Professional Documents
Culture Documents
สาระความรู้
วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)
หน่วยที่ 1 วิทยาศาสตร์น่ารู้
บทที่ 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
หน่วยที่ 2 ร่างกายของเรา
บทที่ 1 สารอาหารกับการเจริญเติบโตของร่างกาย
บทที่ 2 ระบบย่อยอาหารของร่างกาย
หน่วยที่ 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า
บทที่ 1 แรงไฟฟ้าน่ารู้
บทที่ 2 วงจรไฟฟ้าใกล้ตัว
หน่วยที่ 4 แสงและเงา
บทที่ 1 เงามืดและเงามัว
หน่วยที่ 5 สารรอบตัว
บทที่ 1 การแยกสารผสม
หน่วยที่ 6 หินและซากดึกด�ำบรรพ์
บทที่ 1 หินในธรรมชาติ
บทที่ 2 ซากดึกด�ำบรรพ์
หน่วยที่ 7 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย
บทที่ 1 ลมบก ลมทะเล และลมมรสุม
บทที่ 2 ภัยธรรมชาติและปรากฏการณ์เรือนกระจก
หน่วยที่ 8 ดาราศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ
บทที่ 1 ปรากฏการณ์ดาราศาสตร์
บทที่ 2 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศ
3
ตัวชีว้ ดั วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6
1. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารทีต่ นเองรับประทาน (ว 1.2 ป.6/1)
2. บอกแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วน ในสัดส่วนทีเ่ หมาะสมกับเพศและวัย รวมทัง้ ความ
ปลอดภัยต่อสุขภาพ (ว 1.2 ป.6/2)
3. ตระหนักถึงความส�ำคัญของสารอาหาร โดยการเลือกรับประทานอาหารทีม่ สี ารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนทีเ่ หมาะสม
กับเพศและวัย รวมทัง้ ปลอดภัยต่อสุขภาพ (ว 1.2 ป.6/3)
4. สร้างแบบจ�ำลองระบบย่อยอาหาร และบรรยายหน้าทีข่ องอวัยวะในระบบย่อยอาหาร รวมทัง้ อธิบายการย่อยอาหารและ
การดูดซึมสารอาหาร (ว 1.2 ป.6/4)
5. ตระหนักถึงความส�ำคัญของระบบย่อยอาหาร โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ทา
งานเป็นปกติ (ว 1.2 ป.6/5)
6. อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสมโดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินออก การกรอง และ
การตกตะกอน โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ รวมทัง้ ระบุวธิ แี ก้ปญั หาในชีวติ ประจ�ำวันเกีย่ วกับการแยกสาร (ว 2.1 ป.6/1)
7. อธิบายการเกิดและผลของแรงไฟฟ้าซึง่ เกิดจากวัตถุทผี่ า่ นการขัดถู โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.2 ป.6/1)
8. ระบุสว่ นประกอบและบรรยายหน้าทีข่ องแต่ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายจากหลักฐานเชิงประจักษ์
(ว 2.3 ป.6/1)
9. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย (ว 2.3 ป.6/2)
10. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธที เี่ หมาะสมในการอธิบายวิธกี ารและผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม
(ว 2.3 ป.6/3)
11. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรูข้ องการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดยบอกประโยชน์และการประยุกต์ใช้ในชีวติ
ประจ�ำวัน
(ว 2.3 ป.6/4)
12. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธที เี่ หมาะสมในการอธิบายการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน
(ว 2.3 ป.6/5)
13. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรูข้ องการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน โดยบอกประโยชน์ ข้อจ�ำกัด
และการประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจ�ำวัน (ว 2.3 ป.6/6)
14. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัวจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (ว 2.3 ป.6/7)
15. เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดเงามัว (ว 2.3 ป.6/8)
16. สร้างแบบจ�ำลองทีอ่ ธิบายการเกิด และเปรียบเทียบปรากฏการณ์สรุ ยิ ปุ ราคาและจันทรุปราคา (ว 3.1 ป.6/1)
17. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศ และยกตัวอย่างการน�ำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจ�ำวัน
จากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ (ว 3.1 ป.6/2)
18. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร และอธิบายวัฏจักรหินจากแบบจ�ำลอง (ว 3.2 ป.6/1)
19. บรรยายและยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของหินและแร่ในชีวติ ประจ�ำวันจากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ (ว 3.2 ป.6/2)
20. สร้างแบบจ�ำลองทีอ่ ธิบายการเกิดซากดึกด�ำบรรพ์ และคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดีตของซากดึกด�ำบรรพ์
(ว 3.2 ป.6/3)
21. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม รวมทัง้ อธิบายผลทีม่ ตี อ่ สิง่ มีชวี ติ และสิง่ แวดล้อมจากแบบจ�ำลอง
(ว 3.2 ป.6/4)
22. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิดฤดูของประเทศไทยจากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ (ว 3.2 ป.6/5)
23. บรรยายลักษณะและผลกระทบของน�ำ้ ท่วม การกัดเซาะชายฝัง่ ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ (ว 3.2 ป.6/6)
24. ตระหนักถึงผลกระทบของภัยธรรมชาติและธรณีพบิ ตั ภิ ยั โดยน�ำเสนอแนวทางในการเฝ้าระวังและปฏิบตั ติ นให้
ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติและธรณีพบิ ตั ภิ ยั ทีอ่ าจเกิดในท้องถิน่ (ว 3.2 ป.6/7)
25. สร้างแบบจ�ำลองทีอ่ ธิบายการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก และผลของปรากฏการณ์เรือนกระจกต่อสิง่ มีชวี ติ
(ว 3.2 ป.6/8)
26. ตระหนักถึงผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจก โดยน�ำเสนอแนวทางการปฏิบตั ติ นเพือ่ ลดกิจกรรมทีก่ อ่ ให้เกิด
แก๊สเรือนกระจก (ว 3.2 ป.6/9)
4
ใบความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หน่วยการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์น่ารู้
บทเรื่อง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
1. วิธีการทางวิทยาศาสตร์
เป็นขั้นตอนการท�ำงานอย่างเป็นระบบของนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการสืบเสาะหรือค้นหาความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ที่เกิดจากความสงสัย ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่
1. ระบุปัญหา (ตั้งค�ำถาม)
เป็นการตั้งค�ำถาม ตั้งปัญหา หรือตั้งข้อสงสัยที่เกิดจาก
การสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว การสังเกตควรท�ำอย่างละเอียดรอบคอบ
โดยใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ เข้ามาช่วยในการสังเกต
2. ตั้งสมมติฐาน (คาดคะเนค�ำตอบ)
เป็นการคาดคะเนค�ำตอบของค�ำถามหรือปัญหาที่ต้องการศึกษา
ไว้ล่วงหน้า โดยอาศัยข้อมูลหรือความรู้เดิม ซึ่งสามารถตรวจสอบ
ได้โดยการสังเกต การส�ำรวจ หรือการทดลอง
3. รวบรวมข้อมูล
เป็นการรวบรวมข้อมูลหรือค้นหาค�ำตอบของปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ เช่น สังเกต ส�ำรวจ ทดลอง หรือ
สร้างแบบจ�ำลอง เพื่อให้ได้ข้อมูลแล้วบันทึกผลไว้
4. 4. วิเคราะห์ข้อมูล
เป็นการน�ำข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธี
การต่างๆ มาแปลความหมาย หรืออธิบายความหมายของ
ข้อเท็จจริงที่มีอยู่ เพื่อน�ำไปสู่การสรุปผล
5. สรุปผล
เป็นการสรุปผลของข้อมูลที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาเพื่อ
ตรวจสอบว่าตรงกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ล่วงหน้าหรือไม่ จาก
นั้นน�ำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน หรือตั้ง
เป็นกฎเกณฑ์เพื่อใช้ในการศึกษาต่อไป
2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เป็นทักษะกระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์น�ำมาใช้เพื่อการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหา
ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องเหมะสม ช่วยให้เราหาความรู้ได้อย่างเป็นระบบและมีความถูกต้อง
แบ่งออกเป็น 2 ขั้น มี 14 ทักษะ
5
1. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน มี 8 ทักษะ ดังนี้
1. ทักษะการสังเกต
เป็นการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือใช้หลายอย่าง
ร่วมกัน ได้แก่ ตา หู ลิ้น ผิวกาย และจมูกเพื่อค้นหาและบอกรายละเอียด
ของสิ่งต่างๆ ที่สังเกตโดยไม่ใส่ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไป
2. ทักษะการจ�ำแนกประเภท
เป็นการแบ่งพวก การจัดกลุ่มสิ่งต่างๆ การเรียงล�ำดับ
วัตถุหรือเหตุการณ์ต่างๆ ออกเป็นหมวดหมู่ โดยใช้ความเหมือนกันหรือ
ใช้ความแตกต่างกันมาเป็นเกณฑ์ในการจ�ำแนกวัตถุเหตุการณ์หรือสิ่งต่างๆ
ออกจากกัน
3. ทักษะการวัด
เป็นการเลือกเครื่องมือและการใช้เครื่องมือต่างๆ
เพื่อวัดหาปริมาณของสิ่งต่างๆ ออกมาเป็นตัวเลขได้ถูกต้อง
และเหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด รวมทั้งบอกหรือระบุ
หน่วยของตัวเลขที่ท�ำการวัดได้อย่างถูกต้อง
4. ทักษะการใช้จ�ำนวน
เป็นการใช้ความรู้ทางด้านจ�ำนวนและการค�ำนวณ
โดยการนับจ�ำนวนหรือคิดค�ำนวณ เพื่อบรรยายหรือระบุ
รายละเอียดเชิงปริมาณของสิ่งที่สังเกตหรือทดลองได้
5. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
เป็นการใช้ความคิดเห็นจากประสบการณ์
หรือความรู้เดิม เพื่ออธิบายข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมี
เหตุผล โดยอาศัยข้อมูลหรือสารสนเทศที่เคยเก็บรวมรวมไว้
ในอดีต
6. ทักษะการจัดกระท�ำและสื่อความหมายข้อมูล
เป็นการน�ำข้อมูลที่รวบรวมได้จากวิธี
การต่างๆ มาจัดกระท�ำให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายหรือ
มีความสัมพันธ์กันมากขึ้น รวมทั้งน�ำข้อมูลมาจัดกระท�ำใน
รูปแบบต่างๆ เช่น แผนภาพ แผนภูมิ ตาราง กราฟ การเขียน
บรรยาย สมการเพื่อท�ำให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้น
6
7. ทักษะการหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา
-การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ เป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ที่วัตถุ
ต่างๆ ครอบครองอยู่
-การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับเวลา เป็นการหาความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ที่วัตถุ
ครอบครองอยู่เมื่อเวลาผ่านไป
8. ทักษะการพยากรณ์
เป็นการคิดคะเนผลลัพธ์ของปรากฏการณ์สถานการณ์ การสังเกต หรือการทดลองไว้ล้วงหน้า
โดยอาศัยข้อมูลหรือประสบการณ์ของเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นซ�้ำๆ เป็นแบบรูปมาช่วยในการคาดกการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น
2. ทักษะการก�ำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ
เป็นการก�ำหนดความหมายและขอบเขตของสิ่งต่างๆ ที่อยู่
ในสมมติฐานหรือที่เกี่ยวข้องกับการทดลองเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
ตรงกันและสามารถสังเกตหรือวัดได้ โดยให้ค�ำอธิบายเกี่ยวกับการ
ทดลองและบอกวิธีการวัดตัวแปรที่เกี่ยวกับการทดลองนั้นๆ
3. ทักษะการก�ำหนดและควบคุมตัวแปร
เป็นการก�ำหนดตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม
ที่ต้องควบคุมให้คงที่ โดยต้องให้สอดคล้องกับการตั้งสมมติฐานของการทดลองหนึ่งๆ
4. ทักษะการทดลอง
เป็นกระบวนการปฏิบัติในการออกแบบและวางแผนการ
ทดลอง เพื่อหาค�ำตอบจากสมมติฐานที่ต้องไว้ ซึ่งประกอบด้วย
3 ขั้นตอน คือ การออกแบบการทดลอง การปฏิบัติการทดลอง
และการบันทักผลการทดลอง
5. ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป
เป็นการแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะและ
สมบัติของข้อมูลที่มีอยู่ รวมทั้งสามารถสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมดได้
7
6. ทักษะการสร้างแบบจ�ำลอง
เป็นการสร้างหรือใช้สิ่งที่สร้างขึ้นมา เพื่อเลียนแบบหรือ
อธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาหรือสนใจแล้วสามารถน�ำเสนอข้อมูล
แนวคิด และความคิดรวมยอด เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในรูปแบบของ
แบบจ�ำลองต่างๆ เช่น ชิ้นงาน สิ่งประดิษฐ์ กราฟ รูปภาพ
ข้อความ
3. จิตวิทยาศาสตร์
ลักษณะหรือพฤติกรรมของแต่ละคนที่เกิดจากประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษาในเรื่องต่างๆ โดยใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษา
คุณลักษณะหรือพฤติกรรมทางจิตวิทยาศาสตร์ที่เห็นได้ชัดเจน เช่น
- ความซื่อสัตย์
เป็นลักษณะส�ำคัญที่แสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมาตามสภาพความเป็นจริง ไม่ทุจริต ไม่หลอก
ลวง มีการบันทึก ข้อมูลตามความเป็นจริง
- ความสนใจใฝ่รู้
เป็นลักษณะที่ช่วยให้เราสามารถค้นหาค�ำตอบของข้อสงสัยหรือค้นพบวิธีการแก้ปัญหาที่ศึกษาได้
โดยผู้ที่มีความสนใจใฝ่รู้จะมีลักษณะชอบศึกษา ค้นคว้า ทดลอง และใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
- ความมุ่งมั่น เพียรพยายาม
เป็นลักษณะที่แสดงออกถึงความเพียรพยายาม เมื่อมีอุปสรรคหรือมีความล้มเหลวในระหว่างการ
ท�ำงานจะไม่ท้อถอย โดยจะมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการแสวงหาองค์ความรู้นั้นมา
- ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
เป็นลักษณะส�ำคัญในการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ ท�ำให้ได้ความรู้ที่มีประสิทธิภาพมาก
ยิ่งขึ้น โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีความใจกว้าง ให้ความส�ำคัญกับเหตุผลของผู้อื่น และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
เสมอ
- ความมีเหตุผล
เป็นลักษณะส�ำคัญที่เราสามารถแสดงความคิดเห็น
ตรวจสอบความถูกต้องและยอมรับข้อมูลนั้นได้มาจากการค้นคว้า
หรือการทดลองที่เชื่อถือได้
8
4. รูจ้ กั นักวิทยาศาสตร์
วิลเลียม วีเวลล์ บัญญัตคิ ำ� ว่า “นักวิทยาศาสตร์” ขึน้ เมือ่ พ.ศ. 2376 โดยให้
ความหมายของนักวิทยาศาสตร์ คือ บุคคลทีม่ คี วามเชีย่ วชาญทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างน้อย
1 สาขา และใช้หลักวิธที างวิทยาศาสตร์ในการค้นคว้าและวิจยั ในอดีตเคยเรียกนักวิทยาศาสตร์
ว่า นักปรัชญาธรรมชาติ หรือบุคคลแห่งวิทยาศาสตร์
1. การเจริญเติบโตของร่างกาย
ร่างกายของเรามีการเจริญเติบโตจากวัยทารกสู่วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในแต่ละช่วงวัย
ขนาดและร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันและมีพัฒนาการด้านร่างกายแตกต่างกันด้วย
ร่างกายของคนเรามีการเจริญเติบโตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนตลอดออกมาเป็นทารก จากนั้น
ค่อย ๆ เจริญเติบโตสู่วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในแต่ละช่วงวัยขนาดของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงแตกต่าง
กันไป โดยสังเกตได้จากสัดส่วนร่างกายที่เปลี่ยนแปลง เช่น ความยาวแขนและขา น�้ำหนัก ส่วนสูง เพิ่มขึ้น รวม
ถึงลักษณะความแตกต่างทางเพศ เช่น ผู้ชายมีหนวด ส่วนผู้หญิงมีประจ�ำเดือน การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากร่างกาย
ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์
การเจริญเติบโตของร่างกายมนุษย์
วัยเด็ก
1) วัยทารก อายุ 0 – 1 ปี
ผิวหนังอ่อนนุ่มส่วนใหญ่มีสีชมพู ฟันน�้ำนมเริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 5-6 เดือน มีกล้ามเนื้อน้อยแขนและ
ขางออยู่เกือบตลอดเวลา
11
2) วัยก่อนเรียน อายุ 1 – 6 ปี
ความสูงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 7.5 เซนติเมตร รูปร่างจะค่อย ๆ ยืดตัวออกใบหน้าและศีรษะเล็ก
ลงเมื่อเทียบกับขนาดตัว แขน ขา ล�ำตัว และคอเรียวยาวขึ้น ส่วนมือและเท้าจะใหญ่และแข็งแรงขึ้น
3) วัยเรียน อายุ 7 – 12 ปี
ส่วนสูงเพิ่มขึ้นประมาณ 4-5 เซนติเมตรต่อปี ฟันน�้ำนมเริ่มหลุด และจะมีฟันแท้งอกขึ้นมาแทนที่ น�้ำหนัก
ตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 กิโลกรัม
วัยรุ่น
4) วัยรุ่นชาย เเละวัยรุ่นหญิง อายุ 13-19 ปี
เป็นวัยที่เพศหญิงและเพศชายมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์อย่างมาก ช่วงอายุ 13-19 ปี
เพศชายจะเจริญเติบโตมากกว่าเด็กผู้หญิง
• ในช่วงแรกจะมีนำ�้ หนักและ
• เริม่ มีหนวดเคราเสียงห้าว
ส่วนสูงมากกว่าเด็กผูช้ าย
• ร่างกายขยายใหญ่ไหล่
• แขนและขายาวขึน้
กว้างขึน้
• หน้าอกขยายใหญ่ขนึ้
• มีกล้ามเนือ้ แข็งแรง
สะโพกผายออก
• อัณฑะเริม่ ผลิตอสุจิ
• เริม่ มีประจ�ำเดือน
12
วัยผู้ใหญ่
5) วัยหนุ่มสาว อายุ 20 – 39 ปี
เพศชายไหล่กว้างขนาดของต้นแขนเพิ่มขึ้น เพศชายและเพศหญิงมีพัฒนาการของร่างกายอย่างเต็มที่ เพศ
หญิงเต้านมและสะโพกเจริญเต็มที่
6) วัยกลางคน อายุ 40 – 59 ปี
ผิวเริ่มเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึงร่างกายเริ่มเสื่อมถอยการเคลื่อนไหวเริ่มช้าลงน�้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการสะสมไข
มันใต้ผิวหนัง สายตาเริ่มยาว หูเริ่มตึง ผมเริ่มหงอก
ประเภทของวิตามิน
วิตามินที่ละลายในน�้ำ วิตามินที่ละลายในไขมัน
B1 พบในเนือ้ หมู เครือ่ งในสัตว์ ปลา ถัว่ ไข่แดง ผักใบ A พบในตับ เครือ่ งในสัตว์ ไข่แดง เนย ผักและผลไม้ ต่าง ๆ
เขียว + ช่วยบ�ำรุงสายตา
+ ท�ำให้กล้ามเนือ้ ท�ำงานได้ดี + ช่วยบ�ำรุงผิวพรรณ
+ ป้องกันโรคเหน็บชา - ผมร่วง
- ท�ำให้เป็นโรคเหน็บชา - ผิวหนังแห้งเป็นสะเก็ด
หากร่ากายของเราขาดน�้ำจะเกิดผลเสียได้ เช่น การขับถ่ายของเสียไม่เป็นไปตามปกติ ของเสียจะถูกขับ
ออกมาน้อย เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายท�ำงานไม่เป็นปกติปากและผิวหนังอาจแห้ง ลอก และ ไม่ชุ่มชื้น
การทดสอบสารประเภทคาร์โบไฮเดรต
1. ทดสอบสารประเภทแป้ง ใช้สารละลายไอโอดีน (I2) ซึ่งมีสีน�้ำตาลเหลือง ได้ผลการทดสอบคือ เกิดตะกอน
สีน�้ำเงินหรือสารสีน�้ำเงิน หรือม่วงอมน�้ำเงิน
แป้ง + สารละลายไอโอดีน ตะกอนสีน�้ำเงินหรือม่วงอมน�้ำเงิน
2. การทดสอบน�้ำตาล ใช้สารละลายเบเนดิกต์ ผลการทดสอบขึ้นอยู่กับปริมาณน�้ำตาล ถ้ามีมากจะได้สารสีแดงอิฐ
ถ้ามีปริมาณน้อยจะได้สารสีเขียวหรือเขียวอมเหลือง
น�้ำตาล + สารละลายเบเนดิกต์ ตะกอนสีแดงอิฐ, เขียว, เขียวอมเหลือง
ยกเว้น น�้ำตาลซูโครส ต้องต้มและเติมกรด จึงจะท�ำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์
การทดสอบโปรตีน
ทดสอบโปรตีนโดยการทดสอบไบยูเร็ต (สารละลายผสมของคอปเปอร์ซัลเฟต (CuSO4) กับสารละลายโซเดียมไฮ
ดรอกไซด์ (NaOH) จะให้ผลการทดสอบคือ ได้สารสีม่วงน�้ำเงินเกิดขึ้น
19
การทดสอบวิตามินซี
สารที่ใช้ทดสอบวิตามินซี คือ สารละลายไอโอดีนซึ่งท�ำปฏิกิริยากับน�้ำแป้งได้สารสีน�้ำเงิน วิตามินซีจะท�ำปฏิกิริยา
กับสารสีน�้ำเงิน (ไอโอดีน + น�้ำแป้ง) จนสารละลายสีน�้ำเงินจางหายไป
การทดสอบน�้ำ
ถ้าต้องการทราบว่าสารหรือของเหลวมีน�้ำเป็นองค์ประกอบหรือไม่ สามารถทดสอบโดยหยดสารนั้นบนจุนสีสะตุ
CuSO4.5H2O (ซึ่งมีผลึกสีขาว) จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสีฟ้าถ้ามีน�้ำอยู่
สรุปองค์ความรู้เรื่อง สารอาหาร
สารอาหาร หน่วยย่อย แรงที่ยึดเหนี่ยว(พันธะ) การทดสอบ
**น�้ำตาล + สารละลายเบเนดิกต์ เปลี่ยนจากสีฟ้า
เป็นสีแดงอิฐ
กลูโคส พันธะไกลโคซิดิก ยกเว้น น�้ำตาลซูโครส ต้องต้มและเติมกรด
**แป้ง + สารละลายไอโอดีน
คาร์
เปลี่ยนจากสีน�้ำตาลเหลือง เป็นสีน�้ำเงิน
โบ
ไฮ 1. น�้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว เช่น กลูโคส ฟรักโทส กาแลกโทส
2. น�ำ้ ตาลโมเลกุลคู่ เช่น มอลโทส เกิดจาก กลูโคส + กลูโคส
เดรต ซูโครส เกิดจาก กลูโคส + ฟรักโทส
แลกโทส เกิดจาก กลูโคส + กาแลกโทส
3. น�้ำตาลโมเลกุลใหญ่ เช่น แป้ง, เซลลูโลส, ไกลโคเจน
3. ส่วน ใช้ตวงปริมาณอาหารกลุม่ ผลไม้ คือ ผลไม้ 1 ส่วน ส�ำหรับผลไม้ทเี่ ป็นผล เช่น กล้วยน�ำ้ ว้า 1 ผล
ส�ำหรับผลไม้ทหี่ นั่ เป็นชิน้ เช่น มะละกอสุก สับปะรด หรือแตงโม 6-8 ชิน้ ประมาณ 70-120 กรัม
23
4. แก้ว ใช้ตวงปริมาณอาหารกลุ่มนม เช่น นมสด 1 แก้ว ประมาณ 200 มิลลิลิตร หรือ 200 ลูกบาศก์
เซนติเมตร หรือซีซี (cc)
สารอาหารประเภทที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย จะมีสัดส่วนการให้ปริมาณพลังงานจากอาหารที่เรารับประทาน
เข้าไป คือ โปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี และ
ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี
อาหารแต่ละประเภทให้คุณค่าสารอาหารต่างกันการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อจึงต้องค�ำนึงถึงปริมาณ
และคุณค่าสารอาหารที่ได้รับให้เหมาะสมกับเพศ วัย และสภาพแวดล้อมของแต่ละบุคคล เช่น
วัยเด็ก
ต้องการโปรตีนสูงกว่าปกติเพราะเป็นวัยที่ร่างกายก�ำลังเจริญเติบโต
วัยผู้ใหญ่
ต้องการโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน สูงกว่าวัยสูงอายุเพราะเป็นวัยที่ต้องใช้พลังงานในการท�ำงานสูง
วัยสูงอายุ
ต้องการคาร์โบไฮเดรตและไขมันน้อยลง แต่ต้องการโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่เพื่อน�ำไปซ่อมแซมและชะลอ
ความเสื่อมของร่างกาย
สตรีมีครรภ์
ต้องการสารอาหารทุกประเภทสูงกว่าทุก ๆ วัยเพราะอาหารบางส่วนถูกน�ำไปใช้เลี้ยงทารกในครรภ์และน�ำไปผลิต
น�้ำนม
ตัวอย่าง ปริมาณอาหารส�ำหรับคนในวัยต่าง ๆ ที่ควรรับประทานใน 1 วัน
ปริมาณอาหารส�ำหรับคนในวัยต่าง ๆ
ชนิดของอาหาร
วัยก่อนวัยเรียน วัยเรียน วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่
ไข่ 1 ฟอง 1 ฟอง 1 ฟอง 1/2-1 ฟอง
นม 2-4 แก้ว 3-4 แก้ว 3-4 แก้ว 0-1 แก้ว
ข้าวที่หุงสุกแล้ว 1/2 - 3 ถ้วยตวง 4-5 ถ้วยตวง 5-6 ถ้วยตวง 3-6 ถ้วยตวง
