Professional Documents
Culture Documents
CON7
CON7
เครื่องจักรกลเหนี่ ยวนํา
7.1 ลักษณะทางโคครงสร้ าง
ในรูปที่ 1a ได้
ไ แสดงรูปขอองเครื่ องจักรกกลชนิดสามเฟฟส ซึง่ ประกออบด้ วยโครงสสร้ างหลักสองงส่วน
คือสเตเตตอร์ และโรเตออร์ โครงสร้ างของสเตเตอ
า อร์ ประกอบด้ด้ วยแผ่นอัดชนินิดเหล็กกล้ ามมาประกบซ้ อนกั
อ น
เป็ นตัวถังั รูปทรงกระบบอก เพื่อเป็ นทางเดิ
น นของสนามแม่เหล็ล็ก โดยมีขดลลวดสเตเตอร์ ททังสามเฟสจั้ ดั วาง
อยูใ่ นร่องงบนผิวหน้ าด้ านในของตัวถั
ว ง ดังแสดงงในรูปที่ 1b ส่วนโครงสร้ร้ างของโรเตออร์ จะประกอบบด้ วย
แผ่นโลหหะชนิดเฟอร์ โรแมกเนติ
ร กปรระกบอัดกันเปป็ นรูปทรงกระะบอกและทําร่ า องไว้ บนผิว ด้ านนอกสําหรั
หบ
ฝังตัวนําหรื อวางขดลวด ระหว่างสเตเตอร์
า กบับโรเตอร์ จะเป็ป็ นช่องอากาศศแคบ ๆ แบบบสมํ่าเสมอรออบ ๆ
ทรงกระบบอก ขดดลวดบนโรเตอร์ มีสองแบบบด้ วยกันคือ แบบกรงกระะรอก ( squirrrel - cage) และ
แบบพันขขดลวด ( wound w - rotor ) โรเตอร์ร์ แบบกรงกระะรอกจะประกอบ ด้ วยแท่งงทองแดงหรือแท่ อ ง
อะลูมิเนียมฝังอยูใ่ นร่องโรเตอร์ แล้ วปิ ดหัวท้ ายลัลัดวงจรด้ วยแแหวนทองแดงงหรื ออะลูมเิ นี ยม ดังแสดดงใน
รูปที่ 7.22a ส่วนแบบพพันขดลวดจะะมีรูปแบบเหมืมือนกับขดลววดของ สเตเตตอร์ ปลายขดดลวดโรเตอร์ จะต่ จ อ
อยูก่ บั วงงแหวนลื่น (slip ring) สามมอันด้ วยกัน ดังแสดงในรูปที่ 7.2b แลละจะใช้ แปรงถถ่านซึง่ ยึดอยูยูก่ บั ที่
กดสัมผัสสอยูบ่ นวงแหวนลืน่ ทําใหห้ ปลายขดลววดของโรเตอร์ร์ ตอ่ กับวงจรภภายนอกที่เป็ นนตัวต้ านทานนแบบ
สามเฟส เพื่อใช้ ควบคคุมความเร็วของมอเตอร์
ข ได้ เมื่อพิจารณ
ณาโครงสร้ างททังสองแล้
้ วจะะเห็นว่าโครงสร้ าง
แบบกรงงกระรอกมีโครรงสร้ างที่ง่ายกว่า ประหยัดั กว่า และทนนทานกว่าโครรงสร้ างแบบพัพันขดลวด
(a) รูปร่างภายนอก
า (b) ชุดขดลววดสเตเตอร์
รูปที่ 7.1 เคครื่ องจักรกลเหหนี่ยวนําสามมเฟส [Sen,P..C.,1999]
(a) โรเตอร์
โ แบบกกรงกระรอก (b)
( โรเตอร์ แบบพั
บ นขดลวดด
รู ่ 7.2 โรเตตอร์ ของเครื่ องงจักรกลเหนียวนํ
รปที ่ย า [Sen,PP.C.,1999]
เครื่องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 123
Ec
NII
-
.
y
T
%
→
.
Ia .
-
NIM
\
In .
Nine
Falcon :
⇒ Ital
list cos so
.
(a) (b)
NIM t
NII (E) t
NII ( I )
- '
→ Max
ooh a
neuroma
I NII
b
tf
'
Em
wa b ooh mat
' C 2
ooh
IN c
(c)
รูปที่ 7.4 แรงเคลื่อนแม่เหล็กแบบพัลเซติ ้ง
เริ่มพิจารณาจากกระแสสามเฟสแบบสมดุลไหลผ่านขดลวดทังสามเฟส
้ กระแสแต่ละเฟสจะมีคา่ ดังนี ้
i a = I m cos ωt (7.1)
ib = I m cos (ωt − 120 ° ) (7.2)
ic = I m cos (ωt + 120 ° ) (7.3)
เครื่องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 125
จากสมการทังสามจะเห็
้ นว่ากระแสมีคา่ เปลี่ยนแปลงตามเวลาดังแสดงในรู ปที่ 7.4c ขณะ ที่
กระแสเป็ นบวกและไหลเข้ าไปในขดลวดจะแสดงด้ วยเครื่ องหมายกากบาท(cross) ปลายอีกด้ านหนึ่ง
ของขดลวดกระแสไหลออกจะแสดงด้ วยเครื่ องหมายจุด(dot) ดังแสดงในรู ปที่ 7.4a เมื่อกระแสแต่ละ
เฟสไหลเข้ าแต่ละขดลวดจะเกิดคลื่นแรงเคลื่อนแม่เหล็กเป็ นแบบไซนูซอยด์ตามกระแสในเฟสนัน้ ๆ
