Professional Documents
Culture Documents
พฤติกรรมผู้บริโภคกาแฟดริป
พฤติกรรมผู้บริโภคกาแฟดริป
ลิขสิ ทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล
ข
กิตติกรรมประกาศ
อรวรรยา ลิ้มเจริ ญ
ค
กจ.ม.
บทคัดย่อ
งานวิจยั นี้ มีวตั ถุ ประสงค์เพื่ อศึ กษา เพื่อศึ กษาทัศนคติ และพฤติ กรรมผูบ้ ริ โภค ศึ กษา
ความสัมพันธ์ของทั้งสองแนวคิดเกี่ยวกับการดื่มกาแฟดริ ป และใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์
และเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกใช้บริ การร้านกาแฟที่มีรูปแบบสโลว์บาร์ของผูบ้ ริ โภค ในพื้นที่
อาเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี โดยดาเนิ นการเก็บข้อมูลด้วยรู ปแบบการวิจั ยเชิ งคุณภาพ จาก
การศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องและดาเนิ นการสัมภาษณ์เชิ งลึก กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 30 คน พร้อม
กับการเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตควบคู่กนั ไปด้วย
ผลการศึกษา พบว่า ผูบ้ ริ โภคมีทศั นคติและพฤติกรรมในเชิงบวกต่อกาแฟดริ ปและร้าน
กาแฟรู ปแบบสโลว์บ าร์ อันมี ปั จจัย ที่ มี ค วามสั มพันธ์ กับความตั้งใจ ในการประกอบธุ รกิ จ ของ
ผูป้ ระกอบการ สอดคล้องกับกลยุทธ์ทฤษฏีส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix 7Ps) ส่ งผลให้
ผูบ้ ริ โภคมีทศั นคติและพฤติกรรมในเชิงบวก แต่อย่างไรก็ตามมีประเด็นจุดอ่อนไหว ในกระแสนิ ยม
กาแฟดริ ปเป็ นความกังวลของผูบ้ ริ โภคที่ ชื่นชอบการดื่มกาแฟ ถึงการรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ และ
บรรยากาศเรี ยบง่ายของความเป็ นร้ านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ ดังนั้นจึงเป็ นสิ่ งที่ ผูป้ ระกอบการร้ าน
กาแฟรู ปสโลว์บาร์ตอ้ งตระหนักในเรื่ องการบริ หารและพัฒนาร้านเป็ นสาคัญเสมอ
สารบัญ
หน้ า
กิตติกรรมประกาศ ข
บทคัดย่อ ค
สารบัญตาราง ฉ
สารบัญรู ปภาพ ช
บทที่ 1 บทนา 1
1.1 ที่มาและความสาคัญ 1
1.2 คาถามการวิจยั 4
1.3 วัตถุประสงค์ของการวิจยั 4
1.4 ขอบเขตของการวิจยั 4
1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5
1.6 ข้อจากัดของการวิจยั 5
บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม 7
2.1 นิยามศัพท์เฉพาะ 8
2.2. ประวัติความเป็ นมาของกาแฟดริ ป (Pour Over Coffee) และธุรกิจร้านกาแฟ
รู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) 9
2.3. แนวคิดด้านทัศนคติ (The Concept of Attitude) 17
2.4. แนวคิดด้านพฤติกรรมผูบ้ ริ โภค (The Concept of Consumer Behavior) 20
2.5 ทฤษฎีกล่องดา (Black box Theory) 21
2.6 ทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาดสาหรับธุ รกิจบริ การ (Marketing Mix 7Ps) 24
บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย 27
3.1 ระเบียบวิธีวิจยั 27
3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 29
3.3 เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั 29
3.4 วิธีการเก็บข้อมูล 33
3.5 ความเสี่ ยงและแผนสารองในการเก็บข้อมูล 35
จ
สารบัญ (ต่ อ)
หน้ า
3.6 การวิเคราะห์ขอ้ มูล 36
3.7 จริ ยธรรมการวิจยั 36
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล 39
4.1 กระบวนการเก็บข้อมูล 39
4.2 แนวคิดหลักและการเชื่อมโยงเข้าสู่ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 44
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้ อเสนอแนะ 62
5.1 สรุ ปผลการวิจยั 62
5.2 สรุ ปแนวคิดที่ได้จากการศึกษาและอภิปรายผล 65
5.3 ประโยชน์ที่ได้รับและข้อเสนอแนะ 69
บรรณานุกรม 71
ประวัติผ้ ูวิจัย 74
ฉ
สารบัญตาราง
ตาราง หน้ า
1.1 ตารางเปรี ยบเทียบคุณลักษณะของกาแฟสายพันธ์อาราบิกาและโรบัสตา 11
ช
สารบัญรูปภาพ
รู ปภาพ หน้ า
1.1 ความแตกต่างของระดับการคัว่ กาแฟ และข้อดีหรื อคุณประโยชน์ของการดื่มกาแฟ 3
2.1 แบบจาลองกล่องดาของ Meldrum และ McDonald (ปรับปรุ งจาก
Meldrum & McDonald, 2017 อ้างถึงใน วุฒิ สุขเจริ ญ, 2559) 24
1
บทที่ 1
บทนา
1.1 ที่มาและความสาคัญ
กาแฟเป็ นเครื่ องดื่มที่ได้รับความนิ ยมอย่างกว้างขวางทัว่ โลก เนื่ องจากมีรสชาติที่กลม
กล่อมและมีกลิ่นที่เป็ นเอกลักษณ์ โดยเครื่ องดื่มกาแฟทามาจากเมล็ดกาแฟคัว่ ที่ได้จากต้นกาแฟ ซึ่ ง
เป็ นหนึ่ งในพืชเศรษฐกิจที่สาคัญของโลก จากประวัติศาสตร์ ที่ยาวนานเชื่อกันว่าแหล่งกาเนิ ด ของ
กาแฟมาจากประเทศอาบีซีเนีย หรื อแถบประเทศอาราเบียน (อาราเบีย) หรื อประเทศอาหรับ โดยถูก
ค้นพบในศตวรรษที่ 6 ราวปี ค.ศ. 575 และในขณะเดี ย วกันบางข้อมูล ก็ ก ล่า วว่า กาแฟเป็ นพื ช
พื้นเมืองที่พบในเมืองคัพฟา (Kaffa) ซึ่งเป็ นจังหวัดหนึ่ งของประเทศเอธิ โอเปี ย (Ethiopia) กาแฟจึง
ได้ชื่อเรี ยกตามจังหวัดนี้ ซึ่งช่วงเวลานั้นกาแฟยังไม่ค่อยได้รับความสนใจจนกระทัง่ ในช่วงศตวรรษ
ที่ 9 เด็กเลี้ยงแพะ ชื่ อ “คาดีล” ชาวอาบีซีเนี ย (Abyssinia) ได้สังเกตพบว่า แพะของเขาดูคึกคะนอง
และกระปี้ กระเปร่ าขึ้นเมื่อกินผลไม้สีแดงของต้นไม้ชนิ ดหนึ่ ง ซึ่ งนัน่ ก็คือต้นกาแฟ จึงได้นาเรื่ องไป
เล่าให้ชาวมุสลิมท่านหนึ่ งฟั ง เขาจึงได้นาผลของต้นไม้น้ นั มากะเทาะเปลือกเอาเมล็ดไปคัว่ แล้วต้ม
ในน้ าร้อนดื่มเห็นว่ามีความกระปรี้ กระเปร่ า จึงนาไปเล่าให้คนอื่นฟั งต่อไป ชาวอาราเบียจึงได้เริ่ ม
รู ้จกั ต้นกาแฟมากขึ้น จึงเป็ นผลทาให้กาแฟแพร่ หลายจากแอฟริ กา อาหรับ ไปสู่ ยุโรป ต่ออเมริ กาใต้
และแพร่ หลายไปยังทุกมุมของโลก ซึ่งคาว่ากาแฟ มีที่มา จากคาว่า “คะวาฮ์” (Kawah) หรื อ “คะเวฮ์”
(Kaweh) ในภาษาอาหรับ แปลว่าพลัง (strength) หรื อความกระปรี้ กระเปร่ า (vigor) นอกจากนี้ ชาว
ตุรกีเรี ยกว่า “คะเวฮ์” (Kaveh) ต่อมามีการเรี ยกชื่อกาแฟแตกต่างกันออกไปตามแหล่งต่าง ๆ ของโลก
เช่น คัฟฟี (Koffee) ในอังกฤษเรี ยกว่า “คอฟฟี ” (coffee) อันเป็ นชื่อที่รู้จกั และใช้เป็ นคาเรี ยกสากลใน
ปั จจุบนั นี้ และเมื่อมาถึงประเทศไทยคนไทยเรี ยกว่า ข้าวแฝ่ โกปี๊ และกาแฟในที่สุด (สถาบันชาและ
กาแฟแห่ งมหาวิ ทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ม.ป.ป. อ้างถึงใน พงษ์ศกั ดิ์ อังกสิ ทธิ์ และ บัณฑูรย์ วาฤทธิ์ ,
2542 ; ภาควิชากายวิภาค คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ม.ป.ป.)
