังเกิดขึ้นข้างๆ

'เอนโรธบุกมาแล้ว'

มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขาคาดไว้
มูยองยืนขึ้น

ฟู่ ว

แล้วก็หายไปเหมือนควัน

*** “ พวกเรากำลังถูกตีกลับจนถอยร่น!”

เบซองมินหาข้อสรุป

สงครามเริ่มเสียเปรียบเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ

พวกเขาจำเป็ นต้องถอยกลับ และเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือ

เขากังวลเกี่ยวกับเบซูจีอยู่บ้าง

แต่ความเป็ นไปได้ที่เธอจะประสบความสำเร็จนั้นเล็กน้อยมาก

เขาไม่สามารถปกป้ องสถานที่แห่งนี้ต่อไปโดยหวังเดิมพันกับความน่าจะเป็ นเล็กๆนั้น

'แบบนี้คงไม่มีหวัง'

เอนโรธรุกคืบเร็วเกินไป

สิ่งเดียวที่เบซองมินสามารถทำได้ตอนนี้คือถ่วงเวลาไว้ อย่างไรก็ตามเขาคงทำได้อีกไม่นานนัก

"อย่าให้หลุดไปแม้สักคนเดียว! ปิ ดกั้นเส้นทางหลบหนีให้หมด!”

“ นี่คือการล่า! ว๊าฮ่าๆๆ!”

ปี ศาจวิ่งไล่อย่างบ้าคลั่ง

แต่บางอย่างก็ไม่ได้บ้าไปอย่างสมบูรณ์ เพราะความสามารถในการ 'ล่า' ของพวกมันยังมีประสิทธิภาพอยู่

สิ่งนั่นทำให้ซองมินรู้สึกรำคาญ

การถอยแบบนี้เขาจะต้องสูญเสียนักรบไปกว่าสองถึงสามพันคน
แต่หากไม่ทำกองกำลังทั้งหมดจะต้องถูกกวาดล้าง

“ฟูม ... .”

ปังงงงงง!

มันเป็ นในขณะนั้น

บางสิ่งกำลังพุ่งลอยมา ลักษณะของมันราวกับเป็ นลูกกระสุนปื นใหญ่

แต่จากระยะที่ไกลมากนั่นปื นใหญ่ไม่มีทางที่จะเทียบได้

หลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้น

และปี ศาจเกือบ 500 ตัวก็ตายเพราะแรงสั่นสะเทือนจากมัน

เปลวเพลิงลุกท่วม!

เปลวไฟรุนแรงเผาผลาญปี ศาจที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้นจนกลายเป็ นจุล

เหล่าปี ศาจล้วนประหลาดใจและล้มหายตายจาก

ปกติแล้วเมื่อปี ศาจตายจะไม่ทิ้งศพไว้ ดังนั้นปี ศาจที่หนีไม่ทันจึงกลายเป็ นเพียงฝุ่ นก่อนจะกระจายหายไป

ทว่าเหมือนมีผู้หนึ่งอยู่ตรงกลางของหายนะแห่งเปลวเพลิงดังกล่าว

“เจ้านาย?”

'มูยอง!

เขาปรากฏตัวแล้ว

ฟูม! เจ้าแห่งเปลวเพลิง เปลวเพลิงที่สร้างโดยนายที่แท้จริงนั้นไม่สามารถดับได้

ในตอนแรกมันเป็ นพลังของเดียโบล แต่ตอนนี้พลังดังกล่าวกลายเป็ นอำนาจที่สมบูรณ์ของมูยองแล้ว

ปี กทั้งหกต่างก็ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง มูยองเดินเข้ามาในสภาพนั้น
และไม่มีปี ศาจหน้าไหนกล้าคิดเดินไปใกล้เขา

“ เบซูจีอยู่ที่ไหน?”

“ เธอเข้าไปในปราสาท”

เบซองมินคุกเข่าและตอบ

มูยองขมวดคิ้ว

“ ทำไมนายไม่หยุดเธอล่ะ”

“ มันเป็ นสิ่งที่เธอต้องการ และอย่างน้อยเธอก็สามารถซื้อเวลาได้”

“ แล้วนายพอใจกับเรื่องนั้นเหรอ?”

เมื่อมาถึงจุดนี้เบซองมินเงยหัวขึ้น เพราะนี่เป็ นครั้งแรกที่มูยองถามสิ่งที่น่ารำคาญเช่นนั้น

“ มีเหตุผลไหนที่ผมไม่ควรพอใจ?”

เขาจำเธอไม่ได้เหรอ?

จะบังเอิญเกินไปไหม ที่เขาไม่รู้เพราะมูยองไม่ได้บอก

ยังไงก็ตามมูยองไม่สามารถเมินเฉยได้ เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้อีก

มันจะกลายเป็ นความขุ่นเคืองขนาดไหนถ้าเขาไม่เคยรู้ความจริงตรงหน้า?

ที่เขาปล่อยผ่านมาจนถึงตอนนี้ เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากขึ้น

แต่เมื่อทั้งสองฝ่ ายได้เจอกันแล้วเรื่องก็ไม่ควรจบลงเช่นนี้

และมูยองไม่ต้องการให้พวกเขาสองคนตกอยู่ในสถานการณ์ที่โหดร้ายจากความไม่รู้อีกด้วย

มูยองกล่าว “ เบซูจีเป็ นลูกสาวของนาย”

------------
บทที่ 229: อัลโนวา (3)

“ ว่าไงนะ…”

เบซองมินจริงจัง ลูกสาว?

จากความทรงจำที่คลุมเครือ เอลเดอร์ลิชอย่างเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความผูกพันกับสิ่งมีชีวิตอื่นอีกนอกจา
กมูยอง

และยิ่งเป็ นความผูกพันที่ไม่ธรรมดานี่อีก เพราะเธอเป็ นถึงลูกสาวของเขา?

“ ฉันไม่มีเวลาอธิบายมาก แต่ซูจีเป็ นลูกสาวของนาย”

มูยองมองขึ้นไปที่ 'ปราสาท'

ปราสาทที่หลุดจากผลกระทบของสนามแรงโน้มถ่วงกำลังลอยขึ้นอีกครั้ง

นอกจากนั้นยังมีปี ศาจปรากฏเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก และปิ ดกั้นการล่าถอยของพวกเขา

เบซองมินตกใจ เนื่องจากมูยองไม่มีเหตุผลที่จะโกหก

เขามักพูดความจริงเสมอ หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่เคยโกหกเบซองมิน

และหากคำพูดของมูยองเป็ นจริง

คิดได้ดังนั้นท้องฟ้ าของซองมินก็ราวกับจะถล่มคลืนลงมา

“ ถ้างั้น…สิ่งที่ผมตามหาตลอดมาก็คือ”

เบซองมินรู้สึกเจ็บปวดเสมอ เขารู้สึกเหมือนสูญเสียสิ่งสำคัญตลอดเวลา

มักจะมีแรงกดดันให้เขาต้องตามหาอะไรซักอย่าง

แต่เขาไม่เคยจินตนาการว่าบางสิ่งนั้นเป็ นลูกสาวของตัวเอง

“ ฉันไม่ต้องการทำให้นายสับสน จริงๆแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าควรตัดสินใจยังไงกับเรื่องของนายเหมือนกัน ”
ถูกตัอง มูยองไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้

นั่นเป็ นเหตุผลที่ดี แต่ก็เป็ นข้อแก้ตัวเช่นกัน

เขาไม่สามารถตัดสินได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

เบซองมิเสียชีวิตไปแล้ว

และกลายเป็ นลิชผู้สูญเสียความทรงจำส่วนใหญ่ในอดีต

มูยองไม่รู้ว่าการที่เขาทราบเรื่องลูกตัวเองจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง นั่นเป็ นเหตุผลที่เขาเก็บเรื่องนี้ไว้...

แต่เขาคิดว่าควรบอกความจริงเมื่อทั้งสองฝ่ ายได้พบกัน

มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถหลบเลี่ยงได้ตลอดไป

“ เบซูจี เด็กคนนั้นเป็ นลูกสาวของผมจริงๆเหรอ…?”

“ ฉันจะเคารพการเลือกของนาย”

เขาปล่อยให้มันเป็ นการตัดสินใจของเบซองมิน

เบซองมินกลายเป็ นตัวตนใหม่หลังจากที่เสียชีวิต หมายความว่าเขาไม่จำเป็ นต้องสนใจความทรงจำครั้งเมื่อยัง


มีชีวิตอยู่

แต่หากเขาเลือกที่จะคว้าอดีตของตนไว้

มูยองก็เคารพการตัดสินใจของซองมิน

เบซองมินรู้สึกสับสนอย่างมากในตอนนี้ เขาเป็ นคนขับเบซูจีให้ไปยืนอยู่ที่ปากเหวของความตาย

ถึงแม้ว่าเธอจะเป็ นคนอยากไปเองก็ตาม

เขาไม่รู้สึกผิดสักนิดสำหรับการตัดสินใจครั้งนั้น แต่เขาจะทำแบบเดียวกันหรือเปล่า

หากรู้ว่าเธอเป็ นลูกสาวของเขา?
เบซองมินตกอยู่ในพะวง

เดิมทีลิชเป็ นตัวตนที่ไร้ซึ่งหัวใจ แต่ตอนนี้มันกลับรู้สึกอยากปฏิเสธตัวตนของตัวเอง

'ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้เลย ทำไม!'

เบซองมินประสบปัญหากับอารมณ์ที่ไม่มั่นคงเป็ นอย่างมาก

แม้จะทราบความจริงแล้ว แต่เขาก็จำอะไรไม่ได้เลย

เขาจะคว้าทุกอย่างไว้ทันทีถ้าความทรงจำทั้งหมดปรากฏขึ้น

“ นายท่าน เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า?”

“ เธอยังไม่ตาย แต่ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่”

มูยองและเบซูจีเชื่อมต่อกันอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้เห็นทุกอย่าง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่แน่ๆคือสัญญาณชีวิตของเธอกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ เบซองมินพยักหน้า

“ ผมจะไปหาเธอ ผมอยากมองเด็กคนนั้นชัดๆสักครั้ง”

ตอนเบซองมินเห็นเบซูจีครั้งแรก

เขาก็คิดว่าเธอเป็ นแค่ 'หนู' ตัวเล็กๆเท่านั้น และไม่เคยพยายามสนใจเธอเลยหลังจากนั้น

ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น?

เป็ นเพราะการเห็นเธอทำให้อารมณ์ของเขาแปรปรวนอย่างไม่เคยเป็ นมาก่อน

ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็อยากเผชิญหน้ากับเธอดีๆสักครั้ง

'ฉันต้องการพบเธอ ต้องการมองเธอไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีภาพที่ชัดเจนปรากฏขึ้นในหัวของฉัน '

มันยังไม่สายหากได้เผชิญหน้า และสนทนากันเป็ นเรื่องเป็ นราวเพื่อหาข้อสรุป

ยังไงก็ตามตอนนี้เขาต้องช่วยเบซูจีก่อน
ภารกิจช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดินไปสู่ความตาย

นั่นเป็ นสิ่งที่ดูไม่เข้ากับลิชเอาซะเลย

มูยองเผยรอยยิ้มจางๆ

“ ฉันจะเปิ ดทางให้นายเอง”

เส้นทางหลบหนีของพวกเขาถูกปิ ดกั้น พวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับปี ศาจนับหมื่นที่ถูกเสริมความแข็งแกร่ง


ด้วยจำนวนกำลังพลเพียงเท่านี้

ฟูม! เปลวเพลิงลุกไหม้โหมกระหน่ำขึ้น

ปี กทั้งหกของมูยองกลายเป็ นปี กแห่งเปลวเพลิงขนาดใหญ่โต จากนั้นมูยองก็หลับตาลงแล้วพูดบางอย่าง

“ ในทุกสรรพสิ่ง ย่อมมีแสงส่องถึงเสมอ”

ฟว๊างง!

บนท้องฟ้ าถูกลำแสงเจาะทะลุกลายเป็ นหลุมกว้างใหญ่ และผืนดินก็ถูกปกคลุมไปด้วยความสว่างไสว

“อ๊ากกก!”

“ซะช่วยข้าด้วย! เจ็บเหลือเกิน!"

"ม้ายย! อ๊าก!”

ปี ศาจที่ถูกลำแสงสัมผัส ร้องด้วยความเจ็บปวด

พลังเทวะของมูยองได้รับการเสริมความแข็งแกร่งด้วยบทสวดของอัลโนวา อัลโนวาเป็ นคัมภีร์ที่รวบรวมคำ


สอนหรือบทสวดสั้นๆเอาไว้

หากคุณเข้าถึงความศักดิ์ สิทธิ์ นั้น คุณก็สามารถแสดงความแข็งแกร่งนี้ได้เพียงแค่ท่องบทสวด

ทว่าแม้แต่มูยองก็ไม่สามารถเข้าใจบทสวดทั้งหมด

เขาสามารถจดจำบทสวดที่แข็งแกร่งได้บางบทเท่านั้น
“ จงแผดเผาให้เหมือนเปลวเพลิง และซัดใส่ดั่งคลื่นแห่งท้องทะเล”

วูม!

ปี กของมูยองขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมก่อนจะกลืนปี ศาจทั้งหมดในระยะโจมตี ปี ศาจมากกว่าหนึ่งแสนตัวเสียชีวิต


ด้วยการโจมตีเพียงสองครั้ง แม้จะยังเหลืออยู่จำนวนอีกมาก แต่พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกับสิ่งที่จู่ๆก็เกิด
ขึ้น

วูบ!

ร่างของมูยองดูซวนเซ

'บทสวดของอัลโนวาเปลืองแรงค่อนข้างมาก'

อย่างมากที่สุดสามครั้ง นั่นคือจำนวนบทสวดที่มูยองสามารถท่องได้

ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองคงไม่สามารถทนได้มากกว่านั้น

ชิ้ง!

มูยองดึงความโกรธเกรี้ ยวออกมา

เขานำความโกลาหลมาสู่ศัตรู และเปิ ดเส้นทางให้แก่พวกพ้องขึ้นสำเร็จแล้ว

และซองมินไม่ควรพลาดโอกาสนี้

“ ยังไม่สายถ้านายจะไปตอนนี้”

หลังจากพูดจบ มูยองก็ชูดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยวขึ้นสูง เหล่าวิญญาณทุกตน, อันเดธ, โอการ์และทาร์แคน


มองไปที่มูยอง

"ตามฉันมา ถึงเวลาทำลายศัตรูของเราแล้ว”

* * * "แกเป็ นใคร?"

ปัง!
เอนโรธกระแทกไม้เท้าใส่พื้น

ในเวลาเดียวกันระยางสีดำเมื่อมก็พุ่งขึ้นไปปกคลุมร่างของผู้บุกรุก มันไม่คิดว่าจะมีใครสามารถล้มปี ศาจนับ


ไม่ถ้วนจนมาถึงศูนย์กลางของปราสาทเช่นนี้ได้

ทุกคนนอกจากเอนโรธถูกสังหารจนหมด แต่ของมันแน่อยู่แล้วที่เอนโรธยังมีชีวิตอยู่

ผู้บุกรุกปิ ดปากของเธอแน่น ถึงแม้จะมีเลือดไหลซึมออกมาจากร่างกาย แต่เธอก็ยังไม่ตาย

ยังไงก็ตามชัดเจนว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เอนโรธส่ายหัวขณะมองไปที่ผู้บุกรุก

“ ข้าคงถามผิดไป ให้ข้าถามอีกครั้ง เขาคือใคร'?"

เอนโรธมองเบซูจีแล้วก็รู้สึกได้ว่ายังมีบางคนที่เหนือกว่าเธออยู่

เขาไม่ได้ฆ่าซูจีทันที เพราะรู้สึกได้ถึงการปรากฏตัวของผู้ที่แข็งแกร่ง

ผู้หนึ่งที่คอยชักใยเรื่องทั้งหมดให้เกิดขึ้น และบางทีนั่นอาจเป็ นตัวจริงของผู้ที่สังหารชาร์ซาซ่า

เขาไม่กังวลเรื่องเบซูจีหรือว่าลิช แต่เป็ นใครอีกคนที่อยู่เหนือกว่านั้นมากกว่า

“ หรือว่ามันจะเป็ นเทพปี ศาจ? เป็ นตัวตนที่มาจากอีกโลกหนึ่งเหมือนเดียโบลงั้นหรือ?”

เบซูจีนั้นมีความเชื่อมโยงกับ 'ใครบางคน'

เอนโรธสัมผัสได้ถึงช่องว่างที่มันไม่รู้ และช่องว่างที่ยิ่งใหญ่นี้…ไม่ได้อยู่ในระดับระหว่างราชาปี ศาจ

มันเป็ นช่องว่างที่มันสามารถรู้ได้จากตัวตนเหนือธรรมชาติหรือไม่ก็เทพปี ศาจ แต่มีบางอย่างที่แตกต่าง มันไม่


เคยรู้สึกถึงช่องว่างแบบนี้

เบซูจียิ้มเล็กน้อย นั่นก็ถือเป็ นคำตอบที่เพียงพอแล้ว

“ เป็ นประเภทที่ไม่ชอบให้พูดจาดีๆสินะ”

เอนโรธอยากรู้อยากเห็น มันรู้สึกอยากตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั้น

นั่นเป็ นเหตุผลที่มันพยายามควบคุมจิตใจของเบซูจี
การย้ายจิตสำนึกเป็ นความสามารถพิเศษของเอนโรธ

การเล่นกับจิตสำนึกที่ศัตรูอดกลั้นไว้อย่างสมบูรณ์นั้นเป็ นสิ่งที่มันชอบ

มันกางมือออกไปดึงผมของเบซูจี จากนั้นก็เขียนอักษรรูนบางอย่างลงบนไม้เท้า

“ ข้าะถามเจ้าอีกครั้ง เขาเป็ นใคร'?

บอกตัวตนที่เชื่อมโยงอยู่กับเจ้ามา”

มันใช้เวลาไม่นาน

ยังไงก็ตามเบซูจียังไม่ตอบคำถาม เธอแค่หัวเราะออกมาแปลก ๆ จากนั้นเธอก็เป็ นลม

มันไม่สำคัญว่าเธอจะหมดสติหรือไม่ถ้าการควบคุมจิตใจทำงานได้อย่างถูกต้อง

หากเป็ นปกติเบซูจีน่าจะต้องตอบคำถามของเอนโรธไปแล้ว

มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้นถ้าเธอไม่ตอบ

'การควบคุมจิตใจของข้าไม่ได้ผล'

มันแทบไม่อยากเชื่อที่พลังของตัวเองไม่ได้ผล!

ราชาปี ศาจเหล็กเอนโรธ พลังที่แท้จริงของมันคือการควบคุมและครอบงำ

นั่นเป็ นเหตุผลที่ทำให้มันสามารถเสริมกำลังปี ศาจหลายแสนตนในเวลาเดียวกันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าพลังของ


เอนโรธไม่ได้ผล

เมื่อมูยองออกจากอารามสีคราม

เขาได้ถ่าย 'กลไกการป้ องกันตัวเอง' ไว้บนตัวเบซูจี มันเป็ นมาตรการที่จะไม่บอกให้คนอื่นรู้ถึงการดำรงอยู่ขอ


งมูยอง

กลไกดังกล่าวมี 'การป้ องกันทางจิต' ที่แข็งแกร่ง

การล้างสมอง 'หวังซุงหลิน' อยู่ในระดับท๊อบคลาส


บางรายละเอียดมันยังยอดเยี่ยมกว่าของเอนโรธเสียอีก

เมื่อเปรียบเทียบกับเอนโรธที่ผลักดันมันด้วยพลังเวท

หวังซุงหลินนั้นได้เข้าไปจัดการจิตใจของเหยื่ออย่างเป็ นระบบ

มูยองเตรียมการพวกนี้ไว้สำหรับหวังซุงหลิน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่มันจะถูกเจาะทะลวงได้อย่างง่ายดาย

จากนั้นสีหน้าของเอนโรธก็เปลี่ยนไป

“ ข้าติดกับของศัตรูหรือนี่…!”

ฟูว!

ในขณะนั้นเสาเพลิงขนาดใหญ่ก็ลุกขึ้นบนปราสาท

และเพลิงที่ลุกโชติช่วงก็ห้อมล้อมไปทั่วบริเวณ ทำให้บาเรียที่ปกป้ องปราสาทละลายลงทันที

เมื่อตกอยู่สถาวะไร้การป้ องกันปราสาทก็เริ่มดิ่งร่วง

มันเป็ นพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่แม้แต่เอนโรธก็ไม่สามารถเลียนแบบได้

จากพลังนี้มันมั่นใจได้เลยว่า บางคนที่มันต้องการรู้ ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

ฮ่า!

เอนโรธส่งเสียงคำรามออกมา

ช่างเป็ นเรื่องบังเอิญจริงๆ ผู้นั้นสังหารเหล่าปี ศาจ และปรากฏตัวขึ้นเองราวกับว่ากำลังรอช่วงเวลานี้ หรือ


บางที มันอาจจะตกเป็ นผู้ที่ถูกล่อลวง

นับตั้งแต่การตายของชาร์ซาซ่าแล้วก็เป็ นได้ มันอาจเกิดมาเพื่อล่า

แต่มันก็เป็ นผู้หนึ่งที่ถูกล่าเช่นกัน

“ ข้าคือเอนโรธ ราชาปี ศาจแห่งเหล็กผู้ยิ่งใหญ่! เจ้าคิดว่าข้าจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายงั้นหรือ!”


มันไม่สามารถยอมรับได้ มันเป็ นคนที่วางกับดัก การล่าเป็ นตำแหน่งที่คู่ควรกับมันเท่านั้น

เอนโรธปฏิเสธความจริงที่ว่าตนเป็ นผู้หนึ่งที่ตกหลุมพราง

บูม! บูม! บูม!

ยังไม่จบแค่นั้น มีบางอย่างกำลังมา

แต่พลังนี้ไม่ได้เป็ นของ 'ผู้นั้น'

ใครบางคนกำลังเจาะทะลวงปราสาทอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากไม่มีบาเรียปกป้ องปราสาทอีกต่อไป

ด้วยพลังเวทที่น่ากลัว เขากำลังเจาะปราสาทโดยใช้เทคนิคขยายพลังเวท

เอนโรธหันหลังกลับ และในเวลาเดียวกันมันก็กล่าวขึ้น

“ เอลเดอร์ลิช…!”

เอลเดอร์ลิชปรากฏตัวอยู่กลางห้อง มันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ เพราะ 'ผู้นั้น' สามารถปรากฏตัวได้ตลอด


เวลา แต่คนที่มากลับเป็ นลิช?

เอนโรธยอมรับศักยภาพของลิชตนนี้ แถมยังคิดที่จะเอามาเป็ นผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย แต่มันเปลี่ยนใจแล้ว

หากทั้งหมดนี้เป็ น 'แผน' ของผู้นั้น

เอนโรธตัดสินใจสังหารลิชและผู้หญิงตรงหน้าเพื่อทำลายแผนการของผู้นั้นดีกว่า

“ เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้หรือ!”

“ ฉันไม่ได้มาเพื่อเอาชนะแก”

เบซองมินเหลือบมองไปยังจุดหนึ่ง

เบซูจียังมีชีวิตอยู่ เธออยู่ในสภาพที่แย่มาก

แต่สิ่งสำคัญคือเธอยังมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนว่าเธอจะแค่หมดสติไป
เบซองมินตัวสั่นเทิ้มเมื่อเห็นเบซูจี

ถ้าเขามีดวงตาดั่งเช่นมนุษย์ คงเห็นแววตาที่สั่นไหวระเรื่อไปแล้ว เบซองมินดึงสายตาไปยังเอนโรธอีกครั้ง


และพูดด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง

“ ฉันแค่มาที่นี่...เพราะไม่อยากให้ตัวเองต้องเสียใจ”

บทที่ 230: อัลโนวา (สิ้นสุด)

ความตายหมายถึงจุดจบ

ดังนั้นจึงเป็ นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนไม่อยากจะตายโดยทั้งที่ยังมีเรื่องค้างคาให้ต้องรู้สึกเสียใจ

อย่างไรก็ตามมันไม่น่าเกิดขึ้นกับตัวตนอย่างลิช ทว่าเบซองมินไม่ใช่ลิชปกติ จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังคง


ประสบกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง

และไม่ใช่แค่เบซองมิน อันที่จริงความจริงแล้วอันเดธรอบๆตัวเขากำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
อันเดธที่มูยองสร้างขึ้นนั้นล้วนเป็ นตัวตนที่พิเศษ และเบซองมินนั้นยิ่งพิเศษกว่าใคร

เบซองมินเหลียวมองเบซูจีอีกครั้ง เขารู้สึกถึงความอ่อนแอของตนเอง

ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาต้องการที่จะวางมือบนแก้มของเธอและบอกเธอว่าทุกอย่างโอเคแล้ว

เบซองมินไม่รู้ว่าอารมณ์แบบนี้คืออะไร

เขารู้เพียงว่าการพาเธอออกไปจากที่นี่จะทำให้เขาไม่ต้องเสียใจ

“ ลิชพูดถึงความรู้สึกเสียใจ? น่าขำจริงๆ”

บูม!

เอนโรธกระแทกไม้เท้าลงกับพื้น รยางค์ค์สีดำและเงาปี ศาจระเบิดตัวขึ้น

พวกมันหมุนตัวกันเป็ นเกลียวรอบๆเบซองมิน

ในขณะนั้นเบซองก็มินระเบิดพลังเวททั้งหมดออกมาอย่างไม่เสียดาย
อำนาจพลังที่แข็งแกร่งจนสามารถทำลายร่างของผู้ใช้ได้และตอนนี้พลังเวทของเขาก็ทะลุ 700 หน่วยในชั่ว
พริบตา

“ พลังเวทเทียบเท่าระดับเหนือธรรมชาติงั้นรึ! แต่เจ้าจะทนได้สักแค่ไหนเชียว”

แม้แต่เอนโรธก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ เพราะอย่างน้อยในชั่วขณะนี้พลังของเบซองมินก็ไม่ต่างกับตัวมันเอง

แต่ปัญหาของซองมินคือเวลา

ใช่แล้วเบซองมินไม่สามารถรักษาสถานะนั้นไว้ได้เป็ นเวลานาน

ไม่เกิน 3 นาที

หากยังทำแบบนี้ ร่างกายของเขาจะต้องแตกสลาย

"แค่นั้นก็พอแล้ว... อะมาดิอุส”

เวทอัญเชิญแม่มด แต่เดิมซองมินใช้หัวของไฮดราเป็ นเครื่องสังเวย

แต่ด้วยพลังเวทอันล้นพ้นเขาไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว

นี่เป็ นการสังเวยที่ดีกว่าหัวหนึ่งของไฮดราเสียอีก

กรี๊ด!

แม่มดเบียทริซที่ก้าวออกมาจากประตูดูตัวเล็กกว่าเดิม แต่ออร่าแห่งความมืดที่หมุนรอบตัวเธอกลับเพิ่มมาก
ขึ้น

จากนั้นก็พุ่งตัวไปกำจัดเงาและรยางค์สีดำด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

ในขณะเดียวกันเบซองมินก็เตรียมเวทอื่นๆ เบียทริซที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมออกไปกวาดล้างศัตรูอย่างบ้าคลั่ง
แต่ไม่รู้ว่าเธอจะสู้กับเอนโรธได้นานแค่ไหน

“ไร้ประโยชน์”

เอนโรธเหวี่ยงไม้เท้าวาดบนอากาศ
ชิ้ง! ชิ้งง... ชิ้ง!

เมื่อสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกปรากฏขึ้นนักธนูเงาปี ศาจก็เริ่มก้าวออกมา

ลูกศรของนักธนูเงาปี ศาจสามารถทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความมืดได้

อีกนัยหนึ่งก็คือมันสามารถส่งคำสาปให้กับทุกสิ่งที่มันสัมผัส

กว่าจำนวน 300 ตน พวกมันยืนอยู่ทั้งบนพื้น กลางอากาศ หรือแม้แต่เกาะตามผนังกำแพงจากนั้นก็ยิงลูกศร


ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยมีเป้ าหมายคือศัตรูด้านหน้า

กรี๊ด!

แม้แต่เบียทริซที่รวดเร็วก็ไม่สามารถหลบลูกศรเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่นั่นก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งเบียทริซได้
เธอสังหารนักธนูเงาที่ขวางทาง และมุ่งหน้าไปยังเอนโรธ

“ ดูมไนท์”

จู่ๆเหล่านักธนูเงาที่แตกสลายก็รวมตัวกันแล้วก่อร่างเป็ นอัศวินตัวใหญ่

ดูมไนท์! สิ่งมีชีวิตที่มีระดับเหนือกว่าเดธไนท์!

รูปแบบสุดท้ายของอัศวินอันเดธที่ได้ยินในตำนานเท่านั้น

เช้ง!

กรงเล็บของเบียทริซและดาบของดูมไนท์ปะทะกัน แต่มีเพียงร่างกายของเบียทริซเท่านั้นที่ปรากฎบาดแผล

ตำนานกล่าวว่า ดูมไนท์กำเนิดขึ้นหลังจากเหล่าวีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงได้ตายกลายเป็ นอันเดธ

อย่างไรก็ตามพลังของมันยอดเยี่ยมมากจนสามารถสังหารมังกรได้

ทุกคนต่างรู้ว่าราชาแห่งความตายสามารถสั่งการกองทัพดูมไนท์ได้ แต่ไม่มีใครบอกว่าเอนโรธเองก็สามารถ
ควบคุมดูมไนท์ได้เช่นกัน
เบซองมินตกอยู่ในความเงียบ เพราะมอนสเตอร์แข็งแกร่งที่สุดที่เขาสามารถอัญเชิญได้ในขณะนี้คือเบียทริซ
แต่ตัวที่เอนโรธอัญเชิญออกมานั้นแข็งแกร่งจนทำให้เบียทริซพ่ายแพ้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของเอน
โรธไม่ได้มีแค่การอัญเชิญ

“ เวทมนตร์ของข้ายิ่งใหญ่ที่สุด ”

เอนโรธโบกไม้เท้าแกว่งเป็ นวงกลม และดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในทุกที่

'ดวงตาแห่งความตาย'

เวทคำสาปอันแข็งแกร่ง ทักษะที่สามารถลดทอนความสามารถทุกอย่างของคู่ต่อสู้ที่มองมัน

โชคดีที่เบซองมินร่ายเวทของตนจบพอดี

'อเวจี'

ขุมนรกถูกเปิ ด ประตูทุกบานของเบซองมินเปิ ดออก ภูมิประเทศโดยรอบเปลี่ยนไป และอันเดธตัวใหญ่ยักษ์ก็


เริ่มปรากฏให้เห็นจากใต้พื้นดิน มันเป็ นเวทมนตร์จาก'เรียลลิตี้มาเบิ้ล'เดียวที่เบซองมินใช้ได้

เอนโรธเผชิญหน้ากับศัตรูที่พุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นดินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และนั่นทำให้มันดูประหลาดใจไม่น้อย

มันคิดว่ามองศัตรูออกทะลุปลุโปร่งหมดแล้ว

แต่ลิชยังซ่อนคาถาแบบนี้เอาไว้อีก!

ทว่านอกจากความสนใจ ก็ไม่มีความสับสนหรือความกลัวบนใบหน้าของมัน

“ ช่างโชคร้าย โชคร้ายจริงๆ”

เอนโรธบ่นพึมพำ

คุณสามารถพูดได้ว่าศักยภาพในการเติบโตของลิชที่รู้วิธีใช้เรียลลิตี้มาเบิ้ลนั้นไม่จำกัด

อย่างไรก็ตามการดำรงอยู่ของตัวตนเบื้องหลังลิชรบกวนเอนโรธ
มันต้องจึงกำจัดลิชอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เอนโรธเหวี่ยงไม้เท้ากว้าง

วูม! วูม!

เมื่อไม้เท้าถูกเหวี่ยง

กรงเล็บของสัตว์ร้ายตัวใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในอากาศ และตัดพื้นที่ของเรียลลิตี้มาเบิ้ลออกจากกัน

“ เวทมนตร์ทุกชนิดที่อยู่ต่อหน้าข้าล้วนไร้ประโยชน์”

พื้นที่ของอเวจีพังในทันที

เบซองมินยิ้มอย่างปลดปลง คู่ต่อสู้ที่เบียทริซและแม้แต่อเวจียังทำอะไรไม่ได้!

นี่เป็ นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

เอนโรธเป็ นนักเวทที่แข็งแกร่งคนหนึ่งสำหรับนักเวทคนอื่นๆ

'เวทที่เหลืออยู่ ... '

เขาคำนวณเวททั้งหมดที่เขามีอยู่ เขาคิดเกี่ยวกับความน่าจะเป็ นที่จะได้รับชัยชนะ และก็พบว่ามันต่ำอย่างไม่น่า


เชื่อ

สู้กับเอนโรธแล้วยังคิดเกี่ยวกับการชนะนั้นดูไร้สาระมาก

'ฉันไม่ได้คิดว่าจะชนะตั้งแต่แรกแล้ว'

เขาคิดถึงจุดประสงค์ดั้งเดิมของตัวเอง และนั่นคือ การช่วยเบซูจี

กระดูกของเบซองมินดูแลใกล้สลาย เป็ นเพราะการหลั่งไหลของพลังเวทย์มนตร์ที่ท่วมท้นกำลังส่งผลเสียต่อ


ร่างกายเขา

ถ้าเขายังฝื นต่อไปต้องตายแน่ๆ มันเป็ นการทำลายตนเอง เบซองมินมองไปที่เบซูจีอีกครั้ง

ก่อนจะแอบมอบคำสั่งให้กับเบียทริซ
กรี๊ด!

เบียทริซเริ่มหลั่งน้ำตาสีเลือดและเข้าสู่โหมดบ้าคลั่ง

โหมดบ้าคลั่ง วิธีต่อสู้ที่ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์เช่นเดียวกับที่ซองมินจะทำตอนนี้

ดูมไนท์เริ่มถูกดันกลับในขณะที่เบซองมินปักคฑาลงบนพื้น

ส่วนเอนโรธก็พยายามร่ายเวทบางอย่าง พลังเวทมนตร์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่ปลายคฑาของซองมิน

“ อย่าบอกนะว่า...!”

เอนโรธตระหนักได้ถึงสิ่งที่เบซองมินกำลังทำ

เวททำลายตัวเอง! จะไม่มีอะไรเหลืออยู่โดยรอบ

หากพลังเวทระดับนั้นระเบิด แต่เบซองมินสามารถควบคุมการระเบิดได้

มันเพียงพอให้เอนโรธตายไปกับเขาเท่านั้น

ความสามารถในการควบคุมเวทมนตร์อันอยู่นอกขอบเขต ของลิชทั่วไป

“ฮึ ไร้ประโยชน์”

เอนโรธย่อตัวลงกระแทกไม้เท้ากับพื้นอีกครั้ง พลังเวทสีดำไหลออกมาปกคลุมร่างของเอนโรธเอาไว้

และเป็ นระหว่างเดียวกันกับที่เบียทริซกำลังพาเบซูจีหนี

เธอออกจากปราสาทในขณะที่ใช้ปากคาบเบซูจีไว้

“ แกพูดว่าไม่มีเวทไหนทำอะไรแกได้ ถ้างั้นลองหยุดนี่ดู”

เบซองมินชูคฑาขึ้น

พลังเวทอันไม่สามารถจินตนาการได้

ปะทะเข้ากับเอนโรธเกิดเป็ นการระเบิดครั้งใหญ่
บูมมมมมมมมมมม!

มูยองเงยหน้าขึ้น

มีสัตว์ตัวหนึ่งทะยานตัวออกมาจากปราสาท และพลังระเบิดที่น่าเหลือเชื่อก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น

“ เบซองมิน…”

มูยองขมวดคิ้ว สัตว์ร้ายตัวดังกล่าวมุ่งตรงมาที่ด้านหน้าของมูยองในขณะที่คาบเบซูจีไว้

จากนั้นปราสาทก็ระเบิดตัวและพังทลายลงอย่างรวดเร็ว

'เขาระเบิดตนเอง'

แต่สิ่งที่เบซองมินทำลายนั้นเป็ นเพียงแค่ 'เปลือกนอก'

ลิชทุกตนล้วนมี 'ภาชนะแห่งชีวิต' เก็บแยกไว้ต่างหาก

มูยองรู้ว่านั่นหมายความว่าอะไร เขาสามารถฟื้ นคืนชีพเบซองมินได้ตราบเท่าที่มีภาชนะแห่งชีวิต

ปัญหาคือ...เอนโรธยังไม่ตาย

การต่อสู้กำลังจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

มูยองเงยหน้าขึ้น

เอนโรธ มันลอยอยู่กลางอากาศในขณะที่กำลังโมโห

“ เป็ นแค่ลิชแท้ๆ! กล้าดียังไง!”

อาจเป็ นเพราะเจอกับเหตุการณ์ระเบิดอันไม่คาดคิด

เอนโรธที่ถูกกล่าวว่าเป็ นราชาปี ศาจที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นจึงค่อนข้างอยู่ในสภาพปั่นป่ วน

เอนโรธเหวี่ยงไม้เท้าจากนั้นเปลวไฟสีดำก็เริ่มตกลงมาจากท้องฟ้ าเหมือนห่าฝน

“ ไม่มีใครสามารถเอาชนะข้าเอนโรธผู้นี้ได้!”
แม้ว่าจะดูเหมือนใจเย็นลงแล้ว แต่ปี ศาจก็ยังเป็ นปี ศาจ

ไม่ว่าจะตื่นเต้น หรือรุ่มร้อนอาการของพวกมันก็เหมือนกันมาก

มูยองมองดูเปลวไฟสีดำที่กำลังตกลงมาจากท้องฟ้ า พวกมันกระจายไปทั่วบริเวณ

และดูเหมือนว่าต้องการทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า

เป็ นเปลวไฟอันน่ารังเกียจที่มูยองไม่คิดกลืนกิน

จากนั้นมูยองก็พูดขึ้น

“ ท่านจักอยู่ที่นั่นเสมอ” หนึ่งในสามบทสวดที่มูยองเห็นในคัมภีร์อัลโนวา

เปลวเพลิงทั้งหมดหายไปจนสิ้น

เมื่อคำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของเขา มันหายไปอย่างหมดจดราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น

“การยกเลิกเวท... ! แต่มันทำได้ขนาดนั้นได้ยังไง”

ความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในจิตใจของเอนโรธ

มีวิธีการมากมายในการทำให้เวทเป็ นโมฆะ

แต่พวกมันล้วนทำได้เพียงระยะแคบๆ มันไม่สามารถลบล้างเวทระยะกว้างเช่นนี้ได้

มูยองกางปี กทะยานร่างตรงไปยังเอนโรธ เกิดอาการสั่นไหวในแววตาของมันทันที

มันมั่นใจว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คือตัวตนที่เหนือกว่าลิชผู้นั้น

“ เป็ นเจ้านี่เอง มันผู้นั้นคือเจ้า!"

มันรู้สึกถึงพลังเทวะอันศักดิ์ สิทธิ์ ถึงจะไม่เทียบเท่าเทพปี ศาจ แต่มันก็เป็ นระดับที่ราชาปี ศาจไม่อาจสู้ได้

เขาไม่ใช่หนึ่งในสี่ตัวตนเหนือธรรมชาติ แล้วสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาจากไหน?

“ แต่ข้าคือเอนโรธ ราชาปี ศาจผู้ที่ขับเคลื่อนความตายและความสิ้นหวังมาแล้วนับไม่ถ้วน!”


เปรี้ ยง! เปรี้ ยง! เปรี้ ยง!

อากาศแปรปวนกลายเป็ นสายฟ้ าสีดำฟาดเข้าใส่มูยอง

แต่…พลังโจมตีของมันไม่เพียงพอให้มูยองอยากเกาด้วยซ้ำ

เอนโรธเสียพลังเวทไปแล้วครึ่ งหนึ่ง มันใช้พลังเวทส่วนใหญ่ไปกับการป้ องกันระเบิดของเบซองมิน

แต่สิ่งนี้ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงแม้มันจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์

ด้วยพลังของลูซิเฟอร์ มันจะปฏิเสธการโจมตีจากตัวตนที่อ่อนแอกว่า

ไม่เพียงแค่นั้น ผิวหนังของผู้อมตะยังมีความต้านทานในระดับสูง

เรียกได้ว่าเกือบลบล้างพลังเวทได้เลยทีเดียว

ดังนั้นคุณสามารถพูดได้ว่า 'เวทมนตร์' ไร้ประโยชน์ต่อหน้ามูยอง

เขาเป็ นศัตรูโดยธรรมชาติของเหล่านักเวท

"ยัง ยังไม่หมดแค่นี้!"

เอนโรธพยายามดิ้นรน มือและรยางค์ค์สีดำเมื่อมพุ่งไปหมายคลุมร่างมูยอง

แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถสัมผัสร่างเขาได้

นี่คือพลังของกาเบรียล

พลังที่ปฏิเสธการเสื่อมถอย มันไม่อนุญาตุให้ทุกพลังงานเชิงลบแตะต้องตัวเขาได้อย่างง่ายดาย

ทักษะทั้งหมดของเอนโรธล้วนไม่ได้ผล

เอนโรธตกใจเป็ นที่สุด

“ เจ้าเป็ นตัวอะไรกันแน่! แค่คนๆเดียวมีพลังทั้งหมดนี้ได้ยังไง!”

พอเอนโรธเริ่มเห็นพลังของมูยอง สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีแค่ความสิ้นหวัง
พลังหลายอย่างที่อาศัยอยู่ในตัวมูยอง พวกมันไม่ใช่สิ่งที่จะมีอยู่ภายในคนๆเดียวได้

เอนโรธก้าวถอยหลังทันทีที่มูยองขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

มันสร้างพลังเวทสีดำปกคลุมตัวเองเอาไว้

นั่นเป็ นพลังที่สามารถป้ องกันกระทั้งแรงระเบิดที่เกิดจากการทำลายตัวเองของเบซองมิน

มูยองยังคงพุ่งไปขณะที่เขาเริ่มงอกขึ้นบนหน้าผาก

ฉัวะ!

ด้วยความเร็ว 64 เท่า เขาฟันดาบไปที่บาเรียของแอนโรธ

แคร๊ก!

พลังที่ซึ่งบาเรียดังกล่าวไม่สามารถป้ องกันได้

“ แค่นั้นแหละ ”

คลืน!

บาเรียพังทลาย

“ มันไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร! สำหรับผู้ที่ข้ายังไม่มีรู้แม้แต่ตัวตนของมัน…!”

“ นี่เป็ นแค่การเริ่มต้น”

ร่างกายของเอนโรธเริ่มสลาย

มันพึ่งตระหนักว่าไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้นี้ได้

แต่…

“ ท่านจักอยู่ที่นั่นเสมอ”

บทสวดของอัลโนวาดังขึ้น และด้วยบทสวดนี้ทุกอย่างก็เป็ นโมฆะ


การสลายร่างของเอนโรธหยุดลง

เอนโรธตกตะลึง

แต่มันไม่สามารถกรีดร้องได้ในครั้งนี้

มันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ มันไม่เคยคิดเลยว่ามูยองจะสามารถหยุดการทำลายตนเองได้

นี่เป็ นเรื่องที่มันไม่สามารถจินตนาการ

มูยองยิ้มเยาะและพูดว่า “ แกจะต้องกลายมาเป็ นอันเดธของฉัน ”

แล้วมูยองก็ยื่นมือออกไป ในขณะที่ร่างของเอนโรธไหวเอน

ตอนที่ 231: แล้วเจ้าจะให้อะไรข้า (1)

มันเป็ นเช้าวันที่สดใส แต่มูยองยังนอนนิ่งเหมือนศพ

เขาลองท่องบทสวดทั้งสี่เพื่อดูขีดจำกัดของตัวเอง และผลที่ออกมาทั้งหมดคือ 2 รอบ

หลังจากนั้นเขาก็หมดเรี่ยวแรงกระทั่งนิ้วยังยกไม่ได้

ยังไงก็ตามจิตสำนึกกลับชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้น

อัลโนวาเป็ นพลังที่ควบคุมการไหลเวียน และนั้นทำให้เขาได้รับข้อมูลจำนวนมาก

เขาสามารถควบคุมการไหลเวียนของตัวเองด้วยอัลโนวา การไหลเวียนนั้นเป็ นพลังของเหล่าเทพ

และยิ่งเขาใช้มันมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใกล้ความเป็ นเทพเจ้าที่แท้จริงเท่านั้น

ไม่มีอะไรเป็ นไปไม่ได้ หากสามารถจัดการพลังนี้ได้อย่างอิสระ

ยังไงก็ตามการเข้าใกล้ความเป็ นพระเจ้ามากยิ่งขึ้นก็เหมือนกับการลบตัวตนเดิมของตัวเองทิ้ง

เพราะอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดจะหายไป

ดังนั้นมูยองจึงไม่อยากเป็ นเทพเท่าไหร่นัก นั่นเป็ นเหตุผลที่เขาต้องรักษาสมดุลเอาไว้


และเขาสามารถรักษาสมดุล โดยการเพิ่มพลังของปี ศาจเข้าไปผ่านการกลืนกินพวกมัน

สิ่งเดียวที่สามารถคานพลังของเทพได้ก็คือเทพด้วยกันเอง

7 วันผ่านไปกว่ามูยองจะลุกจากเตียง

“ปา?”

คนแรกที่ไปหาเขาคือสโนว์

หญิงสาวที่ตอนนี้มีสติของเด็กเนื่องจากผ่านเหตุการณ์ยากลำบากหลายอย่าง

เธอติดมูยองมาก

พลังของเธอคือการกลืน 'มังกร' และผู้ที่อยู่ข้างๆเธอก็คือไฮเอลฟ์ ที่ชื่อจิน

“ ท่านตื่นแล้ว”

“ เธอมีธุระอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่า ข้าแค่ตามสโนว์มาเท่านั้น…“

มูยองยักไหล่และยืนขึ้น

สโนว์ซุกใบหน้าของเธอกับด้านข้างมูยองพลางยิ้มแย้ม มูยองเก็บที่นอนก่อนจะยืนขึ้น

เขารู้สึกถึงทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวใกล้ๆ ดูเหมือนว่าทุกคนดูยุ่งๆหลังจากสงครามสิ้นสุดลง

ในขณะนั้นจินก็สงสัยว่าทำไมมูยองถึงไม่ถามอะไรบ้างเลย

“ ท่านจะไม่ถามอะไรสักหน่อยหรือ?”

"แล้วฉันจะต้องถามเรื่องอะไรล่ะ?"

“ ก็เช่นสถานการณ์ในอาณาเขตไง? ท่านหลับไปตั้ง 7 วันนะ”

“ ฉันรู้เรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว "
มูยองถอดเสื้อคลุมสีขาวที่เขาใส่

จินหันหน้าหนี

ทว่ามูยองไม่สนใจและเปลี่ยนเป็ นชุดเกราะต่อไป

“ปา!”

สโนว์พยายามปี นขึ้นไปบนตัวเขา

มูยองจึงคว้าคอเธอจากด้านหลังเอาไว้ก่อนจะโยนไปที่เตียง

ยังไงก็ตามสโนว์หัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่มูยองไม่สนใจและออกจากห้องไป

หลังจากนั้นมูยองก็เห็น

“ทาร์แคน”

ทาร์แคนยืนเฝ้ าอยู่หน้าประตูมาหลายวันแล้ว

เขาถือผ้าผืนหนึ่งที่บรรจุของบางอย่าง

ทันทีที่มูยองออกไป ทาร์แคนก็แกะผ้าออก

“ ข้าได้รับภาชนะแห่งชีวิต ถ้าเป็ นเจ้าน่าจะสามารถกู้คืนมันได้”

หินอ่อนที่มีแสงสีม่วงล้อมรอบขนาดเท่าศีรษะ

นี่คือ 'ภาชะแห่งชีวิต' วัตถุที่ลิชใช้เก็บรักษาพลังชีวิตของตนไว้

ชีวิตของเบซองมินอยู่ในหินอ่อนก้อนนี้ ลิชจะไม่ตายหากยังมีภาชนะแห่งชีวิต อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถ


ฟื้ นคืนชีพได้หากกายเนื้อถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

“ เบซองมินเป็ นเอลเดอร์ลิช ฉันไม่สามารถคืนชีพเขาด้วยส่วนผสมปกติ”

“ บอกสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าจะไปหาพวกมันเอง”
มูยองมองที่ทาร์แคนราวกับไม่คาดคิด พวกเขาสนิทกันแบบนี้เสมอเหรอ?

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มสนิทตั้งแต่ผ่านหลายสิ่งมาด้วยกัน

นั่นถือว่าเป็ นเรื่องดี มูยองจึงบอกสิ่งที่ต้องการด้วยคำตอบง่ายๆ

“ กระดูกของนาย”

“ กระดูกของข้า…….?”

ทาร์แคนตกใจไปครู่หนึ่งสำหรับคำตอนที่น่าขนลุกดังกล่าว

เนื่องจากเป็ นกระดูกของเขาเองที่สามารถฟื้ นคืนชีพเบซองมินได้

ยังไงก็ตาม มันมีเหตุผลว่าทำไมมันต้องเป็ นกระดูกของทาร์แคน

“ กระดูกของพวกนายมีความคล้ายคลึงกันมาก นอกจากนั้นต้องใช้ร่างของราชาแห่งความตายเพราะเขาก็เป็ น
เอลเดอร์ลิชเหมือนกัน”

ตัวตนของสี่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดไม่รวมเทพปี ศาจ

หนึ่งในนั้นคือราชาแห่งความตาย ราชาแห่งความตายก็เป็ นเอลเดอร์ลิชเหมือนเบซองมิน

ดังนั้นจึงง่ายต่อการฟื้ นคืนชีพเขาด้วยการใช้ร่างกายนั้น

แต่นั่นเป็ นสิ่งที่เป็ นไปไม่ได้ เขาปล่อยให้ทาร์แคนเฝ้ าอาณาเขตเองตามลำพังไม่ได้ และหากมูยองไปที่นั่นแผน


ของเขาก็จะผิดเพี้ยนไป

'ฉันต้องไปหาเกรโมรี่ก่อน'

เทพปี ศาจ เกรโมรี่! เธอขอให้มูยองรวบรวมชิ้นส่วนของรอยแยกสามชิ้น เพราะมีชิ้นส่วนของรอยแยกถึงสาม


ชิ้นในไม้เท้าของเอนโรธแ

มูยองจึงได้ครบหมดแล้ว และตอนนี้ชิ้นส่วนทั้งหมดที่มูยองมีอยู่ก็คือ 4 ชิ้น

ถึงเวลาที่จะก้าวเข้าไปในสมรภูมิของพวกเทพปี ศาจสักที ปี ศาจอย่างอามอนคงตระหนักได้ถึงความโชคร้าย


ของเอนโรธแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงสำคัญที่เวลา หากยังล่าช้ามูยองอาจจะเป็ นคนโชคร้ายคนต่อไป
ทาร์แคนกำหมัดและพยักหน้า

"เยี่ยม งั้นเอากระดูกของข้าไปได้เลย..ชุบชีวิตเจ้านั้นขึ้นมา"

“ แค่ถ้านายทำอย่างนั้นอาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการสร้างกระดูกใหม่”

“ มันไม่สำคัญเท่าชีวิตของเอลเดอร์ลิชหรอก”

กระดูกของทาร์แคนสามารถงอกใหม่ได้ ปัญหาคือว่ามันใช้เวลานาน แต่ทาร์แคนไม่ได้สนใจเรื่องนั้น

"ตามฉันมา"

ทาร์แคนเดินตามมูยองขณะถือภาชนะแห่งชีวิตของเบซองมินไว้

ภายในพื้นที่ใต้ดินที่ทั้งลึก และมืดสลัว

มูยองเริ่มทำงานทันที การฟื้ นฟูร่างกายของเบซองมินนั้นไม่ยาก ขอแค่มีส่วนผสมเท่านั้น

แต่มีประเด็นที่เขาต้องคิด เขาจะสร้างทุกอย่างเหมือนเดิม หรือเขาจะเสี่ยงเพิ่มอะไรบางอย่างไปดีไหม?

การควบคุมเวทย์มนตร์ของเบซองมินอยู่ในอันดับต้นๆ มันสูงยิ่งกว่าของมูยองอีก

อย่างไรก็ตามร่างกายของซองมินไม่อาจแบกรับพลังได้

แม้ว่าเขาจะกลายเป็ นเอลเดอร์ลิช แต่รากฐานของเขาก็ยังเป็ น 'มนุษย์' การใช้กระดูกของทาร์แคนเป็ นวัตถุดิบ


คงดีขึ้นแค่นิดหน่อยเท่านั้น

'มันยังไม่พอ'

มูยองก้มลงมองดูร่างของตัวเอง

'ผิวของผู้อมตะแพร่กระจายไปทั่วร่างของฉัน'

ผิวของผู้อมตะได้สร้างผิวหนังและร่างกายของมูยองขึ้นใหม่

ตอนนี้ร่างกายปัจจุบันของมูยองนั้นไม่ต่างกับยาวิเศษที่มีค่าที่สุดในโลก
ไม่ว่าจะเป็ นกระดูกของมังกร?

หรือหัวใจของนกฟี นิกซ์?

ส่วนผสมชั้นยอดเหล่านั้นยังมีคุณค่าต่ำกว่าร่างกายของมูยองเสียอีก

คิดได้ดังนั้น มูยองจึงตัดผิวและเลือดของเขาเทลงไปผสมกับกระดูกของทาร์แคน

นอกจากนั้นมูยองยังผสมผมและเล็บของตัวเองลงไปเพิ่มด้วย

โครงร่างของซองมินถูกก่อขึ้น และปกคลุมด้วยเวท

ยังไม่หมดแค่นั้น

'ชิ้นส่วนของรอยแยก'

ภารกิจของเขาคือรวบรวม 3 ชิ้น แต่ตอนนี้เขามีถึง 4 ชิ้น

เหลืออีกชิ้นหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะฝังมันลงไปในร่างของเบซองมินในตำแหน่งหัวใจ

ถึงจะดูแปลกๆ แต่ชิ้นส่วนของรอยแยกสามารถเพิ่มขีดจำกัดให้การเพิ่มพลังเวทได้

มีความเป็ นไปได้ที่ชิ้นส่วนของรอยแยกจะระเบิด แต่มันก็มีคุณสมบัติที่จะทำให้เวทมนตร์มั่นคง

มันเป็ นการเดิมพันชนิดหนึ่ง

ถึงจะเป็ นไม้เท้าที่มาจาก 'อามอน' ก็ตาม แต่ขนาดเอนโรธยังฝังมันไว้ได้อย่างปลอดภัยเลย

แล้วทำไมมูยองถึงจะทำไม่ได้

'ศิลปะแห่งความตาย'

มูยองสร้างจินตนาการขึ้นมาใหม่ เขาจะฟื้ นคืนชีพเบซองมินในร่างกายที่มั่นคงยิ่งขึ้นและมีศิลปะมากขึ้น

<เดธลอร์ดส่ายหัว>

<เขาตระหนักถึงผู้ใช้ 'มูยอง' และตัดสินว่าไม่มีความหมายที่จะต้องจับตามองอีกต่อไป>


<สำหรับผู้ที่ได้รับความเป็ นอมตะ เดธลอร์ดจะมอบพรสุดท้ายให้กับผู้ที่สร้างเส้นทางของตนขึ้นมาได้>

<อันดับของ 'ศิลปะแห่งความตาย' กลายเป็ นระดับ 'EX' และเพิ่มความสามารถพิเศษขึ้น>

<ความสามารถ'การให้สิทธิ์ ' ถูกเปิ ด เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้ใช้มูยอง สิ่งนี้จะเปิ ดใช้งานโดย


อัตโนมัติเมื่อใช้ทักษะ 'ศิลปะแห่งความตาย' และจะไม่มีคำอธิบายใดๆในความสามารถพิเศษเหล่านั้น มีเพียง
ผู้ใช้ 'มูยอง' เท่านั้นที่สามารถค้นหาและพัฒนาความสามารถของมันได้>

<ราชาลิช 'เบซองมิน' ถูกสร้างขึ้นใหม่เป็ นตัวตนที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น>

<'ให้สิทธิ์ ???' เสร็จสิ้นแล้ว>

ชื่อ: เบซองมิน เลเวล: 645

ประเภท: เอลเดอร์ลิช (ลิชคิง)

พละกำลัง 550

ความว่องไว 540

ความอดทน 350

ความฉลาด 700

สติปัญญา 700

ต้านทานเวท 660

ความยุ่งเหยิง 700

พลังเวท 580

+ สามารถใช้ประโยชน์จากทักษะเนโครแมนเซอร์ได้ทั้งหมด (SS Rank)

+ เนื่องจาก 'สายเลือดแห่งแสง' ทักษะนักบุญสามารถใช้ได้ (อันดับ S)

+ เนื่องจากชิ้นส่วนของรอยแยก สร้างความมั่นคงให้กับการเพิ่มพลังเวท (สูงสุด 1.3 เท่า)


+ สามารถใช้ 'สามประตู' ได้

+ สามารถอัญเชิญ 'แม่มดเบียทริซ' ได้

+ ด้วยค่าความฉลาด เขาจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เห็น

+ ได้รับภูมิปัญญาของ 'จอมเวท'

+ มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาได้ไม่มีที่สิ้นสุด

+ พันธนาการอันแข็งแกร่ง (มูยอง, ทาร์แคน, เบซูจี)

เขาเปลี่ยนไป แค่ดูค่าสเตตัส คุณก็สามารถบอกได้เลยว่าเป็ นตัวตนที่พิเศษ

ตัวเลขที่มากกว่าแม้แต่ปี ศาจอย่างชาร์-ซาซ่า

ถึงไม่ดีเท่ากับเอนโรธ แต่เขาก็ได้รับสิ่งอื่นๆมากกว่า ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว

'โดดเด่น'

ร่างที่เขาสร้างขึ้นเหมือนกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง

'สิทธิ์ ... ฉันให้อะไรไป?'

แม้แต่มูยองก็ได้รับการเพิ่มระดับ เนื่องจากเดธลอร์ดยอมแพ้ต่อการประเมินศักยภาพมูยอง

และยอมรับตัวตนพิเศษของเขา

ด้วยเหตุนี้ความสามารถอันเป็ นเอกลักษณ์จึงถูกเปิ ดใช้งาน

มันเป็ นพลังในการ 'ให้สิทธิ์ ' แก่ผู้อื่น

ทว่ามูยองก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าเขาสามารถให้สิทธิ์ อะไรได้

อย่างไรก็ตามมูยองยังคงพึงพอใจ และตอนนี้เขาควรให้ความสนใจกับเบซองมินที่เสร็จสมบูรณ์มากกว่า
อย่างแรกเบซองมินสามารถขยายพลังเวทได้อย่างมั่นคงเหมือนที่มูยองคิด และดูเหมือนว่าจำนวนทักษะของ
เนโครแมนเซอร์ที่เขาสามารถใช้เพิ่มขึ้นอย่างมาก

นอกจากนี้เขายังได้รับภูมิปัญญาของ 'จอมเวท' หมายความว่าความเร็วในการเรียนรู้ทักษะจะต้องเพิ่มขึ้น

ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อเปรียบเทียบกับทักษะการเรียนรู้สิ่งที่เห็นของทาร์แคนอันไหนจะดีกว่ากัน

'พันธนาการอันแข็งแกร่ง?'

มูยองไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่คงไม่มีอะไรแย่หากยังมีชื่อของเขาอยู่ในนั้น

อาจเพราะมีกระดูกของทาร์แคน เลือดของมูยอง และอื่นๆผสมอยู่เหรอ?

หลังจากนั้นไม่นาน เบซองมินก็ยืนขึ้นพร้อมกับร่างใหม่โดยที่ภายนอกยังเหมือนเดิม

“ ขอบคุณเจ้านาย”

เบซองมินประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง และโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งต่อมูยอง

“ ผมรู้สึกได้ถึงพลังที่เอ่อล้น”

“ นายแข็งแกร่งขึ้น”

“ ถ้าสู้กับเอนโรธตอนนี้ ผมรู้สึกได้เลยว่าคงไม่แพ้ง่ายๆอีก”

มูยองยิ้ม แม้แต่เอนโรธก็เป็ นอันเดธแล้วตอนนี้ มูยองควรให้พวกเขาสู้กันเพื่อดูว่าใครแข็งแกร่งหรือไม่ ใน


ขณะเดียวกัน เบซองมินจ้องไปที่มูยอง

“ เจ้านาย…เด็กคนนั้นสบายดีไหม”

“ นายหมายถึงซูจีเหรอ?”

"ครับ" เบซองมินทำลายตัวเองเพื่อช่วยซูจี เห็นได้ชัดว่าเขาอยากรู้ว่าเธอเป็ นอย่างไรบ้าง

“ เธอยังมีชีวิตอยู่”

“ เป็ นยังงั้นสินะ”
“ แต่เธอไม่สามารถตื่นได้”

“...... .” เบซองมินสั่นคลอนอยู่ครู่หนึ่ง

มูยองพูดต่อไป

“ มันยากที่จะเข้าใจ แม้ว่าร่างกายของเธอจะปลอดภัย แต่เธอกลับไม่ยอมตื่นจากการหมดสติ ”

"ผมจะไปดูเธอหน่อย"

“ ทำตามที่นายต้องการเถอะ”

ขณะที่ซองมินกำลังจะไป เขาก็เห็นซากกระดูกที่กระจัดกระจาย

"นั่นคือ..?

“ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”

ทาร์แคนคงเขิน และไม่อยากให้ซองมินรู้ และมูยองก็ไม่อยากฟังทาร์แคนบ่นด้วย

“...ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ผมจะติดตามคุณไปตลอดชีวิต "

เบซองมินออกจากชั้นใต้ดินอย่างรีบร้อน มันเกี่ยวข้องกับเบซูจี ดังนั้นมูยองจึงปล่อยให้เขาไป แต่ปัญหาที่


ใหญ่กว่าคือ

“ ทาร์แคน …การกู้คืนนายคงไม่ง่าย”

เขาเพลินกับการคืนชีพเบซองมินจนใช้กระดูกของทาร์แคนมากเกินไป

ผลที่ตามมาก็คือ ทาร์แคนเหลือแต่ซากเท่านั้น นี่มันยิ่งกว่าการฟื้ นฟูธรรมดาจะทำได้ มูยองมองดูตัวเอง

'ซี่โครงน่าจะใช้ได้'

ตอนที่ 232: แล้วเจ้าจะให้อะไรข้า (2)

เบซองมินมองไปที่เตียงด้วยสายตาซับซ้อน แม้จะได้รับพลัง และประตูแห่งปัญญาที่มากกว่าเดิม แต่เขาก็ยัง


นึกความรู้สึกที่ควรมีต่อเบซูจีไม่ออก บางที...อาจเป็ นเพราะความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ของเขาใช่หรือไม่?
เบซูจีนอนนิ่งราวกับร่างไร้ชีวิต เธอยังหายใจดีอยู่ แต่ทว่ายังไม่ยอมได้สติ

ไม่มีอะไรที่เบซองมินสามารถทำได้ในสถานการณฺ์ดังกล่าว ครั้นจะดึงมือออกไปสัมผัสกับร่างของเบซูจีอย่าง
เป็ นธรรมชาติก็ยังทำใจได้ยากยิ่ง เนื่องจากราวกับมี 'กำแพง' หนาทึบที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ระหว่างพวกเขา

เบซองมินเฝ้ ามองเธออยู่เงียบๆแม้ว่าจะผ่านไปหลายวัน เขาเพียงยืนนิ่งเหมือนก้อนหิน และคอยตรวจสอบเบซู


จีอยู่ห่างๆ

'ลำบากใจ' ระหว่างนั้นเขาไม่เคยหยุดคิดถึงเรื่องราวทั้งหมด บางทีเบซองมินก็หวังว่าเบซูจีจะไม่ลืมตาขึ้นมา


อีก เพราะนั่นอาจจะดีกว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเบซูจีตื่นขึ้นและเห็นเขาในปัจจุบัน?

เขาต้องปฏิบัติต่อเธออย่างไร เขาต้องบอกเธอไหมว่าเป็ นพ่อของเธอ? เพราะไม่ว่ายังไงเบซองมินคนเดิมก็ตาย


ไปแล้ว พ่อในความทรงจำของเธอคงมีความแตกต่างอย่างชัดเจนหากเทียบกับตอนนี้

ยากยิ่งหากจะบอกว่าเบซองมินในตอนที่มีชีวิต กับเบซองมินในปัจจุบันเป็ นคนเดียวกัน

พูดตามจริงมี 99% ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และเหลือเพียง 1% เท่านั้น

แล้วคุณยังสามารถพูดว่าทั้งสองตัวตนนั้นเป็ นคนเดียวกันได้อีกหรือไม่?

นั่นคือเหตุผลที่เบซองมินรู้สึกกลัว

กลัวในสิ่งที่ไม่รู้

กลัวอารมณ์ของตัวเอง

และสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากเบซูจี ตอนเผชิญหน้ากับเอนโรธเขายังไม่รู้สึกกลัวเช่นนี้เลย

เขาไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้ไม่ว่าจะต่อสู้ใครก็ตาม

นอกจากความกังวลทั้งหมดนี้…

เบซูจีคงลืม 'เบซองมิน' ไปแล้ว

อันเดอร์เวิลด์ไม่ใช่สถานที่ที่คุณสามารถอยู่ได้หากมัวจมอยู่กับอดีต มันเป็ นดินแดนแห่งความตายที่คุณจะต้อง


ยืนหยัดหนักแน่น ถ้าต้องการที่จะมีชีวิตอยู่
การที่เบซูจีจำเบซองมินไม่ได้นั่นอาจเป็ นเรื่องดี แต่ถึงอย่างนั้นเบซองมินก็ทำใจจากไปง่ายๆไม่ได้เหมือนกัน

"นั่นใคร?"

เบซองมินเหลียวกลับไป

ที่ตรงนั้นชายหัวล้านร่างกายกำยำมองเขาอยู่ เป็ นชายที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

ชายผู้นั้นดูเหมือนจะเก็บความร้อนใจเอาไว้ และพูด

“ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ฉันจะพาเด็กคนนี้ไป ที่นี่อันตรายเกินไปสำหรับเธอ”

ชายผู้นี้คือราชานักสู้ เขาเพิ่งตื่นขึ้นมาตั้งแต่โดนทาร์แคนทำให้หมดสติ

เขาสำรวจไปทั่วหลังจากที่ตื่นขึ้น และตระหนักได้ถึงความพิเศษของปราสาทแห่งนี้

ก่อนจะทราบว่ามันเป็ นปราสาทของ 'มูยอง'

ผู้ชายที่ซูจีเฝ้ าตามหา แต่ยังไงก็ตามที่นี่กลับอันตรายเกินไป

มีเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน อาศัยรวมอยู่ที่นี่มากมาย

สถานที่แห่งนี้มีมอนสเตอร์ทุกประเภทไม่ว่าจะทั้งวิญญาณ หรืออันเดธ

นี่มันกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่มีไว้เพื่อต่อต้านมนุษยชาติชัดๆ

แม้แต่เป็ นปี ศาจหากมันมาเห็นที่แห่งนี่ ก็คงต้องทำใจอยู่นานกว่าจะยอมรับได้

เบซองมินหลับตาคิด..

เขาพูดถูก สถานที่แห่งนี้อันตราย

ถึงตอนนี้พวกเขาจะเอาชนะราชาปี ศาจเอนโรธ แต่พวกเขาอาจจะถูกกวาดล้างในการต่อสู้ระหว่างเหล่าเทพ


ปี ศาจก็ได้

แม้แต่มูยองก็ไม่สามารถยืนยันชัยในชนะของตน และเบซองมินก็คิดว่าพลังของเขาคงไม่อาจสู้กับพวกเทพ
ปี ศาจได้นานสักเท่าไหร่ ถ้าพวกเขาพาเบซูจีไปด้วย เธอจะต้องตายอย่างแน่นอน
“ ความสัมพันธ์ของคุณกับเด็กคนนี้คืออะไร?”

“ ฉันเป็ นอาจารย์ของเธอ ”

ราชานักสู้ไม่ได้แสดงอารมณ์ที่ฉุนเฉียวของเขา และตอบด้วยความสงบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะช่วงเวลาที่


ราชานักสู้เห็นเบซองมินเขาก็ตระหนัก

ว่ามี 'ช่องว่าง' ระหว่างพวกเขาสองคนที่ไม่สามารถก้าวผ่านได้ บุคคลระดับราชานักสู้ควรรู้ความหมายของ


ช่องว่างนั้น

พูดจริงๆแล้ว…เขาไม่อยากจะเชื่อ และไม่ต้องการยอมรับมัน

สำหรับสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งในปราสาทแห่งนี้ มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด 10 อันดับแรกงั้นรึ?

มนุษย์จัดอันดับพวกนี้ให้แก่กัน แต่จริงๆแล้วนั่นเป็ นเพียงการปลอบใจตัวเองเท่านั้น

สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งจริงๆล้วนอยู่ในดินแดนเทพปี ศาจ ไม่ใช่ดินแดนที่มนุษย์ปกครองอยู่

ขนาดลิชที่อยู่ตรงหน้าเขายังให้ความรู้สึกแบบนี้…?

แล้วคนที่เป็ นเจ้าของปราสาทอย่าง'มูยอง'จะเป็ นมอนสเตอร์แบบไหนกัน?

'ฉันต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด' ที่นี่ดูไม่ต่างกับหลุมดำอันมืดมิด

หากคุณตกอยู่ในนั้นคุณจะไม่สามารถออกมาได้อีกตลอดไป

เขาต้องออกไปก่อนที่จะมีอันตรายดังกล่าวเกิดขึ้น และถ้าลิชหยุดเขา เขาก็พร้อมเสี่ยงชีวิตช่วยเบซูจีออกไป


จากที่นี่ให้จงได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าลิชที่อยู่ข้างหน้าเป็ นห่วงเบซูจีอยู่

อาจเป็ นเพราะเขาตระหนักถึงศักยภาพของเบซูจี หรือเขาต้องการใช้เธอเป็ นส่วนผสมในการทดลองบางอย่าง


แต่ไม่ว่าจะเป็ นแบบไหน ราชานักสู้ก็ไม่ยินยอมทั้งนั้น

ราชานักสู้รู้สึกตึงเครียด เพราะหากสู้กันลิชคงสามารถสังหารเขาได้ทันที

“ …พาเธอจากไปซะ”

อย่างไม่คาดคิด เขาได้รับอนุญาตอย่างง่ายดาย
เบซองมินหันหลังกลับ

ไม่ว่ายังไงเบซูจีก็เป็ น 'ผู้ที่ยังมีชีวิต' เหมาะสมกว่าสำหรับเธอที่จะอยู่ท่ามกลางผู้ที่ยังมีชีวิตเหมือนกัน และไม่


ควรจดจำตัวตนแบบเขา

สายตาของราชานักสู้ที่มีต่อเบซูจีเต็มไปด้วยความห่วงใย

เขาดูพร้อมที่จะสละชีวิตและเข้าต่อสู้กับเบซองมิน การหาคนแบบนี้เจอไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเหตุผลเหล่านั้น เบ


ซองมินก็สามารถจากไปอย่างสบายใจ

'ดีแล้วที่มีคนอยู่ข้างๆเธอ'

'ฉันมันก็แค่วิญญาณในอดีตของเด็กคนนั้น'

อันเดอร์เวิล์ดเป็ นที่ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อยากกลายเป็ นภาระคอยฉุดรั้งเธอเอาไว้

มูยองอยู่ด้านนอกปราสาท เขากำลังคิดว่าจะปกครองพวกมอนสเตอร์ยังไง

'การเป็ นผู้นำของเหล่ามอนสเตอร์' อาจเป็ นเพราะเขายังเป็ นผู้อมตะไม่สมบูรณ์

มอนสเตอร์มากมายจึงรุมล้อมมูยองทันทีที่ออกจากปราสาท ยังไงก็ตามพวกมันรู้สึกถึงความต่างชั้นของระดับ
จึงไม่ได้เข้าใกล้มูยองมากกว่านั้น

'ภายในปราสาทได้รับอิทธิพลจากวิหารของอาชูร่า'

วิหารอาชูร่ามีผลทำให้มอนสเตอร์ไม่อาจบุกเข้ามาได้ง่ายๆ

นอกจากนี้อิทธิพลของมูยองยังส่งผลกระทบอย่างยิ่งในพื้นที่ของตัวเอง มอนสเตอร์ที่อยู่ภายในนั้นย่อมไม่เกิด
ความก้าวร้าวใดๆ อย่างไรก็ตาม

สำหรับมอนสเตอร์จากภายนอกนั้นถือว่ามูยองเป็ นดั่งอาหารจานเด็ด

'ดูเหมือนตัวฉันจะไปกระตุ้นสัญชาตญาณของพวกมัน''

มูยองยิ่งกลายเป็ นแรงดึงดูดกับมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาน้อย และจากเหตุผลนั้น ดูเหมือนมอนสเตอร์


แข็งแกร่งที่มีสติสัมปัญญาที่สุดควรเป็ น 'ซังกุง'
ซังกุงเป็ นมอนสเตอร์ที่คอยปกป้ องดินแดนเทพปี ศาจของเดียโบล ในปัจจุบันแม้แต่มูยองก็ไม่สามารถเข้าไป
ยุ่งกับมันได้โดยไม่ต้องคิด

'คงดีกว่าถ้าไม่เข้าใกล้มัน'

ไม่จำเป็ นต้องสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็ น แต่ไม่ว่าในกรณีใดหากตัวตนของเขาดึงดูดมอนสเตอร์ เขาก็ควรหาวิธีที่


จะใช้มันเพื่อสร้างผลประโยชน์

ตอนมูยองได้รับพลังครึ่ งเทพมา

เขาก็สามารถ 'เข้าถึง'สภาพของสิ่งต่างๆไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่

หรือจะพูดได้ว่า มูยองสามารถเข้าใจถึง 'ทุกข์สุข' ของสรรพสิ่งต่างๆโดยธรรมชาติ

ถ้าเขามีตัวตนที่สามารถดึงดูดมอนสเตอร์ได้ และใช้พลังแห่งการเข้าถึงทุกข์สุขของทุกสรรพสิ่ง... เขาก็รู้สึกว่า


ตนเองจะสามารถสร้างพลังบางอย่างที่คล้ายกับความน่าหลงไหลได้

'อืม เสน่ห์อันน่าหลงไหล'

มูยองผสมผสานพลังทั้งสองเข้าด้วยกัน

"ตามฉันมา"

เช่นเดียวกับที่มูยองคาดไว้ มอนสเตอร์พวกนั้นเริ่มทำตามคำสั่งง่ายๆของมูยูยอง และเมื่อมูยองเพิ่มสัดส่วน


ของการเข้าถึงทุกข์สุขของสรรพสิ่ง เขาก็สามารถสั่งให้มอนสเตอร์เคลื่อนไหวได้ตามใจนึกโดยไม่ต้องพูด

ฮ่า!' แม้แต่มูยองก็ยังตะลึงต่อฉากนั้น

มอนสเตอร์ที่ไม่ใช่อันเดธกระทั่งติดตามมูยอง ผู้ที่พวกมันเคยเห็นเป็ นครั้งแรก แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำงาน


กับมอนสเตอร์ทุกตัว

'เป็ นราชาของเหล่ามอนสเตอร์อย่างอาชูร่า'

ดูเหมือนมูยองจะเหยียบเข้าไปในเส้นทางของอาชูร่าได้อย่างมั่นคง

<'การทำให้หลงเสน่ห์ (ระดับพิเศษ)' ถูกปลดล็อคแล้ว>


<คุณสามารถทำให้มอนสเตอร์หลงไหลไร้สติได้>

หากเขาเพิ่มขีดความสามารถนี้จนสูงสุด เขาจะสามารถควบคุมกองทัพได้โดยไม่จำเป็ นว่าต้องเป็ นอันเดธ

― กระผมเตรียมการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว มันเป็ นในขณะนั้นที่มูยองได้รับการติดต่อจากเบซองมิน

'ดูเหมือนว่าเขาจะจัดการความรู้สึกตัวเองได้แล้ว

' มูยองให้สิทธิ์ ในการเลือกทั้งหมดแก่เบซองมิน โดยไม่ว่าจะเลือกอยู่กับเบซูจีหรือไม่ก็ตาม หลังจากจัดการตัว


เองเสร็จมูยองก็สั่งให้ซองมินเตรียมการต่างๆ สำหรับการไปพบกับ 'เกรโมรี่'

'ถึงเวลาแล้ว'

มูยองหันหลังและกลับไปที่ปราสาทของเขา ตั้งแต่นี้ไปคงจะต้องยุ่งมากจริงๆ

***

“ไพม่อน! เจ้ายังกำจัดพวกผู้ปฏิปักษ์ไม่ได้อีกหรือ”

ครึ่ งมนุษย์ครึ่ งสัตว์ สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายส่วนบนของช้าง และร่างกายส่วนล่างของมนุษย์ บินมาโดยปี กทั้งหก


โดยมีปี ศาจประมาณหนึ่งล้านตนกำลังกราบกราบอยู่เบื้องล่างของมัน

และไพม่อนเทพปี ศาจลำดับ 9 ที่สวมเกราะสีดำมืดก็อ้าปากกว้างก่อนจะพูด

“เจ้า...บูเน่”

“ รู้ไหมว่าบาอัลปรารถนาให้สิ่งนี้สำเร็จโดยเร็วที่สุด”

"เจ้าก็พูดเป็ นเล่นไป! เกรโมรี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่ายขนาดนั้น”

“ ฮาวเรสก็จัดการเธอไม่ได้งั้นเหรอ? ข้าคิดว่าเจ้านั่นคงประมาทมากเลยสิท่า”

“ ฮาวเรสถูกเดียโบลสังหารไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่”

เทพปี ศาจลำดับที่ 26 บูเน่ยิ้มเยาะ “ เจ้ากลัวงั้นหรือ ช่างเป็ นคนขี้ขลาดเสียจริง”


“ การขุดค้นความลับทั้งหมดคือหน้าที่ของข้า ไม่ถูกต้องที่จะบอกว่าฮาวเรสเสียชีวิตจาก 'เปลวเพลิง' ของเดีย
โบล”

“ นั่นไม่ใช่ข่าวจริงหรอกหรือ?”

ไพม่อนส่ายหัว “ เจ้าต้องมองเงื่อนไขอื่นในการสังหารฮาวเรส เจ้าไม่สามารถฆ่าเขาง่ายๆด้วยเปลวเพลิวได้"

เทพปี ศาจทุกตนมี 'เงื่อนไข' โดยเฉพาะซึ่งสามารถนำพวกมันไปสู่ความตาย และฮาวเรสมีสองเงื่อนไข หนึ่ง


คือต้องเป็ นอะไรที่มากกว่า 'เปลวเพลิง' ธรรมดา ส่วนอีกข้อหนึ่ง...

“ แต่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับอีกเงื่อนไขหนึ่งของเจ้านั่นนี่”

“เขาทรยศ”

"อะไรนะ?"

เงื่อนไขอื่นคือฮาวเรส 'ทรยศ' และต้องทำโดยเกรโมรี่” ผู้ต้องสงสัยที่เป็ นไปได้มากที่สุดคือเกรโมรี่ ผู้หญิงคน


เดียวที่เป็ นเทพปี ศาจ

แต่บูเน่ไม่คิดเหมือนไพม่อน “ ครึ่ งหนึ่งของผู้ปฏิปักษ์ถูกกวาดล้างหมดแล้ว ถ้าเราจับเกรโมรี่ได้ทุกอย่างก็จบ


เจ้าอย่ามัวกังวลอะไรไร้สาระเลย! เราควรไปจับเธอถ้าพบตำแหน่งของเธอแล้ว”

“ มีตัวตนที่ไม่รู้จักกำลังรบกวนเราอยู่ ไม่เพียงแต่เดียโบลเท่านั้น แต่ยังมีผู้แข็งแกร่งอื่นอีกที่เข้ามาแทรกแซง


เราไม่สามารถเคลื่อนไหวอย่างหุนหันพลันแล่นได้จนกว่าจะพบว่านั้นเป็ นใคร”

ไพม่อนเป็ นปี ศาจที่ระมัดระวัง บาอัลชื่นชมในข้อนี้ของเขา แต่เทพปี ศาจตนอื่นๆต่างรู้สึกหงุดหงิดเท่านั้น

“ฮึ! ถ้างั้นก็จงเฝ้ ามองต่อไปเถอะ ตอนนี้บาอัลส่งคนเข้าไปในสมรภูมิแล้ว”

“ คนอื่น…? ใคร?”

“เลราเจ!”

บูเน่ตอบอย่างอารมณ์ดี ปี ศาจแห่งสงคราม เทพปี ศาจลำดับที่ 14 เลราเจ สามารถพูดได้ว่าเขาเป็ นผู้ที่เหมาะสม


ที่สุดในการจบสงครามที่ยืดเยื้อมานาน ถ้าเลราเจลงมือก็ไม่มีที่ว่างให้ไพม่อนลังเลอีกต่อไป บูเน่คิดอย่างนั้น
การแทรกแซงของบุคคลที่สามงั้นหรือ? สำหรับเลราเจตัวตนเหล่านั้นคงไม่อาจนับเป็ นอุปสรรคอะไรได้
ไพม่อนหันกลับและกางปี กออก

“ ข้ารู้อะไรบางอย่างแล้ว”

ตอนที่ 233: แล้วเจ้าจะให้อะไรข้า (3)

**ขอเปลี่ยนคำว่า 'เงื่อนไข' จากตอนที่แล้วเป็ นคำว่า 'ปัจจัย' นะครับ

เอนโรธ ราชาปี ศาจในอดีต ตอนนี้กลายเป็ นอันเดธแล้ว

มูยองกำลังคิดอยู่ว่าจะ 'ใช้งาน' เอนโรธอย่างไรดี

“ จงพูดสิ่งที่นายรู้เกี่ยวกับเทพเจ้าปี ศาจ”

การกลายเป็ นอันเดธ ร่างกายจะได้รับความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ว่ามูยองจะใช้บทสวดของ 'อัลโนวา' นำเอนโรธกลับมา

แต่ก็อาจมีข้อบกพร่องในความทรงจำของเอนโรธ

ยังไงก็ตามเอนโรธต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามระหว่างเทพปี ศาจมากมายแน่ๆ

ข้อมูลคือพลังและมูยองก็ต้องการมัน เอนโรธหันหน้ามาด้วยสายตานิ่งเรียบ

“ ปี ศาจจะบุกอันเดอร์เวิล์ด…การกำจัดผู้เป็ นปฏิปักษ์ได้ถูกดำเนินการไปกว่าครึ่ งแล้ว…”

นั่นหมายความว่า พวกมันจะออกจากโลกปี ศาจและเข้าสู่ในอันเดอร์เวิล์ด พร้อมทั้งตั้งใจกำจัดสิ่งมีชีวิตรูปแบ


บอื่นๆทั้งหมดนอกเหนือจากเผ่าพันธุ์ตัวเอง

โดยมีฝ่ ายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกมันอยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกว่า 'กลุ่มผู้ปฏิปักษ์'

“ กลุ่มผู้ปฏิปักษ์มีกี่คน?”

"ทั้งหมดมีห้าตน มูรมูร, เกรโมรี่, ฟอร์เนียส, ซีทรี และแอสโมดาย”

นี่คือเหตุผลที่กลุ่มผู้ปฏิปักษ์ถูกบังคับให้ต้องพ่ายแพ้ตั้งแต่แรก พวกมันมีจำนวนมากกว่าโดยคิดเป็ นอัตราส่วน


เทพปี ศาจที่ 1 ต่อ 10 ตน
การที่ฝ่ ายพวกเขาอดทนมานานกว่าสิบปี ด้วยจำนวนแค่นั้นถือว่าน่าประทับใจ

แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างถูกเร่งให้เร็วขึ้น

ด้วยสภาพเช่นนี้หากผ่านไปอีกสองสามปี กำลังของฝ่ ายปฏิปักษ์จะต้องเหือดแห้งไปจนหมด

เอนโรธพูดต่อไป

“ ปี ศาจลำดับที่ 54 ประสบความสำเร็จในการติดต่อกับ 'มูรมูร' ...มันค้นพบ 'ปัจจัย' ของฝ่ ายปฏิปักษ์ แต่


เนื่องจากการรบกวนของผู้ไม่ทราบตัวตน และการเคลื่อนไหวของเดียโบลทำให้ทุกอย่างล่าช้าออกไป…”

คำพูดของเอนโรธขายหายไปบางส่วน เนื่องจากการกู้คืนความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ แต่หลายอย่างที่มันพูด


ออกมาก็ยังชัดเจน

"ปัจจัย? นายกำลังพูดถึง 'ปัจจัยในการดับทำลาย' ของเหล่าเทพปี ศาจใช่หรือเปล่า”

"ถูกต้อง ข้าได้ยินเรื่องนี้จาก 'มูรมูร” “ แล้วปัจจัยที่ว่านี้คืออะไร?”

“.......”

เอนโรธเงียบ มันคงไม่รู้แล้ว แม้ว่าจะเป็ นราชาปี ศาจที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ 'ปัจจัยแห่งการดับสูญ' คงเป็ นความ


ลับท่ามกลางความลับแม้ของเหล่าเทพปี ศาจ

มันเป็ นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่พวกเทพปี ศาจจะบอกเอนโรธ 'ฉันยังขาดข้อมูลอีกมาก'

มูยองถามต่อไปอีกสองสาม

แต่เอนโรธกลับไม่รู้อะไรมากเท่าไหร่ แต่นั่นก็ทำให้เขารู้เกี่ยวกับเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างราชาปี ศาจกับเทพ


ปี ศาจ

ตอนนี้เขาต้องการใครซักคนที่รู้เรื่องเทพปี ศาจจริงๆ แต่คงมีเพียงเทพปี ศาจเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับเทพปี ศาจ และ


เทพปี ศาจเพียงตนเดียวที่มูยองสามารถติดต่อได้ก็คือ 'เกรโมรี่'

อย่างไรก็ตาม การไปหาเกรโมรี่อาจหมายความว่าเขาจะต้องเข้าสู่การต่อสู้ระหว่างเหล่าเทพปี ศาจอย่างเต็มตัว


ซึ่งมูยองยังไม่พร้อม เขาต้องการข้อมูลมากกว่านี้

และในขณะนั้นก็มีผู้หนึ่งผุดขึ้นในใจของมูยอง
“ดันดาเลี่ยนมา บอกทุกสิ่งที่นายรู้เกี่ยวกับดันดาเลี่ยนมา”

หลังจากที่มูยองถาม เอนโรธก็พูดออกมาอย่างชัดเจน

“ผู้ทรยศ ปี ศาจจอมวิปลาส เทพปี ศาจใฝ่ ต่ำ”

คำพูดที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ ออกมามากกว่าที่มูยองคิด ยิ่งไปกว่านั้นเกี่ยวกับคำว่าใฝ่ ต่ำ

'แสดงว่ามันคงไม่มีใครคบ'

จริงๆมูยองเองก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครร่วมมือกับดันดาเลี่ยน นั่นหมายความว่าเทพปี ศาจที่ง่ายที่สุดในการเข้าหา


คือดันดาเลี่ยน และมูยองก็รู้จักคนที่สามารถช่วยให้เขาเข้าใกล้ดันดาเลี่ยนได้

“ เบซองมิน!”

เมื่อมูยองตะโกน วงเวทสีดำก็ถูกร่างขึ้นบนพื้น จากนั้นเบซองมินก็ปรากฏตัวออกมา

“ เจ้านายเรียกกระผม?”

มูยองพูดอย่างไม่ลังเล

“ ไปพาตัวอาซูลมา หากมันไม่ยอมร่วมมือ อนุญาตให้ใช้กำลังได้”

อาซูล! เดิมทีมันเป็ นราชาปี ศาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของดันดาเลี่ยน ซึ่งนั่นน่าจะทำให้มันรู้เรื่องเกี่ยวกับดันดา


เลี่ยนเป็ นอย่างดี มูยองเคยขอให้อาซูลช่วยหาวิธีเดินผ่านทางที่ 'สกายลอร์ด' ขวางไว้ และเขาหนีไปเมื่อรู้มูยอง
จะทำสงครามกับเอนโรธ

เบซองมินคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะโค้งคำนับ

“ กระผมขอเวลาสองวัน ”

“ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

“ กระผมขอทราบเหตุผลได้ไหม”

ดูเหมือนว่ามันจะทำให้เบซองมินสงสัยใคร่รู้ และมูยองก็ตอบเหมือนเป็ นเรื่องธรรมดา


“ ฉันอยากเจอดันดาเลี่ยน”

“ คุณกำลังพูดถึงเทพปี ศาจอันดับที่ 71 ใช่ไหม? มันเป็ นตัวตนที่อันตรายมากนะ”

ดันดาเลี่ยนมีชื่อเสียงในเรื่องการหลอกลวงมากว่าพลังซะอีก จำนวนเหยื่อที่ถูกมันหลอกนั้นนับไม่ได้

แม้แต่ 'เมอร์ดูดัน' ที่ครั้งหนึ่งเคยปกครองท้องทะเล ก็ยังถูกหลอกโดยดันดาเลี่ยนก่อนจะสูญเสียร่างไป

ยังไงก็ตาม ทริคเหล่านั้นไม่สามารถใช้กับมูยองได้

เนื่องจากทักษะในการเข้าถึงทุกข์สุขของสรรพสิ่ง รวมกับความสามารถมารถในการแยกแยะคำโกหกของมู
ยอง มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากกล่าวว่าศัตรูธรรมชาติของดันดาเลี่ยนก็คือมูยอง

ไม่เพียงแค่นั้น มูยองยังมีพลังของกาเบรียลอีก

“ พลังของมันใช้ไม่ได้ผลกับฉันหรอก”

"..กระผมเข้าใจแล้ว และจะไปจับตัวอาซูลมาให้เร็วที่สุด”

นั่นคือคำที่มูยองพูด มูยองจะไม่พูดอะไรถ้าเขาไม่มั่นใจ

เบซองมินซ่อนตัวเองในเงามืดอีกครั้ง

'ดันดาเลี่ยน'

มูยองลูบคาง มันรู้หลายสิ่ง และบางทีมันอาจจะรู้ความจริงของโลกนี้ก็ได้

ถ้ามันรู้ว่าโลกถูกทำลาย ดังนั้นบางทีมันอาจรู้เกี่ยวกับโซโลมอน มูยองต้องการพบมันเพื่อยืนยันสิ่งเหล่านั้น


และถ้ามันไม่ยอมร่วมมือ ...

'ฉันอยากรู้ว่าจะเปลี่ยนเทพปี ศาจให้กลายเป็ นอันเดธได้หรือเปล่า'

มูยองยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

“ ให้ตายเถอะ!”

นั่นคือสิ่งแรกที่อาซูลพูดเมื่อเห็นหน้ามูยอง
เบซองมินพูดว่าเขาจะใช้เวลาสองวัน แต่ความจริงเร็วกว่านั้น แค่ครึ่ งวันผ่านไป

อาซูลก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้ามูยองแล้ว การแสดงออกที่น่าอึดอัดใจของอาซูลดูเด่นชัดยิ่ง

“ เจ้ายังมีชีวิตรอดหลังถูกชาร์ซาซ่าโจมตี! ถึงจะจับข้าไว้แต่อย่าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้?!”

อาซูลบ่นไปด่าไป แต่ก็ไม่สามารถขยับตัวได้ เป็ นเพราะเบซองมินร่ายเวทพันธนาการเอาไว้

“ นายคิดว่าแค่ชาร์ซาซ่า จะทำอะไรฉันได้งั้นเหรอ?”

มูยองยิ้มเยาะ

ในขณะที่อาซูลแสดงออกอย่างขุ่นเคือง

“ หรือว่าชาร์ซาซ่าแพ้? ถ้างั้นเจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายที่ใหญ่กว่าแล้วล่ะ ราชาปี ศาจเหล็กเอนโรธจะต้องเข้ามา


โจมตีเจ้าในไม่ช้า! รูสเวลต์และเฟรด้าขุนพลของเขาจะต้องขย้ำเจ้าจนไม่เหลือซาก หากเจ้าไม่รีบปล่อยข้า เจ้า
ไม่รอดแน่นอน... !”

ดูเหมือนอาซูลไม่รู้ว่ามูยองเป็ นผู้ที่ได้รับชัยชนะในสงครามทั้งหมด

เนื่องจากอาซูลหนีไปทันทีหลังจากได้ยินเรื่องราวของชาร์ซาซ่า

เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

แปะๆ! มูยองปรบมือเบาๆ

จากนั้นเอนโรธก็โผล่ขึ้นมาจากด้านหลังมูยอง

“ …นี่มันอะไรกัน! ทำไมเอนโรธถึงอยู่กับเจ้า!”

อาซูลตกตะลึง

ชาร์ซาซ่า, รูสเวลต์, เฟรด้า…

พวกมันทั้งหมดเป็ นราชาปี ศาจที่มีชื่อเสียง และเจ้านายของพวกมันยังเป็ นเอนโรธ ชื่อเสียงของเอนโรธเป็ นที่


รู้จักกันดีว่าแข็งแกร่ง
อย่างน้อยสำหรับราชาปี ศาจ เอนโรธเป็ นคนที่พวกเขาเคารพนับถือและหวาดกลัว

อาซูลก็เป็ นราชาปี ศาจไม่มีทางที่เขาไม่รู้จักชื่อเสียงของเอนโรธ

“ เอนโรธเป็ นลูกน้องของฉันแล้ว”

มูยองพูดอย่างเป็ นธรรมชาติ

ดวงตาของอาซูลโตเท่าไข่ห่าน ร่างกายของเขาสั่นเทา มีบางอย่างที่เป็ นไปไม่ได้เกิดขึ้นตรงหน้าเขา

“บะ... บ้าไปแล้ว”

“ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า นายเป็ นพ่อค้าหนิ และตอนนี้ฉันพร้อมที่จะทำการค้าขาย"

มูยองหันไปมองเบซองมิน

จากนั้นเบซองมินก็ปลดพันธนาการเวทออก

ถึงอาซูลจะเป็ นอิสระ แต่ตอนนี้มันกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ตามใจนึก

มันรู้สึกกลัวเมื่อต้องสบตากับเอนโรธ

'ดูเหมือนว่าเขาจะกลัวเอนโรธมาก'

ถึงอาซูลจะเป็ นราชาปี ศาจเหมือนกัน แต่มันก็ยังสู้แม้แต่ชาร์ซาซ่าไม่ได้

ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าเอนโรธเลย ไม่แปลกที่อาซูลหนีไปตั้งแต่แรก

เมื่อรู้ว่าเอนโรธเป็ นผู้อยู่เบื้องหลังชาร์ซาซ่า

อาซูลหลับตาและพูด

“การค้า? ถ้าเจ้ารับปากว่าจะปล่อยข้าออกไปจากสถานที่ที่บ้าคลั่งนี้ ข้าจะรับฟังหนึ่งในความปรารถนาของเจ้า


แต่มันจะต้องเป็ นสิ่งที่ข้าสามารถทำได้ "

“ งั้นก็ไม่มีอะไรให้คิดมาก”
มูยองเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าอาซูล จากนั้นเขาก็คว้าคออาซูลไว้แล้วจ้องมองอย่างจริงจัง

“ ดันดาเลี่ยนอยู่ที่ไหน?”

การแสดงออกของอาซูลเปลี่ยนไปอีกครั้ง

มันตัวสั่นเทาด้วยความกลัวและดูสับสนมาก มันไม่รู้ว่าทำไมมูยองถึงต้องตามหาดันดาเลี่ยน

“ เจ้าตามหาดันดาเลี่ยนไปทำไม? แต่ไม่ว่าข้าจะทราบเหตุผลนั้นหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน มันก็สิบปี


แล้วที่ข้าหนีจากเขามา ไม่มีทางที่ข้าจะรู้ว่าเจ้าวิตถารนั่นอยู่ที่ไหน?”

'โกหกชัดๆ'

มูยองหัวเราะในใจ

อาซูลกำลังโกหก

แม้มันจะพูดอย่างแนบเนียน แต่ทว่านั่นไม่อาจหลอกมูยองได้

'ดูเหมือนว่าอาซูลยังมีหลงเหลือความภักดีต่อดันดาเลี่ยน'

อาซุลเดิมอยู่ภายใต้คำสั่งของดันดาเลี่ยน แม้ว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว

แต่เขานังมีความภักดีต่อมันอยู่

“ นายรู้ไหมว่าเอนโรธกลายมาเป็ นลูกน้องของฉันได้ยังไง”

“ ไม่รู้ และข้าก็ไม่อยากรู้ด้วย!”

อาซูลได้กลิ่นอันตรายจากมูยอง ซึ่งตอนเจอกันครั้งแรกมันไม่ได้กลิ่นอะไรแบบนี้

สัญชาตญาณกำลังบอกมันว่าไม่ควรเข้าใกล้เขา มันเป็ นความรู้สึกอันตรายที่อาจถึงตาย

มูยองไม่สนใจอาซูลและพูดต่อไป

“ ฉันสามารถเปลี่ยนราชาปี ศาจให้กลายเป็ นอันเดธได้”


“... !”

อาซูลมองเอนโรธอีกครั้ง

พอตั้งใจมองจริงๆก็ดูออกว่าเอนโรธไม่ปกติ เขาเคลื่อนไหวอย่างผิดธรรมชาติ

จะมีไอ้บ้าคนไหนมีความคิดเปลี่ยนราชาปี ศาจให้กลายเป็ นอันเดธ!

ยิ่งไปกว่านั้นอันเดธนั้นคือเอนโรธ

“ อามอน…อามอนจะต้องคลั่งแน่ เจ้า…เจ้าไม่มีทางรับมือโทสะของอามอนได้แน่ ไม่ว่าเจ้าจะรับใช้เทพปี ศาจ


ตนไหนอยู่นั่นก็ไม่อาจทำให้เจ้าปลอดภัย”

อาซูลสั่นกลัวจริงๆแล้ว แม้แต่ฟันของมันยังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

ดูเหมือนอาซูลยังคิดว่ามูยองเป็ นราชาปี ศาจเหมือนตัวเอง

“ ฉันไม่ได้รับใช้เทพปี ศาจตนไหน และอามอนก็ไม่ใช่ตัวตนที่ฉันต้องกลัว”

โดยพื้นฐานแล้วมูยองไม่ใช่ปี ศาจ

แต่ถึงจะเป็ นปี ศาจเขาก็ไม่มีความคิดที่จะรับความช่วยเหลือจากใครเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย

อาซูลจ้องมูยอง

หากเขาไม่มีเจ้านายหรือเทพปี ศาจที่รับใช้ งั้นตัวตนของชายผู้นี้คืออะไร?

เขาไม่กลัวเทพปี ศาจลำดับที่ 5 ผู้มีอานุภาพยิ่งใหญ่เช่นอามอนงั้นหรือ?

นั่นหมายความว่าเขากลายเป็ นเทพปี ศาจที่มีพลังทัดเทียมกัน?

ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนแม้ว่าอาซูลจะพูดออกไปหรือไม่

หากแม้แต่เอนโรธยังกลายเป็ นอันเดธแล้วไซร้

มีเหตุผลไหนที่มูยองจะทำกับเขาไม่ได้
มูยองกระชากคออาซูลเข้ามาใกล้

“ เหตุผลที่ฉันยังมีน้ำใจก็เพราะเราเคยทำการค้าขายกันมาก่อน อาซูลนายมีประโยชน์กับฉันจริงๆนะรู้ตัวหรือ
เปล่า? ฉันรู้ว่านายสามารถเชื่อใจได้อย่างน้อยก็ตอนที่เราทำการค้ากัน นั่นเป็ นเหตุผลที่ฉันหวังว่านายจะเห็น
ด้วย”

มันเป็ นการล่อลวงของปี ศาจที่แท้จริง

'บัดซบเอ้ย!'

