Professional Documents
Culture Documents
ดร.วัชรินทร์ อินทพรหม
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
กันยายน 2555
ได้ รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
การใช้ เทคนิคแผนผังทางปัญญา (Mind Map) เพิมผลสั มฤทธิทางการเรียน
ดร.วัชรินทร์ อินทพรหม
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
กันยายน 2555
ได้ รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
บทคัดย่ อ
สรุปผลการวิจัย
1. เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิทางการเรี ยน ก่อน-หลัง ของกลุ่มทดลอง พบว่า ผลการสอนโดย
ใช้เทคนิ คแผนผังทางปั ญญา (Mind Map)เพือเพิมผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนในวิชาการจัดองค์กร
ท้องถินก่อนการทดลองมีคะแนนผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนเฉลีย 15.87 หลังการทดลองมีคะแนน
ผลสัมฤทธิทางการเรี ยนเฉลีย 22.23 และมีผลต่างคะแนนเฉลียเท่ากับ +6.36 และมีความแตกต่างกับ
ผลสัมฤทธิก่อนและหลังการเรี ยนทางการเรี ยนวิชาการจัดองค์กรท้องถิน อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติที
ระดับ .01
2. เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยน ก่อน-หลัง กลุ่มควบคุม พบว่า ผลการสอนโดยใช้
เทคนิคแผนผังทางปั ญญา (Mind Map)เพือเพิมผลสัมฤทธิทางการเรี ยนในวิชาการจัดองค์กรท้องถิน
ก่อนการทดลองมีคะแนนผลสัมฤทธิทางการเรี ยนเฉลีย 13.26 หลังการทดลองมีคะแนนผลสัมฤทธิ
ทางการเรี ย นเฉลี ย 15.89 และมี ผ ลต่ า งคะแนนเฉลี ยเท่ า กับ +2.63 และไม่ มี ค วามแตกต่ า งกับ
ผลสัมฤทธิก่อนและหลังการเรี ยนทางการเรี ยนวิชาการจัดองค์กรท้องถินอย่างมีนยั สําคัญทางสถิติ
3. เปรี ยบเทียบคะแนนทีเพิมขึนระหว่างก่อนและหลังการทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า
คะแนนผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนของกลุ่มทดลองเฉลียเพิมขึน = 6.36 คะแนนผลสัมฤทธิ ทางการ
เรี ยนของกลุ่มควบคุม เฉลียเพิมขึน = 2.63 และมีผลต่างคะแนนผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนของกลุ่ม
ทดลองสู งกว่ากลุ่มควบคุม เฉลีย = +3.73 และมีความแตกต่างกัน อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติทีระดับ
.01
ABSTRACT
This research was a quasi experimental research. The samples in this research were
consisted of 60 third year students in Public Administration, Faculty of Humanities and Social
Sciences, Phranakhon Rajabhat University in regular semester 1/2554. The students were divided
into two groups: The control group and the experimental group. For the experimental group, 30
Public Administration students in class 52, group 1 were used, and 30 Public Administration
students in class 52, group 2 were used for the control group. The purposes of this study were 1)
to compare the learning achievement in the Organization Management Course of students before
and after learning management in the experimental group and the control group, 2) to compare the
learning achievement in the Organization Management Course of students increasing between
before and after learning in the experimental group and the control group. The data analysis was
by means of computer package for frequency, percentage, mean standard deviation, and t-test.
The results were summarized as follows:
1. The comparison of learning achievement before – after learning of the experimental
group found that teaching results using mind mapping technique (Mind Map) increasing learning
achievement in the Organization Management Course before the experiments having average
achievement scores 15.87, the posttest achievement scores 22.23, and the average difference score
was equal to +6.36, and it was different with the achievement before and after learning the
Organization Management Course with a statistical significant level of .01.
2. The comparison of learning achievement before – after learning of the control group
was found that teaching results using mind mapping technique (Mind Map) increasing learning
achievement in the Organization Management Course before the experiments having average
achievement scores 13.26, the posttest achievement scores 15.86, and the average difference score
was equal to +2.63, and there was not statistically significant difference with the achievement
before and after learning the Organization Management Course.
3. The comparison of scores increasing between before and after the experiments of the
experimental and control group found that average achievement scores of the experimental group
increased equal to 6.36, and the average difference score of the experimental was higher than the
control group equal to + 3.73,, and there was statistically significant difference at the .01 level.
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย (1)
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (3)
สารบัญ (4)
สารบัญตาราง (7)
สารบัญภาพ (8)
บทที 1 บทนํา 1
ความสําคัญและทีมาของปั ญหาทีทําการวิจยั 1
วัตถุประสงค์ของการวิจยั 2
ขอบเขตของการวิจยั 2
สมมติฐานการวิจยั /กรอบแนวคิดในการวิจยั 3
นิยามศัพท์เฉพาะ 3
ประโยชน์ทีคาดว่าจะได้รับ 4
บทที 2 แนวคิดและทฤษฎี 5
แนวคิดเทคนิคแผนผังทางปัญญา (Mind Mapping Technique) 5
แนวความคิดในการสร้างแผนผังทางปั ญญา 7
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ 15
การเพิมผลผลสัมฤทธิทางการเรี ยน 19
หลักสูตรวิชาการจัดองค์กรท้องถิน 24
งานวิจยั ทีเกียวข้อง 39
บทที 3 วิธีดําเนินการวิจัย 45
รู ปแบบของการวิจยั 45
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 45
เครื องมือของการวิจยั 45
สารบัญ (ต่ อ)
หน้า
การเก็บรวบรวมข้อมูล 46
การวิเคราะห์ขอ้ มูล 47
ขันตอนการวิจยั 47
แผนดําเนินการ 48
บรรณานุกรม 58
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก ข้อสอบวิชาการจัดองค์กรท้องถิน 62
ภาคผนวก ข ใบความรู ้ที 1 แผนผังทางปั ญญา (Mind Mapping) 68
ภาคผนวก ค ใบความรู ้ที 2 และใบงานที 2 โครงสร้างเทศบาลตําบล 92
ภาคผนวก ง ใบความรู ้ที 3 และใบงานที 3 โครงสร้างเทศบาลเมือง 98
ภาคผนวก จ ใบความรู ้ที 4 และใบงานที 4 โครงสร้างเทศบาลนคร 105
ภาคผนวก ฉ ใบความรู ้ที 5 และใบงานที 5 โครงสร้างระบบราชการ 112
ไทย
สารบัญ (ต่ อ)
หน้า
ภาคผนวก ช ใบความรู ้ที 6 และใบความรู ้ที 6 โครงสร้าง 118
การบริ หารงานของกรุ งเทพมหานคร
ภาคผนวก ซ ใบความรู ้ที 7 และใบงานที 7 โครงสร้างเมืองพัทยา 126
ภาคผนวก ฌ ใบความรู ้ที 8 และใบงานที 8 โครงสร้างองค์การบริ หาร 132
ส่ วนจังหวัด
ภาคผนวก ญ ใบความรู ้ที 9 และใบงานที 9 โครงสร้างองค์การบริ หาร 140
ส่ วนตําบล
ภาคผนวก ฎ ใบความรู ้ที 10 และใบงานที 10 ปั ญหาอุปสรรคและ 154
แนว ทางแก้ไขปัญหาของการปกครองส่ วนท้องถิน
ภาคผนวก ฏ แผนการเรี ยนการสอน 172
ประวัติผวู ้ จิ ยั 184
สารบัญตาราง
ตารางที หน้า
1 จํานวนชัวโมงทีใช้ต่อภาคการศึกษา 30
2 แผนการสอน 36
3 แผนการประเมินผลการเรี ยนรู ้ 39
4 แผนการดําเนินงาน 48
5 เปรี ยบเทียบคะแนนเฉลียผลสัมฤทธิทางการเรี ยน ก่อน-หลัง 49
การใช้เทคนิคแผนผังทางปั ญญา ของกลุ่มทดลอง
6 เปรี ยบเทียบความแตกต่างของผลสัมฤทธิทางการเรี ยนโดย 50
การใช้เทคนิคแผนผังทางปัญญา
7 เปรี ยบเทียบคะแนนเฉลียผลสัมฤทธิทางการเรี ยน ก่อน-หลัง 51
ของกลุ่มควบคุม
8 เปรี ยบเทียบความแตกต่างของการเพือเพิมผลสัมฤทธิทางการ 51
เรี ยนของกลุ่มควบคุม
9 เปรี ยบเทียบคะแนนเฉลียผลสัมฤทธิทางการเรี ยนก่อนการเรี ยน 52
ของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม
10 เปรี ยบเทียบคะแนนเฉลียผลสัมฤทธิทางการเรี ยนหลังการเรี ยนของ 52
กลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม
สารบัญภาพ
ภาพที หน้ า
1 กรอบแนวคิดในการวิจยั 4
2 ขันตอนการวิจยั 47
บทที 1
บทนํา
ความสํ าคัญและทีมาของปัญหาทีทําการวิจัย
วัตถุประสงค์ ของการวิจัย
1. เพื อเปรี ย บเที ย บผลสัม ฤทธิ ทางการเรี ย นวิ ช าการจัด องค์ก รท้อ งถิ นของนัก ศึ ก ษา
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุ ษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรี ยนรู ้ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
2. เพือเปรี ย บเที ยบผลสัมฤทธิ ทางการเรี ย นวิ ชาการจัดองค์กรท้องถิ นของนัก ศึ ก ษา
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ที
เพิมขึนระหว่างก่อนเรี ยนและหลังเรี ยนในกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตด้ านเนือหา
เป็ นการศึ กษาผลการใช้เทคนิ คแผนผังทางปั ญญากับนักศึกษาสาขาวิชารั ฐประศาสน
ศาสตร์ คณะมนุ ษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เพือเพิมผลสัมฤทธิ
ทางการเรี ยนในวิชาการจัดองค์กรท้องถิน
ขอบเขตประชากร
ประชากรของการวิจยั ในครังนี คือ นักศึกษาชันปี ที 3 สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จํานวน 60 คน โดยการแบ่งกลุ่มตัวอย่างของการวิจยั ในครังนี เป็ น 2
กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุม กับ กลุ่มทดลอง โดยใช้นกั ศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ รุ่ น 52 หมู่ 1
จํานวน 30 คน เป็ นกลุ่มทดลอง และใช้นกั ศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ รุ่ น 52 หมู่ 2 จํานวน
30 คน เป็ นกลุ่มควบคุม
ขอบเขตด้ านเวลา
การวิจยั ในครังนีใช้ระยะเวลาในการวิจยั ในภาคการศึกษาที 1/2554
สมมติฐานการวิจัย/กรอบแนวคิดในการวิจัย
สมมติฐานการวิจัย
1. ผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนวิชาการจัดองค์กรท้องถินของนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสน
ศาสตร์ ก่อนและหลังการจัดการเรี ยนรู ้ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมสูงขึน
2. ผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนวิชาการจัดองค์กรท้องถินของนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสน
ศาสตร์กลุ่มทดลองทีเพิมขึนระหว่างก่อนเรี ยนและหลังเรี ยนสู งกว่านักศึกษากลุ่มควบคุม
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม
ภาพที 1 กรอนแนวคิดในการวิจยั
ตัวแปรทีศึกษา
ตัวแปรอิ สระ ได้แก่ วิธีการสอน ได้แก่ 1.การสอนโดยใช้เทคนิ คแผนผังทางปั ญญา
(Mind Map) และ การสอนโดยวิธีปกติ
ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิทางการเรี ยนในวิชาการจัดองค์กรท้องถิน
นิยามศัพท์ เฉพาะ
1.แผนผังทางปัญญา หมายถึงวีการแสดงออกถึงความคิด ซึ งถ่ายทอดออกมาให้เป็ นภาพทีเห็น
ด้วยตาหรื อเป็ นแผนภูมิ โดยการแสดงระหว่างคําหรื อมโนทัศน์ทีเกี ยวข้องอย่างมีลาํ ดับขัน ด้วย
ลักษณธของเส้น ลูกศรแบบต่างๆหรื อใช้รหัส เชื อมโยงระหว่างคําหรื อมโนทัศน์ เพือให้คาํ หรื อ
มโนทัศน์เหล่านันมีความหมาย โดยคําหรื อมโนทัศน์ทีสําคัญมากหรื อลําดับก่อนจะใช้ขนาดของ
ตัวอักษร สี และตัวหนังสื อทีมีมิติต่างกัน
2.หลักสู ตรและการสอนวิชาการจัดองค์ กรท้ องถิน หมายถึง หลักสู ตรทีพัฒนาขึนมา โดย
อาศัยวิธีการสอนทีผสมผสานกับเทคนิคแผนผังทางปัญญา เพือให้นกั ศึกษาได้เกิดความคิดเชือมโยง
กับสถานการณ์และโครงสร้างการบริ หารองค์กรปกครองท้องถินไทย
3.รู ปแบบการสอน หมายถึง แบบแผนของการสอนทีแสดงความสัมพันธ์และส่ งเสริ มซึ ง
กันและกัน ระหว่างองค์ประกอบต่างๆในการสอน ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื อหา ขันตอน
การสอน การประเมินผล รวมถึงกิจกรรมสนับสนุนอืนๆ โดยผ่านขันตอนการดําเนิ นการสร้างอย่าง
เป็ นระบบ เพือให้ผเู ้ รี ยนเกิดการเรี ยนรู ้ตามเป้ าหมายอย่างมีประสิ ทธิภาพ
4.การสอนโดยใช้ เทคนิคแผนผังทางปัญญา หมายถึง แบบแผนของการสอนทีผูว้ ิจยั พัฒนา
ขึนให้ผเู ้ รี ยนได้ฝึกคิดอย่างเป็ นระบบ
5.การสอนโดยวิธีปกติ หมายถึง การสอนเนื อหาวิชาการจัดองค์กรท้องถิน ตามแผนการ
สอนของสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สําหรับนักศึกษาควบคุมปกติ
6.นักศึกษา หมายถึง ผูท้ ีศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
7. ผลสั มฤทธิทางการเรียน หมายถึง ความรู ้ความเข้าใจในวิชาการจัดการองค์กรท้องถิน ซึง
วัดได้จากแบบทดสอบผลสัมฤทธิ ทีอาจารย์ประจําวิชาการจัดองค์กรท้องถิน มหาวิทยาลัยราชภัฏ
พระนครและผูว้ ิจยั ร่ วมสร้างขึนมา
ประโยชน์ ทคาดว่
ี าจะได้ รับ
ผลการศึกษาครังนี ทําให้ทราบถึงผลการใช้เทคนิ คแผนผังทางปั ญญา (Mind Map) ทีมีต่อ
ผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยน ซึ งเป็ นแนวทางสําหรับผูส้ อนในการจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอน เพือ
พัฒนาทักษะการคิดให้แก่ผเู ้ รี ยนต่อไป
5
บทที 2
แนวคิดและทฤษฎี
เทคนิ คแผนผังทางปั ญญา (Mind Mapping Technique) ถูกพัฒนาโดย Tony Buzan ในปี
ค.ศ.1970 โดยเลียนแบบจากการทํางานของเซลล์ประสาทในสมองของมนุ ษย์ทีมีอยูป่ ระมาณหนึ ง
ล้านล้านเซลล์ แต่ละเซลล์ประกอบด้วยปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้ าทีสลับซับซ้อนและระบบการประมวลผล
และส่ งผ่านข้อมูลขนาดเล็กจํานวนมากมาย เซลล์สมองแต่ละเซลล์จะมีรูปร่ างคล้ายปลาหมึกยักษ์ซึง
มีส่วนลําตัวอยูต่ รงกลาง และมีกิงก้านสาขา คล้ายหนวดแยกกระจายออกไปจากส่ วนลําตัว เมือขยาย
ดูจะพบว่ากิงก้านสาขาแต่ละอันมีลกั ษณะคล้ายกิงไม้ทีแตกแขนงออกจากลําต้น แต่ละกิงก้านสาขา
มีชือเรี ยกว่า เดนไดรต์ (Dendrites) โดยกิงทีมีขนาดใหญ่และยาวกว่ากิงอืน เรี ยกว่า แอกซอน(Axon)
ซึงเป็ นทางออกหลักของข้อมูลทีส่ งออกจากเซลล์นนั (Buzan, 1997 อ้างถึงใน สุ พรรณี สุ วรรณจรัส,
2543 : 46-47) เดนไดรต์และแอกซอนแต่ละอันมีความยาวตังแต่ 1 มิลลิเมตร จนถึง 1.5 เมตร และ
ตลอดความยาวจะมีตุ่มคล้ายดอกเห็ ดยืนออกมาเป็ นระยะ ๆ มีชือเรี ยกว่ากระดูกสันหลังของเดน
ไดรต์ (Dendrites Spines) และกระดุมเชือมต่อ(Synaptic Buttons) ซึงภายในจะถูกบรรจุดว้ ยสารเคมี
ทีเป็ นตัวนําข้อมูลข่าวสารในกระบวนการคิดของมนุษย์ ตุ่มดังกล่าวจากเซลล์สมองเซลล์หนึงจะไป
เชื อมโยงติดต่อกับตุ่มจากเซลล์สมองเซลล์อืนๆ ซึ งเมื อกระแสไฟฟ้ าวิงผ่านไปมาระหว่างเซลล์
สมองหลาย ๆ เซลล์โ ดยผ่า นทางเดนไดรต์ห รื อ แอกซอน สารเคมี จ ะถู ก ส่ ง ผ่า นช่ อ งว่า งเล็ก ๆ
ระหว่างตุ่มดังกล่าวข้างต้น โดยช่องว่างนีมีชือว่าช่องว่างจากการเชือมต่อ(Synaptic Gap)สารเคมีจะ
จับกับพืนผิวที สอดรั บกันพอดี แล้วกระตุน้ ให้เกิ ดกระแสประสาทวิงผ่านไปยังเซลล์สมองที ทํา
หน้าทีรับแล้วส่ งกระแสประสาทต่อไปอีกเป็ นทอด ๆ
ถึ ง แม้จ ะดู ว่า เป็ นขันตอนไม่ ยุ่งยาก แต่ ขอ้ มู ลข่าวสารทางชี ว เคมี ที วิ งผ่า นรอยเชื อมต่ อ
(Synapse) กลับมีปริ มาณมากมายมหาศาลและสลับซับซ้อนมาก เหมือนกระแสนําตกในแอการา
เซลล์สมองเซลล์หนึ งอาจจะได้รับกระแสประสาทจากจุดเชือมต่อต่าง ๆ มากถึงหลายๆ ล้านจุดใน
แต่ละวินาที และจะทําหน้าทีคล้ายจุดเชือมต่อสัญญาณโทรศัพท์ โดยจะประมวลผลรวมของข้อมูล
กลับออกไปตามทางทีเหมาะสม จากการผ่านไปมาของข่าวสารความคิดหรื อความทรงจําเก่า ๆ ซํา
ไปซํา มาจากเซลล์ ส มองหนึ งไปยัง อี ก เซลล์ ห นึ ง จะทํา ให้ เ กิ ด เส้ น ทางเดิ น ของคลื นและ
แม่เหล็กไฟฟ้ าทางชี วเคมีเกิ ดขึน เส้นทางดังกล่าวมีชือเรี ยกว่า ร่ องรอยของความทรงจํา(Memory
Trace) หรื อแผนทีความคิด(Mental Maps)
ความหมายของแผนผังทางปัญญา
สุ พิศ กลินบุปผา (2545 : 15)ได้กล่าวว่าแผนผังทางปั ญญาเป็ นวิธีการสร้างแผนผังทีแสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหลักกับความคิ ดย่อยช่ วยพัฒนาการจัดระบบความคิด รวบรวม
รายละเอียดข้อมูลไว้ดว้ ยกัน จึงช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรี ยนรู ้เกียวกับการจัดกลุ่มเนื อหา การ
ปรับปรุ งการระลึก การสร้ างความคิดสร้างสรรค์ มีคุณค่าอย่างยิงสําหรั บการไตร่ ตรอง และการ
เรี ยนรู ้ อีกทังยังสามารถนํามาใช้กบั ผูเ้ รี ยนได้ทุกระดับและช่ วยควบคุมการระดมสมองในเรื อง
ใหม่ๆ การวางแผนการสรุ ป การทบทวน การจดบันทึก
ธี ระพัฒน์ ฤทธิ ทอง (2545 : 45) ได้ให้ความหมายของแผนผังทางปั ญญาไว้ว่าเป็ น
ยุทธศาสตร์ การสอนทีพัฒนาการคิด ช่วยให้เกิดการเรี ยนรู ้มีความคิดสร้างสรรค์เหมาะกับนักเรี ยน
