Professional Documents
Culture Documents
เภสัชกรรมไทย
ตําราแพทยแผนโบราณทั่วไป
สาขาเภสัชกรรม กองการประกอบโรคศิลปะ
ที่ปรึกษา
๑. นายทรงยศ ชัยชนะ ผูอ้ าํ นวยการกองการประกอบโรคศิลปะ
๒. นายไพบูลย์ แก้วกาญจน์ ประธานอนุกรรมการแผนโบราณทั ่วไป
ผู้รวบรวมและเรียบเรียง
๑. นางอุบล มณีกุล
๒. นางสาวกมลภัค สําราญจิตร์
คณะกรรมการพัฒนาตํารา
๑. นายประกิต สุมนกาญจน์ ประธานกรรมการ
๒. นายสุวตั ร์ ตัง้ จิตรเจริญ รองประธานกรรมการ
๓. นายวสันต์ ไชยฉกรรจ์ กรรมการ
๔. นายปริญญา อุทศิ ชลานนท์ กรรมการ
๕. นายเล็ก ธนแก่น กรรมการ
๖. นายโกมล ล้วนแก้ว กรรมการ
๗. นายสินทร ไชยฉกรรจ์ กรรมการ
๘. นายชัยยง ธรรมรัตน์ กรรมการ
๙. นายสมบูรณ์ ลิม้ ประเสริฐ กรรมการ
๑๐. นางอุบล มณีกุล กรรมการ
๑๑. นางสาวกมลภัค สําราญจิตร์ กรรมการและเลขานุ การ
๑๒. นางกัญญา อุ่นสมัย กรรมการและผูช้ ่วยเลขานุการ
คํานํา
กองการประกอบโรคศิ ลปะ
สารบัญ
หน้า
บทที่ ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเภสัชกรรม ๑
๑. ประวัตคิ วามเป็นมาของการแพทย์แผนโบราณ ๑
๒. จรรยาเภสัช ๓
๓. หลักเภสัช ๔ ประการ ๔
๔. ประวัตยิ าเบญจกูล ๕
บทที่ ๒ เภสัชวัตถุ ๗
๑. หลักในการพิจารณาตัวยา ๕ ประการ ๗
๒. พืชวัตถุ ๘
๓. สัตว์วตั ถุ ๑๐๓
๔. ธาตุวตั ถุ ๑๐๖
๕. ตัวอย่างเดียวเรียกได้หลายชื่อ ๑๐๘
๖. ตัวยามีสรรพคุณใกล้เคียง ๑๑๑
๗. การเก็บยา ๑๐๒
๘. ตัวยาประจําธาตุ ๑๐๓
๙. สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน ๑๐๔
๑๐. สมุนไพรทีเ่ ป็นพืชเศรษฐกิจ ๑๔๓
บรรณานุกรม ๒๐๓
ภาคผนวก ก. ๒๒๔
การสับยา ๒๒๕
การอบยา ๒๒๖
การบดยา ๒๒๗
การร่อนยา ๒๒๘
วิธกี ารปรุงยาตามหลักการยาแผนโบราณ ๒๓๐
ภาคผนวก ข. ๒๕๘
แบบปฏิบตั กิ ารเภสัชวัตถุ ๒๕๙
แบบปฏิบตั กิ ารสัตว์วตั ถุ ๒๖๓
แบบปฏิบตั กิ ารธาตุวตั ถุ ๒๔๒
แบบปฏิบตั กิ ารสรรพคุณเภสัช ๒๖๘
แบบปฏิบตั กิ ารคณาเภสัช ๒๗๑
สารบัญแผนภูมิ
หน้า
แผนภูมิที่ ๑ หลักเภสัช ๔ ๖
บทที่ ๑
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเภสัชกรรม
๑. ประวัติความเป็ นมา
๑.๑ ประวัติความเป็ นมาของการแพทย์แผนโบราณ
ประวัตกิ ารแพทย์แผนโบราณนัน้ เริม่ มีบนั ทึกไว้ตงั ้ แต่สมัยพุทธกาล ซึง่ ในสมัยนัน้ มีชาย
ผูห้ นึ่ง ชื่อ ชีวกโกมารภัจจ์ มีความสนใจในการศึกษาวิชาแพทย์ เพราะเห็นว่าเป็นวิชาชีพทีไ่ ม่
เบียดเบียนผูใ้ ด ท่านเป็นผูท้ เ่ี ปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ปรารถนาทีจ่ ะให้มนุษย์มคี วามสุข
จึงได้ไปศึกษาวิชาการทางการแพทย์ในสํานักทิศาปาโมกข์แห่งเมืองตักศิลา ท่านเป็นผูท้ ่ี ฉลาดมี
ความสามารถในการเรียนรู้ เรียนได้มาก เรีย นได้เร็ว ความทรงจําดี ใช้เวลาเรียนน้อยกว่าผูอ้ ่นื
เมื่อจบวิชาแพทย์แล้ว สามารถรักษาคนไข้ครัง้ เดียวก็หายได้ ในเวลาต่อมาพระเจ้าพิมพิสาร ทรง
ประชวรด้วยโรคริดสีดวงทวาร ก็ทรงโปรดให้หมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปถวายการรักษา หมอชีวก
โกมารภัจจ์ท่านได้ถวายการรักษาด้วยการทายาเพียงครัง้ เดียว พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงหายจากโรค
ทีเ่ ป็น จึงโปรดให้เป็นแพทย์หลวงประจําพระองค์และบํารุงพระสงฆ์ นับว่าหมอชีวกโกมารภัจจ์
เป็นแพทย์ผมู้ คี วามรูค้ วามสามารถตัง้ แต่ในครัง้ พุทธกาล และมีผเู้ คารพผกย่องมากมาย
๑.๒ ประวัติการแพทย์แผนโบราณในประเทศไทย
๑.๒.๑ การแพทย์แผนโบราณสมัยก่อนรัตนโกสินทร์
ประวัตกิ ารแพทย์แผนโบราณในประเทศไทยนัน้ ได้มกี ารค้นพบศิลาจารึก
ของอาณาจักรขอมประมารปี พ.ศ. ๑๗๒๕-๑๗๒๙ ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงบําเพ็ญพระ
ราชกุศลโดยการสร้างสถานพยาบาล เรียกว่า อโธคยาศาลา โดยมีผทู้ าํ หน้าทีร่ กั ษาพยาบาล
ได้แก่ หมอ พยาบาล เภสัชกร รวม ๙๒ คน มีพธิ กี รรมบวงสรวงพระไภสั ชยคุรุไวฑูรย์ ด้วยยา
และอาหารก่อนแจกจ่ายไปยังผูป้ ว่ ย ต่อมามีการค้นพบหินบดยาสมัยทวาราวดีและศิลาจารึกของพ่อ
ขุนรามคําแหงมหาราช ในสมัยสุโขทัยได้บนั ทึกไว้วา่ ทรงสร้างสวนสมุนไพรขนาดใหญ่บนเขาหลวง
หรือเขาสรรพยา เพื่อให้ราษฏรได้เก็บสมุนไพรไปใช้รกั ษาโรคยามเจ็บปว่ ย
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้คน้ พบบันทึกว่า
มีระบบการจัดหายาทีช่ ดั เจนสําหรับราษฏร มีแหล่งจําหน่ายยาและสมุนไพรหลายแห่งทัง้ ในและ
นอกกําแพงเมือง มีการรวบรวมตํารับยาต่างๆ ขึน้ เป็นครัง้ แรกในประวัตศิ าสตร์การแพทย์โบราณ
เรียกว่า “ตําราพระโอสถพระนารายณ์” การแพทย์แผนโบราณมีความรุ่งเรืองมากโดยเฉพาะการ
นวด ในสมัยนี้การแพทย์แผนตะวันตกเริม่ เข้ามามีบทบาท โดยมิชชันนารีชาวฝรั ่งเศสเข้ามาจัดตัง้
โรงพยาบาลรักษาโรค แต่ขาดความนิยมจึงได้ลม้ เลิกไป
2
๑.๒.๒ การแพทย์แผนโบราณในสมัยรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรง
ปฏิสงั ขรณ์วดั โพธาราม หรือ “วัดโพธิ ์ ” ขึน้ เป็นพระอารามหลวง ให้ช่อื ว่า “วัดพระเช ตุพนวิมล
มังคลาราม” ทรงให้มกี ารรวบรวมและจารึกตํารายา ฤๅษีดดั ตน ตําราการนวดไว้ตามศาลารายส่วน
การจัดหายาของทางราชการมีการจัดตัง้ กรมหมอและโรงพระโอสถคล้ายกับในสมัยอยุธยา แพทย์ทร่ี บั
ราชการ เรียกว่า หมอหลวง ส่วนหมอทีร่ กั ษาราษฎรทั ่วไป เรียกว่”หมอราษฎร
า ” หรือ “หมอเชลยศักดิ” ์
รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเห็นว่าคัมภีร์
แพทย์โรงพระโอสถสมัยอยุธยานัน้ สูญหายไป เนื่องจากตอนนัน้ มีสงครามกับพม่า ๒ ครัง้ บ้านเมือง
ถูกทําลายและราษฎรรวมทัง้ หมอแผนโบราณถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ทําให้ตาํ รายาและข้อมู ล
เกีย่ วกับการแพทย์ของไทยถูกทําลายไปด้วย จึงมีพระบรมราชโองการให้เหล่า ผูช้ าํ นาญโรคและ
สรรพคุณยา รวมทัง้ ผูท้ ม่ี ตี าํ รายานําเข้ามาถวายและให้กรมหมอหลวงคัดเลือก ให้จดเป็นตําราหลวง
สําหรับโรงพระโอสถ และในปี พ.ศ.๒๓๕๙ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายชื่อว่า
“กฎหมายพนักงานพระโอสถถวาย”
รัชกาลที่ ๓ พระบ าทสมเด็จพระนั ่งเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงปฏิสงั ขรณ์
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกครัง้ ทรงโปรดเกล้าฯให้มกี ารจัดตัง้ โรงเรี ยนแพทย์แผนโบราณ
แห่งแรก คือ “โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ ์” ในงานฉลองวัดโพธิ ์สมัยนัน้ ทรงดําริวา่ อันตํารายา
ไทยและการรักษาโรคแบบอื่นๆ เช่น การบีบนวด ประคบ หมอทีม่ ชี ่อื เสียงต่างก็หวงตําราของแต่ละ
คนไว้เป็นความลับ ตลอดจนทรงดําริวา่ การรักษาโรคทางตะวันตกกําลังแผ่อทิ ธิ พลลงเข้ามาใน
ประเทศสยาม และในเวลาอันใกล้น่าจะบดบังรัศมี ของการแพทย์แผ นโบราณเสียหมดสิน้ สุดท้าย
อาจไม่มตี าํ รายาไทยเหลืออยูเ่ พื่อประโยชน์ของอนุ ชนรุ่นหลังก็ได้ จึงทรงประกาศให้ผมู้ ตี าํ รับตํารายา
โบราณทั ่งหลายทีม่ สี รรพคุณดีและเชื่อถือได้ เท่าทีม่ อี ยูส่ มัยนัน้ นํามาจารึกเป็นหลักฐานไว้บนหิน
อ่อน ประดับไว้บนผนังพระอุโบสถ ศาลาราย เสา และกําแพงวิหารคดรอบพระเจดียส์ อ่ี งค์ และตาม
ศาลาต่างๆ ของวัดโพธิ ์ ทีป่ ฏิสงั ขรณ์ในครัง้ นัน้ การจารึกนี้เป็นตําราบอกสมุฏฐานของโรคและ
วิธกี ารรักษา และยังได้มกี ารจัดหาสมุนไพรทีใ่ ช้ปรุงยาและหายากมาปลูกไว้ในวัดโพธิ ์เป็นจํานวน
มาก นอกจากนัน้ ได้ทรงให้ปนรู ั ้ ปฤาษีดดั ตนในท่าต่างๆ เพื่อช่วยให้ผปู้ ระสงค์จะฝึกตนเป็นแพทย์
หรือหาทางบําบัดตนได้ศกึ ษาเป็นสาธารณะทาน นับว่าเป็นการจัดการศึกษาให้กบั ประชาชนรูปแบบ
หนึ่ง ตํารายาเหล่านี้พอจะทราบกันดีในบรรดาหมอไทยว่า ตํารายาดีจริงๆนัน้ คงไม่ได้รบั การ
เปิดเผยอย่างแท้จริง แต่กเ็ ป็นอนุสรณ์และเป็นโรงเรียนการแพทย์ของเมืองไทย รัชสมัยนี้มกี ารนําเอา
การแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาเผย แพร่โดยคณะมิชชันนารีชาวอเมริกนั โดยการนําของนายแพทย์
แดน บีช บรัดเลย์ ซึง่ คนไทยเรียกว่า“หมอบรัดเลย์” เช่น การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษการใช้ยาเม็ดควินิน
รักษาโรคไข้จบั สั ่นเป็นต้น
รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ได้นําการแพทย์แผน
ตะวันตกมาใช้มากขึน้ เช่น การสูตกิ รรมสมัยใหม่ แต่ไม่สามารถให้ประชาชนเปลีย่ นความนิยมได้
3
เพราะการรักษาพยาบาลแผนโบราณของไทย เป็นจารีตประเพณีและวัฒนธรรมสืบเนื่องกันมาและ
เป็นส่วนหนึ่งของวิถชี วี ติ ของไทย
รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั มีการจัดตัง้ ศิรริ าช
พยาบาลใน พ .ศ.๒๔๓๑ มีการเรียนการสอนและให้การรักษาทัง้ การแพทย์ทงั ้ แผนโบราณและ
แผนตะวันตกร่วมกันหลักสูตร ๓ ปี การจัดการเรียนการสอนและบริการรักษาทางการแพทย์
ทัง้ แผนโบราณและแผนตะวันตกร่วมกันเป็นไปด้วยความยากลําบาก มีการขัดแย้งระหว่างผูส้ อน
และผูเ้ รียนเป็นอย่างมาก ด้วยหลักการแนวคิด และวิธกี ารเรียนการสอนทีแ่ ตกต่างกัน ทําให้ยาก
ทีจ่ ะ ผสมผสานกันได้ มีการพิมพ์ตาํ ราแพทย์สาํ หรับใช้ในโรงเรียนแพทย์เป็นครัง้ แรกในปี
พ.ศ. ๒๔๓๘ โดยพระยาพิษณุ ชื่อตํารา “แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ” ได้รบั ยกย่อ งให้เป็นตํารา
แห่งชาติฉบับแรก ต่อมาพระยาพิษณุประสาทเวชเห็นว่า ตําราเหล่านี้ยากแก่ผศู้ กึ ษาจึงได้พมิ พ์ตาํ รา
ขึน้ ใหม่ ได้แก่ ตําราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวง ๒ เล่ม และตําราแ พทย์ศาสตร์สงั เขป ๓
เล่ม ซึง่ ยังคงใช้เป็นตําราทางการแพทย์มาจนทุกวันนี้
รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั มีการสั ่งยกเลิก
วิชาการแพทย์แผนโบราณ และต่อมาในปี พ .ศ. ๒๔๖๖ มีประกาศให้ใ ช้พระราชบัญญัตกิ ารแพทย์
เป็นการ ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ เพื่อป้องกันอันตรายทีอ่ าจเกิดกับประชาชน อันเนื่องมาจาก
การประกอบโรคศิลปะของผูทีไ่ ม่้ มคี วามรูแ้ ละมิได้ฝึกหัดด้วยความไม่พร้อมในด้านการเรียนการสอ
น การสอบ และ
การประชาสัมพันธ์ทําให้หมอพืน้ บ้านจํานวนมากกลัวถูกจับจึงเลิกประกอบอาชีพนี้ บ้างก็เผาตําราทิง้
รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั ได้ตรากฎหมายเสนาบดี
แบ่งการประกอบโรคศิลปะออกเป็น“แผนปจั จุบนั ” และ”แผนโบราณ” โดยกําหนดไว้วา่
(1) ประเภทแผนปจั จุบนั คือ ผูป้ ระกอบโรคศิลปะโดยความรูจ้ าก
ตําราอันเป็นหลักวิชาโดยสากลนิยม ซึง่ ดําเนินและจําเริญขึน้ โดยอาศัยการศึกษา ตรวจค้น และ
ทดลองของผูร้ ใู้ นทางวิทยาศาสตร์ท ั ่วโลก
(2) ประเภทแผนโบราณ คือ ผูป้ ระกอบโรคศิลปะโดยอ าศัย
ความสังเกต ความชํานาญ อันได้สบื ต่อกันมาเป็นที่ ตัง้ หรืออาศัยตําราอันมีมาแต่โบราณ
มิได้ดาํ เนินไปในทางวิทยาศาสตร์
รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช
ในรัชสมัยนี้มกี ารจัดตัง้ สมาคมของโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ ได้ก่อตัง้ ขึน้ ทีว่ ดั โพธิ ์ กรุงเทพฯ
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นับนัน้ มา สมาคมต่างๆ ก็ได้แตกสาขาออกไป ป ั จจุบนั ก็มโี รงเรียนแพทย์ แผน
โบราณทีม่ กี ารดําเนินงานอย่างต่อเนื่องอยูเ่ ป็นจํานวนมาก ทัง้ ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดใน ปี พ.ศ.
๒๕๒๕ ได้ก่อตัง้ โรงเรียนอายุรเวทวิทยาลัย (ชีวกโกมารภัจจ์) ให้การอบรมศึกษาด้านการแพทย์แผน
โบราณแบบประยุกต์มาจนกระทั ่งทุกวันนี้
4
๒. จรรยาเภสัช
ผูท้ จ่ี ะเป็นเภสัชกรนอกจากจะต้องศึกษาถึงหลักเภสัชกรรมแล้ว ยังจะต้องมีคุณธรรม คือ
ต้องมีจรรยาทีด่ งี าม ซึง่ จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้ประพฤติดี ปฏิบตั ใิ นทางทีถ่ ูกทีค่ วรและชอบธรรม
เป็นทางนําความสุขความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตน จรรยาเภสัช ๔ ประการ มีดงั นี้
๒.๑ ต้องมีความขยันหมั ่นเพียร หมั ่นเอาใจใส่ศกึ ษาวิชาการแพทย์เพิม่ เติม ให้เหมาะแก่
กาลสมัยอยูเ่ สมอ โดยไม่เกียจคร้าน
๒.๒ ต้องพิ จาณาหาเหตุผลในการปฏิ บตั ิ งานด้วยความสะอาด ประณีต ไม่ประมาทไม่มกั ง่าย
๒.๓ ต้องมีความซื่อสัตย์สจุ ริต และมีเมตตาจิตแก่ผใู้ ช้ยา ไม่โลภเห็นแก่ลาภ โดยหวัง
ผลกําไรมากเกินควร
๒.๔ ต้องละอายต่อบาป ไม่กล่าวเท็จหรือกล่าวโอ้อวด ให้ผอู้ ่นื หลงเชื่อในความรู้
ความสามารถอันเหลวไหลของตน
๒.๕ ต้องปรึกษาผู้ชาํ นาญ เมื่อเกิดการสงสัยในตัวยาชนิดใด หรือวิธปี รุงยา โดยไม่
ปิดบังความเขลาของตน
ความสําคัญขอ งจรรยาเภสัชนี้ เพื่อให้เภสัชกรระลึกอยูเ่ สมอว่าการปรุงยา หรือผสมยา
หรือการประดิษฐ์วตั ถุใดๆ ขึน้ เป็นยาสําหรับมนุ ษย์ ต้องมีความรับผิดชอบต่อชีวติ มนุ ษย์ จะต้อง
มีความสะอาด ประณีต รอบคอบ นึกถึงอยูเ่ สมอว่าเป็นสิง่ ทีบ่ าํ บัดโรคภัยไข้เจ็บต่อชีวติ มนุษย์
มิใช่เป็นยาทําลายชีวติ มนุษย์ ฉะนัน้ เภสัชกรจึงต้องมีจติ ใจบริสุทธิ ์ยึดหลักจรรยาเภสัชเปรียบ
เหมือนศีล ๕ เป็นข้อยึดเหนี่ยวหรือเป็นกฎข้อบังคับเตือนใจเตือนสติให้ผเู้ ป็นเภสัชกร ประพฤติ
ปฏิบตั ไิ ปในทางทีถ่ ูกทีค่ วรเป็นทางนําไปสู่คุณงามความดี และนําความเจริญก้าวห น้าแห่งวิชาชีพ
สืบต่อไปชั ่วกาลนาน
๓. หลักเภสัช ๔ ประการ
การศึกษาวิชาเภสัชกรรมแผนโบราณ จําเป็นต้องรูห้ ลักสําคัญของการศึกษาวิชานี้ เพื่อได้
จดจําง่ายได้จดั ไว้เป็นหลักฐานใหญ่ๆ ทีเ่ รียกว่า “หลักเภสัช ” โดยจําแนกออกเป็น ๔ บท
เพราะผูท้ จ่ี ะเป็นเภสัชกรแผนโบราณจําเป็นต้องรูห้ ลักใหญ่ ๔ ประการนี้ก่อน คือ
๓.๑ เภสัชวัตถุ คือ รูจ้ กั วัตถุธาตุนานาชนิดทีจ่ ะนํามาใช้เป็นยารักษาโรคและรักษาไข้
จะต้องรูล้ กั ษณะพืน้ ฐานของตัวยาหรือสมุนไพรแต่ละชนิดคือ ต้องรูจ้ กั ชื่อ ลักษณะ สี กลิน่ และรส
๓.๒ สรรพคุณเภสัช คือ รูจ้ กั สรรพคุณของวัตถุนานาชนิดทีจ่ ะนํามาใช้เป็นยา จะต้องรู้
รสของตัวยานัน้ ๆก่อนจึงสามารถทราบสรรพคุณได้ภายหลัง
๓.๓ คณาเภสัช
คือ รูจ้ กั การจัดหมวดหมู่ตวั ยาหลายสิง่ หลายอย่าง รวมเรียกเป็นชื่อเดียว
๓.๔ เภสัชกรรม
คือ รูจ้ กั การปรุงยาผสมเครื่องยาหรือตัวยา ตามทีก่ าํ หนดในตํารับยา หรือตามใบสั ่ง
5
๔. ประวัติยาเบญจกูล
เบญจกูล หรือ พิกดั เบญจกูล เป็นพิกดั ยาทีใ่ ช้กนั มากในตํารับยาไทย เพราะว่าใช้ประจํา
ในธาตุทงั ้ ๔ คือ ดิน นํ้า ลม ไฟ ในร่างกายของคนเรา ทัง้ ยังใช้แก้ในกองฤดู กองสมุงๆอี ฏฐานต่
กด้วาย
พระอาจารย์ท่านได้กล่าวสืบต่อกันมาว่ามีฤๅษี ๖ ตน ซึง่ แต่ละคนได้คน้ คว้าตัวยา โดย
บังเอิญตัวแต่ละอย่างนัน้ มีสรรพคุณรักษาโรค และสมุฏฐานต่างๆได้ ซึง่ มีประวัตดิ งั นี้
ฤๅษีตนหนึ่งชื่อ “ปพั พะตัง” บริโภคซึง่ ผลดีปลี เชื่อว่า อาจจะระงับอชิณโรคได้ (แพ้ของแสลง)
ฤๅษีตนหนึ่งชื่อ “อุธา” บริโภคซึง่ รากช้าพลู เชื่อว่า อาจจะระงับซึง่ เมื่อยขบได้
ฤๅษีตนหนึ่งชื่อ “บุพเทวา” บริโภคซึง่ เถาสะค้าน เชื่อว่า อาจระงับเสมหะและวาโยได้
ฤๅษีตนหนึ่งชื่อ “บุพพรต” บริโภคซึง่ รากเจตมูลเพลิง เชื่อว่า อาจจะระงับโรคอันบังเกิดแต่ดี
อันทําให้หนาวและเย็นได้
ฤๅษีตนหนึ่งชื่อ “มหิทธิธรรม” บริโภคซึง่ เหง้าขิง เชื่อว่า อาจระงับตรีโทษได้
ฤๅษีตนหนึ่งชื่อ “มุรทาธร ” เป็นผูป้ ระมวลสรรพยาทัง้ หมดนี้เข้าด้วยกัน ให้ช่อื ว่า เบญจกูล
เสมอภาค เชื่อว่า ยาเบญจกูลนี้ อาจระงับโรคอันบังเกิดแก่ ทวัตติงสาการ คือ อาการ ๓๒ ของ
ร่างกายมีผมเป็นต้นและมันสมองเป็นทีส่ ุด และบํารุงธาตุทงั ้ ๔ ให้บริบรู ณ์
ตัวยาแต่ละตัวในเบญจกูล ใช้เป็นยาประจําธาตุได้ดงั นี้
แผนภูมิที่ ๑ หลักเภสัช ๔
หลักเภสัช ๔ ประการ
๑.๑ พืชวัตถุ ๑.๒ สัตว์วตั ถุ ๑.๓ ธาตุวตั ถุ ๒.๑ ยารสประธาน ๓ รส ๒.๒ รสของตัวยา ๓.๑ จุลพิกดั ๓.๒ พิกดั ๓.๓ มหาพิกดั ๔.๑วิธปี รุงยา ๔.๒ การใช้ยา ๔.๓ ยาสามัญ
(ตัวยาอย่างเดียวกัน) อันตราย ประจําบ้าน
- พืชจําพวกต้น - สัตว์บก - ธาตุสลายตัวง่าย - ยารสเย็น - ต่างกันที่ - พิกดั ยา 2 สิง่ - มหาพิกดั - ยาผง - การสะตุ (กระทรวง
- พืชจําพวกเครือ,เถา - สัตว์นํ้า - ธาตุสลายตัวยาก - ยารสร้อน ลักษณะ - พิกดั ยา 3 สิง่ ตรีกฎก - ยาเม็ด - การประสะ สาธารณสุข
- พืชจําพวกหัว,เหง้า - สัตว์อากาศ - ยารสสุขมุ - ต่างกันที่สี - พิกดั ยา 4 สิง่ - มหาพิกดั - ยานํ้า - การฆ่า ประกาศไว้ 28
- พืชจําพวกผัก - มหาพิกดั ตรีสาร - ยาเอาไอรม- ขนาน)
- พืชจําพวกหญ้า ตรีผลา สูดดมกลิน่
บทที่ ๒
เภสัชวัตถุ
๑.๒ สี คือ การรูส้ ขี องตัวยานัน้ ว่ามีสอี ะไร เช่น ใบไม้มสี เี ขียว กระดูกสัตว์มสี ขี าวแก่นฝางมีส ี
แดง ยาดํามีสดี าํ จุนสีมสี เี ขียว กํามะถันมีสเี หลือง เป็นต้น เรียกว่ารูจ้ กั สีของตัวยา
๑.๓ กลิ่ น คือ การรูก้ ลิน่ ของตัวยานัน้ ว่ามีกลิน่ เป็นอย่างไร อย่างนี้กลิน่ หอมหรือกลิน่ เหม็น
เช่น กฤษณา กํายาน อบเชย ดอกมะลิ ชะมดเช็ด อําพันทอง มีกลิน่ หอม ยาดํา กํามะถัน กระดูกสัตว์
มหาหิงคุ์ มีกลิน่ เหม็น เป็นต้น เรียกว่ารูจ้ กั กลิน่ ของตัวยา
๑.๔ รส คือ การรูร้ สของตัวยานัน้ ว่ามีรสเป็นอย่างไร ให้รวู้ า่ อย่างนี้รสจืด รสขม รสหวาน
รสเปรีย้ ว รสเมาเบื่อ รสเผ็ดร้อน รสมัน รสหอมเย็น รสเค็ม หรือฝาด เช่น พริกไทย มีรสร้อน มะนาว
มีรสเปรีย้ ว นํ้าผึง้ มีรสหวาน เป็นต้น เรียกว่ารูจ้ กั รสของตัวยา
๑.๕ ชื่อ คือ การรูช้ ่อื ของตัวยานัน้ ว่าเขาสมมติช่อื เรียกไว้อย่างไร เช่น สิง่ นัน้ เรียกชื่อเป็นข่า
กะทือ มะขาม วัว กวาง เสือ เกลือ กํามะถัน ศิลายอน เป็นต้น เรียกว่า รูจ้ กั ชื่อของตัวยา
ในหลัก ๕ ประการดังกล่าวมานี้ จะเป็นข้อพิสจู น์ทาํ ให้เรารูว้ า่ เป็นตัว ยาอะไร ฉะนัน้ การจะ
รูจ้ กั ตัวยาได้นนั ้ จึงต้องอาศัยหลัก ๕ ประการดังกล่าวนี้
๒. พืชวัตถุ
๒.๑ พืชจําพวกต้น ได้แก่ พืชพรรณไม้ เป็นต้นเล็ก ต้นใหญ่ เป็นกอ เป็นพุ่ม มีแก่นบ้าง
ไม่มแี ก่นบ้าง ซึง่ นิยมเรียกกันว่า ต้น ส่วนมากใช้ราก แก่น เปลือก ใบ ฝกั หรือลูก จะอธิบายถึงรสและ
สรรพคุณของส่วนทีใ่ ช้ทาํ ยาดังต่อไปนี้ :
กรรณิ กา(กันนิ กา) ไม้พุ่มขนาดใหญ่ หรือ ไม้ยนื ต้นขนาดเล็ก
ต้น รสขมเย็น สรรพคุณ แก้ปวดศีรษะ
ใบ รสขม สรรพคุณ บํารุงนํ้าดี
ดอก รสขมหวาน สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ลมวิงเวียน
ราก รสขม สรรพคุณ แก้ทอ้ งผูก บํารุงธาตุ บํารุงกําลัง บํารุงเส้นผม
ให้ดกดํา บํารุงผิวหนังให้สดชื่น
กฤษณา (ไม้หอม ) ไม้ตน้ ขนาดย่อม ถึงขนาดกลาง
เนื้อไม้ รสขมหวาน สรรพคุณ บํารุงโลหิต บํารุงหัวใจ บํารุงตับ ปอด แก้ลมหน้ามืดวิงเวียน
กันเกรา(ตําเสา) ไม้ยนื ต้นขนาดกลางถึงใหญ่
แก่น รสเฝื่ อนฝาดขม สรรพคุณ แก้ไข้จบั สั ่น บํารุงธาตุ แก้หดื ไอมองคร่อ ริดสีดวง
ท้องมาน แน่ นหน้าอก ท้องเดิน มูกเลือด แก้พษิ ฝีกาฬ บํารุงม้าม บํารุงโลหิต แก้ปวดแสบ ปวดร้อน
เป็นยาอายุวฒั นะ
กรัก (แก่นขนุนละมุด) ไม้ยนื ต้นขนาดกลางถึงใหญ่
แก่น รสหวานชุ่มขม สรรพคุณ บํารุงกําลัง บํารุงโลหิต สมานแผล
ใบ เผาให้เป็นถ่านผสมกับนํ้าปูนใสหยอดหู สรรพคุณ แก้ปวดหู แก้หเู ป็นนํ้าหนวก
ไส้ในลูก รสฝาดหอมหวาน สรรพคุณ แก้ตกเลือดทางทวารเบาของสตรี กินแล้วทําให้เลือดหยุด
9
โกฐจุฬาลัมพา ไม้เนื้อ่อนล้มลุกเป็นพุ่มขนาดย่อม
ใช้ทงั ้ ต้น รสขมกลิน่ หอม สรรพคุณ แก้ไข้เจรียง แก้ไช้ทม่ี ผี ่นื ขึน้ ตามตัว เช่น
หัดเหือด สุกใส ดําแดง ฝี ดาษ ไข้รากสาด แก้หดื ไอ แก้ไข้เพื่อเสมหะ
โกฐนํ้าเต้า ไม้พุ่มขนาดใหญ่
ราก (ปอกเปลือกออกนําไปนึ่งแล้วตากแห้ง) รสฝาดหอม สรรพคุณ แก่ธาตุพกิ าร
อาหารไม่ยอ่ ย บํารุงธาตุแก้ทอ้ งอืด ขับลมในลําไส้ ขับปสั สาวะและอุจจาระให้เดินสะดวก ระบายท้อง
รูถ้ ่ายรูป้ ิดเอง แก้เจ็บตา แก้รดิ สีดวงทวาร
โกฐสอ ไม้ขนาดเล็กจําพวกโสม
รากรสสุขมกลิน่ หอม สรรพคุณ แก้ไข้ แก้หดื แก้ไอ บํารุงหัวใจให้ชุ่มชืน้
กําลังวัวเถลิ ง (กําลังทรพี)ไม้พุ่มขนาดใหญ่
เนื้อไม้และเปลือกต้น รสขมเฝื่ อน สรรพคุณบํารุงโลหิต บํารุงธาตุ บํารุงเส้นเอ็น
บํารุงร่างกาย แก่ปวดเมื่อยตามร่างกาย
15
ขี้ครอก ไม่พุ่มขนาดย่อมคล้ายมะเขือ
ใบ รสขืน่ สรรพคุณ แก้ไอ ขับเสมหะ
ราก รสเย็น สรรพคุณ ถอนพิษไข้ทงั ้ ปวง
ใช้ทงั ้ 5 รสขืน่ เย็น สรรพคุณ แก้ไตพิการ
เข็มแดง ไม้พุ่มขนาดใหญ่
ราก รสหวานเย็น สรรพคุณ แก้เสมหะ แก้กาํ เดา บํารุงธาตุ แก้บวม แก้เจ็บตัว
เขยตาย(ลูกเขยตายแม่ยายทําศพ,เขยตายแม่ยายชักปก
) เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กถึงกลางเนื้อแข็ง
ราก รสชื่นปร่า สรรพคุณ กระทุง้ พิษ แก้พษิ ฝีภายในและภายนอก ขับนํ้านม
แก้พษิ งู พิษแมลงกัดต่อย แก้ไข้กาฬ แก้โรคผิวหนังพุพอง
ดอกและลูก รสร้อนเมา สรรพคุณ ตําทารักษาโรคหิด
17
คราม ไม้พุ่มต้นเล็ก
ใบ รสเย็น สรรพคุณ ดับพิษ แก้ไข้ตวั ร้อน แก้ปวดศีรษะ
ต้น รสเย็น สรรพคุณ ฟอกขับปสั สาวะให้บริสุทธิ ์ แก้กระษัย แก้นิ่ว แก้ปะขุสั สาว
น่ ข้น
หงอนไก่ดอกกลม(หงอนไก่ป่า) ไม้ดอกต้นเล็กๆ
ราก รสเผ็ดขืน่ ร้อนเล็กน้อย สรรพคุณ แก้เข้เพื่อลม (ไข้ฤดูฝนมีอาการท้องอืดเฟ้อ)
แก้ไข้พา แก้โลหิต แก้ลมอัมพฤกษ์ บํารุงธาตุ แก้หดื แก้เสมหะ
จุกโรหิ ณี ไม้พุ่มขนาดย่อม
ราก รสขมเย็น สรรพคุณ ถอนพิษไข้กาฬ แก้รอ้ นในกระหายนํ้า ลดความร้อนใน
ร่างกาย บางตําราว่า รสสุขมุ สรรพคุณ แก้ไข้เพื่อโลหิต แก้ลมปลายไข้
ชบา ไม้พุ่มขนาดย่อม
รากสด รสร้อนเล็กน้อย สรรพคุณ ตําพอกแก้พษิ ฝี ฟกบวม รับประทานขับ
นํ้าย่อยอาหาร เจริญอาหาร
ชะอม ไม้พุ่มขนาดย่อม
ราก รสร้อนเล็กน้อย สรรพคุณ แก้ทอ้ งขึน้ อึกเฟ้อ ขับลมในลําไส้ แก้ปวดเสียว
ในท้อง(มดลูกอักเสบ)
ชิ งขี่ ไม้พุ่มขนาดย่อม
ต้น รสขืน่ ปร่า สรรพคุณ แก้ฟกบวม
ลูก รสขืน่ ปร่า สรรพคุณ แก้เจ็บคอ ลําคออักเสบ
ดอก รสขืน่ เมา สรรพคุณ แก้โรคมะเร็ง
ราก รสขมขืน่ สรรพคุณ แก้ไข้เพื่อลม ขับลมในท้องให้ซ่านออกมา แก้ไข้รอ้ นในทุกชนิด
ใบ รสเฝื่ อนเมา สรรพคุณ ต้มเอานํ้าอาบแก้โรคผิวหนัง ไข้ฝีกาฬ สันนิบาต ตะคริว
ชุมเห็ดเทศ ไม้พุ่มใหญ่
ใบ รสเบื่อเอียน สรรพคุณ ตําหรือขยีท้ าแก้กลากเกลือ้ น โรคผิวหนังชนิดมีตวั
ต้น รสเบื่อเอียน สรรพคุณ ขับพยาธิไส้เดือน
ดอก รสเบื่อเอียน สรรพคุณ ระบายอ่อนๆ
ต้น ราก ใบ รสเบื่อเอียน สรรพคุณ แก้กระษัยเส้น แก้ทอ้ งผูก ขับปสั สาวะ
ตับเต่าน้ อย ไม้พุ่มขนาดย่อม
รากและต้น รสขมเย็นเอี น สรรพํ
