Professional Documents
Culture Documents
สภาวิศวกรMAT
สภาวิศวกรMAT
ศวกร
วิ
ชา : Engineering Materials
เนื
อหาวิ
้ ชา : 238 : 01 Metals
ข
อที
่
1 : แร
Bauxite ที
เป
่ น วัตถุ
ดิ
บในการถลุ
งอะลู
มิ
เนี
ยม มี
ส ารประกอบใดเป
น สารประกอบหลัก
1 : Bayer
Al O
2: 2 3
3 : Al2 (SO4 ) 3
4 : Na3 AlF6
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
2 : เหล็
กหล
อ หมายถึ
ง เหล็
กที
มี
่ปริ
มาณของธาตุ
คาร
บอนผสมอยู
ระหว
างค
าดังข
อใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
3 : เหล็
กกล
าคาร
บอนปานกลาง มี
ปริ
มาณของธาตุ
คาร
บอนผสมอยู
เป
น ปริ
มาณเท
าใด
1 : 0.40 % โดยปริ
มาตร
2 : 0.40 % โดยน้
าหนัก
ํ
3 : 0.04 % โดยปริ
มาตร
4 : 0.04 % โดยน้
าหนัก
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
4 : เหล็
กกล
าคาร
บอนต่
า มักนิ
ํ ยมนํ
ามาใช
ผลิ
ตเป
น ผลิ
ตภัณฑ
ในข
อใด
1 : ตัวถังรถยนต
2 : ลูกสูบ
3 : มี
ดกลึ ง
4 : ดอกสว าน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
5 : เหล็
กกล
าคาร
บอนปานกลางมี
ค
าความแข็
ง (Hardness) เป
น อย
างไร เที
ยบกับเหล็
กกล
าคาร
บอนสู
งภายใต
เงื
อนไขสภาวะการอบชุ
่ บเหมื
อนกัน
1 : น
อยกว า
2 : มากกวา
3 : เท
ากัน
4 : ไม
ส ามารถระบุ
ได
ว
าเป
น อย
างไร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
6 : ข
อใดต
อไปนี
ไม
้ ใช
วัตถุ
ประสงค
ข องการเติ
มธาตุ
โครเมี
ยม (Cr) ในเหล็
กกล
าผสมสู
ง (High alloy steels)
1 : เพิ
มความแข็
่ งแรง ลดการผุกร
อน
2 : เพิ
มความแข็
่ ง
3 : เพิ
มความเหนี
่ ยว ขึ
น รู
้ ปง
าย
4 : เพิ
มความสามารถในการต
่ านทานการคื
บ (Creep)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
7 : ในกระบวนการผลิ
ตเหล็
กหล
อเหนี
ยว (Nodular cast iron) ธาตุ
ใดที
เติ
่ มลงไปเพื
อทํ
่ าให
แกรไฟต
รวมตัวกัน เป
น อนุ
ภาคทรงกลม
1 : โครเมี
ยม
2 : ซี
เรี
ยม
3 : คาร
บอน
4 : โคบอลต
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
8 : ทองเหลื
อง (Brass) คื
อโลหะผสมของธาตุ
หลักธาตุ
ใด
1 : ทองแดง และเงิ
น
2 : ทองแดง และดีบุ
ก
3 : ทองแดง และตะกั่
ว
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 1/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
4 : ทองแดง และสังกะสี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
9 : โลหะผสมสู
งกลุ
มซู
เปอร
อัลลอย (Superalloys) เช
น Nickel-based superalloys มักนิ
ยมนํ
าไปใช
งานใดในป
จจุ
บัน
1 : ใบพัดในเครื
องกังหัน ก
่ าซในเครื
องบิ
่ น ไอพ
น
2 : อุ
ปกรณ ภายในเครื
องคอมพิ
่ วเตอร
เช
น ฮาร
ดดิ
ส ค
3 : ลู
กสูบเครื
องยนต
่
4 : มี
ดกลึง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
10 : โลหะใดไม
ใช
โลหะทนไฟ (Refractory Metal)
1 : ทังสเตน
2 : โมลิบดิน ัม
3 : แทนทาลัม
4 : เยอรมัน เนียม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
11 : โลหะใดจัดเป
น โลหะมี
ส กุ
ล (Noble Metal)
1 : ทังสเตน
2 : แพลติ น ัม
3 : ซิลิ
กอน
4 : เยอรมัน เนียม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
12 : โลหะใดจัดเป
น โลหะหนัก
1 : แมกนีเซี
ยม
2 : อะลู
มิ
เนียม
3 : เบอริ
ลเลี ยม
4 : โมลิ
บดิน ัม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
13 : โลหะใดที
ไม
่ ควรนํ
ามาเป
น ภาชนะบรรจุ
อาหาร
1 : อะลูมิเนี
ยม
2 : ตะกั่
ว
3 : ดี
บุ
ก
4 : เหล็กกลาไร
ส นิ
ม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
14 : โลหะใดไม
เหมาะสมสํ
าหรับนํ
ามาทํ
าเป
น กระทะเพื
อปรุ
่ งอาหาร
1 : อะลู
มิ
เนี
ยม
2 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
ม
3 : ทองแดง
4 : แมกนี
เซี
ยม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
15 : พิ
วเตอร
(Pewter) คื
อ โลหะผสมใด
1 : ดี
บุ
กผสม
2 : ทองแดงผสม
3 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสม
4 : ไทเทเนี
ยมผสม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
16 : โลหะใดที
นํ
่ามาใช
ทํ
าเป
น ชิ
น ส
้ วนเครื
องบิ
่ น น
อยที
สุ
่ด
1 : ไทเทเนียม
2 : อะลูมิ
เนี
ยม
3 : สังกะสี
4 : นิกเกิ
ล
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
17 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มเกรด 18-8 หมายถึ
ง เหล็
กกล
าที
ผสมโลหะชนิ
่ ดใดเป
น ปริ
มาณสู
งสุ
ดสองชนิ
ดแรก
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 2/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : โครเมี
ยม-นิ
เกิ
ล
2 : ไทเทเนี
ยม-นิเกิ
ล
3 : โครเมี
ยม-ซิ
ลิกอน
4 : ไทเทเนี
ยม-ซิลิกอน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
18 : ผลิ
ตภัณฑ
ใดที
ไม
่ ส ามารถใช
อะลู
มิ
เนี
ยมเป
น ส
วนผสมหลักได
1 : วงลอรถยนต
2 : ตัวถังรถยนต
3 : กระป องน้
าอัดลม
ํ
4 : ไสหลอดไฟ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
19 : เหล็
กชนิ
ดใดต
อไปนี
ส ามารถกลึ
้ งเพื
อตกแต
่ งขึ
น รู
้ ปได
ง
ายที
สุ
่ด
1 : เหล็
กกล
าชุ
บแข็ ง
2 : เหล็
กหล
อขาว
3 : เหล็
กหล
อกราไฟต กลม
4 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มเฟร
ไรต
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
20 : เหล็
กกล
าชนิ
ดใดมี
ส ภาพดึ
งยื
ดได
(Ductility) มากที
สุ
่ด ภายใต
ส ภาวะการอบชุ
บที
เหมื
่ อนกัน
1 : เหล็
กกล
าคาร
บอนต่า
ํ
2 : เหล็
กกล
าคาร
บอนปานกลาง
3 : เหล็
กกล
าคาร
บอนสูง
4 : เหล็
กกล
าเครื
องมื
่ อ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
21 : ในกระบวนการผลิ
ตเหล็
กหล
อเทา ธาตุ
ใดที
ต
่องเติ
มลงไปเพื
อทํ
่ าให
คาร
บอนรวมตัวกัน เป
น กราไฟต
1 : อะลูมิ
เนียม
2 : ซิ
ลิกอน
3 : แคลเซี ยม
4 : แมกนีเซียม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
22 : ข
อใดไม
ใช
ส มบัติ
ข องเหล็
กกล
าคาร
บอนต่
า
ํ
1 : มี
ความเหนียวสู ง
2 : สามารถตกแต งขึน รู
้ ปได
ง
าย
3 : สามารถชุบแข็ งไดงาย
4 : ไม
ส ามารถรับแรงกระแทกได มาก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
23 : ข
อใดไม
ใช
ส มบัติ
เด
น ของอะลู
มิ
เนี
ยม
1 : น้
าหนักเบา
ํ
2 : ทนอุ
ณหภู มิ
ไดสู
ง
3 : อ
อนแตเหนียว
4 : นํ
าความรอนได ดี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
24 : บรอนซ
คื
อ โลหะผสมชนิ
ดใด
1 : ทองแดงผสมดี บุ
ก
2 : อะลูมิ
เนี
ยมผสมทองแดง
3 : ดี
บุกผสมตะกั่
ว
4 : นิ
เกิลผสมไทเทเนี ยม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
25 : ข
อใดคื
อลักษณะเด
น ของเหล็
กหล
อขาว
1 : แข็ง ยากตอการตกแต ง
2 : ออน เหนียว ตกแต
ง-ขึน รู
้ ปได
ง
าย
3 : รับแรงอัดและแรงสั่
น สะเทือนได
ดี
4 : ไมทนตอการเสียดสี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 3/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
26 : เหล็
กหล
อเทาต
างจากเหล็
กหล
อขาวอย
างไร
1 : เหล็
กหล
อเทามี
ซิ
ลิกอนเปน สวนผสม แตเหล็กหลอขาวไมมี
2 : เหล็
กหล
อเทามี
กราไฟตอิส ระเป
น ส
วนหนึงของโครงสร
่ าง แต
เหล็
กหล
อขาวไม
มี
3 : เหล็
กหล
อเทามี
ความแข็ งมากกวาเหล็กหลอขาว
4 : เหล็
กหล
อเทาสามารถรับแรงกระแทกได นอยกวาเหล็
กหลอขาว
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
27 : ในกระบวนการผลิ
ตเหล็
กหล
อกราไฟต
กลม ธาตุ
ใดที
ต
่องเติ
มลงไปเพื
อทํ
่ าให
กราไฟต
อิ
ส ระเป
น ทรงกลม
1 : อะลูมิ
เนียม
2 : ซิ
ลิกอน
3 : แคลเซี ยม
4 : แมกนีเซียม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
28 : เหล็
กกล
าผสมชนิ
ดใดที
ไม
่ ส ามารถชุ
บแข็
งได
ดี
1 : เหล็
กกล
าโมลิบดิน ัม
2 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มออสเทไนต
3 : เหล็
กกล
าแมงกานี ส
4 : เหล็
กกล
าโครเมียม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
29 : เหล็
กกล
าถู
กแบ
งแยกออกจากเหล็
กหล
อด
วยปริ
มาณคาร
บอนกี
เปอร
่ เซ็
น ต
1 : 1%
2 : 2%
3 : 3%
4 : 4%
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
30 : ธาตุ
ผสมใดที
มี
่ส
วนสํ
าคัญในการทํ
าให
เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มทนต
อการเกิ
ดสนิ
มในบรรยากาศปกติ
และต
องมี
ปริ
มาณธาตุ
อย
างน
อยสุ
ดเท
าใด
1 : 13% โดยน้
าหนักโครเมี
ํ ยม
2 : 8% โดยน้
าหนักโครเมี
ํ ยม
3 : 13% โดยน้
าหนักนิ
ํ เกิ
ล
4 : 8% โดยน้
าหนักนิ
ํ เกิ
ล
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
31 : ข
อความใดต
อไปนี
เป
้ น การกล
าวที
ถู
่กต
อง
1 : เหล็
กกลา Hypoeutectoid plain-carbon คือเหล็กกล
าที
มี
่ปริ
มาณคาร บอนมากกว า 0.8% โดยน้
าหนัก
ํ
2 : เหล็
กเส
น ทีใช
่ ในงานกอสรางทํ าจากเหล็ กหลอ
3 : ธาตุ
ทีมี
่บทบาทในการทํ าให เหล็กกลาไร
ส นิมสามารถทนตอการกัดกร
อนไดดี
คือโครเมียม
4 : เหล็
กหลอเปน โลหะผสมประเภท Ferrous ที มี
่ปริมาณคาร
บอนนอยกวา 2.4% โดยน้ าหนัก
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
32 : โลหะใดต
อไปนี
มี
้จุ
ดหลอมเหลวที
ต่
่าที
ํ สุ
่ด
1 : ทองแดง
2 : ทองแดงผสมสังกะสี
3 : ทองแดงผสมเหล็ก
4 : ทองแดงผสมนิเกิ
ล
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
33 : ชิ
น งานใดต
้ อไปนี
มี
้ความแข็
งแรงสู
งสุ
ด
1 : เหล็
กกล
าคารบอนต่าชุ
ํ บแข็
ง
2 : เหล็
กกล
าคารบอนปานกลางชุบแข็
ง
3 : เหล็
กกล
าผสมต่ าชุ
ํ บแข็
ง
4 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มออสเทไนตชุ
บแข็
ง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
34 : โลหะชนิ
ดใดต
อไปนี
ที
้เหมาะสมสํ
่ าหรับทํ
าเครื
องยนต
่ (Engine block) สํ
าหรับรถแข
งมากที
สุ
่ด
1 : เหล็
กกล
า (Steel) เนื
องจากหล
่ อง
ายที สุ
่ด
2 : เหล็
กกล
าไรส นิ
ม (Stainless steel) เพราะทนตอการเกิดสนิ
มได
ดี
3 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสม (Aluminium alloy) เพราะมี น้
าหนักเบา
ํ
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 4/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
4 : โลหะผสมยิ
งยวด (Superalloy) เพราะทนอุ
่ ณหภู
มิ
สู
งได
ดี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
35 : วัส ดุ
แม
เหล็
กถาวรชนิ
ดใดต
อไปนี
ที
้ให
่ กํ
าลังแม
เหล็
กสู
งสุ
ด
1 : เหล็กคารบอน
2 : อัลนิโค (Alnico)
3 : เฟรไรต(Hard Ferrite)
4 : นิโอดิเมี
ยม-บอรอน (NdFeB)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
36 : โลหะชนิ
ดใดต
อไปนี
ส ามารถนํ
้ ามารี
ดเย็
น เป
น แผ
น บางได
ง
ายที
สุ
่ด
1 : อะลู
มิ
เนี
ยม
2 : ทองแดง
3 : ทองเหลื
อง
4 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
ม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
37 : โลหะชนิ
ดใดต
อไปนี
ที
้เหมาะสํ
่ าหรับการผลิ
ตวงล
อรถยนต
มากที
สุ
่ด
1 : อะลู
มิ
เนี
ยมบริ
สุ
ทธิ
์
2 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสมซิ
ลิ
คอน
3 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสมทองแดง
4 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสมแมงกานี
ส
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
38 : โลหะชนิ
ดใดต
อไปนี
ไม
้ เกิ
ดสนิ
ม
1 : เหล็
กกล าไร
ส นิ
ม
2 : ทองแดง
3 : อะลู
มิเนี
ยม
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิ
ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
39 : เหล็
กกล
าชนิ
ดใดต
อไปนี
เหมาะสํ
้ าหรับใช
งานที
อุ
่ณหภู
มิ
สู
ง
1 : เหล็
กกล
าคารบอนสูง (High carbon steel)
2 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มเฟร
ไรต (Ferritic stainless steel)
3 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มออสเทไนต (Austenetic stainless steel)
4 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มมาร
เทนไซต (Martensitic stainless steel)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
40 : โลหะชนิ
ดใดต
อไปนี
เหมาะสํ
้ าหรับการผลิ
ตถังไฮโดรเจนเหลวสํ
าหรับยานอวกาศมากที
สุ
่ด
1 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสมทองแดง
2 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสมลิเทียม
3 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสมซิลิคอน
4 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสมสังกะสี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
เนื
อหาวิ
้ ชา : 239 : 02 Engineering polymers
ข
อที
่
41 : ข
อใดไม
ใช
วัส ดุ
พอลิ
เมอร
1 : ยาง (Rubber)
2 : พลาสติ ก (Plastic)
3 : ไม(Wood)
4 : แก
ว (Glass)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
42 : ยางที
ผ
่านกระบวนการ Vulcanization แล
ว จัดเป
น พอลิ
เมอร
ประเภทใด
1 : พอลิ
เมอร
แบบสายโซ ตรง (Linear polymer)
2 : พอลิ
เมอร
แบบครอสลิ งค(Crosslinked polymer)
3 : พอลิ
เมอร
แบบสายเดียว (Single chain polymer)
่
4 : พอลิ
เมอร
แบบกิ
ง (Branched polymer)
่
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
43 : ข
อใดเป
น พอลิ
เมอร
แบบโครงข
าย (network)
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 5/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : พอลิส ไตรี
น (Polystyrene)
2 : ฟ
น อลฟอรมัลดีไฮด(Phenol-formaldehyde)
3 : พอลิเอทธิลี
น (Polyethylene)
4 : พอลิพรอพิลีน (Polypropylene)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
44 : ข
อใดเป
น ลักษณะของเทอร
โมพลาสติ
ก (Thermoplastic)
1 : แข็
งตัวเมื
อถู
่ กความร
อน และออนตัวเมือลดอุ
่ ณหภู มิ
2 : อ
อนตัวเมื
อถู
่ กความร
อน แต
กลับมาแข็ งตัวเมื
อลดอุ
่ ณหภูมิ
3 : แข็
งตัวเมื
อถู
่ กความร
อน และไมส ามารถทํ าใหอ
อนตัวได
อีก
4 : แข็
งตัวเมื
อถู
่ กความร
อน แต
ส ามารถทํ าใหออนตัวได
เมื
อลดอุ
่ ณหภู
มิ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
45 : ข
อใดต
อไปนี
กล
้ าวไม
ถู
กต
อง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
46 : ป
จจัยใดมี
ผลต
อสมบัติ
เชิ
งกลของพอลิ
เมอร
แบบกึ
งผลึ
่ ก (Semicrystalline polymers)
1 : น้าหนักโมเลกุ
ํ ล (Molecular weight)
2 : ระดับของสภาพเป น ผลึ
ก (Degree of crystallinity)
3 : การอบอ อน (Annealing)
4 : ขอ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่47 :
จากกราฟความเค
น -ความเครี
ยด (Stress-strain plot) กราฟเส
น ใดแสดงสมบัติ
ข องวัส ดุ
ยื
ดหยุ
น (Elastomeric polymer)
1 :I
2 : II
3 : III
4 : IV
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
48 : พอลิ
เมอร
ใดต
อไปนี
เป
้ น เทอร
โมพลาสติ
ก (Thermoplastics)
1 : PVC
2 : Epoxy resins
3 : Polyester
4 : Melamine
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
49 : ข
อใดต
อไปนี
ไม
้ ใช
พอลิ
เมอร
1 : พอลิ
เอทิลี
น (Polyethylene)
2 : พอลิ
คาร
โบเนต (Polycarbonate)
3 : ซิ
ลิ
คอนคาร ไบด (Silicon carbide)
4 : ซิ
ลิ
โคน (Silicone)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
50 : เพราะเหตุ
ใดยางรถยนต
จึ
งมี
สี
ดํ
า
1 : เนื
องจากต
่ องสัมผัส ถนนซึงมี
่ ความสกปรก จึงผสมสี ดํ
าลงไป
2 : เนื
องจากต
่ องการให มี
ความแข็งแรงขึ
น จึ
้ งใส
ส ารเสริ
มแรงชนิดหนึ
งซึ
่ งมี
่ สี
ดํ
าลงไป
3 : เพื
อให
่ ง
ายตอการดูแลรักษา
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
51 : โดยทั่
วไปพอลิ
เมอร
มี
ส มบัติ
เชิ
งกลในข
อใดต
อไปนี
มากกว
้ าวัส ดุ
วิ
ศวกรรมชนิ
ดอื
นๆ
่
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 6/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : Tensile Strength
2 : Modulus of Elasticity
3 : Yield Strength
4 : Elongation
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
52 : วัตถุ
ดิ
บที
ใช
่ ในการผลิ
ตพอลิ
เมอร
มาจากแหล
งใด
1 : แก
ส ธรรมชาติ
2 : น้
ามัน ป
ํ โตรเลี
ยม
3 : ผลิ
ตผลทางการเกษตร
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
53 : ข
อใดต
อไปนี
ไม
้ ใช
ลักษณะหรื
อสมบัติ
ข องเทอร
โมเซตติ
ง (Thermosetting)
้
1 : มี
โครงสรางตาขาย
2 : นํ
ามาขึ
น รู
้ ปใหมไม
ได
3 : ทนแรงกระแทกได ดี
4 : ทนความร อนได
ดี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
54 : ข
อใดต
อไปนี
ไม
้ ใช
โครงสร
างของโคพอลิ
เมอร
(Copolymer)
1 : โครงสร
างแบบบล็อก (Block)
2 : โครงสร
างแบบสลับ (Alternating)
3 : โครงสร
างแบบเชิ
งเสน (Linear)
4 : โครงสร
างแบบสุ
ม (Random)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
55 : ขวดพลาสติ
กใสที
ใช
่ บรรจุ
น้
าอัดลมในท
ํ องตลาดมักทํ
าด
วยพอลิ
เมอร
ชนิ
ดใด
1 : พอลิ
โพรพิลีน (Polypropylene)
2 : พอลิ
ส ไตรี
น (Polystyrene)
3 : พอลิ
เอทิลี
น เทอรฟาทาเลต (Polyethylene terephthalate)
4 : พอลิ
เมทิล เมทาครีเลต (Polymethyl methacrylate)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
56 : เราสามารถเพิ
มสมบัติ
่ ในการรับแรงกระแทกให
กับพลาสติ
กที
เปราะได
่ โดยการผสมสิ
งใดต
่ อไปนี
ลงไปในพลาสติ
้ ก
1 : ยาง (Rubber)
2 : สารเสริมแรง (Reinforcing filler)
3 : สารปองกัน การแตกหักของสายโซ โมเลกุ
ล (Stabilizer)
4 : สารเพิมเนื
่ อ (Extender)
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
57 : ถ
านํ
าขวดพลาสติ
กที
ทํ
่าจากพอลิ
เอทิ
ลี
น ไปบรรจุ
น้
าอัดลมและป
ํ ดฝาให
แน
น จะเกิ
ดสิ
งใดขึ
่ น
้
1 : ไม
มี
สิงใดเปลี
่ ยนแปลง
่
2 : น้
าอัดลมจะมี
ํ สีทีจางลง
่
3 : แก
ส คาร
บอนไดออกไซด จะระเหยออกไป
4 : ปริ
มาณของน้ าอัดลมจะลดลง
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
58 : ข
อใดต
อไปนี
ไม
้ เป
น ความจริ
ง
1 : โดยทั่
วไป พอลิเมอร
มี
ค
าการนําความรอนทีต่
่ากว
ํ าโลหะมาก
2 : โดยทั่
วไป อากาศมีค
าการนําความร
อนที ต่
่ากว
ํ าพอลิเมอร
มาก
3 : โดยทั่
วไป พอลิเมอร
มี
ค
าสัมประสิ
ทธิข องการขยายตัวเมื
์ อได
่ รับความร
อนมากกว
าโลหะ
4 : โดยทั่
วไป เซรามิ
กมีค
าสัมประสิ
ทธิ
ข องการขยายตัวเมื
์ อได
่ รับความรอนมากกว
าพอลิ
เมอร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
59 : กระบวนการในข
อใดต
อไปนี
เป
้ น กระบวนการสร
างพอลิ
เมอร
จากมอนอเมอร
1 : Monomerization
2 : Polymerization
3 : Hydration
4 : Annealing
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 7/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
60 : เทฟลอน (Teflon) คื
อชื
อทางการค
่ าของพอลิ
เมอร
ในข
อใด
1 : Polystyrene
2 : Polyurethane
3 : Polytetrafluoroethylene
4 : Polyvinyl chloride
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
เนื
อหาวิ
้ ชา : 240 : 03 Engineering ceramics
ข
อที
่
61 : ปฏิ
กิ
ริ
ยาที
เกิ
่ ดขึ
น เมื
้ อผสมซี
่ เมนต
กับน้
าคื
ํ อปฏิ
กิ
ริ
ยาใด
1 : ปฏิ
กิ
ริ
ยา Hydration
2 : ปฏิ
กิ
ริ
ยา Oxidation
3 : ปฏิ
กิ
ริ
ยา Reduction
4 : ปฏิ
กิ
ริ
ยา Dehydration
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
62 : การเติ
มแร
ยิ
ปซั่
ม (Gypsum) ลงในซี
เมนต
มี
วัตถุ
ประสงค
อย
างไร
1 : เพื
อลดต
่ น ทุน วัตถุ
ดิ
บ
2 : เพื
อควบคุ
่ มเวลาการแข็ งตัวของซีเมนต
3 : เพื
อเพิ
่ มความแข็
่ งแรงให
กับซี
เมนต
4 : เพื
อให
่ ซี
เมนต มีอายุ
การใชงานที
น านขึ
่ น
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
63 : ทํ
าไมเซรามิ
กโดยทั่
วไปมี
ส มบัติ
ที
แข็
่ ง (Hard) และเปราะ (Brittle) กว
