Professional Documents
Culture Documents
วันนัน
้ ดูจะเป็ นวันแสนธรรมดา คำถามนัน
้ ก็ดจ
ู ะเป็ นคำถามแสนธรรมดา
ความกังวลว่าหวายจะลงหลังตลอดเวลาไม่ใช่ปยที ุ๋ ท
่ ำให ้ต ้นไม ้งอกงาม ออกดอกผลได ้เต็มศักยภาพของมัน กระนัน
้ เด็กไทยกลับ
ถูกหล่อหลอมด ้วยความกลัวตัง้ แต่วน ิ าทีทรี่ ู ้ความ กลัวว่าจะหกล ้ม กลัวว่าจะถูกตัวอะไรต่อมิอะไรกินตับ กลัวว่าจะผิดพลาด กลัวว่า
จะเข ้ามหาวิทยาลัยไม่ได ้ กลัวว่าจะไม่มอ
ี าชีพทีม ่ ั่นคง กลัวว่าจะถูกให ้ออกเพราะขวางหูขวางตาหัวหน ้าแผนก
เป็ นทีม
่ าของงานเสวนา “อยูไ่ ด ้ อยูด ่ :ี บ่มเพาะให ้ลูกพร ้อมเติบโตอย่างมั่นใจ” โดยสำนักพิมพ์บค ุ๊ สเคป (Bookscape) ร่วมกับ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร ้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพือ ่ เขย่ากรอบวัฒนธรรม ขยับมุมมองของผู ้ใหญ่ ตลอดจนแลกเปลีย ่ น
แนวทางเลีย ้ งดูเพือ
่ สร ้างเด็กทีอ
่ ยูเ่ องได ้ โตเองเป็ น กล ้าคิด กล ้าตัดสินใจ พร ้อมก ้าวข ้ามอุปสรรคในชีวต ิ ด ้วยความสามารถในการ
กำกับดูแลตัวเอง (sense of control) หรือความเชือ ่ มั่นว่าตนเปลีย
่ นแปลงสถานการณ์ทเี่ ผชิญได ้
ความสามารถทีน
่ ายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่เห็นความหวังเลย
“สิง่ ทีผ
่ มเป็ นห่วงทีส
่ ด
ุ คือการศึกษา ถ ้าไม่รบ ู การศึกษาให ้ใช ้การได ้ภายในวันพรุง่ นีห
ี ปฏิรป ้ รือสัปดาห์หน ้า ถือว่าเรากำลังเสียเวลา
ไปทุกวัน หลังจากค่อยๆ เสียมันไปตัง้ แต่ปี 2540 คือ 25 ปี มาแล ้ว ไม่มอ ี ะไรเปลีย่ นแปลง เรามาพูดถึงความสามารถในการอยูเ่ อง
ได ้ โตเองเป็ นกัน ก็เพือ ่ เตรียมลูกให ้พร ้อมสำหรับอนาคตทีท ่ ำนายไม่ได ้ ซึง่ การศึกษาไทยวันนีใ้ ห ้ไม่ได ้ และยังไม่มวี แ
ี่ ววว่าจะให ้
ได ้เลย”
ขณะทีส ่ ภ
ุ าวดี หาญเมธี ประธานสถาบ ันร ักลูกเลิรน ์ นิง่ กรุป
๊ เสริมว่าเมือ่ พิจารณาดัชนีทน ุ มนุษย์ (Human Capital Index –
HCI) ของธนาคารโลก ซึง่ ใช ้ประเมินผลิตภาพในอนาคตจากผลการพัฒนาเยาวชนในปั จจุบน ั “เด็กไทยมีระดับการพัฒนาเพียง
ร ้อยละ 60 ของศักยภาพสูงสุดทีเ่ ป็ นไปได ้ ซึงเมือ ่ ่ เปรียบเทียบกับข ้อมูลทีเ่ รามีก็จะพบว่ากว่าหนึง่ ในสามของเด็กไทยขาดการ
พัฒนา ไม่วา่ จะด ้วยพัฒนาการทีล ่ า่ ช ้าในวัยเด็ก หรือเพราะติดโทรศัพท์มอ ื ถือกันทัง้ บ ้านทัง้ เมือง เด็กทีโ่ ตขึน
