Professional Documents
Culture Documents
การบัญชีบริหาร การวางแผนทางการเงินและงบประมาณ
1.1 การบัญชีบริหารและงบการเงิน
การบัญชีบริหาร เป็นการจัดทาและนาเสนอข้อมูลและสารสนเทศทางการเงินที่เป้นอยู่ในปัจจุบันแก่
ผู้บริหารและพนักงานภายในองค์กรธุรกิจ ในขณะที่การบัญชีการเงินเป็นการจัดทาและนาเสนอข้ อมูลและ
สารสนเทศทางการเงินในอดีตขององค์กรแก่บุคคลและหรือหน่วยงานภายนอก เช่น ผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ นัก
ลงทุนและหน่วยราชการต่างๆ ฯลฯ เนื่องจากการบัญชีบริหารมีวัตถุประสงค์ที่จะมุ่งเน้นการรายงานผลการ
ดาเนินงานแก่ผู้บริหารภายในเป็นหลักสาคัญ จึงต้องเข้าใจถึงบทบาท หน้ าที่ และความต้องการข้อมูลและ
สารสนเทศของผู้บริหาร ตลอดจนสภาพแวดล้อมของธุรกิจแห่งนั้น ดังนั้น เนื้อหาในส่วนนี้จึงต้องการอธิบาย
ถึงบทบาทของการบัญชีบริหาร และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันเพื่อให้ผู้อ่านมีความรู้และความเข้าใจ
เป็นพื้นฐานเบื้องต้นก่อน
1.1.1 การบริหารธุรกิจและความต้องการสารสนเทศทางการบัญชีบริหาร
1.1.2 วิวัฒนาการของการบัญชีบริหาร
การบัญชีบริหารมีรากฐานมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 โดยในช่วงระยะเวลา
เริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ธุรกิจต่างๆ จะถูกควบคุมโดยเจ้าของเงินทุนเป็นส่วนใหญ่ บุคคลเหล่านี้ได้
นาทรัพย์สินของตนมาลงทุนหรือทาการกู้ยืมเงินทุนจากเจ้าหนี้ส่วนบุคคล เมื่อมีจานวนหนี้สินเพียงเล็กน้อย
และไม่มีผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลนอก การจัดทางบและรายการงานเงินต่างๆ จึงเป็นไปอย่างเรียบง่าย ตรงข้ามกับ
ความต้อ งการใช้ ข้ อมู ลด้ านการบั ญ ชีบ ริห ารที่สู ง ขึ้ น เรื่ อยๆ อัน เนื่ องมาจากขณะนั้ นเป็ นยุ คเริ่ม แรกของ
อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าเช่น เหล็ก สิ่ง ทอ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ผู้บริหารในอุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องการ
ข้อมูลเพื่อนาไปใช้บริหารการผลิตในโรงงาน
ภายหลังศตวรรษที่ 19 การบัญชีการเงินเริ่มมีความสาคัญมากขึ้น เนื่องจากหน่วยงานภายนอกเช่น
ตลาดทุน เจ้าหนี้ หน่วยงานรัฐบาลและกรมสรรพากร ได้บังคับให้ธุร กิจต่างๆ ต้องจัดทารายงานทางการเงิน
ตามมาตรฐานการบัญชีที่กาหนดไว้ เนื่องจากกิจการส่วนใหญ่ต้องเพิ่มเงินทุนเพื่อใช้ในการดาเนินงานปกติ ซึ่ง
ในการจัดหาเงินทุนจากแหล่งต่างๆ ภายนอกนี้ กิจการจะต้องแสดงรายงานการเงินที่ผ่านการรับรองจาก
ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลภายนอกเกิดความมั่นใจและเชื่อถือในรายงานการเงินของบริษัท
จึงเกิดวิธีต่างๆ ในการบันทึกรายการทางการบัญชีและจัดทารายงานทางการเงินในเวลาต่อมา และวิธีการตี
ราคาสินค้าคงเหลือก็เป็นวิธีหนึ่งที่นามาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงเวลาตอนท้ายศตวรรษที่ 19 ซึ่งส่งผลกระทบ
ต่อหลักการทางการบัญชีบริหารด้วย
ด้วยอิทธิพลของการบัญชีการเงินดังกล่าวข้างต้นได้ส่งผลกระทบต่อบทบาทของการบัญชีบริหาร
ในอีกหลายทศวรรษต่อมา กล่าวคือนักบัญ ชีบริหารจะมุ่ง เน้นความสาคัญ ไปที่การบัญ ชีการเงินเป็นหลั ก
ข้อมูลที่จะนาไปใช้ทางการบัญชีบริ หารจะต้องมีคุณลักษณะตามข้อกาหนดทางการบัญชีการเงินรวมทั้งต้อง
จัดทารายงานการเงินให้ทันตามเวลาที่กาหนด ในช่วงเวลานี้จึงไม่มีแนวคิดทางการบัญชีบริหารใหม่ๆ เกิดขึ้น
มากนัก จนกระทั่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ธุรกิจเกิดการขยายตัวมีผลิตภัณฑ์ใหม่หลายชนิด ส่งผลให้การ
ดาเนินงานทั้งด้านการผลิตและการขายสลับซับซ้อนมากขึ้น บริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เช่น ดูปองท์ เจเนอรัล
มอเตอร์ และเจเนอรัลอิเล็กทริก ได้เริ่มให้ความสาคัญกับการจัดทารายงาน ในเชิงบริหารแยกต่างหากจาก
รายงานการเงิน จนกระทั่งในช่วงกลางทศวรรษ 80 ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางการตลาด
และการค้าของโลก ประกอบกับความเจริญ ก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
ทางการบัญชี บริห าร สรุป ได้ ว่าการบั ญชีบ ริหารเข้ ามามีบ ทบาทในการบริห ารธุรกิ จมากขึ้น ทั้ง นี้เพราะ
ผู้บริหารต้องการที่จะต้องการที่จะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เหมาะสม และทันเหตุการณ์ เพื่อนาไปใช้ในการตัดสินใจ
บริหาร ธุรกิจในยุคโลกาภิวัตน์
การบัญชีบริหาร คือ การใช้วิธีการทางบัญ ชี รวบรวมข้อมูล จัดทารายงานทางการเงินใช้ในการ
บริหาร เพื่อจัดทางบประมาณ กาหนดด้นทุน เพื่อตัดสินใจระยะสั้นและวิเคราะห์โครงการลงทุนระยะยาว
ความสัมพันธ์ระหว่างบัญชีการเงินและบัญชีบริหาร ต้องใช้ร่วมกัน ข้อมูลบัญ ชีการเงินต้อง
นามาใช้ในบัญชีบริหารโดยตรงและต้องปรับปรุง เช่น ค่าเสื่อมฯ การรับจ่ายกระแสเงินสด บัญชีการเงินต้อง
ใช้ข้อมูลจากบัญชีบริหาร เช่น ต้นทุนสินค้าคงเหลือ ซึ่งได้มาจากบัญชีต้นทุนเป็นมาตรฐานตัดสินใจ
ข้อแตกต่างบัญชีการเงินและบัญชีบริหาร
บัญ ชี ก ารเงิ น ใช้ ร ะบบบั ญ ชี คู่ แยกประเภทข้ อ มู ล ท ารายงานการเงิ น ค านึ ง ถึ ง การใช้ ข อง
บุคคลภายนอก ไม่ค่อยยืดหยุ่น เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้ว
บัญชีบริหาร ไม่มีการรวบรวมที่แน่นอน ข้อมูลเกือบทั้งหมดได้จากรายงานของบัญชีการเงิน ข้อมูล
ประกอบด้วย อดีต ปัจจุบัน อนาคต หน่วยของข้อมูล เป็นหน่วยเงินตรา และเป็นจานวนหน่วย
เกณฑ์ในการรวบรวมของบัญชีการเงิน คือ หนี้สิน ทรัพย์สิน ส่วนของเจ้าของ กาไร ส่วนบัญ ชี
บริหารรวบรวมตามความรับผิดชอบ
งวดเวลาบัญชีการเงิน ใช้ เดือน ไตรมาส ปี ไม่ยืดหยุ่น
งวดเวลาบัญชีบริหาร ใช้ตามบัญชีการเงิน และตามต้องการของฝ่ายบริหาร
รูปแบบรายงานบัญชีการเงิน ไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ งบกาไร / งบดุล / งบกระแสเงินสด
รูปแบบรายงานบัญชีบริหาร เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของฝ่ายบริหาร
บัญชีการเงิน ต้องมีความเชื่อถือได้ เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
- บัญชีบริหาร เชื่อถือได้น้อย เพราะส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลในอนาคต
การวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่เป็นข้อมูลการเงิน ได้แก่
1) เพิ่มคุณภาพสินค้าและบริการ
2) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร
3) เพื่อบรรลุความพึงพอใจของลูกค้า
4) ลดต้นทุนของการผลิต
สิ่งที่ควรปรับปรุงต่อเนื่องในการบริหาร
1) ลดเวลาการเคลื่อนย้ายในการผลิต การเก็บรักษา รอรับบริการของลูกค้า ตรวจสอบคุณภาพ