อาซูลรู้สึกเหมือนตกเข้าในหลุมบึงที่ลึกจนไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นไปได้!

ตอนที่ 234: แล้วเจ้าจะให้อะไรข้า (4)

ทั้งเมืองประดับประดาไปด้วยแสงสว่าง เอลฟ์ ที่ยังหลงเหลืออยู่มีจำนวนมากจนสามารถเทียบได้กับเมือง


ใหญ่ๆ พวกเขามีจำนวนประชากรประมาณ 500,000 คน

ทั่วทั้งบริเวณปรากฏรูปปั้ นอีกาหินที่ถูกสร้างขึ้นสูงเสียดฟ้ า แต่ที่มีมากกว่ารูปปั้ นอีกาคือ รูปปั้ นปี ศาจตนหนึ่ง


ที่มีใบหน้าเป็ นแพะ

รูปปั้ นดังกล่าวไม่เข้ากันกับเหล่าเอลฟ์ เลยแม้แต่น้อย เพราะเอลฟ์ คือตัวตนที่เป็ นตัวแทนของดวงจันทร์ เป็ นตัว


ตนอันบริสุทธิ์ ที่อยู่ห่างไกลจาก 'ความชั่วร้าย' เช่นปี ศาจ ยังไงก็ตามพวกเขาไม่ใช่เอลฟ์ ธรรมดา เอลฟ์ ที่อยู่ที่นี่
คือ ดาร์คเอลฟ์ !

เป็ นเรื่องปกติที่ดาร์คเอลฟ์ จะตกอยู่ในเส้นทางของปี ศาจ เนื่องจากพวกเขาเกิดมาท่ามกลางความมืดมิด และใน


ขณะนี้…ผู้พิทักษ์ของเมืองที่สวมหน้ากากแพะดำ ก็กำลังเพลิดเพลินกับความสุขอยู่บนอาคารสูงสุดของเมือง

“ฮี๊ฮ่า” สาวงามหลายคนกำลังรุมล้อมเขาอยู่ในอ่างอาบน้ำ กลิ่นหอมอบอวลลอยไปทั่วสภาพแวดล้อมโดยรอบ


หญิงสาวเหล่านั้นเคลิบเคลิ้มคล้ายเสียสติ เปลือยกายล่อนจ้อนรุมเล้าโลมชายสวมหน้ากาก และเต็มไปด้วยแรง
ปรารถนา

“ ท่านเทพผู้ยสูงศักดิ์ ของพวกเรา”

"อร๊าา!

เขาเป็ นเทพองค์เดียวของเมืองนี้ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่จักได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา! แค่ชายคนนั้นยื่นมือออกไปเหล่า


ดาร์คเอลฟ์ ผู้เลอโฉมก็ต้องส่งเสียงครวญครางออดอ้อนออเซาะแล้ว ดาร์คเอลฟ์ ต่างเคารพบูชาชายหน้ากาก
แพะดุจดั่งเจ้านายของตน
เอี๊ยด! จู่ๆประตูก็เปิ ดออก แล้วทหารติดอาวุธเวทก็รีบเข้าไปหาเจ้านายของมันโดยไม่ชักช้า

“ พบผู้บุกรุกจำนวนมากเข้ามาในอาณาเขตของพวกเรา”

ชายที่สวมหน้ากากแพะหันไปมอง “ พวกออร์คหรือ?”

ไม่นานมานี้เหล่าออร์คที่อาศัยอยู่รอบๆแสดงอาการก้าวร้าวมากขึ้นอย่างผิดปกติ เป็ นเพราะมีออร์คลอร์ด


ปรากฏตัวขึ้น มันรวบรวมออร์คเผ่าต่างๆนับไม่ถ้วน และทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า

ที่แห่งนี้ก็ถูกบุกมาบ้างในบางครั้ง แต่พวกออร์คก็ทำอะไรไมได้ ทั้งนี้ต้องขอบคุณชายผู้สวมหน้ากากแพะและ


กองทัพนักรบที่แข็งแกร่งนับร้อยนับพันของมัน

“ พวกมันไม่ใช่ออร์ค แต่ดูเหมือนเป็ นกลุ่มอะไรบางอย่างที่มีทั้ง ก๊อบลิน ภูติผีวิญญาณ อันเดธ เอลฟ์ คนแคระ


และมนุษย์...”

ชายสวมหน้ากากแพะเงียบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ กลุ่มอะไรบางอย่าง…”

ไม่ใช่ว่าการรวมกลุ่มของสิ่งมีชีวิตต่างๆจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย เมื่อพวกมันถูกโจมตีโดยมังกรหรือถูกคุกคามบาง
อย่าง พวกมันก็มักจะรวมกลุ่มกันอยู่บ้าง แต่มีภูติผีวิญญาณ กับอันเดธด้วย? นอกเหนือจากนั้นยังมีพวกมนุษย์
อีก?

“ พวกมันกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่” ทหารคนหนึ่งพูดอย่างรีบร้อน

ชายสวมหน้ากากแพะลูบคาง แล้วถอนเล็บข้างหนึ่งของตัวเองออก ผึก! เลือดเริ่มไหล แต่ชายหน้ากากแพะก็


ส่งมอบเล็บให้นักรบของมันราวกับเป็ นเรื่องธรรมดา

“ แขวนเล็บนี้ไว้ตรงกลางระหว่างภูเขาทั้งสอง มันจะทำให้เหล่าวิญญาณและอันเดธไม่สามารถผ่านเข้ามาได้”

“รับทราบ”

“ จับหัวหน้าของพวกมันมาให้ข้าด้วย ข้าสนใจเขา” ชายสวมหน้ากากแพะหันกลับไป และจมลงในอ่างหรรษา


อีกครั้ง

“อร๊าา!”

สาวงามต่างปล่อยเสียงครวญครางอีกครั้ง
หากคุณทราบว่าสาวงามเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็ นภรรยาหรือลูกสาวของเหล่าทหารแล้วจะต้องประหลาดใจ
แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นพวกทหารนักรบก็ออกจากห้องไปอย่างเงียบๆโดยไม่โกรธเคือง พวกมันคิดว่าสถานที่
แห่งนี้เปรียบได้กับที่สักแห่งหนึ่งซึ่งได้รับอนุญาตจากพระเจ้า และดาร์คเอลฟ์ สาวที่งดงามทั้งหลายกำลังได้รับ
พรอยู่ในขณะนี้ ตัดไปเหตุการณ์ก่อนหน้า...........

“ มันคงสวมบทบาทเล่นเป็ นตัวอะไรสักอย่างอยู่ตอนนี้” อาซูลยอมแพ้มูยองแล้ว เขาบอกทุกสิ่งที่รู้ ยังไงก็ตาม


เขาแค่มอบข้อมูลให้เท่านั้น และไม่ได้ดูเหมือนว่าจะช่วยมูยองแต่อย่างใด

"สวมบทบาทอะไร?"

อาซูลตอบคำถามของมูยอง

“ ข้าก็ไม่รู้ว่ามันกำลังทำตัวเป็ นใครอยู่เหมือนกัน … แต่ข้ามั่นใจว่ามันไม่ได้อยู่แถวๆนี้”

มูยองมองดูอาซูล 'เขาไม่ได้โกหก' ดูเหมือนว่าแม้แต่อาซูลก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของดันดาเลี่ยน อย่างไร


ก็ตามหากคำพูดของอาซูลนั้นเป็ นจริง ก็มีความเป็ นไปได้สูงที่ดันดาเลี่ยนจะปลอมตัวเป็ นอะไรก็ได้โดยรอบ

“ มันเป็ นเทพปี ศาจเสียสติ การกระทำของมันห่างไกลจากความปกติอยู่มาก หากมันเริ่มที่จะสวมบทบาทไป


อะไรแล้วครั้งหนึ่ง มันจะลืมกระทั่งตัวตนเดิมของตัวเอง”

“ นายจะบอกว่าเราต้องกำจัดเป้ าหมายนั้นเพื่อให้ดันดาเลี่ยนจัวจริงปรากฏตัวเหรอ”

"ถูกต้อง หากเป้ าหมายเสียชีวิต บทบาทของมันก็จะสิ้นสุดลงเช่นกัน จากนั้นมันจะเปลี่ยนกายกลับสู่สภาพเดิม


แต่..."

อาซูลพูดต่อไป

“ บทบาทที่มันสร้างขึ้นไม่เคยง่ายดาย นอกจากนี้ไม่ใช่แค่เจ้าต้องสังหาร แต่เจ้าต้องทำลาย 'บทบาท' ของมัน


ทิ้งแล้วยืนยันให้ได้ว่ามันเป็ นใคร อีกอย่างการแปลงร่างของมันยอดเยี่ยมที่สุดแล้วแม้แต่ในหมู่ปี ศาจ "

มูยองหลับตาครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าดันดาเลี่ยนไม่ใช่ปี ศาจปกติ

มูยองพอจะคิดออกว่าทำไมดันดาเลี่ยนถึงถูกเรียกว่านอกรีต เพราะความพิเศษของมันคือเลียนแบบ หลอกลวง


โดยการสวมบทบาทอื่นๆ และเปลี่ยนร่าง หรือมูยองต้องสังหารทุกสิ่งมีชีวิตในสถานที่แห่งนี้ เขาจึงจะ
สามารถพบดันดาเลี่ยนได้

จู่ๆมูยองก็นึกถึงสถานที่แห่งหนึ่ง 'ภูเขาคู่ ที่นั่นคือวิหารของดาร์คเอลฟ์ 'สถานที่ที่น่าจดจำในความทรงจำขอ


งมูยอง
มันเป็ นเพราะดาร์คเอลฟ์ เป็ นหนึ่งในหลายๆเผ่าพันธ์ ที่เข้าร่วมกับกองทัพเทพปี ศาจหลังจากที่เกิดภัยพิบัติครั้ง
ยิ่งใหญ่

แม้จะรู้ความจริงว่าปี ศาจวางแผนที่จะกำจัดเผ่าพันธุ์อื่นๆทิ้งทั้งหมด แต่ก็มีหลายเผ่าพันธุ์ที่ยังให้ความร่วมมือ


กับพวกมัน เพราะหลังจากชัยชนะตกเป็ นของเหล่าปี ศาจ

พวกมันก็คาดหวังว่าอย่างน้อยเผ่าพันธุ์ตัวเองจะถูกละเว้น แม้ปี ศาจจะไม่ได้สัญญาอะไรไว้ก็ตาม และนั่น


เป็ นการกระทำที่โง่และงี่เง่าที่สุด

“ นายท่าน มีพลังงานแปลกๆเกิดขึ้นบนภูเขา”

เบซองมินรายงานทันที เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงภูเขาของดาร์คเอลฟ์

เบซองมินสัมผัสได้ว่าพลังเวทที่ไหลอยู่บนภูเขาเปลี่ยนไป ไม่สิมันดูคลุมเครือที่จะบอกว่าเป็ นพลังเวท มันใกล้


เคียงกับพลังเทวะและเป็ นพลังหนึ่งที่แข็งแกร่ง

“ วัตถุโบราณศักดิ์ สิทธิ์ …”

วัตถุโบราณศักดิ์ สิทธิ์ เป็ นวัตถุที่มีพลังในการปัดกวาดความชั่วร้าย หรือจะอธิบายก็ได้ว่ามันเป็ นวัตถุที่มีพลัง


ของเทพเจ้าอยู่ในนั้น เห็นได้ชัดว่าเหล่าอันเดธ และวิญญาณชั่วร้าย ได้รับผลกระทบจากมัน

กรรร!

อ๊าาก!"

พวกมันได้รับความเจ็บปวด ถึงจะกลายเป็ นตัวตนไร้ความรู้สึก แต่พวกมันก็แสดงอาการราวเจ็บปวดยิ่ง พลัง


ของวัตถุโบราณศักดิ์ สิทธิ์ กำลังเผาผลาญวิญญาณของพวกมัน

เบซองมินพูด

“ ดูเหมือนว่ามีบางคนไม่ต้อนรับการมาถึงของพวกเรา”

วูม! วูม!

ในขณะนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตมากมาย มีดาร์คเอลฟ์ ประมาณสองหมื่นซ่อนตัวอยู่


รอบๆ
มูยองยิ้มอย่างสมเพช นี่คือวิหารของเหล่าดาร์คเอลฟ์ ผู้ทรยศที่ร่วมมือกับเหล่าเทพเจ้าปี ศาจ ถ้าดันดาเลี่ยนเป็ น
สาเหตุของเรื่องนี้ มูยองก็ไม่เข้าใจว่ามันมีเหตุผลอะไร

มูยองยื่นมือออกไป วัตถุโบราณศักดิ์ สิทธิ์ เป็ นวัตถุที่มี 'พลังพิเศษ' หากติดตามพลังที่ไหลออกมาก็ง่ายที่จะ


ทำลายวัตถุนั้นๆ ยังไงมูยองก็ครอบครองพลังของครึ่ งเทพอยู่ แม้จะแค่ครึ่ งเดียวแต่ครึ่ งนั้นก็เป็ นของจริง วัตถุ
ที่เลียนแบบพลังเทพย่อมไม่สามารถต่อต้านพลังของเทพที่แท้จริงได้

หมับ!

เมื่อมูยองกำมือที่ยื่นออก พลังของวัตถุโบราณก็หายไปจนสิ้น ในเวลาเดียวกัน ดาร์คเอลฟ์ ที่ซ่อนตัวอยู่ก็ต้อง


ปรากฏกายขึ้น นอกจากนั้นอันเดธกับเหล่าภูติผีวิญญาณก็ไม่แสดงอาการเจ็บปวดอีกต่อไป

“กำจัด”

จากนั้นมูยองก็ออกคำสั่งสั้นๆ

ชายสวมหน้ากากแพะแหงนมองไปที่เส้นขอบฟ้ า มีเปลวเพลิงลุกท่วมบริเวณแถบนั้น มันรู้ทันทีว่าพลังของตัว


เองถูกทำลายแล้ว

“ ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่! นักรบของเราถูกกำจัดหมดแล้ว”

“ พลังของวัตถุโบราณไม่ได้ผลกับพวกมัน”

“ โปรดมอบคำสั่งให้แก่เรา”

อัศวินนำเหล่านักรบนั่งคุกเข่า พวกเขาก้มศีรษะลงกราบแทบเท้าของชายสวมหน้ากากแพะ จากนั้นชายสวม


หน้ากากแพะก็ยื่นมือออกมาไปชี้บนท้องฟ้ า

“ ดวงจันทร์จะลอยขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เราจะใช้พลังความมืดจากดวงจันทร์”

จินตัวสั่นอย่างประหลาด “ ช่างรุนแรงอะไรเช่นนี้”

เธอเป็ นไฮเอลฟ์ ตัวตนที่ได้รับพรมากที่สุดแม้แต่ในหมู่เอลฟ์ เธออยู่ห่างจากความชั่วร้ายดังนั้นเธอจึงมี


ปฏิกิริยาตอบสนองฉับไวต่อพลังด้านลบ ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าเธอก็เป็ นผู้ติดตามมูยองคนหนึ่ง ตัวของเธอยิ่ง
สั่นมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเข้าใกล้เมืองของพวกดาร์คเอลฟ์

“ มีอะไรน่ากลัว?”
จินกัดฟันของเธอก่อนจะตอบคำถามมูยอง

“ ข้าสัมผัสได้ถึงความเสื่อมถอย มันเป็ นพลังคำสาปที่ทำให้รู้สึกแย่ ต้องมีเอลฟ์ จำนวนมากรวมตัวอยู่ที่นั่น


แน่ๆ…”

จินยกศีรษะขึ้นมองท้องฟ้ าที่มืดลงเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์ลาลับไป

“ เอลฟ์ เป็ นตัวแทนของแสงจันทร์ แต่ดาร์คเอลฟ์ กลับบูชาความมืดที่เกิดจากดวงจันทร์ พวกมันจะยิ่งแข็งแกร่ง


และโจมตีเราเมื่อดวงจันทร์ขึ้น”

“ ถ้างั้นเราก็แค่ทำให้มันสว่างก็พอ”

“ …นั่นเป็ นไปได้เหรอ?”

ยังไงพวกเขาก็ต้องผ่านไปทางนี้ มูยองไม่อยากเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ วัตถุประสงค์ของมูยองคือการ


ค้นหาดันดาเลี่ยน และถามคำถามสองสามข้อเท่านั้น

เมื่อมูยองสยายปี กออก ดวงดาวสว่างไสวดวงหนึ่งก็เริ่มส่องแสงบนท้องฟ้ า นั่นคือ ดวงดาวแห่งความบริสุทธิ์ !


มันคือพลังที่พัฒนาขึ้นมาจากดวงดาวแห่งความสมบูรณ์แบบ ซึ่งถูกผนวกเข้ากับพลังเทพของมูยอง และจาก
นั้นความมืดทั้งหมดก็หายไป แม้ว่าพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้ าและถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์ แต่โลกก็ยังสดใส
ไม่มีความมืดหลงเหลืออยู่เลย

ชายหน้ากากแพะแหงนมองท้องฟ้ า

“ ผู้ครอบครองดวงดาว อีกทั้งดูเหมือนไม่ใช่ดวงดาวปกติเสียด้วย”

มันไม่เคยเห็นดาวดวงไหนปล่อยแสงได้สว่างขนาดนี้มาก่อน การโต้ตอบของชายสวมหน้ากากแพะถูกหยุดอยู่
หลายครั้ง นี่เป็ นครั้งแรกที่เรื่องพวกนี้เกิดขึ้น ชายสวมหน้ากากเรียกรวมพลอัศวินทันที

“ เตรียมแพะดำหนึ่งร้อยตัว ข้าจะแสดงพลังอำนาจที่แท้จริงของเทพเจ้าให้พวกมันดู”

มันกำลังจะอัญเชิญ'เทพแห่งความตาย'จากการสังเวยแพะดำ และเทพแห่งความตายก็คือเทพแห่งความตายตาม
ชื่อ มันสามารถสังหารเป้ าหมายที่กำหนดได้

เทพแห่งความตาย คือผู้ที่สามารถช่วงชิงวิญญาณออกจากชีวิต ก่อนจะทำลายมันอย่างสมบูรณ์ วิธีการนี้ใช้พลัง


เทวะจำนวนมาก แม้กระทั่งชายผู้นี้ก็ใช้มันได้ไม่บ่อยนัก ขนาดออร์คที่เคยบุกมาหลายครั้งมันก็ยังไม่เคยใช้วิธี
นี้เลย
“ สังหารผู้ครอบครองดวงดาวนั่นซะ” เทพแห่งความตายมีร่างเป็ นเงาพล่าเลือน เมื่อชายแพะสวมหน้ากาก
เสร็จพิธีพื้นดินโดยรอบก็เริ่มสั่นคลอน

กรรรรรรรรร! อย่างไรก็ตาม เหมือนเทพแห่งความตายรู้สึกทรมาน เคียวหล่นจากมือจากนั้นมันก็เริ่มสลายร่าง


หายไปอย่างสมบูรณ์

“ เทพแห่งความตายยังสังหารมันไม่ได้หรือนี่?” เขารู้สึกตะลึงงัน ชายสวมหน้ากากแพะทำได้เพียงหัวเราะ


อย่างขมขื่น สิ่งเดียวที่เทพแห่งความตายไม่สามารถสังหารได้ก็คือตัวตนที่ครอบครองพลังเทวะ หรือไม่ก็ตัว
ตนเหนือธรรมชาติที่ฝึ กฝนอย่างหนักเพื่อให้ได้รับซึ่งพลังคล้ายเทพ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ที่กำลังมุ่งมายังที่นี้คือ
ใครบางคนเช่นนั้น และในที่สุดมูยองก็มาถึงตัวเมือง โดยไม่มีใครหยุดเขาได้

กองกำลังป้ องกันทั้งหมดถูกทำลาย เวทอภินิหารของชายหน้ากากแพะถูกงัดออกมาใช้หลายต่อหลายครั้ง แต่นี่


เป็ นครั้งแรกที่วิชาทั้งหมดของมันถูกทำลายอย่างน่าสังเวช

ชายสวมหน้ากากแพะพูดอย่างขมขื่นบนสิ่งก่อสร้างที่สูงเสียดฟ้ า

“ …ชายผู้นั้นคือใครกันแน่?”

ตอนที่ 235: แล้วเจ้าจะให้อะไรข้า (จบ)

มูยองรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน มีบางอย่างแทรกแซง และพยายามจะช่วงชิงจิตวิญญาณของเขาออกไป นี่เป็ น


ครั้งแรกที่เขาได้รับประสบการณ์เช่นนี้ หากระดับพลังของมูยองอยู่ต่ำกว่าปัจจุบันแม้เพียงเล็กน้อย เขาคงตก
อยู่ในอันตรายไปแล้ว

'ครั้งแรกเลยที่เจอนักเวทที่มีทักษะแบบนี้'

พลังดังกล่าวไม่ใช่พลังเทวะที่มาจากเทพเจ้า มันเป็ นพลังของนักเวทที่มีฝี มือไปจนถึงจุดสูงสุดเท่านั้น ผู้ที่ก้าม


ผ่านพลังไปจนถึงจุดที่สามารถสร้างวัตถุโบราณศักดิ์ สิทธิ์ เทียมได้ และผู้ที่มีทักษะของนักเวทดังกล่าว ต้อง
เป็ นผู้นำของดาร์คเอลฟ์

มันเป็ นไปได้อย่างมากที่นักเวทคนนี้จะเป็ นดันดาเลี่ยน ไม่มีทางที่นักเวทระดับนี้จะปรากฏตัวออกมาแบบไม่มี


ปี่ มีขลุ่ย มูยองมองไปที่ทางเข้าเมือง ไม่มีอะไรขวางกั้นนอกจากบาเรียอันหนึ่ง มันน่าจะเป็ นการป้ องกัน
สุดท้ายของเมือง

'แข็งแกร่งทีเดียว'
บาเรียดังกล่าวดูไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำลายได้ในทันที มูยองคิดว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามคืนในการกำจัด
บาเรียนี้ ไม่ว่าจะใช้ความแข็งแกร่งขนาดไหนไปทำลายมัน ดังนั้นมูยองจึงตั้งใจเดินเข้าไปในบาเรียตรงๆ การ
จะทำแบบนี้ต้องขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแกร่งของคนๆนั้นๆด้วย

"รอที่นี่"

"กระผมขอตามนายท่านไปดีกว่า"

แล้วเบซองมินก็ติดตามมูยองไป มูยองไม่ได้หยุดเขา

ระดับอย่างเบซองมินคงไม่ยากที่จะผ่านบาเรียไปได้ จากนั้นพลังโจมตีจากบาเรียก็โจมตีใส่พวกเขาเหมือนฝูง
ผึ้ง

วิ้ง!

อย่างไรก็ตาม ทิวทัศน์เปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาก้าวผ่านบาเรียไปแล้ว สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารสูงและรูป


ปั้ นหินขนาดใหญ่ นอกจากนี้เหล่าดาร์คเอลฟ์ พร้อมด้วยอาวุธครบมือก็ล้อมอยู่รอบๆมูยองและเบซองมิน

“ เป็ นการต้อนรับที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

ยังไงก็ตามเหล่าดาร์คเอลฟ์ ไม่ได้หุนหันเข้ามาโจมตี อาจเป็ นเพราะพวกมันจำการทำลายล้างบนภูเขาได้ หรือ


ไม่ก็พวกมันมัวจ้องปี กทั้งหกของมูยองอยู่

ส่วนมูยองเขาไม่ได้แม้แต่เหลือบสายตาไปทางเหล่าดาร์คเอลฟ์ มีเพียงจุดเดียวที่มูยองจับตามอง ชายสวม


หน้ากากแพะที่กำลังมองพวกเขาจากยอดอาคารที่สูงที่สุด!

“ จัดการพวกรอบๆนี่ที”

"ขอรับ"

เบซองมินชูคฑาขึ้นเตรียมรบ

พรึ่ บ! มูยองสยายปี ก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น

ฟูม! ปี กทั้งหกข้างลุกโหมไปด้วยเปลวเพลิง ก่อนที่เขาจะบินพุ่งขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว


ชายสวมหน้ากากแพะยืนอยู่ที่นั่น มูยองรู้สึกถึงทุกอย่างทันทีเห็นมัน ไม่ว่าจะเป็ นพลังเทวะเทียม ความศรัทธา
ความวุ่นวาย สิ่งเหล่านั้นต่างผสมปนเปกันอยู่

"ผู้ที่สามารถต่อกรกับพลังแห่งเทพได้อย่างทัดเทียม เจ้าคือใครกันแน่? !”

มันเป็ นการเล่นละครตบตาที่น่าประทับใจ ไม่สิเป็ นการแสดงที่น่าประทับใจมากกว่า ความตั้งใจแสดงใน


บทบาทจนกระทั่งลืมเลือนตนเอง ยังไงก็ตามมันไม่สามารถหลอกตามูยองได้

คนแรกก็เมอร์ดูดัน เขาถูกดันดาเลี่ยนหลอกจนสูญเสียร่างไป หลังจากนั้นมูยองก็ได้เจอกับอีกหลายการกระทำ


ของดันดาเลี่ยน และทุกคนที่ถูกมันหลอกก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ทว่ามูยองแตกต่างจากคนเหล่านั้น

“หยุดเล่นละครได้แล้วดันดาเลี่ยน”

มูยองรู้ว่าสิ่งมีชีวิตในร่างปลอมๆนั้นคือดันดาเลี่ยน

ตอนแรกมูยองคิดว่าหากหามันไม่เจอเขาจะสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณรอบๆเพือค้นหามัน ทว่าโชคดีที่
ดูเหมือนไม่จำเป็ นต้องทำเช่นนั้น

“ แขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างเจ้ากำลังพยายามทำให้ข้าสับสนงั้นหรือ”

คำพูดไม่ได้ผลเพราะอาซูลได้กล่าวเอาไว้ว่า มันจะเผยร่างจริงก็ต่อเมื่อถูกสังหารเท่านั้น ถ้ามูยองฉีกหน้ากาก


ของมันออก ดันดาเลี่ยนก็จะปรากฏตัว!

สวูม มูยองดึงความโกรธเกรี้ ยวออกมา

หากคำพูดไม่ได้ผล เขาก็คงต้องแสดงให้มันเห็นด้วยการกระทำเท่านั้น

มูยองเองก็ไม่ได้เป็ นคนใจกว้างตั้งแต่แรก เขาเย็นชาพอที่สามารถทำอะไรก็ได้หากมีความต้องการ ความจริง


ข้อนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาจะได้รับทักษะ 'เห็นทุกข์สุขของสรรพสิ่ง' ก็ตาม

“ ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้แด่เทพเจ้า”

กล่าวจบชายสวมหน้ากากแพะก็คว้ากริชแทงเข้าที่ลำคอของตนเอง

ฉูด! เลือดไหลเจิ่งนองลงที่พื้นก่อนจะค่อยๆกลายเป็ นสัญลักษณ์เวทที่พื้น


เลือดดังกล่าวปลดปล่อยพลังเทวะออกมา จากนั้นรอบๆก็เกิดการสั่นสะเทือน พลังของมันถือว่าอยู่ในระดับ
เดียวกับวัตถุโบราณศักดิ์ สิทธิ์ เลยทีเดียว

'เวทสังเวย'

มูยองตระหนักถึงเวทมนตร์ที่ชายสวมหน้ากากแพะใช้

มันไม่ใช่พลังเทวะจริงๆ นี่เป็ นแค่การบีบเวทมนตร์ที่มีความบริสุทธิ์ สูงออกมา เพื่อเลียนแบบพลังเทวะ

“ นายกำลังอธิษฐานไปที่เทพตนไหนกัน?”

“ แน่นอนว่านั่นคือเทพประจำเผ่าดาร์คเอลฟ์ ของเรา!”

“ ไม่ใช่เทพดันดาเลี่ยนหรอกเหรอ?”

มูยองยิ้มเยาะ

ปี ศาจไม่ใช่ตันตนที่น่าเคารพนับถือ จริงๆคำว่าเทพไม่เหมาะสมกับพวกมัน

เพราะพวกมันไม่ได้อยู่ในการ 'วัฏจักร' ทุกสิ่งในโลกทั้งหมดล้วนเวียนว่ายอยู่ใน 'วัฐจักร'

การไม่อยู่ในวัฏจักรนั้น หมายความว่าตัวตนนั้นไม่ได้อยู่ร่วมกับโลก จากนั้น หอกสีแดงเข้มก็ออกมาจากวง


เวทที่ชายหน้ากากแพะสร้างขึ้น

“ ไม่มีสิ่งใดที่หอกนี้แทงทะลุไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเทพเจ้า”

“น่าประทับใจ”

มูยองร้องอุทานออกมาง่ายๆ

แม้ว่าวัตถุโบราณศักดิ์ สิทธิ์ ชิ้นนี้จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างรีบเร่งก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าอย่างน้อยมันก็สามารถกลาย


เป็ นอาวุธที่ดีได้

ในเวลาเดียวกันเขาก็งอกจากหน้าผากของมูยอง

ชายหน้ากากแพะจะสามารถแทงมูยองได้แม้ในโลกที่ช้าลงหรือไม่?
ดูเหมือนว่าชายสวมหน้ากากแพะจะสับสนเล็กน้อย เมื่อเจอกับการเคลื่อนไหวฉับพลันของมูยอง และสุดท้าย
ดาบของมูยองก็ไปถึงหน้าผากของมันก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง

ฉัวะ!

มันเป็ นแผลที่ปราณีต หน้าผากถูกเปิ ดออก และสมองก็ไหลทะลักออกมา การต่อสู้ระยะประชิดเป็ นสิ่งที่เลว


ร้ายที่สุดสำหรับนักเวท การไม่สามารถกำจัดมูยองก่อนที่เขาจะมาถึงสถานที่แห่งนี้ไม่ต่างอะไรจากความพ่าย
แพ้ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว

'น่าประทับใจ'

ดูเหมือนคำพูดของชายหน้ากากแพะก็ไม่ผิดเช่นกัน

ถึงจะพลาดวัตถุประสงค์ แต่หอกก็แทงเข้าไปที่หน้าอกของมูยอง

มีเวทมนตร์จารึกอยู่ในตัวหอก มันพุ่งเข้าหามูยองโดยอัตโนมัติ แต่น่าเสียดายที่ผู้ใช้สกิลนี้ตายก่อนที่หอกจะ


พุ่งเข้าไปที่หัวใจของเขา

ยังไงก็ตามร่างกายของมูยองที่ได้รับผิวหนังของผู้อมตะนั้นแข็งแกร่งมาก

คมหอกเจาะเข้าร่างของเขาได้เพียงครึ่ งเดียวแล้วก็หยุดชะงักลง ถึงชายหน้ากากแพะไม่ตาย มูยองก็ไม่เป็ น


อะไรอยู่ดี

ตุบ!

ศพของชายคนนั้นล้มลงกับพื้น ท่าทางของมูยองขึงขังขึ้น

'เขาไม่ใช่ดันดาเลี่ยน?'

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หากคำพูดของอาซูลเป็ นจริงการเปลี่ยนแปลงควรจะเกิดขึ้นทันทีที่ร่างกายนี้กลาย


เป็ นศพ มูยองรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงออร่าปี ศาจที่อยู่หลังหน้ากากแพะ แต่ถ้าไม่ใช่ชายคนนี้ งั้นใครล่ะ?

ซูววว

ศพของชายสวมหน้ากากแพะกลายเป็ นฝุ่ นและปลิวไป

เห็นดังนั้นมูยองก็คิดอะไรบางอย่างออก
'มันเพิ่งจะย้ายร่างไป'

มูยองพยักหน้าให้กับความคิดตัวเอง วิญญาณได้ย้ายไปอีกร่างหนึ่ง

ในขณะที่ร่างเดิมตาย แต่มันคงไปไหนได้ไม่ไกล

มูยองมองไปที่บริวเณใต้หอคอย เบซองมินอัญเชิญมอนสเตอร์ต่างๆออกมาสู้กับพวกดาร์คเอลฟ์ แน่น่อนว่า


มันจะต้องเป็ นหนึ่งในดาร์คเอลฟ์ เหล่านั้น แต่กลิ่นของพวกมันสับสนปนเปกันมาก ทำให้แม้แต่มูยองก็ไม่
สามารถแยกแยะว่าใครเป็ นใครได้

ชิ!

มูยองรู้สึกหงุดหงิด

เป้ าหมายของเขาคือจัดการสิ่งต่างๆให้เร็วที่สุด เขาควรจะฆ่าทุกคนหรือไม่? แต่ไม่จำเป็ นต้องทำอะไรยุ่งยาก


แบบนั้น

ท่ามกลางพลังที่มูยองครอบครอง เขามีสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้ธรรมชาติของทุกสิ่งเด่นชัดขึ้น เรียลลิตี้มาเบิ้ล


ความรกร้างอันว้างเปล่า!

'ความรกร้างว่างเปล่า' เขาเปิ ดใช้งานเรียลลิตี้มาเบิ้ลครอบคลุมพื้นที่ขนาดกว้าง กว้างเสียจนซ้อนทับกับบาร์เรีย


ของเมืองๆนี้ นี่เป็ นสิ่งที่มีแต่มูยองเท่านั้นสามารถทำได้ ในไม่ช้าอาคารขนาดใหญ่ทั้งหมดก็หายไป และสภาพ
แวดล้อมก็กลายเป็ นซากปรักหักพัง

บางอย่างในนั้นกลายเป็ นขนาดเล็กลง บางอย่างก็กลายเป็ นขยายใหญ่ขึ้น บางอย่างยังกลายเป็ นสว่างไสว และ


บางอย่างก็กระทั่งกลายเป็ นดวงดาว แต่มีอยู่อย่างหนึ่งในนั้นที่ดึงดูดความสนใจของมูยองเป็ นพิเศษ

แพะดำตัวหนึ่งที่เดินด้วยสองเท้า! ดูเหมือนกันกำลังงงๆและกำลังตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ ราวกับว่า


ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกเปิ ดเผย ในเวลาเดียวกันนั้นเอง การต่อสู้ของเวซองมินก็สิ้นสุดลงพอดี

เหล่าดาร์คเอลฟ์ ต่างพากันสับสนสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พวกมันกำลังสำรวจสภาพแวดล้อมของตัว


เอง และแพะดำก็กลายนเป็ นสิ่งที่น่าจับตามองที่สุด

“ นั่นคือร่างจริงของ 'เทพเจ้า' ที่พวกนายรับใช้”

มูยองสยายปี กบินเข้าไปหาดันดาเลี่ยน

"เทพเจ้า…"
“ นั่นหรือคือรูปลักษณ์ 'เทพเจ้า' ของเรา? ”

พวกดาร์คเอลฟ์ ต่างตะลึงงัน ถึงจะมองออกว่ามันเป็ นแพะตัวสีดำ แต่จริงๆแล้วควรบอกว่ามันคือตัวประหลาด


มากกว่า มันมีตาสามดวง ปากสองปาก โดยที่มีร่างกายครึ่ งหนึ่งเป็ นผู้หญิง และอีกครึ่ งหนึ่งเป็ นผู้ชาย ถ้ายัง
บอกว่าไม่แปลก ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว? จากนั้นแพะดำดันดาเลี่ยนก็มองไปที่มูยอง

“ มีวิธีนี้เช่นนี้ด้วยสินะ”

มันแสดงความสนใจ ดันดาเลี่ยนพูดด้วยโทนเสียงปกติที่ฟังดูกระชับ ดูเหมือนว่ามันจะคาดไม่ถึง ใครจะคิดว่า


มีคนที่สามารถหาตามปี ศาจผู้ซึ่งซ่อนตัวได้?

ดันดาเลี่ยน กล่าว

“ เจ้าเป็ น…ตัวตนที่น่าสนุกจริงๆ ข้าเหมือนจะเคยเห็นพลังเทวะของเจ้าจากบางแห่ง แต่ก็มีบางอย่างที่ข้าไม่รู้


ยังไงก็ตามข้าแน่ใจว่าพลังครึ่ งหนึ่งนั้นเป็ นของลูซิเฟอร์เทวฑูตตกสวรรค์ ส่วนอีกครึ่ งหนึ่งเป็ นของใครกัน
นะ?”

ไม่แปลกสำหรับเจ้าแห่งการโกหกที่จะมีสายตาทะลุปรุโปร่งกว่าผู้ใด เนื่องจากไม่มีใครเคยเห็นพลังของลูซิ
เฟอร์จวบจนถึงปัจจุบันนี้ สมแล้วที่เป็ นถึงเทพปี ศาจ

และมูยองทำได้แค่กังวลใจเท่านั้น แค่มองมันก็รู้ความลับของมูยองแล้วครึ่ งหนึ่ง ดังนั้นปล่อยให้มันผ่อนคลาย


กว่านี้แล้วคงรู้ใส้รู้พุงทุกอย่างแน่ จากนั้นเขาก็จะสูญเสียร่างกาย รวมถึงวิญญาณของตน

“ นายอยากรู้เหรอ?”

"ก็ไม่มากนัก"

มันไม่ติดกับง่ายๆ เพราะดันดาเลี่ยนไม่จำเป็ นต้องขอความจริงจากมูยอง มันสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการผ่าน


การโกหกได้เอง

มูยองไม่ได้วางแผนที่จะพูดคุยอีกต่อไป หากมันปฏิเสธเขาจะใช้กำลังแล้ว

เทพปี ศาจแห่งการโกหก ถ้ามันอยู่คนเดียวโอกาสชนะก็ไม่ใช่ศูนย์ มูยองกำดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยวแน่น


ก่อนจะพูด

“ มอบปัจจัยในการทำลายเทพปี ศาจทั้งหมดที่นายรู้มาให้ฉัน”
มันคือปัจจัยการดับสูญ เงื่อนไขในการทำให้เทพปี ศาจสูญพันธุ์ ข้อมูลที่จำเป็ นในการฆ่าพวกมัน! ข้อมูลที่มู
ยองมีนั้นเป็ นเพียงขั้นต่ำสุด เนื่องจากในชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในสงครามระหว่างเทพปี ศาจ ดันดา
เลี่ยนมองมูยองด้วยดวงตาทั้งสามดวง มันไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจใดๆ แต่กลับค่อนข้างสนใจมูยองมากกว่า

“ แล้วเจ้าจะให้อะไรข้า”

บทที่ 236: ดันดาเลี่ยน (1)

แล้วมูยองจะให้อะไรมัน

“ กำจัดพวกเทพปี ศาจ”

มูยองตอบสั้นๆ

นี่เป็ นเพียงการคาดการณ์ของมูยองเกี่ยวกับความต้องการของดันดาเลี่ยน เพราะมันดูไม่ได้เป็ นที่ยอมรับเท่า


ไหร่ในหมู่เทพปี ศาจ ไม่งั้นมันคงไม่ถูกราชาปี ศาจเรียกว่าเป็ น 'เทพปี ศาจใฝ่ ต่ำ' อย่างนั้น

ตัวตนอันโดดเดี่ยวในหมู่เทพปี ศาจ มันทำทุกอย่างผู้เดียวและใช้ชีวิตโดยลำพัง การที่ในอดีตมูยองไม่เคยได้ยิน


ชื่อของมัน นั่นหมายความว่าดันดาเลี่ยนเป็ นเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้ถูกเทพปี ศาจฝ่ ายปฏิปักษ์กวาดล้าง

ยังไงก็ตามนั่นคือเหตุผลที่ดันดาเลี่ยนไม่มีความรู้สึกดีๆต่อพวกเทพปี ศาจอื่นๆ มูยองจึงเสนอการสังหารพวก


มันเพื่อเป็ นการแลกเปลี่ยน

โดยเท่าเทียมกัน เขาจะกำจัดเทพปี ศาจทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกมันจะเป็ นฝ่ ายปฏิปักษ์หรือไม่ และ


แน่นอนว่าดันดาเลี่ยนก็ถูกรวมอยู่ในรายการนั้นด้วย แต่เขาไม่ได้พูดออกมา

"กำจัดเทพปี ศาจ? เจ้ากำลังบอกว่าจะเป็ นผู้กำจัดเหล่าเทพปี ศาจทั้งหมดงั้นหรือ?”

วูม-

มันเป็ นในขณะนั้นจู่ๆโลกก็หยุดลง เอลฟ์ จำนวนนับไม่ถ้วน เบซองมินและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอยู่นอกกำแพง


ต่างก็หยุดชะงัก

ยังไงก็ตามโลกอันเดอร์เวิล์ดไม่ได้ถูกทำให้หยุดนิ่งจริงๆ

นี่เป็ นพลังอำนาจของดันดาเลี่ยน มันโคลนโลกอีกโลกหนึ่งขึ้นมาครอบคลุมมูยอง


มันคือโลกแห่งการโกหกของดันดาเลี่ยน

เห็นได้ชัดว่าเป็ นครั้งแรกที่มูยองเห็นพลังของเทพปี ศาจตรงๆ

แม้มูยองจะเคยเห็นเทพปี ศาจสังหารหมู่มนุษย์หลายครั้ง และเห็นจอมเวทย์อย่างเมอร์ลินต่อสู้กับเทพปี ศาจทั้ง


สาม แต่การเห็นกับการเผชิญหน้าโดยตรง แรงกดดันนั้นแตกต่างกัน

อย่างไรก็ตามมูยองเงยหน้าขึ้น

ไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป ในอดีตที่เขาทำได้เพียงมองดูเท่านั้น

เหตุผลที่เขาวิ่งโดยไม่หยุดพัก เขาแข็งแกร่งเพื่ออะไร?

มันคือการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เหรอ?

เพื่อปกป้ องตัวเองจากการคุกคามของเทพปี ศาจ และช่วยเหลือมนุษยชาติ!

เขากางปี กทั้งหกออก จากนั้นความร้อนก็เริ่มไหลซึมออกมาจากโลกแห่งการโกหกทีละนิด

หากปี ศาจตรงหน้าสามารถสร้างโลกด้วยการโกหกของตน

มูยองก็มีอาวุธพิเศษที่สามารถหลอมละลายโลกแห่งการโกหกนี้ได้

เปลวเพลิงของกาเบรียลที่สามรถชำระล้างให้ทุกสิ่งบริสุทธิ์ ได้ไม่เว้นแม้แต่ลูซิเฟอร์!

“ การกำจัดเทพปี ศาจก็เหมือนกับการทำลายโลกใบนี้ ไม่มีกฎที่สมบูรณ์แบบที่สุด หรือล้มเหลวที่สุด! เจ้ากำลัง


บอกว่าจะฝ่ าฝื นกฎนั้นหรือ?”

“ ถ้าโซโลมอนทำฉันก็ทำได้”

โซโลมอนทำลายกฎ เพื่อไม่ให้โลกถูกทำลาย

เขาผลักดันผู้คนในโลกนี้ ทำให้ทุกคนแข่งขันเข่นฆ่ากัน และกลายเป็ นศัตรูกับเหล่าเทพปี ศาจตัวตนที่แทบจะ


ไร้ทางต่อต้าน กฎงั้นหรอ? พวกมันไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอก

ยังไงก็ตาม…ดันดาเลี่ยนไม่ได้พูดความจริงไปซะหมด เขาปะปนคำหลอกลวงอยู่ในความจริงได้อย่าง
คลุมเครือ นั่นหมายความว่าอาจมีคำโกหกผสมในคำพูดของดันดาเลี่ยน
ดันดาเลี่ยนหัวเราะเมื่อชื่อของโซโลมอนออกมาจากปากของมูยอง

“ฮ่าๆๆๆ! เจ้านั่นมันโง่ที่ไม่แม้แต่เข้าใกล้ความจริงแต่ก็ฝื นทำลายกฎ! โซโลมอนสร้าง 'เรือโนอา' ขึ้นมาเพื่อ


ช่วยเหลือมนุษยชาติ จากนั้นยังกระจายกำลังออกไปต่อต้านเทพปี ศาจตามส่วนต่างๆของโลก ยังไงก็ตามมันยัง
คงล้มเหลว แล้วเจ้ายังบอกว่าต้องการที่จะทำลายกฎอีกคนเช่นนั้นเหรอ”

มูยองไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เขาได้แต่ขมวดคิ้ว

โลกที่โซโลมอนช่วยเอาไว้ไม่ควรจะเป็ นอันเดอร์เวิล์ด แต่มันต้องพูดถึงโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่

แต่เมื่อมูยองรวบรวมเรื่องราวที่ได้ยินและเห็น ผู้ที่นำโลกไปสู่ความพินาศก็คือโซโลมอน

…บางทีเขาอาจต้องการลบล้างบาปของตนในตอนท้าย หรือเขาแค่หว่านเมล็ดเหล่านั้นเอาไว้เฉยๆ เพราะ


เหตุผลของพวกมันไม่ตรงกันเลย

'เรือโนอา' ความหวังของมนุษยชาติ เครื่องจักรที่มูยองเจอในบึงลึก เขาได้แต่คิดว่าทำไมสิ่งเหล่านั้นถึงอยู่ใน


อันเดอร์เวิล์ด วิธีไหนที่พวกมันสามารถผ่านเข้ามาในอันเดอร์เวิล์ดได้

ถ้าโซโลมอนอยากจะหว่านเมล็ดแห่งความหวังจริงๆ เขาคงต้องไปที่พื้นที่แห่งความว่างเปล่ามากกว่า พวกมัน


ร่วงลงมาในอันเดอร์เวิล์ดโดยอิทธิพลของใครบางคน …เขาทำได้แค่คิดแบบนั้น และมีความเป็ นไปได้สูงที่
บางคนนั้นยังเป็ นโซโลมอนด้วย เขาไม่ได้สร้างเรือโนอานั้น แต่ทำให้เรือโนอาตกสู่อันเดอร์เวิล์ดต่างหาก

“ นั่นเป็ นเรื่องโกหก”

มูยองกล่าว แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากดันดาเลี่ยน

มันไม่ได้แม้แต่พยายามโน้มน้าวมูยองให้เชื่อ นั่นเป็ นเหตุผลที่ทำให้มูยองเดาทางยากว่ามันพูดความจริงหรือ


โกหกอยู่กันแน่

ดูเหมือนว่าความสามารถในการจับผิดของมูยอง จะไม่สามารถจัดการกับเทพปี ศาจที่เกิดมาเพื่อโกหกเช่นดัน


ดาเลี่ยนได้

แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ มูยองจะได้รับบางสิ่งมีค่าจากมัน

“ อันเดอร์เวิล์ดเป็ นเพียงส่วนหนึ่งของโลก หากกำแพงของอารามสีครามถูกทำลายมนุษย์จะสามารถกลับสู่


โลกเดิมได้ เจ้าไม่สามารถแม้แต่จะตระหนักถึงบางสิ่งที่เล็กน้อยเช่นนี้ และเอาแต่พูดว่าต้องการฝ่ าฝื นกฎ มัน
ตลกจริงๆ”
โกหกชัดๆ แต่แน่นอนว่าข่าวลือเช่นนี้เคยแพร่กระจายในอดีต ยังไงก็ตามมูยองก็สรุปว่า 'นั่นเป็ นไปไม่ได้'

เป็ นเพราะเทพปี ศาจเป็ นผู้ทำลายกำแพงนั้น พวกมันที่พยายามกำจัดเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ได้ทำลายกำแพงอาราม


สีครามพร้อมทั้งสังหารเมอร์ลิน นี่คือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ มูยองมั่นใจเพราะเขาเป็ นผู้ที่กลับมาสู่อดีต

“ นายคิดจะโกหกไปอีกนานแค่ไหน”

“ ข้าเป็ นศูนย์รวมของการโกหก แต่ทุกสิ่งที่ข้าพูดจนถึงตอนนี้คือความจริง ถึงเจ้าจะได้ครอบครองพลังเทวะที่


ยอดเยี่ยม แต่คงไม่สามารถต่อต้านเทพปี ศาจได้ หากเจ้าไม่ได้เข้าใกล้ความจริงที่ข้ากล่าว "

เมื่อมาถึงจุดนี้แม้แต่มูยองก็สับสน ดันดาเลี่ยนกำลังพูดเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น

มันบอกว่านั่นคือความจริง แต่คำพูดเหล่านั้นอาจเป็ นเรื่องโกหก

โกหกหรือเรื่องจริง? ด้านหนึ่งที่ยังสับสนก็เพราะว่ามูยองไม่รู้เรื่องโซโลมอนมากเท่าดันดาเลี่ยน

ดันดาเลี่ยนยังคงพูดต่อไป

"ข้ารู้ทุกอย่าง ข้าได้รับร่างของผู้คนนับร้อยพัน และได้รับน้ำพุแห่งความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ข้ายังเคยอยู่ในสถานที่ที่


เจ้าเรียกว่า 'โลก' และเคยใช้เวลาในฐานะมนุษย์ยาวนาน”

“ ไม่ใช่ว่าเทพปี ศาจถูกเลเมเกทัลผนึกไว้เหรอ?”

“ ข้าไม่มีร่างที่แน่นอนจึงไม่ได้ถูกผนึกเอาไว้ มันเป็ นอำนาจพิเศษที่มอบให้ข้าเท่านั้น และนั่นคือเหตุผลที่เทพ


ปี ศาจอื่นๆไม่ยอมรับข้า พวกมันกลัวผู้ที่รู้และมีประสบการณ์มากมาย ดังนั้นพวกมันจึงให้ความอัปยศแก่ข้า
ด้วยการตราหน้าว่าเป็ นอวตารแห่งการโกหก"

นั่นดูน่าเชื่อถือมาก คำพูดของดันดาเลี่ยนมีอำนาจในการโน้มน้าวผู้อื่น แม้แต่พลังในการเห็นทุกข์สุขในสรรพ


สิ่งของมูยองก็ไม่พบจุดผิดสังเกต

มูยองคิดว่าจะต้องมีความจริงปะปนอยู่ในคำพูดของมันด้วย ดังนั้นไม่ง่ายเลยที่จะแยกแยะว่าสิ่งไหนที่เป็ น
เรื่องโกหกและสิ่งไหนไม่ใช่

“ เงื่อนไขปัจจัยที่จะทำลายเทพปี ศาจ? ข้ารู้ทุกเงื่อนไขของพวกมัน เจ้าไม่ต้องการรู้หรอกรึ? เจ้าต้องการเข้า


ใกล้ความจริงหรือไม่?”

มูยองแสร้งยิ้ม
แน่นอนว่าดันดาเลี่ยนค่อนข้างจะจัดการได้ยาก แม้ว่ามูยองจะฆ่ามันที่นี่ มันก็คงไม่ตายจริงๆเพราะไม่มี
ร่างกายที่แน่นอน และแผนการของมูยองที่จะทำให้มันกลายเป็ นอันเดธก็พังทลายลงไปด้วย

แต่ตอนนี้เขาต้องการ 'เงื่อนไขปัจจัย' ในการฆ่ามัน เขาต้องมีเงื่อนไขนั้นเพื่อข่มขู่มันสำหรับประโยชน์ที่มากก


ว่า

“ถ้าฉันอยากรู้ ฉันต้องให้อะไรนายล่ะ?”

“ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะไปสังหารพวกมันหรอกหรือ? ข้ากำลังพูดถึงผู้ที่มอบชื่อแห่งการโหกให้ข้า”

มูยองพยักหน้า

"ฉันให้สัญญา ฉันจะสังหารพวกมันให้นาย”

"ยอดเยี่ยม ข้าจะจารึกเงื่อนไขของพวกมันไว้ในจิตใจของเจ้า”

จากนั้นโลกก็เริ่มหมุนอีกครั้ง

นาฬิกาแห่งกาลเวลาเริ่มหมุนอีกครั้ง และพวกเขาก็กลับไปยืนอยู่ที่สนามรบ

มูยองตรวจสอบสภาพแวดล้อมของเขา

เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเงื่อนไขแล้ว ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม แต่แน่นอนว่าเขาจะกลายเป็ นภัยคุกคามต่อเทพ


ปี ศาจจำนวนมาก

“ นายท่านทุกอย่างราบรื่นไหม”

เบซองมินถาม

มูยองพยักหน้าและดึงความโกรธเกรี้ ยวออกมา

“ ฆ่าดาร์คเอลฟ์ ที่เหลือให้หมด อย่าปล่อยให้วิญญาณของมันไปสิงอยู่ที่ร่างอื่น!”

มูยองทำลายบาร์เรีย และระดมกองกำลังทั้งหมดของเขาดำเนินการสังหารหมู่อย่างไร้ความปราณี โดยไม่เลือก


ปฏิบัติจากชายหรือหญิง เมืองของดาร์คเอลฟ์ ก็ถูกย้อมด้วยเลือด

“ นี่มันไม่ถูกต้อง นี่มันโหดร้ายเกินไป”
ไฮเอลฟ์ จินกล่าว

มูยองยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

“ มันเป็ นเรื่องจำเป็ น ถ้าดันดาเลี่ยนย้ายไปอยู่อีกร่างหนึ่ง การจับตัวมันจะเป็ นไปไม่ได้เลย”

“ ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ? ท่านต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดเช่นนี้หรือ?”

"ถูกต้อง"

มูยองยืนยัน และเขาไม่ฟังความคิดเห็นอื่น

เขาต้องการดำเนินการทุกสิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม

“ เตรียมตัวซะ เราจะไปพบกับเกรโมรี่”

ตอนนี้เขารู้เงื่อนไขแล้ว ไม่จำเป็ นต้องล่าช้าอีกต่อไป

จากนั้นมูยองก็เผาทั้งเมืองด้วยเปลวเพลิง ราวกับว่าเขาไม่ต้องการแม้แต่จะทิ้งซากศพไว้เบื้องหลัง

มูยองจัดลำดับความสำคัญตามประสิทธิภาพ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ก็แค่ความเย็นชาจากเมื่อก่อน


ได้กลับมา

ยังไงก็ตามพวกผู้ติดตามของเขาดูไม่สบายใจเท่าไหร่ มูยองเป็ นคนที่พวกเขาเชื่อและติดตาม แต่ดูเหมือนว่ามี


บางอย่างรบกวนพวกเขาอยู่

“ปา?”

ขนาดสโนว์ยังไม่กล้าเข้าไปหามูยอง ถ้าเป็ นเมื่อก่อนเธอจะต้องวิ่งเข้าไปอ้อนมูยองแล้ว แต่กลับพากันรักษา


ระยะห่างไว้หลังจากที่มูยองสั่งสังหารหมู่เหล่าดาร์คเอลฟ์

ทุกคนต่างรู้สึกอย่างนั้นแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร คนเดียวที่พูดสิ่งที่พวกเขารู้สึกออกมาคืออาซูล

“ หรือว่าดันดาเลี่ยนจะควบคุมร่างกายของเขาไว้แล้ว แต่ไม่ต้องกังวลไป เขาอาจเป็ นดันดาเลี่ยนแต่ก็เป็ นมูยอง


ในเวลาเดียวกัน เพราะดันดาเลี่ยนจะทำทุกอย่างตามที่เจ้าของร่างเดิมต้องการทุกประการ ดังนั้นพวกเจ้าอย่า
ห่วงไปเลยว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้”
มีความเป็ นไปได้ที่ดันดาเลี่ยนจะควบคุมร่างกายของมูยอง! อาซุลแสดงออกอย่างพอใจ แต่คนอื่นไม่สามารถ
ยอมรับได้ง่ายๆ

เหตุผลที่พวกเขาติดตามมูยองไม่ใช่เพราะมีวัตถุประสงค์อะไร พวกเขาติดตามมูยองเพียงเพราะนั่นเป็ นมูยอง

“ เจ้ามีวิธียืนยันหรือเปล่าว่านั้นเป็ นใครกันแน่?”

ทาร์แแคนถาม และอาซูลหัวเราะ

“ สังหารเขา ผู้ที่สังหารเขาจะรู้ว่านั่นเป็ นตัวจริงหรือปลอม”

ทุกคนเงียบไป ไม่มีใครสามารถทำได้

เบซองมินพยายามเลิกคิดอะไรที่ฟุ้ งซ่าน ภายนอกของมูยองไม่ได้ดูแตกต่างจากเดิม แต่ความรู้สึกที่ 'เชื่อมโยง'


มูยองกับเขาไว้ด้วยกันทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก บางทีเขาอาจเป็ นมูยองจริงๆ และการที่พวกเขารู้สึกแปลกๆอย่างนั้นเพราะ


ประสบอุบัติเหตุบางอย่างหลังจากพบกับดันดาเลี่ยน

ทว่า…ในเวลาเดียวกันพวกเขาไม่สามารถซ่อนความวิตกกังวลได้ ดันดาเลี่ยนสามารถยึดครองร่างของมูยอง
ได้จริงหรือ?

ข้อสงสัยนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนกังวล ยังไงก็ตามพวกเขาไม่ได้เชื่อคำพูดของอาซูลทั้งหมดเช่นกัน

บทที่ 237:ดันดาเลี่ยน(สิ้นสุด)

มูยองตระหนักดีถึงความสับสนที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารู้สึก แต่มูยองก็ปล่อยให้พวกเขาคิดอย่างนั้น
เนื่องจากการแก้ตัวคงไม่มีประโยชน์เท่าไหร่และอาจทำให้สับสนยิ่งขึ้น เพราะดันดาเลี่ยนเป็ นตัวตนที่สร้าง
ความสับสนให้ผู้อื่นเก่ง

แม้จิตวิญญาณของเขาจะหายไปก็ตาม แต่มูยองยังคงเชื่อมต่อกับดันดาเลี่ยน มูยองตัดสินใจที่จะรอจังหวะ


มากกว่า

'แรงกดดันจากเทพปี ศาจดูแข็งแกร่งขึ้น'

ตอนนี้มูยองเข้าใกล้ 'รอยแยก' ที่เกรโมรี่อาศัยอยู่แล้วจากการนำทางของดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยว

ยังไงก็ตามออร่าของเทพปี ศาจก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเข้าใกล้รอยแยก
นั่นจะใช่เกรโมรี่รึเปล่า? ถ้าพลังที่ทะลักออกมาจากรอยแยกเป็ นของเกรโมรี่ก็คงไม่เป็ นไร

'มันไม่ใช่เกรโมรี่'

มูยองส่ายหัว

เกรโมรี่ไม่เคยปล่อยออร่าที่ทำให้รู้สึกถึงการคุกคามเช่นนี้ และสถานที่ที่ออร่าอันน่าอึดอัดถูกปล่อยมาก็ไม่น่า
จะอยู่ที่รอยแยก

“ จัดหน่วยรบเคลื่อนที่เร็วออกไปตรวจสอบพื้นที่รอบๆ และให้ทุกคนซ่อนตัวเอาไว้ ”

มูยองต้องคำนึงถึงความน่าจะเป็ นที่เกรโมรี่อาจเสียท่าไปแล้ว และสั่งให้ทุกคนซ่อนตัว

หากออร่าที่ถูกปล่อยออกมาเป็ นของเทพปี ศาจที่สังหารเกรโมรี่และฝ่ ายปฏิปักษ์ มูยองจำเป็ นต้องเคลื่อนไหว


อย่างระมัดระวังมากขึ้น

แน่นอนว่ามูยองสามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ ายโดยไม่จำเป็ นต้องเห็นตัว แต่ฝ่ ายนั้นก็ย่อมสัมผัสถึงมู


ยองได้เช่นกัน

นั่นเป็ นสาเหตุที่เขาส่งหน่วยสอดแนมออกไปเพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมจากจุดที่อีกฝ่ ายไม่สามารถหาเขา


เจอ

คุณอาจคิดว่านั่นอาจเป็ นเทพปี ศาจฝ่ ายปฏิปักษ์ก็ได้ แต่พวกเขาจะปล่อยออร่ามุ่งร้ายออกมาเช่นนี้หรือไม่?

และผู้ที่เล็งเป้ าไปที่เกรโมรี่แน่นอนว่าต้องมาจากฝ่ ายสนับสนุน พวกมันจ้องกำจัดเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่ขัดขวาง


ตนอยู่แล้ว

หลังจากรอประมาณครึ่ งวัน ทาร์แคนและหน่วยสอดแนมก็กลับมา

พวกเขาจับปี ศาจกลับมาด้วย

ร่างกายของมันมอมแมม ใบหน้าบูดเบี้ยว แต่พวกเขาก็รู้สึกถึงพลังเวทมนตร์ที่แข็งแกร่ง

“ บ้าไปแล้ว”

เมื่ออาซูลเห็นปี ศาจตนนั้นก็สบถออกมาขณะที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ทาร์แคนเดินเข้าไปรายงานมูยองเกี่ยวกับปี ศาจ

“ เจอปี ศาจมากมายเลย ดูเหมือนว่าจะมากกว่าหนึ่งล้านตน โชคดีที่เราจับได้ตัวหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็ นหัวหน้า


กลุ่ม"

มูยองถาม

“ หัวหน้ากลุ่ม? กลุ่มของใคร?”

“เลราเจ! เทพปี ศาจแห่งสมรภูมิรบ!”

ผู้ที่ตอบไม่ใช่ทาร์แคน แต่เป็ นอาซูล

อาซูลดูเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง มันแตกต่างจากตอนที่เขาสั่นกลัวเมื่อมองเอนโรธ เขาเหมือนรู้เรื่องความชั่วร้าย


ของมัน

'เลราเจ ฮึ'

เทพปี ศาจลำดับที่ 14, เลราเจ

มันเป็ นเทพปี ศาจที่เกี่ยวข้องกับ 'สมรภูมิรบ' โดยแท้จริง และเงื่อนไขในการดับสูญของมันนั้นง่ายมาก

นั่นคือ 'การพ่ายแพ้ในสงคราม'

มูยองสามารถกำจัดมันได้ หากทำให้มันพ่ายแพ้ในสนามรบ

ยังไงก็ตามในสงครามทุกครั้งที่ผ่านมามันยังไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว

“ ตอนนี้ข้าขอเตือนเจ้าจริงๆ ถ้าหากยังอยากมีชีวิตที่ยืนยาวอย่าเป็ นศัตรูกับเลราเจ ”

อาซูลพูดด้วยความจริงใจ

มูยองลูบคางครุ่นคิด

เลราเจเป็ นเทพปี ศาจที่แข็งแกร่งแน่นอน มันเป็ นหนึ่งในคนที่โดดเด่นที่สุด อย่างน้อยก็ในสงคราม มูยองมีกอง


กำลังและไพ่ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้น้อยกว่ามันมาก
ประการแรก มีราชาปี ศาจมากกว่าสามสิบตนภายใต้เลราเจ พวกมันอาจอ่อนแอกว่าเอนโรธ แต่หากเผชิญหน้า
กับพวกมันทั้ง 30 ตนในครั้งเดียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

หากมูยองกำลังไปที่นั่น นั่นก็ไม่ต่างจากผีเสื้อที่บินตรงเข้าไปหาเปลวเพลิง

มูยองรู้สึกได้ถึงสายตาอันแหลมคมกำลังทิ่มแทงเขาอยู่ใกล้ๆ มูยองเผชิญกับความยากลำบากหลายครั้งและไม่
เคยแพ้ถึงตอนนี้ ดูเหมือนเขาเชื่อว่าตนสามารถทำทุกสิ่งได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สำหรับสถานการณ์นี้เขาไม่
สามารถหาคำตอบได้ แม้ว่าจะคำนวณตัวแปรหลายตัว

“ ฉันควรพูดคุยอย่างละเอียดกับไอ้ปี ศาจหัวหน้าตัวนี้”

หากเขาต้องการที่จะเข้าใจศัตรูอย่างละเอียดก็ต้องซักถามปี ศาจตัวนี้ก่อน

กองทัพปี ศาจจำนวน 2 ล้านสองแสนตน ราชาปี ศาจอีก 30 ตนที่ทำงานให้มัน

นั่นหมายความว่า มันเป็ นกองกำลังขนาดมหึมาที่ประกอบไปด้วยกองทหารขนาดใหญ่กว่า 30 กอง สองตนใน


นั้นอยู่ในระดับเดียวกับชาร์ซาซ่า

หัวหน้ากลุ่มยังกล่าวอีกว่า ที่เลราเจนำกองทัพเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ก็เพื่อจัดการเกรโมรี่ และสิ่งที่มันบอก


ย่อมเชื่อถือได้เนื่องจากมูยองถามหลังจากที่เปลี่ยนมันเป็ นอันเดธแล้ว

เมื่อมูยองฟังเรื่องนี้แล้วก็เดาว่า เลราเจอาจรู้เงื่อนไขการดับสูญของเกรโมรี่

'ขนาดฉันยังไม่รู้เงื่อนไขการดับสูญของเกรโมรี่เลย'

ดันดาเลี่ยนบอกว่ารู้เงื่อนไขการดับสูญของเทพปี ศาจทั้งหมด แต่นั่นเป็ นเรื่องโกหก เขาสามารถเข้าใจได้เพียง


ครึ่ งเดียวเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า มูยองต้องหาข้อมูลสำหรับส่วนที่เหลือด้วยตัวเอง

'นั่นยังไม่พอ' เขาไม่มีข้อมูลมากพอที่จะเอาชนะเลราเจได้

เหลือแค่ติดต่อกับเกรโมรี่ให้ได้และร่วมมือกัน ยังไงก็ตามตอนนี้ทางเดินสู่รอยแยกโดนขวางเอาไว้

มูยองส่ายหัว เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วความน่าจะเป็ นที่จะเอาชนะเลราเจได้คือ 0 แม้ว่าเขาจะเป็ นพันธมิตร


กับเกรโมรี่อย่างลับๆ ความน่าจะเป็ นนั้นก็ไม่เกิน 1%

เทพปี ศาจที่เก่งกาจในสนามรบ มันเป็ นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะเขาในสงคราม เขาจำเป็ นต้องพุ่งเข้าใส่ความพ่าย


แพ้หรือไม่?
คำตอบคือไม่ มันเป็ นการดีกว่าที่จะถอยออกมาเตรียมตัว และคิดถึงวิธีอื่น

“ เราจะถอยกันก่อน”

เขาตัดสินใจถอย เนื่องจากเขาไม่สามารถตอบคำถามสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันได้

การเอาชนะเทพปี ศาจทั้งหมดคือภารกิจที่มอบให้เขา แต่ความน่าจะเป็ นที่จะเกิดขึ้นคือ '0' ตอนนี้เขาไม่


สามารถทำอะไรกับเลราเจได้ เขาจะทำอย่างไรกับเทพปี ศาจที่แข็งแกร่งกว่าเขา?

เขาต้องตรงเข้าไปรับความพ่ายแพ้หรือไม่ นั่นเป็ นสิ่งโง่นักหากทำลงไป

เขาจะกลับไปและปรับปรุงตัวเอง เพิ่มกองกำลังให้มากขึ้นและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง แต่นั่นยังไม่เพียงพอ


ความจริงคือพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเลราเจเพียงลำพังได้

หรือจะหาความร่วมมือจากเทพปี ศาจฝ่ ายปฏิปักษ์... แต่หากเขาไม่ได้รับการยอมรับจากเกรโมรี่ มันคงเป็ นการ


ยากที่จะได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าเทพปี ศาจฝ่ ายปฏิปักษ์ตนอื่น

ในตอนแรก เหตุผลที่เขาพยายามที่จะรับการยอมรับจากเกรโมรี่คือการควบคุมเทพปี ศาจ และสร้างความ


สับสน

'ฉันจะไปทำได้ยังไง?'

เขาขบฟันแน่นและรู้สึกกดดัน เขาคิดอะไรโง่ๆเช่นนั้นได้อย่างไร?

เขามั่นใจในสิ่งที่เป็ นไปไม่ได้ได้ยังไง?

เขาไม่เข้าใจ และไม่แม้แต่จะพยายามเข้าใจ

เพราะ…เขาไม่สามารถกลายเป็ น 'มูยอง' ได้อย่างแท้จริง

―นายไม่ยอมแพ้เร็วไปหน่อยเหรอ?

มีเสียงดังก้องอยู่ในหัวของเขา

มูยองขมวดคิ้ว ไม่สิ 'ดันดาเลี่ยน' ที่สวมหน้ากากของมูยองต่างหากที่ขมวดคิ้ว

“ได้ยังไง? จิตวิญญาณของเจ้าต้องหายไปแล้วนี่?”
สัญญาเกิดขึ้นเมื่อมูยองตกลง ดันดาเลี่ยนสามารถควบคุมร่างกายของมูยองได้อย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้นดันดาเลี่ยนก็เริ่มเลียนแบบมูยอง เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็ นมูยอง

แต่มันไม่สามารถเข้าใจได้ ที่มันไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จ

― ฉันก็แค่ซ่อนจิตวิญญาณของตัวเองเอาไว้

ตัวตนในหัวของตัวเองกำลังเยาะเย้ยมัน

ดันดาเลี่ยนปั่นป่ วน

ซ่อนวิญญาณ

มันเป็ นไปได้ไหม?

ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถซ่อนโดยที่ดันดาเลี่ยนผู้ซึ่งควบคุมร่างกายอยู่ไม่สังเกตเห็น

―ขอบคุณนายมากดันดาเลี่ยนที่ทำให้ฉันรู้หลายๆอย่าง

เสียงของมูยองตัวจริงดังขึ้น

ดันดาเลี่ยนเบิกตากว้าง

อย่าบอกนะ?ว่ามันคาดคะเนเงื่อนไขการดับสูญของข้าได้แล้ว?

มูยองซ่อนตัวตนไว้และค้นหาความลับทั้งหมดของมัน... !

― ก็ไม่มีอะไรมากเป็ นพิเศษนะ ห้ามให้ใครรู้ชื่อจริง ห้ามทำภารกิจล้มเหลว!

ภารกิจที่ว่าคือภารกิจของร่างกายที่ควบคุมเอาไว้ และดันดาเลี่ยนก็สรุปว่าภารกิจของมูยองนั้นเป็ นไปไม่ได้

สุดท้ายหนึ่งในเงื่อนไขก็ถูกเปิ ดใช้งาน ตอนนี้เงื่อนไขการดับสูญของดันดาเลี่ยนจะครบทันทีที่มูยองเรียกชื่อ


จริงของมัน

"หยุด! เจ้ายังต้องการความช่วยเหลือจากข้าในการทำลายเทพปี ศาจตนอื่น แม้ว่ามันเป็ นไปไม่ได้สำหรับเจ้า


แต่มันเป็ นไปได้สำหรับข้า ถ้ามีข้าอยู่เจ้าจะสามารถเข้าใจทุกอย่างจากพวกมันและเอาชนะพวกมันได้!”
―ดันดาเลี่ยนนายมันก็ทำได้แค่เลียนแบบ นายครอบครางร่างของฉัน แต่ไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งเกี่ยวกับฉันเลย

เขาจะถอยง่ายๆเมื่อเลราเจอยู่ต่อหน้างั้นเหรอ มันช่างโง่เหลือเกิน?

แม้ว่ามันจะดูเป็ นไปไม่ได้ เขาก็ไม่ควรสรุปผลลัพธ์ก่อนที่จะได้เผชิญ อย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่วิธีการที่มูยองชอบ


ใช้

แม้ว่าดันดาเลี่ยนจะเลียนแบบมูยอง แต่เขาก็ไม่สามารถกลายเป็ นมูยองได้ สุดท้ายมันก็เป็ นเพียงการลอกเลียน


แบบ นั่นคือเหตุผลที่คนอื่นรู้สึกแปลกๆยามที่ดันดาเลี่ยนคุมร่าง

― จาเมสครั้งหนึ่งนายเคยเป็ นมนุษย์นี่ แล้วนายกลายเป็ นเทพปี ศาจได้ยังไง?

“อ๊าก!”

ดันดาเลี่ยนบีบหน้าอกตัวเอง

แม้แต่มูยองก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อแอบดูความทรงจำบางส่วนของดันดาเลี่ยน เขาไม่อาจเข้าใจได้ทุกอย่าง
เนื่องจากช่วงเวลาที่ดันดาเลี่ยนใช้ไปนั้นเยอะเกินไป

ยังไงก็ตามมีเรื่องหนึ่งที่มูยองรู้ นั่นคือดันดาเลี่ยนไม่ได้เป็ นเทพปี ศาจตั้งแต่แรก

มันเคยเป็ นมนุษย์

“ เจ้าจะต้องเสียใจหากรู้ความจริง เจ้าจะหลงทางจนสูญเสียเป้ าหมาย เพราะไม่มี "ความหวัง" อยู่ในโลกใบ


นี้!”

มันเดินโซเซ

ฟูม!

ปี กของเขากางออกและเริ่มลุกไหม้

เปลวเพลิงแผดเผาดันดาเลี่ยนในร่างของมูยอง

เปลวเพลิงแห่งการชำระล้าง พลังของกาเบรียลได้ถูกเปิ ดใช้งาน ชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ จากความเสื่อม


เสีย
ดันดาเลี่ยนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้น…ทั่วทั้งร่างก็ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้เกิดจนกลายเป็ นสีดำ และ
วิญญาณของดันดาเลี่ยนก็หายไป

ตุบ!

มูยองลุกขึ้นยืนหลังจากยึดร่างคืนได้ ในขณะที่ยังมีควันไฟลอยคลุ้งอยู่รอบๆ

เขาน่าจะตายไปแล้ว แต่มูยองเป็ นผู้อมตะ เขาไม่ตายง่ายๆเพราะถูกไฟไหม้

มูยองมองดูท้องฟ้ า ขอบคุณที่กองทัพของเขาไม่ได้รับความเสียหายใดๆ

เขาแสดงออกอย่างซับซ้อน

'ขนาดความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ยังน่าอึดอัด'

มูยองเห็นความทรงจำของมัน แต่เขาไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่ในนั้น หมายความว่าความทรงจำของมันขาด


ความถูกต้อง

'โซโลมอน, โลกที่ถูกทำลายและอาจรวมถึงเทพปี ศาจตนอื่นๆด้วย ... '

มูยองส่ายหัว ผลลัพธ์ไม่เปลี่ยนแปลงสิ่ง ที่เขาต้องทำยังเหมือนเดิม

มูยองสร้างผิวหนังขึ้นใหม่และเหม่อมองไปยังที่ห่างไกล ดันดาเลี่ยนเอาแต่พูดว่ามันเป็ นไปไม่ได้ แต่มูยองคิด


ว่ายังมีโอกาสอยู่บ้าง

'สกายลอร์ด'

ดูเหมือนว่าดันดาเลี่ยนไม่รู้ว่าร่างนี้เป็ นที่น่าหลงใหลของเหล่ามอนสเตอร์

บทที่ 238: สกายลอร์ด (1)

เทพปี ศาจเลราเจ เป็ นผู้บังคับบัญชาปี ศาจมากกว่าสองล้านตัว

และปัจจุบันมันกำลังพยายามกำจัดเกรโมรี่ มันสวมเสื้อเกราะสีเขียว และสวมหมวกนักรบมีเขา ทุกส่วนสัด


เต็มไปด้วยลักษณะทั่วไปของนักล่า

ร่างกายของมันสูงใหญ่เกือบ 50 ม. ใช้ดาบและธนูที่ใหญ่โตเหมาะสมกับรูปร่างตนเองเป็ นอาวุธ


"ระยะห่างเริ่มสั้นลงแล้ว"

ณ ที่ราบกว้าง ปี ศาจ 2 ล้านตนรวมกันอยู่รอบๆพื้นที่ซึ่งเป็ นหลุมวงกลม ราชาปี ศาจตนหนึ่งเดินนำออกมา


กล่าวพูดกับเลราเจราวกับกระซิบ เมื่อฟังความจบ เลราเจก็ก้มหน้าลงครุ่นคิด

“ เกรโมรี่ดูเหมือนนี่จะเป็ นการพยายามดิ้นรนครั้งสุดท้ายของเธอสินะ”

มันเลื่อนสายตาลงไปจับจ้องที่หลุมเบื้องล่าง พื้นดินที่ยุบตัวลงนี้ เป็ นสถานที่ที่เชื่อมโยงกับรอยแยกของเกรโม


รี่ อย่างไรก็ตามถ้าไม่ได้เปิ ดจากด้านใน ใครก็ยากที่จะแทรกซึมเข้าไปได้ หากมันสามารถกำหนดที่ตั้งของรอย
แยกได้ คงไม่ต้องมานั่งรอคอยเช่นนี้

'ประตูที่นำไปสู่รอยแยกเปลี่ยนแปลงที่ตั้งอยู่ตลอดเวลา'

เกรโมรี่ก็เดาทางไว้อยู่แล้วว่าเทพปี ศาจจากด้านนอกจะต้องพยายามเข้ามา ดังนั้นเธอจึงคอยเปลี่ยน 'ประตู'


ก่อนที่รอยแยกจะถูกเชื่อมโยง

'นี่จะต้องใช้พลังเวทมนตร์มหาศาล มันเหมือนการฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง '

แน่นอนมันเป็ นวิธีที่สามารถซื้อเวลาได้ แต่ก็ได้แค่นั้นจริงๆ เมื่อเวลาผ่านไปเธอย่อมไม่สามารถต้านทาน


จำนวนพลังเวทที่สูญเสียไปได้ แม้ว่าจะเป็ นเทพปี ศาจแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีพลังเวทมนตร์มากมาย ใน
สักวันเธอจะต้องถึงขีดจำกัด และสุดท้ายทุกอย่างก็จะเหลือไว้แต่ความพินาศ

เลราเจ ตราบใดที่มันยังคุมพื้นที่รอบๆเอาไว้ยังไงเธอก็หนีไม่พ้น

“ ไม่สนุกเลยแฮะ”

มันเป็ นเทพปี ศาจแห่งสมรภูมิรบ มันสนุกกับการทำสงครามและไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันาต้องการชัยชนะที่น่าเบื่อแบบนี้ ตัวตนของมันมีอยู่เพื่อการต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ
เท่านั้น มันไม่ชอบการชนะที่เกิดจากแค่การเฝ้ าระวังรอบๆเหมือนผู้เฝ้ ายาม

ร่างกายของมันอยากปะทะ มีเพียงเทพปี ศาจเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปี ศาจด้วยกันได้ และมันเชื่อว่า


ผู้ที่เป็ นถึงหัวหน้าของฝ่ ายปฏิปักษ์อย่างเกรโมรี่จะต้องเป็ นคู่ต่อสู้ที่ดีแน่ๆ ยังไงก็ตามมันต้องผิดหวัง และนั่น
เป็ นเหตุผลที่ทำไมเลราเจถึงได้หงุดหงิด

“เดียโบลไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนนะ? ข้าน่าจะไม่เบื่อเช่นนี้ถ้าผู้ที่สังหารเฮอเรสปรากฏตัวขึ้น”

เลราเจแตะธนูที่สะพายบนหลังของตน มันเป็ นเทพปี ศาจแห่งสนามรบและยังเป็ นนักล่ามังกร


มังกรหลายร้อยตัวถูกธนูของมันสังหาร

เดียโบลก็มีลักษณะคล้ายเผ่ามังกรเช่นกัน และหากสามารถสังหารมันได้คงจะดีไม่น้อย

สำหรับเดียโบลผู้ที่ดับลมหายใจของเฮอเรสเทพปี ศาจแห่งเปลวเพลิงด้วยเปลวเพลิง

การที่สามารถพิชิตและประดับหัวของมันไว้บนปราสาท สถานะของตนจะต้องดูสูงส่งกว่าเทพปี ศาจใดๆ

ราชาปี ศาจตอบเลราเจ

“ เรากำลังค้นหาอย่างต่อเนื่อง แต่…ไม่เจอร่องรอยอะไรเลย ยังไงก็ตามมีข้อสงสัยว่าเดียโบลได้ผ่านสกายลอร์


ดมาถึงที่นี่แล้ว”

“ เฮอเรสถูกเดียโบลสังหารลงที่นี่! เห็นได้ชัดว่าเกรโมรี่สามารถอัญเชิญเดียโบลได้

ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นก็คงเป็ นฝี มือของผู้อื่น”

เดียโบล มันเป็ นเทพปี ศาจจากมิติอื่น อย่างน้อยมันก็ไม่เข้ากันกับโลกนี้ ตัวตนต่างถิ่น มอนสเตอร์แปลกหน้า


และบางสิ่งจากภายนอกที่ไม่ควรมีอยู่

ดังนั้นพวกมันจึงสร้างสกายลอร์ดเพื่อขวางมันเอาไว้ที่เส้นกั้นเขตแดน อย่างน้อยก็จนกว่าพวกมันจะสามารถ
กำจัดความวุ่นวายภายในและฝ่ ายตรงข้ามได้ก่อน

แต่มันกลับโผล่มาสังหารเฮอเรสที่นี่ได้ยังไง?...”

แน่นอนว่าเป็ นเพราะ 'การแทรกแซง' ของเกรโมรี่ หรือผู้อื่น มันเคยได้ยินว่ายังมีบุคคลที่สามอื่นอีก

'ข้าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเปลวเพลิงของมันไม่ได้ผลกับข้า' อย่างไรก็ตามเลราเจไม่สนใจ เลราเจสนใจเพียงว่า


หากเดียโบลปรากฏตัวขึ้น มันจะตามล่ามันและทำให้มันกลายเป็ นของที่ระลึก ถ้าใครกล้าเข้ามาขวางมันก็จะ
กำจัดซะ เลราเจให้ความสำคัญกับเดียโบลอย่างสมบูรณ์มากกว่าเกรโมรี่ที่ซ่อนตัวอยู่ด้วยซ้ำ

'หากคนนอกเข้ามาได้ นั้นหมายถึงเราก็สามารถออกไปข้างนอกได้เช่นกัน '

ถูกต้องแล้ว เดียโบลเป็ นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่ง แม้จะไม่แน่ใจว่ามันเข้ามาได้อย่างไรก็ตามที กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็


คือมีทางเดินเชื่อมต่อกับด้านนอก!
'ข้าสามารถเป็ นอิสระจากคำสาปของโซโลมอนได้' เลราเจกัดฟันแน่น เดียโบลเป็ นเพียงการเริ่มต้นสำหรับ
แผนที่ยิ่งใหญ่ของเลราเจเท่านั้น

“ หามันให้เจอ ข้าไม่สนใจว่าจะต้องใช้วิธีการอะไร ”

"ข้าจะทำให้ดีที่สุด นอกจากนี้ยัง...”

“ เจ้ามีอะไรจะพูดอีก?”

“ ไกลจากที่นี่ ข้าพบ 'ร่องรอย' ของกองทัพขนาดใหญ่”

เลราเจขมวดคิ้ว “ กองทัพงั้นรึ? ไกลจนข้าตรวจไม่พบเชียว?”

“ เป็ นเช่นนั้น พวกมันอยู่ไกลเกินกว่าที่ท่านจะตรวจพบ ข้าคิดว่ามีทหารนับแสนอยู่ที่นั่น”

เลราเจสบตาราชาปี ศาจผู้นำข่าวมารายงาน เลราเจมีดวงตาที่อนุญาตให้เขาตรวจจับวัตถุที่อยู่ห่างออกไป 100


กม. และระยะทางที่เขาสามารถสัมผัสได้เป็ นถึงสองเท่าของสายตา หมายความว่ากองทัพดังกล่าวอยู่ไกลกว่า
200 กม.ในขณะที่ลบร่องรอยอย่างสมบูรณ์ เลราเจปี ศาจเทพแห่งสมรภูมิรบที่มักตื่นตัวอยู่เสมอ

“ จากร่องรอยที่เจ้าพบ แสดงว่ามันไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว ? ”

“ ใช่ครับ เรากำลังเร่งตามรอยของพวกมันอยู่ในขณะนี้”

เลราเจขมวดคิ้ว

เป็ นเทพปี ศาจจากฝ่ ายตรงข้ามหรือไม่?

อย่างไรก็ตามไม่มีทางที่ฝ่ ายตรงข้ามจะเดินทางไปๆมาๆในสถานที่แห่งนี้ตามอำเภอใจ มีเทพปี ศาจน้อยมากที่รู้


เกี่ยวกับระยะที่มันสามารถตรวจจับได้

แม้ว่าพวกมันจะเป็ นส่วนหนึ่งของกองทัพเทพปี ศาจภายใต้คำสั่งของเกรโมรี่ เป็ นคำสั่งพิเศษของบาอัล หรือมี


เทพปี ศาจที่เป็ นศัตรูของมันหรือไม่?

มันสงสัย บางทีอาจไพม่อนผู้ที่เลราเจไม่สามารถบอกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ยังไงก็ตามมันก็คอยจับตาดูไพ


ม่อนอยู่แล้ว หรือเป็ นบุคคลที่สาม ซึ่งไม่ได้เป็ นส่วนหนึ่งของฝ่ ายปฏิปักษ์หรือสนับสนุน พวกมันดูเหมือนจะ
มาเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง
'มีข่าวว่าพบการแทรกแซงจากภายนอก' บางทีพวกมันอาจเกี่ยวข้องกันโดยตรง เกรโมรี่ เดียโบล และบุคคลที่
สามดังกล่าว แน่นอนถ้าพวกมันตระหนักถึงตัวตนอย่างเลราเจแล้วมันก็น่าสนใจ

'พวกมันทิ้งร่องรอยไว้ นี่พวกมันโง่หรือมั่นใจมากกันแน่… '

สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าพวกมันตั้งใจทิ้งร่องรอยไว้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง หรือแค่บังเอิญ อย่างไรก็ตามเลรา


เจไม่ได้กังวล เขาเป็ นเทพปี ศาจแห่งสมรภูมิรบ และเป็ นทหารผ่านศึกที่ไม่เคยแพ้

“ สร้างหน่วยค้นหาตามรอยพวกมันไป ห้ามผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น”

"รับทราบ" ราชาปี ศาจโค้งคำนับลงเพื่อแสดงความเคารพ เลราเจเอื้อมมือไปแตะธนู

'ข้าหวังว่ามันจะคุ้มค่าพอที่จะใช้ธนูนี้' ความคิดเห็นของเหล่าเทพปี ศาจแตกแยกเป็ นสองฝั่ง กลุ่มสนับสนุน คือ


ผู้ที่ต้องการกำจัดมนุษยชาติและเผ่าพันธุ์อื่นทั้งหมดเพื่อสร้างโลกใหม่ และกลุ่มที่ต่อต้านก็คือฝ่ ายปฏิปักษ์
โดยที่มีเกรโมรี่เป็ นผู้นำ

“ เกรโมรี่ท่านไม่อาจต้านทานเช่นนี้ได้ตลอดไปหรอก” ใบหน้าของเกรโมรี่ไร้ชีวิตชีวา

เธอยังคงสวยงามและบริสุทธิ์ อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เธอไม่สามารถรักษารูปร่างหน้าตาตามปกติของเธอใน


สถานการณ์ที่ต้องสูญเสียพลังเวทออกไปเรื่อยๆแบบนี้

“ แต่ข้าก็ยังต้องทำ”

“ แม้ว่าท่านจะลดพลังงานลง พวกมันก็ยังไม่กล้าเข้ามาหรอก ถ้าไม่ใช่บาอัลท่านก็ไม่ควรหักโหมเช่นนี้ '

“ เจ้าอย่าได้ดูแคลนพลังของเลราเจ มันเป็ นหนึ่งในเหล่าเทพปี ศาจที่เข้าใจพลังเวทมากที่สุด” ด้านหน้าของเธอ


เป็ นประตูมิติขนาดใหญ่ เกรโมรี่นั่งบนเก้าอี้ที่ทำจากหิน ในมือถือลูกปัดสองเม็ดไว้ ลูกปัดดังกล่าวกำลังดูด
พลังเวทมนตร์อย่างต่อเนื่องเพื่อเปลี่ยนแปลงทางเชื่อมโยงของรอยแยก

“ แต่หากยังเป็ นเช่นนี้...” ไม่เหมือนกับคนรับใช้อื่นๆที่ติดตามเทพปี ศาจ ผู้ที่ติดตามเกรโมรี่นั้นใกล้ชิดสนิทกับ


เธอมาก พวกเขารับใช้และรักเธอในฐานะเทพเจ้าที่แท้จริง เกรโมรี่รู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่เธอก็ไม่สามารถหันหลัง
กลับได้

“ มันคงทนได้อีกไม่กี่เดือนเท่านั้น ' ความเร็วมากเกินไป มันดำเนินการเร็วกว่าที่คาดไว้อย่างน้อยสิบปี พวก


เขาคิดว่าพวกมันจะลงมือทำหลังจากพบหนังสือแห่งอภินิหารอย่าง 'อาร์คโนวา' แต่ ...พวกมันกระตือรือร้น
ทันทีที่เดียโบลปรากฏตัวแม้ว่าจะยังไม่พบอาร์คโนวาก็ตาม
'การปรากฏตัวของเดียโบลทำให้พวกมันดำเนินการทุกอย่างเร็วขึ้น' เดียโบลไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้เนื่องจา
กอาร์คโนวา หลังจากบางสิ่งถูกเปิ ดใช้งาน มันก็ฉีกผ่านกำแพงจากต่างโลกเข้ามา เดียโบลเป็ นเหมือนศัตรูของ
เหล่าเทพปี ศาจ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็ นดั่งความหวัง ความหวังเกี่ยวกับวิธีที่จะหลบหนีจากโลกนี้ และ
ตอนนี้เกรโมรี่ก็แทบจะสู้ต่อไปไม่ไหว เมื่อฝ่ ายที่เห็นพ้องต้องการกำจัดฝ่ ายตรงข้ามและเพื่อให้เคลื่อนไหวได้
อย่างอิสระ พวกมันต้องกำจัดผู้นำอย่างเกรโมรี่ซะก่อน

“ …ท่านคิดอย่างไรกับการยืมพลังของเขาอีกครั้ง”

“ เจ้าหมายถึงเขาเหรอ?” เสียงของเกรโมรี่สั่นเล็กน้อย กระทั่งมีความกลัวปะปนอยู่ในนั้น หมายความว่านี่เป็ น


เรื่องที่พูดได้ยาก แน่นอนว่าพวกเธอรอดพ้นอันตรายจากเฮอเรสด้วยความช่วยเหลือของเขา อย่างไรก็ตามโชค
ของเกรโมรี่ใกล้จะหมดแล้ว หากพวกเธอต้องพึ่งพาพลังของเขาอีกครั้ง พวกเธอจะสูญเสียทุกอย่าง

“ เขาช่วยเราไม่ได้หรอก”

นอกเหนือสิ่งอื่นใด เขาหายไปหลังจากได้กลืนกินเฮอเรส แม้ว่าพวกเธอจะอยากขอความช่วยเหลือ แตใน


สถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจเป็ นไปได้

ใบหน้าราชาปี ศาจโดยรอบแข็งตัว พวกเขารู้สึกได้เหมือนกัน ตัวตนที่อยู่ข้างนอกนั้น เลราเจกำลังรอที่จะฆ่า


พวกเขาอยู่ เทพปี ศาจแห่งสมรภูมิรบ ดาวจรัสแสงผู้ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้!

หากประตูเปิ ดออก และพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ พนันได้เลยว่าเธอจะต้องพ่ายแพ้ เหลือเวลาอีกไม่


นานก่อนที่คมมีดที่จ่อหอคอยจะสัมผัสกับร่างของเธอ มีเพียงการดับสูญที่รอคอยอยู่ใช่ไหม?

เกรโมรี่รู้ความจริงข้อนี้เป็ นอย่างดี แต่เธอก็ยังมองไม่เห็นทางออก

คลืนนนนนนนนน-

ในขณะนั้นจู่ๆรอยแยกก็สั่นสะเทือน มันหมายความว่าศัตรูเจอ 'ประตู' แล้ว เธอจำเป็ นต้องเปลี่ยนที่ตั้งของ


ประตูอีกครั้ง ในชั่วพริบตาปริมาณพลังเวทของเกรโมรี่ก็ถูกระบายออกพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียว เหล่าปี ศาจ
ต่างมองไปที่เกรโมรี่ด้วยสายตาโศกเศร้า จากนั้นพวกมันก็พูดด้วยท่าทางที่แน่วแน่

“ หากสถานการณ์เลวร้ายมาถึง พวกเราเหล่าราชาปี ศาจทั้ง 26 ตนพร้อมกองทัพทั้งหมดจะพยายามอย่างดีที่สุด


เพื่อปกป้ องท่าน” ราชาปี ศาจของเธอแสดงความมุ่งมั่น ด้านหลังพวกเขา ปี ศาจหลายล้านตัวต่างพากันคุกเข่า
อย่างไรก็ตามพวกเขาหลงลืมใครบางคนไป

จากภายนอก…ราชาปี ศาจตนที่ 27 กำลังเริ่มทำอะไรบางอย่าง

มูยอง ชื่อของผู้ที่จะสร้างคลื่นลมและพายุ
บทที่ 239: สกายลอร์ด (2)

“ มีบางอย่างกำลังตามเรามา”

ทาร์แคนพูด แต่เดิมทาร์แคนเป็ นมือขวาของลูซิเฟอร์ที่ปกครองเส้นทางแห่งอาชูร่า แต่หลังจากลูซิเฟอร์ถูกมู


ยองดูดกลืน, ทาร์แคนก็ติดตามมูยองแทน

ทาร์แคนเป็ นเดธไนท์ที่มีความสามารถด้านวิชาดาบ อย่างไรก็ตามพลังการต่อสู้ของเขาได้ข้ามขีดจำกัดของ


เดธไนท์ไปแล้ว และกลายเป็ นดูมไนท์ซึ่งอยู่ในระดับตำนาน ตอนนี้ประสาทสัมผัสของทาร์แคนเทียบเท่ากับ
ตัวตนเหนือธรรมชาติ

“ ผมคิดว่าพวกมันเจอตำแหน่งของเราแล้ว”

ข้างๆเขาเบยองมินพูด

ซองมินที่เป็ นเอลเดอร์ลิชผู้ที่มีระดับเกินกว่าราชาปี ศาจจะรับมือ เขาสามารถต่อสู้กับเอนโรธ ซึ่งถูกกล่าวว่า


เป็ นหนึ่งในราชาปี ศาจที่แข็งแกร่งที่สุด

“ ช้ากว่าที่คิด”

หลังจากได้รับรายงานแล้วมูยองก็ตอบกลับสั้นๆ

สามวันผ่านไปตั้งแต่พวกเขาออกจากบริเวณที่รอยแยกของเกรโมรี่ตั้งอยู่ นั่นหมายความว่าเลราเจให้ความ
สำคัญกับสถานการณ์ของเกรโมรี่มากกว่ามูยอง

สิ่งที่แน่นอนคือเขามีเวลาไม่มากนัก

'หากเลราเจเปิ ดรอยแยก ตัวตนของเกรโมรี่จะถูกเปิ ดเผยทันที'

โดยปกติฝ่ ายสนับสนุนจะยังไม่รีบเคลื่อนไหว มันเป็ นสิ่งที่เขารับรู้หลังจากดูดซับดันดาเลี่ยน พวกมันจำเป็ น


ต้องได้หนังสือ'อาร์คโนวา' เสียก่อนเพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ!

แต่นี่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิมเกือบ 10 ปี สำหรับเหตุผล ... เขาไม่แน่ใจ แต่หากอดีตและปัจจุบันเปลี่ยนไป


ยังไงก็มาน่ามาจากตัวเขาเอง

ความทรงจำของดันดาเลี่ยนคลุมเครือเกินไป อย่างไรก็ตามเป็ นที่ชัดเจนว่ามูยองต้องรวบรวมพลังจากฝ่ าย


ปฏิปักษ์ มูยองต้องการกำจัดเลราเจ และใช้เกรโมรี่เพื่อเพิ่มพลังของพวกตน แม้ว่าฝ่ ายปฏิปักษ์จะมีจำนวนน้อย
แต่อำนาจการต่อสู้ของพวกมันก็ไม่สามารถละเลยได้
ดังนั้นเขาจึงต้องทำให้พวกมันต่อสู้กันเอง เขาต้องเป็ นผู้ชนะคนสุดท้ายเท่านั้น เขากำลังจะช่วยมนุษยชาติและ
เปิ ดเผยความจริงของโลกนี้

เพื่อสังหารบาอัลอันเป็ นเป้ าหมายสุดท้ายของเขา เขาจำเป็ นต้องฆ่าเหล่าเทพเจ้าปี ศาจที่เหลือทั้ง 71 ตนเสีย


ก่อน นั่นเป็ นหนึ่งใน 'เงื่อนไขการดับสูญ' ของมัน

“ มูยองเจ้าจะทำยังไงต่อ?”

ทาร์แคนพูด ในขณะที่มูยองมองไปรอบๆ

มีทหารประมาณ 300,000 คน แม้ว่าจำนวนจะน้อยกว่าทหารปี ศาจของเลราเจ ที่มีถึง 2.2 ล้านตน แต่ก็ไม่ได้


หมายความว่าเขาจะสู้ไม่ได้หากดวลกัน

'ในเมื่อฉันทิ้งร่องรอยไว้อย่างชัดเจน พวกมันจะต้องส่งทีมติดตามมาแน่'

นี่เป็ นสถานการณ์ที่มูยองตั้งใจไว้

กองทัพหลักของเลราเจคงไม่อาจถอยไกลจากรอยแยกของเกรโมรี่ได้ นั่นหมายความว่ามันยากสำหรับเลราเจ
ที่จะส่งกองทัพเต็มรูปแบบออกมา พวกมันทำได้แค่ส่งทีมขนาดเล็กออกมาติดตามมูยองเท่านั้น

อย่างไรก็ตามมันจะเป็ นทีมที่มีแต่ตัวเก่งๆ

'ค่อยสนุกขึ้นมาหน่อย'

มูยองอยากรู้อยู่แล้วว่าแนวหน้าของเลราเจนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน

แน่นอนว่าด้วยการสู้รบนี้ เลราเจก็พยายามค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับมูยองด้วยเช่นกัน และใครที่สามารถซ่อนความ


แข็งแกร่งได้มากที่สุดย่อมเป็ นผู้ชนะ

'เลราเจอ่อนไหวต่อการชนะและแพ้'

เนื่องจากเงื่อนไขการดับสูญของเลราเจคือ 'การเอาชนะในสงคราม' มันจึงไม่สามารถช่วยได้ที่จะอ่อนไหวกับ


เรื่องนี้

มูยองมองที่ทาร์แคน

ทาร์แคนเองก็มองมูยองด้วยความคาดหวัง
ราวกับเขากำลังบอกให้มูยองทิ้งเรื่องพวกนี้ให้เขาจัดการ

มูยองตอบกลับไปง่ายๆ

“ แค่ผลกำไรเล็กน้อย ยอมแพ้ไปเถอะ ”

“ ถูกต้องให้ข้าไปจัดการมัน…เดี๋ยว เจ้าว่าใครแพ้อะไรนะ?”

ทาร์แคนงง อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้พูดผิด

“ เราต้องล่อให้พวกมันส่งกองทัพที่ขนาดใหญ่กว่านี้ออกมา”

กลยุทธ์ของมูยองนั้นเรียบง่าย เขาจะปล่อยให้พวกมันชนะในการสู้รบขนาดเล็ก และเมื่อสงครามทวีความ


รุนแรงมากขึ้น เขาก็จะนำชัยชนะกลับคืนมา

ยังไงเลราเจก็ไม่สามารถยุบหน่วยหลักของมันได้ มันต้องการปี ศาจอย่างน้อย 1.5 ล้านตน เพื่อเผชิญหน้ากับ


กองทัพของเกรโมรี่ อย่างมากที่สุด เลราเจสามารถส่งทหารได้เพียง 700,000 ตนเท่านั้นที่จะเผชิญหน้ากับมู
ยอง

“ ซองมิน นายไปรวบรวมวิญญาณของปี ศาจที่ตายแล้วมา”

“ วิญญาณ?”