ได้สงั เคราะห์ความคิด ในการวิเคราะห์งาน วางแผนการทํางานและทบทวนความจํา
นิ ปาตีเมาะ หะยีหามะ (2546 : 42) ได้ให้ความหมายของแผนผังทางปั ญญาไว้ว่า เป็ นการ
ถ่ายทอดความคิดความเข้าใจเรื องใดเรื องหนึ งของเนื อหาออกมาในลักษณะรู ปธรรม โดยการจัด
กลุ่มความคิด การเชือมโยง การผูกต่อข้อมูลทังหมดเข้าด้วยกันเพือให้เกิดความสัมพันธ์ต่อเนื องกัน
โดยจะมีคาํ สําคัญหลัก หรื อรู ปภาพสัญลักษณ์ อยู่ตรงกลางหน้ากระดาษ เชื อมโยงสําคัญอืนๆ ที
เกียวข้องกับคําสําคัญหลักออกไปทุกทิศทาง เพือให้เข้าใจง่ายยิงขึน สามารถจดจําข้อมูลได้ยาวนาน
ธัญญา ผลอนันต์ (2543 : 49) ได้ให้ความหมายของแผนผังทางปั ญญาไว้ว่าเป็ นการแสดง
ความสัมพันธ์ของสาระหรื อความคิดต่าง ๆ ให้เห็ นเป็ นโครงสร้ างของภาพรวม โดยใช้เส้น คํา
ระยะห่ างจากจุดศูนย์กลาง สี เครื องหมาย รู ปทรงเรขาคณิ ตและภาพ แสดงความหมายและความ
เชือมโยงของความคิด หรื อสาระนัน ๆ
สมศักดิ สิ นธุ ระเวชญ์ (2545 : 219) ได้ให้ความหมายของแผนผังทางปั ญญาไว้ว่าแผนผัง
ทางปั ญญาเป็ นกระบวนการคิดในรู ปแบบภาพความคิด ทีมีต่อหัวเรื องทีจะคิดอยู่ตรงกลาง และมี
ความคิ ด ในเรื องย่อ ย ตลอดจนรายละเอี ย ดต่ า ง ๆ แตกสาขาออกไปเป็ นเทคนิ ค ในการพัฒ นา
ความคิดสร้างสรรค์
ระวิวรรณ ขวัญศรี (2548 : 12) ได้ให้ความหมายของแผนผังทางปั ญญาไว้ว่า เป็ นการนํา
ข้อมู ลที มี ความสลับซับซ้อนนํามาจัดเป็ นระบบใหม่ สร้ างให้เ ป็ นรู ปภาพ โดยการจัดกลุ่มของ
ความคิด การเชื อมโยงประเด็นหลัก และประเด็นย่อยๆ เข้าด้วยกัน โดยอาจจะสร้างออกมาเป็ น
รู ปภาพ หรื อคําสําคัญหลัก ให้อยูต่ รงกลางหน้ากระดาษเพือดึงดูดความสนใจในการเรี ยนรู ้ และง่าย
ต่อการจดจําเนือหาทีเรี ยนได้ยาวนาน
Buzan (1997 : 59 ) ได้อธิ บายความหมายของแผนผังทางปั ญญาไว้ว่า เป็ นการแสดงออก
ของการคิดแบบรอบทิศทาง ซึงเป็ นลักษณะการทํางานตามธรรมชาติของสมองมนุษย์นอกจากนี ยัง
เป็ นเทคนิคการแสดงออกด้วยภาพทีมีพลังนําไปสู่ กุญแจสากลทีจะใช้ไขประตูสู่ ศกั ยภาพของสมอง
แผนผังทางปั ญญาสามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้กบั แง่มุมมองชีวิตซึงการเรี ยนทีได้รับการพัฒนาและ
การคิดทีแจ่มชัดขึนจะนําไปสู่การพัฒนาการกระทําต่าง ๆ ของมนุษย์
Morris and Dore (1984 : 48) ได้ให้ความหมายของแผนผังทางปั ญญาไว้ว่า แผนผังทาง
ปั ญ ญาเป็ นเทคนิ ค ที มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ ที ช่ ว ยให้ ผู ้เ รี ยนพัฒ นาการจัด ระบบความคิ ด รวบรวม
รายละเอี ยดต่าง ๆ เข้าเป็ นกลุ่มตามหัวข้อหรื อประเภทความสัมพันธ์ระหว่างใจความสําคัญกับ
ใจความย่อย
Rosenbery (1987 : 2249 อ้างถึงใน สุ พิศ กลินบุปผา, 2545 : 14) ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า
การสร้างแผนผังทางปั ญญาเป็ นเทคนิ คทีทําให้เห็นภาพ เป็ นรู ป เป็ นร่ างขึน ทําให้ผเู ้ รี ยนเกิดความ
เข้าใจในงานเขียนนัน ๆ ได้ง่ายขึน
2.แนวความคิดในการสร้ างแผนผังทางปัญญา
4.ทฤษฎีความคิดสร้ างสรรค์
ลักษณะของความคิดสร้ างสรรค์
บรรพต พรประเสริ ฐ ; 2538 ได้จ าํ แนกองค์ประกอบของความคิ ดสร้ างสรรค์ว่า มี
องค์ประกอบ 3 ด้านคือ
1. ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency)
2. ความคิดยืดหยุน่ (Flexibility)
3. ความคิดริ เริ ม(Originality)
ความคิดสร้างสรรค์มีลกั ษณะทีแบ่งออกได้เป็ น 3 ลักษณะได้แก่
ลักษณะที 1 เป็ นกระบวนการคิดสามารถแตกความคิดเดิมไปสู่ ความคิดทีแปลกใหม่ไม่ซาํ
กับใคร
ลักษณะที 2 เป็ นลักษณะของบุคคลทีมีเอกลักษณ์เป็ นของตนเองเกิดความรู ้สึกพอใจและ
เชือมันในตนเอง และ
ลักษณะที 3 เป็ นผลงานทีเกิดจากความคิดแปลกใหม่ทีมีประโยชน์ต่อตนเองและผูอ้ ืน โดย
ที ทุกคนสามารถสร้ างสรรค์ได้ กับให้ผูอ้ ื นยอมรั บว่ามี ประโยชน์เป็ นของแปลกใหม่ ตลอดจน
สามารถวัดและประเมินผลของคุณค่าผลผลิตได้
ความสามารถทางสมองซึ งเกิ ดจาการปฏิบตั ิตามเงือนไขขององค์ประกอบ 3 มิติ (Three
Dimensional Model) ซึงมีรายละเอียดดังนี
มิติที 1 ด้านเนื อหา (Contents) หมายถึงวัตถุ/ข้อมูลต่าง ๆทีรั บรู ้และใช้เป็ นสื อให้เกิ ด
ความคิด มีอยู่ 5 ชนิ ด คือ เนื อหาทีเป็ นรู ปภาพ (Figural contents) เนื อหาทีเป็ นเสี ยง (Auditory
contents) เนื อหาทีเป็ นสัญลักษณ์ (Symbolic Contents) เนือหาทีเป็ นภาษา (Semantic Contents)
และเนือหาทีเป็ นพฤติกรรม (Behavior Contents)
มิ ติที 2 ด้านปฏิ บตั ิ การ (Operation)หมายถึ งวิธีการ/กระบวนการคิดต่าง ๆที สร้ างขึนมา
ประกอบด้วยความสามารถ 5 ชนิ ด คือ การรับรู ้และการเข้าใจ(Cognition) การจํา (Memory) การคิด
แบบอเนกมัย(Divergent thinking) และการประเมินค่า(Evaluation)
มิติที 3 ด้านผลผลิต (Products) หมายถึงความสามารถทีเกิดขึนจากการผสมผสานมิติดา้ น
เนื อหาและด้านปฏิบตั ิการเข้าด้วยกัน เป็ นผลผลิตทีเกิดจากการรับรู ้ วัตถุ/ข้อมูล แล้วเกิดวิธีการคิด/
กระบวนการคิด ซึ งทําให้เกิดผลของการผสมผสานในรู ปแบบ 6 ชนิ ด คือ หน่วย (Units) จําพวก
(classes) ความสัมพันธ์ (Relations) ระบบ (System) การแปลงรู ป (Transformation) และการ
ประยุกต์ (Implication)
การจัดการเรียนการสอนเพือพัฒนาความคิดสร้ างสรรค์
เทคนิคการจัดการเรี ยนการสอนเพือส่ งเสริ มพัฒนาการความคิดสร้างสรรค์นนั ครู ควรทีจะ
นําเทคนิ ควิธีการต่าง ๆมากระตุน้ ให้เกิ ดนิ สัยและเจตคติในทางสร้างสรรค์แก่ผูเ้ รี ยน ด้วยการหา
แนวทางทีจะส่ งเสริ มความคิดให้แก่ผเู ้ รี ยนได้
Davis (1983) ได้รวบรวมแนวความคิดของนักจิตวิทยาและนักการศึกษาทีกล่าวถึงเทคนิ ค
ในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทีเป็ นมาตรฐาน เพือใช้ในการฝึ กฝนบุคคลทัวไปให้ผทู ้ ีมีความคิด
สร้างสรรค์สูงขึน เทคนิคเหล่านีได้แก่
1. การระดมพลังสมอง (Brainstorming) โดย Alex Csborn เป็ นผูท้ ีคิดเทคนิ คนี ขึน โดย
หลักการสําคัญของการระดมพลังสมองคือ การให้โอกาสคิดอย่างอิสระทีสุ ดโดยเลือนการประเมิน
ความคิดออกไปไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในระหว่างทีมีการคิดการวิจารณ์หรื อการประเมินผลใด ๆก็
ตามทีเกิดขึนระหว่างการคิด จะเป็ นสิ งขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ จุดประสงค์ของการระดมพลัง
สมองก็เพือจะนําไปสู่การทีสามารถแก้ปัญหาได้
2. Attribute Listing ผูส้ ร้างเทคนิคนีคือ Robert Crawford เทคนิ คนีมีลกั ษณะเป็ นการสร้าง
แนวคิดใหม่โดยอาศัยแนวคิดเดิม วิธีการใช้แบ่งเป็ น 2 ลักษณะคือ
1.1 Attribute modifying คือการปรับเปลียนลักษณะบางประการของแนวคิด
หรื อผลงานเดิม เช่น ในการตกแต่งห้องทํางานอาจกระทําโดยแยกแยะองค์ประกอบของห้องนัน
ออกเป็ นส่ วน ๆเช่น สี พืน ผนังห้อง แล้วปรับเปลียนแต่ละส่ วนเมือนํามารวมกันก็จะได้รูปแบบของ
ห้องในแนวใหม่เกิดขึนมากมาย
1.2 Attribute transferring คือการถ่ายโยงลักษณะบางประการจาก
สถานการณ์ หนึ งมาใช้กับอี กสถานการณ์ หนึ ง เช่ น การถ่ายโยงลักษณะงาน คาร์ นิวลั มาใช้เป็ น
แนวคิดในการจัดงานปี ใหม่ของโรงเรี ยน เป็ นต้น
3. Morphological Synthesis เป็ นเทคนิคทีใช้ในการสร้างความคิดสร้างความคิดใหม่ ๆ โดย
วิธีแยกแยะองค์ประกอบของความคิดหรื อปั ญหาให้องค์ประกอบหนึ งอยูบ่ นแกนตังของตารางซึ ง
เรี ยกว่าตาราง Matrix และอีกองค์ประกอบหนึ งอยู่บนแกนนอน เมือองค์ประกอบบนแกนตังมา
สัมพันธ์กบั องค์ประกอบบนแกนนอนในช่วงตารางก็จะเกิดความคิดใหม่ขึน
4. Idea Checklist เป็ นเทคนิคทีใช้ในการค้นหาความคิดหรื อแนวทางในการแก้ปัญหาต่าง ๆ
ทีเกิดขึนได้อย่างรวดเร็ ว โดยอาศัยรายการตรวจสอบความคิดทีมีผทู ้ าํ ไว้แล้ว
5. Synectics Methods คิดค้นขึนโดย William J.J.Cordon โดยการสร้างความคุน้ เคยทีแปลก
ใหม่และความแปลกใหม่ทีเป็ นทีคุน้ เคยจากนันจึงสรุ ปเป็ นแนวคิดใหม่กระบวนการของการคิดเป็ น
Cordon นีมี 4 ประการ คือ
5.1 การสร้างจินตนาการขึนในจิตใจของเราหรื อการพิจารณาความคิดใหม่
5.2 การประยุกต์เอาความรู ้ในสาขาวิชาหรื อเรื องใดเรื องหนึ งมาแก่ปัญหา ที
เกิดขึน
5.3 การประยุกต์ใช้การเปรี ยบเทียบหรื ออุปมาในการแก้ปัญหา
5.4 การประยุกต์เอาความคิดใด ๆก็ตามทีเกิดจากจินตนาการมาใช้ แก้ปัญหา
จากแนวคิ ด เกี ยวกับ การนํา เทคนิ ค การสอนเพื อช่ ว ยให้เ กิ ด พัฒ นาความคิ ด สร้ า งสรรค์
ชี ให้เห็ นว่าความคิดสร้ างสรรค์นันสามารถสอนกันได้ แต่อย่างไรก็ตามความคิดสร้ างสรรค์จะ
เกิดขึนได้ก็ตอ้ งมีภาวะทีเป็ นอิสระสําหรับการคิด ดังที Rogers (1970) กล่าวว่า ภาวะทีส่ งเสริ มให้
บุคคลกล้าคิดอย่างสร้างสรรค์ ได้แก่ ภาวะทีบุคคลรู ้สึกว่าตนเองมีความปลอดภัยทางจิต มีค่าได้รับ
การยอมรับรวมทังภาวะทีมีเสรี ภาพในการแสดงออกโดยไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หรื อถูกประเมิน
5.การจัดการเรียนรู้ ทเน้
ี นผู้เรียนเป็ นสํ าคัญ
จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์
1. จุดมุ่งหมายของรายวิชา
เมือเรี ยนรายวิชานีแล้วผูเ้ รี ยนสามารถ
1.1 มีความรู ้และความเข้าใจการบริ หารและการจัดการขององค์กรปกครองท้องถิน
1.2 มีความรู ้และความเข้าใจการกําหนดโครงสร้างการบริ หารและการจัดการของ
องค์กรปกครองท้องถิน ทังองค์กรปกครองท้องถินขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่
1.3 ประยุกต์ใช้เทคนิคการบริ หารและการจัดการ กับการดําเนินงานขององค์กร
ปกครองท้องถิน
1.4 วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรค และปั จจัยแวดล้อมทีส่ งผลกระทบต่อการบริ หาร
และการจัดการองค์กรปกครองท้องถิน
1.5 วิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ปัญาการบริ หารและการจัดการขององค์กร
ปกครองท้องถินได้อย่างเหมาะสม
2. การเปลียนแปลงทีสํ าคัญ
การเปลียนแปลงทีสําคัญ คือ การเพิมกิจกรรมการเรี ยนการสอนทีเน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสําคัญที
ทําให้เกิดการพัฒนาผลการเรี ยนรู ้ในด้านคุณธรรม จริ ยธรรม ความรู ้ ทักษะทางปั ญญา และทักษะ
การคิดวิเคราะห์ และเชือมโยงกันอย่างเป็ นระบบ
ลักษณะและการดําเนินการ
1. คําอธิบายรายวิชา
ศึกษาแนวคิดทฤษฎี เกี ยวกับการจัดองค์กรทัวไปและองค์กรท้องถิน ทังด้านโครงสร้ าง
องค์กร ด้านอํานาจ หน้าที และด้านการบริ หารและการจัดการขององค์กรท้องถิน รวมถึงการนํา
เทคนิ คการบริ หารและการจัดการต่างๆ ทีนํามาใช้ในการบริ หารและการจัดการองค์กร และการ
ปฏิ บตั ิ งานตามอํานาจหน้าที และพัน ธกิ จ ขององค์ก ร โดยเน้นองค์ก รปกครองท้องถิ นไทย ที มี
รู ปแบบหลากหลายและแตกต่างกัน และเป็ นองค์กรทีมีหน้าทีหลักในการพัฒนาท้องถิน รวมถึง
ปั ญหาและอุปสรรคของการจัดการองค์กรปกครองท้องถินไทยในปั จจุบนั และรู ปแบบโครงสร้าง
องค์กรและการจัดการองค์กรปกครองท้องถินไทยทีเหมาะสมในอนาคต
2. จํานวนชัวโมงทีใช้ ต่อภาคการศึกษา
บรรยาย สอนเสริ ม การฝึ กปฏิบตั ิ/งาน การศึกษาด้วยตนเอง
ภาคสนาม/การฝึ กงาน
45 ชัวโมง สอนเสริ มตามความ - ศึกษาด้วยตนเอง
ต่อภาคการศึกษา ต้องการ 6 ชัวโมงต่อสัปดาห์
ของนักศึกษาเป็ นกลุ่ม
ตารางที 1 จํานวนชัวโมงทีใช้ต่อภาคการศึกษา
การพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษา
การพัฒนาการเรียนรู้ ด้านความรู้
2.1 ความรู ้ทีต้องได้รับ
2.1.1 หลักการ แนวคิดและทฤษฎีเกียวกับการจัดองค์การทัวไป
2.1.2 หลักการ แนวคิดและทฤษฎีเกียวกับการจัดองค์กรท้องถิน
2.1.3 การจัดโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถินขนาดเล็ก
2.1.4 การจัดโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถินขนาดกลาง
2.1.5 การจัดโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถินขนาดใหญ่
2.1.6 การจัดโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถินแบบบูรณาการ
2.1.7 การกําหนดยุทธศาสตร์เพือการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.8 ธรรมาภิบาลกับการบริ หารและการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.9 การมีส่วนร่ วมกับการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.10 การบริ หารโครงการขององค์กรท้องถิน
2.1.11 การบริ หารงบประมาณขององค์กรท้องถิน
2.1.12 การบริ การสาธารณะขององค์กรท้องถิน
2.1.13 การบริ หารงานบุคคลขององค์กรท้องถิน
2.1.14 ความสัมพันธ์ทางการเมือง การบริ หาร และการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.15 ปัญหาและอุปสรรคของการบริ หารและการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.16 ทิศทางของการบริ หารและการจัดการองค์กรท้องถินของประเทศไทยใน
อนาคต
2.2 วิธีสอน
วิธีการสอนเพือให้เกิดความรู ้ ความเข้าใจ และทักษะปฏิบตั ิดงั กล่าว ผูส้ อนมีแนวการจัด
กิจกรรมการเรี ยนรู ้ ดังนี
2.2.1 บรรยาย อภิปราย
2.2.2 การสอนแบบ Cooperative learning
2.2.3 การสอนแบบโครงการ Project - based learning
2.2.4 การสอนแบบเน้นการวิจยั Research- based learning
2.2.5 การสอนแบบเน้นปัญหา Problem - based learning
2.3 วิธีการประเมินผล
การประเมินผลใช้การสังเกตการทํากิจกรรมกลุ่ม การตรวจผลงาน การทดสอบ
การพัฒนาการเรียนรู้ ด้านทักษะทางปัญญา
3.1 ทักษะทางปั ญญาทีต้องพัฒนา
3.1.1 วิเคราะห์กระบวนการบริ หารและการจัดการขององค์กรปกครองท้องถิน
3.1.2 วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคกระบวนการบริ หารและการจัดการขององค์กร
ปกครองท้องถิน
3.1.3 วิเคราะห์หลักการ แนวคิดและทฤษฎีของการบริ หารและการจัดการการ
ปกครองท้องถิน
3.1.4 สังเคราะห์ความรู ้เพือจัดทําแผนทีความคิด (Mind Map)
3.1.5 สังเคราะห์สาระสําคัญของวิชาโดยการบูรณาการการบริ หารและการจัดการ
การปกครองท้องถินไทยกับพัฒนาการการบริ หารและการจัดการการปกครองท้องถินในประเทศ
ไทย
3.2 วิธีสอน
3.2.1 บรรยาย อภิปราย
3.2.2 การสอนแบบ Cooperative learning
3.2.3 การสอนแบบโครงการ Project - based learning
3.2.4 การสอนแบบเน้นการวิจยั Research- based learning
3.2.5 การสอนแบบเน้นปัญหา Problem - based learning
3.3 วิธีการประเมินผล
การตรวจผลงาน
การพัฒนาการเรียนรู้ด้านทักษะความสั มพันธ์ ระหว่ างบุคคลและความรับผิดชอบ
4.1 ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความสามารถในการรับผิดชอบทีต้องพัฒนา
รายวิชานี มุ่งเน้นการฝึ กผูเ้ รี ยนให้เป็ นผูท้ ีมีความรับผิดชอบและสามารถกํากับตนเองให้มี
วินยั ในการเรี ยน สามารถทํางานเป็ นกลุ่ม โดยผูส้ อนเป็ นผูแ้ นะนําทาง
4.2 วิธีสอน
4.2.1 การสอนแบบ Cooperative learning
4.2.2 การสอนแบบโครงการ Project - based learning
4.3 วิธีการประเมินผล
ใช้การสังเกตการทํางานเป็ นกลุ่ม การตรวจผลงาน
1. แผนการสอน
สั ปดาห์ ที เนือหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื อและอุปกรณ์
1 - ปฐมนิเทศ - การสํารวจคุณลักษณะพืนฐาน - เอกสารประกอบการ
3 ชม. - แนะนําขอบเขต เนือหา และ ของ สอน
วัตถุประสงค์ของวิชา ผูเ้ รี ยน - power point
- การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - แบบสํารวจคุณลักษณะ
- ซักถามแลกเปลียน พืนฐานของผูเ้ รี ยน
- แนะนําเทคนิคการเขียนแผนที - ใบงานที 1 การเขียน
ทาง แผนทีทางความคิด
ความคิด (Mind Map) (Mind Map)
- มอบหมายงาน - แบบทดสอบก่อนเรี ยน
- ตกลงและชีแจงการประเมินผล (Pre – test )
การเรี ยน
- ทดสอบก่อนการเรี ยนการสอน
2 - หลักการ แนวคิดและทฤษฎี - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. เกียวกับการจัดองค์การทัวไป - ซักถามแลกเปลียน สอน
- power point
- ใบงานที 2 การเขียน
แผนทีทางความคิด
3 - หลักการ แนวคิดและทฤษฎี - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. เกียวกับการจัดองค์กรท้องถิน - ซักถามแลกเปลียน สอน
- power point
- ใบงานที 3 การเขียน
แผนทีทางความคิด
4 - การจัดโครงสร้างองค์กร - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. ปกครองท้องถินขนาดเล็ก - ซักถามแลกเปลียน สอน
- นักศึกษานําเสนอผลการค้นคว้า - power point
- ใบงานที 4 การเขียน
แผนทีทางความคิด
5 - การจัดโครงสร้างองค์กร - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. ปกครองท้องถินขนาดกลาง - ซักถามแลกเปลียน สอน
- นักศึกษานําเสนอผลการค้นคว้า - power point
- ใบงานที 5 การเขียน
แผนทีทางความคิด
6 - การจัดโครงสร้างองค์กร - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. ปกครองท้องถินขนาดใหญ่ - ซักถามแลกเปลียน สอน
- นักศึกษานําเสนอผลการค้นคว้า - power point
- ใบงานที 6 การเขียน
แผนทีทางความคิด
7 - การจัดโครงสร้างองค์กร - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. ปกครองท้องถินแบบบูรณาการ - ซักถามแลกเปลียน สอน
- นักศึกษานําเสนอผลการค้นคว้า - power point
- ใบงานที 7 การเขียน
แผนทีทางความคิด
8 สอบกลางภาค
3 ชม.
9 - การกําหนดยุทธศาสตร์เพือการ - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. จัดการองค์กรท้องถิน - ซักถามแลกเปลียน สอน
- มอบหมายงาน - power point
- ใบงานที 8 การเขียน
แผนทีทางความคิด
10 - ธรรมาภิบาลกับการบริ หารและ - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. การจัดการองค์กรท้องถิน - ซักถามแลกเปลียน สอน
- การมีส่วนร่ วมกับการจัดการ - power point
องค์กรท้องถิน - ใบงานที 9 การเขียน
แผนทีทางความคิด
11 - การบริ หารโครงการของ - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. องค์กรท้องถิน - ซักถามแลกเปลียน สอน
- การบริ หารงบประมาณของ - นักศึกษานําเสนอผลการค้นคว้า - power point
องค์กรท้องถิน - ใบงานที 10 การเขียน
แผนทีทางความคิด
12 - การบริ การสาธารณะของ - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. องค์กรท้องถิน - ซักถามแลกเปลียน สอน
- การบริ หารงานบุคคลของ - นักศึกษานําเสนอผลการค้นคว้า - power point
องค์กรท้องถิน - ใบงานที 11 การเขียน
แผนทีทางความคิด
13 - ความสัมพันธ์ทางการเมือง - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. การบริ หาร และการจัดการ - ซักถามแลกเปลียน สอน
องค์กรท้องถิน - นักศึกษานําเสนอผลการค้นคว้า - power point
- ใบงานที 12 การเขียน
แผนทีทางความคิด
14 - ปัญหาและอุปสรรคของการ - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. บริ หารและการจัดการองค์กร - ซักถามแลกเปลียน สอน
ท้องถิน - นักศึกษานําเสนอผลการค้นคว้า - power point
- ใบงานที 13 การเขียน
แผนทีทางความคิด
15 - ทิศทางของการบริ หารและการ - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการ
3 ชม. จัดการองค์กรท้องถินของ - ซักถามแลกเปลียน สอน
ประเทศไทยในอนาคต - นักศึกษานําเสนอผลการค้นคว้า - power point
- สรุ ปเนือหาในภาพรวม - ทดสอบหลังการเรี ยนการสอน - ใบงานที 14 การเขียน
(Post – test) แผนทีทางความคิด
- แบบทดสอบหลังการ
เรี ยนการสอน(Post –
test)
16 สอบปลายภาค
3 ชม.
ตารางที 2 แผนการสอน
2. แผนการประเมินผลการเรียนรู้
ผลการเรี ยนรู ้ กิจกรรมการประเมินผล สัปดาห์ที สัดส่ วน
นักศึกษา ประเมิน คะแนน
การประเมิน
1.1.1 – 1.1.4 การเข้าชันเรี ยน ตลอดภาค 10
การมีส่วนร่ วมอภิปราย เสนอความคิดเห็นในชัน การศึกษา
2.1.1 – 2.1.16 เรี ยน ตลอดภาค 10
การวิเคราะห์กรณี ศึกษา ค้นคว้า การนําเสนอ การศึกษา
3.1.1 – 3.1.5 รายงาน ตลอดภาค 10
การศึกษา
4.1 การทํางานกลุ่ม 8 30
16 40
การทดสอบกลางภาค
การทดสอบปลายภาค
ตารางที 3 แผนการประเมินผลการเรี ยนรู ้
7.งานวิจยั ทีเกียวข้ อง
1. รูปแบบของการวิจัย
เป็ นการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการ (Action Research) ด้วยการนําเทคนิคแผนผังทางปั ญญา (Mind
Map)
มาทดลองใช้เพือเพิมผลสัมฤทธิของการเรี ยนวิชาการจัดองค์กรท้องถิน
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่ าง
ประชากรของการวิจยั ในครังนี คือ นักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์มหาวิทยาลัยราช
ภัฏพระนคร จํานวน 60 คน
กลุ่มตัวอย่างของการวิจยั ในครังนี แบ่งเป็ น 2 กลุ่ม โดยกําหนดแบบเจาะจง ดังนี
1) กลุ่มควบคุม คือ นักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ รุ่ น 52 หมู่ 1 จํานวน 30 คน
2) กลุ่มทดลอง คือ นักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ รุ่ น 52 หมู่ 2 จํานวน 30 คน
3. เครืองมือของการวิจัย
1) แผนการสอนโดยใช้ เทคนิคแผนผังทางปัญญา (Mind Map)
1.1 ศึ กษาหลักสู ตร ความมุ่งหมายของหลักสู ตร จุ ดประสงค์ท วไปของเนื
ั อหา
วิชาการจัดองค์กรท้องถิน เพือนําไปใช้ในการทําแผนการสอน
1.2 ศึกษาหลักการ การจัดกิ จกรรมการเรี ยนการสอน และเทคนิ คแผนผังทาง
ปัญญา (Mind Map) จากเอกสารงานวิจยั ทีเกียวข้อง
1.3 สร้างแผนการสอนโดยใช้เทคนิคแผนผังทางปั ญญา (Mind Map)
1.4 นําแผนการสอนทีสร้างขึนใหม่ให้ผูเ้ ชี ยวชาญตรวจแก้ไขความถูกต้องของ
เนือหาและกิจกรรมการเรี ยนการสอน ตลอดจนความสอดคล้องระหว่างขันตอนต่าง ๆ ของแผนการ
สอน เพือนําข้อบกพร่ องมาปรับปรุ งแก้ไข
1.5 นําแผนการสอนทีปรับปรุ งแล้วไปใช้จริ งกับกลุ่มทดลอง
2) แบบทดสอบวัดผลสั มฤทธิทางการเรียนวิชาการจัดองค์ กรท้ องถิน
2.1 ศึ ก ษาการสร้ า งแบบทดสอบผลสั ม ฤทธิ ทางการเรี ย น วิ ช าการจัด องค์ก ร
ท้องถิน จากเอกสารเทคนิคการวัดผลและประเมินผลการศึกษา
2.2 วิเคราะห์หลักสู ตรในส่ วนทีเกียวกับเนือหาทีสอนตามลําดับ
2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนวิชาการจัดองค์กรท้องถินตาม
เนื อหาเรื องที ใช้ในการสอนให้ผูเ้ ชี ยวชาญ จํานวน 3 คน ซึ งลักษณะข้อสอบจะเป็ นแบบอัตนัย
จํานวน 10 ข้อ พิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคําถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรี ยน
และแนะนําการปรับปรุ งและแก้ไขให้ถูกต้อง
ผลการพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคําถาม ของแบบทดสอบกับจุดประสงค์
การเรี ยน ได้ค่า IOC =1 โดยผูเ้ ชียวชาญทัง 3 คน ให้คะแนนข้อสอบ 10 ข้อ เท่ากับ 1 ทุกข้อ
2.4 นํา แบบทดสอบที ปรั บ ปรุ ง แก้ไ ขแล้ว ไปใช้จ ริ ง กับ กลุ่ ม ควบคุ ม และกลุ่ ม
ทดลอง
4. การเก็บรวบรวมข้ อมูล
1. การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนวิชาการจัด
องค์กรท้องถินกับกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง 2 ครัง คือ
1) ก่อนการเรี ยนวิชาการจัดองค์กรท้องถิน (Pre-test)
2) หลังการเรี ยนวิชาการจัดองค์กรท้องถิน (Post-test)
2. การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการฝึ กใช้เทคนิคแผนผังทางปั ญญา (Mind Map) โดยการ
รวบรวมแผนผังทางปั ญญาทีนักศึกษากลุ่มทดลองจัดทําขึนระหว่างการเรี ยนการสอนวิชาการจัด
องค์กรท้องถินด้วยการใช้เทคนิคแผนผังทางปัญญา (Mind Map)
5. การวิเคราะห์ ข้อมูล
การวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงปริ มาณ เป็ นการประมวลผลและวิเคราะห์ขอ้ มูลจะใช้ การวิเคราะห์
ด้วยโปรแกรมสําเร็ จรู ป โดยใช้สถิติดงั นี
1) สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลีย (Mean) ค่าเบียงเบนมาตรฐาน
(Standard Deviation)
2) สถิติวิเคราะห์
การวิเคราะห์ดว้ ยวิธีการ t - Test เพือทดสอบสมมติฐาน
6. ขันตอนการวิจัย
คัดเลือกกลุม่ ตัวอย่าง (กลุม่ ควบคุมและกลุม่ ทดลอง)
วิเคราะห์ข้อมูล
ภาพที 2 ขันตอนการวิจยั
7. แผนดําเนินการ
ระยะเวลาดําเนินการ กลุ่มตัวอย่างและ
กิจกรรม
พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. สถานทีทําการศึกษา
1. คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง (กลุ่มควบคุมและ
กลุ่มทดลอง)
2. สร้างแบบวัดผลสัมฤทธิทางการเรี ยน
วิชาการจัดองค์กรท้องถิน
3. ทดสอบวัดผลสัมฤทธิก่อนการเรี ยน
วิชาการจัดองค์กรท้องถิน (Pre-test)
4. สร้างแผนการสอนโดยใช้เทคนิคแผนผัง นักศึกษาสาขาวิชา
ทางปั ญญา (Mind Map) รัฐประศาสนศาสตร์
5. สอนโดยแผนการสอนโดยใช้เทคนิค มหาวิทยาลัย
แผนผังทางปั ญญา (Mind Map) ราชภัฏพระนคร
6. ทดสอบวัดผลสัมฤทธิหลังการเรี ยน
วิชาการจัดองค์กรท้องถิน (Post-test)
7. วิเคราะห์ขอ้ มูลและจัดทํารายงาน
8. การส่ งผลงาน
ตารางที 4 แผนการดําเนินงาน
บทที 4
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
สรุป
1. เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิทางการเรี ยน ก่อน-หลัง ของกลุ่มทดลอง พบว่า ผลการสอนโดย
ใช้เทคนิ คแผนผังทางปั ญญา (Mind Map) เพือเพิมผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนในวิชาการจัดองค์กร
ท้องถินก่อนการทดลองมีคะแนนผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนเฉลีย 15.87 หลังการทดลองมีคะแนน
ผลสัมฤทธิทางการเรี ยนเฉลีย 22.23 และมีผลต่างคะแนนเฉลียเท่ากับ +6.36 และมีความแตกต่างกับ
ผลสัมฤทธิก่อนและหลังการเรี ยนทางการเรี ยนวิชาการจัดองค์กรท้องถิน อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติที
ระดับ .01
2. เปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยน ก่อน-หลัง กลุ่มควบคุม พบว่า ผลการสอนโดยใช้
เทคนิ คแผนผังทางปั ญญา (Mind Map) เพือเพิมผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนในวิชาการจัดองค์กร
อภิปรายผล
ข้ อเสนอแนะ
ข้ อเสนอแนะเพือนําผลการวิจัยไปปฏิบตั ิ
1.การพัฒนาแผนการสอนโดยใช้เทคนิคแผนผังทางปั ญญา (Mind Map) เพือเพิมทักษะของ
นักศึกษาให้พฒั นาการเรี ยนรู ้ได้มากขึน
2. การทบทวนสิ งทีเรี ยนโดยใช้เทคนิคแผนผังทางปั ญญา (Mind Map) เข้ามาช่วยในการจํา
ซึงจะทําให้การสอบวัดผลมีผลคะแนนดีขึน
ข้ อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยต่ อไป
เพือให้การเรี ยนมีประสิ ทธิ ภาพและประสิ ทธิ ผลและสําเร็ จลุล่วงตามเป้ าหมายทีกําหนด
อีกทังยังสามารถนําผลการวิจยั มาเป็ นข้อมูลในการเรี ยนการสอนและแนวทางในการวางแผนการ
เรี ยนการสอนได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ ผูว้ ิจยั จึงขอเสนอแนะแนวทางในการวิจยั ครังต่อไป ดังนี
1. ควรทําการศึกษาทดลองใช้วิธีการอืน ๆ เพือพัฒนาการเรี ยนรู ้ของนักศึกษาร่ วมด้วย
เช่น การฝึ กปฏิบตั ิ การใช้กระบวนการกลุ่ม การใช้ความคิดรวบยอด เป็ นต้น
2. ควรทําการศึกษาผลสัมฤทธิ ทางการเรี ยนของนักศึกษา อาจมีตวั แปรอืน ๆ ประกอบ
ร่ วมด้วย ดังนันควรมีการศึกษาตัวแปรอืน ๆ ในโอกาสต่อไป รวมทังสาเหตุปัญหาเฉพาะตนของ
นักศึกษา ควรศึกษาแต่ละราย เป็ นกรณี เฉพาะ
3. ควรทําการศึกษาวัดผลการเรี ยนเพือเพิมผลสัมฤทธิทางการเรี ยนของนักศึกษา โดยนํา
รู ปแบบการเรี ยนการสอนแบบมีส่วนร่ วมและแบบกลุ่ม
บรรณานุกรม
Anderson, John Robert. (1970). “Classroom Interaction Academic Achievement and Creative
Performance in Sixth Grade Classroom”, Dissertation Abstracts International.
Buzan,Tony. and Buzan,Barry. (1997). The Mind Map Books : Radian Thinking. London:
BBC.
61
จงตอบคําถามต่ อไปนี
2. อํานาจหน้ าทีของเทศบาลตําบลมีอะไรบ้ าง
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
3. เทศบาลแห่ งแรกทีมีการเลือกตังสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีโดยตรงจากประชาชน
แห่ งแรก คือทีใด
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
4. วิเคราะห์ โครงสร้ างภายในของกรุ งเทพมหานคร
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………….