2) ลดการสูญเสียทรัพยากร วัตถุดิบและแรงงาน
3) ลดเวลาเตรียมเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือกระบวนการผลิต
4) ลดกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า
1.1.3 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับบัญชีบริหาร
การด าเนิ น งานของธุ ร กิ จ เพื่ อ ให้ บ รรลุ ต ามเป้ า หมายหรื อ วั ต ถุ ป ระสงค์ ข องธุ ร กิ จ ที่ ก าหนด
ไว้ ผู้บริหารจะต้องรวบรวมข้อมูลจากฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องเอใช้แระกอบการวางแผน การควบคุม และการ
ตั ด สิ น ใจในการบริ ห ารการจั ด การภายในองค์ ก ารและภายใต้ ส ถานการณ์ แ ละสภาพแวดล้ อ มที่ มี ก าร
เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่จะเป็นข้อมูลให้แก่ฝ่ายบริหารเพื่อใช้เป็นแนวทางในการ
ดาเนินงานหรือปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ธุรกิจกาลังเผชิญอยู่ได้อย่างถูกต้อง แม่นยา และรวดเร็วทันต่อ
เหตุการณ์ก็คือ ข้อมูลทางด้านการบัญชี
การบัญชีเป็นการบันทึกรายงานทางการเงินที่เกิดขึ้นในขณะที่ธุรกิจกาลังดาเนินการอยู่ โดยจะมี
การจาแนกให้เป็นหมวดหมู่ตามระบบหรือหลักการบัญชีและรวบรวมข้อมูลทางการเงินเหล่านั้นเพื่อนาเสนอ
ให้แก่บุคคลต่างๆที่ตัดสินใจในผลการดาเนินงานและฐานะทางการเงินขิงธุรกิจ โดยข้อมูลทางการบัญ ชี
สามารถแยกพิจารณาตามลักษณะกลุ่มบุคคลที่นาข้อมูลทางการบัญชีไปใช้ได้ดังนี้
เป็นการจัดทาบัญชีเพื่อนาเสนอข้อมูลทางการเงินที่เกิดขึ้นในอดีตให้แก่บุคคลทั่วไปได้ทราบ
ซึ่งอาจเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลการดาเนินงานของธุรกิจเหล่านั้นก็ได้ เช่น ผู้ถือหุ้น นัก
ลงทุน เจ้าหนี้ หน่วยงานของรัฐบาล พนักงาน หรือบุคคลที่สนใจทั่วไป เป็นต้น โดยจะนาเสนอในรูปของ
งบการเงินโดยภาพรวมของธุรกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดทาตามข้อปฏิบัติทางกฎหมายและการปฏิบัติตาม
มาตรฐานการบัญชีที่รองรับโดยทั่วไป
1.3 บทบาทของฝ่ายบัญชีในองค์กร
การจัดโครงสร้างขององค์ธุรกิจนั้น สามารถแบ่ง ตามอานาจหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกั บ
วัตถุประสงค์หลักขององค์การได้ดังนี้
1.อ านาจหน้ า ที่ ห ลั ก (Line Authority) เป็ น สายงานที่ มี ห น้ า ที่ รั บ ผิ ด ชอบโดยตรงในการ
ดาเนินงานของธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายหลักขององค์การ เช่น ฝ่ายผลิตหรือฝ่ายขาย เป็นต้น
2. อานาจหน้าที่สนับสนุน ( Staff Authority) เป็นสายงานที่ให้การสนับสนุนละช่วยเหลือให้การ
ทางานของสายงานหลักเกิดประสิทธิภาพสูง สุด เช่น ฝ่ายบัญชีจะทาหน้าที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลทาง
การเงิ น เพื่อ เสนอต่ อ ผู้บ ริห ารในการตั ด สิน ใจเกี่ ยวกับ การก าหนดราคาสิน ค้า การควบคุ ม ต้น ทุ นการ
ผลิต และการจัดทางบประมาณ เป็นต้น
1.4 คุณสมบัติข้อมูลทางบัญชี
ข้อมูลทางบัญชีที่ดีและมีประโยชน์ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.4.1 ความเกี่ยวข้องของข้อมูล
ข้อมูลทางการบัญชีที่ฝ่ายบัญชีรวบรวมมานั้น จะต้องมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับปัญหาที่ ฝ่าย
บริหารกาลังตัดสินใจอยู่ การมีข้อมูลที่มากเกินความจาเป็นจาทาให้ฝ่ายบริหารต้องเสียเวลาในการจาแนก
ข้อมูลหรืออาจเกิดความสับสนในประเด็นที่พิจารณาได้
1.4.2 ทันต่อเวลา
ข้อมูลทางการบัญชีจะมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจเมื่อเป็นข้อมูลที่สามารถนามาใช้ได้ทันต่อเวลา
ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แลควรเป็นข้อมูลที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
1.4.3 ความถูกต้องเชื่อถือได้
ความถูกต้องและเชื่อถือได้ของข้อมูลจะช่วยให้การตัดสินใจนั้นมีความถูกต้องมากที่สุดด้วย ซึ่ง
การพิจารณาถึงความถูกต้องและเชื่อถือได้นั้นควรจะต้องมีเอกสาร หลักฐานอ้างอิง หรืออระบุแหล่งที่มา
ของข้อมูลได้ และการนาเสนอข้อมูลนั้นจะต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังแงมีความเป็นกลางในการแสดง
ข้อมูลที่เป็นตัวแทนของรายการหรือเหตุการณ์ทางบัญชี
1.4.4 การเปรียบเทียบกันได้
การนาเสนอข้อมูลทางบัญชีนั้นจะต้องยึดหลักความสม่าเสมอในการจัดทาเกี่ยวกับวิธีการทาง
บัญชีที่นามาใช้ การรับรู้รายการหรือการวัดมูลค่าของรายการต่างๆ ที่ปรากฏในงบการเงิน เพื่อประโยชน์ต่อ
ผู้ใช้ในการนาไปเปรียบเทียบถึงแนวโน้นขิงสถานการณ์ทางการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
1.5 ความหมายของงบการเงิน (Definition of Financial Statement)
สินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของเจ้าของ
- สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินระยะสั้น หรือหนี้สินหมุนเวียน
- เงินลงทุน - หนี้สินระยะยาว
- ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ (สินทรัพย์ถาวร) - หนี้สินอื่นๆ
- สินทรัพย์ไม่มีตัวตน - ส่วนของเจ้าของ
- สินทรัพย์อื่นๆ
1.6 การบัญชีและต้นทุนสาหรับผู้ประกอบการ
การบัญชีและการทาบัญชี
งานของการทาบัญชี เป็นเรื่องของการบันทึกรายการค้าหรือข้อมูลทางบัญชีที่เกิดขึ้นในสมุดบัญ ชี
จนกระทั่งจัดทางบการเงิน ผู้ที่มีหน้าที่ในการบันทึกบัญชีเรียกว่า “ผู้ทาบัญชี” (Bookkeeper) ส่วนการบัญชี
เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบระบบการบันทึกบัญชี การจัดทารายงานการเงินและแปลความหมายของ
รายงานการเงิน นักบัญชี (Accountant) มีหน้าที่จัดวางระบบบัญชีของกิจการ ควบคุมและตรวจตรางานของ
ผู้ทาบัญชี ดังนั้นนักบัญชีต้องเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์มากว่าผู้ทาบัญชี ประโยชน์ของข้อมูลทางการ
บัญชี
ทราบถึงความก้าวหน้าของกิจการ และประสบการณ์ในการดาเนินงานของผู้บริหาร
ทราบถึงผลการดาเนินงานและฐานะการเงินของกิจการ
ให้ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ใช้ข้อมูลเพื่อประกอบการวางแผนการควบคุม และตัดสินใจ
ให้ฝ่ายบริหารทราบถึงข้อบกพร่องในการดาเนินงานที่ผ่านมา เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการปรับปรุง
การดาเนินงานในอนาคต
ผู้ใช้ข้อมูลทางบัญชี
จากผู้ใช้ข้อมูลทางการบัญชี จะเห็นได้ว่าสามารถจาแนกประเภทของผู้ใช้งบการเงินได้เป็น 2
ประเภท คือ ผู้ใช้งบการเงินภายในกิจการ และผู้ใช้งบการเงินภายนอกกิจการ จากหลักการนี้สามารถแบ่ง
ประเภทของการบัญชีได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ การบัญชีการเงิน และการบัญชีบริหาร หรือการบัญชีเพื่อการ
จัดการ
การบันทึกบัญชีต้นทุนสินค้า