ซองมินเอียงศีรษะเล็กน้อย

การรวบรวมวิญญาณต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการทำให้พวกมันกลายเป็ นอันเดธ

หากซองมินแค่ต้องการรวบรวม เขาสามารถรวบรวมวิญญาณได้นับล้าน

ปัญหาคือ ไม่มีประโยชน์อะไรจากการรวบรวมเหล่าวิญญาณ

จากนั้นมูยองก็ยิ้มเล็กน้อย

“ เราจะเอาไปเป็ นอาหารให้สกายลอร์ด”

สกายลอร์ดเป็ นตัวตนที่เต็มไปด้วยความปรารถนาในการกลืนกิน ไม่ต่างจากคนตะกละ วิญญาณของปี ศาจนับ


แสนจะเป็ นงานฉลองที่ยิ่งใหญ่สำหรับมัน
แต่แน่นอนว่าอาหารที่ดีที่สุดย่อมเป็ นร่างกายของมูยองเอง ร่างกายของเขาใกล้เคียงกับระดับครึ่ งเทพ และเมื่อ
รวมกับผิวหนังของราชาอมตะ เขาก็กลายเป็ น 'ยา' ที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้

เลือดของมูยองหยดหนึ่งอาจเป็ นพิษรุนแรงหรือไม่ก็คือ 'น้ำอมฤต' อันเลิศรส ถ้าสามารถกินร่างกายของเขา


ทั้งหมด แม้แต่ก๊อบลินที่มีอันดับต่ำสุดก็อาจกลายเป็ นราชาปี ศาจหรืออันดับที่สูงกว่าได้

จากมุมมองของสกายลอร์ด มูยองเป็ นอาหารคุณภาพที่สูงที่สุด ดังนั้นมูยองจึงต้องการให้มันอิ่มก่อน เพราะไม่


ว่าจะเป็ นสิ่งมีชีวิตไหน ถ้ามันอิ่มการเคลื่อนไหวก็จะช้าลง

สกายลอร์ดคือมอนสเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อหยุดเดียโบล อย่างไรก็ตามมูยองกำลังจะฝึ กมันให้เชื่อง แม้กระทั่ง


สัตว์ประหลาดตัวนั้น

มีกลุ่มปี ศาจทั้งหมดสามกลุ่มที่ถูกส่งมาติดตามทัพของมูยอง

ราชาปี ศาจกองทัพที่ 3, กรูคาส, ราชาปี ศาจกองทัพที่ 7,บรู และราชาปี ศาจกองทัพที่ 11,อินเวสชั่น รวมทั้งสิ้น
200,000 ตน มันเป็ นจำนวนที่มากเกินกว่าจะคิดว่าเป็ นกลุ่มที่ถูกส่งออกไปเพื่อตามรอยเท่านั้น ในความเป็ น
จริงพวกมันได้รับคำสั่งให้ทำลายล้างศัตรูอย่างสมบูรณ์

พร้อมเสียงกระพือปี กดังกระหึ่ม…พวกมันจัดกลุ่มพากันบินไปยังจุดๆเดียวกันด้วยแววตาดุดันดั่งเหยี่ยว และ


สิงโตที่กำลังหิวโหย

พวกมันจัดเป็ นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็ นรากฐานของเลราเจผู้คลั่งไคล้ในสงคราม

ไม่เหมือนกับราชาปี ศาจตนอื่นๆ พวกมันเหล่านี้ไม่ได้ต่อสู้เพื่อให้ได้คำสรรเสริญเยินยอ พวกมันสู้เพื่อเอาชนะ


ศัตรูเท่านั้น

ทาร์แคนตกตะลึงเมื่อเขาเห็นพวกมันดิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกแห่งการทำลายล้าง

“ เป็ นกองทัพที่ดีจริงๆ”

เขารู้สึกกระตือรือร้นที่จะต่อสู้

ทาร์แคนอยากสู้ตายกับพวกมัน และได้รับชัยชนะ

'ข้าจะแพ้อย่างไร... '

มีทหารม้าวิญญาณ 50,000 ตนด้านหลังเขา


50,000!

ทหารของทาร์แคนมีคุณภาพสูงกว่าศัตรูเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมันยากที่จะเอาชนะความแตกต่างในจำนวนสี่
เท่า

ถึงกระนั้นทาร์แคนก็มั่นใจว่าเขาจะชนะ อย่างไรก็ตามมูยองบอกให้เขาแพ้

เฮ้อ!

ทาร์แคนถอนหายใจ

ทาร์แคนตัดสินใจติดตามมูยอง

ไม่ใช่เพียงเพราะมูยองได้ดูดกลืนเจ้านายเดิมของเขาอย่างลูซิเฟอร์

มูยอง … เป็ นคนที่แตกต่างจากผู้อื่น

เขาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เขาแสวงหาสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา

ทาร์แคนเริ่มเปลี่ยนไปเพียงอยู่ใกล้กับมูยอง เขาแข็งแกร่งขึ้น

ทาร์แคนผู้ที่มีชีวิตมาแล้วหลายร้อย หลายพันปี มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ในเวลาไม่กี่ปี

ดังนั้นเขาจึงตั้งเป้ าหมายที่จะเอาชนะมูยองในวันหนึ่ง

หลังจากที่เขาถูกสร้างขึ้นจากส่วนผสมกระดูกซี่โครงของมูยอง เขาก็รู้สึกเหมือนได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น

แน่นอนว่า นั่นไม่ได้หมายความว่าทาร์แคนจะชอบมูยองเท่าไหร่

'ข้าไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่'

เขาไม่สามารถคาดเดาการกระทำของมูยองได้ เขาไม่ชอบความจริงที่ว่ามูยองปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนรับใช้ ยัง


ไงก็ตามมีคำกล่าวว่า ผู้ที่สามารถยิ้มเป็ นคนสุดท้ายย่อมเป็ นผู้ชนะ

ทาร์แคนกำลังจะนำมูยองขึ้นไปสู่จุดสูงสุด และเมื่อมูยองไปถึงจุดนั้น ทาร์แคนจะโค่นมูยองลงมาเอง เพียง


เช่นนั้นทาร์แคนจึงจะสามารถพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของตนเองได้
ตอนนี้เป็ นเวลาที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆจากมูยอง

มันเป็ นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการแสร้างว่าติดตามมูยองอย่างไม่รู้จบ เพื่อค้นหาว่าพลังใดกันแน่ที่ขับเคลื่อนมู


ยองอยู่

การเป็ นผู้ติดตามของทาร์แคน แตกต่างจากความเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาแบบซองมิน แม้บางครั้งมันจะดู


เหมือนกันบ้างก็ตาม

'ข้าทำได้'

เขาจะคิดว่านี่เป็ นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ เป็ นวิธีการต่อสู้ที่ดี แม้ว่าเขาดูเหมือนว่าจะพ่ายแพ้

วูม!

ทาร์แคนหยิบดาบออกมา

'ข้าน่าจะล้มได้อย่างน้อยหนึ่งในสาม'

มันเป็ นช่วงเวลาที่ทาร์แคนกำหนดเป้ าหมาย เขาวิเคราะห์เกี่ยวกับราชาปี ศาจทั้งสาม

ในความทรงจำของดันดาเลี่ยน สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสกายลอร์ดนั้นมีน้อยมาก

สิ่งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะดันดาเลี่ยนเป็ นเหมือน 'คนนอก' หากเทียบจากเทพปี ศาจทั่วไป

แต่มีบางสิ่งที่มีแต่คนนอกเท่านั้นที่คิดออก ตัวอย่างเช่น สิ่งที่จำเป็ นในการควบคุมสกายลอร์ด...

'ถ้าจะควบคุมสกายลอร์ด ฉันต้องใช้เนบิวลาในการให้อาหารมัน '

เนบิวลา หรือที่เรียกว่ากันว่า ดวงดาว

หากให้ปี ศาจที่ถูกจับโดย 'ผู้ที่ได้รับเลือกจากดวงดาว' เป็ นอาหารแก่สกายลอร์ดจะสามารถควบคุมมันได้

และตอนนี้ มูยองจึงทำการโจมตีป้ อมปราการแห่งหนึ่งของเหล่าปี ศาจ เพื่อบรรลุเป้ าหมายดังกล่าว

“เอนโรธ”

วูม!
ควันดำลอยคลุ้งขึ้น และเอนโรธผู้กลายเป็ นอันเดธก็ปรากฎตัวข้างๆมูยอง

แม้ในอดีตมันจะเป็ นหนึ่งในราชาปี ศาจที่แข็งแกร่งที่สุด แต่หลังจากที่แพ้มูยองมันก็กลายเป็ นอันเดธที่ซื่อสัตย์


เท่านั้น

มูยองพูดกับเอนโรธ

“ ทำไมนายไม่ไปทักทายเพื่อนเก่าของนายหน่อยล่ะ?”

ดวงตาของมูยองมองไปที่ป้ อมปราการห่างไกลซึ่งมีควันดำถูกปล่อยออกมา

ป้ อมปราการดังกล่าวจะเป็ นสถานที่ที่เขาจะให้อาหารแก่สกายลอร์ด

ยังไงก็ตามผู้ปกครองป้ อมปราการเป็ นหนึ่งในราชาปี ศาจที่ทรงพลังมาก

ราชาปี ศาจมีอยู่ 18 ตนที่เก่งกาจที่สุด

7 ขุนเขา 6 ลอร์ด 5 ดวงดาว

เอนโรธเป็ นราชาปี ศาจหนึ่งใน 'ห้าดวงดาว'

และผู้ที่ปกป้ องป้ อมปราการนั้นอยู่ในอันดับ 'หกลอร์ด'

วูม!

เอนโรธเริ่มเคลื่อนไหว รอบตัวปรากฎความมืดขนาดใหญ่หมุนวน

ชวิ้ง-ชิ้ง! ตูมมมมม!

ต่อจากนั้นด้วยเสียงดังก้อง ผนังด้านหนึ่งของป้ อมปราการก็ถูกทำให้หายไป

มันมากเกินกว่าจะเป็ นการทักทายที่อบอุ่น อย่างไรก็ตามมันเป็ นวิธีประกาศตัวที่ดี และในเวลาเดียวกันปี ศาจ


จำนวนมากก็โผล่ออกมา

“เอนโรธ! ทำไมเจ้าถึงโจมตีเรา!”
เอนโรธเป็ นราชาปี ศาจที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าความพ่ายแพ้ของมันต่อมูยองยังไม่เป็ นที่ทราบ
แน่ชัด

หลังจากการทักทายยิ่งใหญ่ เอนโรธก็คุกเข่าลงต่อหน้ามูยอง

ปี ศาจในที่เกิดเหตุต่างประหลาดใจจนกระทั่งผู้ปกครองป้ อมปราการปรากฎตัว

ราชาปี ศาจดอกกุหลาบ โซระ!

เธอกำลังอยู่ในระหว่างรวบรวมดวงดาว

ในมุมมองของมูยองมันเป็ นการกระทำที่น่าขำ

ผู้กลืนดาราที่แท้จริงไม่ใช่สกายลอร์ด หรือราชาปี ศาจโซระ แต่เป็ นมูยองเอง

และในขณะนั้น

วูมมม!

จากท้องฟ้ า ดวงดาวแห่งความสัมบูรณ์ก็เริ่มเปล่งประกาย

บทที่ 240: สกายลอร์ด (3)

“ ดาวแห่งการทำลายล้าง!”

สมาชิกของหกลอร์ด, ราชาปี ศาจโซระร้องด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนเธอจำดาวของมูยองได้ เธอ


พยายามรวบรวมดวงดาวจำนวนมากไม่แปลกที่เธอจะรู้ว่าดาวของมูยองเป็ นประเภทอะไร

“เอนโรธทำไมเจ้าถึงกลายเป็ นผู้ติดตามดาวแห่งการทำลายล้าง!”

เอนโรธไม่ตอบโต้

และการร้องโอดครวญของโซระก็ทำให้มูยองได้รับข้อมูลที่สำคัญมาก 'ข้อมูลข่าวสารของศัตรูดูล่าช้าอย่าง
มาก'

โซระราชาปี ศาจดอกกุหลาบเป็ นผู้ติดตามเทพปี ศาจลำดับที่ 3 วาสซาโก้ วาสซาโก้ที่มีฉายาว่า 'ผู้ที่มองเห็นอีก


ด้านหนึ่ง' โซระที่เป็ นข้ารับใช้กลับยังไม่รู้ข่าวการพ่ายแพ้ของเอนโรธ
มันเป็ นข้อพิสูจน์ว่าราชาปี ศาจและเทพปี ศาจส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวภายนอกอะไรเลย

หรือบางที…อามอนอาจปิ ดบังความจริงนี้โดยเจตนาก็ได้ เป็ นไปได้ว่ามันไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเอนโรธราชา


ปี ศาจที่แข็งแกร่งที่สุดของตนแพ้ให้กับมนุษย์เพียงคนเดียว

ไม่ว่าจะยังไงมันก็เป็ นเรื่องดี นอกจากนี้ พวกเทพปี ศาจยังไม่รู้ว่ามูยองสามารถทำให้ราชาปี ศาจกลายเป็ นอัน


เดธได้ นั่นบ่งบอกถึงการขาดการเตรียมการและตรวจสอบมูยอง

ดังนั้นเขาจะได้รับประโยชน์สูงสุดก่อนที่พวกมันจะสังเกตเห็น

จุดแข็งที่สุดของมูยองคือข้อมูล ในทางตรงกันข้ามจุดอ่อนของพวกมันก็คือข้อมูลเช่นกัน

หากพวกมันรู้ คงไม่ส่งกองกำลังแยกออกมาเช่นนี้ พวกมันต้องพยายามทุ่มกำลังกำจัดเขาในครั้งเดียว

'ก่อนที่พวกมันจะรู้ ฉันต้องได้รับพลังซะก่อน' อย่างรวดเร็ว! เวลาไม่เคยรอใคร

จากนี้ไปการต่อสู้อย่างรุนแรงของพลังปัญญาจะเริ่มขึ้น

'ราชาปี ศาจที่ทรงพลังที่สุดทั้งสิบแปดตน'

หากพวกมันร่วมมือกันก็พอจะเปรียบเทียบได้กับเทพปี ศาจตนหนึ่งเลยทีเดียว

ถ้ามูยองสามารถเอาชนะราชาปี ศาจทั้งสิบแปดตนได้ มันจะเป็ นการส่งคำเตือนที่ดีสำหรับเหล่าเทพปี ศาจ

“อามอนรู้เรื่องที่เจ้ากลายเป็ นผู้ติดตามดาวแห่งการทำลายล้างหรือไม่ ? ”

อามอนเทพปี ศาจลำดับที่ 7 ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเวทมนตร์ทุกชนิด เจ้านายเดิมของเอนโรธ!

แต่ขนาดเวทมนตร์ของมันก็ยังไม่สามารถหยุดยั้ง 'พลังแห่งความตาย' ของมูยองได้

แล้วเวทต้องห้ามของวาสซาโก้จะต้านทานมูยองได้หรือไม่?

เขาเริ่มสงสัย มูยองเป็ นคนประเภทที่ไม่สามารถต้านทานความอยากรู้อยากเห็นได้

เขาชูดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยวขึ้น

แซ่ด! แซ่ด! สายฟ้ าสีดำก่อตัวขึ้นรอบๆความโกรธเกรี้ ยว


เวทมนตร์อัตโนมัติระดับ S ++ ซึ่งมีพลังทำลายล้างสูง

โซ่สายฟ้ าแห่งความมืด เปิ ดใช้งานโดยอัตโนมัติ ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถอย่างหนึ่งของความโกรธเกรี้ ยว


คือ 'เสริมความแข็งแกร่งของทุกการโจมตีและทักษะประเภทบาเรีย'

นั่นทำให้พลังทำลายของมันสูงกว่าปกติได้ถึงสองสามเท่า เป็ นทักษะที่โจมตีเพียงหนึ่งครั้ง แต่พลังทำลายของ


มันเทียบเท่าเวทมนต์ระดับสูงอย่างฝนอุกกาบาตเลยทีเดียว

เปรี๊ยะ!

เมื่อดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยวตวัดผ่าน สายฟ้ าสีดำขนาดใหญ่ก็ฉีกกระชากพื้นที่ตรงหน้า

โซระควรเตรียมตัวรับมือและโจมตีมูยองตั้งแต่แรกเห็น มันเป็ นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เธอมัวแต่สนใจเอน


โรธมากเกินไป

เปรี้ ยง!!

สายฟ้ าสีดำแพร่กระจายเป็ นวงกว้างระเบิดและแผดเผาเหล่าปี ศาจ กลายเป็ นพายุกวาดล้างแนวหน้าของศัตรู


หายไปจนสิ้น

“โจมตี”

หลังจากทำลายแนวหน้ามูยองก็เก็บความโกรธเกรี้ ยว ในเวลาเดียวกัน

ตึง! ตึง ตึง! เหล่าวิญญาณและมอนสเตอร์ต่างๆเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งเพื่อทำลายศัตรูของพวก


มัน

“ตานายแล้วเอนโรธ”

วูม!

เอนโรธกลายเป็ นเงาหายตัวเข้าไปยังสนามรบ ตอนนี้เหลือเพียงจิ้งจอกเก้าหางห้าตัวที่ยังอยู่รอบๆมูยอง


จิ้งจอกเก้าหางที่แปลงร่างเป็ นหญิงงาม พวกเธอเป็ นวิญญาณที่ทรงพลังที่สุดของมูยอง

“ พวกเธอไปช่วยเอนโรธ”

“รับทราบ”
ในไม่ช้าเอนโรธก็ไปถึงใจกลางของเหล่าปี ศาจ เขายืดมือออกไปด้านหน้า

อ๊ากก! เหล่าปี ศาจทำได้เพียงดิ้นรนเมื่อถูกใยแมงมุมหนาทึบที่เอนโรธสร้างขึ้นจับมัดไว้

สุนัขจิ้งจอกเก้าหางหยิบลูกปัดวิญญาณขึ้นมาแล้วพากันกระดิกหาง และทุกครั้งที่พวกเธอทำแบบนั้นลูกปัดจะ
เปล่งประกายก่อนที่แสงเจิดจ้าก็จะสาดออกไปแผดเผาเหล่าปี ศาจ

มูยองมองไปที่ฝั่งของศัตรู

ราชาปี ศาจกุหลาบ โซระ! เธอถอยล่นจากการโจมตีฉับพลันของเขา? ร่างกายของเธอสั่นเทิ่ม

“ เจ้า...เจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่ต้องการได้เพียงเพราะมีเอนโรธคอยช่วย”

ถูกช่วยโดยเอนโรธ?

ไม่ มันตรงกันข้าม มูยองไม่ได้ถูกช่วย แต่เป็ นการควบคุมต่างหาก

อย่างไรก็ตามเอนโรธเป็ นตัวดึงดูดความสนใจอย่างดี นั่นทำให้มูยองสามารถทำทุกอย่างได้ง่ายดายขึ้น

“ ฉันไม่มีเวลาให้เธอมากหรอกนะโซระ”

ทาร์แคนกำลังซื้อเวลา มูยองต้องการครอบครองสถานที่แห่งนี้ก่อนที่จะเพิ่มจำนวนหน่วยไล่ล่า และมันก็


เป็ นการสิ้นเปลืองเวลาที่จะยุ่งอยู่กับโซระ

หวือ! ความโกรธเกรี้ ยวสั่น มันต้องการดื่มเลือดของราชาปี ศาจ

มูยองพยักหน้าราวกับเขากำลังตอบกลับว่าจะมันจะได้สมใจในไม่ช้า

ป้ อมปราการถูกเผา ทุกอย่างถูกทำลาย และโซระคุกเข่าลงต่อหน้ามูยอง มีกรงเหล็กจำนวนมากในบริเวณโดย


รอบ ในนั้นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆที่ถูกเลือกโดยดวงดาว พวกเขามองมูยองและโซระด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

“ สังหารข้าซะเจ้าคนไร้ยางอาย!"

มูยองยิ้ม

“ ฉันจะกำจัดของที่ยังมีประโยชน์ไปทำไม”
ถึงโซระจะพ่ายแพ้ แต่มูยองก็ยังอดนึกชมในใจเสียไม่ได้ เนื่องจากเธอสามารถทนการโจมตีได้ถึง 40 จาก 50
กระบวนท่าของวิชาดาบมูยอง

แม้แต่จิตวิญญาณเพลิงไอฟริทยังสามารถอยู่รอดได้เพียง 45 ดาบเท่านั้น นี่เท่ากับแน่นอนว่า เธอเป็ นราชา


ปี ศาจที่ทรงพลังที่สุดคนหนึ่ง

ถ้าเขาทำให้เธอกลายเป็ นอันเดธที่ยังมีชีวิต เธอจะกลายเป็ นประโยชน์กับเขาอย่างมาก

“เจ้าดาวแห่งการทำลายล้าง! วาสซาโก้จะต้องเอาคืนเจ้าแน่!”

“ คิดว่าฉันจะกลัวเหรอ”

หมับ! มูยองคว้าผมของโซระ จากนั้นก็เรียกใช้งานศิลปะแห่งความตาย

เมื่อมีใครบางคนอยู่ในสภาวะใกล้ตาย เขาสามารถใช้พลังบังคับให้ผู้นั้นกลายเป็ นครึ่ งอันเดธได้ เวลาจะบอก


เองว่า เวทต้องห้ามของวาสซาโก้ หรือว่าพลังแห่งความตายของมูยองนั้นใครจะเก่งกว่ากัน

อัก ..อ๊าก! เมื่อพลังงานสีดำเริ่มกลืนร่างกายทั้งหมดของโซระ เธอก็ก้มศีรษะและดิ้นรน

'มีผนึกเวทบางอย่างอยู่ในตัวเธอ' มันเป็ นเวทต้องห้ามของวาสซาโก้

เป็ นเรื่องธรรมดาที่เทพปี ศาจลำดับที่ 3 อย่างมันจะมีเวทที่ใช้ควบคุมมากมาย มูยองขยายพลังแห่งความมืดของ


เขาออกไป และหลังจากนั้นไม่นาน

<โซระราชาปี ศาจกุหลาบ ผู้ซึ่งเป็ นหนึ่งในหกลอร์ดถูกปนเปื้ อน>

<เธออยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใช้ 'มูยอง'แล้ว>

<ร่างกายของเธอเปลี่ยนไปและกลายเป็ นอันเดธ>

<อันดับของทักษะศิลปแห่งความตายคือ 'EX' สเตตัสถูกพิ่มแล้ว>

<'การให้สิทธิ์ ' ถูกเพิ่ม ความสามารถที่ได้รับเป็ นแบบสุ่ม

> ชื่อ: โซระ เลเวล: 650

ประเภท: ราชาปี ศาจ


พละกำลัง (490)

ความว่องไว (4580)

ความอดทน (50)

สติปัญญา 680

ภูมิปัญญา 700

ต้านทานเวท 700

พลังเวท 699

+ กุหลาบแห่งการอุทิศ (S+, เพิ่มกำลังใจพันธมิตร, ยกระดับสเตตัส), เถากุหลาบ (S+, การโจมตีวงกว้าง),


กุหลาบอเวจี (S+, เวทมนตร์ทรงพลังประเภทบาร์เรีย)

+ ผู้ไล่ล่าเนบิวลา + ราชาปี ศาจ, ลอร์ดทั้งหก

การดิ้นรนของโซระค่อยๆจางหายไป

ในขณะที่มูยองพยักหน้าเมื่อดูค่าสเตตัสของโซระ ความสามารถนั้นเปรียบได้กับเบซองมิน

ถ้าคุณมองแค่พลังต่อสู้เบซองมินดูเหมือนจะเหนือกว่านิดหน่อย เนื่องจากเขาเพิ่งแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ต่อสู้
กับเอนโรธ

'เวทต้องห้ามของวาสซาโก้'

พลังแห่งความตายของมูยองสามารถเอาชนะเวทต้องห้ามของวาสซาโก้ได้ นี่เป็ นเรื่องที่น่าประหลาดใจ และ


เป็ นผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้ครั้งนี้ เหนือเทพปี ศาจลำดับที่ 3 มีเพียงสองคนเท่านั้น

นั่นคือเทพปี ศาจลำดับที่ 2 อากาเรส และเทพปี ศาจลำดับที่ 1 บาอัล นั่นหมายความว่ามูยองยังสามารถปลด


ปล่อยเวทผนึกของเทพปี ศาจใดๆที่อยู่ในอันดับต่ำกว่าเทพปี ศาจลำดับที่ 3 วาสซาโก้!

ในเวลานั้นมูยองหันหน้าไปดูกรงเหล็กทั้งหลาย เหล่าเจ้าของดวงดาวที่ถูกจับมามีหลากหลายสายพันธุ์ รวมถึง


มนุษย์ด้วย และจำนวนนั้นเกือบหนึ่งพัน
'เสียเวลาเกินไปที่จะทำให้พวกเขาเป็ นอันเดธ'

แน่นอนว่ามูยองสามารถกลืนกินดวงดาวได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้อะไรมากนักจากพวกมัน ดวงดาวแห่งความ


สมบูรณ์เหมาะที่จะกลืนกินดวงดาวที่สว่างกว่าตนเองเท่านั้น

แต่ดวงดาวในกรงเหล็กกำลังสูญสิ้นแสง 'พวกมันสูญเสียสติปัญญาเกือบทั้งหมดไปแล้ว' ด้วยสภาพย่ำแย่ดัง


กล่าว

หากทิ้งไว้อย่างนั้นพวกเขาจะต้องตาย อย่างไรก็ตาม ทุกการกระทำของมูยองมีพลังแห่งการควบคุมแฝงอยู่

"จงฟัง" มูยองพูดขึ้น

“ โซระไม่สามารถกักขังพวกนายได้อีกต่อไป”

พวกเขาเงยหน้าขึ้น และเริ่มมองมูยอง แม้สติปัญญาส่วนใหญ่จะหายไป แต่พวกเขาก็สามารถขยับร่างโดย


สัญชาตญาณ

สำหรับจิตวิญญาณที่ดำมืดมูยองไม่ต่างกับแสงสว่าง ดวงดาวที่สามารถดึงดูดดวงดาว ดาวแห่งความสมบูรณ์


ของมูยองเปรียบเสมือนกับดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหันมอง เหมือนกับดอก
ทานตะวันที่ต้องแหงนหน้าไปยังดวงอาทิตย์

“ พวกนายไม่มีให้กลับไปแล้ว” มูยองมั่นใจพวกเขาจะไม่ถอดใจ หากมีอะไรเหลือให้กลับไป

"จงติดตามฉัน เมื่อไหร่ที่ดวงดาวเต็มท้องฟ้ า เราจะสร้างโลกใบใหม่ด้วยกัน”

วูม! ดั่งเสียงคำราม

ดวงดาวแห่งความสมบูรณ์เปล่งแสงสีแดงเจิดจ้า ครอบคลุมดวงดาวนับพันดวง ดาวหนึ่งพันดวงที่รวมกันนั้น


ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับดาวแห่งความสัมบูรณ์แบบ ดาวที่กำลังจะล้มตายเริ่มเปล่งแสงทีละดวงสองดวง
เมื่อถูกแสงของดาวแห่งความสมบูรณ์แบบนำทาง พวกมันก็พากันตอบสนองหลายสิบหลายร้อย จนกระทั่งถึง
หนึ่งพัน

<ดาวแห่งความสัมบูรณ์เริ่มส่องแสง>

โลกทั้งใบดูเหมือนจะเป็ นสีแดง เมื่อดวงดาวแห่งความสมบูรณ์แบบเปล่งประกาย และนั่นคือช่วงเวลาที่


นอกจากดาวแห่งความสมบูรณ์แบบสีแดงแล้ว ดาวสีน้ำเงินที่ไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกก็ปรากฏเพิ่มขึ้น

<ดวงดาวแห่งการนำทาง 'ดาวกุหลาบ'>
บทที่ 241: สกายลอร์ด (4)

ดาวแห่งการนำทาง? โดยสัญชาตญาณ เพียงแค่มูยองเห็นดาวสีน้ำเงินดังกล่าว

เขาก็รู้สึกได้ถึงความผูกพันบางอย่างแล้ว ดาวทั้งสองดวงเปรียบเสมือนหยินและหยาง พวกมันส่องสกาวไป


ทั่วท้องฟ้ าโดยมีดาวอื่นๆนับพันดวงรายล้อมเป็ นกลุ่มอยู่รอบๆ จากนั้น ฉายาที่มูยองได้รับก็เกิดการ
เปลี่ยนแปลง

<ชื่อ 'ดวงดาวอันบริสุทธิ์ (S+, ทุกสเตตัส +30)' ได้พัฒนาเป็ น ดวงดาวแห่งแก่นแท้ (S+++, ทุกสเตตัส +50) '>

<'ดวงดาวแห่งแก่นแท้' เป็ นปรากฏการณ์ที่เกิดจากดาวสองดวงซึ่งมีคุณสมบัติต่างกันแต่กลับมีความ


สอดคล้องต่อกัน>

<ความเป็ นผู้นำของเจ้าของเพิ่มขึ้น ดาวอีกมากมายจะมารวมตัวกันที่ดวงดาวแห่งแก่นแท้>

<ดวงดาวจะรวมตัวกันเพื่อสร้างจักรวาล คุณได้รับสมุดบันทึก 'การนำทางแรก' แล้ว>

การนำทางแรก? ด้านหน้าของเขามีหนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่มีอะไรเขียนอยู่ในนั้น มันเป็ นแค่สมุดปกขาวที่ไม่มี


ชื่อหรือผู้แต่ง หลังจากนั้นไม่นาน นาฬิกาแสดงสเตตัสของมูยองก็เปลี่ยนไป

มันสั่นอย่างบ้าคลั่งก่อนที่ตัวอักษรจำนวนหนึ่งจะถูกเขียนในหนังสือ - ปฏิทินมูยอง ปี ที่ 0, นำทางเหล่า


ดวงดาว - ปฏิทินมูยอง ปี ที่ 0, ดวงดาวขับขาน บันทึกถูกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหัน และมูยองก็ตระหนักรู้ถึงบาง
อย่างได้...

หนังสือเล่มเล็กๆนี้เรียกเปรียบมูยองเสมือน 'โลก' ใบหนึ่ง อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดใดๆมากกว่านั้น


'ดวงดาว?' มูยองไม่เคยตั้งคำถามต่อดวงดาวเหล่านี้เลย ทำไมดวงดาวถึงมีอยู่ และพวกมันเลือกเจ้าของได้
อย่างไร? ผู้ที่ไม่ใช่ปี ศาจเท่านั้นที่จะถูกดวงดาวเลือก แต่ละคนล้วมีพลังและมีลักษณะของผู้นำ และมูยองกลาย
เป็ นผู้นำของดวงดาวเหล่านั้นอีกที

'แล้วสกายลอร์ดล่ะคือตัวอะไรกันแน่?' สกายลอร์ดเองก็กินดวงดาวได้ บางทีสกายลอร์ดอาจไม่ใช่เพียง“ โล่


ป้ องกันเดียโบล”

นี่เป็ นสิ่งที่มูยองค้นพบด้วยเหตุผลง่ายๆที่ดันดาเลี่ยนคาดไม่ถึง เมื่อเขาคิดและสนใจเรื่องดวงดาว บางทีอาจมีผู้


กลัวว่าดวงดาวจะรวมตัวกันและทำเรื่องบางอย่างขึ้น ในอดีตพวกมันไม่ได้รวมตัวกันเป็ นจำนวนมากเช่นนี้
แต่ละดวงต่างทำหน้าที่แตกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ ต่างกลุ่มและมีเป้ าหมายที่ต่างกัน แต่ปัจจุบันมูยองกลับ
รวบรวมพวกมันไว้ทั้งหมด
บางที…สกายลอร์ดอาจถูกสร้างขึ้นก็เพราะมูยอง ผู้ถูกกำหนดให้เป็ นผู้นำทางของเหล่าดวงดาว หรือเป็ น
เพราะบุคคลที่สามอื่นอาจรวบรวมเจ้าของดาวเอาไว้? ดูภายนอกมันเป็ นเกราะป้ องกันเดียโบล แต่เดียโบลกลับ
เข้าสู่ดินแดนเทพปี ศาจเรียบร้อยแล้ว 'เทพปี ศาจเฮอเรสถูกเดียโบลสังหาร' ในดินแดนเทพปี ศาจ นั่น
หมายความว่าสกายลอร์ดไม่ได้ทำอะไรมากมายเพื่อหยุดมัน สุดท้ายการหยุดเดียโบลก็เป็ นเพียงข้ออ้างเพื่อ
หลบซ่อนเหตุผลอื่น

'ดวงดาวรวมตัวกันเพื่อสร้างจักรวาล มันหมายถึงการสร้างโลกใหม่หรือไม่? '

มูยองเกาหัว บางทีมันอาจเป็ นเส้นทางที่เขาต้องเดินไปหลังจากกำจัดเทพปี ศาจทั้งหมด ในขณะที่เขาใช้เวลา


จัดระเบียบความคิดของตัวเองอยู่

<ผู้มีอำนาจพลังของกาเบรียล ผลลัพธ์ของ 'บัญญัติอันเที่ยงธรรม' ถูกเพิ่มเข้ามา '

<ช่วยเหล่าเจ้าของดวงดาว และทำให้ราชาปี ศาจยอมพ่ายแพ้>

<พลังเทวะบริสุทธิ์ เพิ่มขึ้น 30 >

มูยองมีหลายวิธีในการเสริมกำลังของเขา แต่ถึงการสร้างความแข็งแกร่งจะมีความจำเป็ นต่อหลายสิ่ง อย่างไร


ก็ตามการวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ สเตตัสสามารถเพิ่มขึ้นในภายหลังได้ ตอนนี้เป็ นเวลาที่จะหา
ข้อมูลเกี่ยวกับสกายลอร์ดเสียก่อน

หากมีบางสิ่งเกี่ยวกับสกายลอร์ดตามที่มูยองคาดไว้ นี่เป็ นโอกาสดีที่มันจะถูกเปิ ดเผย มูยองไม่สามารถรอได้


อีก

“โซระ”

"...ค่ะท่าน"

โซระตอบด้วยอาการสั่นเทาก่อนจะคุกเข่าลง

พลังความมืดจากศิลปะแห่งความตายได้กลืนโซระจนเธอเชื่อฟังมูยองอย่างสมบูรณ์แบบ

“ เธอรู้จักสกายลอร์ดมากแค่ไหน?” สายตาของโซระหันไปทางมูยอง

“ มันถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าเทพปี ศาจระดับสูง เพื่อป้ องกันไม่ให้เดียโบล และผู้ติดตามของมันเข้าสู่ดินแดนเทพ


ปี ศาจ…”
"พอ!" เป็ นการเสียเวลาที่จะฟังมากกว่านี้ เพราะข้อสรุปที่ออกมาก็คือเธอไม่รู้อะไรมากไปกว่าที่คนอื่นรู้ เขา
ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับมันมากกว่านั้น

ครั้งก่อนเขาพยายามหลีกเลี่ยง แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะพุ่งเข้าหามันแล้ว

“ โซระ เธอไปล่อสกายลอร์ดมาที่นี่”

"ค่ะท่าน"

โซระเป็ นราชาปี ศาจที่คอยดูแลสกายลอร์ดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แม้ว่าเธออาจไม่รู้เรื่องราวการกำเนิดของสกายล


อร์ด แต่เธอก็ยังรับมือกับมันได้ดีกว่าใครก็ตามที่อยู่ที่นี่

'สิ่งที่เหลืออยู่คือทาร์แคนล่อกองทัพพวกนั้นได้ดีเพียงใด'

*** ทาร์แคนถอนหายใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้กับศัตรูนับแสนด้วยกองทหารเพียง 50,000 คนเท่านั้น

ทาร์แคนอยู่ในระดับผู้ปกครองแต่เขาเก่งในเรื่องต่อสู้มากกว่าเป็ นหัวหน้าสั่งการในกองทัพ

หากปราศจากเบซองมินเขาคงเสียกองกำลังทั้งหมดไปแล้ว ซองมินเป็ นนักวางแผนและนักกลยุทธ์ที่น่าทึ่งมาก

“ อ่า มีจำนวนศัตรูมากกว่าที่ข้าคิดซะอีก”

จำนวนหน่วยไล่ล่าของศัตรูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทาร์แคนยังคงยอมสูญเสียกำลังเล็กน้อย และถอยกลับ ใน


กระบวนการนี้มีทหารของศัตรูประมาณ 200,000 นายที่ถูกสังหาร แต่จำนวนศัตรูกลับเพิ่มขึ้นเป็ น 400,000
นายในเวลารวดเร็ว ทาร์แคนเหลือทหารประมาณ 20,000 นายเท่านั้น เพราะเขาเสียไป 30,000 นายแล้ว

“ ดูเหมือนจะถึงขีดจำกัดแล้ว เราต้องกลับไปเข้าร่วมกองทัพหลัก”

ซองมินบอกทาร์แคน ถ้าไม่ได้เวทมนตร์ของซองมินคงมันเป็ นเรื่องยากที่สามารถทนได้จนกระทั่งตอนนี้


กองทัพของทาร์แคนได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว

ทาร์แคนพูดอย่างไม่ชอบใจนัก

“ เราต้องหันหลังกลับเช่นนี้จริงๆหรือ? ข้ายังสามารถต่อสู้ได้”

“ นี่เป็ นเรื่องไม่จำเป็ น คุณคิดว่านายท่านส่งผมมาที่นี่ทำไมกันเหรอ?”


ทาร์แคนเกาหัว มูยองอาจส่งซองมินมาเพราะเขาเป็ นนักเวทและเก่งเรื่องกลยุทธ์ แต่อีกเหตุผลก็อาจเป็ นเพราะ
เพื่อห้ามทาร์แคนทำอะไรตามใจตัวเอง

“ ถ้ามีแต่ข้า ข้าคงต่อสู้จนถึงที่สุด”

“ สถานการณ์ทางทหารของเราไม่ค่อยดีนัก ถึงการเอาชนะศัตรูเกือบ 200,000 ด้วยทหารเพียง 30,000 เป็ น


เรื่องน่ายกย่อง แต่การสูญเสียทหารเหล่านั้นไปก็ถือเป็ นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเราแล้ว และมันคงไม่ใช่เรื่อง
ง่ายที่จะกำจัดศัตรูทั้งหมดด้วยทหารที่เหลือเพียง 20,000 นาย”

ยังมีศัตรูอีกจำนวนกมาก ทหาร 20,000 นายไร้ค่าต่อหน้าจำนวนศัตรูขนาดนั้น ทาร์แคนพยักหน้า

"ข้ารู้ แต่ถ้าให้ถอยอย่างเดียวก็ดูยังไงอยู่”

ทาร์แคนหันไปดูปี ศาจที่กำลังบินด้วยปี กขนาดใหญ่ด้านบน

“ ดูเหมือนปี ศาจทั้งหมดจะทำตามคำสั่งเจ้าตัวที่ดูเหมือนจะเป็ นราชาปี ศาจนั่น ”

ทาร์แคนไม่ได้เอาแต่สู้อย่างบ้าคลั่ง หากพวกมันเคลื่อนไหวราวกับมีร่างเดียวกัน นั่นต้องมีบางคนบงการพวก


มันอยู่

“ ถ้ากำจัดมันได้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น”

“ งั้นผมจะซื้อเวลาให้คุณสักพัก”

ซองมินเห็นด้วย

หัวหน้าของพวกมันต้องถูกสังหารก่อนที่พวกเขาจะดำเนินการไปยังขั้นตอนต่อไป

ปัญหาคือพวกเขาจำเป็ นต้องหยุดปี ศาจจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อฆ่าราชาปี ศาจตนนั้น

“ ไฮดร้า, อมาเดอุส และดูมไนท์”

ซองมินอัญเชิญมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา หลังจากนั้นก็ใช้หัวของไฮดราเพื่ออัญเชิญแม่มดเบียทริซ
เขายังใช้เวทย์มนตร์ที่เหลืออยู่เพื่อสร้างบาเรียป้ องกันไว้ด้วย

“ ผมขวางมันได้ไม่เกิน 10 นาที ถ้าคุณฆ่ามันไม่สำเร็จ เราจะหนีไปทันที”


"10 นาที ย่อมได้”

ทาร์แคนชักดาบออกมา น่าแปลกหลังจากได้รับกระดูกของมูยอง เขาก็รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น ถ้าทุ่มพลัง


ทั้งหมดออกไปโจมตีเขารู้สึกว่าตนเองสามารถฆ่าราชาปี ศาจได้

* * * * สกายลอร์ดไล่เขมือบเหล่าดวงดาวด้วยความเร็วสูง จนขนาดร่างกายของมันใหญ่โตมากกว่าเกาะแห่ง
หนึ่ง อย่างไรก็ตาม ดวงดาวที่สกายลอร์ดอยากกลืนกินที่สุดคือดาวของมูยอง ผู้ที่มีดาวสองดวงที่สว่างไสว

“ สกายลอร์ดจะกระจายพลังเพื่อกลืนกินทุกอย่าง ถึงตอนนั้นการเคลื่อนไหวของมันจะช้าลงมาก”

ราชาปี ศาจโซระอธิบาย

มูยองพยักหน้า

ดูเหมือนว่าท้องของมันต้องการเวลาสำหรับการย่อยสลาย ปี ศาจที่อยู่บนทางเดินของสกายลอร์ดต่างถูกกลืน
กินในขณะที่มันพุ่งไปทางมูยอง

หากยังคงอยู่เช่นนี้ กองทัพของมูยองทั้งหมดจะถูกกินโดยสกายลอร์ด ด้วยความเร็วของมันสถานการณ์จึง


ค่อนข้างอันตราย ยังไงก็ตามเขาต้องการทำให้มันอิ่ม เพื่อชะลอการเคลื่อนไหวของมันลง

“กระจายกำลัง ฉันจะล่อมันเอง”

วูม! มูยองกางปี กกาเบรียลออกแล้วเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือสิ่งมีชีวิตใดๆ

*** ทาร์แคนวิ่งเร็วสุดชีวิต ทหารม้าวิญญาณ 20,000 นายก็วิ่งตามมาติดๆเช่นกันโดยมีปี ศาจ 400,000 ตนไล่


อยู่ข้างหลังพวกเขา

“ เวรตะไล ข้าใช้ไปหมด 10 นาทีแล้ว!”

“ บอกแล้วว่ามันยากมากที่จะกำจัดพวกมัน”

ซองมินมีพลังเวทไม่พอที่ควบคุมปี ศาจจำนวนมากในตอนนี้ได้

“ น่ารำคาญเสียจริง พวกมันคงไม่เลิกตามจนกว่าจะสังหารพวกเราทั้งหมด”

ไม่ใช่แค่ 10 นาที แต่กว่าจะฆ่าราชาปี ศาจได้ต้องใช้เวลาถึงสองเท่า


นั่นเป็ นผลทำให้ปี ศาจเริ่มไล่พวกเขาอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อหัวหน้าของพวกมันเสียชีวิต ซองมินพูด

“ คุณบอกไม่ใช่เหรอว่ากำจัดมันได้ใน 10 นาที? ทำไมถึงใช้เวลามากกว่านั้น?”

“ มันแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิด แต่ยังไงข้าก็เป็ นผู้ชนะนะ!”

ทาร์แคนยอมรับเบาๆ ราชาปี ศาจนั้นแข็งแกร่ง เขาเกือบจะแพ้ เมื่อคิดว่ามันจะเหมือนราชาปี ศาจตัวอื่นที่เขาได้


ต่อสู้มา ทาร์แคนไม่ควรมองข้ามราชาปี ศาจที่อยู่ภายใต้คำสั่งเทพปี ศาจแห่งสงครามอย่างเลราเจ

“ ซองมิน บางทีเราควรฆ่าพวกมันให้หมด…”

ทางเลือกที่ดีที่สุดคือยอมแพ้ แต่ทาร์แคนเป็ นนักรบ นอกจากนี้เขายังมีความรู้สึกของการผู้ปกครองหลงเหลือ


อยู่ พลัง!สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือพลัง!ทาร์แคนคิดอย่างนั้น

"เดี๋ยว!"

ขณะนั้นซองมินหยุดเคลื่อนไหว เขามองไปยังที่ห่างไกลราวกับรู้สึกถึงบางสิ่ง และในไม่ช้าเขาก็พูดอย่าง


รวดเร็ว

“ กระจายกำลังเร็ว เดี๋ยวนี้”

"อะไร?"

“ เร็วเข้า ถ้าคุณไม่อยากถูกกิน!”

ซองมินบีบพลังเวทมนตร์ที่ยังเหลือ ก่อนจะใช้ก้าวย่างพริบตา เวทย์มนตร์เคลื่อนที่ระยะสั้นที่จะทำให้เขา


สามารถย้ายไปยังที่ไหนก็ได้ที่มองเห็น

ทาร์แคนเงยหน้าขึ้นครู่หนึ่งแล้วเขาก็รู้ว่าทำไม

“...บัดซบ! แยกย้าย!”

จากระยะไกล ร่างของสิ่งมีชีวิตสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมท้องฟ้ ากำลังพุ่งเข้าหาพวกเขาในขณะที่อ้าปากกว้าง


ทาร์แคนวิ่งด้วยพละกำลังทั้งหมดจนกระดูกเสียดสีกันเกิดเสียงแกรกกราก
บทที่ 242: สกายลอร์ด (จบตอน)

เลราเจขมวดคิ้ว

“ ทำไมถึงยังไม่มีใครมารายงานข่าว”

ดูเหมือนศัตรูใหม่ที่ปรากฏตัวจะแข็งแกร่งมาก เป็ นเพราะจำนวนทหารไล่ล่าของมันลดลงมากถึง 200,000


นาย มันเชื่อว่าการส่งราชาปี ศาจเก่งๆไปพร้อมกับทหารจำนวน 400,000 ตนก็เพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็ นต้อง
คิดมากและให้ความสนใจอะไรมากมาย เพราะยังไงมันก็ไปด้วยตนเองไม่ได้ เนื่องจากต้องเฝ้ ารอยแยกของเก
รโมรี่ แต่มันก็ต้องฉุกใจคิด…

'นี่ข้าตัดสินใจผิดพลาดหรือเปล่า?'

ถึงตอนนี้ข่าวชัยชนะของพวกมันน่าจะมาถึงได้แล้ว ทหารของมันน่าจะเด็ดหัวศัตรูไปแล้ว แต่พวกนั้นยังไม่


กลับมา ไม่มีสัญญาณแห่งชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้ใดๆทั้งสิ้น

การคำนวณของมันไม่ผิด เลราเจมี 'ดวงตาที่สามารถอ่านกระแสสงครามได้อย่างทะลุปรุโปร่ง' เมื่อมีสงคราม


ใดๆเกิดขึ้นมันสามารถคำนวณตัวแปรทั้งหมดออกมาได้ และจากการสันนิษฐานว่ามีการแทรกแซงจากบาง
อย่าง ทำให้เลราเจตัดสินใจส่งหน่วยไล่ล่าจำนวน 400,000 ตนออกไป ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว

การคำนวณนั้นถูกต้อง นี่เป็ นเรื่องจริงตราบใดที่คู่ต่อสู้ไม่มีประสบการณ์ในการ 'ต่อสู้' มากกว่าตัวมัน เท่าที่


ผ่านมายังไม่มีใครเป็ นเช่นนั้น เลราเจไม่ได้ถูกเรียกว่า 'ราชาปี ศาจแห่งสงคราม' โดยไม่มีเหตุผล อย่างน้อยใน
แง่ของสงครามมันเป็ นตัวตนที่พิเศษที่มีชีวิตและลมหายใจเข้าออกเพื่อการต่อสู้ มันถูกต้องแล้วที่จะคิดว่าศัตรู
แข็งแกร่งเกินความคาดหมาย

“ ข้าจะเพิ่มความเร็วในการทำลายรอยแยกของเกรโมรี่”

เลราเจตัดสินใจว่าจะกำจัดเกรโมรี่เร็วขึ้น มันเบื่อและเหนื่อยหน่ายกับการนั่งเฝ้ าอยู่ที่นี่ทั้งวัน มันอยากทำ


"สงคราม" จริงๆสักที ยังไงเกรโมรี่ก็อยู่ในระดับผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ ายตรงข้าม มันจะต้องเป็ นการต่อสู้
ที่ยิ่งใหญ่แน่ๆ

“ แต่ถ้าท่านทำเช่นนั้น ปิ ศาจที่จ่ายพลังงานจะไม่รอด”

ปี ศาจบางตนพูดอย่างกังวล สิ่งที่จำเป็ นในการเปิ ดรอยแยก คือเวทมนตร์บริสุทธิ์ ของปี ศาจพิเศษบางตัว เลราเจ


ใช้พลังของพวกมันพื่อค้นหาและเปิ ด 'ประตู' ในรอยแยก การทำเช่นนั้นพวกมันจะต้องปล่อยพลังงานจนถึง
ขีดจำกัดกระทั่งพลังชีวิตลดต่ำลง
แต่เลราเจไม่สนใจ “ การเสียสละเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเป็ นสิ่งจำเป็ น การเปิ ดรอยแยกล่าช้าอาจทำให้เกิดปัญหาที่ไม่
คาดคิดขึ้น " มีตัวแปรเกิดขึ้นได้มากมาย

ตอนนี้ฝ่ ายปฏิปักษ์อาจมารวมตัวกันแล้ว และมีความเป็ นไปได้ที่เดียโบลจะปรากฏตัวขึ้น มันจะทำให้เกรโมรี่


อาจเดินหมากได้อีกครั้ง ดังนั้นการจัดการเกรโมรี่ให้รวดเร็วก่อน ย่อมดีกว่าสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป
ของมัน

“ หากความเร็วยังเป็ นเช่นนี้จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 65 วัน กว่าจะนำตัวนังเกรโมรี่ออกมาได้ ข้าไม่อยาก


เสียเวลาแล้ว ข้าต้องการเปิ ดรอยแยกในวันนี้”

เพื่อย่นระยะเวลา 65 วัน มันคิดว่าต้องสูญเสียปี ศาจสำหรับจ่ายพลังงานประมาณ 50,000 ตน ยังไงก็ตาม หาก


ประสบความสำเร็จในการจู่โจมวันนี้ การสูญเสียทหารปี ศาจจำนวน 50,000 ตนย่อมคุ้มค่า

'ดวงตา' ของเลราเจกำลังบอกมันว่าสงครามครั้งนี้ควรจบลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใต้บังคับบัญชาของของมันเงียบ


สนิทไม่มีใครคัดค้านอีก คำพูดของเลราเจนั้นถือเป็ นสิทธิ์ ขาด และมันไม่เคยพูดผิด

“ สิ่งที่เราต้องการคือชัยชนะและสร้างโลกใหม่! เพื่อท่านบาอัลเราจะต้องไม่แพ้!” เลราเจตะโกนปลุกใจทหาร


ปี ศาจของมัน

ตึง! ตึง! ตึง! เหล่าปี ศาจกระแทกอาวุธลงบนพื้นเสี่ยงสนั่น ก่อนจะพุ่งปรี่เข้าสู่รอยแยก

“ จงอย่าเกรงกลัวการเสียสละ! สิ่งสำคัญที่สุดคือชัยชนะ!” มันเกิดมาเพื่อที่จะชนะ บทบาทของมันคือการปู


ทางแห่งความรุ่งเรืองอันไม่มีที่สิ้นสุด

เลราเจหยิบคันธนูออกมา มันคือสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ 'อินเฟอร์โน่' ธนูที่แข็งแกร่งที่สุดในอันเดอร์เวิล์ด ซึ่งมี


แต่เลราเจเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ เมื่อมันง้างสายธนูเวทมนตร์จำนวนมหาศาลก็เริ่มก่อรูปร่างเป็ นลูกศร

วูม! อำนาจพลังนั้นเผาผลาญและสามารถเจาะผ่านได้ทุกอย่าง หากรวมพลังของเลราเจกับชีวิตทหารปี ศาจอีก


50,000 ตน แม้แต่รอยแยกก็ไม่อาจทานทนได้

'เกรโมรี่ จะไม่มีที่ให้เจ้าซ่อนอีกต่อไป' ดวงตาของเลราเจเปล่งประกาย ถ้ามันเข้าสู่รอยแยกและเด็ดหัวของเกร


โมรี่ออกมาได้ ตัวแปรอื่นๆจะไม่มีทางถูกสร้างอีก

ฟุบ! ไม่นานหลังจากนั้นเลราเจก็ปล่อยลูกธนูของมัน พลังงานสีดำทรงพลังพุ่งทะลวงผ่านเข้าสู่อากาศ และ


เมื่อมันสัมผัสรอยแยก

บูมมมมมมมมมมมมม!
ด้วยเสียงที่หนักหน่วงพื้นที่รอบๆถึงกับบิดเบือน รอยแยกเต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์สีดำ และหลังจากนั้นไม่
นานพื้นหลังของรอยแยกก็เริ่มเปลี่ยนไป

ณ ที่แห่งนั้นปรากฏเป็ นโลกอันดำมืดมีป้ อมปราการขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลายแห่ง ปี ศาจจำนวนมากกางปี กออก


ขณะมองที่เลราเจ และท่ามกลางปี ศาจทั้งหมดเธออยู่ที่นั่น เทพปี ศาจหญิงเพียงผู้เดียว เกรโมรี่!

“ เจ้ายังงดงามเช่นเดิม”

เลราเจยิ้มแล้วพูด

ในความเป็ นจริงหลายคนหลงใหลในความงามของเธอ คุณสามารถพูดได้ว่าฝ่ ายปฏิปักษ์ส่วนใหญ่ล้วนเป็ น


เช่นนั้น ปี ศาจลุ่มหลงในความงามและความรักฟังดูเป็ นคำที่ไม่เหมาะกับพวกมันจริงๆ

“ เจ้าก็ยังคงน่าเกลียดเหมือนเช่นเดิม”

เกรโมรี่พูดด้วยท่าทางไม่สบายใจ ยังไงก็ตามแค่น้ำเสียงของเธอก็สามารถทำให้ใครก็ตามที่ได้ฟังต้องเข่าอ่อน
ดูเหมือนความพยายามของพระเจ้าทั้งหมดจะถูกใช้ไปกับการสร้างของเธอออกมา แต่เลราเจเป็ นเทพปี ศาจ
แห่งสงคราม ตัวมันมีอยู่เพียงเพื่อการทำสงครามเสน่ห์ของหญิงสาวย่อมไม่มีผล

“ วันนี้จะเป็ นวันสุดท้ายของเจ้า หากไม่อยากอับอายนักก็พยายามสู้กับข้าให้ดีที่สุดแล้วกัน”

“บาอัลพาเรากลับไปยังดินแดนที่สัญญาไว้ไม่ได้หรอกเลราเจ เขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะฟื้ นฟูแผ่นดินที่เต็ม


ไปด้วยความตายนั่นได้ สุดท้ายมันก็เป็ นเพียงความหวังลมแล้งๆ”

เลราเจขมวดคิ้ว ร่างอันใหญ่โตของมันสั่นอย่างเห็นได้ชัด

"หุบปาก บาอัลเป็ นผู้ยิ่งใหญ่ และเราก็มีพัฒนาที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ถึงเวลาที่จะกลับไปกันสักที ข้าไม่ต้องการอยู่


ในโลกปลอมๆอีกต่อไป!”

เกรโมรี่แสดงความสงสารออกมา

“ คนที่ติดอยู่ในความฝันคงไม่ใช่ข้า แต่เป็ นเจ้า”

มันเหมือนเลราเจติดอยู่ในความเพ้อฝันด้วยดวงตาที่มืดบอด คำพูดต่างๆไม่อาจส่งผ่านไปถึงมันได้ เกรโมรี่กัด


ริมฝี ปาก พลังแห่งการล่อลวงไม่ได้ผลกับเลราเจ ตอนนี้อัตราการชนะของเธอต่ำมาก

“เราจะสู้”
ภายใต้คำสั่งของเกรโมรี่, 26 ราชาปี ศาจตะบึงออกไปต่อสู้ ราชาปี ศาจทั้ง 26 ตนและเหล่าปี ศาจ 26 กลุ่มเป็ น
พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกรโมรี่ อย่างไรก็ตาม ราชาปี ศาจภายใต้เลราเจมีถึง 38 ตน

“เกรโมรี่เจ้าฆ่าตัวตายเองนะ”

เลราเจยกคันธนูขึ้น พลังเวทย์ของมันหายไปเกือบ 20% ตอนบังคับเปิ ดรอยแยก แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะต่อสู้กับ


เกรโมรี่แล้ว

'ดวงตาแห่งสงคราม' ของเลราเจบอกมันว่าอัตราชนะที่ได้เท่ากับ 100% ชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ! ไม่มีทางที่


มันจะแพ้

เมื่อดูจากจำนวนและคุณภาพของกองทัพ รวมถึงพลังในฐานะเทพปี ศาจ เห็นได้ชัดว่าเลราเจเหนือกว่ามาก

เกรโมรี่ไม่ได้เป็ นเทพปี ศาจสายต่อสู้ มันไม่ได้เป็ นคู่ที่เหมาะสมกันแต่แรกแล้ว สิ่งที่เธอทำได้คือหยุดการ


เคลื่อนไหวของเลราเจชั่วคราวเท่านั้น

"มาเริ่มกันเถอะ!"

เลราเจยิ้ม

เปรี้ ยง!

ขณะที่มันก้าวขาก็เกิดเสียงดังขึ้น แต่มันไม่ใช่เสียงที่สร้างโดยเลราเจ มันเป็ นเสียงกระแทกที่เกิดจากบางสิ่งใน


ระยะไกล

'นี่มัน?'

ในขณะที่เลราเจหันศีรษะไป มันก็สังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์จากระยะทางหลายร้อยไมล์ กำลังพุ่งดิ่งตรง


มายังที่นี่ด้วยความเร็วมหาศาล ราวกับว่าเกาะใหญ่กำลังเคลื่อนที่ มีสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่สร้างแรงกดดัน
ได้ขนาดนี้

“ …สกายลอร์ด”

เกรโมรี่พูด

อย่างไรก็ตามเกรโมรี่ไม่เพียงรู้สึกได้ถึงตัวตนของสกายลอร์ดเท่านั้น
เปรี้ ยง! ตูม! ตะตุตูม!

เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นดินสั่นสะเทือน

ตอนนี้การระเบิดสามารถเห็นได้ในระยะสายตาของพวกเขาแล้ว ด้วยการระเบิดนั้น ออร่าพลังของใครบางคน


ที่คุ้นเคยเป็ นอย่างมากก็แผ่เข้ามา และเมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ดวงตาของเกรโมรี่ก็เกิดการสั่นไหวเล็กน้อย

"เขาคือ…"

“ ไม่น่าเชื่อ”

ราชาปี ศาจภายใต้คำสั่งของเกรโมรี่ก็สังเกตเห็นเช่นกัน

ปี กสีเทาสองคู่!

“เกรโมรี่ เจ้าดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน”

เลราเจพูด มันรู้สึกหงุดหงิดมากที่มีคนมาขัดจังหวะการต่อสู้ เกรโมรี่สงบดวงตาที่สั่นเทาของเธอก่อนจะหัน


ไปหาเลราเจและพูดว่า

“ เขาคือ…"

จริงๆแล้วเธอไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ตอนขอให้เขาช่วยค้นหาชิ้นส่วนของรอยแยกก็เพราะไร้ซึ่งหนทาง
เท่านั้น ยังไงก็ตาม เธอไม่คิดว่าเขาจะมีพลังมากจนสามารถนำสกายลอร์ดมาด้วย

เกรโมรี่พูดต่อไป

“ เขาคือราชาปี ศาจตนที่ 27ของข้า, 'ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา', มูยอง”

***

มูยองได้ข้อสรุปว่าสกายลอร์ดนั่นยากที่จะทำให้เชื่อง หรืออย่างน้อยมันจะไม่เกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวัน
เป็ นแน่ ยังไงก็ตามมูยองยังประสบความสำเร็จอยู่

สกายลอร์ดกินปี ศาจไปทั้งหมด 400,000 ตน ตามที่คาดไว้การเคลื่อนไหวของสกายลอร์ดชะลอตัวลงเล็กน้อย

'ถึงฉันจะใช้กำลังบังคับมันได้ แต่คงใช้เวลานานเกินไปสำหรับการฟื้ นตัว'


จากนี้ไปมันเป็ นการแข่งขันกับเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกรโมรี่แพ้ มันจะกลายเป็ นจุดจบ

หากเขาต้องเปลืองพลังไปกับสกายลอร์ดมูยองจะไม่สามารถสู้เลราเจได้ และแล้วมูยองก็ได้ข้อสรุป

'ฉันจะไปหาเลราเจทั้งๆแบบนี้แหละ'

แน่นอนว่าถ้าทุกอย่างเป็ นไปตามแผน แต่บางครั้งก็จำเป็ นต้องตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าด้วย และ


สำหรับตอนนี้นี่คือการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุด

มูยองไม่จำเป็ นต้องกำราบสกายลอร์ดเอง แต่ให้เลราเจทำแทน!

ก๊าซ!

เนื่องจากสกายลอร์ดไม่สามารถจับมูยองได้มันจึงส่งเสียงร้อง

ก่อนที่จะสร้างหนวดจำนวนมากเพื่อโจมตีมูยอง มูยองหันไปสู้บางครั้งก่อนจะบินหนีอย่างรวดเร็วในขณะที่
รักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม ดังนั้นหลังจากไม่กี่ชั่วโมงของการดิ้นรนเขาก็สามารถไปถึงค่ายที่เลราเจอยู่

'ฉันมาทัน'

แต่มีบางสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาไม่คิดว่าประตูรอยแยกจะถูกเปิ ดไปแล้ว แม้สงครามยังไม่เริ่ม แต่เขารู้สึกว่า


มันจะเริ่มอีกในไม่ช้า มูยองเร่งความเร็วมากขึ้น และในเวลานั้นสายตาของเขาก็ได้พบกับเกรโมรี่

“ เขาคือ…"

ดวงตาของเกรโมรี่สั่นไหวอย่างเข้าใจยากราวกับเธอไม่รู้ว่ามูยองจะมาถึงในเวลานี้ ไม่สิ ดูเหมือนเธอจะตก


ตะลึงจากการปรากฏตัวของชายที่เธอไม่คาดหวังและไม่เคยคิดถึงมากกว่า เกรโมรี่ยังแนะนำมูยองต่อไป

“ เขาคือราชาปี ศาจตนที่ 27ของข้า, 'ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา', มูยอง”

<ภารกิจ 'ราชาปี ศาจแห่งกองทัพที่ 27' เสร็จสิ้นแล้ว>

<อันดับราชาปี ศาจแห่งกองทัพที่ 27 ได้เพิ่มจาก A+ เป็ น S >

<คุณได้รับฉายา 'ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา'>

<ผู้ใช้มูยองเริ่มใช้ความพยายามอย่างมากจนกลายเป็ นราชาปี ศาจของเทพปี ศาจเกรโมรี่!>


บทที่ 243: ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา (1)

การที่เจอดาราแห่งดาวิด ทำให้มูยองถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในฐานะราชาปี ศาจลำดับที่ 27 ของเกรโมรี่ แต่เขาไม่


ชอบชื่อเรียกเช่นปี ศาจเถ้าสีเทาเลยจริงๆ มูยองอยู่ในระดับที่แตกต่างจากราชาปี ศาจตนอื่นๆ และก็โดดเด่นเกิน
กว่าจะประเมินว่าเป็ นแค่ราชาปี ศาจด้วย

ยังไงก็ตาม หากเขาต้องการใช้พลังของเกรโมรี่ และได้รับความช่วยเหลือของฝ่ ายปฏิปักษ์ มันหลีกเลียงไม่


ได้ที่ต้องใช้ชื่อเช่นนี้ไปก่อน และเขาสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ในภายหลัง

“ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าชักนำสกายลอร์ดมาได้อย่างไร แต่ถ้าคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนด้วยเรื่องนี้ เจ้าก็เข้าใจผิดแล้ว!”

เลราเจยืนยืดอกมั่นใจด้วยร่างกายใหญ่โต ยังไงก็ตามมันไม่ต่างจากคนแคระเมื่ออยู่ต่อหน้าสกายลอร์ด ทว่าเล


ราเจกลับไม่ได้ขาดความมั่นใจ สกายลอร์ดเป็ นเพียงมอนสเตอร์ ดังนั้นในฐานะนักล่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัว
เลราเจยกคันธนูขึ้นก่อนจะดึงสาย

ฟูมมมมมม!

แตกต่างจากตอนทำลายรอยแยก ลูกศรเปลี่ยนเป็ นบางอย่างคล้ายหอก พุ่งทะยานแหวกข้ามไปอากาศ เป้ า


หมายคือมูยอง! มันต้องการกำจัดตัวต้นเหตุที่พาสกายลอร์ดมาที่นี่ก่อน

'ไม่มีทางหรอก' มูยองชักดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยวออก

อุ้งมือของเขาเต็มไปความรู้สึกกังวลใจ เพราะการเผชิญหน้ากับเทพปี ศาจไม่ใช่สิ่งปกติที่มนุษย์สามารถเผชิญ


ได้

แม้มูยองจะฝ่ าฝันมาถึงจุดนี้ได้ด้วยตัวเขาเอง แต่เขายังไม่ถึงปลายทางที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นเขาต้องเอาชนะเลราเจ


ให้ได้ก่อน ยังไงก็ตามเทพปี ศาจเพียงตนเดียวที่มูยองเคยเห็นและต่อสู้ด้วยคือดันดาเลี่ยน และดันดาเลี่ยนเป็ น
เพียงเทพปี ศาจแห่งการโกหก มันอยู่ห่างไกลจากเทพปี ศาจสายต่อสู้มากโข

ในทางกลับกัน… เลราเจเป็ นถึงเทพปี ศาจสงคราม โดยเฉพาะดวงตาแห่งสงครามของเลราเจ มันสามารถ


คำนวณความเป็ นไปได้ทั้งหมดในการต่อสู้ และคิดหาทางที่มีอัตราการประสบความสำเร็จสูงสุด นั่นเป็ นสิ่งที่
ยุ่งยากที่สุดสำหรับมูยอง

'ยังไงฉันก็ต้องเอาชนะให้ได้'

มูยองลบคำที่พ่ายแพ้ออกจากจิตใจของเขา การดำรงอยู่ของมูยองคือไขว่คว้า 'ชัยชนะ'

เขาอาจคล้ายกับเลราเจในความหมายนั้น เขาไม่สามารถแพ้ได้แม้แต่ครั้งเดียว
มูยองเกิดมาวิ่งเข้าสู่ชัยชนะ และจะยังคงวิ่งต่อไป

ฟูม!

พลังเวทน่าครั่นคร้ามบินไปทางมูยอง

ด้วยความตั้งใจที่จะฉีกทำลายทุกสิ่ง มันทะลวงข้ามอากาศเพื่อทำลายมูยองโดยเฉพาะ!

และเลราเจมั่นใจว่ามูยองไม่มีทางรอด

'อินเฟอร์โนธนูของเลราเจเป็ นอาวุธสังหารที่ยิงหนึ่งทีต้องมีศพเกิดขึ้น และถึงจะบล็อกมันได้ก็ต้องเสียพลัง


ความแข็งแกร่งเป็ นอย่างมาก'

จะพูดว่าธนูดังกล่าวถือเป็ นพลังอำนาจของเลราเจก็ไม่ผิดนัก คุณย่อมมีวิธีสู้กลับหากสามารถหยุดมันได้ และมู


ยองผู้เปรียบเสมือนตัวตนเหนือธรรมชาติย่อมไม่สามารถวัดได้ด้วย 'ความน่าจะเป็ นปกติ'

แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีตอบโต้ตรงๆ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงมูยองจะไม่มีอะไรเลย

'วิชาดาบมูยอง' วิชาดาบที่รวบรวมประสบการณ์ความรู้ซึ่งมูยองได้สะสมมาจนถึงปัจจุบัน จนกระทั่งบัดนี้ มู


ยองสร้างการโจมตีมาแล้วทั้งสิ้น 50 กระบวนท่า โดยที่กระบวนท่าที่ 51 นั้นยังคงมีแค่เพียงแนวทางเท่านั้น
และทุกอย่างจะถูกนำมาปฎิบัติจริงที่นี่ '50 กระบวนท่าที่ฉันสร้างจนถึงตอนนี้เป็ นเพียงพื้นฐาน พื้นฐานในการ
สร้างกระบวนท่าที่ 51 !!' มันจะยกระดับวิชาดาบที่แท้จริงของเขา

เนื่องจาก กระบวนท่าที่ 51 อยู่ในระดับที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่เหลือทั้งหมด 'ทำลายขีดจำกัด'

หาก 50 กระบวนท่าแรกเป็ นพื้นฐาน ถ้างั้นของจริงคงเริ่มจากกระบวนท่าที่ 51 ความร้อนเริ่มแผ่ออกจากความ


โกรธเกรี้ ยว พลังเทวะศักดิ์ สิทธิ์ และพลังเวทดั้งเดิมของเขาต่างปะทะกันอย่างดุเดือดก่อนจะค่อยๆผสมผสาน
กัน

มูยองใช้ทักษะ 'การเร่ง' ในสถานะนั้นทันที มันคือทักษะที่ทำให้โลกเริ่มช้าลง และมูยองก็กลายเป็ นเร็วมาก


ขึ้น ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเร็วขึ้น 64 เท่า แต่นั่นยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด!

โลกช้าลง ทุกอย่างไหลช้ามากจนถึงจุดหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกถึงการไหลเวียนของอากาศ และสายลมที่กระทบ


ผิวหนัง แม้มูยองจะได้รับผิวหนังของผู้อมตะ และเป็ นถึงครึ่ งเทพ แต่เขายังไม่คุ้นเคยกับโลกที่เร็วกว่าถึง 128
เท่า จนร่างกายเริ่มกรีดร้อง ถูกตัองระดับความเร็วที่มูยองเผชิญอยู่ตอนนี้คือ 128 เท่า!

มูยองเค้นพลังจากทั้งสมาธิ อัตตา และจิตวิญญาณของเขาให้มากที่สุดก่อนจะระเบิดพลังออกไป เป็ นพลัง


ทำลายที่อาจแม้กระทั่งสังหารตนเอง 'สำเร็จ' เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าของมูยอง
คิงสเลเยอร์คือผู้ที่อยู่ในโลกที่ถูกเร่งขึ้น 128 เท่า และในที่สุดมูยองก็ไปถึงขอบเขตนั้น 'กระบวนท่าที่ 51 …'
มันถูกสร้างก่อนที่ความโกรธเกรี้ ยวจะระเบิด และก่อนที่ลูกศรของเลราเจจะเจาะหัวใจของมูยอง! 'กระบวน
ท่าสังหารมาร' มูยองพูดชื่อวิชาดาบของเขาออกมา

สวูม!

ความโกลาหลครั้งใหญ่แผ่ออกจากดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยว และตัดลูกศรของเลราเจที่กำลังจะมาอย่างช้าๆ
จากนั้นก็ขยายออกไปอย่างเงียบๆ และตัดแขนขวาของเลราเจซึ่งกำลังถือธนูอยู่

ตุบ!

โลกกลับคืนสู่สภาพปกติเมื่อแขนของเลราเจหล่นอยู่บนพื้น เพียงชั่วขณะนั้น

ซู่ดดด

มูยองหายใจเข้าลึก รู้สึกยังกับว่าพลังงานทั้งหมดไหลออกจากร่างกายของเขา แต่เขาประสบความสำเร็จ เขา


ไม่เพียงแต่หยุดยั้งการโจมตีของเลราเจ แต่ยังตัดแขนขวาของมันออก

กระบวนท่าที่ 51 สังหารมาร มันเป็ นเทคนิคใหม่ของมูยอง

“ ราชาปี ศาจทำเช่นนี้ได้อย่างไร !!”

เลราเจมองที่แขนของตัวเองและขมวดคิ้ว มันเป็ นไปไม่ได้ที่ราชาปี ศาจจะสร้างความเสียหายให้กับร่างของ


เทพปี ศาจ แต่สิ่งที่เป็ นไปไม่ได้ก็เกิดขึ้นแล้ว

มันคือราชาปี ศาจตนที่ 27 ใช่ไหม?

“ ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา…!”

เลราเจเก็บแขนที่ถูกตัดออกมาต่อใหม่แล้วยกคันธนูขึ้นอีกครั้ง แต่มูยองไม่ได้วางแผนที่จะเผชิญหน้ากับเลรา
เจอีก

“ เลราเจนายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอก”

มูยองชิ่งบินออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเลราเจก็เห็นบางสิ่งที่อยู่เหนือมัน

ก๊าซซซซซ!
“ เจ้าสารเลว! สกายลอร์ดอ้าปากกว้าง เลราเจเก็บธนูแล้วจับด้านข้างของสกายลอร์ดด้วยแขนทั้งสองข้าง ถึง
ขนาดแตกต่างกัน แต่เลราเจกลับมีความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ สกายลอร์ดถึงกับถูกกหยุดการเคลื่อนไหว
เห็นฉากดังกล่าวมูยองถึงกับพูดไม่ออก และรีบบินไปหาเกรโมรี่ขณะที่พวกมันทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุ
เดือด เกรโมรี่และกลุ่มของเธอมองมูยองด้วยท่าทางแปลกๆ จากนั้นก็เข้าไปจับมือสองของมูยอง

"ต้องขอบคุณเจ้ามาก หากไม่ใช่เพราะเจ้าข้าคงเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้าย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะรวบรวมชิ้นส่วน ...


"

“ เราไม่มีเวลามากพอมาคุยกัน ผู้ติดตามของผมจะมาถึงเร็วๆนี้ เราต้องจัดการสิ่งที่เหลือ ตอนที่สกายลอร์กำลัง


รับมือเลราเจอยู่”

มูยองดึงมือตัวเองกลับ และแสดงความคิดเห็นที่สมเหตุสมผล

เห็นดังนั้นปี ศาจที่อยู่รอบๆทั้งหมดก็รู้สึกโมโห ทัศนคติของมูยองนั้นห่างไกลจากวิธีที่ราชาปี ศาจผู้อยู่ใต้บังคับ


บัญชาควรปฏิบัติ เขาแสดงและพูดเหมือนเกรโมรี่เป็ นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา!

แต่มูยองไม่สนใจ

'ฉันเป็ นผู้ที่ถือมีด'

มูยองเป็ นคนที่รับคำขอของเกรโมรี่ และช่วยชีวิตเธอจากสถานการณ์อันตราย

มูยองยังเป็ นผู้ที่พลิกกลับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรก็ตาม

มูยองยังคงเป็ นผู้ที่ถือมีดอยู่

นอกจากนี้เสน่ห์ของเกรโมรี่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลต่อมูยองมากนัก เกรโมรี่เองก็แปลกใจเช่นกัน ทุกผู้คนไม่ว่าจะ


เป็ นรูปแบบของสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม ล้วนได้รับอิทธิพลจากเกรโมรี่

หากพวกเขาอยู่ใกล้เธอ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็ นสิ่งมีชีวิตพิเศษ เช่นเทพปี ศาจแห่งสงคราม

“ พวกเธอจะยืนดูกันเฉยๆไปอีกนานไหม? คงไม่เลือกที่ตายกันแบบนี้นะ”

พรึ่ บ! มูยองกางปี กออก

พูดตามตรงมูยองใช้พลังงานเกือบทั้งหมดไปแล้ว จากกระบวนท่าที่ 51 สังหารมาร แต่เขาไม่สามารถ


แสดงออกได้
สงครามครั้งนี้เป็ นเหมือนการเปิ ดตัวของเขา น้ำหนักที่เขาแบกไว้จะเปลี่ยนไปตามความสามารถที่แสดงออก

'มีเพียงความกังวลเล็กน้อย'

ผู้ติดตามของเขาเริ่มเคลื่อนไหวในขณะที่เลราเจเผชิญหน้ากับสกายลอร์ด ดูเหมือนว่าจะเกิดความวุ่นวายไม่
มากเท่าที่เขาคิด พวกมันดูคุ้นเคยกับตัวแปรเช่นนี้

มูยองออกไปที่สนามรบ ไม่จำเป็ นต้องพูดอะไรอีก

บูม! เปลวเพลิงกำลังลุกไหม้!

ปังงง! แผ่นดินทั้งหมดสั่นสะเทือน ระเบิดขนาดใหญ่ถูกสร้างและทำลายทุกอย่าง

ท้องฟ้ าถูกย้อมด้วยสีดำ และสายฟ้ านับไม่ถ้วนที่มาพร้อมกับพายุก็ผ่าเปรี้ ยงลงมา แน่นอนว่ามูยองคือ


จุดศูนย์กลางของสิ่งเหล่านั้น

เขาถูกเรียกว่าราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา แต่เขาเป็ นใครกันแน่ จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นหยุดการโจมตีของเลราเจและ


ตัดแขนของมัน ไม่เพียงแค่นั้น เขายังจัดการกองกำลังชั้นยอดของเลราเจ ราวกับกำลังเล่นกับพวกมันอยู่

เกรโมรี่รู้สึกสับสน 'ครั้งแรกที่ข้าเห็น เขายังไม่เติบโตถึงเพียงนี้'

เกรโมรี่ไม่ได้คาดหวังมากนักตอนที่เขาปรากฏตัวพร้อมกับใบรับรองของราชาปี ศาจตนที่ 27 มูยองอ่อนแอ


เกินกว่าที่ใครจะคาดหวัง มากสุดเขาก็แค่อยู่ในระดับที่สามารถต่อสู้กับราชาปี ศาจทั่วไปได้ เธอไม่เคยคาดหวัง
ว่าเขาจะกลับมาพร้อมกับชิ้นส่วนของรอยแยกเลย

แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี …พลังเทวะที่รู้สึกได้จากเขาก็ไม่ธรรมดา ดูเหมือนจะมีทั้งพลังเวทของเขาและพลัง


เทวะผสมรวมกันอยู่ จนกลายเป็ นพลังแห่งความโกลาหล เกิดอะไรขึ้นในช่วงไม่กี่ปี ที่ผ่านมาสำหรับการ
เปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้? แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของมูยอง

“มูยองเจ้าบัดซบ! คิดว่าเจ้าจะทำตัวเด่นอยู่ผู้เดียวได้เหรอ!”

“ พวกเรามาแล้ว "

เหล่าวิญญาณและมอนสเตอร์หลากเผ่าพันธุ์แห่แหนเข้ามา พวกมันมีไม่ถึงสามแสนตน แต่ก็เพียงพอที่จะพลิก


สถานการณ์ในทันที ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเอนโรธ และราชาปี ศาจกุหลาบอีกด้วย

'นั่นมันอะไรกัน…'
เธอไม่เข้าใจว่าสมาชิกของอามอนและวาสซาโก้มาอยู่ภายใต้มูยองได้ไง เทพปี ศาจทั้งสองไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับ
ฝ่ ายปฏิปักษ์แต่ตรงกันข้าม

ทว่าตอนนี้พวกมันทั้งสองกำลังไล่สังหารปี ศาจของเลราเจอยู่

เกรโมรี่หันศีรษะของเธอไปมองเขาอีกครั้ง มูยองในขณะต่อสู้นั้นดูเศร้าโศกแปลกๆ ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วย


เลือด และความโศกเศร้านั้นทำให้คนที่มองต้องรู้สึกตื่นกลัว แต่ในขณะเดียวกันก็ทำสามารถรับรู้ถึงความสนุก
และตื่นเต้น รู้สึกเหมือนเขาเกิดมาเพื่อต่อสู้ เกรโมรี่แทบไม่เคยเห็นใครต่อสู้แบบนี้เลย แล้วเลราเจจะรู้สึก
อย่างไรในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับมูยองโดยตรง?

ถ้าเลราเจเป็ นเทพปี ศาจแห่งสงคราม ... เกรโมรี่รู้สึกเหมือนชื่อที่เธอมอบให้มูยองไม่เหมาะสมซะแล้ว เธอจะ


ตั้งชื่อให้เขาจากรูปลักษณ์ที่เรียบง่าย แต่อาจมีบางอย่างที่เหมาะกับเขามากกว่า

เขาที่เป็ นผู้นำทุกอย่างในสมรภูมิรบนี้! เขา มูยอง 'ราชันย์แห่งสมรภูมิรบ' เหมาะสมกว่าที่เขาจะถูกเรียกเช่น


นั้น

บทที่ 244: ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา (2)

ภาพรวมขณะนี้กองกำลังเลราเจมีจำนวนถึงหนึ่งล้านครึ่ ง และถึงแม้กองกำลังของเกรโมรี่และมูยองจะรวมกัน
ก็ยังน้อยกว่า สกายลอร์ดพยายามอย่างยิ่งที่จะกินเลราเจอย่างดื้อรั้น

ถึงจะดูโง่ๆแต่ดูเหมือนว่ามันจะรู้ว่าใครเป็ นศัตรูตอนนี้ เลราเจเองก็กำลังใช้พละกำลังหยุดยั้งสกายลอร์ด


แน่นอนว่าตำแหน่งเทพแห่งสงครามไม่ได้รับมาอย่างมั่วๆ ในทางตรงกันข้าม

มูยองและเกรโมรี่นั้นค่อนข้างเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ในกรณีของเกรโมรี่เป็ นสิ่งที่น่าแปลกใจแม้ว่าเธอจะ


ไม่ใช่ปี ศาจสายต่อสู้ แต่เวทมนตร์ของเธอกลับเกี่ยวข้องกับการป้ องกัน

'เธอสามารถสร้างโล่ขนาดใหญ่ให้กับฝ่ ายตนได้'

แม้แต่มูยองก็รู้สึกประทับใจ โล่ดังกล่าวการโจมตีปกติไม่สามารถทำอะไรได้ และมันสามารถป้ องกันการ


โจมตีได้สองครั้งที่มาจากปี ศาจอันดับสูง ความเสียหายที่พันธมิตรได้รับนั้นลดลงอย่างมาก เหนือสิ่งอื่นใดนี่
เป็ นพลังของเกรโมรี่ที่ไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อย

หากเธอไม่เสียพลังไปกับการซ่อมรอยแยก เธอจะกลายเป็ นฝ่ ายสนับสนุนที่ดีมากสำหรับการต่อสู้ในอนาคต

สถานการณ์ของการต่อสู้นั้นชัดเจนดี มูยองคุมสมามรบไว้หมดแล้ว ทว่ามูยองกลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างจาก


บริเวณอื่น
'มีอีกคนหนึ่ง'

หากไม่ใช่มูยองคงยากที่จะรู้สึกถึง มีผู้ที่มีทักษะหลบซ่อนระดับสูงอยู่ใกล้ๆ ต้องขอบคุณประสาทสัมผัสอัน


เฉียบคมซึ่งได้รับมาจากพลังครึ่ งเทพ ทำให้มูยองสามารถสัมผัสถึงตัวตนนั้นได้

'มีเทพปี ศาจอีกตนหนึ่ง…มันคือใคร'

มูยองมั่นใจในสิ่งที่รู้สึก เขารู้เพียงมีคนๆหนึ่งแอบซ่อนอยู่ แต่ที่เหลือล้วนยังดูลึกลับ

หากเป็ นศัตรู…การที่มีเทพปี ศาจอีกตนเข้าร่วมการต่อสู้ พวกเขาแพ้แน่นอน แม้แต่มูยองก็ไม่สามารถทำอะไร


ได้ เขายังไม่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปี ศาจสองตนได้ในเวลาเดียวกัน

ยิ่งไปกว่านั้นมีความเป็ นไปได้ที่เทพปี ศาจจะมีผู้ติดตามมาอีกเช่นราชาปี ศาจอื่น และผู้ใต้บังคับบัญชาของมัน


มูยองอ่านสถานการณ์ไม่ออก ทำได้แค่ระวังตัวเอาไว้ เพราะมูยองต้องคอยตอบสนองให้ทันเวลาหากผู้นั้น
เคลื่อนไหว ยังไงก็ตามเทพปี ศาจตนนั้นกลับเพียงสังเกตสนามรบจากระยะไกล

'เขามีเป้ าหมายอะไร'

ไม่ใช่ฝ่ ายปฏิปักษ์แน่นอน ไม่งั้นคงมาช่วยแล้ว และปี ศาจที่ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับฝ่ ายปฏิปักษ์ ก็มีแต่เป็ นของฝ่ าย


สนับสนุนเท่านั้น

'ฝ่ ายสนับสนุนที่ต้องการกำจัดทุกอย่างนอกเหนือจากเผ่าพันธุ์ตัวเอง และทุกคนที่ขัดขวางแผนการ '

จากข้อมูลภายในความทรงจำของดันดาเลี่ยนมีบางส่วนเกี่ยวข้องกับเทพปี ศาจ ในนั้นบอกว่าฝ่ ายสนับสนุน


แบ่งออกเป็ นสามกลุ่ม

1.กลุ่มหวังประโยชน์ ที่ต้องการเก็บบางเผ่าพันธุ์ไว้เพื่อใช้เป็ นทาสของเผ่าตน

2.กลุ่มหัวรุนแรง ที่กล่าวว่าเพียงเผ่าพันธุ์ปี ศาจเท่านั้นที่สมควรดำรงอยู่บนโลก

3.กลุ่มกลาง ที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

สิ่งที่แน่นอนคือ มันเป็ นหนึ่งในสามกลุ่มเหล่านั้น

'เขาไม่ได้มาจากกลุ่มหัวรุนแรง' เพราะไม่อย่างนั้นคงจู่โจมมาแล้ว

“แมลงตัวจ้อย! เจ้าคิดเหรอว่าสามารถเอาชนะเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้!”
บูม! บูม! บูมมมม!

เลราเจปล่อยหมัด

ขณะที่สกายลอร์ดเซไปมาด้วยพลังระเบิดอันรุนแรง มูยองรู้สึกประหม่าเล็กน้อย สกายลอร์ดควรหยุดยั้งเทพ


ปี ศาจได้ แต่เลราเจกลับสามารถตอบโต้มันคืนอย่างแข็งแกร่ง

บางทีเลราเจอาจจะไม่ใช่เทพปี ศาจแห่งสงคราม แต่เป็ นเทพปี ศาจแห่งความแข็งแกร่ง? มูยองหวังว่าพวกมัน


ทั้งคู่จะได้รับความเสียหาย แต่ดูเหมือนว่าเลราเจยังคงมีความได้เปรียบอยู่มาก

มูยองกะจะเคลียร์พื้นที่รอบแล้วโจมตีเลราเจ แต่เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเนื่องจากความกังวล
เกี่ยวกับบุคคลที่สาม

'ฉันต้องรู้ความตั้งใจของเขา ไม่ว่าเขาจะแค่มาดูหรือวางแผนอะไรอยู่ก็ตาม '

พรึ่ บ! มูยองกางปี กออก ขนหลายพันเส้นถูกปล่อยออกจากปี กทั้งสี่คู่ในเวลาเดียวกัน

เป้ าหมายคือพื้นที่ว่างเปล่าตรงนั้น เป็ นเพราะมูยองไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนเกี่ยวกับศัตรูที่ซ่อนตัวเขาจึงโจมตี


ไปยังพื้นที่ว่างแทน หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆมูยองย่อมสามารถสังเกตเห็นได้ และตามที่คาดไว้มีบางอย่าง
เปลี่ยนแปลงขึ้น

ปัง! ขนเส้นหนึ่งร่วงลงพื้นราวกับชนเข้ากับกำแพง

“ สังหารมัน! สังหารเจ้าเถ้าสีเทานั่น!”

ราชาปี ศาจภายใต้เลราเจก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน สำหรับพวกมันมูยองเป็ นตัวตนที่น่ารังเกียจ

อย่างไรก็ตามความสนใจของมูยองอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง เขาเดินไปยังตำแหน่งที่เทพปี ศาจตนที่สามซ่อนตัวอยู่


เหล่าปี ศาจไม่สามารถขวางมูยองได้ หัวของปี ศาจที่ขวางทางของเขาถูกตัดออกไปโดยธรรมชาติราวกับว่า
พวกมันไม่ได้อยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก ไม่มีทางไหนเลยที่ปี ศาจธรรมดาจะสามารถหยุดมูยอง หลังจากเดินไปสักพัก

“ นายเป็ นใคร ทำไมถึงมาแอบดูฉัน?”

วูม พื้นที่หนึ่งๆบิดเบี้ยวแล้วจู่ๆก็กลายเป็ นปกติ

'เขาหายไปแล้ว ต่อหน้าต่อตาฉันเนี้ยนะ?'
นั่นไม่ใช่เวทมนตร์หรือคาถา ศัตรูแค่เคลื่อนที่ในสภาวะโปร่งใส มีพลังงานชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้

'อำนาจพลัง!'

อำนาจพลังคือพลังเฉพาะตัวที่สิ่งมีชีวิตซึ่งที่มีพลังเทวะเท่านั้นพึงจะมีได้ เป็ นเรื่องธรรมดาที่ปี ศาจตรงหน้าจะ


คลาดสายตามูยองไป

หากมันได้รับพลังอํานาจที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการเคลื่อนไหว และมูยองก็พบผู้ที่มีเทคนิคนั้นในความทรงจำ
ของดันดาเลี่ยน

'เทคนิคการซ่อนตัวแบบนี้... มีเพียงปี ศาจตัวที่ชื่อไพม่อนเท่านั้น'

ผู้ที่ชอบขุดคุ้ยข้อมูลหาความลับของเรื่องต่างๆ นักสืบข้อมูล มันเป็ นเขา และไพม่อนเองก็เป็ นผู้ที่อยากรู้อยาก


เห็นเกี่ยวกับมูยอง ไม่ใช่เหตุการณ์ในสนามรบ เลราเจ หรือสกายลอร์ด แต่เป็ นมูยอง โชคดีที่มูยองยังไม่ได้ใช้
'พลังแห่งความตาย' และหนังสือ 'อัลโนวา'

มูยองไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาสอดแนม แต่นั่นคงไม่ใช่ข่าวดี ข้อมูลเป็ นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดที่มูยองครอบครอง


ถึงพวกมันไม่รู้จักมูยองแต่มูยองรู้จักพวกมัน แต่ถ้าพวกมันเริ่มรู้ข้อมูลของมูยองแล้ว อาวุธของมูยองก็จะเริ่ม
สูญเสียประสิทธภาพ นั่นเป็ นเหตุผลที่เขาพยายามจัดการเทพปี ศาจให้เร็วที่สุด

'ฉันควรยุติสงครามนี้ให้ได้ก่อน'

ไม่เชิงว่ามูยองจะไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าคนที่มาสังเกตการณ์คือไพม่อน ไพม่อนเป็ นกลุ่มกลางที่


มีเพียงน้อยนิด เขามีชื่อเสียงในหมู่เทพปี ศาจด้วยกัน เพราะเป็ นผู้ที่อ่านการกระทำได้ยาก มันยังเร็วเกินไปที่จะ
คิดในแง่ร้าย แต่เขาจำเป็ นต้องยุติสงครามนี้ให้เร็วที่สุดหากต้องวางแผนใหม่

“เจ้าราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทาผู้โง่เขลา ในเมื่อรนหาที่ตายขนาดนี้! อย่าหวังเลยว่าจะมีชีวิตรอดกลับไป!”

สองราชาปี ศาจภายใต้เลราเจพุ่งเข้าหาเขา สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยปี ศาจของศัตรู พวกมันมีประมาณหนึ่ง


พันตน ดูเหมือนว่ามูยองจะตั้งใจตามหาไพม่อนเกินไปจนเผลอเข้าลึกไปในค่ายของศัตรู

มูยองเดาะลิ้นแล้วพูดว่า

“ฉันจะเป็ นคนเลือกสถานที่ที่ฉันจะตายเอง”

กรรรร! ดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยวสั่นระริก และมูยองก็เห็นด้วยอย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนที่จะมาตายที่นี่


“น่าประทับใจ” ไพม่อนมองไปที่สนามรบทั้งหมดด้วยความคิดในใจจากห้องใต้ดินอันมืดมิดของป้ อมปราการ
ปล่อยใบหน้าอันเต็มไปด้วยเครื่องหมายตกใจปรากฎออกมา

'ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้านั้นจะเห็นข้าขณะใช้พลัง ดูเหมือนว่าเขาจะมีอะไรที่พิเศษกว่าผู้อื่น '

ผู้ที่สามารถมองเห็นผ่านอำนาจพลังได้ก็คือผู้มีอำนาจพลังเหมือนกัน พลังอำนาจของไพม่อนเป็ นความลับมาก


มันยากที่จะรู้ว่าพลังเช่นนี้มีอยู่จริง แต่มูยองตระหนักถึงมันได้ และยังทราบถึงตำแหน่งที่แน่นอน

'เจ้านั้นเป็ นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ข้าไม่เคยเห็นตัวตนที่เป็ นลางร้ายเช่นนี้ยกเว้นโซโลมอน '

เขาโผล่ออกมาจากไหน มันเป็ นไปไม่ได้ที่ใครบางคนเช่นนั้นจะปรากฏตัวโดยไร้ที่มา มีเหตุผลสำหรับ


ปรากฏการณ์ทั้งหมดอยู่เสมอ ตัวตนของเขาอาจเกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่

'ทำให้เวลาเปลี่ยนแปลงได้ นั่นเป็ นเทคนิคของคิงสเลเยอร์แน่นอน'

คิงสเลเยอร์!

ไพม่อนได้เข้าใจอยู่แล้วว่าเขาอยู่ในอันเดอร์เวิล์ด และรู้ว่าคิงสเลเยอร์เป็ นผู้ที่เกี่ยวข้องกับ 'โซโลมอน'

'คิงสเลเยอร์เป็ นผู้หนึ่งที่ถูกโซโลมอนใช้เป็ นหมาก

ถ้าเป็ นเช่นนั้นมีความเป็ นไปได้สูงที่เจ้าเถ้าสีเทานี่เกี่ยวข้องกับโซโลมอน ' ไพม่อนเริ่มรวมชิ้นส่วนของจิ๊ก


ซอว์เข้าด้วยกัน ทุกอย่างเข้าใจได้หากเขาเกี่ยวข้องกับโซโลมอน โซโลมอนคือตัวตนที่มีความสัมพันธ์ปรปักษ์
กับเหล่าเทพปี ศาจทั้ง 72 ตน เขาต้องการที่จะลดจำนวนเทพปี ศาจด้วยความช่วยเหลือของฝ่ ายปฎิปักษ์

'โซโลมอน เจ้าวางแผนอะไรอยู่กันแน่?'

ไพม่อนเท่านั้นที่สามารถล้วงความลับผู้อื่น มันไม่สามารถปล่อยความลับของตนไปยังผู้อื่นได้ เรื่องใหญ่ที่


สามารถเปลี่ยนแปลงโลกควรมีมันเท่านั้นที่รู้

'ข้าจะหาความลับของเจ้าเทพอสูรนั่นให้เจอ '

ไม่ใช่เทพปี ศาจ แต่เป็ นเทพอสูร ไพม่อนเรียกโซโลมอนแบบนั่น จากนั้นจิตสำนึกของไพม่อนก็แยกออกจาก


ร่าง มันย้ายจิตสำนึกของตนออกไปอย่างรวดเร็วยังสถานที่แห่งหนึ่ง

สถานที่ที่มีภูเขาไฟขนาดใหญ่ มีบางคนอยู่ที่นั่น ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยลาวา ชายชราที่มีผมและเคราสี


ขาวดูราวกับว่าเขาได้ก้าวข้ามโลกไปแล้ว ลาวาเริ่มกวาดล้างพื้นที่ที่เขาเดินผ่าน สถานที่ที่เขายืนอยู่ทำให้เกิด
ความรู้สึกสิ้นหวัง ราวกับว่ามันเป็ นอีกโลกหนึ่ง ชายชรามองที่ไพม่อนแต่ก็หันกลับคืนอย่างรวดเร็ว ราวกับว่า
เขารู้ว่าไพม่อนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเฝ้ ามอง

ก๊าซ! หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นภายในภูเขาไฟขนาดใหญ่ มันมีพลังที่จะเขย่าจิตสำนึกทั้งหมด


ของไพม่อน สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนมังกร

นั่นมันเดียโบล! ทว่ามันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ราวกับว่าเขาถูกควบคุมโดยบางสิ่ง

ชายชรามองเขา

'โซโลมอน'

โซโลมอน! ชายชรานั่นคือโซโลมอน เขาอยู่ที่อันเดอร์เวิล์ดพร้อมกับเดียโบล

กีซ! ในที่สุดสกายลอร์ดก็ล้มลง มันไม่ได้ตายแต่สูญเสียพลังทั้งหมดไป ยังไงก็ตามเลราเจที่ก็ไม่ได้มีสภาพที่ดี


ไปกว่ากันเท่าไหร่

“เจ้าคิดว่าจะหยุดเลราเจผู้นี้ได้ด้วยสิ่งนี้เหรอ?”

ร่างของเลราเจปรากฎบาดแผลหลายแห่ง ทุกส่วนที่ถูกกัดโดยสกายลอร์ดไม่สามารถฟื้ นฟูได้ทั้งหมด นั่น


หมายความว่าพลังเวทมนตร์ของมันเกือบหมดลงแล้ว

กองกำลังจำนวนกว่าหนึ่งล้านครึ่ ง ลดลงเหลือแค่หลักแสน ในทางกลับกัน กองกำลังของเกรโมรี่ และมูยองยัง


มีอยู่เกินกว่าหนึ่งล้านนาย

มูยองชิงพูดขึ้นก่อน

“ดวงตาของนายไม่ได้บอกเหรอ? ว่าอัตราชัยชนะของนายเริ่มลดลง”

เลราเจต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ยิ่งการต่อสู้ยิ่งยืดยาวเท่าไหร่ ความน่าจะเป็ นที่จะได้รับชัยชนะของมันก็ลดลง แต่


มันไม่สามารถจัดการสกายลอร์ดได้อย่างรวดเร็ว และผลลัพธ์ที่ออกมาก็อย่างที่เห็น

กรอด! เลราเจกัดฟันและดูที่เกรโมรี่ที่อยู่ข้างหลังมูยอง

“เกรโมรี่! หากเจ้ายังเป็ นเทพปี ศาจอยู่ก็มาเผชิญหน้ากับข้าด้วยตนเอง อย่าทำให้เกียรติของพวกเราต้องเสื่อม


เสีย!”
มันพูดไม่ผิด จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่สถานที่ที่ราชาปี ศาจจะก้าวก่ายได้ ยังไงเทพปี ศาจอย่างเกรโมรี่ก็สมควรต้อง
ก้าวออกมา ไม่ใช่มูยองที่เป็ นราชาปี ศาจภายใต้คำสั่งของเธอ ทว่าเกรโมรี่ไม่ตอบและมองไปที่มูยอง

“เสียใจด้วยเลราเจ ผู้นำของสงครามนี้ไม่ใช่ข้า”

เกรโมรี่เป็ นคนฉลาดเธอรู้ว่าควรทำตัวยังไง นั่นหมายความว่าเธอมอบสิทธิ์ อำนาจทั้งหมดแก่มูยอง และยัง


ทำให้เสียงเอะอะทั้งหมดเงียบลงระหว่างปี ศาจพันธมิตร

เลราเจเสียงดังมากยิ่งขึ้น

“ เจ้าคิดว่าราชาปี ศาจอยู่ในระดับเดียวกับเทพ? เจ้า…เจ้ากล้าเรียกตัวเองว่าเป็ นหนึ่งใน 72 เทพปี ศาจได้


อย่างไร!”

“ นายจะพล่ามอะไรเยอะแยะ”

มูยองก้าวออกไปข้างหน้า ทาร์แคน, เบซองมิน และปี ศาจอื่นๆต่างแหวกทางให้ สร้างที่ว่างสำหรับมูยองและ


เลราเจ

“เลราเจนายแพ้แล้ว ยอมรับดีๆเสียเถอะ”

เลราเจลืมตาขึ้นและมองไปที่มูยอง

“ ข้าไม่แพ้จนกว่าจะตาย และเจ้าที่เป็ นแค่ราชาปี ศาจไม่มีสิทธิ์ พูด”

มูยองยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แค่ราชาปี ศาจ…ถูกต้อง แม้แต่มูยองก็ยังคิดว่ามันเป็ นระดับที่ไม่น่าพอใจ

“ นายกลัวฉันงั้นเหรอ?”