เนื้อสัตว์และ 3-4 ช้อนโต๊ะ ประมาณ 180 กรัม ประมาณ 200 กรัม ประมาณ 150 กรัม
เครื่องในสัตว์ (= 3/4-1 ถ้วยตวง) (= 1 ถ้วยตวง) (= 3/4 ถ้วยตวง)
ไขมันหรือน�้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ 5/2-3 ช้อนโต๊ะ 5/2-3 ช้อนโต๊ะ 5/2-4 ช้อนโต๊ะ
ผักใบเขียว 4-8 ช้อนโต๊ะ 1/2 - 1 ถ้วยตวง 1-2 ถ้วยตวง 1-2 ถ้วยตวง
ผลไม้ มื้อละ 3/4 ผล มื้อละ 1/2 -1 ผล มื้อละ 1/2 -1 ผล มื้อละ 1/2 -1 ผล
24
ส�ำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีอายุอยู่ในช่วง 11-12 ปี ควรได้รับพลังงานจากอาหาร
ประมาณวันละ 1,600 - 1,700 กิโลแคลอรี ซึ่งปริมาณอาหารที่เหมาสมโดยประมาณ คือ กลุ่มข้าว แป้ง 8
ทัพพี กลุ่มผัก 4 ทัพพี กลุ่มผลไม้ 3 ส่วน กลุ่มนม 2 แก้ว กลุ่มน�้ำมัน น�้ำตาล และเกลือ ควรบริโภคปริมาณ
น้อย ๆ และควรดื่มน�้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
วัตถุเจือปนอาหาร (food additive) คือ สารเคมีที่ช่วยเสริมหรือช่วยเพิ่มสมบัติบางอย่างให้กับอาหารโดย
อาจได้มาจากสัตว์ พืช แร่ธาตุ รวมถึงการสังเคราะห์ขึ้น วัตถุเจือปนต่าง ๆ ถูกน�ำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ที่ต่างกัน
ไป เช่น ช่วยเพิ่มสีสัน แต่งกลิ่น เพิ่มรสชาติ ยืดอายุอาหาร ป้องกันการหืน
วัตถุเจือปนอาหารที่ได้บ่อยในอาหาร เช่น ผงชูรส สีผสมอาหาร วัตถุกันเสีย สารให้ความหวานแทน
น�้ำตาล สารแต่กลิ่น โดยวัตถุเจือปนในอาหารแต่ละชนิดจะถูกก�ำหนดปริมาณการเจือปนอาหารสะสมเป็นเวลา
นานอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้
ตัวอย่างวัตถุเจือปนอาหาร
ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมต) เป็นวัตถุเจือปนอาหารที่มีลักษณะเป็นผง ผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น ท�ำ
หน้าที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารโดยปกติเราสามารถรับประทานผงชูรสได้ไม่เกินวันละ 120 มิลลิกรัม ต่อน�้ำหนัก
ตัว 1 กิโลกรัม และห้ามใช้กับทารกอายุต�่ำกว่า 12 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังต้องระมัดระวังความไวต่อสาร
ประเภทนี้ในบางคนด้วย
วัตถุกันเสีย (สารกันบูด) เป็นวัตถุ เจือปนอาหารที่ใช้ถนอมและยืดอายุอาหาร อาจได้จากธรรมชาติหรือ
สังเคราะห์ขึ้น โดยช่วยยับยั้งหรือท�ำลายจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย รา ที่ท�ำให้อาหารเกิดการเน่าเสีย หากรับ
ประทานอาหารที่เจือปนวัตถุกันเสียในปริมาณมาก อาจท�ำให้เกิดอาการปวดศีรษะ อาเจียน หรือหมดสติได้ หาก
รับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจเกิดพิษสะสมในร่างกายเรื้อรัง และอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
การรับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต จ�ำเป็นต้องรับประทานให้ได้พลังงานเพียงพอกับความ
ต้องการของร่างกาย และได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัย โดยสามารถปฏิบัติตามหลัก
โภชนบัญบัติ 9 ประการ ได้ดังนี้
1) กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลายและหมั่นดูแลน�้ำหนักตัว
2) กินข้าวเป็นหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งบางมื้อ
3) กินพืชผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจ�ำ
4) กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจ�ำ
5) ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย
6) กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร
7) หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่หวานจัดและเค็มจัด
8) กินอาหารที่สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน
9) งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
25
ใบความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หน่วยการเรียนรู้ ร่างกายของเรา
บทเรื่อง ระบบย่อยอาหารของร่างกาย
ระบบย่อยอาหาร (digestive system) คือ ระบบที่ท�ำหน้าที่ย่อยอาหารที่เรารับประทานเข้าไปให้เป็นสาร
อาหารขนาดเล็ก จนร่างกายสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและถูกล�ำเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดย
ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ที่ท�ำงานร่วมกัน
1. การท�ำงานของอวัยวะในระบบย่อยอาหาร
อาหารที่คนเรารับประทานเข้าไปนั้นจะผ่านทางเดินอาหารที่มีความยาวประมาณ 9 เมตร เริ่มตั้งแต่ปาก
ผ่านคอหอยส่งต่อไปตามหลอดอาหาร เข้าสู่กระเพาะอาหาร ล�ำไส้เล็ก ล�ำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ตามล�ำดับ
นอกจากนี้ยังมีอวัยวะที่มีส่วนช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร ได้แก่ ตับและตับอ่อน
ปาก
คอหอย ต่อมน�้ำลาย
หลอดลม
ตับ ถุงน�้ำดี
กระเพาะอาหาร
ตับอ่อน
ล�ำไส้เล็ก
ล�ำไส้ใหญ่
ไส้ติ่ง ล�ำไส้ตรง
รูทวาร
การย่อยอาหารเป็นการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของสารอาหารให้มีขนาดเล็กลง จนร่างกายสามารถดูดซึมไป
ใช้ประโยชน์ได้ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1) การย่อยเชิงกล เป็นการย่อยอาหารโดยไม่ใช้เอนไซม์ ได้แก่ การบดเคี้ยวอาการในปาก การบีบตัวของ
ทางเดินอาหาร ซึ่งจะพบได้ในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และล�ำไส้เล็ก
2) การย่อยเชิงเคมี เป็นการย่อยอาหารโดยใช้เอนไซม์ย่อยสลายสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
โปรตีน และไขมัน ซึ่งพบได้ที่บริเวณปาก กระเพาะอาหาร และล�ำไส้เล็ก
อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารจะท�ำงานร่วมกันโดยมีขั้นตอน ดังนี้
1. เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไปภายในปาก จะมีฟันเคี้ยวอาหาร ลิ้นช่วยคลุกเคล้าอาหาร และต่อม
น�้ำลายจะขับน�้ำลายที่มีเอนไซม์อะไมเลส (น�้ำย่อย) ออกมาย่อยเฉพาะสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้มีขนาด
เล็กลง โดยจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน�้ำตาล และส่งต่อไปสู่หลอดอาหาร
26
2. เมื่ออาหารเริ่มเคลื่อนที่ผ่านคอหอยเข้าสู่หลอดอาหารกล้ามเนื้อหลอด
อาหารจะหดตัวและคลายตัว เพื่อบีบให้อาหารเคลื่อนที่ต่อไปยังกระเพาะอาหาร
(เรียกว่าการเพอริทัลซิส (Peristalsis))
3. กล้ามเนื้อกระเพาะอาหารหดและคลายตัวเพื่อคลุกเคล้าอาหารและจะ
ผลิตเอนไซม์เพปซิน (น�้ำย่อย) ออกมาย่อยสารอาหารประเภทโปรตีนให้มีขนาด
เล็กลง (ของเหลวที่มีอาหารและเอนไซม์ผสมกันอยู่ในกระเพาะอาหาร จะเรียกว่า
chyme) แล้วส่งต่อไปสู่ล�ำไส้เล็ก
4. ล�ำไส้เล็กรับน�้ำดีที่ผลิตจากตับเอนไซม์จากตับอ่อน และเอนไซม์ที่ผลิตขึ้น
ที่ล�ำไส้เล็ก เพื่อย่อยอาหารทุกประเภทให้มีขนาดเล็กที่สุด จนเซลล์สามารถดูดซึม
ผ่านผนังล�ำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด ส่งไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้โดยสาร
อาหารเกือบทุกชนิดสามารถถูกดูดซึมที่ล�ำไส้เล็ก
5. กากอาหารที่เหลือจากการย่อยและส่วนที่ย่อยไม่ได้จะถูกส่งจากล�ำไส้เล็ก
ต่อไปยังล�ำไส้ใหญ่ ซึ่งท�ำหน้าที่ดูดน�้ำ วิตามิน และเกลือแร่ กลับสู่ร่างกาย
ส่วนกากอาหารจะถูกขับถ่ายเป็นอุจาระออกจากร่างกายผ่านทางทวารหนัก
2. หน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหาร
อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารมีหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้
ปาก (mouth) เป็นจุดเริ่มต้นของทางเดินอาหารประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่
- ฟัน (tooth)
ท�ำหน้าที่ ตัด ฉีก บด และเคี้ยวอาหารให้มีขนาดเล็กลงก่อนจะกลืน
- ลิ้น (tongue)
ท�ำหน้าที่ คลุกเคล้าอาหาร ช่วยการกลืนและรับรสชาติอาหาร
- ต่อมน�้ำลาย (salivary gland)
มี 3 คู่ อยู่บริเวรใต้ขากรรไกร ใต้ลิ้น และข้างกกหู ท�ำหน้าที่ สร้างน�้ำลายที่ประกอบด้วยน�้ำ สารเมือก และ
เอนไซม์ (น�้ำย่อย) ที่ใช้ย่อยสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
27
หลอดอาหาร (esophagus)
มีลักษณะเป็นท่อตรงยาวประมาณ 25 เซนติเมตร อยู่บริเวรหลังท่อลม มีกล้ามเนื้อที่สามารถหด
และคลายตัวได้ ท�ำหน้าที่ ล�ำเลียงและส่งอาหารไปยังบริเวณกระเพาะอาหาร โดยกล้ามเนื้อจะบีบตัวให้อาหาร
เคลื่อนที่ผ่านไปได้
ขั้นตอน การกลืนอาหารและการล�ำเลียงอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร
1.ขณะเคี้ยวอาหาร ฝาปิดกล่องเสียงยกสูง กล้ามเนื้อหูรูดที่อยู่บริเวณหลอดอาหารหดตัว
2.ขณะกลืนอาหาร ฝาปิดกล่องเสียงเลื่อนลงมาปิดกล่องเสียงส่วนกล้ามเนื้อหูรูดที่อยู่บริเวณหลอดอาหาร
จะมีการคลายตัว
3.กล้ามเนื้อหลอดอาหารหดตัวและคลายตัวเพื่อช่วยล�ำเลียงอาหารลงไปยังกระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหาร (stomach)
อยู่ในช่องท้องค่อนไปทางฝั่งซ้าย มีกล้ามเนื้อหนา แข็งแรง และยืดหยุ่นได้ดี กระเพาะอาหาร ประกอบ
ด้วยเซลล์ 3 ชนิด ท�ำหน้าที่ต่างกัน ดังนี้
1) สร้างสารเมือก เพื่อป้องกันไม่ให้น�้ำย่อยต่างๆ ย่อยเนื้อเยื่อของกระเพาะอาหาร
2) สร้างกรดไฮโดรคลอริก ท�ำให้กระเพาะอาหารมีสภาพเป็นกรด
3) สร้างเอนไซม์เพปซิน (น�้ำย่อย) เพื่อย่อยสารอาหารประเภทโปรตีนให้มีขนาดเล็ก แล้วส่งต่อไปยัง
ล�ำไส้เล็ก นอกจากนี้ ในกระเพาะอาหารยังมีเอนไซม์เรนนิน (น�้ำย่อย) ซึ่งท�ำหน้าที่ช่วยย่อยโปรตีนในนมด้วย
กระเพาะอาหารสามารถดูดซึมแอลกอฮอล์และสารที่ละลายในไขมันได้ เช่น ยาบางชนิด ส่วนสารอื่นๆ
รวมทั้งน�้ำ วิตามิน และแร่ธาตุ จะถูกดูดซึมที่ล�ำไส้เล็ก
อวัยวะที่ช่วยสร้างน�้ำดีและเอนไซม์ส�ำหรับการย่อยอาหาร
ตับ (liver) ท�ำหน้าที่ สร้างน�น�้ำดี (bile) ที่มีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นฉุน
แล้วส่งไปเก็บที่ถุงน�้ำดี น�้ำดีจะถูกส่งเข้าสู่ล�ำไส้เล็ก เพื่อช่วยย่อยไขมันให้
แตกตัวเป็นไขมันเม็ดเล็ก ๆ โดยท่อส่งน�้ำดีของตับและท่อส่งเอนไซม์ที่มาจาก
ตับอ่อนจะเปิดที่บริเวณล�ำไส้เล็กส่วนต้นเมื่อมีการย่อยอาหารเกิดขึ้น
ทวารหนัก (anus)
ท�ำหน้าที่ ขับกากอาหารที่สะสมและรวมกันอยู่ในล�ำไส้ตรงให้ออกจากร่างกายในรูปของอุจจาระ
ผักและผลไม้จะให้ใยอาหารซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย เนื่องจากใยอาหารช่วยกระตุ้นการขับถ่ายของเราให้
เป็นปกติและไม่ท�ำให้ท้องผูก นอกจากนี้ยังช่วยลดการดูดซึมน�้ำตาล ลดการสะสมไขมัน และลดการสะสมของเสีย
ในผนังล�ำไส้ได้อีกด้วย
แรงไฟฟ้า
ในฤดูหนาวอากาศจะเย็นและแห้ง บางครั้งเราอาจสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ดูดติดตัวเรา หรือขณะที่
เราก�ำลังหวีผม เส้นผมจะติดที่หวี ซึ่งสิ่งที่เราสังเกตเห็นเกิดจากแรงชนิดหนึ่ง เรียกว่า แรงไฟฟ้า
แรงไฟฟ้าเกิดขึ้นเมื่อเราน�ำวัตถุ 2 ชนิด ที่ผ่านการขัดถูกัน แล้วน�ำมาเข้าใกล้กัน โดยอาจท�ำให้เกิด
แรงดึงดูดหรือแรงผลักกัน
ก. ข. ก. ข.
