Professional Documents
Culture Documents
เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับการสร้างความมั่นคงทางการเมือง
เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับการสร้างความมั่นคงทางการเมือง
พระราชประวัติ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หรือ สมเด็จพระราเมศวรบรมไตรโลกนาถบพิตร ทรงเป็นพระราชโอรสใน
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา และมีพระราชมารดา
นามว่า เจ้าหญิงสาขา๑ ซึ่งเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ ๒ (พ่อเลอไท) แห่งราชวงศ์พระร่วง
พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย
สมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถทรงมีพระนามเดิ ม ว่า “พระราเมศวร”๒ ซึ่งเป็นพระนามก่อนที่ จ ะถู ก
สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา พระองค์ทรงพระราชสมภพที่พลับพลา ประชุมพลที่ทุ่งพระ
อุทัย (ปัจจุบันคือ ทุ่งหันตราด้านทิศตะวันออกของพระนครศรีอยุธยา) ในขณะนั้นสมเด็จพระบรมราชนก ได้เสด็จ
ไปประทับรวมพลในการยาตราทัพไปตีเมืองเขมร โดยมีพระราชชนนี ซึ่งขณะนั้นกาลังทรงพระครรภ์ใกล้มีพระสูติ
กาล ได้เสด็จออกไปส่งเสด็จพระสวามีที่ทุ่งพระอุทัย ได้เกิดทรงเจ็บพระครรภ์และมีพระสูติกาลพระราชโอรส ณ
พลับพลาประชุมพลแห่งนั้น เมื่อปี พุทธสักราช ๑๙๗๔ ดังปรากฏในเรื่อง พระสูติกาลนี้ในลิลิตยวนพ่าย โครงบทที่
๖๑-๖๒ ความว่า
แถลงปางปิ่นภูบาล ปิตุราช
ยังยโสธรคล้อย คลี่พล
แถลงปางพระมาตรไท้ สมภพ ท่านนา
แดนตาบลพระอุทัย ทุ่งกว้าง
แถลงกลางเกลื่อนพลรบ เรืองเดช
เอามิ่งเมืองได้ง้าง แง่บร
๑
ประเสริฐ ณ นคร, “ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเมืองพิษณุโลก”, รวมเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเมืองพิษณุโลก,
(เชียงใหม่ : ส.ทรัพท์การพิมพ์, ๒๕๓๕), หน้า ๖.
๒ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงมีพระนามเดิมหลายพระนาม ดังปรากฏตามหลักฐานอื่นๆ คือ
๑. ในกฎหมายลั ก ษณะกบฏศึก เรี ย กว่ า สมเด็ จ พระบรมนาถบพิ ต รสิท ธิ สุ น ทรธรรมเดชาฯ ธรรมิ ก มหา
ราชาธิราช
๒. ในกฎมณฑลบาล เรียกว่าสมเด็จพระรามาธิบดีบรมไตรโลกนาถมหามุงกุฏเทพยมนุษย์ยริสุทธิสุริยวงศ์
พุทธธางกูรบรมบพิตร
๓. ในกฎหมายศักดินา เรียกว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถนายกดิลก
๔. ในกฎหมายศักดินาหัวเมือง เรียกว่า สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีบรมไตรโลกนาถ
๕. ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหอวชิรญาณ เรียกว่า สมเด็จพระราเมศวรไตรโลกนาถบพิตร
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาที่ทรงสืบเชื้อสายราชติวงศ์ มา
จาก ๒ ราชวงศ์ที่กาลังเรืองอานาจแข่งขั นบารมีกันอยู่ในขณะนั้นคือ ราชวงศ์สุพรรณภูมิแห่งกรุงศรีอยุธยาและ
ราชวงศ์พระร่วงและกรุงสุโขทัย โดยเหตุการณ์การสร้างสายสัมพันธ์ทางเครือญาติดังกว่านี้เริ่มต้นขึ้นจากความ
พยายามเข้ามาแทรกแซงอานาจทางการเมืองในอาณาสุโขทัยของผู้นาฝ่ายกรุงศรอยุธยา โดยเริ่มเมื่อ สุโขทัย เมื่อ
พระมหาธรรมราชาที่ ๒ พระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงสุโขทัยได้เสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. ๑๙๓๑ และพระยาไสลือไท
ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติทรงพระนามว่าพระมหาธรรมราชาที่ ๓ (พระยาไสลือไท) เสด็จประทับ ณ เมือง
พิษณุโลกตลอดพระชนชีพจนถึงปี พ.ศ. ๑๙๖๒ เมื่อพระองค์สวรรคต กลุ่มญาติวงศ์ในกรุงสุโขทัยได้เกิดจลาจลเกิด
การแย่งชิงราชสมบัติระหว่างเจ้านายเชื้อพระวงศ์ คือการแย่งชิงอานาจ ระหว่างพระยาบาลเมืองกับพระยาราม
เหตุการณ์ครั้งนี้ยุติลงเมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) กษัตริย์อยุธยาที่มีความสัมพันธ์กับ
กลุ่มเจ้าหญิงสุโขทัยได้เสด็จยกทัพจากกรุงศรีอยุธยาขึ้นมาระงับศึก ทรงให้พระยาบาลเมืองผู้พี่เป็นพระมหาธรรม
ราชาที่ ๔ (พระยาบาลเมือง) ครองเมืองสองแคว (พิษณุโลก) และให้พระรามผู้น้องครองเมืองสุโขทัย โดยให้ทั้ง
สองพระองค์มีฐานะเป็นเจ้าเมืองประเทศราชขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา ๓
ต่อมาสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชที่ ทรงมีพระราโชบายที่จะรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่ง
ของอาณาจั กรศรี อยุ ธ ยาโดยอาศัย ความสั มพันธ์ทางเครือญาติ เนื่องจากเมืองพิษณุโ ลกมีความส าคัญมาก
เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีความอุดมสมบูรณ์และเป็นศูนย์กลางการค้า การคมนาคมของดินแดนทางเหนือ
จึงทาให้เป็นหมายที่หมายปองของผู้นาแห่งอาณาจักรอยุธยา เมื่ออานาจทางการเมืองของอยุธยาเข้มแข็งกว่าจึงได้
มีความพยายามในการควบคุมและขยายอานาจครอบงาเมืองพิษณุโลกไว้ในอานาจ โดยเริ่มเด่นชัดในรัช สมัย
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ โดยพระองค์ทรงเป็นพระชามาดา (บุตรเขย) ของเมืองพิษณุโลกคือทรงแต่งงาน
กับแม่นางษาขา๔ ราชธิดาพระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งกรุงสุโขทัย และพระยาบาลเมืองหรือพระมหาธรรมราชา
ที่ ๔ ก็เป็นพระอนุชาในพระมเหสีของพระองค์ ซึ่งเนื้อความตอนหนึ่ง ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเลขที่
๒๒๒ กล่าวว่า
“...อันดับนั้นพระราชเทวีทูลแต่พระบรมราชาธิราชเจ้า ด้วยย่อมหงอกแม่นาง
ษาขามารดาและจะขอชื่อให้ .. สมเด็จผู้เป็นเจ้าก็ประสาทคานหามทองไม้เท้า
ทองและเครื่ อ งราชู ป โภค ให้ น ามกรชื่ อ พระประสิ ท ธิ แม่ น างษาขามารดา
นางพญาและมหาธรรมราชาธิราชนั้น ..”๕
๓
สินชัย กระบวนแสง, ประวัติศาสตร์สุโขทัย, (กรุงเทพ สานักพิมพ์พิฆเณศ, ๒๕๒๐), หน้า ๓๙.
๔
จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, ข้อมูลประวัติศาสตร์ในรอบทศวรรษ (พ.ศ.๒๕๒๐ – ๒๕๓๐), บรรณาธิการ (กรุงเทพฯ :
บริษัทประชาชนจากัด, ๒๕๓๑), หน้า ๘๕.
๕
จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, ข้อมูลประวัติศาสตร์ในรอบทศวรรษ (พ.ศ.๒๕๒๐ – ๒๕๓๐, หน้า ๘๕.
ข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ และพระมหาธรรมราชา
ที่ ๔ ที่พระองค์สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากพระมหาธรรมราชาที่ ๓ พร้อมทั้งพระราชทาน พระสุพรรณบัฏ
และเครื่องราชูปโภค ดังนั้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ยังมิได้ผนวกเมืองพิษณุโลกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ
อาณาจักรอยุธยาอย่างเด็ดขาด เมืองนี้ยังมีสิทธิ์ปกครองตนเองโดยยอมรับอานาจของกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระอินทราชาธิราช พระมหาธรรมราชาที่ ๓
(พระอินทราชาธิราช) (พระยาไสลือไท)
พระราเมศวร พระยายุทธิษเฐียร
(สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ)
แผนผังที่ ๓ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์สุพรรณภูมิกับราชวงศ์พระร่วง
๖
สมเด็ จพระวัน รัตน์ วั ด พระเชตุพ น, จุ ล ยุ ท ธการวงศ์ ผูก ๒ (พิ ม พ์ ใ นงานพระราชทานเพลิงศพนายพลโทพระยา
พหลโยธินรามินทรภักดี (นพ พหลโยธิน) พ.ศ.๒๔๖๓), หน้า ๕๘ – ๕๙
๗
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ , อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนายนารถ
กระต่ายทอง, ๒๕๑๔, หน้า ๖-๘.
๘
ประเสริฐ ณ นคร, เรื่องเดิม, หน้า ๖.
พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่เมืองพิษณุโลก
จากเหตุการณ์วุ่นวายทางด้านการเมืองและการสงครามและประกอบกับในช่วงนี้อาณาจักรล้านนามี
อานาจมากได้แพร่อิทธิพลเข้ามาครอบคุมหัวเมืองฝ่ายเหนือด้านทิศตะวันตกของไทยได้สาเร็จและสามารถมาตั้ง
กองบัญชาการอยู่ที่เมืองเชลียง หรือศรีสัชนาลัยในปัจจุบันเหตุนี้ทาให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตัดสิน
พระทัยเสด็จไปประทับครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลกเมืองพิษณุโลกจึ งมีฐานะเป็นราชธานีของไทยตั้งแต่พุทธศักราช
๒๐๐๖ ขณะนั้นพระชนมายุ ๓๒ พรรษา พร้อมทั้งทรงเปลี่ยนชื่อเมืองสองแควเป็นเมืองพิษณุโลกอันหมายถึงโลก
ของพระวิษณุหรือพระนารายณ์และมีพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปสาคัญประจาเมืองอีกด้วย และพระองค์ทรง
แต่งตั้งพระโอรสสมเด็จพระบรมราชาไปครองที่กรุงศรีอยุธยาในตาแหน่งมหาอุปราชต่อมาพระองค์ทรงขับไล่
อิทธิพลของอาณาจักรล้านนาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือได้สาเร็จและภายหลังจึงกลับมามีสัมพันธไมตรีต่อกันสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถทรงปกครองเมืองพิษณุโลกนานถึง ๒๕ปีพระองค์ทรงเสด็จสวรรคต ที่เมืองพิษณุโลกในปี
พุทธศักราช ๒๐๓๑ พระชนมายุ ๕๗ พรรษา
การดึงเมืองพิษณุโลกเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอยุธยา
สมัยพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงมีพระบรมราโชบายที่จะขยายอาณา
เขตของกรุงศรีอยุธยาให้กว้างขวางขึ้น ทั้งนี้ทรงได้ปฏิรูปการปกครองโดยยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง เพื่อดึง
อานาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทรงโปรด ฯ เกล้า ให้มีการจัดระบบสังคมในรูปศักดินา โดยแบ่งการปกครองออกเป็นฝ่าย
ทหารและฝ่ายพลเรือนที่เรียกว่า จตุสดมภ์และทรงตรากฎหมายกาหนดศักดินาขึ้นประกาศใช้แทนการปกครอง
ระบอบเวียง วัง คลัง และนา การจัดรูปดังกล่าวทาให้อานาจการปกครองของผู้ครองนครต่าง ๆ ลดลง อาจกล่าว
ได้ว่าอาณาจักรสุโขทัยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาอย่างแท้จริงในสมัยของสมเด็จพระบรมไตร
โลกนาถ โดยพระองค์ทรงรวมสองอาณาจักรเนื่องจากเหตุผลหลายประการ
ประการแรก เป็นการแสดงความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจและบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระบรม
ไตรโลกนาถที่ทรงขยายเขตของอาณาจักรอยุธยาไปทางเหนือและรวมเอาอาณาจักรสุโขทัยไว้ในพระราชอานาจอัน
เนื่องมาจากแนวความคิดจักพรรดิราช คือมีพระราชาผู้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าราชาทั้งปวง๙
ประการที่สองทั้งสองอาณาจักรมีความสัมพันธ์ทั้งทางส่วนตัวและเครือญาติมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลสมเด็จ
พระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) กาลมาลีปกรณ์ ได้กล่าวกล่าวว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงทาอุบายเอาข้าวของมา
๙
อุ ษ ณี ย์ ธงไชย, “ความสั มพั นธ์ ระหว่า งอยุ ธยาแลล้า นนา พ.ศ.๑๘๓๙ – ๒๓๑๐” (วิ ท ยานิ พ นธ์ อักษรศาสตร์
มหาบัณฑิต บันฑิตวิทยาลัย, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๒๖), หน้า ๑๙.