"กลัว? กลัว'งั้นเหรอ? ฮ่าๆ! ตลกสิ้นดี”

เลราเจหัวเราะเยาะเขา ในขณะที่มูยองยิ้มตอบ

ในตอนแรกเลราเจเป็ นตัวตนที่มูยองไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆในการเผชิญหน้า แต่ตอนนี้มันเป็ นไปได้เพ


ราะเลราเจสูญเสียพลังงานไปเยอะเนื่องจากการต่อสู้กับสกายลอร์ด เลราเจก็น่าจะรู้เช่นกัน แต่มันไม่ต้องการ
ยอมรับ

มูยองหลอกล่อ
“ เอาชนะฉันสิ ถ้านายชนะฉันได้ ฉันจะปล่อยนายออกไปจากสนามรบนี้”

เลราเจหยุดหัวเราะ ที่จริงแล้วมูยองไม่ได้เป็ นปัญหาที่นี่ แต่ยังมีทหารอีก 1ล้านนาย พร้อมกับเกรโมรี่ กองทัพ


ปี ศาจนับล้านล้อมมันอยู่

ถ้าเกรโมรี่ยังอยู่เลราเจจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ด้วยกองทัพเพียงหลักแสนที่เหลืออยู่ แต่ถ้ามันเอาชนะ
มูยองได้...

“ ข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้าได้ยังไง?"

“ นักรบของฉันเชื่อฟังฉันดี และดูเหมือนว่าเกรโมรี่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน”

เลราเจมองที่เกรโมรี่ และเธอพยักหน้าด้วยท่าทางกังวล ตอนนี้ผู้ที่มีอำนาจทั้งหมดในสนามรบนี้คือมูยอง แต่


เงื่อนไขนี้ก็ดีเกินไปสำหรับเลราเจ นั่นเป็ นเหตุผลที่มูยองยื่นข้อเสนอเพิ่มเติม

“ แต่ถ้าฉันชนะ ฉันจะเอา 'พลังเทวะ' ของนายมา "

มูยองเปิ ดตาของเขา หนึ่งในอำนาจหลังจากดูดซับลูซิเฟอร์อย่างสมบูรณ์

นั่นคืออำนาจการดูดกลืน! ยังไงก็ตามพลังอำนาจดูดกลืนจะเป็ นแบบสุ่ม และนั่นคือเหตุผลที่มูยองวางเงื่อนไข

หนึ่งในพลังอำนาจของเลราเจ 'ความเป็ นเทพ'! นั่นเป็ นหนึ่งในพลังที่แข็งแกร่งที่สุด พลังที่สามารถเคลื่อนย้าย


ภูเขาได้ด้วยเพียงความแข็งแกร่ง เลราเจไม่มีเหตุผลอื่นที่ต้องคิด การเอาชนะมูยองเป็ นหนทางเดียวที่จะทำให้
ชีวิตรอดในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป

“ อย่าคิดว่าสิ่งที่ข้าแสดงให้เจ้าเห็นคือทุกสิ่ง”

“ งั้นก็ทำให้ฉันเห็นว่านายมีดีอะไรหน่อยสิ?”

"ไม่มีปัญหา! กับคนโง่เง่าของอย่างเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าทำไมทุกคนถึงเรียกข้าว่าเทพปี ศาจสงคราม”

เลราเจหยิบคันธนูออกมา แต่มันไม่ได้ผูกสายเอาไว้ และในขณะนั้นคันธนูก็เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง ธนูเปลี่ยนเป็ น


ชุดเกราะลวดลายมังกรแดงจารึกอยู่ ก่อนที่จะห่อหุ้มร่างของเลราเจ

ดราก้อนฮันเตอร์

“ เลือดของมังกรนับร้อยทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก”
เลราเจยิ้ม ในขณะที่มูยองวางมือบนหน้าอกตัวเอง

คลิก คลิก คลิก มูยองปลดล็อคที่สลักอยู่ในหน้าอกของเขา

ชว้าง! ในไม่ช้า หอกขนาดใหญ่ที่สร้างจากแสงก็ปรากฏขึ้นในอากาศ

หอกของกาเบรียล! เมื่อพลังศักดิ์ สิทธิ์ ทั้งหมดมารวมกันที่หอก ปี กสีเทาของมูยูยองก็เริ่มถูกย้อมเป็ นสีดำ พลัง


ของลูซิเฟอร์ และพลังของกาเบรียลแยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมูยองวอร์มอัพเบาๆแล้วเขาก็พูด

“ ฉันจะแสดงทักษะที่แท้จริงให้นายเห็นเหมือนกัน”

*****************************************

บทที่ 245: ราชาปิ ศาจแห่งเถ้าสีเทา (3)