1. การเกิดแรงไฟฟ้า
วัตถุบางชนิด เช่น ไม้บรรทัดพลาสติก เมื่อผ่านการขัดถูด้วยผ้าแห้งแล้วสามารถดึงดูดเศษกระดาษชิ้น
เล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ แสดงว่า เมื่อน�ำวัตถุบางชนิดมาขัดถูกันจะท�ำให้เกิดไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส
แรงไฟฟ้า (electric force) คือ แรงที่เกิดขึ้นระหว่างประจุไฟฟ้าด้วยกันมีทั้งแรงดึงดูดและแรงผลัก
ประจุไฟฟ้ามีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบโดยปกติวัตถุหรือสิ่งของต่าง ๆ
จะมีประจุบวกและประจุลบในปริมาณเท่า ๆ กัน หากมีการน�ำวัตถุมาขัดถูกันจะท�ำให้วัตถุนั้นไม่เป็นกลางทาง
ไฟฟ้าหรือเสียสมดุลของประจุไฟฟ้า จึงท�ำให้เกิดอ�ำนาจไฟฟ้าหรือเเรงไฟฟ้าได้
แรงไฟฟ้าสามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติซึ่งการน�ำวัตถุมาขัดถูกันจะท�ำให้
เกิดแรงไฟฟ้าขึ้นบริเวณที่มีการขัดถูของวัตถุเท่านั้น เรียกแรงไฟฟ้านี้ว่า ไฟฟ้าสถิต
แรงไฟฟ้าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับวัตถุทุกชนิด โดยส่วนใหญ่แรงไฟฟ้าจะเกิดขึ้นกับวัตถุที่ท�ำจาก
พลาสติก แก้ว และยาง ส�ำหรับวัสดุที่เกิดแรงไฟฟ้าได้ค่อนข้างยากหรืออาจไม่เกิดเลย ได้แก่ โลหะต่าง ๆ และไม้
ดังนั้น ลักษณะและสมบัติของวัตถุจึงเป็นปัจจัยส�ำคัญในการเกิดแรงไฟฟ้าด้วย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดแรงไฟฟ้า มีดังนี้
• ความชื้นของวัตถุ โดยวัตถุที่มีความชื้นสูงจะเกิดแรงไฟฟ้าได้ค่อนข้างยาก
• ประเภทของวัสดุที่ใช้ท�ำวัตถุ วัสดุที่เกิดแรงไฟฟ้าได้ง่าย เช่น พลาสติก แก้ว ยาง
• ระยะเวลาหรือจ�ำนวนครั้งในการขัดถูวัตถุ หากน้อยเกินไปจะไม่ท�ำให้เกิดแรงไฟฟ้า
33
ไฟฟ้าสถิต (static electricity) เป็นแรงไฟฟ้าที่อยู่กับที่ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ดังนั้น เมื่อน�ำวัตถุหรือวัสดุที่
ไม่น�ำไฟฟ้ามาขัดถูกัน จะท�ำให้เกิดแรงไฟฟ้าขึ้นบริเวณที่ขัดถูเท่านั้นวัตถุจึงสามารถดึงดูดฝุ่นละอองหรือเศษ
กระดาษเล็ก ๆ ได้
2. ผลของแรงไฟฟ้าที่เกิดขึ้น
เมื่อน�ำวัตถุ 2 ชนิด มาขัดถูกัน จะท�ำให้ประจุไฟฟ้าบริเวณผิววัตถุเกิดการแลกเปลี่ยนกัน วัตถุจึงไม่เป็น
กลางทางไฟฟ้าหรือเสียสมดุลของประจุไฟฟ้าไปจากเดิม เนื่องจากมีการถ่ายโอนประจุลบจากวัตถุหนึ่งไปยังอีก
วัตถุหนึ่งท�ำให้วัตถุที่เสียประจุลบไปเป็นประจุบวก ส่วนวัตถุที่รับประจุลบไปจะมีประจุลบเพิ่มขึ้น
หากมีการน�ำวัตถุที่ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้ามาเข้าใกล้วัตถุที่มีน�้ำหนักเบาจะเกิดการเหนี่ยวน�ำไฟฟ้า จึง
สามารถดึงดูดวัตถุที่มีน�้ำหนักเบาได้ เช่น เมื่อน�ำผ้าแห้งขัดถูกับไม้บรรทัดพลาสติกหลาย ๆ ครั้ง ไม้บรรทัดจะมี
ประจุบวก ส่วนผ้าแห้งจะมีประจุลบ และเมื่อน�ำไม้บรรทัดที่มีประจุบวกเข้าใกล้วัตถุชิ้นเล็ก ๆ เช่น เศษกระดาษ
ไม้บรรทัดจะดึงดูดเศษกระดาษนั้นขึ้นมาได้
1.1 การต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย
วงจรไฟฟ้า เป็นเส้นทางที่กระแสไฟฟ้าไหลมาจากแหล่งก�ำเนิดไฟฟ้าผ่านตัวน�ำไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า
และไหลกลับสู่แหล่งก�ำเนิดไฟฟ้าเดิมได้ครบวงจร วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย 3 ส่วนส�ำคัญ ดังนี้
1. แหล่งก�ำเนิดไฟฟ้า เป็นแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าไปยังวงจรไฟฟ้า
เช่น ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ เครื่องก�ำเนิดไฟฟ้า ท�ำหน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า
3. อุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ท�ำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า
ไปเป็นพลังงานรูปแบบต่าง ๆ เพื่ออ�ำนวยความสะดวกในการด�ำเนิน
ชีวิตประจ�ำวัน
35
เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านในวงจร โดยมีสวิตช์ท�ำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟฟ้า หากต่อ
วงจรไฟฟ้าครบวงจรและเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถท�ำงานได้จะเรียกว่า วงจรปิด (Closed Circuit) หากท�ำการต่อ
วงจรไฟฟ้าไม่ครบวงจร โดยปลดสายไฟฟ้าเส้นใดเส้นหนึ่งออกหรือยกสวิตช์ขึ้น และเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่สามารถ
ท�ำงานได้จะเรียกว่า วงจรเปิด (Opened Circuit)
- กรณีต่อด้วยสายไฟฟ้า 1 เส้น
น�ำปลายด้านล่างที่เป็นโลหะของหลอดไฟฟ้าแตะที่ขั้วบวก (+)
ของถ่านไฟฉาย จากนั้นน�ำสายไฟฟ้าต่อเข้ากับด้านข้างบริเวณที่เป็นโลหะของ
หลอดไฟฟ้า แล้วน�ำปลายสายไฟฟ้าที่เหลือต่อเข้ากับขั้วลบ (-) ของถ่ายไฟฉาย
- กรณีต่อด้วยสายไฟฟ้า 2 เส้น
ต่อปลายด้านหนึ่งของสายไฟฟ้าแต่ละเส้นเข้ากับขั้วบวก (+)
และขั้วลบ (-) ของถ่านไฟฉาย จากนั้นน�ำปลายสายไฟฟ้าที่เหลือเส้นหนึ่งต่อเข้า
กับปลายด้านล่างของหลอดไฟฟ้า และน�ำปลายของสายไฟฟ้าอีกเส้นหนึ่งต่อ
เข้ากับบริเวณโลหะของหลอดไฟฟ้า
เป็นแหล่งก�ำเนิดกระแสไฟฟ้าหรือ
1 เซลล์ หลายเซลล์ แหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้วงจร
ไฟฟ้า หากเป็นแบตเตอรี่จะใช้
สัญลักษณ์หลายเซลล์ต่อกัน
เซลล์ไฟฟ้า
สายไฟฟ้า
เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้พลังงานแสง
หรือ
มีสัญลักษณ์หลายรูปแบบ
หลอดไฟฟ้า
M เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้พลังงานกล
มอเตอร์ไฟฟ้า
เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้พลังงานเสียง
ออดไฟฟ้า
ยกสวิตช์ขึ้น เป็นอุปกรณ์ควบคุมให้วงจร
สวิตช์ปิด ไฟฟ้าท�ำงานจะสับสวิตช์ลง
เรียกว่า วงจรปิด หรือให้วงจร
ไฟฟ้าหยุดท�ำงานจะยกสวิตช์ขึ้น
สับสวิตช์ลง
เรียกว่า วงจรเปิด
สวิตช์ไฟฟ้า สวิตช์เปิด
37
1.2 การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม
แหล่งก�ำเนิดไฟฟ้ามีอยู่หลายชนิด เช่น เซลล์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ ซึ่งถ่านไฟฉายจัดเป็นเซลล์ไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่
เป็นแหล่งก�ำเนิดไฟฟ้าให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิด เช่น นาฬิกา ไฟฉาย วิทยุ กล้องถ่ายรูป
เซลล์ไฟฟ้า คือ แหล่งก�ำเนิดกระแสไฟฟ้าหรือแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าแบบหนึ่งที่ใช้ปฏิกิริยาเคมีท�ำให้เกิด
กระแสไฟฟ้าได้ซึ่งเซลล์ไฟฟ้า 1 เซลล์ อาจให้กระแสไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอต่อการใช้งานของเครื่องไฟฟ้า จึงจ�ำเป็น
ต้องต่อเซลล์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นโดยการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม
เซลล์ไฟฟ้านั้นมีอยู่หลายแบบและหลายขนาดซึ่งแต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานต่างกัน เช่น
เซลล์ไฟฟ้าแบบกระดุมนิยมใช้ในนาฬิกาข้อมือ เซลล์ไฟฟ้าแบบก้อนมักใช้ในรีโมตคอนโทรลต่าง ๆ
เซลล์ไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในขยะอันตราย เพราะมีส่วนผสมของสารเคมี เช่น ตะกั่ว แคดเมียม หากต้องการ
ทิ้ง ควรแยกออกจากขยะประเภทอื่น ๆ และท�ำสัญลักษณ์บอกว่าเป็นขยะอันตรายไว้ต่างหาก เพื่อหน่วยงานที่รับ
ผิดชอบจะได้น�ำไปก�ำจัดอย่างถูกวิธี
1.3 การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน
หากเราสังเกตการต่อวงจรไฟฟ้าจะพบว่า บางครั้งมีการต่อหลอดไฟฟ้ามากกว่า 1 ดวง เช่น ไฟประดับ
ต้นไม้ ไฟประดับอาคาร ซึ่งการต่อวงจรไฟฟ้าที่มีหลอดไฟฟ้ามากกว่า 1 ดวง มี 2 แบบ คือการต่อหลอดไฟฟ้า
แบบอนุกรม และการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน
1) การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม คือ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบเรียงต่อกัน โดยกระแสไฟฟ้าที่ผ่านหลอด
ไฟฟ้าแต่ละดวงจะมีปริมาณเดียวกัน เมื่อถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออก จะท�ำให้หลอดไฟฟ้าที่เหลือดับ
ทั้งหมดเพราะท�ำให้วงจรไฟฟ้าไม่ครบวงจรและไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
ประโยชน์ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม
1.การต่อวงจรไม่ยุ่งยากซับซ้อน
2.สามารถเปิดหลอดไฟฟ้าทุก ๆ ดวงในวงจรได้พร้อมกัน
39
ข้อจ�ำกัดในการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม
หากหลอดไฟฟ้าดวงหนึ่งช�ำรุดหรือถูกถอดออก หลอดไฟฟ้าดวงที่เหลือจะดับทั้งหมด
การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
ใช้กับการต่อหลอดไฟฟ้าที่ต้องการให้สว่างพร้อมกัน เช่น โคมไฟหรือไฟประดับตามสถานที่ต่าง ๆ ไฟ
กะพริบตามงานรื่นเริง การต่อฟิวส์ภายในบ้านหรือในอาคารสถานที่ต่าง ๆ
2) การต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน คือ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละดวงคร่อมกัน ท�ำให้มีปริมาณกระแสไฟฟ้า
แยกผ่านแต่ละเส้นทางตามสายไฟฟ้าที่ผ่านหลอดไฟฟ้าแต่ละดวง เมื่อถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออกจะไม่มี
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเส้นทางนั้น แต่เส้นทางอื่นยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอยู่ ท�ำให้หลอดไฟฟ้าที่เหลือยังคงสว่าง
อยู่
ประโยชน์ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน
1. หลอดไฟฟ้าทุกดวงสว่างเท่ากัน
2. หลอดไฟฟ้าดวงหนึ่งเสีย หลอดอื่นยังคงท�ำงานได้ตามปกติ
3. สามารถเปิดหรือปิดหลอดไฟฟ้าเฉพาะดวงที่ต้องการใช้งานได้
ข้อจ�ำกัดในการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน
1. ต้องใช้อุปกรณ์ต่อหลอดไฟฟ้ามากกว่าแบบอนุกรม
2. วิธีการต่อหลอดไฟฟ้าซับซ้อนมากกว่าการต่อแบบอนุกรม
การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
การต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานถูกน�ำกลับมาประยุกต์ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ภายในบ้าน โดยมีวิธีการ
ต่อที่ซับซ้อนกว่าการต่อแบบอนุกรม แต่มีประสิทธิภาพในการใช้งานดีกว่าเพราะหากเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่งมี
ปัญหาเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นจะไม่เกิดความเสียหายและยังคงใช้งานได้ตามปกติ
40