ประเทศไทยกาแฟได้ถูกนาเข้ามาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2447 ที่อาเภอสะบ้าย้อย จังหวัด
สงขลา จากนั้นจึงได้มีการขยายพันธุ์และมีการส่ งเสริ มการปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสตาอย่างกว้างขวาง
ในภาคใต้ของประเทศไทย และต่อมามีการนาเข้ากาแฟพันธุ์อาราบิกา เพื่อโครงการปลูกพืชทดแทน
ให้กบั ชาวไทยภูเขา โดยให้ปลูกกาแฟแทนฝิ่ นและพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกันจนส่ งผลให้กาแฟ
เป็ นพืชเศรษฐกิจหนึ่งที่สาคัญของประเทศไทย และสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยผูป้ ลูกต้น
2
1.2 คาถามการวิจัย
1.2.1 ทัศนคติและพฤติกรรมผูบ้ ริ โภคเกี่ยวกับการดื่มกาแฟดริ ป (Pour Over Coffee)
และใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ในพื้นที่อาเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัด
เพชรบุรี นั้นเป็ นอย่างไร สอดคล้องกับส่ วนประสมทางการตลาดหรื อไม่ อย่างไร
1.2.2 ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อการเลือกดื่มกาแฟดริ ปของผูบ้ ริ โภค ในพื้นที่อาเภอเมือง
เพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟดริ ป
1.2.3 ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อการเลือกใช้บริ การร้านกาแฟที่มีรูปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar
coffee) ของผูบ้ ริ โภค ในพื้นที่อาเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี
1.2.4 ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติและพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภคเกี่ยวกับการดื่มกาแฟด
ริ ป (Pour Over Coffee) และใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ในพื้นที่อาเภอ
เมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี นั้นเป็ นอย่างไร
1.3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.3.1 เพื่อศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมผูบ้ ริ โภคเกี่ยวกับการดื่มกาแฟดริ ป (Pour Over
Coffee) และใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ในพื้นที่อาเภอเมืองเพชรบุ รี
จัง หวัดเพชรบุ รี ในการหาความสอดคล้องกับส่ วนประสมทางการตลาดอันเป็ นแนวทางให้กับ
ผูป้ ระกอบการร้านกาแฟรู ปแบบสโลบาร์ (Slow bar coffee)
1.3.2 เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกดื่มกาแฟดริ ปของผูบ้ ริ โภค ในพื้นที่
อาเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟดริ ป
1.3.3 เพื่อศึกษาปั จจัยที่ส่งผลต่อการเลือกใช้บริ การร้านกาแฟที่มีรูปแบบสโลว์บาร์
(Slow bar coffee) ของผูบ้ ริ โภค ในพื้นที่อาเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี
1.3.4 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติและพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภคเกี่ยวกับการ
ดื่มกาแฟดริ ป (Pour Over Coffee) และใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ใน
พื้นที่อาเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี
1.4 ขอบเขตของการวิจัย
การวิจยั ครั้งนี้เป็ นการศึกษาทัศนคติของผูบ้ ริ โภคเกี่ยวกับการดื่มกาแฟดริ ป (Pour Over
Coffee) และใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ในพื้นที่อาเภอเมืองเพชรบุ รี
5
1.6 ข้ อจากัดของการวิจัย
1.6.1 ระยะเวลาในการเก็บข้อมู ลที่จากัดเพียง 1-2 เดือน ทาให้การเก็บข้อมูลจากกลุ่ม
ตัวอย่างได้แค่จานวน 30 คน และเป็ นการเก็บข้อมูลเฉพาะในพื้นที่อาเภอเมื องฯ จังหวัดเพชรบุรี
6
บทที่ 2
ทบทวนวรรณกรรม
ฟี่ เพรส, 2564; คมชัดลึก, 2564; มาร์เก็ตเธียร์ , 2562) รวมไปถึงตัวผูว้ ิจยั มีความสนใจในเรื่ องราวของ
กาแฟดริ ป และมีคนใกล้ชิดที่เปิ ดร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บ าร์ และตัวผูว้ ิจยั ก็มีการทาขนมวางจัด
จาหน่ายที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งซึ่ งเป็ นร้านกาแฟที่มีรูปแบบสโลว์บาร์ ที่ต้ งั อยูใ่ นอาเภอเมืองฯ จังหวัด
เพชรบุรีดว้ ย
จากเหตุผลข้างต้นที่ก ล่าวมา ผูว้ ิจัย จึ งมี ความสนใจที่จะศึ กษาค้นคว้า เพื่ อให้ทราบ
ข้อมูลเชิงลึกของผูบ้ ริ โภค อันจะเป็ นความรู ้ให้กบั ผูส้ นใจและนาไปเป็ นประโยชน์ต่อไปได้ โดยการ
วิจยั ครั้งนี้เป็ นการเพื่อศึกษา ทัศนคติและพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภคกาแฟดริ ป (Pour Over Coffee) และ
ใช้บ ริ ก ารร้ า นกาแฟรู ป แบบสโลว์บ าร์ (Slow bar coffee) ในพื้ น ที่ อ าเภอเมื อ งเพชรบุ รี จัง หวัด
เพชรบุรี โดยผูว้ ิจยั ได้ศึกษาค้นคว้าพร้อมทั้งรวบรวมแนวความคิด ทฤษฎี เพื่อเป็ นแนวทางในการ
ศึกษาวิจยั ซึ่งประกอบด้วย สาหรับรายละเอียดต่าง ๆ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. นิยามศัพท์เฉพาะ
2. ประวัติความเป็ นมาของกาแฟดริ ป (Pour Over coffee) และร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์
บาร์ (Slow bar coffee)
3. แนวคิดด้านทัศนคติ (The Concept of Attitude)
4. แนวคิดด้านพฤติกรรมผูบ้ ริ โภค (The Concept of Consumer Behavior)
5. ทฤษฎีกล่องดา (Black box Theory)
6. ทฤษฎีส่วนประสมการตลาดสาหรับธุรกิจบริ การ (Marketing Mix 7Ps)
กรองผ่านน้ าที่ ชง ซึ่ งจะกรองทิ้งน้ ามันและอนุ ภาคเล็ก ๆ ไว้ การทาเช่ นนี้ ทาให้ได้รสชาติ ก าแฟ
เข้มข้น และมีผสมผงกาแฟเล็กน้อย
การทางานของเครื่ องมือ ดังนี้
1) อุ่นเครื่ องชงกาแฟด้วยน้ าร้อนก่อนเทน้ าทิ้ง วางเครื่ องชงกาแฟลงบน
เครื่ องชัง่ แล้วชัง่ น้ าหนักของภาชนะ
2) เติ ม ผงกาแฟลงในเครื่ องชงกาแฟ แล้ ว ชั่ ง น้ าหนั ก อี ก ครั้ งหนึ่ ง
อัตราส่ วนที่ดีคือเริ่ มด้วยกาแฟ 1 ออนซ์ (30 กรัม) ต่อน้ า 1 ออนซ์ (500 มิลลิลิตร)
3) เติมน้ า ตรวจดูวา่ น้ ามีปริ มาณและอุณหภูมิที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หากอุณหภูมิที่ 90-94 องศาเซลเซียส
4) คนกาแฟหนึ่งหรื อ 2 รอบ
5) ชงทิ้งไว้นาน 4 นาที ถัดจากนั้นค่อย ๆ คนผิวหน้าอีกครั้ง
6) ตักทิ้ง ใช้ชอ้ นตักฟองและอนุภาคที่ลอยอยูบ่ นผิวหน้าทิ้ง
7) วางตะแกรงกรองด้านบนสุ ดของเครื่ องชงกาแฟและค่อย ๆ กดจนผง
กาแฟลงไปรวมตัวกันที่กน้ เครื่ อง หากเจอแรงต้านเยอะ อาจเป็ นเพราะใส่ กาแฟมากเกินไป ผงกาแฟ
อาจบดละเอียดเกินไป หรื อไม่ได้ปล่อยให้ผงกาแฟเปี ยกชุ่มมากพอ
8) พักกาแฟ โดยปล่อยทิ้งไว้ในเครื่ องชงกาแฟนาน 2-3 นาที ก่อนเสิ ร์ฟ 1 แก้ว
2.2.5.3 เครื่ องชงกาแฟแอโรเพรส (AeroPress) เป็ นเครื่ องชงกาแฟที่ใช้
งานได้รวดเร็วและสะอาด สามารถชงกาแฟใส่ถว้ ยกรองกาแฟได้เต็ม 1 ถ้วย หรื อชงกาแฟที่รสสัมผัส