ขายที่เมืองพิษณุโลกแล้วทรงยึดเมืองนี้ไว้และทรงแต่งตั้งให้ขุนหลวงพ่องั่ วปกครอง ต่อมาพระมหาธรรมราชาที่ ๑
(พระเจ้าลิไท) ทรงส่งราชบรรณาการมาถวายแล้วทูลขอเมืองพิษณุโลกคืน พระรามาธิบดีที่ ๑ ก็ประทานคืนให้๑๐
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระเจ้าลิไท) จึงเสด็จมาประทับที่เมืองพิษณุโลก นับเป็นความสัมพันธ์ส่วนพระองค์
ระหว่างพระมหากษัตริย์ทั้งสองเพราะหลังจากที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) สวรรคต พระมหาธรรมราชาที่
๑(พระเจ้าลิไท) ก็เสด็จกลับกรุงสุโขทัย อันแสดงให้เห็นว่าหมดพันธะต่อกันแล้ว
ในรัชกาลพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพ่องั่ว) ทรงใช้กาลังยึดเมืองพิษณุโลกหลังการสวรรคตของพระ
มหาธรรมราชาที่ ๑ (พระเจ้าลิไท) เพื่อจะขยายอานาจขึ้นทางเหนือ ๑๑ ในชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวไว้ว่า พระยา
ญาณดิสซึ่งครองราชย์อยู่เมืองกาแพงเพชรได้ส่งมารดามาถวายแด่พระเจ้าอโยชปุระ (พระบรมราชาธิราชที่ ๑) ๑๒
ซึ่งหากหลักฐานนี้ถูกต้องก็หมายความว่าตระกูลสุพรรณภูมิมีความผูกพันทางเครือญาติ กับตระกูลพระร่วงมาตั้งแต่
รัชกาลนี้ ในรัชกาลสมเด็จพระนครินทราชาธิราช ประมาณปีพ.ศ.๑๙๖๒ ได้โปรดฯ ให้เจ้าสามพระยา (พระบรม
ราชาธิราชที่ ๒) ได้ครองเมืองพิษณุโลก และในปีพ.ศ.๑๙๘๑ พระบรมราชาธิราชที่ ๒ โปรดฯ ส่งพระโอรสซึ่ง
ประสูติจากเจ้าหญิงสุโขทัย(พระราชพงศาวดารอยุธยาฉบับ หอพระสมุดวชิรญาณเลขที่ ๒๒๒ กล่าวว่าเป็นพระราช
ธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ ๒) คือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไปครองเมืองพิษณุโลก
ประการที่สาม ราชวงศ์พระร่วงที่ปกครองอาณาจักรสุโขทัยกาลังอ่อนแอ เนื่องจากแย่งชิงอานาจกันเองจึง
ทาให้อาณาจักรอยุธยามีอานาจเหนืออาณาจั กรสุโขทัยและเมืองพิษณุโลกมาตั้งแต่รัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๔
ประกอบกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นเครือญาติที่ใกล้ชิดกันในฐานะเชื้อสายเมืองพิษณุโลก จึงเห็นสมควร
รวมอาณาจักรสุโขทัยเพื่อดึงอานาจเข้าสู่ส่วนกลางที่กรุงศรีอยุธยา โดยอาศัยดังวิธีดังกล่าวต่อไปนี้
๑. ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ โดยการสร้างพันธมิตรแบบเครือญาติผ่านการแต่งงานซึ่งเป็นวิธีที่ทาง
อยุธยาปฏิบัติมาตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระนครินทราชาธิราช ในฐานะที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงมีพระราช
บิดาเป็นกษัตริย์อยุธยาและพระราชมารดาเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์สุโขทัยจึงเป็ นที่ยอมรับของทางอาณาจักร
สุโขทัยเมื่อพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นมหาอุปราชแห่งเมืองพิษณุโลก ตลอดจนการเสด็จ มาเสวยราชย์ที่เมืองนี้
ในปีพ.ศ.๒๐๐๖
๒. ความสัมพันธ์ทางศาสนา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างความชอบธรรมเพื่อการรวมอาณาจักร
สุโขทัยเข้ามาอยู่ในพระราชอานาจ การที่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาระบุว่าพระพุทธชินราชมีน้าพระเนตร
๑๐
รัตนปัญญาเถร, ชินกาลมาลีปรณ์ แปลโดย แสงมนวิทูร (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์
แสง มนวิทูร เปรียญ ณ วัดสระเกตุราชวรมหาวิหาร วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๑ ), หน้า ๑๑๑.
๑๑
กลมศิลปากร, พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ (พระนคร:คุรุสภา, ๒๕๑๒), หน้า ๑๑๖ – ๑๑๙.
๑๒
รัตนปัญญาเถร , ชินกาลมาลีปรณ์, หน้า ๑๑๑.
ไหลเป็นโลหิต๑๓ แสดงถึงการที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงอ้างเพื่อแสดงความชอบธรรมทางศาสนาและเมื่อ
พระองค์เสด็จเสวยราชย์ที่เมืองพิษณุโลกแล้วก็ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนา ทั้ งใน
อาณาจักรสุโขทัยและอยุธยาเช่นเดียวกับพระมหาธรรมราชาที่ ๑ แห่งกรุงสุโขทัย เช่น การบูรณะวัดพระศรีรัตนม
หาธาตุวรมหาวิหาร การสร้างวัดจุฬามณี การออกผนวกตลอดจนการประชุมนักปราชญ์ให้แต่งมหาชาติคาหลวง
ครบ ๑๓ กัณฑ์ เป็นต้น การกระทาดังกล่าวล้วนเป็นการให้ความสาคัญต่อพุทธศาสนาซึ่งชาวสุโขทัยมีความเลื่อมใส
ศรัทธา ฉะนั้นการผนวกอาณาจักรสุโขทัยมาอยู่ในพระราชอาณาจักรอยุธยา ครั้งนี้จึงเป็นที่ยอมรับของชาวสุโขทัย
ทั่วไป
๓. การปฏิรูปการปกครอง เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัตินั้น ปัญหาหลักของ
อยุธยาคือ การจัดสรรกาลั งคนและการกาหนดฐานะของคนในสังคมรวมถึงฐานะของนครที่ ตกเป็นเมืองขึ้นของ
อยุธยา เป้าหมายสาคัญที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมุ่งที่จะปฏิบัติ คือ หัวเมืองต่างๆ ทางเหนือที่จะต้องรวม
อานาจเข้าสู่ศูนย์กลางโดยให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอานาจในการปกครองอย่างแท้จริง ขณะเดีย วกันก็ต้อง
ตัดทอนอานาจของผู้นาระดับท้องถิ่นลง เช่น ทรงออกกฎหมายศักดินา ซึ่งเป็นกฎหมายที่ระบุว่า ฐานะ ตาแหน่ง
และหน้าที่ของผู้นาท้องถิ่นจะต้องผูกพันอยู่กับส่วนกลาง ๑๔
ด้วยเหตุนี้ผู้นาระดับท้องถิ่นที่หมดอานาจได้ทาการต่อต้านโดยเริ่มจากการที่พระยายุธิษเฐียรเจ้าเมือง
พิษณุโลก (สองแคว) หนีไปพึ่งบารมีพระเจ้าติโลกราชและยังนาทัพเชียงใหม่ลงมาตีกาแพงเพชร (ชากังราว) ในปี
พ.ศ.๑๙๙๔๑๕ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๐๓ พระยาเชลียง (ศรีสัชนาลัย) ก็คิดกบฏและหนีไปพึ่งบารมีของพระเจ้าติโลก
ราช และในปีพ.ศ. ๒๐๐๔ พระยาเชลียงใต้นาทัพเชียงใหม่มาตีพิษณุ โลกและกาแพงเพชร ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๐๕
เจ้าเมืองนครไทยได้อพยพประชาชนไปพึ่งเจ้าเมืองน่าน แต่พระยากลาโหมสามารถนาคนคืนมาได้๑๖
หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าบรรดาเจ้าเมืองในอาณาจักรสุโขทัยไม่พอใจที่ถูกริดรอด อานาจลง จึงพา
กันแข็งอานาจและหันไปพึ่งพิงอาณาจักรใกล้ เคียง มีผลให้เกิดสงครามระหว่างอาณาจักรอยุธยาและล้านนา โดย
ทางล้านนาได้ยกทัพมารุกรานหัวเมืองทางเหนือเป็นเหตุให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องเสด็จ ไปครองเมือง
พิษณุโลกในปี พ.ศ.๒๐๐๖ ๑๗ เพื่อใช้เมืองพิษณุโลกเป็นฐานในการป้องกันการขยายอานาจของล้านนา พร้อมกับ
๑๓
สมเด็จพระวันรัตน์ วัดพระเชตุพน, จุลยุทธการวงศ์ ผูก ๒ , หน้ า ๗.
๑๔
ศรี ศกั ร วัลลิโภดม, “ที่มาของการปฏิรูปการปกครอง”, ข้ อขัดแย้ งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ไทย,(พระนคร : เมือง
โบราณ, ๒๕๒๔), หน้ า ๘๑ – ๑๐๓.
๑๕
ศรี ศกั ร วัลลิโภดม, “เมืองลูกหลวงกับการปกครองไทยโบราณ” ,ข้ อขัดแย้ งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ไทย(พระนคร
: เมืองโบราณ, ๒๕๒๔), หน้ า ๗๘.
๑๖
กรมสิลปากร, พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ (พระนคร : คุรุสภา, ๒๕๑๒), หน้ า ๗.
๑๗
เรื่ องเดียวกัน, หน้ า ๗.
การออกการออกกฎหมายกาหนดศักดินา ทาให้ราชวงศ์พระร่วงหมดอานาจลงไปและแต่งตั้งเจ้านายจากกรุงศรี
อยุธยามาปกครอง
เมืองพิษณุโลก “เมืองหลวง”ของราชอาณาจักรอยุธยา
เมื่อภายหลังจากที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องเสด็จ ไปครองเมืองพิษณุโลกในปี พ.ศ.๒๐๐๖ เพื่อ
รักษาพระราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาไว้และทรงโปรด ฯ เกล้าให้เปลี่ยนชื่อเมืองสองแควเป็นเมืองพิษณุโลก และ
ยกฐานะเมืองพิษณุโลกเป็นราชธานีและเป็นศูนย์กลางแทนกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา ๒๕ ปี
เมื่อประทับ ณ เมืองพิษณุโลก ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สาคัญทั้งด้านการเมืองทั้งภายในและภายนอก
อาณาจักร
การจัดการการเมืองภายในทรงดาเนินพระบรมราโชบายตามแบบอย่างของพระมหาธรรมราชาที่ ๑
(พระยาลิไท) เช่น โปรด ฯ เกล้าให้บูรณะวัดจุฬามณี เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๐๖ และเสด็จออกผนวชเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๐๘
เป็นเวลานานถึง ๘ เดือน ๑๕ วัน ในครั้งนี้ได้มีข้าราชการบริพารติดตามออกบวชถึง ๒,๓๔๘ คน๑๘ ในปี พ.ศ.
๒๐๒๕ ทรงโปรด ฯ เกล้า ฯ ให้บูรณะวัดพระศรีรัตนมหาธาติ และให้มีการสมโภชถึง ๑๕ วัน พร้อมกันนั้นได้
โปรด ฯ เกล้าให้นักปราชญ์ราชบั ณฑิตแต่งหนั งสื อมหาชาติคาหลวงจบ ๑๓ กัณฑ์บริบูรณ์ด้วย ๑๙ การกระทา
ดังกล่าวชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้วิเคราะห์ถึงพระราชกรณียกิจทางศาสนาว่าเป็นกระบวนการสาคัญของสมเด็จพระ
บรมไตรโลกนาถในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาณาจักรทั้งสองโดยอาศัยฐานจากพุทธศาสนาเป็น
เครื่องมือในการกล่อมเกลี้ยน้าใจราษฎรทางฝ่ายเหนือ ตลอดจนการบาเพ็ญพระราชกุศลต่างๆทาอย่างยิ่งใหญ่ใน
สายตาของราฎรชาวเมืองพิษณุโลกทาให้เกิดความชื่นชมยินดีเป็นจานวนมากในเขตแดนอาณาจักรสุโขทัยเดิมและ
พากันสรรเสริญพระองค์ว่าเป็นนักปกครองที่ทรงคุณธรรมอันเป็นการกระทาที่ทาให้พระองค์เ ป็นที่ยอมรับในหมู่
ชาวอาณาจักสุโขทัยชนเฉกเช่นเดียวกับอดีตกษัตริย์อาณาจักรสุโขทัยแม้ว่าพระองค์จะเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักร
อยุธยาก็ตาม๒๐
๑๘
สินชัย กระบวนแสง, ประวัติศาสตร์ สุโขทัย (กรุงเทพ สานักพิมพ์พิฆเณศ, ๒๕๒๐), หน้ า ๔๓.
๑๙
เสนอ นิลเดช, สถาปั ต นกรรมแบบพิษ ณุ โ ลก (รายงานสัมมนาประวัติศาสตร์ เมืองพิษณุโลก ครั ง้ ที่ ๑ ณ
วิทยาลัยครูพิบลู สงคราม พิษณุโลก ๒๕-๒๗ มกราคม ๒๕๒๒ กรุงเทพฯ : โรงพิมพฺการศาสนา ๒๕๒๓), หน้ า ๓๓๓-๓๓๕.
๒๐
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยาประวัติศาสตร์ และการเมือง (กรุ งเทพฯ : มูลนิธิโครงการตาราสังคมศาสตร์ และ
มนุษยศาสตร์ ๒๕๔๒), หน้ า ๑๘๑-๑๘๔.