และแกว่งไปมาตามแนวแกนของแต่ละเฟส ค่ายอดสูงสุดเกิดขึ ้นในแนวแกนนัน้ ขนาดของแรงเคลื่อน
แม่เหล็กจะเป็ นสัดส่วนโดยตรงกับค่ากระแสที่ไหลผ่าน ผลลัพธ์ แรงเคลื่อนแม่เหล็กได้ จากผลรวมของ
แรงเคลื่อนแม่เหล็กทังสามเฟส
้ ซึง่ คํานวณได้ ด้วยวิธีกราฟหรื อวิธีวิเคราะห์ก็ได้
7.2.1 วิธีกราฟ
จากรูปที่ 7.4c ณ เวลา t = t0 กระแสในแต่ละเฟสมีคา่ ดังนี ้
ia = I m ไหลผ่านขดลวด a (7.4)
Im
ib = − ไหลผ่านขดลวด b (7.5)
2
Im
ic = − ไหลผ่านขดลวด c (7.6)
2
ทิศทางของกระแสแสดงด้ วยเครื่ องหมายจุดและกากบาทดังแสดงในรูปที่ 7.5a เนื่องจากกระแสที่ไหล
ผ่านขดลวดในเฟส a มีคา่ สูงสุด ดังนันแรงเคลื
้ ่อนแม่เหล็กที่ได้ ก็จะมีคา่ สูงสุดด้ วย และเขียนแทนด้ วย
เวกเตอร์ Fa = Fmax ตามแนวแกนของเฟส a ดังแสดงในรูปที่ 7.5a ทํานองเดียวกันแรงเคลื่อน
แม่เหล็กในเฟส b และ c เขียนแทนด้ วยเวกเตอร์ Fb และ Fc ได้ ตามลําดับ ซึง่ แต่ละเฟสมีขนาดเท่ากับ
Fmax / 2 ในทิศทางที่เป็ นลบไปตามแนวแกนของแต่ละเฟส ผลลัพธ์ ของเวกเตอร์ ทงสามมี ั้ คา่ เท่ากับ
F = 32 Fmax กระทําในทิศทางที่เป็ นบวกตามแนวแกน a ดังนัน้ ณ เวลาขณะนี ้ผลลัพธ์ แรงเคลื่อน
3 3
ic = − Im Fc = − Fmax (7.9)
2 2
126 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
(a) (b)
รูปที่ 7.6 การเคลื่อนที่ของผลลัพธ์แรงเคลื่อนแม่เหล็ก
7.2.2 วิธีการวิเคราะห์
ในหัวข้ อนี ้จะศึกษาเครื่ องจักรกลแบบสามเฟสชนิดสองขัวโดยวิ
้ ธีการวิเคราะห์ เริ่ มจาก
พิจารณาผลลัพธ์แรงเคลื่อนสนามแม่เหล็กที่จดุ ใด ๆ ในช่องว่างอากาศ ในที่นี ้จะกําหนดด้ วยมุมเริ่ มต้ น
เท่ากับ θ เทียบกับแกนแม่เหล็กในเฟส a ดังแสดงในรูปที่ 7.6a ที่เวลาขณะใดขณะหนึง่ แรงเคลื่อน
แม่เหล็กที่มมุ นี ้จะมีคา่ ตามสมการ
F (θ ) = Fa (θ ) + Fb (θ ) + Fc (θ ) (7.11)
แรงเคลื่อนแม่เหล็กจะมีขนาดเป็ นสัดส่วนโดยตรงกับกระแสในเฟสนัน้ ดังนันแรงเคลื
้ อ่ นแม่เหล็กในแนว
มุม θ จะมีคา่ เท่ากับ
128 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
องค์ประกอบของการหมุน องค์ประกอบของการหมุน
ไปข้ างหน้ า ไปข้ างหลัง
F (θ , t ) = 32 NI m cos(ωt − θ ) (7.19)
เครื่องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 129
7.3 แรงเคลื่อนเหนี่ยวนํา
จากหัวข้ อที่ผา่ นมา ได้ แสดงให้ เห็นว่ากระแสไฟฟ้าแบบสมดุลชนิดหลายเฟสที่ไหลเข้ าไปใน
ขดลวดชนิดหลายเฟส จะสร้ างแรงเคลื่อนแม่เหล็กหมุนที่กระจายแบบไซนูซอยด์หมุนไปรอบ ๆ ช่อง
อากาศ ผลที่เกิดขึ ้นสามารถพิจารณาเป็ นแท่งแม่เหล็กแบบสองขัวหมุ ้ นไปรอบ ๆ ดังรูปที่ 7.7
สนามแม่เหล็กที่เกิดขึ ้นนี ้ ค่าสูงสุดจะอยูใ่ นแนวแกนแท่งแม่เหล็ก และจะเหนี่ยวนําให้ เกิด
แรงเคลื่อนไฟฟ้าขึ ้นในขดลวด aa’ , bb’ และ cc’ แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนําที่เกิดขึ ้นจะเป็ นไปตามกฎ
ของฟาราเดย์
(a) (b)
รูปที่ 7.7 การกระจายของแรงเคลื่อนแม่เหล็กในช่องอากาศ
130 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
โดยที่ l คือความยาวตามแนวแกนของสเตเตอร์
r คือรัศมีสเตเตอร์ ที่ช่องอากาศ
* 7.4.1 การทํางานในภาวะหยุดนิ่ง
เริ่ มต้ นจากพิจารณาการทํางานของเครื่ องจักรกลเหนี่ยวนําสามเฟส ชนิดโรเตอร์ พนั ขดลวด
โดยให้ ขดลวดโรเตอร์ เปิ ดวงจรไว้ เมื่อขดลวดสเตเตอร์ ตอ่ เข้ ากับแหล่งจ่ายไฟสามเฟส จะเกิดสนาม
แม่เหล็กหมุนไปรอบ ๆ ช่องอากาศ สนามแม่เหล็กนี ้จะหมุนไปด้ วยความเร็วซิงโครนัส ns ดัง สมการ
ที่ 7.8 เหนี่ยวนําให้ เกิดแรงเคลื่อนที่มีความถี่ เท่ากับ f1 ขึ ้นในขดลวดสเตเตอร์ และขดลวดโรเตอร์
พร้ อม ๆ กัน มีขนาดแรงเคลือ่ นไฟฟ้าเหนี่ยวนําดังนี ้
E1 = 4.44 f 1 N 1Φ p K w1 (7.28)
E2 = 4.44 f1 N 2 Φ p K w2 (7.29)
จะได้ วา่
E1 N K
= 1 w1 (7.30)
E2 N 2 K w2
E1 N 1
= = turns ratio (7.31)
E2 N 2
* 7.4.4 การทํางานในภาวะหมุน
ถ้ าขดลวดสเตเตอร์ ตอ่ อยูก่ บั แหล่งจ่ายไฟ 3 เฟส และโรเตอร์ ได้ ลดั วงจรไว้ แรงเคลือ่ นไฟฟ้า Tt
เหนี่ยวนําที่เกิดขึ ้นในชุดขดลวดโรเตอร์ จะทําให้ เกิดกระแสไหลในขดลวดโรเตอร์ ที่ลดั วงจรนัน้ กระแสที่ Ahs
ไหลจะมีปฏิกิริยากับสนามแม่เหล็กในช่องอากาศเพื่อสร้ างแรงบิด ถ้ าโรเตอร์ เคลือ่ นที่ได้ อย่างอิสระ →
film of hr
แรงบิดที่เกิดขึ ้นจะทําให้ โรเตอร์ เริ่ มหมุน โดยหมุนไปในทิศทางเดียวกับสนามแม่เหล็กหมุนซึง่ เป็ นไปตาม
กฎของ Lenz เพื่อลดความเร็ วสัมพัทธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กหมุนกับชุดขดลวดในโรเตอร์ โรเตอร์ จะหมุน 1
f 2 = sf1 (7.33)
ความถี่ของวงจรโรเตอร์ ( f 2 ) จะเรี ยกว่าความถี่สลิป (slip frequency) แรงเคลื่อนเหนี่ยวนํา
ในวงจรโรเตอร์ ที่คา่ สลิป s จะมีคา่ ดังนี ้
E 2 s = 4.44 f 2 N 2 Φ p K w 2
E 2 s = 4.44 sf1 N 2 Φ p K w 2
E2 s = sE2 (7.34)
# In owfnnoslinn.gs
Hn )
no woiounnm
,
เครื่ องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 133
I
'
Ahs
.
134 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
→
Wnz=sn
"
" ' Md
วิธีแก้ ปัญหา maidenhood
NOIMOI ,
f
120 f 120 × 60
ก.) ns = = = 1800
H
rpm ns
p 4 -
%
-
I
> →
he
n = (1 − s)ns = (1 − 0.05)1800 = 1710 rpm
In
-
# g.) I n :
Ns -
sns
n
.
-
4Sth
-
*
M2
FEI
N Ee
¥f= In
-
→
-
E2s = sE 2 = s 2 E1
N1 ,
460
E2 s = 0.05 × 0.5 ×
3
E 2 s = 6.64 V/phase
7.5 แบบวิธีการทํางาน
เครื่ องจักรกลเหนี่ยวนําสามารถทํางานได้ สามแบบวิธีด้วยกัน คือ แบบมอเตอร์ แบบเจนเนอเรเตอร์
และแบบปลัก๊ กิ ้ง (plugging) สามารถศึกษาได้ ด้วยการต่อเครื่ องจักรกลเหนี่ยวนําเข้ ากับเครื่ องจักรกล
ไฟฟ้ากระแสตรงดังรูปที่ 7.8a และพิจารณาแต่ละแบบวิธีดงั นี ้
7.5.1 แบบมอเตอร์
ถ้ าขัวของสเตเตอร์
้ ต่อเข้ ากับแหล่งจ่ายไฟสามเฟส โรเตอร์ จะหมุนไปทางเดียวกันกับสนาม
แม่เหล็กหมุนของสเตเตอร์ ซึง่ เป็ นการทํางานแบบปกติทวั่ ไป คือทํางานแบบมอเตอร์ ความเร็ วรอบใน
ภาวะอยูต่ วั n จะตํ่ากว่าความเร็วซิงโครนัส ns ดังแสดงในรูปที่ 7.8b
เครื่ องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 135
+
DC
-
เครื่ องจักรกล
เครื่ องจักรกลเหนี่ยวนํา
ไฟฟ้ ากระแสตรง
(a)
ns ns ns
n n n
(b) การทํางาน (c) การทํางาน (d) การทํางาน
แบบมอเตอร์ แบบเจนเนอเรเตอร์ แบบปลัก๊ กิ้ง
0 ≤ n ≤ n
s
n > ns Sifu ou n <0
1≥ s ≥ 0 s<0 s >1
2 1 0 -1 s
-ns ns 2ns n
7.5.2 แบบเจนเนอเรเตอร์
ถ้ าปรับความเร็ วรอบของมอเตอร์ กระแสตรงให้ สงู กว่าความเร็ วซิงโครนัส และระบบยังหมุนอยูใ่ น