้ มาหน่อยก็มไี อคิว
น ้อย ระดับทีช ่ ว่ ยเหลือตัวเองไปวันๆ กินอยูห ่ ลับนอนได ้ แต่ไม่สามารถริเริม ่ สร ้างสรรค์ พัฒนาตัวเองหรือบ ้านเมืองให ้ดีกว่านีไ ้ ด้
กระทั่งกลุม ่ ทีเ่ รียนดีก็มเี ด็กทีเ่ ป็ นโรคซึมเศร ้าจำนวนมาก เคยคิดว่าโรคซึมเศร ้าเป็ นปั ญหาของเด็กโต แต่ความจริงไม่ใช่เลย เดีย ๋ ว
นีเ้ ด็กอายุ 11 ขวบเป็ นโรคซึมเศร ้าก็ม ี ไม่ใช่เด็กจากครอบครัวอดมือ ้ กินมือ
้ อะไรด ้วย”
ภูผา – ภูรภ ิ ัทร ณ สงขลา ตัวแทนเยาวชนในวงเสวนายืนยันว่าปั ญหาดังกล่าวเป็ นปั ญหาทีต ่ นกังวลเช่นกัน โดยภูรภ ิ ัทรย้ำ
ว่าการเป็ นโรคซึมเศร ้านัน
้ “ไม่ใช่เทรนด์” อย่างทีห
่ ลายคนเข ้าใจผิด เพียงแต่โลกไม่มคี วามเข ้าใจหรือคำนิยามโรคดังกล่าวในยุค
ก่อน “ถามว่าทำไมคนรุ่นใหม่เป็ นโรคนีเ้ ยอะจัง ผาอาจให ้คำตอบทัง้ หมดไม่ได ้ แต่เท่าทีร่ ับรู ้มาคือคนรุน่ นีม
้ ค
ี วามเครียดจากการ
ถูกกดดัน ทัง้ ในแง่การศึกษาและการทำงาน”
“ผาเพิง่ จบการศึกษา กำลังจะเข ้าไปเป็ นแรงงานรุน ่ ใหม่ เพือ่ นหลายคนมีงานทำแล ้ว คนทีย ่ ังไม่มก ี ็เริม
่ รู ้สึกกดดันว่าฉั นจะทำอะไร
ต่อไปดี ยิง่ ถ ้าพ่อแม่หรือป้ าข ้างบ ้านคอยถามว่า เรียนจบแล ้วหรือลูก จะเรียนต่อไหม จะไปทำอะไร ลูกป้ าได ้งานแล ้วนะ ฯลฯ ยิง่
รู ้สึกว่าตัวเองดีไม่พอ ต ้องทำให ้ดีกว่านี้ ซึง่ ไม่ใช่อย่างนัน ้ แต่เรากลับหล่อมหลอมให ้เด็กเชือ่ ว่าสังคมมีบรรทัดฐานเดียว ทุกคน
เติบโตขึน ้ พร ้อมกัน ซึง่ ไม่มใี ครในโลกนีท
้ ำอย่างนัน ้ ได ้ บางคนกว่าจะประสบความสำเร็จก็ในวัย 40, 50 หรือ 80 ปี มีคนเข ้ามาพูด
คุยกับผาเยอะ ปั ญหาทีไ่ ด ้ยินบ่อยคือปั ญหานี้ ทำอย่างไรถึงจะทำได ้ดีขน ึ้ ทำอย่างไรถึงจะดีเหมือนคนอืน ่ เสียที”
ิ่ ทีผ
สง ่ มเป็ นห่วงทีส
่ ด ึ ษา
ุ คือการศก ถ ้าไม่รบ
ี ปฏิรป
ู การศกึ ษาให ้ใชการได้ ้ภายในวันพรุง่ นีห้ รือสปั ดาห์
ี เวลาไปทุกวัน หลังจากค่อยๆ เสย
หน ้า ถือว่าเรากำลังเสย ี มันไปตัง้ แต่ปี 2540 คือ 25 ปี มาแล ้ว ไม่ม ี
อะไรเปลีย ่ นแปลง เรามาพูดถึงความสามารถในการอยูเ่ องได ้ โตเองเป็ นกัน ก็เพือ ่ เตรียมลูกให ้พร ้อม
สำหรับอนาคตทีท ่ ำนายไม่ได ้ ซงึ่ การศก ึ ษาไทยวันนีใ้ ห ้ไม่ได ้ และยังไม่มวี แ ี่ ววว่าจะให ้ได ้เลย
