Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 201
บทที่ 201
มูยองพิชิตหอคอยทั้งหมดในเส้นทางแห่งนรกภูมิ
พอมูยองยึดมันทั้งหมดได้ ที่ปลายของหอคอยแต่ละยอดก็เริ่มปล่อยพลังงานความร้อนขึ้นก่อนจะยิงลำแสงสี
แดงพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้ า
<คุณเอาชนะ 44 หอคอย>
<เจ้าของหอคอยทั้งหมด 44 ตนพ่ายแพ้แล้ว>
<ของรางวัลขึ้นอยู่กับระดับความพึงพอใจ>
+ สุ่มอุปกรณ์ของคิงสเลเยอร์หนึ่งชิ้น
+ คุณได้รับเกราะหุ้มขา 'ไนท์คิง'
<ภารกิจต่อเนื่อง 'คิงออฟเดอะเวิล์ด'>
<รางวัล - คิงสเลเยอร์>
มีข้อความมากมายขึ้นบดบังสายตาของมูยอง
มูยองมองทุกข้อความอย่างระมัดระวัง
เป็ นเพราะไม่มีอะไรที่จะมองข้าม
เมื่อเขาเสร็จภารกิจเพชรฆาตราชา ก็ผลความสำเร็จเพิ่มมาอีกสามอย่าง
มูยองเปิ ดดูค่าสถานะของตัวเองทันที
จากนั้นเมื่อตัวแสดงสถานะผุดขึ้น เขาก็มองไปที่ผลความสำเร็จดังกล่าว
ผลความสำเร็จ ->
'มันเป็ นผลความสำเร็จที่ยังไม่ได้วิวัฒนาการ'
ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะกลายเป็ นร่างไหนตอนไหน
อีกผลความสำเร็จหนึ่งของเพชรฆาตราชาก็เป็ นที่สะดุดตาเช่นกัน
'มันตราราชันย์' [1]
ความหมายง่ายๆของมันคือถ้อยคำของกษัตริย์
ดูเหมือนว่ามันจะคล้ายกับภาษามังกร
นั่นหมายความว่าทุกสิ่งที่มูยองพูดออกมา อานุภาพของถ้อยคำจะไม่ต่างจากคำพูดของเหล่ากษัตริย์
เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับพลังของคำพูดมาก่อน
'ฉันทำภารกิจความสำเร็จต่อเนื่องเสร็จในครั้งเดียว'
ในขณะที่พิชิตเส้นทางแห่งนรกภูมิสำเร็จ เขาก็ได้รับการยอมรับในฐานะกษัตริย์ด้วย
ฮา!'
เขาไม่รู้สึกถึงความขัดแย้งใดๆ เพราะยังไงผลของกองทัพราชาก็ทำให้เหล่าวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น
นอกจากนี้เขายังได้รับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งของคิงสเลเยอร์
'เกราะหุ้มขาไนท์คิง?'
แต่เนื่องจากเงื่อนไขการเปิ ดใช้งานของบารอนนั้นยากที่จะใช้งานได้จริง
ในแง่นั้น เกราะใหม่ที่เพิ่งได้รับมาจึงไม่เลวนัก
มูยองมองดูเกราะซึ่งถูกสร้างโดยวัสดุที่ไม่รู้จัก
อันดับ: S ++
ความทนทาน: ไม่มีที่สิ้นสุด
ประเภท: เกราะ
+ สเตตัสทั้งหมด +40
+ มันไม่มีทางเสียหาย
+ สัญลักษณ์ของความศรัทธาและภักดี มันจะสร้างความไว้ใจอย่างแข็งแกร่งให้กับใครบางคน
คำอธิบายค่อนข้างชัดเจนและสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามนี่ก็เพียงพอแล้ว
สเตตัสที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดนั่นดีอยู่แล้ว และการที่มันมีความทนทานไม่จำกัด หมายความว่าเขาสามารถใช้มันได้
ทุกครั้งโดยไม่ต้องระวังการสึกหรอ
สำหรับสัญลักษณ์แห่งศรัทธาและความภักดีเขาคงไม่ได้ใช้ แต่มันก็ไม่เลวที่จะมีผลกระทบเช่นนี้
ภารกิจความสำเร็จต่อเนื่องล่าสุด
มูยองถูคาง
นั่นหมายความว่ามันยังต้องรออีกนาน
มูยองตรวจสอบจากหน้าต่างแสดงสถานะ
ดูเหมือนว่ามีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่าง และเขาต้องการตรวจสอบพวกมันให้ละเอียดที่สุด
สเตตัส ->
นั่นหมายความว่ามูยองเป็ นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติอย่างแท้จริง
แม้แต่ดราก้อนลอร์ดฮันซุงก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับมูยอง ถึงเขาจะใช้มังกรร่วมต่อสู้ด้วยก็ตาม
พิธีตื่นรู้ ...
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของโลก
เขารู้เหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงยังไม่ผ่านพิธีตื่นรู้แม้ว่าสเตตัสของเขาจะเพียงพอสำหรับที่จะเข้าร่วม
'สเตตัสหลัก'
เขายังมีสเตตัสหลักไม่มากพอ
ไม่ว่ามูยองจะแข็งแกร่งเร็วแค่ไหน แต่ก็ไม่ถึงกับเร็วแรงทะลุมิติ
ดังนั้นเขาจึงสวมใส่อุปกรณ์ต่างๆเพื่อชดเชยความแข็งแกร่งที่ยังเอื้อมไม่ถึง
ทว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มสเตตัสหลักของตัวเอง
และนั่นสามารถบรรลุได้เองโดยธรรมชาติ หากเขาเดินบนเส้นทางของกษัตริย์
กรรร!
มันเป็ นตอนนั้นเอง
เมื่อมูยองตรวจสอบทุกอย่างแล้ว บางอย่างที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“ นั่นมันหอคอยราชา!”
“ ราชาแห่งเส้นทางนรกภูมิที่แท้จริงได้รับการแต่งตั้งแล้ว!”
มูยองเดินขึ้นไปบนหอคอยที่ 45
และเมื่อเขาไปถึงชั้นบนสุด โลกก็เปลี่ยนไป
***
นักบวชและพาราดินจำนวนหนึ่งกำลังยืนอึ้งอยู่เบื้องหน้าเขา
มูยองไม่ได้ใส่ใจคนเหล่านั้น
แต่สายตาของเขากำลังจดจ่ออยู่กับดาบที่ถือโดยชายคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามมูยองสัมผัสได้ถึงพลังที่ถูกจารึกไว้บนตัวดาบ
'พลังที่จะทำให้วิญญาณออกไปสู่โลกแห่งความเป็ นจริง'
พลังที่จะทำให้วิญญาณเป็ นตัวเป็ นตนและรักษาพลังอำนาจไว้
'กลืนมันซะ'
จากนั้นความโกรธเกรี้ ยวก็กลืนดาบเล่มนั้นลงไป
จากนั้น มูยองก็เลื่อนสายตาของตัวเองมองโลกภายนอก
มีหอคอยสูง 45 แห่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของโนเบิลคาสเซิล
'ขอบเขตระหว่างเส้นทางแห่งนรกภูมิกับความเป็ นจริงได้ถูกทำลาย'
รอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างช้าๆบนใบหน้าของมูยอง
'ฉันจะไปเอาเอลย่าซีโก้นี่!'
นั่นคือแผนในตอนแรกของเขา
หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบที่ตระกูลแอดวานซ์ เขาวางแผนที่จะค่อยๆเข้าใกล้ผนึกของเอลย่าซีโก้
อย่างไรก็ตามเมื่อไปที่เส้นทางแห่งนรกภูมิแผนการของเขาก็เปลี่ยนไป
แล้วเขาจะปล่อยมันไปได้อย่างไร?
“ ถ้านายยังอยากมีชีวิตก็หลับตาแล้วหุบปากอยู่ที่เดิมนั่นแหละ”
นั่นคือสิ่งที่มูยองต้องการจากนักบวชของมูราลัน
เคร้ง! เคร้งง!
มูยองลากความโกรธเกรี้ ยวไปตามพื้น
ด้วยเสียงนั้น เหล่ามอนสเตอร์ก็เริ่มเคลื่อนไหว
และด้วยปี กที่สยายกว้าง
เขาก็บินออกจากหอคอยท่ามกลางความสับสนอลม่านพร้อมเอ่ยเบาๆ
“ จากนี้ไป…เราจะเริ่มพิชิตโลกใบนี้”
***
ทาร์แคนสังเกตเห็นบางสิ่งเปลี่ยนไป
ไม่ใช่แค่ทาร์แคนที่รู้สึก
ทุกคนในโนเบิลคาสเซิลต่างแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้ าโดยอัตโนมัติ
ชายผู้มีหกปี ก
เขาเป็ นเหมือนตัวตนจากนรก
ดาวสีแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือร่างของเขา
โฮก!
มอนเตอร์กรูกันออกมาจากหอคอยทุกแห่ง
เพียงแค่เหลือบมองก็พบว่ามีจำนวนหลายพันตัว
“ มอนสเตอร์พวกนี้มาจากไหนกันนี่!”
“ ฉันไม่เคยเห็นมอนสเตอร์หน้าตาแบบนี้มาก่อนเลย!”
ทุกคนจะตื่นกลัวมากขึ้นหากพวกเขาต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ
ผู้คนเกิดความลังเลว่าควรจะหลีกหนีหรือเข้าสู้ ทว่าไม่มีใครสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย
'มูยอง!
ทาร์แคนชักอาวุธประจำตัวออกมาแล้วเข้าร่วมกับพวกมอนสเตอร์ทันทีโดยไม่ต้องคิด
ลักษณะที่ปรากฏนั้น เพียงพอที่จะขย่มขวัญทุกผู้คนด้วยตัวตนของราชาแห่งขุมนรก
แม้ว่าเสียงจะไม่ดังมากนักแต่ทุกคนก็ได้ยินชัดเจน และพวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันไร้ทางต่อต้านจนผู้ที่เต็ม
ไปด้วยความหวาดกลัวเริ่มคุกเข่าลงกับพื้น
ผู้คนต่างตกอยู่ในความระส่ำระสาย
พวกเขาไม่สามารถร่วมมือและไว้วางใจซึ่งกันและกันได้
หลังจากการตายของเรนกัน ความโกลาหลและความหวาดระแวงก็เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจกลางเมือง
ด้วยการดำเนินการอย่างรวดเร็วของมูยอง ทำให้ไม่มีใครตอบสนองได้ทัน
ขณะที่มองไปยังฉากน่ากลัวตรงหน้า ทั่วร่างของอาแลนซ์ก็ต้องสั่นสะท้าน
เสียงกรีดร้องไร้ที่สิ้นสุดดังให้ได้ยินไปทั่ว
ไหนจะเสียงของอาคารที่กำลังลุกโหมไปด้วยเปลวเพลิง และพังทลายลงจนเหลือแต่เถ้าถ่าน
แม้กระทั่งพาลาดินที่เคยผ่านการฝึ กฝนอย่างหนักก็ยังพูดไม่ออก
พวกเขาจะพูดอะไรได้?
มอนสเตอร์พวกนั้นจะไม่ทำร้ายผู้ที่คุกเข่า อย่างไรก็ตามคนที่ต่อต้านต่างถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมโดย
ปราศจากความลังเล
สำหรับเหล่าพาลาดิน การได้เห็นท้องใส้ของเหยื่อไหลทะลักพร้อมกับอวัยวะภายในอื่นๆช่างดูเหมือนฝันร้าย
แต่ทว่านรกดังกล่าวกำลังอยู่บนความเป็ นจริง
“ เราจะไม่ไปช่วยพวกเขาหน่อยเหรอ?”
อาแลนซ์พยายามพูดความในใจออกมาอย่างสุดกลั้น
อย่างไรก็ตามเท้าของเขาไม่สามารถขยับได้ และคำพูดแต่ละคำช่างเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก
เหล่าพาราดินไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเช่นกัน
“ พวกเรากลับไปขอความช่วยเหลือที่มูลาลันดีกว่า”
“ ถึงจะไม่อยากยอมรับมัน แต่ถ้ามีแค่พวกเราคงช่วยอะไรที่นี่ไม่ได้มาก”
เห็นได้ชัดว่าเหล่าพาราดินไม่เห็นด้วย
พวกเขาคิดว่านี่ไม่ใช่การพยายามตีก้อนหินด้วยไข่หรอกหรือ?
ไม่ใช่เลย
“ แล้วเราจะออกจากที่นี้เพื่อไปขอความช่วยเหลือยังไง?"”
เสียงของอาแลนซ์ฟังดูราวสิ้นหวัง
พวกเขาไม่สามารถหนีจากไปได้ พวกเขาถูกขังอยู่ในหอคอย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะออกไปก็ต้องเจอกับฝูง
มอนสเตอร์อยู่ดี
“ อย่างน้อย…เด็กๆ ฉันอยากช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้”
เขาเริ่มสงครามและสังหารหมู่ผู้คน
ไว้ชีวิตต่อผู้ที่คุกเข่า?
หนึ่งความเมตตาดังกล่าว ไม่อาจสร้างดีงามให้คนผู้นั่นได้
“ท่านอาแลนซ์”
นักบวชอย่างอาแลนซ์พยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง
หน้าที่ของเขาในฐานะนักบวชแห่งมูลาลัน และในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง
เขาไม่ต้องการให้มันกลายเป็ นโลกแบบนั้น
นี่คือสิ่งที่นักบวชทุกคนในมูลาลันคิดเหมือนกัน
ความปรารถนาดังกล่าวถือเป็ นคุณธรรมสำคัญสำหรับนักบวช
'ฉันจะไม่ทนต่อสิ่งชั่วร้าย'
อาแลนซ์เคลื่อนไหวทันที
***
มูยองเองก็ไม่ชอบ แต่ต้องทำใจยอมรับมัน
เขาต้องการให้ตระกูลเรนรวมถึงตระกูลอื่นๆรู้สึกอยากต่อต้านและตอบโต้ขึ้นอีกสักหน่อย
เพราะนั่นถึงจะทำให้แผนการเป็ นศัตรูกับทุกคนมีค่า
'เพิ่มความปรารถนาในใจของพวกเขา'
และความปรารถนาจะก่อเกิดเป็ นความหวัง
แน่นอนว่าไม่มีใครจินตนาการออกว่าปริมาณข้อมูลที่เขาครอบครองมีเท่าไหร่ แต่ก็มีคนมากมายที่มีข้อมูล
จำนวนมากเช่นมูยอง
สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเขาไม่ได้แบ่งปันสิ่งที่พวกเขารู้ และพยายามไล่ล่าแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง
มูยองอยากแก้นิสัยแย่ๆพวกนี้
เมื่อต้องการทำตามแผนที่วางไว้ การเคลื่อนไหวเล็กน้อยย่อมไม่เพียงพอ
ถึงมันออกจะสุดโต่งไปหน่อย แต่ไม่ใช่มูยองคนเดียวแน่นอนที่คิดแบบนี้
ในอดีตดราก้อนลอร์ดฮันซุงก็เคยมีบทบาทเช่นนั้น ยังไงก็ตามเขาล้มเหลว
'ฮันซุง ใจของเขายังไม่แข็งแกร่งพอ'
ถ้าเขารุนแรงขึ้นหน่อยคงจะดีกว่านั้น
ถ้าเขารู้วิธีที่จะอดกลั้นต่อต่อสิ่งต่างๆเพิ่มมากขึ้น
ฮันซุงจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน…
'ฉันแตกต่าง'
มูยองเดินไปบนเส้นทางนั้นแล้ว
แต่เป็ นศัตรูกับทุกคน!
มันเป็ นอะไรบางอย่างที่มีแค่มูยองเท่านั้นที่ทำได้
'สิ่งแรกที่ฉันต้องทำคือปลดปล่อยความรู้ที่หลายคนฮุบไว้'
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโนเบิลคาสเซิลที่ต้องลงมือเป็ นพิเศษ
จำนวนข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้นับว่าเกินความคาดหมาย
สถานที่เช่นห้องหกปราชญ์ของตระกูลแอดวานซ์ถูกสร้างขึ้น
มีข้อมูลมากมายที่กระทั่งแม้แต่พวกมันเองก็ยังจำไม่ได้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในบ้าง
ดังนั้นจุดแรกที่มูยองมุ่งหน้าไปก็คือ ตระกูลแอดวานซ์
ในขณะที่เขาเหยียดมือ ด้วยเสียงการกระตุ้นบางอย่าง จมูกของเขาก็ได้กลิ่นบางสิ่งกำลังถูกเผาไหม้
ตระกูลแอดวานซ์เปิ ดการใช้งานบาร์เรีย
กำแพงป้ องกันที่มีพื้นที่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ
'น่าสนุก'
อย่างไรก็ตามสำหรับมูยองสิ่งนี้ดูเหมือนเป็ นการกระทำที่น่ารักเท่านั้น
แต่มูยองไม่ได้เรียกซออึนเซ
ฟูมม!
ขนาดของมันเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
จากนั้นผืนดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและสั่นไหวรุนแรง
บรึม!
บาร์เรียที่ประกอบขึ้นจาก 37ชั้นนั้นเริ่มพังทลายทีละชั้นๆ
1, 2, 3 …ในไม่ช้าพวกมันก็แตกสลายออกไปมากกว่า 30ชั้น
ดวงตาของคนที่อยู่ภายในบาร์เรียเบิกกว้างขึ้น ราวกับว่าพวกมันไม่สามารถเชื่อได้
“ อาชญากรรมของพวกแกคือ…การยืนอยู่เฉยๆ”
พวกเขาเสียเวลาไปกับการศึกษา
คงจะดีกว่าถ้าผลงานวิจัยเหล่านั้นไม่มีตัวตน
เพล้ง!
บาร์เรียทั้ง 37ชั้นถูกทำลาย
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินยังคงอยู่
มูยองขุดห้องหกปราชญ์ขึ้นมา
ห้องหกปราชญ์ หลุมฝังของความรู้ดีๆนี่เอง
แน่นอนว่าการทำให้มันปรากฏขึ้นมาท่ามกลางสายตาของผู้คน อาจจะไม่ใช่วิธีหยุดยั้งมันจากการถูกฝังอีกครั้ง
นักบวชของมูลาลันปรากฏ
ดูเหมือนว่าเขาจะทนไม่ไหวหลังจากเห็นตระกูลแอดวานซ์หายไปต่อหน้าต่อตา
“ ชีวิตของผู้คนไม่มีค่าสำหรับแกเลยเหรอไง?!”
“มันไร้ความหมายสำหรับฉัน”
มันไม่มีอะไรสำคัญจริงๆ
สิ่งที่เรียกว่าชีวิตสามารถถูกลบเลือนไปได้อย่างง่ายดายเพียงแค่โบกมือ
“ ทุกชีวิตล้วนมีความดีงาม! มันไม่ได้ไร้ค่าเหมือนที่แกคิด…”
“ นี่แกกำลังพยายามสอนฉันเหรอ?”
ตึง! ตึง!
สุนัขจิ้งจอกเก้าหางขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
กลุ่มพวกเขามีเพียงห้าคน
และตอนนี้จิ้งจอกเก้าหางได้ล้อมอาแลนซ์และผองเพื่อนพาราดินไว้หมดแล้ว
ก๊าซ!
ในขณะที่บนฟากฟ้ ายังมีมังกรกระดูกเจ็ดตัวโบยบินอยู่
มังกรกระดูกกำลังช่วยมอนสเตอร์ตัวอื่นทำลายสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
“ แก...นายคือบันยะใช่ไหม? ใช่แล้ว? นายทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ลงได้ยังไง!”
อาแลนซ์ตระหนักได้ว่ามูยองเป็ นบันยะ
แม้ว่าเขาอาจจะไม่เคยเห็น แต่เหตุผลจากการอนุมานของเขาก็เยี่ยมยอด
อย่างไรก็ตามมูยองส่ายหัว
“ ฉันไม่ใช่บันยะ”
จากนั้นเขาพูดต่อ
“ ฉันชื่อมูยอง”
'มู' คือความว่างเปล่า
'ยอง' หมายถึงเงา
'มู...ยอง!
อาแลนซ์คิดเกี่ยวกับชื่อนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ นั่นไม่จริง! ทุกคนมีด้านดีเสมอ!”
"จริงเหรอ ถ้างั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินตอนนี้คืออะไร?”
หลังจากกวาดล้างฐานทัพทิ้ง ประตูโลหะสองสามบานซึ่งนำไปสู่ชั้นใต้ดินก็ปรากฏขึ้น
มอนสเตอร์เคลื่อนไปเปิ ดประตูโลหะบานหนึ่ง
จากนั้น ศพจำนวนมากที่ไม่สามารถแยกแยะได้ก็สามารถมองเห็น
“ เพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าวิจัย พวกมันกักขังคนบริสุทธิ์ ไว้ทดลองในนี้”
"อะไรนะ?"
แอ๊ด! ตึง !
ประตูโลหะอีกบานถูกเปิ ดออก
คราวนี้เป็ นซากศพของสัตว์นานาชนิดปรากฏให้เห็น
“ มีเพียงชีวิตของมนุษย์เท่านั้นที่มีค่างั้นหรือ?”
อาแลนซ์ส่ายหัวราวกับว่าเขาไม่เชื่อสายตาตัวเอง
อย่างไรก็ตามมูยองยิ้ม
ถึงตระกูลแอดวานซ์จะไม่เคยยื่นมือเข้าไปช่วยฝ่ ายไหนเลย
แต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งกับพวกมันได้
เมื่อพวกเขารู้เกี่ยวกับจุดอ่อนของผู้อื่น และผู้อื่นจะเข้าไปยุ่งกับพวกเขาได้อย่างไร
เอี๊ยด!
ตึง!
ประตูเหล็กบานสุดท้าย
คราวนี้ไม่มีซากศพใดๆ
“ ฉันไม่มีวันถูกมันล่อลวงเด็ดขาด! ฉันไม่มีวันขายวิญญาณให้กับความชั่วร้าย!”
อาแลนซ์รู้สึกเสียสติเล็กน้อยหลังจากได้เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
มันเป็ นภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากนักบวชที่ต้องสงบอยู่ตลอดเวลา
มูยองยั่วยุอาแลนซ์
แต่เขายังแอบให้คำแนะนำเล็กน้อย
มันตราราชันย์ มูยองสามารถใช้มันเพื่อปรับเปลี่ยนความคิดของคนผู้หนึ่งได้
อาแลนซ์จะเปิ ดเผยองค์ความรู้มากมายเหล่านี้เพื่อพัฒนาผู้คน
มูยองกางปี กสยายขึ้น
จากนั้นมุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่อไปอย่างไม่รีบร้อน
อาแลนซ์พูดขึ้นในขณะที่แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้ าด้วยท่าทีแข็งกร้าว
การที่เขาทิ้งมันไว้กับอาแลนซ์ทำให้มูยองสบายใจมากขึ้น
มีอย่างอื่นที่มูยองต้องการตามหาอย่างแท้จริงอยู่
'เอลย่าซีโก้'
อาวุธโบราณ เอลย่าซีโก้!
เพื่อสิ่งนี้…
'ตระกูลเรน'
มูยองหันสายตาหันไปยังทิศทางของตระกูลเรน
เหล่าภูตผีวิญญาณไม่สามารถบุกเข้าไปได้อย่างง่ายดายราวกับมือเท้าของพวกมันถูกมัด
อย่างไรก็ตามหลังจากที่วิญญาณอันดับ 1 ปรากฏตัวสถานการณ์ของเหล่าวิญญาณก็ค่อยๆดีขึ้น
วิญญาณอันดับ 1
วิญญาณทั้งสามประเภทนี้คือวิญญาณอันดับ 1 ในกลุ่มวิญญาณที่มูยองควบคุม
ซ่งหลางสองตัว และซองซันกิสสามตัว กลุ่มทั้งสองเต็มเปี่ ยมไปด้วยพละกำลัง และมีทักษะที่แตกต่างกันไป
จากกลุ่มของจิ้งจอกเก้าหางห้าตัว
กรร!
ส่วนซองซันกิสนั้นเหมือนอุรังอุตังธรรมดาๆ แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันถือว่าคนละเรื่องเลย
ถ้าถูกพวกมันตบจังๆอาคารบางแห่งยังต้องพังทลาย
หากพวกมันแข็งแกร่งขึ้นอีกนิด ภูเขาก็ยังสามารถพลิกกลับได้โดยง่าย
จากระยะไกลมูยองเพียงแค่ดูตระกูลเรนล่มสลายลงอย่างช้าๆ
สำหรับส่วนใหญ่ของผู้ที่ยังมีชีวิตรอด คือผู้ที่กำลังคุกเข่ายอมศิโรราบ
พวกเขาต้องการความเมตตา และยอมพ่ายแพ้ต่อเหล่าวิญญาณ
โดยทั้งหมดในนั้นมีทั้งตระกูลเรน รวมไปถึงตระกูลอื่นๆปะปนกันไป
การที่พวกมันไม่สามารถร่วมใจกันต่อสู้ได้ อนาคตข้างหน้าก็สามารถคาดการณ์ได้ชัดเจน
'หืม?'
ในขณะที่การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป จู่ๆมูยองก็เห็นการหลั่งไหลของพลังงานความมืด
มันมาจากฝั่งตรงข้ามของสถานที่ตั้งของตระกูลเรน
'พลังของใครบางคนกำลังตื่น'
ความรู้สึกนี้คุ้นเคยกับเขา
มีคนกำลังตื่นรู้ขึ้นมา
แม้ว่าระดับความมืดที่รู้สึกได้ในปัจจุบันจะอ่อนแอ แต่ความเข้มข้นของมันถือว่าสูงมาก
ความเข้มข้นของมันสามารถกำหนดอนาคตได้อย่างชัดเจน
มูยองเกิดความสนใจเล็กน้อย
เขากางปี กกว้างแล้วมุ่งหน้าไปยังความมืดนั้น
"...อ๊าก! อ๊าาาา!"
ที่ด้านหน้าดูเหมือนจะเป็ นศพของพ่อแม่เขา
หนึ่งในร่างไร้ชีวิตมีคนหนึ่งที่มูยองจำได้
'นักดาบเฒ่าจินยุน'
อย่างไรก็ตามเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆหลังจากเกษียณเนื่องจากอายุมากแล้ว
ในอดีตเขามีชื่อเสียงในด้านบุคลิกภาพที่ไม่เคยยอมแพ้ และไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งกับเขาได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนว่าบุคลิกภาพดังกล่าวจะปรากฏต่อหน้าเหล่าวิญญาณด้วยเช่นกัน
มูยองสามารถเห็นการต่อต้านอย่างถึงที่สุดจากดาบที่หักและเลือดที่กระจายอยู่รอบๆ วิญญาณหลายสิบตน
ม้วนตลบไปตามพื้นดินหลังจากกลายเป็ นเถ้าถ่าน
และชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะเป็ นบุตรหรือไม่ก็ลูกศิษย์ของเขา
แม้มูยองจะไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับนักดาบเฒ่า ทว่าการที่ชายหนุ่มร้องไห้ขณะถือร่างไร้วิญญาณเอาไว้ก็
สามารถบอกได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน
ขณะนี้ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มมีความมืดมิดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
'การตื่นรู้ประเภทผิดปกติ'
“ ฉันจะฆ่าไอ้พวกเดรัจฉานที่ฆ่าพ่อแม่ของฉันให้หมด!"
กึด!
เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะที่จ้องมองเหล่าวิญญาณ
ชายหนุ่มคว้าดาบหักของชายแก่
จากคำสั่งของมูยอง เหล่าวิญญาณทำตามมันอย่างเคร่งครัด
ชายหนุ่มไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น
เหล่าวิญญาณพุ่งไปสังหารชายหนุ่มตามคำสั่งของมูยอง
พวกมันเป็ นวิญญาณที่มีมือเหมือนหนวดยั๊วะเยี๊ยะ
และวิญญาณที่อยู่ในรูปแบบของหัวกะโหลกขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม
พลังงานมืดที่อยู่ในดาบของชายหนุ่มนั้นสามารถสกัดการโจมตีของวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ได้
ชายหนุ่มตวัดดาบไปมาราวกับถูกบางสิ่งครอบงำ
และในขณะที่เขาทำเช่นนั้น พลังงานชีวิตของเขาก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว
เวลาที่เขาฆ่าวิญญาณทั้งหมดสำเร็จ คงเป็ นเวลาที่เขาใช้พลังงานของตัวเองจนหมดเช่นกัน
'น่าเสียดายที่จะปล่อยให้เขาตาย'
มูยองมองเห็นศักยภาพในตัวชายหนุ่ม
เขาไม่เคยเห็นพรสวรรค์เช่นนี้ในอดีต อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของชายหนุ่มมาก่อน
อย่างไรก็ตาม
หากเขาสามารถเบ่งบานผ่านพลังงานความมืดมิด ด้วยความผิดปกติของการตื่นรู้
คุณอาจพูดได้ว่าความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดา
แน่นอนว่ามันดูน่าเสียดายที่เขาจะต้องตายในตอนนี้
ตุบ!
มูยองร่อนลงบนพื้น
ทันใดนั้นทิศทางดาบของชายหนุ่มก็หันไปหามูยองทันที
แม้ว่าดวงตาจะมืดบอดด้วยความแค้น
แต่ดูเหมือนเขาจะรู้โดยสัญชาตญาณว่ามูยองเป็ นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้
เคล้ง! เคล้ง!
อย่างไรก็ตามความสามารถของเขานั้นน่าอายเกินกว่าที่จะเทียบกับมูยองได้
มูยองหยุดการโจมตีของเขาอย่างใจเย็น และตอบโต้กลับไป
ฉึก!
ความโกรธเกรี้ ยวแทงไปด้านข้างและแทงทะลุกล้ามเนื้อส่วนขา
จากนั้นคำสาปอันทรงพลังก็แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของชายหนุ่ม
ความโกรธเกรี้ ยวมีอำนาจของการเสื่อมถอย และการสาปแช่ง
และพลังนั้นทรงอำนาจมากกว่าความมืดมิดที่ชายหนุ่มครอบครอง
ด้วยการใช้พลังแห่งการเสื่อมถอยและคำสาป มูยองผนึกพลังความมืดไว้ที่หัวใจของเขา
มันเป็ นผนึกชั่วคราวเท่านั้น
มูยองไม่ได้กำจัดพลังความมืดทิ้งไป
เนื่องจากพลังแห่งความมืดดังกล่าวสามารถกลายเป็ นกำลังของเขาได้
หัวใจของชายหนุ่มเต้นราวกับกำลังจะระเบิด แต่เขากลับยังมีสติ
“อ๊าก!”
“ แกอ่อนแอ ทั้งภายในและภายนอกพวกมันอ่อนแอเกินไป”
“ ฉัน…ฉันไม่ได้อ่อนแอ!”
“ ถ้าแกไม่อ่อนแอทำไมถึงปกป้ องพวกเขาไม่ได้ล่ะ?”
ชายหนุ่มลุกขึ้นอีกครั้ง
เขาฟาดดาบไปที่มูยองอย่างไร้การควบคุม
โครม!
อย่างไรก็ตาม มูยองไม่ยินยอมรับความโกรธเคืองของชายหนุ่ม
มูยองเตะเข้าไปที่หน้าอกจนชายหนุ่มล้มกลิ้ง
ดวงตาของเขาพลิกกลับ
เขาร้องไห้จนน้ำตากลายเป็ นสายเลือด
มันเป็ นปรากฏการณ์สำหรับคนที่มีความตึงเครียดทางจิตใจจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้
มูยองเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม และสัมผัสหัวใจของเขา
หลังจากนั้น เขาก็ประสานพลังและพูดขึ้น
มูยองให้เป้ าหมายกับเขา
แม้ว่าเขาจะประสานพลังให้ แต่หากชายหนุ่มไม่มีความตั้งใจที่จะมีชีวิตรอดเขาก็จะตายอยู่ดี
ชายหนุ่มเงยหน้าที่แทบยกไม่ไหวขึ้น
จากนั้นมองไปที่มูยอง
ชายหนุ่มชื่อจินจากึน
เขาพูดชื่อของเขาและประกาศว่าจะฆ่ามูยอง
มูยองก็แนะนำตัวเองด้วย
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้น
พรึ่ บ!
เมื่อมูยองทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วก็กางปี กอีกครั้ง
และมุ่งหน้าไปยังตระกูลเรน
ภาพด้านล่าง...จินจากึนยังคงวิ่งไลล่ตามมูยองต่อไปแม้ร่างกายของเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด
***
'บางทีเทพปี ศาจอาจอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้'
'อย่างไรก็ตามมังกรกระดูกทั้งเจ็ดที่บินอยู่บนฟ้ าดูเหมือนจะคุ้นเคยกันดี'
'บางที…'
ความคิดเห็นถูกแบ่งแยกออก แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ใดๆที่จะมานั่งพูดคุยกันมากนัก
“กาซซ!”
วิญญาณเคลื่อนที่ไปยังตระกูลเรนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวิญญาณหลายหมื่นตนบุกเข้ามาในครั้งเดียว ตระกูลเรนไม่สามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม เหล่าวิญญาณไม่สามารถช่วยได้แต่สั่นไหวไปมา
มันเป็ นเพราะขุนพลแห่งตระกูลเรน เรนซองผู้ที่มีดาบคู่ใจอย่าง 'ดาบฮวังอี'
"เข้ามา! ไอ้พวกสัตว์ประหลาดน่าขยะแขยง!”
เมื่อใดก็ตามที่ดาบฮวังอีเผยประกายแสง เหล่าวิญญาณก็ต้องสูญเสียศีรษะของพวกมันไป
เขาแข็งแกร่ง วิญญาณส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงเขาได้
“อ่า! ท่านขุนผลกำลังสร้างทางหนีให้พวกเรา!”
“ ตามเขาไป!”
คนที่ยังรอดต่างติดตามเรนซองไปในขณะที่จับอาวุธของตัวเองแน่น
เรนซองผลักดันจนมอนสเตอร์ล่าถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง และเริ่มยึดพื้นที่ของตระกูลคืน
“ สังหารมอนสเตอร์!”
“ ดันพวกมันออกไป !!”
ทันใดนั้นจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลุกโชน
ผู้ที่กระจัดกระจายเริ่มรวมตัวกันและภาพก็เริ่มเปลี่ยนไป
ตอนนี้พวกเขาเห็นแสงแห่งความหวัง
ความหวังที่ว่าพวกเขาจะกำจัดมอนสเตอร์เช่นนี้ได้!
กรรร!
ตอนนั้นเองที่ซ่งหลางปรากฏตัวขึ้น
หมาป่ าสีน้ำเงินตัวโต
"สารเลว!"
เรนซองใช้ดาบฮวังอี
แน่นอนว่าดาบของเขาสามารถสร้างความเสียหายผิวหนังของซ่งหลางได้ซึ่งแตกต่างจากคนอื่น
โฮก!
ช่งหลางส่งเสียงดังลั่น
แต่มันก็สู้ไม่ถอย มันเริ่มตระหนักถึงเรนซองและพุ่งเข้าจู่โจมเขา
ช่งหลางถูกผลักกลับอย่างช้าๆแต่ทว่าไม่ใช่โดยง่าย
โฮก!
“อ๊าก! ระยำ!”
ไหล่ของเรนซองฉีกขาด
เรนซองสูญเสียไหล่ซ้าย
“ พวกเราไปช่วยท่านขุนพล!”
ชายผู้ที่ยังมีกำลังใจแข็งแกร่งเข้าร่วม
พวกเขาล้วนเป็ นเหล่าหัวกะทิ หากร่วมมือกันซ่งหลางตัวสองตัวก็ยังสามารถรับมือได้อยู่
อย่างไรก็ตาม
ตุ่บ! ตุ่บ!
พวกเขาเริ่มคุกเข่าทีละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ
จู่ๆพวกเขาก็สูญเสียพละกำลังและดวงตาเต็มไปด้วยความเลื่อนลอย ในขณะที่ตัวตนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
สาวสวยห้าคนที่ดูเหมือนนางฟ้ า กลิ่นแปลกๆที่มาจากพวกเธอดูดพละกำลังทั้งหมดออกไปจากร่างกายของ
พวกเขา
เรนซองรู้จักมูยอง
'บันยะ'
ผู้สืบทอดอย่างถูกต้องของตระกูลที่พึ่งกลับมา
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เห็น เขากลับไม่รู้สึกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือบันยะ
ภาพลักษณ์นั้นไม่ใช่ของมนุษย์ด้วยซ้ำ
และผู้ที่สร้างสถานการณ์ทั้งหมดนี้ ...
“ นรกเถอะ....แกเป็ นราชาแห่งขุมนรกจริงๆเหรอเนี้ย?”
มูยองไม่แม้แต่จะชายตามองเขาและเดินผ่านไป
มูยองตามหาสถานซึ่งผู้นำตระกูลควรอยู่
เขาวางแผนที่จะใช้ผู้นำตระกูลเป็ นตัวประกันเพื่อค้นหาว่าเอลย่าซีโก้ถูกผนึกอยู่ที่ไหน
โฮก!
หลังจากมูยองเดินผ่านไป พวกซ่งหลางก็เริ่มสังหารหมู่อีกครั้ง
เรนซองทำได้เพียงแค่พริ้มตาหลับลง
หัวหน้าตระกูลเรนเป็ นชายชราคนหนึ่ง
ใบหน้าของเขาปรากฎริ้วรอยมากมาย จนคุณต้องสงสัยว่าคนผู้นี้ยังหลงเหลือความแข็งแกร่งอยู่อีกหรือไม่
นอกจากนั้นผิวหนังของเขายังบางเสียจนเห็นเส้นเลือดนูนโป่ งได้ชัดเจน
“ แกคือสาเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดนี่?”
ชายชราถาม
สวูม!
“ แกทำแบบนี้ต้องการอะไร? ”
“ทุกๆอย่าง"
จิจิ! ชายชราเดาะลิ้นด้วยท่าทางขบขัน
“ แกจะไม่ได้อะไรไปจากโนเบิลคาสเซิล เพราะแกจะต้องตายที่นี่”
ชายชราพูดอย่างมั่นใจ
จากนั้นระหว่างช่องว่างของแต่ละเสาจู่ๆก็ปรากฏเงาลึกลับขึ้น
หลายสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าทำได้ล้วนถูกกระทำโดยคนเหล่านี้
ชายชรารู้สึกผ่อนคลายสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น
แสยะ!
อย่างไรก็ตามมีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของมูยอง
จากนั้นเขาขนาดใหญ่ก็งอกขึ้นจากกลางหน้าผากของเขา ในขณะที่ชายชรากำลังจะกระพริบตา
โลกของมูยองก็เริ่มชะลอตัวลง
ก่อนที่สาวกทั้งสิบแปดคนจะสามารถยกอาวุธของพวกมันเพื่อตอบสนอง
มูยองก็เคลื่อนไหวแล้ว แค่ทักษะก็นับว่าต่างกันมากมาย
ฉัวะ!
อันดับแรกมูยองแทงดาบไปที่สาวกซึ่งอยู่ทางด้านขวา ก่อนที่จะดึงดาบโดยที่ไม่ทำให้เลือดสักหยดกระเซ็น
ออกมา มันปราศจากเสียงกรีดร้องใดๆทั้งสิ้น
ชู่ววววว!
ทั้งสิบแปดชีวิตถูกสังหารตกตายลงไปโดยแทบจะพร้อมเพรียงกัน และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในการกระพริบตา
ครั้งเดียวของชายชรา
“ …นั่นมัน?”
ชายชราเผลอก้าวถอยหลัง
แค่คนระดับของสาวกทั้งสิบแปดพวกมันเป็ นได้เพียงเหยื่อของมูยองเท่านั้น
ชายชราไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้ มันไม่เคยสูญเสียอะไรง่ายดายเช่นนี้มาก่อน
มันมีนิสัยที่หยิ่งยโสและไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา
เนื่องจากโนเบิสคาสเซิลคือป้ อมปราการที่ไม่เคยถูกสั่นคลอนมาก่อน
มันจึงคิดว่ามูยองคงไม่ต่างจากศัตรูในอดีตที่ผ่านมา
และนี่จึงเป็ นความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของมัน
ถ้ามันฉลาดจริงๆคงไม่คิดง่ายๆแบบนี้
แต่แน่นอนว่าถึงมันจะฉลาดขึ้น
ผลลัพธ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับศัตรูอย่างมูยองอยู่ดี
คุณสามารถพูดได้อย่างไม่อายว่ามูยองเป็ นศัตรูที่แข็งแกร่งและเลวร้ายที่สุดในชีวิต
ไม่เพียงแค่โนเบิลคาสเซิล
แต่ทุกตระกูลและเมืองต่างๆก็ไม่อาจหลีกหนีการถูกปฎิบัติด้วยความเย็นชาและเด็ดขาดเช่นนี้
มูยองเป็ นผู้ที่สามารถทำลายรากฐานของพวกมันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วที่สุด
ยิ่งตอนนี้เขามีกองทัพให้การสนับสนุนอยู่ด้วย
โนเบิลคาสเซิลโชคไม่ดีเองที่มูยองเลือกโจมตีเป็ นแห่งแรก
"ก็แค่ยอมรับมัน" มูยองพูดต่อ
“ ว่าแกแพ้ ส่วนคนที่ชนะคือฉัน”
สวูม!
ความโกรธเกรี้ ยวกรีดเสียงร้องก่อนที่ผู้ครองโนเบิลคาสเซิลจะถูกลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
***
มูยองเงยหน้าขึ้นมองดูประตูขนาดใหญ่ที่ผนึกเอลยาซีโก้
'มันเปิ ดไม่ออก'
'คงใช้วืธีปกติไม่ได้สินะ'
มูยองลูบคางพลางครุ่นคิดในขณะที่หันไปดูศพของหัวหน้าตระกูลเรน
ดังนั้นมูยองจึงสามารถไปถึงตราผนึกดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย
'ลูซิเฟอร์'
มูยองปลุกลูซิเฟอร์ขึ้นมา หลังจากตรวจจับบางสิ่งได้จากอีกฝากหนึ่งของประตูมันก็พูดขึ้น
- ข้ารู้สึกได้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวง เจ้าวางแผนที่จะปลุกสิ่งนั้นหรือ?
'นายไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอ?'
ด้วยเหตุผลบางอย่างลูซิเฟอร์พูดมากกว่าปกติ
นั่นหมายความว่าเขาสนใจตราผนึกและเอลย่าซีโก้เหมือนกัน
- มันไม่ใช่เทพปี ศาจของเลเมเกทัล
อืม…ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก ข้ารู้สึกทั้งคุ้นเคยและแตกต่างจากมัน
อย่างไรก็ตาม ดันดาเลี่ยนเคยพูดราวกับว่ามันรู้จักที่นี่
แน่นอนว่ามันไม่ได้บอกมูยอง
มูยองวางแผนที่จะค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
'ช่วยฉันลบตราผนึก'
ไม่ว่าจะเป็ นแบบไหน
เขาก็ต้องเปิ ดประตูผนึกเพื่อยืนยันสิ่งเหล่านี้
มูยองขอความช่วยเหลือจากลูซิเฟอร์
ลูซิเฟอร์ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับมูยอง
และนั่นคือสาเหตุที่เขาควรรู้ว่าอะไรที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตู
ถ้าลูซิเฟอร์ยังไม่รู้พลังที่อยู่อีกด้านหนึ่งของประตูนั้นคงผิดปกติอย่างแท้จริง
ในไม่ช้าความมืดจำนวนมากก็เกิดขึ้นบนมือทั้งสองของมูยอง
ซีสสสส!
ตูมมมม !
พอประตูบานใหญ่ถูกเปิ ด
มูยองก็รีบเข้าไปด้านในทันที
และเมื่อเข้าไปถึงก็เห็นห้องขนาดใหญ่ซึ่งทอดยาวไปอย่างยาวไกล
ภายในนั้นปรากฎอาวุธรูปทรงแปลกประหลาดคล้ายแมงมุมเรียงอยู่เป็ นแถบๆ
'อาวุธโบราณเอลย่าซีโก้'
อาวุธรูปร่างเหมือนแมงมุมนั่นก็คือเอลย่าซีโก้
อย่างไรก็ตามดูเหมือนเอลย่าซีโก้ทั้งหมดไม่ได้เคลื่อนไหวเป็ นเวลานาน
พวกมันทั้งหมดอยู่ในสถานะที่หลับใหล แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง
'ทั้งหมดมีหกส่วน'
เอลย่าซีโก้จะเปิ ดใช้งานได้เมื่อผู้ใช้งานตระหนักถึงบางอย่างเท่านั้น
มูยองขยับและวางมือบนหินอ่อนที่อยู่ในแต่ละมุมของห้อง
เมื่อถูกมือของเขาประทับลงไป
เส้นแสงก็ถูกวาดขึ้นรอบๆห้องจนดูกลายเป็ นสะพานแห่งแสง
ทั้งหมดหกเส้น
หลังจากรูปทรงหกเหลี่ยมถูกวาด
ห้องก็เต็มไปด้วยแสงสว่าง
มันดูเหมือนเป็ นภาษาทั้งหมดของทุกสิ่งอย่างแท้จริง
มีทั้งภาษาที่พูดกันบนโลกและในอันเดอร์เวิล์ด รวมไปถึงบางภาษาที่มูยองไม่รู้จัก
ในหมู่พวกมัน มูยองพยายามอ่านคำที่เขาสามารถเข้าใจได้
<ตั้งค่าสายพันธุ์ที่คุณต้องการทำลายล้าง>
<ผู้ใช้ได้รับอนุญาตให้สามารถตรวจสอบการตั้งค่าของแต่ละสายพันธุ์ในอดีต>
อาวุธทำลายล้างเผาพันธุ์ ? มูยองกลืนน้ำลายลงคอ
เขาไม่เข้าใจความหมายคำว่าค่าของสายพันธุ์
ดังนั้นมูยองจึงวางมือบนหินอ่อนอีกครั้งเพื่อตรวจสอบการตั้งค่าของสายพันธุ์ที่มันหมายถึง
จากนั้นโลกรอบตัวเขาก็เคลื่อนไหว
อากาศเบื้องหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลง
ฉากเหตุการณ์ในระบบผุดออกมาทีละอันจากหลักสิบเป็ นหลักร้อย
แม้ว่าทุกฉากจะต่างกันออกไปแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน
ทุกแห่งกลายเป็ น 'สมรภูมิรบ'
พวกมันทั้งหมดเป็ นภาพของแต่ละเผ่าพันธุ์ที่กำลังถูกทำลายล้างโดยเอลย่าซีโก้
มูยองเลือกฉากของโลกทันที
จากนั้นฉากดังกล่าวก็ขยายและปรากฏเป็ นสนามรบขนาดใหญ่
ระเบิดรุนแรงแตกตัวออก อาวุธนิวเคลียร์พุ่งตกลงมา
สถานที่ของโลกต้องเปลี่ยนแปลงไปจากแผนที่
และมีผู้คนหลายแสนคนถูกสังหาร
อย่างไรก็ตาม
ไม่มีอาวุธทันสมัยใดๆสามารถต่อต้านเอลย่าซีโก้ได้
บาเรียของเอลย่าซีโก้สกัดกั้นอาวุธของโลกยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
เอลย่าซีโก้ทำลายโลกและมนุษยชาติอย่างไร้ความปราณี
แม้ว่าภาพที่เห็นจะเป็ นเพียงข้อมูล
แต่คุณก็ไม่สามารถพูดได้ว่าความชัดเจนดังกล่าวเป็ นเรื่องหลอกลวง
'สิ่งที่ดันดาเลี่ยนบอกเป็ นเรื่องจริงเหรอ?'
เอลย่าซีโก้นั้นทำลายโลก
เขาไม่สามารถเชื่อมันได้
เขาไม่เชื่อมันแน่นอน
มันเป็ นอวตารแห่งการโกหก
มูยองคิดว่านี่เป็ นเรื่องโกหกโดยการใช้เลห์กลบางอย่างของดันดาเลี่ยน
ที่มูยองไม่เชื่อก็เพราะว่ามีคนเข้ามาใหม่ในอันเดอร์เวิลด์ทุกเดือนแม้แต่ตอนนี้
ถ้าโลกถูกทำลายจริงๆพวกเขาเป็ นใคร?
'เขาเป็ นใคร?'
- ฮ่า ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อเลย
ลูซิเฟอร์ตอบสนองหลังจากที่ได้เห็นชายคนนั้น
- เขาคือ โซโลมอน
เป็ นชื่อที่ไม่เคยคาดคิดดังขึ้นมา
มูยองสงสัยอยู่ครู่หนึ่งว่าหูฝาดไปหรือไม่ แต่เขาก็รู้ว่านั่นถูกต้องแล้ว
'ถ้าโลกถูกทำลายไปมากขนาดนั้นผู้คนมาที่นี่ได้ยังไง แล้วพวกเขาจำอะไรเกี่ยวกับสงครามไม่ได้เลยเหรอ?
ลูซิเฟอร์ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก ดูเหมือนเขาจะรู้อะไรมากกว่านั้นแต่ไม่อยากพูดถึงมัน
หนังสือเล่มนั้นคือเลเมเกทัล หนังสือที่ตอนนี้น่าจะอยู่กับบาอัลปรากฏบนมือของซาโลมอนในฉากเกิดเหตุ
[เวลาจงหยุด]
สิ้นเสียงของโซโลมอนเวลาทั้งหมดก็ถูกทำให้หยุดนิ่ง และในพื้นที่ที่ถูกโซโลมอนทำลายล้างอยู่โลกอีกใบก็
เปิ ดเผยออกมา
มันคือ อันเดอร์เวิล์ด
<ค่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์คือ '1'>
เครื่องมือทรงพลังที่สามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์ตามค่าที่กำหนดไว้ มูยองอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ด้วย
ความสับสน
'เมอร์ลินต้องรู้รายละเอียดมากกว่านี้แน่'
มูยองส่ายหัว
หากโซโลมอนอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ ...
