Professional Documents
Culture Documents
จากต้มยำ�กุ้งสู่ต้มกบ
อภิชาต สถิตนิรามัย
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
จากต้มยำ�กุ้งสู่ต้มกบ
อภิชาต สถิตนิรามัย
พิมพ์ครั้งที่ 1 2564
เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 978-616-7667-99-7
สำ�นักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน
81 รัตนาธิเบศร์ 28 ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำ�บลบางกระสอ อำ�เภอเมือง นนทบุรี 11000
กองบรรณาธิการ โทรศัพท์ 0-2965-6430 ฝ่ายสมาชิก โทรศัพท์/โทรสาร 0-2965-6414
อีเมล : sameskybooks@gmail.com เว็บไซต์ : www.sameskybooks.net
สารบัญ
คำ�นำ�ผู้เขียน (7)
ประวัติการตีพิมพ์ 117
บรรณานุกรม 119
คำ�นำ�ผู้เขียน
วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 นอกจากจะสร้างความเสียหายอย่างยิ่งยวดทั้งทาง
เศรษฐกิจ ชีวิต และสุขภาวะของสังคมไทย และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงใน
เร็ววันแล้ว ยังทำ�ให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
กิจกรรมการเรียนการสอนก็เช่นกัน การเรียนการสอนออนไลน์จงึ เข้ามาแทนที่
วิธีการแบบปกติ หนึ่งในอุปสรรคของการเรียนวิธีนี้คือความล่าช้า หรือการ
เข้าไม่ถึงสิ่งตีพิมพ์ที่ต้องใช้ประกอบการเรียนการสอนสืบเนื่องจากการปิด
มหาวิทยาลัยและหอสมุด ด้วยเหตุนี้หนังสือเล่มนี้จึงถือกำ�เนิดขึ้นในรูปแบบ
eBook เพื่อเปิดให้นักศึกษาเข้าถึงเอกสารประกอบการศึกษาได้อย่างสะดวก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา “เศรษฐกิจประเทศไทย” ของคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนรับผิดชอบ ในแง่นี้ตั้งแต่บทที่ 3 ของ
eBook เล่มนี้เป็นต้นไปจึงเคยตีพิมพ์ ในต่างกรรมต่างวาระมาก่อนแล้วทั้งสิ้น
ยกเว้นบทที่ 2 เท่านัน้ ทีผ่ เู้ ขียนถือโอกาสนีเ้ ขียนขึน้ ใหม่เพือ่ ความสมบูรณ์ของ
เนื้อหา
ผู้ เ ขี ย นถื อ โอกาสนี้ ข อขอบคุ ณ ผู้ ท รงคุ ณวุ ฒิ ที่ ใ ห้ ความเห็ น ต่ อ ทาง
สำ�นักพิมพ์ว่า เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าเพียงพอแก่การจัดพิมพ์เพื่อ
การเผยแพร่อย่างกว้างขวางต่อสาธารณชนนอกเหนือไปจากนักศึกษาเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นผู้เขียนขอขอบคุณทุกท่าน ซึ่งมีจำ�นวนเกินกว่าที่จะกล่าวถึงได้
หมดทีช่ ว่ ยถกเถียง ให้ขอ้ มูล กระทัง่ ช่วยเหลือในงานธุรการต่างๆ แน่นอนว่า
ความผิดพลาดใดๆ ของหนังสือเล่มนีเ้ ป็นความรับผิดชอบของผูเ้ ขียนแต่ผเู้ ดียว
อภิชาต สถิตนิรามัย
ต้นสิงหาคม 2564 ริมนํ้าปาย แม่ฮอ่ งสอน
(8)
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
บทที่ 1
บทนำ�
จากต้มยำ�กุ้งสู่ต้มกบและวิกฤตสังคมไทย
2
รวมทัง้ ภาวะวิกฤตโรคโควิด-19 ซึง่ ระบาดอย่างรุนแรงจนมีผเู้ สียชีวติ รายวันเกินกว่า
ร้อยคน และมีจำ�นวนผู้ติดเชื้อใหม่มากกว่า 2 หมื่นรายต่อวัน ณ ต้นเดือนสิงหาคม
2564 และยังไม่วี่แววว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเร็ววัน
4
บทนำ�: จากต้มยำ�กุ้งสู่ต้มกบและวิกฤตสังคมไทย
5
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
6
บทนำ�: จากต้มยำ�กุ้งสู่ต้มกบและวิกฤตสังคมไทย
7
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
8
บทที่ 2
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
บทนำ�
ปฐมบทของวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 เกิดขึ้นจากการนำ�เข้าเงินทุน
จากต่างประเทศจำ�นวนมหาศาลเพือ่ มาลงทุนในไทย แต่การนำ�เข้านีจ้ ะเกิดขึน้
ไม่ได้ หากธนาคารแห่งประเทศไทยมิได้เริม่ กระบวนการเปิดเสรีบญั ชีทนุ เคลือ่ น
ย้ายตัง้ แต่ปี 2532 ซึง่ อนุญาตให้มกี ารนำ�เข้าเงินทุนระยะสัน้ ได้ เงินกูแ้ ละเงิน
ลงทุนระยะสัน้ เหล่านีเ้ องทำ�ให้เกิดการลงทุนล้นเกินในหลากหลายกิจการทัง้ ใน
ภาคการผลิตและอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งการเก็งกำ�ไรขนานใหญ่ในสินทรัพย์
ต่างๆ เช่นในตลาดหลักทรัพย์และในที่ดิน แม้ว่าจะมีการเปิดเสรีทางการเงิน
ในหลายประเทศของเอเชีย เช่นเกาหลีใต้และอินโดนีเซีย ด้วยเหตุผลต่างๆ
กันไป แต่ในกรณีของไทย การเปิดเสรีทางการเงินเกิดขึ้นจากการกำ�หนด
นโยบายที่ผิดพลาดของเทคโนแครตของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่ง “เล่น
การเมือง” เพือ่ แย่งชิงตำ�แหน่งผูว้ า่ การธนาคาร การเล่นการเมืองนีเ้ กิดขึน้ จาก
ความไม่สอดคล้องกันระหว่างกติกาที่กำ�หนดสัมพันธภาพทางอำ�นาจระหว่าง
ธนาคารแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะอย่างยิง่ กติกาทีถ่ กู
กำ�หนดโดย พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 กล่าวในอีกแบบหนึง่
การเปิดเสรีทางการเงินทีผ่ ดิ พลาดนี้ ทำ�ให้มกี ารนำ�เข้าเงินทุนจากต่างประเทศ
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
1
ดูรายละเอียดในอภิชาต (2556, บทที่ 5)
2
ดูรายละเอียดในอภิชาต (2556, บทที่ 6)
12
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
13
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
เป้าหมายจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอยู่ที่ภาคอุตสาหกรรม
ซึง่ มีสดั ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศเพียง 37% ในช่วงก่อนวิกฤต แต่สงู ขึน้
เป็น 52% หลังจากวิกฤต แม้วา่ การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมส่งออกก่อน
วิกฤตจะมาจากการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างชาติจำ�นวนมากอยู่แล้ว แต่การ
ลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมส่งออกเมื่อหลังวิกฤตกลับมีมากกว่าก่อน
วิกฤตถึง 4 เท่าในรูปของดอลลาร์สหรัฐ และมากกว่า 6 เท่าในรูปของเงิน
บาท ญี่ปุ่นเป็นชาติที่เข้ามาลงทุนโดยตรงเพิ่มมากที่สุด มีสัดส่วนการลงทุน
เพิม่ ขึน้ จาก 29% เมือ่ ก่อนวิกฤตเป็น 38% เมือ่ หลังจากวิกฤต ส่วนการลงทุน
โดยตรงของชาติอื่นๆ อย่างสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนลดลงเล็กน้อย ในขณะที่
การลงทุนของไต้หวันและฮ่องกงลดลงไปมาก เงินทุนไหลเข้าจากต่างชาตินี้
มุง่ สูอ่ ตุ สาหกรรมเครือ่ งไฟฟ้า เครือ่ งจักรกล และการขนส่ง โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 28% ของการลงทุน
โดยตรงจากต่างชาติทั้งหมด (Natenapha 2008, 22-25)
ตัวอย่างของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่เปลี่ยนไปอย่างถาวรหลังวิกฤต
เศรษฐกิจนี้ เห็นได้ชดั เจนในกรณีอตุ สาหกรรมรถยนต์ เพือ่ ตอบสนองต่อวิกฤต
รัฐไทยเปลี่ยนนโยบาย 2 ประการคือ หนึ่ง เปิดเสรีให้ต่างชาติเป็นเจ้าของ
กิจการได้ สอง ละทิ้งนโยบายอุตสาหกรรมทดแทนการนำ�เข้าและหันไป
ส่งเสริมการส่งออกแทน นโยบายแรกทำ�ให้ผู้ร่วมทุนชาวต่างชาติเข้ามาซื้อ
กิจการไปทัง้ หมดหรือไม่กก็ ลายเป็นผูถ้ อื หุน้ รายใหญ่ แทนผูร้ ว่ มลงทุนชาวไทย
เช่นโรงงานประกอบและโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ต้นน้ำ� ซึ่งล้วนถูกเปลี่ยน
มือให้ญปี่ นุ่ เป็นผูถ้ อื หุน้ ส่วนข้างมาก (Natenapha 2008, 25-26) การเปิดเสรี
ให้ต่างชาติเป็นเจ้าของกิจการได้ ทำ�ให้นักลงทุนชาวญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนเพิ่ม
ทำ�ให้บริษัทอุตสาหกรรมรถยนต์ ไม่ล้มละลาย และยังทำ�ให้ไทยสามารถรักษา
ฐานการผลิตชิ้นส่วนและการประกอบรถยนต์เอาไว้ได้ต่อไป โรงงานประกอบ
รถยนต์ทั้ง 5 แห่งถูกหุ้นส่วนญี่ปุ่นซื้อหุ้นส่วนใหญ่ไป ในขณะที่บริษัทผลิต
ชิน้ ส่วนรถยนต์ทคี่ นไทยเป็นเจ้าของจำ�นวนครึง่ หนึง่ จากทัง้ หมด 1,200 บริษทั
หากไม่ขายให้นกั ลงทุนต่างชาติกต็ อ้ งล้มละลายลง จนถึงปี 2545 บริษทั ผลิต
ชิน้ ส่วนรถยนต์ทยี่ งั คงดำ�เนินการเหลืออยูเ่ พียง 700 แห่งเท่านัน้ ในกลุม่ บริษทั
ผลิตชิน้ ส่วนทีผ่ ลิตให้กบั โรงงานประกอบรถยนต์ มีไม่ถงึ 20 บริษทั ทีม่ คี นไทย
14
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
15
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปหลังวิกฤต: การลงทุนลดลงถาวรและกับ
ดักรายได้ปานกลาง
10 ปีหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Develop-
ment Bank: ADB) พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างขึ้นในบรรดา
ประเทศที่ประสบวิกฤต หลายๆ ประเทศมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้า
ลง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤต สาเหตุเบื้องต้นเกิดจากการลงทุนที่ลดลง
ธนาคารฯ ชีว้ า่ อัตราการลงทุนตกต่�ำ ลงหลังวิกฤต และไม่ฟนื้ ตัวกลับเข้าสูร่ ะดับ
ก่อนวิกฤตเลย (ADB 2007, 5) เช่นเดียวกัน ระดับการลงทุนของไทยก็ลดลง
มากหลังวิกฤต ในปัจจุบันประเทศไทยลงทุน (Gross capital formation)
ประมาณ 25% ของรายได้ประชาชาติเท่านั้น คิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของ
สัดส่วนการลงทุนในช่วงก่อนวิกฤต (แผนภาพที่ 1) จากการลงทุนรวมทีล่ ดลงนี้
การลงทุนของภาคเอกชนลดลงค่อนข้างมากจาก 30% ของรายได้ประชาชาติ
ในปี 2540 เหลือเพียง 15% ในปี 2561 เท่านัน้ ส่วนการลงทุนโดยตรงจาก
ต่างประเทศก็ลดลงด้วยเช่นกัน (Pornthep et al. forthcoming, 5)
ระดับการลงทุนที่ลดลงส่งผลให้อัตราการเติบโตของผลิตภาพการผลิต
(productivity growth) ลดลงมากจาก 3.6% ในช่วง 2542-2550 เหลือเพียง
1.3% ระหว่าง 2553-2559 และทำ�ให้มูลค่าเพิ่มของภาคหัตถอุตสาหกรรม
ลดลงอย่างรวดเร็วตัง้ แต่ปี 2553 เป็นต้นมา (แผนภาพที่ 2) ทัง้ หมดนีท้ �ำ ให้
มูลค่าการส่งออก ของไทยไม่คอ่ ยขยายตัวมาตัง้ แต่หลังปี 2553 ภายหลังจาก
ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วมาตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 (แผนภาพที่ 3)
การส่งออกที่ไม่ขยายตัวในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้แสดงให้เห็นว่า ความ
สามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยลดลง กล่าวอีกแบบคือไทยไม่สามารถ
พัฒนาความสามารถในการผลิตจนกระทั่งสู้กับสินค้าส่งออกจากประเทศที่มี
ความก้าวหน้ามากกว่าได้ เช่นเกาหลีใต้และญีป่ นุ่ และในขณะเดียวกันก็สญู เสีย
ความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศที่ไล่กวดเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในสินค้าที่ไม่ซับซ้อน และใช้แรงงานมาก หรือใช้ทรัพยากรสูง เช่น
เวียดนาม เป็นต้น ปัจจัยทีก่ ล่าวมาทัง้ หมดนีเ้ ป็นสาเหตุให้อตั ราการเติบโตของ
เศรษฐกิจลดลงเหลือประมาณ 5% ในช่วงปี 2543-2550 และลดลงเรื่อยๆ
จนเหลือ 4% ในช่วงปี 2553-2557 จนกลายเป็น 3.4% ตัง้ แต่ปี 2558-2562
16
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
17
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
แผนภาพที่ 3 มูลค่าการส่งออก
3
Pornthep et al. (forthcoming, 6-8) เสนอด้วยว่า การส่งออกสินค้าที่ไม่เติบโตใน
ระยะหลังนัน้ ถูกชดเชยด้วยการขยายตัวอย่างรวดเร็วของภาคบริการ การท่องเทีย่ ว และ
การไหลเข้ามาของแรงงานต่างชาติที่มีทักษะและค่าแรงต่ำ� หาไม่แล้วอัตราการเติบโต
ทางเศรษฐกิจจะต่ำ�กว่าที่เกิดขึ้นจริงอีกด้วย
18
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
19
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
20
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
4
ดูรายละเอียดบทบาทของรัฐไทยในช่วงนีเ้ พิม่ เติมใน อภิชาต (2556, บทที่ 2 และ 3)
21
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
แผนภาพที่ 5 คุณภาพของระบบราชการ
22
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
23
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
เกิดจากการที่ผู้ประกอบการเดิมที่เติบโตมากับนโยบายส่งเสริมการลงทุนได้
พัฒนาตัวเองไปเป็นผูผ้ กู ขาด ซึง่ จะพยายามทุกวิถที างในการต่อต้านการเข้าสู่
ตลาดของคู่แข่งรายใหม่ๆ เพื่อรักษาค่าเช่าทางเศรษฐกิจไว้ ทำ�ให้อัตราการ
เกิดขึ้นของนวัตกรรม และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลงในที่สุด
คำ�อธิบายนี้น่าจะใช้กับกรณีของไทยได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ
พิจารณาจากข้อมูลต่อไปนี้ Tosapol et al. (2019, 9) ชีว้ า่ แม้ไทยจะพึง่ พา
การส่งออกในฐานะเครือ่ งยนต์แห่งการเติบโตสูงมากก็ตาม แต่ภาคการส่งออก
กลับมีการกระจุกตัวสูง กล่าวคือมีบริษัทจดทะเบียนเพียง 6% เท่านั้นที่เป็น
ผูส้ ง่ ออก ในบรรดาผูส้ ง่ ออกนี้ บริษทั ส่งออกที่ใหญ่ทสี่ ดุ 5% แรก ส่งออกสูง
ถึง 88.3% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ในขณะที่มีเพียง 15% ของบริษัทส่ง
ออกเท่านัน้ ทีถ่ อื ได้วา่ เป็นผูส้ ง่ ออกสินค้าทีม่ คี วามซ้�ำ ซ้อนสูง และมีเพียง 20%
เท่านั้นที่ส่งออกสินค้าใหม่ๆ
ระดับการกระจุกตัวในเศรษฐกิจไทยสูงมากและมีสภาพแย่ลงเรือ่ ยๆ ในปี
2549 บริษทั ใหญ่ทสี่ ดุ ใน 5 เปอร์เซ็นต์ไทล์แรกมีรายได้ถงึ 85% ของรายได้
ของบริษัททั้งหมด 10 ปีต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2559 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 90%
(ทศพลและคณะ 2562, 5) ส่วนการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของนั้นก็สูง
มากเช่นกัน ผูถ้ อื หุน้ สูงสุด 0.1% ถือหุน้ ถึง 44% ของหุน้ ทัง้ หมด แม้วา่ ภาค
ธุรกิจไทยจะมีกลุ่มทุนที่หลากหลายถึงประมาณ 6,000 กลุ่มก็ตาม แต่ก็ถูก
ครอบงำ�ด้วยกลุม่ ทุนขนาดใหญ่จ�ำ นวนน้อย โดยบริษทั ของกลุม่ ทุนส่วนมากอยู่
ในกลุม่ บริษทั ที่ใหญ่ทสี่ ดุ 10% ของประเทศ ซึง่ กว่าครึง่ หนึง่ เป็นบริษทั ในกลุม่
ทุน5 ทีส่ �ำ คัญคือกลุม่ ทุนขนาดใหญ่เหล่านีค้ รอบงำ�เศรษฐกิจไทยสูงมาก กล่าว
คือ 5% ของบริษทั ในสังกัดของกลุม่ ทุนต่างๆ มียอดขายถึง 46% และได้รบั
60% ของกำ�ไรในปี 2559 (ทศพลและคณะ 2562, 11, 14-15) ยิง่ ไปกว่านัน้
อำ�นาจเหนือตลาดในการกำ�หนดราคาของภาคธุรกิจไทยก็มแี นวโน้มสูงขึน้ เรือ่ ยๆ
แผนภาพที่ 6 แสดงให้เห็นว่า อำ�นาจเหนือตลาดของบริษทั จดทะเบียน6
5
หมายถึงกลุม่ บริษทั ทีเ่ ชือ่ มโยงกันผ่านการถือหุน้ ทัง้ ในรูปโครงสร้างแบบพีระมิดและ
ในรูปการถือหุ้นไขว้ Tosapol et al. (2019, 7)
6
ซึง่ ก็คอื ความสามารถในการกำ�หนดราคาของผูข้ าย โดยวัดจากสัดส่วนของราคาขาย
24
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
แผนภาพที่ 6 อำ�นาจเหนือตลาด
25
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
การแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 25428 และพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า
พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2560 เป็นต้นมา แต่เป็น
ที่น่าเสียดายว่า ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2522 จนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่าไม่
เคยมีกจิ การใดๆ เลยทีถ่ กู เอาผิดจากการบังคับใช้กฎหมายชุดนี้ ยิง่ ไปกว่านัน้
แม้วา่ การแก้ไข พ.ร.บ. ฉบับนีค้ รัง้ ล่าสุดได้เพิม่ อำ�นาจและความเป็นอิสระของ
คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เพือ่ แก้ไขความไร้ประสิทธิผลของกฎหมาย
ฉบับก่อนแล้วก็ตาม9 แต่กรณีการควบรวมกิจการค้าปลีกระหว่างบริษทั ซีพแี ละ
เทสโก้ ซึ่งคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ามีมติอนุญาตให้ควบรวมได้
ทำ�ให้สาธารณะและองค์กรต่างๆ เกิดความไม่เชื่อมั่นในการทำ�งานของคณะ
กรรมการชุดนี้ จนกระทั่ง 37 องค์กรผู้บริโภคร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องคณะ
กรรมการการแข่งขันทางการค้าและสำ�นักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า
ในวันที่ 15 มีนาคม 256410
Aghion, Antonin and Bunel (2021, 138-39) เสนอว่า ยิ่งประเทศ
อยู่ใกล้พรมแดนเทคโนโลยีเท่าไร ระดับการแข่งขันสูงยิ่งมีผลต่ออัตราการ
เติบโต เนือ่ งจากการแข่งขันสูงจะยิง่ จูงใจให้บริษทั ทีอ่ ยู่ใกล้พรมแดนฯ อยูแ่ ล้ว
สร้างสรรค์นวัตกรรมเพือ่ หลีกหนีการแข่งขันทีร่ นุ แรง จึงทำ�ให้อตั ราการเติบโต
สูงกว่าประเทศในระดับเดียวกัน ซึ่งมีระดับการแข่งขันที่ต่ำ�กว่า จากเหตุผลนี้
8
สำ�นักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า, “ความเป็นมาของกฎหมายการแข่งขัน
ทางการค้าของไทย,” https://otcc.or.th/history-of-thailands-trade-competition-law.