การต่อวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�ำวันได้แตก
ต่างกัน ดังนี้
การต่อวงจรไฟฟ้าแบบขนานนั้นมักนิยมน�ำมาใช้ในการต่อวงจรไฟฟ้าภายในบ้าน เพื่อให้สามารถเลือกใช้
เครื่องไฟฟ้าเครื่องใดเครื่องหนึ่งได้ตามต้องการ เพราะเมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้าขาดไปอุปกรณ์ไฟฟ้า
หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ยังคงสามารถท�ำงานได้ตามปกติ
การต่อวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมนั้นมักใช้กับการต่อกับอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด เช่น การ
ต่อหลอดไฟฟ้าประดับตามสถานที่ต่าง ๆ หรือการต่อฟิวส์ในวงจรไฟฟ้าในบ้าน เมื่อฟิวส์ขาดไฟฟ้าทั้งหมดภายใน
บ้านจะดับและท�ำงานไม่ได้ ท�ำให้เกิดความปลอดภัยหากมีการใช้ไฟฟ้าเกิดขนาด
2. ตัวน�ำไฟฟ้าและฉนวนไฟฟ้า
วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติในการน�ำไฟฟ้าได้แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อเราน�ำวัสดุบางชนิดมาต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้า
จะท�ำให้หลอดไฟฟ้าสว่างและเมื่อน�ำวัสดุบางชนิดมาต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้า จะท�ำให้หลอดไฟฟ้าไม่สว่าง เราจึง
สามารถจ�ำแนกวัสดุได้ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
วัสดุที่มีสมบัติเป็นตัวน�ำไฟฟ้าและเป็นฉนวนไฟฟ้าสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ในการผลิตเครื่องใช้ต่างๆ
เช่น วัสดุที่เป็นตัวน�ำไฟฟ้าใช้ท�ำสายไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า ส่วนวัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้าจะน�ำไปใช้ท�ำเครื่องป้องกัน
ไฟฟ้า เช่น ใช้หุ้มสายไฟฟ้าป้องกันไฟฟ้ารั่วหรือไฟฟ้าดูด
41
ใบความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หน่วยการเรียนรู้ แสงและเงา
บทเรื่อง เงามืดและเงามัว
เงา คือ บริเวณมืดหลังวัตถุที่เกิดขึ้นจากวัตถุต่าง ๆ ขวางกั้นทางเดินแสงไว้แสงจึงไม่สามารถเดินทางไป
ถึงหรือไปถึงเพียงบางส่วน โดยลักษณะของเงาที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ เงามืด (umbra) และเงามัว
(penumbra)
เงามืด (umbra) คือ เงาของวัตถุในบริเวณที่ไม่มีแสงผ่านไปถึง ท�ำให้บริเวณนั้นมืดสนิท
รังสีของเเสง เงามืด
3) แหล่งก�ำเนิดแสงมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุที่ใช้กั้นแสง
- ในการเขียนเส้นแนวทางเดินของแสงจะลากเส้นรังสีของแสงเพียง 4 เส้น ไปที่ฉากรับแสง
โดยจะเกิดเงามืดและเงามัวขึ้นในลักษณะต่าง ๆ ตามต�ำแหน่งที่ฉากรับแสงตั้งอยู่
- หากวางฉากรับแสงไว้ในบริเวณต�ำแหน่ง A จะเกิดเงามัวล้อมเงามืด
- หากวางฉากรับแสงไว้ในบริเวณต�ำแหน่ง B จะเกิดเฉพาะเงามัวเท่านั้น
เเหล่งก�ำเนิดเเสง รังสีของเเสง ฉากรับเเสง
วัตถุ เงามัว
เงามัว
เงามัว
A B
หากเราต้องการแยกสารที่ผสมกันอยู่ออกจากกัน เราสามารถท�ำได้หลายวิธีโดยขึ้นอยู่กับลักษณะและสมบัติ
ของสารที่ผสมอยู่รวมกัน ดังนี้
- สารผสมที่ประกอบด้วยของแข็งปนกับของแข็งที่มีลักษณะแตกต่างกันชัดเจน อาจแยกสารโดยใช้วิธีการ
หยิบออก การร่อนผ่านวัสดุที่มีรู หรือการระเหิด
- สารผสมที่ประกอบด้วยของแข็งปนกับของเหลว โดยของแข็งนั้นไม่ละลายในของเหลว อาจแยกสาร
โดยใช้ วิธีการรินออก การกรอง หรือการท�ำให้ตกตะกอน
- สารผสมที่ประกอบด้วยของแข็งปนกับของเหลว โดยของแข็งนั้นละลายได้ในของเหลว อาจแยกสาร
โดนใช้วิธีการระเหยแห้ง
- สารผสมที่ประกอบด้วยของแข็งที่เป็นสารแม่เหล็กกับของแข็งที่ไม่เป็นสารแม่เหล็ก อาจแยกสารโดยใช้
แม่เหล็กดึงดูดสารแม่เหล็กออกมาได้
44
สารเนื้อเดียว คือ สารที่มองเห็นเป็นเนื้อเดียวชัดเจน อาจเป็นสารบริสุทธิ์ เช่น น�้ำกลั่น หรืออาจเป็น
สารละลาย เช่น น�้ำเกลือ น�้ำเชื่อม น�้ำโซดา
สารเนื้อผสม คือ สารที่ผสมกันแล้วไม่มีการละลายเกิดขึ้น โดยยังมองเห็นสารเดิมอยู่ไม่รวมเป็นเนื้อ
เดียวกันหรือแยกส่วนกัน และไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เช่น สลัดผัก ข้าวสารปนกรวด ควันด�ำในอากาศ
สสาร สสาร มีสมบัติ 4 ประการ คือ
1. มีตัวตน 2. มีมวล
สาร 3. ต้องการที่อยู่ 4. สัมผัสได้
สารเนื้อเดียว สารเนื้อผสม
ธาตุ สารประกอบ
โลหะ
กึ่งโลหะ
อโลหะ
1. สารเนื้อเดียว คือ สารที่สายตามองเห็นเป็นเนื้อเดียวกัน
2. สารเนื้อผสม คือ สารที่สายตามองเห็นว่าเนื้อไม่เป็นเนื้อเดียวกัน แยกชิ้นส่วนกันชัดเจน
3. เราสามารถแยกสารเนื้อเดียวและสารเนื้อผสมออกจากกันได้โดยแยกทางกายภาพ คือใช้สายตามองได้เลย
4. สารบริสทุ ธิ์ คือ สารเนือ้ เดียวทีม่ จี ดุ เดือดและจุดหลอมเหลวคงที่ รวมตัวในอัตราส่วนคงที่ เขียนสูตรโมเลกุลได้
5. สารละลาย คือ สารเนื้อเดียวที่สายตาแยกแยะองค์ประกอบไม่ได้ รวมตัวในอัตราส่วนไม่คงที่ เขียนสูตร
โมเลกุลไม่ได้
6. เราสามารถแยกสารบริสุทธิ์และสารละลายออกจากกันได้โดยดูจาก จุดเดือดและจุดหลอมเหลว อัตราส่วนการ
รวมตัว
7. ธาตุ คือ สารบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียว
8. สารประกอบ คือ สารบริสุทธิ์ที่เกิดจากธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกัน
9. เราสามารถแยกธาตุและสารประกอบออกจากกันโดยดูจ�ำนวนธาตุที่เป็นองค์ประกอบ
2. การร่อน
เป็นวิธีการแยกสารผสมที่มีของแข็งขนาดต่าง ๆ กันผสมกันอยู่ให้ออกจากกัน โดยของแข็งอาจมีขนาดเล็ก
และไม่สามารถใช้มือหยิบออกจากกันได้ จึงต้องเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีความกว้างของรูให้เหมาะสมกับอนุภาคของ
สารที่ต้องการแยก เช่น ตะแกรง กระชอน โดยการส่ายอุปกรณ์ไปมาเพื่อให้สารที่มีอนุภาคเล็กกว่าลอดผ่านรูของ
อุปกรณ์ได้ ส่วนสารที่มีอนุภาคใหญ่กว่าจะค้างอยู่บนอุปกรณ์นั้น
3. การระเหิด
เป็นวิธีการแยกสารผสมที่มีของแข็งที่ระเหิดได้ผสมกับของแข็งที่ระเหิดไม่ได้ ซึ่งของแข็งที่ระเหิดได้จะ
เปลี่ยนสถานะกลายเป็นไอโดยไม่ผ่านสถานะของเหลว ท�ำให้แยกสารออกจากสารผสมนั้นได้ เช่น แยกเกล็ด
ไอโอดีน เมื่อน�ำสารผสมมาให้ความร้อน เกล็ดไอโอดีนจะระเหิดกลายเป็นไอแยกออกจากทราย
46
4. การใช้แม่เหล็กดึงดูด
เป็นวิธีการแยกสารผสมที่ในส่วนประกอบหนึ่งของสารผสมมีสมบัติในการถูกแม่เหล็กดึงดูดได้ เรียกว่า
สารแม่เหล็ก เช่น ผงตะไบเหล็ก โดยใช้อ�ำนาจแม่เหล็กดึงดูดสารแม่เหล็กให้แยกออกจากสารผสมนั้น
5. การรินออก
เป็นวิธีการแยกสารผสมที่มีของแข็งผสมอยู่ในของเหลว โดยของแข็งจะไม่ละลายในของเหลวนั้น ในการ
แยกด้วยการรินออกท�ำได้ง่าย โดยรินสารส่วนที่เป็นของเหลวออกจากส่วนที่เป็นของแข็ง เช่น รินน�้ำซาวข้าวเพื่อ
แยกน�้ำออกจากเมล็ดข้าว
6. การตกตะกอน
เป็นวิธีการแยกสารผสมที่มีของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลว โดยสารผสมนั้นจะมีลักษณะขุ่น เราสามารถ
แยกสารได้โดยวางสารผสมทิ้งไว้ แล้วให้ของแข็งที่แขวนลอยอยู่ค่อยๆ ตกตะกอนรวมกันที่ก้นภาชนะตามแรงโน้ม
ถ่วงของโลก หากต้องการให้ของแข็งที่แขวนลอยตกตะกอนได้เร็วขึ้นอาจใช้สารตัวกลาง เช่น สารส้ม มาท�ำให้
อนุภาคของตะกอนเกาะกัน เมื่ออนุภาคมากขึ้นน�้ำหนักก็มากขึ้น จึงตกตะกอนเร็วขึ้น ท�ำให้สามารถแยกตะกอน
ของแข็งออกจากของเหลวได้
7. การกรอง
เป็นวิธีการแยกสารผสมที่มีของแข็งผสมอยู่กับของเหลวหรือใช้ในการแยกสารแขวนลอยออกจากน�้ำซึ่ง
การกรองจะต้องเทสารผสมผ่านอุปกรณ์ที่มีรูพรุน เช่น กระดาษกรอง ส�ำลี ผ้าขาวบาง หรือเครื่องกรองน�้ำ โดย
อนุภาคของแข็งที่ลอดผ่านรูไม่ได้จะติดอยู่บนอุปกรณ์นั้น ส่วนน�้ำและสารที่ละลายน�้ำได้จะลอดผ่านรูลงสู่ภาชนะที่
เตรียมไว้
ท�ำนาเกลือสมุทร เป็นการปล่อยให้น�้ำทะเลเข้าพื้นที่นาเกลือและปล่อยให้น�้ำได้รับแสงแดดจนกระทั่งน�้ำ
ระเหยไปหมดเหลือแต่เกลือในนา ซึ่งเกลือที่ได้จากการระเหยแห้งของน�้ำทะเล จึงเรียกว่า เกลือสมุทร ผลิตได้จาก
หลายจังหวัดในประเทศไทย เช่น สมุทรสงคราม สมุทรสาคร
48
ท�ำนาเกลือสินเธาว์ เป็นการสูบน�้ำเกลือจากธารน�้ำเกลือที่ลึกลงไปใต้ดินขึ้นมาจากนั้นน�ำน�้ำเกลือที่ได้ไปต้ม
(ให้ความร้อน) จนน�้ำระเหยแห้งไปจนหมดเหลือแต่ผลึกเกลือ จึงเรียกว่า เกลือสินเธาว์ ผลิตได้จากหลายจังหวัด
ในประเทศไทย เช่น น่าน อุดรธานี หนองคาย
49
ใบความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หน่วยการเรียนรู้ หินและซากดึกด�ำบรรพ์
บทเรื่อง หินในธรรมชาติ
หินในธรรมชาติ
หินเป็นทรัพยากรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หินเป็นส่วนประกอบของเปลือกโลกที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง
มีรูปร่างและปริมาณที่แน่นอน
หินประกอบด้วยแร่ 1 ชนิด หรือหลายชนิดรวมกัน โดยแร่ชนิดต่าง ๆ ที่พบในหิน เรียกว่า แร่ประกอบ
หิน (rock forming mineral) เช่น ครอตซ์ ไมกา นอกจากนี้ ในหินบางชนิดอาจประกอบด้วยเศษตะกอนอินทรีย์
หรือเกิดการสะสมของซากสิ่งมีชีวิตจ�ำนวนมาก เช่น ถ่านหิน หินเชิร์ต
หินแต่ละชนิดจะมีลักษณะหรือสมบัติแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและองค์ประกอบของหิน หินจึงเป็น
ทรัพยากรธรรมชาติส�ำคัญประเภทหนึ่งที่มีการน�ำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายและแตกต่างกันไป
1. กระบวนการเกิดหิน
นักธรณีวิทยาได้จ�ำแนกหินแต่ละชนิดโดยใช้ลักษณะกระบวนการเกิดของหินเป็นเกณฑ์ ซึ่งสามารถจ�ำแนก
หินได้เป็น 3 ประเภท คือ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร
1. หินอัคนี (igneous rock)
คือ หินที่เกิดจากการรวมตัวของแร่ที่เย็นตัวและตกผลึกจากหินหนืดที่มีอุณหภูมิสูง สามารถเกิดได้ทั้งบน
ผิวโลกและใต้เปลือกโลก ดังนี้
1. หินอัคนีที่เย็นตัวใต้เปลือกโลก เกิดขึ้นจากแมกมา (หินหนืด) ดันตัวขึ้นมาอยู่บริเวณใต้เปลือกโลกที่มี
อุณหภูมิต�่ำกว่า แมกมาจะเย็นตัวลงอย่างช้า ๆ ท�ำให้แร่ต่าง ๆ มีเวลาตกผลึกนาน หินจึงมีเนื้อหยาบและแน่น
แข็งเพราะมีแร่หลายชนิดเป็นส่วนประกอบอยู่ในเนื้อหิน เราเรียกหินอัคนีกลุ่มนี้ว่า หินอัคนีแทรกซอน หรือหินอัคนี
ระดับลึก เช่น หินแกรนิต หินแกบโบร หินไดออไรต์
3. หินไนส์ เทา – เทาเข้ม หินแกรนิต มีทงั้ เนือ้ หยาบและละเอียด แข็ง ทนทาน เป็นริว้ ขนาน
4. น�ำแร่ทัลก์ซึ่งเป็นแร่ประกอบของหินชีสต์มาท�ำแป้งฝุ่น
5. น�ำแร่ควอตซ์จากหินทรายที่มีความแข็งมากมาท�ำเป็นกระจก
