Professional Documents
Culture Documents
เรื่อง วิวัฒนาการของดนตรีสากลในแต่ละยุคสมัย
เสนอ
จัดทำโดย
โรงเรียนสาธิตมหาวิยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
คำนำ
รายงานเล่มนีจ
้ ัดทำขึน
้ เพื่อเป็ นส่วนหนึ่งของ วิชา
ศิลปะพื้นฐาน 2 เพื่อได้ให้ศึกษาหา ความรู้ในเรื่อง
วิวัฒนาการของดนตรีสากลในแต่ละยุคสมัยละศึกษาอย่าง
เข้าใจเพื่อเป็ นประโยชน์กับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนีจ
้ ะเป็ นประโยชน์กับผู้อา่ น
หรือนักเรียนที่กำลังหาข้อมูล เรื่องนีอ
้ ยูห
่ ากมีขอ
้ แนะนำหรือ
ข้อผิดพลาดประการใดผูจ
้ ะดทำขอน้อมรับไว้และ ขออภัย
มา ณ ทีน
่ ด
ี ้ ้วย
ผู้จัดทำ
25 ม ก ร า ค ม
พ.ศ. 2565
ข
สารบัญ
เรื่อง หน้า
คำนำ ข
สารบัญ ค
ยุคกลาง 1
ยุคฟื้ นฟูศิลปะวิทยาการ 2
ค
ยุคบาโรค 3
ยุคคลาสสิค 4
ยุคโรแมนติก 5
ยุคศตวรรษที่ 20 6
ง
ยุคกลาง
1
เหมือนกัน ผลงานการรวบรวมบทสวดของสันตะปาปาเกรกอรี
ถูกเรียกว่า เกรกอรีชานท์ หรือบทสวดของเกรกอรี ซึ่งในศาสนา
คริสต์นิกายโรมันแคธอลิคก็ยังนำมาใช้อยู่จนปั จจุบัน ชานท์เป็ น
บทเพลงรองที่มีแต่ทำนอง ไม่มีการประสานเสียงและไม่มีการ
บังคับจังหวะ แต่ขน
ึ้ อยู่กับความเชี่ยวชาญและรสนิยมของนัก
ร้องเอง เพลงประเภทนีถ
้ ูกเรียกว่า เพลงเสียงเดียว หรือเรียกว่า
โมโนโฟนี
วิวัฒนาการที่สำคัญที่สุดของดนตรีเกิดขึน
้ ที่ปลายยุค
กลาง ราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 คือ การเพิ่มแนวร้องขึน
้ อีกแนว
หนึ่ง เป็ นเสียงร้องที่เป็ นคู่ขนานกับทำนองหลัก กำหนดให้ร้อง
พร้อมกันไป วิธีการเขียนเพลงที่มี 2 แนวนีเ้ รียกว่า ออร์แกนุม
จากจุดเริ่มนีเ้ องดนตรีสากลก็ได้พัฒนาไปอย่างมากมาย จากแนว
สองแนวที่ขนานกันเป็ นสองแนวแต่ไม่จำเป็ นต้องขนานกันเสมอไ
ป สวนทางกันได้ ต่อมาได้เพิ่มเสียงสองแนวเป็ นสามแนวและ
เป็ นสี่แนว จากเพลงร้องดัง้ เดิมที่มีเพียงเสียงเดียว ได้พัฒนาขึน
้
กลายเป็ นเพลงหลายแนวเสียงหรือเรียกว่าโพลีโฟนี
ยุคฟื้ นฟูศิลปะวิทยาการ
2
สมัยเรเนสซองส์ หรือ สมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยา เริ่มประมาณ
3
เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาทในยุคนี ้ เครื่องดนตรีที่นำมา
ใช้ในการบรรเลง คือ ลูท ออร์แกนลม ฮาร์พซิคอร์ด เวอจินัล
ขลุ่ยเรคอร์เดอร์ ซอวิโอล องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของ
ดนตรียุคนีท
้ ี่ถูกนำมาใช้ คือ ความดัง - เบาของเสียงดนตรี
(Dynamic)
ลักษณะของดนตรีในสมัยนีย
้ ังคงมีรูปแบบคล้ายในสมัย
ศิลป์ ใหม่ แต่ได้มีการปรับปรุงพัฒนารูปแบบมากขึน
้ ลักษณะการ
สอดประสานทำนอง ยังคงเป็ นลักษณะเด่น เพลงร้องยังคงนิยม
กัน แต่เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาทมากขึน
้ ในช่วงศตวรรษที่ 15
และ 16 รูปแบบของดนตรีมีความแตกต่างกัน
4
ยุคบาโรค
3
ยุคคลาสสิค
เป็ นยุคที่ดนตรีมีกฎเกณฑ์แบบแผนอย่างมาก อยู่ใน
ระหว่างศตวรรษที่ 18 และช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1750-
1825) การใส่เสียงประสานเป็ นลักษณะเด่นของยุคนี ้ การสอด
ประสานพบได้บ้างแต่ไม่เด่นเท่าการใส่เสียงประสาน การใช้
บันไดเสียงเมเจอร์ และไมเนอร์ เป็ นหลักในการประพันธ์
เพลง ลักษณะของบทเพลงมีความสวยงามมีแบบแผน
บริสุทธิ ์ มีการใช้ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อยเป็ น
สำคัญ ลีลาของเพลงอยู่ในขอบเขตที่นักประพันธ์ในยุคนีย
้ อมรับ
กัน ไม่มีการแสดงอารมณ์ หรือความรู้สึกของผู้ประพันธ์ไว้ใน
4
บทเพลงอย่างเด่นชัด การผสมวงดนตรีพัฒนามากขึน
้ การ
บรรเลงโดยใช้วงและการเดี่ยวดนตรีของผู้เล่นเพียงคนเดียวเป็ น
ลักษณะที่นิยมในยุคนี ้ บทเพลลงประเภทซิมโฟนีมีแบบแผนที่
นิยมกันในยุคนีเ้ ช่นเดียวกับ เพลงเดี่ยวด้วยเครื่องดนตรีชนิด
ต่างๆ บทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่นิยมเป็ นอย่างมาก
บทเพลงร้องมีลักษณะซับซ้อนกันมากขึน
้ เช่นเดียวกับบทเพลง
บรรเลงด้วยเครื่องดนตรี นักดนตรีที่ควรรู้จักในยุคนี ้
คือ กลุค ไฮเดิน โมทซาร์ท และเบโธเฟน
5
ยุคโรแมนติก
6
ฟั งได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่กำลังบ รรยายมากที่สุด เพลงที่มีแนวเรื่อง
หรือทิวทัศน์ธรรมชาติเป็ นแนวการเขียนนีเ้ รีย กว่า ดนตรี
พรรณนา (Descriptive Music) หรือ โปรแกรมมิวสิค
(Program Music) สำหรับบทเพลงที่คีตกวีได้พยายามถ่ายทอด
เนื้อความมาจากคำประพันธ ์หรือบทร้อยกรอง (Poem) ต่างๆ
แล้วพรรณนาสิ่งเหล่านีอ
้ อกมาด้วยเสียงของดนตรีอย่างเหมาะ
สมนัน ้ ่า ซิมโฟนิคโพเอ็ม ต่อมาภายหลัง
้ จะเรียกบทเพลงแบบนีว
เรียกว่า โทนโพเอ็ม
7
ยุคสตวรรษที่ 20
หลังจากดนตรีสมัยโรแมนติกผ่านไป ความเจริญในด้านต่าง
ๆ ก็มีความสำคัญและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดมา ความ
เจริญทางด้านการค้าความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ความ
ก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ การขนส่ง การสื่อสาร ดาวเทียม
8
หรือ แม้กระทั่งทางด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้แนวความคิดทัศนคติ
ของมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงไปและแตกต่างจาก แนวคิดของคนใน
สมัยก่อน ๆ จึงส่งผลให้ดนตรีมีการพัฒนาเกิดขึน
้ หลายรูปแบบ
คีตกวีทงั ้ หลายต่างก็ได้พยายามคิดวิธีการแต่งเพลง การสร้าง
เสียงใหม่ ๆ รวมถึงรูปแบบการบรรเลงดนตรี เป็ นต้น
ลักษณะของบทเพลงในสมัยศตวรรษที่ 20