'ฉันก็แค่ต้องกำจัดเขาซะ'
หากเขาปรากฏตัวในฐานะศัตรู มูยองก็ตัดสินใจที่จะกำจัดเขาเช่นกัน
จากนั้นมูยองก็ตัดสินใจแน่วแน่และพูดขึ้น
“ ตั้งค่าทำลายเผ่าพันธุ์ไปที่เลขหนึ่ง”
<ผู้ใช้ตั้งค่าเผ่าพันธุ์เป็ น '1'>
***
แต่ละตัวมีพลังการต่อสู้สูงมากแม้จะเทียบกับพวกระดับสูงอยู่แล้วก็ตาม หากคุณปล่อยพวกมันทั้งหมดรวด
เดียว เมืองสองสามเมืองสามารถหายไปได้ในทันที
"ไปได้"
จากจำนวน 1,000 ตัว มูยองส่งครึ่ งหนึ่งไปยังเมืองเกรทซิตี้ 300 ตัวถูกส่งไปที่มูราลัน และอีก 200 ตัวที่เหลือ
ไปยังเมืองขนาดกลางต่างๆ
'เฉพาะความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้นถึงจะสู้กับเอลย่าซีโก้ได้'
ขณะนี้ มูยองพิชิตโนเบิลคาสเซิลเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเขาได้รับทุกสิ่งที่ต้องการก็ไม่จำเป็ นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป
ทุกอย่างคืบคลานไปอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามบรรยากาศเหี้ยมโหดที่แผ่ออกมาดูอันตรายอย่างหาที่เปรียบมิได้
***
“หืมม”
"กรุณาตามผมมา โฮรานกำลังรอคุณอยู่”
ชายหัวล้านอันมีร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามผู้ที่ถูกเรียกว่าราชานักสู้เดินตามเข้าไปยังอาคารสูง 12 ชั้นซึ่ง
ตกแต่งได้อย่างประณีตสวยงาม แต่เขาก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่แผ่ซ่านอยู่ในชั้นอาคาร มันทำให้
เขารู้สึกเหมือนกำลังจะหมดสติ
ผู้หญิงหลายคนในนั้นที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นและบางเบา กำลังชูไม้ชูมือหลอกล่อราชานักสู้ด้วยข้อมือและแขน
อันเรียวเล็กของพวกเธอ ไม่มีคนไหนเลยที่ดูขี้เหร่ พวกเธอล้วนมีโครงหน้าสวยงามแตกต่างไปคนละแบบ
“ ที่นี่แหละครับ”
ชายที่นำทางราชานักสู้มาแสดงความอิจฉาเล็กน้อย
ด้วยเหตุนี้ชายที่นำทางจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม
“เปิ ดประตูให้เขาเข้ามา”
ปัง!
เธอคือฮอแรน เจ้าของสถานที่แห่งนี้
วีรสตรีที่สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาจากผืนดินโดยผสมผสานความงามแบบตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน
ไม่มีใครแถวนี้ไม่รู้จักเธอ
นอกจากนี้ฐานะที่ซ่อนอยู่ของเธอยังเป็ นหัวหน้าของตระกูลเฮฟเวนเมด
แม้ว่าจะไม่ใช่หนึ่งในตระกูลทั้งห้า แต่ตระกูลเฮฟเวนเมดก็มีพลังยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใคร
“ ไม่ทราบว่าคุณราชานักสู้มาทำธุระอะไรแถวนี่เหรอ?”
“ ถ้านายหมายถึงสปาร์คเคิล…”
ราชานักสู้ขัดจังหวะเธอ
จากนั้นสาวสวยอย่างฮอแรนก็ขมวดคิ้ว
“ จริงอยู่ที่พรสวรรค์ของสปาร์คเคิลน่าทึ่ง แต่ไม่ใช่ว่านายจะประเมินพวกเราต่ำมากไปหน่อยไหม?"
“ ฉันไม่ได้ดูถูกเธอ ฉันแค่รู้ว่าพรสวรรค์ลูกศิษย์ของตัวเองสูงมากแค่ไหน”
“ เวลานี้เหรอ เธอน่าจะดื่มอยู่…”
“ เธอคงไม่ได้กำลังรินเหล้าให้ผู้ชายอยู่ใช่ไหม?”
อย่างไรก็ตาม ฮอแรนส่ายหัวปติเสธและพูด
“ เปล่าหรอก เธอคงรินให้ตัวเองดื่มเองอยู่”
***
ภายในห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยขวดเซรามิกบรรจุเหล้า หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นพูดอยู่คนเดียว
ขณะที่ยกเหล้าดื่มหมดแก้วพร้อมกับเครื่องเคียง
เธอเมาแล้ว
จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ
เธอพูดลิ้นพันกันไปมา ท่ามกลางขวดเหล้าเปล่าหลายขวดมรากลิ้งอยู่ข้างๆ
จากนั้นเธอดูภาพที่ถูกวาดเมื่อตอนเด็ก
"พ่อ…"
ซูจีรู้ว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอข้ามเส้นทางที่เขาไม่สามารถกลับมาได้แล้ว
ไหล่ของซูจีห้อยลง
“ แล้วหนูก็อยากเจอพี่มูยองด้วย ”
“ เอ่อ อาจารย์”
“ ดูเหมือนพวกนี้จะไม่ได้สอนแค่ทักษะการต่อสู้ให้เธอนะ”
“ เหล้าคือเพื่อนที่ดีที่สุดของชีวิต”
ชายหัวล้านฉวยแก้วเหล้าออกจากตัวเธออย่างแรง
“ หนูโตแล้วนะ” เธอทำหน้าเศร้า
“ หนูว่าคิดตอนนี้ตัวเองเก่งพอๆกับคุณแล้วอาจารย์”
“ อย่าลำพองใจไป เธอยังอยู่ไกลจากฉันมาก”
“ ถ้างั้นเรามาประลองกันหน่อยไหม?”
“ ก่อนอื่น เรามา…”
ตูมมมม !
ขณะนั้นเอง
เกิดเสียงระเบิดขนาดใหญ่
เมื่อทั้งสองพยายามฟังก็พบเสียงความปั่นป่ วนด้านนอก
"นั่นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?"
“ มีคนบอกว่ากำแพงพังแล้ว!”
"หา!กำแพงพัง? มีศัตรูบุกรุกเหรอ?”
ตึง! เคล้ง!
ซูจีเงยหน้า
“ ถ้างั้นเรามาแข่งกันทำลายสิ่งนั้นเอามั้ย?”
“ฮึ”
ราชานักสู้พยักหน้าและออกจากห้องเก็บของทันที
จากนั้นซูจีก็ตามออกไปโดยไม่ลืมหยิบเหล้าติดมือไปด้วย
พร้อมกับเสียงของโลหะถูกขีดข่วน, เหล่าแมงมุมพ่นใยของพวกมันออกมา
ฟู่ วววว!
ทุกสิ่งที่สัมผัสกับเส้นใยต่างถูกหลอมละลาย และนอกจากนั้นพวกมันยังสามารถยิงลำแสงแห่งเปลวเพลิงที่
สามารถเผาทำลายทุกอย่างได้ทันที
“ ไอ้มอนสเตอร์บ้าพวกนี้โผล่มาจากไหน?”
“ ทหารรักษาการณ์อยู่ไหนกันหมด? ทำไมปล่อยให้พวกมันเข้ามาได้?!"
แมงมุมประหลาดที่จู่ๆก็ทำลายกำแพงเมืองและปี นเข้ามาโจมตีผู้คน
"เวรเอ้ย!"
“ หนีเร็ว!”
“ ทีมจู่โจมระยะไกล เดินหน้า!”
"เดินหน้า!"
กลุ่มที่เคลื่อนไหวได้เร็วที่สุดคือสมาชิกของกิลด์จรัสแสง
หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ออกมารับมือกับความโกลาหลด้วยแจ็คเก็ตสีน้ำเงินที่
สลักสัญลักษณ์แห่งแสง ทีมจู่โจมระยะไกลจำนวน 300คนยืนตั้งแถวเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีอย่างเป็ น
ระเบียบ
“ ดาวรุ่งอย่างคิมแทฮวานก็มาด้วย!”
หัวหน้ากิลด์จรัสแสงบาฮามุดห์ตะโกนขึ้นขณะที่ดึงดาบใหญ่ออกจากด้านหลัง
สมาชิกกิลด์อีก 500คนที่ถืออาวุธระยะประชิดพุ่งตัวเข้าสู่สมรภูมิอย่างรวดเร็ว
“ ช่วยฉันด้วย…!”
และขณะที่แมงมุมกำลังจะฉีกร่างของหญิงสาว ชายคนหนึ่งก็ปรากฏ
ปัง!
ชายคนนั้นพุ่งเข้าชนแมงมุมพร้อมกับเสียงดังสนั่น
เนื่องจากปะทะกับโล่สีเงินขนาดใหญ่รางของแมงมุมจึงปลิวไปไกล
"คุณเป็ นไงบ้าง?
“ ขะ ขอบคุณค่ะ…”
ชายคนนั้นเรียกแทฮวานให้ดูมอนสเตอร์แมงมุมอีกครั้ง
'ทักษะคุ้มกัน'
แทฮวานสังเกตการเคลื่อนไหวของแมงมุม
'ทำไมมีแต่พลังของฉันที่ได้ผลกับพวกมัน'
แทฮวานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
แทฮวานมองไปที่สนามรบ
ไม่ใช่ว่าพลังของพวกเขาไม่ได้ผลกับพวกมันเลย
แม้ว่ามันจะไม่มากนัก แต่ประเภททักษะที่เพิ่มพลังขึ้นโดยธรรมชาติก็ส่งผลกระทบต่อพวกมัน!
“ ทุกคนฟัง ปลดอาวุธเวททั้งหมดทิ้งไปซะ!”
“ หัวหน้าคุณหมายความว่ายังไง?”
ปลดอาวุธของพวกเขา? ทั้งทีมช่วยไม่ได้ที่จะสับสน
แทฮวานตะเบ็งเสียงจนทุกคนได้ยินชัดอีกครั้ง
“ หากไม่ใช่พลังโดยตรงจากตัวเอง จะโจมตีพวกมันไม่เข้า!”
กีซซ-!
แมงมุมที่ถูกทำให้ถอยไปก่อนหน้ากลับมาโจมตีแทฮวานอย่างรวดเร็ว
ตูม!!
ทว่าในพริบตาแมงมุมเหล่าก็ต้องแตกกระเจิง
'นั่นใคร?'
แทฮวานขมวดคิ้ว
สองนักสู้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นเริ่มโจมตีเหล่าแมงมุมจนหมุนปลิวไปรอบๆ และพวกเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มหมาป่ า
เป็ นผู้หญิงหนึ่ง และผู้ชายที่มีรูปร่างใหญ่โตหนึ่ง พวกเขาสวมหน้ากากทั้งคู่!
ดูเหมือนพวกเขาจะรับมือกับมอนสเตอร์แมงมุมได้เป็ นอย่างดี ร่างของแมงมุมฉีกขาดปลิวกระจายออกเป็ น
ชิ้นๆคล้ายกับถูกพายุพัดโหม
ในขณะการต่อสู้ผู้หญิงสวมหน้ากากก็หันมองไปที่แทฮวาน
เมื่อสายตาของพวกเขาพบกัน ผู้หญิงคนนั้นก็ก้มศีรษะลงก่อนจะกระทืบพื้นส่งตัวเองบินหายขึ้นไปในอากาศ
"เธอเป็ นใคร?"
“ จอมยุทธ์สวมหน้ากาก?”
“ อย่าละสายตา!”
กีซๆๆ!
ยังมีแมงมุมอีกมากมาย
***
ซูจีกัดริมฝี ปาก
'พี่แทฮวาน...'
ราชานักสู้หัวเราะขณะที่เด็ดขาแมงมุมทิ้ง
ซูจีหยิบเหล้าที่พกออกมา เธอยิ้มขณะรินเหล้าออกจากขวดเซรามิก
“ ถ้าอย่างนั้นหนูจะเริ่มละนะ?”
คว้าง!
อากาศผุดขึ้น
อากาศใกล้ๆซูซี่ขยายออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นขณะที่ซูจีเหยียบเท้าพื้นดินด้านล่างก็ทรุดตัวลง
ตูมมมม !
มันเป็ นหลักวิชาของทักษะค้อนหมื่นชั่ง
ซูจีหายตัวไปทั้งอย่างนั้น ก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้งเหนือศัตรู
“ อืม ผสมทักษะได้พิลึกพิลั่นจริงๆ ”
ราชานักสู้เดาะลิ้นของเขาขณะที่ดูเธอ
เธอยังแสดงทักษะที่ผสมเทคนิคระหว่างประตูเร้นรับกับหลักการเคลื่อนไหวของทักษะบางอย่าง แม้กระทั่ง
ราชานักสู้ก็ไม่สามารถตามความเร็วนี้ได้ อย่างน้อยในแง่ของความเร็วเธออยู่ใน 10 อันดับแรกของมนุษยชาติ
แน่นอน
ซูจีเหมือนปลาในหนองน้ำ
เธอไล่ตามคะแนนของราชานักสู้ไปทันทีขนาดเริ่มต้นเกมที่ 8 : 0
“ ฉันไม่ควรทำเป็ นเล่นอีกต่อไป”
ราชานักสู้ยิ้ม
ราชานักสู้ใส่ทุกอย่างไม่ยั้ง
แกรกๆๆ!
ซีสสส!
ความคิดเช่นนั้นมีอยู่จนกระทั่งมีแมงมุมอีกจำนวนมากไต่กำแพงขึ้นลงมา
“ มะ มันมีกี่ตัวกันแน่?”
“ กำแพงพังไปกี่ส่วนแล้ว!”
"อ๊า...!"
ฉากด้านหลังของกำแพงที่เผยออกมาสู่สายตาน่าตกใจอย่างช่วยไม่ได้ และคาดไม่ถึง
แมงมุมยักษ์หลายตัวกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
***
มูยองมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างยินดี และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพวกเขา
'เกรทซิตี้เปลี่ยนไปหลังจากเผชิญหน้ากับการทดสอบของปี ศาจนภา'
นี่เป็ นประโยชน์อย่างแท้จริงของการทดสอบ
นี่คือความหวังของมนุษยชาติ
'ทำไมพวกเขาทำสิ่งนี้ไม่ได้ในอดีต'
อดีตก่อนที่มูยองจะย้อนกลับมา
มนุษยชาตินั้นอ่อนแอ ใครจะสงสัยว่าพวกเขาอ่อนแอได้ยังไง
มูยองไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้มากมายเลย
เขาไม่เคยคาดหวังว่าเหล่าผู้คนจะเปลี่ยนแปลงมากนักภายในเวลาแค่สองปี
ดังนั้นมูยองจึงรู้สึกตื่นพอใจเล็กน้อย
'ฉันจะกลายเป็ นศัตรูกับทุกคน'
“ มีบางคนกำลังเคลื่อนที่มาที่นี่ด้วยความเร็วสูง”
“ พวกเราจะไปกำจัดมันผู้นั้น”
จากนั้นจิ้งจอกเก้าหางห้าตัวที่ช่วยสนับสนุนมูยองก็เริ่มเคลื่อนไหว
มูยองก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างเข้ามาใกล้เขาเหมือนกัน
อย่างน้อยในแง่ของเทคนิคการเคลื่อนไหวเร็วก็ถือว่ายอดเยี่ยม มีคนกำจัดมอนสเตอร์ทุกตัวในเส้นทางและ
กำลังมุ่งหน้ามายังที่ที่มูยองอยู่ บางทีอาจมีบางคนตระหนักได้ว่ามีผู้ควบคุมเอลย่าซีโก้
จิ้งจอกเก้าหางสบัดร่างของพวกเธอก่อนที่จะหายไปโดยใช้ทักษะเช่นสึกุจิ อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้สนใจ
พวกมันมากนัก ตอนนี้เขามุ่งความสนใจไปที่เกรทซิตี้อย่างเดียว
มีเหตุผลที่เขาหยุดอยู่ใกล้กับเกรทซิตี้ และตอนนี้เขากำลังใช้ลูกปัดจิ้งจอกลูกหนึ่งมองภาพสถานการณ์ในเกรท
ซิตี้แบบเรียลไทม์อยู่
กรร!
จู่ๆซ่งหลางสองตัวก็แยกเขี้ยวฟันของพวกมัน
ดูเหมือนจิ้งจอกเก้าหางไม่สามารถหยุดบุคคลนั้นได้
มีตัวตนหนึ่งกำลังปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ
ในขณะที่เขาหันศีรษะไปก็พบกับหญิงสาวผู้ซึ่งสวมหน้ากากกำลังย่องเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ
"ฆ่า"
กรรร!
ทันทีที่มูยองออกคำสั่ง ซ่งหลางทั้งสองก็พุ่งเข้าหาหญิงสาวทันที
'น่าตกใจจริงๆ'
มูยองพูดเล็กน้อยขณะที่เผชิญหน้ากับหญิงสาวที่กำลังใกล้เข้ามา
โครม!
หลังจากพูดคำนี้หญิงสาวก็ล้มลงกับพื้น เลือดพวยพุ่งออกมาจากบาดแผลบนร่างกาย
โฮก !!
ซ่งหลางคำรามอย่างกระหายในขณะที่จมเขี้ยวลงบนร่างของเธอ
และก่อนที่มันจะเขมือบเธอไปทั้งตัว มูยองก็รีบยกมือข้างหนึ่งขึ้น
จี๊ด-! จี๊ด-!
มูยองสังเกตเห็นสัตว์ตัวเล็กๆที่อยู่ในเสื้อของหญิงสาว
ช่งหลางที่กำลังฉุนเฉียวจึงถูกทำให้ชะงักอย่างช่วยไม่ได้
"หยุด"
มูยองพูดเบาๆ
กรรรรร!
หมับ!
มูยองจับฟันซี่หนึ่งของซ่งหลางแล้วบีบแน่น
แคร๊ก!
“ ฉันบอกว่าหยุด”
ช่งหลางรู้สึกตกใจกับการกระทำของมูยองเป็ นอย่างมากในขณะที่ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
มูยองค่อยๆคิดได้ทีละนิด
'การฆ่าไม่ใช่วิธีเดียว'
'เบซูจี'
เขาไม่เคยคาดหวังว่าเธอจะเติบโตมากจนสามารถก้าวผ่านไปได้แม้กระทั่งซ่งหลางและจิ้งจอกเก้าหาง แต่มู
ยองจำได้ว่าซูจีมีอะไรบ้าง
'ในร่างของเธอมีสายเลือดแห่งแสง'
พลังที่ใกล้เคียงที่สุดกับพลังแหล่งกำเนิด!
พลังที่ดูเหมือนจะถูกหล่อหลอมเข้าจนถึงแกนกลาง แผ่ออร่าความแข็งแกร่งออกไปด้านนอกราวกับดวงตะวัน
อันเจิดจ้า นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับโชควาสนาอื่นอีก นั่นจึงอธิบายว่าทำไมเธอถึงพัฒนาได้อย่าง
รวดเร็ว
'เทวะพร'
จากนั้นมูยองก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง และมอบคำสั่งให้กับจิ้งจอกเก้าหาง
มูยองหันหลังกลับ และอีกครั้งที่เขาคิดถึงบทบาทของตัวเอง
บาอัล
เทพปี ศาจที่นั่งลำดับ 1
"ไปกันเถอะ"
ทุกคนหยุดชะงัก
แม้แต่แมงมุมก็หยุดสิ่งที่พวกมันทำ แทนการเข้าห้ำหั่นกับมนุษย์พวกมันหันไปมองด้านนอกของตัวเมือง
ดูเหมือนตรงนั้นกำลังมีดวงอาทิตย์ถูกสร้างขึ้น
มันคือดวงอาทิตย์ที่เกิดจากบอลเพลิงขนาดใหญ่
"นั่น นั่นมันคืออะไร?"
“ เกิดบ้าอะไรขึ้นอีก!”
ผู้คนตื่นตระหนกกับพลังรุนแรงที่ผิวหนังของพวกเขาสามารถสัมผัสได้!
นั้นยิ่งทำให้เปลวไฟที่ดูเหมือนกำลังจะระเบิดยิ่งเดือดดาลไม่ต่างอะไรกับระเบิดนิวเคลียร์
จากนั้นลูกบอลเพลิงขนาดมหึมาก็เริ่มพุ่งเข้าหากำแพงของพวกเขา
“ เราต้องต้านมันไว้! ทุกคนใช้ทักษะการโจมตีระยะไกลทั้งหมดออกไป!”
"หยุดมัน!"
ทักษะการโจมตีหลายร้อยรูปแบบหลั่งไหลเข้าสู่ลูกบอลแห่งเปลวเพลิง
ชายที่บางคนรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างช่วยไม่ได้
“ เขาคือ…?”
“เป็ นไปได้ยังไง...”
ด้วยการแสดงออกอย่างจริงจัง มูยองพูด
มูยองส่ายหัว
แน่นอนว่าเกรทซิตี้ยังถือว่าดีกว่าสถานที่อื่นๆ อย่างไรก็ตามถ้าทุกคนเชื่อว่าตนปลอดภัยพวกเขาก็มักเลือกที่จะ
อยู่อย่างสงบ
มูยองวางแผนที่จะหยุดมหาภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้
'ฉันจะซื้อเวลาให้พวกนายเอง'
เขาคิดว่าเวลาห้าปี เวลามากพอที่จะซื้อได้หลังจากเทพปี ศาจหยุดการขัดแย้งภายใน
'การปรากฏตัวของเดียโบลกลายเป็ นตัวแปรสำคัญ'
“ ไอ้สารเลว! แกทำอะไรกับลูกศิษย์ของฉัน!”
ชายสวมหน้ากากร่างกายใหญ่โตกระโจนขึ้นไปบนอากาศ และหลังจากรวบรวมพลังงานได้เขาก็เหยียดกำปั้ น
ออก
แม้ใบหน้าจะถูกปกปิ ด แต่มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างพลังงานจำนวนมากได้ด้วยมือเปล่าเช่นนี้
'ราชานักสู้'
ไม่มีใครอีกแล้ว
มูยองเหยียดมือออกไปรับ
ตูม!
“อ๊อก!”
อากาศระเบิดออก
เนื่องจากเลเวลทั้งหมดของมูยองเกินขีดจำกัดของมนุษยชาติในปัจจุบันไปแล้ว
คนที่ต้องกระเด็นถอยไปจึงเป็ นราชานักสู้
“ ไม่มีที่ปลอดภัยในอันเดอร์เวิลด์”
ปัง!
หลังมูยองสยายปี กออกกว้างหอคอยสูงใหญ่ก็ตกลงมากลางเมืองเกรทซิตี้
ตูม!
มูยองเรียกมันมายังเกรทซิตี้เพื่อแทนสัญลักษณ์บางอย่าง
ทุกคนหันมองไปยังหอคอยสีดำที่แผ่พลังแห่งลางร้ายออกมา
และเมื่อพวกเขาหันหลังกลับมาอีกครั้งมูยองก็หายตัวไปแล้ว
***
ไม่ใช่แค่เกรทซิตี้ เมืองและหมู่บ้านทุกแห่งที่มีขนาดกลางต่างก็มีหอคอยสีดำร่วงหล่นลงมา
หอคอยหยั่งรากฝังลึกและกลายเป็ นสัญลักษณ์ขนาดใหญ่
“ หลังจากการโจมตีของพวกแมงมุมก็เป็ นหอคอยสีดำ…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
พระคาร์ดินัลนั่งถอนหายใจอยู่ในโบสถ์
ผู้พิพากษาทุกคนรวมไปถึงพระคาร์ดินัล และเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหมดต่างรวมตัวกันอยู่ที่นี่
ด้านในยังมีหญิงสาวรูปลักษณ์งดงามคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆพระสันตะปาปา
ไฮซินท์ เด็กผู้หญิงที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น
ด้วยความแข็งแกร่งและพลังอำนาจอันสูงส่งทำให้เธอได้รับตำแหน่งเท่ากับพระสันตะปาปา
และเนื่องจากเธอมูลาลันจึงประสบกับความสับสนภายในอย่างมาก
โดยปกติแล้ว ราชาสององค์ไม่สามารถปกครองประเทศเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และมันยังคงเป็ นเช่นเดียวกันสำหรับทุกกลุ่มก้อน
ไม่มีเหตุผลที่มูลาลันจะต้องต่างไปจากนั้น
อย่างไรก็ตาม
ในสายตาของเจ้าหน้าที่ระดับสูง
ไฮซินท์แข็งแกร่งเกินไปที่จะไปต่อต้าน
แม้กระทั่งพระสันตะปาปาก็ยังหลงมนต์เสน่ห์ของบุปผาเช่นเธอ
จากนั้นพระสันตะปาปาก็พูด
“ น่าเสียดายที่เราขาดการติดต่อกับโนเบิลคาสเซิลไปแล้ว”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็ นปัญหากับพระสันตะปาปาอย่างมาก
เมื่อพวกเขาสามารถหยุดการโจมตีของแมงมุมได้
หอคอยแห่งหนึ่งก็ถูกตั้งกลางเมืองทว่าไม่พบอะไรในหอคอยนอกจากความรู้สึกน่ากลัวอย่างแปลกประหลาด
เท่านั้น
ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้
และตั้งแต่ต้นพวกเขาไม่มีสิทธิ์ อะไรทั้งนั้น
พวกเขารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ก็เพื่อขอความคิดเห็นจากพระสันตะปาปา
'เห็นได้ชัดว่าเธอเป็ นสิ่งที่รบกวนจิตใจของพระสันตะปาปา'
เอี๊ยด!
“ นักบวชอาแลนซ์! คุณเพิ่งกลับมาถึงเหรอ!”
พระคาร์ดินัลตะโกนขึ้นราวกับมีความสุขหลังจากเห็นคนของตัวเองกลับมา
ทว่าสภาพของอาแลนซ์ดูสาหัสมาก เสื้อคลุมของเขาฉีกขาดและมียาดแผลที่เห็นถึงกระดูก
เขารีดเค้นพลังที่มีทั้งหมดเพื่อพูด
“ เขา…เขากำลังมา เขากำลังมา"
"ใจเย็นๆก่อน เขาที่ว่าหมายถึงใคร?"
"มูยอง! ชายที่มีหกปี ก!
เขา…เขาคือราชาแห่งขุมนรก เขาคือราชาแห่งขุมนรกที่ปกครองนรกภูมิทั้งหมด!
เขากำลังมาที่นี่…"
โครม!
สิ้นคำพูดเขาก็เป็ นลมหมดสติไปทันที
หลังจากนั้นก็มีข้อมูลอื่นตามมาอย่างรวดเร็ว
“ สายข่าวแจ้งมาว่าชายคนหนึ่งชื่อมูยองปรากฎตัวที่เกรทซิตี้!
ดูเหมือนเขาจะเป็ นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีของพวกแมงมุม ... ”
จากข่าวที่ได้ยินทุกคนก็ทำได้แค่กระพริบตา
อย่างไรก็ตามไม่มีใครแน่ใจในเรื่องดังกล่าวนอกจากเธอทั้งสอง
“อ่า!”
ริมฝี ปากของไฮซินท์ขยับขึ้น
เธอปล่อยเสียงที่ฟังดูมีความสุขแปลกๆ
มันเป็ นรอยยิ้มที่เธอไม่เคยแสดงให้ใครเห็นในมูลาลัน
ทุกคนต่างหลงใหลในรูปลักษณ์ของเธอ และเสียงแห่งความสุขของเธอ
มีแต่เซราฟิ น่าเท่านั้นที่ยังมีสติครบถ้วน
'มูยอง...!
เธอรู้จักมูยองเป็ นอย่างดี
เซราฟี น่ามีทีท่าร้อนรน
เธออยากไปที่นั่นเพื่อยืนยันด้วยตัวเอง
ถ้าหากเป็ นมูยองจริงๆทำไมเขาถึงทำอย่างนี้?
'ไม่มีทูตสวรรค์ในอันเดอร์เวิลด์'
บางทีอาจเป็ นอย่างที่ทุกคนพูด หรือว่ามูยองเองก็ไม่ใช่ทูตสวรรค์?
'ฉันต้องเชื่อมั่น เพื่อใช้ในการค้นหาความจริง'
เซราฟิ นาหลับตา
เธอไม่ควรสรุปอะไรง่ายๆ เธอต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ภายในก่อน
ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องจริงหรือโกหกเธอก็ต้องยืนยันด้วยสองตาของเธอเอง
มีหลายครั้งที่จุดประสงค์ของพระเจ้ายากต่อการตีความสำหรับมนุษย์
นอกเหนือจากเธอแล้วยังมีอีกคนหนึ่งที่มีปฏิกิริยากับเรื่องนี้เป็ นพิเศษ
ผู้หญิงอีกคนที่ว่าก็คือไฮซินท์
ไฮซินท์ไม่มีความทรงจำในอดีต
เธอแค่รู้สึกว่าต้องรอ
เธอมั่นใจว่าผู้ที่เธอปรารถนาและรอคอยอยู่ก็คือมูยอง
เธอคิดว่ามูยองจะพาเธอไปกับเขาเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น
เธอรู้สึกว่าในที่สุดเธอก็สามารถไปจากสถานที่ที่น่าเบื่อแห่งนี้สักทีและค้นหาความจริงเกี่ยวกับตัวเอง
นั่นคือสิ่งที่เธอคิด
ไฮซินท์ไม่สนใจว่ามูยองทำอะไร แค่เขาปรากฏตัวออกมาก็สำคัญที่สุดแล้ว
“ไฮซินท์?”
ทุกคนมองพฤติกรรมแปลกๆของไฮซินท์ด้วยสายตาที่งุนงง
จู่ๆไฮซินท์ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไป
'ฉันต้องสวยขึ้นกว่านี้'
'เขาจะต้องเห็นรูปลักษณ์ที่สวยงามที่สุดของฉัน'
ไฮซินท์ก็มีท่าทีเร่งรีบไม่ต่างจากเซราฟิ น่าเช่นกัน
***
จี๊ด! จี๊ด!
มันจึงทำได้เพียงร้องโวยวายเมื่อเห็นเจ้านายของตนล้มลง
ข้างๆกันนั้นแม้แต่ราชานักสู้ก็อยู่ด้วย
“ บาดแผลถูกรักษาไปหมดแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่ฟื้ น”
พอตกเย็น เบซูจีก็เรื่มส่งเสียงพึมพัมภายใต้กองไฟที่สุมขึ้น
“ มีปัญหาด้านจิตใจหรือไม่?”
หากไม่เช่นนั้นเธอคงสติแตกไปนานแล้วตั้งแต่ที่รู้ว่าพ่อของตัวเองตาย
หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านั้นก็มีเหตุการณ์มากมายที่จะมีอิทธิพลต่อเธอ
เบซูจีเอาชนะมันทั้งหมด
แม้แต่ราชานักสู้ยังชื่นชมเธอ
"ไม่ อย่า…."
ราวกับว่าเธอกำลังฝันอยู่และละเมอ
“ เธอละเมอเรื่องอะไร? จะพูดอะไรก็พูดออกมาสิ”
ราชานักสู้ข้องใจมาก
จากนั้นมูยองก็ปรากฏตัวและโจมตีเกรทซิตี้
ราชานักสู้คิดว่าซูจีเสียชีวิตไปแล้ว
นั่นคือเหตุผลที่เขามุทะลุโจมตีมูยอง
มันเป็ นความรู้สึกที่ราชานักสู้ไม่สามารถรู้สึกได้แม้แต่กับมังกรโบราณส่วนใหญ่
“เหอะ”
เขาสบถออกมาและปลงตก
ความจริงที่ว่าราชานักสู้ลักพาตัวเธอไปนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
ในเวลานั้นเขาทำอะไรหุนหันพลันแล่น แต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วว่าต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำ
ขณะที่เธอไม่รู้แม้กระทั่งการเสียชีวิตของพ่อตัวเอง และทำได้เพียงแตะต้องศพของเขาเท่านั้น มันทำให้เธอเจ็บ
ปวด
"ฉันขอโทษจริงๆ"
หลังจากที่แก่ขึ้นและยอมรับลูกศิษย์คนนี้จริงจังแล้ว ความคิดมุทะลุต่างๆของเขาก็ลดลง
ซูจีได้เปลี่ยนพื้นฐานความคิดของราชานักสู้
นั่นอาจเป็ นสาเหตุว่าทำไมเขาจึงสอนทุกอย่างให้เธอ
เขาคิดว่านี่เป็ นวิธีเดียวที่สามารถชดใช้ในสิ่งที่ตนทำ
ด้วยการมอบพลังแก่เธอสำหรับอยู่รอดในอันเดอร์เวิลด์
ถึงแม้มันอาจจะชดเชยทั้งหมดไม่ได้ก็ตาม
'พี่ชายที่เธอเรียกน่าจะเป็ นผู้ชายที่เธอพูดถึง'
เมื่อใดก็ตามที่เธอมีโอกาสซูจีจะพูดถึง 'พี่ชาย'คนนั้นเสมอ
ว่าเขาเป็ นคนที่น่าทึ่งได้อย่างไร
ถึงจะเทียบกับราชานักสู้เขาก็ยังสุดยอดกว่า
มีคนเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ?
แม้ว่าเขาจะคิดถึงมนุษย์ทุกคนก็ไม่มีใครเทียบได้กับดราก้อนลอร์ดฮันซุง หรือราชานักสู้
ดังนั้นเขาจึงหัวเราะ
และเมื่อใดก็ตามที่เขาหัวเราะเธอก็มักจะพูดว่า 'แล้วคุณจะเสียใจในภายหลัง'
แม้ตอนนี้เขาก็ยังไม่เชื่อ
“ไม่!”
ผึ่ง!
ทันใดนั้นซูจีก็ยกร่างกายส่วนบนของเธอขึ้นมา ราวกับพึ่งผ่านฝันร้ายร่างกายของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อเปี ยก
โชก
“ ที่ไหน พี่ชายไปไหนแล้ว?”
“ เธอกำลังพูดอะไรหลังจากสลบไปตั้งสองวัน”
ซูจีแสดงออกอย่างจริงจัง
“ นี่...ผ่านไปสองวันแล้ว?”
ซูจีกุมหน้าผาก
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกให้พอใจเย็นลงเธอก็พูด
“ หนูเจอพี่ชาย”
“คนที่เธอมักจะพูดถึงเหรอ?”
“ คิดว่าพี่ชายที่เธอพูดถึงตอนนี้น่าจะอยู่ที่ไหน?”
ราชานักสู้ขมวดคิ้ว
“ เธอกำลังบอกว่าเขาเป็ นตัวการเรื่องนี้เหรอ”
ซูจีพยักหน้า
แม้ว่าเธอจะรู้ว่ามูยองนั้นทำตัวเย็นชาและไม่ชอบสุงสิงกับใคร
แต่เขาก็เป็ นคนเดียวที่มักจะทำทุกอย่างเพื่อทางออกที่ดีเสมอ
เธอมั่นใจว่าเขาเป็ นคนที่มีความอบอุ่นถึงจะเล็กน้อยก็ตาม
ดังนั้นเขาจะไม่ทำอะไรโดยไม่มีเป้ าหมายแน่นอน
ซูจีพยายามอย่างที่สุดเพื่อหาเหตุผล
ปัจจุบันเธอยังรู้สึกดีใจอย่างท่วมท้นจากข้อเท็จจริงที่ว่ามูยองยังมีชีวิตอยู่
'เขายังไม่ตาย'
เธอคิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วในห้องสมุดลอยฟ้ า
เธอคิดว่าคงไม่สามารถพบเขาได้อีก
ราวกับว่าเธอหนีออกมาได้เพียงผู้เดียว บางคืนบางวันเมื่อเธอนึกถึงยังคงร้องไห้
“ หนูต้องไปยืนยันให้เห็นกับตา”
“ เธองั้นเหรอ?”
“ รู้เหรอว่าเขาไปที่ไหน?”
คนที่ปัดการโจมตีเต็มกำลังของเขาราวกับเรื่องตลก
ต่อหน้าความแตกต่างของ'ระดับ'ที่สูงเกินไป
ราชาต่อสู้รู้สึกเหมือนชนเข้ากับกำแพง
กำแพงที่ไม่สามารถปี นข้ามได้
เขาเชื่อว่ามูยองได้ไปถึงระดับที่มนุษย์ไม่สามารถเอื้อมถึงไปแล้ว
บางทีที่ราชานักสู้รู้สึกเช่นนี้อาจเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองถึงขีดจำกัด
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ราชานักสู้พูดเป็ นความจริง
พวกเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งกับชายผู้นี้
โดยเฉพาะซูจี
เธออาจจะถูกกลืนกินโดยความมืดของเขาได้
ซูจีแน่วแน่กับการตัดสินใจของเธอ
เธอต้องการค้นหาความจริง
มูยองเป็ นคนที่ชอบทำมากกว่าพูด
เขาจะไม่โจมตีเกรทซิตี้โดยไร้เหตุผล
เธอปรารถนาในการค้นหาความจริง
ราชานักสู้ไม่มีเหตุผลใดที่จะหยุดเธอได้อีกต่อไป
ฝี มือของเธอเกือบจะไล่ทันระดับของเขาอยู่แล้ว
หากต้องการหยุดเธอไว้ที่นี่ คงได้สู้ตายกันไปข้างหนึ่งพอดี
“ เธอต้องทำถึงขนาดนี้จริงเหรอ?”
แววตาของราชานักสู้เปลี่ยนไป
ถึงกระนั้นเขาก็อยากหยุดเธอไว้
ชายที่ชื่อว่ามูยองนั้นอันตรายเกินไปสำหรับผู้คน
“ คุณจะหยุดหนูไหม?”
“ ฉันต้องการหยุดเธอ”
“ ถ้างั้นก็ลองดู”
ซูจีลุกขึ้นจากที่นั่ง
แววตาของซูจีเปลี่ยนเป็ นก้าวร้าวอย่างถึงที่สุด
เธอชักดาบออกมาและเข้าสู่ตำแหน่ง
ราบกับเธอต้องการพูดว่า พยายามหยุดฉันถ้าคุณทำได้!
ไม่ว่ายังไงเธอก็ดูไม่เปลี่ยนใจ แม้ว่าจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงแค่ไหน
และไม่มีทางที่ราชานักสู้จะอ่านไม่ออก
“ เธอ…ไม่สามารถรับมือกับมันได้หรอก”
“ คุณไม่รู้หรอกว่าหนูทำอะไรได้บ้าง”
นั่นคือสิ่งที่แม้แต่ราชานักสู้ก็รู้ ความสามารถของเธอน่าทึ่งมากขึ้นทุกครั้งที่เห็น
อย่างไรก็ตามเขายังรู้สึกราวกับว่านี่เป็ นการทิ้งเด็กน้อยไว้กลางแม่น้ำเพียงลำพัง
"ฉันจะไปกับเธอด้วย"
ราชานักสู้พูดพลางยักไหล่
ไม่มีอาจารย์คนใดสามารถปฏิเสธลูกศิษย์ของตัวเองได้ คำพูดนี้ถูกต้อง
ซูจีมองเขาราวกับไม่เคยคาดคิด ก่อนจะเก็บดาบของเธอเข้าไป
จ๊อก!
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงท้องร้องดังขึ้น มันได้ยินมาจากตำแหน่งของซูจี
ซูจียักไหล่ของเธอบ้าง
“ ถ้างั้นเราหาไรกินก่อนเถอะ ไอ้จี๊ดแกก็หิวด้วยใช่มั้ย”
จี๊ด จี๊ด!
เจ้าจี๊ดจี๊ดดูตื่นเต้นก่อนจะหมุนตัวไปรอบไหล่ของซูจี
“ฮ่า ๆ ...”
ราชานักสู้ส่ายหัวของเขา
เธอเป็ นเด็กที่น่าทึ่งในหลายด้านจริงๆ
***
มูยองกลับไปแล้ว
กำแพงเมืองทั้งหมดถูกทำลาย
ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งพวกเขาได้ในขณะนี้
กำแพงเป็ นสัญลักษณ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง
และเมื่อมันถูกทำลายผู้คนก็ตระหนักว่าได้สิ่งนี้ไม่เพียงพอที่จะปกป้ องพวกเขา
และจะค้นหาวิธีการอื่นเพื่อพยายามปกป้ องตนเอง
และมูยองจะกลายเป็ นอวตารของลางบอกเหตุดังกล่าว
'ฉันไม่สนใจ'
มูยองเดิน
ข้างหลังเขามีมอนสเตอร์มากมายติดตาม
ในหมู่พวกมันยังมีทาร์แคน
"ตอนนี้เจ้าจะทำอะไรต่อ? เจ้าจะไปหาอันเดธตนอื่นๆหรือไม่?”
“ ฉันจะกลับไปที่ดินแดนเทพปี ศาจ”
สกายลอร์ด
เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับมัน
แต่มูยองไม่สนใจ
'หืม?'
อย่างไรก็ตามมูยองไม่สามารถผ่อนคลายได้
เมื่อไม่นานมานี้เขารู้สึกถึงตัวตนที่ไม่รู้จัก
'มีคนตามฉันมา'
ความรู้สึกของมูยองไม่สามารถถูกหลอก ความสามารถซ่อนตัวที่แม้แต่ทาร์แคนยังไม่สังเกตเห็น
ดูเหมือนว่าไม่มีใครรู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน
คลืน!
ด้วยเสียงเบาๆก้อนเมฆก็แยกออกจากกัน และมูยองก็เจอนักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใน
“อทาราเซีย”
มูยองไม่คิดว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆ
ไหล่ของอทาราเซียถูกฟันเป็ นแผลยาว
อย่างไรก็ตามราวกับว่าเขาไม่สามารถรู้สึกเจ็บปวดใดๆ
อทาราเซียร่วงลงบนพื้นและคุกเข่าทันที
ทว่าท่าทีเหล่านั้นไม่ได้บ่งบอกถึงการเชื่อฟัง
ไม่มีความรู้สึกว่าเขาถูกผูกไว้กับมูยอง ดูเหมือนว่าเขาจะผูกพันกับบุคคลอื่นไปแล้ว
มูยองขมวดคิ้ว
"นายต้องการอะไร?"
มูยองถาม อทาราเซียตอบ
“ เจ้านายเบซองมินต้องการพบคุณ”
เบซองมิน
มูยองไม่มีทางลืมเขาได้
เขาเป็ นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ซึ่งขาดไม่ได้เช่นทาร์แคน
อย่างไรก็ตาม...มูยองขมวดคิ้ว
“ ซองมินอยู่ที่ไหน”
“ เจ้านายอยู่ไกลจากที่นี่มาก เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นโปรดยกโทษให้เขาด้วย”
“ เหตุการณ์ไม่คาดฝันงั้นเหรอ”
มูยองไม่รู้สึกถึงความจริงใจใดๆ
นอกจากนี้อทาราเซียไม่ได้บอกแม้แต่ตำแหน่งที่แน่นอนของซองมินเลยด้วยซ้ำ
ราวกับกำลังถูกทดสอบ
ใช่แล้วดูเหมือนอทาราเซียกำลังทดสอบบางอย่างจากมูยองอยู่
'กล้ากันขึ้นมากเลยสินะ'
มูยองกางปี กสยายออก และยิงขนนับพันไปทางอทาราเซียทันที
ฟุ่ มๆๆ
วูบ!
อทาราเซียหลบการโจมตีของเขา
โดยปกติแล้วอันเดธไม่สามารถต่อต้านผู้ที่สร้างมันขึ้นมาได้
แต่ตอนนี้เขากลับหลีกเลี่ยงการโจมตีของมูยอง
นอกจากนั้นนี่ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของซองมินด้วย
“ เป็ นการกระทำที่โง่มาก"
มูยองก็จะกำจัดซองมินไปให้พ้นทางซะ เพราะว่าซองมินรู้เรื่องของมูยองมากเกินไปที่จะปล่อยให้มีชีวิตอยู่
จริงๆคนที่รู้จักมูยองดีที่สุดในโลกนี้ก็คือซองมิน
ในขณะนั้นจู่ๆร่างของอทาราเซียก็ดูเลือนลาง
ดูเหมือนเขากำลังจะใช้ทักษะเปิ ดช่องว่างเพื่อหนีไปยังพื้นที่อื่น
พยายามหนีงั้นเหรอ
ทว่ามูยองไม่ใช่ประเภทที่จะปล่อยให้ใครจากไปได้ง่ายๆ
ฉัวะ!
มูยองตวัดความโกรธเกรี้ ยวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
จากนั้นช่องว่างที่อทาราเซียเปิ ดก็ถูกฟันขาดสะบั้น
วิชาดาบของมูยองสามารถฟันได้ทุกสิ่ง
แม้แต่ทักษะประเภทการเคลื่อนย้ายก็ไม่สามารถทำงานต่อหน้ามูยองได้
ร่างกายของอทาราเซียกลับเด่นชัดขึ้นเหมือนเดิมอีกครั้ง
ปัง!
มูยองใช้เท้าส่งร่างของอทาราเซียร่วงลงสู่พื้น
จากนั้นก็สะบัดปี กส่งขนจำนวนหลายเส้นไปตรึงร่างของเขาไว้
หลังจากทำให้อทาราเซียขยับไม่ได้ มูยองก็ยื่นมือออกมา
วิญญาณที่อยู่เหนือหัวของอทาราเซียยังคงมีสภาพสมบูรณ์ทุกประการ
ในเงื่อนไขนี้ถ้าเขาใช้ทักษะอุทิศจิตวิญญาณ
มูยองจะสามารถดูดซับวิญญาณของอทาราเซียได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
และนี่คงเพียงพอที่จะส่งคำเตือนไปยังซองมิน
ขณะที่มูยองกำลังจะใช้ทักษะอุทิศจิตวิญญาณ
เสียงบางคนก็ดังออกมาจากปากของอทาราเซีย
มันเป็ นเสียงของซองมิน
เสียงที่ฟังดูติดขัดแต่ก็เต็มเปี่ ยมไปได้ความยินดี
จากนั้นมูยองก็พบว่าวิญญาณของอทาราเซียและซองมินเชื่อมต่อกันอยู่
“ นายคิดทดสอบฉันเหรอ?”
ดูไม่เหมือนว่าเขาจะโกหก
มูยองมีปัญหามากมายภายในจิตวิญญาณ
การที่เขาใช้เวลาสองปี ในเปลวเพลิงของเดียโบลหากไม่ระวังอาจทำให้สูญเสียจิตใจไปได้
หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น
รูปลักษณ์ของเขาตอนนี้ยิ่งไม่แปลกเลยที่จะกลายเป็ นของลูซิเฟอร์ไปแล้ว
ซองมินทราบเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ซองมินรู้ว่าจิตวิญญาณมูยองยังไม่มั่นคง
และยังมีลูซิเฟอร์อยู่ในร่าง ดังนั้นเขาจึงต้องมีความระมัดระวัง
“ ฉันยังเป็ นฉัน”
ตอนนี้จิตวิญญาณของมูยองไม่อาจถูกสั่นคลอนได้เหมือนก่อน
เขาพูดต่อด้วยท่าทีนอบน้อม
มูยองพยักหน้า และยกเลิกขนที่ควบคุมร่างกายของอทาราเซียออก
พอขนเปล่งแสงออกมาและหายไปราวกับว่าพวกมันพังทลาย
อทาราเซียก็ลุกขึ้นและนำขวดขนาดเล็กออกมา
เขาเทของเหลวจากขวดลงไปบนพื้นลากเป็ นเส้นวงกลม
จากนั้นภายในวงกลมก็กลายเป็ นพื้นที่สีดำและเชื่อมต่อกับพื้นที่อื่น
อทาราเซียหันไปมองมูยองอีกครั้ง
วูม!
ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเบซองมินก็ปรากฏตัวผ่านช่องทางดังกล่าว
ในขณะที่รูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย
'น่าตกใจจริงๆ'
มูยองชื่นชมด้วยใจ
ซองมินยกระดับขึ้นด้วยตนเอง
เขาแตกต่างจากเมื่อสองปี ก่อนจนเทียบกันไม่ได้
ความรู้สึกแบบนี้ที่มูยองเคยรู้จักในอดีต
ความรู้สึกที่สามารถรับรู้ได้จากลิชคิง! ในอดีตลิชที่ถูกเรียกว่าลิชคิงก็ให้ความรู้สึกคล้ายกันเช่นนี้
“ ผมทำภารกิจบางอย่างจนร่างกายเปลี่ยนไป และทุกคนต่างเรียกผมว่าเอลเดอร์ลิช”
แต่เอลเดอร์ลิชนั้นคือสิ่งใด...เอลเดอร์ลิชเป็ นรูปแบบสุดท้ายของลิชหรือไม่?