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ผู้ยกฐานะเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองของอาณาจักรอยุธยา ตลอดยุคสมัยของพระองค์
แผนที่เมืองพิษณุโลกและเมืองบริวารในตาราพิชัยสงคราม
ความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรอยุธยากับอาณาจักรล้านนา
การจัดการการเมืองภายนอกอาณาจักรโดยเฉพาะสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับอาณาจักรล้านนา
ซึ่งสงครามใหญ่ครั้งนี้ใช้เวลาในการทาสงครามนานถึง ๒๕ ปี สาหตุของความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรอยุธยากับ
ล้านนาเป็นผลกระทบจากการรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยา ทาให้พระเจ้าติโลกราชแห่ง
ล้านนาไม่พอพระทัยเพราะต้องสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการค้า ขณะเดียวกันทรงได้รับการขอความ
ช่วยเหลือจากเจ้าเมืองของอาณาจักรสุโขทัยบางคนที่ถูกลิดรอนอานาจลง รวมทั้งเป็นผลมาจากแนวความคิด
จักรพรรดิราชด้วย จึงเกิดสงครามอันยาวนานระหว่างสองอาณาจักรในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและพระ
เจ้าติโลกราช
สาเหตุของสงครามเนื่องจากการสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่อาณาจักรล้านนาเคยได้จากเมือง
ต่างๆ ของอาณาจักรสุโขทัย เช่น ของป่าและเป็นศูนย์กลางการค้าของเมืองตอนบนไปสู่เมืองท่าตอนล่างและรับ
สินค้าจากเมืองต่างๆ ตอนล่างไปขายยังเมืองตอนบนด้วย อาจกล่าวได้ว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นคู่แข่งทางการค้าที่
สาคัญของอาณาจักรล้านนา ขณะเดียวกันทางอยุธยาก็พยายามคุมการค้าของป่าที่มาจากเมืองทางตอนบนโดยมี
สุ โ ขทัย และเมืองบริ ว ารคอยควบคุมการส่ งของป่าจากเมืองทางตอนบนลงมาอยุธ ยาด้ว ย ๒๑ จากข้อขัดแย้งนี้
อาณาจักรสุโขทัยจึงเป็นปัจจัยสาคัญนาไปสู่สงครามระหว่างอาณาจักรอยุธยากับล้านนา
การที่อาณาจักรอยุธยาเข้ามาครอบครองอาณาจักรสุโขทัยมีผลต่ออาณาจักรล้านนามากเพราะอาณาจักร
สุโขทัยเป็นฐานกาลังอย่างดีของอยุธยาในการเข้าโจมตีอาณาจักรล้านนา โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าติโลกราช ทาง
อยุธยาจะเกณฑ์ทัพจากเมืองต่างๆ ในอาณาจักรสุโขทัยไปรบกับอาณาจักรล้านนา เช่น เมืองพิษณุโลก ตาก และ
กาแพงเพชร เป็นต้น๒๒ อีกประการหนึ่ง การได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจาก เจ้าเมืองของอาณาจักร
สุโขทัยที่สูญเสียอานาจก็เป็นสาเหตุสาคัญของสงคราม กล่าวคือ ในระยะที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงได้รับ
การสถาปนาเป็นพระมหาอุปราชแห่งเมืองพิษณุโลกนั้น เจ้านายที่สาคัญคือพระยายุธิษเฐีย รเจ้าเมืองสองแควซึ่ง
เป็นพระญาติทางพระราชมารดานั้น มีข้อความระบุในตานานพื้นเมืองเชียงใหม่ว่า หากพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว
จะให้เป็นพระอุปราชมีอานาจปกครองอาณาจักรครึ่งหนึ่ง ๒๓ แต่เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วก็มิได้ให้อานาจแก่
พระยายุธิษเฐียรตามสัญญา พระยายุธิษเฐียรจึงขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนา
นอกจากนี้แนวความคิดพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในขณะนั้นมีบทบาทอย่างมากต่อสถาบันกษัตริย์ล้านนา ที่
สาคัญคือการขยายอาณาจักรอันเป็นผลมาจากแนวความคิดจักรพรรดิราช กล่าวคือ พระเจ้าติโลกราชทรงมีความ
เชื่อในเรื่อง “จักรพรรดิราช” อันหมายถึงการมีพระราชาที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าราชาทั้งปวง ทาให้พระองค์ทรง
พยายามขจัดอิทธิพลของเมืองต่างๆ แล้วสถาปนาอานาจและสร้างอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมายิ่งใหญ่เหนือราชา
๒๑
อุษณีย์ ธงไชย, “ความสัมพันธ์ ระหว่ างอยุธยาแลล้ านนา พ.ศ.๑๘๓๙ – ๒๓๑๐”, หน้ า ๘๗.
๒๒
อุษณีย์ ธงไชย, “ความสัมพันธ์ ระหว่ างอยุธยาแลล้ านนา พ.ศ.๑๘๓๙ – ๒๓๑๐”, หน้ า ๑๒๔.
๒๓
ตานานพืน้ เมืองเชียงใหม่ , (พระนคร : คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ , สานักนายกรัฐมนตรี ,
๒๕๑๔), หน้ า ๕๓.
อื่นๆ๒๔ เหตุผลต่างๆ ดังกล่าวมา ทาให้เป็นชนวนของสงครามอันยาวนานระหว่างอาณาจักรอยุธยาและล้านนา ใน
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับพระเจ้าติโลกราช ดังนี้
ต้นปี พ.ศ.๑๙๙๔ พระยายุธิษเฐียร ไม่พอใจที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมิได้กระทาตามสัญญาที่ให้ไว้
ประกอบกับต้องสูญเสียอานาจความเป็นผู้นาจึงได้เอาใจออกห่างนาไพร่พลไปขออยู่ใต้อานาจของพระเจ้าติโลกราช
และนาทัพล้านนามาตีเมืองกาแพงเพชรทั้งยังยกทัพมาตีเมืองสุโขทัยแต่ทาการไม่สาเร็จต้องยกทัพกลับ๒๕
ในปี พ.ศ.๒๐๐๒ พระเจ้าติโลกราชทรงยกทัพไปล้อมสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับพระราชชนนีไว้ใน
เมืองสองแคว ขุนเพชรรัตน์อาสานาพลรบลอบลงเรือหนีวงล้อมไปและทาอุบายตีกลองประหนึ่งว่าทัพหลวงยกหนี
ไปพระเจ้าติโลกราชจึงยกทัพกลับ๒๖
ในปี พ.ศ.๒๐๐๔ พระยาเชลียงนาพระเจ้าติโลกราชยกกองทัพมายึ ดเมืองพิษณุโลกแต่ไม่สามารถเข้าเมือง
ได้จึงยกทัพไปตีเมืองกาแพงเพชรแทน เข้าปล้นเมืองถึง ๗ วันก็ยังยึดเมืองมิได้ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและ
สมเด็จ พระอิน ทราชาธิ ร าชโอรสได้เ สด็ จ ขึ้ น ไปช่ว ยได้ ทัน เมืองกาแพงเพชรจึ งปลอดภัยจากการรุ กรานของ
อาณาจักรล้านนาในครั้งนั้น๒๗
จะเห็นได้ว่าหัวเมืองของอาณาจักรอยุธยา โดยเฉพาะเมืองพิษณุโลกและกาแพงเพชรมีความเข้มแข็ง
สามารถป้องกันตนเองได้จากการรุกรานของอาณาจักรล้านนาจนกระทั่งกองทัพหลวงของอยุธยาขึ้นไปช่วยทันและ
ยังแสดงให้เห็นว่าเมืองทั้งสองมีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถด้วย จากการที่พระเจ้าติโลกราชทรง
ยกทัพมารุกรานหัวเมืองทางเหนือของอาณาจักรอยุธยาอยู่เสมอ ทาให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตัดสินพระทัย
ขึ้นไปประทับ ณ เมืองพิษณุโลกเพื่อปกป้องหัวหัวเมืองเหนือไว้ในปีพ.ศ.๒๐๐๖
ในปีนี้เองพระเจ้าติโลกราชได้เสด็จยกทัพมาตีเมืองสุโขทัยอีก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระ
อินทราชาธิราชเสด็จยกทัพไปต่อต้าน พระเจ้าติโลกราชทรงตีทัพพระยาเถียนแตกและได้ปะทะกับกองทัพของหมื่น
ด้งนครโดยการกระทายุทธหัตถี ช้างของข้าศึกได้เข้าล้อมช้างพระที่นั่งของ พระอินทราชาธิราชและพระองค์ถูก
ปืนยิงที่พระพักตร์ พระเจ้าติโลกราชจึงเลิกทัพกลับไป๒๘ แสดงว่าสงครามในปีพ.ศ. ๒๐๐๖ พระเจ้าติโลกราชยกทัพ
ใหญ่มาทาสงครามยุทธหัตถีกับทางอยุธยา และยึดเมืองเชลียงไว้ได้และทางอยุธยาต้องสูญเสียพระอินทราชาธิราช
ในสงครามอันเป็นเหตุให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงโทมนัสมากจึงเสด็จออกผนวช แล้วให้พระเถระรูปหนึ่ง
ชื่อ โพธิสัมภารเถร ไปขอเมืองเชลียงคืน พระเจ้าติโลกราชให้ประชุมสงฆ์โดยมีพระมหาธรรมรัตนปราสาทเป็น
๒๔
อุษณีย์ ธงไชย, “ความสัมพันธ์ ระหว่ างอยุธยาแลล้ านนา พ.ศ.๑๘๓๙ – ๒๓๑๐”, หน้ า ๑๔๗.
๒๕
กรมศิลปากร พงศาวดารกรุ งศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ, หน้ า ๖.
๒๖
ประเสริ ฐ ณ นคร, “ตานานสิบห้ าราชวงศ์” ผลงานค้ นคว้ าประวัติศาสตร์ ไทยและเรื่องของเกลือ (ไม่ ) เค็ม
(กรุงเทพฯ : อักษรสมัย, ๒๕๑๔), หน้ า ๕๕.
๒๗
กรมศิลปากร, พงศาวดารกรุ งศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ, หน้ า ๗.
๒๘
เรื่ องเดียวกัน, หน้ า ๘.
ประธาน ปรึกษาเห็นว่าไม่ควรแก่กิจของสมณะจึงไม่อนุญาต พระเถรโพธิสมภารก็กลับไป ๒๙ ข้อความดังกล่าว
สะท้อนให้เห็นว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสเด็จออกผนวชครั้งนั้นนอกจากจะด้วยความศรัทธาในศาสนาแล้ว ยัง
ทรงถือเป็นโอกาสอันดียิ่งในการขอเมืองเชลียงคืนจากพระเจ้าติโลกราช ผู้ทรงมีพระราชศรัทธาในศาสนาพุทธอย่าง
ยิ่งด้วยเช่นกัน
พงศาวดารโยนกกล่าวต่อไปว่าเมื่อพระเจ้าติโลกราชยึดเมืองเชลียงได้แล้วก็เนรเทศพระยาเชลียงให้ไปอยู่
เมืองห้างหลวงและตั้งให้หมื่นด้งนครปกครองเมืองเชลียงแทน หมื่นด้งนครครองเมืองเชลียงอยู่ ๑๔ ปี ก็ถูกพระเจ้า
ติโลกราชสั่งให้ฆ่าเพราะทรงระแวงว่าหมื่นด้งนครจะมาสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หลังจากนั้นทาง
อาณาจักรล้านนาก็เกิดจลาจลแย่งชิงอานาจกันในราชวงศ์มังราย
พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐกล่าวว่า ปี พ.ศ.๒๐๑๗ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จ ยกทัพ
ไปยึดเมืองเชลียงได้สาเร็จ๓๐ ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าอาณาจักรล้านนาในตอนปลายรัชกาพระเจ้าติโลกราช
มีความไม่มั่นคงทางการเมือง ทาให้เกิดการระแวงสงสัยและแย่งชิงอานาจความเป็นใหญ่ในหมู่พระราชวงศ์ สมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถทรงเห็นเป็นโอกาสอันดีจึงได้ยกทัพไปยึดเมืองเชลียงกลับคืน นอกจากนี้ในหนังสือลิลิตยวน
พ่ายโคลงที่ ๑๕๑ – ๑๕๒ กล่าวข้อความตรงกับพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐว่ากษัตริย์ลาวได้ทราบข่าวสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถเสด็จยกทัพไปตีเมืองเชลียง จึงได้ยกทัพมาป้องกันเมือง (ในลิลิตยวนพ่ายเรียกเมืองเชลียงว่า
เชียงชื่น) ด้วยพระองค์เอง และให้เจ้าเมืองแช่ห่ม ซึ่งทรงเห็นว่ามีความสามารถในการสงครามมากกว่าหมื่นด้งนคร
มาครองเมืองเชลียงเพื่อให้ช่วยกันต่อต้านทัพของอาณาจักรอยุธยา๓๑
การทาสงครามระหว่างอาณาจักรทั้งสองสิ้นสุดลงด้ วยการที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสามารถ
ปกครองหัวเมืองทางเหนือซึ่งเคยเป็นอาณาจักรสุโขทัยไว้ได้ หลังจากนั้นเอกสารทางเหนือกล่าวว่าในตอนปลาย
รัชกาล พระเจ้าติโลกราชทรงเสียพระสติ โปรดฯให้ประหารพระโอรสเพราะทรงระแวงว่าจะช่วงชิงราชสมบัติจาก
พระองค์ ท่ามกลางความไม่มั่น คงทางการเมืองทาให้ อาณาจักรล้านนาอ่อนแอ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ของ
อาณาจักรล้านนา พระเจ้าติโลกราชจึงขอเป็นไมตรีกับอาณาจักรอยุธยา ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับ
หลวงประเสริฐว่า ศักราช ๘๓๗ มะแมดัก (พ.ศ.๒๐๑๘) มหาราชขอมาเป็นไมตรี๓๒ และในปี พ.ศ.๒๐๓๐ พระเจ้าติ
โลกราชก็เสด็จสวรรคต
ผลกระทบจากสงครามครั้งนี้ทาให้การสงครามระหว่างสองอาณาจักรยุติลงจนสิ้นราชวงศ์มังราย เนื่องจาก
ได้ เ กิ ด จราจลท าให้ ส ถาบั น กษั ต ริ ย์ ไ ม่ มี เ สถี ย รภาพที่ มั่ ง คงตรงกั น ข้ า มกั บ ราชอาณาจั ก รอยุ ธ ยากลั บ มี ค วาม
เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหัวเมืองเหนือที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงผนวกเข้ามารวมกับอาณาจักร
๒๙
พระยาประกิจกรจักร, พงศาวดารโยนก, (กรุงเทพฯ :สานักพิมพ์แพร่พิทยา , ๒๕๑๕), หน้ า ๓๓๔ – ๓๓๕.
๓๐
กรมศิลปากร, พงศาวดารกรุ งศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ, หน้ า ๘.
๓๑
กรมศิลปากร, ลิลิตยวนพ่ าย (พระนคร : คุรุสภา, ๒๕๑๕), หน้ า ๔๐.
๓๒
กรมศิลปากร, พงศาวดารกรุ งศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ , หน้ า ๙.