ตลอดระยะเวลาที่พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ใช้บังคับ มีคดีการ
แข่งขันทางการค้าเข้าสูก่ ารพิจารณาของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าทัง้ หมด 96
เรือ่ ง คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าพิจารณาแล้วเสร็จ 84 เรือ่ ง โดยคณะกรรมการฯ
มีมติสง่ั ยุติ 81 เรือ่ ง และส่งพนักงานอัยการดำ�เนินคดี 3 เรือ่ ง แต่พนักงานอัยการสัง่ ไม่
ฟ้องคดี เท่ากับว่าไม่เคยมีคดีการแข่งขันทางการค้าขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม
แม้แต่คดีเดียว
9
สำ�นักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า, “ความเป็นมาของคณะกรรมการการ
แข่งขันทางการค้า,” https://otcc.or.th/about-the-trade-competition-commission.
10
กองบรรณาธิการประชาไท, “37 องค์กรผู้บริโภคฟ้องบอร์ดแข่งขันทางการค้าปม
อนุญาตให้ควบรวมกิจการ CP-Tesco อาจขัดกฎหมาย,” ประชาไท, 15 มีนาคม 2564,
https://prachatai.com/journal/2021/03/92124.
26
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
11
ตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปี 2560 ค่าของดัชนีวัดระดับคอร์รัปชันของไทยทั้งที่ประเมิน
โดยธนาคารโลกและองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ เคลือ่ นไหวอยู่ในช่วงแคบๆ เกือบจะ
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย (ธานี 2563, 4)
27
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
12
ข้อความดัง่ เดิมคือ “the undemocratic political structure of military electoral
28
25 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
co-optation polity remains ingrained on account of the way that the 2017
Constitution was crafted”.
29
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
30
บทที่ 3
การก่อตัวของรัฐไทย
และเศรษฐศาสตร์การเมืองของกับดักรายได้ปานกลาง
บทนำ�
2 ปัญหาสำ�คัญทางเศรษฐกิจที่สังคมไทยเผชิญมาเป็นเวลานานปี แต่
ยังไม่มีแนวโน้มที่จะแก้ไขได้ส�ำ เร็จคือ หนึ่ง ปัญหา “กับดักรายได้ปานกลาง”
ซึ่งเป็นสภาวะที่ภาคเศรษฐกิจไม่สามารถยกระดับรายได้จากระดับปานกลางสู่
ระดับรายได้สูง ในขณะที่ไทยกำ�ลังเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (hy-
per-aged society) ดังนัน้ สังคมแก่กอ่ นรวยจึงเป็นความจริงที่ใกล้เข้ามาเรือ่ ยๆ
สอง ปัญหาความเหลื่อมล้ำ�ทางเศรษฐกิจในระดับสูงอันดับต้นๆ ของโลก
บทความนีจ้ ะเสนอว่า ภาวะกับดักรายได้ปานกลางและความเหลือ่ มล้�ำ สูงนีเ้ กีย่ ว
พันอย่างลึกซึ้งกับลักษณะเด่นของรัฐไทย—การรวมศูนย์อำ�นาจสูงแต่ไร้
เอกภาพ ( highly centralized but fragmented ) ซึ่ ง เป็ น ผลพวงทาง
ประวัตศิ าสตร์ของการสร้างรัฐไทยสมัยใหม่ สภาพรวมศูนย์แต่ไร้เอกภาพของ
รัฐนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำ�ให้การยกระดับอุตสาหกรรมเพิ่มผลิตภาพการผลิตให้
หลุดพ้นภาวะกับดักรายได้ปานกลางเป็นไปได้ยาก ในขณะที่ลักษณะรวมศูนย์
อำ�นาจสูงนัน้ ย่อมหมายถึงการทีช่ นชัน้ นำ�มีอ�ำ นาจสูงในการสร้างส่วนเกินทาง
เศรษฐกิจ (economic rent) ดังสะท้อนให้เห็นได้ชดั จากการกระจุกตัวของความ
มัง่ คัง่ ในมือคนจำ�นวนน้อยนิด (The 1% Problem) เช่นเดียวกับประเทศร่�ำ รวย
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
แล้วหลายแห่ง ไม่แปลกแต่อย่างใดที่อำ�นาจรวมศูนย์ของรัฐในการสร้างส่วน
เกินนีจ้ ะเป็น “มรดก” ชิน้ ใหญ่ทชี่ นชัน้ นำ�ผูย้ ดึ กุมรัฐ ซึง่ มีความต่อเนือ่ งสูงมาก
ยอมไม่ได้ทจี่ ะสูญเสีย ไม่แปลกเลยทีพ่ วกเขาพร้อมจะใช้ความรุนแรงทางการ
เมืองเกือบทุกรูปแบบไม่วา่ จะเป็นการล้อมปราบกลางเมือง และการรัฐประหาร
ซึ่งสถาปนาระบอบเผด็จการทหารเข้าควบคุมพลังทางสังคม เมื่อรู้สึกว่าถูก
ท้าทาย
กับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)
ความหมายของกับดักรายได้ปานกลางโดยทัว่ ไปนั้นหมายถึง สภาวะที่
ประเทศหนึ่งมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจระดับสูงในช่วงแรกของการ
พัฒนาเศรษฐกิจ จนกระทัง่ สามารถยกระดับตัวเองจากความยากจนเข้าสูฐ่ านะ
ปานกลางได้อย่างรวดเร็ว แต่ตอ่ มาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจกลับลดต่�ำ
ลงจนกระทั่งไม่สามารถข้ามพ้นจากฐานะรายได้ปานกลางจนกลายเป็นสังคม
รายได้สงู สำ�เร็จ ทำ�ให้ประเทศตกอยู่ในภาวะรายได้ปานกลางเป็นเวลายาวนาน
ซึง่ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยก็สอดคล้องกับภาพนี้ (สมชัย 2557,
6-7) แม้จะมีขอ้ ถกเถียงว่า อะไรคือเกณฑ์วดั หรือเส้นแบ่งระหว่างรายได้ปาน
กลางกับรายได้สูง และระยะเวลายาวนานแค่ไหนที่เมื่อประเทศหนึ่งต้องอยู่ใน
ฐานะรายได้ปานกลางแล้วถึงจะถูกจัดว่าติดกับดักก็ตาม1 แต่ดูเหมือนว่าทั้งใน
หมูผ่ กู้ �ำ หนดนโยบายและนักเศรษฐศาสตร์ไทยต่างก็เชือ่ ว่า ประเทศไทยตกอยู่
ในกับดักนี้แล้ว จึงปรากฏว่ามีงานวิจัยหลายชิ้นที่พยายามเสนอทางออกจาก
กับดักนี้ เช่น สมชัย (2557) และ Pasuk and Pornthep (2013) ส่วนใน
ระดับนโยบายของไทย ปัญหากับดักรายได้ปานกลางได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่
ร่างยุทธศาสตร์ชาติ (สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2560, 10) ตัง้
เป้าไว้ว่าจะต้องก้ามข้ามไปให้ได้
งานศึกษาเรื่องกับดักรายได้ปานกลางแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ
หนึ่ง งานที่เน้นเชิงนโยบายเศรษฐกิจ-เทคนิคที่จะช่วยให้ไทยหลุดพ้นกับดัก
1
ในแง่นี้นักวิชาการส่วนหนึ่งจึงมีความเห็นว่า “กับดักรายได้ปานกลาง” เป็นเพียงข้อ
สังเกตเชิงมโนทัศน์ (conjecture) เท่านั้น หาใช่ทฤษฎีแต่อย่างไร (ดูงานของ Eichen-
green, Park, and Shin 2011 เป็นต้น)
34
การก่อตัวของรัฐไทย
2
“‘oligarchy’ rule by the few in some form or another”. คณาธิปไตยหมายถึง
การปกครองของคนกลุ่มหนึ่งในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
35
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
คณาธิปไตยไทยนั้นไม่ได้มีลักษณะหยุดนิ่ง แต่มีความสามารถในการปรับตัว
สูงผ่านกลไกต่างๆ ทีท่ �ำ ให้กลุม่ นีส้ ามารถผนวกรวมเอา (co-opted) “คนแปลก
หน้า” ทีเ่ กิดจากกลุม่ พลังใหม่ๆ มาเป็นพวกได้ ทำ�ให้สามารถต่อต้านการเรียก
ร้องให้มกี ารกระจายทรัพยากรออกสูว่ งกว้างได้ส�ำ เร็จตลอดมา กลุม่ คณาธิปไตย
ในปัจจุบันนั้นมีรากที่มาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ประกอบด้วยกลุ่ม
“ผู้ดีเก่า” (aristocrats) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้าใหญ่ (ชาวจีนสยาม) เมื่อ
หลัง 2475 ภายใต้การเมืองแบบรัฐราชการ (Bureaucratic Polity) ข้าราชการ
ชั้นผู้ใหญ่นำ�โดยทหารก็กลายเป็นกลุ่มนำ� เมื่อต่อมาเศรษฐกิจขยายตัวขึ้น
เรื่อยๆ และก่อให้เกิดกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ระดับชาติ กลุ่มนี้ก็ถูกดึงเข้ามา ตาม
ด้วยกลุ่มธุรกิจจากต่างจังหวัด จนกระทั่งเมื่อหลังรัฐประหาร 2549 กลุ่ม
ตุลาการอาวุโสก็กลายเป็นส่วนหนึง่ ของกลุม่ คณาธิปไตยในปัจจุบนั (Pasuk and
Pornthep 2013, 34-35)
ส่วนงานของสมชัย (2557) เฉพาะในส่วนที่เสนอเกี่ยวกับปัจจัยทาง
สถาบันที่จะช่วยให้หลุดพ้นกับดักนั้น สมชัยเสนอว่าการใช้สถาบันแบบ MEG
(Market-enhancing governance) ซึ่งไทยเริ่มต้นใช้ในยุคของจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ นัน้ ไม่เพียงพอทีจ่ ะทำ�ให้ไทยหลุดจากกับดัก เนือ่ งจากชุดกติกา MEG
มุง่ จะปลดปล่อยให้พลังของกลไกตลาดเสรีท�ำ งานได้อย่างเต็มทีเ่ ท่านัน้ ตัวอย่าง
มาตรการ MEG เช่นการยกเลิกข้อจำ�กัดของตลาด การลดบทบาทภาครัฐใน
การผลิตสินค้าเอกชน การเปิดประเทศเพื่อการค้า การลงทุน และการแลก
เปลีย่ นเทคโนโลยีกบั ต่างประเทศ เป็นต้น ซึง่ เป็นยุทธวิธที ปี่ ระเทศยากจนหลาย
ประเทศ เช่นไทยและจีนใช้จนประสบความสำ�เร็จในการยกระดับเป็นประเทศ
รายได้ปานกลาง แต่แนวทางนี้มักไม่สามารถทำ�ให้เศรษฐกิจก้าวพ้นกับดัก
ประเทศรายได้ปานกลางจนมีรายได้สงู ได้ สมชัยจึงเสนอต่อไปว่าให้ใช้สถาบัน
แบบ GEG (Growth-enhancing governance) แทน ซึ่งก็คือชุดกติกาที่เน้น
ให้เศรษฐกิจขยายตัวในระดับสูงและต่อเนือ่ ง โดยไม่จ�ำ เป็นต้องยึดมัน่ ในกลไก
ตลาด กล่าวคือภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันในการผลักดันให้เศรษฐกิจ
ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่นผ่านการร่วมมือกันผลิตสินค้าสาธารณะ หรือสินค้า
กึง่ สาธารณะทีเ่ ป็นรากฐานของการขยายตัวระดับสูง (เช่นความรูด้ า้ นเทคโนโลยี)
โดยรัฐให้การสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ ทั้งด้านการเงิน การให้ความคุ้มครอง
36
การก่อตัวของรัฐไทย
37
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
3
พูดอีกแบบคือ แม้สมชัยจะใช้ประสบการณ์ของเกาหลีใต้ในการพัฒนาอุตสาหกรรม
แต่สมชัยกลับไม่อภิปรายถึงความแตกต่างโดยรากฐานระหว่างคุณภาพของรัฐไทยกับ
เกาหลีใต้ ซึ่งหากใช้กรอบของ Evans (1995) เป็นตัวแบบแล้ว รัฐเกาหลีใต้อาจจัดว่า
เป็นรัฐแห่งการพัฒนา (Developmental State) ในขณะที่รัฐไทยเป็นแค่รัฐขั้นกลาง
(Intermediate State) เท่านั้น
4
ดูรายละเอียดของความแตกต่างประเด็นนี้ได้ใน Doner (2009, 74-78)
5
การกล่ า วเช่ น นี้ มิ ไ ด้ ห มายความว่ า ระบบราชการสมั ย ใหม่ ข องไทยไม่ มี ความ
เปลีย่ นแปลงเลยนับตัง้ แต่เริม่ ก่อตัวในครึง่ หลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 จริงๆ แล้วมีการ
เปลี่ยนแปลงสำ�คัญในต้นทศวรรษ 1960 โดยรัฐบาลเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ การปฏิรปู กลไกการบริหารและการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจ
38
การก่อตัวของรัฐไทย
ในด้านหนึ่งลักษณะรวมศูนย์อำ�นาจสูงของรัฐไทยนั้นก็เหมือน “ดาบ
สองคม” ที่ในทางหนึ่งย่อมหมายถึงศักยภาพในการใช้อำ�นาจที่กระจุกตัวสูงนี้
ในการสร้างส่วนเกินทางเศรษฐกิจที่ไม่สมควรได้ (unproductive economic
rent) ให้แก่ชนชั้นนำ�เอง ดังนั้นข้อเสนอของสมชัยที่ว่าการปรับใช้ชุดกติกา
แบบ GEG ให้ประสบความสำ�เร็จจะต้องลดโอกาสเข้าถึงค่าเช่าทางเศรษฐกิจ
ของผู้ไม่มีศักยภาพ หรือการจงใจสร้างค่าเช่าทางเศรษฐกิจที่ไม่สมควรได้นั้น
นำ�ไปสูค่ �ำ ถามว่าปัจจัยใดบ้างทีจ่ ะช่วยป้องกันปัญหานี้ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ภาย
ใต้โครงสร้างทางอำ�นาจทีก่ ระจุกตัวสูง กล่าวได้วา่ มีปจั จัยอย่างน้อยสองประการ
ที่เกี่ยวข้องคือ หนึ่ง ระบบราชการแบบมืออาชีพที่มีคุณภาพ (merit-based
professional bureaucracy) แต่ระบบราชการที่มีคุณภาพสูงเช่นนี้ จะต้องมี
การลงทุนสร้างขึน้ และบำ�รุงรักษาไว้อย่างต่อเนือ่ ง สอง สังคมจะต้องมีเส้นแบ่ง
ระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์สาธารณะที่ค่อนข้างชัดเจน
(public vs. private interests) รวมทัง้ มีความยึดมัน่ ว่าผลประโยชน์สาธารณะ
มาก่อนส่วนบุคคล หรือเราอาจเรียกว่าเป็นอุดมการณ์สาธารณะ6 ซึ่งเส้นแบ่ง
นีจ้ ะเป็นกรอบช่วยให้ระบบราชการและตัวแสดงในภาครัฐอืน่ ๆ ป้องกันการจงใจ
สร้างค่าเช่าที่ ไม่สมควรได้ และการแจกค่าเช่าไปยังผู้ที่ ไม่มีศักยภาพด้วย
อย่างไรก็ตาม เงือ่ นไขทัง้ สองนีเ้ กีย่ วพันกับประวัตศิ าสตร์ของการก่อรูปรัฐอย่าง
แนบชิด ซึ่งบทความนี้เชื่อว่าสังคมไทยยังไม่ได้บรรลุเงื่อนไขนี้อย่างชัดเจน
39
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
ไม่แปลกแต่อย่างใดที่อำ�นาจรวมศูนย์ของรัฐในการสร้างส่วนเกินนี้จะ
กลายเป็น “สมบัติ” ชิ้นใหญ่ที่ชนชั้นนำ�ผู้ยึดกุมรัฐ ซึ่งก็คือกลุ่มคณาธิปไตยที่
มีความต่อเนือ่ งสูงดังที่ Pasuk and Pornthep เสนอไว้ ยอมไม่ได้ทจี่ ะสูญเสีย
ไป และพร้อมทีจ่ ะใช้ความรุนแรงทางการเมือง เช่น การรัฐประหารเพือ่ รักษา
อำ�นาจรวมศูนย์นี้ไว้ตอ่ ไปเมือ่ รูส้ กึ ว่าถูกท้าทาย อันเป็นปัจจัยหนึง่ ทีท่ �ำ ให้ความ
ขัดแย้งทางการเมืองไทยรุนแรงขึ้นมากในระยะ 10 ปีเศษที่ผ่านมา พูดอีก
แบบคืออำ�นาจทางการเมืองของกลุ่มคณาธิปไตยที่สามารถขัดขวางมาตรการ
การกระจายทรัพยากรนั้น แยกไม่ออกจากลักษณะอำ�นาจรวมศูนย์ที่สูงมาก
ของรัฐไทย
ประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ คือ ลักษณะเด่นของรัฐไทย—รวมศูนย์
อำ�นาจสูงแต่ไร้เอกภาพนี้มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และคลี่คลายมาถึง
ปัจจุบันได้เช่นไร ซึ่งเราจะทำ�ความเข้าใจประเด็นนี้ในหัวข้อต่อไป
การก่อรูปและพัฒนาการของรัฐไทย: รัฐราชสมบัตริ วมศูนย์สงู แต่ไร้เอกภาพ
ข้อเสนอหลักของบทความนี้คือ ลักษณะหลักของรัฐไทย—รวมศูนย์
สูงแต่ไร้เอกภาพ—เป็นอุปสรรคสำ�คัญต่อการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง
หัวข้อต่อไปนีจ้ ะพยายามอธิบายถึงการก่อตัวของรัฐไทย “สมัยใหม่” ทีเ่ ริม่ ต้น
ขึน้ ครึง่ หลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่รฐั ใหม่นยี้ งั คงรักษาลักษณะของรัฐราช
สมบัตไิ ว้ตอ่ ไป กล่าวอีกแบบได้วา่ รัฐใหม่นย้ี งั ไม่เป็นรัฐประชาชาติ ในความหมาย
ที่มีการแบ่งแยกเด็ดขาดของอำ�นาจสาธารณะ ซึ่งเป็นอำ�นาจสูงสุด ออกจาก
ทัง้ ตัวผูป้ กครองและผูถ้ กู ปกครอง หรือพูดอีกแบบคือมีเส้นแบ่งทีช่ ดั เจนระหว่าง
ส่วนตัวกับส่วนสาธารณะ ดังที่ Anderson (1978)7 เคยเสนอไว้ กล่าวอีกแบบ
คือ ลักษณะของรัฐราชสมบัตแิ บบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทค่ี ณะราษฎรรับมรดก
มาเมื่อ พ.ศ. 2475 นั้นถูกเปลี่ยนแปลงไปไม่มากพอที่จะเป็นเครื่องมือที่มี
ประสิทธิผลในการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นกับดับรายได้ปานกลางใน
ปัจจุบัน
7
ขอขอบคุณศาสตราจารย์เกษียร เตชะพีระ ที่แนะนำ�ให้อ่านบทความนี้ ซึ่งชี้ให้เห็น
ถึงจุดกำ�เนิดของลักษณะเด่นของรัฐไทย
40
การก่อตัวของรัฐไทย
การก่อตัวของรัฐไทย: รัฐราชสมบัติรวมศูนย์สมัยใหม่
โดยรากฐานแล้ว การปฏิรูปที่เริ่มต้นโดยรัชกาลที่ 5 นั้นไม่ได้มีเป้า
หมายที่จะปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้าน เพื่อทำ�ให้สยามกลายเป็นสังคมสมัย
ใหม่อย่างรวดเร็วดังเช่นสมัยเมอิจขิ องญีป่ นุ่ เป้าประสงค์หลักของพระองค์เป็น
เพียงการเปลี่ยนแปลงรัฐจากแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ที่มีการรวบอำ�นาจการ
ปกครองเข้าสู่ศูนย์กลางในสองความหมายคือ หนึ่ง ในเชิงพื้นที่นั้นเป็นการ
รวบอำ�นาจของรัฐประเทศราช เช่นรัฐล้านนาเข้าสู่กรุงเทพ พูดอีกแบบก็คือ
การเปลี่ยนประเทศราชให้เป็นจังหวัดต่างๆ ที่ถูกปกครองด้วยข้าราชการจาก
กรุงเทพฯ สอง เป็นการรวบอำ�นาจของบรรดาขุนนางเข้าสูอ่ งค์พระมหากษัตริย์
ซึ่งเท่ากับยุติระบบการแบ่งปันอำ�นาจระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง จนสามารถ
สถาปนาระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้เป็นจริงได้เป็นครั้ง
แรกในประวัติศาสตร์ ทำ�ให้รัฐกรุงเทพฯ สามารถมีอำ�นาจเหนือดินแดนและ
ประชากร (territorial integrity) ของสยามได้ทวั่ ถึงกว่ารัฐดัง่ เดิมมาก8 แต่การ
ปฏิรูปที่เริ่มในรัชกาลที่ 5 ก็หยุดอยู่เพียงการปรับเปลี่ยนวิธีการปกครองของ
รัฐเป็นหลักเท่านัน้ มิได้มเี ข็มมุง่ ทีจ่ ะปฏิรปู เปลีย่ นแปลงเศรษฐกิจและสังคมให้
ทันสมัยอย่างขนาดใหญ่ไปพร้อมๆ กันด้วย กล่าวอีกแบบเป้าหมายการปฏิรปู
แคบๆ นีก้ เ็ พียงพอต่อความต้องการของผูป้ กครองในขณะนัน้ แล้ว การจะเข้าใจ
ประเด็นนี้ได้นั้น จะต้องตระหนักว่าจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปนี้แยกไม่ออกจาก
บริบทของการปะทะประสานระหว่างรัฐสยามกับรัฐตะวันตกทีเ่ ข้ามาล่าอาณานิคม
ในย่านนี้
แตกต่างจากภาพทีน่ กั วิชาการก่อนหน้านีท้ อี่ ธิบายว่า จุดเริม่ ต้นของการ
ปฏิรปู เพือ่ ทำ�ให้สยามทันสมัยนัน้ เกิดขึน้ เพือ่ ตอบโต้กบั การแผ่อ�ำ นาจของนัก
ล่าอาณานิคมตะวันตก หรือกล่าวอีกแบบคือการถูกคุกคามอย่างรุนแรงจาก
มหาอำ�นาจอาณานิคมตะวันตกนัน้ เป็นแรงกระตุน้ ทีท่ �ำ ให้สยามต้องปฏิรปู ตัว
เองเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติ แต่ Anderson (1978, 200-203) เสนอ
8
รัฐดั่งเดิมอาจจัดได้ว่าเป็นรัฐแบบ Mandala ซึ่งอำ�นาจของศูนย์กลางมีจำ�กัด ไม่
สามารถแผ่อำ�นาจได้อย่างทั่วถึง กล่าวอีกแบบคืออำ�นาจรัฐในเขตที่ใกล้ศูนย์กลางจะ
เข้มข้นกว่าในเขตรอบนอก (Kullada 2004, 179-180)
41
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
42
การก่อตัวของรัฐไทย
9
ข้อมูลเกีย่ วกับงบประมาณรายจ่ายของรัฐสยามในช่วงเวลานีค้ �ำ นวณจากตารางที่ 6.1
ของ Seksan (1989, 431-40)
10
งบรายจ่ายของราชวงศ์อยู่ในระดับประมาณ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของงบทัง้ หมดจน
กระทัง่ ปี 2468 และลดลงเหลือต่�ำ กว่า 10% ตัง้ แต่ปี 2469-2473 ส่วนหนึง่ เกิดจากภาวะ
เศรษฐกิจตกต่ำ�ครั้งใหญ่ทั่วโลก (Great Depression)
43
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
11
แน่นอนว่า การสร้างทางรถไฟมีผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจแต่ก็เป็นผลทางอ้อม
วัตถุประสงค์หลักของการสร้างทางรถไฟนี้คือเพื่อให้รัฐกรุงเทพฯ สามารถขนกองทหาร
ขึ้นไปปราบปรามการ “ก่อกบฏ” ของรัฐล้านนาได้สะดวก ดังเช่นที่เกิดขึ้นที่แพร่
44
การก่อตัวของรัฐไทย
ดังเช่นที่เกิดขึ้นในอาณานิคมเพื่อนบ้านที่ปลูกข้าวส่งออกเช่นเดียวกับสยาม
โดยเฉพาะอย่างยิง่ พม่าและเวียดนาม Kullada (2004, 181) เห็นว่า การหยุด
ชะงักของระบบเจ้าที่ดินนี้ ทำ�ให้ประสบการณ์ของไทยแตกต่างจากพม่าและ
เวียดนาม กล่าวคือ “พม่าและเวียดนามได้พฒ ั นาการเกษตรแบบเจ้าทีด่ นิ ราย
ใหญ่ และระบบสินเชื่อ ซึ่งในเวลาต่อมาก็นำ�ไปสู่การแตกตัวทางชนชั้นกลาย
เป็นชนชั้นเจ้าที่ดิน ชาวนารายใหญ่และรายย่อย และแรงงานรับจ้าง ตลอด
จนชนชั้นนายทุนเงินกู้”12 ในประเด็นนี้คริสและผาสุก (2557, 145) เห็นว่า
“สยามไม่ได้เอาอย่างระบบการบริหารจัดการที่ดินและภาษีที่ดินของประเทศ
อาณานิคม ซึง่ บังคับให้ชาวนาเพิม่ ทัง้ ผลผลิตและภาษีทตี่ อ้ งเสียให้แก่รัฐบาล”
ไม่แปลกเลยที่ปรากฏว่าผลผลิตข้าวต่อไร่ของสยามกลับลดลงเรื่อยๆ ถึงปีละ
เกือบ 1% ในช่วงเวลา 2463-2484 (Feeny 1979)
ในแง่รายได้ภายหลังการรวมศูนย์อำ�นาจการคลังนั้น ส่วนใหญ่มาจาก
การเก็บภาษีทางอ้อม นอกจากภาษีนำ�เข้า-ส่งออกแล้ว ภาษีการบริโภคที่มี
ฐานจากกรรมกรชาวจีนในเขตเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการบริโภคสินค้า
เพียง 4 ชนิดเท่านั้นคือ ฝิ่น การพนัน เหล้า และลอตเตอรี่ ก็คิดเป็นถึง
40-50% ของรายได้ทั้งหมดของรัฐเกือบตลอดช่วงเวลาครึ่งหลังของศตวรรษ
ที่ 19 (Anderson 1978, 223) สาเหตุสำ�คัญที่รัฐสยามต้องพึ่งพารายได้ส่วน
ใหญ่จากภาษีทางอ้อมนัน้ เนือ่ งจากรัฐมีความสามารถทีต่ �่ำ มากในการเก็บภาษี
ทางตรงทัง้ ภาษีรชั ชูปการ (capitation tax) และภาษีทนี่ า (farm tax) ในเขต
ชนบท ดังที่ Seksan (1989, 477, footnote 87) ให้ข้อมูลว่า การหนีและ
การหลบเลีย่ งภาษีทงั้ สองประเภทเป็นไปอย่างกว้างขวาง หลายจังหวัดในภาค
อีสานไม่จา่ ยภาษีทนี่ าเลยจนกระทัง่ 2475 หรือในปี 2464 ประมาณ 300,000
12
“[Burma and Vietnam] developed a large-scale land clearance and insti-
tutionalised credit system which consequently led to complex social stratification
of the landowning class, big and small peasant holders and labourers, as well
as money lenders” ความแตกต่างนีจ้ ะมีผลสำ�คัญทำ�ให้ขบวนการชาตินยิ ม 2475 ขาด
การเข้าร่วม-ขาดการสนับสนุนจากมวลชนวงกว้าง ในขณะทีข่ บวนการชาตินยิ มของสอง
ประเทศข้างต้นมีขบวนการมวลชนเข้าร่วมอย่างกว้างขวาง ซึง่ เราจะอภิปรายต่อไปว่าการ
ขาดฐานมวลชนของขบวนการ 2475 จะมีผลต่อพัฒนาการของรัฐไทยอย่างไรต่อไป
45
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
13
“[Japan] was able to maintain a firm control of the countryside. In the
second half of the 19th Century incredible extraction was made on the peas-
antry by the Japanese state, whereas in the same period the Siamese state
was unable to collect even a faction of its revenue from the rural population.”
14
อีกส่วนหนึ่ง เป็นเพราะรัฐสยามรู้จัก “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” กับเขตชนบทในเวลาต่อ
มา เพือ่ ไม่ให้มกี ารลุกขึน้ สูข้ องชาวนา (peasant rebellion) อีก ดังเช่นทีเ่ กิดขึน้ ในกรณี
กบฏแพร่ หรือกรณีอนื่ ๆ ในอีสานที่ไม่พอใจรัฐกรุงเทพในการเรียกเก็บภาษีเป็นเงินแทนที่
จะเป็นส่วยสิ่งของและการส่งคนของกรุงเทพมาเป็นผู้ปกครองโดยตรง (Seksan 1989,
476)
15
วัตถุประสงค์แต่แรกเริม่ ของการจัดตัง้ โรงเรียนสวนกุหลาบนัน้ มิได้มงุ่ หมายทีจ่ ะให้การ
ศึกษาแก่สามัญชน แต่ต้องการจะจัดการศึกษาให้แก่ลูกหลานของเชื้อพระวงศ์ชั้นล่าง
เท่านั้น (หม่อมเจ้าและหม่อมราชวงศ์) และกีดกันสามัญชน (โดยการขึ้นค่าเล่าเรียนใน
ระยะต่อมา) แต่เนือ่ งจากระบบราชการขยายตัวเร็วมาก จึงมีความจำ�เป็นทีจ่ ะต้องเปิดรับ
ลูกหลานสามัญชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (Kullada 2004, 72-77) ร.ร. สวนกุหลาบจึงเป็น
46
การก่อตัวของรัฐไทย
และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่อย่างไรก็ตามระบบราชการแบบใหม่นกี้ ม็ ไิ ด้
วางอยู่บนฐานของระบบ meritocracy ความก้าวหน้าและผลตอบแทนในการ
ทำ�งานนั้นยังขึ้นอยู่กับสายเลือดและความจงรักภักดีเหนือกว่าทุกสิ่ง ตัวอย่าง
เช่น การสอบแข่งขันเพือ่ บรรจุเป็นข้าราชการนัน้ มีขนึ้ เป็นครัง้ แรกเพียง 4 ปี
ก่อน 2475 เท่านัน้ ซึง่ ช้ากว่าอาณานิคมเพือ่ นบ้านหลายแห่งมาก (Anderson
1978, 215) unmerited system นีเ้ ห็นได้ชดั มากในข้าราชการสายทหารทีส่ าย
เลือดมาก่อนทุกสิ่ง ตัวอย่างเช่นในปี 2453 นั้น นายทหารชั้นยศพลเอกและ
พลโททุกคนล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ ในขณะที่ 6 จาก 13 นายพลตรีก็เป็นเชื้อ
พระวงศ์ เมือ่ ไล่ลงมาถึงระดับผูบ้ งั คับบัญชากองพลนัน้ 5 ใน 9 คนก็เป็นเชือ้
พระวงศ์ ทำ�ให้ไม่แปลกทีจ่ ะเห็นนายพลเชือ้ พระวงศ์อายุเพียง 20 ปีเศษเท่านัน้
กล่าวโดยรวมแล้วข้าราชการระดับสูงของกระทรวงกลาโหมเต็มไปด้วยเชื้อ
พระวงศ์มากกว่ากระทรวงอืน่ ๆ (Anderson 1978, 206-7, footnote 20) ความ
คับข้องใจทีม่ ตี อ่ ระบบอภิสทิ ธิท์ างสายเลือดและเส้นสายนีเ้ องเป็นหนึง่ ในประเด็น
สำ�คัญที่นำ�ไปสู่เหตุการณ์ 2475 เนื่องจากพวกข้าราชการสามัญชนเรียกร้อง
ให้ใช้ “หลักวิชา” (merit system) ในการบริหารบ้านเมือง—เรียกร้องให้จัด
ระบบเงินเดือนให้มีมาตรฐาน (ตำ�แหน่งระดับเดียวกันต้องมีเงินเดือนเท่ากัน
ไม่ตอ้ งขึน้ อยูก่ บั ความพอใจของกษัตริย)์ การแต่งตัง้ และการเลือ่ นขัน้ ให้ขนึ้ กับ
ความอาวุโสและผลงาน ในขณะที่รัชกาลที่ 6 เห็นว่าต้องใช้ “หลักราชการ”
หรือหลักการรับใช้พระราชาเป็นเกณฑ์ในการบริหารบ้านเมือง (คริสและผาสุก
2557, 177-78)
กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ระบบราชการที่ยึดหลักการบริหารแบบ “หลัก
ราชการ” นี้ สะท้อนถึงลักษณะพืน้ ฐานทีส่ ดุ ของรัฐใหม่ทถี่ กู สร้างขึน้ ในรัชกาล
ที่ 5 แม้วา่ อาจเรียกได้วา่ เป็นรัฐแบบ nation-state ทีม่ อี งค์ประกอบประชากร
เขตแดน อำ�นาจอธิปไตย และรัฐบาล แต่โดยพื้นฐานแล้วก็ยังมีลักษณะแบบ
รัฐราชสมบัติ (patrimonial state) ที่ไม่ได้มีการแยกขาดระหว่างส่วนตัวและ
ส่วนสาธารณะ ผู้ปกครองยังคงถือเอาว่ารัฐเป็นเสมือนสมบัติส่วนตัว อันเห็น
47
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
ได้จากหลักการบริหารระบบราชการและการจัดงบประมาณรายจ่ายที่เสนอไว้
ข้างต้น16 กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ เนื่องจากรัฐมหาอำ�นาจอาณานิคมไม่ได้
ท้าทายการดำ�รงอยูข่ องรัฐสยามอย่างถึงราก ทำ�ให้รฐั สยามไม่ได้มคี วามจำ�เป็น
ถึงขั้นที่จะต้องปฏิรูปอย่างรอบด้าน รวมทั้งเปลี่ยนรัฐให้เป็นแบบสมัยใหม่ที่มี
การแบ่งแยกชัดเจนระหว่างส่วนตัวกับส่วนสาธารณะ ซึง่ ก็น�ำ ไปสูร่ ะบบราชการ
แบบใหม่ที่ไม่ได้ถกู บริหารแบบ merit system ทำ�ให้ระบบราชการแบบใหม่นี้
แม้วา่ จะรวมศูนย์สงู และมีประสิทธิผล (effective) พอทีจ่ ะปกครองหัวเมือง แต่
ก็มไิ ด้มปี ระสิทธิผลพอทีจ่ ะใช้ระดมทรัพยากรขนานใหญ่เพือ่ สร้างสังคมเศรษฐกิจ
แบบใหม่
ด้วยสาเหตุเดียวกันทีร่ ฐั สยามไม่ได้ถกู คุกคามอย่างแรง ทำ�ให้ผปู้ กครอง
ไม่จ�ำ เป็นต้องปฏิรปู อย่างถึงรากซึง่ ก็ท�ำ ให้ผลกระทบจากการปฏิรปู ต่อประชาชน
ไม่รุนแรงเท่ากับผลกระทบที่รัฐอาณานิคมหลายแห่งในย่านนี้ก่อขึ้น ดังเช่นที่
กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า สยามไม่ได้เลียนแบบระบบการบริหารจัดการที่ดินและ
ภาษีทดี่ นิ ของประเทศอาณานิคม ซึง่ บังคับให้ชาวนาเพิม่ ทัง้ ผลผลิตและภาษีที่
ต้องเสียให้แก่รัฐบาล ผลกระทบที่ไม่รุนแรงต่อประชาชนวงกว้างนี้เองที่ทำ�ให้
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มิได้มีฐานจากขบวนการมวลชนวงกว้าง
เข้าร่วม แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากพวกข้าราชการสามัญชนที่ลุก
ขึ้นมาปฏิเสธอำ�นาจสมบูรณาญาสิทธิ์ของพระราชา ซึ่งแตกต่างจากการ
ขบวนการชาตินิยมต่อต้านอาณานิคมตะวันตกหลายแห่งในย่านนี้ที่ขบวนการ
ชาตินยิ มมีมวลชนวงกว้างเข้าร่วมการต่อสู้ (Kullada 2004, 180-83; Ander-
son 1978, 225-26) ผลของการเปลี่ยนแปลง 2475 ที่ปราศจากขบวนการ
มวลชนสนับสนุนนัน้ ทำ�ให้ลกั ษณะพืน้ ฐานของรัฐไทยหลัง 2475 เปลีย่ นแปลง
ไปไม่มาก กล่าวคือรัฐยังคงมีลักษณะรวมศูนย์อำ�นาจสูง กลไกรัฐแทรกแซง
16
อย่างไรก็ตาม รัฐสยามก็มีพัฒนาการในการแบ่งแยกระหว่างสมบัติส่วนตัวกับส่วน
ของรัฐ เช่นพัฒนาการของสิทธิสว่ นบุคคลในทีด่ นิ และก็ไม่มรี ายงานว่ามีการยึดกิจการ
เอกชนเป็นของรัฐในช่วง 2398-2475 (ดู Seksan 1989, 180-94) รวมทั้งเริ่มมีการ
แบ่งแยกระหว่างพระคลังข้างที่ซึ่งเป็นสินทรัพย์ส่วนพระองค์ กับพระคลังมหาสมบัติซึ่ง
เป็นของรัฐ (ดู Kullada 2004, 20, 34 เป็นต้น) แม้วา่ จะยังไม่มเี ส้นแบ่งทีเ่ ด็ดขาดก็ตาม
48
การก่อตัวของรัฐไทย
สังคมได้ต�
่ำ ในขณะทีเ่ ส้นแบ่งระหว่างส่วนตัวและส่วนสาธารณะก็ยงั ไม่ชดั เจน
การปฏิวัติที่ขาดมวลชนกับความเป็นอิสระของรัฐ: รัฐไร้เอกภาพ
Anderson (1978, 225-26) เสนอว่า การขาดขบวนการมวลชนวงกว้าง
เข้าร่วมเปลีย่ นแปลงการปกครอง 2475 ทีน่ �ำ โดยข้าราชการสามัญชนนัน้ เป็น
ปัจจัยหลักทีท่ �ำ ให้รฐั ไทยช่วงหลังการปฏิวตั ิ 2475 มีความต่อเนือ่ งจากอดีตสูง
รัฐยังคงรักษาลักษณะพื้นฐาน—การรวมศูนย์อำ�นาจและการไม่แบ่งแยก
ระหว่างส่วนตัวกับส่วนสาธารณะอย่างเด็ดขาดไว้ตอ่ ไป พูดอีกแบบคือ Ander-
son เห็ นว่ า รั ฐ ไทยหลั ง 2475 ที่ Riggs ( 1966) เรี ย กว่ า “รั ฐ ราชการ”
(Bureaucratic Polity) นั้น เอาเข้าจริงก็คือรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์กลายพันธุ์ที่
ขาดความชอบธรรมอย่างเช่นทีก่ ษัตริยเ์ คยมี (Anderson 1978, 226)17 มันจึง
ยังคงรักษาแนวคิดและธรรมเนียม (perspectives and traditions) ของระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไว้ต่อไป แต่สิ่งสำ�คัญที่เกิดขึ้นใหม่หลัง 2475 ก็คือ
ลักษณะไร้เอกภาพของรัฐ (fragmented state) เนื่องจากระบบราชการใหม่นี้
ถูกสร้างให้แบ่งแยกงานตามหน้าที่ (functionalized bureaucracy) เมื่อไม่มี
อำ�นาจสมบูรณาญาสิทธิ์ของกษัตริย์ควบคุมไว้แล้ว ในขณะที่ไม่มีพลังทาง
สังคมอืน่ ๆ เข้ามากำ�กับควบคุมแทน เพราะการปฏิวตั ิ 2475 ขาดพลังมวลชน
วงกว้างเป็นรากฐาน ทำ�ให้ระบบราชการมีความเป็นอิสระ (autonomy) จาก
สังคมสูงมาก ส่งผลให้แต่ละส่วนของระบบราชการต่อสู้กันเอง เพื่อช่วงชิง-
รักษาขอบเขตอำ�นาจ-ผลประโยชน์ของตัวและหน่วยงาน (intra bureaucratic
conflict) ทั้งหมดนี้ทำ�ให้ Riggs เรียกระบบการเมืองไทยหลัง 2475 ว่ารัฐ
ราชการ Riggs บรรยายลักษณะนี้ไว้ว่า “สมาชิกของคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่
เป็นข้าราชการ [ประจำ�]... นักการเมืองในฐานะรัฐมนตรีมักตอบสนองต่อข้อ
เรียกร้องและผลประโยชน์ของข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่าต่อกลุ่มผล
ประโยชน์ พรรคการเมือง หรือองค์กรนิติบัญญัตินอกระบบกลไกรัฐ” (Riggs
1966, 312)18 ด้วยเหตุที่การเมืองแบบนี้ไม่ตอบสนองต่อพลังทางสังคมนอก
17
“Riggs’s ‘bureaucratic polity’ was, in fact, the absolutist moi-state manqué.”
18
“Cabinet members, for the most part, have been officials… cabinet politi-
49
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
ระบบราชการนี้เอง ทำ�ให้รัฐราชการขาดฐานความชอบธรรมทางการเมืองใน
วงกว้าง ส่งผลให้ให้การเมืองหลัง 2475 เต็มไปด้วยความไร้เสถียรภาพอัน
เป็นปัญหาหนึง่ ทีส่ บื ทอดถึงปัจจุบนั ผลพวงอีกประการของลักษณะรัฐรวมศูนย์
ไร้เอกภาพแบบนี้ก็คือ ระบบราชการกลายเป็นเครื่องมือที่ไร้ทั้งประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลในการพัฒนาเศรษฐกิจ
ไม่แปลกเลยที่ Riggs (1966, chap. 10, 311-66) จะอุทิศพื้นที่ถึง 1
บทเต็มๆ เพือ่ บรรยายให้เห็นถึงภาพของความไร้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ของระบบราชการไทยทัง้ ในแง่กระบวนการตัดสินใจทางนโยบาย, การวางแผน
และการจัดสรรงบประมาณ, การบริหารบุคคล การสั่งการและการควบคุม
ภายในของระบบราชการ, การทำ�งานทีซ่ �้ำ ซ้อนและขัดแย้งกันเองระหว่างหน่วย
งาน ทัง้ หมดนีเ้ พือ่ แสดงให้เห็นถึงตรรกะของการเมืองแบบรัฐราชการ พูดอีก
แบบหนึ่งก็คือ ทั้งความไร้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของระบบราชการไทย
ซึ่งดูไร้เหตุผล (senseless) เมื่อมองจากมุมของผลประโยชน์สาธารณะนั้น
กลับสมเหตุสมผลมาก หากมองจากมุมของข้าราชการผู้ได้ประโยชน์จากการ
ไร้ความสามารถของระบบ แรงจูงใจเช่นนี้เองที่ทำ�ให้ข้าราชการต่อต้านการ
ปฏิรูประบบราชการสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่พลังจากภายนอก
ระบบราชการทีจ่ ะผลักดันให้มกี ารเปลีย่ นแปลงนัน้ ไม่เข้มแข็ง ในการนี้ Riggs
(1996, 346-58) ใช้งานศึกษาของ IBRD (ต่อมากลายเป็นธนาคารโลก; World
Bank) ซึ่งส่งคณะผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสำ�รวจประเทศไทยในช่วงรอยต่อระหว่าง
รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามกับการรัฐประหาร พ.ศ. 2500 เพื่อเตรียม
การสำ�หรับการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรก ชี้ให้เห็นถึงความสามารถต่�ำ
ของระบบราชการในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึง่ เกิดจากการเมืองแบบรัฐราชการ
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
รายงานของธนาคารโลกชีว้ า่ ลักษณะการจัดองค์กรในระบบราชการไทย
ไร้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล เนือ่ งจากการแบ่งงานระหว่างหน่วยงานนัน้ มี
cians have shown themselves more responsive to the interests and demands
of their bureaucratic subordinates than to the concerns of interest groups,
political parties, or legislative bodies outside the state apparatus”
50
การก่อตัวของรัฐไทย
19
Riggs (1966, 333-35) เห็นว่าแม้กระทั่งคณะรัฐมนตรีซึ่งควรเป็นองค์กรสูงสุดใน
การทำ�หน้าที่ประสานงานนั้นก็ไม่ได้ต่างจากคณะกรรมการทั้งหลายในระบบราชการไทย
ที่ไม่สามารถทำ�หน้าที่เป็นกลไกประสานงานได้จริง เนื่องจากเอาเข้าจริงแล้วที่ประชุม
ค.ร.ม. กลายเป็นเวทีต่อรอง “ทางการเมือง” ระหว่างส่วนต่างๆ ของระบบราชการที่มี
รัฐมนตรีเป็นตัวแทนและที่ประชุมมักจะจบลงด้วยการประนีประนอม ซึ่งไม่เชื่อมโยงกับ
การประสานงานกันเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
20
ดูรายละเอียดใน Riggs (1966, 352-58) ในกรณีการแข่งขันกันวิจยั พันธุข์ า้ วระหว่าง
กรมชลประทานและกรมการข้าวและการไม่แม้แต่จะพยายามประสานงานกันเอง ทัง้ ๆ ที่
2 กรมนี้อยู่ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยกัน หรือกรณีที่แต่ละกรมของกระทรวงนี้
ต่างก็มีส่วนงานส่งเสริมการเกษตร (extension service) เป็นของตัวเอง แทนที่จะมี
51
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
52
การก่อตัวของรัฐไทย
53
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
54
การก่อตัวของรัฐไทย
กำ�หนดไว้ รวมทั้งรักษาอำ�นาจต่อรองในระดับสูงกับนักการเมืองที่มาจากการ
เลือกตัง้ ไว้ได้เช่นกัน สาเหตุหลักเป็นเพราะนักการเมืองจากการเลือกตัง้ แต่ละ
คนมักอยูใ่ นตำ�แหน่งเพียงช่วงสัน้ ๆ เท่านัน้ เนือ่ งจากรัฐบาลมักมีอายุไม่ยนื ยาว
ทำ�ให้ขา้ ราชการสามารถถ่วงเวลา หรือแม้กระทัง่ ขัดขวางนโยบายของรัฐมนตรี
ได้ สิง่ ทีน่ า่ สังเกตคือการรักษาอำ�นาจในระดับสูงของข้าราชการเหล่านี้ไว้ได้นนั้
เกิดขึ้นภายใต้บริบทที่กระบวนการทำ�ให้เป็นประชาธิปไตยเพิ่มอำ�นาจให้แก่
นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง (Lauridsen 2008a, 832; Christensen
1993, 124-25)
ส่วนการปฏิรปู ระบบราชการในยุครัฐบาลทักษิณนัน้ มีจดุ เริม่ ต้นจากการ
เป็นหนึง่ ในนโยบายทีพ่ รรคไทยรักไทยใช้ในการหาเสียงสำ�หรับการเลือกตัง้ ในปี
254423 รัฐบาลเกือบทุกชุดก่อนหน้านีต้ า่ งก็มนี โยบายในการปฏิรปู ระบบราชการ
แต่กไ็ ม่เคยมีรฐั บาลไหนขับเคลือ่ นได้มากเท่ารัฐบาลนี้ หลังจากชนะการเลือกตัง้
รัฐบาลทักษิณได้จัดตั้งสำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
ขึ้นเป็นส่วนราชการที่ไม่มีฐานะเป็นกรม ไม่เป็นนิติบุคคล อยู่ในสังกัดสำ�นัก
นายกรัฐมนตรีเป็นศูนย์กลางในการเสนอแนะ ประสานงานและผลักดันการ
ปฏิรปู ระบบราชการ โดยทีค่ ณะกรรมการของ ก.พ.ร. ประกอบด้วยบุคคลจาก
ฝ่ายการเมืองและผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากคณะกรรมการปฏิรูปฯ
ของรัฐบาลชวน หรือรัฐบาลชุดก่อนๆ ที่นอกจากจะประกอบด้วยคนจากสอง
ฝ่ายข้างต้นแล้ว ยังมีตวั แทนของข้าราชการอีกด้วย การตัง้ สำ�นักงาน ก.พ.ร.
แยกออกจากสำ�นักงาน ก.พ. ซึง่ เคยเป็นหน่วยงานทีเ่ ป็นเจ้าภาพภารกิจปฏิรปู
ระบบราชการมาตลอด รวมทั้งการตัดตัวแทนของระบบราชการออกจากคณะ
กรรมการปฏิรูประบบราชการ สิ่งนี้ย่อมแสดงถึงความเหนือกว่าของพลังฝ่าย
การเมืองที่มีต่อฝ่ายราชการอย่างชัดเจน ต่อมา ก.พ.ร. ได้กำ�หนดแผน
ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (Public Sector Development Strategy:
PSDP) ระยะเวลา 5 ปีขึ้นเป็นแม่บทในการปฏิรูป ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก
คณะรัฐมนตรีในเดือนพฤษภาคม 2546
23
หากไม่ระบุเป็นอย่างอืน่ แล้ว ข้อความข้างล่างนีเ้ ก็บความจากนครินทร์ (2550) และ
Lauridsen (2008a, 845-48)
55
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
24
การอภิปรายในส่วนนี้สรุปความจาก Lauridsen (2008a, 864-66)
56
การก่อตัวของรัฐไทย
57
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
25
ประโยคนี้ทำ�ให้เราต้องนึกถึงข้อคิดของ Riggs เมื่อหลายสิบปีก่อนหน้านี้ว่า ครม.
ไม่สามารถทำ�หน้าที่หน่วยงานสูงสุดในการประสานนโยบายได้
26
การอภิปรายในส่วนนี้ สรุปความจาก Lauridsen (2008b)
58
การก่อตัวของรัฐไทย
ทั้งมีความพยายามที่จะทำ�ให้มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นระหว่างองค์กรที่ทำ�
หน้าที่วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของรัฐกับภาคอุตสาหกรรม
ผลการศึกษา 2 ชิ้นคงเพียงพอในการชี้ประเด็นว่า แม้กระทั่งรัฐบาล
ทักษิณที่มีความเข้มแข็งทางการเมืองมากที่สุดในบรรดารัฐบาลที่มาจากการ
เลือกตัง้ แล้วก็ยงั ไม่ประสบความสำ�เร็จในการยกระดับอุตสาหกรรม งานชิน้ แรก
ของ Doner and Ramsay (2004, 42) ซึง่ ศึกษาอุตสาหกรรมน้�ำ ตาล พบว่า
แม้แต่ในอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีความซับซ้อนน้อยและประสบความสำ�เร็จมา
นาน รัฐบาลทักษิณก็ไม่ประสบความสำ�เร็จในการยกระดับผลิตภาพ (produc-
tivity) ของอุตสาหกรรม การทำ�งานของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐก็ยังคง
กระจัดกระจายและไม่ประสานงานกันเอง ตัวอย่างเช่น ภารกิจการวิจยั ของรัฐ
ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ อุ ต สาหกรรมอ้ อ ยและน้ำ � ตาลก็ ยั ง กระจั ด กระจายอยู่ ใ น 3
กระทรวงคือ เกษตรฯ พาณิชย์ และอุตสาหกรรม หรือในระดับภาพรวม งาน
ชิน้ นีป้ ระเมินว่า ความพยายามของรัฐบาลทักษิณในการสร้างกรอบทางสถาบัน
เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมนั้น ในท้ายที่สุดแล้วไม่ประสบความสำ�เร็จ (Doner
and Ramsay 2004, 44-45)
ส่วนงานชิ้นที่สอง ซึ่งมีข้อสรุปเช่นเดียวกับงานชิ้นแรก คืองานของ
Lauridsen (2008b, 24) เห็นว่า ผลงานการยกระดับอุตสาหกรรมของรัฐบาล
นี้ไม่ประสบผลสำ�เร็จ แม้วา่ จะเป็นรัฐบาลแรกๆ ทีต่ ระหนักดีถงึ ปัญหา อีกทัง้
มียทุ ธศาสตร์และแผนงานทีช่ ดั เจนกว่ารัฐบาลชุดก่อนๆ ก็ตาม แต่โดยรวมแล้ว
งานชิ้นนี้เห็นว่า “นโยบายยกระดับอุตสาหกรรมไม่มีประสิทธิผลพอเพียงที่จะ
ทำ�ให้ [เศรษฐกิจไทย] กลายเป็น ‘ไทยแลนด์อิงค์’ ตามเส้นทางของประเทศ
อุตสาหกรรมใหม่แห่งเอเชียได้”27
อุปสรรคสำ�คัญที่ทำ�ให้การยกระดับอุตสาหกรรมยุครัฐบาลทักษิณไม่
ประสบผลสำ�เร็จคือระบบราชการ จึงอาจสรุปได้ว่า การปฏิรูประบบราชการ
ของรัฐบาลทักษิณไม่ประสบผลสำ�เร็จในการแก้ปัญหาความไร้ประสิทธิผลของ
27
“The overall picture was thus that of a mixed record that did not qualify
to an effective industrial upgrading policy leading towards a ‘Thailand Inc’
-along the trajectory of the Asian NICs.”
59
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
60
การก่อตัวของรัฐไทย
61
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
62
บทที่ 4
เหลือง VS แดง
สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?1
บทนำ�
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาวะความขัดแย้งการเมืองไทยที่ดำ�รงอยู่ในปัจจุบัน
เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองแบบใหม่ทมี่ กี ารระดมมวลชนทัง้ เสือ้ เหลืองและ
เสื้อแดงจำ�นวนมาก เข้าสนับสนุนการต่อสู้ของแต่ละฝ่ายอย่างเข้มข้นและ
ยาวนาน จนอาจกล่าวได้ว่านี้เป็นการเมืองมวลชน (mass politics) ครั้งแรก
ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่แปลกเลยที่ปรากฏการณ์นี้จะกระตุ้นให้นัก
1
เนื้อหาของบทนี้ปรับปรุงมาจากบทความที่ผู้เขียนและคณะดำ�เนินการโครงการวิจัย
เรื่อง “ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย” (Re-examining the Political Landscape of
Thailand) เพื่อเสนอต่อแผนงานเสริมสร้างการเรียนรู้กับสถาบันอุดมศึกษาไทยเพื่อการ
พัฒนานโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) ซึ่งได้นำ�เสนอต่อสาธารณะในครึ่งหลังของปี 2555
และเป็นการวิจยั ในระยะทีส่ องต่อจากอภิชาตและคณะ (2553) “รายงานเบือ้ งต้นโครงการ
วิจยั การเปลีย่ นแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมของชนชัน้ ใหม่” ผูเ้ ขียนขอขอบคุณ นสธ.
ทีส่ นับสนุนเงินทุนเพือ่ การวิจยั และขอขอบคุณคณะนักวิจยั ทัง้ 2 ชุดทีช่ ว่ ยถกเถียงแลก
เปลี่ยนมุมมองและนำ�เสนอข้อมูลต่างๆ ที่สุดท้ายเป็นประโยชน์ต่อการเขียนบทความนี้
แน่นอนว่า ความผิดพลาดใดๆ ของงานชิ้นนี้ย่อมเป็นของผู้เขียนเพียงผู้เดียว ไม่
เกีย่ วข้องกับแหล่งทุนและคณะผูร้ ว่ มวิจยั แต่อย่างใด ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ทอี่ า้ งอิงใน
บทความนี้ทั้งหมดมาจากงานชิ้นที่สอง
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
วิชาการทั้งไทยและเทศพากันแสวงหาคำ�อธิบายไปต่างๆ เพื่อตอบคำ�ถามใน
หลายแง่มุม คำ�ถามแรกๆ ที่ควรจะต้องตอบคือ หนึ่ง ใครคือคนเสื้อเหลือง
และใครคือคนเสื้อแดง? คนสองกลุ่มนี้มีองค์ประกอบและมีบุคลิกลักษณะ
อย่างไร? อะไรคือลักษณะพืน้ ฐานความขัดแย้งของ 2 กลุม่ นี?้ ความขัดแย้ง
นี้ที่มีลักษณะเป็นความขัดแย้งทางชนชั้นหรือไม่? ถ้าใช่แล้วความขัดแย้งนั้น
คืออะไร? มวลชนทัง้ สองฝ่ายเป็นเพียงเบีย้ หมากทางการเมือง ทีถ่ กู ฉวยใช้ใน
ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนชั้นนำ�ทางอำ�นาจเท่านั้น โดยไม่มี
อุดมการณ์และ/หรือผลประโยชน์เฉพาะที่เป็นของตนเอง?
บทนี้แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ส่วนแรกจะทดลองนำ�เสนอจากข้อมูลเชิง
ประจักษ์ว่า มวลชนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองคือใคร มีบุคลิกลักษณะทางสังคม
เศรษฐกิจอย่างไร ส่วนที่สองจะอภิปรายถึงการก่อตัวของชนชั้นใหม่ในบริบท
ของการเปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของไทย ในรอบสองทศวรรษผ่าน
ส่วนที่สามและสี่จะเสนอว่า อะไรคือผลประโยชน์และความขัดแย้งพื้นฐาน
ระหว่าง 2 ฝ่าย? ความขัดแย้งนีม้ ลี กั ษณะเป็นความขัดแย้งทางชนชัน้ หรือไม่
อย่างไร? ส่วนสุดท้ายจะเป็นบทสรุป
ใครคือคนเสื้อแดงและคนเสื้อเหลือง
การศึกษาเชิงปริมาณชิ้นแรกที่พยายามตอบคำ�ถามนี้คือ Ammar and
Somchai (2012, 66-67) ซึง่ สำ�รวจตัวอย่างในขอบข่ายทัว่ ประเทศเมือ่ ปี 2552
งานชิ้นนี้มีข้อสรุปว่า หนึ่ง ไม่พบว่าระดับฐานะทางเศรษฐกิจ (จนหรือรวย),
ภูมิภาค (อีสาน เหนือ ฯลฯ), สถานะภาพทางอาชีพ (นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้
ประกอบการอิสระ [self-employed]), จะเป็นตัวกำ�หนดความน่าจะเป็นของ
ความเป็นคนเสื้อแดง ดังนั้นความเชื่อทั่วๆ ไปที่เห็นว่า คนเสื้อแดงคือคนจน
จึงเป็นเพียงมายาคติ สอง พบว่า “ผูท้ มี่ ฐี านะทางเศรษฐกิจระดับดีมแี นวโน้ม
ที่จะเป็นคนเสื้อเหลือง ดังนั้นคนกรุงเทพ (ทุกระดับชั้นรายได้) และผู้มีฐานะ
ดีนอกกรุงเทพมีแนวโน้มที่จะเป็นเสื้อเหลือง”2
2
“There is a clear tendency for better-off people to be Yellow. Thus Bang-
kok people (across all income classes) are more likely to be Yellow, while
66
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
outside Bangkok the better -off are more likely to be Yellow.” in Ammar and
Somchai (2012, 66-67)
3
สมมุตฐิ านนีส้ ร้างขึน้ จากการศึกษาของอภิชาตและคณะ (2553) ซึง่ เป็นการศึกษาขัน้
เบือ้ งต้นเท่านัน้ ส่วนการศึกษาขัน้ ทีส่ อง (อภิชาตและคณะ 2555) ทัง้ ในระดับลึกและใน
ขอบเขตที่กว้างขึ้นกว่างานชิ้นแรก รวมทั้งทำ�การทดสอบสมมุติฐานนี้ในเชิงสถิติและนำ�
เสนอต่อสาธารณะในช่วงครึ่งหลังของ พ.ศ. 2555
4
สมมุติฐานนี้ถูกเสนอครั้งแรกโดยนิธิ เอียวศรีวงศ์ ในต่างกรรมต่างวาระกัน เช่นใน
67
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
68
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
รูปที่ 2 ค่าจ้างเฉลี่ยในแต่ละอาชีพ
69
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
5
เส้นความยากจนด้านรายได้เท่ากับ 1,586 บาทต่อคนต่อเดือนในปี 2552
70
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
6
งานชิน้ นีน้ ยิ ามครอบครัวเกษตรกรมืออาชีพว่า คือครัวเรือนทีม่ รี ายได้จากภาคเกษตร
มากกว่า 60% ของรายได้ทั้งหมด และผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวไม่ประกอบอาชีพอื่นๆ
เพิ่มเติม
7
จากตัวเลข 19% อาจคิดคร่าวๆ ได้วา่ เป็น 5% ของครัวเรือนทัง้ ประเทศ เนือ่ งจาก
ครัวเรือนเกษตรกรทัง้ หมดมีมากกว่า 25% เล็กน้อย ดังนัน้ อาจอ้างได้วา่ เมือ่ รวมชนชัน้
71
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
72
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
73
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
74
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
เนื่องจากส่วนใหญ่ของแรงงานไม่ได้ทำ�งานในภาคทางการ (62-64%
ในช่วงปี 2548-2553) ดังนั้น นอกจากความคุ้มครองด้านสุขภาพทั่วหน้า
(โครงการ 30 บาท) ทีร่ ฐั จัดให้เมือ่ 25448 แล้ว ความคุม้ ครองทางสังคมอืน่ ๆ
เช่นการว่างงาน เงินทดแทน สงเคราะห์บตุ ร บำ�นาญ ฯลฯ ภายใต้การจัดการ
ของสำ�นักงานประกันสังคมนั้น ครอบคลุมประชากรเพียง 25% ในปี 2553
ส่วนอีก 12.7% ซึ่งเป็นข้าราชการและพนักงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจได้รับ
ความคุ้มครองเช่นกัน แต่ประชากรที่เหลือประมาณสองในสาม หรือคิดเป็น
จำ�นวน 24 ล้านคน ยังไม่ได้รบั ความคุม้ ครองทางสังคมเหล่านี้ (Pasuk and
Pornthep 2012, 18)
อาจสรุปจากข้างต้นได้ว่า “ชนชั้นกลางระดับล่าง” หรือ “ชนชั้นกลาง
ใหม่” เป็นผลผลิตของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนคาดว่ามีประมาณ 40% ของครัว
เรือนไทยในปี 2552 คนกลุม่ นีเ้ ป็นผูอ้ ยูอ่ าศัยทัง้ ในเขตเมืองและชนบท ทำ�งาน
ทัง้ ในและนอกภาคการเกษตร มีอาชีพทัง้ ในและนอกภาคการผลิตทีเ่ ป็นทางการ
แม้ ว่ า คนกลุ่ ม นี้จะไม่ ใช่คนจน แต่เขาก็จนกว่ามากทั้งในด้านรายได้และ
ทรัพย์สิน เมื่อเปรียบเทียบกับชนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป (ชนชั้นกลางเก่า)
และจำ�นวนมากในหมูค่ นเหล่านีข้ าดหลักประกันความมัน่ คงในชีวติ เนือ่ งจาก
ทำ�งานในภาคที่ไม่เป็นทางการ
กล่าวในรายละเอียดเพิ่มเติมนอกเหนือจากฐานะทางเศรษฐกิจข้างต้น
แล้ว คนกลุ่มนี้คือ ผู้ที่วิถีชีวิตทั้งด้านการผลิตและการบริโภคผูกพันกับระบบ
ทุนนิยมอย่างแนบแน่น เขาเป็นผูค้ า้ ขาย, ผูป้ ระกอบการอิสระเช่นขับรถแท็กซี,่
จักรยานยนต์รับจ้าง, ช่างซ่อมเครื่องยนต์, ช่างเสริมสวย ฯลฯ หรือแม้เป็น
เกษตรกรก็เป็นเกษตรกรเชิงพาณิชย์ มีเป้าหมายการผลิตเพือ่ ป้อนตลาด เขา
ไม่ใช่เกษตรกรแบบพอเพียงทีผ่ ลิตเพือ่ บริโภคเองเป็นหลัก ผูค้ นเหล่านีต้ า่ งวาด
หวังต้องการไต่เต้า ยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมภายใต้ระบบตลาด
สมัยใหม่ ไม่แตกต่างไปจากชนชั้นกลางเก่า สิ่งที่แตกต่างคือ เขาอาจมี
8
ปัจจุบันโครงการ “30 บาทรักษาทุกโรค” ครอบคลุม 75.2% ของประชากร ดังนั้น
ประชากรจำ�นวนนี้ในช่วงก่อนมีโครงการจึงไม่มีหลักประกันด้านสุขภาพที่จัดให้โดยรัฐ
75
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
76
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
ในแง่นี้ผู้เขียนเห็นว่า การก่อตัวหรือการปรากฏตัวขึ้นของชนชั้นกลาง
ใหม่ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากชนชั้นกลางเก่า คือเงื่อนไขทางภววิสัย
ที่เอื้อให้แก่การก่อตัวของคนเสื้อแดง แน่นอนว่า ข้อเสนอนี้มิได้หมายความ
ว่า ทุกคนหรือส่วนใหญ่ของคนในชัน้ ชนนีจ้ ะต้องเป็นเสือ้ แดง ในขณะเดียวกัน
ย่อมมิได้หมายความว่า คนในชนชัน้ ทางเศรษฐกิจอืน่ ไม่วา่ จะยากดีมจี นเช่นไร
จะเป็นคนเสือ้ แดงไม่ได้ หรือคนชัน้ กลางใหม่นจี้ ะเป็นเสือ้ เหลืองหรือไม่มสี เี สือ้
ไม่ได้ การทีป่ จั เจกชนใดจะเลือกหรือไม่เลือกอัตลักษณ์ทางการเมืองใด ฐานะ
ทางเศรษฐกิจของเขาย่อมไม่ ใช่ปัจจัยที่จำ�เป็นและเพียงพอในการกำ�หนด
อัตลักษณ์ของเขา อย่างไรก็ตามผูเ้ ขียนมีสมมุตฐิ านว่า จำ�นวนทีม่ นี ยั ยะสำ�คัญ
ของคนเสื้อแดงเป็นคนในชนชั้นนี้
จากไพร่ฟ้าสู่ความเป็นพลเมือง
การปรากฏตัวขึน้ ของชนชัน้ ใหม่เป็นเงือ่ นไขทางภววิสยั ทีเ่ อือ้ แก่การก่อ
ตัวของพลังทางสังคมชนิดใหม่ หรือผูเ้ ล่นกลุม่ ใหม่ในสังคมการเมือง แต่สง่ิ นี้
ไม่ใช่ปจั จัยทีจ่ �ำ เป็นหรือเพียงพอทีจ่ ะเปลีย่ นคนกลุม่ ใหม่ให้กลายเป็นกลุม่ พลัง
ใหม่ทางสังคม บทความนีเ้ สนอว่า ความเปลีย่ นแปลงทางการเมืองในรอบสิบ
กว่าปีท่ผี ่านมาได้สร้างให้บางส่วนของคนกลุ่มใหม่น้ีให้กลายคนเสื้อแดง ซึ่งมี
จิตสำ�นึกทางการเมือง (political consciousness) แบบใหม่ คือการสำ�นึกว่า
ตนไม่ใช่ไพร่ ข้า หรือพสกนิกร ซึง่ ไม่มสี ทิ ธิ์ไม่มเี สียงในการกำ�หนดความเป็น
ไปของบ้านเมือง แต่กลับมีส�ำ นึกว่าตนเป็นพลเมือง หรือเป็นหุน้ ส่วนของสังคม
การเมืองนี้ ตนจึงมีสิทธิท่ีจะกำ�หนดชะตากรรมของบ้านเมืองเช่นกัน ดังนั้น
“คนเหล่านี้ต้องการพื้นที่ทางการเมือง เพื่อผลักดันผลประโยชน์ของตนเอง
ปัญหาทีเ่ ขาเผชิญอยูเ่ ป็นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่การร้องทุกข์ทางเศรษฐกิจ
หรือร้องขอการอุปถัมภ์จากรัฐ” (นิธิ 2551) ดังที่ช่างเฟอร์นิเจอร์เสื้อแดงใน
จังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า “(เมื่อก่อน) พึ่งพานโยบายรัฐน้อย หมดหน้าข้าวก็
ต้องปลูกแตง ปลูกอย่างอื่นต่อวนๆ กันไป ไม่ได้คิดถึงนโยบายของรัฐ คิดว่า
ต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นหลัก เมือ่ ก่อนยังมีทด่ี นิ ทำ�กินอยู่ แต่พอทีด่ นิ ไม่มี เรา
ก็ตอ้ งพึง่ พิงนโยบายรัฐมากขึน้ และรูส้ กึ ว่าการเลือกตัง้ สำ�คัญกับตัวเองมากขึน้ ”9
9
ข้อมูลจากการสนทนากลุ่มในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง อำ�เภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
มกราคม 2554
77
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
78
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
79
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
80
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
81
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
82
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
ชนชั้นกลางเก่าสู้เพื่อสิ่งใด
จากรูปที่ 1 กลุม่ คนทีเ่ ป็นเจ้าของกิจการการค้าและอุตสาหกรรม และ
ผู้ประกอบวิชาชีพมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 30% เศษของจำ�นวนครัวเรือน
ทั้งประเทศ โดยมีรายได้ตั้งแต่เกือบ 15,000 บาทถึง 20,000 บาทเศษ (รูป
ที่ 2) ในปี 2552 ผู้เขียนคาดว่าคนชั้นกลางเก่ากลุ่มนี้คือ ฐานมวลชนหลัก
ของคนเสือ้ เหลือง กล่าวอีกแบบนัน้ คนเสือ้ เหลืองคือ กองหน้าของชนชัน้ กลาง
เก่า แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นคนส่วนข้างน้อยของประเทศ แต่มีฐานะและความ
มั่นคงทางเศรษฐกิจสูง ชนชั้นนี้จึงมีความจำ�เป็นทางเศรษฐกิจที่จะต่อรองกับ
รัฐน้อยกว่า เมื่อเทียบกับชนชั้นกลางใหม่ เหตุผลสำ�คัญคือคนกลุ่มนี้เข้าถึง
บริการหลักๆ จากรัฐมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระดับสูงหรือการ
ศึกษาทีม่ คี ณ ุ ภาพสูง การรักษาพยาบาล หรือหลักประกันความมัน่ คงของชีวติ
ภายใต้กองทุนประกันสังคม รวมทั้งได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทาง
กายภาพเช่น ถนน น้ำ�ประปา ไฟฟ้า ฯลฯ ก่อนกลุ่มอื่นๆ กล่าวอีกแบบคือ
คนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มแรกที่ถูกสร้าง และเติบโตมาพร้อมๆ กับกระบวนการ
พัฒนาเศรษฐกิจในทศวรรษ 2503 ชนชั้นนี้จึงเป็นคนรุ่นแรกที่ได้ประโยชน์
โดยตรงจากความเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่นเป็นนักศึกษารุ่นแรกๆ ของการ
ขยายตัวของมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดตั้งขึ้นหลายแห่งหลังพ.ศ. 2500
ประเด็นสำ�คัญคือเมื่อชนชั้นนี้จะต่อรองกับรัฐ ก็มีพื้นที่และเครื่องมือ
หลากหลายในการต่อรองกับรัฐที่ได้ผลอยูแ่ ล้ว โดยไม่ตอ้ งพึง่ การเลือกตัง้ อาจ
ถือได้วา่ สือ่ มวลชนกระแสหลักทุกแขนงเป็นตัวแทนและกระบอกเสียงของชนชัน้
นี้ จนกระทัง่ ไม่มรี ฐั บาลใดในอดีตทีจ่ ะอยูร่ อดทางการเมืองได้ โดยไม่ตอ้ งสนใจ
การวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชน อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำ�ให้ชนชั้นกลางเก่ามี
อำ�นาจต่อรองกับรัฐสูงคือ ความสำ�คัญของชนชัน้ นี้ในโครงสร้างการทำ�งานของ
ระบบเศรษฐกิจ อย่างน้อยก็ในระดับทีม่ ากกว่าชนชัน้ กลางใหม่ เช่น หากไม่มี
นักวิชาชีพประเภทต่างๆ หรือผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือมี
ไม่เพียงพอแล้ว การเติบโตขยายตัวของระบบเศรษฐกิจจะเป็นไปได้ยาก ดังนัน้
อำ�นาจต่อรองกับรัฐของเขาในเชิงโครงสร้างย่อมมีมากกว่าชนชั้นกลางใหม่
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากกลุ่มนี้มีจำ�นวนน้อยกว่า การเลือกตั้งจึงไม่ใช่
เครือ่ งมือชิน้ หลัก หรือแม้กระทัง่ จะเป็นเครือ่ งมือชิน้ สำ�คัญในการต่อรองกับรัฐ
83
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
84
เหลือง VS แดง: สีของความขัดแย้งทางชนชั้น?
85
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
ดังนั้นจึงมีสิทธิที่จะกำ�หนดชะตากรรมของตนเอง และเนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็น
ชนส่วนข้างมากของสังคม ในขณะทีเ่ ขามีพนื้ ทีห่ รือเครือ่ งมืออืน่ ในการต่อรอง
ทางการเมืองทีจ่ �ำ กัด การเลือกตัง้ จึงเป็นกลายเครือ่ งมือทีม่ ปี ระสิทธิผลทีส่ ดุ ใน
การผลักดันให้นโยบายของรัฐเป็นประโยชน์แก่ตน การรัฐประหาร 2549 และ
พัฒนาการทางการเมืองที่ตามมา จึงเป็นการปฏิเสธความเป็นพลเมือง และ
ทำ�ลายเครื่องมือชิ้นหลักของชนชั้นนี้ ในแง่นี้การต่อสู้ทางการเมืองของคน
เสือ้ แดง จึงเป็นไปเพือ่ ปกป้องการเมืองแบบเลือกตัง้ ซึง่ เป็นสถาบันทีป่ กป้อง
ผลประโยชน์ของชนชั้นกลางใหม่ได้ดีที่สุด
ตรงกันข้าม การลงหลักปักฐานและการขยายตัวของการเมืองแบบเลือก
ตัง้ ทัง้ ในระดับชาติและท้องถิน่ กลับทำ�ให้อทิ ธิพลทางการเมืองของชนชัน้ กลาง
เก่าลดน้อยลง การเลือกตั้งไม่ใช่เครื่องมือสำ�คัญและมีความหมายกับชีวิต
ประจำ�วันของคนกลุม่ นี้ เนือ่ งจากในเชิงปริมาณแล้ว เขาเป็นคนส่วนข้างน้อย
ของสังคม ยิ่งกว่านั้น ชนชั้นนี้ยังมีเครื่องมือและพื้นที่ทางการเมืองอื่นๆ ที่มี
ประสิทธิผลสูงกว่าการลงคะแนนเลือกตัง้ ในการต่อรองนโยบายทีเ่ ป็นประโยชน์
แก่ชนชัน้ ตนจากรัฐ เช่นการมีสอื่ สารมวลชนกระแสหลักเป็นกระบอกเสียงของ
ชนชั้นตน ดังนั้นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเสื้อเหลือง ซึ่งเป็นกอง
หน้าของชนชั้นกลางเก่า จึงต้องการลดทอนความสำ�คัญหรือทำ�ลายการเมือง
แบบเลือกตั้ง ทั้งนี้เพื่อปกป้องอภิสิทธิ์ทางการเมืองของชนชั้นตัวเองต่อไป
ในท้า ยที่สุดแล้วจึง อาจมองว่า ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเสื้อแดง
และเสือ้ เหลืองมีลกั ษณะเป็นการเมืองของการกระจายทรัพยากร (redistributive
politics) ที่ฝ่ายหนึ่งต้องการปกป้องการเมืองแบบเลือกตั้ง ซึ่งกลายเป็น
เครื่องมือชิ้นสำ�คัญที่สุดในการผลักดันให้รัฐจัดสรรทรัพยากรมารับใช้ผล
ประโยชน์ของชนชัน้ ตน ในขณะทีอ่ กี ฝ่ายหนึง่ ต้องการลดทอนความสำ�คัญของ
เครือ่ งมือนี้ เพราะมันลดบทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของชนชัน้ ตน กล่าว
ในเชิงนีแ้ ล้ว บทความนีจ้ งึ ปฏิเสธทัศนะทีม่ องความขัดแย้งนีว้ า่ เป็นเพียงความ
ขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำ�เท่านั้น โดยที่มวลชนทั้งสองฝ่ายเป็นเพียงเบี้ยหมาก
ทางการเมืองของชนชั้นนำ� (Crispin 2012) แน่นอนบทความนี้ไม่ปฏิเสธว่า
มีความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำ�เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งด้วย แต่เห็นว่า
ความขัดแย้งที่มีลักษณะทางชนชั้นนี้เป็นประเด็นหลัก ส่วนความขัดแย้งของ
ชนชั้นนำ�นั้นเป็นเรื่องรอง
86
บทที่ 5
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
แนวทางปฏิบัตินิยมแบบ “แมวไม่ว่าสีอะไร ขอให้จับหนูได้ก็พอ”
บทนำ�
ชื่ อ ป๋ ว ย อึ๊ ง ภากรณ์ นั้ น ถู ก เชื่ อ มโยงอย่ า งแนบแน่ น กั บ ความเป็ น
“เทคโนแครต” ของไทย ป๋วยถูกเชิดชูวา่ เป็นต้นแบบในอุดมคติของเทคโนแครต
ผูเ้ ก่งกาจในใช้วชิ าความรู้ในการกำ�หนดนโยบายของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ด้าน
การเงินการคลังและการพัฒนาเศรษฐกิจ เพือ่ ประโยชน์สาธารณะอย่างซือ่ สัตย์
สุจริต แต่เอาเข้าจริงแล้วความเก่งกาจไม่วา่ ในเชิงความรู้ ความสามารถ หรือ
ความซื่อสัตย์นั้นกลับมิใช่คุณสมบัติโดดเด่นที่สุดที่แยกป๋วยออกจากคนอื่นๆ
แต่กลับเป็นความกล้าหาญที่จะไม่สยบยอมต่อผู้มีอำ�นาจเบ็ดเสร็จ พร้อมที่จะ
คัดค้านดำ�ริหรือการกระทำ�ของผูก้ มุ อำ�นาจทีป่ ว๋ ยเห็นว่าไม่ถกู ต้อง และทีส่ �ำ คัญ
คือ ความยึดมั่นในการเมืองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย เทคโนแครตไทยใน
รุน่ ต่อๆ มามักอ้างว่าตนยึดป๋วยเป็นแบบอย่างในการทำ�งาน แต่กาลต่อมาก็ชี้
ให้เห็นว่า เทคโนแครตรุ่นหลังๆ กลับมิได้ยึดมั่นในแนวทางของป๋วย โดย
เฉพาะอย่างยิง่ อุดมการณ์ทางการเมืองแบบเสรีนยิ มประชาธิปไตยทีป่ ว๋ ยเชือ่ มัน่
ข้อสังเกตว่า การที่เทคโนแครตรุ่นหลังๆ ไม่ยึดมั่นในแนวทางแบบ
เสรีนยิ มประชาธิปไตยนัน้ มิใช่สงิ่ ใหม่แต่อย่างไร แม้แต่ในปี 2519 บทความ
ของ Laurence D. Stifel ก็ตงั้ ข้อสังเกตในการศึกษากลุม่ เทคโนแครตภายหลัง
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
1
“[F]ew had faith in the ability of ordinary politicians to guide the progress
of the country, and many of the younger technocrats deprecated the lack of
purpose, the corruption, the unsophistication of the elected members of parlia-
ment. This leads to the final observation that the role of technocrats must be
redefined if the new parliamentary system is to be viable and independent.”
(Stifel 1976, 1195)
90
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
นิยามและรุ่นของเทคโนแครตไทยนับจากหลังสงครามโลก
ความหมายในปัจจุบนั ของคำ�ว่าเทคโนแครตที่ใช้โดยผูส้ อื่ ข่าวนอกบริบท
ของสังคมไทยนัน้ มักหมายถึงผูท้ มี่ อี �ำ นาจจากวิชาความรู้ ความเชีย่ วชาญใน
ศาสตร์ ใ ดๆ ซึ่ ง ใช้ อำ � นาจนั้ น ตั ด สิ น ใจต่ อ ปั ญ หาสาธารณะ เช่ น วิ ศ วกร
นักวิทยาศาสตร์ หรือผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจแทนที่ผู้ใช้อำ�นาจที่มาจากการ
เลือกตัง้ 2 ความหมายนีส้ อ่ นัยถึงความไม่เป็นประชาธิปไตย เนือ่ งจากการตัดสิน
ใจของเทคโนแครตไม่ตอ้ งยึดโยงกับผูอ้ อกเสียงเลือกตัง้ ส่วนที่ Stifle ใช้หมาย
ถึงเจ้าหน้าทีข่ องรัฐไทยผูม้ กี ารศึกษาสมัยใหม่ทงั้ จากในและต่างประเทศ ซึง่ ใช้
ทักษะใหม่ๆ มากำ�หนดนโยบายและบริหารนโยบายระดับชาติ การใช้ทักษะ
ใหม่ๆ เหล่านีท้ �ำ ให้คนภายนอกยากทีจ่ ะแบ่งแยกว่าในยุคอำ�นาจนิยมทหารก่อน
2516 นั้นเทคโนแครตเป็นผู้มีอำ�นาจในการกำ�หนดเป้าหมายและเนื้อหาของ
นโยบาย หรือเป็นแค่ผปู้ ฏิบตั ขิ บั เคลือ่ นนโยบาย (Stifle 1976, 1188) ในขณะ
ที่รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ แบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างผู้มีอำ�นาจในการตัดสิน
ใจขัน้ สุดท้าย ซึง่ เขาเรียกว่า “ชนชัน้ นำ�ทางอำ�นาจ” และเรียกเทคโนแครตว่า
“ขุนนางนักวิชาการ” ซึ่งก็คือ “ข้าราชการผู้บริหารระดับกลาง (middle-level
executive) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการดำ�เนินนโยบายเศรษฐกิจ... มิใช่ผู้กำ�หนด
นโยบายหรือผูต้ ดั สินใจขัน้ สุดท้ายในการกำ�หนดนโยบาย” (รังสรรค์ 2532, 70)
ในบทนี้ คำ�ว่าเทคโนแครตจะหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้มีความรู้ ความ
เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ ซึ่งใช้หรืออ้างว่าใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญนั้นในการ
กำ�หนด หรือนำ�เสนอนโยบายสาธารณะด้านเศรษฐกิจ ทัง้ ในภาครัฐและเอกชน
โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นผูม้ อี �ำ นาจตัดสินใจขัน้ สุดท้ายหรือเป็นเพียงผูเ้ สนอแนะ
หรือเป็นเพียงผู้ขับเคลื่อนนโยบาย3
ในแง่นี้แล้ว อาจแบ่งเทคโนแครตเฉพาะของภาครัฐนับตั้งแต่หลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เป็น 3 รุ่นคือ รุ่นของป๋วย อึ้งภากรณ์ ป๋วยนั้นมี
ความสามารถและบารมีโดดเด่น จนกลายเป็นผูน้ �ำ ของรุน่ อย่างชัดเจน สมาชิก
ของคนในรุ่นนี้มีบุญมา วงศ์สวรรค์ ฉลอง ปึงตระกูล สมหมาย ฮุนตระกูล
เป็นต้น ส่วนรุน่ ที่ 2 นัน้ คือรุน่ ของเสนาะ อูนากูล อาจกล่าวได้วา่ เขาเป็นผูท้ ี่
2
“Technocracy,” Wikipedia, http://en.wikipedia.org/wiki/Technocracy.
3
นิยามนี้จะถูกขยายความต่อไป
91
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
มีบทบาทโดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งของรุ่น แม้ว่าภาวะผู้นำ�ของเขาในรุ่นนี้จะ
ไม่ได้รับการยอมรับเทียบเท่าป๋วยก็ตาม ตัวอย่างของสมาชิกในรุ่นนี้คือ นุกูล
ประจวบเหมาะ พนัส สิมะเสถียร ชวลิต ธนะชานันทน์ ฯลฯ รุน่ ที่ 3 คือรุน่
ของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล นิพัทธ พุกกะณะสุต วิจิตร สุพินิจ ชัยวัฒน์
วิบูลย์สวัสดิ์ โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ ศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นต้น (รังสรรค์
2532, เชิงอรรถ 49, 40)
ประสบการณ์ชีวิตและการทำ�งาน รวมทั้งภูมิหลังทางการศึกษาที่แตก
ต่างกันระหว่างรุ่น ทำ�ให้เทคโนแครตในแต่ละรุ่นให้ความสำ�คัญกับเป้าหมาย
ทางเศรษฐกิจทีแ่ ตกต่างกัน โดยคนในรุน่ แรกมีประสบการณ์ตรงกับภาวะความ
ไร้เสถียรภาพของเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งในระหว่างและหลังสงครามโลก
ครัง้ ที่ 2 รวมทัง้ ยังเป็นผูส้ บื ทอดจารีตอนุรกั ษนิยมทางการเงินการคลังโดยตรง
จากขุนนาง และที่ปรึกษาชาวต่างประเทศในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครอง 2475 ทำ�ให้คนกลุ่มนี้เน้นความสำ�คัญของการรักษาเสถียรภาพทาง
เศรษฐกิจเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้นหนึ่งในผลงานสำ�คัญของคนรุ่นนี้คือ การสร้าง
กฎกติกาทางการเงินและการคลังขึ้น เพื่อผูกมัดมิให้ผู้มีอำ�นาจทางการเมือง
(ในยุคนัน้ คือบุคคลในเครือ่ งแบบ) ใช้นโยบายการเงินการคลังไปในทิศทางทีจ่ ะ
ก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพ ในขณะที่เทคโนแครตรุ่นสองให้ความสำ�คัญแก่
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ก็มิได้ถึงกับละทิ้งเป้าหมายด้าน
เสถียรภาพ สาเหตุสำ�คัญคือคนรุ่นนี้เกือบทั้งหมด จบการศึกษาระดับสูงทาง
เศรษฐศาสตร์กระแสหลักจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งให้ความสำ�คัญเหนือสิ่งอื่นใด
ต่อประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรของกลไกตลาด ในขณะทีล่ ะเลยความ
เชื่อมโยงและความเกี่ยวพันระหว่างปัจจัยทางเศรษฐกิจกับปัจจัยอื่นๆ ทั้ง
ทางการเมืองและสังคม ทำ�ให้คนในรุน่ นี้ไม่ได้ให้ความสำ�คัญกับเป้าหมายอืน่ ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการกระจายรายได้ แต่อย่างไรก็ตามอาจกล่าวโดยรวม
ได้ว่า เทคโนแครตทั้ง 2 รุ่นมีอคติทางนโยบายที่ให้ความสำ�คัญแก่เป้าหมาย
การเจริญเติบโต และเสถียรภาพของเศรษฐกิจ มากกว่าการลดความยากจน
และการกระจายรายได้ รวมทั้งมีแนวโน้มในการเข้าข้างเมืองมากกว่าชนบท
(รังสรรค์ 2532, 72-74)
ประสบการณ์การทำ�งานทีแ่ ตกต่างระหว่างคนในสองรุน่ นี้ ทำ�ให้รนุ่ ที่ 2
92
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
ตัง้ คำ�ถามต่อความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนแครตกับระบอบอำ�นาจนิยมทหารน้อย
กว่ารุน่ แรก กล่าวคือคนในรุน่ ที่ 1 นัน้ โดยเฉพาะป๋วยพบเจอกับการใช้อ�ำ นาจ
ฉ้อฉลของผูก้ มุ อำ�นาจโดยตรง ทัง้ จากพลตำ�รวจเอกเผ่า ศรียานนท์ และจอมพล
สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดังเช่นในขณะทีเ่ ขาเป็นรองผูว้ า่ การธนาคารแห่งประเทศไทย
สหธนาคารได้ท�ำ ผิดกฎควบคุมการแลกเปลีย่ นเงินตราระหว่างประเทศ ซึง่ ทำ�ให้
ต้องถูกปรับเป็นเงินหลายล้านบาท ผู้มีอำ�นาจทั้งสองกลับต่อรองให้ป๋วยไม่สั่ง
ปรับ เมื่อไม่ยอมทำ�ตาม เขาจึงถูกปลดจากตำ�แหน่ง แม้กระทั่งภายหลัง
รัฐประหาร 2500 แล้ว จอมพลสฤษดิก์ เ็ คยแทรกแซงการทำ�งานของธนาคาร
แห่งประเทศไทย เช่นกรณีทมี่ ดี �ำ ริจะให้จดั ตัง้ คณะกรรมการขึน้ มาเป็นเอกเทศ
เพื่อบริหารจัดการเงินสำ�รองระหว่างประเทศ แทนธนาคารแห่งประเทศไทย
(ป๋วย 2515, 163-66, 170-71)
ส่วนเทคโนแครตรุ่นที่ 2 นั้น เริ่มต้นทำ�งานภายหลังการจบการศึกษา
จากต่างประเทศ เมื่อระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จของจอมพลสฤษดิ์ลงหลักปัก
ฐานแล้ว ทำ�ให้คนเหล่านี้มองเห็นว่าระบอบสฤษดิ์นั้นคือ “เครื่องมือที่ดีที่สุด
ในการรับใช้ประเทศชาติ” (Stifle 1976, 1191) เนื่องจากอำ�นาจรวมศูนย์ที่
เบ็ดเสร็จเด็ดขาดของเขา ทำ�ให้จอมพลสฤษดิส์ ามารถรับเอาเนือ้ หาทางนโยบาย
ทีเ่ สนอโดยเทคโนแครตไปปฏิบตั ไิ ด้โดยตัดผ่าน-ก้าวข้ามการเมืองภายในระบบ
ราชการไปได้ สิ่งนี้ทำ�ให้เทคโนแครตรุ่น 2 ยอมรับในความชอบธรรมของ
สฤษดิท์ มี่ ตี อ่ การพัฒนาประเทศ และยินดีปรีดาทีจ่ ะได้คลุกคลีกบั ชนชัน้ นำ�ทหาร
ในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รวมทั้งยอมรับข้ออ้างของทหารว่าความ
มัน่ คงของประเทศมีความสำ�คัญสูงสุด (Stifle 1976, 1191-92) ซึง่ เท่ากับการ
ยอมรับการนำ�ของทหารนั่นเอง ตัวอย่างที่เด่นชัดของคนในกลุ่มก็คือ เสนาะ
อูนากูล เขากลับมาเริม่ ต้นการทำ�งานทีส่ ภาพัฒนาเศรษฐกิจ4 ซึง่ เพิง่ ถูกจัดตัง้
ขึ้นใหม่ๆ ในปี 2502 ตามคำ�ชักชวนของป๋วย ในหนังสือ พลังเทคโนแครต
ซึง่ เป็นบันทึกความทรงจำ�ของเขานัน้ กล่าวว่า “อย่างน้อยในระยะแรก จอมพล
สฤษดิส์ ามารถรวบรวมคนเก่งและคนดีมาช่วยชาติบา้ นเมืองได้เป็นจำ�นวนมาก
เพือ่ นำ�ชาติเข้าสู่ ‘ยุคพัฒนา’” (เสนาะ 2556, 91) ประสบการณ์และท่าทีการ
4
ชื่อเดิมของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปัจจุบัน
93
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
5
ดูรายละเอียดของความสัมพันธ์ในช่วงเวลากว่า 40 ปีนี้ได้ใน อภิชาต (2556, บทที่
2-3, 5) และ Apichat (2002, chap. 4)
94
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
95
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
คือผู้ดำ�รงตำ�แหน่งประธานสถาบันของทีดีอาร์ ไอ และคณะกรรมการที่กำ�กับ
ดูแลฝ่ายบริหาร ซึ่งก็คือสภาสถาบันและคณะกรรมการบริหารสถาบันของ
ทีดีอาร์ ไอ โดยมิได้ศึกษาผ่านบทบาทของนักวิจัยหรือบุคคลากรอื่นๆ ของ
องค์กรนี้ เนื่องจากเชื่อว่าทิศทางใหญ่ๆ และแบบแผนปฏิบัติขององค์กรถูก
กำ�หนดและกำ�กับจากกลุม่ บุคคลข้างต้นเป็นหลัก ดังนัน้ ข้อกล่าวอ้างใดๆ ของ
บทความนี้จึงมิได้หมายความว่า นักวิจัยหรือปัจเจกชนขององค์กรจำ�เป็นต้อง
มีแนวคิดหรือท่าทีสอดคล้องกับองค์กร
กล่าวอ้างได้วา่ สถาบันวิจยั เพือ่ การพัฒนาประเทศไทย ซึง่ เป็นทีร่ จู้ กั กัน
ดีในชือ่ ย่อว่า ทีดอี าร์ไอ6 คือองค์กรของเทคโนแครตรุน่ ที่ 4 ของประเทศไทย
ทัง้ ๆ ทีเ่ ป็นองค์กรนอกภาครัฐ แต่ทดี อี าร์ไอกลับสืบทอดบทบาท แนวคิด และ
บุคลิกลักษณะ (ethos) ของเทคโนแครตภาครัฐโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
แนวทางแบบปฏิบัตินิยมแบบ “แมวไม่ว่าสีอะไร ขอให้จับหนูได้ก็พอ” จาก
เทคโนแครตรุน่ ที่ 2 ส่วนสำ�คัญของความสืบเนือ่ งนีเ้ กิดจากการสืบต่อในแง่ตวั
บุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเสนาะ อูนากูล ซึ่งเป็นทั้งผู้จัดตั้งและดำ�รง
ตำ�แหน่งประธานมูลนิธฯิ คนแรกจนถึงปัจจุบนั รวมทัง้ เป็นประธานสภาสถาบัน
และประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันคนแรกอีกด้วย แม้ว่าวัตถุประสงค์
ของเสนาะในการจัดตัง้ ทีดอี าร์ไอคือการให้องค์กรนีท้ �ำ หน้าทีเ่ ป็นคลังสมองของ
ภาครัฐโดยตรง กล่าวอีกแบบคือ ต้องการให้เป็นส่วนหนึง่ ของเทคโนแครต ซึง่
ทำ�หน้าที่วิจัยนโยบายสาธารณะสนับสนุนงานของภาครัฐ แต่คณะผู้ก่อตั้ง
ตระหนักดีวา่ หากจัดตัง้ องค์กรนี้ให้เป็นส่วนหนึง่ ของภาครัฐแล้วจะต้องประสบ
ปัญหาในการบริหารหลายประการ สุดท้ายจึงจัดตั้งขึ้นนอกภาครัฐแทน อาจ
กล่าวได้ว่า แม้ด้วยความไม่ตั้งใจของคณะผู้ก่อตั้ง แต่สุดท้ายแล้วการก่อตั้ง
6
มีฐานะทางกฎหมายเป็นมูลนิธทิ ไ่ี ม่แสวงหากำ�ไร ก่อตัง้ ขึน้ อย่างเป็นทางการเมือ่ เดือน
มีนาคม 2527 จากการริเริม่ และผลักดันของเสนาะ อูนากูล ในช่วงทีด่ �ำ รงตำ�แหน่งเลขาธิการ
สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในยุครัฐบาลเปรม และตั้งใจให้ทีดีอาร์ ไอเป็น
สถาบันวิจัยอิสระที่เป็นคลังสมองของประเทศไทย โดยผลักดันให้รัฐบาลแคนาดาในนาม
ขององค์กรชือ่ Canadian International Development Agency (CIDA) มอบเงินช่วย
เหลือก้อนสำ�คัญ เพื่อเป็นทุนเริ่มต้นให้กับทีดีอาร์ไอ (เสนาะ 2556, 271-77)
96
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
ทีดีอาร์ ไอให้อยู่นอกภาครัฐก็คือการปรับตัวของกลุ่มเทคโนแครตครั้งสำ�คัญใน
การสร้างรูปแบบการทำ�งาน (platform) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนผ่านทาง
การเมืองจากระบอบประชาธิปไตยครึง่ ใบ ซึง่ กำ�ลังจะสิน้ สุดลงเมือ่ รัฐบาลเปรม
ลงจากอำ�นาจ สูก่ ารเมืองแบบเลือกตัง้ พอดี ดังนัน้ ในช่วง “ตัง้ ไข่” ทีดอี าร์ไอ
ทำ�หน้าที่ไม่ต่างจากส่วนขยายของกลุ่มเทคโนแครตรุ่นที่สอง ดังคำ�กล่าวของ
อาณัติ อาภาภิรม ประธานสถาบันคนแรก (พ.ย. 2527-ก.ค. 2530) ถึง
ผลงานขององค์กร
ในช่วงแรกมีผลมาก...อาจารย์เสนาะซึ่งเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์มานั่งเป็น
ประธานมูลนิธิและที่สำ�คัญที่สุดคือพลเอกเปรม ในช่วงนั้นนักวิชาการของ
ทีดอี าร์ไอเป็นทีป่ รึกษาของพลเอกเปรมหกคน มันจึงต่อสายตรงกับรัฐบาล
เพราะฉะนัน้ นโยบายสาธารณะของรัฐบาลมาจากมันสมองของทีดอี าร์ไอเป็น
ส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว (ปกป้องและคณะ 2557, 68)
แต่เมื่อการเมืองเปลี่ยนผ่านสู่การเมืองแบบเลือกตั้งนับตั้งแต่ยุคนายก
รัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณ แล้ว เสนาะได้สะท้อนว่า “เนือ่ งจากสภาพการเมือง
เปลีย่ นไป การเชือ่ มผลงานวิจยั ของสถาบันผ่านบุคคลทีม่ หี น้าทีก่ �ำ หนดนโยบาย
โดยตรง จึงเริม่ ไม่ใช่รปู แบบทีเ่ หมาะสม” ฉลองภพ สุสงั กร์กาญจน์ ประธาน
สถาบันคนที่ 4 (ม.ค. 2539-มี.ค. 2550) จึงเริ่มเชื่อมงานวิจัยสู่นโยบายโดย
การสร้างแนวร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับกลางของรัฐ เพื่อให้ทีดีอาร์ ไอคงรักษา
บทบาทในการเสนอแนะนโยบายผ่านการจัดทำ�แผนพัฒนาและนโยบายของ
หน่วยงานรัฐต่อไป (เสนาะ 2556, 278)
สิ่งที่เสนาะไม่ได้กล่าวไว้ในรายละเอียดของความจำ�เป็นในการปรับตัว
ครัง้ นีค้ อื การเมืองแบบเลือกตัง้ หลังยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นต้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ความเปลีย่ นแปลงอย่างไพศาลหลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
มีผลบังคับใช้ กติกาการเมืองชุดใหม่นปี้ ระสบความสำ�เร็จตามเจตนารมณ์ของ
ผูร้ า่ งคือ การเปลีย่ นรัฐบาลจากการเลือกตัง้ ที่ไร้ประสิทธิผลให้กลายเป็นรัฐบาล
ที่เข้มแข็งจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมได้ดีขึ้น รัฐบาล
ทักษิณ ชินวัตร ใช้อำ�นาจตามกติกาใหม่นี้ผลักดันชุดนโยบาย “ประชานิยม”
ตามสัญญาที่ ให้ไว้ ในการหาเสียงอย่างรวดเร็ว จนได้รับความนิยมอย่าง
97
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
98
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
พิจารณาจากรายชือ่ คณะกรรมการสภาสถาบันและคณะกรรมการบริหารสถาบัน
ชุด พ.ศ. 2557 แล้ว (เอกสิทธิ์ 2556, ตารางที่ 5, 50-51) จะพบว่า กว่าครึง่
เป็นคนชุดเดิมทีเ่ คยอยู่ในกรรมการทัง้ สองชุดมาแล้วตัง้ แต่ปี 2548 เป็นอย่าง
ช้า แม้วา่ จะไม่สามารถระบุหลักเกณฑ์ในการเลือกบุคคลเหล่านี้ แต่ขอ้ สังเกต
คือ คนเหล่านีจ้ �ำ นวนมากมักเป็นผูท้ ี่ใกล้ชดิ หรือมีความสัมพันธ์ในทางใดทาง
หนึ่งกับเสนาะ กรรมการสองชุดนี้จึงมีลักษณะกระจุกตัวในวงแคบ และมีสาย
สัมพันธ์ต่อเนื่องยาวนาน
ท่วงท่าแบบปฏิบตั นิ ยิ มที่ “แมวไม่วา่ สีอะไร ขอให้จบั หนูได้กพ็ อ” ของ
ทีดอี าร์ไอนัน้ ยังสามารถเข้าใจได้เพิม่ เติม หากพิจารณาจากทัศนะของ “ผูใ้ หญ่”
แห่งทีดีอาร์ ไอ ตัวอย่างเช่น ทัศนะของโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานสภา
สถาบันและประธานกรรมการบริหารสถาบันคนปัจจุบนั ซึง่ เห็นว่า ในระยะยาว
แล้วประเทศจะต้องเป็นประชาธิปไตย ในแง่ที่ว่าพรรคการเมืองต้องเป็นผู้
กำ�หนดนโยบายแทนทีข่ า้ ราชการหรือเทคโนแครต ซึง่ มีบทบาทสูงในยุคทหาร
แต่อย่างไรก็ตาม “อยากเห็นพรรคการเมืองเป็นของปวงชน คือพรรคที่ไม่มี
เจ้าของ... เพียงแต่ว่าขณะนี้ [2557] เรายังไม่มีบรรยากาศแบบนั้น พรรค
การเมืองจำ�นวนมากของเรายังมีเจ้าของชัดเจน” (ปกป้องและคณะ 2557,
120-21) ซึง่ มีนัยว่า ณ 2557 ประเทศไทยยังไม่พร้อมทีจ่ ะให้พรรคการเมือง
กำ�หนดนโยบายอย่างเต็มที่ เทคโนแครตในฐานะ “คนดีและคนเก่ง” จึงควรมี
บทบาทกำ�หนดนโยบายต่อไป
ตัวอย่างทีส่ องคือ ทัศนะของอาณัติ อาภาภิรม ประธานสถาบันฯ คน
แรก ซึง่ เห็นว่าอุปสรรคทีท่ �ำ ให้ไทยก้าวไม่พน้ กับดับรายได้ปานกลางคือ วงจร
อุบาทว์การเมืองที่เริ่มจากรัฐประหาร-การเลือกตั้ง-นักการเมืองใช้อำ�นาจไม่
ชอบธรรม-รัฐประหาร แต่เมือ่ ถูกถามว่า 30 ปีทผี่ า่ นมาการเมืองไทยดีขนึ้ หรือ
แย่ลง เขาตอบว่า “ประชาชนรูจ้ กั ประชาธิปไตยมากขึน้ ... แต่ส�ำ หรับจิตวิญญาณ
ประชาธิปไตยนั้นยังมีน้อย ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่รูปแบบ ที่สหรัฐอเมริกาถ้า
มีคนรูว้ า่ มีการซือ้ เสียง คนซือ้ กับคนขายตายทัง้ คู่ แต่ทเี่ มืองไทยคนซือ้ กับคน
ขายยังอยู่ได้ เพราะเราไม่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย” ในขณะเดียวกัน เขา
ตัง้ ความหวังไว้กบั ชนชัน้ กลางไทยว่า จะเป็นผูช้ ว่ ยให้หลุดพ้นจากปัญหากับดัก
รายได้ปานกลาง เนื่องจากเป็นผู้ที่ “พอมีเงิน พอมีความรู้ พอมีสำ�นึกต่อ
99
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
7
“เปิดรายงานประชุม กขช.ประวัติศาสตร์ นิพนธ์ ประธาน TDRI คลุกวงในรัฐบาล
มาร์คดันนโยบายประกันราคาข้าว,” https://www.hereandthere.today/?p=1451.
100
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
และสื่อสารสาธารณะขึ้นมารับผิดชอบการทำ�งานในส่วนนี้โดยตรง ซึ่งเป็น
แนวปฎิบัติที่เป็นไปตามแนวทางประชาธิปไตย ไม่ใช่ท่วงท่าแบบปฏิบัตินิยม
ในอดีต แต่ภายหลังการรัฐประหารเช่นกันปรากฏว่ามีสมาชิกของคณะกรรมการ
สภาสถาบันชุดปี 2557 จำ�นวน 4 คนจากกรรมการทั้งหมด 25 คน ที่รับ
ตำ�แหน่งทางการเมืองต่างๆ ทัง้ ในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิตบิ ญั ญัตทิ เี่ กิดจากการ
รัฐประหารครัง้ ล่าสุด คือกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ณรงค์ชยั อัครเศรณี ยงยุทธ
ยุทธวงศ์ รับตำ�แหน่งในระดับรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ในขณะทีก่ อบศักดิ์
ภูตระกูล เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แนวปฎิบัติซึ่งประธานสถาบัน
สมเกียรติ ตัง้ กิจวานิชย์ ประกาศห้ามมิให้พนักงานของทีดอี าร์ไอดำ�รงตำ�แหน่ง
ทางการเมืองนั้นย่อมใช้บังคับไม่ได้กับสมาชิกของคณะกรรมการสภาสถาบัน
4 คนข้างต้น เนื่องจากคนเหล่านี้มิใช่พนักงานของทีดีอาร์ ไอ สิ่งที่น่ากังวล
คือทิศทางการทำ�งานของประธานสถาบันนัน้ ย่อมต้องอยูภ่ ายใต้การกำ�กับดูแล
ตามหน้าที่ของคณะกรรมการสภาสถาบัน ซึ่งรวมถึง 4 คนข้างต้นที่ตอบรับ
ตำ�แหน่งทางการเมืองหลังรัฐประหาร อนาคตจะเป็นผูต้ ดั สินว่าประธานสถาบัน
คนที่ 6 จะรักษาแนวปฏิบตั ทิ เี่ ป็นไปตามวิถที างประชาธิปไตยต่อไปได้หรือไม่
ท่วงท่าปฏิบัตินิยม: “แมวไม่ว่าสีอะไร ขอให้จับหนูได้ก็พอ” กับการ
เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองไทย
ท่วงท่าแบบปฏิบตั นิ ยิ ม ทีก่ อ่ ร่างสร้างขึน้ โดยเทคโนแครตรุน่ ที่ 2 และ
สืบทอดจนถึงรุ่นที่ 4 ในปัจจุบันนี้นั้น มีลักษณะที่ว่าเพื่อการผลักดันให้
เศรษฐกิจไทยบรรลุถงึ เป้าหมายทีต่ นเห็นควรแล้ว เหล่าเทคโนแครตก็พร้อมที่
จะทำ�งานร่วมกับผูท้ ม่ี อี �ำ นาจทางการเมือง โดยไม่ค�ำ นึงถึงความชอบธรรมของ
แหล่งทีม่ าแห่งอำ�นาจทางการเมือง ท่วงท่าแบบปฏิบตั นิ ยิ มนีถ้ กู ยึดถือมายาว
นานกว่า 50 ปี จนอาจกล่าวได้ว่า มันกลายเป็นธรรมเนียม หรือแบบแผน
พฤติกรรมทางการเมืองของเทคโนแครตไทยไปแล้ว ในแง่นแี้ ล้ว เราอาจปรับ
แต่งนิยามความเป็น “เทคโนแครตไทย” ที่กล่าวไว้ในตอนต้นของบทความนี้
จาก “กลุม่ บุคคลผูม้ คี วามรู้ ความเชีย่ วชาญทางเศรษฐกิจ ซึง่ ใช้หรืออ้างว่าใช้
ความรู้ความเชี่ยวชาญนั้นในการกำ�หนด หรือนำ�เสนอนโยบายสาธารณะด้าน
เศรษฐกิจ” เป็น “กลุ่มบุคคลผู้ใช้หรืออ้างว่าใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญทาง
เศรษฐกิจในการกำ�หนด หรือนำ�เสนอนโยบายสาธารณะด้านเศรษฐกิจ ทั้งใน
101
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
8
เสวนาสาธารณะ “คิดใหม่ประชานิยม: จากรัฐบาลทักษิณถึงยิง่ ลักษณ์เราเรียนรูอ้ ะไรได้
บ้าง,” ทีดอี าร์ไอ, 17 มิถนุ ายน 2556, http://tdri.or.th/multimedia/eot-rethink-populism.
102
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
ระยะยาว รวมทั้งนโยบายก็มักจะถูกบิดเบือนโดยกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะทาง
ในขณะทีภ่ ายใต้ระบอบอำ�นาจนิยมนัน้ ผูม้ อี �ำ นาจจะสามารถปกป้องเทคโนแครต
จากการถูกกดดันทางการเมืองได้ดกี ว่า (political insulation) ทำ�ให้เขาสามารถ
ใช้ความรู้ ความเชีย่ วชาญทางวิชาการสร้างนโยบายทีเ่ ป็นประโยชน์ตอ่ ส่วนรวม
และสามารถสนใจปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวได้ดว้ ย เพราะ “ปลอดการเมือง”
นัน่ เอง โดยสรุปแล้ว อวิชชานีเ้ สนอว่า นโยบายทีด่ นี นั้ มักเป็นนโยบายทีป่ ลอด
การเมือง (แบบประชาธิปไตย) นั่นเอง
บทเรียนจากประวัติศาสตร์การกำ�หนดนโยบายของไทยชี้ ให้เห็นถึง
ความเป็นอวิชชาของการปลอดการเมืองนี้ ซึง่ ไม่เคยเกิดขึน้ จริงเลยแม้กระทัง่
ในยุคทองของเทคโนแครต ไม่วา่ จะภายใต้ยคุ สฤษดิ-์ ถนอม-ประภาส หรือยุค
เปรมก็ตาม การบิดเบือนนโยบายโดยกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะทางก็เกิดขึ้น
ตลอดเวลา มิพกั ต้องกล่าวถึงการทุจริตของผู้กุมอำ�นาจ ตัวอย่างสำ�คัญที่เกิด
ขึ้นในยุคสฤษดิ์ก็คือ การที่สมาคมนายธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่ม
ผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลมากที่สุด กลับอยู่ใต้การอุปถัมภ์ของสฤษดิ์เองที่แม้
กระทั่งเทคโนแครตระดับป๋วย ก็ไม่ประสบความสำ�เร็จในการทัดทานอิทธิพล
ของกลุ่มนี้ในหลายครั้ง กรณีตัวอย่างคือสมาคมนายธนาคารสามารถชักชวน
ให้สฤษดิ์ “ทำ�แท้ง” ร่าง พ.ร.บ. การธนาคารพาณิชย์ฉบับ พ.ศ. 2505 ได้
สำ�เร็จ เพราะร่างนั้นมีมาตรการที่เข้มข้นเกินไปในการกำ�กับการทำ�ธุรกิจใน
สายตาของนายธนาคาร ทำ�ให้ พ.ร.บ. แม่บทฉบับนี้ต้องใช้เวลาร่างถึง 5 ปี
(อภิชาต 2556, บทที่ 3) กาลต่อมาในยุคเปรมาธิปไตยนั้น นายธนาคารก็
ประสบความสำ�เร็จอีกครั้งหนึ่งในการทำ�แท้งร่าง พ.ร.บ. ประกันเงินฝาก ซึ่ง
สมาชิกคนหนึ่งของเทคโนแครตรุ่นที่ 2 นี้เองที่เป็นเครื่องมือสำ�คัญของนาย
ธนาคาร (อภิชาต 2556, บทที่ 4) เอาเข้าจริงแล้ว การกำ�หนดนโยบายซึ่ง
ปลอดการเมื อ งได้ จ ริ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในยุ ค อำ �นาจนิ ย มนั้ น เป็ น การปลอดจาก
การเมืองมวลชนมากกว่า ดังเช่นในยุคสฤษดิท์ มี่ กี ารกวาดล้างสหภาพแรงงาน
จับกุมคุมขังนักหนังสือพิมพ์ และปัญญาชนหัวก้าวหน้าทั้งหลายอย่างขนาน
ใหญ่ แม้แต่ตัวเสนาะ อูนากูลเองก็มีประสบการณ์จากการถูกกดดันจากผู้นำ�
ในระบอบอำ�นาจนิยมให้ไม่สามารถกำ�หนดนโยบายที่เป็นไปตามหลักวิชาการ
ไม่วา่ จะเป็นกรณีทนี่ ายกรัฐมนตรีธานินทร์ กรัยวิเชียร บีบบังคับให้เขาในฐานะ
103
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
104
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
105
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
ในอดีตเส้นทางสู่ความเป็นอุตสาหกรรมสายนี้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เนือ่ งจากไทยยังมีทงั้ ทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานเหลือเฟือ แต่ในปัจจุบนั
สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป ซึ่งทำ�ให้สินค้าส่งออกสูญเสียความสามารถใน
การแข่งขัน โดยเฉพาะกับประเทศเกิดใหม่ทางเศรษฐกิจดังทีท่ ราบกันดี ในแง่
นี้ตราบใดที่เศรษฐกิจไทยยังคงยึดติดกับเส้นทางการพัฒนาแบบเก่านี้ต่อไป
ปัญหากับดักรายได้ปานกลางและความไม่ยุติธรรมทางเศรษฐกิจก็ยังคงอยู่ต่อ
ไป ทางออกจากปัญหาทัง้ สองนีจ้ งึ หลีกเลีย่ งไม่พน้ ทีจ่ ะต้องยกระดับการพัฒนา
อุตสาหกรรม (industrial upgrading) สู่เส้นทางสายใหม่ที่เน้นการเติบโตแบบ
มีคุณภาพ มิใช่เน้นแต่ด้านปริมาณแบบอดีต ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้อง
ปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มการลงทุนขนานใหญ่ในสองด้านคือ หนึ่ง การวิจัย
พั ฒ นา ( R& D) เพื่ อ การผลิ ต สิ น ค้ า ประเภทใหม่ ๆ ด้ ว ยกระบวนการและ
เทคนิควิทยาการใหม่ๆ สอง เพิ่มคุณภาพของแรงงาน ทั้งด้านคุณภาพการ
ศึกษาและการพัฒนาฝีมือแรงงาน ประเด็นสำ�คัญที่เป็นหัวใจแห่งความสำ�เร็จ
ของมาตรการทัง้ สองนีค้ อื กลไกตลาดแบบมือทีม่ องไม่เห็น จะล้มเหลวในการ
ผลักดันมาตรการทั้งสองนี้ เนื่องจากมีปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า ผล
กระทบภายนอกเชิงบวก (positive externality or spillover effect)11 ทำ�ให้
เอกชนลงทุนน้อยเกินไปในทั้งสองด้าน ดังนั้นความร่วมมืออย่างใกล้ชิด (co-
11
กล่าวอย่างสั้นๆ แล้ว ปัญหานี้ก็คือ แรงจูงใจจากกลไกตลาดจะทำ�ให้เอกชนลงทุน
น้อยกว่าจุดที่สังคมต้องการ เนื่องจากกิจกรรมการพัฒนาฝีมือแรงงาน และวิจัย-พัฒนา
ก่อเกิดผลประโยชน์แก่ผทู้ ี่ไม่ได้ลงทุนทำ�กิจกรรมนัน้ ๆ ตัวอย่างเช่น หากบริษทั หนึง่ ลงทุน
ในการฝึกคนงานเสร็จแล้ว บริษทั คูแ่ ข่งซึง่ ไม่ได้ลงทุนในการฝึกเลย กลับใช้วธิ กี ารซือ้ ตัว
คนงานนั้นไปแทน เมื่อคาดการณ์ ได้ว่าจะเป็นเช่นนี้แล้ว บริษัทแรกก็จะไม่ลงทุนฝึกฝน
คนงานตั้งแต่ต้น หรือจะเลือกฝึกทักษะแรงงานประเภทที่เป็นประโยชน์เฉพาะต่อบริษัท
ตน ซึ่งเอาไปใช้ที่อื่นๆ ไม่ได้เท่านั้น ตรรกะนี้ใช้ได้กับกิจกรรมการวิจัย-พัฒนาเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น เมือ่ เราลงทุนวิจยั พัฒนาสินค้าใหม่ หรือกระบวนการผลิตใหม่ขนึ้ มาแล้ว คู่
แข่งก็อาจเลียนแบบได้ โดยไม่ได้รว่ มลงทุนเลย หากคาดได้เช่นนี้ เราก็จะไม่ลงทุนพัฒนา
ตัง้ แต่ตน้ แรงจูงใจเช่นนีจ้ งึ ทำ�ให้โดยรวมแล้วภาคเอกชนลงทุนในกิจกรรมทัง้ สองต่�ำ กว่า
จุดทีส่ งั คมต้องการ ทางแก้กค็ อื จะต้องมีบคุ คลหรือกลไกทีจ่ ะช่วยให้ภาคเอกชนร่วมมือ
กันลงทุนและแบ่งปันผลประโยชน์กัน แต่การที่จะร่วมมือกันได้ผู้เกี่ยวข้องก็ต้องมีความ
ไว้วางใจ-เชื่อใจกันว่า เมื่อตนร่วมลงทุนแล้วผู้อื่นก็ต้องร่วมลงทุนด้วยและผลประโยชน์
จากการลงทุนก็ต้องถูกจัดสรรอย่างเป็นธรรมอีกด้วย
106
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
12
จากเนือ้ ร้องของเพลงผูใ้ หญ่ลี ขับร้องโดยศักดิศ์ รี ศรีอกั ษร แต่งโดยพิพฒ
ั น์ บริบรู ณ์
107
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
ความจริงในปัจจุบันว่า สังคมเศรษฐกิจการเมืองไทยเป็นสังคมที่ซับซ้อน
มากกว่าเดิมมาก เราเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงที่อยู่ได้ด้วยการส่ง
ออกสินค้าอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว พูดอีกแบบคือ สังคมไทยเริ่มเลิก
เป็นสังคมชาวนามาตั้งแต่ช่วงรอยต่อของรัฐบาลเปรมกับรัฐบาลชาติชายเป็น
อย่างช้าแล้ว สังคมไทยในปัจจุบนั เป็นสังคมหลังเกษตรกรรมทีซ่ บั ซ้อนขึน้ มาก
โดยไม่ได้เป็นและเลิกเป็นสังคมหมู่บ้านมานานมากแล้ว ณ ปัจจุบัน สังคม
ไทยเต็มไปด้วยความแตกต่างหลายหลาก ทั้งวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจและทาง
สั ง คม ตลอดจนกระทั่ ง ความหลากหลายของอั ต ลั ก ษณ์ ด้ า นเพศสภาพ
ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายนี้ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ฐานคิดและผล
ประโยชน์ของผูค้ นจะแตกต่างกันไปด้วย และต้องยอมรับด้วยว่าประวัตศิ าสตร์
ของมนุษยชาติจนถึงปัจจุบนั ยังไม่สามารถสร้างระบอบการเมืองทีด่ กี ว่าระบอบ
ประชาธิปไตย ซึ่งอนุญาตให้ผู้คนที่หลากหลายผลประโยชน์มาต่อรองกันผ่าน
การสร้างนโยบายสาธารณะผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะในทางนโยบาย โดยไม่
จำ�เป็นต้องทำ�ร้ายกัน
ในแง่นวี้ ธิ กี ารทีน่ า่ จะมีประสิทธิผลมากกว่าก็คอื แนวทางทีเ่ ริม่ เห็นแล้ว
ของทีดีอาร์ไอยุคปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ 2558) ที่เน้นการเคลื่อนไหวทางความ
คิดในพืน้ ทีส่ าธารณะผ่านการสือ่ สารกับสังคมภายใต้วฒ ั นธรรมประชาธิปไตยที่
อ่อนน้อมเจียมตนว่า ความคิด-ข้อเสนอ-แนวทางของตนก็เป็นเพียงหนึ่งใน
ความคิดอันหลากหลายของสังคมแบบพหุนิยม ที่สุดท้ายแล้วจะกลายไปเป็น
นโยบายสาธารณะหรือไม่นั้น ก็ย่อมขึ้นกับการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่ใน
สังคมซึง่ มีความเท่าเทียมกันในการกำ�หนดความเป็นไปของสังคม ไม่วา่ เขาจะ
มีฐานะสูง-ต่ำ�เพียงใด หรือมีการศึกษาหรือไม่ก็ตาม ไม่ใช่ข้ึนกับหูของผู้มี
อำ�นาจเบ็ดเสร็จ ความสำ�เร็จในการปรับบทบาทของเทคโนแครตอินโดนีเซีย
น่าจะเป็นตัวอย่างให้แก่เทคโนแครตไทยได้ว่า การต่อสู้ทางนโยบายภายใต้
ระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นไปได้ ที่สำ�คัญคือ วิธีการแบบนี้สอดคล้องกับจิต
วิญญาณของป๋วยทีป่ รากฏใน “จดหมายของนายเข้ม เย็นยิง่ ถึงผู้ใหญ่บา้ นทำ�นุ
108
เทคโนแครตกับการกำ�หนดนโยบายเศรษฐกิจไทย
เกี ย รติ ก้ อ ง” 13 ซึ่ ง เรี ย กร้ อ งให้ ผู้ มี อำ � นาจปกครองบ้ า นเมื อ งโดยถื อ หลั ก
ประชาธิปไตยแบบประชาธรรมทีว่ า่ “หลักประชาธรรม คือธรรมเป็นอำ�นาจ–
ไม่ใช่อ�ำ นาจเป็นธรรม–และธรรมเกิดจากประชาชน รวมความว่าอำ�นาจสูงสุด
มาจากธรรมของประชาชน”
ความลงท้าย
เป็นทีน่ า่ เศร้าใจยิง่ ว่าเทคโนแครต ซึง่ เป็นคนกลุม่ เล็กๆ แต่เป็นขุมพลัง
สำ�คัญยิง่ แห่งการเปลีย่ นแปลงของสังคมเศรษฐกิจตลอดช่วงเวลากว่า 50 ปีที่
ผ่านมา ยังไม่สามารถข้ามพ้นข้อสังเกตเมื่อ 40 ปีก่อนของ Stifle ที่ว่า
บทบาทของเทคโนแครตจะต้องถูกนิยามใหม่ ให้สอดคล้องกับระบบประชาธิปไตย
จากการเลือกตั้ง จนกลายเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยึดมั่นในหลักการ
เสรีนยิ มประชาธิปไตย ทัง้ ๆ ทีอ่ า้ งว่ายึดป๋วยเป็นแม่แบบ หรือเป็นแรงบันดาลใจ
เทคโนแครตรุน่ หลังป๋วยกลับยึดมัน่ กับ “หลักการ” แบบปฏิบตั นิ ยิ มทีว่ า่ “แมว
ไม่ว่าสีอะไร ขอให้จับหนูได้ก็พอ” หลักปฏิบัตินี้ทำ�ให้เทคโนแครตรุ่นหลังไม่
สนใจ ไม่ให้ความสำ�คัญกับความชอบธรรมของแหล่งที่มาแห่งอำ�นาจที่ตนใช้
ในการกำ�หนดนโยบาย แค่ขอให้การใช้อ�ำ นาจนัน้ ถูกหลักวิชา และเพือ่ ประโยชน์
สาธารณะเท่านั้นเป็นพอ ทำ�ให้บ่อยครั้งที่เมื่อการเมืองไทยหวนกลับสู่ระบอบ
เผด็จการแล้ว แทนที่แทคโนแครตจะไม่เข้าร่วมกับระบอบที่ไม่ชอบธรรม แต่
พวกเทคโนแครตกลับเห็นว่า “เป็นหน้าต่างแห่งโอกาส” ต้องรีบเข้าร่วมและ
ฉวยใช้อำ�นาจพิเศษเพื่อผลักดันวาระต่างๆ ที่ตนเห็นว่าชอบ ว่าควร อย่างไม่
ละอายต่อผู้ที่ตนอ้างว่าเป็นแม่แบบ
13
“จดหมายจากนายเข้ม เย็นยิ่ง ถึงนายทำ�นุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ,”
http://puey-ungpakorn.org/index.php/archives?id=272. จดหมายเปิดผนึกฉบับนีเ้ ขียน
ขึ้นภายหลังจากที่จอมพลถนอม กิตติขจร ทำ�การรัฐประหารรัฐบาลของตัวเองที่มาจาก
การเลือกตัง้ ใน พ.ศ. 2514 เพือ่ แสดงความไม่เห็นด้วย และเรียกร้องให้ไทยมีการปกครอง
ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
109
บทสรุป
แลหน้าสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
1
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน อภิชาต (2555).
2
กล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 นี้คือตัวอย่างกติกาทางการเมืองที่เด่นชัดที่สุดที่
ทำ�ให้ฝ่ายบริหารของรัฐมีอิสระสูง และถูกตรวจสอบน้อย
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
3
ดูรายละเอียดได้ใน อภิชาต (2562, 7-32).
4
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน อภิชาต (2556, บทที่ 7).
112
แลหน้าสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
เปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างถอนรากถอนโคนในปัจจุบัน5
การรวมศูนย์อำ�นาจที่สูงในขณะที่การทำ�งานของหน่วยงานรัฐกลับไร้
เอกภาพ เนือ่ งจากขาดมุมมองต่อภารกิจต่างๆ ในระดับภาพรวม (departmental
parochialism) หน่วยงานต่างๆ จึงมุ่งเน้นแต่ภารกิจแคบๆ ของตน จนทำ�ให้
ทัง้ ระบบราชการขาดการประสานงานระหว่างกัน ดังนัน้ ความทับซ้อน (overlap)
ซ้�ำ ซ้อน (duplication) ความล่าช้า (red tape) และความไม่มเี อกภาพ (incon-
sistence) ไร้ประสิทธิภาพ (inefficiency) และไร้ประสิทธิผล (ineffectiveness)
จึงเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในการดำ�เนินงานต่างๆ ของรัฐ เช่นกัน วิกฤตโรค
ระบาดโควิด-19 อย่างรุนแรงได้เปิดเปลือยความไร้ประสิทธิผลของรัฐจนเป็นที่
ประจักษ์แจ้ง เมือ่ วัดจากจำ�นวนผูป้ ว่ ยใหม่ทมี่ มี ากกว่า 2 หมืน่ รายและมีผเู้ สีย
ชีวิตเกือบ 2 ร้อยคนต่อวัน ณ ต้นเดือนสิงหาคม 2564 ความสูญเสียนี้เกิด
ขึ้นท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ตั้งแต่การจัดหาวัคซีนที่ทั้งไม่พอเพียง
ล่าช้า คุณภาพต่ำ� การกำ�หนดเกณฑ์การจัดสรรวัคซีนที่มีจำ�นวนน้อยแบบไร้
ยุทธศาสตร์ ในการป้องกันการสูญเสีย และไร้ความเท่าเทียมในการเข้าถึง
ตลอดจนการกระจายวัคซีนทีส่ บั สนและไร้ประสิทธิภาพ6 ในขณะทีส่ ถาบันวิจยั
เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ ไอ) ประเมินผลงานของรัฐบาลประยุทธ์
ว่าการระบาดในเขต กทม. “สะท้อนถึงการขาดโครงสร้างและระบบในการรับมือ
กับการระบาดใหญ่ ที่สำ�คัญยังเกิดปัญหาที่ทำ�ให้มีความร่วมมือกันในการ
ควบคุมการระบาดน้อยกว่ากรณีสมุทรสาครมาก โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้ง
ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและ กทม. ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำ�ให้กรุงเทพฯ
กลายเป็นศูนย์กลางของการระบาดใหญ่ในปัจจุบัน”7
คลืน่ วิกฤต 3 ลูกทีซ่ ดั กระหน่�ำ สังคมไทยนีช้ ชี้ ดั ว่า แทนทีร่ ฐั ไทยจะเป็น
5
ดูรายละเอียดใน กนกรัตน์ (2564).
6
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน วิโรจน์ ณ ระนอง และคณะ,“ข้อเสนอแนะการจัดหาและ
การกระจายวัคซีนโควิด-19,” ทีดอี าร์ไอ, 19 กรกฎาคม 2564, https://tdri.or.th/2021/07/
procurement-and-distribution-of-covid-19-vaccines.
7
ดูรายละเอียดเพิม่ เติมใน “ประเมินผลงานกลางเทอมรัฐบาลประยุทธ์ 2: การควบคุม
การระบาดของโควิด-19 และการบริหารจัดการวัคซีน,” ทีดอี าร์ไอ, 11 กรกฎาคม 2564,
https://tdri.or.th/2021/07/report-2years-prayut-cabinet2.
113
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหากลับกลายเป็นปมเงื่อนหลักของปัญหา คำ�ถาม
สำ�คัญก็คือสังคมไทยจะฝ่ามรสุมเหล่านี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าหนึ่งในคำ�ตอบ
ต่อคำ�ถามนีห้ ลีกเลีย่ งไม่พน้ ทีจ่ ะต้องจัดทำ�รัฐธรรมนูญใหม่ทงั้ ฉบับเพือ่ ทดแทน
ฉบับ พ.ศ. 2560 ทีไ่ ม่เป็นประชาธิปไตยและไม่บรรลุจดุ สมดุล (optimum) ของ
การแบ่งปันอำ�นาจการตัดสินใจระหว่างอำ�นาจนิติบัญญัติ ตุลาการ และฝ่าย
บริหาร ซึง่ จะเป็นสภาพแวดล้อมทีเ่ อือ้ ให้แก่การสร้างนวัตกรรมในทีส่ ดุ คำ�ตอบ
นี้แม้เป็นเงื่อนไขที่จำ�เป็นก็ตาม แต่ยังคงเป็นเงื่อนไขที่ไม่พอเพียงต่อการแก้
วิกฤตทั้ง 3 ด้าน แม้ว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ท่ีบรรลุจุดสมดุลดังกล่าวได้
ก็ตาม หากลักษณะเด่นของรัฐ (รวมศูนย์อำ�นาจที่รัฐบาลกลางและกลไกรัฐที่
ไร้เอกภาพ) ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข ตราบนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะยังคง
เป็นแค่ความเป็นจริงบนแผ่นกระดาษเท่านัน้ รัฐบาลซึง่ มีทมี่ าจากรัฐธรรมนูญ
ฉบับใหม่ก็คงจะเป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการตอบสนอง
ต่อปัญหาของประเทศและประชาชนไม่มากนัก เพราะระบบราชการยังคงเป็น
กลไกรัฐที่ไร้เอกภาพและไร้ประสิทธิผล ยิ่งไปกว่านั้นหากอำ�นาจยังคงกระจุก
ตัวและรวมศูนย์อยูท่ รี่ ฐั บาลกลาง ชนชัน้ นำ�กลุม่ เล็กๆ แคบๆ จะมีแรงจูงใจสูง
ที่จะยึดรัฐเพื่อเปลี่ยนให้รัฐกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้ปกครองในการสกัด
ส่วนเกินของสังคมมาเป็นของกลุม่ ตน โดยไม่ค�ำ นึงว่าวิธกี ารทีจ่ ะใช้ยดึ นัน้ เป็น
ประชาธิปไตยหรือไม่ หรือถูกกฎหมายหรือไม่ การปฏิรปู เพือ่ ลดความเหลือ่ ม
ล้�ำ ทางเศรษฐกิจก็จะถูกต่อต้านอย่างเข้มข้น ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง
ก็จะเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงได้ยากต่อไป
ดังนัน้ จึงหลีกเลีย่ งไม่ได้ทจี่ ะต้องทำ�การปฏิรปู การบริหารรัฐไทยในอีก 2
ประการคือ หนึง่ การกระจายอำ�นาจและทรัพยากรสูก่ ารปกครองท้องถิน่ อย่าง
เข้มข้นและจริงจัง เช่นอาจถึงขัน้ ทีจ่ ะต้องยกเลิกระบบการปกครองส่วนภูมภิ าค
ให้เหลือเพียงแค่การปกครองส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเท่านั้น การกระจาย
อำ�นาจขนานใหญ่นี้นอกจากจะเพื่อลดอำ�นาจรัฐบาลกลางในการสกัดส่วนเกิน
ทางเศรษฐกิจ ซึง่ จะลดแรงจูงใจของชนชัน้ นำ�ในการยึดรัฐแล้ว ยังจะส่งผลให้
ประสิทธิภาพของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นอีกด้วย เนื่องจากจะเป็นการลดภาระที่
ไม่จ�ำ เป็นและไม่เชีย่ วชาญของรัฐบาลกลาง เช่นการจัดหาสินค้าสาธารณะระดับ
ท้องถิน่ ทำ�ให้รฐั บาลกลางสามารถหันไปทุม่ เททรัพยากรและความสามารถใน
114
แลหน้าสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
115
ประวัติการตีพิมพ์
บทที่ 4 ตีพมิ พ์ครัง้ แรก พ.ศ. 2556 ในชือ่ “เหลือง VS แดง : สีของความ
ขัดแย้งทางชนชั้น?,” ใน พฤษภา-พฤษภา: สังคมรัฐไทยกับความรุนแรง
ทางการเมือง, บ.ก. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำ�รา
สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์), 199-230.
ภาษาไทย
กนกรัตน์ เลิศชูสกุล. 2564. สงครามเย็น (ใน) ระหว่าง โบว์ขาว. กรุงเทพฯ: มติชน.
กองบรรณาธิการประชาไท. 2564, “37 องค์กรผู้บริโภคฟ้องบอร์ดแข่งขันทางการค้าปม
อนุญาตให้ควบรวมกิจการ CP-Tesco อาจขัดกฎหมาย.” ประชาไท, 15 มีนาคม
2564. https://prachatai.com/journal/2021/03/92124
คริส เบเคอร์ และผาสุก พงษ์ ไพจิตร. 2557. ประวัติศาสตร์ ไทยร่วมสมัย. กรุงเทพฯ:
มติชน.
“จดหมายจากนายเข้ม เย็นยิ่ง ถึงนายทำ�นุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ.” http://
puey-ungpakorn.org/index.php/archives?id=272.
ทศพล อภัยทาน, อาชว์ ปวีณวัฒน์, ชานนทร์ บันเทิงหรรษา, และกฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์.
2562. “ไม่แข่ง ยิง่ แพ้: อำ�นาจตลาดกับการยกระดับศักยภาพของธุรกิจ.” เอกสาร
ประการนำ�เสนอในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยประจำ�ปี 2562,
วันที่ 30 กันยายน-1 ตุลาคม 2562, ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่น โรงแรม
เซ็นทาราแกรนด์ กรุงเทพฯ.
ธานี ชัยวัฒน์. 2563. โครงการวิจัยเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน ระยะที่ 2: รายงานวิจัย
ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจยั และ
นวัตกรรม.
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. 2550. “การปฏิรปู ระบบราชการในยุครัฐบาลทักษิณ 2544-2549:
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
120
บรรณานุกรม
121
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
122
บรรณานุกรม
ภาษาอังกฤษ
Aghion, P., Céline Antonin, and Simon Bunel. 2021. The Power of Creative
Destruction: Economic Upheaval and the Wealth of Nations. London:
Harvard University Press.
Ammar Siamwalla and Somchai Jitsuchon. 2012. “The Socio-Economic Bases of
the Red/Yellow Divide: A Statistical Analysis.” In Bangkok May 2010: Per-
spectives on a Divided Thailand, edited by M. J. Montesano, Pavin Chacha-
valpongpun and Aekapal Chongvilaivan, 64-71. Singapore: ISEAS Publishing.
Anderson, B. R.O’G. 1978. “Studies of the Thai State: The State of Thai Studies.”
In The Study of Thailand: Analysis of Knowledge, Approaches, and Pros-
pects in Anthropology, Art History, Economics, History, and Political Sci-
ence, edited by Eliezer B. Ayal. Athens. Ohio: Ohio University Center for
International Studies Southeast Asia Program.
Apichat Satitniramai. 2002. “The Rise and Fall of the Technocrats: The Unholy
Trinity of Technocrates, Ruling Elites and Private Bankers and the Genesis
of the 1997 Economic Crisis.” Ph.D. Thesis, University of Wales, Swansea.
Crispin, S. W. 2012. “Thailand’s Classless Conflict.” In Bangkok May 2010: Per-
spectives on a Divided Thailand, edited by M. J. Montesano, Pavin Chacha-
valpongpun and Aekapal Chongvilaivan, 108-19. ISEAS Publishing: Singapore.
Doner, R. F. 2009. The Politics of Uneven Development: Thailand’s Economic
Growth in Comparative Perspective. New York: Cambridge University Press.
Doner, R. F., and A. Ramsay. 2004. “Growth into Trouble: Institutions and Politics
in the Thai Sugar Industry.” Journal of East Asian Studies 4(1): 97-138.
Eichengreen, B., D. Park, and K. Shin. 2011. “When Fast Growing Economies Slow
Down: International Evidence and Implications for the People’s Republic of
China.” NBER Working Paper 16919. Cambridge: National Bureau of Eco-
nomic research.
Feeny, D. 1970. “Competing Hypothesis of Underdevelopment: A Thai Case Study.”
Journal of Economic History 39(1): 113-27.
Food and Agricultural Organization of the United Nation (FAO). 2006. Rapid Growth
of Selected Asian Economies: Lessons and Implication for Agricultural and
Food Security, Republic of Korea, Thailand and Vietnam. Policy Assistance
Series 1/3. Bangkok: FAO Regional Office for Asia and the Pacific.
123
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
124
บรรณานุกรม
125
เส้นทางเศรษฐกิจไทย
World Bank. 2016. “Getting Back on Track: Reviving Growth and Securing Pros-
perity for All.” https://www.worldbank.org/en/country/thailand/publication/thai-
land-systematic-country-diagnostic-getting-back-on-track-and-reviving-growth
126