Professional Documents
Culture Documents
ภายในสวนพฤกษศาสตร์
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ห้อง ๑๕๖ ปีการศึกษา ๒๕๖๓
น.ส.กะรัตเพชร ฤทธิสิงห์ ห้อง156 เลขที่1
ต้นไม้ในพระพุทธศาสนาภายในสวนพฤกษศาสตร์ โรงเรียนเตรียม
อุดมศึกษา
ต้นดอกจิก
ต้นจิกมีความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาในด้านประวัติของพระพุทธเจ้าโดย
ภายหลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วถึงสัปดาห์ที่ 6 ทรงประทับภายใต้ร่มเงาของ
ต้นไม้จิกอันมีชื่อว่ามุจลินทร์ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ใกล้ ๆ กับต้นพระ
ศรีมหาโพธิ์พระพุทธเจ้าเมื่อเสวยวิมุติสุขอยู่ใต้ต้นมุจลินท์ก็ได้มีฝนเจือลมหนาวตกพรำ
อยู่เจ็ดวันพญานาคชื่อมุจลินท์ซึ่งเป็นพญานาคที่มีอานุภาพมากอาศัยอยู่ที่สระโบกขรณี
ใกล้ต้นมุจลินท์พฤกษ์นั้นมีความเลื่อมใสในพระศิริวิลาศจึงเข้ามาวงด้วยขนตเจ็ตรอบ
แล้วแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อป้องกันลมและฝนมิให้ถูกพระกายครั้นฝนหาย
แล้วก็คลายขนตออกจำแลงเพศเป็นมาณพเข้ามายืนเฝ้า ณ ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มี
พระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานว่า“ สุโขวิเวโกตุฎสสะตะธัมมัสสะปัสสะโตอัพยาปัขขังสุ
ขังโลเกปาณะภูเตสูสัญญะโมสุขาวิราคะตาโลเกกามานังสะโมอัสมิมานัสสะวินะโยเอตัง
เวปะระมังสุขังฯ ” มีความหมายว่า“ ความสงัดเป็นความสุขสำหรับบุคคลผู้สดับธรรม
แล้วยินดีอยู่ในที่สงัดรู้เห็นตามเป็นอย่างไรความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์
ทั้งหลายและความปราศจากก้าหนัดคือความส่วงกามทั้งหลายเสียได้ด้วยประการทั้ง
ปวงเป็นสุขในโลกความน้ำอัสมิมานะถือว่ามีตัวตนให้หมดได้เป็นสุขอย่างยิ่ง” พระพุทธ
จริยาที่เสด็จประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขภายในขนตของพญานาคมุจลินท์นาคราชที่ขต
แวดล้อมพระกายอยู่นี้เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกถือว่าเป็นหนึ่งในปาง
สำคัญและเป็นปางประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันเสาร์จากข้อมูลข้างต้นพบว่านอกจากต้น
จิกจะให้ประโยชน์กับมนุษย์ในด้านต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อมแล้วต้นจิกยังเป็นหนึ่ง
ในพรรณไม้สำคัญต่อพุทธศาสนาที่ให้เหล่าพุทธศาสนิกชนได้ศึกษาและได้ข้อคิดจาก
สอนของพระพุทธเจ้าที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ดอกบัว
2/156
สวนพฤกษศาสตร์
ต้นสะเดา บริเวณหลังตึก 60 ปี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของสะเดา
สะเดา เป็นไม้ต้น สูง 8-12 เมตร เปลือกต้นสีน้าตาลใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ รูปรี
โคนใบเบียว ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อตาม
ซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายกลีบมน โคนเรียว ผลเป็นผลสด รูปกลมรี ผิว
เรียบเป็นมัน ผลอ่อนสีเขียว สุกสีเหลือง เมล็ดเดี่ยว
เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
ต้นสะเดา (ต้นนิมพะ) ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 33 พระสุตตันปิฎก เล่ม 25 ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ สุเมธ
พุทธวงศ์ กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 14 พระนามว่า พระสุเ มธพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาประโยชน์เพื่อ
สรรพสัตว์ ทรงเปลืองสัตว์ให้พ้นจากเครื่องผูกเป็นอันมาก ได้ประทับตรัสรู้ ณ ควงไม้สะเดา หลังทรงบ้าเพ็ญ
เพียรอยู่ 8 เดือนเต็ม และ ต้นสะเดาอินเดีย ที่เป็นโพธิญาณพฤกษาของพระสุเมธพุทธเจ้า สะเดาอินเดีย มี
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Azadirachta indica A. Juss.” อยู่ในวงศ์ “Meliaceae” ในภาษาบาลีเรียกว่า
“ต้นนิมพะ” หรือ “ต้นมหานิมพะ” ชาวฮินดูเรียกว่า “นิมะ” มีชื่อพืนเมืองที่เรียกกันต่างไปในแต่ละท้องถิ่น
ของไทย คือ กะเดา (ภาคใต้), สะเลียม (ภาคเหนือ), คินินหรื อขีนิน (ภาคอีสาน), จะตัง, ไม้เดา, เดา เป็นต้น
พระพุทธประวัติกล่าวว่า ในพรรษาที่ 11 พระพุทธเจ้าได้จ้าพรรษาภายใต้จิมมันทพฤกษ์ คือไม้สะเดา
อันเป็นมุขพิมานของเพรุยักษ์ ใกล้นครเวรัญชา และได้มีเหตุการณ์เกิดขึน ณ บริเวณต้นสะเดา ใกล้เมือง
เวรัญชา เวรัญชพราหมณ์ได้เข้าไปหาพระพุทธเจ้า และได้คุยประเด็นการตรัสรู้ได้ด้วยความเพียรและ
เปรียบตนเองเหมือนลูกไก่ที่ เจาะเปลือกออกมาก่อ นตัวอื่น
(ที่มาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหากุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 1)
น.ส.ชยาภรณ์ ทองอยู่ ม. 6 ห้อง 156 เลขที่ 4
ชือ่ : พญาสัตบรรณ
ชื่ออื่น: สัตบรรณ, ตีนเป็ด, ตีนเป็ดขาว
ประเภท: ไม้ยืนต้น (ไม้ดอก)
ถิ่นดั้งเดิม: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กระจายอยู่ในทุกภาคของไทย
พืชชนิดนี้ถูกนามาใช้ประโยชน์
มากมาย เช่นนาเปลือกไม้มารักษาโรคบิด
และมาลาเรีย ใบใช้รักษาโรคระบบทางเดิน
หายใจ รวมถึงยังสามารถยับยั้งการ
เจริญเติบโตของพืชอืน่ ได้อีกด้วย
ความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา ตาราชินกาลมาลีปกรณ์ ได้กล่าวไว้ว่า
‘พระตัณหังกรพุทธเจ้า’ พระพุทธเจ้าองค์แรกในพระพุทธศาสนา ได้
ประทับตรัสรู้ที่ใต้ตน้ ตีนเป็ดขาว หรือต้นพญาสัตตบรรณ และต้นไม้
ชนิดนี้ยังขึ้นอยู่หน้า ‘ถ้าสตฺตปณฺณคูหา’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มกี ารสังคายนา
พระไตรปิฎกเป็นครั้งแรก โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้อปุ การะในการ
สังคายนาครั้งนัน้ ด้วย
ชลลดา ศรีสงวนสกุล ห้อง156 เลขที่5