6. ปัญหาและอุปสรรคในการปกครองท้ องถินมีอะไรบ้ าง
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
7. คุณลักษณะเฉพาะของเมืองพัทยาทีบ่ งชีถึงความเป็ นหน่ วยการปกครองส่ วนท้ องถินรู ปแบบ
พิเศษคืออะไร
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
ภาคผนวก ข
ใบความรู้ ที 1 แผนผังทางปัญญา (Mind Mapping)
ใบความรู้ ที 1
แผนผังทางปัญญา (Mind Mapping)
ขันตอนในการสร้ างแผนผังทางปัญญา
ขันที 1 เริ มด้วยสัญลักษณ์หรื อรู ปภาพลงบนกลางกระดาษ
ขันที 2 ระบุคาํ สําคัญหลัก
ขันที 3 เชื อมโยงคําอืน ๆ ทีเกียวข้องกับคําสําคัญหลักด้วยเส้นโยงจากคําสําคัญหลักตรง
กลางออกไปทุกทิศทุกทาง
ขันที 4 เขียนคําทีต้องการ 1 คําต่อ 1 เส้นและแต่ละเส้นควรเกียวข้องกับเส้นอืน ๆ ด้วย
ขันที 5 ขยายคําสําคัญอืน ๆทีเกียวข้องให้มากทีสุ ดเท่าทีเป็ นไปได้
ขันที 6 ใช้สี รู ปภาพ ลักษณะของเส้น เป็ นการระบุถึงลักษณะของการเชื อมโยงการเน้น
หรื อลําดับ
อุปกรณ์ในการสร้างแผนผังทางปั ญญานันควรมีปากกาสี ต่าง ๆ กัน (อย่างน้อย 3 สี ) เพือใช้
ในการสร้างแผนทางปั ญญาทีมีความหลากหลาย และพืนทีทีจะใช้ในการสร้างแผนผังทางปั ญญา
ต้องมีขนาดกว้างพอสมควร อาจจะเป็ นกระดาษขนาดใหญ่ หรื อกระดานดําก็ได้และประโยชน์ของ
การใช้สี เส้น ภาพ รหัส สัญลักษณ์หลายประเภทในแผนผังทางปัญญา มี ดังนี
1. ลูกศร ใช้เพือแสดงเห็ นว่าแนวคิดต่าง ๆ ทีอยู่คนละส่ วนเชื อมโยงกันอย่างไรลูกศรนี
อาจจะมีหวั เดียวหรื อหลายหัวก็ได้ และสามารถชีไปข้างหลังหรื อข้างหน้าก็ได้
2. รหัส เราเขียนเครื องหมายต่าง ๆ เช่น ดอกจัน อัศเจรี ย ์ เครื องหมายคําถามไว้ขา้ งคําเพือ
แสดงการเชือมโยงหรื อ มิติอืน ๆ
3. รู ป ทรงเรขาคณิ ต ใช้สี เหลี ยมจัตุ รั ส สี เหลี ยมผื นผ้า วงกลม วงรี และอื น ๆ เป็ น
เครื องหมายแสดงขอบเขตพืนที หรื อคําทีจัดเป็ นพวกเดี ยวกัน ตัวอย่าง เช่ น ใช้สามเหลียมแสดง
ขอบเขตของคําทีเป็ นทางออกทีพอจะเป็ นไปได้ในการแก้ปัญหา นอกจากนี รู ปทรงเรขาคณิ ตยัง
สามารถนํามาใช้ในการแสดงลําดับความสําคัญ เช่น บางคนอาจใช้สีเหลียมจัตุรัสแสดงความคิด
หลัก สี เหลี ยมผืน ผ้า แสดงความคิ ด ที ใกล้เ คี ย งกับ ความคิ ด หลัก สามเหลี ยมแสดงความคิ ด ที มี
ความสําคัญรองๆ ลงไป และอืน ๆ
4. มิติอย่างมีศิลป์ นอกจากรู ปทรงเรขาคณิ ต ผูเ้ ขียนแผนผังทางปั ญญาสามารถทําให้รูปนัน
โดดเด่นขึนมาได้ดว้ ยการเพิมความลึกเข้าไป ตัวอย่างเช่น การทําสี เหลียมจัตุรัสให้เป็ นรู ปลูกบาศก์
ซึงจะทําให้ความคิดในรู ปทรงลูกบาศก์นีโดดเด่นขึนจากหน้ากระดาษ
5. ภาพความคิดสร้างสรรค์ ผูเ้ ขียนแผนผังทางปั ญญาสามารถประสานความคิดสร้างสรรค์
เข้ากับการใช้มิติได้ ด้วยการจัดให้รูปแบบเหมาะสมกับเนื อหา เช่น เมือเขียนเรื องฟิ สิ กส์ อะตอม ก็
วาดรู ปนิวเคลียสทีมีอิเล็กตรอนวิงรอบ ๆ ให้เป็ นภาพศูนย์กลางของแผนผังทางปัญญา
ภาพที1โครงสร้ างเทศบาลตําบล
อํานาจหน้ าทีของเทศบาลตําบล
เทศบาลตําบลมีหน้าทีต้องทําในเขตเทศบาลดังต่อไปนี
(1) รักษาความสงบเรี ยบร้อยของประชาชน
(2) ให้มีและบํารุ งทางบกและทางนํา
(3) รักษาความสะอาดของถนน หรื อทางเดินและทีสาธารณะ รวมทังการกําจัดขยะมูลฝอย
และสิ งปฏิกลู
(4) ป้ องกันและระงับโรคติดต่อ
(5) ให้มีเครื องใช้ในการดับเพลิง
(6) ให้ราษฎรได้รับการศึกษาอบรม
(7) ส่ งเสริ มการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผูส้ ู งอายุ และผูพ้ ิการ
(8) บํารุ งศิลปะ จารี ตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิน และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิน
(9) หน้าทีอืนตามทีกฎหมายบัญญัติให้เป็ นหน้าทีของเทศบาล
ทีมาของตําแหน่ ง
เทศบาลถือได้ว่าเป็ นหน่ วยการปกครองส่ วนท้องถินของไทยทีเก่าแก่ทีสุ ด คือ เริ มมีการ
สถาปนามาตังแต่ พ.ศ.2476 และเป็ นองค์กรปกครองส่ วนท้องถินทีจัดตังขึนในเขตชุมชนทีมีความ
เจริ ญและใช้ในการบริ หารเมืองเป็ นหลัก เทศบาลของไทยแบ่งออกเป็ น 3 ประเภท คือ เทศบาลนคร
เทศบาลเมือง และเทศบาลตําบล ตามเกณฑ์รายได้และประชากรในพืนที สําหรับการจัดโครงสร้าง
องค์กรของเทศบาลได้ใช้รูปแบบของระบบรัฐสภาเป็ นหลัก โดยแบ่งโครงสร้างออกเป็ น 2 ส่ วน คือ
สภาเทศบาลเป็ นฝ่ ายนิติบญั ญัติ และคณะเทศมนตรี หรื อนายกเทศมนตรี เป็ นฝ่ ายบริ หาร
(1) สภาเทศบาล
เป็ นฝ่ ายที คอยควบคุ มและตรวจสอบฝ่ ายบริ หารตามหลักการถ่วงดุ ลอํานาจของระบบ
รัฐสภา สภาเทศบาลนี จะประกอบด้วยสมาชิกทีมาจากการเลือกตังโดยตรงจากประชาชน ซึ งอยูใ่ น
วาระคราวละ 4 ปี โดยจํานวนของสมาชิกสภาเทศบาลนีจะขึนอยูก่ บั ประเภทของเทศบาล คือ
- สภาเทศบาลตําบล มีสมาชิกทังหมด 12 คน
- สภาเทศบาลเมือง มีสมาชิกทังหมด 18 คน
- สภาเทศบาลนคร มีสมาชิกทังหมด 24 คน
สภาเทศบาลจะมีประธานสภาหนึ งคน และรองประธานสภาหนึ งคน โดยจะเลือกมาจาก
สมาชิ กตามมติสภาเทศบาล ประธานสภามี หน้าทีดําเนิ นกิ จการของสภาเทศบาลให้เป็ นไปตาม
ระเบียบข้อบังคับการประชุมเทศบาล และควบคุมบังคับบัญชารักษาความสงบ รวมทังเป็ นตัวแทน
ของสภาเทศบาลในกิจการภายนอก
(2) คณะเทศมนตรี หรื อ นายกเทศมนตรี
(2.1) สําหรั บคณะเทศมนตรี ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 (รวมทังที ได้แก้ไข
เพิมเติมจนถึง พ.ศ.2542) ได้กาํ หนดให้คณะเทศมนตรี ประกอบด้วย นายกเทศมนตรี 1 คน มาจาก
สมาชิกสภาเทศบาลตามความเห็นชอบของสภาเทศบาล และ เทศมนตรี อืนๆ ตามจํานวนทีกฎหมาย
ระบุ ดังนี
- เทศบาลตําบล มีเทศมนตรี จํานวน 2 คน
- เทศบาลเมือง มีเทศมนตรี จํานวน 2 คน แต่ในกรณี ทีเทศบาลเมืองแห่ งใดมีรายได้จดั เก็บ
ตังแต่ 20 ล้านขึนไปให้มีเทศมนตรี ได้อีก 1 คน
- เทศบาลนคร มีเทศมนตรี จํานวน 4 คน
นอกจากคณะเทศมนตรี แล้ว ในฝ่ ายบริ หารก็ยงั มีพนักงานเทศบาลเป็ นเจ้าหน้าทีท้องถิน
ของเทศบาลทีปฏิบตั ิงานอันเป็ นภารกิจประจําสํานักงานหรื ออาจจะนอกสํานักงานก็ได้ ซึ งมีความ
เกียวพันกับชี วิตความเป็ นอยู่ของประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยมีปลัดเทศบาลเป็ นผูบ้ งั คับบัญชาใน
เบืองต้น
(2.2) ในปี พ.ศ.2543 ได้มีการแก้ไขเพิมเติมพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที 11) พ.ศ.2543
โดยในมาตรา 14 กํา หนดว่ า เทศบาลแห่ ง ใดจะมี ก ารบริ ห ารในรู ป แบบคณะเทศมนตรี ห รื อ
นายกเทศมนตรี ให้เป็ นไปตามเจตนารมณ์ ของประชาชนในเขตเทศบาลแต่ละแห่ ง โดยการทํา
ประชามติ ส อบถามประชาชนว่ า จะใช้รู ป แบบการบริ ห ารในรู ป คณะเทศมนตรี ห รื อ รู ป แบบ
นายกเทศมนตรี ให้บงั คับใช้กบั เทศบาลทุกแห่ งนับตังแต่วนั ที 1 มกราคม พ.ศ.2550 แต่ในมาตรา
21(1) กําหนดให้เทศบาลเมืองและเทศบาลนครทีหมดวาระหรื อมีการยุบสภาหลังกฎหมายเทศบาล
(ฉบับที 11) พ.ศ.2543 นี บังคับใช้ให้เทศบาลเมืองและเทศบาลนครนันมีการเลือกตังสมาชิ กสภา
เทศบาลและนายกเทศมนตรี ได้เลย โดยไม่ตอ้ งทําประชามติ แต่ให้มีการทําประชามติหลังจากมีการ
เลือกตังสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี ไปแล้ว ส่ วนเทศบาลตําบลยังต้องรอไปจนถึง พ.ศ.
2550 เช่นเดิม
เทศบาลแห่ งแรกทีหมดวาระและมีการเลือกตังสมาชิ กสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี
โดยตรงจากประชาชนแห่ ง แรก คื อ เทศบาลเมื อ งคู ค ต จัง หวัด ปทุ ม ธานี ส่ ง ผลให้ นับ ตังแต่
พ.ศ.2543 เป็ นต้นมา เทศบาลของไทยมีฝ่ายบริ หารทีมีทีมา 2 รู ปแบบ คือ รู ปแบบแรกมาจากมติของ
สภาเทศบาล รู ปแบบทีสองมาจากการเลือกตังโดยตรงจากประชาชน
นายกเทศมนตรี ทีมาจากการเลือกตังโดยตรงจากประชาชนมีวาระ 4 ปี นับจากวันเลือกตัง
และจะดํารงตําแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ นายกเทศมนตรี สามารถแต่งตังรองนายกเทศมนตรี
ได้ตามจํานวน ดังนี
- เทศบาลตําบล แต่งตังรองนายกเทศมนตรี ได้ไม่เกิน 2 คน
- เทศบาลเมือง แต่งตังรองนายกเทศมนตรี ได้ไม่เกิน 3 คน
- เทศบาลนคร แต่งตังรองนายกเทศมนตรี ได้ไม่เกิน 4 คน
นายกเทศมนตรี อาจแต่งตังทีปรึ กษานายกเทศมนตรี และเลขานุการนายกเทศมนตรี ซึงมิใช่
สมาชิกสภาเทศบาลได้ โดยในกรณี เทศบาลตําบลให้แต่งตังได้จาํ
วาระการดํารงตําแหน่ ง
จงตอบคําถามต่ อไปนี
1.อํานาจหน้าทีของเทศบาลตําบลมีอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
ภาคผนวก ง
ใบความรู้ ที 3 และใบงานที 3 โครงสร้ างเทศบาลเมือง
ใบความรู้ ที 3
โครงสร้ างเทศบาลเมือง
เทศบาลเมืองอาจจัดทํากิจการใดๆ ในเขตเทศบาลดังต่อไปนี
(1) ให้มีตลาดท่าเทียบเรื อและท่าข้าม
(2) ให้มีสุสานและฌาปนสถาน
(3) บํารุ งและส่ งเสริ มการทํามาหากินของราษฎร
(4) ให้มีและบํารุ งการสงเคราะห์มารดาและเด็ก
(5) ให้มีและบํารุ งโรงพยาบาล
(6) ให้มีการสาธารณูปการ
(7) จัดทํากิจการซึงจําเป็ นเพือการสาธารณสุ ข
(8) จัดตังและบํารุ งโรงเรี ยนอาชีวศึกษา
(9) ให้มีและบํารุ งสถานทีสําหรับการกีฬาและพลศึกษา
(10) ให้มีและบํารุ งสวนสาธารณะสวนสัตว์และสถานทีพักผ่อนหย่อนใจ
(11) ปรับปรุ งแหล่งเสื อมโทรมและรักษาความสะอาดเรี ยบร้อยของท้องถิน
(12) เทศพาณิ ชย์
ทีมาของตําแหน่ ง
เทศบาลถือได้ว่าเป็ นหน่วยการปกครองส่ วนท้องถินของไทยทีเก่าแก่ทีสุ ด คือเริ มมีการสถาปนามา
ตังแต่ พ.ศ.2476 และเป็ นองค์กรปกครองส่ วนท้องถินทีจัดตังขึนในเขตชุมชนทีมีความเจริ ญและใช้ในการ
บริ หารเมืองเป็ นหลัก เทศบาลของไทยแบ่งออกเป็ น 3 ประเภท คือ เทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเทศบาล
ตําบล ตามเกณฑ์รายได้และประชากรในพืนที สําหรับการจัดโครงสร้างองค์กรของเทศบาลได้ใช้รูปแบบ
ของระบบรัฐสภาเป็ นหลัก โดยแบ่งโครงสร้างออกเป็ น 2 ส่ วน คือ สภาเทศบาลเป็ นฝ่ ายนิติบญั ญัติ และคณะ
เทศมนตรี หรื อนายกเทศมนตรี เป็ นฝ่ ายบริ หาร
(1) สภาเทศบาล
เป็ นฝ่ ายทีคอยควบคุมและตรวจสอบฝ่ ายบริ หารตามหลักการถ่วงดุลอํานาจของระบบรัฐสภา สภา
เทศบาลนีจะประกอบด้วยสมาชิกทีมาจากการเลือกตังโดยตรงจากประชาชน ซึงอยูใ่ นวาระคราวละ 4 ปี โดย
จํานวนของสมาชิกสภาเทศบาลนีจะขึนอยูก่ บั ประเภทของเทศบาล คือ
- สภาเทศบาลตําบล มีสมาชิกทังหมด 12 คน
- สภาเทศบาลเมือง มีสมาชิกทังหมด 18 คน
- สภาเทศบาลนคร มีสมาชิกทังหมด 24 คน
สภาเทศบาลจะมีประธานสภาหนึงคน และรองประธานสภาหนึงคน โดยจะเลือกมาจากสมาชิกตาม
มติสภาเทศบาล ประธานสภามีหน้าทีดําเนิ นกิ จการของสภาเทศบาลให้เป็ นไปตามระเบียบข้อบังคับการ
ประชุ มเทศบาล และควบคุมบังคับบัญชารักษาความสงบ รวมทังเป็ นตัวแทนของสภาเทศบาลในกิ จการ
ภายนอก
วาระการดํารงตําแหน่ ง
ใบงานที 3 เรืองเทศบาลเมือง
จงตอบคําถามต่ อไปนี
1.อํานาจหน้าทีของเทศบาลเมืองมีอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………
2. เทศบาลแห่งแรกทีมีการเลือกตังสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี โดยตรงจากประชาชนแห่ งแรก
คือทีใด
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………
ภาคผนวก จ
ใบความรู้ ที 4 และใบงานที 4 โครงสร้ างเทศบาลนคร
ใบความรู้ ที 4
โครงสร้ างเทศบาลนคร
อํานาจหน้ าทีเทศบาลนคร
เทศบาลนครมีหน้าทีต้องทําในเขตเทศบาลดังต่อไปนี
(1) รักษาความสงบเรี ยบร้อยของประชาชน
(2) ให้มีและบํารุ งทางบกและทางนํา
(3) รักษาความสะอาดของถนน หรื อทางเดินและทีสาธารณะ รวมทังการกําจัดขยะมูลฝอย
และสิ งปฏิกลู
(4) ป้ องกันและระงับโรคติดต่อ
(5) ให้มีเครื องใช้ในการดับเพลิง
(6) ให้ราษฎรได้รับการศึกษาอบรม
(7) ส่ งเสริ มการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผูส้ ู งอายุ และผูพ้ ิการ
(8) บํารุ งศิลปะ จารี ตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิน และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิน
(9) ให้มีนาสะอาดหรื
ํ อการประปา
(10) ให้มีโรงฆ่าสัตว์
(11) ให้มีและบํารุ งสถานทีทําการพิทกั ษ์และรักษาคนเจ็บไข้
(12) ให้มีและบํารุ งทางระบายนํา
(13) ให้มีและบํารุ งส้วมสาธารณะ
(14) ให้มีและบํารุ งการไฟฟ้ า หรื อแสงสว่างโดยวิธีอืน
(15) ให้มีการดําเนินกิจการโรงรับจํานําหรื อสถานสิ นเชือท้องถิน
(16) ให้มีและบํารุ งการสงเคราะห์มารดาและเด็ก
(17) กิจการอย่างอืนซึงจําเป็ นเพือการสาธารณสุ ข
(18) การควบคุมสุ ขลักษณะและอนามัยในร้านจําหน่ ายอาหาร โรงมหรสพ และสถาน
บริ การอืน
(19) จัดการเกียวกับทีอยูอ่ าศัยและการปรับปรุ งแหล่งเสื อมโทรม
(20) จัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบเรื อ ท่าข้าม และทีจอดรถ
(21) การวางผังเมืองและการควบคุมการก่อสร้าง
(22) การส่ งเสริ มกิจการการท่องเทียว
วาระการดํารงตําแหน่ ง
จงตอบคําถามต่ อไปนี
1.อํานาจหน้าทีของเทศบาลนครมีอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
ภาคผนวก ฉ
ใบความรู้ ที 5 และใบงานที 5 โครงสร้ างระบบราชการไทย
ใบความรู้ ที 5
โครงสร้ างระบบราชการไทย
ลักษณะของระบบราชการไทย
1. มีการจัดหน่วยราชการเป็ นระดับ คือ เป็ นกระทรวง ทบวง กรม กอง แผนก และฝ่ าย
โดยมีสายงานอํานาจหน้าทีและการบังคับบัญชาเป็ นระดับเชื อมโยงจากระดับบนสู่ ล่างอํานาจการ
ตัดสิ นใจในระดับล่างมีนอ้ ย ไม่มีลกั ษณะการกระจายอํานาจ
2. ยึดถือกฎหมายระเบียบข้อบังคับเป็ นหลักปฏิบตั ิ โดยจุดประสงค์เพือให้งานเป็ นไป
ตามระเบี ยบแบบแผนเดี ยวกัน ทําให้เกิ ดความไม่คล่องตัวในการปฏิบตั ิงาน เพราะเน้นระเบี ยบ
วิธีการและคํานึงถึงแต่มาตรฐานงานให้เป็ นแบบเดียวกัน มากกว่าการมุ่งเป้ าหมายหรื อวัตถุประสงค์
เป็ นสําคัญ
3. พยายามแบ่งงานเป็ นสัดส่ วนกัน แต่การไม่กาํ หนดวัตถุประสงค์การปฏิบตั ิงานของ
หน่วยงานให้ชดั เจน อาจเกิดปั ญหางานซําซ้อนกัน
4. การคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการตามหลักการ ใช้หลักคัดเลือกบุคคลทีมีความสามารถ
กําหนดเงินเดือนตามความสามารถและรับผิดชอบตามระบบคุณธรรม
ปัญหาอันเนืองมาจากการยึดติด “ปรัชญาการบริหารยุคเก่ า”
-เค้าโครงการจัดระเบียบบริ หารราชการแผ่นดินไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ ที
เปลียนแปลงไป
-การจัดโครงสร้างราชการมีความแข็งตัว
-ความยุง่ ยากและความล่าช้าในการจัดตัง ยุบ และเปลียนแปลงส่ วนราชการต่างๆ
-การรวมอํานาจและการใช้อาํ นาจในการบริ หาร การจัดทรัพยากรต่างๆ ไว้หัวหน้าส่ วนราชการ
ระดับกรมไว้มาก ทําให้การบริ หารไม่คล่องตัว
-การบริ หารราชการส่ วนภูมิภาคทีไม่มีเอกภาพ
-การบริ หารราชการส่ วนท้องถินทียังไม่มีความเข้มแข็งและมีหลายรู ปแบบเกินไป
-การจัดระบบโครงสร้างส่ วนราชการและการบริ หารราชการไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
ปัญหาของระบบราชการใน “ยุคโลกาภิวตั น์ ”
-การทีต้องเผชิญกับการแข่งขันในเวทีโลกทีรุ นแรงขึน
-การทีประชาชนต้องการให้ภาคราชการให้บริ การทีมากขึน
-การขาดการประสานงานกันระหว่างภาคราชการกับภาคเอกชน
-การขาดความทันสมัยในการบริ หารงาน
-ขาดวิสยั ทัศน์รวมในการพัฒนาประเทศ
ปัญหาและอุปสรรคในการปกครองท้ องถิน
- ระบบรวมศูนย์อาํ นาจ
- การขยายตัวของระบบราชการ
- การพึงพิงรัฐ
- ความสนใจของรัฐบาล
- ทิศทาง นโยบายรัฐ
- ความรู ้ความเข้าใจของพลเมืองในการปกครองท้องถิน
ใบงานที 5 เรืองโครงสร้ างระบบราชการไทย
จงตอบคําถามต่ อไปนี
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
2.ปั ญหาและอุปสรรคในการปกครองท้องถินมีอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
ภาคผนวก ช
ใบความรู้ ที 6 และใบงานที 6 โครงสร้ างการบริหารราชการของกรุงเทพมหานคร
ใบความรู้ ที 6
โครงสร้ างการบริหารราชการของกรุ งเทพมหานคร
สํานักงาน
เลขานุการสภา กทม.
สํานักงานเลขานุการ
ผว. กทม.
ปลัดกรุ งเทพมหานคร
สํานักงาน ก.ก.
สํานัก
สํานัก สํานัก สํานัก สํานัก วัฒนธรรม สํานัก สํานัก สํานัก
ปลัด การ การ การ กีฬาและ การ พัฒนา สํานัก งบประมาณ
กทม. แพทย์ ศึกษา ระบาย การ คลัง สังคม ผังเมือง กทม.
นํา ท่องเทียว
ทีมาของตําแหน่ ง
สํา หรั บ โครงสร้ า งภายในของกรุ ง เทพมหานครได้แ บ่ ง การจัดองค์ก รออกเป็ น 2 ส่ ว น
ด้วยกัน คือ สภากรุ งเทพมหานคร และ ผูว้ า่ ราชการกรุ งเทพมหานคร
(1) สภากรุ งเทพมหานคร
เป็ นฝ่ ายนิ ติบญั ญัติ ประกอบด้วย สมาชิกซึ งมาจากการเลือกตังโดยตรงของประชาชนและ
อยูใ่ นตําแหน่งคราวละ 4 ปี สมาชิกสภากรุ งเทพมหานคร (ส.ก.) สามารถเลือกประธานสภาได้ 1 คน
และรองประธานสภาอีกไม่เกิน 2 คน ซึ งสภาจะเลือกมาจากสมาชิกสภากรุ งเทพมหานคร ให้ดาํ รง
ตําแหน่งคราวละ 2 ปี
อํานาจหน้าทีของสภากรุ งเทพมหานคร มีดงั นี
- ให้ความเห็นชอบในการออกข้อบัญญัติของกรุ งเทพมหานคร
- ให้ความเห็ นชอบในเรื องทีเป็ นกิ จการของกรุ งเทพมหานคร เช่ น การให้เอกชนเข้าทํา
กิจการใดๆ หรื อการไปทํากิจการใดๆ ของกรุ งเทพมหานครนอกพืนที
- ให้ความเห็นชอบข้อกําหนดต่างๆ
- ตังคณะกรรมการสามัญชุดต่างๆ
- ตราข้อบังคับของสมาชิกสภากรุ งเทพมหานครและข้อบังคับเกียวกับการประชุม
- มีมติให้รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงมหาดไทยให้ผวู ้ า่ ราชการกรุ งเทพมหานครพ้นตําแหน่ง
(2) ผูว้ า่ ราชการกรุ งเทพมหานคร
ผูว้ ่าราชการกรุ งเทพมหานครเป็ นหัวหน้าฝ่ ายบริ หาร ทีมาจากการเลื อกตังโดยตรงของ
ประชาชนผูม้ ีสิทธิ เลือกตังในเขตกรุ งเทพมหานคร อยู่ในตําแหน่ งคราวละ 4 ปี มีรองผูว้ ่าราชการ
กรุ งเทพมหานครไม่เกิน 4 คน และยังมีปลัดกรุ งเทพมหานคร ซึ งเป็ นข้าราชการกรุ งเทพมหานคร
เป็ นผูบ้ งั คับบัญชาข้าราชการกรุ งเทพมหานคร
อํานาจหน้าทีของผูว้ า่ ราชการกรุ งเทพมหานคร มีดงั นี
- กําหนดนโยบายและบริ หารราชการของกรุ งเทพมหานครให้เป็ นไปตามกฎหมาย
- สัง อนุญาต อนุมตั ิเกียวกับราชการของกรุ งเทพมหานคร
- แต่ ง ตังและถอดถอนรองผู ้ว่ า กรุ งเทพมหานคร เลขานุ ก ารผู ้ว่ า กรุ งเทพมหานคร
ผูช้ ่วยเลขานุ การผูว้ ่ากรุ งเทพมหานคร และแต่งตังและถอดถอนผูท้ รงคุณวุฒิเป็ นประธานทีปรึ กษา
ทีปรึ กษาหรื อคณะทีปรึ กษาของผูว้ ่า หรื อเป็ นคณะทีปรึ กษาของผูว้ ่าราชการกรุ งเทพมหานครหรื อ
เป็ นคณะกรรมการเพือปฏิบตั ิราชการใดๆ
- บริ ห ารราชการตามที คณะรั ฐ มนตรี นายกรั ฐ มนตรี หรื อ รั ฐ มนตรี ว่ า การกระทรวง
มหาดไทยมอบหมาย
- วางระเบียบเพือให้งานของกรุ งเทพมหานครเป็ นไปโดยเรี ยบร้อย
- รักษาการให้เป็ นไปตามข้อบัญญัติกรุ งเทพมหานคร
- อํานาจหน้าทีอืนตามทีบัญญัติในพระราชบัญญัติและกฎหมายอืน
นอกจากการบริ หารในระดับบนแล้ว กรุ งเทพมหานครก็ยงั แบ่งการปกครองออกเป็ นเขต
ย่อยอีก 50 เขต ซึ งทัง 50 เขตนี จะมีฐานะคล้ายกับการปกครองระดับอําเภอ คือ เป็ นการแบ่งอํานาจ
ในการบริ หาร (Deconcentration) ไม่มีฐานะเป็ นนิ ติบุคคล ดังนันเขตจึ งไม่อาจนับเป็ นหน่ วยการ
ปกครองท้องถิน ในแต่ละเขตจะจัดแบ่งองค์กรภายในออกเป็ น 2 ส่ วน ประกอบด้วย สํานักงานเขต
และสภาเขต
(2.1) สภาเขต เป็ นองค์กรทีประชุมของเขต ประกอบด้วยสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) ซึ งมาจาก
การเลือกตังโดยตรงของประชาชน อยูใ่ นตําแหน่งคราวละ 4 ปี โดยในแต่ละเขตจะมีจาํ นวนสมาชิก
สภาเขตอย่างน้อยเขตละ 7 คน ถ้าเขตใดมีราษฎรเกิน 100,000 คน เศษของหนึ งแสนถ้าถึงห้าหมืน
หรื อกว่านันก็ให้นับเป็ นหนึ งแสน อํานาจหน้าทีของสภาเขตมีลกั ษณะเป็ นสภาให้ขอ้ คิดเห็ นและ
ข้อสังเกตแก่ผอู ้ าํ นวยการเขตและสภากรุ งเทพมหานคร สภาเขตไม่มีอาํ นาจนิ ติบญั ญัติในการออก
ข้อกฎหมายใดๆ
(2.2) สํานักงานเขต เป็ นหน่ วยงานทีรับนโยบายมาปฏิบตั ิให้เกิดผลโดยตรงต่อประชาชน
ของกรุ งเทพมหานครในด้านงานบริ การ โดยแบ่ งส่ วนการปกครองออกเป็ นงานพัฒนาชุ มชน
งานส่ งเสริ มอาชี พ งานทะเบียน งานโยธา งานรักษาความสะอาด งานอนามัย งานการศึกษาภาค
บัง คับ เป็ นต้น สํา นัก งานเขตนี จะมี ผูอ้ าํ นวยการเขตซึ งเป็ นข้า ราชการกรุ ง เทพมหานครเป็ น
ผูบ้ งั คับบัญ ชาสู งสุ ด และมี ผูช้ ่ ว ยผูอ้ าํ นวยการเขตเป็ นผูช้ ่ ว ย ซึ งจะมี ลกั ษณะคล้ายกับตํา แหน่ ง
ปลัดอําเภอในการปกครองระดับอําเภอ ซึงผูอ้ าํ นวยการเขตนีจะอยูภ่ ายใต้การบังคับบัญชาของปลัด
กรุ งเทพมหานครซึงมีผวู ้ า่ ราชการกรุ งเทพมหานครเป็ นผูบ้ งั คับบัญชาสูงสุ ด
วาระการดํารงตําแหน่ ง
ผูว้ ่าราชการกรุ งเทพมหานครมีวาระอยูใ่ นตําแหน่งคราวละสี ปี นับแต่วนั เลือกตัง เมือผูว้ ่า
ราชการกรุ งเทพมหานครพ้นจากตําแหน่งตามวาระ ให้จดั การเลือกตังขึนใหม่ภายในหกสิ บวันนับ
แต่วนั สิ นสุ ดวาระ แต่ถา้ ตําแหน่งผูว้ ่าราชการกรุ งเทพมหานครว่างลงโดยเหตุอืน ให้ทาํ การเลือก
ตังขึนใหม่ภายในเก้าสิ บวัน และให้ผไู ้ ด้รับการเลือกตังอยูใ่ นตําแหน่งโดยเริ มนับวาระใหม่ โดยผูว้ ่า
ราชการกรุ งเทพมหานครดํารงตําแหน่งนับแต่วนั เลือกตัง และให้มีการมอบหมายงานในหน้าทีผูว้ า่
ราชการกรุ งเทพมหานครภายในเจ็ดวัน นับแต่วนั เลือกตัง
ผูว้ า่ ราชการกรุ งเทพมหานครพ้นจากตําแหน่งด้วยเหตุใดเหตุหนึง ดังต่อไปนี
(1) ถึงคราวออกตามวาระ
(2) ตาย
(3) ลาออก โดยยืนหนังสื อลาออกต่อรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย และให้มีผลนับ
แต่วนั ถัดจากวันทียืนหนังสื อลาออก
(4) ขาดคุณสมบัติหรื อมีลกั ษณะต้องห้ามของคุณสมบัติผมู ้ ีสิทธิ สมัครรับเลือกตังเป็ นผูว้ ่า
ราชการกรุ งเทพมหานคร
(5) กระทําการอันต้องห้าม ดังนี
- ดํารงตําแหน่ งหรื อปฏิบตั ิหน้าทีอืนใดในส่ วนราชการหรื อหน่วยงานของรัฐ หรื อ
รัฐวิสาหกิจ หรื อการพาณิ ชย์ของกรุ งเทพมหานครหรื อบริ ษทั ซึ ง กรุ งเทพมหานคร ถือหุ ้นหรื อ
ตําแหน่งผูบ้ ริ หารท้องถินหรื อพนักงานส่ วนท้องถิน เว้นแต่ตาํ แหน่งทีต้องดํารงตาม บทบัญญัติแห่ ง
กฎหมาย
- รับเงินหรื อประโยชน์ใด ๆ เป็ นพิเศษจากส่ วนราชการหรื อหน่ วยงาน ของรัฐ หรื อ
รั ฐวิ สาหกิ จ หรื อการพาณิ ชย์ของกรุ งเทพมหานครหรื อบริ ษทั ซึ งกรุ งเทพมหานคร ถื อหุ ้น
นอกเหนือไปจากทีส่ วนราชการหรื อหน่วยงานของรัฐ หรื อรัฐวิสาหกิจ หรื อการพาณิ ชย์ หรื อบริ ษทั
ปฏิบตั ิกบั บุคคลอืนในธุรกิจการงานตามปกติ
- เป็ นคู่สญ
ั ญาหรื อมีส่วนได้เสี ยในสัญญาทีทํากับกรุ งเทพมหานครหรื อการพาณิ ชย์ของ
กรุ งเทพมหานครหรื อบริ ษทั ซึ งกรุ งเทพมหานครถือหุ น้ เว้นแต่กรณี ทีผูว้ ่าราชการกรุ งเทพมหานคร
ได้เป็ นคู่สญั ญาหรื อเป็ นผูม้ ีส่วนได้เสี ยในสัญญาอยูก่ ่อนได้รับการเลือกตัง
(6) ถูกจําคุกโดยคําพิพากษาถึงทีสุ ดให้จาํ คุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทําโดย ประมาท
หรื อความผิดลหุ โทษ
(7) มีการยุบสภากรุ งเทพมหานคร
(8) รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยมติคณะรัฐมนตรี สังให้ออกจากตําแหน่งเมือมี
กรณี แสดงให้เห็ นว่าได้กระทําการอันเสื อมเสี ยแก่ เกี ยรติ ศกั ดิ ของตําแหน่ งหรื อปฏิ บตั ิ การหรื อ
ละเลยไม่ปฏิบตั ิการอันควรปฏิ บตั ิ ในลักษณะทีเห็ นได้ว่าจะเป็ นเหตุให้เสี ยหายอย่างร้ ายแรงแก่
กรุ งเทพมหานครหรื อแก่ราชการโดยส่ วนรวมหรื อแก่การรักษาความสงบเรี ยบร้อย หรื อ สวัสดิภาพ
ของประชาชน โดยสภากรุ งเทพมหานครจะมีมติขอให้รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
คณะรัฐมนตรี พิจารณาก็ได้ มติของสภากรุ งเทพมหานครต้องมีคะแนนเสี ยงไม่นอ้ ยกว่าสองในสาม
ของจํานวนสมาชิ กทังหมดของสภากรุ งเทพมหานคร และรั ฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย
ต้อ งนํา เรื องเสนอต่ อ คณะรั ฐ มนตรี ภายในสิ บ ห้ า วัน นั บ แต่ ว ัน ที ตนได้รั บ แจ้ง มติ ข องสภา
กรุ งเทพมหานคร
(9) ราษฎรผูม้ ีสิทธิ เลือกตังในเขตกรุ งเทพมหานครได้ลงคะแนนเสี ยงให้พน้ จากตําแหน่ง
ตามกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสี ยงเพือถอดถอนสมาชิ กสภาท้องถิ นหรื อผูบ้ ริ หารท้องถิ น
ในกรณี มีพฤติการณ์ดงั ทีระบุไว้ในข้อ 8
เมือปรากฏกรณี ผูว้ ่าราชการกรุ งเทพมหานครขาดคุณสมบัติหรื อมีลกั ษณะต้องห้ามของ
คุณสมบัติผมู ้ ีสิทธิ สมัครรับเลือกตังเป็ นผูว้ ่าราชการกรุ งเทพมหานคร หรื อ กระทําการอันต้องห้าม
ให้รัฐมนตรี วา่ การ กระทรวงมหาดไทยสังให้มีการสอบสวนก่อนมีคาํ สังให้พน้ จากตําแหน่งแต่ผถู ้ ูก
สังให้พน้ จาก ตําแหน่งมีสิทธิ ยนฟ้ ื องต่อศาลเพือขอให้เพิกถอนคําสังภายในสิ บห้าวัน นับแต่วนั ที
ได้รับคําสัง ให้พน้ จากตําแหน่ ง และในระหว่างรอคําพิพากษาของศาล ให้ผูถ้ ูกสังให้พน้ จาก
ตําแหน่งพักการปฏิบตั ิหน้าทีนับแต่วนั ทีได้รับคําสังจนกว่าศาลจะพิพากษา
ใบงานที 6 เรืองกรุ งเทพมหานคร
จงตอบคําถามต่ อไปนี
1. วิเคราะห์โครงสร้างภายในของกรุ งเทพมหานคร
……………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
2. อํานาจหน้าทีตามโครงสร้างกรุ งเทพมหานคร
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
ภาคผนวก ซ
ใบความรู้ ที 7 และใบงานที 7 โครงสร้ างเมืองพัทยา
ใบความรู้ ที 7
โครงสร้ างเมืองพัทยา
เมืองพัทยา
สภาเมืองพัทยา นายกเมืองพัทยา
สมาชิก รองนายก
เมืองพัทยา เมืองพัทยา
24 คน ไม่เกิน 4 คน
วาระดํารง
ตําแหน่ง
4 ปี
ทีมาของตําแหน่ ง
ในปี พ.ศ.2542 ได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการเมืองพัทยาฉบับใหม่
ซึ งเป็ นการปรับเปลียนกฎหมายเมืองพัทยาให้เป็ นไปตามกรอบกติกาของรัฐธรรมนู ญ พ.ศ.2540
พระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.2542 ได้กาํ หนดรู ปแบบโครงสร้างแตกต่าง
ไปจากเดิมหลายประการ โดยโครงสร้างภายในของเมืองพัทยารู ปแบบใหม่จะประกอบด้วย
(1) สภาเมืองพัทยา
ประกอบด้วย สมาชิ กทีมาจากการเลือกตังโดยราษฎรผูม้ ีสิทธิ เลือกตังในเขตเมืองพัทยา
จํานวน 24 คน อยูใ่ นวาระคราวละ 4 ปี และให้สภาเมืองพัทยาเลือกสมาชิกเป็ นประธานสภา 1 คน
และรองประธานสภา 2 คน มีหน้าทีดําเนินการประชุมและดําเนินกิจการอืนให้เป็ นไปตามข้อบังคับ
เมืองพัทยา นอกจากนียังมีปลัดเมืองพัทยาให้ทาํ หน้าทีเลขานุการสภาเมืองพัทยา มีหน้าทีรับผิดชอบ
งานธุรการ และการจัดประชุมและงานอืนใดตามทีสภาเมืองพัทยามอบหมาย
(2) นายกเมืองพัทยา
สําหรับผูบ้ ริ หารเมืองพัทยาได้เปลียนแปลงไปจากเดิมซึ งใช้รูปแบบผูจ้ ดั การเมืองกลายมา
เป็ นรู ปแบบใหม่ทีคล้ายคลึงกับผูว้ ่าราชการกรุ งเทพมหานคร กล่าวคือ นายกเมืองพัทยาจะมาจาก
การเลือกตังโดยตรงของราษฎรผูม้ ีสิทธิ เลือกตังในเขตเมืองพัทยา ดํารงตําแหน่ งคราวละ 4 ปี และ
สามารถแต่งตังรองนายกเมืองพัทยา จํานวนไม่เกิน 4 คน
นายกเมืองพัทยามีอาํ นาจหน้าทีดังนี
- กําหนดนโยบายและรั บผิดชอบในการบริ หารราชการของเมื องพัทยาให้เป็ นไปตาม
กฎหมาย ข้อบัญญัติและนโยบาย
- สัง อนุญาตและอนุมตั ิเกียวกับราชการของเมืองพัทยา
- แต่งตังและถอดถอนรองนายกเมืองพัทยา เลขานุ การนายกเมืองพัทยา ผูช้ ่วยเลขานุ การ
นายกเมืองพัทยา ประธานทีปรึ กษา ทีปรึ กษาหรื อคณะทีปรึ กษา
- วางระเบียบเพือให้งานของเมืองพัทยาเป็ นไปด้วยความเรี ยบร้อย
- ปฏิบตั ิหน้าทีอืนตามทีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรื อผูว้ ่าราชการจังหวัด
มอบหมาย หรื อตามที กฎหมายกํ า หนดให้ เ ป็ นอํา นาจหน้ า ที ของนายกเมื อ งพั ท ยาหรื อ
นายกเทศมนตรี หรื อคณะเทศมนตรี
ในส่ วนของฝ่ ายบริ หารนีก็ยงั มีการจัดแบ่งส่ วนราชการของเมืองพัทยาออกเป็ น
(2.1) สํานักปลัดเมืองพัทยา ซึ งมีปลัดเมืองพัทยาเป็ นหัวหน้า ทําหน้าทีเป็ นผูบ้ งั คับบัญชา
พนักงานเมืองพัทยาและลูกจ้างเมืองพัทยาจากนายกเมืองพัทยา และรับผิดชอบควบคุมดูแลราชการ
ประจําเมืองพัทยาให้เป็ นไปตามนโยบาย และมีอาํ นาจหน้าทีอืนตามทีกฎหมายกําหนดหรื อตามที
นายกเมืองพัทยามอบหมาย
(2.2) ส่ ว นราชการอื น ตามที นายกเมื องพัท ยาประกาศกํา หนดโดยความเห็ น ชอบของ
กระทรวงมหาดไทย
วาระการดํารงตําแหน่ ง
นายกเมืองพัทยามีวาระอยูใ่ นตําแหน่งคราวละสี ปี นับแต่วนั เลือกตัง แต่จะดํารงตําแหน่ ง
ติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ เมือนายกเมืองพัทยาพ้นจากตําแหน่ง ให้จดั ให้มีการเลือกตังขึนใหม่
ภายในสี สิ บห้าวันนับแต่วนั ทีพ้นจากตําแหน่ ง และให้มีการมอบหมายงานในหน้าทีนายกเมือง
พัทยาภายในเจ็ดวันนับแต่วนั ทีได้มีการประกาศผลการเลือกตังนายกเมืองพัทยานายกเมืองพัทยา
อาจแต่งตังรองนายกเมืองพัทยาจํานวนไม่เกินสี คนซึ งมิใช่สมาชิก เป็ นผูช้ ่วยเหลือในการบริ หาร
ราชการของเมืองพัทยาตามทีนายกเมืองพัทยามอบหมาย
นายกเมืองพัทยาและรองนายกเมืองพัทยาอาจพ้นกระทําการอย่างใด อย่างหนึง ดังต่อไปนี
(1) ดํารงตําแหน่งหรื อปฏิบตั ิหน้าทีอืนใดในการพาณิ ชย์ของเมืองพัทยา หรื อ บริ ษทั ทีเมือง
พัทยาถือหุน้ เว้นแต่ตาํ แหน่งทีต้องดํารงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
(2) เป็ นผูม้ ีส่วนได้เสี ยไม่ว่าทางตรงหรื อทางอ้อมในสัญญาทีทํากับเมืองพัทยา หรื อการ
พาณิ ชย์ของเมืองพัทยา หรื อบริ ษทั ทีเมืองพัทยาถือหุน้
นายกเมืองพัทยาพ้นจากตําแหน่ง เมือ
(1) ถึงคราวออกตามวาระ
(2) ตาย
(3) เมือมีการยุบสภาเมืองพัทยา
(4) ลาออก โดยยืนหนังสื อลาออกต่อผูว้ า่ ราชการจังหวัด
(5) ขาดคุณสมบัติผมู ้ ีสิทธิ สมัครรับเลือกตัง หรื อมีลกั ษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ สมัครรับ
เลือกตังเป็ นสมาชิก
(6) กระทําการฝ่ าฝื น ข้อ (1) หรื อ (2)
(7) รัฐมนตรี พิจารณาสอบสวนและสังให้ออกจากตําแหน่ง เพราะมีความประพฤติ ในทาง
ทีจะนํามาซึ งความเสื อมเสี ยหรื อก่อความไม่สงบเรี ยบร้อยแก่เมืองพัทยา หรื อปฏิบตั ิการหรื อละเลย
ไม่ปฏิบตั ิการอันควรปฏิบตั ิในลักษณะทีจะเป็ นเหตุให้เสี ยหายอย่างร้ายแรงแก่เมืองพัทยา หรื อแก่
ราชการโดยส่ วนรวมหรื อแก่ความสงบเรี ยบร้อยหรื อสวัสดิภาพของประชาชน
(8) ราษฎรผูม้ ีสิทธิ เลือกตังในเขตเมืองพัทยาได้ลงคะแนนเสี ยงให้พน้ จากตําแหน่ งตาม
กฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสี ยงเพือถอดถอนสมาชิกสภาท้องถินหรื อผูบ้ ริ หารท้องถิน
เมือมีกรณี สงสัยว่าความเป็ นนายกเมืองพัทยาสิ นสุ ดลงตาม (5) หรื อ (6) ให้ผวู ้ ่าราชการ
จังหวัดสอบสวนและวินิจฉัยโดยเร็ ว คําวินิจฉัยของผูว้ า่ ราชการจังหวัด ให้เป็ นทีสุ ด
ใบงานที 7 เรืองเมืองพัทยา
จงตอบคําถามต่ อไปนี
เลขานุการสภา อบจ.
ทีมาของตําแหน่ ง
การจัดโครงสร้ างภายในขององค์การบริ หารส่ วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติองค์การ
บริ หารส่ วนจังหวัด พ.ศ.2540 และ ฉบับแก้ไขเพิมเติม (ฉบับที 2) พ.ศ.2542 ซึงเป็ นกฎหมายทีใช้อยู่
ในปั จจุบนั ได้จดั แบ่งการบริ หารงานออกเป็ น 2 ส่ วน คือ สภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดเป็ นฝ่ าย
นิติบญั ญัติ และนายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด เป็ นหัวหน้าฝ่ ายบริ หาร
(1) สภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด (สภา อบจ.)
ประกอบด้วยสมาชิกซึ งมาจากการเลือกตังโดยตรงจากราษฎร มีวาระในการดํารงตําแหน่ง
คราวละ 4 ปี สําหรับจํานวนสมาชิ กสภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดให้ถือเกณฑ์จาํ นวนราษฎรแต่
ละจังหวัดตามหลักฐานทะเบียนราษฎรทีประกาศในปี สุ ดท้ายก่อนปี ทีมีการเลือกตัง ดังนี
- จัง หวัด ใดมี ราษฎรไม่ เ กิ น 500,000 คน มี สมาชิ กสภาองค์การบริ ห ารส่ ว นจังหวัด ได้
24 คน
- จังหวัดใดมีราษฎรเกินกว่า 500,000 คน แต่ไม่เกิน 1,000,000 คน มีสมาชิกสภาองค์การ
บริ หารส่ วนจังหวัด ได้ 30 คน
- จังหวัดใดมีราษฎรเกินกว่า 1,000,000 คน แต่ไม่เกิน 1,500,000 คน มีสมาชิกสภาองค์การ
บริ หารส่ วนจังหวัด ได้ 36 คน
- จังหวัดใดมีราษฎรเกินกว่า 1,500,000 คน แต่ไม่เกิน 2,000,000 คน มีสมาชิกสภาองค์การ
บริ หารส่ วนจังหวัด ได้ 42 คน
- จังหวัดใดมีราษฎรเกิ นกว่า 2,000,000 คน มีสมาชิ กสภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดได้
48 คน
ในการประชุ ม สภาท้อ งถิ นครั งแรกนัน จะมี ก ารเลื อ กตังสมาชิ ก ด้ว ยกัน เองขึ นมาเป็ น
ประธานสภาและรองประธานสภา ทําหน้าทีดําเนินกิจการของสภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดและ
ดําเนินการประชุมให้เป็ นไปตามระเบียบของสภา และเรี ยกประชุมสภาสมัยสามัญและสมัยวิสามัญ
การประชุมสามัญโดยทัวไปแล้วจะมี 2 สมัยต่อปี ส่ วนระยะเวลาในการประชุมแต่ละสมัยนันเป็ น
อํานาจของสภาทีจะกําหนดขึน สําหรับการเรี ยกประชุมสมัยวิสามัญนันโดยทัวไปแล้วจะมีขึนได้
ก็ต่อเมือมีเหตุจาํ เป็ นต้องเปิ ดประชุมสภา และการร้องขอของนายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดหรื อ
สมาชิกสภาจํานวนไม่นอ้ ยกว่าหนึงในสาม
นอกจากนี สภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดยังมีอาํ นาจในการแต่งตังสมาชิ กสภาองค์การ
บริ หารส่ วนจังหวัดเป็ นคณะกรรมการสามัญและมีอาํ นาจเลื อกบุ คคลซึ งไม่ได้เป็ นสมาชิ กสภา
องค์ก ารบริ ห ารส่ ว นจัง หวัด ร่ ว มเป็ นคณะกรรมการวิ ส ามัญ เพื อกระทํา กิ จ การหรื อ พิ จ ารณา
สอบสวนเรื องใดๆ อันอยูใ่ นวงงานของสภาองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด
(2) นายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด
ในส่ วนของหัวหน้าฝ่ ายบริ หารนี เดิ มตังแต่ พ.ศ.2498 มาผูว้ ่าราชการจังหวัดเป็ นนายก
องค์การบริ หารส่ วนจังหวัดโดยตําแหน่ง ต่อมามีการตราพระราชบัญญัติองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด
พ.ศ.2540 ซึ งกฎหมายฉบับ พ.ศ.2540 นี ได้มีการแยกข้าราชการส่ วนภูมิภาคออกจากราชการส่ วน
ท้องถิน ผูว้ ่าราชการจังหวัดพ้นจากตําแหน่งนายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด และให้สภาองค์การ
บริ หารส่ ว นจัง หวัด เลื อกสมาชิ ก สภาคนหนึ งขึ นเป็ นนายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด แต่ก าร
เปลี ยนแปลงที มาของฝ่ ายบริ หารขององค์การบริ หารส่ วนจังหวัดได้มี การเปลี ยนแปลงอี ก ครั ง
โดยในปี พ.ศ.2546 รัฐสภาได้ผา่ นพระราชบัญญัติแก้ไขเพิมเติมองค์การบริ หารส่ วนจังหวัด (ฉบับที
3) พ.ศ.2546 ซึ งเป็ นกฎหมายทีทางสมาคมองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดมีส่วนสําคัญในการผลักดัน
เพือให้มีการแก้ไขทีมาของฝ่ ายบริ หาร ส่ งผลให้ทีมาของนายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดจากเดิม
ทีมาจากมติของสภา อบจ. เป็ นให้นายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดมาจากการเลือกตังโดยตรงจาก
ประชาชน นับเป็ นการเปลียนแปลงครังสําคัญครังหนึ งของการปกครองท้องถินไทย เพราะทําให้
ผูบ้ ริ หารขององค์กรปกครองท้องถินทีมีขนาดใหญ่ทีสุ ดของแต่ละจังหวัดทัวประเทศมีทีมาจากการ
เลือกตังโดยตรงของประชาชน
นายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดทีมาจากการเลือกตังโดยตรงของประชาชนนี สามารถ
แต่งตังบุคคลทีไม่ใช่สมาชิกสภา อบจ. เป็ นรองนายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดได้ โดยจํานวนของ
รองนายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดขึนอยูก่ บั จํานวนของสมาชิกสภา อบจ. ดังนี
- ในกรณี มีสมาชิกสภา อบจ. 48 คน ให้แต่งตังรองนายกฯ ได้ไม่เกิน 4 คน
- ในกรณี มีสมาชิกสภา อบจ. 36-42 คน ให้แต่งตังรองนายกฯ ได้ไม่เกิน 3 คน
- ในกรณี มีสมาชิกสภา อบจ. 24-30 คน ให้แต่งตังรองนายกฯ ได้ไม่เกิน 2 คน
นอกจากในส่ วนของนายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดและรองนายกองค์การบริ หารส่ วน
จังหวัดแล้ว ในฝ่ ายบริ หารก็ยงั ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าทีอืน อันได้แก่ ข้าราชการส่ วนจังหวัดทีรับ
เงิ นเดื อนจากงบประมาณขององค์การบริ หารส่ วนจังหวัด โดยข้าราชการส่ วนจังหวัดนี มี นายก
องค์การบริ หารส่ วนจังหวัดเป็ นผูบ้ งั คับบัญชาสู งสุ ด และมีรองนายกองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดกับ
ปลัดองค์การบริ หารส่ วนจังหวัดเป็ นผูบ้ งั คับบัญชารองลงมา
วาระการดํารงตําแหน่ ง
จงตอบคําถามต่ อไปนี
……………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
ภาคผนวก ญ
ใบความรู้ ที 9 และใบงานที 9 โครงสร้ างองค์ การบริหารส่ วนตําบล
148
ใบความรู้ ที 9
โครงสร้ างองค์ การบริหารส่ วนตําบล
องค์ก ารบริ ห ารส่ ว นตํา บลอาจจัด ทํา กิ จ การในเขตองค์ก ารบริ ห ารส่ ว นตํา บล
ดังต่อไปนี
(1) ให้มีนาเพื
ํ อการอุปโภค บริ โภค และการเกษตร
(2) ให้มีและบํารุ งการไฟฟ้ าหรื อแสงสว่างโดยวิธีอืน
(3) จัดให้มีและบํารุ งรักษาทางระบายนํา
(4) ให้มีและบํารุ งสถานที ประชุ ม การกี ฬา การพักผ่อนหย่อนใจและ
สวนสาธารณะ
(5) ให้มีและส่ งเสริ มกลุ่มเกษตรกรและกิจการสหกรณ์
(6) ส่ งเสริ มให้มีอุตสาหกรรมในครอบครัว
(7) บํารุ งและส่ งเสริ มการประกอบอาชีพของราษฎร
(8) การคุม้ ครองดูแลและรักษาทรัพย์สินอันเป็ นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
(9) หาผลประโยชน์จากทรัพย์สินขององค์การบริ หารส่ วนตําบล
(10)ให้มีตลาด ท่าเทียบเรื อ และท่าข้าม
(11) กิจการเกียวกับการพาณิ ชย์
(12) การท่องเทียว
(13) การผังเมือง
ทีมาของตําแหน่ ง
วาระการดํารงตําแหน่ ง
อายุของสภาองค์การบริ หารส่ วนตําบลมีกาํ หนดคราวละสี ปี นับแต่วนั เลือกตัง
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริ หารส่ วนตําบล สิ นสุ ดลงเมือ
(1) ถึงคราวออกตามอายุของสภาองค์การบริ หารส่ วนตําบล หรื อมีการยุบสภาองค์การ
บริ หารส่ วนตําบล
(2) ตาย
(3) ลาออก โดยยืนหนังสื อลาออกต่อนายอําเภอ
(4) ขาดประชุมสภาองค์การบริ หารส่ วนตําบลสามครังติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอนั สมควร
(5) มิได้อยูป่ ระจําในหมู่บา้ นทีได้รับเลือกตังเป็ นระยะเวลาติดต่อกันเกินหกเดือน
(6) เป็ นผูม้ ีส่วนได้เสี ยไม่วา่ โดยทางตรงหรื อทางอ้อมในสัญญาทีองค์การบริ หารส่ วนตําบล
นันเป็ นคู่สัญญาหรื อในกิจการทีกระทําให้แก่องค์การบริ หารส่ วนตําบลนันหรื อทีองค์การบริ หาร
ส่ วนตําบลนันจะกระทํา
(7) ขาดคุณสมบัติหรื อมีลกั ษณะต้องห้ามตามมาตรา ๔๗ ทวิ
(8) สภาองค์การบริ หารส่ วนตําบลมีมติให้พน้ จากตําแหน่ง โดยเห็นว่ามีความประพฤติ
ในทางทีจะนํามาซึงความเสื อมเสี ยหรื อก่อความไม่สงบเรี ยบร้อยแก่องค์การบริ หารส่ วนตําบลหรื อ
กระทําการอันเสื อมเสี ยประโยชน์ของสภาองค์การบริ หารส่ วนตําบล โดยมีสมาชิ กสภาองค์การ
บริ หารส่ วนตําบลจํานวนไม่นอ้ ยกว่าหนึ งในสามของจํานวนสมาชิกสภาองค์การบริ หารส่ วนตําบล
ทังหมดเท่าทีมีอยู่เข้าชือเสนอให้สภาองค์การบริ หารส่ วนตําบลพิจารณา และมติดงั กล่าวต้องมี
คะแนนเสี ยงไม่นอ้ ยกว่าสามในสี ของจํานวนสมาชิกสภาองค์การบริ หารส่ วนตําบลทังหมดเท่าทีมี
อยู่ ทังนี ถ้าสมาชิกสภาองค์การบริ หารส่ วนตําบลผูน้ นมิ ั ได้อุทธรณ์หรื อโต้แย้งมติของสภาองค์การ
151
153
จงตอบคําถามต่ อไปนี
……………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
ภาคผนวก ฎ
ใบความรู้ ที 10 และใบงานที 10
ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ ไขปัญหาของการปกครองส่ วนท้ องถิน
ใบความรู้ ที 10
ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ ไขปัญหาของการปกครองส่ วนท้ องถิน
1. ปัญหาความรู้ความเข้ าใจของประชาชน
ปั จจัยสําคัญทีส่ งผลต่อการกระจายอํานาจให้กบั ท้องถินประสบความสําเร็ จ คือความรู ้
ความเข้าใจของประชาชน ว่าการกระจายอํานาจให้กบั ท้องถินมีความสําคัญและมีประโยชน์ต่อ
ประชาชนในท้องถิน ซึ งประชาชนคนไทยกว่าจะมีความรู ้ความเข้าใจในระดับหนึ งต้องใช้เวลามา
นานกว่า 80 ปี แต่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนคนไทยในทุกพืนทีจะมีความรู ้ความเข้าใจเท่ากันใน
ทุกพืนที ขึนอยูก่ บั ลักษณะของพืนทีและระดับการศึกษาของประชาชนในพืนที กล่าวคือ ลักษณะ
ของพืนทีทีทําให้ประชาชนคนไทยมีความรู ้ความเข้าใจความสําคัญของการกระจายอํานาจ คือ พืนที
ที เปิ ดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามี ส่วนร่ วมกับการเมื องท้องถิ น และการบริ หารจัดการกับการ
บริ หารงานขององค์กรปกครองส่ วนท้องถินในพืนที ส่ วนปั จจัยการศึกษาของประชาชนทีสู งจะ
ส่ งผลต่อความรู ้ความเข้าใจในความสําคัญของการกระจายอํานาจได้ง่ายกว่า และกล้าทีจะเข้าไปมี
ส่ วนร่ วมหรื อตรวจสอบการบริ หารจัดการกับการบริ หารงานขององค์กรปกครองส่ วนท้องถินใน
พืนทีมากกว่าเช่นเดียวกัน
2. ปัญหาการมีส่วนร่ วม
การมีส่วนร่ วม คือปั จจัยสําคัญอีกประการหนึ งทีส่ งผลต่อการกระจายอํานาจให้กบั
ท้องถินประสบความสําเร็ จ ตังแต่การมีส่วนร่ วมในการเลือกผูบ้ ริ หารองค์กรปกครองส่ วนท้องถิน
ในพืนที การมีส่วนร่ วมและตรวจสอบการบริ หารของฝ่ ายบริ หารองค์กรปกครองส่ วนท้องถิน และ
การมีส่วนร่ วมและตรวจสอบการจัดการของข้าราชการและเจ้าหน้าทีขององค์กรปกครองส่ วน
ท้องถิน แต่ทีผ่านกว่า 80 ปี ระดับการมีส่วนร่ วมของประชาชนนันมีพฒั นาการทีช้ามาก ประชาชน
ยังไม่ได้เข้ามามีส่วนร่ วมกับการเมืองท้องถินและการบริ หารและการจัดการขององค์กรปกครอง
ส่ วนท้องถินด้วยจิตสํานึ กทีแท้จริ ง แม้ว่ารัฐธรรมนู ญไทย พ.ศ.2540 และ 2550 ได้เปิ ดโอกาสให้
ประชาชนเข้ามามีส่วนร่ วมกับการเมืองทุกระดับ และการบริ หารจัดการขององค์กรภาครั ฐและ
องค์กรปกครองส่ วนท้องถินอย่างมากก็ตาม
ปั ญหาการขาดการมีส่วนร่ วมของประชาชนกับการเมืองท้องถิน และการบริ หารและ
การจัด การขององค์ก รปกครองส่ ว นท้อ งถิ น นอกจากจะเนื องมาจากความรู ้ ค วามเข้า ใจของ
ประชาชนว่าการกระจายอํานาจให้กบั ท้องถินมีความสําคัญและมีประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถิน
อย่างไร วัฒนธรรมการมีส่วนร่ วมก็เป็ นปั ญหาสําคัญประการหนึ ง กล่าวคือ ประชาชนคนไทยมี
วัฒนธรรมการมีส่วนร่ วมค่อนข้างน้อย เนื องจากเคยชิ นกับการเป็ นผูถ้ ูกปกครองแบบสังให้ทาํ มา
ยาวนาน ทังการปกครองแบบสมบูรณาญาสิ ทธิราชย์และการปกครองแบบรวมศูนย์อาํ นาจ ครันเมือ
รัฐบาลเปิ ดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่ วมได้มากขึนตังแต่รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2540 เป็ นต้น
แต่ ณ ปั จ จุ บนั (พ.ศ.2553) ที ผ่า นมาเพีย ง 13 ปี ยัง ไม่ น่ า จะมากพอที จะเปลี ยนให้ป ระชาชนมี
วัฒนธรรมการมีส่วนร่ วมมากขึนได้ จึงจําเป็ นต้องใช้เวลาทีมากกว่านี ทังนี รัฐและองค์กรปกครอง
ส่ วนท้องถินมีความจริ งใจทีจะเปิ ดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่ วมกับการบริ หารจัดการทุก
ขันตอนอย่างแท้จริ ง
5. ปัญหาทางการเมือง
การเมืองท้องถินส่ วนใหญ่เป็ นการเมืองขนาดเล็ก ทําให้ผทู ้ ีอาสาหรื อรับสมัครเข้า
มาบริ ห ารองค์ก รปกครองส่ ว นท้อ งถิ น นันมี ค วามชัด เจนทางการเมื อ งว่ า จะมี แ นวทางหรื อ มี
แนวนโยบายอย่างไรในการพัฒนาชุมชนท้องถิน ทังนีนักการเมืองนันต้องไม่พึงพาการเมืองหรื ออิง
กับการเมื องระดับชาติ มากเกิ นไป นักการเมื องท้องถิ น เมื อได้รับโอกาสเข้าไปบริ หารองค์การ
เพือให้มีผลงานเป็ นทีประจักษ์ จึงต้องดําเนิ นการตามแนวทางหรื อแนวนโยบายทีเคยให้ไว้ในตอน
หาเสี ยง เพราะนันคือนโยบายทีสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพืนที จึงได้รับการ
เลือกตังเข้ามาเป็ นผูบ้ ริ หารองค์การ แต่การเมืองท้องถินก็ไม่ได้ปราศจากการแทรกแซงจากการเมือง
ระดับชาติได้ ส่ งผลต่อการบริ หารทีไม่อาจทําตามแนวทางหรื อแนวนโยบายทีเคยให้กบั ประชาชน
ไว้ในตอนหาเสี ยงได้
การแทรกแซงการเมื อ งท้อ งถิ นของการเมื อ งระดับ ชาติ เป็ นปั ญ หาที หลายๆ
พื นที ต้อ งประสบปั ญ หานี เนื องจากสาเหตุ สํา คัญ คื อ นัก การเมื อ งท้อ งถิ นเป็ นกลุ่ ม เดี ย วกัน กับ
นักการเมืองระดับชาติ หรื ออีกสาเหตุหนึงคือองค์กรปกครองส่ วนท้องถินเองไม่มีศกั ยภาพเพียงพอ
ต่ อ การบริ ห ารเพื อพัฒ นาท้อ งถิ น เช่ น การขาดงบประมาณ ไม่ มี ร ายได้ที จัด เก็ บ เองมากพอ
จําเป็ นต้องอาศัยเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเป็ นหลัก ทําให้ตอ้ งพึงนักการเมืองระดับชาติ และองค์การ
บริ หารส่ วนจังหวัด (อบจ.) ทีสามารถจัดสรรงบประมาณเพิมเติมให้กบั องค์กรปกครองส่ วนท้องถิน
ทีมีปัญหาได้ แต่การให้ของนักการเมืองระดับชาติ และ อบจ. นันส่ วนใหญ่ไม่ได้เป็ นการให้เปล่า
อย่างน้อยทีสุ ดก็คือการมุ่งหวังฐานเสี ยงทางการเมืองและความนิยม ทีมีส่งผลต่อการเลือกตัง
6. ปัญหาการขาดจิตสาธารณะประชาชน
การกระจายอํานาจ คือ การมอบอํานาจให้ประชาชนในพืนทีนันได้พฒั นาตนเอง
และชุมชนท้องถินด้วยตนเอง ด้วยการเลือกฝ่ ายบริ หารมาเป็ นตัวแทนในการดําเนิ นการ จากนิ ยาม
ดังกล่าวจะพบว่า ประชาชนคือหลักหรื อกลไกสําคัญในการขับเคลือนองค์กรปกครองส่ วนท้องถิน
ให้สามารถพัฒนาชุมชนท้องถินให้เจริ ญรุ่ งเรื อง ประชาชนในพืนทีอยู่ดีมีสุขได้นนั ประชาชนใน
พื นที ต้อ งให้ค วามสํา คัญ กับ สาธารณประโยชน์ แ ละสั ง คมส่ ว นรวมของชุ ม ชน หรื อ ที เรี ย กว่ า
“จิตสาธารณะ” ซึ งสะท้อนได้จากหลายๆ พืนทีทีประชาชนส่ วนใหญ่ในชุมชนมีจิตสาธารณะ
คํานึงถึงประโยชน์ของสังคมส่ วนรวม จนกล่าวได้วา่ ชุมชนนันเป็ นชุมชนเข้มแข็ง
การขาดจิตสาธารณะประชาชน มีปัจจัยทีเป็ นสาเหตุหลายประการ เช่น ลักษณะ
ของชุมชน วัฒนธรรมของชุมชน ระดับการศึกษาของประชาชน การเปิ ดโอกาสให้ประชาชนได้เข้า
มามีส่วนร่ วมขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิน ฯลฯ ซึงชุมชนเมืองคือตัวอย่างพืนทีทีประชาชนขาด
จิตสาธารณะมากกว่าชนบท ประชาชนส่ วนใหญ่ในชุ มชนเมืองจะไม่ค่อยให้ความสําคัญกับการ
เลือกตังของท้องถินมากนัก เช่น การเลือก สก. และ สข.ของกรุ งเทพมหานครในแต่ละครังมีผทู ้ ีมา
ใช้สิทธิเลือกตังน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เกือบทุกครังและเกือบทุกพืนที
7. ปัญหาการควบคุมจากรัฐ
รัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ หมวด ๑๔ การปกครอง
ส่ วนท้องถิน มาตรา ๒๘๑ ภายใต้บงั คับมาตรา ๑ รัฐจะต้องให้ความเป็ นอิสระแก่องค์กรปกครอง
ส่ วนท้องถินตามหลักแห่ งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิน และส่ งเสริ ม
ให้องค์กรปกครองส่ วนท้องถินเป็ นหน่วยงานหลักในการจัดทําบริ การสาธารณะ และมีส่วนร่ วมใน
การ ตัดสิ นใจแก้ไขปั ญหาในพืนทีท้องถินใดมีลกั ษณะทีจะปกครองตนเองได้ ย่อมมีสิทธิจดั ตังเป็ น
องค์กรปกครอง ส่ วนท้องถิน ทังนี ตามทีกฎหมายบัญญัติ
มาตรา ๒๘๒ การกํากับดูแลองค์กรปกครองส่ วนท้องถินต้องทําเท่าทีจําเป็ นและ
มีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงือนไขทีชัดเจนสอดคล้องและเหมาะสมกับรู ปแบบขององค์กรปกครอง
ส่ วนท้องถิน ทังนี ตามทีกฎหมายบัญญัติ โดยต้องเป็ นไปเพือการคุม้ ครองประโยชน์ของประชาชน
ในท้องถินหรื อประโยชน์ของประเทศเป็ นส่ วนรวม และจะกระทบถึ งสาระสําคัญแห่ งหลักการ
ปกครอง ตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิน หรื อนอกเหนื อจากทีกฎหมายบัญญัติไว้
มิได้
ในการกํากับดูแลตามวรรคหนึ ง ให้มีการกําหนดมาตรฐานกลางเพือเป็ นแนวทาง
ให้องค์กรปกครองส่ วนท้องถินเลือกไปปฏิบตั ิได้เอง โดยคํานึงถึงความเหมาะสมและความแตกต่าง
ในระดับของการพัฒนาและประสิ ทธิ ภาพในการบริ หารขององค์กรปกครองส่ วนท้องถินในแต่ละ
รู ปแบบ โดยไม่กระทบต่อความสามารถในการตัดสิ นใจดําเนิ นงานตามความต้องการขององค์กร
ปกครอง ส่ วนท้องถิน รวมทังจัดให้มีกลไกการตรวจสอบการดําเนินงานโดยประชาชนเป็ นหลัก
มาตรา ๒๘๓ องค์กรปกครองส่ วนท้องถินย่อมมีอาํ นาจหน้าทีโดยทัวไปในการ
ดูแล และจัดทําบริ การสาธารณะเพือประโยชน์ของประชาชนในท้องถิน และย่อมมีความเป็ นอิสระ
ในการกําหนดนโยบาย การบริ หาร การจัดบริ การสาธารณะ การบริ หารงานบุคคล การเงินและการ
คลัง และมี อาํ นาจหน้าที ของตนเองโดยเฉพาะต้องคํานึ งถึ งความสอดคล้องกับการพัฒนาของ
จังหวัด และประเทศเป็ นส่ วนรวมด้วย
องค์ก รปกครองส่ ว นท้อ งถิ นย่อ มได้รั บ การส่ ง เสริ ม และสนับ สนุ น ให้มี ค วาม
เข้มแข็งในการบริ หารงานได้โดยอิสระและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในท้องถินได้
อย่างมี ประสิ ทธิ ภาพ สามารถพัฒนาระบบการคลังท้องถินให้จดั บริ การสาธารณะได้โดยครบถ้วน
ตามอํานาจ หน้าที จัดตังหรื อร่ วมกันจัดตังองค์การเพือการจัดทําบริ การสาธารณะตามอํานาจหน้าที
เพือให้เกิด ความคุม้ ค่าเป็ นประโยชน์ และให้บริ การประชาชนอย่างทัวถึง
ให้มีกฎหมายกําหนดแผนและขันตอนการกระจายอํานาจ เพือกําหนดการแบ่ง
อํานาจ หน้าที และจัดสรรรายได้ระหว่างราชการส่ วนกลางและราชการส่ วนภูมิภาคกับองค์ก ร
ปกครองส่ วนท้องถิน และระหว่างองค์กรปกครองส่ วนท้องถินด้วยกันเอง โดยคํานึ งถึงการกระจาย
อํานาจเพิมขึนตามระดับ ความสามารถขององค์กรปกครองส่ วนท้องถินแต่ละรู ปแบบ รวมทัง
กําหนดระบบตรวจสอบและประเมินผล โดยมีคณะกรรมการประกอบด้วยผูแ้ ทนหน่ วยราชการที
เกี ยวข้อ ง ผู ้แ ทนองค์ก รปกครอง ส่ ว นท้อ งถิ น และผูท้ รงคุ ณ วุ ฒิ โดยมี จ ํา นวนเท่ า กัน เป็ น
ผูด้ าํ เนินการให้เป็ นไปตามกฎหมาย
ให้มีกฎหมายรายได้ทอ้ งถิน เพือกําหนดอํานาจหน้าทีในการจัดเก็บภาษีและรายได้
อืน ขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิน โดยมีหลักเกณฑ์ทีเหมาะสมตามลักษณะของภาษีแต่ละชนิ ด
การจัดสรร ทรั พยากรในภาครั ฐ การมี รายได้ทีเพียงพอกับรายจ่ ายตามอํานาจหน้าทีขององค์กร
ปกครองส่ วนท้องถิ น ทังนี โดยคํานึ งถึ งระดับขันการพัฒนาทางเศรษฐกิ จของท้องถิ น สถานะ
ทางการคลังขององค์กรปกครอง ส่ วนท้องถิน และความยังยืนทางการคลังของรัฐ
ในกรณี ทีมีการกําหนดอํานาจหน้าทีและการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครอง
ส่ วนท้องถินแล้ว คณะกรรมการตามวรรคสามจะต้องนําเรื องดังกล่าวมาพิจารณาทบทวนใหม่ทุก
ระยะ เวลาไม่เกินห้าปี เพือพิจารณาถึงความเหมาะสมของการกําหนดอํานาจหน้าที และการจัดสรร
รายได้ ทีได้กระทําไปแล้ว ทังนี ต้องคํานึ งถึงการกระจายอํานาจเพิมขึนให้แก่องค์กรปกครองส่ วน
ท้องถิน เป็ นสําคัญ
จากเนื อหาของรัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เกียวกับ
การกํากับดูแล และการส่ งเสริ มองค์กรปกครองส่ วนท้องถิน จะพบว่า มีเนือหาทีแสดงเจตนารมณ์วา่
ต้องการให้องค์กรปกครองส่ วนท้องถินมีความเป็ นอิสระทางการบริ หารมากทีสุ ด รัฐหรื อหน่วยงาน
ภาครั ฐการกํากับดู แลองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ นเท่าที จําเป็ น และ เน้นการส่ งเสริ มให้องค์กร
ปกครองส่ ว นท้อ งถิ นมี ค วามรู ้ ค วามสามารถทางการบริ ห ารเพิ มขึ นเรื อย จนกระทังสามารถ
ดําเนินการได้เองโดยพึงพารัฐน้อยทีสุ ด แต่หน่วยงานภาครัฐทีได้รับมอบหมายให้ทาํ หน้าทีส่ งเสริ ม
และกํากับดูแลองค์กรปกครองส่ วนท้องถินนันให้ความสําคัญกับการส่ งเสริ มหรื อการกํากับดูแล
มากกว่ากัน ให้ความไว้วางใจและความเป็ นอิสระในการบริ หารจัดการขององค์กรปกครองส่ วน
ท้องถินมากน้อยแค่ไหน
สัดส่ วนของส่ งเสริ มและการกํากับดูแลองค์กรปกครองส่ วนท้องถินของหน่วยงาน
ทีรับผิดชอบ คือ กรมส่ งเสริ มการปกครองส่ วนท้องถิน พบว่า ยังให้ความสําคัญกับการกํากับดูแล
มากกว่าการส่ งเสริ ม ส่ วนหนึ งคือยังมองว่าองค์กรปกครองส่ วนท้องถินนันยังไม่มีความพร้อม และ
ยังไม่ สามารถไว้วางใจได้ ส่ งผลทําให้องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ นขาดความเป็ นอิ สระ และมี
พัฒนาการขีดความสามารถค่อนข้างช้า ดังนันกรมส่ งเสริ มการปกครองส่ วนท้องถินจึงควรทําหน้าที
ส่ ง เสริ ม มากขึ น ทํา หน้า ที เป็ นพี เลี ยงมากกว่าผูก้ าํ กับ จึ ง จะทําให้อ งค์ก รปกครองส่ ว นท้อ งถิ น
สามารถดําเนินงานบรรลุวตั ถุประสงค์สาํ คัญของการกระจายอํานาจคือ สามารถสนองตอบต่อความ
ต้องการของคนในพืนทีได้มากทีสุ ด
8. ปัญหาการบริหารและการจัดการขาดหลักธรรมาภิบาล
ธรรมาภิ บาล (good governance) คือ การปกครอง การบริ หาร การจัดการ
การควบคุมดูแล กิจการต่าง ๆ ให้เป็ นไปในครรลองคลองธรรม นอกจากนี ยังหมายถึงการบริ หาร
จัดการทีดี ซึงสามารถนําไปใช้ได้ทงภาครั
ั ฐและเอกชน ธรรมทีใช้ในการบริ หารงานนี มีความหมาย
อย่างกว้าง กล่าวคือ หาได้มีความหมายเพียงหลักธรรมทางศาสนาเท่ านัน แต่ รวมถึ ง ศี ลธรรม
คุณธรรม จริ ยธรรม และความถูกต้องชอบธรรมทังปวง ซึ งวิญ ูชนพึงมีและพึงประพฤติปฏิบตั ิ
อาทิ ความโปร่ งใสตรวจสอบได้ การปราศจากการแทรกแซงจากองค์กรภายนอก เป็ นต้น
สําหรับประเทศไทยได้นาํ หลักธรรมาภิบาล มาใช้โดยกําหนดเป็ น พ.ร.ก.
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีบริ หารกิจการบ้านเมืองทีดี พ.ศ.2546 มาตรา 6 บัญญัติไว้ คือ
1. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
2. เกิดผลสัมฤทธิต่อภารกิจของรัฐ
3. มีประสิ ทธิภาพและเกิดความคุม้ ค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
4. ไม่มีขนตอนการปฏิ
ั บตั ิงานเกินความจําเป็ น
5. มีการปรับปรุ งภารกิจของส่ วนราชการให้ทนั ต่อสถานการณ์
6. ประชาชนได้รับความสะดวก และได้รับการตอบสนองความต้องการ
7. มีการประเมินผลการปฏิบตั ิราชการอย่างสมําเสมอ
นอกจากนี ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างระบบบริ หารกิจการบ้านเมือง
และสังคมทีดี พ.ศ. 2542 ระบุวา่ ธรรมาภิบาลมีองค์ประกอบ 6 ประกอบ คือ
1.หลักนิ ติธรรม ได้แก่ การตรากฏหมาย กฎ ข้อบังคับต่าง ๆ ให้ทนั สมัยและเป็ นธรรม
เป็ นทียอมรับของสังคม ไม่เลือกปฏิบตั ิ และสังคมยินยอมพร้อมใจปฏิบตั ิตามกฎหมายและกฎ
ข้อบังคับเหล่านัน โดยถือว่าเป็ นการปกครองภายใต้กฎหมายมิใช่ตามอําเภอใจ หรื อตามอํานาจของ
ตัวบุคคล
2.หลักความโปร่ งใส ได้แก่ การสร้างความไว้วางใจซึ งกัน โดยมีการให้และการรับ
ข้อมูลทีสะดวกเป็ นจริ ง ทันการณ์ ตรงไปตรงมา มีทีมาทีไปทีชัดเจนและเท่าเทียมมีกระบวนการ
ตรวจสอบความถูกต้องชัดเจนได้
3. หลักการมีส่วนร่ วม ได้แก่ การเปิ ดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่ วมรับรู ้ และร่ วมคิด
ร่ วมเสนอความเห็นในการตัดสิ นใจปั ญหาสําคัญของประเทศ ในด้านต่าง ๆ เช่น การแจ้งความเห็น
การไต่สวนสาธารณะ การประชาพิจารณ์ การแสดงประชามติ นอกจากนี ยังรวมไปถึงการร่ วม
ตรวจสอบ และร่ วมรับผิดชอบต่อผลของการกระทํานัน
4. หลักความรับผิดชอบตรวจสอบได้ ได้แก่ ความรับผิดชอบทีตรวจสอบได้เป็ นการ
สร้างกลไกให้มีผรู ้ ับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที ความสํานึ กในความรับผิดชอบต่อสังคม การใส่ ใจ
ปั ญหาสาธารณะของบ้านเมือง และกระตือรื อร้นในการแก้ปัญหาตลอดจนการเคารพในความ
คิดเห็นทีแตกต่างและความกล้าทีจะยอมรับผลจากการกระทําของตน
5.หลัก ความคุ ้ม ค่ า ได้แ ก่ การบริ ห ารจัด การและการใช้ท รั พ ยากรที มี จ ํา กัด ให้ เ กิ ด
ประโยชน์คุม้ ค่า เพือให้เกิดประโยชน์สูงสุ ดแก่ส่วนรวม
6. หลักคุณธรรม ได้แก่ การยึดมันในความถูกต้องดีงาม สํานึ กในหน้าทีของตนเอง มี
ความซือสัตย์สุจริ ต จริ งใจ ขยัน อดทน มีระเบียบวินยั และเคารพในสิ ทธิของผูอ้ ืน
การบริ หารและการจัดการขององค์กรปกครองส่ วนท้องถินไทย ทีผ่านมาหากยึดหลัก
ธรรมาภิ บาล จะส่ งเสริ มให้การกระจายอํานาจบรรลุวตั ถุประสงค์ได้เร็ วยิงขึน แต่ธรรมชาติของ
การเมืองไม่ว่าจะเป็ นระดับท้องถินหรื อระดับชาติ มักจะเกียวข้องกับผลประโยชน์เสมอ ทังทีเป็ น
ประโยชน์ส่วนตนและกลุ่ มผลประโยชน์ทีสนับสนุ นทางการเมื อง ดังนัน การบริ หารและการ
จัดการขององค์กรปกครองส่ วนท้องถินส่ วนใหญ่จึงขาดความโปร่ งใส และไม่ตอ้ งการให้ประชาชน
เข้ามามีส่วนร่ วมในขันตอนทีไม่ตอ้ งให้เข้าร่ วม เช่นการตรวจสอบการดําเนินการ โดยเฉพาะการใช้
จ่ ายงบประมาณขององค์การ ทําให้ระเบี ยบสํานักนายกรั ฐมนตรี ว่าด้วยการสร้ างระบบบริ หาร
กิจการบ้านเมืองและสังคมทีดี พ.ศ. 2542 ทีหน่วยงานราชการและองค์กรปกครองส่ วนท้องถินทุก
แห่ งต้องนําไปปฏิบตั ิ เป็ นพียงหลักการในอุดมคติมากกว่าทีจะนําไปใช้ได้จริ ง หากนักการเมืองยัง
มุ่งหวังทีจะเล่นการเมืองเพือแสวงหาอํานาจและผลประโยชน์ให้กบั ตนเองและพวกตนมากกว่า
ประโยชน์สุขของประชาชน
แนวทางการแก้ ไขปัญหาและอุปสรรค
5. การเมืองท้ องถินปราศจากการแทรกแซงจากการเมืองระดับชาติ
การทีจะทําให้การเมืองท้องถินปราศจากการแทรกแซงจากการเมืองระดับชาติได้นนั
องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ นต้องสามารถพึงตนเองได้ คื อต้องพัฒนาตนเองจนสามารถบริ หาร
จัดการองค์การและพัฒนาท้องถินตามความต้องการของประชาชน ในพืนทีได้โดยการพึงพารัฐหรื อ
นักการเมื องระดับชาติให้น้อยที สุ ด ทังการพัฒนาบุคลากรให้มีขีดความสามารถเพิมขึน จัดเก็บ
รายได้แ ละหารายได้เ พี ย งพอต่ อ การนํา ไปใช้บ ริ ห ารองค์ก ารและการพัฒ นาชุ ม ชนท้อ งถิ น
ทังนี รัฐบาลเองต้องมีความจริ งใจทีจะกระจายอํานาจและถ่ายโอนงานหรื อองค์การทีสามารถสร้าง
รายได้ให้กบั องค์กรปกครองส่ วนท้องถินได้มากขึน
องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ นที พัฒนาตนเองจนสามารถบริ หารจัดการองค์การและ
พัฒ นาท้อ งถิ นตามความต้อ งการของประชาชนในพื นที ได้โ ดยไม่ จ ํา เป็ นต้อ งพึ งพารั ฐ หรื อ
นักการเมืองระดับชาติ จะทําให้การเมืองระดับชาติไม่สามารถแทรกแซงการเมืองท้องถินได้หาก
นักการเมืองท้องถินนันไม่เต็มใจทีจะให้นกั การเมืองระดับชาติแทรกแซงเอง ดังนันองค์กรปกครอง
ส่ วนท้องถินทีต้องการให้องค์การปลอดการแทรกแซงจากการเมืองระดับชาติ และมีความเป็ นอิสระ
ในการบริ หารจัดการ จําเป็ นต้องดึ งตัวเองออกมาจากความเกียวข้องกับการเมืองระดับชาติให้ได้
ด้วยการพัฒนาองค์การให้พึงตนเองให้ได้
จงตอบคําถามต่ อไปนี
1. ปั ญหาและอุปสรรคมีอะไรบ้าง และแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้
อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
ภาคผนวก ฏ
แผนการเรียนการสอน
173
หมวดที 1 ข้ อมูลโดยทัวไป
1. รหัสและชือวิชา
รหัสวิชา 2554103 ชือวิชา การจัดองค์ กรท้ องถิน
Local Organization Management
2. จํานวนหน่ วยกิต
เดิมกําหนดไว้ 3 หน่วยกิต 3 ชัวโมง ต่อสัปดาห์
ปั จจุบนั ได้กาํ หนดเป็ น ชัวโมงบรรยาย - ปฏิบตั ิ - ศึกษาด้วยตนเองต่อสัปดาห์
3 (3-0-6)
3. หลักสู ตรและประเภทของรายวิชา
ชือหลักสู ตร รัฐประศาสนศาสตร์บณั ฑิต
ประเภทของรายวิชา วิชาเลือก
4. อาจารย์ ผ้ ูรับผิดชอบรายวิชาและอาจารย์ ผู้สอน
อาจารย์ผรู ้ ับผิดชอบรายวิชา ดร.วัชริ นทร์ อินทพรหม
อาจารย์ผสู ้ อน ดร.วัชริ นทร์ อินทพรหม
5. ภาคการศึกษา/ชันปี ทีเรียน
ภาคการศึกษาที 3 ชันปี ที 1
6. รายวิชาทีต้ องเรียนมาก่ อน
2552101 การปกครองท้องถินไทย
7. รายวิชาทีต้ องเรียนพร้ อมกัน
-
8. สถานทีเรียน
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
9. วันทีจัดทําหรือปรับปรุ งรายละเอียดของรายวิชาครังล่ าสุ ด
เมษายน พ.ศ. 2553
174
หมวดที 2 จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์
1. จุดมุ่งหมายของรายวิชา
เมือเรี ยนรายวิชานีแล้วผูเ้ รี ยนสามารถ
1.1 มีความรู ้และความเข้าใจการบริ หารและการจัดการขององค์กรปกครองท้องถิน
1.2 มีความรู ้และความเข้าใจการกําหนดโครงสร้างการบริ หารและการจัดการขององค์กรปกครองท้องถิน
ทังองค์กรปกครองท้องถินขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่
1.3 ประยุกต์ใช้เทคนิคการบริ หารและการจัดการ กับการดําเนินงานขององค์กรปกครองท้องถิน
1.4 วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรค และปัจจัยแวดล้อมทีส่ งผลกระทบต่อการบริ หารและการจัดการองค์กร
ปกครองท้องถิน
1.5 วิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ปัญาการบริ หารและการจัดการขององค์กรปกครองท้องถินได้อย่าง
เหมาะสม
หมวดที 3 ลักษณะและการดําเนินการ
1. คําอธิบายรายวิชา
ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกียวกับการจัดองค์กรทัวไปและองค์กรท้องถิน ทังด้านโครงสร้างองค์กร ด้านอํานาจ
หน้าที และด้านการบริ หารและการจัดการขององค์กรท้องถิน รวมถึงการนําเทคนิ คการบริ หารและการจัดการ
ต่างๆ ทีนํามาใช้ในการบริ หารและการจัดการองค์กร และการปฏิบตั ิงานตามอํานาจหน้าทีและพันธกิจขององค์กร
โดยเน้นองค์กรปกครองท้องถินไทย ทีมีรูปแบบหลากหลายและแตกต่างกัน และเป็ นองค์กรทีมีหน้าทีหลักในการ
พัฒนาท้องถิน รวมถึงปั ญหาและอุปสรรคของการจัดการองค์กรปกครองท้องถินไทยในปั จจุบนั และรู ปแบบ
โครงสร้างองค์กรและการจัดการองค์กรปกครองท้องถินไทยทีเหมาะสมในอนาคต
2. จํานวนชัวโมงทีใช้ ต่อภาคการศึกษา
บรรยาย สอนเสริ ม การฝึ กปฏิบตั ิ/งาน การศึกษาด้วยตนเอง
ภาคสนาม/การฝึ กงาน
45 ชัวโมง สอนเสริ มตามความต้องการ - ศึกษาด้วยตนเอง
ต่อภาคการศึกษา ของนักศึกษาเป็ นกลุ่ม 6 ชัวโมงต่อสัปดาห์
3. จํานวนชัวโมงต่ อสั ปดาห์ ทอาจารย์
ี ให้ คาํ ปรึกษาและแนะนําทางวิชาการแก่ นักศึกษาเป็ นรายบุคคล
3 ชัวโมง ต่อสัปดาห์
175
3. การวัดและประเมินผล
3.1 การวัดผลระหว่างเรี ยน 30 คะแนน ดังนี
3.1.1 กิจกรรมในชันเรี ยน คุณธรรม จริ ยธรรม 10 คะแนน
3.1.2 รายงานเดียว 10 คะแนน
3.1.3 รายงานกลุ่ม 10 คะแนน
3.2 การสอบกลางภาค 30 คะแนน
3.3 การสอบปลายภาค 40 คะแนน
1. การพัฒนาการเรียนรู้ด้านคุณธรรม จริยธรรม
1.1 คุณธรรม จริ ยธรรมทีต้องบการพัฒนา
1.1.1 การมีวนิ ยั ในตนเอง
176
2. การพัฒนาการเรียนรู้ ด้านความรู้
2.1 ความรู ้ทีต้องได้รับ
2.1.1 หลักการ แนวคิดและทฤษฎีเกียวกับการจัดองค์การทัวไป
2.1.2 หลักการ แนวคิดและทฤษฎีเกียวกับการจัดองค์กรท้องถิน
2.1.3 การจัดโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถินขนาดเล็ก
2.1.4 การจัดโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถินขนาดกลาง
2.1.5 การจัดโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถินขนาดใหญ่
2.1.6 การจัดโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถินแบบบูรณาการ
2.1.7 การกําหนดยุทธศาสตร์เพือการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.8 ธรรมาภิบาลกับการบริ หารและการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.9 การมีส่วนร่ วมกับการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.10 การบริ หารโครงการขององค์กรท้องถิน
2.1.11 การบริ หารงบประมาณขององค์กรท้องถิน
2.1.12 การบริ การสาธารณะขององค์กรท้องถิน
2.1.13 การบริ หารงานบุคคลขององค์กรท้องถิน
2.1.14 ความสัมพันธ์ทางการเมือง การบริ หาร และการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.15 ปั ญหาและอุปสรรคของการบริ หารและการจัดการองค์กรท้องถิน
2.1.16 ทิศทางของการบริ หารและการจัดการองค์กรท้องถินของประเทศไทยในอนาคต
2.2 วิธีสอน
วิธีการสอนเพือให้เกิดความรู ้ ความเข้าใจ และทักษะปฏิบตั ิดงั กล่าว ผูส้ อนมีแนวการจัดกิจกรรมการ
เรี ยนรู ้ ดังนี
2.2.1 บรรยาย อภิปราย
2.2.2 การสอนแบบ Cooperative learning
2.2.3 การสอนแบบโครงการ Project - based learning
178
3. การพัฒนาการเรียนรู้ด้านทักษะทางปัญญา
3.1 ทักษะทางปัญญาทีต้องพัฒนา
3.1.1 วิเคราะห์กระบวนการบริ หารและการจัดการขององค์กรปกครองท้องถิน
3.1.2 วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคกระบวนการบริ หารและการจัดการขององค์กรปกครองท้องถิน
3.1.3 วิเคราะห์หลักการ แนวคิดและทฤษฎีของการบริ หารและการจัดการการปกครองท้องถิน
3.1.4 สังเคราะห์ความรู ้เพือจัดทําแผนทีความคิด (Mind Map)
3.1.5 สังเคราะห์สาระสําคัญของวิชาโดยการบูรณาการการบริ หารและการจัดการการปกครองท้องถิน
ไทยกับพัฒนาการการบริ หารและการจัดการการปกครองท้องถินในประเทศไทย
3.2 วิธีสอน
3.2.1 บรรยาย อภิปราย
3.2.2 การสอนแบบ Cooperative learning
3.2.3 การสอนแบบโครงการ Project - based learning
3.2.4 การสอนแบบเน้นการวิจยั Research- based learning
3.2.5 การสอนแบบเน้นปั ญหา Problem - based learning
3.3 วิธีการประเมินผล
การตรวจผลงาน
หมวดที 5 แผนการสอนและการประเมินผล
1. แผนการสอน
สั ปดาห์ ที เนือหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื อและอุปกรณ์
1 - ปฐมนิเทศ - การสํารวจคุณลักษณะพืนฐานของ - เอกสารประกอบการสอน
3 ชม. - แนะนําขอบเขต เนือหา และ ผูเ้ รี ยน - power point
วัตถุประสงค์ของวิชา - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - แบบสํารวจคุณลักษณะ
- ซักถามแลกเปลียน พืนฐานของผูเ้ รี ยน
- แนะนําเทคนิคการเขียนแผนทีทาง - ใบงานที 1 การเขียน
ความคิด (Mind Map) แผนทีทางความคิด
- มอบหมายงาน (Mind Map)
- ตกลงและชีแจงการประเมินผล - แบบทดสอบก่อนเรี ยน
การเรี ยน (Pre – test )
- ทดสอบก่อนการเรี ยนการสอน
(Pre – test )
2 - หลักการ แนวคิดและทฤษฎี - การบรรยาย/ยกตัวอย่างประกอบ - เอกสารประกอบการสอน
3 ชม. เกียวกับการจัดองค์การทัวไป - ซักถามแลกเปลียน - power point
- ใบงานที 2 การเขียน
แผนทีทางความคิด
2. แผนการประเมินผลการเรียนรู้
หมวดที 6 ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน
1. ตําราและเอกสารหลัก
พิทยา บวรวัฒนา.2541.ทฤษฎีองค์ การสาธารณะ.กรุ งเทพฯ :คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. เอกสารและข้ อมูลสํ าคัญ
-
3. เอกสารและข้ อมูลทีแนะนํา
วิเชียร วิทยกุล. (2549). ทฤษฎีองค์ การ. พิมพ์ครังที 2. ธีระฟิ ลม์และไซเท็กซ์.
พระราชบัญญัติกาํ หนดแผนและขันตอนการกระจายอํานาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่ วนท้องถิน พ.ศ.2542
Shafritz J. and Ott S. (2001). Classic of Organization Theory. Harcourt college
Publishers,Orlando Florida USA.
Dennis D.Riley (2002). Public Personnel Administration (2 nd ed.). New York: Longman.
Ronald D. Sylvia, C. Kenneth Meyer. (2002). Public Personnel Administration (2 nd ed.). Orlando :
Harcourt College Publishers.
Jay M. Shafritz, David H. Rosenbloom, Norma M. Riccucci, Katherine C. Naff, Albert C.Hyde.
(2001). Personnel Management in Government Politics and Process (5 th ed.).New York:
Marcel Dekker.
หมวดที 7 การประเมินและปรับปรุง
1. การประเมินประสิ ทธิผลของรายวิชาโดยนักศึกษา
การประเมินโดยนักศึกษาในรายวิชาทีดําเนินการ ดังนี
- ให้นกั ศึกษาประเมินการสอน โดยการเขียนบรรยายเกียวกับการสอนอาจารย์ โดยให้ประเมิน 2 ครัง
ในสัปดาห์ที 8 และสัปดาห์ที 15
- การสังเกตพฤติกรรมผูเ้ รี ยน
- ข้อเสนอแนะผ่านเว็บบอร์ด
2. การประเมินการสอนอืนๆ
มหาวิทยาลัยดําเนินการประเมินการสอนอาจารย์ โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
183
3. การปรับปรุ งการสอน
มหาวิทยาลัยมีระบบและกลไกการปรับปรุ งการสอน โดยให้อาจารย์ทบทวนการสอนของตนเอง โดย
สรุ ปผลสัมฤทธิของการสอน ปั ญหาอุปสรรคในการสอนเพือเป็ นข้อมูลการปรับปรุ งในภาคการศึกษาต่อไป
4. การทดสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิของนักศึกษาในรายวิชา
มหาวิทยาลัยดําเนินการทดสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิของนักศึกษา โดยการแต่งตังคณะกรรมการการ
ตรวจสอบคุณภาพข้อสอบของอาจารย์ โดยพิจารณาความสอดคล้องของข้อสอบกับผลการเรี ยนรู ้
5. การทบทวน และวางแผนปรับปรุ งประสิ ทธิผลของรายวิชา
- นําข้อมูลจากการประเมินข้อ 1 และข้อ 2 มาวางแผนเพือปรับปรุ งคุณภาพ
- การปรับปรุ งรายวิชาทุก 3 ปี
ประวัตผิ ้ ูวจิ ัย
ชือ-สกุล : ดร.วัชริ นทร์ อินทพรหม
วัน-เดือน-ปี เกิด : 27 กรกฎาคม 2509
ทีอยู่ปัจจุบัน : 94 ตรอกตึกดิน ถ.ดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุ งเทพฯ 10200
โทรศัพท์ บ้ าน : 02-2248222
มือถือ : 086- 3515039
E-mail Address : Pong9889@yahoo.com
การศึกษา
: ประกาศนียบัตรวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิ ดล
: วิทยาศาสตร์บณั ฑิต (วทบ. รังสี เทคนิค) มหาวิทยาลัยรามคําแหง
: ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต (ศศม.รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคําแหง
: Ph.D. Public Administration. มหาวิทยาลัยรามคําแหง
ประวัติการทํางาน
2531-2532 : บริ ษทั เอกซเรย์คอมพิวเตอร์อุรุพงษ์
2533-2534 : บริ ษทั เอกซเรย์คอมพิวเตอร์นครสวรรค์
2534-2536 : โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
2536-2537 : บริ ษทั บี กริ ม เฮลธแคร์ จํากัด
2537-2539 : บริ ษทั ซีเมนต์ ประเทศไทย จํากัด
2539-2540 : บริ ษทั ฟิ ลลิปส์ ประเทศไทย จํากัด
2540-2542 : โรงพยาบาลตุลาการเฉลิมพระเกียรติ สํานักงานศาลยุติธรรม
2542-2552 : กรมพินิจและคุม้ ครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม
2552-ปั จจุบนั : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
ประสบการณ์สอนและการให้ คาํ ปรึกษา
: อาจารย์พิเศษ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง
: อาจารย์พิเศษ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง
: อาจารย์พิเศษ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ Western University
: อาจารย์พิเศษ โครงการรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏจันเกษม
: วิทยากรกรมพินิจและคุม้ ครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม
: วิทยากรการใช้เครื องมือแพทย์สมัยใหม่ ให้กบั โรงพยาบาลมากกว่า 100 แห่งทัวประเทศ
: ทีปรึ กษาวิทยานิพนธ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยรามคําแหง