Professional Documents
Culture Documents
ส่วนที่ 2.2
การประกอบธุรกิจและผลการดำเนินงาน
1. โครงสร้างการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท
1.1 นโยบายและภาพรวมการประกอบธุรกิจ
บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) เดิมชื่อบริษัท ลอจิก จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 30
มกราคม 2532 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 4 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์
ประเภทเวิร์คสเตชั่น (Workstation) ของ Sun Microsystem รายแรกของประเทศไทย ต่อมาได้ขยายการให้บริการให้
ครอบคลุมบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่หลากหลายตามการพัฒนาเทคโนโลยีของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อ
เนื่อง ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลอย่างครบวงจร ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ
ด้านการบูรณาการและนำเสนอโซลูชั่นที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ
ดำเนินงานและเสริมศักยภาพในการแข่งขัน บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ยุคเทคโนโลยี
ดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และก้าวสู่ความสำเร็จของ
องค์กรตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในหลากหลาย
อุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจการเงิน ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและ
พลังงาน รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ
ตลอดระยะเวลา 33 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทฯ พัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและ
ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่คำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ ประกอบกับความเข้าใจใน
กระบวนการทำงานของแต่ละอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้ง รวมถึงความพร้อมและความเชี่ยวชาญของบุคลากรในด้าน
นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลโซลูชั่น รวมถึงการที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นพันธมิตรกับเจ้าของเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกซึ่ง
เป็นที่ยอมรับในระดับสากลส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถพัฒนาโซลูชั่นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลที่สามารถ
ตอบโจทย์ความต้องการและแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนลูกค้าให้สามารถประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีดิจิทัลในการขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนในโลกดิจิทัล
1.1.1 วิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยมองค์กร
วิสัยทัศน์ (Vision) การขับเคลื่อนธุรกิจในโลกดิจิทัล
Enabling business in the digital world
พันธกิจ (Mission) พร้อมเป็นพันธมิตรทางเทคโนโลยีที่เชื่อมั่นและวางใจให้กับทุกองค์กร
Be the trusted technology partner for enterprise
เป้ าหมาย (Goal) การเป็นบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลอันดับ 1 ในประเทศไทย
No. 1 Digital Technology Company in Thailand
ค่านิยมองค์กร (Values)
Excellence - สู่ความเป็นเลิศ : ทำให้ดีที่สุด และก้าวไปถึงขีดสุดเพื่อแข่งกับมาตรฐานสากล
Teamwork - พลังของทีม : รวมพลัง ร่วมสร้างความสำเร็จด้วยความอ่อนน้อมและให้เกียรติผู้อื่น
1.1.2 ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
1.1.2.1 การนำเสนอโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลที่ครบวงจรในหลากหลายอุตสาหกรรม
กลุ่มบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจให้บริการโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลสำหรับองค์กรชั้นนำในประเทศไทยมา
นานกว่า 33 ปี ทำให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านเทคโนโลยีและ
ดิจิทัลเป็นอย่างดี ประกอบกับประสบการณ์ของกลุ่มบริษัทฯ ในการให้บริการแก่ลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมไม่ว่า
จะเป็นธุรกิจการเงิน ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจการผลิต ธุรกิจบริการ เป็นต้น ทำให้กลุ่มบริษัทฯ เข้าใจถึงปัญหาและ
ความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านธุรกิจ ข้อจำกัดของระบบและผู้ใช้งาน และสามารถออกแบบโซลูชั่นที่ใช้งานได้ง่าย
และแก้ปัญหาได้จริงซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Possible, Simple ของบริษัทฯ โดยกระบวนการในการออกแบบโซลูชั่น
ของกลุ่มบริษัทฯ ครอบคลุมตั้งแต่การศึกษาความต้องการและข้อจำกัดของลูกค้า การให้คำแนะนำ และออกแบบ
โซลูชั่นที่เหมาะกับความต้องการลูกค้า รวมถึงการให้บริการอย่างครบวงจรตั้งแต่การจัดหา ติดตั้ง และทดสอบระบบ
เพื่อให้มั่นใจว่าโซลูชั่นของกลุ่มบริษัทฯ สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้จริง ตลอดจนการให้บริการบำรุงรักษา
เพื่อให้โซลูชั่นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ โซลูชั่นด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลของกลุ่มบริษัทฯ ยังมีความหลากหลายและครอบคลุมเทคโนโลยี
ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นโซลูชั่นด้านระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Solution) โซลูชั่นด้านระบบคลาวด์
และดาต้าเซ็นเตอร์ (Cloud and Data Center Modernization Solution) โซลูชั่นด้านระบบจัดการข้อมูลและการ
วิเคราะห์ข้อมูล (Data and Analytics Solution) และโซลูชั่นด้านธุรกิจดิจิทัล (Digital Business and Application
Solution) ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโซลูชั่นสำหรับบริหารจัดการระบบสารสนเทศ (Managed Tech Services)
เพื่อให้บริการสนับสนุนงานด้านระบบเทคโลยีสารสนเทศ ด้วยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งาน
ระบบเทคโลยีสารสนเทศที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถตอบสนองความต้องการเกี่ยว
กับโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลของลูกค้าได้อย่างอย่างครบวงจร (One Stop Service)
1.1.2.2 ความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าและเจ้าของผลิตภัณฑ์
กลุ่มบริษัทฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับทั้งลูกค้า
และคู่ค้า โดยการรักษาความสัมพันธ์อันดีและส่งเสริมศักยภาพซึ่งกันและกัน ทำให้มีเครือข่ายพันธมิตรที่มีความ
แข็งแกร่ง โดยกลุ่มบริษัทฯ มีการทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ขั้นตอนการศึกษาความต้องการและทำความ
เข้าใจรูปแบบธุรกิจของลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาเป็นโซลูชั่นที่มีคุณภาพซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหา
ทางธุรกิจของลูกค้าได้ตรงจุด โดยมีผลงานในการให้บริการโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลให้กับลูกค้า มากกว่า
30,000 โครงการ ครอบคลุมลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่า 1,000 ราย ทำให้บริษัทฯ ได้รับความไว้ใจใน
การพัฒนาโซลูชั่นจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกันกลุ่มบริษัทฯ มีการทำงานร่วมกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากทั่วโลก
มากกว่า 100 ราย โดยกลุ่มบริษัทฯ มีนโยบายสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ และดำเนินงานร่วม
กันภายใต้แนวคิดของการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจต่อกัน ปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพันธมิตรระดับสูง
จากเจ้าของผลิตภัณฑ์จำนวนมากไม่ว่าจะเป็น Oracle, Dell Technologies, Hewlett Packard Enterprise, F5,
Huawei เป็นต้น ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ทำให้บริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนในด้านองค์ความรู้เกี่ยว
กับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงการสนับสนุนทั้งบริการก่อนการขายและการบริการหลังการขาย ตลอดจนการฝึกอบรมที่ได้
1.1.3.2 การขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นเพื่อให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ด้วยปัจจุบันบริษัทฯ มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในกลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งครอบคลุมลูกค้ากลุ่มธนาคาร เงินทุน
หลักทรัพย์ ประกันภัย และประกันชีวิต กลุ่มบริษัทฯ จึงมีนโยบายที่จะขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมไปยังลูกค้าในกลุ่ม
อุตสาหกรรมอื่น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรของบริษัทฯ ในอนาคต โดยกลุ่มบริษัทฯ มุ่ง
เน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตที่ดี และมีความต้องการในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อเพิ่ม
ศักยภาพในการแข่งขัน แต่บริษัทฯ ยังมีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวที่ยังไม่มากนัก โดยเบื้องต้น
กลุ่มบริษัทฯ มีนโยบายมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มธุรกิจขนส่ง และธุรกิจบริการสุขภาพ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่
Gartner คาดการณ์ว่าในปี 2566-2569 จะมีมูลค่าการใช้จ่ายในตลาดไอทีของประเทศไทยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี
(CAGR) ที่สูงในระดับร้อยละ 13.51 และร้อยละ 16.98 รวมถึงการใช้กลยุทธ์ Cross-selling เพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่
เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากโซลูชั่นหลักที่กลุ่มบริษัทฯ ให้บริการแก่ลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการต่อยอดการให้บริการไปยัง
กลุ่มโซลูชั่นอื่นที่กลุ่มบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมในการให้บริการเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของ
กลุ่มบริษัทฯ โดยในเบื้องต้นกลุ่มบริษัทฯ เน้นการขยายตลาดในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้า
ที่มีงบประมาณลงทุนในด้านเทคโนโลยีอยู่ในระดับสูง
1.1.3.3 การพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มซึ่งเป็นเทคโนโลยีของกลุ่มบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
ด้วยความสำเร็จที่ผ่านมาของกลุ่มธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มในระหว่างปี 2563-2565 ซึ่งสามารถ
สร้างอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่สูงถึงร้อยละ 32.17 และมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่สูงถึงกว่า
ร้อยละ 50 ปัจจุบันซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มของกลุ่มบริษัทฯ ประกอบด้วย แพลตฟอร์มด้านการตลาดดิจิทัล แพลตฟอร์ม
ด้านการบริหารจัดการข้อมูล Big Data และ แพลตฟอร์มด้านการบริหารพื้นที่เช่า ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการ
สร้างความแตกต่างทางการแข่งขันของกลุ่มบริษัทฯ ที่เหนือกว่าคู่แข่งที่ประกอบธุรกิจในกลุ่มเดียวกัน โดยอาศัยการ
สร้างมูลค่าเพิ่มจากองค์ความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และต่อย
อดเป็นซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มด้านการตลาด
ดิจิทัล แพลตฟอร์มด้านการบริหารพื้นที่เช่า และแพลตฟอร์มด้านการบริหารจัดการข้อมูล Big Data ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ
ยังคงให้ความสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ความ
ต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยกลุ่มบริษัทฯ ได้สนับสนุนให้ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มได้มีโอกาส
นำเสนอแนวคิดที่จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นอยู่เสมอ รวมถึง
การพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มใหม่เพิ่มเติมในอนาคต โดยเบื้องต้นกลุ่มบริษัทฯ ได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับให้
บริการด้าน E-Tax Invoice เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกรรมด้านดิจิตอลดิจิทัลที่มีแน้วโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งได้
เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2566
1.1.3.4 การขยายศักยภาพในการให้บริการและต่อยอดความเชี่ยวชาญไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของกระแสดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ส่งผลให้ความต้องการด้านระบบเทคโนโลยี
สารสนเทศและดิจิทัลของภาคธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากรายงานมูลค่าใช้จ่ายด้านไอที
ในประเทศไทยของ Gartner ระบุว่ามูลค่าการใช้จ่ายในตลาดไอทีของประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี
(CAGR) เท่ากับร้อยละ 9.09 ในช่วงปี 2563-2566 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มซอฟต์แวร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และบริการ
ด้านไอที ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่สูงถึงร้อยละ 15.21 ในช่วงปี 2563-2566 โดยจาก
แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าว กลุ่มบริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในการขยายทีมงานพัฒนาโซลูชั่นเพื่อเพิ่ม