สำหรับสองผู ้เขียน ความสามารถดังกล่าวบ่มเพาะได ้ด ้วยการเปิ ดโอกาสให ้เด็กตัดส น ิ ใจด ้วยตัวเอง โดยมีผู ้ปกครองหรือผู ้ใหญ่
เป็ นทีป
่ รึกษา ให ้ข ้อมูลเพือ
่ การตัดสินใจอย่างมีวจ
ิ ารณญาณ เป็ นพืน้ ทีป
่ ลอดภัยทีเ่ ด็กๆ จะหันมาหาได ้เมือ ่ เหน็ ดเหนือ
่ ยจากการ
ผจญภัยในโลกกว ้าง และเป็ นผู ้ปลอบโยนเมือ ่ พวกเขาผิดหวัง ด ้วยการชีใ้ ห ้เห็นว่าเส ้นทางสูค่ วามสำเร็จและความสุขในโลกไม่ได ้
มีเพียงเส ้นทางเดียว
ภูรภ
ิ ัทรบอกว่าตนโชคดีทค ี่ รอบครัวเปิ ดโอกาสให ้เลือกเส ้นทางเดินเองเสมอ แต่เพือ ่ นๆ หลายคนไม่ได ้มีโชคเช่นนัน ้ “พ่อแม่จะ
ให ้ผาเลือกอะไรๆ เองเสมอโดยแนะแนวทางบ ้าง ทำให ้ผามีภม ู คิ ุ ้มกันคำถามทำนองนี้ เพราะผารู ้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร
แต่ในกลุม ่ คนรุน
่ ใหม่ด ้วยกัน ผาคิดว่าโรงเรียนไม่ได ้ส่งเสริมให ้เด็กมีความสามารถทีว่ า่ นีเ้ ลย”
ภูรภ
ิ ัทรบอกว่าหลายครัง้ ระเบียบในโรงเรียนและห ้องเรียนลิดรอนความเป็ นตัวตนของเด็ก ไม่เปิ ดโอกาสให ้เด็กสำรวจหรือรู ้จักตัว
เอง ภูรภิ ัทรไว ้ผมยาวเพราะต ้องการบริจาคผมในภายหลัง แต่เด็กชายในโรงเรียนต่างๆ ทีม่ ค
ี วามปรารถนาดีแบบเดียวกันกลับถูก
้ “ทัง้ ทีผ
บังคับให ้ไว ้ผมสัน ่ มเป็ นส่วนหนึง่ ของร่างกาย ถ ้าเด็กไม่มแ ิ ธิในร่างกายของตัวเอง เด็กก็จะได ้แต่ถามว่าสิง่ ทีฉ
ี ม ้แต่สท ่ ัน
เป็ นนัน
้ ผิดหรือ แล ้วต ้องทำอะไรจึงจะถูก”
อีกตัวอย่างหนึง่ ทีภ ่ รู ภ
ิ ัทรกล่าวถึง และเป็ นตัวอย่างทีค
่ นหลายรุน
่ เคยสัมผัสคือการเขียนวันทีห ่ ัวกระดาษในวัยเรียน “เวลาเขียนวัน
่ ้องใช ้นิว้ วัดว่าห่างเท่านีๆ้ ถึงจะเขียนเดือนได ้ จะแก ้โจทย์คณิตศาสตร์ก็กงั วลว่าต ้องขีดเส ้นใต ้ไหม เพราะครูแต่ละคนไม่ได ้ใช ้
ทีต
มาตรฐานเดียวกัน เด็กๆ จึงไม่กล ้าตัดสินใจด ้วยตัวเอง ไม่รู ้ว่าจริงๆ แล ้วฉั นควรทำอะไร เพราะถ ้าฉั นตัดสินใจเอง ฉั นอาจเป็ นคน
ผิดก็ได ้”
“ไหนจะของเล่นอีก พ่อแม่บางคนไม่ให ้ลูกชายเล่นตุก ๊ ตาหรือชอบสีชมพูเลย เพราะคิดว่าทัง้ สองอย่างเป็ นของเด็กผู ้หญิง ทัง้ ที่
ของเล่นไม่มเี พศ เราเล่นเพราะอยากรู ้ว่ามันเป็ นแบบไหน พอได ้ยินว่าเล่นไม่ได ้ เด็กก็จะได ้แต่ถามว่าแล ้วส งิ่ ทีฉ่ ั นชอบผิดหรือนี่
สิง่ ทีฉ ้ ด ้วยความรู ้สึกว่าต ้องชอบสิง่ ทีค
่ ั นเลือกผิดหรือนี่ เติบโตขึน ่ นอืน
่ บอกให ้ชอบ”