ต้นกระทิง
ต้นประดู่ลาย (ต้นอสนะ
ต้ นไม้ ในพระพุทธศาสนา
ชื อต้นไม้ ต้นมะขามป้ อม
ลักษณะทัวไปของต้น มะขามป้ อมคื อ เป็ นไม้ยืนต้น สู งประมาณ 8-20 เมตร เปลื อกค่อนข้า งเรี ยบเกลี ยง
สี นาตาลปนเทา
ํ เรื อนยอดรู ปร่ ม ใบเป็ นใบประกอบแบบขนนก ดอกมีขนาดเล็กสี เหลืองนวล ผลค่อนข้างกลมเกลียง มี
รอยแยกแบ่ งออกเป็ น 6 กลี บ ผลอ่อนสี เขี ยวออกเหลื อง ผลแก่สี นาตาล
ํ มีเมล็ด สี น ําตาล เป็ นพันธุ์ไม้ทีทนแล้งได้ดี
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
ต้นมะขามป้ อมมีความเกียวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างมาก โดยมะขามป้อมปรากฏในพุทธชาดก ในส่ วน
ของประวัติของหมอชี วกโกมารภัจจ์ กล่าวคื อครังหนึ งหมอชี วกฯ ได้ถวายการรักษาแก่พระเจ้าแผ่นดิ นพระองค์หนึ ง
ด้วยการให้เนยใสซึ งพระองค์ทรงเกลียดชังนักโดยการปรุ งแต่งกลินรสกลบเสี ย เมือถวายเสร็ จก็กลัวพระเจ้าแผ่นดินจะ
พิโรธหากจับได้ว่าสิ งที เสวยเข้าไปคื อเนยใส จึงรี บเดินทางออกจากเมือ ฝ่ ายพระเจ้าแผ่นดินเมือจับได้ว่าโอสถนันเป็ น
ณัฏฐณิ ชา ช้างเขียว ห้อง 156 เลขที 9
เนยใส ก็สงให้ั มหาดเล็กไปตามหมอชี วกฯ กลับมารั บโทษฐานหลอกลวง เมือมหาดเล็กเดิ นทางมาพบ หมอชีวกฯ ก็ทาํ
อุบายเชือเชิญให้กินมะขามป้ อม โดยตนกิ นให้ดูก่อนเพือให้เห็นว่าไม่มีพิษใด ๆ แต่ซีกทีหมอชีวกฯ กินนันได้แทรกยา
ต้านฤทธิ ลงไปก่อน เมือนายมหาดเล็กกินมะขามป้ อมซี ดที ไม่ได้แทรกยาลงไปก็เกิ ดการถ่ายท้องลง ณ ตรงนันจนไร้
เรี ยวแรง สุ ดทีจะจับตัวหมอชี วกฯ กลับไปได้ หมอชี วกฯ จึ งเดิ นทางกลับโดยสวัส ดิภาพดังนีแล นอกจากในพุทธกาล
ปั จจุบนั นี แล้ว มะขามป้ อมยังจัดเป็ นต้นโพธิ ทีพระพุทธเจ้าในกาลก่อน นามว่าพระปุ ส สพุทธเจ้า ได้ตรัสรู ้สําเร็ จพระ
โพธิ ญาณอี กด้วย มะขามป้ อมยังเป็ นสมุน ไพรที มีมาตังแต่ส มัยพุท ธกาล เป็ นผลไม้ทีจัด เป็ นโอสถในตัว พระภิ ก ษุ
สามารถเก็บไว้ฉนั ได้แม้ในยามวิกาล อีกทังยังกล่าวกันว่าเป็ นสิ งที พระเจ้าอโศกมหาราชได้ถวายแก่เหล่าภิ กษุสงฆ์เป็ น
สิ งสุ ดท้ายในพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน มะขามป้ อมจึ งถูกนํามาใช้เป็ นแบบในการสร้างสถาปั ตยกรรมทางพุท ธ
ศาสนาหลายอย่าง อาทิเช่น เจดียท์ รงมะขามป้ อมครึ งซีกทีอินเดีย หรื อเจดียท์ ี ยอดปรางค์ทาํ เป็ นทรงมะขามป้ อมในพม่า
เป็ นต้น
น.ส.ณัฐณิชา วัฏฏสันติ เลขที่10 ห้อง156 ม.6
ต้นสาละลังกา
ข้อมูลทั่วไปของต้นสาละ
สาละลังกา หรือ ต้นลูกปืนใหญ่ (Cannonball Tree) เป็นพืชในวงศ์จิก วงศ์ Lecythidaceae (ปัจจุบันจิกอยู่ในวงศ์
Barringtoniaceae) มืชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Couroupita guianensis Aubl. ลักษณะเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาด
ใหญ่ ไม่ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีเทาแตกเป็นร่อง เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ปลายใบเป็นติ่งแหลมสั้นๆ ผิวใบเป็น
มัน ขอบใบเป็นคลื่น ดอกออกเป็นช่อสั้น ๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ
ประวัติและถิ่นกำเนิด
ต้นสาละลังกา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกาใต้ในประเทศเปรู, โคลัมเบีย, บราซิลและประเทศใกล้เคียงในปีพ.ศ.
2424สวนพฤกษศาสตร์ศรีลังกาได้นำเข้าต้นลูกปืนใหญ่จากตรินิแดดและโตเบโกต่อมาได้ขยายพันธุ์ไปทั่วศรีลังกาแต่
ชาวศรีลังกากลับเรียกต้นลูกปืนใหญ่นี้ว่า ซาล (Sal) โดยไม่ปรากฏเหตุผลและไม่ทราบความเป็นมาของต้นลูกปืนใหญ่
ส่วนมากอ้างว่านำมาจากอินเดียและที่เรียกเพราะซาลเพราะเชื่อว่าก้านชูอับเรณูที่เชื่อมกันเป็นรูปผืนผ้าตัวงอเป็นตัว U
นอนปุ่มตรงกลางเปรียบเสมือนพระแท่นที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานมีเกสรสีเหลืองรายล้อมเปรียบเสมือนพระสงฆ์
สาวกห้อมล้อมอยู่ส่วนด้านบนเป็นที่บังแดดและน้ำค้างประดับด้วยดอกไม้เนื่องจากมีดอกตลอดปีประกอบกับกลิ่น
หอมที่ทนนานชาวศรีลังกาจึงนิยมใช้บูชาพระเช่นดอกไม้อื่นๆ
สาละ เป็นคำสันสกฤต อินเดียเรียกต้นสาละว่า "Sal" เป็นไม้ที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
โดยตรงทั้งตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน จึงจะยกตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญดังนี้
ตอนก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้
เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสที่บรรจะอยู่ในถาดทองคำของนางสุชาดาแล้ว ได้ทรงอธิษฐานว่า ถ้าพระองค์ได้สำเร็จ
พระโพธิญาณ ขอให้การลอยถาดทองคำนี้สามารถทวนกระแสน้ำแห่งแม่น้ำเนรัญชลาได้ เมื่อทรงอธิษฐานแล้วได้ทรง
ลอยถาด ปรากฎว่าถาดทองคำนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำ จากนั้นพระองค์เสด็จไปประทับยังควงไม้สาละ ตลอดเวลา
กลางวัน ครั้นเวลาเย็นก็เสด็จไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ ประทับนั่งบนบัลลังก์ภายใต้ต้นโพธิ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าในเวลารุ่งอรุณ ณ วันเพ็ญเดือน 6
ต้นสาละลังกา หรือตันลูกปืนใหญ่มิใช่พืชพื้นเมืองของศรีลังกาและอินเดียและต่างจากต้นสาละอย่างสิ้นเชิงทั้ง
ถิ่นกำเนิดและพฤกษศาสตร์จึงได้มีการจำแนกชื่อที่พ้องกันเพื่อเรียกให้ถูกต้องว่าต้นสาละ (Sal Tree) หรือสาละอินเดีย
(Sal of India) และต้นลูกปืนใหญ่ (Cannonball Tree) หรือสาละลังกา (เรียกเฉพาะในไทย) แต่ด้วยความไม่รู้ความ
เป็นมาและชื่อเดิมชาวไทยจึงนิยมเรียกสาละอินเดียกับสาละลังกา โดยต้นสาละลังกานี้พบได้ที่บริเวณหน้าตึก 9 ของ
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
นางสาวณัฐพร โวหาร ห้อง 156 เลขที่ 11
ต้นไม้ในพระพุทธศาสนาภายในสวนพฤกษศาสตร์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ชื่อพรรณไม้ : พิกุล
สถานที่ปลูก : ลานสีบานเย็น หน้าตึกคุณหญิงบุญเลื่อน
เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา : ด้านพุทธประวัติ
ดอกพิกุล มาจากคาภาษาสันสกฤตว่า พกุล (Bakula) เป็นดอกไม้สีขาวนวล ขนาดเล็ก เมื่อบานริม
ดอกมีลักษณะเป็นจักรรูปดาว กึ่งกลางดอกมงกุฎ มีกลิ่นหอมเย็น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ พบทั่วไปในแถบ
เอเชีย เป็นหนึ่งในบรรดาพืชสมุนไพรที่กล่าวถึงในคัมภีร์อายุรเวท มักกล่าวถึงในคัมภี ร์ปุราณะและวรรณคดี
ของอินเดียในบริบทความรักความงาม กล่าวถึงหลายครั้งในมหากาพย์รามายณะ และมหากาพย์มหาภารตะ
ถือว่าว่าเป็นต้นไม้ที่พบในป่าคันธมัทนะ (ป่าไม้หอม) ในคัมภีร์พุทธศาสนากล่าวว่าเป็นไม้ในป่าหิมพานต์ ถือ
เป็นมงคลศักดิ์สิทธิ์
ตามคติศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู นักปราชญ์ชาวอินเดียโบราณถือว่าพิกุลเป็นต้นไม้แห่งสรวง
สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเป็นเจ้า ตามความในคัมภีร์พฤหัตสัมหิตา (Brihat Samhita) กล่าวว่าพิกุลเป็นไม้
ศักดิ์สิทธ์ที่ต้องปลุกไว้ใกล้บ้านหรือศาสนสถาน มักพบปลูกอยู่ตามทางเข้าวัด โดยถือว่าต้นพิกุลเป็นเพศชาย
จะปลูกไว้ที่ด้านขวาของทางเข้าวัด ขณะที่ต้นมะตาดถือว่าเป็นเพศหญิงจะปลูกไว้ทางด้านซ้าย ใบพิกุลใช้ใน
พิธีกรรมอันบริสุทธิ์ของวัด ดอกพิกุลใช้เป็นเครื่องสักการบูชาเทพเจ้ า ตามคติของคนไทยพิกุลเป็นไม้มงคล
นิยมปลูกไว้ในบ้านและวัด ดอกมักร้อยเป็นมาลัยใช้บูชาพระ ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่ม
ที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ กล่าวถึงผลของการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกพิกุลว่า
นางสาวณัฐพร โวหาร ห้อง 156 เลขที่ 11
ตามความเชื่อว่าพิกุลเป็นดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์ในอุทยานของพระอมรินทราธิราช ในพระราชพิธีอัน
เป็นมงคล เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีลงสรงพระเจ้าแผ่นดินผู้ดารงอยู่ใน
ฐานะเทวราชา ทรงโปรยดอกพิกุลประดิษฐ์ด้วยทองและเงินเหมือนจริงพระราชทานแด่พราหมณ์ พระบรม
วงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นที่ระลึกในการพระราชพิธี เปรียบเสมือนเทพยดาทรงโปรยดอกไม้
สวรรค์ลงมาให้มนุษย์ได้ชื่นชมและเป็นสิริมงคล
นางสาวณัฐพร โวหาร ห้อง ๑๕๖ เลขที่ ๑๑
ใบงานตนไมในพระพุทธศาสนาภายในสวนพฤกษศาสตรโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ชื่อพรรณไม : ตนปาริฉัตตก, ปาริฉัตร, ปาริชาต, ตนทองหลาง ชื่อสามัญ Indian Coral Tree, Variegated coral tree,
Variegated Tiger’s Claw ชื่อวิทยาศาสตร Erythrina variegate Linn. จัดเปนพืชอยูในวงศ LEGUMINOSAE
สถานที่ปลูก : หองสมุด
ลักษณะ : ไมตนขนาดกลาง สูง 10-25 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลมทึบ เปลือกสีน้ำตาลอมเทามีลายสีขาวคลายรองแตก
ตามแนวยาว ลำตนและกิ่งมีหนามสั้นสีดำ ดอกสีแสดแดงหรือสีขาว ดอกรูปถั่ว กลีบดอกสีแดงหรือสมมี 5 กลีบ เรียงซอนทับ
กัน มีกลิ่นหอมออนๆ
ปาริฉัตตกเปนตนไมที่เปนสัญลักษณของสวรรคชั้นดาวดึงส ในพระไตรปฎกบอกไววา เมื่อตนปาริชาตในดาวดึงสบานเต็มที่แลว
เทวดาชั้นดาวดึงสตางพากันดีใจ เอิบอิ่มพรั่งพรอมดวยกามคุณ ๕ บำรุงบำเรออยูตลอดระยะ ๕ เดือนทิพย ณ ใตตนปาริชาต
ซึ่งเมื่อบานเต็มที่แลว แผรัศมีไปได ๕๐ โยชน ในบริเวณรอบๆ และจะสงกลิ่นไปได ๑๐๐ โยชนตามลม และในพรรษาที ่ ๗
ภายหลังตรัสรู พระพุทธเจาทรงเสด็จประทับภายใตรมไมปาริฉัตตก ณ ดาวดึงสเทวโลก ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา
ตลอดสามเดือนพระพุทธมารดาไดทรงบรรลุพระโสดาปตติผล สวนเทพยดาในโลกธาตุที่มาประชุมฟงธรรมบรรลุผลสุดที่จะ
ประมาณ
ใบงานการศึกษาต้นไม้ในพระพุทธศาสนาภายในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
“ต้นกรรณิการ์”
ความเกี่ยวข้องของระหว่างต้นกรรณิการ์และพระพุทธศาสนา
ต้ นอ้ อยช้ าง
ต้ นอ้ อยช้ าง มีชื่อวิทยาศาสตร์ วา่ Lannea coromandelica มีชื่ออื่น ๆ เช่น กอกกัน หวีด กุ๊ก ต้ น
อ้ อยช้ างเป็ นไม้ ยืนต้ น สูง 8-15 เมตร เปลือกต้ นเรี ยบ หรื อแตกเป็ นสะเก็ดสี่เหลี่ยม มียางเหนียวใส ไม่ออก
กิ่งก้ านมาก กิ่งก้ านค่อนข้ างจะเรี ยวเล็ก ใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ ออกเป็ นเรี ยงเวียน ลักษณะใบย่อย
เป็ นรูปไข่หรื อรูปไข่แกมรูปหอก ปลายแหลม ต้ นอ้ อยช้ างจะสลัดใบเมื่อออกดอก ดอกอ้ อยช้ างออกเป็ นช่อสี
เหลืองอ่อน เป็ นช่อดอกเชิงลด ห้ อยลงมาจากกิ่งที่ไม่มีใบ ผลอ้ อยช้ างมีลกั ษณะของผลเป็ นรูปถัว่ ผลเป็ นสี
เขียวแต้ มสีมว่ งแดง ผลแก่เป็ นสีมว่ งอมแดง ภายในผลจะมีเมล็ดเพียง 1 เมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและ
ตอนกิ่ง ต้ นอ้ อยช้ างมีสรรพคุณสมานแผล แก้ ปวดฟั น แก้ กระหายนํ ้า
ทองกวาว
มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียใต้ จำกประเทศไทย ลำว กัมพูชำ เวียดนำม มำเลเซีย ศรีลังกำ เนปำล บังกลำเทศ ปำกีสถำน
อินเดีย และในแถบทำงภำคตะวันตกของอินโดนีเซีย
ลำต้น ไม้ยืนต้น สูง 12-18 เมตร เปลือกต้นเป็นปุม่ ปม สีนำตำลอ่อน กำรแตกกิ่งก้ำนทิศทำงไม่เป็นระเบียบ กิ่งอ่อนมีขน
ละเอียดหนำ ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบเรียงสลับ ใบย่อยที่ปลำยเป็นรูปไข่แกมสีเ่ หลีย่ มขนมเปียกปูน ขนำดใหญ่สดุ
ส่วนใบย่อยด้ำนข้ำงจะเป็นรูปไม่เบียว มีขอบใบเรียบ โคนเบียว ปลำยมน ออกดอกเป็นช่อ ตำมกิ่งเหนือรอยแผลใบและตำมปลำย
กิ่ง ดอกสีแสด ฐำนรองดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ลักษณะเป็นดอกถั่วขนำดใหญ่มี 5 กลีบ แบ่งเป็นกลีบกลำง 1 กลีบ กลีบคู่ข้ำง
2 กลีบแยกออกทัง 2 ข้ำง และกลีบคู่ล่ำง ที่เชื่อมติดกัน 2 กลีบ เกสรผู้ 10 เกสร แยกเป็นอิสระ 1 เกสร อีก 9 เกสร โคนก้ำนเชื่อม
ติดกันเป็นหลอด
บริเวณที่ปลูก : ตึกวิทยำศำสตร์
เนือหำที่เกี่ยวกับพระพุทธศำสนำ :
อรรถกถา กิงสุโกปมชาดก
ว่ำด้วยคนไม่รู้ธรรมด้วยญำณย่อมสงสัยในธรรม
พระศำสดำเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหำวิหำร ทรงปรำรภกิงสุโกปมสูตร ตรัสพระธรรมเทศนำนี มีคำเริม่ ต้นว่ำ สพฺ
เพหิ กึสุโก ทิฏฺโฐ ดังนี
ได้ยินว่ำ ภิกษุ ๔ รูปเข้ำไปเฝ้ำพระตถำคตทูลขอกรรมฐำน พระศำสดำทรงบอกกรรมฐำนแก่ภิกษุเหล่ำนัน ภิกษุเหล่ำนัน
เรียนกรรมฐำนไปสู่ที่พักกลำงคืนที่พักกลำงวัน ในภิกษุเหล่ำนัน ภิกษุรูปหนึ่งกำหนดผัสสำยตนะ ๖ บรรลุพระอรหัตแล้ว รูปหนึ่ง
กำหนดขันธ์ ๕ รูปหนึ่งกำหนดมหำภูต ๔ รูปหนึ่งกำหนดธำตุ ๑๘ ภิกษุเหล่ำนันกรำบทูลคุณวิเศษที่ตนบรรลุแด่พระศำสดำ
ในบรรดำภิกษุเหล่ำนันมีรูปหนึ่งเกิดควำมปริวติ กว่ำ กรรมฐำนเหล่ำนันมีข้อแตกต่ำงกัน แต่นิพพำนเป็นอย่ำงเดียวกัน
ภิกษุทังหมดบรรลุอรหัตได้อย่ำงไร จึงทูลถำมพระศำสดำ
พระศำสดำตรัสว่ำ ดูก่อนภิกษุ เธอก็ไม่ต่ำงกันกับพี่น้อง ๔ คนที่เห็นต้นทองกวำว ภิกษุทังหลำยกรำบทูลอำรำธนำว่ำ ข้ำ
แต่พระองค์ผเู้ จริญ ขอพระองค์ทรงแสดงเหตุนีแก่ข้ำพระองค์เถิด ทรงนำเรื่องอดีตมำตรัสเล่ำ
ในอดีตกำล ครังพระเจ้ำพรหมทัตเสวยรำชสมบัติอยู่ในกรุงพำรำณสี พระองค์มีพระโอรส ๔ พระองค์วนั หนึ่งโอรสทัง ๔
ตรัสเรียกสำรถีมำตรัสว่ำ ดูก่อนสหำย พวกเรำอยำกเห็นต้นทองกวำว ท่ำนจงแสดงต้นทองกวำวมำให้พวกเรำดูเถิด
สำรถีรบั ว่ำ ดีละ พระเจ้ำข้ำ ข้ำพระองค์จักแสดง แต่ไม่แสดงแก่รำชบุตรทัง ๔ พร้อมกัน ให้รำชบุตรองค์หนึ่งประทับนัง่
บนรถไปก่อน พำไปในป่ำแล้วชีให้ดูต้นทองกวำวในเวลำสลัดใบว่ำนีคือต้นทองกวำว อีกองค์หนึ่งให้ดูในเวลำออกใบอ่อน อีกองค์
หนึ่งให้ดูเวลำออกดอก อีกองค์หนึ่งให้ดูในเวลำออกผล
ต่อมำ รำชบุตรทัง ๔ พี่น้องประทับนั่งพร้อมหน้ำกัน จึงไต่ถำมกันขึนว่ำ ชื่อว่ำต้นทองกวำวเป็นเช่นไร องค์ที่หนึ่งตรัสว่ำ เหมือนตอ
ไหม้ไฟ องค์ที่สองตรัสว่ำ เหมือนต้นไทร องค์ที่สำมตรัสว่ำ เหมือนชินเนือ องค์ที่สี่ตรัสว่ำ เหมือนต้นซึก ทัง ๔ พระองค์ไม่ตกลงตำม
คำของกันและกัน จึงไปเฝ้ำพระบิดำ ทูลถำมว่ำ
น.ส. ธัญพิชชาฌ์ โลหิ ตหาญ ม.6 ห้อง 156 เลขที่ 16
ต้นโมก
จากเรื่อง อันตชาดก ว่าด้วย ที่สุด ๓ ประเภท คนชั่วสรรเสริญกันเอง
า
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
คนทั้งสองคือพระเทวทัตกับพระโกกาลิกะนั้นนั่นแหละ จึง
ตรัสเรื่องนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่
ต้นโมก ในบริเวณบ้านแห่งหนึ่ง
ในกาลนั้น ชาวบ้านลากโคแก่ซึ่งตายในบ้านนั้น ไปทิ้งที่ป่า
ใกล้ประตูบ้าน มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมากินเนื้อของโคแก่ตัว
นั้น. มีกาตัวหนึ่งบินมาจับอยู่ที่ต้นโมกเห็นดังนั้นจึงคิดว่า ถ้า
กระไร เรากล่าวคุณกถาอันไม่มีจริงของสุนัขจิ้งจอกตัวนี้แล้ว
จะได้กินเนื้อ
ทหลังจากกล่าวคาถา รุกขเทวดาเห็นกิริยาของสัตว์ทั้งสอง
นั้นจึงกล่าวว่า
" บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นเลวที่สุด บรรดา
ปักษีทั้งหลาย กาเป็นเลวที่สุด บรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้น
ละหุ่งเป็นเลวที่สุด ที่สุดทั้ง ๓ ประเภทมาสมาคมกันแล้ว."
โมกเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง
ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-12 เมตร
ผิวเปลือกสีน้ำตาลดำ ลำต้นกลมเรียบมี
โมกเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความ
จุดเล็ก ๆสีขาวประทั่วต้น แตกกิ่งก้าน
สูงประมาณ 5-12 เมตร ผิวเปลือกสีน้ำตาลดำ
สาขาออกรอบลำต้นไม่เป็นระเบียบใบ
ลำต้นกลมเรียบมีจุดเล็ก ๆสีขาวประทั่วต้น แตกกิ่ง
เป็นใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้าน
ก้านสาขาออกรอบลำต้นไม่เป็นระเบียบใบเป็นใบ
ใบ
เดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบ
คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นโมก
คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นโมกไว้ประจำ
ไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความสุขความ โมก
บ้านจะทำให้เกิดความสุขความบริสุทธิ์เพราะ
บริสุทธิ์เพราะ
หรือ โมก หรือ โมกข หมายถึง
โมกข หมายถึงผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง
สำหรับส่วนของดอกก็มีลักษณะ
ผู้ที่หลุดพ้นด้วยทุกข์ทั้งปวง สีขาว สะอาด มี
กลิ่นหอมสดชื่นตลอดวัน นอกจากนี้ ยังช่วย
สำหรับส่วนของดอกก็มีลักษณะ สีขาว
คุ้มครองปกป้องภัยอันตรายเพราะต้นโมกบางคน
สะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดวัน
เรียกว่าต้นพุทธรักษา
นอกจากนี้ ยังช่วยคุ้มครองปกป้องภัย
อันตรายเพราะต้นโมกบางคนเรียกว่าต้น
พุทธรักษา
น้ ำทิพยรัตน์ กูลพำนัก ห้อง 156 เลขที่ 18
ใบงานสวนพฤกศาสตร์
บัวสวรรค์
บัวสวรรค์ หรื อ กัตตาเวีย เป็ นพืชดอก มีถิ่นกาเนิดมาจากเขตร้ อนในทวีปอเมริ กากลาง และอเมริกาใต้ บริ เวณประเทศโคลัมเบีย คอสตาริ กา และปานามา ดังนันจึ
้ งสามารถปลูกและ
ให้ ดอกในประเทศไทย
เป็ นไม้ ต้น สูงได้ ถึง 15 ม. ใบเรี ยงเวียนหนาแน่นที่ปลายกิ่ง รู ปใบหอกแกมรู ปไข่กลับ อาจยาวได้ ถงึ 1 ม. ขอบจักฟั นเลื่อย ก้ านใบยาวได้ ถึง 11 ซม. ช่อดอกแบบช่อเชิงหลัน่ สัน้ ๆ ออก
ตามซอกใบ ก้ านดอกยาวได้ ถงึ 8 ซม. กลีบเลี ้ยงรู ปถ้ วยแบนขอบเรี ยบ กว้ างประมาณ 2.5 ซม. กลีบดอกสีขาวอมม่วงอ่อน มี 6-8 กลีบ รูปใบพาย ยาวไม่เท่ากัน ยาวได้ ถึง 7 ซม.
เกสรเพศผู้จานวนมาก โคนเชื่อมติดกันประมาณหนึง่ ในสาม โค้ งเข้ า ยาวประมาณ 4 ซม. รังไข่ใต้ วงกลีบ ก้ านเกสรเพศเมียสัน้ ผลแห้ งแตกแบบมีฝาปิ ด (pyxidia) กลม ปลายแบน
กว้ าง 7-10 ซม. ยาวได้ ถึง 8 ซม. ผิวมีช่องอากาศกระจาย เมล็ดรู ปร่ างไม่แน่นอน ยาวประมาณ 6 ซม.
จากเรื่ อง อารามทูสกชาดก
ลิ งตัวใด สมมุติกนั ว่า เป็ นใหญ่กว่าฝูงลิ งเหล่านี ้ ปัญญาของลิ งตัวนัน้ มี อยู่เพี ยงอย่างนีเ้ ท่านัน้ ฝูงลิ งทีเ่ ป็ นบริ วารนอกนี ้ จะมี ปญ
ั ญาอะไร
วานรทังหลายได้
้ ฟังถ้ อยคาของพระโพธิสตั ว์นนแล้
ั ้ ว จึงกล่าว คาถาที่ ๒ ว่า :
ข้าแต่ทา่ นผูป้ ระเสริ ฐ ท่านยังไม่รู้อะไร ไฉนมาด่วนติ เตี ยนเราต่างๆ อย่างนีเ้ ล่า เรายังไม่เห็นรากไม้แล้ว จะพึงรู้ตน้ ไม้ว่า รากหยัง่ ลงไปลึกได้อย่างไรเล่า?
เราไม่ติเตี ยนท่านทัง้ หลาย พวกท่านเป็ นลิ งไพร อาศัยอยู่ในป่ า แต่ว่า นายอุยยานบาลทัง้ หลาย ผูป้ ลูกต้นไม้ เพื ่อประโยชน์แก่พระราชาพระองค์ใด พระราชาพระองค์นนั้ คื อ พระ
เจ้าวิ สสเสนะ จะพึงถูกติ เตียนได้
พระศาสดาครัน้ ทรงนาพระธรรมเทศนานี ้มาแสดงแล้ ว ทรงประชุมชาดกว่า หัวหน้ าวานร ในกาลนัน้ ได้ เป็ นกุมารผู้ทาลายต้ นไม้ ในสวน ในบัดนี ้ ส่วนบุรุษผู้เป็ นบัณฑิ ตในกาลนัน้ ได้
เป็ นเราตถาคต ฉะนี ้แล
น.ส.ปาละตา ขาํ เจริ ญ ห้อง 156 เลขที่ 20
ใบงานตน
้ ไมใ้ นพระพุทธศาสนาภายในสวนพฤกษศาสตร์
ึ ษา
โรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศก
ชื่อพรรณไม้ : ลีลาวดี, ดอกลั่นทม, จาํ ปา มีช่ือเรี ยกทางวิทยาศาสตร์วา่ Plumeria ssp. ในวงศ ์ APOCYNACEAE ชื่อ
สามัญ Frangipani
เกี่ยวขอ
้ งกับพุทธศาสนาดา้ น : พระพุทธศาสนานิ กายมหายาน
ดอกลีลาวดีมีลักษณะเป็ นไมพ ้ ุม ่ ขนาดกลาง เปลือกลาํ ตน ้ หนา กิ่งออ่ นดูอมนํา้ มียางสีขาวเหมือนนม ใบรี ใหญส ่ เี ขียว
ออกดอกทีละหลายดอก หนึ่ งดอกมี 4-5 กลีบ มีหลายสีซ่ึงขึ้นอยูก ่ ั บชนิ ดและสายพันธุ ์
ความเชื่อเรื่ องดอกไมช้ นิ ดนี้ ในพระพุทธศาสนานิ กายมหายาน โดย Alice Getty สั นนิ ษฐานวา่ เป็ นสว่ นประกอบของ
ลักษณะของพระพุทธเจา้ ที่จะลงมาตรัสรู้ เป็ นสั มมาสั มพุทธเจา้ องคต ์ อ่ ไป ตอ่ จากพระโคตมพุทธเจา้ นัน ้ คือพระศรี อารยเมต
ไตรย ลักษณะนัน ้ คือ จะตอ ้ งมีรูปสถูปปรากฎบนชฎามงกุฎ หรื อดา้ นหน้าของมวยผม และแผน ่ ผา้ กุฎสิ ูตรพันอยูร่ อบเอว ผูก
่
เป็ นปมอยูข่ า้ งใดขา้ งหนึ ง สว่ นมากจะเป็ นขา้ งซา้ ย มีชายห้อยลงมา
อยา่ งไรก็ตาม สั ญลักษณ์ท่ีปรากฏบนมวยผมอาจจะไมใ่ ชส ่ ถูปเสมอไป เพราะบางครัง้ เครื่ องประดับบนศรี ษะจะเป็ นลักษณะของ
ผา้ โพกศรี ษะ และมีดอกไมป ่ ่ีผา้ โพกศรี ษะดว้ ย โดยเฉพาะดอกไมน
้ ระดับอยูท ้ จะอยูข่ า้ งหน้าของผา้ โพกศรี ษะเสมอ ดอกไมท
้ ัน ้ ่ี
ปรากฏอยูบ ่ นผา้ โพกศรี ษะหรื อบนเครื่ องประดับบนศรี ษะของพระศรี อารยเมตไตรยนัน ้ หมายถึงดอก “นาคเกษร” หรื อ “ดอก
จาํ ปา” ซึ่งเป็ นสั ญลักษณ์ของพระศรี อารยเมตไตรย และยังหมายถึงตน ้ ่ีพระศรี อารยเมตไตรยจะลงมาตรัสรู้ กไ็ ด้
้ ไมท
นอกจากนี้ ชื่อที่เรี ยกดอกจาํ ปา หรื อ ลั่นทม ไดม ้ ีการเปลี่ยนชื่อเป็ นลีลาวดีเนื่ องจากคาํ วา่ ลั่นทม มีความเชื่อในทาง
อัปมงคลเนื่ องจากไปพอ่ งเสียงกับคาํ วา่ ระทม ซึ่งแปลวา่ เศร้าโศกทุกขใ์ จ นอกจากนี้ ลีลาวดียังมีความหมายทางพระพุทธศาสนา
โดยเป็ นการอิงเรื่ องราวความรักตา่ งชนชั นของหญิ ้ งที่ช่ือลีลาวดีกับเรวตะที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลอีกดว้ ย
น.ส.พัชรชวัล พิธานพร ห้อง 156 เลขที่ 21
ต้นปาริ ชาต (ทองหลาง)
ใบงานสวนพฤกษศาสตร์
สถานที่พบในโรงเรียน : สวนด้านหลังตึก 60 ปี
ครั้นพระพุทธองค์เสด็จประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ร่ มไม้อชปาลนิโครธสิ้น ๗ วัน แล้วพระองค์ก็เสด็จไปประทับนัง่
เสวยวิมุตติสุขยังร่ มไม้จิก อันมีชื่อว่า มุจจลินท์ ซึ่งตั้งอยู่ดา้ นทิศอาคเนย์ของต้นพระศรี มหาโพธิ์ วันนั้นเกิดฝนตกพราอยู่ไม่ขาด
สายตลอด ๗ วัน พญานาคมุจจลินท์ ผูเ้ ป็ นราชาแห่งนาค ได้ออกจากนาคพิภพ ทาขนดล้อมพระวรกาย ๗ ชั้น แล้วแผ่พงั พาน
ใหญ่ปกคลุมเบื้องบน เหมือนกั้นเศวตฉัตรถวายพระผูม้ ีพระภาคเจ้า ด้วยความประสงค์มิให้ฝนและลมหนาวสาดต้องพระวรกาย
ทั้งป้องกันเหลือบ ยุง บุง้ ร่ าน ริ้ น และสัตว์เลื้อยคลานทั้งมวลด้วย ครั้งฝนหายแล้ว พญามุจจลินท์นาคราชจึงคลายขนดจากที่ลอ้ ม
พระวรกายพระพุทธเจ้า จาแลงเพศเป็ นมาณพน้อยยืนทาอัญชลีถวายนมัสการพระพุทธองค์ในที่เฉพาะพระพักตร์ ลาดับนั้นพระ
ผูม้ ีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานว่า "สุโข วิเวโก ตุฏฺฐสั สะ สุตะธัมมัสสะ ปัสสะโต อัพยาปัชชัง สุขงั โลเก ปาณะภูเตสู สัญญะ
โม สุขา วิราคะตา โลเก กามานัง สะมะติกฺกะโม อัสมิมานัสสะ วิน ะโย เอตัง เว ปะระมัง สุขงั ฯ" ความว่า "ความสงัดเป็ นสุขของ
บุคคลผูม้ ีธรรมอันได้สดับแล้ว รู ้เห็นสังขารทั้งปวงตามเป็ นจริ งอย่างไร ความเป็ นคนไม่เบียดเบียน คือความสารวมในสัตว์
ทั้งหลาย และความเป็ นคนปราศจากความกาหนัด คือความก้าวล่วงกามทั้งปวงเสี ยได้ เป็ นสุขในโลกความนาออกเสี ยซึ่งอัส
มินมานะ คือความถือตัวตนให้หมดได้น้ ีเป็ นสุขอย่างยิ่ง"
จิกน้ า, จิกอินเดีย, จิกนา หรื อ จิกมุจริ นทร์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Barringtonia acutangula เป็ นไม้ยืนต้นอยู่ใน
วงศ์ Lecythidaceae มีถนิ่ กาเนิดที่ภูมิภาคเอเชียใต้และอัฟกานิสถาน, ฟิ ลิปปิ นส์ ไปจนถึงตอนเหนือของออสเตรเลียแถบรัฐควีนส์
แลนด์โดยมักขึ้นใกล้ริมแหล่งน้ า เป็ นไม้ประเภทผลัดใบ สูง 5-15 เมตร ลาต้นเป็ นปุ่ มปม ปลายกิ่งลู่ลง ใบอ่อนเป็ นสี น้ าตาล แดง
เข้ม ใบเป็ นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่บริ เวณปลายยอด เป็ นรู ปใบหอก หรื อรู ปไข่กลับ ปลายและโคนใบแหลม
น.ส.พิชามญชุ์ นิมานะ ม.. ห้อง 34. เลขที: ;<
พิกลุ เป็ นไม้ ยืนต้ น ใบเดีEยว เรี ยงเวียนสบับ รูปรี รูปไข่กว้ าง J-L เซนติเมตร ยาว N-OP เซนติเมตร ปลายใบ
แหลมเป็ นติงE ขอบใบเป็ นคลืนE ดอกเดีEยว อยูร่ วมเป็ นกระจุกทีEปลายกิEงหรื อทีEซอกใบ กลีบเลี Uยง V กลีบ เรี ยงซ้ อน
กันเป็ น J ชันU กลีบดอกประมาณ JY กลีบ เรี ยงซ้ อนกันเป็ นโคนกลีบดอกเชืEอมติดกันเล็กน้ อย ดอกสีขาว เมืEอ
ใกล้ โรยสีเหลืองอมนํ Uาตาล ดอกบานวันเดียวแล้ วร่วง มีกลินE หอม ออกดอกตลอดปี ผลสีเหลือง รสหวานอมฝาด
minim on wi's
t
zoiwmswiisniin-nlwlokom-5woonlhuonina-wuynh.hn
riwmwhnwss idiot oiuwniwvwinywjwnsiwofoch .
-
mm iz -
www.mmnulht-IOwmwmivr-ohtoyindw.nsnhns
soivinnwoiwisoonioiiainonnioiniivoowidu
vi.
ipruhsm-moinowmiwnamowos-ornumiwiinlmsww.TO
windows 5NMrvvivoswrymnsirbiwnsoosnonoomwoosrwomigsu.rs
Wmu room
-
aiwaimonnsw
ntswwihrnsiwonoiwmsmsmivoshnawnwa: u
wononnwiniwmmonoswohrionown.io'm nusrrrhhikiwononinwynuniuwugn
two towns Nono oriuwovoshiw Runnion wains into oh union Uf Mio hi
-
n;
-
mon
-
-
nwlwuiwwhiosm-iownilmswhiunono-yoiiumrunu.nomannish
นางสาวพิมพ์ณภัส บุนนาค ม.6 ห้อง 156 เลขที่ 25
พฤกษศาสตร์กับพุทธศาสนา
ดอกบัวสาย
ทางพุทธศาสนา ถือได้ว่าบัวเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา ใช้เป็นดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย เป็นการผูกพัน
จิตใจให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สำหรับชาวพุทธ นอกจากนั้นชาวพุทธต้องคุ้นเคยกับคำว่าดอกบัว 4
เหล่าอย่างแน่นอน
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเปรียบบุคคล 4 ประเภทที่มีสติปัญญาแตกต่างกันไปกับดอกบัว 4 เหล่า ดังนี้
1. อุคคติตัญญู หมายถึงบุคคลที่มีอุปนิสัย สติปัญญาแก่กล้า พอฟังธรรมก็สามารถรู้แจ้งในธรรมวิเศษ โดยทันที
เปรียบเหมือนดอกบัวโผล่พ้นเหนือน้ำ พอได้รับแสงแดดก็จะบานทันที
2. วิปัจจิตัญญู หมายถึงบุคคลที่มีอุปนิสัย สติปัญญามาก ขนาดได้ฟังธรรมคำสั่งสอนอย่างละเอียด แจกแจงให้
เข้าใจแล้วสามารถรู้แจ้งเห็นธรรมวิเศษได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่เติบโตขึ้นมาพอดีกับพื้นน้ำ จะบานในวันรุ่งขึ้น
นางสาวพิมพ์ณภัส บุนนาค ม.6 ห้อง 156 เลขที่ 25
ชื่อพรรณไม้ : ประดู่บ้าน
ใบงานพฤกษศาสตร์
วิชา พระพุทธศาสนา
ตน ้ แคฝอย
บริ เวณที่พบ: ขา้ งสนามบอลฝั่งตึก 55 ปี
ในการสรางพระพุทธรูปในชวงเเรกนิยมสรางเเบบสลักลงบนหินหรือไม พระพุทธรูปรูปแรกถือกําเนิดขึ้นในสมัยพระเจามิลินท
หรือ เมนันเดอรที่ ๑ เปนชาวกรีกที่เขามาครอบครองแควนคันธารรษฎร รูปแบบพระพุทธรูปนี้เรียกวา “ คันธารราษฎร “
โดยนําเทวรูปที่พวกกรีกโบราณนับถือมาเปนตนแบบ พระพุทธรูปคันธารราษฎรจีงมีใบหนาเหมือนฝรั่งชาวกรีก จีวรเปนริ้ว
เหมือนเครื่องนุงหมของเทวรูปกรีก ภายหลัง จึงมีคตินิยมสรางพระพุทธรูปขนาดเล็ก ๆ หรือที่เรียกวา "พระเครื่อง "
บริเวณที่พบในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาคือ บริเวณ
หน้าศาลพระปริวรรติเทพ บริเวณหลังตึก1 และบริเวณ
หน้าตึก 60 ปี
เลน
บัว ถือเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี ถือว่าดอกบัวเป็น ดอกไม้ประจำศาสนาพุทธตาม
พุทธประวัติพบว่า บัวมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติ คือเมื่อประสูติก็มีดอกบัวผุด
ออกมารองรับการก้าวทั้ง 7ก้าวของพระองค์ เเละเมื่อตรัสรู้ เมื่อครั้งได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่
เนื่องจากพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติ
ได้ ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวก
สอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัวสี่เหล่า
ใบงานสวนพฤกษศาสตร
ตนลั่นทมดอกแดง
ใบงานต้นไม้ในพระพุทธศาสนาภายในสวนพฤกษศาสตร์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ต้นไม้ที่เลือก: ต้นไทร
สถานที่ปลูก: บริเวณตึกศิลปะ ริมสระน้ำคูบัว
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
สาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา 3 (ส 30203) ภาคเรียนที่ 1
︎ ︎ ︎ ︎ ︎ ︎ใบงานโครงงานต้นไม้ในพระพุทธศาสนาภายในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (รายบุคคล)
ชื่อภาพ ต้นอโศกเซนต์คาเบรียล
สถานที่ปลูก บริเวณแนวรั้วสนามบาสก์ตึก 2
วันที่ถ่ายภาพ 5 สิงหาคม 2563
ชื่อพรรณไม้ อโศกเซนต์คาเบรียล
︎︎︎︎
ชื่อ นายชนาธิป แสงเดือน ห้อง 156 เลขที่ 34
ชื่อพรรณไม้ : อโศกเซนต์คาเบรียล
เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา : ด้านวรรณกรรมอิงพุทธประวัติ
เป็นข้อเขียนประเภท : เรียงความ
ชื่อเรื่องข้อเขียน : ต้นอโศกในโลกพุทธประวัติ
อโศกเซนต์คาเบรียล หรือ อโศกอินเดีย เป็นไม้ยืนต้นสูง มีลักษณะเป็นไม้ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มเป็นรูปปิรามิด
แคบ ๆ สูงเต็มที่ได้ถึง 25 เมตร กิ่งโน้มลู่ลงทั้งต้น ทำให้แลดูต้นสูงชลูดมาก เปลือกต้นเกลี้ยงสีเทาเข้ม หรือเทาปน
น้ำตาล ใบเดี่ยวรูปใบหอกแคบ ๆ ปลายแหลมยาว 15 - 20 เซนติเมตร สีเขียวเป็นมันเงางาม ขอบใบเป็นคลื่น
ออกดอกในระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน จะออกดอกสีเขียวอ่อนเป็นกระจุกตามข้างๆ กิ่ง แต่ละดอกเป็นรูปดาว 6
แฉก กลีบดอกเป็นคลื่นน้อย ๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 - 2 เซนติเมตร ดอกบานอยู่นาน 3 สัปดาห์ ผลรูปไข่ ยาว
2 เซนติเมตร เมื่อสุกมีสีดำ เป็นไม้ต้นทรงสูงชะลูด สามารถสูงได้เกินกว่า 30 ฟุต เป็นแท่งกลมปลายแหลม ทรงพุ่ม
แผ่นทึบ ใบรูปหอก แนว ยาวสีเขียวเข้ม ขอบใบเป็นคลื่น ดอกออกเป็นช่อสีเขียวอ่อน รูปดาว 6 แฉก ดอกมีกลิ่นอ่อน
นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและเป็นร่มเงา มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินเดียและศรีลังกา
ในวรรณกรรมอิงพุทธประวัติเรื่อง “กามนิต” โดย เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป นั้น ต้นอโศกได้เข้ามาเกี่ยวพัน
กับความรักของกามนิต เพราะบริเวณที่กามนิตได้พบกับวาสิฏฐีทุกค่ำคืน ก็คือลานอโศกนั่นเอง ดังที่กามนิตได้
พรรณนาถึงเรื่องราวบนลานอโศกไว้ว่า
“ข้าพเจ้ากับโสมทัตต์ได้ไปหาคู่รักทุกคืน ยิ่งคืนข้าพเจ้ากับวาสิฏฐีผู้ประสบขุมทรัพย์ใหม่ๆ อันเกิดต่อความ
ร่วมรักของเรา ยิ่งทวีความที่อยากพบกันมากขึ้นทุกที ดวงจันทร์ฉายแสงดูยิ่งสว่าง หินอ่อนรู้สึกว่ายิ่งเย็นชื่นใจ กลิ่น
ดอกมะลิซ้อนหอมเย็นยิ่งขึ้น เสียงนกโกกิลายิ่งโหยหวน เสียงลมพัดถูกกิ่งปาล์ม ทำให้วังเวงมากขึ้น ตลอดจนกิ่งอโศก
ที่แกว่งไกวก็มีเสียงดูดั่งจะกระซิบกระซาบกัน สิ่งเหล่านี้เห็นจะไม่มีเหมือนแล้วตลอดโลก !
เฮอ ! ถึงเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้ายังระลึกและจำต้นอโศกเหล่านั้นได้แม่นยำ ว่ามีอยู่เรียงกันเป็นแถวตลอดไปตามยาว
ของลานนั้น และใต้ต้นอโศกเหล่านี้ เราทั้งสองเคยประคองพากันเดินเล่น จนเราให้สมญาลานนั้นว่า “ลานอโศก”
เพราะต้นไม้ชนิดนั้นกวีให้ชื่อว่า “อโศก” หรือบางทีเรียกว่า “สุขหฤทัย” ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นต้นอโศกที่ไหน ใหญ่โต
งามเหมือนกับที่มีอยู่บนลานนั้น ใบ ซึ่งคอยสั่นไหวอยู่เสมอ เห็นเป็นเลื่อมพรายเงินเมื่อต้องแสงจันทร์ เมื่อลมโชยมาก็มี
เสียงปานว่า หนุ่มสาวกระซิบกัน เวลานั้นแม้จะย่างเข้าสู่วสันตฤดู คงยังแตกดอกออกช่อเป็นสีแดงบ้างเหลืองบ้าง แก่
อ่อนสลับกันไป”
︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎︎
เลขที่ 35 ส่งงานสายกว่ากาหนด และจะตามส่งที่หลังเอง
นายปณต พงษ์พัฒนพันธุ์ ห้อง 156 เลขที่ 36
g: www.fgiwsgmaihswro.w.nonnam
8N%W88M%
figs g
°
:
7- 10330 002-205
of
- -
oilbbgeisgsaoosgbsogsbaoogo@greener
.
• :
,
✓ gegsignbbag
f¥
gvisioggeiosrugsiosge
f.
'
✓ sensation a
re
. ¥
it::÷÷÷
Sabarmati
รถเสนชาดก เป็นหนึ่งในปัญญาสชาดกหรือชาดกนอกนิบาตห้าสิบเรื่อง ชาวไทยนิยมนา เค้าโครง
ปัญญาสชาดกเหล่านี้มาทาเป็นวรรณคดีที่แฝงไปด้วยคติธรรมและทรรศนะทางศาสนา โดยรถเสนชาดกนั้น ได้
นำเรื่องมาแต่งเป็นวรรณคดีคือพระรถเมรี ซึ่งมีการกล่าวถึงต้นมะนาวไม่รู้โห่ไว้ ด้วย เว็บไซต์สวนมะนาวโห่ลุง
ศิริได้อธิบายเนื้อหาโดยย่อเอาไว้ว่า
option , :
"
gqsigggewggmofsiiwsompfnedn.ld.IN ] .
.
COONAN ] bahamian
.
:
https://www.oaogsargsiofgipgna.com Ewoks 68gal AN 2563 .
พชรพล ลิขสิทธิ์วัฒนกุล เลขที่ 37 ห้อง 156
ต#นไม#ที่เลือก ต"นมะม&วง
สถานที่ปลูก หน"าตึกศิลปะ ริมสระน้ำคูบัว
ไมก
้ ฤษณาและศาสนาพุทธ
้ ฤษณา มีถิน
ไมก ้ ละเอเชียใต้ พบมากโดยเฉพาะในบริ เวณป่าดิบชื้น
่ กาํ เนิ ดในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใตแ
ของประเทศอินโดนี เซีย, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินเดียตอนเหนื อ, ฟิ ลิปปิ นส ์ และนิ วกินี
้ ขี าว เมื่อเกิดบาดแผล ตน
โดยทั่วไปจะมีเนื้ อไมส ้ ไมจ้ ะหลั่งสารเคมีออกมาเพื่อรักษาบาดแผลนัน
้ แตส
่ ารเคมี
จะขยายวงกวา้ งออกไปอีก กอ ้ ่
้ ึงมีสด
่ ให้เกิดเนื อไมซ ่ หอม เรี ยกวา่ "กฤษณา"
ี าํ กลิน
มะฮอกกานีใบใหญ่
Swietenia macrophylla
พบที : ลานหน้าตึก 60 ป
ต้นสูง 30-40 เมตร ลําต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 3-4 เมตร ในสภาวะทีเหมาะสม สูงได้ถึง 60
เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 เมตร ต้องการแสง ต้นตรง
ทรงกระบอก มีรากพู พอนทีโคน เปลือกไม้ขรุขระ และหลุด
ล่อนเปนชินเล็ก ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ยาว 60
เซนติเมตร ใบย่อย 6-16 ใบ รูปไข่ รูปหอก ปลายใบค่อนข้าง
เรียวแหลม สีเขียวอ่อนหรือออกแดงเมือยังอ่อน เขียวเข้ม
และเปนมันเมือโตเต็มที ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8
มิลลิเมตร ช่อดอกแยกแขนงปลายแคบ ยาว 8-13
เซนติเมตร มีกลินหอม กลีบดอกขาวอมเหลือง รูปวงรี ยาว
4 มิลลิเมตร มีทังดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย ดอกเพศเมีย
ส่วนใหญ่อยู่กลางช่อ ออกดอกกลางถึงปลายฤดูแล้ง ผล
แตก แข็งเหมือนไม้ ยาว 10-20 เซนติเมตร ผลิตผลได้ 800
ผลต่อต้น ภายในมีราว 50 เมล็ด เมล็ดปลิวไปตามลมช่วง
กลางฤดูแล้ง ปกติไปได้ห่างจากต้น 32-36 เมตรแต่อาจไป
ได้ถึง150 เมตร เมล็ดเริมงอกในฤดูฝน
การใช้ประโยชน์
เนือไม้มะฮอกกานีเปนทีรู้จักไปทัวโลกเพราะความแข็งแรง ทนทาน ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายและมีความ
สวยงาม ใช้ในการผลิตเครืองเรือน และของประดับตกแต่ง เปลือกและเมล็ดของมะฮอกกานีใช้บรรเทาอาการ
ท้องร่วง และแก้ปวดฟนของชาวพื นเมือง นํามันทีสกัดจากเปลือกใช้ในอุตสาหกรรมเครืองสําอาง
พระสร้อย "บิณฑบาตกับต้นมะฮอกกานี"
อัชฌาสัยของท่านผู้มีความต้องการในความรู้พิเศษ ทีมีความรู้รอบตัวยิงกว่าท่านผู้ทรงอภิญญา ๖
เรียกว่าอัชฌาสัยของท่านผู้ทรงปฏิสัมภิทัปปตโต
ท่านผู้ทรงปฏิสัมภิทัปปตโตนี แปลว่ามีความรู้พร้อม คือท่านทรงคุณธรรมพิ เศษกว่า ท่านเตวิชโช
ฉฬภิญโญหลายประการ เคยพบพระองค์หนึงในสมัยปจจุบันนี คือ พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๐๕ ต่อกัน พระรูปนัน
มีชือว่า "พระสร้อย"
เมือ พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๐๔ ท่านปวย ได้เดินธุดงค์มาปกกลดอยู่ที บางกะป พระนคร ใครจะนิมนต์
ท่านเข้าไปในชายคาบ้านท่านไม่ยอมเข้า ต่อมาพลเรือตรีสนิทจํานามสกุลไม่ได้ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือไปพบเข้า
มีความเลือมใส นิมนต์ให้มารักษาตัวทีกรมแพทย์ทหารเรือ
ปฏิปทาของท่านอาจารย์สร้อยทีมาอยู่ทีกรมแพทย์ทหารเรือก็คือ ตอนเช้าท่านจะต้องออก
บิณฑบาตทุกวัน ท่านไม่ได้ไปไกล ออกจากตึก ๑ ไปทีประตูกรมแพทย์ฯ ทีตรงนันมีต้นมะฮอกกานีอยู่ต้นหนึง
เปนต้นไม้ มีพุ่มไสว สาขาใหญ่มาก ท่านเอาบาตรของท่านไปแขวนทีกิงมะฮอกกานี แล้วท่านก็ยืนหลับตาอยู่
สักครู่ ไม่เกิน ๑๕ นาที ท่านก็ลืมตาขึนแล้ว เอาบาตมา เดินกลับเข้าห้องพั กคนปวย
ทีท่านไปยืนอยู่นันเปนทางผ่านเข้าออกของคนไปมาเปนปกติ ไม่มีขาดระยะคนเดินผ่าน ทุกคนเห็นท่าน
ยืนเฉยๆ ไม่เห็นใครเอาอะไรมาใส่ให้ แต่ทุกครังทีท่านเอาบาตกลับมา จะต้องมีข้าวสุกสีเหลืองน้อยๆ และดอก
ไม้แปลกๆ ทีไม่เคยเห็นในภพนีติดมาด้วย๒ - ๓ ดอกทุกครัง สร้างความแปลกใจแก่ผู้พบเห็นเปนประจํา
นายวีรภัทร ชั ยสวัสดิ์ เลขที่ 41 ม.6 ห้อง 156
ต้นไม้ท่ีเลือก ต้นโพธิ์
สถานที่ปลูก หลังตึก 9
ต้นเสลาขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์: LYTHRACEAE
ชื่ออื่น ๆ: ตะเกรียบ, ตะแบกขน, เสลาใบใหญ่, อินทชิต
ลักษณะ: ไม้ต้นผลัดใบ สูงถึง 35 ม. ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบ
หอก รูปรี หรือรูปไข่ กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 8-13 ซม. มีขนรูปดาวนุ่ม
คล้ายขนสัตว์หนาแน่น หลุดร่วงง่าย ช่อดอกออกที่ปลายกิ่งหรือบางครั้ง
ออกที่ซอกใบ ยาวถึง 40 ซม. ดอกสีขาว หรือสีฟ้าอ่อน รังไข่มีขน ผลแห้ง
แล้วแตกเป็น 6 แฉก ผลอ่อนมีขน เมื่อแก่มีขนเฉพาะบริเวณปลายผล
ออกดอกเดือน มี.ค.-มิ.ย.
การทำไม่ถูกขั้นตอน (วรุณชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรง
ปรารภพระติสสเถระ บุตรพ่อค้าเมืองสาวัตถี ผู้เกียจคร้าน ได้ตรัส
อดีตนิทานมาสาธกว่า...
พอเพื่อนเขามัดฟืนได้แล้ว ก็หาบฟืนเดินผ่านไปใช้เท้าเตะปลุกเขาให้
ตื่นขึ้น เขารีบขยี่ตา ปีนขึ้นต้นกุ่มจับได้กิ่งไม้เสลากิ่งหนึ่งก็เหนี่ยวลง
มาหักเพราะนึกว่าเป็นกิ่งไม้แห้ง กิ่งไม้เสลานั้นก็ดีดตาข้างหนึ่งของ
เขาบอด เขารีบรวบรวมได้ฟืนหน่อยหนึ่งแล้วก็ตามเพื่อนกลับสำนัก
เย็นวันนั้น ชาวบ้านนอกมาเชิญพราหมณ์ไปประกอบพิธีในวันพรุ่งนี้
ขอให้พราหมณ์รับประทานข้าวเช้าก่อนไปเพราะบ้านอยู่ไกล อาจารย์
จึงกำชับให้หญิงรับใช้ตื่นต้มข้าวต้มตั้งแต่เช้าตรู่ พอถึงเวลาใกล้รุ่ง
หญิงรับใช้ ไปนำฟืนไม้เสลาที่มานพนั้นนำมาเป็นฟืนก่อไฟ จนตะวัน
ขึ้นไฟก็ไม่ติด ทำให้พวกมานพไม่ได้ทานข้าวต้ม จึงไปเล่าเรื่องต่างๆ
ให้อาจารย์ฟัง อาจารย์จึงกล่าวคาถาว่า
" งานซึ่งควรทำก่อน เขาทำทีหลัง เขาจะเดือดร้อนในภายหลัง
เหมือนมานพหักไม้เสลาเดือดร้อนอยู่ "