ย าคุณดับพิษไข้ทงั ้ ปวง แก้ตวั ร้อน ดับพิษซาง แก้พษิ ฝีในท้อง
28
ถั ่วแระต้น ไม้พุ่มเล็กๆ
เมล็ด รสมัน สรรพคุณ บํารุงเส้นเอ็น ทําให้เกิดความอบอุ่น
รา รสจืด สรรพคุณ ขับปสั สาวะ แก้น้ําปสั สาวะเป็นสีแดงเหลืองคล้ายขมิน้ และ ปสั สาวะน้อย
ถั ่วแระผี ไม้พุ่มเล็กๆ
ราก รสจืดขืน่ ๆ สรรพคุณ ขับละลายก้อนนิ่วเกิดจากไต กระตุน้ เตือนไตให้ทาํ งาน
ทรงบาดาล ไม้พุ่มขนาดย่อม
ราก รสเบื่อขมสรรพคุณถอนพิษผิดสําแดง(ไข้ซ้าํ ) แก้สะอึก (เนื่องจากกระเพาะอาหาร
ขยายตัว)
ท้ายยายม่อมดอกแดง(ปทุมราชา)
ราก รสจืดขืน่ สรรพคุณ ถอนพิษสัตว์กดั ต่อย แก้พษิ งู
ทองพันชั ่ง ไม้พุ่มต้นเล็ก
ใบ รสเบื่อเย็น สรรพคุณ ดับพิษไข้ แก้ไข้ตวั ร้อน แก้พยาธิผวิ หนัง
ราก รสเมาเบื่อสรรพคุณ แก้กลากเกลือ้ น ผื่นคัและโรคผิ
น วหนังทีเ่ ป็นนํ้าเหลืองบางชนิด
ทองระอาหรือลิ้นงูเห่า ไม้พุ่มขนาดเล็ก
ใบ รสเย็นเบื่อ สรรพคุณ ตํากับสุรา พอกแก้ปวดฝี ถอนพิษปวดอักเสบ
ราก รสเย็นเบื่อ สรรพคุณ ฝนกับสุรา ทาแก้พษิ ตะขาบ แมลงปอ่ ง
เทียนดํา ไม้พุ่มขนาดย่อม
เมล็ด รสเผ็ดขมสรรพคุณ ขับเสมหะให้ลงสู่คถู ทวาร ขับลมในลําไส้ แก้อาเจียน บํารุงโลหิต
ใบและต้น รสจืดเฝื่ อน สรรพคุณ แก้หนอนใน(กามโรค)
เปลือกต้น รสจืดเฝื่ อน สรรพคุณ ขับระดูขาว
นางแย้มไม้พุ่ม ราก รสเย็นสรรพคุณ แก้พษิ ฝีภายใจ ขับปสั สาวะ แก้โรคลําไส้ แก้กระษัย ไตพิการ
เบญจมาศบ้าน ไม้ดอกต้นเล็ก
ดอก รสหอมเย็น สรรพคุณ ทํายาหอมชูกาํ ลัง แก้ไข้ แก้รอ้ นในกระหายนํ้า
ใบเงิน ไม้พุ่มขนาดย่อม
ใบ รสเย็น สรรพคุณ ดับพิษ แก้ไข้พษิ ร้อน ล้อมตับดับพิษ
ใบทอง ไม้พุ่มต้นเล็ก
ใบ รสเย็น สรรพคุณ ดับพิษ แก้ไข้พษิ ร้อน ล้อมตับดับพิษ
ใบนาค ไม้พุ่มขนาดย่อม
ใบ รสเย็น สรรพคุณ ดับพิษ แก้ไข้พษิ ร้อน ล้อมตับดับพิษ
ประยงค์ป่า ไม้พุ่มขนาดย่อม
ปุม่ รสฝาดขืน่ สรรพคุณ ถอนเสมหะ แก้พษิ ทัง้ ปวง แก้หอบ แก้ไอ
37
โปรง ไม้ลุ่มนํ้าเค็มยืนต้นขนาดกลาง
เปลือกต้น รสฝาดจัดเฝื่อนเล็กน้อย สรรพคุณ แก้ทอ้ งร่วง แก้อาเจียน คุมอาจม
แก้เสมหะและโลหิต สมานแผล
โปร่งฟ้ า ไม้พุ่มขนาดย่อม
ั โรคระยะบวม แก้ตาฝ้าฝาง ตามัว
ราก รสเฝื่ อนเย็น สรรพคุณ แก้วณ
ปลาไหลเผือก ไม้พุ่มขนาดย่อม
ราก รสขมเบื่อเมาเล็กน้อย สรรพคุณ ตัดไข้ทุกชนิด แก้วณ
ั โรคระยะบวม ถ่ายพิษ
ฝีในท้องและถ่ายพิษต่างๆ
ปี บ ไม้ยนื ต้นขนาดย่อมถึงกลาง
ดอก รสเฝื่ อนกลิน่ หอม สรรพคุณ ตากแห้งผสมบุหรีส่ บู แก้รดิ สีดวงจมูก
ราก รสเฝื่ อนสรรพคุณปิ้งให้กรอบต้มรับประทาน แก้ทอ้ งร่วง บิด แก้บ่ปงวดเ
แก้เสมหะพิการ
ใบสด รสฝาด สรรพคุณ เคีย้ วอม ดับกลิน่ สุรา
ลูกสุก รสฝาดหวาน สรรพคุณระบายท้อง กล่อมอาจม ดูดกลิน่ เหม็น วางบนหีบศพดับกลิน่ เหม็น
ราก รสฝาด สรรพคุณ แก้น้ําเหลืองเสีย
ฝ้ ายขาว ไม้พุ่มขนาดย่อม
เปลือกราก รสขืน่ เอียนสรรพคุณ ขับโลหิตะรดูสตรี บีบมดลูก รับประทานมากๆ อาจแท้งได้
ฝ้ ายแดง ไม้พุ่ม
ใบ รสเย็นเบื่อ สรรพคุณ แก้ไข้ ขับเหงื่อ แก้พษิ ตานซางเด็ก
ฝ้ ายเทศ หรือ สําลี ไม้ยนื ต้นขนาดกลาง
เมล็ด รสเมาเบื่อ สรรพคุณ แก้หนองใน(กามโรค) ขับหนองให้แห้ง
พญารากขาว(โคลงเคลง) ไม้พุ่มขนาดย่อม
ราก รสขม บํารุงธาตุ เจริญอาหาร แก้อ่อนเพลีย กินเป็นยาชูกาํ ลังหลังฟื้นไข้
พญาปล้องทอง ไม้เถาเนื้อแข็งคล้ายปล้องอ้อย
ต้น รสจืดเย็น สรรพคุณ ถอนพิษไข้ พิษกาฬ แก้รอ้ นใน ถอนพิษยาเบื่อเมา
พญารากเดียว
ราก รสจืด สรรพคุณ แก้ไข้ ลดความร้อน ปน่ เป็นแป้งใช้เป็นเครื่องประทินผิว
40
พิ มเสนต้น ไม้พุ่มขนาดย่อม
ใบ รสเย็นหอม สรรพคุณ แก้ลม บํารุงหัวใจ แก้ไข้ตวั ร้อน ถอนพิษไข้
พุงดอ ไม้พุ่มต้นอ่อน
ราก รสเปรีย้ วเย็น สรรพคุณ แก้พษิ ฝีตานซาง ดับพิษทัง้ ปวง ทําให้นอนหลับ
กระทุง้ พิษแก้รอ้ นใน แก้ไข้ แก้ประดง ผื่นคัน ฝนกับนํ้าสุกหรือปูนใส ทาแก้อณ
ั ฑะบวม
พุดตาน ไม้พุ่มขนาดย่อม
ราก รสเย็น ดับพิษไข้ แก้ไข้ แก้ประดงผื่นคันตามผิ
หนัง วปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย
41
มะไฟเดือนห้า ไม้พุ่มขนาดกลางถึงใหญ่
ต้นรสเผ็ดร้อน สรรพคุณ บํารุงธาตุ
ราก รสร้อนเมาสรรพคุณ แก้โรคเรือ้ น ฆ่าพยาธิโรคเรือ้ น ขันไส้เดือน ขับโลหิต ระดูให้ตก
ใบ รสร้อน สรรพคุณ แก้ฟกชํ้า พลัดตกหกล้มจนตับปอดพิการ แก้ไข้ตวั เย็น
หมดสติ เจริญธาตุ แก้พษิ ฝี
ม้ากระทืบโรง ไมพุ่มต้นเล็กๆ
ใช้ทงั ้ ต้น รสขมน้อย สรรพคุณ บํารุงธาตุ บํารุงกําลัง บํารุงกําหนัด
มดยอบ เป็นยางของต้นไม้ห่อด้วยหางสัตว์
มดยอบ รสเมาเบื่อ สรรพคุณ ขับเสมหะ ขับปสั สาวะ ขับเหงื่อ ขับภายลม อมแก้เจ็บ
คอ แก้แผลในปาก
50
รงทองไม้ยนื ต้นขนาดกลางถึงใหญ่
ยาง (ฆ่าฤทธิ ์แล้ว) รสเอียนเบื่อ สรรพคุณ ถ่ายอย่างแรง ถ่ายลม ถ่ายนํ้าเหลืองเสีย
ถ่ายเสมหะ ถ่ายโลหิต ฝนกับหัวกะทิสดทาแผลพุพอง แก้ปวด และให้ล่อนออดดี
51
ระงับ เป็นไม้พุ่ม
ใบ รสเย็น สรรพคุณแก้ไข้ตวั ร้อน แก้ไข้พษิ ทัง้ ปวง กระทุง้ พิษ แก้ไข้จบั สั ่น และ
ไข้ซมึ แก้รอ้ นในกระหายนํ้า
ราชดัด ไม้พุ่มขนาดเล็ก
ลูก รสขม สรรพคุณ แก้กระษัย บํารุงนํ้าดี เจริญอาหาร
เมล็ดรสขมฝาด สรรพคุณ แก้บดิ มูกเลือด และแก้ทอ้ งล่วง
ราก รสขม สรรพคุณ แก้ไข้ตวั ร้อน แก้ไข้พษิ
ลําโพง ไม่ยนื ต้นล้มลุก มี๒ ชนิด คือ ลําพงขาว ต้นสีขาว ดอกไม้ซอ้ นกัน และลําโพงแดง หรือกาสลัก
มีตน้ สีแดงจนเกือบจะดํา ดอกซ้อนกันมาก หมอนิยมใช้ลาํ โพงกาสลักมากทีส่ ุด
ใบ รสเมา สรรพคุณ พอกสีทาํ ให้ยบุ แก้บวม อักเสบ
ดอกแห้ง รสเมาเบื่อ สรรพคุณ แก้หอบหืด โฑรงจมูกอักเสบ แก้รดิ สีดวงจมูก
นํ้ามัน (จากเมล็ด) รสเมาเบื่อ สรรพคุณ ทาฆ่าเชือ้ โรค แก้กลาก เกลื่อน หิด เหา จําพวกมีตวั
เมล็ด รสเมาเบื่อ สรรพคุณ รับประทานแต่น้อยเพียงสองถึงสามเมล็ดเบารุงประสาท
ได้ดี มีความจําแม่น ถ้ารับประทานมากทําให้ประสาทเสีย วิกลจริตได้
ราก รสเมาเบื่อหวานน้อย สรรพคุณ ฝนทาแก้เผ็ดร้อน ถอนพิศษ ปวดอักเสบ
แก้ปวดฝี สุมเป็นถ่าน รับประทาน แก้ไข้รอ้ น ไข้กาฬ แก้ไข้เซื่องซึม แก้กระสับกระส่าย เพ้อคลั ่ง แก้หอบ แก้ไอ
ลําเจียก ไม้พุ่มขนาดย่อม
รากอากาศรสจืดหวานเล็กน้อยสรรพคุณขับปสั สาวะ แก้นิ่ว แก้น้ําปสั สาวะพิการ
ดอก รสหอมเย็น สรรพคุณ แก้ลม บํารุงหัวใจ
ลําดวน ไม้พุ่มขนาดใหญ่
ดอก รสหอมเย็น สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ลม บํารุงหัวใจ
สนสร้อย ไม้พุ่งขนาดย่อม
ใบ รสเย็น สรรพคุณ แก้ไข้ตวั ร้อน ไข้หวัด ไอ แก้พษิ ร้อนในกระหายนํ้า
ส้มกุ้ง ไม้พุ่งขนาดใหญ่
ใบ รสเปรีย้ ว สรรพคุณ กัดเสมหะในคอ แก้ไอ แก้หอบหืด
ส้มจีน ไม้พุ่มขนาดใหญ่
เปลือกลูก รสร้อนหอม สรรพคุณ แก้ลมวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจสั ่น
ส้มเขียวหวาน ไม้พุ่มขนาดใหญ่
เปลือกลูก รสร้อนหอม สรรพคุณ แก้ลมวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจสั ่น
นํ้าส้มคัน้ รสเปรีย้ วหวาน สรรพคุณ แก้ฟนั ผุ ระบายอ่อน
เสนี ยด ไม้พุ่มขนาดย่อม
ใบ ดอก รสขม สรรพคุณ แก้ไข้ แก้หดื
ราก รสเย็น สรรพคุณ แก้ฝีในท้อง (วัณโรค) บํารุงโลหิต
สลอด ไม้พุ่มขนาดย่อม
ใบ รสฝาดเมาเย็น สรรพคุณ แก้ลมอัมพฤกษ์ ดับเตโชธาตุมใิ ห้เจริญ (ทําให้ตวั
เย็นชืด) กลากเกลือ้ น คุดทะราด
ดอก รสเมาเบื่อ สรรพคุณ ถ่ายอย่างแรง ถ่ายพิษต่างๆ เป็นยาอันตราย
สารพัดพิ ษ ไม้พุ่มเล็ก ๆ
ลูก รสเย็น สรรพคุณ แก้ไข้เซื่องซึม แก้พษิ ไข้กลับซํ้า
ราก รสเบื่อเฝื่ อนเย็น สรรพคุณ แก้รอ้ นในกระหายนํ้า แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
ทาแก้พษิ ตะขาบ แมงปอ่ ง แก้ปวดฝี
หางกระรอก ไม้พุ่มขนาดย่อม
ราก รสเย็นเบื่อสรรพคุณ แก้พษิ สัตว์กดั ต่อย แก้พษิ งู ใช้ทงั ้ ทาและรับประทาน
62
อนันตคุณ ไม้พุ่ม
ใบ รสร้อน สรรพคุณ แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ ขับผายลม แก้ธาตุพกิ าร เจริญอาหาร
แก้ทอ้ งล่วง บํารุงกําลัง บํารุงโลหิต
อัคคีทวาร ไม้พุ่มขนาดย่อม
ต้น รสจืดขืน่ สรรพคุณ ขับปสั สาวะ
ใบ รสขืน่ เบื่อ สรรพคุณ แก้ปวกศีรษะ แก้รดิ สีดวงทวาร แก้กลากเกลือ้ น
ผลสุก รสเปรีย้ วขืน่ สรรพคุณ แก้ไอ แก้เยือ่ ตาอักเสบ
รากและต้น รสฝาดเบื่อเย็น สรรพคุณ ฝนทาแก้เกลือ้ น ทาหัวริดสีดวง
เอื้อง ไม้ประเภทกล้วยไม้
ต้น รสจืด สรรพคุณ แก้ไข้ แก้รอ้ นในกระหายนํ้า ขับปสั สาวะ บํารุงกําลัง ขับผายลม
แก้บดิ บํารุงธาตุ แก้ลมวิงเวียน แก้จุกเสียด แก้ไข้สนั นิบาต
ราก ใบ รสหอม สรรพคุณ แก้ไข้เนื่องจากการอักเสบในช่องคลอดสตรีหลังการคลอดบุตรใหม
กรด ไม้เถาเนื้อแข็ง
เปลือกต้นและราก รสฝาด สรรพคุณ แก้ทอ้ งร่วง บิด แก้ปวดท้อง จุกเสียด
ผล รสฝาดเบื่อ สรรพคุณ ขับไส้เดือน ต้มเอานํ้าอม แก้เหงือกบวม ปากเปื่อย
กระไดลิ ง ไม้เถาแบนพาดพันต้นไม้
เถา รสเบื่อเมา
สรรพคุณแก้พษิ ทัง้ ปวง แก้ตวั ร้อน ขับเหงื่อ แก้ไข้ แก้พษิ ฝี แก้ไข้เซื่องซึม
กระทกรก ไม้เถายืนต้น
เปลือกต้น รสฝาด สรรพคุณ แก้แผลเน่าเปื่อย
ใบ รสเย็นเฝื่ อน สรรพคุณ แก้หวัดคัดจมูก
เถา รสฝาดเฝื่ อน สรรพคุณ ถอนพิษยาเบื่อเมา คุมธาตุ รักษาบาดแผล
เมล็ด รสร้อนเล็กน้อย สรรพคุณ แก้เด็กท้องขึน้ อืดเฟ้อ
ราก รสเบื่อเมา สรรพคุณ แก้กามโรค ตัวร้อนเนื่องจากพิษไข้
กรุงเขมา ไม้เถาขนาดเล็กๆ
ราก รสเย็นหอมสุขสรรพคุ
มุ ณแก้ไข้ทม่ี พี ษิ ร้อน แก้ดซี ่าน บํารุงร่างกายให้แข็งแรง
แกแล ไม้เถายืนต้น
แก่น รสข่มขืน่ สรรพคุณ บํารุงนํ้าเหลือง แก้พุพอง บํารุงกําลัง
คัดเค้า ไม้เถายืนต้นมีหนามแหลมคม
เถา รสฝาด สรรพคุณ แก้เสมหะ บํารุงโลหิต
ลูก รสฝาดอมเปรีย้ ว สรรพคุณ ขับฟอกโลหิตระดูสตรีทเ่ี น่าร้าย
ราก รสเย็นฝาดเล็กน้อย สรรพคุณ ขับและแก้ไข้เพื่อโลหิต
หญ้านาง (ปู่ เจ้าเขาเขียว หรือ หญ้าภคิ นี) มี ๒ ชนิดคือ ชนิดขาว และเขียว เป็นไม้
เถาเลือ้ ย พากพันต้นไม้อ่นื
ราก รสเย็นขม สรรพคุณ แก้ไข้ทุกชนิด ไข้พษิ ไข้เหนือ ไข้หวั เหือด หัด สุกใส
ฝีดาษ ไข้กาฬ ขับกระทุง้ พิษได้ดี
ตาไก่ ไม้เถายืนต้น
เปลือกเถา รสเบื่อเมาเล็กน้อย สรรพคุณ ขับโลหิตระดูสตรีให้เป็นปกติ แก้โลหิตระดู
ขาว ระดเู น่ าเหม็น แก้มดลูกอักเสบ เจ็บเสียวท้องน้อย แก้ปวดหลัง ปวดเอว บํารุงโลหิต
70
เถาเกล็ดนาคราช ไม้เถาเลือ้ ย
เถา รสเย็น สรรพคุณ แก้พษิ ตะขาบ แมงปอ่ ง แก้พษิ งู และถอนพิษต่างๆ คั ่วให้
เหลือง ดองสุราสรรพคุณขับโลหิตระดู แก้ปวดเอวปวดหลัง เนื่องจากโลหิตระดูไม่ปกติ
เถาคุ ไม้เถายืนต้น
เถา รสฝาดสรรพคุณแก้เม็ดประดง ขับลมในข้อขัด แก้ปวดข้อและแท่งกระดูก
ราก รสฝาดเย็น สรรพคุณ แก้มอื เท้าอ่อนเพลีย
เถาปล้อง ไม้เถายืนต้น
ใบ รสเย็นเบื่อ สรรพคุณ ตํากับสุราพอก แก้ปวดฝี ถอนพิษปวดอักเสบ
ราก รสเย็นเบื่อ สรรพคุณ ฝนกับสุราทา แก้พษิ ตะขาบ แมงปอ่ ง พิษงู
นมแมว ไม้เถายืนต้น
เนื้อไม้ ราก รสฝาดเย็น สรรพคุณ แก้ไข้หวัด ใช้เพื่อเสมหะ และไข้ทบั ระดู
หนามไก่ไห้ ไม้เถายืนต้น
ราก รสเย็น สรรพคุณ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ทุกชนิด แก้ไข้ความร้อนสูง ชักคลั ่ง
เพ้อ ไข้จบั สั ่น แก้ไข้พษิ หัด สุกใส ดําแดง
หนาวเดือนห้า ไม้เถาพาดพันต้นไม้ใหญ่
เถา รสเบื่อเมาเย็น สรรพคุณ ขับเหงื่ออย่างแรง แก้ไข้ ลดความร้อน ใช้มากอาจ
เป็นอันตรายถึงตายได้
พาหมี ไม้เถายืนต้น
ราก รสเอียนเบื่อเมา สรรพคุณ แก้รดิ สีดวงลําไส้ แก้รดิ สีดวงจมูก อันตรายเพราะ
เป็นยาเบื่ออย่างแรง
พลูเขียว ไม้เถาพาดพันต้นไม้อ่นื
ใบ รสเย็น สรรพคุณ แก้ราํ มะนาด ปวดฟนั ทําให้น้ําลายใส
พลูคาว ไม้เถาต้นเล็ก
ใบ รสร้อนเล็กน้อยกลิน่ คาวชื่น สรรพคุณ แก้กามโรค แก้น้ําเหลืองเสีย แก้เข่าข้อ
ทําให้แผลแห้ง แก้โรคผิวหนังทุกชนิด
พลูจีน ไม้เถาพาดพันต้นไม้อ่นื ๆ
ใบสด รสเผ็ด สรรพคุณ ลนไฟอุ่นๆ ปิดหน้าอกเด็ก แก้ปอดและหลอดลมอักเสบ
ปิดตามต่อมนํ้าเหลือง แก้อกั เสบทําให้ยบุ เร็ว เคีย้ วอมในปาก แก้แมงกินฟนั
นํ้าคัน้ จากใบสด รสเผ็ด สรรพคุณ ช่วยบํารุงเยือ่ กระเพาะอาหาร
พลูทองหลวง ไม้เถาพาดพันต้นไม้อ่นื
ใบ รสเผ็ดร้อน สรรพคุณ แก้ปากเหม็น แก้ปวดฟนั ขยีก้ บั สุราทาแก้ลมพิษ
ใช้ลนไฟปิดหน้าอก แก้ปวดแสบปวดร้อน ลนไฟนาบท้องเด็ก แก้ปวดท้องและแก้อณ ั ฑะยาน
พลูเหลือง ไม้เถาพาดพันต้นไม้อ่นื
ใบ รสเผ็ด สรรพคุณ ขับลม แก้ผ่นื คัน แก้ปากเหม็น
เพชรกะฏัก ไม้เถาเนื้ออ่อน
ต้น รสขืน่ ร้อน สรรพคุณ แก้ไข้หวัด แก้ไข้เพื่อดี แก้มนึ งงศีรษะ แก้โรคประสาท
แก้นอนไม่หลับ แก้พรรดึก กระจายลมแน่นในทรวงอก
มะขามเครือ ไม้เถาพาดพันต้นไม้อ่นื
เถา รสเปรีย้ ว สรรพคุณ ขับเสมหะ ถ่ายท้อง ฟอกโลหิตระดู
รางแดง ไม้เถายืนต้น
เถา รสจืดเย็น สรรพคุณ ขับปสั สาวะ แก้กระษัยเส้นตึง กระษัยกร่อนทุกชนิด
ลุ่มนก ไม้เถาขนาดใหญ่
เถา รสเบื่อเมา สรรพคุณ แก้ปวดตามข้อ แก้เม็ดประดงผื่นคัน แก้ไข้บาํ รุงโลหิต
ขับผายลม ฟอกและขับโลหิตระดู
79
เล็บมือนาง ไม้เถายืนต้น
ใบ รสเย็นเอียนเบื่อ สรรพคุณ ทาแก้พษิ ฝี แก้อกั เสบ
ผล รสเบื่อเอียน สรรพคุณ ขับไส้เดือน ทําให้สะอึก
ราก รสเบื่อเอียน สรรพคุณ ขับอุจจาระเป็นฟองขาวเหม็นคาว
ใช้ทงั ้ ๕ รสเบื่อเอียนเล็กน้อย สรรพคุณ ขับพยาธิ แก้พษิ ตานซาง
เล็บลอก ไม้เถาพาดพันไม้อ่นื
เถา รสเย็น สรรพคุณ บํารุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย บํารุงประสาท แก้ไข้เซื่องซึม
ลําไยเถา ไม้เถายืนต้น
ราก รสฝาดเฝื่ อนร้อนเล็กน้อย สรรพคุณ แก้เสมหะ แก้ลม แก้ชอกชํ้าภายใน
ส้มป่ อย ไม้เถายืนต้น
ใบ รสเปรีย้ วฝาดเล็กน้อย สรรพคุณ ถ่ายเสมหะ ล้างเมือกมันในลําไส้ แก้บดิ
ฟอกล้างโลหิตระดู ประคบให้เส้นเอ็นอ่อน
สีฟันเครือ ไม้เถายืนต้น
เถา รสเย็นฝาด สรรพคุณ บํารุงโลหิตระดูสตรีให้สมบูรณ์
80
แสลงใจเครือ ไม้เถา
เมล็ด รสเมาเบื่อ สรรพคุณ บํารุงหัวใจ บํารุงประสาท บํารุงธาตุ ทําให้ความจําดี
แก้อมั พาต แก้ปวดเมื่อยบัน้ เอว แก้กระษัย ขับปสั สาวะ ใช้มากเป็นพิษชักกระตุกถึงตายได้
ใบ ตํากับสุราพอก แก้แผลเน่าเปื่อย
ราก รสเมาเบื่อ สรรพคุณ แก้ทอ้ งขึน้ อืดเฟ้อ
แสลงพัน ไม้เถาพาดพันต้นไม้อ่นื
เถา รสเมาเบื่อร้อนเล็กน้อย สรรพคุณ แก้โรคผิวหนังผืน่ คัน นํ้าเหลืองเสีย
กระจายเลือดเน่ าเสียให้เดินสะดวก บํารุงโลหิต ขับฟอกโลหิตระดู
สลอดนํ้า ไม้เถายืนต้น
ใบ รสจืด สรรพคุณ บํารุงเนื้อหนังให้สมบูรณ์
ดอก รสเมาเอียนเล็กน้อย สรรพคุณ แก้รดิ สีดวงจมูก แก้ปวดศีรษะ
ราก รสเย็นจืดสรรพคุณแก้ไข้เหนือ ไข้พษิ ระบายอ่อนๆ ถ่ายพิษไข้ ถ่ายพรรดึก
สํามะงา ไม้เถายืนต้น
ใบ รสเย็นเบื่อ สรรพคุณ ต้มเอานํ้าอาบ แก้โรคผิวหนัง ประดง ผื่นคัน
หนุมานประสานกาย เป็นไม้เถายืนต้น
ใบ รสฝาดเย็นเอียน สรรพคุณ แก้ไอ แก้หดื หอบ แก้อาเจียนเป็นโลหิต (วัณโรคปอด)
ห้ามเลือดและสมานแผลได้ดี
หวายตะค้า เป็นพืชพวกเถาไม่มหี วั
เถา ต้น รสเย็น สรรพคุณ แก้พษิ ร้อน แก้พษิ ไข้กาฬ แก้ชกั เพราะความร้อนสูง
แก้สลบ แก้หอบ แก้ลน้ิ กระด้างคางแข็ง เนื่องจากพิษไข้
คุณสมบัตพิ เิ ศษ ต้องสุมไฟเสียก่อน จึงมาผสมยา มีอาํ นาจดับพิษร้อน พิษไข้ได้วเิ ศษ
อัญชันป่ า ไม้เถายืนต้น
ราก รสเบื่อเอียสรรพคุ
น ณถอนพิษยาเบื่อเมา ถอนพิษไข้และพิษอักเสบ เป็นแผลอักเสบ
อุโลกเครือ ไม้เถาต้นเล็กๆ
ต้น รสเย็น สรรพคุณ แก้ไข้ ขับปสั สาวะ
ใบสด รสเย็น สรรพคุณ แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ เจ็บคอ แก้พษิ ฝี ปวดแสบปวดร้อน
ถอนพิษจากการอักเสบ
82
กะทื อ ไม้ลงหัวจําพวกขิง
หัว เหง้า รสขมขืน่ น้อยๆ สรรพคุณ บํารุงนํ้านมสตรีให้สมบูรณ์ แก้ปวดมวนใน
ท้อง แก้บดิ ขับผายลม ขับปสั สาวะ หัวกะทือหมกไฟฝนกับนํ้าปูนใส รับประทาน แก้ปวดเบ่ง
แก้บดิ แก้เสมหะ เป็นพิษ แก้แน่ นหน้าอก กล่อมอาจม ขับนํ้าย่อยอาหารให้ลงลําไส้
ราก รสขมขืน่ เล็กน้อย สรรพคุณ แก้ไข้ตวั เย็น แต่รสู้ กึ ร้อนภายใน
83
กระเที ยม ไม้ลงหัวต้นเล็ก
หัว รสร้อนฉุ น สรรพคุณ แก้ไอ แก้โรคผิวหนัง กลาก เกลือ้ น แผลเน่า เนื้อร้าย
บํารุงธาตุ ขับโลหิตระดู แก้โรคประสาท นํ้าคัน้ จากหัว หยอดหู แก้ปวดหูและหูออ้ื
กลอย ไม้ลงหัว
หัว รสขืน่ คัน สรรพคุณ กัดเถาดานเป็นก้อนแข็งอยูใ่ นท้อง หุงกับนํ้ามัน ทาแผล
กัดหนองและฝ้า
ขมิ้นชัน ไม้ลงหัว
หัว รสฝาดเอียน สรรพคุณ แก้ไข้เพื่อดี คลั ่งเพ้อ แก้ไข้เรือ้ รังผอมเหลือง
แก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะและโลหิต แท้องร่วง สมานแผล
ขมิ้นอ้อย ไม้ลงหัว
หัว รสฝาดเฝื่ อน สรรพคุณ แก้ครั ่นเนื้อครั ่นตัว สมานลําไส้ แก้กระดูกขาว
ขับปสั สาวะ ตําพอกแก้ฟกบวม อักเสบ
ใบ รสเฝื่ อน สรรพคุณ ขับปสั สาวะ แก้บวมชํ้า
84
ปรงบ้าน ไม้พุ่มลงหัว
หัว รสเย็นเบื่อ สรรพคุณ ฝนกับนํ้าปูนใสทา แก้ลาํ ลาบเพลิง งูสวัด เริม ดับพิษ
ปวดแสบปวดร้อน
ปรงป่ า ไม้ลงหัวใหญ่
หัว รสฝาดเย็น สรรพคุณฝนกับสุราทา แก้ฟกบวม สมานแผล แก้แผลเรือ้ รัง แผลกลาย
ดอก รสเผ็ด สรรพคุณ บํารุงร่างกาย บํารุงธาตุ แก้ลม แก้ดแี ละเสมหะพิการ ไม้ลงหัว
หัว รสเผ็ดขมจัด สรรพคุณ แก้ไข้ แก้หวัด แก้กาํ เดา ขับลมในลําไส้ ตําสุม
ศีรษะเด็ก แก้หวัดกําเดา
เปราะหอมขาว ไม้ลงหัวชนิดเดียวกับเปราะหอมแดง
หัว ใบ รสร้อนหอม สรรพคุณ ขับลมในลําไส้ให้ผายเรอ แก้ทอ้ งขึน้ อืดเฟ้อ ทํา
ยาสุมขม่อมเด็ก แก้หวัด กําเดา ซางชัก และลมซาง
ต้น รสหอมติดร้อน สรรพคุณ ขับเลือดเน่ าของสตรีหลังคลอดบุตร
ดอก รสหอมฉุ ยสรรพคุณ แก้เด็กนอนสะดุง้ ผวา ร้องไห้ตาค้าง ชักตาเหลือก
เปราะหอมแดง ไม้ลงหัวจําพวกมหากาฬ
หัว รสหอมเผ็ดเล็กน้อสรรพคุ
ย ณขับเลือด ขับหนองให้ตก แก้ไอ แก้ลมพิษ แก้ผ่นื คัน
ต้น รสหอมเผ็ดเล็กน้อย สรรพคุณ แก้ทอ้ งขึน้ อืดเฟ้อ
ใบ รสร้อนกลิน่ หอม สรรพคุณ แก้เกลือ้ นวงใหญ่
ดอก รสหอมติดร้อน สรรพคุณ แก้โรคตาอักเสบ ตาแฉะ
89
ไพล ไม้ลงหัว
หัว รสฝาดขืน่ เอียน สรรพคุณ ตําคัน้ ผสมกับเกลือสะตุ ๑ ช้อนโต๊ะรับประธาน
ถ่ายพิษบิด ขับลมในลําไส้ ขับประจําเดือนสตรี ฝนทาแก้เคล็ดบวมยอก และผสมกับนํ้ามันเบนซิน
ทาแก้เหน็บชาชนิดบวมสมานแห
ใบ รสขืน่ เอียน สรรพคุณ แกครั ่นเนื้อครั ่นตัว แก้ปวดเมื่อย
ต้น รสฝาดขืน่ เอียน สรรพคุณ แก้อุจจาระพิการ แก้ธาตุพกิ าร อุจจาระพิการ
ดอก รสขืน่ สรรพคุณ แก้ช้าํ ใน กระจายเลือดเป็นก้อนเป็นนิ่ม
ราก รสเบื่อเอียนสรรพคุณแก้เลือดกําเดาออกทางปากทางจมูก แก้อาเจียนเป็นโลหิต
มหาสสดง ไม้กอลงหัว
หัว รสเย็น สรรพคุณ แก้ไข้ แก้พษิ ร้อน แก้พษิ หัวกาฬ แก้ตวั ร้อน ขับปสั สาวะ
ยัง้ ไม้เถาเลือ้ ยลงหัว
หัว รสหวานมันสรรพคุณดับพิษ แก้เส้นเอ็นพิการ แก้กามโรค นํ้าเหลืองเสีย เข้าข้อ
อุตพิ ด ไม้กอลงหัว
หัว รสขืน่ คัน สรรพคุณ แก้ไอ ขับปสั สาวะ กัดล้างเสมหะ แก้รดิ สีดวงทวารหนัก
แก้รดิ สีดวงจมูก แก้โรคท้องมาน
๒.๔ พืชจําพวกผัก ได้แก่ พรรณไม้ตน้ เล็ก ๆ หรือต้นใหญ่ เป็นกอ ตันตํ่า ต้นสูง หรือ
เลือ้ ยไปอยูบ่ นบกก็ม ี อยูใ่ นนํ้าก็ม ี บางชนิดใช้เป็นอาหารได้ และนิยมเรียกว่า ผัก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ผักกระโฉม
ใบ รสเย็น สรรพคุณ แก้ไข้พษิ ไข้ตวั ร้อน ไข้หวัด แก้ปวดศีรษะ
ผัดกาด (หัวไชเท้า)
หัว รสเย็น สรรพคุณ ตําคัน้ กับนํ้าตาลทรายแดง แก้อาเจียนเป็นโลหิต
เมล็ด รสเผ็ดชุ่ม ขับเสมหะและโลหิต ระบายอ่อนๆ ระงับอาการหอบ แก้ลมจุกเสียด
ผักกาดนํ้า
ใช้ทงั ้ ต้น รสเย็น สรรพคุณ ขับปสั สาวะ แก้นิ่ว แก้ช้าํ รั ่ว แก้กามโรค ระงับความร้อน
แก้ทางเดินปสั สาวะอักเสบ
ผักกูด ไม้ตน้ เล็กขึน้ อยูร่ มิ นํ้า
ใบ รสเย็น สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ตวั ร้อน แก้พษิ อักเสบ
ผักขึ้นฉ่ าย ไม้ตน้ เล็ก
ใช้ทงั ้ ต้น รสเย็นหอม สรรพคุณ ความดันโลหิต บํารุงร่างกาย แก้เบาหวาน
ผักโขมหนาม ไม้ตน้ เล็กๆ มีหนามตามข้อ
ใจ ณแก้ช้าํ ใน แก้ไข้ แก้ตวั ร้อน แก้เด็กลิน้ เป็นฝ้าละออง เจริญอาหาร
ราก รสขมเย็นชื่นสรรพคุ
ผักโขมหัด ไม้ตน้ เล็ก
ราก รสเย็นชื่น สรรพคุณ แก้พษิ ร้อนใน ต้มเอานํ้าอาบ แก้เม็ดผื่นคัน ถอนพิษไข้
แก้เสมหะ ขับปสั สาวะ
ผักโขมหิ น (ผักขมหิ น)
ต้น รสเผ็ดร้อน สรรพคุณ ผายลมผายเรอ แก้เสมหะและดีพกิ าร
ผักขวง (สะเดาดิ น) ไม้เลือ้ ยต้นเล็กๆ
ใช้ทงั ้ ต้น รสขมสรรพคุณบํารุงนํ้าดี ระงับความร้อน ตําให้ละเอียดสุมหัวเด็ก แก้หวัดขัดจมูก
ผักคราดหัวแหวน ไม้ตน้ เล็ก
ใช้ทงั ้ ต้น รสเอียนเบื่อเล็กน้อย สรรพคุณ แก้พษิ ตานซาง แก้รดิ สีดวง แก้ผอม
เหลือง แก้เด็กตัวร้อน แก้ปอดบวม แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ
ผักเค็ด ไม้พุ่มขนาดเล็ก
ใบ รสขืน่ ขม สรรพคุณ ต้มเอานํ้าอาบ แก้บาดแผล แพ้ผ่นื คัน
ราก รสขมเย็น สรรพคุณ แก้พษิ ร้อนภายในร่างกาย
ผักชี ลา ไม้ตน้ เล็กๆ
ลูก รสขมฝาดร้อนหอม สรรพคุณ แก้ไข้เนื่องจากซาง แก้กระหายนํ้า บํารุงธาตุ
แก้คลื่นเหียน อาเจียน ขับลมในลําไส้ แก้สะอึก แก้ตาเจ็บ
ราก รสหอมเย็สรรพคุ
น ณกระทุง้ พิษไข้หวั หัดเหือด สุกใส ดําแดง แก้ไอ เจ็บคอ
92
ผักตับเต่านํ้า ไม้น้ํา
ใช้ทงั ้ ต้น รสจืดเฝื่ อนสรรพคุณแก้เสมหะและลม แก้เพ้อกลุม้ แก้ไขเพื่อดี ช่วยย่อยอาหาร
ผักบุ้งร้วม ไม้น้ํา
ใช้ทงั ้ ต้น สรขมสรรพคุณแก้พษิ ทัง้ ปวง ใช้ตม้ เข้ากระโจมเอาไอรม ขับเหงื่อ แก้บวม เหน็บชา
ผักหนาม ไม้น้ําเนื้ออ่อน
ใช้ทงั ้ ต้น สรรพคุณ แก้ปสั สาวะพิการ
หญ้าเกล็ดหอยเล็ก
ใช้ทงั ้ ต้น รสขมเย็นเล็กน้อสรรพคุ
ย ณ แก้รอ้ นในกระหายนํ้า แก้พษิ ร้อนภายใน
หญ้าชันกาด (หญ้าหวาย)
หัว รสจืดเย็น สรรพคุณ แก้ทางเดินปสั สาวะอักเสบ ขับปสั สาวะ แก้อาการบวม
นํ้าเนื่องจากโรคไตและโรคหัวใจ ลดความร้อน แก้พษิ ไข้กาฬ
หญ้าตีนกา
ต้น รสขมเย็น สรรพคุณ ลดความร้อน แก้พษิ ไข้กาฬ บํารุงหัวใจ ตําผสมสุรา
ทาแก้ฟกบวมอักเสบ แก้ปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย
ตําแยแมว (ตําแยตัวผู้)
ราก รสขืน่ สรรพคุณ ขับเสมหะ ทําให้อาเจียน ทําให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร
97
หญ้าถอดปล้อง จําพวกไม้น้ํา
ต้น รสจืดเย็น สรรพคุณ ขับปสั สาวะ แก้นิ่ว บํารุงไต ขับระดูขาว
โทงเทง (โคมจีน)
ใช้ทงั ้ ๕ รสเย็น สรรพคุณ แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้เจ็บในลําคอ แก้ปวดแสบ
ปวดร้อน ฝนหยอดตา แก้ตาแฉะ แก้ปวดเคืองในลูกตา แก้ตาอักเสบ
หญ้านํ้าดับไฟ
ต้น ใบ ราก รสเย็นสรรพคุณ ตําคัน้ เอานํ้าทา แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้แผลพุพอง
ใบ รสเย็น สรรพคุณ ตําผสมสุรา พอกแก้พษิ ฝี แก้ปวดบวม แก้พษิ ไฟไหม้ นํ้าร้อน
ลวกสุมศีรษะเด็กเวลาเย็น แก้หวัดคัดจมูก
ราก รสเย็น สรรพคุณ แก้พษิ สุนขั กัด
หญ้านํ้านมราชสีห์
ต้น รสขม สรรพคุณ แก้ปสั สาวะมีสแี ดงเหลืองขุน่ บํารุงนํ้านม
หญ้าหนวดปลาดุก
ใช้ทงั ้ ต้น รสขม สรรพคุณ บํารุงโลหิต เจริญอาหาร แก้ไข้มาลาเรีย แก้ไข้ ผอม
เหลือง แก้ไอ แก้หดื
หญ้าหนวดแมว (พยับเมฆ)
ต้น รสจืด สรรพคุณ ขับปสั สาวะขับนิ่ว แก้กระษัย แก้ปวดเมื่อยบัน้ เอว ใช้มากเป็น
อันตราย กดหัวใจทําให้หยุดเต้นได้
หญ้าปากควาย
ใช้ทงั ้ ต้น รสเย็น สรรพคุณ ดับพิษกาฬ แก้ไขพิษไข้หวั ทุกชนิด ช่วยย่อยอาหาร แก้
พิษแก้ไข้ตรีโทษ
หญ้าฝรั ่น ไม้จากประเทศสเปน
ใช้เกสร รสขมหวานเล็กน้อย สรรพคุณ บํารุงธาตุ บํารุงโลหิต ชูกาํ ลัง
แก้สวิงสวาย แก้ไข แก้ตบั ไต แก้โรคเส้นประสาท แก้ซางเด็ก
หญ้าพันงูขาว
ใช้ทงั ้ ต้น รสจืดขืน่ สรรพคุณ ช่วยย่อยอาหาร แก้ไขตรีโทษ แก้พษิ ฝี
หญ้าพันงูเขียว
ใช้ทงั ้ ต้น รสจืด สรรพคุณ ขับเหงื่อ ขับปสั สาวะ
หญ้าพันงูแดง
ต้น รสจืด สรรพคุณ แก้ขดั เบา
ใบ รสจืดเย็น สรรพคุณ แก้คออักเสบ เป็นเม็ดเป็นหนามในคอ
ดอก รสจืด สรรพคุณ แก้เสมหะคั ่งในทรวงอก ละลายก้อนนิ่ว
ราก รสจืด สรรพคุณ ขับปสั สาวะ
ใช้ทงั ้ ต้น รสจืดเย็น สรรพคุณ รสจืด สรรพคุณ แก้ไข แก้อกั เสบในลําคอ
หญ้าพันงูนา
ใช้ทงั ้ ต้น รสจืด สรรพคุณ ขับเหงื่อ แก้ไขตัวร้อน
99
หญ้าแพรก
ใช้ทงั ้ ต้น รสขมเย็น สรรพคุณ แก้พษิ เจ็บปวด แก้อกั เสบ แก้สตรีตกโลหิต
มากเกินไป แก้รอ้ นใน กระหายนํ้า แก้ไขพิษ ไข้กาฬ ไข้หดั สุกใส ดําแดง
ว่านคันทมาลา ไม้ลงหัว
หัว รสฝาดเฝื่ อน สรรพคุณ อมแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้ฝีในคอ แก้เจ็บคอ ฝน
ทาแก้เคล็ดบวม
ว่านนางคํา ไม้ลงหัว
หัว รสร้อนฝาดเฝื่ อน สรรพคุณ ขับลมในลําไส้ แก้ปวดท้อง แก้กามโรค เม็ดผื่นคัน
คุมธาตุ ตําพอก แก้ฟกชํ้า บวม เคล็ดขัดยอก
ราก รสขืน่ ฝาด สรรพคุณ สมานแผล คุมธาตุ ขับเสมหะ
ว่านร่อนทอง ไม้ลงหัวเล็ก ๆ
หัว รสปร่า สรรพคุณ ช่วยย่อยอาหาร แก้ทอ้ งเสีย แก้บดิ มูกเลือด คุมธาตุ แก้พษิ
ตานซาง แก้พษิ ฝี พิษงู ตะขาบ แมงปอ่ ง
ว่านหางจระเข้ ไม้ลงเหง้า
ราก เหง้า รสเย็นเบื่อขม สรรพคุณ แก้กามโรค แก้ทางเดินปสั สาวะอักเสบ
ใบ รสเย็นเป็นเมือก สรรพคุณ ปิดแก้ปวดศีรษะ ดูดพิษอักเสบต่าง ๆ วุน้ เมือกทีใ่ บ
รับประทานแก้กามโรค
ว่านงาช้าง (หอกสุระกาฬ)
ใช้ทงั ้ ต้น รสเฝื่ อนร้อนเล็กน้สรรพคุ
อย ณแก้คุณอันบุคคลกระทํด้าวยผมเนื้อหนัง กระดูก
ใบ รสเฝื่ อนร้อนเล็กน้อย สรรพคุณ ระบายอุจจาระ แก้ระดูสตรีพกิ าร
ต้น ใช้ตาํ โขลกผสมกับสุรา แก้เลือดดีขน้ึ แก้บาดทะยักปากมดลูกในเรือนไฟ
ว่านหางนาก
ใบ รสเย็น สรรพคุณ ตําพวกปิดแผล ถอนพิษอักเสบ แก้พษิ ตะขาบ แมงปอ่ ง
ว่านเพชรหึงไม้เถา รสเมาเบื่อร้อนขม
สรรพคุณถอนพิษสัตว์กดั ต่อย แก้เคล็ดยอกชํ้าบวม
ว่านสามพันตึง รสเมาเบื่อร้อนขืสรรพคุ
น่ ณแก้ปวดเมื่อย แก้พษิ สัตว์กดั ต่อย ทําให้หนังชา
เห็ดตาลเกิดจากไม้ตาลผุ รสฝาดเบื
สรรพคุ
่อ ณแก้ไขพิษ ไข้กาฬ รากสาด
ไข้ ดับพิษฝี
เห็ดหมากเกิดจากไม้หมากผุ รสฝาดเบื
สรรพคุ
่อ ณแก้พษิ ไข้ แก้ทอ้ งร่วง แก้พษิ โลหิต แก้รอ้ นรุ่ม
เห็ดไม้ตบั เต่า รสเย็นเบื่อ สรรพคุณ แก้ไขพิษ ไข้ทม่ี พี ษิ ร้อนสูง ใช้ตดั ศิลา คือใช้หดั สุกใส
ดําแดง และไข้หวั ต่าง ๆ
103
๓. สัตว์วตั ถุ
๓.๑ สัตว์บก ได้แก่ สัตว์ทอ่ี าศัยอยูบ่ นบก และหากินบนบก ตัวอย่าง
วัวป่ า เขาวัว สรรพคุณ แก้ตวั ร้อน ดับพิษไข้ แก้พษิ กาฬ ถอนพิษผิดสําแดง ตับบํารุง
ร่างกาย บํารุงตับดี แก้ดซี ่าน บํารุงนํ้าดี บํารุงโลหิต เป็นกระสายทําให้ยาแล่นเร็ว
หมี ใช้เขีย้ ว สรรพคุณ ดับพิษ พิษอักเสบ แก้ตวั ร้อน แก้พษิ ตานซาง ปวดในข้อ เส้นเอ็น
แก้ช้าํ ในกระจายเลือด กระดูก บํารุงโลหิต กระจายโลหิต บํารุงกําลัง
ปลาหมึก กระดอง หรือ ลิน้ ทะเล สรรพคุณ แก้เม็ดยอดในปาก ฆ่าเชือ้ โรค กัด สิวฝ้า
แก้ปวดท้อง แก้มกู เลือด
นกกระจอกถอนขนออกใช้
ทัง้ ตัวสรรพคุณบํารุงร่างกาย บํารุงกําลัง บํารุงความกําหนัด
๔. ธาตุวตั ถุ
๔.๑ ธาตุที่สลายตัวง่าย
ได้แก่ แร่ธาตุต่าง ๆ ทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติ หรือแร่ธาตุทป่ี ระกอบขึน้ ตามกรรมวิธมี ี
คุณสมบัตสิ ลายตัวง่าย เช่น ถูกความร้อนเพียงเล็กน้อย แช่น้ําหรือใช้มอื ขยี้ ธาตุวตั ถุเหล่านี้บางอย่าง
เมื่อสลายตัวออกไปแล้ว ก็ไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ ตัวอย่าง
๔.๒ ธาตุที่สลายตัวยาก
บัลลังก์ศิลา (หิ นอ่อนจีน) เกิดในประเทศจีน สีขาวขุน่ มัว สีเทาบ้าง สีแดง สลับบ้าง รสเย็น
สรรพคุณ แก้พษิ อักเสบ แก้ปวดร้อน ดับพิษทุกอย่าง ห้ามเหงื่อ ใช้โรค แผลเรือ้ รัง และกามโรค
108
๕. ตัวยาเรียกได้หลายชื่อ
ตัวยาทีเ่ รียกได้ ๒ ชื่อนี้ มิได้เป็นมาตรฐานเท่าใดนัก บางตําราก็เรียกไปอีกอย่างหนึ่ง ซึง่ ไม่
เหมือนกับตําราทีก่ ล่าวไว้น้ี เพราะด้วยประเทศถิน่ ทีอ่ ยูน่ นั ้ เรียกกันตามทีอ่ ยูข่ องตนไป เมื่อรวมความ
แล้วก็เป็นตัวยา อย่างเดียวกัน มีช่อื จะกล่าวดังต่อไปนี้
๖. ตัวยาที่มีสรรพคุณใกล้เคียงกัน
ตัวยาทีม่ สี รรพคุณใกล้เคียงกัน หรือมีสรรพคุณเสมอกันนัน้ สามารถนํามาใช้แทนกันได้
เพราะตัวยาบางอย่างทีต่ อ้ งการ หรือมีในตํารายานัน้ ไม่มหี รือขาดไป หรือตัวยาบางอย่างต้องนํามา
จากต่างประเทศ บางครัง้ ตัวยาเกิดขาดตลาด จะรอให้ส่งมาจากต่างประเทศ คนไข้กค็ งจะไม่ได้
รับประทานยาเป็นแน่ ดังนัน้ แพทย์และเภสัชกรแผนโบราณ จึงได้คดิ ค้นหาตัวยาบางอย่างทีพ่ อหาได้
พอจะมีสรรพคุณทัดเทียมกัน เพื่อจะได้นํามาปรุงเป็นยาเพื่อรักษาโรค ตัวยาทีม่ สี รรพคุณใกล้เคียงกัน
และพอจะใช้แทนกันได้นนั ้ มีดงั นี้ คือ
๗. การเก็บยา
การเก็บยาตามวิธกี ารของโบราณ ถ้าหากจะพิจารณาให้ดแี ล้ว เห็นว่ามีความสําคัญมาก
สําคัญทัง้ ทางด้านให้ได้ตวั ยา มีสรรพคุณดีและทัง้ ทางด้านการสงวนพันธุข์ องพืชสมุนไพรของตัวยา
ให้คงไว้อยูต่ ลอดไปเก็บยาต่าง ๆ ต้องปฏิบตั ใิ ห้ถูกต้องตามกาลเวลา วิธกี ารเก็บยาของแพทย์แผน
โบราณมี ๔ วิธ ี คือ การเก็บยาตามฤดู การเก็บยาตามทิศทัง้ ๔ การเก็บยาตามวันและเวลา การเก็บ
ยาตามยาม (กาลเวลา)
๗.๓ การเก็บตัวยาตามวันและเวลา
๑) วันอาทิตย์ เช้าเก็บต้น สายเก็บใบ เทีย่ งเก็บรากเย็นเก็บเปลือก
๒) วันจันทร์ เช้าเก็บราก สายเก็บแก่น เทีย่ งเก็บใบ เย็นเก็บเปลือก
๓) วันอังคาร เช้าเก็บใบ สายเก็บเปลือกเทีย่ งเก็บต้น เย็นเก็บราก
๔) วันพุธ เช้าเก็บราก สายเก็บเปลือก เทีย่ งเก็บต้น เย็นเก็บแก่น
๕) วันพฤหัสบดี เช้าเก็บแก่น สายเก็บใบ เทีย่ งเก็บราก เย็นเก็บเปลือก
๖) วันศุกร์ เช้าเก็บใบ สายเก็บราก เทีย่ งเก็บเปลือก เย็นเก็บต้น
๗) วันเสาร์ เช้าเก็บราก สายเก็บต้น เทีย่ งเก็บเปลือก เย็นเก็บใบ
๗.๔ การเก็บตัวยาตามยาม(กาลเวลา)
๑) กลางวัน
(๐๖.๐๐-๐๙.๐๐ น.) ยาม ๑ เก็บ ใบ ดอก ลูก
(๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น.) ยาม ๒ เก็บ กิง่ ก้าน
(๑๒.๐๐-๑๕.๐๐ น.) ยาม ๓ เก็บ ต้น เปลือก แก่น
(๑๕.๐๐-๑๘.๐๐ น.) ยาม ๔ เก็บ ราก
๒) กลางคืน
(๑๘.๐๐-๒๑.๐๐ น.) ยาม ๑ เก็บ ราก
(๒๑.๐๐-๒๔.๐๐ น.) ยาม ๒ เก็บ ต้น เปลือก แก่น
(๒๔.๐๐-๐๓.๐๐ น.) ยาม ๓ เก็บ กิง่ ก้าน
(๐๓.๐๐-๐๖.๐๐ น.) ยาม ๔ เก็บ ใบ ดอก ลูก
๘. ตัวยาประจําธาตุ
ในร่างกายของมนุษย์เราประกอบขึน้ จากธาตุทงั ้ ๔ ชนิด คือ ธาตุดนิ ๒๐ ประการ ธาตุน้ํา
๑๒ ประการ ธาตุลม ๖ ประการ ธาตุไฟ ๔ ประการ และอากาศธาตุ คือ ช่องว่างในร่างกาย ๑๐
114
๘.๑ ลักษณะตัวยาประจําธาตุ
ก. ดอกดีปลี ประจํา ปถวีธาตุ คือ ธาตุดนิ ๒๐ ประการ
ข. รากช้าพลู ประจํา อาโปธาตุ คือ ธาตุน้ํา ๑๒ ประการ
ค. เถาสะค้าน ประจํา วาโยธาตุ คือ ธาตุลม ๖ ประการ
ง. รากเจตมูลเพลิง ประจํา เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ ๔ ประการ
จ. เหง้าขิงแห้ง ธาตุอากาศ คือ ช่องว่างภายในร่างกาย ๑๐ ประการ
๘.๒ รสยาแก้ตามธาตุ
ก. ปถวีธาตุพกิ าร แก้ดว้ ย ยารสฝาด หวาน มัน เค็ม
ข. อาโปธาตุพกิ าร แก้ดว้ ย ยารสเปรีย้ ว เมาเบื่อ ขม
ค. วาโยธาตุพกิ าร แก้ดว้ ย ยารสสุขมุ เผ็ด ร้อน
ง. เตโชธาตุพกิ าร แก้ดว้ ย ยารสเย็น จืด
๙. สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน
กระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักถึงความสําคัญของการพัฒนาสมุนไพร โดยมีการร่างเป็น
นโยบายไว้เป็นแผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ ๖ เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุขในระดับต่างๆ
รวมถึงหมอพืน้ บ้านลแพทย์แผนโบราณ ได้มคี วามรูเ้ รื่องสมุนไพรขั ้ นพืน้ ฐานเพื่อให้มหี ลักใน
การศึกษาและเรียนรูอ้ ย่างถูกต้อง ให้เข้าใจถึงประโยชน์และข้อจํากัดของสมุนไพรต่างๆ สมุนไพรใน
งานสาธารณสุขมูลฐานมีดงั นี้
กระเทียม
ชื่ อท้ องถิ่ น หอมเทียม (เหนือ), กระเทียม หัวเทียม (ภาคใต้), กระเทียมขาว (อุดรธานี),
หอมขาว(อุดรธานี), กระเทียม (กลาง), ปะเซวา (กะเหรีย่ ง – แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืช พืชล้มลุก มีลาํ ต้นใต้ดนิ เรียกว่า หัว หัวมีกลีบย่อยหลายกลีบ
ติดกันแน่ น เนื้อสีขาว มีกลิน่ ฉุ นเฉพาะ บางครัง้ ในหนึ่งหัวมีกลีบเดียว เรียก กระเทียมโทน
หัวค่อนข้างกลม ใบยาวแบน ปลายแหลม ภายในกลวง ดอกรวมกันเป็นกระจุกทีป่ ลายช่อ ดอกสี
ขาวอมเขียม หรือชมพูอมม่วง ผลมีขนาดเล็ก
115
กระวาน
กระเจี๊ยบแดง
กะทือ
กระชาย
กะเพรา
กล้วยนํ้าว้า
กานพลู
ข่า
ชื่ อท้ องถิ่ น ข่าตาแดง ข่าหยวก (ภาคเหนือ)
ลักษณะของพืช ข่ามีลาํ ต้นทีอ่ ยูใ่ ต้ดนิ เรียกว่า “เหง้า” เหง้ามีขอ้ และปล้องชัดเจน เนื้อใน
สีเหลือง และมีกลิน่ หอมเฉพาะลําต้นทีอ่ ยูเ่ หนือดินสูงได้ถงึ ๖ เมตร ใบสีเขียวออกสลับข้างกัน
รูปร่างรียาว ปลายแหลม ดอกออกเป็นช่อทีย่ อดดอกย่อยมีขนาดเล็ก สีขาวนวล ด้านในของกลีบ
ดอกมีประสีแดงอยูด่ า้ นหนึ่ง ผลเปลือกแข็งรูปร่างกลมรี
ส่วนที่ใช้เป็ นยา เหง้าแก่ สด หรือแห้ง
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา ช่วงเวลาทีเ่ หง้าแก่
รสและสรรพคุณยาไทย เหง้าข่า รสเผ็ดปร่า ขับลมแก้บวมฟกซํ้า
วิ ธีใช้ เหง้าข่าใช้เป็นยารักษาโรคดังนี้
๑. อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่นจุกเสียด ทําได้โดยใช้เหง้าแก่สดหรือแห้ง
ขยาดเท่าหัวแม่มอื (สดหนัก ๕ กรัม แห้งหนัก ๒ กรัม) ต้มนํ้าดื่ม
๒. โรคกลากเกลือ้ น เอาหัวข่าแก่ๆล้างให้สะอาด ฝานเป็นแว่นบางๆ หรือทุบให้
แตกนําไปแช่เหล้าขาวทิง้ ไว้ ๑ คืน ทําความสะอาดบริเวณทีเ่ ป็นและใช้ไม้บางๆ ขูดให้เป็นผิวสี
แดงๆ และใช้น้ํายาทีไ่ ด้มาทาบริเวณที
เป็น ่ ทา๒ ครัง้ เช้า- เย็นทุกวัน จนกว่าจะหายาก
ขิ ง
ชื่ อท้ องถิ่ น ขิงเผือก (เชียงใหม่) , ขิงแคลง , ขิงแดง (จันทบุร)ี , สะเอ (กะเหรีย่ ง –
แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืช ขิงเป็นพืชล้มลุกมีแง่งใต้ดนิ แง่งจะแตกแขนงคล้ายนิ้วมือ เนื้อในสีเหลือง
แกมเขียว ลํา ต้นทีอ่ ยูเ่ หนือต้นงอกจากแง่งตัง้ ตรงยาวราว ๒ – ๓ ศอก ใบสีเขียว เรียวแคบ
ปลายใบแหลม ดอกเป็นช่องขนากเล็กก้านดอกสัน้ ดอกสีเหลืองและจะบานจากโคนไปหาส่วนปลาย
120
ขลู่
ชื่ อท้ องถิ่ น หนวดงิว้ , หนาดงัว , หนาดวัว (อุดรธานี) , ขีป้ ้ าน (แม่ฮ่องสอน) , คลู (ใต้)
ลักษณะของพืช ขลู่เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ยอดและใบสีเขียวอ่อน ใยกลมมน ปลายใบหยัก
ดอกออกเป็นช่อประกอบด้วยดิกเล็กๆ สีขาวอมม่วง
ส่วนที่ใช้เป็ นยา ใช้ทงั ้ ห้า ทัง้ สดและแห้ง (นิยมใช้เฉพาะใบ)
รสและสรรพคุณยาไทย สรรพคุณขับปสั สาวะ แก้ปสั สาวะพิการ
วิ ธีใช้ ใช้เป็นยาแก้อาการขัดเบา วันละ ๑ กํามือ (สดหนัก ๔๐ – ๕๐ กรัม แห้งหนัก
๑๕ – ๒๐ กรัม) หั ่นเป็นชิน้ ๆ ต้มกับนํ้าดื่ม วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหารครัง้ ละ ๑ ถ้วยชา (หรือ
๗๕ มิลลิลติ ร)
ขมิ้น
ชื่ อท้ องถิ่ น ขมิน้ (ทั ่วไป) , ขมิน้ แกง , ขมิน้ หยวก , ขมิน้ หัว (เชียงใหม่) ขีม้ น้ิ , หมิน้
(ภาคใต้) , ตายอ (กะเหรีย่ ง – กําแพงเพรช) , ละยอ (กะเหรีย่ ง – แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืช พืชล้มลุกทีม่ เี หง้าอยูใ่ ต้ดนิ เนื้อในของเหง้าขมิน้ สีเหลืองเข้มจน สีแสดจัด
มีกลิน่ หอมเฉพาะตัวใบรูปเรียวยาว ปลายแหลม คล้ายใบพุทธรักษา มีกา้ นช่อแทงจากเหง้า
โดยตรง ดอกมีสขี าวอมเหลือง มีกลีบประดับสีเขียวอมชมพู
ส่วนที่ใช้เป็ นยา เหง้าสดและแห้ง
121
ขี้เหล็ก
ชื่ อในท้ องถิ่ น ขีเ้ หล็กบ้าน (ลําปาง) , ขีเ้ หล็กใหญ่ (ภาคกลาง) , ขีเ้ หล็กหลวง (ภาคเหนือ) ,
ผักจีล้ ้ี (เงีย้ ว – แม่ฮ่องสอน) , ยะหา (ปตั ตานี) , ขีเ้ หล็กจิหรี่ (ภาคใต้)
ลักษณะของพืช
ขีเ้ หล็กเป็นไม้ยนื ต้นขนาดกลางใบเป็ยใบประกอบ ประกอบด้วยใบย่อยประมาณ
๑๐ คู่ใบเรียวปลายใบมนหยักเว้าหาเส้นกลางใบเล็กน้อย โคนใบกลมสีเขียว ใต้ใบซีดกว่าด้านบนใบ
และมีขนเล็กน้อยดอกเป็นช่อสีเหลือง ฝกั แบนหนา มีเมล็ดอยูข่ า้ งใน
ส่วนที่ใช้เป็ นยา ใบอ่อนและดอก
รสและสรรพคุณยาไทย ดอกตูมและใบอ่อน รสขม ช่วยระบายท้อง ดอกตูมทําให้
นอนหลับ เจริญอาหาร
วิ ธีใช้ ขีเ้ หล็กใช้เป็นยารักษาอาหารท้องผูก และอาการนอนไม่หลับ ทําได้ดงั นี้
๑. อาการท้องผูก ใช้ใบขีเ้ หล็ก (ทัง้ ใยอ่อนและใบแก่ ) ๔ – ๕ กํามือ ต้มเอานํ้าดื่ม
ก่อนอาหารหรือเวลามีอาการ
๒. อาการนอนไม่หลับ กังวลเบื่ออาหาร ให้ใช้ใบแห้งหนัก ๓๐ กรัม หรือใช้ใบสด
หนัก ๕๐ กรัม ต้มเอานํ้ารับประทานก่อนนอน หรือใช้ใบอ่อนทําเป็นยาดองเหล้า (ใส่เหล้าขาวพอ
ท่วมยา แช่ไว้ ๗ วัน คนทุกวันให้ นํ้ายาสมํ่าเสมอ กรองกากยาออก จะไ ด้ยาดองเหล้าขีเ้ หล็ก )
ดื่มครัง้ ละ ๑ – ๒ ช้อนชาก่อนนอน
122
คูน
ชื่ อท้ องถิ่ น ลมแล้ง (ภาคเหนือ) , ลักเกลือ , ลักเคย (ปตั ตานี ) , ชัยพฤกษ์ , ราชพฤกษ์
(ภาคกลาง) , กุเพยะ (กะเหรีย่ ง)
ลักษณะของพืช คูนเป็นไม้ยนื ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ใบรูปไข่ปลายแหลม ดอกเป็น
ช่อระย้าสีเหลือง และมีกลิน่ หอมอ่อนๆ ฝกั รูปร่างกลมยาว เวลาอ่อนฝกั มีสเี ขียวแก่จดั เป็นสีน้ําตาล
ส่วนที่ใช้เป็ นยา เนื้อในฝกั แก่
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา เก็บช่วงฝกั แก่ เปลือกเป็นสีน้ําตาลเข้ม
รสและสรรพคุณยาไทย ราหวานเอียนเล็กน้อย สรรพคุณเป็นยาระบาย ทําให้ถ่ายสะดวก
ไม่มวนไม่ไซ้ทอ้ ง
วิ ธีใช้ เนื้อในฝกั คูนแก้อาการท้องผูก ทําได้โดยเอาเนื้อในฝกั แก่กอ้ นเท่าหัวแม่มอื
(ประมาณ ๔ กรัม) ต้มกับนํ้าใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนนอนหรือตอนเช้าก่อนอาหารเหมาะเป็นยา
ระบายสําหรับคนทีท่ อ้ งผูกเป็นประจําและสตรีมคี รรภ์กใ็ ช้ฝกั คูนเป็นยาระบายได้
ชุมเห็ดเทศ
ชุมเห็ดไทย
ดีปลี
ตําลึง
ตะไคร้
ชื่ อท้ องถิ่ น จะไคร (ภาคเหนือ) , ไคร (ภาคใต้) , คาหอม (เงีย้ ว – แม่ฮ่องสอน) ,
เชิดเกรบ , เหลอะเกรย (เขมร – สุรนิ ทร์) , ห่อวอตะโป๋ (กะเหรีย่ ง – แม่ฮ่องสอน) , หัวสิงไค (เขมร
– ปราจีนบุร)ี
125
เทียนบ้าน
ทองพันชัง่
ทับทิ ม
ชื่ อท้ องถิ่ น พิลา (หนองคาย) , พิลาขาว , มะก่องแก้ว (น่าน) , มะเก๊าะ (ภาคเหนือ)
ส่วนที่ใช้เป็ นยา เปลือกผลแห้ง
ช่ วงเวลาที่เก็บเป็ นยา เก็บในช่วงทีผ่ ลแก่ ใช้เปลือก ผลตากแดดให้แห้ง
รสสรรพคุณยาไทย รสฝาด เป็นยาฝาดสมาน
วิ ธีใช้ เปลือกทับทิมใช้เป็นยาแก้ทอ้ งเดินและบิด มีวธิ ใี ช้ดงั นี้
๑. อาการท้องเดิน ใช้เปลือกผลแห้งประมาณ ๑ ใน ๔ ของผล ฝนกับนํ้าฝน
หรือนํ้าปูนใสให้ขน้ ๆ รับประทานครัง้ ละ ๑ – ๒ ช้อนแกง หรือต้มกับนํ้าปูนใส แล้วดื่มนํ้าต้มก็ได้
๒. บิด (มีอาการปวดเบ่งและมีมกู หรืออาจมีเลือดด้วย) ใช้เปลือกผลแห้งของทับทิม
ครัง้ ละ ๑ กํามือ (๓ – ๕ กรัม) ต้มกับนํ้าดื่มวันละ๒ ครัง้ อาจใช้กานพลู หรืออบเชย แต่งกลิน่ ให้
มก็นไ่าด้ดื่
น้ อยหน่ า
ชื่ อท้ องถิ่ น น้อยแน่ (ภาคใต้ ), มะนอแน่ มะแน่ (ภาคเหนือ ), มะออจ้า มะโอจ่า (เงีย้ ว
ภาคเหนือ), ลาหนัง (ปตั ตานี) , หน่ อเกล๊าแซ(เงีย้ ว-แม่ฮ่องสอน) , หมักเขียบ (ภาคอีสาน)
127
บอระเพ็ด
บัวบก
ปลาไหลเผือก
ชื่ อท้ องถิ่ น แฮพันชัน้ ตุงสอ (ภาคเหนือ ) , คะนาง ชะนาง (ตราด) , หยิกบ่อถองเอียน
ด่อน (ภาคอีสาน) , ตรึงบาดาล (ปตั ตานี) , กรุงบาดาล (สุราษฎร์ธานี) , เพียก (ภาคใต้)
ลักษณะของพืช ปลาไหลเผือก เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบเป็นใบประกอบ ใบย่อยแข็ง
เรียวปลายแหลม ดอกเป็นช่อใหญ่ยาว สีเหลืองนํ้าตาล ผลสีน้ําตาลรูปไข่
ส่วนที่ใช้เป็ นยา รากแห้ง (รากกลมยาว เป็นเนื้อไม้ค่อนข้างแข็งสีขาว)
รสและสรรพคุณยาไทย รสขมจัด เบื่อเมาเล็กน้อย รากเป็นยาแก้ไข้ ตัดไข้ทุกชนิด
วิ ธีใช้ ใช้รากแห้งของปลาไหลเผือกแก้ไข้ได้ โดยใช้ครัง้ ละ ๑ กํามือ (หนัก ๘ – ๑๕
กรัม) ต้มกับนํ้าดื่มก่อนอาหารวันละ ๒ ครัง้ เช้าและเย็น หรือเวลามีอาการ
ฝรัง่
ชื่ อท้ องถิ่ น มะนั ่น, มะก้วยกา (ภาคเหนือ ), บักสีดา (ภาคเหนือ ), ย่าหมู , ยามู (ใต้), มะปุน่
(สุโขทัย, ตาก), มะแกว (แพร่)
ลักษณะของพืช ไม้ยนื ต้นขนาดเล็ก กิง่ อ่อนเป็นสีเ่ หลีย่ ม ยอดอ่อนมีขนอ่อนสัน้ ๆ
ใบเดีย่ วสีเขียว ออกเป็นคู่ตรงกันข้าม รูปใบ รี ปลายใบมนหรือมีตงิ่ แหลม โคนใบมน ออกดอกเป็น
129
ผักบุง้ ทะเล
เพกา
ชื่ อท้ องถิ่ น มะลิดไม้ ลิดไม้ มะลิน้ ไม้ (ภาคเหนือ) , ลิน้ ฟ้า (เลย)
ลักษณะของพืช เพกาเป็นไม้ยนื ต้นสูง มีใบย่อยจํานวนมาก ใบเป็นรูปไข่ ปลายแหลม
ดอกเป็นช่อสีม่วงแดง ฝกั แบนยาวคล้ายดาบ ภายในมีเมล็ดแบน มีปีกบางใส
ส่วนที่ใช้เป็ นยา เมล็ด
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา เก็บช่วงฝกั แห้ง
รสและสรรพคุณยาไทย ไม่มขี อ้ มูล
130
พญายอ
ชื่ อท้ องถิ่ น ผักมันไก่ ผักลิน้ เขียด (เชียงใหม่ ) , พญาปล้องดํา (ลําปาง) , เสลดพังพอนตัว
เมีย พญาปล้องทอง (กลาง) , ลิน้ มังกร โพะโซ่จาง (กะเหรีย่ ง)
ลักษณะของพืช เสลดพังพอนตัวเมีย เป็นไม้พุ่มแกมเลือ้ ย เถาะและใบสีเ ขียว ไม่มหี นาม
ใบยาวเรียว ปลายแหลมออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ดอกออกช่ออยูท่ ป่ี ลายกิง่ แต่ละช่อมี ๓ – ๖ ดอก
กลีบดอกเป็นหลอดปลายแยกสีแดงอมส้ม
ส่วนที่ใช้เป็ นยา ใบ
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา เก็บใบขนาดกลางทีส่ มบูรณ์ ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป
รสและสรรพคุณยาไทย รสจืด
วิ ธีใช้ ใบพญายอ รักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด บวม แดง ร้อน แต่ไม่มไี ข้ )
จากแมลงมีพษิ กัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงปอ่ ง ผึง้ ต่อย ต่อ แตน เป็นต้น โดยเอาใบสด
๑๐ – ๑๕ ใบ (มากน้อยตามบริเวณทีเ่ ป็น ) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตํายา ตําให้ละเอี ยด
เติมเหล้าขาวพอชุ่มยา ใช้น้ําและกากทาพอกบริเวณทีบ่ วมหรือถูกแมลงสัตว์กดั ต่อย
พลู
ไพล
ฟักทอง
ชื่ อท้ องถิ่ น นํ้าเต้า (ภาคใต้) , มะฟกั แก้ว (ภาคเหนือ) , มะนํ้าแก้ว (เลย) , หมักอือ้ (เลย –
ปราจีนบุร)ี , หมากอี (ภาคอีสาน)
ฟ้ าทลายโจร
มะเกลือ
ชื่ อท้ องถิ่ น มะเกือ มะเกีย (ภาคเหนือ) , เกลือ (ภาคใต้) , หมักเกลือ (ตราด)
ลักษณะของพืช มะเกลือ เป็นไม้ยนื ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ใบรูปไข่ร ี ปลายแหลม
ดอกเป็นช่อใหญ่ประกอบด้วยดอกเล็ก สีเหลืองอมเขียว ผลกลมสีเขียว แก่กลายเป็นสีดาํ ยางลูก
มะเกลือ ใช้ยอ้ มผ้าให้เป็นสีดาํ
ส่วนที่ใช้เป็ นยา ผลดิบสด (ผลแก่ทม่ี สี เี ขียว ผลสุกสีเหลือง หรือผลสีดาํ ห้ามใช้)
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา ผลดิบสด
รสและสรรพคุณยาไทย รสเบื่อเมา สรรพคุณ ถ่ายพยาธิตวั ตืด และพยาธิไส้เดือนตัวกลม
วิ ธีใช้ ชาวบ้านรูจ้ กั ใช้ลกู มะเกลือพยาธิมานานแล้ว ผลดิบสดของมะเกลือ (ผลแก่ทม่ี สี ขี าว
ผลสุกสีเหลือง หรือผลสีดาํ ห้ามใช้ ) ได้ผลดีสาํ หรับพยาธิปากขอ และพยาธิเส้นด้าย (พยาธิเข็ม
หมุด) โดยใช้ผลสดสีเขียวไม่ช้าํ ไม่ดาํ จํานวนเท่ากับอายุคนใช้ (๑ ปีต่อ ๑ ผล) แต่ไม่เกิน ๒๕ ผล
(คนไข้ทม่ี อี ายุเกินกว่า ๒๕ ปี ก็ใช้เพียง ๒๕ ผล) นํามาตําโขลกพอแหละแล้วผสมกับหัวกะทิ
คัน้ เอาแต่น้ําดื่มให้หมดก่อนรับประทานอาหารเ ช้า ถ้า ๓ ชั ่วโมง แล้วยังไม่ถ่ายให้ใช้ยาระบาย
เช่น ดีเกลือ ๒ ช้อนโต๊ะ ละลายนํ้าดื่มตามลงไป
มะขาม
ชื่ อท้ องถิ่ น มะขามไทย (กลาง) , ขาม (ใต้) , คะลูบ (นครราชสีมา ) , ม่วงโคล้ง
(กะเหรีย่ ง – กาญจนบุร)ี , อําเปียล (เขมร – สุรนิ ทร์)
ลักษณะของพืช ไม้ยนื ต้นขนาดใหญ่ เปลือกต้นหนาขรุขระ ใบประกอบด้วยใบย่อยเรียง
กัน ๑๐ – ๑๕ คู่ บนก้านกลางใบ ดอกสีเหลืองส้ม มีจุดประสีแดง ออกเป็นช่อ ฝกั มี เปลือก
ค่อนข้างแข็งแต่บางและเปราะเนื้อในมีทงั ้ ชนิดเปรีย้ วปและชนิดหวาน เมล็ดแก่สนี ้ําตาลไหม้
ส่วนที่เป็ นยา เนื้อฝกั แก่ , เนื้อเมล็ดตาขามแก่
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา เก็บช่วงฝกั แก่ เปลือกเป็นสีน้ําตาล
รสและสรรพคุณยาไทย เนื้อฝกั แก่ รสเปรีย้ ว เป็นยาระบาย ขับเสมหะ , เนื้อเมล็ด
มะขามรสมัน ใช้ขบั พยาธิ
วิ ธีใช้ ส่วนต่างๆ ของมะขามเป็นยารักษา
๑. อาการท้องผูก ใช้มะขามเปียกเปรีย้ ว ๑๐ – ๒๐ ฝกั (หนัก ๗๐ – ๑๕๐ กรัม)
จิม้ เกลือรับประทานแล้วดื่มนํ้าตามมากๆ หรือเติมนํ้าคัน้ ใส่เกลือเล็กน้อยดื่มเป็นนํ้ามะขาม
134
๒. พยาธิไส้เดือนนําเอาเมล็ดแก่มาคั ่วแล้วกะเทาะเปลือกออกเอาเนื้อในเมล็ดแช่
นํ้าเกลือจนนุ่ มรับประทานครัง้ ละ ๒๐ – ๓๐ เมล็ด
๓. อาการไอ มีเสมหะ ใช้เนื้อในฝกั แก่หรือมะขามเปียกจิม้ เกลือรับประทานพอสมควร
มะขามแขก
มะคําดีควาย
มะนาว
มะพร้าว
ชื่ อท้ องถิ่ น ดุง (จันทบุร ี) , โพล(กาญจนบุร) ,ี คอล่า(แม่ฮ่องสอน) หมากอุ๋น หมากอู(ทัน ่วไป)
ลักษณะของพืช มะพร้าว เป็นไม้ยนื ต้นสูงถึง ๒๐ – ๓๐ เมตร ใบออกเรียงซ้อนกันเป็น
กระจุกอยูท่ ย่ี อดใบ เป็นใบประกอบรูปขน นก ก้านใบยาว ใบยาวแคบ หนา เนื้อเหนียว สีเขียว
ใบประกอบย่อยแตกจากแกนใหญ่เป็นคู่จาํ นวนมาก ดอกออกช่อ มีสเี หลืออยูใ่ นระหว่างซอกใบ ผล
มีรปู ร่างทรงกลมหรือกลมรี ผลอ่อนสีเขียว (หรือเหลือง) ค่อยๆ เปลีย่ นเป็นสีน้ําตาลเมื่อแก่ เปลือก
นอกเรียบ ชัน้ กลางเป็นเส้นใยเนื้อนุ่ม ถัดไปเนื้อแข็งเรียกว่า กะลา จากนัน้ จึงถึงเนื้อนุ่ม สีขาว รสมัน
ข้างในมีน้ําใสรสหวาน ชอบทีด่ นิ ปนทราย ปลูกได้ท ั ่วไปปลูกมากทางภาคใต้
ส่วนที่ใช้เป็ นยา นํ้ามันมะพร้าว
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา เก็บในช่วงผลแก่ และนํามาเคีย่ วเป็นนํ้ามัน
136
มะแว้งเครือ
มะแว้งต้น
ชื่ อท้ องถิ่ น มะแว้งขม มะแว้งดํา (เหนือ ) , มะแว้งคม (สุราษฎร์ธานี – สงขลา) , มะแว้ง
แว้งชม (สงขลา สุราษฎร์ธานี)
ลักษณะของพืช มะแว้งต้น เป็นไม้พุ่ม มีขน และหนามแหลม กระจายอยูท่ ั ่วไป
ใบคล้ายใบมะเขือพวง ดอกออกเป็นช่อสีม่วงซีด ผลกลม เมื่อสุกสีสม้
ช่วงเวลาที่ใช้เป็ นยา ผลแก่สด
รสและสรรพคุณยาไทย รสขม เป็นยาสกัดเสมหะ
วิ ธีใช้ ใช้รกั ษาอาการไอและขับเสมหะ นําเอาผลแก่สด ๕ – ๑๐ ผล โขลกพอแหลก คัน้ เอา
แต่น้ําใส่เกลือจิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดเคีย้ วแล้วกลืนทัง้ นํ้าและเนื้อ กินบ่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขน้ึ
137
มะหาด
ชื่ อท้ องถิ่ น หาด (กลาง) , หาดใบใหญ่ (ตรัง) , หาดขนุน (เหนือ) , กาแย ตาแป ตาแปง
(นราธิวาส) , ปวกหาด (เชียงใหม่)
ลักษณะของพืช มะหาด เป็นไม้ยนื ต้นขนาดใหญ่ ใบแก่ มีรปู ใบเป็นรูปไข่ หรือขอบ
ขนานรี ริมใบเรียบ ดอกเป็นช่อสีเหลือง ลูกกลม
ส่วนที่ใช้เป็ นยา แก่นต้นมะหาด
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา ช่วงอายุตน้ มะหาด ๕ ปีขน้ึ ไป
รสและสรรพคุณยาไทย ปวกหาดใช้เป็นยาขับพยาธิตวั ตืด ละลายกับนํ้าทาแก้ผ่นื คัน
วิ ธีใช้ ผงปวกหาด เตรียมได้โดยการเอาแก่นมะหาดมาต้มเคีย่ วด้วยนํ้า จะมีฟอง เกิดขึน้
และช้อนฟองขึน้ มาตากแห้ง จะได้ผงสีเหลือง วิธใี ช้ นําผงปวกหาดมาบดให้ละเอียด รับประทาน
กับนํ้าสุกเย็น ครัง้ ละ ๑ – ๒ ช้อนชา (ประมาณ ๓ – ๕ กรัม ) ก่อนอาหารเช้า หลัวจาก
รับประทานผงปวกหาดแล้วประมาณ ๒ ชั ่วโมง ให้รบั ประทานดีเกลือหรือยาถ่ายตาม ใช้ถ่ายพยาธิ
ตัวตืดและพยาธิไส้เดือน
ข้อควรระวัง ห้ามรับประทานผงปากหาดกับนํ้าร้อน จะทําให้คลื่นไส้ อาเจียนได้
มังคุด
ยอ
ย่านาง
เร่ว
ชื่ อท้ องถิ่ น มะอี้ หมากอี(้ เชียงใหม่) , หมากเน็ง (อีสาน) , มะหมากอีผ้ าลา (ฉาน –
เชียงใหม่) ,หมากแน่ง (สระบุร)ี
ลักษณะของพืช เร่วเป็นไม้ลม้ ลุกมีเหง้าใต้ดนิ ใบเรียวปลายแหลม ดอกออกเป็นช่อสีชมพู
ลูกเป็นสีน้ําตาลค่าอนข้างกลมหรือรูปไข่
ส่วนที่ใช้เป็ นยา เมล็ดใน
139
เล็บมือนาง
ชื่ อท้ องถิ่ น จะมั ่ง , จ๊ามั ่ง , มะจีม ั ่ง (ภาคเหนือ) , ไท้หม่อง (กะเหรีย่ งแม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืชเล็บมือนางเป็นไม้เลือ้ ย เถาแก่เป็นไม้เนื้อแข็ง ใบรูปรีหรือรูปไข่ ปลายแหลม โคนใบ
มนดอกเป็บช่อสีขาว แล้วค่อยๆเปลีย่ นเป็นสีชมพู มีกลิน่ หอม ผลสีน้ําตาลแดงเป็๕นมัพูน มี
ส่วนที่ใช้เป็ นยา เมล็ด
ส่วนเวลาที่เก็บเป็ นยา เก็บเมล็ดแก่ช่วงทีเ่ ป็นสีน้ําตาล
รสและสรรพคุณยาไทย รสเอียน เบื่อเล็กน้อย ใช้พยาธิและตานทราง
วิ ธีใช้ เมล็ดเล็บมือนาง ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน สําหรับเด็กใช้๒ – ๓ เมล็ด (หนัก ๕ – ๖ กรัม)
ผูใ้ หญ่ใช้ ๕ – ๗ เมล็ด (หนัก ๑๐ - ๑๕) ทุบพอแตก ต้มเอานํ้าดื่มหรือหั ่นทอดกับไข่รบั ปราทาน
ว่านหางจระเข้
สะแก
สับปะรด
ชื่ อท้ องถิ่ น มะขะนัด มะนัด (ภาคเหนือ) , บ่อนัด (เชียงใหม่) , ขนุนทอง ย่านัด ยานัด
(ภาคใต้) , หมากนัด (ภาคอีสาน)
ลักษณะของพืชสับปะรดเป็นพืชล้มลุกหลายปี ลําต้นสัน้ และแข็ง ใบออกสลับโดยรอบต้น ใบเรียวยาว
ปลายแหลม ดอกออกเป็นช่อ ช่อดอกมีกา้ นยาว ผลรูปร่างเป็นไข่กลมหรือทรงกระบอก
ส่วนที่ใช้เป็ นยา เหง้าทัง้ สดและแห้ง
รสและสรรพคุณยาไทย รสหวานเย็น ช่วยขับปสั สาวะ
วิ ธีใช้ ใช้เหง้าสดหรือแห้ง แก้อาการขัดเบา ช่วยขับปสั สาวะ โดยใช้เหง้าวันละ ๑ กอบมือ
(สดหนัก ๒๐๐ – ๒๕๐ กรัม แห้งหนัก ๙๐ – ๑๐๐ กรัม) ต้มกับนํ้าดื่มวันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
ครัง้ ละ ๑ ถ้วยชา (ประมาณ ๗๕ มิลลิลติ ร)
141
เสลดพังพอน
ชื่ อท้ องถิ่ น ชองระอา, พิมเสนต้น (กลาง), พิมเสนต้น (ภาคกลาง), เซ็กเซเกีย่ ม (จีน)
ลักษณะของพืชเสลดพังพอน เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก แตกกิง่ ก้านสาขามาก ลําต้นมีสนี ้ําตาลแดง
มีหนามตามข้อใบยา วเรียว ปลายแหลม มีเส้นกลางใบสีแดง ดอกสีเหลืองจําปา ออกเป็นช่อ
ส่วนที่ใช้เป็ นยา ใบสด
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป
รสและสรรพคุณยาไทย รสขม ถอนพิษ แมลงสัตว์กดั ต่อย โรคผิวหนัง
วิ ธีใช้ ใบสดของเสลดพังพอน รักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กดั ต่อย โดยเอาใบสด
๑ กํามือ ตําละเอียดคัน้ เอานํ้าทาบริเวณทีเ่ ป็น หรือตําผสมเหล้าเล็กน้อยก็ได้
สีเสียดเหนื อ
หญ้าคา
หญ้าหนวดแมว
ชื่ อท้ องถิ่ น พยับเมฆ (กรุงเทพฯ)
ลักษณะของพืชหญ้าหนวดแมว เป็นไม้ลม้ ลุกขนาดเล็ก ลําต้นเป็นสีเ่ หลีย่ ม ดอกออกเป็นช่อสวยงาม
ลักษณะคล้ายฉัตรเป็นชัน้ ๆ สีขาวหรือสีม่วง มีเกสรตัวผูย้ าวคล้ายหนวดแมว
ส่วนที่ใช้เป็ นยา ใบหญ้าหนวดแมว
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา เก็บใบทีส่ มบูรณ์ ขนาดกลางไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ล้างให้
สะอาดและนํามาตากในทีร่ ่มให้แห้ง
รสและสรรพคุณยาไทย ขับปสั สาวะ
วิ ธีใช้ หญ้าหนวดแมวแก้ขดั เบาทําได้โดยเอาใบแห้ง ๔ กรัม หรือ ๔ หยิบมือ ชงกับ
นํ้าร้อน ๑ ขวด นํ้าปลา เหมือนกับชงชา ดื่มวันละ ๑ ขวด ๓ ครัง้ หลังอาหาร
ข้อควรระวัง คือ คนทีเ่ ป็นโรคหัวใจ ห้ามรับประทาน (เพราะมีสารโปแตสเซียมมาก)
แห้วหมู
ชื่ อท้ องถิ่ น หญ้าขนหมู (แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืชแห้วหมู เป็นไม้ลม้ ลุกขนาดเล็ก มีหวั อยูใ่ ต้ดนิ มีกา้ นดอกยาว สีดอกเป็
น้ําตาลน
ส่วนที่ใช้เป็ นยา หัว
ช่ วงเวลาที่ เก็บเป็ นยา เก็บหัวแก่
รสและสรรพคุณยาไทย รสเผ็ดขมเล็กน้อย ขับลม
วิ ธีใช้ หญ้าแห้วหมูใช้เป็นยาแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและแน่นจุกเสียด โดยใช้หวั หญ้า
แห้วหมู ๑ กํามือ (๖๐ – ๗๐ หัวหรือหนัก ๑๕ กรัม) ทุบให้แตก ต้มเอานํ้าดื่มหรือใช้หวั สดครัง้
ละ ๕ หัวโขลกให้ละเอียดผสมกับนํ้าผึง้ รับประทาน
อ้อยแดง
ชื่ อท้ องถิ่ น อ้อยดํา , อ้อยขม
ลักษณะของพืช อ้อยแดงเป็นไม้ลม้ ลุก รูปร่างคล้ายต้นอ้อนแต่มลี าํ ต้นสีแดงคลํ้า
ส่วนที่ใช้เป็ นยา ลําต้นทัง้ สดหรือแห้ง
ช่วงเวลาที่เก็บเป็ นยา เก็บลําต้นทีส่ มบูรณ์เต็มที่
รสและสรรพคุณยาไทย รสหวานและขม แก้ปสั สาวะพิการ แก้ขดั เบา
143
สีผสมอาการจากธรรมชาติ
การปรุงรสและตบแต่งอาหารอย่างเหมาะสม ทําให้อาหารทีไ่ ด้มลี กั ษณะและรสชาติทช่ี วน
รับประทานอาหารของไทยทัง้ คาวและหวาน นิยมปรุงแต่งสีให้ดสู วยงาม แต่เดิมสีทใ่ี ช้ในการปรุง
แต่งอาหารส่วนใหญ่ได้จากธรรมชาติ คือได้จาก ส่วนดอก ผล แก่น ใบ เหง้า และบางครัง้ ก็ได้
จากสัตว์ ในระยะหลังมีสสี งั เคราะห์เกิดขึน้ จึงได้มกี ารนําสีสงั เคราะห์มาใช้ในการปรุงอาหารกันมาก
ขึน้ สีสงั เคราะห์ทใ่ี ช้ผสมอาหารได้จากการสังเคราะห์สานเคมีทางวิทยาศาสตร์ผ่า นการค้นคว้า
ทดลองปรากฏว่า หลายชนิดเป็นอันตรายต่อคนในระยะยาว เรื่องนี้ในหลายประเทศ เช่น
สหรัฐอเมริกา ญี่ปนุ่ และประเทศในยุโรปได้มกี ารค้นคว้าเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง พร้อมทั ่งสั ่งระงับ
การใช้สสี งั เคราะห์หลายชนิดทีต่ รวจพบว่าเป็นอันตรายต่อคนทัง้ ระยะสัน้ และระยะยาว
ในเมืองไทย จากการสุ่มตัวอย่างอาหารหลายชนิด เช่น ไส้กรอก นํ้าปลา ข้าวเกรียบกุง้
กุง้ แห้ง หรือขนมสําหรับเด็กตรวจแล้วพบว่าอาหารบางอย่างใส่สผี สมอาหารทีไ่ ม่ถูกต้องตามประกาศ
ของกระทรวงสาธารณสุข เช่น ใส่สยี อ้ มผ้าอยูบ่ ่อยครัง้ เพราะสียอ้ มผ้าราคาถูก ใส่เพียงเล็กน้อยสีก็
จะเด่นชัดขึน้ มา สีสงั เคราะห์จะเป็นอันตายต่อผูบ้ ริโภค ยางคนรับประทานเข้าไปอาจะเกิดแพ้ส ี
อาการคล้ายแพ้ยาแอสไพริน คือ คลื่นไส้ อาเจียน มีรมิ ผีปากดํา ถ้าเป็นสีผสมสารหนูคนไข้จะมี
อาการนํ้าลายฟูมปาก หายใจไม่ออก สีทม่ี ตี ะกั ่ว คนไข้ทแ่ี พ้หรือรับประทานเข้าไปมากจะทําให้
โลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อหมดกําลัง อาจพิการสมองอาจถูกกระทบกระเทือนไปด้วย
สีผสมอาหารทีเ่ ป็นสีสงั เคราะห์ไม่ควรใช้เลย เพราะบางตัวถ้าใช้บ่อยและปริมาณมาก อาจ
ทําให้เกิดพิษได้ เนื่องจากสีนนั ้ อาจจะไปเกาะหรือเคลือบตามเยื่ อบุกระเพราะลําไส้ ทําการดูดซึม
ของกระเพาะลําไส้ไม่มปี ระสิทธิภาพ เกิดอาการท้องเดิน อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
นํ้าหนักลด ชีพจร และการหายใจอ่อน ถ้าเป็นมากประสาทและสมองเป็นอัมพาต อาจเป็นมะเร็งใน
ต่อมนํ้าเหลือง และในทีอ่ ่นื ๆ
การควบคุมยังทําไม่ทงั ้ ถึ ง จึงทําให้ในท้องตลาดมีอาหารทีผ่ สมด้วยสีทเ่ี ป็นอันตรายหลาย
อย่างในฐานะทีเ่ ราเป็นผูบ้ ริโภคจึงควรเลือกอาหารทีส่ าสีผสมอาหารจากธรรมชาติเป็นอันดับรกหรือ
เลือกอาหารทีไ่ ม่ใส่ส ี หากทําอาหารรับประทานเอง ควรใช้สจี ากธรรมชาติ เพราะจะได้อาหารทีม่ ี
ความปลอดภัย ความสะอาด และประหยัดอีกด้วย สีผสมอาหารจากธรรมชาติทจ่ี ะแนะนําในทีน่ ้นี นั ้
เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสีจากธรรมชาติและมีการใช้กนั มามาก สามารถลือกสามารถเลือกใช้ได้ตามชนิ
ของอาหารและความชอบ
145
กระเจี๊ยบแดง
ชื่ อท้ องถิ่ น กระเจีย๊ บ , กระเจีย๊ บเปรีย้ ว (กลาง) , ผักเก็งเค็ง , ส้มเก็งเค็ง (เหนือ) , ส้ม
ตะแลงเครง (ตาก) , ส้มปู (เงีย้ ว – แม่อฮ่องสอน)
ลักษณะของพืช กระเจีย๊ บเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงราว ๓ - ๖ ศอก กิง่ ก้านมีสมี ่วงแดง
ใบมีหลายแบบ ขอบใบเรียบดอกร่วงโรยไป กลีบรองดอกและกลีบเลีย้ งจะเจริญขึน้ มีสมี ่วงแดงเข้ม
หุม้ เมล็ดไว้ภายใน ใช้เมล็ดปลูก ปลูกได้ท ั ่วทุกภาคของประเทศไทย
ส่วนที่ใช้ กลีบเลีย้ ง
วิ ธีใช้ ใช้กลีบเลีย้ งแห้งหรือสด ต้มกับนํ้าเคีย่ วให้สแี ดงออกมามากทีส่ ุด กรองเอา
กากทีเ่ หลือออกโดยผ้าขาวบางบีบนํ้าออกจากกลีบให้หมด นํ้ากระเจีย๊ บทีไ่ ด้สแี ดงเข้ม (สาร
Anthocyanin) นําไปแต่งสีอาหารตามต้องการ หรือนําไปเติมนํ้าตาล เกลือเล็กน้อยปรุงเป็น
เครื่องดื่มก็ได้
ขมิ้น
ชื่ อท้ องถิ่ น ขมิน้ (ทั ่วไป) , ขมิน้ แกง , ขมิน้ หยวก , ขมิน้ หัว (เชียงใหม่) , ขีม้ น้ิ หมิน้
(ภาคใต้) , ตายอ (กะเหรีย่ ง – กําแพงเพรช) , สะยอ (กะเหรีย่ ง – แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืช ขมิน้ เป็นพืชล้มลุกทีม่ เี หง้าอยูใ่ ต้ดนิ ลงหัวในฤดูแล้ง เนื้อในของเหง้า
ขมิน้ สีเหลืองเข้มจนถึงสีแสด มีกลิน่ หอมเฉพาะตัว ในรูปเรียวยาว ปลายแหลมคล้ายใบพุทธรักษา
ดอกออกเป็นช่อ มีกา้ นช่อแทงจากดเหง้าโดยตรง ดอกสีขาวอมเหลือง มีกลีบประดับสีเขียวอมชมพู
ใช้เหง้าปลูก ปลูกได้ท ั ่วไป
ส่วนที่ใช้ เหง้าดิน
วิ ธีใช้ ใช้เหง้าสด ล้างนํ้า ปอกเปลือก บดหรือตําให้ละเอียด เติมนํ้าเล็กน้อย คัน้ กรองจะ
ได้น้ําสีเหลืองเข้ม (สาร Curcumin) นําไปแต่งสีอาหารคาวเช่น แกงกะหรี่ ข้าวหมกไก่ แกงเหลือง
อาหารหวาน เช่น ข้าวเหนียวเหลือง ทําให้มสี เี หลืองน่ ากิน
คําฝอย
ชื่ อท้ องถิ่ น ดอกคํา (เหนือ) คํายอง คํา (ทั ่วไป)
ลักษณะของพืช คําฝอยเป็นพืชล้มลุกสูงราว ๑ เมตร ลําต้นเป็นเหลีย่ ม กานใบสัน้
ใบรูปร่างรียาว ริมใบหยักแหลม เนื้อใบเรียบ ดอกออกรวมกันเป็นช่อ อัดกันแน่นบนฐ านดอก
146
คําแสด
ชื่ อท้ องถิ่ น คําเงาะ คําแงะ คําแฝด คํายง ชาตี (เขมร) , จําปู้ ส้มปู้ (เขมร – สุรนิ ทร์)
, มะกายหยุม แสด (เหนือ) , หมากมอง (แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืช เป็นไม้พมุ้ หรือไม้ยนื ต้นขนาดเล็ก กิง่ อ่อนๆ มีเกล็ดสีน้ําตาล คลุมอยูม่ าก
ใบติดกับลําต้นแบบเวียนสลับตัวใบรูปร่างคล้ายโพธิ ์ ขอบใบเรียบ ปลายแหลม ก้านใบยาว ดอก
ออกเป็นช่อมี ๘ -- ๕๐ ดอก ดอกสีชมพูอมม่วงหรือแดง ผลรูปไข่ปลายแหลม ขณะยังอ่อนสีเขียว
เมื่อสุกเป็นสีแดงจนแห้งกลายเป็นสีน้ําตาล มีเมล็ดขนาดเล็กจํานวนมาก ใช้เมล็ดปลูก
ส่วนที่ใช้ เมล็ด
วิ ธีใช้ นําเมล็ดมาแช่น้ําแล้วคนแรงๆ หรือนําเมล็ดคําแสดมาบดแล้วแช่น้ํา กรองเอาเมล็ด
ออกด้วยผ้าขาวบางตัง้ ไว้ให้สตี กตะกอน รินนํ้าใสทิง้ นําตะกอนสีแสด (สาร BIXIN) ทีไ่ ด้ไปแต่งสี
อาหารประเภทไขมัน เช่น ฝอยทอง เนย ไอศกรีม และยังใช้ย้ อมผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมได้ดว้ ย
องค์การอนามัยโลก กําหนดให้รบั ประทานสีทส่ี กัดจากเมล็ดคําแสดได้ไม่เกิน ๐.๐๖๕ มิลลิกรัม ต่อ
นํ้าหนักตัว ๑ กิโลกรัม ต่อ ๑ วัน
เตย
ชื่ อท้ องถิ่ น ปานะวองิง (มาเลย์ – นราธิวาส) , หวานข้าวใหม่ (ภาคเหนือ)
ลักษณะของพืช เป็นพืชล้มลุก ออกเป็นกอ มีรากอากาศบนข้อข้างลําต้น ใบเดีย่ ว ขยีด้ ม
กลิน่ หอม ใบติดกับลําต้นแบบเวียนสลับแน่นอยูโ่ ดยรอบ ใบรูปร่างเรียวยาว ปลายแหลม ริมใบ
เรียม ส่วนปลายใบ และตามเส้นกลางใบด้านหลัง มีหนามเล็กๆ ไม่เคยพบดอก ปลูกโดยวิธแี ยก
หน่ออ่อน
ส่วนที่ใช้ ใบสด
วิ ธีใช้ นําใบเตยสดทีส่ ะอาดหั ่นตามขวางโขลก เติมนํ้าเล็กน้อย คัน้ กรอง ผ่านผ้าขาว
บาง จะได้น้ําสีเขียว (santophyll และ chlorophyll) มีกลิน่ หอม ใช้แต่งสีอาหารคาวและหวานได้
147
นิยมใช้แต่สอี าหารหวาน เช่น ลอดช่อง ขนมเปียกปูน วุน้ กะทิ นํ้าเก๊กฮวย เค้ก เป็นต้น บางทีก็
เอาใบมาโขลกพอแหลก ต้มกับนํ้าใส่น้ําตาลเล็กน้อย ทําเป็นชาใบเตย มีสเี ขียว กลิน่ หอมชื่นใจ
ฝาง
ชื่ อท้ องถิ่ น ฝางส้ม (กาญจนบุร)ี
ลักษณะของพืช ไม้ยนื ต้นสูงได้ถงึ ๑๐ เมตร ตามลําดับต้นและกิง่ มีหนามอยูท่ ั ่วไป ใบติด
กับลําต้นแบบสลับ ลักษณะประกอบ ด้วยใบย่อยเล็กๆ มากมาย ดอกติดกับก้านใบย่อย ซึง่ งอก
ก้านใบรวมเป็นคู่ตรงข้ามกันรูปร่างของใบย่อยกลมมนปลายใบมน ใต้ใบมีขน ดอก เป็นช่อสีเหลือง
มีเส้นสีแเดงบนกลีบดอก ฝกั แบนยาวและใหญ่ภายในเมล็๒ด - ๔ เมล็ด ใช้เมล็ดปลูก
ส่วนที่ใช้ แก่น
วิ ธีใช้ นําแก่นมาแช่น้ํา จะได้น้ําสีชมพูเข้ม (sappan red) ใช้สแี ต่งอาหารได้
อัญชัน
ชื่ อท้ องถิ่ น แดงชัน (เชียงใหม่) , เอือ้ งชัน (หนือ)
ลักษณะของพืช อัญชันเป็นไม้เลือ้ ยขึน้ เองตามธรรมชาติ ใบติดกับลําต้นแบบสลับ
ประกอบด้วยใบย่อย ๕ - ๗ ใบ ใบย่อยรูปร่างรีหรือขอบขนาน ปลายใ บมน เนื้อใบด้านบน
ค่อนข้างเรียบ หรือมีขนอ่อนทัง้ ด้านบนและด้านล่าง ดอกสีน้ําเงินอมม่วง ตอนกลางดอกมีสเี หลือง
ฝกั ค่อนข้างแบบยาว ๕ - ๑๒ เซนติเมตร มีขนอยูท่ ั ่วไปใช้เมล็ดปลูกและควรทําหลักหรือค้างให้
อัญชันเลือ้ ย
ส่วนที่ใช้ ดอกสด
วิ ธีใช้ ใช้กลีบดอกสด ตํา เติมนํ้าเล็กน้อย กรองด้วยผ้าขาวบาง คัน้ นํ้าออก จะได้น้ําสีน้ํา
เงิน (Anthocyanin) ถ้าเติมนํ้ามะนาวลงไปเล็กน้อย จะกลายเป็นสีม่วง ใช้แต่งสีอาหารตามต้องการ
มักนิยมใช้แต่งสีน้ําเงินของขนมเรไร ขนมนํ้าดอกไม้ ขนมขีห้ นู
148
แผนภูมิที่ ๒ สรุปความสัมพันธ์ของหัวข้อเนื้อหาในบทที่ ๒
เภสัชวัตถุ
บทที่ ๓
สรรพคุณเภสัช
๑. ยารสประธาน
ยารสประธาน หมายถึง รสของยาทีป่ รุงหรือผสมเป็นตํารับแล้ว สิง่ ทีจ่ ะนํามาประกอบขึน้
เป็นยานัน้ ประกอบด้วยวัตถุธาตุ ๓ ประเภท คือ พืชวัตถุ สัตว์วตั ถุ ธาตุวตั ถุ เมื่อนํามาประกอ
ปรุงเป็นยาสําเร็จรูปแล้วจนเหลือรสของตัวยาสําเร็จรูปอยูเ่ พียง ๓ รสเท่านัน้ คือ
๑.๑ ยาขนาดใดทีป่ รุงขึน้ มาแล้ว รสเย็น ได้แก่ ยาทีเ่ ข้าพืช สัตว์ ธาตุทไ่ี ม่รอ้ น เช่น เขา
สัตว์ เขีย้ วสัตว์ มาปรุงยารสเย็น เช่น ยามหานิล ยามหากาฬ ขาเขียว เป็นต้น ซึง่ มีสรรพคุณ
แก้ทางเตโชธาตุ (ธาตุไฟ) แก้ไข้ ระงับความร้อน ใช้สาํ หรับแก้ไข้ในกองฤดูรอ้ น
๑.๒ ยาขนาดใดทีป่ รุงขึน้ มาแล้ว รสร้อน ได้แก่ ยาทีเ่ ข้าพืช สัตว์ ธาตุทร่ี สร้อน เ ช่น
เบญจกูล ตรีกฏกุ เหง้าขิง กะเพรา มาปรุงเป็นยารสร้อน เช่น ยาไฟประลัยกัลป์ ยาสัณฑฆาต
ยาประสากานพลู ยาประจุวาโย เป็นต้น ซึง่ มีสรรพคุณแก้ในกองวาโยธาตุ (ธาตุลม) แก้ลมกอง
หยาบ ลมจุกเสียดแน่ น ลมพรรรดึก บํารุงธาตุ ใช้สาํ หรับแก้ไข้ในกองฤดูฝน
๑.๓ ยาขนาดใดทีป่ รุงขึน้ มาแล้ว รสสุขมุ ได้แก่ ยาทีเ่ ข้าพืช สัตว์ ธาตุทไ่ี ม่รอ้ น เช่น
โกฐเทียน กฤษณา กระลําพัก จันทร์เทศ เครื่องเทศทีไ่ ม่รอ้ น มาปรุงเป็นยารสสุขมุ เช่น ยาหอม
อินทจักร ยาหอมเนาวโกฐ ยาสังข์วชิ ยั เป็นต้น ซึง่ มีสรรพคุณแก้ในกองอาโปธาตุ (ธาตุน้ํา) แก้ไข้
ทีใ่ ช้ยารวเย็นไม่ได้แก้ลมกอลละอียด ลมวิงเวียน ใจสั ่นหวั ่นไหว บํารุงกําลัง ใช้สาํ หรับแก้ไข้ในกองฤดูหนาว
150
๒. รสของตัวยา ๔ , ๖ , ๘ , ๙ รส
๒.๑ รสยา ๔ รส
ในคัมภีรธ์ าตุวภิ งั ค์ ได้กล่าวถึงรสยา ๔ รส แก้โรคดังนี้
๑) รสยาฝาด ชาบไปในผิวเนื้อ และเส้นเอ็น
๒) รสยาเผ็ด ชาบไปในผิวหนังทุกเส้นขน
๓) รสยาเค็ม ชาบไปในทีเ่ ส้นเอ็นและกระดูกทั ่วสรรพางค์กาย
๔) รสยาเปรีย้ ว ชาบไปในเนเอ็นทั ่วรรพางค์กาย
๒.๒ รสยา ๖ รส
ในคัมภีรว์ รโยคสาร ได้กล่าวถึงรสยา ๖ รส แก้โรคดังนี้
๑) มธุระ คือ รสหวาน ชอบกับยาให้เจริญรสธาตุ
๒) อัมพิระ คือ รสเปรีย้ ว ทําให้ดี ลม เสลดอนุโลมตามซึง่ ตนและเจริญรสอาหาร
บํารุงไฟธาตุกระทําสารพัดทีด่ บิ ให้สุก ถ้าใช้เป็นเกิดคุณ ใช้ไม่เป็นเกิดโทษ
๓) ลวณะ คือ รสเค็ม เผาโทษเผาเขฬะ ให้เจริญไฟธาตุ
๔) กฏกุ ะ คือ รสเผ็ด กระทําให้กาํ ลังน้อย ระงับความเกียจคร้าน ระงับพิษ
ไม่ให้เจริญบํารุงไฟธาตุและให้อาหารสุก
๕) ติตติกะ คือ รสขม เจริญไฟธาตุ แก้รอ้ น แก้ระหายนํ้า กระทําให้มตู รและ
คูถบริสุทธิ ์เจริญรสอาหาร
๖) กะสาวะ คือ รสฝาด เจริญไฟธาตุ แก้กระหายนํ้า ให้เจริญผิวกายและเนื้อ
คุณสมบัตขิ องยาแต่ละรส ให้แสลงกับโรคต่างๆ มีรายละเอียดดังนี้ คือ
รสเผ็ด รสขม และรสฝาด ทัง้ ๓ รสนี้ ทําให้ ลมกําเริบ
รสเผ็ด รสเปรีย้ ว และรสเค็ม ทัง้ ๓ รสนี้ ทําให้ ดีกาํ เริบ
รสหวาน รสเปรีย้ ว และรสเค็ม ทัง้ ๓ รสนี้ ทําให้เสลดกําเริบ
151
๒.๓ รสยา ๘ รส
ในคัมภีรธ์ าตุววิ รณ์ กล่าวถึงยา ๘ รส แก้โรคดังนี้คอื
๑) รสขม ย่อมซาบไปตามผิวหนัง
๒) รสฝาด ย่อยซาบมังสา (ชาบเนื้อ)
๓) รสเค็ม ซาบเส้นเอ็น
๔) รสเผ็ดและรสร้อน ซาบกระดูกมิได้เว้น
๕) รสหวาน ย่อมซึมซาบลําไส้ใหย่
๖) รสเปรีย้ ว ซาบลําไส้น้อย
๗) รสเย็นหอม ซาบหัวใจ
๘) รสมัน ซาบทีข่ อ้ ต่อทัง้ ปวง
๒.๔ รสยา ๙ รส
ในการศึกษาเรื่องสรรพคุณเภสัช ได้สรุปรสชองวัตถุธาตุได้ ๙ รส จําแนกให้
ละเอียดออกไปดังนี้
๑) รสฝาด สรรพคุณ มีฤทธิ ์ทางสมาน เช่น สมานบาดแผลทัง้ ภายในและภายนอก
แผลสด แผลเปื่อย กัดเนื้อร้าย แก้โรคบิด ท้องร่วง แก้อุจจาระธาตุพกิ าร คุมธาตุ แสลงกับโรคไอ
ท้องผูก โรคลม โรคพรรดึก ท้องผูก เตโชธาตุพกิ าร (ธาตุไฟ)
๒) รสหวาน สรรพคุณ มีฤทธิ ์ซึมซาบไปตามเนื้อ เช่น ทําให้เนื้อในร่างกายชุ่มชืน้
บํารุงกล้ามเนื้อ บํารุงหัวใจ เจริญอาหาร แก้อ่อนเพลีย บํารุงกําลัง แก้ไอ แก้เสมหะแห้ง แก้หอบ
แสลงกับโรค ฟนั ผุ เสมหะเฟื่อง อาเจียน โรคเบาหวาน นํ้าเหลืองเสีย บาดแผล
๓) รสเมาเบื่อ สรรพคุณ แก้พษิ เช่น พิษดี พิษเสมหะ พิษโลหิต พิษไข้ พิษสัตว์กดั
ต่อย แก้โรคทางอาโปธาตุ (ธาตุน้ํา) แก้พยาธิ ผื่นคัน แสลงกับโรค หัวใจพิการ ไอ
๔) รสขม สรรพคุณ แก้ในทางโลหิตและดี แก้กาํ เดา แก้ไข้ต่างๆ เช่น ไข้ตวั ร้อน
ไข้จบั สั ่น บํารุงนํ้าดี เจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร แสลงกับโรค หัวใจพิการ โรคลม จุกเสียด แน่นเฟ้อ
๕) รสเผ็ดร้อน สรรพคุณ แก้โรคลมจุกเสียด ขับลมให้ผายหรือเรอ บํารุงเตโชธาตุ
(ธาตุไฟ) ขับเหงื่อ ช่วยย่อยอาหาร แสลงกับโรค ไข้ตวั ร้อน เพ้อคลั ่ง
๖) รสมัน สรรพคุณ มีฤทธิ ์ซึบซาบไปตามเส้นเอ็น แก้เส้นเอ็นพิการ บํารุงเส้นเอ็น
แก้ปวดเมื่อย บํารุงไขข้อ บํารุงเยือ่ กระดูก เป็นยาอายุวฒั นะ ให้ความอบอุ่นแก่ ร่างกาย แสลง
กับโรค เสมหะพิการ เช่น ไอ หอบ บิด และไข้ต่างๆ ร้อนในกระหายนํ้า
152
๓. รสยาประจําธาตุ (รสยาแก้ตามธาตุ)
เป็นทีท่ ราบกันดีแล้วว่าในร่างกายของมนุษย์เรานัน้ ประกอบขึน้ จากธาตุทงั ้ ๔ คือ ธาตุดนิ
๒๐ ธาตุน้ํา ๑๒ ธาตุลม ๖ และธาตุไฟ ๔ เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งเกิดพิการหรือเจ็บปว่ ยขึน้ คัมภีร์
แพทย์แผนโบราณได้จดั รสยาไว้แก้ดงั นี้
๔. รสยาแก้ตามวัย (แก้ตามอายุ)
ในทีน่ ้ีแบ่งช่วงอายุออกเป็๓น วัย แต่ละวัยเกิดโรคแตกต่างกัน และใช้รสยาแก้ต่างกัน ดังนี้ คือ
๑) ปฐมวัย (วัยเด็ก) ตัง้ แต่แรกเกิดจนถึงอายุ ๑๖ ปี วัยเด็กเป็นโรคเพื่อเสมหะ
(สมุฏฐานอาโป) ควรใช้ยารสหวาน รสเปรีย้ ว รสขม
๒) มัชฌิมวัย (วัยกลาง หรือวัยหนุ่มสาว) ตัง้ แต่อายุ ๑๖ ปี จนถึงอายุ ๓๒ ปี เป็นโรค
เพื่อโลหิตและดี (คือสมุฏฐานอาโป) ควรใช้ยารสเปรีย้ วฝาด รสเปรีย้ วเค็ม และรสขม
๓) ปจั ฉิมวัย (วัยผูเ้ ฒ่าหรือวัยคนแก่) ตัง้ แต่อายุ ๓๒ ปี จนถึงอายุ ๖๔ ปี หรือจนสิน้
อายุขยั เป็นโรคเพื่อลมกําเลิบ (คือสมุฏฐานวาโย) มีอาโปแทรก คือเสมหะกับเหงื่อแทรก ใช้ยารส
ขม รสร้อน รสเค็ม รสฝาด รสหอม
๕. รสยาแก้ตามฤดู
ฤดูในทีน่ ้ีจะขอกล่าวเฉพาะ ๓ นัน้ คือ ใน ๑ ปี มี ๓ ฤดู ๆ ละ ๔ เดือน และถือว่า
เป็นฤดูแห่งกองโรค คือเกิดเป็นโรคปิตตะ โรควาตะ และเสมหะ ตามลําดับ จึงจัดรสยาแก้ไว้ดงั นี้
๑) คิมหันตฤดู (ฤดูรอ้ น) เกิดโรคเพื่อเตโชธาตุพกิ าร โรคปิตตะพิการคือดีพกิ าร ควรใช้ยารสเย็นและจืด
๒) วสันตฤดู (ฤดูฝน) เกิดโรคเพื่อวาโยธาตุพกิ าร คือ โรควาตะ โรคลม ควนใช้ยารสร้อนและรสสุขมุ
๓) เหมันตฤดู (ฤดูหนาว) เกิดโรคเพื่ออาโปธาตุพกิ าร คือ สมุฏฐานเสมหะ ควรใช้ยารสสุขมุ หรือรสเปรีย้ ว
158
๖. รสยาแก้ตามกาล
รสยาแก้ตามกาลเวลา หรือตามยามนี้ จัดไว้โดยมุ่งหมายเพื่อให้คนไข้ได้รบั ประทานยา
(กินยา) ให้ทนั หรือตรงกับสมุฏฐานของโรคซึง่ เกิดขึน้ ในเวลาหรือกาลนันๆ
้ ในคัมภีรก์ ล่าวไว้ทงั ้ หมด
กาล ๓ และกาล ๔ จะได้ยกตัวอย่างให้นกั ศึกษาได้ทราบทัง้ ๒ กาล คือ
๖.๑ กาล ๓ คือ กลางวัน แบ่งออกเป็น ๓ ยาม กลางคืนแบ่งออกเป็น ๓ ยาม คือ
ยามที่ ๑ นับแต่ ๐๖.๐๐ น. ถึง ๑๐.๐๐ น. หรือนับแต่ ๑๘.๐๐ น. ถึง ๒๒.๐๐ น.
เกิดโรคเพื่อเสมหะ ใช้น้ํากระสายยารสเปรีย้ ว
ยามที่ ๒ นับแต่ ๑๐.๐๐ น. ถึง ๑๔.๐๐ น. หรือนับแต่ ๒๒.๐๐ น. ถึง ๐๒.๐๐ น.
เกิดโรคเพื่อโลหิตและดี ใช้น้ํายากระสายยารสขม
ยามที่ ๓ นับแต่ ๑๔.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น. หรือนับแต่ ๐๒.๐๐ น. ถึง ๐๖.๐๐ น.
เกิดโรคเพื่อลม ใช้น้ํากระสายยารสร้อน
๖.๒ กาล ๔ คือ ท่านแบ่งไว้เป็นกลางวัน ๔ กลางคืน ๔ ตอน ดังนี้
ยามที่ ๑ นับแต่ (ยํ่ารุ่ง) ๖.๐๐ น. ถึง ๙.๐๐ น. หรือนับแต่ ๑๘.๐๐ ถึง ๒๑.๐๐ น.
เป็นสมุฏฐานอาโป พิกดั เสมหะ
ยามที่ ๒ นับแต่ ๙.๐๐ น. ถึง ๑๒.๐๐ น. หรือนับแต่ ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๔.๐๐ น.
เป็นสมุฏฐานอาโป พิกดั โลหิต
ยามที่ ๓ นับแต่ ๑๒.๐๐ น. ถึง ๑๕.๐๐ น. หรือนับแต่ ๐๐.๐๐ น. ถึง ๐๓.๐๐ น.
เป็นสมุฏฐานอาโป พิกดั ดี
ยามที่ ๔ นับแต่ ๑๕.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น. หรือนับแต่ ๐๓.๐๐ น. ถึง ๐๖.๐๐ น.
เป็นสมุฏฐานอาโป พิกดั วาตะ (ลม)
159
สรรพคุณเภสัช
ยารสประธาน ๓ รส รสตัวยา
บทที่ ๔
คณาเภสัช
๑. จุลพิ กดั
จุลพิกดั คือ จํากัดตัวยาน้อยอย่าง หรือพิกดั ทีเ่ รียกชื่อตรงตามตัวยา มักจะเป็นตัวยา
อย่างเดียวกัน หรือส่วนมากมีตวั ยาเพียง ๒ อย่างเท่านัน้ แต่เป็นตัวยาชนิดเดียวกัน ต่างกันที่
ขนาด ต่างกันทีส่ ี ต่างกันทีร่ ส ต่างกันทีช่ นิด (เพศผู้ – เพศเมีย) ต่างกันจากถิน่ ทีเ่ กิด
ตัวอย่างเช่น
๑.๑ พวกที่ต่างกันที่ขนาด
๑) กระพังโหมทัง้ ๒ คือ กระพังโหมน้อย กระพังโหมใหญ่
๒) ข่าทัง้ ๒ คือ ข่าเล็ก ข่าใหญ่
๓) ตับเต่าทัง้ ๒ คือ ตับเต่าน้อย ตับเต่าใหญ่
๔) เปล้าทัง้ ๒ คือ เปล้าน้อย เปล้าใหญ่
๕) เร่วทัง้ ๒ คือ เร่วน้อย เร่วใหญ่
๖) ส้มกุง้ ทัง้ ๒ คือ ส้มกุง้ น้อย ส้มต้มกุง้ ใหญ่
๑.๒ พวกที่ต่างกันที่สี
๑) การบูรทัง้ ๒ คือ การบูรดํา การบูรขาว
๒) กะเพราทัง้ ๒ คือ กะเพราแดง กะเพราขาว
๓) กระดูกไก่ทงั ้ ๒ คือ กระดูกไก่ดาํ กระดูกไก่ขาว
๔) กระวานทัง้ ๒ คือ กระวานดํา กระวานขาว
๕) หัวกระดาดทัง้ ๒ คือ หัวกระดาดแดง หัวกระดาดขาว
162
๑.๓ พวกที่ต่างกันที่รส
๑) มะขามทัง้ ๒ คือ มะขามเปรีย้ ว มะขามหวาน
๒) มะขามเทศ ๒ คือ มะขามเทศฝาด มะขามเทศมัน
๓) มะปรางทัง้ ๒ คือ มะปรางเปรีย้ ว มะปรางหวาน
๔) มะเฟืองทัง้ ๒ คือ มะเฟืองเปรีย้ ว มะเฟืองหวาน
๒. พิ กดั
พิ กดั ยา หมายถึง การจํากัดจํานวนตัวยาตัง้ แต่สองสิง่ ขึน้ ไป รวมเรียกเป็นชื่อเดียวกัน จะเป็น
คําตรงหรือคําศัพท์ โดยทีต่ วั ยาทีน่ ํามารวมกัน ต้องใช้น้ําหนักเสมอภาค คือ ขนาดนํ้าหนักเท่ากัน
จําแนกพิกดั ยาได้ ดังนี้
๒) พิ กดั ทเวติ คนั ธา คือ จํากัดจํานวนตัวยาทีม่ กี ลิน่ หอม ๓ อย่างในยา ๒ สิง่ คือ
ดอกบุนนาค บํารุงโลหิตแก้กลิน่ เหม็นสาบสางในร่างกาย
แก่นบุนนาค แก้รตั ตะปิตตะโรค
รากบุนนาค ขับลมในลําไส้
ดอกมะซาง ทําใจให้ชุ่มชื่นชูกาํ ลัง
แก่นมะซาง แก้คุดทะราด แก้เสมหะ แก้ไข้สมั ประชวร
รากมะซาง แก้โลหิต แก้กาํ เดา
165
๒๗) พิ กดั ตรีคนั ธวาตะ (กันธวาต) คือ จําตัวยาแก้พษิ ตามกาล ๓ อย่าง คือ
ลูกเร่วใหญ่
ลูกจันทน์
ดอกกานพลู
สรรพคุณ แก้ธาตุพกิ าร แก้คลื่นเหียนอาเจียนแก้รดิ สีดวงทัง้ ๙ แก้ไอหืด
๒๙) พิ กดั ตรีสนั นิ บาตผล (ตรีโลหิ ตะพละ) คือ จํานวนผลแก้สนั นิบาต ๓ อย่างคือ
ผลดีปรี
รากกะเพรา
รากพริกไทย
สรรพคุณ แก้ไขสันนิบาต แก้ในกองลม บํารุงธาตุ แก้ปถวี ๒๐ ประการ
แก่นจันทน์ชะมด
ต้นเนระภูส ี
ต้นมหาสดํา
สรรพคุณ แก้ไข้เพื่อดี แก้ไข้รตั ตะปิตตะโรค แก้ลมวิงเวียน แก้พษิ ทัง้ ปวง
บัวจงกลนี
บัวนิลอุบล
สรรพคุณ ชูกาํ ลัง บํารุงหัวใจ แก้อุจจาระธาตุ แก้ไข้เพื่อลมและโลหิต แก้ไข้
รากสาด บํารุงครรภ์รกั ษา
เทียนตาตั ๊กแตน
เทียนสัตตบุษย์
เทียนเยาวพาณี
สรรพคุณ แก้ลม เสมหะและดีระคนกัน แก้พษิ โลหิต แก้ทางปสั สาวะ แก้นิ่ว
แก้มุตกิด บํารุงธาตุ บํารุงกําลัง แก้ลมในท้อง แก้พรรดึก แก้ลมครรภ์รกั ษา
รากทองโหลง
รากทองพันชั ่ง
เนื้อไม้ขนั ทองพยาบาท
รากต้นใบทอง
รากต้นทองเครือ
รากจําปาทอง
สรรพคุณ แก้โรคดี เสมหะและลมทีเ่ ป็นพิษ แก้รดิ สีดวง ทําลายพยาธิ
เกลือสุวสา
เกลือเยาวกาษา
เกลือวิธู
เกลือด่างคลี
เกลือกะตังมูตร
สรรพคุณ ล้างลําไส้ แก้เสมหะ แก้ปสั สาวะ แก้โรคท้องมาน กัดเมือกมันใน
ลําไส้ แก้น้ําเหลืองเสีย บํารุงธาตุทงั ้ ๔ และแก้ธาตุทงั ้ ๔
๓. มหาพิ กดั
มหาพิกดั หรือมหาพิกดั ยา คือ พิกดั ใหญ่กว่าพิกดั ธรรมดา โดยเอาตัวยาหลายสิง่ หลายอย่าง
มารวมกันเข้าเรียกชื่อเดียวกัน แต่น้ําหนักของตัวยาในมหาพิกดั หนักสิง่ ละไม่เท่ากันหนักมากบ้าง
หนักน้อยบ้าง ซึง่ สงเคราะห์ไว้แก้ในกองธาตุ กําเริบ หย่อน พิการ รือแก้ในลักษณะโรคแทรก
โรคตาม แต่กอ็ ยูใ่ นขอบเขตทีก่ าํ หนดไว้ แบ่งมหาพิกดั ได้ดงั นี้
่ (ยา ๖ สิ่ ง)
๓.๓ มหาพิ กดั ทัวไป
มหาพิกดั ทั ่วไป คือ พิกดั ทีก่ าํ หนดเอาตัวยา ๖ สิง่ ใช้สาํ หรับแก้ธาตุกาํ เริบหย่อนพิการโดย
กําหนดตัวยาเป็น ๑๖, ๘, ๔, ๓, ๒ และ ๑ ตามลําดับ ในทางธาตุจะมีตวั ยาระคน (เจือปน) โดย
กําหนดนํ้าหนักตัวยานี้ใช้ท ั ่วไปในธาตุทงั ้ ๔ กอง โดยนําตัวยาในพิกดั ตรีผลา ตรีสาร ตรีกฏุกรวม
กับตัวยาประจําธาตุจะเป็น ๖ ตัวยา มหาพิกดั ทั ่วไปจึงใช้แก้กองธาตุทงั ้ ๔ แบ่งออกได้เป็น ๔ กอง
ได้แก่
๑) แก้เตโชธาตุกาํ เริบ หย่อนพิการ
๒) แก้วาโยธาตุกาํ เริบ หย่อนพิการ
๓) แก้อาโปธาตุกาํ เริบ หย่อนพิการ
๔) แก้ปถวีธาตุกาํ เริบ หย่อนพิการ
บทที่ ๕
เภสัชกรรม
๑. วิ ธีปรุงยา
การปรุงยาตามตําราแพทย์แผนโบราณ คงจะเข้าใจดีวา่ การปรุงยาก็หมายถึงกราผสม
การผสมนี้กต็ อ้ งใช้วตั ถุต่างๆตามความต้องการของแพทย์และเภสัชกรเพื่อนําเอามาแปรสภาพให้เป็น
ยารักษาและป้องกันโรคทีเ่ กิดขึน้ ให้มสี รรพคุณแรงพอทีจ่ ะบําบัดโรคได้ เภสัชกรก็คอื เป็นผูท้ ร่ี อบรู้
มนวิชาเภสัชกรรมได้ดี รูซ้ ง้ึ ถึงวัตถุต่างๆว่ามีรปู ร่างลักษณะมีฤทธิ ์ทีจ่ ะแก้โรคได้อย่างไรและเป็น
ผูแ้ ปรสภาพวัตถุต่างๆ ให้กลายเป็นยารักษาโรคได้
การปรุงยา เภสัชกรต้องมึวา มเข้าใจต่อตัวยา การประสมประสานตัวยานัน้ มีความหมาย
อย่าไร หรือตัวยาจะมีความสัมพันธ์กนั หรือมีฤทธิ ์ต่อต้านกัน หรือจะเสริมฤทธิ ์ ทําให้มอี าการ
ข้างเคียงเกิดขึน้ ในเมื่อใช้ต่อผูป้ ว่ ย หรือไม่มฤี ทธิ ์พอจะทําลายโรคได้
ตัวยาหรือวัตถุต่างๆ ย่อมมีสรพคุณปรากฏอยูใ่ นตัวแล้วก็ตาม แต่หากจะนํามาใช้ทาํ ยา
ตัวยาสิง่ เดียวย่อมไม่มสี รรพคุณแรงพอทีจ่ ะใช้รกั ษาโรคได้ เพราะมีกากเจือปนมาก ทัง้ ยังไม่เรียกว่า
เป็นยา คงเป็นวัตถุสงิ่ หนึ่ง เป็นเครื่องประกอบยา เรียกว่าเครื่องยา หรือตัวยาเท่านัน้ ท่าคณาจารย์
แพทย์ทงั ้ หลายเป็นผูช้ าํ นาญการ จึงได้รวบรวมตัวยาหลายสิง่ หลายอย่างนับตุง้ แต่สองสิง่ ขึน้ ไป ผสม
รวมกันเข้าจึงเรียกว่า ปรุง ผลผลิตจาการปรุง จึงได้ช่อื ว่ายาสําหรับบําบัดและรักษาโรคทีเ่ กิดขึน้ ได้
สมมุตวิ า่ ท่านจะเอากระเพราะ (ตัวยา) แต่อย่างเดียวมาต้มกับนํ้าหรือละลายนํ้า ก็ไม่เรียกว่ายา ถ้าจะ
ให้เรียกใกล้เคียงก็แค่น้ํากระสายยาเท่านัน้ หรือมิฉะนัน้ ก็กลายเป็นอาหารไป ยาไทยนัน้ ปรุงขึน้ จาก
พืช สัตว์ และธาตุ ทีเ่ กิดขึน้ จากพืน้ ภูมปิ ระเทศอันเกิดขึน้ อยูต่ ามธรรมชาติของมัน เมื่อยังมิได้ทาํ การ
สกัดกลั ่น เอาแต่ตวั ยาจริงๆ มาปรุงผสมเป็นยา ก็ยอ่ มมีกากและสิง่ ที่ ไม่ใช่ตวั ยาปะปนอยูม่ าก
จํากําหนดให้ใช้ตวั ยารวมกันหลายสิง่ ผสมกันเข้าเป็นยา
๑.๓ การปรุงยาตามแบบแผนโบราณ
เภสัชกรรม คือ การปรุงยาที
ผสมใช้
่ ตามวิธตี ่างๆ ตามแผนโบราณ ๒๘ ซึง่ มีวิธ ี ดังต่อไปนี้
๑) ยาสับเป็นชิน้ เป็นท่อนใส่ลงในหม้อ เติมนํ้าต้มแล้วรินแต่น้ํากิน
๒) ยาดองแช่ดว้ ยนํ้าท่าหรือนํ้าสุรา แล้วรินแต่น้ํากิน
๓) ยากัดด้วยเหล้าหรือแอลกอฮอล์ และหยดลงในนํ้า เติมนํ้ากิน
๔) ยาเผาเป็นด่าง เอาด่างมาแช่น้ําไว้ แล้วรินแต่น้ํากิน
๕) ยากลั ่นเอานํ้าเหงื่อ เอาด่างมาแช่น้ําไว้ แล้วรินแต่น้ํากิน
๖) ยาหุงด้วยมัน เอานํ้ามันใส่กล่อง เปา่ บาดแผล และฐานฝี
๗) ยาผสมแล้ว ต้มเอานํ้าบ้วนปาก
๘) ยาผสมแล้ว ต้มเอานํ้าอาบ
๙) ยาผสมแล้ว ต้มเอานํ้าแช่
๑๐) ยาผสมแล้ว ต้มเอานํ้าสระ
199
๒. การชังตั
่ วยา
ผูเ้ ป็นเภสัชกรจะต้องรูจ้ กั การชั ่งตัวยา โดยใช้มาตราต่างๆ เพื่อให้การปรุงยาเป็นไปตามตํารับ
ยา หรือใบสั ่งยา และการชั ่งแบบโบราณ หมอนิยมใช้เครื่อ“ตีงหมาย
นกา” บอกนํ้าหนัก วางไว้ทา้ ยชื่อตัวยานัน้
๒.๑ เครื่องหมายตีนกา
เป็นเครื่องหมายทีห่ มอโบราณนิยมใช้บอกขนาดของตัวยาในใบสั ่งยา มีลกั ษณะ
คล้ายเครื่องหมาย กากบาท ตําแหน่ งต่างๆในเครื่องหมายจะบอกถึงมาตรา
ตําลึง บาท ๒ ๓
ตัวอย่าง
เฟื้อง สลึง ๔ ๕
ไพ ๖
200
๓. การคัดเลือก, การเก็บตัวยา
ในการปรุงยาแผนโบราณ ผูเ้ ป็นเภสัชกรแผนโบราณ จะปรุงยาให้ได้คุณภาพดีและยามี
สรรพคุณดีนนั ้ จะต้องมีความรูค้ วามสามารถทีจ่ ะพิจารณาคัดเลือกตัวยาสมุนไพรได้อย่างถูกต้อง และ
มีสรรพคุณดี โดยมีหลักเกณฑ์ และวิธกี ารดังต่อไปนี้
202
๑) ชนิ ดของตัวยา
การเก็บตัวยานัน้ ต้องแน่ ใจเสียก่อนว่า ตัวยานัน้ ถูกต้องถูกชนิดกับชื่อกับชื่อของตัว
ยาในตํารับยาแผนโบราณ ตัวยาบางชนิดมีหลายๆ ชื่อ ซึง่ ต้องอาศัยประสบการณ์และภูมคิ วามรูข้ อง
เภสัชกรเอง ทีจ่ ะต้องรูว้ า่ ชื่อนี้ ชนิดนี้ มีลกั ษณะต้น ใบ ลูก ดอก ราก เป็นอย่างไร
๒) คุณภาพ
ตัวยาบางชนิด ถูกเก็บไว้นาน คุณภาพของตัวยาก็เสื่อมไปตามกาลเวลา หรือไม่ม ี
สรรพคุณตามทีร่ ะบุไว้ ซึง่ เภสัชกรจะต้องศึกษาถึงระยะเวลาการเก็บรักษาตัวยาต่างๆ ต้องพิถพี ถิ นั
คัดเลือก ดูตวั ยาว่าเก่าหรือใหม่
๓) ความสะอาด
ตัวยาทีน่ ํามาปรุงยา ต้องมีความสะอาดไม่วา่ จะเป็นตัวยาสดหรือแห้งก็ตาม ต้องทํา
ความสะอาดให้ปราศจากสิง่ ปนเปื้อนต่างๆ เช่น ดิน ฝุน่ ละออง เชือ้ รา มูลสัตว์ รวมถึงการเก็บยา
เพื่อสําหรับใช้ในโอกาสต่อไป ขึน้ อยูก่ บั วิธกี ารเก็บรักษานัน้ เป็นประการสําคัญ ถ้าเก็บยาไว้ถูกวิธี
โดยไม่ถูกแสงแดดหรือของร้อนจัด อากาศชืน้ ถูกนํ้าค้าง นํ้าฝน เก็บรักษาไว้ในทีอ่ ากาศถ่ายเทดี
ปลอดโปร่ง ก็อาจจะเก็บไว้ได้นานสรรพคุณไม่เสื่อม ใช้ได้นานขึน้ กว่ากําหนด
๔. การใช้ตวั ยาอันตราย
พระอาจารย์กล่าวไว้วา่ “วัตถุธาตุนานาชนิดในโลกล้วนแต่เป็นยาทัง้ สิน้ ” คํากล่าวนี้ได้รบั
การยอมรับว่าเป็นจริงหากใช้วตั ถุนนั ้ ได้อย่างถูกต้องตัวยาบางอย่างทีม่ ฤี ทธิ ์แรง หากใช้เกินขนาดหรือ
ใช้ ไม่ถูกวิธ ี ก็อาจทําอันตรายถึงแก่ชวี ติ ได้เป็นพิเศษ ตัวยาหลายอย่างมีฤทธิ ์แรง หากใช้เกินขนาด
หรือใช้ไม่ถูกวิธ ี ก็อาจทําอันตรายถึงแก่ชวี ติ ได้
๔.๑ ยาที่มีฤทธิ์ แรง
๑) เมล็ดสลอด มีฤทธิ ์แรงในทางถ่าย กินมากจะถ่ายมากเป็นอันตราย อ่อนเพลีย
เสียนํ้าในร่างกายอาจถึงตายได้ สรพคุณ ถ่ายเสมหะ และโลหิตถ่ายนํ้าเหลืองเสียและถ่ายพยาธิ
๒) ยางตาตุ่ม มีฤทธิ ์แรงในทางถ่าย รับประทานมากถ่ายมาก ทําให้หมดกําลังอาจ
ถึงตายได้ สรรพคุณ ถ่ายพยาธิ ถ่ายโลหิต และเสมหะ ถ่ายอุจจาระธาตุ
๓) ยางสลัดได มีฤทธิ ์แรงในทางถ่าย กินมากถ่ายมากทําให้หมดกําลังอ่อนเพลีย
อาจตายได้ ประโยชน์ ถ่ายพยาธิน้ําเหลืองสีย ถ่ายอุจจาระธาตุ ถ่ายพิษตาซาง
๔) ลูกแสลงใจ มีฤทธิ ์แรงในทางเมาเบื่อ รับประทาน ชักกระตุก ถึงตายได้
สรรพคุณ บํารุงหัวใจ บํารุงประสาท แก้พยาธิผวิ หนัง แก้ลมอันกระเพื่อมในอุทร
๕) ยางฝิ่ น มีฤทธิ ์แรงในทางเมาเบื่อ ระงับประสาท รับประทานมาก ระงับประสาท
ทําให้หมดสติ อาจตายได้ สรพคุณทางยา แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย (เป็ แก้นโรคบิ
ยาเสพติ
ด )ด
203
๔.๒.๒ การประสะ
มีความหมาย คือ การทําให้พษิ ของตัวยาอ่อนลง เช่น การประสะยางสลัดได หรือ
หมายถึงในยาขนานนัน้ มีตวั ยาตัวหนึ่ง ขนาดเท่าตัวยาตัวอื่น หนักรวมกัน เช่น ยาประสะไพล มี
ไพล จํานวนเท่าตัวยาอื่นทัง้ หมดหนักรวมกัน
การประสะยางสลัดได ยางตาตุ่ม ยางหัวเข้าค่า
มีวธิ กี ารทําเหมือนกันทัง้ ๓ อย่าง คือ นําตัวยาทีจ่ ะประสะใส่ลงในถ้วย ใส่น้ําต้ม
เดือดๆ เทลงไปในถ้วยยานัน้ กวนให้ท ั ่วจนเย็น รินนํ้าทิง้ ไป แล้วเทนํ้าเดือดลงในยา กวนให้ท ั ่วอีก
ทําอย่างนี้ประมาณ๗ ครัง้ จนตัวยาสุกนี้แล้ว จึงนําไปใช้ปรุงยาได้
๔.๓ กระสายยา
กระสายยา คือ นํ้าหรือของเหลวทีใ่ ช่สาํ หรับละลายยา โดยมีวตั ถุประสงค์ดงั นี้
๑) เพื่อให้ กลืนยาง่าย ไม่ฝืดหรือติดคอ และช่วยแต่งให้มรี ส สี กลิน่ น่ารับประทาน
๒) เพื่อช่วยให้ยามีฤทธิ ์ตรงต่อโรค นําฤทธิ ์ยาให้แล่นเร็ว ทันต่ออากาศของโรค
๓) เพื่อเพิม่ สรรพคุณของยา ให้มฤี ทธิ ์แรงขึน้ หรือให้มฤี ทธิ ์ช่วยตัวยาหลัก ในการ
รักษาอาการข้างเคียง
นํ้ากระสายยาแก้โรคต่างๆ
๑) แก้อาเจียน ใช้ลกู ยอหมกไฟ ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา หรือเอาลูกผักชีและ
เทียนดํา ต้มเอาเป็นกระสายยา
๒) แก้อาเจียนเป็นเลือด เอาว่านหอยแครง หรือเปลือกลูกมะรุม รากส้มซ่า ต้ม
เอานํ้าเป็นกระสายยา
๓) แก้ทอ้ งเดิน เอาเปลือกต้นมะเดื่อชุมพร ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
๔) แก้บดิ เอากะทือ หรือไพล หมกไฟ ฝนกับนํ้าเป็นกระสายยา
๕) แก้กนิ ผิดสําแดง (อาหารเป็นพิษ) เอาเปลือกแคแดง ต้มนํ้าเป็นกระสายยา
หรือเอาทับทิมทัง้ ๕ ต้มกับนํ้าปูนใส เอานํ้าเป็นหระสายยา
๖) แก้หอบ เอาใบทองหลางใบมน ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
๗) แก้สะอึก เอารากมะกลํ่าเครือ ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
๘) แก้ไข้เชื่อมมึน เอานํ้าดอกไม้ เป็นกระสายยา
๙) แก้ไข้มวั เอานํ้าจันทน์เทศ เป็นกระสายยา
๑๐) แก้ไข้เพ้อคลั ่ง เอาใบมะนาว ๑๐๘ ใบ ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
๑๑) แก้ไข้ระสํ่าระส่าย เอารากบัว ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
๑๒) แก้สวิงสวาย เอานํ้าซาวข้าว เป็นกระสายยา
๑๓) แก้สะบัดร้อนสะบัดหนาว เอานํ้ามูตร เป็นนํ้ากระสายยา
๑๔) แก้เบื่ออาหาร เอาลูกผักชีลา ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
๑๕) แก้น้ําลายเหนียว เอาเทียนดําห่อผ้า ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
๑๖) แก้ขดั เบา เอากาฝากมะม่วง ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
๑๗) แก้นอนไม่หลับ เอารากชุมเห็ดไทย ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
๑๘) แก้กนิ อาหารไม่รรู้ ส เอาโกฐหัวบัว ชะเอมเทศ ต้มเอานํ้าเป็นกระสายยา
206
๕. ยาสามัญประจําบ้านแผนโบราณ ๒๘ ขนาน
ประกาศกระทรวงสาธารณะสุข
เรื่อง ยาสามัญประจําบ้าน
ฉบับที่ ๒
-----------------------
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๗๖(๕) แห่งพระราชบัญญัตยิ า พ .ศ. ๒๕๑๐ ซึง่ แก้ไข
เพิม่ เติม โดยพระราชบัญญัตยิ า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงสาธารณะสุข
โดยคําแนะนําของคณะกรรมการยาจึงออกประกาศไว้ดงั ต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศยาแผนโบราณที่ เป็นยาสามัญประจําบ้าน ตามประกาศกระทรวง
สาธารณะสุข ระบุยาสามัญประจําบ้านตามความในพระราชบัญญัตยิ า พ .ศ. ๒๕๑๐ ลงวันที่ ๒๐
สิงหาคม ๒๕๑๑
ข้อ ๒ ให้ยาแผนโบราณซึง่ มีช่อื ปริมาณของวัตถุส่วนประกอบ วิธี สรรพคุณ ขนาด
รับประทาน คําเตือน และขนาดบรรจุต่อไปนี้ เป็นยาสามัญประจําบ้าน
๑. ยาหอมเทพวิ จิตร
วัตถุส่วนประกอบ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู จันทน์แดง จันทน์ขาว
กฤษณา กระลําพัก ขอนดอก ชะลูด อบเชย เปราะหอม แฝกหอม หนักสิง่ ละ ๒ ส่วน ผิวมะกรูด
ผิวมะงั ่ว ผิวมะนาว ผิวส้มตะรังกะนู ผิวส้มจีน ผิวส้มโอ ผิวส้มเขียวหวาน หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน ผิวส้ม
ซ่าหนัก ๒๘ ส่วน ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี เกสรบัวหลวง ดอกบัวขม ดอกบัวเผื่อน
หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน ชะมดเช็ด การบูร หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน โกฐสอ โกฐเขมา โกฐหัวบัว โกฐเชียง โกฐ
จุฬาลัมพา โกฐกระดูก โกฐก้านพร้าว โกฐพุ งปลา โกฐชฎามังสี หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน เทียบดํา เทียน
แดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั ๊กแตน เทียนเยาวพาณี เทียนสัตตบัษย์ เทียนเกล็ดหอย
เทียนตากบ หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน พิมเสนหนัก ๔ ส่วน ดอกมะลิหนัก ๑๘๔ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง ผสมนํ้าดอกไม้เทศ ทําเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๒ กรัม
208
๒. ยาหอมทิ พโอสถ
วัตถุส่วนประกอบ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารถี ดอกมะลิ เกสรบัวหลวง ดอกกระดังงา
ดอกจําปา ดอกบัวจงกลณี หัวแห้วไทย กระจับ ฝาง จันทน์แดง จันทน์ขาว จันทน์เทศกฤษณา ชะลูด
อบเชย สมุลแว้ง สนเทศ ว่านนํ้า กระชาย เปราะหอม ดอกคําไทย ชะเอมเทศ สุรามฤต ข่าต้น
ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ หนักสิง่ ละ ๔ ส่วนโกฐสอ โกฐเขมา โกฐหัวบัว โกฐเชียง โกฐจุฬาลัมพาโกฐ
กระดูก โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกฐชฎามังสี หนักสิง่ ละ ๒ ส่วน เที ยนดํา เทียนแดง เทียนขาว
เทียนข้าวเปลือก เทียนนํ้าตาตั ๊กแตน เทียนเยาวพาณี เทียนสัตตบุษย์ เทียนเกล็ดหอย เทียนตากบ
การบูร หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน ชะมดเช็ด พิมเสน หนักสิง่ ละ ๒ ส่วน
วิ ธีทาํ ชนิดผง บดเป็นผง
ชนิดเม็ด บดเป็นผง ทําเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๒ กรัม
สรรพคุณ แก้ลมวิงเวียน ละลายนํ้าดอกไม้หรือนํ้าสุก
ขนาดรับประทาน ชนิดผง ครัง้ ละ ๑/๒ – ๑ ช้อนกาแฟ
ชนิดเม็ด ครัง้ ละ ๕ – ๗ เม็ด
ขนาดบรรจุ ชนิดผง ๑๕ กรัม
ชนิดเม็ด ๓๐ เม็ด
๓. ยามหานิ ลแท่งทอง
วัตถุส่วนประกอบ เนื้อเม็ดสะบ้ามอญสุม กระดูกกาสุม กระดูกงูเหลือมสุม หวายตะค้าสุม
เม็ดมะละกอสุม ลูกมะคําควายดีสุม ถ่านไม้สกั จันทน์แดง จันทน์เทศ ใบพิมเสน ใบหญ้านาง หมึก
หอม หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน เบีย้ จั ่นคั ่วให้เหลือง ๓ เบีย้
วิ ธีทาํ บดเป็นผง ทําเป็นเม็ด ปิดทองคําเปลว หนักเม็ดละ ๐.๕ กรัม
สรรพคุณ แก้ไข้ แก้กระหายนํ้า แก้หดั อีสุก อีใส
ขนาดรับประทาน รับประทานวันละ ๒ ครัง้
ผูใ้ หญ่ ครัง้ ละ ๓ – ๔ เม็ด
เด็ก ครัง้ ละ ๑ – ๒ เม็ด
ขนาดบรรจุ ๓๐ เม็ด
209
๔. ยาเขียวหอม
วัตถุส่วนประกอบ ใบพิมเสน ใบผักกระโฉม ใบหมากผู้ ใบหมากเมีย ใบสันพร้าหอม
รากแฝกหอม เปราะหอม จันทน์เทศ จันทน์แดง ว่านกีบแรด ว่านร่อนทอง เนระพูส ี พิษนาศน์
มหาสดํา รากไคร้เครือ ดอกพิกุล เกสรบุนนาค เกสรสารภี เกสรบัวหลวง หนักสิง่ ละ ๑ ส่วนระย่อม
หนัก ๑/๔ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ แก้ตวั ร้อน ร้อนใน กระหายนํ้า ละลายนํ้าสุก หรือนํ้าดอกมะลิ
แก้พษิ หัด พิษสุกใส ละลายนํ้ารากผักชีตม้ ทัง้ รับประทานและชโลม
ขนาดรับประทาน รับประทาน วันละ ๔ – ๕ ครัง้
ผูใ้ หญ่ ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ
เด็ก ครัง้ ละ ๑ – ๒ ช้อนกาแฟ
ขนาดบรรจุ ๓๐ กรัม
๕. ยาประสะกะเพรา
วัตถุส่วนประกอบ พริกไทย ขิง ดีปลี กระเทียม นํ้าประสานทองสะตุ หนักสิง่ ละ ๒ กรัม
ชะเอมเทศ หมาหิงคุ์ หนักสิง่ ละ ๘ ส่วน เกลือสินเธาว์ หนัก ๑ ส่วน ผิวมะกรูด หนัก ๒๐ ส่วน
ใบกะเพรา หนัก ๔๗ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง ทําเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๑ กรัม
สรรพคุณ แก้ทอ้ งขึน้ ท้องเฟ้อ ละลายนํ้าสุก หรือนํ้าใบกะเพราต้ม แก้ทอ้ งแน่น
จุกเสียด ใช้ไพลเผาไฟพอสุก ฝนแทรก
ขนาดรับประทาน รับประทาน เช้า – เย็น
เด็กอายุ ๑ – ๓ เดือน ครัง้ ละ ๑ – ๒ เม็ด
เด็กอายุ ๔ – ๖ เดือน ครัง้ ละ ๒ – ๓ เม็ด
เด็กอายุ ๗ – ๑๒ เดือน ครัง้ ละ ๔ – ๕ เม็ด
ขนาดบรรจุ ๓๐ เม็ด
210
๖. ยาเหลืองปิ ดสมุทร
วัตถุส่วนประกอบ แห้วหมู ขมิน้ อ้อย เปลือกเพกา รากกล้วยตีบ กระเทียมคั ่ว ดีปลี
ชันอ้อย ชันย้อย ครั ่ง สีเสียดเทศ ใบเทียน ใบทับทิม หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน ขมิน้ ชัน หนัก ๖ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง ทําเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๑ กรัม
สรรพคุณ แก้ทอ้ งเสีย ใช้น้ําเปลือกลูกทับทิม หรือเปลือกแคต้มกับนํ้าปูนใส
เป็นกระสาย ถ้าหานํ้ากระสายไม่ได้ให้ใช้น้ําสุกแทน
ขนาดรับประทาน รับประทานวันละ ๓ เวลา ก่อนอาหาร
เด็กอายุ ๓ – ๕ เดือน ครัง้ ละ ๒ เม็ด
เด็กอายุ ๔ – ๖ เดือน ครัง้ ละ ๓ – ๔ เม็ด
เด็กโต ครัง้ ละ ๕ – ๗ เม็ด
ขนาดบรรจุ ๓๐ เม็ด
๗. ยาอัมฤควาที
วัตถุส่วนประกอบ รากไคร้เครือ โกฐพุงปลา เทียนขาว ลูกผักชีลา เนื้อมะขามป้อม
เนื้อลูกสมอ พิเภก หนักสิง่ ละ ๗ ส่วน นํ้าประสานทองสะตุ หนัก ๑ ส่วน ชะเอมเทศ ๖ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ แก้ไอ ขับเสมหะ ละลายนํ้ามะนาวแทรกเกลือ ใช้จบิ หรือกวาดคอ
ขนาดที่ใช้ ผูใ้ หญ่ ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ
เด็ก ลดลงตามส่วน
ขนาดบรรจุ ๑๕ กรัม
๘. ยาประสะมะแว้ง
วัตถุส่วนประกอบ สารส้ม หนัก ๑ ส่วน ขมิน้ อ้อย หนัก ๓ ส่วน ใบสวาด
ใบตานหม่อน ใบกะเพรา หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน ลูกมะแว้งต้น ลูกมะแว้งเครือ หนักสิง่ ละ ๘ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง ผสมนํ้าสุกแทรกพิมเสนพอควร ทําเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๒ กรัม
สรรพคุณ แก้ไอ แก้เสมหะ ละลายนํ้ามะนาวแทรกเกลือรับประทานหรือใช้อม
ขนาดรับประทาน ผูใ้ หญ่ ครัง้ ละ ๑ – ๒ เม็ด
เด็ก ครัง้ ละ ๕ – ๗ เม็ด
ขนาดบรรจุ ๓๐ เม็ด
211
๙. ยาจันทลีลา
วัคถุส่วนประกอบ โกฐสอ โกฐเขมา โกฐจุฬาลัมพา จันทน์เทศ จันทน์แดง
ลูกกระดอม บอระเพ็ด รากปลาไหลเผือก หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน พิมเสน หนัก ๑ ส่วน
วิ ธีทาํ ชนิดผง บดเป็นผง
ชนิดเม็ด บดเป็นผง ทําเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๕ กรัม
สรรพคุณ แก้ไข้ ตัวร้อน
ขนาดรับประทาน รับประทาน ทุก ๔ ชั ่วโมง
ชนิดผง เด็ก ครัง้ ละ ๑/๒ – ๑ ช้อนกาแฟ
ผูใ้ หญ่ ครัง้ ละ ๑ – ๒ ช้อนกาแฟ
ชนิดเม็ด เด็ก ครัง้ ละ ๑ – ๒ เม็ด
ผูใ้ หญ่ ครัง้ ละ ๓ – ๔ เม็ด
ขนาดบรรจุ ชนิดผง ๑๕ กรัม
ชนิดเม็ด ๓๐ กรัม
๑๐. ยาตรีหอม
วัตถุส่วนประกอบ เนื้อลูกสมอเทศ เนื้อลูกสมอพิเภก เนื้อลูกมะขามป้อม ลูกผักชีลา
หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน รากไคร้เครือ โกฐสอ ชะเอมเทศ นํ้าประสานทองสะตุ ลูกซัดคั ่ว หนักสิง่ ละ
๑ ส่วน เนื้อลูกสมอไทย โกฐนํ้าเต้าใหญ่น่งึ สุก หนักสิง่ ละ ๒๒ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง ทําเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๒ กรัม
สรรพคุณ แก้เด็กท้องผูก ระบายพิษไข้
ขนาดรับประทาน รับประทานก่อนอาหารเช้า
เด็กอายุ ๑ – ๒ เดือน ครัง้ ละ ๒ – ๓ เม็ด
เด็กอายุ ๓ – ๕ เดือน ครัง้ ละ ๔ – ๕ เม็ด
เด็กอายุ ๖ – ๑๒ เดือน ครัง้ ละ ๖ – ๘ เม็ด
ขนาดบรรจุ ๓๐ เม็ด
212
๑๓. ยาประสะไพล
วัตถุส่วนประกอบ ผิวมะกรูด ว่านนํ้า กระเทียม หัวหอม พริกไทย ดีปลี ขิง ขมิน้ อ้อย
เทียนดํา เกลือสินเธาว์ หนักสิง่ ละ ๘ ส่วน การบูร หนัก ๑ ส่วน ไพล หนัก ๘๑ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ แก้จุกเสียด แก้ระดูไม่ปกติ ขับนํ้าคาวปลา
ขนาดรับประทาน รับประทาน วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ ละลายนํ้าสุก หรือนํ้าสุรา
ขนาดบรรจุ ๓๐ กรัม
๑๔. ยาหอมเนาวโกฐ
วัตถุส่วนประกอบ ขิงแห้ง ดีปลี เจตมูลเพลิง สะค้าน ช้าพลู หนักสิง่ ละ ๓ ส่วน แห้ว
หมู โกฐสอ โกฐเขมา โกฐหัวบัว โกฐเชียง โกฐจุฬาลัมพา โกฐกระดูก โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกฐ
ชฎามังสี เทียนดํา เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตา ตั ๊กแตน เทียนเยาวพาณี
เทียนสัตตบุษย์ เทียนเกล็ดหอย เทียนตากบ สักขี ลูกราชดัด ลูกสารพัดพิษ ลูกกระวาน กานพลู
ดอกจันทน์ ลูกจันทน์ จันทน์เทศ จันทน์แดง อบเชยญวน เปลือกสมุลแว้ง หญ้าตีนนก แฝกหอม
เปลือกชะลูด เปราะหอม รากไคร้เครือ เนื้อไม้ ขอนดอก กระลํา พัก เนื้อลูกมะขามป้อม เนื้อลูก
สมอพิเภก ชะเอมเทศ ลูกผักชีลา ลูกกระดอม บอระเพ็ด เกสรบัวหลวง เกสรบุนนาค ดอกพิกุล
ดอกสารภี ดอกมะลิ แก่นสน หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน นํ้าประสานทองสะตุ หนัก ๒ ส่วน ชะมดเช็ด
พิมเสน หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน
๑๖. ยาธาตุบรรจบ
วัตถุส่วนประกอบ ขิง โกฐเขมา โกฐพุงปลา โกฐเชียง โกฐสอ เทียนดํา เทียนขาว
เทียนสัตตบุษย์ เทียนเยาวพาณี เทียนแดง ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กานพลู การบูร เปลือกสมุลแว้ง
ลูกกระวาน ลูกผักชีลา ใบพิมเสน รากไคร้เครือ ดีปลี เปราะหอม หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน โกฐก้านพร้าว
หนัก ๘ ส่วน เนื้อลูกสมอไทย หนัก ๑๖ ส่วน นํ้าประสานทองสะตุ หนัก ๑ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ แก้ธาตุไม่ปกติ ท้องเสีย ใช้เปลือกแคหรือเปลือกสะเดา หรือ
เปลือกลูก ทับทิม ต้มกับนํ้าปูนใส แก้ทอ้ งขึน้ ท้องเฟ้อ ใช้กระเทียม
๓ กลีบ ทุบชงนํ้าร้อน หรือ ใช้ใบกระเพรา ต้มเป็นกระสาย ถ้าหาก
นํ้ากระสายไม่ได้ ให้ใช้น้ําสุกแทน
ขนาดรับประทาน รับประทาน วันละ ๓ เวลา ก่อนอาหาร
ผูใ้ หญ่ ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ
เด็ก ครัง้ ละ ๑ – ๒ ช้อนกาแฟ
ขนาดบรรจุ ๑๕ กรัม
215
๑๗. ยาประสะกานพลู
วัตถุส่วนประกอบ เทียนดํา เทียนขาว โกฐสอ โกฐกระดูก กํามะถันเหลือง การบูร
รากไคร้เครือ เปลือกเพกา เปลือกขีอ้ าย ใบกระวาน ลูกกระวาน ลูกผักชีลา แฝกห อม ว่านนํ้า
หัวกระชาย เปราะหอม รากแจง กรุงเขมา หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน รากข้าวสาร เนื้อไม้ ลูกจันทน์
ขมิน้ ชัน หนักสิง่ ละ ๘ ส่วน ขิงแห้ง ดีปลี หนักสิง่ ละ ๓ ส่วน นํ้าประสานทองสะตุ ไพล เจตมูลเพลิง
แดง สะค้าน ช้าพลู หนักสิง่ ละ ๒ ส่วน เปลือกซิก หนัก ๑๐ ส่วน พริ กไทยหนัก ๑ ส่วน กานพลู
หนัก ๑๓๑ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ แก้ปวดท้อง เนื่องจากธาตุไม่ปกติ ใช้ไพลเผาไฟฝนกับนํ้าปูนใส
ถ้าหานํ้ากระสาย ไม่ได้ ให้ใช้น้ําสุกแทน
ขนาดรับประทาน รับประทานทุก ๓ ชั ่วโมง
ผูใ้ หญ่ ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ
ขนาดบรรจุ ๑๕ กรัม
๑๘. ยากวาดแสงหมึก
วัตถุส่วนประกอบ หมึกหอม จันทน์ชะมด ลูกกระวาน จันทน์เทศ ใบพิมเสน ลูกจันทน์
ดอกจันทน์ กานพลู ใบสันพร้าหอม หัวหอม ใบกระเพรา ดีงเู หลือม หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน ชะมด พิมเสน
หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง ทําเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๒ กรัม
สรรพคุณ แก้ตวั ร้อน ละลายนํ้าดอกไม้เทศ
แก้ทอ้ งขึน้ ปวดท้อง ละลายนํ้าใบกระเพราต้ม
แก้ไอ ขับเสมหะ ละลายนํ้าลูกมะแว้งเครือ หรือลูกมะแว้งต้นกวาดคอ
แก้ปากเป็นแผล แก้ละออง ละลายนํ้าลูกเบญกานีฝนทาปาก
ขนาดรับประทาน ใช้กวาดคอวันละ ๑ ครัง้ หลังจากนัน้ รับประทานทุก ๑ ชั ่วโมง
เด็กอายุ ๑ – ๖ เดือน ครัง้ ละ ๒ เม็ด
เด็กอายุ ๗ – ๑๒ เดือน ครัง้ ละ ๓ เม็ด
ขนาดบรรจุ ๑๒ เม็ด
216
๑๙. ยามันทธาตุ
วัตถุส่วนประกอบ โกฐสอ โกฐเขมา โกฐหัวบัว โกฐเชียง โกฐจุฬาลัมพา เทียนดํา
เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั ๊กแตน รากไคร้เครือ ลูกผักชีลอ้ ม ลูกผักชีลา การบูร
กระเทียม เปลือกสมุลแว้ง เปลือกโมกมัน จันทน์แดง จันทน์เทศ กานพลู ดีปลี รากช้าพลู เถาสะค้าน
รากเจตมูลเพลิง พริกไทยล่อน ลูกจันทน์ หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน ขิง ลูกเบญกานี หนักสิง่ ละ ๓ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ แก้ธาตุไม่ปกติ แก้ทอ้ งขึน้ ท้องเฟ้อ
ขนาดรับประทาน รับประทานวันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
ผูใ้ หญ่ ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ ละลายนํ้าสุก
เด็ก ครัง้ ละ ๑/๒ ช้อนกาแฟ ละลายนํ้าสุก
ขนาดบรรจุ ชนิดผง ๑๕ กรัม
๒๐. ยาไฟประลัยกัลป์
วัตถุส่วนประกอบ พริกไทยล่อน ขิง ดีปลี กระเทียม หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน ขมิน้ อ้อย กะทือ
ข่า ไพล เปลือกมะรุม หนักสิง่ ละ ๕ ส่วน รากเจตมูลเพลิงแดง สารส้มแก่นขนสนทะเล ก ารบูร
ผิวมะกรูด หนักสิง่ ละ ๕ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ ขับนํ้าคาวปลา ในเรือนไฟ ช่วยให้มดลูกเข้าอู่
ขนาดรับประทาน รับประทาน วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ ละลายนํ้าสุก หรือนํ้าสุรา
ขนาดบรรจุ ๑๕ กรัม
๒๑. ยาไฟห้ากอง
วัตถุส่วนประกอบ รากเจตมูลเพลิง ขิง พริกไทยล่อน สารส้ม ฝกั ส้มปอ่ ย หนักสิ๑ง่ ละ
ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ ขับนํ้าคาวปลา ในเรือนไฟ ช่วยให้มดลูกเข้าอู่
ขนาดรับประทาน รับประทานวันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ ละลายนํ้าสุก หรือนํ้าสุรา
ขนาดบรรจุ ๑๕ กรัม
217
๒๒. ยาประสะเจตพังคี
วัตถุส่วนประกอบ ดอกจันทน์ ลูกจันทน์ ลูกกระวาน ใบกระวาน กานพลู กรุงเขมา
รากไคร้เครือ การบูร ลูกสมอทะเล พญารากขาว เปลือกหว้า เกลือสินเธาว์ หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน
พริกไทยอ่อน บอระเพ็ด หนักสิง่ ละ ๒ ส่วน ข่า หนัก ๑๕ ส่วน ระย่อม หนัก ๒ ส่วน เจตพังคี
หนัก ๓๔ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ แก้กระษัยจุกเสียด
ขนาดรับประทาน รับประทานทุกเช้าและเย็น ก่อนอาหาร
ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ ละลายนํ้าสุก
ขนาดบรรจุ ๑๕ กรัม
๒๓. ยาธรณี สณ
ั ฑะฆาต
วัตถุส่วนประกอบ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู เทียนดํา เทียนขาว
หัวดองดึง หัวบุก หัวกลอย หัวกระดาดขาว หัวกระดาดแดง ลูกเร่ว ขิง ชะเอมเทศ รากเจตมูลเพลิง
โกฐกระดูก โกฐเขมา โกฐนํ้าเต้า หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน ผักแพวแดง เนื้อลูกมะขามป้อม หนักสิง่ ละ ๒
ส่วน เนื้อลูกสมอไทย มหาหิงคุ์ การบูร หนักสิง่ ละ ๕ ส่วน รงทอง (ประสะแล้ว ) หนัก ๔ ส่วน ยาดํา
หนัก ๒๐ ส่วน พริกไทยล่อน หนัก ๙๖ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ แก้กระษัยเส้น เถาดาน ท้องผูก
ขนาดรับประทาน รับประทานวันละ๑ ครัง้ ก่อนอาหารเช้าหรือก่อนนอน ครั
งละ้ ๑/๒ – ๑
ั ้ นลูกกลอน
ช้อนกาแฟ ละลายนํ้าสุก หรือนํ้าผึง้ ปนเป็
คนเป็นไข้ หรือสตรีมคี รรภ์ ห้ามรับประทาน
ขนาดบรรจุ ๑๕ กรัม
218
๒๔. ยาบํารุงโลหิ ต
วัตถุส่วนประกอบ โกฐจุฬาลัมพา เนื้อลูกสมอไทย เนื้อลูกสมอดีงู เนื้อลูกสมอพิเภก
เปลือกชะลูด เปลือกอบเชยเทศ จันทน์แดง แก่นแสมสาร แก่นแสมทะเล กฤษณา หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน
ครั ่ง หนัก ๘ ส่วน ฝาง ดอกคําไทย หนักสิง่ ละ ๑๐ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ บํารุงโลหิต
ขนาดรับประทาน รับประทานวันละ ๒ ครัง้ เช้า – เย็น ก่อนอาหาร
ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ ละลายนํ้าสุก
ขนาดบรรจุ ๓๐ กรัม
๒๕. ยาประสะเปราะใหญ่
วัตถุส่วนประกอบ โกฐสอ โกฐเขมา โกฐหัวบัว โกฐเชียง โกฐจุฬาลัมพา เทียนดํา
เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั ๊กแตน ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู
จันทน์เทศ จันทน์แดง ดอกบุนนาค ดอกสารภี ดอกพิกุล เกสรบัวหลวง หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน เปราะหอม
หนัก ๒๐ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ ถอนพิษไข้ตานทราง สําหรับเด็ก ละลายนํ้าดอกไม้เทศหรือนํ้าสุก
รับประทาน หรือผสมนํ้าสุราสุมกระหม่อม
ขนาดรับประทาน รับประทาน วันละ ๓ ครัง้
ครัง้ ละ ๑/๒ – ๑ ช้อนชา
ขนาดบรรจุ ๑๕ กรัม
๒๖. ยามหาจักรใหญ่
วัตถุส่วนประกอบ โกฐสอ โกฐเขมา โกฐพุงปลา โกฐก้านพร้าว โกฐกระดูก เทียนดํา
เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนเยาวพาณี สมอไทย (เอาแต่เนื้อ ) สมอพิเภก (เอาแต่
เนื้อ) มะขามป้อม (เอาแต่เนื้อ) ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู ชะเอม เทศ เมล็ดโหระพา
ลูกผักชีลา สารส้ม ดินประสิว ขมิน้ อ้อย หัวกระเทียม หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน ยาดําสะตุ หนัก ๔ ส่วน
ใบกระพังโหม หนัก ๓๐ ส่วน
219
๒๗. ยาเนาวหอย
วัตถุส่วนประกอบ กระดูกเสือเผา กระดูกโคเผา กระดูกแพะเผา กระดูกงูเหลือมเผาหนัก
สิง่ ละ ๑ ส่วน เปลือกหอยขมเผา เปลือกหอยแครงเผา เปลือกหอยตาวัวเผา เปลือกหอยพิมพการั ง
เผา เปลือกหอยนางรมเผา เปลือกหอยกาบเผา เปลือกหอยจุ๊บแจงเผา เปลือกหอยมุกเผา เปลือก
หอยสังข์เผา หนักสิง่ ละ ๒ ส่วน รากทนดี (ตองแตก) หนัก ๓ ส่วน รากเจตมูลเพลิงแดง หัสคุณเทศ
หนักสิง่ ละ ๔ ส่วน พริกไทยล่อนหนัก ๓๒ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง
สรรพคุณ แก้กระษัยจุกเสียด
ขนาดรับประทาน รับประทานวันละ ๒ ครัง้ ก่อนอาหาร เช้า - เย็น
ั ้ นลูกกลอน
ครัง้ ละ ๑ ช้อนกาแฟ ผสมนํ้าผึง้ ปนเป็
ขนาดบรรจุ ๑๕ กรัม
๒๘. ยาถ่าย
วัตถุส่วนประกอบ ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มปอ่ ย หญ้าไทร ใบไผ่ปา่ ฝกั คูณ รากขีก้ าแดง
รากขีก้ าขาว รากตองแตก เถาวัลย์ เปรียง หัวหอม ฝกั ส้มปอ่ ย สมอไทย สมอดีงู หนักสิง่ ละ ๑ ส่วน
ขีเ้ หล็กทัง้ ๕ หนัก ๑ ส่วน ยาดํา หนัก ๔ ส่วน ดีเกลือฝรั ่ง หนัก ๒๐ ส่วน
วิ ธีทาํ บดเป็นผง ทําเป็นเม็ด หนักเม็ดละ ๐.๕ กรัม
สรรพคุณ แก้ทอ้ งผูก
ขนาดรับประทาน รับประทาน วันละ ๑ ครัง้ ก่อนนอน
ครัง้ ละ ๒ – ๕ เม็ด ตามธาตุหนักธาตุเบา
ขนาดบรรจุ ๑๐ เม็ด
220
ยาสามัญประจําบ้าน ๒๘ ขนาน
สรุปหลักวิชาเภสัช *
รูจ้ กั ยาสําหรับแก้โรคแก้ไข้
แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๔ ประการ
๑. พืชวัตถุ ๒. สัตว์วตั ถุ ๓. ธาตุวตั ถุ ๑.ยารสประธาน ๓ รส ๒. รสของตัวยา ๙ รส ๑. จุลพิกดั ๒. พิกดั ยา ๓. มหาพิกดั ปรุงตามวิธที างโบราณ ประกาศกระทรวง
มี ๕ จํานวน มี ๓ จําพวก มี ๒ จําพวก รสยาสําเร็จรูป รสของตัวยา มี ๒๓ – ๒๔ วิธี สาธารณสุข
เพิม่ เติม ๔ วิธี
๑. พืชจําพวกต้น ๑.สัตว์บก ๑. ธาตุสลายตัวได้ง่าย ๑. รสร้อนแก้ทางวาโยธาตุ ๑. รสฝาด ๑. ต่างกันที่รส ๑. พิกดั ยา ๒ สิง่ ๑. มหาพิกดั ๓ สิง่
๒. พืชจําพวกเถา-เครือ ๒.สัตว์นํ้า ๒. ธาตุสลายตัวได้ยาก ๒. รสเย็นแก้ทางเตโชธาตุ ๒. รสหวาน ซึมซาบผิวเนื้อ ๒. ต่างกันที่ถนิ่ เกิด ๒. พิกดั ยา ๓ สิง่ ๒. มหาพิกดั ๕ สิง่ (เพื่อสะดวกในการศึกษา แบ่งออกเป็ น ๔ ประเภท)
๓. พืชจําพวกหัว-เหง้า ๓.สัตว์อากาศ ๓. รสสุขุมแก้ทางอาโปธาตุ ๓. รสเมา เบื่อแก้พษิ ๓. ต่างกันที่ขนาด ๓. พิกดั ยา ๔ สิง่ ๓. มหาพิกดั ทัวไป
่ ๑. ประเภทที่เป็ นยานํ้ า มี ๑๑ วิธี
๔. พืชจําพวกผัก ๔. รสขม บํารุงโลหิตและดี ๔. ต่างกันที่ส ี ๔. พิกดั ยา ๕ สิง่ ๒. ประเภทที่เป็ นยาผง มี ๗ วิธี
๕. พืชจําพวกหญ้า ๕. รสเผ็ดร้อน แก้ลม ๕. ต่างกันที่ชนิด ๕. พิกดั ยา ๗ สิง่ ๓. ประเภที่เป็ นยาเม็ด มี ๖ วิธี
๖. รสมัน ชอบเส้นเอ็น ๖. พิกดั ยา ๙ สิง่ ๔. ประเภทที่เป็ นยาสูดดมและไอรม มี ๔ วิธี
๗. รสหอมเย็น บํารุงหัวใจ ๗. พิกดั ยา ๑๐ สิง่
๘. รสเค็ม ซาบตามผิวหนัง ๘. พิกดั พิเศษ
๙. รสเปรี้ยว กัดเสมหะฟอก
โลหิต
* ควรเพิม่ รสจืดอีก ๑ รส
แก้ทางเตโชธาตุ ขับปสั สาวะ
223
บรรณานุกรม
ภาคผนวก ก.
225
การสับยา
การสับยา คือ การนําสมุนไพรสดหรือแห้งในส่วนต่างๆ เช่น แก่น ,เปลือก,ราก,ลูก.ใบ,ดอก
มาทําให้มขี นานเล็กลงโดยการใช้มดี ลัลบั ให้เป็นชิน้ เล็กๆ ตามทีต่ อ้ งการใช้ในการปรุงยา
อุปกรณ์การสับยา
- มีด
- เขียง
- ถาด (ใบใหญ่)
- กระสอบปา่ น
- ผ้าขนหนู
- ยาสมุนไพร
ขัน้ ตอนในการสับยา
๑. ปูกระสอบปา่ นบนโต๊ะยา
๒. วางถาด (ใบใหญ่) บนกระสอบปา่ น
๓. วางเขียงในถาด (ใบใหญ่) โดยใช้ผา้ นหนูพบั รองเขียงกับถาด (ใบใหญ่) เพื่อป้องกันมิให้
เกิดเสียงมากเวลาสับยา
๔. วางยาสมุนไพรบนเขียง ใช้มดี สับยาออกเป็นชิน้ แล็กๆ ตามขนาดทีต่ อ้ งการและ
ความเหมาะสม (ในขณะสับยาไม่ควรให้ยากระเด็นออกนอกถาด)
การเก็บรักษาอุปกรณ์การสับยา
๑. ล้างทําความสะอาดอุปกรณ์การสับยา
๒. เก็บอุปกรณ์ของใช้เช้าที่
226
การอบยา
ขัน้ ตอนการอบยาที่ปรุงเป็ นตํารับ
๑. นํายาทีป่ รุงเป็นตัวตํารับไว้แล้วใส่ในถาดสแตนเลสใบใหญ่ในปริมาณทีเ่ หมาะสมกับถาดทีจ่ ะอบ
๒. เขียนชื่อยา ,นํ้าหนักยา ,วัน /เดือน/ปี “ทีเ่ ตรียมปรุงยา ”, จํานวนถาดยา (ถาดที่ ๑, ถาดที่
๒......) ของตํารับยานัน้ ติดไว้ขา้ งถาดยาด้วยเทปใส
๓. นํายาแต่ละถาด เรียงจํานวนถาดยา (ถาดที่ ๑, ถาดที่ ๒......) ของยาแต่ ละตํารับเข้าตูอ้ บ
(ยกเว้น) พวกสารทีร่ ะเหยได้ เช่น เมนทอล พิมเสน และพวกยางไม้)
๔. อบยาทีอ่ ุณหภูม ิ ๕๐ – ๕๕ องศาเซลเซียส เป็นเวลาประมาณ ๔ – ๖ ชั ่วโมง (เพื่อให้ยาก
รอบเปราะและบดได้ง่ายขึน้ )
๕. บันทึก “รายชื่อยาขนานต่าง ๆ ทีเ่ ข้าอบในตูย้ า” ติดไว้ทต่ี อู้ บยาด้วยเทปใส ดังนี้
วันเดือนปี จํานวน ชือ่ ยา นํ้าหนักยา นํ้าหนักยา ชือ่ ผูน้ ํายา วันเดือนปี ชือ่ ผูน้ ํายา วันเดือนปีที่
(ทีป่ รุงยา) (ถาด) ก่อนอบ หลังอบ เข้าตูอ้ บ ทีอ่ บยา ไปบด นํายาไปบด
227
การบดยา
ติ ดบนเครื่องบดยา
ชื่อยา............................................................
นํ้าหนัก..................กรัม
เริม่ บดเวลา...................................................น.
วันที.่ ..............................................................
ลงชื่อ......................................................ผูบ้ ดยา
228
แบบฟอร์มบัญชีบด – ร่อนยาประจําวัน
ชื่อยา............................................................นํ้าหนัก.........................กรัม
นํ้าหนักยา
บด นํ้าหนักเนื้อยา นํ้าหนักกากยา หมาย
วันเดือนปี ทีบ่ ด ผูบ้ ด ผูค้ วบคุม
ครังที
้ ่ (กรัม) (กรัม) เหตุ
(กรัม)
นํ้าหนักสุทธิ กรัม
บดเสร็จวันที.่ ..............เดือน...................................พ.ศ..................
ขัน้ ตอนการดูแลรักษาเครื่องบดยา
๑. ใช้ผา้ ชุบนํ้าเช็ดทําความสะอาดเครื่องบดยา และใช้ผา้ แห้งเช็ดอีกครัง้ ให้เครื่องบดยาแห้ง
สนิท (อาจจะใช้พดั ลมเปา่ ให้แห้ง)
๒. ปิดฝาเครื่องบดยา
การร่อนยา
การร่อนยา คือ การนํายาทีบ่ ดละเอียดแล้ว มาร่อนผ่านตะแกรง (หรือ แร่ง) ให้ได้ผงยาที่
ละเอียดมากขึน้ ตามความต้องการ
ตระแกรงหรือแร่ง ทีใ่ ช้ร่อนยา มี ๓ ขนาด คือ
๑. ขนาดเบอร์ ๑๐๐ ละเอียดมาก
๒. ขนาดเบอร์ ๘๐ ละเอียดปานกลาง
๓. ขนาดเบอร์ ๖๐ ละเอียดน้อย
(ขนาดทีใ่ ช้ประจําในการร่อนยา คือ เบอร์ ๑๐๐ และเบอร์ ๘๐)
229
ขัน้ ตอนการร่อนยา
๑. นํายาทีบ่ ดเสร็จแล้ว ร่อนผ่านตะแกรงตามขนาดเบอร์ทต่ี อ้ งการ (เบอร์ ๑๐๐ หรือ เบอร์๘๐)
๒. ชั ่งเนื้อยาทีร่ ่อนเสร็จแล้ว ใส่กะละมัง เขียนชื่อยา นํ้าหนัก เนื้อยา วัน/เดือน/ปี ชื่อผูร้ ่อนยา
ใส่กะละมัง ปิดฝามิดชิด
๓. ชั ่งกากยาใส่ ถุงพลาสติก (ซ้อน ๒ ถุง) เขียนชื่อยา, นํ้าหนักกากยา, วัน/เดือน/ปี, ชื่อ
ผูร้ ่อนยาใส่ไว้ในถุงกากยา ผูไ้ ว้ให้แน่น
๔. เมื่อร่อนยาครัง้ ต่อๆ ไป (ครัง้ ที่ ๒, ๓, ๔......) ให้เอานํ้าหนักเนื้อยาทีร่ ่อนได้ในแต่ละครัง้
ของยาขนานนัน้ ๆ มาใส่รวมในภาชนะเดียวกัน โดยเขียนชื่อยา, นํ้าหนักเชือ้ ยา, วัย/เดือน/ปี, ชื่อ
ผูร้ ่อนยาในแต่ละครัง้ ใส่ไว้ในภาชนะเนื้อยาขนานนัน้ ปิดฝาให้มดิ ชิด
๕. ยาร่อนเสร็จแล้วในขนานหนึ่งๆ คลุกเคล้าให้เข้ากันดี ก่อนนําใส่ภาชนะทีส่ ะอาดเขียนชื่อ
ยา (เบอร์ยา) วัน/เดือน/ปี ทีผ่ ลิตยาเสร็จ ปิดไว้ขา้ งๆภาชนะ นัน้ ๆ
๖. บันทึกบันชีการบดร่อนยา ในแต่ละขนานทุกครัง้ ลงในแบบฟอร์มบัญชีการบดร่อนยาประจําวัน
การดูแลรักษาเครื่องบดยา
๑. ใช้ผา้ ชุบนํ้าเช็ดทําความสะอาดเครื่องร่อนยา และใช้ผา้ แห้งเช็ดอีกครัง้ ให้เครื่องร่อนยา
แหก (อาจจะใช้พดั ลมเปา่ แห้ง)
๒. ปิดผาเครื่องร่อนยา
การเก็บรักษาตระแกรงหรือแร่ง
๑. ใช้แปรงปดั ทําความสะอาดผงยา ทีต่ ดิ อยูท่ ต่ี ะแกรง และขอบตระแกรงร่อนยา
๒. ใช้ผา้ ชุบนํ้าเช็ดทีต่ ะแกรง และขอบตะแกรงร่อนยา และใช้ผา้ แห้งเช็ดอีกครัง้ ให้ตะแกรง
ร่อนยาแห้ง (อาจจะใช้พดั ลมเปา่ ให้แห้ง)
๓. ใช้ชอ้ นสแตนเลส (หน้าตัดรูปสีเ่ หลีย่ ม) ขูดตะแกรงร่อนยาเบาๆ เพื่อให้เสีย้ นยาทีต่ ดิ
ตะแกรงหลุดออก หรือใช้แหนมถอดเสีย้ นยาทีต่ ดิ ตะแกรงร่อนยาออกให้หมด
๔. เก็บตะแกรงร่อนยาไว้ในตู้
ข้อควรระวัง : ห้ามนําตะแกรงร่อนยาล้างนํ้า เพราะทําให้ตะแกรงชํารุดและอายุการใช้งานสัน้ ลง
230
ยาลูกกลอน
ยาลูกกลอนเป็นรูปแบบหนึ่งของยาสมุนไพร มีรปู ร่างกลม ทําจากผงยาชนิดเดียวหรือ
หลายชนิด ผสมสารทีท่ าํ ให้ผงเกาะตัว เช่น นํ้า นํ้าแป้ง นํ้าผึง้ เป็นต้น
ยาลูกกลอนอบนํ้าผึง้ เป็นยาลูกกลอนทีท่ าํ จากผงยาและนํ้าผึง้ ผสมกัน มีลกั ษณะกลม
มีน้ําอยูน่ ้อยการแตกตัวช้า ออกฤทธิ ์ได้นานนํ้าผึง้ ใช้ผสมช่วยปรับรสและช่วยบํารุงร่างกาย มักใช้เป็น
ยารักษาโรคเรือ้ รังและโรคทีต่ อ้ งทําการบํารุงด้วย แต่มขี อ้ เสียทีย่ าลูกกลอนนํ้าผึง้ ใช้น้ําผึง้ จํานวนมาก
ทําให้ตน้ ทุนสูง
วิ ธีการเตรียมยาลูกกลอนนํ้าผึง้
มีกรรมวิธแี ละเทคนิคทีทํจ่ าะให้ยาลูกกลอนเป็นเม็ดสวยได้ แบ่งออกเป็นขันตอน
๓้ ขันตอน
้ ดังนี้
๑. ขัน้ ตอนการเคี่ยวนํ้าผึง้ ขันตอนนี
้ ้นบั เป็นขันตอนที
้ ส่ าํ คัญมาก การเคีย่ วนํ้าผึง้ มี
ประโยชน์ทช่ี ่วยฆ่าเชือ้ โรค และไล่น้ําทีอ่ ยูใ่ นนํ้าผึง้ ทําให้ลกู กลอนไม่ขน้ึ ยา ยาทีป่ นเม็ ั ้ ดจะเก็บได้นาน
หรือเก็บได้ไม่นานขึน้ อยูก่ บั ขันตอนนี
้ ้ ในการเคีย่ วนํ้าผึง้ ต้องใช้ภาชนะทีแ่ ห้งสนิท มีวธิ ที าํ มาแล้ว มีวธิ ที าํ ดังนี้
๑.๑ เทนํ้าผึง้ ใส่หม้อขนาดใหญ่ทเ่ี ตรียมไว้โดยทั ่วไปอัตราส่วนระหว่างผึง้ ตอยาผงที่
ใช้ผสมเป็น ๑ ต่อ หนึ่ง (โดยนํ้าหนัก ) แต่อตั ราส่วนนี้มอี ตั ราการใช้น้ํา ผึง้ มากหรือน้อยขึน้ อยูก่ บั
ลักษณะ ของผงยา เช่น ยางผมทีม่ สี ่วนผสมของยาดํา มหาหิงคุ์ ยาพวกนี้ ต้องใช้น้ําผึง้ ในการ ผสม
น้อย มีพวกแก่นไม้ รากไม้ พวกเกสรดอกไม้ พวกนี้ตอ้ งใช้น้ําผึง้ มาก
๑.๒ นําหม้อทีใ่ ส่น้ําผึง้ ขึน้ ตัง้ ไฟ ช่วงแรกใช้ไฟแรง คนให้เข้ากัน และเคีย่ วจนนํ้า ผึง้
เหนียวได้ทโ่ี ดยดูจากลักษณะดังนี้ คือ
๑.๑.๒ ตอนแรกทีน่ ้ําผึง้ เดือดฟองจะใหญ่และผุดสูง เมื่อเคีย่ วได้ทฟ่ี องจะ
ยุบ และมีขนาดเล็กละเอียด ช่วงเคีย่ วตัง้ แต่น้ําผึง้ ฟองใหญ่จนฟองเล็ก ใช้เวลา ๑๐ – ๑๕ นาที
๑.๑.๒ การทดสอบได้อกี วิธหี นึ่ง คือ หยดนํ้าผึง้ ทีเ่ คี่ ยวได้ทแ่ี ล้ว ลงในนํ้าที่
อุณหภูมหิ อ้ งปกติสงั เกตุดวู า่ นํ้าผึง้ มีลกั ษณะอย่างไร ลักษณะนํ้าผึง้ ทีเ่ คีย่ วได้ทแ่ี ล้ว จะมีลกั ษณะ คือ
นํ้าผึง้ จะมีสนี ้ําตาลเข้มขึน้ กว่าเดิม เป็นก้อนแข็งและรวมตัวกัน แต่ถ้าหยดลงไปในนํ้าแล้วนํ้าผึง้ ยัง
เหนียว ไม่แข็ง ไม่จบั เป็นก้อน ต้องเคีย่ ว ต่อไปอีก และทดสอบดูอกี ครัง้ หนึ่ง เมื่อเคีย่ วนํ้าผึง้ จนได้ท่ี
แล้ว เติมนํ้าเดือดลงไป ๒ กาใหญ่ ขณะทีห่ ม้อตัง้ อยูบ่ นเตา แล้วเคีย่ วต่อไปจนนํ้าผึง้ ได้ท่ี ซึง่ ลักษณะ
ความเหนียมจะไม่เหมือนกัน ต้องอาศัยระสบการณ์ และสังเกตุจากลักษณะฟองตามทีก่ ล่าวไว้ใ๑.๑ นข้อ
๑.๓ เมือ่ เคีย่ วนํ้าผึง้ ได้ทแ่ี ล้ว ให้ยกลงจากเตา กรองด้วยผ้าขาวบางและกวนต่อไป
เรื่อยๆ จนกว่านํ้าผึง้ เริม่ เย็น เมื่อนํ้าผึง้ เย็นแล้ว จึงนําไปผสมกับยาผงในขันต่ ้ อไป
๒. ขัน้ ตอนการผสมนํ้าผึง้ กับยาผง ขันตอนนี ้ ้เป็นขันตอนที
้ ส่ าํ คัญมาก เพราะยาจะเป็น
เม็ดได้หรือไม่เป็นก็ขน้ึ อยูก่ บั การผสมนํ้าผึง้ กับยาผง มีรายละเอียดดังนี้
232
การเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์
๑. การทําความสะอาดเครื่องทํายาเม็ดลูกกลอน และเครื่องรีดเส้นยา โดยใช้น้ําเดือดเทราด
เครื่องให้น้ําไหลลงกะละมังใหญ่ เช็ดให้แห้งสนิทด้วยผ้าสะอาด และใช้สาํ ลีชุบแอลกอฮอล์อกี ครัง้
๒. นําถาดขนาดกลางทีแ่ ห้งสะอาด มารองรับยาจากเครื่องรีดเส้นยาและเครื่องทํายาเม็ด
ลูกกลอน
233
วิ ธีการผลิ ต
๑. นํายาซึง่ ได้คลุกนํ้าผึง้ (หรือสารยึดเกาะอื่นๆ) ไว้เรียบร้อยแล้ว ใส่เครื่องรีดเส้นยา ๑ – ๒
ครัง้ เพื่อให้ได้เส้นยากลม แน่ น และเรียบ โดยใช้มดี ตัดเส้นยาทีผ่ ่านเครื่องรีดแล้ว ให้มขี นาดเท่ากับ
ความยาวของเครื่องตัดยาเม็ดลูกกลอน
๒. เปิดเครื่องทํายาเม็ดลูกกลอน ทีไ่ ด้วางตามขวางบนเครื่องทํายานําเส้นยาเม็ดลูกกลอน
แล้วยาก็จะถูกตัดออกเป็นเม็ดกลมๆ ลงบนถาดรองรับ
๓. คัดเลือกเม็ดยาทีไ่ ม่ได้ขนาดออก นําเม็ดยาทีไ่ ด้คดั เลือกแล้วใส่ใน ถังเคลือบเม็ดยา
ในปริมาณทีเ่ หมาะสมกับถังเคลือบเม็ดยาเปิด
๔ .เปิดเครื่องหมุนถังเคลือบยาเม็ด จนได้เม็ดยากลม เรียบ ดีแล้ว จึงนํายาอบทีอ่ ุณหภูม ิ
๕๐ – ๕๕ องศาเซสเซียส ประมาณ ๔ - ๖ ชั ่วโมง จ นยาแห้งดี ทิง้ ไว้ให้เย็น แล้วนํายเก็บไว้ในขวด
โหลแก้วปิดฝาให้แน่ น ป้องกันความชืน้
๓.๒ โดยใช้รางกลิง้ ยา ซึง่ จะมีขนตอนและกรรมวิ
ั้ ธกี ารทํา ดังนี้
เครื่องมือและอุปกรณ์ทใ่ี ช้
๓.๒.๑ รางกลิง้ ยา พร้อมฝาประกบ
๓.๒.๑ กะละมังขนาดใหญ่
๓.๒.๑ ถาดสีเ่ หลีย่ มขนาดใหญ่, ขนาดกลาง
๓.๒.๑ ชามขนาดกลาง
๓.๒.๑ ผ้าสะอาดผืนเล็ก
๓.๒.๑ กาต้มนํ้าขนาดใหญ่
๓.๒.๑ โต๊ะทีใ่ ช้วางยางกลิง้ ยา
๓.๒.๑ นํ้ามันพืช หรือนํ้ามันทีไ่ ม่มกี ลิน่
การเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์
๑. ทําความสะอาดรางกลิง้ ยา และฝาประกบ โดยใช้น้ําเดือดเทรารางกลิง้ พร้อมฝาประกบ
ในกะละมังเช็ดให้แห้งสนิทด้วยผ้าสะอาด และใช้สาํ ลีชุบแอลกอฮอล์อกี ครัง้ ทิง้ ให้ระเหยแห้งก่อนนํา
ยามากลิง้ บนรางกลิง้ ยา
๒. นํารางกลิง้ ยาวางบนโต๊ะสํารับกลิง้ ยา
๓. นําชามขนาดกลางใส่น้ําสุกประมาณครึง่ ชาม และเทนํ้ามันพืช หรือนํ้ามันทีไ่ ม่มกี ลิน่ ลง
ในชามใบเดียวกันประมาณ ๑ ใน ๔ ของนํ้าในชาม และนําผ้าสะอาดผืนเล็กชุบนํ้าสุกในกะละมังบิดให้
แห้ง และนํามาแช่ในชามทีม่ นี ้ํามันกับนํ้าผสมกัน ใช้สาํ หรับเช็ดรางยาในกรณีทย่ี าเริม่ จะติดราง
๔. นําถาดขนาดกลางทีแ่ ห้งและสะอาด มารองรับยาด้านหน้ารางกลิง้ ดังรูปภาพทีแ่ สดงไว้
234
ฝาประกบรางกลิ้งยา
รางกลิง้ ยา
ถาดรองรับยาเม็ด
โต๊ะสําหรับกลิ้งยาเม็ด
ภาพแสดงลักษณะการจัดวางเครื่องมือสําหรับกลิง้ ยาเม็ดลูกกลอน
วิ ธีการกลิ้ งยาเม็ดลูกกลอน
๑. หยิบยาเส้นทีร่ ดี ไว้แล้วในถาด รีดเส้นยาด้วยเครื่องรีดเส้นยา ซึง่ มีขนาดเส้นกลมโตเท่ากับ
ขนาดรางกลิง้ ยา หรืออาจจะใช้มอื กลิง้ เส้นยาให้ได้ขนาดเส้นกลมโต เท่ากับขนาดรางกลิง้ ยา
ขนาดความยาวในการวางเส้นยา
รางกลิ้งยา
๒. วางไม้ประกบรางกลิง้ ลงบนเส้นยา ค่อนๆกลิง้ ยาไปมา พร้อมกับลงนํ้าหนักกดลงบนรางทีละ
น้อยจนกว่าขอบฝาประกบจะชิดกับขอบรางกลิง้ จึงลงนํ้าหนักให้มากขึน้ และกลิง้ ไปมาอีก ๔–๕ ครัง้
จนยาเป็นเม็ดดีแล้วจึงดันฝาประกบไปทางด้านหน้า ด้วยความแรงทีพ่ อจะให้ยาเม็ดตกลงในถาดได้
235
การเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์
๑. นํานํ้าเดือดเทราดพิมพ์มอื ทองเหลือง และกระจกแผ่นใส เช็ดให้แห้งสนิทด้วยผ้าสะอาด และ
ใช้สาํ ลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดอีกครัง้ หนึ่ง ทิง้ ให้ระเหยแห้งก่อนนํายามาพิมพ์มอื
๒. วางกระจกแผ่นใสบนโต๊ะ และวางพิมพ์มอื ทองเหลืองบนกระจกแผ่นใส
วิ ธีทาํ ยาเม็ด
๑. กวนแป้งมันกับนํ้าให้ใส (เป็นแป้งเปียกใส) ในปริมาณทีพ่ อเหมาะกับยาผง
๒. นํายาผงมาผสมกับแป้งเปียก คลุกเคล้าจนเข้ากันดี
๓. นํายาทีผ่ สมแล้วมาพอประมาณ แผ่เป็นแผ่นกระจก แล้วนําพิมพ์มอื ทองเหลืองกดลงบนยา
๔. กดยาทีพ่ มิ พ์แล้วออกจากพิมพ์ทองเหลือง ใส่ลงในถาดทีเ่ ตรียมไว้
๕. นํายาทีพ่ มิ พ์เสร็จ เข้าตูอ้ บอุณหภูม ิ ๕๐ – ๕๕ องสาเซลเซียส ประมาณ ๔ – ๖ ชั ่วโมง
๖. เก็บยาเม็ดใส่ขวดโหลแก้วสะอาด ปิดฝาให้มดิ ชิด
หมายเหตุ : ยาพิมพ์เม็ด (พิมพ์มอื ทองเหลือง) ถ้ายาเป็นผงมีความเหนียวมากอยูแ่ ล้วอาจจะไม่ตอ้ งใช้
แป้งมันในการผสมยานัน้ เพียงแต่ผสมกับนํ้าต้มสุก ก็นํามาพิมพ์เม็ดได้
ผงยาทีต่ อ้ งผสมแป้งมัน ในการทําเม็ดแบบพิมพ์มอื ได้แก่
๑. ยาเม็ดฟ้าทลายโจร
๒. ยามหานิล ฯลฯ
237
ยาตอกเม็ดฟ้ าทลายโจร
วัตถุส่วนประกอบ
๑. ฟ้าทลายโจร (ผง) ๒,๐๐๐ กรัม
๒. แป้งมัน ๑๐๐ กรัม
๓. แป้งมัน (ทําแป้งเปียก ๑๐%) ๑๕๐ กรัม
๔. ผงทัลคัม ๗๐ กรัม
๕. แมกนีเซียม สเตียเรต ๖๐ กรัม
ขัน้ ตอนการผลิ ต
๑. นําฟ้าทลายโจร(ผง) และแป้งมัน(ในข้อ๑ และ ข้อ๒) ซึง่ ผ่านแร่ง แล้วมาผสมให้เข้ากัน
๒. ใส่น้ําเย็น ๑,๕๐๐ กรัม ลงในแป้งมัน ๑๕๐ กรัม (ทําเป็นแป้งเปียก ๑๐%) โดยการ
กวนจนเป็นสีขาวข้นเหนียว ผ่านนํ้าเดือด
๓. นําแป้งเปียกและผงฟ้าทลายโจร ซึง่ ผสมแป้งมันแล้วมาผสมให้เข้ากัน แล้วนําไป
ผ่านแร่งเบอร์ ๑๔ นําแกรนูลทีไ่ ด้ไปอบแห้ง ทีอ่ ุณหภูมไิ ม่เกิน ๕๕ องศา จากนัน้ นําแกรนูลทีอ่ บแห้ง
แล้วมาผ่านแร่งเบอร์ ๑๘
๔. ผสมผงฟ้าทลายโจรทีเ่ ป็นแกรนูลให้เข้ากันกับทัลคัม และแมกนีเซียม สเตียเรต
๕. นําผงยาทีผ่ สมแล้วไปตอกเม็ด และควบคุมนํ้าหนักเม็ดยาให้ได้มาตรฐาน
๖.นํายาเม็ดทีต่ อกได้เข้าตูอ้ บ ทีอ่ ุณหภู๕๐
ม ิ – ๕๕ องศาเซลเซียส ประมาณ
๔ – ๖ ชั ่วโมง
๗. ทดสอบการแตกตัวของเม็ดยา ไม่ควรเกิน ๓๐ นาที
วัตถุส่วนประกอบ
๑. ยาเม็ดลูกกลอน
๒. แป้งทัลคัม
๓. นํ้าตาลทราย
๔. นํ้า
๕. กัมอาคาเซีย
๖. เชคแลค
๗. แอลกอฮอล์
๘. ขีผ้ ง้ึ คานูบา
๙. ขีผ้ ง้ึ ขาว
๑๐. คาร์บอนเตทตระคลอไรด์
๑๑. สี
เครื่องมือ
๑. เครื่องเคลือบยาเม็ด (ถังเคลือบยาเม็ด)
๒. เครื่อขัดเงายาเม็ด
วิ ธีการเคลือบยาเม็ด
๑. นํายาลูกกลอนทีแ่ ห้งดีแล้ว ใส่ในเครื่องเคลือบยาเม็ด แล้วเทเชคแลค ซึง่ ละลาย
ด้วยแอลกอฮอล์ในอัตราส่วน เชคแลค ๔๐ ส่วน แอลกอฮอล์ ๖๐ ส่วน ในขณะทีถ่ งั หมุนไปเรื่อยๆ
เชคแลคจะเคลือบเม็ดยาลูกกลอน เมื่อใช้ลมเย็นเปา่ เชคแลคจะแห้งติดผิว และป้องกันไม่ให้เม็ดยา
แตก เมื่อเชคแลคแห้งดี ให้ร่อนเอาเม็ดทีเ่ กาะติดกันออก ทําซํ้าอีก ๑ หรือ ๒ ครัง้
๒. ลบมุม อุดรู และปิดร่องของเม็ดลูกกลอนด้วยนํ้าแป้งทัลคัม ซึง่ ผสมด้วย
กัมอาคาเซีย และนํ้าตาลตามอัตราส่วนแป้งทัลคัม ๒๐ – ๓๕% กัมอาคาเชีย ๕ – ๑๐% นํ้าตาล
๔๐ – ๕๐% และนํ้า ๒๐ –๓๐% โดยต้มให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
๓. ใช้น้ําแป้งในข้อ ๒ เทลงบนเม็ดยาขณะทีถ่ งั กําลังหมุน พร้อมโปรยผงทัลคัมลงไป
เป็นระยะๆ ดูให้พอเหมาะ ขณะเดียวกันใช้ลมร้อนอุณหภูม ิ ๖๐ – ๗๐ องศาเซลเซียส เปา่ บนเม็ดยา
ตลอด เพื่อให้น้ําแป้งแห้งติดเม็ดยา เมื่อแห้งดีแล้วให้ร่อนเอาเม็ดทีต่ ดิ กันออก ทําซํ้าประมาณ ๘ – ๑๐
ครัง้ เม็ดลูกกลอนในขันสุ ้ ดท้ายจะเป็นสีขาวเหมือนแป้งทัลคัม
239
๔. เคลือบสีรองพืน้ ด้วยการเติมสีในปริมาณเพียงเล็กน้อยในนํ้าแห้งทัลคัม
เคลือบโดยการเทนํ้าสีลงในขณะทีเ่ ครื่องเคลือบหมุนไปเรื่อยๆ แล้วปล่อยให้เม็ดยาแห้งสนิท แล้วจึง
เคลือบครัง้ ต่อไป เคลือบซํ้า ๓ – ๔ ครัง้
๕. เคลือบสีทต่ี อ้ งการ โดยใช้น้ําเชื่อมทําจากนํ้าตาล ๒ ส่วน นํ้า ๑ ส่วน แล้วเติมสีให้
ได้ความเข้มข้นตามต้องการ เคลือบซํ้าตามวิธเี ดิม จนได้สสี วยงาม
๖. เคลือบเงาเพื่อให้ดสี ดใสขึน้ โดยใช้ขผ้ี ง้ึ คานูบาผสมขีผ้ ง้ึ ขาว ผสมในอัตราส่วน
๔%, ๐.๔% ตามลําดับ ละลายในคาร์บอนเตทตระคลอไรด์ ๙๕% แล้วนํามาใส่ในเครื่องขัดเงายาเม็ด
ให้หมุนไปเรื่อยๆ จนเม็ดยาเงา
การสุมยา
การสุมยา คือ การนํายาทีไ่ ด้ปรุงเป็นตํารับแล้ว มาใส่รวมกันในหม้อดินปิดฝาหม้อให้มดิ ชิด
นําไปสุมไฟร้อนจัด (สุมไฟด้วยฟืน) จนยากลายเป็นสีดาํ (เป็นถ่ายสีดาํ )
ขัน้ ตอนการสุมยา
๑. นํายามหานิลทีไ่ ด้ปรุงเป็นตํารับแล้ว แยกตัวยาทีเ่ ป็นแก่น ลูก ราก ใบ ออกเป็นประเภทๆ
สับยาเป็นชิน้ เล็กๆ
๒. เอาใบทองหลางใบมน คั ่วในกระทะจนเกรียม เก็บใส่ภาชนะไว้ (ไม่ตอ้ งสุม)
๓. นํายาทีส่ บั แล้วพวกแก่นไม้ รากไม้ และลูกมะกอก ใส่ ลงในหม้อดินก่อน และใส่ยาอื่นๆ
ตามลงไป (เพื่อให้ยาสุกทั ่วกันทัง้ หม้อ)
๔. ใช้กระดาษฟางสีขาว ชุบนํ้าพอหมาดๆ ปิดบนฝาหม้อดินให้มดิ ชิด (เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด
ไฟลุกไหม้ตวั ยาในหม้อดิน) นําไปสุมไฟร้อนจัด (สุมไฟด้วยฟืน)
๕. เมื่อสุมยาจนเป็นสีดาํ (ถ่านสีดาํ ) ทั ่วทัง้ หม้อแล้ว ทิง้ ไว้ให้เย็น
๖. เทยาออกจากหม้อดิน นําไปบดรวมกับใบทองหลางใบมน (ทีค่ ั ่วแล้ว)
๗. ร่อนยาให้ได้ผงละเอียด
240
ยาเข้านํ้ามัน (นํ้ามันไพล)
วัตถุส่วนประกอบ
๑. ไพลสด ๓๐ กิโลกรัม
๒. นํ้ามันมะพร้าว ๒ ลิตร (หรือใช้น้ํามันพืชอื่นๆ)
๓. เมนทอล ๕๐ กรัม
๔. นํ้ามันระกํา ๖๐๐ ซีซ ี
๕. นํ้ามันเขียว ๑๐๐ ซีซ ี
๖. นํ้ามันยูคาลิปตัส ๑๐๐ ซีซ ี
๗. ชินนามอน ๒๐ ซีซ ี
๘. นํ้ามันกานพลู ๒๐ ซีซ ี
๙. นํ้ามันแก้ว ๔๕๐ กรัม
๑๐. การบูร ๓๕๐ กรัม
ขัน้ ตอนการทํา
๑. นําไพลสดมาปอกเปลือก หั ่นเป็นแผ่นบางๆ
๒. เอานํ้ามันใส่กระทะตัง้ ไฟให้รอ้ น ค่อยๆ ใส่ไพลลงทอด ทีละน้อย เมื่อไพลกรอบเกรียมดี
แล้วจึงตักออกทิง้ ไป ทอดไพลจนหมดทิง้ ไว้ให้เย็น (นํ้ามันมะพร้าว ๒ ลิตร ทอดแล้วได้ความเข้มข้น
ของนํ้ามันไพลประมาณ ๑ ลิตร)
๓. กรองนํ้ามันไพลทีเ่ คีย่ วได้ใส่ภาชนะไว้
๔. ละลายเมนทอลและการบูร ในนํ้ามันระกํา แล้วจึงใส่น้ํามันไพลลงไป
๕. ใส่ขอ้ ๕, ๖, ๘, ๙ ผสมลงไป คนให้เข้ากันดี
๖. บรรจุขวดทีเ่ ตรียมไว้
ยานํ้า (ยาธาตุอบเชย)
วัตถุส่วนประกอบ
๑. กระวาน ๕๐ กรัม
๒. กานพลู ๕๐ กรัม
๓. สมุลแว้ง ๕๐ กรัม
๔. อบเชยเทศ ๕๐ กรัม
๕. ชะเอมเทศ ๕๐ กรัม
241
๖. การบูร ๑๐ กรัม
๗. เมนทอล ๕ กรัม
๘. นํ้า ๗ ลิตร
ขัน้ ตอนการทํา
๑. ตําหรือบดด้วยยาข้อ ๑ – ๕ พอแหลก
๒. ใส่น้ําลงในหม้อต้มให้เดือด ใส่ตวั ยาทีเ่ ตรียมไว้ลงไปต้มเคีย่ วให้เหลือประมาณ ๕ ลิตร
๓. ยกหม้อลง ใช้ผา้ ขาวบางกรองเอากากยาออก
๔. ใส่เมนทอลและการบูรลงไป คนจนละลายปิดฝาทิง้ ไว้ให้เย็น และให้ตกตะกอน
๕. บรรจุภาชนะทีเ่ ตรียมไว้
ยาดมส้มโอมือ
วัตถุส่วนประกอบ
๑. ยาหอมบํารุงหัวใจ ๒ ส่วน
๒. ยาหอมห้าเจดีย์ ๒ ส่วน
๓. ผิวมะกรูดแห้ง (บดหยาบ)
๔. เปลือกสมุลแว้ง (บดหยาบ)
๕. เปลือกอบเชยเทศ (บดหยาบ)
๖. ส้มมือแห้ง (บดหยาบ)
๗. ชะมดเช็ด
๘. พิมเสน
๙. เมนทอล
ขัน้ ตอนการทํา
๑. ผสมข้อ ๑ และ ๒ เข้าด้วยกัน แล้วนําข้อ๓, ๔, ๕ และ ๖ อย่างละพอประมาณมาผสมรวมกัน
๒. นําชะมดเช็ดปริมาณเล็กน้อยใส่ในใบพลูซอ้ นหลายๆ ชัน้ ลนไฟเทียนให้ไหลในตัวยาผสมให้เข้ากันดี
๓. ดมกลิน่ ให้ได้กลิน่ หอมตามต้องการ
๔. นําผ้าสําลีมาตัดเป็นสีเ่ หลีย่ มขนาดกว้าง ๘ ซม. ยาว ๘ ซม.
๕. ตักเนื้อยา ๑ ช้อนยา ห่อด้วยผ้าสาลู เป็นก้อนกลม ผูกด้ายให้แน่น
242
ยาประคบ (ลูกประคบ)
วัตถุส่วนประกอบ
๑. ไพลสด ๒ ส่วน
๒. ผิวมะกรูดสด ๑ ส่วน
๓. ตะไคร้สด ๑ ส่วน
๔. ใบมะขามสด ๑ ส่วน
๕. ขมิน้ อ้อยสด ๑ ส่วน
๖. พิมเสน ๑๐ ส่วน
๗. การบูร ๑๐ ส่วน
ขัน้ ตอนการทํา
๑. นําสมุนไพรข้อ ๑, ๒, ๓, ๔ และ ๕ หั ่นบางๆ ตําพอหยาบๆ
๒. ใส่พมิ เสน การบูร ผสมรวมกัน
๓. นํามาห่อเป็นลูกประคบ
ยาขี้ผงึ้
วัตถุส่วนประกอบ
๑. วาสลิน (Vasalin) ๔๒๐ กรัม
๒. Wool Fat ๑๒ กรัม
๓. ขีผ้ ง้ึ (Bee Wax) ๕๐ กรัม
๔. พาราฟินชนิดแข็ง (Hard Paraffin) ๑๓ กรัม
๕. เมนทอล (Menthol) ๗๕ กรัม
๖. นํ้ามันยูคาลิปตัส (Eucalyptus Oil) ๓๐ ซีซ ี
๗. เมทิล ซาลิซเิ ลต (Methyl Salicylate) ๔๕ ซีซ ี
๘. เสลดพังพอน (สกัดด้วย Alcohol) ๓๐ ซีซ ี
243
ขัน้ ตอนการทํา
๑. นําสมุนไพรข้อ ๑, ๒, ๓, ๔ ใส่ภาชนะรวมกัน ไปกวนในนํ้าร้อนซึง่ ตัง้ ไฟเดือดจนละลาย
หมด ตัง้ ทิง้ ไว้ให้อุ่น
๒. นําข้อ ๕, ๖, ๗, ๘ ใส่ลงไป คนให้เข้ากันดี
๓. บรรจุขวดทีเ่ ตรียมไว้ ในขณะทีย่ ายังอุ่นๆ อยู่ (ควรเก็บในทีม่ ดื เพื่อป้องกันการเปลีย่ นสี)
แชมพูว่านหางจระเข้
วัตถุส่วนประกอบ
๑. หัวแชมพู ๑๐๐๐ กรัม
๒. ว่านหางจระเข้ ๑๐๐๐ กรัม
๓. ผงฟอง ๑๐๐ กรัม
๔. ผงข้น ๑๐๐ กรัม
๕. ลาโนลิน ๑๐๐ กรัม
๖. หัวนํ้าหอม ๑๕ ซีซ ี
๗. นํ้า ๑๐๐๐ กรัม
๘. สี
ขัน้ ตอนการทํา
๑. นําว่านหางจระเข้มาปอกเปลือก เอาไปล้างนํ้า แล้วปนละเอี ั่ ยดให้ได้ ๑ กก.
๒. ใส่น้ํา ๑๐๐๐ กรัม ผสมกับว่านหา งจระเข้ ๑๐๐๐ กรัม นําไปต้ม
๓. เทผงฟองทีละน้อย คนให้ละลาย ใส่ลาโนลินลงผสม
๔. นําแชมพูทต่ี ม้ แล้วกรอง ใส่ส ี ทิง้ ให้เย็น ใส่ผงข้นลงผสม ใส่หวั นํ้าหอม
๕. บรรจุขวด
๕. การสะตุสารส้ม
๖. การสะตุเกลือ
(การฆ่าฤทธิ ์ มักเป็นตัวยาทีม่ ฤี ทธิ ์แรงมาก หรือมีพษิ มาก)
ขัน้ ตอนการทํา
๑. นําฝาหม้อดินตัง้ บนเตาไฟ ให้รอ้ นจัด เอาชาดผงใส่ในหม้อดินพอสมควร
๒. บีบนํ้ามะกรูดครัง้ ที่ ๑ ให้ชุ่มชาดผง ตัง้ ไฟ คนไปเรื่อยๆ จนแห้ง ทําครบ ๓ ครัง้ ชาดผงจะ
เปลีย่ นเป็นสีน้ําตาลแดงอมดํา (สีเข้มกว่าเดิม)
๓. ตัง้ ทิง้ ไว้ให้เย็น ขูดออกจากฝาหม้อดิน เก็บใส่ไว้ในขวดโหลแก้วปิดฝา
ขัน้ ตอนการทํา
ั ้ นก้อน แล้วห่อด้วยใบตอง ๗ ชัน้
๑. นํารงค์ทองมาบดให้ละเอียด บดกับนํ้ามะนาวปนเป็
๒. นําไปปิ้งไฟให้กรอบ
๓. ตัง้ ทิง้ ไว้ให้เย็น เก็บใส่ไว้ในขวดปิดฝา
หมายเหตุ นํารงค์ทองมาบดให้ละเอียด ใส่ลงในกระทะคั ่วไฟจนกรอบ อย่าให้ไหม้กใ็ ช้ได้เช่นกัน
ขัน้ ตอนการทํา
๑. นําชะมดเช็ดใส่ลงไปในใบพลูสด (ซ้อนหลายๆ ใบ)
๒. เอาไปลนเทียนไขจนเหลว เอียงใบพลูให้ชะมดไหลลงไปในถ้วยแก้ว
๓. นํามาผสมปรุงยา
การสะตุนํ้าประสานทอง
วัตถุส่วนประกอบ และอุปกรณ์
๑. นํ้าประสานทอง
๒. กระทะเหล็ก
๓. ตะหลิว
๔. เตาถ่าน
๕. ขวดโหลแก้ว
ขัน้ ตอนการทํา
๑. เอากระทะเหล็กตัง้ ไฟให้รอ้ นจัด
๒. นํานํ้าประสานทองมาตําให้ละเอียด แล้วโรยลงในกระทะบางๆ ให้ท ั ่วกระทะ จนนํ้า
ประสานทองฟูเป็นแผ่นขาว มีลกั ษณะคล้ายแผ่นข้าวเกรียบ
๓. ตักออกมาใส่ขวดโหลแก้ว ทิง้ ไว้ให้เย็นก่อนปิดฝาขวดโหล
246
การสะตุสารส้ม
วัตถุส่วนประกอบ และอุปกรณ์
๑. สารส้ม
๒. กระทะเหล็ก
๓. ตะหลิว
๔. เตาถ่าน
๕. ขวดโหลแก้ว
ขัน้ ตอนการทํา
๑. เอากระทะเหล็กตัง้ ไฟให้รอ้ นจัด
๒. นําสารส้มมาตําให้ละเอียด แล้วโรยลงในกระทะบางๆ ให้ท ั ่วกระท ะ เมื่อสารส้มถูกความ
ร้อนจนละลายเป็นนํ้าเล็กน้อย และเมื่อแห้งได้ทแ่ี ล้วก็จะฟูเป็นแผ่นขาวขึน้ มา
๓. ตักออกมาใส่ขวดโหลแก้ว ทิง้ ไว้ให้เย็นก่อนปิดฝาขวดโหล
การสะตุเกลือ
วัตถุส่วนประกอบ และอุปกรณ์
๑. เกลือ
๒. หม้อดิน
๓. ทัพพี
๔. เตาถ่าน
๕. ขวดโหลแก้ว
ขัน้ ตอนการทํา
๑. เอาหม้อดินตัง้ บนเตาไฟให้รอ้ นจัด
๒. นําเกลือมาตําให้แหลกละเอียด แล้วเทใส่หม้อดิน ปิดฝาไว้
๓. เมื่อเกลือสุกและแห้งดีแล้ว ยกลงจากเตา
๓. ตัง้ ทิง้ ไว้ให้เย็น ตักใส่ขวดโหลแก้วปิดฝา
247
ยาต้ม
ยาต้มเป็นรูปแบบการปรุงยาสมุนไพรทีใ่ ช้มานาน เป็นการใช้น้ําเป็นตั วทําละลายยาสมุนไพร
ข้อดีของยาต้ม คือ ดูดซึมง่าย ออกฤทธิ ์เร็ว วิธกี ารเตรียมง่ายและสะดวก มีขอ้ เสีย คือ รสชาติและ
กลิน่ อาจรับประทานยากสําหรับบางคน และยาต้มเก็บไว้ไม่ได้นานขึน้ ราง่าย ถ้าต้องการเก็บไว้จะต้อง
ใช้สารกันบูด
วิ ธีการเตรียมยาต้ม
๑. นํ้าและภาชนะ
นํ้าทีใ่ ช้ตม้ ยาควรเป็นนํ้าสะอาด ใส ไม่มกี ลิน่ รส ปริมาณยาโดยปกติจะใส่น้ําพอท่วม
ยา ภาชนะทีใ่ ช้ตม้ ยาควรเป็นหม้อดินเผา หรือหม้อเคลือบ ไม่ควรใช้ภาชนะทีเ่ ป็นโลหะ เช่น เหล็ก
เพราะจะทําให้สารแทนนินซึง่ จะมีผลต่อฤทธิ ์ของยาได้
๒. การเตรียมยาสมุนไพร
ยาสมุนไพรทีใ่ ช้ตม้ ควรหั ่นเป็นชิน้ ขนาดพอดี ถ้าเป็นแก่นก็ห ั ่นเป็นชิน้ ขนาดเท่าๆ กัน
ถ้าเป็นใบใหญ่ เช่น ชุมเห็ดเทศ ให้ห ั ่นเป็นชิน้ เล็กๆ แต่ถ้าใบเล็ก เช่น ฟ้าทลายโจร กระเพรา ก็ใช้ทงั ้
ใบขนาดไม่ควรเล็กเกินไป เพราะทําให้กรองยาต้มยากและเวลาต้มอาจจะไหม้ได้
๓. การต้ม
เติมนํ้าสะอาดลงในตัวยา ให้น้ําท่วมตัวยา ใช้ไฟขนาดกลางต้มให้เดือดหลังจากเดือด
แล้วไฟอ่อนลง ใช้เวลาต้ม ๑๐ – ๑๕ นาที ต้องคอยดูแลและคนสมํ่าเสมอ อย่าให้ยาไหม้ (การต้มยา
ไทย ส่วนใหญ่จะต้ม ๓ เอา ๑ คือ ใส่น้ํา ๓ ส่วน ของปริมาณทีต่ อ้ งการใช้ และต้มให้เหลือ ๑ ส่วน
หรือต้มรับประทานจนยาจืด ไม่เ กิน ๗ – ๑๐ วัน ควรอุ่น เช้า – เย็น ทุกวัน ) ยาต้มควรรับประทาน
เวลาท้องว่าง (ก่อนอาหาร) จํานวนครัง้ ละปริมาณทีก่ าํ หนดในวิธใี ช้ยา
ยาชง
ยาชงเป็นรูปแบบหนึ่งทีเ่ ตรียมง่าย ส่วนใหญ่เป็นการใช้ยาสมุนไพรแห้ง และเติมนํ้าร้อนเป็น
ตัวทําละลาย ข้ออีของยาชง คือ ดูดซึมง่าย มักมีกลิน่ หอม และรสชาติดี
วิ ธีการเตรียมยา
ยาชงส่วนใหญ่เป็นการนําส่วนของสมุนไพร เช่น ใบหญ้าหนวดแมว, ใบชุมเห็ดเทศ, กลีบรอง
ดอกของกระเจีย๊ บมาล้างให้สะอาดและผึง่ ลมให้แห้ง (บางอย่างนําไปคั ่วหรือย่างไฟ) เติมนํ้าเดือดลงใน
สมุนไพรแห้งนัน้ ทิง้ ไว้ประมาณ ๓ – ๕ นาทีกใ็ ช้ได้ อย่าทิง้ ยาชงไว้นานเกินไป จะทําให้สรรพคุณ
กลิน่ และรสของยาเปลีย่ นแปลงไป
248
เภสั ชตํารับ
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๑ ยาจันทลีลา ตอกเม็ด เด็ก ครังละ
้ ๑-๒ เม็ด แก้ไข้ แก้ตวั ร้อน รับประทาน
(เม็ดละ ๑.๕ กรัม) ผูใ้ หญ่ ครังละ
้ ๓-๕ เม็ด ทุก ๔ ชั ่วโมง
วันละ ๓ ครัง้
ก่อนอาหาร
ยาผง เด็ก ครังละ ้ ๑/๒ – ๑ ช้อนชา
ผูใ้ หญ่ ครังละ ้ ๑-๒ ช้อนชา
วันละ ๓ ครัง้
ก่อนอาหาร
๒ ยาอัมฤตวาที ตอกเม็ด ผูใ้ หญ่ อมครังละ ้ ๑-๒ เม็ด แก้ไอ ขับเสมหะ
(เม็ดละ ๐.๕ กรัม) เด็ก ลดลงตามส่วน
วันละ ๓ ครัง้
ก่อนอาหาร หรือ
ทุกเวลาทีม่ อี าการ
ยาผง ผูใ้ หญ่ ครังละ ้ ๑ ช้อนชา
เด็ก ลดลงตามส่วน
(ละลายนํ้ามะนาว
แทรกเกลือใช้จบิ
หรือกวาดคอ)
๓ ยาเม็ดข่อย ยาเม็ด ครังละ
้ ๑ เม็ด เป็นยาอายุวฒั นะ , หญิงมีครรภ์
(พิมพ์เบอร์ ๒) วันละ ๑ ครัง้ ก่อนนอน แก้ลม, บํารุงธาตุ, และ คนไข้
ยาผง ครังละ้ ๑ เม็ด เจริญอาหาร ,บํารุงกําลัง, ห้าม
ั ้ กกลอน
(ปนลู (ละลายนํ้าหรือนํ้าผึง้ ปนั ้ แก้จุกเสียดแน่นเฟ,้ อ รับประทาน
ลูกกลอน ขนาดเท่าเม็ดพุทรา) ช่วยย่อยอาหาร
๔ ยาเขียว ยาเม็ด เด็กเล็ก ครังละ ้ ๒-๓ เม็ด แก้ไข้ ตัวร้อน
เบญจขันธ์ เด็กโต ครังละ ้ ๔-๕ เม็ด ร้อนใน กระหายนํ้า
ผูใ้ หญ่ ครังละ ้ ๗-๘ เม็ด (ละลายนํ้าสุก,
วันละ ๓ ครัง้ นํ้าดอกมะลิ หรือ
ก่อนอาหาร นํ้าดอกไม้เทศ)
ยาผง ผูใ้ หญ่ ครังละ ้ ๑-๒ ช้อนชา แก้พษิ หัด ห้ามรับประทาน
วันละ ๓ ครัง้ พิษอีสกุ อีใส ปลาทะเล, กุง้ ,
ก่อนอาหาร (ละลายนํ้าผักชีตม้ นํ้าปลา, ตับหมู,
เด็ก ลดลงตามส่วน หรือนํ้าหัวแห้วจีน แตงกวา
กับรากผักชีต้ม)
249
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๕ ยาไฟประลัย ยาผง ครังละ
้ ๒ ช้อนโต๊ะ ขับนํ้าคาวปลา (หลัง หญิงมีครรภ์
กัลป์ วันละ ๒ ครัง้ การคลอดบุตร ห้ามรับประทาน
เช้า – เย็น ก่อนอาหาร ใช้สุราเป็ นกระสาย)
๖ ยาเหลือง ตอกเม็ด เด็กอายุ ๑-๒ เดือน ครังละ ้ ๑ เม็ด แก้ทอ้ งเสี ย(ใช้น้ าํ
ปิดสมุทร (เม็ดละ ๐.๑ กรัม) เด็กอายุ ๓-๕ เดือน ครังละ ้ ๒ เม็ด เปลือก ลูกทับทิมหรื อ
เด็กอายุ๖-๑๒เดือน ครังละ
้ ๓-๕ เม็ด เปลือกแคต้ม กับนํ้า
เด็กโต ครังละ ้ ๕-๗ เม็ด ปูนใสเป็ นกระสาย
ผูใ้ หญ่ ครังละ้ ๕-๗ เม็ด ถ้าหานํ้ากระสายไม่ได้
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ให้ใช้น้ําสุกแทน
แก้ทอ้ งเสีย อุจจาระเป็
มูกเลือด, แก้บดิ ไม่มตี วั
(ใช้กะทือหรือกระชาย
หมกไฟผสมกับนํ้าปูนใ
เป็นกระสาย )
๗ ยา ตอกเม็ด ครังละ
้ ๓ – ๕ เม็ด ๑. แก้จุกเสียด
ประสะไพล (เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒. แก้ระดูไม่ปกติ
๓. ขับนํ้าคาวปลา
(หลังการคลอดบุตร)
ยาผง ครังละ้ ๑ เม็ด ละลายนํ้าสุก
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร หรือนํ้าสุรา
๘ ยาประสะ ตอกเม็ด ผูใ้ หญ่ อมครังละ้ ๑-๒ เม็ด แก้ไอ ขับเสมหะ
มะแว้ง (เม็ดละ ๐.๒ กรัม) เด็ก ลดลงตามส่วน
วันละ ๓ ครัง้
ก่อนอาหาร
ยาผง ผูใ้ หญ่ ครังละ
้ ๑ ช้อนชา
เด็ก ลดลงตามส่วน
(ละลายนํ้ามะนาว
แทรกเกลือ ใช้จบิ
หรือ กวาดคอ)
๙ ยาตรีหอม พิมพ์เม็ด เด็กอายุ ๑-๒ เดือนครังละ้ ๑ เม็ด แก้ทอ้ งผูก, ๑.เด็กอ่อนละลาย
(เม็ดละ ๐.๒ กรัม) เด็กอายุ๓-๕ เดือนครังละ
้ ๒-๓ เม็ด ระบายพิษไข้ นํ้าสุกแทรกเกลือ
เด็กอายุ ๖-๑๒เดือน ครังละ้ ๕-๗ เม็ด ๒.เด็กโต ละลาย
วันละ ๑ ครัง้ ก่อนอาหารเช้า นํ้าลูกสมอไทย
ต้มแทรกเกลือ
หรือดีเกลือ
(ตามธาตุหนัก
เบา)
250
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๑๐ ยามหานิล พิมพ์เม็ด เด็ก ครังละ ้ ๑-๒ เม็ด ๑.แก้ไข้, แก้กระหายนํ้า เกลื่อนฝี
(แท่งทอง) (เม็ดละ ๐.๕ กรัม) ผูใ้ หญ่ ครังละ ้ ๓-๔ เม็ด (ละลายนํ้าสุกหรือนํ้าดอกมะลิ
) (ละลายนํ้าสุก
๒.แก้พษิ หัด, พิษอีสกุ อีใส แทรก
(ละลายนํ้ารากผักชีตม้ ) พิมเสน)
๓.ทาสมานปากเปื่อย
(ใช้ลูกเบญจกานีฝนแทรก)
๔.ทาแก้เหงือกเป็นเม็ดซาง
เป็นซุมขาว
๕.ทาแก้ล้นิ เป็นฝ้าเป็นหละ
ละออง
๑๑ ยาประสะ พิมพ์เม็ด เด็กอายุ ๑-๓ เดือน ๑.แก้ทอ้ งอืดท้องเฟ้อ
กระเพรา (เม็ดละ ๐.๑ กรัม) ครังละ
้ ๑-๒ เม็ด (ละลายนํ้าสุก หรือ
(ยาเด็ก) เด็กอายุ ๔-๖ เดือน นํ้าใบกระเพราแดงต้ม)
ครังละ
้ ๒-๓ เม็ด ๒.แก้ปวดท้องแน่นท้อง,
เด็กอายุ ๗-๑๒ เดือน จุกเสียด(ใช้ไพลเผาไฟพอ
ครังละ
้ ๔-๖ เม็ด สุกฝนแทรก ละลายนํ้า
วันละ ๒ ครัง้ เช้า – เย็น สุรา หรือนํ้าต้มสุก)
๑๒ ยาธาตุ ตอกเม็ด เด็ก ครังละ ้ ๒-๓ เม็ด ๑.แก้ธาตุไม่ปกติ,ท้องเสีย ถ้าหากนํ้า
บรรจบ (เม็ดละ ๐.๒ กรัม) ผูใ้ หญ่ ครังละ ้ ๓-๕ เม็ด (ใช้เปลือกแคหรือเปลือก กระสาย
วันละ ๓ ครัง้ สะเดาหรือเปลือกลูกทับทิม ไม่ได้ให้ใช้น้ํา
ก่อนอาหาร ต้มกับนํ้าปูนใสเป็น สุกแทน
กระสาย)
๒.แก้ทอ้ งขึ้นท้องเฟ้ อ
(ใช้กระเทียม ๓ กลีบ ทุบ
ชงนํ้าร้อน หรื อใช้ใบกะเพรา
ต้มเป็ นกระสาย)
๑๓ ยาวิมาน ยาผง เด็กเล็กครังละ ้ ๑/๒ ช้อนชา แก้ไข้ตวั ร้อน, รับประทาน
ฉิมพลี เด็กโต ครังละ ้ ๑ ช้อนชา แก้ขดั เบา ทุก ๓ ชั ่วโมง
วันละ ๒ ครัง้ (ใช้ นํ้าดอกไม้เทศ
เช้า – เย็น ก่อนอาหาร หรือ นํ้าร้อน
เป็นกระสาย)
251
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๑๔ ยาเขียวหอม พิมพ์เม็ด เด็กเล็ก ครังละ
้ ๒-๓ เม็ด ๑.แก้ตวั ร้อน,ร้อนใน กระหายนํ้า ๑.ทัง้
เด็กโต ครังละ้ ๔-๕ เม็ด (ละลายนํ้าสุกหรือนํ้าดอกมะลิ) รับประทาน
ผูใ้ หญ่ ครังละ
้ ๗-๘ เม็ด ๒.แก้พิษหัด,เหือด,พิษอีสุกอีใส และชโลม
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร (ละลายนํรากผั
้ า กชีตม้ ) ๒.รับประทาน
ยาผง ผูใ้ หญ่ ครังละ
้ ๑-๒ ช้อนชา วันละ๔-๖ ครัง้
วันละ ๓ ครัง้ หรือทุกเวลา
ก่อนอาหาร ทีม่ อี าการ
เด็ก ลดลงตามส่วน
๑๕ ยาประสะ ยาผง เด็ก ครังละ ้ ๑/๒ ช้อนชา ๑.แก้ไข้ตวั ร้อน, แก้รอ้ นใน, รับประทาน
จันทน์แดง ผูใ้ หญ่ ครังละ้ ๑ ช้อนชา กระหายนํ้า (ละลายนํ้าสุ ก ทุก ๓ ชั ่วโมง
วันละ ๔ ครัง้ หรือนํ้าดอกมะลิ)
ก่อนอาหาร ๒.แก้ไข้เซื่องซึม (ใช้
จันทน์เทศฝนเป็นนํ้า
กระสาย)
๑๖ ยาวิสมั พยา ยาผง ครังละ
้ ๑ ช้อนชา แก้ทอ้ งขึน้ อืดเฟ้อ จุกเสียด รับประทาน
ใหญ่ วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร (ใช้น้ําสุกเป็นกระสาย หรือ ทุก ๔ ชั ่วโมง
ั ้ นลูกกลอน)
ผสมนํ้าผึง้ ปนเป็
๑๗ ยาวาตาธิจร ยาผง ผูใ้ หญ่ ครังละ ้ ๑ ช้อนชา ๑.แก้วงิ เวียน(ใช้นําร้อน
เด็ก ลดลงตามส่วน นํ้าดอกไม้เทศหรือนํ้าขิง
วันละ ๔ ครัง้ แทรกพิมเสนเป็นกระสาย)
ก่อนอาหาร และก่อนนอน ๒.แก้คลื่นเหียนแก้อาเจียน
หรื อทุกเวลาที่มีอาหาร แก้ลมในกองอากาศธาตุ
๑๘ ยากระษัย ๑ พิมพ์เม็ด ครังละ้ ๓-๕ เม็ด ั
๑.แก้กระษัย,ปสสาวะแดง
วันละ ๒ ครัง้ ขุน่ ข้น, แก้อ่อนเพลีย
เช้า และ ก่อนนอน ทําให้เจริญอาหารบํารุงธาตุ
๒.แก้เส้นเอ็นตึง
๓. แก้ปวดเมื่อยหลังเอว
ยาผง ครังละ ้ ๑-๒ ช้อนชา
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
๑๙ ยากระษัย ๒ พิมพ์เม็ด ครังละ ้ ๓-๕ เม็ด ใช้รถุ ่ายกระษัย (แก้โรค
ก่อนนอนคืนเว้นคืน กระษัยทัง้ ปวง)
ยาผง ครังละ ้ ๑-๒ ช้อนชา
ก่อนนอนคืนเว้นคืน
252
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๒๐ ยาหอม พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๓-๕ เม็ด แก้ลมวิงเวียน หน้ามือ,
บํารุงหัวใจ (อมใต้ล้นิ ) เวลาทีม่ อี าการ อ่อนเพลีย, บํารุงหัวใจ
ยาผง ครังละ
้ ๑-๑ ๑/๒ ช้อนชา
เวลาทีม่ อี าการ
๒๑ ยากลาธิจร ยาผง ครังละ
้ ๑/๒ – ๑ ช้อนชา แก้ทางเตโชธาตุพกิ าร แก้ลมใน
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ทําให้ลมกําเริบ คนสูงอายุ
๑. แก้ลมพัด ตัง้ แต่สะดือถึง (ละลาย
ลําคอ นํ้าร้อนหรือ
๒.แก้ลมพัดให้ขดั แต่อกถึง นํ้าผึง้ )
ลําคอ
๓.แก้ลมพัดให้นาสิกตึง
๔.แก้ลมหายจัด
๕.แก้ลมหายใจขัด หายใจ
ไม่สะดวก
๖.แก้ลมมหาสดมภ์ และ
ชิวหาสดมภ์
๒๒ ยาห้าราก พิมพ์เม็ด เด็ก ครังละ ้ ๒-๓ เม็ด แก้ไข้ ถอนพิษ ดับพิษไข้
(เม็ดละ ๐.๓ กรัม) ผูใ้ หญ่ ครังละ
้ ๓-๕ เม็ด
วันละ ๓ ครัง้
ก่อนอาหาร
๒๓ ยาสหัสธารา พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๓-๕ เม็ด ๑.แก้ปวดเมือ่ ยกล้ามเนื้อ
(เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒.แก้ลมแล่นตามเส้น
ตามเนื้อ
๓. แก้ล้นิ กระด้าง คางแข็ง
มือชา เท้าชา
๒๔ ยาหอม พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๓-๕ เม็ด ๑.แก้ลมวิงเวียน หน้ามืด
อินทจักร์ (เม็ดละ ๐.๒ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร อ่อนเพลีย
หรือเวลาทีม่ อี าการ ๒.แก้นอนไม่หลับ
ยาผง ครังละ
้ ๑ – ๑ ๑/๒ ช้อนชา
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
หรือเวลาทีม่ อี าการ
253
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๒๕ ยาเขียวใหญ่ พิมพ์เม็ด เด็กเล็ก ครังละ
้ ๒-๓ เม็ด ๑.แก้ปวดศีรษะ ตัวร้อน กระทุง้ ถ้าจะใช้ทงั ้ กิน
เด็กโต ครังละ ้ ๔-๕ เม็ด ไข้ (ใช้นํ้ามูตร หรือนํ้าซาวข้าวเป็ ทัง้ ชโลม ใช้
ผูใ้ หญ่ ครังละ
้ ๗-๘ เม็ด กระสาย) นํ้าซาวข้าว
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒.แก้ปวดศีรษะ(ใช้ดนิ สอพองทา ) นํ้าจันทร์
ยาผง ผูใ้ หญ่ ครังละ
้ ๑-๒ ช้อนชา นํ้าดอกไม้
เป็นกระสาย
๒๖ ยาแก้ไอ ยาผง ผูใ้ หญ่ ครังละ
้ ๑ ช้อนชา แก้ไอ ขับเสมหะ (ละลายนํ้า
ขับเสมหะ จิบได้ทุกเวลาทีม่ ี มะนาวแทรกเกลือ)
อาการ
เด็ก ลดลงตามส่วน
๒๗ ยาเลือดสตรี พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๓-๕ เม็ด ๑.แก้ระดูไม่ปกติ แก้มตุ กิด
(เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร มุตฆาต แก้ระดูขาวแก้ปวด
ยาผง ครังละ้ ๑ ช้อนชา เมือ่ ยเอว (ใช้น้ําร้อน,
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร นํ้าส้มสายชู, นํ้ามะกรูด,
นํ้ามะงั ่ว, นํ้าส้มซ่าเหล้า
เป็นกระสาย)
๒. แก้ลมทุกชนิด (ใช้น้ําขิง
หรือนํ้าสุรา เป็นกระสาย)
๒๘ ยาฤทธิจร ยาผง ้ ๑ – ๑ ๑/๒ ช้อนชา ๑. แก้ทอ้ งขึน้ ท้องเฟ้อ
ครังละ เป็นยา
วันละ ๓ ครัง้ หรือเมือ่ มี (มีลมเป็นก้อนในท้อง) สําหรับแก้
อาการ ๒. แก้ปวดท้อง โรคลม
๓. แก้ปวดขัดเจ็บตาม
กล้ามเนื้อ
๒๙ ยาปะโตละธิ ยาผง วันละ ๑-๒ ช้อนชา ๑. แก้ไข้จบั เพื่อเส้น เพื่อลม ๑.แก้ไข้แทรก
คุณ วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร เพื่อกําเดา เพื่อเสมหะ ดีเกลือตามธาตุ
๒. แก้เส้นกล่อน หนักเบา
ั
ปตคาด (ยานี้ใช้เฉพาะ
ไข้สนั นิบาต)
๓๐ ยา ยาผง ครังละ
้ ๑-๒ ช้อนชา แก้นอนไม่หลับ
ประสะนํ้านม วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
(พิเศษ๑)
๓๑ ยาอบ ยาผง ๑. ใช้ห่อทําลูกประคบ ๑.แก้ปวดเมือ่ ย เส้นเอ็น ช่วยขับเหงือ่
สมุนไพร (บดหยาบ) ประคบตามร่างกายหลัง ทําให้ผวิ พรรณเต่งตึง ลดนํ้าหนัก
คลอดบุตร ๒. ทําให้น้ําคาวปลาเดิน
๒. ใช้ประคบหน้าท้อง สะดวกมดลูกเข้าอู่
๓. ใช้ตม้ เอาไอนํ้ารม ๓. แก้ปวดเมือ่ ย เส้นตึง
เข้ากระโจม หลังคลอดบุตร ขัดยอก
254
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๓๒ ยาประสะ ยาผง ครังละ
้ ๑ ช้อนชา ๑. แก้ปวดท้อง จุกเสียดแน่น
กานพลู วันละ ๓ ครังก่้ อนอาหาร ๒. แก้ธาตุพกิ าร ขับลมในลําไส
๓๓ ยาชักมดลูก ยาผง ครังละ
้ ๑-๒ช้อนชา ๑. ช่วยรัดมดลูให้เข้าอู่ ใช้หลังคลอด
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒. แก้ปวดมดลูก
๓๔ ยาถอนพิษ ยาผง วันละ ๑-๒ ช้อนชา ๑. ถอนพิษประดงแรด
ประดง วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒. แก้พษิ ประดง (ผืน่ คัน
ลมพิษ)
๓๕ ยาไฟอาวุธ ยาผง ครังละ ้ ๑ ช้อนชา ๑. แก้ซาง ตานโจร
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร หืดนํ้านม ไอผอม เหลือง
๒. แก้ไส้พอง ท้องใหญ่
๓. แก้ลม จุกเสียด
๔. แก้ป้าง
๕. แก้มา้ ม
๖. แก้ตานเสมหะให้ปวด
มวนเสียดแทง
๗. แก้อุจจาระเป็นเสมหะ
โลหิตละคนกัน
๘. แก้ไข้เพื่อเสมหะ
เพื่อลม
๓๖ ยาหอม พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๓ – ๕ เม็ด ๑. แก้ลมกองงละเอียด
เนาวโกฐ (เม็ดละ ๐.๒ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ชูชพี จร บํารุงหัวใจ
หรือเวลาทีม่ อี าการ
ยาผง ครังละ
้ ๑- ๑ ๑/๒ ช้อนชา ๑. แก้คลื่นเหียนอาเจียน
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒. บํารุงประสาท
๓๗ ยาทัพยาธิ พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๓-๕ เม็ด ๑. แก้ลมจุกเสียด ขับลม
คุณ ๑ (เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ขับผายลม
ยาผง ครังละ้ ๑ – ๑ ๑/๒ ช้อนชา ๒. แก้มา้ ม แก้ตบั แก้ดซี ่าน
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๓. แก้อาเจียน
๔. บํารุงเลือด
๓๘ ยาทัพยาธิ พิมพ์เม็ด ครังละ ้ ๓ – ๕ เม็ด ๑. แก้ลมอัมพาต ปากเบีย้ ว
คุณ ๒ (เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒. แก้พยาธิไส้เดือน
ยาผง ครังละ ้ ๑ – ๑ ๑/๒ ช้อนชา ๓. แก้อุปทม
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๔. แก้เถาดานเป็นก้อน
เป็นลูกกลิ้งในท้อง
255
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๓๙ ยาธรณี พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๓ – ๕ เม็ด ๑. ขับนํ้าคาวปลา
สัณฑะฆาต (เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร หลังการคลอดบุตร
หรือ ก่อนนอน ๒. ถ่ายเส้น ถ่ายกระษัย
แก้น้ําเหลืองเสีย
๓. เป็นยาระบาย
๔๐ ยาเบญจกูล พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๓ – ๕ เม็ด ๑. ขับลมในลําไส้
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒. แก้โรคกระเพาะอาหาร
๓. บํารุงธาตุทงั ้ ๔
(ธาตุดนิ , นํ้า, ลม, ไฟ)
๔๑ ยาแก้ไข้ ยาผง ครังละ
้ ๒ ช้อนชา - แก้ไข้ทบั ระดู แก้ระดู
ทับระดู วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ทับไข้ (ปวดหัวตัวร้อน
จัดก่อน และขณะมีระดู)
๔๒ ยานั ่งถ่าน ยาผง ใช้โรยลงในเตาถ่านเล็กแล้ว แก้กระบังลมเคลื่อนมดลูก ใช้หลังคลอด
(บดหยาบ) ให้เอาควันรมปากช่องคลอด ลงตํ่า ทําให้มดลูกเข้าอู่ หรือหลัง
ทุกเช้า– เย็น (หลังจากอาบนํ้า คลอดบุตร
แล้ว) หรือเวลาพลบคํ่า มีลมดังทาง
ช่องคลอด
(ผายลมทาง
ช่องคลอด)
๔๓ ยาแก้ปวด ยาดองเหล้า ทาบ่อยๆ หรือวันละ ๓ ครัง้ แก้ปวดเมือ่ ย เป็นยาใช้ทา
เมือ่ ย (ถูทาบริเวณเจ็บปวด) ภายนอก(หรือ
ใช้ผสมสุราทา
)
๔๔ ยาริดสีดวง ยาเคลือบเม็ด ครังละ ้ ๕ เม็ด แก้โรคริดสีดวงทวาร
ทวาร (เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ทําให้หวั ยุบโลหิตไม่ออก
ถ่ายอุจจาระสะดวก
๔๕ ยาถ่าย ยาผง ครังละ
้ ๑/๒ – ๑ ช้อนชา ๑. เป็นยาถ่ายอย่างแรง (ต้องใช้อย่าง
อย่างแรง ก่อนนอน หรือก่อนอาหาร ถ่ายพรรดึก ระมัดระวัง)
เช้า ๒. ถ่ายนํ้าเหลืองแก้โรคผืน่
คันตามผิวหนัง
๓. ถ่ายพยาธิ
๔๖ ยาเทพมงคล พิมพ์เม็ด เด็ก อายุ ๑ – ๓ เดือน ๑. แก้หละละอองซาง
(เม็ดละ ๐.๑ กรัม) ครังละ
้ ๑ เม็ด ๒. แก้ตวั ร้อน
เด็ก อายุ ๔ – ๖ เดือน ถอนพิษไข้ ไข้กาฬ
ครังละ้ ๒ เม็ด
เด็ก อายุ ๗ – ๑๒ เดือน
ครังละ
้ ๓ เม็ด
รับประทานได้ทุกเวลา
256
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๔๗ ยาทอง ยาผง ใช้กวาดคอเด็ก แก้เด็กตัวร้อน แก้หละ
แนบเนื้อ ละอองซาง ดับพิษตานซาง
(ยากวาด
คอเด็ก)
๔๘ ยานัตถุ์ ยาผง ใช้ยาขนาดเท่าหัวไม้ขดี ไฟ แก้หวัด คัดจมูก เป็นยานัตถุ์
(นัตถุ์สดู ดม) นํ้ามูกไหล ใช้สดู ดม
ทุกเวลาทีม่ อี าการ
๔๙ ยาแก้ลมขัด ยาผง ครังละ
้ ๑ – ๒ ช้อนชา แก้ลมขัดในข้อ (ทําให้ปวด
ในข้อ วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร เมือ่ ยเดินไม่สะดวก)
๕๐ ยาอัมพาต ยาผง ครังละ
้ ๑ – ๒ช้อนชา แก้อมั พาต อัมพฤกษ์ ใช้รว่ มกับยา
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร (มือเท้าตาย หยิบจับ ลําดับที่ ๕๑
ไม่สะดวก เดินไม่ได้)
๕๑ ยาแก้ลม ยาผง ครังละ
้ ๑ – ๒ ช้อนชา แก้ลมอัมพฤกษ์ อัมพาต ใช้รว่ มกันยา
อัมพฤกษ์ วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร มือเท้าตาย คางแข็ง (ใช้น้ํา ลําดับที่ ๕๒
อัมพาต มะงั ่ว, นํ้ามะขามเปียก,
นํ้ามะกรูด นํ้าส้มซ่า เป็น
กระสาย)
๕๒ แก้ลม ยาผง ครังละ ้ ๑ – ๒ ช้อนชา แก้มอื เท้าตาย ยกไม่ขน้ึ
อโธคมาวาตา วันละ ๓ ครังก่
้ อนอาหาร เดินไม่สะดวก ให้ยกมือยก
เท้าไม่ได้ ให้เจ็บปวด
เมือ่ ยขบทุกข้อทุกกระดูก
๕๓ ยาประคบ ยาผง ใช้ห่อผ้าทําลูกประคบ นึ่ง ๑.แก้ปวดเมื่อย ตาม ทําลูกประคบ
เส้น (บดหยาบ) นํ้าร้อนประคบตามร่างกาย ร่างกาย
วันละ ๒ ครัง้ เช้า – เย็น ๒.แก้หนักมือ หนักเท้า
ปลายนิ้วกระดิกไม่ได้
๕๔ ยาอายุวฒ ั นะ ยาผง ครังละ
้ ๑ ช้อนชา แก้กระษัย อ่อนเพลีย
๑ วันละ ๑ ครัง้ ก่อนนอน ไม่มแี รง บํารุงเส้นเอ็น
๕๕ ยาแก้ ยาผง ทาวันละ ๒ ครัง้ แก้หลังแข็ง ปวดหลัง ใช้ทา
หลังแข็ง เช้า – เย็น หรือก่อนนอน (ละลายกับเหล้าขาว หรือ ภายนอก
(ทาเวลาปวด) นํ้าส้มสายชู)
๕๖ ยาบํารุง พิมพ์เม็ด ครังละ้ ๓ – ๕ เม็ด ๑. แก้ระดูมาไม่ปกติ
โลหิต (เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒. ช่วยบํารุงโลหิต
สตรี ๓. เจริญอาหาร
(ยากําลัง
ราชสีห)์
257
ลําดับ มาตรฐานการใช้ ยา
ชื่อยา รูปแบบยา สรรพคุณ หมายเหตุ
ที่ (ขนาดรับประทาน)
๕๗ ยาแก้เลือด ยาดองเหล้า ครังละ
้ ๒ ช้อนโต๊ะ ๑.แก้เลือดลมสตรี นํามาทุบพอ
ลม วันละ ๒ ครัง้ แก้สวิ ฝ้า แหลกห่อผ้า
สตรี เช้า – เย็น ก่อนอาหาร ๒.แก้ปวดประจําเดือน ขาวบางแช่
(แก้สวิ ฝ้า) สุรา ๒๘ ดีกรี
เป็นเวลา
๑ อาทิตย์
๕๘ ยาอายุวฒ
ั นะ พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๑ – ๒ เม็ด บํารุงกําลัง
๒ (พิมพ์เบอร์ ๒) ก่อนนอน เสริมสุขภาพ
ยาผง ครังละ ้ ๑ ช้อนชา
ก่อนนอน
๕๙ ยาเบาหวาน พิมพ์เม็ด ครังละ ้ ๓ – ๕ เม็ด แก้เบาหวาน ลดนํ้าตาล
(เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ในเลือด
ยาผง ครังละ
้ ๑ – ๒ ช้อนชา
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
๖๐ ยาแก้ขดั เบา ยาผง ครังละ ้ ๑ – ๒ ช้อนชา ั
แก้ปสสาวะขั
ด (แก้นิ่ว)
(หริอ ๒ – ๓ ช้อนชา)
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
๖๑ ยาแก้หวัด ยาผง ครังละ
้ ๑ – ๒ ช้อนชา แก้หวัด แก้แพ้อากาศ
แก้แพ้อากาศ วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
๖๒ ยาลูกจันทน์ ยาผง ครังละ้ ๑ – ๑ ๑/๒ ช้อนชา แก้ปวดท้อง จุกเสียด หรือใช้ผสม
วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ธาตุพกิ าร กับยาอื่น
๖๓ ยาแก้หอบ ยาผง ครังละ ้ ๑ – ๑ ๑/๒ ช้อนชา แก้หอบหืด
หืด วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร
๖๔ ยาขมิน้ ชัน พิมพ์เม็ด ครังละ ้ ๓ – ๕ เม็ด ๑. แก้ทอ้ งอืด ท้องเฟ้อ
(เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒. รักษาโรคกระเพาะ
อาหาร
๖๕ ยาฟ้าทลาย พิมพ์เม็ด ครังละ
้ ๓ – ๕ เม็ด ๑. แก้ไข้
โจร (เม็ดละ ๐.๓ กรัม) วันละ ๓ ครัง้ ก่อนอาหาร ๒. แก้เจ็บคอ
๓. แก้ทอ้ งเสีย
๖๖ นํ้ามันไพล นํ้ามัน ทา ถู นวด ๑. แก้ปวดเมือ่ ยกล้ามเนื้อ
๒. แก้เคล็ดขัดยอก
กล้ามเนื้อ
๖๗ ยาหม่องนํ้า นํ้ามัน สูดดม แก้วงิ เวียนศีรษะ
258
ภาคผนวก ข.
259
แบบปฏิบตั ิ การ
เภสัชวัตถุ จํานวน ๑๕ ชัวโมง
่
ปฏิบตั ิ การที่ ๑ เรื่อง พืชวัตถุ จํานวน ๙ ชัวโมง
่
วัตถุประสงค์
๑. รูจ้ กั พืชวัตถุได้อย่างน้อย ๕๐ ชนิด
๒. สามารถจําแนกพืชวัตถุได้
๓. สามารถอธิบายลักษณะของพืชวัตถุตามหลักการรูจ้ กั ตัวยา ๕ ประการ ได้
๔. สามารถเก็บตัวอย่างของพืชวัตถุได้
สาระสําคัญ
พืชวัตถุทเ่ี รานํามาใช้ทาํ ยานัน้ สามารถจําแนกออกได้เป็น ๓ จําพวก ได้แก่ จําพวก
ต้น , เถา – เครือ , หัว – เหง้า , ผัก , หญ้า , โดยใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชมาทําเป็นยา เช่น ราก ,
ต้น , กิง่ , ใบ , ดอก , ลูก หรือ ตะคะเปลือก เนื้อไม้ กระพี้ แก่น เป็นต้น การทีจ่ ะรูจ้ กั พืชชนิด
ใดนัน้ ต้องมีหลักในการพิจารณา คือ รูปลักษณะ สี กลิน่ รส และ ชื่อ ซึง่ เภสัชกรทุกคนทีจ่ ะ
นําพืชวัตถุมาทํายานัน้ จําเป็นต้องรูห้ ลักตามทีก่ ล่าวมาแล้ว จึงจะปรุงยาได้อย่างถูกต้อง
การจําแนกพืชวัตถุ
ที่ ชื่อพืชวัตถุ หมายเหตุ
ต้น เถา-เครือ เหง้า-หัว ผัก หญ้า
วันที…
่ ……เดือน………………………พ.ศ……….เวลา………………น.
เจตคติ
ที่ ชื่อผูเ้ รียน หมายเหตุ
ความสนใจ การตรงต่อเวลา ผลงาน
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
ฯลฯ
ครูผปู้ ระเมิน…………………………………………………………………..
เกณฑ์การประเมิน
๑. คือ ต้องปรับปรุง
๒. คือ พอใช้
๓. คือ ดี
262
แบบปฏิบัตกิ าร
การจําแนกสัตว์วตั ถุ
ที่ ชื่อสัตว์วตั ถุ หมายเหตุ
สตว์บก สัตว์นํ้า สัตว์อากาศ
วันที…
่ ……เดือน………………………พ.ศ……….เวลา………………น.
เจตคติ
ที่ ชื่อผูเ้ รียน หมายเหตุ
ความสนใจ การตรงต่อเวลา ผลงาน
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
ฯลฯ
ครูผปู้ ระเมิน…………………………………………………………………..
เกณฑ์การประเมิน
๑. คือ ต้องปรับปรุง
๒. คือ พอใช้
๓. คือ ดี
265
แบบปฏิบัตกิ าร
การจําแนกธาตุวตั ถุ
ที่ ชื่อธาตุวตั ถุ หมายเหตุ
ธาตุสลายตัวง่าย ธาตุสลายตัวยาก
วันที…
่ ……เดือน………………………พ.ศ……….เวลา………………น.
เจตคติ
ที่ ชื่อผูเ้ รียน หมายเหตุ
ความสนใจ การตรงต่อเวลา ผลงาน
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
ฯลฯ
ครูผปู้ ระเมิน…………………………………………………………………..
เกณฑ์การประเมิน
๑. คือ ต้องปรับปรุง
๒. คือ พอใช้
๓. คือ ดี
268
แบบปฏิบัตกิ าร
สรรพคุณเภสั ช จํานวน ๑๑ ชัว่ โมง
สาระสํ าคัญ
การที่จะรู ้จกั สรรพคุณยาได้น้ นั เภสัชกรจะต้องรู้จกั รสของตัวยา ซึ่งมีอยูด่ ว้ ยกันหลายรส เช่น
รสยา ๔ รส รสยา ๖ รส รสยา ๘ รส และรสยา ๙ รส ซึ่งรสยาเหล่านี้ เภสัชกรจะต้องศึกษาให้
เข้าใจอย่างชัดเจน จึงจะทําการปรุ งยาได้ถกู ต้อง
ขั้นตอนการปฏิบัติ
๑. ให้ผเู ้ รี ยนเตรี ยมอุปกรณ์การทําแผนภูมิ เช่น กระดาษแข็ง สี ปากกาเคมี เทปกาว ดินสอ
ปากกา ยางลบ ฯลฯ
๒. เตรี ยมเภสัชวัตถุตามรสยา
๓. จัดหมวดหมู่เภสัชวัตถุให้เป็ นกลุ่มตามรสยา
วิธีการ
๑. วางระเบียบในการฝึ กปฏิบตั ิงาน
๒. เวลาที่ปฏิบตั ิงาน ( เริ่ มเวลา……………………น. ถึง ……………………….. น. )
๓. ลงนามปฏิบตั ิงาน
๔. ปฏิบตั ิงานตามที่มอบหมาย
การประเมินผล
๑. สังเกตุการปฏิบตั ิงาน
๒. ตรวจแบบปฏิบตั ิการ
สรุป
ผูเ้ รี ยนปฏิบตั ิได้ในการทําแผนภูมิ และแบ่งกลุ่มเภสัชวัตถุตามรสยาได้
269
การจําแนกรสยา หมาย
ที่ ชื่อผูเ้ รียน ฝาด หวาน เมาเบื่อ ขม เผ็ด มัน หอม เค็ม เปรีย้ ว เหตุ
ร้อน เย็น
เจตคติ
ที่ ชื่อผูเ้ รียน หมายเหตุ
ความสนใจ การตรงต่อเวลา ผลงาน
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
ฯลฯ
ครูผปู้ ระเมิน…………………………………………………………………..
เกณฑ์การประเมิน
๑. คือ ต้องปรับปรุง
๒. คือ พอใช้
๓. คือ ดี
271
แบบปฏิบัตกิ าร
คณาเภสั ช จํานวน ๑๓ ชัว่ โมง
วัตถุประสงค์
จัดกลุ่มตัวยาตามขนาด , สี , รส ม ชนิด ( เพศ) , ถิ่นที่เกิด ได้อย่างถูกต้อง
สาระสํ าคัญ
การจํากัดตัวยาจํานวนน้อยอย่าง หรื อพิกดั ที่เรี ยกชื่อตรงตามตัวอย่างเดียวกัน ส่วนมากมีตวั ยา
เพียง ๒ อย่างเท่านั้น จะเป็ นตัวยาชนิดเยวกันแต่แตกต่างกันทีล่ กั ษณะขนาด , สี , รส ม ชนิด ( เพศ) ,
ถิ่นที่เกิด
ขั้นตอนการปฏิบัติ
๑. เตรี ยมเภสัชวัตถุที่ป็นตัวยาเดียวกันแต่เรี ยก ๒ ชื่อ
๒. จัดหมวดหมู่เภสัชวัตถุให้เป็ นไปตามจุลพิกดั
๓.
วิธีการ
๑. วางระเบียบในการฝึ กปฏิบตั ิงาน
๒. เวลาที่ปฏิบตั ิงาน ( เริ่ มเวลา……………………น. ถึง ……………………….. น. )
๓. ลงนามปฏิบตั ิงาน
๔. ปฏิบตั ิงานตามที่มอบหมาย
๕.
สรุป
ผูเ้ รี ยนจัดหมวดหมู่เภสัชวัตถุ ตามจุลพิกดั ได้
272
แตกต่างกันที่
ที่ ชื่อพืชวัตถุและธาตุวตั ถุ หมายเหตุ
ขนาด สี รส ชนิด ถิน่ ทีเ่ กิด
๑ กะเพราทัง้ ๒ - / - - - ตัวอย่าง
๒ ผักหวานทัง้ ๒ - - - - /
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
273
ครูผปู้ ระเมิน…………………………………………………………………..
เกณฑ์การประเมิน
๑. คือ ต้องปรับปรุง
๒. คือ พอใช้
๓. คือ ดี
274
แบบปฏิบัตกิ าร
วัตถุประสงค์
จัดกลุ่มตัวยาตามพิกดั ๓, ๔ , ๕ , ๗ , ๙, ๑๐ และพิกดั พิเศษ
สาระสํ าคัญ
การจํากัดจํานวนตัวยาตั้งแต่ ๒ อย่างขึ้นไป นํามารวมกันเข้า มีน้ าํ หนักและขนาดตัวยา
เท่ากันแล้วเรี ยกชื่อเป็ นชื่อเดียวกัน
ขั้นตอนการปฏิบัติ
๑. เตรี ยมเภสัชวัตถุที่ป็นตัวยาประกอบของพิกดั ยา
๒. จัดหมวดหมู่เภสัชวัตถุให้เป็ นไปตามพิกดั ยา
วิธีการ
๑. วางระเบียบในการฝึ กปฏิบตั ิงาน
๒. เวลาที่ปฏิบตั ิงาน ( เริ่ มเวลา……………………น. ถึง ……………………….. น. )
๓. ลงนามปฏิบตั ิงาน
๔. ปฏิบตั ิงานตามที่มอบหมาย
การประเมินผล
๑. สังเกตุการปฏิบตั ิงาน
๒. ตรวจแบบปฏิบตั ิการ
สรุป
ผูเ้ รี ยนจัดหมวดหมู่เภสัชวัตถุ ตามพิกดั ยาได้
275
ชื่อพิ กดั ยา
ที่ ชื่อพืชวัตถุและสัตว์วตั ถุ หมายเหตุ
๓ ๔ ๕ ๗ ๙ ๑๐ พิ เศษ
๑ เหง้าขิงแห้ง / - / - - - - ตัวอย่าง
๒ รากช้าพลู - - / - - - -
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
ฯลฯ
276
ครูผปู้ ระเมิน…………………………………………………………………..
เกณฑ์การประเมิน
๑. คือ ต้องปรับปรุง
๒. คือ พอใช้
๓. คือ ดี
277
แบบปฏิบัตกิ าร
วัตถุประสงค์
จัดกลุ่มตัวยา
สาระสํ าคัญ
การจํากัดจํานวนตัวยาหลายสิ่งหลายอย่าง มารวมกันเข้าเรี ยกชื่อเดียวกัน แต่น้ าํ หนักของตัวยา
ในมหาพิกดั หนักสิ่งละไม่เท่ากัน หนักมากบ้าง หนักน้อยบ้าง แต่ก็อยูใ่ นขอบเขตที่กาํ หนดไว้
ขั้นตอนการปฏิบัติ
๑. เตรี ยมเภสัชวัตถุที่ป็นตัวยาประกอบของมหาพิกดั ยา
๒. จัดหมวดหมู่เภสัชวัตถุให้เป็ นไปตามมหาพิกดั
วิธีการ
๑. วางระเบียบในการฝึ กปฏิบตั ิงาน
๒. เวลาที่ปฏิบตั ิงาน ( เริ่ มเวลา……………………น. ถึง ……………………….. น. )
๓. ลงนามปฏิบตั ิงาน
๔. ปฏิบตั ิงานตามที่มอบหมาย
การประเมินผล
๑. สังเกตุการปฏิบตั ิงาน
๒. ตรวจแบบปฏิบตั ิการ
สรุป
ผูเ้ รี ยนจัดหมวดหมู่เภสัชวัตถุ ตามมหาพิกดั ได้
278
ที่ ชื่อพืชวัตถุ มหาพิ กดั ตรี มหาพิ กดั เบญจ มหาพิ กดั ทัวไป
่ หมายเหตุ
๑ ดอกดีปลี / / ตัวอย่าง
๒ มะขามป้อม / -
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
ฯลฯ
279
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
ฯลฯ
ครูผปู้ ระเมิน…………………………………………………………………..
เกณฑ์การประเมิน
๑. คือ ต้องปรับปรุง
๒. คือ พอใช้
๓. คือ ดี
280
09 / 07 / 2557