าโลหะ
1 : การเคลื
อนที
่ ข อง Dislocation เกิ
่ ดขึ
น ในเซรามิ
้ กได
ง
ายกว
าโลหะ
2 : เซรามิ
กทั่
วไปยึดกัน ด
วยพัน ธะแวนเดอรวาลส แต
โลหะยึ
ดกัน ด
วยพัน ธะโลหะ
3 : ในเซรามิ
ก ระนาบอะตอมเกิ ดการเลือน (Slip) ได
่ บางระนาบเทานั้
น
4 : เซรามิ
กมี
ความหนาแน น สู
งกวาโลหะ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
64 : ข
อใดไม
ใช
ส มบัติ
ข องเซรามิ
ก
1 : เป
น ฉนวนทั้
งทางความร
อนและไฟฟ
า
2 : ความต านทานต
อแรงกระแทกต่
า
ํ
3 : ทนต อแรงดึ
งได
ดี
4 : เฉื
อยต
่ อการเกิ
ดปฏิ
กิ
ริ
ยาเคมี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
65 : ข
อใดไม
ใช
ผลที
เกิ
่ ดจากการเกิ
ดรู
พรุ
น (Porosity) ในเนื
ออิ
้ ฐทนไฟ
1 : อิ
ฐทนไฟเป
น ฉนวนทางความรอนที
ดี
่ขึ
น
้
2 : อิ
ฐทนไฟสามารถทนตอการเปลียนแปลงอุ
่ ณหภู
มิ
ได
ดี
ขึ
น
้
3 : อิ
ฐทนไฟมี
ความตานทานตอการผุ
กร
อนดี
ขึ
น
้
4 : อิ
ฐทนไฟมี
ความแข็งแรงลดลง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
66 : วัส ดุ
ในข
อใดเหมาะที
จะทํ
่ าเป
น วัส ดุ
ข ัดถู
(Abrasive material)
1 : เหล็
ก
2 : อะลู
มินา
3 : พอลิเอทิลี
น
4 : ไม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
67 : Glass transition temperature คื
ออะไร
1 : อุ
ณหภู
มิ
จุ
ดหลอมเหลว (Melting point) ของแก
ว
2 : อุ
ณหภู
มิ
ที
แก
่ วมี
ส ภาพการนํ าไฟฟา
3 : อุ
ณหภู
มิ
ที
แก
่ วเปลียนจากสภาพที
่ มี
่ ความหนืดสูงเป
น สภาพที
แข็
่ งและเปราะ
4 : อุ
ณหภู
มิ
ที
แก
่ วกลายเปน ไอ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
68 : ข
อใดไม
ใช
เซรามิ
กวิ
ศวกรรม (Engineering ceramic)
1 : พอร
ซิ
เลน (Porcelain)
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 8/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
2 : อะลูมิ
น า (Alumina)
3 : ซิลิ
กอนไนไตรด (Silicon nitride)
4 : เซอรโคเนีย (Zirconia)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
69 : เซรามิ
กลักษณะใดที
ไม
่ เหมาะสมสํ
าหรับการนํ
ามาใช
ทํ
าเป
น กระดู
กเที
ยม
1 : เซรามิ
กที
มี
่ส มบัติ
ต
านทานการผุ กร
อนที
ดี
่
2 : เซรามิ
กที
มี
่ความหนาแน น สู
ง
3 : เซรามิ
กที
มี
่ความแข็ งแรงสูง
4 : เซรามิ
กที
ส ามารถยึ
่ ดติดกับเนือเยื
้ อได
่ ดี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
70 : ทํ
าไมป
จจุ
บัน นิ
ยมนํ
าเซรามิ
กวิ
ศวกรรม เช
น อะลู
มิ
น า (Alumina) มาใช
ทํ
าหัวเที
ยนแทนโลหะ
1 : เซรามิ
กมี
ความแข็ งแรงมากกวาโลหะที
อุ
่ณหภู
มิ
สู
ง
2 : เซรามิ
กเป
น วัส ดุ
เปราะกวาโลหะ
3 : เซรามิ
กมี
การนํ าไฟฟ าที
ดี
่ กว
าโลหะ
4 : เซรามิ
กมี
ความหนาแน น ต่
ากว
ํ าโลหะ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
71 : ข
อใดกล
าวถู
กต
อง
1 : การขึน รู
้ ปแกวจะทําขณะที แก
่ วมีส ภาพเปน ของเหลวที
มี
่ความหนื
ดสู
ง
2 : การขึน รู
้ ปแกวจะเกิดปฏิกิ
ริ
ยา Sintering
3 : แก
วโดยทั่วไปเป น ของแข็งที
มี
่ ผลึก
4 : หลังจากขึน รู
้ ปแกวแลวตองนํ
าแกวไปอบและเผา
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
72 : การเพิ
มความแข็
่ งแรงให
กับแก
วโดยวิ
ธี
เทมเปอร
(Temper) หรื
อ Chemical treatment มี
หลักการอย
างไร
1 : ทํ
าให
เกิ
ดความเค
น แรงดึงที
ผิ
่ วและความเค
น แรงอัดภายในเนื
อแก
้ ว
2 : ทํ
าให
เกิ
ดความเค
น แรงอัดทีผิ
่วและความเค
น แรงดึงภายในเนื
อแก
้ ว
3 : ทํ
าให
เกิ
ดความเค
น แรงอัดในเนือแก
้ ว
4 : ทํ
าให
เกิ
ดความเค
น แรงดึงในเนื
อแก
้ ว
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
73 : เซรามิ
กประเภทใดมี
ความเหนี
ยว (Toughness) ดี
ที
สุ
่ดที
อุ
่ณหภู
มิ
ห
อง
1 : ซิ
ลิกอนไนไตรด (Silicon nitride)
2 : ซิ
ลิกอนคาร ไบด (Silicon carbide)
3 : อะลูมิ
น า (Alumina)
4 : Partially stabilized zirconia
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
74 : Glass-ceramic แตกต
างจาก แก
ว (Glass) อย
างไร
1 : แก
วโปร
งใสแตGlass-ceramic ไม
โปรงใส
2 : แก
วไม
นํ
าไฟฟา แตGlass-ceramic นําไฟฟา
3 : แก
วนํ
าความร
อนไดไมดีแตGlass-ceramic สามารถนํ าความร
อนได
4 : แก
วทนการเปลียนแปลงความร
่ อน (Thermal shock) ได
แตGlass-ceramic ทนไม
ได
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
75 : Pyroelectric ceramic มี
ส มบัติ
เด
น ในข
อใด
1 : สามารถเปลี
ยนสมบัติ
่ ทางกลใหเป
น สมบัติ
ไฟฟา
2 : สามารถเปลี
ยนสมบัติ
่ ทางไฟฟาให
เปน สมบัติ
ทางกล
3 : สามารถเปลี
ยนสมบัติ
่ ทางไฟฟาให
เปน สมบัติ
ทางเคมี
4 : สามารถเปลี
ยนสมบัติ
่ ทางความรอนใหเป
น สมบัติ
ทางไฟฟ
า
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
76 : เซรามิ
กประเภทแก
วต
างจากเซรามิ
กโดยทั่
วไปอย
างไร
1 : แก
วไม
มี
ผลึก แต
เซรามิ
กโดยทั่
วไปเปน โครงสรางทีมี
่ผลึ
ก (Crystalline)
2 : แก
วสามารถดึงยื
ดไดแต
เซรามิ
กโดยทั่วไปมีส มบัติ
เปราะ
3 : แก
วทนแรงดึงได
ดีแต
เซรามิ
กทนแรงอัดได ดี
4 : แก
วทนทานต อสารเคมี
ได
ดีแตเซรามิ
กโดยทั่วไปเกิ ดปฏิกิ
ริ
ยาได
ง
าย
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
77 : ผลิ
ตภัณฑ
ใดต
อไปนี
ไม
้ จํ
าเป
น ต
องใช
วัส ดุ
เซรามิ
ก
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 9/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : กระสวยอวกาศ
2 : เตาเผา
3 : ลู
กถวยไฟฟ
า (Electrical insulator)
4 : มี
ดผาตัด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
78 : ข
อใดไม
ช
วยทํ
าให
วัส ดุ
ที
ผลิ
่ ตจากอะลู
มิ
น า (Alumina) มี
ส มบัติ
โปร
งแสง (Translucent) ได
1 : อะลูมิน าที
ใช
่ มีความบริ สุ
ทธสูงมาก
2 : เป
น วัส ดุ
ผลึ
กเดียว (Single crystal)
่
3 : การจัดเรียงตัวของผลึ กมี
ทิศทางใกล เคี
ยงกัน มาก
4 : ขอบเกรน (Grain boundary) มี ความหนามาก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
79 : กระถางปลู
กต
น ไม
โอ
งดิ
น อิ
ฐมอญ จัดเป
น เซรามิ
กประเภทใด
1 : Stoneware
2 : Earthenware
3 : Porcelain
4 : Bone China
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
80 : วัส ดุ
ทนไฟที
ใช
่ ในเตาเผาอุ
ณหภู
มิ
สู
งมักทํ
าจากวัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
้
1 : CaO
2 : Feldspar
3 : Cement
4 : Mullite
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
เนื
อหาวิ
้ ชา : 241 : 04 Asphalt wood and concrete
ข
อที
่
81 : ไม
จัดเป
น วัส ดุ
ประเภทใด
1 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ
2 : พอลิ คาร
บอเนต
3 : พอลิ ไวนิ
ลคลอไรด
4 : พอลิ เมอร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
82 : เพราะเหตุ
ใดไม
จึ
งรับแรงดัด (Bending force) ได
ดี
1 : เส
น ใยเรี
ยงตัวในทิ
ศใดทิศหนึ
ง
่
2 : มี
ความเหนี ยวสูง
3 : เนื
อไม
้ มีความหนาแนน สู
ง
4 : ไม
มีน้
าหนักเบา
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
83 : ข
อใดเป
น ส
วนประกอบหลักของยางมะตอย (Asphalt)
1 : ธาตุ
คาร
บอน (C) และ ไนโตรเจน (N)
2 : ธาตุ
คาร
บอน (C) และ ไฮโดรเจน (H)
3 : ธาตุ
คาร
บอน (C) และ ซัลเฟอร(S)
4 : ธาตุ
คาร
บอน (C) และ ออกซิเจน (O)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
84 : ไม
มี
ส มบัติ
ทางกลตามข
อใด
1 : เท
ากัน ทุ
กทิศทาง
2 : ความแข็ งแรงตามแนวความยาวมากกว าแนวขวาง
3 : ความแข็ งแรงขนานเสน ใยต่
ากว
ํ าความแข็
งแรงตั้
งฉาก
4 : โมดู
ลัส เท
ากัน ทุ
กทิ
ศทาง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
85 : ยางมะตอย (Asphalt) และยางมะตอยผสม (Asphalt mix) มี
ส มบัติ
ต
างกัน อย
างไร
1 : ยางมะตอยมี
แรงเสี
ยดทาน (Friction) มากกว ายางมะตอยผสม
2 : ยางมะตอยผสมมีแรงเสี
ยดทาน (Friction) มากกว ายางมะตอย
3 : ยางมะตอยและยางมะตอยผสมใช ทําพืน รับแรงที
้ มี
่ ส มบัติ
ใกล
เคี
ยงกัน
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 10/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
4 : ยางมะตอยแข็
งแรงมากกว
ายางมะตอยผสม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
86 : การใช
คอนกรี
ตในการก
อสร
าง คอนกรี
ตถู
กใช
เพื
อให
่ รับแรงประเภทใด
1 : แรงดึง (Tension)
2 : แรงอัด (Compression)
3 : แรงเฉือน (Shear)
4 : แรงบิด (Torsion)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
87 : ความสามารถในการทํ
างาน (Workability) ของคอนกรี
ตสามารถทดสอบด
วยวิ
ธี
ใด
1 : การทดสอบความล
า (Fatigue test)
2 : การทดสอบโดยใช
แรงอัด (Compressive test)
3 : การทดสอบความแข็งแบบบริ เนลล (Brinell)
4 : การทดสอบการยุ
บตัว (Slump test)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
88 : ส
วนประกอบหลักของคอนกรี
ตคื
อข
อใด
1 : ทราย (Sand) หิ
น ฟ
น มา (Feldspar) และซีเมนต (Cement)
2 : หิ
น ย
อย (Aggregate) หิน ฟ
น ม
า (Feldspar) และซีเมนต(Cement)
3 : ทราย (Sand) หิ
น ย
อย (Aggregate) และซี เมนต (Cement)
4 : ทราย (Sand) หิ
น ย
อย (Aggregate) และบิ ทูเมน (Bitumen)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
เนื
อหาวิ
้ ชา : 242 : 05 Phase equilibrium diagrams and their interpretation
ข
อที
่
89 : สมการ delta ferrite + L --> austenite เรี
ยกปฏิ
กิ
ริ
ยานี
ว
้าปฏิ
กิ
ริ
ยาใด
1 : Eutectoid
2 : Eutectic
3 : Peritectic
4 : Peritectoid
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
90 : ข
อใดไม
ใช
ข
อมู
ลที
ส ามารถทราบได
่ จากแผนภาพเฟส (Phase diagram)
1 : สภาพการละลายได ข องธาตุ
หนึ
งในอี
่ กธาตุ
หนึ
ง
่
2 : อุ
ณหภูมิทีส ารเริ
่ มหลอมละลาย
่
3 : ความดัน ที
ส ารเปลี
่ ยนเฟส
่
4 : ปริ
มาตรของสารที หลอมเหลว
่
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
91 : ข
อใดเป
น สิ
งที
่ ส ามารถทราบได
่ จากแผนภาพเฟส (Phase diagram)
1 : อุ
ณหภู มิ
ทีโลหะผสมเริ
่ มแข็
่ งตัวเป
น ของแข็
ง
2 : สภาพการละลายได ข องธาตุหนึ งในอี
่ กธาตุ
หนึ
ง ณ สภาวะสมดุ
่ ล
3 : เฟสตางๆ ทีมี
่อยู
ในเนื
อวัส ดุ
้
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ขอ ที
่ 9 2 : ขอ ใ ด คือ ป ฏิกิริย า ที
่เ กิด ขึ
้น ใ น แ ผ น ภ า พ เ ฟ ส ข อ ง F e - F e 3C ที
่กํา ห น ด ใ ห
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 11/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อ ที
่ 93 : ป ฏิ
กิริ
ย า ยู
เ ท ก ท อ ย ด (Eut ec t oi d) ข อ ง เ ห ล็
ก ก ล
า ค า ร
บอน เ กิ
ด ที
่
ป ริ
ม า ณ ค า ร
บ อ น กี
่
เ ป อ ร
เ ซ็
น ต
โ ด ย น้
ํ
า ห นั ก
1 : 0.025%
2 : 0.8%
3 : 2.0%
4 : 4.3%
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
94 : โครงสร
างใดคื
อโครงสร
างของเหล็
กกล
าคาร
บอนส
วนผสมยู
เทกทอยด
ที
เย็
่ น ตัวอย
างช
าๆ ผ
านปฏิ
กิ
ริ
ยายู
เทคทอยด
เรี
ยกโครงสร
างที
เกิ
่ ดขึ
น ว
้ าอะไร
1 : เฟรไรต
(Ferrite)
2 : เพอรไลต(Pearlite)
3 : ออสเทไนต (Austenite)
4 : ซีเมนไทต (Cementite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
95 : ข
อใดไม
ใช
ข
อมู
ลที
ได
่ จากการอ
านแผนภาพเฟสในสภาวะที
ส มดุ
่ ล
1 : ชนิ
ดของเฟสที เกิ
่ ดขึน
้
2 : ปริ
มาณของเฟสที เกิ
่ ดขึน
้
3 : อุ
ณหภูมิ
ที
ส ารเริ
่ มแข็
่ งตัว (Solidify) หรื
อหลอมเหลว (Melt)
4 : ชนิ
ดของโครงสร างผลึกของเฟสที เกิ
่ ดขึน
้
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 12/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
96 : สารละลาย (Solution) และของผสม (Mixture) แตกต
างกัน อย
างไร
1 : สารละลายจะเกิ
ดการแยกกัน ของสารทํ าให
เกิ
ดเฟสมากกวาหนึ
งเฟส ของผสมจะเกิ
่ ดเป
น เนื
อเดี
้ ยวกัน มี
เพี
ยงหนึ
งเฟส
่
2 : สารละลายจะเกิ
ดเฉพาะในของเหลวเท านั้
น ของผสมจะเกิ
ดจากการผสมของเหลวและของแข็ งดวยกัน
3 : สารละลายจะเกิ
ดเป
น เนื
อเดี
้ ยวกัน มี
เพี
ยงหนึงเฟส ของผสมจะเกิ
่ ดการแยกกัน ของสารทํ
าใหเกิ
ดเฟสมากกว าหนึ
งเฟส
่
4 : สารละลายจะเกิ
ดจากการรวมกัน ของของเหลวและของแข็ งเป
น เฟสเดี
ยว ของผสมจะเกิดจากการรวมกัน ของสารทํ าให
กลายเป
น เฟสเดี
ยว
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
97 : เส
น Liquidus มี
ความสํ
าคัญอย
างไร
1 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล เฟสจะเป
น เฟสของเหลวทั้ งหมดที อุ
่ณหภูมิ
ต่ากว
ํ าเส
น Liquidus
2 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล อุ
ณหภูมิ
ที
อยู
่ ต่
ากว
ํ าเส
น Liquidus เฟสของเหลวเปลี ยนเป
่ น เฟสของแข็ง
3 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล เฟสของแข็ งชนิดหนึงจะเริ
่ มเกิ
่ ดเปน เฟสของแข็งมากกว าหนึงชนิ
่ ดที
เส
่ น Liquidus
4 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล อุ
ณหภูมิ
สู
งกว าเส
น Liquidus เฟสของเหลวเริ มเกิ
่ ดเป
น เฟสของแข็งทั้
งหมด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
98 : เส
น Solidus มี
ความสํ
าคัญอย
างไร
1 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล เฟสของแข็
งชนิ
ดหนึงจะเริ
่ มเกิ
่ ดเป
น เฟสของแข็
งมากกว
าหนึงชนิ
่ ดที
เส
่ น Solidus
2 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล อุ
ณหภูมิ
ที
อยู
่ ต่
ากว
ํ าเส
น Solidus จะประกอบด
วยเฟสของเหลวและเฟสของแข็ ง
3 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล อุ
ณหภูมิ
ที
อยู
่ ต่
ากว
ํ าเส
น Solidus เฟสของเหลวจะเปลี
ยนเป
่ น เฟสของแข็งทั้
งหมด
4 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล อุ
ณหภูมิ
ที
อยู
่ สู
งกว
าเส
น Solidus จะประกอบด
วยเฟสของแข็งทั้
งหมด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
99 : ข
อใดไม
ใช
ลักษณะของเส
น Solvus
1 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล เฟสของแข็ งชนิดหนึ งจะเริ
่ มเกิ
่ ดเป น เฟสของแข็งมากกวาหนึ งชนิ
่ ดทีเส
่ น Solvus
2 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล อุ
ณหภู มิ
ทีอยู
่ ต่
ากว
ํ าเสน Solvus จะประกอบด วยเฟสของเหลวและเฟสของแข็ ง
3 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ล เส
น Solvus จะเป
น เส
น แสดงขี ดจํากัดการละลาย (Solubility limit) ของเฟสของแข็งสองเฟส
4 : ภายใต
ส ภาวะที
ส มดุ
่ ลอุณหภูมิที
เหนื
่ อเส
น Solvus เปน เฟสของแข็ งทั้
งหมด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
100 : ข
อใดไม
ทํ
าให
เกิ
ด Isomorphous systems
1 : โครงสร
างผลึกของแต ละธาตุมีโครงสร างแบบเดี ยวกัน
2 : ธาตุ
แตละตัวต
องรวมกัน เกิ
ดเป
น สารประกอบ (Compound)
3 : ขนาดของอะตอมทั้ งสองธาตุ มี
ความแตกต างกัน ไม
เกิน 15%
4 : ธาตุ
แตละตัวควรมี
คา Valence electron เหมื
อนกัน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่101 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ
กเกิ
ล (Ni) โลหะผสมประกอบด
วยทองแดง 47%โดยน้
าหนักและนิ
ํ กเกิ
ล 53% โดยน้
าหนัก ที
ํ ่
1300 องศาเซลเซี
ยส ประกอบด
วยเฟสอะไร
1 : เฟสของเหลว
2 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งα
3 : เฟสของแข็ งα
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิ
ด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 13/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่102 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ
กเกิ
ล (Ni) โลหะผสมประกอบด
วยทองแดง 30% โดยน้
าหนักและนิ
ํ กเกิ
ล 70% โดยน้
าหนัก ถู
ํ กให
ความร
อนจากอุ
ณหภู
มิ
ห
อง
อยากทราบว
าเฟสของเหลวเริ
มเกิ
่ ดขึ
น ที
้ อุ
่ณหภู
มิ
ใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
103 : ข
อใดไม
เกี
ยวข
่ องกับการเกิ
ดโครงสร
างแกน (Cored structure)
1 : เกิ
ดในสภาวะที ไม
่ ส มดุล
2 : เกิ
ดจากความเข มข
น ของส
วนประกอบทางเคมี(Chemical composition) ในแต
ละส
วนต
างกัน
3 : สามารถแก ไขได
โดยการทํากรรมวิ
ธี
ทางความร
อน (Heat treatment)
4 : การเย็
น ตัวลงอย
างชาๆ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่104 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ
เกิ
ล (Ni) โลหะผสมประกอบด
วยทองแดง 47%โดยน้าหนักและนิ
ํ เกิ
ล 53%โดยน้าหนักที
ํ ่1300 องศาเซลเซี
ยส ประกอบด
วย
เฟสสองเฟส คือ เฟสของแข็
ง α ซึ
งมี
่ ส
วนประกอบโดยน้
าหนักของทองแดง 42% และ นิ
ํ เกิ
ล 58% และเฟสของเหลวซึ งมี
่ ส
วนประกอบโดยน้าหนักของทองแดง 55% และ นิ
ํ เกิ
ล
45% อยากทราบเปอร
เซ็
น ต
โดยน้
าหนักของเฟสทั้
ํ งสองของโลหะผสมนี
้
1 : เปอร
เซ็
น ต
ข องเฟสของเหลว คื
อ 61.5% และ เปอร
เซ็
น ต
ข องเฟสของแข็
ง α คื
อ 38.5%
2 : เปอร
เซ็
น ต
ข องเฟสของเหลว คื
อ 38.5% และ เปอร
เซ็
น ต
ข องเฟสของแข็
ง α คื
อ 61.5%
3 : เปอร
เซ็
น ต
ข องเฟสของเหลว คื
อ 44.5% และ เปอร
เซ็
น ต
ข องเฟสของแข็
ง α คื
อ 55.5%
4 : เปอร
เซ็
น ต
ข องเฟสของเหลว คื
อ 55.5% และ เปอร
เซ็
น ต
ข องเฟสของแข็
ง α คื
อ 44.5%
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่ 105 : จากแผน ภาพเฟส ข องท อ ง แ ด ง (Cu) – นิ
ก เ กิ
ล (Ni ) ค
า Degree of freedom บ น เ ส
น Li qui dus มี
ค
า เ ท
าใด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 14/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : Degree of freedom = 0
2 : Degree of freedom = 1
3 : Degree of freedom = 2
4 : Degree of freedom = 3
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ขอที
่106 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – สังกะสี(Zn) ในช
วงอุ
ณหภู
มิ
ตั้
งแต500 องศาเซลเซี
ยส ถึ
ง 750 องศาเซลเซี
ยส ของโลหะผสมที
มี
่เปอร
เซ็
น ต
โดยน้าหนักของ
ํ
สั ง ก ะ สีตั้ง แ ต 6 0 % ถึ ง 1 0 0 % มี ป ฏิ กิ ริ ย า I n v a r i a n t ใดเกิ
ดขึน บ
้ าง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อ ที
่ 107 : จากแผนภาพเฟส ของ นิ
ก เ กิ
ล (Ni )- ไ ท ท า เ นี
ยม ( Ti ) มี
ป ฏิ
กิริ
ยา I n va r i a n t ใ ด เ กิ
ด ขึ
้
น บ
าง
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 15/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่108 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – เงิ น (Ag) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง 10% โดยน้ าหนักและเงิ
ํ น 90%โดยน้าหนัก ถู
ํ กให
ความรอนจนเกิ ดเฟสของแข็ง และ
เฟสของเหลว ถ
า ส
ว น ประกอบข องเฟส ข องเหลวประกอบด ว ยเงิ
น (Ag) 85%โดยน้ํ
า หนั ก อยากทราบว า โลหะผส มนี้
ถู
ก ให
ค วามร
อ น ถึ
ง อุ
ณ หภู
มิ
เ ท
าใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
109 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – สังกะสี
(Zn) โลหะผสมประกอบด
วยทองแดง 20%โดยน้
าหนักและสังกะสี
ํ าหนัก ที
ํ
80%โดยน้ ่
598 องศาเซลเซี
ยส ประกอบด
วย
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 16/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
เฟสอะไร
1 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็งδ
2 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็งε
3 : เฟสของแข็
งε
4 : เฟสของเหลว เฟสของแข็
ง δ และเฟสของแข็
งε
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่110 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – เงิ
น (Ag) โลหะผสมประกอบด
วยทองแดง 10%โดยน้าหนัก และเงิ