ทั้ง นั้ น จะขออธิ บายโดยเน้นการบัญ ชี ต้น ทุนตามระบบการสะสมต้น ทุน แบบต่อ เนื่อ ง เป็น หลั ก
เนื่องจากระบบสะสมต้นทุนแบบต่อเนื่องจะให้ข้อมูลต้นทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้บริหารมารก
กว่าระบบการสะสมต้นทุนแบบสิ้นงวด
วิธีการบัญชีเกี่ยวกับวัตถุดิบ
เมื่อผู้ขายจัดส่งวัตถุดิบโดยแนบใบกากับสินค้ามา ในใบกากับสินค้าจะแสดงจานวนราคาต่อหน่วย
และจานวนเงินรวม เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับของตรวจนับวัตถุดิบเรียบร้อยแล้วก็จะส่งรายงานการรับวั ตถุมายัง
ฝ่ายบัญชี ฝ่ายบัญชีจะนาเอกสารทั้งสองมาลงบันทึกการซื้อวัตถุดิบ บัญชีที่ใช้นี้เป็นบัญชีคุมยอดจึงลงบันทึ ก
การซื้อวัตถุดิบทุกชนิดไว้ด้วยกันหมดในบัญชีเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ วัตถุดิบที่ซื้อมาใช้แต่ละชนิดนาไปใช้ผลิตสินค้า
ต่างชนิดกันหรือวัตถุดิบชนิดหนึ่งอาจนาไปใช้ผลิตสินค้าได้มากกว่า 1 อย่าง หรืออาจนาไปใช้เป็นวัตถุทางตรง
หรือเป็นวัตถุดิบทางอ้อมก็ได้
รายการในสมุดรายวันซื้อมีดังนี้ (หรือสมุดรายวันทั่วไปหากไม่ใช้สมุดรายวันซื้อ)
วัตถุดิบ 330,800
เจ้าหนี้ 330,800
ขณะเดียวกันจะลงรับในบัตรวัตถุดิบ ก. (ท่อพลาสติก) ตามจานวนและราคาซื้อ 277,600 บาท ลงใน
บัตรวัตถุดิบ ข. (ท่อพลาสติกความหนาแน่นสู ง) 34,000 บาท และบัตรวัตถุดิบ ค. (ข้อต่อท่อ) 19,200 บาท
ในบัตรวัตถุดิบนี้จะแยกแสดงเป็นจานวนหน่วย ต้นทุนต่อหน่วย จานวนเงินและยังแยกกันสาหรับช่องรับ จ่าย
คงเหลือ จานวนที่ซื้อมาก็จะลงในช่องรับรวมกับยอดคงเหลือเดิมเป็นยอดวัตถุดิบคงเหลือ บัตรวัตถุดิบจะ
แสดงดังนี้
บัตรวัตถุดิบ – ก (ท่อพลาสติก)
วันที่ รับ จ่าย คงเหลือ
จานวน @ จานวน จานวน @ จานวนเงิน จานวน @ จานวนเงิน
เงิน
1 40 850 34,000 40 850 34,000
บัตรวัตถุดิบ – ข (ท่อพลาสติกความหนาแน่นสูง)
วันที่ รับ จ่าย คงเหลือ
จานวน @ จานวนเงิน จานวน @ จานวนเงิน จานวน @ จานวนเงิน
1 80 6,940 277,600 80 6,940 277,600
บัตรวัตถุดิบ – ค (ข้อต่อท่อ)
วันที่ รับ จ่าย คงเหลือ
จานวน @ จานวน จานวน @ จานวนเงิน จานวน @ จานวนเงิน
เงิน
1 40 480 19,200 40 480 19,200
วัตถุดิบที่ส่งคืนจะลงในช่องจ่ายของบัตรวัตถุดิบนั้นแล้วหายอดคงเหลือ แสดงดังนี้
บัตรวัตถุดิบ – ค (ข้อต่อท่อ)
วันที่ รับ จ่าย คงเหลือ
จานวน @ จานวน จานวน @ จานวนเงิน จานวน @ จานวนเงิน
เงิน
1 40 480 19,200 80 240 277,600
2 10 240 2400 70 240 16,800
ต้นทุน
ทรัพยากรใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ
วัดค่าได้ในรูปของตัวเงิน
ปริมาณ
ระดับของกิจกรรมเป็นจานวนหน่วย
กาไร
กาไรจากการดาเนินงาน คือ รายได้หักจากค่าใช้จ่าย
ต้นทุนคงที่ (Fixed cost) ผลิตเท่าเดิม จานวนเท่าเดิม จ่ายเท่าเดิม
ต้นทุนผันแปร (Variable cost) ผลิตมากจ่ายมาก ผลิตน้อยจ่ายน้อย
ต้นทุนผสม (Mixed cost) คงที่+[ผันแปร]
จุดคุ้มทุน
ไม่มีกาไรแต่ไม่ขาดทุน
รายได้ = ค่าใช้จ่าย , รายได้ = ต้นทุนผันแปร + ต้นทุนคงที่
จุดคุ้มทุน : ต้นทุนคงที่เดือนละ/กาไรส่วนเกินต่อหน่วย
การวางแผนกาไร
หาความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับต้นทุน
จานวนขายที่ต้องการกาไร = ( ต้นทุนคงที่+กาไรที่ต้องการ ) / กาไรส่วนเกินต่อ
หน่วย
การจัดทางบแสดงฐานะการเงิน
งบกาไรขาดทุน (Income Statement)
เมื่อกิจการค้าได้บันทึกรายการปรับปรุงบัญ ชี รายการปิดบั ญชีเรียบร้อยแล้ว กิจการค้าต้องนามา
จัดทางบแสดงฐานะการเงิน (Financial Statement) เพราะตามวัตถุประสงค์ของกิจการคือต้องการทราบผล
การดาเนินงาน และฐานะการเงินของกิจการ งบแสดงฐานะการเงินตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543
นั้นประกอบด้วย งบกาไรขาดทุน งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของ งบ
กระแสเงินสด และหมายเหตุประกอบงบแสดงฐานะการเงิน สาหรับงบแสดงฐานะการเงินของธุรกิจพาณิชยก
รรมประเภทกิจการเจ้าของคนเดียว
งบกาไรขาดทุนหรือบัญชีกาไรขาดทุน (Income Statement หรือ Profit and Loss Statement)
เป็นรายการที่แสดงผลการดาเนินงานของกิจการสาหรับช่วงระยะเวลาหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นระยะเวลา 3 เดือน
6 เดือนหรือ 1 ปี ก็แล้วแต่ เป็นงบที่จะทาให้ทราบว่ากิจการมีกาไรหรือขาดทุนเท่าใด สามารถจัดทาได้ 2
รูปแบบ คือ แบบรายงาน (Report from) และแบบบัญชี (Account from) ตามมาตรฐานบัญชีอาจจะจัดทา
แบบแสดงยอดขั้นเดียว (Single Step) และแบบแสดงยอดหลายขั้น (Multiple Step)
สรุปงบแสดงฐานะการเงินรวม
ปี 2564 ปี 2563 ผลต่าง
ประเภทรายได้
ลบ. % ลบ. % ลบ. %
1. รายได้จากธุรกิจผลิต จาหน่าย และติดตั้ง
ท่อ
915.67 74.95 1,016.25 83.85 (100.58) (9.90)
1.1 รายได้จาการขาย
112.77 9.23 76.07 6.28 36.70 48.25
1.2 รายได้จากการติดตั้ง
11.23 0.92 8.23 0.68 3.00 36.45
1.3 รายได้จากการให้บริการขนส่ง
รวม 1,039.67 85.10 1,100.55 90.81 (60.88) (5.53)
2. รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการน้า
2.1 รายได้จากการผลิตและจาหน่ายน้าประปา
97.75 8.00 80.71 6.66 17.04 21.11
2.2 รายได้จากการจาหน่ายและติดตั้งระบบ
76.73 6.28 23.56 1.94 53.17 225.68
เพื่อผลิตน้าประปา
รวม 174.48 14.28 104.27 8.60 70.21 67.33
3. รายได้อื่นๆของกลุ่มบริษัท
3.1 รายได้เงินปันผลรับ 1.66 0.14 1.12 0.09 0.54 48.21
3.2 รายได้ดอกเบี้ยรับ 1.77 0.14 0.67 0.06 1.10 164.18
3.3 อื่นๆ 4.06 0.33 5.33 0.44 (1.27) (23.83)
รวม 7.49 0.61 7.12 0.59 0.37 5.20
รวมรายได้ 1,221.64 100.00 1,211.94 100.00 9.70 0.80
4. ค่าใช้จ่าย
4.1 ต้นทุนขาย 868.17 71.60 864.42 77.67 3.75 0.43
4.2 ต้นทุนบริการ 183.95 15.17 92.30 8.29 91.65 99.30
4.3 ค่าใช้จ่ายขาย 52.88 4.36 55.88 5.02 (3.00) (5.37)
4.4 ค่าใช้จ่ายบริหาร 73.38 6.05 77.04 6.92 (3.66) (4.75)
4.5 ต้นทุนทางการเงิน 34.21 2.82 23.27 2.09 10.94 47.01
รวมค่าใช้จ่าย 1,212.59 100.00 1,112.91 100.00 99.68 8.96
5. รายได้ (ค่าใช้จ่าย) ภาษีเงินได้ 3.25 0.27 (8.77) (0.72) 12.02 (137.06)
6. กาไรสุทธิ 12.30 1.01 90.26 7.45 (77.96) (86.37)
7. กาไรสุทธิต่อหุ้น 0.03 - 0.24 - (0.21) (87.50)
บทที่ 2
การวิเคราะห์เชิงปริมาณ และการเงินธุรกิจ
2.1 ความสาคัญของการวิเคราะห์เชิงปริมาณ
สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการติดต่อสื่อสาร
ทันสมัย รวดเร็ว มีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ไร้พรมแดน ประกอบกับปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจที่ทวีความ
รุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้มีทั้งองค์กรที่ประสบความสาเร็จและองค์กรที่ ไม่ประสบผลสาเร็จจนต้องเลิกกิจการ
