You are on page 1of 2

'2 กูรู' มอง 'ตลาดหุ้น' 'เอกยุทธ อัญชันบุตร-นพ.

พงษ์ศักดิ์ ธรรมธัช
อารี"
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 20 มิถุนายน 2554 01:00

“กูรูหุ้น” เตือนสติ “อย่าตื่นตระหนก” หุ้นไทยพ้นพันจุด หลังฝรั่งเทกระจาด “พงษ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี &


เอกยุทธ์ อัญชันบุตร” ย้ำ “กรุณาใจเย็นๆหาโอกาสสะสมของถูก”
สารพัดปัจจัยลบส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาแล้ว 7 สัปดาห์ จากจุดสูงสุด 1,113.63 จุด และลงมาต่ำสุด
998.39 จุด คิดเป็ นการปรับตัวลดลงประมาณ 10% สอดคล้องกับดัชนีราคาหุ้นทั่วโลกเริ่มมีทิศทางเป็ นขาลง ไม่ว่า
จะเป็ นมุมมองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกปี นี้จะเติบโตช้าลง อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอน
ของมาตราการช่วยเหลือกรีซของประเทศในกลุ่มยุโรป รวมถึงเหตุการณ์ในไทยปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง
ทำให้นักลงทุนหยุดรอดูสถานการณ์ และกระทบบรรยากาศในการลงทุนเป็ นระยะ
เอกยุทธ อัญชันบุตร ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "ไทยอินไซเดอร์" และนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้น มีมุมมองต่อตลาดหุ้น
ไทยในช่วง "ก่อน" และ "หลัง" การเลือกตั้ง โดยแสดงความเห็นผ่านกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ในช่วงที่เหลือ
ของเดือนมิถุนายนนี้ หากมองในมุมที่แย่สุดๆ SET Index มีโอกาสปรับตัวลดลงมาที่ 950-960 จุด เพราะนักลงทุน
ต่างชาติยังเดินหน้าลดพอร์ตการลงทุน
ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเอกยุทธเคยเตือนนักลงทุนผ่านเว็บไซต์ของตัวเองว่า มีกองทุนต่างชาติเริ่มมีการขายออกมา
ในช่วงที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,060-1,080 จุด ซึ่งมีการทยอยขายออกมามาก ก่อนหน้านี้เขาประเมินจุดที่น่าจะมีการ
ทยอยเข้ามาเก็บหุ้นได้คือ 1,020-1,040 จุด ซึ่งวันนี้ก็ลงมาแล้ว จุดต่อไปเชื่อว่าแรงขายจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง สาเหตุ
หลักเพราะมีโบรกเกอร์ใหญ่ในต่างประเทศออกรายงานให้ขายในขณะที่หุ้น(กำลัง)ตก ซึ่งเป็ นการ "ทุบหุ้น" เพื่อให้
หุ้นตก 8-10% และตัวเองจะได้เข้ามาเก็บหุ้นได้ โดยนำเงินไปพักที่ตลาดพันธบัตรและเงินยังไม่ได้ไหลออก
ตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามามีแต่ปัจจัยลบรอบด้าน ปัญหาความวุ่นวายในประเทศกรีซทำให้ค่าเงิน
บาทอ่อนตัว ขณะเดียวกันยังหวั่นเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรป มองว่าการฟื้นตัวอาจเข้าสู่ภาวะ
ถดถอย แถมยังกลัวการเมืองไทยที่อาจเปลี่ยนขั้วอำนาจพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล หากมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ
นั่นหมายความว่า นโยบายด้านต่างๆจะมีหน้าตาไม่เหมือนเดิม..เอกยุทธ มอง
"แต่ถ้าโชคดี "ปลายไตรมาส 2" นักลงทุนต่างชาติทำ Window Dressing คือทำให้ตัวเลขทางบัญชีให้ดูดีเหมือน
ปกติ หุ้นไทยก็อาจปรับตัวลดลงไม่มากนัก...เมื่อหลายสัปาดห์ก่อนผมเคยเตือนเรื่องนักลงทุนต่างชาติอาจเทขาย
หุ้นแล้ว สัญญาณมันเริ่มมาหนักๆ ตอนดัชนียืน 1,060-1,080 จุด ถ้าใครเชื่อก็คงรอดตัวไป”
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นหลังการเลือกตั้ง เอกยุทธ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยอาจเกิดอาการ Sideway Down
ประมาณ 5-8% คาดว่าดัชนีคงยืนแถวๆ 960 จุด ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ชนะขาดลอย หุ้นไทยจะตีกลับมายืน
ระดับ 1,300-1,500 จุด แต่หากพรรคเพื่อไทยชนะได้จัดตั้งรัฐบาล "รับรองหุ้นไทยตกกระจาย" เพราะเขา
(พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ต้องเข้ามาเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายด้านต่างๆใหม่หมด เมื่อเป็ นเช่นนั้นเชื่อ
ได้เลยว่า "การเมืองไม่สงบชัวร์!" ตลาดหุ้นมีโอกาสลงไปเคลื่อนไหวในกรอบ 850-1,000 จุด
เว้นเสียแต่ว่าพรรคเพื่อไทยสามารถพิสูจน์ได้ว่า นโยบายด้านต่างๆมีผลดีเป็ นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และไม่มีคน
ออกมาเดินขบวน ในระยะ "กลาง-ยาว" ดัชนีอาจขึ้นไป 1,200 จุดได้ เพราะพื้นฐานตลาดหุ้นไทย "ยังดีอยู่" แต่
ความคิดเห็นส่วนตัว "ผมไม่เชื่อว่ามันจะสงบ"
ถามต่อว่านักลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร เอกยุทธ กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว หากดัชนี
ลงมาระดับ 950-960 จุด ให้ซื้อหุ้นเข้าพอร์ต 30-40% แต่ถ้าดัชนีหุ้นยืนได้ระดับ 1,005-1,010 จุด (ไม่หลุด
1,000 จุด) ให้ซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียง 20-30% สำหรับนักลงทุนระยะสั้นบอกเลย "ไม่เชียร์ให้ซื้อหุ้นในตอนนี้ มี
โอกาสขึ้นไปชมวิว (ติดดอย) แน่ๆ..ช่วงนี้เล่นยาก"
ถามว่าแล้วหุ้นกลุ่มไหนน่าลงทุนที่สุด เอกยุทธ กล่าวว่า แนะนำให้เน้นหุ้น "กลุ่มพลังงาน" โดยเฉพาะ "ครอบครัว
ปตท." ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือร้าย หุ้นกลุ่มปตท. "ไม่เคยตาย" ส่วนหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่มอาหาร
"หลีกเลี่ยงไปเลยดีที่สุด" เพราะมีสิทธิได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง หากการเมือง
เปลี่ยนขั้ว ก็ต้อง "มีลุ้น" ว่าบริษัทไหนจะอยู่ข้างใคร
นอกจากนี้หุ้น "ไอพีโอ" เป็ นอีกกลุ่มที่นักลงทุนควร "หลีกหนีให้ไกล" ซื้อไปก็ไม่คุ้ม กรุณาอย่าไปซื้อวันแรกๆ
เพราะราคามัน "โอเวอร์" มาก ถ้าอยากได้จริงๆเพราะพื้นฐานดีก็ให้รอสักพักให้ราคาหุ้นมันสะเด็ดน้ำเสียก่อน พูด
ง่ายๆให้นักลงทุนขาใหญ่ “เลิกปั่นหุ้นก่อน..ค่อยเข้าไปซื้อ” หุ้นไอพีโอที่ดันราคาขึ้นสูงช่วงวันแรกๆใครไปซื้อแล้ว
ออกไม่ทัน รับรอง "ติดดอยไม่ได้ลงยาว" ส่วนพวกหุ้น "บิ๊กแคป" (หุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่) ที่มีต่างชาติลงทุน
เยอะๆ ช่วงนี้เลี่ยงได้ก็ดี
“ถ้าต้องการลงทุนหุ้นที่มีพื้นฐานดี ซึ่งก็มีอยู่มากในตลาดก็ขอให้ทำการบ้านสักนิด ซื้อช่วงที่หุ้นตกหนักๆแล้วไปรอ
ขายตอนสิ้นปี เชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุน 20% คุณได้แน่! แต่ถ้าดื้อลงทุนหนักโดยไม่ศึกษาให้ดี แทนที่จะ
ได้กำไรจะกลายเป็ นขาดทุนได้ง่ายๆ" เอกยุทธ กล่าวเตือน
ทางด้านแวลูอินเวสเตอร์รายใหญ่ นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี เจ้าของพอร์ตลงทุน 2,000 ล้านบาท มองการปรับตัว
ลดลงของตลาดหุ้น และการเทขายของนักลงทุนต่างชาติถือเป็ น "โอกาสการลงทุน"
"นักลงทุนทุกท่านโปรด “อย่าหยุดซื้อหุ้น” เพราะของดีราคาถูกยังมีอยู่เกลื่อนตลาด ถ้าเป็ นผมจะควักเงินซื้อหุ้น
ประมาณ 50-60% หากค้นพบหุ้นที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม"
คุณหมอพงศ์ศักดิ์ แนะนำว่า นักลงทุนที่วันนี้เล่นหุ้น "เต็มพอร์ต" (100%) ขอให้ "ขายหุ้นที่ขึ้นมาแรงๆ" หรือหุ้นตัว
ที่คิดว่าจะได้รับผลกระทบจากการเมืองในอนาคต แล้วให้ "ถือเงินสด" ไว้ก่อน รอดูสถานการณ์หลังเลือกตั้งอีกครั้ง
สำหรับนักลงทุนที่เล่นหุ้น "ไม่เต็มพอร์ต" จังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลงให้เลือกเก็บหุ้น "พื้นฐานดี" เข้าพอร์ตประมาณ
40-50% ที่เหลือเก็บเป็ น "เงินสด" รอดูสถานการณ์หลังเลือกตั้ง สำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสดเพียง 10% ควรเลือก
จิ้มตัวที่พื้นฐานดีๆ ราคาถูก
ถามว่าหุ้นกลุ่มไหนน่าเก็บเข้าพอร์ต คุณหมอ แสดงความเห็นว่า น่าจะเป็ นกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค และ
กลุ่มค้าปลีกบางตัว เช่น BIGC, MAKRO และ CPALL ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกน่าจะเป็ นกลุ่มธนาคาร ท่องเที่ยว
และส่งออก
"หากพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งมากๆ ตลาดหุ้นไทยจะดีมากแถมการเมืองจะสงบด้วย เพราะนั่นแปลว่าคน
ชั้นสูงเขาสนับสนุน แต่ถ้าได้คะแนนน้อยจนต้องไปจับมือกับพรรคเล็กพรรคน้อย เพื่อจัดตั้งรัฐบาล SET Index คง
ไม่สวยแน่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นขี้เหร่"
นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยชนะเกิน 250 เสียง นักลงทุนก็ต้องหวั่นใจอีกว่าจะบริหาร
ประเทศได้หรือไม่ หุ้นก็คงไม่งามเท่าไร แต่ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 250 เสียง จนต้องจับมือกับพรรคเล็กจัดตั้งรัฐบาล
รับรองนอกจากหุ้นจะไม่ดีแล้ว การเมืองยังไม่สงบด้วย เพราะทหารคงไม่ไว้ใจอย่าลืมว่าวันนี้ทหารถือเป็ นตัวแปร
สำคัญทางการเมืองของไทย
“จริงๆ แล้วหุ้นไทยไม่แพงแต่ก็ไม่ถูก เมื่อก่อน P/E 8-12 เท่า แต่วันนี้ (Forward P/E) ประมาณ 11 เท่า ฉะนั้นการ
ที่ดัชนีหลุด 1,000 จุด ผมมองว่าเป็ นเรื่องปกติ เพราะทุกครั้งที่เมืองไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงก็จะโดนเทขายแบบนี้
อีกอย่างตลาดหุ้นขึ้นมาต่อเนื่อง 2 ปี ดังนั้นการที่ต่างชาติขายทำกำไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้นอย่าตกใจ”
นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวปิดท้าย

You might also like