หลังจากปลดปล่อยพลังก็เหมือนทุกอย่างที่หน่วงเหนี่ยวตัวเขาหายไป
จริงๆพลังทั้งสองไม่สามารถผสานรวมกันได้นอกจากนั้นยังขัดแย้งกันเองอีกด้วย แต่หลังจากที่สร้างวิชาดาบที่ 51
กระบวนท่าสังหารปี ศาจออกมามูยองก็มั่นใจขึ้น
ขอบเขตพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และนั่นทำให้เขาตัดสินว่าตัวเองสามารถจัดการกับสถานการณ์
แตกแยกครั้งนี้ได้ ถึงจะเป็นการเดิมพันด้วยชีวิต แต่มูยองไม่เคยลังเลหากเขาเห็นความเป็นไปได้ นั่นเป็นเหตุผลที่
ทำให้มูยองกลายเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว และยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาผ่านความยากลำบากมาได้หลายครั้ง
เขาไม่ได้บังคับพลังทั้งสองให้ผสานรวมกัน แต่แยกพวกมันออกไปคนละฝั่ง โดยให้พลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างหนึ่ง และ
อีกพลังเวทอยู่ข้างหนึ่ง
พอกระบวนการเสร็จสิ้นหอกของกาเบรียลที่ใหญ่โตก็ย่อส่วนลงจนมีขนาดเหมาะสมกับรูปร่างของมูยอง
มูยองถือหอกกับดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวเหมือนพวกใช้ดาบคู่ เมื่อไปถึงจุดสูงสุดทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นเท่า
เทียมกัน สำหรับมูยองการใช้ดาบคู่ก็ไม่ต่างอะไรกับวิชาดาบธรรมดาทั่วไป เขาสามารถกวัดแกว่งมันได้โดยไม่มีข้อ
แตกต่าง
เลราเจก้าวถอยหลัง ราวกับพลังของมันเจอคู่ปรับโดยธรรมชาติ
พลังอันศักดิ์สิทธิ์ ของกาเบรียลอยู่ในหอกของเขา พลังที่เป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์ปี ศาจ!
"ทำไมราชาปี ศาจถึงมีพลังเช่นนี้ได้!"
“แกกลัวฉันเหรอ?”
เขาถามอีกครั้งแต่เลราเจไม่ได้ตอบ
บูม! บูม!
ราวกับเขินอายที่เมื่อกี้เผลอก้าวถอยหลัง เลราเจทำหน้าจริงจังพุ่งเข้าหามูยองอีกครั้ง
“คิดว่าเทพสงครามอย่างข้าจะถูกกดดันจากพลังเล็กน้อยเช่นนั้นรึ?”
ปัง!!!!
กำปั้นของมันปรากฏวงเวทสีดำขนาดใหญ่ และด้วยความสูงถึงห้าสิบเมตรของเลราเจมันควรจะพุ่งลงมาอย่างช้าๆ
ยังไงก็ตามมันกลับมีความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ตูม!
สมกับเป็นพลังของเทพปี ศาจ กำปั้นหมัดเดียวก็ทำให้เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง ยังไงก็ตามมันกลับสัมผัสได้เพียง
ผืนดิน
‘ฉันคงตายทันทีถ้าถูกโจมตี’
หลังจากคำนวณแล้วว่าไม่สามารถป้ องกันได้ มูยองจึงตัดสินใจหลบแทน
เทพปี ศาจมีร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยพลังเทวะบริสุทธิ์ แม้มูยองจะมีพลังตรงกันข้ามกับพวกมันแต่ก็ยังทำอะไรไม่
ได้มาก ร่างกายของเขาคงระเบิดเป็นเสี่ยงๆหากรับหมัดนั้นเข้าไปตรงๆ
‘ฉันแค่ต้องหลบมัน จากนั้น’
เขามั่นใจในการหลบหลีก แต่ปัญหาคือเขาจะชนะได้ยังไง
วูม!
ขณะที่หมัดพุ่งเข้ามา อากาศก็ถูกแหวกออกกลายเป็นคลื่นกระแทกอันรุนแรงราวกับพายุ ปี ศาจบางตัวไม่สามารถ
ทนแรงกระแทกดังกล่าวได้พากันยึดจับกับพื้น ไม่ก็สร้างบาเรียเวทหลบกันจ้าละหวั่น
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสกายลอร์ดจึงไม่สามารถต้านทานหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังเทวะนี้ได้
‘ฉันมีแค่โอกาสเดียว’
จากเงื่อนไข‘ทำให้เลราเจพ่ายแพ้สงคราม’มูยองทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้เหลือแต่จะทำให้มันตายได้ยังไง และหากทำได้
เลราเจจะหายไปอย่างสมบูรณ์ตามเงื่อนไขการดับสูญ
‘ฉันต้องหาองค์ประกอบของมันให้เจอ’
แน่นอนว่ามันเป็นไปไมได้ที่จะมองหาองค์ประกอบของเทพปี ศาจที่เป็นดั่งผู้อมตะ ยังไงก็ตามหลังจากผ่านเงื่อนไข
การดับสูญมันก็ไม่ได้เป็นอมตะอีกต่อไป
‘ฉันเห็นมัน’
ทันทีที่เข้าใจทุกอย่างมูยองก็มองเห็นองค์ประกอบ ถ้าสร้างความเสียหายไปยังที่แห่งนั้นได้โอกาสที่จะชนะก็ท้วม
ถ้น
“เอาแต่หนีเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก”
การโจมตีของเลราเจรุนแรงขึ้น อำนาจพลังของเลราเจนั้นยอดเยี่ยมโดยแท้จริง ถ้าพลังเวทของคุณหมดคุณยัง
สามารถใช้พลังจากร่างกายของคุณได้ตลอดจนกว่าจะล้มลง
‘มันยากที่จะเข้าประชิดตัวมันได้’
ความรวดเร็วในการตอบสนองของเลราเจอยู่ในระดับเหนือธรรมชาติ ทุกการโจมตีของงมันปราศจากการแจ้งเตือน
ใดๆ หากยังล่าช้าต่อไปคนที่จะเสียเปรียบจะกลายเขา
ฮึ่ม!
ปัง!
ตูม!
เลราเจแสดงรอยยิ้มอันพึงพอใจ เมื่อคิดว่ามูยองจมลงดินไปแล้ว
"...?"
เลราเจขมวดคิ้ว นับเป็นอีกครั้งที่หมัดของมันจมลงบนผืนดินว่างเปล่าโดยมีมูยองยืนอยู่ข้างๆ
‘ไม่สิ’
เลราเจส่ายหัว
มูยองไม่ได้ป้ องกันการโจมตี แต่ปัดมันออกไปข้างๆแทนเพราะเขาไม่สามารถป้ องกันตรงๆได้ ยังไงก็ตามมูยองไม่
สามารถสลายแรงโจมตีทั้งหมด และตอนนี้ร่างซีกขวาของมูยองก็หายไปแล้วจากการโดนพลังแค่ประมาณหนึ่งใน
สามของมันเท่านั้น
เคล้ง!
ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวร่วงลงสู่พื้น
มูยองยังยืนหยัดอย่างมั่นใจแม้ว่าเลือดจะไหลริน
"ฉันบอกว่าจะทำแค่หลบเมื่อไหร่กัน?"
ซว๊วก!
หมัดของเลราเจถูกแทงด้วยหอกกาเบรียล คลื่นพลังของหอกพุ่งไต่องค์ประกอบบนแขนของเลราเจอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะฉีกร่างของมันออก
"อ๊าก!"
เลราเจกรีดร้อง
เป็นเสียงกรีดร้องที่ไม่น่าดังมาจากปากของผู้เป็นเทพ แต่เนื่องด้วยอำนาจพลังที่เป็นศัตรูของมันกำลังฉีกร่างของมัน
ออก ความเจ็บปวดอันเหนือจินตนาการจึงได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครเคยนึกถึง
พลังของกาเบรียลแทรกซึมลึกเข้าไปในร่างกายของเลราเจ ก่อนที่จะเริ่มทำลายอวัยวะต่างๆ อำนาจพลังที่ไม่มีวันตก
สู่มลทินกำลังชำระล้างร่างที่เต็มไปด้วยความสกปรกโสสมของเลราเจ และบังคับมันเข้าสู่กระบวนการทำให้
บริสุทธิ์
"หยุด หยุดมันเดี๋ยวนี้!"
จากมือถึงข้อมือ ข้อมือถึงหัวไหล่ หัวไหล่ถึงคอ เมื่อพลังไล่ตามองค์ประกอบของมันไปจนถึงส่วนคอมูยองก็แทง
ซ้ำเข้าไปและตวัดไปด้านข้างด้วยหอกของกาเบรียล
ฉัวะ!
แทนที่จะเป็นเลือด แต่กลับเป็นพลังงานสีดำเมื่อมจำนวนมากไหลหลั่งออกมา
"อ้า...!"
ตูม!
เข่าของเลราเจทรุดลงกับพื้น ร่างของมันแยกกระจายออก
"ไม่ มันไม่ควรจบลงเช่นนี้ ข้าต้องได้กลับไป กลับไปที่บ้านเกิดของข้าก่อนสิ ข้าไม่ต้องการตายเยี่ยงขยะเช่นนี้...!
โซโลมอน! "
แทบไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นการตอบสนองของผู้เป็นเทพ แต่มันกลับใกล้เคียงกับปฏิกิริยาของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความ
หวาดกลัวเสียมากกว่า และหลังจากนั้นเพียงครู่เดียวร่างของเลราเจก็สลายหายไป
ตุบ!
มูยองก็ไม่สามารถประคองร่างของตัวได้อีกต่อไปเช่นกัน วิสัยทัศน์ของเขาเริ่มแย่ลง และในที่สุดเขาก็ต้องสูญเสีย
สติไป
"นายท่าน!"
"แย่แล้ว! เจ้าไหวไหม!"
"ปา!"
หลายคนพุ่งเข้าไปหามูยอง
พวกเขาแต่ละคนต่างเป็นห่วงมูยองกันในหลายๆความหมาย
ภาพสุดท้ายที่ทุกคนเห็นคือมูยองยิ้มก่อนจะหลับตาลง
<ราชานักฆ่า! สเตตัสหลักทั้งหมดเพิ่มขึ้น 30>
<บัญญัติแห่งความยุติธรรม! พลังศักดิ์สิทธิ์ของคุณเพิ่มขึ้น 80>
<อำนาจพลังของนักล่าเปิ ดใช้งาน>
<คุณได้รับ'พลังเทวะ'ตามเนื้อหาของพันธะสัญญา>
<ฉายา 'นักล่าเทพปี ศาจ'ถูกสร้างขึ้น>
<ความเชื่อใจของเกรโมรี่เพิ่มขึ้น>
<มุมมองที่เผ่าพันธุ์ปี ศาจมีต่อคุณเปลี่ยนจาก ความไม่ไว้ใจ->ความชื่นชม >
<พวกเขายังไม่เชื่อใจคุณอย่างสมบูรณ์ แต่คุณสามารถคาดหวังให้พวกเขาปฏิบัติต่อคุณในฐานะนักรบที่แข็งแกร่ง>
....
อัศวินผู้สูงศักดิ์เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวสีแดงและดวงดาวสีน้ำเงินบนฟากฟ้ า เขามองเห็นดวงดาวนับไม่ถ้วนกำลัง
ติดตามดวงดาวทั้งสอง
ดวงดาวทั้งคู่ต่างยิ่งเปล่งประกายเมื่อเวลาผ่านไปดั่งเช่นดาวหางที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้น และสร้างแสงสว่างปกคลุมต่อโลก
ทั้งใบ
จากนั้นอัศวินสูงศักดิ์ก็ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น
"ดูเหมือนเขากำลังทำได้ดีทีเดียว"
"เจ้านั่งเฝ้ ามองดาวดวงนั้นอยู่งั้นเหรอคิงสเลเยอร์?"
อัศวินสูงศักดิ์นามว่าคิงสเลเยอร์ย้ายสายตาไปมองชายชราคนหนึ่ง
รอบๆบริเวณชายชราคนนั้นเต็มไปด้วยลาวาและเสียงกรีดร้องของเดียโบล
"ข้ากำลังตามหาเจ้าอยู่พอดีโซโลมอน"
"ตามหาข้างั้นเหรอนั้นควรจะทำทีหลังนะ? อย่างน้อยพันธะสัญญาของเราก็ไม่ใช่เช่นนั้น"
"สัญญามีเพื่อเติมเติมความหวังของข้า แต่ตอนนี้ข้าค้นพบตัวตนที่จะมาแทนความหวังของข้าแล้ว ดังนั้นข้าไม่
ต้องการพันธะสัญญาอีกต่อไป"
"ฮ่าๆ! เจ้าร่างพันธะสัญญาขึ้นแต่ก็ยกเลิกเสียเองเวลาที่ไม่ต้องการงั้นเหรอ! นั่นดูเป็นข้ออ้างที่ไม่สมกับตำแหน่ง
อัศวินสูงศักดิ์เอาซะเลย"
โซโลมอนหัวเราะราวกับคนบ้า
"ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ข้าไม่คิดว่าความฝันของเจ้าจะน้อยนิดเสียจนมีคนเติมเต็มให้ได้"
"ข้าเชื่อว่าเขาจะเลือกสิ่งที่ถูกต้อง และ...แก้ไขสิ่งที่ข้าผิดพลาดได้"
คิงสเลเยอร์กลายเป็นคนที่แตกต่างจากเดิมมาก เขาเป็นชายที่อุทิศชีวิตให้แก่กษัตริย์ของตนเอง ต่สุดท้ายเขาก็ถูก
ทรยศหักหลังเพียงเพราะมีพลังมากเกินไป
เขาที่สิ้นหวังเนื่องจากถูกทรยศอย่างต่อเนื่อง ความหวังที่จะสร้างอาณาจักรก็ดูยิ่งริบหรี่ก่อนที่ตนเองจะถูกทิ้งให้อยู่
ลำพังในที่สุด แต่ทว่าระหว่างมองดูมูยองกลับทำให้เขาเปลี่ยนใจ
'ข้าควรมุ่งมั่นในการก้าวไปข้างหน้า'
ใช่แล้วเขาควรทำตามความประสงค์ของตนเองต่อไป มูยองที่เป็นเพียงก้อนกรวดเล็กๆแต่กรวดก้อนเล็กๆนั้นกลับ
สามารถหยุดคลื่นใหญ่โตจากทะเลสาบได้
"ข้าเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆและมั่นใจว่าเจ้าจะปรากฏตัวที่นี่อีกครั้ง จนถึงตอนนี้พลังแห่งเลเมเกทัลก็ยังหยุดยั้ง
เจ้าไม่ให้กลับมาที่นี่ ทว่าแม้แต่เลเมเกทัลก็ไม่สามารถทำอะไรกับ'อุบัติเหตุ'ได้"
คิงสเลเยอร์มองเข้าไปภายในภูเขาไฟ อุบัติเหตุที่ว่าคือการปรากฏตัวของเดียโบล มันที่มีตัวตนอยู่ทั้งสองโลกและมี
ผลทำให้โซโลมอนหาวิธีเข้ามายังโลกแห่งนี้ได้
โซโลมอนพยักหน้า
"หากอัศวินแบบเจ้าพูดเช่นนั้นมันก็ถูกต้อง แต่เจ้าที่ละเมิดสัญญาไปแล้วยังจะมองหาข้าเพื่อสิ่งใด? เจ้าพูดเกี่ยวกับ
การแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ข้าไม่รู้ว่าสิ่งผิดพลาดที่เจ้าพูดถึงคืออะไรด้วยซ้ำ"
คิงสเลเยอร์ทำให้เวลาช้าลง 128 เท่าทันทีที่โซโลมอนพูดจบ เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่คุณสามารถรู้สึกได้ถึงกระทั่งแรง
เสียดทานของอากาศ
จากนั้นพกเขาทั้งสองก็พูดกันต่อ
"เจ้าอยากทำลายโลกใบนี้เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดหายไป"
"เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่อันเดอร์เวิล์ดจริงๆ แต่เป็นเพียงถังขยะที่ข้าสร้างขึ้น แปลกเหรอที่ข้าจะโยนขยะ
ทิ้งไปและทำความสะอาดเมื่อถังมันเต็ม? "
"ถังขยะ..แม้จะไม่ถูกต้องแต่ข้าก็เห็นด้วยกับคำนั้น ยังไงก็ตามนั่นคงไม่อาจทำให้ความผิดพลาดของข้าหายไป"
โซโลมอนมองเห็นความเกลียดชังในสายตาของคิงสเลเยอร์ และคิงสเลเยอร์เองก็ไม่ได้ปิ ดบังเรื่องนั้น
จากนั้นอัศวินสูงศักดิ์ยกดาบที่มีขนาดเท่ากับร่างของเขาขึ้นมา
"เจ้าควรหยุดโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นตอนนี้นะ"
ขณะที่โซโลมอนอ่านความมุ่งร้ายในแววตาของอัศวิน รอยยิ้มของเขาก็หายไปเช่นกัน
"เจ้าชี้ปลายดาบมาหาข้า ผู้เดียวที่สามารถช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากความว่างเปล่าได้งั้นรึ เกียรติในนามอัศวินของเจ้า
หายไปหมด"
"ข้าไม่ใช่อัศวินเช่นนั้นอีกต่อไป"
"อย่างนั้นหรอกรึ? น่าเสียดายจริง ข้าคิดว่าจุดประสงค์ของข้าจะทำให้เจ้าคิดได้... "
ฟั่บ!
ในช่วงเวลากระพริบตา คิงสเลเยอร์ก็ฟันร่างของโซโลมอนก่อนที่เขาจะทันพูดจบ
บทที่ 246 : ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา (4)
พื้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆท้องฟ้ าอากาศแยกออกจากกันราวกับจิ๊กซอว์ลอยเคว้งคว้างไปทั่ว บรรยากาศขมุกขมัว
ราวกับพื้นที่นี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอีกต่อไป
“น่าเสียดายจริงๆอีกนิดเดียวพลังของเจ้าก็สามารถก้าวเข้าสู่โลกแห่งเทพได้แล้ว”
ด้านบนของเขาโซโลมอนยังคงอยู่ ส่วนด้านล่างชิ้นส่วนชุดเกราะที่คิงสเลเยอร์สวมอยู่แตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
ด้วยตัวตนกึ่งเทพของคิงสเลเยอร์นั่นเป็นข้อจำกัดของเขาแล้ว แม้จะใช้พลังแห่งกาลเวลาก็ยังไม่สามารถกำจัด
โซโลมอนได้ เพราะกฎธรรมชาติเหล่านี้ย่อมไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ และผลกระทบของมันก็ยังทำให้
พื้นที่ของมิติถูกตัดออกไป
คิงสเลเยอร์จ่ายราคาออกไปอย่างหนัก และด้วยผลกระทบนั่นทำให้เขาต้องทำลายตัวเอง แน่นอนว่าในฐานะกึ่งเทพ
เขาอาจจะรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะโซโลมอนเทพผู้เต็มไปด้วยอำนาจได้
“จ้าวแห่งความมืดไม่ควรออกมาสู่แสงสว่าง เพราะผลที่ตามมาจะก่อให้เกิดความพินาศและความโกลาหล นี่ไม่ใช่
เหตุผลที่เจ้าทำพันธะสัญญากับข้าไว้งั้นเหรอ?”
โซโลมอนพูดเบาๆ
ผลจากการละเมิดสัญญาคือการถูกทำลายล้าง คิงสเลเยอร์อัศวินผู้สูงศักดิ์ในอดีตไม่มีอีกต่อไปแล้ว ยังไงก็ตามนั่น
ไม่ได้หมายความทุกอย่างที่เขาพยายามจะล้มเหลว
โซโลมอนก้มลงมองร่างตัวเอง
ร่างกายของเขามีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด ทุกส่วนกำลังร่วงโรยแก่ตัวลงจากนั้นกลับเริ่มอ่อนวัยขึ้นอีกครั้งเป็นวงจร
ไม่รู้จบ
“โอ้ ไม่เลวๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเสียสละตัวเองเผื่อผูกข้าไว้กับกาลเวลา ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะมีวิธีการเช่นนี้ด้วย”
โซโลมอนกลายเป็นตัวตนที่นับว่ามีอยู่หรือไม่มีก็ได้ เขาไม่สามารถตายแม้จะถูกฆ่า ยังไงก็ตามไม่ได้หมายความว่า
เขาเป็นอมตะ เพราะนิยามของคำว่าอมตะไม่ได้เป็นเช่นนี้
นั่นเป็นเหตุผลที่บาอัลผู้ที่หวาดกลัวโซโลมอนจึงผนึกประตูไว้ด้วยเลเมเกทัล
ยังไงก็ตาม...คิงสเลเยอร์ได้ค้นพบจุดอ่อนของโซโลมอน และขังเขาไว้ในกับดักแห่งกาลเวลาที่ไม่ใช่แค่ 128 เท่า แต่
คิงสเลเยอร์ฝืนเพิ่มขีดจำกัดขึ้นถึง 200 เท่าและผูกมัดโซโลมอนไว้อย่างแน่น
หากเป็น 256 เท่าเกรงว่าโซโลมอนคงไม่ได้ออกไปไหนอีกแล้ว แต่มีเพียง ‘นางฟ้ าแห่งกาลเวลา’เท่านั้นที่ทำถึงขั้น
นั้นได้ ยังไงก็ตามนางฟ้ าแห่งกาลเวลาเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เลเมเกทัลเสียหาย
นั่นคือสิ่งที่ซาโลมอนเข้าใจ
“คิงสเลเยอร์ หากเจ้ายังพอมีความความหวังต่อโลกใบนี้เจ้าอาจกลายเป็นผู้ที่สามารถควบคุมกฏของโลกนี้ได้อย่าง
สมบูรณ์แบบ”
อย่างไรก็ตามนั่นเป็นไปไม่ได้
จิตใจของคิงสเลเยอร์ย่อยยับไปแล้ว เขาสิ้นหวังต่อพระเจ้า และเลิกคาดหวังที่จะเป็นเทพ
ยังไงก็ตามนั้นไม่ใช่ทั้งหมดที่ขัดขวางคิงสเลเยอร์สู่ความก้าวหน้า แต่จ้าวแห่งความมืดทุกคนต่างจมอยู่กับอดีตใน
แต่ละยุคสมัยของตน นั่นคือเหตุผลที่จ้าวแห่งความมืดไม่สามารถเอาชนะโซโลมอนได้ ยกเว้นจะกลายเป็นตัวตนที่
สมบูรณ์แบบที่สุดเท่านั้น และแม้แต่ปี ศาจอย่างบาอัลก็ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์ดังกล่าว
'ไพม่อน'
โซโลมอนเงยหน้าขึ้น
จิตวิญญาณของไพม่อนสั่นคลอน เขาเป็นคนเดียวที่เห็นการต่อสู้ระหว่างโซโลมอนกับคิงสเลเยอร์ และได้รับรู้บาง
สิ่งที่สำคัญ
โซโลมอนพูดเรื่องวัฐจักรแห่งกาลเวลาราวกับพูดกับตัวเอง แต่จริงๆต้องการให้ไพม่อนได้ยินใช่หรือไม่?
สิ่งนั้นเกี่ยวกับจุดอ่อนเดียวของโซโลมอน ยังไงก็ตามไพม่อนถูกจำกัดให้ปิ ดบังความลับเอาไว้เพื่อไม่ให้มีผลกระ
ทบกับโลกทั้งใบ หากมันเป็นจุดอ่อนของโซโลมอนจริงๆการเปิ ดเผยมันก็เท่ากับการทำลายโลก
ถึงอย่างนั้นโซโลมอนก็ต้องการให้ไพม่อนบอกเรื่องนี้ให้บาอัลทราบ เพราะยิ่งพวกเขาดิ้นรนมากเท่าไหร่อิทธิพล
ของโซโลมอนก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น
....
อาร์ทานาส หรือผู้ที่ถูกเรียกว่าเดธลอร์ดยังอยู่ในพื้นที่ความมืดมิด พื้นที่ที่ด้านหนึ่งไม่มีอะไรเลย และอีกด้านมีทุกๆ
สิ่ง พวกเขาสามารถเห็นในสิ่งที่ต้องการเห็น สามารถสัมผัสกับความได้อย่างไร้ขีดจำกัด รวมถึงความสิ้นหวังด้วย
เช่นกัน
จ้าวแห่งความมืดทั้งหมดคือครึ่งเทพ พวกเขาเป็นผู้ที่ตกลงสู่ความว่างเปล่าจากความสิ้นหวัง และเดธลอร์ดอาร์ทานา
สเองก็ไม่ต่างกัน
เขากำลังจ้องมอง
มองอดีตของตัวเองก่อนที่จะถูกเรียกว่าเดธลอร์ด
"โอ้ท่านลอร์ดแห่งชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ท่านผู้สร้างเวทนตร์แห่งชีวิต!"
"ขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิตเด็กคนนี้เอาไว้ ฮือๆ!"
"ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์จงเจริญ!"
เวทย์แห่งชีวิต มันคล้ายกับโฮมุนครูสเวทมนตร์ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ และจากการใช้วิธีนั้นทำให้อาร์ทานาส
ช่วยเหลือผู้คนไปแล้วนับไม่ถ้วน เขากลายเป็นความหวังของใครหลายๆคน ผู้คนสรรเสริญเขาเป็นลอร์ดแห่งชีวิต
และพระผู้ศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว
ยังไงก็ตามเขาจะรู้ไหมว่า?
ปลายทางของเวทมนตร์แห่งชีวิตนั้น อยู่ใกล้เคียงกับความตายเช่นกัน
เขาทุ่มเททำงานมากเกินไปจนเกินขอบเขต มากกว่าการสร้างรูปแบบชีวิตสังเคราะห์เขาเริ่มล้ำเส้นเข้าไปในศาสตร์
ที่เกี่ยวข้องกับการนำคนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเริ่มอยากกลายเป็นเทพที่แท้จริง และความเย่อหยิ่งนั้นนำไปสู่หนทางแห่งความพินาศย่อยยับ
ท่ามกลางการทดลองจำนวนนับไม่ถ้วน ภายใต้ความสิ้นหวังในที่สุดเขาก็เปลี่ยนร่างของตัวเองให้เป็นลิช
จากการฝึกเวทต้องห้ามและทำการทดลองเช่นนั่น ทำให้เขาตราหน้าให้เป็นคนนอกรีต เขาถูกลงโทษในฐานะผู้
สืบทอดแห่งความตาย และถูกโจมตีโดยอาณาจักรทั้งหมด
"ทางเดินของข้าผิดพลาดมาตลอดงั้นเหรอ?"
อาร์ทานาสถามตัวเองขณะเฝ้ ามองอดีต
บทที่ 247 ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา (5)
นั่นคือที่มาของเดธลอร์ด ยังไงก็ตามเขายังไปไม่ถึงขอบเขตของเทพเจ้าที่แท้จริง
ถ้าเขาไม่ได้ทำการทดลองจนตัวเองกลายเป็นลิช ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบไหน เขาถามคำถามเหล่านั้น
กับตัวเองนับพันนับหมื่นครั้งแต่ทว่าไม่ได้รับคำตอบ
ไม่ใช่แค่เดธลอร์ด ทุกคนที่กลายเป็นจ้าวแห่งความมืดล้วนไม่สามารถหาคำตอบของตนเองได้และเป็นระยะเวลา
ยาวนานที่พวกเขาเดินย้ำอยู่กับที่ยกเว้น...คิงสเลเยอร์
"คิงสเลเยอร์อะไรทำให้เจ้ายังเดินหน้าต่อไปได้"
เขายังสามารถเดินหน้าต่อ คาดการณ์ทุกอย่างจนกระทั่งตามหาโซโลมอนเจอ เพราะจู่ๆเขารู้สึกได้ถึงความยุติธรรม
บางอย่างงั้นหรือ? ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น เนื่องจากจ้าวแห่งความมืดล้วนถูกปิ ดกั้นจากความรู้สึกต่างๆ มีเพียงเหตุผล
เดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
'เจ้าเห็นอะไรจากตัวมูยองงั้นหรือ? '
มูยอง...เขาน่าเหลือเชื่อ
ทักษะศิลปะแห่งความตาย เขาสร้างพลังแห่งความตายเช่นนั้นขึ้นมาด้วยตนเอง
ยังไงก็ตาม เขายังไม่สามารถกระโดดข้ามอุปสรรค์ซึ่งเป็นที่มาของความสิ้นหวังของอาร์ทานัส แต่ถึงแม้จะเป็นเช่น
นั้นคิงสเลเยอร์ก็ยังเห็นว่าเขาแตกต่าง
'ศักยภาพของมูยองเหนือกว่าข้า ไม่ว่าเขาจะตกสู่ความสิ้นหวังหรือสร้างทางเลือกไหน ข้าก็อยากรู้ว่าตอนจบเขาจะ
เป็นยังไง'
อัศวินผู้สูงศักดิ์ ในฐานะหนึ่งในจ้าวแห่งความมืดระดับสูง เขายอมรับมูยอง เขาเคลื่อนไหวทันทีที่ตระหนักถึงตัว
ตนของมูยอง และหลบหนีออกจากพื้นที่แห่งความมืดมิด
เพื่อหนีจากอดีตตนเอง เพื่ออนาคตของเขา เขาจึงต่อต้านโซโลมอน
'การดับสูญ'
มีจ้าวแห่งความมืด 11 คน ทำนองเดียวกันก็มีห้องแห่งความมืด 11 ห้อง
ทว่าหนึ่งในนั้นหายไปแล้ว ห้องทั้งหมดถูกค้ำจุนด้วยพลังเวทของเหล่าจ้าวแห่งความมืด เมื่อนายของห้องดับสูญไป
ห้องจึงหายไปโดยธรรมชาติ
'ทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว มันจึงเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์'
โซโลมอนไม่ใช่เทพเจ้าธรรมดา
ในฐานะเทพโบราณที่ควบคุมโลกหลายแห่ง เขารับผิดชอบในการรักษาสมดุลของโลก เขายังเป็นเทพสูงสุดที่ดูแล
เรื่องการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ และการวิวัฒนาการรูปแบบเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แม้คิงสเลเยอร์จะมีความหวัง
เนื่องจากสามารถควบคุมเวลาได้ แต่ความหวังนั้นก็ต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
"ข้า..."
อาร์ทานัสเริ่มจ้องมองจินตนาการที่เคลื่อนห่างออกจากตัวเอง ความผิดพลาดของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
เขาจะต้องเสียใจเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน? เมื่อก่อนเขาไม่เคยมีความอยากรู้อยากเห็นเลยแม้แต่น้อย และมีเพียงจ้าว
แห่งความมืด 2 คนเท่านั้นที่เกิดคำถามเช่นนี้ก็คือคิงสเลเยอร์กับเดธลอร์ด
พวกเขาทั้งสองต่างมีการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณโดยตรงกับมูยอง ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะได้รับอิทธิพล
อย่างไรก็ตามอาร์ทานัสปฏิเสธมัน
'อย่างที่เจ้าพูดคิงสเลเยอร์ ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาจะเลือกเดินทางแบบไหน แต่ข้าไม่เหมือนกับเจ้า'
อาร์ทานัสออกไปจากห้องของเขา จากนั้นประตูห้องก็ถูกปิ ดลงอย่างช้าๆ
ซ่า!
ซ่า!
" นี่ฉัน....."
มูยองเปิ ดตาออกก็พบว่าตัวเองอยู่ในอารามแห่งหนึ่ง ส่วนกลางของอารามที่สูงเสียดฟ้ าเขาพบว่าตัวเองอยู่ในน้ำพุ
สภาพเปลือยเปล่า
"อ่า"
หลังจากสำรวจร่างกายตัวเองแล้วก็พบว่ายังมีบางแห่งรู้สึกเจ็บปวด
'มันถูกรักษาแล้ว'
ร่างกายท่อนบนซีกขวาที่ถูกฝ่ าออกได้รับการพื้นฟู ดูเหมือนว่าน้ำพุนี่จะช่วยเพิ่มพลังการรักษาของเขามากขึ้น
"อย่าเพิ่งขยับตัวไปไหน การรักษายังไม่เสร็จ"
เกรโมรี่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งพูดขึ้น
เธอแช่อยู่ในน้ำพุเหมือนกับมูยองในขณะที่สวมผ้าคลุมบางๆ
ผ้าคลุมบางๆไม่สามารถปกปิ ดทรวดทรงของเธอเอาไว้ได้ ที่ผ่านมาไม่มีชายใดสามารถต้านทานแรงดึงดูดดังกล่าว
แต่ทว่ามูยองยังไม่มีทีท่าใดๆ
"น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง แม้แต่ปี ศาจก็ยังต้องหวั่นไหวเมื่อเห็นข้า"
"คุณอยากให้ผมเป็นแบบพวกนั้นเหรอ?"
เกรโมรี่ส่ายหน้า
"ย่อมไม่ เหตุผลที่ข้าเชื่อใจเจ้าก็เพราะเจ้าเป็นแบบนี้แหละ"
ความเชื่อใจ
ทั้งสองรู้จักกันเพียงแค่สองครั้ง แน่นอนว่าเป็นทั้งสองครั้งที่มูยองช่วยเกรโมรี่เอาไว้ ดูเหมือนเขาจะได้รับคะแนน
จำนวนมากจากมัน
"คุณวางแผนจะทำยังไงต่อไป?"
เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และต้องการฟังความคิดของเกรโมรี่
"ข้าจะรวบรวมกองกำลังฝ่ ายต่อต้านและซื้อเวลาเอาไว้ ระหว่างนั้นถ้าเราค้นหา 'อัลโนวา' เจอ แม้แต่บาอัลก็ไม่
สามารถทำตามแผนของมันได้อย่างอิสระ"
"อัลโนวาอยู่ที่ผม"
"...!"
ดวงดาของเกรโมรี่เบิกกว้างราวกับโคมไฟ เพราะเธอไม่คาดคิดเลยสักนิดว่ามูยองจะครอบครองอัลโนวาอยู่
"และผมไม่ชอบการยื้อเวลา"
เกรโมรี่กับเขาจะต้องเป็นเพื่อนกันอีกนาน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด มูยองจำเป็นต้องแสดงของในมือบ้าง
"แล้วเจ้ามีวิธีอื่นหรือ? ทั้งจำนวนและพลังของพวกมันมีมากเกินไป สิ่งเดียวที่เราพอทำได้คือซื้อเวลาและรอโอกาส"
เกรโมรี่ค่อนข้างสงสัย นั่นคือความจริง การบุกโจมตีโดยปราศจากแผนการรบไม่ต่างกับการฆ่าตัวตายถึงแม้ว่าจะมี
อัลโนวาในมือ
"พวกมันต้องรวมตัวกันแน่เมื่อได้ยินข่าวการดับสูญของเลราเจ และเราต้องเคลื่อนไหวก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ดัง
กล่าว"
"รวมข้าแล้วมีปี ศาจที่อยู่ฝ่ ายต่อต้านอีกห้าคนเท่านั้น และกองกำลังทั้งหมดก็ยังมีไม่ถึงสิบล้านตน แค่นั้นสู้พวกมัน
ไม่ไหวหรอก"
นั่นคือความจริงที่ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวเร็วแค่ไหนก็จะเกิดขึ้น ยังไงก็ตามมันต้องมีหนทางอื่นอยู่แน่นนอน
"ทำไมคุณถึงคิดว่าการต่อสู้จะเกิดขึ้นแค่ในหมู่ปี ศาจ?"
"แล้วนั่นไม่จริงรึ?"
"เราจะขยายการต่อสู้ออกไป แทนที่จะเป็นเพียงสงครามของเผ่าพันธุ์ปี ศาจ มันจะกลายเป็นสงครามชี้ชะตากรรม
ของโลกปี ศาจและทุกรูปแบบของสิ่งมีชีวิต"
การสูญเสียจะชัดเจนถ้าไม่ยอมทำอะไร จะดีกว่าไหมที่การต่อสู้จะไม่ถูกตัดสินง่ายๆ หากเกรโมรี่และปี ศาจตนอื่นๆ
ช่วยเหลือกัน และใช่ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นไม่ได้ ในความเป็นจริงมูยองคิดเหนือกว่านั้นด้วยซ้ำ
'ตัวตนเหนือธรรมชาติอื่นๆ'
จะต้องไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาด้วย
เกรโมรี่ยังแสดงสีหน้าไม่เข้าใจเป็นเพราะเธอคิดมาตลอดว่ามันเป็นเพียงสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ปี ศาจ เธอไม่เคย
คิดนอกกรอบดังนั้นมูยองจึงขี้เกียจอธิบายไปมากกว่านั้น
"ผมจะช่วยเอง"
บทที่ 248 ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา (6)
หลังออกจากน้ำพุ มูยองใช้เวลามองดูตัวเองในห้องแต่งตัว
‘มีหลายสิ่งที่ได้มาจากการสังหารเลราเจ’
เทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ แล้วเขาเก็บเกี่ยวได้มากกว่าที่คาดไว้ จากความทรงจำของดันดาเลี่ยนเลราเจมีของขวัญทิ้งไว้
ให้มากมาย
อันดับแรกมูยองมองฉายาของเขา
ฉายา ->นักล่าเทพปี ศาจ(สเตตัสทั้งหมด +60, เพิ่มขึ้นครั้งละ 30 ต่อการกำจัดเทพปี ศาจ 1 ตน)
ฉายาที่วิวัฒนาการได้! มันดีกว่าฉายาก่อนหน้าของเขามาก ฉายานี้ถือเป็นฉายาระดับอัลติเมตได้เลย
ดูเหมือนค่าสเตตัส 60 ได้มาจากการสังหารดันดาเลี่ยนและเลราเจ จากความสามารถของมันยิ่งมูยองได้รับชัยชนะ
เท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างทวีคูณ
‘การบังคับใช้ความยุติธรรม,คิงสเลเยอร์’
มันมีความสามารถด้านการสนับสนุน และเลื่อนระดับขึ้นเนื่องจากผลกระทบชัยชนะของมูยอง
ผลกระทบของชัยชนะ ->ดาบเทวะ/ดาบพลังวิญญาณ
(???, คุณจะกลายเป็นนักดาบเทวะหรือนักดาบพลังวิญญาณ)
ดวงดาวแห่งความสัมบูรณ์ (S+++,สเตตัสทั้งหมด+50)
คิงสเลเยอร์ (S+++, ความฉลาดและสติปัญญา+50,ผลกระทบของมันตรา)
กฎแห่งเปลวเพลิง (S++, ความสามารถอันบริสุทธิ์+40)
เดธลอร์ด (S,พลังแห่งความตาย+50,ความแข็งแกร่งของอันเดธขึ้นอยู่กับเลเวลของศิลปะแห่งความตายด้วยอัตรา
0.1%ต่อ 4 ,จากค่าพลัง 500 ตอนนี้เพิ่มมา 12.5%)
ดราก้อนสเลเยอร์ (A++, ค่าความฉลาด-สติปัญญา+15 ศัตรูโดยธรรมชาติของเหล่ามังกร)
โอม (A+, ค่าพละกำลังเพิ่มขึ้น 10 ผู้ปกครองเหล่าโดเกบิ)
ความเจ็บปวดของเกรโมรี่ (S, สเตตัสทั้งหมด +15)
ผู้พิชิตปี ศาจ (A, เพิ่มพลังแห่งความตายตามกฎของคนตาย และจากพลังปี ศาจ 10)
หลอมจิต (B+ เมื่อวิญาณหลอมเข้ากับอันเดธ ความสามารถของอันเดธจะค่อยๆเพิ่มขึ้น)
ผู้สืบทอดของเมอร์ร็อค (B+ การเติบโตของเมอร์ร็อคถูกกระตุ้น)
พรของเหล่าภูติ (B เหล่าภูติรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิด)
เพื่อนร่วมสาบานของคนแคระ (B, คนแคระรู้สึกสนิทสนม)
นักล่าปี ศาจ (B++, ความน่าจะเป็นในการตกผลึกจากการล่าปี ศาจเพิ่มขึ้น)
-> ผลรวมของเอฟเฟคทั้งหมด 14 อย่าง
สเตตัสทั้งหมด+65, ความสามารถบริสุทธิ์+40, สติปัญญา+55, ความฉลาด+55, พลังแห่งความตาย+60, พละ
กำลัง+10
มีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สองอย่างคือดวงดาวแห่งความสัมบูรณ์ และความเจ็บปวดของเกรโมรี่
'มันคงเกิดขึ้นเพราะได้รับการชี้นำจากดวงดาว และการยอมรับจากเกรโมรี่'
ถึงรางวัลความสามารถที่ได้รับจะดูมั่วไปหมด แต่นั่นก็เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของมูยอง เพราะเขาต้องการพลัง
ทั้งหมดเท่าที่จะสามารรับได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วถือว่าเขาประสบความสำเร็จ เมื่ออาวุธและความสามารถทั้งหมดเหล่า
นั้นเพิ่มขึ้น ในท้ายที่สุดย่อมไม่มีใครสามารถทัดเทียมมูยองได้
มูยองหมุนหน้าปัดตัวแสดงสถานะเพื่อดูข้อมูลที่เหลือ
ผลกระทบเกี่ยวกับอาชีพ ->
เดธลอร์ด (ระดับลอร์ด)
คิงสเลเยอร์ (ระดับลอร์ด)
ทูตสวรรค์ (ระดับลอร์ด)
ค่าความสามารถ ->
พละกำลัง 1,059(585+474) ความว่องไว 827 (398+429)
ความอึด 816 (401+415) สติปัญญา 850 (385+465)
ความฉลาด 880 (355+525) พลังโจมตี 802 (397+405
ต้านทานเวท 885 (240+645) พลังวิญญาณ 855 (410+445)
แนวโน้มปี ศาจ 950 (555+395) ความเป็นเทพ 861 (516+345)
พลังแห่งเพลิง 805 (460+345) เลเวลความพิเศษทั้งหมด 877
หมายเหตุ : พลังของลูซิเฟอร์ถูกผนึก
ได้รับการสืบทอดพลังจากกาเบรียล
คุณกำลังสร้างวิชาดาบมูยอง
หอกของกาเบรียลถูกสลักไว้ในหัวใจของคุณ
ได้รับการสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์
อาวุธที่ใช้และสวมใส่ในปัจจุบัน :
ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว
(สเตตัสทั้งหมด+15 พละกำลัง+75 สติปัญญา+45 จิตวิญญาณการต่อสู้+30 )
เซ็ตธนู 3 ใน 12 ชิ้น
(สเตตัสทั้งหมด+30 ต้านทานเวท+140 พลังแห่งความตาย+40 ความว่องไว+50)
เกราะอกราชันย์อมตะ
(พละกำลัง+15 โจมตี+30 ความอึด+50 ต้านทานเวท+80)
รองเท้าเฮอมีสต์
(ความว่องไว+30 ความชื่นชอบในปัญญา=50 )
สร้อยกระดูก
(พละกำลัง+19 ความว่องไว+4)
เกราะหุ้มขาราชันย์อัศวิน
(สเตตัสทั้งหมด+40 ความภักดี)
เซ็ตความบ้าคลั่ง
(ต้านทานเวท+80 สติปัญญา-ความฉลาด+20)
แสงจากดวงดาว
(ดวงดาวแห่งความสัมบูรณ์ - สเตตัสทั้งหมด+20)
มันอาจดูยุ่งเหยิงสักหน่อยเพราะมีหลายเงื่อนไขที่มูยองสามารถบรรลุได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือความสามารถที่ได้รับ ผล
รวมเลเวลทั้งหมดถึง 800 เลเวล
มูยองกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่มีใครในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเคยฝันถึง โดยเฉพาะค่าความเป็นเทพกับ
แนวโน้วความเป็นปี ศาจ
'แนวโน้วความเป็นปี ศาจเพิ่มขึ้นมากทีเดียวหลังจากที่ดูดซับพลังเทวะของเลราเจ และดันดาเลี่ยน'
ค่าพละกำลังที่ไปถึงเลขสี่หลักแล้ว นั่นคือ 1,059...
ถึงแม้ว่าค่าพลังต่างๆจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกถึงพลังเท่าที่ควร โดยเฉพาะพลังความเป็นเทพ
ที่เพิ่มพละกำลังพื้นฐานถึง 1.5 เท่า
มันน่าเหลือเชื่อที่สามารถเพิ่มพละกำลังพื้นฐานได้ถึง 1.5 เท่า เพราะนั่นยิ่งทำให้เขาแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว ไม่มี
ทักษะไหนที่เพิ่มพลังพื้นฐานได้แบบทวีคูณ
'ยังไม่พอ'
อย่างไรก็ตามมันยังไม่เพียงพอ การเอาชนะเลราเจได้เป็นแค่เรื่องบังเอิญ
เขาเอาชนะเลราเจได้จากการแทรกแทรงของพลังการเบรียล และนอกจากนั้นยังต้องเดิมพันอยู่หลายครั้ง
หากล้มเหลวเพียงครั้งเดียว ผู้ที่พ่ายแพ้คงกลายเป็นมูยอง ในปัจจุบันหากสู้กับเทพปี ศาจระดับต่ำคงพอเป็นไปได้ แต่
ถ้าต้องเผชิญหน้ากับพวกเทพปี ศาจระดับสูงคงไม่ไหว
เขาอยากไปล่าเทพปี ศาจตนอื่นๆเพื่อดูดซับความแข็งแกร่งและพลังอำนาจของพวกมันมา และเพื่อที่จะทำเช่นนั้น
ได้...
'จำเป็นต้องใช้เกรโมรี่'
เกรโมรี่เป็นผู้นำของฝ่ ายต่อต้าน เทพปี ศาจหญิงพวกตนเดียว และเธอได้รับการสนุนจากเทพปี ศาจอีก 4 ตนที่
เก่งกาจเรื่องการป้ องกัน
มูรุมูรุ โพเนียส ซีทรี แอสโมดาย
ถ้ารวมพลังของพวกมันเอาไว้ด้วยกันความคิดของมูยองก็เป็นไปได้ ปัญหาคือพวกมันจะเห็นด้วยกับเกรโมรี่หรือไม่
'โอกาสที่จะไม่เห็นด้วยมีสูงมาก'
ไม่สำคัญว่าปี ศาจพวกนั้นจะติดตามเกรโมรี่มานานแค่ไหน เผ่าพันธุ์ปี ศาจต่างมีความเย่อหยิ่งเป็นการยากที่จะให้
พวกมันเข้าร่วมกองกำลังเพื่อช่วยเหลือกันและกัน
ความคิดเห็นของฝ่ ายปฏิปักษ์ส่วนมากแค่อยากให้เผ่าพันธุ์อื่นเป็นทาสชีวิต และไม่มีวันปฏิบัติต่อเผ่าพันธุ์อื่นอย่าง
เท่าเทียม อย่างไรก็ตามพวกเขาจะต้องยอมรับความจริงเพราะจากนี้ไปจุดยืนของมูยองจะสำคัญมาก
'ศักยภาพของฉันยังสามารถพัฒนาได้'
มูยองมีความทรงจำของดันดาเลี่ยน พลังของเลราเจ พลังของกาเบรียล และพลังของลูซิเฟอร์ ไหนจะวิชาดาบที่
ตนเองคิดค้นขึ้นถึงระดับที่ 51 นอกเหนือจากนั้นยังมีอาร์คโนวา
ที่สำคัญที่สุด เผ่าพันธุ์ของมูยองคือ'มนุษย์'
มูยองมีอาวุธมากมายนับไม่ถ้วน ยิ่งถ้าเขาได้รับความเชื่อใจของเกรโมรี่อีก นั่นจะทำให้มูยองเป็นดั่งเสือติดปี กเลยที
เดียว
ตอนที่ 249 ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา (จบ)
'จากนี้ไปนี่คือเรื่องสำคัญ'
ในที่สุดเขาก็ก้าวข้ามอุปสรรคได้จากการเป็นพันธมิตรกับเกรโมรี่ แต่ทุกอย่างก็ยังต้องพึ่งการวางกลยุทธ์ที่ดี แม้เขา
จะได้การยอมรับจากเหล่าปี ศาจ แต่ก็ไม่แน่นักกับตัวตนเหนือธรรมชาติอื่นๆ
มูยองไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าไปเจรจาทีละคน ฉะนั้นเขาจึงต้องสร้างความเชื่อใจกับคนจำนวนหนึ่ง แล้วให้คน
จำนวนนั้นพาคนอื่นเข้ามา และมูยองก็คิดว่าเขาเจอคนแบบนั้นแล้ว
'นั่นคือ ราชามังกรฮันซุง '
ถ้ามูยองทำให้ราชามังกรเชื่อใจได้ เขาจะสามารถดึงดูดตัวตนเหนือธรรมชาติอื่นๆเข้ามาได้โดยง่าย
จ้าวแห่งขุนเขา, ราชันย์มังกร, บุตรแห่งจันทรา!
ทุกคนล้วนมีพลังที่สามารถต่อต้านเหล่าปี ศาจได้ ในสถานการณ์บางอย่างพวกเขาแข็งแกร่งเสียด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่
ปี ศาจก็ไม่สามารถรุกล้ำอาณาเขตของพวกเขาได้ และเนื่องจากมูยองยังไม่เคยพบพวกเขา ราชามังกรฮันซุงน่าจะ
เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะรู้จักตัวตนอื่นๆดี
'เซราฟิ น่ากับเพนดราก้อนต้องรู้วิธีตามหาฮันซุง'
มูยองยังไม่ลืมคนทั้งสอง เซราฟิ น่าที่เป็นผู้พิพากษาของลัทธิซึ่งรู้จักกับฮันซุงตั้งแต่ตอนเด็กๆ ส่วนเพนดราก้อนก็
เป็นอัศวินของเซราฟิ น่าและยังเป็นลูกศิษย์ของฮันซุง ถ้าเป็นทั้งสองคนนี้ก็มั่นใจได้เลยว่าต้องรู้ที่อยู่ของฮันซุง
แน่นอน
'พาคนจากเมืองใหญ่ๆเช่นมูราลันกับคุนจามารวมกัน จากนั้นจัดเวทีประลองหาคนมีฝีมือ'
แม้ระดับประสบการณ์ของพวกเขาจะไม่ถูกใจมูยองนัก แต่ในสงครามทุกคนสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ แน่นอนว่า
ต้องมีการหลั่งเลือดจำนวนมาก แต่หากพวกเขาไม่สู้ทุกคนก็จะถูกสังหารอยู่ดี
นอกจากนี้ยิ่งมีการะดมคนมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ มูยองก็ยิ่งมีทางเลือกมากขึ้นสำหรับการใช้ประโยชน์ และโชคดีที่มีผู้ที่
เหมาะสมสำหรับการทำหน้าที่ดังกล่าว
"เบซองมิน"
พอเรียกชื่อวงเวทก็ปรากฏขึ้นบนพื้นก่อนที่ซองมินจะก้าวออกมา
"ท่านเรียกข้าเหรอ?"
มูยองพูดเบาๆกับเบซองมิน
"เรียกเอนโรธเจ้าแห่งเหล็ก กับโซระเจ้าแห่งกุหลาบมา สั่งให้พวกเขาไปที่มูราลัน "
"จำเป็นต้องเรียกเอนโรธกับโซระด้วยเหรอ?"
ซองมินหมายความว่าเขาทำภารกิจนี้เพียงลำพังไม่ได้หรือ เพราะเบซองมินไม่เหมือนกับทาร์แคนที่ชอบพาคนไป
เป็นกองทัพ
แค่มูราลันจริงๆเบซองมินคนเดียวก็จัดการได้ แต่มูยองต้องการความมั่นใจ
"ยังมีหลายอย่างให้นายทำ ดังนั้นนายจำเป็นต้องมีคนช่วย "
"ผมจะทำตามคำสั่งของนายท่าน"
หลังจากเจอฮันซุงและให้เขาระดมผู้คนในมูราลันเพื่อติดตามมูยอง เมืองเกรทซิตี้กับเมืองคุนจาก็จะระดมพลตามมู
รารันไปด้วย และหากเมืองใหญ่ทั้งสามของมนุษยชาติทำเช่นนั้นทุกคนก็จะมารวมตัวกันเองในที่สุด
แน่นอนว่าทุกขั้นตอนจำเป็นต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้การกระทำของมูยองหรือเบซองมินถูกเปิ ดเผย เพราะ
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดมูยองก็เคยโจมตีพวกเขามาก่อน ถึงแม้มันจะเป็นการทำเพื่อยกระดับความตื่นตัว แต่เป็นการดี
ที่สุดที่จะไม่ให้ใครทราบเรื่องนี้ แค่ให้ทุกคนเห็นฮันซุงกับเกรโมรี่ก็เพียงพอแล้ว
มูยองต้องการจัดการทุกสิ่งในเงามืด และวางกับดักโดยไม่ทำให้ศัตรูรับรู้
"ศูนย์กลางการติดต่ออยู่ในอาณาเขตของฉัน นายต้องทำทุกอย่างให้เร็วที่สุด"
"กระผมจะทำสุดความสามารถ"
เมื่อเบซองมินเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ก็หมายความว่าทุกอย่างจะถูกจัดการด้วยพลังแห่งความตาย เนื่องจากกุญแจสำคัญอยู่
ที่มูราลันกับฮันซุง ดังนั้นภารกิจของเขาจะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อสังหารพระสันตะปาปา หรือไม่ก็ทำให้ฮันซุงกลายเป็น
อันเดธ
มูยองไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มเติมเพราะรู้จักความสามารถของเบซองมินดี นอกจากนั้นซองมินเองก็ยังเป็นผู้ที่ทำงานได้
อย่างสุขุมรอบคอบกว่าคนอื่นอยู่แล้ว หากเบซองมินตัดสินใจเช่นไรก็ควรเคารพการตัดสินใจนั้นๆ
ส่วนการรวมกลุ่มของเผ่าผันธุ์ที่เหลือเช่น...โดเกบิ ไฟทาร์ เอลฟ์ และคนแคระนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่สิ่งเหล่านั้นจำเป็น
ต้องทำอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นเบซองมินคนเดียวจึงไม่เพียงพอ
'ฮาล์ฟเอลฟ์ จิน"
พอมาคิดๆดูเหมือนมูยองจะมีทุกสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว ถึงเขาจะเพิ่งมาคิดได้แต่หากมันสำเร็จจริงๆไม่ว่าจะเป็นบน
สวรรค์หรือพื้นโลกก็จะได้พบกับเช้าวันใหม่ที่สวยงาม
....
หลังจากเสร็จสิ้นการรักษา เขาก็ออกไปจากวิหาร
ในเวลาเดียวกัน สายตาของปี ศาจจำนวนนับไม่ถ้วนก็จับจ้องไปที่มูยอง
การปรากฏตัวของราชาปี ศาจตนใหม่ ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา ภาพของคนๆนี้ที่บดขยี้เลราเจยังติดอยู่ในความทรงจำ
มูยองสำรวจบริเวณรอบๆ
"ดูเหมือนพวกมันจะไม่ชอบฉันเท่าไหร่"
แม้จะได้รับความยำเกรงแต่ก็ไม่ได้รับความเชื่อใจ ราชาปี ศาจและปี ศาจนับไม่ถ้วนกำลังรอคอยให้มูยองปรากฏตัว
สายตาของพวกมันยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
"ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา! ข้าคือโอคูลัส ราชาปี ศาจลำดับที่ 24 ของกองทัพ! ข้าขอท้าดวลกับเจ้า!"
จากภาพการต่อสู้กับเลราเจทำให้พวกมันรู้ว่าตนไม่อาจชนะ แต่เหล่าปี ศาจทั้งหลายต้องการพิสูจน์ด้วยตนเอง
มากกว่า
มูยองยักไหล่และคิดว่าก่อนที่ศัตรูตัวจริงจะมาถึงเป็นการดีที่จะจัดการกับปัญหาใกล้ตัวก่อน
"ฉันออมมือไม่เป็นหรอกนะ"
ปัญหาดังกล่าวคือความจริง เพราะหลังจากได้รับทักษะทั้งหลายมา เขายังไม่มีโอกาสได้ลองควบคุมพลังตัวเองเลย
"หากพลังของเจ้าเป็นของจริง เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญหรอก!"
มูยองพยักหน้า
ราชาปี ศาจที่โผล่ออกมาท้าทายมูยองเป็นปี ศาจที่ต้องการใกล้ชิดกับเกรโมรี่ที่สุด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มันออก
มาต่อต้านมูยอง
พรึ่บ! มูยองสยายปี กกว้าง
"ฉันไม่อยากเสียเวลาไปกับปัญหาพวกนี้ โอคูลัสนอกจากนายแล้วยังมีใครอีกไหมที่ไม่พอใจฉัน?"
ไม่มีทางที่ใครจะอดทนได้อีก แววตาของพวกมันเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว
มูยองยกริมฝีขึ้นแล้วกระดิกนิ้วเรียก
"เข้ามาพร้อมกันทีเดียวเลย"
"เจ้าสารเลวนี่ช่างอวดดี!"
พวกมันไม่ปฏิเสธ เผ่าปี ศาจเป็นที่รู้จักกันดีว่าไร้ซึ่งเกียรติอยู่แล้ว ปี ศาจเกือบหนึ่งพันตนพร้อมกับราชาปี ศาจทั้งห้า
ต่างดาหน้ากันไปหามูยอง
มูยองไม่แม้แต่คิดจะใช้ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว เพราะนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้ฝึกควบคุมพลัง
ฟูมมมม!
ในขณะที่มูยองปล่อยหมัดแรกออกไป พวกมันก็ต้องตระหนักถึงบางสิ่ง
ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา
เขาไม่ใช่ราชาปี ศาจสามัญธรรมดา
ระดับของเขาไม่สามารถใช้บรรทัดฐานปกติมาวัดได้
บทที่ 250 ตัวตนเหนือธรรมชาติ (1)
“…….”
แค่หมัดเดียวก็ทำให้พวกมันไม่อยากต่อสู้อีกต่อไป
ภูเขาถล่มลงมาราวกับของเหลว พื้นแตกออกราวกับเศษกระดาษ ผืนฟ้ าฉีกขาดยับเยินจากพลังงานขนาดใหญ่ แผ่น
ดินเคลื่อนกระทบกันขึ้นจนเกิดเป็นปล่องภูเขาไฟขนาดมหึมา ทั่วทั้งวิหารสั่นสะเทือนราวกับจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ
ถ้าหากไม่มีกำแพงป้ องกันของเกรโมรี่ วิหารคงจมลงไปกองกับดินทรายเบื้องล่างแล้ว
คลืน คราก!
เสียงดังกระหึ่มจากผลกระทบอันรุนแรงทำให้ผมบนหัวลุกตั้งชัน!
ปี ศาจหลายสิบตัวที่ดาหน้าเข้ามาที่มูยองหายวับไปกับตาราวกับร่างกายของพวกมันระเหยไปในอากา
เหล่าราชาปี ศาจต่างหยุดการเคลื่อนไหว ส่วนพวกปี ศาจธรรมดานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
กระทั่งมูยองก็ยังตกใจ
"ฉันไม่คิดว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้"
แม้จะไม่เท่าพลังแห่งเทพที่มาจากเลราเจ แต่อย่าลืมว่าพลังยิ่งใหญ่ที่เห็นเป็นเพียงพลังที่ออกมาจากหมัดของมูยอง
เท่านั้น แถมเลราเจยังมีร่างกายใหญ่โตถึง 50 เมตรซึ่งต่างจากมูยองอีกด้วย
ระดับพลังเกิน 1,000 เลเวล
ด้วยระดับดังกล่าว พูดได้เลยว่านี่เป็นระดับเดียวกันตัวตนเหนือธรรมชาติ เขาอยู่ในระดับที่มนุษย์ไม่สามารถเอื้อม
ถึงไปแล้ว
"กรุณาหยุดมือ"
เกรโมรี่ปรากฏกายออกมาอยู่กลางทางเข้าวิหารที่ซึ่งมีเวทกำแพงป้ องกันหนาแน่น
มูยองรู้สึกว่าเกรโมรี่คงคาดการณ์ไว้แล้วถึงเหตุการณ์เช่นนี้ เธอจึงสามารถสร้างกำแพงป้ องกันวิหารได้อย่างทัน
ท่วงที
เมื่อตระหนักถึงพลังของมูยอง ทำให้เธอไม่ขัดอะไรที่มูยองจะแสดงมันออกมา และมูยองก็พิสูจน์มันด้วยเพียงหมัด
เดียว หมัดเดียวก็ทำให้ปี ศาจนับแสนทำได้เพียงยืนนิ่งเท่านั้น
ความเป็นศัตรู? ความอาฆาตพยาบาท? ทั้งหมดทั้งหลายหายไปจนหมดสิ้น แม้ปี ศาจจำนวนมากจะถูกสังหารไปก็
ไม่มีใครคิดแค้นอะไรมูยอง เนื่องจากเหล่าปี ศาจไม่ได้รักพวกพ้องดังเช่นมนุษย์เท่าไหร่
"ท่านเกรโมรี่"
ปี ศาจที่อยู่แถวหน้ารวมถึงมูยองคุกเขาลงอย่างช้าๆ
มูยองพยายามแสดงความเคารพในแบบของตัวเอง เพราะไม่ว่าอย่างเขาก็เป็น 'ราชาปี ศาจแห่งกองพันที่ 27' ของเกร
โมรี่ และเหนือยิ่งสิ่งใดเกรโมรี่ก็เป็นแกนกลางสำคัญในแผนของมูยอง แม้ทุกอย่างจะเป็นเพียงการแสดงแต่อย่าง
น้อยก็ต้องทำอย่างเหมาะสมที่สุด
เกรโมรี่เดินเข้ามาอย่างช้าๆและยืนอยู่ถัดจากมูยอง เธอยื่นมือซ้ายออกไปข้างหน้า และมูยองก็จูบลงบนมือของเธอ
เหมือนเป็นการกระทำง่ายๆในการแสดงความภักดี แต่มูยองก็ไม่เคยทำเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อน ยังไงก็ตามสายตาของ
ราชาปี ศาจตนอื่นและปี ศาจทั้งหลายต่างสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง
"เขาเป็นคนที่ข้ามอบชื่อให้ แม้จะต่างเผ่าพันธุ์และมาจากดินแดนภายนอก แต่นับจากที่เขากลายเป็นลอร์ดแห่ง
กองพันที่ 27 ข้าขอห้ามให้ทุกคนทำสงครามกับเขาด้วยความรู้สึกส่วนตัว"
เกรโมรี่กล่าวอย่างชัดเจน เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างเมื้อกี้ขึ้นอีก เธอรู้ว่าสิ่งใดสำคัญในอนาคต เธอต้องป้ องกัน
การขัดแย้งกันเองภายในกองกำลังของเธออย่างสุดความสามารถ
นอกจากนั้น การกระทำของมูยองก็ทำให้เธอสามารถตัดสินใจได้โดยง่าย แม้มูยองจะดูหยิ่งยโสในสายตาผู้อื่น แต่
ตราบใดที่เขาสามารถพิสูจน์พลังของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นปี ศาจหรือเทพปี ศาจก็ไม่สามารถทำอะไรกับมูยองได้
นั่นเป็นเพราะว่า'พลัง'คือสิ่งสำคัญที่สุดในหมู่ปี ศาจ
"ข้าจะเรียกประชุมด่วน มูยอง มูรุมูรุ โพเนียส ซิทรี และแอสโมดาย ระดมพลมาเข้าร่วมให้เร็วที่สุด
สำหรับปี ศาจฝ่ ายปฏิปักษ์เกรโมรี่มีอำนาจมากที่สุด
ตั้งแต่เฮอเรสและเลราเจสิ้นชีพก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจใครอีก กลยุทธ์คือต้องเคลื่อนไหวก่อนที่เหล่าเทพปี ศาจฝ่ าย
พันธมิตรจะทำสิ่งอื่นใด และเป็นไปได้สูงมากที่มูยองจะได้เป็นผู้นำและทำงานยากๆทั้งหมด
'เกรโมรี่ไม่เคยถามถึงเป้ าหมายของฉันเลย'
ที่เธอไม่เคยถามเขา เพราะยังไงซะการกระทำของเขาจะเป็นตัวตัดสินทั้งหมดเอง เกรโมรี่ไม่ใช่คนใจดีขนาดที่จะ
เชื่อถือคนอื่นง่ายๆ โดยเฉพาะมูยองที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจตัดสินมูยองจาก
สงครามที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนือง
เหนือสิ่งอื่นใดมันไม่สำคัญต่อมูยอง
เป้ าหมายของมูยองคือการกำจัดเทพปี ศาจ! ค้นคว้าความจริงเกี่ยวกับโลกใบนี้ และกลับสู่โลกใบเดิมพร้อมกับมนุษย์
ที่ยังเหลือรอด
มูยองอยากเป็นผู้นำทางให้กับคนเหล่านั้น
'ในอดีตฉันถูกชักจูงโดยคนอื่นตลอด'
ตอนเป็นนักฆ่า มูยองคือหุ่นเชิดสังหารที่ทำตามคำสั่งผู้อื่น เขาไม่มีกระทั่งความลังเลหรือรู้สึกผิดใดๆ
ยังไงก็ตาม ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขามุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตตามวิถีทางของตนเอง
จริงๆเขาจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและทำตนเป็นเพียงผู้รับชมก็ได้ แต่เขาไม่ได้เลือกเส้นทางแบบนั้น หัวใจของเขา
ปฏิเสธต่อการกลายเป็นคนขี้เกียจและอ่อนแอ และจากการเลือกเส้นทางที่ยากลำบาก เขาก็ได้เดินทางมาอย่างยาว
ไกล หากเขาใจอ่อนกับตัวเองแม้เพียงครั้งเขาก็คงเดินมาไม่ถึงจุดนี้
'เดินหน้าต่อไป ฉันจะไม่หยุด ฉันจะไม่ยอมหันหลังกลับไป '
ตอนนี้พูดได้ว่าเขาเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว
เหล่าราชาปี ศาจต่างระดมพลเพื่อเตรียมสู้กับเทพปี ศาจฝ่ ายตรงกันข้าม พวกเขาจากไปพร้อมกับกองทัพของตน ยัง
ไงก็ตามมูยองยังไม่ไปไหนเขากำลังยืนมองร่างอันใหญ่โตค้ำฟ้ าของสกายลอร์ด
'มันไม่กระดุกกระดิกเลย'
หลังจากต่อสู้กับเลราเจ สกายลอร์ดก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ หรือมันตายแล้ว?
"คุณรู้อะไรเกี่ยวกับสกายลอร์ดหรือเปล่า?"
เกรโมรี่ก็จ้องมองไปที่สกายลอร์ดเช่นกัน เพราะยังไงซะเกรโมรี่ก็ไม่ได้เป็นผู้ร่วมในการสร้างสกายลอร์ดขึ้นมา
สกายลอร์ดเป็นผลงานชิ้นเอกที่ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยฝ่ ายพันธมิตร
เกรโมรี่ส่ายหัว
"ข้าก็เพิ่งได้ยินว่ามีสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ บางที...นี่อาจเป็นผลงานของบาอัล"
"บาอัลงั้นเหรอ?"
บทที่ 251 ตัวตนเหนือธรรมชาติ (1.2)
แม้แต่ในความทรงจำของดันดาเลี่ยนก็ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสกายลอร์ด ทุกสิ่งที่ทุกคนรู้คือมันเป็นสิ่งมีชีวิตแห่ง
หายนะ นอกเหนือจากการที่มันถูกสร้างเพื่อหยุดเดียโบลแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสิ่งใดอีก
"บาอัลแตกต่างจากเรา บางทีเขาอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ เราไม่มีทางคิดออกหรอกว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ "
ขนาดเกรโมรี่ยังพูดแบบนี้ แสดงว่าในหมู่เทพปี ศาจด้วยกันบาอัลก็ยังถือเป็นตัวตนที่แตกต่าง
'พวกเทพปี ศาจต้องเคยเป็นมนุษย์แน่ๆ'
มูยองมั่นใจมากกว่าเดิม ความเป็นไปได้ดังกล่าวมาจากการที่ดันดาเลี่ยนมีชื่อเรียกของมนุษย์ด้วย และพออ่านความ
ทรงจำหลังจากจัดการกับเลราเจแล้วก็ยิ่งมั่นใจ
บางทีสิ่งที่ทำให้บาอัลแตกต่างจากเทพปี ศาจตนอื่นก็คือ ตัวตนดั้งเดิมของมันอาจไม่ใช่มนุษย์
มูยองคิดอยู่พักหนึ่งว่าบางทีสิ่งที่เทพปี ศาจเป็นกังวลก็คือการที่พวกมันเคยเป็นมนุษย์มาก่อนนี่แหละ เพราะนั่นอาจ
เป็นจุดอ่อนของพวกมัน แต่จะให้ไปถามเกรโมรี่ตรงๆก็อาจกระทบกับความสัมพันธ์ที่มั่นคงตอนนี้
ยังไงก็ตาม เขาไม่สามารถปฏิเสธความอยากรู้ได้ดังกล่าว มนุษย์กลายเป็นเทพปี ศาจได้อย่างไรทั้งๆที่เป็นสองเผ่า
พันธุ์ที่แตกต่างกันมาก
"เจ้าต้องมีคำถามมากมายแน่"
"ผมไม่ใช่ปี ศาจ คุณช่วยผมไม่ได้หรอก"
"...เจ้าเป็นมนุษย์สินะ"
ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งของเกรโมรี่ทำให้เธอเดาต้นกำเนิดของมูยองออก และมูยองก็ไม่ได้พยายามปกปิ ดอะไร
เกรโมรี่หลับตาลงขณะพูดคุยต่อ
"ถ้าบาอัลเป็นผู้สร้างสกายลอร์ด มันจะต้องมีความหมายลึกๆซ่อนอยู่แน่ และบางทีอาจเพราะการปรากฏตัวของ
เขา..."
"การปรากฏตัวของใครกัน?"
"ยังไงซะเจ้าก็อยู่ภายใต้การบัญชาของข้า ดังนั้นข้าจะไม่ปิ ดบังเจ้า โซโลมอนและเดียโบลสังหารเฮอเรสไปแล้ว
และตอนนี้พวกเขาอยู่ที่นี่"
มูยองนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง โซโลมอนอยู่ในโลกปี ศาจงั้นเหรอ?
เหนือสิ่งอื่นใด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าโซโลมอนกับเดียโบลอยู่ด้วยกัน มันตอกย้ำความจริงที่ว่าเหล่าเทพปี ศาจ
เกลียดชังโซโลมอนเพียงใด เกรโมรี่เองก็ไม่ต่างกันเพราะตอนนี้สายตาของเธอปรากฏทั้งความหวาดกลัวและเกลียด
ชังออกมาอย่างเปิ ดเผย
"เหล่าเทพปี ศาจต้องร่วมมือกันสักที"
"พวกมันไม่รู้ว่าโซมอนควบคุมเดียโบลอยู่เลยไม่จริงจังกับเรื่องนี้"
มูยองกำลังคิดว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้ได้หรือไม่?
ในช่วงเวลาดังกล่าวฝ่ ายพันธมิตรกำลังมุ่งเน้นไปที่การกำจัดฝ่ ายปฏิปักษ์ และโซโลมอนจะเป็นตัวสร้างความปั่น
ป่ วนให้แก่พวกมัน
"ปล่อยข่าวลือออกไป"
"การปรากฏตัวของโซโลมอนนะหรือ?"
"ปล่อยข่าวออกไปว่าโซโลมอนฆ่าเฮอเรสกับเลราเจ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้น"
ความสงบของเหล่าปี ศาจจะต้องเกิดปัญหาขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของฝ่ ายเขาเนื่องจากปี ศาจภายใต้การควบคุมของ
เกรโมรี่ต่างสนใจเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น พวกมันรวมตัวกันอย่างเต็มที่ด้วยความภักดีไร้ข้อกังขาอยู่แล้ว
"พวกมันคงไม่เชื่อกันง่ายๆ"
มันออกจะดูเป็นเรื่องน่าขำสักหน่อยหากจะมองว่าโซโลมอนสังหารแต่ปี ศาจฝั่งพันธมิตร ยังไงก็ตามมูยอง
แสดงออกอย่างจริงจัง
"ผมคิดว่าปี ศาจฝ่ ายนั้นก็ไม่ได้กลมเกลียวกันอย่างที่คิด จะต้องมีบางคนในกลุ่มนั้นทำตัวเป็นนกสองหัวอยู่แน่ๆ "
“….”
เกรโมรี่ถึงกับพูดไม่ออก
เป็นเหมือนที่มูยองคาดไว้
"พอเทพปี ศาจทั้ง 4 มารวมตัวกันแล้ว ให้พวกเขาปล่อยข่าวลือนี้ออกไป แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับการทำให้ความไว้
วางใจสั่นคลอน"
"เจ้าต้องการให้ราชาปี ศาจแตกคอแล้วเข่นฆ่ากันเอง"
"นั่นไม่ใช่หนทางเดียวที่ผู้อ่อนแอจะเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งได้เหรอ? และถ้าเราชนะ พวกเราก็จะอยู่เหนือพวกมัน"
ฝ่ ายพันธมิตรส่วนใหญ่ต้องการทำลายล้างเผ่าพันธุ์อื่นนอกเหนือจากเผ่าพันธุ์ปี ศาจของตนเอง
ในทางตรงกันข้ามฝ่ ายปฏิปักษ์ต้องให้คงสถานะเดิม หรือไม่ก็ต้องการรูปแบบการอยู่ร่วมกัน
เกรโมรี่หัวเราะเบาๆ
"มันแทบไม่ต่างกับการปาไข่ใส่ก้อนหิน แต่เมื่อไม่มีทางเลือกเราจะพยายามทำทุกอย่างที่สามารถเป็นไปได้"
เหตุผลเป็นสิ่งสำคัญ และแน่นอนว่ามูยองมีเหตุผล เขามองไปที่สกายลอร์ดอีกครั้ง
'ถ้าวิเคราะห์จุดประสงค์ของสกายลอร์ดได้ ก็จะรู้ถึงความตั้งใจของบาอัล'
ย่อมไม่มีใครสามารถทราบได้ในทันที แต่ขณะตามล่าเหล่าเทพปี ศาจจุดประสงค์ของสกายลอร์ดจะต้องถูกเปิ ดเผย
'ก่อนอื่นฉันควรฝึกให้ตัวเองเก่งกว่านี้ก่อนที่เทพปี ศาจจะมารวมตัวกัน'
เขาต้องการเวลาในการปรับตัวเข้ากับพลังใหม่
มูยองเป็นดั่งอาวุธลับ แต่ถ้าอาวุธนั่นไม่สามารถใช้งานได้ตามต้องการก็คงไร้ประโยชน์ และมูยองต้องทำให้มั่นใจ
เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้น
....
ดวงดาวสีแดง และสีน้ำเงินที่กำลังเฉิดฉายอยู่คู่กันบนท้องฟ้ า
ไฮซินท์หญิงสาวเลอโฉมกำลังแหงนมองไปบนท้องฟ้ าด้วยสีหน้าแดงก่ำ
"ในที่สุดราชาของฉันก็กำลังมาแล้ว"
ไฮซินท์ผู้เป็นดั่งเทพธิดากำลังอยู่ในร่างไร้อาภรณ์ แต่ทว่าอัศวินทั้งสิบที่ยืนอยู่ข้างๆเธอกลับไม่มีใครกล้าแม้กระทั่ง
ชำเลืองตามองเธอ
"สุดท้ายคุณก็กลับมาหาฉัน"
ไฮซินท์เฝ้ ารอคอย
นับตั้งแต่ที่ถือกำเนิดขึ้นจากการแยกตัวออกจากปี ศาจนภา เธอก็มั่นใจว่าสักวันหนึ่งราชาของเธอจะต้องกลับมาและ
สุดท้ายเวลานั้นก็มาถึง
"ฉันต้องเตรียมตัวต้อนรับเขาให้ดีที่สุด"
ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายมากกว่าตอนไหนๆ เธอหันศีรษะไปพูดกับอัศวิน
"ไปบอกพระสันตะปาปาหน่อยว่าให้เตรียมตัวต้อนรับเขา"
"ได้ตามที่รับสั่งท่านเทพธิดา"
"เราจะทำตามรับสั่งของท่านเทพธิดา"
เหล่าอัศวินเริ่มเคลื่อนไหวเหมือนหุ่นเชิด
ไม่ใช่แค่พวกอัศวิน แต่มนต์เสน่ห์ของไฮซินท์ได้ครอบงำไปทั่วทั้งเมืองศักดิ์สิทธิ์มูราลันแล้ว
เหลือเพียงอัศวินหญิงพวกคนเดียวที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหว จนถึงตอนนี้เธอเพิ่งเดินเข้ามาหาไฮซินท์พร้อมกับสวมชุด
เดรชให้เธอ
"เซราฟิ น่าเธอไม่ดีใจเหรอ?"
อัศวินหญิงคนนั้นคือเซราฟิ น่า
เธอเป็นเพียงคนเดียวในเมืองที่ไม่ต้องมนต์เสน่ห์ด้วยเหตุผลที่ว่าไฮซินท์ชื่นชอบเธอ ยังไงก็ตามสายตาของเซราฟิ
น่าเต็มไปด้วยความซับซ้อน
เซราฟิ น่าไม่สามารถต่อต้านได้ แม้บางครั้งเธอจะทำเรื่องโหดร้ายแต่ไฮซินท์ก็ยังทั้งไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ มันเป็น
เรื่องยากที่จะบอกได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหากหยุดเฝ้ าดูเธอ
ไฮซินท์พูดถึงเขาบ่อยมาก แต่เธอไม่ทราบว่าเขาคนนั้นคือใคร
"เขาจะต้องชอบแน่ๆ"
"หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น"
ไฮซินท์ฮัมเพลงขณะเซราฟิ น่าส่ายหัว เธอไม่สามารถจินตนาการถึงอนาคตได้เลย และได้แต่หวังว่าเขาคนนั้นจะ
เป็นตัวตนปกติธรรมดา
บทที่ 252 ตัวตนเหนือธรรมชาติ (2)
คำสั่งของมูยองนั้นเรียบง่าย แต่ความยากลำบากกลับไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับการรวบรวมมนุษยชาติเพื่อต่อต้าน
เผ่าพันธุ์ปี ศาจ จนเบซองมินติ่งคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะทำยังไง
'ดราก้อนลอร์ดคนเดียวจะทำให้มนุษย์ทุกคนรวมตัวกันได้จริงเหรอ?'
ถึงจะมีคนมารวมตัวกันบ้างแต่มันเป็นไปได้ยากที่จะมารวมกันทุกคน ยังไงก็ตามสำหรับเบซองมินแล้วคำสั่งของมู
ยองถือเป็นที่สิ้นสุด เพราะเขาเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อมูยองมากที่สุด ดังนั้นงานที่เขาสั่งจะต้องเสร็จเรียบร้อยโดยไม่
คำนึงถึงวิธีการหรือกลยุทธ์ใดๆ
'สิ่งแรกที่ควรทำคือ การทำให้ผู้นำแต่ละเมืองกลายเป็นหุ่นเชิด' นั่นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
ปัญหาคือมันต้องใช้เวลานาน ซึ่งมูยองไม่มีเวลามากมายขนาดนั้น
เบซองมินยังไม่ทราบว่าจุดยืนของมูยองตอนนี้เปรียบเสมือนชั้นน้ำแข็งบางๆ เพียงก้าวเดียวที่ผิดพลาดทุกอย่างก็พัง
ทลายได้ แน่นอนว่ามูยองย่อมไม่แพ้ เขาชนะได้ตลอดมา และแผนการระดมพลครั้งนี้ก็สำหรับเพื่อชัยชนะนั้นๆ
อย่างไรก็ตาม...
'นายท่านมั่นใจกับแผนตัวเองมากเกินไป'
เขายังไม่เคยถอยแม้แต่ก้าวเดียว แน่นอนว่าความเหนื่อยล้าสะสมย่อมมาก มูยองอาจปฎิเสธมัน และอดทนเอาไว้ แต่
เบซองมินกำลังเป็นห่วง เพราะแม้แต่กำแพงหนาก็อาจพังทลายลงได้จากรูโหว่เพียงรูเดียวดังนั้นคำตอบที่เบซองมิน
ได้รับก็คือพยายามไม่ให้เกิดรูโหว่นั้นๆขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่เขาจะต้องช่วยลดความเหนื่อยล้าของมูยองให้จง
ได้
ความล่าช้าย่อมทำให้มูยองทำงานหนักขึ้น และเมื่อความเหนื่อยล้าสะสมไปเรื่อยๆก็จะกลายเป็นรูโหว่ดังกล่าว จน
ในที่สุดกำแพงอาจล่มสลาย
'เราต้องเป็นเสาหลักให้นายท่าน'
เบซองมินไม่มีความทรงจำ
ในอดีตหลังจากถูกกลืนกลินโดยจิตวิยญาณโบราณเขาก็ถูกช่วยเหลือโดยมูยอง ด้วยเหตุนั้นเบซองมินจึงติดตามมู
ยองอย่างซื่อสัตย์
เขาเป็นอันเดธที่ถูกสร้างโดยมูยองงั้นหรือ?
นั่นดูเหมือนไม่ใช่เหตุผลเดียว เขาคิดว่าแม้ความทรงจำของตนจะสมบูรณ์เขาก็ยังจะติดตามมูยองอยู่ดี
ดังนั้นเบซองมินจึงอยากเป็นเสาหลักให้กับมูยอง แน่นอนว่ามันอาจไม่จำเป็นเพราะมูยองแข็งแกร่งกว่าใครๆที่เบ
ซองมินเคยพบเจอ ยังไงก็ตามเบซองมินก็อยากสนับสนุนเขา
เบซองมินคิดหาวิธีและความเป็นไปได้ที่แน่นอนสำหรับรวบรวมเหล่ามนุษยชาติเข้าด้วยกัน
ปลอมตัวเป็นราชาปี ศาจแล้วเข้าโจมตี?
ถ้าเป็นเอนโรธกับโซระมันจะต้องเป็นการจู่โจมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงแน่ๆ อะไรคือสิ่งจำเป็นสำหรับการปลอม
ตัวและฉากเหตุการณ์ที่เขาต้องสร้าง
'องค์ประกอบที่คนเหล่านั้นเชื่อถือคืออารามสีครามและเมอร์ลิน'
มนุษย์คิดว่าเมอร์ลินเป็นผู้ช่วยเหลือ มีกระทั่งข่าวลือว่าเมื่อเหล่าปี ศาจบุกจู่โจมเมอร์ลินจะปรากฏตัวออกมาเพื่อ
ปกป้ องพวกเขา
พอคิดได้ดังนั้นเบซองมินก็เริ่มวาดภาพงแผนการ
อันดับแรก ปี ศาจทรงพลังอย่างเอนโรธกับโซระจะต้องเปิ ดฉากจู่โจมก่อน และในช่วงเวลาวิกฤติจอมเวทย์เมอร์ลิน
ก็ปรากฎตัวออกมาอย่างสง่างามและกำราบสิ่งชั่วร้าย จากนั้นค่อยทำให้ดราก้อนลอร์ดฮันซุงก็กลายเป็นผู้นำของ
เหล่ามนุษยชาติ
พอมีชิ้นส่วนที่ลงตัวผลกระทบย่อมอยู่นอกเหนือจินตนาการ แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าเมอร์ลินเป็นตัวจริง เพราะ
เมอร์ลินตัวจริงไม่สามารถออกจากอารามสีครามได้
‘ต้องมีสักคนรับบทเป็นเมอร์ลิน’
บทบาทนั้น....
โชคดีมากที่มีคนๆหนึ่งเหมาะสมกับบทบาทดังกล่าว นั่นคือ ออสการ์ลูกศิษย์ของเมอร์ลิน และเขาอยู่ในอาณาเขต
ของมูยอง
“ใคร ผมงั้นเหรอ?”
ออสการ์ทำหน้าซีด
ปลอมตัวเป็นเมอร์ลิน!
แน่นอนว่าเขาเคยเรียนเวทมนตร์จริงๆจากเมอร์ลิน แต่เขาก็แอบหนีออกมาซะก่อนเพราะความน่าเบื่อ
ถึงทักษะของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมากขณะอยู่ในอาณาเขต แต่การแสดงเป็นเมอร์ลินก็ทำให้เขาลำบากใจอยู่ดี
แต่ออสการ์ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะเอลเดอร์ลิชอย่างเบซองมินแทบไม่ต่างจากนักฆ่าแห่งความตาย ในความเป็นจริงมี
คนกลัวเบซองมินมากกว่ามูยองเสียอีก
เขาเป็นประเภทชื่นชอบผลงานที่สมบูรณ์แบบ การทำงานอย่างรวดเร็ว และหากจำเป็นต้องบดขยี้ใครก็ต้องทำ แม้มู
ยองจะเป็นผู้ปกครองอาณาเขตแห่งนี้ แต่คนที่ควบคุมเหล่าผู้คนคือเบซองมิน
“นายเป็นคนเดียวที่รู้จักตัวตนของเมอร์ลิน ฉันจะคอยช่วยเหลือนายเอง ไม่ต้องกังวลเกินเหตุหรอก
“นั่นมัน...คือการโกหกต่อมนุษยชาติเลยใช่ไหม? ผมจะทำงานสำคัญแบบนี้ได้จริงๆเหรอ?”
“มีแค่นายคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้”
เป็นการกดดันอย่างสุภาพ ปฏิเสธงั้นเหรอ? ไม่มีทางจะทำแบบนั้นได้
‘บ้าเอ้ย’
เหตุผลที่ออสการ์หนีจากเมอร์ลินมาก็เพราะว่าการเรียนมันน่าเบื่อ การใช้ชีวิตอย่างอิสระเป็นอะไรที่ออสการ์
ต้องการ ยังไงก็ตามหลังจากได้พบกับมูยองในโลกปี ศาจความฝันของเขาก็เหมือนพังทลายลง
“ถ้านายทำสำเร็จ ฉันมอบอำนาจพลังบางอย่างให้”
“จริง จริงเหรอ!”
“นายท่านให้สิทธิ์ทุกอย่างกับฉันแล้ว รวมถึงการจัดสรรตำแหน่งต่างๆด้วย”
ดวงตาของออสการ์โตขึ้น
อาณาเขตของมูยองเติบโตขึ้นทุกวัน จำนวนประชากรเดิมที่มีแค่หนึ่งล้านตอนนี้เกือบแตะสองล้านคนแล้วมีเผ่า
พันธุ์ต่างๆเข้ามาที่นี่อย่างต่อเนื่อง แม้แต่พวกออร์คก็พยายามอย่างมากที่จะเข้ามายังที่แห่งนี้ และทุกคนต่างอยากได้
รับสิทธิพิเศษ
พวกเขาสามารถใช้ชีวิตเยี่ยงราชา หากมีอำนาจการจัดการในอาณาเขต ไม่ว่าจะเป็นเงินตราหรือภรรยาต่างเผ่าที่ไม่
จำหัดว่าจะมีได้กี่คน
‘ชีวิตที่ยิ่งใหญ่กับภรรยาสาวเผ่าเอลฟ์ สักสามคน’
มันคือความฝันของออสการ์ แค่จินตนาการจิตใจของเขาก็เตลิดไปไกลแล้ว ยังไงก็ตามหลอกลวงคนทั้งโลกก็ดูเสี่ยง
มาก
“ไม่ว่านายต้องการตำแหน่งไหนฉันจะพยายามมอบมันให้ ไม่เว้นแม้แต่ตำแหน่งพ่อมดกิตติมศักดิ์”
ตำแหน่งพ่อมดกิตติมศักดิ์
บทที่ 253 ตัวตนเหนือธรรมชาติ (2.1)
ทั่วทั้งดินแดนมีพ่อมดกิตติมศักดิ์ไม่ถึงสิบคน มีเพียงพ่อมดระดับพิเศษในแต่ละเผ่าเท่านั้นถึงจะเลื่อนขั้นไปถึง
ตำแหน่งดังกล่าวได้ และออสการ์เองก็ยังมีระดับไม่ถึง การได้รับตำแหน่งที่ไม่เหมาะย่อมทำให้ชีวิตไม่ปลอดภัย
"ไม่เอา ไม่! ผมต้องการแค่ตำแหน่งเกี่ยวกับจัดการประชากรในอาณาเขต "
"ฮือ นายพอใจกับตำแหน่งแค่นั้นจริงเหรอ?"
ใช่ครับ จริงๆแค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว"
ยังไงก็ตามพอออสการ์พูดแบบนั้นก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา นั่นเพราะเขาต้องปลอมตัวเป็นเมอร์ลิน
เบซองมินพยักหน้า
"ทำหน้าที่ของนายให้แนบเนียนที่สุด ส่วนที่เหลือฉันจะจัดการเอง"
และนั่นก็ทำให้การหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้เริ่มต้นขึ้น
ที่อาณาเขตแห่งนี้รุ่งเรืองก็เป็นเพราะอิทธิพลของมูยองทั้งนั้น แม้ว่าตัวเขาจะไมได้อยู่ที่นี่ ทุกๆเผ่าพันธุ์มารวมตัวกัน
ทุกคนล้วนแต่เบื่อหน่ายกับการต่อสู้ หรือไม่ก็อ่อนแอเกินไป พวกเขาแค่ต้องสถานที่ที่สามารถพักพิงได้ และตราบ
ใดที่ไม่ก่อความวุ่นวายขึ้น ที่นี่ก็ยินดีต้อนรับทุกคน
พวกเขาจะได้รับการปกป้ อง ได้รับมอบดินแดนสักผืนที่สามารถทำมาหากินได้อย่างเพียงพอ ในทางกลับกันทุกคน
จะต้องไม่ละเมิดกฎ เพราะหากมันเกิดขึ้นเผ่าพันธุ์นั้นจะต้องถูกทำลายล้าง นั่นเป็นข้อตกลงที่ดีให้พวกเขาปฏิบัติ
ตาม
ส่วนหัวหน้าของสถานที่แห่งนี้เป็นของโอการ์ ยักษ์ใหญ่แห่งเปลวเพลิงจากเผ่าไฟทาร์ เผ่าที่ซึ่งเป็นนักล่าอันดับ
สูงสุด แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครกล้าสร้างความบาดหมางใดๆ ยังไงก็ตามโอการ์ก็ไม่ได้เข้มงวดตลอดเวลา
"เพิ่มกำลังที่ข้อมือของเจ้าด้วย ดาบไม่ใช่อาวุธที่ใช้แต่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว"
โอการ์แตกต่างจากไฟทาร์ตัวอื่นตรงที่เขามีความยืดหยุ่นสูง เขายืนยันว่าจะเป็นอาจารย์สอนการใช้อาวุธให้แก่ผู้อื่น
เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดใดๆที่นี่ ทำให้เขาเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับสงครามทางการทหาร
หลายเรื่อง นอกจากจะเป็นหัวหน้าเผ่าที่ดีแล้ว เขายังหลงใหลในการเรียนรู้ นอกจากนั้นยังนำไปสอนคนอื่นอีกด้วย
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายชนเผ่าเข้ามาเรียนรู้จากโอการ์ ถ้าจะนับจำนวนก็เรียกได้ว่าหลายพันคนเลย
ความกลมกลืนระหว่างเผ่าพันธุ์ ทฤษฏีนี้เกิดมาจากการเฝ้ ามองมูยอง อาจมีคนคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่ยัง
ไม่มีใครนำไปปฏิบัติจริง
ต่างจากเผ่าปี ศาจที่แข็งแกร่ง พวกมันต่างต่อสู้กันเองเพื่อความอยู่รอด ความสามัคคีจริงๆจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แม้
บางครั้งพวกมันจะร่วมมือกันแต่ในไม่ช้าก็ย่อมจะเกิดความแตกแยก
ไม่เหมือนกับผู้นำอย่างมูยอง ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น หลายคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อมูยองด้วยซ้ำ
นอกจากนั้นโอการ์ยังถือว่ามูยองเป็นเพื่อนแท้ และเขายังต้องการเดินทางตามแบบฉบับของมูยอง
'ขนาดไฟทาร์ยังต้องเปลี่ยนแปลง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตรอดเพียงลำพัง'
โอการ์พยายามสอนทุกเผ่าแบบนั้น
'พวกปี ศาจทำการไล่ล่าอย่างไม่เลือกหน้า ทำให้จำนวนของผู้ที่ต้องการเข้ามายังอาณาเขตเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ'
เป็นเพราะเผ่าพันธุ์ปี ศาจกวาดล้างเผ่าพันธุ์อื่นๆอย่างบ้าคลั่ง ทำให้หลายคนละทิ้งบ้านเกิดเพื่อพยายามหลีกหนีจาก
การไล่ล่า แม้แต่ไฟทาร์ก็ยังหนีเหตุการณ์แบบนั้นไม่พ้น
โอการ์เพิ่งจะคิดได้เมื่อไม่นานนี้ว่า หากไม่รวมพลังกันย่อมไม่มีความหวังใดๆอีกแล้ว
"ท่านโอการ์"
เบซองมินเข้ามาเยี่ยมเยียนโอการ์
โอการ์หยุดการสอนทั้งหมด
"พอก่อน เราจะพักกันเล็กน้อย"
ลูกศิษย์จำนวนหนึ่งพันคนโค้งรับ
"ข้าได้ยินข่าวของเจ้าอยู่บ้านกัน ว่าแต่อะไรทำให้เจ้ามาที่นี่?"
ไม่มีทางที่เบซองมินจะมาเยี่ยมเขาโดยไร้เหตุผล
"กระผมมีข้อความจากนายท่านมาแจ้ง"
แม้แต่กับทาร์แคน เบซองมินก็พูดด้วยอย่างไม่เป็นทางการ แต่สำหรับโอการ์เบซองมินยังเกรงใจเล็กน้อย เพราะโอ
การ์คือเพื่อนของมูยอง
"ข้อความอะไร ข่าวนั่นงั้นหรือ?"
"เจ้านายอยากให้ท่านเข้าร่วมสงคราม"
"ร่วมสงคราม?"
"โปรดรวบรวมและนำผู้คนทั่วอาณาเขตของเราไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหนก็ตามไปเข้าร่วมสงคราม"
"ไฟทาร์ทุกคนกับเหล่าลูกศิษท์ของข้าด้วยงั้นเหรอ?"
"ใช่ครับ นายท่านต้องการชัยชนะ"
โอการ์ลูบคาง
ความหมายของเบซองมินคือ ให้เขาเป็นทัพหน้าสำหรับสงครามใหญ่ที่มูยองได้ นี่เป็นแผนการที่อันตรายสำหรับ
เขามาก เพราะหลังจากผ่านศึกหลายแห่งกองกำลังของเขาก็อยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก โอการ์ควรหาทางเลือกอื่นที่แตก
ต่าง และความเชื่อใจก็เป็นพื้นฐานสำคัญที่จำเป็นต้องมี
"พวกเรามีดินแดนเพิ่มขึ้นแล้วไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องทำสงครามเลย?"
"ชัยชนะจากสงครามครั้งนี้จะทำให้เราได้รับอิสระโดยปราศจากการควบคุม"
"อิสระจากการควบคุม? มันก็แค่ถ้อยคำหอมหวาน เพราะสุดท้ายทุกคนก็อยู่ภายใต้การควบคุมของมูยองอยู่ดี? "
"พวกเราจะโค่นบาอัล! ตอนนี้เกรโมรี่กับอีกเทพปี ศาจบางตนก็จะช่วยพวกเราด้วย"
"...! เทพปี ศาจ?"
โอการ์นิ่งอึ้ง
มูยองไปไกลจนสามารถสู้กับเทพปี ศาจได้แล้วรึ
ถ้ามีคนที่โค่นล้มบาอัลลงได้ คงมีหลายคนเต็มใจการถูกคนผู้นั้นควบคุมไม่น้อย
"นายท่านจัดการเทพปี ศาจดันดาเลี่ยนกับเลราเจไปแล้ว เขาได้รับพลังและอำนาจของพวกมันมา สำหรับตอนนี้เขา
กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีบาอัลร่วมกับเหล่าเทพปี ศาจที่ต่อต้านมัน"
"ฮ่า เขาบ้าไปแล้วจริงๆ!"
ตัวของโอการ์สั่นเทิ้ม มนุษย์ตัวจ้อยแสนอ่อนแอที่เขาได้พบเจอในอดีตสามารถพัฒนาตนเองจนไปถึงระดับนั้นได้
มันยากที่จะเชื่อเหลือเกิน แต่ไม่มีเหตุผลที่เบซองมินจะโกหก และโอการ์คงอยู่เฉยๆไม่ได้อีกต่อไป
"โค่นบาอัล ฮ่าๆ"
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้แม้จะเป็นในความฝัน แต่มูยองกลับกำลังทำมัน ไม่ต้องใช้เวลาในการพิจารณาอีกต่อไป ด้วย
ใบหน้าที่ปลอดโปร่งขึ้น โอการ์ยิ้มเบาๆ
"ข้าจะเป็นคนนำทัพให้เอง"
ตอนนี้มูยองไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว เขามีมือมีเท้าที่พร้อมจะเคลื่อนไหวให้ตัวเองและมีคนที่สามารถไว้วางใจได้
ความปั่นป่ วนที่จะสั่นคลอนโลกปี ศาจกำลังเริ่มจะเริ่มขึ้น
บทที่ 254: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (3.1)
เขาฝัน
เหมือนความฝันขณะที่ตื่น ตอนนี้มูยองกำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศโดยที่มีเบื้องล่างเป็นผืนโลก
มันคือดาวเคราะห์สีน้ำเงิน สถานที่ที่ซึ่งเขาดำรงอยู่ด้วยตัวตนของดันดาเลี่ยน
ในความทรงจำนั้นของดันดาเลี่ยนชิ้นส่วนกระจัดกระจายที่มูยองขโมยมากลายเป็นความทรงจำที่กระจ่างชัด
'เป็นเพราะเราดูดซับพลังจากเลราเจมางั้นเหรอ?'
นับตั้งแต่ที่ได้ดูดซับพลังของเลราเจชิ้นส่วนของภาพต่างๆก็ปรากฏเพิ่มและชัดเจนขึ้น
พอมูยองขยับเข้าไปมองใกล้ๆก็เห็นว่าในหลายพื้นที่มีควันหนาทึบเต็มไปหมด เขาพบเครื่องจักรรูปร่างคล้าย
แมงมุมยักษ์กำลังทำลายสถานที่ต่างๆบนโลก
มันเหมือนบางสิ่งที่มูยองรู้จัก
'เอลย่าซีโก้'
ครั้งแรกที่เขาเห็นภาพแบบนี้มันเป็นฉากที่เขาจัดการกับเอลย่าซีโก้ ยังก็ตามมันไม่ได้ชัดเจน
มูยองมองไปเรื่อยๆและสะดุดกับภาพคนๆหนึ่ง นั่นคือดันดาเลี่ยน..ตอนที่เขายังเป็นมนุษย์
"ช่วยฉันด้วย!"
"อ๊าก!"
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนทุกคนต่างกำลังล้มตาย
เพียงวันเดียวที่เอลย่าซีโก้โผล่ออกมาโจมตี โลกก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว มนุษยชาติไม่สามารถตอบโต้ใดๆได้
นับว่าใกล้ถึงเวลากาลอวสานของมนุษย์ชาติ มนุษย์เพียงจำนวนน้อยนิดที่มีชีวิตรอดต่างหลบซ่อนตัว
ยังไงก็ตามในเวลาไม่นานนักประตูจำนวนนับไม่ถ้วนก็เปิ ดขึ้นพร้อมกันจากทุกๆที่ พวกมันได้ล้อมเหล่ามนุษย์ไม่กี่
คนที่ยังรอดชีวิตราวกับเมฆมืดครึ้ม
สำหรับดันดาเลี่ยนเองก็เผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นคือ เขาพบกับบาอัลในจุดสิ้นสุดของ
ชีวิต
ดันดาเลี่ยนตกอยู่ในพื้นที่ไร้แสงสว่างอันเต็มไปด้วยมอนสเตอร์น่าเกลียดน่ากลัวขนาดยักษ์เพียงลำพัง!
ข้างๆบาอัลมีหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีปี กเทวทูตอยู่ที่แผ่นหลังและถูกขังไว้ในกรงโลหะทรงกลม ร่างกายของเธอดู
ซีดเซียวและเกือบครึ่งหนึ่งพังยับเยินไปแล้ว เธอกำลังจะตาย
ยังไงก็ตามดันดาเลี่ยนไม่ได้สนใจเธอมากนัก
"คุณเป็นใคร?"
"เทวทูตแห่งกาลเวลาเลือกเจ้า เพียงตอบมาว่าร่างของข้าที่ปรากฏต่อสายตาของเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไร?"
ดันดาเลี่ยนไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำถามของมอนสเตอร์ดังกล่าวได้ เขาถูกอำนาจพลังบีบบังคับให้พูดความจริงเกี่ยว
กับสิ่งที่เห็น
"สัตว์ประหลาดสองปาก...!"
ดันดาเลี่ยนรีบใช้มือปิ ดปากตัวเองทันทีแต่สายไปแล้ว
"นั่นคือพลังที่เหมาะกับเจ้า ปากแห่งความจริงและโกหก "
ในมือของบาอัลปรากฏหนังสือเล่มหนึ่ง
เลเมเกทัล!
เขาดึงกระดาษหน้าหนึ่งออกมา และทันทีนั้นฝูงค้างคาวก็บินห้อมล้อมดันดาเลี่ยน
อ๊าก!
ความฝันจบลงแค่นั้น...ยังไงก็ตามสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นไม่จำเป็นต้องรับรู้
'จาเมส มนุษย์คนหนึ่งเปลี่ยนเป็นเทพปี ศาจดันดาเลี่ยน'
บาอัลเป็นคนสร้างเทพปี ศาจขึ้นมาโดยใช้หนังสือเลเมเกทัล
'บางทีเทพปี ศาจตนแรกอาจไม่ใช่มนุษย์'
ส่วนเทพปี ศาจที่เหลือน่าจะเคยเป็นมนุษย์มาก่อน เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่มนุษย์ธรรมดาจะครอบครองเลเม
เกทัล บางทีพลังของเทพปี ศาจทุกตัวอาจมาจากบาอัลผู้เป็นเทพปี ศาจที่แท้จริงก็เป็นได้
'จากเอลย่าซีโก้ ชัดเจนแล้วว่าโซโลมอนโจมตีมนุษย์'
มูยองสรุปสิ่งที่เห็นในฝัน
แม้จะเป็นฝันสั้นๆแต่มันก็บอกเรื่องราวที่สำคัญมากและทำให้คลายความสงสัย มันชัดเจนว่าโซโลมอนทำลายล้าง
มนุษยชาติแม้จะยังไม่รู้ว่าทำไม
อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน...
'เทวทูตแห่งกาลเวลา'
บาอัลกักตัวเทวทูตแห่งกาลเวลาเอาไว้ และก่อนที่จะเปลี่ยนดันดาเลี่ยนเป็นเทพปี ศาจ ยังพูดว่าเทวทูตแห่งกาลเวลา
เลือกเขาอีกด้วย เนื่องจากเขามีคุณสมบัติบางอย่างที่จะกลายเป็นเทพปี ศาจ
'มูยองต้องการความทรงจำเพิ่ม'
หากต้องการรู้ทุกสิ่งจากบาอัลและโซลามอนซึ่งเป็นสองตัวละครหลัก มูยองต้องได้รับหน่วยความจำที่สมบูรณ์
เท่านั้น
และ 'การล่าเหล่าเทพปี ศาจและดูดซับความทรงจำของพวกมันอาจทำให้หน่วยความจำสมบูรณ์'
เอี๊ยด!
มูยองหันศีรษะไปมอง
ปี ศาจที่เฝ้ าอยู่ด้านนอกเปิ ดประตูเข้ามา
"ราชาปี ศาจเถ้าสีเทา ตอนนี้เทพปี ศาจทั้งหมดรวมตัวกันแล้ว ข้าจะนำเจ้าไปสมทบที่ประชุม"
ณ การประชุมใหญ่ที่มีเทพปี ศาจทั้ง 5 ตนรวมตัวกันอยู่ที่นี่
"ขอบคุณที่พวกเจ้าเดินทางกันมา"
มูรุมูรุ โพเนียส ซีทรี แอสโมดาย และเกรโมรี่
เนื่องจากข่าวการดับสูญของเฮอเรสและเลราเจ ทำให้ทุกคนมีสีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก
แอสโมดาย เทพปี ศาจแห่งปฐพีผู้ที่มีร่างกายสร้างขึ้นจากหินลุกขึ้นพูดเป็นคนแรก
"เกิดบ้าอะไรขึ้น เลราเจเทพแห่งสงครามพ่ายแพ้งั้นเหรอ?"
"ข้าจะอธิบายทุกสิ่งให้ฟังเอง เชิญนั่งลงก่อน"
เกรโมรี่ตอบอย่างใจเย็น
การพูดของเธอทำให้บรรยากาศโดยรอบสงบลง แต่ความสงสัยของเหล่าผู้เข้าร่วมประชุมก็ยังคงรุนแรง
การต่อสู้ที่ถูกกำหนดไว้ว่าต้องแพ้กลับกลายเป็นชนะ สิ่งนี้ต้องได้รับการอธิบาย
ขณะที่แอสโมดายนั่งลง เกรโมรี่ก็พูด
"โซโลมอนปรากฏตัวแล้ว"
"...!"
"มันกลับมาที่โลกปี ศาจได้ยังไง?"
ถ้าเป็นเรื่องของโซโลมอนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ปี ศาจทุกตนโกรธแค้น และทำให้สถานการณ์เกิดความปั่น
ป่ วน แม้มูยองจะไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันซับซ้อนมาก
ตอนนี้ มูยองกำลังยืนฟังอยู่ด้านหลังท่ามกลางเหล่าราชาปี ศาจทั้งหลาย
บทที่ 255: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (3.2)
นี่คือการประชุมสำหรับเทพปี ศาจที่เกรโมรี่ไว้ใจเท่านั้น แต่มูยองได้เข้าร่วมเป็นกรณีพิเศษเนื่องจากเป็นผู้วางแผน
ทุกอย่าง
ปี ศาจทุกตนล้วนเคยผ่านสงครามมาแล้วทั้งสิ้น มูยองซ่อนพลังเอาไว้แล้วลอบสังเกตพวกมัน เพราะไม่แน่ว่าสักวัน
หนึ่งปี ศาจในนี้อาจจะกลายเป็นศัตรูกันก็ได้ นอกจากนั้นยังถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะศึกษาเกี่ยวกับเทพปี ศาจอีกด้วย
ระหว่างเรียนรู้จากความฝันของดันดาเลี่ยนกับเรียนรู้โดยตรงด้วยตนเองย่อมต่างกัน นอกจากนั้นพลังของสี่เทพ
ปี ศาจก็ไม่ใช่ธรรมดา หากวัดด้วยระดับพลังเทวะแล้วทุกตนล้วนมีพลังเทียบเท่าเลราเจ
'บุคคลเหล่านี้ละเลยช่วงเวลาแห่งความท้าทายที่เกรโมรี่ได้เผชิญ'
ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ปี ศาจจะระดมพล อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ช่วยเกรโมรี่จากการคุกคามของเลราเจเลย
แม้แต่นิดเดียว พวกเขาแค่รวมตัวกันหลังจากมีข่าวเรื่องการดับสูญของเฮอเรสและเลราเจแล้วเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่
คิดว่าเกรโกรี่ย่อมไม่สามารถต้านทานได้ บางทีอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังเฝ้ าสังเกตกองกำลังฝ่ ายพันธมิตร และ
รอคอยเวลาที่เหมาะสม
'พอรู้สึกว่าลมกำลังเปลี่ยนทิศเทพปี ศาจก็รีบรวมกลุ่มกัน' พวกเขาระดมพลอย่างรวดเร็วภายในเวลา 10 วันเท่านั้น
หรือมองอีกแบบหนึ่งคือพวกเขาอาจไม่ได้เชื่อข่าวนี้อย่างสมบูรณ์
ยังไงก็ตามเกรโมรี่คาดเดาทุกอย่างไว้แล้ว เธอไม่ได้คาดหวังความช่วยเหลืออะไรจากพวกเขาตั้งแต่แรก
ตอนนี้พวกมันคิดว่าเกรโมรี่ต้องมีบางสิ่งที่ซ่อนไว้ บางสิ่งที่สามารถเอาชนะเลราเจกับเฮอเรสได้
อย่างไรก็ตามพวกมันก็ต้องตกใจเสียก่อน เมื่อเกรโมรี่พูดถึงโซโลมอน
มูรุมูรุ ปี ศาจร่างผอมผู้ที่สวมเดรชสีดำเป็นประกายพูดขึ้น
"โซโลมอน...มันปรากฏตัวที่โลกปี ศาจแห่งนี้จริงๆเหรอ?"
เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เกรโมรี่จะตอบ
"เขาเป็นผู้สังหารเฮอเรสกับเลราเจ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเขากับเดียโบลเป็นผู้สังหาร"
พวกมันย่อมมีหูมีตาที่จะรู้ว่าเดียโบลปรากฎตัวออกมาแล้ว และสังหารเฮอเรสด้วยเปลวเพลิง แต่พวกมันไม่รู้เลยว่า
โซโลมอนเองก็เกี่ยวข้องด้วย
"ถ้างั้นเกรโมรี่ ทำไมเจ้าถึงยังปลอดภัยดีอยู่?"
"ข้ากับเขาได้ทำข้อตกลงกัน"
"ข้อตกลง!"
"เจ้าทำข้อตกลงกับไอ้วายร้ายนั่น น่าผิดหวังจริง "
"มันต้องการให้เราดับสูญใช่ไหม?"
เทพปี ศาจทั้งสี่ประท้วง ถึงแม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่วางแผน แต่ความเกลียดชังที่พวกมันมีต่อโซโลมอนนั้นเกิด
ความคาดหมายของมูยอง
เกรโมรี่ตอบอย่างใจเย็น
"โซโลมอนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้โดยตรง เขาจึงควบคุมเดียโบลแทน บางทีพลังจากเลเมเกทัลได้สร้างข้อจำกัด
ให้แก่เขา"
ทุกคนเงียบและฟังเกรโมรี่อย่างตั้งใจ
ธุรกิจก็คือธุรกิจ และเรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว มันทำให้พวกเขาอารมณ์เสียมาก แต่พวกเขายังคงสงสัยเกี่ยวกับ
เรื่องจริง
"เป้ าหมายสูงสุดของเขาคือการกำจัดบาอัล เขาบอกว่าหากลงโทษผู้ที่ขโมยหนังสือเลเมเกทัลได้ เขาก็จะจากไป
ทันที"
"พูดง่ายๆคือ..."
"เขาจะโจมตีเฉพาะฝ่ ายพันธมิตรเท่านั้น"
ผู้ที่ติดตามบาอัลคือฝ่ ายพันธมิตร ส่วนผู้ติดตามเกรโมรี่คือฝ่ ายที่ต่อต้านบาอัล โดยปกติแล้วมีเหตุผลไม่มากนักที่จะ
คัดค้านการกำจัดบาอัล
มูรุมูรุถามอีกครั้ง
"ถ้างั้นเขาก็หวังให้เราเข้าร่วม หลังจากกำจัดเฮอเรสกับเลราเจไปแล้ว?"
"ถูกต้อง"
"แล้วหลังจากนั้นล่ะ? จากเรื่องราวก่อนหน้าข้าไม่คิดว่าเขาจะจากไปง่ายๆหรอกนะ "
เรื่องราวก่อนหน้า หมายถึงลบล้างมนุษยชาติออกจากผืนโลก
เกรโมรี่หลับตาลงระยะเวลาสั้นๆ
"เขามีเงื่อนไขว่าจะไม่ทำลายโลกปี ศาจ แต่ก็จะไม่เพิ่มจำนวนประชากรปี ศาจด้วยเช่นกัน"
"...."
ทุกคนนิ่งอึ้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่มูยองได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเขายังแทบไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องโกหก
'แม้ฉันจะไม่ได้เป็นคนเสนอ แต่แผนดังกล่าวก็กระตุ้นให้เกิดการต่อต้านฝ่ ายพันธมิตร'
ดูเหมือนเกรโมรี่จะมีแผนเหมือนมูยอง หากมูยองไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเธอยังจะพูดเหมือนเดิมหรือไม่?
ทั้งหมดที่มูยองทำคือ 'รวบรวมทุกเผ่าพันธุ์เข้าด้วยกัน' แน่นอนว่ามันซับซ้อนมาก เขาต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เขา
คิดว่าเกรโมรี่ต้องรู้อะไรมากกว่านี้แน่ และถ้าเขาถูกเกรโมรี่ทำให้ไขว้เขว เขาจะสูญเสียความเป็นผู้นำไป
ความฉลาดคือพลังของมูยอง ยังไงก็ตามตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออก
'ด้วยการดูดซับพลังจากเทพปี ศาจทำให้ความทรงจำของดันดาเลี่ยนสมบูรณ์ขึ้นทีละนิด '
เขารู้สึกว่าหากได้กำจัดเทพปี ศาจอีกสักตัวสองตัวแล้วดูดซับพลังของมันมาทุกอย่างก็จะสมบูรณ์
'พวกมันจะรับคำพูดของเกรโมรี่ได้หรือเปล่า'
จู่ๆมูยองก็สนใจทางเลือกของพวกมัน
มันคงน่าผิดหวังมากหากสิ่งที่เกรโมรี่พูดเป็นความจริงในสถานการณ์ปกติ
"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่แย่เท่าไหร่"
"หากข้อตกลงสามารถไว้วางใจได้ข้าก็ไม่ปฏิเสธ..."
ผลลัพธ์ตรงกันข้าม
มูยองงงอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะเป็นข้อตกลงที่แย่มากแต่พวกเขากลับยอมรับได้
ถึงจะมีศัตรูร่วมกันก็ตามแต่ความหวาดกลัวต่อโซโลมอนกลับละเหยหายไป หรือบางทีความทรงจำตอนยังเป็น
มนุษย์ที่มองปี ศาจเป็นศัตรูยังไม่ถูกลบทิ้ง
ไม่เหมือนฝ่ ายพันธมิตร หลักการของฝ่ ายปฏิปักษ์ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าตัวเองจะยังคงอยู่ในโลกปี ศาจหรือไม่
"มีตัวตนที่เขาไว้วางใจอยู่ที่นี่"
เกรโมรี่หันไปให้ความสนใจกับด้านๆหนึ่ง และที่ปลายทางด้านนั้นมีมูยองยืนอยู่
"เขาคือมูยอง ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา"
เทพปี ศาจทุกตนต่างจับจ้องไปที่มูยองทันที
นี่ไม่ได้อยู่ในแผนที่คุยกันไว้
เหอะๆ! มูยองสบถอยู่ภายในและในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจ
นี่คือการทดสอบของเกรโมรี่และโซ่ที่จะผูกมัดเขาไว้
'เกรโมรี่ไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของฉันคนเดียวสินะ'
บทที่ 256: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (4.1)
มูยองไม่ได้สูญเสียความเยือกเย็น เขาไม่เคยคิดไว้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนทั้งหมดอยู่แล้ว
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สิ่งเดียวที่มูองพยายามมองหาก็คือการควบคุมการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ
‘ทำให้ไม่สามารถหลบซ่อนตัวได้’
ความหมายของเกรโมรี่ชัดเจน แทนที่จะปล่อยเขาให้เป็นผู้บงการอย่างลับๆ เธอตั้งใจทำให้ตัวตนของเขากลายเป็น
จุดสนใจ
การบอกความหมายเป็นนัยๆให้พวกนั้นทราบว่ามูยองเป็นคนของโซโลมอน จริงๆแล้ววัตถุประสงค์ก็เพื่อปกป้ องมู
ยองเวลาเขาเผลอทำอะไรเกินขอบเขตอำนาจของตน
ในขณะเดียวกันก็ทำให้มูยองตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเธอ ศักยภาพของมูยองจึงจะถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่! และ
ถ้ามูยองล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว? สำหรับกรณีเช่นนี้เธออาจเตรียมคำตอบไว้แล้ว
ยังไงก็ตาม....เกรโมรี่ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะนั่นหมายถึงความสามารถในการปรับตัวของมูยองมีเพียงน้อย
นิด ความสามารถของมูยองคงไม่เพียงพอสำหรับการต่อต้านเทพปี ศาจ (EP: เขาจะไร้ประโยชน์กับเธอหากเขาไร้
ความสามารถ)
'ฉันจะตามน้ำไปก่อน'
มูยองก้าวไปข้างหน้า
สมาชิกของฝ่ ายปฏิปักษ์เทความสนใจไปที่มูยองทันที สายตาของพวกมันทั้งเต็มไปด้วยความสนใจและขุ่นเคือง
ราวกับนักล่าที่กำลังจ้องเหยื่อ และหากเหยื่อเผลอแสดงความอ่อนแอออกมาเมื่อใดพวกมันก็พร้อมที่จะเข้าไป
ตะครุบทันที
ในทางกลับกันจะเกิดอะไรขึ้นหากมูยองแสดงพลังที่เหนือกว่าจินตนาการของพวกมันออกมา?
มูยองเพิ่งเข้าใจว่าทำไมพวกมันจึงสามารถยอมรับข้อตกลงเกี่ยวกับโซโลมอนที่เกรโมรี่กล่าวเมื่อสักครู่ได้ ถึงแม้
พวกมันจะถูกเรียกว่าเทพปี ศาจ แต่ตัวตนดั้งเดิมของพวกมันก็เป็นเพียงมนุษย์ มันคงเป็นขีดจำกัดสำหรับเทพเจ้าที่
ถูกสร้างขึ้น
'อ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่ง และแข็งแกร่งเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่อ่อนแอ'
ฉะนั้นมีเพียงข้อสรุปเดียวเท่านั้น จงอย่าแสดงความอ่อนแอ
ถ้าเขาจะเล่นตามบทที่เกรโมรี่วางเอาไว้ก็ต้องทำมันให้ดี!
"ยินดีที่ได้เจอทุกคน ผมคือมูยอง"
ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง หรือบุคลิกล้วนเป็นลักษณะของผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่ง
เขาแสดงมันออกมาในลักษณะของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเหนือกว่ากำลังมองผู้อ่อนแอทำให้การตอบสนองของพวกเทพ
ปี ศาจยิ่งดูไม่เป็นมิตรมากขึ้น
"เพราะเป็นผู้ติดตามของโซโลมอนเลยทำให้เจ้ามีท่าทียโสโอหังงั้นหรือ? แล้วทำไมเจ้าถึงต้องการจับตามองพวก
เรา?"
มูรุมูรุถาม ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ร้อนสุดในหมู่เทพปี ศาจที่นี่แล้ว
มูยองยิ้มเยาะ
"ผู้ติดตามโซโลมอน? ฮ่าๆ ทำไมผมต้องเป็นผู้ติดตามโซโลมอนด้วยล่ะ?"
เขาเย้ยหยันเหล่าเทพปี ศาจที่หวาดกลัวต่อโซโลมอน และประสบความสำเร็จในการเรียกความสนใจ
ในความเป็นจริงโซโลมอนจะเป็นใครไม่สำคัญกับมูยอง หากโซโลมอนคือศัตรูในเงามืดเขาก็ต้องตัดหัวของ
โซโลมอนด้วย
"และ...ผมก็ไม่มีเหตุผลต้องให้ความสนใจพวกคุณเหมือนกัน ยังไงพวกเทพที่ถูกสร้างขึ้นไม่มีค่าพอให้พวกเรา
สนใจหรอก "
"เจ้าสารเลวนี่ เจ้าลืมไปแล้วรึว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน?"
ยกเว้นเกรโมรี่ เทพปี ศาจทุกตนล้วนแสดงออกถึงเจตนาฆ่า
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเทพที่ถูกสร้างขึ้น แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งและเป็นดั่งผู้ปกครองโลกใบนี้เป็นระยะเวลาแสน
ยาวนาน จะมีสิ่งใดภายในโลกปี ศาจนี้จะมีชีวิตรอดต่อหน้าเหล่าเทพปี ศาจทั้งสี่
ความเดือดดาลที่พวยพุ่งขึ้นเรื่อยๆทำให้พวกมันอยากฆ่ามูยองซะเดี๋ยวนี้
ยังไงก็ตามความเกรี้ยวกราดนั้นไม่มีผลอะไรกับมูยอง
มูยองเป็นดั่งชนวนการแบ่งแยกระหว่างพลังปี ศาจของลูซิเฟอร์ กับพลังเทวทูตของกาเบรียล ซึ่งอยู่ในร่างของเขา
และเมื่อมูยองปลดปล่อยพลังออกมาปี กของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำ และมือของเขาก็ปรากฏหอกกาเบรียล
"พลังนี่มัน!"
"พลังของเทวทูต"
เหล่าเทพปี ศาจยืนพรวดโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะนั่นเป็นพลังที่พวกมันรู้สึกถึงความเป็นปฏิปักษ์อย่างยิ่งยวด
เสมือนพิษร้ายของงูเห่าสัญชาตญาณของพวกมันกำลังส่งเสียงเตือน ร่างกายของพวกมันสั่งให้ยืนขึ้นเมื่อสัมผัสถึง
พลังของมูยองโดยอัตโนมัติ แต่พอนึกถึงการกระทำน่าอายของตนเองพวกมันก็นั่งลงทันที พร้อมกับใบหน้าที่เต็ม
ไปด้วยความขุ่นเคือง
ส่วนเกรโมรี่สายตาของเธอกำลังปรากฏความไม่คาดคิด
พลังที่ถูกใช้ตอนสู้กับเลราเจ เธอไม่คิดว่ามูยองจะแสดงมันออกมาต่อหน้าเทพปี ศาจอีกตอนนี้
จริงๆมูยองอาจถูกสังหารลงที่นี่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และมันคือการเดิมพันครั้งใหญ่
มูรุมูรุพูด
"ไม่ใช่เทพปลอมที่เมอรินสร้างขึ้น"
เทพปลอมที่เมอร์ลินสร้างขึ้น นั่นหมายถึงพลังที่นักบวชใช้ใช่หรือไม่?
มูยองไม่สนใจคำถาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถกเพียงกันเรื่องนี้
เขาพูดสบายๆราวกับจะบอกว่าความเคลือบแคลงใจของพวกมันไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวล
"ผมคือผู้ที่ไม่มีวันต้องมลทิน อัครเทวทูตกาเบรียล "
เขาต้องแสดงบทเป็นอัครเทวทูต และกลายเป็นตัวตนนั้นให้เร็วที่สุด เพราะในความเป็นจริงมันไม่ใช่การโกหกเสีย
ทั้งหมด เนื่องจากเขาเองได้รับพลังของกาเบรียลมาจริงๆ
มูรุมูรุตอบกลับอย่างรวดเร็ว
"อัครเทวทูต? กาเบรียล? ไม่มีทาง! โลกปี ศาจแห่งนี้ไม่มีเทวทูต! ยิ่งกว่านั้นสารเลวอย่างเจ้าเป็นแค่มนุษย์!"
"หากไม่มีเทวทูตที่นี่ ทำไมคุณถึงรู้จักเทวทูต? "
พวกเขาอ้างว่าไม่มีเทวทูตในโลกปี ศาจ
ยังไงก็ตาม ถ้าไม่มีความจริงเกี่ยวกับเทวทูต ทำไมพวกเขาถึงรู้จักเทวทูต?
มูยองนึกถึงเรื่องราวในความฝันและพูดต่อ
"ในที่ที่คุณเรียกว่าโลกปี ศาจมีเทวทูตอยู่ เธอคือทูตสวรรค์แห่งกาลเวลา แต่โชคร้ายที่เธอถูกบาอัลจับตัวไว้"
"...."
มูรุมูรุปิ ดปากเงียบ และเทพปี ศาจตนอื่นก็พลอยเงียบไปด้วย
บทที่ 257: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (4.2)
ความรู้คือพลัง แต่นั่นไม่อาจทำให้เอาชนะเทพปี ศาจได้หากมีไม่มากพอ
ยังไงก็ตาม มูยองมั่นใจในคุณภาพข้อมูลของตัวเอง และด้วยสิ่งนี้มูยองก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้อย่างชัดเจน
สายตาของเหล่าเทพปี ศาจที่จับจ้องมูยองอยู่เริ่มเปลี่ยน มูยองกำลังสร้างความขัดแย้งในใจให้แก่พวกมัน
"ถ้าจะบอกว่าผมเป็นผู้ติดตามของโซโลมอน และอยู่ที่นี่เพื่อจับตามองเทพปี ศาจ พวกคุณก็คิดผิดแล้ว เพราะพวกเรา
เฝ้ ามองโซโลมอนอยู่ต่างหาก และหน้าที่ของเราคือเฝ้ าดูและควบคุมการเปลี่ยนแปลงแย่ๆที่ไม่คาดคิด ผมต้องซ่อน
ตัวอยู่ในร่างของมนุษย์คนนี้เพราะมันสามารถรองรับได้ทั้งพลังของเทพปี ศาจและเทวทูต"
แทนที่จะเป็นเทพที่ถูกสร้างขึ้น แต่กลับเป็นผู้เฝ้ ามองเหล่าทวยเทพอีกที คำพูดของมูยองไม่ต่างกับการรุกฆาต พวก
มันย่อมไม่สามารถหยั่งรู้ความจริงได้ และในคำพูดของเขาก็ยังเต็มไปด้วยปริศนามากมาย
"เจ้าพูดคำว่า เรา งั้นรึ?"
มูรุมูรุถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ตามคำกล่าวอ้างของมูยอง ถ้าเขาเป็นอัครเทวทูตกาเบรียลจริงๆจะต้องมีเทวทูตตนอื่นๆอยู่ด้วย
เทวทูตแห่งกาลเวลาที่บาอัลจับตัวไว้... 'อาร์สพอลลิน่า' ก็มีพลังของอัครเทวทูตเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดแม้จะมีอำนาจ
พลังเพียงใดอาร์สพอลลิน่าก็ถูกสังหารในตอนท้าย
หากเหล่าอัครเทวทูตลงมาที่โลกปี ศาจจริงๆย่อมถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับเหล่าเทพปี ศาจ และหากเป็นจริง
แน่นอนว่าบาอัลย่อมไม่เปิ ดเผยสถานการณ์ดังกล่าวให้ใครทราบ
พวกเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าแม้แต่ดวงตาของเกรโมรี่ก็ยังสั่นเทา เธอเองดูเหมือนจะสับสนไปด้วย เพราะมูยองมี
ข้อมูลมากเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจะมีได้
การนำความจริงผสมกับการโกหกเป็นวิธีโกหกที่ฉลาดที่สุด และการที่มูยองเก่งเรื่องนี้ก็เป็นเพราะทักษะของดันดา
เลี่ยนที่เขาดูดซับมา
"เป็นอย่างที่คุณคาดเดา และที่ผมสามารถเปิ ดเผยตัวเองได้ เพราะมีพลังที่จะไม่มีวันตกสู่ความเสื่อมเสีย"
"การกลายเป็นราชาปี ศาจของเกรโมรี่ก็เพื่อจะเฝ้ าดูโซโลมอนงั้นหรือ?"
มูรุมูรุพูดด้วยสายตาเปล่งประกาย
ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทาเป็นตำแหน่งที่ต้องนำทัพนับแสน ถ้าเขาเป็นอัครเทวทูตจริงๆ และมีเป้ าหมายคือ 'การเฝ้ า
ระวัง' ถ้างั้นการปรากฏตัวของเขาก็เอิกเกริกเกินไป
ยังไงก็ตาม สถานการณ์หันกลับไปหามูยองแล้ว ลมกำลังพัดไปยังทิศทางที่มูยองอยู่
"เพราะโซโลมอนกับเกรโมรี่ทำพันธะสัญญากันไว้การมาของผมจึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนั้นโซโลมอนยัง
ต้องการกำจัดบาอัล และเรายังต้องการให้สงครามนี้จบลงโดยเร็ว"
เพื่อให้สงครามนี้จบลงอย่างรวดเร็ว?
โครม!
โต๊ะที่มูรุมูรุจับไว้เน่าเปื่ อยและสลายกลายเป็นฝุ่ น
เขาเริ่มประสาทเสีย ทุกคนกำลังมีปัญหากับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ มันเหมือนกับว่าพวก
เขากำลังถูกพายุเฮอริเคนพัดปลิวไป
มูรุมูรุพูดอย่างลำบาก
"ที่นี่...ไม่ใช่โลกตามความหมายที่แท้จริง เทวทูตแห่งกาลเวลามาที่นี่ได้เพราะสถานการณ์พิเศษเท่านั้น แล้วเทวทูต
ตนอื่นจะเข้าสู่โลกของโซโลมอนได้อย่างไร?"
"ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว"
มูยองไม่พูดเยอะ
การเปลี่ยนแปลงนั่นอาจเป็นการปรากฏตัวของเดียโบล หรือไม่ก็การเดินทางย้อนอดีตของมูยอง ยังไงก็ตามคำตอบ
สั้นๆนี้ทำให้มีการอนุมานมากมาย
นี่ก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจจากความคิดของพวกเขาเอง แต่มูยองก็กำลังรับเอาข้อมูลเพิ่มเติมจากมูรุมูรุ เพื่อหาข้อสรุป
เช่นเดียวกัน
'โลกของโซโลมอน...'
โซโลมอนโจมตีโลก เขากวาดล้างมนุษยชาติ
ณ จุดสิ้นสุด ประตูจะกลายเป็นหลุมดำขนาดยักษ์ และดูดกลืนมนุษยชาติที่ยังเหลืออยู่
ดันดาเลี่ยนได้เจอกับบาอัลในตอนจบ ยังไงก็ตามมีเพียง 71 คนเท่านั้นที่ได้รับสิทธิพิเศษ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนที่
เหลือ?
'อารามสีคราม คนส่วนใหญ่ลืมตาขึ้นที่นั่น'
เมอร์ลินเป็นคนดูแลอารามสีคราม ในแง่เดียวกันเป็นไปได้ที่เมอร์ลินพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับ
โซโลมอน
ถ้างั้นโลกปี ศาจแห่งนี้ก็อาจเป็นของโซโลมอนใช่ไหม?
"โอ้เถ้าสีเทา พูดตรงๆก็คือเทวทูตอยู่ข้างเดียวกับฝ่ ายปฏิปักษ์ และโซโลมอนก็ต้องการกำจัดบาอัล"
"ทางเราไม่ต้องการให้มีการสังหารหมู่เกิดขึ้น และการที่บาอัลจับตัวเทวทูตแห่งกาลเวลาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
สำหรับเรา ตราบเท่าที่โซโลมอนไม่ทำอะไรเกินเลย เราก็ต้องการให้สงครามนี้จบลงโดยเร็ว"
จากการทำความเข้าใจต่อพลังที่มูยองครอบครองอยู่ พลังเทวะของกาเบรียลคือของจริง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ
เทวทูตแห่งกาลเวลาอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่พวกเขาจะเกิดความสับสน
มูยองหันไปสนใจเกรโมรี่
"ผมจะกลับเข้าเรื่องหลักอีกครั้ง เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต "
แม้เกรโมรี่จะยังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ แต่ในสายตาของมูยองเธอไม่อาจปิ ดบังอาการกระวนกระวายใจได้
นอกจากนี้เกรโมรี่ยังสับสนเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของมูยอง และเพราะแบบนี้มูยองจึงรับประกันได้เลยว่าทุกอย่าง
สมบูรณ์แบบ
ไม่มีเทพปี ศาจตนไหนที่นี่สามารถขับไล่และจำกัดการกระทำของมูยองได้
และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ...
'ตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งหลาย'
ตะวันออก, ตะวันตก, ใต้และเหนือ พวกเขาเป็นตัวตนซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งในแต่ละทิศทั้งสี่ ตัวตนที่แม้แต่เทพปี ศาจก็
ยังไม่กล้าที่จะรุกราน
มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด หากมูยองสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้
ปัญหาคือเวลา
โชคดีที่เขาสามารถซื้อเวลาด้วยโอกาสนี้
ในบรรดาเทพปี ศาจที่นี่มีคนทำตัวเป็นนกสองหัวอยู่แน่นอน บางทีอาจเป็นไปได้ทั้งสี่ตนยกเว้นเกรโมรี่
พวกมันจะต้องนำข่าวลือนี้ไปบอกฝ่ ายพันธมิตร และแจ้งให้พวกนั้นรู้เกี่ยวกับตัวตนของเทวทูต ถ้าหากเป็นเช่นนั้น
จริงๆกระทั่งบาอัลก็ไม่สามารถระดมพลได้ในทันที
ในเวลาเดียวกัน เบซองมินก็ต้องลงมืออย่างรวดเร็ว และมูยองไม่สงสัยเลยว่าเบซองมินจะต้องสามารถทำงานที่ได้
รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็วที่สุด
ถ้าทำให้ตัวตนเหนือธรรมชาติมาเข้าฝั่งตัวเองได้ มูยองก็จะผงาดเป็นคนสุดท้าย และสามารถจัดการฝ่ ายพันธมิตรได้
โดยง่าย
'การเปลี่ยนแปลงในอนาคต'
เขาจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดทั้งหมดที่เขาเคยทำด้วยมือของเขาเอง
ตาของมูยองส่องประกายเจิดจ้า
บทที่ 258: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (5.1)
มีเผ่าศักดิ์สิทธิ์ในโลกปี ศาจหรือไม่?
แน่นอนว่าพวกมันรู้กันในเผ่ายูนิคอร์น
ม้าสีขาวบินได้
เนื่องจากเขาของยูนิคอร์นที่ใช้เป็นส่วนผสมนั้นแพงมาก และยังเป็นวัตถุดิบสำหรับทำอาวุธ จึงมีหลายคนพยายาม
เสาะแสวงหามันอย่างบ้าคลั่ง
ยังไงก็ตามการจะหาพวกมันพบนั้นไม่ต่างจากการหาเข็มในกองหญ้าแห้ง ไม่ใช่เพราะแค่มีจำนวนกำจัดเท่านั้น แต่
พวกมันยังมีความสามารถในการซ่อนตัวหรือลบตัวตนได้
นอกจากนั้นยังเล่ากันว่ามันเคลื่อนที่รวดเร็วมากจนมองตามไม่ทัน มีคำกล่าวว่า'หากคุณสามารถจับยูนิคอร์นได้สัก
ตัวหนึ่งแล้ว การเดินทางภายในโลกปี ศาจก็คงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร
ยังไงก็ตามมีความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ นั่นคือเมื่อพวกมันรวมกลุ่มกันยูนิคอร์นสามารถสร้างช่องว่างของพื้นที่
ขึ้นได้และอาศัยกันอยู่ภายในพื้นที่พิเศษนั้น ยูนิคอร์นส่วนใหญ่ที่รวมกลุ่มกันเป็นเพศเมีย เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์พวก
มันถึงจะออกไปจากพื้นที่ดังกล่าวเพื่อค้นหาตัวผู้
ฮี้!!!!
ดั่งดินแดนในฝัน ขาสองคู่ย่ำเบาๆบนเนินเขาเขียวขจี สายรุ้งปรากฏขึ้นเหนือระหว่างภูเขาทั้งสอง มีธารน้ำไหลกว้าง
ใหญ่ตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าเปิ ด
ที่นี่คือที่อยู่อาศัยของยูนิคอร์น แต่ท่ามกลางเหล่าม้าสีขาวกลับมีม้าสีดำตัวหนึ่งที่ดูน่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ ถึงมันจะมี
เขาและปี กเหมือนกัน แต่มันก็แตกต่างจากยูนิคอร์นตัวอื่นๆ พลังเวทที่รู้สึกได้จากมันพิสูจน์ได้เลยว่ามันเป็นมอนส
เตอร์ที่อยู่ในอันดับสูงสุด
มันคือ อาชานรก!
ม้าที่คิงสเลเยอร์โปรดปรานและเคยมอบมันเป็นของขวัญให้แก่มูยอง ยังไงก็ตามหลังจากได้เจอกับยูนิคอร์นมันก็จา
กมูยองไป และมาอาศัยอยู่กับกลุ่มยูนิคอร์นอย่างมีความสุข
ฮี้!!
ฮี้!!!!
ยูนิคอร์นรวมตัวกันอยู่รอบๆอาชานรกราวกับกำลังหว่านเสน่ห์
ณ ที่แห่งนี้อาชานรกคือราชา
ยูนิคอร์นนับร้อยที่นี่เป็นเพศเมีย และทุกตัวต่างหลงใหลคอยติดตามอาชานรก แน่นอนว่ามันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ
ยังไงก็ตามจำนวนลูกของอาชานรกตอนนี้มีสิบกว่าตัวแล้ว
ส่วนใหญ่ลูกๆของอาชานรกล้วนมีสีดำเขาสีขาว และด้วยพลังจากอาชานรกพวกมันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้ได้รับเมล็ดพันธุ์จากอาชานรก ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือการหว่านเสน่ห์ ยูนิคอร์นทั้งหลายต่างพยายามอย่าง
หนักในการเอาใจอาชานรก
ฮี้!!!!!!!
อาชานรกวิ่งห้อตะบึงอย่างองอาจ ในขณะที่ยูนิคอร์นต่างหลีกทางให้ มันไปหยุดอยู่ที่หินก้อนใหญ่ที่ที่มีสมุนไพร
หายากมากมายงอกเงยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแมนดาโกราพันปี หญ้าสายรุ้งที่อาบแสงจันทร์เป็นระยะเวลายาวนาน ราชันย์
ดอกไม้ที่เป็นที่รู้จักกันว่าสามารถเติบโตขึ้นจากการดูดซับพลังชีวิตของผืนป่ า และอื่นๆ
ยูนิคอร์นยังเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับการค้นหาสมุนไพรที่มีค่าเพื่อเสนอให้คู่ครองที่คาดหวัง
สมุนไพรในตำนานเหล่านี้สามารถเพิ่มพลังเวทได้เพียงแค่กินมัน ขณะที่อาชานรกกินสมุนไพรเหล่านั้นทุกวัน
แน่นอนว่ามันก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวันๆ กระทั่งสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายของมันก็ยังดูกระชุ่มกระชวยตลอดเวลา
…?
อาชานรกเอียงศีรษะขณะเคี้ยวแมนดาโกร่าในปาก เพราะมันรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังเลื้อยอยู่ในดงสมุนไพรเหล่านั้น
"นายจะกินเยอะแบบนี้ไม่ได้นะ...วูฮีฮี"
กระทั่งสิ่งนั้นพูด และในไม่ช้าอาชานรกก็ตระหนักได้ว่ามันคืออะไร
ภูติที่มีร่างกายเกือบจะโปร่งใส
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูขี้เล่นนั้น อาชานรกก็คิดได้เพียงสิ่งเดียว
วูฮี!
ทำไมภูติที่ควรติดตามมูยองถึงมาอยู่ในพื้นที่ของยูนิคอร์น
ครืด ครืด
อาชานรกแตะหัววูฮีด้วยครางของมัน
"ฮืม ให้หนูนอนต่ออีกสัก 5 นาทีนะคะแม่..."
ครืด ครืด
"คนสวยต้องนอนเยอะๆ วูฮีต้องนอนมากกว่านี้นะค่า.."
ครืด ครืด
"อะไรนักหนาเนี้ย"
เมื่อถูกขัดจังหวะ วูฮีก็ลืมตาตื่นขึ้น และทันใดนั้นใบหน้าของอาชานรกก็ปรากฏเต็มสายตาของวูฮี
"กรี๊ด! อะไรกันเนี้ย? เจ้า เจ้าม้าดำ!"
ชื่ออาชานรกไม่ได้อยู่ในใจของเธออยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงเรียกมันเพียงว่าม้าดำ ยังไงก็ตามความทรงจำของเธอก็
กระจ่างชัด
ฮี้!!!!!
แผงคอยืดออก อาชานรกยกหัวของมันขึ้นสูง ราวกับบอกว่าจะมีม้าตัวไหนองอาจเช่นนี้ได้อีกนอกจากมัน
"ถ้างั้นก็แปลว่าที่รักของวูฮีอยู่ที่นี่ด้วยนะสิ? วูฮีอยากเจอที่รัก"
อาชานรกสะบัดหัว
ที่นี่เป็นโลกและพื้นที่สำหรับยูนิคอร์นเท่านั้น มูยองไม่ได้อยู่ที่นี่
อีกความหมายหนึ่ง อาชานรกอยากรู้ว่าวูฮีเข้ามาในพื้นที่นี้ได้อย่างไร
"ฉันมาที่นี่ได้ยังไงเหรอ? นั่นมัน..."
วูฮีก้มศีรษะลงและเริ่มร้องไห้
"'งือ ฉันถูกไวเวิร์นไล่ล่า วูฮีตามกลิ่นของที่รักมา จากนั้น จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำแปลกๆ "
วูฮีสูดจมูกพลางเล่า
เธอเข้าในสถานที่แห่งนี้จากการตามกลิ่นของมูยอง
กระทั่งสุนัขยังไม่มีประสาทรับกลิ่นที่ดีขนาดนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยม
วูฮีสั่งน้ำมูกไปที่ราชันย์ดอกไม้ ตอนนี้ดอกไม้ที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตของผืนป่ าถูกเคลือบไปด้วยน้ำมูกของวูฮี
"จริงเหรอ ที่รักของฉันไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆเหรอ?"
อาชานรกผงกหัว
"ทำไมเขาถึงไม่ได้อยู่ที่นี่ล่ะเจ้าม้าดำ แกเป็นม้าของเขานี่นา"
ฮี้!!!!!!
อาชานรกชูคอขึ้นราวกับจะบอกเรื่องราว
การถูกเรียกว่าม้าของมูยองดูไม่ยุติธรรมกับมันเลย
มันเป็นราชาของที่นี่
ทำไมราชาอย่างมันจะต้องอยู่ใต้การปกครองของคนอื่นด้วย!
บทที่ 259: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (5.2)
"ถ้างั้นนายรู้ใช่ไหมว่าที่รักของฉันอยู่ไหนเจ้าม้าดำ? วูฮีอยากเจอที่รักจะตายอยู่แล้ว"
อาชานรกสะบัดหัวอีกครั้ง
จริงๆมันสามารถหาตำแหน่งของมูยองได้ แต่ในการทำเช่นนั้นมันจำเป็นต้องไปจากพื้นที่พิเศษแห่งนี้
วูฮีรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง
"ฉันต้องไปหาที่รักให้ได้...ถ้าไม่งั้นที่รักอาจตกอยู่ในอันตราย..."
ฮี้?
พอได้ยินแบบนั้นอาชานรกก็เริ่มเกิดความสนใจขึ้น เพราะไม่ว่าด้วยเหตุผลใดคิงสเลเยอร์ก็สั่งให้มันคอยช่วยเหลือมู
ยองอย่างเต็มที่ ยังไงก็ตามงแม้จะปราศจากการช่วยเหลือจากมัน สัตว์ประหลาดอย่างมูยองก็คงไม่เป็นอะไร เพราะ
เขาแข็งแกร่งขึ้นทุกวันจนสามารถกระทั่งไล่จับเทพปี ศาจได้
สำหรับวูฮีที่ยังคงเป็นกังวลยืนขึ้นด้วยท่าทางห่อเหี่ยว
"แม่ของวูฮีบอกว่าเดียโบลเป็นเทพปี ศาจที่อันตรายมาก อ่า..แม่ของวูฮีเป็นราชินีภูตินี่นา? ถ้างั้นเธอน่าจะรู้หลาย
เรื่องที่วูฮีไม่รู้"
อาชานรกอดทนฟังอย่างใจเย็น และจากท่าทางของมันก็เดาได้ว่ามันต้องการให้วูฮีพูดต่อไป
"นายรู้อะไรไหม? มันแปลกที่เดียโบลถูกอัญเชิญออกมา เดียโบลเป็นเทพที่ไม่ควรมีตัวตนอยู่ในโลกนี้ตั้งแต่แรก?
ถ้าไม่รีบกำจัดมันให้เร็วที่สุด จุดจบของโลกก็คงต้องมาถึง"
จุดจบของโลก
คำเหล่านั้นหมายถึงการล่มสลายของโลก
อาชานรกทำจมูกฟื ดฟาด เพราะนั่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมันมากนัก ไม่ว่าโลกโลกปี ศาจจะถูกทำลายหรือไม่ มันแค่
ต้องการอาศัยอยู่กับเหล่ายูนิคอร์นอย่างสงบเท่านั้น
"ถ้าไม่มีวูฮีกับคนที่อัญเชิญเดียโบลมา ที่รักคงเอาชนะเขาไม่ได้ แต่พ่อของวูฮีพูดต่างออกไป เขาบอกว่า ปัญหา
สำคัญคือจ้าวแห่งความมืด เหตุผลที่เดียโบลสามารถฟื้ นฟูตัวเองได้ก็เพราะมันกินจ้าวแห่งความมืดหรือไม่ก็บาง
อย่างเข้าไป? "
จ้าวแห่งความมืด!คิงสเลเยอร์เจ้านายที่แท้จริงของอาชานรกคือหนึ่งในนั้น
เลเยอร์เป็นจะกลายเป็นเหยื่อของเดียโบลหรือไม่?
ยังไงก็ตามคิงสเลเยอร์แข็งแกร่งที่แม้แต่เทพที่แท้จริงก็งไม่สามารถยั่วยุได้ อาชานรกรู้เรื่องนั้นดี
"ถ้างั้น อืม หรือมีใครบางคนพาจ้าวแห่งความมืดไปสังเวยให้มัน? ถ้าความมืดพังทลายลงจากการที่จ้าวแห่งความมืด
ถูกเดียโบลกิน...ทุกมิติก็จะเกิดความปั่นปวน? ถึงวูฮีจะยังไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็มองออกว่าสิ่งนั่นจะนำโลกไปสู่
ความหายนะ!"
จ้าวแห่งความมืดคือสถานะสุดท้ายสำหรับผู้ซึ่งไม่อาจเป็นเทพเจ้าได้ โซโลมอนเก็บสิ่งมีชีวิตหลายอย่าง แม้กระทั่ง
คิงสเลเยอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตัวของอาชานรกแข็งทื่อเกือบนาที มันคิดว่ามูยองอาจช่วยบางอย่างได้ ตอนนี้อาชานรกกังวลเรื่องคิงสเลเยอร์มากก
ว่ามูยองเสียอีก
"'งั้นวูฮีจะไปตามหาที่รัก วูฮีจะทำอะไรสักอย่าง ลาก่อนนะเจ้าม้าดำ"
วูฮีไม่ขอความช่วยเหลืออีกต่อไป และต้องการทำมันด้วยตนเอง
ฮี้!!!!!!
อาชานรกก้าวไปตรงหน้าทางเดินของวูฮี
"แกให้ฉันขึ้นขี่ได้ยังงั้นเหรอเจ้าม้าดำ?"
ฮี้!!!!
อาชานรกส่งเสียงฟื ดฟาดออกมทางจมูก จากนั้นก็ขยับเข้าไปหาก่อนที่วูฮีจะขึ้นไปบนหลังของ
"ขอบใจแกมากเจ้าม้าดำ"
วูฮีอยู่บนหลังของอาชานรก
ฮี้!!!!!
ฮี้!!!!!!!!!!!!!!!!
ในขณะที่พวกเขากำลังจะออกไปจากพื้นที่พิเศษ ยูนิคอร์นนับร้อยก็วิ่งตามออกมา แม้แต่ลูกม้าก็ยังขอร้องที่จะ
ติดตามเขาไป
หลังจากหยุดคิดอยู่พักหนึ่ง อาชานรกก็ตัดสินใจที่จะพายูนิคอร์นส่วนใหญ่ติดตามออกไปด้วย โดยเหลือไว้ปกป้ อง
เด็กๆไว้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ฝันที่มีความสุขของอาชานรกได้จบลงแล้ว
...........................
ผืนโลกสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งจนเกิดเป็นรอยแยกขนาดมหึมา
สรวงสวรรค์ดังกึกก้องราวกับมีสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นกำลังห้ำหั่นกัน
คลื่นยักษ์ขนาดใหญ่โตเท่าภูเขากวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางอยู่เบื้องหน้า
เหล่าเวทย์ต้องห้ามต่างถูกปลดปล่อย
มอนสเตอร์รอบๆปราสาทสิ้นชีพทันที ตัวที่ยังรอดต่างกรีดร้องในขณะวิ่งหนี แม้แต่เทพปี ศาจก็ยัต้องหวาดกลัว ชาย
คนหนึ่งสวมผ้าคลุมเก่าๆปรากฏตัวขึ้นบนยอดสูงสุดของกำแพงปราสาท
"ข้าคือเมอร์ลิน ผู้นำทางและปกป้ องของพวกเจ้า"
ทุกๆคนในเมืองใหญ่ต่างมองไปที่ชายดังกล่าวเป็นสายตาเดียว
"นั่น! นั่นเมอร์ลิน"
"พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เมอร์ลิน"
ทุกคนคุกเข่าลงด้วยความเกรงกลัว
และออสการ์ ชายผู้ที่กำลังปลอมตัวเป็นเมอร์ลินก็กลืนน้ำลายลงด้วยความประหม่า
'ฉันมั่นใจว่าส่วนที่เหลือเบซองมินจะต้องจัดการให้แน่นอน'
บทที่ 260: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (5.3)
สถานการณ์ที่เบซองมินสร้างขึ้นนั้นออกมาดูดีมาก
มูราลันกำลังอยู่ในช่วงกลางของการเฉลิมฉลองที่บนท้องถนนเต็มไปด้วยกิจกรรมต่างๆ
อุปกรณ์เวทมนตร์ และอาวุธที่เต็มไปด้วยพลังอภินิหาร ข้าวของระดับระดับตำนานต่างๆถูกนำออกมาแสดงให้ทุก
คนได้เห็นอย่างตื่นตาตื่นใจ
เหล่านักบวชใช้พลังเทวะเพื่อสร้างดอกไม้ไฟแห่งการเฉลิม เป็นนกฮูกสีขาวบินอยู่เต็มท้องฟ้ า
เหตุการณ์นี้นับเป็นประวัติศาสตร์ของมูราลัน เพราะไม่เคยมีผู้ปกครองคนไหนจัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ขนาดนี้มา
ก่อน จึงทำให้ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความปิ ติยินดี พวกเขาสนุกกันจนลืมความกังวลทั้งหมดไป
"อร่อยมาก แอ๊ปเปิ้ ลมันหวานขนาดนี้ได้ยังไงกัน?"
เบซูจียิ้มอย่างมีความสุขหลังจากกัดลูกแอ๊ปเปิ้ ลลงไปคำหนึ่ง
ควอนวังที่ยืนอยู่ข้างๆเธอถอนหายใจหลายครั้ง
"เธอควรเอาเวลาไปฝึกมากกว่านะ..."
"นี่มันงานเลี้ยงฉลองนะ ถ้าไม่สนุกตอนนี้จะไปสนุกตอนไหนล่ะ"
"เธอไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้..."
"เฮ้! เจ้าตัวตลกทำลูกโป่ งให้ฉันลูกหนึ่งสิ!"
เบซูจีวิ่งตามตัวตลกไปเหมือนเด็กน้อยที่กำลังสนุก
ถูกต้องความจริงเธอเป็นเด็ก แต่สำหรับควอนวังผู้ที่ต้องการสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอมันดูค่อนข้างเสียเวลา
'เยี่ยม ความเร็วของแซงหน้าฉันไปแล้ว'
ความเร็วของเบซูจีมีมากกว่าใครคนหนึ่งจะจินตนาการออก ควอนวังไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนเป็นเช่นนี้
เลเวลของเธอแซงควอนวังสิบผู้แข็งแกร่งในเหล่ามนุษย์ชาติไปแล้ว และเหตุผลที่เธอแข็งแกร่งขึ้นขนาดนั้นก็เป็น
เพราะทักษะพิเศษอย่าง 'สายเลือดแห่งแสง'นั่นเอง
ทักษะสายเลือดแห่งแสงทำให้เธอสามารถเรียนรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
'เธอยังไม่สูญเสียจิตวิญญาณไป'
ตั้งแต่เบซูจีเจอมูยองกับเบซองมินเธอก็ดูหดหู่ใจไปเลย นอกจากนั้นเธอยังโกรธควอนวังอีกด้วยที่ลักพาตัวเธอมา
โดยไม่ถามความสมัครใจ
ด้วยเหตุนี้เธอจึงเอาแต่ฝึกฝนราวกับว่าไม่มีทางเลือก ดังนั้นการได้เห็นเธอมีความสุขอีกครั้งจึงเป็นเรื่องที่ดี
"มันน่าจะเริ่มช้ากว่านี้นะ"
หลังจากเวลาผ่านไป ควานวังก็ออกไปที่จัตุรัสอันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
ทุกคนต่างอยากได้ยินเสียงของพระสันตะปาปาชัดๆจึงออกมากันเต็มลานกว้าง
แน่นอนว่าคำพูดที่พระสันตะปาปาถ่ายทอดออกมานั้นเปรียบเสมือนออกมาจากปากของผู้นำร่องแห่งเทพเจ้า
'มูราลันถูกยึดครองโดยผู้นำร่องแห่งเทพเจ้า เบื้องหลังการเฉลิมฉลองเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะเธอ'
ควอนวังมีประสบการณ์ยาวนาน เขาไม่คิดว่าการจัดงานฉลองจะเป็นการวางแผนชั่วข้ามคืน ต้องมีบางอย่างอยู่เบื้อง
หลังการเฉลิมฉลองนี้
แท๊น แท๊น แท๊น
แตรถูกบรรเลง
"พระสันตะปาปา!"
"พระสันตะปาปาทรงพระเจริญ"
ทุกๆคนต่างโบกมือต้อนรับการมาของพระสันตะปาปา
และที่นั่นก็มีไฮซินท์ผู้นำร่องของเทพเจ้าอยู่ด้วยเช่นเคย
ไฮซินท์ คือผู้นำร่องของเทพเจ้า
แม้ว่าร่างกายของเธอจะไม่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป แต่เสน่ห์อันเย้ายวนซึ่งไม่อาจมองเห็นได้กำลังแผ่กระจายออกมา
จากเธอ ไม่มีอะไรต้องพูดเพิ่มเติมอีกในเมื่อเธอเป็นคนเชิดพระสันตะปาปาอยู่
'ฮืม แค่มองจากตรงนี้ก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงขนาดนี้เลย!'
คอนวังหันศีรษะไปทางอื่นอย่างไม่เต็มใจนัก มันเป็นเพราะว่าเขาสามารถเพ่งไปที่พระสันตะปาปาเท่านั้น
"ว้าว ผู้หญิงคนนั้นน่ารักจัง เหมือนตุ๊กตาเลย แต่หน้าเธอดูคุ้นๆแฮะ... "
เบซูจีวิ่งออกไปขณะที่ถืออมยิ้มที่ใหญ่พอๆกับศีรษะของตัวเอง
เบซูจีไม่รู้สึกใดๆถึงพลังของมนต์เสน่ห์
สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในรูปแบบของ 'พลังงานชั่วร้าย' ไม่สามารถทำอะไรเบซูจีได้ง่ายๆ และในกรณีนี้ก็เหมือนกัน
"ประชาชนที่รักแห่งเมืองศักดิ์สิทธิ์ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสนุกกับงานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นในวันนี้ "
พระสันตะปาปากล่าว
จากนั้นคำพูดอย่างเป็นทางการต่างๆก็เริ่มขึ้น
"เฮ้อ"
เบซูจีหาวขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว แต่เธอก็รีบปิ ดปากตัวเองหลังจากเห็นสายตาของผู้คนรอบๆที่มองมา
"อาจารย์ พระสันตะปาปานี้เป็นคนพูดเก่งแบบนี้ตลอดเหรอ?"
เธอกระซิบถามควอนวัง
ควอนวังส่ายหัว
พระสันตะปาปาไม่ใช่คนที่พูดอะไรเยอะ เขาจะพูดแค่สิ่งที่ต้องพูดเท่านั้น ยังไงก็ตามวันนี้พระสันตะปาปาพูดเยอะ
เป็นพิเศษ
".....ไม่นานมานี้ มีราชาปี ศาจสองตนบุกรุกเกรทซิตี้ และเมอร์ลินก็ช่วยหยุดยั้งพวกมัน"
เมอร์ลิน
เรื่องราวนี้แพร่กระจายไปทั่วจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ แล้ว
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เมอร์ลิน ผู้คนขนานนามเขาว่าเป็น 'ผู้พิทักษ์แห่งอารามสีคราม'
ผู้พิทักษ์ได้ออกมาสู่โลกภายนอกเป็นการส่วนตัว
จากอ้างอิงถึงเขา พระสันตะปาปาต้องการกำหนดบางอย่างสำหรับอนาคต
แม้ว่าคำพูดของเขาจะยืดยาว แต่มีเพียงข้อสรุปเดียว
"เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งใหม่ของเราจะทำตามความประสงค์ของเมอร์ลินสำหรับการโค่นล้มเหล่าเทพปี ศาจ เพื่อชีวิต
ของประชาชนทุกคนที่นี่และมนุษยชาติ"
"หา!"
"มันคือสงคราม!!"
หน้าผากของควอนวังปรากฏรอยยับย่น
ทำไมจู่ๆสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ถึงเกิดขึ้น
ยังไงก็ตามผู้คนไม่มีข้อสงสัยเหมือนกับว่าพวกเขาจะทำตามที่แนะนำทุกอย่าง ราวกับกำลังโดนเวทย์แบบกลุ่ม
"ไปกันเถอะ พวกเราควรออกไปจากมูราลัน"
มันไม่ใช่ลางดี
ควอนวังกล่าว แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
“…?”
พอรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาก็หันไปมองรอบๆแต่เบซูจีไม่ได้อยู่แถวนั้นแล้ว
'ยัยเด็กดื้อนี่หายไปไหนซะแล้ว?'
[KotB] บทที่ 261: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (5.4)
มีคนมองฉันอยู่
จู่ๆเบซูจีก็มีความคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเธอหันไปมองรอบๆก็ไม่พบใครที่น่าสงสัย
'เกิดอะไรขึ้น?'
ประสาทการรับรู้ของเบซูจีอยู่ในระดับที่แตกต่างจากคนทั่วไปตั้งแต่เด็กๆที่แม้แต่มูยองยังต้องยอมรับ และมันก็ช่วย
ชีวิตเธอมาแล้วหลายหน
เมื่อเธอได้รับพลัง 'สายเลือดแห่งแสง'จากห้องสมุดลอยฟ้ า พลังของเธอก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
ตอนที่เธอหยิบยืมพลังมาจากมูยองในอดีต เธอรู้สึกราวกับตัวเองกลายเป็นเพทเจ้า และความรู้สึกนั่นยังคงติดตรึงอยู่
ในความทรงจำของเบซูจี พลังที่เธอสัมผัสได้อยู่ในระดับสูงสุดซึ่งเธอเชื่อมั่นในประสาทสัมผัสของตัวเองมาก
'ใครกันนะ?'
เธออยากรู้มากว่าใครกำลังแอบมองเธออยู่ในสถานการณ์แบบนี้
เหนื่อสิ่งอื่นใดเธอไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูจากคนผู้นั้น
มันกลับเหมือนเป็นความเสน่หา
อืม ความเสน่หา
'ไปตามหาคนๆนั้นดีกว่า'
ความรู้สึกของเธอบอกว่าต้องไม่ปล่อยให้เขาหายไป
เบซูจีใช้ทักษะที่ทำให้บินได้อย่างรวดเร็ว และเรื่องของความเร็วเธอมั่นใจมาก ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากจะบอกว่า
ไม่มีใครหนีรอดจากการไล่ล่าของเบซูจีได้ ความเร็วสูงสุดของเธอใกล้เคียงกับระดับซูเปอร์โซนิ ยังไงก็ตามคนผู้
นั้นกลับสามารถหลบซ่อนได้อย่างรวดเร็ว พอเธอบินขึ้นไปที่ด้านบนสุดของโบสถ์คนๆนั้นก็หายไปแล้ว
'มีร่องรอยของเวทย์เคลื่อนย้ายระยะไกล'
ยังไงก็ตามฝ่ ายตรงข้ามประเมินเธอต่ำเกินไป แค่การใช้เวทย์ดังกล่าวไม่สามารถหลบหนีจากเธอได้
หลังจากได้รับพลังของมูยองประสาทสัมผัสและการรับรู้ของเบซูจีก็เกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง
แม้แต่คำว่าอัจฉริยะไม่ดีพอที่จะอธิบายถึงศักยภาพของเบซูจี
"ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คงไม่สนุกแน่ถ้าเล่นซ่อนแอบกับฉัน"
เบซูจีไม่ยอมแพ้ และเมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตก็พบว่านิสัยของเธอเปลี่ยนไปมาก
เบซูจีไล่ตามกลิ่นของมานาไปเรื่อยๆ แต่พอเธอกำลังจะไปถึงเป้ าหมายมันก็หายไปตลอดจนเธอต้องรู้สึกประทับใจ
'จอมเวทที่ทรงพลัง ระยะเวลาการร่ายเวทย์ของเขาเท่ากับศูนย์'
เป็นที่รู้กันดีว่าเวทเคลื่อนย้ายต้องอาศัยระยะเวลาการร่ายช่วงหนึ่งสำหรับนักเวททั่วไป และพวกเขายังมีขีดจำกัดต่อ
การร่ายอีกด้วย
ข้อจำกัดเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีผลกับคนที่เธอตามหาอยู่
ฮืม ได้ยินว่าพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่อย่างเมอร์ลินมาที่เกรทซิตี้ ใช่เขาหรือเปล่านะ?
แม้ว่าเธอจะเริ่มเหนื่อย แต่เบซูจียังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
'ชักจะน่าสนใจกว่าเดิมแล้วสิ'
ราวกลับได้ย้อนเวลาไปเป็นเด็กที่กำลังวิ่งไล่ตามอะไรบางอย่าง
มันรู้สึกสนุกเหมือนได้วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ
ฝ่ ายตรงข้ามก็ดูเหมือนจะคิดเหมือนเบซูจีเช่นกัน
ทั้งฝ่ ายซ่อนแอบและฝ่ ายตามหายังคงไม่มีใครยอมพ่ายแพ้แม้อาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้ า
บางทีอาจเกิดจากความประทับใจในความดื้อรั้นของเธอเวทย์ที่คนผู้นั้นใช้เปลี่ยนไปจากเดิม
เบซูจีเงียหน้าขึ้น
"เขาต้องการจะล่อฉันไปไหนงั้นเหรอ?"
เขาเคลื่อนที่อยู่ใต้ดิน และรู้ว่ายังไงเบซูจีก็ตามเขาไป
ซู่วววว
ณ ท่อระบายน้ำใต้ดิน เบซูจีกำลังวิ่งอยู่บนน้ำ
แม้เธอจะมีทักษะการบินที่ทำให้สามารถวิ่งบนน้ำได้ แต่เธอก็ไม่ชอบอยู่ในพื้นที่คับแคบเช่นนี้
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่มีใครล่วงรู้
'เขาอยู่ที่นี่'
เธอรู้สึกได้
มีทางแยกอยู่ด้านหน้า มีใครบางคนอยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพง
ในที่สุดเธอก็เห็นจุดสิ้นสุดของเกมซ่อนแอบซึ่งดำเนินการมาเกือบครึ่งวัน
เบซูจีเข้าไปใกล้ตำแหน่งนั้นอย่างระมัดระวัง เนื่องจากฝ่ ายตรงข้ามเป็นนักเวทย์ที่ไม่ธรรมดา เธอไม่สามารถผ่อน
คลายความระวังได้
พอเข้าไปในระยะหนึ่งเธอก็รีบหยุด ชายคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมผืนใหญ่สีดำยืนอยู่ที่ทางแยก และทันทีที่เธอเห็นคนผู้
นั้นเบซูจีก็ตกใจอย่างแรง
สายตาที่เหมือนกับผู้ทำลายล้างจากอาณาจักรแห่งความตาย
มันเป็นสายตาซึ่งเธอไม่สามารถลืมมันได้
"คุณคือ...."
"ออกไปจากมูราลันซะ"
เสียงเบาๆของเขาดังก้องอยู่ในหูของเธอ
เบซูจีมั่นใจว่านั่นคือลิชที่อยู่เคียงข้างมูยอง
"ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?"
"เธอไม่จำเป็นต้องรู้"
ไม่จำเป็นต้องรู้?
จู่ก็ให้เธอออกไปโดยไม่บอกเหตุผลดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
เหนือสิ่งอื่นใดทำไมเขาถึงปล่อยให้เบซูจีตามทัน
'ด้วยทักษะของลิชแล้ว เขาสามารถสลัดการไล่ล่าของเบซูจีได้นับร้อยครั้ง'
ไม่สำคัญว่าเบซูจีจะมีทักษะการบินที่สูงขนาดไหน เพราะมันคงไม่อาจเทียบเท่าลิชผู้ซึ่งสามารถต่อกรกับราชาปี ศาจ
เอนโรธได้ พอคิดถึงจุดนั้นความทรงจำแปลกๆก็ลอยเข้ามาในหัวของเธอ
วันนั้น วันที่เธอได้รับพลังของมูยอง และเผชิญหน้ากับเอนโรธ เบซูจีถูกจับและสุดท้ายเธอก็หมดสติ
ยังไงก็ตาม ภายใต้สายตาที่พร่ามัวนั้นเธอจำได้ว่าเห็นลิชที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าตนนี้
เธอไม่แน่ใจว่านั้นจะเป็นความจริงหรือไม่....
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอยังจำสายตาของเขาได้
และตอนนี้ก็เหมือนกัน
ถ้านั่นคือลิชที่เฝ้ ามองเธอด้วยความถวิลหา เขาจะทำตัวลับๆล่อเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?
[KotB] บทที่ 262: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (6)
"ไม่"
เบซูจีสั่นศีรษะ
"ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าคุณช่วยฉันเอาไว้ หลังจากถูกเอนโรธจับตัวฉันก็รู้ว่า
ตัวเองหมดประโยชน์ไปแล้ว แล้วทำไมคุณถึงยังเสี่ยงมาช่วยฉัน?"
ตอนแรกลิชทำเหมือนกับว่าซูจีเป็นภาระ แต่สุดท้ายก็ช่วยเธอเอาไว้ เขาเลือกที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อแยกเบซูจี
ออกจากเอนโรธ และด้วยบางเหตุผลสายตาที่เขาจ้องมองเบซูจีเต็มไปความโหยหาและคิดถึง เบซูจีไม่เคยลืมสายตา
นั้นได้
"คุณเป็นใครกันแน่?"
"ฉันคือคนตายผู้เป็นดั่งเงาของนายท่าน เธอไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ นายท่านก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
เหมือนกัน"
"พี่มูยองงั้นเหรอ? เขาไม่เคยบอกให้ฉันหยุดทำอะไรสักครั้ง "
เมื่อมีอันตรายเกิดขึ้นต้องเผชิญหน้ากับมัน นั่นคือมูยอง
มูยองบอกให้เบซูจีวิ่งหนีงั้นเหรอ? เขาไม่ใช่คนที่จะพูดแบบนั้นโดยไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล นั่นหมายความว่า
ทั้งหมดเป็นข้ออ้างที่ลิชสร้างขึ้น
"ฉันรู้สึกอย่างนั้นมาตลอด แม้ว่าจะไม่เคยเจอคุณ และแม้ว่าคุณจะเป็นลิช แต่หัวใจของฉันกลับเต้นโครมคราม มัน
ไม่ใช่ความรักใคร่แบบนั้น แต่เหมือนมันเป็นอะไรที่ใกล้ชิดกว่า หรืออาจเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่มากกว่านั้นด้วยซ้ำ
เพราะอย่างนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจมาก ไม่ว่าคุณจะทำตัวห่างเหินกับฉันยังไงมันก็รู้สึกแบบนั้นเสมอ คุณ
คือใครกันแน่?"
ใบหน้าของเบซูจีเต็มไปด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน มันเป็นคำถามเดียวที่เธอไม่มีวันสลัดทิ้งไปจากหัวสมองได้
มันคงจะง่ายกว่านี้ถ้ามันคือการตกหลุมรักใครสักคน ยังไงก็ตามมันไม่ใช่แบบนั้น เสียงเต้นโครมครามของหัวใจ
เธอมันเต็มไปด้วยความโหยหาและเจ็บปวด
เบซองมินเงียบ...
เขาไม่อยากเปิ ดเผยตัวเองอย่างงั้นเหรอ?
เขาไม่อยากพูดว่า 'เธอเป็นลูกสาวของฉัน' เพราะรูปลักษณ์ของเขาไม่หลงเหลือความอบอุ่นอีกต่อไป เขาเป็นแค่คน
ที่ตายแล้วร่างกายเหลือแต่เพียงโครงกระดูกอันปราศจากเลือดเนื้อ!
"ออกไปซะ เธอ...ไม่มีความจำเป็นสำหรับสงครามนี้"
เบซองมินบีบไม้เท้าของตนเอง
ชวิ้ง!!!!
สายลมพุ่งพัดไปทางเบซูจีดั่งฟันเลื่อยอันแหลมคม
เธอพยายามหลบแต่ไม่สามารถทำได้ ส่งผลให้ไหล่ของเธอถูกแทงทะลุในครั้งเดียว
ฉัวะ!
"เดี๋ยวก่อน...."
เบซองมินยืนมองเบซูจีที่ล้มลงหมดสติและไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก
เพื่อป้ องกันไม่ให้มีแมลงหรืออะไรมารับกวนเธอเบซองมินสร้างบาเรียขึ้นรอบตัวเธอ และร่ายเวทย์หลายอย่างเพื่อ
ควบคุมอุณหภูมิภายให้คงที่
หนึ่งเดือนให้หลังเบซูจีถึงจะสามารถพังบาเรียออกมาได้เอง
"เธอต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป"
เนื่องจากเขาได้ร่ายเวทย์นอนหลับที่รุนแรงลงไปด้วย เธอจึงไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้หากยังไม่ถึงหนึ่งเดือน
เบซองมินมองไปที่เบซูจีชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไป
สามวันนับตั้งแต่เบซองมินจากไป
กรุบกรับๆ! เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น
"อะไรกันเนี้ย ไม่ใช่ที่นี่หรอกเหรอ? ทำไม่ไม่เห็นใครสักคน?"
ภูติตัวน้อยที่กำลังขี่ม้าสีดำทมิฬพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ฮี้!
"เจ้าม้าดำ แกไม่ได้หลงทางใช่มั้ย? ไม่เห็นมีใครที่นี่เลย แกโกหกหรือเปล่า? "
ฮี้!
"ไม่ได้โกหกงั้นเหรอ? หืม..ผู้หญิงตรงนั้น แปลกมากมีกลิ่นที่รักของวูฮีอยู่ด้วย "
ฟุดฟิ ด ฟุดฟิ ด
ภูติน้อยวูฮีเข้าไปแถวบาเรียที่ถูกสร้างขึ้นแล้วดมกลิ่นไม่ต่างจากสุนัข
แม้จะมีการปกป้ องด้วยบาเรีย ร่างของเธอก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในสายตาของอาชานรกและวูฮี
พอมองไปที่เบซูจีผู้ซึ่งอยู่ในบาเรีย พวกเขาก็เอียงหัว
"วูฮีได้กลิ่นที่รักจากผู้หญิงคนนี้ หรือว่า...ไม่นะ?"
วูฮีเม้มริมฝีปากก่อนจะตรวจสอบเบซูจีอย่างใกล้ชิด
เบซูจีมีกลิ่นของมูยองค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากพวกเขาเคยสืบทอดพลังผ่านการหลองรวมมาก่อน แต่วูฮีไม่เคยรู้
เรื่องนั้น เหตุผลที่กระทั่งอาชานรกยังพลาดก็เพราะเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นวูฮียังไม่เคยเจอเบซูจีมา
ก่อน
"อ่า ที่รักของวูฮีต้องมีผู้หญิงคนใหม่ตอนที่วูฮีไม่อยู่แน่ๆ"
ฮี้!
อาชานรกหัวเราะใส่วูฮี เพราะมันทราบว่าผู้หญิงส่วนมากย่อมต้องการติดตามชายที่แข็งแกร่ง
แม้แต่อาชานรกที่ได้รับการขนานนามว่าราชาแห่งยูนิคอร์นก็เคยใช้เวลาไปมากกับเรื่องพวกนี้ ยังไงก็ตามไม่มีใคร
กล่าวร้ายเนื่องจากเพราะอาชานรกเป็นราชาของที่นั่น
"อะไรกัน ผู้ชายนี่เหมือนกันหมดเลยใช่มั้ยเนี้ย!"
วูฮีกอดอกพร้อมกับพ่นคำหยาบที่คุ้นเคยออกมามากมาย
"เจ้าม้าดำพาผู้หญิงคนนี้มากับเราด้วย วูฮีอยากรู้ว่าเขาจะเลือกผู้หญิงคนนี้หรือวูฮี"
ฮี้!
อาชานรกเอียงหัวอีกครั้ง ในเมื่อไม่ชอบผู้หญิงคนนี้มันจะง่ายกว่าไหมหากสังหารเธอลงซะที่นี่
อย่างไรก็ตามวูฮีไม่ต้องการทิ้งเธอไว้ เพราะเธออาจมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับมูยอง ซึ่งอาชานรกมองว่าวูฮี
คิดซับซ้อนเกินไป
***
มีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น
ณ วิหารของเกรโมรี่ ที่ที่ซึ่งฝ่ ายกองกำลังปฏิปักษ์ได้มารวมตัวกันด้วยเผ่าปี ศาจจำนวนมาก จำนวนของพวกมันมี
เกือบสิบล้านกว่าตน แต่ยังไงก็ตามระดับของความเครียดของทุกตนกำลังไต่ไปจนถึงจุดสูงสุด
"ทำไมเขาถึงมาที่นี่?"
"นี่เขากำลังจะทำลายสัญญาสงบศึกงั้นหรือ?"
ผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ ายเดียวกันปรากฏตัวขึ้น
ผืนดินที่เขาเดินผ่านเสื่อมสลายและกลายเป็นสีดำ ลมหายใจของเขาปล่อยละอองสีเขียวอ่อนๆกลายเป็นโรคระบาด
ที่รุนแรง มันเหมือนกับว่าเขาเป็นตัวแทนแห่งความตายอย่างแท้จริง
ดั่งมัจจุราชผู้เก็บเกี่ยววิญญาณ มีจำนวนมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนและอันเดธที่แฝงตัวอยู่ด้านหลังของเขา
นั่นคือ คิงธ์ออฟเดอะเดธ ราชาแห่งความตาย!
ทำไมหนึ่งในสี่ตัวตนเหนือธรรมชาติ ผู้ปกครองแห่งแดนเหนือถึงมาที่นี่?
แม้จะมีเทพปี ศาจอยู่ที่นี่ถึง 4 ตน แต่นั่นก็ไม่อาจสร้างความกดดันให้แก่ราชาแห่งความตาย
มูยองวางแผนที่จะรวบรวมตัวตนเหนือธรรมชาติ แต่นั่นเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคต เบซองมินและฮันซุงดรา
ก้อนลอร์ดควรจะทำให้มันเกิดขึ้น ยังไงก็ตามเขากลับมาที่นี่โดยที่ยังไม่มีใครเรียกร้อง ในขณะที่นำอันเดธ
จำนวนนับไม่ถ้วนติดตามมาด้วย!
"กลับไปซะราชาแห่งความตาย ไม่งั้นเจ้าอาจต้องเสียใจที่มาที่นี่"
มูรุมูรุผู้ที่มีความสามารถในการต่อสู้มากที่สุดก้าวไปข้างหน้า
อย่างไรก็ตามคิงธ์ออฟเดอะเดธไม่ได้แม้แต่มองไปที่มูรุมูรุ สายตาของเขาจ้องไปที่มูยองเพียงคนเดียว
มูยองขมวดคิ้ว แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นเป้ าหมาย แต่มูยองก็คิดไม่ออกว่าทำไมราชาแห่งความตายถึงปรากฏ
ตัวออกมาโดนปราศจากการเรียกหา
ยังไงก็ตาม มันกำลังมองหามูยองอยู่แน่นอน
ดังนั้น มูยองจึงก้าวออกไปข้างหน้าอย่างคิงธ์ออฟเดอะเดธต้องการ
"คุณมีธุระอะไรกับผม"
"เทพของข้านำข้ามาพบเจ้า"
เป็นคำตอบที่แทบจะทันที
ยังไงก็ตามน่าแปลกใจที่คิงธ์ออฟเดอะเดธศรัทธาเทพเจ้า
"แม้แต่ตัวตนอย่างคุณยังศรัทธาในเทพเจ้า?"
"ข้าติดตามเทพเจ้าองค์เดียวกับที่เจ้าติดตามอยู่นั่นแหละ"
มูยองติดตามเทพเจ้า?
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น
มูยองไม่ได้มีตามืดบอดจนต้องติดตามรับใช้เทพเจ้า และความจริงมูยองเป็นบุคคลที่ไม่เชื่อในเทพเจ้าอย่างยิ่งยวด
ศรัทธาในเทพเจ้า?
ในขณะที่มูยองกำลังงงๆ คิงธ์ออฟเดอะเดธก็พูดต่อ
"เขาคือ อาร์ทานาส! เทพเจ้าแห่งความตายผู้ยิ่งใหญ่ที่ประทานพรให้เจ้า "
เดธลอร์ด
ชื่อจริงของเขาถูกเปล่งออกมาจากปากของราชาแห่งความตาย
[KotB] บทที่ 263: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (7)
มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน
ใครจะคิดว่าตัวตนเหนือธรรมชาติอย่างคิงธ์ออฟเดอะเดธผู้ปกครองแห่งแดนเหนือจะมาที่นี่ นอกเหนือจากนั้นยังมี
ส่วนเกี่ยวข้องกับเดธลอร์ด
เขากับคิงธ์ออฟเดอะเดธคล้ายกันในเรื่องของพลังที่มีพื้นฐานมาจาก 'ความตาย'
นอกจากนั้นมูยองยังสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของเดธลอร์ดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ด้วยเหตุผลนั้นทำให้มูยองคุ้นเคยกับราชาแห่งความตายในระดับหนึ่ง
ยังไงก็ตาม เดธลอร์ดอยู่แต่ใน'ความมืดมิด'เท่านั้น แล้วผู้ที่อยู่แต่ในความมืดมิดอย่างเดธลอร์ดออกมาติดต่อกับคิงธ์
ออฟเดอะเดธได้อย่างไร?
"ทำไมอาร์ทานาสถึงส่งคุณมาที่นี่?"
มูยองอดไม่ได้ที่จะถามออกไป เพราะถ้าเขามาเพื่อช่วยเหลือ นั่นจะเป็นคำตอบที่น่ายินดีที่สุด เนื่องจากคิงธ์ออฟ
เดอะเดธเป็นหนึ่งในตัวตนเหนือธรรมชาติที่รับมือได้ยาก
"ข้ามาเพื่อสู้กับเจ้า พวกเราจะใช้เพียงทักษะ 'ศิลปะแห่งความตาย' ในการต่อสู้กัน เทพของข้าบอกว่าจะคัดผู้ที่พ่าย
แพ้ออกไป"
ยังไงก็ตามสิ่งที่คิงธ์ออฟเดอะเดธพูดออกมานั้นเหนือความคาดเดาของทุกคน เพราะมันคือการท้าสู้โดยใช้ทักษะ
ศิลปะแห่งความตาย นั่นหมายความว่าคิงธ์ออฟเดอะเดธก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ทักษะศิลปะแห่งความตายเช่นกัน มัน
เป็นเรื่องยากที่เชื่อว่ามีคนอื่นนอกจากมูยองที่ใช้ทักษะนี้
'การถูกทิ้งจากเดธลอร์ด'
มูยองตกอยู่ในห้วงของความคิด จริงๆแล้วคิงธ์ออฟเดอะเดธเป็นตัวตนที่รักความสันโดษ
แม้ว่าเทพปี ศาจจะเป็นยังไง หรือตัวตนเหนือธรรมชาติคนอื่นจะเป็นแบบไหน คิงธ์ออฟเดอะเดธก็ไม่เคยย่างกราย
ออกมาจากภูเขาทางแดนเหนือ ด้วยเหตุนั้นภูเขาแห่งแดนเหนือจึงเป็นอาณาเขตที่ไม่เคยถูกโจมตี ยังไงก็ตามถ้าบาง
คนที่รักสันโดษเช่นนั้นปรากฏตัวออกมาเพื่อพบมูยอง
เขาจะต้องโหยหาในพลังของเดธลอร์ดแค่ไหน
"ผมยอมรับคำท้า"
ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ผู้แพ้จะตกอยู่ในการควบคุมของผู้ชนะ และบางอาจจะกลายเป็นอันเดธของอีกฝ่ าย
ยังไงก็ตามมูยองมั่นใจ
อย่างน้อยเขาก็มั่นใจในทักษะศิลปะแห่งความตาย ทว่าคนที่มั่นใจไม่ได้มีแค่มูยองเท่านั้น
คิงธ์ออฟเดอะเดธก็มั่นใจเช่นเดียวกัน อันเดธทุกตนที่เขาพามาล้วนแต่ไม่ธรรมดา บางทีเขาอาจจะสืบทอดพลังของ
เดธลอร์ดมามากกว่ามูยองเสียอีก
มันคือความสามารถในเพิ่มความแข็งแกร่งโดยการใช้ส่วนผสมที่มีคุณภาพ
ยังไงก็ตาม มูมองให้คุณค่าสำหรับเรื่องราวของส่วนผสมมากกว่า
ไม่มีใครรู้ว่าฝ่ ายไหนจะเป็นผู้ชนะ ในเมื่อทั้งคู่ต่างใช้วิธีการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ กฎการต่อสู้ง่ายๆ ใช้วัตถุดิบเดียวกัน ใครที่สามารถสร้างผลงานได้ยิ่งใหญ่กว่าเป็นผู้ชนะ! ”
การกำหนดมาตรฐานเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันหมายถึงการต่อสู้ของผู้ที่สามารถสร้างอันเดธที่ทรงพลังกว่าได้ ดัง
นั้นการต่อสู้ควรใช้กฎอย่างยุติธรรม
"ผมขอเพิ่มเงื่อนไข"
มูยองพูดขึ้นทำลายความเงียบสั้นๆ
การยอมรับความท้าทายเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้การยอมรับเงื่อนไขของฝ่ ายตรงข้ามเพียงผู้
เดียวเป็นเรื่องที่โง่เขลา
"จงพูดออกมา"
คิงธ์ออฟเดอะเดธดูไร้ความกังวล ราวกับว่าชัยชนะต้องเป็นของมันแน่นอน เป็นเพราะถ้าทักษะศิลปะแห่งความตาย
ของมันได้รับการอวยพรจากเดธลอร์ด ทักษะของมันย่อมดีกว่ายิ่งกว่านั้นมูยองยังมีเวลาการใช้ทักษะนี้น้อยกว่ามัน
อีกด้วย
มันกำลังรอฟังมูยองพูด ในขณะที่มูยองมองดูรอบๆ
"ผมขอเปลี่ยนสถานที่ประลอง ศิลปะของพวกเราสูงค่าเกินกว่าที่จะให้คนนอกได้เห็น"
เทพปี ศาจและเผ่าพันธุ์ของพวกมันล้วนจับตามองพวกเขาทั้งสอง ยังไงก็ตามพลังที่เกี่ยวข้องกับศิลปะแห่งความตาย
เป็นอาวุธลับของมูยอง
เมื่อพลังของลูซิเฟอร์และพลังของกาเบลียลถูกเปิ ดเผยไปแล้ว อย่างน้อยเขาก็อยากเก็บมันไว้เป็นความลับ เพราะ
พวกเทพปี ศาจต่างไม่รู้ว่าการต่อสู้กันระหว่างศิลปะดังกล่าวคืออะไร
นอกเหนือจากนั้น ทั้งคิงธ์ออฟเดอะเดธกับมูยองไม่ต้องการให้บุคคลที่สามมาประเมินผลด้วย เพราะพวกนั้นไม่มี
ทางเข้าใจทักษะดังกล่าว
"นั่นถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม"
คิงธ์ออฟเดอะเดธยอมรับคำขอนั้นๆก่อนจะเหวี่ยงเคียวสร้างหลุมดำขึ้นข้างๆ
"เข้าไป ในนี้จะไม่มีใครแทรกแซงพวกเราได้"
คิงธ์ออฟเดอะเดธเข้าไปในหลุมดังกล่าวเป็นคนแรกตามลำพังเป็นข้อบังคับอ้อมๆด้วยว่า ให้มูยองเข้าไปเพียงลำพัง
เช่นกัน
"มูยอง ข้าจะไปกับเจ้าด้วย"
ทาร์แคนพยายามเตือนมูยองว่าการปรากฏตัวของราชาแห่งความตายดูน่าสงสัย ดังนั้นเขาจึงไม่ควรไปเพียงลำพัง
ยังไงก็ตาม มูยองปฏิเสธ
"ไม่เป็นไร ฉันจะไปคนเดียว"
[KotB] บทที่ 264: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (7.1)
มันเป็นการต่อสู้แห่งความภาคภูมิใจสำหรับศิลปิ นแห่งความตาย รวมถึงเป็นจุดตัดสินอะไรหลายๆอย่างในอนาคต
เพราะมูยองตั้งใจจะแย่งทุกอย่างจากเดธลอร์ด และคิงธ์ออฟเดธด้วย
‘ในเมื่อเป็นความตั้งใจของเขา ดังนั้นฉันควรเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง'
มูยองเดินตรงไปที่หลุมดำในขณะที่สมุนของราชาแห่งความตายล้อมรอบตัวเขา พวกมันดูตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่
ปล่อยให้ใครอื่นเข้าไปในหลุมนั้น
แม้แต่เทพปี ศาจก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้มาก เนื่องจากราชาแห่งความตายพากองกำลังทั้งหมดของตนเดิน
ทางมาด้วย และจำนวนคร่าวๆของพวกมันก็มีมากพอๆกันกับเหล่าปี ศาจ
แน่นอนว่าหากต้องเผชิญหน้าโดยตรงเหล่าเทพปี ศาจย่อมเหนือกว่า ยังไงก็ตามพวกมันจะต้องแบกรับความเสียหาย
ที่มากมาย
"แล้วฉันจะกลับมา"
ทันทีที่มูยองเข้าไปในนั้นหลุมดำก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหมือนฟาร์มสำหรับเลี้ยงเหล่ามอนสเตอร์ มันคือดันเจี้ยนที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดมากมายที่ร้องโหวกเหวก
โวยวายอยู่ในกรงขัง
“ ข้าจับพวกมันไว้สำหรับการต่อสู้ครั้งนี้โดยเฉพาะ ทั้งหมดมีตั้งแต่ก็อบลินระดับต่ำไปจนถึงมังกรระดับสูงสุด หาก
ต้องการส่วนผสมใดๆเจ้าสามารถใช้ได้ตามเท่าที่ต้องการ”
ราชาแห่งความตายกล่าวราวกับคนใจกว้าง
ดันเจี้ยนมีขนาดกว้างขวางเกินกว่าจะจินตนาการได้ นอกจากนั้นยังมีมอนสเตอร์ที่มูยองไม่เคยเห็นมาก่อน
ดูเหมือนว่ามอนสเตอร์ทั้งหมดของโลกปี ศาจถูกเก็บไว้ที่นี่ ไม่เพียงแค่ตัวเลขเท่านั้นแต่เขารู้สึกตกใจกับความจริงที่
ว่ามีมอนสเตอร์มากมายหลายประเภท เมื่อเขาเดินไปรอบๆก็พบว่าอันดับของมอนสเตอร์จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆตาม
ลำดับ จนกระทั่งมูยองเดินไปยังจุดสิ้นสุดที่ซึ่งมีมังกรอยู่ในกรงขังเหล่านั้น
ทั้งมังกรไฟ มังกรน้ำ มังกรดิน มังกรแสง….แม้แต่สัตว์ในตำนานอย่างฟี นิกซ์ และกริฟฟิ นก็ยังมี!
“ เราจะสร้างอะไร”
“ อาร์ทานาสจะเป็นผู้กำหนดเอง”
เดธลอร์ดจะเป็นคนบอก?
และในขณะนั้นเอง
<สร้าง ไคมีร่า* ให้สมบูรณ์แบบโดยใช้ส่วนผสมอะไรก็ได้>
<กำหนดเวลา - 72 ชั่วโมง>
มีข้อความปรากฏออกมาเบื้องหน้า
พวกมันดูแตกต่างจากข้อความที่ผ่านๆมาราวกับเป็นการเขียนด้วยมือของเดธอลอร์ดเอง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปรากฏ
ตัวแต่ก็เห็นได้ชัดว่านี่ก็ถือเป็นการทดสอบเช่นกัน
“ไคมีร่า….”
ราชาแห่งความตายเริ่มเคลื่อนไหวราวกับคาดการณ์ไว้บ้างแล้ว จากนั้นเขาก็ย้ายไปหาส่วนผสมที่จำเป็นตามกรงขัง
‘การต่อสู้ครั้งนี้ฉันเสียเปรียบ”
พื้นที่มีขนาดใหญ่โตราวกับเมืองขนาดย่อม การจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ในดันเจี้ยนนั้นเหลือเชื่อมาก แต่สิ่งที่สำคัญกว่า
นั้นคือราชาแห่งความตายรู้ว่าทุกสิ่งอยู่ที่ใด
แท้จริงแล้ว... นี่เป็นการต่อสู้ที่เสียเปรียบ มันไม่ยุติธรรมเลย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหยุดการต่อสู้ที่เริ่มไปแล้วได้
และในขณะนี้นาฬิกาก็กำลังเดิน
Kraaahk!
Graaahk!
นกฟี นิกซ์ถูกเขาเลือกไปก่อนจากนั้นก็มังกรไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการสร้างไคเมร่าให้มีระดับสูงที่สุดโดยใช้ส่วน
ผสมที่ดีที่สุด
‘ไคเมร่าเป็นมอนสเตอร์ที่มีร่างกายแปลกประหลาด’
เทียบกับอันเดธธรรมดาแล้วถือเป็นงานที่ยากมาก การสร้างไคเมร่าเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งทำโดยการ
รวบรวมจุดแข็งของมอนสเตอร์หลายตัวเข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลข้างเคียง หากร่างที่ไม่มีความเข้ากันได้ถูกบังคับให้หลอมรวมเข้าด้วยกัน
ดังนั้นการผสมวัตถุดิบจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ
แน่นอนว่าส่วนผสมที่ดี ย่อมส่งผลในการสร้างไคเมร่าที่ดี แม้ว่านั่นจะเป็นความจริง แต่มันก็ค่อนข้างแตกต่างจากที่
มูยองต้องการ
มูยองเดินไปที่กรงขังของออร์คลอร์ด ตัวที่มีร่างกายปกคลุมไปด้วยขนสีแดงอันดูเหมือนจะมีเรื่องราวเบื้องหลัง
อะไรบางอย่าง
"แกมีชื่อหรือเปล่า?"
มูยองพยายามพูดคุยกับมัน
ราชาแห่งความตายไม่เข้าใจว่ามูยองกำลังทำอะไรอยู่
กว่า 24 ชั่วโมงแล้วที่มูยองเที่ยวพูดคุยกับมอนสเตอร์
ในพื้นที่แห่งนี้มีมอนสเตอร์เกือบหมื่นตัว เขาจะคุยกับพวกมันทุกตัวหรือไม่?
'ไม่สามารถเข้าใจได้'
เมื่อยิ่งเวลาผ่านไป ราชาแห่งความตายก็ยิ่งไม่เข้าใจมูยอง
ไม่ว่าอย่างไรศิลปะแห่งความตายก็เป็นพลังแห่งการควบคุม
เหล่าอันเดธย่อมเชื่อฟังอย่างแน่นอนเมื่อมันถูกสร้างขึ้นโดยพลังแห่งการควบคุม
ความทรงจำและจิตวิญญาณก่อนหน้านี้จะหายไปในอากาศอันเบาบาง และถึงจะยังเหลือพวกมันอยู่บ้างแต่ก็ไม่มี
ประโยชน์อันใด
ทั้งๆที่มีเวลาจำกัด แต่มูยองกลับเที่ยวสนทนากับเหล่ามอนสเตอร์เหมือนคนบ้า และที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ
มอนสเตอร์กำลังตอบสนองต่อการสนทนาของมูยอง
ความสามารถในการดูดซับ หรือไม่ก็ความมีอารมณ์ร่วม มูยองมีความสามารถเช่นนี้
อย่างไรก็ตามพวกมันเป็นทักษะที่ไร้ประโยชน์สำหรับการสร้างไคเมร่า
...........
*ไคเมร่า คือสัตว์ในตำนานของชาวกรีกที่หายใจออกเป็นไฟ มีหัวเป็นสิงโต ลำตัวเป็นแพะ และหางเป็นงู
[KotB] บทที่ 265: ตัวตนเหนือธรรมชาติ (7.2)
'เจ้านั่นยอมแพ้แล้วเหรอ'
เขาอาจจะรู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าไม่มีทางชนะ เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งกับเขา
ยังไงก็ตามโลกใบนี้ไม่มีความเท่าเทียมและไม่มีอะไรที่จะได้ดั่งใจตัวเองไปเสียหมด การที่ใครสักคนร่ำร้องหาสิ่ง
เหล่านั้นมีแต่จะทำให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อ
ราชาแห่งความตายหยุดคิดแค่นั้น และหันไปทุ่มเทกับงานของตัวเอง
'ข้าจะสร้างอสูรกายที่สามารถแผดเผาได้ทุกสิ่ง'
ฟี นิกซ์เป็นนกที่เกิดจากเปลวไฟที่ร้อนแรงที่สุด ส่วนมังกรไฟก็แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าไฟร์ทาร์ นอกจากนั้นยังเพิ่มจิต
วิญญาณแห่งไฟระดับสูงสุดเข้าไปด้วย
ราชาแห่งความตายสกัดเอาแก่นแท้ของมอนสเตอร์ทุกตัวที่มันรวบรวมมา และทุกตัวล้วนแต่มีลักษณะของเปลว
เพลิงทั้งสิ้น
หัวใจสร้างจากการสกัดแก่นแท้แห่งเปลวเพลิงนับร้อยชิ้น ชั้นนอกเป็นผิวหนังขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด เคลือบ
ไปด้วยเวทย์มนตร์กระตุ้นพลังงานแห่งไฟ และยังเสริมมานาที่จะทำให้เปลวเพลิงลุกโชนยิ่งขึ้น
จากนั้นก็บรรจงใส่ทักษะทั้งหมดที่มันเรียนรู้มาจากการสร้างอันเดธ มันกล้าที่จะเชื่อได้เลยว่าผลงานของตนคือการ
สรรสร้างที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ทุกกระบวนการดังกล่าวราชาแห่งความตายไม่ปิ ดบังแม้แต่น้อย เพราะมันมั่นใจในชัยชนะของตนเป็นอย่างมาก แม้
มูยองจะสร้างไคเมร่าธาตุน้ำมามันก็ไม่หวั่น แต่ถ้ามูยองไม่ได้สร้างไคเมร่าธาตุน้ำออกมามันจะส่งเขาไปสู่ความสิ้น
หวังให้เร็วยิ่งขึ้น
ยังไงก็ตาม...
มูยองไม่ได้ยอมแพ้และไม่ได้สิ้นหวัง และเขาไม่แม้กระทั่งมองหามอนสเตอร์ธาตุน้ำ
มูยองยังคงคุยกับเหล่ามอนสเตอร์อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงชั่วโมงที่ 62
อาจสรุปได้ง่ายๆว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างไคเมร่า และแทนที่จะเป็นศิลปิ นแห่งความตาย บางทีเขาอาจจะอยาก
เป็นเพื่อนที่ดีกับเหล่ามอนสเตอร์
"เกือบจะใช้ได้แล้วสินะ"
ยังไงก็ตามหลัง 62 ชั่วโมงผ่านไป มูยองก็เริ่มเปลี่ยนกิจกรรมที่ทำอยู่
เมื่อเหลือเวลาอีก 10 ชั่วโมงมูยองก็หยุดพูดคุยกับเหล่ามอนสเตอร์
เขาคุยไปหนึ่งหมื่นตัว หรือเท่ากับหนึ่งหมื่นเรื่องราว
ถึงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมเรื่องราวเหล่านั้นทั้งหมดออกมา แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะหาหัวข้อในการสร้าง และ
ปรับปรุงพวกมันให้อยู่ในรูปแบบของตัวเอง
และหัวข้อในการสร้างครั้งนี้ของมูยองก็คือ 'ฮัน'
ฮัน
เราเรียกความเศร้าโศก ความขุ่นเคือง ความผิดหวัง และความระทมทุกข์ว่า 'ฮัน'
มูยองรวบรวมสิ่งที่เต็มไปด้วยฮันโดยไม่ได้คำนึงถึงระดับใดๆของมอนสเตอร์
ฮันจะยิ่งใหญ่แค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าพวกมันสิ้นหวังและเศร้าโศกเพียงใด การที่มูยองคลุกคลีอยู่กับพวกมันทำให้
สามารถบอกขนาดฮันของพวกมันได้
'มังกรปี ศาจ'เป็นมอนสเตอร์ที่มีฮันยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาพวกมันทั้งหมด
รูปลักษณ์ของมังกรปี ศาจดูเตี้ยแคระมาก มันดูเป็นมังกรที่ยากจนข้นแค้นสุดๆ ราวกับว่าหากมันสิ้นชีพลงตรงนี้ก็คง
ไม่มีใครรู้สึกอะไร
มันเป็นมังกรที่เกิดจากความมืดมิด มังกรที่เกิดมาเพื่อสาปแช่งโลกใบนี้
-ข้าถูกทอดทิ้งตั้งแต่ถือกำเนิด ข้าถูกหักหลังถูกหลอกใช้และสูญเสียทุกสิ่ง ผิวหนังของข้าฉีกขาด ฟันของข้าแตก
สลาย และแม้แต่ร่างของข้าก็ยังถูกทำลาย พวกมันฟื้ นฟูใหม่แล้วทุกอย่างก็วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ข้าต้องตายก็ขอ
สาปแช่งโลกใบนี้ ข้าจะสาปแช่งกระทั่งเทพเจ้าที่ให้กำเนิดข้ามา
ชีวิตอันร่อแร่ของมังกรปี ศาจอยู่ได้ด้วยการกัดกินความสิ้นหวังและสาปแช่งเท่านั้น แม้แต่มังกรตัวอื่นก็ยังปฏิเสธที่
จะมองไปยังมังกรที่น่าสังเวชเช่นมัน ในความเป็นจริงมังกรเหล่านั้นหลบเลี่ยงมันราวกับเป็นตัวสกปรก มูยองเชื่อ
อย่างไม่ต้องสงสัยว่ามันจะต้องเป็นส่วนสำคัญในงานของเขาแน่ๆ
"แกจะได้เกิดใหม่ แกจะได้ปลดปล่อยความเกลียดชังที่มีต่อโลกใบนี้ จะไม่มีใครสามารถปฏิเสธแกได้อีก และจะ
ไม่มีใครสามารถหยุดความเกลียดชังของแกได้ "
ถูกสาปแช่งอย่างไม่จบสิ้น
พบเจอความสิ้นหวังอันไร้จุดจบ
ฮันของมันจะกลายเป็นแรงผลักดันที่แข็งแกร่ง ที่นำไปสู่การเกิดอารมณ์ที่รุนแรง
มูยองรวบรวมฮันของพวกมันทั้งหมดและนำมาสร้างผลงานของเขา
แม้แต่ผู้สร้างอย่างมูยองก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังแห่งการควบคุมที่น่าเหลือเชื่อจากฮันที่มีมากอย่างล้นหลาม
หากมูยองไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้จากหลายๆครั้ง เขาก็คงจมอยู่ใน'ฮัน'เช่นกัน
มูยองไม่แม้กระทั่งกำหนดรูปแบบใดๆให้พวกมัน
เขาเพียงแค่หลอมรวมไปเรื่อยๆเพื่อสร้างมันให้กลายเป็น 'จิตวิญญาณปี ศาจอันยิ่งใหญ่'
สุดท้าย จิตวิญญาณปี ศาจอันยิ่งใหญ่ก็เริ่มก่อเป็นรูปร่างด้วยตนเอง
ระหว่างนั้นมูยองก็คอยป้ อนพลังเวทย์ของเขากับพลังของลูซิเฟอร์เข้าไป
ขณะนี้จิตวิญญาณปี ศาจเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พลังหยินไต่ระดับขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด แสงสีแดงเพลิงที่กำลังมอดไหม้มีเขางอกออกมาและปรากฏเป็นปี กโบก
สะบัด
<พลังหยินถูกรวบรวมเป็นจำนวนมากอย่างเหลือเชื่อ>
<ชิ้นส่วนที่แตกหักทั้งสามกำลังเริ่มดึงพลังหยินมารวมกัน >
<จิตวิญญาณปี ศาจก่อร่างสำเร็จแล้ว>
<โปรดระวัง พลังแห่งความชั่วร้ายไม่ใช่สิ่งที่สามารถรับมือได้โดยง่าย หากผู้ใช้มีความสามารถไม่เพียงพอ คุณอาจ
ได้รับ 'การปนเปื้ อนทางจิตวิญญาณ'>
<ความอาฆาตพยาบาทแห่งความชั่วร้ายรูปแบบสุดท้าย 'คริมสันบาร็อค' ถูกสร้างขึ้น>
Kooooowwwng!
คู่ปี กสีแดงสยายยาวอย่างกว้างใหญ่
ฟันแหลมคมเกรอะกรังดูน่ากลัว และดวงดาสีแดงฉาน
มอนสเตอร์ทรงพลัง สวมเกราะกระดูก และคละคลุ้งไปด้วยพลังแห่งคำสาปถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ต่อหน้าของมู
ยอง
ตอนที่ 266-267 ตัวตนเหนือธรรมชาติ [8]
‘คริมสันบาร็อค!’
มูยองเคยสู้กับบาร็อคธรรมดามาแล้ว มันเป็นมอสเตอร์ที่เอนโรธปล่อยออกมาเพื่อรุกรานอาณาเขตของเขา พลังขอ
งบาร็อคนั้นเหนือล้ำจินตนาการมากๆ กระทั่งเบซองมินยังต้องพบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก การต่อสู้ยืดเยื้อจน
ความช่วยของเบซูจีที่ตอนนั้นเชื่อมต่อกับมูยองมาถึงพวกเขาถึงจะจัดการกับมันได้
บาร็อคเป็นมอนสเตอร์ที่กระทั่งราชาปี ศาจหลายคนยังไม่กล้าเผชิญหน้าด้วย แต่นี่คือ คริมสันบาร็อค?รูปแบบที่
สร้างขึ้นจากการผสมผสานความเกลียดชังทุกประเภท และความอาฆาตแค้นราวกับดอกไม้สีเลือดที่เบ่งบาน มอง
แว่บเดียวก็รู้ว่ามันไม่ใชบาร็อคธรรมดา
ก๊าซซซซซ!
ผืนดินสั่นไหวเพียงเพราะว่าคริมสันบาร็อคคำรามเสียง
แกว๊กก!
โฮกกกก!
แกว๊กก! ก๊าซซซ!
มอนสเตอร์ทุกตัวเสียสติราวกับบ้าคลั่ง พวกมันหดหัวเข้าไปในกรงขังเนื่องจากหวาดกลัวต่อคริมสันบาร็อค ที่น่า
ประหลาดใจกว่านั้นคือแม้แต่เผ่าพันธุ์มังกรที่มีระดับสูงทั้งหลายก็ตกอยู่ในอาการเหล่านั้นด้วย
เพียงแค่เห็นรูปลักษณ์ของคริมสันบาร็อค มังกรเผ่าพันธุ์โบราณซึ่งภาคภูมิในความแข็งแกร่งก็กรีดร้องดังลั่นและ
สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
คริมสันบาร็อคจ้องมองไปที่มูยอง
ขณะที่มันจ้องเขาความอาฆาตแค้นและเกลียดชังที่มีต่อโลกใบนี้ก็พุ่งตรงไปหามูยองเช่นกัน
"ฉันคือเจ้านายของแก"
ฉัวะ!
แค่ช่วงเวลากระพริบตา แขนข้างหนึ่งของมูยองก็ถูกตัดขาด
คริมสันบาร็อคโจมตีใส่มูยอง
กรรรร!!
มันร้องคำรามขณะที่ชกอกของตัวเอง
มันไม่สนว่าใครเป็นใคร ด้วยความเกลียดชังมันสามารถโจมตีใส่ทุกสิ่งได้
บนใบหน้าของมูยองปรากฏรอยยิ้ม
''พรเทวะ'
แขนที่ถูกตัดขาดฟื้ นฟูใหม่ทันที
มูยองไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากนักและปล่อยให้มันโจมตีอย่างมีเป้ าหมาย เขารู้ดีว่าความเกลียดชังของมันกร
ปี ศาจเป็นยังไง
"แกต้องการสาปแช่งโลกใบนี้ให้ล่มสลาย แต่กลับทำได้แค่นี้เองเหรอ?"
เอาเลย
ระบายความเคียดแค้นทั้งหมดที่มี
คริมสันบาร็อคมองเข้าไปในตาของมูยอง โดยที่มูยองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงสายตานั้น
เขาเตรียมพร้อมรับการโจมตีที่คริมสันจะปล่อยใส่ตัวเขา ในเวลาเดียวกันเขายังกระทั่งตำหนิบาร็อค
จงทำให้ดีที่สุด จงเลือกเป้ าหมายสำหรับความเคียดแค้นของแก
ก๊าซซซซซ!!
มันเหมือนเสียงกรีดร้อง เสียงโหยหวน
ยังไงก็ตามบางครั้งก็รู้สึกเหมือนกับการเคลื่อนไหวของเด็กทารก เพราะความโกรธของมันเริ่มต้นจากความจริงที่ว่า
ไม่มีใครสนใจตัวมันเลย และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกก็คือความไม่เคยถูกแยแส
ตูมม!
ร่างของมูยองลอยไปในอากาศ
ตึงงงง!
คริมสันเมอร์ร็อคฟาดมูยองลง
พื้นดินถูกเจาะทะลุในทันทีโดยมีร่างของมูยองฝังติดอยู่ในนั้น
ด้วยการโจมตีเดียว มูยองก็ถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินลึกหลายพันฟุต
ยังไงก็ตาม...มูยองยังไม่ตาย
ฟึ บ! ฟึ บ!
มูยองพุ่งออกมาจากรูดังกล่าว ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ทั้งหมดยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์
การฟื้ นฟูของทักษะพรเทวะของมูยองใกล้สมบูรณ์แบบแล้ว เว้นแต่จะถูกโจมตีด้วยความรุนแรงเกินขอบเขตของ
ทักษะ ร่างกายของมูยองสามารถฟื้ นฟูใหม่ได้เสมอ
"นี่แกเต็มที่แล้วอย่างงั้นเหรอ ดูเหมือนความพยายามของแกยังไม่มากพอ"
จงโกรธมากขึ้นอีก
จงสาปแช่งมากขึ้นอีก
ฟู่ ววววววว!
ชิ้งงงงงงง!
คริมสันบาร็อคพ่นเลือดออกจากปากสร้างเป็นดาบโลหิต จากนั้นก็ฟันร่างของมูยองจนขาดไปสองท่อน
'ช่างน่าประทับใจ'
เอาเฉพาะพลังของคริมสันบาร็อคที่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่มูยอง ผู้ซึ่งเป็นตัวตนกึ่งเทพที่มีผิวหนังของผู้
อมตะได้แล้วก็นับว่าน่าประทับใจทีเดียว
แถมยังทักษะที่สามารถเปลี่ยนเลือดของตัวเองเป็นดาบอีก ถ้ามันทุ่มเทในการโจมตีมูยองคงต้องตกอยู่ใน
สถานการณ์อันตรายถึงชีวิตแน่นอน
ยังไงก็ตามมันยังคงลังเลในการโจมตีเขา
เป็นเพราะไม่เคยมีใครยอมรับความแค้นของมันอย่างเปิ ดเผยเช่นมูยอง
เหตุผลที่มันโกรธแค้นและไม่พอใจนั้นเกิดจากความไม่แยแสและดูถูกเหยียดหยามจากโลกใบนี้ทั้งสิ้น
ไม่เคยมีใครให้ความสนใจมันมาก่อน และถึงจะมีมันก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกเหยียดหยามและดูถูกจากคนๆนั้น เป็น
เพราะทุกคนล้วนเข้าหาด้วยความคาดหวังต่อผลประโยชน์ และเมื่อความเป็นประโยชน์หมดไป มันก็จะถูกทิ้งขว้าง
อย่างไร้ความหมาย
อย่างไรก็ตาม มูยองไม่เหมือนคนอื่น ความสนใจของมูยองมีแต่เรื่องของคริมสันบาร็อคเท่านั้น ไม่มีทั้งเจตนาที่ดี
หรือชั่วร้าย เขาแค่ยอมรับพฤติกรรมเสียๆของบาร็อค
ใช่แล้วจริงๆมันก็เหมือนเด็กที่กำลังเสียนิสัยอยู่เท่านั้น
มองฉันบ้าง...ให้ความสนใจฉันหน่อยสิ...ทั้งหมดเป็นแค่การเสียนิสัย
และมูยองก็ทำตามความปรารถนานั้นๆของมันได้อย่างถูกต้อง
ร่างของเขาถูกทำลายและฟื้ นฟูขึ้นมาใหม่นับครั้งไม่ถ้วน
แม้จะเป็นมูยองก็เสี่ยงที่รับความเสียหายระดับนี้เข้าไป ยังไงก็ตามมูยองไม่ยอมแพ้ เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อรับ
ฟัง'เรื่องราวความเจ็บปวดของมัน'จนจบ
'ฉันรู้จักคนแบบนี้'
มูยอง
ชื่อที่ไม่ใช่ของเขาตั้งแต่แรก
ชื่อเดิมของเขาคือ ยูยอง
ถ้าเขาไม่ได้พบกับมูยองตัวจริง เขาคงจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่ระหว่างฝึกฝนเป็นนักฆ่าแล้ว
มูยองรู้ดีว่าหากอยากให้คริมสันบาร็อคสบายใจก็ต้องรับความโกรธแค้นของมันให้ได้
หลังจากที่รับการโจมตีของมันไปไม่รู้เป็นจำนวนเท่าไหร่แน่ชัด
ก๊าซ! กรรรร….
คริมสันบาร็อคทรุดตัวลงกับพื้น และส่งเสียงคร่ำครวญ
เสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
มูยองเดินเข้าไปหามันใกล้ๆ
มูยองถูกผลักดันไปจนถึงขีดจำกัด พลังเวทย์ของเขาหมดลงแล้ว และตอนนี้รู้สึกราวกับร่างของตนแทบปริแตก ยัง
ไงก็ตามเขายังอยากบอกอะไรกับมัน
"แกไม่ได้อยู่ตามลำพัง"
<คริมสันบารร็อคได้รับอิทธิพลจากผู้ใช้มูยอง>
<เอฟเฟกต์ 'สหายจิตวิญญาณ'ถูกขยายจาก B+ เป็น S+ >
<ความสามารถของคริมสันบาร็อคเพิ่มขึ้นอย่างมาก>
<คริมสันบาร็อคได้รับความสามารถใหม่ 'ผูกวิญญาณ'>
<การผูกวิญญาณ ให้ผลเช่นเดียวกับการประทับความทรงจำของลูกไก่ โดยมันจะพิจารณาสิ่งมีชีวิตแรกที่มันเห็น
เป็นแม่ของมัน ความสามารถของคริมสันบาร็อคจะเพิ่มขึ้นอย่างมากหากผู้ที่ประสบความสำเร็จในการผูกวิญญาณ
อยู่ใกล้ๆ>
<ข้อมูลโดยรวมของคริมสันบาร็อคกำลังแสดงผล>
<เลเวลรวม : 785>
พละกำลัง 910(700+210) ความว่องไว 845(650+195)
ความอึด 910(700+210) ความฉลาด 715(550+165)
ภูมิปัญญา 715(550+165) ความต้านทานเวทย์ 780(600+180)
พลังเวทย์ 780(600+180)
+พันธมิตรวิญญาณ (ความสามารถทั้งหมด+15%)
+การรู้จำเบื้องต้น (ความสามารถทั้งหมด+15%)
เสียงสาปแช่ง (S), ดาบโลหิต (S++), คลื่นโลหิต (S+), โค่นทำลาย (S+),
บ้าคลั่ง (S+++, เปิ ดใช้งานในสถานการณ์พิเศษเท่านั้น)
ทักษะที่สามารถใช้ได้ + ต้านทานคุณสมบัติทั้งหมด (+80%)
พวกมันล้วนเป็นสเตตัสที่ยอดเยี่ยม
แม้จะไม่มีสเตตัสเพิ่มเติมอีก แต่พลังแค่นี้ก็ใกล้เคียงกับเบซองมินแล้ว
ใครจะคากคิดว่าสเตตัสพื้นฐานจะมีแบบที่เพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ด้วย?
ทักษะหรือกระทั่งสเตตัสพื้นฐานไม่มีอะไรที่ไร้ประโยชน์เลย
ที่เลเวลระดับนี้แม้แต่เอนโรธยังต้องกลัว เขากล้าพูดได้เลยว่านี่เป็นมอนสเตอร์ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
มูยองยิ้มอย่างพึงพอใจ
"ตอนนี้แกเป็นอิสระแล้ว"
เป็นครั้งแรกในระยะเวลายาวนานที่มูยองเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้ เขาแทบจะไม่รู้สึกถึงร่างกายของตัวเองแล้ว นั้นเป็น
เพราะร่างของเขาถูกทำลายและฟื้ นฟูใหม่จำนวนนับครั้งไม่ถ้วน
Krrah?
คริมสันบาร็อคตกใจ บางทีมันอาจะรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
สติของเขาเริ่มพร่าเลือน มูยองพูดคำสุดท้ายก่อนจะหลับตาลง
คำพูดที่ทำให้ทุกอย่างในตัวของคริมสันบาร็อคเปลี่ยนไป
“ฉันเชื่อใจแก”
ฟุบ!
ราชาแห่งความตายดูถูกและหัวเราะเยาะมูยองอยู่ในใจ
'ถึงเจ้าจะสร้างบางอย่างที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมออกมา แต่ก็...'
มันไม่คิดว่าตัวเช่นนี้จะถูกสร้างออกมาได้ มูยองสร้างคริมสันบาร็อคขึ้นมาจาการผสมผสานทุกความอาฆาตแค้น
มอนสเตอร์เอกลักษณ์ซึ่งอาจจะปรากฏขึ้นมาหรือไม่ก็ได้ เช่นเดียวกับไคเมร่า
ยังไงก็ตามปัญหาเกิดขึ้นจากจุดนั้น
กรรรร!!
คริมสันบาร็อคไม่เชื่อฟังเจ้านายของมันเลย
ผลงานที่ไม่เชื่อฟังตนเอง
ในการแข่งขันศิลปะแห่งความตายมันย่อมเป็นความลำบากใจของเจ้านายที่ได้สร้างสัตว์ประหลาดเช่นนี้ออกมา ยัง
ไม่พอเจ้านั้นยังปล่อยมันให้ชกตีตัวเองอีก
'เสียสติไปแล้ว'
เขารับการโจมตีโดยไร้ซึ่งการต่อต้านใดๆ ไม่สำคัญว่าเลเวลของเขาจะเป็นเท่าไหร่ แต่รับการโจมตีเช่นนั้นไม่ต่าง
จากฆ่าตัวตาย
‘ข้าคือผู้ชนะในศึกครั้งนี้’
ราชาแห่งความตายเลิกมองไปยังทิศทางของมูยอง
แม้จะเป็นชัยชนะที่ไม่เหมาะสมกับมันเท่าไหร่ เพราะมันแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่มันจะปฏิเสธได้
ในขณะที่เจ้าเสียสตินั่นเดินทางไปสู่ความตายอย่างสมัครใจ มันก็แค่เก็บเกี่ยวชัยชนะไปอย่างไม่ต้องรีบร้อน
ไม่นานหลังจากนั้น มันก็สร้างผลงานของตัวเองเสร็จ
เปลวเพลิงก่อตัวขึ้นเป็นสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง
วูมมมมมมม! วูมมมมมมม!
เทพแห่งเปลวเพลิงที่มันต้องการสร้างรูปร่างเป็นแบบนี้งั้นหรือ?
ไฟก่อตัวขึ้นราวกับภูเขาไฟที่ยังคุกกรุ่น มันคือการวมตัวของแก่นแท้และจิตวิญญาณแห่งเปลวเพลิง และยังเป็นการ
ผสมผสานกันอย่างลงตัวของมอนสเตอร์ธาตุไฟ
ยังไงก็ตามมันไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดา สิ่งที่ถูกสร้างออกมากระทั่งเปลวเพลิงในขุมนรกก็ยังเทียบไม่ได้
'เปลวเพลิงที่สามารถผลาญทำลายได้ทุกสิ่ง'
ราชาแห่งความตายพึงพอใจอย่างมาก ระดับความสำเร็จอยู่ในสามอันดับแรกสำหรับสิ่งที่เขาเคยสร้างขึ้นมา ยังไง
ก็ตามเท่าหากมองในเรื่องของความบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเทียบได้ นี่เป็นเปลวเพลิงที่รุนแรงที่สุดซึ่งสามารถเผาผลาญ
ได้ทุกคุณลักษณะ
'พวกมันบอกว่าเฮอเรสเทพปี ศาลแห่งเปลวเพลิงถูกดับทำลายด้วยเปลวเพลิงของเดียโบลงั้นเหรอ?'
เขาคิดถึงเรื่องนั้น แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ปกครองดินแดนทางเหนือ แต่เขาก็ตระหนักดีถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกปี ศาจ
โดยเฉพาะสิ่งที่ดึงดูดเขาได้อย่างแน่นอนเช่นการปรากฏตัวของเดียโบล
เป็นไปได้ไหมที่จะทำลายเพลิงของเทพด้วยเปลวเพลิง?
อย่างไรก็ตามเขาคิดว่ามันเป็นไปได้ในขณะที่กำลังจ้องมองสิ่งที่ตนเพิ่งสร้างขึ้น
‘เปลวเพลิงที่ได้รับการเสริมพลังจนถึงขีดสุด เปลวเพลิงอันบริสุทธิ์ที่พร้อมจะบดขยี้ทุกเปลวเพลิงที่มีระดับต่ำกว่า'
ระดับความสำเร็จนี้ไม่มีศัตรูไหนที่จะต้องกลัวอีก
ไม่ว่าสัตว์ประหลาดที่เจ้านั้นสร้างขึ้นมาจะน่ากลัวเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเดรัจฉานแห่งเปลวเพลิง
ตัวนี้
ราชาแห่งความตายรู้อยู่แล้วว่ามันจะไม่พ่ายแพ้
สำหรับมันที่ฝึกฝนทักษะศิลปะแห่งความตายมาหลายร้อยปี ย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับใครบางคนที่มีระดับการ
ฝึกฝนต่ำกว่าตน
"...ข้าเชื่อเช่นนั้น"
ราชาแห่งความตายหันไปมองศัตรูของมัน
'มันจบแล้วสินะ'
ในขณะนั้นมูยองล้มลงอยู่ที่พื้นแล้ว
ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างแท้จริง เจ้าก้อนคำสาปนั้นไม่มีทางเชื่อฟังผู้ที่สร้างมันขึ้นมา มันเป็นแค่มอนสเตอร์
ที่เต็มไปด้วยคำสาปแช่งและความอาฆาตแค้นเท่านั้น
แม้แต่ราชาแห่งความตายก็เคยเป็นเช่นนี้หลายครั้ง และผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิมตลอด การสาปแช่งตัวเองและสาปแช่ง
โลกจะนำไปสู่การทำลายตัวเองในที่สุด แต่นั่นคือหลังจากทำลายทุกสิ่งในบริเวณใกล้เคียงเรียบร้อยแล้ว
มันไม่มีทางควบคุมได้ ราชาแห่งความตายมั่นใจ
'เจ้านั่นจะถูกสังหาร'
'ถ้าล้มลงนั่นคือจุดจบ'
ในขณะที่เหนื่อยล้าเช่นนั้นเขาย่อมไม่สามารถฟื้ นฟูตัวเองได้ แค่ถูกบาร็อคธรรมดาเหยียบตอนนี้ เขาก็จะตายอย่าง
ช้าๆโดยไม่สามารถทำอะไรได้ นั่นเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม....
ควับ!
คริมสันบาร็อคหันหลังให้มูยอง
ตึง ตึง!
จากนั้นมันก็เดินตรงไปยัง 'เดรัจฉานเพลิง' ของราชาแห่งความตาย
"อะไรกัน?"
น่าเหลือเชื่อ เจ้านั้นสามารถควบคุมมอนสเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นจากความอาฆาตแค้นได้งั้นเหรอ?
แม้แต่คนบ้าก็ยังต้องฉุกคิด แน่นอนว่าราชาแห่งความตายได้ปรับการประเมินมูยองใหม่ในระดับที่สูงขึ้น
ยังไงก็ตามเป็นเวลาประมาณ 10 ชั่วโมงแล้วที่บาร็อคถูกสร้างขึ้นอย่างไร้การควบคุม การที่มูยองเพิ่งจะควบคุมมัน
ได้เอาตอนนี้ระดับความสำเร็จต้องอยู่ในระดับต่ำแน่นอน
"จัดการเผามันซะเดรัจฉานเพลิง อย่าให้เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน"
ฟูมมมมมมมมมมม!
เดรัจฉานเพลิงขยายเปลวไฟของมันจนสามารถปกคลุมรอบๆร่างของศัตรู
ฟิ่ วววววววววววว!
คริมสันบาร็อคพุ่งสวนโจมตีเข้าไปทันทีนั้น!
ปังงงงงงงงง!
เดรัจฉานเพลิงรับการโจมตีของคริมสันบาร็อคเอาไว้ได้
พื้นดินปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่
คริมสันบาร็อคหาได้เกรงกลัวเปลวไฟของเพลิงเดรัจฉานไม่ ตรงกันข้ามมันกลับเข้าจับส่วนคอของศัตรูด้วยสองมือ
ก่อนจะอ้าปากกัดลงไปเต็มแรง
ฟูมมมมมมมมม! ฟูมมมมมมมมม!
เปลวเพลิงลุกโชนมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เพลิงเดรัจฉานได้กลืนกินร่างของคริมสันบาร็อคไปแล้ว
ยังไงก็ตามไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆของคริมสันบาร็อค ทว่าแขนของเพลิงเดรัจฉานกลับถูกกัดจนขาด
เมื่อการต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้น ร่างของคริมสันบาร็อคก็เริ่มเกิดการระเบิดเนื่องจากไม่สามารถทนต่อความร้อนที่
สูงจนน่ากลัวได้
ก๊าซซซซซ!
คริมสันบาร็อคปล่อยเสียงกรีดร้องรุนแรงจนทำให้เปลวเพลิงที่ลุกโหมกระหน่ำถูกพัดหายไปด้วยความเดือดดาล
จากเสียงกรีดร้องนั้น!
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
หลังจากส่งเพลิงเดรัจฉาลงไปกองกับพื้น คริมสันบาร็อคก็กวัดแกว่งหมัดไปทั่วราวกับเสียสติ
หมัดที่กระแทกลงสู่พื้นแต่ละครั้งทำให้ผืนดินสั่นสะเทือน จนสิ่งของต่างๆที่ถูกเสริมสร้างด้วยพลังเวทมนตร์ใน
พื้นที่แห่งนี้เริ่มพังทลาย
ราชาแห่งความตายถึงกับยืนงงโดยไม่สามารถทำความเข้าใจได้ สิ่งที่บาร็อคแสดงอยู่ตอนนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามู
ยองร้ายกาจเพียงใด หากวัดจากพลังของมันจะบอกว่าคริมสันบาร็อคเป็นเทพปี ศาจที่แข็งแกร่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“… ได้ยังไงกัน”
เลือดไหลออกมาจากมือของคริมสันบาร็อคก่อตัวขึ้นเป็นดาบโลหิตสองเล่ม มันใช้ดาบทั้งสองกระหน่ำฟันไปที่
เดรัจฉานเพลิงอย่างบ้าคลั่ง
ราชาแห่งความตายไม่เคยเห็นฉากที่น่าสยดสยองเช่นนี้มาก่อน ทั้งๆที่มันเป็นแค่มอนสเตอร์ที่เกิดจาการรวมตัวของ
การสาปแช่ง แต่มันกลับทำตามความต้องการของมูยองได้จนถึงที่สุด
คริมสันบาร็อคหยุดลงหลังจากที่ร่างของเดรัจฉานเพลิงถูกบดขยี้ฉีกเป็นชิ้นๆและหัวของมันถูกตัดออก
ก๊าซซซซซซ h!
เสียงกรีดร้องแห่งชัยชนะ
ทุกอย่างจบลงในพริบตา
คิงธ์ออฟเดอะเดธ ราชาแห่งความตายเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเลื่อนลอย
“มันเป็นไปได้ยังไง….กัน”
บทที่ 268. ตัวตนเหนือธรรมชาติ (End)
หลังจากเดธลอร์ดออกจากพื้นที่แห่งความมืดมิด เขาก็โลดแล่นอยู่ในโลกปี ศาจอยู่พักหนึ่ง และได้เจอกับ ‘ราชาแห่ง
ความตาย’
หลังจากเรียนรู้ทักษะจากเขาราชาแห่งความตายก็สามารถสร้างรากฐานจนกลายเป็นตัวตนเหนือธรรมชาติได้ ยังไง
ก็ตามราชาแห่งความตายกลับไม่สามารถมีอิทธิพลต่อจิตใจของเดธลอร์ดได้เลย
'นี่คือสิ่งที่เจ้าเห็นใช่ไหมคิงสเลเยอร์?'
เส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคของมูยอง ที่ทั้งแตกต่าง อันตราย และผิดแปลกไปจากผู้อื่น
ยังไงก็ตามเดธลอร์ดมองเห็นความเป็นไปได้บางอย่างจากเขา มันเป็นบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นหรือรู้สึกมาก่อน แต่เขา
กลับเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นมูยอง
เป็นไปได้ว่าคิงสเลเยอร์เองได้ตระหนักถึงด้านนี้ของมูยองตั้งแต่แรก
ดังนั้นคิงสเลเยอร์จึงเดิมพันความหวังทั้งหมดของเขาไปที่มูยอง
มูยองคือตัวตนที่มีความเป็นไปได้อันไม่รู้จบ….
ไม่ใช่ความเป็นอันเดธ สิ่งที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือแก่นแท้ของคริมสันบาร็อค แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาจากความ
แค้นและคำสาป แต่กลับมีพลังชีวิตที่ท่วมท้นไม่ต่างจากมนุษย์
มันมีพลังชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมันกำเนิดจากสิ่งที่มีพลังหยินสุดขีดตั้งแต่เริ่มต้น?
ราวกับฟื้ นขึ้นจากความตาย เดธลอร์ดในอดีตต้องการสรรสร้างชีวิตที่แท้จริง แต่เขาก็ต้องสิ้นหวังเพราะไม่สามารถ
ทำให้มันเป็นไปได้ พร้อมกันนั้นเขาก็สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป อย่างไรก็ตามวิธีของมูยองทำให้เขาได้เห็น
การเริ่มต้นใหม่
เดธลอร์ดรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอนว่ามีวิธีการเช่นนี้อยู่
‘สร้างชีวิตขึ้นจากความตาย สร้างเรื่องราวของพวกมันขึ้นมา’
เดธลอร์ดสั่นสะท้าน
คริมสันบาร็อคอยู่ในระดับที่แตกต่างจากอันเดดอื่นๆที่มูยองสร้างไว้จนถึงตอนนี้
มันเป็นผลงานศิลปะที่แท้จริงซึ่งสร้างขึ้นโดยมูยอง ผู้ที่บรรลุถึงขั้นกึ่งเทพและพบการรู้แจ้งมากมาย
นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดูง่าย แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้มันไม่เคยง่ายเลย
‘บางที….’
อย่างไรก็ตามทุกสิ่งไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะถึงนั่นจะเป็นจุดแข็งแต่มันก็เป็นจุดอ่อนเช่นกัน
ถ้าเพิ่มประสบการณ์ของเดธลอร์ดเข้าไปด้วย มูยองจะได้รับพลังแห่งความตายและพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่แท้จริง
เดธลอร์ดมั่นใจว่าด้วยความสามารถของมูยองเขาจะต้องไปไกลกว่าระดับของตัวเองได้
มูยองจะต้องสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนที่เดธลอร์ดไม่สามารถไปถึงได้แน่ๆ!
“ ท่านอาร์ทานาส! การดวลครั้งนี้ถือเป็นความผิดพลาด วิธีการของเขาทั้งชั่วร้ายและหยาบกระด้าง ด้วยความเคารพ
ข้าขอให้ท่านพิจารณาการต่อสู้ใหม่ด้วย”
ราชาแห่งความตายร้องขอเมื่ออันเดธของตนพ่ายแพ้
เขายืนยันว่างานศิลปะของมูยองไม่ถูกต้อง
'ข้าใช้พลังแห่งความตายได้ถูกต้องที่สุด และสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้ยอดเยี่ยม'
ราชาแห่งความตายรู้ดีว่าเดธลอร์ดย่อมกำลังมองเข้ามาในพื้นที่นี้อยู่
จริงๆแล้ว…ราชาแห่งความตายเหมือนเดธลอร์ดมาก พวกเขาเปรียบเสมือนเป็นพวกอนุรักษนิยม ไม่ชอบทำอะไร
แปลกใหม่ และด้วยเส้นทางเดียวกันข้อจำกัดของเขาจึงชัดเจนมาก
ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ราชาแห่งความตายไม่ชอบออกไปนอกขอบเขตของตน เขารู้สึกพึงพอใจแล้วกับการปกครองดิน
แดนทางเหนือ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเดธลอร์ดถึงไม่สนใจราชาแห่งความตายจนกระทั่งถึงตอนนี้ แล้วมูยองล่ะ?
'เผชิญหน้าและรับชัยชนะ'
นั่นคือแรงดึงดูดที่มูยองมีโดยธรรมชาติ
- ผู้ชนะและผู้แพ้ได้รับการพิจารณาแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่ยอมจำนนวิญญาณของเจ้าจะถูกแผดเผา แล้วถูกข้าทำให้กลาย
เป็นหุ่นเชิด-
ราชาแห่งความตายสั่นสะท้าน เพราะวิญญาณของเขาอยู่ในเงื้อมมือของเดธลอร์ด
- จงติดตามเขา แล้วเจ้าจะรู้ว่าทำไมถึงได้พ่ายแพ้-
“ ท่านคิดว่าเขาจะเป็นผู้ที่ทำให้เกิดศิลปะขึ้นสูงสุดอย่างนั้นหรือ”
-ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่ยังมีโอกาส-
เดธลอร์ดได้ยอมรับมูยอง
เรื่องที่คิงสเลเยอร์ฝากความหวังไว้กับมูยองตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
มีเพียงมูยองเท่านั้นที่สามารถดูแลความไร้เหตุผลนี้ได้
ท่ามกลางความสับสนนี้ ในเวลาเดียวกันเดธลอร์ดก็เข้าใจข้อจำกัดของตัวเอง
อันที่จริงแล้วเดธลอร์ดไม่สนใจเลยว่าโลกนี้จะถูกทำลายหรือไม่
สิ่งที่เดธลอร์ดต้องการเห็นคือศิลปะระดับสูงสุด ได้เห็นดินแดนที่เขาไปไม่ถึง! เขาแค่อยากเห็นมูยองเข้าสู่อาณาจักร
แห่งนั้น
'ตามที่สัญญา ข้าจะมอบทุกอย่างที่มีให้แก่เจ้า'
เดธลอร์ดกระแทกไม้เท้าที่นำออกมาจากความมืดลงกับพื้น
ในเวลาเดียวกันแก่นแท้ และวิญญาณของเขาก็ทะลุผ่านพ้นออกจากความมืด พุ่งเข้าไปในร่างของมูยอง
วูมมม!
ร่างของเดธลอร์ดกลายเป็นเพียงฝุ่ นผงก่อนจะกระจัดกระจายหายไป
ห้องของเขาที่อยู่ในความมืดมิดก็หายไปเช่นกัน
มูยองลืมตาขึ้น
‘รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาก’
แม้ว่าร่างของเขาจะฉีกขาดออกจากกันหลายครั้ง แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังอันท้วมท้นทันทีที่ลืมตา จริงๆแล้วเขารู้สึก
กระทั่งแข็งแกร่งกว่าเดิม
“เจ้าตื่นแล้ว”
มูยองอยู่ในวิหารของเกรโมรี่ รวมทั้งราชาแห่งความตายเองก็อยู่ที่นั่นด้วย
ถัดจากเขาคือคริมสันบาร็อคซึ่งกำลังมองมายังตนเช่นเดียวกัน
มันดูมีความสุขที่มูยองตื่นขึ้น บางทีอาจเป็นผลเนื่องมาจาก"การประทับความทรงจำ"
อย่างไรก็ตามสิ่งแรกที่ต้องทำคือคุยกับราชาแห่งความตาย เพราะความจริงที่ว่าคริมสันบาร็อคยังอยู่ที่นี่โดยไม่บุบ
สลาย ย่อมหมายความว่ามูยองได้รับชัยชนะจากการดวล
“ ข้าแพ้แล้ว คริมสันบาร็อคที่เจ้าสร้างขึ้นนั้นอยู่เหนือจินตนาการขอข้า แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมรับความ
พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงหรอกนะ”
“แล้วอะไรคือเหตุผลที่คุณรอผมตื่น”
“ เดธลอร์ดกล่าวว่า เมื่อติดตามเจ้าจะทำให้ข้าเข้าใจในสิ่งที่ตนเองไม่มี ดังนั้นข้าจะติดตามเจ้าจนกว่าข้าจะเข้าใจสิ่ง
นั้น"
ราชาแห่งความตายอาสาที่จะติดตามเขาแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เอ่ยปาก
มันช่างเป็นการเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดคิด เพราะนั่นหมายความว่าราชาแห่งความตายยอมจำนนแล้ว
ทว่ามูยองยังไม่มั่นใจจึงเอ่ยบางสิ่งเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
“ ผมกำลังจะทำสงครามกับเหล่าเทพปี ศาจนะ คุณยังจะติดตามผมอยู่ไหม”
“ เทพปี ศาจงั้นรึ พวกนั้นทำให้ข้าตกใจยังไม่ได้เลย”
ราชาแห่งความตายกล่าวอย่างไม่ไยดี ราวกับว่าเขาไม่เกรงกลัวเหล่าเทพปี ศาจจริงๆ
เขาเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
มูยองพูดขณะที่ยิ้ม
“ ถ้างั้นก็ยินดีต้อนรับ”
หนึ่งในสี่ของตัวตนเหนือธรรมชาติ
บทที่ 269 ตัวตนเหนือธรรมชาติ (จบ. พาส 2)
ตอนนี้คิงธ์ออฟเดอะเดธ ราชาแห่งความตายผู้ปกครองดินแดนเหนือได้เข้าร่วมกับมูยองแล้ว ข่าวการเข้าร่วม
สงครามของเขาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าตัวตนเหนือธรรมชาติอื่นๆย่อมเป็นกลุ่มแรกที่รับรู้
“ท่านราชามังกร”
แกรนด์การ์เด้นซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนทางตะวันตก ดราก้อนลอร์ดฮันซุงพร้อมกับเบซองมินเดินทางไปพบคิงธ์ออฟ
เดอะดราก้อน
ร่างขนาดมหึมายกศีรษะหันไปมองที่เบซองมิน
- เจ้าเดินทางมาพร้อมกับอันเดธ-
“ท่านคงทราบข่าวที่ราชาแดนเหนือตัดสินใจเข้าร่วมสงครามแล้ว ผู้ที่ราชาแดนเหนือยอมติดตามอยู่ก็คือนายของคน
ผู้นี้”
“กระผมชื่อเบซองมิน”
เบซองมินแสดงความเคารพด้วยท่าทางที่เหมาะสม เพราะไม่ว่าอย่างไรตัวตนเหนือธรรมชาติก็ถือครองอำนาจพลัง
ที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชาแห่งมังกร...เขาเป็นผู้ปกครองที่สามารถเรียกระดมมังกรทั้งหมดออกมาสู้ได้ และ
นั่นทำให้เขากลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาตัวตนเหนือธรรมชาติ อย่างไรก็ตามราชามังกรไม่เคย
แทรกแซงเรื่องราวในโลกใบนี้
- เจ้าต้องการให้ข้าเข้าร่วมสงคราม และสู้กับเหล่าเทพปี ศาจ -
ราชาแห่งมังกรมองความต้องการของเบซองมินออกตั้งแต่แรก เนื่องจากไม่มีเหตุผลอื่นใดที่เบซองมินจะเยี่ยมเขา
เช่นนี้ และเบซองมินเองก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน
“ถ้าได้คุณเข้ามาช่วยในสงคราม เห็นได้ชัดว่าย่อมมีประโยชน์อย่างมากในการกำจัดเหล่าเทพปี ศาจ”
- ข้าต้องรักษาสมดุลเอาไว้ ดังนั้นข้าถึงไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยวกับโลก -
“ ความสมดุลถูกทำลายไปนานแล้ว พวกมันต้องการกำจัดเผ่าพันธุ์อื่นๆทั้งหมดรวมถึงเผ่ามังกรด้วย”
เว้นแต่เขาจะเข้าสู่สงคราม นั่นหมายความว่าทุกเผ่าพันธุ์รวมถึงเผ่าพันธุ์มังกรที่สูงส่งและยิ่งใหญ่จะถูกทำลายล้าง
ถึงจะนับว่าเป็นภัยคุกคามแต่ราชามังกรก็ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ
- ข้าไม่เคยเกรงกลัวพวกมัน -
“นักล่ามังกรเลราเจถูกสังหารแล้ว และผู้ที่สังหารมันก็คือนายของกระผมเอง”
เลราเจเทพปี ศาจแห่งสงคราม นอกจากเก่งกาจในการทำสงครามแล้ว มันยังเป็นเทพปี ศาจที่มีชื่อเสียงในการล่า
มังกร
มูยองได้สังหารศัตรูตัวฉกาจของเหล่ามังกรไป
- น่าแปลก นายของเจ้าเป็นผู้กำจัดเลราเจงั้นรึ? -
แม้แต่ราชาแห่งมังกรก็ไม่อาจทราบความเป็นจริงในทุกข่าวสาร
“ ข่าวเดิมคือโซโลมอนเป็นผู้กำจัดมัน แต่นั่นไม่ใช่ความจริง มันเป็น'ข่าวปลอม'ที่เจ้านายของกระผมแพร่กระจาย
ออกไปโดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสับสนให้กับเทพปี ศาจฝ่ ายพันธมิตร”
- มีหลักฐานยืนยันเรื่องราวของเจ้าหรือไม่ -
วูม!
เบซองมินหมุนไม้เท้าของเขาหนึ่งครั้งในอากาศ จากนั้นสนามเวทย์มนตร์ก็ก่อตัวขึ้น ก่อนที่แขนขนาดใหญ่จะ
ปรากฏออกมาบนพื้นที่ว่างเปล่า
ราชามังกรพูดขึ้นหลังจากเห็นสิ่งนั้น
- นั่นคือแขนของเลราเจ -
“ นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้านายของกระผมเป็นผู้กำจัดมัน และเก็บรักษาแขนข้างนี้ไว้สำหรับใช้ในโอกาสพิเศษเช่นนี้”
ตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้กับเลราเจ มูยองก็นึกถึงเรื่องของราชามังกร ดังนั้นแขนข้างหนึ่งจึงถูกเก็บรักษาไว้เอาจน
กระทั่งมันถูกนำออกมาแสดงที่นี่
“ ท่านราชามังกร! ถึงนักล่ามังกรจะไม่มีอีกแล้ว แต่กลุ่มเทพปี ศาจหัวรุนแรงของฝ่ ายพันธมิตรที่สามารถเป็นภัย
คุกคามต่อทุกชีวิตทุกเมื่อยังคงอยู่ ดังนั้นเจ้านายของกระผมจึงต้องการแรงสนับสนุนจากราชาแห่งมังกรเช่นท่าน”
“ข้าก็ขอร้องท่านด้วยเช่นกัน”
ฮันซุงเจ้าแห่งมังกรคุกเข่าลง
หลังจากได้ยินสิ่งที่เบซองมินกล่าว ฮันซุงก็รู้สึกพุ่งพล่านจนอยากเข้าร่วมกองกำลังด้วย
เขาสัมผัสได้ถึงทิศทางลมที่กำลังจะเปลี่ยนโดยสัญชาตญาณ ในอดีต ฮันซุงเคยยืนอยู่แนวหน้าเพื่อชัยชนะของ
มนุษยชาติ หากยังมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับชัยชนะ เขาก็พร้อมที่จะเดิมพันทุกอย่าง
ราชามังกรตกอยู่ในความเงียบงัน
ถึงแม้การตายของเลราเจจะทำให้เขาพึงพอใจมาก และเขายังพร้อมที่จะมอบของขวัญมากมายให้แก่เจ้านายของเบ
ซองมินสำหรับการสังหารเลราเจ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที เพราะมันยังคงมีความเสี่ยง เขาต้อง
ใช้เวลาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนซ้ำๆก่อน
จากนั้นฮันซุงก็นำเศษดาบจำนวนหลายชิ้นออกมาจากเสื้อคลุม
“ ท่านราชามังกร ข้าได้รับคำสั่งจากท่านให้ตามหาเจ้าของดาบเล่มนี้พร้อมกับมังกรแห่งแสงเชลดันตั้นยังจำหรือ
ไม่?”
-ข้ายังจำได้ ข้าเป็นผู้สั่งให้เจ้าตามหาเจ้าของดาบเล่มนั้นเป็นการส่วนตัว -
“ ข้าพบเขาแล้ว แต่ร่องรอยของเขากลับไม่มีอีกต่อไปแล้ว”
- เจ้าหมายความว่าไง? -
“ อัศวินแห่งความรุ่งโรจน์ผู้สูงศักดิ์ถูกสังหารแล้วโดยตัวตนที่แข็งแกร่งมาก…ตัวตนที่สามารถหมุนเปลี่ยนกาลเวลา
และพื้นที่ได้ ข้าสามารถกู้คืนสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นของเขาได้เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น”
จากนั้นเขาก็นำชุดเกราะที่แตกร้าวออกมา
ราชาแห่งมังกรจ้องมองมันอย่างเงียบๆ
ดวงตาของราชาสั่นไหวเล็กน้อยขณะที่มองไปที่มัน
-เขาตายไปแล้ว?-
“ข้าไม่สามารถสัมผัสการมีอยู่ของท่านอัศวินแห่งความรุ่งโรจน์ได้ แต่ข้ารู้บางสิ่งระหว่างการตรวจสอบ ข้าพบงาน
วรรณกรรมจากการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับนักปราชญ์เกี่ยวกับความจริงที่ว่าเขาและท่านมีความสัมพันธ์กัน”
ฮันซุงก้มหัวลงมากกว่าเดิม
“ ยังไงก็ตามอัศวินผู้นั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ข้าไม่รู้ว่าเขาต่อสู้เพื่ออะไร แต่ข้ารู้จักใครบางคนที่กำลังสานต่อ
พลังและภารกิจของเขา”
- จงพูดมาว่าใครคือคนผู้นั้น-
ฮันซุงพูดและชี้ไปที่เบซองมิน
“ มูยองเจ้านายของเขา”
ฮันซุงยังพูดต่อไม่หยุด
“เป็นไปได้ว่าอัศวินแห่งความรุ่งโรจน์อาจต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้ องโลกใบนี้ แล้วตอนนี้ผู้ที่สืบทอดทุก
สิ่งจากเขากำลังอยู่กลางสนามรบ เราต้องระดมพลให้เร็วที่สุด ท่านราชาเรามีเวลาไม่มากแล้ว”
ความสัมพันธ์ของราชามังกรกับอัศวินแห่งความรุ่งโรจน์นั้นลึกซึ้งมาก
แม้ว่าฮันซุงจะไม่ได้เอ่ยถึงมัน แต่ราชาแห่งมังกรเป็นหนึ่งในสัตว์ร้ายที่ได้รับการเลี้ยงดูจากอัศวิน
แม้ว่าชะตากรรมของราชาแห่งมังกรคือการปกครองเหล่ามังกร แต่การจากไปของอัศวินก็เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับ
ราชาแห่งมังกรเช่นกัน และในที่สุดราชาแห่งมังกรก็ต้องตัดสินใจ
- เจ้าบอกว่ามูยองใช่ไหม? ข้าจะไป พบเขา –
บทที่ 270 สงครามเทพปี ศาจ (1.1)
ดราก้อนลอร์ดฮันซุง และเมอร์ลิน
การปรากฏตัวของพวกเขาล้วนทรงอิทธิพลในด้านการเป็นตัวแทนของสัญลักษณ์ทางการเคลื่อนไหว พวกเขากำลัง
ช่วยกันรวบรวมผู้คน
เรื่องราวของ 'พันธมิตรใหญ่ 'ที่ประกาศอย่างเป็นทางการจากมูราลันได้แพร่กระจายไปไม่ต่างจากการลุกลามของ
ไฟป่ า และมันส่งผลให้ผู้คนต่างปรารถนาอย่างท้วมท้นที่จะ 'โค่นล้มเทพปี ศาจ'
กระทั่ง คิมแทฮวาน ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองหัวหน้ากิลด์จรัสแสงก็เป็นหนึ่งในผู้ที่นำกำลังพลเดินทางมาด้วย
“ เป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่จริงๆ”
“ ขนาดคนจากเมืองคุนจาก็ยังมาเข้าร่วมตั้งเยอะเลย”
“ ซออึนแซหัวหน้าผู้บัญชาการเป็นคนกุมอำนาจที่แท้จริงสินะ...พวกเขาบอกว่าแม้แต่เหล่าตระกูลผู้ปกครองของมู
ราลันก็ยังทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการอย่างเงียบๆ ”
“ เธอดูสวยจริงๆว่ามั้ย”
“ ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่งแหละน่า!”
“ เบาๆหน่อยเธออาจจะได้ยินนะ!”
ทุกคนที่กำลังติดตามคิมแทฮวานพูดคุยกันเรื่อยเปื่ อย
คิมแทฮวานเดินไปที่ด้านหน้าของพวกเขาสำรวจกองกำลังทั้งหมดอยู่พักหนึ่ง
'จำนวนคร่าวๆสามล้านคน'
3 ล้านคน! และมันเป็นจำนวนของผู้ที่สามารถต่อสู้ได้เท่านั้นยังไม่รวมประเภทอื่น
ผู้คนจำนวนมากพากันเดินขบวนไปที่เนินเขา ไม่เคยมีสถานที่ไหนเคยมีมนุษย์มากขนาดนี้รวมตัวกันมาก่อนใน
ประวัติศาสตร์
‘มันดูง่ายเกินไปราวกับว่ามีใครกำลังจัดการอยู่ '
กองกำลังพันธมิตรได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่าทุกคนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด
เป็นพลังของเมอร์ลินหรือเปล่า? หรือบางทีอาจเป็นเพราะดราก้อนลอร์ดฮันซุง และมูราลันก็เข้าร่วมด้วย
“ หัวหน้า ผมได้ยินมาว่าไม่ใช่แค่มนุษย์ที่เข้าร่วมต่อสู้ในสงครามครั้งนี้”
ออกจากภวังค์ความคิดของตน คิมแทฮวานมองไปยังชายที่เดินเข้ามาพูดด้วย
เขาพูดกับชายคนนั้นเบาๆแต่ทว่าชัดเจน
“ ใช่แล้วพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่บอกว่าสงครามครั้งนี้ไม่ใช่แค่สงครามของเรา”
“ ถ้างั้นก็หมายความว่าทุกคนมารวมตัวกันในอาณาเขตของเทพปี ศาจ มันจะเป็นกับดักหรือเปล่า? เผ่าพันธุ์ต่างๆที่
เพิ่งพบกันครั้งแรกจะร่วมมือกันได้จริงๆเหรอ?”
เป็นข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล ความคืบหน้าเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ไม่มีใครรู้ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นในภายหลังหรือไม่
เมอร์ลินได้พูดความจริงหลายประการเกี่ยวกับโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพิสูจน์เรื่องการระดมพลของเทพปี ศาจ และ
ความหย่อนยานของมนุษย์ที่จะต่อต้าน ทุกเรื่องผลักดันให้เกิดการตอบสนองอย่างรวดเร็ว แทนที่จะเห็นแก่
ประโยชน์ส่วนตน สาเหตุที่ยิ่งใหญ่และการอยู่รอดกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด
ยิ่งไปกว่านั้นหากเทพปี ศาจระดมกำลังอย่างแท้จริง พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์คงจบสิ้นแน่หากยังไม่ร่วม
มือกัน
“ ถ้าสิ่งที่พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่พูดเป็นความจริงก็มีเวลาไม่มากแล้ว และมันคงไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเพราะพระสันตะปาปา
กับมูราลันเป็นผู้นำสำหรับเรื่องพวกนี้”
มูราลันและสมเด็จพระสันตะปาปาที่ยึดมั่นในคำพูดของพระเจ้าได้ได้ประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาขอการ
สนับสนุนจากเกรทซิตี้และเขตคุนจา นอกเหนือจากนั้นประกาศอย่างเป็นทางการยังถูกส่งไปยังเมืองเล็กๆ
จำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อรวบรวมผู้คน
หากใครไม่ยอมเข้าร่วมจะกลายเป็นคน"นอกคอก" ในสายตาคนอื่นทันที นั่นทำให้ทุกคนมารวมตัวกันมากมายดั่ง