7. น�ำแร่ฟลูออไรด์ที่เป็นแร่ประกอบของหินอัคนีมาเป็นส่วนผสมในยาสีฟัน
54
ใบความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หน่วยการเรียนรู้ หินและซากดึกด�ำบรรพ์
บทเรื่อง ซากดึกด�ำบรรพ์
ซากดึกด�ำบรรพ์ คือ ซากพืช ซากสัตว์ หรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในยุคโบราณที่ถูกแปรสภาพด้วย
กระบวนการทางธรณีวิทยา และถูกเก็บรักษาไว้ในหินหรือชั้นหินจากการสะสมและทับถมของตะกอน
ซากดึกด�ำบรรพ์จะมีอายุยาวนานและมีหลายประเภท ซึ่งมนุษย์สามารถใช้ซากดึกด�ำบรรพ์เป็นหลักฐานหนึ่งเพื่อ
ช่วยอธิบายสภาพแวดล้อมในอดีตของพื้นที่ที่พบซากดึกด�ำบรรพ์ได้
1. การเกิดซากดึกด�ำบรรพ์
ซากดึกด�ำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) เกิดจากการทับถมหรือประทับรอยของสิง่ มีชวี ติ ในอดีต แล้วผ่าน
กระบวนการเปลีย่ นแปลงทางธรรมชาติตา่ ง ๆ จนท�ำให้กลายเป็นโครงสร้างของซากหรือร่องรอยของสิง่ มีชวี ติ โดย
ทัว่ ไปซากดึกด�ำบรรพ์ทมี่ อี ายุมากมักอยูใ่ นชัน้ หินด้านล่าง ส่วนซากดึกด�ำบรรพ์ทมี่ อี ายุนอ้ ยจะอยูใ่ นชัน้ หินด้านบน
1. ประเภทของซากดึกด�ำบรรพ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ซากดึกด�ำบรรพ์สัตว์ เช่น ไดโนเสาร์ หายกาบคู่ ปลา เป็นต้น
55
2. ปัจจัยที่ท�ำให้เกิดซากดึกด�ำบรรพ์ จะต้องอาศัยปัจจัยที่ส�ำคัญ ดังนี้
1. องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต
เมื่อสิ่งมีชีวิตตาย โครงร่างที่เป็นของแข็งจะใช้เวลาในการย่อยสลายนาน หากในขณะนั้นมีตะกอนมาปิด
ทับซากรวดเร็ว จะท�ำให้กลายเป็นซากดึกด�ำบรรพ์ได้ง่าย เช่น กระดูก ฟัน กระดอง
2. อุณหภูมิ
เมื่อบริเวณใดมีอุณหภูมิเย็นจัดหรือแห้งแล้งจัด จนเชื้อจุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ซากสิ่งมีชีวิต
บางชนิดจึงรอดพ้นจากการย่อยสลายของจุลินทรีย์ต่าง ๆ
3. ระยะเวลาการทับถม
ระยะเวลาที่ตะกอนทับถมลงบนซากของสิ่งมีชีวิตจะต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนท�ำให้เชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ
ไม่สามารถย่อยสลายซากของสิ่งมีชีวิตได้ทัน
5. การเกิดซากดึกด�ำบรรพ์แบบการคงสภาพ เกิดมาจากการถูกคงสภาพจากตัว
กลางที่แตกต่างกัน เช่น ช้างแมมมอธ ถูกคงสภาพด้วยน�้ำแข็งและสภาพอากาศหนาวเย็น
แมลงถูกคงสภาพด้วยยางไม้หรืออ�ำพัน การเกิดซากดึกด�ำบรรพ์แบบการคงสภาพจะท�ำให้
ได้ซากดึกด�ำบรรพ์ที่มีสภาพใกล้เคียงกับสภาพเดิมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นมากที่สุด
57
2. ประโยชน์ของซากดึกด�ำบรรพ์
ซากดึกด�ำบรรพ์มีประโยชน์ในหลายด้าน เช่น
1. เป็นข้อมูลที่ใช้ในการสันนิษฐานถิ่นก�ำเนิดและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
2. ใช้ซากดึกด�ำบรรพ์ระบุอายุของหินในบริเวณที่พบซากดึกด�ำบรรพ์นั้น ๆ
3. เป็นตัวช่วยเพื่อคาดคะเนว่า บริเวณนั้นอาจจะมีแหล่งแร่ แหล่งถ่านหิน หรือแหล่งน�้ำมัน
4. เป็นหลักฐานหนึ่งเพื่อช่วยบอกถึงสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศในอดีต ขณะเกิดสิ่งมีชีวิตชนิด ๆ
นั้น เช่น หากพบซากดึกด�ำบรรพ์ของหอยน�้ำจืด สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคยเป็นแหล่งน�้ำจืด หากพบ
ซากดึกด�ำบรรพ์ของพืช สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคยเป็นป่า
ในการใช้ข้อมูลของซากดึกด�ำบรรพ์เพื่อระบุอายุและสภาพแวดล้อมในอดีตเพียงข้อมูลเดียว อาจเกิดความ
ผิดพลาดได้ เช่น หากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน�้ำจืด เมื่อตายแล้วเกิดถูกพัดพาไปทับถมอยู่ในทะเล ซึ่งอาจจะท�ำให้
เข้าใจผิดได้ว่า บริเวณที่พบซากดึกด�ำบรรพ์ดังกล่าวเคยเป็นแหล่งน�้ำจืด
3. ซากดึกด�ำบรรพ์ที่ค้นพบในประเทศไทย
ในประเทศไทยมีรายงานการค้นพบซากดึกด�ำบรรพ์อยู่แทบทุกภูมิภาค และซากดึกด�ำบรรพ์ที่มีการค้นพบ
ในประเทศไทยนั้นมีทั้งซากดึกด�ำบรรพ์สัตว์ ซากดึกด�ำบรรพ์พืช และซากดึกด�ำบรรพ์ร่องรอย เช่น
1.
1. ซากดึกด�ำบรรพ์ไดโนเสาร์ มีการค้นพบที่แรกที่อ�ำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น มีชื่อว่า ภูเวียงโกซอรัส
สิรินธรเน (Phuwiangosaurus sirindhornae) เป็นไดโนเสาร์กินพืช เดิน 4 เท้า มีคอและหางยาว และยังค้นพบ
ซากดึกด�ำบรรพ์ของภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่ม เช่น ที่ภูกุ้มข้าว อ�ำเภอสหัสขันธ์
จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจุบันต้องเป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว หรือพิพิธภัณฑ์สิรินธร
58
2.
2. ซากดึกด�ำบรรพ์หอยขม ค้นพบที่อ�ำเภอแม่เมาะ จังหวัดล�ำปาง โดยพบซากซากดึกด�ำบรรพ์หอยขมน�้ำ
จืดแทรกอยู่ระหว่างชั้นถ่านหิน หอยขมชนิดนี้อาศัยอยู่บริเวณดินโคลน และ จะกินสาหร่าย ตะไคร่น�้ำ จอกแหน
แพลงก์ตอน หรือสัตว์น�้ำที่มีขนาดเล็กเป็นอาหาร
3.
3. ไม้กลายเป็นหิน ค้นพบได้มากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศ ส่วนภาคอื่นพบ
บ้างเล็กน้อย ไม้กลายเป็นหินที่คาดว่ามีความยาวที่สุดในโลกค้นพบที่ต�ำบลตากออก อ�ำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก
4.
4. ซากดึกด�ำบรรพ์ฟันกรามของช้างสเตโกดอน ค้นพบในถ�้ำวังกล้วยที่บ้านคีรีวง หมู่ที่ 7 ต�ำบลทุ่งหว้า
อ�ำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล จากการตรวจสอบพบว่าเป็นซากกระดูกขากรรไกรและฟันกรามซี่ที่ 2 และ 3 ด้าน
ล่างขวาของช้างดึกด�ำบรรพ์สกุลสเตโกดอน มีลักษณะเป็นสีน�้ำตาลไหม้ ในปัจจุบันซากดึกด�ำบรรพ์ฟันกราม
ของ ช้างสเตโกดอนมีการถูกน�ำมาจัดแสดงไว้ในศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช พิพิธภัณฑ์ช้างดึกด�ำบรรพ์ทุ่งหว้า ซึ่ง
การค้นพบซากดึกด�ำบรรพ์ฟันกรามของช้างสเตโกดอนนั้นเป็นจุดก�ำเนิดอุทยานธรณีสตูล
59
5.
5. สุสานหอยแหลมโพธิ์ ถูกค้นพบบริเวณชายฝั่งทะเลบ้านแหลมโพธิ์ ต�ำบล ไสไทย อ�ำเภอเมืองกระบี่
จังหวัดกระบี่ สุสานหอยมีลักษณะเป็นแผ่นหินปูนหนามีเปลือกของหอยขมน�้ำจืดวางทับกัน โดยมีน�้ำปูนเป็นตัว
ประสานให้ติดกันเป็นแผ่น
6.
6. รอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ค้นพบที่บริเวณเขตวนอุทยานภูแฝก ต�ำบลภูแล่นช้าง อ�ำเภอนาคู
จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนรอยเท้าของไดโนเสาร์ที่เดิน 2 ขา ค้นพบที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง อ�ำเภอภูหลวง
จังหวัดเลย
60
ใบความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หน่วยการเรียนรู้ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย
บทเรื่อง ลมบก ลมทะเล และลมมรสุม
1. การเกิดลมบก ลมทะเล และลมมรสุม
ลม คือ การเคลื่อนที่ของอากาศในแนวราบ ซึ่งขนานไปกับพื้นโลกด้วยความเร็วแตกต่างกัน เนื่องจากพื้น
ผิวโลกในแต่ละพื้นที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน พื้นที่ที่ได้รับพลังงานสูงจะคายความร้อนให้แก่อากาศ
ที่ปกคลุมบริเวณนั้น อากาศจะร้อนและมีความกดอากาศต�่ำ มวลอากาศจึงขยายตัวและลอยตัวสูงขึ้น ส่วนบริเวณ
ที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์น้อย อากาศจะเย็นและมีความกดอากาศสูง มวลอากาศจึงเคลื่อนที่เข้ามาแทนที่
อากาศร้อนที่ลอยตัวขึ้น เรียกการเคลื่อนที่ชนิดนี้ว่า การเกิดลม โดยปัจจัยที่ท�ำให้เกิดลม คือ อุณหภูมิของอากาศ
และความกดอากาศ
ลมมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับลักษณะการเกิดและช่วงเวลาที่เกิด ซึ่งลมบก ลมทะเล ลมมรสุม เป็นลมที่เกิด
จากอุณหภูมิอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน�้ำมีความแตกต่างกัน อากาศเย็นจึงเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีอุณหภูมิต�่ำไป
บริเวณที่มีอุณหภูมิสูง
ลมเกิดขึ้นเมื่อพื้นที่ 2 บริเวณมีอุณหภูมิของอากาศต่างกัน ถ้าทั้ง 2 บริเวณมีอุณหภูมิต่างกันมากอากาศก็
ยิ่งเคลื่อนที่เร็วขึ้นจึงเกิดเป็นลมที่พัดแรงขึ้น เรียกว่า พายุ
1. ลมบกและลมทะเล
เป็นลมประจ�ำเวลาที่พบในท้องถิ่นบริเวณชายฝั่ง จะเกิดสลับกันไปในแต่ละวัน ลมบกและลมทะเลเกิดจาก
ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างพื้นน�้ำหรือทะเลกับพื้นดินตามชายฝั่ง โดยได้รับและถ่ายโอนพลังงานความร้อน
จากดวงอาทิตย์ให้กับอากาศได้แตกต่างกัน ส่งผลให้อุณหภูมิพื้นผิวแตกต่างกันจึงเกิดเป็นลมบกและลมทะเล ดังนี้
1) ลมบก (land breeze) เกิดในเวลากลางคืน ท�ำให้มีลมพัดจากชายฝั่งไปสู่ทะเล เนื่องจากพื้นดินหรือ
พื้นทรายคายความร้อนได้เร็วกว่าพื้นน�้ำและในเวลากลางคืนพื้นน�้ำยังคายความร้อนไม่หมด จึงมีอุณหภูมิสูงกว่า
ขณะที่พื้นดินและพื้นทรายสามารถคายความร้อนได้มากกว่า จึงท�ำให้อุณหภูมิต�่ำกว่าอากาศเหนือพื้นน�้ำที่มีอุณหภูมิ
สูงกว่าจึงลอยตัวขึ้นสูง ท�ำให้อากาศที่อยู่บริเวณเหนือพื้นดินหรือพื้นทรายที่มีอุณหภูมิต�่ำกว่าเคลื่อนที่เข้ามาแทนที่
จึงท�ำให้เกิดลมพัดจากชายฝั่งไปสู่ทะเล ชาวประมงจึงใช้ประโยชน์จากลมบกในการออกเรือ
61
2) ลมทะเล (sea breeze) เกิดในเวลากลางวัน ท�ำให้มีลมพัดจากทะเลเข้าสู่ชายฝั่ง เนื่องจากเวลากลาง
วันพื้นดินหรือพื้นทรายรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ดีกว่าพื้นน�้ำ ท�ำให้อากาศเหนือพื้นดินมีอุณหภูมิสูงกว่าที่อยู่
บริเวณเหนือพื้นน�้ำ มวลอากาศขยายตัวและลอยตัวสูงขึ้น อากาศบริเวณเหนือพื้นน�้ำที่มีอุณหภูมิต�่ำกว่าจึงเคลื่อนที่
เข้ามาแทนที่ จึงท�ำให้เกิดลมพัดจากทะเลเข้าสู่ฝั่ง ชาวประมงจึงใช้ประโยชน์จากลมทะเลในการน�ำเรือกลับเข้าหา
ฝั่ง
2. ลมมรสุม
เป็นลมประจ�ำฤดูที่เกิดขึ้นบริเวณเขตร้อนของโลก ซึ่งเป็นบริเวณกว้างระดับภูมิภาค โดยมีหลักการเกิดเช่น
เดียวกับการเกิดลมบกและลมทะเล คือ เกิดจากอุณหภูมิของอากาศเหนือพื้นทวีปและพื้นมหาสมุทรมีความแตก
ต่างกันท�ำให้ลมมรสุมปกคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ในประเทศไทยมีลมมรสุมพัดผ่าน 2 ชนิด ได้แก่ ลมมรสุม
ตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งลมมรสุมทั้ง 2 ชนิดนี้ จะมีผลต่อการเกิดฤดูกาลของ
ประเทศไทย ดังนี้
1) ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (southwest monsoon) มีแหล่งก�ำเนิดจากบริเวณความกดอากาศสูงในซีก