ที่หนักและเข้มข้น โดยใช้แรงดันในการเร่ งการสกัดกาแฟ ซึ่งสามารถเจือจางได้ในน้ าร้อน 1 ถ้วย
การทางานของเครื่ องมือ ดังนี้
1) สอดก้ า นกด ปรั บ แรงดั น เข้ า ไปในกระบอกชงลึ ก ประมาณ 2
เซนติเมตร
2) ชัง่ น้ าหนักเครื่ องชงกาแฟแอโรเพรส โดยพลิกกลับหัวกลับหาง วางลง
บนเครื่ องชัง่ โดยให้กา้ นกดปรับแรงดันอยูด่ า้ นหลัง และกระบอกชงอยูด่ า้ นบน ดูให้แน่ใจว่าปิ ดผนึก
แน่นหนาและมัน่ คง และให้แน่ใจว่าเครื่ องชงกาแฟแอโรเพรสจะไม่หล่นลงมา
3) เติมผงกาแฟ 12 กรัม ในกระบอกชง แล้วชัง่ น้ าหนักกระบอกอีกครั้ ง
หนึ่ง
4) เติ ม น้ า ร้ อ น 7 ออนซ์ (200 มิ ล ลิ ลิ ต ร) แล้ว คนอย่า งระมัด ระวัง เพื่ อ
หลีกเลี่ยงไม่ให้เครื่ องชงกาแฟล้ม พักสัก 30-60 วินาที แล้วคนอีกครั้งหนึ่ง
16
การทางานของหม้อชงกาแฟ
1) เทน้ าร้อนลงก้นหม้อจนกระทัง่ น้ าอยูใ่ นระดับใต้วาล์วด้านใน
2) เติมกาแฟใส่ ในที่กรองอย่างหลวม ๆ โดยใช้อตั ราส่ วนกาแฟ 25 กรัม
ต่อน้ า 500 มิลลิลิตร แล้วปาดให้เรี ยบ
3) วางที่กรองลงตรงก้นหม้อและขันสกรู ตรงส่วนบน
4) วางหม้อตั้งบนเตา โดยใช้ความร้อนปานกลาง ขณะที่เปิ ดฝาทิ้งไว้
5) เฝ้าสังเกตดูการชงในขณะที่น้ าเดือดและเริ่ มมองเห็นกาแฟ
6) ยกหม้อลงจากเตา เมื่อกาแฟมีสีซีดลงและเริ่ มเป็ นฟอง
7) รอจนกว่าฟองจะหมด แล้วจึงเสิ ร์ฟ
2.2.5.6 เครื่ องชงกาแฟดริ ปเย็นหรื อสกัดเย็น (Cold Brew) ใช้น้ าเย็นเพื่อ
ชงกาแฟที่มีความเป็ นกรดต่า ซึ่ งสามารถเสิ ร์ฟได้ท้ งั ร้อนและเย็น ไม่ใช่เรื่ องง่ายที่จะสกัดโดยใช้น้ า
เย็น ดังนั้นจึงต้องใช้เวลามากขึ้น และจาเป็ นต้องใช้อุปกรณ์คือ ทาวเวอร์ สาหรับการดริ ปเย็นหรื อ
สกัดเย็น แต่หากไม่มีก็สามารถเติมกาแฟกับน้ าลงในเครื่ องชงกาแฟเฟรนซ์เพรส แล้วใส่ ตูเ้ ย็นทิ้งไว้
ข้ามคืน จากนั้นจึงกรองผ่านที่กรอง
การทางานของเครื่ องมือ
1) ปิ ดวาล์วจ่ายน้ าหรื อวาล์วดริ ปในกระบอกบน แล้วเติมน้ าเย็นจนเต็ม
2) ล้างแผ่นกรองในกระบอกกลางให้สะอาดหมดจดแล้วเติ มกาแฟใน
อัตราส่วนกาแฟ 60 กรัม ต่อน้ า 500 มิลลิลิตร
3) เขย่าเบา ๆ เพื่อกระจายให้ทวั่ ถึง แล้วปิ ดด้วยที่กรองล้างสะอาดแล้วอีก
อันหนึ่ง
4) เปิ ดวาล์ว และปล่อยให้ดริ ปน้ าปริ มาณเล็กน้อยลงบนผงกาแฟเพื่อทา
ให้เปี ยกและเริ่ มการสกัด
5) ปรับวาล์ว เพื่อให้ดริ ปน้ ากาแฟหนึ่ งหยดทุก ๆ สองวินาที หรื อ 30-40
หยดต่อนาที
6) เมื่อน้ าทั้งหมดได้ดริ ปหรื อถูกสกัดผ่านไปแล้ว จะได้กาแฟเย็น โดย
สามารถนาไปเจือจางด้วยน้ าร้อนหรื อน้ าเย็นหรื อเสิ ร์ฟใส่ น้ าแข็งก็ได้ เป็ นต้น
2.3.2 องค์ประกอบของทัศนคติ
องค์ประกอบของทัศนคติประกอบด้วย 3 ส่ วน คือ ส่ วนของความเข้าใจ ส่ วนของ
ความรู ้สึก และส่ วนของพฤติกรรม (สุ นันทา เลาหนันท์ , 2556 อ้างถึงใน กัลยารัตน์ ธี ระธนชัยกุล ,
2562)
1) ส่ วนของความเข้าใจ (Cognitive component) หมายถึง ส่ วนหนึ่ งของ
โมเดลองค์ประกอบ ทัศนคติ 3 ประการ ซึ่งแสดงถึงความรู ้ (Knowledge) การรับรู ้ (Perception) และ
ความเชื่อถือ (Beliefs) ซึ่ งผูบ้ ริ โภคมีต่อความคิดหรื อสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง ชิฟฟ์ แมน และคานุก (Schiffman
& kanuk, 2007, p.236) ส่ วนของความเข้าใจเป็ นส่ วนประกอบส่ วนแรก ซึ่งก็คือความรู ้และการรับรู ้
ที่ ไ ด้รั บ จากการประสมกับ ประสบการณ์ โ ดยตรงต่ อ ทัศ นคติ แ ลัข้อ มู ล ที่ เ กี่ ย วข้อ งจากหลาย
แหล่งข้อมูล ความรู ้น้ ีและผลกระทบต่อการรับรู ้จะกาหนดความเชื่ อถือ (Beliefs) ซึ่งหมายถึงสภาพ
ด้านจิตใจ ซึ่ งสะท้อนความรู ้เฉพาะของบุคคล และมีการประเมินเกี่ยวกับความคิดหรื อสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง
ซึ่ งก็คือการที่ผบู ้ ริ โภคมีทศั นคติต่อสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ งคุณสมบัติของสิ่ งหนึ่ง หรื อพฤติกรรมเฉพาะอย่าง
จะนาไปสู่ผลลัพธ์เฉพาะอย่าง
2) ส่ วนของความรู ้สึก (Affective component) หมายถึงส่ วนของโมเดล
องค์ประกอบทัศนคติ 3 ประการ ซึ่ งสะท้อนถึงอารมณ์ (Emotional) หรื อความรู ้สึก (Feeling) ของ
ผูบ้ ริ โภคที่มีต่อความคิดหรื อสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ ง ชิฟฬแมน และคานุก (2007, P. 236) ส่วนของอารมณ์และ
ความรู ้สึกมีการค้นพบโดยผูว้ ิจยั ผูบ้ ริ โภค ซึ่งมีการประเมินผลเบื้องต้นโดยธรรมชาติ ซึ่งมีการค้นพบ
โดยการวิจยั ผูบ้ ริ โภค ซึ่งประเมินทัศนคติต่อสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ ง โดยการให้คะแนนความพึงพอใจหรื อไม่
พึ ง พอใจ ดี ห รื อ เลว เห็ น ด้ว ยหรื อ ไม่ เ ห็ น ด้ว ย การวิ จัย ได้ร ะบุ ว่ า สภาพอารมณ์ จ ะสามารถเพิ่ ม
ประสบการณ์ดา้ นบวกหรื อลบ ซึ่งประสบการณ์จะมีผลกระทบด้านจิตใจและวิธี ซึ่งบุคคลปฏิบตั ิการ
ใช้การวัดการประเมินผลถึงทัศนคติต่อสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง โดยอาศัยเกณฑ์ ดี-เลว ยินดี-ไม่ยนิ ดี
3) ส่วนของพฤติกรรม (Conative Component หรื อ Behavior หรื อ Doing)
ถึงส่ วนหนึ่งของโมเดลองค์ประกอบทัศนคติ 3 ประการ ซึ่งสะท้อนถึงความน่าหรื อแนวโน้มที่จะมี
พฤติกรรมของผูบ้ ริ โภค ด้วยวิธีไตวิซีหนึ่งต่อทัศนคติที่มีต่อสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ งหมายถึงความตั้งใจที่จะซื้ อ
(Intention to Buy) ชิ ฟ พี แมน และคานุ ก (2007) จากความหมายนี้ ส่ ว นของพฤติ ก รรมจะรวมถึ ง
พฤติกรรมที่เกิดขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมและความตั้งใจซื้ อของผูบ้ ริ โภคด้วยคะแนนความตั้งใจของผู ้
ซื้ อสามารถนาไปใช้เพื่อประเมินความน่าจะเป็ นของการซื้ อผลิตภัณฑ์ของผูบ้ ริ โภค หรื อพฤติกรรม
อย่างใดอย่างหนึ่ง
20
ภาพที่ 2.1 แบบจาลองกล่องดาของ Meldrum และ McDonald (ปรับปรุ งจาก Meldrum &
McDonald, 2017 อ้างถึงใน วุฒิ สุขเจริ ญ, 2559)
3) สถานที่ จัดจาหน่ า ย (Place) เป็ นเรื่ องของการจัดตั้ง โรงงานผลิ ต คลัง สิ นค้า และ
ร้ า นค้า จัดจ าหน่ า ย รวมไปถึ ง วิธี ที่ ผูผ้ ลิ ต จะนาผลิ ตภัณฑ์และบริ ก ารออกสู่ ท้อ งตลาด ส่ งถึ งมื อ
ผูบ้ ริ โภคได้อย่างเหมาะสม ประหยัดต้นทุน และก่อให้เกิดความพึงพอใจสู งสุ ด
4) การส่ งเสริ มการตลาด (Promotion) เป็ นกิจกรรมสาหรับติดต่อและสื่ อสารกับลูกค้า
เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ นเพื่อแจ้งข่าวสาร เพื่อจูงใจให้เกิ ดความต้องการซื้ อ เพื่อสร้ าง
ทัศนคติ และภาพลักษณ์ที่ดีแก่ธุรกิจ
5) การจัดการเกี่ยวกับคน (People) บุคลากรหรื อพนักงานที่ปฏิบตั ิหน้าที่รับผิดชอบใน
การให้บริ การ และการขาย เพื่อกระตุน้ ให้ผบู ้ ริ โภคเกิด ความตั้งใจและตัดสิ นใจซื้อสิ นค้าและบริ การ
โดยการดูแลจัดการพนักงานให้มีสุขภาพกาย ใจ และประสิ ทธิ ภาพที่ดี จึงมีผลต่อธุ รกิจทั้งทางตรง
และทางอ้อม
6) การจัดการเกี่ ย วกับ ขั้นตอนและกระบวนการต่า ง ๆ (Process) เป็ นขั้นตอน เป็ น
วิ ธี ก ารในการบริ ก ารการลู ก ค้า หรื อ ผูบ้ ริ โ ภคอย่ า งถู ก ต้อ งตั้ง แต่ ต้น จนจบ เพื่ อ ท าให้ ผู บ้ ริ โ ภค
ประทับใจ ส่ งผลต่อเนื่องให้เกิดความภักดีและเกิดการซื้อสิ นค้าและบริ การซ้ าได้
7) ลัก ษณะทางกายภาพ (Physical Evidence) คื อสิ่ ง ต่ า ง ๆ ที่ ป รากฏประจักษ์ชัดเจน
โดยลูกค้าสามารถพบเห็นและสัมผัสได้จากการใช้บริ การหรื อซื้อสิ นค้า ซึ่งลักษณะกายภาพนั้นเป็ น
จุดที่ผปู ้ ระกอบการธุรกิจสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้ธุรกิจ กิจการของตนให้โดดเด่นขึ้นมาได้
ความสาเร็ จในการทาการตลาดของธุ รกิจมีพ้ืนฐานมาจากกาคิดวิเคราะห์และนาเรื่ อง
ส่ วนผสมทางการตลาดมาใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ถ้าสิ นค้าหรื อบริ การของธุ รกิจนั้น ๆ ขาย
ไม่ได้ตามคาดหมาย หรื อธุ รกิจไม่ได้ก าไรตามที่ ต้องการ ส่ งผลให้ตอ้ งมีการเปลี่ย นแปลงปั จจัย
บางอย่า ง หรื อ หลาย ๆ ปั จจัย ของส่ วนผสมทางการตลาด โดยจาเป็ นต้องกลับมาคิดทบทวนอยู่
ตลอดเวลาเกี่ยวกับส่ วนผลสมทางการตลาด เพื่อให้เกิดยอดขาย กาไรและผลตอบรับที่ดีใ ห้เกิ ด
ขึ้นกับธุรกิจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็ นไปได้
27
บทที่ 3
วิธีดาเนินการวิจัย
3.1 ระเบียบวิธีวิจัย
การวิจยั ครั้งนี้ใช้กระบวนการวิจยั เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งเป็ นการวิจยั ที่
มุ่งอธิ บายความหรื อปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ ไม่มีตวั แปรต้น ตัวแปรตาม เน้นการศึกษาเฉพาะ
เจาะลึกเฉพาะกรณี ศึกษา กลุ่มตัวอย่างจะมีขนาดเล็ก เลือกมองปัญหาจากภายในสู่ภายนอก มุ่งความ
28
ชัด เจน ความเข้า ใจ และการน าไปใช้ ไ ด้ท ั่ว ไปในสภาวะที่ เ หมื อ นหรื อคล้า ยคลึ ง กัน เท่ า นั้ น
สาระส าคัญที่ การให้ค วามหมาย การวิเคราะห์คุณค่า การให้ความหมายในเชิ งคุณค่าเป็ นสาคัญ
(Research Thailand, 2021) โดยการวิจยั ครั้งนี้ ประกอบด้วยศึกษาวิเคราะห์ขอ้ มูลจากการสัมภาษณ์
เชิ งลึ ก (In-depth Interview) และการสังเกต (Observation) ประกอบด้วย การสังเกตเชิ งประจักษ์
(Empirical Observation) และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่ วม (Non-participant Observation) ควบคู่กนั
โดยมีรายละเอียดสาคัญดังนี้
3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ผูว้ ิ จัย ได้ท าการเลื อ กกลุ่ ม ตัว อย่ า งด้ว ยวิ ธี ก ารสุ่ ม ตัว อย่า งแบบเจาะจง ( Purposive
Sampling) โดยต้องการศึกษา 4 กลุ่ม รวมทั้งสิ้ น 30 คน ดังนี้
3.2.1 ผูป้ ระกอบการร้านกาแฟ ที่มีกาแฟดริ ปจัดจาหน่าย จานวน 3 คน
3.2.2 บาริ สต้า หรื อพนักงานชงกาแฟ จานวน 3 คน
3.2.3 ผูบ้ ริ โภคที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟดริ ป (ดื่มกาแฟดริ ปมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์)
จานวน 12 คน
3.2.4 ผูบ้ ริ โภคที่ดื่มกาแฟเป็ นประจาแต่ไม่ดื่มกาแฟดริ ป (ดื่มกาแฟทัว่ ไปยกเว้นกาแฟด
ริ ปมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์) จานวน 12 คน
3.7 จริยธรรมการวิจัย
จริ ย ธรรมการวิ จัย (Research ethics) หมายถึ ง หลัก เกณฑ์ค วรประพฤติ ปฏิ บัติ ข อง
นักวิจยั ทัว่ ไป เพื่อให้การดาเนิ นงานวิจยั ตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริ ยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม
ตลอดจนประกันมาตรฐานของการศึกษาค้นคว้าให้เป็ นไปอย่างสมศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของนักวิจยั
(สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่ งชาติตุลาคม, 2549 น. 84-92 อ้างถึงใน สานักส่ งเสริ มและพัฒนา
งานวิจยั มหาวิทยาลัยสยาม, 2562) โดยมีแนวทางปฏิบตั ิซ่ ึงสามารถสรุ ปในส่ วนที่เกี่ยวข้องกับการ
วิจยั ครั้งนี้ ได้ดงั นี้
3.7.1 นักวิจยั ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผูอ้ ื่น โดยนักวิจัยต้องมีความซื่อสัตย์ใน
ทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจยั ตั้งแต่การเลื อกเรื่ องที่ จะทาวิจยั การเลื อกผูเ้ ข้าร่ วมทาวิจยั การ
ดาเนินการวิจยั ตลอดจนการนาผลงานวิจยั ไปใช้ประโยชน์ และนักวิจยั ต้องให้เกียรติผอู ้ ื่น โดยการ
อ้างถึงบุคคลหรื อแหล่งที่มาของข้อมูลและความคิดเห็นที่นามาใช้ในงานวิจยั
3.7.2 นักวิจยั ต้องมีความรับผิดชอบในการจัดทารายงานการวิจยั ฉบับสมบูรณ์เพื่อให้
ผลอันเกิดจากการวิจยั ได้ถูกนาไปใช้ประโยชน์ต่อไปเพื่อให้ผลอันเกิดจากการวิจยั ได้ถูกนาไปใช้
ประโยชน์ต่อไป
3.7.3 นักวิจยั ต้องดาเนินการด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และเที่ยงตรงในการทาวิจยั
ที่เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ พืช ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากร และสิ่ งแวดล้อม มีจิตสานึ กและปณิ ธานที่จะ
37
บทที4่
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
วิจยั ครั้ งนี้ เป็ นการศึ กษาเรื่ อง ทัศนคติ และพฤติ กรรมของผูบ้ ริ โภคกาแฟดริ ป (Pour
Over Coffee) และใช้บ ริ ก ารร้ า นกาแฟรู ป แบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ในพื้ น ที่ อ าเภอเมื อง
เพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่ งเป็ นวิจยั เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเครื่ องมือที่ใช้ใ นการ
เก็บข้อมูลคือ การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) กลุ่มตัวอย่างในการสัมภาษณ์จานวน 30 คน
พร้อมเก็บข้อมูลด้วยการสังเกตเชิงประจักษ์ (Empirical Observation) โดยการสังเกตพฤติกรรมการ
บริ โภคและการใช้บ ริ การของลูก ค้าที่ ร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) รวมถึง การ
สังเกตแบบไม่มีส่วนร่ วม (Non-participant Observation) ด้วยการสังเกตเพจร้านกาแฟที่มีรูปแบบ
สโลว์ บ าร์ (Slow bar coffee) ในจัง หวัด เพชรบุ รี ควบคู่ กั น ไปด้ ว ย เพื่ อ ให้ ไ ด้ ข้อ มู ล ที่ ม าจาก
ประสบการณ์จริ งของกลุ่มตัวอย่าง ทั้งในแง่มุมของทัศนคติ และพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภค โดยข้อมูล
ที่รวบรวมได้จะนามาวิเคราะห์และสรุ ปผลโดยอิงทฤษฎีกล่องดา (Black box Theory) และ ทฤษฎี
ส่ วนประสมทางการตลาดสาหรับธุรกิจบริ การ (Marketing Mix 7Ps) ทั้งนี้ผวู ้ ิจยั ได้แบ่งการนาเสนอ
การวิเคราะห์ขอ้ มูลออกเป็ น 2 ส่ วน ดังนี้