อยุธยานั้นทรงเสด็จมาประทับที่เมืองพิษณุโลกและทานุบารุงให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าสมัยใดๆ เมืองพิษณุโลกมีฐานะ
เป็นราชธานีของไทยเป็นเวลา ๒๕ ปี นอกจากนี้อิทธิพลทางศิลปกรรมแบบสุโขทัยยังได้แพร่เข้าไปยังอาณาจักร
ล้านนาด้วย เช่น ลวดลายปูนปั้นประดับตกแต่งสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมทั้งเทคนิค วิธีการและรูปแบบของเครื่อง
เคลือบดินเผา เป็นต้น ๓๓ อาจกล่าวได้ว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็ทรงนาเมืองพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางของ
อาณาจักรอยุธยาเข้าสู่ยุคทองของเมืองพิษณุโลก
การขยายพระราชอานาจของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
การรวมหัวเมืองฝ่ายเหนือ และการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
การขยายอานาจทางการเมืองของกษัตริย์อยุธยาไปยังดินแดนทางตอนเหนือจาเป็นจะต้องเข้าใจนโยบาย
การขยายอานาจทางการเมืองของผู้นาอยุ ธยาโดยทั่วไปเสียก่อน กษัตริย์อยุธยาก่อนแผ่นดินของสมเด็จพระบรม
ไตรโลกนาถทรงดาเนินนโยบายการขยายอานาจ ๓ วิธีการด้วยกันอันได้แก่ ๑.การใช้กาลังทางทหาร ๒.การสร้าง
ความผูกพันทางเครือญาติ และ ๓. การสร้างความผูกพันส่วนตัวในประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้กาลังทางทหารนั้น
หลักฐานมีปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐและฉบับอื่นๆว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ทรง
กระทาสงครามขยายอาณาเขตถึง ๘ ครั้ง ในรัชกาลของพระองค์อย่างไรก็ดีจุดมุ่งหมายสาคัญของการทาสงคราม
นั้นอยู่ที่การขาดกาลังคน ดังนั้นในสงครามใหญ่ๆหลายครั้งจึงมีการกวาดต้อนผู้คนด้วยเช่นสงครามกั บพิษณุโลก
กาแพงเพชร ในปีพ.ศ.๑๙๑๘ สงครามกับกัมพูชาในปี พ.ศ. ๑๙๗๔ และสงครามคราวปราบพม่าในปี พ.ศ. ๑๙๘๗
เป็นต้น๓๔ หลักฐานที่ยกมานี้ได้ช่วยยืนยันว่าหัวเมืองทางเหนือ เช่น พิษณุโลกและกาแพงเพชรนั้นนอกจากจะเป็น
จุดยุทธศาสตร์ที่สาคัญแล้วยังเป็นแหล่งกาลังคนอีกดัวยจึงไม่ใช่ของแปลกที่ทั้งพิษณุโลกและกาแพงเพชรย่อมเป็นที่
หมายปองของกษัตริย์สุโขทัยและอยุธยาโดยไม่จากัดว่าผู้นาของแคว้นทั้งสองมาจากคนตระกูลใด
นอกจากการใช้กาลังทหารแล้วการสร้างความผูกพันทางเครือญาติก็เป็นนโยบายหลักอีกประการหนึ่งที่
กษัตริย์อยุธยานิยมใช้ ประโยชน์จากเจ้าผู้ครองนครใหญ่จะได้จากความผูกพันในลักษณะนี้มีอยู่สองประการด้วยกัน
๓๓
มารุ ต อัมรานนท์ , “ผลกระทบจากสงครามระหว่างสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถกับ พระเจ้ าติโลกราชที่ มี ต่อ
ศิลปกรรมบางลักษณะของล้ านนา” รายงานผลการสัมมนาประวัติศาสตร์ เมืองพิษณุโลกครั ง้ ที่ ๒ (กรุ งเทพฯ : คุรุสภา,
๒๕๑๗), หน้ า ๑๙๒ – ๑๙๖.
๓๔
"พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ" ประชุมพงศวดรฉบับหอสมุดแห่งชาติเล่ม ๑ (พระนคร : โรงพิมพ์ก้าวหน้า.
๒๕๐๖).หนัา ๑๑๖-๑๑๙.
คือ ประการแรกนั้นเป็นความผูกพันทางเครือญาติโดยเฉพาะญาติทางการแต่งงาน (affinal tic) เท่ากับเป็นการ
สร้างความสัมพันธไมตรีระหว่างผู้ครองแควันและเจ้าผู้ครองแคว้นใหญ่ย่อมจะควบคุมกาลังคนของเจ้าผู้ครองแคว้น
เล็กๆโดยผ่านความผูกพันทางเครือญาติในทางกลับกันเจ้าผู้ครองแคว้นหรือนครเล็กก็สมารถจะพึ่งพาญาติผู้ครอง
แคว้นใหญ่เมื่อมีภัยมาถึงตัวได้ ประโยชน์อีกประการหนึ่งที่เจ้าครองนครใหญ่พึงได้คือการอ้างสิทธิทางการเมือง
เหนือนครเล็กในกรณีได้เกิดทายาทที่มีสายเลือดผสมระหว่างสองนครตัวอย่างเห็นได้ชัดในกรณีที่พระบรมไตร
โลกนาถสามารถอ้างสิทธิเหนือพิษณุโลกซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นสุโขทัย
ความผูกพันเป็นการส่วนตัวเป็นนโยบายทางการเมืองอีกประการหนึ่ งที่กษัตริย์อยุธยาสมัยตันทรงใช้ หาก
เทียบเคียงความผูกพันทางเครือญาติกับความผูกพั นส่วนตัวและความผูกพันทางเครือญาติเป็นประเภทหนึ่งของ
ความผูกพันส่วนตัว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผู้มีความผูกพันโดยส่วนตัวไม่จาเป็นจะต้องเป็นญาติกัน ตัวอย่างเช่น ความ
ผูกพันฐานะสหายสนิทระหว่างพ่อขุนรามคาแหง พญามังรายและพญางาเมืองเป็นต้น ความผูกพันส่วนตัว ยัง
จาแนกได้เป็นสองประเภทคือความผูกพันระหว่างผู้ที่มีฐานะทางการเมืองเสมอหรือใกล้เคียงกันกับความผูกพัน
ระหว่างผู้ที่มีฐานะทางการเมืองต่างกันเช่นความผูกพันระหว่างผู้ครองแคว้นใหญ่ ที่มีอานาจทางการเมืองสูงกว่าเจ้า
ผู้ครองแคว้นเล็กผลจากความผูกพันเป็นการส่วนตัวทาให้เกิดความไว้ว างใจกันและสามารถยุติข้อบาดหมางซึ่งแค
วันแต่ละแคว้นเคยมีต่อกันได้ระยะหนึ่ง แต่เมื่อไรที่ผู้นาแคว้นที่เป็นที่ไว้วางใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายลงความขัด
แย้ระหว่างแคว้นก็สามารถปะทุขึ้นอีกได้ซึ่งจะเห็นได้ในกรณีสงครามระหว่างสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ กับ
กษัตริย์สุโขทัย (มหาธรรมราชาที่ ๒ พ.ศ.๑๙๑๓ /๑๔-๑๙๔๑)หลงการสวรรคตของพระเจ้าลิไท
การขยายอานาจของอยุธยาสู่หัวเมืองทางเหนือก่อนสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นว่าพิษณุโลกเป็นจุดยุทธศาสตร์สาคัญของดินแดนทางเหนือดังนั้นตลอดความ
เป็นมาในประวัติศาสตร์พิษณุโลกจึงตกเป็นที่หมายปองของผู้นาแคว้นใหญ่ๆเช่น สุโขทัย อยุธยา และเชียงใหม่ โดย
เริ่มต้นจากการช่วงชิงพิษณุโลกของพ่อขุนรามคาแหงจากผู้นาตระกูลผาเมือง และตามด้วยการชิงเมืองเดียวกันนี้
เองของพระเจ้ารามาธิบดีอู่ทองจากพระเจ้าลิไทจนเป็นเหตุให้พระเจ้าลิไทต้องส่งบรรณาการให้พระเจ้าอูทองเพื่อ
ขอเมืองพิษณุโลกคืน ต่อมาในปีพ.ศ.๑๙๑๘ พระบรมราชาธิราชที่ ๑ ทรงเสด็จไปยึดเมืองพิษณุโลกและประมาณปี
พ.ศ.๑๙๖๒ สมเด็จพระอินทราชา ทรงล่งเจ้าสามพระยาไปครองพิษณุโลกท้ายที่สุดเจ้าสามพระยา (พระบรม
ราชาธิราชที่ ๒) ส่งโอรสของพระองค์ซึ่งเกิดจากเจ้าหญิงองค์หนึ่งของสุโขทัยคือสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไปอยู่
ในพิษณุโลก นอกจากพิษณุโลกแล้วกาแพงเพชรยังเป็นเมืองสาคัญอีกเมืองหนึ่งที่เป็นที่หมายปองของกษัตริย์
อยุ ธ ยาเฉพาะในรั ชกาลของพระบรมราชาที่ ๑ เมืองกาแพงเพชรถูกอยุธยารุกรานถึงสี่ครั้งในปี พ.ศ.๑๙๑๖,
๑๙๑๘, ๑๙๒๑ และ ๑๙๓๑ อาจกล่ า วได้ ว่ า จากรั ช กาลของพระรามาธิ บ ดี ที่ ๑ เป็ น ต้ น มา พิ ษ ณุ โ ลกและ
กาแพงเพชรเป็นเมืองกันชนระหว่างแคว้นที่เป็นศูนย์อานาจเดิมดือสุโขทัยกับศูนย์อานาจใหม่ที่กาลังขยายตัวขึ้น
ทางลุ่มน้าเจ้าพระยาตอนล่างคืออยุธยา
อยุธยาได้เริ่มขยายอานาจขึ้นไปทางเหนือในรัชกาลพระเจ้ ารามาธิบดีที่ ๑ ดังความในตานานชินกาลมาลี
ปรกรณ์ที่ว่า
“…พระเจ้ ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จมาจากแคว้นกั ม โพช
(ลพบุรี) ทรงยึดเมืองชัยนาท(พิษณุโลก)นั้นโดยทาเป็นทีว่าเอาช้างมาขายครั้น
ยึดได้แล้วทรงตั้งมหาอามาตย์ของพระองค์ชื่อว่า วัตติเดช (ขุนหลวงพะงัว) ซึ่ง
ครองเมืองสุวรรณภูมิให้มาครองเมืองชัยนาทส่วนพระองค์เสด็จกลับไปอโยช
ชปุระต่อแต่นั้นมา พระเจ้าธรรมราชาก็ส่งราชบรรณาการเป็นอันมากไปถวาย
พระเจ้ า รามาธิ บ ดี ทู ล ขอเมื อ งชั ย นาทนั้ น คื น ฝ่ า ยพระเจ้ า รามาธิ บ ดี ก็ ท รง
ประทานคืนแก่พระเจ้าธรรมราชา วัตติเดชอามาตย์ก็กลับไปเมืองสุวรรณภูมิอีก
พระเจ้าธรรมราชาครั้นได้เมืองชัยนาทคืนแล้วทรงตังพระมหาเทวีผู้เป็นพระ
กนิษฐา-ของพระองค์ให้ครองสมบัติในเมืองสุโขทัยทรงตั้งอามาตย์ชื่อ ติปัญญา
ให้ครองราชสมบัติในเมืองกาแพงเพชร...เมือพระเจ้ารามาธิบดีผู้เป็นใหญ่แก่
แคว้นกัมโพชและอโยชชปุระสวรรคตแล้ววัตติ เดชอามาตย์จากเมืองสุวรรณภูมิ
ยืดแคว้นกัมโพชได้ครั่นพระเจ้าธรรมราชาเมืองชัยนาทสวรรคตแล้ววัตติเดช
อามาตย์มาจากอโยชชปุระยืดเมืองชัยนาท...และมหาอามาตย์ชื่อพรหมไชยก็ยึด
เมืองสุโขทัยได้...”๓๕
หลักฐานข้างต้นยังช่วยให้ความกระจ่างว่าเหตุที่พระเจ้ารามาธิบดีที่ ๑ ไม่รุกรานแควันสุโขทัยบ่อยครั้งก็
เพราะพระเจ้าลิไทได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์แล้ว ส่วนความผูกพันระหว่างพระเจ้าลิไทกับพระเจ้ารามาธิบดีและ
พระบรมราชาเป็นความผูกพันส่วนตัวที่ต่างฝ่ายต่างให้ความไว้วางใจกัน ทั้งนี้เห็นได้ในกรณีที่สมเด็จพระบรมราชา
เข้ า ยึ ด พิ ษ ณุ โ ลกหลั ง จากที่ พ ระเจ้ า ธรรมราชาสวรรคตแล้ ว อย่ า งไรก็ ดี ห ลั ก ฐานข้ างต้ นยั งช่ ว ยยื น ยัน ให้ เห็ น
ความสาคัญของพิษณุโลกว่าไม่ได้ถูกพระเจ้ารามาธิบดีที่ ๑ มองข้ามไปแต่อย่างไร ความสาคัญของพิษณุโลกดูจะ
เพิ่มมากขึ้นในฐานะนครกันชนระหว่างแคว้นสุโขทัยและอยุธยาการที่พระเจ้าลิไทลงมาครองพิษณุโลกอยู่ถึง ๗ ปี
นั้นเท่ากับเป็นการใช้พิษณุโลกเป็นฐานป้องกันการขยายอานาจของอยุธยาในทางกลับกันการที่พระบรมราชาทรง
ยึดพิษณุโลกคืนหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าลิไทก็เป็นไปได้ว่าพระองค์ไม่ได้มีความผู กพันโดยส่วนตัวและ
๓๕
รัตนปัญญา แต่ง, แสง มนวิทูร แปล, ชินกาลมาลีปกรณ์ (พระนคร : โรงพิมพ์บารุงนุกูลกิจ, ๒๕๑๘), หน้า ๑๑๑.