แม่น้ำที่ไหลไปบรรจบกันที่ท้องทะเล และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน
กึก!
“หยุด!”
มีสัญญาณมาจากแถวด้านหน้า
“ พวกเรากำลังจะเข้าสู่ดินแดนเทพปี ศาจ ขอให้ทุกคนรักษาขบวนทัพเอาไว้ให้ดี อย่าลดการป้ องกันลงเป็นอันขาด!”
ดินแดนเทพปี ศาจเป็นสถานที่ต้องห้าม ที่ที่ไม่มีใครกล้าก้าวย่างเข้าไป สถานที่ที่เทพปี ศาจและเผ่าปี ศาจกำลังออก
อาละวาด มันยังคงเป็นสถานที่ลึกลับสำหรับมนุษย์ และเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ทุกชนิดอาศัยอยู่
ในอดีตมีการเดินทางเข้ามาที่นี่หลายสิบครั้ง แต่ทุกครั้งก็ต้องประสบกับความล้มเหลว เว้นแต่จะเป็นทีมสำรวจที่มี
ผู้นำที่แข็งแกร่ง นอกจากนั้นจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป
“ ให้ตายเถอะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนนี้เราอยู่ในดินแดนเทพปี ศาจ”
“ ถ้าฉันตายไปซะก่อน อย่าลืมฝังฉันในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงนะ”
พวกเขาก้าวไปข้างหน้าฝ่ าทางเดินที่เต็มไปด้วยอากาศอันหนาทึบ ทุกคนต่างระวังสิ่งรอบข้างโดยไม่มีใครกล้าละทิ้ง
การป้ องกัน เพราะข้อมูลเกี่ยวกับมอนสเตอร์ของที่นี่มีน้อยมากรวมถึงทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... เช่นในขณะนี้
ตึง! ตึง! ตึง!
แผ่นดินสั่นสะเทือน
ด้านหลังของฝุ่ นคละคลุ้งมีบางอย่างพุ่งเข้าหากองกำลังสำรวจ และไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง จำนวนของพวกมันมี
มากกว่าหนึ่งหมื่น!
“ เตรียมตัวสู้!”
“ เตรียมตัวสู้!”
ชิ้ง! ชิ้ง!
ทุกคนต่างเตรียมพร้อมสำหรับอาวุธของตน
“ เป็นการต้อนรับที่ดีจริงๆนะ”
“ ข้างหน้านั่นมัน...ไฟทาร์ใช่ไหม!?”
“ ยักษ์ไฟ? ไฟทาร์ เยี่ยมมาก”
ไฟทาร์อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร
เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าพื้นที่ใกล้กับที่ซึ่งไฟทาร์อาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆมักจะถูกทำลายลง
เนื่องจากไฟทาร์มีสติปัญญาสูง จึงทำให้พวกมันเป็นศัตรูที่รับมือได้ยากลำบาก
และตอนนี้ ที่นี่มีไฟทาร์จำนวนนับหมื่นตัว
“ เอ่ย หัวหน้า นี่เราจะตายทันทีที่มาถึงหรือเปล่า”
“ อย่าเพิ่งยอมแพ้ มนุษย์แข็งแกร่งอยู่แล้วหากร่วมมือกัน”
คิมแทฮวานสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
ถูกต้อง มนุษย์จะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพวกเขารวมตัวกัน ทักษะและกลยุทธ์เฉพาะทางของแต่ละคนจะถูกนำมาใช้ นั่น
เป็นความแตกต่างจากเผ่าพันธุ์หรือสัตว์ประหลาดอื่นๆ
และขณะนี้มีกองทหารชั้นยอด 3 ล้านคนมารวมกัน พวกเขาย่อมสามารถเผชิญหน้ากับไฟทาร์จำนวนหนึ่งหมื่นตัว
ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าความทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บล้มตายจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ระหว่างที่มนุษย์กำลังตึงเครียด...ไฟทาร์ก็หยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
พอฝุ่ นเริ่มจางลง...ก็พบว่ามีเลือดเปรอะเปื้ อนอยู่เต็มร่างกายของพวกมันราวกับว่าเพิ่งมาจากการต่อสู้
“ เมอร์ลิน! ยินดีที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง”
ไฟทาร์ที่อยู่หน้าสุดเรียกชื่อเมอร์ลิน
พอลอยตัวขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับไฟทาร์ เมอร์ลินก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ โอการ์ขออภัยที่ทำให้คุณต้องออกเดินทางมาซะไกล”
“ ฮ่าฮ่า!เรื่องเล็กน้อย แล้วก็ข้าทำความสะอาดเส้นทางที่เจ้าจะต้องเดินผ่านแล้วคงไม่ไม่เป็นปัญหาอะไรหากเจ้าจะ
เดินทางต่อไป ว่าแต่มีมนุษย์ติดตามมาจำนวนมากทีเดียว!”
โอการ์มองไปที่กลุ่มมนุษย์
ขนาดเฉลี่ยของไฟทาร์อยู่ที่ประมาณ 10 เมตร ฉากที่พวกมันรวมตัวกันเป็นหมื่นเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีใครเคยเห็นมา
ก่อน
“แล้วใครเป็นตัวแทนของเผ่ามนุษย์?”
โอการ์ที่หัวเราะเสียงดังก้าวไปข้างหน้า
ตุบ!
ดราก้อนลอร์ดฮันซุงกระโดดลงมาจากมังกรแห่งแสงเซลดัลตั้น
เขาสวมหมวกและเกราะนักรบสีทองที่สังเกตได้จากระยะไกล ข้างกายของเขามีมังกรสองตัวอยู่ พวกมันคือมังกร
แห่งแสงเซลดัลตั้น กับมังกรปี ศาจอากิสะ
“ ผมชื่อฮันซุง”
“ มนุษย์ที่ฝึกมังกรได้ถึงสองตัวงั้นหรือ? ไม่พอยังเป็นมังกรระดับสูงอย่างมังกรแห่งแสงกับมังกรปี ศาจอีกด้วย”
พลังเวทย์มนตร์และระดับของมังกรจะถูกจำแนกตามอายุ
มังกรโบราณอยู่ที่จุดสูงสุด นั่นเป็นที่รู้กันว่าพวกมันหายากมากและหนึ่งในนั้นแข็งแกร่งกว่ามังกรธรรมดาประมาณ
ห้าตัว ดังนั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝึกมังกร แต่ฮันซุงงฝึกพวกมันได้ถึงสองตัว
"ผมก็แค่โชคดีเท่านั้น"
“ถ้างั้นมันคงไม่ได้เป็นแค่โชคดีธรรมดา…ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม”
ขณะที่ฮันซุงตอบอย่างถ่อมตัว โอการ์ก็แนะนำตัวเองด้วยความภูมิใจ
"ยินดีที่ได้เจอ ข้าคือโอการ์ หัวหน้าเผ่าของเหล่าไฟทาร์”
บทที่ 271 สงครามเทพปี ศาจ (1.2)
เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของคนแคระ รอบๆปราสาทอันสวยงามดังกล่าวเต็มไปด้วยเอลฟ์ ที่
ถือธนูเป็นอาวุธอยู่รอบๆ เกี่ยวกับผู้พิทักษ์แห่งผืนป่ าอย่างเผ่าเอลฟ์ ว่ากันว่าพวกเขาสามารถควบคุมวิธีของลูกธนูได้
ดั่งใจนึก หากได้เอลฟ์ มาคุ้มกันรอบๆปราสาทแบบนี้ย่อมไม่มีใครสามารถเข้าไปได้โดยง่าย
'คนแคระกับเอลฟ์ ร่วมมือกัน'
คิมแทฮวานช่วยไม่ได้ที่จะต้องตกตะลึง
ทุกคนรู้กันดีว่าเอลฟ์ และคนแคระเป็นศัตรูกัน อย่างไรก็ดีไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลยสำหรับที่นี่ และที่โดดเด่นที่สุด
ก็ไม่พ้นเป็นตัวของปราสาทเองที่ใหญ่โตมากเสียจนสามารถสร้างบ้านหลังขนาดปกติอยู่ในอาณาบริเวณได้ราว 3
ล้านหลัง มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถกระทำได้แม้จะมีแรงงานมากมายเพียงใด และที่ความใหญ่โตระดับจะเรียก
มันว่าเป็นเมืองๆหนึ่งก็คงไม่รู้สึกติดขัด
จุดที่สังเกตเห็นได้อีกอย่างคือ ออร์คที่ยืนเฝ้ าอยู่ด้านนอกของตัวปราสาท
'ก็อบลิน และออร์คสงคราม...!'
ไม่ใช่แค่ออร์คธรรมดาทั่วไป แต่เป็นถึงออร์คสงครามที่มีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์อายุ 15 ปี ผิวสีแดงของมันอาจ
เพราะเกิดมาเพื่อทำสงครามโดยเฉพาะ
ด้วยออร์คสงครามที่เฝ้ าอยู่ทางทิศตะวันออก ในขณะที่ก็อบลินเฝ้ าทางตะวันตก ทำให้การป้ องกันของปราสาทแห่ง
นี้ยิ่งน่ากลัว
"เอ่อหัวหน้า พวกมันจะไม่จับพวกเรากินใช่ไหม?"
"ฉี่ของฉันจะเล็ดออกมาอยู่แล้ว"
"หมดกันความกล้าหาญของฉัน"
ลูกน้องของคิมแทฮวานเป็นที่รู้จักกันดีว่าร่าเริงสนุกสนาน แต่ตอนนี้พวกเขากำลังรู้สึกกังวลเพราะโดนความโอ่อ่า
ใหญ่โตของปราสาทครอบงำ
'สร้างปราสาทแบบนี้ขึ้นได้ในดินแดนเทพปี ศาจได้ยังไง?'
ใครที่อาศัยอยู่ที่นี่และเป็นผู้สร้างปราสาทดังกล่าว?
คิมแทฮวานที่เข้าสู่ปราสาทผ่านทางเข้าพูดขึ้นอย่างช้าๆ
"เผ่าอื่นๆมารวมกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว"
"ยังกับฝันไปเลยนะหัวหน้า"
"อ่า..."
ทุกคนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ทุกสิ่งที่เห็นเปรียบเสมือนเรื่องที่มีอยู่แต่ในความคาดหวังเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์ ก็อบลิน คนแคระ ไฟทาร์ ออร์ค
และโอเกอร์ แม้แต่มอนสเตอร์พิเศษอย่างมนุษย์หิมะ หรือมนุษย์กิ้งก่าก็อยู่ที่นี่เช่นกันแม้จะมีจำนวนน้อยก็ตาม
พวกมันก็มองดูมนุษย์ด้วยความสนใจเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามสายตาที่มองไม่มีความเป็นศัตรูใดๆ หากเป็นยาม
ปกติทุกคนคงจะสู้กันไปแล้ว แต่พอทุกชีวิตมีจุดประสงค์เดียวกันก็ไม่มีรูปลักษณ์ของความเกลียดชังหรือความ
ก้าวร้าวเกิดขึ้น
ใครมีบางคนกล่าวต้อนรับเหล่ามนุษย์ที่กำลังเดินทางมา
“ยินดีต้อนรับเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย! ข้ามีนามว่ากริซาเนลเล่ ”
“อืมจำนวนน้อยกว่าที่คิดไว้เสียอีก อ่อข้าบาร์ทัส”
คนหนึ่งที่พูดเป็นเอลฟ์ ที่สง่างาม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนแคระที่สวมมงกุฎอยู่บนหัว
กริซาเนลเล่ราชินีแห่งเผ่าเอลฟ์ และบาร์ทัสราชาแห่งเผ่าคนแคระ!
ชื่อเสียงของพวกเขาโด่งดังมากจนแม้แต่มนุษย์บางคนยังรู้จัก นั่นเป็นเพราะเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขามักถูกบันทึก
ลงในสมุดของนักสำรวจคนต่างๆอยู่เสมอ
“ยินดีที่ได้เจอพวกคุณเช่นกัน”
ผู้ปกครองของแต่ละเมืองพร้อมกับฮันซุงออกมาทักทาย
ซออึนแฮจากเมืองคุนจา ไฮซินท์นักบุญของมูราลันและตัวแทนของพระสันตะปาปา และหัวหน้ากิลด์จรัสแสงบา
ฮามุดห์ซึ่งเป็นตัวแทนของเมืองเกรทซิตี้! พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นคนที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริงในเรื่อง
ของความแข็งแกร่ง ในขณะที่ตัวแทนแต่ละแห่งกล่าวคำทักทายสั้นๆเสร็จเรียบร้อย กริซาเนลเล่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
"ทุกท่านโปรดวางอาวุธลงก่อน ตอนนี้เชิญพักผ่อนกันได้ เผ่าเอลฟ์ ของเราจะนำทางพวกคุณไปเอง"
หลังจากนั้นเพียงครู่ เบื้องหลังของราชินีก็เต็มไปด้วยเอลฟ์ สาวที่สวยงาม และนั่นย่อมไม่มีใครปฏิเสธเอลฟ์ สาวเผ่า
พันธุ์ที่มีมาตรฐานเรื่องความสวยงามซึ่งเดินมาพร้อมกับรอยยิ้มได้
การพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็น แต่เหล่าผู้นำยังมีสิ่งที่ยังต้องทำ ใช้เวลาพักเพียงไม่นานทุกคนก็จัดการประชุมกันขึ้นทันที
ณ ห้องประชุมบาลตันอยู่ที่นี่
"ผมชื่อบาลตัน เป็นตัวแทนของนายท่านสำหรับการประชุมครั้งนี้"
“ตัวแทน? เจ้าของอาณาเขตไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
บาฮามุดห์ที่เป็นหัวหน้ากิลด์จรัสแสงถาม เขาต้องการเจอกับเจ้าของอาณาเขตผู้ที่สร้างปราสาทและรวบรวมเผ่า
พันธุ์ต่างๆเอาไว้ ไม่ใช่ตัวแทน
บาลตันขมวดคิ้ว
"นายท่านออกไปทำธุระเรื่องอื่นชั่วคราว"
"เรื่องอื่นงั้นเหรอ? ทำเอาฉันประหลาดใจเลย มีเรื่องไหนที่สำคัญกว่าทำสงครามกับเทพปี ศาจอีก"
ฟังดูก็รู้ว่าเป็นคำพูดที่ถากถาง แต่บาลตันไม่ตอบสนองอะไร
“ เจ้าของอาณาเขตเดินทางไปพบเหล่าเทพปี ศาจแล้ว และกำลังสร้างความสับสนให้พวกมันอยู่”
จากนั้นโอการ์ก็พูดแทรกขึ้น เขาก็อยู่ร่วมการประชุมครั้งนี้เช่นกันในฐานะตัวแทนของเผ่าไฟทาร์
"คุณโอการ์ งานของนายท่าน..."
ขณะที่บาลตันถามอย่างร้อนใจ โอการ์ก็พยักหน้า
"ข้ารู้ ข้าแค่อยากให้ทุกๆคนรับรู้ด้วยว่านายของเจ้าทำงานหนักยิ่งกว่าใครๆทั้งหมดในสงครามเทพปี ศาจ"
"ถ้างั้นนายของท่าน...จะกลับมาเมือ่ไหร่?"
ไฮซินท์เปิ ดปากเล็กๆของเธอ เธอมาในนามของประสันตะปาปา แน่นอนว่าทันทีที่เธอมาถึงที่นี่ เธอก็ได้กลิ่นของ
เขารุนแรงเป็นพิเศษในปราสาทหลังนี้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ถึงเธอจะเคยชินกับการรอคอย แต่เหมือนเธอ
จะเริ่มทนไม่ไหวแล้ว
"ข้าก็ไม่รู้ แต่ยิ่งเราเคลื่อนไหวเร็วเท่าไหร่เขาก็จะปรากฏตัวขึ้นเร็วเท่านั้น"
"ถ้างั้นเราจะเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุด คงดีกว่าที่เราจะโฟกัสไปที่เรื่องสำคัญ มากว่าเรื่องของคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่"
ขณะที่ไฮซินท์ยิ้มเบาๆบรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พลังแห่งมนต์เสน่ห์ที่เธอใช้นั้นเหนือจินตนาการ ทั้งพระ
สันตะปาปาและมูราลันล้วนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดของเธอ
บาลตันลุกขึ้นจากที่นั่งถือหินอ่อนหลายลูก
"ก่อนอื่น ผมจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับเป้ าหมายแรกของเรา"
วูม!
พอเขาฉีดเวทมนตร์เข้าไปในหินอ่อน ภาพของบางอย่างก็ปรากฏขึ้น
มันเป็นรูปร่างของมอนสเตอร์ขนาดใหญ่คล้ายแรด
“เป้ าหมายแรกของเราคือเทพปี ศาจลำดับที่ 40 ราอุม เงื่อนไขดับทำลายของมันคือทำลายเมืองของมันซะ”
"นายคิดว่าเราจะสู้เทพปี ศาจได้จริงๆเหรอ?"
ซออึนแซเอ่ยถามขึ้นครั้งแรก
บาลตันพยักหน้า
"พลังของมันจะลดลงอย่างรวดเร็วหากเราลายเมืองของมันได้"
"นายไปเอาข้อมูลแบบนั้นมาจากไหน?"
"เจ้านายของผมกับเมอร์ลินเป็นคนหาข้อมูลมา"
ออสการ์ที่แสดงเป็นเมอร์ลินยิ้มแห้งๆ
เจ้าของอาณาเขตแห่งนี้คือมูยอง และมูยองทราบเรื่องพวกนี้มาจากความทรงจำของดันดาเลี่ยน แผนของมูยองคือให้
พวกเขาจัดการเทพปี ศาจอ่อนๆ ถึงแม้ว่ามันเหล่านั้นจะยังยากสำหรับสำหรับพวกเขาที่จะเผชิญ
แม้ว่าความมั่นใจส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นเพราะมีเมอร์ลิน แต่ซออึนแซก็ยังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าเป็นแบบนั้น มันต้องพยายามปกป้ องเมืองแน่นอน”
"มีราชาปี ศาจ 8 ตนที่เป็นสมุนของราอุม และมีปี ศาจ 5 ล้านตัวอยู่ในเมือง ถึงแม้ว่าจำนวนของพวกเราจะมากกว่าแต่
เราก็คงสู้มันไม่ได้"
"แล้วนายพอมีวิธีในการทำลายเมืองของมันไหม?"
“ทุกคนต้องทำสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด”
เอลฟ์ มีความรวดเร็วในการโจมตี
คนแคระมีความแข็งแกร่งในการโจมตีจากระยะกลาง
ออร์คขึ้นชื่อเรื่องความกล้าบ้าบิ่น
ก็อบลินนั้นยอดเยี่ยมในด้านมนต์ดำหรือการโจมตีด้วยธาตุ
ไฟทาร์เป็นยักษ์ใหญ่ที่รู้จักกันดีว่าเป็นพ่อมดแห่งการไล่ล่า
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีมนุษย์ที่เหมาะสำหรับการใช้ยุทธวิธีหรือแผนการลับต่างๆ นอกจากนี้พวกเขายังมีทักษะ
มากมายที่พร้อมจะเป็นผู้สนับสนุนที่ดี นั่นหมายความว่าพวกเขาจะมีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อในสงครามกอง
โจร ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์อื่นๆให้สูงสุด
ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยระดมพลกันขนาดนี้ ถ้าทำแบบนี้กันตั้งแต่แรกพวกเขาย่อมสามารถเผชิญหน้าได้กับทุกสิ่ง
เผ่าพันธุ์ปี ศาจเชื่อในพลังของตนเท่านั้น พวกมันย่อมไม่เคยเผชิญหน้ากับ ‘ตัวแปร’ มากมายเช่นนี้ และตัวแปรเหล่า
นี้เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งก็คือทุกคนที่มารวมตัวกันที่ปราสาทแห่งนี้
บทที่ 272-273 สงครามเทพปี ศาจ (2)
ฟื้ ว
เสียงลมพัดหวีดหวิวผ่านดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย
ที่นี่มีศพของแมลงพิษนับไม่ถ้วนเต็มผืนดิน และที่จุดศูนย์กลางของพวกมันมีมนุษย์ครึ่งสัตว์ล้มลงอยู่ตรงนั้น
สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มีร่างกายท่อนบนเป็นช้าง และท่อนล่างเป็นมนุษย์ดังกล่าว คือบูเน่
เทพปี ศาจลำดับที่ 26 หนึ่งในสมาชิกของฝ่ ายพันธมิตร
“ เอ่อ…เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร…?”
ร่างของบูเน่เริ่มสลายกลายเป็นฝุ่ น เมื่อมันเข้าสู่สภาวะการดับสูญ ในขณะที่มูยองและคริมสันบาร็อคยืนอยู่ตรงหน้า
นั้น
‘ถ้ำแมลง’ เป็นสถานที่ที่บูเน่ใช้กินอาหาร และข้อมูลเหล่านี้มีอยู่ในความทรงจำของดันดาเลี่ยน
เงื่อนไขการดับสูญของมันก็คือต้องกินแมลงสองครั้งในปี หนึ่งๆ ด้วยเหตุนี้บูเน่จึงปรากฏที่นี่ ในความทรงจำของ
ดันดาเลี่ยนยังบอกไว้อีกว่ามันจะปรากฏตัวเพียงลำพังเท่านั้นเนื่องจากมันไม่ไว้วางใจสมุนตนใด
“ กลิ่นเหม็นรุนแรงเสียจริง ”
มูรุมูรุกุมจมูกยืนอยู่ด้านหลัง มันอยู่ที่นี่พร้อมกับมูยองเพื่อจัดการบูเน่
ตึบ!หลังจากนั้นที่มูรุมูรุกระทืบบูเน่ซ้ำ ทำให้ความเร็วในการสลายร่างเร็วขึ้น
“เจ้าพวกแมลงสาบชั้นต่ำ! พวกแกจะต้องถูกท่านบาอัลลงโทษ…!”
กล่าวจบบูเน่ก็หายไปอย่างสมบูรณ์
ตึงๆ! ตึงๆ!!คริมสันบาร็อคทุบหน้าอกของตัวเอง
มูยองพาคริมสันบาร็อคมาด้วยเพราะมันมีประโยชน์ในการต่อสู้ เนื่องจากระดับพลังของคริมสันบาร็อคเพิ่มขึ้นเกิน
ระดับของราชาปี ศาจไปแล้ว ดังนั้นมันจึงสามารถสร้างความเสียหายระดับหนึ่งให้กับเทพปี ศาจได้เช่นกัน
มูยองหยิบแมลงขนาดใหญ่จากบริเวณใกล้เคียงโยนเข้าปากคริมสันบาร็อค
‘มันกินได้ทุกอย่าง’
ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่การไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารถือเป็นเรื่องดี และบางทีมันอาจจะคิดว่าการได้กินเป็น
รางวัลจึงกรีดร้องอย่างมีความสุข
“ แค่บาร็อคธรรมดายังเกือบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเชื่อว่าสัตว์ประหลาดเช่นนี้ยังคงหลงเหลืออยู่”
มูรุมูรุพูดพลางพยักหน้า
ราชาปี ศาจไม่สามารถฆ่าบัลร็อกที่แข็งแกร่งได้ เทพปี ศาจที่เข้ายึดครองโลกแห่งนี้จึงไล่ล่าพวกมัน และคริมสันบา
ร็อคนั้นดูจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบาร็อคทั้งหมด
ในที่สุดมูรุมูรุก็มองไปที่มูยองแล้วถามอีกครั้ง
“ถ้ำแมลงของบูเน่มีตั้งมากมายแล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นถ้ำแห่งนี้?”
“ก็แค่โชคดีน่ะ”
มูยองอธิบายสั้นๆง่ายๆ ก่อนจะยื่นแขนออกไปแล้วดูดกลืนหนึ่งใน 'พลัง' ของบูเน่
<พลังนักล่ากำลังดูดกลืนพลังของบูเน่>
<คุณได้ดูดซับ 'พลังแมลง' แล้ว>
<'พลังแมลง' เป็นพลังพิเศษของบูเน่ ซึ่งช่วยในการควบคุมแมลงภายในรัศมี 100 กม. และได้รับการมองเห็นผ่าน
พวกมัน>
ดูเหมือนจะเป็นพลังที่ไร้ประโยชน์ เพราะเทพปี ศาจสามารถสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของแมลงแม้กระทั่งสัตว์ที่
อยู่ห่างไกลอยู่แล้ว แต่ยังไงซะการมีหูมีตามากๆก็ดีกว่าไม่มี แม้รัศมีการมองเห็นจะมีเพียง 100 กม. ก็ตาม
นอกจากนั้นยังมีหน้าต่างโผล่ขึ้นมาอีกหลายบาน ที่แสดงให้เห็นว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นเมื่อเขาสังหารบูเน่
อย่างไรก็ตามมันดูน้อยเทียบกับตอนที่สังหารเลราเจ
‘บูเน่ไม่ได้เด่นเรื่องการทำสงคราม’
บูเน่จัดเป็นเทพปี ศาจสายสติปัญญา และนั่นเป็นเหตุผลที่มูยองต้องกำจัดมันก่อน และการที่มีมูรูมูรุอยู่ด้วยจึง
เป็นการต่อสู้ที่ง่ายมาก
“ แค่โชคดีเนี้ยนะ? เจ้าคิดว่านั่นเป็นคำอธิบายที่ดีแล้วงั้นหรือ?”
มูรูมูรูกล่าวว่ากลับมาเล็กน้อย
แน่นอนว่าความสามารถในการค้นหาถ้ำแมลงนั้นถือเป็นของมูยอง หลังจากค้นหาโดยใช้ความทรงจำของดันดา
เลี่ยนแล้ว มูยองก็สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชี่ยวชาญด้านการลอบเร้นเข้าไปสืบเรื่องเวลาที่เหมาะสม และตรวจสอบ
ข้อมูลอยู่หลายครั้ง หลังจากการวิเคราะห์เสร็จพวกเขาก็หาตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้สูงเจอ แม้โอกาสจะยังเป็น
50:50 แต่ก็สูงพอที่จะเดิมพัน อย่างไรก็ตามเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดเหล่านั้นให้มูรุมูรุรับรู้
มูยองเดินไปโดยไม่สนใจมูรุมูรุ
‘การกำจัดบูเน่ที่เป็นเหมือนแหล่งข้อมูลข่าวสารไม่ต่างจากการตัดแขนตัดขาของพวกมัน'
การที่เทพปี ศาจกำลังระดมพลอย่างช้าๆ จะต้องเกิดข่าวลือมากมาย ตัวอย่างเช่น กองกำลังของฝ่ ายปฏิปักษ์ และตัว
ตนเหนือธรรมชาติที่กำลังรวมตัวกัน ข้อมูลเช่นนี้ย่อมทำให้พวกมันต้องเคลื่อนไหว
‘ยังไงก็ตามพวกมันไม่รู้จักเบซองมิน ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างอิสระ’
มูยองเปิ ดศึกสองด้าน
ตัวเขาเองกำลังเคลื่อนไหวอยู่กับเทพปี ศาจฝ่ ายปฏิปักษ์ ส่วนเบซองมินกำลังระดมอย่างอิสระเพื่อรวมทุกเผ่าพันธุ์เข้า
ด้วยกัน เป้ าหมายการโจมตีแรกของพวกเขาคือเทพปี ศาจลำดับที่ 40 ราอุม
มูยองแอบมองมูรุมูรุอย่างลับๆ
‘มูรุมูรุ’ มันได้รับเลือกให้จับตามองมูยอง เพราะไม่ว่ามูยองจะแสดงจุดยืนดีมากแค่ไหนพวกมันก็ไม่อาจไว้วางใจ
และจำเป็นต้องมีหลักประกัน
อย่างไรก็ตามมูยองไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเขาจึงรักษาระยะห่างได้อย่างเพียงพอ
“ จริงๆแล้วการกำจัดบูเน่ก็ยังมีปัญหาตามมา เพราะการหายไปของมันอาจทำให้ศัตรูของเราเคลื่อนไหว"
มูรุมูรุหัวเราะเบาๆราวกับมีความสุขอย่างแท้จริง
สำหรับมูยองแล้วเขาไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามูรุมูรุจะอยู่ฝ่ ายปฏิปักษ์จริงๆ
มูรุมูรุ, เกรโมรี่, โพเนียส, ซิทรี, แอสโมดาย
หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นสายลับอย่างแน่นอน และบางทีอาจมีมากกว่าหนึ่ง มูยองต้องป้ องกันไม่ให้มันส่งข้อมูลที่มาก
เกินความจำเป็นออกไปให้ศัตรู ตัวอย่างเช่นภารกิจของเบซองมิน หรือข้อมูลเกี่ยวกับพลังของตัวเอง
‘มันน่าจะยังไม่ทันสังเกตว่าฉันสามารถดูดกลืนพลังของบูเน่ได้’
มูยองกำลังสังเกตปฏิกิริยาของมูรูมูรู
เขารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนที่ได้ดูดซับพลังอำนาจของเลราเจ ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่รู้ว่ามูยองสามารถครอบครองพลัง
อื่นได้ และนี่เป็นข้อมูลสำคัญ เพราะมันหมายความว่ามูยองสามารถใช้พลังได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ตอนนั้นเองจู่ๆมูรุมูรุยกมือขวาขึ้น
มันสามารถสื่อสารกับใครก็ตามที่ประทับสัญลักษณ์พิเศษโดยการยกมือขวา ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกลแค่ไหน มัน
เป็นความสามารถที่มีประโยชน์อย่างมากในการถ่ายทอดข้อมูล สำหรับสายลับคงไม่มีเครื่องมือใดที่ดีไปกว่าความ
สามารถนี้
ในไม่ช้ามันก็ลดมือลงและพูดขึ้น
“ เกรโมรี่กำจัดฟี เนกซ์แล้ว ”
ฟี เน็กซ์ เทพปี ศาจลำดับที่ 37 มันเป็นผู้ที่ดูแลเกี่ยวกับกลยุทธ์ ดูเหมือนว่าการโจมตีพร้อมกันของเทพปี ศาจทั้งสี่รวม
ถึงเกรโมรี่จะประสบความสำเร็จ
ตอนนี้ แผนในขั้นตอนแรกดำเนินไปด้วยดี
‘การโจมตีครั้งแรกสำเร็จแล้ว’
แต่ปัญหาคือต่อจากนั้นต่างหาก
เมื่อพวกมันทราบข่าวที่เทพปี ศาจฝ่ ายตนถูกสังหาร พวกมันจะต้องรวมตัวกันเพื่อวางแผนโต้กลับฝ่ ายปฏิปักษ์อย่าง
แน่นอน
"ไพม่อนคือเทพปี ศาจอีกตนหนึ่งที่ต้องกังวล"
เทพปี ศาจสายสติปัญญาอีกตนที่มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารเหมือนบูเน่
ชื่อของมันคือ ไพม่อน! ผู้เปิ ดเผยความลับ
อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร แม้แต่ดันดาเลี่ยนเองก็ดูเหมือนจะไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับไพม่อนมาก
นัก นั่นเป็นข้อบ่งชี้ว่ามันมีทักษะที่ช่วยให้ไม่ถูกตรวจพบที่ยอดเยี่ยม
‘เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด’
มีความเป็นไปได้ว่าตอนนี้ไพม่อนอาจจะนำข้อมูลเกี่ยวกับการดับสูญของบูเน่และฟี เนกซ์ไปบอกบาอัลเรียบร้อย
แล้ว
บาอัลคงจะรวบรวมกองกำลังและโจมตีเกรโมรีเป็นคนแรก เนื่องจากเธอเป็นผู้นำของฝ่ ายต่อต้าน
มันต้องรีบจัดการสิ่งต่างๆโดยเร็วแน่นอน เพราะตอนนี้มันไม่รู้ว่าโซโลมอนหายไปไหน
ปกติหากเทพปี ศาจฝ่ ายใดมีกองกำลังน้อยกว่าหรือเท่ากัน จะไม่มีการโจมตีกันเกิดขึ้น เพราะการบาดเจ็บเพียงครั้ง
เดียวในกองกำลังก็อาจเกิดหายนะได้
ดังนั้นพวกเขาต้องการศึกที่สามารถรับประกันชัยชนะได้เท่านั้น
มูยองลูบคางและคิด
การเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดที่มูยองสามารถทำได้หากบาอัลทราบข่าวจากไพม่อนและระดมพลนั่นก็คือ
‘การวางเหยื่อล่อ’
เพราะพวกมันไม่สามารถตัดโซโลมอนออกไปจากการวิเคราะห์ได้ ถ้างั้น….
‘เกรโมรี่’ เธอจะกลายเป็นเหยื่อในครั้งนี้
***
ณ กึ่งกลางของดินแดนเทพปี ศาจ
ดินแดนแห่งความตายที่เต็มไปด้วยสายฟ้ าฟาด และพายุอันไร้จุดสิ้นสุด
วิหารของเทพปี ศาจลำดับที่ 1 บาอัล อยู่ที่นั่น
วิหารที่ตั้งอยู่ฟ้ าซึ่งสามารถเข้าถึงได้ด้วยการปี นบันไดหลายหมื่นขั้น บาอัลมองลงไปที่โลกเบื้องล่างทำหน้าที่เป็นผู้
ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง
ในช่วงเวลาปกติ ไม่มีใครอื่นที่นี่นอกจากบาอัล อย่างไรก็ตามตอนนี้มีเทพปี ศาจหลายกลุ่มกำลังมองหาผู้ที่พวกมัน
กำลังเข้าพบอย่างเป็นทางการอยู่
บาอัลนั่งลงบนบัลลังก์แห่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ มองลงไปยังเทพปี ศาจที่ได้แต่คุกเข่าแหงนหน้ามองขึ้นมา และไพ
ม่อนเองก็อยู่ที่นี่ เมื่อยู่ต่อหน้าบาอัล ไพม่อนจะใช้ร่างจริงๆแทนที่จะใช้ร่างวิญญาณเหมือนทุกที
“ ท่านบาอัล จากการที่ฝ่ ายปฏิปักษ์ระดมกำลังอย่างจริงจัง ข้าได้ข้อมูลยืนยันการเสียชีวิตของบูเน่แล้ว”
“ แค่บูเน่เท่านั้นหรือ?”
ราวกับเขารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว ด้วยดวงตาแหลมคมที่มองลึกเข้าไปในจิตใจของไพม่อน ทำให้ไพม่อนต้องหยุดชั่ว
ขณะก่อนจะพูดต่อ
“ กองกำลังของเกรโมรี่ และเทพปี ศาจฝ่ ายตรงข้ามได้รับการยืนยันแล้ว คาดการณ์ว่าจุดหมายปลายทางของพวกมัน
คือฟี เนกซ์”
“ เราไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้”
“ ข้าเห็นด้วย”
บาอัลมั่นใจว่าฟี เนกซ์คงไม่รอด อย่างไรก็ตามเขายังไม่ละสายตาจากไพม่อน
“ ยังมีอะไรที่เจ้าซ่อนอยู่อีกหรือไม่ไพม่อน?”
“ ข้าไม่ได้ซ่อนอะไรจากท่าน”
“ ข้ารู้ขีดจำกัดพลังของเจ้าดีว่าเจ้าไม่สามารถเปิ ดเผยความลับของเหล่าเทพได้ ยังไงก็ตามหากเกี่ยวข้องกับ "คนผู้
นั้น" เจ้าต้องบอกข้าทุกเรื่อง "
'คนผู้นั้น'ก็คือโซโลมอน
“เขาอยู่ในที่ที่ไม่มีใครสามารถอยู่ได้”
ไพม่อนตอบทันทีราวกับเตรียมการไว้ล่วงหน้า จริงๆแล้วไพม่อนเฝ้ าดูโซโลมอนอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่สามารถ
พูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย
ถ้าเขาจะพูดถึงโซโลมอน เขาต้องพูดเรื่องการต่อสู้ของคิงสเลเยอร์ด้วย และโดยธรรมชาติแล้วเรื่องของซาโลมอนที่
ถูกกักขังไว้ในกาลเวลาจะถูกเปิ ดเผย ซึ่งหากเขาเปิ ดเผยความลับนั้นๆ ไพม่อนอาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตของตน
เอาไว้ได้ และเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เว้นแต่จะมั่นใจอย่างหนึ่ง โซโลมอนรู้ว่าไพม่อนกำลังเฝ้ าดู
ตนเองอยู่ และนั่นอาจเป็นกับดักที่โซโลมอนวางไว้
"ข้าจะเชื่อเจ้าแล้วกัน"
จากนั้นบาอัลก็ละสายตาจากไพม่อนไป
แม้จะบอกว่าไว้ใจแต่บาอัลเชื่อใจไพม่อนจริงๆงั้นเหรอ? ไพม่อนปฏิเสธในใจ และเมื่อไพม่อนไม่ไว้วางใจเทพ
ปี ศาจหรือแม้กระทั่งบาอัล เขาก็ไม่ได้รับความไว้วางใจจากใคร อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะบา
อัลเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง เหมือนโซโลมอน….
จากนั้นบาอัลก็มองไปที่เทพปี ศาจอื่นๆที่ตอนนี้มีเทพปี ศาจรวมกันอยู่ 11 ตน ถึงแม้ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรวมตัว
กันได้ แต่นี่ก็เป็นตัวเลขที่ดีสำหรับงานนี้
“ การโจมตีของฝ่ ายปฏิปักษ์เป็นที่คาดการณ์กันไว้อยู่แล้ว ว่าเมื่อ "เขา" ปรากฏตัวขึ้นจะต้องติดต่อกับฝ่ ายปฏิปักษ์
และยังมีความหมายเป็นนัยว่าตอนนี้เขายังอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์”
“ โซโลมอน….”
เทพปี ศาจแสดงสีหน้าประหม่า พวกมันรู้จักพลังของโซโลมอนดี อย่างไรก็ตามบาอัลซึ่งอยู่ต่อหน้าพวกมันก็เป็นสิ่ง
มีชีวิตที่ทรงพลังไม่แพ้กัน
“ เขายังได้รับผลกระทบจากเลเมเกทัลอยู่ เขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆเกรโมรี่พร้อมกับเดียโบลอย่างแน่นอน”
เป็นจริงตามที่บาอัลกล่าว นั่นเป็นเพราะแม้แต่ไพม่อนก็เจอโซโลมอนในขณะที่กำลังจับตาดูเกรโมรี่
"หาเขาให้เจอแล้วจัดการซะ”
พึ่บ!
เทพปี ศาจลดศีรษะลง จากนั้นพวกมันก็หายตัวไปทันที
คำพูดของบาอัลถือเป็นคำขาด เมื่อเขาพูดอะไรออกไปทุกคนจะต้องทำตามนั้น ยังไงก็ตามมีหนึ่งคนที่ยังอยู่
“ เจ้ามีอะไรจะพูดงั้นหรือไพม่อน?”
“ การเคลื่อนไหวของตัวตนเหนือธรรมชาติดูเหมือนจะเป็นปัญหา”
“ อืม ข้าได้ยินมาว่าราชาทิศเหนือเข้าไปในแค้มป์ ของเกรโมรี่”
"ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ราชามังกร บุตรแห่งดวงจันทร์ และจ้าวขุนเขาทั้งหมดต่างเริ่มเคลื่อนไหวกันเองแล้ว”
ตัวตนเหนือธรรมชาติที่ปกครองสถานที่ต่างๆ ถือว่ายังเป็นภัยคุกคามต่อเทพปี ศาจ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกจับตาดูอยู่
เสมอ
“ เหล่าตัวตนเหนือธรรมชาติถูกโซโลมอนชักจูงด้วยงั้นหรือ?”
“ ไม่ มีอีกผู้หนึ่งที่กำลังรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน”
“ คนอีกผู้หนึ่ง?”
ไพม่อนหายใจเข้าลึก นี่ก็เป็นหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่
เนื่องจากมันผู้นั้นสามารถทำร้ายเขาได้ ซึ่งก็หมายความว่ามันอยู่ในระดับเทพเช่นเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้นเชื่อกัน
ว่าเขาเคยติดต่อกับ ‘จ้าวแห่งความมืด’ ด้วยซ้ำ
จากการเปิ ดเผยสิ่งนี้ไพม่อนจะถูกตรึงเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน อย่างไรก็ตามมันเป็นการเสียสละที่หลีกเลี่ยงไม่
ได้ที่เขาต้องทำเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยของบาอัล
“มันชื่อ มูยอง”
Chapter 274-275 สงครามเทพปี ศาจ (3)
ในเวลานี้มีกองกำลังกว่า 300,000 นายภายใต้การบังคับบัญชาของมูยอง และพอคิงธ์ออฟเดอะเดธเข้ามาร่วมด้วยเขา
ก็ได้กำลังเสริมที่แข็งแกร่ง ส่วนจำนวนทหารทั้งหมดของคิงธ์ออฟเดอะเดธปาเข้าไปเกือบ 5 ล้านนาย ยังไงก็ตาม
พวกเขารับคำสั่งของคิงธ์ออฟเดอะเดธเท่านั้น
พูดถึงความรวดเร็วนั้น มันมีความสำคัญอย่างยิ่งไม่ว่าจะอยู่ในสงครามไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทำสงคราม
กับเทพปี ศาจเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีความแตกต่างเล็กน้อยในการใช้กองทัพนี้ เนื่องจากต้องใช้ผู้บัญชาการถึงสองคน
แทนที่จะสามารถระดมพลได้ทันทีด้วยคำสั่งเดียวโดยตรง
ราชาแห่งความตายประหลาดใจที่เห็นเต็นท์ขนาดใหญ่ถูกกางขึ้นโดยมีมูยองที่ใช้เวทมนตร์ของเขาปิ ดกั้นรอบๆเพื่อ
ป้ องกันใครก็ตามที่อาจแอบฟังอยู่ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มูยองกำลังจะพูดหรือทำนั้นอันตรายเพียงใด
“ ผมอยากให้คุณสกัดเทพปี ศาจบางส่วนเอาไว้ ในระหว่างนั้นผมจะพยายามประนีประนอมกับหนึ่งในพวกมัน”
“ เจ้าพูดเหมือนจะทำได้ง่ายๆ”
ราชาแห่งความตายเย้ยหยัน
ประนีประนอมกับหนึ่งในเทพปี ศาจที่บุกเข้ามาโจมตี? แม้ว่ามันจะเป็นงานที่ยาก แต่มันจะเป็นประโยชน์อย่างไม่
น่าเชื่อหากทำได้สำเร็จ
คิงธ์ออฟเดอะเดธแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับเทพปี ศาจหนึ่งต่อหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าต้องมีเทพปี ศาจอย่างน้อยเจ็ดตน
ที่จะโจมตี และหากเป็นแบบนั้นทั้งมูยองและคิงธ์ออฟเดอะเดธจะตกอยู่ในอันตราย
"มันก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้”
มูยองยักไหล่
ถึงเขาจะเสียเปรียบ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีทาง
"เจ้ามีแผนงั้นหรือ?"
"ผมจะบอกให้คุณรู้เกี่ยวกับสายลับที่คอยปล่อยข้อมูลไปให้กลุ่มพันธมิตร"
มูยองจับตามองไม่ว่าจะเป็นทั้งในและนอกค่ายของฝ่ ายต่อต้าน กล่าวอีกนัยหนึ่งมูยองกำลังสืบสวนทุกคนไม่ใช่แค่
คนที่เฝ้ าดูเขา และเป้ าหมายเดียวของมูยองก็คือ…เพื่อตามหา ‘สายลับ’ คนที่ทำตัวเป็นนกสองหัวโดยให้ข้อมูลแก่
ทั้งฝ่ ายพันธมิตรและฝ่ ายปฏิปักษ์เพื่อเอาตัวรอด
“ เจ้าจะรั้งตัวมันไว้หรือ?”
“ ถ้ามันรู้ว่าเรารู้ มันจะย้ายข้างไปอยู่ฝ่ ายพันธมิตรทันที”
สิ่งที่สำคัญคือการเปิ ดเผยตัวตนของสายลับนั้น อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ต้องการให้พวกมันรู้ตัว เพื่อแผนการอัน
แยบยลดังนั้นจึงต้องแกล้งโง่เอาไว้ก่อน
“ อืม....แล้วสายลับผู้นั้นคือใคร”
“ เทพปี ศาจทั้งสี่ยกเว้นเกรโมรี”
"…เจ้าว่าอะไรนะ"
คิงธ์ออฟเดอะเดธถอนหายใจ
ถูกต้องยกเว้นเกรโมรี่ทุกคนล้วนเป็นคนทรยศ แม้ว่ามูยองจะมีความสงสัยแต่ตอนแรกเขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะกลาย
เป็นทั้งสี่คน อย่างไรก็ตามหลังจากเฝ้ าดูพวกเขาแล้วก็พบว่าทั้งสี่ได้ติดต่อกับตัวแทนของฝ่ ายพันธมิตร ไม่มีใคร
ปฏิเสธผลกระทบที่รุนแรงของฝ่ ายต่อต้านรัฐบาลได้ เพาะนั่นหมายความว่าเกรโมรี่กำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวด้วยตัว
เอง
แม้แต่ราชาแห่งความตายก็เข้าใจความเป็นจริงของสถานการณ์ หากไม่มีการปรากฏตัวของมูยองและโซโลมอน เกร
โมรี่ก็จะเป็นเพียงเหยื่อของเฮอเรสและเลราเจ และหลังจากนั้นสมาชิกฝ่ ายต่อต้านที่เหลืออยู่จะย้ายไปอยู่ฝ่ าย
พันธมิตรทันที
การที่พวกมันยังอยู่ที่นี่พิสูจน์ได้ว่า พวกมันยังคงชั่งน้ำหนักทางเลือกและคำนวณผลประโยชน์และผลเสียที่เป็นไป
ได้ตามสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงไม่ทุ่มกำลังเข้ามาจัดการ และพวกมันก็ไม่ได้แสดงการต่อต้าน
มากนักเมื่อมูยองบอกว่าจะ‘ใช้เกรโมรี่เป็นเหยื่อล่อ’
“ แล้วเราจะสร้างสายลับไว้ใช้งานเหมือนพวกมันไหม?”
“ ถ้าจะเอาผมก็อยากได้เทพปี ศาจที่มีอิทธิพลหน่อย”
“ แล้วเจ้าจะปล่อยข่าวลือที่จะทำให้เกิดความระส่ำระสายได้อย่างไร”
“ เราจะใช้ชื่อของโซโลมอน”
ชื่อของโซโลมอนจะเป็นตัวเปิ ดทาง แน่นอนเขาจะไม่ปรากฏตัวจริงๆ แต่เพียงแค่ทำให้ข้อมูลนั้นรั่วไหลออกไป
การเคลื่อนไหวของศัตรูจะต้องถูกทำให้ชะงักอย่างรุนแรง คงจะมีเทพปี ศาจไม่กี่ตนที่จะร่วมเป็นทัพหน้าในการ
โจมตี มันเป็นกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับสถานการณ์นี้
"ข้าไม่กลัวเหล่าเทพปี ศาจหรอกนะ แต่การกระทำของเจ้าไม่ต่างอะไรกับการเสี่ยงโชคเลย”
คิงธ์ออฟเดอะเดธรู้ว่ามันเสี่ยงเช่นไร แต่เขาต้องการเรียนรู้สิ่งที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับศิลปะแห่งความตายผ่านมูยอง มู
ยองกำลังยืนอยู่บนทางลาดชันที่ไม่มั่นคง หากก้าวพลาดเพียงเล็กน้อยเขาก็จะตกจากหน้าผานั้นๆ อย่างไรก็ตามมู
ยองดูเป็นคนที่เชื่อถือได้ และถึงยังไงเขาก็ต้องเชื่อมูยองอยู่ดี
“ ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงยังซ่อนพลังอยู่”
“ ผมซ่อนพลัง?”
มูยองถามราวกับไม่เข้าใจว่าคิงธ์ออฟเดอะเดธกำลังพูดถึงอะไร
“ เพราะข้าเรียนรู้พลังแบบเดียวกันเจ้าจึงรู้ความลับ เจ้าไม่ได้มีแค่สี่ปี กใช่ไหม?”
มันเป็นคำถามที่ชัดเจน มูยองมีปี กสามคู่ตั้งแต่แรก
แม้ว่าเขาจะมีถึงหกปี ก แต่เทพปี ศาจก็รู้เพียงสี่ปี กเท่านั้น นั่นเป็นเพราะมูยองไม่ไว้ใจใครตั้งแต่เริ่มต้น
ตอนที่พบกับเกรโมรีและเมื่อเขาไปช่วยเธอ เขายังซ่อนพลัง 2 เปอร์เซ็นต์สุดท้ายเอาไว้ด้วยซ้ำ แม้ในช่วงเวลาที่
อันตรายมากอย่างตอนสู้กับเลราเจก็ยังไม่เปิ ดเผย
ทำไมนะหรือ? เป็นเพราะนั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะอยู่รอดได้ เป็นเพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่เขาจะเปลี่ยนอนาคตได้ เขา
จะต้องไม่แสดงไพ่ทั้งหมดในมือให้ใครรู้
มูยองเพียงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบอะไร ในขณะที่ราชาแห่งความตายจิ๊ปากเบาๆ
“เจ้าเป็นคนแรกเลยนะ ที่ข้าคิดเจ้าเล่ห์กว่าตัวข้าเอง”
หลังจากได้รับคำสั่งให้กำจัดเกรโมรี่ เทพปี ศาจ 11 ตนก็ระดมกำลังอย่างรวดเร็ว
ผู้นำทัพของพวกมันในครั้งนี้คือ เทพปี ศาจอันดับ 7 อามอน!
เทพปี ศาจที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้สร้างเวทมนตร์ทั้งหลาย และเป็นเจ้านายเก่าของเอนโรธ มันเกิดมาพร้อมกับ
ดวงตาแสนลึกลับที่สามารถวิเคราะห์สิ่งต่างๆได้อย่างระเอียด นอกจากนั้นยังเป็นทรราชที่โหดร้ายที่แม้แต่เทพ
ปี ศาจตนอื่นๆก็ไม่สบายใจที่อยู่ข้างมัน โดยเฉพาะที่วันนี้มันมีอารมณ์เลวร้ายสุดๆ
‘เจ้าสารเลวที่ควบคุมจิตวิญญาณของเอนโรธมันเป็นใครกัน?'
ตามข้อมูลจากสายลับระบุว่าเอนโรธอยู่ภายใต้การควบคุมของมูยอง มันต้องเป็นเรื่องจริงแน่ๆเพราะคงไม่มีใครจำ
เอนโรธที่ราชาปี ศาจแห่งเหล็กผิดคน นอกจากนั้น "การเชื่อมโยง" ที่รู้สึกได้จากเอนโรธก็หายไปด้วย
‘มันทำลายเวทกีอัสที่ข้าร่ายไว้’
เอนโรธเป็นหนึ่งในราชาปี ศาจที่แข็งแกร่งที่สุด ทำให้อามอนต้องร่ายเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งลงไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามมูยองได้ทำลายเวทย์มนตร์นั้นและเข้าควบคุมจิตใจของเอนรอธ
มันเกิดขึ้นได้ยังไง?
เขาอยากรู้ แม้ว่าอามอนจะร่ำเรียนเวทมนตร์มาหมดแล้วทุกรูปแบบ แต่การควบคุมจิตใจเป็นแขนงที่แตกต่างกัน
มาก แม้แต่อามอนก็ไม่สามารถควบคุมจิตใจของราชาปี ศาจอื่นๆที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขาได้
ดังนั้นเขาจึงเข้าร่วมในการสำรวจครั้งนี้ เพียงเพื่อจุดประสงค์ที่จะเห็นคนที่ชื่อว่ามูยอง
ความตั้งใจของเขาคือ ตรวจสอบทักษะการควบคุมจิตใจ และขโมยมันมา
วิ้ง!!
ขณะนั้นเองรอยสักเล็กๆบนมือซ้ายของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน-เขียว
‘ข้อมูลจากมูรุมูรุมาแล้ว’
สายลับของอามอนคือมูรุมูรุ เขาเป็นสายลับสองหน้าที่อามอนส่งไปแทรกซึมไว้ และเรื่องราวทั้งหมดของมูยองก็ได้
ยินมาจากเขาด้วยเช่นกัน
เวทมนตร์ในการส่งข้อมูลก็เป็นของอามอน เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มูรุมูรุรับรู้จะถูกส่งเข้ามาในจิตของอามอนโดย
ธรรมชาติ
‘เกรโมรีกับโซโลมอนจะนัดพบกัน?’
ร่างของอามอนสั่นสะท้าน
หากโซโลมอนปรากฏตัวเดียโบลก็คงอยู่กับเขา แน่นอนว่าอามอนไม่ได้กลัวเดียโบล นอกจากนี้บาอัลยังบอกว่า
โซโลมอนยังไม่สามารถใช้พลังได้
"แปลกเสียจริง"
อย่างไรก็ตามการที่โซโลมอนจะไปพบกับเกรโมรีเป็นเรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาดังกล่าว
มันเป็นเรื่องแปลกที่เกรโมรี่จะร้องขอ ‘ความเมตตา’ จากโซโลมอน และโซโลมอนเองก็ไม่จำเป็นต้องไปอยู่ข้างฝ่ าย
ปฏิปักษ์เพื่อกำจัดบาอัล?
เนื่องจากโซโลมอนเป็นเพชฌฆาตที่ไร้ข้อบกพร่อง หัวใจของเขาเปรียบเสมือนเหล็กกล้าที่ปราศจากเลือดหรือน้ำตา
อามอนรู้จักเขาดี
‘ไม่สำคัญว่าจะไปเข้าข้างฝ่ ายไหน แต่มาเลือกช่วงเวลานี้มันเหมาะเจาะเกินไป'
แต่หากมันเป็นความจริง อามอนก็ตัดสินใจใช้โอกาสนี้ในการเอาชนะความหวาดกลัวในจิตใจที่มีต่อโซโลมอนไป
ซะ และหากกำจัดเดียโบลได้อิทธิพลของโซโลมอนจะลดลงอย่างมาก หรือหากมันไม่ใช่ความจริงการกำจัดเกรโมรี่
ก็ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกันยังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ อามอน ข้าว่าเราควรพักที่นี่สักระยะก่อนที่จะเคลื่อนไหวต่อไปดีไหม”
โบทิส เทพอสูรอันดับที่ 17 ออกตัวพูด
ดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะอยู่ด้านหลัง และประเมินสถานการณ์
“ใช่แล้วดูเหมือนว่าเราจะเดินทางเร็วเกินไป เราต้องใช้วิเคราะห์มากกว่านี้หากเราต้องการสังหารเกรโมรี่”
“ นาเบริอุส….”
จิ๊! อามอนเดาะลิ้น
'เจ้าพวกขี้ขลาด'
เห็นได้ชัดว่ามีสายลับอยู่แฝงตัวอยู่ในฝ่ ายปฏิปักษ์อยู่แล้ว พวกมันคงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ "การปรากฏตัวของ
โซโลมอน" มากกว่าจึงไม่ต้องการที่จะอยู่แนวหน้า
แม้ว่าเทพปี ศาจ 11 ตนจะถูกส่งไปพร้อมกับอามอน แต่สุดท้ายแล้วก็มีเพียงเทพปี ศาจ 5 ตนเท่านั้นที่เป็นทัพหน้าใน
การจับกุมเกรโมรี่ ส่วนที่เหลืออีก 7 ตน ต้องการอยู่แนวหลังผ่านข้ออ้างต่างๆนาๆ
‘พวกมันจะกลัวโซโลมอนไปอีกนานแค่ไหน’
บางทีพวกเขาอาจจะหลอนโซโลมอนผู้ที่โยนพวกเขาออกไปจากโลก และทำลายบ้านเกิดของพวกเขามากเกินไป
อามอนพูดต่อในขณะที่เขายืนอยู่ที่ด้านหน้าของทัพ
“ เราจะกำจัดเกรโมรี่ตามแผนที่วางไว้ โดยจะไม่มีความเมตตาใดๆทั้งสิ้น”
โตว โตว โตว โตว-
คิงธ์ออฟเดอะเดธกระทืบพื้นด้วยไม้เท้าบนยอดเขาสูง
เสียงแปลกๆดังก้องทุกครั้งที่ไม้เท้าของเขากระทบพื้น
'ห้า'
เขารู้สึกได้ถึงเทพปี ศาจห้าตนได้ใกล้เข้ามา นอกจากนี้เขายังรู้สึกถึงปี ศาจนับล้านที่กำลังเข้ามาพร้อมกับพวกมัน
ถึงคิงธ์ออฟเดอะเดธรวมถึงกองทหารของเขาจะไม่สามารถต่อสู้กับห้าเทพปี ศาจได้ในเวลาเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตาม….
'การซื้อเวลาและขัดขวางศัตรูนั่นย่อมเป็นไปได้'
โตวววว!
เมื่อเขากระแทกพื้นด้วยไม้เท้าอีกครั้งทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไป
ชิวววววววว!
พายุหิมะโหมกระหน่ำเข้าปกคลุมทั่วทุกพื้นที่
การกางเขตพลัง!
คิงธ์ออฟเดอะเดธเป็นราชาแห่งแดนเหนือ เขาปกครองในฐานะกษัตริย์มายาวนาน
ไม่มีใครที่สามารถต้านทานพลังหิมะแห่งแดนเหนือของเขาได้ ไมว่าจะเป็นอดีตปัจจุบันหรือจะเป็นในอนาคต
"เข้ามา ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงพลังแห่งความตายของราชาที่แท้จริงเอง”
เขาเคลื่อนที่ไปพร้อมกับพายุทรงพลัง
คิงธ์ออฟเดอะเดธกำลังต่อสู้ด้วยการวางโล่ป้ องกันไม่ให้ปี ศาจออกไปนอกพื้นที่ได้
“ น่าประทับใจจริงๆ”
เกรโมรี่แสดงความชื่นชมอย่างเงียบๆ
ตัวตนเหนือธรรมชาติ
แน่นอนว่ามันเป็นพลังที่เหมาะสมกับชื่อเรียกนั้น ตอนนี้เขาต่อสู้กับเทพปี ศาจทั้งห้าด้วยตัวเอง
“ เขาไม่อาจเอาชนะได้”
มูยองพูดตัดบทอย่างผู้มองโลกในแง่ร้าย
คิงธ์ออฟเดอะเดธแข็งแกร่งก็จริงแต่มีศัตรูมากเกินไป ดีที่สุดก็คงทำได้แค่ถ่วงเวลา
“ เราจะเน้นโจมตีผู้ที่หลบหนีจากเขตแดนนั้น อย่าละสายตา อย่าลดการป้ องกัน”
มีกองกำลังประมาณ 3 ล้านนายรอบๆเกรโมรี ซึ่งส่วนใหญ่นั้นอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเกรโมรี่เอง
เทพปี ศาจฝ่ ายปฏิปักษ์ถอยห่างออกไปโดยรับปากว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุน "ระยะไกล" ให้จากด้านหลัง ถ้า
ไม่รู้สึกว่าจะชนะพวกเขาคงไม่โผล่หน้าออกมา ในทางกลับกันถ้าพวกเขารู้สึกถึงความพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะหายไป
อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับวิญญาณไร้ตัวตน
ตอนนี้มีเพียงมูยองเท่านั้นที่เข้าร่วม
แม้แต่เกรโมรี่ก็ต้องรู้สึกได้ว่าคนอื่นๆนอกเหนือจากเธอคือสายลับ หรือจริงๆเธออาจจะรู้มานานแล้ว
บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่สายตาของเกรโมรี่ดูอ่อนโยนลงเมื่อเธอมองไปที่มูยอง
“ เจ้าเคยยอมรับความพ่ายแพ้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้บ้างไหม?”
เธอถามมูยอง
หากลองคิดดู ความพ่ายแพ้ของเกรโมรี่เป็นสิ่งที่แน่นอนเสมอ เธอเคยสูญเสียอดีต เพราะฝ่ ายพันธมิตรได้ทำลายล้าง
มนุษยชาติ
อย่างไรก็ตามมูยองส่ายหัว
“ไม่”
“เจ้าช่างแข็งแกร่ง”
“คุณเองก็แข็งแกร่งเหมือนกัน”
มูยองตอบสั้นๆ
ถ้ามูยองแข็งแกร่งแล้วเกรโมรี่ก็คงแข็งแกร่งเช่นกัน เธอไม่ได้ยอมแพ้จนถึงที่สุด และมูยองก็รู้เรื่องนี้ดี
เกรโมรียิ้มเล็กๆ
“ขอบคุณ”
“ยังเร็วเกินไปที่จะขอบคุณผมนะ”
ชี๊ก!
แกร๊ก แคล๊ก!
จู่ๆต่อจากนั้น
มีคนฉีกโล่อย่างแรงจากด้านใน โล่ที่มีพลังและขนาดดังกล่าวถูกทำลายลงตามความประสงค์ของคนผู้นั้น มีเทพ
ปี ศาจไม่กี่ตนเท่านั้นที่สามารถใช้พลังดังกล่าวได้
และเกรโมรีก็อ้าปากค้าง ขณะที่เธอจ้องมองไปที่คนแรกที่ฉีกโล่ออกมา
“อามอน”
บทที่ 276 สงครามเทพปี ศาจ (4 Part 1)
อามอน!
คือเทพปี ศาจที่เป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์
เทพปี ศาจระดับสูงที่ครองที่นั่งอันดับ 7!
มูยองถึงกับหยุดชั่วครู่ เพราะแม้แต่มูยองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะมาปรากฏตัวเร็วขนาดนี้
‘ปกติเทพปี ศาจระดับสูงไม่ชอบร่วมมือกันทำงาน’
แล้วทำไมอามอนถึงมาที่นี่?
หากมีบางสิ่งที่ทำให้อามอนสนใจ ก็คงจะเป็นเรื่องของเอนโรธเรื่องเดียว
เดิมทีเอนโรธเป็นราชาปี ศาจภายใต้คำสั่งของอามอน
มูยองลบเวทที่อามอนร่ายใส่เอนโรธโดยการทำให้มันกลายเป็นอันเดธ และแน่นอนว่าไม่มีทางที่อามอนผู้ที่เก่งด้าน
เวทมนตร์จะไม่รับรู้
นอกเหนือจากนั้น….ผู้ที่ทำหน้าที่สืบข้อมูลคนนั้นอาจเป็นผู้บอกเขาว่าเอนโรธถูกมูยองควบคุมแล้ว แม้ว่าจะมีการ
คาดการณ์ไว้บ้าง แต่เวลาก็เร็วกว่าที่คาดไว้
‘อามอนกำลังเล็งมาที่ฉัน”
มูยองสรุปความคิดของเขา
ถ้าคู่ต่อสู้คนแรกคืออามอนเขาอาจจะไม่สามารถรับมือได้ กล่าวตามตรงอามอนเป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ที่เลวร้ายที่สุด
สำหรับมูยองเลยก็ว่าได้
ในความทรงจำของดันดาเลี่ยน อามอนทำหน้าที่เป็น "ผู้ประสานงานเชิงกลยุทธ์" นั่นหมายความว่าเขามีบทบาทใน
การกำกับบาอัลและเทพปี ศาจอื่นๆ
เขาได้รับการยอมรับว่ามีทักษะที่ยอดเยี่ยมที่แม้แต่ดันดาเลี่ยนก็ไม่ทราบถึงความสามารถของอามอน และ จริงๆแล้ว
มีหลายอย่างที่ไม่มีผู้ใดรับรู้
“ เป็นคู่ต่อสู้ที่เลวร้ายมาก”
“ คุณจะยอมแพ้งั้นเหรอ?”
มูยองกระแทกเสียงใส่เกรโมรี่อย่างเด็ดขาด ส่วนในด้านของเองเกรโมรี เธอตระหนักดีถึงพลังของอามอนดี
ปี ศาจจำนวนมากวิ่งเข้าไปสกัดเทพปี ศาจที่ทำลายโล่บาเรียที่สร้างโดยคิงธ์ออฟเดอะเดธ แต่แค่เพียงการดีดนิ้วของ
อามอนปี ศาจเหล่านั้นก็ระเบิดกลายเป็นผุยผง
ไม่ต่างจากแมลงเม่าที่กำลังบินเข้ากองไฟ ทหารปี ศาจร่วงลงร่างกายกระจัดกระจายกลายเป็นแอ่งเลือด
แค่ 5 นาทีเขาก็จะเดินมาถึงที่นี่
เกรโมรี่ส่ายหัว
“ อามอนเป็นหนึ่งในฝ่ ายพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของบาอัล หากเราเอาชนะเขาได้ฝ่ ายพันธมิตรจะต้องชะงักการ
เคลื่อนไหวอย่างแน่นอน”
“ คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี ”
“ ข้าแค่ไม่อยากแพ้”
เกรโมรี่ประสานมือเข้าด้วยกัน ไม่เหมือนตอนที่สู้กับเลราเจเพราะตอนนี้เธอหายดีแล้ว
วูม! วูม! วูม!
ปี ศาจทั้งหมดที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเกรโมรี่ถูกปกคลุมไปด้วยโล่สีชมพู
ครืน!
จากนั้นรูปปั้นเทพธิดาปี ศาจขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่พื้นด้านหน้าของเกรโมรี่ ในขณะเดียวกันนั้นพลังโจมตีของอา
มอนก็ถูกทำให้อ่อนแอลง
“ ความสามารถของบาเรียนี่คือลดพลังเวทย์มนตร์ นี่คือทั้งหมดที่ฉันทำได้”
เธอพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากพอแล้ว
อามอนเจ้าแห่งเวทมนตร์ค่าตัวเลขพลังเวทย์ของเขาคงเกิน 1,000 ไปแล้ว ถ้าสัญชาตญาณของมูยองถูกต้องมันเกิน
1,500 ไปแล้วแน่ๆ
อามอนเป็นเทพปี ศาจระดับสูง การที่เกรโมรี่รับมือกับมันได้แม้ว่าจะไม่มีผลมากนักก็ตาม แต่ทำให้การโจมตีของ
อามอนลดลงอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว นี่ยังไม่นึกถึงเรื่องที่เธอสร้างโล่มานาให้กับกองกำลังนับ
ล้านของตัวเองอีก
มันเป็นการกระทำที่เกินสามัญสำนึก ไม่ว่ามูยองจะเห็นมันกี่ครั้งก็รู้สึกชื่นชม
อย่างไรก็ตามมูยองไม่สามารถเพียงยืนชื่นชมเฉยๆได้
“ ทาแคน ฉันจะนายเข้าไป”
ทาแคนขี่มังกรกระดูกถูกเรียกว่า "อัศวินมังกร" ยืนด้วยความมั่นใจ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าควรทำหน้าที่อะไรอยู่แล้ว
"ไปกับคริมสันบาร็อคช่วยกันปิ ดรอยแตกนั่น เราต้องป้ องกันไม่ให้โล่ของคิงธ์ออฟเดอะเดธพัง”
โล่ดังกล่าวจะหยุดปี ศาจเทพได้นานแค่ไหน? เพราะมันพังแน่นอนอยู่ที่ว่าจะพังตอนไหน สิ่งที่มูยองทำได้คือถ่วง
เวลาให้มากที่สุด ดังนั้นพวกเขาควรกันอามอนไว้ และพยายามหาหนทางที่จะชนะ
"ตกลง."
ทาแคนบินขึ้นไปบนมังกรกระดูก ส่วนคริมสันบาร็อคหันไปมองมูยองครู่หนึ่งก่อนจะกระพือปี กตามไป
มูยองกางปี กทั้งสี่ของเขาออก หยิบหอกของกาเบรียลออกมา และทำการแยกพลังของลูซิเฟอร์ ในขณะนั่นเองเขาก็
รู้สึกถึงบางอย่าง มันเหมือนกับว่าเขากำลังถูกจ้องมองอยู่
‘ไพม่อน?’
มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่เขาสู้กับเลราเจ เหมือนใครบางคนกำลังสอดแนมเขา
ไพม่อนเป็นผู้เดียวที่มีทักษะเช่นนี้
บางทีสาเหตุที่ตัวโหดอย่างอามอนมาถึงที่นี่ได้อย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะไพม่อน และมีความเป็นไปได้ที่การต่อสู้
ครั้งนี้จะไปถึงหูของบาอัลด้วย
เขาควรทำอย่างไร?
เขาควรจัดการกับการจ้องมองของไพม่อนก่อนไหม? เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับอามอนโดยที่ยังมีความระแวง
หรือบางทีนี่อาจเป็นเวลาที่มูยองจะใช้ทักษะที่ตัวเองซ่อนไว้เป็นไพ่ตาย
‘แต่… .. มันแปลกแฮะ’
การเคลื่อนไหวของการจ้องมองของไพม่อนนั้นแปลกประหลาด
เขาไม่ได้มองไปที่มูยอง
เขาไม่ได้มองเกรโมรี หรือแม้แต่อามอน
สิ่งที่เขามองคือสิ่งที่อยู่ไกลออกไป
เขากำลังดูบางสิ่งที่แม้แต่มูยองก็ยังตรวจไม่พบ
มูยองสามารถตรวจจับการสอดแนมที่น่าอัศจรรย์ของเขาได้ แต่ไพม่อนยังไม่รู้ตัว
มูยองหันไปมองสถานที่ที่เวทสอดแนมของไพม่อนมองอยู่
เขาหลับตาขยายความรู้สึกของตัวเองให้กว้างขึ้น และทำเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมอย่างสมบูรณ์
และ……เขาก็พบ
มีอีกคนหนึ่งเฝ้ าดูสงครามครั้งนี้เช่นเดียวกับไพม่อน
ช่างเป็นการโกหกที่บังเอิญ ข้อมูลที่กระจายออกไปเพื่อสร้างความสับสนให้กับศัตรูกลายเป็นความจริง
‘โซโลมอน’
เขาอยู่ที่นี่
ใบหน้าของมูยองเริ่มเคร่งเครียด
***
“ เจ้าพวกหนอนแมลงนี่กล้าดียังไง!!”
เมืองของลาอุมเทพปี ศาจอันดับที่ 40 เริ่มถูกไฟเผาไหม้
เงื่อนไขการดับสูญ "การทำลายเมืองของมัน" ได้บรรลุแล้ว
ในขณะนี้พลังของลาอุมรวมไปถึงสมุนปี ศาจของมันได้ลดน้อย และเริ่มล่าถอยออกมาทีละนิด
อย่างไรก็ตามกองกำลังที่ประกาศ ‘สงครามศักดิ์สิทธิ์’ ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพดีเช่นกัน
“ ฮูวว ให้ตายเถอะ!”
“ ไม่หมดไม่สิ้นสักที!”
“ อาา”
สนามรบเต็มไปด้วยคำสาปแช่งเสียงกรีดร้องและเสียงดาบที่กำลังกรีดผ่านเนื้อ นั่นคือภาพทั้งหมดที่พวกเขาเห็น มีผู้
เสียชีวิตมากมาย อย่างไรก็ตามการเข่นฆ่าย่อมปรากฏในสงครามเสมอ
ในด้านของลาอุม มันไม่ย่อมไม่ยอมถูกทุบตีแต่เพียงฝ่ ายเดียว
“ ข้าจะสังหารพวกแกทั้งหมด ข้าจะแสดงให้เห็นว่าผู้ทำลายที่แท้จริงเป็นยังไง!”
ไม่ว่าจะอ่อนแอแค่ไหน ลาอุมก็ยังเป็นเทพปี ศาจ ทุกครั้งที่มันกระแทกเท้าลงที่พื้นก็เกิดแผ่นดินไหวไปทั่วบริเวณ
ตรึม! ตรึม! ตรึม! ตูมมม !!
ไม่มีใครหยุดการพุ่งโจมตีของลาอุมในร่างแรกแรดยักษ์ได้
พลังของมันสามารถถล่มสิ่งปลูกสร้างได้อย่างสบายๆ มีทหารมากมายถูกเหยียบแบนติดอยู่ใต้ฝ่ าเท้าของมัน
“ ไอ้แรดบ้าพลัง !”
" ใครก็ได้! หยุดมันที!! "
แม้ว่าเมืองทั้งเมืองจะถูกทำลายก็ยังไม่เพียงพอแต่การโจมตีของเทพปี ศาจ โดยเฉพาะการที่ไม่มีใครสักคนที่
แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เมอร์ลินและฮันซุงกำลังเผชิญหน้ากับลาอุม
"หัวหน้า! ถอยเถอะ!”
“ ฮึก…!”
คิมแทฮวานเพิ่มพลังใจจนถึงขีดสุด ไม่รู้ว่าเขาฆ่าปี ศาจไปกี่ตัวแล้ว
บทที่ 277 สงครามเทพปี ศาจ (4 Part 2)
คิมแทฮวานเลิกนับว่าเขากำจัดศัตรูไปเท่าไหร่ตั้งแต่ตัวที่ 100 แล้ว
ตอนนี้เขารู้สึกปากแห้งคอแห้ง และคิดว่าตัวเองคงจะเสร็จศัตรูในไม่ช้า
ลาอุมในร่างแรกยักษ์กำลังพุ่งเข้าใส่คิมแทฮวาน
'มันยากที่จะหลีกเลี่ยง'
เหมือนกับภาพสโลว์โมชั่น และโดยสัญชาตญาณเขาก็รู้สึกถึงความตายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คิมแทฮวานได้แต่
ยิ้มรับไว้เท่านั้น
‘ฉันอยากเจอเขาอีกครั้ง….’
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในอารามสีคราม
ความสัมพันธ์ของเขายังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของแทฮวาน
ถ้าได้พบพวกเขาอีกครั้ง แทฮวานจะคุยโวว่าเขาเปลี่ยนไปมากขนาดไหน และเขาต้องพยายามเท่าไหร่กว่าจะได้เป็น
รองหัวหน้ากิลด์ได้
หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่แทฮวานได้เป็นรองหัวหน้ากิลด์ เขาขับไล่คนทุจริตออกไป และสนับสนุนการ
รับสมัครสมาชิกที่มีศักยภาพ ภาพลักษณ์ของเกรทซิตี้ดีขึ้นมากก็เพราะเขา
เขายืนหยัดต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายต่างๆตามที่สัญญาไว้กับมูยอง
คิมแทฮวานได้เดินไปตามทางของตัวเอง
มูยองพูดถูกแทฮวานคือฮีโร่ และเขายังเป็นผู้สนับสนุนที่ซ่อนอยู่ของมูยอง
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง! ตึง !!
ลาอุมพุ่งเข้าหาเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในขณะที่แทฮวานจับดาบด้วยแรงเฮือกสุดท้าย
‘ฉันจะต้องไม่ตายที่นี่’
เขาต้องการเห็นการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ คงไม่ยุติธรรมสำหรับตัวเองเท่าที่หากจะต้องจบลงด้วยการยอมแพ้ ยังไง
ก็ตาม.. พอลาอุมเข้ามาใกล้แทฮวานจนถึงที่สุดมันก็หยุดลง
ลาอุมหยุดและเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้ า เป็นขณะเดียวกันกับดวงอาทิตย์ถูกบดบังแสง
พอความมืดมิดปรากฏ ‘ดวงจันทร์’ ก็ลอยเด่นขึ้น
"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ…?”
“ ดวงอาทิตย์…หายไป…”
“ นั่นมัน..อะไร?”
ในขณะที่ทุกคนกำลังเอะอะวุ่นวาย สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่โตก็โผล่ออกมาจากความมืด
รูปร่างของมันไม่ต่างกับมังกรแต่ขนาดนั้นเทียบไม่ได้กับมังกรทั่วไป
พวกมันบินว่อนเต็มท้องฟ้ า
"เขากำลังมา"
ฮันซองยิ้มและใช้มือเช็ดเลือดที่เปื้ อนริมฝีปากตัวเอง
ราชาแห่งมังกร ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวขึ้น ทว่าเขาไม่ได้มาเพียงลำพัง
นั่นมันเด็กคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?
ข้างๆเขามีเด็กคนหนึ่งที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายอยู่ด้วย จากดวงตาและผมสีฟ้ าครามแววตาที่มองไปยังเบื้อง
หน้าดูเยือกเย็นไร้อารมณ์ ทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้สึกขนลุกได้อย่างไร้เหตุผล
“ บุตรแห่งดวงจันทร์ก็มาด้วย….”
ฮันซองนั่งคุกเข่าท่ามกลางสมรภูมิรบ
บุตรแห่งดวงจันทร์ หนึ่งในสี่ตัวตนเหนือธรรมชาติที่ปกครองโลก!
ขุมพลังที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนและถูกปกคลุมด้วยความลับ
ทว่าตอนนี้เขากลับปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับราชาแห่งมังกร
นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด
มังกรจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังบินตามหลังราชามังกร และวิญญาณมากมายที่ล่องลอยตามบุตรแห่งดวงจันทร์! พวก
เขาโจมตีลาอุมและลูกสมุนของมัน
“ อ๊ากกกก! เจ้าคิดว่าข้าจะพ่ายแพ้งั้นรึ!”
ลาอุมร้องเสียงหลง
ยังไงก็ตามด้วยการปรากฏของพวกเขา ผลลัพธ์บนสนามรบจึงเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ลาอุมซึ่งอ่อนแอลงเนื่องจากเงื่อนไขการดับสูญไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูทั้งหมดได้
กองกำลังพันธมิตรของเหล่ามนุษย์ตกตะลึงชั่วขณะ
“ นั่นอะไรน่ะ? พวกเขาเป็นพวกเดียวกับเราใช่ไหม”
"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
ฮันซุงรีบตรงไปหาเหล่ามังกรทันที เขาเก็บอาวุธและพูดขึ้นด้วยความเคารพ
“ ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ท่านตัดสินใจมา และขอบคุณท่านเช่นกันบุตรแห่งดวงจันทร์”
ราชาแห่งมังกรไม่ตอบ ตรงกันข้ามกับบุตรแห่งดวงจันทร์ที่กำลังเปิ ดปากพูด
“ มูยองอยู่ไหน”
"เอ่อครับ? เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ เราต้องพบเขาโดยด่วน ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะสายเกินไปหากเขาได้พบกับโซโลมอน”
ฮันซองเอียงศีรษะ
บุตรแห่งดวงจันทร์น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ซึ้งอารมณ์ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะกังวล
“ ท่านช่วยบอกเหตุผลได้ไหม”
“ เทวทูตของซาโลมอนที่ถูกบาอัลขโมยไป…. อยู่ในตัวมูยอง”
"เทวทูต…?"
เด็กนั่นหลับตาแล้วพูดต่อว่า
“ หากโซโลมอนฟื้ นคืนเทวะทูตตนนั้น เขาจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการจากนั้นโลกใบนี้จะต้องจบลง "
***
โซโลมอนเอียงศีรษะ
นี่เป็นเพราะมีสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขา มันดึงดูดเสียจนเขาต้องถ่อร่างมาถึงที่นี่เพื่อค้นหาว่ามันคือสิ่งใด
"แปลกมาก"
ทั้งอามอนและเกรโมรีแทบไม่มีอะไรสามารถดึงดูดความสนใจของเขา
แต่ชายที่มีปี กผู้นั้นกลับน่าสนใจ
โซโลมอนมองขึ้นไปบนท้องฟ้ า
ดวงดาวมีการเคลื่อนไหว ดวงดาวกำลังเคลื่อนตัวโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
‘ดาวแห่งการนำทาง’
พอมาลองย้อนคิด คิงสเลเยอร์ก็มองดูดวงดาวเช่นกัน
คิงสเลเยอร์ผู้ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ พอเห็นดวงดาวกลับทำราวกับว่าเขารู้สึกมีความหวัง
ทำไม? ทำไมเขาถึงเป็นเช่นนั้น?
'เป็นเขา'
โซโลมอนแน่ใจ
ความหวังของคิงสเลเยอร์อยู่ที่ชายมีปี กคนนั้น
แต่มันก็น่าผิดหวัง ความแข็งแกร่งที่โซโลมอนรู้สึกได้จากชายคนนี้มันเหมือนกับเป็นแค่ราชาปี ศาจระดับสูง และ
เขายังไม่สามารถเข้าถึงโซโลมอนได้
นอกจากนั้นโซโลมอนยังรู้สึกถึงพลังงานที่แตกต่างกันมากมาย
โซโลมอนยังไม่เคยพบใครที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายเช่นนั้น
‘น่าสงสารจริงๆคิงสเลเยอร์ ความหวังที่เจ้าเห็นและเชื่อมั่นคือชายคนนี้งั้นหรือ’
แล้วคิงสเลเยอร์จะรู้สึกอย่างไรหากความหวังนั้นสูญสิ้นไป?
โซโลมอนลองเอื้อมมือออก
ถ้าเขาใช้อำนาจที่สมบูรณ์แบบในโลกนี้ เขาจะสามารถกำจัดมูยองได้เลยทันที
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่การแทรกแซงมากเกินความจำเป็นไม่สามารถทำได้
เขามีทั้งความเป็นเทพเจ้า และถือครองดวงดาว นั่นหมายความว่าเขาได้รับการยอมรับในโลกใบนี้ ดังนั้นโซโลมอน
จึงยังไม่สามารถจัดการกับเขาได้
ถึงจะส่งเดียโบลออกไปได้ แต่เขาไม่ต้องการปรากฏตัวในสนามรบนี้
นับเป็นโชคของดวงดาวแห่งการนำทาง
‘หืม?’
จากนั้นโซโลมอนก็มองเขาอีกครั้ง
เขาเกือบจะพลาดบางอย่างไปซะแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะมองยังไงมันก็แปลก
นั่นคือพลังแห่งความโกลาหล มนุษย์สามารถจัดการมันได้ด้วยหรือ?
นอกจากนี้การไหลเวลาของมนุษย์ผู้นี้ยังมีความแตกต่างกันมาก
"เส้นศูนย์กลางของเวลาทำงานต่างกัน"
โซโลมอนสามารถควบคุมเวลาในอดีตได้ แน่นอนมันหมายความว่าเขาสามารถรับรู้ถึง ‘ความแตกต่างของเวลา’ ได้
เช่นกัน
จากนั้นดวงตาของโซโลมอนก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท นี่คือพลังที่ทำให้โซโลมอนมองเห็นวิญญาณได้
และเขาก็ค้นพบ
“ อา!”
ตัวของโซโลมอนสั่นไหวราวกับพบสิ่งสำคัญที่ห่างหาย
มันเป็นวิญญาณที่ถูกบาอัลพรากไป และเขาไม่รู้มันอยู่ที่ไหน
‘อัลพอลลิน่า ทูตสวรรค์ของข้า!’
เทวทูตที่ช่วยโซโลมอนจัดการเรื่องเวลาเธออยู่กับมูยอง
แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันชัดเจนมาก
หากได้เทวทูตตนนี้กลับมาเขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งเดียโบลอีกต่อไป เขาสามารถทำให้โลกนี้กลายเป็นกองขี้เถ้าได้เลย
ในมันที
คิงสเลเยอร์
นั่นคือสิ่งที่เจ้าเห็นใช่หรือไม่?
โซโลมอนรู้สึกทึ่ง และไม่นานเขาก็ยิ้มและอ้าปาก
“ ข้าจะต้องเอามันกลับคืนมา”
บทที่ 278 สงครามเทพปี ศาจ (5 Part 1)
กลยุทธ์ข่าวลวงประสบความสำเร็จในการจำกัดการเคลื่อนไหวของกองทัพศัตรู แต่หากข้อมูลเท็จดังกล่าวกลายเป็น
จริงขึ้นมาย่อมจะกลายเป็นปัญหา
‘ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวเลย’
บาอัลและโซโลมอนเป็นสองตัวตนที่อยู่บนจุดสูงสุด ซึ่งมูยองต้องการเผชิญหน้าเป็นพวกสุดท้าย ตอนนี้มูยองซ่อน
กองกำลังของตัวเองและกระจายออกแยกกันเพื่อโจมตีศัตรู ก่อนจะมารวมตัวกันในที่สุด แน่นอนว่าข้อเสียของ
สถานการณ์นี้คือกองกำลังของมูยองไม่สามารถรวมตัวกันได้ในทันที
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ การเผชิญหน้ากับโซโลมอนในสภาพนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ยิ่งไปกว่านั้นมูยองและดันดา
เลี่ยนต่างก็ไม่ได้รู้จักโซโลมอนมากนัก
มีเงื่อนไขการดับทำลายโซโลมอนหรือไม่? ไม่มีใครรู้ และมูยองไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยผลีผลามหากยังไม่
ทราบข้อมูลนั้นๆ
สิ่งที่มูยองต้องคิดมีทั้งการโจมตีจากอาม่อน จุดประสงค์ของไพม่อน และภัยที่อาจมาจากโซโลมอนซึ่งตอนนี้มีแต่มู
ยองเท่านั้นที่รู้ตัว
‘เหมือนจักรยานที่เสียหาย…'
จู่ๆความคิดนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวของมูยอง มูยองเริ่มออกวิ่ง จากนั้นก็วิ่งต่อไป เขาเผชิญหน้ากับเทพปี ศาจก่อนที่ผู้
สนับสนุนของเขาจะรู้ด้วยซ้ำ เขาไม่มีเบรคและไม่คิดจะหยุด ไม่ต่างกับกับจักรยานที่พังโดยมูยองก็ยังปั่นมันไป
อย่างประมาท แล้วตอนนี้ผลออกมาเป็นยังไง? เขาเองก็เคยคิดว่ากลยุทธ์สายฟ้ าแลบของตัวเองอาจมีผลข้างเคียง การ
กินอาหารเร็วเกินไปอาจทำให้คุณปวดท้องได้ เขารู้เหตุผลเช่นนั้น เพียงแต่เขาไม่มีเวลาชักช้าอีกแล้ว
ผู้สนับสนุนและพันธมิตรของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และหากฝ่ ายตรงข้ามระส่ำระสายเนื่องจากยุทธวิธี
ของเขา พวกเขาจะรวบรวมกำลังและกวาดล้างพวกมัน
เนื่องจากมูยองรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจึงดำเนินการอย่างรวดเร็ว เขาใช้ทั้งโชค ทักษะ และองค์ประกอบอื่น ๆ
มากมายเพื่อชดเชยสิ่งที่เขาไม่สามารถเตรียมมาที่นี่ได้ อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้เตรียมอะไรที่จะเผชิญหน้ากับ
โซโลมอนเลย ไม่มีอะไรเลยที่พร้อม
"เหมือนมันกำลังจะทำบางอย่าง"
นอกจากนี้มูยองยังรู้สึกถึงอันตรายได้โดยสัญชาตญาณจากโซโลมอน สัญชาตญาณของเขาคอยตะโกนบอกให้หนี
ไปซะ แต่หากโซโลมอนผู้ที่เทพปี ศาจทั้งหลายเกรงกลัวต้องการบางอย่างจากมูยอง เขาก็คงต้องได้แต่เผชิญหน้า
เท่านั้น
อย่างไรก็ตามโซโลมอนไม่ได้ทำอะไรกับมูยองในทันที หรือมันอาจจะกำลังเตรียมเรียกเดียโบลออกมาก็ได้
‘โซโลมอนยังไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่ในโลกนี้’
จากคำพูดของเกรโมรี่ หากโซโลมอนสามารถใช้พลังของตนได้เขาก็ไม่จำเป็นต้องเรียกเดียโบลออกมาสู้แทน
'ถ้างั้นโซโลมอนก็ไม่สามารถโจมตีฉันตรงๆได้'
มูยองได้ข้อสรุปเบื้องต้น อย่างไรก็ตามยังคงเป็นอันตรายหากเดียโบลที่แม้แต่บาอัลยังต้องระมัดระวังถูกเรียกออก
มา เพราะเป็นไปไม่ได้ที่มูยองจะเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง
"เกิดอะไรขึ้น?"
เกรโมรีถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า เธอดูแปลกใจที่มูยองยังไม่ขยับเขยื้อนและดูครุ่นคิด
“ ระวังด้านหลังให้ผมด้วย”
"ด้านหลัง…?"
"เขาอยู่ที่นี่"
"เขาไหน?"
“ โซโลมอน”
“ … !!”
เกรโมรี่สะดุ้ง รูม่านตาของเธอขยาย และดูเหมือนเธอจะประหลาดใจ อย่างไรก็ตามเธอเคยพบกับโซโลมอนมาก่อน
อาจเป็นไปได้ที่เกรโมรี่จะสามารถซื้อเวลาได้มากกว่ามูยอง และพวกเขาต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ตูม!
เขาเตะพื้นและกระโดดขึ้น พร้อมกับกางปี กกว้างทะยานพุ่งสู่ท้องฟ้ า โดยมีเป้ าหมายคืออาม่อน
สิ่งที่มูยองทิ้งไว้เบื้องหลังตอนนี้มีเพียงเสียงดังสนั่นคล้ายสายฟ้ ากัมปนาทเท่านั้น
สำหรับรอบตัวอาม่อน ฉากที่ทุกสายตามองเห็นขณะนี้คือการสังหารหมู่ เมฆพายุขนาดใหญ่พร้อมด้วยสายฟ้ าสว่าง
จ้า อาม่อนยิงลูกไฟขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วด้วยมือทั้งสองข้าง และยังเรียกพายุใบมีดขึ้นมาสังหารปี ศาจที่บินมาหา
มันหลายสิบตัวพร้อมกัน เมื่อใดก็ตามที่มันเปล่งเสียงร่ายคาถาจบปี ศาจนับร้อยก็จะตกตายลง
ตอนนี้มีเพียงกองทหารของมูยอง ซึ่งมีคริมสันบาร็อคและทาร์แคนที่กำลังต่อสู้แนวหน้าเท่านั้นที่ไม่ค่อยได้รับผลก
ระทบอะไร เนื่องจากได้รับการสนับสนุนโดยโล่ป้ องกันของเกรโมรี่ ศัตรูจึงไม่สามารถทำลายแนวป้ องกันดังกล่าว
ได้ อย่างไรก็ตามแค่นี้อาม่อนก็ทำให้ทุกคนประจักษ์ได้ถึงพลังของเทพปี ศาจระดับสูงหนึ่งในเจ็ดแล้ว
‘อาม่อนเป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์ ถ้าเขาเกรงกลัวโซโลมอน เขาต้องหาวิธีแก้ปัญหาไว้บ้างแน่ๆ '
มูยองมั่นใจในความคิดของตัวเอง
เวทมนตร์คือความลึกลับ และผู้ที่ใช้อำนาจความลึกลับไม่ควรยอมจำนนต่อความลึกลับนั่นเสียเอง ซึ่งโซโลมอนนี่
แหละที่เป็นดั่งความลึกลับดังกล่าว
หากมูยองสามารถดึงอาม่อนเข้ามาเป็นพวก อาจมีวิธีจัดการกับโซโลมอนก็เป็นไปได้
แต่ทำยังไงล่ะ?
‘การควบคุมเป็นเรื่องยาก’
มูยองวางแผนที่จะควบคุมมันตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรก็ตามโซโลมอนเป็นตัวแปรที่เขาไม่คาดคิด หากมูยองใช้พลัง
มากเกินไปอาจนำไปสู่หายนะได้
มูยองวาดดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว
ด้วยเสียงกรีดร้องเบาๆจากตัวดาบ มูยองฟันฉวับไปที่มุมด้านข้างของอาม่อนจากนั้นสายฟ้ าสีดำก็บินตรงไปที่อา
ม่อนทันทีพร้อมกับพุ่งชนอย่างรุนแรง ยังไงก็ตามอาม่อนคว้ามันไว้ได้ด้วยมือ…
เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ สายฟ้ าสีดำกำลังบิดตัวอยู่ในกำมือของอาม่อน
‘มันใส่ถุงมือที่สามารถควบคุมพลังเวทได้’
มูยองทราบเรื่องนั้นด้วยการทดสอบโจมตีเพียงครั้งเดียว
จากนั้นอาม่อนปาสายฟ้ าสีดำกลับมาที่มูยองพร้อมกับเสียงคำรามดังสนั่น ทำให้มูยองตกเป็นเป้ าจากการโจมตีของ
ตัวเอง
มูยองยกความโกรธเกรี้ยวขึ้นและผ่าสายฟ้ าสีดำออกเป็นสองส่วน เขาสามารถจัดการสิ่งนี้ได้เนื่องจากไม่ได้โจมตี
เต็มแรงตั้งแต่แรก หากไม่เช่นนั้นมูยองคงไม่สามารถรับการโจมตีดังกล่าวได้
“เจ้าคือมูยองงั้นเหรอ?”
อาม่อนจ้องมองมูยองด้วยความสนใจ ในขณะที่มูยองจ้องกลับอย่างเงียบๆ
“ เจ้ายกเลิกเวทของข้า และควบคุมเอนโรธได้ยังไง”
“ คุณไม่รู้เหรอ?”
แน่นอนว่ามันเป็นเพราะพลังของมูยองแข็งแกร่งขึ้น เรื่องนี้อาม่อนก็รู้เช่นกันแต่ที่เขาถามเพราะต้องการรายละเอียด
ที่มากกว่านี้
มูยองสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของอาม่อน
“ ใช่ข้าไม่รู้หรอก ถ้าอย่างนั้น…"
อาม่อนสะบัดมือหนึ่งครั้งจากนั้นมีดสายลมโปร่งใสก็ก่อตัวขึ้นรอบๆมูยอง
จำนวนของมันอย่างน้อยก็หนึ่งหมื่นเล่ม มูยองรู้สึกประทับใจที่เขาสามารถสร้างการโจมตีอย่างท่วมท้นด้วยท่าทาง
ง่ายๆ
บทที่ 279 สงครามเทพปี ศาจ (5 Part 2)
'ฉันไม่คิดว่าจะแพ้หรอกนะ'
ด้วยเสียงไหววูบ มูยองโยกตัวหลบเข้าไปในช่องระหว่างใบมีด อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด มู
ยองกางปี กออกพร้อมกับถือหอกกาเบรียล
เขาแยกพลังของลูซิเฟอร์และกาเบรียลออกจากกัน ในขณะที่ควงหอกสร้างแรงดันเพื่อผลักใบมีดที่อยู่ใกล้ที่สุดออก
ไป
2, 4, 8, 16, 32, 64… 128!
เขาเร่งความเร็วขึ้นตามลำดับจนความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณและเมื่อความเร็วไปถึง 128 เท่าเขาก็สามารถหลบหนี
จากพายุคมมีดได้ อย่างไรก็ตามอาม่อนเป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์ มันร่ายเวทอีกบทหนึ่งไปแล้วตั้งแต่รู้สึกว่ามีบางอย่าง
ผิดปกติ
"หมอกระเบิด"
อาม่อนใส่เวทมนตร์เข้าไปในอนุภาคของน้ำนับไม่ถ้วนในอากาศ ซึ่งมันมีขนาดเล็กและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วย
ตาเปล่า ออกซิเจนและไฮโดรเจนถูกแยกออกจากกันอย่างน่าอัศจรรย์แล้วเกิดการระเบิดขึ้น นั่นทำให้มูยองเสีย
เปรียบทันทีเพราะไม่ว่าเขาจะเร่งความเร็วแค่ไหนหมอกระเบิดก็ไม่มีช่องว่างให้หลบหนี
‘ฉันต้องทำมันให้ได้’
ถึงมูยองจะสามารถถอยได้ แต่เขากลับเดินหน้าต่อไป การเร่งความเร็วไม่ใช่ทักษะที่สามารถใช้ได้นาน ยิ่งไปกว่า
นั้นเขาต้องจบศึกกับอาม่อนให้เร็วที่สุด และเป้ าหมายของมูยองคือการไปให้ถึงตัวมันให้ได้ เขาแค่ต้องการสัมผัส
ตัวอาม่อนเพื่อก้าวไปยังแผนการขั้นต่อไป
ด้วยเสียงหวีดหวิวหยดน้ำเริ่มหมุนวน ในขณะที่พวกมันดูเหมือนภาพสโลว์โมชั่นสำหรับมูยอง มูยองตัดสินใจคลุม
ตัวเองด้วยปี กก่อนจะบินฝ่ าออกไปสุดกำลัง
เกิดเสียงระเบิดกึกก้องตามติดมูยองไปทุกที่ ปี กสีดำของเขาขาดรุ่งริ่ง ถ้าเป็นบาดแผลธรรมดามูยองสามารถรักษา
มันได้ด้วย ‘พรเทวะ’ แต่เวทของอาม่อนนั้นแปลกประหลาดมันยึดติดกับร่างกายของมูยองแล้วไปขัดขวางการฟื้ นฟู
การรักษา
'มันโจมตีจุดอ่อนที่สุดของฉัน'
มูยองไม่สามารถคาดหวังการฟื้ นฟูเหมือนตอนที่สู้กับคริมสันบาร็อค อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาเข้าใกล้อาม่อนแล้ว อา
ม่อนรู้สึกได้ว่ามูยองกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วดุจสายฟ้ า แต่ละก้าวของเขาล้วนเกิดขึ้นในพริบตา
ปัง!
หอกน้ำแข็งแทงทะลุขามูยองจนผิดรูป แม้มูยองจะเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้พยายามที่จะดึงมันออก ตรงกันข้ามเขายังคง
ทะยานไปด้านหน้าเพื่อลดช่องว่างระหว่างศัตรูอีกครั้ง และในที่สุดมูยองก็คว้าไหล่ของอาม่อนเอาไว้ได้ จากนั้นเขา
ก็ยกเลิกการเร่งความเร็วทันทีแต่นั่นไม่ใช่เพื่อการโจมตี
“ประตูจักเปิ ดให้แก่ผู้ที่เคาะมัน”
มันคืออาร์คโนว่าหนังสือเรียบเรียงด้วยภาษาแห่งปาฏิหาริย์ และดวงตาของอาม่อนก็ต้องสั่นไหวเมื่อได้ยินบดสวด
ดังกล่าว
“ เจ้ารู้บทสวดของมันได้ยังไง…?”
ไม่มีใครเชื่อว่ามีเทวทูตและผู้ที่รู้บทสวดในอาร์คโนว่า อาม่อนเองก็เช่นเดียวกันแต่ตอนนี้มันได้ประจักษ์แล้ว
วิ้งงงงง!
เป็นเพราะอาร์คโนว่าหรือไม่ เวทของมันที่ผนึกเอนโรธจึงถูกลบล้างออก
อาม่อนพยายามขัดขืน แต่มูยองก้าวเร็วกว่า แสงสว่างจ้าพุ่งจากดวงตาของมูยองเข้าไปเชื่อมต่อกับอาม่อน
บทสวดนี้สามารถทำให้เข้าไปเปิ ด 'จิตวิญญาณ' ของฝ่ ายตรงข้ามได้ โดยแลกกับการสูบพลังของตนเองอย่างไร้
ความปราณี
มูยองฝืนตัวเองไม่ให้ล้มลง
'ฉันเห็นมัน'
มูยองเห็นวิญญาณของอาม่อนแล้ว และตอนนี้มูยองก็เข้าสู่ ‘การต่อสู้’ ที่แท้จริง
‘ศิลปะแห่งความตาย’
เป็นไปได้ไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้วที่จะทำให้ตัวตนผู้ซึ่งเป็นเทพกลายเป็นอันเดธ เนื่องจากเทพคือตัวตนที่สมบูรณ์แบบ
อันแตกต่างกับอันเดธโดยสิ้นเชิง
ถ้างั้นทำไมมูยองต้องออกไปต่อสู้กับอาม่อน? นั่นก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับเงื่อนไข 'การดับสูญ' ของมัน
‘เงื่อนไขนั่นคือ ต้องทำให้อาม่อนเข้าไปเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่ไม่เข้าใจ'
อาม่อนมีความมั่นใจในตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ และพยายามเข้าใจและแก้ไขปัญหาทุกอย่าง นั่นจึงทำให้มันกลาย
เป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์
อาร์คโนวา?
แม้ว่าจะเรียกว่าบทสวดแห่งปาฏิหาริย์ แต่ก็ยังคงเป็นส่วนขยายของเวทมนตร์ ซึ่งอาม่อนสามารถเข้าใจได้อย่างไร
ก็ตามหากมันเกิดขึ้นพร้อมกันกับการถูกควบคุมชั่วครู่โดยพลังที่มูยองใช้?
อาม่อนจะเชื่อมต่อกับมูยองอย่างแท้จริงในขณะนั้น และได้ลิ้มรสพลังแห่งความโกลาหลในตัวมูยอง เขาจะสับสน
ว่ามูยองคือใครกันแน่ และมูยองควบคุมเขาได้อย่างไร!
<'ศิลปะแห่งความตาย' แทรกซึมเข้าไปในตัวเทพปี ศาจ'อาม่อน'>
<อาม่อนไม่สามารถกลายเป็นอันเดธ>
<อย่างไรก็ตาม "ศิลปะแห่งความตาย" เป็นพลังแห่งการปกครอง มันแทรกซึมเข้าไปในร่างของ ‘อาม่อน’อย่าง
รวดเร็ว>
<เทพปี ศาจ ‘อาม่อน’ กำลังต่อต้านอย่างสุดกำลัง>
มันต้องการเวลาทำงานเพียงหนึ่งในสิบของวินาที และมูยองต้องการควบคุมอาม่อนในช่วงนั้น เป็นการเสี่ยงโชค
ครั้งสุดท้ายของมูยอง พลังของอาร์คโนว่าคือความหวังเดียวที่เขามีในสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้
มันเป็นการต่อสู้ของเจตจำนง และตอนนี้ตาของมูยองเริ่มมีเลือดหลั่งออกมาแล้ว หยาดเลือดไหลออกจากทุกช่อง
ทางที่เขามี จิตวิญญาณของมูยองนั้นอ่อนแอกว่าจิตวิญญาณของเทพปี ศาจมาก และอาม่อนในฐานะผู้แสวงหาก็มีจิต
วิญญาณที่แน่วแน่มากกว่าเทพปี ศาจตนใด
‘เป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ?’
มูยองแพ้การต่อสู้แห่งเจตจำนงและเขากัดฟันแน่น เขาไม่สามารถก้าวถอยหลังได้ การที่วิญญาณปะทะกันอันตราย
เป็นอย่างมาก จิตวิญญาณของมูยองอาจสลายได้ภายใต้การโจมตีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่วิญญาณของพวกเขาเกือบจะหลอมรวมกัน การแสดงออกของอาม่อนก็เปลี่ยนไป
“วัฏจักรแห่งเวลา....ในร่างของเจ้า!”
อาม่อนดูประหลาดใจยิ่งกว่าตอนที่มูยองใช้อาร์คโนว่าเสียอีก อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดรอยร้าวใน
จิตวิญญาณของมัน และจิตวิญญาณของมูยองก็ลุกโชนขึ้นเพื่อเอาชนะภายในเสี้ยวเวลานั้นๆ
<คุณประสบความสำเร็จในการควบคุม เทพปี ศาจอาม่อน>
<อย่างไรก็ตามคุณไม่สามารถควบคุมเขาได้ทั้งหมด>
<การควบคุมมีผลเป็นเวลา 7 วินาที>
ดวงตาของมันขุ่นมัวไปชั่วขณะ อาม่อนอยู่ภายใต้การควบคุมของมูยองเป็นเวลาเจ็ดวินาที
‘ฉันทำได้แล้ว’
มูยองรีบดำเนินการขั้นต่อไป เจ็ดวินาทีนั้นมากกว่าเวลาที่เขาคาดไว้ด้วยซ้ำ แม้มูยองจะไม่สามารถออกคำสั่งแก่อา
ม่อนได้ แต่มันเพียงพอแล้วที่จะสลักบางอย่างลงไปในจิตวิญญาณของมัน
“ จงทำเพื่อตัวเองเท่านั้น”
คำพูดของมูยองบอกเป็นนัยว่า อาม่อนเป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์ผู้ที่วิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้เองทั้งหมด เขาจะไม่
เดินตามใคร หวาดกลัวใคร และจะเดินตามทางของตัวเองเท่านั้น
ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น
มูยองปลดล็อคสิ่งที่อาม่อนต้องการโดยที่มันก็ไม่รู้ตัวออกไปนั่นก็เพียงพอแล้ว
บทที่ 280 สงครามเทพปี ศาจ (6 Part 1)
ดวงตาของอาม่อนกลับมาเป็นปกติภายในเจ็ดวินาที
“เป็นไปยังไง? เจ้า...ทำอะไรกับข้า?”
มันยังไม่รู้ตัวว่า "เงื่อนไขการดับทำลาย" เสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว ยังไงก็ตามการที่มูยองจะกำจัดเขายังเป็นไปได้ยาก
หากเป็นปี ศาจระดับล่างพวกมันจะเริ่มอ่อนแอลงอย่างมากเมื่อเงื่อนไขการดับทำลายเสร็จสมบูรณ์ แต่สำหรับเทพ
ปี ศาจอย่างอาม่อนนั้นกลับไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
ทว่ามูยองก็พอใจแล้ว ตอนนี้อาม่อนรู้สึกสับสนเพราะมันไม่รู้ว่ามูยองวาง ‘คำสั่ง’ ไว้ภายในตัวของมัน
“ เจ้าย้อนเวลามาหรือเปล่า? ทำไมถึงมีทูตสวรรค์อยู่ในจิตวิญญาณของเจ้า”
ทูตสวรรค์? เขาพูดถึงกาเบรียลใช่หรือไม่?
อาม่อนพูดถูกต้องเกี่ยวกับการย้อนเวลา ดูเหมือนว่าเขาจะพบมันโดยการสัมผัสโดยตรงกับจิตวิญญาณของมูยอง
สำหรับมูยองเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาย้อนเวลากลับไปได้อย่างไร แต่อาม่อนดูราวกับว่าเขาเข้าใจการเดินทาง
ข้ามเวลาของมูยอง
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
"ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ คำว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แค่ในความคิดของคุณเท่านั้น”
อาม่อนจ้องมองมูยอง เขาโกรธแต่ก็ควบคุมมันเอาไว้
อาม่อนเป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์และผู้แสวงหาความจริง เขาหลุดออกจากพันธนาการของบาอัลและโซโลมอนโดย
ไม่รู้ตัว ยังไงก็ตามผลกระทบเริ่มปรากฏขึ้น
มูยองพูดช้าๆ
“ อาโมนคุณยังกลัวโซโลมอนอยู่หรือเปล่า?”
มันเป็นความกลัวฝังใจสำหรับพวกเขา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นเทพปี ศาจซึ่งทรมานพวกเขาเป็นเวลาหลายปี
แม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นตัวตนแห่งเทพและเดินตามเส้นทางแห่งความสมบูรณ์แบบ แต่ความหวาดกลัวนั้นก็ไม่
เคยหายไป ดังนั้นพวกเขาจึงรวมตัวกันรอบๆบาอัล ผู้ซึ่งเป็นตัวตนที่จะเจือจางความกลัวดังกล่าว
อาม่อนหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง
“ เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวโซโลมอนงั้นหรือ?”
"ถ้างั้นก็ดีแล้ว"
มูยองหันศีรษะกลับไป
อาม่อนรู้สึกสับสนอย่างยิ่งในตอนนี้ จิตใจของเขาสับสนจนลืมที่จะโจมตีมูยอง
มูยองเป็นตัวตันแรกที่อาม่อนไม่รู้จัก เขาเป็นดั่งความโกลาหลเป็นตัวตนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโซโลมอนและบา
อัล
พอเห็นอาม่อนเริ่มฉุกคิดมูยองก็เริ่มเกลี้ยกล่อม
“ คุณจะเลือกแบบไหนระหว่าง ‘ตัวตนที่ไม่รู้จัก’ อย่างผม หรือผู้เป็นเหมือน ‘ความหวาดกลัว’ แบบโซโลมอน?”
ทั้งโลกลุกเป็นไฟทันทีเมื่อมูยองถามคำถามจบ ดวงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานยิ่งกว่าที่เคยจากนั้นความร้อนที่ไม่
น่าเชื่อก็แผดเผาทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งเกราะป้ องกันของเกรโมรี่ก็ไม่อาจต้านทานได้
เหล่าปี ศาจที่อ่อนแอล้วนถูกเผาไหม้เกรียมเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง ร่างนับไม่ถ้วนหล่นลงบนพื้นหลังจากกลายเป็น
เถ้าถ่าน ไม่เพียงแค่นั้นโล่ที่ราชาแห่งความตายสร้างขึ้นเพื่อปกป้ องเหล่าปี ศาจที่เหลือก็ยังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“ เดียโบล…”
มูยองหันศีรษะไปมองพร้อมๆกับอาม่อน
เดียโบลเจ้าแห่งเปลวเพลิงที่แท้จริง ผู้ที่เผาเฮอเรสเทพปี ศาจแห่งเปลวเพลิงจนสิ้นชีพ! มันยืนด้วยสองเท้า พร้อมกับ
เขาบนหัวนับสิบเขา ออร่าของมันดูไม่ต่างจากมังกรผู้เกรียงไกรอันยิ่งใหญ่
แค่มันปรากฏตัวและลืมตา โลกก็ลุกเป็นไฟก่อนทุกอย่างจะถูกแผดเผาและหายไป
มูยองถึงกับตัวสั่น นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้พบกับเดียโบล ครั้งแรกเดียโบลถอยออกไปเนื่องจากบาอัล แต่ครั้งนี้มัน
แตกต่างและหาที่เปรียบมิได้กับครั้งนั้น
มูยองเคยคิดด้วยความช่วยเหลือจากอาม่อนเผื่อเขาจะสามารถจัดการกับเดียโบลได้ แต่ตอนนี้มูยองละทิ้งความคิด
นั้น
“ พลังของเดียโบลไปไกลเกินขีดจำกัดของโลกใบนี้แล้ว”
เขาไปไกลเกินกว่าที่โลกนี้จะสามารถรองรับได้
“ โซโลมอน…!”
สายตาของอาม่อนสั่นคลอนจากความกลัว แต่ยังมีความโกรธแค้นแฝงอยู่ในนั้น
ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ผู้แสวงหาความจริงจะต้องไม่ถูกยับยั้งโดยสิ่งใดๆ อามอนกัดฟันแน่นยังไงก็ตามเทพปี ศาจตน
อื่นถอยหนีไปหมดแล้ว
“ พวกขี้ขลาด”
อาม่อนด่าทอเทพปี ศาจตนอื่นๆที่ยังคงกลัวโซโลมอนอย่างมาก หากบาอัลไม่ลงมือพวกเขาก็เป็นได้แค่เพียงคนขี้
ขลาดที่ต้องหลบหนีต่อไป
อาม่อนไม่สนใจมูยองหรือวิธีที่เขาควบคุมเอนโรธอีกแล้ว รวมไปถึงคำสั่งที่ให้จัดการเกรโมรี่ของบาอัลด้วย อา
ม่อนจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขาเผชิญเท่านั้น
อาม่อนต้องการเอาชนะสิ่งที่รั้งเขาไว้มานาน และตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว
ด้วยเสียงคำรามร้อง การโจมตีของเดียโบลเร็วเกินกว่าที่อาม่อนจะคิดอะไรได้อีกต่อไป ลูกไฟขนาดใหญ่ที่สามารถ
กลืนกินท้องฟ้ าทั้งหมดพุ่งออกมาจากปากเดียโบล มันแผดเผาทุกอย่างที่ขวางหน้าและตรงดิ่งไปที่ที่มูยองและอา
ม่อนยืนอยู่
มหาเปลวเพลิง อาม่อนสร้างกำแพงน้ำแข็งยักษ์ขึ้นกั้นเปลวไฟนั้น อย่างไรก็ตามมันยังไม่เพียงพอเนื่องจากไฟของ
เดียโบลรุนแรงเกินไป
อาม่อนเดาะลิ้นก่อนจะถอดถุงมือออกเผยให้เห็นมือสีดำเมื่อมอันโดดเด่น จากนั้นอาม่อนก็ระดมยิงเวทมนตร์ออก
ไปบินว่อนอย่างเกรี้ยวกราด
เขาบนหัวของอาม่อนงอกยาวขึ้น ลูกตาเปลี่ยนเป็นสีดำ นอกจากนี้กล้ามเนื้อในร่างมนุษย์ของเขาก็ระเบิดและขยาย
ตัวใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตามมันดูไม่เสถียรนัก มูยองเห็นดังนั้นก็หันไปมองเกรโมรี่ทันที
เกรโมรี่พยักหน้าขณะที่เธออ่านสิ่งที่มูยองต้องการ เธอถอดโล่ป้ องกันที่จำกัดเวทมนตร์ออกอย่างรวดเร็ว นั้นทำให้
อาม่อนเริ่มแสดงพลังที่แท้จริงหลังจากที่โล่ที่น่ารำคาญหายไป
“ วังวนวายุ”
ปกติอามอนไม่จำเป็นต้องเปล่งเสียงเพื่อเรียกใช้เวทมนตร์ แต่หากเป็นเวทย์ระดับมหากาพย์จำเป็นต้องเปล่งออกมา
เพื่อบังคับใช้ เวทมนตร์ของอาม่อนที่ล้นเอ่อออกมาส่งผลให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ในไม่ช้าพื้นที่ทรงกลม
ขนาดมหึมาก็ก่อตัวขึ้นตรงหน้าอาม่อน และกลืนกินทุกสิ่งราวกับหลุมดำ
บทที่ 281 สงครามเทพปี ศาจ (6 Part 2)
เปลวเพลิงของเดียโบลถูกดูดเข้าไปในพื้นที่ที่อาม่อนสร้างขึ้น แต่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่?
‘ไม่ได้ผลแน่’
มูยองคิดในใจ ขณะที่หลุมดำดังกล่าวเริ่มสั่นสะเทือน
ถ้าอาม่อนถ้าสามารถใช้เวทย์วังวนจัดการกับเดียโบลได้จริง เขาก็อาจจะเหนือกว่าบาอัล ยังไงก็ตามเวทย์มนตร์นี้
ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของอาม่อน ถ้างั้นที่อามอนกัดฟันสู้โดยไม่หลีกเลี่ยง เป็นเพราะความหยิ่งผยองงั้นหรือ?
ดวงตาของอาม่อนเปลี่ยนไปอีกครั้ง มีประกายสีขาวคล้ายดวงดาวเปล่งอยู่ในดวงตาสีดำมืดไร้จุดสิ้นสุด เขากำลัง
วิเคราะห์ "เปลวเพลิง" ของเดียโบล
“ ข้าจะต้องมองมันให้ออก ข้าจะเผยแม้แต่ความลับในเปลวเพลิงของพระเจ้า”
"วาจา" ของนักเวทย์เปรียบดั่งพลัง ดังนั้นนักเวทย์ที่แท้จริงจะไม่ค่อยพูดอะไรมาก เพราะความนั่นอาจทำให้ความ
ตั้งใจของเหล่านักเวทย์เปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้อาม่อนบังคับเวทย์ของเขาให้แทงทะลุเปลวไฟของเดียโบลได้อย่าง
ง่ายดาย ด้วยการใส่พลังลงไปในคำพูด
ใช้เวลาไม่นานเปลวไฟของเดียโบลก็เกิดการระเบิดออก หลังจากไปสะท้อนกับกระจกเวทย์ขนาดใหญ่ที่อาม่อน
สร้างขึ้น และตอนนี้เดียโบลต้องเผชิญกับเปลวไฟของตัวเอง
‘น่าทึ่งมาก’
มูยองรู้สึกประทับใจ สิ่งเดียวที่มูยองทำคือการปลดล็อคความต้องการเท่านั้น แต่อาม่อนได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยตนเอง
แล้ว เขาไม่คาดคิดว่าอาม่อนจะตอบโต้การโจมตีของเดียโบลได้
‘ยังไม่พอ’
ขณะที่อาม่อนเพิ่งลืมตา แต่เดียโบลกลับได้ตื่นอย่างสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย
ในด้านของมูยองเขากำลังรวบรวมพลังแหล่งเปลวเพลิง ซึ่งพูดตามตรงทักษะแห่งเปลวเพลิงนี้ก็มาจากเดียโบลนั่น
เอง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มูยองจะสามารถควบคุมเปลวไฟของเดียโบลได้นิดหน่อย และเขาก็ต้องการเพียงเพื่อ
เปิ ดเส้นทางสำหรับจัดการกับเปลวไฟของเดียโบลเท่านั้น
และในช่วงเวลาที่ร่างกายของมูยองลุกเป็นไฟ เปลวเพลิงของเดียโบลก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน การโจมตีถูกแบ่ง
ออกไปครึ่งหนึ่งมาที่มูยองเพื่อให้อาม่อนสามารถโต้กลับได้
เดียโบลส่งเสียงคำรามทุ้ม มันกระพือปี กลอยขึ้นก่อนจะฟาดกรงเล็บออกไปยังอากาศเบื้องหน้า หลังจากนั้นสายลม
รุนแรงก็ฉีกกระชากพื้นที่ด้านหน้าออกด้วยความเร็วที่มูยองแทบจะไม่สามารถตามทัน และด้วยเสียงที่ชวนให้ผู้ฟัง
เกิดความไม่สบายใจ ร่างของอาม่อนก็ถูกแบ่งออกครึ่งหนึ่ง
"ร่างโคลน"
มันเป็นร่างโคลนที่อาม่อนเตรียมไว้ในเสี้ยววินาทีนั้น ส่วนร่างจริงได้มุ่งหน้าไปที่เดียโบลแล้ว
‘ศัตรูของศัตรูก็คือพันธมิตรใช่หรือไม่?’
ปัจจุบันอาม่อนกำลังพุ่งความโกรธแค้นไปที่เดียโบลและโซโลมอน เมื่อพวกมันเป็นอันตรายต่อพวกเขามากกว่า
ทั้งสองจึงสามารถบรรลุข้อตกลงได้โดยไม่ต้องพูด
อาวุธของมูยองกรีดร้องอย่างกระหายเลือด มูยองปาหอกกาเบรียลออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเป้ าหมายของเขาไม่ใช่
เดียโบล แต่เป็น...
‘โซโลมอน’มันซ่อนตัวอยู่หลังเดียโบล
มูยองเปิ ดการโจมตีเพื่อทำลายทักษะการอำพรางของเขาตอนที่ทุกคนเผลอ และพอหอกของกาเบรียลกระทบร่าง
ของโซโลมอนก็เกิดเสียงแตกดังสนั่น
อย่างไรก็ตาม มันแทงทะลุโซโลมอนเท่านั้น หอกไม่มีผลต่อร่างกายของโซโลมอน
ยังไม่จบแค่นั้นมูยองตัดสินใจเผยทักษะของตัวเอง ขณะที่หอกของกาเบรียลตกลงพื้น มูยองก็ยกดาบแห่งความ
โกรธเกรี้ยวขึ้น และใช้วิชาดาบอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา
กระบวนท่าที่ 51 ดาบสังหารปี ศาจ
ถ้าโซโลมอนอยู่อีกมิติหนึ่ง มูยองก็ต้องใช้ท่าที่สามารถผ่ามิติได้เท่านั้น พอมูยองโจมตีออกไปช่องว่างบนอากาศก็
เผยให้เห็นมิติสีดำบิดเบี้ยวทันที มันจะสำเร็จหรือไม่?
อย่างไรก็ตามมัน ‘ล้มเหลว’ ร่างกายของโซโลมอนโปร่งใสขึ้นเพียงชั่วขณะ และในไม่ช้าก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
“ ถ้าผมไม่สามารถแตะต้องคุณได้ คุณเองก็คงทำอะไรผมไม่ได้เช่นกัน”
โซโลมอนกับมูยองจ้องมองกันอย่างใกล้ชิด
“ ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงได้ครอบครองทูตสวรรค์และบทสวดแห่งปาฏิหาริย์ของข้าได้ แต่ยังไงก็ช่างเถอะจงตายไป
อย่างเงียบๆเหมือนคิงสเลเยอร์ซะ”
ท้องฟ้ าเกิดเสียงครืดคราดราวกับจะฉีกขาด นภาบนอากาศสีแดงฉาน อุกกาบาตจำนวนมากตกลงมาบดขยี้สิ่งที่อยู่
ด้านล่าง อย่างไรก็ตามการแสดงออกของมูยองยังแข็งทื่อ
‘คิงสเลเยอร์ตายแล้วงั้นเหรอ?”
คิงสเลเยอร์เป็นอัศวินผู้สูงศักดิ์และสง่างามที่สอนวิธีก้าวไปข้างหน้าให้แก่มูยอง
มูยองไม่เคยสนใจความตายของคนอื่นแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป มูยองรู้สึกสะเทือนใจกับการตายของคิงสเลเยอร์มาก
บางทีนี้อาจจะเป็นความเศร้าที่แม้แต่มูยองก็ไม่สามารถรู้ได้
โซโลมอนพูดต่อ
“ เจ้าเศร้างั้นเหรอ? หรือว่าเจ็บปวด? คิงสเลเยอร์หวังในตัวของเจ้ามาก แต่น่าเสียดายที่เจ้ามาเจอข้าซะก่อน "
คิงสเลเยอร์สู้กับโซโลมอนและแพ้ คำถามมีอยู่ว่าแล้วทำไมมูยองถึงไม่สามารถสัมผัสโซโลมอนได้ หรือเป็นเพราะ
เขาเป็นเจ้าแห่งความมืดงั้นเหรอ? หรือเป็นเพราะเขาไม่ได้กำเนิดขึ้นจากโลกนี้?
“ ถึงเจ้าจะพยายามเช่นไรก็เอาชนะเดียโบลไม่ได้หรอก”
“ ทำไมคุณถึงอยากทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง”
มูยองอดไม่ได้ที่จะถามว่าความเกลียดชังและความโกรธแค้นของโซโลมอนมาจากที่ไหน โซโลมอนยิ้มอย่าง
ประหลาดใจกับคำถามของมูยอง
“ เจ้าและมนุษย์ทุกคนเป็นความล้มเหลวที่น่าสนใจมากที่สุดจากเผ่าพันธุ์ที่ข้าสร้างขึ้น ไร้ประโยชน์ที่สุด กระหาย
เลือดที่สุด และหยิ่งผยองที่สุด เผ่าพันธุ์ไร้ค่าที่ชอบกำจัดเผ่าพันธุ์อื่นๆและยังเข่นฆ่ากันเอง”
มนุษย์คือความล้มเหลว?
คำพูดของโซโลมอนดูแปลกๆ หรือโซโลมอนเป็นเทพผู้สร้างทุกอย่าง?
“ โลกใบนี้ก็เป็นเหมือนถังขยะสำหรับข้า และเมื่อถังมันเต็มย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะทำความสะอาดไม่ใช่หรือ?”
โซโลมอนมั่นใจและดูเหมือนจะพูดความจริง เขายิ้มขณะที่มูยองยังคงเงียบ
“ เจ้าพอใจกับคำตอบหรือยัง? คิดซะว่ามันเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายของข้าเอาอย่างนี้ไหมเจ้าหัวขโมย คืนอาร์คโนว่า
กับอาร์คพอลลิน่ามาให้ข้าซะ แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่เห็นจนถึงจุดจบของเกม”
ด้วยเสียงโครมคราม อุกกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยอยู่เหนือศีรษะของมูยองทันทีที่โซโลมอนพูดจบ
บทที่ 282 สงครามเทพปี ศาจ (7)
โซโลมอนเผยมือ
“ จริงๆแล้วเจ้าไม่มีสิทธิถามอะไรข้าด้วยซ้ำ เพราะข้าคือผู้ปกครองที่สร้างเจ้าขึ้นมา!”
โซโลมอนผู้ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง เจ้าแห่งปี ศาจ ความหวังสูงสุดและแสงสว่างของมนุษยชาติเริ่มโวยวายพ่นคำพูดต่างๆ
ออกมาเหมือนคนบ้าจากโรงพยาบาลโรคจิต
“ ข้าจะทำลายโลกนี้และสร้างมันขึ้นมาใหม่ เพื่อกำเนิดเผ่าพันธุ์ที่ดีกว่าและเหนือกว่า!”
โซโลมอนพูดแต่เรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล การรับรู้และศีลธรรมของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนที่มีสติ เขาสนใจ
เพียงการทำลายเผ่าพันธุ์หนึ่งๆเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ที่ดีกว่าเท่านั้น และหากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะแตกต่างจากปี ศาจยัง
ไง?
มูยองเริ่มเร่งความเร็วตัวเองขึ้น แต่แม้จะเพิ่มความเร็วไปที่ 128 เท่าเขาก็ยังไม่สามารถหลบหนีจากการระเบิดอัน
รุนแรงนี้ได้ มูยองกางปี กทั้งสามคู่ถูกออกเพื่อหลบหลีกอุกกาบาตและทำลายพวกมันไปพร้อมๆกัน
'ฉันใช้ชีวิตทุกวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายเสมอ'
ถึงพลังของเขาจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่ง ทุกเส้นทางของมูยองเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ตลอด
เวลา เขาท้าทายทุกอย่างและเอาชนะมันได้ทุกครั้ง สักวันหนึ่งเขาอาจจะถูกต้อนจนจนมุมก็ได้ อย่างไรก็ตามโลกนี้
ไม่ถูกต้อง และมูยองเป็นคนเดียวที่สามารถแก้ไขมัน
โซโลมอนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะเดียโบลงั้นเหรอ?
มูยองแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว เพราะทุกครั้งที่มูยองเข้าร่วมการต่อสู้ทุกคนมักพูดว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้ ชัยชนะไม่
เคยเป็นไปได้สำหรับมูยอง อย่างไรก็ตามเขาไม่ยอมแพ้และยังสามารถมาถึงจุดๆนี้ได้ โซโลมอนไม่รู้จักมูยองดีพอ
จริงๆแล้วถ้ามีคนบอกว่ามูยองทำบางอย่างไม่ได้เขาจะพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิม
อุกกาบาตเริ่มตกลงมาสร้างความเสียหายให้แก่ทั้งสองฝ่ ายในพื้นที่ที่ถูกเรียกว่า ‘เขตแดนเดียโบล’ ซึ่งเป็นพื้นที่
สำคัญและเดียโบลสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
‘ปี กของกาเบรียล’ ขนนก 7,777 เส้นบินตัดอากาศอย่างรวดเร็ว
ตูม! ตูม! ตูม!
มูยองยิงขนนกปะทะเข้ากับอุกกาบาตที่กำลังตกลงมา นี่คือการต่อสู้ของความเร็ว และดูเหมือนมูยองจะทำได้ดีกว่า
ขณะนี้อุกกาบาตเริ่มถูกทำลายไปทีละลูก
ปัง!
มูยองเหวี่ยงความโกรธเกรี้ยวเข้าปะทะกับอุกกาบาตลูกหนึ่งและทำลายมันทันที เขายังเดินหน้าทำลายต่อไปด้วย
การเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยที่สุดจนอุกกาบาตแตกกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ภาพที่มูยองทำลายอุกกาบาตหลายสิบลูก
ภายในไม่กี่วินาทีกลายเป็นภาพเบลอๆสำหรับผู้ที่มองเห็นมัน
ก๊าซ!!!
เดียโบลเริ่มแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวอีกครั้ง เนื่องจากสิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามที่มันต้องการ
'ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย'
อย่างไรก็ตามการรักษาจังหวะการต่อสู้เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งสำหรับมูยอง เนื่องจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือ
มนุษย์ทำให้ร่างกายของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“ ทักษะการเคลื่อนไหวแบบนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเคยมีอะไรบางอย่างกับคิงสเลเยอร์ และอัลพอลลิน่าแล้วสินะ”
โซโลมอนพูดจายั่วมูยอง และถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ห่างไกลแต่น้ำเสียงของเขาก็ฟังเหมือนก้องอยู่ในรูหู โดยที่มูยองยัง
คงสงบลงและพูดกับโซโลมอน
“ ผมอีกคำถามหนึ่งที่จะถาม คุณเป็นโซโลมอนตัวจริงหรือเปล่า?”
ก่อนหน้านี้เขาถามไปแล้วหนึ่งข้อ อย่างไรก็ตามมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ ครั้งนี้โซโลมอนตอบสนอง
ด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง
“ เจ้ากำลังจะพูดอะไร?”
มูยองเงียบ
เขาจำตอนที่ออกตามหาอาร์คโนวาได้ ข้อมูลที่เขาได้รับต่างแจ้งว่าโซโลมอนเป็นผู้ทิ้งอาร์คโนวาไป ทุกคนที่ไป
เยี่ยมชมสถานที่นั้นต่างก็บอกเหมือนกัน อย่างไรก็ตามตอนนี้โซโลมอนกลับบอกว่ามูยองขโมยมัน
มีบางอย่างไม่ตรงกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องค้นหาความจริง
‘มีข้อมูลบางอย่างหายไป หรือไม่มันก็เป็นเรื่องโกหก '
กล่าวกันว่าโซโลมอนอยู่ภายใต้อิทธิพลของเลเมเกทัล ความทรงจำของเขาอาจเสียหาย ถ้าไม่อย่างนั้น…มีความเป็น
ไปได้ว่าเขาไม่ใช่โซโลมอนตัวจริง อย่างไรก็ตามโซโลมอนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
‘เขายังบอกว่าฉันมีเทวทูตแห่งกาลเวลา’
อัลพอลลิน่า คือชื่อจริงของทูตสวรรค์แห่งกาลเวลา สิ่งที่มูยองรู้คือทูตสวรรค์แห่งกาลเวลาถูกบาอัลลักพาตัวไป แต่
โซโลมอนยืนยันว่ามูยองกำลังครอบครองมันอยู่
‘มันเกี่ยวข้องกับการย้อนเวลากลับไป’
ความคิดนั้นเป็นเพียงสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตามหากมูยองและเทวทูตแห่งกาลเวลามีความเกี่ยวข้องกันจริงก็จะ
เป็นการยืนยันว่าพวกเขากลับมาจากอดีต มูยองคงไม่ย้อนเวลามาโดยไม่มีเหตุผล ถึงกระนั้นก็น่าแปลกที่มีเพียงมู
ยองเท่านั้นที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้
ยังไงก็ตามดูเหมือนว่าโซโลมอนต้องการมูยอง ถ้าเขาเอาตัวมูยองไปไม่ได้ทุกอย่างก็จะไร้ผล นอกจากนี้โซโลมอน
ยังขาดอีกหลายสิ่ง และโซโลมอนไม่สามารถแบ่งพลังของเดียโบลได้
‘ถ้าเดียโบลแพ้โซโลมอนก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป’
นั่นคือข้อสรุปที่มูยองคิด
มูยองเริ่มใจเย็นขึ้น
เดียโบล
ถ้าเขาเอาชนะเทพปี ศาจเพลิงตนนี้ได้โซโลมอนก็จะไร้อำนาจ แต่โซโลมอนต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่มิฉะนั้นเขา
จะไม่ปรากฏตัวที่นี่
สถานที่แห่งนี้คืออาร์มาเกดอน - สถานที่ที่เหล่าเทพปี ศาจมารวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับเดียโบล มันทั้งปราศจากความ
หวังและความตายที่แน่นอน มันคือจุดยืนสุดท้ายของพวกเขา และมูยองก็อยู่ที่นั่นด้วย
'สู้กับภัยพิบัติงั้นเหรอ ชักจะชอบซะแล้วสิ'
มูยองยิ้ม
มูยองทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ นั่นเป็นความสามารถของเขา อย่างไรก็ตามคราวนี้ฝ่ ายตรงข้ามแข็งแกร่ง
เป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าการก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงต้องเคลียร์เส้นทางของตัวเองก่อน ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้มูยองได้
รู้หลายสิ่งหลายอย่าง
โซโลมอนทำลายโลกและมนุษยชาติ
มนุษย์บางคนที่รอดชีวิตกลายเป็นเทพปี ศาจ
บาอัลขโมยเลเมเกทัล และทูตสวรรค์ไปจากโซโลมอน
บาอัลใช้เลเมเกทัลสร้างเทพปี ศาจ 71 ตนจากมนุษย์ที่เหลืออยู่ และโซโลมอนก็พยายามกันไม่ให้บาอัลใช้งานเทพ
ปี ศาจเหล่านั้นได้อย่างสะดวก
บาอัลพยายามทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดยกเว้นปี ศาจ ส่วนโซโลมอนต้องการทำลายทุกสิ่ง
การปรากฏตัวของเดียโบลทำให้บาอัลเดือดร้อน และโซโลมอนพยายามหาประโยชน์จากสิ่งนี้
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามคำถามบางอย่างยังคงอยู่ คำถามที่ใหญ่ที่สุดคือทำไมบาอัลถึงต้องการทำลายทุกเผ่า
พันธุ์ยกเว้นปี ศาจ แต่ในทางเทคนิคแล้วบาอัลกับโซโลมอนต่างก็ต้องการสิ่งเดียวกัน
ปี ศาจเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบาอัลและเทพปี ศาจ บาอัลต้องการให้พวกพ้องของมันครองโลก และนั่น
ไม่ใช่เรื่องดี สำหรับมูยองไม่ว่าจะโซโลมอนหรือบาอัลต่างถือเป็นสิ่งชั่วร้าย
‘เพราะไม่ว่าฝ่ ายใดจะชนะมนุษยชาติก็จะถูกทำลาย’
ที่ผ่านมาบาอัลกระทำการอย่างรวดเร็ว เผ่าพันธุ์มนุษย์สูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับรูปแบบชีวิตอื่นๆ หาก
คุณลองคิดดูเป้ าหมายของโซโลมอนอาจดูง่ายกว่า แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครจะชนะมนุษยชาติก็ยังคงถูกทำลาย
แต่…บางที อาจมีความเป็นไปได้ที่บางอย่างจะเปลี่ยนแปลง
และการเปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า มูยอง
ตอนนี้มูยองมีอัลพอลลิน่าและอาร์คโนว่าที่เคยเป็นของบาอัล
มูยองคือทางเดินเส้นที่สาม – เส้นทางที่ไม่มีใครก้าวเดิน
‘ฉันจะกำจัดทั้งสองคนทิ้ง’
เขากระหายที่จะกำจัดทั้งโซโลมอนและบาอัล ก่อนจะคืนความสงบสุขให้กับโลก ถ้าเขาไม่สามารถทำลายพวกมัน
ได้มูยองก็พร้อมที่จะเผาโลกนี้ไปพร้อมๆกับเหล่าปี ศาจ ไม่จำเป็นต้องมีเผ่าพันธุ์ใหม่ใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น
เผ่าพันธุ์ทั้งหมดควรถูกสร้างขึ้นโดยการคัดเลือกจากธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยพลังของใครคนหนึ่ง! ทุกสิ่งจะกลับคืนสู่
ธรรมชาติโลกเมื่อความสงบสุขกลับคืนมา
'ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา’
ทำลายความบกพร่องทั้งหมดเพื่อโลกที่สมบูรณ์แบบ? มันก็เหมือนกับการทำลายความเป็นไปได้ต่างๆที่สามารถ
เกิดขึ้นได้ และแม้แต่มูยองก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบแม้แต่โซโลมอน และความผิดพลาดที่
ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือความล้มเหลวที่จะยอมรับมัน
ฟูมมมม!
เปลวเพลิงขนาดใหญ่ลุกโชนขึ้นรอบๆเดียโบล อาม่อนกำลังต่อสู้กับเดียโบลอย่างดุเดือด และทั้งหมดเป็นเพียงเรื่อง
ของเวลาเท่านั้น ทันทีที่พลังของอาม่อนแห้งเหือดลงเขาจะไม่สามารถรับมือกับเดียโบลได้อีก
มูยองเตรียมการทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว
จุดประสงค์นั้นชัดเจนมาก มูยองตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเหมือนตอนแรกและเชื่อมั่นในตัวเอง ในแผนของเขามี
เพียงโซโลมอนเท่านั้นที่เป็นส่วนเสริมเข้ามาใหม่
ผึ่งงง!
ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวสั่นสะท้านด้วยความกระหาย
‘ความละโมบ’
ความโกรธเกรี้ยวมีพลังแห่งความละโมบอยู่ อย่างไรก็ตามมันเป็นนักกินที่พิถีพิถัน มันจะกลืนกินอาวุธที่มีพลังเท่า
กันหรือเหนือกว่ามันเท่านั้น และที่มันกำลังกรีดร้องก็เพราะตอนนี้มีอาหารอยู่ตรงหน้า
แม้ตอนนั้นหอกกาเบรียลที่อยู่ในมือของมูยองจะส่องสว่างซักเพียงใด ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวก็ยังไม่สนใจ แต่
หลังจากมูยองสามารถแยกพลังของลูซิเฟอร์และกาเบรียลออกจากกันได้สำเร็จเขาก็ได้รับพลังที่เหนือกว่าเดิม
ยามนั้นเมื่อเขามองไปที่ความโกรธเกรี้ยวก็ได้ยินความปรารถนาของมัน มันกำลังรอการอนุญาตจากมูยอง และมู
ยองไฟเขียวให้กับความโกรธเกรี้ยว
"กินมันซะ!"
ฟูม! ฟูม!
กร๊วบ! กร๊วบ!
<ความโกรธเกรี้ยวถูกกระตุ้น>
<ความโกรธเกรี้ยวได้กลืนกินหอกของกาเบรียล>
<ความโกรธเกรี้ยวกลืนกินสำเร็จแล้ว>
ชื่อ: ความโกรธเกรี้ยว
อันดับ: EX
ประเภท: อาวุธ
เอฟเฟค : ความโกรธเกรี้ยวของโลกทั้งใบ ดาบที่สามารถสังหารความหลอกลวง ความสามารถทั้งหมดเพิ่ม 20% มี
ความสามารถในการขโมยเลือดจากคู่ต่อสู้และฟื้ นฟูความแข็งแกร่งของผู้ใช้
ความละโมบ : กลืนกินอาวุธระดับสูงเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น
การโจมตีด้วยอาวุธ: ธาตุสายฟ้ า (S +++) โจมตีด้วยสายฟ้ าที่ทรงพลัง
พลังเทวะ (S +++ พลังในการตัดความชั่วร้าย)
พละกำลัง +100
การรับรู้ +100
ความฉลาด +100
พลังเทวะ +200
ความสามารถทั้งหมด +100
ความโกรธเกรี้ยวได้พัฒนาขึ้นจากตอนแรกที่มันเป็นเพียงอาวุธธรรมดา แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็พัฒนาขึ้นจนไป
ใกล้ขีดสูงสุด
ด้ามดาบถูกตกแต่งด้วยขนนกกาเบรียลและคมมีดที่ส่องประกาย ยังไงก็ตามไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางรูปลักษณ์
เท่านั้น มูยองสามารถบอกได้ทันทีว่าการวิวัฒนาการครั้งนี้เป็นวิวัฒนาการตามตัวตนที่แท้จริงของมูยองเอง
เรื่องราวของความโกรธเกรี้ยวก็ถูกรับฟัง ตอนนี้มูยองรู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไรและต้องการอะไร ทำให้ความโกรธ
เกรี้ยวรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของมูยอง
ในที่สุดความโกรธเกรี้ยว และมูยองก็เป็นหนึ่งเดียวกัน
บทที่ 283: สงครามเทพปี ศาจ (
เกรโมรีหันไปมองดาบที่เธอให้มูยองยืมไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าปี ศาจ หรือเดียโบลต่างหยุดการเคลื่อนไหวขณะที่ความโกรธเกรี้ยวส่องประกายบนสมรภูมิรบ มู
ยองเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเมื่อเขาถือดาบเล่มนี้อยู่ในมือ
'เจ้าไปเกินความคาดหมายของข้าจริงๆ'
เกรโมรี่ถูกตัดสินให้เป็นผู้พ่ายแพ้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากมูยองปรากฏตัวขึ้น เธอไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
แต่สุดท้ายทุกสิ่งก็ยังดำเนินไปข้างหน้า
‘คุณอยากจะเปลี่ยนอะไร และคุณสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง?
โซโลมอนต้องการทำลายทุกสิ่งเพื่อที่เขาจะได้สร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ บาอัลต้องการให้มีเพียงเผ่าพันธุ์ปี ศาจ
เท่านั้นบนโลกนี้ ส่วนเกรโมรี่เธอเกลียดทางเลือกที่เต็มไปด้วยรุนแรงของพวกเขา เพราะมันจะนำความพินาศมาสู่
โลก แต่มูยองต่างออกไปเพราะเขาต้องการที่จะปกป้ องทุกอย่างทั้งหมด เขากำลังเดินทางนั้นทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไป
ไม่ได้
‘เส้นทางใหม่…’
เกรโมรีเป็นคนแรกที่อยากรู้ว่าเส้นทางนั้นจะเป็นอย่างไร เธอทำให้มูยองมาอยู่ใต้บังคับบัญชาเพื่อให้ง่ายต่อการ
ตรวจสอบ นอกจากเขาจะสามารถสังหารเลราเจได้แล้วยังพยายามจะใช้ประโยชน์จากเธอ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้
นมูยองในสายตาเธอก็เปลี่ยนไป
เกรโมรี่ยังไม่รู้ว่ามูยองกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอเห็นว่าเขาไม่เคยลดละในการบรรลุเป้ าหมาย ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียง
รักษาระยะห่างเอาไว้ อาม่อนก็เหมือนกันเขาช่วยเหลือมูยองด้วยความตั้งใจของตัวเองเมื่อเผชิญหน้ากับเดียโบล ทั้ง
สองต่างอยู่คนละฝ่ ายและต่อสู้กันด้วยชีวิตก่อนที่จะพบศัตรูร่วมกัน ปกติแล้วมันเป็นไปไม่ได้สำหรับทั้งคู่ที่จะกลาย
มาเป็นพันธมิตรกันแบบนี้ แต่มูยองกลับทำได้
"เราจะไม่ถอยหลังกลับไป"
เกรโมรี่ประสานมือเข้าด้วยกัน จากนั้นกลีบดอกไม้หลายสิบกลีบก็ลอยอยู่บนท้องฟ้ าก่อนจะรวมตัวกันเพื่อปกป้ อ
งมูยอง
‘ได้โปรดให้เขาได้รับชัยชนะด้วยเถอะ’
ด้วยเสียงกรีดร้องบาดแก้วหูความโกรธเกรี้ ยวเฉือนผิวหนังหนาๆของเดียโบลออก เปลวไฟร้อนระอุพุ่งออกมาจาก
บาดแผลของมัน ขณะที่มูยองก้าวถอยหลังอาม่อนก็สร้างประตูมิติขึ้นเพื่อดูดกลืนเปลวไฟนั้นๆจนมันสลายไป
กระบวนการเกิดเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ก็เพียงพอแล้วที่มูยองถอยหนีได้
เดียโบลที่เต็มไปด้วยโทสะปล่อยใบมีดเปลวเพลิงนับพันบินติดตามเข้าหามูยอง แต่ก็ถูกอาม่อนหยุดเอาไว้ด้วยเสา
น้ำแข็งขนาดใหญ่
“รีบกำจัดเดียโบลซะ!”
น้ำเสียงของอาม่อนเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะสิ่งต่างๆไม่เป็นดั่งที่เขาต้องการ แต่มูยองกลับยังเพิกเฉยและ
ยกดาบขึ้น
‘การโจมตีของฉันได้ผล’
ความโกรธเกรี้ยวฟันเดียโบลเข้าหลังจากที่วิวัฒนาการเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตามร่างของมันก็ถูกสร้างใหม่ในทันที
เนื่องจากความสามารถในการรักษาที่อยู่ในระดับเทพเจ้า แต่ถึงจะเป็นการสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยก็ยังดี
เพราะเขื่อนขนาดใหญ่ก็อาจพังลงจากรูรั่วเล็กๆได้ และความสามารถในฟื้ นฟูของมันย่อมต้องมีขีดจำกัด
"ร่วมมือกับฉัน!"
“ไม่มีเวลาพักเลยรึ!”
จากนั้นคิงธ์ออฟเดอะเดธกับทาร์แคนรวมไปถึงคริมสันบาร็อคก็เข้าสู่สนามรบของมูยองหลังจากกำจัดปี ศาจที่หลง
เหลืออยู่รอบๆจนหมด ในขณะที่เดียโบลต่อสู้เพียงลำพังมูยองเต็มไปด้วยพันธมิตร นอกจากนั้นเขายังมีเวทมนตร์
ของอาม่อน และการป้ องกันจากเกรโมรี่อีก
“ โจมตีซ้ำไปที่แผลเก่าของมันก่อนที่จะรักษาตัวเอง”
แผนของมูยองเรียบง่าย พวกเขาจะขยายแผลของมันให้ใหญ่ขึ้นโดยการรุมโจมตี เพราะลำพังแค่พลังของมูยองนั้น
ไม่เพียงพอ
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น เดียโบลกระแทกพื้นด้วยหางของมันทำให้บังเกิดเสาเปลวเพลิงขนาดใหญ่สูงเสียด
ฟ้ าล้อมรอบพวกเขาเอาไว้
'เร่งความเร็ว'
มูยองทำให้เวลาของตัวเองไหลช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้มีเพียงมูยองเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเต็ม
ที่ อย่างไรก็ตามผิวหนังและกระดูกของมูยองเริ่มเสียหายจากผลกระทบของพลังที่เขาใช้หลายครั้ง
ไม่มีเวลาให้หยุดพัก มูยองเดินผ่านเปลวไฟไปอย่างใจเย็นก่อนจะโถมแรงโจมตีไปที่เดียโบล แผลบนหน้าอกของ
เดียโบลเปิ ดออกเหวอะหวะ และแม้ในโลกที่เวลาหมุนช้าลงถึง 128 เท่าบาดแผลของมันก็ยังหายเป็นปกติได้อย่าง
รวดเร็ว ความสามารถในการฟื้ นฟูของเดียโบลนั้นน่ากลัว และเขาไม่มีเวลาสำหรับเตรียมการโจมตีครั้งที่สอง
ทว่ามูยองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ทาร์แคนงัดทักษะการต่อสู้ที่ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากตลอดหลายทศวรรษเพื่อโค่น
ล้มมูยองออกมาโจมตีช่วย ส่วนคริมสันบาร็อคก็พยายามฉีกบาดแผลของเดียโบลด้วยสองมือ
"การโจมตีครั้งที่สอง"
เพียงครู่เดียวเดียโบลก็ตอบโต้คริมสันบาร็อคด้วยการกัดเข้าไปที่คอ ท่ามกลางเสียงคำรามร้องเปลวเพลิงที่ไหลออก
จากฟันของเดียโบลก็เผาไหม้ไปทั่วร่างกายของคริมสันบาร็อค อย่างไรก็ตามมือที่พยายามฉีกบาดแผลของศัตรูยัง
คงมั่นคง
มูยองเริ่มกวัดแกว่งความโกรธเกรี้ยวเร็วขึ้นและเคลื่อนไหวราวกับว่ากำลังเต้นรำ เดียโบลกรีดร้องขณะที่คมดาบขอ
งมูยองฉีกผ่านร่างกายมัน อย่างไรก็ตามกระดูกของมูยองเริ่มแตกหักเนื่องจากทนภาระในการใช้วิชาดาบในโลกที่
หมุนช้าลงไม่ไหว
'กระบวนท่าที่ 51 ดาบสังหารปี ศาจ'
ในที่สุดมูยองก็สามารถฟาดฟันได้สำเร็จ ท่าสังหารปี ศาจคือการฟันเส้นองค์ประกอบทั้งห้าสิบเส้นที่มูยองสลักไว้
บนร่างกายทั้งหมดของเดียโบล และทันใดนั้นร่างของเดียโบลก็ระเบิดออกเสียงดังกึกก้อง
โซโลมอนที่เฝ้ าดูการเคลื่อนไหวของมูยองไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้ มูยองและดาบของเขา
แข็งแกร่งและสมบูรณ์ขึ้น การได้เห็นอาวุธที่เต็มไปด้วยพลังเทวะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดาแม้แต่กับ
โซโลมอน จากนั้นมูยองก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบก่อนที่จะมีพลังเหนือเดียโบล โซโลมอนหัวเราะต่อภาพที่เห็น
ตรงหน้า ภาพของมนุษย์ที่กำลังกดดันเทพ
‘เขาก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว’
มูยองเป็นมนุษย์ซึ่งได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์ตนเอง แล้วเขาจะสามารถเป็นเทพเจ้าได้หรือไม่? อย่างไรก็ตาม
มีเทพเจ้าเพียงองค์เดียวคือโซโลมอน มูยองเป็นแค่ลูกครึ่งที่ขโมยบางสิ่งจากโซโลมอนไปเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
ให้ตัวเอง ถ้าเขาตกอยู่ในความสิ้นหวังและพังทลายลงไปเมื่อไหร่ มูยองก็จะตกอยู่ในความว่างเปล่าและกลายเป็น
เหมือนจ้าวแห่งความมืด
ร่างของเดียโบลแหลกสลายกองลงบนพื้น หากโซโลมอนสูญเสียเดียโบลเขาจะไม่สามารถมีอิทธิพลต่อโลกปี ศาจ
ได้อีกต่อไป ถึงกระนั้นโซโลมอนก็ยังหัวเราะแม้ว่าเขาจะสูญเสียทูตสวรรค์แห่งกาลเวลาและคำอธิษฐานแห่ง
ปาฏิหาริย์
“ เจ้าเอาชนะเดียโบลไม่ได้หรอก”
ในขณะที่ร่างกายของเดียโบลแหลกสลาย มูยองก็เห็นเสาไฟหลายเสากระจายอยู่ทั่วพื้นดิน ผืนดินแตกปะทุขึ้นด้วย
เปลวเพลิงเหล่านั้นซึ่งแม้แต่มูยองก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ง่ายๆ และเมื่อเปลวไฟหยุดลงมูยองก็แทบไม่เชื่อสายตาตัว
เอง
‘ฉันตัดองค์ประกอบของมันไปแล้วนะ’
มูยองไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถฟื้ นคืนชีพได้หลังจากที่เขาตัดองค์ประกอบ ไม่ว่าความสามารถในการฟื้ นฟู
จะสูงส่งเพียงใดก็ยังไม่มีใครรอดพ้นจากความตาย มูยองไม่เคยคิดเลยว่าการโจมตีของเขาจะล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม เดียโบลฟื้ นฟูร่างของมันขึ้นจากเปลวเพลิงพร้อมส่งเสียงคำรามก้อง สิ่งเลวร้ายที่ตามมาก็คือเปลว
เพลิงของมันยิ่งรุนแรงขึ้น
“ เอาจริงเหรอนี่…”
ด้วยพลังแห่งเปลวเพลิงของเดียโบลขณะนี้ มันตั้งใจจะเผาโลกทั้งใบจริงๆหรือ? มูยองยกดาบขึ้นด้วยแขนอันสั่น
เทิ้ม นั่นเป็นเพราะกระบวนท่า ‘สังหารปี ศาจ’ เผาผลาญกำลังส่วนใหญ่ของเขาไปหมดแล้ว แต่เขาอาจจะใช้มันได้
อีกครั้งหากยอมเอาชีวิตเข้าแลก
‘ฉันจะไม่ยอมแพ้’
มูยองยังคงมีแรงเหลืออยู่ เมื่อสามารถเคลื่อนไหวได้เขาก็เลือกที่จะสู้!
สิ่งมีชีวิตทั่วทั้งโลกปี ศาจต่างสั่นคลอนเมื่อเห็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ที่ลุกท่วมสู่ท้องฟ้ ารวมถึงวูฮี
“ เจ้าม้าดำรีบเร็วเข้า!เร็วกว่านี้อีก! เราต้องรีบไปหาที่รักเดี๋ยวนี้!”
วูฮีเร่งอาชานรก
อาชานรกก็เห็นภาพนั้นเช่นกัน และสัญชาตญาณของมันส่งเสียงกรีดร้องบอกให้วิ่งหนี
ยังไงก็ตามมูยองดูเหมือนจะอยู่ที่นั่น อาชานรกเพิ่มความเร็วขึ้นโดยมียูนิคอร์นจำนวนมากติดตามมาด้วย
พื้นที่แถบนั้นกลายเป็นน่าสังเวช เถ้าจากการถูกเผาไหม้ถมผืนดินจนกลายเป็นสีดำ
เดียโบลยังไม่ถูกสังหาร ขณะที่คริมสันบาร็อคพยายามต้านทานมันอยู่ ร่างที่ถึงขีดจำกัดแล้วของคริมสันบาร็อคเริ่ม
พังทลาย แขนฉีกขาด ดวงตาถูกทำลาย เขาทั้งหมดแตกหัก อย่างไรก็ตามคริมสันบาร็อคยังสู้ไม่ถอยด้วยเหตุผลเพียง
อย่างเดียวคือการปกป้ องมูยอง
"บัดซบ"
หัวของทาร์แคนกลิ้งไปตามพื้น เกรโมรี่ และอาม่อนก็ได้รับความเสียหายเกินกว่าจะฟื้ นตัวได้
เดียโบลเจาะหัวใจของคริมสันบาร็อคในขณะที่คริมสันบาร็อคก็กัดหัวของเดียโบล
มูยองอยู่ด้านหลังคริมสันบาร็อค ปี กของเขาถูกเผาไหม้เกรียม ทั้งร่างของเขาก็ปริแตกจนเห็นกระดูก อย่างไรก็ตาม
ไม่มีเลือดสักหยดเพราะมันระเหยจากความร้อนไปหมดแล้ว และความสามารถในการฟื้ นฟูของมูยองก็ไม่สามารถ
ทำงานได้เช่นกัน
“ ที่รัก!”
วูฮีบินไปหามูยองทันทีเมื่อเธอมาถึง อาชานรกมองไปรอบๆด้วยสายตาเศร้าโศก ในขณะที่ยูนิคอร์นล้อมรอบมูยอง
และร้องเพลงแห่งการฟื้ นฟูแต่ก็ไม่สามารถทำให้มูยองขยับเขยื้อนใดๆได้
“ ขอร้องล่ะอย่าจากวูฮีไป! วูฮีอยู่ที่นี่แล้ว! ลืมตาเถอะที่รัก!”
ดวงตากลมโตของอูฮีเต็มไปด้วยน้ำตา ในขณะที่อาชานรกพยายามรั้งเธอไว้
พวกเขามาช้า ตอนนี้มูยองไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว
คริมสันบาร็อคต่อต้านจนถึงที่สุดโดยไม่ยอมเชื่อว่ามูยองตายแล้ว
“ ขอร้องล่ะได้โปรด! คุณยังตายตอนนี้ไม่ได้! วูฮีขอโทษ!"
น้ำตาของวูฮีไหลอาบแก้มและร่างของมูยองจนเปี ยกปอน และในช่วงเวลานั้นเอง ร่างกายของมูยองก็ถูกฟื้ นฟู
ราวกับเธอได้เทน้ำลงบนพื้นที่แห้งแล้ง
น้ำตาของวูฮีได้สร้างปาฏิหาริย์ที่เป็นไปไม่ได้ มูยองลืมตาขึ้นเมื่อปี กที่ถูกเผาไหม้ของเขางอกใหม่เสร็จ
<เงื่อนไขพิเศษถูกค้นพบ>
<พลังของราชันอมตะ 'การทดลองทั้งเจ็ด' ถูกเปิ ดใช้งานแล้ว>
บทที่ 284-285 : สงครามเทพปี ศาจ (9)
“……”
มูยองยืนงงใช้มือที่ถูกเผาไหม้เกรียมเป็นแผลเหวอะหวะลูบใบหน้าของตน
‘ฉันยังไม่ตาย?’
มูยองขมวดคิ้วและครุ่นคิด
เขาถูกเดียโบลที่ฟื้ นขึ้นจากความตายฆ่าไปแล้ว
ความรู้สึกที่เขาหลับตาลงรับความตายนั้นยังคงอยู่
“อร๊าย ที่รักของวูฮียังมีชีวิตอยู่!”
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกก็คือ มูยองเห็นภูติบินอยู่ตรงหน้า หรือว่านี่เป็นความฝัน?
ยังไงก็ตามมูยองสะบัดความคิดเหล่านั้นออกไปเพราะเขารู้ดีว่านี่เป็นความจริง
‘การทดสอบทั้งเจ็ด’
มูยองคิดว่าได้ยินมันหลังจากที่ลืมตา ‘การทดสอบทั้งเจ็ด’ มันเป็นสิ่งที่ได้มาจากดอพเพลแกงเกอร์ พลังในตำนานที่
สามารถทำให้คืนชีพได้ถึง 7 ครั้ง ยังไงก็ตามมีการลงโทษสำหรับการฟื้ นคืนชีพแต่ละครั้ง
หน้าต่างแจ้งเตือนจากตัวแสดงสถานะเด้งขึ้นยำเตือนความทรงจำของมูยอง
ชื่อสกิล: ‘การทดสอบทั้งเจ็ด’ (None)
ราชันอมตะได้เอาชนะสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และการทดลองเจ็ดครั้งที่เป็นอันตรายจนได้รับเจ็ดชีวิต
ชีวิตที่เหลือ: หก
สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญสำหรับการฟื้ นคืนชีพทุกครั้ง
แล้วมูยองเสียสิ่งสำคัญอะไรไป? เขาไล่ดูข้อมูลในหน้าต่างแสดงสถานะ แต่ไม่ว่าจะเป็นสเตตัสหรือสกิลยังอยู่ครบ
ไม่ขาดหาย
“ที่รัก!!! เป็นห่วงแทบแย่ ไม่ต้องกังวลไปนะ วูฮีมีวิธีทำลายเจ้านั้นแล้ว ”
“เธอเป็นใคร?”
มูยองกุมขมับ ตอนนี้ศีรษะของเขาปวดมากกว่าตอนที่ร่างกายพังทลายเสียอีก
“เอ๋ะ?”
ภูติน้อยนิ่งอื้งราวกับรูปปั้นเมื่อได้ยินคำถามของมูยอง
“ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่ช่วยหลบหน่อย ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับเธอ”
มูยองบังคับตัวเองให้ลุกขึ้น ถึงยังไม่หายดีแต่เขายังคงอยู่ระหว่างการต่อสู้และไม่มีเวลาพัก มูยองยังเหลืออีกหกชีวิต
เขาคิดว่าเดียโบลก็คงไม่สามารถฟื้ นคืนชีพได้อย่างไร้ขีดจำกัดหากมีพลังคล้ายกับตน
‘มาดูกันว่าใครจะจบก่อนใคร’
มูยองคว้าความโกรธเกรี้ยวขึ้นโดยไม่สนใจเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บเมื่อพลังของเขาไหลผ่านตัวดาบ
คริมสันบาร็อคคำรามก้องเมื่อเห็นว่ามูยองฟื้ นคืนชีพ สภาพของคริสันบาร็อคตอนนี้น่าสดสยองมาก แต่มันกลับดู
ไม่เจ็บปวดใดๆเมื่อเห็นว่ามูยองกลับคืนมาจากความตาย ทว่าหลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ร่างของมันก็พังครืนแหลก
สลาย การที่มันทนมาจนถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว ส่วนอาม่อนกับเกรโมรี่ก็ยังล้มลงไปก่อนหน้านี้แล้ว
‘ฉันเป็นคนเดียวที่ยังรอด?’
มูยองยังรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด ในขณะที่อาชานรกยืนอยู่ข้างๆส่งเสียงฮี้ๆราวกับจะบอกอะไร
“แกคืออาชานรก”
มูยองแทบจะจำมันไม่ได้ และเวลาก็ดูเหมือนจะไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ความทรงจำของเขาพร่าเลือน มันเป็นผลข้าง
เคียงของการฟื้ นคืนชีพ? หรือเป็นแค่ผลกระทบชั่วคราว? ยังไงก็ตามมูยองส่ายหัวนี่เวลาที่จะมาครุ่นคิดเรื่องพวกนี้
ยูนิคอร์นหลายร้อยตัวรวมตัวกันรอบๆอาชานรกพยายามพื้นฟูพลังให้มูยอง
“ แกไม่มีความจำเป็นต้องคอยช่วยเหลือฉันแล้วนี่”
อาชานรกไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่สนับสนุนมูยองอีกต่อไป เพราะเขาได้รับความช่วยเหลือมาแล้วสามครั้งตาม
พันธะสัญญาของคิงสเลเยอร์ นอกจากนั้นคิงสเลเยอร์ยังตายไปแล้วอีกด้วย ตอนนี้อาชานรกเป็นอิสระ ยังไงก็ตาม
มันไม่ยอมฟังคำพูดของมูยอง
อาชานรกกระโจนเข้าใส่เดียโบลก่อนที่มูยองจะพร้อมเสียอีก นิสัยของมันเป็นแบบนั้นมาโดยตลอด มันชอบทำตาม
ความต้องการของตัวเองแทนที่จะฟังมูยอง
มูยองสยายปี กออกอีกครั้ง
เขายังไม่ล้มลม และยังมีแรงเหลืออยู่ ดังนั้นมูยองจะสู้ต่อไป
ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวฟันผ่านความว่างเปล่าด้วยเสียงหวีดหวิว สร้างคลื่นกระแทกขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนร่างของ
เดียโบล เดียโบลคำรามขึ้นอีกครั้ง และจากนั้นการต่อสู้ระหว่างสัตว์ประหลาดในตำนานก็ดำเนินต่อไปอีก
"ที่รัก…"
วูฮีอึ้งไปชั่วขณะและจ้องไปที่ด้านหลังของมูยอง เขาถามว่าเธอเป็นใครได้อย่างไร? เขาลืมเธอจริงๆหรือ? ถึงจะเป็น
เวลานานที่พวกเขาไม่ได้พบกัน แม้มูยองมักจะไม่ยินดียินร้ายต่อวูฮี แต่เขาไม่เคยถามวูฮีว่าเธอเป็นใคร ขนาดวูฮีที่
มักมองโลกในแง่ดียังรู้สึกเศร้าในจุดที่เธอยืนอยู่
“ไม่เวลาที่วูฮีจะมาคิดเรื่องนี้”
วูฮีรู้สึกตัวเพราะเธอรู้ว่ามูยองไม่สามารถเอาชนะเดียโบลได้ เนื่องจากเดียโบลเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น มันเป็นเทพ
ที่ไม่มีอยู่จริง!
'ขอให้ที่รักเชื่อฉันด้วยเถอะ'
ไม่สำคัญว่ามูยองจะลืมเธอไปแล้วหรือเปล่า เพราะวูฮีก็คือวูฮีส่วนมูยองก็ยังเป็นมูยอง วูฮีต้องอยู่กับมูยองเพราะ
ฉะนั้นเขาจะต้องไม่ตายไปเสียก่อน และเดียโบลต้องถูกกำจัด
‘ผู้อัญเชิญต้องอยู่ใกล้ๆแน่ ’
วูฮีมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ที่นั้นล้วนนอนหมดสติ พวกเขาไม่ได้ถูกกำจัด จากนั้นเธอก็มองเห็นผู้ใต้
บังคับบัญชาของมูยองซ่อนตัวอยู่ที่มุมๆหนึ่งนั้นคือไฮเอลฟ์ จินกับสโนว์
‘เป็นผู้หญิงคนนั้น!’
ปี กของวูฮีกระพือเตรียมบิน สโนว์เป็นผู้อัญเชิญเดียโบล หรือจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้นนก็คือเธอเป็นคนสร้าง
"ภาพลวงตา" ที่เรียกว่าเดียโบลออกมา ถ้าอยากกำจัดเดียโบลก็ต้องกำจัดสโนว์ซะ
“ เจ้าภูติตัวน้อยกำลังจะไปไหน”
ทว่าจู่ๆโซโลมอนก็ปรากฏตัวออกมาจับปี กของวูฮีไว้ แม้โซโลมอนจะไม่สามารถแทรกแซงทางกายภาพของโลก
ใบนี้ได้ แต่ภูติทุกตัวรวมทั้งวูฮีนั้นอยู่ภายใต้พันธะสัญญากับโซโลมอน นั่นคือสร้างบททดสอบเพื่อให้ได้รับ ‘บ้าน’
ตามระดับความสำเร็จไรของบททดสอบดังกล่าว
“ เจ้านักต้มตุ๋น! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
“ กล่าวหาข้างั้นเหรอ?”
โซโลมอนยิ้มเยาะ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนกล่าวหาเช่นนี้ แต่นั่นก็เพราะวูฮีรู้แล้วเกี่ยวกับความตั้งใจจริง
ของโซโลมอนแล้ว เหตุผลที่เขาให้ภูติสร้างบททดสอบต่างๆก็เพื่อแพร่กระจาย "ความวุ่นวาย" เข้าสู่โลกใบนี้ เขา
บอกว่าเหล่าภูติจะได้รับบ้าน แต่ทว่ามันเป็นเพียงสัญญาที่ว่างเปล่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่วูฮีจะเรียกเขาว่านัก
ต้มตุ๋น
“ ปล่อยฉันนะ! การถือปี กของผู้หญิงเป็นเรื่องหยาบช้านายไม่รู้รึไง!”
วูฮีพยายามขยับปี กจนหน้าแดง แต่เธอก็ขยับเขยื้อนไม่ได้สักกระเบียดนิ้ว มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่
แล้วเนื่องจากภูติตัวเล็กๆไม่สามารถเทียบได้กับโซโลมอน
“ วูฮีใช่ไหม? ข้ารู้นะว่าเจ้าเป็นลูกสาวของราชาภูติ”
"ใช่ที่ไหนกันเล่า! ทีนี้ปล่อยฉันได้แล้ว!”
เวลาเป็นสิ่งสำคัญ และในขณะนี้มูยองได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก โซโลมอนจ้องไปที่วูฮีด้วยความสนใจ
“ ข้ารู้นะว่าเจ้าเรียนรู้วิธีจัดการเดียโบลจากราชาภูติมาแล้ว ดังนั้นข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้หรอก”
"งี่เง่าที่สุด! ไอ้บ้า! บัดซบ!”
“ นั่นใช่คำสาปรึเปล่านะ?”
วูฮีพ่นคำหยาบทั้งหมดเท่าที่รู้ออกมา โซโลมอนไม่ได้รู้สึกอะไรหนำซ้ำยังยิ้มออกมา ในขณะเดียวกันนั้นมูยองก็ถูก
กระแทกจมลงสู่พื้นดินพร้อมกับเสียงดังสนั่น ศีรษะของเขาถูกกระชากออกและเสียชีวิตทันที
อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่มูยองล้มลง ร่างกายของเขาค่อยๆเคลื่อนที่เข้าหา
กันใหม่และคืนชีพ
“ ดูเหมือนเขาจะมีพลังแห่งการฟื้ นคืนชีพ แต่ก็สูญเสียความทรงจำบางส่วนทุกครั้งที่ฟื้ นขึ้นมา”
“ ปล่อยฉันไปนะ”
“ ครั้งนี้เขาจะสูญเสียความทรงจำส่วนไหนไปบ้าง?”
โซโลมอนดูเหมือนเด็กที่พบของเล่นน่าขบขัน
“ จับตาดูให้ดีล่ะ อีกไม่นานเขาจะลืมกระทั่งเหตุผลในการต่อสู้”
โซโลมอนพบว่ามูยองน่าสนใจยิ่งนัก ครึ่งเทพที่กำลังถูกลากเข้าสู่ความมืดมิดก่อนที่จะกลายเป็นเทพนั้นเป็นฉากที่
หายาก คงน่าเสียดายแย่หากโซโลมอนพลาดฉากความเจ็บปวดและสิ้นหวังของมูยองไป
"ที่รัก! ที่รักได้ยินไหม!"
ท่ามกลางเสียงตะโกนของวูฮีมูยองลุกขึ้นทุกครั้งที่เขาล้มลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่เดียโบล อย่างไรก็ตามการโจมตีของมู
ยองอ่อนแอลงทุกครั้งที่คืนชีพ ในทางกลับกันการโจมตีของเดียโบลรุนแรงขึ้นและเปลวไฟของมันก็ลุกโชติช่วง
ราวกับจะกลืนกินโลกทั้งใบ
“ เขาจะตกอยู่กับความหยิ่งทระนง และร่วงหล่นสู่ความมืดมิด”
โซโลมอนคิดว่ามูยองจะถูกบังคับให้ยอมรับช่องว่างระหว่างเขากับเดียโบล
จุดจบใกล้เข้ามาแล้ว ทุกคนเหมือนกันหมดแม้แต่คิงสเลเยอร์กับเดธลอร์ด พวกเขาล้วนไม่สามารถเอาชนะเสียง
กระซิบภายในจิตใจของตัวเองได้
พวกเขาไม่สามารถเอาชนะตัวเองได้และตกอยู่ในความสิ้นหวัง มูยองก็จะตกอยู่ในความมืดและอยู่กับความล้ม
เหลวเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
“ ที่รักวูฮีขอโทษ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะโซโลมอน”
วูฮีน้ำตาไหลพราก เธอรู้วิธีเอาชนะเดียโบลแต่เธอไม่สามารถเข้าถึงสนามรบได้เพราะโซโลมอนขวางทางอยู่ วูฮี
ไม่มีทางหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ได้นอกจากเฝ้ าดู ความคิดที่ว่าตัวเองไร้ประโยชน์กำลังทิ่มแทงหัวใจของเธอ
“ ที่รักวูฮีขอโทษที่มาช้าเกินไป"
มูยองล้มลงและลุกขึ้นทันที เขาเป็นแบบนี้กี่ครั้งแล้ว? มูยองจำไม่ได้ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงต่อสู้กับความ
น่าสิ้นหวังเช่นนี้
‘ฉันต้องสู้’
มูยองคิดเพียงว่าเขาต้องฆ่าเดียโบลให้ได้ มูยองพยายามกางปี กออกแต่ก็พบว่าตัวเองไม่มีแรงเหลือแล้ว เขาพยายาม
ใช้มือยันตัวเองขึ้น และมองดูสภาพแวดล้อมรอบตัว มีศพซึ่งถูกเผาไหม้อยู่ทุกหนแห่งกองเป็นภูเขา มีเพียงความ
ตายเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ทุกชีวิตต่างเข่นฆ่าและล้มตาย
‘ฉันคงเหมือนกับทุกคน’
มูยองยกดาบขึ้นตามสัญชาตญาณเท่านั้น ศัตรูของเขาทั้งแข็งแกร่ง มีขนาดใหญ่โต และรวดเร็ว นอกจากนั้นมันยัง
สามารถฟื้ นฟูตัวเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เดียโบลยังคงฟื้ นขึ้นมาไม่ว่ามูยองจะฆ่ามันไปกี่ครั้งก็ตาม มันเป็นช่วง
เวลาที่มีเสียงกระซิบของใครบางคนบอกมูยองให้ยอมแพ้ซะ เสียงนั้นบอกให้เขาพักและพอได้แล้ว มันยังบอกเขา
ด้วยว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่มูยองมาได้ไกลขนาดนี้ และความตายอีกแค่ครั้งเดียวทุกอย่างก็จะจบลง
'จริงหรือเปล่านะ?'
ทุกอย่างจะจบลงใช่ไหม? แล้วมันจะจบลงยังไงนะ? มูยองรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจำชื่อตัวเองไม่ได้จริงๆแล้ว
เขาจำอะไรไม่ได้เลย เสาขนาดใหญ่ที่สร้างจากเปลวเพลิงพุ่งสูงขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามของเดียโบลราวกับกำลัง
กลืนกินโลกนี้
มูยองยกดาบขึ้นและก้าวไปข้างหน้า เขาต้องสู้และเอาชนะเดียโบล มูยองไม่เคยรู้จักความสิ้นหวังและความล้มเหลว
แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือมูยองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
เสียงกระซิบขอให้มูยองหยุดและยอมแพ้ ‘คุณทำได้ดีแล้ว’ ความมืดมิดกระทั่งกำลังปลอบโยนมูยอง
เดียโบลบดขยี้ร่างของมูยองซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในขณะที่มูยองกำลังจะหมดลมหายใจ สายตาของเขาก็พบกับภูติตัว
เล็กที่กำลังจ้องมองมาที่เขา
‘ทำไมภูติตัวนั้นถึงได้ร้องไห้? '
มูยองไม่รู้คำตอบของคำถามนี้ ขณะที่ภูติตัวน้อยยังคงร้องไห้และกล่าวคำเสียใจ ที่เธอบอกว่ามาช้าเกินไปและตอน
นี้ทำได้แค่มองดูคืออะไร? พอมาลองคิดดูมูยองก็จำภูติที่มักร้องไห้ทุกๆวันได้ ภูติตัวนั้นมักทำให้เขาหงุดหงิดและ
รำคาญ แต่มูยองกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปเมื่อเธอไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เกิดความอบอุ่นที่มูยองไม่ได้รู้สึกมานาน
ภูติเหล่านี้ไม่มีร่างทางกายภาพแต่เธอก็มอบอบอุ่นให้ได้
ใช่แล้วฉันจำชื่อของเธอได้…เมื่อสายตาของมูยองได้พบกับภูติน้อยอีกครั้งเขาก็ยิ้ม
“ วูฮี”
<เอาชนะการทดสอบทั้งเจ็ดได้แล้ว>
<ร่างกายของผู้เป็นอมตะเสร็จสมบูรณ์แล้ว>
<คุณได้รับ 'เทพราชันอมตะ'>
บทที่ 286-287 : สงครามเทพปี ศาจ (จบ)
มูยองคว้าเท้าของเดียโบลที่กำลังบดขยี้ตัวเองอยู่ ผลักกลับไปจนมันล้มลง และลุกขึ้นยืนโดนไม่หันไปมอง จากนั้
นมูยองก็ยื่นมือไปทางวูฮีก่อนที่จะหลุดออกจากการควบคุมของโซโลมอนแบบงงๆ ถ้าโซโลมอนมีอิทธิพลต่อวูฮี
เพราะพันธะสัญญา มูยองก็มีอิทธิพลต่อวูฮีเพราะสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้ น
"ที่รักจำวูฮีได้แล้วเหรอ?"
"นานแล้วสินะที่ไม่ได้เจอกัน"
วูฮีร้องไห้อีกครั้งเพราะในที่สุดเธอก็จะได้อยู่กับมูยอง ในขณะที่โซโลมอนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“ เจ้าเอาชนะเสียงกระซิบจากความมืดมิดได้งั้นหรือ?”
ความมืด! มันคอยพูดกรอกหูมูยองเกี่ยวกับความสิ้นหวัง และความไร้ประโยชน์ของสิ่งที่ทำ เพื่อให้เกิดความท้อแท้
แต่มูยองไม่ยอมฟังเสียงนั้น
“ ไม่มีทางที่ใครจะสามารถเอาชนะเสียงกระซิบได้!”
โซโลมอนประหลาดใจอย่างมาก เพราะเขารู้ว่าทั้งหมดล้วนตกอยู่ในความสิ้นหวังก่อนที่จะกลายเป็นเทพ พวกเขา
ส่วนใหญ่ต่างถูกกลืนกินโดยความมืด แน่นอนว่ามูยองย่อมจะเป็นหนึ่งในนั้น ยังไงก็ตามความเชื่อมั่นของ
โซโลมอนหายไปเมื่อเห็นมูยองยืนอยู่อย่างผู้ได้รับชัยชนะ นอกจากนั้นบาดแผลส่วนใหญ่ของเขายังได้รับการ
เยียวยา และเหนือยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดโซโลมอนรู้สึกได้ถึงความเป็นเทพของมูยอง เขาได้เหยียบย่างเข้าไปในความเป็น
เทพเจ้า หากได้รับอนุญาตการเปลี่ยนแปลงของมูยองจะเสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้า
“ เดียโบล จงสังหารมันทันทีหลังจากที่มันออกจากกระดองนั่น!”
โซโลมอนเริ่มรู้สึกกดดัน เพราะหากมูยองกลายเป็นเป็นตัวตนระดับเทพจริงๆ เขาจะสูญเสียทูตสวรรค์แห่งกาลเวลา
และคำอธิษฐานแห่งปาฏิหาริย์ไป
เดียโบลคำรามตอบรับคำสั่งของโซโลมอน ในขณะที่วูฮีพูดด้วยความสิ้นหวัง
"ไม่มีประโยชน์ เราไม่สามารถฆ่าเดียโบลได้”
"ฉันรู้"
"แล้วเราคุณจะทำยังไง?"
มูยองรู้ว่าเดียอาโบลไม่สามารถถูกฆ่า เขาพูดกับวูฮี
“ ฉันจะลบไอ้ ‘ภาพลวงตา’ นั่นได้ยังไง
“ เราต้องโน้มน้าวผู้หญิงที่อัญเชิญเดียโบล”
วูฮีชี้ไปที่สโนว์
ตอนยังไม่สูญเสียความทรงจำ เธอมีปี กสีดำที่บ่งบอกถึงการร่วงหล่น และปี กสีขาวที่บ่งบอกว่าเธอเกี่ยวข้องกับทูต
สวรรค์ อย่างไรก็ตามเธอสูญเสียความทรงจำทั้งหมดหลังจากอัญเชิญเดียโบลออกมา และตอนนี้เธอติดตามมูยอง
เพราะคิดว่ามูยองเป็น ‘พ่อ’ ของเธอ
สโนว์ไม่ได้รับอันตรายอะไรเลยแม้ว่าเธอจะอยู่ในระยะการโจมตีของเดียโบลก็ตาม มูยองยืนยันได้จากไฮเอลฟ์ จิน
ซึ่งเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย
“ เดียโบลฆ่าเธอไม่ได้ แต่เธอสามารถลบตัวตนของเดียโบลได้”
"ฉันควรทำยังไงดี?"
เดียโบลไล่ตามมูยองมาติดๆตั้งแต่เขาเริ่มออกวิ่ง
“ คุณต้องทำให้สโนว์เชื่อว่าเดียโบลเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะมันเป็นเทพที่เกิดมาจากความปรารถนาของเธอเอง”
“ จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนฆ่าสโนว์?”
“ อย่าให้เกิดเรื่องแบบนั้น! เพราะจะทำให้เดียโบลได้รับความเป็นอมตะ!”
มูยองรู้สึกโล่งอกเนื่องจากเขาไม่อยากฆ่าผู้หญิงที่คิดตนเองคือพ่ออยู่แล้ว
ในอดีตเธอเคยเป็นนักบุญมาก่อน แต่ตอนมูยองพบกับสโนว์อีกครั้งเธอก็กลายเป็นนักบุญชั้นสูงของลัทธิบูชาเดีย
โบล สโนว์เชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเทพปี ศาจได้และต้องเผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์ ดังนั้นเดียโบลจึงเป็น
ความหวังเดียวที่จะช่วยโลกนี้ เธอจึงอัญเชิญเดียโบลออกมาเพราะเธอเชื่อมั่นว่าเทพปี ศาจผู้ยิ่งใหญ่จากโลกอื่นจะ
เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
อย่างไรก็ตามความเชื่อของเธอผิด
"ป่ ะป๊ า!"
สโนว์วิ่งเข้าหามูยอง แม้รองเท้าของเธอหลุดจะหายไปแล้วและยังมีบาดแผลที่ฝ่ าเท้า ร่างกายของเธอสั่นสะท้านจาก
ความกลัวที่มีต่อเดียโบล
‘ความหวังกลายเป็นความหวาดกลัว’
“ เธอไม่ต้องกลัวหรอก”
มูยองลูบหัวสโนว์ขณะพูด เขาจะขจัดความกลัวนี้ได้อย่างไร? เขาคิดวิธีที่จะลบล้างความกลัวของสโนว์ และทำให้
เธอเชื่อว่าเดียโบลเป็นเพียงภาพลวงตาไม่ออก บังคับให้เชื่อก็คงไม่มีประโยชน์เพราะหากยังมีความสงสัยในใจเดีย
โบลก็จะไม่หายไป ดังนั้นมูยองจึงตัดสินใจว่าเขาควรจะพูดอย่างจริงใจ
“ สโนว์ฉันไม่รู้ว่าเธอยังจำได้ไหม แต่ถ้ายังจำได้ ฉันอยากบอกว่าเธอเข้าใจผิด”
มูยองดำเนินต่อไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากเขาไม่คุ้นเคยกับการปลอบประโลมใคร
“ สิ่งแรกที่เธอต้องเปลี่ยนคือตัวเอง ถ้าเธอไม่สามารถเอาชนะความกลัวของตัวเอง เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และ
ท้ายที่สุดความกลัวของเธอยังจะถูกส่งต่อไปให้คนอื่น”
การอัญเชิญเดียโบลหมายถึงความหวาดกลัวของเธอชนะ สโนว์เห็นความหวังจากเดียโบลเพราะเธอคิดว่าตัวเองทำ
อะไรไม่ได้แล้ว เธอสลัดความกล้าทิ้งไป มูยองจ้องไปที่ดวงตาของสโนว์เหมือนจะมองลึกลงไปในจิตใจ
“ แต่ถ้าตอนนี้เธอยังไม่สามารถควบคุมความกลัวได้” มูยองจับไหล่ของสโนว์แน่น
“ ขอให้เชื่อฉัน เชื่อว่าฉันจะชนะ เชื่อว่าฉันจะช่วยโลก ถ้าเธอเชื่อฉันฉันจะทำสิ่งเหล่านั้นเป็นไปให้ได้”
หนทางที่สโนว์เลือกสำหรับการช่วยโลกนั้นผิดเพี้ยน หลักฐานที่สนับสนุนเหตุผลดังกล่าวรายล้อมอยู่รอบตัวมูยอง
นี่ไม่ใช่การช่วยให้รอด ตรงกันข้ามเดียโบลนั้นแผดเผาโลกทั้งใบเหลือเพียงเถ้าถ่าน สโนว์คงไม่ต้องการให้ผลลัพธ์
มันออกมาเป็นเช่นนี้แน่นอน สโนว์ต้องการช่วยโลกอย่างแท้จริงแม้ว่าเธอจะเลือกวิธีการที่ผิด สโนว์ต้องเผชิญกับ
ความเป็นจริงและก้าวไปอีกขั้น มูยองเพียงแค่เป็นผู้ที่จูงมือเธอออกมา
สโนว์เริ่มรวบรวมสติ และพูดช้าๆ
“หนูเชื่อค่ะ”
มันเป็นประโยคแรกที่สโนว์พูดหลังจากที่เธอสูญเสียความทรงจำ สโนว์มองมูยองโดยตลอดเธอเฝ้ าดูเขาลุกขึ้นหลัง
จากล้มลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอรู้ว่ามูยองกำลังพูดความจริงและเขามีพลังที่จะทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้ สโนว์
แน่ใจว่ามูยองมีพลังนั้น
เขาจะไม่บังคับให้เธอเชื่อว่าเดียโบลเป็นภาพลวงตา แต่จะบอกว่าเขาสามารถเอาชนะมันได้ พอสโนว์เริ่มเชื่อมูยองก็
พยักหน้าและหันกลับไป ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เพราะศรัทธาจะกลายเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
“ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น! เจ้าไม่มีวันเอาชนะเดียโบลได้หรอก!”
คำพูดของโซโลมอนเป็นเหมือนมนต์สะกด เพราะเขาต้องการให้มูยองเห็นว่าไม่สามารถเอาชนะเดียโบลได้ มัน
เป็นการสะกดจิตรูปแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้โซโลมอนจบแล้ว เพราะมูยองไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น
“ คุณไม่ใช่เทพเจ้า”
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่มูยองก็จะต่อต้านความคิดนี้ และจะพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีอะไรแตกต่างกัน ดาบของเขาเริ่มส่ง
เสียงร้องหวีดหวิว โดยไม่จำเป็นต้องค้นหาองค์ประกอบอีกต่อไป มูยองกำลังฟันเดียโบลที่เป็นภาพลวงตาจนมัน
ค่อยๆสลายหายไปเหมือนควัน
“ เป็นแค่มนุษย์แท้ๆ…!”
โซโลมอนเดือดดาลเนื่องจากกระแสของเกมได้เปลี่ยนไป เดียโบลไม่สามารถทำอะไรกับมูยองได้อีก
เผ่าพันธุ์ที่ล้มเหลวอย่างมนุษย์จะบรรลุถึงความเป็นเทพได้อย่างไร? แต่ไม่ว่าโซโลมอนจะพยายามปฏิเสธอย่างไร มู
ยองก็เป็นมนุษย์ที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นไปได้
คำว่าเป็นไปได้โซโลมอนมองไม่เห็นและปฏิเสธที่จะจดจำมัน เขาปฏิเสธความเป็นไปได้ที่มีอยู่ในทุกเผ่าพันธุ์และ
ต้องการกำจัดพวกมันทิ้ง แน่นอนว่าโซโลมอนไม่ต้องการรับทราบ ยังไงก็ตามเดียโบลเริ่มหายไปเมื่อถูกดาบของมู
ยองสัมผัส นี่คือความจริงที่ไม่ว่าโซโลมอนจะพยายามปฏิเสธมันแค่ไหน!
‘มันเป็นผลของความเป็นเทพหรือไม่?’การโจมตีของเดียโบลไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับมูยองได้อีกต่อไป
เพราะ ‘เทพปลอมๆ’ ย่อมพ่ายแพ้ให้แก่ ‘เทพตัวจริง’ และหลังจากที่มูยองกำจัดเดียโบลจบสิ้นซากปรากฏการณ์
ประหลาดก็เกิดขึ้น
ทุกอย่างกลับคืนมาแม้กระทั่งผืนดินที่พังทลาย ไม่ว่าจะเป็นปี ศาจที่ตายแล้ว เกรโมรี่หรืออามอนที่ใกล้จะดับสูญ
ตลอดจนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของมูยองก็กลับมาด้วย
‘น่าทึ่งมาก’ เป็นการเปิ ดหูเปิ ดตายิ่ง ทุกอย่างกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามร่องรอยบนร่างกายของมู
ยองจากการต่อสู้กับเดียโบลไม่ได้หายไป
“ไม่อยากเชื่อเลย” อาม่อนพูดขณะที่ยืนขึ้น เขาเป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์ แต่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมันคือปาฏิหาริย์ แม้ยังมี
ความรู้สึกซับซ้อนแต่เขาก็ฟื้ นขึ้นมาแล้วจริงๆ
“ มูยอง…เจ้าชนะแล้ว”
เกรโมรี่อ้าปากค้างขณะมองไปรอบๆ เธอเข้าใจสถานการณ์แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดขึ้น
โซโลมอนกัดฟันแน่นขณะที่ความพยายามของมันไม่ได้ผลอะไรเลย
“ แล้วเจ้าจะเสียใจที่ทำลายเดียโบล”
"เสียใจ?"
โซโลมอนสิควรเป็นคนที่เสียใจ เพราะมันคงไม่เป็นแบบนี้ถ้าไม่เข้ามาหาเรื่องมูยอง ยังไงก็ตามการกระทำของเขา
เป็นโอกาสที่มูยองต้องการ เพราะตอนนี้ระดับของมูยองได้เพิ่มขึ้นหลายระดับไปยังจุดที่ที่เขาไม่สามารถเข้าถึงได้
หากเขาเผชิญหน้ากับเทพปี ศาจ
ทว่าตอนนั้นเองที่โซโลมอนมองท้องฟ้ าและขมวดคิ้ว
“ เจ้าจิ้งจอกสารเลวอยู่ที่นี่แล้วหรือ?”
ท้องฟ้ าเปลี่ยนเป็นสีดำราวกับจะประกาศว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่จะเกิดขึ้น
เมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้ า จากนั้นฝนก็เริ่มตกลงมา
‘นี่มัน…’
มูยองสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยัง
ปริมาณเวทมนตร์ที่เอ่อล้นจนน่าตกใจอีก
โซโลมอนจ้องไปที่มูยอง
“ ไม่มีใครหยุดมันได้หากปราศจากเดียโบล มอบอาร์คโนวากับอัลพอลลิน่ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นทั้งเจ้าและทุกสิ่ง
ที่เจ้าเชื่อจะหายไป!”
โซโลมอนดูสิ้นหวังและกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มูยองแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือตัวตนที่เทพปี ศาจทั้งหมดหวาด
กลัว จากปฏิกิริยาของโซโลมอน และเวทมนตร์ที่ควบแน่นจำนวนมหาศาลนี่ มูยองคิดออกได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
“ บาอัลกำลังมาใช่ไหม”
“ บาอัลเหรอ…ใช่พวกเจ้าเรียกมันแบบนั้น”
คำพูดของโซโลมอนฟังดูสำคัญจนน่าคิด ยังไงก็ตามตอนนี้เกิดพายุฝนฟ้ าคะนองรุนแรงจนแทบทำให้ท้องฟ้ าแตก
ออก ปี ศาจจำนวนมากจากทั่วทุกแห่งหนต่างแหงนมองขึ้นไปบนด้านบน และไม่ว่าจะเป็นราชาปี ศาจ หรือเทพ
ปี ศาจต่างรวมตัวกันใกล้ๆกับมูยองอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้โจมตีมูยองหรือโซโลมอน หากแต่
คุกเข่าอยู่ด้านหน้าพายุหมุนขนาดใหญ่เท่านั้น
“ท่านบาอัล!”
“ ท่านบาอัล!”
เหล่าปี ศาจตะโกนอย่างบ้าคลั่ง และ ‘เขา’ ก็ปรากฏตัวออกมาจากใจกลางพายุหมุน
‘มันคือบาอัลจริงๆหรือ?”
มูยองขมวดคิ้วทันทีที่เห็นบาอัล แม้จะเห็นอยู่เต็มตาแต่มูยองยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเห็น ผู้ปกครองของเหล่าเทพ
ปี ศาจทั้งมวล ตัวตนที่ยืนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ตัวตนเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถต่อต้านโซโลมอนได้! ทุกคนเรียกเขาว่า
"บาอัล"
อย่างไรก็ตามมูยองไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีก เพราะตอนนี้ทั้ง ‘บาอัลและโซโลมอน’ ต่างอยู่ที่นี่
บทที่ 288-289 : ราชันย์สมรภูมิรบ (1)
บาอัลจ้องไปที่โซโลมอนก่อนจะหันไปทางมูยอง
“ เจ้ามองเห็นร่างจริงของข้า”
รูปลักษณ์ของบาอัลจะเปลี่ยนไปตามผู้ที่เห็น มันจะปรากฏออกมาในรูปแบบที่คนๆนั้นหวาดกลัวมากที่สุด และบา
อัลจะใช้ความหวาดกลัวตรงนั้นเข้าไปครอบงำพวกมัน
อย่างไรก็ตาม มูยองไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตานี้เนื่องจากเขามีดวงตาที่สามารถมองเห็นความจริงได้ มูยอง
มองเห็นว่าโซโลมอนและบาอัลเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวกันทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ทว่ามันกลับเป็นเช่นนั้น นี่มันเกิด
อะไรขึ้นกันแน่?
“ เจ้าอยากรู้ไหมล่ะ?”
บาอัลพูดราวกับรู้ว่ามูยองคิดอะไรอยู่ เขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยราวกับได้รับชัยชนะ ในทางกลับกันโซโลมอน
ยังคงนิ่งเงียบเนื่องจากหวาดกลัวบาอัล
“ ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นเทพเจ้าตนเดียวกัน แต่ตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองร่าง”
ขณะที่บาอัลกำลังพูดไม่มีใครสามารถขยับได้ คำพูดของเขามีพลังแตกต่างจากโซโลมอน โซโลมอนสามารถส่ง
ผลกระทบต่อโลกผ่านพลังของเดียโบล แต่บาอัลกลับสามารถครอบงำทุกคนเพียงแค่การปรากฏตัวของเขา
“ เขาต้องการสร้างโลกขึ้นมาใหม่หลังจากทำลายมัน ส่วนข้าต้องการเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่วิวัฒนาแล้วและสามารถ
เอาชนะเผ่าพันธุ์อื่นๆได้ พวกเราสองคนล้วนไม่เห็นด้วยกับฝั่งตรงข้าม”
โซโลมอนไม่เชื่อเรื่องการวิวัฒนาการ เขาต้องการทำลายทุกอย่างก่อนจะรวบรวมทุกข้อมูลเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ที่
สมบูรณ์แบบ ในทางกลับกันบาอัลต้องการรวบรวมเผ่าพันธุ์ทั้งหมดเอาไว้ และให้พวกมันห้ำหั่นกันเองจนเหลือ
เพียงเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น แม้ว่าความคิดของพวกเขาจะคล้ายกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างอย่างชัดเจน
“ ข้าชิงเลเมเกทัลมาจากเจ้านั่น แต่ก็สูญเสียการควบคุมโลกไป”
เลเมเกทัลเป็นหนังสือที่ครอบคลุมทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น อาร์คโนว่า อาร์คพอลลิน่า และเทพปี ศาจทั้งเจ็ดสิบสองตน
เรียกได้ว่าบาอัลขโมยทุกสิ่งทุกอย่างจากโซโลมอน
“ ข้ากลับไปที่โลกปี ศาจ และย้อนเวลากลับไปด้วยพลังของอาร์คพอลลิน่า นี่คือเหตุผลว่าทำไมความทรงจำของสิ่งมี
ชีวิตที่เข้ามาในอันเดอร์เวิล์ดจึงแตกต่างกัน”
อาร์คพอลลิน่า ทูตสวรรค์แห่งกาลเวลา… บาอัลเอ่ยชื่อของทูตสวรรค์ที่มูยองครอบครอง นอกจากนี้ความลับอีก
อย่างก็ถูกเปิ ดเผย ตอนนี้มูยองรู้แล้วว่าทำไมคนที่มาถึงอารามสีครามจึงมีความทรงจำในอดีตที่แตกต่างกัน
“ ข้าไม่สามารถใช้อาร์คโนว่าได้เพราะมันเป็นพลังแห่งปาฏิหาริย์ มันเป็นพลังที่มีเพียงผู้ที่เคยสัมผัสกับปาฏิหาริย์
เท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้ และนี่คือเหตุผลที่ข้าปล่อยอาร์คพอลลิน่าไป”
บาอัลพูดราวกับว่าคำนวณทุกอย่างไว้ตั้งแต่แรก อาร์คพอลลิน่ามีพลังแห่งกาลเวลาซึ่งเหมือนมีพลังแห่งปาฏิหาริย์
ด้วยตัวมันเอง และมีเพียงผู้ที่ได้รับพลังอำนาจแห่งความศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ใช้อาร์คโนว่าได้ ซึ่งนั่นเป็นคุณสมบัติขั้น
สุดท้ายที่เจ้าแห่งความมืดทุกตนไม่มี
อย่างไรก็ตามบาอัลเริ่มตั้งคำถามบางอย่าง
“ แต่ช่างน่าแปลกใจนัก อาร์คพอลลิน่าที่แทบจะไร้ซึ่งพลังไม่น่าจะย้อนเวลากลับไปได้อีก…”
“ การที่ฉันตามหาอาร์คโนว่าเป็นแผนของแกด้วยหรือเปล่า?”
มูยองที่ไม่อยากเป็นหุ่นเชิดของใครแทรกถามขึ้น ในขณะที่บาอัลตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ สิ่งมีชีวิตที่ครอบครองอาร์คพอลลิน่าจะได้รับความแข็งแกร่งเมื่อเวลาผ่านไป แต่มันยากที่จะหาตัวตนที่เหมาะสม
ข้าใช้เวลานับศตวรรษกว่าจะพบเจ้า ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงแข็งแกร่งกว่าใคร ความแข็งแกร่งที่จะนำหน้าผู้อื่นไปอีกหลาย
สิบปี ในเวลาเพียงหนึ่งหรือสองปี ”
สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงเพราะมูยองแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตามมูยองมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เพราะ
อาร์คพอลลิน่า เหตุผลที่มูยองแข็งแกร่งขึ้นเป็นเพราะแรงบันดาลใจจากความสิ้นหวังและความตั้งใจของเขาเองด้วย
ซึ่งบาอัลเองก็ยอมรับคุณลักษณะเหล่านี้
"เจ้าทำให้ข้าแปลกใจมาก ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะกลายเป็น "ความผิดปกติ" ได้เร็วขนาดนี้ แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้านะ เพราะ
นั่นทำให้โซโลมอนติดกับและกลับมาที่โลกปี ศาจพร้อมกับเดียโบล”
ดวงตาของบาอัลหันกลับไปที่โซโลมอนในขณะที่ร่างของโซโลมอนสั่นเทา ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความ
สงบในตัวของโซโลมอนราวกับว่าเขายอมจำนนไปแล้วเมื่อบาอัลปรากฏตัว
“ โซโลมอน เจ้าต้องการเป็นกษัตริย์ที่ชาญฉลาดแต่ผลลัพธ์กลับแตกต่างออกไป แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องน่าอายก็ตาม
แต่เจ้าก็ยังเป็นอีกครึ่งหนึ่งของข้า ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง”
“ เจ้ากับข้าแยกกันมานานเกินไปแล้ว และตอนนี้พวกเราสองคนต่างกัน! เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าจะสามารถใช้พลัง
ทั้งหมดของข้าได้?”
โซโลมอนไม่เห็นด้วยกับบาอัล ในขณะที่บาอัลจ้องไปยังมูยองเป็นคำตอบ
“ นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราเตรียม ‘ภาชนะ’ นี่ไว้หรอกหรือ? ”
บาอัลเอื้อมมือออกไปที่โซโลมอน มูยองพยายามยกดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวขึ้น แต่ปรากฏว่าตัวของเขาแข็งทื่อไป
หมด
'ฉันขยับตัวไม่ได้'
มูยองขมวดคิ้ว เขาไม่สามารถต้านทานพลังของบาอัลได้แม้ว่าจะได้รับความเป็นเทพที่แท้จริงแล้วก็ตาม ระหว่างมู
ยองกับบาอัลมีช่องว่างของพลังมากเกินไป
ส่วนสาเหตุที่บาอัลไม่สามารถสัมผัสโซโลมอนก่อนหน้านี้ได้เป็นเพราะ "เทพในจินตนาการ" อย่างเดียโบล ทว่ามู
ยองได้ทำลายภาพลวงตาดังกล่าวไปแล้วบาอัลจึงสามารถลงมือได้
ด้วยเสียงกรีดร้องดัง ร่างของโซโลมอนที่เริ่มกลายเป็นหมอกควันถูกลากเข้าหา
“ บาอัล! เจ้า…. !!”
สิ้นเสียงสุดท้ายของโซโลมอนบาอัลก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้น
“ เจ้าจะถูกทำให้บริสุทธิ์ภายใน ‘ภาชนะ’ ที่ข้าเตรียมไว้ จากนั้นข้าจะเอาสิ่งที่เหลืออยู่มาใช้ประโยชน์”
ร่างของมูยองถูกทำให้ลอยขึ้น จากนั้นบาอัลก็เริ่มฉีดพลังของโซโลมอนเข้าไปในตัวเขา
“การเดินทางอันยาวนานสิ้นสุดลงแล้ว”
หัวสมองของมูยองแทบจะเบิด ในทันทีนั้นเขารู้สึกงุนงงและทำอะไรไม่ถูก
'ทุกอย่างในชีวิตเขาเป็นไปตามแผนของบาอัลงั้นเหรอ?’
มูยองเริ่มตั้งคำถาม เขาไม่สามารถทนได้หากทุกสิ่งที่ทำมาจนถึงทุกวันนี้เป็นสิ่งที่บาอัลตั้งใจสร้างขึ้นมา เขาทุ่มเท
วิ่งมาที่นี่โดยไม่หยุดพักและไม่เคยยอมแพ้ก็เพื่อชัยชนะของตนเอง แต่จุดประสงค์การดำรงอยู่ของเขาคือสร้างความ
ผิดปกติและดึงดูดโซโลมอนแค่นั้นเหรอ? มูยองเป็นกับดักที่บาอัลวางไว้เพื่อจุดประสงค์เดียวคือการจับตัว
โซโลมอน!
“ ไม่ ”
มีเสียงเบาๆดังขึ้นในหัวของมูยอง ตัวตนที่ซ่อนอยู่ในร่างของเขาปรากฏขึ้นในช่วงเวลาที่พลังความเป็นเทพของ
โซโลมอนกำลังค้นหาจิตวิญญาณของมูยอง
‘เจ้าไม่ได้เป็นแค่ภาชนะ และเจ้าเคยสัญญากับข้าว่าจะเอาชนะอุปสรรคและความยากลำบากทั้งหมด ฉะนั้นจงอย่า
ยอมแพ้”
เสียงของใครกัน? มูยองรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินมันมาก่อน อย่างไรก็ตามเขาจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
“ คิงสเลเยอร์เตรียมปลุกข้าไว้เพื่อเจ้า เขาได้ร่ายเวทย์แห่งกาลเวลาไว้ที่โซโลมอน ทำให้เรายังพอมีเวลาสำหรับบาง
อย่าง”
ในขณะที่พลังของโซโลมอนผสมเข้ากับมูยอง เวทย์แห่งกาลเวลาที่คิงสเลเยอร์ร่ายใส่โซโลมอนก็ถูกเปิ ดใช้งาน มัน
เป็นคำสาปกักขังโซโลมอนผู้ซึ่งสามารถหลบหนีจากข้อจำกัดของเวลาให้กลับเข้าสู่ความเป็นจริง คำสาปนี้ทำให้
ทูตสวรรค์แห่งกาลเวลาอาร์คพอลลิน่าผู้ซึ่งหลับลึกอยู่ในจิตวิญญาณของมูยองตื่นขึ้น
ปี กสีขาวสยายอยู่เหนือศีรษะของมูยอง จากนั้นทูตสวรรค์งดงามกับปี กอันบริสุทธิ์ทั้งแปดข้างก็ปรากฏกายขึ้น
“อาร์คพอลลิน่า!”
บาอัลตะโกนขึ้นเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้
“ บาอัล ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะเป็นไปตามความประสงค์ของเจ้า”
“ แล้วยังไงล่ะ? ตอนนี้เจ้าจะทำอะไรได้? ภาชนะอยู่ในมือของข้าแล้ว บทบาทของเจ้าก็จบสิ้นแล้วเช่นกัน!”
“ มูยองไม่ใช่แค่ภาชนะ เขาคือบางคนที่ยังสูงส่งกว่าเจ้าเสียอีก เขาแค่ต้องเข้าใจอะไรให้มากกว่านี้”
อาร์คพอลลิน่าประสานมือของเธอเข้าด้วยกัน ในขณะที่บาอัลยังคงจ้องมองอยู่
"เกิดอะไรขึ้น! นางแพศยาเจ้าทำ...!”
ในขณะนั้นเอง ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง เวลาของบาอัลและมูยองก็หยุดลง แสงทั้งหมดสลายไปจากปี กของอาร์ค
พอลลิน่าก่อนที่เธอจะร่วงหล่น ด้วยความแข็งแกร่งที่เธอมีเหลืออยู่ทำให้สามารถหยุดเวลาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่นั่นก็เป็นโอกาสเดียวของพวกเขาจริงๆ
“เจ้าต้องการชนะไม่ใช่หรือ? ดังนั้นได้โปรดเอาชนะอย่างที่เจ้าเคยทำมาตลอด”
อาร์คพอลลิน่าเชื่อว่ามูยองจะดูดซับพลังความเป็นเทพของโซโลมอนได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ถูกกลืนกิน อัศวินแห่ง
ความรุ่งโรจน์ใช้ทุกสิ่งที่เขามีเพื่อโอกาสนี้ ดังนั้นเธอจึงเชื่อเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้น มูยอง บาอัล และโซโลมอนก็หายตัวไป
'เกิดอะไรขึ้น?'
เกรโมรีตกใจไม่ต่างกับปี ศาจและเทพปี ศาจตนอื่นๆ อย่างไรก็ตามสงครามครั้งนี้ไม่ได้จบลงเพราะพวกเขาทั้งสาม
หายตัวไป
“ มูยองจะต้องกลับมาอีกเพราะเจ้านั่นไม่มีวันตายหรอก”
ทาร์แคนเดินเข้ามาก่อนพร้อมกับดาบในมือของเขา เขารู้ว่าการสู้รบจะต้องเกิดขึ้นอีกอย่างรวดเร็วในขณะนี้ คริมสัน
บาร็อค อาชานรกและยูนิคอร์น อันเดธ รวมถึงพวกจิ้งจอกเก้าหางและปี ศาจภายใต้คำสั่งของเกรโมรี่ก็รวมตัวอยู่
ด้วยกันด้วย
ศัตรูมีจำนวนมากกว่าแต่เกรโมรี่ก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
“ อาม่อน? ”
" อย่าคิดว่าข้าจะเหมือนพวกเจ้า ข้าแค่ไม่อยากตกเป็นเครื่องมือให้กับโซโลมอนหรือบาอัลอีกแล้ว”
อาม่อนมารวมอยู่กับฝั่งข้างเกรโมรี่ เขาเป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งขึ้นเพราะมูยอง มูยองทำให้เขาหลุดพ้นจาก
พันธนาการ และตอนนี้อาม่อนเป็นหนึ่งเดียวกับเวทมนตร์อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงเป็นฝ่ ายที่เพลี่ยงพล้ำ เพราะไม่มีใครจาฝ่ ายพันธมิตรมาเข้าร่วมกับเกรโมรี่อีกแล้ว ตอนนี้
มีทหารเพียงสามหมื่นนายรวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของอาม่อนที่สามารถร่วมสู้เคียงข้างเกรโมรี่ได้ ในขณะที่ฝ่ ายตรง
ข้ามมีกำลังพลมากกว่าหลายสิบเท่า
“ อาม่อน! นี่เจ้าทรยศเรางั้นหรือ?”
บาร์บาโทสเทพปี ศาจตนที่แปดรู้สึกโกรธจนเขาสั่น ในขณะที่อาม่อนส่ายหัวอย่างเย็นชา
“ ข้าไม่เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะภักดีต่อบาอัลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขาก็แค่ใช้ความกลัวของเรากุมอำนาจ”
เทพปี ศาจทั้งหมดต่างก้มหัวให้บาอัลเพื่อลดความหวาดกลัวที่มี อาม่อนเองก็ไม่ต่างกัน แต่มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้เขาจะไม่ถูกครอบงำจากความหวาดกลัว
“ เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าบาอัลทำสิ่งที่ถูกต้อง? เราไม่ใช่แมลงที่เขาสามารถจับใส่ลงไปในโถเพื่อให้ห้ำหั่นกันเองเช่น
นั้น”
เทพปี ศาจทั้งหมดรู้ว่าบาอัลต้องการอะไรจึงไม่มีใครเข้ามาแทรกแซงในสงครามครั้งนี้ พวกเขาเพียงได้รับคำสั่งให้
กำจัดเผ่าพันธุ์ทั้งหมดและฝั่งตรงข้าม เพราะพวกเขารู้ว่าบาอัลจะเลือกเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่รอดเท่านั้นเมื่อเขากลับมา
“ อาม่อน มีเพียงบาอัลเท่านั้นที่สามารถปกป้ องเราจากทุกสิ่ง เราจะไม่เสียทุกสิ่งไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกต่อไป
เราจะไม่ปล่อยให้ชีวิตของเราตกต่ำอีกแล้ว”
แน่นอนว่าอาม่อนเข้าใจความคิดของพวกเขา พวกเขารู้สึกหมดหนทางจากศัตรูที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นทำลายบ้านของ
พวกเขา และทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก พวกเขาไม่ต้องการเจอเหตุการณ์เช่นนั้นอีกจึงค้นหาผู้ที่สามารถปกป้ อง
ตนเองได้ ทั้งสองฝ่ ายมีความคิดที่แตกต่างกันเพื่อบรรลุเป้ าหมายดังกล่าว
อาม่อนส่ายหัวเบาๆเพราะรู้ดีว่าคำพูดของตนคงไปไม่ถึงพวกเขา บาร์บาโทสพูดอีกครั้ง
“ เราจะกลับไปที่โลก กลับไปที่บ้านของพวกเรา! เพราะฉะนั้นเราจะกำจัดทุกสิ่งที่ขวางทาง เราจะบดขยี้และแย่งชิง
ทุกอย่างมา แล้วอย่ามาโทษว่าเราไร้ความปราณี”
“ ข้าไม่โทษเจ้าหรอก เพราะหากทุกคนปกติดีคงไม่สามารถอยู่รอดที่นี่ได้”
อาม่อนยอมรับความปรารถนาและความคิดของพวกเขาเหมือนที่เกรโมรี่ทำ เขาไม่สามารถประณามพวกที่ใช้เส้น
ทางแตกต่างจากตน และเห็นได้ชัดว่ามีเพียงฝ่ ายที่ได้รับชัยชนะเท่านั้นที่จะอยู่รอด ทุกฝ่ ายต่างเตรียมพร้อมที่จะ
โจมตีในขณะที่คริมสันบาร็อคส่งเสียงคำรามก้อง
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าผู้ใดจะกลับมา ไม่ว่าจะเป็นบาอัลโซโลมอนหรือมูยอง ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างถูกแผดเผาด้วย
ไฟปรารถนาและอุดมคติของตนเอง
บทที่ 290: ราชันย์สมรภูมิรบ
มันเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สามารถสั่นสะเทือนโลกใบนี้ แรงพัดกระเพื่อมของสงครามระหว่างเทพปี ศาจก่อให้
เกิดรอยแตกบนพื้นผิวโลกจนลาวาไหลหลากออกมาเกิดเป็นเขม่าดำอยู่ทั่วพื้นที่ เบซองมินรู้สึกได้ถึงความรุนแรง
มากกว่าใครๆ
“ เรามาช้าไปหรือเปล่า”
บุตรแห่งดวงจันทร์พูด มูยองต้องพบกับโซโลมอนแล้วแน่ๆเพราะไม่งั้นโลกคงไม่สั่นคลอนได้ขนาดนี้
“ ยังไม่สายเกินไป”
เบซองมินส่ายหัวในขณะที่ยังคงปลอมตัวเป็นเมอร์ลิน ยังไงก็ตามบุตรแห่งดวงจันทร์และราชามังกรรู้ถึงตัวตนที่แท้
จริงของเขาอยู่แล้ว นั่นคือเหตุผลที่เบซองมินสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้อย่างอิสระ ด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับมูยอง
ดังนั้นเบซองมินจึงรู้ว่ามูยองยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกเจ็บๆที่หัวใจเมื่อเข้าใกล้สมรภูมิรบดังกล่าวซึ่งมัน
เป็นอาการที่แปลก
‘เทพปี ศาจทุกตนไปที่นั่นอย่างเร่งรีบ เราเองก็ต้องไปด้วย’
พวกเขาต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนในการกำจัดเทพปี ศาจสองตัว อย่างไรก็ตามเทพปี ศาจอื่นๆกลับสามารถระดมพล
ได้ในทันที
ตอนแรกเบซองมินคิดว่าพวกมันจะมุ่งเป้ ามาที่พวกเขาเพื่อแก้แค้น แต่พวกมันรีบเคลื่อนพลไปยังสนามรบแห่งนี้
ต่างหาก
สนามรบตรงหน้ามีความโกลาหลเป็นอย่างมาก แม้พวกเขาจะเข้ามาใกล้สุดขอบแต่ก็มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
เนื่องจากมีพายุสีดำขนาดใหญ่และรุนแรงบดบังอยู่
“เราต้องเข้าไปข้างใน”
ราชาแห่งมังกรพูดก่อนที่เขาจะขยับร่างกายอันใหญ่โตขึ้นเพื่อควบคุมสายลม จนในที่สุดเบซองมินก็สามารถมอง
เห็นสนามรบได้ด้วยตาของเขาเอง
ท่ามกลางเสียงตะโกนกรีดร้องและคร่ำครวญเบซองมินก็ได้เห็นนรก เขาไม่สามารถนับจำนวนผู้ที่อยู่ในการต่อสู้ได้
และทุกคนต่างสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างมิตรและศัตรูได้ อย่างไรก็ตามเบ
ซองมินจ้องไปที่จุดหนึ่ง
‘ทำไมเด็กคนนั้นถึงอยู่ที่นั่น?’
เบซูจียืนอยู่ในจุดที่เบซองมินจ้องมอง เธอกำลังกำจัดศัตรูอย่างเด็ดเดี่ยวในขณะที่ร่างกายเปล่งประกายสว่างไสว
สายเลือดแห่งแสง! อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ทั้งหมด ซองมินเห็นว่าเบซูจีกำลังแชร์พลังจากมูยองอยู่ เธอเคยทำมาแล้ว
ตอนเผชิญหน้ากับเอนโรธ แต่ตอนนี้จำนวนพลังมันแข็งแกร่งกว่าตอนนั้นมาก
“ เราต้องโจมตีใคร?”
“ มีแต่เผ่าปี ศาจเต็มไปหมด!”
“ นี่เราต้องโจมตีพวกมันทั้งหมดเลยหรือเปล่า?”
พันธมิตรฝ่ ายมนุษย์ต่างหวาดหวั่นและสิ้นหวัง เพราะจำนวนปี ศาจที่เห็นไม่อาจจินตนาการได้ และไม่ว่าจะเป็นฝ่ าย
ไหนก็ล้วนแต่เป็นเผ่าปี ศาจทำให้ไม่อาจโจมตีได้ถูก ไม่มีใครเคลื่อนไหวใดเพราะพวกเขากลัวจะไปโจมตีโดนฝ่ าย
ตัวเองเข้า
“ ปี ศาจที่ไม่มีบาเรียป้ องกันคือศัตรูของเรา!”
บุตรแห่งดวงจันทร์ตะโกนขึ้น และพวกเขาก็เห็นปี ศาจบางตัวซึ่งถูกป้ องกันด้วยบาเรียที่เกรโมรีสร้างขึ้น แน่นอนว่า
ไม่มีเทพปี ศาจตนไหนทำแบบนี้ได้ พอทราบดังนั้นทุกคนก็เข้าร่วมการต่อสู้ทันที อย่างไรก็ตามเบซองมินยังคงจับ
จ้องไปที่เบซูจี
เบซูจีที่กำลังกัดฟันแน่นกลั้นเสียงกรีดร้องตอนเพลี่ยงพล้ำโดนกรงเล็บของปี ศาจ
‘เราต้องชนะ!’
เธอฟาดหมัดใส่ปี ศาจตัวนั้นจนใบหน้าของมันหายไปพร้อมกับสายลม จากนั้นเบซูจีก็เดินหน้าสู้ต่อไป
"นี่ฉันสู้มากี่วันแล้วเนี้ย?"
เธอตื่นขึ้นมากลางสนามรบและได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นจากภูติน้อยวูฮี หลังจากทบทวนทุกสิ่งแล้วเธอก็ตัดสินใจเข้าร่วม
การต่อสู้
‘นี่คือพลังของเขา’
ความแข็งแกร่งของมูยองรองรับเจตจำนงของเบซูจีและมันแข็งแกร่งกว่าที่เคย นั่นหมายความว่ามูยองยังอยู่ใกล้ๆ
และยังไม่หายไปไหน เบซูจีจึงต้องสู้และเธอไม่สามารถล้มลงได้แต่ปัญหาคือมีศัตรูมากเกินไป
‘ฉันต้องสู้เพื่อเขา!’
เบซูจีรู้สึกได้ถึงความยากลำบากที่มูยองกำลังทุกข์ทรมานอยู่ในตอนนี้จากการแบ่งปันพลังของเขา ความเหงาและ
ความสิ้นหวังที่เธอรู้สึกได้จากเขาทำให้เบซูจีอยากต่อสู้เพื่อมูยอง เขาช่วยเธอมาหลายครั้งแล้วและตอนนี้ก็ถึงเวลาที่
จะต้องตอบแทน
“ เจ้านี่ช่างเป็นมนุษย์ที่อวดดีเสียจริง!”
เทพปี ศาจลำดับที่ 28 เบริธ! เริ่มได้เปรียบเบซูจี
‘ไอ้นี่มันตัวอันตราย’
เบซูจีไม่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปี ศาจได้ไม่ว่าเธอจะแบ่งปันพลังกับมูยองมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามเธอต้องทำ
ต่อไป ปัญหาคือตอนนี้ทุกคนเหนื่อยล้าและจำนวนพันธมิตรของเธอลดลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ได้กองกำลังของอา
ม่อนพวกเขาคงตายหมดแล้ว อาม่อนกำลังซื้อเวลาโดยใช้เวทมนตร์ป้ องกันและยังกำจัดสี่เทพปี ศาจให้อีก
‘ฉันทำได้’
เงื่อนไขดับสูญของเหล่าปี ศาจไม่จำเป็นแล้วหลังจากที่บาอัลหายตัวไป พวกมันจะตายเมื่อถูกสังหารเหมือนเผ่าพันธุ์
อื่นๆ เบซูจีจึงคิดว่าเธอเองก็น่าจะสังหารพวกมันได้
เบซูจีสบถบ่นในใจเพราะเทพปี ศาจตนนี้ทั้งรวดเร็วและแข็งแกร่ง การโจมตีล่าสุดเป็นการโจมตีที่เธอควรหลีกเลี่ยง
เธออ่อนล้าลงมากจากการต่อสู้ และนั่นทำให้พลังของเธอเหือดแห้งไป
‘ฉันต้องสู้ต่อ...’
เบซูจียืนขึ้นอย่างทุลักทุเลในขณะที่เบริธยิงกระสุนโลหะขนาดใหญ่เข้ามา เบซูจีสามารถรับมันได้แต่นั่นทำให้
กระดูกแขนทั้งสองข้างของเธอหัก
"รับชะตากรรมไปซะ เจ้าแพ้แล้ว!”
"หุบปาก!"
เบริธยังคงสาดกระสุนโลหะใส่เธออย่างต่อเนื่องจนเธอไม่มีเวลาพักหายใจ ตอนนี้ร่างกายของเบซูจีถึงขีด จำกัด
‘ฉันต้อง…สู้ต่อ’
เบซูจีหลับตาลง ร่างกายของเธอแทบแตกสลาย ทั้งๆที่นี่เป็นโอกาสที่เธอจะได้พบกับมูยองและรู้ความจริง เธออยาก
รู้ว่าเขาซ่อนอะไรอยู่ และถามว่าทำไมพวกเขาถึงต้องแยกจากกัน
“ เธอจะยอมแพ้แบบนี้เหรอ”
เบซูจีได้ยินเสียง แต่เธอไม่มีแรงพอจะลืมตามอง
"คุณคือ…"
เขาไม่ได้ตอบ แต่ยกไม้เท้าขึ้นมากันกระสุนโลหะของเบริธ
เบซูจีพยายามยืนขึ้นอย่างลำบาก
"ใคร ใครบอกว่าฉันจะยอมแพ้”
“ ทำไมฉันถึงรู้สึกถึงบางอย่างจากคุณ”
เบซองมินหันไปด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและดูเหมือนพวกเขาจะคร่ำครวญถึงบางสิ่งที่หายไป
เบซูจียังคงถามคำถามต่อไป
“ ทำไมละสายตาจากคุณไม่ได้ ”
"ฉัน…"
เบซองมินพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบอีกครั้ง จริงๆเขาต้องการเปิ ดเผยว่าตนเองเป็นพ่อของ
เธอ แต่ร่างอันเดธของเขาได้สร้างเส้นแบ่งการใช้ชีวิตระหว่างทั้งสองเอาไว้ เขาเป็นคนตายไปแล้วและเบซูจียังมี
ชีวิตอยู่ พวกเขาอยู่ในโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ ถ้าคุณหรือพี่มูยองไม่ยอมพูด ฉันจะไปหาคำตอบมาเองไม่ว่าจะต้องทำยังไง!”
ความมุ่งมั่นของเบซูจีกลับมาเหมือนเดิมขณะที่เอ่ยทุกคำออกมาด้วยความจริงใจ
เบซองมินยังคงเงียบขณะที่บีบไม้เท้าของเขาแน่น
‘เธอโตขึ้นมาก’
เมื่อพ่อแม่หันกลับมาจากการทำอะไรบางอย่างจะเห็นว่าเด็กเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอ เบซูจีเป็นเด็กที่มีความ
พิเศษเบซองมินจึงรู้สึกภาคภูมิใจและเศร้าในเวลาเดียวกัน เบซูจีเติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้หญิงที่น่าชื่นชม แต่เขาไม่
สามารถอยู่กับเธอได้ในการเดินทางที่ผ่านมา
เธอคงไม่ยอมออกจากสมรภูมิจนกว่าสงครามครั้งนี้จะสิ้นสุด และเขาไม่สามารถหยุดเธอได้ ดังนั้นพวกเขาต้องชนะ
เท่านั้น เบซองมินยกไม้เท้าขึ้นเพื่อเปิ ดประตูมิติอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาร่วมการต่อสู้
….
"เจ้าเห็นไหม?"
มูยองเงยหน้าขึ้นมองอาร์คพอลลิน่าขณะที่เธอพูด
“ มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันต่อสู้เพื่อเจ้า ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงแล้ว”
"ความปรารถนาของผม?"
“ เจ้าบอกข้าว่า ไม่อยากอยู่ลำพังอีกต่อไป”
“ ผมพูดแบบนั้นกับคุณงั้นเหรอ?”
มูยองไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาพูดแบบนั้นออกไป
อาร์คพอลลิน่าพยักหน้า
“ เจ้าต้องการทำสิ่งที่มีความหมาย เจ้าอยากเอาชนะชีวิต ความตาย และทุกสิ่งที่อยู่ระหว่างนั้น”
“ ผม…จำอะไรไม่ได้เลย”
“ แน่ใจนะว่าเจ้าลืม? เจ้าไม่เคยลืมพวกมันมาก่อน”
อาร์คพอลลิน่ายิ้ม เวลาของพวกเขาหยุดลง และมูยองก็จ้องมองเวลาที่ผ่านมา
“ ถึงผมยังจำได้ แต่จะมีอะไรเปลี่ยนล่ะ? ’
“ ไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่เจ้าไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป นั่นคือสิ่งที่เจ้าทำได้แล้ว แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ”
“ตอนนี้พลังของโซโลมอนกำลังกลืนกินตัวตนของผม ยังไงผมก็ทำได้แค่เฝ้ ามองเท่านั้น ”
พลังเทวะของมูยองและโซโลมอนกำลังปะทะและหลอมรวมเข้าด้วยกัน มูยองรู้โดยสัญชาตญาณว่าเขาจะหายไป
หลังจากกระบวนการนี้เสร็จสิ้น
“ เจ้าจะยอมแพ้ไหม?”
“ ไม่ แต่ผมทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“ เจ้าไม่ใช่คนที่จะยอมเดินตามทางเดินของใครนี่”
“ คุณพูดราวกับรู้จักผมดี”
“ ข้าเฝ้ ามองเจ้ามานาน และนั่นทำให้ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังสับสน”
“ ผมคิดว่าผมมาจนสุดทางแล้ว และผมก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดตั้งแต่แรก "
"เป็นอย่างนั้นจริงหรือ? รู้ไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ารวบรวมมามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความตั้งใจของบาอัล แต่เป็น
เพราะความปรารถนาของเจ้า”
มูยองมองออกไปข้างนอก เขาเห็นทาร์แคน เบซองมิน คริมสันบาร็อค จิ้งจอกเก้าหาง เบซูจี และตัวตนเหนือ
ธรรมชาติทั้งหมดที่ต่อสู้อยู่ แม้จะเสียเปรียบเรื่องจำนวน
ทุกคนมารวมตัวกันเพราะเจตจำนงของมูยอง ไม่ว่าจะเป็นเกรโมรี่หรืออาม่อน ล้วนเป็นผู้ที่ถูกมูยองกระตุ้นและ
ตอนนี้ทุกคนกำลังจะตาย ผลลัพธ์นั้นจะไม่เปลี่ยนหากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง
“ แล้วผมจะทำอะไรได้ พอเวลาหมดผมก็จบเหมือนกัน”
อาร์คพอลลิน่ายิ้ม
"ยังมีสิ่งที่เจ้าทำได้ แค่ตัวเจ้า อาร์คโนวา และข้าเท่านั้นที่ถูกบาอัลควบคุม นอกเหนือจากนั้นเจ้าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา
เอง พวกมันจะยังคงทำงานให้เจ้าแม้ทุกอย่างจะจบลง "
เธอกำลังบอกให้มูยองทำในสิ่งที่ทำได้ และเมื่อมูยองครุ่นคิดก็มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
‘ดาบของฉัน’ มันเป็นอาวุธที่มีแต่เฉพาะมูยองเท่านั้น ดาบที่ไม่ได้อยู่ในแผนการของบาอัล และวิชาที่ประกอบไป
ด้วยการโจมตี 51 ครั้ง ทว่ามันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ยังไงก็ตามร่างกายของเขาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไร ตอนนี้
เพียงแค่ต้องยอมรับดาบของตนเองเท่านั้นและเริ่มสร้างมันขึ้นมาใหม่
มูยองเดินเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจตัวเอง เขาชะลอการไหลเวียนของเวลาลง 128 เท่า มูยองครุ่นคิดครั้งแล้วครั้ง
เล่าและมุ่งความสนใจไปที่ดาบของตัวเอง
"ฉันต้องการสร้างทางเดินแบบไหนนะ"
นั่นเป็นความคิดของเขาที่เกิดขึ้นท่ามกลางเส้นทางของโซโลมอนและบาอัล แต่สุดท้ายเขาต้องตัดสินใจ เพราะเขา
จะเดินไปข้างหน้าได้ก็ต่อเมื่อมีจุดหมายปลายทาง
‘ฉัน…’
อะไรที่ทำให้มูยองต้องดิ้นรนจนกระทั่งตอนนี้? จำได้ว่าเขาต้องการแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต และตอนนั้นเองเขาก็
ตระหนักถึงพลังของอาร์คโนว่า! มันมีพลังที่สามารถทำให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ และเป็นพลังที่สามารถใช้ได้กับคน
ที่เชื่อในปาฏิหาริย์เท่านั้น มูยองตัดสินใจประสานพลังนั้นลงบนดาบของเขา เขาต้องการสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น
และเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
'หากมีแต่เทพเจ้าที่ทำมันได้ ฉันก็จะกลายเป็นเทพเจ้า'
ในที่สุดมูยองก็พบความมุ่งมั่นที่จะทำเช่นนั้น และตอนนี้เขาพร้อมทุ่มเททุกอย่างเพื่อเป้ าหมายของตัวเอง มากกว่าที่
เคยทำมา
มูยองผสานวิชาดาบของเขาเข้าด้วยกัน จาก'เพลงดาบสังหารปี ศาจ' ที่เป็นการโจมตีห้าสิบครั้ง เขาได้บีบอัดมันลง
และทำให้มันกลายเป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขารวมพลังแห่งปาฏิหาริย์หลายสิบรอบเข้าในวิชาดาบของเขาก่อน
จะเริ่มร่ายรำดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวท่ามกลางเวลาที่ชะลอตัวลง และจากนั้นพลังเทวะของโซโลมอนก็ตอบ
สนอง! มันเริ่มกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยว!
<คุณได้รับพลัง 'เทพแห่งดาบ' และกลายเป็น 'เทพจิตวิญญาณแห่งดาบ '>
<คุณได้รับคลาสลอร์ด 'ทูตสวรรค์แห่งกาลเวลา'>
<ฉายา เอฟเฟกต์ และคลาสทั้งหมดจะรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างคลาสใหม่>
<คลาสนิรันดร์ 'ราชันย์สมรภูมิรบ' เสร็จสมบูรณ์แล้ว>
มูยองยืนและลืมตาขึ้นหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ในเวลาเดียวกันปี กสีดำและขาวข้างละหกปี กก็สยายขึ้นเพื่อเริ่มการ
ไหลของเวลาอีกครั้ง
ร่างของไฮซินท์สั่นสะท้านเพราะเธอรู้ว่าเขาคือราชาที่เธอตามหาและรอคอยอย่างสิ้นหวัง เขามีปี กที่สง่างามทั้งสิบ
สองสยายกว้างอยู่เบื้องหลังใบหน้าอันเย็นชา เขาเป็นยิ่งกว่าที่เธอจินตนาการเสียอีก ไฮซินท์รู้สึกหวาดกลัวทันทีแค่
เพียงมองไปยังเขาทั้งๆที่เธอมีพลังในการล่อลวง แต่ตอนนี้เหมือนเธอจะถูกเล่นงานเสียเอง ไฮซินท์รู้สึกว่าเธอ
สามารถทำได้ทุกอย่างเพียงแค่เขาบอกเธอ เธอให้คำมั่นอีกครั้งว่าจะติดตามมูยองเท่านั้น
"ราชาของฉัน"
ไฮซินท์คุกเข่ากลางสนามรบ จากนั้นก็ปรากฏออร่าสีฟ้ ารอบตัวเธอ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เธอได้ราวกับเป็น
สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์
….
คริมสันบาร็อคล้มลงพร้อมส่งเสียงร้อง แม้จะมีความอึดถึกทนแต่ก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อพลังโจมตีของเทพปี ศาจ
นับสิบได้ แม้เกรโมรี่จะคอยช่วยอยู่แต่เธอก็ถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน
ในด้านของตัวตนเหนือธรรมชาติที่ถึงจะมาพร้อมกับกองกำลังเสริมหลายล้านคนก็ยังไม่ไหว เพราะศัตรูที่แข็งแกร่ง
มีมากเกินไปและจริงๆมันก็เหมือนเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะตั้งแต่แรก
เกรโมรี่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายของเธอไปหมดแล้วและสุดท้ายต้องคุกเข่าต่อหน้ากองกำลังขนาดใหญ่ของศัตรู
ท่ามกลางความพ่ายแพ้พวกเขาต้องการแสงแห่งความหวังเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ดังกล่าว
'โอกาส'
เกรโมรีหันหน้าไปยังทิศทางที่มูยองบาอัลและโซโลมอนหายตัวไป อย่างไรก็ตามมันไม่มีประโยชน์เพราะแม้แต่มู
ยองก็คงไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้ เขาอาจจะดั่งเป็นสายลมแต่ไม่ใช่พายุที่สามารถพัดพาทุกสิ่ง
ทว่าจู่ๆหลังจากคิดแบบนั้นเธอก็ได้ยินเสียงบินของปี ก
“ เจ้ารู้แจ้งในขณะที่เวลาหยุดลงงั้นหรือ? แต่ยังไงซะเจ้าก็เป็นเพียงภาชนะ เจ้าทำอะไรไม่ได้หรอก!”
เกรโมรียังได้ยินเสียงของบาอัล พวกเขาปรากฏตัวอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีโซโลมอน เธอเห็นเพียงมูยองและบาอัล
เท่านั้น
“ พี่มูยอง!”
“ ที่รัก!”
เบซูจีและวูฮีตะโกนขึ้นเป็นคนแรกๆ ในขณะที่เกรโมรี่ค่อยๆเดินตรงไปอย่างเงียบๆเพราะมูยองที่ปรากฏตัวในครั้ง
นี้เปลี่ยนไป เขามีทั้งปี กแห่งแสงและปี กแห่งความมืดรวมกันสิบสองปี ก มูยองยกดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวขึ้นด้วย
ใบหน้าที่ว่างเปล่า จากนั้นพลังสีดำก็ไหลปกคลุมไปทั่วผืนดินสุดลูกหูลูกตา ปี ศาจของบาอัลหายวับไปเมื่อปะทะ
เข้ากับพลังจากดาบแห่งความโกรธเกรี้ยว นั่นหมายความว่าปี ศาจหลายแสนตัวของฝั่งบาอัลหายไปในทันทีด้วยการ
แกว่งดาบเพียงครั้งเดียวของมูยอง
“ เจ้าดูดซับพลังเทวะของโซโลมอนงั้นหรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้ ภาชนะไม่น่าช่วงชิงความศักดิ์สิทธิ์ มาเป็นของตัวเอง
ได้!”
บาอัลพูดด้วยความไม่เชื่อ
“ ทางเดินของฉัน ฉันจะเป็นคนกำหนดมันเอง”มูยองพูด
เขาได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าพลังเทวะของโซโลมอน เขาสร้างดาบของเขาจนเสร็จสิ้นและตกผลึกเป้ าหมายของตนเอง
มูยองมีทั้งพลังแห่งปาฏิหาริย์และพลังแห่งกาลเวลา และชื่อของมันจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
“ เห็นทีข้าจะต้องใช้กำลังซะแล้ว”
บาอัลเปลี่ยนร่างเป็นบางอย่างคล้ายเดียโบล อย่างไรก็ตามมันมีขนาดใหญ่และมีจำนวนเขามากกว่า
“ ข้าจะดูดกลืนพลังเทวะทั้งหมดของเจ้าแล้วกลายเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบ ข้าจะปกครองทุกมิติในฐานะเทพเจ้าผู้มี
พลังขั้นสูงสุด!”
ในขณะที่บาอัลพุ่งมาข้างหน้า มูยองก็เรียกใช้ทักษะเร่งความเร็วเช่นกัน เวลาเริ่มไหลเร็วขึ้น 256 เท่า มูยองได้ก้าว
ข้ามพื้นที่ที่คิงสเลเยอร์ไปไม่ถึงได้แล้ว ในที่สุดมูยองก็ทำความฝันของคิงสเลเยอร์ได้สำเร็จ
“ ฉันคือตัวแทนแห่งความเป็นไปได้ทั้งหมด”
มูยองแตกต่างจากโซโลมอนหรือบาอัลเพราะเขาเปิ ดรับโอกาสทั้งหมด การที่เขากลายเป็นราชาแห่งสมภูมิรบได้ก็
เพราะพวกมัน ไม่มีใครสามารถเอาชนะมูยองที่นี่ได้แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นเทพเจ้าก็ตาม
หลังจากการปะทะกันแขนข้างหนึ่งของบาอัลก็ร่วงลงบนพื้น ความโกรธเกรี้ยวกวัดแกว่งได้อย่างอิสรเสรี เพียงครู่
เดียวบาอัลก็รู้สึกว่าร่างกายของตนขาดออกจากกันอย่างช้าๆ
เขาถูกขังอยู่ในกาลเวลา 256 เท่าของมูยอง
“ นี่ มัน เป็น ไป ไม่ ได้ ”
“ แกพูดช้าเกินไปแล้ว”
พอมูยองหยุดการเร่งความเร็ว ร่างกายของบาอัลก็พังลงในทันทีนั้น แม้ชิ้นส่วนของบาอัลจะพยายามรวมตัวกันแต่ก็
ไม่สามารถกู้คืนรูปแบบเดิมได้ บาอัลกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อขนาดใหญ่และน่าเกลียดเพราะดาบแห่งความโกรธ
เกรี้ยวสามารถสร้างคำสาปที่ทรงพลังแก่ศัตรูของมัน
“ เจ้าคิดว่าจะกลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวังให้แก่พวกมันได้งั้นหรือ? ไม่มีผู้ใดรอดไปได้ทั้งนั้นเพราะโลกของ
พวกเจ้าถูกปนเปื้ อนไปหมดแล้ว! มีเพียงปี ศาจเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่ที่นั่นได้!”
บาอัลพูดและมูยองพยักหน้า
เขารู้จากความทรงจำทั้งหมดของดันดาเลี่ยนแล้ว มูยองเห็นโลกที่ถูกปนเปื้ อนและล่มสลาย มันเป็นสถานที่ไม่
เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิต และเทพปี ศาจต่างเชื่อว่าบาอัลสามารถทำให้โลกบริสุทธิ์ได้ ยังไงก็ตามมันไม่มีพลังแห่ง
ปาฏิหาริย์ ดังนั้นโซโลมอนจึงสร้างเผ่าพันธุ์ปี ศาจที่สามารถอยู่รอดได้ขึ้นมาโดยรวบรวมจุดแข็งของทุกเผ่าพันธุ์ นี่
คือเหตุผลที่โซโลมอนพยายามสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามมูยองแตกต่างจากพวกเขา
“ ฉันเชื่อว่าทุกคนจะปรับตัวได้”
“ ศรัทธาไม่อาจแก้ปัญหา! เจ้าจะต้องเสียใจและหลั่งน้ำตาอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นทุกๆคนตายต่อหน้า!”
บาอัลทราบว่าตัวเองพ่ายแพ้ไปแล้วตอนที่ติดอยู่ในพันธนาการของเวลา เงื่อนไขการดับสูญของเทพปี ศาจทั้งหมด
ใช้ไม่ได้กับตัวตนที่มีพลังเทวะสูงกว่ามัน ใบหน้าของมูยองเกรี้ ยวกราดขึ้นก่อนจะเหวี่ยงดาบออกไป
“ แกไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าฉันจะเสียใจตอนไหน”
***
สงครามอันยาวนานสิ้นสุดลงด้วยการกำจัดบาอัลและเทพปี ศาจทั้งหมดฝ่ ายพันธมิตร ไพม่อนซึ่งเคยเป็นผู้เฝ้ ามอง
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงคมดาบของมูยองได้ เขาเห็นการตายของคิงส์เลเยอร์ เห็นการตายของโซโลมอน และเห็นการ
ตายของบาอัล เขาถูกมูยองขังไว้ในพันธนาการแห่งกาลเวลาชั่วนิรันดร์ มันเป็นจุดจบที่เหมาะสมสำหรับผู้เฝ้ ามอง
ยังไงก็ตามการหายไปของบาอัลทำให้แกนกลางที่รักษาโลกนี้พังทลายลง
ในขณะที่โลกฝั่งนี้สั่นสะเทือนและเริ่มล่มสลาย มูยองก็กลายเป็นผู้นำทางให้แก่ทุกคน
“ ข้ารอท่านอยู่”
ใครคนหนึ่งออกมาต้อนรับเขาเมื่อมาถึงกำแพงของอารามสีคราม
“ เมอร์ลิน”
เขาเป็นเมอร์ลินตัวจริง เมื่อก่อนเขาเคยอยากรับมูยองเป็นศิษย์แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม
“ เจ้านายของคุณตายไปแล้ว”
“ ข้าก็แค่ต้องรับใช้เจ้านายคนใหม่เท่านั้น”
เมอร์ลินมีความเห็นที่แตกต่างจากโซโลมอน และนั่นคือเหตุผลที่เขาสร้างกำแพงขึ้นและฝึกฝนผู้คน แม้หลายคนจะ
เสียชีวิตในกระบวนการนี้ แต่เมอร์ลินคิดว่าพวกเขาคงไปตายอยู่ในโลกปี ศาจอยู่ดีหากไม่สามารถผ่านด่านของ
อารามสีครามไปได้
มูยองถามคำถาม
“ คุณรู้เส้นทางกลับโลกไหม?”
“ กระจกแห่งท้องฟ้ าสามารถสร้างเส้นทางไปสู่โลกใบนั้นได้”
บาอัลได้สร้างกระจกท้องฟ้ า และดูเหมือนว่ามันจะเป็นถนนที่เชื่อมต่อระหว่างโลกกับโลกปี ศาจ!
มูยองรับทุกสิ่งของบาอัลมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเรือโนอาหรือกระจกท้องฟ้ า และพวกมันเริ่มยอมรับมูยองตอนที่เขาได้
รับพลังเทวะของโซโลมอน
ผู้คนที่เดินทางมาต่างประหลาดใจที่เมอร์ลินตัวจริงปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา และเมอร์ลินเอ่ยขึ้นด้วยความ
ระมัดระวัง
“ ถึงจะไปได้คนพวกนี้ก็ไม่รอดอยู่ดี เพราะโลกถูกปนเปื้ อนจนไม่สามารถดำรงอยู่ได้”
“ ไม่ต้องห่วงหรอก”
มูยองยิ้มเพราะเขาเตรียมการไว้หมดแล้ว
‘ศิลปะแห่งความตาย’
ทุกคนล้วนถูกสร้างขึ้นใหม่ และนั่นไม่ใช่ทั้งหมด มูยองมอบความเป็นไปได้ให้กับพวกเขาด้วย ซึ่งมันเป็นความ
สามารถสุดท้ายที่เดธลอร์ดมอบให้กับมูยอง พวกเขาจะปรับตัวและพัฒนาไปเรื่อยๆผ่านโอกาสที่มูยองมอบให้ และ
มูยองเชื่อในความเป็นไปได้ของพวกเขา
“ ถ้างั้นก็ไปกันเลย”
มูยองพาพวกเขาไปตามทางที่กระจกแห่งท้องฟ้ าเปิ ดไว้
“ ที่รักพวกเราไปด้วยกัน!”
“ พี่ชาย! โครงกระดูกแก่ๆนั่นเป็นใครเหรอคะ?”
“ พ่อของเธอไง....”
"พ่อ?! พ่องั้นเหรอ!"
“ พี่! อย่าทิ้งผมไว้ข้างหลัง!”
“ ราชาของฉัน ฉันจะติดตามคุณไปทุกที่”
มันคือผลข้างเคียงจากอำนาจการครอบงำ ผู้รอดชีวิตทุกคนไม่ว่าจะเป็นวูฮี, เบซูจี, เบซองมิน, สโนว์, โอการ์และไฮ
ซินท์ล้วนมีปฏิกิริยาเหมือนกัน ยกเว้นทาร์แคนคนเดียวที่ส่ายหัวขณะที่พูด
“ ช่างเป็นความวุ่นวายที่เหมาะกับเจ้าแห่งความโกลาหลจริงๆ”
ตอนที่ 291: บทส่งท้าย
‘หากฉันมีทางเลือก ชีวิตของฉันจะแตกต่างไปจากนี้ไหม’
เขาคร่าชีวิตผู้คนมากเกินไป มือของเขาเปื้ อนเลือดไม่ว่าจะเป็นคนที่สมควรตายหรือไม่ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่
ร่วมกับคนอื่นโดยมีกลิ่นคาวเลือดติดตัวอยู่เช่นนี้
เมื่อมูยองคุกเข่าลง เลือดก็ทะลักออกจากบาดแผลทั่วร่างกาย มันน่ากลัวจนน่าแปลกใจที่เขายังไม่ตายจากการเสีย
เลือด การที่ต้องต้องเผชิญหน้ากับมือสังหารฝีมือดีสามร้อยคนพร้อมหัวหน้าของพวกมันนั้นมากเกินไป แม้จะเป็นผู้
ที่เก่งกาจที่สุดแห่งป่ านักฆ่าอย่างเขา
‘ช่างเป็นถนนที่ทอดยาวเหลือเกิน’
มูยองพยายามฝืนคลี่ยิ้มออกมาทั้งๆที่เขาจำไม่ได้แม้กระทั่งวิธียิ้มหรือชื่อของตัวเอง ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดหลังจาก
ที่เขาถูกเรียกตัวไปยังอันเดอร์เวิลด์ ดินแดนนรกที่มีเทพปี ศาจเจ็ดสิบสองตนปกครองอยู่
มนุษยชาติค่อยๆถูกเรียกตัวไปเป็นเวลานานแล้วและมูยองเป็นหนึ่งในนั้น เขาต้องปกป้ องชีวิตตนเองจากสัตว์
ประหลาดทุกประเภทโดยไม่มีเวลาปรับตัว การที่ชีวิตสามารถถูกพรากไปได้ง่ายๆทำให้เขาไม่สามารถไว้วางใจ
มนุษย์คนอื่นได้อีก
หลังจากเข้าสู่อันเดอร์เวิลด์ไม่นานนัก มูยองก็ถูกจับเป็นเชลยของป่ าแห่งความตาย ภายใต้อิทธิพลของการปลูกฝัง
และยากล่อมประสาทเขาจึงกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร ไม่มีความรู้สึกใดๆในยามที่เขาลงมือฆ่าคน และมีคนดีๆ
มากมายที่ต้องตายภายในเงื้อมมือของเขา
มูยองเงยหน้าขึ้นและคิดว่าเขาไม่เหมาะที่จะอยู่ท่ามกลางคนอื่นๆอีกต่อไป
“ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นท้องฟ้ าแบบนี้สินะ”
ท้องฟ้ าตอนนี้ชัดเจนอย่างหาที่เปรียบมิได้และดวงดาวเหล่านั้นยังคงสวยงามอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามมันกลับทำให้มู
ยองยิ่งเศร้าใจ แม้เขาเองจะอยากเผชิญหน้ากับความตายด้วยรอยยิ้ม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
‘ฉันไม่เคยอยากฆ่าใครเลย’
เขาเกลียดตัวเองที่ไม่รู้สึกอะไรเลยจากการตายของผู้คนเหล่านั้น
‘ถ้าเกิดใหม่ได้อีกครั้งฉันจะเปลี่ยนตัวเองได้รึเปล่า’
การตกเป็นเบี้ยของผู้อื่นทำให้ชีวิตของเขานั้นว่างเปล่า มูยองเอื้อมมือไปสัมผัสร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่ข้างๆ ร่าง
นั้นเย็นชืดและไม่มีการตอบสนองใดๆ อย่างไรก็ตามมูยองต้องการรับรู้ถึงอารมณ์และความอบอุ่นเหล่านั้น
‘ความอบอุ่น…’
แม้มูยองอยากเปลี่ยนแปลงแค่ไหนก็ไม่มีเวลาเหลือสำหรับเขาแล้ว ดวงตาของเขาเริ่มพร่ามัวพร้อมๆกับการเต้นของ
หัวใจที่เริ่มช้าลง
แต่ถ้า
ถ้าเขายังมีเวลา ถ้าเขาได้รับโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง
“ ฉัน……ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้ ”
มูยองเอื้อมมือไปคว้าแสงสว่างเลือนลางที่อยู่ห่างออกไปอย่างเลื่อนลอย
------------------

You might also like