ศักยภาพในการให้บริการ และรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต นอกจากนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญในธุรกิจ
ให้บริการโซลูชั่นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลอย่างครบวงจร กลุ่มบริษัทฯ จึงมีแผนที่จะต่อยอดความ
เชี่ยวชาญดังกล่าวไปยังกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจให้คำปรึกษาทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถของกลุ่ม
บริษัทฯ ในการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ อาจใช้กลยุทธ์การเติบโตจาก
ภายนอก (Inorganic Growth) ในการขยายศักยภาพการให้บริการและต่อยอดความเชี่ยวชาญไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งอาจรวมถึงการคัดเลือกพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการเข้าซื้อกิจการ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่ง
เทคโนโลยีแพลตฟอร์มซึ่งจะช่วยสนับสนุนและเสริมการให้บริการในรูปแบบใหม่ของกลุ่มบริษัทฯ ตลอดจนกิจการที่
1.1.4 การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญ
ตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) ได้มีพัฒนาการทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตามการ
เปลี่ยนแปลงของดิจิทัลเทคโนโลยีในสังคมไทย ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกซึ่งบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการไอทีใน
ประเทศไทย โดยเริ่มต้นจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ประเภทเวิร์คสเตชั่น (Workstation) ของ
Sun Microsystem รายแรกของประเทศไทย และเป็นผู้ผลักดันเทคโนโลยีระบบ UNIX ซึ่งเป็นรากฐานของระบบเครือ
ข่ายคอมพิวเตอร์และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบโครงข่ายอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มที่นำทุกคน
มาสู่ยุค 5G ในทุกวันนี้ และตั้งแต่ในปี 2543 เป็นต้นมาบริษัทฯ เริ่มพัฒนาการให้บริการในลักษณะโซลูชั่นโดยการนำ
เทคโนโลยีมาช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพาร์ท
เนอร์ระดับโลกเพื่อนำโซลูชั่นระดับองค์กรมาประยุกต์ใช้การทำงานของภาคธุรกิจเพื่อช่วยลดเวลาการประมวลผล และ
ยังช่วยลดข้อผิดพลาดจากการทำงานของพนักงาน (Human error) บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาระบบสารสนเทศหลักของ
องค์กร ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจธนาคาร กลุ่มธุรกิจประกันภัย และกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม รวมถึงเริ่มให้
บริการบริหารจัดการระบบสารสนเทศอย่างครบวงจรเพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ได้
อย่างเต็มประสิทธิภาพ และในปี 2546 บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นการประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นระบบเทคโนโลยี
สารสนเทศและดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และโอนธุรกิจตัวแทนจำหน่ายไปยังบริษัท เฟิร์ส ลอจิก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย
ต่อมาเมื่อประเทศไทยเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีระบบ 3G ในช่วงปี 2554 ส่งผลให้การใช้งานระบบอินเตอร์เน็ต
ในประเทศไทยแพร่หลายมากขึ้น ภาคธุรกิจต่างๆ จึงให้ความสนใจในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้าง
ความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยบริษัทฯ ในฐานะหนึ่งในผู้นำในด้านการทำ Digital transformation ให้กับลูกค้าไม่
ว่าจะเป็นระบบ Digital Insurance ระบบ Mobile Banking Application เป็นต้น นอกจากนี้กลุ่มบริษัทฯ ยังได้พัฒนา
ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มของตนเอง เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในด้าน Digital Marketing ไปจนถึง
เรื่องการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Bigdata) เพื่อให้การตัดสินใจทางธุรกิจเป็นไปได้โดยง่าย
ทั้งนี้ ในปี 2565 บริษัทฯ ได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการเป็น Tech Enabler โดยการต่อยอดจากองค์ความรู้ใน
ด้าน การพัฒนาโซลูชั่นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ผนวกกับประสบการณ์ของบริษัทฯ ในหลากหลาย
อุตสาหกรรม เพื่อสร้างธุรกิจดิจิทัลซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและต่อยอดโอกาสทางธุรกิจในโลก
ดิจิทัลให้กับลูกค้า นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับคู่ค้าและลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อสร้าง
แผนการเติบโตต่อยอดไปยังธุรกิจใหม่ในอนาคต
ปี เหตุการณ์ที่สำคัญ
2532 จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ ในชื่อ บริษัท ลอจิก จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 4,000,000 บาท เมื่อ
วันที่ 30 มกราคม 2532 เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ประเภทเวิร์คสเตชั่น
(Workstation) และศูนย์บริการของ Sun Microsystem
2539 บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมจำนวน 4,000,000 บาท เป็นจำนวน 10,000,000 บาท
ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 60,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เมื่อวันที่ 20
มิถุนายน 2539 เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
2541 บริษัทฯ ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้จากเดิมหุ้นละ 100 บาท เป็นหุ้นละ 10 บาท
2542 บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมจำนวน 10,000,000 บาท เป็นจำนวน 20,000,000 บาท
ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 1,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เมื่อวันที่ 30
มีนาคม 2542 เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
2544 บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมจำนวน 20,000,000 บาท เป็นจำนวน 60,000,000 บาท
ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 4,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เมื่อวันที่ 15
มิถุนายน 2544 เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
2546 จดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท เฟิร์ส ลอจิก จำกัด เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2546 โดยกลุ่มจีเอเบิล เป็น
ผู้ถือหุ้นใหญ่ ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 100 เพื่อประกอบธุรกิจในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Sun
Microsystem แทนบริษัทฯ ซึ่งได้ปรับลักษณะการประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นระบบ
ปี เหตุการณ์ที่สำคัญ
เทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล
2547 จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อบริษัทฯ จากบริษัท ลอจิก จำกัด เป็นบริษัท จีเอเบิล จำกัด เมื่อวันที่ 19
มกราคม 2547
บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมจำนวน 60,000,000 บาท เป็นจำนวน 87,802,830 บาท
ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 2,780,283 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เมื่อวันที่ 19
ตุลาคม 2547 เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมจำนวน 87,802,830 บาท เป็นจำนวน 209,435,330 บาท
ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 121,632,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เมื่อวันที่ 28
ตุลาคม 2547 เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท ซีดีจี ไมโครซีสเต็มส์ จำกัด (“CDGM”) จำนวน
1,999,994 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ CDGM
จากกลุ่มผู้ถือหุ้นของ CDGM ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือกลุ่มลิ่วเจริญ กลุ่มเอื้อวัฒนสกุล กลุ่มชันซื่อ
และกลุ่มพันธุมวนิช
บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท เดอะ คอมมูนิเคชั่น โซลูชั่น จำกัด (“TCS”) จำนวน
2,257,071 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TCS
จากกลุ่มผู้ถือหุ้นของ TCS ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือกลุ่มลิ่วเจริญ กลุ่มเอื้อวัฒนสกุล กลุ่มชันซื่อ
และกลุ่มพันธุมวนิช
2554 บริษัทฯ ร่วมมือกับบริษัท ออราเคิล คอร์ปอเรชัน (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งศูนย์ Center of
Excellence ในประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์แห่งที่สองในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีเป้าหมายเพื่อ
ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ รวมไปถึงการกระตุ้นให้มีการนำเทคโนโลยีของออราเคิลมาสนับ
สนุนโซลูชั่นของบริษัทฯ ที่จะนำคุณลักษณะของเทคโนโลยีที่เป็นมาตรฐานเปิดมาต่อยอดและ
สนับสนุนการดำเนินธุรกิจขององค์กรธุรกิจในประเทศไทย
2557 จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อบริษัท ซีดีจี ไมโครซีสเต็มส์ จำกัด เป็นบริษัท เอ็มเวิร์จ จำกัด เมื่อวันที่
24 มิถุนายน 2557
2558 บริษัทฯ ร่วมมือกับโครงการสตาร์ทอัพของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จด
ทะเบียนจัดตั้งบริษัท อินไซท์เอรา จำกัด (“INSE”) ด้วยทุนจดทะเบียน 12,500,000 บาท เมื่อ
วันที่ 10 สิงหาคม 2558 โดยบริษัทฯ ถือหุ้นจำนวน 600,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ INSE เพื่อประกอบธุรกิจด้านพัฒนาระบบ
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในเชิงพาณิชย์
2560 บริษัทฯ เปิดตัวโซลูชั่น Marketing Technology (MarTech) ในเดือนสิงหาคม 2560 ซึ่งเป็น
เทคโนโลยีที่เชื่อมโยงการตลาดในโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันโดยใช้เครื่องมือและข้อมูล
Big Data ในการวิเคราะห์และประมวลผลเพื่อตอบโจทย์การตลาดยุคดิจิทัล
2561 ในเดือนมกราคม INSE ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัทฯ เปิดตัว “BRIAN” (“ไบรอัน”)
แพลตฟอร์ม 4D Marketing Analytics รายแรกของไทยที่ตอบโจทย์การวิเคราะห์ข้อมูลการ
ตลาดครบทั้ง 4 มิติ ได้แก่ โซเชียลมีเดีย โฆษณาออนไลน์ เว็บไซต์ และการทำ PR
บริษัทฯ ซื้อหุ้นสามัญของ INSE เพิ่มจำนวน 312,500 หุ้น จากผู้ถือหุ้นเดิมส่งผลให้สัดส่วนการ
ถือหุ้นของบริษัทฯ ใน INSE เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 73.00 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
2564 บริษัทฯ จดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท เบลนเดต้า จำกัด (“BLD”) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ด้วย
ทุนจดทะเบียน 20,000,000 บาท โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 100 เพื่อพัฒนา
แพลตฟอร์มสำหรับบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
ปี เหตุการณ์ที่สำคัญ
บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมจำนวน 209,435,330 บาท เป็นจำนวน 375,000,000 บาท
ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 16,556,467 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เมื่อวันที่ 8
ตุลาคม 2564 เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
2565 บริษัทฯ จำหน่ายหุ้นสามัญของ BLD จำนวน 99,999 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของ BLD
ให้แก่กรรมการและผู้บริหารของ BLD เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้น
ของบริษัทฯ ใน BLD ลดลงเป็นร้อยละ 95.00 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ
ดำเนินการ ดังนี้
- แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
- เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้จากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท
- บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนและชำระแล้วจากเดิมจำนวน 375,000,000 บาท เป็นจำนวน
525,000,000 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 150,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้น
ละ 1 บาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
บริษัทฯ จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ไซเบอร์จีนิคส์ จำกัด (“CGN”) เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2565
ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 100 เพื่อประกอบธุรกิจ
ให้บริการด้านระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2565 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนใน CGN จากเดิม 1,000,000 บาท เป็น
50,000,000 บาท
ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 ได้มีมติออนุมัติให้บริษัทฯ
เพิ่มทุนจดทะเบียน เป็นจำนวนเงิน 707,500,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน
182,500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งมีรายละเอียดการจัดสรรดังนี้
(1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 175,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก
(IPO)
(2) หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 7,500,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงาน
ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยตามโครงการ GABLE ESOP ในราคาที่มีส่วนลดร้อยละ 20
ของราคาขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่เพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดย
มีอายุโครงการ 3 ปี
บริษัทฯ และ INSE ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงกับ Grey Thailand Ltd. (Grey NJ) หนึ่ง
ในผู้นำทางด้าน Creative Agency เพื่อร่วมเป็นพันธมิตรในธุรกิจ Tech Media Consultancy
Business
บริษัทฯ และ BLD ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงกับ บริษัท พีทีที ดิจิตอล โซลูชั่น จำกัด
(PTT Digital) เพื่อศึกษาโอกาศทางธุรกิจในการนำโซลูชั่นทางด้าน Data Analytic เพื่อยก
ระดับศักยภาพทางธุรกิจสำหรับกลุ่มธุรกิจพลังงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
บริษัทฯ ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงกับ ST Engineering Digital Systems Pte. Ltd. ซึ่ง
เป็นบริษัทไอทีชั้นนำที่มีนวัตกรรมที่หลากหลายจากประเทศสิงคโปร์ เพื่อเป็นการร่วมมือในการ
พัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อต่อยอดธุรกิจใหม่ โดยมุ่งเน้นที่ธุรกิจ 5G, IoT, Cloud, Data &
Analytics และ Cyber Security
2566 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ได้มีมติออกและเสนอ
ขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัท ให้แก่ผู้บริหาร (รวมถึงผู้บริหารซึ่งดำรงตำแหน่ง
กรรมการ) และ/หรือพนักงานของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อยภายใต้โครงการ ESOP GABLE
ESOP-W1 จำนวนไม่เกิน 7,500,000 หน่วย ที่ราคาเสนอขาย 0 บาทต่อหน่วย โดยใบสำคัญ
ปี เหตุการณ์ที่สำคัญ
แสดงสิทธิฯ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ที่ราคาใช้สิทธิเท่ากับส่วนลดร้อยละ 20 ของ
ราคาขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่เพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering)
(รายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนที่ 2.2.1 โครงสร้างและการดำเนินงานของบริษัทฯ หัวข้อที่ 1.5
การออกหลักทรัพย์อื่น) รวมทั้งยกเลิกการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 7,500,000 หุ้น ตาม
โครงการ GABLE ESOP และเปลี่ยนแปลงการจัดสรรหุ้นสามัญดังกล่าวเป็นเพื่อการรองรับใบ
สำคัญแสดงสิทธิ GABLE ESOP-W1 แทน
100%
ส่วนที่ 2.2.1 โครงสร้างและการดำเนินงานของบริษัทฯ หน้า 9
บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน)
1.2.2 โครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัทฯ
1.2.3 ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการให้บริการ
(1) กลุ่มธุรกิจให้บริการโซลูชั่นระดับองค์กร (Enterprise Solution and Services)
กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ซึ่งบริการโซลูชั่นของกลุ่มบริษัทฯ
รวมถึงการให้คำปรึกษา การออกแบบ ติดตั้ง และจัดจำหน่าย ตลอดจนการบริการบำรุงรักษาและบริการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง
โดยโซลูชั่นที่กลุ่มบริษัทฯ ให้บริการนั้นครอบคลุมเทคโนโลยีที่สำคัญในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มธุรกิจให้
บริการโซลูชั่นระดับองค์กรเป็น 5 กลุ่มโซลูชั่นหลัก ดังนี้
1) โซลูชั่นด้านระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ : Cyber Security Solution
การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจในปัจจุบันมีความเกี่ยวข้องและต้องอาศัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาก
ขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารในองค์กรหรือการทำธุรกรรมติดต่อกับลูกค้า ในขณะเดียวกันอัตราการเกิดอาชญากรรมทาง
ไซเบอร์และการจารกรรมข้อมูลสำคัญขององค์กรและหน่วยงานต่างๆ จะมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นไปใน
ทิศทางเดียวกัน องค์กรและหน่วยงานต่างๆ จึงให้ความสำคัญกับความมั่นคงและปลอดภัยทางไซเบอร์มากยิ่งขึ้น
โดยกลุ่มบริษัทฯ ให้บริการโซลูชั่นด้านระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบครบวงจร (End-to-End Services)
ครอบคลุมตั้งแต่การศึกษาความต้องการของลูกค้า การออกแบบ และคัดสรรเทคโนโลยี หรือโซลูชั่นจากพันธมิตรที่เป็น
เจ้าของผลิตภัณฑ์ด้านการป้องกันระบบสารสนเทศที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น Palo Alto, Check Point, Fortinet,
Splunk, CrowdStrike, Imperva, McAfee และ CyberArk เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีทีมงานที่มีประสบการณ์และ
ความเชี่ยวชาญในด้าน Cyber Security ที่พร้อมให้บริการ รวมทั้งปรับปรุงระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้เหมาะ
กับโครงสร้างระบบสารสนเทศของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งโซลูชั่นด้านระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ของกลุ่มบริษัทฯ มี
บริการที่สำคัญดังนี้
1.1 Security Consulting Services : บริการให้คำปรึกษาด้าน IT Security ซึ่งช่วยลูกค้าในการ
ประเมิน รวบรวมข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ รวมทั้งจัดทำรายงานผลการวิเคราะห์และข้อแนะนำในด้านต่างๆ ตามหลัก
มาตรฐานสากลของ NIST Cybersecurity Framework ซึ่งเผยแพร่โดยสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของ
สหรัฐอเมริกา (National Institute of Standards and Technology: NIST) เพื่อเป็นแนวทางในการยกระดับการรักษา
ความมั่นคงปลอดภัยที่มีอยู่ ให้ครอบคลุมระบบงานหลักด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทั้ง 5 ด้าน ซึ่งได้แก่
◾ การระบุความเสี่ยง (Identify) การทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมของลูกค้า สินทรัพย์ด้าน
ไอทีและความเสี่ยงที่ลูกค้ามี
◾ การป้ องกัน (Protect) การหาแนวทางที่เหมาะสมในการปกป้องความปลอดภัยของลูกค้า
ในด้านต่างๆ
◾ การตรวจจับ (Detect) การเฝ้าระวังและตรวจจับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
รักษาความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลและอุปกรณ์ในขณะเชื่อมต่อ ซึ่งสามารถกำหนดนโยบายด้านความปลอดภัยใน
เชิงลึก เช่น การระบุยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรที่มีสาขาและบริษัทในเครือที่กระจายอยู่หลายแห่ง
1.11 Cloud Enablement : บริการที่ช่วยสนับสนุนลูกค้าในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในรูป
แบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการระบบคลาวด์ภายในดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร (Private Cloud) หรือ ระบบคลา
วด์ที่บริหารจัดการโดยผู้ให้บริการคลาวด์ (Public Cloud) เช่น AWS, Azure, Google Cloud เป็นต้น รวมถึงการใช้
เทคโนโลยีคลาวด์ในรูปแบบผสมผสาน (Hybrid Cloud) โดยบริการของกลุ่มบริษัทฯ ครอบคลุมตั้งแต่ให้คำปรึกษาในการ
ออกแบบระบบโครงสร้างพื้นฐานของคลาวด์ แนะนำรูปแบบการเชื่อมต่อระบบคลาวด์ที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือให้องค์กร
สามารถเริ่มต้นเข้าสู่เทคโนโลยีคลาวด์ได้อย่างเป็นลำดับ รวมถึงบริการเคลื่อนย้ายระบบงานเดิมมาที่ระบบคลาวด์ (Cloud
Migration) โดยมีกระบวนการในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบอัตโนมัติ รวมถึงบริการตรวจสอบหลังการโอนย้ายระบบ
ไปยังระบบคลาวด์ เพื่อให้องค์กรมั่นใจว่าระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.12 Application Development Platform : บริการสร้างแพลตฟอร์มที่รวบรวมเครื่องมือที่จำเป็น
สำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน เพื่อช่วยให้ทีมงานสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วและมี
ประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการปรับเปลี่ยนโค้ด หรือการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการทดสอบการใช้
งาน การแก้ปัญหาจากการใช้งาน ตลอดจนการผสานการทำงานในแต่ละขั้นตอนระหว่างทีมพัฒนา และทีมปฏิบัติการ
ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถขององค์กรในการพัฒนาแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลุ่มบริษัทฯ มีเทคโนโลยีและเครื่องมือทั้งในรูปแบบ On-Premise และ On-Cloud เช่น
DevOps, DevSecOps Tools, Container Management, Microservice Tools เป็นต้น
อุตสาหกรรม เช่น การทำ Personalization & Recommendation, Customer segmentation, Late payment
prediction, Product analysis & prediction เป็นต้น
4) โซลูชั่นด้านธุรกิจดิจิทัล : Digital Business and Application Solution
ในโลกยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ ตลอดจน
พฤติกรรมของผู้บริโภค ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ทันต่อกระแสของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ด้วย
การนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการ
ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ทั้งในภาคการผลิต การขนส่ง การขาย และการบริการ
กลุ่มบริษัทฯ ให้บริการโซลูชั่นด้านธุรกิจดิจิทัล โดยอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญใน
อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัล ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ เข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของธุรกิจในหลากหลาย
อุตสาหกรรม ผ่านการทำงานควบคู่กับลูกค้าในฐานะพันธมิตรในลักษณะการประสานจุดแข็งด้านธุรกิจของลูกค้าเข้ากับ
จุดแข็งด้านเทคโนโลยีของกลุ่มบริษัทฯ โดยการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้า โดยมุ่ง
เน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มที่ออกแบบให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ส่งผลให้
กลุ่มบริษัทฯ สามารถประยุกต์ใช้แพลตฟอร์มกับลูกค้าในอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาให้กับลูกค้า
แต่ละราย โดยกลุ่มบริษัทฯ มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจในธุรกิจแต่ละประเภทและทีมนักพัฒนาที่พร้อมให้คำปรึกษา
วางแผนร่วมกับลูกค้าในการออกแบบ ปรับแต่ง และติดตั้งระบบ รวมถึงการทดสอบระบบ และฝึกอบรมการใช้งาน เพื่อ
ให้ลูกค้าสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ตลอดจนบริการบำรุงรักษาระบบและบริการหลังการขายแบบครบวงจร
โดยปัจจุบันโซลูชั่นด้านธุรกิจดิจิทัลที่กลุ่มบริษัทฯ ให้บริการมีรายละเอียดดังนี้
1.19 Digital Insurance : บริการดิจิทัลโซลูชั่นสำหรับธุรกิจประกันภัยโดยการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีเพื่อเสริมการดำเนินงานของธุรกิจ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น โดย
ระบบจะประกอบไปด้วยฟังก์ชันที่ครอบคลุมขั้นตอนการทำงานที่สำคัญในธุรกิจประกันวินาศภัย (Non-life Insurance)
ด้วยการเชื่อมต่อการส่งข้อมูลแบบ Real Time ตั้งแต่กระบวนการออกกรมธรรม์ การสลักหลัง การต่ออายุกรมธรรม์ ไป
จนถึงขั้นตอนการชำระเบี้ยประกันและการคำนวณภาษี ผู้ใช้งานสามารถดูรายงานสถานะของแต่ละขั้นตอนได้ทันที
และยังถูกพัฒนาเพื่อให้การทำงานรองรับและสอดคล้องตามข้อกำหนดของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และสามารถ
รองรับการทำงานธุรกิจประกันวินาศภัยในหลายรูปแบบ เช่น ประกันรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ประกันการเดินทาง
ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันขนส่งทางทะเล เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีการพัฒนาระบบเสริมเพื่อ
สนับสนุนการดำเนินงานสำหรับกลุ่มธุรกิจประกันภัย ได้แก่ ระบบการจัดการงานขายสำหรับตัวแทนการขายหรือ
พนักงานขาย และระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้านประกันภัย เป็นต้น
1.20 Digital Lending : บริการดิจิทัลโซลูชั่นสำหรับธุรกิจสินเชื่อ โดยการนำเทคโนโลยีมาช่วยให้
สามารถนำเสนอสินค้าและบริการแก่ผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ด้วยระบบสินเชื่อออนไลน์แบบครบวงจร (Digital Lending
solution) ซึ่งสามารถใช้บริการได้ผ่านบราวเซอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ โดยระบบประกอบไปด้วยฟังก์ชันสนับสนุนทาง
ธุรกิจที่สำคัญ อาทิ ระบบเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการอนุมัติสินเชื่อเต็มรูปแบบ ระบบเช่าซื้อและลิสซิ่ง ระบบการ
ประเมินความเสี่ยงในการให้กู้ยืมสินเชื่อส่วนบุคคล และเครื่องมือที่สามารถชี้วัดความน่าจะเป็นในการชำระคืนหนี้
1.21 Appraisal System : โซลูชั่นสำหรับประเมินราคาทรัพย์สิน โดยการนำระบบข้อมูลสารสนเทศ
ภูมิศาสตร์มาช่วยในการทำงานด้วยประมวลข้อมูลทำเลที่ตั้งผ่านระบบแผนที่ที่มีความละเอียด รวมทั้งมีข้อมูลลักษณะ
พื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่สาธารณะ พื้นที่ป่าสงวน พื้นที่จัดสรร และสนามบิน ทำให้ทราบข้อจำกัดหรือ ข้อได้
เปรียบของทรัพย์สินเบื้องต้น ช่วยลดเวลาในการประเมินทรัพย์สิน รวมทั้งเกิดความชัดเจนและความโปร่งใสในการ
ประเมินราคา นอกจากนี้ ยังมีระบบสนับสนุนการทำงานสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ออกหน้างานและผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน
1.22 Education Solution : โซลูชั่นระบบบริหารการศึกษา (EdTech Management Solution) เพื่อ
เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของสถาบันการศึกษาอย่างครบวงจร โดยมีระบบสนับสนุนการจัดการศึกษาที่มีความ
ยืดหยุ่น และสามารถออกแบบการเรียนการสอนได้ตามความต้องการของผู้เรียน รวมทั้งระบบสนับสนุนการบริหาร
ขยายศักยภาพของระบบให้เหมาะสมอย่างทันเวลา รวมทั้งการแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากเกิดเหตุขัดข้อง
และประสานไปยังผู้ให้บริการคลาวด์ เพื่อแก้ปัญหาให้ระบบสามารถกลับมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วและเต็มประสิทธิภาพ
1.5 Data Operation : บริการดูแลระบบการประมวลผลข้อมูลทางธุรกิจให้ทำงานถูกต้อง และ
สามารถจัดทำรายงานข้อมูลได้ตรงเวลา โดยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการกับลูกค้าอย่างเหมาะสม
พร้อมยึดหลักพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองธุรกิจในปัจจุบันที่ใช้ข้อมูลในการบริหารและประกอบการตัดสินใจ
1.6 IT Operation Service Center : บริการดูแลระบบสารสนเทศหลักที่ใช้งานอยู่ในดาต้าเซ็นเตอร์
ภายในองค์กรหรือบนระบบคลาวด์ โดยครอบคลุมทั้ง Hardware และ Software ของระบบสารสนเทศ ด้วยการบริการที่
ดูแลระบบผ่านศูนย์กลาง (Shared Service Center) ตลอด 24 ชั่วโมง
1.7 Business Process Operation : บริการพัฒนากระบวนการทำงานของธุรกิจโดยการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีร่วมกับเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานของลูกค้าให้เป็นรูปแบบการทำงานอย่างอัตโนมัติที่รวดเร็วและถูกต้อง
แม่นยำ โดยจะทำการสำรวจ ประเมิน รวมถึงทำความเข้าใจกระบวนการทำงานในปัจจุบัน จากนั้นจะดำเนินการวิเคราะห์
และวางแผนเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจให้สูงขึ้น
1.8 Operation Performance & Analytics : บริการวิเคราะห์การทำงานของระบบสารสนเทศรวม
ถึงการประมวลผลของระบบในช่วงเวลาต่างๆ ตลอดจนประสิทธิภาพในการตอบสนองของระบบ รวมถึงหาสาเหตุของ
ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบงานทำให้องค์กรสามารถนำผลจากการวิเคราะห์มาพัฒนา ปรับปรุง เพื่อยกระดับคุณภาพการ
ให้บริการด้าน IT ให้กับผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
1.9 Operation Optimization : บริการพัฒนากระบวนการทำงานของ IT เพื่อให้กระบวนการทำงาน
ด้าน IT เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการให้คำแนะนำเพื่อลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการด้าน IT รวมทั้ง
ออกแบบวิธีการทำงานที่เหมาะสม ทั้งในส่วนที่ควรนำเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อให้เกิดการทำงานแบบอัตโนมัติ และขั้น
ตอนที่ควรเป็นงานของบุคลากรเพื่อทำการตัดสินใจ โดยมุ่งเน้นไปที่ความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งจากภายในและ
ภายนอกหน่วยงาน IT
1.10 Operation Strategy : การสร้างกลยุทธ์การดำเนินงานไอทีโอเปอร์เรชั่นให้สอดคล้องกับเป้า
หมายที่องค์กรตั้งไว้ ซึ่งเป็นจุดเด่นของการให้บริการของกลุ่มบริษัทฯ ที่แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น โดยการ
วิเคราะห์ วางแนวทาง ระยะเวลา งบประมาณ รวมทั้งนำเสนอเทคโนโลยีที่เหมาะกับความต้องการของธุรกิจ เพื่อ
กำหนดแนวทางการปรับปรุงระบบให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มโซลูชั่นหลักตามที่ระบุข้างต้นแล้วกลุ่มบริษัทฯ ยังให้บริการในการจัดหา และติดตั้งอุปกรณ์
อื่นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า เช่น ระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ และระบบ ATM เป็นต้น
Readiness / บริการที่จะช่วยลดระยะเวลาในการเตรียมความพร้อมและปรับแต่งระบบให้เหมาะกับ
Configuration Services ระบบงานของลูกค้า เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การเตรียมพร้อมการให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
(3) กลุ่มธุรกิจบริการซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม (Software Platform)
ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลมายาวนานกว่า 33 ปี
ประกอบกับองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกลุ่มบริษัทฯ ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่าง
ต่อเนื่อง กลุ่มบริษัทฯ จึงมีแนวคิดในการนำเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นภายในองค์กรมาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาเป็น
ธุรกิจใหม่ในรูปแบบธุรกิจบริการซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม โดยจะพิจารณาจัดตั้งแยกเป็นบริษัทย่อยสำหรับธุรกิจที่มีโอกาสใน
การเติบโตที่ดี เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ และสอดคล้องกับสภาวะการแข่งขันในยุคดิจิทัลที่
ธุรกิจต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันกลุ่มธุรกิจบริการซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มของกลุ่มบริษัทฯ ดำเนินงานโดย
บริษัทย่อย 3 แห่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้
3.1 บริษัท อินไซท์เอรา จำกัด
บริษัท อินไซท์เอรา จำกัด ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสำหรับการทำการตลาดดิจิทัลแบบครบวงจร
(Marketing Technology หรือ MarTech) โดยใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ (Social Analytics Tools) ที่
รองรับการประมวลผลข้อมูลภาษาไทยที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและความต้องการของตลาด เพื่อ
ใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดแผนธุรกิจ และกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถวัดผลการดำเนินงานได้
อย่างชัดเจน โดยบริการของ INSE ครอบคลุมโซลูชั่นที่สำคัญของการทำการตลาด ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่
หลากหลายของธุรกิจตั้งแต่การจัดทำรายงานวิจัยทางการตลาด การบริหารช่องทางการตลาด การวิเคราะห์ข้อมูลทางการ
ตลาด และการทำกิจกรรมการตลาดด้วยการใช้ Programmatic Ads โดยอาศัยเครื่องมือต่างๆ ได้แก่
◾ DOM – Social Listening Tool : เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อทำความเข้าใจ
ความต้องการของลูกค้า และความนิยมของตลาดได้อย่างทันท่วงที โดยสามารถเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลแบบ
Real-time เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ในการสื่อสาร และให้บริการลูกค้าได้
อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการติดตามข้อมูลประเด็นปัญหาทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เพื่อดำเนินการแก้ไข
จัดการได้ในทันที โดยมีการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Interactive Dashboard ที่เข้าใจง่าย ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยน
รายงานได้ด้วยตนเอง
◾ BRIAN – Competitors Analytics Tool : เครื่องมือวิเคราะห์กลยุทธ์ทางสื่อสังคมออนไลน์ซึ่ง
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง รวมถึงการวิเคราะห์กลยุทธ์และช่องทางในการสร้าง Traffic บนเว็บไซต์ของ
คู่แข่ง เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการแข่งขันให้ธุรกิจ
◾ CENT – Omni-channel Management Tool : เครื่องมือบริหารจัดการสื่อสังคมออนไลน์ที่ช่วยเชื่อม
โยง Social Media Account ในทุกแพลตฟอร์มให้สามารถบริหารจัดการได้ผ่านระบบเดียว โดยสามารถตอบทุก
ข้อความ และคอมเมนต์ของลูกค้าจากทุกช่องทาง ในหน้าจอเดียว รวมทั้งโพสต์คอนเทนต์ไปยังทุกช่องทาง Social
Media ได้โดยง่ายพร้อมกันในครั้งเดียว โดยเครื่องมือดังกล่าวสามารถแสดงผลในรูปแบบ Dashboard เพื่อสำหรับการ
ประเมินประสิทธิภาพการทำงานในการตอบข้อความจากลูกค้าได้
◾ ALICE – Chatbot Platform : ระบบ Chatbot ที่พร้อมให้บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งสามารถ
ทำการสนทนาโต้ตอบได้ด้วยภาษาไทย โดยอาศัยเทคโนโลยี AI Machine Learning ที่สามารถเข้าใจภาษาไทยอย่าง
แม่นยำ และสามารถปรับปรุงเรียนรู้คำใหม่ๆ ได้เพิ่มเติม โดยสามารถทำงานได้ทั้ง Facebook LINE และ Web chat
เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถวิเคราะห์สถิติการใช้งานและประสิทธิภาพการทำงานของ Chatbot เพื่อนำมาปรับปรุง
การใช้งานในอนาคต
◾ 1palette – Customer Data Platform : แพลตฟอร์มสำหรับการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าในสื่อ
สังคมออนไลน์ซึ่งสามารถทำการวิเคราะห์และเก็บข้อมูลลูกค้าเชิงลึกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนทางการตลาด
นอกจากนี้ ยังสามารถการทำกิจกรรมการตลาดด้วยการใช้ Programmatic Ads เพื่อช่วยในการขยายฐานลูกค้าด้วยการ
3.3.2 แพลตฟอร์มสำหรับบริหารระบบงาน
แพลตฟอร์มสำหรับบริหารระบบงานในชื่อ MyApp+ ซึ่งเป็นโปรแกรมเสริมที่ Mverge ได้พัฒนา
ขึ้นด้วย Microsoft Power Platform สำหรับทำงานบน Microsoft Team ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่นิยมใช้ทั่วโลก เพื่อช่วยเสริม
การทำงานแบบ Work from Anywhere ให้มีความคล่องตัวและรองรับการทำงานในยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพโดยมี
ฟังก์ชันดังนี้
จัดทำงบประมาณของแต่ละโครงการก่อนการเสนออัตราค่าบริการให้แก่ลูกค้าโดยฝ่ายขาย และฝ่ายโซลูชั่นและ
เทคโนโลยีจะร่วมกันพิจารณาถึงปัจจัยและรายละเอียดต่างๆ ของโครงการเพื่อพิจารณากำหนดราคาอัตราค่าบริการ
เช่น ขอบเขตของการให้บริการ ความซับซ้อนและขนาดของโครงการ ระยะเวลาการให้บริการ รวมถึงจำนวนบุคลากรที่
ใช้ในการดำเนินโครงการ ตลอดจนความสามารถด้านเทคนิคของบุคลากรที่จำเป็นต่อการดำเนินโครงการ นอกจาก
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น กลุ่มบริษัทฯ อาจพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ เพื่อประกอบในการนำเสนออัตราค่าบริการแก่ลูกค้า
เช่น ภาวะการแข่งขันของโครงการ งบประมาณของลูกค้า และโอกาสทางธุรกิจในอนาคต เป็นต้น
ทั้งนี้ สำหรับบริการบำรุงรักษา (Maintenance Service : MA) ซึ่งเป็นงานบริการต่อเนื่องภายหลังจากการ
ส่งมอบงานให้กับลูกค้าแล้ว บริษัทฯ จะกำหนดอัตราค่าบริการโดยอ้างอิงจากมูลค่าโครงการที่ได้ส่งมอบให้กับลูกค้า
ประกอบกับระยะเวลาและเงื่อนไขการให้บริการที่ได้ตกลงกับลูกค้า
1.2.4.4 ขั้นตอนในการบริหารโครงการ
สำหรับกลุ่มธุรกิจให้บริการโซลูชั่นระดับองค์กรสำหรับกลุ่มธุรกิจโซลูชั่นที่เป็นตัวแทนจำหน่ายและสร้าง
มูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นงานให้บริการในลักษณะโครงการนั้น กลุ่มบริษัทฯ มีทีมงานฝ่ายขายที่รับผิดชอบดูแลการนำเสนอ
ผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่ลูกค้า โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายติดต่อลูกค้าและนัดหมายกับลูกค้าเพื่อนำเสนอบริการให้แก่
ลูกค้าโดยตรงรวมถึงติดตามข่าวการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรและหน่วยงานต่างๆ ที่มีความต้องการโซลูชั่นระบบ
เทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลที่กลุ่มบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญเพื่อยื่นประมูล หรือเข้านำเสนอบริการของกลุ่ม
บริษัทฯ โดยในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายจะทำหน้าที่ในการติดต่อและสอบถามเพื่อให้ทราบถึงความต้องการของ
ลูกค้า หลังจากนั้นฝ่ายขาย และฝ่ายโซลูชั่นและเทคโนโลยีจะทำการศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียด เพื่อ
สรุปรายละเอียดของโครงการ ทั้งในส่วนของอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ที่ต้องใช้ในการดำเนินงาน ระยะเวลาในการดำเนิน
การและความสามารถด้านเทคนิคของบุคลากรที่จำเป็น เพื่อพิจารณาคัดเลือก ออกแบบและนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสม
และตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย หลังจากนั้นจะร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายโซลูชั่นและเทคโนโลยีเพื่อนำเสนอ
โซลูชั่นที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงสาธิตการใช้งานโซลูชั่น เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าโซลูชั่นที่นำ
เสนอสามารถตอบโจทย์การทำงานของผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง ซึ่งโดยทั่วไปกระบวนการนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-3
เดือน
ต่อมาเมื่อลงนามในสัญญากับลูกค้าแล้ว ฝ่ายขายจะทำการยืนยันรายละเอียดงาน (Scope of Work) กับ
ลูกค้า รวมทั้งทบทวนต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนงานในการดำเนินโครงการ รวมถึงดำเนินการจัด
ซื้อผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ สำหรับใช้ในการพัฒนาและติดตั้งโซลูชั่นให้แก่ลูกค้าต่อไป โดยมีฝ่ายปฏิบัติงาน
โครงการ (PMO) ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลควบคุมการดำเนินงานตลอดระยะเวลาโครงการ จนถึงกระบวนการตรวจรับงาน
ซึ่งโดยทั่วไปจะมีระยะเวลาโครงการประมาณ 1-6 เดือน และสำหรับโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลจะมีระยะเวลา
โครงการประมาณ 9-12 เดือน
กระบวนการในการบริหารจัดการโครงการของกลุ่มบริษัทฯ
1.2.5 การจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการ
กลุ่มบริษัทฯ มีนโยบายการจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการเมื่อได้รับคำสั่งซื้อหรือทำสัญญากับลูกค้าแล้ว โดยภาย
หลังจากฝ่ายขายได้ศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างละเอียดแล้ว ฝ่ายขายจะประสานงานกับฝ่ายโซลูชั่นและ
เทคโนโลยี เพื่อออกแบบโซลูชั่น พร้อมทั้งศึกษาข้อกำหนดด้านเทคนิคของโครงการเพื่อระบุถึงอุปกรณ์และซอฟต์แวร์
หลักที่ต้องใช้ รวมถึงการกำหนดปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมและตรงกับที่ระบุข้อกำหนดของโครงการ (Term of
Reference หรือ TOR) โดยจะพิจารณาซื้อสินค้าและบริการโดยอ้างอิงจากข้อกำหนดทางเทคนิคของเทคโนโลยี คุณภาพ
มาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ ระยะเวลาการส่งมอบ ราคา และเครดิตเทอม ทั้งนี้ การจัดซื้อผลิตภัณฑ์และบริการของกลุ่ม
บริษัทฯ สามารถแบ่งได้ดังนี้
1. อุปกรณ์และซอฟต์แวร์หลัก
กลุ่มบริษัทฯ จะจัดซื้ออุปกรณ์และซอฟต์แวร์หลักในการให้บริการตามข้อกำหนดในสัญญาหรือข้อ
กำหนดของลูกค้า (TOR) โดยกลุ่มบริษัทฯ จะสั่งซื้ออุปกรณ์และซอฟต์แวร์หลักโดยตรงจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ในต่าง
ประเทศ หรือผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ ซึ่งโดยทั่วไปจะได้รับเครดิต
เทอมประมาณ 30-60 วัน
1.2.6 การวิจัยและพัฒนา
กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะสามารถตอบสนอง
ความต้องการของตลาดในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มบริษัทฯ ได้มีการพัฒนา
นวัตกรรมต่างๆ และได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของกลุ่มบริษัทฯ โดย ณ วันที่
31 ธันวาคม 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่จดทะเบียนทั้งสิ้น 12 รายการ โดยมีตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่สำคัญ
ต่อไปนี้
ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน ลักษณะผลิตภัณฑ์
Blendata ระบบ Big Data Platform สำหรับองค์กร
Dom ระบบ Social Analytics สำหรับรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์
SPACE ระบบบริหารจัดการพื้นที่เช่าและรายงานการวิเคราะห์ในการพัฒนาธุรกิจ
1.2.7 ภาวะอุตสาหกรรม
ธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ คือธุรกิจบริการให้คำปรึกษา พัฒนา วางระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายงาน
เทคโนโลยี โดยมีขอบเขตการให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษาเพื่อแก้ปัญหาหรือต่อยอดความต้องการของ
ลูกค้า ดังนั้น ภาวะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของกลุ่มบริษัท จึงได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวม และ
อุตสาหกรรมเทคโนโลยี
1.2.7.1 ภาพรวมเศรษฐกิจ
จากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่าในปี 2564 ผลิตภัณฑ์มวลรวม
ในประเทศ (GDP) มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.2 ในปี 2563 จากแรง
สนับสนุนจากการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 18.8 เป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 11 ปี โดย
ขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ประกอบกับการที่การบริโภคภาค
เอกชนขยายตัวร้อยละ 0.3 เปรียบเทียบกับการลดลงร้อยละ 1.0 ในปี 2563 ตามการลดลงของความรุนแรงในการแพร่
ระบาดของโรคโควิด-19 การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด และการดำเนินการมาตรการเพื่อกระตุ้นการใช้
จ่ายของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการช่วยเหลือภาคครัวเรือนและมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและผู้
ประกอบการ SMEs
นอกจากนี้ ในด้านการลงทุนในปี 2564 การลงทุนรวมมีการเติบโตร้อยละ 3.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ
การลดลงร้อยละ 4.8 ในปี 2563 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน โดยการลงทุนภาครัฐเติบโต
ร้อยละ 3.8 และการลงทุนภาคเอกชนในปี 2564 มีการเติบโตร้อยละ 3.2 อันเป็นผลสืบเนื่องจากการเติบโตของการ
บริโภคภาคเอกชนและการขยายตัวของการส่งออก ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ปรับตัวเพิ่ม
ขึ้นและเริ่มเข้าสู่ช่วงของการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต ส่งผลให้การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรในปี 2564
เติบโตร้อยละ 4.2 ในส่วนของการลงทุนในหมวดก่อสร้างของภาคเอกชนลดลงร้อยละ 0.6 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการ
ลดลงของแรงขับเคลื่อนจากการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2 ปี 2565 มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ปรับตัว
เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในไตรมาส 1 ปี 2565 ปัจจัยสำคัญมาจากการเร่งตัวของภาคบริการที่มี
แรงสนับสนุนจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับการดำเนินมาตรการเพื่อ
สนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยขยายตัวสูง ด้านการ
ผลิตภาคบริการเร่งตัวขึ้น ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง นอกจากนี้ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้น
สุดท้ายของเอกชนเร่งตัวขึ้น การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลชะลอลง ขณะที่การลงทุนรวมลดลง
สำหรับภาคต่างประเทศขยายตัวดีทั้งการส่งออกและการนำเข้าสินค้าและบริการ
ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565
จะขยายตัวร้อยละ 3.5 - 4.5 จากการขยายตัวมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ เนื่องจากการ
ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของฐานรายได้
ครัวเรือนและภาคธุรกิจตามการฟื้นตัวของภาคส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการปรับตัวดีขึ้นของตลาด
แรงงาน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 ประกอบกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการ
ลงทุนภาคเอกชน และการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ
ตามกรอบงบลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยคาดการณ์ว่าการลงทุนรวม จะขยายตัวร้อยละ 4.0
1.2.7.2 ภาพรวมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
จากข้อมูลของ Gartner, Inc. (Gartner) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำ
ของโลกระบุว่ามูลค่าการใช้จ่ายในตลาดไอทีของประเทศไทยในปี 2565 มีมูลค่าตลาดเท่ากับ 303.93 พันล้านบาท และ
ขีดความสามารถในการแข่งขันมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่เน้นการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่ง
สามารถพัฒนาได้เอง และมีการปรับปรุงรูปแบบการดำเนินธุรกิจได้ทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลได้ตลอด
เวลา แต่ยังมีอยู่จำนวนน้อย โครงสร้างตลาดโดยรวมของธุรกิจบริการดิจิทัลซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ยังเน้น
ภายในประเทศเป็นหลักสัดส่วนกว่าร้อยละ 90
สำหรับในปี 2565 ศูนย์วิจัยกรุงศรี (อ้างอิงตามรายงาน Industry Horizon เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2565) ได้
ประมาณการรายได้จากบริการดิจิทัลและอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ว่าจะเติบโตขึ้นร้อยละ 24 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลัก
คือกลุ่มบริการดิจิทัลที่มีการคาดการณ์อัตราการเติบโตเท่ากับร้อยละ 30 ในปี 2565 เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคใน
ขณะนี้ซึ่งเน้นการใช้งานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 1 ของโลกในแง่ของส่วนแบ่งของ
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วประเทศที่ซื้อของออนไลน์และใช้บริการธนาคารบนมือถือ (ที่มา: Wearesocial, 2022) ประกอบกับ
การขยายตัวของแพลตฟอร์มทั้งจำนวนและรูปแบบซึ่งสามารถตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย
นอกจากนี้สำหรับกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ นั้นคาดการณ์การขยายตัวเท่ากับร้อยละ 12 ในปี 2565
จากการที่ภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐได้มีการเปลี่ยนไปใช้การพัฒนาบนระบบบนคลาวด์เพื่อขยายการให้บริการแก่
ผู้คนจำนวนมากโดย PwC Thailand ประมาณการว่าภายในปี 2565 กว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทยได้ใช้บริการบนคลาวด์
และสำหรับธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ คาดการณ์ว่าในปี 2565 จะมีอัตราการเติบโตเท่ากับร้อยละ 12 โดยมีปัจจัยหนุนจาก
เกมออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ และการผนวกรวมเข้ากับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม
บริษัทฯ โดยรายได้กลุ่มธุรกิจนี้มาจากการผลิต จำหน่าย บริการหรือให้เช่าซอฟต์แวร์ ธุรกิจกลุ่มนี้เติบโตตามทิศทาง
การปฏิรูปองค์กรของภาคธุรกิจที่เน้นยุทธศาสตร์ Digital Transformation ซึ่งต้องประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์เพื่อประมวลผล
ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ ปัจจุบันรูปแบบการใช้งานซอฟต์แวร์ปรับเปลี่ยนจากการซื้อลิขสิทธิ์มาเป็นการเช่าใช้มากขึ้น เอื้อให้
ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถเข้าถึงการใช้ซอฟต์แวร์ง่ายขึ้น สอดคล้องกับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ที่อยู่ในช่วงปรับ
เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ (Business Transformation) โดยเน้นขยายการให้บริการซอฟต์แวร์ในรูปแบบของ Software as a
Service (SaaS) หรือ Software enable Service ที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองมากขึ้น โดยกลุ่มซอฟต์แวร์และ
บริการซอฟต์แวร์ ประกอบด้วยธุรกิจย่อย ได้แก่
1) Software System Integration (SI) ธุรกิจจัดทำระบบซอฟต์แวร์ หรือให้บริการบูรณาการรวมระบบที่
เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์
2) Software as a Service (SaaS) ธุรกิจให้บริการด้านซอฟต์แวร์บนระบบคลาวด์เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึง
โปรแกรมต่างๆ ได้โดยผ่านอินเตอร์เน็ต เช่น Microsoft Office365, Google Drive คิดค่าบริการแบบ
Subscription รายเดือน/ปี
3) Software License ธุรกิจที่มีรายได้จากการขายหรือให้เช่า Software License
4) Software Maintenance ธุรกิจบริการจัดหา ติดตั้ง บำรุงรักษา และปรับปรุงเวอร์ชั่นของซอฟต์แวร์
5) Customized Software ธุรกิจซอฟต์แวร์ที่ให้บริการออกแบบและพัฒนาเพื่อใช้เฉพาะกับงานที่เฉพาะ
เจาะจง โดยลูกค้าจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
6) Software Consult/Training ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านการวางระบบซอฟต์แวร์และอบรมหลักสูตร
ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์
ในกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ การให้บริการ Software Maintenance, SaaS และ SI เป็น
ธุรกิจที่มีรายได้สูงสุดด้วยสัดส่วนรวมกันร้อยละ 73.4 ของมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ในไทย (ข้อมูลปี
62) เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ประกอบการส่วนใหญ่กระจุกตัวในธุรกิจ Customized Software และ SI/SaaS/License
ในสัดส่วนรวมกันร้อยละ 64.5 ของจำนวนบริษัททั้งหมดในกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่มีรายได้เฉลี่ยต่อบริษัทสูงสุด
อยู่ในกลุ่มธุรกิจ Software Consult/Training ส่วนใหญ่จะเน้นให้คำปรึกษาด้านออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์สมองกลฝัง
ตัวที่ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองซึ่งเป็นส่วนที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง ประกอบกับ จำนวนผู้ประกอบการยังไม่มากนัก
ที่มา : ศูนย์วิจัยกรุงศรี
ข้อมูลจากรายงาน Industry Horizon ของศูนย์วิจัยกรุงศรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2565 ได้ประมาณการ
เติบโตของธุรกิจซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ในปี 2566 เท่ากับร้อยละ 12 โดยเติบโตต่อเนื่องจากปี 2565 เนื่องจาก
แนวโน้มการเติบโตของเทคโนโลยีคลาวด์และการตัวของเครือข่าย 5G ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตให้กับบริการใน
กลุ่ม Software as a Service (SaaS) ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจที่ต้องการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลโดย
การปรับรูปแบบการดำเนินของตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งในส่วนของการผลิตและบริการ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นทั้ง
ในส่วนขององค์กรขนาดใหญ่และ SMEs ที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มเงินลงทุนในซอฟต์แวร์มากขึ้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน
พัฒนาธุรกิจ ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่าบริษัทในกลุ่มที่ให้บริการ Software as a Service (SaaS), Software System
Integration (SI) และ Software consult จะมีอัตราการเติบโตที่สูง
ทั้งนี้ จากการที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในประเทศไทย ที่มีการให้บริการทาง
เทคโนโลยีให้แก่ลูกค้าองค์กรไปจนถึงผู้ใช้บริการ (End-User) มาอย่างยาวนาน ดังนั้น การที่สภาวะอุตสาหกรรม
เทคโนโลยีมีแนวโน้มการเติบโตในอนาคตดีย่อมส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ มีพื้นที่ในการขยายธุรกิจและกลุ่มลูกค้ามากขึ้น
และมีโอกาสส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศและสังคม โดยเทคโนโลยีแต่ละประเภทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ของบริษัทฯ ปัจจุบันมีแนวโน้มดังนี้
1. Data Analytics
Big Data และ Data Analytics เป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในยุคที่ให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูล
และจะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ในการศึกษารูปแบบและพฤติกรรมของผู้ใช้งานมากขึ้น เพื่อปรับปรุงการทำ
ธุรกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รายได้ของตลาด Big Data ทั่วโลกสำหรับซอฟต์แวร์และบริการคาดว่าจะเพิ่มขึ้น
จาก 4.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2561 เป็น 1.03 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2570 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี
(CAGR) ที่ร้อยละ 10.48 ทำให้ในอนาคต บริษัทต่างๆ จึงมองหา นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data analyst) เพื่อมาแปลง
ข้อมูลมหาศาลเป็นข้อมูลที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยรูปแบบพฤติกรรมที่ซ่อนอยู่ในข้อมูล ระบุ
โอกาสและรวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมธุรกิจและการปรับปรุงกระบวนการทำงาน ภายในปี 2568 ผู้คน
ทั่วไปในโลกจะมีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์รับส่งข้อมูลมากถึง 4,800 ครั้งต่อวัน ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณข้อมูลจะเติบโตอย่าง
มาก จาก 33 เซตตะไบต์ ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 175 เซตตะไบต์ ในปี 2568 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 26.9
ต่อปี ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะเกิดจากแหล่งข้อมูลต่างๆ อย่าง คลาวด์ ศูนย์ข้อมูล เสาสัญญาณ และอุปกรณ์ เช่น สมา
ร์ทโฟน และอุปกรณ์ IoT จะเป็นตัวแปรหลักที่ก่อให้เกิดข้อมูลมากกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณการผลิตข้อมูลทั้งหมด
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2562 ข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ที่พื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ และ ศูนย์ข้อมูลมากกว่าเก็บไว้บน
อุปกรณ์ ถือเป็นแนวโน้มใหม่ในยุคดิจิทัล ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลจะผลักดันให้การใช้งานคลาวด์และศูนย์ข้อมูล
รวมถึงเทคโนโลยี Data Analytics เติบโตยิ่งขึ้น
4. Digital Transformation
จากข้อมูลของ Markets and Markets Research ระบุว่ามูลค่าตลาด Digital Transformation ของทั่วโลก
จะเติบโตจาก 594.5 พันล้านบาท ในปี 2565 เป็น 1,548.9 พันล้านบาท ในปี 2570 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย
ร้อยละ 21.1 และจากรายงาน Thailand Digital Transformation Survey Report 2022 ถูกจัดทำโดย Deloitte ทำการ
สำรวจความเห็นบุคลากรระดับผู้บริหารองค์กรเรื่อง Digital Disruption และ Digital transformation เริ่มจากระดับผลก
ระทบของ Digital Disruption โดยธุรกิจและผู้ประกอบการต่างเริ่มทำการปฏิรูปองค์กรในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาดเพื่อ
ความอยู่รอดขององค์กร อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ถึงแม้สถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย แต่ Digital Disruption ยัง
คงมีผลกระทบต่อองค์กร และใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกต่างจากบริษัทคู่แข่ง นอกจากนี้ บางบริษัทยังมอง
ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลในทางบวกต่อองค์กรเนื่องจากจะสามารถนำข้อมูลที่มีในองค์กรมาใช้ในการวิเคราะห์
พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อหาโอกาศทางธุรกิจเพิ่มเติมในอนาคตได้
ทั้งนี้ จากรายงานของ Deloitte ระบุว่าองค์กรกำลังอยูในช่วงเปลี่ยนผ่าน กล่าวคือเป็นช่วงที่กำลังเริ่มและ
ค่อยๆ ประยุกต์ Digital Transformation กับองค์กร โดย Customer Engagement มีสัดส่วนร้อยละ 55.8 Customer
Insights มีสัดส่วนร้อยละ 46.5 Digitalized Organization มีสัดส่วนร้อยละ 40 Data-driven Organization มีสัดส่วนร้อย
ละ 37.5 และ Cybersecurity มีสัดส่วนร้อยละ 40 นอกจากนี้ องค์กรบางส่วนยังเริ่มมีแผนการชัดเจนเกี่ยวกับ Digital
Plan แผนการลงทุนและนวัตกรรม โดย Customer Centricity มีสัดส่วนร้อยละ 23.3 Business Models มีสัดส่วนร้อย
ละ 20.9 Digitalized Organization มีสัดส่วนร้อยละ 17.5 และ Cybersecurity มีสัดส่วนร้อยละ 35 ตามภาพดังนี้
1.2.8 ภาวะการแข่งขัน
(1) กลุ่มธุรกิจให้บริการโซลูชั่นระดับองค์กร
ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศไทย แม้จะมีผู้ประกอบการรายอื่นหลายรายที่ให้บริการ แต่จากการที่
ลักษณะธุรกิจของบริษัทฯ ที่เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ซึ่งครอบคลุมกลุ่มโซลูชั่นที่มี
ความหลากหลายส่งผลให้บริษัทฯ มีคู่แข่งทางตรงจำนวนไม่มากนักบริษัทฯ โดยตัวอย่างคู่แข่งที่มีลักษณะการประกอบ
ธุรกิจใกล้เคียงกับกลุ่มบริษัทฯ มีดังนี้
รายชื่อบริษัท รายได้รวม กำไรสุทธิ ลักษณะโซลูชั่นที่ให้บริการ/4
(ล้านบาท) (ล้านบาท)
ปี 2564 ปี 2565 ปี 2564 ปี 2565 Cyber Cloud and Data and Digital Manage
Security Datacenter Analytic Business& Tech
Application services
บมจ. แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่น 7,034.75 6,726.59 527.12 541.64 - -
เทคโนโลยี /1
บมจ. เมโทรซิสเต็มส์ 7,262.54 9,451.82 195.58 244.95 -
คอร์ปอเรชั่น /1
บจ. เอคเซนเชอร์ โซลูชั่นส์ /3 6,000.45 8,270.72 827.71 814.79 - -
บมจ. เอ็ม เอฟ อี ซี /1 5,185.05 5,453.11 257.96 240.08 -
บจ. ยิบอินซอย/2 5,012.35 n/a 166.34 n/a
บมจ. จีเอเบิล 4,993.13 4,781.58 244.84 268.16
บจ. ฟูจิตสึ (ประเทศไทย)/2 3,348.90 n/a 132.70 n/a -
บจ. ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ 2,148.82 n/a 93.69 n/a -
ซิสเต็มส์ /2
บจ. เอ็นทีที (ประเทศไทย)/3 2,023.62 2,566.57 82.95 63.87 -
บจ. ดาต้า วัน เอเชีย 1,356.76 n/a 52.88 n/a -
(ประเทศไทย) /2
บมจ. เบริล 8 พลัส /1 379.11 810.98 82.14 138.62
บมจ. บลูบิค กรุ๊ป /1 306.36 567.53 66.50 130.61 - -
หมายเหตุ: /1
ข้อมูลจากงบการเงิน (สิ้นงวดปีบัญชี ณ วันที่ 31 ธันวาคม)
/2
ข้อมูลจาก Corpus BOL (สิ้นงวดปีบัญชี ณ วันที่ 31 ธันวาคม)
/3
ข้อมูลจาก Corpus BOL (สิ้นงวดปีบัญชี ณ วันที่ 31 มีนาคม)
/4
ข้อมูลจาก Corpus BOL (สิ้นงวดปีบัญชี ณ วันที่ 31 สิงหาคม)
/5
ข้อมูลจาก Website และแบบแสดงรายการข้อมูล
(2) กลุ่มธุรกิจโซลูชั่นที่เป็นตัวแทนจำหน่ายและสร้างมูลค่าเพิ่ม
กลุ่มบริษัทฯ ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่ายระบบเทคโนโลยีสารสนเทศผ่าน FLG ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริ
ษัทฯ โดย FLG เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับ Oracle Corporation (“Oracle”) และ
1.2.9 ทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ
บริษัทฯ มีทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจที่สำคัญได้แก่ อุปกรณ์ และสินทรัพย์ไม่มีตัวตน โดยมีมูลค่าสุทธิ
ตามบัญชีหลังหักค่าเสื่อมราคา ตามที่แสดงในงบการเงินรวมสำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 รวมจำนวน
135.38 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
มูลค่าสุทธิตามบัญชี
ณ วันที่ 31 ธันวาคม ลักษณะ
รายการ ภาระผูกพัน
2565 กรรมสิทธิ์
(ล้านบาท)
อุปกรณ์
- คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ให้เช่า 0.31 เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มี
- คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ 46.64 เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มี
- คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (สินค้าทดสอบ) 3.25 เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มี
- คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (อะไหล่) 7.70 เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มี
- เครื่องตกแต่งติดตั้งและเครื่องใช้สำนักงาน 24.77 เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มี
- สินทรัพย์ระหว่างติดตั้ง - เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มี
สินทรัพย์ไม่มีตัวตน 52.70 เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มี
รวม 135.38
1.2.10 งานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ
1.3 โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทฯ
1.3.1 โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทฯ
ปัจจุบัน โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทฯ เป็นดังนี้
บริษัท เฟิ ร์ส ลอจิก จำกัด บริษัท เอ็มเวิร์จ จำกัด บริษัท เดอะ คอมมูนิเคชั่น บริษัท อินไซท์เอรา จำกัด บริษัท เบลนเดต้า จำกัด บริษัท ไซเบอร์จีนิคส์ จำกัด
(“FLG”) (“MVG”) โซลูชั่น จำกัด (“TCS”) (“INSE”) (“BLD”) (“CGN”)
ทุนจดทะเบียน 20,000,000 บาท ทุนจดทะเบียน 50,000,000 บาท ทุนจดทะเบียน 22,570,770 บาท ทุนจดทะเบียน 12,500,000 บาท ทุนจดทะเบียน 20,000,000 บาท ทุนจดทะเบียน 50,000,000 บาท
ทุนชำระแล้ว 20,000,000 บาท ทุนชำระแล้ว 50,000,000 บาท ทุนชำระแล้ว 22,570,770 บาท ทุนชำระแล้ว 12,500,000 บาท ทุนชำระแล้ว 15,000,000 บาท/3 ทุนชำระแล้ว 50,000,000 บาท
หมายเหตุ : 1/ บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 73 ใน INSE โดยผู้ถือหุ้นรายอื่นใน INSE ได้แก่ (1) ผู้บริหารและพนักงานของ INSE ประกอบด้วย น.ส.นารีรัตน์ แซ่เตียว ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 11.0 นายกันต์
อรัญชราธร ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 2.5 และนายธนพล มีติฉัตร ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 4.0 และ (2) นายสันติธรรม พรหมอ่อน ที่ปรึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) ถือ
หุ้นในสัดส่วนร้อยละ 6.5 และ (3) บจ.นววิวรรธ บริษัทภายใต้การบริหารของ KMUTT ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 3.0
2/ บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 95 ใน BLD โดยผู้ถือหุ้นรายอื่นใน BLD ได้แก่ ผู้บริหารและผู้พัฒนาแพลตฟอร์มของ BLD ประกอบด้วย นายอุกฤษฏ์ วงศราวิทย์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 1.25
นายณัฐนภัส รชตะวิวรรธน์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 1.25 นายชายลักษณ์ ฉันทวิทย์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 1.25 และ นายไพฑูรย์ ชีวินศิริวัฒน์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 1.25
3/ BLD มีทุนจดทะเบียนจำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีการเรียกชำระจำนวนร้อยละ 75 ของมูลค่าที่ตราไว้ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละราย รวมเป็นทุนชำระแล้วจำนวน 15 ล้านบาท
รายละเอียดของบริษัทย่อย
(1) บริษัท เฟิ ร์ส ลอจิก จำกัด (“FLG”)
FLG จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2546 ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวน 20 ล้านบาท แบ่ง
เป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,00,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ปัจจุบัน FLG ประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่าย
ผลิตภัณฑ์ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบเพิ่มมูลค่า (Value-added Distributor) ให้กับ Oracle Corporation
(Oracle) และ Veritas Technologies LLC
(2) บริษัท เอ็มเวิร์จ จำกัด (“MVG”)
MVG จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทภายใต้ชื่อบริษัท ซีดีจี ไมโครซีสเต็มส์ จำกัด (“CDGM”) เมื่อวันที่ 25
มีนาคม 2537 ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวน 5 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
10 บาท CDGM เพิ่มทุนอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2547 มีทุนจดทะเบียนจำนวน 20 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน
2,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท และเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2547 บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญ CDGM
จากกลุ่มผู้ถือหุ้น ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือกลุ่มลิ่วเจริญ กลุ่มเอื้อวัฒนสกุล กลุ่มชันซื่อ และกลุ่มพันธุมวนิช จำนวน
1,999,994 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ CDGM จำกัด ต่อมาได้จดทะ
เบียยนเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอ็มเวิร์จ จำกัด ในปี 2557 และเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนและ
ทุนชำระแล้วเป็นจำนวน 50,000,000 บาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต
ปัจจุบัน MVG ประกอบธุรกิจพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับบริหารจัดการพื้นที่เช่าและโซลูชั่นบริหารระบบ
งานบน Microsoft Power platform
(3) บริษัท เดอะ คอมมูนิเคชั่น โซลูชั่น จำกัด (“TCS”)
TCS จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2534 ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวน 3 ล้านบาท แบ่ง
เป็นหุ้นสามัญจำนวน 300,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท โดย TCS เพิ่มทุนอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2547
TCS มีทุนจดทะเบียนจำนวน 22,570,770 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,257,077 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10
บาท และเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2547 บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นสามัญ TCS จากกลุ่มผู้ถือหุ้น ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือกลุ่มลิ่ว
เจริญ กลุ่มเอื้อวัฒนสกุล กลุ่มชันซื่อ และกลุ่มพันธุมวนิช จำนวน 2,257,071 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของ
จำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TCS
ปัจจุบัน TCS ประกอบธุรกิจให้บริการโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล โดยปัจจุบัน TCS ให้บริการ
เฉพาะกลุ่มกับลูกค้าที่ TCS มีการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ขายไว้เท่านั้น รวมถึงเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจด้าน IoT ใน
อนาค
(4) บริษัท อินไซท์เอรา จำกัด (“INSE”)
INSE จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2558 ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวน 12.5 ล้านบาท
แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,250,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทฯ กับโครง
การสตาร์ทอัพของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยบริษัทฯ ถือหุ้นจำนวน 600,000 หุ้น คิดเป็น
สัดส่วนร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ INSE ต่อมาในปี 2561 บริษัทฯ ซื้อหุ้นสามัญของ
INSE เพิ่มจำนวน 312,500 หุ้น จากผู้ถือหุ้นเดิม ในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ ส่งผลให้บริษัทฯ มีสัดส่วนการถือหุ้นใน
INSE เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 73.00 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ปัจจุบัน INSE ประกอบธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีเพื่อการตลาดดิจิทัล (Marketing Technology)
แบบครบวงจร
(5) บริษัท เบลนเดต้า จำกัด (“BLD”)
1.3.2 ความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจของผู้ถือหุ้นใหญ่
กลุ่มบริษัทซีดีจี เป็นกลุ่มบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่มี
กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับบริษัทฯ (นับรวมการถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม) ซึ่งได้แก่ กลุ่มลิ่วเจริญ กลุ่มเอื้อวัฒนสกุล
กลุ่มชันซื่อ และกลุ่มพันธุมวนิช อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทซีดีจีไม่มีการประกอบธุรกิจที่เป็นการแข่งขันหรือมีความขัด
แย้งทางผลประโยชน์กับกลุ่มบริษัทฯ โดยธุรกิจของบริษัทในกลุ่มซีดีจีมีรายละเอียด ดังนี้
ชื่อบริษัท ลักษณะธุรกิจ
1. บริษัท คอนโทรล ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้บริการโซลูชั่นเฉพาะทางที่เกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลทะเบียน
ราษฎร์
2. บริษัท ซีดีจี ซิสเต็มส์ จำกัด ให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศตามคำสั่งลูกค้าในรูป
แบบ Turnkey
3. บริษัท ดีเฟนซ์ อินโนเวชั่น จำกัด จัดจำหน่ายระบบกล้องและยุทธภัณฑ์ทางทหาร
4. บริษัท คอมพิวเตอร์ เพอริเฟอรัล แอนด์ ซัพพลาย จัดจำหน่ายระบบการพิมพ์ความเร็วสูง และระบบงานพิมพ์แบบต่อ
ส์ จำกัด เนื่อง
5. บริษัท คอร์ โซลูชั่น จำกัด ให้บริการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามคำสั่งของลูกค้า
6. บริษัท คอร์วิสดอม จำกัด ให้บริการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามคำสั่งของลูกค้า
7. บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนจำหน่ายเทคโนโลยี และบริการโซลูชันระบบสารสนเทศ
ภูมิศาสตร์ภายใต้แบรนด์ ArcGIS ในประเทศไทย
8. บริษัท จีไอเอส จำกัด ให้บริการระบบภูมิสารสนเทศแบบครบวงจร (Geographic
Information Systems) และเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ
GARMIN ในประเทศไทย
9. บริษัท โกลบเทค จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชันเฉพาะทางสำหรับข้อมูลแผนที่ดิจิทัลภายใต้
แบรนด์ นอสตร้า (NOSTRA)
10. บริษัท จีโอทาเลนท์ จำกัด ให้บริการด้านพัฒนาแอพพลิเคชั่นระบบภูมิสารสนเทศ
11. บริษัท เมอร์เคเทอร์ จำกัด ผู้ให้บริการด้านการสำรวจและนำเข้าข้อมูลแผนที่ด้วยระบบ
สารสนเทศภูมิศาสตร์
การไม่พึ่งพิงกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม G-Able และกลุ่มบริษัทซีดีจี ไม่ได้มีการพึ่งพิงซึ่งกันและกัน ทั้งสองบริษัทไม่มีผู้
บริหาร หรือบุคลากร รวมถึงไม่มีการใช้ทรัพย์สินหรือทรัพยากรร่วมกัน ไม่มีการช่วยเหลือทางการเงิน นอกจากนี้
รายการซื้อขายระหว่างกันเป็นรายการที่มีลักษณะการค้าปกติ โดยมีราคาและเงื่อนไขในการทำรายการที่สามารถเทียบ
เคียงได้กับการทำรายการกับบุคคลภายนอกและผ่านขั้นตอนการคัดเลือกเสมือนทำกับคู่ค้ารายอื่น โดยในปี 2565 กลุ่ม
บริษัทฯ มีรายการขายสินค้าและบริการให้กลุ่มบริษัทซีดีจี รวมจำนวน 113.65 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.40 ของราย
ได้จากการขายและบริการ และมีรายการซื้อสินค้าและบริการจากกลุ่มบริษัทซีดีจี จำนวน 17.59 ล้านบาท คิดเป็นร้อย
ละ 0.57 ของมูลค่าการซื้อรวม
มาตรการป้ องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์
กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ประกอบด้วย กลุ่มลิ่วเจริญ กลุ่มเอื้อวัฒนสกุล กลุ่มชันซื่อ และกลุ่มพันธุมวนิช ได้ร่วมกันจัด
ทำบันทึกข้อตกลงไม่ประกอบธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับบริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) ฉบับลงวันที่ 3 มีนาคม 2566
โดยรายละเอียดของบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีดังนี้
1. กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ตกลงว่าจะไม่ร่วมกันลงทุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมในธุรกิจ ที่เป็นการแข่งขันกับกิจการ
ของ G-Able และ/หรือกลุ่ม G-Able ตลอดจนจะไม่ร่วมกันเข้าเป็นหุ้นส่วน หรือเป็นผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมกิจการใน
บริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจอันมีสภาพอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของ G-Able และ/หรือกลุ่ม G-Able
G-Able CDGS
1.นโยบายการประกอบธุรกิจที่แตกต่างกัน
G-Able ประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นระบบ CDGS ประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยี
เทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล (Solution Provider) โดย สารสนเทศในลักษณะโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ
มุ่งเน้นกลุ่มโซลูชั่นเฉพาะทางที่อาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตามความต้องการของลูกค้า (Turnkey Project)
ซึ่งครอบคลุมความต้องการหลักของของกลุ่มลูกค้า ได้แก่ ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการวิเคราะห์ปัญหา ออกแบบ
(1) โซลูชั่นด้านระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ (2) พัฒนา และติดตั้งระบบให้พร้อมใช้งาน โดยมุ่งเน้นการ
โซลูชั่นด้านระบบคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ (3) โซลูชั่น พัฒนาระบบงานด้านการบริการประชาชนเพื่อมุ่งยก
ด้านระบบจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ (4) โซลูชั่นด้าน ระดับคุณภาพชีวิตและแก้ปัญหาให้แก่สังคม รวมถึง
ธุรกิจดิจิทัล และ (5) โซลูชั่นด้านการบริหารจัดการระบบ สนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งงานใน
สารสนเทศ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ในการ ลักษณะดังกล่าวจะเป็นงานพัฒนาระบบสารสนเทศใหม่
พัฒนาและปรับแต่ง (Customized) โซลูชั่นให้ตรงกับความ ทั้งระบบ ที่อาจต้องเชื่อมต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ต้องการของลูกค้า ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ สามารถตอบโจทย์ จำนวนมาก และต้องการระบบงานที่ออกแบบมาให้
ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร สอดคล้องกับการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานโดย
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทย่อยซึ่งเป็นตัวแทนหลักในการ เฉพาะ ซึ่งงานลักษณะดังกล่าวต้องอาศัยเวลา และ
จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชั้นนำซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับการ ทรัพยากรด้านบุคลากรจำนวนมากในการศึกษาข้อมูล
ยอมรับจากผู้ใช้งานทั่วโลก รวมถึงธุรกิจบริการซอฟต์แวร์ ระบบงาน และความต้องการของลูกค้าในแต่ละส่วนรวม
แพลตฟอร์ม (Software Platform) ที่กลุ่มบริษัทฯ พัฒนา ถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแต่ละหน่วยงาน จึงส่งผล
ขึ้นเองเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเสริม ให้การพัฒนาระบบงานด้านการบริการประชาชนและ
ความแข็งแกร่งทางธุรกิจของกลุ่ม G-Able ซึ่งปัจจุบัน งานสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ มีลักษณะการทำงานที่
ครอบคลุมเทคโนโลยีในการบริหารจัดการข้อมูล Big Data เฉพาะเจาะจง แตกต่างกันตามเป้าหมายและพันธกิจ
การบริหารพื้นที่เช่า และการตลาดดิจิทัล หลักของแต่ละองค์กร เช่น
- ระบบงานต่อทะเบียนรถยนต์และภาษีประจำปีของ
กรมการขนส่งทางบก
- ระบบตรวจประวัติอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจ
แห่งชาติ
- ระบบจัดการงบประมาณอิเล็กทรอนิกส์ (e-
Budgeting) ของสำนักงบประมาณ
2. กลุ่มลูกค้าเป้ าหมาย
กลุ่มลูกค้าหลักเป็นบริษัทเอกชนหรือองค์กรชั้นนำในแต่ละ กลุ่มลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีความ
อุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็น ภาคธุรกิจการเงิน ธุรกิจ ต้องการระบบงานที่ออกแบบสำหรับการดำเนินการ
โทรคมนาคม ธุรกิจประกัน ธุรกิจผลิตและธุรกิจพลังงาน ตามพันธกิจหลักของแต่ละหน่วยงานโดยเฉพาะ
รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งมีความต้องการที่ชัดเจน
และทราบถึงปัญหาที่ต้องการแก้ไข หรือพัฒนา ปรับปรุง
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างตรงจุด เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และสร้างความได้เปรียบ
ในการแข่งขัน
3.ลักษณะโครงการและความเชี่ยวชาญ
G-Able CDGS
G-Able ให้บริการโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล CDGS มีประสบการณ์และผลงานเกี่ยวข้องกับ
สำหรับองค์กรชั้นนำในประเทศไทยมานานกว่า 33 ปี โครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบ
จึงมีความรู้และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโซลูชั่น เบ็ดเสร็จตามความต้องการของลูกค้า (Turnkey
เฉพาะทาง ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและ Project) มานานกว่า 40 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผลิตภัณฑ์ระดับสูง ผนวกกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สำหรับระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการบริการ
ชั้นนำของพันธมิตรทางธุรกิจทำให้บริษัทฯ สามารถ ประชาชน ทำให้เข้าใจความต้องการของลูกค้า
ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และ อย่างดี จึงมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง เช่น สำนักงาน
มีประสิทธิภาพ และทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ตำรวจแห่งชาติ และ กรมขนส่งทางบก เป็นต้น
ไปอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาการนำเสนอโครงการ (Pre Sales)
ด้วยฐานลูกค้าของบริษัทฯ ซึ่งครอบคลุมในหลากหลาย ประมาณ 1-2 ปี
อุตสาหกรรมส่งผลให้บริษัทฯ สามารถประยุกต์ใช้ ระยะเวลาการพัฒนาโครงการสำหรับระบบหลัก
ประสบการณ์และองค์ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจ ประมาณ 1-2 ปี และสำหรับงานที่ต่อเนื่อง หรือ
ในแต่ละอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาต่อยอดโซลูชั่นและนำ โครงการส่วนต่อขยาย ประมาณ 3-6 เดือน
เสนอไปยังลูกค้ารายอื่นที่มีความต้องการที่คล้ายคลึง
กันได้ (Repeatable Solution)
ระยะเวลานำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ (Pre Sales)
ประมาณ 3-6 เดือน
ระยะเวลาโครงการทั่วไปประมาณ 1-6 เดือน และ
สำหรับโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลประมาณ 9-
12 เดือน
4.พันธมิตรทางธุรกิจ
ได้รับการแต่งตั้งเป็นพันธมิตรระดับสูงของเจ้าของผลิตภัณฑ์ เน้นการออกแบบโซลูชั่นโดยอาศัยความเชี่ยวชาญของ
ชั้นนำของโลกเกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีดิจิทัลหลายราย เช่น ทีมพัฒนาภายในองค์กร ซึ่งอาจมีการว่าจ้างผู้ให้บริการ
Dell Technologies Titanium Partner, Hewlett Packard สำหรับงานที่อาศัยความเชี่ยวชาญหรือเทคโนโลยีที่
Enterprise (HPE) Gold Partner, Expertise Oracle Partner เฉพาะทาง
Network, Red Hat Advance Business Partner และ
TABLEAU Premier Partner เป็นต้น บริษัทฯ จึงได้รับการ
สนับสนุนจากบริษัทผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายในการให้ความรู้
เกี่ยวกับเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะนำออกสู่ตลาด
รวมถึงการสนับสนุนทั้งก่อนการขาย เทคนิคการบริการหลัง
การขายและด้านการตลาด ตลอดจนการจัดฝึกอบรมเพื่อ
พัฒนาศักยภาพและความชำนาญของทีมงาน
