Professional Documents
Culture Documents
สาเหตุของโรค
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีช่ อ
ื ว่า "เชื้อเลปโตสไปร่า"
(Leptospira) ที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ย่อย (ในทางปฏิบัติสามารถแบ่ง
สายพันธุ์ย่อยของเชื้อได้ตามวิธีการตรวจหาสารประกอบบนตัว
แบคทีเรียจากเลือดของคน โดยจะเรียกแต่ละสายพันธุ์ย่อยว่า "ซีโร
วาร์" (Serovars) ซึ่งแบ่งออกได้มากกว่า 250 ซีโรวาร์) ซึง่ จะก่อให้
เกิดอาการและความรุนแรงแตกต่างกันไป เชื้อเลปโตสไปร่านีจ
้ ะมี
อยู่ในท่อไตเล็ก ๆ และอวัยวะเพศภายในของสัตว์หลากหลายชนิด
(ส่วนใหญ่แล้วสัตว์จะไม่แสดงอาการใด ๆ คือจะเป็ นได้เพียงรังโรค
และพาหะของโรค) ซึง่ ทั่วโลกพบสัตว์ที่มีเชื้อนีม
้ ากกว่า 160 ชนิด
ยกเว้นสัตว์ในเขตขัว้ โลก โดยจะมีหนูเป็ นแหล่งรังโรคที่สำคัญที่สุด
โดยพบทัง้ ในหนูนา หนูพุก หนูบ้าน หนูท่อ และหนูตะเภา ส่วนสัตว์
ชนิดอื่น ๆ ที่อาจพบได้แต่น้อย คือ สุนัข สุกร โค กระบือ แกะ แพะ
ม้า นก กระรอก พังพอน แรคคูน ปลาบางชนิด รวมทัง้ แมวด้วย (ส่
วนใหญ่สัตว์ที่นำเชื้อ คือ หนู โดยเฉพาะหนูนา หนูพุก รองลงมาคือ
สุนัข โค กระบือ แพะ แกะ) ส่วนมากสัตว์ที่ไวต่อการรับเชื้อมักจะ
เป็ นสัตว์ที่เลีย
้ งลูกด้วยนมที่มีอายุน้อยหรือเป็ นลูกสัตว์ที่ไม่เคยได้รับ
ภูมิคุ้มกันจากแม่มาก่อน (เชื้อบางสายพันธุ์ย่อยจะมีความจำเพาะ
กับสัตว์บางชนิด และในสัตว์หนึ่งชนิดก็สามารถมีเชื้อได้หลายสาย
พันธุ์ย่อย)
เชื้อโรคฉี่หนูสามารถเข้าสู่ร่างกายของคนผ่านทางผิวหนังที่มี
บาดแผล รอยถลอก หรือรอยขีดข่วนตามผิวหนัง หรืออาจไชเข้า
ทางผิวหนังปกติที่เปี ยกชุ่มจากการแช่น้ำเป็ นเวลานาน ๆ หรือไชเข้า
ทางเยื่อบุตา จมูก หรือช่องปากที่ปกติ ดังนัน
้ การเดินย่ำน้ำที่ท่วม
ขัง (เช่น ตามซอกซอยในเมือง) หรือพื้นดินที่ช้น
ื แฉะ (เช่น ตามท้อง
นา) การแช่อยู่ในน้ำตามห้วยหนองคลองบึงเป็ นเวลาเกิน 2 ชั่วโมง
ขึน
้ ไป (เช่น เล่นน้ำ แข่งกีฬาทางน้ำ จับปลา เก็บผัก) และการรับ
ประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้ อนเชื้อจากปั สสาวะสัตว์ก็อาจ
ทำให้ติดเชื้อได้ด้วย โดยผู้ที่ติดเชื้อโรคฉี่หนูนจ
ี ้ ะติดได้จากหลายช่อง
ทาง คือ
การสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเชื้อโรคฉี่หนูที่
อาศัยอยู่ในท่อไตของสัตว์นน
ั ้ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเป็ นเดือนหรือ
เป็ นปี ๆ โดยเชื้อจะถูกขับออกมากับปั สสาวะของสัตว์ (ที่พบบ่อย
คือ หนู จึงเรียกโรคนีว้ ่า "โรคฉี่หนู") และเชื้อจะปนเปื้ อนอยู่ในแหล่ง
น้ำต่าง ๆ เช่น ที่น้ำท่วมขังตามซอกซอยในเมือง แม่น้ำ ห้วย หนอง
คลอง บึง น้ำตก รวมถึงดินโคลน หรือพื้นดินที่ช้น
ื แฉะได้นานหลาย
เดือน (เคยมีรายงานว่าเชื้ออาจอยู่ได้นานถึง 6 เดือนในที่น้ำท่วมขัง
โดยมีปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสม คือ ความชื้น แสงแดดส่องไม่ถึง
และมีความเป็ นกรดปานกลาง)
อาการของโรค
ผู้ป่วยที่เป็ นโรคนีจ
้ ะมีอาการและความรุนแรงแตกต่างกันไป ขึน
้ อยู่
กับชนิดและปริมาณของเชื้อ โดยเชื้อที่ก่อโรครุนแรง (เกิดอาการ
ดีซ่าน เลือดออก และไตวาย) มีช่ อ
ื ว่า Leptospira
icterohaemorrhagiae ที่อาศัยอยู่ในหนูและสุนัข และเชื้อ
Leptospira bataviae ที่อาศัยอยู่ในหนู โค กระบือ และสุนัข แต่
การติดเชื้อส่วนใหญ่มักจะก่ออาการของโรคแบบไม่มีดีซ่าน
(Anicteric illness) มากกว่าที่จะเป็ นแบบดีซ่าน (Icteric disease)
ซึ่งแม้แต่เชื้อ Icterohaemorrhagiae เองที่มักทำให้เกิดอาการ
ดีซ่าน ก็มักพบดีซ่านได้ไม่เกิน 10%
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเข้าสู่กระแสเลือด กระจายไปสู่อวัยวะ
ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะที่สำคัญ เช่น หลอดเลือด ตับ
ไต ปอด และกล้ามเนื้อ และเชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึน
้ โดยที่
เชื้อจะไปทำให้หลอดเลือดเล็ก ๆ ในอวัยวะต่าง ๆ เกิดการอักเสบ
เป็ นหลัก และอาจเข้าไปทำลายเซลล์โดยตรง ทำให้เซลล์ตายและ
เกิดอาการตามอวัยวะต่าง ๆ ได้ หลังจากนัน
้ ร่างกายจะสร้างสารภูมิ
ต้านทาน (แอนติบอดี) ขึน
้ มาทำลายเชื้อโรคเหล่านี ้ และเชื้อโรคก็จะ
หมดไป แต่ยังอาจทำให้มีอาการต่าง ๆ เกิดขึน
้ มาอีกจากปฏิกิริยา
ระหว่างเชื้อโรคกับสารภูมิต้านทานนั่นเอง หลังจากผู้ป่วยได้รับเชื้อ
ประมาณ 1-2 สัปดาห์ (โดยเฉลี่ยคือ 10 วัน) จะมีอาการแบ่งได้เป็ น
3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ไม่มีอาการ พบได้ประมาณ 15-40% ของผู้ติดเชื้อ โดยจะไม่
อาการแสดงใด ๆ เลย
อาการที่รุนแรงแต่พบได้น้อยและมักพบในกลุ่มที่มีอาการดีซ่าน
เท่านัน
้ ได้แก่ ไอเป็ นเลือดสด และภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ
(Hypoxemia)
ภาวะแทรกซ้อนของโรค
ดังที่กล่าวไปแล้วว่าเมื่อร่างกายสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี)
ขึน
้ มาแล้ว เชื้อเลปโตสไปร่าก็จะถูกกำจัดไปจากร่างกาย แต่ยกเว้น
ที่ตากับท่อไตเล็ก ๆ ที่เชื้อโรคอาจจะยังคงอยู่ได้นานเป็ นสัปดาห์
หรือนานเป็ นเดือน ๆ ซึ่งการที่เชื้อยังคงอยู่ในตานี ้ จึงมีโอกาสที่จะ
ทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดอาการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุภายในลูกตา
(Chronic uveitis) หรือม่านตา (Iritis) ได้
ผู้ป่วยบางรายหลังจากอาการทั่วไปหายดีแล้ว อาจมีอาการผิดปกติ
ทางจิต เช่น โรคจิต (Psychosis) กระสับกระส่าย พฤติกรรมผิด
ปกติเป็ นเวลานานมากกว่า 6 เดือน
การวินิจฉัยโรค
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคฉี่หนูได้จากอาการที่แสดงของผู้ป่วย จาก
การตรวจร่างกาย รวมทัง้ ประวัติอาชีพการทำงาน สภาพแวดล้อมที่
อยู่อาศัย การสัมผัสกับแหล่งน้ำต่าง ๆ และอาศัยการตรวจทางห้อง
ปฏิบัติการช่วยเสริม ได้แก่
การตรวจน้ำไขสันหลัง (ในรายที่ปวดศีรษะรุนแรงหรือสงสัยว่าเป็ น
เยื่อหุ้มสมองอักเสบแทรกซ้อน ซึ่งจะพบเม็ดเลือดขาวในน้ำ
ไขสันหลังสูงขึน
้ และอาจพบสารไข่ขาวสูงขึน
้ ด้วย)
การแยกโรค
การรักษาโรค
หากสงสัยว่าเป็ นโรคฉี่หนู โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการ
ไข้สงู หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง และรู้สึกปวดมากตรงบริเวณ
กล้ามเนื้อน่อง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคหรือให้การ
รักษาโดยเร็วภายใน 24 ชั่วโมง (ส่วนในกรณีที่มีอาการตัวเหลือง ตา
เหลืองร่วมด้วย จะต้องรีบไปพบแพทย์ในทันที เพราะอาจเป็ นชนิด
ที่รุนแรงซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ ผู้ป่วยไม่ควรรักษาด้วยตัวเองโดยเด็ด
ขาด) แพทย์อาจรับไว้รักษาในโรงพยาบาลในรายที่เป็ นรุนแรง ซึ่งผู้
ป่ วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็ นโรคฉี่หนูและได้รับการรักษาอย่างถูก
ต้อง ก็มักจะหายได้เร็วภายในประมาณ 10-14 วัน หรือไม่เกิน 3
สัปดาห์ โดยการรักษาจะประกอบไปด้วยการให้ยาปฏิชีวนะที่
รวดเร็วและเหมาะสมเพื่อไปฆ่าเชื้อโรค การรักษาไปตามอาการเพื่อ
แก้ไขความผิดปกติและภาวะแทรกซ้อน ร่วมกับการรักษาประคับ
ประคองอาการ
นอกจากนีจ
้ ะให้การรักษาประคับประคองตามอาการไปร่วมกัน เช่น
การเช็ดตัวเพื่อลดไข้ การให้ยาลดไข้ ให้ยาแก้ปวด ให้ยาแก้ไอ และ
ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ส่วนในรายที่เป็ นรุนแรงอาจต้องมีการให้น้ำ
เกลือทางหลอดเลือดถ้ามีภาวะขาดน้ำ ให้เลือดถ้ามีเลือดออก หรือ
ให้เกล็ดเลือด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะไตวาย อาจต้องฟอกล้างของ
เสียหรือล้างไต (Dialysis) และถ้าเกิดภาวะหายใจล้มเหลว ก็ต้องใส่
เครื่องช่วยหายใจ เป็ นต้น
คำแนะนำในการดูแลตนเองเบื้องต้น
ผลการรักษาจะขึน
้ อยู่กับความรุนแรงของโรคและสภาพของผู้ป่วย
ถ้าไม่มีอาการดีซ่าน อาการมักจะไม่รุนแรง แต่ถ้ามีอาการดีซ่านร่วม
ด้วย ผู้ป่วยมักจะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิต
สูงถึง 15-20% ซึง่ มักเกิดจากภาวะไตวายหรือช็อกจากการเสีย
เลือด (ภาวะรุนแรงมักเกิดในผู้สูงอายุและหญิงตัง้ ครรภ์)
วิธีป้องกันโรค
ฉี่หนู
ควบคุมและกำจัดหนูในบริเวณที่พักอาศัยของคน โดยเฉพาะใน
บริเวณบ้านพักอาศัย ร้านอาหาร ตลาด สถานที่ทำงาน แหล่งพัก
ผ่อน สถานที่ท่องเที่ยว และในนาข้าว เนื่องจากหนูเป็ นแหล่งแพร่
เชื้อที่สำคัญ
พยายามลดปริมาณขยะเท่าทีทำ
่ ได้ รักษาความสะอาดบริเวณบ้าน
เรือนอยู่เสมอ อย่าให้มีขยะและเศษอาหารตกค้าง อันจะเป็ นแหล่ง
เพาะพันธุ์และที่อยู่อาศัยของหนู ส่วนวิธีการอื่น ๆ ที่เราสามารถ
ทำได้คือ ไม่ถ่ายอุจจาระหรือทิง้ ขยะลงน้ำ (ควรรวบรวมใส่ถุง
พลาสติกแล้วมัดปากถุงให้แน่น), หาภาชนะหรือถุงขยะที่มีฝาปิ ดมา
ใช้เพื่อรวบรวมถุงขยะ (แต่ถ้าหาไม่ได้ ให้วางถุงขยะให้ห่างจากสุนัข
หรือสัตว์อ่ น
ื ที่อาจมาคุ้ยถุงขยะให้แตกและให้สงู กว่าบริเวณที่น้ำ
ท่วมถึง), การติดต่อหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อให้นำขยะไปทำลายให้
บ่อยที่สุดเท่าทีทำ
่ ได้ เป็ นต้น
รีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายโดยเร็วหากสัมผัสกับปั สสาวะของ
สัตว์ที่อาจมีเชื้อโรค หรือเมื่อไปแช่น้ำหรือเดินย่ำลงไปในแหล่งน้ำที่
สงสัยว่าอาจปนเปื้ อนเชื้อ
ไม่เดินลุยน้ำลุยโคลนหรือลงแช่น้ำในห้วยหนองคลองบึงเป็ นเวลา
นานเกินครัง้ ละ 2 ชั่วโมง และควรระวังอย่าให้น้ำไม่สะอาดกระเด็น
เข้าตา จมูก หรือปาก เมื่อพ้นจากน้ำแล้วต้องรีบล้างเท้าให้สะอาด
หรือฟอกสบูแ
่ ละชำระล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง
โดยเร็วที่สุด
เกษตรกรที่เลีย
้ งสัตว์ ควรแยกที่อยู่อาศัยของคนกับบริเวณที่เลีย
้ ง
สัตว์ให้ชัดเจน เช่น การทำคอกกัน
้ เพื่อไม่ให้มีสัตว์เข้ามาเพ่นพ่านใน
บริเวณบ้าน ภาชนะใส่น้ำหรืออาหารสำหรับสัตว์ ห้ามนำมาใช้ร่วม
กับคน เป็ นต้น
ถ้าพบสัตว์ติดเชื้อต้องแยกออกเพื่อป้ องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปยังสัตว์
ตัวอื่น ๆ หรือเกิดการปนเปื้ อนเชื้อในบริเวณที่อยู่อาศัย สถานที่
ทำงาน ฯลฯ
ในสัตว์มีวัคซีนสำหรับฉีดป้ องกันไม่ให้สัตว์ที่ติดเชื้อเกิดแสดงอาการ
แต่วัคซีนดังกล่าวอาจไม่ได้ป้องกันการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายของสัตว์
ดังนัน
้ แม้จะฉีดวัคซีนให้สัตว์แล้ว สัตว์เหล่านัน
้ ก็ยังสามารถรับเชื้อ
โรคและมาแพร่เชื้อสูค
่ นได้ในที่สุด
ในกรณีที่ต้องเดินทางไปยังแหล่งที่มีการระบาดของโรคฉี่หนูในช่วง
ระยะเวลาสัน
้ ๆ เช่น การเดินทางไปท่องเที่ยว การตัง้ ค่ายของกอง
ทหาร นักเรียน นักศึกษา หรือเป็ นนักสำรวจที่มีภารกิจที่ต้องลุยน้ำ
ฯลฯ และไม่สามารถใช้วิธีป้องกันอย่างอื่นได้ แนะนำให้รับประทาน
ยาดอกซีไซคลีน (Doxycycline) เพื่อป้ องกันโรคฉี่หนูตงั ้ แต่ในวัน
แรกที่เข้าไปในพื้นที่ โดยให้รับประทานครัง้ ละ 200 มิลลิกรัม ทุก
สัปดาห์ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพ้นภาวะเสี่ยงในการติดเชื้อแล้วค่อย
หยุดรับประทานยา
สำหรับหน่วยงานต่าง ๆ ควรให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์เรื่องโรคฉี่
หนูแก่ประชาชนให้เข้าใจ และตระหนักถึงอันตรายของโรค สาเหตุ
วิธีการติดต่อ การป้ องกัน และควบคุมโรค, จัดตัง้ หน่วยเคลื่อนที่เร็ว
เพื่อดำเนินการควบคุมโรคในพื้นที่ที่มีการระบาด, ค้นหาแหล่งที่มา
ของการติดเชื้อ เช่น แหล่งน้ำ ฟาร์ม โรงงาน รวมทัง้ สัตว์ที่ติดเชื้อ
แล้วให้แก้ไขการปนเปื้ อนเชื้อห้ามการใช้ชั่วคราว, ตรวจแหล่งน้ำดิน
ทรายที่อาจปนเปื้ อนเชื้อ (ถ้าเป็ นท่อระบายน้ำ ควรล้างระบายน้ำที่
ปนเปื้ อนออกไป) เป็ นต้น
หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “เล็ปโตสไปโรซิส
(Leptospirosis)/ไข้ฉห
ี่ นู”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า
1116-1119.
สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค. “โรคฉีห
่ นู”. (เสาวพักตร์
เหล่าศิริถาวร, ธีรศักดิ ์ ชักนำ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
www.boe.moph.go.th. [02 ก.ย. 2016].
หาหมอดอทคอม. “โรคฉีห
่ นู (Leptospirosis)”. (พญ.สลิล ศิริ
อุดมภาส). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : haamor.com. [02 ก.ย.
2016].
โรงพยาบาลกรุงเทพ. “โรคฉีห
่ นู หรือ โรคเลปโตสไปโรซิส
(Leptospirosis)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
www.bangkokhospital.com. [03 ก.ย. 2016].