ํ น 90%โดยน้
าหนัก ถู
ํ กให
ความร
อนจนเกิ ดเฟสของแข็ง β และ
เฟสของเหลว ถ
าส
วนประกอบของเฟสของเหลวประกอบด วยเงิ
น (Ag) 85% โดยน้
าหนัก
ํ อยากทราบวาเฟสของแข็
งβ ประกอบดวยเงิ
น กี
เปอร
่ เซ็
น ต
โดยน้
าหนัก
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
111 :
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 17/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ
กเกิ
ล (Ni) โลหะผสมประกอบด
วยทองแดง 30%โดยน้
าหนักและนิ
ํ เกิ
ล 70%โดยน้
าหนัก ที
ํ ่
1350 องศาเซลเซี
ยส ประกอบด
วยเฟสอะไร
1 : เฟสของเหลว
2 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งα
3 : เฟสของแข็
งα
4 : เฟสของสารประกอบระหว
างทองแดงและนิ
เกิ
ล
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
112 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – สังกะสี
(Zn) โลหะผสมประกอบด
วยทองแดง 20%โดยน้
าหนักและสังกะสี
ํ าหนัก ที
ํ
80%โดยน้ ่
800 องศาเซลเซี
ยส ประกอบด
วย
เฟสอะไร
1 : เฟสของเหลว
2 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งδ
3 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งε
4 : เฟสของแข็
งγ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
113 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – สังกะสี
(Zn) โลหะผสมประกอบด
วยทองแดง 20%โดยน้
าหนักและสังกะสี
ํ าหนัก ที
ํ
80%โดยน้ ่
500 องศาเซลเซี
ยส ประกอบด
วย
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 18/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
เฟสอะไร
1 : เฟสของเหลว
2 : เฟสของแข็
งε
3 : เฟสของแข็
งδ
4 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งε
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
114 : จากแผนภาพเฟสของตะกั่
ว (Pb) – ดี
บุ
ก (Sn) โลหะผสมประกอบด
วยดี
บุ
ก 40%โดยน้
าหนักและตะกั่
ํ ว 60%โดยน้
าหนัก ที
ํ ่150 องศาเซลเซี
ยส ประกอบด
วยเฟสอะไร
บ
าง
1 : เฟสของแข็
งสองชนิ ดคือ (α Pb) และ (βSn)
2 : เฟสของแข็
ง (α Pb) และเฟสของเหลว
3 : เฟสของแข็
ง (βSn) และเฟสของเหลว
4 : เฟสของเหลว
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่115 : จากแผนภาพเฟสของตะกั่
ว (Pb) – ดี
บุ
ก (Sn) โลหะผสมประกอบด
วยดี
บุ
ก 61.9%โดยน้
าหนักและตะกั่
ํ ว 38.1%โดยน้
าหนัก ที
ํ ่183 องศาเซลเซี
ยส ประกอบด
วยเฟส
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 19/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
อะไรบ
าง
1 : เฟสของแข็
งสองชนิ ดคือ (α Pb) และ (βSn) และเฟสของเหลว
2 : เฟสของแข็
ง (α Pb) และเฟสของเหลว
3 : เฟสของแข็
ง (βSn) และเฟสของเหลว
4 : เฟสของแข็
งสองชนิ ดคือ (α Pb) และ (βSn)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อ ที
่ 116 : จ า ก แ ผ น ภ า พ เ ฟ ส ข อ ง ต ะ กั่
ว (P b) – ดี
บุก (S n) บ ริ
เ ว ณ ที
่
เ ป
น α มี
ความหมายว
าอย
างไร
1 : เฟสสารละลายของแข็
ง (α Pb) ที
มี
่โครงสร
างผลึ
กของดี
บุ
กและตะกั่ วอยูร
วมกัน
2 : เฟสสารละลายของแข็
ง (α Pb) ที
มี
่โครงสร
างผลึ
กของตะกั่
ว และมีอะตอมของดี บุ
กแทรกอยูในโครงสร
าง
3 : เฟสสารละลายของแข็
ง (α Pb) ที
มี
่โครงสร
างผลึ
กแตกต
างจากโครงสร างของดี บุ
กและตะกั่
ว
4 : เฟสสารละลายของแข็
ง (α Pb) ที
มี
่โครงสร
างผลึ
กของดี
บุ
ก และมี อะตอมของตะกั่ วแทรกอยูในโครงสร
าง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
117 : ข
อใดไม
ใช
ลักษณะของโครงสร
างจุ
ลภาคของส
วนประกอบ Eutectic
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 20/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : Lamellar
2 : Rodlike
3 : Globular
4 : Homogeneous
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
118 : ปฏิ
กิ
ริ
ยาต
อไปนี
้
ข
อใดไม
ใช
ปฏิ
กิ
ริ
ยา Invariant
1 : Eutectic reaction
2 : Monotectic reaction
3 : Peritectoid reaction
4 : Oxidation reaction
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่ 119 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ
กเกิ
ล (Ni) ค
า Degree of freedom ระหว
างเส
น Solidus และ Liquidus มี
ค
าเท
า ใด
1 : Degree of freedom = 0
2 : Degree of freedom = 1
3 : Degree of freedom = 2
4 : Degree of freedom = 3
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
120 : ข
อใดต
อไปนี
เป
้ น ปฏิ
กิ
ริ
ยา Monotectic
1:
2:
3:
4:
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
121 : กรรมวิ
ธี
การชุ
บที
ใช
่ ตัวกลางชนิ
ดใดต
อไปนี
้
ทีทํ
่าให
เกิ
ดอัตราการคายความร
อนจากชิ
น งานมากที
้ สุ
่ด
1 : อากาศปกติ
2 : อากาศในเตาอบ
3 : น้
าเปล
ํ า
4 : น้
ามัน
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
122 : กรรมวิ
ธี
การอบชนิ
ดใดต
อไปนี
้
ทําให
ชิ
น งานมี
้ ความแข็
งแรงสู
งที
สุ
่ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
123 : ในการอบอ
อนเต็
มที
่
(Full annealing) ชิ
น งานถู
้ กทํ
าให
เย็
น ลงด
วยตัวกลางชนิ
ดใด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 21/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : อากาศปรกติ
น อกเตาอบ
2 : อากาศในเตาอบ
3 : น้
าเปล
ํ า
4 : น้
ามัน
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
124 : ในการอบปรกติ
(Normalizing) ชิ
น งานถู
้ กทํ
าให
เย็
น ลงด
วยตัวกลางชนิ
ดใด
1 : อากาศปรกติ
น อกเตาอบ
2 : อากาศในเตาอบ
3 : น้
าเปล
ํ า
4 : น้
ามัน
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
125 : ข
อใดคื
อโครงสร
างที
ได
่ จากการเย็
น ตัวอย
างช
าๆ ของเหล็
กกล
าคาร
บอนต่
าที
ํ มี
่โครงสร
างออสเทไนต
(Austenite)
1 : เพอร
ไลต(Pearlite) และ เฟรไรต
(Ferrite)
2 : เพอร
ไลต(Pearlite) และ ซีเมนไทต(Cementite)
3 : เบไนต(Bainite)
4 : มาร
เทนไซต (Martensite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที่ 126 : จากแผนภาพการแปลงคงอุ
ณหภูมิ (Isothermal transformation diagram) ของเหล็ กกล
าคาร
บอน 1.13 wt%C ข อใดคื
อโครงสร างสุดทายของชิน งานเหล็
้ กกลา
คาร
บอน 1.13 wt%C ขนาดเล็กที
ถู
่กอบทีอุ
่ณหภูมิ920 องศาเซลเซี ยส จนมี โครงสรางเป
น ออสเทไนต(Austenite) ตลอดทั้
งชิ
น ก
้ อนทําใหเย็
น ตัวลงอยางรวดเร็
ว จนชิน งานมี
้
อุณ ห ภูมิ 4 0 0 อ ง ศ า เ ซ ล เ ซี ยส แ ล ะ แ ช ชิ
้
น ง า น ไ วที่
อุณ ห ภู มินี
้
น า น 1 น า ที ก อ น ทํา ใ หเ ย็น ตั ว ถึง อุ
ณ ห ภู มิห อง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
127 : ข
อใดคื
อวัตถุ
ประสงค
ข องการอบปรกติ
(Normalizing)
1 : เพื
อปรับปรุ
่ งสมบัติเชิ
งกลใหดี
ขึ
น
้
2 : เพื
อปรับปรุ
่ งโครงสรางให
ส ม่
าเสมอ
ํ
3 : เป
น การทํ
าลายความเครียดภายใน
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
128 : ข
อใดคื
อวัตถุ
ประสงค
ข องการอบอ
อน (Annealing)
1 : เพื
อเพิ
่ มความแข็
่ งแรง
2 : เพื
อให
่ ได
โครงสร างทีมี
่ความออนตัวสู
ง
3 : เพื
อเพิ
่ มความแข็
่ งให
กับวัส ดุ
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 22/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
129 : ข
อใดคื
อป
จจัยที
มี
่ผลต
อความแข็
งของเหล็
กกล
าคาร
บอนปานกลาง
1 : ปริมาณคาร บอน
2 : อุณหภู มิ
ก
อนการชุ บแข็
ง
3 : อัตราการชุบแข็ ง
4 : ขอ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
130 : โครงสร
างเพอร
ไลต
(Pearlite) ในเหล็
กกล
าเป
น โครงสร
างที
ได
่ จากปฏิ
กิ
ริ
ยาอะไร
1 : ยู
เทกติก (Eutectic)
2 : ยู
เทกทอยด (Eutectoid)
3 : เพริ
เทกติก (Peritectic)
4 : เพริ
เทกทอยด (Peritectoid)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที่
131 :
ในภาวะสมดุล ณ อุ
ณหภูมิ
ต่ากว
ํ าอุ
ณหภู
มิ
ยู
เทคทอยด
เล็
กน
อย โครงสร
างเหล็
กกล
าคาร
บอนต่
า (0.2wt%C) ประกอบด
ํ วยโครงสร
างของเฟสกึ
งเสถี
่ ยร (Metastable phase) ใดบ
าง
และเกิ
ดขึ
น ในปริ
้ มาณเท
าใด
1 : เฟร
ไรต
(Ferrite) 80% และ เพอร
ไลต
(Pearlite) 20%
2 : เฟร
ไรต
(Ferrite) 20% และ เพอร
ไลต
(Pearlite) 80%
3 : เฟร
ไรต
(Ferrite) 75% และ เพอร
ไลต
(Pearlite) 25%
4 : เฟร
ไรต
(Ferrite) 25% และ เพอร
ไลต
(Pearlite) 75%
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
132 : ลักษณะโครงสร
างบริ
เวณรอบรอยเชื
อม (HAZ) ในเหล็
่ กกล
าคาร
บอนต่
าส
ํ วนที
ติ
่ดกับบริ
เวณหลอมเหลว (Fusion zone) ของรอยเชื
อมคื
่ อ ข
อใดต
อไปนี
้
1 : โครงสร
างมี
ข นาดเกรนหยาบ
2 : โครงสร
างมี
ข นาดเกรนละเอี ยด
3 : โครงสร
างเป
น มาร
เทนไซต (Martensite)
4 : โครงสร
างเป
น เบไนต(Bainite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่133 : จากแผนภาพเฟสดี
บุ
ก-ตะกั่
ว โครงสร
างของโลหะผสมดี
บุ
กและตะกั่
วที
อุ
่ณหภู
มิ
ต่
ากว
ํ า 183˚C เล็
กน
อย ประกอบดวยเฟส Proeutectic α 73.2% โดยน้ าหนัก และเฟส
ํ
ข อ ง E u t e c t i c ( α + β) 26.8% โ ด ย น้
ํ
า ห นั ก สว น ผ ส ม ข อ ง โ ล ห ะ นี
้
คือ ข
อใด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 23/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : ดี
บุ
ก 20% และตะกั่
ว 80% โดยน้
าหนัก
ํ
2 : ดี
บุ
ก 25% และตะกั่
ว 75% โดยน้
าหนัก
ํ
3 : ดี
บุ
ก 30% และตะกั่
ว 70% โดยน้
าหนัก
ํ
4 : ดี
บุ
ก 35% และตะกั่
ว 65% โดยน้
าหนัก
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
134 : จากแผนภาพเฟสดี
บุ
ก-ตะกั่
ว โลหะผสมของดี
บุ
ก 85% และตะกั่
ว 15% โดยน้
าหนัก จํ
ํ านวน 750 กรัมที
อุ
่ณหภู
มิ
สู
งกว
า 183˚C เล็
กน
อย ประกอบด
วยเฟส Proeutectic β
กี
กรัม
่
1 : 323.4
2 : 482.6
3 : 526.7
4 : 651.2
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่135 : จากแผนภาพเฟสดี
บุ
ก-ตะกั่
ว โลหะผสมของดี
บุ
ก 85% และตะกั่
ว 15% โดยน้
าหนัก จํ
ํ านวน 750 กรัมที
อุ
่ณหภู
มิ
ต่
ากว
ํ า 183˚C เล็
กน
อย ประกอบด
วยเฟส α กี
กรัม
่
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 24/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : 323.65
2 : 240.64
3 : 120.75
4 : 94.36
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที่136 : จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – เงิ
น (Ag) โครงสร
างของโลหะผสมทองแดงและเงิ
น ทีอุ
่ณหภูมิ
ต่
ากว
ํ า 779˚C เล็
กน
อย ประกอบดวยเฟส Proeutectic α 68%
โ ด ย น้
ํา ห นั ก แ ล ะ เ ฟ ส ข อ ง Eutectic (α + β) 32% โ ด ย น้
ํ
า ห นั ก สว น ผ ส ม ข อ ง โ ล ห ะ นี
้คื อ ข
อ ใ ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
137 : โลหะผสมของทองแดง 70% และ เงิ
น 30% โดยน้
าหนัก จํ
ํ านวน 800 กรัม ที
อุ
่ณหภู
มิ
ต่
ากว
ํ า 779 องศาเซลเซี
ยส เล็
กน
อย จะมี
เฟสใดเกิ
ดขึ
น บ
้ างและเกิ
ดขึ
น เป
้ น จํ
านวน
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 25/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
เท
าใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
138 : โลหะผสมของทองแดง 70% และ เงิ
น 30% โดยน้
าหนัก จํ
ํ านวน 800 กรัม ที
อุ
่ณหภู
มิ
สู
งกว
า 779 องศาเซลเซี
ยส เล็
กน
อย จะมี
เฟสใดเกิ
ดขึ
น บ
้ างและเกิ
ดขึ
น เป
้ น จํ
านวน
เท
าใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อ ที
่ 139 : จากแผนภาพเฟสของ นิ
ก เ กิ
ล (Ni )- ไ ท ท า เ นี
ยม ( Ti ) ข
อ ใ ด คื
อ ป ฏิ
กิริ
ยา E u t e c t i c ที
เกิ
่ ดขึ
น
้
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 26/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1:
2:
3:
4:
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อ ที
่ 140 : จากแผนภาพเฟส ของ นิ
ก เ กิ
ล (Ni ) - ไ ท ท า เ นี
ยม ( Ti ) ข
อ ใ ด คื
อ ป ฏิ
กิริ
ยา P e r i t e c t i c ที
เกิ
่ ดขึ
น
้
1:
2:
3:
4:
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 27/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่141 : ในระบบ Ternary ซึงประกอบด
่ วยส วนประกอบ 3 ชนิ
ด อยากทราบว
าถ
าให
อุ
ณหภู
มิ
ส ามารถเปลี
ยนแปลงได
่ แต
ความดัน มี
ค
าคงที
่จะมี
จํ
านวนเฟสเกิ
ดขึ
น ได
้ มากที
สุ
่ด
พร
อมกัน กี
เฟสที
่ อุ
่ณหภู
มิ
และส วนประกอบเดี
ยวกัน
1 :5
2 :4
3 :3
4 :2
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
142 : จากแผนภาพเฟสทองแดง-เงิ
น ถ
าโลหะผสมของทองแดง 70% และ เงิ
น 30% โดยน้
าหนัก จํ
ํ านวน 800 กรัม ที
อุ
่ณหภู
มิ
800 องศาเซลเซี
ยส จะมี
เฟสใดเกิ
ดขึ
น บ
้ างและ
เกิ
ดขึ
น เป
้ น จํ
านวนเท
าใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
143 : ข
อใดต
อไปนี
ไม
้ ใช
เฟสในเหล็
กกล
าคาร
บอน (Carbon steel)
1 : เหล็กบริ
สุ ทธิ์
2 : เฟรไรต(Ferrite)
3 : ซีเมนไทต (Cementite)
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิ ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
144 : ซี
เมนไทต
(Cementite) ในเหล็
กกล
าคาร
บอนเป
น เฟส (Phase) ชนิ
ดใด
1 : ธาตุ
บริ
สุทธิ
์
2 : สารละลายของแข็ง (Solid solution)
3 : สารประกอบ (Compound)
4 : สารประกอบระหว
างโลหะ (Intermetallic compound)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อ ที
่ 145 : เ ห ล็
ก ก ล
า ค า ร
บอน 0. 8wt % C ชุ
บ ใ น น้
ํ
า เ ย็
น จ า ก อุ
ณ ห ภู
มิ 1 0 0 0 อ ง ศ า เ ซ ล เ ซี
ยส จ ะ ไ ด
โ ค ร ง ส ร
างใด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 28/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : มาร
เทนไซต (Martensite)
2 : เฟร
ไรต
(Ferrite)
3 : เพอร
ไลต(Pearlite)
4 : ออสเทไนต (Austenite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อ ที
่ 146 : โ ล ห ะ ผ ส ม ใ น ข
อ ใ ด ต
อ ไ ป นี
้
ที่
ส า ม า ร ถ เ พิ
่
ม ค ว า ม แ ข็
ง แ ร ง โ ด ย ก า ร บ
ม แ ข็
ง (Age hardening) ไ ด
1 : Al + 4wt%Cu
2 : Al + 8wt%Cu
3 : Al + 12wt%Cu
4 : Al + 16wt%Cu
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อ ที
่ 147 : เ ฟ ส ข อ ง แ ข็
ง เ ฟ ส แ ร ก ที
่
เ กิ
ด จ า ก ก า ร แ ข็
ง ตั ว จ า ก ส ภ า ว ะ ข อ ง เ ห ล ว ข อ ง Al+20wt %Si คื
อ ข
อใด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 29/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : (Al)
2 : (Si)
3 : Eutectic ((Al)+(Si))
4 : สารประกอบอะลู มิ
เนียมซิ
ลิ
ไซด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อ ที
่ 148 : โ ค ร ง ส ร
า ง ง า น ห ล
อ ท อ ง เ ห ลื
อ ง (Zn+ 20wt %Cu) โ ด ย ทั่
ว ไ ป จ ะ เ ป
น ดั ง ใ น ข
อ ใ ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 30/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
149 : ช
วงการแข็
งตัว (Freezing range) ของโลหะผสม Cu + 40wt%Ni มี
ค
าประมาณเท
าใด
1 : 10 องศาเซลเซี
ยส
2 : 40 องศาเซลเซี
ยส
3 : 100 องศาเซลเซี
ยส
4 : 150 องศาเซลเซี
ยส
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่ 150 : โลหะผสม Cu + 40wt%Ni แข็
งตัวอย
างช
าๆ ในภาวะสมดุ
ล การแข็
งตัวจะเริ
มต
่ น และสิ
น สุ
้ ดที
อุ
่ณหภู
มิ
ใดโดยประมาณ ยส)
(องศาเซลเซี
1 : เริ
มต
่ น 1455 สิ
น สุ
้ ด 1085
2 : เริ
มต
่ น 1455 สิ
น สุ
้ ด 1240
3 : เริ
มต
่ น 1280 สิ
น สุ
้ ด 1240
4 : เริ
มต
่ น 1280 สิ
น สุ
้ ด 1085
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่151 : โครงสร
างที
เกิ
่ ดขึ
น จากการแข็
้ งตัวของโลหะผสม Pb + 30wt%Sn ในภาวะสมดุ
ล ประกอบด
วยโครงสร
างยู
เทกติ
ก (Eutectic microconstituent) ประมาณเท
าใด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 31/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : 16%
2 : 26%
3 : 36%
4 : 46%
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
152 : ข
อมู
ลในข
อใดต
อไปนี
ที
้ไม
่ ส ามารถหาได
จากแผนภาพเฟส (Phase diagram)
1 : ชนิดของเฟสในภาวะสมดุ
ล
2 : ส
วนผสมของเฟสในภาวะสมดุ ล
3 : ปริ
มาณของเฟสในภาวะสมดุล
4 : รู
ปร
างของเฟสในภาวะสมดุ
ล
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
153 : โครงสร
างที
ได
่ จากกระบวนการมาร
เทมเปอริ
ง (Martempering) คื
่ อโครงสร
างใด
1 : เฟร
ไรต(Ferrite)
2 : เพอร
ไรต (Pearite)
3 : เบไนต(Bainite)
4 : มาร
เทนไซต (Martensite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
154 : ธาตุ
ใดส
งเสริ
มให
เกิ
ดแกรไฟต
(Graphite) แทนที
จะเกิ
่ ดคาร
ไบด
(Carbide) ในเหล็
กหล
อ
1 : Cr
2 : Mn
3 : Mo
4 : Si
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
155 : วัตถุ
ประสงค
หลักของการอบคื
น ไฟ (Tempering) คื
อข
อใด
1 : เพิ
มความแข็
่ งให
กับเพอรไลต(Pearlite)
2 : เพิ
มความแข็
่ งให
กับมารเทนไซต (Martensite)
3 : เพิ
มความเหนี
่ ยวใหกับเพอร
ไลต(Pearlite)
4 : เพิ
มความเหนี
่ ยวใหกับมาร
เทนไซต (Martensite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
156 : การอบปรกติ
(Normalizing) สํ
าหรับเหล็
กกล
า 0.2wt%C ควรอบที
อุ
่ณหภู
มิ
ใด (องศาเซลเซี
ยส)
1 : 700
2 : 800
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 32/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
3 : 950
4 : 1050
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่ 157 : อุ
ณ หภู
มิ
ที
่
เ หมาะส มใน การบ
ม เพื
่
อ เพิ
่
ม ความแข็
ง (Aging) สํ
า หรั บ โ ล ห ะ ผ ส ม Al + 4wt % Cu คื
อ ข
อใด (อ ง ศ า เ ซ ล เ ซี
ยส )
1 : 200
2 : 400
3 : 500
4 : 600
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อ ที
่ 158 : ใ น ก า ร ห ล
อโลห ะ ผ ส ม Cu + 10wt %Sn จ ะ เ กิ
ด ป ฏิ
กิริ
ย า เ พ ริ
เ ท ก ติ
ก (Peritectic) ไ ด
ห รื
อ ไ ม
1 : ไม
ส ามารถเกิ
ดไดเพราะส
วนผสมไม ใชส
วนผสมเพริ เทกติ
ก
2 : ไม
ส ามารถเกิ
ดไดเพราะปริมาณดีบุกนอยเกิน ไป
3 : สามารถเกิดได
ในกรณีทีการแข็
่ งตัวเป
น ไปอยางไม ส มดุ
ล
4 : สามารถเกิดได
ในทุกกรณี ไม
ว
าการแข็ งตัวจะเปน แบบสมดุลหรื
อไม
ก็
ตาม
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 33/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
159 : โครงสร
างงานหล
อของโลหะชนิ
ดใดต
อไปนี
ที
้จะไม
่ มี
เดนไดรต
(Dendrite) ปรากฏให
เห็
น อย
างชัดเจน
1 : ทองเหลื
อง
2 : อะลู
มิ
เนี
ยมผสมซิ ลิ
คอน
3 : เหล็
กกล
าคารบอนต่า
ํ
4 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
ม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่160 : การเปลี
ยนเฟสจากออสเทไนต
่ (Austenite) เป
น เบไนต(Bainite) ของเหล็
กกล
าคาร
บอน 0.8wt%C ที
อุ
่ณหภู
มิ300 องศาเซลเซี
ยส เกิ
ดขึ
น ได
้ ค
อนข
างช
า เพราะเหตุ
ใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
เนื
อหาวิ
้ ชา : 243 : 06 Mechanical properties and testing
ข
อที
่161 : แท
งทองเหลื
องทรงกระบอกขนาดเส
น ผ
านศู
น ย
กลาง 10 มม. ยาว 150 มม. ได
รับความร
อนที
อุ
่ณหภู
มิ
ห
อง (25 องศาเซลเซี
ยส) จนมี
อุ
ณหภู
มิ
ถึ
ง 160 องศา
เซลเซี
ยส ทําใหเส
น ผ
านศู น ย
กลางของแท
งทองเหลื
องมี
ข นาดเพิ
มขึ
่ น เท
้ าไร กํ
าหนดให
ค
าสัมประสิ
ทธิ
การขยายตัวทางความร
์ อนของทองเหลื
อง คื ยส x 10 -6)
อ 20.0 (องศาเซลเซี
และค
า Poisson’s Ratio = 0.34
1 : 0.0095 มม.