ความไว้วางใจต่อกษัตริย์สุโขทัยองค์ใหม่พระองค์จึงประสงค์จะยึดพิษณุโลกเป็นฐานเพื่อจะขยายอานาจขึ้นไปทาง
เหนือต่อไป หากเทียบเคียงหลักฐานในชินกาลมาลีปกรณ์ควบคู่ไปกับพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐก็
พอจะอนุมานได้ว่า พระเจ้าลิไทสวรรคตในปีพ.ศ.๑๙๑๓ หรือ ๑๙๑๔ และพระบรมราชา ทรงเสด็จไปตีพิษณุโลก
ในปีพ.ศ.๑๙๑๔ ดังความที่ว่า “เสด็จไปเอาเมืองเหนือและได้เมืองเหนือทั้งปวง” เหตุการณ์ที่แควันสุโขทัยหลังจาก
ที่พระเจ้าลิไทสวรรคตแล้วคงจะไม่มีความสงบเรียบร้อยนัก ซึ่งเปิดโอกาสให้เจ้านครต่างๆที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของ
สุโขทัยพยายามจะดิ้นรนเป็นอิสระตัวอย่างเช่น ติปัญญาอามาตย์ (พระยาญาณดิลกเจ้านครกาแพงเพชรได้กาหนด
นโยบายการเมืองของตนเองโดยหันไปผูกไมตรีกับทางอยุธยาและได้ยกมารดาของตนเองให้เป็นสนมพระบรมราชา
เป็นที่แน่นอนว่าการกระทาของติปัญญาย่อมนาความไม่พอใจมาให้พระมหาธรรมราชาที่ ๒ (ซึ่งยากจะระบุเป็นที่
แน่นอนว่าคือใคร) จึงเป็นเหตุให้พระองค์ส่งคนของพระองค์ไปยึดกาแพงเพชรคืนจากติปัญญา หลักฐานทียืนยันว่า
ติปญั ญาได้สญู เสียความเป็นผูน้ าของนครกาแพงเพชรไปมีปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐว่า ในปี
พ.ศ.๑๙๑๖ ที่พระบรมราชาเสด็จขึ้นไปตีกาแพงเพชรนั้นเจ้าเมืองกาแพงเพชรขณะนั้นคือพระยาใสแก้วและพระยา
คาแหง ย่อมเป็นไปได้ว่าการที่พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ส่งคนของตนไปยึดกาแพงเพชรนั้นย่อมนาความไม่พอใจมา
ให้กับพระบรมราชาเป็นอย่างมากและด้วยเหตุนี้เองที่ทาให้พระบรมราชาเสด็จขึ้นไปดีกาแพงเพชรถึงสี่ครั้งใน
รัชกาลของพระองค์
การขยายอานาจของอยุธยาขึ้นไปยังหัวเมืองทางเหนือในระยะต้นจึงไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของความแตกต่าง
ของนโยบายการขยายอานาจทางการเมืองของตระกูลอู่ทองและพรรณบุรีอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน
กว่านั้นมากกว่าการสวรรคตของพระเจ้าลิไท ประกอบกับการดาเนินนโยบายทางการเมืองของติปัญญารวมถึงการ
ตอบโต้ของพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ล้ ว นเป็นปัจจัยภายนอกที่ผ ลักดันให้ พระบรมราชาขยายอานาจขึ้นไปยัง
พิษณุโลกและกาแพงเพชรนอกจากนี้หลักฐานจากชินกาลมาลีปกรณ์ยังเปิดเผยให้เห็นว่าไม่ใช่ตระกุลอู่ทองหากแต่
เป็นตระกูลสุพรรณบุรี ที่มีความผูกพันทางเครือญาติกับผู้นาทางเหนือ
หลังจากที่พระบรมราชาธิราชที่ ๑ สวรรคตแล้ว (พ.ศ.๑๙๓๑) ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันเป็นที่แน่นอนว่า
อยุธยายกทัพขึ้นไปรุกรานหัวเมืองทางเหนืออีก อย่ างไรก็ดีมีหลักฐานยืนยันว่าในปี พ.ศ.๑๙๔๐อยุธยาได้ประกาศ
กฎหมายลักษณะโจรขึ้นใช้ในสุโ ขทัยซึ่งคาดว่าควรเป็นฝีมือของคนในตระกูลสุพรรณบุรีซึ่งอาจเป็นสมเด็จพระ
อินทราชาธิราช (พ.ศ.๑๙๕๒-๑๙๖๗) ก็ได้ ต่อมาในปีพ.ศ.๑๙๖๒ พระมหาธรรมราชา (บรมบาล) ของสุโขทัย
สวรรคต เป็นเหตุให้เกิดการแย่งชิงอานาจกันในหมู่ผู้นาหัวเมืองทางเหนือคือพระยาบาลเมืองและพระยาราม ซึ่ง
เปิดโอกาสให้พระอินทราชาเข้าแทรกแซง โดยการขึ้นไปไกล่เกลี่ยข้อบาดหมางของพระอินทราชานั้น เป็นการขึ้น
ไปของญาติผู้ใหญ่เพราะพระอิน ทราชาเป็นพระนัดดาของพระบรมราชาที่ ๑ ซึ่งมีมเหสีองค์หนึ่งเป็นเจ้าหญิง
กาแพงเพชร พระอินทราชายังได้โปรดให้โอรสองค์หนื่งของพระองค์คือเจัา สามพระยาไปครองเมืองพิษณุโลก ซึ่ง
อาจตีความได้ว่าก่อนรัชกาลพระอินทราชานั้นพิษณุโลกคงถูกสุโขทัยยึดคืนมาได้จากอยุธยาดังความในจารึกหลักที่
๔๖ ที่กล่าวว่า พ.ศ.๑๙๔๓ ศรีธรรมราชมาคากับพระมหาธรรมราชา “อานาจท้าวห้าวหาญนาพ (ล) รบราคธรณี
ดล...ผลาญปรปักษ์ศัตรูขอพระบางเป็ นแดนเก่าแสนสองหนองห้วยและแพร่ ๓๖ นอกจากจะส่งเจ้าสามพระยาไป
ครองพิษณุโลกแล้วพระอินทราชายังโปรดให้เจ้าสามพระยาอภิเษกสมรสกับ จ้าหญิงองค์หนึ่งของแคว้นสุโขทัยเพื่อ
เพิ่มความชอบธรรมในการครองพิษณุโลกของพระโอรสต่อมา ในปีพ.ศ.๑๙๘๑ หลั งจากที่เจ้าสามพระยาขึ้น
ครองราชแล้ว พระองค์ทรงโปรดให้พระโอรสคือสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นไปพิษณุโลกในฐานะที่สมเด็จพระ
บรมไตรโลกนาถเป็นโอรสอันเกิดจากจ้าหญิงสุโขทัยจะเห็นได้ว่าหลังรัชกาลพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ลงมากษัตริย์
อยุธยาทรงนิยมใช้ความผูกพันทางเครือญาติเป็นนโยบายหลักในการขยายอานาจขึ้นไปหัวเมื องทางเหนือ แต่
นโยบายดังกล่าวก็ต้องพึ่งพาความมั่นคงทางกาลังทัพเพื่อสนับสนุนในทางอ้อมด้วยเช่นกัน
การปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรลกนาถและการรวมหัวเมืองฝ่ายเหนือ
ในสมัยอยุธยาตอนตันกษัตริย์ต้องเผชิญกับปัญหากาหาดแคลนกาลังคนในการขยายอาณาเขตแต่ในสมัย
พระบรมไตรโลกนาถปัญหาหลักของอยุธยาคือการจัดสรรกาลังคนและกาหนดฐานะของคนในสังคมรวมถึงฐานะ
ของนครที่ตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยาและเป้าหมายสาคัญที่สมเด็จพระบรมไตรลกนาถมุ่งจะปฏิรูปคือเหล่าหัวเมือง
ทางเหนือส่วนจุดมุ่งหมายสาคัญของการปฏิรูปท้องถิ่นนั้นอยู่ที่การรวมอานาจเข้าสู่ศู นย์กลางและตัดทอนอานาจ
ของผู้นาระดับท้องถิ่นลงไปความพยายามที่จะสร้างอยุธยาให้เป็นศูนย์อานาจเห็นได้จากการออกกฎหมายศักดินา
กฎหมายดังกล่าวเท่ากับเป็นการผูกขาดฐานะตาแหน่งและหน้าที่ของผู้นาท้องถิ่นว่าจะต้องผูกพันกับส่วนกลาง ๓๗
ดัวยเหตุนี่ความชอบธรรมในการสืบทอดอานาจทางการเมืองของผู้นาระดับท้องถิ่นจึงถูกทาลายลงด้วยกฏเกณฑ์
ใหม่ที่กษัตริย์อยุธยาออกมาเป็นกฎหมาย อย่างไรก็ดีนโยบายทางการเมืองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็ไม่ได้
สาเร็จผลสมความมุ่งหมายดัวยสาเหตุสองประการคือการต่อต้นจากผู้นาท้องถิ่นและการแทรกแซงของล้านนาไทย
การปฏิรูปการปกครองของพระบรมไตรโลกนาถ ยังสร้างความไม่พอใจให้กับผู้นาท้องถิ่นที่ถูกริดรอน
อานาจโดยเริ่มจากการที่ยุธิษฐียรเจ้าเมืองพิษณุโลก(สองแควหนีไปพึ่งบารมีพระเจ้าติโลกราชและยังนาทัพเซียง
ใหม่ลงมาดีกาแพงเพชร (ชากังราว) ในปี พ.ศ.๑๙๙๔๓๘ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๐๓ พระยาเชลียง (ศรีสัชนาลัย) ก็คิด
๓๖
“จารึกหลัที่ ๔๖”, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๓, (พระนคร : โรงพิมพ์สานักทาเนียบนายกรัฐมนตรี, ๒๕๐๘), หน้า ๗๑-
๗๓.
๓๗
ศรีตักรโภคม. “ที่มาของการปฏิรูปการปกครอง”,ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย. (พระนคร :
เมืองโบราณ, ๒๕๒๔). หน้า ๘๑-๑๐๓.
๓๘
ศรีศักร วัลลิโภดม."เมืองลูกหลวงกับการปกครองไทยโบราณ". เรืองเดิม,หน้า ๗๘.
กบฏและหนีไปพึ่งบารมีติโลกราชอีก ในปีต่อมาพระยาเชลียงได้นาทัพเชียงใหม่มาตีพิษณุโลกและกาแพงเพชร
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๐๕ เมืองนครไทยได้อพยพขึ้นไปเมืองน่านแต่พระยากลาโหมสามารถนาคนคืนมาได้ ๓๙ อย่างไร
ก็ดีการขัดขืนของเหล่าผู้นาท้องถิ่นก็ไม่อาจจัดเป็น ปัญหาหลักของการปฏิรูปหากปราศจากการแทรกแซงของพระ
เจ้าติโลกราช
เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สุโขทัยได้สูญเสียฐานะความเป็นแคว้นสาคัญของ
ทางเหนือลงขณะที่ล้านาไทยได้เพิ่มความเข้มแข็งและขยายบทบาททางการเมืองมากขึ้นด้วยเหตุนี้เองล้านนาไทย
จึงกลายมาเป็นคู่และอุปสรรคสาคัญของการปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถการขยายบทบท
ทางการเมืองของล้านนาไทยโดยการยกทัพมารุกรานหัวเมืองทางเหนือเป็นเหตุให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้อง
ขึ้นไปครองพิษณุโลกในปีพ.ศ.๒๐๐๖ เพื่อใช้พิษณุโลกเป็นฐานทัพในการป้องกันการขยายอานาจของพระเจ้าติโลก
ราช จากจุดนี้เองที่ช่วยยืนยันว่าพิษณุโลกจัดเป็นนครกันชนและนครหน้าด่านที่สาคัญ การขึ้นไปครองพิษณุโลก
ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนั้น ใกล้เคียงกับครั้งที่พระเจ้าลิไทลงมาประทับที่พิษณุโลกเพื่อกันการขยายอานาจ
ของอยุธยา อย่างไรก็ดีถึงแม้การปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในระยะแรกจะไม่ได้ผลแด่เมื่อ
สงครามกับเชียงใหม่ได้ยุติลงการปฏิรูปของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็รบรื่นขึ้น ๔๐ ผลกระทบสาคัญของการ
ปฏิรูปการปกครองนั้นอยู่ที่การเปลี่ยนรูปแบบการสืบทอดอานาจทางการเมืองซึ่งผู้นาทางเหนือปฏิบัติสืบทอดกัน
มาไม่ว่าจะเป็นการใช้กาลังเข้าแย่งชิงอานาจกันเองหรือการอ้างสิทธิในฐานะที่เป็นญาติกับผู้นาที่ตายลงเดิมทีผู้นา
อยุธยาใช้วิธีการเดียวกันกับที่ผู้นาทางเหนือใช้ในการสืบทอดอานาจคือใช้ทั้งกาลังและความผูกพันทางเครือญาติ
แต่มาในสมัย สมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้ทรงสร้างกฎเกณฑ์ก ารสืบทอดอานาจใหม่โดยการออก
กฎหมายที่เปิดโอกาสให้กษัตริย์อยุธยาเข้าแทรกแซงและผูกขาดการเมืองระดับท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่และชอบธรรม
การปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงเท่ากากับเป็นการทาลายวัฒนธรรมทางการเมืองของ
เหล่าผู้นาทางเหนือลงอย่างลิ้นเชิง๔๑ ในระยะแรกการต่อต้านของฝ่ายผู้เสียผลประโยชน์บังเกิดผล เพราะได้รับการ
สนับสนุนจากพระเจ้าติโลกราช แต่เมื่อเชียงใหม่ยุติการสนับสนุนเหล่าผู้นาท้องถิ่นก็หมดโอกาสจะแข็งข้อเป็นเหตุ
ให้การปฏิรูปของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ผลมากขึ้นในตอนปลายรัชกาลและสมัยต่อมา
การปกครองในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
๓๙
ตานานพื้นเมืองเชียงใหม่ (พระนคร : โรงพิมพ์สานักทาเนียบนายกรัฐมนตรี.๒๕๐๔).หน้า ๕๓-๕๔.
๔๐
“พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ”, เรื่องเดิม, หน้า ๑๑๙-๑๒๐.
๔๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๒๐.
ราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นสมัยที่บ้านเมืองมีความเป็นปึกแผ่น
มั่นคงและมีอารยธรรมเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมรชาธิราช (เจ้าสามพระยา) พระราช
บิดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ยกทัพไปตี กรุงยโสธรนครธมของขอมได้สาเร็จ และได้กวดต้อนทรัพย์สิน
ผู้คน ตลอดจนนักปราชญ์ราชบัณฑิตจากราชธานีขอมมายังกรุงศรีอยุธยายิ่งเป็นปัจจัยสาคัญทาให้เกิดการพัฒนา
อารยธรรมไทยในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้นการเมืองการปกครองและในรัชกาลนี้เองทางกรุงศรีอยุธยา
ได้ผนวกราชอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาแต่ร่วมกันยังไม่เหนียวแน่นมันคงจนก่อให้เกิดการ
ชักนากองทัพจากราชอาณาจักรล้านนายกมาตีหัวเมืองสาคัญของกรุงศรีอยุธยาคือพิษณุโลกและกาแพงเพชร
ยังผลให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องย้ายราชธานีมาตังมันยันศึกที่เมืองพิษณุโลกเป็นเวลา ๒๕ ปีและได้ทรง
ดาเนินพระราโชบายประสานสัมพันธ์ระหว่างผู้คนของราชอาณาจักรสุโขทัยกับราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาให้กลม
เกลียวเป็นอันหนี่งอันเดียวกัน ในเวลาเดียวกันก็ได้นาเอาอารยธรรมอันรุ่งเรืองของสุโขทัยมาเสริมสร้างความเจริญ
ของกรุงศรีอยุธยา อาทิ พุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมต่างๆ
ปกครองในรั ช สมัย ของสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถเป็นระบบการปกครองที่พระองค์ทรงนาเอาลัทธิ
เทวราช๔๒ จากอาณาจักรขอมและลัทธิธรรมราชา ๔๓ ของอาณาจักรสุโขทัยมาปรับปรุงพัฒนาการปกครองแบบ
จตุสดมภ์ที่เคยมีมาก่อนแล้ว ตั้งแต่ส มัย พระเจ้าอู่ทองผู้ ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาระบบการปกครองของไทย
หลังจากที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปรับปรุงได้ถูกใช้เ ป็นแบบอย่างเรื่อยมา มีการปรับปรุงแก้ไขบ้างในรัช
สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ สมเด็จพระนเรศวร และพระนารายณ์มหาราชแต่หลักการสาคัญๆก็ยังคงใช้ปกครอง
ประเทศมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงดาเนินการปฏิรูปการปกครองตามแบบ
ตะวันตกจึงนับได้ว่าพระราชกรณียกิจด้านการปกครองของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นประโยชน์ต่ อประเทศ
ไทยอย่างยิ่ง
๔๕
กรมศิลปากร,พระราชพงศาวดารเล่ม ๑, (กรุงเทพฯะสานักงานคลังวิทยา ๒๕๓๖).หน้า ๔๕๘-๔๕๙.
๔๖
Hall D.G.E ,A History of Southeast Asia, ( Mcmillan Co.,LTD. New York ๑๙๖๔), P ๘๑-๘๔.
๔๗
Moomead F.J. A History of Malaya and Her Neighbor. (Longmans, New York. ๑๙๕๗) P ๑๒๓-อ๒๔.
๔๘
สมเด็จพระนพรัตน์, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (กรุงเทพฯสานักพิมพ์คลังวิทยา, ๒๕๑๕),หน้า ๑.
๔๙
พระยาประชากิจกรจักร, พงศาดารโยนก.(กมเทพฯ สานักพิมพ์คลังวิทยา..๒๕๑๖),หน้า ๑๒๒-๓๒๕.
กลางคืนเกิดวุ่นวายในค่ายกองทัพแล้วไพร่ล้านนาไทยก็ยกพลเข้าปล้นค่ายทาให้ กองทัพไทยแตกหายกลั บ มา
สรุปว่าสงครามคราวนี้ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาดาเนินการไม่สาเร็จ
สงครามเมืองสองแคว พ.ศ.๑๙๙๐ สงครามคราวนี้เกิดจากพระยาเชลียงก่อการกบฎพาครอบครัวทั้งปวง
ไปขึ้นกับพระเจ้าติโลกราชนาทัพเชียงใหม่ลงมาตีพิษณุโลกเข้าปล้นเมืองแต่ไม่ได้จึงยกไปตีกาแพงเพชรปล้นอยู่ ๗
วันแต่ไม่ได้๕๐ ทางพงศาวดารโยนกว่า พระยายุทิศเจียง ผู้ครองเมืองสองแควมาสวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นต่อพระเจ้า
เชียงใหม่๕๑ (เรียกพระยาเชลียงเป็นยุทิศเจียง) พระเจ้าติ โลกราชเสด็จยกทัพหลวงไปเมืองสองแควเพื่อจะยืดหัว
เมืองฝ่ายเหนือไปจากอยุธยานาทัพลงไปตั้งอยู่ที่เมืองทุ่งยั้งมีกาลังทัพมา ๕๐.๐๐๐ คนโปรดฯให้หมื่นนครเข้าโจมดี
เมืองเชลียงแต่ไม่ส าเร็ จพอดีกับมีข่าวศึกล้ านช้างยกมาติ ดชายแดนเชียงใหม่พระเจ้าติโลกราชจึงให้ กวาดครัว
พลเมืองชาวสองแควกับพระยายุทิศเจียงเลิกทัพกลับเชียงใหม่แล้วให้พระยายุทิศเจียงไปครองเมืองพะเยาการที่
เชียงใหม่ยกลงมาตีครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ยกกาลังลงมาเพราะในอดีตที่ผ่านมามีแต่ฝ่ายกองทัพอยุธยายกขึ้น
ไปโจมดีโดยตลอดโดยเฉพาะได้โจมดีเชียงใหม่( เมืองหลวงของล้านนาไทย) ถึง ๔ ครั้งคือ ๕๒
ครั้งที่ ๑ .พ.ศ.๑๙๒๓ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (พะงั่ว) เสด็จยกทัพขึ้นไปตีเชียงใหม่และข้าปล้น
เมืองนครลาปางแต่ไม่ได้จึงเสด็จยกทัพกลับ
ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๑๙๒๗ สมเด็จพระราเมศวรยกทัพไปตีเชี ยงใหม่อีกได้เมืองและอพยพครัวเรือนลงมาที่
สวางคบุรี (ในเขตอุตรดิตถ์) และโปรดฯให้นักสร้างขึ้นเป็นพระเจ้าชียงใหม่
ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๑๙๗๑ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (สามพระยา) เสด็จยกทัพไปตีเชียงใหม่ทาการปล้น
เมืองแต่ไม่ได้ต่อมาทรงพระประชวรจึงเสด็จยกทัพกลับ
ครั้งที่ ๔ พ.ศ.๑๙๗๓ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (สามพระยา) เสด็จยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่อีก
เป็นครั้งที่ ๒ ตีเมืองได้แล้วอพยพผู้คนแสนสองหมื่นคนลงมาด้วย
สงครามเชียงใหม่ พ.ศ.๒๐๐๐ สงครามครั้งนี้ไม่ปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา แต่พงศาวดารโยนก
กล่าวว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับพระอินทราชาราชบุตรยกทัพหลวงขึ้นไปดีเมืองเชียงใหม่ทางเมืองลาปาง ๕๓
ไปตั้งทัพหลวงริมแม่น้าราชธานีฝั่งฟากตะวันออก กองทัพพระเจ้า ติโลกราชยกมาตั้งรับทีเชิงดอยบา พร้อมด้วย
กองทัพหัวเมืองทั้งปวง กองทัพทั้งสองฝ่ายเกิดปะทะกัน เกิดชนช้างกันขึ้นระหว่างพระอินทราขากับช้างพระยายุ
ทิศเจียง (เจ้าเมืองพะเยา) รี้พลสองฝ่ายเข้าสัประยุทธกันเป็นโกลาหลช้างทรงของพระอินทราชาถูกรุมด้วยช้าง ๔
๕๐
สมเด็จพระนพรัตน์, เรื่องเดิม. หน้า ๓๒๒-๓๒๕.
๕๑
พระยาประชากิจกรจักร, เรื่องเดิม, หน้า ๒๓๘.
๕๒
กรมศิลปากร, เรื่องเดิม. หน้า ๑๑๕-๑๒๐.
๕๓
พระยาประชากิจกรจัก, เรื่องเดิม, หน้า ๓๒๘.
เชือกของเจ้าแจ้สัก หมื่นจ่าช้อย หมื่นนคร และพระยายุทิศเจียง พระอินทราชาด้องกระสุนปืนเขาที่พระพักตร์ไส
ช้างหนีไปกองทัพไทยจึงเลิกทัพกลับโดยมีกองทัพของล้านนาไทยไล่ติด ตามมาคือกองทัพของหมื่นด้งนครและทัพ
พระยายุทิศเจียง
สงครามชนช้างกันคราวนี้พงศาวดารไทยกล่าวไว้ไม่ตรงกับพงศาวดารโยนกกล่าวคือระบุว่า "พระยาเชลียง
(ยุทิศเจียง) นาทัพเชียงใหม่มาตีพิษณุโลกเข้าปล้นเมืองแต่ไม่ได้จึงนาทัพไปตีกาแพงเพชรเข้าปล้นเมืองถึง ๗ วันแต่
ไม่ได้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกับสมเด็จพระอินทราชาราชบุตรเสด็จขึ้นไปช่วยเมืองกาแพงเพชรได้ทันสมเด็จ
พระอินทราชาตีทัพพระยาเกียรติแตก ทัพท่านมาปะทะทัพหมื่นนครได้ชนข้างด้วยหมื่นนครและข้าศึกลาวทั้งสี่ช้าง
เข้ารุมเอาช้างพระที่นั่งช้างเดียวครั้งนั้นพระอินทราชาต้องปืนที่พระพักตร์ทัพเชียงใหม่ยกกลับไป๕๔
สงครามเมืองสองแคว พ.ศ.๒๐๐๒ ในปีพ.ศ.๒๐๐๒ พระเจ้าติโลกราชยกทัพหลวงไปล้อมเมืองสองแคว
แต่ขุนศึกของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถคือขุนเพชรรัตน์กับขุนรามตีฝ่ากองทัพที่ล้อมเมืองออกไปได้โดยออกไปตั้ง
ยู่ริมแม่ราชธานี (น้ายม) เมื่อล้อมเมืองไม่สาเร็จพระเจ้าติโลกราชก็ยกทัพกลับไป
สงครามเมืองแพร่ พ.ศ.๒๐๐๓ ในปีพ.ศ.๒๐๐๓ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จยกทัพหลวงขึ้นไปตี
เมืองแพร่โดยทางเขาพึง มีกองทัพของหมื่นดังนครออกมาตั้งรับศึกและต่อมากองทัพพระจ้าติโลกราชก็เสด็จยกทัพ
หลวงหนุนมาช่วยหมื่นดังนคร กองทัพไทยก็เลิกถอยกลับมา พระเจ้าติโลกราชยกทัพหลวงตามลงมาถึงเมืองเชลียง
พระยาเชลียงยอมสวามิภักดิ์ จึงนาทัพเชียงใหม่ตีเมืองสวางคบุรี (บลางพล) เข้าปล้นเมือง ๓ วันมิได้ จึงถอยทัพ
กลับไป จากการที่มีศึกสงครามต่อเนื่องกันอยู่เสมอมาเป็นเหตุให้สมเด็จพระบรมไตรโสกนาถทรงมีพระราชดาริเห็น
ว่าราชการเมืองเหนือหนักแน่น เวลามีข้าศึกมาจะส่งกองทัพกรุงศรีอยุธยามาไม่ทัน จึงเสด็จขึ้นไปเสวยราชย์อยู่
เมืองพิษณุโลกในปี พ.ศ.๒๐๐๖ ดังความในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ กล่าวว่า “ตรัสให้พระเจ้าแผ่นดินเสวย
ราชสมบัติพระนครศรีอยุธยาทรงพระนามสมเด็จบรมราชา คือเอาศรีอยุธยาเป็นเมืองลูกหลวง”๕๕
ในปีพุทธศักราช ๒๐๐๖ พระเจ้าติโลกราชได้ยกกองทัพมาตีกรสุโขทัย"สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรง
ยกทัพออกไปป้องกันเมืองโดยให้พระอินทราชาราชโอรสเป็นทัพหน้า พงศาวดารโยนกกล่าวว่าเป็นสงครามนอง
เลือดซึ่งทาให้พระอินทราชาราชโอรสต้องปืนที่พระพักตร์สิ้นพระชนม์ทันทีทหารทั้ งสองฝ่ายรบกันอีกนานไม่มีใคร
แพ้ใครชนะจึงยุติสงคราม
ปีพุทธศักราช ๒๐๑๑ พระชนมายุ ๓๗ พรรษาเมืองเชียงใหม่เกิดศึกชิงราชสมบัติกันเองสมเด็จพระบรม
ไตรโลกนาถทรงส่งกาลังไปก่อความวุ่นวายจนทาให้เกิดความระสาระสายในอาณาจักรล้านนา
๕๖
พันจันทนุมาส (เจิม), พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา. (กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์คลังวิทยา, ๒๕๑๗), หน้า ๑๔.
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวช
เอกสารที่กล่าวถึงการผนวชของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนอกจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาหลายฉบับ
แล้วยังมีศิลาจารึกซึ่งพบที่วัดจุฬามณีจังหวัดพิษณุโลก ๕๗ อีกหลักหนึ่ งที่ให้รายละเอียดมากพอสมควรสิ่ งที่น่า
สังเกตคือศิลาจารึกดังกล่าวทาขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๒๔ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ พ.ศ.
๒๑๙๙-๒๒๓๑) หลังจากการรวบรวมจดหมายเหตุที่โหรบันทึกไว้มาเรียบเรียงลาดับระยะเวลาซึ่งต่อมาคือเอกสาร
ที่เรียกกันว่าพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ (ต่อไปจะเรียกว่าพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ
เพียงอย่างเดียว) ดังนั้นข้อมูลที่นามาใช้เขียนข้อความที่กล่าวถึงการผนวชของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนาจะมา
จากที่เดียวกันซึ่งห่างจากเหตุการณ์ถึง ๒๑๘ ปี
สภาพการณ์ทั่วไปก่อนออกผนวช
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ครองราชย์พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) ออกผนวชเมื่อปี พ.ศ.๒๐๐๘ ขณะที่สงคราม
ระหว่างอาณาจักรอยุธยากับอานจักรล้านนายังไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดความได้เปรียบและ
สภาพการณ์เซิงรกยังคงเป็นของฝ่ายอาณาจักรล้านนาขณะนั้นพระเจ้าติโลกราชกษัตริย์ล้านนา (ครองราชย์ พ.ศ.