ทิศทางเดียวกันกับสนามแม่เหล็กหมุนของสเตเตอร์ ดังแสดงในรูปที่ 7.8c เครื่ องจักรกลเหนี่ยวนําจะสร้ าง
แรงบิดในทิศทางตรงกันข้ ามกับทิศทางการหมุนของโรเตอร์ หรื อกระทําในทิศทางตรงข้ ามกับทิศทางการ
หมุนของสนามแม่เหล็กหมุนในสเตเตอร์ แบบวิธีการทํางานเป็ นเจนเนอเรเตอร์ นี ้จะใช้ ในงานประยุกต์
136 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
7.5.3 แบบปลั๊กกิง้
ถ้ ามีการปรับมอเตอร์ กระแสตรงในรูปที่ 7.8a จนระบบหมุนในทิศทางตรงข้ ามกับทิศทาง การ
หมุนของสนามแม่เหล็กหมุนในสเตเตอร์ ดังรูปที่ 7.8d แรงบิดยังคงมีทิศทางเดียวกับสนาม แม่เหล็ก
หมุนแต่จะมีทิศทางตรงข้ ามกับการหมุนของโรเตอร์ แรงบิดนี ้จะเรี ยกว่า breaking torque
การทํางานในแบบวิธีนี ้ จะประยุกต์เกี่ยวกับระบบขับเคลือ่ นที่ต้องการหยุดมอเตอร์ แบบ
ทันทีทนั ใด สมมติวา่ มอเตอร์ เหนี่ยวนํากําลังหมุนอยูท่ ี่ความเร็ วรอบภาวะคงตัว ถ้ าลําดับเฟสถูกเปลีย่ น
ทันทีทนั ใดโดยการสลับสายไฟที่ปอ้ นเข้ าสเตเตอร์ คใู่ ดคูห่ นึง่ สนามแม่เหล็กหมุนของสเตเตอร์ จะหมุน
กลับทิศ เป็ นทิศตรงข้ ามกับทิศทางการหมุนของโรเตอร์ การทํางานลักษณะนี ้เรี ยกว่าการทํางานแบบ
ปลัก๊ กิ้ ง ความเร็ วมอเตอร์ จะลดลงเป็ นศูนย์อย่างรวดเร็ว ถ้ ายังไม่ปลดแหล่งจ่ายไฟออกมอเตอร์ จะมีอตั รา
เร่งความเร็วขึ ้นในทิศทางตรงข้ าม
รูปแบบการทํางาน และเส้ นคุณลักษณะการทํางาน ของแรงบิดกับความเร็ วที่ความเร็ วหลายค่า
ของเครื่ องจักรกลเหนี่ยวนําทังสามแบบได้
้ แสดงไว้ ในรูปที่ 7.8e
[
=
stator
รูปที่ 7.9 มอเตอร์ เหนี่ยวนําสามเฟส ชนิดโรเตอร์ พนั ขดลวด
rotor
R2 R2
s R2 s
(1 − s )
s
stator rotor
2
R2′ a R2
=
R2′ s s
(1 − s )
s
↳ in Dow bosom A
รูปที่ 7.10 พัฒนาการของวงจรสมมูลของเครื่ องจักรกลเหนี่ยวนํา
7.6.1 ชุดขดลวดสเตเตอร์
ชุดขดลวดสเตเตอร์ สามารถเขียนเป็ นวงจรสมมูลแสดงได้ ดงั รูปที่ 7.10a โดยที่
V1 = แรงดันที่ขวต่
ั ้ อเฟส
R1 = ความต้ านทานในชุดขดลวดสเตเตอร์ ตอ ่ เฟส
L1 = ความเหนี่ยวนําเนื่องจากฟลัก๊ รั่วในชุดขดลวดสเตเตอร์ ตอ่ เฟส
138 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
E1 = แรงเคลื่อนเหนี่ยวนําในชุดขดลวดสเตเตอร์ ตอ
่ เฟส
Lm = ความเหนี่ยวนําเนื่องจากการกระตุ้นสนามแม่เหล็กในสเตเตอร์ ตอ่ เฟส
Rc = ความต้ านทานการสูญเสียกําลังในแกนเหล็กของสเตเตอร์ ตอ
่ เฟส
รูปแบบวงจรสมมูลด้ านสเตเตอร์ ของเครื่ องจักรกล จะเหมือนกับวงจรสมมูลด้ านปฐมภูมิของ
หม้ อแปลง จะแตกต่างกันเฉพาะขนาดของพารามิเตอร์ เท่านัน้ ตัวอย่างเช่น กระแสกระตุ้น Iφ ใน
เครื่ องจักรกลเหนี่ยวนําจะมีคา่ มากกว่า เนื่องจากสนามแม่เหล็กเดินผ่านช่องอากาศ ค่า กระแสกระตุ้น
ในเครื่ องจักรกลจะมีคา่ ประมาณ 30 - 50% ของกระแสพิกดั โดยขึ ้นอยูก่ บั ขนาดของมอเตอร์ ส่วนใน
หม้ อแปลงนันค่ ้ ากระแสกระตุ้นจะมีคา่ ประมาณ 1-5% เท่านัน้ นอกจากนี ้รี แอกแตนซ์เนื่องจากฟลัก๊ รั่ว
X 1 ยังมีขนาดมากกว่า สาเหตุเนื่องจากมีชอ ่ งอากาศและชุดขดลวดกระจายอยูใ่ นร่องขดลวดไม่เป็ น
กลุม่ ขดลวดเหมือนหม้ อแปลงทําให้ X1 มีคา่ เพิ่มมากขึ ้นด้ วย
7.6.2 วงจรโรเตอร์
.
7.6.3 วงจรสมมูลที่มีรูปแบบสมบูรณ์
วงจรสมมูลของสเตเตอร์ ในรูปที่ 7.10a กับวงจรสมมูลของโรเตอร์ ในรูปที่ 7.10c หรื อรูปที่
7.10d ซึง่ มีความถี่กระแสเหมือนแหล่งจ่าย ( f1 ) สามารถนํามาต่อเข้ าเป็ นวงจรชุดเดียวกันได้ E1 และ
E2 อาจมีคา่ แตกต่างกันถ้ าจํานวนรอบขดลวดในสเตเตอร์ กบ ั จํานวนรอบขดลวดในโรเตอร์ ไม่เท่ากัน
จึงใช้ สดั ส่วนจํานวนรอบ(a = N1/N2) เข้ ามาพิจารณาด้ วย ดังแสดงไว้ ในรูปที่ 7.10e เมื่อสังเกตรูปแบบ
วงจรสมมูลที่ได้ จะเห็นว่าเหมือนกับวงจรสมมูลหม้ อแปลงชนิดสองขดลวดทุกประการ
Not Mob
ตัวอย่ างที่ 7.2 Agamid
= = 1800 rpm
4
P
1800 − 1728
สลิป
ns s= = 0.04
S -
-
1800
11p,940
กําลังไฟฟ้าในช่องอากาศ Pag = = 12,437.5 W
Pag
-
-
I 1 − 0.04
1- s
Pius
Pag P2 = 497.5 W
เครื่องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 141
7.6.4 วงจรสมมูลรูปแบบต่ าง ๆ
วงจรสมมูลในรูปที่ 7.10e ไม่เหมาะที่จะใช้ ทํานายสมรรถนะการทํางานของเครื่ องจักรกล
เหนี่ยวนําเพราะยุง่ ยากเกินไป จึงมีการดัดแปลงรูปแบบให้ งา่ ยขึ ้น ดังที่จะได้ เสนอต่อไป
วงจรสมมูลโดยประมาณ
ถ้ าแรงดันตกคร่อม R1 และ X 1 มีคา่ น้ อย และแรงดันขัว้ V1 ไม่ได้ แตกต่างจากแรง
เคลื่อนเหนี่ยวนํา E1 มากนัก สามารถที่จะเลื่อนวงจรขนาน ( Rc และ X m ) ให้ ไปอยูต่ รงขัวของวงจร
้
สมมูลได้ ดงั รูปที่ 7.11a วงจรสมมูลโดยประมาณที่ได้ ทําให้ การคํานวณง่ายขึ ้น กระแสกระตุ้น I φ กับ
กระแสโหลด I 2′ สามารถหาได้ โดยตรงจากแรงดันขัว้ V1 หารด้ วยค่าอิมพีแดนซ์ที่เกี่ยวข้ อง
X 2' X2'
I2' I2'
R2′ R2′
s s
I2' X 2'
R2′
s
7.6.5 วงจรสมมูลเทเวนิน
เพื่อให้ การคํานวณทําได้ สะดวกขึ ้น จึงดัดแปลงวงจรให้ เป็ นวงจรเทเวนิน ดังแสดงในรูปที่ 7.13 โดย
แปลง V1 , R1 , X 1 และ X m ให้ เป็ น Vth , Rth และ X th โดยที่
Xm
Vth = V1 (7.45)
[R2
1 + ( X1 + X m )2 ]1/ 2
I2' X2'
R2′
s
Xm
Vth ≈ V1 (7.45a)
X1 + X m
อิมพีแดนซ์ของวงจรเทเวนินมีคา่ เท่ากับ
jX m (R1 + jX 1 )
Z th =
R1 + j ( X 1 + X m )
Z th = Rth + jX th
2
⎛ Xm ⎞
ถ้ า R << ( X 1 + X m ) แล้ ว Rth ≈ ⎜⎜ ⎟⎟ R1 (7.46)
2 2
1
⎝ X1 + X m ⎠
ข.) จากวงจรสมมูลตามข้ อแนะนําของ IEEE ในภาวะไร้ โหลด R2′ / s มีคา่ สูงมาก พิจารณา
วงจรสมมูลรูปที่ 7.14 จะเห็นว่า X m ต่อขนานอยูก่ บั ความต้ านทานโรเตอร์ ที่มีคา่ สูงมาก รี แอกแตนซ์
ในวงจรขนานนี ้จึงมีคา่ เกือบเท่ากับ X m ดังนัน้ รี แอกแตนซ์ทงหมดของวงจรจะมี
ั้ คา่ เท่ากับ
X NL = X 1 + X m วงจรสมมูลขณะไร้ โหลดแสดงไว้ ในรู ปที่ E7.3a
2200
V1 = = 1270.2 V/phase
3
146 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
(
= 282.27 2 − 26.34 2 )
1/ 2
X NL = 281.0 Ω
ดังนัน้ X 1 + X m = X NL = 281.0 Ω
RBL = 4.8 Ω
(
X BL = 6.242 − 4.82 )
1/ 2
X BL = 3.98 Ω
60
X BL = 3.98 × = 15.92 Ω
15
X BL ≈ X 1 + X 2′
ดังนัน้
15.92
X 1 = X 2′ = = 7.96 Ω ที่ 60 Hz
2
\
X m2
R= R2′
R2′ 2 + ( X 2′ + X m )2
ค.)
273.04
จากสมการ 7.45 Vth ≈ V1
7.96 + 273.04
Vth = 0.97V1
1 R2
Tmech = I 22 (7.52a)
ω syn s
1 R2′
Tmech = I 2′ 2 (7.53)
ω syn s
90#
ursine ' →
Breakdown tongue
" ↳
I That ) Pull out
tongue
Looked refer ←
µgdnmowrnVn
start ) !
(T f
too
*(
tongue Tt "
oonndlwdn I
•
I
I p
I TH )
!
→
I
→
Stmax hnl
Nfl
ในสมการที่ 7.54 ยังบอกได้ วา่ ที่ความเร็ วเฉพาะค่าหนึง่ ( หรื อ s คงที่คา่ หนึง่ ) แรงบิดจะแปร
ผันกับแรงดันจากแหล่งจ่าย ( Vth หรื อ V1 ) ยกกําลังสอง ในรูปที่ 7.14 ได้ แสดงเส้ นคุณลักษณะของ
T − n ที่แรงดันจากแหล่งจ่ายขนาดต่าง ๆ กัน คุณสมบัตน ิ ี ้จะกล่าวถึงอีกครัง้ หนึง่ ในเรื่ องเกี่ยวกับการ
ควบคุมความเร็วโดยการเปลีย่ นแปลงแรงดันของสเตเตอร์
ในการหาแรงบิดสูงสุดทําได้ โดยการเซ็ตค่า dT / ds = 0 ดังนันจากสมการที ้ ่ 7.54 เมื่อทํา
อนุพนั ธ์เทียบกับสลิปแล้ วให้ เท่ากับศูนย์จะได้ เงื่อนไขที่ทําให้ ได้ แรงบิดสูงสุดดังนี ้
R2′
sT max
[
= Rth2 + ( X th + X 2′ ) 2 ]
1/ 2
(7.57)
R2′
sT max ≈ (7.60)
X th + X 2′
1 Vth2
Tmax ≈ (7.61)
2ω syn X th + X 2′
*q×nIFnI
'
• I
กระแสสเตเตอร์
จากรูปที่ 7.14 อินพุตอิมพีแดนซ์มีคา่ เท่ากับ
⎛ R′ ⎞
Z 1 = R1 + jX 1 + X m // ⎜ 2 + jX 2′ ⎟
⎝ s ⎠
= R1 + jX 1 + X m // Z 2′
jX m ( R2′ / s + jX 2′ )
= R1 + jX 1 + (7.65a)
R2′ / s + j ( X m + X 2′ )
= Z 1 ∠θ 1 (7.65b)
กระแสสเตเตอร์ มีคา่ เท่ากับ
V1
I1 = = I φ + I 2′ (7.65c)
Z1
ตัวประกอบกําลังด้ านอินพุต
ตัวประกอบกําลังของแหล่งจ่ายมีคา่ ดังนี ้
PF = cosθ 1
เครื่องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 153
ประสิทธิภาพ
ในการหาประสิทธิภาพของเครื่ องจักรกลจะต้ องทราบกําลังสูญเสียต่าง ๆ ของเครื่ องจักรกล กําลัง
สูญเสียเนื่องจากการไหลของกําลังไฟฟ้าแสดงดังรูปที่ 7.18 สําหรับเครื่ องจักรกลชนิด 3 เฟส กําลังไฟฟ้า
ที่จ่ายให้ กบั สเตเตอร์ มีคา่ เท่ากับ
Pin = 3V1 I 1 cosθ1 (7.66)
กําลังสูญเสียในชุดขดลวดสเตเตอร์ มีคา่ เท่ากับ
P1 = 3I 12 R1 (7.67)
โดยที่ R1 เป็ นความต้ านทานกระแสสลับของขดลวดแต่ละเฟส ณ อุณหภูมิและความถี่ขณะทํางาน
กําลังไฟฟ้าอีกส่วนหนึง่ จะสูญเสียในแกนเหล็กของสเตเตอร์ เนื่องจากผลของฮีสเตอริ ซีสและกระแสวน
กําลังไฟฟ้าที่เหลือคือ Pag จะข้ ามผ่านช่องอากาศไปยังโรเตอร์ กําลังไฟฟ้าบางส่วนจะสูญเสียไป
เนื่องจากความต้ านทานในขดลวดโรเตอร์ ซงึ่ มีคา่ เท่ากับ
P2 = 3I 22 R2 (7.68)
โดยที่ R2 เป็ นความต้ านทานกระแสสลับของขดลวดโรเตอร์ ถ้ าเป็ นชนิดโรเตอร์ พนั ขดลวดจะรวมถึงความ
ต้ านทานภายนอกที่ตอ่ ผ่านวงแหวนลืน่ ด้ วย กําลังไฟฟ้าอีกส่วนหนึง่ จะสูญเสียไปในแกนเหล็กของโรเตอร์
เนื่องจากกําลังสูญเสียในแกนเหล็กของโรเตอร์ ขึ ้นอยูก่ บั ความถี่ f 2 ของโรเตอร์ กําลังสูญเสียส่วนนี ้จะมีคา่
154 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
R1 = 0.25 Ω R 2′ = 0.2 Ω
X 1 = X 2′ = 0.5 Ω Xm = 30 Ω
เมื่อลัดวงจรขัวของขดลวดโรเตอร์
ก.)
้ ให้ คํานวณหา
1. กระแสสตาร์ ต เมื่อสตาร์ ตตรงโดยป้อนแรงดันเต็มที่ Poore
÷
t Piotvnmh
2. แรงบิดสตาร์ ต
ข.) 1. ค่าสลิปที่โหลดเต็ม
2. กระแสโหลดเต็ม
3. สัดส่วนของกระแสสตาร์ ตต่อกระแสโหลดเต็ม
4. ค่าตัวประกอบกําลังที่โหลดเต็ม
เครื่องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 155
5. แรงบิดที่โหลดเต็ม
6. ประสิทธิภาพมอเตอร์ ที่โหลดเต็ม
ค.) 1. สลิปที่เกิดแรงบิดสูงสุด
2. แรงบิดสูงสุด
ง.) จะต้ องใช้ ความต้ านทานภายนอกต่อเฟสเท่าใดต่อเข้ าไปในวงจรโรเตอร์ เพื่อให้ ได้ แรงบิดสูงสุด
เกิดขึ ้นตอนสตาร์ ต
วิธีแก้ ปัญหา
=D Vp 460
ก.) An VL →
V1 = = 265.6 V/phase
3
Z1 = 0.25 + j 0.5 +
0.2 + j 30.5
Z1 = 1.08∠66° Ω
~
265.6 Vp
In A
~
I st = = 245.9∠ − 66°
. ∠66°
108
1800
2.) ω syn = × 2π = 188.5 rad/sec
60
Wsgn
a
1201×29
bop 265.6( j 30.0)
Vth = ≈ 2613
. V
(0.25 + j 30.5)
j 30(0.25 + j 0.5)
Z th = = 0.55∠63.9°
0.25 + j 30.5
Z th = 0.24 + j 0.49
3 261.3 2 0.2
Tst = ×
188.5 (0.24 + 0.2) + (0.49 + 0.5)
2 2
1
3 0.2
Tst = × (241.2) 2 × = 1852
. N-m
188.5 1
156 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
1800 − 1740
ข.) 1.) s= = 0.0333
1800
R2′ 0.2
2.) = = 6.01 Ω
s 0.0333
( j 30)(6.01 + j 0.5)
Z 1 = (0.25 + j 0.5) +
6.01 + j 30.5
Z1 = 6.15∠19.8° Ω
265.6
I FL = = 4319
. ∠ − 19.8° A
. ∠19.8°
615
I st 245.9
3.) = = 5.69
I FL 4319.
3 (261.3) 2
5.) TFL = × 6.01
188.5 (0.24 + 6.01) 2 + (0.49 + 0.5) 2
3
TFL = × 41.29 2 × 6.01 = 16311
. N-m
188.5
6.) กําลังไฟฟ้าผ่านช่องอากาศ
Pag = Tω syn = 16311
. × 188.5 = 30,746.2 W
กําลังสูญเสียในขดลวดโรเตอร์
P2 = sPag = 0.0333 × 30,746.2 = 1023.9 W
Pmech = (1 − 0.0333)30,746.2 = 29,722.3 W
Pout = Pmech − Prot = 29,722.3 − 1700 = 28,022.3 W
Pin = 3V1 I 1 cosθ1
′ = 10186
Rext . − 0.2 = 0.8186 Ω / phase
TFL 2s s
= 2 T max FL2
Tmax sT max + s FL
เครื่องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 159
จากสมการทังสองนี
้ ้จะได้ วา่
Tst sT2 max + s FL
2
=
TFL s FL + s FL × sT2 max
1/ 2
⎛ 0.0875 ⎞
sT max =⎜ ⎟ = 0.31
⎝ 0.91 ⎠
มอเตอร์ Class A
มอเตอร์ ประเภทนี ้มีแรงบิดสตาร์ ตปกติ กระแสสตาร์ ตสูง ทํางานที่คา่ สลิปน้ อย ๆ มีคา่ ความ
ต้ านทานของโรเตอร์ ตํ่า ดังนัน้ มอเตอร์ ประเภทนี ้ จะทํางานอย่างมีประสิทธิภาพที่สลิปน้ อย ๆ
( 0.005 < s < 0.015) เมื่อโหลดเต็ม จึงเหมาะกับโหลดที่ต้องการแรงบิดสตาร์ ตตํ่า เช่น พัดลมหรื อปั๊ ม
มอเตอร์ สามารถเร่งความเร็วถึงจุดการทํางานได้ เร็ ว ลดความร้ อนสูงเกินที่จะเกิดขึ ้นในระหว่างสตาร์ ตได้
ในมอเตอร์ ขนาดใหญ่จะสตาร์ ตด้ วยการลดแรงดันเพื่อลดกระแสสตาร์ ต
มอเตอร์ Class B
มอเตอร์ ประเภทนี ้มีแรงบิดสตาร์ ตปกติ กระแสสตาร์ ตตํ่า ทํางานที่ค่าสลิปน้ อย ๆ แรง บิดสตาร์ ต
มีค่าเกือบเท่ากับ Class A แต่กระแสสตาร์ ตมีค่าประมาณ 75 เปอร์ เซ็นต์ของ class A กระแสสตาร์ ตล
ดลงเนื่องจากมีการออกแบบให้ รีแอกแตนซ์เนื่องจากเส้ นแรงแม่เหล็กรั่วมีค่าสูง โดยออกแบบตัวนําโรเตอร์
เป็ นแท่งลึกหรื อกรงคู่ การที่รีแอกแตนซ์มีค่าสูงทําให้ แรงบิดสูงสุดมีค่าลดลง สลิปและประสิทธิ ภาพที่
โหลดเต็มมีคณ ุ ลักษณะดีเท่ากับมอเตอร์ Class A มอเตอร์ ประเภทนี ้จะเป็ นมอเตอร์ ที่ใช้ งานทัว่ ไป เหมาะ
กับงานที่ต้องการความเร็ วคงที่ แรงบิดขณะสตาร์ ตไม่สงู มากนัก ตัวอย่างโหลดประเภทนี ้ได้ แก่ พัดลม ปั๊ ม
โบลเวอร์ และชุดมอเตอร์ -เจนเนอเรเตอร์
มอเตอร์ class C
มอเตอร์ ประเภทนี ้มีคณ ุ ลักษณะที่ต้องการคือ แรงบิดสตาร์ ตสูง กระแสสตาร์ ตตํ่า จะออกแบบ
โรเตอร์ ชนิดกรงคูท่ ี่มีความต้ านทานโรเตอร์ สงู กว่า Class B ค่าสลิปที่โหลดเต็มจะมีคา่ มากกว่าและ
ประสิทธิภาพจะมีคา่ ตํ่ากว่า Class A และ Class B มอเตอร์ ประเภทนี ้เหมาะกับโหลดชนิด
คอมเพรสเซอร์ สายพานลําเลียง และเครื่องบด เป็ นต้ น
มอเตอร์ class D
มอเตอร์ ประเภทนี ้มีคณ
ุ ลักษณะที่ต้องการคือ แรงบิดสตาร์ ตสูง กระแสสตาร์ ตตํ่า สลิปในการ
ทํางานมีคา่ สูง ออกแบบโดยใช้ แท่งตัวนําที่มีความต้ านทานสูง เช่น ทองเหลือง คุณลักษณะแรงบิดกับ
ความเร็วจะคล้ ายกับโรเตอร์ ชนิดพันขดลวดที่มีความต้ านทานภายนอกต่ออยู่ แรงบิดสูงสุดเกิดขึ ้น
ที่สลิปตังแต่
้ 0.5 ขึ ้นไป สลิปที่โหลดเต็มมีคา่ สูงประมาณ 8-15 เปอร์ เซ็นต์ ดังนันประสิ ้ ทธิภาพการ
ทํางานตํ่า มีกําลังสูญเสียในโรเตอร์ สงู ดังนันจึ้ งต้ องใช้ มอเตอร์ ที่มีพิกดั ขนาดใหญ่กว่าเดิมเพื่อชดเชย
กําลังสูญเสียนี ้ ทําให้ ลงทุนสูงขึ ้น มอเตอร์ ประเภทนี ้เหมาะสําหรับขับโหลดชนิดเดิน ๆ หยุด ๆ ที่
ต้ องการอัตราเร่งสูง และต้ องการแรงกระแทกสูง เช่นเครื่ องปั๊ มขึ ้นรูปขนาดใหญ่ เครื่ องตัดแผ่นเหล็ก
เป็ นต้ น เนื่องจากโหลดประเภทนี ้เมื่อกระแทกหรื อตัดวัสดุ ความเร็วมอเตอร์ จะตกลง จึงต้ องมีมเู่ ล่
(flywheel) ต่ออยู่ เพื่อรองรับการถ่ายเทพลังงานจลน์ในขณะกระแทก
เครื่องจักรกลเหนี่ยวนํา 3 เฟส 161
7.10 การควบคุมความเร็ว
มอเตอร์ เหนี่ยวนําเป็ นมอเตอร์ ที่มีความเร็ วคงที่เมื่อต่ออยู่กับแหล่งจ่ายที่มีแรงดันคงที่และ
ความถี่คงที่ ความเร็ ว ณ จุดทํางานจะใกล้ เคียงกับความเร็ วซิงโครนัสมาก ถ้ าแรงบิดของโหลดเพิ่มขึ ้น
ความเร็ วของมอเตอร์ จะตกลงเล็กน้ อย ดังนัน้ มอเตอร์ เหนี่ยวนําจึงเหมาะกับงานที่ต้องการความเร็ ว
คงที่ อย่างไรก็ตามมีงานหลายอย่างในอุตสาหกรรมต้ องการความเร็ วหลายความเร็ ว หรื อต้ องการ
ความเร็วที่ปรับได้ อย่างต่อเนื่อง วิธีที่การควบคุมความเร็วที่ใช้ กนั อยูจ่ ะใช้ มอเตอร์ กระแสตรงซึง่ มีราคา
แพง ต้ องบํารุ งรักษาคอมมิวเตเตอร์ และแปรงถ่านเป็ นประจํา มีมลภาวะต่อบรรยากาศ ทางเลือกใน
ปั จจุบนั จะใช้ มอเตอร์ เหนี่ยวนํากรงกระรอกซึ่งมีราคาถูก ทนทาน ไม่มีคอมมิวเตเตอร์ และแปรงถ่าน
เหมาะสําหรับการควบคุมความเร็ วรอบที่สงู วงจรที่ใช้ ควบคุมความเร็ วมอเตอร์ เหนี่ยวนําจะเป็ นวงจร
อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมที่มีความซับซ้ อนมากกว่าที่ใช้ ในมอเตอร์ กระแสตรง ในหัวข้ อนี ้จะกล่าวถึงวิธีการ
ต่าง ๆ ที่ใช้ ควบคุมความเร็วมอเตอร์ เหนี่ยว
7.10.2 การควบคุมแรงดันขัว้
แรงบิดที่เกิดขึ ้นในมอเตอร์ จะแปรผันกับแรงดันขัวยกกํ้ าลังสอง ชุดคุณลักษณะ T − n ที่
แรงดันขัวต่
้ าง ๆ กัน แสดงไว้ ในรูปที่ 7.20 ถ้ ามอเตอร์ ขบั โหลดที่เป็ นพัดลม มอเตอร์ สามารถ
เปลี่ยนแปลงความเร็ว ในช่วง n1 ถึง n2 ด้ วยการเปลี่ยนแรงดันขัว้ มอเตอร์ Class D สามารถ
เปลี่ยนแปลงความเร็วด้ วยวิธีนี ้ได้ ในช่วงที่กว้ างกว่าประเภทอื่น ดังแสดงในรูปที่ 7.20b
7.10.3 การควบคุมความถี่ของแรงดัน
ความเร็ วซิงโครนัส หรื อความเร็วมอเตอร์ เปลี่ยนแปลงได้ โดยการเปลีย่ นความถี่ของแหล่งจ่าย
วิธีนี ้จะต้ องมีวงจรเปลี่ยนแปลงความถี่ ในรูปที่ 7.22 ได้ แสดงแผนภาพแบบกล่องของการควบคุม
ความเร็ วแบบเปลี่ยนแปลงความถี่ ประกอบด้ วยตัวเรี ยงกระแสควบคุม ( the controlled rectifier )
และเครื่ องแปลงผัน ( dc to ac inverter )
จากสมการที่ 7.25 เส้ นแรงแม่เหล็กของมอเตอร์ มีคา่ ดังนี ้
X =
I z WL .
-
219
IL Φp ∝
E
(7.70)
f
t
n'Mdw f h Noir window → I down ,
ninviniiw x a
-
urns
-
* ni
fronds → Xm asanas
164 การแปลงพลังงานกลไฟฟ้ า
วิ ธีที่ 2 ใช้ วธิ ี Y Δ สตาร์ ต วิธีนี ้ใช้ กบั มอเตอร์ ที่ปกติทํางานแบบ Δ เมื่อสตาร์ ตจะต่อแบบ Y แรงดัน
เฟสจะลดลง 3 เท่า เป็ นผลให้ กระแสสตาร์ ตลดลงด้ วย เมื่อมอเตอร์ หมุนใกล้ ความเร็วพิกดั ก็จะ
สวิตช์การต่อเป็ นวงจร Δ ดังแสดงในรูปที่ 7.25b
วิ ธีที่ 3 ใช้ วงจรควบคุมแรงดันแบบโซลิดสเตต ดังรูปที่ 7.25c การสตาร์ ตด้ วยวิธีนี ้สามารถสตาร์ ต
มอเตอร์ ได้ อย่างนุ่มนวล
อย่างไรก็ตาม การสตาร์ ตทังสามวิ ้ ธีนี ้ เป็ นการลดแรงดันขณะสตาร์ ต ย่อมทําให้ แรงบิดสตาร์ ตลดลง
ด้ วย เพราะแรงบิดจะเป็ นสัดส่วนกับแรงดันขัวยกกํ ้ าลังสอง