“อายุ 4-7 ขวบ พัฒนาทีว่ า่ จะเคลือ ่ นจากกล ้ามเนื้อมัดใหญ่มาถึงกล ้ามเนื้อนิว้ มือ เด็กควรรู ้ว่าตัวเองใช ้นิว้ มือได ้ ซึง่ การศึกษาไทย
ก็ไม่อนุญาตให ้เด็กรู ้อีก ไม่ให ้เล่นดินน้ำมัน ไม่ให ้ปั น้ นู่นปั น
้ นี่ แต่ให ้เขียน ให ้คัดเลขไทยสวยๆ ทัง้ หมดนีข ้ ด
ั ขวางพัฒนาการตาม
ธรรมชาติ ประเด็นไม่ได ้อยูท ่ ใี่ ช ้นิว้ มือได ้ไหม แต่อยูท ี่ วามรู ้สึกว่าตัวเองใช ้มันได ้ ซึง่ ช่วงเวลาพัฒนากล ้ามเนือ
่ ค ้ ส่วนนี้อยูท
่ รี่ ะหว่าง
7-8 ขวบเท่านัน ้ เอง แล ้วธรรมชาติก็จะปิ ดบัญชีการสร ้างวงจรประสาททีเ่ ป็ น EF ของเด็กคนนัน ้ ๆ เพือ
่ เข ้าสูก่ ระบวนการตัดแต่งมัน
ตัง้ แต่ 9 ขวบเป็ นต ้นไป”
“การเขียนเงียบๆ คนเดียวง่ายกว่าการพูด เพราะไม่มค ี สู่ นทนาให ้เรารู ้สึกกดดัน การเขียนสือ่ สารกันลดความเครียดได ้ เพราะต ้อง
อาศัยการกลั่นกรองมากกว่า คนอ่านเองก็ต ้องคิดขณะอ่าน พร ้อมเมือ ่ ไรค่อยเปิ ดใจพูดคุยกัน แต่ถ ้าเขียนก็ไม่กล ้า พูดก็ไม่กล ้า หา
ทีป ่ รึกษาก่อน ไปผ่อนอารมณ์กบ ั คนกลางก่อน แทนทีจ ่ ะส่งสารตอนมีอารมณ์ ให ้สงบสติอารมณ์กอ ่ นแล ้วค่อยพูดจากัน อีกอย่าง
หนึง่ คือทุกคนต ้องลดทิฐลิ ง ลดความยึดมั่นถือมั่น ไม่วา่ จะเป็ นการคิดว่าฉั นโตแล ้ว ฉั นดูแลตัวเองได ้ หรือการคิดว่าตัวเองอาบน้ำ
ร ้อนมาก่อน การลดทิฐล ่ มั่นในกันและกันว่าต่างฝ่ ายจะพูดจากันด ้วยเหตุผล และพูดคุยกันได ้จริง”
ิ งจะทำให ้เราเชือ
โดยสุภาวดีเห็นว่าอุปสรรคใหญ่หลวงทีส
่ ด
ุ ต่อการพัฒนาความสามารถในการกำกับดูแลตัวเอง น่าจะเป็ นวัฒนธรรมและค่านิยม
นั่นเอง
้ “สิง่ ทีเ่ ราจะต ้องพูดถึงกันอีกมากๆ คือสถานศึกษาว่าเป็ นอย่างไรบ ้าง มันเป็ นเบ ้าทีใ่ หญ่ทส
กระนั น ุ เราใช ้เวลากับมันตัง้ สิบกว่าปี
ี่ ด
ถ ้าไม่ได ้ประโยชน์อะไรจะอยูท ่ ำบ ้าอะไรตัง้ สิบกว่าปี ซึง่ ระบบการศึกษาไทยก็ไม่เรียนรู ้ ไม่สนใจว่ามีองค์ความรู ้อะไรใหม่เกีย ่ วกับ
สมองของมนุษย์บ ้างเลย บางครัง้ เพราะมักง่าย บางครัง้ เพราะผลประโยชน์ ก็คงอย่างทีห ่ มอพูด คงต ้องกลับมาทีพ ่ อ
่ แม่ ต ้องกล ้า
หาญให ้มากในสภาวะทีไ่ ม่มใี ครช่วยเหลืออะไรได ้อย่างนี้ สิง่ ทีต ่ ้องถามตัวเองให ้มากทีส
่ ดุ คือ ถ ้าเราไม่อยูแ ่ ล ้วลูกอยูไ่ ด ้ไหม ถ ้าอยู่
ไม่ได ้ ไม่ได ้เพราะอะไร พอเตัง้ คำถามแบบนี้ เราจะพบว่ามีสถานการณ์ทเี่ ราทำอะไรได ้อยูบ ่ ้าง ไม่ใช่ไม่มเี ลย”