4.1 กระบวนการเก็บข้อมูล
4.2 แนวคิดหลักและการเชื่อมโยงเข้าสู่ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
3) ผูบ้ ริ โภคที่ ชื่นชอบการดื่ มกาแฟดริ ป (ดื่ มกาแฟดริ ปมากกว่า 3 ครั้ งต่อสัป ดาห์ )
จานวน 12 คน
4) ผูบ้ ริ โภคที่ดื่มกาแฟเป็ นประจาแต่ไม่ดื่มกาแฟดริ ป (ดื่มกาแฟทัว่ ไปยกเว้นกาแฟดริ
ปมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จานวน 12 คน
โดยผูว้ ิจยั ใช้การสัมภาษณ์ เป็ นรายบุคคลวิธีการสุ่ มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) โดยลักษณะการสัมภาษณ์ดว้ ยคาถามแบบปลายเปิ ด เพื่อให้ผูใ้ ห้สัมภาษณ์สามารถตอบ
คาถามได้อย่างอิสระ เกิดความยืดหยุ่นในการสัมภาษณ์ จนได้ขอ้ มูลคาตอบโดยละเอียด ลึกซึ้ งและ
แท้จริ ง และนาข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้ อหา (Content Analysis) ซึ่งคาถามที่ผวู ้ ิจยั ได้ดาเนินการถามกลุ่ม
ตัวอย่างไปนั้น แบ่งออกเป็ น 4 ชุดคาถามตามประเภทของกลุ่ม ตัวอย่าง ทั้ง 4 กลุ่ม ซึ่งผูว้ ิจยั ได้ปรับ
คาถามให้กระชับและถามเฉพาะคาถามสาคัญ ๆ เพื่อให้ได้คาตอบที่ดึงความรู ้สึกนึ กคิดของกลุ่ม
ตัวอย่างเท่าที่จาเป็ นจริ ง ๆ เพื่อไม่รบกวนเวลาผูใ้ ห้สัมภาษณ์มากเกิน โดยมีคาถามสาคัญ ๆ ดังนี้
ชุดที่ 1 คาถามสาหรับสัมภาษณ์ผปู ้ ระกอบการร้านกาแฟ ที่มีกาแฟดริ ปจัดจาหน่าย
1) ช่ วยเล่า ที่ ม าที่ ไ ปของการท าร้ า นกาแฟสโลว์บาร์ มี ความเป็ นมาและมี Concept
อย่างไร
2) แรงบันดาลใจของคุณในการทาธุรกิจนี้
3) การที่ผูค้ นหันมาดื่มกาแฟดริ ป ชื่ นชอบกาแฟดริ ปกันมากขึ้นคุณรู ้สึกหรื อมี ความ
คิดเห็นอย่างไร
4) รู ้สึกอย่างไรงกับคาที่วา่ “กาแฟดีตอ้ งขม”
5) คิดว่าอะไรคือ จุดเด่น / เสน่ห์ของอาชีพบาริ สต้า ที่สามารถชงกาแฟดริ ปได้
6) จากราคาทัว่ ไปในตลาด กาแฟดริ ปจะราคาสู งกว่ากาแฟประเภทอื่ น ๆ ในความ
คิดเห็นและประสบการณ์ของคุณ
คิดว่าเพราะอะไร และคุณมีวิธีต้ งั ราคาขายอย่างไร
7) คัดสรรเมล็ดกาแฟมาชงกาแฟของที่ร้านอย่างไร
8) อุปกรณ์ดริ ปกาแฟมีผลต่อการทากาแฟหรื อไม่ อย่างไร
9) มีวิธีการประชาสัมพันธ์ร้านอย่างไรบ้าง
10) เวลาที่คุณชงกาแฟดริ ปต้องใช้เวลานาน คุณได้สื่อสารพูดคุยกับลูก ค้าบ้างไหม
อย่างไร
11) ประสบการณ์ที่ประทับใจในการทาธุ รกิจนี้ หรื อมีเหตุการณ์ใดที่เป็ นข้อคิดให้กบั
คุณบ้างไหม อย่างไร
ชุดที่ 2 คาถามสาหรับบาริ สต้าหรื อพนักงานชงกาแฟ
41
4.1.4 ความสาเร็จจากการทาวิจัย
44
ทฤษฎีที่เกีย่ วข้อง
จากทัศนคติและพฤติกรรมของผูป้ ระกอบการที่เต็มไปด้วยความหลงใหล และศึกษา
อย่างจริ งจังในเรื่ องของกาแฟ อันส่ งผลออกมาทางพฤติกรรมที่ต้ งั ใจนาเสนอเครื่ องดื่มและบริ การที่
มีคุณภาพสู่ลูกค้า ซึ่งเป็ นไปผลกระทบในเชิงบวกต่อกล่องดาในใจของผูบ้ ริ โภค มีผลทาให้ผบู ้ ริ โภค
ตัดสิ นใจซื้ อสิ นค้าและบริ การจากร้านกาแฟสโลว์บาร์ ของผูป้ ระกอบการทั้ง 3 ท่าน ได้ง่ายมากขึ้น
เพราะเมื่อพิจารณาจากกระบวนการตัดสิ นใจซื้ อ 5 ขั้นตอนของผูโ้ ภค ตั้งแต่ข้ นั ตอนของการรั บรู ้
ปั ญหาและความต้องการ ค้นหาข้อมูล ประเมินทางเลือก เนื่ องจากกาแฟดริ ปค่อนข้างเป็ นความ
เฉพาะทางและตอบโจทย์ ก ลุ่ ม ผู ้ที่ ชื่ น ชอบกาแฟดริ ปอยู่ แ ล้ ว ซึ่ งขั้ น ตอนที่ ท ้ า ทายส าหรั บ
ผูป้ ระกอบการร้านกาแฟสโลว์บาร์อยู่ที่การทาให้ผบู ้ ริ โภคเกิดการตัด สิ นใจซื้ อ และเกิดทัศนคติและ
พฤติกรรมในเชิงบวกหลังจากที่ซ้ือสิ นค้าหรื อได้มาลิม้ ลองกาแฟดริ ปและใช้บริ การร้านกาแฟนั่นเอง
แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่ดีและพฤติ กรรมที่ แสดงถึ งความตั้งใจของผูป้ ระกอบการทั้ง 3 คน ถูกสื่ อสาร
ออกมาได้สอดคล้องกับทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด ในแง่มุม ของการนาเสนอผลิตภัณฑ์ที่มี
คุณภาพ การส่ งเสริ มการตลาดผ่านตนเองที่เป็ นภาพลักษณ์ของแบรนด์หรื อร้านตนเอง เกิด WOM
นอกเหนื อ จากนี้ ก็ มี ส องร้ า นที่ มี เ พจเฟซบุ๊ ก (Facebook) และอิ น สตาแกรม (Instagram) เป็ นอี ก
ช่องทางในการประชาสัม พันธ์ร้า น การจัดการเกี่ ยวกับคน และการจัดการเกี่ ย วกับขั้นตอนและ
กระบวนการต่าง ๆ ที่ออกมาในทิศทางที่ลูกค้าประทับใจ คือบริ การลูกค้าด้วยตนเองอย่างจริ งใจ
รวมถึงคัดสรรบาริ สต้าที่ใส่ ใจในรายละเอียดและตั้งใจทางานมาบริ การลูกค้า
แนวคิ ด ที่ 2 มุ ม มองต่ อ เครื่ อ งดื่ ม กาแฟ ซึ่ งมี ค วามสั ม พัน ธ์ กั บ ความรู้ ความสนใจ
ความคุ้นเคย และรสนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อรสชาติของเครื่ องดื่มกาแฟที่แตกต่ างกัน
จากการตั้งคาถามของผูว้ ิจยั ที่ว่า “คุณคิดอย่างไรกับคาที่ว่า กาแฟ ดีตอ้ งขม” ทาให้เห็น
มุมมองความคิดเห็นที่แตกต่างของกลุ่มตัวอย่าง โดยกลุ่มผูป้ ระกอบการ และบาริ สต้าจะสื่ อสาร
ออกมาในแง่มุมของผูท้ ี่มีความรู ้และประสบการณ์เรื่ องการคัว่ กาแฟและความสนใจในกาแฟ โดยให้
คาตอบไปในทิศทางเดียวกัน คือไม่มีถูก ไม่มีมีผิดว่ากาแฟดีน้ นั ต้องขมหรื อไม่ขมขึ้นอยู่กบั รสนิ ยม
ของผูบ้ ริ โภค และกระบวนการคัว่ กาแฟ และนอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม ยังมีเหตุผลประกอบ
ในด้านของความรู ้เรื่ องการคัว่ กาแฟให้ผวู ้ ิจยั ด้วย อาทิเช่น ระดับการคัว่ กาแฟนั้นมี 3 ระดับ คัว่ อ่อน
47
คัว่ กลาง และคัว่ เข้ม ซึ่งกาแฟคัว่ กลางและคัว่ อ่อนนั้นจะนิ ยมนามาทากาแฟดริ ป ซึ่ งถ้ากาแฟที่มีรส
ขมมากๆ จนเมื่อดื่มแล้วรู ้สึกว่าได้รสสัมผัส หรื อกลิ่นไหม้ นัน่ แปลว่า อาจจะเป็ นที่เหตุผลของระดับ
การคัว่ กาแฟถึงจุดเบิร์น หรื อจุดไหม้ หรื ออาจจะเป็ นมาจากเหตุผลที่ข้ นั ตอนในการสกัดกาแฟนั้นใช้
ระยะเวลานานเกินไป ส่ งผลให้น้ าไหลผ่านเมล็ดกาแฟคัว่ ระหว่างที่อยู่ในเครื่ องสกัดนานเกินไป ซึ่ ง
นัน่ แน่นอนว่าหากดื่มเข้าไปในปริ มาณมากอาจรู ้สึกใจสั่น หรื อถ้าดื่มรสชาติดงั กล่าวเป็ นประจาก็ไม่
ส่ งผลดีต่อสุ ขภาพ หรื อในกรณี เวลาที่เราดื่มกาแฟดริ ปจากเมล็ดกาแฟตัวเดียวกับที่เคยดื่ม แล้วมี
รสชาติสดชื่น ๆ ฟรุ ตตี้ ๆ แต่ครั้งนี้ดื่มแล้วรู ้สึกขมปลาย ถ้าเป็ นเหตุผลประมาณนี้ ก็อาจจะมีสาเหตุ
มาจากการบดกาแฟไม่ละเอียด หรื อใช้อุณ หภูมิน้ าที่สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็ นในขั้นตอนของการด
ริ ปกาแฟนัน่ เอง
ส่ วนกลุ่ม ตัวอย่า งที่ ดื่มกาแฟดริ ป มี ความเห็ น 2 มุมมอง คือ กาแฟดี ต้องไม่ขม กับ
แตกต่างตามรสนิ ยม ซึ่ งส่ วนใหญ่มีความรู ้เรื่ องระดับการคัว่ กาแฟ และคุน้ เคยจากการเห็นบาริ สต้า
ทา และ 10 ใน 12 คนของกลุ่ มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟดริ ปเป็ นประจาเคยผ่านการลองดริ ปกาแฟด้วย
ตนเองมาก่อน และ 7 ใน 12 คน มีอุปกรณ์ดริ ปกาแฟเป็ นของตนเองที่บา้ น
และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มคนที่ดื่มกาแฟแต่ไม่ดื่มกาแฟดริ ป ส่วนใหญ่เห็นว่ากาแฟดีตอ้ ง
ขม จะมีบางส่ วนที่เป็ นส่ วนน้อยที่ตอบในทิศทางแตกต่างตามรสนิยม พอมีความรู ้ประกอบเหตุผล
ในบางคน บางคนรู ้ ว่าถ้ากาแฟคัว่ เข้มมากๆ เท่ากับกาแฟอาจไหม้ และมี ผลต่อสุ ขภาพ แต่น่ันคือ
รสนิยม ความชอบและความคุน้ เคยของพวกเขา
บทสรุ ปจากการสัมภาษณ์เชิงลึกที่สนับสนุนแนวคิด ในประเด็นความถามที่ว่า คุณคิด
อย่างไรกับคาที่วา่ กาแฟ ดีตอ้ งขม มีตวั อย่างความคิดเห็นที่น่าสนใจ ดังนี้
มันขึ้นอยู่กับการคัว่ กาแฟ ที่ มีระดับ เข้ม กลาง อ่อน และอี กหลาย ๆปั จจัยมาก ๆ ที่ ทาให้กาแฟมี
รสชาติแตกต่างกัน จริ ง ๆ ขมแล้วต้องดีอนั นี้ผิด ถ้าขมเพราะกาแฟเบิร์นหรื อไหม้เนี่ยอันนี้ยง่ิ ไม่ดี แต่
ขมแล้วดีก็มีไง ดังนั้น มันไม่มีถูกมีผิดว่ากาแฟดีตอ้ งมีรสชาติแบบไหน แล้วแต่คนชอบด้วย แต่อย่าง
ที่บอกกาแฟดีตอ้ งไม่ไหม้
หลัก ฐานสนับ สนุ นที่ 4 จากผูบ้ ริ โภคที่ ดื่มกาแฟเป็ นประจา แต่ไ ม่ดื่มกาแฟดริ ป มี
หลักฐานสนับสนุนที่น่าสนใจ ดังนี้
“กาแฟที่ดีสาหรับเรา ไม่ทราบว่าคนอื่นขมคือดีหรื อเปล่า แต่เราอยากกินอะไรที่ดีที่
อร่ อย เพราะฉะนั้นกาแฟที่อร่ อยสาหรับเราไม่จาเป็ นต้องขมนะ”
“ต้องขมจ้า พี่ไม่ชอบกาแฟเปรี้ ยว เคยลองละไม่อิน”
“ไม่แน่ ใจ แต่เอาส่ วนตัว กาแฟดีก็ตอ้ งขม ผมว่าถ้าไม่ขม เหมือนไม่ได้ดื่มกาแฟอ่ะ
ครับ”
“เฉย ๆ ไม่ได้คิดแบบนั้น อยูท่ ี่ความชอบมากกว่า”
ทฤษฎีที่เกีย่ วข้อง
จากแนวคิดเรื่ องของมุมมองต่อเครื่ องดื่มกาแฟ ที่มีความแตกต่างกันตามกลุ่มตัวอย่าง
และบุคคลอันมีความสัมพันธ์กบั ความรู ้ ความสนใจ ความคุน้ เคย และรสนิยมของผูบ้ ริ โภคนั้น ที่ถูก
สะท้อนออกมาทางทัศนคติ และพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภค โดยแน่นอนว่าผูท้ ี่ชื่นชอบและมีความรู ้
ความสนใจในเรื่ องกาแฟอย่างจริ งจัง ย่อมมีการให้ขอ้ มูลอย่างเป็ นเหตุและผล ในเรื่ องที่มาที่ไปถึง
รสชาติของกาแฟ อย่างผูป้ ระกอบการ และบาริ สต้า และสาหรับผูบ้ ริ โภคที่เป็ นกลุ่มตัวอย่างที่ดื่ม
กาแฟดริ ป กลุ่มนี้มีทิศทางการให้คาตอบใน 2 ลักษณะ คือกาแฟดีตอ้ งไม่ขม และเป็ นไปตามรสนิยม
เช่นเดียวกันกับกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟเป็ นประจาแต่ไม่ดื่มกาแฟดริ ปก็มีการให้คาตอบ 2 ลักษณะ
คื อ กาแฟดี ต้องขม กับ เป็ นไปตามรสนิ ย ม ซึ่ งจากแนวความคิดเห็ นดังกล่าวที่ แตกต่างกัน เมื่ อ
วิเคราะห์ในแง่มุมของทฤษฎีกล่องดา พบว่าบุคลิกภาพและพฤติกรรมของบุคคลมีความแตกต่าง
และเหมือนกันในบางประการนั้น ก็เกิดมาจากที่ถูกหล่อหลอมจากปัจจัย 4 ด้านที่คนเราสัมผัส ได้แก่
การรับรู ้ พันธุกรรม อารมณ์ภายใน และสิ่ งกระทบภายนอกนัน่ เอง และแน่นอนว่าข้อมูลความชอบ
และทัศ นคติ ร วมถึ ง พฤติ ก รรมของผู ้บ ริ โภคกาแฟที่ มี ค วามแตกต่ า งกัน นี้ เป็ นประโยชน์ ต่ อ
ผูป้ ระกอบการร้านกาแฟในการนาไปวิเคราะห์ส่วนประสมการตลาดในแง่มุมของการคัดสรรเมล็ด
กาแฟ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ตอบสนองความต้องการผูบ้ ริ โภคกลุ่มเป้าหมาย
ทฤษฎีที่เกีย่ วข้อง
จากแนวคิดของผูบ้ ริ โภคใน อาเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี ที่มองว่าร้านกาแฟรู ปแบบ
สโลว์บาร์ เป็ นจุ ดเริ่ มต้นของสังคมใหม่ เป็ นเหมื อนแวะมาบ้านเพื่อน สะท้อนความสัมพันธ์ของ
ทัศนคติและพฤติกรรมในทิศทางบวก รวมไปถึงเมื่อวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีกล่องดา ซึ่ งกล่องดานั้น
แทนความรู ้สึกนึ กคิดของผูบ้ ริ โภค (Buyer’s Black Box) ซึ่งคาดการณ์ได้ยาก โดยได้รับอิทธิ พลมา
จากลักษณะจาเพาะของผูซ้ ้ื อ (Buyer’s Characteristic) ซึ่ งในที่น้ ี ผบู ้ ริ โภคมีการรับรู ้ ความคิด เหตุผล
และอารมณ์ จากจุดเริ่ มต้นเป็ นคนที่ชอบดื่มกาแฟเหมือนกัน รวมถึงการแสดงออกเชิงพฤติกรรมที่
เป็ นการเข้า สังคมหนึ่ งที่มีผูค้ นที่ชื่อชอบอะไรเหมือน ๆ กัน ที่มากกว่าแค่เรื่ องกาแฟ อาทิ ดนตรี
ศิลปะ เกม เป็ นต้น ซึ่ งจากทัศนคติและพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภคต่อร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ ที่
สอดคล้องกับแนวทางการดาเนิ นการธุ รกิจของผูป้ ระกอบ โดยเมื่อวิเคราะห์ส่วนประสมการตลาด
พบว่า สอดคล้องในทิศทางบวก ทั้งเรื่ องสถานที่จดั จาหน่าย (Place) การจัดการเกี่ยวกับคน (People)
52
แนวคิ ด ที่ 4 ภู มิ ทัศน์ ร้า นกาแฟสโลว์ บ าร์ ใ นทั ศนะของผู้ บ ริ โภคที่ เป็ นไปในทิ ศทาง
เดียวกัน คือ ผ่ อนคลาย สบาย นั่งได้ นาน และไม่ ว่ ุนวาย
จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็ นผูบ้ ริ โภค 2 กลุ่ม ที่ดื่มกาแฟดริ ปเป็ นประจา และ
ไม่ได้ดื่มกาแฟดริ ป มีความคิดเห็น ความต้องการและการจดจาภาพลักษณ์ของร้านกาแฟรู ป แบบ
สโลว์บาร์ เป็ นไปในทิศทางเดี ยวกัน คือ เป็ นร้ านที่ สามารถนั่งได้นาน ๆ ไม่วุ่นวาย ให้ความรู ้ สึก
อบอุ่น มีตน้ ไม้ หรื อถ้าเป็ นตึกก็น่าจะเป็ นรู ปแบบที่มีความสะท้อนความรู ้สึกใกล้ชิด เดินเข้าร้านแล้ว
ไม่รู้สึกอึดอัด เป็ นสถานที่ ที่ผูค้ นตั้งใจมาดื่มและพูดคุยเรื่ องกาแฟกัน เป็ นร้านที่น่าจะมีสไตล์เป็ น
ของตนเอง ที่ส่วนใหญ่อิง ตามไลฟ์ สไตล์ความชอบที่สะท้อนตัวตนของเจ้าของ ซึ่ งคาตอบของ
ผูบ้ ริ โภคทั้ง 2 กลุ่มนั้นตรงกับคาตอบของบาริ สต้า และความตั้งใจของผูป้ ระกอบการทั้ง 3 ร้าน โดย
พื้นฐานความตั้งใจในการตกแต่งร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ ที่ไม่ได้ดูโอ่อ่า แต่ดูอบอุ่น และตาม
สไตล์ความชอบของตนเอง
บทสรุ ป จากการสัมภาษณ์ เชิ งลึ กที่ สนับสนุ นแนวคิด ข้อมูล จากการสัมภาษณ์กลุ่ม
ตัวอย่าง มีหลักฐานสนับสนุนที่น่าสนใจ ดังนี้
ทฤษฎีที่เกีย่ วข้อง
จากข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างถึงแนวคิดเรื่ องของภูมิทศั น์ร้านกาแฟสโลว์บาร์ ที่เมื่อ
ผูบ้ ริ โภคนึ กถึ งคือจะต้องเป็ นบรรยากาศที่ ผ่อนคลาย สบาย นั่งได้นาน และไม่วุ่นวาย เมื่ อนามา
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ในทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาดสาหรับธุ รกิจบริ การ 7Ps ย่อมมีความ
เกี่ยวเนื่ องสัมพันธ์กนั ทั้ง 7 ด้าน โดยเฉพาะด้านของสถานที่จดั จาหน่าย และลักษณะทางกายภาพ
รวมไปถึง การจัดการเกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ (Process) และการจัดการเกี่ยวกับคน
ที่ส่งเสริ มซึ่งกันและกันในการสร้างความพึงพอใจ และตอบสนองความต้องการด้านความรู ้สึก และ
ความพึ ง พอใจของผูบ้ ริ โ ภค ซึ่ ง ถ้า เมื่ อ ผนวกกับ การมี ผ ลิ ต ภัณ ฑ์ที่ มี คุ ณ ภาพ ราคาที่ ต อบโจทย์
กลุ่มเป้ าหมายอย่างสมเหตุสมผล และการทาการตลาดอย่างเหมมาะสม ย่อมทาให้ธุรกิจเติบโตได้
อย่า งยัง่ ยืนในระยะยาวได้ เพราะผูบ้ ริ โภคกลุ่ มเป้ า หมายมี ทศั นคติ เชิ ง บวกมาก ๆ ต่ อร้ า นกาแฟ
รู ปแบบสโลว์บาร์อยูแ่ ล้วเป็ นทุนเดิม
ทฤษฎีที่เกีย่ วข้อง
จากแนวคิดเรื่ องกลไกราคา ของกาแฟดริ ปในตลาดที่ค่อนข้างสูงกว่ากาแฟประเภทอื่น
นั้นมีผลต่อทัศนคติ และพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภคที่มีความแตกต่างกัน โดยพบว่าผูบ้ ริ โภคกลุ่มที่ดื่ม
กาแฟดริ ป เป็ นประจา มี ท ัศ นคติ ใ นทางบวกต่อราคาของกาแฟดริ ป โดยเข้าใจ ถึ งที่ มาที่ ไปและ
กระบวนการท ากาแฟแบบแก้วต่อแก้ ว ที่ ตอ้ งอาศัยความพิ ถีพิถ ัน ซึ่ งนั่นเองสะท้อนออกมาทาง
พฤติกรรมที่กลุ่มเหล่านี้มกั จะใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ เป็ นประจาด้วย ในทางตรงกัน
ข้ามกลุ่มที่ดื่มกาแฟดริ ปเป็ นประจา แต่มีความอ่อนไหว (Sensitive) ต่อเรื่ องของราคา พบว่ากลุ่มนี้
มัก จะดริ ป กาแฟดื่ ม เองที่ บ ้า นเป็ นประจ ากว่ า มาใช้บ ริ ก ารร้ า นกาแฟสโลว์บ าร์ รวมไปถึ ง ไป
สอดคล้องกับ กลุ่ม ตัวอย่า งผูบ้ ริ โภคที่ ดื่มกาแฟเป็ นประจาแต่ไ ม่ดื่มกาแฟดริ ปบางรายก็ มี ค วาม
อ่อนไหวต่อราคาของกาแฟดริ ป และมักจะเลือกดื่มกาแฟอเมริ กาโน่ แทน หากต้องการดื่มกาแฟ
56
แนวคิ ด ที่ 6 ความคาดหวั ง ของผู้ บ ริ โ ภคต่ อ รสชาติ ข องกาแฟดริ ป ที่ สู ง กว่ า กาแฟ
โดยทัว่ ไป
จากการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตเชิงประจักษ์ พบว่าผูบ้ ริ โภคมีความคาดหวังต่อ
กาแฟ ดริ ปของพวกเขา ด้วยเนื่องจากราคาที่จ่ายไป หรื อผูบ้ ริ โภคหรื อลูกค้าบางคนถ้าไม่คุน้ ชินกับ
รสมือบาริ สต้าหน้าใหม่หลายคนก็ไม่เลือกที่จะดื่ม หรื อบ้างก็ตอบว่าถ้าบาริ สต้าคนนี้ ที่ชงให้ประจา
ไม่อยู่ก็จะเปลี่ยนไปดื่มกาแฟอเมริ กาโน่ ทาเครื่ องปกติ เพราะทั้งหมดทั้งมวลเหตุผลก็เพราะการชง
กาแฟดริ ปต้องอาศัยความรู ้เรื่ องกาแฟของบาริ สต้าในการแนะนากาแฟให้กบั ลูกค้า ความชานาญใน
การดริ ปกาแฟ การรู ้จกั และสนิทสนมกับอุปกรณ์ รวมไปถึงการพูดคุย คุน้ เคย กล้าสื่ อสารกับลูกค้า
ล้วนเป็ นองค์ประกอบสาคัญต่อการตัดสิ นใจของผูบ้ ริ โภคในอาเภอเมือง ฯ จังหวัดเพชรบุรี
บทสรุ ป จากการสัมภาษณ์ เชิ งลึ กที่ สนับสนุ นแนวคิด ข้อมูล จากการสัมภาษณ์กลุ่ม
ตัวอย่าง มีหลักฐานสนับสนุนที่น่าสนใจ จากผูบ้ ริ โภคที่ดื่มกาแฟดริ ปเป็ นประจา ดังนี้
“เหตุการณ์ไม่ประทับใจหรอฮ้ะ ก็เคยดื่มจิบเดียวแล้วแบบวางแก้วเลย ผมรู ้สึกว่าบา
ริ สต้าเค้าดริ ปไม่ผ่านมันติดขมอ้ะ แปลว่าน้ าน่าจะร้อนไป รสชาติเลยเพี้ยน แต่ถา้ แบบถ้าบาริ สต้าคุย
ถูกคอ ดูทาเป็ นจริ ง ๆ ผมก็ไปบ่อย ไปรอนานก็ไป เรามีเวลาอยูล่ ะ”
“ผมชอบเวลาที่แบบบาริ สต้าแนะนากาแฟเราได้ ชวนคุย ตั้งใจดริ ป บริ การดีเป็ นกันเอง
คาดหวัง ว่า ร้ า นกาแฟสโลว์บ าร์ น่ าจะต้องชิ ว ๆ เลยแบบถ้าเจอร้ านที่ ลูก ค้าแน่ นร้ าน จะรู ้ สึ ก ว่า
บรรยากาศมันไม่ได้”
“เราชอบที่แบบบาริ สต้าใส่ ใจ ถามว่าเราชอบดื่มแบบไหน แนะนาเราได้ และก็ร้านไม่
วุ่นวาย เคยแบบไปร้านนึ งแล้วบาริ สต้าเค้าดริ ปแบบไวมาก เรานึ กว่า Speed bar ซะอี ก ตอนนั้นก็
57
ทฤษฎีที่เกีย่ วข้อง
จากราคาที่ค่อนข้างสู งของกาแฟดริ ป ผนวกกับกรรมวิธีข้ นั ตอนการทาที่ค่อนข้างเป็ น
งานคราฟต์ แน่นอนว่าสะท้อนทัศนคติผบู ้ ริ โภคในส่ วนของความคาดหวังของผูบ้ ริ โภคต่อรสชาติ
กาแฟดริ ป 1 แก้วนั้น สู งกว่ากาแฟทัว่ ๆ ไป ซึ่ งเมื่อวิเคราะห์ตามทฤษฏีกล่องดา ต่อการรับรู ้ เหตุผล
อารมณ์ สั ง คม วัฒ นธรรม และจิ ต วิ ท ยา รวมถึ ง สิ่ ง กระตุ ้น อื่ น ๆ ทั้ง ข้อ มู ล ทางโลกออนไลน์
ประสบการณ์ รวมถึงสิ่ งกระตุน้ ทางการตลาดล้วนมี เหตุผลต่อความคาดหวังของผุบ้ ริ โภคทั้งสิ้ น
อนึ่ งผู ้ป ระกอบการเองต้อ งค านึ ง การน าทฤษฏี ส่ วนประสมทางการตลาดเป็ นกลยุ ท ธ์ ใ นการ
ดาเนินการธุรกิจ ซึ่งสาหรับแนวคิดนี้จะไปสอดคล้องเป็ นพิเศษในส่ วนของผลิตภัณฑ์ คือ กาแฟ และ
การบริ การที่มีคุณภาพ ที่ส่งถึงลูกค้า และนอกจากนี้ ในส่ วนของการจัดการคนที่มีส่วนโน้มน้าวจาก
การใช้คาพูดสื่ อสารกับผูบ้ ริ โภค และเรื่ องความเชี่ ยวชาญในการดริ ปกาแฟที่สร้างความน่าเชื่ อถือ
ให้กบั ผูบ้ ริ โภคได้นนั่ เอง
ทฤษฎีที่เกีย่ วข้อง
จากทัศนคติของผูบ้ ริ โภคต่อสังคมหรื อต่อผูค้ นที่ชื่นชอบดื่มกาแฟดริ ป และหรื อต่อ
สั ง คม คอกาแฟดริ ป ที่ เป็ นไปในเชิ ง บวก นั้นมี ค วามสั ม พันธ์มาจากทัศ นคติ ของผูท้ ี่ ชื่ นชอบดื่ม
กาแฟดริ ป และพฤติกรรมที่แสดงออกมาสู่ สังคมภายนอกได้รับรู ้ว่าเป็ นเรื่ องที่สร้างสรรค์ และเป็ น
รสนิ ยมความชอบที่จาเพาะ รวมไปถึงผูบ้ ริ โภคมีการรับรู ้ อย่างเป็ นเหตุเป็ นผล ทั้งจากสิ่ งกระตุน้ อื่น
ๆ โซเชี ย ล WOM วิถี ชีวิต วัฒนธรรมที่ เรื่ องราวของกาแฟดริ ปและร้ านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์
(Slow bar coffee) ถูกนาเสนอออกมา ในลักษณะสร้างภาพจา ภาพลักษณ์ที่ดีให้กบั ผูบ้ ริ โภค จึงทาให้
ผูบ้ ริ โภคส่ วนใหญ่มีมุมมองที่ดีกบั สังคมคอกาแฟดริ ป แม้ว่าจะไม่ได้ดื่มกาแฟดริ ปก็ตาม และจาก
การสัมภาษณ์เชิงลึกเองถึงการได้รับความนิ ยมของกาแฟดริ ปที่มากขึ้นในปัจจุบนั คาตอบส่ วนใหญ่
ของกลุ่มตัวอย่างก็สะท้อนทัศนคติออกมาในเชิงบวก คือ เป็ นสิ่ งที่ดีที่ผบู ้ ริ โภคเองจะได้มีตวั เลือกที่
หลากหลายมากขึ้น สังคมการรับรู ้เรื่ องกาแฟดริ ปก็จะกว้างขึ้น มีผคู ้ นที่คุยเรื่ องเดียวกันมากขึ้น และ
ก็เป็ นผลดีกบั ร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ดว้ ย แต่แน่นอนว่าเหรี ยญมีสองด้าน เมื่อสิ่ งใดได้รับความ
นิ ยม เป็ นกระแสเกิ ดขึ้น ก็มีผูบ้ ริ โภคบางส่ วนเองที่ รู้กงั วลว่ากระแสนิ ยม จะทาให้เสน่ ห์ของร้าน
กาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ ลดลงไหม จะกลายเป็ นเชิงพาณิ ชย์มากขึ้นไหม นัน่ เป็ นสิ่ งที่ผวู ้ ิจยั เองได้ต้ งั
คาถามกับผูป้ ระกอบการทั้ง 3 ท่าน พบว่าคาตอบยังคงเป็ นการเริ่ มต้นด้วยความชื่ นชอบและความ
หลงใหลในกาแฟอยู่ แต่ความนิ ยมมากขึ้นก็เป็ นโอกาสของกิจการของตนในการพัฒนาต่อยอดร้าน
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผูป้ ระกอบการ คนที่ 2 ไม่ได้คิดว่าตนจะขยายร้านทาเท่าที่มี
ความสุ ข ผูป้ ระกอบการร้ านที่ 1 ให้คาตอบที่น่าสนใจคือตั้งเป้าขยายพื้นที่ร้านเพื่อรองรับลูกค้า แต่
บรรยากาศความเป็ นคาแรกเตอร์ สโลว์บาร์ เป็ นร้านกาแฟที่เปิ ดบ้านให้เพื่อนมานัง่ ยังต้องคงอยู่ และ
ในระยะยาวอยากมีโรงคัว่ เพิ่มเติม สาหรับผูป้ ระกอบการคนที่ 3 เองเห็นว่าเป็ นเรื่ องดีต่อสังคมคอ
กาแฟดริ ปที่กว้างขวางมากขึ้นและก็เป็ นโอกาสทางธุรกิจด้วย
โดยบทสรุ ป จากการวิเคราะห์แนวคิดทั้ง 7 ข้อ ที่รวบรวมมาได้น้ นั สะท้อนให้เห็นว่า
ผูบ้ ริ โภคมีทศั นคติและพฤติกรรมในเชิงบวกต่อกาแฟดริ ปและร้านกาแฟรุ ป แบบสโลว์บาร์ อันมี
61
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้ อเสนอแนะ
5.1 สรุปผลการวิจัย
จากผลการศึกษาวิจยั เรื่ องทัศนคติและพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภคกาแฟดริ ป (Pour Over
Coffee) และใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ในพื้นที่อาเภอเมืองเพชรบุ รี
จังหวัดเพชรบุรี โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภคกาแฟดริ ป (Pour
Over Coffee) และใช้บ ริ ก ารร้ า นกาแฟรู ป แบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ในพื้ น ที่ อ าเภอเมื อง
เพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ทั้งในแง่มุมของความสัมพันธ์ของทัศนคติและพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภค อัน
นาไปสู่ การหาความสอดคล้องกับทฤษฎีกล่องดา (Black box Theory) และทฤษฎีส่วนประสมทาง
การตลาด (Marketing Mix 7Ps) และศึ ก ษาปั จ จัย ต่ า ง ๆ ที่ ส่ ง ผลต่ อ ทัศ นคติ แ ละพฤติ ก รรมของ
ผูบ้ ริ โภคในการเลือกดื่มกาแฟดริ ป (Pour Over Coffee) และใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์
(Slow bar coffee) เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลเชิงลึกของผูบ้ ริ โภค อันจะเป็ นความรู ้ และเป็ นประโยชน์
ให้กบั ผูส้ นใจศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มผูป้ ระกอบการธุรกิจร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ หรื อผูท้ ี่สนใจ
ริ เริ่ มทาร้านกาแฟในการพัฒนาและเพิ่มประสิ ทธิ ภาพให้กบั ธุ รกิจของผูป้ ระกอบการให้ตอบโจทย์
ผูบ้ ริ โภคกลุ่มเป้าหมาย
โดยเครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) กลุ่มตัวอย่าง
ในการสัมภาษณ์จานวน 30 คน แบ่งเป็ น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย ผูป้ ระกอบการร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์
บาร์ จานวน 3 คน บาริ สต้าหรื อพนักงานชงกาแฟ จานวน 3 คน ผูบ้ ริ โภคที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟดริ ป
(ดื่มกาแฟดริ ปมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์) จานวน 12 คน และผูบ้ ริ โภคที่ดื่มกาแฟเป็ นประจาแต่ไม่
ดื่มกาแฟดริ ป (ดื่มกาแฟทัว่ ไปยกเว้นกาแฟดริ ปมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จานวน 12 คน พร้อมเก็บ
ข้อมูลด้วยการสังเกตเชิงประจักษ์ (Empirical Observation) โดยการสังเกตพฤติกรรมการบริ โภคและ
การใช้บริ การของลูกค้าที่ร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ด้วยการเป็ นผูใ้ ห้บริ การและ
การเป็ นลูกค้าที่เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ สื่ อสารกับพนักงาน รวมถึงลูกค้าท่านอื่น ๆ ในร้าน รวมถึงการ
สังเกตแบบไม่มีส่วนร่ วม (Non-participant Observation) ด้วยการสังเกตช่องทางประชาสัมพันธ์ร้าน
ผ่านแพลตฟอร์ มออนไลน์ อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) อินสตาแกรม (Instagram) ของร้านกาแฟที่มี
รู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ในจังหวัดเพชรบุรีควบคู่กนั ไปด้วย ซึ่ งการศึกษาวิจยั ครั้งนี้ ได้
ดาเนินการเก็บข้อมูลตั้งแต่วนั ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2565 – 3 มิถุนายน พ.ศ. 2565
63
ส่ วนกลุ่ม ตัวอย่า งที่ ดื่มกาแฟดริ ป มี ความเห็ น 2 มุมมอง คือ กาแฟดี ต้องไม่ขม กับ
แตกต่างตามรสนิ ยม ซึ่ งส่ วนใหญ่มีความรู ้เรื่ องระดับการคัว่ กาแฟ และคุน้ เคยจากการเห็นบาริ สต้า
ทา และ 10 ใน 12 คนของกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟดริ ปเป็ นประจาเคยผ่านการลองดริ ปกาแฟด้วย
ตนเองมาก่อน และ 7 ใน 12 คน มีอุปกรณ์ดริ ปกาแฟเป็ นของตนเองที่บา้ น
และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มคนที่ดื่มกาแฟแต่ไม่ดื่มกาแฟดริ ป ส่วนใหญ่เห็นว่ากาแฟดีตอ้ ง
ขม จะมีบางส่ วนที่เป็ นส่ วนน้อยที่ตอบในทิศทางแตกต่างตามรสนิยม พอมีความรู ้ประกอบเหตุผล
ในบางคน บางคนรู ้ ว่าถ้ากาแฟคัว่ เข้มมากๆ เท่ากับกาแฟอาจไหม้ และมี ผลต่อสุ ขภาพ แต่น่ันคือ
รสนิยม ความชอบและความคุน้ เคยของพวกเขา
ซึ่ งจากแนวคิดนี้ ผูว้ ิจยั เห็นว่าเป็ นประโยชน์ต่อผูป้ ระกอบการร้านกาแฟในการนาไป
วิเคราะห์ส่วนประสมการตลาด (Marketing Mix 7Ps) ในแง่มุมของการคัดสรรเมล็ดกาแฟ พัฒนา
ผลิตภัณฑ์ ที่ตอบสนองความต้องการผูบ้ ริ โภคกลุ่มเป้าหมายได้
บรรยากาศที่ เ รี ย บง่ า ย ที่ มี ค วามเป็ นกัน เอง ของลูก ค้าด้วยกันเอง และลูก ค้ากับผูใ้ ห้บริ ก าร ให้
ความรู ้สึกเหมือนมาบ้านเพื่อนอย่างที่กลุ่มตัวอย่างได้ตอบไว้ และสุ ดท้ายการทาวิจยั ทาให้ผูว้ ิจยั ได้
พัฒนาทักษาการบริ การจัดการเวลา การสร้างปฏิสัมพันธ์และมนุษย์สัมพันธ์กบั ผูอ้ ื่น รวมถึงพัฒนา
ทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็ นเหตุเป็ นผลได้มีประสิ ทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
และจากการศึกษาวิจยั เรื่ องทัศนคติและพฤติกรรมของผูบ้ ริ โภคกาแฟดริ ป (Pour Over
Coffee) และใช้บริ การร้านกาแฟรู ปแบบสโลว์บาร์ (Slow bar coffee) ในพื้นที่อาเภอเมืองเพชรบุ รี
จังหวัดเพชรบุรี ในครั้งนี้ ผูว้ ิจยั มีขอ้ เสนอแนะบางประการ ซึ่ งอาจเป็ นประโยชน์ต่อผูท้ ี่สนใจศึกษา
ผูป้ ระกอบการธุ รกิจร้านกาแฟสโลว์บาร์ หรื อธุ รกิจอื่น ๆ ที่อาจนาไปประยุกต์ใช้ได้ นัน่ คือ สาหรับ
ธุ รกิจขายสิ นค้าและบริ การ การจะทาธุ รกิจให้ยง่ั ยืนนั้นนอกจากอาศัยเงินทุน จะต้องอาศัยการคิด
วิเคราะห์การทาความรู ้จกั กลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างเข้าใจ รวมถึงให้ความสาคัญกับคุณภาพในทุก ๆ
ด้านของส่ วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix 7Ps) ควบคู่ไปกับความมุ่งมัน่ ตั้งใจ และจริ งใจ
กับลูกค้า ย่อมทาให้การดาเนิ นธุ รกิจเป็ นไปด้วยความยัง่ ยืน และโดยเฉพาะธุ รกิจร้านกาแฟรู ปแบบ
สโลว์บาร์ น้ นั ค่อนข้างเป็ นรู ปแบบธุ รกิจที่ตอ้ งอาศัยความพิถีพิถนั ในการได้มาซึ่งสิ นค้าส่ งถึงลูกค้า
และแบกรับความคาดหวังของลูกค้ากลุ่มเป้ าหมาย ทั้งเรื่ องของคุณภาพกาแฟแต่ละแก้ว บรรยากาศ
ร้าน ดังนั้นผลการวิจยั ครั้งนี้ผวู ้ ิจยั หวังว่าจะเป็ นประโยชน์ต่อทุกคนที่สนใจศึกษาได้อย่างแน่นอน
71
บรรณานุกรม