5.ทีมงานและบุคลากร
ทีมงานต้องมีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ ในการออกแบบระบบงานให้หน่วยงานภาครัฐ
ระดับสูง รวมทั้งต้องมีการติดตามข่าวสารเทคโนโลยี นอกจากทักษะด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ และการควบคุม
อย่างใกล้ชิด รวมถึงการอบรมเพิ่มทักษะและพัฒนา โครงการ ทีมงานต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมาย
บุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และระบบงานราชการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง
เทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ทีมงาน ระบบงบประมาณ ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้อง
จะต้องเข้ารับการอบรมจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ ตาม
เงื่อนไขที่เจ้าของผลิตภัณฑ์กำหนดรวมถึงทักษะในกา
G-Able CDGS
รบูรณาการต่อยอดโซลูชั่นจากผลิตภัณฑ์ของเจ้าของ
ผลิตภัณฑ์ระดับโลก เพื่อนำมาปรับให้เข้ากับความ
ต้องการของลูกค้า
ทีมงานจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจ
กระบวนการทำงาน ความต้องการ และข้อจำกัดใน
แต่ละอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เพื่อที่จะสามารถให้คำ
แนะนำในการออกแบบและพัฒนาโซลูชั่นให้แก่ลูกค้าได้
อย่างครอบคลุมและครบถ้วน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้
บริษัทฯ ได้รับการยอมรับจากลูกค้าซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำ
ในหลากหลายอุตสาหกรรม
1.3.2.1.2 ความอิสระในการบริหารงานและการถ่วงดุล
1) โครงสร้างการถือหุ้น
กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ G-Able ประกอบด้วย ผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหมด 4 กลุ่ม ประกอบด้วย (1) กลุ่มลิ่ว
เจริญ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 28.68 (2) กลุ่มเอื้อวัฒนสกุล ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 26.63 (3) กลุ่ม
ชันซื่อ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 21.65 และ (4) กลุ่มพันธุมวนิช ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 15.08
กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ CDGS นับรวมสัดส่วนการถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบด้วย กลุ่มผู้
ถือหุ้นใหญ่ทั้งหมด 3 กลุ่ม ประกอบด้วย (1) กลุ่มลิ่วเจริญ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 41.25 (2) กลุ่ม
เอื้อวัฒนสกุล ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 40.00 (3) กลุ่มชันซื่อ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 13.88
กลุ่มผู้ถือหุ้นข้างต้นไม่มีลักษณะความสัมพันธ์หรือพฤติกรรมที่เข้าลักษณะเป็นการกระทำร่วมกับ
บุคคลอื่นตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 7/2552
กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่แต่ละกลุ่มมีการแต่งตั้งกรรมการตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยกรรมการทั้งหมดที่เป็น
ตัวแทนของกลุ่มผู้ถือหุ้นนั้น เป็นกรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร (Non-Executive Director)
2) โครงสร้างกรรมการและผู้บริหาร
G-Able และ CDGS ไม่มีกรรมการและผู้บริหารร่วมกัน นอกจากนี้ กรรมการของ G-Able ยังประกอบ
ด้วย กรรมการอิสระ จำนวน 3 ท่าน จากกรรมการทั้งหมด 9 ท่าน เพื่อช่วยถ่วงดุลและตรวจสอบการ
ดำเนินธุรกิจให้มีความโปร่งใสและเป็นอิสระ
3) การไม่พึ่งพิงกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม G-Able และ CDGS ไม่ได้มีการพึ่งพิงซึ่งกันและกัน ทั้งสองบริษัทไม่มีผู้
บริหาร หรือบุคลากร รวมถึงไม่มีการใช้ทรัพย์สินหรือทรัพยากรร่วมกัน ไม่มีการช่วยเหลือทางการเงิน
นอกจากนี้ รายการซื้อขายระหว่างกันเป็นรายการที่มีลักษณะการค้าปกติ โดยมีราคาและเงื่อนไขในการ
ทำรายการที่สามารถเทียบเคียงได้กับการทำรายการกับบุคคลภายนอกและผ่านขั้นตอนการคัดเลือก
เสมือนทำกับคู่ค้ารายอื่น โดยในปี 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีรายการขายสินค้าและบริการให้ CDGS จำนวน
13.02 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.28 ของรายได้จากการขายและบริการ และมีรายการซื้อสินค้าและ
บริการจาก CDGS จำนวน 0.11 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.004 ของมูลค่าการซื้อรวม
4) มาตรการป้ องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์
นับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และยินยอมให้หุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดของผู้ถือหุ้นดังกล่าว รวมจำนวน 111,410,306 หุ้น คิดเป็น
ร้อยละ 15.92 ของหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ ถูกจำกัดการขายภายใน 6 เดือน นับ
ตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตามความสมัครใจของกลุ่มผู้ถือหุ้นดังกล่าว
(4) นายสตีฟ ติง ตวน ทูน ยินยอมให้หุ้นของ GABLE ที่ตนถืออยู่จำนวน 6,562,500 หุ้น คิดเป็นร้อยละ
0.94 ของหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ ถูกจำกัดการขายภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่
เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตามความสมัครใจของผู้ถือหุ้นดังกล่าว
1.3.3.2 ข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีผลกระทบต่อการออกและเสนอขายหลักทรัพย์หรือการบริหารงานของบริ
ษัทฯ และบริษัทย่อย และสาระสำคัญต่อการดำเนินงาน
-ไม่มี-
1.4 จำนวนทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว
ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 707,500,000 บาท โดยเป็นทุนที่เรียกชำระแล้วจำนวน
525,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 525,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ทั้งนี้ ที่ประชุมวิสามัญผู้
ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ได้มีมติอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังนี้
1. จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวน 175,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อ
เสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของบริษัทฯ ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
2. จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 7,500,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิ
ตามใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งเสนอขายให้แก่ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยตามโครงการ
GABLE ESOP-W1
1.5 การออกหลักทรัพย์อื่น
ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ได้มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายใบ
สำคัญแสดงสิทธิที่สำหรับการเสนอขายให้แก่ ผู้บริหาร (รวมถึงผู้บริหารซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการ) และ/หรือพนักงาน
ของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อยภายใต้โครงการเสนอขายหลักทรัพย์ให้แก่ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัท
และ/หรือบริษัทย่อย (โครงการ GABLE ESOP-W1) โดยมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท : ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน)
(บริษัท) (“ใบสำคัญแสดงสิทธิฯ”)
ชนิด : ระบุชื่อผู้ถือและสามารถโอนเปลี่ยนมือได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดข้อกำหนดการโอนสำหรับ GABLE ESOP-W1
กับทางสำนักงาน ก.ล.ต. โดยระบุว่าบริษัทฯ จะไม่รับจดทะเบียนการใบสำคัญ
แสดงสิทธิไม่ว่าทอดใดๆ หากการโอนดังกล่าวจะทำให้ใบสำคัญแสดงสิทธิที่
เสนอขายในครั้งนั้นไม่สามารถจำกัดผู้ถือหลักทรัพย์ในกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้บริหาร
(รวมถึงผู้บริหารซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการ) และ/หรือพนักงานของบริษัทได้
เว้นแต่มีข้อตกลงเป็นประการอื่นในกรณีที่ผู้บริหาร กรรมการหรือพนักงานเสีย
ชีวิต
อายุใบสำคัญแสดงสิทธิฯ : 3 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ภายใต้โครงการ GABLE ESOP-W1
ทั้งนี้ ภายหลังการออกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ บริษัทจะไม่ขยายอายุใบสำคัญ
แสดงสิทธิฯ
จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิฯ : ไม่เกิน 7,500,000 หน่วย
ที่ออกและเสนอขาย
จำนวนหุ้นที่ออกเพื่อรองรับ : จำนวนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 7,500,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น
ใบสำคัญแสดงสิทธิฯ สัดส่วนร้อยละ 1.06 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ภาย
หลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของบริษัทต่อประชาชนเป็นครั้ง
แรก (IPO)
ราคาเสนอขายต่อหน่วย : -0- บาท
อัตราการใช้สิทธิ : ใบสำคัญแสดงสิทธิฯ 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น (อาจเปลี่ยนแปลงใน
ภายหลังตามเงื่อนไขการปรับสิทธิ)
ช่วงเวลา สัดส่วนใบสำคัญแสดงสิทธิ
GABLE ESOP-W1
ที่สามารถใช้สิทธิได้ในแต่ละช่วง
เวลา
นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ร้อยละ 30 ของจำนวนใบสำคัญแสดง
จนถึงวันกำหนดใช้สิทธิครั้งสุดท้าย สิทธิ GABLE ESOP-W1 ที่บุคคลดัง
กล่าวได้รับจัดสรรทั้งหมด
นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 จนถึง ร้อยละ 65 ของจำนวนใบสำคัญแสดง
วันกำหนดใช้สิทธิครั้งสุดท้าย สิทธิ GABLE ESOP-W1 ที่บุคคลดัง
กล่าวได้รับจัดสรรทั้งหมด
นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 จนถึง ร้อยละ 100 ของจำนวนใบสำคัญ
วันกำหนดใช้สิทธิครั้งสุดท้าย แสดงสิทธิ GABLE ESOP-W1
ทั้งหมด
หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการจัดสรรและการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิฯ
1. บริษัทฯ จะจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ให้แก่ผู้บริหาร (รวมถึงผู้บริหารซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัท
และ/หรือบริษัทย่อย) และ/หรือพนักงานของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อยย่อย ตามเกณฑ์การจัดสรรที่บริษัท
กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับจากวันที่บริษัทได้รับอนุญาตให้ออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิฯ
จากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีมติอนุมัติเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทต่อผู้
บริหารและ/หรือพนักงานของบริษัทและ/หรือบริษัทย่อย
2. ในกรณีที่มีใบสำคัญแสดงสิทธิฯ เหลือจากการจัดสรรในครั้งนี้ และใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ที่ไม่ได้มีการใช้สิทธิ
ภายในอายุของใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ให้ยกเลิกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ดังกล่าวทั้งหมด
3. ไม่มีผู้บริหาร และ/หรือพนักงานคนใดที่จะได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิฯ เกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนใบ
สำคัญแสดงสิทธิฯ ที่ออกและเสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้ ทั้งนี้ หากผู้บริหารหรือพนักงานรายใดจะได้รับจัดสรร
ใบสำคัญแสดงสิทธิฯ เกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ที่ออกและเสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้
บริษัทจะต้องนำเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการจัดสรรดังกล่าวก่อนเป็นรายบุคคล
4. คุณสมบัติของผู้บริหาร (รวมถึงผู้บริหารซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัทและ/หรือบริษัทย่อย) และ/หรือ
พนักงานของบริษัทและ/หรือบริษัทย่อยที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิฯ มีดังนี้
(ก) มีสถานะเป็นผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อย ในวันที่ออกและเสนอขายใบ
สำคัญแสดงสิทธิฯ
(ข) จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ที่ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานแต่ละรายจะได้รับ ไม่จำเป็นต้องมีจำนวนเท่า
กัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ ประสบการณ์ อายุงาน ผลงาน และ
ศักยภาพในการเติบโตของพนักงาน รวมถึงคุณประโยชน์ที่ทำให้แก่บริษัท
(ค) ในกรณีอื่นๆ นอกจากข้อ (ก) และ (ข) ให้คณะกรรมการสรรหา พิจารณาค่าตอบแทนและกำกับดูแล
กิจการ หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายคณะกรรมการสรรหา พิจารณาค่าตอบแทนและกำกับดูแลกิจการ
เป็นผู้มีดุลพินิจกำหนดเป็นกรณีพิเศษ
ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหา พิจารณาค่าตอบแทนและกำกับดูแลกิจการ หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากคณะ
กรรมการสรรหา พิจารณาค่าตอบแทนและกำกับดูแลกิจการจะเป็นผู้กำหนดรายชื่อและ/หรือคุณสมบัติของผู้
บริหาร และ/หรือพนักงานที่จะได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิฯ และจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ที่จะ
จัดสรรให้แก่ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานแต่ละราย รวมถึงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและรายละเอียดอื่น ๆ ที่
เกี่ยวข้อง
1.6 นโยบายการจ่ายเงินปันผล
1.6.1 นโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