นี่อาจเป็ นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถควบคุมวิญญาณของอทาราเซีย
“ ผมมีคำถามมากมายที่อยากพูด แต่ตอนนี้อยากแสดงให้คุณเห็นอะไรบางอย่างก่อน”
“ หลังวงเวทย์นี้มีหมู่บ้านที่ผมสร้างขึ้นอยู่ โปรดตามผมมา”
ซองมินกลับเข้าไปในช่องว่างด้วยความเชื่อมั่น
มูยองไตร่ตรองอยู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวกับเหล่าวิญญาณ
"จงรอที่นี่"
“ โปรดให้เราติดตามท่านด้วย”
สุนัขจิ้งจอกทั้งเก้าหางร้องขอ
ดูเหมือนว่าพวกเธอยังไม่ไว้วางใจซองมิน
มูยองพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย
แค่ซ่งหลางกับซองซันกิสก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับควบคุมกลุ่มทั้งหมด
"งั้นก็ไปกันเถอะ"
ทาร์แคนยืนอยู่ข้างมูยองแล้ว ดูเหมือนว่าเขายังสงสัยเกี่ยวกับซองมิน
***
แม้ว่ามูยองไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากสิ่งที่ซองมินเรียกว่าหมู่บ้าน แต่พอได้เห็นจริงๆกลับรู้สึกทึ่งอย่าง
ถึงที่สุด
มีบ้านหลายร้อยหลังกระจายอยู่กลางเทือกเขา
ด้วยเหตุผลบางอย่างผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่กลับยิ่งดูยิ่งคุ้นเคย
แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหาร
บางคนกระทั่งมีเนื้อหนังที่เหวอะหวะเหมือนซากศพ..อย่างไรก็ตามพวกเขายังดูคุ้นเคยกับเขาเป็ นอย่างมาก
"พวกนี่คือ…"
มูยองพูดไม่ทันจบประโยคก็ฉุกใจคิดขึ้น
ไม่มีความเป็ นไปได้อย่างอื่นอีกแล้ว
เขาจะลืมคนพวกนี้ได้อย่างไร
ราวกับรับรู้ว่ามูยองคิดอะไรอยู่ ซองมินก็อธิบายเพิ่มเติม
“ นักฆ่าของป่ าแห่งความตาย ?”
"ถูกต้อง"
"นายรู้ตัวตนของพวกเขาได้ยังไง?"
มูยองไม่เคยพูดถึงคนพวกนี้ให้เบซองมินฟัง
แม้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็ นพิเศษเกี่ยวกับพวกนักฆ่า
แต่มันก็ยากที่จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์จากสิ่งนั้น
ซองมินพูดขณะที่เดินนำเข้าไปในหมู่บ้าน
“ นี่เป็ นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องนี้”
เขาไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน
ซองมินพยักหน้าแล้วพูดต่อ
ความทรงจำของซองมินไม่ปกติ มีพื้นที่ว่างจำนวนมากในหน่วยความจำของเขา
กระทั่งเรื่องของซูจีเขาก็จำไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกมันจะเริ่มดีขึ้น
“ผมทำสิ่งที่ไม่สมควรหรือเปล่า?”
“เปล่าเลย นายทำได้ดีแล้ว”
มูยองพูดจากใจจริง
หลังจากฆ่าหวังซุงหลินแล้วมูยองก็เข้าสู่บททดสอบของเดียโบลทันที
หากอยู่ในสถานการณ์ปกติเขาคงไปยังที่ตั้งทั้งหมดของสมาชิกป่ าแห่งความตายและปลดปล่อยผู้คน
แต่เนื่องจากเขาติดอยู่ในบททดสอบ เขาจึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
และซองมินก็ทำสิ่งนี้เพื่อเขา แล้วเขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร?
จากนั้นซองมินพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
“ ถึงผมจะพบพวกเขา แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก”
“ ก็ไม่ต่างจากที่ฉันคิดไว้”
“ ผมทำให้จิตใจของพวกเขามั่นคงขึ้นโดยใช้วิธีผสานรวมจิตวิญญาณ แต่การล้างสมองเกิดขึ้นมานานมากเกิน
ไป "
หากการล้างสมองของชุงหลินฝังอยู่ลึกเกินไปก็ไม่มีอะไรที่มูยองจะทำได้เช่นกัน
หากเขาฝื นลบมัน
พวกเขาอาจสูญเสียตัวเองไปโดยสิ้นเชิง สมองของพวกเขาอาจตายได้
“ แล้วหมู่บ้านที่นี่อยู่ได้ด้วยวิธีไหน?”
ต่างจากเหล่าภูติผีและเอลย่าซีโก้
ทรัพยากรจำนวนมหาศาลเป็ นสิ่งจำเป็ น
มูยองพยักหน้า
อาทิเช่น
หากพวกเขาไม่ได้รับใช้ใครบางคนหรือไม่ได้รับคำสั่งใดๆ
พวกเขาจะกลายเป็ นกังวลและอาจฆ่าตัวตายในที่สุด
ไม่ว่าจะมองด้วยมุมไหนมูยองก็ไม่สามารถละสายตาจากพวกเขาได้ในตอนนี้
ทั้งหมดเป็ นใบหน้าของผู้ทีคนที่ยากจะลืมเลือนแม้ว่าพวกเขาจะจำมูยองไม่ได้ก็ตาม
มูยองมองดูซองมินที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าอย่างลึกซึ้ง
การที่เขาแสดงหมู่บ้านนี้ให้เห็นเสี่ยงต่อการถูกลูซิเฟอร์ทำล้ายล้างเป็ นอย่างมาก
"ขอบคุณ"
“...”
***
มูยองคุยกับซองมินเป็ นเวลานาน
“ รู้เหตุผลที่เดียโบลรวบรวมหินรอยแยกไหม? "
“ มันใช้หินรอยแยกเพื่อเรียกกองทัพจำนวนมากทั้งหมดออกมา”
เดียโบลกำลังรวบรวมหินรอยแยกงั้นหรือ?
“ มันคือสกายลอร์ด”
“ ผมรู้จักปี ศาจที่จะช่วยให้เราข้ามไปที่นั่นได้ ”
ซองมินพูดอย่างต่อเนื่อง
มูยองตกอยู่ในห้วงของความคิด
ในเมื่อจับมือกับเกรโมรี่ได้ก็คงไม่มีปัญหาสำหรับเขาที่จะจับมือกับปี ศาจตนอื่นอีก
“ ฉันจะไปเจอปี ศาจนั่น”
ซองมินดูประหม่าอยู่บ้าง
"ฉันไม่ได้ขัดข้องอะไร"
เขาไม่ได้อยากแค่ทัศนียภาพหมู่บ้างแห่งนี้เฉยๆ แต่อยากตรวจสอบเหล่ามือสังหารที่อาศัยอยู่ที่นี่อีกครั้ง
มากกว่า
ถ้าเป็ นไปได้เขาก็ไม่อยากจะพลาดอะไร
การก้าวไปข้างหน้าแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือเป็ นเรื่องดี ถึงคนๆเดียวจะสร้างความแตกต่างไม่ได้
แต่หากเป็ นทุกๆคนหรือสิ่งเล็กๆน้อยๆที่รวมตัวกันแล้วย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
***
ฟุ่ บ!
เหล่ามือสังหารเงารวมตัวกันบนยอดกิ่งไม้สูง
ทุกคนสวมหน้ากาก และมูยองคือผู้นำของพวกเขา
หงึก!
หลังจากมองตามกันพวกเขาก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
นั้นคือสัญญาณสำหรับการเริ่มภารกิจ
เป้ าหมายคือชายที่ชื่อว่าไลอ้อนคิง
เขาถูกเรียกว่าไลอ้อนคิงเพราะมีหนวดสีน้ำตาลเหมือนแผงคอของสิงโต
อาวุธของเขาคือดาบใหญ่ที่สลักลวดลายอันเป็ นเอกลักษณ์ของสิงโตเอาไว้
พลังทำลายของมันสามารถทำให้เหล่าศัตรูทั้งหลายสิ้นชีพราวกับใบไม้ร่วงมาแล้วนักต่อนัก
ทำไมต้องฆ่าเขา?
“ เหอะ! แห่กันมาเต็มเลยสินะไอ้พวกลูกหมา”
การโจมตีเริ่มขึ้นบนเนินเขาแคบๆ
เทคนิคการลอบสังหารรวมถึงกับดักหลากหลายรูปแบบต่างแสดงประสิทธิภาพออกมา พวกมันเลือกโจมตี
เฉพาะจุดอ่อนของไลอ้อนคิง
อย่างไรก็ตามไลอ้อนคิงยังไม่ตายแม้จะได้รับบาดเจ็บรุนแรง
ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายดุจดั่งดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างก่อนตกดิน มือสังหารต่างรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันไม่คาด
คิดจากเขา
เมื่อไม่สามารถล่าถอยได้เหล่ามือสังหารจึงตัดสินใจเลือกผู้เสียสละ
“ แค่ลูกหมาฝูงหนึ่ง แกคิดว่าจะฆ่าสิงโตได้งั้นเหรอ…?!”
ฉึก!
มูยองแทงมีดเข้าไปกลางหน้าผากของไลอ้อนคิงก่อนจะเดินจากไปโดยไม่นึกเสียใจเพื่อนร่วมทีมที่ต้องตายไป
ก่อนหน้านี้ทั้งหมด แม้จะเหลือมูยองเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้น มูยองก็ไม่รู้สึกถึง
อารมณ์ใดๆ
***
พอลืมตาขึ้นมูยองก็เห็นเพดานด้านบน
'หมู่บ้านของซองมิน…'
มูยองส่ายหัว
ความฝันรู้สึกเหมือนจริงมากจนมูยองสงสัยว่ากำลังฝันอยู่หรือไม่เมื่อเขาตื่นขึ้นมา อย่างไรก็ตามในไม่ช้ามูยอง
ก็จำได้ว่าตัวเองได้รับเชิญไปที่หมู่บ้านของซองมินและมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้นอนหลับดีๆแบบนี้
และดูเหมือนว่าเขาจะหลับอยู่บนเตียงมาสองสามวันแล้ว
สถานที่แห่งนี้ทำให้เขารู้สึกดี
มูยองลุกขึ้นและเดินออกไปหลังจากเตรียมตัวอยู่ครู่หนึ่ง
ผู้คนจำนวนมากที่เคยเป็ นมือสังหารอาศัยอยู่ที่นี่
“คิกคิกคิก”
“อ่าา อ่าาา...”
อย่างไรก็ตามพวกเขาดูน่าสังเวชมาก บางคนเอนกายพิงบ้านไม่ก็กลิ้งตัวลงบนพื้นพร้อมกับหัวเราะราวคนเสีย
สติ นี่เป็ นอาการของพวกที่ไม่สามารถหลุดออกจากอาการถูกล้างสมองของหวังซุงหลิน
ในหมู่พวกเขามีนักฆ่าที่มูยองเห็นในความฝันเมื่อสักครู่ด้วย
มูยองมองดูพวกเขาอย่างละเอียด และเกิดความรู้สึกแปลกๆที่ไม่ทราบเหตุผล
แน่นอน มูยองไม่สามารถช่วยพวกเขาได้
“เจ้านายให้ผมมาตามคุณ”
ชายสวมหน้ากากปรากฏขึ้นด้านหน้ามูยอง
“ เจ้านายให้แจ้งอีกว่า แขกที่เชิญมาถึงแล้ว”
มูยองพยักหน้า
มันเร็วกว่าที่คาดไว้เล็กน้อยเนื่องจากใช้เวลาเพียงห้าวันหลังจากเข้ามาในหมู่บ้านเท่านั้น แน่นอนว่าเขา
ต้องการเห็นปี ศาจตนนี้เพราะมันอาจเป็ นปี ศาจที่เขาคุ้นเคยก็ได้
***
ชายที่มีผมและผิวสีดำสนิทกำลังนั่งดื่มชา
'หืม?'
ถูกต้องเขากล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิด
อย่างไรก็ตามมูยองอยากรู้เหตุผล
มูยองยกปลายคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
ราชาปี ศาจพูดก่อนเพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาพร้อมที่จะทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกันหรือไม่
“ ใช่มันไม่สำคัญ”
มูยองตอบก่อนจะลงไปนั่งที่ฝั่งตรงข้าม
แป๊ บเดียวซองมินก็ชงชาอีกหนึ่งถ้วยแล้วเดินเข้ามา
“ นี่คือชาที่ผมเป็ นคนปลูกเอง”
ซองมินวางถ้วยไว้ที่ด้านหน้ามูยองอย่างระมัดระวัง
ชายอีกคนพูด
“ ช่างเป็ นชื่อที่แปลกนัก ”
ปี ศาจเพศชาย อาซูลพูด
“ งั้นมาเริ่มธุรกิจกันเถอะ”
“ เจ้าต้องการผ่านทางที่สกายลอร์ดขวางอยู่หรือ”
“ ใช่ ถูกต้อง”
“ จำนวนเท่าไหร่ที่อยากพาข้ามไป?”
มูยองพูดโดยไม่ล่าช้า
“ ไม่ต่ำว่า 60,000คน”
มันมากเกินที่จะทำให้พวกเขากลายเป็ นยันต์และพาข้ามไป
ขณะที่มูยองตอบอาซูลลูบคางของเขา
“ แล้วนายต้องการแลกเปลี่ยนอะไร?”
จากคำกล่าวดูเหมือนเขาจะอยากได้ของที่มีความลึกลับและน่าค้นหา
“ สิ่งนี้น่าจะมากพอ”
ทว่าอาซูลดูเหมือนจะไม่ตื่นเต้นสักเท่าไหร่
“ ไม่โลภมากไปหน่อยเหรอ”
และระหว่างที่มูยองครุ่นคิด…
“ แล้วถ้าเป็ นชิ้นนี้ล่ะ นี่เป็ นไอเทมที่เรียกว่า 'ชิ้นส่วนความยุ่งเหยิง' ”
ซองมินส่งผลึกหินให้เขา
อาซูลพยักหน้าหลังจากที่ได้ดู
อาซูนวางผลึกหินไว้ข้างๆจากนั้นเขาก็พูดต่อ
กึก!
มูยองดื่มชาจนหมดและลุกขึ้นจากที่นั่ง
ถ้าต้องไปที่ภูเขานิลกาฬ แม้ว่าเขาจะรีบเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้มันก็ยังถือว่าช้า
***
เส้นทางไปยังภูเขานิลกาฬนั้นค่อนข้างใกล้กับเส้นทางเพื่อไปยังดินแดนเทพปี ศาจ
และคุณสามารถเห็นดินแดนเทพปี ศาจได้จากยอดเขา
พอมูยองยืนอยู่บนจุดดังกล่าวก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออกอยู่พักนึง
"ตัวใหญ่มาก"
มูยองรู้สึกได้ถึงความตะกละและความโลภจากมัน มันคล้ายกับอำนาจแห่งความโลภภายในความโกรธเกรี้ ยว
มาก
นอกจากนี้มูยองรู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่างจากมัน
ตึง!
ไม่นานหลังจากนั้นชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
“ ช่างเป็ นกองทัพที่ยิ่งใหญ่”
อาซูลมาเพียงลำพัง
- ข้าได้กลิ่นของดันดาเลี่ยน!
เมอร์ดูดันโผล่ออกมาหลังจากประตูของเส้นทางแห่งนรกภูมิถูกเปิ ดออก
เมอร์ดูดันวนเวียนอยู่รอบอาซูลราวกับเป็ นบ้า
อย่างไรก็ตามชื่อที่เมอร์ดูดันพูดออกมากวนใจมูยองเป็ นอย่างมาก
'ดันดาเลี่ยน?
มูยองรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง
ปฏิกิริยาของอาซูลกลายเป็ นผิดปกติเมื่อได้ยินสิ่งที่เมอร์ดูดันกล่าว
“ …อย่าเชื่อมโยงข้ากับเจ้าสารเลวนั่น”
อาซูลมีสีหน้าบูดบึ้งทันที
มันแสดงให้เห็นว่าอาซูลเกลียดการถูกเชื่อมโยงเข้ากับดันดาเลี่ยนมากแค่ไหน
ดูเหมือนสิ่งที่อาซูลแสดงออกจะเป็ นความเกลียดชัง
เนื่องจากมูยองไม่เคยพบกับดันดาเลี่ยนเขาจึงจับสัมผัสเหมือนเมอร์ดูดันไม่ได้
“ ความสัมพันธ์ของนายกับดันดาเลี่ยนเป็ นยังไง?”
อาซูลถอนหายใจออกมา
มูยองยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขาคิดว่าดันดาเลี่ยนทำงานตามลำพังซะอีก แต่มันกลับมีราชาปี ศาจที่ติดตามอยู่ด้วย?
“ อย่ามองข้าฉันด้วยสายตาแบบนั้น ข้าเหนื่อยและเบื่อกับคำโกหกของดันดาเลี่ยนจึงจากเขามานานแล้ว”
“ ดันดาเลี่ยนอยู่ที่ไหน”
“ ข้าเองก็ไม่รู้ ไม่มีใครในโลกสามารถทำนายตำแหน่งของเขาได้”
เขาพูดเหมือนกับดันดาเลี่ยนเป็ นสายลมที่จับต้องไม่ได้
มูยองไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมอีก
"ฉันตกลงจะไปกับนาย"
มูยองตัดสินใจแล้ว
เพราะไม่งั้นเขาต้องเสียสละกำลังพลจำนวนมหาศาลเพื่อผ่านมันไป
อาซูลไขว้แขนกอดอก
มูยองมองดูสกายลอร์ดจากระยะไกล
'รู้สึกเหมือนได้เห็นจุดสุดยอดของสิ่งมีชีวิตเทียม'
“ กระผมตรวจเจอผู้หญิงสองคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ โปรดสั่งว่าผมควรจัดการยังไง?”
เบซองมินที่สวมเสื้อคลุมสีดำสนิทพูดขึ้น
“ จับพวกเธอแบบมีชีวิตแล้วพามาให้ฉัน”
"รับทราบ"
วูม
ร่างของซองมินหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มูยองมองไปยังทิศทางดังกล่าวด้วยความอยากรู้
เขาสนใจผลลัพธ์เล็กน้อย
***
นอกจากนั้นเธอยังเป็ นสาวกในเส้นทางแห่งดวงจันทร์ที่มีทักษะอำพรางตัวอย่างดีเยี่ยม
“ มอนสเตอร์พวกนั้นคืออะไร? ”
“ปา?”
จินกับสโนว์มองไปที่ขบวนของเหล่าภูติผีวิญญาณ
'เขานำมอนสเตอร์เหล่านี้ไปยังดินแดนของเทพปี ศาจเพื่อสิ่งใดกันแน่?'
“ปาาา...”
สโนว์เอื้อมมือและทำท่าเหมือนจะวิ่งออกไปหามูยองจนจินต้องหยุดเธอ
เธอแค่ต้องการทราบความตั้งใจที่แท้จริงของเขา ดังนั้นในขณะที่ซ่อนตัวเธอก็แอบติดตามเขาไปโดยการใช้
พลังของไฮเอลฟ์ 'เงาแห่งจันทรา'
วูม!
พลังความมืดก่อตัวเป็ นทรงกลมและหมุนวนขึ้นด้านบนจนเธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง
และจากนั้นลิชที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันแล้วเข้าร่วมกับกองกำลังของมูยองก็ปรากฏตัวออกมาจากพลังงาน
ดังกล่าว นี่เป็ นครั้งแรกที่จินกับสโนว์ได้เจอกับเบซองมินผู้เป็ นเอลเดอร์ลิช
คว้าง!
คฑาในมือของลิชตนนั้นส่งเสียงดังขึ้น
'เราถูกจับได้แล้ว'
เคล้ง!
เสียงของอาวุธกระทบกันดังกังวานราวกับกระดิ่งแห่งความตาย
พรึ่ บ!
หลังจากนั้นจู่ๆเปลวไฟสีดำก็ลอยขึ้นกลางอากาศ
ตามพื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยหลุมดำมืดมิด และจำนวนเปลวไฟดังกล่าวก็เพิ่มจำนวนขึ้นแบบทวีคูณ
แกว๊ก!
จากนั้นลิซก็ปักคฑาลงที่พื้นเสียงดังสนั่น
พื้นที่หลายเมตรรอบๆถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทันที และภายในนั้นมือสีดำก็โผล่พรวดออกมาพยายามคว้า
จับไฮเอลฟ์
คว้าง!
จินไม่สามารถหลีกเลี่ยงมือสีดำจำนวนเป็ นหมื่นได้จึงอ้าปากกว้างปล่อยระเบิดอนุภาคแสงจำนวนมากออกมา
'หืม?'
ลิชจับคฑาของตัวเองและหมุนมันในอากาศ จากนั้นสิ่งที่ดูเหมือนประตูก็ถูกเปิ ด
กี๊ซ! กี๊ซ!
จำนวนของมันมีมากจนไม่อาจนับได้
ไม่ว่าเธอจะกำจัดไปมากแค่ไหนทั้งหมดก็ดูไม่ลดลงและยังพุ่งเข้ามาที่เธอ
พวกมันกัดปี กและกระชากขนของเธอจนหลุดลุ่ย
อย่างไรก็ตามด้วยระดับของไฮเอลฟ์ อย่างเธอ ไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ให้กับมอนสเตอร์อย่างค้างคาวทมิฬ
ตึง!
ซองมินเปิ ดประตูอีกบาน
'น่าตกใจจริงๆนานมาแล้วที่ฉันต้องใช้ประตูถึงสองบานในการต่อสู้”
เคล้ง!
'อาชญากรเงา!'
เป็ นไปได้อย่างไรที่ลิชจะอัญเชิญมอนสเตอร์เช่นนี้ออกมาจากอากาศได้อย่างง่ายดาย!
อาชญากรเงามีลูกเหล็กและโซ่ผูกมือเท้าของพวกมันไว้ อย่างไรก็ตามพวกมันสามารถเพิ่มความยาวของโซ่ได้
อย่างอิสระ
อาชญากรเงาสองสามร้อยตัวปรากฏขึ้นก่อนจะเหวี่ยงลูกเหล็กไปทางจินราวกับตกปลา
พลังและความเร็วของพวกมันไม่สามารถปฏิเสธได้
มันยากมากที่จินจะหลีกเลี่ยงโซ่บอลเหล็ก และเหล่าค้างคาวในเวลาเดียวกัน
เคล้ง!
โคร่ม!
เธอกลับมาเป็ นร่างมนุษย์และร่วงลงสู่พื้น
ซองมินก้มหัวลงเล็กน้อยหลังจากมองสโนว์ที่กำลังสั่นเทาอยู่ข้างๆ
“ เจ้านายของผมปรารถนาที่จะพบพวกคุณทั้งสอง”
***
มูยองมองสโนว์และจินผู้ที่ถูกมัด
“ปา! ปา!”
สโนว์กระโดดชูมือขึ้นเหมือนจะให้เขาอุ้มก่อนจะเอาหน้าถูไปมาที่ขาของเขา
ในทางกลับกันการแสดงออกของจินนั้นมืดมนอย่างถึงที่สุด
“ เจ้าวางแผนจะทำอะไรกันแน่?”
" เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”
“ เจ้าใช้มอนสเตอร์พวกนี้ทำลายเมืองต่างๆแล้วตอนนี้ยังอยู่กับ...ราชาปี ศาจ”
เธอกำลังพูดถึงอาซูล
มูยองยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
"ถ้าเธอต้องการจากไปก็ออกไปได้เลย ฉันจะไม่ขวาง"
“ ข้าไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าความตั้งใจของเจ้าคืออะไร”
“ข้า…จะไปกับสโนว์”
'สโนว์?'
“ ข้าไม่ยอมให้เธอถูกอิทธิพลของเจ้าครอบงำเด็ดขาด”
จินรู้ว่าศักยภาพที่ซ่อนเร้นของสโนว์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
ศักยภาพของเธอเปรียบได้กับมูยองเลยทีเดียว
เธอต้องการหยุดสิ่งนั้นไม่ให้เกิดขึ้น
มูยองมองเธอออกจากสายตาที่จินส่งมา
การใช้สำนวนที่ว่าสโนว์อาจได้รับอิทธิพล นั่นหมายความว่าเธอมีความระมัดระวังตัวมาก
“ งั้นก็ตามใจ”
ถึงเวลาแล้ว
***
อาซูลพบจุดอ่อนของสกายลอร์ด
เนื่องจากมันต้องใช้พลังในการลอกคราบจึงมีพื้นที่บางส่วนที่มันไม่สามารถให้ความสนใจได้
“ มันยังไม่ใช่ตัวเต็มวัยใช่ไหม”
เมื่อมูยองถามอาซูลก็พยักหน้า
ดูเหมือนว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาให้วิวัฒนาการได้อย่างต่อเนื่องเพื่อทนต่อการโจมตีของเดียโบล
อาซูลเจาะรูเข้าไปในคราบที่สกายลอร์ดลอกออกมา
“ เราต้องรีบเดินทางก่อนที่มันจะกินคราบทั้งหมด ข้าไม่แน่ใจว่าเราสามารถทำทันไหมในเวลาแค่นี้...”
อาซูลมองไปที่กองทัพของมูยอง มีมอสนเตอร์มากมายที่มาพร้อมกับมูยอง
“ จากนี้ไปทุกคนห้ามส่งเสียง”
เตือนเสร็จอาซูลก็รีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาเจาะรูแล้วโผล่ออกไปอีกด้านหนึ่ง
มูยองและกองทัพของเขาก็เคลื่อนตัวเร็วขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
วี้ดดด!
ขณะนั้นเสียงผิวปากก็ได้ยินจากที่ใดที่หนึ่ง
“ บัดซบ!”
อาซูลขมวดคิ้ว
ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือน สกายลอร์ดเริ่มเคลื่อนไหว
บึม! ตูม!
ท่ามกลางการระเบิดทั้งโลกดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ
-โจมตี!
เสียงคำสั่งดังแว่วมา
อัศวินขี่ม้านำมอนสเตอร์หลากหลายสายพันธุ์ออกมาโจมตีสกายลอร์ด อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่อาจสร้าง
ความเสียหายใดๆให้กับมัน
และแทนที่จะพุ่งไปหาสกายลอร์ด ตอนนี้มูยองกลับมุ่งไปหาผู้ที่โจมตีสกายลอร์ดอย่างรวดเร็ว
'บาลตัน'
ผู้พิทักษ์อาณาเขตของเขา บาลตัน!
หนึ่งในผู้ที่มูยองดึงขึ้นมาจากความตาย
มูยองมอบหมายให้เขาดูแลอาณาเขตในดินแดนเทพปี ศาจเอาไว้
แต่ทำไมบาลตันถึงมาโจมตีสกายลอร์ดอยู่ที่นี่?
โชคดีที่สกายลอร์ดเพิ่งเสร็จสิ้นการลอกคราบ งูที่ผ่านกระบวนการดังกล่าวมักจะอ่อนแอเสมอ
“มูยอง”
ในขณะที่สกายลอร์ดฟาดหางออกโจมตีพายุทรายก็เริ่มพัดไปทุกทิศทาง
“ ซองมินพาทุกคนเดินทางไปต่อ”
“ ผมจะไปช่วยอีกคน”
“ ไม่ต้อง จะดีกว่าถ้าฉันไปเพียงลำพัง”
มูยองกางปี ก
สำหรับสกายลอร์ด…มูยูองไม่ได้คิดที่จะเสี่ยงชีวิตในการต่อสู้กับมัน เขาแค่อยากจะซื้อเวลาเท่านั้น
"งี่เง่าจริง...!"
มูยองบินขึ้นไปในอากาศ
วูม!
ตูม! เกิดการระเบิดครั้งใหญ่
ร่างของสกายลอร์ดเอนไหวเล็กน้อย แต่นั่นไม่สามารถทำให้มันกรีดร้องออกมาสักแอะด้วยซ้ำนอกจากมีรอย
ขีดข่วนเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม มูยองมีความสามารถมากมายนอกเหนือจากพลังทั้งสอง
บูมบูมบูม..!!
ก๊าซ!
เป็ นครั้งแรกที่สกายลอร์ดส่งเสียงกรีดร้องออกมา
'มันไม่มีความต้านทานต่อพลังเทวะ'
วิ้ง!
มูยองสัมผัสหน้าอกตำแหน่งเดียวกับหัวใจของเขาและรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง
มันเป็ นหอก
หอกสังหารเทพ…อาวุธของกาเบรียล
วาบ!
ชื่อของชายผู้นี้คือ มูยอง?
ด้วยสิ่งนี้อาซูลสามารถเห็นสกายลอร์ดได้รับความเสียหายเป็ นครั้งแรก
ก๊าซ!!!!
พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับโลกจะล่มสลายเมื่อใดก็ตามที่ร่างกายอันใหญ่โตของสกายลอร์ดบิดส่ายไปมาด้วย
ความเจ็บปวด มิหนำซ้ำอากาศรอบๆยังกรรโชกแรงจนกลายเป็ นพายุทรายขนาดใหญ่
เป็ นครั้งแรกจริงๆที่อาซูลเจอสิ่งที่น่าสนใจระหว่างการค้าขาย นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ด้วยเหตุผลบางอย่างราวกับมูยองยังไม่คุ้นเคยกับพลังของตัวเอง
“ หากเจ้าไม่อยากตายก็ตามข้ามา เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าไม่ช่วยเจ้าหรอกนะ ”
อาซูลพูดกับซองมิน
แน่นอนว่าซองมินดูแข็งแกร่งอย่างมากในฐานะเอลเดอร์ลิช แต่นั่นใช้ไม่ได้กับสกายลอร์ด
"เข้าใจแล้ว"
ซองมินรู้เรื่องนี้ดี
***
หลังจากที่เห็นการโจมตีของมูยอง เขาก็เริ่มสั่งถอย
- ถอนกำลัง!
บาลตันและกำลังทหารที่ถืออาวุธจากฝี มือคนแคระเริ่มออกจากสนามรบ
ชิ้ง! ตูม!
ขณะที่พวกเขาถอยห่างออกจากสนามรบเสียงระเบิดครึกโครมก็ดังขึ้น
การต่อสู้ระหว่างเทพเจ้าก็คงจะทำนองนี้ใช่ไหม?
'ถ้าตาของเราไม่ได้ฝาดไปหล่ะก็... '
“ นั่น…ลอร์ดของพวกเราใช่หรือไม่?”
เอลฟ์ คนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาและถาม
ดูเหมือนว่าบาลตันไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้
“ ลอร์ดของพวกเรายังมีชีวิตอยู่”
“ ถ้าหากเป็ นเช่นนั้นเราต้องสามารถยุติสงครามนี้ได้แน่”
“ ในที่สุด ในที่สุดเขาก็กลับมา!”
ทหารทั้งหมดของเขาต่างรู้สึกยินดี
ตูม!
“ ไม่ได้เจอกันสักพักแล้วสินะ”
มูยองปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับปี กที่สยายกว้าง
“ ท่านลอร์ด”
บาลตันคุกเข่าลง
เมื่อบาลตันคุกเข่า ทุกคนรอบตัวก็ทำเช่นกัน
จากน้ำเสียงของมูยอง,บาลตันสามารถสังเกตได้ว่าเขาต้องการออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด นั่นหมายความว่า
สกายลอร์ดเป็ นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวจริงๆ
บาลตันพยักหน้า
มูยองเกาหัวเล็กน้อยก่อนจะบินไป
***
ประสิทธิภาพของหอกกาเบรียลนั้นน่าทึ่งมาก
มันแข็งแกร่งกว่าสิ่งอื่นใด
แต่มูยองไม่คุ้นเคยกับการใช้พลังของกาเบรียล มันดูดพละกำลังของมูยองไปมากและต้องใช้เวลาในการกู้คืน
ความรู้สึกที่ได้แตกต่างจากตอนใช้การเร่งความเร็วด้วย 'เขา' อยู่มากโข
'ฉันต้องงดใช้มันไปก่อน'
เขาสามารถทำให้สกายลอร์ดไร้สติได้ครู่หนึ่ง และอย่างที่คาดไว้เขาสามารถสร้างความเสียหายได้มากเลยที
เดียว แต่ทั้งนี้ก็เพราะผิวหนังของมันอ่อนแอกว่าปกติด้วย อย่างไรก็ตามหากมูยองยังสู้ต่อไปเขาจะตกอยู่ใน
อันตราย
'ถ้าฉันนำมันไปศึกษาน่าจะได้ผลลัพธ์บางอย่าง'
มันเป็ นสิ่งที่น่าสนใจ
ผิวหนังและเนื้อหนังที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันแตกต่างจากอวัยวะของสิ่งมีชีวิตปกติมากๆ
หลังจากที่เขาเก็บตัวอย่างพวกนั้นมาได้จึงมอบให้บาลตัน จากนั้นก็นำกองทัพกลับไปยังอาณาเขตของตน
แม้มูยองคิดว่ามันแปลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดมาก
“ อาณาเขตขยายใหญ่ขึ้นมาก”
มูยองเดินไปตามถนนสายหลักที่นำไปสู่ปราสาท ในขณะที่ด้านหลังยังมีกองทัพเดินติดตาม
มีหลายคนในพื้นที่ที่มองมูยอง
“ ฉันคิดว่ามีเด็กมากขึ้นนะ?”
“ นี่อาณาเขตอยู่ในช่วงสงครามเหรอ? ฝ่ ายตรงข้ามคือใคร?”
บาลตันยืนนิ่งอยู่หน้าปราสาทครู่หนึ่ง
ปราสาทของลอร์ดนั้นใหญ่โต และกระทั่งใหญ่โตกว่าเมื่อก่อน
สถานที่สะอาดสะอ้านเพราะพวกเขาดูแลอย่างต่อเนื่อง
บาลตันพูดอย่างจริงจัง
ช่วยไม่ได้ที่มูยองจะต้องตอบสนองต่อชื่อดังกล่าว
มี 3 ระดับในการจำแนกราชาปี ศาจที่เก่งที่สุด
ทั้งหมด 18 ตัวตน
'มันก็คือหนึ่งในห้าดวงดาว'
มูยองเข้าใจแล้วว่าทำไมอาซูลจึงดูรีบร้อนนัก
“ พวกนายมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ได้ยังไง?”
มูยองอดไม่ได้ที่จะถาม
เห็นได้ชัดว่าพลังรบของอาณาเขตในปัจจุบันเต็มไปด้วยศักยภาพ หัวเมืองส่วนใหญ่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
กับที่นี่อีก และที่นี่ยังเต็มไปด้วยประชากรมากมายหลายสายพันธุ์ที่รวมตัวกันอย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตามมันไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเอนโรธ หากมองตามปกติทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาเขตแห่งนี้จะต้อง
ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้แม้ว่ามูยองจะกลับมาแล้ว แต่พลเมืองก็ดูเหมือนจะไม่เคารพเขาจริงๆเท่าไหร่
ถึงกระนั้นพวกเขาก็มองมูยองด้วยสายตาที่มีความหวัง พวกเขาเชื่อว่ากองทัพที่มูยองนำมาจะช่วยได้อย่าง
แน่นอน
บาลตันไม่ตอบคำถามของมูยอง ในขณะที่พามูยองไปยังปราสาท
“ ผมจะบอกท่านทุกอย่างหลังจากที่เราขึ้นไปข้างบน”
***
ด้านในของปราสาทนั้นไม่แตกต่างจากที่มูยองจำได้
มูยองนั่งอยู่บนบัลลังก์แล้วมองไปที่บาลตัน
บาลตันคุกเข่าลงต่อหน้าเขา และดวงวิญญาณก็ถูกทำให้เฉียบคมอีกครั้ง
การเชื่อมต่อที่เสียไปเริ่มเชื่อมต่อใหม่
ชื่อ:บาลตัน
เลเวล: 445
ประเภท: อัศวินผู้พิทักษ์
ความฉลาด 320 (300 + 20) ภูมิปัญญา 345 (325 + 20) ความทรหด 483 (463 + 20)
+ ความเข้าใจในดาบขั้นดีเยี่ยม
+ สมรรถภาพการต่อสู้ทางกายขั้นดีเยี่ยม
+ สะสางหนี้แค้น
+ อัตราอนุรักษ์นิยมสูง (มีความอิสระสูง)
พอมูยองตั้งใจสังเกตบาลตันหน้าต่างแสดงสถานะก็แสดงข้อมูลออกมา
'อย่างที่คาดไว้'
บาลตันเติบโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงไม่มีหน้าต่างแสดงข้มูลดังกล่าวมูยองก็ยังรู้สึกได้
ถ้าเขาเติบโตมากขนาดนี้มันก็เพียงพอที่จะพิจารณาว่าเขามีพลังพอๆกับมอนสเตอร์ชั้นยอด
เงื่อนไขที่ต้องการต่อสู้เพื่อปกป้ องผู้อื่นทำให้บาลตันเติบโตขึ้น
และสองปี ที่ผ่านมาก็มีการต่อสู้ที่ไม่เคยหยุดชะงักจึงทำให้เขาแข็งแกร่งเช่นนี้
แต่ถึงกระนั้นมันก็เติบโตเร็วผิดปกติอยู่ดี
'ต้องมีสาเหตุอื่นอีก'
มันยากที่จะกลายเป็ นผู้แข็งแกร่งด้วยการต่อสู้เพียงอย่างเดียว
"พูดต่อไป"
มูยองสั่งราวกับรู้ว่ายังมีเรื่องที่บาลตันยังไม่ได้รายงาน
บาลตันเงยหน้าขึ้น
“ และเมื่ออาณาเขตมีขนาดที่ใหญ่โตระดับหนึ่ง ดันเจี้ยนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง”
ดันเจี้ยนที่ว่าก็คืออาณาจักรของเมอร์ดูดันที่ซึ่งเมอร์ล็อคอาศัยอยู่
“ มีเรื่องแปลกอะไรเกิดขึ้น”
จู่ๆเมอร์ดูดันโผล่ก็ออกมาจากมูยอง และทำหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่ง
เมอร์ดูดันพูดด้วยความเสียใจ
มูยองยังคงยิงคำถามต่อไป
“ แล้วนายไปมีเรื่องกับเอนโรธได้ยังไง?”
“ ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าพวกปี ศาจต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงดินแดน?”
"ฉันรู้"
'สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว'
มูยองคิดถึงสิ่งที่บาลตันพูด
สงครามรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว มันไม่ได้เริ่มต้นหลังจากผ่านมหาภัยพิบัติเหมือนในอดีตที่ผ่านมาหรอกเหรอ?
เดียโบลและสกายลอร์ดรวมถึงสิ่งอื่นๆสร้างตัวแปรใหม่ขึ้นมา
และตัวแปรเหล่านั้นล้วนถูกสร้างหรือได้รับอิทธิพลจากมูยองทั้งสิ้น
'ฉันได้รับพลังเพิ่มขึ้นเพื่อต่อสู้กับตัวแปรต่างๆ'
เมื่ออนาคตยังไม่ได้เกิด ย่อมมีหลายวิธีที่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
“ พวกนายไม่ได้ร่วมมือกันเหรอ?”
มูยองพยักหน้า
ไฟทาร์เป็ นเจ้าของและชนพื้นเมืองของภูมิภาคนี้
นักล่าตามธรรมชาติ และยักษ์ใหญ่แห่งเปลวเพลิง
ขณะที่มูยองกำลังครุ่นคิดประตูก็ถูกเปิ ดออก
ร่างท้วมเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเขา
เขาผู้นั้นคือคนแคระนามว่าการ์มูส
“การ์มูส”
“ อ่าท่านกลับมาแล้วจริงๆ!”
ร่างกายของการ์มูสสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และเกือบจะร้องไห้เมื่อเห็นหน้ามูยอง
“ ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก”
"แน่นอน ข้าเชื่อในตัวท่าน"
“ ฉันอยากรู้รายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของเรา"
"ย่อมได้ ข้าจะอธิบายทุกอย่าง”
การ์มูสพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
การป้ องกันตัวเอง
"ท่านหมายถึงข้า?"
"ใช่"
การ์มูสคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
การ์มูสตอบอย่างร่าเริง ดูเหมือนจะมีคนหนึ่งที่มีความสุขจริงๆที่มูยองกลับมา
“ อะไรคือเหตุผลที่นายต้องสู้กับสกายลอร์ด?” มูยองหันไปถามบาลตัน
ถึงมันจะไม่ง่าย แต่มูยองไม่เคยคิดว่าเขาจะแพ้
***
ชาร์ซาซ่าชอบเล่นเกม
แทนที่จะบดขยี้คู่ต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่ง เขาชอบให้ความหวังก่อนจะสังหารศัตรูมากกว่า
“ นี่คือศิลปะอย่างแท้จริง”
ชายผิวเหลืองผู้ที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้ากล่าว
ชาร์ซาซ่าชื่นชมยักษ์ที่กำลังถูกตรึงด้านหน้า นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆที่มีสภาพไม่ต่างกันอยู่รอบๆ
ขณะที่ชาร์ซาซ่ายื่นมือออกมา คลื่นไฟฟ้ าก็วิ่งวนไปทั่วร่างของผู้ที่ถูกตรึงก่อนจะค่อยๆเผาไหม้พวกเขา
ยักษ์ทั้งหมดเสียชีวิต สิ่งมีชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่นก็ตายเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีลมหายใจ มีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่เหลือรอดอยู่เพียงหนึ่ง
ในขณะที่มองเขา ชาร์ซาซ่าหัวเราะ
ยักษ์ใหญ่เหล่านี้เผชิญหน้ากับชาร์ซาซ่าเพื่อช่วยโอการ์
“ ฟังดูค่อนข้างสนุกเหมือนกันนะ”
ชาร์ซาซ่าระเบิดเสียงหัวเราะ
ในขณะนั้นปี ศาจผู้ใต้บังคับบัญชาของมันก็มารายงานบางสิ่ง
“ท่านซาซ่า”
"มีอะไร? ข้าเหมือนจะเคยบอกเจ้าไปแล้วนะว่าห้ามรบกวนข้าเวลาสร้างผลงานศิลปะ?”
'หืม?'
โผล๊ะ!
“ มีอะไรน่าขันง้ันเหรอ?”
โอการ์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ เจ้าสารเลวนี่เสียสติไปแล้ว”
ซาซ่าเชื่อว่าสุดท้ายโอการ์ก็สูญเสียความคิดของเขา
เขาคงเป็ นบ้าไปหลังจากเห็นพวกพ้องเสียชีวิต
และแน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับเจ้าของอาณาเขตที่ชื่อว่ามูยองมากเท่าไหร่
พื้นที่ที่เรียกว่าอาณาเขต?
และแน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าคนในปกครองของตนจะพัฒนาไปถึงขั้นที่หยุดการโจมตีของซาซ่าได้
อาจเพราะเหตุนั้นมูยองจึงรู้สึกว่าดอนทัคไม่ให้ความเคารพเท่าไหร่ แม้ว่าดอนทัคจะพูดเหมือนเคารพแต่ก็ไม่
พบความเคารพในพฤติกรรมของเขา ดูเหมือนมูยองจะกำลังประเมินดอนทัคอยู่ว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใด
'เขาแข็งแกร่ง'
“ นายรับผิดชอบแทนฮันซุงใช่ไหม?”
“ ใช่ เพราะเราไม่สามารถปล่อยตำแหน่งนี้ให้ว่างนานๆได้…”
ตำแหน่งชั่วคราว
“ ท่านหมายถึงอะไร”
“ ไปช่วยอลันและผู้ที่ถูกซาซ่าจับตัวไว้ ”
มูยองได้ข่าวว่ามีพลเมืองหลายคนของตนถูกซาซ่าจับและคุมขังเอาไว้ เนื่องจากนิสัยที่ชอบเล่นสนุกกับเหยื่อ
ดังนั้นมันจะไม่สังหารเหยื่อในทันที และในเมื่อพลเมืองของเขายังไม่ตาย ก็จำเป็ นต้องช่วยเหลือพวกเขาเป็ น
เรื่องธรรมดา นอกจากนี้หนึ่งในมือดาบที่ดีที่สุดในอาณาเขตอย่างอลันก็ตกเป็ นเชลยของซาซ่าด้วย
การแสดงออกของดอนทัคกลายเป็ นแข็งทื่อ
“ มันออกจะยากเกินไปสำหรับเผ่าพันธุ์อย่างโดเกบิ”
“ นายกำลังพูดอะไร?”
“... ?”
'เอนโรธ'
มูยองชอบความมั่นใจของเขา ก่อนที่ดอนทัคจะได้รับอนุญาตให้จ้องมองมูยองด้วยสายตาท้าทายเขาจะต้อง
พิสูจน์ตัวเอง
'ฉันจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการต่อสู้กับเทพปี ศาจ'
มูยองลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา
ไม่มีเวลาให้เสียเปล่าอีกต่อไป
***
พอมูยองนำมังกรกระดูกเจ็ดตัวไปเยี่ยมหมู่บ้านของพวกไฟทาร์ก็พบว่าจำนวนนักรบของไฟทาร์ลดลงอย่าง
เห็นได้ชัด ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาไม่เจอโอการ์ในสถานที่ดังกล่าว
'น่าแปลก'
ครั้งหนึ่งโอการ์เคยบอกกับมูยองว่าเขาจะสร้างอาณาจักรของไฟทาร์ขึ้น เขาไม่ใช่คนที่จะถูกสังหารได้ง่ายๆ
แม้จะถูกราชาปี ศาจจู่โจมก็ตาม...
เนื่องจากการปรากฏตัวของมังกรกระดูกทำให้ไฟทาร์มารวมตัวกันที่ทางเข้า
"กลับไปซะ"
มูยองได้พบกับคนที่เหมือนจะเป็ นหัวหน้าของพวกไฟทาร์และเขาถูกปฎิเสธ
“ พวกนายสู้กับซาซ่าเพียงลำพังได้งั้นเหรอ?”
ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น มีความตึงเครียดปนอยู่
“หรือว่าโอการ์…ตายแล้ว?”
มูยองพูด
หากพูดเรื่องการต่อสู้ไฟทาร์มีประสบการณ์ที่ไม่สามารถจินตนาการได้ และสำหรับสงครามครั้งนี้มันก็ไม่น่า
จะมีอะไรพิเศษสำหรับพวกเขา
ดังนั้นเหตุผลที่ไฟทาร์มีปฎิกิริยาแบบนี้ บางทีคงมีบางอย่างเกิดขึ้นกับโอการ์!
หลังจากที่มูยองถาม การแสดงออกของหัวหน้าก็แข็งทื่อ
“ ราชาของผืนดินเล็กๆเช่าเจ้าไม่จำเป็ นต้องกังวลกับเรื่องของเรา”
“ฉันก็แค่กังวลเรื่องของโอการ์ เขาคือเพื่อนของฉัน ”
แม้จะดูแปลกๆหากพูดว่าโอการ์เป็ นเพื่อนของเขา แต่ถ้านับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่โอการ์เป็ นคนใกล้ชิดกับมูยองจริงๆ
ตั้งแต่แรกเริ่มเขาเป็ นคนเดียวที่เข้าใจมูยอง หรือพูดอีกด้านหนึ่งก็คือเขาเป็ นไฟทาร์เดียวที่พยายามเข้าใจเขา
มูยองพูดต่อ
มูยองเคยผ่านคลื่นการทดสอบสิบแปดครั้งในสมรภูมิไร้จุดจบของไฟทาร์ อย่างไรก็ตามเขามีโอกาสอีกครั้งใน
การเข้าสู่สมรภูมิไร้จุดจบตอนอยู่กับพวกโดเกบิ
“ 34 …แค่โดเกบิสามารถไปถึงระดับนั้นได้ยังไง”
"ฮึ"
มูยองยื่นคำท้า
เขาสามารถได้รับการยอมรับและความเคารพผ่านการทดลองมากกว่าการประลองฝี มือ
ในขณะที่หัวหน้าเพิ่มแรงกดดันไปที่ไหล่ข้างหนึ่ง ตัวเลขที่สร้างขึ้นจากเปลวไฟก็ปรากฏ
จำนวนคือ 57!
“ย่อมได้ แล้วเจ้าจะเดิมพันอะไร”
“ ฉันจะเดิมพันด้วยทุกอย่างที่มี”
มูยองนำกองทัพและอาณาเขตของเขาเข้าเดิมพัน
“ ข้ายอมรับการเดิมพันของเจ้า”
หัวหน้ามองไปที่มูยองด้วยความกระหาย อย่างไรก็ตามมูยองไม่สนใจ
****
<คุณได้เข้าสู่ 'สมรภูมิไร้จุดจบ'>
<บันทึกทั้งหมดในสถานที่นี้จะถูกบันทึกไว้ในหอคอยเกียรติยศของโซโลมอน>
<บันทึกปัจจุบันของผู้ใช้คือคลื่นที่ '34'>
<คลื่นลูกแรกกำลังเริ่ม>
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากสำหรับสนามรบอันไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้
ตูม!
ฟูมม!
กี๊ซซซ!
เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังขึ้นพร้อมกับคลื่นลูกแรกที่ถูกเคลียร์อย่างรวดเร็ว
<คุณจัดการคลื่นลูกแรกแล้ว>
<คลื่นลูกที่สองเริ่มขึ้นแล้ว>
<คุณจัดการคลื่นลูกที่สองแล้ว>
<คลื่นลูกที่สาม…>
...
<คลื่นลูกที่ 20 ได้เริ่มขึ้นแล้ว>
<300 โกเลมเหล็ก>
เหล็กละลายได้หากถูกไฟเผา แต่ถ้ายังมีแกนกลางพวกมันจะสามารถสร้างตัวเองขึ้นใหม่ได้
แม้ว่าเปลวไฟจะทำลายมันไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถทำให้การเคลื่อนไหวของโกเลมช้าลงจนง่ายสำหรับเขาที่จะ
ดูแลพวกมันต่อ
<คุณจัดการคลื่นลูกที่ 20 แล้ว> <ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ! สมรภูมิไร้จุดจบพึ่งผ่านไปเพียง 15 นาทีเท่านั้น>
<คุณได้รับคะแนน '3' แต้ม> <คุณจะมีโอกาสใช้คะแนนในทุกๆ 50 คลื่น>
เป็ นเรื่องแปลกที่ได้รับแต้มคะแนนในสมรภูมิไร้จุดจบ
'ฉันจะคิดว่ามันเป็ นโบนัสแล้วกัน'
มูยองยักไหล่และรอให้คลื่นลูกต่อไปเริ่ม เขาอยากรู้ตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน
ไฟทาร์รวมตัวกันรอบๆการทดสอบ
“ แต่ก่อนหน้านี้ดยุคก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเขา”
เกิดเป็ นความคิดเห็นที่แตกต่าง
สองชั่วโมงเพิ่งผ่านไปและโดยปกติแล้วการทดสอบจะต้องใช้เวลาหลายวัน ยาตาร์ถือหอกของเขาขณะเงย
หน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้ า
พระอาทิตย์กำลังค่อยๆตกดิน
จากนั้น...เมื่อราตรีย่างกลายเข้ามาเหล่าปี ศาจก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้น
“ กลับไปประจำตำแหน่ง”
“ เราจะไม่ไปช่วยเหลือรองหัวหน้าเผ่าหรือ?”
หนึ่งในไฟทาร์อาวุโสถาม
ยาตาร์ก็รู้ความจริงนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถทำตามความต้องการของทุกคนได้
ยาตาร์ลองส่งนักรบกลุ่มหนึ่งไปช่วยโอการ์แล้ว แต่ก็ไม่มีใครได้กลับมาอีกเลย
“ หยุดคิดถึงเขาเถอะ ข้าไม่อาจส่งนักรบออกไปได้อีกแล้ว”
"นั่นมัน…!"
“ แต่วางใจเถอะข้าจะแก้แค้นให้กับรองหัวหน้าเอง ข้าจะสังหารชาร์ซาซ่าด้วยมือทั้งสองข้างนี้”
ยาตาร์กำหมัดแน่น
ถ้าโอการ์รอดชีวิตมาได้ก็นับว่าโชคดี แต่ชาร์ซาซ่าไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยให้ตัวประกันของมันมีชีวิตอยู่
ได้นานนัก
ยาตาร์กระทืบเท้าลงพื้นในขณะที่ไฟทาร์อื่นๆก็กระทืบเท้าตาม
เพื่อก้าวย่างที่จะได้รับชัยชนะ...เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดิมพันทุกอย่างในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในอีก
สองวัน
***
ฮย๊าาาาาาาา!
ฉัวะ! ฉึก!
การจู่โจมอย่างกะทันหัน!
มันมักสู้ซึ่งๆหน้าและได้รับชนะอย่างต่อเนื่องราวกับว่าไม่จำเป็ นต้องลอบจู่โจมศัตรูที่อ่อนแอกว่า
แต่ทำไม ?
'ข้อมูลรั่วไหลหรือไม่'
นั่นเป็ นความคิดเดียวที่สมเหตุสมผล
ยาตาร์รีบออกจากที่พักของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ฟุบ ฟุบ
“ กลยุทธ์อ่อนหัด!”
ยาตาร์หมุนควงหอกของเขาเร็วขึ้น จากนั้นอากาศรอบด้านก็กลับสู่ปกติอีกครั้ง
หากไฟทาร์จากทุกเผ่ารวมตัวกันทันการลอบจู่โจมเช่นนี้คงไม่ได้ผล ทว่าพวกเขายังอยู่ในระหว่างเตรียมการ
รวบรวมกองกำลังจากพื้นที่อื่น
'ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะบุกก่อนที่เราจะรวมตัวกัน'
'ข้อมูลรั่วไหลจากไหนกันนะ?'
“เจ้าตัวงี่เง่าทั้งหลาย พวกแกไม่คิดบ้างเหรอว่าข้าจะจับตาดูหมู่บ้านนี้อยู่?”
เปรี้ ยง!
“อ๊าก!”
ขณะที่ร้องด้วยความเจ็บปวดยาตาร์ก็หันไปยังทิศทางของศัตรู
“ ไฟทาร์มีเลือดของนักรบไหลเวียนอยู่แล้วยังไง เมื่ออยู่ต่อหน้าความตายทุกเผ่าพันธุ์ล้วนไม่แตกต่างกัน ”
ชาร์ซาซ่าดูผ่อนคลายมาก
“ รองหัวหน้า…เกิดอะไรขึ้นกับรองหัวหน้าของเรา”
“ ถ้างั้น…ข้าจะสังหารเจ้าก่อน”
"เจ้างั้นรึ? ที่จะสังหารข้า?”
ชาร์ซาซ่าทำหน้าเย้ยหยัน
จากนั้นวงแหวนสายฟ้ าก็ถูกสร้างขึ้นรอบตัวมัน
แซ่ดดด !!!
กระแสไฟเริ่มแข็งแกร่งขึ้น
“ ไหนให้ข้าชมความสามารถของเจ้าหน่อย รับรองว่าแม้แต่นิ้วข้าก็จะไม่ขยับหนีไปไหน”
และยาตาร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเล่นตาม
ชาร์ซาซ่าพูดต่อ
“ ถ้าเจ้ายังไม่รีบล่ะก็ ไฟทาร์ทั้งหมดที่นี่จะต้องตาย”
ยาตาร์ก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
เขาถือหอกและสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะวิ่งไปที่ชาร์ซาซ่า
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!!!
“ อย่างน้อยต้องกำจัดเจ้าให้ได้…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น!”
ยาตาร์เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อห่างกันเพียงสี่ก้าวชาร์ซาซ่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเช่นกัน
ซาซ่าไม่เคยคาดคิดว่าไฟทาร์จะผ่านกำแพงดังกล่าวมาได้ อย่างไรก็ตามผลที่ออกมาทำลายความเชื่อเหล่านั้น
ตึง! ตึง!
เขายิ่งเข้าไปใกล้มากขึ้นทีละก้าวๆ
ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในระยะทางที่ลมหายใจของพวกเขาสามารถส่งถึงกันและกันได้
ร่างของชาร์ซาซ่าสั่นเบาๆ และนิ้วของเขาก็ขยับโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
แซ่ดดดดดด!
อย่างไรก็ตาม
เปรี๊ยะ!!!
ตึง!
ตึบ!
เขาใช้มือแตะไปที่หน้าอกของชาร์ซาซ่า
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“ ถึงแม้ว่าความห้าวหาญของเจ้าจะน่าชื่นชม แต่ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องตาย”
ชาร์ซาซ่ายิ้มแต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียหน้า ชาร์ซาซ่าไม่คิดว่ายาตาร์จะสามารถทำลายความภาคภูมิใจของ
มันลงได้เช่นนี้
และในตอนนั้นเอง...
“ แกมันน่ารังเกียจจริงๆ”
เสียงดังมาจากด้านข้างจนชาร์ซาซ่าต้องเอียงศีรษะแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง
ชาร์ซาซ่าหันศีรษะของมัน
จากนั้นมันก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ในวงล้อมของกระแสไฟฟ้ าราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย
ซาซ่าไม่คิดว่าจะมีผู้ใดเข้ามาใกล้ตัวเองได้โดยที่มันไม่รู้ตัวเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นชาร์ซาซ่าไม่ได้สังเกตเห็นชายคนนั้นจนกว่าเขาจะพูดขึ้น!
ทว่าชายคนนั้นไม่ได้มองมายังชาร์ซาซ่า
เขามองไปที่ยาตาร์ซึ่งกำลังจะดับสลายด้วยการถูกเผาไหม้
“ ตามที่สัญญาไว้ฉันจะรับผิดชอบเรื่องไฟทาร์เอง นายมีข้อขัดข้องอะไรอีกไหม?”
ยาตาร์มองไปที่ชายคนนั้น
เขามองไหล่ของชายคนนั้นและยิ้มอย่างมีความหวัง จากนั้นเขาก็ค่อยๆหลับตาในขณะที่ทรุดตัวลงกับพื้น
"เจ้าคือใคร?"
ชาร์ซาซ่าถามด้วยความรู้สึกระแวดระวังเล็กน้อย
ชายคนนั้นมองไปรอบๆราวกับไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ในเขตสงครามตอนปรากฎตัวออกมา
ยังไงก็ตามเขาไม่ได้แสดงความเกลียดชังใดๆต่อสงครามที่เกิดขึ้น มันเหมือนกับเขาจะเคยชินกับเหตุการณ์
เช่นนี้อยู่แล้ว
“ ฉันคือผู้นำคนใหม่ของที่นี่”
สวูม!
ชายคนนั้นหยิบดาบออกมา
“ ส่วนเรื่องอื่นนายไม่จำเป็ นต้องรู้”
เขาควงอาวุธของเขา
อาวุธสีดำที่กำลังปลดปล่อยความรู้สึกอันชั่วร้าย
ชาร์ซาซ่ามองมูองราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง อย่างไรก็ตามชายคนนั้นทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรพิเศษ
เช่นเดียวกับที่ซาซ่าทำก่อนหน้า ชายคนนั้นยิ้มก่อนจะพูดต่อไป
“ เพราะนายกำลังจะตายด้วยมือของฉัน”
วูม!
ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็พัดผ่านและเสื้อผ้าของมูยองก็กระเพื่อม
จากนั้นตัวเลขบนไหล่ของเขาก็ปรากฏอย่างชัดเจน
127!
.................................
ถึงอย่างนั้นมูยองก็ยังไม่พอใจ
สมรภูมิไร้จุดจบ เขาคิดว่ามันจะสามารถดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนชื่อซะอีก
มูยองผ่านคลื่นลูกต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้งจนกระทั่งมันจบลงที่คลื่นลูกที่ 127
มูยองแค่อยากรู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถสัมผัสประสบการณ์นั้นได้ จึงไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าความผิดหวัง
มูยองเหลียวมองไปที่ชาร์ซาซ่า
ทันทีที่ออกมา เขาก็เจอคู่ต่อสู้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาได้สัมผัสกับขีดจำกัดของตัวเอง
มูยองดึงความโกรธเกรี้ ยวออกมา
เขาต้องการคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
“ เจ้านะหรือจะสังหารข้า?”
ชาร์ซาซ่าหัวเราะราวกับว่ามันเป็ นเรื่องตลกสนุกสนาน
อย่างไรก็ตามมันก็ยังประหลาดใจ
เมื่อไหร่กันที่มูยองเข้ามาสู่เขตการรับรู้ของมัน?
หากมูยองไม่พูดขึ้นมาซะก่อนก็มีโอกาสสูงมากที่มันจะถูกลอบโจมตี
พอคิดได้ดังนั้น ชาร์ซาซ่าก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลังเล็กน้อย
นานมาแล้วที่มันไม่ได้เจอกับตัวตนแบบนี้
แน่นอนชาร์ซาซ่าย่อมไม่ถูกสังหารด้วยการลอบจู่โจมเพียงครั้งเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งผลกระทบอย่างมาก
ต่อจิตใจ
มันจะไม่ประมาทอีกเป็ นครั้งที่สอง
'ชายผู้นี้คือใครกันแน่?'
ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ถ้าในโลกนี้มีความดีและความชั่วร้ายอยู่ มันก็เหมือนกับว่าเขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง
มันเป็ นครั้งแรกที่ชาร์ซาซ่าได้พบกับตัวตนที่แปลกประหลาดเช่นนี้
เพียงแค่มองผู้ชายคนนี้ก็รู้สึกเหมือนว่าเส้นผมทั้งหมดของมันกำลังตั้งชัน
“ ฉันจะดูว่าสายฟ้ าของแกจะหยุดการโจมตีของฉันได้ไหม”
มูยองถือความโกรธเกรี้ ยวอยู่ในมือ
จากนั้นคลื่นแสงรุนแรงก็สาดส่องไปทั่วบริเวณ
ฟูว!
“ เปลวไฟเหล่านี้…!”
ชาร์ซาซ่ารู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง
มันอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจจริงๆ
เปลวเพลิงที่แผ่กระจายรอบๆมูยองเป็ นสิ่งที่มันคุ้นเคยมาก
ศัตรูของปี ศาจทุกตน...เดียโบล!
เปลวเพลิงของมูยองคล้ายกับของเดียโบลมาก
มูยองไม่สนใจสิ่งที่ชาร์ซาซ่าคิดและลอยร่างเข้าไปหามันอย่างช้าๆ
“หนอย..!”
และชาร์ซาซ่าไม่ใช่คนโง่เง่าถึงขนาดไม่เข้าใจเรื่องนี้
มันกัดฟันตัวเองแน่น มันรู้สึกอับอายที่ถูกกยอกล้อโดยตัวตนที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าสายพันธุ์ผสม
เสมือนการต่อสู้ระหว่างโล่และดาบ
“ เจ้ามีเปลวเพลิงเช่นนั้นได้ยังไง?!”
มันเป็ นไปไม่ได้
ไม่ควรมีการดำรงอยู่ของตัวตนอันเป็ นไปไม่ได้ถึงสอง!
และถ้าชาร์ซาซ่าฆ่ามูยองตอนนี้ได้ มันจะได้รับเกียรติยศที่เพิ่มสูงขึ้น!
แต่มูยองไม่ตอบกลับ
แทนที่การพูดจามูยองฟาดดาบออกไป
ชิ้ง! ตูมมมมม!
“ หากเจ้าไม่ยอมตอบ งั้นข้าจะง้างปากของเจ้าเค้นมันออกมาเอง!”
ชาร์ซาซ่าไล่ความคิดอันน่าตกตะลึงของมูยองทิ้ง
แม้ว่าจะมีความแตกต่างในระดับพลัง แต่นั้นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถเอาชนะได้
เพล้ง!
ดาบสายฟ้ าแตกพังทลาย
มูยองเป็ นผู้เชี่ยวชาญดาบ เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่ถูกเรียกว่า 'ดาบ' ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
"แกมันน่าเบื่อ"
มูยองพูดออกด้วยความจริงใจ
แม้ในอดีตมูยองจะไม่เคยต่อสู้กับราชาปี ศาจ
อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งที่เขารู้ได้จากการสังเกต
รวมไปถึงชาร์ซาซ่า
“น่ะ-น่าเบื่อ?”
เป็ นคำพูดที่สะทกสะเทือนต่อความภาคภูมิใจของชาร์ซาซ่ามาก
ตัวตนแปลกประหลาดที่ปรากฏขึ้นอย่างไร้ที่มา นอกจากนี้ยังมีเปลวเพลิงของเดียโบลที่ทำให้มันสับสน
'มันกล้าพูดว่าเราน่าเบื่อ!'
สายฟ้ าสีดำพุ่งลงมาปกคลุมร่างทั้งหมดของชาร์ซาซ่า
จากนั้นก็กลายเป็ นชุดเกราะ
ยามก่อนร่างของมันเปลือยเปล่า ทว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
“ ไม่มีใครรอดชีวิตไปได้หลังจากเห็นชุดเกราะของข้า”
ชาร์ซาซ่ากระตุ้นมูยอง
มูยองยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
'ตอนนี้มันควรคุ้มค่าที่จะต่อสู้แล้ว'
มูยองยังไม่ได้เอาจริงเต็มที่เลย
ขนาดคลื่นลูกที่ 127ของสมรภูมิไร้จุดจบก็ยังไม่สามารถเรียกเหงื่อจากเขาได้
ดังนั้นจึงเป็ นโอกาสที่เขาจะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขีดจำกัดของตัวอง
ชาร์ซาซ่าควรพยายามเอาจริงตั้งแต่แรก
จากนั้นเมื่อมูยองหุบยิ้ม การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
เปรีี้ ยง!
สายฟ้ าสีดำขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนก่อนจะกลืนกินมูยองเข้าไป
***
วาบ!
ลำแสงขนาดใหญ่ส่องสว่างในทุกที่
การต่อสู้ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมักจะทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังส่งอิทธิพลต่อ
สภาพแวดล้อมรอบๆด้วย
“ ดาวของชาร์ซาซ่าดับไปแล้ว”
ณ ปราสาทขนาดใหญ่บนยอดเขา
ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำนั่งอยู่บนบัลลังก์กลางปราสาท
เอนโรธ
ชื่อแห่งความสำเร็จของมันล้วนแต่ฟังดูน่าเกรงขาม
และตอนนี้เอนโรธรู้แล้วว่าหนึ่งในสามดวงดาวอันเป็ นบริวาลของมันกำลังร่วงหล่น
ดวงดาวแห่งผืนดินกระซิบบอกกับมัน
“ ใครบังอาจกล้าทำร้ายเขา”
ปี ศาจในปกครองมากมายกำลังยืนเตรียมพร้อม
หากพวกมันกางปี กออกพร้อมกันผืนดินจะต้องแห้งเหี่ยว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดินแดนนี้จะหายไป เพียงแค่ได้
รับคำสั่งเดียวพวกมันก็พร้อมจะทำทุกสิ่ง
เอนโรธลุกขึ้นจากที่นั่ง
ร่างอันใหญ่โตของมันมากพอที่จะทำให้พวกยักษ์ดูเล็กไปเลย
“ ผู้สังหารชาร์ซาซ่าไม่ใช่ราชาปี ศาจ”
“ นั่นไม่ใช่เทพปี ศาจเช่นกัน”
“ ถ้าเช่นนั้นหรือมันเป็ นตัวตนเหนือธรรมชาติ?”
ตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งสี่ดำรงอยู่ในส่วนต่างๆของโลก
หากเป็ นหนึ่งในนั้นพวกเขาสามารถฆ่าชาร์ซาซ่าได้
อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่หนึ่งในสี่
“ เขาเป็ นมนุษย์”
“ เขาเป็ นความผิดพลาดที่เกิดจากรอยแยก”
ผู้ที่รอดพ้นจากความตาย
มนุษย์ที่ฆ่าชาร์ซาซ่านั้นไม่แตกต่างจากความผิดพลาดดังกล่าว
ความผิดพลาดจะต้องถูกทำลายจนสิ้นซากทันทีที่พบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดที่ถูกรอยแยกสร้างขึ้น
โดยไม่มีจุดประสงค์
“ จากนี้ไปจงไปยังพื้นที่ที่ชาร์ซาซ่ารับผิดชอบ และสังหารมนุษย์ผู้นั้นซะ”
เอนโรธสั่งการ
ฟูม!
ผ่านคำสั่งของเอนโรธ
นี่คือจุดจบที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
สุดท้ายสายฟ้ าของชาร์ซาซ่าก็ช่วยอะไรมันไม่ได้
แม้จะยอมเผยพลังที่แท้จริงออกมา แต่ชาร์ซาซ่าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมูยอง
ส่วนในด้านของมูยองเขารู้สึกผิดหวังมาก
แน่นอนเมื่อชาร์ซาซ่าสู้เต็มกำลังบางครั้งก็ดูน่าตื่นเต้นดี
อย่างไรก็ตามมันกลับไม่สามารถคงอยู่พลังเช่นนั้นไว้ได้นาน
ด้วยสิ่งนี้จึงทำให้มูยองสามารถเข้าใจสถานะปัจจุบันของตนได้บ้าง
'แล้วถ้าเป็ นเอนโรธล่ะ?'
ปี ศาจที่ถูกกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเหล่าราชาปี ศาจ
อย่างไรก็ตามมูยองคิดว่าตนยังเร็วกว่า การลงมือสังหารฆ่าชาร์ซาซ่าทันทีทำให้เขามีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น
<การล่าราชาปี ศาจถูกเพิ่มไว้ในประวัติของคุณ'>
<อันดับของทักษะ 'ราชาปี ศาจแห่งกองพันที่ 27' เพิ่มขึ้นเป็ นระดับ S. >
ข้อความจำนวนสั้นๆปรากฏขึ้นในสายตาของมูยอง
มูยองเลื่อนดูสถานะของตัวเองเพื่อตรวจทักษะปัจจุบัน
* ผลของทักษะขั้นสุดท้าย. - ???
เกี่ยวกับเอฟเฟกต์ 'พลังงานอันล้นเหลือ'
การที่มันเพิ่มค่าพละกำลังกับความอดทนมากถึง 10 หน่วย คุณสามารถพูดได้ว่ามันดีกว่าเอฟเฟกต์ประเภท
เสริมความแข็งแกร่งทั้งหมดเสียอีก
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!
มูยองครุ่นคิดเกี่ยวกับร่างของชาร์ซาซ่า
อย่างไรก็ตาม ...
'มันน่าเสียดายที่จะทิ้งไป'
ทว่าสำหรับมูยองจินตนาการกลับสามารถกลายเป็ นจริง
'ศิลปะแห่งความตาย'
ในขณะที่เขาใช้ทักษะ พลังงานสีดำก็ไหลหลั่งออกจากมือของเขาลุกท่วมไปทั่วร่างชาร์ซาซ่า
อย่างไรก็ตามพลังงานสีดำไม่สามารถเจาะทะลวงเข้าไปในร่างกายของชาร์ซาซ่าได้โดยทันที
หากเทียบกันแล้วมังกรกระดูกทั้งเจ็ดตัวยังไม่สามารถเทียบได้กับระดับของชาร์ซาซ่า มูยองจึงได้แต่รอคอย
อย่างอดทน
ในขณะเดียวกัน ไฟทาร์ก็ค่อยๆมารวมตัวกันหลังจากที่การต่อสู้ทั้งหมดจบลง
“นั่น”
“ ท่านกำลังทำพิธีกรรมบางอย่างใช่หรือไม่?”
“ อย่าแตะต้องมัน”
ไฟทาร์ทุกคนพากันเงียบ และดูว่ามูยองกำลังทำอะไรอยู่
แม้ว่ายาตาร์จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ทุกคนก็ยังหลงเหลือศรัทธาและรู้จักความภักดี
ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ว่าตัวเลขบนไหล่ของมูยองหมายถึงอะไร
ตามที่สัญญากันไว้มูยองจะต้องกลายเป็ นหัวหน้าใหญ่คนต่อไปของไฟทาร์
แม้สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของไฟทาร์มาก่อน แต่มูยองก็เป็ นผู้ที่ได้ช่วยพวกเขาหลายครั้งหลายหน
และยังเป็ นนักรบที่แข็งแกร่ง
ในยุคของการต่อสู้และสงคราม นักรบที่แข็งแกร่งย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเยี่ยมเสมอ
แน่นอนว่าผู้สืบทอดอย่างโอการ์ยังมีชีวิตอยู่และยังมีปัญหามากมายที่ต้องสะสาง แต่พวกเขาก็ตระหนักได้ถึง
ความสัมพันธ์ของมูยองกับโอการ์
'ได้ผล'
30 นาทีหลังจากนั้นริมฝี ปากของมูยองก็ขยับขึ้นเล็กน้อย
ตามที่มูยองคาด พลังงานสีดำไหลเข้าสู่ร่างกายของชาร์ซาซ่าอย่างช้าๆ
ท้ายที่สุดมันก็ไม่ใช่ว่าเป็ นไปไม่ได้
ชื่อ:ชาร์ซาซ่า
เลเวล: 620
ประเภท: ความมืด
พละกำลัง 620 ความว่องไว 615 ความอดทน 550
ร่างของชาร์ซาซ่ายกตัวขึ้นอีกครั้ง
ไฟทาร์แตกตื่นทันที แต่พอเหลือบไปเห็นการกระทำของมูยองพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสับสน
มูยองมองชื่นชมและสัมผัสร่างกายของชาร์ซาซ่าราวกับว่าไม่มีอะไรแปลกประหลาด ก่อนที่มันจะหายไปตาม
ความคิดของเขา
'ดีมาก'
มันแข็งแกร่งกว่าอันเดธที่เคยสร้างมา
เลเวลที่มากกว่า 600!
มูยองยักไหล่และดึงคริสตัลสีดำออกมา
มูยองกลินมันลงไปโดยปราศจากความลังเล หลังจากนั้นตัวของเขาก็สั่นราวกับถูกไฟช็อต
มูยองหันไปมองทุกคน
ไฟทาร์ที่ยืนอยู่รอบๆต่างมองมาที่เขา
“ชาร์ซาซ่ายังไม่ตายเหรอ?”
ไฟทาร์ทั้งหมดตกลงเช่นนั้น
สำหรับโอการ์มูยองยังไม่ได้คิดวางแผนอะไรไว้
“เอาล่ะ ฉันจะไปช่วยโอการ์ทันที”
มูยองตอบรับโดยไม่ลังเล
จากนั้นไฟทาร์ก็ติดตามมูยองไป
***
ปี ศาจที่เหลือถูกกำจัดลงอย่างง่ายดาย
เมื่อพวกมันทราบว่าชาร์ซาซ่ากลายเป็ นพวกเดียวกับศัตรูไปแล้วก็สูญเสียความตั้งใจในการต่อสู้ไปจนหมด
ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการตามล่าปี ศาจที่พยายามหลบหนี
และจากสถานการณ์ดังกล่าวโอการ์ก็ถูกช่วยตัวออกมา อย่างไรก็ตามโอการดูสิ้นสติไปแล้ว
อย่างไรก็ตามการรักษาอาการบาดเจ็บของเขานั้นง่ายดายมาก
“มูยอง…เจ้ากลับมาแล้ว”
ทันทีที่โอการ์ตื่นขึ้นก็ตระหนักถึงมูยองทันที จิตใจของเขาแข็งแกร่งมากแม้จะถูกชาร์ซาซ่าทรมานมากมายก็
ยังไม่ยอมแพ้
เขาแสดงสีหน้าแปลกๆหลังจากรู้ว่ามูยองนำกองทัพไฟทาร์ติดตามมาด้วย แต่ไม่นานก็ได้แต่ยอมรับมัน
“อีกไม่นานเอนโรธจะมาที่นี่”
โอการ์ให้ความร่วมมือกับมูยองเป็ นอย่างดี
หลังจากที่เขาประกาศว่าจะช่วยมูยอง ในแต่ละวันก็มีไฟทาร์หลายร้อยตนมาเข้าร่วมกับกองกำลัง
'เราต้องเคลื่อนไหวให้เร็วกว่าเอนโรธ'
ก่อนที่เอนโรธจะทำอะไร เขาต้องชิงทำก่อน แม้ผลลัพธ์จะออกมาเป็ นสงครามเช่นเดียวกัน แต่หาก
กระบวนการแตกต่างกันผลของสงครามย่อมแตกต่างกันออกไปด้วย
จ้าวแห่งหนองน้ำ?
มูยองไม่เคยได้ยินชื่อดังกล่าวเลย แต่ไม่มีทางที่โอการ์จะโกหก
หากพวกเขาแข็งแกร่งจนโอการ์ยังยอมรับ นั้นหมายความว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ต้องมีระดับเดียวกับเหล่าไฟ
ทาร์
จะว่าไปเหล่าภูตินั้นก็เหมือนคนไร้บ้าน
ดังนั้นเหล่าภูติจึงทำสัญญากับโซโลมอนเพื่อสร้างโลกใบดังกล่าว พวกเขาสร้างการทดสอบและเสียสละสิ่ง
ต่างๆเพื่อที่จะได้รับดินแดนในอุดมคติที่เฝ้ ารอคอย และในการทดสอบเหล่าภูติย่อมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน พวก
เขาสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้อย่างละเอียด
นั่นคือความสามารถที่วูฮีก็มีเช่นกัน
บางคนเคลียร์การทดสอบทั้งหมด วูฮีอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างเมื่อเธอเห็นชื่อเขา
'มูยอง!'
“ โอ้วูฮี เจ้าออกมาแล้ว!”
"ท่านแม่!"
“ ทำไมเจ้าถึงไม่พักอยู่ที่นี่อีกสักหน่อย ?”
น้ำเสียงของวูฮีเต็มไปด้วยความเด็ดขาด
มันไม่ใช่เรื่องไม่แปลกที่วูฮีจะพูดถึงเดียโบลที่นี่ เพราะที่นี่คือโลกที่แต่เดิมเคยมีตัวตนอย่างเดียโบลอยู่...หลัง
จากสูญเสียโลกเดิมไป พวกภูติก็อาศัยอยู่ที่นี่นับแต่นั้นมา
ภูติที่วูฮีเรียกว่าแม่ทำสีหน้าเศร้า
“ เห้อ...ถ้าวูฮีไม่อยู่สักคน ที่นี่คงจะเงียบเหงาน่าดู”
“ ให้ท่านพ่อเล่นกับท่านสิ ยังไงวูฮีก็จะออกไป”
"ให้ข้า?"
"วูฮีจะไป"
หลังจากบอกลาสั้นๆ วูก็ออกจากห้องไป
เพราะเธออาศัยอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์น่ากลัวมากมายจึงค่อนข้างชินชากับเรื่องดังกล่าว
และแล้ววูฮีก็เดินไปถึงห้องที่สี่
ทว่าหลังจากเข้าไปในห้องนั้นแล้ว เธอก็ไม่สามารถขยับตัวได้
"เอ๊ะ? นี่มันอะไรเนี้ย?"
“โฮ๊ะๆ”
“ชิ!”
วูฮีทำแก้มป่ องด้วยความโมโหทันทีที่รู้ว่าใครแกล้งเธอ
“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าจะหนีไปจากข้าได้เหรอ?”
"ท่านแม่! นี่ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ วูฮีต้องรีบไปแล้ว ข้าต้องไปลงโทษเจ้ามอนสเตอร์เกเรอย่างเดียโบล”
วูฮีทำท่าจริงจังมาก
ขนาดผู้ที่ถูกเรียกว่ามารดายังไม่เคยเห็นเธอเป็ นเช่นนี้มาก่อน
“ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเดียโบลเป็ นตัวที่อันตรายแค่ไหน?”
“ ถึงจะร้ายกาจแค่ไหน ท่านก็เคยเล่าว่ามันเคยพ่ายแพ้ท่านพ่อมาก่อน!”
“ นั่นเป็ นคำพูดของแม่รองไม่ใช่เหรอ”
“ เขาเหมือนท่านพ่อ”
"ว่าไงนะ?"
“ เขาทำให้ข้านึกถึงท่านพ่อ แต่เขาดูไว้ใจได้กว่าท่านพ่อซะอีก”
วูฮีไม่เคยพูดเกี่ยวกับมูยองมากจนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่เพราะมันจะทำให้เธอถูกวิพากษ์วิจารณ์
อย่างหนัก ภูติเป็ นสิ่งมีชีวิตขี้เล่นและปกติจะไม่ซีเรียสกับเรื่องอะไร มันเป็ นครั้งแรกที่วูฮีจริงจังเช่นนี้
“ ถ้างั้นล่ะก็..รับสิ่งนี้ไป”
"มันคืออะไร?"
ดูเหมือนจะเป็ นน้ำหอมขวดเล็กๆที่บรรจุของเหลวอยู่ไม่กี่หยด
"ไปเถอะ แต่ยังไงก็ตามจำไว้ว่าไม่มีชายคนใดไว้ใจได้เท่ากับพ่อของเจ้า”
“ นั่นไม่ใช่เรื่องจริง!”
พูดจบวูฮีก็บินตรงไปที่ประตูมิติ
***
ไม่ใช่แค่โอการ์ที่ถูกมูยองช่วยออกมา
"ข้าจะไปกับท่านด้วย"
ขณะมูยองเตรียมออกเดินทางอลันก็พูดขึ้น อย่างไรก็ตามมูยองปฏิเสธ
“ นายต้องไปช่วยงานพวกคนแคระทางทิศตะวันตก ไม่ช้าเอนโรธจะพาสมุนของมันบุกมาถึงสถานที่แห่งนี้”
ทุกคนมีบทบาทของตัวเอง
เบซองมินกับทาร์แคนออกจากที่นี่ไปแล้ว พวกเขาล่วงหน้าไปเบี่ยงเบนความสนใจของเอนโรธ
อลันทำสีหน้าผิดหวัง อย่างไรก็ตามมูยองไม่คิดจะพาใครไปที่นั่นด้วย
'จ้าวแห่งหนองน้ำ'
ชื่อที่เขาเคยได้ยินเป็ นครั้งแรก
มูยองอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของพลังนี้ โชคดีที่โอการ์บอกเส้นทางคร่าวๆเกี่ยวกับที่อยู่ของพวกมันให้มูยอง
ทราบแล้ว
มูยองไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วหยิบแผ่นหนังออกมาสองสามผืน
แผ่นหนังที่ได้รับพรจากดวงจันทร์และได้รับความแข็งแกร่งจากราชันอมตะ!
มูยองกำลังวางแผนที่จะสร้างอุปกรณ์ส่วนที่เหลือให้เสร็จในชุดเซ็ตราชันอมตะ ในการสร้างของแบบนี้เขา
ต้องการทักษะของบาทัส บาทัสเป็ นราชาของคนแคระ และเป็ นคนแคระที่มีทักษะดีที่สุด หากอุปกรณ์ถูก
สร้างขึ้นด้วยมือของเขา มูยองจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด
"ข้าเข้าใจแล้ว"
ด้วยใบหน้าที่ยังผิดหวังเล็กน้อยอลันเดินหลบไปด้านข้าง
หลังจากตระเตรียมสิ่งของไม่กี่อย่างมูยองก็กางปี กแล้วจากไป
***
ในส่วนที่ลึกที่สุดของป่ า
มีผืนน้ำอันแสนลึกดำรงอยู่ ผืนน้ำที่จ้าวแห่งหนองน้ำอาศัยอยู่เบื้องล่าง ในขณะที่เขาเข้าไปในพื้นที่ที่กิ่งก้าน
ของต้นโพธิ์ เหยียดถึง หนองน้ำก็กลืนมูยองไปทั้งตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความรู้สึกคลื่นใส้มูยองล้มตัวลง
และในไม่ช้าเขาก็โผล่ออกมาพบกับโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
'ที่นี่คือ... '
ภายใต้หนองน้ำ มีสถานที่อื่นอยู่
[ระบุรูปแบบสิ่งมีชีวิต] [ระบุรูปแบบสิ่งมีชีวิต]
หึ่งหึ่งหึ่ง!
'นั่นคือภาษาบนโลก…'
‘มันน่าแปลกที่สิ่งนี้คือ 'จ้าวแห่งหนองน้ำ'
'จ้าวแห่งหนองน้ำน่าจะมีอยู่นานมากแล้วนี่?'
โอการ์เป็ นคนบอกเรื่องนี้กับมูยองเอง
พวกมันมีอยู่ก่อนที่ไฟทาร์จะเกิดขึ้นในสถานที่นี้เสียอีก โอการ์กล่าวว่าเคยเห็นพวกมันมานานแล้ว และอีก
หลายๆคนก็พากันเรียกพวกมันว่า 'จ้าวแห่งหนองน้ำ' หากเป็ นเช่นนั้นจ้าวแห่งหนองน้ำมาจากโลกใช่หรือไม่
'คล้ายกับเรื่องของเอลย่าซีโก้หรือเปล่า?'
[ระบุหมายเลขผู้ใช้ - 3569947521]
ภูเขาแยกออกเป็ นสองฝั่ง
มูยองรู้สึกเวียนหัวอยู่ครู่หนึ่ง
จ้าวแห่งหนองน้ำ คือเรือโนอางั้นเหรอ?
หลังจากถูกโจมตีโดยเอลย่าซีโก้ ความหวังสุดท้ายของมนุษย์ก็อยู่ที่เรือโนอาก่อนที่พวกเขาจะใช้มันหนีไป
อย่างไรก็ตามไม่มีร่องรอยของมนุษย์ในบริเวณโดยรอบ มองในอีกมุมหนึ่งอาจมีเพียงเรือไม่กี่ลำที่ได้ลงจอดที่
นี่โดยไม่คาดคิด อย่างไรก็ตามมีบางคำที่ดึงดูดความสนใจของมูยอง
'มนุษยชาติที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทำลาย'
'ฉันต้องหาคำตอบให้ได้'
เสมือนบอลด้ายที่ยังคงกลิ้งไปเรื่อยๆด้วยความยุ่งเหยิง
และดูเหมือนจะมีเพียงมูยองที่จะสามารถคลี่คลายเส้นด้ายเหล่านั้นได้
“ ฉันขอปฏิเสธการเปิ ดใช้งาน”
[ด้วยคำสั่งของกัปตัน ระบบจะถูกปิ ด]
แทนที่จะมาคิดเรื่องปวดหัว มูยองเอาเวลาไปคิดเกี่ยวกับฟังชั่นก์ต่างๆของเรือดีกว่า
ถ้าหากเอลย่าซีโก้เป็ นอาวุธสำหรับโจมตี เรือโนอาก็มีจุดประสงค์ในการป้ องกัน
'แต่…ดูเหมือนเทคโนโลยีของมันจะก้าวหน้าไปกว่าที่ฉันจำได้'
เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงจากความทรงจำของมูยองเกี่ยวกับโลกในช่วงยุค 2000ไม่มีทางมีเทคโนโลยีในการ
สร้างเรือโนอาลำนี้ได้
‘หมายเลข 3569947521’
นั่นก็เป็ นสิ่งที่เขาสงสัยเช่นกัน
มันคืออะไรกันแน่? เขาพลาดลืมสิ่งไหนไปหรือเปล่า?
มีหลายสิ่งมากเกินไปที่เขาไม่รู้
'ทุกอย่างก็ยังเชื่อมโยงกับพวกเทพปี ศาจ'
เขาเอะใจขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่าเทพปี ศาจรู้วิธีใช้งานเอลย่าซีโก้
อย่างน้อยพวกมันก็มีความเชื่อมโยงกับเอลย่าซีโก้
เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้เรื่องเกี่ยวกับเอลย่าซีโก้ไม่มากก็น้อย
'สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน'
มันไม่เปลี่ยนอะไร และไม่มีอะไรเปลี่ยน
มูยองมองไปยังเรือโนอาอีกครั้ง
มูยองเก็บเรื่องสร้างชีวิตที่เก็บไว้ในเรือไว้ก่อน ตั้งแต่แรกเขาก็คิดว่ามันต้องมีประโยชน์สำหรับการเผชิญหน้า
กับเอนโรธ
มูยองพยักหน้าและรีบทำตามแผนต่อไปอย่างรวดเร็ว
***
ทาร์แคนยืนอยู่บนเนินเขาเล็กๆกับเบซองมิน
พวกเขาทั้งสองมีกองกำลังทหารคนละหนึ่งหมื่น ในด้านของเบซองมินเขาเป็ นผู้บัญชาการเอลย่าซีโก้หนึ่ง
หมื่นตัว ส่วนทาร์แคนบัญชาการเหล่าภูตผีวิญญาณหนึ่งหมื่นตน
กองกำลังทั้งหมดนี้พลางตัวไว้อย่างแนบเนียนผ่านการใช้เวทมนตร์ร่วมของเบซองมินและจิน
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือพวกกำลังแอบดักซุ่มโจมตีศัตรู ยังไงซะเส้นทางนี้ศัตรูก็ต้องเดินทัพผ่านพวกเขาจึงรอ
ที่นี่อย่างเงียบๆ นี่คือภารกิจที่มูยองมอบให้พวกเขา
“ จะว่าไปแล้วดูเหมือนทุกเส้นทางที่มูยองเลือกเดินจะต้องเต็มไปด้วยการต่อสู้สินะ”
ทาร์แคนพูด
ขอบคุณสิ่งนี้ที่ทำให้ทาร์แคนได้รับแรงบันดาลใจ แต่บางครั้งแม้แต่ทาร์แคนก็รู้สึกว่ามูยองหักโหมจนเกินไป
“ หรือเขาอยากเป็ นเทพเจ้าของโลกใบนี้?”
ทาร์แคนยักไหล่
ราวกับเป็ นส่วนหนึ่งของสงคราม มูยองเข้ากันได้เป็ นอย่างดีกับสมรภูมิรบ มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาจะมี
ชีวิตแบบไหนถ้าไม่ได้อยู่ในอันเดอร์เวิลด์
อาชูร่ารู้ว่ามูยองจะมีแนวโน้มแบบนี้ตั้งแต่แรกหรือไม่?
“ความทรงจำ ...”
ซองมินไม่สามารถพูดอะไรเพิ่มเติมได้อีก
พูดเกี่ยวกับความทรงจำ
เบซองมินถูกปลุกให้ตื่นและแข็งแกร่งขึ้น ทว่าไร้ความทรงจำที่แน่นอน
แม้จะอยากรู้ว่าผู้ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาคือใครกันแน่ แต่อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าไม่ควร
พบบุคคลนั้น
สิ่งต่างๆมากมายได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาเชื่อว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในตำแหน่งใดๆที่จะยืนหยัดอย่างมั่นใจต่อหน้า
อดีตของตน
คนที่เขาต้องการค้นหาย่อมไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไป ถึงจะหาคนๆนั้นเจอก็รังแต่จะสร้างความสับสนวุ่นวายเท่านั้น
บางทีมันอาจส่งผลในทางลบมากกว่า
อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงเวลา เขาเชื่อว่ามันยังไม่ถึงเวลาและตอนนี้ยังไม่อยากจำอะไรได้ทั้งนั้น
ขณะที่ซองมินคิดทบทวนกับตัวเอง ทาร์แคนก็พูดถึงสิ่งที่ทั้งคู่กำลังกังวล
“ ได้ข่าวว่าเอนโรธครอบครองพลังแห่งความรอบรู้ไม่ใช่หรือ? งั้นมันก็รู้นะสิว่าเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
ซองมินก็ควงคฑาไปมาก่อนจะตอบ
หลังจากซองมินกลายเป็ นเอลเดอร์ลิชเขาก็ทราบข้อมูลหลายอย่างมากขึ้น
โดยพื้นฐานแล้วเขากลายเป็ นผู้รู้แจ้งเกี่ยวกับพลังจิตวิญญาณ เขาเห็นจักรวาลและค้นพบลำดับการทำงานของ
ธรรมชาติ
“ จะบอกว่าเวทมนตร์ของเจ้าแข็งแกร่งกว่าอามอนงั้นหรือ?”
ขณะที่ทาร์แคนถาม ซองมินก็ยุ่งกับการจัดการพลังแห่งการทำนายของเอนโรธ
หนึ่งในสามประตูที่เขาได้รับตอนเลื่อนขั้นเป็ นเอลเดอร์ลิชกำลังทำงานอย่างเต็มที่
ทาร์แคนพยักหน้า
“ ผมจะจัดการรูสเวลต์เอง พลังของมันคล้ายกับผม”
“ งั้นเฟรด้าก็ยกให้ข้า”
“ ทำสงครามกับราชาปี ศาจ…”
ทาร์แคนพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าพอใจ
นับว่าการติดตามมูยองเป็ นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ทาร์แคนมีความปรารถนาในความแข็งแกร่งอยู่เสมอ
ซองมินพูด
“ พวกมันจะมาถึงใน 30นาที”
“ เราจะรออยู่ที่นี่อย่างเดียวหรือ?”
“ เราจะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อศัตรูติดกับแล้ว”
***
การเสียชีวิตของคนๆหนึ่งอาจเป็ นโอกาสสำหรับใครบางคนเช่นกัน
เมื่อชาร์ซาซ่าเสียชีวิตตำแหน่งของมันก็ว่างเปล่า ทั้งสองกำลังแข่งขันกันเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ชิดใกล้กับเอน
โรธมากที่สุด ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงรุดหน้ายกทัพเดินทางมาก่อนกองทัพหลักของเอนโรธเพื่อทำผลงาน
“ กะอิแค่ตามล่ามนุษย์คนเดียว เราต้องไม่แพ้กองทัพของเจ้าเฟรดา”
ตอนนี้มันนำกองกำลังกว่าสองหมื่นตนเพื่อตามล่ามนุษย์คนหนึ่ง
มันยังไม่อยากเชื่อว่าเพียงแค่มนุษย์จะสามารถสังหารชาร์ซาซ่าได้ แม้ว่าการทำนายของเอนโรธไม่มีทางผิด
พลาด ทว่าต้องมีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องแน่นอน
“ รูสเวลต์เจ้าคิดอย่างไรกับกองกำลังที่เหลือของชาร์ซาซ่า?”
ปี ศาจอัศวินตนหนึ่งพูดกับรูสเวลต์
รูสเวลต์ส่ายหัว
“ ท่านพูดถูก”
“ สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ทั้งชายและหญิงอย่างเฟรอะไรก็เป็ นไปได้!”
“ ข่าวลือที่ว่าเจ้านั้นมอบด้านหลังให้กับชาร์ซาซ่าคงเป็ นเรื่องจริงแน่นอน”
"ฮ่าๆๆๆ!"
ปี ศาจของรูสเวลต์พูดคุยกันอย่างสนุกปาก
พวกมันช่างผ่อนคลาย พวกมันช่างดูมั่นใจในชัยชนะของตน
แน่นอนพวกมันยังยกทัพนำหน้าเร็วกว่าเฟรด้าเล็กน้อย
“ เดี๋ยวก่อนความรู้สึกนี้…”
รูสเวลต์หยุด
กองกำลังสองหมื่นนายที่ติดตามมันก็หยุดบินเช่นกัน
พวกมันหยุดทัพอยู่เหนือที่ราบอันว่างเปล่า และท่ามกลางสภาพสถานที่แห่งนั้นรูสเวลต์ก็เจอร่างของคนที่มัน
คุ้นเคย
“ชาร์-ซาซ่า?”
ดวงตาของรูสเวลต์เบิกกว้าง
ตัวตนของผู้ที่ยืนอยู่บนที่ราบดังกล่าวคือ ชาร์ซาซ่า!
ทำไมมันถึงยืนอยู่ตรงนั้นในเมื่อมันควรจะตายไปแล้ว?!
หมายความว่ามันคือกับดักของศัตรูใช่ไหม? 'หลังจากสังหารชาร์ซาซ่าแล้วพวกมันคงทำอะไรบางอย่างกับ
ศพ... ' ในที่สุดรูสเวลต์ก็มั่นใจว่านี่เป็ นแผนการบางอย่างของศัตรู ทว่ายังคงไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมศัตรูถึงได้วาง
กับดักให้พวกมันเห็นชัดเจนเช่นนี้
เป็ นสิ่งมีชีวิตแบบไหน?
'มังกรหรือว่าตัวตนเหนือธรรมชาติ?'
เทพปี ศาจเดียโบล และสมุนของมันย่อมไม่สามารถผ่านสกายลอร์ดได้
'หรือว่าเป็ นราชันย์มังกร!'
มนุษย์ผู้ที่ทำสัญญากับราชันย์มังกรสามารถควบคุมมังกรสองตัวได้ รูสเวลต์ก็รู้จักมนุษย์เช่นนี้คนหนึ่ง
เนื่องจากมันได้สังหารราชาปี ศาจไปสองสามตนแล้ว การที่มีคนฆ่าชาร์ซาซ่าอย่างโจ่งแจ้ง นั่นหมายความว่า
คนๆผู้นั้นไม่ได้เกรงกลัวเอนโรธ
ดวงอาทิตย์เริ่มลอยต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามชาร์ซาซ่ายังคงไม่เคลื่อนไหว
ไม่พบพลังเวทใดๆซ่อนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และมันเองก็ไม่รู้สึกถึงพลังเวทย์มนตร์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
พวกมันคาดเดาอะไรไม่ออกเลย
“ ล้อมมันไว้”
เราตรวจสอบพื้นที่แถบนี้ทั้งหมดหลายครั้งแล้ว'
ไม่พบอะไรผิดปกติในการตรวจสอบ มีเพียงแค่ร่างของชาร์ซาซ่า!
“ ร่ายคำสาปแห่งความเสื่อมโทรมลงบนร่างของมัน!”
ตึง!ตึง!ตึง!
'นั่นเป็ นแค่ร่างที่ไร้วิญญาณจริงๆหรือ?'
มันง่ายเกินไปหรือไม่
ทว่าตอนนี้มันกลับสัมผัสได้ว่าคำสาบที่ร่ายออกไปเริ่มอ่อนแอลง
“ เปิ ดใช้งานบาเรียชนวนไฟฟ้ า ”
'นี่ข้ากังวลไปเองหรือนี่?'
นี่คือความรอบคอบที่สุดแล้ว หากยังมัวพะวงจนเสียเวลามากกว่านี้สิ่งที่ได้อาจจะไม่คุ้มเสีย
รูสเวลต์ถืออาวุธเดินไปอยู่เบื้องหน้าชาร์ซาซ่า ทว่าหลังจากนั้นชาร์ซาซ่ากลับเงยหน้าขึ้น!
นี่เป็ นครั้งแรกที่มันแสดงปฏิกิริยา!
“ หลังจากถูกมนุษย์สังหารแม้กระทั่งตายก็ยังทำไม่ได้งั้นรึ?”
จากนั้นรูสเวลต์ก็พุ่งเข้าหาชาร์ซาซ่าอย่างฉับพลัน
ซวก!
ดาบของรูสเวลต์แทงทะลุผ่านหัวใจของชาร์ซาซ่า
'แทงโดนแล้ว'
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
'เรียลลิตี้มาเบิ้ลนี่เสริมความแข็งแกร่งให้กับลักษณะตามธรรมชาติของแต่ละคน!'
มันเป็ นมิติที่ไม่เหมือนใคร
อย่างไรก็ตามสิ่งที่แน่นอนคือรูสเวลต์โดดเดี่ยวในสถานที่แห่งนี้ เพราะแกนหลักของพลังดังกล่าวถูกควบคุม
โดยชาร์ซาซ่า เว้นแต่รูสเวลต์จะสังหารซาซ่ามันถึงจะสามารถหนีจากที่นี่ได้
แซ่ด!
ชาร์ซาซ่าเริ่มเคลื่อนไหว
“ เจ้าต้องการเช่นนี้ตั้งแต่แรกสินะ!”
รูสเวลต์ตะโกนออกไป
'ฝ่ ายตรงข้ามต้องรู้จักข้า'
จากแผนการของศัตรูทำให้มันอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้ รูสเวลต์ลอยตัวขึ้น ใช่ถึงมันจะตกหลุมพราง แต่มันก็ไม่
สามารถยอมแพ้ได้เพียงเพราะถูกหลอก
“ เจ้าคิดว่ามิติแบบนี้จะขวางข้าได้งั้นหรือ?!”
“กอเดียมัส”
ตอนนี้ซองมินเปิ ดประตูบานที่สาม
ราชันย์มอนสเตอร์ ไฮดร้า!
ซองมินลอยตัวขึ้นไปขี่อยู่บนหลังของมัน จากนั้นก็สั่งเหล่าวิญญาณและอันเดธรอบๆ
“ โจมตีรูสเวลต์”
รูสเวลต์ถูกขังอยู่ในมิติเฉพาะ และนั่นทำให้มันแยกออกจากผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
ซองมินพูดกับตัวเองอย่างเงียบๆ
“ เพื่อชัยชนะของเขา”
* * * ในขณะเดียวกันทาร์แคนกำลังยกพลไปโจมตีเฟรด้าพร้อมกับเหล่าไฟทาร์ของโอการ์ และโดเกบิ
แต่มูยองรู้จัก
ถึงแม้ว่ามูยองจะไม่รู้อะไรมากขนาดนั้นแต่เขาก็รู้ว่ามันเป็ นอย่างไร และเหมือนที่มูยองคาดไว้ เขาสามารถ
สังเกตเห็นเฟรด้าพร้อมลูกสมุนกำลังตรงดิ่งมาที่นี่จากระยะไกล
ทาร์แคนพูดถึงมูยองนิดหน่อย อย่างไรก็ตามเนื่องจากคู่ต่อสู้ปรากฏตัวขึ้นแล้วจึงไม่มีเวลาว่างให้คิดอะไรอีก
ทาร์แคนหันร่างกลับไปด้านหลัง
โอการ์พูด
“คิฮี่ฮี่ฮี่! เหยื่อแบบไหนกันนะที่มารอข้าอยู่ที่นี่!?”
“ ข้าไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ต่อสู้ขณะขี่มังกรกระดูก”
โอการ์พูดขณะที่อยู่บนมังกรกระดูก และในขณะนี้ทาร์แคนก็บุกเข้าไปโจมตีเฟรด้าแล้ว
'เราชนะแน่นอน'
โอการ์ยกกระบองขนาดใหญ่ขึ้นพาดไหล่
'แค่ทำให้รูสเวลต์ทำอะไรไม่ได้นั่นก็เพียงพอแล้ว'
เอนโรธกำลังจับตามองการต่อสู้ของรูสเวลต์และเฟรด้าอยู่
“ ท่านลอร์ด การ์มูสกลับมาแล้ว”
การ์มูสผู้ซึ่งได้รับคำสั่งให้นำหัตถ์เทพเจ้าบาร์ทัสมาที่อาณาเขตกลับมาแล้ว มูยองพยักหน้า
"ลุกขึ้น"
หลังจากประตูถูกเปิ ดออกในไม่ช้าคนแคระที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราก็เดินเข้ามา
“ บาร์ทัสล่ะ?”
“ น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถมากับข้าได้”
“ เป็ นอย่างนั้นเหรอ?”
มูยองขมวดคิ้ว
หัตถ์เทพเจ้าบาร์ทัสเป็ นคนที่มูยองต้องการให้เขาสร้างชุดเซ็ตอุปกรณ์ราชันอมตะส่วนที่เหลือให้
และราวกับว่าการ์มูสสามารถอ่านความผิดหวังของมูยองได้, เขายิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ ถึงเขาจะมาไม่ได้ แต่อุปกรณ์เหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นแล้ว”
คลืน! คลืน!
ด้วยเสียงที่ดังฟังชัด คนแคระสองสามคนก็เข้ามาพร้อมกับกล่องขนาดใหญ่
บาร์ทัสเป็ นราชาของคนแคระ
เขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่ออาณาจักรของตนเอง
จริงๆแล้วเรื่องของบาร์ทัสมูยองไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะมูยองก็ต้องการเพียงอุปกรณ์ของเขาเท่านั้น
'พลังของราชันอมตะ'
กล่องใหญ่ตรงหน้าให้ความรู้สึกราวกับว่าพลังบางอย่างกำลังไหลเอ่อออกมา
แค่มองมูยองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้ว
เหมือนการ์มูสจะสังเกตเห็นสีหน้ามูยองเขาจึงพูดขึ้นอย่างขมขื่น
“ มันเป็ นของที่เหนือความคาดหมาย แม้แต่บาร์ทัสเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าจะสร้างมันออกมาได้ ข้าเองก็เห็น
ตอนเขาสร้างมันแค่ชั่วครู่เท่านั้น แต่ความน่าหวาดเกรงของมันตอนเสร็จสมบูรณ์นี่สิยิ่ีงกว่า …"
"ยังไงเหรอ?…"
“ พลังเวทของอุปกรณ์ชิ้นนี้ดึงดูดเหล่ามอนสเตอร์ นอกจากนั้นยังทำให้พวกมันดุร้ายขึ้นอีก”
อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ผลกับสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูง
อิทธิพลดังกล่าวส่งผลกับมอนสเตอร์ที่สติปัญญาต่ำเท่านั้น และไปปลุกสัญชาตญาณของพวกมัน
มูยองเอื้อมมือไปสัมผัสตัวกล่อง
"นี่คืออะไร?"
มูยองถาม การ์มูสตอบ
“ มันคือผิวหนัง”
“ผิวหนัง?”
“ แม้แต่บาร์ทัสก็ไม่รู้เกี่ยวกับมันทั้งหมดใช่มั้ย?”
“ เขายังกล่าวอีกว่า 'พระเจ้าแห่งช่างตีเหล็กผู้ยิ่งใหญ่ใช้ร่างของข้า'สร้างมันขึ้นมา ”
หมายความว่าบาร์ทัสสร้างสิ่งนี้ขึ้นในขณะที่เขาถูกตัวตนอันยิ่งใหญ่เข้าควบคุมร่างงั้นหรือ?
มูยองยิ้ม เขาคิดว่าบาร์ทัสคงดื่มเหล้าจนเมาขณะสร้างมันขึ้นมามากกว่า
เขามองไปที่เกล็ดดังกล่าวอีกครั้ง
นอกเสียจากจะจดจ่อกับมัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถบอกได้ว่าเกล็ดดังกล่าวมีตัวตนหรือไม่
และเมื่อมูยองถือมันขึ้นมามองใกล้ๆข้อความก็ปรากฎ
ชื่อ: นิจนิรันดร์
อันดับ: ?
ประเภท: ?
ความคงทน:?
เอฟเฟกต์: ?
อย่างไรก็ตามมีข้อมูลไม่มากนัก
นอกจากชื่อเขาก็ไม่สามารถยืนยันอะไรได้อีก
นั่นคงหมายความว่าเขาต้องใช้มันดูเพื่อให้รู้ถึงความสามารถของมันจริงๆ
'นิจนิรันดร์'
นิจนิรันดร์ คำที่หมายถึงไม่มีที่สิ้นสุด
'ไอเทมที่ดึงดูดมอนสเตอร์และทำให้พวกมันดุร้าย'
ทว่าแล้ว...
'เครื่องมือก็เป็ นเพียงเครื่องมือ'
มูยองเริ่มถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออก
'ผิวหนังใหม่'
หนึบ!
ทุกจุดที่มันสัมผัสกับผิวหนังของเขาจะรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างที่เหนียวมากเข้าไปยึดเกาะ
มันฆ่าเซลล์เดิมที่มีอยู่ตามปกติ และเข้าแทนที่
รู้สึกเหมือนเป็ นผิวตามธรรมชาติของเขา
อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่เป็ นธรรมชาตินี้อยู่เพียงชั่วขณะเท่านั้น
“... !”
มูยองขมวดคิ้ว
การปฏิเสธเริ่มเกิดขึ้น ผิวหนังและร่างกายที่รักษาสมดุลได้อยู่พักหนึ่งกำลังจะหายไป
เขารู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดของตัวเองบิดเบี้ยว ไม่ว่าจะเป็ นกระดูกหรืออวัยวะอื่นๆล้วนแต่ได้รับผลกระทบ
เนื่องจากทุกกระบวนการคือความเจ็บปวดที่ทำให้เขาแทบหมดสติ นานมากแล้วที่มูยองรู้สึกถึงความทรมาน
แบบนี้ มูยองขดตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ และทำได้เพียงกัดฟันทนจนแทบรู้สึกว่าลูกตาจะระเบิดออกมา
“ท่าน-ท่านลอร์ด! ท่านยังไหวหรือไม่?
"ออก..ไปก่อน"
มูยองชี้นิ้วไปที่ประตูและบอกให้ทุกคนออกไปในขณะที่การ์มูสกลืนน้ำลายลงเฮือกพร้อมกับพยักหน้า
มูยองตระหนักว่ามันเป็ นปัญหาที่เขาต้องจัดการด้วยตัวเอง
“ ถ้าฉันไม่ได้เรียก…อย่าปล่อยให้ใครเข้ามา”
หลังจากนั้นมูยองก็ปิ ดประตูโครมด้วยความรุนแรง
ในสภาพนั้นมูยองทรุดตัวลงนั่งข้างๆเก้าอี้
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั้งหมดยังคงดำเนินต่อไป
'พลังของราชันอมตะ'
ทั้งหมดนี้เป็ นเพราะความแข็งแกร่งของราชันอมตะ
'ความเจ็บปวดที่ฉันสามารถตายได้'
ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการได้รับพลังนั้นอยู่ในขั้นสุดยอด
ถ้าไม่ใช่มูยอง 99%คงเสียชีวิตตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นแล้ว
มูยองสามารถทนได้เพราะเขาคุ้นเคยกับความเจ็บปวดยิ่งกว่าใคร
ด้วยสิ่งนี้เขาสามารถเอาชนะขีดจำกัดนั้นได้
ดังนั้นความเจ็บปวดในปริมาณนี้จึงไม่มีค่าอะไรหากเทียบกับสิ่งที่จะได้รับมา
และมูยองให้คำสาบานที่จะชนะอีกครั้งในเวลานี้
***
“กอเดียมัส”
เมื่อซองมินร่ายมนต์ประตูเวทก็ถูกสร้างขึ้นทันทีในบริเวณใกล้เคียง
บูม!
ฃยังมีไฮดราที่อัญเชิญออกมาจากประตูที่สาม มันใช้เวทมนต์ที่แตกต่างกันจากหัวทั้งเก้าเข้าโรมรันพันตูกับ
เหล่าปี ศาจอย่างดุเดือด
'ปี ศาจเหล่านี้ก็เหมือนกับผึ้ง'
กระทั่งในขณะที่ซองมินบุกเข้าไปโจมตี พวกมันก็ยังดูสับสนวุ่นวาย
อย่างน้อยในสนามรบแห่งนี้ ตำแหน่งผู้ควบคุมก็ตกอยู่ใต้ฝ่ ามือของซองมินแล้ว
'ฉันต้องรีบไปหลังจากจบสถานการณ์ที่นี่'
อย่างไรก็ตามซองมินกำลังรีบ
การต่อสู้ที่นี่ไม่ใช่ของทั้งหมด
กองทัพหลักของเอนโรธยังไม่มาถึง
ดังนั้นซองมินจึงพยายามที่จะยุติการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้ไปช่วยเหลือทาร์แคนและโอการ์
“ จงออกไปทำลายศัตรูให้สิ้นซาก”
ซองมินโบกคฑาของเขา
จากนั้นผืนดินก็รวมตัวกัน และโกเลมสิบกว่าตัวก็ปรากฏขึ้น
“ ลิชนั่น ฆ่ามันซะ!”
“ หากสังหารลิชได้ชัยชนจะตกเป็ นของเรา!”
กลุ่มที่เกิดจากปี ศาจหลายร้อยตนเริ่มเข้าใกล้ซองมิน
พอถึงจังหวะหนึ่งซองมินก็ชูคฑาขึ้นและร่ายมนต์อย่างรวดเร็ว
“อะมาเดอุส”
วี๊ดดดดดดด!
เสียงกรีดร้องที่น่าขนลุกดังขึ้นจากสภาพแวดล้อมรอบๆ
แม้แต่ปี ศาจก็อดไม่ได้ที่จะปิ ดหูและตัวสั่นเทา
ซองมินเหวี่ยงคฑาและตัดหัวไฮดรา 5ตัวออกทันทีโดยไม่รอช้า
หัวที่ถูกตัดขาดงอกใหม่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บาเรียเวทถูกสร้างขึ้น
โดยการเสียสละหัวไฮดร้า การอัญเชิญของซองมินก็เสร็จสิ้น
ยักษ์ที่มีผมพันกันยุ่งเหยิงปรากฏกายขึ้น
นั่นคือยักษ์ไซคลอปส์มีขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่าไฮดรา เมื่อมันก้มลงแสงสีแดงจากดวงตาก็พุ่งออกไปโจมตีศัตรู
แซ่ดดด!
ปี ศาจทุกตนที่สัมผัสถูกลำแสงนั้นสลายหายไปทันที
“ อะไรกัน?”
“ นั่นมันมอนสเตอร์แห่งความว่างเปล่า…?”
ยังมี แม่มดเบียทริซ
ซองมินไม่ได้เป็ นแค่ลิชธรรมดาๆ
เขาคือเอลเดอร์ลิช
เขาผู้ซึ่งเป็ นราชาลิชที่สามารถควบคุมความว่างเปล่าได้
“ รีบจบเรื่องนี้ดีกว่า”
ความคิดของซองมินไม่ได้อยู่ในสนามรบแห่งนี้แล้ว
เขามั่นใจในชัยชนะ และกำลังวางแผนที่จะย้ายไปช่วยเหลือการต่อสู้อื่นๆ
***
เอนโรธเดินทางไปพร้อมกับป้ อมปราการขนาดใหญ่
ป้ อมปราการที่ว่าคือปราสาทซึ่งเป็ นส่วนหนึ่งของมัน
“ ท่านเอนโรธ กองกำลังที่ล่วงหน้าไปถูกโจมตี”
เอนโรธนั่งอยู่บนบัลลังก์ขนาดใหญ่กลางป้ อมปราการ
ปี ศาจโน้มตัวลงรายงานข่าวด้วยความเคารพและยำเกรง ในขณะที่เอนโรธผงกหัวรับฟัง
“ ข้ารู้แล้ว”
“ รูสเวลต์หายตัวไป ส่วนเฟรดาหนีไปแล้วกับทหารไม่กี่นาย”
“ เรื่องนั้นข้าก็รู้เช่นกัน”
เอนโรธเห็นทุกสิ่งแล้ว
มันกำลังมองกลยุทธ์ของศัตรูผ่านการต่อสู้กับราชาปี ศาจทั้งสอง
“ เราควรทำอย่างไรดี”
ปี ศาจที่อยู่รอบตัวมันต่างมีสีหน้าของความเหลือเชื่อ
“บัลร็อก... !”
“ นายท่านมันไม่อันตรายเกินไปเหรอ?”
บัลร็อกเป็ นหนึ่งในมอนสเตอร์ของเอนโรธที่มันไม่สามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่
ปี ศาจโบราณอันแข็งแกร่งและผู้ทำลายล้างที่บ้าคลั่ง!
ทุกแห่งที่บัลร็อกย่างกรายไปถึงต่างถูกพังทลาย
ฉายาที่มอบให้กับบัลร็อกคือ 'ลางแห่งการทำลายล้าง'
เพียงดูที่พลังการต่อสู้บัลร็อกก็แข็งแกร่งกว่าราชาปี ศาจทั้งสามแล้ว
แต่การปลดปล่อยบัลร็อก?
“ ข้ายังไม่เห็นไพ่ทั้งหมดของพวกมัน”
มันต้องการเข้าใจความสามารถของศัตรูอย่างทะลุปรุโปร่ง
การส่งบัลร็อกออกไป พวกมันย่อมไม่มีทางเก็บความลับอะไรไว้ได้อีก
พวกมันจะต้องเผยไพ่ทั้งหมดบนมือออกมา
จากนั้นเอนโรธก็จะทำลายศัตรูของมันลงอย่างสมบูรณ์
เอนโรธประเมินเกี่ยวกับศัตรูผู้สามารถสังหารชาร์ซาซ่าไว้ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม...
เอนโรธเป็ นที่รู้จักกันในนามของราชาปี ศาจเลือดเหล็ก
ปี ศาจที่แข็งแกร่งจนถูกกล่าวขานว่าไร้ซึ่งศัตรู
มีโอกาสน้อยมากที่ศัตรูของมันจะต้านทานบัลร็อกไหว แต่ถึงจะผ่านมาได้ก็ไม่มีเอาชนะตัวมันได้แน่นอน
'แสดงให้ข้าดูหน่อยแล้วกัน'
เอนโรธบีบไม้เท้าในมือแน่น
พวกมันจะสามารถต้านทานได้นานสักแค่ไหนเชียว?
ดวงตาของเอนโรธเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อยที่กำลังชื่นชมของเล่น
***
เฟรด้ากัดริมฝี ปากจนเลือดไหลซิบ
ราชาปี ศาจผู้มีอารมณ์แปรปรวน
ดังนั้นเหตุการณ์ตอนนี้จึงเป็ นสิ่งที่มันไม่สามารถยอมรับได้
'ตัวตนอย่างข้าเนี่ยนะที่พ่ายแพ้!'
กึด!
มันบดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
อันเดธตนแรกที่ปรากฏ ชื่อว่าทาร์แคนหรือเปล่านะ?
'เอลเดอร์ลิช…ทำไมถึงมีเอลเดอร์อยู่ที่นี่?'
และลิชที่มีชื่อเอลเดอร์นำหน้านั้นแข็งแกร่งจนกระทั่งอาจมากกว่าราชาปี ศาจด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามมีเอลเดอร์ลิชเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้
นั่นคือ จ้าวแห่งความตาย!
ถ้างั้นอะไรคือสิ่งที่เฟรดาเห็น ภาพลวงตางั้นเหรอ?
'เฉพาะเอลเดอร์ลิชเท่านั้นที่สามารถควบคุมพลังจากความว่างเปล่าได้ แต่ลิชผู้นี้ดูมีพลังเวทย์น้อยกว่าจ้าวแห่ง
ความตาย ถ้างั้นมันคือใครกันแน่? '
ความว่างเปล่าที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้
ไม่มีลิชตนไหนอีกที่สามารถควบคุมมอนสเตอร์แห่งความว่างเปล่าได้นอกเหนือจากจ้าวแห่งความตาย
อย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่จ้าวแห่งความตายแน่นอน
“ หรือว่ามันเป็ นผู้สืบสายเลือด?”
ตึง!
เฟรด้ากระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจทำให้พื้นที่รอบๆสั่นไหวอย่างรุนแรง
เฟรด้ากัดเล็บตัวเองราวกับคนโรคจิต
อย่างไรก็ตามความจริงที่ว่ามันพ่ายแพ้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
และมันรู้ตัวว่าสมควรต้องถอย
ความภาคภูมิใจของมันกำลังเจ็บปวด
“ เจ้ารูสเวลต์มัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนในเวลานี้?”
เฟรดาเริ่มเคลื่อนไหวตามอารมณ์ที่แปรปรวนของตน
เมื่อมันไม่ได้รับของที่มันอยากได้ ผู้อื่นก็ต้องไม่ได้รับเช่นกัน
“ ท่านหมายความว่าจะโจมตีรูสเวลต์จริงๆเหรอ?”
“ ทหารจำนวนแค่นี้ไม่น่าจะเพียงพอนะท่าน…”
เหล่าปี ศาจพยายามยับยั้งความคิดดังกล่าว
ฉัวะ!
เฟรด้าหั่นคอของปี ศาจที่อยู่ข้างกายทิ้ง
ตุบ!
เส้นเลือดบนคอของเฟรด้าปูดโปงในขณะที่พูด
“ การกลับไปมือเปล่าก็หมายถึงความตายด้วย”
รูสเวลต์จะต้องคิดสังหารมันเหมือนกัน
รูสเวลต์คงจะไม่นั่งอยู่เฉยๆรอให้เฟรด้าโจมตีก่อนเป็ นแน่
ด้วยเหตุผลดังกล่าวเหล่าปี ศาจที่เหลือไม่ได้พยายามรั้งเฟรด้าอีกต่อไป
“ถ้างั้นตอนนี้รูสเวลต์อยู่ที่…”
ตูม! เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น
จู่ๆสิ่งมีชีวิตสีดำก็บินลงมาจากฟากฟ้ า
“บัลร็อก ... ?”
ตอนนี้พวกมันส่วนใหญ่ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว และมีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในอันเดอร์เวิล์ด
เนื่องจากพลังอันแข็งแกร่งของพวกมัน เทพปี ศาจจึงจับพวกมันด้วยตนเองและควบคุมพวกมันเอาไว้
เอนโรธเก็บบัลร็อกไว้ตัวหนึ่ง
ด้วยการใช้เวทมนตร์ที่แข็งแกร่งทำให้สามารถกักขังบัลร็อคเอาไว้ได้
เพราะมันโจมตีศัตรูและพันธมิตรโดยไม่เลือกหน้า
แต่ทำไมบัลร็อกถึงอยู่ในสถานที่นี้?
กรรรรรร
บัลร็อกก้มหน้าลงมองไปทางเฟรด้า
จากการจ้องมองนั้นไม่มีทางที่เฟรด้าจะอ่านความตั้งใจอันชั่วร้ายของมันไม่ออก
นั้นเป็ นสายตาชั่วร้ายที่ต้องการเพียงการทำลายล้างเท่านั้น!
"หยุดมันไว้!"
“Γει? Σου!”
บูม! บรึม!
เวทมนตร์จำนวนมากสาดใส่ร่างของบัลร็อก
อย่างไรก็ตาม
ตึง!
บัลร็อกยังเคลื่อนไหวดีอยู่ภายในหมอกควัน
หากมีการเคลื่อนไหวถึงจะด้วยความรวดเร็วหมอกควันก็ย่อมถูกรบกวน แต่จากหมอกควันที่ดูเหมือนจะยังไม่
เคลื่อนไหว บัลร็อกกลับปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าของปี ศาจทุกตนแล้ว
บัลร็อกเคลื่อนที่มายืนอยู่หน้าเฟรด้า
“ เจ้ากล้าแยกเขี้ยวใส่ข้างั้นรึ!”
เฟรด้าขมวดคิ้วขณะใช้หอกที่สร้างขึ้นมาจากหางของตัวเอง
กึงง! อย่างไรก็ตามหอกเวทไม่สามารถแทงผ่านชั้นผิวหนังของบัลร็อกได้
หรือเป็ นเพราะมันใช้พลังไปหมดแล้วในการต่อสู้ก่อนหน้า?
“ นี่เป็ นไปไม่ได้…!”
เมื่อหอกเวทไม่ได้ผลดวงตาของเฟรดาก็เบิกกว้างอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามเฟรดาไม่เคยคิดเลยว่านี่จะเป็ นสิ่งสุดท้ายที่มันจะได้รับรู้
กร๊วบ!
บัลร็อกอ้าปากแล้วเขมือบร่างกายท่อนบนของเฟรด้า
ฮูมม
จากนั้นมันก็ส่งเสียงครางออกมาราวกับพอใจ
อย่างไรก็ตามมันเลียริมฝี ปากแล้วหันมองไปรอบๆราวกับยังไม่อิ่ม
ภาพที่ปรากฏในสายตาของนักล่าอย่างมัน ปี ศาจที่กำลังทรุดตัวลงตัวแข็งทื่อทั้งหมดนั้นคือเหยื่อที่กำลังรอให้
มันเขมือบ
***
เปรี๊ยะ!
ผิวของเขาปริแตกถูกทำลาย และงอกใหม่ขึ้นหลายครั้ง
เขารู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขารู้สึกราวกับวิญญาณจะต้องแหลกสลาย หากสมดุลผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย
กระบวนการบีบอัดพลังของความเป็ นอมตะเข้าไปในมนุษย์
แน่นอนว่ามันคงไม่ราบรื่น
"ยอมแพ้เถอะ เจ้าทนความเจ็บปวดนี้ไม่ได้หรอก”
เสียงบางคนดังขึ้น
มูยองตระหนักว่าบุคคลที่พูดกับเขาอยู่คือลูซิเฟอร์
ด้วยการส่งผ่านพลังอำนาจนี้แก่ลูซิเฟอร์ มูยองสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้
ลูซิเฟอร์กำลังล่อลวงเขาด้วยการบอกว่าทุกสิ่งจะถูกแก้ไขหากสละสิทธิ์ ในการควบคุมนี้ให้แก่มัน
สิ่งที่กล่าวไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก
ยังไงก็ตามลูซิเฟอร์ไม่ได้โกหก มันแค่เกลี้ยกล่อมเขาอย่างชาญฉลาด
มูยองไม่ตอบกลับ
เขาแค่ต้องอดทนเท่านั้น ทั้งหมดที่มูยองสามารถทำได้คือกัดฟันทนต่อไป
ปัจจุบันวิญญาณของมูยองและวิญญาณของลูซิเฟอร์ผูกติดอยู่ด้วยกัน
ในสถานะดังกล่าวถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับมูยอง ลูซิเฟอร์ก็จะไม่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตามหากมูยองส่งผ่านพลังอำนาจนี้ให้มัน มันจะส่งพลังดังกล่าวกลับคืนให้มูยองหรือไม่?
นั่นคงไม่เกิดขึ้นเป็ นแน่
มันเป็ นไปไม่ได้เลยที่จะขอคืนพลังอำนาจที่ลูซิเฟอร์ได้รับไปแล้วกลับคืนมา
วืด! วืด!
ร่างกายของเขาหดตัวก่อนที่จะขยายอีกครั้ง
มันค่อนข้างพูดมาก
ปกติแล้วลูซิเฟอร์ไม่ใช่คนพูดมากแบบนี้
ลูซิเฟอร์อาจตระหนักว่านี่เป็ นโอกาสที่ดีที่สุดในการยึดอำนาจจากมูยอง
อย่างไรก็ตามถึงอย่างนั้นมูยองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แม้ว่าความคิดเขาจะอ่อนแอลงด้วยความเจ็บปวด แต่มูยองก็ไม่พลาดสิ่งเล็กๆน้อยๆนี้
นี่เป็ นครั้งแรกที่ลูซิเฟอร์มีทีท่าหมดหวัง
“อ่า!
และแล้วมูยองก็ตระหนักได้
วิญญาณของพวกเขาถูกผูกติดเข้าด้วยกัน
หากมูยองอ่อนแอ ลูซิเฟอร์ก็อ่อนแอเช่นกัน
จนถึงตอนนี้ลูซิเฟอร์แค่ปกป้ องตนเอง
มันปกป้ องตัวเองจากพลังของกาเบรียลเช่นเดียวกับพลังอื่นๆที่มูยองครอบครอง
มันปิ ดกั้นพลังอื่นๆเพื่อไม่ให้ตัวเองสูญเสียตัวตนไป
ลูซิเฟอร์มั่นใจว่ามูยองคงไม่เข้าใจความจริงนี้
และถ้ามูยองอ่อนแอลงกว่านี้อีกเล็กน้อยมันก็อาจจะฝื นต่อไปไม่ไหว
นั่นคือเหตุผลที่มันพยายามล่อลวงเขา
ในขณะนั้นเอง มูยองก็ยื่นมือออกไปคว้าวิญญาณของลูซิเฟอร์
ทาร์แคนก้มลงมองดาบตัวเอง
แม้ว่าทาร์แคนจะสามารถซ่อมแซมได้ทันที แต่เขาก็ไม่ทำเช่นนั้น
เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับสาเหตุที่พ่ายแพ้
'ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ?'
แม้ว่าทาร์แคนจะแข็งแกร่งขึ้น แต่มูยองและซองมินก็ยิ่งพัฒนามากขึ้นเช่นกัน
สำหรับตัวตนลึกลับเช่นมูยองนั้นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ซองมินนี่สิที่คาดไม่ถึง
ทาร์แคนยังตกใจอยู่เลย เมื่อเห็นว่าซองมินรับมือรูสเวลต์และแม้กระทั่งกับเฟรด้าได้อย่างไร
มีซากศพมากมายที่เกิดขึ้นจากฝี มือของซองมิน และมอนสเตอร์แห่งความว่างเปล่าของเขา
เขารู้สึกเหมือนกำลังแหงนหน้ามองดอกไม้ที่งอกอยู่บนหน้าผา
ที่แม้จะเอื้อมมืออย่างไรก็ไม่สามารถไปถึงได้
เมื่อไหร่ที่เจ้านี่แซงหน้าข้าไป ?
เกิดอะไรขึ้นในเวลาเพียงสองปี ?
แล้วสองปี ที่ผ่านมาข้ามัวไปทำอะไรอยู่ ?
'อันดับเปลี่ยนไปแล้ว'
บางทีเขาอาจถูกครอบงำโดยความทระนงของตนเอง
เขาไม่ได้คิดมากไปเอง เพราะมันเห็นได้ชัดเจนมาก?
ทาร์แคนก้าวออกจากอาณาเขต ซึ่งกำลังฉลองชัยชนะอยู่ในขณะนี้
เนื่องจากพวกเขาหยุดกองกำลังที่ล่วงหน้ามาของศัตรูได้ ดังนั้นจึงมีพักหนึ่งก่อนที่ศัตรูที่เหลือจะตามมาถึง
'การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น'
ถูกต้องแล้ว มัวแต่โทษตัวเองคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้
ถ้าซองมินแข็งแกร่งขึ้นได้ ทาร์แคนก็แค่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
การเฉลิมฉลองในอาณาเขตตอนนี้ก็มีเพื่อบรรเทาความตึงเครียดเท่านั้น
ฉวับ! ฉวับ!
ทาร์แคนเหวี่ยงดาบหักๆของเขาไปด้านหน้า
เขาซ้อมฟันดาบอย่างแข็งขันเพื่อลดช่องว่างดังกล่าวลง ขณะที่คนอื่นกำลังเพลิดเพลินไปกับงานฉลอง
'ก่อนหน้านี้ข้าคงจะขี้เกียจไปหน่อย'
เขาละเลยการฝึ กเล็กๆน้อยๆไปเมื่อรู้สึกว่าตนแข็งแกร่งขึ้น
จากการต่อสู้ครั้งนี้และการปรากฏตัวของซองมิน เขาก็ตระหนักได้อย่างสุดซึ้ง
เขาต้องการพลังมากกว่านี้เพื่อที่จะเป็ นผู้ปกครองที่แท้จริง
อย่างน้อยก็จนกว่าจะเอาชนะซองมินและมูยองได้…ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเรียกตัวเองว่าผู้ปกครอง
ผู้ปกครองจะต้องชนะเท่านั้น และขึ้นครองราชย์!
แกร๊บ!
ทาร์แคนสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของใครสักคน
เขาหยุดการฝึ กและหันกลับไปอย่างระมัดระวัง
ดูเหมือนพวกนั้นจะเก่งพอตัว เพราะหากไม่สังเกตเสียงลมและหญ้าเขาคงไม่รู้ว่ามีคนมาที่นี่
"พวกเจ้าเป็ นใคร?"
ปี ศาจที่รอดชีวิตหรือ?
เฟรด้าหลบหนีไปพร้อมกับสมุนของมัน
หลังจากนั้นก็มีคนสองคนปรากฏตัวขึ้น
ทั้งสองคนมีสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่
“ อาจารย์ เรากินอัศวินแห่งความตายตรงนั้นได้มั้ย ”
ดูเหมือนว่าทั้งสองจะหิวเป็ นอย่างมาก
นอกจากนั้นแม้แต่พืชส่วนใหญ่ก็ยังมีพิษ
หากมนุษย์กินมันอย่างไม่ระมัดระวังพวกเขาจะต้องป่ วยหนัก
“ ทำไมมนุษย์ถึงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้”
ทาร์แคนยกดาบขึ้น
เขาเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
หญิงสาวและชายแก่มองไปที่ทาร์แคนด้วยความประหลาดใจ
“ ดูเหมือนว่ามันจะเป็ นอัศวินแห่งความตายที่มีสติปัญญานะ”
“ งั้นเรามาจับมันถามเอาข้อมูลกันเถอะ”
จากนั้นทั้งสองก็ตั้งท่าแปลกๆ ก่อนจะกระโจนเข้าหาทาร์แคนทันที
ทาร์แคนเหวี่ยงดาบหักในมือออกไป
ซู่ม!
คลื่นพลังเวทพุ่งผ่าอากาศออกมาจากตัวดาบ
'ค่อนข้างมีฝี มือ'
เป็ นการประสานการต่อสู้ที่ดี
นอกจากนั้นทักษะของพวกเขาก็ยังค่อนข้างดีอีกด้วย
ในบรรดามนุษย์ เขาไม่ค่อยเห็นผู้ที่สามารถเคลื่อนไหวได้เช่นนี้
ตูม!
หญิงสาวและชายชรายังไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้กับทาร์แคนได้
หากไม่ใช่อัศวินแห่งความตายคงเคลื่อนไหวเช่นนี้ไม่ได้
“ชิ!”
เคล้ง!
หญิงสาวซัดมีดสั้นออกไปหยุดดาบของทาร์แคนไว้
จากนั้นชายชราก็คว้าทาร์แคนจากด้านหลัง
ชายชรากอดรัดเอาไว้อย่างแน่นหน้าราวกับจะสามารถบดขยี้ร่างของทาร์แคนได้
วูม!
แต่แล้วทาร์แคนก็อันตรธานหายไป
ขณะที่ชายชรากวาดสายตาตามหา หญิงสาวก็ขว้างมีดสั้นออกไปอีกอย่างรวดเร็ว
"อาจารย์! มันอยู่ข้างหลัง!"
วูม!
อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถป้ องกันได้อย่างสมบูรณ์
ดาบแทงทะลุหลังของชายชรา
ด้วยเวทการเคลื่อนย้ายทางไกล ทาร์แคนสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหลังของชายชราได้
“ แกเป็ นมอนสเตอร์ที่มีทักษะค่อนข้างดีเลย!”
ชายชราตะโกนพูดราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บ
'ทั้งๆที่ข้าเล็งที่ศีรษะแล้วแท้ๆ'
ความเร็วในการตอบสนองของมนุษย์คนนี้ผิดปกติ
'น่าสนใจ'
ทาร์แคนเริ่มรู้สึกสนุก
มนุษย์พวกนี้ค่อนข้างมีทักษะ
***
ทั้งสามต่อสู้กันอยู่หลายชั่วโมง
ผลสรุปของฉากนั้นทำให้เขานึกถึงสงครามอีกครั้ง
“ มนุษย์เป็ นเผ่าพันธุ์ที่คาดเดาได้ยากเสียจริง”
ถึงชนะแต่ทาร์แคนยังคงตกใจ
ดาบที่หักอยู่แล้วแทบไม่เหลือชิ้นดี
เฟรด้าไม่ได้ต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบ มนุษย์สองคนนี้ก็เหมือนกัน
ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอเนื่องจากไม่ได้รับอาหารที่เหมาะสมเป็ นเวลานาน
แต่มันยังไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่า ทั้งสองคนโจมตีทาร์แคนก่อน
ทาร์แคนชูดาบขึ้นเหนือร่างของคนทั้งสอง ซึ่งกำลังหมดสติจากการบาดเจ็บ
“ ถึงกระนั้นข้าจะให้พวกเจ้าได้ตายอย่างมีเกียรติ”
มันเป็ นการแสดงความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง
สังหารศัตรูให้ตายในการโจมตีครั้งเดียวโดยไม่ให้ได้รับความเจ็บปวด
“ พ่อ…พี่มูยอง…”
ทาร์แคนหยุดชะงัก
มูยอง?
เขาไม่ได้ยินผิดแน่นอน
ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า 'มูยอง'
ทาร์แคนรู้จักกับมูยองเพียงคนเดียวเท่านั้น
เธอกำลังพูดถึงมูยองที่เขารู้จักใช่หรือไม่?
'นางรู้จักเขางั้นหรือ?'
ทาร์แคนส่ายหัว
หากเธอเกี่ยวข้องกับมูยอง คงดีกว่าที่จะไม่สังหารพวกเขา
“ ชื่อของเขาช่วยชีวิตเจ้าไว้”
ทาร์แคนแบกทั้งสองคนไว้บนไหล่
***
เหมือนเธอกำลังตกอยู่ในความฝันอันยาวนาน
ซูจียิ้มอย่างมีความสุขอยู่กับพ่อตัวเอง และมูยองก็อยู่ที่นั่นด้วย
อย่างไรก็ตามความมืดก็ปกคลุมฉากทั้งหมดในไม่ช้า และทั้งสองคนก็หายไป
เธอร้องไห้ตามหาพวกเขา และความฝันก็สิ้นสุดลงแค่นั้น
“อือ... .!”
เธอยกร่างกายส่วนบน อันปกคลุมไปด้วยเหงื่อขึ้นอย่างรวดเร็ว
'ฉันอยู่ที่ไหน?'
หลังจากที่ลุกขึ้น ซูจีก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอีกครั้ง
“ ตื่นแล้วเหรอ”
ผู้หญิงสวมชุดสาวใช้เดินเข้ามาหาซูจีด้วยท่าทางผ่อนคลาย
จากนั้นเธอก็ใช้ผ้าเปี ยกเช็ดหน้าผากให้ซูจี
“ คุณเป็ นใคร?”
ซูจีอดไม่ได้ที่จะถามอย่างงุนงง
ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็ นสาวใช้ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ ฉันได้ยินมาว่าเธอเป็ นแขกของท่านลอร์ด”
“แขก”
จากนั้นสาวใช้ก็พยักหน้า
“ จักรพรรดิอัศวินพูดอย่างนั้น”
“ จักรพรรดิอัศวิน…?”
“ ก็อัศวินโครงกระดูกนั่นไง เธอไม่เห็นเขาเหรอ?”
“ อัศวินแห่งความตาย…”
“ ใช่ นั่นคือชื่อที่คนอื่นเรียก”
ซูจีเบิกตากว้าง
หลังจากพบอัศวินแห่งความตาย ซูจีและราชานักสู้ก็เข้าโจมตีเขา
อย่างไรก็ตามพวกเขาพ่ายแพ้
ผู้ที่ควรถูกสังหารกลับได้รับการต้อนรับในฐานะแขก
มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
เพราะเธอไม่มีอ่อร่าแห่งความตายแผ่ออกมาสักนิด
อัศวินแห่งความตายจะอยู่กับมนุษย์ได้อย่างไร?
“ เธอช่วยรอสักระยะหนึ่งได้ไหม ตอนนี้เรายังไม่สามารถพาเธอไปพบท่านลอร์ดได้”
ฟู่ ว!
ซูจีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่ว่าจะเพราะอะไรดูเหมือนว่าเธอยังไม่ตาย
“ นอนพักอีกสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวฉันจะหาอะไรมาให้กิน”
“ เธอไหวแน่นะ? เกิดปัญหาแน่หากมีอะไรเกิดขึ้นกับแขกของท่านลอร์ด ”
ซูจียกมือขึ้น
จากนั้นใช้เพียงนิ้วมือดันเตียงไปข้างหน้า
“ บอกแล้วว่าฉันแข็งแรงดี?”
“ ดูเหมือนว่าเป็ นอย่างนั้น”
สาวใช้หัวเราะและพยักหน้า
“ ฉันจะนำทางให้เธอเอง”
ที่นี่คือปราสาท
มันเป็ นปราสาทขนาดใหญ่!
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่น่าแปลกใจ
มีหลากหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ที่นี่
เผ่าพันธุ์ต่างๆที่ไม่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อน
และเธออดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่ามีแม้กระทั่งไฟทาร์
“ อ่า เดี๋ยว กรุณารอสักครู่”
ทันใดนั้นสาวใช้ที่นำทางเธออยู่ก็หายตัวไปราวกับมีบางสิ่งเกิดขึ้น
ซูจีที่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังไตร่ตรองสักครู่ ก่อนที่เธอจะเดินเตร่ต่อไป
มันยากที่จะเชื่อว่าความตั้งใจของพวกเขาบริสุทธิ์
สำหรับโลกที่เหมือนอยู่ในเทพนิยายเช่นนี้ เธอต้องตื่นตัวเข้าไว้
ซูจีพยายามเดินให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
พอเธอเดินมาถึงห้องหนึ่งหลังจากขึ้นบันไดก็ได้ยิน
“ แล้วท่านจะให้เราทำอย่างไร?”
“ ข้าเข้าใจแล้วท่านจอมเวทย์”
“แล้ว…”
แกร๊ก!
บางคนในห้องเคาะเก้าอี้ของตัวเอง
“มีหนูกำลังซ่อนตัวอยู่”
ซูจีกลั้นหายใจทันที
ปัง!
จากนั้นประตูก็ถูกทำให้เปิ ดออก ก่อนที่จะมีมือสีดำพุ่งไปหาซูจี
ในขณะเดียวกันพอประตูถูกเปิ ด ซูจีก็เห็นคนภายในห้อง!
'ลิช?'
"มนุษย์?"
“ ฉันไม่เคยเห็นเธอมาก่อน?”
หลังจากเห็นใบหน้าของซูจีทุกคนก็รู้สึกแปลกใจ
ดีที่พวกเขาไม่ได้สังหารเธอทันที
อย่างไรก็ตาม ซูจีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเวทแห่งความมืดอันหนาแน่นที่เธอรู้สึกได้ก่อนหน้านี้
'เขาไม่ใช่ลิชธรรมดา!'
“ เธอเป็ นสายลับหรือ?”
ลิชพูดอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของเขาเย็นชามากเสียจนทำให้เธอรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
เธอได้รับโอกาสให้พูด
'ฉันควรทำไงดี?'
'ฉันต้องพูดอะไรสักอย่าง'
ไม่มีอะไรดีขึ้นหากเธอปิ ดปากเงียบ
เธอพูดในสิ่งที่ได้ยินมาก่อนหน้า
ลิชดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ ท่านลอร์ดงั้นเหรอ?”
รู้สึกได้เลยว่าพลังแห่งความตายกำลังท่วมท้นอยู่ภายในร่างของเธอ พลังของลิชกำลังแทรกซึมผ่านเข้าไปใน
จิตใจของซูจีอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้ องกันไม่ให้เธอโกหก
“ หลังจากต่อสู้กับอัศวินแห่งความตายฉันก็สลบไป…พอตื่นขึ้นมาอีกทีฉันก็อยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ พวกคุณเป็ น
ใคร แล้วฉันอยู่ที่ไหนกันแน่?"
“ เธอเป็ นแขกของทาร์แคนเหรอ?”
ซองมินดึงมือตัวเองกลับมาแล้วลูบคาง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้โกหก
ทาร์แคน? อัศวินแห่งความตายชื่อทาร์แคนงั้นหรือ?
แต่ซูจีส่ายหัว
“ ฉันไม่ใช่แขกของใครทั้งนั้น ฉันไม่ได้อยากเข้ามาที่นี่”
“ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้โดยตนเองอยู่แล้ว”
"ข้าเข้าใจแล้ว"
ในขณะที่ถูกลากออกมา สายตาของเธอก็ยังคงจ้องอยู่ที่ลิช
ความรู้สึกนี้คืออะไร?
ราวกับว่าเคยพบเขาที่ไหนมาก่อน...
เธอรู้สึกอย่างนั้น
ซองมินหันร่างอีกครั้งกลับเข้าไปในห้อง
จะต้องมีเหตุผลที่ทาร์แคนนำมนุษย์เข้ามาในอาณาเขต
“ มอนสเตอร์ที่มีร่างสีดำขนาดใหญ่โต..”
ภายในห้องมีคริสตัลสองสามลูกปรากฎอยู่
และภายในคริสตัลนั้น มีภาพของสัตว์ร้ายสีดำปรากฏขึ้น
สิ่งที่ทราบแน่ๆคือมันแข็งแกร่ง และบางทีอาจจะมากกว่าที่ซองมินคาดไว้ด้วยซ้ำ
ปัญหาคือเขาไม่เข้าใจเจตนาของมอนสเตอร์ตัวนี้
นอกจากท่องไปทั่วอาณาเขตของพวกเขา มันต้องการอะไรอีกหรือเปล่า?
'หืม?'
ซองมินสะบัดหัว
ด้วยเหตุผลบางอย่าง มีบางสิ่งดึงดูดความสนใจของเขา
'เหมือนฉันเคยเห็นเธอมาก่อน'
ซองมินโบกคฑาอัญเชิญกระทิงสีดำ
หลังจากขึ้นไปนั่งอยู่ด้านบนของมัน ซองมินก็จมอยู่ในความคิดพลางลูบคางตนเองไปมา
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูจะยังมีอายุยังไม่มากนัก เธอน่าจะอยู่ในช่วงปลายของชีวิตวัยรุ่น
ยังไงก็ตามเขารู้สึกเหมือนเคยเห็นเธอมาก่อน
ซองมินไม่เคยลืมใครที่เคยพบเห็น ดังนั้นสำหรับกรณีที่เขาจำไม่ได้...
'หรือฉันเห็นเธอก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำไป?'
ความทรงจำของซองมินไม่สมบูรณ์
เขาพยายามจำ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะปรากฏในใจเขา
ทว่าความรู้สึกที่คุ้นเคยและความสูญเสียที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร?
เธอเป็ นคนที่เขาตามหาใช่หรือไม่?
'มันบังเอิญเกินไป'
ไม่เป็ นอย่างนั้นแน่
แต่ถ้าใช่ ชะตากรรมคงกำลังเล่นตลกกับพวกเขา
และซองมินไม่เชื่อในโชคชะตา
ไม่มีทางที่อะไรก็ตามที่เขาตามหาจะมาหาเขาซะเอง
'เอาไว้ชนะสงครามนี้เมื่อไหร่ ฉันค่อยออกตามหาความทรงจำที่หายไป'
เอนโรธนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาราชาปี ศาจทั้งหมด
มูยองคาดหวังเป็ นอย่างมากสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้
และบทบาทของซองมินก็คือการดึงเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จนกว่าเอนโรธจะเดินทางมาถึง
'เพื่อชัยชนะของเขา'
มันเป็ นสิ่งหนึ่งที่ซองมินผู้ซึ่งสูญเสียความทรงจำได้ตระหนักถึง
แม้เขาจะเป็ นเพียงเบี้ยสำหรับชัยชนะของมูยองก็ตาม
***
สาวใช้ก้มขออภัยเอลฟ์ ที่ชื่ออลันซ์ไม่หยุด
“ ไปขอบคุณท่านจอมเวทย์ที่เมตตาเถอะ ”
"เจ้าค่ะ!"
หญิงสาวดูดีใจกับสิ่งที่เอลฟ์ พูดก่อนออกไป
"ฉันขอโทษจริงๆ"
ซูจีพูดอย่างสุจริต
หากเธอฟังที่สาวใช้พูด พวกเขาคงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“ ใครคือการ์มูสเหรอ?”
“ คนที่พาเหล่าคนแคระมาอาศัยอยู่ในอาณาเขตนี้น่ะ ทักษะการสร้างของเขายอดเยี่ยมมากเลย!”
ทักษะการสร้าง...
ดูเหมือนว่าเธอกำลังพูดถึงทักษะของช่างตีเหล็ก
"ขอบคุณ"
สาวใช้จัดเสื้อผ้าของเธอแล้วเริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง
การแสดงออกของซูจีเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
ซูจีอาศัยอยู่ในเมืองเกรทซิตี้ เธอเคยเห็นอาคารขนาดใหญ่จำนวนมากมาย
ทว่าที่นี่กลับไม่ด้อยกว่าเกรทซิตี้เลย บางพื้นที่ยังดูดีกว่าด้วยซ้ำ
'ที่นี่คือที่ไหนกันแน่?'
เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีกลุ่มใหญ่ขนาดนี้อาศัยอยู่ในดินแดนเทพปี ศาจ
สิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคือ มีเผ่าพันธุ์ต่างๆอาศัยอยู่ในแต่ละส่วนของอาณาเขต
“ นี่คือห้องสุรา ตามชื่อเลยมันมีไว้เพื่อใช้เก็บเหล้า”
“ ห้องสุรา?”
แน่นอนว่าสถานที่ที่เธอสนใจมากที่สุดย่อมคือห้องสุรา
“ สำหรับที่นี่เธอสามารถเข้าไปได้ อยากเข้าไปมั้ย?"
"ไปสิ ไปๆ"
ซูจีตอบทันที
สาวใช้ยิ้มแย้มขณะที่เข้าไปในห้องสุรา
สาวใช้อธิบายต่อไปอย่างตื่นเต้น
ซูจีซึ่งกำลังฟังอย่างระมัดระวัง ไม่สามารถช่วยได้แต่ต้องกังวลเมื่อพวกเขามาถึงกลางห้อง
“ ยักษ์นั่นคือ?”
“ไหนล่ะ? ้อ้อ!
ยักษ์ที่มีเปลวไฟลุกท่วมร่างตนหนึ่งนั่งอยู่ที่มุมห้องกำลังดื่มเหล้าอยู่
นอกจากนี้ไฟทาร์ตนนี้ยังดูไม่เหมือนไฟทาร์ทั่วไป
ซูจีดูกลัวหน่อยๆ แต่สาวใช้ที่มาด้วยกันกลับมีท่าทีขึงขังก่อนจะเดินปรี่เข้าไป
ไฟทาร์ที่ถูกเรียกว่าโอการ์ตะโกนตอบ
จากนั้นโอการ์ก็เหลือบมองไปที่ซูจี
“ ข้าไม่เคยเห็นเธอมาก่อน หรือว่านี่คือลูกของเจ้า?”
“ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เลิกดื่มได้แล้ว!”
โอการ์ลุกขึ้นพร้อมกับเช็ดริมฝี ปาก
แต่ทันใดนั้นเธอก็เบิกตากว้าง หลังจากทบทวนคำพูดของโอการ์
'มูยอง!
"ฮะ?"
“ เมื่อกี้คุณพูดคำว่ามูยองใช่มั้ย?”
“ ทำไมข้าจะเรียกมูยองว่ามูยองไม่ได้?”
โอการ์เกาหัว
ใจของซูจีเต้นเร็ว
“ ไม่ใช่อย่างนั้น…คุณรู้จักมูยองใช่ไหม?”
เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้กระทั่งสาวใช้ก็บอกเธอว่าซูจีมาเยี่ยมท่านลอร์ด
อัศวินแห่งความตายทาร์แคน พาเธอมาที่นี่เพราะเขารู้ว่าเธอเกี่ยวข้องกับมูยองใช่ไหม?
'พี่ชายอยู่ที่นี่'
เธอรู้ว่าเขายังไม่ตาย
เธอรู้ว่าเขาเป็ นผู้โจมตีเกรทซิตี้
หากหาเขาเจอ เธออยากจะถามเขาว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม เธอยังรู้สึกตกตะลึงเมื่อพบว่าเขาอยู่ใกล้ๆนี่เอง
เธอคงโผกอดเขาไปแล้วหากตอนนี้เขาอยู่ข้างๆ
“ พาฉันไปเจอท่านลอร์ดได้ไหม”
จากนั้นสาวใช้ก็ส่ายหัว
"ตอนนี้ยังไม่ได้หรอก ไม่มีใครสามารถเข้าไปในห้องของท่านลอร์ดได้”
"ทำไมล่ะ?"
หลังจากฟังเธอพูดจบ โอการ์ก็พูดแทรกเข้ามาพอดี
“ ท่านจะไปขอสุราจากการ์มูสใช่ไหม?”
“อะแฮ่ม”
โอการ์กระแอม
***
“ ไม่ เจ้าเข้าไปไม่ได้”
หลังจากได้ยินเรื่องราวของซูจีแล้ว การ์มูสก็ส่ายหัว
“ ฉันต้องพบเขา”
“้เจ้าไม่สามารถพบเขาได้ในตอนนี้ นอกจากนี้เขาไม่ใช่คนที่คนนอกเช่นเจ้าจะสามารถพบได้”
“ ถ้าอย่างนั้นฉันต้องทำยังไง”
“ ไม่มีอะไรที่เจ้าสามารถทำได้ ข้าจะให้มนุษย์ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนพบเขาได้ยังไง?”
“ แต่คนที่พาฉันมาที่นี่คืออัศวินแห่งความตายที่ชื่อทาร์แคนนะ..”
"ข้าไม่สนเรื่องนั้น"
การ์มูสยังคงยืนกราน
เขาเป็ นเหมือนดั่งกำแพงหิน
จากนั้นโอการ์จึงถามบ้าง
“ มูยองยังไม่ออกมาอีกเหรอ? นี่มันก็ผ่านไปตั้งสามวันแล้วนะ”
“ เจ้ากลายเป็ นพวกขี้เมาแล้ว”
“ สุราคือความโรแมนติก คนที่ไม่รู้จักความรักไม่เข้าใจข้าหรอก "
"เจ้านี่มัน…"
คลืน!
จู่ๆในขณะนั้นทั้งปราสาทก็สั่นไหว
มีเสียงดังขึ้นจากด้านนอกของปราสาท
ปู่ นนนนน!
แตรเขาสัตว์ถูกเป่ าต่อจากนั้นทันที
หลังจากได้ยินเสียงนี้ การแสดงออกของโอการ์ก็จริงจังขึ้น
“ ศัตรูมาถึงแล้ว ”
“ เสียงแตรดูผิดปกติไปจากทุกที มีมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นหรือ?”
โอการ์เป็ นคนแรกที่มีปฎิกิริยา
จากนั้นการ์มูสก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกันราวกับว่ามีบางอย่างที่ต้องทำ
“ อ่าว แล้วฉันล่ะ?”
“ รออยู่ที่นี่เงียบๆ! ”
นั่นคือคำแนะนำทั้งหมดที่พวกเขาให้
ในท้ายที่สุดซูจีก็ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
อยู่ตามลำพัง ...
ไม่มีใครจับตามองดูเธออีก
'โอกาสดีแบบนี้พลาดไม่ได้แล้ว '
คราวนี้ซูจีวางแผนที่จะระวังตัวมากขึ้น เธอไม่อยากถูกลิชจับตัวอีก
'พี่มูยองอยู่ที่นี่'
มีคนที่เธอไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกอยู่ที่นี่
การบอกให้เธอรออยู่เฉยๆนั้นไม่ต่างไปจากการถูกทรมาน
และตอนนี้ซูจีก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่แล้ว
มูยองถูกขังอยู่ในเปลือก
หรือคุณจะเรียกมันว่ารังไหมก็ได้
แต่หากเขาไม่สามารถหยุดการแทรกแซงจากพลังของกาเบรียลได้ และหากวิญญาณถูกเขียนขึ้นมาใหม่จริง...มู
ยองอาจจะไม่ใช่มูยองคนเดิมอีก
“พี่มูยอง!”
"แค่ก! "แค่ก!
ซูจีจ้องไปที่มูยอง
“ พี่ พี่…” เหมือนมีอะไรอยากถามแต่ เธอพูดไม่ออก
“ อันตรายทีเดียว” เขาตระหนักได้ทันทีที่ลืมตาตื่น
“ เธอมาที่นี่ได้ยังไง?”
ซูจีน้ำตาไหล จากนั้นเธอก็กระโดดเข้าไปกอดเขา
'ฉันวิวัฒนาการไปแล้วหรือว่ายัง?'
และ…
'ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ฉันก็ยังได้รับมา'
ซูจีหยุดร้องไห้ เธอพูดด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ
“ พี่ทำได้ยังไงนี่?”
“ ฉันจะบอกเธอหลังการต่อสู้จบลงแล้้ว มีหลายอย่างที่เธอต้องรู้เลยล่ะ”
“ ฉันจะบอกให้เธอรู้หลังจากจบเรื่องนี้”
“ พี่อย่าหายไปไหนอีกนะ”
"ฉันจะรออยู่ตรงนี้"
“ ถ้างั้น…เดี๋ยวฉันกลับมานะ”
ในท้ายที่สุดบัลร็อกก็กลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอันเดอร์เวิล์ด รวมถึงพวกเดียวกันเองจนสูญพันธุ์
“ ต้นกำเนิดของชีวิต คือพลังขับเคลื่อนของมัน”
ตูม!
บรึ้ ม!
เบซองหมิงมองดูฉากดังกล่าวอย่างปราศจากอารมณ์
ฉากของสัตว์ประหลาดที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน และกลืนกินสิ่งมีชีวิตรอบๆอย่างตะกละตะกลาม
แม้ว่าพวกเขาจะส่งกองกำลังออกไปพยายามหยุดมันด้วยความรวดเร็ว แต่ความเสียหายก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“ แค่ตัวเดียว! เราหยุดศัตรูแค่ตัวเดียวไม่ได้หรือนี่!”
โอการ์ที่รับบทบาทเป็ นผู้นำของไฟทาร์ตะโกน
ถูกต้องแล้ว ศัตรูแค่ตัวเดียว
'การดูดซับ'
มันสังหารและดูดซับชีวิตของทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงมาใช้เป็ นพลังงานของตัวเอง
'เราคงใช้ไฮดรากับเบียทริซสู้มันไม่ได้'
หากอัญเชิญพวกมันทั้งคู่ออกมาคงจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ เพราะบัลร็อกคงทำลายดินแดนทั้งหมดทิ้งได้อย่าง
รวดเร็วจากการดูดพลังชีวิตของพวกมันมาใช้
ซองมินจำต้องผนึกความสามารถดังกล่าวเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้
“ เราต้องสู้กับมันโดยใช้วิญญาณและอันเดธเท่านั้น ”
เนื่องจากอันเดธกับพวกวิญญาณไม่มีพลังชีวิตให้ดูด
“ เจ้าต้องการให้เราถอยกลับด้วยงั้นหรือ?”
โอการ์ร้องคร่ำครวญ ซองมินตอบอย่างเข้าใจ
"เข้าใจแล้ว"
โอการ์รู้ว่าตนไม่สามารถดื้อรั้นกับเรื่องนี้ได้อีก
จากนั้นซองมินก็เริ่มออกสั่งการ
“ ฉันต้องจัดการฐานพลังของมันก่อน”
'สร้างคลื่นความถี่ต่ำโจมตีมัน'
ดังนั้นซองมินคิดว่ามันจะไม่สามารถดูดซับพลังปกติเช่นนี้ได้ เมื่อสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตามรับการโจมตีแบบนี้
เข้าไป ภายในร่างของสิ่งมีชีวิตนั้นๆจะเกิดความขัดแย้งในตัวเองเป็ นอย่างมาก และหลังจากนั้นพวกมันก็จะ
เริ่มทำร้ายตัวเองจนสิ้นชีพ
ก๊าซซซซซซ! มันได้ผล
บัลร็อกปล่อยเสียงกรีดร้อง
เริ่มถลาชนกับก้อนหินที่อยู่รอบๆ มันกระแทกศีรษะเข้ากับทุกสิ่งอย่างบ้าคลั่ง
กระทั่งเริ่มกัดแขนตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีบาดแผลใดๆเกิดขึ้นเนื่องจากมันมีผิวหนังที่แข็งแกร่ง
'ต้องทำให้ผิวหนังของมันอ่อนแอลง'
และสิ่งนี้จะต้องทำโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์
“ ฉันต้องใช้ลูกปัดวิญญาณ”
ซองมินพูดกับจิ้งจอกเก้าหาง จิ้
งจอกเก้าหางทั้งห้าตัวเป็ นวิญญาณที่แข็งแกร่งซึ่งติดตามมูยองเท่านั้น
ความแข็งแกร่งของพวกเธอเปรียบได้กับมังกรเลยทีเดียว และแหล่งกำเนิดพลังของพวกเธอก็คือสิ่งที่อยู่ใน
ลูกปัดวิญญาณ มันคล้ายกับ 'ภาชนะแห่งชีวิต' ที่ลิชใช้
“ ลูกปัดวิญญาณ?”
“ เจ้าวางแผนจะใช้มันยังไง?”
จิ้งจอกเก้าหางต้องระมัดระวังและชัดเจนในการกระทำนั้น
เพราะหากลูกปัดถูกทำลาย พวกเธอจะไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขจิ้งจอกธรรมดา
หากมูยองเป็ นคนขอพวกเธอคงยอมโดยไม่ลังเล แต่นี่ไม่ใช่
“ ฉันจะลดความแข็งแกร่งของบัลร็อกลง”
สุนัขจิ้งจอกเก้าหางมองหน้ากัน
มนต์เสน่ห์หรือการยั่วยวนไม่ได้ผลกับบัลร็อก
มีเพียงการโจมตีที่สร้างจากซองมินเท่านั้นที่ได้ผล
พวกเธอไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะส่งมอบลูกปัดให้
ลูกปัดวิญญาณมีขนาดเท่ากำปั้ น แต่กลับส่องแสงเปล่งประกาย
“ เจ้าไม่สามารถใช้มันอย่างไร้เหตุผลได้”
"อย่ากังวล"
ไม่เพียงแค่สิ่งมีชีวิต แต่มันยังสามารถดูดซับเวทย์มนตร์โดยรอบ
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้คนถึงบอกว่าบัลร็อกเคยทำลายโลกไปแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ถ้าเขาสามารถปิ ดกั้นพื้นที่รอบๆของมันโดยใช้ลูกปัดห้าเม็ด
บัลร็อกก็จะอ่อนแอลง
“Καλην?χτα.”
ลูกปัดวิญญาณทั้งห้าลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะพุ่งเข้าไปหาบัลร็อก
จากนั้นพวกมันก็ปล่อยแสงออกไปเชื่อมต่อกันและกัน
แสงจากลูกปัดวิญญาณเชื่อมโยงกันผ่านตัวลูกปัดกลายเป็ นสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก
โดยมีบัลร็อกถูกตรึงไว้ตรงกลาง
'หากไม่ทุ่มเทอย่างมากคงยากที่จะผ่านกำแพงพวกนี้ไปได้'
ซองมินปักคฑาลงกับพื้นอีกครั้ง
ดาวห้าแฉกที่ล้อมรอบบัลร็อกกลายเป็ นดั่งค่ายกลที่มีองค์ประกอบของธาตุทั้งห้า
โฮกกก!
เสียงกรีดร้องดังขึ้น
เขาข้างหนึ่งของบัลร็อกถูกตัดออก
บัลร็อกโมโห
มันพยายามออกไปโดยการกระแทกร่างกายเข้ากับกำแพง
'มันตายแล้ว'
ซองมินยกมือขึ้นสั่งหยุดการโจมตี
ไม่มีการกระเพื่อมขึ้นลงจากหน้าอกของมัน
มันตายแล้ว
แต่… ซองมินขมวดคิ้ว
“ รีบออกไปจากที่นี่!”
ผิวหนังของบัลร็อกเปลี่ยนเป็ นสีแดงก่ำ
มันใช้พลังงานเฮือกสุดท้ายในการฟื้ นฟูตัวเองขึ้นมาใหม่
วูม!
แกร๊ก! แคล๊ก!
กำแพงเริ่มพังทลาย
'ฉันช้าไป' มันสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยง
ซองมินสร้างกำแพงอีกอันขึ้นมาโดยเร็ว
กำแพงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยกองกระดูก
กำแพงที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความตายและเหล่าภูติผีทุกชนิด
มันคือเกราะสามารถป้ องกันได้แม้แต่ลมหายใจของมังกร
บูมม!
หลังจากนั้นดาวห้าแฉกก็แตกกระจาย และเปลวไฟที่รุนแรงกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
เหล่าภูติผีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงระเหิดหายไปกลายเปลวเพลิงที่ขยายกว้างขึ้น
ถ้าพวกมันลุกลามออกไปจากที่นี่ได้ ทั้งอาณาเขตจะต้องถูกกลืน
'ไม่คิดเลยว่ามันจะระเบิดตัวเองได้'
ซองมินตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
มันอาจถูกตั้งโปรแกรมในระบบชีวภาพของตัวเองให้เกิดการระเบิดเมื่อตาย จากเปลวเพลิงอันรุนแรง
“ ดูเหมือนว่าฉันจะมาทันนะ!”
ซูจีปรากฏตัวขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ท่ามกลางเปลวเพลิง! เปลวเพลิงที่เผาไหม้ทุกสิ่งอย่าง
ซูจียักไหล่และยื่นมือออกมา
จากนั้นเปลวเพลิงก็เริ่มถูกดูดเข้าไปในมือของซูซี่
'ผู้หญิงคนนั้น?'
เธอเป็ นผู้หญิงที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
เธอในตอนนั้นยังดูไม่ได้พิเศษอะไรเลย
เธอมีความสามารถทางกายภาพที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีความสามารถทางเวทมนตร์มากนัก
“ ทุกคนตามฉันมา”
ซูจีกางมือทั้งสองของเธอออก
จากนั้นกำแพงแสงขนาดใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้น และดูดกลืนเปลวเพลิงอย่างกว้างขวาง
มันน่าแปลกมาก
มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เว้นแต่จะเป็ นมูยองหรือซองมินเท่านั้น
“ได้ยังไง?...”
ซองมินตกใจอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ซองมินรู้จักพลังนั้น
ซูซี่ตบพุงตัวเองขณะที่เธอเงยหัวขึ้น
เธอไม่ได้คิดว่าตัวเองจะกินไฟได้ตั้งแต่แรก
เธอแค่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ และทำไปโดยธรรมชาติเท่านั้น
ซองมินเบิกตากว้าง
ลักษณะ...ของพลังนั้น
ความสามารถในการควบคุมและกลืนกินเปลวเพลิงแบบนี้ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว
แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือเธอใช้พลังของมูยองได้อย่างไร?
'การเลียนแบบ'
มันเป็ นแค่การลอกเลียนแบบ
แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เหมือนเธอกำลังผนวกใช้บางอย่างจากคุณสมบัติของธาตุแสง
เบซูจีมองไปที่เบซองมิน
เปลวเพลิงแห่งการเผาไหม้ เพลิงที่ดูเหมือนว่าจะสามารถทำลายโลกได้
'จะต้องเกี่ยวข้องกับเจ้านายแน่'
ซองมินหาข้อสรุปออกมาด้วยตนเอง
สามารถสั่งการอันเดธและเหล่าวิญญาณ
รวมถึงเลียนแบบพลังแห่งเพลิงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำก็ทำได้
แม้ว่าตอนแรกมูยองยังไม่สามารถถ่ายทอดพลังให้ใครได้ก็ตาม
แต่ด้วยพลังที่ไม่เหมือนใคร และมีเอกลักษณ์เช่นนี้
ความเป็ นไปได้จึงเหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น
และนั่นต้องหมายความว่า มูยองอนุญาตให้ใช้พลังนั้นได้
'แต่ทำไม?'
เขาไม่เคยเห็นทำอะไรแบบบนี้มาก่อน
มูยองขังตัวเองไว้และห้ามไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน
แล้วเธอไปติดต่อกับมูยองได้ยังไง...โดยที่ซองมินยังไม่รู้
ซองมินไม่ชอบสิ่งนี้ เพราะคนที่ใกล้ชิดมูยองที่สุดคือทาร์แคนไม่ก็ตัวเขาเอง
แต่เธอเป็ นแค่ใครก็ไม่รู้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวมา
“ ฉันต้องการคำอธิบายหลังจากที่ทุกอย่างจบลง”
เสียงของซองมินเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาอย่างที่ควรจะเป็ น
และมอบทุกสิ่งในปัจจุบันนี้ให้แก่เขา
ความจริงนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้ว่าพวกเขาจะห่างกันไปถึง 2 ปี
ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ติดตาม และสนับสนุนอยู่เคียงข้างเขา
เหตุผลที่ซองมินพยายามแข็งแกร่งขึ้นทุกวันก็เพราะรอมูยองผู้เป็ นเจ้านายกลับมา
'เหมือนจะมีบางอย่างที่ฉันไม่รู้'
สิ่งนั้นรบกวนเขา
และเธอก็เป็ นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกประสาทเสีย
เธอยังคงรบกวนจิตใจของเขาแม้ว่าเขาจะพยายามเลิกคิดไปแล้วก็ตาม
ตัวตนของเธอดูจะรบกวนจิตใจเขาอย่างรุนแรง
จนทำให้ซองมินไม่อยากเข้าใกล้เธอ
ซูจียิ้มร่าจากการสัมผัสรสชาติของไฟครั้งแรก
แต่เทียบกับมูยองแล้วสิ่งที่ซูจีสามารถใช้ได้มีขีดจำกัด
มูยองเป็ นดั่งเขื่อนเก็บน้ำ
นั่นหมายความว่าเขาเป็ นคนที่ตัดสินใจว่าจะได้ปล่อยน้ำออกไปมากแค่ไหน
ถ้าเธอรับพลังมามากเกินไปร่างกายของเธอคงจะไม่ไหว
"ฉันเข้าใจแล้ว"
“Καλην?χτα.”
“Καλην?χτα”
“ กันไฟนั่นเอาไว้”
กรี๊ด! แม่มดกรีดร้อง
ลำแสงพุ่งออกจากดวงตาและปากของเธอแยกกันไปหยุดเปลวเพลิง
คฑาของซองมินสั่นอย่างรุนแรงเนื่องจากเริ่มถึงขีดจำกัด
อย่างไรก็ตามความสามารถของซองมินในการควบคุมเวทย์มนตร์แทบจะไม่มีใครเหมือน
นี่หมายความว่ารากฐานในฐานะนักเวทของเขามาถึงจุดสูงสุดแล้ว
ถ้าเป็ นพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์
ซองมินมั่นใจว่าตนไม่เป็ นรองแม้จะเทียบกับเอนโรธหรือกระทั่งอามอน
เวทมนตร์ของเขายังคงระเบิดตัวขยายพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“จงพลิกกลับ”
สิ้นคำพูดผืนดินก็พลิกคว่ำกลืนกินเปลวเพลิงรอบๆทันที
ถ้าซูจีรับหน้าที่ในการจัดการช่วงแรก
สิ่งที่เหลือหลังจากนั้นก็เป็ นหน้าที่ดูแลของซองมิน
วูบ!
ร่างของซองมินไหวเอน
“ เหมือนสถานการณ์จะยากลำบาก...คุณโอเคไหม?”
ซูจีเอ่ยถาม
ซูจียังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรให้มูยอง และอยู่ที่ไหนกันแน่
แต่เธอคิดว่ามูยองจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
สำหรับซูจี
“ พักกันซักหน่อยเถอะ”
ซองมินใช้คฑารักษาสมดุลของร่างตัวเองเอาไว้
จากนั้นสุนัขตัวโตตัวหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาให้ซองมินขี่
ซูจีมองไปที่ซองมินซึ่งกำลังขี่สุนัขสีดำตัวโตด้วยสายตาแปลกๆ
ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำสิ่งที่ลิชพึ่งทำไปได้
และแม้ว่าเธอจะไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด
แต่ความแข็งแกร่งของเหล่าอันเดธและวิญญาณ
รวมถึงมอนสเตอร์ต่างๆที่ติดตามมูยองต่างก็แข็งแกร่งกว่าปกติทั้งสิ้น
แม้แต่เกรทซิตี้ก็ยังต้องตกอยู่ในอันตรายต่อหน้าพวกมันเหล่านี้
คิดได้ดังนั้นซูจีก็ถึงกลับต้องเผลอกลืนน้ำลาย
'…'
แค่เพียงไม่กี่ปี
มูยองที่ประสบความสำเร็จหลายอย่างในเวลานั้น จะต้องทำงานหนักกว่าใครแน่ๆ
ซูจีกำหมัดแน่น
เธอไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่เธอตัดสินใจจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้
เธอคิดกับตัวเองเช่นนั้น
***
ปัง!
เอนโรธกระแทกไม้เท้าลงกับพื้น
มันเห็นภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับบาร็อก
เอนโรธเฝ้ าดูทุกอย่างด้วยความรู้สึกอันท้วมท้น
ตั้งแต่บาร็อกถูกโจมตีด้วยวิธีต่างๆกระทั่งทำลายตัวเองลง
'เจ้าเอลเดอร์ลิชนั่นรับมือได้ยากจริงๆ'
ขนาดรับแรงโจมตีจากการระเบิดตัวเองของบาร็อกก็ยังไม่ได้รับความเสียหายเท่าไหร่
ว่าแต่มนุษย์ผู้หญิงที่จู่ๆปรากฏตัวขึ้น มาจากไหน?
'เธอเป็ นผู้สังหารชาร์ซาซ่าหรือเปล่า?'
ผู้ที่สามารถควบคุมไฟ
ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถแสดงความแข็งแกร่งได้เมื่ออยู่ในเงื่อนไขพิเศษ
หากชาร์ซาซ่าตกหลุมพราง มันอาจพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนนั้นได้
'แต่ก็ยังไม่เท่าไหร่'
มันไม่ได้มากอย่างที่เขาคาดไว้
เขาอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเอลเดอร์ลิชมากกว่า
'ข้าต้องการลิชนั่น'
ลิชถือเป็ นราชาตั้งแต่แรกแล้ว
มันไม่รู้ว่าทำไมราชาถึงไปติดตามสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยเช่นมนุษย์
และมันคิดว่าอาจนำพาเขาไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้
เอนโรธคิดว่าเอลเดอร์ลิชตนนั้นยังเติบโตได้อีก
แต่เนื่องจากไม่มีนักเวทคนไหนสามารถชี้แนะเรื่องพลังเวทให้ มันจึงดูยังไม่สมบูรณ์
และเอนโรธคิดว่าตนเหมาะสมในด้านนั้น และถ้าความสามารถของลิชโดดเด่นพอ
มันสามารถพาเขาไปหาอามอนเพื่อรับความรู้เกี่ยวเวทมนตร์เพิ่มเติมได้
ตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งสี่
หากเขาได้รับสิ่งมีชีวิตที่สามารถเอาชนะราชาแห่งความตายได้
พลังของอามอนก็จะยิ่งมากขึ้น
มันเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียราชาปี ศาจทั้งสามตนรวมถึงบาร็อก
แต่การได้รับลิชนั้นสามารถชดเชยสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดได้
ลิชนั้นมีค่ามากกว่านั้น
จริงๆแล้วถือว่าสูญเสียน้อยไปด้วยซ้ำหากได้รับลิชมา
“ เพิ่มความเร็ว”
เอนโรธสั่ง
จากนั้นปราสาทลอยฟ้ าก็เคลื่อนตัวเร็วขึ้น
***
มูยองลอยอยู่กลางอากาศในท่าคุกเข่า
เขาหลับตาและกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งหมด
โลกดูแตกต่างออกไปตั้งแต่ที่เขากลายเป็ นอมตะ
บางทีการเป็ นพระเจ้าก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย
สำคัญคือเราสามารถตระหนักได้ถึงสุขทุกข์ของการเวียนว่ายเหล่านั้นได้ดีเพียงใด
ทันใดนั้นเขาก็อยากรู้
'พวกมันไม่สามารถมีความรู้สึกทุกข์สุข'
มูยองเข้าสู่การเวียนว่าย เขาคิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ที่รอบๆของการเวียนว่ายเหล่านี้
ระหว่างตกอยู่ในตะกอนความคิด วิญญาณของมูยองก็เริ่มหดเล็กลงเรื่อยๆ
และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งเขาก็หลุดเข้าไปใน 'ช่องโหว่ของรอยแตก'
ช่องโหว่…หรืออาจเป็ นประตูสู่อีกมิติหนึ่ง
“ เจ้าไม่ใช่ผู้ได้รับเชิญ”
"คุณเป็ นใคร?"
มันเป็ นเรื่องที่น่าประหลาดใจ
วิญญาณของมูยองนั้นหดเล็กลงจนสามารถผลัดหลงเข้าสู่ช่องโหว่ดังกล่าว
ทว่ามีผู้ที่อยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
แต่เจ้า...ไม่ใช่ทุกอย่างที่กล่าวมา”
'ความว่างเปล่า'
มูยองย้ำคำพูดนั้น
ผู้ดูแลพูด
“ เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ตกลงสู่บาป ถ้างั้นเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเองหรือ?
ข้าเคยเห็นใครบางคนเช่นเจ้าอยู่ครั้งหนึ่ง”
“ คุณบอกได้ไหม?”
มูยองขมวดคิ้ว
เขาบอกว่าโซโลมอนมาที่นี่เพื่อค้นหากุญแจ
นั่นหมายความว่าเขาเป็ นผู้อมตะที่พบพื้นที่แห่งความว่างเปล่า
'แต่ถ้าโซโลมอนเป็ นอมตะ….'
นั่นหมายความว่าเขายังไม่ตายใช่ไหม?
"กุญแจอะไร?”
“ กุญแจที่มีอยู่เพื่อเปิ ดสิ่งต่างๆที่ถูกปิ ด
แต่ทำไมเขาถึงต้องการกุญแจแห่งความว่างเปล่า?
“ ผมจะขอรับกุญแจพวกนั้นได้ด้วยหรือเปล่า?”
“ คุณหมายถึงผมต้องตัดแขนสักข้างเหรอ?”
“ ดังนั้นโซโลมอนจึงโยนของสองสิ่งออกไปเพราะต้องการกุญแจสองดอก”
โซโลมอนได้รับกุญแจสองดอก
นั่นหมายความว่าผู้อมตะที่มีพลังเทวะ โยนของมีค่าสองอย่างออกไปเพื่อรับกุญแจ
มูยองส่ายหัว เขาไม่ได้วางแผนที่จะทิ้งสิ่งสำคัญของตัวเองเพื่อรับกุญแจจากใครบางคน
“ ผมไม่ต้องการมัน”
“ อืมเจ้านี่แปลกจริงๆ แต่ก็ดีเพราะข้าคิดว่าเจ้าสามารถให้สิ่งมีค่ากับข้าได้มากกว่านั้น”
“ ผมไม่ได้ต้องการอะไร”
อัลโนวา!
มันเป็ นหนังสือที่มีพลังเวทย์เพียงพอที่จะทำลายอารามสีคราม
ในอดีตอัลโนวาตกอยู่ในมือของเหล่าเทพปี ศาจ
แต่ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าเมอร์ลินยังเป็ นตัวตนเช่นเดิมหรือไม่
“ โซโลมอนบอกข้าให้มอบมันกับคนต่อไปที่มาถึงสถานที่แห่งนี้
เขายังบอกข้าว่าสามารถตัดสินใจเองได้ ว่าจะให้สิ่งนี้กับพวกเขาหรือไม่”
ปัญหาคือโซโลมอนมอบความรับผิดชอบนี้ให้กับเขา
"คุณต้องการอะไรจากผม?"
ผู้ดูแลพูดโดยไม่แสดงสีหน้า
“ บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องราวประสบการณ์ที่เจ้ามีกับโลกอีกแบบหนึ่ง
ข้ารู้สึกว่าคงมีอะไรเพิ่มเติมลงไปในความว่างเปล่าได้อีกสักหน่อย”
“...... !”
มูยองประหลาดใจมาก แต่ยังคงความสงบไว้
เรื่องราวประสบการณ์ของโลก จากอีกช่วงเวลาหนึ่ง
แสดงว่าผู้ดูแลรู้เรื่องที่มูยองย้อนเวลากลับมา
ข้าที่เจ้าเห็นอาจมาจากอนาคตหรืออดีตก็ได้
นั่นเป็ นเหตุผลที่ข้าสามารถรับรู้ถึงตัวตนที่เดินอยู่บนเส้นทางอันผิดพลาดเช่นเจ้า”
ดูเหมือนมูยองจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด
อย่างน้อยก็หมายความว่าสถานที่นี้ไม่ได้ทำงานด้วยวิธีคิดปกติ
การดำรงอยู่ของตัวตนเช่นผู้ดูแห่งความว่างเปล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งใด
บางสภาพกลับเหมือนภาพลวงตามากกว่าความจริงเสียอีก
ไม่มีอะไรเสียหายหากมูยองบอกเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง
“ คุณสนใจเรื่องอะไร”
เขามีเวลาค่อนข้างเหลือเฟื อ
มูยองจึงค่อยๆเริ่มเล่าเรื่อง "ผม…"
สิ่งที่ผู้ดูแลต้องการคือเรื่องราว
และมูยองมั่นใจได้เลยว่าสามารถเล่าให้เขาฟังได้จนกว่าจะเบื่อ
* * * * ปราสาทลอยฟ้ าของเอนโรธเคลื่อนที่เข้ามาใกล้
มันยังไม่ได้โจมตี
อย่างแรกที่พวกมันทำคือการเจรจา
“ ข้าไม่สนุกกับการคุกคามผู้อ่อนแอ จงยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามคำสั่งของข้าซะ”
แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่มันต้องการที่นี่คือเอลเดอร์ลิช
เหตุผลที่มันพูดอย่างนั้นก็เพื่อเรียกความน่าเชื่อถือจากเอลเดอร์ลิชนั่นเอง
เพราะถ้าเอลเดอร์ลิชรักและหวงแหนสถานที่แห่งนี้ มันย่อมต้องยอมติดตามเอนโรธ
ลิชไม่ใช่ตัวตนที่มีสติปัญญาต่ำ
ไม่มีทางที่นักเวทนระดับนั้นจะทำอะไรงี่เง่า
หากเทียบกับความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ของเอนโรธ
เป็ นไปไม่ได้ที่ลิชจะไม่ทราบเรื่องดังกล่าว
และหากเป็ นนักเวทที่ชาญฉลาดแล้วก็ย่อมรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างพวกมัน
ทว่าแน่นอน…
บรึ้ ม
ตูม
บรึ้ ม!
เวทระเบิดที่ติดตั้งไว้
ระเบิดพลังทำลายล้างออกไปทำลายปี ศาจที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด
มันเป็ นกับดักที่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า
และนั่นหมายความว่า เขาไม่ได้วางแผนที่จะยอมรับเงื่อนไขของมัน
“ช่างเป็ นการตัดสินใจที่โง่เขลา”
คงจะดีถ้าลิชยอมรับความพ่ายแพ้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าไหร่
มันใช้กำลังจับลิชมาแล้วค่อยล้างสมองทีหลังก็ได้
เอนโรธกระแทกไม้เท้าลงที่พื้น
ตูม!
อนุภาคสีน้ำเงินแพร่กระจายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไปรอบๆปราสาทเคลื่อนที่
เมื่อเปรียบเทียบกับที่กล่าวมาแล้ว
แม้ว่านักรบของอาณาเขตจะเป็ นกองกำลังที่มีคุณภาพ
แต่ความแตกต่างของจำนวนก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำลายได้ง่ายๆ
หากอำนาจเด็ดขาดสามารถพลิกคว่ำกระแสน้ำได้
เอนโรธคิดว่าพลังที่แข็งแกร่งก็มีข้อจำกัดเช่นกัน
มันจึงเรียนรู้วิธีการต่างๆเพื่อเสริมกองกำลังของตน
เอนโรธนั่งบนบัลลังก์อีกครั้งและมองภาพสนามรบ
'พวกมันก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ'
ปี ศาจชอบที่จะกำราบผู้อื่นโดยใช้กำลัง และคลั่งไคล้การพรากชีวิตของศัตรูด้วยพลังทำลายล้าง
เอนโรธเองก็ไม่ได้ต่างจากนั้น
ทว่าเหล่าปี ศาจกลับไม่สามารถเจาะทะลวงได้โดยง่าย
เป็ นเพราะอันเดธที่แข็งแกร่งรวมถึงเอลเดอร์ลิชกำลังหยุดพวกมัน
'มาดูกันว่าพวกแกจะทนได้นานแค่ไหน'
บางสิ่งที่เหมือนภาพโฮโลแกรมปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเอนโรธ
มันกำลังถ่ายทอดสดภาพของสมรภูมิตอนนี้
เอนโรธมองดูลิชผู้อาวุโสด้วยสายตาของอาจารย์ที่กำลังมองลูกศิษย์
เบซองมินแสยะปากยิ้มเล็กน้อย
เขาได้เตรียมหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้ เขารู้อยู่แล้วว่าเอนโรธกำลังจะบุก
จึงระดมสติปัญญาทั้งหมดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนั้น
กำแพงถูกสร้างให้สูงขึ้นด้วยความช่วยเหลือของคนแคระ และยังติดตั้งระเบิดที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนใน
อากาศ
เขาค้นคว้ามนตร์ดำเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอันเดธ
จนกระทั่งปรับปรุงคุณภาพชุดเกราะที่ทหารสวมใส่อยู่
เอนโรธเดินทางมาถึงก่อนการคำนวณไว้มาก
เบซองมินคาดว่า 10 วัน แต่เอนโรธมาถึงใน 2 วัน
มีข้อจำกัดมากมายสำหรับการเตรียมตัวภายในสองวัน
นั่นเป็ นเหตุผลที่เขาต้องเค้นทุกอย่างออกมาใช้ก่อน
“ เบียทริซ โจมตีปราสาทของศัตรูซะ”
อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเบซองมินคือแม่มดเบียทริซ
หากลำแสงพลังของเธอพุ่งเข้าใส่สิ่งใด มันจะทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความว่างเปล่า
และมันง่ายที่จะโจมตีเป้ าหมายขนาดใหญ่อย่างปราสาทของศัตรู
กรี๊ด!
ใบหน้าของเบียทริซปรากฏหยดเลือดไหลออกมาจากดวงตาหลังจากได้รับคำสั่งจากเบซองมิน
จากนั้นลำแสงขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้าหาปราสาทของเอนโรธ
ปังงงงงงงงงงงง!
เกิดการระเบิดเสียงดังจนพื้นดินสั่นสะเทือน
ทว่าเบซองมินที่เห็นภาพดังกล่าวกลับส่ายหัว
'มันไม่ได้ผล' เบาเกินไป
ตัวปราสาทได้รับการปกป้ องด้วยเวทมนตร์ของเอนโรธ
นั่นหมายความว่าแม้กระทั่งเบียทริซก็เทียบไม่ได้กับเอนโรธในด้านเวทย์มนตร์
หากพวกเขาไม่สามารถเจาะทะลวงบาเรียของปราสาทได้
การรบแบบกองโจรที่เตรียมไว้ก็คงไม่ได้เคลื่อนไหว
สุดท้ายเมื่อศัตรูตัดผ่านทุ่งระเบิดเข้ามาได้
พวกเขาจะต้องต่อสู้แบบประชิดตัว
'มันเสริมพลังให้พวกปี ศาจจำนวนมากได้ยังไง?'
ปัญหาไม่ใช่แค่จำนวนตัวเลข
อย่างน้อยเบซองมินก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ตัวตนทรงพลังที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ ฉันจะเข้าไป”
จู่ๆเบซูจีก็โผล่มายืนอยู่ข้างเบซองมินพร้อมกับพูดขึ้น
เบซองมินรู้จักชื่อของเธอ แม้พวกเขาจะมีนามสกุลเดียวกันแต่ซองมินก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เธอรู้
'ชื่อของฉันในอดีตไม่สำคัญ ถึงบอกเธอไปก็คงจะมีแต่เรื่องน่ารำคาญ'
'หรือเพราะแบบนั้นเจ้านายจึงอนุญาตุให้เธอยืมพลังไปใช้'
ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งเพิ่มขึ้น
อีกเหตุผลที่มูยองส่งเบซูจีออกมา เพราะมูยองยังไม่คุ้นเคยกับพลังใหม่ที่ได้รับ
'ฉันต้องอดทนจนกว่าเจ้านายจะพร้อม'
เขาตัดสินใจทิ้งความรู้สึกที่ไม่จำเป็ นออกไป
ไม่ว่ากรณีใดๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรอ
“ เธอจะไปที่ปราสาทของเอนโรธเหรอ?”
เบซองมินไม่สามารถรับรู้ถึงการมีตัวตนของเบซูจีได้เลย จนกว่าเธอจะเข้าใกล้ๆและพูดขึ้น
แต่การลอบสังหารจะได้ผลกับเอนโรธหรือไม่?
“ แค่บอกฉันว่าเอนโรธอยู่ที่ไหน ฉันจะไปเด็ดหัวของมันเอง”
เบซองมินคิด
'โง่อะไรขนาดนี้'
ความคิดของเบซูจีนั้นโง่จริงๆ
โอกาสประสบความสำเร็จนั้นใกล้เคียงกับ 0% ไม่ว่าจะระบุที่อยู่ของเอนโรธได้หรือไม่
ภารกิจที่สำคัญที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบันคือ การซื้อเวลา
พวกเขาจะทนได้หรือไม่จนกว่ามูยองจะปรากฏตัว เพราะถ้ามูยองแพ้ทุกอย่างก็จบ
แต่เบซองมินไม่เคยคิดว่ามูยองจะแพ้ใครอยู่แล้ว
"งั้นรอเดี๋ยว!
แต่ก่อนหน้านั้นต้องทำลายแหล่งพลังงานบางส่วนที่สนับสนุนปราสาท
และหาที่ตั้งของเอนโรธให้ได้เสียก่อน
เบซองมินลอยตัวขึ้นไปบนอากาศ
เบซองมินวางแผนที่จะยั่วยุเอนโรธด้วยเวทมนตร์ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้
“ สนามแรงโน้มถ่วง”
วูบ!
จากนั้นก็เริ่มดึงทุกอย่างลงสู่เบื้องล่างอย่างรุนแรง
นี่เป็ นเวทมนตร์สำหรับการต่อสู้วงกว้างที่เบซองมินคิดขึ้น
ทว่าแม้แต่พันธมิตรก็ไม่สามารถหนีออกจากอิทธิพลนี้ได้
เขาจึงไม่สามารถทำให้มันสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับปราสาทได้เช่นกัน
มันยังเป็ นเวทย์มนตร์ที่ต้องได้รับการปรับปรุง
ตูมมมมมมม!
ปราสาทลอยฟ้ าขนาดใหญ่ถูกดึงลงมาที่สู่พื้น
ไม่มีการยั่วยุใดใหญ่โตกว่านี้อีกแล้ว
มันไม่สามารถสร้างความเสียหายได้เท่าไหร่
แต่ถ้าซองมินเป็ นเอนโรธเขาจะต้องเสียหน้ามากแน่ๆ
ฟูมมมมมมม!
อย่างที่คาดไว้
ปราสาทเริ่มลอยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพลังที่โต้ตอบแรงโน้มถ่วง
เอนโรธกำลังแทรกแทรงเวทของซองมิน
แต่ด้วยเหตุนี้เบซองมินจึงสามารถระบุตำแหน่งของเอนโรธผ่านจุดศูนย์กลางของพลังนั้นได้
"ตรงนั้น"
สูงขึ้นเล็กน้อยจากกึ่งกลางของตัวปราสาท
เบซองมินส่งตำแหน่งของเอนโรธ
และข้อมูลทุกสิ่งที่ทราบให้เบซูจีด้วยพลังเวท เบซี่ซูจีพยักหน้า
“ ฉันจะยุติสงครามนี้เอง”
เธอต้องเข้าไปก่อนที่ปราสาทจะลอยขึ้นอีกครั้ง เบซูจีพุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนู
ในขณะที่เบซองมินยังคงเผชิญหน้ากับความภาคภูมิใจของเอนโรธ
อย่างไรก็ตาม ชัดเจนว่ามันไม่ใช่หินอ่อนธรรมดา
เมื่อมูยองตรวจดูมันอย่างใกล้ชิด
ข้อมูลจำนวนมากก็ไหลหลั่งเข้าสู่สมองของเขาทันที
“อึก”
มูยองเซถอยหลัง
ข้อมูลที่มีอยู่นั้นกว้างใหญ่เกินกว่าที่เขาจะเห็นหมดทุกส่วน
“ วิญญาณของเจ้าจะถูกทำลายถ้ามองมันเป็ นเวลานาน”
“ ผมก็คิดอย่างนั้น”
ขนาดมีพลังครึ่ งเทพยังไม่สามารถจัดการข้อมูลของอัลโนวาได้ทั้งหมด
หินอ่อนนี้จะโจมตีไปที่จิตสำนึกและจิตวิญญาณของคุณโดยตรง
ยังไงก็ตาม เขาสามารถจดจำเวทมนตร์ที่สำคัญในช่วงเวลาสั้นๆนั้นได้
“ เรื่องราวของเจ้าน่าสนใจมาก ข้าหวังว่าเราจะได้พบกันอีก”
จากนั้นผู้ดูแลแห่งความว่างเปล่าก็หายตัวไป
ส่วนมูยอง เขามองดูสถานที่ที่ตัวเองยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันหลังกลับ
เขาได้รับสมบัติที่ไม่คาดคิด
เขาไม่ทราบว่าจะเจอพื้นที่แห่งความว่างเปล่าในขณะที่จิตวิญญาณอยู่ในสภาวะที่เล็กที่สุด
นอกจากนี้…มูยองยังได้รับคำใบ้ว่าโซโลมอนยังมีชีวิตอยู่
'ฉันจะตามหาเขา ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่'
มูยองต้องไปถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่โซโลมอนมอบให้
เขาพร้อมแล้วที่จะออกไป
วิญญาณของเขาเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆจนไปปรากฏตัวอยู่บนโลกปกติ
บูมมมม!
สิ่งแรกที่ได้ยินหลังจากลืมตาคือเสียงระเบิด
จริงๆแล้วพวกมันอยู่ค่อนข้างไกล แต่มูยองสามารถได้ยินสิ่งนั้นราวกับว่ามันกำลังเกิดขึ้นข้างๆ
'เอนโรธบุกมาแล้ว'
มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขาคาดไว้
มูยองยืนขึ้น
ฟู่ ว
แล้วก็หายไปเหมือนควัน
*** “ พวกเรากำลังถูกตีกลับจนถอยร่น!”
เบซองมินหาข้อสรุป
สงครามเริ่มเสียเปรียบเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ
เขากังวลเกี่ยวกับเบซูจีอยู่บ้าง
แต่ความเป็ นไปได้ที่เธอจะประสบความสำเร็จนั้นเล็กน้อยมาก
'แบบนี้คงไม่มีหวัง'
เอนโรธรุกคืบเร็วเกินไป
สิ่งเดียวที่เบซองมินสามารถทำได้ตอนนี้คือถ่วงเวลาไว้ อย่างไรก็ตามเขาคงทำได้อีกไม่นานนัก
"อย่าให้หลุดไปแม้สักคนเดียว! ปิ ดกั้นเส้นทางหลบหนีให้หมด!”
“ นี่คือการล่า! ว๊าฮ่าๆๆ!”
ปี ศาจวิ่งไล่อย่างบ้าคลั่ง
สิ่งนั่นทำให้ซองมินรู้สึกรำคาญ
การถอยแบบนี้เขาจะต้องสูญเสียนักรบไปกว่าสองถึงสามพันคน
แต่หากไม่ทำกองกำลังทั้งหมดจะต้องถูกกวาดล้าง
“ฟูม ... .”
ปังงงงงง!
มันเป็ นในขณะนั้น
แต่จากระยะที่ไกลมากนั่นปื นใหญ่ไม่มีทางที่จะเทียบได้
หลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้น
เปลวเพลิงลุกท่วม!
เหล่าปี ศาจล้วนประหลาดใจและล้มหายตายจาก
ทว่าเหมือนมีผู้หนึ่งอยู่ตรงกลางของหายนะแห่งเปลวเพลิงดังกล่าว
“เจ้านาย?”
'มูยอง!
เขาปรากฏตัวแล้ว
ปี กทั้งหกต่างก็ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง มูยองเดินเข้ามาในสภาพนั้น
และไม่มีปี ศาจหน้าไหนกล้าคิดเดินไปใกล้เขา
“ เบซูจีอยู่ที่ไหน?”
“ เธอเข้าไปในปราสาท”
เบซองมินคุกเข่าและตอบ
มูยองขมวดคิ้ว
“ ทำไมนายไม่หยุดเธอล่ะ”
“ แล้วนายพอใจกับเรื่องนั้นเหรอ?”
“ มีเหตุผลไหนที่ผมไม่ควรพอใจ?”
เขาจำเธอไม่ได้เหรอ?
จะบังเอิญเกินไปไหม ที่เขาไม่รู้เพราะมูยองไม่ได้บอก
ยังไงก็ตามมูยองไม่สามารถเมินเฉยได้ เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้อีก
มันจะกลายเป็ นความขุ่นเคืองขนาดไหนถ้าเขาไม่เคยรู้ความจริงตรงหน้า?
ที่เขาปล่อยผ่านมาจนถึงตอนนี้ เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากขึ้น
แต่เมื่อทั้งสองฝ่ ายได้เจอกันแล้วเรื่องก็ไม่ควรจบลงเช่นนี้
และมูยองไม่ต้องการให้พวกเขาสองคนตกอยู่ในสถานการณ์ที่โหดร้ายจากความไม่รู้อีกด้วย
------------
บทที่ 229: อัลโนวา (3)
“ ว่าไงนะ…”
เบซองมินจริงจัง ลูกสาว?
จากความทรงจำที่คลุมเครือ เอลเดอร์ลิชอย่างเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความผูกพันกับสิ่งมีชีวิตอื่นอีกนอกจา
กมูยอง
มูยองมองขึ้นไปที่ 'ปราสาท'
ปราสาทที่หลุดจากผลกระทบของสนามแรงโน้มถ่วงกำลังลอยขึ้นอีกครั้ง
เบซองมินตกใจ เนื่องจากมูยองไม่มีเหตุผลที่จะโกหก
เขามักพูดความจริงเสมอ หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่เคยโกหกเบซองมิน
และหากคำพูดของมูยองเป็ นจริง
คิดได้ดังนั้นท้องฟ้ าของซองมินก็ราวกับจะถล่มคลืนลงมา
“ ถ้างั้น…สิ่งที่ผมตามหาตลอดมาก็คือ”
เบซองมินรู้สึกเจ็บปวดเสมอ เขารู้สึกเหมือนสูญเสียสิ่งสำคัญตลอดเวลา
มักจะมีแรงกดดันให้เขาต้องตามหาอะไรซักอย่าง
แต่เขาไม่เคยจินตนาการว่าบางสิ่งนั้นเป็ นลูกสาวของตัวเอง
“ ฉันไม่ต้องการทำให้นายสับสน จริงๆแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าควรตัดสินใจยังไงกับเรื่องของนายเหมือนกัน ”
ถูกตัอง มูยองไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้
เขาไม่สามารถตัดสินได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
เบซองมิเสียชีวิตไปแล้ว
และกลายเป็ นลิชผู้สูญเสียความทรงจำส่วนใหญ่ในอดีต
แต่เขาคิดว่าควรบอกความจริงเมื่อทั้งสองฝ่ ายได้พบกัน
มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถหลบเลี่ยงได้ตลอดไป
“ ฉันจะเคารพการเลือกของนาย”
เขาปล่อยให้มันเป็ นการตัดสินใจของเบซองมิน
แต่หากเขาเลือกที่จะคว้าอดีตของตนไว้
มูยองก็เคารพการตัดสินใจของซองมิน
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็ นคนอยากไปเองก็ตาม
เขาไม่รู้สึกผิดสักนิดสำหรับการตัดสินใจครั้งนั้น แต่เขาจะทำแบบเดียวกันหรือเปล่า
หากรู้ว่าเธอเป็ นลูกสาวของเขา?
เบซองมินตกอยู่ในพะวง
'ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้เลย ทำไม!'
เบซองมินประสบปัญหากับอารมณ์ที่ไม่มั่นคงเป็ นอย่างมาก
แม้จะทราบความจริงแล้ว แต่เขาก็จำอะไรไม่ได้เลย
เขาจะคว้าทุกอย่างไว้ทันทีถ้าความทรงจำทั้งหมดปรากฏขึ้น
“ นายท่าน เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า?”
“ เธอยังไม่ตาย แต่ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่”
มูยองและเบซูจีเชื่อมต่อกันอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้เห็นทุกอย่าง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่แน่ๆคือสัญญาณชีวิตของเธอกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ เบซองมินพยักหน้า
“ ผมจะไปหาเธอ ผมอยากมองเด็กคนนั้นชัดๆสักครั้ง”
ตอนเบซองมินเห็นเบซูจีครั้งแรก
ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น?
ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็อยากเผชิญหน้ากับเธอดีๆสักครั้ง
ยังไงก็ตามตอนนี้เขาต้องช่วยเบซูจีก่อน
ภารกิจช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดินไปสู่ความตาย
นั่นเป็ นสิ่งที่ดูไม่เข้ากับลิชเอาซะเลย
มูยองเผยรอยยิ้มจางๆ
“ ฉันจะเปิ ดทางให้นายเอง”
ฟูม! เปลวเพลิงลุกไหม้โหมกระหน่ำขึ้น
“ ในทุกสรรพสิ่ง ย่อมมีแสงส่องถึงเสมอ”
ฟว๊างง!
“อ๊ากกก!”
“ซะช่วยข้าด้วย! เจ็บเหลือเกิน!"
"ม้ายย! อ๊าก!”
ปี ศาจที่ถูกลำแสงสัมผัส ร้องด้วยความเจ็บปวด
ทว่าแม้แต่มูยองก็ไม่สามารถเข้าใจบทสวดทั้งหมด
เขาสามารถจดจำบทสวดที่แข็งแกร่งได้บางบทเท่านั้น
“ จงแผดเผาให้เหมือนเปลวเพลิง และซัดใส่ดั่งคลื่นแห่งท้องทะเล”
วูม!
วูบ!
ร่างของมูยองดูซวนเซ
'บทสวดของอัลโนวาเปลืองแรงค่อนข้างมาก'
อย่างมากที่สุดสามครั้ง นั่นคือจำนวนบทสวดที่มูยองสามารถท่องได้
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองคงไม่สามารถทนได้มากกว่านั้น
ชิ้ง!
มูยองดึงความโกรธเกรี้ ยวออกมา
และซองมินไม่ควรพลาดโอกาสนี้
“ ยังไม่สายถ้านายจะไปตอนนี้”
"ตามฉันมา ถึงเวลาทำลายศัตรูของเราแล้ว”
* * * "แกเป็ นใคร?"
ปัง!
เอนโรธกระแทกไม้เท้าใส่พื้น
ทุกคนนอกจากเอนโรธถูกสังหารจนหมด แต่ของมันแน่อยู่แล้วที่เอนโรธยังมีชีวิตอยู่
ยังไงก็ตามชัดเจนว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เอนโรธส่ายหัวขณะมองไปที่ผู้บุกรุก
เอนโรธมองเบซูจีแล้วก็รู้สึกได้ว่ายังมีบางคนที่เหนือกว่าเธออยู่
เขาไม่ได้ฆ่าซูจีทันที เพราะรู้สึกได้ถึงการปรากฏตัวของผู้ที่แข็งแกร่ง
เบซูจีนั้นมีความเชื่อมโยงกับ 'ใครบางคน'
“ เป็ นประเภทที่ไม่ชอบให้พูดจาดีๆสินะ”
เอนโรธอยากรู้อยากเห็น มันรู้สึกอยากตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั้น
นั่นเป็ นเหตุผลที่มันพยายามควบคุมจิตใจของเบซูจี
การย้ายจิตสำนึกเป็ นความสามารถพิเศษของเอนโรธ
การเล่นกับจิตสำนึกที่ศัตรูอดกลั้นไว้อย่างสมบูรณ์นั้นเป็ นสิ่งที่มันชอบ
มันกางมือออกไปดึงผมของเบซูจี จากนั้นก็เขียนอักษรรูนบางอย่างลงบนไม้เท้า
บอกตัวตนที่เชื่อมโยงอยู่กับเจ้ามา”
มันใช้เวลาไม่นาน
มันไม่สำคัญว่าเธอจะหมดสติหรือไม่ถ้าการควบคุมจิตใจทำงานได้อย่างถูกต้อง
หากเป็ นปกติเบซูจีน่าจะต้องตอบคำถามของเอนโรธไปแล้ว
มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้นถ้าเธอไม่ตอบ
'การควบคุมจิตใจของข้าไม่ได้ผล'
มันแทบไม่อยากเชื่อที่พลังของตัวเองไม่ได้ผล!
เมื่อมูยองออกจากอารามสีคราม
เมื่อเปรียบเทียบกับเอนโรธที่ผลักดันมันด้วยพลังเวท
หวังซุงหลินนั้นได้เข้าไปจัดการจิตใจของเหยื่ออย่างเป็ นระบบ
มูยองเตรียมการพวกนี้ไว้สำหรับหวังซุงหลิน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่มันจะถูกเจาะทะลวงได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นสีหน้าของเอนโรธก็เปลี่ยนไป
“ ข้าติดกับของศัตรูหรือนี่…!”
ฟูว!
ในขณะนั้นเสาเพลิงขนาดใหญ่ก็ลุกขึ้นบนปราสาท
เมื่อตกอยู่สถาวะไร้การป้ องกันปราสาทก็เริ่มดิ่งร่วง
มันเป็ นพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่แม้แต่เอนโรธก็ไม่สามารถเลียนแบบได้
ฮ่า!
เอนโรธส่งเสียงคำรามออกมา
แต่มันก็เป็ นผู้หนึ่งที่ถูกล่าเช่นกัน
เอนโรธปฏิเสธความจริงที่ว่าตนเป็ นผู้หนึ่งที่ตกหลุมพราง
ยังไม่จบแค่นั้น มีบางอย่างกำลังมา
ด้วยพลังเวทที่น่ากลัว เขากำลังเจาะปราสาทโดยใช้เทคนิคขยายพลังเวท
เอนโรธหันหลังกลับ และในเวลาเดียวกันมันก็กล่าวขึ้น
“ เอลเดอร์ลิช…!”
เอนโรธตัดสินใจสังหารลิชและผู้หญิงตรงหน้าเพื่อทำลายแผนการของผู้นั้นดีกว่า
“ เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้หรือ!”
“ ฉันไม่ได้มาเพื่อเอาชนะแก”
เบซองมินเหลือบมองไปยังจุดหนึ่ง
เบซูจียังมีชีวิตอยู่ เธออยู่ในสภาพที่แย่มาก
แต่สิ่งสำคัญคือเธอยังมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนว่าเธอจะแค่หมดสติไป
เบซองมินตัวสั่นเทิ้มเมื่อเห็นเบซูจี
“ ฉันแค่มาที่นี่...เพราะไม่อยากให้ตัวเองต้องเสียใจ”
ความตายหมายถึงจุดจบ
ดังนั้นจึงเป็ นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนไม่อยากจะตายโดยทั้งที่ยังมีเรื่องค้างคาให้ต้องรู้สึกเสียใจ
และไม่ใช่แค่เบซองมิน อันที่จริงความจริงแล้วอันเดธรอบๆตัวเขากำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
อันเดธที่มูยองสร้างขึ้นนั้นล้วนเป็ นตัวตนที่พิเศษ และเบซองมินนั้นยิ่งพิเศษกว่าใคร
เบซองมินเหลียวมองเบซูจีอีกครั้ง เขารู้สึกถึงความอ่อนแอของตนเอง
ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาต้องการที่จะวางมือบนแก้มของเธอและบอกเธอว่าทุกอย่างโอเคแล้ว
เบซองมินไม่รู้ว่าอารมณ์แบบนี้คืออะไร
เขารู้เพียงว่าการพาเธอออกไปจากที่นี่จะทำให้เขาไม่ต้องเสียใจ
“ ลิชพูดถึงความรู้สึกเสียใจ? น่าขำจริงๆ”
บูม!
พวกมันหมุนตัวกันเป็ นเกลียวรอบๆเบซองมิน
ในขณะนั้นเบซองก็มินระเบิดพลังเวททั้งหมดออกมาอย่างไม่เสียดาย
อำนาจพลังที่แข็งแกร่งจนสามารถทำลายร่างของผู้ใช้ได้และตอนนี้พลังเวทของเขาก็ทะลุ 700 หน่วยในชั่ว
พริบตา
“ พลังเวทเทียบเท่าระดับเหนือธรรมชาติงั้นรึ! แต่เจ้าจะทนได้สักแค่ไหนเชียว”
แม้แต่เอนโรธก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ เพราะอย่างน้อยในชั่วขณะนี้พลังของเบซองมินก็ไม่ต่างกับตัวมันเอง
แต่ปัญหาของซองมินคือเวลา
ใช่แล้วเบซองมินไม่สามารถรักษาสถานะนั้นไว้ได้เป็ นเวลานาน
ไม่เกิน 3 นาที
หากยังทำแบบนี้ ร่างกายของเขาจะต้องแตกสลาย
"แค่นั้นก็พอแล้ว... อะมาดิอุส”
แต่ด้วยพลังเวทอันล้นพ้นเขาไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว
นี่เป็ นการสังเวยที่ดีกว่าหัวหนึ่งของไฮดราเสียอีก
กรี๊ด!
แม่มดเบียทริซที่ก้าวออกมาจากประตูดูตัวเล็กกว่าเดิม แต่ออร่าแห่งความมืดที่หมุนรอบตัวเธอกลับเพิ่มมาก
ขึ้น
จากนั้นก็พุ่งตัวไปกำจัดเงาและรยางค์สีดำด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ในขณะเดียวกันเบซองมินก็เตรียมเวทอื่นๆ เบียทริซที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมออกไปกวาดล้างศัตรูอย่างบ้าคลั่ง
แต่ไม่รู้ว่าเธอจะสู้กับเอนโรธได้นานแค่ไหน
“ไร้ประโยชน์”
เอนโรธเหวี่ยงไม้เท้าวาดบนอากาศ
ชิ้ง! ชิ้งง... ชิ้ง!
เมื่อสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกปรากฏขึ้นนักธนูเงาปี ศาจก็เริ่มก้าวออกมา
ลูกศรของนักธนูเงาปี ศาจสามารถทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความมืดได้
อีกนัยหนึ่งก็คือมันสามารถส่งคำสาปให้กับทุกสิ่งที่มันสัมผัส
กรี๊ด!
แม้แต่เบียทริซที่รวดเร็วก็ไม่สามารถหลบลูกศรเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่นั่นก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งเบียทริซได้
เธอสังหารนักธนูเงาที่ขวางทาง และมุ่งหน้าไปยังเอนโรธ
“ ดูมไนท์”
จู่ๆเหล่านักธนูเงาที่แตกสลายก็รวมตัวกันแล้วก่อร่างเป็ นอัศวินตัวใหญ่
ดูมไนท์! สิ่งมีชีวิตที่มีระดับเหนือกว่าเดธไนท์!
รูปแบบสุดท้ายของอัศวินอันเดธที่ได้ยินในตำนานเท่านั้น
เช้ง!
กรงเล็บของเบียทริซและดาบของดูมไนท์ปะทะกัน แต่มีเพียงร่างกายของเบียทริซเท่านั้นที่ปรากฎบาดแผล
อย่างไรก็ตามพลังของมันยอดเยี่ยมมากจนสามารถสังหารมังกรได้
ทุกคนต่างรู้ว่าราชาแห่งความตายสามารถสั่งการกองทัพดูมไนท์ได้ แต่ไม่มีใครบอกว่าเอนโรธเองก็สามารถ
ควบคุมดูมไนท์ได้เช่นกัน
เบซองมินตกอยู่ในความเงียบ เพราะมอนสเตอร์แข็งแกร่งที่สุดที่เขาสามารถอัญเชิญได้ในขณะนี้คือเบียทริซ
แต่ตัวที่เอนโรธอัญเชิญออกมานั้นแข็งแกร่งจนทำให้เบียทริซพ่ายแพ้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของเอน
โรธไม่ได้มีแค่การอัญเชิญ
“ เวทมนตร์ของข้ายิ่งใหญ่ที่สุด ”
'ดวงตาแห่งความตาย'
เวทคำสาปอันแข็งแกร่ง ทักษะที่สามารถลดทอนความสามารถทุกอย่างของคู่ต่อสู้ที่มองมัน
โชคดีที่เบซองมินร่ายเวทของตนจบพอดี
'อเวจี'
เอนโรธเผชิญหน้ากับศัตรูที่พุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นดินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และนั่นทำให้มันดูประหลาดใจไม่น้อย
มันคิดว่ามองศัตรูออกทะลุปลุโปร่งหมดแล้ว
แต่ลิชยังซ่อนคาถาแบบนี้เอาไว้อีก!
ทว่านอกจากความสนใจ ก็ไม่มีความสับสนหรือความกลัวบนใบหน้าของมัน
“ ช่างโชคร้าย โชคร้ายจริงๆ”
เอนโรธบ่นพึมพำ
คุณสามารถพูดได้ว่าศักยภาพในการเติบโตของลิชที่รู้วิธีใช้เรียลลิตี้มาเบิ้ลนั้นไม่จำกัด
อย่างไรก็ตามการดำรงอยู่ของตัวตนเบื้องหลังลิชรบกวนเอนโรธ
มันต้องจึงกำจัดลิชอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เอนโรธเหวี่ยงไม้เท้ากว้าง
วูม! วูม!
เมื่อไม้เท้าถูกเหวี่ยง
กรงเล็บของสัตว์ร้ายตัวใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในอากาศ และตัดพื้นที่ของเรียลลิตี้มาเบิ้ลออกจากกัน
“ เวทมนตร์ทุกชนิดที่อยู่ต่อหน้าข้าล้วนไร้ประโยชน์”
พื้นที่ของอเวจีพังในทันที
เบซองมินยิ้มอย่างปลดปลง คู่ต่อสู้ที่เบียทริซและแม้แต่อเวจียังทำอะไรไม่ได้!
นี่เป็ นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
เอนโรธเป็ นนักเวทที่แข็งแกร่งคนหนึ่งสำหรับนักเวทคนอื่นๆ
สู้กับเอนโรธแล้วยังคิดเกี่ยวกับการชนะนั้นดูไร้สาระมาก
'ฉันไม่ได้คิดว่าจะชนะตั้งแต่แรกแล้ว'
ก่อนจะแอบมอบคำสั่งให้กับเบียทริซ
กรี๊ด!
เบียทริซเริ่มหลั่งน้ำตาสีเลือดและเข้าสู่โหมดบ้าคลั่ง
โหมดบ้าคลั่ง วิธีต่อสู้ที่ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์เช่นเดียวกับที่ซองมินจะทำตอนนี้
ดูมไนท์เริ่มถูกดันกลับในขณะที่เบซองมินปักคฑาลงบนพื้น
ส่วนเอนโรธก็พยายามร่ายเวทบางอย่าง พลังเวทมนตร์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่ปลายคฑาของซองมิน
“ อย่าบอกนะว่า...!”
เอนโรธตระหนักได้ถึงสิ่งที่เบซองมินกำลังทำ
เวททำลายตัวเอง! จะไม่มีอะไรเหลืออยู่โดยรอบ
หากพลังเวทระดับนั้นระเบิด แต่เบซองมินสามารถควบคุมการระเบิดได้
มันเพียงพอให้เอนโรธตายไปกับเขาเท่านั้น
ความสามารถในการควบคุมเวทมนตร์อันอยู่นอกขอบเขต ของลิชทั่วไป
“ฮึ ไร้ประโยชน์”
เอนโรธย่อตัวลงกระแทกไม้เท้ากับพื้นอีกครั้ง พลังเวทสีดำไหลออกมาปกคลุมร่างของเอนโรธเอาไว้
และเป็ นระหว่างเดียวกันกับที่เบียทริซกำลังพาเบซูจีหนี
เธอออกจากปราสาทในขณะที่ใช้ปากคาบเบซูจีไว้
“ แกพูดว่าไม่มีเวทไหนทำอะไรแกได้ ถ้างั้นลองหยุดนี่ดู”
เบซองมินชูคฑาขึ้น
พลังเวทอันไม่สามารถจินตนาการได้
ปะทะเข้ากับเอนโรธเกิดเป็ นการระเบิดครั้งใหญ่
บูมมมมมมมมมมม!
มูยองเงยหน้าขึ้น
มีสัตว์ตัวหนึ่งทะยานตัวออกมาจากปราสาท และพลังระเบิดที่น่าเหลือเชื่อก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้น
“ เบซองมิน…”
มูยองขมวดคิ้ว สัตว์ร้ายตัวดังกล่าวมุ่งตรงมาที่ด้านหน้าของมูยองในขณะที่คาบเบซูจีไว้
จากนั้นปราสาทก็ระเบิดตัวและพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
'เขาระเบิดตนเอง'
ปัญหาคือ...เอนโรธยังไม่ตาย
การต่อสู้กำลังจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
มูยองเงยหน้าขึ้น
เอนโรธ มันลอยอยู่กลางอากาศในขณะที่กำลังโมโห
อาจเป็ นเพราะเจอกับเหตุการณ์ระเบิดอันไม่คาดคิด
เอนโรธเหวี่ยงไม้เท้าจากนั้นเปลวไฟสีดำก็เริ่มตกลงมาจากท้องฟ้ าเหมือนห่าฝน
“ ไม่มีใครสามารถเอาชนะข้าเอนโรธผู้นี้ได้!”
แม้ว่าจะดูเหมือนใจเย็นลงแล้ว แต่ปี ศาจก็ยังเป็ นปี ศาจ
ไม่ว่าจะตื่นเต้น หรือรุ่มร้อนอาการของพวกมันก็เหมือนกันมาก
มูยองมองดูเปลวไฟสีดำที่กำลังตกลงมาจากท้องฟ้ า พวกมันกระจายไปทั่วบริเวณ
และดูเหมือนว่าต้องการทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า
เป็ นเปลวไฟอันน่ารังเกียจที่มูยองไม่คิดกลืนกิน
จากนั้นมูยองก็พูดขึ้น
“ ท่านจักอยู่ที่นั่นเสมอ” หนึ่งในสามบทสวดที่มูยองเห็นในคัมภีร์อัลโนวา
เปลวเพลิงทั้งหมดหายไปจนสิ้น
เมื่อคำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของเขา มันหายไปอย่างหมดจดราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
“การยกเลิกเวท... ! แต่มันทำได้ขนาดนั้นได้ยังไง”
ความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในจิตใจของเอนโรธ
มีวิธีการมากมายในการทำให้เวทเป็ นโมฆะ
แต่พวกมันล้วนทำได้เพียงระยะแคบๆ มันไม่สามารถลบล้างเวทระยะกว้างเช่นนี้ได้
มันมั่นใจว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คือตัวตนที่เหนือกว่าลิชผู้นั้น
เขาไม่ใช่หนึ่งในสี่ตัวตนเหนือธรรมชาติ แล้วสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาจากไหน?
แต่…พลังโจมตีของมันไม่เพียงพอให้มูยองอยากเกาด้วยซ้ำ
แต่สิ่งนี้ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงแม้มันจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
ด้วยพลังของลูซิเฟอร์ มันจะปฏิเสธการโจมตีจากตัวตนที่อ่อนแอกว่า
ไม่เพียงแค่นั้น ผิวหนังของผู้อมตะยังมีความต้านทานในระดับสูง
เรียกได้ว่าเกือบลบล้างพลังเวทได้เลยทีเดียว
เขาเป็ นศัตรูโดยธรรมชาติของเหล่านักเวท
"ยัง ยังไม่หมดแค่นี้!"
เอนโรธพยายามดิ้นรน มือและรยางค์ค์สีดำเมื่อมพุ่งไปหมายคลุมร่างมูยอง
แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถสัมผัสร่างเขาได้
นี่คือพลังของกาเบรียล
พลังที่ปฏิเสธการเสื่อมถอย มันไม่อนุญาตุให้ทุกพลังงานเชิงลบแตะต้องตัวเขาได้อย่างง่ายดาย
ทักษะทั้งหมดของเอนโรธล้วนไม่ได้ผล
เอนโรธตกใจเป็ นที่สุด
พอเอนโรธเริ่มเห็นพลังของมูยอง สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีแค่ความสิ้นหวัง
พลังหลายอย่างที่อาศัยอยู่ในตัวมูยอง พวกมันไม่ใช่สิ่งที่จะมีอยู่ภายในคนๆเดียวได้
เอนโรธก้าวถอยหลังทันทีที่มูยองขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น
มันสร้างพลังเวทสีดำปกคลุมตัวเองเอาไว้
มูยองยังคงพุ่งไปขณะที่เขาเริ่มงอกขึ้นบนหน้าผาก
ฉัวะ!
แคร๊ก!
พลังที่ซึ่งบาเรียดังกล่าวไม่สามารถป้ องกันได้
“ แค่นั้นแหละ ”
คลืน!
บาเรียพังทลาย
“ นี่เป็ นแค่การเริ่มต้น”
ร่างกายของเอนโรธเริ่มสลาย
มันพึ่งตระหนักว่าไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้นี้ได้
แต่…
“ ท่านจักอยู่ที่นั่นเสมอ”
เอนโรธตกตะลึง
แต่มันไม่สามารถกรีดร้องได้ในครั้งนี้
มันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ มันไม่เคยคิดเลยว่ามูยองจะสามารถหยุดการทำลายตนเองได้
นี่เป็ นเรื่องที่มันไม่สามารถจินตนาการ
แล้วมูยองก็ยื่นมือออกไป ในขณะที่ร่างของเอนโรธไหวเอน
หลังจากนั้นเขาก็หมดเรี่ยวแรงกระทั่งนิ้วยังยกไม่ได้
ยังไงก็ตามจิตสำนึกกลับชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้น
และยิ่งเขาใช้มันมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใกล้ความเป็ นเทพเจ้าที่แท้จริงเท่านั้น
ยังไงก็ตามการเข้าใกล้ความเป็ นพระเจ้ามากยิ่งขึ้นก็เหมือนกับการลบตัวตนเดิมของตัวเองทิ้ง
เพราะอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดจะหายไป
สิ่งเดียวที่สามารถคานพลังของเทพได้ก็คือเทพด้วยกันเอง
7 วันผ่านไปกว่ามูยองจะลุกจากเตียง
“ปา?”
คนแรกที่ไปหาเขาคือสโนว์
หญิงสาวที่ตอนนี้มีสติของเด็กเนื่องจากผ่านเหตุการณ์ยากลำบากหลายอย่าง
เธอติดมูยองมาก
“ ท่านตื่นแล้ว”
“ เธอมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่า ข้าแค่ตามสโนว์มาเท่านั้น…“
มูยองยักไหล่และยืนขึ้น
สโนว์ซุกใบหน้าของเธอกับด้านข้างมูยองพลางยิ้มแย้ม มูยองเก็บที่นอนก่อนจะยืนขึ้น
เขารู้สึกถึงทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวใกล้ๆ ดูเหมือนว่าทุกคนดูยุ่งๆหลังจากสงครามสิ้นสุดลง
ในขณะนั้นจินก็สงสัยว่าทำไมมูยองถึงไม่ถามอะไรบ้างเลย
“ ท่านจะไม่ถามอะไรสักหน่อยหรือ?”
"แล้วฉันจะต้องถามเรื่องอะไรล่ะ?"
“ ฉันรู้เรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว "
มูยองถอดเสื้อคลุมสีขาวที่เขาใส่
จินหันหน้าหนี
ทว่ามูยองไม่สนใจและเปลี่ยนเป็ นชุดเกราะต่อไป
“ปา!”
สโนว์พยายามปี นขึ้นไปบนตัวเขา
มูยองจึงคว้าคอเธอจากด้านหลังเอาไว้ก่อนจะโยนไปที่เตียง
ยังไงก็ตามสโนว์หัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่มูยองไม่สนใจและออกจากห้องไป
หลังจากนั้นมูยองก็เห็น
“ทาร์แคน”
ทาร์แคนยืนเฝ้ าอยู่หน้าประตูมาหลายวันแล้ว
เขาถือผ้าผืนหนึ่งที่บรรจุของบางอย่าง
ทันทีที่มูยองออกไป ทาร์แคนก็แกะผ้าออก
หินอ่อนที่มีแสงสีม่วงล้อมรอบขนาดเท่าศีรษะ
“ บอกสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าจะไปหาพวกมันเอง”
มูยองมองที่ทาร์แคนราวกับไม่คาดคิด พวกเขาสนิทกันแบบนี้เสมอเหรอ?
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มสนิทตั้งแต่ผ่านหลายสิ่งมาด้วยกัน
“ กระดูกของนาย”
“ กระดูกของข้า…….?”
ทาร์แคนตกใจไปครู่หนึ่งสำหรับคำตอนที่น่าขนลุกดังกล่าว
“ กระดูกของพวกนายมีความคล้ายคลึงกันมาก นอกจากนั้นต้องใช้ร่างของราชาแห่งความตายเพราะเขาก็เป็ น
เอลเดอร์ลิชเหมือนกัน”
ตัวตนของสี่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดไม่รวมเทพปี ศาจ
ดังนั้นจึงง่ายต่อการฟื้ นคืนชีพเขาด้วยการใช้ร่างกายนั้น
'ฉันต้องไปหาเกรโมรี่ก่อน'
"เยี่ยม งั้นเอากระดูกของข้าไปได้เลย..ชุบชีวิตเจ้านั้นขึ้นมา"
“ แค่ถ้านายทำอย่างนั้นอาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการสร้างกระดูกใหม่”
“ มันไม่สำคัญเท่าชีวิตของเอลเดอร์ลิชหรอก”
"ตามฉันมา"
ทาร์แคนเดินตามมูยองขณะถือภาชนะแห่งชีวิตของเบซองมินไว้
ภายในพื้นที่ใต้ดินที่ทั้งลึก และมืดสลัว
การควบคุมเวทย์มนตร์ของเบซองมินอยู่ในอันดับต้นๆ มันสูงยิ่งกว่าของมูยองอีก
อย่างไรก็ตามร่างกายของซองมินไม่อาจแบกรับพลังได้
'มันยังไม่พอ'
มูยองก้มลงมองดูร่างของตัวเอง
'ผิวของผู้อมตะแพร่กระจายไปทั่วร่างของฉัน'
ผิวของผู้อมตะได้สร้างผิวหนังและร่างกายของมูยองขึ้นใหม่
ตอนนี้ร่างกายปัจจุบันของมูยองนั้นไม่ต่างกับยาวิเศษที่มีค่าที่สุดในโลก
ไม่ว่าจะเป็ นกระดูกของมังกร?
หรือหัวใจของนกฟี นิกซ์?
ส่วนผสมชั้นยอดเหล่านั้นยังมีคุณค่าต่ำกว่าร่างกายของมูยองเสียอีก
คิดได้ดังนั้น มูยองจึงตัดผิวและเลือดของเขาเทลงไปผสมกับกระดูกของทาร์แคน
นอกจากนั้นมูยองยังผสมผมและเล็บของตัวเองลงไปเพิ่มด้วย
โครงร่างของซองมินถูกก่อขึ้น และปกคลุมด้วยเวท
ยังไม่หมดแค่นั้น
'ชิ้นส่วนของรอยแยก'
เหลืออีกชิ้นหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะฝังมันลงไปในร่างของเบซองมินในตำแหน่งหัวใจ
ถึงจะดูแปลกๆ แต่ชิ้นส่วนของรอยแยกสามารถเพิ่มขีดจำกัดให้การเพิ่มพลังเวทได้
มันเป็ นการเดิมพันชนิดหนึ่ง
แล้วทำไมมูยองถึงจะทำไม่ได้
'ศิลปะแห่งความตาย'
<เดธลอร์ดส่ายหัว>
พละกำลัง 550
ความว่องไว 540
ความอดทน 350
ความฉลาด 700
สติปัญญา 700
ต้านทานเวท 660
ความยุ่งเหยิง 700
พลังเวท 580
+ ด้วยค่าความฉลาด เขาจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เห็น
+ ได้รับภูมิปัญญาของ 'จอมเวท'
+ มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาได้ไม่มีที่สิ้นสุด
ตัวเลขที่มากกว่าแม้แต่ปี ศาจอย่างชาร์-ซาซ่า
'โดดเด่น'
ร่างที่เขาสร้างขึ้นเหมือนกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
แม้แต่มูยองก็ได้รับการเพิ่มระดับ เนื่องจากเดธลอร์ดยอมแพ้ต่อการประเมินศักยภาพมูยอง
และยอมรับตัวตนพิเศษของเขา
ทว่ามูยองก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าเขาสามารถให้สิทธิ์ อะไรได้
อย่างไรก็ตามมูยองยังคงพึงพอใจ และตอนนี้เขาควรให้ความสนใจกับเบซองมินที่เสร็จสมบูรณ์มากกว่า
อย่างแรกเบซองมินสามารถขยายพลังเวทได้อย่างมั่นคงเหมือนที่มูยองคิด และดูเหมือนว่าจำนวนทักษะของ
เนโครแมนเซอร์ที่เขาสามารถใช้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อเปรียบเทียบกับทักษะการเรียนรู้สิ่งที่เห็นของทาร์แคนอันไหนจะดีกว่ากัน
'พันธนาการอันแข็งแกร่ง?'
มูยองไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่คงไม่มีอะไรแย่หากยังมีชื่อของเขาอยู่ในนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน เบซองมินก็ยืนขึ้นพร้อมกับร่างใหม่โดยที่ภายนอกยังเหมือนเดิม
“ ขอบคุณเจ้านาย”
เบซองมินประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง และโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งต่อมูยอง
“ ผมรู้สึกได้ถึงพลังที่เอ่อล้น”
“ นายแข็งแกร่งขึ้น”
“ ถ้าสู้กับเอนโรธตอนนี้ ผมรู้สึกได้เลยว่าคงไม่แพ้ง่ายๆอีก”
“ เจ้านาย…เด็กคนนั้นสบายดีไหม”
“ นายหมายถึงซูจีเหรอ?”
“ เธอยังมีชีวิตอยู่”
“ เป็ นยังงั้นสินะ”
“ แต่เธอไม่สามารถตื่นได้”
“...... .” เบซองมินสั่นคลอนอยู่ครู่หนึ่ง
มูยองพูดต่อไป
"ผมจะไปดูเธอหน่อย"
“ ทำตามที่นายต้องการเถอะ”
ขณะที่ซองมินกำลังจะไป เขาก็เห็นซากกระดูกที่กระจัดกระจาย
"นั่นคือ..?
“ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
“ ทาร์แคน …การกู้คืนนายคงไม่ง่าย”
เขาเพลินกับการคืนชีพเบซองมินจนใช้กระดูกของทาร์แคนมากเกินไป
'ซี่โครงน่าจะใช้ได้'
ไม่มีอะไรที่เบซองมินสามารถทำได้ในสถานการณฺ์ดังกล่าว ครั้นจะดึงมือออกไปสัมผัสกับร่างของเบซูจีอย่าง
เป็ นธรรมชาติก็ยังทำใจได้ยากยิ่ง เนื่องจากราวกับมี 'กำแพง' หนาทึบที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ระหว่างพวกเขา
แล้วคุณยังสามารถพูดว่าทั้งสองตัวตนนั้นเป็ นคนเดียวกันได้อีกหรือไม่?
นั่นคือเหตุผลที่เบซองมินรู้สึกกลัว
กลัวในสิ่งที่ไม่รู้
กลัวอารมณ์ของตัวเอง
และสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากเบซูจี ตอนเผชิญหน้ากับเอนโรธเขายังไม่รู้สึกกลัวเช่นนี้เลย
เขาไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้ไม่ว่าจะต่อสู้ใครก็ตาม
นอกจากความกังวลทั้งหมดนี้…
"นั่นใคร?"
เบซองมินเหลียวกลับไป
ชายผู้นั้นดูเหมือนจะเก็บความร้อนใจเอาไว้ และพูด
ชายผู้นี้คือราชานักสู้ เขาเพิ่งตื่นขึ้นมาตั้งแต่โดนทาร์แคนทำให้หมดสติ
เขาสำรวจไปทั่วหลังจากที่ตื่นขึ้น และตระหนักได้ถึงความพิเศษของปราสาทแห่งนี้
มีเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน อาศัยรวมอยู่ที่นี่มากมาย
สถานที่แห่งนี้มีมอนสเตอร์ทุกประเภทไม่ว่าจะทั้งวิญญาณ หรืออันเดธ
นี่มันกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่มีไว้เพื่อต่อต้านมนุษยชาติชัดๆ
เบซองมินหลับตาคิด..
เขาพูดถูก สถานที่แห่งนี้อันตราย
แม้แต่มูยองก็ไม่สามารถยืนยันชัยในชนะของตน และเบซองมินก็คิดว่าพลังของเขาคงไม่อาจสู้กับพวกเทพ
ปี ศาจได้นานสักเท่าไหร่ ถ้าพวกเขาพาเบซูจีไปด้วย เธอจะต้องตายอย่างแน่นอน
“ ความสัมพันธ์ของคุณกับเด็กคนนี้คืออะไร?”
“ ฉันเป็ นอาจารย์ของเธอ ”
พูดจริงๆแล้ว…เขาไม่อยากจะเชื่อ และไม่ต้องการยอมรับมัน
ขนาดลิชที่อยู่ตรงหน้าเขายังให้ความรู้สึกแบบนี้…?
'ฉันต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด' ที่นี่ดูไม่ต่างกับหลุมดำอันมืดมิด
หากคุณตกอยู่ในนั้นคุณจะไม่สามารถออกมาได้อีกตลอดไป
ราชานักสู้รู้สึกตึงเครียด เพราะหากสู้กันลิชคงสามารถสังหารเขาได้ทันที
“ …พาเธอจากไปซะ”
อย่างไม่คาดคิด เขาได้รับอนุญาตอย่างง่ายดาย
เบซองมินหันหลังกลับ
สายตาของราชานักสู้ที่มีต่อเบซูจีเต็มไปด้วยความห่วงใย
'ดีแล้วที่มีคนอยู่ข้างๆเธอ'
'ฉันมันก็แค่วิญญาณในอดีตของเด็กคนนั้น'
มูยองอยู่ด้านนอกปราสาท เขากำลังคิดว่าจะปกครองพวกมอนสเตอร์ยังไง
มอนสเตอร์มากมายจึงรุมล้อมมูยองทันทีที่ออกจากปราสาท ยังไงก็ตามพวกมันรู้สึกถึงความต่างชั้นของระดับ
จึงไม่ได้เข้าใกล้มูยองมากกว่านั้น
'ภายในปราสาทได้รับอิทธิพลจากวิหารของอาชูร่า'
วิหารอาชูร่ามีผลทำให้มอนสเตอร์ไม่อาจบุกเข้ามาได้ง่ายๆ
นอกจากนี้อิทธิพลของมูยองยังส่งผลกระทบอย่างยิ่งในพื้นที่ของตัวเอง มอนสเตอร์ที่อยู่ภายในนั้นย่อมไม่เกิด
ความก้าวร้าวใดๆ อย่างไรก็ตาม
สำหรับมอนสเตอร์จากภายนอกนั้นถือว่ามูยองเป็ นดั่งอาหารจานเด็ด
'ดูเหมือนตัวฉันจะไปกระตุ้นสัญชาตญาณของพวกมัน''
'คงดีกว่าถ้าไม่เข้าใกล้มัน'
ตอนมูยองได้รับพลังครึ่ งเทพมา
เขาก็สามารถ 'เข้าถึง'สภาพของสิ่งต่างๆไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่
'อืม เสน่ห์อันน่าหลงไหล'
มูยองผสมผสานพลังทั้งสองเข้าด้วยกัน
"ตามฉันมา"
ฮ่า!' แม้แต่มูยองก็ยังตะลึงต่อฉากนั้น
'เป็ นราชาของเหล่ามอนสเตอร์อย่างอาชูร่า'
ดูเหมือนมูยองจะเหยียบเข้าไปในเส้นทางของอาชูร่าได้อย่างมั่นคง
'ดูเหมือนว่าเขาจะจัดการความรู้สึกตัวเองได้แล้ว
'ถึงเวลาแล้ว'
มูยองหันหลังและกลับไปที่ปราสาทของเขา ตั้งแต่นี้ไปคงจะต้องยุ่งมากจริงๆ
***
“ไพม่อน! เจ้ายังกำจัดพวกผู้ปฏิปักษ์ไม่ได้อีกหรือ”
“เจ้า...บูเน่”
“ รู้ไหมว่าบาอัลปรารถนาให้สิ่งนี้สำเร็จโดยเร็วที่สุด”
“ ฮาวเรสก็จัดการเธอไม่ได้งั้นเหรอ? ข้าคิดว่าเจ้านั่นคงประมาทมากเลยสิท่า”
“ ฮาวเรสถูกเดียโบลสังหารไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่”
“ นั่นไม่ใช่ข่าวจริงหรอกหรือ?”
“ แต่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับอีกเงื่อนไขหนึ่งของเจ้านั่นนี่”
“เขาทรยศ”
"อะไรนะ?"
“ คนอื่น…? ใคร?”
“เลราเจ!”
“ ข้ารู้อะไรบางอย่างแล้ว”
“ จงพูดสิ่งที่นายรู้เกี่ยวกับเทพเจ้าปี ศาจ”
แต่ก็อาจมีข้อบกพร่องในความทรงจำของเอนโรธ
ยังไงก็ตามเอนโรธต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามระหว่างเทพปี ศาจมากมายแน่ๆ
ข้อมูลคือพลังและมูยองก็ต้องการมัน เอนโรธหันหน้ามาด้วยสายตานิ่งเรียบ
“ กลุ่มผู้ปฏิปักษ์มีกี่คน?”
แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างถูกเร่งให้เร็วขึ้น
เอนโรธพูดต่อไป
“.......”
มูยองถามต่อไปอีกสองสาม
และในขณะนั้นก็มีผู้หนึ่งผุดขึ้นในใจของมูยอง
“ดันดาเลี่ยนมา บอกทุกสิ่งที่นายรู้เกี่ยวกับดันดาเลี่ยนมา”
หลังจากที่มูยองถาม เอนโรธก็พูดออกมาอย่างชัดเจน
'แสดงว่ามันคงไม่มีใครคบ'
“ เบซองมิน!”
“ เจ้านายเรียกกระผม?”
มูยองพูดอย่างไม่ลังเล
เบซองมินคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะโค้งคำนับ
“ กระผมขอเวลาสองวัน ”
“ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
“ กระผมขอทราบเหตุผลได้ไหม”
ดันดาเลี่ยนมีชื่อเสียงในเรื่องการหลอกลวงมากว่าพลังซะอีก จำนวนเหยื่อที่ถูกมันหลอกนั้นนับไม่ได้
ยังไงก็ตาม ทริคเหล่านั้นไม่สามารถใช้กับมูยองได้
เนื่องจากทักษะในการเข้าถึงทุกข์สุขของสรรพสิ่ง รวมกับความสามารถมารถในการแยกแยะคำโกหกของมู
ยอง มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากกล่าวว่าศัตรูธรรมชาติของดันดาเลี่ยนก็คือมูยอง
ไม่เพียงแค่นั้น มูยองยังมีพลังของกาเบรียลอีก
“ พลังของมันใช้ไม่ได้ผลกับฉันหรอก”
"..กระผมเข้าใจแล้ว และจะไปจับตัวอาซูลมาให้เร็วที่สุด”
นั่นคือคำที่มูยองพูด มูยองจะไม่พูดอะไรถ้าเขาไม่มั่นใจ
เบซองมินซ่อนตัวเองในเงามืดอีกครั้ง
'ดันดาเลี่ยน'
มูยองยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ ให้ตายเถอะ!”
นั่นคือสิ่งแรกที่อาซูลพูดเมื่อเห็นหน้ามูยอง
เบซองมินพูดว่าเขาจะใช้เวลาสองวัน แต่ความจริงเร็วกว่านั้น แค่ครึ่ งวันผ่านไป
อาซูลก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้ามูยองแล้ว การแสดงออกที่น่าอึดอัดใจของอาซูลดูเด่นชัดยิ่ง
“ เจ้ายังมีชีวิตรอดหลังถูกชาร์ซาซ่าโจมตี! ถึงจะจับข้าไว้แต่อย่าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้?!”
“ นายคิดว่าแค่ชาร์ซาซ่า จะทำอะไรฉันได้งั้นเหรอ?”
มูยองยิ้มเยาะ
ในขณะที่อาซูลแสดงออกอย่างขุ่นเคือง
ดูเหมือนอาซูลไม่รู้ว่ามูยองเป็ นผู้ที่ได้รับชัยชนะในสงครามทั้งหมด
เนื่องจากอาซูลหนีไปทันทีหลังจากได้ยินเรื่องราวของชาร์ซาซ่า
เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
แปะๆ! มูยองปรบมือเบาๆ
จากนั้นเอนโรธก็โผล่ขึ้นมาจากด้านหลังมูยอง
“ …นี่มันอะไรกัน! ทำไมเอนโรธถึงอยู่กับเจ้า!”
อาซูลตกตะลึง
“ เอนโรธเป็ นลูกน้องของฉันแล้ว”
มูยองพูดอย่างเป็ นธรรมชาติ
“บะ... บ้าไปแล้ว”
มูยองหันไปมองเบซองมิน
จากนั้นเบซองมินก็ปลดพันธนาการเวทออก
มันรู้สึกกลัวเมื่อต้องสบตากับเอนโรธ
'ดูเหมือนว่าเขาจะกลัวเอนโรธมาก'
ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าเอนโรธเลย ไม่แปลกที่อาซูลหนีไปตั้งแต่แรก
เมื่อรู้ว่าเอนโรธเป็ นผู้อยู่เบื้องหลังชาร์ซาซ่า
อาซูลหลับตาและพูด
“ งั้นก็ไม่มีอะไรให้คิดมาก”
มูยองเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าอาซูล จากนั้นเขาก็คว้าคออาซูลไว้แล้วจ้องมองอย่างจริงจัง
“ ดันดาเลี่ยนอยู่ที่ไหน?”
การแสดงออกของอาซูลเปลี่ยนไปอีกครั้ง
มันตัวสั่นเทาด้วยความกลัวและดูสับสนมาก มันไม่รู้ว่าทำไมมูยองถึงต้องตามหาดันดาเลี่ยน
'โกหกชัดๆ'
มูยองหัวเราะในใจ
อาซูลกำลังโกหก
แม้มันจะพูดอย่างแนบเนียน แต่ทว่านั่นไม่อาจหลอกมูยองได้
'ดูเหมือนว่าอาซูลยังมีหลงเหลือความภักดีต่อดันดาเลี่ยน'
อาซุลเดิมอยู่ภายใต้คำสั่งของดันดาเลี่ยน แม้ว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว
แต่เขานังมีความภักดีต่อมันอยู่
“ นายรู้ไหมว่าเอนโรธกลายมาเป็ นลูกน้องของฉันได้ยังไง”
“ ไม่รู้ และข้าก็ไม่อยากรู้ด้วย!”
อาซูลได้กลิ่นอันตรายจากมูยอง ซึ่งตอนเจอกันครั้งแรกมันไม่ได้กลิ่นอะไรแบบนี้
มูยองไม่สนใจอาซูลและพูดต่อไป
อาซูลมองเอนโรธอีกครั้ง
พอตั้งใจมองจริงๆก็ดูออกว่าเอนโรธไม่ปกติ เขาเคลื่อนไหวอย่างผิดธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้นอันเดธนั้นคือเอนโรธ
อาซูลสั่นกลัวจริงๆแล้ว แม้แต่ฟันของมันยังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
โดยพื้นฐานแล้วมูยองไม่ใช่ปี ศาจ
อาซูลจ้องมูยอง
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนแม้ว่าอาซูลจะพูดออกไปหรือไม่
หากแม้แต่เอนโรธยังกลายเป็ นอันเดธแล้วไซร้
มีเหตุผลไหนที่มูยองจะทำกับเขาไม่ได้
มูยองกระชากคออาซูลเข้ามาใกล้
“ เหตุผลที่ฉันยังมีน้ำใจก็เพราะเราเคยทำการค้าขายกันมาก่อน อาซูลนายมีประโยชน์กับฉันจริงๆนะรู้ตัวหรือ
เปล่า? ฉันรู้ว่านายสามารถเชื่อใจได้อย่างน้อยก็ตอนที่เราทำการค้ากัน นั่นเป็ นเหตุผลที่ฉันหวังว่านายจะเห็น
ด้วย”
'บัดซบเอ้ย!'
อาซูลรู้สึกเหมือนตกเข้าในหลุมบึงที่ลึกจนไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นไปได้!
“ ท่านเทพผู้ยสูงศักดิ์ ของพวกเรา”
"อร๊าา!
“ พบผู้บุกรุกจำนวนมากเข้ามาในอาณาเขตของพวกเรา”
ชายที่สวมหน้ากากแพะหันไปมอง “ พวกออร์คหรือ?”
ชายสวมหน้ากากแพะเงียบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ กลุ่มอะไรบางอย่าง…”
ไม่ใช่ว่าการรวมกลุ่มของสิ่งมีชีวิตต่างๆจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย เมื่อพวกมันถูกโจมตีโดยมังกรหรือถูกคุกคามบาง
อย่าง พวกมันก็มักจะรวมกลุ่มกันอยู่บ้าง แต่มีภูติผีวิญญาณ กับอันเดธด้วย? นอกเหนือจากนั้นยังมีพวกมนุษย์
อีก?
“ พวกมันกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่” ทหารคนหนึ่งพูดอย่างรีบร้อน
“ แขวนเล็บนี้ไว้ตรงกลางระหว่างภูเขาทั้งสอง มันจะทำให้เหล่าวิญญาณและอันเดธไม่สามารถผ่านเข้ามาได้”
“รับทราบ”
“อร๊าา!”
สาวงามต่างปล่อยเสียงครวญครางอีกครั้ง
หากคุณทราบว่าสาวงามเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็ นภรรยาหรือลูกสาวของเหล่าทหารแล้วจะต้องประหลาดใจ
แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นพวกทหารนักรบก็ออกจากห้องไปอย่างเงียบๆโดยไม่โกรธเคือง พวกมันคิดว่าสถานที่
แห่งนี้เปรียบได้กับที่สักแห่งหนึ่งซึ่งได้รับอนุญาตจากพระเจ้า และดาร์คเอลฟ์ สาวที่งดงามทั้งหลายกำลังได้รับ
พรอยู่ในขณะนี้ ตัดไปเหตุการณ์ก่อนหน้า...........
"สวมบทบาทอะไร?"
อาซูลตอบคำถามของมูยอง
“ นายจะบอกว่าเราต้องกำจัดเป้ าหมายนั้นเพื่อให้ดันดาเลี่ยนจัวจริงปรากฏตัวเหรอ”
อาซูลพูดต่อไป
“ นายท่าน มีพลังงานแปลกๆเกิดขึ้นบนภูเขา”
เบซองมินรายงานทันที เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงภูเขาของดาร์คเอลฟ์
“ วัตถุโบราณศักดิ์ สิทธิ์ …”
กรรร!
อ๊าาก!"
เบซองมินพูด
“ ดูเหมือนว่ามีบางคนไม่ต้อนรับการมาถึงของพวกเรา”
วูม! วูม!
หมับ!
“กำจัด”
จากนั้นมูยองก็ออกคำสั่งสั้นๆ
“ ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่! นักรบของเราถูกกำจัดหมดแล้ว”
“ พลังของวัตถุโบราณไม่ได้ผลกับพวกมัน”
“ โปรดมอบคำสั่งให้แก่เรา”
“ ดวงจันทร์จะลอยขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เราจะใช้พลังความมืดจากดวงจันทร์”
จินตัวสั่นอย่างประหลาด “ ช่างรุนแรงอะไรเช่นนี้”
“ มีอะไรน่ากลัว?”
จินกัดฟันของเธอก่อนจะตอบคำถามมูยอง
จินยกศีรษะขึ้นมองท้องฟ้ าที่มืดลงเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์ลาลับไป
“ ถ้างั้นเราก็แค่ทำให้มันสว่างก็พอ”
“ …นั่นเป็ นไปได้เหรอ?”
ชายหน้ากากแพะแหงนมองท้องฟ้ า
“ ผู้ครอบครองดวงดาว อีกทั้งดูเหมือนไม่ใช่ดวงดาวปกติเสียด้วย”
มันไม่เคยเห็นดาวดวงไหนปล่อยแสงได้สว่างขนาดนี้มาก่อน การโต้ตอบของชายสวมหน้ากากแพะถูกหยุดอยู่
หลายครั้ง นี่เป็ นครั้งแรกที่เรื่องพวกนี้เกิดขึ้น ชายสวมหน้ากากเรียกรวมพลอัศวินทันที
“ เตรียมแพะดำหนึ่งร้อยตัว ข้าจะแสดงพลังอำนาจที่แท้จริงของเทพเจ้าให้พวกมันดู”
มันกำลังจะอัญเชิญ'เทพแห่งความตาย'จากการสังเวยแพะดำ และเทพแห่งความตายก็คือเทพแห่งความตายตาม
ชื่อ มันสามารถสังหารเป้ าหมายที่กำหนดได้
ชายสวมหน้ากากแพะพูดอย่างขมขื่นบนสิ่งก่อสร้างที่สูงเสียดฟ้ า
“ …ชายผู้นั้นคือใครกันแน่?”
'ครั้งแรกเลยที่เจอนักเวทที่มีทักษะแบบนี้'
'แข็งแกร่งทีเดียว'
บาเรียดังกล่าวดูไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำลายได้ในทันที มูยองคิดว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามคืนในการกำจัด
บาเรียนี้ ไม่ว่าจะใช้ความแข็งแกร่งขนาดไหนไปทำลายมัน ดังนั้นมูยองจึงตั้งใจเดินเข้าไปในบาเรียตรงๆ การ
จะทำแบบนี้ต้องขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแกร่งของคนๆนั้นๆด้วย
"รอที่นี่"
"กระผมขอตามนายท่านไปดีกว่า"
แล้วเบซองมินก็ติดตามมูยองไป มูยองไม่ได้หยุดเขา
ระดับอย่างเบซองมินคงไม่ยากที่จะผ่านบาเรียไปได้ จากนั้นพลังโจมตีจากบาเรียก็โจมตีใส่พวกเขาเหมือนฝูง
ผึ้ง
วิ้ง!
“ เป็ นการต้อนรับที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“ จัดการพวกรอบๆนี่ที”
"ขอรับ"
เบซองมินชูคฑาขึ้นเตรียมรบ
"ผู้ที่สามารถต่อกรกับพลังแห่งเทพได้อย่างทัดเทียม เจ้าคือใครกันแน่? !”
“หยุดเล่นละครได้แล้วดันดาเลี่ยน”
มูยองรู้ว่าสิ่งมีชีวิตในร่างปลอมๆนั้นคือดันดาเลี่ยน
ตอนแรกมูยองคิดว่าหากหามันไม่เจอเขาจะสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณรอบๆเพือค้นหามัน ทว่าโชคดีที่
ดูเหมือนไม่จำเป็ นต้องทำเช่นนั้น
“ แขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างเจ้ากำลังพยายามทำให้ข้าสับสนงั้นหรือ”
หากคำพูดไม่ได้ผล เขาก็คงต้องแสดงให้มันเห็นด้วยการกระทำเท่านั้น
“ ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้แด่เทพเจ้า”
กล่าวจบชายสวมหน้ากากแพะก็คว้ากริชแทงเข้าที่ลำคอของตนเอง
'เวทสังเวย'
มูยองตระหนักถึงเวทมนตร์ที่ชายสวมหน้ากากแพะใช้
“ นายกำลังอธิษฐานไปที่เทพตนไหนกัน?”
“ แน่นอนว่านั่นคือเทพประจำเผ่าดาร์คเอลฟ์ ของเรา!”
“ ไม่ใช่เทพดันดาเลี่ยนหรอกเหรอ?”
มูยองยิ้มเยาะ
ปี ศาจไม่ใช่ตันตนที่น่าเคารพนับถือ จริงๆคำว่าเทพไม่เหมาะสมกับพวกมัน
“ ไม่มีสิ่งใดที่หอกนี้แทงทะลุไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเทพเจ้า”
“น่าประทับใจ”
มูยองร้องอุทานออกมาง่ายๆ
ในเวลาเดียวกันเขาก็งอกจากหน้าผากของมูยอง
ชายหน้ากากแพะจะสามารถแทงมูยองได้แม้ในโลกที่ช้าลงหรือไม่?
ดูเหมือนว่าชายสวมหน้ากากแพะจะสับสนเล็กน้อย เมื่อเจอกับการเคลื่อนไหวฉับพลันของมูยอง และสุดท้าย
ดาบของมูยองก็ไปถึงหน้าผากของมันก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง
ฉัวะ!
'น่าประทับใจ'
ดูเหมือนคำพูดของชายหน้ากากแพะก็ไม่ผิดเช่นกัน
ถึงจะพลาดวัตถุประสงค์ แต่หอกก็แทงเข้าไปที่หน้าอกของมูยอง
ยังไงก็ตามร่างกายของมูยองที่ได้รับผิวหนังของผู้อมตะนั้นแข็งแกร่งมาก
ตุบ!
ศพของชายคนนั้นล้มลงกับพื้น ท่าทางของมูยองขึงขังขึ้น
'เขาไม่ใช่ดันดาเลี่ยน?'
ซูววว
เห็นดังนั้นมูยองก็คิดอะไรบางอย่างออก
'มันเพิ่งจะย้ายร่างไป'
มูยองพยักหน้าให้กับความคิดตัวเอง วิญญาณได้ย้ายไปอีกร่างหนึ่ง
ในขณะที่ร่างเดิมตาย แต่มันคงไปไหนได้ไม่ไกล
ชิ!
มูยองรู้สึกหงุดหงิด
มูยองสยายปี กบินเข้าไปหาดันดาเลี่ยน
"เทพเจ้า…"
“ นั่นหรือคือรูปลักษณ์ 'เทพเจ้า' ของเรา? ”
“ มีวิธีนี้เช่นนี้ด้วยสินะ”
ดันดาเลี่ยน กล่าว
ไม่แปลกสำหรับเจ้าแห่งการโกหกที่จะมีสายตาทะลุปรุโปร่งกว่าผู้ใด เนื่องจากไม่มีใครเคยเห็นพลังของลูซิ
เฟอร์จวบจนถึงปัจจุบันนี้ สมแล้วที่เป็ นถึงเทพปี ศาจ
“ นายอยากรู้เหรอ?”
"ก็ไม่มากนัก"
มูยองไม่ได้วางแผนที่จะพูดคุยอีกต่อไป หากมันปฏิเสธเขาจะใช้กำลังแล้ว
“ มอบปัจจัยในการทำลายเทพปี ศาจทั้งหมดที่นายรู้มาให้ฉัน”
มันคือปัจจัยการดับสูญ เงื่อนไขในการทำให้เทพปี ศาจสูญพันธุ์ ข้อมูลที่จำเป็ นในการฆ่าพวกมัน! ข้อมูลที่มู
ยองมีนั้นเป็ นเพียงขั้นต่ำสุด เนื่องจากในชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในสงครามระหว่างเทพปี ศาจ ดันดา
เลี่ยนมองมูยองด้วยดวงตาทั้งสามดวง มันไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจใดๆ แต่กลับค่อนข้างสนใจมูยองมากกว่า
“ แล้วเจ้าจะให้อะไรข้า”
แล้วมูยองจะให้อะไรมัน
“ กำจัดพวกเทพปี ศาจ”
มูยองตอบสั้นๆ
วูม-
ยังไงก็ตามโลกอันเดอร์เวิล์ดไม่ได้ถูกทำให้หยุดนิ่งจริงๆ
อย่างไรก็ตามมูยองเงยหน้าขึ้น
ไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป ในอดีตที่เขาทำได้เพียงมองดูเท่านั้น
เหตุผลที่เขาวิ่งโดยไม่หยุดพัก เขาแข็งแกร่งเพื่ออะไร?
มันคือการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เหรอ?
หากปี ศาจตรงหน้าสามารถสร้างโลกด้วยการโกหกของตน
มูยองก็มีอาวุธพิเศษที่สามารถหลอมละลายโลกแห่งการโกหกนี้ได้
เปลวเพลิงของกาเบรียลที่สามรถชำระล้างให้ทุกสิ่งบริสุทธิ์ ได้ไม่เว้นแม้แต่ลูซิเฟอร์!
“ ถ้าโซโลมอนทำฉันก็ทำได้”
โซโลมอนทำลายกฎ เพื่อไม่ให้โลกถูกทำลาย
ยังไงก็ตาม…ดันดาเลี่ยนไม่ได้พูดความจริงไปซะหมด เขาปะปนคำหลอกลวงอยู่ในความจริงได้อย่าง
คลุมเครือ นั่นหมายความว่าอาจมีคำโกหกผสมในคำพูดของดันดาเลี่ยน
ดันดาเลี่ยนหัวเราะเมื่อชื่อของโซโลมอนออกมาจากปากของมูยอง
มูยองไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เขาได้แต่ขมวดคิ้ว
แต่เมื่อมูยองรวบรวมเรื่องราวที่ได้ยินและเห็น ผู้ที่นำโลกไปสู่ความพินาศก็คือโซโลมอน
“ นั่นเป็ นเรื่องโกหก”
มูยองกล่าว แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากดันดาเลี่ยน
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ มูยองจะได้รับบางสิ่งมีค่าจากมัน
“ นายคิดจะโกหกไปอีกนานแค่ไหน”
เมื่อมาถึงจุดนี้แม้แต่มูยองก็สับสน ดันดาเลี่ยนกำลังพูดเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น
โกหกหรือเรื่องจริง? ด้านหนึ่งที่ยังสับสนก็เพราะว่ามูยองไม่รู้เรื่องโซโลมอนมากเท่าดันดาเลี่ยน
ดันดาเลี่ยนยังคงพูดต่อไป
“ ไม่ใช่ว่าเทพปี ศาจถูกเลเมเกทัลผนึกไว้เหรอ?”
มูยองคิดว่าจะต้องมีความจริงปะปนอยู่ในคำพูดของมันด้วย ดังนั้นไม่ง่ายเลยที่จะแยกแยะว่าสิ่งไหนที่เป็ น
เรื่องโกหกและสิ่งไหนไม่ใช่
มูยองแสร้งยิ้ม
แน่นอนว่าดันดาเลี่ยนค่อนข้างจะจัดการได้ยาก แม้ว่ามูยองจะฆ่ามันที่นี่ มันก็คงไม่ตายจริงๆเพราะไม่มี
ร่างกายที่แน่นอน และแผนการของมูยองที่จะทำให้มันกลายเป็ นอันเดธก็พังทลายลงไปด้วย
“ถ้าฉันอยากรู้ ฉันต้องให้อะไรนายล่ะ?”
“ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะไปสังหารพวกมันหรอกหรือ? ข้ากำลังพูดถึงผู้ที่มอบชื่อแห่งการโหกให้ข้า”
มูยองพยักหน้า
"ฉันให้สัญญา ฉันจะสังหารพวกมันให้นาย”
"ยอดเยี่ยม ข้าจะจารึกเงื่อนไขของพวกมันไว้ในจิตใจของเจ้า”
จากนั้นโลกก็เริ่มหมุนอีกครั้ง
นาฬิกาแห่งกาลเวลาเริ่มหมุนอีกครั้ง และพวกเขาก็กลับไปยืนอยู่ที่สนามรบ
มูยองตรวจสอบสภาพแวดล้อมของเขา
“ นายท่านทุกอย่างราบรื่นไหม”
เบซองมินถาม
มูยองพยักหน้าและดึงความโกรธเกรี้ ยวออกมา
“ นี่มันไม่ถูกต้อง นี่มันโหดร้ายเกินไป”
ไฮเอลฟ์ จินกล่าว
มูยองยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ? ท่านต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดเช่นนี้หรือ?”
"ถูกต้อง"
มูยองยืนยัน และเขาไม่ฟังความคิดเห็นอื่น
เขาต้องการดำเนินการทุกสิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม
“ เตรียมตัวซะ เราจะไปพบกับเกรโมรี่”
จากนั้นมูยองก็เผาทั้งเมืองด้วยเปลวเพลิง ราวกับว่าเขาไม่ต้องการแม้แต่จะทิ้งซากศพไว้เบื้องหลัง
“ปา?”
ทุกคนต่างรู้สึกอย่างนั้นแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร คนเดียวที่พูดสิ่งที่พวกเขารู้สึกออกมาคืออาซูล
“ เจ้ามีวิธียืนยันหรือเปล่าว่านั้นเป็ นใครกันแน่?”
ทาร์แแคนถาม และอาซูลหัวเราะ
ทุกคนเงียบไป ไม่มีใครสามารถทำได้
ทว่า…ในเวลาเดียวกันพวกเขาไม่สามารถซ่อนความวิตกกังวลได้ ดันดาเลี่ยนสามารถยึดครองร่างของมูยอง
ได้จริงหรือ?
ข้อสงสัยนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนกังวล ยังไงก็ตามพวกเขาไม่ได้เชื่อคำพูดของอาซูลทั้งหมดเช่นกัน
บทที่ 237:ดันดาเลี่ยน(สิ้นสุด)
มูยองตระหนักดีถึงความสับสนที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขารู้สึก แต่มูยองก็ปล่อยให้พวกเขาคิดอย่างนั้น
เนื่องจากการแก้ตัวคงไม่มีประโยชน์เท่าไหร่และอาจทำให้สับสนยิ่งขึ้น เพราะดันดาเลี่ยนเป็ นตัวตนที่สร้าง
ความสับสนให้ผู้อื่นเก่ง
'แรงกดดันจากเทพปี ศาจดูแข็งแกร่งขึ้น'
ยังไงก็ตามออร่าของเทพปี ศาจก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเข้าใกล้รอยแยก
นั่นจะใช่เกรโมรี่รึเปล่า? ถ้าพลังที่ทะลักออกมาจากรอยแยกเป็ นของเกรโมรี่ก็คงไม่เป็ นไร
'มันไม่ใช่เกรโมรี่'
มูยองส่ายหัว
เกรโมรี่ไม่เคยปล่อยออร่าที่ทำให้รู้สึกถึงการคุกคามเช่นนี้ และสถานที่ที่ออร่าอันน่าอึดอัดถูกปล่อยมาก็ไม่น่า
จะอยู่ที่รอยแยก
“ จัดหน่วยรบเคลื่อนที่เร็วออกไปตรวจสอบพื้นที่รอบๆ และให้ทุกคนซ่อนตัวเอาไว้ ”
พวกเขาจับปี ศาจกลับมาด้วย
“ บ้าไปแล้ว”
เมื่ออาซูลเห็นปี ศาจตนนั้นก็สบถออกมาขณะที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ทาร์แคนเดินเข้าไปรายงานมูยองเกี่ยวกับปี ศาจ
มูยองถาม
“ หัวหน้ากลุ่ม? กลุ่มของใคร?”
'เลราเจ ฮึ'
นั่นคือ 'การพ่ายแพ้ในสงคราม'
มูยองสามารถกำจัดมันได้ หากทำให้มันพ่ายแพ้ในสนามรบ
ยังไงก็ตามในสงครามทุกครั้งที่ผ่านมามันยังไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว
อาซูลพูดด้วยความจริงใจ
มูยองลูบคางครุ่นคิด
หากมูยองกำลังไปที่นั่น นั่นก็ไม่ต่างจากผีเสื้อที่บินตรงเข้าไปหาเปลวเพลิง
มูยองรู้สึกได้ถึงสายตาอันแหลมคมกำลังทิ่มแทงเขาอยู่ใกล้ๆ มูยองเผชิญกับความยากลำบากหลายครั้งและไม่
เคยแพ้ถึงตอนนี้ ดูเหมือนเขาเชื่อว่าตนสามารถทำทุกสิ่งได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สำหรับสถานการณ์นี้เขาไม่
สามารถหาคำตอบได้ แม้ว่าจะคำนวณตัวแปรหลายตัว
“ ฉันควรพูดคุยอย่างละเอียดกับไอ้ปี ศาจหัวหน้าตัวนี้”
หากเขาต้องการที่จะเข้าใจศัตรูอย่างละเอียดก็ต้องซักถามปี ศาจตัวนี้ก่อน
เมื่อมูยองฟังเรื่องนี้แล้วก็เดาว่า เลราเจอาจรู้เงื่อนไขการดับสูญของเกรโมรี่
'ขนาดฉันยังไม่รู้เงื่อนไขการดับสูญของเกรโมรี่เลย'
'นั่นยังไม่พอ' เขาไม่มีข้อมูลมากพอที่จะเอาชนะเลราเจได้
เหลือแค่ติดต่อกับเกรโมรี่ให้ได้และร่วมมือกัน ยังไงก็ตามตอนนี้ทางเดินสู่รอยแยกโดนขวางเอาไว้
“ เราจะถอยกันก่อน”
เขาตัดสินใจถอย เนื่องจากเขาไม่สามารถตอบคำถามสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันได้
'ฉันจะไปทำได้ยังไง?'
เขาขบฟันแน่นและรู้สึกกดดัน เขาคิดอะไรโง่ๆเช่นนั้นได้อย่างไร?
เขามั่นใจในสิ่งที่เป็ นไปไม่ได้ได้ยังไง?
เขาไม่เข้าใจ และไม่แม้แต่จะพยายามเข้าใจ
―นายไม่ยอมแพ้เร็วไปหน่อยเหรอ?
มีเสียงดังก้องอยู่ในหัวของเขา
“ได้ยังไง? จิตวิญญาณของเจ้าต้องหายไปแล้วนี่?”
สัญญาเกิดขึ้นเมื่อมูยองตกลง ดันดาเลี่ยนสามารถควบคุมร่างกายของมูยองได้อย่างสมบูรณ์
แต่มันไม่สามารถเข้าใจได้ ที่มันไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จ
― ฉันก็แค่ซ่อนจิตวิญญาณของตัวเองเอาไว้
ตัวตนในหัวของตัวเองกำลังเยาะเย้ยมัน
ดันดาเลี่ยนปั่นป่ วน
ซ่อนวิญญาณ
มันเป็ นไปได้ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถซ่อนโดยที่ดันดาเลี่ยนผู้ซึ่งควบคุมร่างกายอยู่ไม่สังเกตเห็น
―ขอบคุณนายมากดันดาเลี่ยนที่ทำให้ฉันรู้หลายๆอย่าง
เสียงของมูยองตัวจริงดังขึ้น
ดันดาเลี่ยนเบิกตากว้าง
อย่าบอกนะ?ว่ามันคาดคะเนเงื่อนไขการดับสูญของข้าได้แล้ว?
มูยองซ่อนตัวตนไว้และค้นหาความลับทั้งหมดของมัน... !
เขาจะถอยง่ายๆเมื่อเลราเจอยู่ต่อหน้างั้นเหรอ มันช่างโง่เหลือเกิน?
“อ๊าก!”
ดันดาเลี่ยนบีบหน้าอกตัวเอง
แม้แต่มูยองก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อแอบดูความทรงจำบางส่วนของดันดาเลี่ยน เขาไม่อาจเข้าใจได้ทุกอย่าง
เนื่องจากช่วงเวลาที่ดันดาเลี่ยนใช้ไปนั้นเยอะเกินไป
มันเคยเป็ นมนุษย์
มันเดินโซเซ
ฟูม!
ปี กของเขากางออกและเริ่มลุกไหม้
เปลวเพลิงแผดเผาดันดาเลี่ยนในร่างของมูยอง
ตุบ!
มูยองลุกขึ้นยืนหลังจากยึดร่างคืนได้ ในขณะที่ยังมีควันไฟลอยคลุ้งอยู่รอบๆ
มูยองมองดูท้องฟ้ า ขอบคุณที่กองทัพของเขาไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
เขาแสดงออกอย่างซับซ้อน
'ขนาดความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ยังน่าอึดอัด'
'สกายลอร์ด'
ดูเหมือนว่าดันดาเลี่ยนไม่รู้ว่าร่างนี้เป็ นที่น่าหลงใหลของเหล่ามอนสเตอร์
“ เกรโมรี่ดูเหมือนนี่จะเป็ นการพยายามดิ้นรนครั้งสุดท้ายของเธอสินะ”
'ประตูที่นำไปสู่รอยแยกเปลี่ยนแปลงที่ตั้งอยู่ตลอดเวลา'
เลราเจ ตราบใดที่มันยังคุมพื้นที่รอบๆเอาไว้ยังไงเธอก็หนีไม่พ้น
“ ไม่สนุกเลยแฮะ”
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันาต้องการชัยชนะที่น่าเบื่อแบบนี้ ตัวตนของมันมีอยู่เพื่อการต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ
เท่านั้น มันไม่ชอบการชนะที่เกิดจากแค่การเฝ้ าระวังรอบๆเหมือนผู้เฝ้ ายาม
“เดียโบลไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนนะ? ข้าน่าจะไม่เบื่อเช่นนี้ถ้าผู้ที่สังหารเฮอเรสปรากฏตัวขึ้น”
เดียโบลก็มีลักษณะคล้ายเผ่ามังกรเช่นกัน และหากสามารถสังหารมันได้คงจะดีไม่น้อย
สำหรับเดียโบลผู้ที่ดับลมหายใจของเฮอเรสเทพปี ศาจแห่งเปลวเพลิงด้วยเปลวเพลิง
ราชาปี ศาจตอบเลราเจ
“ เฮอเรสถูกเดียโบลสังหารลงที่นี่! เห็นได้ชัดว่าเกรโมรี่สามารถอัญเชิญเดียโบลได้
ดังนั้นพวกมันจึงสร้างสกายลอร์ดเพื่อขวางมันเอาไว้ที่เส้นกั้นเขตแดน อย่างน้อยก็จนกว่าพวกมันจะสามารถ
กำจัดความวุ่นวายภายในและฝ่ ายตรงข้ามได้ก่อน
แต่มันกลับโผล่มาสังหารเฮอเรสที่นี่ได้ยังไง?...”
“ หามันให้เจอ ข้าไม่สนใจว่าจะต้องใช้วิธีการอะไร ”
"ข้าจะทำให้ดีที่สุด นอกจากนี้ยัง...”
“ เจ้ามีอะไรจะพูดอีก?”
“ จากร่องรอยที่เจ้าพบ แสดงว่ามันไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว ? ”
“ ใช่ครับ เรากำลังเร่งตามรอยของพวกมันอยู่ในขณะนี้”
เลราเจขมวดคิ้ว
“ สร้างหน่วยค้นหาตามรอยพวกมันไป ห้ามผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น”
“ เกรโมรี่ท่านไม่อาจต้านทานเช่นนี้ได้ตลอดไปหรอก” ใบหน้าของเกรโมรี่ไร้ชีวิตชีวา
“ แต่ข้าก็ยังต้องทำ”
“ …ท่านคิดอย่างไรกับการยืมพลังของเขาอีกครั้ง”
“ เขาช่วยเราไม่ได้หรอก”
คลืนนนนนนนนน-
มูยอง ชื่อของผู้ที่จะสร้างคลื่นลมและพายุ
บทที่ 239: สกายลอร์ด (2)
“ มีบางอย่างกำลังตามเรามา”
“ ผมคิดว่าพวกมันเจอตำแหน่งของเราแล้ว”
ข้างๆเขาเบยองมินพูด
“ ช้ากว่าที่คิด”
หลังจากได้รับรายงานแล้วมูยองก็ตอบกลับสั้นๆ
สามวันผ่านไปตั้งแต่พวกเขาออกจากบริเวณที่รอยแยกของเกรโมรี่ตั้งอยู่ นั่นหมายความว่าเลราเจให้ความ
สำคัญกับสถานการณ์ของเกรโมรี่มากกว่ามูยอง
สิ่งที่แน่นอนคือเขามีเวลาไม่มากนัก
“ มูยองเจ้าจะทำยังไงต่อ?”
ทาร์แคนพูด ในขณะที่มูยองมองไปรอบๆ
'ในเมื่อฉันทิ้งร่องรอยไว้อย่างชัดเจน พวกมันจะต้องส่งทีมติดตามมาแน่'
นี่เป็ นสถานการณ์ที่มูยองตั้งใจไว้
กองทัพหลักของเลราเจคงไม่อาจถอยไกลจากรอยแยกของเกรโมรี่ได้ นั่นหมายความว่ามันยากสำหรับเลราเจ
ที่จะส่งกองทัพเต็มรูปแบบออกมา พวกมันทำได้แค่ส่งทีมขนาดเล็กออกมาติดตามมูยองเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมันจะเป็ นทีมที่มีแต่ตัวเก่งๆ
'ค่อยสนุกขึ้นมาหน่อย'
มูยองอยากรู้อยู่แล้วว่าแนวหน้าของเลราเจนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน
'เลราเจอ่อนไหวต่อการชนะและแพ้'
มูยองมองที่ทาร์แคน
ทาร์แคนเองก็มองมูยองด้วยความคาดหวัง
ราวกับเขากำลังบอกให้มูยองทิ้งเรื่องพวกนี้ให้เขาจัดการ
มูยองตอบกลับไปง่ายๆ
“ แค่ผลกำไรเล็กน้อย ยอมแพ้ไปเถอะ ”
“ ถูกต้องให้ข้าไปจัดการมัน…เดี๋ยว เจ้าว่าใครแพ้อะไรนะ?”
ทาร์แคนงง อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้พูดผิด
“ เราต้องล่อให้พวกมันส่งกองทัพที่ขนาดใหญ่กว่านี้ออกมา”
“ วิญญาณ?”
ซองมินเอียงศีรษะเล็กน้อย
การรวบรวมวิญญาณต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการทำให้พวกมันกลายเป็ นอันเดธ
หากซองมินแค่ต้องการรวบรวม เขาสามารถรวบรวมวิญญาณได้นับล้าน
ปัญหาคือ ไม่มีประโยชน์อะไรจากการรวบรวมเหล่าวิญญาณ
จากนั้นมูยองก็ยิ้มเล็กน้อย
“ เราจะเอาไปเป็ นอาหารให้สกายลอร์ด”
มีกลุ่มปี ศาจทั้งหมดสามกลุ่มที่ถูกส่งมาติดตามทัพของมูยอง
ราชาปี ศาจกองทัพที่ 3, กรูคาส, ราชาปี ศาจกองทัพที่ 7,บรู และราชาปี ศาจกองทัพที่ 11,อินเวสชั่น รวมทั้งสิ้น
200,000 ตน มันเป็ นจำนวนที่มากเกินกว่าจะคิดว่าเป็ นกลุ่มที่ถูกส่งออกไปเพื่อตามรอยเท่านั้น ในความเป็ น
จริงพวกมันได้รับคำสั่งให้ทำลายล้างศัตรูอย่างสมบูรณ์
ทาร์แคนตกตะลึงเมื่อเขาเห็นพวกมันดิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกแห่งการทำลายล้าง
“ เป็ นกองทัพที่ดีจริงๆ”
เขารู้สึกกระตือรือร้นที่จะต่อสู้
ทาร์แคนอยากสู้ตายกับพวกมัน และได้รับชัยชนะ
'ข้าจะแพ้อย่างไร... '
ทหารของทาร์แคนมีคุณภาพสูงกว่าศัตรูเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมันยากที่จะเอาชนะความแตกต่างในจำนวนสี่
เท่า
ถึงกระนั้นทาร์แคนก็มั่นใจว่าเขาจะชนะ อย่างไรก็ตามมูยองบอกให้เขาแพ้
เฮ้อ!
ทาร์แคนถอนหายใจ
ทาร์แคนตัดสินใจติดตามมูยอง
ไม่ใช่เพียงเพราะมูยองได้ดูดกลืนเจ้านายเดิมของเขาอย่างลูซิเฟอร์
เขาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เขาแสวงหาสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา
ทาร์แคนเริ่มเปลี่ยนไปเพียงอยู่ใกล้กับมูยอง เขาแข็งแกร่งขึ้น
ดังนั้นเขาจึงตั้งเป้ าหมายที่จะเอาชนะมูยองในวันหนึ่ง
หลังจากที่เขาถูกสร้างขึ้นจากส่วนผสมกระดูกซี่โครงของมูยอง เขาก็รู้สึกเหมือนได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น
แน่นอนว่า นั่นไม่ได้หมายความว่าทาร์แคนจะชอบมูยองเท่าไหร่
'ข้าไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่'
'ข้าทำได้'
วูม!
ทาร์แคนหยิบดาบออกมา
'ข้าน่าจะล้มได้อย่างน้อยหนึ่งในสาม'
ในความทรงจำของดันดาเลี่ยน สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสกายลอร์ดนั้นมีน้อยมาก
“เอนโรธ”
วูม!
ควันดำลอยคลุ้งขึ้น และเอนโรธผู้กลายเป็ นอันเดธก็ปรากฎตัวข้างๆมูยอง
มูยองพูดกับเอนโรธ
“ ทำไมนายไม่ไปทักทายเพื่อนเก่าของนายหน่อยล่ะ?”
ดวงตาของมูยองมองไปที่ป้ อมปราการห่างไกลซึ่งมีควันดำถูกปล่อยออกมา
ป้ อมปราการดังกล่าวจะเป็ นสถานที่ที่เขาจะให้อาหารแก่สกายลอร์ด
วูม!
เอนโรธเริ่มเคลื่อนไหว รอบตัวปรากฎความมืดขนาดใหญ่หมุนวน
ชวิ้ง-ชิ้ง! ตูมมมมม!
“เอนโรธ! ทำไมเจ้าถึงโจมตีเรา!”
เอนโรธเป็ นราชาปี ศาจที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าความพ่ายแพ้ของมันต่อมูยองยังไม่เป็ นที่ทราบ
แน่ชัด
หลังจากการทักทายยิ่งใหญ่ เอนโรธก็คุกเข่าลงต่อหน้ามูยอง
ปี ศาจในที่เกิดเหตุต่างประหลาดใจจนกระทั่งผู้ปกครองป้ อมปราการปรากฎตัว
เธอกำลังอยู่ในระหว่างรวบรวมดวงดาว
ในมุมมองของมูยองมันเป็ นการกระทำที่น่าขำ
และในขณะนั้น
วูมมม!
จากท้องฟ้ า ดวงดาวแห่งความสัมบูรณ์ก็เริ่มเปล่งประกาย
“ ดาวแห่งการทำลายล้าง!”
“เอนโรธทำไมเจ้าถึงกลายเป็ นผู้ติดตามดาวแห่งการทำลายล้าง!”
เอนโรธไม่ตอบโต้
และการร้องโอดครวญของโซระก็ทำให้มูยองได้รับข้อมูลที่สำคัญมาก 'ข้อมูลข่าวสารของศัตรูดูล่าช้าอย่าง
มาก'
ดังนั้นเขาจะได้รับประโยชน์สูงสุดก่อนที่พวกมันจะสังเกตเห็น
จุดแข็งที่สุดของมูยองคือข้อมูล ในทางตรงกันข้ามจุดอ่อนของพวกมันก็คือข้อมูลเช่นกัน
จากนี้ไปการต่อสู้อย่างรุนแรงของพลังปัญญาจะเริ่มขึ้น
'ราชาปี ศาจที่ทรงพลังที่สุดทั้งสิบแปดตน'
หากพวกมันร่วมมือกันก็พอจะเปรียบเทียบได้กับเทพปี ศาจตนหนึ่งเลยทีเดียว
“อามอนรู้เรื่องที่เจ้ากลายเป็ นผู้ติดตามดาวแห่งการทำลายล้างหรือไม่ ? ”
แล้วเวทต้องห้ามของวาสซาโก้จะต้านทานมูยองได้หรือไม่?
เขาชูดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยวขึ้น
เปรี๊ยะ!
เปรี้ ยง!!
“โจมตี”
หลังจากทำลายแนวหน้ามูยองก็เก็บความโกรธเกรี้ ยว ในเวลาเดียวกัน
“ตานายแล้วเอนโรธ”
วูม!
“ พวกเธอไปช่วยเอนโรธ”
“รับทราบ”
ในไม่ช้าเอนโรธก็ไปถึงใจกลางของเหล่าปี ศาจ เขายืดมือออกไปด้านหน้า
สุนัขจิ้งจอกเก้าหางหยิบลูกปัดวิญญาณขึ้นมาแล้วพากันกระดิกหาง และทุกครั้งที่พวกเธอทำแบบนั้นลูกปัดจะ
เปล่งประกายก่อนที่แสงเจิดจ้าก็จะสาดออกไปแผดเผาเหล่าปี ศาจ
มูยองมองไปที่ฝั่งของศัตรู
“ เจ้า...เจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่ต้องการได้เพียงเพราะมีเอนโรธคอยช่วย”
ถูกช่วยโดยเอนโรธ?
“ ฉันไม่มีเวลาให้เธอมากหรอกนะโซระ”
มูยองพยักหน้าราวกับเขากำลังตอบกลับว่าจะมันจะได้สมใจในไม่ช้า
“ สังหารข้าซะเจ้าคนไร้ยางอาย!"
มูยองยิ้ม
“ ฉันจะกำจัดของที่ยังมีประโยชน์ไปทำไม”
ถึงโซระจะพ่ายแพ้ แต่มูยองก็ยังอดนึกชมในใจเสียไม่ได้ เนื่องจากเธอสามารถทนการโจมตีได้ถึง 40 จาก 50
กระบวนท่าของวิชาดาบมูยอง
“เจ้าดาวแห่งการทำลายล้าง! วาสซาโก้จะต้องเอาคืนเจ้าแน่!”
“ คิดว่าฉันจะกลัวเหรอ”
<เธออยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใช้ 'มูยอง'แล้ว>
<ร่างกายของเธอเปลี่ยนไปและกลายเป็ นอันเดธ>
ความว่องไว (4580)
ความอดทน (50)
สติปัญญา 680
ภูมิปัญญา 700
ต้านทานเวท 700
พลังเวท 699
การดิ้นรนของโซระค่อยๆจางหายไป
ในขณะที่มูยองพยักหน้าเมื่อดูค่าสเตตัสของโซระ ความสามารถนั้นเปรียบได้กับเบซองมิน
ถ้าคุณมองแค่พลังต่อสู้เบซองมินดูเหมือนจะเหนือกว่านิดหน่อย เนื่องจากเขาเพิ่งแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ต่อสู้
กับเอนโรธ
'เวทต้องห้ามของวาสซาโก้'
"จงฟัง" มูยองพูดขึ้น
“ โซระไม่สามารถกักขังพวกนายได้อีกต่อไป”
วูม! ดั่งเสียงคำราม
<ดาวแห่งความสัมบูรณ์เริ่มส่องแสง>
<ดวงดาวแห่งการนำทาง 'ดาวกุหลาบ'>
บทที่ 241: สกายลอร์ด (4)
<ชื่อ 'ดวงดาวอันบริสุทธิ์ (S+, ทุกสเตตัส +30)' ได้พัฒนาเป็ น ดวงดาวแห่งแก่นแท้ (S+++, ทุกสเตตัส +50) '>
“โซระ”
"...ค่ะท่าน"
โซระตอบด้วยอาการสั่นเทาก่อนจะคุกเข่าลง
พลังความมืดจากศิลปะแห่งความตายได้กลืนโซระจนเธอเชื่อฟังมูยองอย่างสมบูรณ์แบบ
“ เธอรู้จักสกายลอร์ดมากแค่ไหน?” สายตาของโซระหันไปทางมูยอง
ครั้งก่อนเขาพยายามหลีกเลี่ยง แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะพุ่งเข้าหามันแล้ว
“ โซระ เธอไปล่อสกายลอร์ดมาที่นี่”
"ค่ะท่าน"
'สิ่งที่เหลืออยู่คือทาร์แคนล่อกองทัพพวกนั้นได้ดีเพียงใด'
ทาร์แคนอยู่ในระดับผู้ปกครองแต่เขาเก่งในเรื่องต่อสู้มากกว่าเป็ นหัวหน้าสั่งการในกองทัพ
“ อ่า มีจำนวนศัตรูมากกว่าที่ข้าคิดซะอีก”
“ ดูเหมือนจะถึงขีดจำกัดแล้ว เราต้องกลับไปเข้าร่วมกองทัพหลัก”
ทาร์แคนพูดอย่างไม่ชอบใจนัก
“ เราต้องหันหลังกลับเช่นนี้จริงๆหรือ? ข้ายังสามารถต่อสู้ได้”
“ ถ้ามีแต่ข้า ข้าคงต่อสู้จนถึงที่สุด”
"ข้ารู้ แต่ถ้าให้ถอยอย่างเดียวก็ดูยังไงอยู่”
“ ถ้ากำจัดมันได้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น”
“ งั้นผมจะซื้อเวลาให้คุณสักพัก”
ซองมินเห็นด้วย
หัวหน้าของพวกมันต้องถูกสังหารก่อนที่พวกเขาจะดำเนินการไปยังขั้นตอนต่อไป
ซองมินอัญเชิญมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา หลังจากนั้นก็ใช้หัวของไฮดราเพื่ออัญเชิญแม่มดเบียทริซ
เขายังใช้เวทย์มนตร์ที่เหลืออยู่เพื่อสร้างบาเรียป้ องกันไว้ด้วย
* * * * สกายลอร์ดไล่เขมือบเหล่าดวงดาวด้วยความเร็วสูง จนขนาดร่างกายของมันใหญ่โตมากกว่าเกาะแห่ง
หนึ่ง อย่างไรก็ตาม ดวงดาวที่สกายลอร์ดอยากกลืนกินที่สุดคือดาวของมูยอง ผู้ที่มีดาวสองดวงที่สว่างไสว
“ สกายลอร์ดจะกระจายพลังเพื่อกลืนกินทุกอย่าง ถึงตอนนั้นการเคลื่อนไหวของมันจะช้าลงมาก”
ราชาปี ศาจโซระอธิบาย
มูยองพยักหน้า
ดูเหมือนว่าท้องของมันต้องการเวลาสำหรับการย่อยสลาย ปี ศาจที่อยู่บนทางเดินของสกายลอร์ดต่างถูกกลืน
กินในขณะที่มันพุ่งไปทางมูยอง
“กระจายกำลัง ฉันจะล่อมันเอง”
“ บอกแล้วว่ามันยากมากที่จะกำจัดพวกมัน”
ซองมินมีพลังเวทไม่พอที่ควบคุมปี ศาจจำนวนมากในตอนนี้ได้
“ น่ารำคาญเสียจริง พวกมันคงไม่เลิกตามจนกว่าจะสังหารพวกเราทั้งหมด”
เมื่อหัวหน้าของพวกมันเสียชีวิต ซองมินพูด
“ ซองมิน บางทีเราควรฆ่าพวกมันให้หมด…”
"เดี๋ยว!"
“ กระจายกำลังเร็ว เดี๋ยวนี้”
"อะไร?"
“ เร็วเข้า ถ้าคุณไม่อยากถูกกิน!”
ทาร์แคนเงยหน้าขึ้นครู่หนึ่งแล้วเขาก็รู้ว่าทำไม
“...บัดซบ! แยกย้าย!”
เลราเจขมวดคิ้ว
“ ทำไมถึงยังไม่มีใครมารายงานข่าว”
'นี่ข้าตัดสินใจผิดพลาดหรือเปล่า?'
“ ข้าจะเพิ่มความเร็วในการทำลายรอยแยกของเกรโมรี่”
“ แต่ถ้าท่านทำเช่นนั้น ปิ ศาจที่จ่ายพลังงานจะไม่รอด”
บูมมมมมมมมมมมมม!
ด้วยเสียงที่หนักหน่วงพื้นที่รอบๆถึงกับบิดเบือน รอยแยกเต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์สีดำ และหลังจากนั้นไม่
นานพื้นหลังของรอยแยกก็เริ่มเปลี่ยนไป
“ เจ้ายังงดงามเช่นเดิม”
เลราเจยิ้มแล้วพูด
“ เจ้าก็ยังคงน่าเกลียดเหมือนเช่นเดิม”
เกรโมรี่พูดด้วยท่าทางไม่สบายใจ ยังไงก็ตามแค่น้ำเสียงของเธอก็สามารถทำให้ใครก็ตามที่ได้ฟังต้องเข่าอ่อน
ดูเหมือนความพยายามของพระเจ้าทั้งหมดจะถูกใช้ไปกับการสร้างของเธอออกมา แต่เลราเจเป็ นเทพปี ศาจ
แห่งสงคราม ตัวมันมีอยู่เพียงเพื่อการทำสงครามเสน่ห์ของหญิงสาวย่อมไม่มีผล
เลราเจขมวดคิ้ว ร่างอันใหญ่โตของมันสั่นอย่างเห็นได้ชัด
เกรโมรี่แสดงความสงสารออกมา
“เราจะสู้”
ภายใต้คำสั่งของเกรโมรี่, 26 ราชาปี ศาจตะบึงออกไปต่อสู้ ราชาปี ศาจทั้ง 26 ตนและเหล่าปี ศาจ 26 กลุ่มเป็ น
พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกรโมรี่ อย่างไรก็ตาม ราชาปี ศาจภายใต้เลราเจมีถึง 38 ตน
“เกรโมรี่เจ้าฆ่าตัวตายเองนะ”
"มาเริ่มกันเถอะ!"
เลราเจยิ้ม
เปรี้ ยง!
'นี่มัน?'
“ …สกายลอร์ด”
เกรโมรี่พูด
อย่างไรก็ตามเกรโมรี่ไม่เพียงรู้สึกได้ถึงตัวตนของสกายลอร์ดเท่านั้น
เปรี้ ยง! ตูม! ตะตุตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นดินสั่นสะเทือน
"เขาคือ…"
“ ไม่น่าเชื่อ”
ราชาปี ศาจภายใต้คำสั่งของเกรโมรี่ก็สังเกตเห็นเช่นกัน
ปี กสีเทาสองคู่!
“เกรโมรี่ เจ้าดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน”
“ เขาคือ…"
จริงๆแล้วเธอไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ตอนขอให้เขาช่วยค้นหาชิ้นส่วนของรอยแยกก็เพราะไร้ซึ่งหนทาง
เท่านั้น ยังไงก็ตาม เธอไม่คิดว่าเขาจะมีพลังมากจนสามารถนำสกายลอร์ดมาด้วย
เกรโมรี่พูดต่อไป
***
มูยองได้ข้อสรุปว่าสกายลอร์ดนั่นยากที่จะทำให้เชื่อง หรืออย่างน้อยมันจะไม่เกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวัน
เป็ นแน่ ยังไงก็ตามมูยองยังประสบความสำเร็จอยู่
หากเขาต้องเปลืองพลังไปกับสกายลอร์ดมูยองจะไม่สามารถสู้เลราเจได้ และแล้วมูยองก็ได้ข้อสรุป
'ฉันจะไปหาเลราเจทั้งๆแบบนี้แหละ'
ก๊าซ!
เนื่องจากสกายลอร์ดไม่สามารถจับมูยองได้มันจึงส่งเสียงร้อง
ก่อนที่จะสร้างหนวดจำนวนมากเพื่อโจมตีมูยอง มูยองหันไปสู้บางครั้งก่อนจะบินหนีอย่างรวดเร็วในขณะที่
รักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม ดังนั้นหลังจากไม่กี่ชั่วโมงของการดิ้นรนเขาก็สามารถไปถึงค่ายที่เลราเจอยู่
'ฉันมาทัน'
“ เขาคือ…"
ฟูมมมมมม!
'ยังไงฉันก็ต้องเอาชนะให้ได้'
เขาอาจคล้ายกับเลราเจในความหมายนั้น เขาไม่สามารถแพ้ได้แม้แต่ครั้งเดียว
มูยองเกิดมาวิ่งเข้าสู่ชัยชนะ และจะยังคงวิ่งต่อไป
ฟูม!
พลังเวทน่าครั่นคร้ามบินไปทางมูยอง
ด้วยความตั้งใจที่จะฉีกทำลายทุกสิ่ง มันทะลวงข้ามอากาศเพื่อทำลายมูยองโดยเฉพาะ!
และเลราเจมั่นใจว่ามูยองไม่มีทางรอด
แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีตอบโต้ตรงๆ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงมูยองจะไม่มีอะไรเลย
สวูม!
ความโกลาหลครั้งใหญ่แผ่ออกจากดาบแห่งความโกรธเกรี้ ยว และตัดลูกศรของเลราเจที่กำลังจะมาอย่างช้าๆ
จากนั้นก็ขยายออกไปอย่างเงียบๆ และตัดแขนขวาของเลราเจซึ่งกำลังถือธนูอยู่
ตุบ!
โลกกลับคืนสู่สภาพปกติเมื่อแขนของเลราเจหล่นอยู่บนพื้น เพียงชั่วขณะนั้น
ซู่ดดด
“ ราชาปี ศาจแห่งเถ้าสีเทา…!”
เลราเจเก็บแขนที่ถูกตัดออกมาต่อใหม่แล้วยกคันธนูขึ้นอีกครั้ง แต่มูยองไม่ได้วางแผนที่จะเผชิญหน้ากับเลรา
เจอีก
“ เลราเจนายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอก”
มูยองชิ่งบินออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเลราเจก็เห็นบางสิ่งที่อยู่เหนือมัน
ก๊าซซซซซ!
“ เจ้าสารเลว! สกายลอร์ดอ้าปากกว้าง เลราเจเก็บธนูแล้วจับด้านข้างของสกายลอร์ดด้วยแขนทั้งสองข้าง ถึง
ขนาดแตกต่างกัน แต่เลราเจกลับมีความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ สกายลอร์ดถึงกับถูกกหยุดการเคลื่อนไหว
เห็นฉากดังกล่าวมูยองถึงกับพูดไม่ออก และรีบบินไปหาเกรโมรี่ขณะที่พวกมันทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุ
เดือด เกรโมรี่และกลุ่มของเธอมองมูยองด้วยท่าทางแปลกๆ จากนั้นก็เข้าไปจับมือสองของมูยอง
มูยองดึงมือตัวเองกลับ และแสดงความคิดเห็นที่สมเหตุสมผล
แต่มูยองไม่สนใจ
'ฉันเป็ นผู้ที่ถือมีด'
มูยองยังคงเป็ นผู้ที่ถือมีดอยู่
“ พวกเธอจะยืนดูกันเฉยๆไปอีกนานไหม? คงไม่เลือกที่ตายกันแบบนี้นะ”
'มีเพียงความกังวลเล็กน้อย'
ผู้ติดตามของเขาเริ่มเคลื่อนไหวในขณะที่เลราเจเผชิญหน้ากับสกายลอร์ด ดูเหมือนว่าจะเกิดความวุ่นวายไม่
มากเท่าที่เขาคิด พวกมันดูคุ้นเคยกับตัวแปรเช่นนี้
บูม! เปลวเพลิงกำลังลุกไหม้!
“มูยองเจ้าบัดซบ! คิดว่าเจ้าจะทำตัวเด่นอยู่ผู้เดียวได้เหรอ!”
“ พวกเรามาแล้ว "
'นั่นมันอะไรกัน…'
เธอไม่เข้าใจว่าสมาชิกของอามอนและวาสซาโก้มาอยู่ภายใต้มูยองได้ไง เทพปี ศาจทั้งสองไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับ
ฝ่ ายปฏิปักษ์แต่ตรงกันข้าม
ทว่าตอนนี้พวกมันทั้งสองกำลังไล่สังหารปี ศาจของเลราเจอยู่
ภาพรวมขณะนี้กองกำลังเลราเจมีจำนวนถึงหนึ่งล้านครึ่ ง และถึงแม้กองกำลังของเกรโมรี่และมูยองจะรวมกัน
ก็ยังน้อยกว่า สกายลอร์ดพยายามอย่างยิ่งที่จะกินเลราเจอย่างดื้อรั้น
'เธอสามารถสร้างโล่ขนาดใหญ่ให้กับฝ่ ายตนได้'
'มีเทพปี ศาจอีกตนหนึ่ง…มันคือใคร'
'เขามีเป้ าหมายอะไร'
3.กลุ่มกลาง ที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
'เขาไม่ได้มาจากกลุ่มหัวรุนแรง' เพราะไม่อย่างนั้นคงจู่โจมมาแล้ว
“แมลงตัวจ้อย! เจ้าคิดเหรอว่าสามารถเอาชนะเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้!”
บูม! บูม! บูมมมม!
เลราเจปล่อยหมัด
มูยองกะจะเคลียร์พื้นที่รอบแล้วโจมตีเลราเจ แต่เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเนื่องจากความกังวล
เกี่ยวกับบุคคลที่สาม
ปัง! ขนเส้นหนึ่งร่วงลงพื้นราวกับชนเข้ากับกำแพง
“ สังหารมัน! สังหารเจ้าเถ้าสีเทานั่น!”
'เขาหายไปแล้ว ต่อหน้าต่อตาฉันเนี้ยนะ?'
นั่นไม่ใช่เวทมนตร์หรือคาถา ศัตรูแค่เคลื่อนที่ในสภาวะโปร่งใส มีพลังงานชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้
'อำนาจพลัง!'
หากมันได้รับพลังอํานาจที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคการเคลื่อนไหว และมูยองก็พบผู้ที่มีเทคนิคนั้นในความทรงจำ
ของดันดาเลี่ยน
'ฉันควรยุติสงครามนี้ให้ได้ก่อน'
มูยองเดาะลิ้นแล้วพูดว่า
“ฉันจะเป็ นคนเลือกสถานที่ที่ฉันจะตายเอง”
คิงสเลเยอร์!
'โซโลมอน เจ้าวางแผนอะไรอยู่กันแน่?'
'ข้าจะหาความลับของเจ้าเทพอสูรนั่นให้เจอ '
ชายชรามองเขา
'โซโลมอน'
“เจ้าคิดว่าจะหยุดเลราเจผู้นี้ได้ด้วยสิ่งนี้เหรอ?”
มูยองชิงพูดขึ้นก่อน
“ดวงตาของนายไม่ได้บอกเหรอ? ว่าอัตราชัยชนะของนายเริ่มลดลง”
กรอด! เลราเจกัดฟันและดูที่เกรโมรี่ที่อยู่ข้างหลังมูยอง
“เสียใจด้วยเลราเจ ผู้นำของสงครามนี้ไม่ใช่ข้า”
เลราเจเสียงดังมากยิ่งขึ้น
“ นายจะพล่ามอะไรเยอะแยะ”
“เลราเจนายแพ้แล้ว ยอมรับดีๆเสียเถอะ”
เลราเจลืมตาขึ้นและมองไปที่มูยอง
“ นายกลัวฉันงั้นเหรอ?”
เลราเจหัวเราะเยาะเขา ในขณะที่มูยองยิ้มตอบ
มูยองหลอกล่อ
“ เอาชนะฉันสิ ถ้านายชนะฉันได้ ฉันจะปล่อยนายออกไปจากสนามรบนี้”
ถ้าเกรโมรี่ยังอยู่เลราเจจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ด้วยกองทัพเพียงหลักแสนที่เหลืออยู่ แต่ถ้ามันเอาชนะ
มูยองได้...
“ ข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้าได้ยังไง?"
“ นักรบของฉันเชื่อฟังฉันดี และดูเหมือนว่าเกรโมรี่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน”
“ อย่าคิดว่าสิ่งที่ข้าแสดงให้เจ้าเห็นคือทุกสิ่ง”
“ งั้นก็ทำให้ฉันเห็นว่านายมีดีอะไรหน่อยสิ?”
ดราก้อนฮันเตอร์
“ เลือดของมังกรนับร้อยทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก”
เลราเจยิ้ม ในขณะที่มูยองวางมือบนหน้าอกตัวเอง
“ ฉันจะแสดงทักษะที่แท้จริงให้นายเห็นเหมือนกัน”
*****************************************