ในทีส
่ ด
ุ คำถามจึงถูกส่งกลับไปหานายแพทย์ประเสริฐผู ้คุ ้นเคยกับคำถามและความกังวลของพ่อแม่มากหน ้าหลายตา ว่าขณะทีว่ ง
เสวนากระตุ ้นให ้พ่อแม่ “กล ้าหาญ” ยืนหยัดในหนทางทีเ่ ป็ นประโยชน์ตอ
่ บุตรหลานนัน
้ ความกลัวชนิดใดกันทีฉ
่ ุดรัง้ พ่อแม่ไว ้
“ความกลัวทีส่ องคือกลัวอันตราย ซึง่ ผมต ้องวิจารณ์วา่ เป็ นห่วงทีไ่ ม่พาตัวเองไปไหน เพราะห่วงไปก็ไม่มใี ครปฏิรป ู การศึกษาเสียที
โรงเรียนก็หมดสภาพลงทุกทีๆ โรงเรียนไม่มป ี ระโยชน์แน่นอนแล ้วตอนนี้ การไปโรงเรียนกลายเป็ นการเสียเวลา แต่บ ้านเรียน
(homeschool) กับโรงเรียนทางเลือกก็เป็ นทางเลือกทีพ ่ ่อแม่เลือกไม่ได ้ ดังนัน
้ เราต ้องบริหารเวลาใหม่ สอนให ้ลูกบริหารเวลา
ใหม่ ต ้องขโมยเวลาคืนจากการศึกษาทีไ่ ม่ยอมพัฒนา ขโมยเวลาแปดชัว่ โมงทีโ่ รงเรียน เวลาเตรียมสอบ เวลาทำการบ ้าน ทำ
รายงาน เวลานั่งฟั งบรรยายวิชาทีไ่ ม่ชอบไปทำอย่างอืน ่ ทีช ่ อบ ไปพัฒนาอิสระในตนเองด ้วยการพัฒนากล ้ามเนื้อใหญ่ ไปพัฒนา
ทักษะการริเริม
่ และลงมือทำ (initiating) ด ้วยการพัฒนากล ้ามเนือ ้ เล็ก เพือ
่ สร ้างวงจรสมองส่วนทีจ่ ำเป็ นต่อตัดสินใจประเด็นยากๆ
ในอนาคต”
สงิ่ ทีเ่ ราจะต ้องพูดถึงกันอีกมากๆ คือสถานศก ึ ษาว่าเป็ นอย่างไรบ ้าง มันเป็ นเบ ้าทีใ่ หญ่ทส ุ เราใช ้
ี่ ด
เวลากับมันตัง้ สบ ิ กว่าปี … ซงึ่ ระบบการศก
ึ ษาไทยก็ไม่เรียนรู ้ ไม่สนใจว่ามีองค์ความรู ้อะไรใหม่เกีย ่ ว
กับสมองของมนุษย์บ ้างเลย … ก็คงอย่างทีห ่ มอพูด คงต ้องกลับมาทีพ ่ อ
่ แม่ ต ้องกล ้าหาญให ้มากใน
สภาวะทีไ่ ม่มใี ครชว่ ยเหลืออะไรได ้อย่างนี้ สงิ่ ทีต
่ ้องถามตัวเองให ้มากทีส ่ ด
ุ คือ ถ ้าเราไม่อยูแ่ ล ้วลูกอยู่
ได ้ไหม ถ ้าอยูไ่ ม่ได ้ ไม่ได ้เพราะอะไร พอเตัง้ คำถามแบบนี้ เราจะพบว่ามีสถานการณ์ทเี่ ราทำอะไรได ้
อยูบ ่ ้าง ไม่ใชไ่ ม่มเี ลย
เขาย้ำว่า “ทัง้ หมดนีต
้ ้องทำในวัยเด็ก เพราะทำในวัยรุน ่ จะน่ากลัวเกิน โจทย์ของวัยรุ่นซับซ ้อนกว่า ยากกว่า ความเสีย
่ งของวัยเจ็ด
ปี คอ
ื กระโดดแล ้วจะคะมำไหม เอาปากกาเคมีไปขีดเฟอร์นเิ จอร์แล ้วจะเกิดอะไรขึน ้ ตัดสินใจผิดอย่างมากก็เข่าแตก ตัดสินใจผิด
อย่างมากก็ถก ู พ่อว่า เป็ นโจทย์ทงี่ า่ ยทีส
่ ด
ุ แล ้ว ลูกริเริม
่ สร ้างสรรค์ได ้โดยไม่มก
ี ฎกติกามารยาทมากเท่าไร”