๑๙๘๕-๒๐๓o) ยังคงยึดเมืองเชลียงเอาไว้ แล้วแต่งตั้งหมื่นดังนครจ้าเมืองลาปางผู้มีฝีมือในการรบมาเป็นเจ้าเมือง
เชลี ย ง ๕๘ มีการเตรี ย มกาลั งพลเป็ น จ านวนมากทั้งสองฝ่ ายในลั กษณะที่เผชิญ หน้า กัน มีความเป็น ไปได้ ที่ ท าง
อาณาจักรล้านาอาจยกกองทัพลงมาในที่ราบลุ่มตอนบนของแม่ น้าเจ้าพระยาได้ตลอดเวลาในช่วงเวลานั้นมีการรบ
กันหลายครั้งทกครั้งฝ่ายอาณาจักรอยุธยามักเป็นฝ่ายเสียเปรียบจึงเป็นเรื่องน่าพิจารณาว่าขณะที่สถานการณ์ไม่น่า
ไว้วางใจเช่นนั้นเหตุใดสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงตัดสินพระทัยออกผนวชและผนวชอยู่นานถึง ๘ เดือน ๑๕ วัน
ดามทีได้กล่าวไว้ในศิลาจารึก ราวกับบ้านเมืองมิได้อยู่ในวิกฤตการณ์เช่นนั้น
พงศาวดารฉบับหลวงปะเสริฐและตานาน ๑๕ ราชวงศ์๕๙ อาจให้ความกระจ่างในเรื่องนี้บ้างแม้ว่าการเน้น
ความสาคัญของเหตุการณ์ที่นามาบันทึกของเอกสารทั้งสองจะต่างกันตามความคิดที่จะเชิดชูวีรกรรมของฝ่ายตนก็
ตามแต่เนื้อความก็ใกล้เคียงกันโดยสภาพการณ์ทั่วไปแล้วก่อนหน้ารัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถอาณาจักร
สุโขทัยได้ถูกแยกออกเป็น ๔ ส่วนต่างก็มีจ้าเมืองปกครองเป็นอิสระคือเมืองกาแพงเพชร เมืองสุโขทัย เมืองเชลียง
๖๐Vickery Michale, " The 2/ k. 125 Fragment, A Lost Chronical of Ayutthya" , Journal of the siam
Society. Vol.65/1 January, 1977) p44-46.
๖๑ เกี่ยวกับการผนวกอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับอาณาจักรอยุธยามีปีที่น่าสนใจอยู่ ๓ ปีคือ พ.ศ.๑๙๘๐ ซึง่
เป็นปีที่พระศรีสุริยพงค์บรมปาลมหาธรรมราชา(พระมหาธรมรชาที่ ๔) ซึ่งครองเมืองพิษณุโลกอยู่สิ้นพระชนม์ทาง
ฝ่ายอยุธยาตั้งให้สมเด็จพระราเมศวรมาครองเมืองพิษณุโลกในฐานะอุปราช (ระหว่าง พ.ศ.๑๙๘๐-๑๙๙๑) อาจถือ
เป็นการผนวกอาณาจักรทั้งสองได้ พ.ศ.๑๙๙๔ พระยายุทธิษฐียรเช้าเมืองพิษณุโลก (ระหว่างพ.ศ.๑๙๙๑ - ๑๙๙๔)
หาไพร่พลที่สวามิภักดิ์ตนไปขึ้นกับอาณาจักรล้านนาทาให้ทางฝ่ายอยุธยาเข้าปกครองและผนวกอาณาจักรสุโขทัย
ได้ และสุดท้ายปีพ.ศ.๒๐๐๖ อันเป็นปีที่พระราชชนนีของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถซึ่งครองเมืองพิษณุโลก
(ระหว่างพ.ศ.๑๙๙๔-๒๐๐๖) สิ้นพระชนม์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงเสด็จขึ้นมาประทับที่เมืองพิษณุโลก อาจ
ถือเป็นการผนวกอาณาจักรทั้งสองเช่นเดียวกับในบทความนี้ใช้ปีพ.ศ.๑๙๙๔ เป็นปีที่ผนวกดินแดนสุโขทัยและ
อยุธยาเข้าด้วยกัน
๖๒ กรมศิลปากร"พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ",เรืองเดียวกันหน้า ๑๑๙-๑๒๒.
๖๓
พระยายุทธิษฐียรพงศาวดารเรียกพระยาเถียน พระยายุทธิษเจียงหรือพระยาเกียรติเป็นโอรสของพระศรีสุริยพงศ์บรม
ปาลมหาธรรมราชาธิราช (พระมหาธรรมรชาที่ ๔) กษัตริย์สุโขทัยเมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถดารงพระยศเป็นพระราเม
ศวรตาแหน่งอุปราชครองเมืองพิษณุโลก (ระหว่างพ.ศ.๑๙๘๑-๑๙๙๑) ภายหลังจากที่พระศรีสุริยพงศ์บรมปาลมหาธรรมราชาธิราช
สิ้นพระชนม์นั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขณะดารงพระยศเป็นพระราเมศวรได้คุยและให้สัญญากับพระยายุทธิษฐียรว่าเมื่อ
พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ที่อยุธยาแล้วจะตั้งให้พระยายุทธิษฐียรเป็นอุปราช แต่ภายหลังจากที่ได้ขึ้นครองราชย์แล้วทรงแต่งตั้งให้
เป็นแค่เจ้าเมืองพิษณุโลกเท่านั้น ไม่ได้ตั้งให้เป็นอุปราชอาจเป็นเพราะทรงเห็น ว่ากษัตริย์สุโขทัยรัชกาลหลังๆได้ มาประทับที่เมือง
พิษณุโลก การตั้งให้เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลกเสมือนหนึ่งเป็นการยอมรับ การสืบเซื้อสายของกษัตริย์สุโขทัยด้วย"อีกประการหนึ่งเมื่อ
แควเท่านั้น จากนั้นได้นัดหมายให้พระเจ้าติโลกราชยกกองทัพลงมาเมืองพิษณุโลกตีได้เมืองปากยมขากลับได้น้า
เอาชาวเมืองพิษณุโลกไปด้วยหมื่นคนเศษ
ขณะเดียวกันพระเจ้าติโลกราชโปรดให้เจ้าเมืองลาปางไปตีเมืองเชลียงจนเมืองเซลียงต้องยอมแพ้หลังจาก
เหตุการณ์ครั้งนี้พระยายุทธิษฐียรได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าติโลกราชให้เป็นเจ้าเมืองพะเยา พงศาวดารฉบับ
หลวงประเสริฐกล่าวถึงเหตุการณ์ในปี พ.ศ.๑๙๙๔ ว่าพระเจ้าติโลกราชยกทัพมาตีเมืองชากังราวได้แล้วยกทัพไปดี
เมืองสุโขทัยแต่ไม่ได้ชัยชนะจึงยกทัพกลับ
๒.ปีพ.ศ.๒๐๐๐ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและพระอินทราชายกกองทัพไปดีเมืองแพร่และเมืองลาปาง
กองทัพของอาณาจักรล้านนามีหมื่นดังนครและพระยายุทธิษ เฐียรบรเป็นแม่ทัพ พระอินทราชา ขุนเพชรรัตน์เจ้า
เมืองกาแพงเพชรและขุนรามอาสาเจ้าเมืองสุโขทัยคุมกาลังเข้าตีทัพพระยายุธิษฐียรแต่ก็พ่ายแพ้เสียกาลังพลไปมาก
พระอินทราชายังถูกปืนที่พระพักตร์ทาให้กองทัพของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถด้องถอยลงมาตั้งอยู่ที่แม่น้ายม
กองทัพอาณาจักรล้านนามิได้ติดตามโจมตีถึงขั้นมีชัยเด็ดขาดเนื่องจากพระเจ้าติโลกราชไต้ห้ามปรามไว้ พงศาวดาร
ฉบับหลวงประเสริฐไม่กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ แต่ได้กล่าวว่าปีพ.ศ.๑๙๙๙ ยกกองทัพไปเมืองสีสบทิน ครั้งนั้ นเสด็จ
หนุนทัพขึ้นไปตั้งทัพหลวงที่ตาบลโคน
๓ ปีพ.ศ.๒๐๐๒ พระเจ้าติโลกราชยกกองทัพขึ้นไปทางเหนือเข้าดีเมืองต่างๆของชาวไทยลื้อมีเมืองสิงเป็น
ต้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงยกกองทัพมาเมืองแพร่หมื่ นด้งนครคุมกองทัพมาป้องกันเมืองแพร่ไว้ได้ สมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถต้องถอยทัพกับ ต่อมาไม่นานพระเจ้าติโลกราชยกกองทัพกลับมาจากทางเหนือรวบรวมกาลัง
พลแล้วยกมาล้อมเมืองพิษณุโลกซึ่งขณะนั้นสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงหนีออกจากเมืองได้ ส่วนเมืองเชลียง
นั้นได้ยืนยันการสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าติโลกราชอีกครั้ง ทั้งยังนากองทัพอาณาจักรล้นนาเข้าตีเมืองพิษณุโลกอีกแต่
ไม่สาเร็จไปดีเมืองบางพลไม่สาเร็จเช่นกัน
พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐไม่กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านี้ละเอียดนัก เป็นแต่บันทีกว่า พ.ศ.๒๐๐๓ พระ
ยาเชลียงยอมขึ้นกับพระเจ้าติโลกราช พ.ศ.๒๐๐๔ พระยาเชลียงน้าทัพพระเจ้าติโลกราช ปล้นเมืองพิษณุโลกและ
เมืองกาแพงเพชรไม่ได้เมืองต้องถอยกลับไป
๔. ปี พ.ศ.๒๐๐๔ พระเจ้าติโลกราชให้เนรเทศพระยาเชลียงไปเมืองหางเนื่องจากไม่ซื่อสัตย์แล้วโปรดให้
หมื่นด้งนครเจ้าเมืองลาปางเป็นเจ้าเมืองเชลียง จากบันทึกของทั้งสองฝ่ายเห็นได้ว่าในการรบที่กล่าวถึงมาแล้วแม้
ทางอาณาจักรล้านนาจะไม่ได้ชัยชนะเด็ดขาดแต่ก็ยึดพื้นที่คืบหน้าเข้ามามากขึ้นและการรบทุกครั้งไม่มีครั้งใดที่ ทาง
อาณาจักรอยุธยาจะได้เปรียบจนพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ายึดครองเมืองเชลียงและ
กฎหมายในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ตลอดระยะเวลายาวนานถึ ง ๔๑๗ ปี ที่ ก รศรี อ ยุ ธ ยาเป็ น ราชธานี ข องไทยราชอาณาจั ก รอยุ ธ ยามี
พระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถในด้านการปกครองหลายพระองค์ กฎหมายซึ่งเป็นเครื่องมือที่สาคัญอย่าง
หนึ่งในด้านการปกครองได้ถูกบัญญัติขึ้นมาใช้ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นกฎหมายสมัยอยุธยามีทั้งที่บัญญัติขึ้นมาใช้
เองในแต่ละรัชกาลและบางส่วนได้ปรับปรุงหรือพัฒนามาจากกฎหมายดั้งเดิมที่ใช้สืบทอดมาก่อนหน้านั้น เช่น
กฎหมายสมัยสุโขทัยซึ่งปรากฎอยู่ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย เป็นต้น แต่กฎหมายสมัยก่อนมิได้รวบรวมเป็ นรูป
ประมวลดังเช่นกฎหมายปัจจุบัน
เมื่อถึงรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถอาณาจักรสุโขทัยได้ตกมาเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา
และไทยยังได้ แผ่ขยายอานาจไปถึงนครธมราชธานีของขอม กรุงศรีอยุธยาจึงได้ข้าราชการสุโขทัย ชาวกัมพูชา
เจ้านายและผู้ชานาญการปกครองมาใช้ในราชการจานวนมาก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึ งทรงรอบรู้ขนบธรม
เนียมประเพณีการปกครองบ้านเมืองของกรุงสุโขทัยและของขอมเป็นอย่างดีและทรงน้ามาปรับปรุงใช้ในการ
ปกครองบ้านเมืองก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการทางด้านการปกครองซึ่งถือได้ว่าเป็นการปฏิรูปการ
ปกครองที่สาคัญยิ่งครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติไทยทรงริเริ่มการปกครองบ้านเมืองแบบรวมศูนย์อานาจมา
อยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ ยกเลิกการแต่งตั้งเจ้านายในราชวงศ์ ไปปกครองเมืองลูกหลวงเมืองหลานหลวง แต่งตั้ง
ขุนนางจากส่วนกลางไปปกครองดูแลเมืองต่างๆเจ้าเมืองจึงถูกลดอานาจและสิทธิลงทางด้านการบริหารและการ
ปกครอง เพราะต้องไปสังกัดอยู่กับเสนาบดีฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน รูปแบบการปกครองพระราชอาณาจักรของ
พระองค์มีการสืบทอดต่อมาเป็นเวลาหลายร้อยปี และพึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ก็มิได้ลบล้าง
รูปแบบตั้งเดิมจนหมดสิ้น
สิ่งต่างๆที่ได้กล่าวมาข้างต้นมีความสาคัญและเกี่ยวข้องกับกฎหมายที่ประกาศใช้ในรัชสมัยของสมเก็จพระ
บรมไตรโลกนาถทั้งสิ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลา ๒๕ปีที่เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังจันทน์เมืองพิษณุโลก น่าจะ
เป็นเวลาที่สาคัญในการวางแผนปฏิรูปประเทศและออกกฎหมายไว้ใช้ในบ้านเมืองด้วย กฎหมายสมัยพระบรมไตร
โลกนาถซึ่งปรากฏหลักฐานอยู่ในกฎหมายตราสามดวงที่ชาระในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มีดังนี้
๑. กฎหมายว่าด้วยการเทียบศักดินา กฎหมายศักดินาไม่ใช่เพิ่งมีในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแต่มี
ใช้มานานก่อนหน้านั้นคือตั้งแด่สมัยน่านจ้าและสุโขทัย โดยปรากฏหลักฐานอยู่ในจดหมายเหตุของจีนและในติ ลา
จารึกสมัยสุโขทัยเมื่อถึงสมัยพระบรมไตรโลกนาถพระองค์ได้ทรงนาเอามาปรับปรุงและกาหนดหลักเกณฑ์ขึ้นใช้
ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพของบ้านเมืองในขณะนั้นในสมัยก่อนพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของ
ที่ดินทั้งหมดในพระราชอาณาจักร พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทั้งหลายยังไม่มีเงินเดือนและเงินปีเหมือน
สมั ย ปั จ จุ บั น ที่ น าจึ ง เป็ น สิ่ ง มี ค่ า มากกว่ า อย่ า งอื่ น คื อ เป็ น เสมื อ นรางวั ล แทนเงิ น เดื อ นที่ พ ระมหากษั ต ริ ย์
พระราชทานให้แก่เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการและราษฎรทั่วไปตามเกณฑ์พระราชกาหนดที่อนุญาตให้บุคคลที่มี
ตาแหน่งยศและสถานภาพต่างๆมีที่ ดินได้เท่าที่กาหนดเป็นอย่างสูงจะมีเกินกว่านั้นไม่ได้และเพื่อให้สอดคล้อง กับ
การปฏิรูปการกครองของพระองค์ที่ทรงออกกฎเกณฑ์ใหม่บังคับให้เจ้านายต้องอยู่ภายในพระนคร จึงทรงแต่งตั้งให้
บรรดาเจ้านายมีตาแหน่งยศและศักดินาลดหลั่นกันตามลาดับ เพื่อแสดงถึงฐานะและสิทธิพิเศษต่างๆ ขณะเดียวกัน
ทรงแต่งตั้งให้ขุนนางจากส่วนกลางออกไปปกครองดูแลเมืองต่างๆในฐานะที่แตกต่างกัน เช่นเป็นเจ้าเมือง คณะ
กรมการเมือง เป็นตัน จึงทรงพระราชทานตาแหน่งยศขันราชทินนามและศักดินาให้เหมาะสมแก่ฐานะขนาดและ
ความสาคัญของแต่ละเมือง
ดังนั้นบรรดาเจ้านายขุนนางและข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจึงมี
ทาเนียบนามบอก ตาแหน่ง ยศชั้น ราชทินนาม และมีศักดินากากับเอาไว้ด้วย ตัวอย่างเช่น ตาแหน่งสมุหกลาโหม
มียศเป็นเจ้าพระยา มีราชทินนามว่า มหาเสนาบดีวิริยภักดี มีศักดินา ๑๐,๐๐๐ นา หรือตาแหน่งเจ้าเมืองพิษณุโลก
มียศเป็นเจ้าพระยา มีราชทินนามว่า สุรสีห์ มีศักดินา ๑๐,๐๐๐ นา
๒. กฎหมายลักษณะอาญาหลวง เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการลงโทษข้าราชการผู้ประพฤติผิดระเบียบวินัย
ทรยศต่อพระมหากษัตริย์และละเมิดพระราชโองการ พระราชบัญญัติ พระราชเสาวนีย์และเรื่องอื่นๆ ตัวอย่างเช่น
บทที่ ๑ ผู้ใดใจโลภนักมักใหญ่ใฝ่สูงเกินศักดิ์ กระทาให้ลันพันล้าเหลือบรรดาศักดิ์อันท่านให้แก่ตน แลถ้อยคามิควร
เจรจาเอามาเจรจาเข้าในระวางราชาศัพท์ แลสิ่งของมิควรประดับเอามาเป็นเครื่องประดับตน ท่านว่าผู้นั้นทนง
องอาจให้ลงโทษ ๘ สถาน คือ ๑.บันคอริบเรือน๒.เอามะพร้าวห้าวยัดปาก ๓. ริบราชบาดแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง
๔. ไหมจตุรคุณเเล้วเอาตัวออกจากราชการ ๕. ไหมทวีคุณ ๖. ทวนด้วยลวดหนัง ๕๐ ที ๒๕ ที่แล้วใส่ตรุไว้ ๗. จาไว้
แล้วถอดเสียเป็นไพร่ และ ๘. ภาคทัณฑ์ไว้
๓. กฎหมายลักษณะอาญากบฏศึก เป็นกฎหมายที่ใช้ลงโทษผู้ที่กระทาความผิดฐานเป็นกบฏและกระทา
ความผิดในราชการศึกสงครามหรืออาญาศึกนั้นเอง จากกฎหมายลักษณะอาญาหลวงที่กล่าวแล้วจะเห็นว่าความผิด
หลายประเภทมีการลดหย่อนผ่อนโทษให้แก่ผู้กระทาความผิดได้ตามสมควรแก่กรณีแต่ความผิดฐานกระทาการอัน
เป็นกบฏซึ่งมีผลต่อความมั่นคงปลอดภัยของพระราชอาณาจักรและพระเจ้าแผ่นดิน กรณีนี้จะไม่ได้รับการลดหย่อน
ผ่ อนโทษเลย ตัว อย่ างกฎหมายลั กษณะอาญากบฏ ได้แก่ บทที่ ๑ ผู้ ใดใฝ่ ใหญ่เกินตัว มักกบฏประทุษร้ายต่อ
พระองค์ลงจากกาภูฉัตร อนึ่งทารัยพระองค์ตัวโหรายาพิษแลด้วยเครื่องศาสตราสรรพยุทธให้ถึงสิ้นพระชนม อนึ่ง
พระเจ้าอยู่หัวให้ผู้ใดไปรั้งเมืองครองเมืองและมิได้เอาสุวรรณบุปผา แลภัทยาเข้ามาบังคมถวาย แลแข็งเมือง อนึ่ง
ผู้ใดเอากิจการบ้านเมืองแลกาลังเมืองแจ้งให้ข้าศึกฟัง ถ้าผู้ดกระทาดังกล่าวมานี้โทษผู้นั้นเป็นอุกฤษ ๓ สถาน คือ
สถานหนึ่งในริบราชบาทย์ ฆ่าเสียให้สิ้นทั้งโคตร
สถานหนึ่งให้ริบราชบาทย์ ฆ่าเสียเจ็ดโคตร
สถานหนึ่งให้ริบราชบาทย์แล้วฆ่าเสียโครตนั้นอย่าให้เลี้ยงต่อไปอีกเลย เมื่อประหารชีวิตนั้นให้ประหารให้
ได้ ๗ วันจึงให้ลิ้นชีวิต เมื่อประหารนั้นอย่าให้โลหิตและศพดกลงในแผ่นดิน ท่านไห้ใส่แพลอยเสียตามกระแสน้า
ในตอนท้ายของบทที่ ๑ นี้ ยั งได้กล่ าวถึงความผิ ดโทษฐานเป็นกบฎดังระบุ ไว้ข้า งต้นว่าไม่ อาจน าเอา
บาเหน็จความดีมาลดหย่ อนผ่ อนโทษได้ ยกเว้นโทษถึงตายจากความผิดอื่นๆก็ให้นาบาเหน็จความชอบนั้น มา
พิจารณาลดหย่อนโทษได้ตามควรแก่กรณี
๔. กฎหมายว่าด้วยกฎมณเฑียรบาล คือพระราชกาหนดที่ใช้ภายในราชสานักซึ่งสมเด็จพระบรมไตร
โลกนาถทรงแก้ไขปรับปรุงมาจากตาราราชประเพณีโบราณตามคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์ของอินเดียที่พวกพราหมณ์
นาเข้ามาสอนแต่สมัยโบราณโดยใช้ในราชสานักไทยเมื่อ พ.ศ.๒๐๑๑ กฎมณเทียรบาลแบ่งออกเป็น ๓ แผนกคือ
๑. แผนกพระตารา หมายถึง ตาราที่ว่าด้วยแบบแผนพระราชานุกิจกาหนดเวลาที่พระเจ้าแผ่นดิน
ทรงปฏิบัติพระราชกิจต่างๆประจาวันประจาเทศกาลซึ่งถือเป็นพระราชกรณียกิจที่สาคัญในการปกครอง
บ้านเมืองเช่น กาหนดระเบียบวาระพระราชอิริยาบถไว้เป็นพระราชานุกิจว่าเวลาใดจะทรงทาสิ่งใดบ้างมี
ทั้งที่เป็นการส่วนพระองค์และพระราชภาระกิจในการปกครองบ้านเมือง เช่ น การเสด็จออกว่าราชการ
เสด็จไปทรงพิพากษาคดีเสด็จออกงานเทศกาลและงานประเพณีต่างๆเป็นต้น
๒.แผนกพระธรรมนูญเป็นแผนกที่ว่าด้วยตาแหน่งหน้าที่ราชการและการจัดตาแหนงต่างๆ ของ
พระราชวงศ์เช่นพระราชกุมารตลอดจนพระราชนัดดาฝ่ายพระราชกุมารเกิดด้วยอัดรมเหสี คือ หน่อ
สมเด็จพระพุทธเจ้าเกิดด้วยแม่หัวเมืองเป็นพระมหาอุปราช เกิดด้วยลูกหลวงกินเมืองเอก เกิดด้วยหลาน
หลวงกินเมืองโท เกิดด้วยพระสนมเป็นพระเยาวราช
๓. แผนกพระราชกาหนด เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับกฎระเบียบแบบแผนข้อบังคับที่ใช้ปกครองใน
ราชสานัก เช่น การลงโทษลูกหลวงจะต้องกระทาให้สมกับราชอิสริยศักดิ์ คือ ถ้าจาเป็นต้องใส่ตรวน ต้อง
ใช้เครื่องทองสาหรับลูกหลวงเอก เครื่องเงินสาหรับลูกหลวงโท ถ้าโทษหนักถึงสิ้นชีวิตให้ตีดัวยท่อนจันทน์
เป็นต้น
สาหรับการรักษาความสงบเรียบร้อยในวัง มีบัญญัติไว้จานวนมากเช่นการเข้าออกพระราชวังมีกฎระเบียบ
ห้ามคนต่างด้าวเข้ามาเล่นด้วยสนม ห้ามลูกขุนหรือขุนนางขี่ม้าเข้ามาในสนามเมื่อขุนดาบห้ามมิฟังกลับต่อด่าต่อ
เถียงให้มีโทษ ๓ประการคือ ประการหนึ่งให้ส่งมหาดไทย ประการหนึ่งให้ส่งองครักษ์ ประการหนึ่งให้สักลงหญ้า
ช้าง หรือหากวิวาทเถียงกันในพระราชวังให้จาใส่ขื่อไว้ ๓ วัน ถ้าด่ากันในวังให้ตีด้วยหวาย ๕๐ ที ถ้าชกตีกันให้ปอก
เล็ บ มือข้างผู้ ตีนั้ น เสี ย ๕ นิ้ ว ถ้าจั บ มีดพร้ าอาวุธ แทงกันมีบาดเจ็บให้ ปอกเล็ บมือเสียทั้ง ๑๐ นิ้ว แล้ ว จึ งให้ ว่า
เนื้อความซึ่งวิวาท และให้ไหมโดยความเมืองท่าน ถ้าถีบประตูวังให้ตัดตีนเสีย กินเหล้าในวังให้กรอกปากด้วยเหล้า
ต้มร้อนๆ ขว้างพระที่นั่งโทษถึงตาย มีการระบุโทษเรื่องชู้สาวในพระราชฐานไว้อย่างชัดแจ้งหลายกรณี
ด้านศาสนาศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี
๑, สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิสังขรณ์พระปรางค์และทรงสร้างวัดจุพามณีเพี่อทรงผนวชซึ่งมี
พระสงฆ์บวชโดยเสด็จถึง ๔ คณะและมีผู้บวชโดยเสด็จจานวน ๒,๓๘๙ พระองค์รูปทรงผนวช ๘ เดือน ๑๕ วันที่วัด
จุฬามณี
๒.ทรงปฏิสังขรณ์เจดีย์เก่าแก่ศิลปสมัยสุโขทัย ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารพิษณุโลก มีรูปแบบ
“ปรางค์” ตามความนิยมในสมัยอยุธยา
๓.ทรงบูรณะซ่อมแซมพระวิหารพระพุทธชินราชบริเวณส่วนบน และทรงสร้างเรือนแก้วถวายพระพุทธชิน
ราชเรือนแก้วจึงเป็นพุทธลักษณะเฉพาะของพระพุทธชินราชจนถึงปัจจุบันนี้
๔..ทรงจัดงานฉลองเมืองพิษณุโลก ๑๕ วันในปีพุทธศักราช ๒๐๒๕ ซึ่งพบหลักฐานนี้จากพงศาวดารกล่าว
ไว้สั้นๆดังนี้ “ศักราช ๘๔๔ ขาลศก (พ.ศ.๒๐๒๕) ท่านให้เล่นการมหรสพ ๑๕ วัน”
๕ ทรงสร้างประสาทพระราชวังตาหนักท้องพระโรงในเขตพระราชวังจันทน์จังหวัดพิษณุโลกสันนิษฐานว่า
คงจะสร้างด้วยไม้บนฐานอิฐ เพราะหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดีพบเพียงฐานอิฐบนเนินดินเท่านั้น
๖. ทรงพระราชนิ พนธ์มหาชาติคาหลวง มหาชาตินี้มี ๑๓ กัณฑ์ซึ่งใช้ส วดครั้งแรกในงานฉลองเมื อ ง
พิษณุโลก ๑๕ วัน ในปีพุทธศักราช ๒๐๒๕
๗. นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ หลายท่านเชื่อว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดให้เปลี่ยนชื่อเมือง
สองแควเป็นพิษณุโลก ในงานฉลองเมืองพิษณุโลก ในปีพุทธศักราช ๒๐๒๕
๘. ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ปรากฏวรรณคดีชั้นยอดเยี่ยมของไทยหลายเรื่อง อาทิเช่น
ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ ฯลฯ