2 : 0.0270 มม.
3 : 0.0345 มม.
4 : 0.0375 มม.
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
162 : วัส ดุ
ส
วนใหญ
ในกลุ
มใดที
เปราะ (Brittle) มากที
่ สุ
่ด
1 : โลหะ
2 : เซรามิ ก
3 : พอลิ เมอร
4 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
163 : วัส ดุ
ส
วนใหญ
ในกลุ
มใดมี
ส ภาพยื
ดหยุ
น ได
(Ductile) มากที
สุ
่ด
1 : โลหะ
2 : เซรามิ ก
3 : พอลิ เมอร
4 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
164 : วัส ดุ
ส
วนใหญ
ในกลุ
มใดมี
ความแข็
งตึ
ง (Stiffness) มากที
สุ
่ด
1 : โลหะ
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 34/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
2 : เซรามิ ก
3 : พอลิ เมอร
4 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
165 : การคื
บ (Creep) หมายถึ
ง การเสี
ยรู
ปที
อุ
่ณหภู
มิ
สู
งในลักษณะใด
1 : การเสี
ยรู
ปถาวรของวัส ดุ(Plastic deformation) เนื
องจากได
่ รับแรงดึงเกิน จุดคราก (Yield point)
2 : การเสี
ยรู
ปชั่
วคราวของวัส ดุ(Elastic deformation) เนื
องจากได
่ รับแรงดึงเกิ น จุ
ดคราก (Yield point)
3 : การเสี
ยรู
ปถาวรของวัส ดุ(Plastic deformation) เนื
องจากได
่ รับแรงดึงต่ากว
ํ าจุดคราก (Yield point)
4 : การเสี
ยรู
ปชั่
วคราวของวัส ดุ(Elastic deformation) เนื
องจากได
่ รับแรงดึงต่ ากว
ํ าจุ
ดคราก (Yield point)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
166 : ความล
า (Fatigue) หมายถึ
งเหตุ
การณ
ใด
1 : การยื
ดตัวอย
างช
าๆ ของวัส ดุ
2 : การแตกหักของวัส ดุ
เนื
องจากได
่ รับแรงดึ
ง
3 : การแตกหักของวัส ดุ
เนื
องจากได
่ รับแรงกด
4 : การแตกหักของวัส ดุ
เนื
องจากได
่ รับแรงแบบซ้
าไปซ้
ํ ามา
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
167 : วัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
มี
้ความแข็
ง (Hardness) มากที
สุ
่ด
1 : เหล็
กหล
อขาว
2 : เหล็
กกล
าเครื
องมื
่ อ
3 : เพชรตามธรรมชาติ
4 : แท
งนาโนเพชร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
168 : ภายใต
แรงดึ
งอย
างไรที
ทํ
่าให
เหล็
กกล
าคาร
บอนต่
าเสี
ํ ยรู
ปอย
างไม
ส ม่
าเสมอ (Non-uniform deformation)
ํ
1 : ใช
แรงดึ
งน
อยกว
าความต
านแรงคราก (Yield strength)
2 : ใช
แรงดึ
งมากกว
าความต
านแรงคราก (Yield strength)
3 : ใช
แรงดึ
งน
อยกว
าความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength)
4 : ใช
แรงดึ
งมากกว
าความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
169 : สมบัติ
ใดบ
งชี
ถึ
้งพลังงานที
วัส ดุ
่ ดู
ดกลื
น ไว
ก
อนที
จะเสี
่ ยรู
ปอย
างถาวร (Plastic deformation)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
170 : สมบัติ
ใดบ
งชี
ถึ
้งพลังงานที
วัส ดุ
่ ดู
ดกลื
น ไว
ก
อนที
ชิ
่น งานแตกหัก
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่ 171 : สมบัติใดบ
งชี
การเปลี
้ ยนแปลงขนาดของแท
่ งโลหะตามทิ
ศทางการดึ
งเที
ยบกับขนาดเดิ
มในทิ
ศทางนั้
น ต
อการเปลี
ยนแปลงขนาดของแท
่ งโลหะในทิ
ศทางตั้
งฉากกับ
ทิ
ศทางการดึ
งเที
ยบกับขนาดเดิ
มในทิ
ศทางนั้
น
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
172 : เซรามิ
กสามารถรับแรงชนิ
ดใดได
ดี
ที
สุ
่ด
1 : แรงดึง (Tension)
2 : แรงอัด (Compression)
3 : แรงบิด (Torsion)
4 : แรงกระแทก (Impact)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 35/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
173 : ชิ
น งานในลักษณะใดที
้ เสี
่ ยรู
ปด
วยการดึ
งได
ยากที
สุ
่ด
1 : ชิ
น งานที
้ มี
่ความแข็งแรงสูง (Strength)
2 : ชิ
น งานที
้ มี
่ความแข็งตึงมาก (Stiffness)
3 : ชิ
น งานที
้ มี
่ความเหนียวมาก (Toughness)
4 : ชิ
น งานที
้ มี
่ส ภาพดึ
งยืดไดมาก (Ductility)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
174 : การทดสอบใดที
เหมาะสมสํ
่ าหรับหาค
าความเหนี
ยว (Toughness) ของวัส ดุ
มากที
สุ
่ด
1 : Impact test
2 : Tension test
3 : Creep test
4 : Hardness test
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
175 : เครื
องวัดความแข็
่ งแบบบริ
เนลเหมาะสมสํ
าหรับวัดความแข็
งของวัส ดุ
ชนิ
ดใดต
อไปนี
มากที
้ สุ
่ด
1 : เหล็
กหล อเทา
2 : ยางพารา
3 : ไม
ส ัก
4 : พลาสติ ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที่176 : แทงโลหะผสมของอลู มิ
เนี
ยมมี
เส
น ผ
านศูน ย
กลาง 15 มิ ลลิเมตร นําไปทดสอบด
วยแรงดึ
ง (Tension) 24.5 กิ
โลนิ
วตัน ถ
าเส
น ผ
านศู
น ย
กลางของโลหะผสมนี
กลายเป
้ น
14.5 มิ
ลลิ
เมตร จงหาคาความเค
น ทางวิ
ศวกรรม (Engineering stress) ในหนวย MPa
1 : 139
2 : 148
3 : 160
4 : 183
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
177 : วัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
มี
้ความแข็
งแรง (Strength) มากที
สุ
่ด
1 : ทอนาโนคาร
บอน
2 : เหล็กหล
อเทา
3 : ไททาเนียมผสมนิเกิ
ล
4 : เพชร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
178 : ข
อใดถู
กต
อง
1 : ความเค
น จริ
ง คื
อ แรงกระทํ
าตอหนึงหน
่ วยพื
น ที
้ ข องชิ
่ น งานเริ
้ มต
่ น ก
อนรับแรง
2 : ความเค
น ทางวิศวกรรม คื
อ แรงกระทําต
อหนึ
งหน
่ วยพื
น ที
้ ข องชิ
่ น งานในขณะใด ๆ
้
3 : ความเครี
ยดจริง คื
อ การเปลียนแปลงความยาวของชิ
่ น งานต
้ อหนึ งหน
่ วยความยาวของชิน งานเริ
้ มต
่ น ก
อนการเปลียนแปลง
่
4 : ความเครี
ยดทางวิ ศวกรรม คื
อ การเปลียนแปลงความยาวของชิ
่ น งานต
้ อหนึ งหน
่ วยความยาวของชิน งานเริ
้ มต
่ น ก
อนการเปลี
ยนแปลง
่
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที ่179 : วัส ดุ
ชิ
น หนึ
้ งมี
่ ความต านแรงคราก (Yield strength) เท
ากับ 300 MPa เมื
อนํ
่ าวัส ดุ
ชิ
น นี
้ มารับแรงซึ
้ งก
่ อให
เกิ
ดความเค
น เท
ากับ 200 MPa โดยเป
น การรับแรงดึ
งสลับกับ
การรับแรงอัด ซึงอาจทํ
่ าให
วัส ดุ
ชิ
น ดังกล
้ าวมี
โอกาสทีจะเกิ
่ ดการแตกหักประเภทใดมากที สุ
่ด
1 : แตกหักแบบเปราะ
2 : แตกหักแบบเหนี ยว
3 : ความลา (Fatigue)
4 : ความคืบ (Creep)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
1 : 500 GPa
2 : 50 GPa
3 : 5 GPa
4 : 0.5 GPa
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
181 : ภายใต
แรงดึ
ง (Tension) อย
างไรที
ทํ
่าให
ชิ
น งานเสี
้ ยรู
ปแบบยื
ดหยุ
น (Elastic deformation)
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 36/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : ใช
แรงดึ
งน
อยกว
าความต
านแรงคราก (Yield strength)
2 : ใช
แรงดึ
งมากกว
าความต
านแรงคราก (Yield strength)
3 : ใช
แรงดึ
งน
อยกว
าความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength)
4 : ใช
แรงดึ
งมากกว
าความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
182 : ภายใต
แรงดึ
ง (Tension) อย
างไรที
ทํ
่าให
ชิ
น งานเสี
้ ยรู
ปอย
างถาวร (Plastic deformation)
1 : ใช
แรงดึ
งน
อยกว
าความต
านแรงคราก (Yield strength)
2 : ใช
แรงดึ
งมากกว
าความต
านแรงคราก (Yield strength)
3 : ใช
แรงดึ
งน
อยกว
าความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength)
4 : ใช
แรงดึ
งมากกว
าความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
183 : ภายใต
แรงดึ
ง (Tension) อย
างไรที
ทํ
่าให
ชิ
น งานอะลู
้ มิ
เนี
ยมเสี
ยรู
ปอย
างถาวรและสม่
าเสมอตลอดทั้
ํ งชิ
น งาน (Uniform-plastic deformation)
้
1 : ใช
แรงดึ
งน
อยกว
าความต
านแรงคราก (Yield strength)
2 : ใช
แรงดึ
งมากกว
าความต
านแรงคราก (Yield strength)
3 : ใช
แรงดึ
งมากกว
าความต
านแรงคราก (Yield strength) แต
น
อยกว
าความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength)
4 : ใช
แรงดึ
งมากกว
าความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
184 : ข
อใดกล
าวผิ
ด เกี
ยวกับการแตกหักของวัส ดุ
่
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
185 : ความสามารถในการเปลี
ยนแปลงรู
่ ปร
างของวัส ดุ
ก
อนการแตกหัก หมายถึ
ง สมบัติ
ข
อใด
1 : ความเหนียว (Toughness)
2 : สภาพดึงยืดได (Ductility)
3 : ความยื
ดหยุ น (Resilience)
4 : ความล
า (Fatigue)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
186 : ข
อใดกล
าวผิ
ด เกี
ยวกับกฎของฮุ
่ ก (Hooke’s law)
1 : ความสัมพัน ธ
ข องความเคน (Stress) และความเครี
ยด (Strain) ที แปรผัน ตรงซึ
่ งกัน และกัน
่
2 : ค
าคงทีข องการแปรผัน ที
่ เป
่ น ไปตามกฎของฮุ ก คื
อ ค
ามอดุ ลัส สภาพยืดหยุ น (Modulus of elasticity)
3 : การเสี
ยรู
ปที เกิ
่ ดขึน ซึ
้ งความเค
่ น (Stress) และความเครียด (Strain) แปรผัน ตรงซึ งกัน และกัน นี
่ ้
เรียกวา การเสี
ยรู
ปอย
างถาวร (Plastic deformation)
4 : ค
ามอดุลัส สภาพยืดหยุน เป
น ค
าทีบอกถึ
่ งความแข็งตึง (Stiffness) ของวัส ดุ
ในการต านทานต อการเสี ยรู
ปแบบยื ดหยุ
น (Elastic deformation) ของวัส ดุ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
187 : ความล
า (Fatigue) ของวัส ดุ
หมายถึ
งอะไร
1 : การยื ดตัวทีละน
อย เนืองจากวัส ดุ
่ รับแรงเป
น เวลานาน
2 : วัส ดุ
มี
ความแข็ งแรงลดลง เนื องจากรับแรงซ้
่ าซาก
ํ
3 : การสึ กหรอของชิ น งาน เนื
้ องจากรับแรงซ้
่ าซากเป
ํ น เวลานาน
4 : การแตกร าวของชิน งาน เนื
้ องจากรับแรงซ้
่ าซากเป
ํ น เวลานาน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
188 : การทดสอบความแข็
งของเหล็
กหล
อเทา (Gray cast iron) ควรใช
วิ
ธี
ทดสอบแบบใด
1 : บริ
เนลล(Brinell)
2 : วิ
กเกอร
ส (Vickers)
3 : รอคเวลล ซี(Rockwell C)
4 : รอคเวลล เอ (Rockwell A)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
189 : สภาพดึ
งยื
ดได
(Ductility) ของโลหะสามารถทดสอบได
โดยวิ
ธี
ใด
1 : การทดสอบโดยใช
แรงดึง (Tensile test)
2 : การทดสอบความแข็
ง (Hardness test)
3 : การทดสอบโดยใช
แรงกระแทก (Impact test)
4 : การทดสอบความล
า (Fatigue test)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 37/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที่190 : จงคํ
านวณคาความเครี
ยดทางวิ
ศวกรรม (Engineering strain) ของวัส ดุ
รู
ปร
างเป
น แท
งยาว 2.2 เมตร และพื
น ที
้ หน
่ าตัดเป
น รู
ปสี
เหลี
่ ยมจัตุ
่ รัส มี
ความยาวแต
ละด
านเท
ากับ
50 มิ
ลลิ
เมตร เมื
อนํ
่ าไปรับแรงดึ
งปรากฏว
าความยาวเพิ
มขึ
่ น เป
้ น 2.202 เมตร
1 : 0.09
2 : 0.009
3 : 0.0009
4 : 0.00009
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
191 : จงคํ
านวณค
าความเค
น ทางวิ
ศวกรรม (Engineering stress) ของวัส ดุ
รู
ปทรงกระบอกเส
น ผ
านศู
น ย
กลาง 10 มิ
ลลิ
เมตร ยาว 1 เมตร และถู
กรับแรงดึ
งขนาด 50,000 N
1 : 640 GPa
2 : 640 MPa
3 : 640 kPa
4 : 640 Pa
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที่192 : ลวดทองแดงยาว 500 มิ ลลิเมตร มีคามอดุ
ลัส ของสภาพยื
ดหยุ
น (Modulus of elasticity) 110 GPa ถู
กดึ
งด
วยแรงดึ
งจนมี
ความเค
น 350 MPa หากการเสี
ยรู
ปที
เกิ
่ ดขึ
น นี
้ ้
เป
น การเสี
ยรู
ปแบบยืดหยุ
น (Elastic deformation) ลวดทองแดงจะถู
กยื
ดออกจนมี
ความยาวเปลี ยนแปลงไปจากเดิ
่ มกี
มิ
่ลลิ
เมตร
1 : 0.016
2 : 0.16
3 : 1.6
4 : 16
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ขอที่
193 : เมื
อนํ
่ าวัส ดุA และวัส ดุ
B มาทดสอบแรงดึ
งได
ความสัมพัน ธ
ระหว
างความเค
น และความเครี
ยดดังรู
ป จากผลการทดสอบ ข
อใดต
อไปนี
เปรี
้ ยบเที
ยบสมบัติ
ข องวัส ดุ
A และ
วัส ดุ
B ไดถู
กตองทีสุ
่ ด
1 : วัส ดุ
A มี
ความแข็งตึง (Stiffness) มากกวาวัส ดุB
2 : วัส ดุ
A มี
ความเหนียว (Toughness) มากกว าวัส ดุB
3 : วัส ดุ
A มี
ความยื
ดหยุ น (Resilience) มากกว
าวัส ดุB
4 : วัส ดุ
A มี
ส ภาพดึ
งยืดได (Ductility) มากกว
าวัส ดุ B
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที่194 : แท
งโลหะมี
พื
น ที
้ หน
่ าตัดเป
น รู
ปสี เหลี
่ ยมจัตุ
่ รัส มีความยาวดานเท
ากับ 25 เซนติเมตร ทําจากเหล็กกลาเกรด 1020 ซึ
งมี
่ ค
าความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength) เท
ากับ
380 MPa และคาความต
านแรงคราก (Yield strength) เทากับ 180 MPa เมื
อแท
่ งโลหะนีได
้ รับแรงดึ
ง 25,000 นิ
วตัน จะเกิ
ดการเสี
ยรู
ปอย
างไร
1 : เกิ
ดการเสี
ยรู
ปแบบยืดหยุ
น
2 : เกิ
ดการเสี
ยรู
ปอย
างถาวรโดยเสี
ยรู
ปอย
างสม่
าเสมอตลอดทั้
ํ งชิน งาน
้
3 : เกิ
ดการเสี
ยรู
ปอย
างถาวรโดยเสี
ยรู
ปอย
างไม
ส ม่
าเสมอตลอดทั้
ํ งชิน งาน
้
4 : เกิ
ดการเสี
ยรู
ปอย
างถาวรโดยเสี
ยรู
ปอย
างไม
ส ม่
าเสมอตลอดทั้
ํ งชิน งานและแตกหัก
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่195 : ชิ น งานทดสอบชนิ
้ ดหนึ
งเมื
่ อได
่ รับความเค
น 30,000 lb/in2 จะก
อให
เกิ
ดความเครี
ยดเท
ากับ 0.05 จงคํ
านวณหาค
ามอดุ
ลัส ของสภาพยื
ดหยุ
น (Modulus of elasticity)
ในหน
วย lb/in2 ของชิน งานทดสอบนี
้ ้
1:
2:
3:
4:
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที่ 196 : หากต องการเปรี
ยบเที
ยบการเปลี
ยนแปลงขนาดของวัส ดุ
่ ตามทิ
ศทางการดึ
งต
อการเปลี
ยนแปลงขนาดในทิ
่ ศทางตั้
งฉากกับทิ
ศทางการดึ
งของวัส ดุ
ชนิ
ดต
างๆ ควรนํ
า
สมบัติ
ข องวัส ดุ
ในข
อใดตอไปนีมาพิ
้ จารณาเปรี
ยบเที
ยบ
1 : ความเค น (Stress)
2 : อัตราสวนของป วซอง (Poisson’s ratio)
3 : ความเหนี ยว (Toughness)
4 : มอดุลัส ของสภาพยื ดหยุ
น (Modulus of elasticity)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 38/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
197 : วัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
มี
้ความแข็
ง (Hardness) มากที
สุ
่ด
1 : พอลิ ไวนิ
ลคลอไรด
2 : เหล็กกลาไร
ส นิ
มมาเทนไซต
3 : เหล็กหลอเทา
4 : ซิลิ
กอนคาร ไบด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ขอที
่198 : โลหะผสมทองแดงถูกใช
งานโดยได
รับความเคน แบบวัฏจักร (Cycle stresses) ที
่25 องศาเซลเซี
ยส เมื
อถู
่ กใช
ไปนานระยะหนึ
งเกิ
่ ดการแตกหักขึ
น แม
้ ว
าความเค
น ที
ได
่
รับมี
ค
าน
อยกวาค
าความต
านแรงคราก ความเสี
ยหายนีเป
้ น การแตกหักแบบใด
1 : การแตกร
าวเนื
องจากการคื
่ บ (Creep fracture)
2 : การแตกหักล
า (Fatigue fracture)
3 : การแตกร
าวเปราะ (Brittle fracture)
4 : การแตกร
าวเหนียว (Ductile fracture)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
199 : ความเสี
ยหายเนื
องจากการคื
่ บ (Creep) มักเกิ
ดขึ
น เมื
้ อโลหะถู
่ กนํ
าไปใช
งานในสภาวะใด
1 : ใช
งานที
อุ
่ณหภู
มิ
ห
อง และไดรับความเค
น แบบวัฏจักร (Cycle stresses) เป
น เวลานาน
2 : ใช
งานที
อุ
่ณหภู
มิ
ต่
ากว
ํ าอุ
ณหภู มิ
ห
อง และไดรับความเคน แบบวัฏจักร (Cycle stresses) เป
น เวลานาน
3 : ใช
งานที
อุ
่ณหภู
มิ
ต่
ากว
ํ าอุ
ณหภู มิ
ห
อง และไดรับความเคน คงทีเป
่ น เวลานาน
4 : ใช
งานที
อุ
่ณหภู
มิ
สู
ง และได
รับความเคน คงทีเป
่ น เวลานาน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
200 : วัส ดุ
ชิ
น หนึ
้ งถู
่ กดึ
งจนขาดเป
น 2 ส
วน พบว
าบริ
เวณรอยขาดแยกแตกแบบราบเรี
ยบ แสดงว
าวัส ดุ
นี
น
้าจะมี
ส มบัติ
อย
างไร
1 : มี
ความแข็
งตึง (Stiffness) สู
ง และความแข็ง (Hardness) สู ง
2 : มี
ความแข็
งตึง (Stiffness) สู
ง และสภาพดึงยืดได (Ductility) สูง
3 : มี
ความแข็
ง (Hardness) ต่ า และสภาพดึ
ํ งยืดได (Ductility) สูง
4 : มี
ความแข็
ง (Hardness) ต่ า และสภาพดึ
ํ งยืดได (Ductility) ต่า
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
เนื
อหาวิ
้ ชา : 244 : 07 Physical and chemical properties and testing
ข
อที
่
201 : วัส ดุ
ส
วนใหญ
ในกลุ
มใดมี
ส ัมประสิ
ทธิ
การขยายตัวเนื
์ องจากความร
่ อนมากที
สุ
่ด
1 : โลหะ
2 : เซรามิ ก
3 : พอลิ เมอร
4 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
202 : วัส ดุ
ส
วนใหญ
ในกลุ
มใดมี
ส ัมประสิ
ทธิ
การขยายตัวเนื
์ องจากความร
่ อนน
อยที
สุ
่ด
1 : โลหะ
2 : เซรามิ ก
3 : พอลิ เมอร
4 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
203 : วัส ดุ
ส
วนใหญ
ในกลุ
มใดสามารถนํ
าความร
อนได
ดี
ที
สุ
่ด
1 : โลหะ
2 : เซรามิ ก
3 : พอลิ เมอร
4 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
204 : วัส ดุ
ชนิ
ดใดเหมาะสํ
าหรับนํ
ามาทํ
าเป
น ตัวนํ
าความร
อนได
ดี
ที
สุ
่ด
1 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
ม
2 : อะลู
มิ
เนี
ยม
3 : พลาสติก
4 : กระจก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
205 : วัส ดุ
ประเภทใดที
มี
่ช
องว
างของแถบพลังงาน (Energy band gap) กว
าง
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 39/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : สารตัวนํา (Conductor)
2 : สารกึ
งตัวนํ
่ า (Semiconductor)
3 : ฉนวน (Insulator)
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิ ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
206 : โครงสร
างอิ
เล็
กตรอนของสารกึ
งตัวนํ
่ าทางไฟฟ
า (Semiconductor) คื
อข
อใด
1 : โครงสร
างของสารที
มี
่อิ
เล็กตรอนไมเต็
มแถบเวเลนซ (Valance band)
2 : โครงสร
างของสารที
ระดับพลังงานของแถบการนํ
่ า (Conduction band) ซ
อนอยู
กับระดับพลังงานของแถบเวเลนซ
(Valance band)
3 : โครงสร
างของสารที
มี
่อิ
เล็กตรอนเต็มแถบเวเลนซ(Valance band) แตช
องว
างระหวางแถบเวเลนซ(Valance band) และแถบการนํา (Conduction band) ห
างกัน ไม
มาก
4 : โครงสร
างของสารที
มี
่อิ
เล็กตรอนเต็มแถบเวเลนซ(Valance band) แตช
องว
างระหวางแถบเวเลนซ(Valance band) และแถบการนํา (Conduction band) ห
างกัน มาก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
207 : โครงสร
างของสารตัวนํ
าไฟฟ
าคื
อข
อใด
1 : โครงสรางของสารทีมี
่อิ
เล็กตรอนไมเต็
มแถบเวเลนซ (Valance band)
2 : โครงสรางของสารทีระดับพลังงานของแถบการนํ
่ า (Conduction band) ซ
อนอยู
กับระดับพลังงานของแถบเวเลนซ
(Valance band)
3 : ถู
กทั้
งขอ 1 และ 2
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิ
ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
208 : แม
เหล็
กถาวร (Hard magnet) หมายถึ
งข
อใด
1 : วัส ดุ
ที
ง
่ายต อการทําเปน แม
เหล็ก
2 : วัส ดุ
ที
ส ามารถรักษาภาวะการเป
่ น แม
เหล็
กไดดี
3 : วัส ดุ
ที
ต
่ องใชส นามแมเหล็กภายนอกน อยเพื
อทํ
่ าเป
น แม
เหล็
ก
4 : เหล็ กที
มี
่ ส นามแมเหล็
กตกค างอยูภายใน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
209 : แม
เหล็
กชั่
วคราว (Soft magnet) หมายถึ
งข
อใด
1 : วัส ดุ
ที
ง
่ ายต
อการทํ าเปน แม
เหล็
ก
2 : วัส ดุ
ที
ส ามารถลบล
่ างอํานาจแมเหล็
กได
ง
าย
3 : วัส ดุ
ที
ต
่ องใชส นามแมเหล็กภายนอกนอยเพื
อทํ
่ าเป
น แม
เหล็
ก
4 : ขอ 1 2 และ 3 ถูก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
210 : อุ
ณหภู
มิ
คู
รี
(Curie temperature) คื
อ อุ
ณหภู
มิ
ใด
1 : อุ
ณหภู
มิ
ที
เกิ
่ ดการเปลี
ยนโครงสร
่ างผลึ
ก
2 : อุ
ณหภู
มิ
ที
เกิ
่ ดการเปลี
ยนสภาพความเป
่ น แม
เหล็
ก
3 : อุ
ณหภู
มิ
ที
ความจุ
่ ความรอนจํ
าเพาะมี
ค
าคงที่
4 : อุ
ณหภู
มิ
ที
ข องแข็
่ งมี
ความหนืดลดลง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
211 : เมื
อแสงตกกระทบวัส ดุ
่ ใดๆ ปรากฏการณ
ใดสามารถเกิ
ดขึ
น ได
้ บ
าง
1 : แสงสะท อนกลับ
2 : แสงผานทะลุ โดยเกิ
ดการหักเหขึ
น ภายใน
้
3 : แสงถูกดูดกลืน
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
212 : เมื
อแสงตกกระทบลงบนวัส ดุ
่ โปร
งใส (Transparent) ไม
มี
สี
จะเกิ
ดปรากฏการณ
ใดขึ
น
้
1 : แสงสะท อนกลับ
2 : แสงผานทะลุ โดยเกิ
ดการหักเหขึ
น ภายใน
้
3 : แสงถูกดูดกลืน
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
213 : เซลล
แสงอาทิ
ตย
(Solar cell) ใช
หลักการใดในการเปลี
ยนพลังงานจากแสงให
่ เป
น พลังงานไฟฟ
า
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 40/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
214 : โลหะในข
อใดต
อไปนี
มี
้ความต
านทานการกัดกร
อน (Corrosion resistance) ในบรรยากาศปกติ
น
อยที
สุ
่ด
1 : เหล็
กกล
า
2 : เหล็
กหลอ
3 : อะลู
มิ
เนี
ยม
4 : ทองแดง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
215 : โลหะในข
อใดต
อไปนี
มี
้ความต
านทานการกัดกร
อน (Corrosion resistance) ในบรรยากาศปกติ
สู
งที
สุ
่ด
1 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มเฟอร
ไรต(Ferritic stainless steel)
2 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มมาร
เทนไซต (Martensitic stainless steel)
3 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มออสเทไนต (Austenitic stainless steel)
4 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มแปซิฟ
ก (Pacific stainless steel)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
216 : โลหะในข
อใดต
อไปนี
ควรนํ
้ ามาเคลื
อบผิ
วเหล็
กเพื
อป
่ องกัน การเกิ
ดสนิ
มและเพิ
มความแข็
่ งให
กับเหล็
ก
1 : สังกะสี
2 : โครเมียม
3 : อะลูมิ
เนี
ยม
4 : ดีบุ
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
217 : วัส ดุ
ใดต
อไปนี
มี
้ค
าความเป
น แม
เหล็
กต่
าที
ํ สุ
่ด
1 : วัส ดุ
ไดอะแมกนิติ
ก (Diamagnetic material)
2 : วัส ดุ
พาราแมกนิติ
ก (Paramagnetic material)
3 : วัส ดุ
เฟร
โรแมกนิ
ติก (Ferromagnetic material)
4 : วัส ดุ
เฟร
ริ
แมกนิ
ติก (Ferrignetic material)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
218 : ไดโอดเปล
งแสง (Light emitting diode, LED) ใช
หลักการใดในการทํ
างาน
1 : การสะทอนแสง (Reflection)
2 : การดูดกลืน แสง (Absorption)
3 : การหักเหของแสง (Refraction)
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
219 : แว
น ขยาย (Magnifier) ใช
หลักการใดในการทํ
างาน
1 : การสะทอนแสง (Reflection)
2 : การดูดกลืน แสง (Absorption)
3 : การหักเหของแสง (Refraction)
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
220 : โลหะในข
อใดต
อไปนี
มี
้ส ภาพนํ
าไฟฟ
า (Electrical conductivity) น
อยที
สุ
่ด
1 : ทองแดงบริ
สุ
ทธิ
์ที
ใช
่ งาน ณ อุ
ณหภู
มิ
ต่า
ํ
2 : ทองแดงบริ
สุ
ทธิ
์ที
ใช
่ งาน ณ อุ
ณหภู
มิ
สูง
3 : ทองแดงผสมนิ
เกิ
ลและผ
านกระบวนการรีดเย็
น ที
ใช
่ งาน ณ อุ
ณหภู
มิ
ต่
า
ํ
4 : ทองแดงผสมนิ
เกิ
ลและผ
านกระบวนการรีดเย็
น ที
ใช
่ งาน ณ อุ
ณหภู
มิ
สู
ง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
221 : โลหะในข
อใดต
อไปนี
มี
้ส ภาพต
านทานไฟฟ
า (Electrical resistivity) น
อยที
สุ
่ด
1 : ทองแดงบริ
สุ
ทธิ
์ที
ใช
่ งาน ณ อุ
ณหภู
มิ
ต่า
ํ
2 : ทองแดงบริ
สุ
ทธิ
์ที
ใช
่ งาน ณ อุ
ณหภู
มิ
สูง
3 : ทองแดงผสมนิ
เกิ
ลและผ
านกระบวนการรีดเย็
น ที
ใช
่ งาน ณ อุ
ณหภู
มิ
ต่
า
ํ
4 : ทองแดงผสมนิ
เกิ
ลและผ
านกระบวนการรีดเย็
น ที
ใช
่ งาน ณ อุ
ณหภู
มิ
สู
ง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
222 : ถ
าต
องการเพิ
มสภาพนํ
่ าไฟฟ
า (Electrical conductivity) ให
กับสารกึ
งตัวนํ
่ า (Semiconductor) ควรทํ
าอย
างไร
1 : ลดอุ
ณหภู มิ
การใช
งาน
2 : เติ
มสารเจื
อปน
3 : นํ
าไปผานกระบวนการขึ
น รู
้ ปเย็
น
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 41/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
223 : ถ
าต
องการเพิ
มสภาพนํ
่ าไฟฟ
า (Electrical conductivity) ให
กับสารตัวนํ
า (Conductor) ควรทํ
าอย
างไร
1 : ลดอุณหภู มิ
การใชงาน
2 : เติ
มสารเจือปน
3 : นํ
าไปผานกระบวนการขึ น รู
้ ปเย็
น
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
224 : เมื
อสัมผัส โต
่ ะไม
และโต
ะเหล็
กที
ตั้
่ งอยู
ในห
องปรับอากาศบริ
เวณเดี
ยวกัน เราจะรู
สึ
กโต
ะเย็
น ไม
เท
ากัน อย
างไร
1 : โต
ะเหล็กเย็
น กว
า เพราะเหล็
กมี
ความจุ
ความร
อนมากกว าไม
2 : โต
ะเหล็กเย็
น กว
า เพราะเหล็
กถ
ายเทความร
อนไดดี
กวาไม
3 : โต
ะเหล็กเย็
น กว
า เพราะเหล็
กมี
ความหนาแนน มากกว
าไม
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
225 : ถ
าให
ความร
อนกับชิ
น งานที
้ มี
่ความหนามากจะเกิ
ดสิ
งใดขึ
่ น
้
1 : ชิน งานบวมขึ
้ น เนื
้ องจากการขยายตัวทางความร
่ อนทีผิ
่วชิน งานมากกว
้ า
2 : ชิน งานหดตัวลง เนื
้ องจากการหดตัวภายในชิ
่ น งาน
้
3 : ผิวชิน งานเกิ
้ ดการแตกร าว เนื
องจากการหดตัวภายในชิ
่ น งาน
้
4 : เกิดความเค น อัด (Compressive stress) ที
ผิ
่วชิ
น งาน และความเค
้ น ดึ
ง (Tensile stress) ภายในชิ
น งาน
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
226 : เพราะเหตุ
ใดจึ
งเห็
น สี
ในวัส ดุ
โปร
งใส (Transparent) บางชนิ
ด
1 : แสงทีส
่ งผ
านถูกดูดกลื
น ไปในบางช วงความยาวคลื
น
่
2 : แสงทีส
่ งผ
านเกิดการหักเหขึ น ภายในเนื
้ อวัส ดุ
้
3 : มี
การผสมเม็ดสี ลงในเนือวัส ดุ
้
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
227 : ข
อใดต
อไปนี
ทํ
้าให
เกิ
ดสนิ
มไม
มี
สี
บนผิ
วชิ
น งานเหล็
้ กกล
าที
มี
่รอยขี
ดข
วนในบรรยากาศที
มี
่ความชื
น
้
1 : ผิ
วชิ
น งานถู
้ กเคลื
อบด
วยสังกะสี
2 : ผิ
วชิ
น งานถู
้ กเคลื
อบด
วยโครเมียม
3 : ผิ
วชิ
น งานถู
้ กเคลื
อบด
วยดีบุ
ก
4 : ผิ
วชิ
น งานถู
้ กเช็
ดทํ
าความสะอาดด วยน้
าสะอาดเป
ํ น ประจํ
า
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
228 : เทพี
เสรี
ภาพทํ
ามาจากทองแดงบริ
สุ
ทธิ
์
เพราะเหตุ
ใดเทพี
เสรี
ภาพจึ
งมี
สี
เขี
ยว
1 : มี
การทาสี
เขี
ยวเพื
อป
่ องกัน การผุ
กร
อน
2 : เกิ
ดการผุ
กร
อนที
ผิ
่วเกิ
ดเปน ทองแดงออกไซดสี
เขี
ยว
3 : เกิ
ดการผุ
กร
อนที
ผิ
่วเกิ
ดเปน ทองแดงซัลเฟตสี
เขี
ยว
4 : เกิ
ดการผุ
กร
อนที
ผิ
่วเกิ
ดเปน ทองแดงคลอไรดสี
เขี
ยว
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
229 : ข
อความใดต
อไปนี
เป
้ น การกล
าวที
ถู
่กต
อง
1 : เงิ
น มี
ค
าสภาพนํ าไฟฟ
า (Electrical conductivity) ดีกวาทอง
2 : ลวดตัวนําที
มี
่ข นาดพืน ที
้ หน
่ าตัดมากมี การนําไฟฟ าแยกว าลวดตัวนํ าที
มี
่ข นาดพื
น ที
้ หน
่ าตัดน
อยกว
าในวัส ดุ
เดี
ยวกัน ที
มี
่ความยาวเท
ากัน
3 : อะลูมิ
เนี
ยมมี
ค
าสภาพต านทานไฟฟ า (Electrical resistivity) มากกวาเพชร
4 : อุ
ณหภู มิ
ไม
มี
ผลต อความสามารถในการนํ าไฟฟ าในวัส ดุ ที เป
่ น โลหะ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
230 : ข
อความใดต
อไปนี
เป
้ น การกล
าวที
ผิ
่ด
1 : N-type เป
น สารกึ
งตัวนํ
่ าประเภท Extrinsic semiconductor
2 : อุ
ณหภู มิสู
งมีผลต
อความสามารถในการนํ าไฟฟาในวัส ดุ
ที
เป
่ น สารกึ
งตัวนํ
่ า
3 : การเติ
ม (Doping) ด โบรอน (B 3+) เข
วยธาตุ าไปแทนทีซิ
่ ลิกอน (Si 4+) ในโครงสรางผลึ
กทําใหเกิ
ดเป
น สารกึ
งตัวนํ
่ าแบบ N-type
4 : การแพร(Diffusion) มี
บทบาทอย
างมากในการทํ าสารกึ
งตัวนํ
่ าประเภท Extrinsic semiconductor
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
231 : วัส ดุ
ส
วนใหญ
ในกลุ
มใดต
อไปนี
มี
้จุ
ดหลอมเหลว (Melting point) สู
งที
สุ
่ด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 42/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : เซรามิก
2 : โลหะ
3 : พอลิเมอร
4 : ไม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่232 : ลวดทองเหลื
องยาว 1 เมตร ถู
กทํ
าใหร
อนจนมี
อุ
ณหภูมิ
สู
ง 70 องศาเซลเซี
ยส จากอุณหภู
มิ30 องศาเซลเซี
ยส ขณะที
ปลายทั้
่ งสองข
างถู
กยึ
ด จงหาขนาดของความเค น
ที
เกิ
่ ดขึ
น ในหน
้ วย MPa กํ าหนดให ค
ามอดู
ลัส ของสภาพยื
ดหยุ
น (Modulus of elasticity) ของทองเหลื
องมี
ค
า 97 GPa และสัมประสิ
ทธิการขยายตัวเนื
์ องจากความร
่ อน
(Coeffeicient of thermal expansion) ของทองเหลื
องมีา 20×10-6 องศาเซลเซี
ค ยส -1
1 : +0.08
2 : -0.08
3 : +77.60
4 : -77.60
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
233 : วัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
เกิ
้ ดการขยายตัวเนื
องจากความร
่ อนสู
งที
สุ
่ด
1 : ซิลิ
กา
2 : เหล็กกล า
3 : พอลิ เอทิลีน
4 : อะลูมินา
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
234 : วัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
มี
้ค
าความจุ
ความร
อนสู
งที
สุ
่ด
1 : แกว
2 : ทังสเตน
3 : พอลิ ไวนิลคลอไรด
4 : อะลู มิเนี
ยม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
235 : วัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
ส ามารถนํ
้ าไฟฟ
าได
ดี
ขึ
น เมื
้ ออุ
่ ณหภู
มิ
ลดลง
1 : อะลูมิเนี
ยม
2 : ซิ
ลิกอน
3 : พอลิ เอสเทอร
4 : แคดเมี ยมซัลไฟด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
236 : การทํ
างานของอุ
ปกรณ
วัดแสงทั่
วไปในการถ
ายภาพเกี
ยวข
่ องกับปรากฏการณ
ใด
1 : การเปลงแสง (Luminescence)
2 : การนําไฟฟาด
วยแสง (Photoconductivity)
3 : การเรื
องแสงแบบฟลู ออเรสเซนซ(Fluorescence)
4 : การเรื
องแสงแบบฟอสฟอเรสเซนซ (Phosphorescence)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
237 : เพราะเหตุ
ใดพอลิ
เมอร
ที
มี
่ความเป
น ผลึ
กสู
งจึ
งไม
โปร
งใส (Transparent)
1 : การมี
ผลึ
กทํ
าให
เกิ
ดการเปลงแสงมาก
2 : การมี
ผลึ
กทํ
าให
เกิ
ดการเรื
องแสงมาก
3 : การมี
ผลึ
กทํ
าให
เกิ
ดการกระเจิ
งของแสงในเนื อวัส ดุ
้ มาก
4 : การมี
ผลึ
กทํ
าให
อิ
เล็
กตรอนเลือนระดับชั้
่ น พลังงานได มาก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
238 : หากต
องการตรวจสอบวัส ดุ
ตัวอย
างว
าเป
น แม
เหล็
กถาวร (Hard magnet) หรื
อแม
เหล็
กชั่
วคราว (Soft magnet) ควรพิ
จารณาจากสมบัติ
ในข
อใดต
อไปนี
้
1 : ค
าความไวต อสภาพแมเหล็ก (Magnetic susceptibility)
2 : ค
าความสามารถซึ มซับแมเหล็ ก (Magnetic permeability)
3 : เส
น โค
งฮิ
ส เทอรีซิ
ส (Hysteresis loop)
4 : ค
าคงทีไดอิ
่ เล็
กทริ
ก (Dielectric constant)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
239 : ข
อใดต
อไปนี
ไม
้ ใช
วัส ดุ
ไดอะแมกนิ
ติ
ก
1 : อะลู
มิ
น ัมออกไซด
(Al 2O3)
2 : แมกนี
ไทต
(Fe 3O4)
3 : ทองแดง (Cu)
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 43/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
4 : สังกะสี
(Zn)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
240 : ข
อใดไม
ใช
แม
เหล็
กถาวร
1 : วัส ดุ
ไดอะแมกนิ ติ
ก
2 : วัส ดุ
พาราแมกนิ ติ
ก
3 : วัส ดุ
เฟร
โรแมกนิติ
ก
4 : ขอ 1 และ 2 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
เนื
อหาวิ
้ ชา : 245 : 08 Structures of materials
ข
อที
่
241 : เพราะเหตุ
ใดเหล็
กแผ
น ที
ผ
่านกระบวนการขึ
น รู
้ ปด
วยวิ
ธี
รี
ดเย็
น (Cold rolling) จึ
งมี
ความแข็
งมากกว
าเหล็
กแผ
น ที
ผลิ
่ ตด
วยวิ
ธี
รี
ดร
อน (Hot rolling)
1 : การรี
ดเย็น ไม
ทํ
าใหเกิ
ดผลึ
กใหม (Recrystallization)
2 : การรี
ดเย็น ทํ
าให
มีความเค
น ตกคาง (Residual stress) บนผิ
วเหล็
กแผ
น น
อยกว
าการรี
ดร
อน
3 : การรี
ดเย็น ทํ
าให
ผิวเหล็
กแผน เกิ
ดออกไซด มากกว าการรี
ดร
อน
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
242 : พัน ธะใดเป
น พัน ธะทางกายภาพ (Physical bond)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
243 : โครงสร
างผลึ
กชนิ
ดใดมี
การจัดเรี
ยงอะตอมอย
างหนาแน
น ที
สุ
่ด
1 : โครงสร
างลู
กบาศกอย
างง
าย (Simple cubic)
2 : โครงสร
างลู
กบาศกกึ
งกลางเซล (Body-centered cubic)
่
3 : โครงสร
างลู
กบาศกกึ
งกลางผิ
่ วหนา (Face-centered cubic)
4 : โครงสร
างออร
โทรอมบิกกึ
งกลางฐาน (Base-centered orthorhombic)
่
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
244 : โครงสร
างของออสเทไนต
(Austenite) ในเหล็
กกล
า มี
โครงสร
างผลึ
กรู
ปแบบใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
245 : วัส ดุ
ชนิ
ดใดต
อไปนี
มี
้พัน ธะหลักเป
น พัน ธะโคเวเลนต
(Covalent bond)
1 : Ni
2 : SiC
3 : H2O ระหว
างโมเลกุ
ล
4 : MgO
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่246 : ทังสเตนที
่20 องศาเซลเซียส มี
โครงสร
างผลึ
กแบบ Body-centered cubic (BCC) โดยมี
ค
า lattice parameter 0.3165 นาโนเมตร (nm) จงคํ
านวณหาค
ารัศมี
อะตอม
ของโลหะทังสเตนในหนวยนาโนเมตร (nm)
1 : 0.1371
2 : 0.1432
3 : 0.2315
4 : 0.7309
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่247 : กํ
าหนดให a, b, c คื
อค
าความยาวแต
ละด
านของหน
วยเซลล
และ α, β, γ คื
อมุ
มระหว
างด
าน ถ
าพบว
าโครงสร
างผลึ
กแบบหนึ
งมี
่ ค
า a≠b≠c และ α = β = γ = 90 องศา
อยากทราบว าโครงสร
างผลึ กนีมี
้ชื
อว
่ าอะไร
1 : Cubic
2 : Tetragonal
3 : Orthorhombic
4 : Monoclinic
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 44/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่248 : กํ
าหนดใหa, b, c คื
อค
าความยาวแต
ละด
านของหนวยเซลลและ α, β, γ คื
อมุ
มระหว
างด
าน ถ
าพบว
าโครงสร
างผลึกแบบหนึ
งมี
่ ค
า a = b = c และ α = β = γ = 90
องศา มี
อะตอมอยูตามมุ
มทุกมุม และมี
อะตอมอยู
กึ
งกลางหน
่ าทั้
งหกหนาของหน
วยเซลล อยากทราบว
าโครงสร
างผลึ
กนี
มี
้ชือว
่ าอะไร
1 : Simple cubic
2 : Body-centered cubic
3 : Simple orthorhombic
4 : Face-centered cubic
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
249 : โครงสร
างผลึ
กแบบ body-centered cubic (BCC) ในหนึ
งหน
่ วยเซลล
(Unit cell) ประกอบด
วยกี
อะตอม
่
1 : 1 อะตอม
2 : 2 อะตอม
3 : 3 อะตอม
4 : 4 อะตอม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
250 : โครงสร
างผลึ
กแบบ Face-centered cubic (FCC) ในหนึ
งหน
่ วยเซลล
(Unit cell) ประกอบด
วยกี
อะตอม
่
1 : 1 อะตอม
2 : 2 อะตอม
3 : 3 อะตอม
4 : 4 อะตอม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
251 : โครงสร
างผลึ
กแบบ Hexagonal closed pack (HCP) ในหนึ
งหน
่ วยเซลล
(Unit cell) ประกอบด
วยกี
อะตอม
่
1 : 2 อะตอม
2 : 4 อะตอม
3 : 6 อะตอม
4 : 8 อะตอม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
252 : ข
อใดต
อไปนี
มี
้โครงสร
างแบบ Closed-pack
1 : Body-centered tetragonal
2 : Body-centered cubic
3 : Face-centered cubic
4 : Base-centered orthorhombic
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
253 : พลาสติ
กใสจะมี
โครงสร
างภายในเป
น แบบใด
1 : ไม
มี
ความเป น ผลึ
ก
2 : มี
ความเปน ผลึกที
มี
่ ข นาดเล็
กกว
าความยาวคลื
น แสง
่
3 : ข
อ 1 และ 2 ถูก
4 : ข
อ 1 และ 2 ผิด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
254 : เพราะเหตุ
ใดพอลิ
เมอร
ชนิ
ดที
มี
่โครงสร
างภายในที
ส ามารถเกิ
่ ดผลึ
กได
จึ
งมี
ลักษณะเป
น แบบกึ
งผลึ
่ ก (Semicrystalline) เท
านั้
น
1 : เพราะพอลิเมอรมี
โครงสรางผลึกทียุ
่งยากซับซ
อน
2 : เพราะพอลิเมอรมี
ส ายโซ
โมเลกุ ลที
ยาวมาก
่
3 : เพราะการจัดเรี
ยงตัวให
เป
น ระเบี
ยบของทุกโมเลกุลของพอลิ
เมอร
ทํ
าได
ยาก
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
255 : ปริ
มาณความเป
น ผลึ
กของพอลิ
เมอร
มี
ผลต
อความหนาแน
น ของพอลิ
เมอร
ชนิ
ดนั้
น อย
างไร
1 : ปริ
มาณผลึ
กที
มากขึ
่ น ทํ
้ าให
ความหนาแน
น เพิ
มขึ
่ น
้
2 : ปริ
มาณผลึ
กที
มากขึ
่ น ทํ
้ าให
ความหนาแน
น ลดลง
3 : ปริ
มาณผลึ
กที
มากขึ
่ น อาจทํ
้ าให
ความหนาแนน เพิ
มขึ
่ น หรื
้ อลดลงก็
ได
4 : ปริ
มาณผลึ
กไม
มี
ผลต
อความหนาแนน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
256 : พัน ธะเคมี
ที
เกิ
่ ดในสายโซ
หลักของโมเลกุ
ลพอลิ
เมอร
คื
อพัน ธะชนิ
ดใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
257 : โครงสร
างโมเลกุ
ลของพอลิ
เอทิ
ลี
น (Polyethylene) แบบกิ
ง (Branched) มี
่ ส มบัติ
ต
างจากโครงสร
างโมเลกุ
ลของพอลิ
เอทิ
ลี
น แบบเส
น ตรง (Linear) อย
างไร
1 : ความแข็
งแรงเพิมขึ
่ น
้
2 : ความเป
น ผลึกลดลง
3 : การยื
ดและหดตัวลดลง
4 : ความทนต อการถู
กขี
ดข
วนเพิ
มขึ
่ น
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
258 : ข
อใดคื
อคํ
าจํ
ากัดความของ Tg (Glass transition temperature)
1 : อุ
ณหภู
มิ
ที
ส ายโซ
่ รองของโมเลกุ
ลพอลิ
เมอร
ส ามารถเคลื
อนที
่ ได
่
2 : อุ
ณหภู
มิ
ที
ส ายโซ
่ หลักของโมเลกุ
ลพอลิ
เมอร
ส ามารถเคลื
อนที
่ ได
่
3 : อุ
ณหภู
มิ
ในการเกิ
ดผลึก
4 : อุ
ณหภู
มิ
ในการหลอมเหลว
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที่259 : ถ
านําพอลิ เมอร
ทีมี
่โครงสร
างภายในเปน แบบกึ
งผลึ
่ ก (Semicrystalline polymer) มาอบที
อุ
่ณหภู
มิ
สู
งกว
า Tg (Glass transition temperature) ประมาณ 10 – 20 องศา
เซลเซี
ยส เปน เวลา 24 ชั่
วโมง ผลทีได
่ จะเป
น อย
างไร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
260 : พอลิ
เมอร
ที
ไม
่ ส ามารถเกิ
ดโครงสร
างผลึ
กได
คื
อพอลิ
เมอร
ชนิ
ดใดต
อไปนี
้
1 : พอลิ
เอทิลี
น (Polyethylene)
2 : พอลิ
เอทิลี
น เทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate)
3 : ไนลอน (Nylon)
4 : พอลิ
ส ไตรี
น (Polystyrene)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
261 : ข
อใดคื
อโครงสร
างผลึ
กของมาร
เทนไซต
(Martensite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
262 : ข
อใดคื
อโครงสร
างผลึ
กของเบไนต
(Bainite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
263 : เหล็
กกล
าคาร
บอนต่
า (0.2wt%C) ในข
ํ อใดต
อไปนี
้
มี
ข นาดเกรนเล็
กที
สุ
่ด
1 : อบที
อุ
่ณหภู
มิ
1050 องศาเซลเซี
ยส ปล
อยให
เย็
น ในเตา
2 : อบที
อุ
่ณหภู
มิ
1050 องศาเซลเซี
ยส ปล
อยให
เย็
น ในอากาศ
3 : อบที
อุ
่ณหภู
มิ
950 องศาเซลเซี
ยส ปล
อยให
เย็
น ในเตา
4 : อบที
อุ
่ณหภู
มิ
950 องศาเซลเซี
ยส ปล
อยให
เย็
น ในอากาศ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
264 : โครงสร
างที
ทนต
่ อการคื
บ (Creep) ได
ดี
ที
สุ
่ดคื
อ ข
อใดต
อไปนี
้
1 : ผลึ
กเดี
ยว (Single crystal)
่
2 : โครงสร
างทีมี
่เกรนขนาดใหญ
3 : โครงสร
างทีมี
่เกรนขนาดเล็ ก
4 : โครงสร
างทีมี
่เกรนรูปรางเรียวยาว
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่265 : โครงสร
างจุ
ลภาคของรอยเชื
อมเหล็
่ กกล
าไร
ส นิ
มออสเทไนต(Austenite stainless steel) บริ
เวณพื
น ที
้ หลอมเหลว (Fusion zone) ประกอบด
่ วยเฟสต
างๆ ดังในข
อใด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 46/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ต
อไปนี
้
1 : ออสเทไนต
(Austenite)
2 : ออสเทไนต
(Austenite) และ เฟร
ไรต
(Ferrite)
3 : ออสเทไนต
(Austenite) และ เพอร
ไลต(Pearlite)
4 : ออสเทไนต
(Austenite) และ คาร
ไบด(Carbide)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
266 : โครงสร
างของเหล็
กกล
าคาร
บอนในข
อใดต
อไปนี
ที
้ทนต
่ อแรงกระแทกที
อุ
่ณหภู
มิ
ต่
าได
ํ ดี
ที
สุ
่ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
267 : การเกิ
ดข
อบกพร
องแบบ Schottky มักเกิ
ดกับผลึ
กที
ยึ
่ดกัน ด
วยพัน ธะชนิ
ดใด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
268 : ทํ
าไมข
อบกพร
องแบบ Frenkel มักเกิ
ดกับ Cation มากกว
า Anion
1 : Cation มี
ข นาดใหญ กวา Anion
2 : Anion มีข นาดใหญกวา Cation
3 : การแทรกของ Anion ในผลึ กเกิดได
ง
ายกว
า
4 : Anion มักจะอยูไม
เป
น ระเบี
ยบ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
269 : สารประกอบออกไซด
ประเภทใดที
ช
่วยทํ
าให
ความหนื
ดของแก
วต่
าลง
ํ
1:
Na2O
2 : Al2O3
3 : SiO2
4 : TiO2
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
270 : ทํ
าไมแกรไฟต
(Graphite) ถึ
งสามารถหลุ
ดออกเป
น แผ
น ๆได
ง
าย
1 : ระหว
างชั้
น ของโครงสร
างแกรไฟต ยึ
ดกัน ดวยพัน ธะไอออนิก (Ionic bond)
2 : ระหว
างชั้
น ของโครงสร
างแกรไฟต ไมมีการยึ
ดกัน ด
วยพัน ธะใดๆ
3 : ระหว
างชั้
น ของแกรไฟตยึ
ดกัน ด
วยพัน ธะโควาเลนท (Covalent bond)
4 : ระหว
างชั้
น ของโครงสร
างแกรไฟต เป
น พัน ธะแวนเดอรวาลส (Van der Waals bond)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
271 : ข
อใดต
อไปนี
ไม
้ ใช
โครงสร
างผลึ
กของเซรามิ
ก
1 : BaTiO3
2 : NaCl
3 : Al2O3
4 : CH4
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
272 : การเติ
มสาร Intermediate oxides ในแก
วเพื
อประโยชน
่ อะไร
1 : เพื
อให
่ ส ามารถขึ
น รู
้ ปแก วไดง
ายขึ
น
้
2 : เพื
อให
่ แกวมี
ความหนื ดต่าลง
ํ
3 : เพื
อปรับปรุ
่ งสมบัติข องแกว
4 : เพื
อทํ
่ าให แก
วหลอมตัวที อุ
่ณหภู มิ
ต่
าลง
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
273 : ข
อใดไม
ถู
กต
องเมื
อกล
่ าวถึ
งโครงสร
างของแก
ว
1 : แกวมีโครงสร
างเป
น ตาข
าย (Network structure) ที
มี
่ทิศทางไม แน
น อน
2 : พัน ธะของโครงสรางของแกวยึ
ดกัน ด
วยพัน ธะไอออนิ ก (Ionic bond)
3 : แกวมีโครงสร
างแบบไมเป
น ผลึ
ก
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 47/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
4 : โครงสร
างของแก
วเกิ ดกัน ของ SiO 44 -
ดจากการยึ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
274 : การเติ
มสาร Glass-modifying oxide ในแก
วเพื
อประโยชน
่ อะไร
1 : เพื
อให
่ แก
วมี
ความต
านทานต อการเปลี
ยนแปลงอุ
่ ณหภู
มิ
(Thermal shock resistance)
2 : เพื
อให
่ แก
วมี
ความหนื
ดต่าลง
ํ
3 : เพื
อให
่ แก
วมี
ความแข็
งสู
งขึน
้
4 : เพื
อให
่ แก
วมี
ผลึ
กเกิ
ดขึ
น
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
275 : โครงสร
างผลึ
กแบบ Perovskite มี
ความสํ
าคัญสํ
าหรับวัส ดุ
ประเภทใด
1 : Pyroelectric material
2 : Piezoelectric material
3 : Semiconductor
4 : Capacitor
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
276 : ข
อใดไม
ใช
องค
ประกอบของอะตอม
1 : นิ
วเคลี
ยร
2 : นิ
วตรอน
3 : อิ
เล็
กตรอน
4 : โปรตอน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
277 : พัน ธะในข
อใดต
อไปนี
มี
้ความแข็
งแรงน
อยที
สุ
่ด
1 : พัน ธะไอออนิก
2 : แรงแวนเดอร วาลส
3 : พัน ธะโลหะ
4 : พัน ธะไฮโดรเจน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
278 : โครงสร
างผลึ
กในข
อใดต
อไปนี
ที
้อะตอมมี
่ การบรรจุ
แบบชิ
ดที
สุ
่ด (closed pack)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
279 : พัน ธะใดต
อไปนี
เกิ
้ ดขึ
น ระหว
้ างโมเลกุ
ลของน้
าในน้
ํ าแข็
ํ ง
1 : พัน ธะโคเวเลนซ
2 : พัน ธะไอออนิก
3 : พัน ธะไฮโดรเจน
4 : พัน ธะโลหะ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ขอที
่280 : สารประกอบของ LiAg มี
หน
วยเซลล
เป
น แบบ Simple cubic และอะตอมทั้
งสองชนิ
ดต
างมี
เลขโคออร
ดิ
เนชัน เท
ากับ 8 ดังนั้
น หน
วยเซลล
ดังกล
าวนี
จะมี
้ ลักษณะเหมื
อน
กับผลึ
กในข อใด
1 : NaCl
2 : ZnS
3 : CsCl
4 : AgCl
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
เนื
อหาวิ
้ ชา : 246 : 09 Processing-Structure relationships
ข
อที
่
281 : ข
อใดต
อไปนี
ถู
้กต
องที
สุ
่ด
1 : เหล็
กโครงสร าง FCC มี ความแข็งแรงเพิ
มขึ
่ น ช
้ ากว
าเหล็
กโครงสร
าง BCC ระหว
างการขึ
น รู
้ ปเย็น (Cold working)
2 : การเคลือน (Dislocation) ในผลึ
่ กโครงสราง FCC สามารถเคลื
อนที
่ ได
่ ยากกว
าในผลึ
กโครงสร าง BCC
3 : การเคลือน (Dislocation) ในผลึ
่ กโครงสราง FCC สามารถเคลื
อนที
่ ได
่ ง
ายกว
าในผลึ
กโครงสราง HCP
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 48/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
282 : การชุ
บแข็
งเหล็
กกล
าคาร
บอนปานกลาง ต
องทํ
าการเผาเหล็
กจนได
โครงสร
างใดก
อนทํ
าให
เย็
น ตัวอย
างรวดเร็
ว
1 : เฟรไรต
(Ferrite)
2 : ออสเทไนต (Austenite)
3 : ซีเมนไทต(Cementite)
4 : มารเทนไซต (Martensite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
283 : เหล็
กหล
อขาว (White cast iron) มี
โครงสร
างจุ
ลภาคดังในข
อใดต
อไปนี
้
1 : เฟรไรต
และ เพอรไลต(Ferrite & Pearlite)
2 : ซีเมนไทต และ เพอร
ไลต (Cementite & Pearlite)
3 : เฟรไรต
และ แกรไฟต (Ferrite & Graphite)
4 : เพอรไลตและ แกรไฟต (Peartite & Graphite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
284 : ข
อใดคื
อโครงสร
างของเหล็
กกล
าคาร
บอนปานกลางที
ได
่ จากการปล
อยให
เย็
น อย
างช
าๆ จากโครงสร
างออสเทไนต
(Austenite)
1 : Cementite + Pearlite
2 : Ferrite + Pearlite
3 : Bainite + Pearlite
4 : Martensite + Pearlite
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
285 : ข
อใดคื
อโครงสร
างจุ
ลภาคของเหล็
กกล
าคาร
บอนที
ผ
่านการเผาด
วยอุ
ณหภู
มิ
คงที
ประมาณ 730 - 750 องศาเซลเซี
่ ยส เป
น เวลานาน 20 ชั่
วโมง
1 : เพอร
ไลต
หยาบ (Coarse pearlite)
2 : เพอร
ไลต
ละเอี
ยด (Fine pearlite)
3 : สเฟ
ยรอยไดต(Spheroidite)
4 : เบไนต
แบบขนนก (Feathery bainite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
286 : ในกระบวนการหล
อโลหะ เมื
อโลหะที
่ หลอมเหลวเกิ
่ ดการแข็
งตัว และเกิ
ดโพรงช
องว
างขึ
น ภายในชิ
้ น งาน ซึ
้ งถื
่ อว
าเป
น ความบกพร
องประเภทใด
1 : ความบกพร
องแบบจุ
ด
2 : ความบกพร
องแบบเส
น
3 : ความบกพร
องแบบระนาบ
4 : ความบกพร
องแบบปริ
มาตร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
287 : ข
อใดกล
าวไม
ถู
กต
อง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
288 : ข
อใดกล
าวถึ
งกระบวนการเกิ
ดผลึ
กใหม
(Recrystallinzation) ไม
ถู
กต
อง
1 : ต
องเกิ
ดการเปลี
ยนรู
่ ปน อยทีสุ
่ดค
าหนึงจึ
่ งจะสามารถเกิดผลึกใหม
ได
2 : ถ
าปริ
มาณการเปลียนรู
่ ปนอยจะทําให
อุ
ณหภู มิ
ในการเกิดผลึ
กใหมสู
งขึ
น
้
3 : ขนาดเกรนสุดท
ายหลังการเกิดผลึ
กใหมจะขึ
น อยู
้ กับปริ
มาณการเปลียนรู
่ ป
4 : โลหะบริ
สุ
ทธิมี
์อุ
ณหภูมิการเกิ
ดผลึกใหม
สูงกว
าโลหะผสม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
เนื
อหาวิ
้ ชา : 247 : 10 Structure-Property relationships
ข
อที
่
289 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มชนิ
ดใดต
อไปนี
ที
้แม
่ เหล็
กดู
ดไม
ติ
ด
1 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มเฟรไรต(Ferritic stainless steel)
2 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
ม ออสเทนไนต (Austenitic stainless steel)
3 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มมารเทนไซต (Martensitic stainless steel)
4 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มดูเพล็กซ (Duplex stainless steel)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
290 : ถ
าแสงสามารถส
องทะลุ
ผ
านแผ
น บางของอะลู
มิ
เนี
ยมออกไซด
(Al 2O3) ได
ทั้
งหมด ข
อใดคื
อโครงสร
างของอะลู
มิ
เนี
ยมออกไซด
แผ
น นั้
น
1 : ผลึ
กเดี
ยว (Single crystal)
่
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 49/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
2 : พหุ
ผลึ ก (Polycrystal) เนือแน
้ น ไม
มี
ช
องวางภายใน
3 : พหุ
ผลึ ก (Polycrystal) ทีมี
่ ช
องวางภายใน
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
291 : ถ
าแสงสามารถส
องทะลุ
ผ
านแผ
น บางของอะลู
มิ
เนี
ยมออกไซด
(Al 2O3) ได
บางส
วน ข
อใดคื
อโครงสร
างของอะลู
มิ
เนี
ยมออกไซด
แผ
น นั้
น
1 : ผลึ
กเดียว (Single crystal)
่
2 : พหุ
ผลึ ก (Polycrystal) เนือแน
้ น ไม
มี
ช
องวางภายใน
3 : พหุ
ผลึ ก (Polycrystal) ทีมี
่ ช
องวางภายใน
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
292 : ถ
าแสงไม
ส ามารถส
องทะลุ
ผ
านแผ
น บางของอะลู
มิ
เนี
ยมออกไซด
(Al 2O3) ได
ข
อใดคื
อโครงสร
างของอะลู
มิ
เนี
ยมออกไซด
แผ
น นั้
น
1 : ผลึ
กเดียว (Single crystal)
่
2 : พหุ
ผลึ ก (Polycrystal) เนือแน
้ น ไม
มี
ช
องวางภายใน
3 : พหุ
ผลึ ก (Polycrystal) ทีมี
่ ช
องวางภายใน
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
293 : โครงสร
างผลึ
กชนิ
ดใดต
อไปนี
ส ามารถเสี
้ ยรู
ปจากการดึ
งได
ง
ายที
สุ
่ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่294 : เพราะเหตุ
ใดเซอร
โคเนี
ยมออกไซด(ZrO 2) ที
ผสมด
่ วยอิ
เที
ยมออกไซด(Y 2O3) หรื
อที
เรี
่ ยกว
า Yttria-stabilized zirconia (YSZ) จึ
งสามารถนํ
ามาใช
เป
น ตัวตรวจวัด
ปริ
มาณก
าซออกซิ
เจน (Oxygen sensor) ได
1 : เนืองจากการผสมอิ
่ เที
ยมออกไซด ทํ
าให เกิดช
องว
างของประจุ บวก (Cation vacancy) ขึ น ในโครงสร
้ างผลึ กของเซอรโคเนียมออกไซดทํ าให
ออกซิเจนไอออนสามารถเคลื
อนที
่ ่
เขามาได จึ
งสามารถใชตรวจวัดปริมาณออกซิ เจนได
2 : เนื
องจากการผสมอิ
่ เทียมออกไซด ทํ
าให เกิ
ดชองว
างของประจุลบ (Anion vacancy) ขึ น ในโครงสร
้ างผลึกของเซอร โคเนียมออกไซด ทําให
ออกซิเจนไอออนสามารถเคลื
อนที
่ เข
่ า
มาได จึงสามารถใชตรวจวัดปริมาณออกซิ เจนได
3 : เนืองจากอิ
่ เที
ยมไอออนมี ข นาดเล็
กกว าเซอรโคเนี
ยมไอออน เมื อผสมกัน แล
่ วเกิดการแทนที ข องประจุ
่ บวกขึ น ส
้ งผลให โครงสร
างผลึกของเซอรโคเนี
ยมออกไซด
เกิ
ดการหดตัว
ทําใหออกซิเจนไอออนสามารถเคลื อนที
่ เข
่ ามาได จึ
งสามารถใชตรวจวัดปริ
มาณออกซิ เจนได
4 : เนืองจากเนื
่ องจากอิ
่ เทียมไอออนมี ข นาดใหญ กว
าเซอรโคเนี
ยมไอออน เมื อผสมกัน แล
่ วเกิดการแทนที ข องประจุ
่ บวกขึ น ส
้ งผลใหโครงสร
างผลึ
กของเซอรโคเนี
ยมออกไซดเกิ
ด
การขยายตัว ทําใหออกซิเจนไอออนสามารถเคลื อนที
่ เข
่ ามาไดจึ
งสามารถใช ตรวจวัดปริมาณออกซิ เจนได
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
295 : ทํ
าไมเซรามิ
กที
มี
่โครงสร
างคล
ายกับผลึ
กเดี
ยว (Like a single crystal) ถึ
่ งยอมให
แสงผ
านได
(Translucent)
1 : เนื
องจากภายในเกรนมี
่ การจัดเรียงอะตอมที
เกื
่ อบจะอยู
ในทิ
ศทางเดี
ยวกัน
2 : เนื
องจากขอบเกรนมี
่ ความหนา
3 : เนื
องจากภายในเกรนมี
่ ธ าตุอื
น มาแทรก
่
4 : เนื
องจากมี
่ ช
องว
างเกิ
ดขึ น ภายในเกรน
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
296 : โครงสร
างจุ
ลภาคระหว
างเพอร
ไลต
หยาบ (Coarse pearlite) และเพอร
ไลต
ละเอี
ยด (Fine pearlite) โครงสร
างใดมี
ความแข็
งแรงมากกว
า และเพราะอะไร
1 : เพอร
ไลต
หยาบแข็งแรงมากกว
า เพราะมี
ปริมาณคาร
บอนอิส ระมากกวา
2 : เพอร
ไลต
ละเอี
ยดแข็งแรงมากกว
า เพราะมี
ปริมาณคาร
บอนอิส ระมากกวา
3 : เพอร
ไลต
หยาบแข็งแรงมากกว
า เพราะมี
ข นาดของเกรนใหญ กวา
4 : เพอร
ไลต
ละเอี
ยดแข็งแรงมากกว
า เพราะมี
ข นาดของเกรนเล็กกว า
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
297 : จงเรี
ยงลํ
าดับโครงสร
างจุ
ลภาคที
มี
่ความแข็
งจากมากไปน
อย
1 : เพอร
ไลต(Pearlite), เบไนต (Bainite), มาร
เทนไซต (Martensite)
2 : เบไนต(Bainite), เพอรไลต (Pearlite), มาร
เทนไซต (Martensite)
3 : มาร
เทนไซต (Martensite), เบไนต (Bainite), เพอร
ไลต(Pearlite)
4 : เบไนต(Bainite), มาร
เทนไซต (Martensite), เพอรไลต(Pearlite)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
298 : โครงสร
างของเหล็
กกล
าสเฟ
ยรอยไดซ
(Spheroidized steel) มี
ส มบัติ
ทางกลอย
างไร และเพราะอะไร
1 : มี
ความแข็
งสู
ง เพราะปรากฏโครงสรางของซี
เมนไทต(Cementite) แบบแทง
2 : มี
ความอ
อนตัวสู
ง เพราะปรากฏโครงสร
างของซี
เมนไทต (Cementite) แบบกลม
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 50/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
3 : มี
ความแข็
งสู
ง เพราะปรากฏโครงสรางของกราไฟต(Graphite) แบบแทง
4 : มี
ความอ
อนตัวสู
ง เพราะปรากฏโครงสร
างของกราไฟต (Graphite) แบบกลม
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
299 : เซรามิ
กทั่
วไปมี
ค
าของสมบัติ
ในข
อใดน
อยกว
าของโลหะทั่
วไป
1 : Hardness
2 : Thermal insulation
3 : Toughness
4 : Chemical resistance
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
300 : วัส ดุ
ในข
อใดสามารถดู
ดกลื
น พลังงานไว
ก
อนที
จะเสี
่ ยรู
ปทรงอย
างถาวรได
สู
ง
1 : แผ
น อะลูมิ
เนี
ยม
2 : แผ
น ยาง
3 : แผ
น กระจก
4 : แผ
น สังกะสี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
เนื
อหาวิ
้ ชา : 248 : 11 Methods and tools for structure investigation
ข
อที
่
301 : ถ
าต
องการวิ
เคราะห
โครงสร
างจุ
ลภาคของชิ
น งานโลหะด
้ วยกล
องจุ
ลทรรศน
แบบแสง (Optical microscope) ควรเตรี
ยมชิ
น งานอย
้ างไร
1 : ขัดผิ
วชิน งานให
้ เรี
ยบ
2 : ขัดผิ
วชิน งานให
้ เรี
ยบและกัดผิ
วชิ
น งานด
้ วยกรด
3 : ขัดผิ
วจนชิ น งานมี
้ ความบางมาก ๆ
4 : ไมต
องเตรียมผิวชิน งาน
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
302 : ถ
าต
องการวิ
เคราะห
ลักษณะทางโครงสร
างจุ
ลภาคของห
องเครื
องยนต
่ ดี
เซลที
ผ
่านกรรมวิ
ธี
การหล
อ ควรเลื
อกใช
เครื
องมื
่ อใด
1 : มาตรวัดการเลียวเบนของรังสี
้ เอกซ(X-ray diffractometer)
2 : กล
องจุลทรรศน อิ
เล็
กตรอนแบบส องผาน (Transmission electron microscope)
3 : กล
องจุลทรรศน อิ
เล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห (Scanning electron microscope)
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที่303 : ถ
าต
องการตรวจสอบการยึ
ดติ
ดของผลิ
ตภัณฑ
วงจรรวม (Integrated circuit) บนแผงวงจรรวม (Print circuit board) ด
วยการยึ
ดพื
น ผิ
้ ว (Surface mount) ควรเลื
อกใช
เครื
องมื
่ อใด
1 : กล
องถายรู
ปดิจิ
ตอล (Digital camera)
2 : กล
องจุลทรรศนแบบแสง (Optical microscope)
3 : กล
องจุลทรรศนอิ
เล็
กตรอนแบบส องผาน (Transmission electron microscope)
4 : มาตรวัดการเลี
ยวเบนของรังสี
้ เอ็
กซ(X-ray diffractometer)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที่ 304 : ถาต
องการวิ
เคราะห
การกระจายตัวของเฟสที
เกิ
่ ดขึ
น จากกระบวนการเชื
้ อมยึ
่ ดติ
ดของผลิ
ตภัณฑ
วงจรรวม (Integrated circuit) บนแผงวงจรรวม (Print circuit board)
ควรเลื
อกใชเครื
องมื
่ อใด
1 : มาตรวัดการเลี
ยวเบนของรังสี
้ เอกซ (X-ray diffractometer)
2 : กล
องจุลทรรศนแบบแสง (Optical microscope)
3 : กล
องจุลทรรศนอิ
เล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห (Scanning electron microscope)
4 : กล
องจุลทรรศนอิ
เล็
กตรอนแบบส องผ าน (Transmission electron microscope)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
305 : ถ
าต
องการวิ
เคราะห
โครงสร
างผลึ
กของวัส ดุ
ควรเลื
อกใช
เครื
องมื
่ อใด
1 : มาตรวัดการเลียวเบนของรังสี
้ เอกซ (X-ray diffractometer)
2 : กล
องจุลทรรศน แบบแสง (Optical microscope)
3 : กล
องจุลทรรศน อิ
เล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห (Scanning electron microscope)
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิ
ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
306 : ถ
าต
องการวิ
เคราะห
ทิ
ศทางการเรี
ยงตัวของอะตอมในแว
น ผลึ
กซิ
ลิ
กอน (Silicon wafer) ควรเลื
อกใช
เครื
องมื
่ อใด
1 : กล
องจุลทรรศน แบบแสง (Optical microscope)
2 : กล
องจุลทรรศน อิ
เล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห
(Scanning electron microscope)
3 : กล
องจุลทรรศน อิ
เล็
กตรอนแบบส องผ าน (Transmission electron microscope)
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิ
ด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 51/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
307 : ถ
าต
องการบัน ทึ
กภาพของท
อน้
าที
ํ เกิ
่ ดการผุ
กร
อน ควรเลื
อกใช
เครื
องมื
่ อใด
1 : กล
องถ
ายรู
ปดิ
จิ
ตอล (Digital camera)
2 : กล
องจุ
ลทรรศน
แบบแสง (Optical microscope)
3 : กล
องจุ
ลทรรศน
อิ
เล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห
(Scanning electron microscope)
4 : กล
องจุ
ลทรรศน
อิ
เล็
กตรอนแบบส งผาน (Transmission electron microscope)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
308 : ถ
าต
องการวิ
เคราะห
รู
ปร
างของผลึ
กนาโนคาร
บอนที
ผลิ
่ ตได
ควรเลื
อกใช
เครื
องมื
่ อใด
1 : มาตรวัดการเลียวเบนของรังสี
้ เอกซ (X-ray diffractometer)
2 : กล
องจุลทรรศน แบบแสง (Optical microscope)
3 : เครื
องวัดการเรื
่ องแสงของรังสีเอกซ (X-ray fluorescence spectroscope)
4 : กล
องจุลทรรศน อิ
เล็
กตรอนแบบส องผาน (Transmission electron microscope)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
309 : ถ
าต
องการวิ
เคราะห
โครงสร
างจุ
ลภาคของก
อนโลหะด
วยกํ
าลังขยายขนาด 5,000 เท
า ควรเลื
อกใช
เครื
องมื
่ อใด
1 : Optical microscope
2 : Optical spectroscope
3 : Scanning electron microscope
4 : Scanning tunneling electron microscope
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
310 : ข
อใดไม
ใช
สิ
งที
่ กล
่ องจุ
ลทรรศน
อิ
เล็
กตรอนแบบกราดวิ
เคราะห
(Scanning electron microscope) สามารถให
ผลการวิ
เคราะห
ได
1 : การกระจายตัวของเฟส
2 : ลักษณะพืน ผิ
้ วที
แตกหัก
่
3 : โครงสร
างผลึกของเฟสตางๆ ในชิ
น งาน
้
4 : รู
ปร
างของเฟสตางๆ ในชิ
น งาน
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
311 : ถ
าต
องการวิ
เคราะห
โครงสร
างการจัดเรี
ยงตัวของอะตอมต
างๆ ควรเลื
อกใช
เครื
องมื
่ อใด
1 : มาตรวัดการเลี
ยวเบนของรังสี
้ เอกซ(X-ray diffractometer)
2 : กล
องจุลทรรศน อิ
เล็
กตรอนแบบสองผาน (Transmission electron microscope)
3 : ข
อ 1 และ 2 ถู
ก
4 : ข
อ 1 และ 2 ผิ
ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
312 : กฏในข
อใดต
อไปนี
ที
้จํ
่าเป
น ต
อการศึ
กษาโครงสร
างผลึ
กด
วยเทคนิ
คการเลี
ยวเบนของรังสี
้ เอ็
กซ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
เนื
อหาวิ
้ ชา : 249 : 12 Metals processing
ข
อที
่
313 : ในการดึ
งเหล็
กให
เป
น เส
น ลวด ต
องใช
แรงดึ
งในช
วงใด
1 : ไม
เกิ
น ความต
านแรงคราก (Yield strength)
2 : ไม
เกิ
น ความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength)
3 : มากกวาความต
านแรงคราก (Yield strength) แต
ไม
เกิ
น ความต
านแรงดึ ง (Tensile strength)
4 : มากกวาความต
านแรงดึ
ง (Tensile strength) แต
ไม
ถึ
งจุ
ดแตกหัก (Fracture point)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
314 : ในการตัดชิ
น งานต
้ องเลื
อกมี
ดตัดอย
างไร
1 : มี
ดตัดต
องมี
ความแข็
งมากกว
าชิ
น งาน
้
2 : มี
ดตัดต
องมี
ความแข็
งแรงมากกว
าชิน งาน
้
3 : มี
ดตัดต
องมี
ความเหนี
ยวมากกว
าชิน งาน
้
4 : มี
ดตัดทนความร
อนได
ดี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
315 : ข
อใดคื
อข
อดี
ข องการขึ
น รู
้ ปด
วยการหล
อแบบหล
อทราย (Sand casting)
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 52/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : ผลิตไดเร็
ว คราวละมาก ๆ
2 : ต
น ทุ
น แบบหล อต่า
ํ
3 : ชิ
น งานมี
้ ผิวเรี
ยบ ไมต
องตกแต
งเพิ
ม
่
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถูก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
316 : การขึ
น รู
้ ปเย็
น (Cold working) หมายถึ
ง การขึ
น รู
้ ปด
วยแรงทางกล ณ อุ
ณหภู
มิ
ใด
1 : อุ
ณหภู
มิ
ต่
ากว
ํ าอุ
ณหภู
มิ
ห
อง
2 : อุ
ณหภู
มิ
ต่
ากว
ํ าอุ
ณหภู
มิ
การเกิ
ดผลึ
ก (Crystallization temperature)
3 : อุ
ณหภู
มิ
ต่
ากว
ํ าอุ
ณหภู
มิ
การตกผลึ
กใหม (Recrystallization temperature)
4 : อุ
ณหภู
มิ
ต่
ากว
ํ าอุ
ณหภู
มิ
การเปลี
ยนสภาพจากเปราะเป
่ น ดึ
งยื
ดได(Ductile-brittle transition temperature)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
317 : กรรมวิ
ธี
การทางความร
อนใด คื
อ การเผาชิ
น งานที
้ ขึ
่น รู
้ ปด
วยผงโลหะ เพื
อให
่ ผงโลหะเชื
อมติ
่ ดกัน
1 : การอบอ
อน (Annealing)
2 : การอบปกติ (Normalizing)
3 : การอบคื
น ตัว (Tempering)
4 : การอบซิ
น เตอร (Sintering)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
318 : กรรมวิ
ธี
การขึ
น รู
้ ปโลหะใดต
อไปนี
ที
้ก
่อให
เกิ
ดการสู
ญเปล
าของวัตถุ
ดิ
บน
อยที
สุ
่ด
1 : การหลอด
วยแมพิ
มพ ทราย (Sand casting)
2 : การหลอแบบใชแมแบบ (Die casting)
3 : การขึ
น รู
้ ปโลหะผง (Powder Metallurgy)
4 : การตกแตง (Machining)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
319 : ในการขึ
น รู
้ ปเย็
น (Cold working) ข
อใดต
อไปนี
ถู
้กต
องที
สุ
่ด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
320 : ข
อใดคื
อข
อดี
ข องการขึ
น รู
้ ปร
อน (Hot working) ของโลหะ
1 : สามารถลดขนาดชิ น งานได
้ คราวละมาก ๆ
2 : สามารถควบคุ มขนาดของชิ น งานได
้ ง
าย
3 : ชิ
น งานมี
้ ความแข็งเพิมมากขึ
่ น
้
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
321 : ข
อใดคื
อข
อด
อยของการขึ
น รู
้ ปร
อน (Hot working) ของโลหะ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
322 : ข
อใดคื
อข
อดี
ข องการขึ
น รู
้ ปเย็
น (Cold working) ของโลหะ
1 : ได
ผิวชิ
น งานเรี
้ ยบเปน มัน สะอาด
2 : ชิ
น งานมี
้ ความแข็งเพิ
มมากขึ
่ น
้
3 : สามารถควบคุ มขนาดของชิ น งานได
้ ง
าย
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
323 : กรรมวิ
ธี
การผลิ
ตใดต
อไปนี
ส ามารถผลิ
้ ตหัวค
อนได
แข็
งแรงที
สุ
่ด
1 : การหลอขึน รู
้ ป (Casting)
2 : การทุบขึน รู
้ ป (Forging)
3 : การตกแต งขึน รู
้ ป (Machining)
4 : การอัดรี
ด (Extrusion)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 53/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
324 : ในการหล
อชิ
น ส
้ วนอะลู
มิ
เนี
ยมผสม ธาตุ
ผสมชนิ
ดใดที
ทํ
่าให
จุ
ดหลอมเหลวของอะลู
มิ
เนี
ยมต่
าลงมากที
ํ สุ
่ด
1 : ทองแดง
2 : ซิ
ลิคอน
3 : นิ
เกิ
ล
4 : แมงกานีส
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
325 : ถ
าต
องการผลิ
ตชิ
น ส
้ วนงานหล
ออะลู
มิ
เนี
ยมเป
น จํ
านวนมาก ควรเลื
อกใช
กรรมวิ
ธี
การหล
อชนิ
ดใดต
อไปนี
้
1 : การหล
อด
วยแม
พิ
มพ
ทราย (Sand Casting)
2 : การหล
อจากแบบพอกหุน (Investment casting)
3 : การหล
อแบบใช
แม
แบบ (Die casting)
4 : การหล
อแบบต
อเนื
อง (Continuous casting)
่
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
326 : ชิ
น งานโลหะที
้ ผ
่านการขึ
น รู
้ ปด
วยกรรมวิ
ธี
การรี
ดเย็
น (Cold rolling) จะมี
ลักษณะใด
1 : ผิ
วเรี
ยบ ความแข็
งแรงลดลง
2 : ผิ
วเรี
ยบ ความแข็
งแรงเพิมขึ
่ น
้
3 : ผิ
วหยาบ ความแข็งแรงลดลง
4 : ผิ
วหยาบ ความแข็งแรงเพิมขึ
่ น
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
327 : การหล
อชิ
น งานเครื
้ องประดับ นิ
่ ยมใช
การหล
อแบบใด
1 : การหล
อด
วยแม
พิ
มพ
ทราย (Sand casting)
2 : การหล
อจากแบบพอกหุน (Investment casting)
3 : การหล
อแบบใช
แม
แบบ (Die casting)
4 : การหล
อแบบต
อเนื
อง (Continuous casting)
่
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
328 : ประแจ (Wrench) ที
ส ามารถใช
่ งานได
ทนทาน เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากการขึ
น รู
้ ปด
วยกรรมวิ
ธี
ใดต
อไปนี
้
1 : การรี
ด (Rolling)
2 : การทุบขึน รู
้ ป (Forging)
3 : การหลอ (Casting)
4 : การอัดรี
ด (Extrusion)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
329 : ลวดสํ
าหรับใช
ทํ
าตะปู
เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากกรรมวิ
ธี
การขึ
น รู
้ ปใดต
อไปนี
้
1 : การรี
ดรอน (Hot rolling)
2 : การอัดรี
ด (Extrusion)
3 : การดึงรี
ด (Drawing)
4 : การรี
ดเย็น (Cold rolling)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
330 : มี
ดกลึ
งที
มี
่ความเหนี
ยว (Toughness) มาก จะมี
ผลต
อการกลึ
งอย
างไร
1 : สามารถใชความเร็วสู
งได
2 : สามารถกิ
น ลึกชิ
น งานได
้ คราวละมาก ๆ
3 : กลึ
งไดชิ
น งานผิ
้ วเรี
ยบ
4 : มี
ดกลึงทนต อการสึกดี
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
331 : ถ
าต
องการตัดแต
งชิ
น งานให
้ เป
น ร
องรู
ปตัว L ดังรู
ปข
างล
างนี
้
ควรเลื
อกใช
กรรมวิ
ธี
การใด
1 : การกลึง (Turning)
2 : การกัด (Milling)
3 : การไส (Shaping)
4 : การเจาะ (Drilling)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 54/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
332 : ในการแล
น ประสาน (Brazing) เพื
อทํ
่ าให
แผ
น เหล็
กสองแผ
น เชื
อมติ
่ ดกัน ควรเลื
อกใช
ลวดเชื
อมชนิ
่ ดใดต
อไปนี
้
1 : เหล็
กกล
า
2 : อะลู
มิ
เนี
ยม
3 : ทองแดง
4 : ทองเหลื
อง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
333 : รู
ขึ
น (Riser) ในงานหล
้ อมี
ไว
เพื
ออะไร
่
1 : เพื
อให
่ น้
าโลหะล
ํ น ออกมานอกแบบ
2 : เพื
อให
่ น้
าโลหะในส
ํ วนรู
ขึ
น (Riser) เติ
้ มเต็
มในชิน ส
้ วนงานหล
อขณะแข็
งตัว
3 : เพื
อให
่ มี
การหดตัวหลังการเย็
น ตัวของงานหล อ
4 : เพื
อเพิ
่ มน้
่ าหนักในการกดทับแบบงานหล
ํ อ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
334 : ปากแม
แบบ (Gate) ในงานหล
อมี
ไว
เพื
ออะไร
่
1 : เป
น ช
องสํ
าหรับน้าโลหะวิ
ํ งเข
่ าแม
แบบ
2 : เป
น ช
องสํ
าหรับเทน้ าโลหะ
ํ
3 : เป
น ช
องวิ
งของรู
่ ขึน (Riser)
้
4 : เป
น รู
ไอของแบบหล อทราย
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
335 : วัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
มี
้ความแข็
ง (Hardness) สู
งที
สุ
่ด
1 : เหล็
กกลาความเร็วรอบสู ง (High speed steel)
2 : เหล็
กกลาคารบอนสู ง (High carbon steel)
3 : อะลู
มิ
น า (Alumina)
4 : Cubic boron nitride
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
336 : วัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
มี
้ความเหนี
ยว (Toughness) สู
งที
สุ
่ด
1 : เหล็
กกลาคารบอนสู ง (High carbon steel)
2 : เหล็
กกลาความเร็วรอบสู ง (High speed steel)
3 : อะลู
มิ
น า (Alumina)
4 : Cubic boron nitride
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
337 : เหล็
กกล
าชนิ
ดใดต
อไปนี
ตัดแต
้ งได
ยากที
สุ
่ด
1 : เหล็
กกล
าไร
ส นิ
มเฟรไรต (Ferritic stainless steel)
2 : เหล็
กกล
าคารบอนต่ า (Low carbon steel)
ํ
3 : เหล็
กกล
าผสม (Alloy steel)
4 : เหล็
กกล
าเครื
องมื
่ อ (Tool steel)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
338 : ในการรี
ด Slab เพื
อให
่ ได
เหล็
กแผ
น (Sheet metal) ด
วยกรรมวิ
ธี
การรี
ดร
อน (Hot rolling) ควรเลื
อกใช
ลู
กรี
ดแบบใด และความเร็
วรอบอย
างไร เพื
อลดขนาดอย
่ างรวดเร็
ว
1 : ควรใช
ลู
กรี
ดขนาดใหญ
ผิ
วหยาบ และความเร็
วสูง
2 : ควรใช
ลู
กรี
ดขนาดใหญ
ผิ
วหยาบ และความเร็
วรอบต่า
ํ
3 : ควรใช
ลู
กรี
ดขนาดใหญ
ผิ
วละเอี
ยด และความเร็
วรอบสูง
4 : ควรใช
ลู
กรี
ดขนาดใหญ
ผิ
วละเอี
ยด และความเร็
วรอบต่า
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
339 : ในการขึ
น รู
้ ปร
อน (Hot working) ของโลหะ ควรใช
อุ
ณหภู
มิ
ที
มากกว
่ าค
าใด
1 : อุ
ณหภู
มิ
ตกผลึ
ก (Recrystallization Temperature)
2 : อุ
ณหภู
มิ
ยู
เทกทอยด (Eutectoid Temperature)
3 : อุ
ณหภู
มิ
ยู
เทกติ
ก (Eutectic Temperature)
4 : อุ
ณหภู
มิ
จุ
ดหลอมเหลว (Melting Temperature)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
340 : Anodizing คื
ออะไร
1 : การชุ
บผิ
วเหล็กให
ส วยงาม
2 : การชุ
บแข็
งอะลูมิ
เนียม
3 : การชุ
บแข็
งผิวอะลูมิ
เนี
ยม
4 : การทํ
าอะลู
มิ
เนียมใหอ
อน
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 55/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
341 : โลหะในข
อใดต
อไปนี
ส ามารถหล
้ อได
ง
ายที
สุ
่ด
1 : เหล็
กหล
อเทา (Gray cast iron)
2 : เหล็
กหล
อขาว (White cast iron)
3 : เหล็
กหล
อเหนี
ยว (Ductile cast iron)
4 : เหล็
กหล
ออบเหนียว (Malleable cast iron)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
342 : กระบวนการในข
อใดต
อไปนี
ส ามารถชุ
้ บแข็
งผิ
วเหล็
กที
ให
่ ความแข็
งสู
งที
สุ
่ด
1 : คาร
บู
ไรซิ
ง (Carburizing)
่
2 : ไนไตร
ดิ
ง (Nitriding)
้
3 : ใช
กระแสเหนียวนํ
่ า (Induction hardening)
4 : ใช
เปลวเพลิง (Flame hardening)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
343 : การลดป
ญหาการแตกร
าวในการเชื
อมเหล็
่ กกล
าผสมต่
าสามารถทํ
ํ าได
โดยวิ
ธี
ใดต
อไปนี
้
1 : ให
ความรอนชิน งานก
้ อนเชือม
่
2 : อบชิน งานหลังการเชื
้ อม
่
3 : ใช
ก
าซเฉื อยคลุ
่ มขณะเชือม
่
4 : เชื
อมโดยใช
่ กํ
าลังไฟฟ
าต่า
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
344 : กระบวนการผลิ
ตในข
อใดต
อไปนี
ที
้เหมาะที
่ สุ
่ดในการผลิ
ตใบพัดของเครื
องกังหัน ก
่ าซ (Gas turbine blades)
1 : การหล
อด
วยแม พิ
มพ ทราย (Sand casting)
2 : การหล
อแบบใช แมแบบ (Die casting)
3 : การหล
อจากแบบพอกหุ น (Investment casting)
4 : การทุ
บขึ
น รู
้ ป (Forging)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
345 : กรรมวิ
ธี
ใดต
อไปนี
ส ามารถผลิ
้ ตแผ
น เหล็
กกล
าที
มี
่ข นาดเที
ยงตรงตามที
่ ต
่องการได
ดี
ที
สุ
่ด
1 : การรี
ดร
อน (Hot rolling)
2 : การรี
ดเย็
น (Cold rolling)
3 : การทุ
บขึน รู
้ ป (Forging)
4 : การดึ
งรี
ด (Drawing)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
346 : ข
อใดไม
ใช
กลไกการเพิ
มความแข็
่ งแรงให
กับอะลู
มิ
เนี
ยมและอะลู
มิ
เนี
ยมผสม
1 : การขึ
น รู
้ ปเย็น (Cold working)
2 : การขึ
น รู
้ ปรอน (Hot working)
3 : การชุ
บแข็ งแบบตกตะกอน (Precipitate hardening)
4 : การทํ
าใหเปน สารละลายของแข็ ง (Solid solution)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
347 : กรรมวิ
ธี
ใดต
อไปนี
เหมาะสํ
้ าหรับผลิ
ตภัณฑ
โลหะที
มี
่จุ
ดหลอมเหลวสู
งและมี
ส ภาพการดึ
งยื
ดได
น
อย
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
348 : กระบวนการใดที
เหมาะสมสํ
่ าหรับการขึ
น รู
้ ปแผ
น โลหะให
เป
น ชิ
น งานรู
้ ปถ
วย
1 : การหลอขึน รู
้ ป (Casting)
2 : การทุบขึน รู
้ ป (Forging)
3 : การลากขึ น รู
้ ป (Deep drawing)
4 : การอัดรี
ด (Extrusion)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
เนื
อหาวิ
้ ชา : 250 : 13 Ceramics processing
ข
อที
่
349 : ผลิ
ตภัณฑ
เซรามิ
กในข
อใดเหมาะกับการขึ
น รู
้ ปโดยการอัด (Pressing)
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 56/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : อ
างลางหนา
2 : กระเบืองปู
้ พืน และผนัง
้
3 : แจกัน
4 : ถ
วยกาแฟ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
350 : ผลิ
ตภัณฑ
เซรามิ
กในข
อใดเหมาะกับการขึ
น รู
้ ปโดยการหล
อแบบ (Slip casting)
1 : อ
างลางหนา
2 : กระเบืองปู
้ พืน และผนัง
้
3 : โอ
งมังกร
4 : ท
อระบายน้ า
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
351 : ผลิ
ตภัณฑ
เซรามิ
กในข
อใดเหมาะกับการขึ
น รู
้ ปโดยการอัดรี
ด (Extrusion)
1 : สุ
ข ภัณฑในห
องน้า
ํ
2 : ถ
วยกาแฟ
3 : กระเบืองมุ
้ งหลังคา
4 : ท
อน้ าทิ
ํ ง
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
352 : ข
อใดต
อไปนี
จะไม
้ เกิ
ดขึ
น เมื
้ อให
่ ความร
อนกับเซรามิ
กในกระบวนการอบแห
ง (Drying)
1 : น้
าระหว
ํ างอนุภาคถูกขจัดออก
2 : สารอิ
น ทรีย
ถู
กขจัดออก
3 : ผลิ
ตภัณฑ หลังอบมี
ข นาดใหญขึ
น
้
4 : ผลิ
ตภัณฑ หลังอบมี
ความแข็งแรงต่
าและเปราะ
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
353 : ข
อใดต
อไปนี
ไม
้ เกิ
ดขึ
น ในกระบวนการ Sintering
้
1 : Solid-state diffusion
2 : อนุภาคเกิดการเชื อมต
่ อกัน บริ
เวณทีส ัมผัส กับอนุ
่ ภาคอื
น
่
3 : เกิดการหลอมละลายเป น ของเหลว
4 : ชองว
างระหวางอนุ ภาคมีข นาดเล็กลง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
354 : ในการขึ
น รู
้ ปเซรามิ
กชนิ
ดที
มี
่ดิ
น เป
น องค
ประกอบหลัก (Clay products) โดยวิ
ธี
การหล
อแบบ (Slip casting) ใช
วัส ดุ
ใดเป
น แบบหล
อ
1 : ทราย
2 : โลหะ
3 : ยาง
4 : ปู
น ปลาสเตอร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
355 : ในการผลิ
ตเซรามิ
กชนิ
ดที
มี
่ดิ
น เป
น องค
ประกอบหลัก (Clay products) ด
วยวิ
ธี
การหล
อแบบ (Slip casting) แบบที
ใช
่ ในการขึ
น รู
้ ปควรมี
ลักษณะอย
างไรและเพราะเหตุ
ใด
1 : เนื
องจากผลิ
่ ตภัณฑ
ทีได
่ มี
การขยายขนาด จึ งตองทํ าให
แบบมี ข นาดเล็กกว
างานจริ
ง
2 : เนื
องจากผลิ
่ ตภัณฑ
ทีได
่ มี
จะมี
ข นาดเทาเดิ
ม ดังนั้
น แบบจะมีข นาดเทางานจริง
3 : เนื
องจากผลิ
่ ตภัณฑ
ทีได
่ มี
การหดตัว จึ
งตองทํ
าให แบบมีข นาดใหญ กวางานจริง
4 : ผลิตภัณฑ
ที
ได
่ อาจจะหดตัวหรื
อขยายตัวก็ไดการเผื อขนาดแบบแล
่ วแตชนิดของผลิตภัณฑ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
356 : กระจก เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากการขึ
น รู
้ ปแบบใด
1 : การเปา (Blowing)
2 : การอัด (Pressing)
3 : การดึง (Drawing)
4 : การอัดรีด (Extrusion)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
357 : ผลิ
ตภัณฑ
ประเภทใดขึ
น รู
้ ปโดยการเป
า (Blowing)
1 : ขวดแกว
2 : จานแกว
3 : กระจก
4 : เลนส
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 57/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
ข
อที
่
358 : ข
อใดไม
ใช
วัตถุ
ประสงค
ในการใช
ดิ
น เป
น วัตถุ
ดิ
บในเซรามิ
กดั้
งเดิ
ม (Conventional ceramics)
1 : ดิ
น ช
วยในเรื
องความเหนี
่ ยวขณะขึน รู
้ ปทํ
าให
ขึ
น รู
้ ปได
ง
าย
2 : ดิ
น ช
วยให
เซรามิ
กคงรู
ปอยู
ได
ข ณะเผา
3 : ดิ
น ช
วยให
เซรามิ
กมี
ความหนาแนน สูง
4 : ดิ
น มี
ราคาถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
359 : ในการบดผสมวัตถุ
ดิ
บสํ
าหรับผลิ
ตเซรามิ
ก ทํ
าไมจึ
งต
องมี
การควบคุ
มการกระจายขนาดอนุ
ภาค (Particle size distribution)
1 : เพื
อให
่ วัตถุ
ดิ
บหลอมตัวไดง
าย
2 : เพื
อให
่ วัตถุ
ดิ
บสามารถอัดตัวกัน เพื
อให
่ มี
ช
องว
างน
อยที
สุ
่ด
3 : เพื
อให
่ วัตถุ
ดิ
บผสมกัน ได
ดี
ยิงขึ
่ น
้
4 : เพื
อให
่ วัตถุ
ดิ
บไม
เกิ
ดการหดตัวหลังให ความร
อน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
360 : ถ
าต
องการขึ
น รู
้ ปท
อเซรามิ
กที
มี
่ความยาวและมี
หน
าตัดเหมื
อนกัน ตลอดความยาวชิ
น งาน 1 เมตร ควรขึ
้ น รู
้ ปด
วยวิ
ธี
ใด
1 : การอัด (Pressing)
2 : การอัดรีด (Extrusion)
3 : การฉีด (Injection)
4 : การเปา (Blowing)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
361 : ในกระบวนการอบ ทํ
าไมผลิ
ตภัณฑ
เซรามิ
กที
ผนังมี
่ ความหนามากมี
แนวโน
มที
จะเกิ
่ ดการแตกได
ง
ายกว
าเซรามิ
กที
มี
่ผนังบาง
1 : การหดตัวทีผิ
่ว (Surface) กับเนื
อส
้ วนใน (Interior) มี
ค
าแตกต างกัน
2 : ผลิตภัณฑผนังหนาต องอบที อุ
่ ณหภูมิสู
งกว
าผลิ ตภัณฑ ผนังบาง
3 : น้
าในเนื
ํ อส
้ วนใน (Interior) ของผลิตภัณฑผนังหนาสามารถกํ าจัดออกได
ง
าย
4 : ผลิตภัณฑผนังหนามี ความแข็ งแรงนอยกว
าผลิ ตภัณฑ ผนังบาง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
362 : การเกิ
ดเป
น เนื
อแก
้ ว (Vitrification) จะทํ
าให
เกิ
ดผลในข
อใด
1 : สัมประสิทธิการขยายตัวเนื
์ องจากความร
่ อน (Coefficient of thermal expansion) ต่
าลง
ํ
2 : การนําความร อน (Thermal conductivity) ต่าลง
ํ
3 : การนําไฟฟ า (Electrical conductivity) ดี
ขึ
น
้
4 : การเสียรู
ป (Warpage) ต่ าลง
ํ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
363 : ในเซรามิ
กแบบดั้
งเดิ
ม (Conventional ceramic) การเติ
ม Flux จะมี
ประโยชน
ในเรื
องใด
่
1 : ทํ
าให
ผลิ
ตภัณฑเกิดเป
น เนื
อแก
้ ว
2 : ทํ
าให
การเกิ
ดเป
น เนื
อแก
้ วสามารถเกิ
ดที
อุ
่ณหภู
มิ
ต่
าลง
ํ
3 : ไม
ให
ผลิ
ตภัณฑเกิดการหดตัว
4 : ทํ
าให
มี
ความเปราะนอยลง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
364 : ข
อใดเป
น กระบวนการที
สํ
่าคัญที
ใช
่ ในการทํ
ากระจกนิ
รภัย (Safety glass) สํ
าหรับกระจกหน
ารถ
1 : Pressing
2 : Drying
3 : Tempering
4 : Blowing
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
365 : กระบวนการในข
อใดต
อไปนี
ทํ
้าให
ชิ
น งานเซรามิ
้ กมี
ความหนาแน
น มากขึ
น และมี
้ รู
พรุ
น น
อยลง
1 : Drying
2 : Pressing
3 : Casting
4 : Sintering
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
366 : ขวดเบี
ยร
เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากกรรมวิ
ธี
การขึ
น รู
้ ปใดต
อไปนี
้
1 : Pressing
2 : Extrusion
3 : Blowing
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 58/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
4 : Casting
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
367 : กระจกหน
าต
างเป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากกรรมวิ
ธี
การขึ
น รู
้ ปใดต
อไปนี
้
1 : Pressing
2 : Drawing
3 : Blowing
4 : Casting
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
368 : ข
อใดกล
าวเกี
ยวกับกรรมวิ
่ ธี
ทางความร
อนของแก
วไม
ถู
กต
อง
1 : การอบออนแก วทําเพือลดปริ
่ มาณความเค น ตกคางของชิน งาน
้
2 : การอบออนแก วทําไดโดยการให ความร
อนถึ งจุ
ดออนตัวแลวปลอยใหเย็น ตัวช
าๆ จนถึ
งอุ
ณหภู มิ
หอง
3 : การเพิ
มความแข็
่ งใหกับแก
ว (Glass tempering) ทําได
โดยการให ความรอนถึ งจุ
ดอ
อนตัว แล
วทําใหเย็
น ตัวอย
างรวดเร็
วโดยการเปาลม
4 : ชิ
น งานที
้ เย็
่ น ตัวอย
างรวดเร็วจากการเพิ มความแข็
่ งให
กับแกว (Glass tempering) จะทํ
าใหเกิ
ดความเค น อัดที
ผิ
่วและเกิดความเค
น แรงดึงที
เนื
่ อภายใน
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
เนื
อหาวิ
้ ชา : 251 : 14 Polymers processing
ข
อที
่
369 : ผลิ
ตภัณฑ
พอลิ
เมอร
ที
ได
่ จากการขึ
น รู
้ ปด
วยเครื
องอัดรี
่ ด (Extrusion) จะมี
ลักษณะแบบใด
1 : เป
น ภาชนะกลวง
2 : รู
ปร
างลักษณะซับซ อนมาก
3 : รู
ปร
างหนาตัดเหมือนกัน ตลอดความยาวของชิ
น งาน
้
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู
ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
370 : กระบวนการขึ
น รู
้ ปชนิ
ดใดที
ไม
่ นิ
ยมใช
กับพอลิ
เมอร
ชนิ
ดเทอร
โมพลาสติ
ก (Thermoplastic)
1 : การฉี
ดขึน รู
้ ป (Injection molding)
2 : การเป
าขึน รู
้ ป (Blow molding)
3 : การรี
ดใหเปน แผน (Calendering)
4 : การหลอ (Casting)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
371 : ข
อใดคื
อส
วนประกอบที
สํ
่าคัญของเครื
องขึ
่ น รู
้ ปแบบฉี
ด (Injection molding)
1 : หน
วยฉี ด (Injection unit)
2 : หน
วยจับยึ ด (Clamping unit)
3 : แม
พิมพ (Mold)
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถู ก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
372 : ท
อพลาสติ
ก เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
ได
่ จากการขึ
น รู
้ ปแบบใด
1 : การฉีดขึน รู
้ ป (Injection molding)
2 : การเปาขึ
น รู
้ ป (Blow molding)
3 : การอัดรี
ด (Extrusion)
4 : การอัดเข
ากับแบบ (Compression molding)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
373 : ขวดพลาสติ
ก เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากการขึ
น รู
้ ปแบบใด
1 : การฉีดขึน รู
้ ป (Injection molding)
2 : การเปาขึ
น รู
้ ป (Blow molding)
3 : การอัดรี
ด (Extrusion)
4 : การอัดเข
ากับแบบ (Compression molding)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
374 : ผงถ
าน (Carbon black) ที
ใช
่ เป
น ส
วนผสมในยางรถยนต
เป
น สารเติ
มแต
งชนิ
ดใด
1 : สี(Colorant)
2 : สารเสริมแรง (Reinforcing filler)
3 : สารไมเสริ
มแรง (Non-reinforcing filler)
4 : สารปองกัน การติ
ดไฟ (Flame retardant)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
375 : ผลิ
ตภัณฑ
ที
ทํ
่าจากพอลิ
เมอร
ชนิ
ดใดต
อไปนี
มี
้การหดตัวหลังกระบวนการขึ
น รู
้ ปมากที
สุ
่ด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 59/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : วัส ดุ
ยืดหยุ
น (Elastomer)
2 : เทอร โมเซตติง (Thermosetting)
้
3 : เทอร โมพลาสติ กชนิดทีเกิ
่ ดโครงสรางผลึ
ก (Crystalline thermoplastic)
4 : เทอร โมพลาสติ กชนิดทีไม
่ เกิดโครงสร
างผลึก (Non-crystalline thermoplastic)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
376 : สารเติ
มแต
งชนิ
ดไม
เสริ
มแรง (Non-reinforcing filler) นิ
ยมใช
ผสมในพอลิ
เมอร
ก
อนทํ
าการขึ
น รู
้ ปเพราะเหตุ
ใด
1 : เพื
อให
่ สี
ส วยขึน
้
2 : เพื
อลดต
่ น ทุ
น
3 : เพื
อให
่ ใช
ในชวงอุณหภู
มิ
ที
กว
่ างขึ
น
้
4 : เพื
อใช
่ ในการหล อลื
น
่
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
377 : พอลิ
ไวนิ
ล คลอไรด
(Polyvinyl chloride) สามารถนํ
ามาใช
เป
น หนังเที
ยมได
ถ
าหากเติ
มสารเติ
มแต
งชนิ
ดใดลงไปในกระบวนการผลิ
ต
1 : สารหลอลืน (Lubricant)
่
2 : สารเสริมแรง (Reinforcing filler)
3 : สารปองกัน การแตกหักของสายโซ โมเลกุ
ล (Stabilizer)
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ผิด
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่378 : เพราะเหตุ
ใดกระบวนการขึ
น รู
้ ปแบบอัดเข
ากับแบบ (Compression molding) จึ
งนิ
ยมใช
กับพอลิ
เมอร
ชนิ
ดเทอร
โมเซตติ
ง (Thermosetting) มากกว
้ าพอลิ
เมอร
ชนิ
ดเทอร
โมพลาสติ
ก (Thermoplastic)
1 : การขึ
น รู
้ ปเทอรโมเซตติง ไม
้ จําเป
น ต
องมี
การหลอเย็น
2 : ผลิตภัณฑทีได
่ จากการขึ
น รู
้ ปเทอรโมเซตติง มี
้ ผิ
วทีเป
่ น มัน วาวกว
า
3 : ประหยัดพลังงาน เนืองจากในกระบวนการผลิ
่ ตเทอรโมเซตติ ง มี
้ ความต
องการใช
อุ
ณหภู
มิ
ที
ต่
่ากว
ํ าในกระบวนการผลิ
ตเทอร
โมพลาสติ
ก
4 : ข
อ 1 2 และ 3 ถูก
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
379 : สารเติ
มแต
งที
นิ
่ยมใช
ในการทํ
าให
ยางเกิ
ดโครงสร
างตาข
าย (Network) ขณะขึ
น รู
้ ปคื
อข
อใด
1 : หิ
น ปูน
2 : กํ
ามะถัน
3 : ผงถาน
4 : ขี
ผึ
้ ง
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที่380 : กระบวนการขึ
น รู
้ ปพอลิ
เมอร
โดยวิ
ธี
การอัดรี
ดเป
าขึ
น รู
้ ป (Extrusion blow molding) จะมี
ความแตกต
างจากกระบวนการขึ
น รู
้ ปโดยวิ
ธี
การฉี
ดเป
าขึ
น รู
้ ป (Injection blow
molding) อย
างไร
1 : ชนิดของพอลิเมอร
ทีใช
่ แตกตางกัน
2 : ผลิตภัณฑ
ที
ได
่ เป
น ภาชนะกลวง
3 : รู
ปร
างผลิ
ตภัณฑทีได
่ มี
ความซับซอนเหมื
อนกัน
4 : เทคนิคที
ใช
่ ในการเปาดวยวิ
ธี
การฉีดเป
าขึ
น รู
้ ป (Injection blow molding) ยุ
งยากกว
าการเป
าด
วยวิ
ธี
การอัดรี
ดเป
าขึ
น รู
้ ป (Extrusion blow molding)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 4
ข
อที
่
381 : ช
อนพลาสติ
กตักไอศกรี
ม เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากการขึ
น รู
้ ปแบบใด
1 : การหลอ (Casting)
2 : การอัดเข
าแบบ (Compression molding)
3 : การฉีดขึน รู
้ ป (Injection molding)
4 : การอัดรี
ด (Extrusion)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
382 : กล
องพลาสติ
กใสสํ
าหรับใส
ข นมเค
กชิ
น เล็
้ กๆ เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากการขึ
น รู
้ ปแบบใด
1 : การขึน รู
้ ปด วยความร อน (Thermo-forming)
2 : การอัดเขาแบบ (Compression molding)
3 : การฉีดขึน รู
้ ป (Injection molding)
4 : การเปาขึน รู
้ ป (Blow molding)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
383 : จานข
าวเมลามี
น (Melamine) เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากการขึ
น รู
้ ปแบบใด
1 : การขึน รู
้ ปดวยความร อน (Thermo-forming)
2 : การอัดเขาแบบ (Compression molding)
3 : การฉีดขึน รู
้ ป (Injection molding)
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 60/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
4 : การเป
าขึ
น รู
้ ป (Blow molding)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
384 : ยางลบดิ
น สอ เป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากการขึ
น รู
้ ปแบบใด
1 : การอัดรี
ด (Extrusion)
2 : การอัดเข
าแบบ (Compression molding)
3 : การฉีดขึน รู
้ ป (Injection molding)
4 : การเปาขึ
น รู
้ ป (Blow molding)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
385 : สารเติ
มแต
งประเภทใดต
อไปนี
ใช
้ สํ
าหรับลดความรุ
น แรงของอัคคี
ภัยที
เกิ
่ ดขึ
น กับวัส ดุ
้ พอลิ
เมอร
1 : Stabilizer
2 : Colorant
3 : Flame retardant
4 : Filler
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
386 : แผ
น ฟ
ล
มพลาสติ
กเป
น ผลิ
ตภัณฑ
ที
มักจะได
่ จากกรรมวิ
ธี
การขึ
น รู
้ ปใดต
อไปนี
้
1 : Injection molding
2 : Extrusion
3 : Casting
4 : Blow molding
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
387 : ขั้
น ตอนใดต
อไปนี
ที
้ไม
่ เกี
ยวข
่ องกับการสังเคราะห
พอลิ
เมอร
แบบเติ
ม (Addition polymerization)
1 : Initiation
2 : Termination
3 : Condensation
4 : Propagation
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
388 : ผลิ
ตภัณฑ
ในข
อใดไม
ส ามารถขึ
น รู
้ ปด
วยกระบวนการฉี
ด (Injection molding) ได
1 : เปลื
อกหุมสายเคเบิ
ล
2 : ใบพัดลม
3 : แผ
น ซี
ดี
4 : ฝาครอบโทรศัพทมื
อถื
อ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
เนื
อหาวิ
้ ชา : 252 : 15 Composite materials
ข
อที
่
389 : วัตถุ
ประสงค
หลักในการพัฒนาวัส ดุ
เชิ
งประกอบ (Composites) คื
อข
อใด
1 : เพิมความรวดเร็
่ วในการผลิ
ตและประสิทธิภาพการผลิต
2 : ลดตน ทุ
น การผลิต เพิ
มความสามารถในการแข
่ งขัน
3 : ปรับปรุ
งสมบัติบางประการของชิ
น งาน เช
้ น ความแข็งแรง
4 : ลดผลกระทบต อสิงแวดล
่ อมและใชทรัพยากรให
คุ
มค
า
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
390 : วัส ดุ
ในข
อใดต
อไปนี
ไม
้ ใช
วัส ดุ
เชิ
งประกอบ (Composites)
1 : ซี
เมนต (Cement)
2 : คอนกรีต (Concrete)
3 : คอนกรีตเสริ
มเหล็ ก (Reinforced concrete)
4 : โฟม (Foam)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
391 : ผลิ
ตภัณฑ
ใดต
อไปนี
ที
้นิ
่ยมผลิ
ตจากวัส ดุ
เชิ
งประกอบ (Composites)
1 : ถ
วยกาแฟ
2 : หม
อหุ
งข
าว
3 : ไม
เทนนิ
ส
4 : กรอบแว
น ตา
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
392 : ไฟเบอร
กลาส (Fiberglass) เป
น วัส ดุ
ชนิ
ดใด
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 61/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
1 : เป
น แก ว (Glass) ที
นํ
่ามาขึ
น รู
้ ปเปน เสน ใย (Fiber)
2 : เป
น วัส ดุเชิ
งประกอบ (Composite) ที มี
่เทอร โมเซท (Thermoset) เป น โครงสร
างพื
น (Matrix)
้
3 : เป
น วัส ดุเชิ
งประกอบทีมี
่เทอรโมพลาสติ ก (Thermoplastic) เป
น โครงสรางพื
น
้
4 : เป
น วัส ดุเชิ
งประกอบทีมี
่เซรามิก (Ceramic) เป น โครงสร
างพื น
้
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
393 : ใยแก
ว (Glass fibers) ประกอบด
วยสารประกอบชนิ
ดใดมากที
สุ
่ด
1 : SiO2
2 : Al2O3
3 : CaO
4 : MgO
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
394 : เซอร
เมท (Cermet) เป
น วัส ดุ
ชนิ
ดใด
1 : เซรามิ ก
2 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ (Composite) มี
โลหะเปน โครงสรางพืน (Matrix)
้
3 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ (Composite) มี
เซรามิกเปน โครงสร
างพืน (Matrix)
้
4 : โลหะชนิ ดหนึ
ง มี
่ ความแข็
งสู ง ใช
เป
น มี
ดกลึ ง
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
395 : เคฟลาร
(Kevlar) เป
น เส
น ใยชนิ
ดใด
1 : เส
น ใยธรรมชาติ
2 : เส
น ใยพอลิเมอร
ส ังเคราะห
3 : เส
น ใยแก
ว
4 : เส
น ใยคาร
บอน
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
396 : กระบวนการในข
อใดต
อไปนี
ที
้ใช
่ ในการผลิ
ตเส
น ใยคาร
บอน (Carbon fibers)
1 : Pyrolysis
2 : Hydrolysis
3 : Synthesis
4 : Analysis
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 1
ข
อที
่
397 : วัส ดุ
เชิ
งประกอบ (Composite) ชนิ
ดใดต
อไปนี
ที
้เหมาะสํ
่ าหรับผลิ
ตก
านสู
บ (Connecting rods) ในเครื
องยนต
่
1 : อะลู
มิ
เนี
ยมเสริ
มใยแกว (Glass fibers)
2 : อะลู
มิ
เนี
ยมเสริ
มใยซิลิ
กอนคาร ไบด (SiC)
3 : อะลู
มิ
เนี
ยมเสริ
มใยหิ
น (Asbestos)
4 : อะลู
มิ
เนี
ยมเสริ
มใยเหล็ก (Steel)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
398 : ข
อใดต
อไปนี
เป
้ น วัส ดุ
เชิ
งประกอบที
มี
่ส มบัติ
แบบไอโซทรอป
ก
1 : คานไม
2 : โครงเครื
องบิ
่ น ไฟเบอร
กลาส
3 : ยางรถยนตเสริมแรงด
วยคาร
บอนแบล็ ก
4 : ชิ
น ส
้ วนกระสวยอวกาศทํ าจากเส
น ใยยาวเคฟลาร
และอี
พอกซี
(Kevlar-epoxy)
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 3
ข
อที
่
399 : ข
อใดไม
ใช
วิ
ธี
เพิ
มความแข็
่ งแรงให
กับวัส ดุ
เชิ
งประกอบ
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
ข
อที
่
400 : ข
อใดต
อไปนี
้
คื
อหน
าที
ข องเฟสกระจายตัว (Disperse phase) ในวัส ดุ
่ เชิ
งประกอบ
1 : เป
น ตัวกลางในการถ ายโอนแรงจากภายนอกให กับวัส ดุ
ผสม
2 : เสริ
มสมบัติ ข องวัส ดุ
ผสมให
ดี
ขึน
้
3 : ป
องกัน ความเสี ยหายของเฟสเนื อพื
้ น (Matrix) จากสภาพแวดล
้ อม
4 : ลดตน ทุน การผลิ ต
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 62/63
2/27/15 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
่กต
อง : 2
www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=33 63/63