โลกใต้บริเวณมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งพัดออกจากศูนย์กลางเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้และเปลี่ยนเป็นลมตะวันออก
เฉียงใต้เมื่อพัดข้ามเส้นศูนย์สูตร ในขณะที่ลมมรสุมนี้พัดผ่านมหาสมุทรอินเดียจะน�ำไอน�้ำหรือความชื้นในอากาศ
จากบริเวณมหาสมุทรมาสู่พื้นทวีป
ลมมรสุมชนิดนี้จะพัดผ่านบริเวณประเทศไทยในช่วงประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม
ท�ำให้เกิดฤดูฝน ซึ่งจะมีเมฆมากและมีฝนตกชุกทั่วไป
ลมมรสุม (ลมประจ�ำฤดู)
มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในแต่ละท้องถิ่นหรือพื้นที่แตกต่างกันไป เช่น
- อาจส่งผลท�ำให้บางพื้นที่ของประเทศไทย เช่น ภาคเหนือมีอากาศหนาวเย็นและแห้ง หากมีอากาศ
หนาวเย็นมากเกินไปจะส่งผลต่อการด�ำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตได้
- อาจส่งผลท�ำให้ในบางพื้นที่มีปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้นหรือลดลงโดยจะท�ำให้บางพื้นที่ที่แห้งแล้งกลับกลาย
เป็นบริเวณที่มีความเจริญงอกงามของพันธุ์พืช ในขณะที่บางพื้นที่อาจมีฝนตกหนักจนเกิดน�้ำท่วม และมีน�้ำป่าไหล
หลาก ส่งผลให้ผู้คนอาจบาดเจ็บ และล้มตาย รวมทั้งทรัพย์สินเสียหาย
63
ใบความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หน่วยการเรียนรู้ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย
บทเรื่อง ภัยธรรมชาติและปรากฏการณ์เรือนกระจก
1. ภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย
ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สามารถเกิดได้ทุกพื้นที่และทุกช่วงเวลา ซึ่งจะ
ท�ำให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมโดยอาจเป็นภัยที่เกิดจากกระบวนการภายในโลก เช่น แผ่นดินไหว
และเกิดจากกระบวนการบนผิวโลก เช่น ดินถล่มหรืออาจเกิดจากทั้งกระบวนการภายในและบนผิวโลก เช่น สึ
นามิ
ภัยธรรมชาติ (natural disaster) คือ ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมีผลกระทบต่อการ
ด�ำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ภัยธรรมชาติมีหลายประเภท เช่น อุทกภัย วาตภัย ธรณีพิบัติภัย ซึ่งภัยแต่ละ
ประเภทจะส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมต่างกัน โดยภัยที่เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นโดยฉับ
พลันและรุนแรง จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือน ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น
เราเรียกว่า ธรณีพิบัติภัย (geohazards) เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ ดินถล่ม
ภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัยเป็นปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งมีทั้งที่เกิดแบบ
ฉับพลัน เช่น ดินถล่ม น�้ำป่าไหลหลาก และที่เกิดช้า ๆ เช่น การกัดเซาะชายฝั่ง โดยในแต่ละท้องถิ่นมีโอกาสเกิด
ภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัยที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่
ภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นในท้องถิ่นที่นักเรียนควรเรียนรู้เพื่อเฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้มี
ความปลอดภัย มีดังนี้
1. น�้ำท่วม (flood)
น�้ำท่วมหรืออุทกภัย คือ ปรากฏการณ์ที่น�้ำไหลท่วมพื้นดินหรือพื้นที่แห้ง การเกิดน�้ำท่วมแบ่งออกเป็น
อุทกภัยจากน�้ำป่าไหลหลากและน�้ำท่วมฉับพลันกับอุทกภัยจากน�้ำท่วมขังและเอ่อล้น
สาเหตุการเกิด เกิดจากฝนตกหนักและต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ท�ำให้ดินไม่สามารถดูดซับน�้ำไว้ได้ทั้งหมด
หรือไม่สามารถระบายน�้ำออกได้ทันที จึงท�ำให้เกิดน�้ำขังในบริเวณที่ราบลุ่มซึ่งอาจเป็นผลมาจากการตัดไม้ท�ำลายป่า
หรือมีถนนกีดขวางทางเดินน�้ำ นอกจากนี้น�้ำท่วมยังอาจมาจากเขื่อนพัง การเกิดน�้ำป่าไหลหลากลงมาจากภูเขา
น�้ำทะเลหนุนสูง พายุหมุนเขตร้อน หรือลมมรสุม
64
วิธีป้องกันภัย เช่น
1) การปลูกพืชคลุมดิน เพื่อช่วยในการดูดซับน�้ำ
2) การก�ำจัดสิ่งที่กีดขวางทางน�้ำ เช่น วัชพืช ขยะ
3) การขุดลอกคลอง เพื่อเก็บน�้ำก่อนระบายน�้ำสู่ทะเล
4) การอนุรักษ์ป่าไม้และการปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าที่สูญเสียไป
5) การสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน�้ำหรือสร้างฝายชะลอการไหลของน�้ำ
แนวทางในการเฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้ปลอดภัย
1) ติดตามข่าวสารอย่างสม�่ำเสมอหากมีการเตือนภัยให้ระวังน�้ำท่วมควรเตรียมอาหารแห้ง
ยารักษาโรค และของใช้ที่จ�ำเป็นไว้
2) เมื่อเกิดน�้ำท่วมควรปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า ถอดปลั๊ก และปิดแก๊สหุงต้ม
3) ควรระวังสัตว์มีพิษต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในบริเวณที่มีน�้ำท่วมขัง
4) น�้ำที่ท่วมขังไม่สะอาด เราจึงไม่ควรลงไม่เล่นน�้ำที่ท่วมขัง
5) หลังน�้ำลดให้ตรวจสอบอาการเจ็บปวดและความเสียหายต่าง ๆ
65
2. ดินถล่ม (landslide)
ดินถล่ม คือ การเคลื่อนที่ของมวลดิน หิน โคลน และเศษต้นไม้ที่ไหลลงมาตามแนวลาดเอียงตามแรงโน้ม
ถ่วงของโลก
สาเหตุการเกิด เป็นผลที่เกิดตามมาหลังจากเกิดน�้ำป่าไหลหลาก สึนามิ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การ
ตัดไม้ท�ำลายป่า การก่อสร้างหรือท�ำการเกษตรบริเวณเชิงเขาที่มีความลาดชัน บริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดดิน
ถล่มส่วนใหญ่เป็นบริเวณที่ลาดเชิงเขาหรือบริเวณที่ราบลุ่มติดภูเขา ซึ่งบางพื้นที่อาจเป็นภูเขาที่มีการพังทลายของ
ดินและหินสูงหรือภูเขาที่มีความลาดชันสูง
วิธีป้องกันภัย เช่น
1) ช่วยกันปลูกป่า
2) ไม่ท�ำไร่เลื่อนลอย ไม่ตัดไม่ท�ำลายป่า
3) ไม่ปลูกสร้างบ้านหรือสิ่งก่อสร้างขวางทางน�้ำหรือใกล้แหล่งน�้ำ
66
แนวทางในการเฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้ปลอดภัย
1) ติดตามข่าวสารอย่างสม�ำ่ เสมอ พร้อมทัง้ สังเกตสัญญาณเตือนจากธรรมชาติ เช่น การเกิดน�ำ้ ป่าไหลหลาก
การเกิดแผ่นดินไหว
2) หากอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดดินถล่มให้อพยพไปอยู่บนที่สูงที่มีความแข็งแรงและหาที่ก�ำบัง
3) หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณที่มีดินถล่ม
4) หลังดินถล่มให้ตรวจสอบอาการเจ็บปวดและความเสียหายต่าง ๆ
3. แผ่นดินไหว (earthquake)
แผ่นดินไหว คือ การสั่นสะเทือนของแผ่นดินที่รู้สึกได้ ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่งบนผิวโลก
สาเหตุการเกิด มีสาเหตุหลักมาจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกที่อาจเกิดจากการคดโค้งโก่งตัวอย่าง
ฉับพลัน และเมื่อแผ่นเปลือกโลกขาดออกจากกันจึงปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปแผ่นดินไหว หรืออาจเกิดจาก
การเคลื่อนตัวของลอยเลื่อน เมื่อรอยเลื่อนเกิดการเคลื่อนตัวถึงจุดหนึ่ง แผ่นเปลือกโลกจะขาดออกจากกันและเสีย
รูปอย่างมาก จึงปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปคลื่นแผ่นดินไหว หลังจากนั้นแผ่นเปลือกโลกจะกลับสู่รูปเดิม
นอกจากนี้ แผ่นดินไหวอาจเกิดขึ้นจากการกระท�ำของมนุษย์ เช่น การระเบิดใกล้บริเวณรอยเลื่อน
แนวทางในการเฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้ปลอดภัย
1) ควรเรียนรู้และฝึกซ้อมการรับมือกับแผ่นดินไหว
2) หากเกิดแผ่นดินไหวขณะก�ำลังขับรถ ให้หยุดรถและอยู่ในรถรอจนไม่มีการสั่นสะเทือน
3) หากเกิดแผ่นดินไหวขณะอยู่นอกอาคาร ให้อยู่ในที่โล่งและอยู่ห่างจากสิ่งของที่แขวนอยู่
4) หากเกิดแผ่นดินไหวขณะอยู่ในอาคาร ให้หมอบใต้โต๊ะ เตียง และอยู่ห่างจากประตู หน้าต่าง กระจก
และระเบียง
5) หากการสั่นสะเทือนหยุดลงแล้วยังอยู่ในอาคาร ให้ออกจากอาคารทันที แต่ห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด
6) หลังเกิดแผ่นดินไหวให้ตรวจอาการบาดเจ็บ จากนั้นคอยติดตามประกาศจากเจ้าหน้าที่
67
4. สึนามิ (tsunami)
สึนามิ คือ คลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ที่เกิดในมหาสมุทรและเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งโดยมีจุดก�ำเนิดอยู่ในเขตทะเล
ลึก เป็นคลื่นที่มีความยาวคลื่นประมาณ 80-200 กิโลเมตร ซึ่งเคลื่อนที่ในมหาสมุทรได้หลายพันกิโลเมตรด้วย
ความเร็วประมาณ 600-1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สาเหตุการเกิด สึนามิเกิดจากแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ใต้ทะเลลึก ท�ำให้น�้ำในทะเลและ
มหาสมุทรได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและเกิดเป็นคลื่นขนาดใหญ่เคลื่อนที่เข้าหาชายฝั่งอย่างรวดเร็ว
การปลูกป่าชายเลน การปักไม้ไผ่ในพื้นที่หาดโคลนเพื่อชะลอคลื่น
การสร้างเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง การถ่ายเททรายไปบริเวณที่มีการกัดเซาะ
2. ปรากฏการณ์เรือนกระจก
ปรากฏการณ์เรือนกระจก เป็นปรากฏการณ์ที่ใช้เรียกกระบวนการของอากาศบนโลกที่มีลักษณะคล้าย
กระจกห่อหุ้มไว้ ท�ำให้ภายในเรือนกระจกมีอุณหภูมิสูงกว่าภายนอก ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากแก๊สเรือน
กระจกในชั้นบรรยากาศของโลกกักเก็บรังสีความร้อน ท�ำให้อุณหภูมิบนโลกนั้นอบอุ่นเหมาะสมต่อการด�ำรงชีวิต
ของสิ่งมีชีวิต
ปัจจุบันกิจกรรมของมนุษย์บางอย่างจะก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจกเพิ่มขึ้นท�ำให้อุณหภูมิอากาศของโลกสูง
ขึ้นและไม่เหมาะสมต่อการด�ำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ดังนั้น มนุษย์จึงควรร่วมมือกันลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือน
กระจก
2.1 การเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
ปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse effect) คือ ปรากฏการณ์ที่แก๊สเรือนกระจกดูดซับรังสีความร้อน
จากดวงอาทิตย์ไว้บางส่วนในเวลากลางวัน แล้วคายรังสีความร้อนบางส่วนกลับมาสู่ผิวโลกในเวลากลางคืน ท�ำให้
69
อุณหภูมิในบรรยากาศของโลกไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน หากโลกไม่มีแก๊สเรือนกระจกอยู่ในชั้นบรรยากาศ
จะท�ำให้อุณหภูมิของโลกในตอนกลางวันร้อนจัดส่วนตอนกลางคืนหนาวจัด
การเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก มีขั้นตอน ดังนี้
1.รังสีจากดวงอาทิตย์ผ่านชั้นบรรยากาศเข้าสู่โลก
2.ชั้นบรรยากาศและเปลือกโลกสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์บางส่วนออกไป
3.แก๊สเรือนกระจกดูดซับรังสีความร้อนบางส่วนไว้ ท�ำให้เปลือกโลกและชั้นบรรยากาศเหนือโลกขึ้นไปมี
อุณหภูมิสูงขึ้น
4.เมื่อเปลือกโลกได้รับความร้อนมากจึงเกิดการปล่อยรังสีความร้อนออกมามาก เนื่องจากรังสีความร้อนไม่
สามารถผ่านชั้นบรรยากาศที่มีแก๊สเรือนกระจกอยู่ได้
แหล่งก�ำเนิดแก๊สเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น การย่อยสลายของซากสิ่งมีชีวิต มูลของสัตว์ การ
หายใจของพืชและสัตว์ การหลอมละลายของหินปูนจากปล่องภูเขาไฟ
คนบนโลกที่อยู่บริเวณที่เงาของดวงจันทร์ทอดมาจะมองเห็นดวงอาทิตย์มืดทั้งดวง หรือมืดบางส่วนไปชั่ว
ขณะหนึ่ง ส่วนบริเวณที่ไม่เกิดเงาของดวงจันทร์จะมองเห็นดวงอาทิตย์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนบนโลกจะมองเห็น
ปรากฏการณ์สุริยุปราคาไม่พร้อมกันทั้งโลก โดยคนที่อยู่ในประเทศที่เงาของดวงจันทร์ทอดมาเท่านั้นจึงจะมองเห็น
ได้ ซึ่งปรากฏการณ์สุริยุปราคาอาจเกิดได้ 3 ลักษณะ ดังนี้
2. ปรากฏการณ์จันทรุปราคาหรือจันทรคราส
จันทรุปราคาเกิดจากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ โดยมีโลกอยู่
บริเวณตรงกลางระหว่างดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ แล้วดวงจันทร์จะเคลื่อนที่ผ่านเงาของโลก ท�ำให้เงาทอดไปบน
ดวงจันทร์ คนบนโลกจึงมองเห็นดวงจันทร์มืด
ความแตกต่างระหว่างสุริยุปราคาและจันทรุปราคา
สุริยุปราคา เกิ
ราคา ดในเวลากลางวันโดยดวงจันทร์โคจรเข้ามาอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก
จันทรุปราคา เกิ
ราคา ดในเวลากลางคืนโดยโลกโคจรเข้ามาอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
คนบนโลกสามารถสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคาได้ด้วยตาเปล่าเพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใน
เวลากลางคืนจึงไม่มีแสงของดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ส่วนปรากฏการณ์สุริยุปราคาเป็นปรากฏการณ์ที่
เกิดขึ้นเวลากลางวัน จึงไม่ควรสังเกตด้วยตาเปล่า เพราะแสงของดวงอาทิตย์อาจท�ำให้ดวงตาได้รับอันตราย ดัง
นั้น ควรใช้อุปกรณ์ในการสังเกต ซึ่งมีหลายชนิด เช่น
1) แว่นตาดูดวงอาทิตย์
2) แผ่นกรองแสงอะลูมิเนียมไมลาร์
3) กระจกแผ่นกรองแสงส�ำหรับหน้ากากเชื่อมโลหะเบอร์ 14 ขึ้นไป
4) กล้องโทรทรรศน์ส�ำหรับดูดวงอาทิตย์หรือกล้องโทรทรรศน์ที่ติดแผ่นกรองแสงแบบกระจกเคลือบโลหะ
74
ใบความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หน่วยการเรียนรู้ ดาราศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ
บทเรื่อง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศ
เทคโนโลยีอวกาศ
มนุษย์เริ่มสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ บนท้องฟ้าด้วยตาเปล่า ต่อมาเริ่มใช้กล้องโทรทรรศน์ และพัฒนาต่อ
เนื่องจนสามารถสร้างจรวดและยานขนส่งอวกาศเพื่อใช้ในการส�ำรวจอวกาศได้ และยังสามารถน�ำเทคโนโลยี
อวกาศบางประเภทมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้ เช่น การใช้ดาวเทียมสื่อสารเพื่อแพร่สัญญาณทางโทรทัศน์
วิทยุ การใช้ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาเพื่อการพยากรณ์อากาศ
1. พัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศ
มนุษย์มีความต้องการส�ำรวจอวกาศเริ่มต้นจากการส�ำรวจวัตถุบนท้องฟ้าโดยใช้ตาเปล่า ต่อมาเมื่อนัก
วิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี ชื่อ กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ได้ส�ำเร็จ มนุษย์จึง
สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอวกาศของมนุษย์ยังมีการพัฒนาไป
อย่างต่อเนื่อง มนุษย์จึงคิดวิธีการที่จะเดินทางออกไปส�ำรวจอวกาศ จนสามารถสร้างจรวดและยานอวกาศเพื่อใช้
ในการส�ำรวจอวกาศได้ เช่น
พุทธศักราช 2500
สหภาพโซเวียตส่ง สปุตนิก 1 ดาวเทียมดวงแรกของโลกขึ้นไปโคจรรอบโลก และได้ท�ำการทดลองเกี่ยว
กับการด�ำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในอวกาศ โดยการส่งสุนัขชื่อ ไลกา ไปพร้อมกับยานสปุ
สปุตนิก 2
75
พุทธศักราช 2504
สหภาพโซเวียตส่งนักบินอวกาศคนแรกของโลก (ยูริ กาการิน) ขึน้ ไปโคจรรอบโลกพร้อมกับ ยานวอสต็อก 1
พุทธศักราช 2506
สหภาพโซเวียตส่งนักบินอวกาศหญิงคนแรกของโลก (วาเลนตินา เทเรซโควา นิโคเลเยฟ) ขึ้นไปในยาน
อวกาศพร้อมกับ ยานวอสต็อก 6
พุทธศักราช 2512
สหรัฐอเมริกาส่งนักบินอวกาศไปกับ ยานอะพอลโล 11 เพือ่ ลงส�ำรวจบนดวงจันทร์พร้อมกับนักบินอวกาศชือ่
นีล อาร์มสตรอง เอ็ดวิน อัลดริน และ ไมเคิล คอลลินส์ เป็นครัง้ แรกทีม่ มี นุษย์สามารถก้าวลงเหยียบดวงจันทร์ได้
พุทธศักราช 2533
สหรัฐอเมริกา และองค์การอวกาศยุโรปร่วมกันส่ง กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ขึ้นไปโคจรรอบโลก
พุทธศักราช 2548
องค์การนาซาท�ำการส่ง ยานดีพอิมแพค ไปส�ำรวจดาวหางเทมเปล 1 ซึ่งเป็นดาวหวงที่ช่วยให้นัก
ดาราศาสตร์สามารถอธิบายการเกิดระบบสุริยะเมื่อหลายปีที่แล้วได้
พุทธศักราช 2561
- องค์การนาซาได้ส่งดาวเทียมส�ำรวจธารน�้ำแข็ง ICEsat-2 เพื่อท�ำการส�ำรวจและเก็บข้อมูลปริมาณการ
ละลายของธารน�้ำแข็งบนพื้นโลก
- องค์การนาซาได้ท�ำการปล่อยยาน Parker Solar เพื่อส�ำรวจส่วนนอกสุดของชั้นบรรยากาศดวงอาทิตย์
77
พุทธศักราช 2562
บริษัทเวอร์จินกาแล็กติก ใน สหรัฐอเมริกาส่งยานวีเอสเอส ยูนิตี เป็นยานอวกาศเพื่อการท่องเที่ยว มีผู้
โดยสาร คือ เบท โมเสส
พ.ศ. เหตุการณ์
กาลิเลโอ กาลิเลอี ประดิษฐ์กล้
กล้องโทรทรรศน์ และได้ค้นพบดวงจันทร์ 4 ดวง โคจรรอบ
1. 2182 ดาวพฤหัสบดีซึ่งการค้นพบนี้ท�ำให้เปลี่ยนความเชื่อที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ
ประเทศสหรั
สหรัฐอเมริกาได้
า สร้างกล้องโทรทรรศน์ทมี่ ขี นาดใหญ่ขนึ้ พัฒนาให้มองเห็นสิง่ ต่าง
2. 2476 ๆ ในอวกาศได้ชดั เจนมากขึน้ แต่มขี อ้ จ�ำกัดทีบ่ รรยากาศของโลกบดบังการมองเห็นและ
ระยะการมองเห็นไม่ไกลมากนัก ได้เริม่ พัฒนากล้องโทรทรรศน์วทิ ยุเพือ่ ใช้ศกึ ษาอวกาศ
3. 4 ตุลาคม 2500 สหภาพโซเวียดส่งดาวเทียมสปุ
สปุตนิก 1 ดาวเทียมดวงแรกของโลกขึ้นไปโคจรรอบโลก
สหภาพโซเวียดส่งดาวเทียมสปุตนิก 2 พร้อมสุนัขตัวแรกชื่อไลกาไปอยู่ในอวกาศ
4. 3 พฤศจิกายน 2500
ได้นาน 7 วัน
สหรัฐอเมริกาส่งดาวเทียมเอกซ์พลอเรอร์ 1 ขึ้นสู่วงโคจรพร้อมกับการทดลอง
5. 31 มกราคม 2501
วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการค้นพบแถวรังสีของโลก
6. 1 ตุลาคม 2501 สหรัฐอเมริกาก่อตั้งองค์การนาซาขึ้น
7. 12 สิงหาคม 2502 สหภาพโซเวียตส่งยานลูนาร์ 2 ไปสัมผัสผิวดวงจันทร์ได้เป็นล�ำแรก
สหภาพโซเวียตส่งนักบินอวกาศคนแรกของโลกชื่อยูริ กาการิน ขึ้นไปโคจรรอบโลก
8. 12 เมษายน 2504 พร้อมกับยานวอสต็
วอสต็อก 1
สหรัฐอเมริกาส่งนักบินอวกาศคนแรกของอเมริกาชื่ออลัน เชพาร์ด ขึ้นไปโคจรรอบโลก
9. 5 พฤษภาคม 2504 พร้อมกับยานเมอร์คิวรี ฟรีดอม 7
2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการส�ำรวจอวกาศ
ปัจจุบันในการส�ำรวจอวกาศของมนุษย์จ�ำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อประดิษฐ์อุปกรณ์ เครื่องมือ
เครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส�ำรวจอวกาศซึ่งอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ในการส�ำรวจอวกาศที่ส�ำคัญ มีดังนี้
79
กล้องโทรทรรศน์ (telescope)
เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้สังเกตวัตถุบนท้องฟ้า ซึ่งสามารถส่องวัตถุที่อยู่
ไกล ๆ โดยขยายภาพของวัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และช่วยท�ำให้เรามองเห็นรายละเอียด
เพิ่มขึ้น
ดาวเที
ดาวเทียม (satellite)
เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อส่งขึ้นไปโคจรรอบโลก คล้ายกับการโคจร
รอบโลกของดวงจันทร์เพื่อใช้งานในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น ใช้ในการ
ส�ำรวจทรัพยากรธรรมชาติ การติดต่อสื่อสาร การพยากรณ์อากาศ
จรวด (rocket)
เป็นยานพาหนะที่ใช้ในการส่งยานอวกาศเพื่อให้หลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงของโลก
ท�ำงานโดยจะมีส่วนปลายบรรจุเชื้อเพลิงเพื่อให้จรวดมีแรงขับดันซึ่งการเคลื่อนที่ของจรวด
จะมีทิศทางตรงกันข้ามกับแรงขับดันจากเชื้อเพลิงของจรวด ท�ำให้จรวดพุ่งขึ้นสู่ด้านบน
2. ดาวเทียมสื่อสาร
ใช้ส�ำหรับการสื่อสารทั้งภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ แม้กระทั่งการแพร่สัญญาณทางโทรทัศน์ วิทยุ
ซึ่งดาวเทียมสื่อสารท�ำงานโดยรับสัญญาณจากสถานีภาคพื้นดิน โดยมีจานรับบนตัวดาวเทียม สัญญาณอาจะเป็น
ข้อมูลภาพหรือเสียง แล้วแปรงสัญญาณและขยายสัญญาณให้สามารถส่งกลับสู่สถานีภาคพื้นดินได้
ดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของโลกมีชื่อว่า สกอร์ (SCORE) เป็นดาวเทียมของประเทศสหรัฐอเมริกาโดยถูก
ส่งขึ้นไปโคจรรอบโลกในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ส่วนดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของไทยมีชื่อว่า ไทยคม
ซึ่งถูกส่งขึ้นไปโคจรรอบโลกในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2536
3. ดาวเทียมส�ำรวจทรัพยากร
ใช้หาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ แหล่งน�้ำ แหล่งน�้ำมัน ส�ำรวจทรัพยากร เช่น ดาวเทียมสปอต
(SPOT) ของฝรั่งเศส ดาวเทียมแลนด์แซต (LANDSAT) ของสหรัฐอเมริกา
4. ดาวเทียมน�ำร่องหรือ GPS
ใช้เพื่อบอกต�ำแหน่งของเครื่องรับสัญญาณบนพื้นโลกได้ทุกแห่งและทุกเวลา โดยใช้คลื่นวิทยุและรหัสจาก
81
ดาวเทียมที่ท�ำงานร่วมกัน ดาวเทียมน�ำร่องน�ำมาใช้ประโยชน์ เช่น ติดเครื่อง GPS ในโทรศัพท์มือถือ รถยนต์
เครื่องบิน เรือ
5. ดาวเทียมดาราศาสตร์
ใช้ในการส�ำรวจดาวและวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกลจากโลก เช่น ดาวเทียมเทสส์ (TESS) ใช้ส�ำรวจดาว
เคราะห์นอกระบบ โดยเฉพาะดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายโลก