Professional Documents
Culture Documents
02 Grading Flat Areas
02 Grading Flat Areas
การปรับระดับพื้นที่ราบ
( Grading Flat Areas )
รูปที่ 2-1
การปรับระดับโดยการตัดดินออกมา จะมีการเคลื่อนยาย
ดินออกใหเกิดเปนพื้นที่ราบสําหรับกอสรางอาคารได และ
ใชกําแพงกันดิน จากนั้นจึงเติมวัสดุใหมลงไปในพื้นที่ให
เต็ม หลังจากที่วางฐานรากเรียบรอยแลว
รูปที่ 2-2
การปรับระดับโดยการใชทั้งการตัดและการถม ระดับที่
สูงขึ้นของลานนี้ ไดถูกออกแบบโดยใชการถมดินบนพื้นที่
ก อ สร า ง และยั ง มี ก ารขุ ด ย า ยดิ น ออกไปสํ า หรั บ ส ว นที่
ตองการจะทําเปนพื้นที่จอดรถ
ผังของการปรับสภาพผิวดิน ( Grading plan ) จะสามารถบอกตอผูรับเหมาไดวา พื้นที่
บริเวณใดบางที่ตองมีการตัด หรือการถมเกิดขึ้น
รูปที่ 2-3a
รูปที่ 2-4
การปรับระดับดินดวยการถม
หากสังเกตอยางตั้งใจ บนพื้นที่ราบที่ทําการปรับดวยการตัดรูปตัดแลว จะเห็นวาพื้นที่
ไมไดเรียบเปนระดับเดียวกัน แตจะมีความชันเปนระยะ 1 ฟุต ( ระยะหางทางแนวตั้ง ) แมวา
เสนระดับ ( Contour ) ที่ปรากฎออกมาในแตละระดับคอนขางถี่ แตในความเปนจริงพื้นที่นั้นถูก
ปรับใหเรียบ การทําระดับความลาดชันตองสามารถระบายน้ําได ถาพื้นที่สวนนั้นตองทําเปนระดับ
ระดับตาง ๆ ของรูปดาน ( Spot Elevation ) หรือรูปตัด สามารถใชในการอธิบายได รอบ ๆ มุม
ของเสนระดับ ( Contour ) ทําใหกลมกลืนกับภูมิทัศนรอบ ๆ ได เสนโคงที่มีขนาดกวางบอกไดวา
พื้นที่สวนนั้นเปนที่เรียบ ในทางตรงกันขาม ถาแตละมุมของเสนระดับ ( Contour ) เปนมุมเหลี่ยม
ภูมิทัศนจะปรากฏในรูปที่เกี่ยวกับรูปแบบในทางสถาปตยกรรม หรือออกมาในรูปแบบเรขาคณิต
มุมที่ออกมาเปนมุมเหลี่ยมจะมีผลกระทบและรบกวนพื้นที่สวนที่เล็กกวา ผูออกแบบสามารถ
กําหนดพื้นที่ที่ถูกกระทบกระเทือนโดยการเชื่อมดวยการใชเสนบาง ๆ ในตําแหนงที่แสดงจุด
เสนระดับ ( Contour ) ที่มีอยูเดิม พบกับเสนระดับ ( Contour ) ที่กําหนดขึ้นมาใหม
รูปที่ 2-5
การปรับสภาพผิวดินโดย
การตัดและการถม
ในกรณีนี้เสนระดับ ( Contour ) ที่ 6 และ 7 คือ จุดกลาง ดังนั้นชวงที่ 6.5 จะกลายเปน
ระดับพื้นสุดทาย ( Finish grade ) ตอนนี้ทําการลอมเสนระดับ ( Contour ) ในสวนที่ต่ําของระดับ
พื้นสุดทาย ( Finish grade ) รอบ ๆ ดานที่ต่ํากวาของพื้นที่ราบ ( flat area ) และทําแบบเดียวกัน
ที่ดานบน ทําไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสนระดับ ( Contour ) ทั้งหมดปรับเขาสูสภาพปกติ
แผนผังรูปตัดของตําแหนงผังแตละประเภทอธิบายความชันและระดับความลาดเอียงมา
พบกันไดอยางไรในรูปที่ 2-6
รูปที่ 2-6
การเปลี่ยนแปลงรูปทรงของพื้นดิน จะตองทําความคุนเคยกับการใชวิธีที่ทําการออกแบบ
บนผัง จะตองเรียนรูทางที่จะหลีกเลี่ยงความลาดชัน โดยการใชกําแพงกันการพังทลายของดิน (
Retaining wall ) สิ่งปลูกสรางบนที่ลาด ( Terrace ) ขั้นบันได ( Step ) การกอสราง ฯลฯ แต
เทคนิคในการทําระดับความลาดเอียงยังคงอยูใน 3 วิธีพื้นฐานนี้
สําหรับพื้นที่ในสวนอื่นๆ ที่ไมไดถูกทําระดับความลาดเอียงและการระบายน้ําควรจะ
เปลี่ยนคาของตัวเลขที่เปนเศษสวนหรือไมลงตัว ใหเปนเลขจํานวนเต็มที่ลงตัว ( Decimal ) ซึ่งจะ
ทําใหงายในการที่จะเพิ่มหรือลดและมีความเรียบรอยมากกวาการใชเศษสวน ซึ่งการคํานวณระดับ
ความชันจะใชเปนจุดทศนิยม 2 ตําแหนง ( เชน 10.12 หรือ 25.10 ) และจะตองทําความคุนเคยใน
การปรับเปลี่ยนคากันระหวางหนวยนิ้วและจํานวนเต็ม ซึ่งขาดไมไดและมีวิธีตามตาราง
พื้นที่ราบที่ไดถูกกําหนดไวหรือสวนที่ตัดสินใจวาจะทําการออกแบบนั้น ควรจะทําอยาง
รวดเร็วและทดสอบปญหาของดิน การปรับสภาพผิวดิน ( Grading ) ถาการปรับสภาพผิวดิน
( Grading ) มีปญหามาก อาจจะทําใหตนไมถูกทําลายลงได ฯลฯ พื้นที่ราบ ( Flat area ) ควรจะ
ถูกปรับเปลี่ยนและทดสอบการปรับสภาพผิวดิน ( Grading ) ในแตละแบบ ( Scheme ) การ
ทดลองและการทําผิด จะแสดงถึงการขาดความสัมพันธระหวางการออกแบบและการปรับสภาพ
ผิวดิน ( Grading ) การเลือกเขตที่ตั้งดวยความเอาใจใสตัวปญหาของ การปรับสภาพผิวดิน
( Grading ) จะทําใหดําเนินการออกแบบเร็วขึ้น การทดลองในการออกแบบสามารถยืดหยุนได
และสามารถเห็นขอผิดพลาดได
พื้นผิวที่เวาขางในและพื้นผิวที่นูนออกควรจะถูกใชที่สวนบนและสวนลางสุดของความชัน
และทําระดับความลาดเอียงโดยการใชแรงงานคน หรือใชเครื่องจักรที่ไมใหญมาก ภายหลังการทํา
ระดับความลาดเอียงมีพื้นที่ที่ขรุขระ การที่จะดูวาพื้นที่สวนนั้นไมเรียบ อธิบายโดยการวาด
section และบันทึกคําอธิบายบนผังในแตละพื้นที่ ( รูปที่ 2-7 )
รูปที่ 2-7
สวนบนสุดของแนวดินที่ชันนี้ จะถูกปรับให
เกิดเปนผิวที่โคงนูน และเชื่อมเขากันกับ
พื้นผิวที่มีอยูเดิม สําหรับสวนดานลางของ
แนวดินนี้ใกลกับทางเดินมากเกินไป ทําให
ไมสามารถทํารองน้ําไดดีนัก
ส ว นที่ เ พิ่ ม เขา มาในเรื่ อ งของอั ตราสว น คือ ความชัน สามารถแสดงออกมาในค า ของ
percentage = 33 1/3 % และ 1:4 จะเทากับ 25% ฯลฯ percentage ของความชันงายที่จะเขาใจ
ถาผูออกแบบคิดวา ความชันมีความยาว 100 ฟุต (วัดตามแนวดิ่ง) (รูป 2-9) ระยะทางตามแนวดิ่ง
จะเปนคาของ percent การที่จะกําหนดคา percentage ในแตละชวงของความชัน โดยการแบง
ระยะทางตามแนวดิ่งตอระยะทางตามแนวราบ (ดิ่ง/ราบ) ตัวอยางเชน คาเปอรเซ็นตของความชัน
ตามแนวดิ่ง = 17 ฟุต ซึ่งมีระยะทางในแนวนอน = 340 ฟุต หาร 17 ดวย 346 (17/340) = 0.05
หรือ 5%
การใชคาความชันโดยการวัดมุมไมนิยมที่จะใชในการอธิบายความลาดชัน เพราะมีความ
ลําบากในการปรับเปลี่ยน percent หรือขนาดของมุม การวัดมุมสามารถวัดโดยการใชไมโปรแทค
เตอร เรือการคํานวณโดยตรงจากตาราง โดยการตั้งคามุมที่ 90 ํ (อัตราสวน 1:0) มุม 45 ํ คือ
อัตราสวน 1:1 มุม 22 1/2 ํ คือ อัตราสวน 1:2 (รูป 2-10) ตามตารางจะบอกคาคํานวณระหวาง
อัตราสวน percent และมุม ทําใหเห็นวาการใชคําของ percent ลําบากที่จะใชกับความชันที่ลาด
เอียงมากกวา 1:1
การเปลี่ ย นค าของระดั บความชัน เปน องศา โดยการนํ า คา ในแนวเอี ยงหารดว ยค า ใน
แนวนอน คาของ tangent ของผลลัพธที่ไดจากการหาร จะเปนคาที่เปนองศาของความชัน
การเปลี่ยนคาของระดับความชันจากอัตราสวนเปนเปอรเซ็นต โดยการนําคาในแนวตั้ง
หารดวยคาในแนวนอนและคูณดวย 100
Field Exercise
เพื่อใหเกิดความคุนเคยในการปรับระดับความลาดเอียงที่แตกตางกัน ผูออกแบบตอง
สังเกต คาเปอรเซนต ของระดั บชั้น ตา ง ๆ ต อมา เมื่อเตรียมผัง ที่ทําความลาดเอี ยงแลว จะ
สามารถระบุระดับชั้นที่ทําความลาดเอียงไดมากขึ้น
แบบทดลองฝกหัด ( Exercise )
เลือกจํานวนของความชันตาง ๆ ที่แตกตางกัน และทําการจัดระดับ เปลี่ยนคาที่วัดไดให
เปนคาของ Percent หรืออัตราสวน และคิดเกี่ยวกับคาที่ออกมา ขณะที่ทําผานในแตละพื้นที่
การวัดระดับความลาดเอียงตองใชไมที่ยาว 2-5 ฟุต กําหนดคาเปนฟุต และใชจุดทศนิยม 2
ตําแหนง ( 1/10 ) วัดระดับแนวราบดวยการใชระดับน้ํา ( Carpenter Level ) และบันทึกคาความ
สูงในแนวดิ่งที่ปลายสุดของไม ( ใชไมสามเหลียมฉากทําใหตําแหนงชัดเจนขึ้น ) การคํานวณคา
ของ Percent โดยการหารของระยะในแนวดิ่ง ตอระยะทางในแนวราบ สําหรับตัวอยาง คือ ถา
ความสูงในแนวดิ่งสูง 1.10 ฟุต และความยาวในแนวราบยาว 5 ฟุต คา 1.10 ถูกหารดวย 5.00
ได 0.22 หรือ 22 % ( รูปที่ 2-11 ) ทําการทดสอบเดิมในอัตราสวนความชันตาง ๆ
รูปที่ 2-11
รูปแสดงวิธีการวัดคาระดับความลาดเอียง
สังเกตวาการทําระดับความลาดเอียงมีคุณภาพมากอยางไร
- ระดับความลาดชันที่สูงเกินไปมีระดับเปนอยางไร
- การทําระดับความลาดเอียง ทําใหเกิดแองน้ําฝนบนพื้นดิน
- การทําระดับความลาดเอียง น้ําจะกัดเซาะดินที่มีสภาพอะไร? สภาพดินทราย หรือ
สภาพดินโคลน
- การทําระดับความลาดเอียง ลําบากในการสัญจรหรือเปลา หรือการรบกวนของเสียง
ที่ผานไปมาของรถยนต
- สภาพพื้นผิวที่มีความชันมากเกินไป ยังคงใชเลน บาสเกตบอล , เทนนิส หรือ
ฟุตบอลไดอยางไร
ขอไดเปรียบและขอเสียเปรียบของแตละวิธีในการปรับระดับพื้น (
Advantage and Disadvantages of each Grading Method )
ผูออกแบบตองตัดสินใจวาจะใชวิธีใดในการออกแบบ ใหเหมาะสมกับพื้นที่ มีแนวทาง
อธิบายถึงขอดี , ขอเสีย กอนที่จะตัดสินใจในการออกแบบขั้นสุดทาย
รูปที่ 2-13
การทําขอบคันดินเปนอีกวิธีการกําจัดดินสวนเกินที่
เกิดจากการตัด ในบางครั้งขอบดินนี้อาจใชเปนตัว
แบงสวยของสนามเด็กเลนออกจากสวน หรือการจัด
ใหเกิดพื้นที่ที่นาสนใจขึ้น นอกจากนี้ยังใชถมในบอ
น้ํา ใหกนบอที่โคงเวาลงไปเปนพื้นเรียบอีกดวย
รูปที่ 2-14
ฐานรากของอาคารเกาหลังนี้นั้น ไดถูกเติมดวย
คอนกรีตใหกลายเปนสวนของสวนเล็กๆ มุมมองที่
เกิดขึ้น ทําใหลดความรูสึกสูงเกินไปของกําแพง
และการเปลี่ยนแปลงระดับอยางรวดเร็วลงได
พื้นที่ที่ทําการถมและมีความลาดเอียง จะเกิดการกัดเซาะไดงาย ขณะที่ดินคอย ๆ เกิด
การกัดเซาะพังทลาย จะเกิดการลื่นไหลของพื้นดิน มีการผสมเล็กนอยระหวางดินที่มีอยู และดิน
ที่ทําการเพิ่มเขาไป