ซึ่ง ผู้บริหารที่จะสามารถพัฒนาและนาพาองค์กรไปสู่เป้าหมายอันสูง สุดได้จะต้องมีการตัดสินใจที่ถูกต้อง
รวดเร็ว และรอบด้าน ใช้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งการตัดสินใจโดยทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะคือ การตัดสินใจ
โดยใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ อาศัยความรู้ ประสบการณ์ และวิจารณญาณเฉพาะส่วนบุคคล และการตัดสินใจโดย
ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณเข้ามาประกอบการวิเคราะห์
การดาเนินธุรกิจในอดีตกาลที่มีการแข่งขันน้อย มีกิจการหรือองค์กรทางธุรกิจเพียงไม่กี่รายผู้บริหาร
สามารถใช้การตัดสินใจในลักษณะแรกได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจในปัจจุบัน ประกอบ
กับปัญหาในองค์กรมีหลากหลาย ตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งมียอดขายลดลงผู้บริหารจึงต้องมีการนาข้อมูล
การวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการเพิ่มยอดขาย ซึ่งข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์มีทั้ งข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูล
เชิงคุณภาพ โดยข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น จานวนวัตถุดิบ แรงงาน เงินทุน ต้นทุนการผลิต ราคาขาย กาลังการ
ผลิต จานวนลูกค้า และการขนส่ง เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเก็บรวบรวมได้จากงบการเงิน หรือสถิติต่างๆ
ที่ฝ่ายต่างๆ ของบริษัทบันทึกไว้ และข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น ชื่อเสียง ภาพพจน์ขององค์กร ของสินค้า
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน หรือปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กรที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลเป็น
สถิติหรือตัวเลขได้หากผู้บริหารจะวางแผนเพื่อการเพิ่มยอดขายโดยใช้ข้อมูลเชิงปริมาณเพียงอย่างเดียว จะไม่
สามารถแก้ปัญหาหรือเพิ่มยอดขายได้จริง หากปัญหาเชิงคุณภาพไม่ได้รับการแก้ปัญหาหรือนามาวิเคราะห์
ร่วมด้วย ดังนั้น ผู้บริหารจะไม่สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพหรือประสบการณ์เฉพาะส่วนบุคคล
เพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพประกอบการตัดสินใจควบคู่
กันด้วย ดังภาพประกอบที่ 1.1
รูปที่ 2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ
ขณะเดียวกันหลายองค์กรมักมองว่า ข้อมูลเชิงปริมาณและการวิเคราะห์เป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ในความ
เป็นจริงแล้วองค์กรต่างๆ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณไว้ แต่ไม่ได้นามาใช้วิเคราะห์เพื่อการแก้ปัญหา
ซึ่งอาจเกิดจากผู้รวบรวมไม่เข้าใจในปัญหา หรือผู้วิเคราะห์ไม่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูล จึงทาให้
องค์กรส่วนใหญ่ไม่ให้ความสาคัญในการนาข้อมูลเชิงปริมาณมาใช้ตัวอย่างเช่น ลูกค้าคนหนึ่งมีบัตรเครดิตเพื่อ
ใช้ซื้อสินค้าจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ซึ่งจากพฤติกรรมการซื้อสินค้า เช่น ประเภทสินค้า ปริมาณสินค้า
ช่วงเวลา ความถี่ สถานที่หรือห้างสรรพสินค้าตลอดจนวิธีการชาระค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิต เช่น ชาระที
ธนาคาร ที่ห้างสรรพสินค้า ไปรษณีย์ หรือเคาน์เตอร์เซอร์วิสต่างๆ ซึ่งสถาบันการเงินเจ้าของบัตรเครดิตล้วนมี
ข้อมูลเหล่านี้ของลูกค้าแต่ละคนอยู่แล้ว และหากต้องการส่งเสริมการขายกับองค์กรต่างๆ หรือร่วมเป็น
พันธมิตรทางการค้ากันจะยิ่งเป็นการส่งเสริมการขายและการให้บริการกับองค์กรได้เป็นอย่างดี
2.4 คอมพิวเตอร์กับการวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เนื่องจากการดาเนินธุรกิจในปัจจุบัน ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะมีความยุ่งยาก ซับซ้อน และมีตัว
แปรหรือปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ทาให้ตัวแบบเชิงปริมาณที่สร้างขึ้นแทนปัญหาต่างๆ มีขนาด
ใหญ่มาก การหาคาตอบจึงไม่สามารถคานวณเองได้ด้วยมือ จึงมีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้เพื่อ
ช่วยในการคานวณมากมายหลายโปรแกรม มีทั้งสามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (Mainframe)
และโปรแกรมขนาดเล็กที่สามารถใช้ได้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จึงทาให้การแก้ปัญหาสามารถทาได้ง่าย
ขึ้น เร็วขึ้น และยังทาให้ผลลัพธ์มีความถูกต้อง แม่นยา ทันต่อเหตุการณ์ และสามารถนาผลลัพธ์ที่ได้ไปทากา
วิเคราะห์ให้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตัวอย่างโปรแกรมสาเร็จรูปที่ มีผู้พัฒนาขึ้นและมีการใช้อย่างแพร่หลายที่จะ
กล่าวถึงในเอกสารฉบับนี้ ได้แก่ (สุทธิมา,2555: 19-24)
1) โปรแกรม LINDO (Linear Interactive Discrete Optimizer)เป็นโปรแกรมที่พัฒนาอย่าง
ต่อเนื่องมาตั้งแต่ ค.ศ.1979 โดยไลนัส ชราจ (Linus E.Schrage) แห่ง มหาวิทยาลัยชิค าโก ประเทศ
สหรัฐอเมริกาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 2001 บริษัท LINDOSystem Inc ได้เสนอ LINDO API (LINDO
Application Programming Interface) ที่คานวณได้รวดเร็ว มีลักษณะพิเศษที่รองรับการใช้งานด้านต่างๆ
ได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่การป้อนข้อมูล การแก้ไขข้อมูลการแก้ปัญหา การแสดงผลลัพธ์ การพิมพ์ข้อมูล และการ
แสดงผลการวิเคราะห์ และยังเป็นโปรแกรมที่ใช้ง่ายและนิยมใช้กันมากสาหรับการแก้ปัญหาโปรแกรมเชิงเส้น
2) โปรแกรม QSB+ (Quantitative Systems for Business Plus) เป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดยยี
ลอง ชาง (Yih-Long Chang) และรอเบิร์ต ซัลลิแวน (Robert S. Sullivan) ซึ่งถือว่าเป็นอีกโปรแกรมหนึ่งที่มี
การนามาใช้กันอย่างกว้างขวาง และได้มีการพัฒนาโปรแกรมให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ สามารถใช้
แก้ปัญหาตัวแบบเชิงปริมาณได้ทั้งหมด 14ตัวแบบ
3) โปรแกรม QS (Quant System) เป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดยยี ลอง ชาง และรอเบิร์ต ซัลลิแวน มี
ลักษณะคล้ายกับโปรแกรม QSB+ แต่มีตัวแบบอื่นๆ ด้านการจัดการดาเนินงานเพิ่มเติมขึ้นอีก 12 ตัวแบบ
4) โปรแกรม D&D มีลักษณะคล้ายโปรแกรม QSB+ เป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดยเทอร์รี เดนนิส
(Terry L. Dennis) และลอรี เดนนิส (Laurie B. Dennis) แห่งสถาบันเทคโนโลยีโรเชสเตอร์ (Rochester
Institute of Technology) ประเทศอังกฤษ มีลักษณะคล้ายกับโปรแกรม QSB+
5) โปรแกรม QM for Windows พัฒนาขึ้นโดยศาสตราจารย์โฮวาร์ด เวสส์ (Professor Howard
Weiss) แห่งมหาวิทยาลัยเท็มเปิล (Temple University) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นโปรแกรมที่มีการพัฒนา
ประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ มีลักษณะเป็น menu-driven software ที่มีเมนูให้เลือก และสามารถทางานได้
ง่ายขึ้น และยังมีโปรแกรม Excel QM ในลักษณะแผ่นตารางการทางาน (Spreadsheet) ที่สร้างสูตรการ
คานวณไว้ให้แล้ว โดยที่ผู้ใช้สามารถดูสูตรที่ใช้ในการคานวณได้ โปรแกรม QM for Windows
6) โปรแกรม Micro Manager เป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดย ซาง เอ็ม. ลี (Sang M. Lee) และจุง พี.
ซิม (Jung P. Shim) เป็นโปรแกรมที่ประกอบด้วยตัวแบบเชิงปริมาณ 17 ตัวแบบ
7) โปรแกรม Management Scientist เป็นโปรแกรมสาเร็จรูปที่ใช้ช่วยในการคานวณเพื่อการ
แก้ปัญหาต่างๆ ในศาสตร์ด้านวิทยาการจัดการ (Management Science) ปัจจุบันเป็นเวอร์ชัน 5.0 ใช้กับ
Windows 95 และ Windows 98 ประกอบด้วย 12 มอดูล (Module) เหมาะสาหรับการแก้ปัญหาที่มีขนาด
ไม่ใหญ่มากนัก
8) โปรแกรม AB:QM Manager เป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดยแบร์รี เรนเดอร์ (Barry Render) และ
ราล์ฟ สแตร์ จูเนียร์ (Ralph M. Stair, Jr.) ประกอบด้วยตัวแบบเชิงปริมาณรวม 17 ตัวแบบเหมือนกับ
โปรแกรม Micro Manager
9) โปรแกรม Quick Quant เป็นโปรแกรมสาเร็จรูปทางด้านการวิเคราะห์เชิงปริมาณที่พัฒนาโดยลอว์เรนซ์
ลาพิน (Lawrence L. Lapin) ใช้กับหนังสือ Quantitative Decision Making โดยมีการปรับปรุงให้สะดวก
ในการใช้งานมากขึ้น
10) โปรแกรม Microsoft Office Project Professional 2003 เป็นโปรแกรมสาหรับการบริหาร
จัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถช่วยในการวางแผนและควบคุมการกาหนดเวลา และ
ทรัพยากรของโครงการ ใช้ติดตามความก้าวหน้าของโครงการได้อย่างใกล้ชิด และสามารถแสดงข้อมูลและ
รายงานต่างๆ ได้อย่างละเอียด ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไมโครซอฟต์
11) โปรแกรม Excel Spreadsheet เป็นโปรแกรมที่สามารถใช้งานด้านการคานวณและสูตรได้
มากกว่าโปรแกรมอื่นๆ กล่าวคือ ผู้ใช้สามารถสร้างสูตรในการคานวณได้เองและมากกว่า สามารถกาหนด
รูปแบบการนาเข้าข้อมูล ออกแบบลักษณะการนาเสนอข้อมูล กาหนดหรือบรรจุรายละเอียดต่างๆ ตามที่
ต้องการได้
2.6 การใช้ข้อมูลการจัดการต้นทุนในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
การจัดทางบประมาณเหมาะสาหรับธุรกิจที่กาลังเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก การจัดทางบประมาณจะ
ช่วยให้ผู้บริหารสามารถควบคุมการขายและค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้นโดยผ่านตัวเลขทางบัญชีและการเงิน ฉะนั้น
การจัดทางบประมาณถือเป็นเครื่องมือสาคัญในการควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายของธุรกิจ และยังเป็นเครื่องมือให้
ฝ่ายบริหารสามารถวางแผนการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องมือในการวางแผน
กาไรของกิจการด้วย ลักษณะและรูปแบบของงบประมาณจะเป็นตัวเลขทั้งจานวนหน่วยที่ขายหรือผลิตและ
จานวนเงินซึ่งได้จากแผนงานที่พยากรณ์ไว้ในปีถัดไป การจัดทางบประมาณมักจัดทาไปพร้อมกับการจัดทา
แผนดาเนินงานประจาปีซึ่งผู้จัดทาต้องคานึงถึงสิ่งเหล่านี้ วัตถุประสงค์ของบริษัท , เป้าหมายทั้งระยะสั้นและ
ระยะยาวของบริษัท ผู้จัดการฝ่ายจะเป็นผู้จัดทาแผนของฝ่ายตนเองโดยมักจะเริ่มจัดทาตั้งแต่เดือนตุลาคมถึง
เดือนธันวาคมเพื่อวางแผนการขาย ในปีถัดไปนั่นเอง การจัดทาแผนจะประกอบไปด้วยแผนต่าง ๆ เช่น แผน
ตลาด แผนผลิต แผนการจัดการ แผนบุคลากร แผนการเงินและบัญชี ธุรกิจที่มีการวางแผนตามกลยุทธ์แล้ว
เจ้ าของกิ จ การก็ จะเฝ้ าติ ดตามว่า ธุร กิจ ได้ ดาเนิ น ไปตามแผนที่ วางไว้ห รือ ไม่ โดยติด ตามจากตัว เลขของ
งบประมาณที่ตั้งไว้นั่นเองเพราะการวางแผนจะบอกว่าปีหน้าจะขายเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด หากการวางแผนไม่มี
การระบุเป็นตัวเลข เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารก็ไม่สามารถติดตามควบคุมการขายและค่าใช้จ่ายได้เลย
งบประมาณการของธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางจะนิยมทาขึ้น 2 ประเภท
สาหรับธุรกิจขนาดเล็กไม่จาเป็นต้องทางบประมาณการทุกงบตามด้านบน อาจเลือกทางบประมาณที่
มีความสาคัญต่อกิจการตนเอง เช่น งบประมาณการขาย งบประมาณค่าใช้จ่ายและงบประมาณกาไรขาดทุน
การจัดทางบประมาณควรให้ฝ่ายบัญชีเป็นผู้ร วบรวมตัวเลขจากฝ่ายต่าง ๆ เพื่อนามาออกเป็นงบประมาณ
หากกิจการใดที่ไม่มีความรู้เรื่องการจัดทาประมาณการก็อาจต้องหาที่ปรึกษาในการจัดทาแผนธุรกิจและจัดทา
ประมาณการในปีแรกที่เริ่มต้นจัดทาก่อนเพื่อให้เป็นตัวอย่างในการจัดทาปีต่อๆ ไปได้
ขั้นตอนการจัดทางบประมาณการ
• นาข้อมูลการขาย ค่าใช้จ่ายในอดีตมาวิเคราะห์
• ดูแนวโน้มของธุรกิจว่าดีขึ้นหรือแย่ลงเพื่อวางแผนปีหน้า
• ดูสภาพเศรษฐกิจโดยรวม
• ดูความพร้อมของทรัพยากรวัตถุดิบ คน เครื่องจักร เงินทุน
• เจ้าของกิจการ, ผู้บริหาร, ผู้จัดการฝ่าย ร่วมกัน กาหนดเป้าหมายในการดาเนิน งานว่าจะเพิ่ม
ยอดขาย หรือเพิ่มผลิตภัณฑ์ เพิ่มสาขา เพิ่มตลาดฯลฯ
• กาหนดกลยุทธ์ในการดาเนินงานให้เป็นไปตามแผน
• เริ่มจัดทางบประมาณให้เป็นไปตามแผนโดยมีการตั้งข้อสมมติฐานในการจัดงบประมาณการตาม
แผนที่วางไว้ คือการพยากรณ์รายได้จากการขาย รายจ่ายจากต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายการขาย
และการบริหารและความต้องการเงินที่ต้องลงทุนเพิ่ม
• แผนกหรือฝ่ายแต่ละฝ่ายส่งงบประมาณของฝ่ายตนเองมาให้บัญชีและการเงินรวบรวมเพื่อออกมา
เป็นงบประมาณกาไรขาดทุน และงบประมาณการงบดุล
• งบประมาณการควรมีการจัดทาขึ้นแบบมีรายละเอียดทุกเดือนเพื่อให้ผู้บริหารติดตามได้และมีการ
สรุปเป็นรายไตรมาส เพื่อแก้ไขได้ทันการณ์หากการขายไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
2.8 การวิเคราะห์การลงทุน
การวิเคราะห์การลงทุนเป็นวิธีหนึ่ง ที่ป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน ให้กับผู้ประกอบการได้ การ
เริ่มต้นธุรกิจมีความเสี่ยงสูงยิ่งเงินลงทุนสูงความเสี่ยงก็ยิ่งสูงตาม ดังนั้นเจ้าของกิจการที่จะเริ่มลงทุนในกิจการ
ใหม่ๆหรือเป็นกิจการที่จะลงทุนเพื่อการขยายควรวิเคราะห์การลงทุนก่อนเพื่อตัดสินใจว่าจะลงทุนดีหรือไม่
นอกจากนั้นการวิเคราะห์การลงทุนยังทาให้เราทราบว่าการลงทุนนี้จะมีผลตอบแทนกลับมาเท่าไหร่ด้วย การ
ลงทุนสามารถแยกออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. การลงทุนเพื่อทดแทนและปรับปรุง เช่นซื้อเครื่องจักรใหม่แทนเครื่องจักรเก่า เพื่อลดต้นทุนหรือเพิ่มประ-
สิทธิภาพการผลิตก็ได้
2. การลงทุ น เพื่ อ ขยายกิ จ การ เป็ น การลงทุ น ในการขยายโรงงานหรื อ สร้ า งโรงงานใหม่ รวมทั้ ง เพิ่ ม
สายการผลิต
3. การลงทุนเพื่อเริ่มธุรกิจ เป็นการลงทุนในกิจการใหม่
การวิเคราะห์การลงทุนมีขนตอนดั
ั้ งนี
้ ้
จากขั้นตอนการวิเคราะห์การลงทุนข้างบนนี้ทาให้เจ้ าของกิจการหรือผู้รับผิดชอบจัดทาโครงการ
ลงทุนต้องมีการวางแผนหาข้อมูลให้ครบเพื่อให้การวิเคราะห์มีความแม่น ยาและถูกต้องขึ้น การหาข้อมูลและ
กาหนดรูปแบบการลงทุนในโครงการนั้นจะต้องหาข้อมูลทางการเงินด้วยเพื่อนามาจัดทาประมาณการทางเงิน
ซึ่งคือการพยากรณ์ว่าการลงทุนนี้จะได้รับผลตอบแทนและมีรายได้ ค่าใช้จ่ายเท่าใด โดยการรวบรวมข้อมูล
นั้นจะต้องมีการหาข้อมูลเพื่อนามาใช้ในการวิเคราะห์ดังนี้
เงินลงทุนในโครงการ ก็คือค่าใช้จ่ายทั้ง หมดในการลงทุน เงินลงทุนส่วนนี้จะรวมถึงเงินลงทุนใน
ทรัพย์สินถาวรและเงินทุนหมุนเวียนด้วย คุณจะต้องหาข้อมูลราคาเครื่องจักร ราคาค่าสร้างโรงงาน
ค่าตกแต่งสานักงาน อุปกรณ์สานักงานและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าด้วย รวมทั้งจานวนเงินที่
จะสต๊อกวัตถุดิบและการให้เครดิตกับลูกหนี้การค้า เมื่อทราบจานวนเงินทั้งหมดแล้วก็ให้มาคานวณ
ว่าเจ้าของว่ามีเงินลงทุนเท่าใด ส่วนที่เหลือก็จาเป็นต้องไปขอเงินกู้หรือหาผู้ร่วมทุนเพื่อให้โครงการนี้
ได้เกิดขึ้นจริง ๆ
การกาหนดระยะเวลาของการจัดทาประมาณการทางการเงิน ควรจะจัดทาประมาณการอย่างน้อย 3
ปีสาหรับธุรกิจขนาดเล็กและอย่างน้อย 5 ปีสาหรับธุรกิจขนาดกลาง
รายได้ที่จะได้รับจากการลงทุนตลอดระยะเวลาที่เราจัดทาประมาณการทางการเงิน
ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึน้ จากการลงทุนตลอดระยะเวลาการจัดทาประมาณการ
จานวนเงินกู้ที่ต้องขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ระยะเวลาการคืนหนี้และอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่า
จะต้องเสียให้กับสถาบันการเงินและจานวนเงินที่ต้องผ่อนชาระแต่ละเดือน
ทรัพย์สินที่จะต้องซื้อเพื่อการลงทุนมีอะไรบ้าง ราคาเท่าใด
บุคลากรที่จะจ้างและค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายในแต่ละปี
ประมาณการลูกหนี้การค้าที่จะเกิดขึ้นหากต้องให้เครดิตเทอม
กฎหมายที่เกี่ยวข้องและข้อบังคับของธุรกิจที่จะต้องปฏิบัติตาม
การวางระบบต่าง ๆ ต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าใด
ค่าจดทะเบียนและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีเงินได้
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภาษีสรรพสามิต
ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง
ภาษีบารุงท้องที่
ภาษีป้าย
อากรแสตมป์
4.1 ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึงภาษีที่จัดเก็บจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่เพิ่มข้นในแต่ละขั้นตอนของ
การผลิตหรือการจาหน่ายสินค้าหรือบริการ ปัจจุบันภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยเรานั้น อยู่ในอัตราคงที่คือ
7% หากผู้ประกอบการได้ทาการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อ
สินค้าหรือบริการและออกใบกากับภาษีเพื่อเป็นหลักฐานในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดทารายงานตามที่
กฎหมายกาหนด ซึ่งได้แก่ รายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขาย และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ และสุดท้าย
จะต้องทาการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามแบบ ภ.พ. 30 โดยผู้ประกอบการจดทะเบียน ต้องยื่น
แบบ ภ.พ.30 พร้อมชาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้ามี) เป็นรายเดือนทุกเดือนภาษี โดยให้ยื่นแบบภายในวันที่ 15
ของเดือนถัดไป ซึ่งคานวณจากยอดภาษีขาย หักออกด้วยยอดภาษีซื้อ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่
ผู้ประกอบการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่
ผู้อยู่นอกระบบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ประกอบการที่มีรายรับไม่ถึงเกณฑ์ที่กาหนด
ผู้ประกอบการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
4.1.1 ประเภทของภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีขาย (output tax) หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้เรียกเก็บ จากผู้ซื้อ
สินค้า หรือผู้รับบริการ
ภาษีซื้อ (input tax) หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบการได้จ่ายให้กับผู้ขายสินค้า หรือผู้
ให้บริการ
4.1.2 อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
อัตราภาษีมู ลค่ า เพิ่มตามประมวลรัษฎากร ร้อยละ 10 เป็ นอัต ราภาษีมูลค่ าเพิ่ มที่เรี ยกเก็ บจาก
ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือบริการ ที่มีรายรับเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปีอัตรานี้ในปัจจุบันได้
มีพระราชกฤษฎีกาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มลงจากร้อยละ 10 ต่อปี เหลือร้อยละ 6.3 เมื่อรวมกับภาษี
ท้องถิ่นอีกร้อยละ 0.7 จะเท่ากับร้อยละ 7 ต่อปี
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 0 เช่น การส่ง ออกสินค้าของผู้ประกอบการจดทะเบียน ส่วนราชการ
หรือรัฐวิสาหกิจ
การคานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
การคานวณภาษีซื้อ ทุกวันสิ้นเดือนจะต้องคานวณหายอดรวมของภาษีซื้อโดยไม่ต้องคาถึงว่าสินค้าที่
ซื้อมาในเดือนนั้นจะนาไปขายหรือนาไปใช้ในการผลิตเดือนใด
การคานวณภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นการคานวณโดยการหาผลต่างของภาษีขายและภาษีซื้อในทุ กวันสิ้น
เดือน เพื่อชาระภาษีเพิ่มหรือขอรับภาษีคืน ดังนี้
เรียกเก็บภาษีขายจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน
จัดเก็บใบกากับภาษีตามเดือนภาษี
จัดทารายงานที่เกี่ยวข้อง
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้แก่
o บริษัท จากัด
o บริษัทมหาชน จากัด
o ห้างหุ้นส่วนจากัด
o ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ในประเทศไทย ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
o บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น เข้ามากระทากิจการในประเทศไทย
(มาตรา 66 วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร)
o บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทากิจการในที่อื่นๆ รวมทั้งในประเทศ
ไทย (มาตรา 66 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร)
o บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทากิจการอื่นๆรวมทั้งในประเทศไทย
และกิจการที่กระทานั้นเป็นกิจการขนส่งระหว่างประเทศ (มาตรา 67 แห่งประมวล
รัษฎากร)
o บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่
ได้รับเงินได้พงึ ประเมินตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศ
ไทย (มาตรา 70)
o บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ตาม
มาตรา 76 วรรคสอง และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ได้จาหน่ายเงินกาไรหรือเงิน
ประเภทอื่นที่กันไว้จากกาไร หรือถือได้ว่าเป็นเงินกาไรออกไปจากประเทศไทย (มาตรา 70
ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร)
o บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น มิได้เข้ามาทากิจการในประเทศไทยโดยตรง
หากแต่มีลูกจ้างหรือผู้ทาการแทนหรือผู้ทาการติดต่อ ในการประกอบกิจการในประเทศไทย
ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกาไรในประเทศไทย (มาตรา 76 ทวิ)
กิจการซึ่งดาเนินการเป็นทางค้าหรือหากาไรโดย
o รัฐบาลต่างประเทศ
o องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
o นิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ได้แก่ กิจการที่ดาเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากาไร ระหว่าง
บุคคลดังต่อไปนี้คือ
o บริษัทกับบริษัท
o บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
o ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
o บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา
o บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
o บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนสามัญ
o บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับนิติบุคคลอื่น
มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศ
กาหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล
นิติบุคคลที่อธิบดีกาหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นบริษัทหรือห้าง
หุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
กาไรสุทธิ อัตราภาษีร้อยละ
ไม่เกิน 300,000 บาท ยกเว้น
เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 3,000,000 บาท 15
เกิน 3,000,000 บาท ขึ้นไป 20
กรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีรอบระยะเวลาบัญชีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้าย
น้อยกว่า 12 เดือน ไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี
การคานวณเงินได้นิติบุคคลจากกาไรสุทธิ เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี การคานวณกาไรสุทธิของ
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้คานวณกาไรสุทธิตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน ประมวลรัษฎากร โดยนากาไร
สุทธิดังกล่าวคูณด้วยอัตราภาษี เงินได้นิติบุคคล จะได้ภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ต้องชาระ ถ้าคานวณกาไรสุทธิ
ออกมาแล้วปรากฏว่า ไม่มีกาไรสุทธิ หรือขาดทุนสุทธิ บริษัทไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ถ้าการจัดทา
บัญชีของบริษัทได้จัดทาขึ้นตามหลักบัญชีโดยไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในประมวลรัษฎากรเมื่อ จะคานวณภาษี
บริษัทจะต้องปรับปรุงกาไรสุทธิดังกล่าวให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน ประมวลรัษฎากรแล้วจึง คานวณ
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ตัวอย่างฟอร์ม ภ.ง.ด.51 คือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลครึ่งปี
ตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร สาหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.
2557 ใช้สาหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิ ติบุคคลที่ต้องจัดทาประมาณการกาไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิตาม
มาตรา 67 ทวิแห่งประมวลรัษฏากร โดยต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 และชาระภาษีภายใน 2 เดือนนับแต่วัน
สุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี 6 เดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี หรือในกรณีบริษัทจดทะเบียน
ในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคาร หรือบริษัทเงินทุนให้คานวณภาษีจากรอบระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันแรกของ
รอบระยะเวลาบัญชี และชาระภายใน 2 เดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลา 6 เดือน
3.3 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ภาษีที่จะหัก ณ ที่จ่าย ถ้ามีการจ่ายเงินเกิดขึ้น คนที่จ่ายเงินที่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท หรือนิติบุคคล
หักไว้ก่อนที่จะจ่ายเงินให้กับคนรับ ที่เป็นนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดาก็ได้ เพื่อนาส่งสรรพากร และเมื่อได้ทา
การหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วจะต้องมีการออก "หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย" ซึ่งผู้ถูกหักสามารถนาไปขอคืนจาก
รัฐตอนสิ้นปี หรือนาไปลดหย่อนภาษีได้
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ ภาษีที่สรรพากรกาหนดให้นิติบุคคลทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินค่าบริการให้แก่ใคร
ก็ตามจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เพื่อนาส่งกรมสรรพากร นั่นหมายความว่าถ้าเราเป็นบุคคลธรรมดาเราจ่าย
ค่าบริการก็ไม่จาเป็นจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่สาคัญมีดังนี้
- ค่าบริการ หักภาษี ณ ที่จ่าย 3%
- ค่าขนส่ง หักภาษี ณ ที่จ่าย 1%
- ค่าโฆษณา หักภาษี ณ ที่จ่าย 2%
- ค่าเช่า หักภาษี ณ ที่จ่าย 5%
โปรแกรมบัญชีออนไลน์ Prosoft ibiz มี Feature ที่รองรับการดูรายงานภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการทราบรายการภาษีภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่เกิดขึ้นจากการสั่งซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องเสียเวลาในการรวบรวบข้อมูล โดยมีวิธีการเรียกดูรายงานภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 หลังจากที่ผู้ใช้บันทึกรายการสั่งซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว และต้องการเรียกดูรายงานภาษีหัก ณ ที่
จ่าย สามารถเรียกดูได้ที่ “Report” > “Tax Report” ดังรูป
ขั้นตอนที่ 2 ระบบจะแสดงเมนู Tax Report ทั้งหมด จากนั้นให้ผู้ใช้ทาการเลือกเมนู “รายงานภาษีหัก ณ ที่
จ่าย” ดังรูป
3.4 ภาษีธุรกิจเฉพาะ
เป็นภาษีที่จัดเก็บจากการประกอบกิจการเฉพาะอย่างแทนภาษีการค้าที่ถูกยกเลิก ซึ่งบังคับใช้บาง
ธุรกิจเท่านั้น เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับการธนาคาร การรับประกันชีวิต การรับจานา ผู้ประกอบกิจการที่มีหน้าที่เสีย
ภาษีธุรกิจเฉพาะ จะต้องยื่นคาขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามแบบคาขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภายใน 30 วันนับแต่วันเริ่มประกอบกิจการ ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ
แสดงรายการและชาระภาษี โดยใช้แบบ ภ.ธ.40 เป็นรายเดือนภาษี ภายในวันที่15 ของเดือนถัดไปไม่ว่าจะมี
รายรับในเดือนนั้นหรือไม่ก็ตาม ภาษีในเดือนภาษีใด เมื่อรวมคานวณแล้วมีจานวนไม่ถึง 100 บาท ผู้ประกอบ
กิจการไม่ต้องเสียภาษีสาหรับ เดือนภาษีนั้น แต่ยังคงมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการตามปกติ
3.5 ภาษีสรรพสามิต
ภาษีการขายที่เรียกเก็บเฉพาะสินค้าหรือบริการบางประเภท ซึ่งจะมีอัตราภาษีที่ต้องรับภาระสูงกว่า
ปกติ เช่นสินค้าที่บริโภคแล้วเกิดผลเสียทาลายสุขภาพ ศีลธรรมอันดี ก่อให้เกิดภาระต่อรัฐฯ ที่จะต้องสร้างสิ่ง
อานวยความสะดวกต่างๆ หรือสินค้าที่ทาให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ผู้ประกอบการเหล่านี้จะต้อง
ทาการแจ้งงบการเงินกากรมสรรพสามิตในพื้นที่ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
3.6 ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง
ภาษีที่รัฐฯ จัดเก็บจากโรงเรือน สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร ตึกแถว สานักงาน ร้านค้า
เป็นต้น และมีรายได้จากเช่า จะต้องเสียภาษีโรงเรือน 12.5% ต่อปีของค่ารายปี โดยชาระภาษีที่สานักงาน
เขต หรือที่ว่าการอาเภอที่ตั้งอยู่ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี
3.7 ภาษีบารุงท้องที่
ภาษีที่จัดเก็บจากเจ้าของที่ดินทุกประเภท ไม่ว่าจะมีเอกสารสิทธิ์ หรือไม่มีเอกสารสิทธิ์เป็นที่ว่าง
เปล่าหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ยังหมายความรวมถึงพื้นที่ที่เป็นภูเขาและแม่น้าด้วย เจ้าของที่ดิน
จะต้องมีหน้าที่เสียภาษี ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี ภ.บ.ท.5 ที่ผลประโยชน์กองคลังเทศบาลทุกๆรอบ
4 ปี
3.8 ภาษีป้าย
ภาษีที่เก็บจากการแสดงป้ายทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นป้านชื่อ ป้ายโลโก้ ป้ายยี่ห้อ เป็นต้น ที่ใช้ในการ
ประกอบการค้าหรือกิจการอื่น เพื่อหารายได้ หรือโฆษณาการค้า ซึ่งอัตราการคิดภาษีของป้าย จะคิดตาม
ขนาดของป้าย แต่เริ่มต้นที่ 200 บาท กรณีที่ป้ายที่ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีป้าย จะต้องยื่นที่สานักงานเขต
หรือที่ว่าการอาเภอที่ตั้งภายใน เดือนมีนาคม ของทุกปี
3.9 อากรแสตมป์
ภาษีประเภทหนึ่งที่จัดเก็บจากการทาตราสาร หรือธุรกรรมบางอย่าง จะมีอยู่ทั้งหมด 28 ลักษณะ
ตราสาร เช่น ตราสารเช่าที่กับโรงเรือน เช่าซื้อทรัพย์สิน จ้างทาของ กู้ยืมเงิน ฯลฯ เป็นต้น โดยสามารถชาระ
เป็นอากร ซื้อได้ที่กรมสรรพากร หรือเป็นเงินสด ในตราสารบางประเภท และต้องขออนุมัติด้วย อ.ส.4 ก่อน
บทที่ 4
หลักการตลาดและการจัดการผลิตภัณฑ์
ในโลกของการแข่งขันบนเส้นทางที่จะประสบความสาเร็จในยุคการค้ าเสรี (Free Trade) เป็นระบบ
ที่ส่งเสริมเปิดกว้างทางการค้าและการลงทุนให้มีความเสรีมากขึ้น โดยปราศจากการกีดกันทางการค้าดังอดีต
ที่ ผ่านมา ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบที่กาหนดโดยองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) หรือใน
ยุค เศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัฒน์ (Globalization) อีกทั้งความก้าวหน้า
ของ เทคโนโลยีสารสนเทศและระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้มีส่วนเพิ่มความเข้มข้นในการแข่ง ขันและ
ประสิทธิภาพของการติดต่อสื่อสารให้มีความสะดวกรวดเร็วขึ้น ดังนั้นองค์กรใดองค์กรหนึ่งจะดาเนินงานให้
ประสบความสาเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรให้ ยั่งยืนและยาวนานนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่าง
มาก ซึ่ง การตลาดถือเป็นหัวใจหลักที่สาคัญ อย่างยิ่ง ในการนาองค์กรสู่ความสาเร็จภายใต้สภาพแวดล้ อมที่
หลากหลายมิติของการดาเนินงานในปัจจุบัน
ระบบตลาด
(Marketing System)
รูปที่ 4.1 แนวคิดทางการตลาด
4.1.1 องค์ประกอบของแนวความคิดหลักทางการตลาด
ความต้องการทางร่างกาย (Physical needs) เช่น ปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า ยารักษา
โรค รวมทั้งความอบอุ่น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 1.1.2 ความต้องการทางสังคม (Social
needs) เช่น การยอมรั บ ความรักจากคนรอบข้าง 1.1.3 ความต้ องการส่วนบุคคล (Individual
needs) ซึ่งแตกต่างกัน เช่น ความต้องการ ศึกษาหาความรู้ การแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง
ความต้องการ (Wants) เป็นสิ่งที่สามารถตอบสนองความจาเป็นได้ ซึ่งความต้องการของ คนแต่ละคน
จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม สังคม และบุคลิกภาพส่วนบุคคล
ความต้องการซื้อ (Demands) เป็นความต้องการในรูปของอานาจในการซื้อ เนื่องจาก มนุษย์มีความ
ต้องการไม่จากัด แต่มีเงินจากัด เพราะฉะนั้นจึงต้องเลือกซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า และ สามารถ
ตอบสนองหรือสร้างความพึงพอใจสูงสุด
4.1.1.1.2. ผลิตภัณฑ์ (Products) เป็นสิ่งที่ผู้ผลิตหรือนักการตลาดนาเสนอแก่ตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคเกิด ความ
สนใจ (attention) การซื้อ (acquisition) การใช้ (use) หรือการบริโภค (consumption) โดย ผลิตภัณฑ์นั้นต้อง
สามารถตอบสนองความจาเป็นและความต้องการของผู้บริโภค แบ่งเป็น 10 ประเภท ดังนี้
4.1.1.1.5. ตลาดและระบบตลาด
หมายถึงกลุ่มของเครื่องมือทางการตลาดที่สามารถควบคุมได้ โดยต้องตอบสนองความต้องการของ
ตลาด เป้าหมาย ประกอบด้วย ส่วนผสม 4 ตัว หรือ 4 P’s คือ ผลิตภัณฑ์ (Product) ราคา (Price) การจัด
จาหน่าย (Place) และการส่งเสริมการตลาด (Promotion)
4.5.2.1 ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการตั้งราคาสินค้า
4.6 การติดต่อสื่อสารทางการตลาด
ส่วนประสมการส่ง เสริม การตลาด (Promotion Mix) เป็ นเครื่ องมือ พื้นฐานที่ใช้ เพื่อให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ในการติดต่อสื่อสารทางการตลาดขององค์กร ประกอบด้วย
4.7.1 ลักษณะของการตลาดทางตรง