Professional Documents
Culture Documents
มุขปาฐะพื้นบ้านสูบ่ ทเพลงเสียงประสาน
บทเพลงพื้นบ้านถูกขนานนามว่าเป็ นวรรณกรรมมุขปาฐะ ในการศึกษาที่ผา่ นมาของนักวิชาการ
หลายท่านพบว่า การสื บสานบทเพลงพื้นบ้านเป็ นการสื บทอดแบบปากต่อปาก ในขณะเดียวกัน มีความเป็ น
ไปได้วา่ บทเพลงพื้นบ้านได้รับการบันทึกโดยครู เพลง หรื อพ่อเพลงแม่เพลงที่อ่านออกเขียนได้ และ
บทเพลงพื้นบ้านดังกล่าวปรากฎอยูใ่ นลักษณะของการบันทึกและสื บทอดแก่ทายาทเป็ นมรดก บันทึกเหล่า
นั้นถึงแม้วา่ จะหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบนั ในจำนวนไม่มากนัก แต่กน็ บั ว่าเป็ นหลักฐานสำคัญ สามารถนำมา
เป็ นจุดเริ่ มต้นในการเผยแพร่ บทเพลงพื้นบ้านยุคปั จจุบนั นี้
ตัวอย่างรปู แบบการจดบันทึก
ลักษณะทัว่ ไปของการขับร้องประสานเสียงแบบคลาสสิกในดนตรีตะวันตก
การขับร้องในชาติดนตรี ตะวันตก มีบทบาทมาตั้งแต่ยคุ แรกเริ่ ม ถือเป็ นรู ปแบบดนตรี ที่ใช้ตน้ ทุน
น้อยที่สุด เพราะใช้เครื่ องดนตรี ที่มีอยูต่ ามธรรมชาติ คือ เสี ยงร้องของมนุษย์
เมื่อมนุษย์เริ่ มมีการพัฒนาด้านสติปัญญา มีการใช้เสี ยงของตนในการขับร้อง ดังนั้นการขับร้องใน
แบบตะวันตกจึงเริ่ มมีการพัฒนาเป็ นรู ปเป็ นร่ าง มีการจดบันทึกเป็ นที่เด่นชัดในพัฒนาการของบทเพลงขับ
ร้องประสานเสี ยง ตั้งแต่ยคุ กลาง (Middle Age) เป็ นต้นมา ซึ่ งเป็ นยุคที่บทเพลงขับร้องได้รับความนิยม
มากกว่าเพลงบรรเลงด้วยเครื่ องดนตรี ทำนองเพลงร้องส่ วนใหญ่ในยุคแรกเริ่ ม มักอยูใ่ นรู ปแบบของการใช้
ทำนองเดี่ยวหรื อโมโนโฟนี (Monophony)
การขับร้องได้พฒั นามากขึ้น ในยุคฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) มีการใช้เทคนิคการสอด
ประสานทำนอง โดยเน้นการล้อกันของแนวเสี ยงแต่ละแนว (Imitative Style) ตามด้วยลักษณะบันไดเสี ยงที่
เป็ นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะในรู ปแบบของโหมด (Mode) เมื่อย่างเข้าสู่ ยคุ บาโรก (Baroque) ลักษณะการ
ใส่ เสี ยงประสานในบทขับร้องหรื อโฮโมโฟนี (Homophony) เริ่ มได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งการใช้ระบบ
บันไดเสี ยงต่าง ๆ ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเต็มที่
ลักษณะการประสานเสี ยง มีการพัฒนาและสร้างสรรค์ใหม่ข้ ึนเป็ นจำนวนมากในยุคโรแมนติก
(Romantic) เนื่องจากเป็ นช่วงเวลาที่มีการค้นคว้าหาวิธีการใหม่ ๆ ในการสื่ อสารอารมณ์ของดนตรี ให้แก่ผู ้
ฟัง การใช้เสี ยงประสานรู ปแบบต่าง ๆ ถือเป็ นลักษณะเด่นและสำคัญของเพลงดนตรี ในยุคนี้ รวมถึงบทเพลง
ก็มีความยาวมากขึ้น การขยายโครงสร้างทางดนตรี ให้กว้างขึ้นจากอดีต ทำให้บทบาทของวงขับร้องประสาน
เสี ยง ซึ่ งแต่เดิมเป็ นเพียงกลุ่มนักร้อง ได้รับการบรรจุให้เข้าขับร้องพร้อมกับวงดุริยางค์สากลขนาดใหญ่ หรื อ
ที่เรี ยกว่า วงออร์เคสตร้า
ปั จจุบนั สรุ ปได้วา่ ลักษณะการสร้างสรรค์บทเพลงขับร้อง มีการพัฒนาอย่างชัดเจน จากรู ปแบบ
โมโนโฟนี (Monophony) อันเป็ นลักษณะของดนตรี แนวทำนองเดี่ยวไม่มีเสี ยงประสาน มาสู่ รูปแบบ
4
โฮโมโฟนี (Homophony) อันเป็ นลักษณะของดนตรี ที่มีแนวทำนองหลักเป็ นแนวทำนองสำคัญ มีการใช้เสี ยง
ประสานประกอบ มาจนถึงรู ปแบบโพลีโฟนี (Polyphony) อันเป็ นลักษณะของเพลงขับร้องประสานเสี ยงใน
ปั จจุบนั เป็ นดนตรี ที่ใช้ทำนองหลากหลาย ก่อนที่จะนำมาประสานกับทำนองหลัก นับเป็ นลักษณะที่ให้
ความสำคัญแก่ทุกท่วงทำนอง
เห็นได้วา่ บทเพลงขับร้องประสานเสี ยงของสากล เป็ นศิลปะวัฒนธรรมทางดนตรี ที่เกิดในแผ่นดิน
ตะวันตก มีการบ่มเพาะองค์ความรู้มานานนับพันปี ทำให้ลกั ษณะของการเรี ยบเรี ยงเสี ยงประสานของการขับ
ร้องประสานเสี ยง มีกฎเกณฑ์ชดั เจนและสามารถดำรงอยูจ่ วบจนถึงปั จจุบนั
เพลงดนตรีชาวสยามในมุมมองของชาติตะวันตก
ด้วยความแตกต่างทาง
วัฒนธรรมของชาวตะวันออก กับ
วัฒนธรรมของชาวตะวันตก ทำให้
เมื่อนำมุมมองของชาวตะวันตกเข้า
มามองการดนตรี ของประเทศสยาม
ทำให้เกิดความไม่เข้าใจของชาว
ตะวันตก ต่อดนตรี พ้ืนบ้านของชาว
สยาม หนึ่งในหลักฐานแรก ที่ได้รับ
การบันทึกเกี่ยวกับดนตรี ของสยาม
ผ่านมุมมองของชาวตะวันตก คือ
บันทึกของ ซี มง เดอ ลา ลูแบร์
อัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ที่เข้ามาในสมัยกรุ งศรี อยุธยาเป็ นราชธานี รัชสมัยของ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมุมมองต่อดนตรี ของชาวสยามที่พบ ในด้านการขับร้องเพลงไทย มีระเบียบ
การดนตรี ดังนี้
1. ไม่ มีวธิ ีสร้ างโน้ ตเพลง เก็บเสี ยงตามมาตราเพลงเอาไว้ มุมมองนี้ สะท้อนให้เห็นได้ชดั ว่า การดนตรี
ไทย สื บทอดกันมาในลักษณะมุขปาฐะ ตั้งแต่สมัยกรุ งศรี อยุธยาและไม่มีการบันทึกใด ๆ ดังเช่นที่ชาว
ตะวันตกได้เริ่ มทำมา เมื่อชาวตะวันตกได้เห็นถึงกระบวนการนี้ จึงเห็นเป็ นเรื่ องแปลกและชวนสงสัย
เกี่ยวกับการสื บทอดบทเพลง
2. ไม่ มจี ังหวะจะโคน ในประเด็นนี้ อาจสันนิษฐานได้วา่ ลักษณะทางดนตรี ที่ลาลูแบร์ได้พบ อาจเป็ น
ลักษณะดนตรี พ้ืนบ้านที่ร้องเล่นกัน โดยไม่เคร่ งครัดต่อกฎเกณฑ์ใด ๆ ต่างจากลักษณะของวงปี่ พาทย์
บรรเลงเพลงไทยเดิม ที่มีรูปแบบและอัตราจังหวะที่เคร่ งครัดกว่า
3. ในการขับร้ องไม่มีเสียงสั่นลงลูกคอ คือ มีเพียงการร้องเอื้อนเสี ยงโดยไม่มีเนื้อเพลง หากจะทำเสี ยง
แทนที่เนื้อเพลง เขาจะออกเสี ยง น่ อย นอย (noi, noi) หากมองในมุมมองของเทคนิคการขับร้องแบบ
ตะวันตก คำว่า สัน่ ลงลูกคอ ตรงกับเทคนิคการขับร้องวิบราโต้ (Vibrato) ของชาวตะวันตก แต่ดว้ ยชาว
สยามในสมัยนั้น มิได้เข้าใจถึงเทคนิคการขับร้องแบบตะวันตก มีเพียงบุคคลระดับนักการทูตเท่านั้นที่
ได้สมั ผัสลักษณะการขับร้องแบบตะวันตก เช่น คณะทูตในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่มีโอกาส
5
เข้าชมอุปรากรในประเทศฝรั่งเศส เมื่อครั้งเดินทางไปเจริ ญสัมพันธไมตรี ส่ วนลักษณะการออกเสี ยง
น่ อย นอย นับได้วา่ เป็ นลักษณะที่ยงั คงมีในการขับร้องเพลงไทย มาจนถึงปั จจุบนั นี้
4. เพลงร้ องของชาวสยามนิยมเสียงที่ค่อนข้ างสู ง จะไม่มีเสี ยงทุม้ แม้แต่เพลงพระยาเดิน ในขณะเสด็จ
พระราชดำเนิน ล้วนแต่มีเสี ยงค่อนข้างสูงทั้งสิ้ น ข้อคิดเห็นดังกล่าวนี้เอง อาจกล่าวได้วา่ เกิดจากการใช้
อวัยวะ ในการขับร้องที่แตกต่างกันในสองวัฒนธรรม โดยเฉพาะลักษณะการร้องเปิ ดลำคอแบบชาวตะวันตก
ซึ่ งชาวสยามมักจะใช้ลกั ษณะการขับร้องที่เปิ ดลำคอไม่กว้างมากนัก ทำให้เสี ยงตีบเล็ก และสู ง
5. ไม่ ร้ ู จักการขับร้ องประสานเสียง ซึ่ งจะมีแต่ขบั ร้องไปพร้อม ๆ กัน เป็ นหลักฐานชัดเจนว่า ลักษณะการขับ
ร้องประสานเสี ยงไม่แพร่ หลายในหมู่ชาวสยามมากนัก คงอนุมานได้เพียงว่า การขับร้องประสานเสี ยง น่า
จะเริ่ มก่อตัวขึ้นหลังจากการสร้างโบสถ์ของศาสนาคริ สต์นิกายโรมันคาทอลิก เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนา โดยกลุ่มคนทัว่ ไปอาจไม่สามารถเข้าใจถึงลักษณะของการขับร้องประสานเสี ยง
การขับร้องเพลงแบบตะวันตก
ในการแบ่งประเภทเสี ยงร้อง (Category) ของเสี ยงร้อง ทำให้สามารถอำนวยความสะดวกในการฝึ ก
ขับร้อง (Vocal Training) โดยในปัจจุบนั การแบ่งประเภทเสี ยงร้อง เป็ นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับสำหรับ
การฝึ กขับร้อง ในลักษณะต่างๆ เช่น เพลงสมัยนิยม เพลงแจ๊ส เป็ นต้น ทฤษฎีการแบ่งประเภทเสี ยงร้องนี้ ยัง
เป็ นการสร้างแนวทางแก่ผฝู้ ึ กฝนขับทั้งยังเกี่ยวข้องกับการวางแผนการสอนโดยการใช้เพลงร้อง
การขับร้องตะวันตกเมื่อเปรียบเทียบกับการขับร้องไทยเดิม
7
การเปรียบเทียบการขับร้องเพลงร้องพื้นบ้านไทย กับเพลงประสานเสียงตะวันตก
กรอบการเรียบเรียงเสียงประสานบทเพลงพื้นบ้านภาคกลางของไทย
กรอบของการเรี ยบเรี ยงเสี ยงประสานบทเพลงพื้นบ้านภาคกลางของไทยในการวิจยั ครั้งนี้ ผูว้ จิ ยั ได้
กำหนดกรอบขึ้นมาภายหลังจากการลงเก็บข้อมูล มีลกั ษณะเป็ นข้อมูลโดยทัว่ ไปและการมีส่วนร่ วมแสดงกับ
คณะเพลงพื้นบ้าน เป็ นวัตถุดิบสำคัญในการเรี ยบเรี ยงเสี ยงประสาน ข้อมูลบุคคลที่ได้รับมาจากพ่อเพลงแม่
เพลงพื้นบ้านภาคกลางในจังหวัดต่าง ๆ เช่น ราชบุรี สุ พรรณบุรี นครปฐม กาญจนบุรี และพระนครศรี อยุธยา
12
ทำให้เมื่อเข้าสู่ กระบวนการการเรี ยบเรี ยงเสี ยงประสาน กรอบดังกล่าวจึงได้ถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็ นเครื่ องมือ
นำไปสู่ การทำงานโดยแบ่งได้เป็ น 3 กรอบ ดังนี้
1) กรอบทางด้ านทฤษฎีดนตรีตะวันตก (สำหรับบทเพลงที่เป็ นร้ อยเนือ้ ทำนองเดียว)
1.1 ทุกเพลงขึ้นต้นโน้ตตัวแรกด้วยเสี ยงเดียวกัน (พ่อเพลงแม่เพลงขึ้นโดย
ไม่มีการกำหนดเสี ยง)
1.2 การเรี ยบเรี ยง เสี ยงประสาน พยายามเลี่ยงการใช้คอร์ด V-I โดยเฉพาะ Perfect
Cadence หรื อ Plagal Cadence (IV-I)
1.3 สามารถบรรจุรูปแบบการทำซ้ำ (Ostinato) หรื อ การร้องเดี่ยวเสี ยงพิเศษโดย
ใช้โน้ตเสี ยงสู ง (Obligato) หรื อการใช้เสี ยงมนุษย์แทนเสี ยงเครื่ องประกอบ
จังหวะ (Vocal Percussion) โดยใส่ อยูใ่ นช่องว่าง เพื่อทำหน้าที่ประคอง
ทำนองของบทเพลง
1.4 หลีกเลี่ยงโน้ตเพลงอันทำให้เกิดเป็ นคอร์ดแบบตะวันตก
1.5 ใช้ข้ นั คู่ (Interval) ในลักษณะพอดีไม่กว้างเกินไป และพร้อมที่จะย้ายไปคีย ์
สูงหรื อต่ำกว่าได้
1.6 ต้องเข้าใจธรรมชาติเสี ยง แม่เพลงจะเน้นเสี ยงต่ำ ส่ วนพ่อเพลงจะเน้นเสี ยงสู ง
1.7 แต่ละแนวต้องร้องง่าย ขั้นคู่ไม่ยากเกินไป
1.8 ควรให้มี Discord/Dissonance อยูใ่ นการประสาน
1.9 แต่ละบทเพลงควรมีจุดสำคัญที่สื่ออารมณ์เพลงสู งสุ ด
1.10 ในการใช้คู่ 5 หรื อ Open Fifth ควรลดการใช้ติดต่อกัน
1.11 Discord อย่าให้มีมากเกินไป เนื่องจากจะทำให้บทเพลงเอนเอียงไปในรู ป
แบบเพลงสมัยนิยม (Contemporary)
1.12 อย่าใช้โน้ตเพลงประสานที่ Overlapping หรื อ Crossing บ่อยเกินไป จนฟัง
ทำนองหลักไม่รู้เรื่ อง
หมายเหตุ : สำหรับเพลงที่มีระบบเสี ยงแบบสากลคือเป็ น Major หรื อ Minor สามารถใช้วิธีการประสานเสี ยง
แบบตะวันตก(Western Music Harmonization)ได้ ข้อควรระวังเรื่ องเสี ยงวรรณยุกต์และตัวสะกดในคำไทยเป็ นสำคัญ
2) กรอบของตัวแปรความเป็ นบทเพลงพืน้ บ้ าน
2.1 มีความเป็ นกลอนหัวเดียว ความเป็ นร้อยเนื้ อทำนองเดียว
2.2 เนื้อร้องเป็ นธรรมชาติและมีสำเนียงพื้นถิ่น (การร้องมีลกั ษณะคล้ายการพูด
แต่มีระบบเสี ยงดนตรี ประกอบ)
2.3 มีฉนั ทลักษณ์ มีคีตลักษณ์ และมีแบบแผนเป็ นของตัวเอง
2.4 มีลีลาและภาษาท่าทาง
2.5 มีความชัดเจนในการขับร้องให้เป็ นไทย
2.6 มีเครื่ องแต่งกายเฉพาะ
2.7 ใช้ภาษาที่ง่าย แต่คงเสน่ห์ ความคมคาย
13
2.8 มีความสนุกสนาน เผ็ดร้อน และมีลกั ษณะสองแง่สองง่าม
2.9 มีปฏิภาณไหวพริ บและมีมุขตลก
2.10 มีการใช้เครื่ องดนตรี พ้ืนบ้าน
2.11 ไม่เป็ นทางการ
2.12 ปฏิพากย์และด้นสดได้
2.13 ถ่ายทอดจากรุ่ นสู่ รุ่ น (มุขปาฐะ + คัมภีร์ ให้ทายาท)
2.14 สามารถมีการหยุดคัน่ บ่อยครั้งระหว่างการร้องเล่น และสอดแทรกคติ
2.15 ไม่มีการกำหนดระดับเสี ยงที่ชดั เจน
เล่นเพลงปรบไก่ จนหัวไหล่เอยยอก
บาทมันก็ไม่ถึง เงินสลึงก็ไม่ออก
จะมาปล่อยทีเด็ด ละแก้เคล็ดขัดยอก
เอ๋ ยเถิดเอย จะมาปล่อยทีเด็ด ละแก้เคล็ดขัดยอก
B2 = ฮุย้
ร่ายเดินสิบ
Echo ร่ ายเดินสิบ
16
B2’= ฮุย้
Z’ = ฮุย้
A = ฮุย้ .
A B1 B1’ B2 B2’ Z Z’ A
เพลงปรบไก่
17
ปรับ ให้อยู่
ใน สเกล
เสียง ของ
สากล โดยใส่ก ุญแจประจำเสียง C (Key C)
และปรับค่าจังหวะโน้ต Key C
เพลงปรบไก่
ตัวอย่างที่ 2
เข้าใจฉันทลักษณ์ของบทเพลง
เพลงเกี่ยวข้าว
19
Template เพลงเกี่ยวข้าว
เข้าใจคีตลักษณ์ (Template) ของบทเพลง โดยสร้างสัญลักษณ์ A, B, C, D, x
เพลงเกี่ยวข้าว
A = เกริ่ นนำ
B = ร่ายแปดเดินเนื ้อ
x = รับลูกคู่
C = ร่ายเดินเนื ้อท่อนสุดท้ าย
D = ลูกคูร่ ับ ฮุย้
เอิงเอย 2 คำสุดท้ าย
20
C4 =
C1 = 8 คำหน้ า (ซ้ำ)
C3 = 8 คำหลัง
A B x C D C4 C1 C3 C4 C2 C3
เพลงเกี่ยวข้าว
21
ปรับให้อยู่ ในสเกล
เสียงของ สากล
โดยใส่ ก ุญแจ
ประจำ เสียง
C(Key C)
และปรับค่าจังหวะโน้ต Key C
22
ใช้โน้ต 2 ตัว สร้างเสียงเป็นพื้นหลัง แล้วเรียบเรียงขึ้นใหม่เป็นโน้ตเสียงประสาน
23
24
วิธีการนำโน้ ตประสานเสี ยงเพลงพืน้ บ้ านไปประยุกต์ ใช้
1. มีการศึกษาเรื่ องภาษา ฉันทลักษณ์ของบทเพลงและจังหวะการสื่ อสาร
2. ผูส้ อนสามารถขับร้องและเข้าใจเพลงพื้นบ้านในมิติต่างๆ ได้
2.1 เข้าใจทำนองของเพลงพื้นบ้าน
2.2 รู้จกั ทำนองในแต่ละท้องถิ่น
2.3 การไปปฏิบตั ิใช้จริ งทำให้เข้าใจเรื่ อง
- วรรณยุกต์
- การร้องเพลงไทย
- วลี (Phrase) ของบทเพลง
- เข้าใจลักษณะประเภทดนตรี ในเพลงนั้นๆ
- บริ บทในการสื่ อสาร
3. สามารถแยกเสี ยงประสานได้
4. โน้ตที่ใช้อา่ นจะเป็ นเพียงแนวทางในการร้อง
5. เข้าใจรายละเอียดในแผ่นโน้ตเพลง
5.1 Scale เสี ยง
5.2 การใช้ โน้ตเป็ นเพียงเข็มทิศ (แต่ไม่ใช่ร้องตาม 100%)
5.3 เครื่ องหมายหรื อสัญลักษณ์พิเศษ
5.4 เข้าใจและสามารถนำตัวอย่างไปใส่ เนื้อเพลงอื่นๆได้อย่างเหมะสม
6. จดจำเนื้อร้อง ทำนอง และอารมณ์เพลงขณะแสดงได้
7. สามารถสอดแทรกอารมณ์หรื อ Feeling เป็ นตัวนำ โดยไม่กงั วลเรื่ องโน้ต
8. ลักษณะและภาษามาก่อนสิ่ งอื่นใด
9. สิ่ งอื่นๆที่ตอ้ งคำนึงถึงความเป็ นพื้นบ้าน
9.1 เครื่ องดนตรี
9.2 ท่ารำ/ภาษาท่าทาง
9.3 เครื่ องแต่งกาย/อุปกรณ์ประกอบ
9.4 เสน่ห์ของภาษาที่ร้องและสำเนียงถิ่น
9.5 การด้นสด มีมุขตลก รู ้จกั การหักคอรอจังหวะ
9.6 ขนบธรรมเนียบในการแสดง
10. ค้นหาบันไดเสี ยง ที่เหมาะสมสำหรับตัวเองได้ (หรื อ Common Key สำหรับนักร้องในวง
ประสานเสี ยง)