Professional Documents
Culture Documents
(Public Administration)
โดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิทธิพรร์ สุนทร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชรินทร์ สุทธิศัย
อาจารย์ ดร. รังสรรค์ อินทน์จันทน์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติ เกียรติเจริญ
อาจารย์ธัณฏิกานต์ คำวิเศษธนธรณ์
หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาการบริหารจัดการท้องถิน่ และการบริหารการพัฒนา
คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
2565
คำนำ
สารบัญ
หัวเรื่อง หน้า
คานา …..…………………………………………………………..……………………………………………………..... ก
สารบัญ………………………………………………………..………………………..………………………………..…... ค
สารบัญรูปภาพ ……………………………………………………………………………………………….…………, ฉ
แผนบริหารการสอน (Course Syllabus) .………………………..……………….…………………..…... ช
แผนบริหารการสอนประจา บทที่ 1 …………..…………………………………………………….…………,.. 1
บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐประศาสนศาสตร์ ……………………….…………,………............ 2-22
การศึกษารัฐประศาสนศาสตร์...................................................................................... 2
ความหมายและคาจากัดความ...................................................................................... 6
พัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์............................................................................... 11
แนวความคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์ .......................................................................... 12
ขอบข่ายการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์......................................................................... 19
สรุป......................................................................................................................... ...... 20
คาถามท้ายบท ……………………………………………….…………,…………………………………… 21
เอกสารอ้างอิง …………………………………………….…………,…………………………………….. 22
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
หัวเรื่อง
บทที่ 3 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (ต่อ)............................................................................
การจัดการเชิงกลยุทธ์หรือเชิงยุทธศาสตร์..................................................................... 48
การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ................................................................. 49
นโยบายกากับดูแลองค์การที่ดี………………………………................................................... 49
ตัวอย่างรูปแบบการจัดการภาครัฐสมัยใหม่ในประเทศไทย…........................................ 50
สรุป............................................................................................................................... 52
คาถามท้ายบท ……………………………………….…………,……………………………………….… 53
เอกสารอ้างอิง …………………………………….…………,………………………….……………….. 54
แผนบริหารการสอนประจา บทที่ 4 …………..………………………………………………….…………,.. 55
บทที่ 4 การบริหาร พฤติกรรมทางการบริหาร และสภาพแวดล้อม...…….…….…………,……… 56-98
การบริหารกับสภาพแวดล้อม .................................................................................... 56
พฤติกรรมทางการบริหาร ………………………………………….…….………………………....... 62
การบริการขององค์การ ............................................................................................. 66
สรุป....................................................................................…………………………………. 96
คาถามท้ายบท …………………………………………….…………,…………………………………… 97
เอกสารอ้างอิง ………………………………………….…………,…………………………………….. 98
สารบัญ (ต่อ)
หัวเรื่อง หน้า
แผนบริหารการสอนประจา บทที่ 6 ……………………………………..………….…………,……….…… 147
บทที่ 6 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ……………………………………….……. 148-166
ความหมายและความสาคัญของการบริหารงานบุคคล .............................................. 148
ปรัชญาการบริหารงานบุคคล .................................................................................... 149
เป้าหมายของการบริหารงานบุคคล....................................................................………. 150
ภารกิจ 10 ประการของการบริหารงานบุคคล............................................................. 150
กระบวนการการบริหารงานบุคคล.............................................................................. 152
สรุป.............................................................................................................................. 164
คาถามท้ายบท ………………………….……………………….…………,..……………………………… 165
เอกสารอ้างอิง ……………………………………………….………….………………………………….. 166
แผนบริหารการสอนประจา บทที่ 7 …………..…………………………………………………….…………,.. 167
บทที่ 7 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคลังและงบประมาณ ……………………………..…….…………………… 168-179
การคลัง ........................................................................................................................ 168
การงบประมาณ ............................................................................................................ 175
สรุป...................................................... ........................................................................ 177
คาถามท้ายบท ……………………………………………….…………,…………………………………… 178
เอกสารอ้างอิง …………………………………………….…………,…………………………………….. 179
สมเกียรติ เกียรติเจริญ
สิทธิพรร์ สุนทร
1.1 การศึกษารัฐประศาสนศาสตร์
รั ฐ ประศำสนศำสตร์ (Public Administration) เป็ น คณะ/สำขำวิช ำที่ มี ก ำรศึ ก ษำ
กัน อย่ ำงแพร่ห ลำยในปั จจุบั น ในระดับอุดมศึกษำ โดยทั่วไปแล้วมักเป็นกำรศึกษำที่ว่ำด้วยเรื่องของ
“รั ฐ บำล” (government) และระบบรำชกำร (bureaucracy) ว่ ำมี รู ป แบบ โครงสร้ ำง และวิธี ก ำร
ในกำรบริ ห ำร/ปกครองสั ง คมอย่ ำ งไร รวมถึ งควำมสั ม พั น ธ์ ระหว่ำ งรั ฐ บำลกั บ องค์ ก รภำคเอกชน
ที่เกี่ยวข้องกับกำรบริหำร/ปกครองสังคมอีกด้วย โดยควำมเป็น “ศำสตร์” ขององค์ควำมรู้ในเรื่องนี้ดำเนิน
ไปผ่ ำนวิ ธี ก ำรศึ ก ษำในแบบที่ มี ค วำมเชื่ อ ว่ ำ สำมำรถเข้ ำ ไปถึ ง องค์ ค วำมรู้ ท ำงกำรบริ ห ำรได้ ผ่ ำ น
กระบวนกำรทำงวิ ท ยำศำสตร์ ที่ มุ่ งวั ด (measure) ปรำกฏกำรณ์ ต่ ำ งๆ ที่ เกี่ ย วข้ อ งกั บ กำรบริ ห ำร
ตลอดจนพฤติกรรมของเจ้ำหน้ำที่รัฐ และประชำชนที่มีบทบำท/ควำมเกี่ยวข้องกับกำรบริหำรงำนภำครัฐ
ได้อย่ำงเป็นรูปธรรมที่รวมเรียกกำรศึกษำในแบบนี้ว่ำ กำรศึกษำในแบบประจักษ์นิยม ซึ่งอำจเรียกได้ว่ำ
เป็นรัฐประศำสนศำสตร์กระแสหลัก ที่เป็นแนวศึกษำที่นิยมโดยทั่วไป ซึ่งแม้ว่ำกำรศึกษำรัฐประศำสน-
ศำสตร์ในลักษณะเช่นนี้กำลังถูกท้ำทำย ตั้งคำถำมจำกรัฐประศำสนศำสตร์กระแสรองที่มีวิธี กำรเข้ำถึง
องค์ควำมรู้ และเข้ำใจสิ่งที่เรียกว่ำควำมรู้ในแบบที่แตกต่ำงออกไปที่เรียกได้ว่ำ “รัฐประศำสนศำสตร์
ยุคหลั งพฤติกรรมศำสตร์ ” แต่ก็ยั งถือได้ว่ำในเวลำนี้ กำรศึกษำรัฐ ประศำสนศำสตร์ที่แพร่ห ลำยอยู่
3
อยู่ในฐำนะขององค์ควำมรู้ที่สำมำรถปรับใช้ได้อย่ำงกว้ำงๆ ในแนวทำงของควำมเป็นศำสตร์ตำมแบบ
วิทยำศำสตร์ที่หำกควำมรู้เกี่ยวกับกำรบริหำรชุดนี้สำมำรถใช้ได้จริง ณ องค์กรภำครัฐแห่งนี้นี้ ก็ย่อมที่จะ
สำมำรถใช้ได้กับองค์กรอื่นๆ อีกด้วย และหลักกำรบริหำรนั้นสำมำรถที่จะค้นพบได้จำกกำรศึกษำอย่ำง
เป็นวิทยำศำสตร์ต่อประเด็นต่ำงๆ ทำงกำรบริหำร จำกนั้นข้อค้นพบก็จะนำมำสร้ำงให้เกิดหลักกำรเพื่อ
นำไปใช้ต่อไป เช่น หลักกำร POCCC, POSDCORB เป็นต้น
กระบวนทัศน์ รัฐประศำสนศำสตร์ในฐำนะรัฐ ศำสตร์ (Public Administration as Political
Science) ขณะที่ในกระบวนทัศน์ที่ 1 มองเห็นว่ำจะต้องแยกกำรเมืองออกจำกกำรบริหำร กระบวน
ทัศน์นี้เห็นไปในทิศทำงที่แตกต่ำงออกไป คือ เรำไม่อำจจะแยกกำรบริหำรกับกำรเมืองออกจำกกั นได้
นอกจำกนี้หลักกำรบริหำรต่ำงๆ เอำเข้ำจริงไม่อำจจะดำรงอยู่ในฐำนะหลักกำรที่ปรับใช้ได้เป็นกำรทั่วไป
เพรำะหลั ก กำรต่ ำ งๆ นั้ น อำจไม่ ได้ ท ำให้ เกิ ด ผลดี ในกำรบริห ำรเสมอไป ในหลั ก กำรเดี ย วนั้ น เอง
อำจส่งผลในทำงตรงกันข้ำมได้อีกด้วย ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นนี้เป้นวิกฤติ สำคัญที่ก่อให้เกิดกำรปรับตัวของ
กำรศึกษำรัฐประศำสนศำสตร์ในเวลำต่อมำ ในกระบวนทัศน์รัฐประศำสนศำสตร์ในฐำนะรัฐศำสตร์นี้
เล็งเห็นว่ำนักรัฐประศำสนศำสตร์ ข้ำรำชกำรผู้ปฏิบัติงำนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกำรเมืองอยู่ไม่มำกก็น้อย
รวมถึงกำรบริหำรกับกำรเมืองนั้นเป็นเหมือ น 2 ด้ำนของเหรียญอันเดียวกัน ไม่อำจจะแยกจำกกันได้
แต่ต้องดำรงอยู่ควบคู่กันไปและมีควำมสำคัญด้วยกันทั้งคู่
กระบวนทัศน์รัฐประศำสนศำสตร์ในฐำนะของศำสตร์กำรบริหำร (Public Administration as
Administrative Science, 1956-1970) ในกระบวนทั ศ น์ นี้ มี ค วำมเห็ น ว่ำ กำรบริ ห ำรอำจจะต้ อ งมี
กำรปรับตัวโดยนำเอำหลักของกำรจัดกำรหรือควำมคิดหรือองค์ควำมรู้ในสำขำวิชำอื่นๆ เข้ำมำ เช่น
เศรษฐศำสตร์ กำรบริหำรธุรกิจ ศำสตร์กำรจัดกำร เข้ำมำสู่กำรผสมผสำนกับกำรพิจำรณำในประเด็น
ที่ว่ำรัฐประศำสนศำสตร์คือศำสตร์ที่แยกไม่ได้จำกกำรเมือง และก็ไม่ได้ แยกขำดไปจนไม่อำจจะนำเอำ
แนวคิดทำงกำรจัดกำรภำคเอกชนมำใช้ได้ จนก่อให้เกิดแนวคิดที่น่ำสนใจมำกมำย เช่น แนวคิดเกี่ยวกับ
กำรจั ด กำรภำครั ฐ (public management) หรื อ กำรจั ด กำรนิ ย มในรั ฐ ประศำสนศำสตร์ ที่ ม อง
นักบริหำรเป็นเหมือนกับผู้จัดกำร มองปัญหำของกำรบริหำรแบบเดิมที่ใช้ระบบรำชกำรในกำรขับเคลื่อน
ว่ำเป็นสิ่งที่ไม่ประสบผลสำเร็จในทำงที่จะสร้ำงประสิทธิผลออกมำได้
กระบวนทัศน์ รัฐประศำสนศำสตร์ในฐำนะรัฐประศำสนศำสตร์ (Public Administration as
Public Administration, 1970-?) กระบวนทัศน์นี้พิจำรณำว่ำรัฐประศำสนศำสตร์นั้นแตกต่ำงไปจำก
รัฐศำสตร์แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบเดียวกับกำรกำรจัดกำรภำคเอกชน แต่รัฐประศำสนศำสตร์เป็นตัวของตัวเอง
ในฐำนะที่ต้องยืนอย่ำงมั่นคงในจุดยืนของผลประโยชน์สำธำรณะและควำมเดือดร้อนของประชำชนบน
รำกฐำนของควำมเป็ นสถำบั นนิ ยมและกำรพิจำรณำประชำชนในฐำนะพลเมืองที่ตื่นตัวที่ร่วมกันกับ
หน่วยงำนรัฐเข้ำจัดกำรกับปัญหำ นอกจำกนี้กำรศึกษำรัฐประศำสนศำสตร์ไม่ได้ใช่กำรนำวิธีกำรศึกษำ
แบบวิทยำศำสตร์มำศึกษำเนื้อหำทำงกำรบริหำรเท่ำนั้น แต่ยังมีวิธีกำรศึกษำแบบอื่นๆ ที่สำมำรถนำเข้ำ
5
ศำสตร์ ยุคดั้งเดิมก็ยังสำมำรถใช้อธิบำยปรำกฏกำรณ์ทำงกำรบริหำรได้ในแบบที่ควบคู่ไปกับควำมรู้
ทำงกำรบริหำรใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
เพื่อช่วยให้เข้ำใจภำพรวมของควำมหมำย “รัฐประศาสนศาสตร์” เรำต้องเข้ำใจก่อนว่ำมนุษย์
เป็นสัตว์สังคม ดังที่ อาริสโตเติล นักปรัชญำกรีกโบรำณ กล่ำวว่ำ “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” โดยธรรมชำติ
แล้วมนุษย์ไม่สำมำรถอยู่ลำพังเพียงคนเดียวได้ ต้องอำศัยรวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่ำ ติดต่อสัมพันธ์กัน
พึ่งพำอำศัยกันและอยู่ภำยใต้ระเบียบกฎเกณฑ์เดียวกัน มนุษย์มีกำรเรียนรู้อยู่ตลอดเวลำ จึงเกิดจำกกำร
เรียนรู้วัฒนธรรมต่ำงๆ และกำรต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม จึงมี “ผู้นำกลุ่ม” รวมทั้งมี “กำรควบคุมดูแลกัน
ภำยในกลุ่ม” เพื่อให้เกิดควำมสุขและควำมสงบเรียบร้อย โดยผู้นำกลุ่มในปัจจุบันอำจเรียกว่ำ
“ผู้บริหำร” ขณะที่กำรควบคุมดูแลกันภำยในกลุ่มอำจเรียกว่ำ “กำรบริหำรรำชกำร” หรือ “รัฐ
ประศำสนศำสตร์” ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงไม่อำจหลีกเลี่ยงจำกกำรบริหำรภำครัฐ กำรบริหำรรำชกำร หรือ
รัฐประศำสนศำสตร์ได้โดยง่ำย
ผู้เขียนมองว่ำ “รัฐประศำสนศำสตร์” เป็นสำขำวิชำที่มุ่งศึกษำ ความสัมพันธ์ระหว่างระบบ
การเมือง และระบบราชการ ทีเ่ ข้ำไปดำเนินกำรเพื่อประโยชน์สำธำรณะ และเป็นกำรรวมองค์ควำมรู้
ระหว่ำงแนวคิด ทฤษฎี และแนววิธีกำรปฏิบัติทำงรัฐประศำสนศำสตร์ ว่ำใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่
อย่ำงไร เพื่อใคร และรู้ว่ำผู้ใด ได้รับอะไร เมื่อไร ที่ไหน อย่ำงไร แนวคิดต่ำงๆ ทำงรัฐประศำสนศำสตร์
เหล่ำนี้ อำจมีจุดเน้น มีกำรดำเนินงำน มีขั้นตอน แนวทำง วิธีกำร ที่คล้ำยคลึงหรือแตกต่ำงกันได้ แต่ทุก
แนวทำง จะต้องมีแนวคิดร่วมที่เหมือนหรือคล้ำยคลึงกัน คือกำรให้บริกำรสำธำรณะ
1.2 ความหมายและคาจากัดความ
กำรศึกษำวิชำ รัฐประศาสนศาสตร์ ได้มีวิวัฒนำกำรที่ก้ำวไกล ด้วยกำรเปลี่ยนแปลงทั้งทำง
สังคม เศรษฐกิจ กำรเมือง ทำให้กำรศึกษำวิชำนี้ มีแนวคิดที่หลำกหลำย ประเทศไทยมีกำร ใช้คำ
ค่อนข้ำงสับสน โดยมีกำรเรียกชื่อต่ำงกันไป เช่นกำรบริหำรรัฐกิจ กำรบริหำรสำธำรณกิจ กำรบริหำร
รำชกำร กำรบริหำรรำชกำรแผ่นดิน กำรบริหำรงำนสำธำรณะ กำรบริหำรจัดกำรภำครัฐ กำรบริหำรงำน
ภำครัฐบำล ทำให้บำงคนเข้ำใจว่ำรัฐประศำสนศำสตร์และบริหำรรัฐกิจเป็นคนละวิชำกัน ซึ่งแท้ที่จริง
แล้วมำจำกรำกศัพท์ภำษำอังกฤษคำเดียวกันคือ Public Administration ซึง่ พิทยำ บวรวัฒนำ
(2550 : 1) กล่ำวว่ำในปัจจุบันไม่มีนักวิชำกำรท่ำนใดที่จะให้คำตอบที่เป็นสำกลได้ว่ำ รัฐประศำสน
ศำสตร์ คืออะไร?
กำรให้ควำมหมำยของคำว่ำ รัฐประศานศาสตร์ (Public Administration) นั้น ขึ้นอยู่
กับนักวิชำกำรหรือผู้รู้แต่ละคน ซึง่ มีนักวิชำกำรหลำยท่ำนได้ให้ควำมหมำย ไว้ดังนี้
ปฐม มณีโรจน์ (2523 : 45) ได้ให้ควำมหมำย รัฐประศำสนศำสตร์ ไว้ 2 นัยคือ
1. มองในแง่ควำมเป็นสำขำวิชำ (Discipline) หรือในแง่ของกำรศึกษำ (Study)
มักจะใช้คำว่ำ “รัฐประศำสนศำสตร์”
8
โวชิโน และ ราบิน (Vocino and Rabin, 1981, p. 4) เสนอว่ำ วิชำรัฐประศำสนศำสตร์ เป็น
กำรประยุกต์ใช้ทฤษฎีและวิธีกำรปฏิบัติงำนในเรื่องเกี่ยวกับองค์กำร กำรตัดสินใจ และบุคลำกร เพื่อ
นำมำสู่กำรแก้ไขปัญหำสำธำรณะ และมีควำมแตกต่ำงจำกกำรบริหำรงำนภำคเอกชน
สรุป นักวิชำกำรกลุ่มที่สองได้ให้ควำมหมำย รัฐประศำสนศำสตร์ เป็นเรื่องของกิจกรรม
ดังแผนภูมิรูปภำพที่ 2
ของร่ำงกำย ประชำชนเปรียบเสมือนร่ำงกำยที่ต้องกำรนโยบำยสำธำรณะที่เอื้อประโยชน์ต่อตนหรือกลุ่ม
ของตน เพรำะผลของนโยบำยสำธำรณะจะส่งผลกระทบต่อทุกภำคส่วน ไม่ว่ำจะเป็นผู้รับนโยบำยหรือผู้
ปฏิบัติตำมนโยบำย รวมทั้งส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจ สังคม กำรเมือง และเทคโนโลยีด้วย ดังนั้น
รัฐจึงจำเป็นต้องบริหำรสำธำรณะตำมหลักธรรมำภิบำล (Good governance) คือหลักนิติธรรม หลัก
คุณธรรม หลักควำมโปร่งใส หลักกำรมีส่วนร่วม หลักควำมรับผิด หลักควำมคุ้มค่ำ รัฐต้องบริหำร
สำธำรณะโดยยึดกรอบแนวคิดในกำรบริหำรจัดกำรบ้ำนเมืองที่ดีเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชำชน,
เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภำรกิจแห่งรัฐ
มีประสิทธิภำพ เกิดควำมคุ้มค่ำ, ลดขั้นตอนในกำรปฏิบัติงำน, ปรับปรุงภำรกิจของส่วนรำชกำรให้ทันต่อ
สถำนกำรณ์, ประชำชนได้รับควำมอำนวยควำมสะดวกและได้รับกำรตอบสนองต่อควำมต้องกำร, และมี
กำรติดตำมประเมินผลกำรปฏิบัติงำนอย่ำงสม่ำเสมอ
กำรบริ ห ำรนั้ น มี ค วำมเกี่ ย วข้อ งกั บ คนและระบบงำนที่ ต้ อ งบริห ำรให้ เหมำะสม เพื่ อ ท ำให้
กำลังคนสร้ำงผลผลิตขององค์กำรในแบบต่ำงๆ ออกมำได้ พร้อมๆ กับบรรลุเป้ำหมำยในด้ำนต่ำงๆ ของ
ตนเอง เช่น ควำมอยู่ดีมีสุข ควำมร่ำรวย ควำมสุข ควำมมีเกียรติ เป็นต้น ให้ทั้งที่ผู้รับมอบหมำยกำร
ทำงำนกับผู้สั่งกำรทำงำนร่วมกันตำมบทบำทหน้ำที่ของตนอย่ำงเหมำะสมซึ่งกำรจะทำได้ในลักษณะนี้
เป็นเรื่องขององค์ควำมรู้ทำงด้ำนกำรบริหำรที่เมื่อผู้ศึกษำรัฐประศำสนศำสตร์แล้วจะเกิดควำมเป็นมือ
อำชีพ (professional) ที่ ส ร้ ำงประสิ ทธิภ ำพและประสิ ท ธิผ ลขององค์กำร ไปพร้อมกับ ผลประโยชน์
สำธำรณะซึ่งไม่ใช่ใครก็ส ำมำรถท ำได้ เพรำะถ้อยคำที่เป็นที่ ยอมรับ อยู่เสมอ คือ กำรบริห ำรเป็นทั้ ง
ศำสตร์และศิลป์ ที่ต้องใช้ควำมรู้กว้ำงขวำงในหลำยมิติ ทั้งรู้ระบบงำน และเข้ำใจควำมเป็นมนุษย์ผ่ำน
กำรมีจิตวิทยำที่ดีอีกด้วย
นอกเหนือไปจำกกิจกรรมกำรบริหำรที่กล่ำวไปแล้ว กำรบริหำรยังเป็นเรื่องที่เกี่ย วข้อง
กับกำรตัดสินใจ กำรสื่อสำรทั้งภำยในและภำยนอกองค์กำร กำรควบคุมตรวจสอบและประเมินผล แต่
กิจกรรมทั้งหมดนั้นเป็นพื้นฐำนของกำรบริหำรองค์กำรไม่ว่ำทั้งภำครัฐและเอกชนซึ่งอำจจะถูกเรียกใน
ชื่อที่แตกต่ำงกันออกไปบ้ำงและคำถำมสำคัญที่ตำมมำ คือ กำรบริหำรที่เกิดขึ้นในภำครัฐที่ศึกษำกันใน
สำขำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์นั้นมีลักษณะที่สำคัญอย่ำงไร
นิโคลำส เฮนรี่ได้เสนอควำมเห็นว่ำรัฐประศำสนศำสตร์เป็นวิชำที่ศึกษำเรื่ององค์กำร
ของรัฐซึ่งมิได้มีจุดมุ่งหมำยเพื่อแสวงหำกำไรดังเช่นองค์กำรเอกชน และเป็นวิชำที่สนับสนุนให้องคืกำร
ของรัฐมีโครงสร้ำงกลไกกำรตัดสินใจและพฤติกรรมของข้ำรำชกำรที่เกื้อหนุนกำรให้บริกำรสำธำรณะ
(วรเดช จัทรศรและสมยศ โตจุ้ย, 2554, 5) ขณะที่เฟลิก เอ ไนโกร และลอยด์ จี ไนโกร (Felix A. Nigro
and Lloyd G. Nigro) ได้กล่ำวว่ำรัฐประศำสนศำสตร์เป็นวิชำที่ศึกษำถึงควำมพยำยำมร่วมมือกันของ
กลุม่ คนในทำงสำธำรณะ กิจกรรมของฝ่ำยบริหำร ฝ่ำยนิติบัญญัติ ฝ่ำยตุลำกำร เรื่องกำรกำหนดนโยบำย
สำธำรณะ และกำรบริหำรงำนภำครัฐมีควำมเกี่ยวข้องกับบุคคลหลำยฝ่ำยที่มีต่อกำรให้บริกำรแก่ชุมชน
(วรเดช จัน ทรศรและสมยศ โตจุ้ย , 2554, 1) ขณะที่ติน ปรัช ญพฤทธิ์ ได้ให้ ควำมหมำยของ Public
Administration ว่ำหมำยถึงสำขำวิชำและ/หรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับกำรบริหำรงำนภำครัฐบำล ขณะที่
pubic administration หมำยถึงกิจกรรม (หรือกระบวนกำร) กำรบริหำรงำนภำครัฐบำล ในภำษำไทยนั้น
คำว่ำ รัฐประศำสนศำสตร์มักจะหมำยถึง สำขำวิชำกำรบริหำรของรัฐ ส่วนกำรบริหำรรัฐกิจมักหมำยถึง
กิจ กรรมหรื อกระบวนกำรเกี่ย วกับ กำรบริห ำรงำนของรัฐ (ติน ปรัช ญพฤทธิ์ อ้ำงถึงใน สั มฤทธิ์ ยศ
สมศักดิ์, 2549, 15) ขณะที่จอร์จ เอส กอร์ดอน (George S. Gordon) เห็ นว่ำ รัฐประศำสนศำสตร์
หมำยถึงกระบวนกำร องค์กำร และบุคคลที่ ดำรงตำแหน่งทำงรำชกำรทั้งหลำยและมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
กำรกำหนดและนำเอำกฎหมำย ระเบียบ แบบแผนต่ำงๆ ที่ออกโดยฝ่ำยบริหำร และฝ่ำยตุลำกำรออกไป
ปฏิบัติ (จอร์จ เอส กอร์ดอน อ้ำงถึงในฤทธิกร ศิริประเสริฐโชค, 2557, 1) ซึ่งจำกควำมหมำยโดยสรุป
อำจจะกล่ ำ วได้ ว่ ำ รั ฐ ประศำสนศำสตร์ นั้ น เป็ น วิ ช ำที่ ศึ ก ษำเกี่ ย วกั บ องค์ ก ำรภำครั ฐ กระบวนกำร
บริห ำรงำนภำครัฐซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ วมีควำมเกี่ยวข้องกับระบบรำชกำรที่มีบทบำทหน้ำที่ต่อสั งคม
14
โดยรวมในกำรจัดกำรกับปัญหำหรือควำมต้องกำรต่ำงๆ รวมทั้งเป็นวิชำที่มีกำรศึกษำถึงควำมสัมพันธ์
ระหว่ำงระบบรำชกำรกับกับสถำบันกำรใช้อำนำจในกำรปกครองประเทศว่ำจะเป็นรัฐบำล รัฐสภำ หรือศำล
โดยมีเป้ำหมำยเพื่อให้กำรดูแลประชำชนของประเทศให้มีควำมอยู่ดีมีสุขนั่นเอง ดังนั้นรัฐประศำสนศำสตร์
จึงมีควำมเกี่ยวข้องกับเรื่องต่ำงๆ ทำงสังคมกำรเมืองอย่ำงกว้ำงขวำงและพื้นฐำนควำมคิดเกี่ยวกับกำร
บริหำรที่ดียังได้มีควำมเปลี่ยนแปลงไปตำมสถำนกำรณ์และภำวะควำมเป็นอยู่ของประชำชนตลอดจน
สภำพกำรณ์ของสถำนกำรณ์ต่ำงๆ ของสังคมในเวลำนั้นอีกด้วย จนทำให้แนวคิดของรัฐประศำสนศำสตร์
มีควำมหลำกหลำยและหลำยครั้งไม่ได้เป็นไปในทิศทำงเดียวกัน และไม่อำจได้ข้อสรุปถึงแนวทำงที่ดีที่สุ ด
สำหรับกำรบริหำรองค์กำรภำครัฐว่ำจะดำเนินกำรอย่ำงไร
1.4 แนวคิดความคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์
กำรบริหำรนั้นเป็นสิ่งที่ควบคู่กับกำรอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคม แต่นับตั้งแต่วู๊ดโรว วิลสัน
(Woodrow Wilson) ผู้ที่ถือว่ำเป็นบิดำของวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ได้เสนอถึงกำรแก้ ปัญหำของระบบ
บริหำรรัฐกิจของสหรัฐอเมริกำในปี ค.ศ. 1887 จำกงำนของเขำที่ชื่อ The study of administration ก็
สร้ำงให้ เกิดควำมตระหนั กถึงสำขำวิช ำที่ ศึกษำในเรื่องเกี่ยวกับศำสตร์ของกำรบริห ำร (science of
administration) ว่ำเป็นควำมจำเป็นสังคมที่จะต้องเรียนรู้และพัฒ นำสำขำวิชำกำรบริหำรนี้ขึ้นมำอย่ำง
เป็นระบบ และนับตั้งแต่นั้นแนวคิดทำงรัฐประศำสนศำสตร์ก็ค่อยๆ พัฒนำขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของเนื้อหำ
และควำมหลำกหลำยจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งในที่นี้จะอธิบำยถึงแนวคิดทำงรัฐประศำสนศำสตร์ที่ได้รับอิทธิพล
ของกำรศึกษำและพัฒนำของนักรัฐประศำสนศำสตร์ของสหรัฐอเมริกำพอสังเขป ดังนี้
1.4.1 แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์แบบดั้งเดิม (Classic Public Administration)
เป้ำหมำยสำคัญสำหรับรัฐประศำสนศำสตร์ยุคดั้งเดิมในภำพรวมคือควำมพยำมยำมสร้ำงให้เกิด
ประสิทธิภำพในกำรบริหำรและแก้ไขปัญหำกำรทุจริตในหน่วยงำนภำครัฐ โดยมี นักวิชำกำรคนสำคัญ
หลำยคนที่ ให้ ค วำมคิ ด ที่ เป็ น ฐำนส ำคั ญ ส ำหรับ รัฐ ประศำสตร์ในเวลำต่ อ มำ จุ ด ก ำเนิ ด ของส ำหรั บ
รัฐประศำสนศำสตร์ยุคดั้งเดิมเพื่อตอบสนองปัญหำทำงสังคมกำรเมืองของสหรัฐอเมริกำที่ ก่อนหน้ำงำน
“The study of administration” ของวู๊ดโรว วิลสัน นั้นกำรบริหำรรัฐกิจของสหรัฐอเมริกำมีลักษณะที่
สั บ สนวุ่ น วำย โดยเฉพำะอย่ ำ งยิ่ ง งำนด้ ำ นบริ ห ำรบุ ค คลที่ เ ต็ ม ไปด้ ว ยระบบอุ ป ถั ม ภ์ ( the
spoil/patronage system) และโกงกิน รวมไปถึงกำรขยำยบทบำทของรัฐบำลที่มีภำระหน้ำที่ที่ซับซ้อน
กว้ ำ งขวำงมำกขึ้ น อี ก ด้ ว ย จนน ำไป สู่ ง ำน ชิ้ น ส ำคั ญ ของวู๊ ด โรว วิ ล สั น ชื่ อ The study of
administration ในปี ค.ศ. 1887 ที่ให้แนวคิดสำคัญในเวลำนั้น คือ กำรแยกกำรเมืองจำกกำรบริหำรที่
ควำมต่ำงระหว่ำงกำรเมืองกับ กำรบริหำร คือ กำรเมือง เป็นกิจกรรมของรัฐในลักษณะที่กว้ำงขวำง
ยิ่ งใหญ่ สำวนกำรบริ ห ำรนั้ น ไปอี ก แบบหนึ่ ง คื อ กิ จ กรรมของรั ฐ ในเชิ งปั จ เจกและยิ บ ย่ อ ย ดั งนั้ น
กำรเมืองจึงเป็นเรื่องของ the statesman ส่วนกำรบริหำรเป็นเรื่องของ technical official และยังนำ
แนวทำงกำรบริ ห ำรรำชกำรจำกยุ โรปมำใช้ รวมไปถึ งเรีย กร้อ งให้ เกิ ด “ศำสตร์ แห่ งกำรบริห ำร”
(science of administration) ที่เน้นเรื่องกำรมีประสิทธิภำพ ควำมเป็นกลำง ควำมประหยัด และควำม
15
ซึ่งนอกจำกนั กทฤษฎี ทั้ง 3 ที่กล่ ำวไปแล้ ว ยังมีอีก หลำยท่ ำน เช่น ลู เทอร์ กูลิ ค (Luther Gulick) ที่
นำเสนอหลัก POSDCORB ที่กล่ำวถึงไปก่อนหน้ำนี้แล้ว
1.4.2 แนวคิดมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Approch) หรือรัฐประศำสนศำสตร์แบบนี
โอคลำสสิค (Neo-classical Public Administration)
เนื่องจำกหลักกำรบริหำรของรัฐประศำสนศำสตร์ยุคดั้งเดิมที่มุ่งเน้นไปยังกำรจัดกำรโครงสร้ำง
ขององค์กำรและโครงสร้ำงในกำรบริห ำรที่ไม่ให้ ควำมสนใจกับปัจจัยสำคัญคือมนุษย์ในองค์กำรและ
สังคมเท่ำที่ควร ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1920-1930 จึงได้มีกำรนำเสนอแนวคิดทำงกำรบริหำรแบบที่
แตกต่ำงไปจำกเดิมรวมถึงเข้ำมำท้ำทำยกับแนวคิดกำรบริห ำรยุคดั้งเดิมขึ้นมำหำกพยำยำมทำควำม
เข้ำใจกับมนุษย์เพื่อจะสร้ำงประสิทธิภำพได้ โดยสรุปพอสังเขปถึงแนวคิดของนักทฤษฎีในกลุ่มนี้ เป็น
ดังนี้
เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ได้ทำกำรศึกษำอย่ำงเป็นวิทยำศำสตร์ครั้งสำคัญที่ชื่อว่ำกำรศึกษำ
ที่ ฮ อร์ ท อรน์ (Hawthorne Studies) ซึ่ ง กำรค้ น คว้ ำ ทดลองที่ โ รงงำนในเมื อ งฮอร์ ธ อร์ น ของบริ ษั ท
Western Electric โดยกำรศึกษำของเขำนั้นแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ กำรวิจัยเพื่อศึกษำผลกระทบ
ของสภำวะแวดล้อมของกำรทำงำนที่มีต่อผลผลิตของคนงำน กำรวิจัยเพื่อทดสอบตัวแปรต่ำงๆ เช่น กำร
พักผ่อน กำรจ่ำยค่ำตอบแทน ฯลฯ ว่ำจะมีผลต่อกำรผลิตของคนงำนหรือไม่ กำรสัมภำษณ์ควำมเห็น
พนักงำน และกำรทดลองทำงำนแบบกลุ่มในกำรต่อสำยลวดไฟฟ้ำแผงโทรศัพท์ซึ่งกำรศึกษำของเขำ
พบว่ำเงินไม่ใช่ปัจจัยจูงใจอย่ำงเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่น เช่น สภำวะสังคมในหน่วยงำน ปทัสถำนกลุ่มที่มี
ส่วนสำคัญในกำรผลักดันกำรทำงำน
เชสเตอร์ ไอ บำร์นำร์ด (Chester I. Barnard) นั้นไม่เห็นด้วยกับสำนัก Classics ที่มองมนุษย์
เป็นเครื่องจักรกลที่ผู้บริหำรจะสั่งให้ทำอะไรก็ได้แต่ว่ำมองเห็นว่ำควำมร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญในองค์กำร
และคนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในองค์กำร ดังนั้น ต้องพยำยำมชักจูงให้คนร่วมมือในกำรทำงำน และที่
สำคัญ คือ คำสั่งงำนนั้น จะต้องเป็นที่ฟังเข้ำใจ สอดคล้องกับควำมพอใจของผู้รับคำสั่ง และกำรยอมรับ
กำรสั่งกำร
เอ เอช มำสโลว์ (A. H. Maslow) ได้นำเสนอถึงสิ่งที่ชื่อว่ำ ทฤษฎีลำดับชั้นของแรงจูงใจของ
มำสโลว์ (Maslow’s hierarchical theory of motivation) ซึ่งเมื่อบุ คคลได้ รับ กำรตอบสนองควำม
ต้องกำรแล้วจะต้องกำรในระดับชั้นที่สูงขึ้น รำยละเอียดพอสังเขปเป็นดังนี้
ชั้น ที่ 1 ควำมต้ องกำรของร่ ำงกำย (Physiological needs) เป็ น ควำมต้ องกำรพื้ น ฐำนเพื่ อ
ควำมอยู่รอดของชีวิต ได้แก่ ควำมต้องกำรปัจจัยสี่ ควำมต้องกำรกำรยกย่อง และควำมต้องกำรทำงเพศ
ฯลฯ เป็นต้น
ชั้น ที่ 2 ควำมต้องกำรควำมปลอดภัย (Safety needs) เป็นควำมต้องกำรที่เหนือกว่ำควำม
ต้องกำรอยู่รอด ซึ่งมนุษย์ต้องกำรเพิ่มควำมต้องกำรในระดับที่สูงขึ้น เช่น ต้องกำรควำมมั่นคงในกำร
ทำงำน ควำมต้องกำรได้รับกำรปกป้องคุ้มครอง ควำมต้องกำรควำมปลอดภัยจำกอันตรำยต่ำงๆ เป็นต้น
17
ต่ำงๆ ของภำครัฐจะถูกบริหำรได้อย่ำงดีที่สุดผ่ำนกลไกระบบรำชกำรและสำยกำรบังคับบัญชำจำกบนลง
ล่ำง คุณค่ำหลักๆ คือ ประสิทธิภำพและควำมมีเหตุผล และหน่วยงำนของรัฐมีลักษณะเป็นระบบปิด
ประชำชนเข้ำมำเกี่ยวข้องอย่ำงจำกัด
1.4.3 แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New public management)
แนวคิดกำรจัดกำรภำครัฐแนวใหม่นี้มีอิทธิพลมำกในกำรบริหำรงำนภำครัฐในปัจจุบันอันเป็นผล
จำกกำรนำเอำแนวคิดทำงเศรษฐศำสตร์และกำรบริหำรธุรกิจเข้ำมำสู่แวดวงกำรบริหำรงำนภำครัฐมำกขึ้น
อันเป็นผลจำกสภำพของเปลี่ยนแปลงทำงเศรษฐกิจที่รัฐบำลทั้งระดับรัฐและระดับท้องถิ่น จะต้องบริหำร
เพื่อตอบสนองควำมต้องกำรของประชำชนในระดับที่เพิ่มมำกขึ้นแต่ขณะเดียวกันเงินที่จะนำมำใช้ในกำร
บริหำรกลับไม่เป็นไปในทำงเดียวกัน คือ ภำวะเศรษฐกิจทำให้รัฐบำลมีเงินงบประมำณลดลงไปอย่ำงมำก
อีกปัญหำแนวคิดกำรจัดกำรภำครัฐแนวใหม่พยำยำมจัดกำร คือ กำรขยำยตัวมำกขึ้นของกำรบริหำรงำน
แบบระบบรำชกำรที่ไม่นำไปสู่กำรมีประสิทธิผล (effectiveness) จำกโครงสร้ำงที่ไม่เอื้อต่อกำรบริหำรที่
รวดเร็วของระบบรำชกำร โดยแนวคิดกำรจัดกำรภำครัฐแนวใหม่มีประเด็นสำคัญ คือ กำรใช้กลไกตลำด
และกำรแลกเปลี่ย นเข้ำมำเป็น แนวทำงในกำรจัดกำร และเข้ำแทนที่กำรบริห ำรที่ตั้งอยู่บนฐำนของ
กฎเกณฑ์ (rule base) แทนที่กระบวนกำรบริหำรที่ขับเคลื่อนด้วยอำนำจหน้ำที่ ด้วย ฐำนกำรตลำด
(market base) และฐำนกลยุทธ์ของกำรแข่งขัน โดยมองฐำนะของนักบริหำรในองค์กำรภำครัฐเป็นเสมือน
กับผู้จัดกำรภำครัฐ (public manager) ที่จะต้องถือหำงเสือ (steer) ไม่ใช่พำยเรือ (not row) ซึ่งนั่นก็
หมำยถึงกำรดำเนินกำรให้บริกำรประชำชนอำจจะให้เอกชนเข้ำมำร่วมจัดกำรในขณะที่รัฐผันตัวไปสู่กำร
เป็นผู้ควบคุมให้บรรลุเป้ำหมำยและกำหนดทิศทำงรวมถึงวำงรูปแบบในกำรทำงำนแทนที่จะทำสิ่งต่ำงๆ
ด้วยตนเอง รวมถึงจะทำโครงกำรใดก็ จะให้กำรวิเครำะห์ทำงกำรตลำดเป็นปัจจัยสำคัญในกำรวำงแผน
เน้นกระจำยกำรตัดสินใจ ให้อำนำจผู้จัดกำรอย่ำงเป็นอิสระมำกขึ้น
นอกจำกนี้ ก ำรจั ด กำรภำครัฐ แนวใหม่ ยังให้ ค วำมส ำคัญ กั บ กำรปฏิ รูป โครงสร้ำงของระบบ
รำชกำร แทนที่กลไกกำรควบคุม ด้วยกำรคิดที่เน้นกลยุทธ์ทำงกำรตลำด และให้ประชำชนมีทำงเลือก
มำกขึ้นในกำรใช้บริกำรมำกขึ้นจำกควำมหลำกหลำยของผู้ให้บริกำร สนใจใน out put และ out come
มำกกว่ ำ ที่ ก ระบวนกำรหรื อ โครงสร้ ำ ง และขั บ เคลื่ อ นงำนด้ ว ยกำรเน้ น ผลลั พ ธ์ น ำเสนอกำรจ่ ำ ย
ค่ำตอบแทนที่เชื่อมโยงกับควำมสำมำรถ เพิ่มควำมรวดเร็วในกำรทำงำน เพิ่มกำรทำสัญญำจ้ำงเอกชนมำ
ช่ว ยจั ดกำรให้ บ ริ กำร รวมถึงจู งใจให้ เกิด ประสิ ทธิผ ลผ่ ำนสิ่ งจูงใจที่ เป็ น ตัว เงินให้ กับ หน่ว ยงำนและ
บุคคลำกรในแบบต่ำงๆ มุ่งเป้ำหมำย ควำมใกล้ชิดกับผู้รับบริกำรในฐำนะของลูกค้ำ ให้ควำมเป็นอิสระ
ของนักบริหำรในฐำนะผู้จัดกำรที่มีควำมเป็นอิสระ ลดควำมยุ่งยำกในกำรบริหำร และทำในเรื่องที่ทำได้ดี
ถ้ำเรื่องใดทำแล้วไม่ดี ให้หำคนช่วยหรือคนที่ชำนำญมำทำ ผ่อนปรนในเรื่องของกฎระเบียบต่ำงๆ ให้มี
ควำมยืดหยุ่ นในกำรดำเนิ นงำน แต่ตอบสนองต่อเป้ำหมำย และกำรลดสำยกำรบังคับบัญชำเพื่อลด
ค่ำใช้จ่ำย และเพิ่มกำรมีส่วนร่วมลดขนำดองค์กำร (downsizing) และมีกำรใช้พนักงำนชั่วครำว หรือ
กำรจ้ำงตำมสั ญญำเพื่อให้ เกิดกำรกระตุ้นกำรทำงำนให้ ตอบสนองต่อเป้ำหมำยมำกยิ่งขึ้น รวมถึงใช้
19
1.8 บทสรุป
รัฐประศำสนศำสตร์เป็นสำขำวิชำที่มีควำมหลำกหลำยและกว้ำงขวำงและยังมีกำรเปลี่ยนแปลง
ขององค์ ค วำมรู้ อ ยู่ ต ลอดเวลำไปตำมปั ญ หำบ้ ำ นเมื อ งและปั ญ หำขององค์ ก ำรและกำรบริ ห ำรที่
เปลี่ยนแปลงไป สำขำวิชำนี้สำมำรถจำแนกแนวทำงกำรศึกษำออกไปได้หลำยแนวทำงที่ไม่ได้แยกขำด
จำกกันอย่ำงสิ้นเชิงและไม่ได้มีแ นวทำงใดได้รับกำรยอมรับว่ำจริงเหนือกว่ำแนวทำงอื่นๆ อย่ำงลบล้ำง
ควำมถูกต้องของแนวทำงอื่นๆ ไปได้ ซึ่งอำจจะแบ่งแนวหรือกระบวนทัศน์ทำงรัฐประศำสนศำสตร์ตำมที่
นิโคลำส เฮนรี่ได้ให้ไว้ได้ 5 แนวทำง คือ กระบวนทัศน์กำรแยกกำรเมืองออกจำกกำรบริหำร กระบวน
ทั ศ น์ ห ลั ก กำรกำรบริ ห ำร กระบวนทั ศ น์ รั ฐ ประศำสนศำสตร์ในฐำนะรั ฐ ศำสตร์ กระบวนทั ศ น์ รั ฐ
ประศำสนศำสตร์ในฐำนะของศำสตร์กำรบริห ำร และกระบวนทัศน์รัฐประศำสนศำสตร์ในฐำนะรัฐ
ประศำสนศำสตร์ กำรศึกษำรัฐประศำสนศำสตร์จึงมีควำมเกี่ยวข้องกับเรื่องต่ำงๆ อย่ำงกว้ำงขวำง จนทำ
ให้ขอบข่ำยหรือควำมสนใจของกำรศึ กษำรัฐประศำสนศำสตร์มีควำมหลำกหลำยครอบคลุมหลำยเรื่อง
เช่น กำรบริหำรจัดกำร องค์กำร นโยบำยสำธำรณะซึ่งกำรศึกษำรัฐประศำสนศำสตร์จะเป็นประโยชน์กับ
ทั้งผู้ที่ปฏิบัติงำนในองค์กำรภำครัฐและประชำชนทั่วไปทั้งในมิติของผู้ปฏิบัติหรือพลเมืองที่ดีของรัฐ
23
คาถามท้ายบท
1. รัฐประศำสนศำสตร์มคี วำมหมำยและกำรจำกัดควำมว่ำอย่ำงไร
2. ให้อธิบำยพัฒนำกำรของรัฐประศำสนศำสตร์ พร้อมยกตัวอย่ำง
3. รัฐประศำสนศำสตร์มีแนวคิดสำคัญๆ ว่ำอย่ำงไรบ้ำง
4. ให้อธิบำยขอบข่ำยกำรศึกษำรัฐประศำสนศำสตร์และยกตัวอย่ำงประกอบ
5. หำกมีคนมำถำมท่ำนว่ำ “รัฐประศำสนศำสตร์” คืออะไร ท่ำนจะอธิบำยให้คนนั้นเข้ำใจง่ำยๆ
พอสังเขปว่ำอย่ำงไร
24
เอกสารอ้างอิง
สิทธิพรร์ สุนทร
รังสรรค์ อินทน์จันทน์
2.1 ความหมายขององค์การและการบริหาร
2.1.1 ความหมายขององค์การ
“องค์กร” เป็นศัพท์บัญญัติที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Organ” หมายถึง ส่วนประกอบย่อยของ
หน่วยใหญ่ ทาหน้าที่สัมพันธ์กันหรือขึ้นต่อกันและกัน (ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
๒๕๒๕)
“องค์การ” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Organization” หมายถึง ศูนย์กลางของกิจการที่รวม
ประกอบกันขึ้นเป็นหน่วย หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ หลายๆ “องค์กร” รวมกันเข้ามา จะกลายเป็น
“องค์การ” ทันที
“องค์การเป็นเสมือนเวทีแสดงของวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์ในการนาเอาแนวความคิด
(concepts) หรือทฤษฏี (theory) ตลอดจนหลักการต่างๆ (principles) มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์
และเป็นผลดีต่อสาธารณะ”.............การทาความเข้าใจให้ถ่องแท้ในคาว่า...องค์การ...จึงมีความสาคัญ
เพราะองค์การเกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ในสังคมตั้งแต่เกิดจนตาย และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันของ
มนุษย์ในสังคมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และตั้งแต่เช้าจรดเย็นจนถึงเข้านอนในแต่ละวัน ”
ธงชัย สันติวงษ์ (2533: 257) กล่าวว่า องค์การหมายถึง รูปแบบการ ทางานของมนุษย์ที่มี
ลักษณะการทางานเป็นกลุ่มและมีการ ประสานงานกันตลอดเวลา ตลอดจนต้องมีการกาหนดทิศทาง มี
การจัด ระเบียบวิธีทางานและการติดตามวัดผลสาเร็จของงานที่ทาอยู่เสมอ ด้วย
25
2.2 แนวคิดเกี่ยวกับองค์การและการจัดองค์การ
องค์การ คือ การรวมตัวกันของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการทา
กิจกรรม หรือ งานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยอาศัยกระบวนการจัดโครงสร้างของกิจกรรมหรืองานนั้น
ออกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อแบ่งงานให้แก่สมาชิกในองค์การดาเนินการปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย
2.2.1 ลักษณะขององค์การ
1. องค์การคือกลุ่มของบุคคล (Organization as a Group of People) เป็นกลุ่มของบุคคลที่มี
เป้าหมายร่วมกัน ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ
2. องค์การคือโครงสร้างของความสัมพันธ์ (Organization as a Structure of Relationship)
เป็นความรับผิดชอบระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
3. องค์การเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของการจัดการ (Organization as a Function of
Management) เป็นรูปของการจัดกิจกรรม หรืองานต่าง ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเข้าไว้ด้วยกัน โดย
กาหนดหน้าที่ (authority) ความรับผิดชอบ (Responsibility)
4. องค์การคือกระบวนการ (Organization as a Process) ลาดับ ขั้นตอน ความต่อเนื่อง การ
ดาเนินงาน ก่อให้เกิดความรวดเร็ว ถูกต้อง และประหยัด มีขั้นตอนดังนี้
2.2.2 การกาหนดเป้าหมาย (Determination of objectives)
การแบ่งงาน (Division of activities)
การจัดบุคคลเข้าทางาน (Fitting individuals into activities)
การสร้างความสัมพันธ์ (Developing relationships)
27
2.2.5 รูปแบบขององค์การ
1. รูปแบบองค์การแบบปฐมภูมิ และองค์การแบบทุติยภูมิ
องค์การแบบปฐมภูมิ (Primary Organization) องค์การที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ครอบ
ครับ เพื่อน
องค์การแบบทุติยภูมิ (Secondary Organization) องค์การที่เกิดขึ้นด้วยบทบาท หน้าที่
เหตุผล เช่น ธุรกิจ
2. องค์การแบบมีรูปแบบ และองค์การแบบไร้รูปแบบ
องค์การแบบมีรูปแบบ (Formal Organization) คือองค์การที่มีโครงสร้างอย่างมีรูปแบบ มี
กฏเกณฑ์ ระเบียบแบบแผน หรือองค์การทางราชการ หรือการบริหารจากบนลงล่าง (Top-down
Management) หรือการบริหารแบบแนวดิ่ง (Vertical) องค์ประกอบที่สาคัญขององค์การแบบมี
รูปแบบ
1. การแบ่งระดับชั้นสายการบังคับบัญชา (Hierarchy)
การบริหารระดับต้น (Lower Management)
28
2.3 กระบวนการบริหารงาน
กระบวนการบริหารงาน ประกอบด้วย กระบวนการ 3 ขั้น (ศิริพร พงศ์ศรีโรจน์, 2543) ดังนี้
1. พิจารณาแยกประเภทงาน จัดกลุ่มงาน และออกแบบงานสาหรับผู้ทางานแต่ละคน
(Identification of Work & Grouping Work) ก่อนอื่นผู้บริหารจะต้องพิจารณาตรวจสอบแยกประเภท
ดูว่า กิจการของตนนั้นมีงานอะไรบ้างที่จะต้องจัดทาเพื่อให้กิจการได้รับผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์ ขั้น
ต่อมาก็คือ การจัดกลุ่มงานหรือจาแนกประเภทงานออกเป็นประเภท โดยมีหลักที่ว่างานที่เหมือนกันควร
29
เข้าถึงได้ที่ได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/530706
การบริหาร (Management Principle) ได้วางหลักพื้นฐานทางการบริหารไว้ 14 ประการ ดังนี้
1. การแบ่งงานกันทา (Division of work) การแบ่งงานกันทาจะทาให้คนเกิดความชานาญ
เฉพาะอย่าง (Specialization) อันเป็นหลักการใช้ประโยชน์ของคนและกลุ่มคน ให้ทางานเกิดประโยชน์
สูงสุด
2. อานาจหน้าที่ (Authority) เป็นเครื่องมือที่จะทาให้ผู้บริหารมีสิทธิที่จะสั่งให้ผู้อื่นปฏิบัติงานที่
ต้องการได้โดยจะมีความรับผิดชอบ (Responsibility) เกิดขึ้นตามมาด้วย ซึ่งจะมีความสมดุลย์ซึ่งกัน
และกัน
3. ความมีระเบียบวินัย (Discipline) บุคคลในองค์การจะต้องเคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตาม
กฎเกณฑ์ กติกาและข้อบังคับต่าง ๆ ที่องค์การกาหนดไว้ ความมีระเบียบวินัยจะมาจากความเป็นผู้นาที่
ดี
4. เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) ในการทางานใต้บังคับบัญชาควรได้รับ
คาสั่งจากผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเกิดการโต้แย้งสับสน
5. เอกภาพในการสั่งการ (Unity of Direction) ควรอยู่ภายใต้การจัดการหรือการสั่งการโดย
ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งคนใด
6. ผลประโยชน์ขององค์การมาก่อนผลประโยชน์ส่วนบุคคล (Subordinatation ofindividual
interest to the general interest) คานึงถึงผลประโยชน์ขององค์การเป็นอันดับแรก
7. ผลตอบแทนที่ได้รับ (Remuneration of Personnel) ต้องยุติธรรม และเกิดความพึงพอใจ
ทั้งสองฝ่าย
8. การรวมอานาจ (Centralization) ควรรวมอานาจไว้ที่ศูนย์กลางเพื่อให้สามารถควบคุมได้
9. สายการบังคับบัญชา (Scalar Chain) การติดต่อสื่อสารควรเป็นไปตามสายงาน
10. ความมีระเบียบเรียบร้อย (Order) ผู้บริหารต้องกาหนดลักษณะและขอบเขตของงานเพื่อ
ประสิทธิภาพในการจัดระเบียบการทางาน
11. ความเสมอภาค (Equity) ยุติธรรม และความเป็นกันเอง เพื่อให้เกิดความจงรักภักดี
12. ความมั่นคงในการทางาน (Stability of Tenture of Personnel) การหมุนเวียนคนงาน
ตลอดจนการเรียนรู้ และความมั่นคงในการจ้างงาน
13. ความคิดริเริ่ม (Initiative) เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ให้แสดงออกถึงความคิดริเริ่ม
14. ความสามัคคี (Esprit de Corps) หลีกเลี่ยงการแบ่งพรรคแบ่งพวกในองค์การ
สามารถสรุปเป็นหลักการพื้นฐานที่สาคัญของการจัดองค์กร เพื่อใช้เป็นแนวทางในศึกษา
วิเคราะห์เทียบเคียงกับ พุทธวิธีการจัดองค์กรคณะสงฆ์ของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลได้ 5 ประการ
คือ
31
2.4 การบริหารราชการ
ในการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์นั้น หากจะกล่าวถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบราชการแล้ว
บุคคลแรกๆ ที่จะถูกพูดถึง คือ นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันนามว่าแมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ที่สนใจ
ศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์ และอิทธิพลของสั งคมต่อระบบราชการ จากนั้นจึงได้นาเสนอ
องค์การในแบบอุดมคติที่ชื่อว่า “bureaucracy” (ค.ศ. 1922) หรือองค์กรแบบระบบราชการ ที่ถือเป็น
แม่แบบขององค์กรที่มุ่งเป้าหมายสาคัญสาหรับการตอบสนองปัญหาของระบบการบริหารงานที่ไม่มี
ประสิ ท ธิภ าพและการทุ จ ริ ตและหวังว่าองค์ การในแบบอุ ดมคติ ที่ เสนอขึ้ นมานี้ จะช่ ว ยให้ เกิ ดความ
เปลี่ ย นแปลงขึ้น กับ ระบบการบริ ห ารภาครัฐ โดยองค์ กรแบบระบบราชการในอุดมคติของเขานั้น มี
ลักษณะที่สาคัญ คือ เป็นองค์กรที่มีการจัดโครงสร้างในแบบของการแบ่งงานกันทาตามความเชี่ยวชาญ
เฉพาะด้าน และในแต่ละตาแหน่งงานขององค์กรนั้นมีการแบ่งแยกและกาหนดสายการบังคับบัญชาไว้
อย่างชัดเจน มีการยึดแนวทางการปฏิบัติงานที่เน้นกฎ ระเบียบในการปฏิบัติงานที่อยู่ในรูป แบบที่ชัด
แจ้ ง รวมไปถึ ง พยายามขจั ด ความสั ม พั น ธ์ ส่ ว นบุ ค คลที่ มั ก น าไปสู่ ปั ญ หาต่ า งๆ แล้ ว แทนที่ ด้ ว ย
ความสั ม พั น ธ์อย่ างเป็ น ทางการในรู ป แบบของความสั มพั น ธ์ของงาน แต่ก ารที่ จะได้ป ระสิ ท ธิภ าพ
นอกจากโครงสร้างที่กล่าวไปแล้วหากจะต้องการประสิทธิภาพและลดปัญหาการทุจริตสิ่งที่สาคั ญคือ
ทรัพยากรมนุษย์หรือผู้ปฏิบัติงานนั้นจะต้องเข้ามาสู่องค์การจากกระบวนการคัดเลือกอย่างถูกต้องและ
ยุติธรรมตามความสามารถ
32
2.4.1 ลักษณะของระบบและระบบราชการ
34
2.4.2 ทฤษฎีระบบ
2.4.3 ระบบราชการ
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นั ก สั งคมวิ ท ยาชาวเยอรมั น ผู้ มี ชื่ อ เสี ย งได้ เขี ย นหนั งสื อ ชื่ อ
Bureaucracy (1922) โดยพยายามอธิบายถึงองค์การในอุดมคติที่เรียกได้ว่าองค์การแบบระบบราชการ
ซึ่งไม่จาเป็นว่าจะต้องเป็นองค์การของทางราชการเท่านั้น ซึ่งหากองค์การภาคเอกชนมีลักษณะดังกล่าว
ก็สามารถเรียกว่าเป็นองค์การแบบระบบราชการได้ โดยที่แมกซ์ เวเบอร์ได้ระบุถึงองค์การแบบระบบ
ราชการว่าเป็นองค์การที่มีลักษณะดังนี้
- ยึดหลักการสั่งงานตามกฎระเบียบ
37
- ยึดหลักสายการบังคับบัญชา
- ควบคุมกระบวนการการสรรหาคนที่มีคุณภาพและนามาพัฒนาให้เกิดประโยชน์และทักษะ
เฉพาะตัว
- ยึดหลักลายลักษณ์อักษรในการปฏิบัติงาน
- งานรัฐการ/ราชการนั้นสามารถยึดถึงเป็นอาชีพได้
- ข้าราชการภักดีต่อ impersonal ไม่ใช่ personal (ภักดีต่อองค์การไม่ใช่บุคคลซึ่งตรงนี้เป็น
จุดเปลี่ยน/จุดต่างสาคัญของระบบราชการแบบโบราณกับสมัยใหม่)
- การแต่งตั้งเข้ารับตาแหน่งโดยคนที่อยู่ในตาแหน่งสูงกว่า
- เป็นข้าราชการเป็นแล้วจะสามารถเป็นไปได้ตลอดชีวิต
- การเป็นข้าราชการจะมีบานาญมีเงินเดือน
- เมื่ออยู่ในองค์การจะสามารถเติบโตก้าวหน้าตามสายอาชีพจากต่าไปสูง
2.4.4 ปัญหาขององค์การแบบระบบราชการ
การบริหารงานในองค์การของรัฐหรือกระทั่งองค์การเอกชนที่มีขนาดใหญ่และมีโครงสร้างและ
รูปแบบการบริหารงานแบบระบบราชการนั้นมักจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนหรือลูกค้าผู้มาใช้
บริการอยู่เสมอที่เป็ นไปในลักษณะของความไม่พึงพอใจในการปฏิบัติงานหรือการบริการที่ ล่ าช้า ไม่
สนใจและไม่สร้างให้เกิดความราบรื่นในการบริการ ซึ่งเป็นวิจารณ์ที่มีข้อเท็จจริงอยู่ไม่น้อย และเกิดกับ
แทบทุกหน่วยงานของรัฐ
องค์การในรู ปแบบระบบราชการจะบริห ารงานไปตามกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนอย่าง
เคร่งครัด มีการยืดหยุ่นน้อย บุคลากรทางานโดยไม่อาจใช้วิจารณญาณได้อย่างเต็มที่ เพราะถูกจากัดอยู่
ด้วยกฎหมาย ระเบียบ คาสั่งและขั้นตอนต่าง ๆ โครงสร้างสายการบังคับบัญชา ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความ
ล่าช้า การทางานในแต่ละงานต้องทาตามกระบวนการของงาน การที่หน่วยงานราชการจะต้องรับผิดชอบ
ต่อการอานวยประโยชน์ หรือการรักษาประโยชน์ของประเทศอันเป็นส่วนรวม หรือการดาเนินการเพื่อให้
บรรลุเป้าหมายของหน่วยงานภาคเอกชนที่ทางานกันในแบบระบบราชการจึงไม่ค่อยประสบความสาเร็จ
เพราะการกาหนดระเบียบปฏิบัติงานอย่างรอบคอบเพื่อจัดการกับปัญหาการไม่มีประสิทธิภาพและการ
คอร์รัป ชั่น กลายเป็ นผลกระทบที่ทาให้ไม่ เกิดประสิทธิผ ลในการปฏิบัติงาน รวมทั้งในบางกรณีมีการ
แทรกแซงโดยฝ่ ายการเมืองอีกด้ว ย ซึ่งแตกต่างจากองค์การเอกชนที่ส่ว นใหญ่ แล้ว เป็นกลุ่ มบุคคลที่
ร่วมกันดาเนินงานเพื่อแสวงหาผลประโยชน์หรือผลกาไรให้แก่กลุ่มบุคคลเหล่านนั้น การทางานแม้จะมี
ระเบี ย บเช่น เดี ย วกัน กับ องค์ก ารราชการแต่ ก็มี ความยืด หยุ่น ได้ม าก การปรับ ปรุงใด ๆ ก็ท าได้ ง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การธุรกิจมีคู่แข่งขันอยู่รอบด้านความล้มเหลวในการบริหารจะหมายถึงความย่อย
ยับทางธุรกิจ จึงจาเป็นต้องพัฒนาตัวเองทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้รวดเร็ว ทันอกทันใจ
ในขณะที่องค์การราชการแม้จะมีแนวความคิดแต่ก็มักจะติดขัดอยู่ที่การปฏิบัติเนื่องจากระบบงานไม่เปิด
38
จะเสร็จภายในวันเดียวจะต้องล่าช้าไปหลายวันก็ได้ การจงใจหน่วงเหนี่ยวจึงเป็นมูลเหตุให้งานล่าช้าที่
เกิดจากตัวบุคคล จะต้องแก้ไขโดยการควบคุมและติดตามงานตลอดจนลงโทษอย่างเฉียบขาด
7. ขาดความเข้าใจในวิธีการทางานที่ถูกต้อง มูลเหตุของความล่าช้าในการปฏิบัติราชการเกิดขึ้น
ได้เสมอ เนื่องจากงานบางอย่างผู้ป ฏิบัติไม่มีความรู้ความเข้าใจ และไม่สนใจจึงไม่ทราบทางปฏิบัติที่
ถูกต้อง และหากเขาผู้นั้นไม่ใฝ่ใจปรึกษาหารือผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานก็หมกงานนั้นไว้ งานที่ผู้
ปฏิบัติเข้าใจวิธีจะทาได้ทันที แต่จะลงมือทาหรือไม่อยู่ที่ความกระตือรือร้นของเขาอีกส่วนหนึ่ง
8. ขาดความกระตือรือร้น ความกระตือรือร้นหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะทางานอย่างฉับพลัน เอา
จริงเอาจัง ไม่รีรอหรือผัดวันประกันพรุ่ง บุคคลที่มีความกระตือรือร้นในการทางานเขาจะเร่งรีบทางาน
โดยที่ผู้บังคับบัญชาไม่ต้องสั่งการ หรือบอกกล่าวเร่งรีด ความล่าช้าในการปฏิบัติงานจะไม่เกิดขึ้น เรา
อาจปลุกให้บุคคลมีความกระตือรือร้นได้โดยส่งเสริมกาลังใจหรือทาให้เขามีกาลังขวัญ ตลอดจนการเร่ง
เร้าให้บรรยากาศในหน่วยงานมีชีวิตชีวา และมีความหวังในตาแหน่งที่สูงขึ้น
ความล่าช้าในการปฏิบั ติราชการเป็นโรคร้ายในระบบราชการ และเป็นตัวถ่วงในการเร่งรีด
พัฒนาประเทศ ผลที่เกิดจากการปฏิบัติราชการล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลนั้น คือการนาไปสู่ความล้มเหลวใน
การทางานให้มีประสิทธิภาพ การให้บริการที่พึงพอใจแก่ประชาชน และทาลายศรัทธาของประชาชน
พึงตระหนักว่าข้าราชการทุกคนเป็นเครื่องมือของรัฐ ที่ได้รับมอบภารกิจและอานาจหน้าที่ให้รับผิดชอบ
งานอย่างใดอย่างหนึ่ง ความต้องการของประชาชนและรัฐบาลคือการทางานให้สาเร็จเสร็จสิ้นไปด้วย
ความรวดเร็วและถูกต้องในเบื้องต้น และอานวยผลในการพัฒ นาประเทศในเบื้องท้าย ซึ่งสิ่งดังกล่าว
ประชาชนปรารถนาและรอคอยที่จะได้พบเห็นในทุกส่วนราชการ แต่ความล่าช้าในการปฏิบัติราชการก็
ยังคงมีอยู่ในบางส่วนราชการ
2.4.5 ระบบราชการในบริบทของสังคมไทย
คาว่า ระบบราชการ (bureaucracy) นั้นเป็นคาที่มีความน่าสนใจอย่างมากในทางการทางาน
ของภาษาที่ได้สร้างสานึกบางอย่างขึ้นมาจากการใช้คาว่า “ราชการ” เช่น ในฐานะข้ารับใช้ใต้เบื้องพระ
ยุคคลบาทของพระราชาในงานต่าง ๆ ซึ่งนาไปสู่ความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของผู้ที่เป็นข้าราชการ ที่
ความรู้ สึ ก ของการเป็ น ข้ าของพระราชาบางครั้ งอาจเป็ น มรดกตกทอดมาจากการปกครองในยุ ค
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือบ้างครั้งมีการใช้คาว่าข้ารัฐการเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ใน
ฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติงานเพื่อผลประโยชน์ของรัฐเป็นสาคัญ หรือกระทั่งใช้คาว่าข้าราษฎรเป็นต้น
เพื่อสร้างสานึกของผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในหน่วยงานของรัฐจะต้องตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ว่าจะต้องให้
ความสาคัญกับราษฎรปรือประชาชนของประเทศเป็นสาคัญ เป็นต้น ซึ่งปาฐกถาพิเศษของศาสตราจารย์
กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม หัวข้อการเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส
วันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน 2556 น่าจะให้ภาพของความเข้าใจของสังคมไทยต่อคาว่าข้าราชการ
และระบบราชการได้อย่างน่าสนใจ และบทความดังกล่าวปัจจุบันก็ยังอยู่ในระบบของข้อมูลของเว็บไซต์
41
2.4.6 ระบบราชการไทย
ระบบราชการไทยหากจะแบ่งตามหลั กของการบริห ารราชการ 3 แบบ อันประกอบไปด้วย
ระบบการบริ ห ารแบบรวมศู น ย์ (centralization) การแบ่ งอ านาจ (devolution) และการกระจาย
อานาจ (decentralization) จะก่อให้เกิดโครงสร้างการบริหารราชการที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ระบบ
บริหารราชการส่วนกลาง ระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค และระบบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น โดยมี
กฎหมายสาคัญ คือ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม )
ใจความสาคัญมีดังนี้ ในมาตรา 4 ให้จัดระเบียบบริหารราชการเป็น 3 ส่วน คือ ระเบียบบริหารราชการ
ส่วนกลาง ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค และระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
42
การจั ด ระเบี ย บบริ ห ารราชการส่ ว นกลาง ประกอบด้ ว ยส านั ก นายกรัฐ มนตรี (มี ฐ านะเท่ า
กระทรวง) กระทรวง หรือทบวงซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง ทบวง ซึ่งสังกัดสานักนายกรัฐมนตรีหรือ
กระทรวง และกรมหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ซึ่งสังกัดหรือไม่สังกัดสานัก
นายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง โดยให้มีนายกรัฐมนตรีอยู่ในฐานะหัวหน้าของรัฐบาล (มาตรา 11)
โดยให้มีหน้าที่ คือ
กากับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อการนี้จะสั่งให้ราชการส่วนกลาง ราชการส่วน
ภูมิภาค และส่วนราชการซึ่งมีหน้าที่ควบคุมราชการส่วนท้องถิ่น ชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทารายงาน
เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ในกรณีจาเป็นจะยับยั้งการปฏิบัติราชการใด ๆ ที่ขัดต่อ นโยบายหรือมติของ
คณะรัฐมนตรีก็ได้และมีอานาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของราชการส่วนกลาง
ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น
มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกากับการบริหารราชการของกระทรวง หรือทบวงหนึ่งหรือ
หลายกระทรวงหรือทบวงบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตาแหน่งซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม
และส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรม
สั่งให้ข้าราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่งมาปฏิบัติราชการสานักนายกรัฐมนตรี โดย
จะให้ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิมหรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่ให้ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม
ให้ได้รับเงินเดือนในสานักนายกรัฐมนตรีในระดับ และขั้นที่ไม่สูงกว่าเดิม
แต่งตั้งข้าราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่งไปดารงตาแหน่งของอีกกระทรวง ทบวง
กรมหนึ่ง โดยให้ ได้รับ เงิน เดือนจากกระทรวง ทบวง กรมเดิม ในกรณีเช่นว่านี้ให้ ข้าราชการซึ่งได้รับ
แต่งตั้งมีฐานะเสมือนเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งตนมาดารงตาแหน่งนั้นทุกประการ
แต่ ถ้ า เป็ น การแต่ ง ตั้ ง ข้ า ราชการตั้ ง แต่ ต าแหน่ ง อธิ บ ดี ห รื อ เที ย บเท่ า ขึ้ น ไปต้ อ งได้ รั บ อนุ มั ติ จ าก
คณะรัฐมนตรี
แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา หรือคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี หรือ
เป็นคณะกรรมการเพื่อปฏิบัติราชการใด ๆ และกาหนดอัตราเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนให้แก่ผู้ซึ่งได้รับ
แต่งตั้ง รวมถึงแต่งตั้งข้าราชการการเมืองให้ ปฏิบัติราชการในสานักนายกรัฐมนตรี และวางระเบียบ
ปฏิบัติราชการ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิ นเป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเท่าที่ไม่ขัดหรือ
แย้งกับพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น
ในมาตรา 18 ให้จัดระเบียบราชการของกระทรวง ประกอบด้วย สานักงานรัฐมนตรี สานักงาน
ปลัดกระทรวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น เว้นแต่บางกระทรวงเห็นว่าไม่มีความจาเป็น จะ
ไม่แยกส่วนราชการตั้งขึ้นเป็นกรมก็ได้โดยให้แต่ละกระทรวงมีปลัดกระทรวง 1 คนมีอานาจบังคับบัญชา
และรั บ ผิ ด ชอบในกระทรวงนั้ น ๆ ส่ ว นในระดั บ กรมนั้ น มาตรา 31 ได้ ระบุ ถึ งการแบ่ งส่ ว นราชการ
ประกอบด้วย สานักงานเลขานุการกรม กองหรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบกอง เว้นแต่บางกรมเห็ นว่า
43
2.5 สรุป
44
คาถามท้ายบท
เอกสารอ้างอิง
รังสรรค์ อินทน์จันทน์
3.1 เบื้องต้นและพัฒนาการจัดการภาครัฐแนวใหม่
NPM คืออะไร การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management หรือ NPM) คือ การ
เพิ่มผลผลิตในการ บริหารงานภาครัฐ โดยให้ความสาคัญต่อผลสาเร็จของงานเป็นหัวใจหลักสาคัญ เป็น
แนวคิดและที่มาของ การปฏิรูประบบราชการและการประกาศใช้ระบบการบริหารงานแบบมุ่งผลสมัฤทธิ์
(Result Based Management) ของรั ฐ บาลไทย โดยให้ ส่ ว นราชการระดั บกรมต้ องจัด ทาตัว ชี้วัดและ
เป้าหมายของผลงานที่ จะเกิดขึ้น
แนวคิด ในทศวรรษที่ 1984 การปฏิรูประบบราชการถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง
แบบปฏิวัติการบริหารราชการที่เกี่ยวข้องกับ “การปรับกระบวนทัศน์ ” (Paradigm Shift) จากตัวแบบ
ราชการของ Weber Model Bureaucracy ที่มีอิทธิพลมาเกือบศตวรรษ ไปสู่หลัก “การบริหารจัดการ
ภาครัฐแนวใหม่” (New Public Management, NPM) หรือ “แนวคิดที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการ แนว
ใหม่ ” (New Managerialism) (Denis Saint-Martin. 1988 : 391; อ้ างอิ งจาก สมพงษ์ จุ้ ย ศิ ริ เอกสาร
ประกอบการเรียนวิชาการจัดการ ทรัพยากรมนุษย์)
การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ตั้งอยู่บนสมมติฐานของความเป็ นสา
กล ของทฤษฎีการบริหารและเทคนิควิธีการจัดการ ว่าสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งการบริหารรัฐกิจและ
การบริหารธุรกิจ ซึ่งเป็นกระแสความคิดที่สอดคล้องกับรัฐประศาสนศาสตร์แบบคลาสสิกของ Woodrow
Wilson ที่ เน้ น แยกการเมื อ งออกจากการบริ ห ารงาน และหลั ก วิ ท ยาศาสตร์ ก ารจั ด การ (Scientific
46
management) ของ Frederick Taylor โดยมุ่ ง เน้ น ให้ ค วามส าคั ญ ต่ อ การประหยั ด (economy)
ประสิทธิภาพ (efficiency) และประสิทธิผล (effectiveness) (เทพศักดิ์ 2554)
แนวคิดดังกล่าว ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และวิธีการบริห ารงานภาครัฐ ไป
จากเดิม ที่ให้ความสาคัญต่อทรัพยากรหรือปัจจัยนาเข้า (input) และอาศัยกฏระเบียบเป็นเครื่องมือใน
การดาเนินงาน โดยหันมาเน้นถึงวัตถุประสงค์และสัมฤทธิ์ผลของการดาเนินงานทั้งในแง่ผลผลิต (output)
ผลลัพธ์ (outcome) และความคุ้มค่าของเงิน (value for money) รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพและสร้าง
ความพึ งพอใจ 2 ให้ แก่ป ระชาชนผู้ รั บ บริการ โดยนาเอาเทคนิ ควิธีการบริห ารจัดการสมัยใหม่ เข้า มา
ประยุกต์ใช้มากขึ้น เช่น การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การวัดและประเมินผลงาน การบริหารคุณภาพโดยรวม
การรื้อปรับระบบ เป็นต้น (ทศพร,2554) เดวิด ออสบอร์น และ เทด แกรเบร้อ (David Osborne & Ted
Gaebler) ได้เสนอแนวคิดของ Reinventing Government ว่าเป็น พาราไดม์ที่ ได้รับ การยอมรับ สู งสุ ด
ในทางรัฐประศาสนศาสตร์ในช่วง ทศวรรษ 1990 โดยเฉพาะได้เสนอความคิดเกี่ยวกับต้องการให้ระบบ
ราชการมี ลั ก ษณะของการแข่ ง ขั น การ ให้ บ ริ ก ารสาธารณะ (a competitive government) รวมถึ ง
ต้องการให้ระบบราชการเป็นระบบที่ให้ ความสาคัญต่อผลของการปฏิบัติงานมากกว่าสนใจถึงปัจจัยนาเข้า
ทางการบริหารงาน และขั้ นตอนการ ทางานทั้งหลาย (a results-oriented government) ดังนั้น อาจ
กล่ าวได้ ว่าจุ ด เริ่ ม ต้ น ของแนวคิ ด Reinventing Government มี อิ ท ธิ พ ลท าให้ ภ าครัฐ หั น มาสนใจต่ อ
แนวคิ ด การบริ ห ารธุ ร กิ จ มากยิ่ ง ขึ้ น ในระยะ ต่ อ มา ซึ่ ง ได้ พั ฒ นาต่ อ มาเป็ น แนวคิ ด การจั ด การนิ ย ม
(Managerialism) ที่ให้ ความสาคัญกับ การนาวิธีการ บริห ารงานแบบเอกชนและเทคนิคบริห ารจัดการ
สมัยใหม่มาปรับ ใช้กับ การบริหารงานในภาคราชการ โดยการมองว่าวิธีการบริหารงานย่อมเหมือนกัน
(Business-like Approach) จะต่างกันก็ตรงที่วัตถุประสงค์เท่านั้น ซึ่งแนวคิดของการจัดการนิยมนี้ได้มา
บูรณาการผสมผสานกับทฤษฎีทางเศรษศาสตร์ ได้ทาให้เกิด ขึ้นมาเป็นแนวคิดการจัดการภาครัฐสมัยใหม่
(New Public Management) ที่ ท างรั ฐ ประศาสนศาสตร์ ถื อ ว่ า เป็ น จุ ด สนใจ (focus) ที่ ส าคั ญ ของ
การศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ในปัจจุบั น ทั้งหมดล้วนมีอิทธิพลที่ทาให้รัฐประศาสนศาสตร์หันมาสนใจใน
เรื่องของการปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศหรือ Best Practices มาก ยิ่งขึน้ (เทพศกัดิ์ 2554)
วัตถุประสงค์หลักของ NPM คือ ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพของภาคราชการ โดยใช้วิธีการ
ทางการบริห ารจัดการ และวิธีการที่ใช้ กันในภาคเอกชน แต่ประสิทธิภ าพเป็ นเพียงหลั กการเดียวของ
กระบวนทัศน์ การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคม นอกเหนือจากหลักความรับผิดชอบตรวจสอบได้
(Accountability) ความโปร่งใส (Transparency) การเปิดเผย (Openness) ความยุติธรรม (Fairness)
และความเสมอภาค (Equity) (พิทยา,2553) 3
ทาไมต้องเป็น “NPM” เหตุผลที่ต้องนา NPM มาใช้ เนื่องจาก
1. กระแสโลกาภิวัตน์ส่งผลให้สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่าง
รวดเร็ ว จึ ง มี ความจ าเป็ น อย่ างยิ่ งส าหรับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ ต้อ งเพิ่ มศั กยภาพและความ
ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของระบบที่เปลี่ยนแปลงไป
47
6) หลักความสานึกรับผิดชอบ เป็นกระบวนการทางานที่จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการ
ทางาน ให้ดีขึ้น ความสานึกรับผิดชอบต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานจะต้องมีลักษณะสาคัญ 6 ประการ
คือ การมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน การปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการ
พฤติกรรมที่ไม่ เอื้ออานวยให้เกิดการรับผิดชอบ การทางานอย่างไม่หยุดยั้ง การมีแผนสารองการติดตาม
ประเมินผลการทางาน
3.2 การจัดการเชิงกลยุทธ์หรือเชิงยุทธศาสตร์
เทพศักดิ์ (2554) กล่าวว่า การจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับ
การประเมินสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การกาหนดกลยุทธ์ให้ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจจริงที่
เกิดขึ้น การกาหนดวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์การนากลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติและการประเมินผลกลยุทธ์โดยที่
ในการ ประเมินสภาพแวดล้อมทางธุรกิจก็ได้มีการพัฒนาเทคนิคต่าง ๆ ขึ้นมาเป็นจานวนมาก เพื่อนามาใช้
ในการประเมินสภาพแวดล้อม เทคนิคเหล่านั้นที่สาคัญ ได้แก่ เทคนิคการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส
และข้อจากัด (SWOT Analysis), เทคนิค BCG Growth Share Matrix, เทคนิค GE Business Screen ,
เทคนิค การตัวแบบการวิเคราะห์ปัจจัย 5 ประการของพอร์ตเตอร์ ฯลฯ โดยสามารถแบ่งกลยุทธ์หรือยุทธ์
ศาสตร์ออกมาได้ออกมาเป็น 4 ประเภท คือ
4.1 กลยุ ท ธ์ ห รื อ ยุ ท ธ์ ศ าสตร์ ในเชิ ง รุ ก (SO Strategy) ได้ ม าจากการน าข้ อ มู ล การประเมิ น
สภาพแวดล้อมที่เป็นจุดแข็งและโอกาสมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนามากาหนดเป็น กลยุทธ์หรือยุทธ์
ศาสตร์ในเชิงรุก
4.2 กลยุทธ์ห รือยุทธ์ศาสตร์ในเชิงป้ องกัน (ST Strategy) ได้มาจากการนาข้อ มูลการประเมิน
สภาพแวดล้อมที่เป็นจุดแข็งและข้อจากัดมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนามากาหนดเป็นกลยุทธ์หรือยุทธ์
ศาสตร์ในเชิงป้องกัน
4.3 กลยุทธ์หรือยุทธ์ศาสตร์ในเชิงการแก้ไข (WO Strategy) ได้มาจากการนาข้อมูลการประเมิน
สภาพแวดล้อมที่เป็นจุดอ่อนและโอกาสมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนนามากาหนดเป็นกลยุทธ์หรือยุทธ์
ศาสตร์ในเชิงแก้ไข
4.4 กลยุ ท ธ์ ห รื อ ยุ ท ธ์ ศ าสตร์ ในเชิ ง รั บ (WT Strategy) ได้ ม าจากการน าข้ อ มู ล การประเมิ น
สภาพแวดล้อมที่เป็นจุดอ่อนและข้อจ ากัดมาพิจารณาร่ว มกัน เพื่อที่จะน ามาก าหนดเป็ นกลยุทธ์หรือ
ยุทธ์ ศาสตร์ในเชิงรับ
ให้บริการประชาชนได้อย่างทันกาล การจัดทานโยบายการกากับดูแลองค์การที่ดีนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการ
นาหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีหรือธรรมาภิบาลเข้ามาประยุกต์ใช้
องค์ประกอบ :
เพื่อให้การจัดทานโยบายการกากับดูแลองค์การที่ดีของภาครัฐเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมี
ความเป็นสากลเทียบเท่าหน่วยงานในต่างประเทศ และหน่ วยงานในภาคเอกชน สานักงาน ก.พ.ร. จึง
เห็นสมควรกาหนดกรอบนโยบายการกากับดูแลองค์การที่ดีซึ่งครอบคลุมองค์ประกอบ 4 ด้านสาคัญได้แก่
1. นโยบายด้านรัฐ สังคม และสิ่งแวดล้อม
2. นโยบายด้านผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
3. นโยบายด้านองค์การ
4. นโยบายด้านผู้ปฏิบัติงาน
3.5 ตัวอย่างรแปแบบการจัดการภาครัฐสมัยใหม่ในประเทศไทย
3.5.1 การประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคารับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ :
KPI (Key Performance Indicators)
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีพ.ศ. 2546 หมวด 8
การ ประเมินผลการปฏิบัติราชการ กาหนดให้ส่วนราชการดาเนินการประเมินผลการปฏิบัติราชการของ
ส่ ว น 8 ราชการเกี่ ย วกั บ ผลสมั ฤ ทธิ์ข องภารกิจ คุณ ภาพการให้ บ ริก าร ความพึ งพอใจของประชาชน
ผู้รับบริการความ คุ้มค่าในภารกิจ เทพศกัดิ์กล่าวว่า กรอบแนวคดิของการจดัการภาครัฐแนวใหม่ (New
Public Management) ได้ให้ ความสาคัญต่อจุดสนใจหนงึ่ ที่สาคัญ คือเรื่องผลสมัฤทธิ์ (result) ที่เกิดขึ้น
จากการบริหาร โดยถือได้ว่าเป็น การเปลี่ยนแปลงจากแนวคิดการจัดการภาครัฐแบบเดิม ที่ให้ความสาคัญ
ต่อภาระรับ ผิ ดชอบที่ มีต่ อปั จ จั ย น าเข้าหรือ ทรัพ ยากรและกระบวนการทางาน (input and process
accountability) เช่น ปฏิบัติงานตาม กฎระเบียบ ปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่กาหนด เป็นต้น มาเป็นภาระ
รับผิดชอบที่มีต่อผลสมัฤทธิ์ (accountability for results) แทน
กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ แยกตามมิติ 4 มิติ ได้แก่
1. มิติด้านประสิทธิผล
2. มิติด้านคุณภาพการให้บริการ
3. มิติด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ
4. มิติด้านการพัฒนาองค์การ
3.5.2 Balanced Scorecard
เป็นเครื่องมือทางการบริหารที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย โรเบิร์ต เอส แคปแลน และ เดวิด พี นอร์ตัน
(Robert S. Kaplan and David P. Norton) ในปี ค .ศ. 1996 ซึ่งศูนย์กลางของกระบวนการจัดการใน
องค์การในมุมมองของแคปแลนและนอร์ตัน ก็คือ คุณ ค่าสี่ ประการที่องค์การจะต้องใช้เป็นกรอบเพื่ อ
52
6. สรุป
การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management หรือ NPM) คือ การเพิ่มผลผลิตในการ
บริหารงานภาครัฐ โดยให้ความสาคัญต่อผลสาเร็จของงานเป็นหัวใจหลักสาคัญ เป็นแนวคิดและที่มาของ
การปฏิรูป ระบบราชการและการประกาศใช้ระบบการบริห ารงานแบบมุ่งผลสมัฤทธิ์ (Result Based
Management) ของรัฐบาลไทย โดยให้ส่วนราชการระดับกรมต้องจัดทาตัวชี้วัดและเป้าหมายของผลงาน
การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ ( New Public Management) จึงเป็นแนวคิดพื้นฐานของ การบริหาร
จัดการภาครัฐซึ่งจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ ของภาครัฐและยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่ เป็น
รูปธรรม มีแนวทางในการให้บริการที่มีคุณภาพแก่ประชาชน คานึงถึงความต้องการของประชาชนเป็น
หลัก รัฐพึงทาบทบาทเฉพาะที่รัฐทาได้ดีเท่านั้น
54
คาถามท้ายบท
เอกสารอ้างอิง
4.1 การบริหารกับสภาพแวดล้อม
คำว่ำ กำรบริหำร (administration) มีรำกศัพท์มำจำกภำษำลำติน “administatrae” หมำยถึง
ช่วยเหลือ (assist) หรืออำนวยกำร (direct) กำรบริหำรมีควำมสัมพันธ์หรือมีควำมหมำยใกล้เคียงกับคำว่ำ
“minister” ซึ่งหมำยถึง กำรรับใช้หรือผู้รับใช้ หรือผู้รับใช้รัฐ คือ รัฐมนตรี สำหรับควำมหมำยดั้งเดิมของคำ
ว่ำ administer หมำยถึง กำรติดตำมดูแลสิ่งต่ำง ๆ
4.1.1 ความหมายของการบริหาร
ไซมอน (Simon) กล่ำวว่ำ “กำรบริหำร หมำยถึง ศิลปะในกำรทำให้สิ่งต่ำงๆ ได้รับกำรกระทำ
จนเป็นผลสำเร็จ กล่ำวคือ ผู้บริหำรมิใช่เป็นผู้ปฏิบัติ แต่เป็นผู้ใช้ศิลปะในกำรทำให้ผู้ปฏิบัติงำนทำงำนจน
สำเร็จตำมจุดมุ่งหมำยที่ผู้บริหำรตัดสินใจเลือกแล้ว”
บาร์นาร์ด (Barnard, 1972) กล่ำวว่ำ “กำรบริหำร หมำยถึง กำรทำงำนของคณะ
บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่ร่วมกันปฏิบัติกำรให้บรรลุเปำหมำยร่วมกัน”
เทอรี่ (Terry, 1968) ให้ควำมหมำยว่ำ “กำรบริหำรเป็นกระบวนกำรต่ำงๆ ซึ่งประกอบด้วย
กำรวำงแผน กำรจัดหน่วยงำน กำรอำนวยกำร กำรควบคุม ที่ถูกพิจำรณำจัดกระทำขึ้นเพื่อให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ โดยใช้กำลังคน และทรัพยำกรที่มีอยู่
ปีเตอร์ เอฟ ดรักเกอร์ (Peter F. Drucker) ให้ควำมหมำยว่ำ “กำรบริหำร คือกำรทำให้งำน
ต่ำงๆ ลุล่วงไปโดยอำศัยคนอื่นเป็นผู้นำ”
เดโจน (Dejon,1978) ให้ควำมหมำยว่ำ “กำรบริหำร เป็นกระบวนกำรที่จะทำให้วัตถุประสงค์
ประสบควำมสำเร็จโดยผ่ำนทำงบุคคลและกำรใช้ทรัพยำกรอื่น กระบวนกำรดังกล่ำวรวมถึงองค์ประกอบ
57
ปัจจัยกำรบริหำรต้องคำนึงถึงผลหลำยๆ ด้ำนดังนั้นนักบริหำรจึงให้ควำมสำคัญกับกำรตลำด
(Marketing) และถือว่ำเป็นปัจจัยกำรบริหำรอีกตัวหนึ่งก็ได้
3. ลักษณะของกำรบริหำร (Management Style) กำรบริหำรเป็นทั้งศำสตร์และศิลป์ที่ผู้บริหำร
จะต้องนำมำประยุกต์ใช้ในกำรบริหำรให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อองค์กำร
4.1.2 สภาพแวดล้อม
สภำพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ให้อยำกทำงำน หรือ เกิดควำม
เบื่อหน่ำยในกำรทำงำนได้ดังนั้น กำรจัดสภำพแวดล้อมให้เอื้อต่อกำรทำงำน จะทำให้ ผู้ปฏิบัติงำนทำงำนได้
อย่ำงมีประสิทธิภำพ และมีควำมสุขอีกด้วย และในส่วนนี้ขอนำเสนอ ประเด็นต่ำง ๆ ดังนี้คือ (1)
ควำมหมำยของสภำพแวดล้อม (2) ควำมสำคัญของกำรจัดกำร สภำพแวดล้อม (3) สภำพแวดล้อมทำง
กำยภำพ
4.1.2.1 ความหมายของสภาพแวดล้อม
Jones (อ้ำงถึงใน ชุติมำ มำลัย, 2538, หน้ำ 37) ให้ควำมหมำยสภำพแวดล้อม หมำยถึง ทุกสิ่งทุก
อย่ำงรวมทั้งหมดที่อยู่ล้อมรอบปัจเจกบุคคลหรือกลุ่ม ได้แก่ สภำพแวดล้อมทำงกำยภำพ สังคมหรือ
วัฒนธรรม ซึ่งต่ำงก็มีอิทธิพลและควำมรู้สึกนึกคิดของบุคคลได้ทั้งสิ้น
พิทยา บวรวัฒนา (2544, หน้ำ 115) ได้กล่ำวว่ำ สภำพแวดล้อม หมำยถึง ทุกสิ่ง ทุกอย่ำงที่อยู่
นอกองค์กำร อันได้แก่ ปัจจัยทำงเศรษฐกิจ สภำพกำรเมือง ลักษณะของสังคม โครงสร้ำงของกฎหมำย
นิเวศวิทยำและวัฒนธรรม
4.1.2.2 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
กำรวิเครำะห์สภำพแวดล้อม เป็นกำรศึกษำถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อกำรดำเนินงำนของ
สถำนศึกษำทั้งในแง่เชิงบวกและเชิงลบ ข้อมูลสภำพแวดล้อมเป็นข้อมูลในกำรประเมินสภำพของ
สถำนศึกษำว่ำเป็นอย่ำงไร และพัฒนำไปในทิศทำงใด สภำพแวดล้อมที่มีบทบำทต่อกำรดำเนินงำนของ
สถำนศึกษำแบ่งได้ 2 ประเภท คือ สภำพแวดล้อมภำยนอก และสภำพแวดล้อมภำยใน ข้อมูลที่ได้จำก
กำรวิเครำะห์สภำพแวดล้อมภำยนอก พิจำรณำจำก “โอกำสและอุปสรรค” ของสถำนศึกษำ ข้อมูลที่ได้จำก
กำรวิเครำะห์สภำพแวดล้อมภำยใน พิจำรณำจำก “จุดแข็งและจุดอ่อน” ทำงกำรบริหำร
โอกำส (Opportunities) หมำยถึง ปัจจัยหลักของสภำพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย หรือสนับสนุนให้
กำรบริหำรประสบควำมสำเร็จ
อุปสรรค (Threats) หมำยถึง ปัจจัยหลักของสภำพแวดล้อมภำยนอกที่เป็นภัยคุกคำม หรือ
ข้อจำกัดที่ทำให้กำรดำเนินงำนทำงกำรบริหำรไม่ประสบควำมสำเร็จ
จุดแข็ง (Strengths) หมำยถึง ปัจจัยหลักของสภำพแวดล้อมภำยใน ที่เป็นข้อดี หรือข้อเด่น ที่
ทำให้กำรบริหำรประสบควำมสำเร็จ
59
กำรแบ่งสภำพแวดล้อมตำมลักษณะของควำมสัมพันธ์ระหว่ำงองค์กำรของรัฐกับสภำพแวดล้อม
แบ่งออกได้ 2ประเภท
1. สภำพแวดล้อมโดยทั่วไปของกำรบริหำรงำนของรัฐ (ภำยนอก)
2. สภำพแวดล้อมเฉพำะสำหรับองค์กำรต่ำงๆของรัฐ (ภำยใน)
1. สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปของการบริหารงานของรัฐ (ภายนอก)
สภำพแวดล้อมโดยทั่วไปของกำรบริหำรงำนของรัฐ เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระบบกำร
บริหำรงำนของรัฐในทุกๆส่วน หรือกล่ำวได้ว่ำ ปัจจัยดังกล่ำวมีอิทธิพลต่อองค์กำรของรัฐทุกๆองค์ กำร
ระดับของควำมสัมพันธ์ต่อองค์กำรอำจแตกต่ำงกันออกไปขึ้นอยู่กับ “ขอบเขต” ของแต่ละองค์กำร
เนื่องจำกปัจจัยประเภทนี้เป็นปัจจัยที่เกิดจำกลักษณะร่วมกันของสังคม ดังนั้นองค์กำรทุกๆประเภทที่ดำรง
อยู่ในสังคมดังกล่ำวจะต้องเผชิญและได้รับผลกระทบจำกสภำพแวดล้อมประเภทนี้เสมอ หรืออำจเรียกว่ำ
“ปัจจัยสภำพแวดล้อมภำยนอก”
2. สภาพแวดล้อมเฉพาะสาหรับองค์การต่างๆของรัฐ (ภายใน)
สภำพแวดล้อมเฉพำะสำหรับองค์กำรต่ำงๆของรัฐ เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบกำร
บริหำรงำนในแต่ละองค์กำร เรียกได้ว่ำเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบกำรบริหำรขององค์กำร
อำจพิจำรณำระบบสภำพแวดล้อมประเภทนี้ว่ำเป็นระบบของทรัพยำกรในกำรบริหำร สภำพแวดล้อม
60
ประเภทนี้มีลักษณะเฉพำะที่จำเป็นในกำรดำเนินกำรสำหรับองค์กำรหนึ่งๆแต่อำจจะเป็นสิ่งที่ไม่มีควำม
จำเป็นสำหรับองค์กำรอื่นๆเลยก็ได้ หรือที่เรียกว่ำ “ปัจจัยสภำพแวดล้อมภำยใน”
รูปแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมแต่ละประเภทขององค์การ
สภาพแวดล้อมโดยทั่วไป สภาพแวดล้อมเฉพาะสาหรับ
ของการบริหารงานของรัฐ วัฒนธรรม องค์การต่างๆของรัฐ
(ภายนอก) ประเพ ี ค่านิยม (ภายใน)
สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปของการบริหารงานของรัฐ (ภายนอก)
1. ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม ประเพ ี และค่านิยม เป็นปัจจัยที่มีควำมสำคัญต่อระบบกำร
บริหำรงำนของรัฐ ซึ่งมีควำมแตกต่ำงกันไปตำมภูมิภำค เชื้อชำติ ศำสนำ ฯลฯ ซึ่งมีบทบำทอย่ำงมำกในกำร
กำหนดนโยบำยและประสิทธิภำพของกำรบริหำรงำน จึงมีควำมจำเป็นอย่ำงยิ่งที่รัฐจะต้องสรรหำผู้ที่
เหมำะสมเข้ำไปทำหน้ำที่ให้เหมำะสมกับสังคมนั้น ๆ
2. ระบบชนชั้นและสถาบันทางสังคม เป็นกำรศึกษำถึงโครงสร้ำงทำงชนชั้นของสังคม
จะทำให้ผู้บริหำรได้เข้ำใจถึงบทบำทและหน้ำที่ ตลอดจนสถำนภำพที่สังคมเป็นผู้กำหนดให้กับบุคคลต่ำงๆ
สถำบันทำงสังคม เช่น สถำบันกำรศึกษำ สถำบันศำสนำ สถำบันกษัตริย์ ฯลฯ ทำหน้ำที่ยึดเหนี่ยว
จิตใจของประชำชนในชำติที่มีอิทธิพลต่อวิธีกำรดำเนินชีวิตของประชำชน
กำรบริหำรงำนใดๆ ก็ตำมที่นำไปสู่ควำมขัดแย้งกับสถำบันทำงสังคม ก็จะถูกต่อต้ำน
อย่ำงรุนแรงและก่อให้เกิดปัญหำตำมมำ เช่น กำรเดินขบวน กำรก่อกำรร้ำย เป็นต้น
3. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ มีอิทธิพลต่อกำรบริหำรงำนของรัฐ ทั้งในทำงตรงและทำงอ้อม
กำรปฏิบัติงำนของหน่วยงำนใดๆ จำเป็นต้องอำศัยงบประมำณเป็นเครื่องมือในกำรจัดสรรทรัพยำกร ดังนั้น
หำกประเทศมีสภำพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ย่อมเป็นผลให้รัฐบำลเก็บภำษีได้น้อย หน่วยงำนต่ำงๆของรัฐย่อม
ได้รับงบประมำณในกำรดำเนินงำนน้อยตำมไปด้วย และสภำพเศรษฐกิจยังมีอิทธิพลต่อชีวิตควำมเป็นอยู่
ของประชำชนในสังคมอีกด้วย
61
4. ปัจจัยทางประชากร ในกำรกำหนดนโยบำยตลอดจนวิธีกำรบริหำรงำนขององค์กำร
ใดๆ ของรัฐ จำเป็นอย่ำงยิ่งที่จะต้องมีกำรศึกษำถึงปัจจัยทำงด้ำนประชำกรที่องค์กำรนั้นๆ จะเข้ำไป
เกี่ยวข้องดัวย ข้อมูลดังกล่ำวเป็นเครื่องชี้ให้ผู้บริหำรได้เห็นสภำพแรงงำนของท้องถิ่นนั้นๆ นอกจำกนี้
ผู้บริหำรยังต้องกำรข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนผู้บริโภคในสินค้ำและบริกำรของตน เพรำะกิจกรรมใดๆ ของรัฐ
ย่อมเป็นไปเพื่อบำบัดควำมต้องกำรของสังคม หรือเพื่อให้บริกำรของรัฐต่อประชำชน
5. ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีควำมสำคัญยิ่ง และเป็นตัวชี้ให้เห็นถึง
ศักยภำพของประเทศนั้นๆ ในกำรที่จะพัฒนำต่อไป นอกจำกรัฐบำลจะต้องพยำยำมบริหำรประเทศให้
สอดคล้องกับทรัพยำกรของชำติที่มีอยู่แล้ว รัฐบำลจะต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลำว่ำ ทรัพยำกรธรรมชำตินั้น
เป็นสิ่งที่สำมำรถควบคุมจัดสรรให้เกิดประสิทธิภำพเพิ่มขึ้นได้โดยอำศัยเทคโนโลยีและกำรจัดกำรที่ดี หำก
รัฐบำลละเลยก็จะทำให้ประเทศต้องสูญเสียทรัพยำกรธรรมชำติไปโดยเปล่ำประโยชน์
6. การศึกษาของประชาชน ระดับกำรศึกษำของประชำชนเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงระดับ
ควำมเจริญของสังคมและมีอิทธิพลต่อกำรกำหนดรูปแบบของกำรบริหำร ถ้ำประชำชนส่วนใหญ่ยังคงอ่ำน
หนังสือไม่ออก กำรกระจำยอำนำจในกำรบริหำรก็จะประสบปัญหำ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในเรื่องของกำร
ติดต่อสื่อสำร นอกจำกนี้กำรที่รัฐจะนำเอำเทคโนโลยีใหม่ๆ มำใช้ย่อมทำได้ลำบำกยิ่งขึ้น
7. ปัจจัยทางการเมือง กำรเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกำรแสวงหำอำนำจเพื่อกำร
ปกครองประเทศในกำรดำเนินกำรดังกล่ำวจำเป็นต้องคำนึงถึงควำมต้องกำรของประชำชน กรอบกติกำที่
กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และกฎหมำยต่ำงๆ ตลอดจนประเพณีและวัฒนธรรมทำงกำรเมืองของชำติด้วย ใน
ทัศนะของนักกำรเมืองจะมองว่ำระบบกำรบริหำรเป็นระบบหนึ่งของกำรเมืองกำรปกครอง แต่ในทัศนะของ
นักบริหำรจะมองว่ำกำรเมืองเป็นระบบย่อยที่จัดอยู่ในระบบสภำพแวดล้อมทำงกำรบริหำร
8. ปัจจัยทางกฎหมาย กฎหมำยเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกำรบริหำรรำชกำรโดย
ทำงตรงและทำงอ้อม กฎหมำยจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในกำรบริหำรงำนของรัฐ และเป็นปัจจัยที่สำมำรถส่ง
อิทธิพลทำให้ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆของกำรบริหำรเปลี่ยนแปลงได้ อันจะนำมำซึ่งผลกระทบต่อกำรบริหำรใน
ระยะยำว กำรเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมำยจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำด้วยควำมระมัดระวังและต้องคำนึงถึง
ผลกระทบทั้งโดยทำงตรงและทำงอ้อมต่อกำรบริหำรงำนของรัฐ
9. เทคโนโลยี เทคโนโลยีเป็นระบบของควำมรู้อันเกิดจำกควำมคิดสร้ำงสรรค์ของมนุษย์
ในอันที่จะสร้ำงควำมสะดวกสบำยในกำรดำเนินชีวิต เช่น ยำนพำหนะ เครื่องมือสื่อสำร อุปกรณ์สำนักงำน
เป็นต้น เทคโนโลยีเมื่อนำมำใช้ให้เกิดประโยชน์ในกำรบริหำร จัดว่ำเป็นเงื่อนไขประกำรหนึ่งของกำรเกิด
ระบบกำรบริหำรจัดกำร และกำรเพิ่มประสิทธิภำพในกำรบริหำรจัดกำร
10. ปัญหาและวิกฤติการ ์ของสังคม ปัญหำและวิกฤติกำรณ์ทำงสังคมเป็นปัจจัย
แวดล้อมที่มักมีที่มำจำกปัจจัยเบื้องต้นดังที่กล่ำวมำข้ำงต้น และเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบ
กำรบริหำรงำนของรัฐ มีลักษณะเป็นปัญหำเฉพำะหน้ำ ที่รัฐบำลจะต้องเผชิญและแก้ไข เช่น ปัญหำกำร
ว่ำงงำน ปัญหำพลังงำนและมลภำวะ เป็นต้น
62
ปัญหำและวิกฤติกำรณ์ของสังคม เป็นส่งที่นักกำรเมืองชอบนำมำกล่ำวถึงและใช้เป็น
นโยบำยในกำรทำงำนของตน ตลอดจนเป็นข้ออ้ำงในกำรแต่งตั้ง โยกย้ำยข้ำรำชกำร อยู่เสมอ
จะเห็นได้ว่ำ จำกรำยละเอียดของสภำพแวดล้อมโดยทั่วไปของกำรบริหำรงำนของรัฐที่
ได้กล่ำวมำทั้ง 10 ประกำร นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่ำนั้นซึ่งในทำงปฏิบัตินั้นยังมีสภำพแวดล้อมอื่นที่
เกี่ยวข้องกับกำรบริหำรอีกมำก ซึ่งสภำพแวดล้อมดังกล่ำวเป็นสภำพแวดล้อมที่อยู่ภำยนอกองค์กำร ซึ่ง
ผู้บริหำรและองค์กำรไม่สำมำรถที่จะควบคุมได้ เป็นสภำพแวดล้อมที่อยู่นอกเหนือกำรควบคุม ดังนั้นไม่
สำมำรถนำมำใช้ในกำรวำงแผนหรือกำหนดกลยุทธ์ในกำรดำเนินงำนได้ เพียงแต่สำมำรถนำมำเป็นข้อมูล
ประกอบในกำรวำงแผนเท่ำนั้น
4.1.2.4 ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมกับการวางแผน
พจน์ พจนพา ิชย์กุล กล่ำวว่ำ “ผู้บริหำรที่ดีต้องรู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ประยุกต์
ทฤษฎีบริหำรต่ำงๆ ให้เหมำะสมกับ เหตุกำรณ์ และสถำนกำรณ์ในกำรนำไปใช้ ทั้งนี้ในกำรบริหำรองค์กำร
นั้นไม่ควรยึดติด แนวทำงหรือทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งมำกเกินไป แต่ควรยึดหลักกำรปรับตัวเปลี่ยนแปลงให้
เหมำะสมกับเหตุกำรณ์และภำวะแวดล้อมในขณะนั้น หำกเป็นกำรคำดกำรณ์อนำคตก็ควรอำศัยข้อมูล
และองค์ประกอบทำงภำวะแวดล้อมในกำรตัดสินใจ”
จำกคำกล่ำวข้ำงต้นจะเห็นได้ว่ำ สภำพแวดล้อมมีควำมสำคัญต่อกำรบริหำรจัดกำร
และกำรวำงแผนงำนในอนำคตเป็นอย่ำงยิ่ง หำกพิจำรณำสภำพแวดล้อมจำกควำมเกี่ยวข้องปัจจัยกับระบบ
กำรบริหำรจัดกำร จะเห็นได้ว่ำ สำมำรถที่จะแบ่งปัจจัยสภำพแวดล้อมออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ
สภำพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องหรืออยู่ภำยในองค์กำร และสภำพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องหรืออยู่ภำยนอกองค์กำร
ในกำรวำงแผนกำรดำเนินงำนนั้นปัจจัยสภำพแวดล้อมที่สำมำรถนำมำใช้ในกำรวำงแผนต้องเป็นปัจจัยที่
สำมำรถควบคุมได้ด้วยผู้บริหำรหรือองค์กำร ซึ่งก็คือ ปัจจัยสภำพแวดล้อมภำยในหรือสภำพแวดล้อมเฉพำะ
สำหรับองค์กำรต่ำงๆของรัฐนั่นเอง
ตัวอย่ำงเช่น งบประมำณมีควำมสำคัญต่อควำมสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงกำรต่ำงๆ
ของรัฐบำลเป็นอย่ำงยิ่งและเป็นส่วนหนึ่งของแผนกำรดำเนินงำนที่ต้องมีกำรกล่ำวถึงงบประมำณในกำร
ดำเนินงำน ซึ่งรัฐสำมำรถที่จะควบคุมกำรใช้จ่ำยของงบประมำณได้เต็มที่ ดังนั้นในกำรวำงแผนงบประมำณ
ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำมำรถนำมำพิจำรณำเป็นส่วนหนึ่งของแผนงำนได้ เป็นต้น
แต่สำหรับปัจจัยสภำพแวดล้อมภำยนอกหรือสภำพแวดล้อมโดยทั่วไปของกำร
บริหำรงำนของรัฐ เป็นปัจจัยที่อยู่เหนือกำรควบคุม จึงไม่สำมำรถนำมำใช้ในกำรวำงแผนได้
ตัวอย่ำงเช่น สภำพดินฟ้ำ อำกำศ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือกำรควบคุม รัฐไม่สำมำรถ
กำหนดได้ว่ำ ปริมำณน้ำฝนในแต่ละปีจะมีมำกหรือน้อย ดังนั้นกำรที่รัฐจะวำงแผนเพื่อเร่งผลผลิตข้ำวด้วย
หวังว่ำจะมีปริมำณน้ำฝนเพียงพอ จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่ำ กำรศึกษำเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของกำรบริหำรรัฐกิจเป็นควำม
63
พยำยำมที่จะให้ผู้ศึกษำได้ตระหนักถึงอิทธิพล อันเนื่องมำจำกปัจจัยภำยนอกระบบกำรบริหำรงำนของรัฐ
ในกำรที่จะเข้ำใจถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปัจจัยแวดล้อมกับระบบกำรบริหำรงำนของรัฐ จะต้องกำหนด
ขอบเขตระหว่ำงหน่วยงำนของรัฐกับสภำพแวดล้อมให้ชัดเจน ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงหน่วยงำนของรัฐกับ
ปัจจัยสภำพแวดล้อมจะนำมำซึ่งกำรเปลี่ยนแปลงแก้ไขระบบบริหำรเพื่อที่จะสร้ำงดุลยภำพเพื่อให้กำร
ทำงำนของหน่วยงำนของรัฐเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม
4.2 พฤติกรรมทางการบริหาร
ผู้บริหำรในยุคแรก ๆ มองบุคคลว่ำ เป็นปัจจัยกำรผลิตอย่ำงหนึ่งเช่นเดียวกับเครื่องจักรเครื่องกล
ต่อมำได้มีควำมพยำยำมที่จะเพิ่มประสิทธิภำพให้คนทำงำนได้มำกขึ้น เร็วขึ้น โดยกำรจูงใจด้วยเงินและวัตถุ
เป็นหลัก ที่เรียกว่ำ “กำรบริหำรเชิงวิทยำศำสตร์” แต่พบว่ำ กำรให้ควำมสำคัญกับมนุษยสัมพันธ์ไม่ได้
คำตอบที่ดีกับกำรบริหำร จึงมีกำรใช้วิธีกำรศึกษำทำงพฤติกรรมศำสตร์ ที่ทำให้เข้ำใจพฤติกรรมของมนุษย์ที่
อยู่ภำยใต้สภำพแวดล้อมขององค์กำร อันเป็นที่มำของกำรศึกษำพฤติกรรมองค์กำร ซึ่งกำรศึกษำ
ดังกล่ำว มีอิทธิพลอย่ำงมำกต่อแนวคิดกำรบริหำรในปัจจุบัน เนื่องจำกกำรบริหำรเป็นกระบวนกำรทำงำน
ให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น พฤติกรรมของบุคคลในองค์กำรจึงมีควำมสำคัญต่อกำรเพิ่มผลผลิตและ
ประสิทธิผลขององค์กำร
เนื่องจำกกำรบริหำรงำนเป็นกระบวนกำรทำงำนให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น และกำรบริหำรเป็น
กระบวนกำรของกำรวำงแผน กำรจัดองค์กำร และกำรควบคุมปัจจัยต่ำง ๆ โดยเฉพำะทรัพยำกรมนุษย์เป็น
ปัจจัยที่มีควำมต้องกำร มีควำมรู้สึกและอำรมณ์ ดังนั้น กำรที่จะบริหำรจัดกำรให้มนุษย์ทำงำนได้สำเร็จ เกิด
ประสิทธิผลตำมจุดมุ่งหมำยขององค์กำร ตลอดจนสำมำรถแข่งขันและทำให้องค์กำรอยู่รอดได้นั้น ผู้บริหำร
จำเป็นต้องทำกำรศึกษำพฤติกรรมภำยในองค์กำร เพื่อให้เกิดควำมเข้ำใจและสำมำรถทำนำยพฤติกรรมใน
องค์กำรได้ ตลอดจนสำมำรถควบคุมปัจจัยต่ำง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ทั้งนี้
กำรศึกษำพฤติกรรมองค์กำรมีควำมสำคัญต่อผู้บริหำรดังต่อไปนี้
1. ทำให้เกิดควำมเข้ำใจ และสำมำรถทำนำยและควบคุมพฤติกรรมของตนเอง
กำรศึกษำพฤติกรรมองค์กำรจะช่วยให้ผู้บริหำรเข้ำใจพฤติกรรมและควำมรู้สึกของตนเอง เช่น มี
ควำมเข้ำใจในควำมรู้สึก ควำมต้องกำรและแรงจูงใจของตนเอง ทำให้ทรำบธรรมชำติ จุดอ่อนและจุดแข็ง
ของพฤติกรรมของตนเอง ตลอดจนปัจจัยที่เป็นสำเหตุ ทำให้สำมำรถทำนำยและควบคุมพฤติกรรมของ
ตนเองให้เป็นไปในทิศทำงที่พึงประสงค์ เช่น นำควำมรู้ที่ได้มำใช้ในกำรปรับปรุงพัฒนำพฤติกรรม และควำม
ควำมสำมำรถในกำรตัดสินใจ กำรตอบสนอง กำรควบคุมอำรมณ์และควำมเครียดต่ำง ๆ กำรพัฒนำกำร
สื่อสำรกับผู้อื่น ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่ำงมำกต่อกำรบริหำรงำนในอำชีพของตน
2. ทำให้เกิดควำมเข้ำใจ และสำมำรถทำนำยและควบคุมพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชำ
64
พฤติกรรมองค์กำรหรือพฤติกรรมทำงกำรบริหำร เป็นกำรศึกษำพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์กำร
อย่ำงเป็นระบบ ทั้ง พฤติกรรมระดับบุคคล กลุ่ม และองค์กำร โดยใช้ควำมรู้ทำงพฤติกรรมศำสตร์ ซึ่ง
ควำมรู้ที่ได้สำมำรถนำไปใช้ในกำรเพิ่มผลผลิตและควำมพึงพอใจของบุคลำกร อันนำไปสู่กำรเพิ่ม
ประสิทธิผลขององค์กำรในภำพรวม
4.2.1 พฤติกรรมการบริหารแต่ละระดับ
ระดับของกำรจัดกำรแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ผู้ที่เข้ำมำปฏิบัติหน้ำที่ด้ำนกำรจัดกำรจะมีอำนำจ
หน้ำที่ และควำมรับผิดชอบต่ำงกันซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งต่ำง ๆ มีดังนี้
4.2.1.1. ผู้บริหำรระดับสูงสุด (Top Management) คือ ผู้จัดกำรอำวุโสหรือผู้บริหำรที่มี
ควำมสำคัญที่สุด โดยจะเป็นผู้ที่มีควำมชำนำญและมีประสบกำรณ์มำนำนหลำยปี ในกำรบริหำรงำน
ระดับนี้ประกอบด้วยคณะกรรมกำรบริหำร (Board of Directors) ประธำน (President) หรือ
หัวหน้ำผู้บริหำร (Chief Executive Officers) และเจ้ำหน้ำที่อื่น ๆ ของบริษัทกำรบริหำรงำนระดับสูง
จะต้องรับผิดชอบต่อกำรบริหำรงำนทั้งหมดขององค์กำรและตัดสินใจในกำรทำแผนงำนกว้ำง ๆ ของบริษัท
และเรื่องต่ำง ๆ ที่มีควำมสำคัญ เช่น กำรรวมกิจกำร สินค้ำชนิดใหม่ และกำรออกหุ้นทุน
4.2.1.2. ผู้บริหำรระดับกลำง (Middle Management) ประกอบด้วยผู้จัดกำรแผนก
(Division Managers) หรือผู้จัดกำรโรงงำน (Plant Manager) ผู้จัดกำรเหล่ำนี้มีควำมรับผิดชอบใน
กำรปรับปรุงโครงกำรดำเนินงำน ซึ่งช่วยทำให้โครงกำรกว้ำง ๆ ซึ่งทำขึ้นโดยฝ่ำยบริหำรขั้นสูงสุดสำเร็จ
ลุล่วงไปได้ด้วยดี และทำหน้ำที่สั่งงำนและรับรำยงำนจำกผู้บริหำรระดับต้นของหน่วยงำนที่อยู่ในควำม
รับผิดชอบของตน จึงเปรียบเสมือนตัวกลำงเชื่อมโยงระหว่ำงผู้บริหำรระดับสูง และระดับต้น
4.2.1.3. ผู้บริหำรระดับต้น ๆ (First Line of Supervisory) คือหัวหน้ำขั้นต้น เพรำะว่ำต้อง
มีควำมรับผิดขอบในกำรควบคุมดูแลคนงำน ซึ่งดำเนินงำนเป็นประจำ ไม่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบำย
กฎระเบียบ และหน่วยปฏิบัติที่แน่นอนเป็นเครื่องมือช่วยในกำรปฏิบัติงำนอยู่แล้ว
4.2.2 พฤติกรรมทักษะของผู้บริหาร
ในอดีตนักวิชำกำรต่ำง ๆ ได้กล่ำวถึงทักษะของผู้บริหำร ซึ่งจะต้องมี 3 ประกำรคือ
4.2.2.1. ทักษณะในด้ำนรำยละเอียดของกำรปฏิบัติงำน (Technical Skill) หมำยถึง ควำมรู้ใน
วิธีกำร ปฎิบัติงำนในกำรใช้เครื่องมือ และมีควำมรู้ในเรื่องนั้น ๆ โดยเฉพำะเช่น ศัลยแพทย์ นักดนตรี
นักวิชำกำร
4.2.2.2. ทักษะในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ (Human Relation Skills) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำร
ทำงำนร่วมกับผู้อื่น คือ มีมนุษยสัมพันธ์ เข้ำใจ และรู้วิธีจูงใจผู้ร่วมงำนทั้งเป็นรำยบุคคล หรือเป็นกลุ่ม ทั้งนี้
เพื่อให้ได้รับควำมร่วมมือ
4.2.2.3. ทักษะในเรื่องควำมคิด (Conceptual Skill) หมำยถึง มีควำมรู้ทำงทฤษฎี และหลักกำร
สำมำรถที่จะเข้ำใจถึงสภำพกำรทำงำนเป็นส่วนรวม เข้ำใจควำมเกี่ยวข้องของกิจกรรม หรือหน้ำที่ของงำน
ต่ำง ๆ เข้ำใจถึงควำมสำคัญของควำมสัมพันธ์ และกำรประสำนงำนของแต่ละหน้ำทีท่ ั้งภำยในองค์กำรกับ
66
4.3 การบริการขององค์การ
กำรบริกำรและคุณภำพของกำรให้บริกำรมีควำมสำคัญอย่ำงยิ่งต่อผู้รับบริกำรใน งำนบริกำรนั้นๆ
เพื่อให้ผู้เข้ำรับกำรบริกำรเกิดควำมประทับใจและพอใจในกำรบริกำรนั้นสูงสุดในกำรสร้ำงควำมเป็นเอกลักษณ์
และเป็ นกำรจูงใจให้ ผู้รับ บริกำรกลั บ มำรับบริกำรอีก เป็นแนวควำมคิดหนึ่งที่ได้มีกำรนำมำใช้ในระบบ
รำชกำรภำครัฐของไทย และเป็นพื้นฐำนของกำรทำงำนและกำรนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นเครื่องมือในกำร
วัดประเมินคุณภำพของหน่วยงำนภำครัฐต่อไป
4.3.1 ความหมายของการบริการ
กำรบริกำร หรือ Service มีนักวิชำกำรได้ให้ควำมหมำยไว้ ดังนี้
สุ ขุ ม นวลสกุ ล (2538, 16 – 21) กล่ ำ วว่ ำ “ค ำว่ ำ บริ ก ำรน่ ำ จะเป็ น ค ำที่ มี คุ ณ ค่ ำ และชวนให้
ภูมิอกภูมิใจเพรำะคำว่ำบริกำรนั้นหมำยถึงกำรทำประโยชน์ให้กับคนอื่ นมีควำมสุข ควำมพอใจซึ่งคนที่ทำก็
น่ำจะมีควำมสุขที่ตัวเองมีคุณค่ำแก่คนอื่นฉะนั้นถ้ำเรำตั้งอุดมกำรณ์ไว้ว่ำงำนของเรำคือบริกำรแล้วละก็งำน
ที่เรำทำจะเป็นที่พึงพอใจของผู้รับบริกำรเสมอผู้ที่มีหัวใจบริกำร จริงๆนั้นต้องแสวงหำควำมรู้รอบตัวเพื่อจะ
ได้ใช้ควำมรู้นั้นมำให้บริกำรเขำได้ควำมเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจหรือองค์กรไม่ได้ขึ้นอยู่กับระบบกำรจัดกำรที่มี
ประสิทธิภำพหรือสินค้ำที่มีคุณภำพเลิศเท่ำนั้นกำรพัฒนำให้มีหัวใจบริกำรกับคนในองค์กรก็เป็นองค์ประกอบที่
สำคัญที่ละเลยไม่ได้”
สมิ ต สั ช ฌุ ก ร (2543, 25) ได้ ให้ ค วำมหมำยว่ ำ กำรบริ ก ำรคื อ กำรกระท ำที่ เปี่ ย มไปด้ ว ยควำม
ช่วยเหลือหรือกำรดำเนินกำรที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นกำรบริกำรจึงเป็นกำรปฏิบัติงำนที่กระทำหรือติดต่อและ
เกี่ยวข้องกับผู้ใช้บริกำรกำรให้บุคคลต่ำงๆได้ประโยชน์ทำงใดทำงหนึ่งทั้งด้วยควำมพยำยำมใดๆด้วยวิธีกำรที่
มีประโยชน์ต่อผู้อื่นกำรบริกำรจึงเป็นกำรปฏิบัติงำนที่กระทำหรือติดต่อและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้บริกำรกำรให้
บุคคลต่ำงๆได้ประโยชน์ในทำงใดทำงหนึ่งทั้งด้วยควำมพยำยำมใดๆด้วยวิธีกำรที่หลำกหลำยในกำรทำให้คน
ต่ำงๆ ที่เกี่ยวข้องได้รับควำมช่วยเหลือเช่นเดียวกับกำรอำนวยควำมสะดวกเป็นกำรให้บริกำรแบบหนึ่งที่
สนองต่อควำมต้องกำรช่วยเหลือและอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้บริกำร
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่ำบริกำรหมำยถึงกิจกรรมหรือกำรปฏิบัติเพื่อตอบสนองควำมต้องกำรและควำมพึง
พอใจของทั้งผู้ให้และผู้รับบริกำรซึ่งกิจกรรมนั้นไม่สำมำรถจับต้องได้
จินตนำ บุญบงกำร (2539, 7) ให้ควำมหมำยของคำว่ำ บริกำรไว้ว่ำ กำรบริกำรเป็นสิ่งที่สัมผัสและ
แตะต้องได้ยำกและเสื่อมสูญสภำพไปได้ง่ำย บริกำรจะทำขึ้นทันทีและส่งมอบให้ผู้รบั บริกำรทันทีหรือเกือบ
ทันที
69
ปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงลูกค้ำกับพนักงำนบริกำรและหรือลูกค้ำกับบริษัทผลิตสินค้ำกับระบบของกำรให้บริกำรที่
ได้จัดไว้ เพื่อช่วยผ่อนคลำยปญั หำของลูกค้ำ
คอทเลอร์ (1997, 473) ได้กล่ำวว่ำ กำรบริกำร หมำยถึง กิจกรรมหรือปฏิบัติกำรใดๆ ที่กลุ่มบุคคล
หนึ่งสำมำรถนำเสนอให้อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่สำมำรถจับต้องได้และไม่ได้ส่งผลของควำมเป็นเจ้ำของสิ่งใด
สแตนตอน (1992, 22) ได้ให้ควำมหมำยของ “กำรบริกำร” หมำยถึง กิจกรรมหรือผลประโยชน์ใด
ๆ ที่สำมำรถตอบสนองควำมต้องกำรให้เกิดควำมพึงพอใจด้วยลักษณะเฉพำะในตัวของมันเองที่จับต้องไม่ได้
และไม่จำเป็นต้องรวมกันอยู่กับกำรขำยสินค้ำหรือบริกำรใดกำรให้บริกำรอำจจะเกี่ยวข้องกับกำรใช้หรือไม่
ใช้สินค้ำที่มีตัวตน และไม่ได้แสดงควำมเป็นเจ้ำของสินค้ำนั้น
พเชนสกี และโทมั ส (Penchansky, R. and W. Thomas, 1981, 127-140) ได้ เสนอแนวคิ ด
เกี่ยวกับกำรเข้ำถึงกำรบริกำรดังนี้
1. ควำมเพีย งพอของบริกำรที่ มีอยู่ (Availability) คือ ควำมเพี ยงพอระหว่ำงบริกำรที่มีอยู่กับ
ควำมต้องกำรขอรับบริกำร
2. กำรเข้ำถึ งแหล่ งบริ ก ำร (Accessibility) คื อ ควำมสำมำรถที่ จ ะไปใช้แ หล่ งบริก ำรได้ อ ย่ ำง
สะดวก โดยคำนึงถึงลักษณะที่ตั้ง
3. ควำมสะดวกและสิ่งอำนวยควำมสะดวกของแหล่งบริกำร (Accommodation) ได้แก่ แหล่ง
บริกำรที่ผู้รับบริกำรยอมรับว่ำให้ควำมสะดวก และมีสิ่งอำนวยควำมสะดวก
4. กำรยอมรับคุณภำพของกำรบริกำร (Acceptability) ซึ่งในที่นี้ หมำยถึงกำรยอมรับลักษณะ
ของผู้ให้บริกำรด้วย
จำกกำรให้ควำมหมำยที่เกี่ยวข้องกับกำรบริกำรของนักวิชำกำรที่กล่ำวถึงไปก่อนหน้ำนี้ จะเห็นได้
ว่ำกำรจัดให้เกิดกำรบริกำร หรือกำรบริกำรสำธำรณะในลักษณะที่ดี หรือมีคุณภำพนั้น เป็นเรื่องของแนวคิด
ทำงกำรบริหำรที่มีควำมสำคัญกับทุกๆ องค์กำร และเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่ำงๆ เป็นจำนวนมำกที่ผู้ให้บริกำร
จะต้ อ งท ำควำมเข้ ำใจ ทั้ งเข้ ำใจต่ อ วิธี กำรและกระบวนกำรบริห ำรหน่ ว ยงำนทั้ งในแง่ของบุ ค คล เพื่ อ
ก่อให้เกิดกำรรับรู้ต่อกำรบริกำรที่ดีของผู้รับบริกำรขององค์กำร
งำนบริกำรเป็นงำนสร้ำงควำมพึงพอใจและประทับใจให้กับลูกค้ำและผู้ที่มำติดต่อกำรบริกำรที่ดี
ย่อมมีผลดีต่อกำรปฏิบัติงำน และกำรให้บริกำรที่แย่ในโลกทุกวันนี้ที่ข้อมูลข่ำวสำรไหลบ่ำไปอย่ำงรวดเร็ว
ย่อมส่งผลกระทบต่อภำพลักษณ์และควำมนิยมของประชำชนที่มีต่อหน่วยงำนได้ในเวลำอันใกล้ ซึ่งอำจทำ
ให้หน่วยงำนถึงกับต้องยุติบทบำทหรือเลิกกิจกำรไปได้เลย ดังนั้นเป็นหน้ำที่ของบุคลำกรทุกคนที่จะต้อง
พยำมยำมสร้ำงให้ เกิดกำรรับ รู้ต่อกำรบริกำรของหน่วยงำนในระดับที่ดีให้ ได้ โดยกระบวนกำรของกำร
พัฒนำทรัพยำกรบุคคลของหน่วยงำนให้ตระหนักถึงควำมสำคัญของกำรบริกำร กำรเปลี่ยนแปลงควำมเชื่อ
ที่มีต่องำนและผู้รับบริกำรถือเป็นกระบวนกำรเริ่มต้นที่ไม่ต้องใช้เงินทองมำกมำย และมีประสิทธิภำพมำก
ที่สุดกว่ำเครื่องมือในกำรบริหำรใดๆ ดังนั้น กำรปลูกฝังจิตใจรักกำรบริกำร (Service mind) ย่อมนำมำสู่
จุดเริ่มต้นของกำรพัฒนำกำรบริกำรให้เป็นที่ย่อมรับ แต่กำรเกิดใจรักกำรบริกำรนั้น อำจเกิดได้จำกกำรสร้ำง
74
4.3.2 ความสาคัญของการให้บริการ
ในปัจจุบันไม่ว่ำหน่วยงำนภำครัฐหรือหน่วยงำนภำคเอกชนได้ให้ควำมสำคัญเกี่ยวกับกำรบริกำร
โดยได้เพิ่มบทบำทและควำมสำคัญของกำรบริ กำรเป็นอันดับแรกจนกล่ำวได้ว่ำ แทบจะไม่มีหน่วยงำนใด
หรือธุรกิจใดที่จะไม่สนใจต่อกำรให้บริกำรที่ดีและมุ่งเน้นควำมมีคุณภำพอีกต่อไป แม้แต่หน่วยงำนภำครัฐก็
ต้องพัฒนำกำรให้บริกำรในด้ำนต่ำงๆเพื่อบริกำรประชำชนและเพิ่มประสิทธิภำพในกำรบริกำรประชำชนให้
มำกที่สุด ได้มีนกั วิชำกำรหลำยท่ำนสรุปควำมสำคัญ ของกำรบริกำรได้ดังนี้
สมิต สัชฌุกร (2542, 14-15) ได้กล่ำวถึงควำมสำคัญของกำรบริกำรว่ำ อำจพิจำรณำได้ 2 ด้ำน คือ
1. บริกำรที่ดีจะส่งผลให้ผู้บริกำรมีควำมรู้สึกชอบหรือพึงพอใจ ทั้งต่อตัว ผู้ให้บริกำรและหน่วยงำน
ที่ให้บริกำร มีควำมนิยมในหน่วยงำนที่ให้บริกำร มีควำมระลึกถึงและยินดีมำขอรับบริกำรอีกมีควำมประทับใจ
ที่ดีไปอีกนำน มีกำรบอกต่อไปยังผู้อื่นหรือแนะนำให้ มำใช้บริกำรเพิ่มขึ้น มีควำมภักดีต่อหน่วยบริกำรที่
ให้บริกำรและมีกำรพูดถึงกำรให้บริกำรและ หน่วยงำนในทำงที่ดี
2. บริกำรที่ไม่ดีจะส่งผลให้ผู้รับบริกำรมีควำมรู้สึกไม่ชอบหรือไม่พึงพอใจ ทั้งต่อตัวผู้ให้บริกำรและ
หน่วยงำนที่ให้บริกำร ดังนี้ มีควำมรังเกียจต่อตัวผู้ให้บริกำร มีควำม เสื่อมศรัทธำในหน่วยงำนที่ให้บริกำร มี
ควำมผิดหวังและไม่ใช้บริกำรอีก มีควำมรู้สึกที่ไม่ดีต่อกำรบริกำรของหน่วยงำนไปอีกนำน มีกำรบอกต่อไป
ยังผู้อื่นหรือแนะนำไม่ให้ผู้อื่นมำใช้บริกำร มีกำรพูดถึงผู้ให้บริกำรและหน่วยงำนในทำงที่ไม่ดี
ภรำดร แช่ม สุ่ ม (2548, 13) ได้ก ล่ ำวถึง ควำมส ำคัญ ของกำรบริกำรว่ำ เป้ ำหมำยส ำคัญ อยู่ ที่
ผู้รับบริกำรเป็นหลักสำคัญ โดยผู้ให้บริกำรจะต้องถือเป็นหน้ำที่ โดยตรงที่ต้องพยำยำมกระทำอย่ำงใดอย่ำง
หนึ่ งให้ ผู้รับ บริกำรเกิดควำมพึงพอใจสู งสุดเท่ำที่จะทำได้ เพรำะผู้ ใช้บริกำรมีจุดมุ่งหมำยของกำรมำรับ
บริกำรและคำดหวังให้มีกำรตอบสนองตำมควำมต้องกำรนั้น
ปรั ช ญำ เวสำรั ช ช์ (2540, 8) ได้กล่ ำวถึงควำมส ำคั ญ ของกำรบริกำร คือ กำรให้ บ ริกำรอย่ำงมี
ประสิทธิภำพ ด้วยขบวนกำรบริกำร มีวีธีกำรนำเสนอบริกำรในขบวนกำรบริหำรและมีควำม สำคัญในกำร
สร้ำงควำมพึงพอใจให้ กับ ผู้ รับ บริกำร มีควำมคล่ องตัว และสนองควำมต้องกำรของผู้ รับบริกำรได้อย่ำง
ถูกต้องมีคุณภำพ เช่น กำรนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ำมำจัดระบบข้อมูลสำรสนเทศขององค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
สรุปได้ว่ำ ควำมสำคัญของกำรบริกำรเป็นกิจกรรมที่จับต้องไม่ได้ แต่สำมำรถชี้ระบุและสร้ำงควำม
พึงพอใจแก่ผู้มำรับบริกำรได้ ไม่ว่ำจะเป็นหน่วยงำนของภำครัฐและเอกชน กำรให้บริกำรแก่ผู้มำใช้บริกำรจึง
มีควำมสำคัญมำก ตอบสนองควำมต้องกำรของผู้มำใช้บริกำรสูงสุดและผู้ใช้บริกำรจะพูดถึงผู้ให้บริกำรและ
75
หน่วยงำนในทำงที่ดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริกำรว่ำจะสร้ำงควำมพึงพอใจในงำนบริกำรนั้นมำกน้อย
เพียงใด
4.3.3 องค์ประกอบของการให้บริการ
องค์ประกอบของกำรให้บริกำรพิจำรณำจำกพฤติกรรมและวิธีก ำรบริกำรของผู้ให้บริกำร สถำนที่
กำรให้บริกำร เพื่อสร้ำงควำมพึงพอใจในกำรให้บริกำร เพรำะผู้รับบริกำรได้รับ ประสบกำรณ์โดยตรงจำก
กำรสัมผัสจำกผู้ให้บริกำร ซึ่งได้มีผู้ศึกษำเกี่ยวกับองค์ประกอบของกำรให้บริกำรไว้ ดังนี้
จิตตินั น ท์ เดชะคุป ต์ (2543, 30-35) ได้เสนอว่ำ ระบบกำรบริกำรที่มีประสิ ทธิ ภ ำพจำเป็ นต้อง
คำนึงถึงองค์ประกอบที่เป็นส่วนสำคัญ 5 ประกำร คือ
1. ผู้ รับบริกำร ลู กค้ำหรือผู้ รับบริกำรเป็นผู้ ที่มีบทบำทส ำคัญ ยิ่งในกระบวนกำรบริกำร เพรำะ
ควำมพึงพอใจของลูกค้ำคือเป้ำหมำยหลักของกำรบริกำร หำกกิจกรรมใดให้บริกำรที่ดี ทำให้ลูกค้ำพอใจก็
ย่อมจะสำมำรถรักษำลูกค้ำไว้ให้กลับมำใช้บริกำรนั้นๆต่อไปอีก หรืออำจจะแนะนำลูกค้ำใหม่ให้ด้วย ซึ่งจะ
ส่งผลให้กิจกรรมมีกำไร และประสบควำมสำเร็จเหนือคู่แข่งอื่นๆได้กำรบริกำรที่จะให้ผลตรงเป้ำหมำยสูงสุด
จึงจำเป็นต้องให้ควำมสนใจกับลูกค้ำเป็นพิเศษโดยเฉพำะเรื่องกำรรับรู้กำรบริกำรที่ลูกค้ำพึงพอใจ เพรำะ
กำรรับรู้จะถ่ำยทอดเป็นควำมรู้สึกนึกคิด และทัศนคติเกี่ยวกับกำรบริกำรได้ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ รวมทั้ง
กำรเรียนรู้ประเภทของผู้รับบริกำรเพื่อจะให้ได้บริกำรได้อย่ำงถูกต้อง
2. ผู้ปฏิบัติงำน ผู้ปฏิบัติงำนในกิจกรรมบริกำรทุกคนล้วนมีควำมสำคัญต่อควำมสำเร็จ ในกำร
ดำเนินงำนบริกำรทั้งสิ้น ซึ่งจะปฏิบัติงำนเกี่ยวข้องกับกำรให้บริกำรอย่ำงใดอย่ำงหนึ่งในลักษณะของผู้ที่อยู่
เบื้องหลังกำรบริกำร หรือผู้ให้บริกำรที่ต้องติดต่อกับลูกค้ำโดยตรงเป็นประจำซึ่งพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงำน
เกี่ยวข้องกับกำรบริกำรไม่ว่ำทำงใด มีอิทธิพลต่อกำรรับรู้คุณภำพของกำรบริกำรพอๆกับพฤติกรรมของผู้
ให้บริกำรโดยตรง ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติงำนบริกำรจึงจำเป็นอย่ำงยิ่งที่จะต้องปฏิบัติงำนอย่ำงมีประสิทธิภำพ
เต็มควำมสำมำรถ เพรำะลูกค้ำจะมองเห็นภำพพจน์ธุรกิจได้เป็นอย่ำงดีจำกกำรแสดงออกของบุคลำกรใน
องค์กรบริกำรนั้น
3 . องค์กำรบริกำร เป้ำหมำยขององค์กำรธุรกิจทุกแห่งมุ่งควำมสนใจไปที่ควำมต้องกำร ของลูกค้ำ
เสมอเพื่อผลิตสินค้ำและบริกำรให้ถูกต้องตำมควำมต้องกำรของผู้บริโภค ธุรกิจบริกำร ก็เช่นเดียวกันจะต้อง
เสนอบริกำรที่มีผู้ซื้อหรือผู้บริโภคที่ชอบใจในกำรบริกำรนั้น ผู้ประกอบกำรหรือผู้บริหำรกำรบริกำรเป็นกำร
รับผิดชอบกำรวำงนโยบำยกำรบริหำรและควบคุมกำรดำเนินงำน ขององค์กำรธุรกิจให้อยู่รอดและทำกำไร
เนื่องจำกระบบกำรบริกำรเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจบริกำรกำรบริหำร กำรบริกำรที่มีประสิทธิภำพจะช่วย
ให้งำนบริกำรดำเนินไปได้ด้วยดี และสำมำรถตอบสนองควำมต้องกำรต่ำงๆของลูกค้ำให้มำกที่สุดโดยได้รับ
ควำมพึงพอใจสูงสุด ทั้งนี้ ผู้บริหำรในองค์กำรบริกำรจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยต่ำงๆได้แก่ นโยบำยกำร
บริกำร กำรบริหำรกำรบริกำร วัฒนธรรมกำรบริกำร รูปแบบของบริกำร และคุณภำพกำรบริกำร
4. ผลิตภัณ ฑ์บ ริกำร ธุรกิจบริกำรมีลั กษณะต่ำงๆกันและมีกำรนำเสนอผลิตภัณ ฑ์ บริกำรด้วย
วิธีกำรให้บริกำร หรือกำรปฏิบัติต่อลูกค้ำแตกต่ำงกันไปตำมนโยบำยกำรให้บริกำรหรือวัตถุประสงค์กำร
76
ให้บริกำรแต่ละประเภท ผลิตภัณฑ์กำรบริกำรนับเป็นกุญแจสำคัญของกำรบริกำรที่สนองตำมควำมต้องกำร
ของลูกค้ำหรือผู้มำใช้บริกำร เพื่อให้บรรลุเป้ำหมำยของกำรสร้ำงควำมพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้ำ ทั้งนี้องค์กำร
บริกำรจะเป็นผู้กำหนดคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์บริกำรที่นำเสนอลูกค้ำ โดยคำนึงถึงองค์ประกอบของ
ผลิตภัณฑ์บริกำร รูปแบบกำรให้บริกำร และภำพลักษณ์ของกำรบริกำร
5. สภำพแวดล้อมของกำรบริกำร กำรจัดสภำพแวดล้อมและบรรยำกำศขององค์กรที่ เอื้อต่อกำร
ให้บริกำรลูกค้ำ และกำรปฏิบัติงำนของบุคลำกรในองค์กำรเป็นเรื่องที่มิอำจจะละเลยได้เพรำะเป็นกำรสร้ำง
ภำพลักษณ์ขององค์กร และก่อให้เกิดกำรกล่ำวขำนเกี่ยวกับกำรบริกำรดังกล่ำว
ยสสุพล ศรีจันทร์ (2544, 41-42) กล่ำวว่ำ องค์ประกอบที่สำคัญของกำรบริกำรประกอบด้วย
1. สมบูรณ์และถูกต้อง ได้แก่ ผู้ให้บริกำรจะต้องศึกษำระเบียบ กฎหมำยต่ำงๆที่เกี่ยวข้องกับกำร
ให้บริกำรที่รับผิดชอบให้ชัดเจน เมื่อมีปัยหำในกำรปฏิบัติงำนก็จะสำมำรถตัดสินใจดำเนินกำรได้ทันที ไม่
ลังเลเปิดดูระเบียบ ซึ่งจะทำให้กำรบริกำรเกิดควำมล่ำช้ำ
2. บริกำรทั่วถึง ได้แก่ ปฏิบัติไม่เลือกปฏิบัติให้บริกำรเฉพำะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้บริกำรทั่ว
ถึงกับบุคคลทุกระดับ
3. กำรบริกำรที่เป็นธรรม ได้แก่ ให้บริกำรตำมลำดับก่อน-หลังไม่ให้มีกำรใช้อภิสิทธิ์ ลัดขั้นตอน
ให้กับเฉพำะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
จตุรงค์ มหิทธิโชติ (2541:22-23) ได้กล่ำวถึงองค์ประกอบของกำรบริกำรว่ำ
1. ควำมเชื่อถือ (Reliability) ประกอบด้วยควำมสม่ำเสมอ ควำมพร้อมที่จะให้บริกำร และอุทิศเวลำ
2. กำรตอบสนอง (Response) ประกอบด้วยควำมเต็มใจที่จะให้บริกำร และควำมต่อเนื่องในกำร
ติดต่องำน
3. ควำมสำมำรถ (Competence) ประกอบด้วย ควำมสำมรถในกำรบริกำร ควำมสำมำรถในกำร
สื่อสำร และควำมสำมำรถที่ในควำมรู้วิชำที่จะให้บริกำร
4. กำรเข้ำถึงบริกำร (Access) ประกอบด้วย ผู้ใช้บริกำรใช้เวลำรอคอยน้อย เวลำที่ใช้เป็นบริกำร
เป็นเวลำที่สะดวกสำหรับผู้ใช้บริกำร และอยู่ในสถำนที่ที่ผู้ใช้บริกำรติดต่อสะดวก
5. ควำมสุภำพอ่อนโยน (Courtesy) ประกอบด้วย กำรแสดงควำมสุภำพต่อผู้ใช้บริกำร ให้กำร
ต้อนรับที่เหมำะสม และผู้ให้บริกำรมีบุคลิกภำพที่ดี
6. กำรสื่อสำร (Communication) ประกอบด้วย มีกำรสื่อสำรชี้แจงขอบเขตและลักษณะของงำน
บริกำร และมีกำรอธิบำยขั้นตอนกำรให้บริกำร
7. ควำมซื่อสัตย์ (Credibility)
8. ควำมมั่นคง (Security) ได้แก่ ควำมปลอดภัยทำงกำยภำพ เช่น เครื่องมือ อุปกรณ์
9. ควำมเข้ำใจ (Understanding) ประกอบด้วย กำรรู้ผู้ใช้บริกำร กำรให้คำแนะนำและ เอำใจใส่
ต่อผู้ใช้บริกำร กำรให้ควำมสนใจต่อผู้ใช้บริกำร
77
4.3.4 หลักการให้บริการ
หลักกำรให้บริกำรเป็นแนวทำงในกำรดำเนินงำนด้ำนกำรบริกำร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในกำร
ให้บริกำร จะต้องเป็นไปตำมแผนงำนที่กำหนดไว้และมีกำรเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจึงจะทำให้เกิดผลลัพธ์หรือ
ผลผลิตออกมำได้ดีเกิดควำมสะดวกรวดเร็วในกำรให้บริกำร
สิริวรรณ เสรีรัตน์ (2540, 220) กล่ำวถึงหลัก 3 ประกำรสำหรับผู้มีหน้ำที่ให้บริกำร คือ
1. มีควำมยิ้มแย้มแจ่มใสและมีศิลปะในกำรพูด เช่น รู้จักพูดให้ผู้ฟังรู้สึกเข้ำใจง่ำย กำรแสดงควำม
สุภำพ
2. ทำให้ผู้มำติดต่อประทับใจในกำรบริกำรของหน่วยงำน เช่น พูดจำอ่อนน้อม กิริยำมำรยำท
เรียบร้อย อัธยำศัยดี
3. มีน้ำใจให้ควำมช่วยเหลือแก่ผู้มำติดต่อ เช่น ให้คำแนะนำหรือข้อมูลเกี่ยวกับงำน แนะนำผู้มำ
ติดต่อให้พบกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
กุลธน ธนำพงศธร (2528, 18) กล่ำวว่ำหลักกำรให้บริกำร ได้แก่
1. กำรให้ บ ริ ก ำรสอดคล้ อ งกั บ ควำมต้ อ งกำรของคนส่ ว นใหญ่ กำรให้ บ ริ ก ำรนั้ น ควรจะต้ อ ง
ตอบสนองควำมต้องกำรของคนส่วนใหญ่ไม่ใช่เป็นกำรจัดกำรให้แก่บุคคลกลุ่มใดโดยเฉพำะ มิฉะนั้นแล้ว
นอกจำกจะไม่ เกิ ด ประโยชน์ สู งสุ ดในกำรเอื้อ อ ำนวยประโยชน์ แ ละกำรบริกำรแล้ ว ยังไม่ คุ้ม ค่ ำกั บ กำร
ดำเนินงำนนั้นด้วย
2. กำรบริกำรอย่ำงสม่ำเสมอ ในกำรให้บริกำรนั้นๆต้องดำเนินกำรอย่ำงต่อเนื่องและสม่ำเสมอตำม
ควำมพอใจของผู้บริหำรและผู้ปฏิบัติงำน
3. กำรให้บริกำรโดยยึดหลักควำมเสมอภำค กล่ำวคือ กำรให้บริกำรต่ำงๆจะต้องให้ แก่ผู้รับบริกำร
ทุกคนอย่ ำงเสมอภำคและเท่ำเทีย มกัน ไม่มีกำรใช้สิ ท ธิพิ เศษแก่บุ คคลหรือกลุ่ มบุคคลใดบุคคลหนึ่งใน
ลักษณะแตกต่ำงจำกกลุ่มคนอื่นๆอย่ำงเห็นได้ชัดเจนแก่ผุ้รับบริกำร
4. กำรให้บริกำรโดยยึดหลักควำมประหยัดโดยคำนึงว่ำค่ำใช้จ่ำยที่ต้องใช้ในกำรบริกำรจะต้องไม่
มำกจนเกินกว่ำผลที่ได้รับ
78
5. กำรให้บริกำรโดยยึดหลักควำมสะดวก โดยคำนึงว่ำบริกำรที่จัดให้แก่ผู้รับบริกำรจะต้องเป็นไป
ในลักษณะที่ปฏิบัติได้ง่ำย สะดวกสบำย สิ้นเปลืองทรัพยำกรไม่มำกนักทั้งยังไม่เป็นกำรสร้ำงภำระยุ่งยำกใจ
ให้แก่ผู้ให้บริกำร
สรุปได้ว่ำ หลักกำรให้บริกำรเป็นกำรทำให้ผู้มำติดต่อประทับใจในกำรบริกำรของหน่วยงำน เช่น
กำรพูดจำอ่อนน้อม กิริยำเรียบร้อย มีอัธยำศัยดี ให้ควำมช่วยเหลือและแนะนำผู้ที่ เข้ำมำรับบริกำรด้วย
ควำมเต็มใจโดยไม่เลือกปฏิบัติ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับผู้รับบริกำร
กำรผ่ำตัดหรือกำรเดินทำงจริงทำให้ผู้บริโภคไม่สำมำรถรู้ผลของกำรบริกำรได้จนกว่ำจะมีกำรผ่ำตัดหรือกำร
เดินทำงจริง ทำให้ผู้บริโภคพยำยำมจะแสวงหำสิ่งที่จะบ่งบอกถึงคุณภำพของกำรบริกำรเพื่อทำให้ตัวเองเกิด
ควำมเชื่อมั่นในกำรใช้บริกำรนั้นๆนักกำรตลำดจึงต้องพยำยำมทำให้บริกำรมีควำมสำมำรถในจับต้องได้ให้
มำกที่สุดโดยโปรแกรมกำรส่งเสริมกำรตลำด ควรชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจำกกำรบริกำรอย่ำงชัดเจน
มำกกว่ำที่จะเน้นตัวบริกำรเท่ำนั้น
2. ควำมไม่ ส ำมำรถแบ่ งแยกได้ (Service Inseparability) หมำยควำมว่ ำ กำรผลิ ต และ กำร
บริโภคเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน ในประเด็นนี้จะตรงข้ำมกับกำรผลิต สินค้ำซึ่งเริ่มจำกกำรนำวัตถุดิบมำผลิต
แล้วนำไปเก็บไว้ในคลังสินค้ำ และหลังจำกที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อจึงจะเกิดกำรบริโภค ส่วนบริกำรนั้นเริ่ม
จำกกำรที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อแล้วจึงเกิดกำรผลิตและกำรบริโภค ในขณะเดียวกัน เช่น ผู้บริโภคตัดสินใจว่ำ
จะตั ดผมที่ ร้ำนนี้ แล้ ว ช่ำงตัดผมจึ งเริ่ มกระบวนกำรผลิ ต (กำรตั ดผม) และผู้ บริโภคได้รับ ผมทรงใหม่ใน
ขณะเดียวกัน
3. ควำมไม่แน่นอน (Service Variability) กล่ำวคือ คุณภำพในกำรให้บริกำรจะผันแปรไปตำมผู้
ให้บริกำร และขึ้นอยู่กับว่ำให้บริกำรเมื่อไหร่ ที่ไหน และอย่ำงไร
4. ควำมไม่ ส ำมำรถเก็ บ ไว้ ได้ (Perishability) บริ ก ำรเป็ น สิ่ ง ที่ ไม่ ส ำมำรถเก็ บ ไว้ ในโกดั งหรื อ
คลั งสิ น ค้ำ เมื่อ บริก ำรเกิ ดขึ้น นั กกำรตลำดจะไม่ส ำมำรถเก็บ ไว้เพื่ อขำยหรือ ใช้ ในภำยหลั งได้ ควำมไม่
สำมำรถเก็บไว้ได้ และไม่เกิดปัญหำถ้ำอุปสงค์ที่มีต่อกำรบริกำรนั้นคงที่แต่เมื่ออุปสงค์ที่มีต่อบริกำรมีควำม
ผันผวนมำก จะทำให้เกิดอุปสรรคในกำรบริหำร เช่น ในช่วงที่ไม่ใช่วันหยุดเทศกำล โรงแรมและรีสอร์ท
ต่ำงๆจะคิดรำคำห้องพักในระดับต่ำ หรือกรณีของร้ำนอำหำร จ้ำงพนักงำนชั่วครำวเพื่อเสิร์ฟอำหำรในช่วงที่
มีลูกค้ำมำก
สุพรรณี อินทร์แก้ว (2549, 35) กล่ำวว่ำ ธุรกิจหรือองค์กรสำมำรถให้กำรบริกำรแค่ลูกค้ำ ผู้มำ
ใช้บริกำรโดยอำศัยวิธีกำรหรือเครื่องมือต่ำงๆดังนี้
1. กำรให้บริกำรโดยอำศัยคนเป็นหลักหรือแบบพบหน้ำ เป็นวิธีกำรที่ดีกว่ำวิธีอื่นเพรำะกำรใช้คน
ในกำรให้บ ริกำรสำมำรถปรับ เปลี่ยนกำรบริกำรให้ เหมำะสมกับลูกค้ำหรือผู้รับบริก ำรแต่ละรำยได้ และ
ลักษณะของกำรบริกำรจะเป็นแบบใกล้ชิด ดังนั้นหำกธุรกิจหรือองค์กรนั้นประสบควำมสำเร็จได้ไม่ยำก แต่
วิธีกำรข้อนี้มีข้อจำกัดในเรื่องของควำมแตกต่ำงกำรให้บริกำร ณ เวลำที่ต่ำงกัน เนื่องจำกกำรให้บริกำรจะไม่
เหมือนกัน มำตรฐำนกำรให้บริกำรในแต่ละครั้ง ก็ไม่เท่ำกัน
2. กำรให้ บ ริ ก ำรด้ ว ยอุ ป กรณ์ อิ เล็ ก ทรอนิ ก ส์ ปั จ จุ บั น นั บ ว่ ำมี ค วำมส ำคั ญ มำกเนื่ อ งจำกกำร
เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีต่ำงๆที่มีกำรพัฒนำเพื่อสนองควำมต้องกำรให้ลูกค้ำ ผู้รับบริกำร สำมำรถบริกำร
ได้ด้วยตนเอง และมีต้นทุนกำรให้บริกำรต่ำกว่ำกำรใช้คนให้บริกำรซึ่งกำรให้บริกำรแต่ละครั้งจะมีมำตรฐำน
เท่ำกัน แต่กำรให้บริกำรด้วยวิธีนี้มีข้อจำกัดในเรื่องกำรปรับรูปแบบกำรให้บริกำรแต่ละครั้งจะมีมำตรฐำน
เท่ำกัน แต่กำรให้บริกำรด้วยวิธีนี้มีข้อจำกัดในเรื่อง กำรปรับรูปแบบกำรให้บริกำรตำมควำมต้องกำรของ
ลูกค้ำแต่ละรำยได้ยำก
80
2. ผู้รับบริกำรถูกเสมอไม่ว่ำผู้รับบริกำรจะพูดจะทำอย่ำงไรต้องไม่โต้แย้งเพื่อยืนยันว่ำผู้รับบริกำรผิด
3. ให้บริกำรด้วยควำมยิ้มแย้มแจ่มใส เพื่อให้ผู้รับบริกำรรู้สึกอบอุ่นสบำยใจ
จำกลักษณะของกำรบริกำรที่ดีสรุปได้ว่ำ ลักษณะของกำรบริกำรที่ดีผู้ให้บริกำรจะต้องระลึกเสมอ
ว่ำผู้รับบริกำรต้องมำก่อนเสมอ ทำด้วยควำมตั้งใจ เต็มใจ รวดเร็ว มีควำมยิ้มแย้ม แจ่มใส ให้เกียรติมีควำม
เท่ำเทียมกันและสร้ำงควำมพึงพอใจให้แก่อีกคนจำนวนมำก
4.3.7 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับบริการสาธาร ะ
เรื่องนี้ ปฐม มณีโรจน์ (2541, 21) ได้ให้ควำมหมำยของกำรให้บริกำรสำธำรณะว่ำเป็น กำรบริกำร
ในฐำนะที่เป็นหน้ำที่ของหน่วยงำนที่มีอำนำจกระทำเพื่อตอบสนองต่อควำมต้องกำรเพื่อให้เกิดควำมพอใจ
จำกควำมหมำยนี้จึงเป็นกำรพิจำรณำกำรให้บริกำรว่ำประกอบด้วย ผู้ให้บริกำร (Providers) และ
ผู้รับบริกำร (Recipients) โดยฝ่ำยแรกถือปฏิบัติเป็นหน้ำที่ที่ ต้องให้บริกำรเพื่อให้ฝ่ำยหลังเกิดควำมพึง
พอใจ จำกควำมหมำยดังกล่ำวจะเห็นได้ว่ำเป็นกำรพิจำรณำโดยใช้แนวคิดเชิงระบบ (System Approach)
ทีม่ ีกำรมองว่ำหน่วยที่มีหน้ำที่ให้บริกำรใช้ปัจจัยนำเข้ำ (Inputs)เข้ำสู่กระบวนกำรผลิต (Process) และ
ออกมำเป็นผลผลิตหรือกำรบริกำร (Outputs) โดยทั้งหมดจะต้องเป็นไปตำมแผนงำนที่กำหนดไว้ดังนั้นกำร
ประเมินจะช่วยทำให้ทรำบถึงผลผลิตหรือกำรบริกำรที่เกิดขึ้นว่ำมีลักษณะเป็นอย่ำงไรซึ่งจะเป็นข้อมูล
ป้อนกลับ (Feedback) เป็นปัจจัยนำเข้ำต่อไปด้วยเหตุนี้ระบบกำรให้บริกำรสำธำรณะจึงมีลักษณะเคลื่อนที่
เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ยงยุทธ พงษ์สุภำพ (2541, 11 – 12) ได้พิจำรณำกำรให้บริกำรสำธำรณะว่ำเป็น กำรเคลื่อนย้ำย
เรื่องที่ให้บริกำรจำกจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเพื่อให้เป็นไปตำมที่ต้องกำรด้วยเหตุผลนี้ทำให้มองกำรบริกำรว่ำ
มี 4 ปัจจัยสำคัญคือ
1) ตัวบริกำร (Service)
2) แหล่งหรือสถำนที่ที่ให้บริกำร (Sources)
3) ช่องทำงในกำรให้บริกำร (Channels)
4) ผู้รับบริกำร (Client Groups)
จำกปัจจัยทั้งหมดดังกล่ำวจึงให้ควำมหมำยของระบบกำรให้บริกำรว่ำเป็นระบบที่มีกำรเคลื่อนย้ำย
บริกำรอย่ำงคล่องตัวผ่ำนช่องทำงที่เหมำะสมจำกแหล่งบริกำรที่มีคุณภำพไปยังผู้รับบริกำรตรงตำมเวลำที่
กำหนดไว้ซึ่งควำมหมำยดังกล่ำวนี้จะเห็นได้ว่ำกำรให้บริกำรนั้นจะต้องมีกำรเคลื่อนย้ำยตัวบริ กำรจำกผู้
ให้บริกำรไปยังผู้รับบริกำรผ่ำนช่องทำงและต้องตรงตำมเวลำที่กำหนด
สั ม พั น ธ์ ภู่ ไพบู ล ย์ (2540, 38) มี ค วำมเห็ น ว่ำกำรให้ บ ริก ำรสำธำรณะจะต้ อ งประกอบไปด้ ว ย
3 องค์ประกอบที่สำคัญคือหน่วยงำนที่ให้บริกำร (Service Delivery Agency) บริกำร (The Service) ซึ่ง
เป็นประโยชน์ที่หน่วยงำนที่ให้บริกำรได้ส่งมอบให้แก่ผู้รับบริกำร (The Service Recipient) โดยประโยชน์
82
3) กระบวนกำรและกิจกรรม
4) ผลผลิตหรือตัวบริกำร
5) ช่องทำงกำรให้บริกำร
6) ผลกระทบที่มีต่อผู้รับบริกำร
จำกกำรพิ จ ำรณำแนวคิ ด เกี่ ย วกั บ กำรให้ บ ริก ำรสำธำรณะข้ ำงต้ น แสดงว่ำ เป้ ำ หมำยของกำร
ให้บริกำรสำธำรณะนั้นคือกำรสร้ำงควำมพึงพอใจให้เกิดแก่ผู้รับบริกำรดังนั้นกำรที่จะวัดว่ำ กำรให้บริกำร
สำธำรณะบรรลุเป้ ำหมำยหรื อไม่วิธีหนึ่ งคือกำรวัดควำมพึงพอใจของประชำชนผู้รับบริกำรเพื่อเป็นกำร
ประเมิน ผลกำรปฏิบัติงำนของหน่วยงำนที่มีหน้ำที่ให้บริกำรเพรำะ กำรวัดควำมพึงพอใจนี้เป็นกำรตอบ
คำถำมว่ำหน่วยงำนที่มีหน้ำที่ให้บริกำรมีควำมสำมำรถตอบสนอง ต่อควำมต้องกำรของประชำชนได้หรือไม่
เพียงใดและอย่ำงไรส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ ควำมพึงพอใจนั้นสำมำรถพิจำรณำได้จำกแนวคิดเกี่ยวกับ
หลักกำรของกำรให้บริกำรสำธำรณะดังนี้
1) กำรให้บริกำรอย่ำงเสมอภำค (Equitable Service) หมำยถึงควำมยุติธรรมในกำรบริหำรงำน
ภำครัฐที่มีฐำนคติที่ว่ำคนทุกคนเท่ำเทียมกันดังนั้นประชำชนทุกคนจะได้รับกำรปฏิบัติอย่ำงเท่ำเทียมกันใน
แง่มุมของกฎหมำยไม่มีกำรแบ่งแยกกีดกันในกำรให้ บริกำรประชำชนจะได้รับกำรปฏิบัติในฐำนะที่เป็น
ปัจเจกบุคคลที่ใช้มำตรฐำนกำรให้บริกำรเดียวกัน
2) กำรให้บริกำรที่ตรงเวลำ (Timely Service) หมำยถึงกำรบริกำรจะต้องมองว่ำกำรให้บริกำร
สำธำรณะจะต้องตรงเวลำผลกำรปฏิบัติของหน่วยงำนภำครัฐจะถือว่ำไม่มีประสิทธิผลเลยถ้ำไม่มีกำรตรง
เวลำซึ่งจะสร้ำงควำมไม่พึงพอใจให้แก่ประชำชน
3) กำรให้บริกำรอย่ำงเพียงพอ (Ample Service) หมำยถึงกำรให้บริกำรสำธำรณะต้อง มีลักษณะ
มีจำนวนกำรให้บริกำรและสถำนที่ให้ บริกำรอย่ำงเหมำะสม (The Right Quantity at the Geographical
Location) ควำมเสมอภำคหรือกำรตรงเวลำจะไม่มีควำมหมำยเลยถ้ำมีจำนวนกำรให้บริกำรที่ไม่เพียงพอ
และสถำนที่ที่ให้บริกำรสร้ำงควำมไม่ยุติธรรมให้เกิดขึ้นแก่ผู้รับบริกำร
4) กำรให้ บ ริ ก ำรอย่ ำงต่ อ เนื่ อ ง (Continuous Service) หมำยถึ ง กำรให้ บ ริก ำรสำธำรณะ ที่
เป็นไปอย่ำงสม่ำเสมอโดยยึดประโยชน์ของสำธำรณะเป็นหลักไม่ใช่ยึดควำมพอใจของหน่วยงำนที่ให้บริกำร
จะให้หรือหยุดบริกำรเมื่อใดก็ได้
5) กำรให้บริกำรอย่ำงก้ำวหน้ำ (Progressive Service) หมำยถึง กำรให้บริกำรสำธำรณะ ที่มีกำร
ปรับปรุงคุณภำพและผลกำรปฏิบัติงำนดังกล่ำวอีกนัยหนึ่งคือกำรเพิ่มประสิทธิภำพหรือควำมสำมำรถที่จะ
ทำหน้ำที่ได้มำกขึ้นโดยใช้ทรัพยำกรเท่ำเดิม
กำรบริกำรสำธำรณะแก่ประชำชนอย่ำงทั่วถึงและมีประสิทธิภำพนับเป็นนโยบำย อันสำคัญของ
ท้องถิ่น ประกำรหนึ่ งโดยมีวัตถุ ป ระสงค์ที่ จ ะให้ ป ระชำชนมีควำมนิ ยมชมชอบมีควำมเห็ นสอดคล้ อ งใน
นโยบำยและสนับสนุนผู้บริหำรท้องถิ่นอย่ำงเต็มที่นอกจำกนี้เป็นกำรดึงเอำประชำชนเข้ำมำเป็นพวกอันเป็น
กำรสร้ำงรำกฐำนในระบอบประชำธิปไตยในระดับประเทศได้ทั้งในทำงกำรเมืองและกำรปกครองแล้วใน
84
ก. ลักษณะทำงด้ำนกำรเมืองบริกำรสำธำรณะได้แก่สิ่งที่รัฐจะต้องจัดทำเพื่อสนองควำมต้องกำร
ของคนในชำติไม่ว่ำจะเป็นควำมต้องกำรขั้นพื้นฐำนเช่นควำมปลอดภัยจนกระทั่งถึงควำมต้องกำรทำงด้ำน
เศรษฐกิจโดยรัฐอำจทำเองหรือมอบให้คนอื่นเป็นผู้ดำเนินกำรจัดทำก็ได้
ข. ลักษณะทำงด้ำนกฎหมำยบริกำรสำธำรณะประกอบด้วยเงื่อนไขสำมประกำรคือ
1. เกิดขึ้นจำกผู้ปกครองประเทศหรือจำกแนวทำงที่ผู้ปกครองประเทศวำงไว้
2. มีควำมต้องกำรจำกประชำชนเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
3. เกิดควำมไม่เพียงพอหรือไม่สำมำรถจัดทำได้โดยเอกชน
จำกคำจำกัดควำมดังกล่ำวข้ำงต้นพอสรุปได้ว่ำบริกำรสำธำรณะประกอบไปด้วยเงื่อนไขสำคัญ 3
ประกำรคือ
1. บริกำรสำธำรณเป็นงำนที่อยู่ในควำมรับผิดชอบของฝ่ำยปกครองโดยมีควำมแตกต่ำงอยู่ที่ฝ่ำย
ปกครองระดับสูงซึ่งจะเป็นผู้วำงกฎเกณฑ์ในกำรจัดตั้งเลือกวิธีกำรจัดตั้งเลือกวิธีกำรดำเนินงำนและกำร
ควบคุมกำรดำเนินกำรกับฝ่ำยปกครองระดับปฏิบัติงำนซึ่งจะต้องเป็นผู้ดำเนินกำรจัดทำบริกำรสำธำรณะ
ตำมหลักเกณฑ์ทฝี่ ่ำยปกครองระดับสูงได้วำงไว้
2. บริกำรสำธำรณะจะต้องตอบสนองควำมต้องกำรของส่วนรวม
3. บริกำรสำธำรณะจะต้องเป็นส่วนเสริมข้อบกพร่องหรือควำมไม่เพียงพอของเอกชนในเวลำต่อมำ
เงื่อนไข 3 ประกำรนี้ได้กลำยเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีว่ำด้วยบริกำรสำธำรณะในปัจจุบัน
ในทำงทฤษฎีนั้ นบริกำรสำธำรณะแบ่งได้สองประเภทใหญ่ๆคือบริกำรสำธำรณะที่มีลักษณะทำง
ปกครอง (Services Publics Administrative) และบริกำรสำธำรณะที่ มีลั กษณะทำงอุตสำหกรรมและ
พำณิ ช ยกรรม(Services Publics Industrials et Commerciaux) บริ ก ำรสำธำรณะที่ มี ลั ก ษณะทำง
ปกครองได้แก่กิจกรรมที่โดยสภำพแล้วเป็นงำนในหน้ำที่ของ ฝ่ำยปกครองที่จะต้องจัดทำเพื่อสนองตอบ
ควำมต้องกำรของประชำชนกิจกรรมเหล่ำนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องกำรดูแลรักษำควำมปลอดภัยและควำม
สงบสุขของชุมชนบริกำรสำธำรณะประเภทนี้ฝ่ำยปกครองต้องอำศัย “อำนำจพิเศษ” ตำมกฎหมำยมหำชน
ในกำรจัดทำบริกำรสำธำรณะทำงปกครองส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมที่รัฐจัดทำให้ประชำชนโดยไม่ต้องเสีย
ค่ำตอบแทนและนอกจำกนี้เนื่องจำกกิจกรรมของบริกำรสำธำรณะทำงปกครองเป็นเรื่องที่เป็นหน้ำที่เฉพำะ
ของฝ่ำยปกครองที่ต้องอำศัยเทคนิ คพิเศษในกำรจัดทำรวมทั้ง “อำนำจพิเศษ” ของฝ่ำยปกครองในกำร
จัดทำบริกำรสำธำรณะด้วยดังนั้นฝ่ำยปกครองจึงไม่สำมำรถมอบบริกำรสำธำรณะประเภทนี้ให้องค์กรอื่น
หรือเอกชนเข้ำมำดำเนินกำรแทนได้บริกำรสำธำรณะทำงปกครองจะได้แก่กิจกำรที่เกี่ยวข้องกับกำรรักษำ
ควำมสงบภำยในประเทศกำรป้องกันประเทศและกำรคลังเป็นต้น แต่เดิมนั้นบริกำรสำธำรณะทุกประเภท
จัดว่ำเป็นบริกำรสำธำรณะทำงปกครองทั้งสิ้นแต่ต่อมำเมื่อกิจกรรมเหล่ำนั้นมีมำกขึ้นและมีรูปแบบและ
วิธีกำรในกำรจัดทำที่แตกต่ำงกันออกไปจึงเกิด “ประเภท” ใหม่ๆของบริกำรสำธำรณะขึ้นมำอีก
บริกำรสำธำรณะที่มีลักษณะทำงอุตสำหกรรมและพำณิชยกรรมเป็นบริกำรสำธำรณะ อีกประเภท
ที่ฝ่ ำยปกครองเป็ น ผู้ ด ำเนิ น กำรแต่ มีลั กษณะคล้ ำยกั บกำรดำเนิน กำรให้ บริกำรของเอกชนข้อแตกต่ำง
86
ระหว่ำงบริกำรสำธำรณะที่มีลักษณะทำงปกครองกับบริกำรสำธำรณะที่มีลักษณะทำงอุตสำหกรรมและ
พำณิชยกรรมนั้นมีอยู่ 3 ประกำรด้วยกันคือ
1. วัตถุแห่งบริกำร บริกำรสำธำรณะที่มีลักษณะทำงปกครองจะมีวั ตถุแห่งบริกำรเพื่อสนองควำม
ต้องกำรของประชำชนแต่เพียงอย่ำงเดียวในขณะนี้บริกำรสำธำรณะที่มีลักษณะทำงอุตสำหกรรมและพำณิช
ยกรรมนั้ น มีวัตถุแห่ งบริกำรทำงด้ำนเศรษฐกิจเหมือนกับ วิสำหกิจเอกชนคือ เน้นทำงด้ำนกำรผลิ ตกำร
จำหน่ำยกำรให้บริกำรและมีกำรแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับ ดังเช่น กิจกำรของเอกชน
2. วิธีปฏิบัติงำน บริกำรสำธำรณะที่มีลักษณะทำงปกครองจะมีวิธีปฏิบัติงำนที่รัฐสร้ำงขึ้นมำเป็น
แบบเดียวกัน มีระบบบั งคับ บัญชำซึ่งใช้กับผู้ปฏิบัติงำนทุกคนในขณะที่บริกำรสำธำรณะที่มีลั กษณะทำง
อุตสำหกรรมและพำณิ ชยกรรมจะมีวิธีปฏิบัติงำนที่ส ร้ำงขึ้ นมำเองแตกต่ำงไป จำกบริกำรสำธำรณะที่มี
ลักษณะทำงปกครองทั้งนี้เพื่อให้เกิดควำมคล่องตัวในกำรดำเนินกำร
3. แหล่งที่มำของเงินทุน บริกำรสำธำรณะที่มีลักษณะทำงปกครองจะมีแหล่งที่มำของเงินทุนจำก
รัฐแต่เพียงอย่ำงเดียวโดยรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบเงินทุนทั้งหมดที่นำมำใช้จ่ำยในกำรดำเนินกำรส่วนบริกำร
สำธำรณะที่มีลักษณะทำงอุตสำหกรรมและพำณิชยกรรมนั้นแหล่งรำยได้ส่วนใหญ่จะมำจำกค่ำตอบแทนที่
เรียกเก็บจำกผู้ใช้บริกำร
ควำมรู้ควำมสำมำรถเท่ำนั้นที่ฝ่ำยปกครองสำมำรถกำหนดเป็นเงื่อนไขในกำรรับบุคคลเข้ำทำงำนกับฝ่ำย
ปกครองได้
2. หลั ก ว่ ำ ด้ ว ยควำมต่ อ เนื่ อ งเนื่ อ งจำกบริ ก ำรสำธำรณะเป็ น กิ จ กำรที่ มี ค วำมจ ำเป็ น ส ำหรั บ
ประชำชนดังนั้นหำกบริกำรสำธำรณะหยุดชะงักไม่ว่ำด้วยเหตุใดก็ตำมประชำชนผู้ใช้บริกำรสำธำรณะย่อม
ได้รับควำมเดือดร้อนหรือเสียหำยได้ด้วยเหตุนี้บริกำรสำธำรณะจึ งต้องมีควำมต่อเนื่องในกำรจัดทำหลักกำร
ที่สำคัญของหลักว่ำด้วยควำมต่อเนื่องของบริกำรสำธำรณะคือนิติบุคคลผู้มีหน้ำที่จัดทำบริกำรสำธำรณะ
จะต้องด ำเนิ น กำรจั ด ทำบริก ำรสำธำรณะอย่ ำงสม่ำเสมอและต่ อเนื่ องตลอดเวลำหำกมีกรณี ที่ เกิด กำร
หยุดชะงักจะต้องมีกำรรับผิดชอบและในกรณีที่ เกิดกำรหยุดชะงักขององค์กรปกครองท้องถิ่นหรือองค์กรม
มหำชนอิสระองค์กรที่ทำหน้ำที่กำกับดูแลจะต้องเข้ำดำเนินกำรแทนเพื่อเป็นหลักประกันกำรต่อเนื่องของ
บริกำรสำธำรณะสม่ำเสมอก็อำจจัดทำโดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขบำงประกำรเช่นพิพิธภัณฑ์สำมำรถ
กำหนดเวลำปิด– เปิดกำหนดวันหยุดได้กำรศึกษำสำมำรถกำหนดวันเวลำในกำรให้กำรศึกษำรวมทั้งกำร
หยุดพักร้อนประจำปีได้อีกด้วยนอกจำกนี้ควำมต่อเนื่องยังขึ้นอยู่กับยุคสมัยและสภำพสังคมอีกด้วย
3. หลักว่ำด้วยกำรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบริกำรสำธำรณะที่ดีนั้นจะต้องสำมำรถปรับปรุงแก้ไขได้
ตลอดเวลำเพื่อให้เหมำะสมกับเหตุกำรณ์และควำมจำเป็นในทำงปกครองที่จะรักษำประโยชน์สำธำรณะ
รวมทั้งปรับปรุงให้เข้ำกับวิวัฒนำกำรของควำมต้องกำรส่วนรวมของประชำชนด้วยหลักว่ำด้วยกำรปรับปรุง
เปลี่ ย นแปลงหมำยควำมถึ ง กำรปรั บ ปรุ งเปลี่ ย นแปลงบริ ก ำรสำธำรณะให้ ทั น กั บ ควำมต้ อ งกำรของ
ผู้ ใช้ บ ริ กำรสำธำรณะอยู่ เสมอเพื่ อ ให้ บ ริก ำรสำธำรณะที่ ฝ่ ำยปกครองจัดท ำมีควำมสอดคล้ อ งกับ ควำม
ต้องกำรของประชำชนหรือประโยชน์มหำชนหลักว่ำด้วยกำรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนี้มีลักษณะแตกต่ำงจำก
หลักว่ำด้วยควำมต่อเนื่องที่มีลักษณะเป็น “กฎหมำย” ของบริกำรสำธำรณะหรือหลักว่ำด้วยควำมเสมอภำค
ที่มีลักษณะเป็น “หลักกฎหมำยทั่วไป” หลักว่ำด้วยกำรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ถูกกล่ำวถึงอย่ำงชัดแจ้ง
ใน คำวินิ จฉัยทำงปกครองแต่เป็ นกำรกล่ำวพำดพิงหรือให้ ข้อคิดเห็นว่ำโดยสภำพของกำรจัดทำบริกำร
สำธำรณะทั่ วไปไปที่มี วัตถุป ระสงค์ในกำรสนองควำมต้องกำรของประชำชนเมื่อเกิดเหตุกำรณ์ ที่ ควำม
ต้องกำรของประชำชนเปลี่ยนแปลงไปบริกำรสำธำรณะนั้นก็น่ำจะได้รับกำรเปลี่ยนแปลงตำมควำมควำม
ต้องกำรของประชำชนไปด้วย
แนวคิดกำรจัดทำบริกำรสำธำรณะกำรบริกำรประชำชนเป็นกำรให้บริกำรสำธำรณะประเภทหนึ่ง
ถ้ำหำกกำรจัดระบบกำรบริหำรงำนดีก็จะส่งผลให้กำรทำงำนมีประสิทธิภำพ
เคทซ์และเบรนด้ำ (1996 อ้ำงถึงในนันทวัฒน์ บรมำนันท์, 2547) ได้เสนอหลักกำรพื้นฐำนของกำร
ให้บริกำรสำธำรณะดังนี้
1. กำรปฏิบัติแบบเฉพำะเจำะจง (Specificity)
2. ควำมเสมอภำคเท่ำเทียมกัน (Universalism) หมำยถึงกำรให้บริกำรประชำชนจะต้อง
ไม่เลือกปฏิบัติ
88
8. กำรให้บริกำรด้วยควำมถูกต้องสำมำรถตรวจสอบได้กำรพัฒนำกำรให้บริกำรแบบ ครบวงจรนั้น
ไม่เพียงแต่จะต้องให้บริกำรที่เสร็จสมบูรณ์เท่ำนั้นแต่จะต้องมีควำมถูกต้องชอบธรรมทั้งในแง่ของนโยบำย
และระเบียบแบบแผนของทำงรำชกำรและถูกต้องในเชิงศีลธรรมจรรยำด้วยซึ่งเกี่ยวข้องกับกำรใช้ดุลยพินิจ
ของข้ำรำชกำรเป็นสำคัญเช่นในกรณีที่มีผู้มำขออนุญำตมีและใช้อำวุธปืนนำยทะเบียนจะต้องมีกำรสอบสวน
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับควำมประพฤติและควำมจำเป็นของผู้รับบริกำรด้วยหรือในกรณีที่มีผู้มำขอจดทะเบียน
หย่ำแม้ว่ำนำยทะเบียนจะสำมำรถดำเนินกำรให้ได้ตำมควำมประสงค์แต่ในแง่ศีลธรรมจรรยำแล้วละก็ควรมี
กำรพูดจำไกล่เกลี่ย คู่สมรสเสียก่อนดังนั้นกำรใช้ดุลยพินิจในกำรให้บริกำรประชำชนจึงต้องเป็นไปอย่ำง
ถูกต้องและสำมำรถตรวจสอบได้ซึ่งกำรตรวจสอบควำมถูกต้องนี้อำจเป็นกำรตรวจสอบโดยกลไกภำยใน
ระบบรำชกำรเองเช่นกำรตรวจสอบควำมถูกต้องโดยผู้บังคับบัญชำหรืออำจเป็นกำรตรวจสอบ จำกภำยนอก
ซึ่ งที่ ส ำคั ญ ก็ คื อ กำรตรวจสอบโดยประชำชนและประกำรสุ ด ท้ ำยก็ คื อ กำรตรวจสอบโดยอำศั ย ส ำนึ ก
รับผิดชอบในเชิงศีลธรรมและจรรยำวิชำชีพของตัวข้ำรำชกำรเอง
9. ควำมสุภำพอ่อนโยนเป้ำหมำยอีกประกำรหนึ่งของกำรพัฒ นำกำรให้บริกำรแบบครบวงจรคือ
เจ้ำหน้ำที่ผู้ให้บริกำรจะต้องปฏิบัติต่อประชำชนผู้มำติดต่อขอรับบริกำรด้วยควำมสุภำพอ่อนน้อมซึ่งจะทำให้
ผู้มำรับบริกำรมีทัศนคติที่ดีต่อข้ำรำชกำรและกำรติดต่อกับทำงรำชกำรอัน จะส่งผลให้กำรสื่อสำรทำควำม
เข้ำใจระหว่ำงกันเป็นไปได้ง่ำยยิ่งขึ้น
10. ควำมสุภำพอ่อนน้อมในกำรให้บริกำรนั้นจะเกิดขึ้นได้โดยกำรพัฒนำทัศนคติ ของข้ำรำชกำรให้
เข้ำใจว่ำตนมีห น้ำที่ในกำรให้ บริกำรและเป็นหน้ำที่ที่มีควำมสำคัญรวมทั้งมีควำมรู้สึกเคำรพในสิทธิและ
ศักดิ์ศรีของผู้ที่มำติดต่อขอรับบริกำร
11. ควำมเสมอภำคกำรให้บริกำรแบบครบวงจรจะต้องถือว่ำข้ำรำชกำรมีหน้ำที่ที่จะต้องให้บริกำร
แก่ประชำชนโดยเสมอภำคกันซึ่งจะต้องเป็นไปตำมเงื่อนไขดังนี้
1. กำรให้บริกำรจะต้องเป็นไปภำยใต้ระเบียบแบบแผนเดียวกันและได้รับผลที่สมบูรณ์
ภำยใต้มำตรฐำนเดียวกันไม่ว่ำผู้รับบริกำรจะเป็นใครก็ตำมหรือเรียกว่ำควำมเสมอภำคในกำรให้บริกำร
2. กำรให้บริกำรจะต้องคำนึงถึงควำมเสมอภำคในโอกำสที่จะได้รับบริกำรด้วยทั้งนี้เพรำะ
ประชำชนบำงส่วนของประเทศเป็นกลุ่มบุคคลที่มีข้อจำกัดในเรื่องควำมสำมำรถในกำรที่จะติดต่อขอรับ
บริกำรจำกรั ฐเช่น มีร ำยได้น้ อยขำดควำมรู้ควำมเข้ำใจหรือข้อมูล ข่ำวสำรที่เพี ยงพออยู่ในพื้นที่ ห่ ำงไกล
ทุรกัน ดำรเป็นต้น ดังนั้น กำรจัดบริกำรของทำงรำชกำรจะต้องคำนึงถึงกลุ่มนี้ด้วยโดยจะต้องพยำยำมนำ
บริกำรตำมสิทธิประโยชน์ที่ควรจะได้รับเช่นกำรจัดหน่วยบริกำรเคลื่อนที่ต่ำงๆเป็นต้นกำรลดเงื่อนไขในกำร
รับบริกำรให้เหมำะสมกับควำมสำมำรถของผู้รับบริกำรเช่นกำรออกบัตรสงเครำะห์ในกำรรักษำพยำบำล
ให้แก่ผู้มีรำยได้น้อยกำรเรียกเก็บค่ำปรับในอัตรำที่ต่ำสุ ดตำมที่กฎหมำยกำหนดเมื่อเห็นว่ำผู้รับบริกำรไม่มี
เจตนำที่จะเลี่ยงกำรปฏิบัติตำมกฎหมำยแต่เป็นเพรำะขำดข้อมูลข่ำวสำรเป็นต้นซึ่งอำจเรียกควำมเสมอภำค
นี้ว่ำควำมเสมอภำคที่จะได้รับบริกำรที่จำเป็นจำกรัฐ
4.3.7.2 คุ ภาพของการให้บริการสาธาร ะ
92
แนวทำงกำรปรับปรุงกำรบริกำรประชำชนของหน่วยงำนของรัฐมีดังนี้กำรปรับปรุงบทบำทภำรกิจ
และขนำดของหน่วยงำนของรัฐกำรปรับปรุงระบบกำรทำงำนด้วยวิธีต่ำงๆดังนี้
1. ปรับปรุงกำรทำงำนให้ง่ำย
2. กำรรื้อปรับระบบงำนที่ซ้ำซ้อนยุ่งยำก
3. กำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอนระยะเวลำเอกสำรประกอบค่ำธรรมเนียมวิธีดำเนินกำร
ให้ชัดเจนเป็นลำยลักษณ์อักษร
4. ปรับปรุงกำรบริกำรให้เบ็ดเสร็จที่จุดเดียว
5. เผยแพร่ประชำสัมพันธ์กำรบริกำร
6. มีระบบกำรประเมินผลแบบเปิดเผย
7. ให้รำงวัลบุคคลหรือหน่วยงำนที่ได้พัฒนำกำรให้บริกำร
การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทางานด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
1. จัดสถำนที่ทำงำนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นสัดส่วน
2. จัดสถำนที่จอดรถให้เพียงพอ
3. จัดสถำนที่นั่งรอรับบริกำร
4. จัดสถำนที่ให้บริกำรให้สะอำด
5. มีแผ่นป้ำยบอกห้องรับบริกำร
6. มีเจ้ำหน้ำที่ประชำสัมพันธ์
7. จัดภูมิทัศน์ให้สวยงำม
8. เจ้ำหน้ำที่ให้บริกำรแต่งกำยสะอำดเป็นระเบียบเรียบร้อยมีป้ำยชื่อผู้ให้บริกำรติดที่เสื้อ
กำรบริกำรให้ เกิด กำรรั บ รู้ ในแบบที่เกิดควำมพอใจของผู้ รับ บริกำรนั้ นจะต้องมีป ระเด็น ส ำคั ญ
นับตั้งแต่ เข้ำใจในควำมต้องกำรของผู้ใช้บริกำรว่ำต้องกำรอะไร เข้ำใจในตัวตนของผู้รับบริกำรว่ ำมีลักษณะ
และวัฒนธรรมแบบใด รู้จักวิธีติดต่อสื่อสำรที่ดี นุ่มนวล ชัดเจนและบรรลุเป้ำหมำย ไม่สร้ำงให้เกิดควำมรู้สึก
ในเชิงลบหรือสร้ำงควำมเขินอำย ไม่พอใจให้เกิดขึ้น หรือเรียกสิ่งนี้ว่ำเข้ำใจถึงมำรยำทในกำรให้บริกำร เป็น
ผู้ฟังที่ดีเพื่อที่จะเข้ำใจปัญหำและควำมต้องกำร อ่อนน้อมถ่อมตน ปรับภำพลักษณ์ภำยนอกของตน เช่น
ควำมสะอำดเรียบร้อยของกำรแต่งกำยให้อย่ำงสอดคล้องกับงำนและค่ำนิยมของถิ่นที่ให้บริกำร มีควำม
รับผิดชอบ ตลอดจนสร้ำงควำมน่ำเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับหน่วยงำนผ่ำนภำพลักษณะและควำมรู้ในงำนบริกำร
เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนั้นย่อมนำไปสู่กำรตระหนักในภำวะของควำมจริงในทิศทำงที่ดีของผู้รับบริกำร หรือเรียก
ง่ำยๆ ว่ำเกิดควำมประทับใจในกำรบริกำรในครั้งนั้นๆ ซึ่งย่อมช่วยให้เอำชนะใจประชำชน และเอำชนะ
คู่แข่งในกรณีเป็นหน่วยงำนเอกชนได้อีกด้วย
เย็นจิตร ขวัญเมือง (2537, 4) กล่ำวถึง เทคนิคกำรให้บริกำรประทับใจ กำรให้บริกำรจะให้เกิด
ควำมประทับใจจะต้องอำนวยควำมสะดวกทุกๆ ด้ำนตำมควำมประสงค์ของผู้มำรับบริกำรโดย
1. อย่ำให้ผู้ใช้บริกำรเสียควำมรู้สึก
2. อย่ำให้ผู้ใช้บริกำรเสียหน้ำ
3. อย่ำให้ผู้ใช้บริกำรเสียใจ
4. อย่ำให้ผู้ใช้บริกำรเสียหำย
ดำรง ชลสุข (2537, 6-7) กล่ำวถึง กำรให้บริกำรจะต้องคำนึงถึงคุณธรรม 4 ประกำร คือ
1. โอบอ้อมอำรี คือ กำรให้ กำรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ ช่วยเหลือกันและกัน
2. วจีไพเรำะ คือ พูดจำด้วยวำจำที่ดูดดื่มใจ ซำบซึ้ง กล่ำวคำสุภำพ อ่อนหวำนไพเรำะ ให้
ผู้ใช้บริกำรชื่นใจ
3. สงเครำะห์ประชำชน คือ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ช่วยเหลือเขำไม่เห็นแก่ควำม
เหนื่อยยำก
4. วำงคนพอดี คื อ ท ำตั ว เหมำะสม สม่ ำเสมอ มี คุ ณ ภำพตั้ งใจบริก ำรประชำชนกำร
ให้บริกำรนอกเหนือจำกกำรรับชำระเงินแล้ว กำรให้บริกำรทั่วไปเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้ำงควำมพึงพอใจของ
ผู้ใช้บริกำรต่อประสิทธิผลในกำรปฏิบัติงำน และนำไปบอกเล่ำต่อไป คือ ควำมสะอำด ควำมเอำใจใส่และ
อัธยำศัยของพนักงำน กำรให้ควำมเสมอภำคแก่ผู้ใช้บริกำร
หำกเจ้ำหน้ำที่ของหน่วยงำนทำได้ดังที่กล่ำวไปแล้วย่อมสร้ำงควำมประทับใจให้เกิดขึ้น อย่ำงไรก็
ตำมควำมประทับใจที่เกิดขึ้นนั้นนอกจำกอำศัยทรัพยำกรมนุษย์ของหน่วยงำนแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย
อำทิเช่น กำรจัดสถำนที่ของหน่วยงำน กำรแต่งกำยของพนักงำน บรรยำกำศภำยในหน่วยงำน กำรจัดสิ่ง
อำนวยควำมสะดวกสบำยให้กับผู้รับบริกำร กำรโฆษณำประชำสัมพันธ์ ควำมรวดเร็วของขั้นตอนกำรบริกำร
ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของกำรตระหนักและรับรู้ในแบบของควำมประทับใจให้เกิดขึ้นได้
94
4.3.9 เป้าหมายและแนวทางสาคัญของการบริการ
เทพศักดิ์ บุญยรัตนพันธุ์ (2536, 41-51) กล่ำวว่ำ เป้ำหมำยสำคัญของกำรบริกำร คือ กำรสร้ำง
ควำมพึงพอใจในกำรบริกำรให้แก่ประชำชนโดยมีหลักกำรหรือแนวทำง ดังนี้
1. กำรให้บริกำรอย่ำงเสมอภำค หมำยถึง ควำมยุติธรรมในกำรบริหำรงำนภำครัฐที่มีฐำนคติที่ว่ำ
คนทุกคนเท่ำเทียมกัน ดังนั้นประชำชนทุกคนจะได้รับปฏิบัติอย่ำงเท่ำเทียมกันในแง่มุนของกฎหมำยไม่มี
กำรแบ่งแยกกีดกันในกำรให้บริกำรประชำชนจะได้รับกำรปฏิบัติในฐำนะที่เป็บปัจเจกบุคคลที่ใช้ มำตรฐำน
กำรให้บริกำรเดียวกัน
2. กำรให้บริกำรที่ตรงเวลำ หมำยถึง กำรให้บริกำรที่ตรงเวลำ ผลกำรปฏิบัติงำนของหน่วยภำครัฐ
จะถือว่ำไม่มีประสิทธิผล ถ้ำไม่มีกำรตรงเวลำ ซึ่งจะสร้ำงควำมไม่พึงพอใจให้แก่ประชำชน
3. กำรให้ บ ริ ก ำรอย่ ำงเพี ย งพอ หมำยถึ ง กำรให้ บ ริกำรสำธำรณะต้ องมี ลั ก ษณะมี จ ำนวนกำร
ให้บริกำรและสถำนที่ให้บริกำรอย่ำงเหมำะสม
4. กำรให้บริกำรอย่ำงต่อเนื่อง หมำยถึง กำรให้บริกำรสำธำรณะจะต้องเป็นไปอย่ำงสม่ำเสมอ โดย
ยึดประโยชน์ของสำธำรณะเป็นหลักไม่ใช่ยึดควำมพอใจของหน่วยงำนที่ให้บริกำรจะให้หรือ หยุดบริกำร
เมื่อใดก็ได้
5. กำรให้บริกำรอย่ำงก้ำวหน้ำ หมำยถึง กำรให้บริกำรสำธำรณะที่มีกำรปรับปรุงคุณภำพ และผล
ปฏิบัติงำน กล่ำวอีกนั ยหนึ่ งคือ กำรเพิ่มประสิทธิภำพหรือควำมสำมำรถที่จะทำหน้ำที่ได้มำกขึ้นโดยใช้
ทรัพยำกรเท่ำเดิม
กุลธน ธนำพงศธร (2538, 303-304) เห็นว่ำหลักกำรให้บริกำร ได้แก่
1. หลักควำมสอดคล้องกับควำมต้องกำรของบุคคลเป็นส่วนใหญ่ กล่ำวคือ ประโยชน์และบริกำรที่
องค์กำรจัดให้นั้น จะต้องตอบสนองควำมต้องกำรของบุคลำกรส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดมิใช่เป็นกำรจัดให้แก่
บุคคลกลุ่มหนึ่งโดยเฉพำะ มิฉะนั้นแล้วนอกจำกจะไม่เกิดประโยชน์สูงสุดในกำรเอื้ออำนวยประโยชน์ และ
บริกำรแล้วยังไม่คุ้มค่ำกับกำรดำเนินงำนนั้นๆด้วย
2. หลักควำมสม่ำเสมอ กล่ำวคือ กำรให้บริกำรนั้นๆ ต้องดำเนินไปอย่ำงต่อเนื่องและสม่ำเสมอ มิใช่
ทำๆ หยุดๆ ตำมควำมพอใจของผู้บริหำรหรือผู้ปฏิบัติงำน
3. หลักควำมเสมอภำค บริกำรที่จัดขึ้นนั้น จะต้องให้แก่ผู้มำใช้บริกำรทุกคนอย่ำงเสมอภำคและเท่ำ
เทียมกัน ไม่มีกำรใช้สิทธิพิเศษแก่บุคคลหรือกลุ่มใดในลักษณะแตกต่ำงจำกกลุ่มคนอื่นๆ อย่ำงเห็นได้ชัด
4. หลักประหยัดค่ำใช้จ่ำยที่ต้องใช้ไปในกำรบริกำรจะต้องไม่มำกเกินกว่ำผลที่จะได้รับ
5. หลั ก ควำมสะดวกบริ ก ำรที่ จั ด ให้ แ ก่ ผู้ รั บ บริ ก ำรจะต้ อ งเป็ น ไปในลั ก ษณะที่ ป ฏิ บั ติ ได้ ง่ ำ ย
สะดวกสบำย สิ้ น เปลื องทรัพ ยำกรไม่มำกนัก ทั้ งยังไม่เป็นกำรสร้ำงภำวะยุ่งยำกใจให้ แก่ผู้บ ริห ำร หรือ
ผู้ใช้บริกำรมำกจนเกินไปจำกแนวคิดนี้
95
2.3 ควำมต่อเนื่องในกำรติดต่อ
2.4 ปฏิบัติต่อผู้ใช้บริกำรเป็นอย่ำงดี
3. ควำมสำมำรถ (Competence) ประกอบด้วย
3.1 ควำมสำมำรถในกำรให้บริกำร
3.2 ควำมสำมำรถในกำรสื่อสำร
3.3 ควำมสำมำรถในควำมรู้วิชำกำรที่จะให้บริกำร
4. กำรเข้ำถึงบริกำร (Access) ประกอบด้วย
4.1 ผู้ ใช้บริกำรเข้ำใช้บริกำรหรือรับบริกำรได้ส ะดวก ระเบียบขัน้ ตอนไม่ควร
มำกมำยซับซ้อนเกินไป
4.2 ผู้ใช้บริกำรใช้เวลำรอคอยน้อย
4.3 เวลำที่ให้บริกำรเป็นเวลำที่สะดวกสำหรับผู้ใช้บริกำร
4.4 อยู่ในสถำนที่ที่ผู้ใช้บริกำรติดต่อได้สะดวก
5. ควำมสุภำพอ่อนโยน (Courtesy) ประกอบด้วย
5.1 กำรแสดงควำมสุภำพต่อผู้ใช้บริกำร
5.2 ให้กำรต้อนรับที่เหมำะสม
5.3 ผู้ให้บริกำรมีบุคลิกภำพที่ดี
6. กำรสื่อสำร (Communication) ประกอบด้วย
6.1 มีกำรสื่อสำรชี้แจงขอบเขตและลักษณะงำนบริกำร
6.2 มีกำรอธิบำยขั้น ตอนกำรให้บริกำร
7. ควำมซื่อสัตย์ (Credibility) คุณภำพของพนักงำนบริกำรมีควำมเที่ยงตรงน่ำเชื่อถือ
8. มีควำมมั่นคง (Security) ได้แก่ ควำมปลอดภัยทำงกำยภำพ เช่น เครื่องมืออุปกรณ์
9. ควำมเข้ำใจ (Understanding) ประกอบด้วย
9.1 กำรเรียนรู้ผู้ใช้บริกำร
9.2 กำรให้คำแนะนำและเอำใจใส่ผู้ใช้บริกำร
9.3 กำรให้ควำมสนใจต่อผู้ใช้บริกำร
10. กำรสร้ำงสิ่งเร้ำที่จับต้องได้ (Tangibility) ประกอบด้วย
10.1 กำรเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับให้บริกำร
10.2 กำรเตรียมอุปกรณ์เพื่ออำนวยควำมสะดวกแก่ผู้ใช้บริกำร
10.3 กำรจัดสถำนที่ที่ให้บริกำรสวยงำมสะอำด
แคทซ์ และ คำห์ น (Katz and Kahn,1973: 35) ได้เสนอควำมเห็ นว่ำ หลั กกำรส ำคัญ ของกำร
บริกำรลูกค้ำที่ควรปฏิบัติ ทั้ง ในองค์กำรของรัฐบำลและเอกชน ควรยึดหลักปฏิบัติดังนี้
97
เพื่อสำมำรถเสนอบริ กำรให้ ต รงกับ ควำมคำดหวัง และให้ ผู้ ใช้บริกำรเกิดควำมพึ งพอใจ หรือเกิด ควำม
ประทับใจ ควำมคำดหวังของผู้ใช้มักอยู่ที่กำรบริกำรที่รวดเร็วทันใจ มีประสิทธิภำพ และกำรแสดงออกด้วย
อัธยำศัยไมตรีของผู้ให้บริกำร
3. ควำมพร้อมในกำรให้ บ ริกำร กำรที่ผู้ ให้ บริกำรพร้อมที่ จะบริกำรในสิ่ งที่ ผู้ใช้บริกำรต้องกำร
ภำยในเวลำและรูปแบบที่ต้องกำร ย่อมทำให้เกิดประสิทธิของบริกำร หน่วยงำนบริกำรหรือธุรกิจกำรบริกำร
จึงจำเป็นต้องมีกำรตรวจสอบดูแลให้บุคลำกร รวมทั้ง กำรทำให้อุปกรณ์เครื่องใช้ต่ำงๆ มีควำมพร้อมอยู่
ตลอดเวลำ เพื่อสำมำรถสนองบริกำรได้อย่ำงทันใจ
4. ควำมมีคุณค่ำของบริกำร คือกำรให้บริกำรที่ตรงไปตรงมำ ไม่เอำเปรียบลูกค้ำและแสดงให้เห็น
ถึงควำมคุ้มค่ำของบริกำรที่ได้รับ คุณค่ำของบริกำรจึงขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผู้ ใช้บริกำรได้รับและเกิดควำมรู้สึ ก
ประทับใจ
5. ควำมสนใจต่อกำรให้บริกำร กำรให้ควำมสนใจอย่ำงจริงใจต่อลูกค้ำทุกระดับ และทุกคนอย่ำง
ยุติธรรม เสมอภำคกัน และให้เกียรติลูกค้ำตลอดเวลำ
6. ควำมมีไมตรีจิตในกำรให้บริกำร กำรต้อนรับลูกค้ำด้วยใบหน้ำที่ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยท่ำทีสุภำพ
อ่อนโยน แสดงควำมเป็นมิตร รู้จักค้นหำควำมต้องกำรของผู้ใช้บริกำรและสร้ำงบรรยำกำศของกำรบริกำรที่
อบอุ่นเป็นกันเองของผู้ใช้บริกำร จะส่งผลให้ผู้ใช้บริกำรเกิดควำมรู้สึกที่ดีและประทับใจต่อบริกำรที่ได้รับ
7. ควำมมีประสิทธิภำพของกำรให้บริกำร ควำมสำเร็จของกำรให้บริกำรขึ้นอยู่กับกำรบริกำรที่เป็น
ระบบ มีขั้นตอนที่ชัดเจน มีกำรกำหนดแผนในกำรให้บริกำรและกำรพัฒนำยุทธวิธีกำรบริกำร เพื่อให้บริกำร
มีคุณ ภำพอย่ำงสม่ำเสมอ กำรสร้ำงประสิ ทธิภำพของกำรให้ บริกำร เริ่มต้น จำกกำรวิเครำะห์ วิจัยควำม
ต้องกำร ปฏิกิริยำตอบสนองและควำมประทับของผู้ใช้บริกำร เพื่อนำมำกกำหนดเป็นเป้ำหมำยของกำร
บริกำรรวมทั้งรูปแบบและปัจจัยพื้นฐำนของกำรบริกำรที่สอดคล้องกับควำมต้องกำรของผู้ใช้บริกำร
องค์ประกอบคุณภำพกำรบริกำรกล่ำวสรุปได้คือ เงื่อนไข หรือปัจจัยที่นำไปสู่กำรรับรู้ถึงคุณค่ำของ
งำนหรือหน่วยงำนที่ให้บริกำร หรือเป็นสิ่งที่ในปัจจุบันนี้ได้รับควำมนิยมกล่ำวถึงบ่อยครั้งคือเรื่อง “ควำมพึง
พอใจ” ที่มีกำรดำเนินกำรศึกษำวิจัยเป็นจำนวนมำกของทั้งหน่วยงำนภำครัฐ เอกชน ตลอดจนสถำนศึกษำ
ต่ำงๆ ล้วนแล้วให้ควำมสำคัญกับควำมพึงพอใจอันเกิดจำกกำรได้รับบริกำรที่ดีด้วยกันทั้งสิ้น
ตลอดเวลำว่ ำเมื่ อ รั บ บริ ก ำรจำกหน่ ว ยงำน ก. เมื่ อ เปรีย บเที ย บกั บ มำตรฐำนของวงกำร เช่ น วงกำร
หน่วยงำนรำชกำร วงกำรร้ำนอำหำรจำนด่วน ว่ำดีหรือแย่กว่ำ ซึ่งส่งผลต่อควำมนิยมของประชำชน และ
ควำมอยู่รอดของหน่วยงำนอีกด้วย โดยมำตรฐำนนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีมำตรฐำน กล่ำวคือ กำรบริกำรจะต้องดี
ขึ้นไปให้มำกที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง คู่แข่งก็จะทำให้ดีกว่ำ ดังนั้ น มำตรฐำนจะถูกยกระดับให้สูงขึ้น เพื่อจะ
นำไปปรับใช้ให้เหมำะสมกับลักษณะบริกำร
กำรก ำหนดมำตรฐำนของงำนบริก ำรหน่ ว ยงำนอำจด ำเนิ น กำรจั ด ท ำในลั ก ษณะของรำยกำร
ตรวจสอบให้กับพนักงำนว่ำได้ดำเนินกำรให้เป็นไปตำมข้อกำหนดนั้นหรือยัง เช่น
รำยกำรตรวจสอบกำรให้บริกำรของหน่วยงำน ก.
โปรดเขียนเครื่องหมำยลงในช่อง ตำมสภำพควำมเป็นจริง
1. กำรให้ควำมสนใจลูกค้ำ ดำเนินกำรแล้ว ยังไม่ดำเนินกำร
2. กำรต้นรับอย่ำงอบอุ่น ดำเนินกำรแล้ว ยังไม่ดำเนินกำร
3. กำรเอำใจใส่บริกำร ดำเนินกำรแล้ว ยังไม่ดำเนินกำร
4. ควำมถูกต้องในกำรให้บริกำร ดำเนินกำรแล้ว ยังไม่ดำเนินกำร
5. ควำมตั้งใจในกำรให้บริกำร ดำเนินกำรแล้ว ยังไม่ดำเนินกำร
6. ควำมตรงต่อเวลำ ดำเนินกำรแล้ว ยังไม่ดำเนินกำร
7. ควำมถูกต้อง ครบถ้วน ดำเนินกำรแล้ว ยังไม่ดำเนินกำร
8. กำรให้บริกำรอย่ำงเป็นธรรม ดำเนินกำรแล้ว ยังไม่ดำเนินกำร
10.2 กำรให้คำแนะนำและเอำใจใส่ผู้บริกำร
10.3 กำรให้ควำมสนใจต่อผู้ใช้บริกำร
เท็นเนอร์ และดีโทโร (Tenner, and Detoro, 192, 85) เห็นว่ำคุณภำพให้บริกำรได้กำหนด
เกณฑ์มำตรฐำนเพื่อใช้วัดคุณภำพกำรให้ บริกำรที่เรียกว่ำ RATER (Reliability, Assurance, Tangibles,
Empathy, Responsiveness) ได้แก่
สิ่ ง ที่ จั บ ต้ อ งได้ (reliability) หมำยถึ ง ลั ก ษณะที่ ป รำกฏให้ เห็ น ได้ แ ก่ บุ ค ลำกร สถำนที่
เครื่องมือ และวัสดุสื่อสำรและสิ่งต่ำงๆที่เป็นเครื่องแสดงทำงกำยภำพหรือภำพลักษณ์ของบริกำรที่ลูกค้ำใช้
ประเมินคุณภำพกำรบริกำร
ควำมเชื่อถือได้ (assurance) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติงำนตำมที่รับปำกไว้ได้อย่ำง
ถูกต้อง และเชื่อใจได้ ซึ้งเกิดจำกกำรกำรให้บริกำรตำมสัญญำที่ไว้กับลูกค้ำ ให้บริกำรอย่ำงถูกต้องตั้งแต่
แรก ปฏิบัติงำนเสร็จตำมเวลำที่กำหนด มีควำมถูกต้องด้ำนกำรกำรรับชำระเงิน กำรบันทึกข้อมูลลูกค้ำ
กำรตอบสนอง (tangibles) หมำยถึง ควำมเต็มใจที่ช่วยเหลือลูกค้ำและให้บริกำรโดยทันที เช่น
กำรตอบคำถำม รับฟังข้อร้องเรียน แก้ปัญหำให้ลูกค้ำ รวมถึงกำรยืดหยุ่นและควำมสำมำรถในกำรปรับ
บริกำรให้ตรงควำมต้องกำรของลูกค้ำ
กำรให้ควำมมั่นใจ (empathy) หมำยถึง กำรให้ควำมมั่นใจด้ำนควำมรู้ มีอัธยำศัย ควำมเหำะ
สม ควำมสุภำพอ่อนน้อมของผู้ใช้บริกำร กำรสำมำรถสร้ำงควำมไว้วำงใจ และควำมมั่นใจให้กับลูกค้ำได้
กำรเอำใจเขำมำใส่ใจเรำ (responsiveness) หมำยถึง กำรเอื้ออำทร กำรเอำใจใส่กับลูกค้ำ
เพื่อแสดงว่ำลูกค้ำเป็นคนพิเศษและเห็นควำมสำคัญ กำรแสดงควำมเข้ำใจลูกค้ำทำได้ เช่น เรียนรู้และ
เข้ำใจถึงควำมต้องกำรลูกค้ำ ให้ควำมสนใจกับลูกค้ำเป็นรำยบุคล รู้จักและจำลูกค้ำประจำได้ มีอัยำศัย
สุภำพและเป็นมิตร
เบอรี่,พำรำสุรำมำน และเซียแทนล์ (Berry, Parsuraman and Zeithamal, 1990, 23-33)
และ เลิฟล็ อค (Lovelook, 1996, 92) มีควำมเห็ นเหมือนกันว่ำ กำรประเมินคุณ ภำพกำรบริกำร มี 5
ประกำร ที่เรียกว่ำ “SERVQUAL” (Service Quality) คือ
ควำมเป็นรูปธรรมของกำรบริกำร (tangibility) หมำยถึง กำรให้บริกำรที่สำมำรถสัมผัสจับต้อง
ได้ มีลักษณะทำงกำยภำพที่ปรำกฏให้เห็น เช่น สถำนที่ เครื่องมือ อุปกรณ์ต่ำงๆ วัสดุในกำรติดต่อสื่อสำร
กับผู้ใช้บริกำร และบุคคล
ควำมน่ ำเชื่อถือไว้วำงใจ (reliability) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรให้ บริกำรนั้น ตรงกั บ
สัญญำที่ให้ไว้กับผู้ใช้บริกำร บริกำรที่ให้ทุกครั้งมีควำมถูกต้อง เหมำะสมและมีควำมสม่ำเสมอในทุกครั้ ง
ของกำรบริกำร ที่จะทำให้ผู้ใช้บริกำรรู้สึกว่ำบริกำรที่ได้รับนั้นมีควำมน่ำเชื่อถือ
กำรตอบสนองต่อผู้ใช้บริกำร(responsiveness) หมำยถึง กำรให้บริกำรด้วยควำมเต็มใจและ
มีควำมพร้อมที่จะช่วยเหลือบริกำรให้ผู้ใช้บริกำรทันที และกำรให้บริกำรที่สะดวกและรวดเร็ว
102
4.4 สรุป
กำรบริหำรเป็นศิลปะในกำรทำให้สิ่งต่ำงๆ ได้รับกำรกระทำจนเป็นผลสำเร็จ เป็นผู้ใช้ศิลปะในกำร
ทำให้ผู้ปฏิบัติงำนทำงำนจนสำเร็จตำมจุดมุ่งหมำยที่ผู้บริหำรตัดสินใจเลือกแล้ว ส่วนสิ่งแวดล้อมทำงกำร
บริหำร หมำยถึง สภำพของปัจจัยต่ำงๆ ที่อยู่ภำยในและภำยนอกองค์กำรของรัฐ และเอกชนซึ่งสำมำรถส่ง
อิทธิพลมำยังภำยในของระบบกำรบริหำรองค์กำร อันมีผลต่อประสิทธิภำพและควำมสำเร็จของกำร
บริหำรงำนในองค์กำร สิ่งแวดล้อม ถือเป็นเครื่องมือที่มีควำมสำคัญยิ่งในกำรกำหนดนโยบำยกำรบริหำรงำน
นอกจำกนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยชี้วัดควำมสำเร็จของกำรบริหำร และถือเป็นทรัพยำกรหรือวัตถุดิบสำหรับ
ป้อนให้กับระบบกำรบริหำรเพื่อทำกำรแปรรูปให้เป็นสินค้ำหรือบริกำรตำมนโยบำยขององค์กำร
ส่วนกำรบริกำรที่ดีจะส่งผลให้ผู้ บริกำรมีควำมรู้สึกชอบหรือพึงพอใจ ทั้งต่อตัว ผู้ ให้บริกำรและ
หน่วยงำนที่ให้บริกำร มีควำมนิยมในหน่วยงำนที่ให้บริกำร มีควำมระลึกถึงและยินดีมำขอรับบริกำรอีกมีควำม
ประทับใจที่ดีไปอีกนำน มีกำรบอกต่อไปยังผู้อื่นหรือแนะนำให้มำใช้บริกำรเพิ่มขึ้น มีควำมภักดีต่อหน่วย
บริกำรที่ให้ บ ริกำรและมีกำรพูดถึงกำรให้บริกำรและ หน่วยงำนในทำงที่ดี โดยบริกำรที่ ไม่ดีจะส่งผลให้
ผู้รับบริกำรมีควำมรู้สึกไม่ชอบหรือไม่พึงพอใจ ทั้งต่อตัวผู้ให้บริกำรและหน่วยงำนที่ให้บริกำร ดังนี้ มีควำม
รังเกียจต่อตัวผู้ให้บริกำร มีควำม เสื่อมศรัทธำในหน่วยงำนที่ให้บริกำร มีควำมผิดหวังและไม่ใช้บริกำรอีก มี
ควำมรู้สึกที่ไม่ดีต่อกำรบริกำรของหน่วยงำนไปอีกนำน มีกำรบอกต่อไปยังผู้อื่นหรือแนะนำไม่ให้ผู้อื่นมำใช้
บริกำร มีกำรพูดถึงผู้ให้บริกำรและหน่วยงำนในทำงที่ไม่ดี
103
คาถามท้ายบท
เอกสารอ้างอิง
กำรุณย์ คล้ำยคลึง. ปัญหาการซับซ้อนของอานาจหน้าที่ในการจัดบริการสาธาร ะในเขตองค์การ
บริหารส่วนตาบลสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่. ภำคนิพนธ์ รป.ม. (กำรเมืองและ กำรปกครอง).
เชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยำลัย มหำวิทยำลัยเชียงใหม่. 2550.
กิตติพงศ์ ขลิบแย้ม. การศึกษาการให้บริการของสานักงานเขตกรุงเทพมหานคร : ศึกษากร ี สานักงาน
เขตจตุจักร. วิทยำนิพนธ์ศิลปศำสตรมหำบัณฑิต, สำขำวิชำรัฐศำสตร์, กรุงเทพฯ : มหำวิทยำลัย
รำมคำแหง. 2541.
เกรียงเดช วัฒนวงษ์สิงห์. ความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริการของอาเภอด้านงาน ทะเบียนและ
บัตรประจาตัวประชาชน : ศึกษาเฉพาะกร ี อาเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี. วิทยำนิพนธ์
พัฒนำบริหำรศำสตรมหำบัณฑิต สำขำวิชำพัฒนำสังคม. กรุงเทพฯ : สถำบันบัณฑิตพัฒนบริหำร
ศำสตร์. 2542.
กุลธน ธนำพงศธร. การบริหารงานบุคคล. นนทบุรี : โรงพิมพมหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมำธิรำช, 2528.
. การบริหารงานบุคคล. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี : มหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมำธิรำช, 2538.
จตุรงค์ มหิทธิโชติ. การพัฒนาคุ ภาพการให้บริการของสถานีตารวจ. ขอนแก่น. วิทยำนิพนธ์ ศศ.ม.
พัฒนำสังคม. ขอนแก่น : มหำวิทยำลัยขอนแก่น, 2541.
105
วัชรินทร์ สุทธิศัย
รังสรรค์ อินทน์จันทน์
5.1 นโยบายสาธารณะ
คาว่า “นโยบายสาธารณะ” หรือ Public Policy มีความหมายที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน นักวิชาการ
ในแต่ละสาขาต่างมีความเห็นเกี่ยวกับความหมายของนโยบายสาธารณะแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงมีผู้ให้
ความหมาย “นโยบายสาธารณะ” ไว้หลายแนว
5.1.1 ความหมายของนโยบายสาธารณะ
คาว่า “นโยบายสาธารณะ” หรือ Public Policy มีความหมายที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน นักวิชาการ
ในแต่ละสาขาต่างมีความเห็นเกี่ยวกับความหมายของนโยบายสาธารณะแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงมีผู้ให้
ความหมาย “นโยบายสาธารณะ” ไว้หลายแนว อาทิเช่น
รุ่งเรือง สุขาภิรมย์ (2543 : 13) ได้สรุปความหมายของนโยบายไว้ว่า นโยบาย หมายถึง แนว
ทางการดาเนินงานที่กาหนดขึ้นไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจหรือให้ผู้ ที่เกี่ยวข้องใช้เป็น
กรอบกากับ หรือเป็นทิศทางการดาเนินงานขององค์การนั้นๆ ในการนาไปสู่ การบรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนด
ไว้ โดยทั่วไปนโยบายจะกาหนดไว้เป็นข้อความอย่างกว้างๆ และนโยบายอาจจะมีความละเอียดมากขึ้นเมื่อ
ต้องการให้มีความชัดเจนในการนาไปปฏิบัติ โดยนโยบายอาจประกอบด้วย แผนงาน โครงการ หรือกิจกรรม
ที่กาหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสาหรับการนาไปปฏิบัติด้วย
สร้อยตระกูล อรรถมานะ (2543 : 144) ได้เสนอความหมายของคาว่า นโยบายสาธารณะว่าคือ
นโยบายสาธารณะของภาครัฐบาลและนโยบายสาธารณะของหน่วยงานเอกชนที่มิได้แสวงหาผลกาไร และ
มิได้สังกัดในภาครัฐบาล โดยนามาผสมผสานกันอันมีรัฐบาลเป็นแกนนาในการกาหนดนโยบายสาธารณะอัน
103
3. ผู้มีอานาจในการกาหนดนโยบายสาธารณะได้แก่ ผู้นาทางการเมือง
ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ พรรคการเมือง สถาบันราชการ ข้าราชการและประมุขของประเทศ
4. กิจกรรมที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทาต้องเป็นชุดของการกระทาที่มีแบบแผน
ระบบ และกระบวนการอย่างชัดเจน เป็นการกระทาที่มีการสานต่ออย่างสม่าเสมอ และต่อเนื่อง
5. กิจกรรมที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทาต้องมีเป้าหมาย วัตถุประสงค์หรือ
จุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนจานวนมาก
6. เป็นกิจกรรมที่ต้องกระทาให้ปรากฏเป็นจริง มิใช่เป็นเพียงการแสดง
เจตนารมณ์หรือความตั้งใจที่จะกระทาด้วยคาพูดเท่านั้น
7. กิจกรรมที่เลือกกระทาต้องมีผลลัพธ์ในการแก้ไขปัญหาที่สาคัญ
ของสังคม ทั้งปัญหาความขัดแย้งหรือความร่วมมือของประชาชน
8.เป็นการตัดสินใจที่จะกระทาเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนจานวนมาก มิใช่
การตัดสินใจเพื่อประโยชน์เฉพาะบุคคล และเป็นชุดของการตัดสินใจที่เป็นระบบ มิใช่การตัดสินใจแบบ
เอกเทศ
9. เป็นการเลือกทางเลือกที่จะกระทา โดยพิจารณาจากผลการวิเคราะห์
ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
10. เป็นกิจกรรมที่เกิดจากการต่อรองหรือประนีประนอมระหว่างกลุ่ม
ผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง
11. เป็นกิจกรรมที่ครอบคลุมทั้งกิจกรรมภายในประเทศและระหว่างประเทศ
12. กิจกรรมที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทาหรือไม่กระทา อาจก่อให้เกิดผลทั้ง
ทางบวกและทางลบต่อสังคม
13. เป็นกิจกรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย
โธมัส อาร์ ดาย (Thomas R. Dye) ใน Understanding Public Policy, 1984. กล่าว
ว่า “นโยบายสาธารณะคืออะไรก็ตามที่รัฐบาลตัดสินใจเลือกที่จะกระทาหรือไม่
กระทา” (Whatever governments choose to do or not to do.)
เจมส์ อี แอนเดอร์สัน (James E. Anderson) ใน Public Policy-Making, 1979. กล่าวว่า
ว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึงการกระทาบางอย่างที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาหรือเกี่ยวข้องกับเรื่อง
ใดเรื่องหนึ่ง โดยจะมีการนาไปปฏิบัติโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
ต่างๆ”(A purposive course of action followed by and actor or set of actors in deal
ing with a problem or matter of concern.)
เดวิด อิสตัน (David Easton) ใน A Framework for political Analysis, 1965. กล่าว
ว่า “นโยบายสาธารณะเป็นเรื่องของการจัดสรรคุณค่าและผลประโยชน์ต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ”
(Authoritative allocation of values.)
105
วัฒนธรรมและระเบียบประเพณีมีอิทธิพลต่อนโยบาย ในลักษณะที่จะทาให้การกาหนด
นโยบายเป็นไปในลักษณะเดิม การเปลี่ยนแปลงประเพณี วัฒนธรรมได้ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแปลง
นโยบายตามไปด้วย
ค่านิยมและความเชื่อมีอิทธิพลต่อนโยบายในลักษณะที่จะทาให้การกาหนดนโยบายคล้อยตาม
ความคิดเห็น หรือตามความต้องการของคนบางส่วน (ซึ่งอาจเป็นกลุ่มใหญ่) ในหน่วยงานนั้น เช่น ถ้า
บุคคลหรือประชาชนมีความเชื่อและมีค่านิยมที่จะใช้สิ่งของที่ผลิตขึ้นในประเทศ รัฐควรต้องกาหนดนโยบาย
สนับสนุนการลงทุนและการผลิตสิ่งของตามความนิยมหรือความต้องการของประชาชนเหล่านั้น
ลักษณะชุมชนซึ่งอาจแบ่งเป็นชุมชนในเมือง ชุมชนในชนบท ชุมชนของชนกลุ่มน้อย หรืออื่น
ๆ ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันในเรื่องความหนาแน่นของที่อยู่อาศัย สภาพความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันและมี
ปัญหาไม่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวล้วนมีอิทธิพล และผลกระทบต่อการกาหนดนโยบายทั้งสิ้น โดย
จะต้องทาให้นโยบายสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มชนเหล่านั้นอย่างเหมาะสมตามควร
ง. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ในการกาหนดนโยบายใด ๆ ก็ตาม ผู้กาหนด
นโยบายจะต้องคานึงถึงสถานที่ตั้ง พื้นที่ อาณาเขต สภาพภูมิอากาศ และสภาพภูมิประเทศขององค์การ
หรือหน่วยงาน โดยจะต้องกาหนดนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพต่าง ๆ ดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อให้นโยบายที่
กาหนดขึ้นเป็นนโยบายที่ถูกต้องและสามารถปฏิบัติได้ เช่น ในพื้นที่ราบลุ่มริมฝั่งทะเลควรใช้เป็นพื้นที่เพื่อ
การพัฒนาประมงน้าเค็ม มากกว่าจะนาไปเพื่อการพัฒนาการเกษตรกรรมทางด้านธัญพืช เป็นต้น
นอกจากนีเ้ หตุการณ์ต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ขององค์การ หรือหน่วยงานย่อมมีผลกระทบ
หรือมีอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายเป็นอย่างมาก เพราะเหตุการณ์ในอดีตมักจะเป็นเครื่องชี้หรือเป็น
ตัวกาหนดเหตุการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้น ผู้กาหนดนโยบายอาจมีความจาเป็นที่จะต้องวิเคราะห์และ
พิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตของหน่วยงานเป็นเครื่องเตือนใจในการตัดสินใจเลือกกาหนดนโยบายใน
แนวทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่หน่วยงานหรือองค์การให้มากที่สุด
ปัจจัยทุกประเภทดังกล่าว มีความสาคัญและมีอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายทั้งสิ้น นโยบาย
ที่กาหนดขึ้นจะเป็นประโยชน์หรือเป็นนโยบายที่ใช้ได้มากน้อยเพียงใด นอกจากจะขึ้นอยู่กับความรู้ความ
เข้าใจ และความสามารถของตัวบุคลที่เป็นผู้กาหนดนโยบายแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปริมาณและความถูกต้องของ
ปัจจัยต่าง ๆ ที่นามาเพื่อพิจารณาประกอบการกาหนดนโยบายนั้นอีกด้วย
เจมส์ แอนเดอร์สัน (1994) กล่าวว่า องค์ประกอบของนโยบายสาธารณะ มีดังนี้
ประเด็นที่ 1 นโยบายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกระทาที่มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ชัดเจน
มากกว่าการกระทาโดยบังเอิญหรือไม่ตั้งใจ
ประเด็นที่ 2 นโยบายประกอบด้วยชุดหรือแบบแผนการกระทาที่ต่อเนื่องกันโดยเจ้าหน้าที่ของ
รัฐ มากไปกว่าการตัดสินใจเฉพาะเรื่อง และการตัดสินใจที่แยกจากกัน
ประเด็นที่ 3 นโยบายสาธารณะเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องในเชิงนโยบาย หรือการ
เรียกร้องของผู้ขอให้มีการกระทาหรืองดเว้นการกระทาในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับสาธารณะ
111
ปฏิบัติสามารถวางแผนพัฒนานโยบาย และนานโยบายไปปฏิบัติให้บังเกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
ยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นยังเห็นว่าการศึกษานโยบายสาธารณะจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ศึกษาทั้งในด้าน
ความคิดทางวิชาการและในเชิงปฏิบัติหลายประการ สรุปได้ดังนี้ (กุลธน ธนาพงศธร 2520)
1. การศึกษานโยบายของรัฐย่อมทาให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้ความเข้าใจโดยสามารถทราบ ไม่เฉพาะ
แต่ว่า อะไร เป็นนโยบายของประเทศหนึ่ง ๆ ในยุคสมัยหนึ่งมีอยู่และใช้อยู่เท่านั้น แต่ยังทาให้สามารถ
ทราบต่อไปอีกว่า ทาไม จึงต้องมีนโยบายเช่นนี้ ใคร เป็นผู้ริเริ่มหรือมีส่วนผลักดันที่สาคัญในการกาหนด
นโยบายนั้น ๆ ขึ้นมา และ อะไร ที่จะเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการที่มีนโยบายเช่นนั้น
ส่วนประโยชน์ที่ผู้ศึกษาจะพึงได้รับจากการศึกษานโยบายของรัฐนั้น เป็นประโยชน์ที่จะได้รับ
เพิ่มเติมนอกเหนือไปจากที่ได้รับจากการศึกษารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ กล่าวคือผู้ที่ศึกษาวิชานี้
ยังจะได้รับความรู้ความเข้าใจโดยทราบอีกว่า
ก. ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ ที่รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ได้กาหนดหรือมีนโยบาย
อะไรบ้าง และนโยบายนั้นมีเนื้อหาสาระในรายละเอียดอะไรบ้าง เป็นการทราบในระดับที่ลึกซึ้งกว่าบุคคล
โดยทั่วไป ทั้งเป็นการทราบเพื่อที่จะได้ทาการศึกษาค้นคว้าหามูลเหตุและผลต่อไปอีกด้วย
ข. ทาให้ทราบว่าทาไมหรือเพราะสาเหตุใดรัฐบาลของประเทศหนึ่ง ๆ ในยุคลสมัยหนึ่งจึงต้อง
มีนโยบายเช่นนั้นเช่นนี้ โดยทาการศึกษาวิเคราะห์หามูลเหตุที่จะก่อให้เกิดการกาหนดนโยบายเช่นนั้นขึ้น
ค. การศึกษาถึงนโยบายของรัฐยังทาให้ผู้ศึกษาได้ทราบว่า บุคคลใดหรือองค์การใดที่มี
บทบาทสาคัญหรือเป็นผู้ริเริ่มให้มีนโยบายอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น ซึง่ แต่บุคคล แต่ละองค์การ จะมีอิทธิพล
ต่อการกาหนดนโยบายของรัฐไม่เท่าเทียมกัน การที่ได้ทราบว่าบุคคลใดหรือองค์การใดเป็น “เจ้าของ” ที่
แท้จริงของนโยบายหนึ่ง ๆ นั้น ทาให้ทราบถึงมูลเหตุและวัตถุประสงค์ในการกาหนดนโยบายเช่นนั้นขึ้นมา
ง. ทาให้ผู้ศึกษาสามารถทราบได้ว่า ถ้าหากรัฐบาลของประเทศหนึ่ง ๆ ได้กาหนดนโยบาย
อย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว เมื่อนาเอานโยบายเช่นนั้นไปปฏิบัติ จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและ
ประเทศชาติอย่างไร และผลกระทบนั้นเป็นผลดีหรือผลเสียอย่างไรบ้าง หากได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
นโยบายและการปฏิบัติตามนโยบายอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จะก่อให้เกิดผลเช่นใดขึ้น
2. จะทราบว่ากระบวนการต่างๆ ของการกาหนดนโยบายของรัฐ เป็นอย่างไร มีขั้นตอนต่าง ๆ
อย่างไรบ้าง
3. การศึกษานโยบายของรัฐยังสามารถทาให้ทราบถึง ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสถาบัน
ทางการเมืองและผู้นาทางการเมืองในประเทศหนึ่ง ๆ ในขณะใดขณะหนึ่งว่ามีอยู่มากน้อยแค่ไหน เพียงใด
4. การศึกษานโยบายของรัฐจะช่วยให้ผู้ศึกษาได้ทราบถึงวิธีการต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างมี
เหตุมีผล มีกฏเกณฑ์ มิใช่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ โดยใช้สามัญสานึกหรือค่านิยมของแต่ละบุคคล
113
5.1.3 ประโยชน์ของการศึกษานโยบายสาธารณะ
1. ทาให้สามารถทราบได้ว่าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ รัฐบาลของประเทศหนึ่งประเทศใดก็ตามได้
กาหนดให้มีนโยบายอะไรบ้าง และนโยบายเหล่านั้นมีรายละเอียดขอเนื้อหาสาระอะไรบ้าง
2. ทาให้ทราบได้ว่าทาไมหรือเพราะเหตุใดรัฐบาลของประเทศหนึ่ง ๆ ในขณะในขณะหนึ่งจึงต้องมี
นโยบายเช่นนั้น
3. ทาให้ทราบอีกว่า บุคคลหรือองค์การใดที่มีบทบาทสาคัญหรือเป็นผู้ริเริ่มให้มีนโยบายอย่างใด
อย่างหนึ่งขึ้น
4. ทาให้ทราบได้ว่า ถ้าหากมีการนาเอานโยบายที่ได้กาหนดขึ้นแล้วไปปฏิบัติจะก่อให้เกิดผลกระทบ
ต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างไรบ้าง
114
5.2 ความหมายของการบริหารเชิงกลยุทธ์
มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของการบริหารเชิงกลยุทธ์ไว้ดังนี้
ธงชั ย สั น ติ ว งษ์ (อ้ า งใน กาญ จนา ศิ ริ ว งค์ , 2552) ได้ ใ ห้ ค วามหมายของการบริ ห ารเชิ ง
กลยุทธ์ คือ ชุดของการตัดสินใจและการกระทาต่างๆ ซึ่งจะนาไปสู่การพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วย
ให้องค์การบรรลุความสาเร็จตามเป้าหมายต่างๆ ได้
ประโชค ชุมพล (อ้างใน ขัตติยา ด้วงสาราญ, 2552) ได้ให้ความหมายของการบริหารเชิงกลยุทธ์ คือ
กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารจากทุกฝ่ายขององค์การในการกาหนดและปฏิบัติตามเป้าหมายและกล
ยุทธ์ขององค์การหรือเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ในการกาหนดการปฏิบัติการและการควบคุม ซึ่งเป็นแผน
หลักเพื่อเป็นแนวทางให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมายภายใต้สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกที่กาหนด
สมยศ นาวี ก าร (อ้ า งใน กาญจนา ศิ ริ ว งค์ , 2552) ได้ ใ ห้ ค วามหมายของการบริ ห ารเชิ ง
กลยุทธ์ (Strategic Management) คือ กระบวนการของการกาหนดทิศทางระยะยาว การกาหนดกลยุทธ์
การดาเนินกลยุทธ์ และการประเมินกลยุทธ์ขององค์การ
สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ (อ้างใน ปิยะนุช สวัสดี, 2553) ได้ให้ความหมายของการบริหารเชิงกลยุทธ์
คือ การบริห ารหรือการจัดการในลักษณะที่มีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
สังคมและธุรกิจ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวให้มีความสอดคล้องกับจุดอ่อนและจุดแข็งของธุรกิจ
ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (อ้างใน ขัตติยา ด้วงสาราญ, 2552) ได้ให้ความหมายของการบริหารเชิงกลยุทธ์
คื อ การวางแผนด าเนิ น การ และควบคุ ม ในแนวทางเชิ งกลยุ ท ธ์ซึ่ งจะช่ ว ยให้ ก ารบริห ารเป็ น ไปอย่ า งมี
ประสิทธิภาพและประเมินผล จุดเน้นของการบริหารเชิงกลยุทธ์ มุ่งพิจารณาในแง่ของการบริหารเชิงกลยุทธ์ที่
คิดค้นขึ้นมาต้องอาศัยพื้นฐานทางการบริหารเป็นหลัก
ประยงค์ มีใจซื่อ (อ้างใน กาญจนา ศิริวงค์, 2552) ได้ให้ความหมายของการบริหารเชิงกลยุทธ์ คือ
กระบวนการบริหารที่มีความต่อเนื่อง มีการกระทาซ้าบ่อยๆ มีการเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกับทุกหน่วยงานใน
องค์การ มุ่งหวังเพื่อให้สามารถดาเนินการได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์
ในขณะนั้นๆ
บุญเลิศ เย็นคงคา (อ้างใน ธีรวรรณ ศรีขวัญ, 2550) ได้ให้ความหมายของการบริหารเชิงกลยุทธ์ คือ
แผนการดาเนินงานโดยการอาศัยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมจากทั้งภายในและภายนอก นามาประเมินและ
วิเคราะห์หาทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อการตัดสินใจให้กับองค์การ
115
5.2.1 วิวัฒนาการของการบริหารเชิงกลยุทธ์
มีนักวิชาการหลายคนได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของการบริหารเชิงกลยุทธ์ไว้ดังนี้
ประยงค์ มีใจซื่อ (อ้ างใน ถนอม แย้มคล้ าย, 2554) ได้ส รุปไว้ว่า จากการศึก ษาวิจัยพบว่า การ
บริหารเชิงกลยุทธ์ได้เริ่มต้นขึ้น โดยการสนับสนุนของมูลนิธิ Ford และ Carnegie Corporation ในช่วงปี
ค.ศ. 1950–1959 ในช่ว งเวลาดังกล่ าววิช าการบริห ารเชิ งกลยุ ท ธ์ (Strategic Management) ได้ รับการ
ผลักดันให้บรรจุไว้ในหลักสูตรของสถาบันที่มีการเรียนการสอนด้านบริหารธุรกิจ แต่มีชื่อเรียกว่านโยบาย
ธุรกิจ (Business Policy) ขอบเขตของวิชานโยบายธุรกิจในช่วงเริ่มต้นเป็นเรื่องที่รวมเอาวิชาต่างๆ เข้าไว้
ด้วยกัน เช่น วิชาการตลาด การเงิน พฤติกรรมองค์การ การผลิต และอื่นๆ ที่องค์การดาเนินงานภายใน
ช่วงเวลานั้น และได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยมาในช่วงปี ค.ศ. 1970 -1979 และ 1980 – 1989 ทั้งนี้เนื่องจาก
การบริหารเชิงกลยุทธ์สามารถอธิบายเชิงเหตุเชิงผลในองค์การ ได้และยังชี้ให้ในเรื่องความรับผิ ดชอบ ต่อ
สังคมและจริยธรรมของผู้ประกอบการ กฎหมาย การเมือง และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่มีผลกระทบต่อ
ความสาเร็จในการดาเนินงานขององค์การ นอกจากนี้ยังได้มีการศึกษาวิจัยอีกมากมายในเรื่องกลยุทธ์เชิงการ
แข่ ง ขั น ผลการศึ ก ษาหลายฉบั บ ได้ พ ยายามที่ จ ะอธิ บ ายและก าหนดวิ ธี ก ารต่ า ง ๆ ในการวิ เคราะห์
อุตสาหกรรม วิธีการตัดสิน ใจ เพื่อกาหนดนโยบายทางธุรกิจ จนกระทั่งปลายทศวรรษ 1980 ก็ได้มีการ
116
เปลี่ ย นชื่ อ จากวิ ช านโยบายธุ ร กิ จ (Business Policy) มาเป็ น วิ ช าการบริ ห ารเชิ ง กลยุ ท ธ์ (Strategic
Management) อย่างเช่นที่นิยมเรียกกันอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ พื้นฐานสาคัญสาหรับการบริหารเชิงกลยุทธ์ เพื่อมุ่งหวังความสาเร็จในหลายๆ ด้าน
ผู้บริหารเชิงกลยุทธ์ต้องพยายามให้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ภายในองค์การได้มีโอกาสแสดงความสามารถ
ตามความถนัดของตนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพราะหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ ขององค์การกับกระบวนการบริหาร
เชิงกลยุทธ์มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก กระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์เกิดขึ้นท่ามกลางการ
ประสานสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ในองค์การ (Cross – Functional Undertaking) นั่นหมายความว่า
ทุกหน่วยงานภายในองค์การจะต้องเดินไปพร้อมๆ กัน แล้วมุ่งสู่ทิศทางเดียวกันจึงทาให้องค์การสามารถ
บรรลุเป้าหมายได้
สรุ ป ได้ ว่ า การบริ ห ารเชิ ง กลยุ ท ธ์ เริ่ ม ต้ น มาจากองค์ ก ารธุ ร กิ จ ที่ มุ่ ง หวั ง ให้ อ งค์ ก ารประสบ
ความสาเร็จในหลายๆ ด้าน ด้วยการประสานความร่วมมือของทุกฝ่ายในองค์การเพื่อเป้าหมาย ความสาเร็จ
ในทิศทางเดียวกันร่วมกัน เป็นแนวคิดที่มีวิวัฒนาการยาวนานจึงมีนักวิชาการคิดค้นและสร้างแนวคิดขึ้นมา
เพื่อให้หลักเกณฑ์ของการบริหารเชิงกลยุทธ์ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากล
5.2.2 ความสาคัญของการบริหารเชิงกลยุทธ์
มีนักวิชาการได้กล่าวถึงความสาคัญของการบริหารเชิงกลยุทธ์ ไว้ดังนี้
ธงชัย สันติวงษ์ (อ้างใน ปิยะนุช สวัสดี, 2553) กล่าวว่า ความสาคัญของการบริหารเชิงกลยุทธ์ มี
ดังนี้
1. การบริห ารเชิงกลยุท ธ์ ช่วยให้ องค์การสามารถคาดการณ์ ถึงปัญ หา และโอกาสที่จะ
เป็นไปในอนาคต
2. การบริห ารเชิงกลยุ ทธ์ เอื้ออานวยให้ องค์การมีวัตถุประสงค์และทิศทางในอนาคตที่
ชัดเจน
3. การบริหารเชิงกลยุทธ์ เป็นเครื่องช่วยที่สาคัญที่ช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงสามารถบริหาร
องค์การในขอบเขตที่กว้างได้ และเท่ากับเป็นการช่วยลดการเสี่ยงมิให้องค์การล่องลอยไปตามกิจกรรมย่อย
และเป็นไปตามอิทธิพลของสภาพแวดล้อมโดยไม่สามรถกากับตนเอง
4. การศึ ก ษาวิ จั ย ทางวิ ช าการในด้ านนี้ ได้ มี ก ารพั ฒ นาก้ า วหน้ ามากจนสามารถช่ ว ยให้
นักบริหารวางแผนกลยุทธ์ได้ดีและง่ายกว่าเดิม
5. มีหลักฐานที่พิสูจน์ชัดมากมายว่า ผู้บริหารที่ทาการบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีประสิทธิภาพ
ประสบความสาเร็จได้มากกว่า
ประโชค ชุมพล (อ้างใน อภิญญา ขัดมะโน, 2551) กล่าวว่า ความส าคัญของการบริห าร
เชิงกลยุทธ์ มีดังนี้
1. ช่วยผู้บ ริหารให้สามารถสารวจปัญหาและความสามารถพื้นฐานขององค์การ และการ
เปลี่ยนแปลงสถานการณ์
117
2. ผลลัพธ์จากกระบวนการกาหนดทิศทางที่ชัดเจนสาหรับพนักงาน ทาให้องค์การสามารถ
ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทั้งภายในและผู้เกี่ยวข้องจากภายนอก
3. ช่วยปรับปรุงให้ผู้บริหารสามารถทราบถึงทิศทางและสามารถยืดหยุ่นในการปรับตัวให้
ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถคาดคะเนได้
สมยศ นาวีการ (อ้างใน ธีรวรรณ ศรีขวัญ , 2550) กล่ าวว่า ความส าคัญ ของการบริห าร
เชิงกลยุทธ์ มีดังนี้
1. การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้หน่วยงานขององค์การมุ่งไปสู่วัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน
ถ้าปราศจากแนวทางที่กาหนดโดยการบริหารเชิงกลยุทธ์แล้ว หน่วยงานขององค์การมักจะโน้มเอียงไปสู่
ทิศทางที่แตกต่างกัน
2. การบริ ห ารเชิ ง กลยุ ท ธ์ บั ง คั บ ให้ ผู้ บ ริ ห ารต้ อ งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและตระหนั ก ถึ ง
สภาพแวดล้อมของพวกเขามากขึ้น การบริหารเชิงกลยุทธ์จะปลูกฝังนิสัยการใช้ความคิดและการมองอนาคต
แก่ผู้บริหาร
3. การบริหารเชิงกลยุทธ์เปิดโอกาสให้ระดับการบริหารต่างๆ มีส่วนร่ วมในการบริหารเชิงกล
ยุทธ์ ไม่เพียงแต่สนับสนุนความผูกพันในส่วนของผู้บริหารที่มีส่วนร่วมเท่านั้น แต่จะช่วยลดการต่อต้านสิ่งที่
พวกเขาไม่เข้าใจ บุคคลส่วนใหญ่จะยอมรับการตัดสินใจ เมื่อพวกเขาเข้าใจปัจจัยที่จากัดและทางเลือกที่
เป็นไปได้
พั ช รา มั่ งชม (อ้างใน ธีร วรรณ ศรีขวัญ , 2550) กล่ าวว่า ความส าคั ญ ในการบริห ารเชิงกลยุ ท ธ์
มีดังนี้
1. ช่ ว ยให้ อ งค์ ก ารมี วั ต ถุ ป ระสงค์ แ ละก าหนดทิ ศ ทางในอนาคตที่ ชั ด เจนท าให้
ผู้ใต้บังคับบัญชาทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ช่วยสร้างความสอดคล้องของการดาเนินการภายในองค์การ และทาให้หน่วยงานของ
องค์การมุ่งไปสู่วัตถุประสงค์เดียวกัน
3. เปิดโอกาสให้ผู้บริหารในระดับต่างๆ มีส่วนร่วมในการบริหาร ทาให้ได้พัฒนาความคิด
และช่วยลดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
4. ช่วยให้องค์การสามารถคาดการณ์ปัญหาจากการเปลี่ยนแปลง ทั้งภายในองค์การ และ
ภายนอกองค์การที่เกิดขึ้นในอนาคต
5. ช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงสามารถบริหารองค์การได้อย่างกว้างขวาง ทาให้ช่วย ลดความ
เสี่ยงได้
ประยงค์ มีใจซื่อ (อ้างใน จิตราภรณ์ โกบุตร และคณะ, 2550) กล่าวว่า ความสาคัญในการบริหาร
เชิงกลยุทธ์ มีดังนี้
1. องค์การมีระบบบริห ารที่ดี เอื้อต่อการดาเนิ นงาน รวดเร็วต่อการตอบสนอง ความ
ต้องการของลูกค้า
118
2. เพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงานในการกาหนดกลยุทธ์และเป้าหมายขององค์การ
3. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเพื่อรู้เขารู้เรา ทาให้มีการเตรียมพร้อมเพื่อ
รับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (อ้างใน พิมลพรรณ ดุษิยามี, 2550) กล่าวไว้โดยสรุปได้ว่า ความสาคัญในการ
บริหารเชิงกลยุทธ์ มีดังนี้
1. การบริ ห ารเชิ ง กลยุ ท ธ์ มี จุ ด มุ่ ง หมายเพื่ อ ให้ บ รรลุ เ ป้ า หมายขององค์ ก าร ( Strategic
Management is aimed toward achieving organization wide goals) ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลจะต้อง
เข้าใจเป้าหมายขององค์การว่าต้องการบรรลุความต้องการสูงสุดในท้องถิ่น หรือความต้องการในระดับโลก
(Global)
2. การบริ ห ารเชิ ง กลยุ ท ธ์ จ ะเกี่ ย วข้ อ งกั บ ผู้ ที่ ไ ด้ ป ระโยชน์ จ ากองค์ ก าร (Strategic
Management considers a broad range of stakeholders) ผู้ ที่ ได้ รั บ ผลป ระโยช น์ จากองค์ ก าร
(Stakeholders)
3. การบริหารเชิงกลยุทธ์นามาซึ่งขอบเขตหลายช่วงเวลา (Strategic Management
Entails multiple time horizons) ผู้บริหารควรศึกษาความต้องการขององค์การในระยะยาวและระยะสั้น
4. การบริ ห ารเชิ ง กลยุ ท ธ์ จ ะเกี่ ย วข้ อ งทั้ ง ประสิ ท ธิ ภ าพและประสิ ท ธิ ผ ล (Strategic
Management is concerned with both efficiency and effectives) ก ารใช้ วิ ธี ก าร (Means) ที่ มี
ประสิทธิภาพ (Efficiency) เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (Goals) อย่างมีประสิทธิผล (Effectiveness)
บุญเลิศ เย็นคงคา (อ้างใน ธีรวรรณ ศรีขวัญ, 2550) กล่าวว่า ความสาคัญของการบริหาร
เชิงกลยุทธ์ มีดังนี้
1. ช่วยให้องค์การมีวัตถุประสงค์และภารกิจขององค์การในอนาคตอย่างชัดเจน สามารถใช้
เป็นแนวทางสาหรับผู้ปฏิบัติงานในการทางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ช่วยให้การดาเนินงานสอดคล้องในหน้าที่ต่างๆ ภายในองค์การ เพื่อนาไปสู่วัตถุประสงค์ที่
กาหนดไว้
3. เปิดโอกาสให้ผู้บริหารระดับต่างๆ มีส่วนร่วมในการบริหาร มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อ
พัฒนาองค์การ
4. ช่วยให้องค์การสามารถคาดการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนแปลงปัญหาให้เป็นโอกาสที่
จะดาเนินงานในอนาคต
5. ช่วยให้ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและสามารถลด
ความเสี่ยงได้
จินตนา บุญบงการ (อ้างใน ธีรวรรณ ศรีขวัญ, 2550) กล่าวว่า ความสาคัญของการบริหารเชิงกล
ยุทธ์ มีดังนี้
119
1. กาหนดทิศทางองค์การ กระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ช่วยให้ผู้บริหารเกิดความเข้าใจต่อ
การเปลี่ยนแปลงและมีวิสัยทัศน์ต่ออนาคต ทาให้สามารถกาหนดวัตถุประสงค์และทิศทางการดาเนินงานได้
อย่างเป็นรูปธรรม
2. สร้างความสอดคล้องในการปฏิบัติ การบริหารเชิงกลยุทธ์ให้ความสนใจกับการกาหนด
การประยุกต์ การตรวจสอบ และการควบคุมกลยุทธ์ขององค์การ
3. สร้างความพร้อมให้แก่องค์การการศึกษา การวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมและการกาหนด
กลยุทธ์ ช่ว ยให้ ผู้ บ ริห าร ผู้ จั ดการในส่ วนต่างๆ และสมาชิกขององค์การเกิดความเข้าใจในภาพรวมและ
ศักยภาพของงาน ตลอดจนอิทธิพลของปัจจัยแวดล้อมที่มีต่อองค์การ
ชนินทร์ ชุนหพันธรักษ์ (อ้างใน ธีรวรรณ ศรีขวัญ, 2550) กล่าวไว้โดยสรุปได้ว่า ความสาคัญของการ
บริหารเชิงกลยุทธ์ มีดังนี้
1. การบริหารเชิงกลยุทธ์ทาให้ผู้บริหารสามารถวางแผนล่วงหน้าทันต่อเหตุการณ์สามารถ
แข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธ์ภาพ
2. ทาให้สามารถวิเคราะห์ตรวจสอบทั้งสภาพแวดล้อมภายนอกและภายในองค์การ ทาให้
การกาหนดกลยุทธ์ในระดับต่างๆ มีประสิทธิภาพ
3. การบริ ห ารเชิงกลยุ ท ธ์ท าให้ ผู้ บ ริห ารระดั บสู ง ระดับ กลาง และพนั กงานในทุก ระดั บ
ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างมีทิศทางเดียวกัน ส่งผลทาให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทางาน ทาให้
องค์การดาเนินงานบรรลุตามเป้าหมาย
4. การบริหารเชิงกลยุ ทธ์จะช่วยให้ องค์การสามารถกาหนดวัตถุประสงค์และทิศทางการ
ดาเนินงานในอนาคตมีความชัดเจน โดยมุ่งการดาเนินงานทั้งในปั จจุบันและในอนาคต และสามารถทาให้
องค์การสามารถดาเนินงานตามทิศทางที่กาหนดไว้ล่วงหน้าทาให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงาน
สุพานี สฤษฎ์วานิช (อ้างใน กาญจนา ศิริวงค์, 2552) กล่าวว่าความสาคัญของการบริหารเชิงกลยุทธ์
มีดังนี้
1. ช่วยให้ผู้บริหารตื่นตัวต่อการเปลี่ยนแปลง เห็นโอกาสใหม่ๆ เห็นข้อจากัดที่อาจเกิดขึ้น ทา
ให้องค์การสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า
2. ช่วยให้องค์การโดยส่วนรวมมีทิศทางในการดาเนินงานที่ชัดเจนเห็นถึงแนวทางที่สาคัญที่
องค์การจะต้องปฏิบัติ ทาให้องค์การนั้นๆ แข็งแกร่งประสบความสาเร็จและเติบโตต่อไปได้
3. ท าให้ อ งค์ การสามารถสร้างผลตอบ (Returns) ที่ เหนื อ กว่าคู่ แข่ งได้ ด้ว ยการสร้างข้ อ
ได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) และสามารถรักษาข้อได้เปรียบนี้ไว้ได้
4. ช่วยให้ผู้บริหารสามารถยกระดับผลการปฏิบัติงานขึ้นมาได้ คือ องค์การจะสามารถบรรลุ
ทั้งประสิทธิภาพ (Efficiency) และมีประสิทธิผล (Effectiveness)
120
5.2.3 หลักการของการบริหารเชิงกลยุทธ์
การบริ ห ารเชิ งกลยุ ท ธ์ เป็ น การบริ ห ารที่ เป็ น ระบบ ที่ จ ะช่ ว ยให้ ก ารบริ ห ารองค์ ก ารบรรลุ ตาม
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง หลักการของการบริหารเชิงกลยุทธ์ ไว้ดังนี้
พิบูล ทีปะปาล (อ้างใน กาญจนา ศิริวงค์, 2552) กล่าวว่า หลักการบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นการ กาหนด
แนวทางหรือทิศทางในการดาเนินการขององค์การเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้
ซึ่งการกาหนดแนวทางหรือทิศทางในการดาเนินงานนั้น ผู้บริห าร จึงต้องทาการวิเคราะห์และประเมิน
ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์การ เพื่อจัดทาแผนดาเนินการที่เหมาะสมที่สุด
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุพานี สฤษฎ์วานิช (อ้างใน กาญจนา ศิริวงค์, 2552) กล่าวว่า หลักการของการบริหารเชิงกลยุทธ์
เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเชิงบริหารและการดาเนินการที่จะกาหนดผลการปฏิบัติขององค์ การในระยะยาวให้
เกิดขึ้นตามที่กาหนด
กาญจนา ศิริวงค์ (2552, หน้า 19) กล่าวว่า หลักการของการบริหารเชิงกลยุทธ์ เป็นการจัดการ
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและมีทิศทางที่ไม่แน่นอน ผู้บริหารต้องเข้าใจพลวัต (Dynamics) ของ
การเปลี่ ย นแปลง ทั้ งสามารถคาดเดาและกาหนดทิ ศทางขององค์ การไปสู่ จุ ดหมายตามที่ ว างไว้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
121
1. การวิเคราะห์เพื่อการจัดการเชิงกลยุทธ์
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก (Analysis of External Environment) คือ การตรวจสอบ
โดยละเอียดเกี่ยวกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและเทคโนโลยีที่ซึ่งองค์การต้องเกี่ยวข้องในขณะ
ปฏิบัติงานอยู่ และทาการประเมินให้เห็นโอกาส (Opportunities) และ ข้อจากัด (Treats)
การวิเคราะห์โดยละเอียดเกี่ยวทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ภายใน จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน
(Weakness) เพื่อประเมินให้ทราบถึงกาลังความสามารถที่มีอยู่จะช่วยให้การดาเนินการต่างๆ ดาเนินต่อไป
ได้ และสามารถประสบความส าเร็ จ ได้ ภ ายใต้ เงื่อ นไขของสภาวะแวดล้ อ มขององค์ ก าร ที่ เป็ น อยู่ แ ละ
เปลี่ยนแปลงไปด้วย
การรับรู้ถึงค่านิยมส่วนบุคคล (Personal Values) และมีวัตถุประสงค์ส่วนตัวของกลุ่มบุคคลที่มี
อานาจ รวมทั้งบุคคลฝ่ายต่าง ๆ ที่ยังคงมีอานาจอิทธิพลอยู่ภายใต้แวดวงองค์การ ทั้งที่เพราะค่านิ ยมส่วนตัว
ของบุคคลเหล่านี้ที่เป็นผู้ที่ตัดสินใจที่สาคัญ จะมีผลกระทบต่อทางเลือกกลยุทธ์อย่างแน่นอน ดังนั้น เพื่อให้
กลยุทธ์เป็นที่ยอมรับโดยคณะผู้บริหารเหล่านี้ผู้บริหารที่วางแผนกลยุทธ์จึงควรรับรู้ค่านิยมดังกล่าว และปรับ
กลยุทธ์ให้สอดคล้องกับค่านิยมและความชอบส่ว นบุคคลจนเป็นที่ยอมรับได้ในที่สุด การพิจารณาตกลงใจ
เกี่ยวกับความรับผิดชอบขององค์การที่พึงมีต่อสังคม
2. การวางแผนเชิงกลยุทธ์และกระบวนการบริหารโดยวัตถุประสงค์
การกาหนดจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ทางกลยุทธ์ (Mission and Strategic
Objectives) คือ การพิจารณาตกลงใจเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของกิจการ
การกาหนดแผนงานหลัก นโยบายและกลยุทธ์ย่อย (Major Plans Policies and Sub Strategies)
หมายถึง การแจกแจงออกเป็นแผนงานหลักต่างๆ ที่จาเป็นเพื่อการทางานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
3. การปฏิบัติตามกลยุทธ์
การปฏิบัติตามกลยุทธ์ นับว่ามีความสาคัญโดยตรงต่อความสาเร็จของกลยุทธ์ ทั้งนี้เพราะกลยุทธ์ที่
ดีนั้นจะบรรลุผลสาเร็จได้ ย่อมต้องสามารถได้รับการปฏิบัติลุล่วงไป ปัจจัยที่สาคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ
ปฏิบัติงานทั้งหลาย คือ วัฒนธรรมองค์การที่มีอยู่ โครงสร้างองค์การที่จัดไว้และคุ ณภาพทรัพยากรมนุษย์
ตลอดจนความพร้อมและเหมาะสมของระบบและกระบวนการบริห ารงานเหล่ านี้ต่างก็เป็นเครื่องมือให้
ผู้บ ริห ารที่เป็นผู้ทางานทั้งหลาย ทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับกลางและผู้บริหารที่อยู่ต่าลงไปได้ใช้สาหรับการ
ทางานระหว่างกัน
4. การประเมินกลยุทธ์
การประเมินกลยุทธ์ เป็ นหน้าที่สาคัญของผู้บริหารระดับสูง ที่จะทาการประเมินถึงกลยุทธ์ต่างๆ
ขององค์กรที่พึงต้องการทราบ เมื่อได้จัดวางกลยุทธ์ไว้อย่างดีแล้ว ก็ต้องมีการวิเคราะห์ตรวจสอบโดยตลอด
เกี่ยวกับผลที่ออกมาได้ของกลยุทธ์ที่กาลังใช้อยู่ในปัจจุบัน
123
ประโชค ชุ ม พล (อ้ า งใน ถนอม แย้ ม คล้ า ย, 2554) กล่ า วว่ า กระบวนการบริ ห ารงานเชิ ง
กลยุทธ์ ประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์สถานการณ์ (Conduct a Situation Analysis)
1.1 ก าหนดวิ สั ย ทั ศ น์ (Vision) ประกอบด้ ว ย วิ สั ย ทั ศ น์ ท างด้ า นการท างาน การ
ให้บริการ ความเจริญเติบโต การสร้างพนักงานที่มีคุณค่า การใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่า บุคลากรมีความภูมิใจ
ในการทางาน โอกาสในการพัฒนาตัวเอง กิจกรรมที่รับผิดชอบต่อสังคม
1.2 ภารกิจ (Mission) ประกอบด้วยภารกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่มีผลประโยชน์เกี่ยวกับ
องค์การ (Stakeholder)
1.3 เป้าหมาย (Goals) ประกอบด้วย เป้าหมาย ลูกค้า ความเจริเติบโต พนักงาน และ
การจัดการ
1.4 วัตถุประสงค์ (Objectives) คือ วัตถุประสงค์ทางด้านความสามารถ
1.5 ค่านิ ยม (Core Values) ประกอบด้วย ค่านิยม ความเชื่อถือ และวัฒ นธรรมของ
องค์การ
2. การวิเคราะห์ SWOT (SWOT Analysis)
2.1 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน (Internal Environment)
2.2 การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก (External Environment Analysis)
2.3 การวิเคราะห์ทรัพยากรภายใน (Internal Resource Analysis)
3. การปฏิ บั ติ ตามกลยุ ท ธ์ (Implement the Strategy) ผู้ บ ริห ารจะต้ อ งก าหนดภารกิ จ
(Mission) และเป้ าหมาย (Goals) การวิ เคราะห์ ส ถานการณ์ (Situation Analysis) และการปฏิ บั ติ ก าร
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเพื่อให้เกิดการทางานที่ประสบความสาเร็จด้วยการใช้ 4 หน้าที่ในกระบวนการจัดการ
ดังนี้
3.1 การวางแผน (Planning)
3.2 การจัดองค์การ (Organizing)
3.3 การชักนา (Leading)
3.4 การควบคุม (Controlling)
3.5 การรักษาการควบคุมกลยุทธ์ (Maintain Strategy Control)
สมยศ นาวี ก าร (อ้ า งใน กาญจนา ศิ ริ ว งค์ , 2552) กล่ า วว่ า กระบวนการบริ ห ารเชิ ง กลยุ ท ธ์
ประกอบด้วย
1. การประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ
จุด แข็ ง คือ ข้อได้เปรี ยบภายในองค์การที่ ส นับสนุนการบรรลุ วัตถุป ระสงค์ขององค์การ
จุดอ่อนจะตรงข้ามกับจุดแข็ง
124
เพียงแต่เพื่อการดาเนินกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่เพื่อการปรับปรุงกลยุทธ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ขององค์การ
พัชรา มั่งชม (อ้างใน กาญจนา ศิริวงค์, 2552) กล่าวว่า กระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ ประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์
ผู้บริหารหรือนักกลยุทธ์ของธุรกิจจะต้องบริหารเชิงกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และ
นโยบายของธุรกิจ ผู้ บริห ารจะต้องศึกษาและวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ของการดาเนินงานทั้งโอกาสและ
อุปสรรคต่างๆ โดยพิจารณาถึงปัญหาที่จะเกิดจากสภาพแวดล้อมภายในและสภาพแวดล้อมภายนอก โดย
วิเคราะห์ถึงจุดเด่นและจุดด้อยหรือจุดอ่อนและจุดแข็งขององค์การ รวมทั้งศึกษาปัญหาและรวบรวมข้อมูลที่
จาเป็นในการแก้ปัญหา
2. การกาหนดกลยุทธ์
ได้กาหนดวัตถุป ระสงค์ ภาระหน้าที่ เป้ าหมายหรือแนวทางการดาเนินการ และทาการ
ตัดสินใจ (Strategy Decision) โดยมีการวิเคราะห์สถานการณ์แข่งขันภายใน และภายนอกองค์การตลอดจน
ปั จ จั ย อื่ น ๆ ก าหนดกลยุ ท ธ์ อ อกมาใช้ กระบวนการนี้ เรี ย กว่ า การก าหนดรู ป แบบกลยุ ท ธ์ (Strategy
Formulation)
3. การปฏิบัติตามกลยุทธ์
ผู้บริห ารจาเป็น ต้องพิจารณากลยุทธ์ให้ สอดคล้องกับปัญ หาขององค์การ อาทิเช่น สั งคม
การเมือง หรือนโยบายของรัฐ เป็นต้น รวมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลฐานะทางการเงิน การวิเคราะห์พยากรณ์
การปฏิบัติงาน เป็นต้น เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการเลือกกลยุทธ์มาแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม สามารถ
นาเข้าข้อมูลมาประเมินทางเลือกและเลือกทางที่ดีที่สุดนาไปปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่ได้ตัดสินใจ โดยพิจารณา
ทรัพยากรและโครงสร้างตลอดรวมถึงนโยบายและการบริหารขององค์กร
4. การประเมินและการควบคุมกลยุทธ์
ผู้ บ ริ ห ารจะต้ อ งท าความเข้ า ใจในเรื่ อ งผลลั พ ธ์ ข องนโยบายองค์ ก ร (Business Policy
Outcomes) หรือสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะบรรลุผลสาเร็จหรือไม่ก็ตาม ขั้นตอนนี้คือ การประเมินและควบคุมกล
ยุทธ์ ซึ่งเป็นการตรวจสอบดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่มีการปฏิบัติตามกลยุทธ์แล้ว ซึ่งการ
ประเมินผลและควบคุมกลยุทธ์ อาจมีวัตถุประสงค์ของแต่ละองค์กรที่ต่างกันออกไป
ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (อ้างใน กาญจนา ศิริวงค์, 2552) กล่าวว่า กระบวนการบริหารเชิงกล
ยุทธ์มีองค์ประกอบ ที่สรุปได้ดังนี้
1. การวิเคราะห์สถานการณ์ (Conduct a Situation Analysis) ประกอบด้วย
การวิ เคราะห์ เชิ ง กลยุ ท ธ์ (Strategic Analysis) เป็ น พื้ น ฐานของกระบวนการบริ ห าร
เชิงกลยุทธ์ ขั้นตอนในการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ ได้แก่
- การกาหนดจุดมุ่งหมาย (Purpose)
- วิสัยทัศน์ (Vision)
126
- ข้อความภารกิจ (Mission)
- วัตถุประสงค์ (Objective)
- นโยบายขององค์การ (Organizational Policy)
- การวิเคราะห์ SWOT (SWOT Analysis) ประกอบด้วย โอกาสและอุปสรรค
ภายนอก (External Opportunities and Threats) จุดแข็งและจุดอ่อนภายใน (Internal Strengths and
Weaknesses)
2. การวางแผนกลยุทธ์ ประกอบด้วย 3 ขั้น ได้แก่
ขัน้ ที่ 1 ปัจจัยนาเข้า (The input stage)
- แมททริกซ์การประเมินปัจจัยภายใน(Internal Factor Evaluation (IFE) Matrix)
- แมททริกซ์การประเมินปัจจัยภายนอก (External Factor Evaluation
(EFE) Matrix)
- แมททริกซ์โครงร่างการแข่งขัน (The Competitive Matrix (CPM))
ขัน้ ที่ 2 การจับคู่ (The Matching Stage)
- แมททริกซ์อุปสรรค – โอกาส – จุดอ่อน – จุดแข็ง (Threats –
Opportunities – Weaknesses – Strengths (TOWS) Matrix)
- แมททริกซ์ตาแหน่งกลยุทธ์และการประเมินปฏิบัติ (Strategic Position
And Action Evaluation (SPACE) Matrix)
- กลยุทธ์การจัดสรรทรัพยากร : แมททริกซ์กลุ่มที่ปรึกษาบอสตัน
(Boston Consulting Group (BCG) Matrix)
- แมททริกซ์การประเมินปัจจัยภายใน การประเมินปัจจัยภายนอก(Internal
External (IE) Matrix)
- แมททริกซ์กลยุทธ์หลัก (Grand Strategic (GS) Matrix)
ขั้นที่ 3 การตัดสินใจ (The Decision Stage)
- แมททริกซ์การวางแผนกลยุทธ์เชิงปริมาณ (Quantitative Strategic
Planning Matrix (QSPM))
3. การปฏิบัติตามกลยุทธ์ (Strategy Implementation)
เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่กาหนดไว้ (Intended Strategy) ให้เป็น
กลยุทธ์ที่เป็นจริง (Realized Strategy) หรือ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ให้เป็นการปฏิบัติและ
ผลลัพธ์
4. การควบคุมเชิงกลยุทธ์ (Strategic Control)
127
ขั้นที่ 4 การปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์
เป็นขั้นตอนที่จะต้องเกี่ยวข้ องกับการปฏิบัติการเพื่อทาการวิเคราะห์เชิงเหตุเชิงผล ว่าการ
ดาเนินการต่างๆ จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลแก่องค์การมมากน้อยเพียงใด กล่าวคือ กลยุทธ์
ขององค์การที่สร้างขึ้นในขั้นตอนที่ 3 จะสามารถนาพาและก่อให้เกิดประโยชน์ ในด้านต่างๆ แก่องค์การได้
อย่างไร
เพื่อให้การปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ประสบผลสาเร็จตามที่มุ่งหวัง ผู้บริหารต้องเข้าใจสิ่งต่างๆ
อย่างชัดเจนในทุกสถานการณ์ เช่น
- รู้วิธีที่จะประคับประคองสิ่งต่างๆ ให้ดาเนินไปได้ด้วยดี ภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงที่
เกิดขึ้น
- รู้วิธีที่ จ ะปรั บ เปลี่ ย นสิ่ งต่างๆ ให้ เกิดความสอดคล้ องกับวัฒ นธรรมองค์การเพื่ อให้ การ
ดาเนินงานไม่หยุดชะงัก
- รู้ว่าการปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างองค์การอย่างไร
- เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
130
1. การกาหนดกลยุทธ์ เป็นขั้นตอนที่พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมขององค์การทั้งภายนอกและ
ภายในขององค์การที่ระบุถึงโอกาสต่างๆ และอุปสรรคต่างๆ จุดเด่นและจุดด้อยขององค์การ พิจารณาถึ ง
วิสั ย ทั ศ น์ (Vision) ของผู้ บ ริ ห าร กาหนดเป้ าหมายขององค์ ก าร (Goals) และการกาหนดวัต ถุ ป ระสงค์
(Objectives) หลังจากนั้นผู้บริหารจะได้มีการกาหนดกลยุทธ์ขององค์การ
2. การนากลยุทธ์ไปปฏิบัติ ขั้นตอนนี้เป็นการลงมือปฏิบัติตามกลยุทธ์ในระดับต่างๆ ตาม
ขั้นตอนการกาหนดกลยุทธ์เพื่อที่จะให้การนากลยุทธ์ไปปฏิบัติประสบความสาเร็จ ผู้บริหารจะต้องเข้าใจใน
แนวคิดและสิ่งต่างๆ ในองค์การ
3. การประเมินผลและการควบคุมกลยุทธ์ เป็นการติดตามประเมินผลและควบคุมเพื่อดูว่า
กลยุทธ์ที่จะนาไปปฏิบัติเป็นไปตามแบบที่ได้กาหนดไว้หรือไม่ เพื่อที่จะได้ทาการปรับปรุง และมั่นใจว่าการ
ปฏิบัติตามหน้าที่ต่างๆ เป็นไปอย่างสมบูรณ์
ไพโรจน์ ปิยะวงษ์วัฒ นา (อ้างใน กาญจนา ศิริวงค์, 2552) กล่าวว่า กระบวนการบริหาร
เชิงกลยุทธ์ ประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Analysis) คือ การวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของ
สภาพแวดล้อมภายนอกและสภาพแวดล้อมภายใน การวิเคราะห์ทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรมองค์การ
2. ทางเลือกเชิงกลยุทธ์ (Strategic Choice) คือ การกาหนดแนวทางเลือกที่สอดคล้องกับ
ทิศทางขององค์การในอนาคต มีการประเมินทางเลือกที่ดีหรือเหมาะสมที่สุดขององค์การ และสุดท้ายนี้คือ
การเลือกกลยุทธ์ที่จะใช้ในองค์การให้เหมาะสมเป็นไปตามภารกิจและวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้
3. การดาเนิ น กลยุ ท ธ์ และการควบคุ ม (Strategy Implementation and Control) คื อ
การนาเอากลยุทธ์มาดาเนินการประยุกต์เพื่อให้เกิดผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งต้องมีการเสริมสร้างทักษะ
ความสามารถบุคลากร ทั้งในระดับบริหารและปฏิบัติการ ให้เหมาะสมกับกลยุทธ์องค์การ นอกจากนี้ยังต้อง
จัดโครงสร้างองค์การ ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ รวมทั้งต้องคานึงถึง ความสอดคล้องของวัฒนธรรมองค์การ
จะต้องสอดคล้องและสนับสนุนกลยุทธ์ สุดท้ายได้แก่ การตรวจสอบประเมินและควบคุมการดาเนินกลยุทธ์
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้
สุพ านี สฤษฏ์ วานิ ช (อ้างใน กาญจนา ศิริว งค์, 2552) กล่ าวว่า กระบวนการบริห ารเชิงกลยุท ธ์
ประกอบด้วย
1. การกาหนดแผนกลยุทธ์ (Strategy Formulation) หรือการวางแผนกลยุทธ์ (Strategic
Planning) เป็ นขั้น ตอนของการวางแผนสาคัญที่จะเริ่มจากการวิเคราะห์ สภาพแวดล้ อมทั้งภายนอกและ
ภายในองค์การ เพื่อกาหนดเป้าหมายระยะยาวที่จะบอกทิศทางขององค์การ
2. การน าแผนกลยุ ทธ์ไปปฏิบั ติ (Strategy Implementation) เป็น ขั้นตอนการวางแผน
ดาเนินงานและกานาแผนงานต่างๆ ไปปฏิบัติ แต่การดาเนินงานตามขั้นตอนนี้ให้บรรลุผลจะต้องเตรียมความ
พร้อมของปัจจัยต่าง ๆ คือ ปัจจัยด้านบุคลากร โครงสร้างขององค์การ ระบบงานต่างๆ ที่จาเป็น เพื่ออานวย
ให้การนาแผนกลยุทธ์ไปปฏิบัตินั้นบังเกิดผล
132
5.2.5 การจัดทาแผนยุทธศาสตร์/แผนกลยุทธ์
136
5.2.6 การจัดทาแผนยุทธศาสตร์ตามแนวทางของสานักงานคณะกรรมการพัฒนา
ระบบราชการ (กพร.)
140
141
142
143
144
145
วิสัยทัศน์ (Vision)
“เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมแปรรูปที่ได้มาตรฐานสากล การท่องเที่ยวปลอดภัย และ
ชีวีเป็นสุข”
พันธกิจ (Misson)
1. ยกระดับการผลิตสินค้าการเกษตรและอุตสาหกรรมให้ได้มาตรฐานปลอดภัยและเป็นมิตรกับ
สิ่งแวดล้อม
2. พัฒนาการค้าการลงทุนและระบบโลจิสติกส์ให้ได้มาตรฐาน
3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
4. การเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
5. ฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สู่ความสมดุลและยั่งยืน
6. เสริมสร้างความมั่นคงทางสังคม พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน
ประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategic Issues)
1. การพัฒนาการเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า
2. เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
3. การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน
เป้าประสงค์รวม (Goals)
1. สินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมของจังหวัดมีความปลอดภัยและผ่านการรับรองมาตรฐานสากล
2. ขยายตลาดและมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
3. การสร้างความเข้มแข็งให้เครือข่ายเกษตรกรอย่างยั่งยืน
4. เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันดับต้นของประเทศ
5. จังหวัดมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี
6. ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
7. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการดูแลรักษาให้เกิดความสมดุลอย่างมีคุณภาพ
8. สังคมมีคุณภาพ มีภูมิปัญญาและภูมิคุ้มกัน มีศักยภาพรองรับการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในทุก
มิติ
กลยุทธ์ (Strategy)
1. เพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพการผลิตภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า
สินค้า
2. เพื่อการจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตร
147
3. การสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมแปรรูปตลอดห่วงโซ่
การผลิต
4. การสร้างความมั่นคงในอาชีพและรายได้แก่เกษตรกร
5. พัฒนาระบบการบริหารการจัดการและกลไกการท่องเที่ยว
6. พัฒนาปัจจัยพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว
7. พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยว
8. พัฒนาศักยภาพบุคคลากรด้านการท่องเที่ยว
9. พัฒนาด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์
10. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันความเข้มแข็งทางสังคมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
11. เสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
12. พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานเชิงรุก
13. สร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
อย่างคุ้มค่าและเป็นธรรม
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาการเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า
เป้าประสงค์
1. สินค้าเกษตร เกษตรอุตสาหกรรม แลอุตสาหกรรมมีความปลอดภัยและผ่านการรับรอง
มาตรฐานสากล
2. ขยายตลาดและเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ
ตัวชี้วัด
1. ร้อยละของจานวนฟาร์มเกษตรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาไม่น้อย
กว่าร้อยละ 5
2. อัตราการขยายตัวของ GPP เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 5 ต่อปี
กลยุทธ์
1. เพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพการผลิตภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อเพิ่ม
มูลค่าสินค้า
2. เพื่อการจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตร
3. การสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมแปรรูปตลอด
ห่วงโซ่การผลิต
4. การสร้างความมั่นคงในอาชีพและรายได้แก่เกษตรกร
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 เพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
เป้าประสงค์
148
จานวนนักท่องเที่ยวและรายได้เพิ่มขึ้น
ตัวชีว้ ัด
1. รายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง ร้อยละ 10
2. ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวของจังหวัดเพิ่มขึ้น
3. จานวนแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์
1. พัฒนาระบบการบริหารการจัดการและกลไกการท่องเที่ยว
2. พัฒนาปัจจัยพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว
3. พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยว
4. พัฒนาศักยภาพบุคคลากรด้านการท่องเที่ยว
5. พัฒนาด้านการตลาดและประชาฤสัมพันธ์
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน
เป้าประสงค์
เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างความมั่นคงทางสังคมอย่างทั่วถึง
ตัวชีว้ ัด
1. อัตราส่วนการจับกุมคดียาเสพติดลดลง
2. ร้อยละที่ลดลงต่อปีของคดีอาญาจาแนกแต่ละประเภท
3. ร้อยละสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น
กลยุทธ์
1. ปรับปรุงด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
2. เสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
3. พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานเชิงรุก
4. สร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม อย่างคุ้มค่าและเป็นธรรม
5.3 สรุป
นโยบายสาธารณะว่าคือ นโยบายสาธารณะของภาครัฐบาลและนโยบายสาธารณะของหน่วยงาน
เอกชนที่มิได้แสวงหาผลกาไร และมิได้สังกัดในภาครัฐบาล โดยนามาผสมผสานกันอันมีรัฐบาลเป็นแกนนาใน
การกาหนดนโยบายสาธารณะอันครอบคลุม ซึ่งมีการบ่งถึงแนวทางในการปฏิบัติงานหรือโครงการ โดยมี
การกาหนดเป้าหมาย (และ/หรือปัญหาในสังคม) และวิธีการเพื่อให้บรรลุผล ทั้งนี้เพื่อรัฐจะได้จัดสรรคุณค่า
ต่างๆ ให้แก่สังคมส่วนรวม ในขณะเดียวกันองค์การที่มิได้แสวงหากาไรและมิได้สังกัดกับรัฐบาลก็จะได้ช่วย
รัฐบาลปฏิบัติงานเพื่อสาธารณประโยชน์ด้วย
149
คาถามท้ายบท
1. นโยบายสาธารณะหมายถึงอะไร
2. องค์ประกอบสาคัญของนโยบายคืออะไร
3. นโยบายสาธารณะมีความสาคัญอย่างไร
4. ให้อธิบายประโยชน์ของการศึกษานโยบายสาธารณะ
5. จงอธิบายความหมาย วิวัฒนาการ ของการบริหารเชิงกลยุทธ์ มาพอสังเขป
6. การบริหารเชิงกลยุทธ์มีความสาคัญอย่างไร ยกตัวอย่างประกอบ
7. กระบวนการของการบริหารเชิงกลยุทธ์ ประกอบด้วยอะไรบ้าง
8. จงอธิบายถึงการการจัดทาแผนยุทธศาสตร์/แผนกลยุทธ์
9. ให้แสดงการจัดทาแผนยุทธศาสตร์ตามแนวทางของสานักงาน กพร.
150
เอกสารอ้างอิง
จิต ราภรณ์ โกบุ ต ร และคณะ. ประสิท ธิ ภ าพการบริ ห ารเชิ งกลยุทธ์ ในสถานศึก ษา ตามทรรศนะของ
ข้าราชการครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 เพชรบูรณ์, 2550.
ถนอม แย้มคล้าย. ประสิทธิภาพการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตาบล ในจังหวัด
ชัยนาท. การค้นคว้าแบบอิสระ การปกครองท้องถิ่นแผน ข โครงการพิเศษ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ,
2554.
ธีรวรรณ ศรีขวัญ. วิเคราะห์ประสิทธิภาพการดาเนินงานและการบริหารเชิงกลยุทธ์ กรณีศึกษา
ธนาคารกรุงไทย จากัด (มหาชน). สารนิพนธ์ เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิตศึกษา. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2546.
ประชุม รอดประเสริฐ. นโยบายและการวางแผน : หลักการและทฤษฎี. กรุงเทพฯ : เนติกุลการพิมพ์
2535.
. การบริหารโครงการ. กรุงเทพฯ: เนติกุลการพิมพ, 2539.
ปิ ย ะนุ ช สวั ส ดี . การบริ ห ารเชิ งกลยุ ท ธ์ เพื่ อ ความยั่ งยื น ของคณะอุ ต สาหกรรมเกษตร มหาวิ ท ยาลั ย
เชียงใหม่.บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, 2553.
พิมลพรรณ ดุษิยามี. การบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร
มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2550.
พิทยา บวรวัฒนา. ทฤษฎีองค์การสาธารณะ. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545.
รุ่งเรือง สุขาภิรมย์. การวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการนานโยบายการศึกษาไปปฏิบัติ : กรณีศึกษา
นโยบายการขยายการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2543.
ศุภชัย ยาวะประภาษ. นโยบายสาธารณะ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538.
. การบริหารงานบุคคลภาครัฐไทย : กระแสใหมและสิ่งทาทาย. กรุงเทพฯ : จุดทอง 2548.
สมบัติ ธารงธัญวงศ์. นโยบายสาธารณะ : แนวความคิด การวิเคราะห์และกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่ 14 .
กรุงเทพฯ : เสมาธรรม, 2549.
สร้อยตระกูล (ติวยานนท์) อรรถมานะ. พฤติกรรมองค์การ: ทฤษฎีและการประยุกต์. กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2543.
อภิญญา ขัตมะโน. ประสิทธิผลการบริหารงานขององค์กรในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กรณีศึกษา คณะ
พยาบาลศาสตร์. วิทยานิพนธ์ พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย. เชียงใหม่ :
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2551.
Anderson, James E. Public Policy Making. New York : Praeger Publishers, 1979.
Dye, Thomas R. Understanding Public Policy. 5th ed. Englewood Cliff, New Jersey :
Prentice
Hall, 1984.
Easton, David. A Framework for Political Analysis. Englewood Cliff, New Jersey : Prentice
152
Hall, 1965.
Lasswell, Harold D. and Caplan, Abraham. Power and Society. New Haven : Yale University
Press, 1970.
Sharkansky, Ira. Policy Analysis in Political Science. Chicago : Markham, 1970.
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 6
หัวข้อเนื้อหาประจาบทที่ 6
1 ความหมายและความสาคัญของการบริหารงานบุคคล
2 ปรัชญาการบริหารงานบุคคล
3 เป้าหมายของการบริหารงานบุคคล
4 ภารกิจ 10 ประการของการบริหารบุคคล
5 กระบวนการบริหารบุคคล
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
1 ความหมายและความสาคัญของการบริหารงานบุคคล
2 อภิปรายถึงปรัชญาการบริหารงานบุคคล
3 อภิปรายถึงเป้าหมายของการบริหารงานบุคคล
4 อภิปรายถึงภารกิจ 10 ประการของการบริหารบุคคล
5 อภิปรายถึงกระบวนการบริหารบุคคล
กิจกรรมการเรียนการสอน
1 ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
2 บรรยายโดยใช้สื่อ Power Point ประกอบการยกตัวอย่าง
3 นักศึกษาวิเคราะห์ตัวอย่างกรณีศึกษา การบริหารงานบุคคล
4 สรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ได้ศึกษา
5 เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ซักถามในประเด็นข้อสงสัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
6 เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
7 ให้นักศึกษาทาแบบทดสอบท้ายบท
สื่อการเรียนการสอน
1 เอกสารประกอบการสอน
2 บรรยายเชิงวิชาการประกอบสื่อ (Power Point)
3 แบบฝึกวิเคราะห์กรณีศึกษาการบริหารงานบุคคลภาครัฐ
4 แบบทดสอบท้ายบท
5 การสอนเสริม (ถ้ามี)
การวัดผลและการประเมินผล
1 ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2 ประเมินผลจากพฤติกรรมการตอบคาถาม การซักถามระหว่างการเรียนการสอน
3 ประเมินผลจากพฤติกรรมการแสดงออกในขณะร่วมกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย
ระหว่างมีการเรียนการสอน
4 ประเมินผลจากแนวการตอบคาถามประจาบทเรียน
บทที่ 6
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล
รังสรรค์ อินทน์จันทน์
วัชรินทร์ สุทธิศัย
6.2 ปรัชญาการบริหารงานบุคคล
โดยปกติมนุษย์จะตัดสินใจทาสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นตามความคิด ความเชื่อ และค่านิยมที่อยู่ในตัวของ
เขา โดยมีแนวความคิดที่เป็นพื้นฐานว่าสิ่งที่เลือกทาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เป็นพื้นฐานของความคิดก็คือ
ปรัชญาประจาตัวนั้นเอง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็เช่ นกัน ผู้บริหารหรือผู้จัดการก็จะต้องมีปรัชญาการบริหาร
ทรัพยากรมนุษย์เป็นแนวทางในการปฏิบัติ
ปรัชญาการบริหารงานบุคคลประกอบด้วย
1) หลักคุณธรรม (Merit - Based)
2) หลักสมรรถนะ (Competency - Based)
3) หลักผลงาน (Performance - Based)
4) หลักการกระจายอานาจและความรับผิดชอบ (HR Decentralization)
150
6.3 เป้าหมายของการบริหารบุคคล
เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการบริหารงานบุคคลมี 4 วัตถุประสงค์หลัก คือ สรรหา พัฒนา
รักษาไว้ ใช้ประโยชน์
สรรหา คือ หาคนดีคนเก่งเข้ามาทางาน การสรรหาประกอบด้วยการสรรหาแบบตั้งรับหรือแบบ
ดั้งเดิม และการสรรหาเชิงรุก
151
6.5 กระบวนการบริหารงานบุคคล
กระบวนการบริ ห ารงานบุ คคล หมายถึง องค์ประกอบที่ใช้ในการดาเนินงานต่างๆ เกี่ยวกับ
บุคลากร ซึ่งประกอบไปด้วย
153
1) การวางแผนการบริหารงานบุคคล
การวางแผนการบริหารงานบุคคล หมายถึง การคาดคะเนความต้องการกาลังคนขององค์กร
ล่ ว งหน้ าว่าต้องการคนประเภทใด ระดับ ใด จานวนเท่ าไร และต้อ งการเมื่อ ไร และมี ปัจ จัยใดบ้ างเป็ น เครื่อ ง
กาหนดการวางแผนกาลังคน
การวางแผนการบริ ห ารงานบุ ค คลนั้ น เป็ น กระบวนการในการพิ จ ารณาก าหนดทิ ศ ทางและ
วิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ข ององค์การ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์
และสามารถบรรลุเป้าหมายขององค์การได้ ดังนั้นการวางแผนทรัพยากรมนุษย์จึงเปรียบเสมือนเข็มทิศนาทางใน
การดาเนินงานด้านทรัพยากรมนุษย์ให้ถึงจุดหมายอย่างมีประสิทธิภาพและไม่หลงทาง
1.1) ประโยชน์ของการวางแผนการบริหารงานบุคคล(พะยอม วงศ์สารศรี. 2538 : 51 – 52)
(1) ช่วยให้องค์การสามารถวางแผนพัฒนาการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(2) ช่วยให้กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์และเป้าหมายขององค์การในอนาคตมีความสอดคล้องกัน
(3) ช่ ว ยให้ กิ จ กรรมด้ านทรัพ ยากรมนุ ษ ย์ เป็ น ไปอย่างระบบและมี ค วามสั ม พั น ธ์ต่ อ เนื่ อ งกั น
กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์ ไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากร
(4) ช่วยให้การจ้างพนักงานใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
(5) ส่งเสริมและพัฒนาโอกาสความเท่าเทียมกันของพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ขององค์การ
(6) เป็นแนวทางสาหรับองค์การที่มีหน้าที่ผลิตจะได้ผลิตกาลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการ
ของหน่วยงาน
1.2) กระบวนการในการวางแผนการบริหารงานบุคคล
อย่างไรก็ตามการวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั้น เป็นการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือสิ่งที่ควรจะเป็น
ในอนาคตขององค์กร ซึ่งการคาดการณ์ได้อย่างแม่นยานั้น ต้องอาศัยกระบวนการในพิจารณาอย่างรอบด้าน
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เหมาะสมสอดคล้องกับองค์กรในอนาคต ดังนั้นพะยอม วงศ์สารศรี ( 2538 : 52 – 57) จึงได้สรุป
ขั้นตอนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ไว้ ดังนี้
(1) การพิจ ารณาเป้ าหมาย และแผนขององค์การ (Goals and plans of Organization)
งานขั้นแรกสาหรับนักวางแผนทรัพยากรมนุษย์จะกระทา คือ การศึกษาและพิจารณาแผนกลยุทธ์ที่องค์การได้
กาหนดไว้ศึกษานโยบายสาธารณะ แนวโน้มทางด้านการเมือง สภาพเศรษฐกิจ สังคมตลอดจนความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อที่จะนาผลของการศึกษาเหล่านี้มาจัดวางข้อมูลด้านบุคคลที่ควรจะเป็นในอนาคตได้อย่าง
เหมาะสม
(2) การพิจารณาสภาพการณ์ของทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน (Current Human Resource
Situation) สารวจจานวนพนักงานทั้งหมดที่มีอยู่ โดยจาแนกออกตามประเภทต่างๆ เช่น ตามลักษณะของงาน
ตามแผนก ตามอายุ ตามระดับการศึกษา เป็นต้น
(3) การคาดการณ์ ท รัพยากรมนุ ษย์ (Human Resource Forecast) ในขั้นนี้ นักวางแผน
ทรัพยากรมนุษย์จะพิจารณาถึงจานวน และประเภทของพนักงานที่องค์การต้องการ พร้อมทั้งจานวนและประเภท
ของคนที่ต้องจ้างใหม่ ในขั้นนี้จะต้องพิจารณาให้ละเอียด ตรวจสอบพนักงานที่จะครบเกษียณอายุ การโยกย้าย
154
การเลื่ อ นต าแหน่ ง จะได้ ท ราบจ านวนและประเภทของพนั ก งานที่ มี อ ยู่ จ ริง ๆ ว่ ามี จ านวนเท่ า ไร แล้ ว น ามา
เปรียบเทียบกับ จานวนที่องค์การทั้งหมดก็จะสามารถรู้ว่าองค์การต้องจ้างพนักงานใหม่ในกลุ่มใดบ้าง และใน
ระยะเวลาใด
(4) การกาหนดแผนปฏิบัติการ (Implementation Programs) หลังจากได้มีการคาดการณ์
ทรัพยากรมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกาหนดออกมาเป็นแผนปฏิบัติการของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ เช่น แผนการ
สรรหาพนักงาน แผนการคัดเลือกและบรรจุพนักงาน แผนการประเมินผลการปฏิบัติงาน แผนการโอนย้าย การ
เลื่อนตาแหน่ง การฝึกอบรม และพัฒนา เป็นต้น
(5) การตรวจสอบและการปรับปรุง (Audit and Adjustment) ในขั้นนี้เป็นการตรวจสอบ
ความเหมาะสมและความก้าวหน้าของแผนปฏิบัติงาน การเปรียบเทียบแผนต่างๆ การแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่อง
การเปลี่ยนแปลงแผนทรัพยากรมนุษย์ และถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแผนขององค์การ การจัดทาดัชนีแรงงานที่ ทันสมัย
ควรได้รับการพิจารณาศึกษา ทั้งนี้เพราะข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งสาคัญของการวางแผน
2) การสรรหาและการคัดเลือก
การสรรหาและการคัดเลือก หมายถึง กระบวนการการดาเนินงานขององค์กรจัดทาขึ้นเพื่อมุ่งจูง
ใจผู้สมัครที่มีคุณภาพเข้ามาทางานในองค์กรของตน อัน ได้แก่ แหล่งที่ใช้ในการสรรหา ระยะเวลาในการสรรหา
วิธีการที่ใช้ในการสรรหาบุคลากร และการตัดสินใจคัดเลือกบุคลากรเข้าทางาน
การสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรเป็นวิธีการที่จะให้ได้บุคลากรมาร่วมงาน จึงถือเป็นขั้นตอน
ที่สาคัญที่สุด ทั้งนี้เพราะว่าการได้มาซึ่งคนดี มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับงานมาทางานก็จะทาให้องค์กร
ประสบความส าเร็ จ ดั ง นั้ น องค์ ก ารแต่ ล ะองค์ ก ารจึ ง ต้ อ งให้ ค วามสนใจในการสรรหาบุ ค คลที่ มี ค วามรู้
ความสามารถ จากแหล่งต่างๆ โดยเพื่อทาการคัดเลื อกบุคคลที่เหมาะสมกับตาแหน่งงานให้เข้ามาร่วมงานกับ
องค์การได้อย่างเหมาะสม
การสรรหา หมายถึง กระบวนการในการแสวงหาบุคคล การชักจูงบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ
มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ และมีทัศนคติที่ดีต่อองค์การเข้ามาสู่องค์การ โดยให้ เกิดความสนใจมาสมัครงานใน
ตาแหน่งที่ต้องการกับองค์การ เพื่อองค์การจะได้คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
การคัดเลือก หมายถึง กระบวนการในการหาวิธีการกลั่ นกรองที่เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้ในการ
ตัดสินใจเลือกบุคคลที่เชื่อถือว่าจะให้ได้บุคคลที่เหมาะสมกับตาแหน่งงานมากที่สุด รวมทั้งให้เกิดความยุติธรรมใน
การคัดเลือกบุคลากร
Niglo Felix A (1959 : 134 - 136) อธิบายว่า ในการสรรหาบุคลากรนั้น องค์การมีนโยบายใน
การสรรหาซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
(1) นโยบายแบบเปิด ซึ่งมีสาระสาคัญคือ
- เปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีความสามารถ และมีคุณสมบัติเหมาะสมตามตาแหน่งที่ว่าง เข้ามางาน
ได้โดยเสมอภาค
155
- เปิ ดรั บ สมัค รงานทุ กวัน และเวลาที่ องค์การเปิ ดทาการ ไม่ว่าในขณะนั้น จะมี ตาแหน่งว่าง
หรือไม่ก็ตาม
- เปิดโอกาสให้บุคคลเข้ามาสมัครได้ทุกระดับชั้น ถ้ามีคุณสมบัติตามที่ต้องการไม่จากัดว่าต้องไป
เริ่มต้นทางานที่ขั้นต้น หรือขั้นต่าสุดก่อน สามารถเริ่มต้นทางานในขั้นสูงได้เลย
- เปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความชานาญในงานสมัครเข้า
ทางานได้ ถึงแม้ว่าระดับการศึกษาจะไม่ถึงมาตรฐานขั้นต่าของตาแหน่งที่กาหนดเอาไว้
(2) นโยบายแบบปิด ซึ่งมีสาระสาคัญดังนี้
- เปิ ดโอกาสให้ ผู้ สาเร็จการศึกษาตามระดับที่กาหนดไว้เป็นมาตรฐานเท่านั้นเข้ามาสมัครใน
ตาแหน่งต่าสุดของระดับนั้นก่อน แล้วจึงเลื่อนไปสู่ขั้นสูงต่อไป
- เปิดรับสมัครบุคคลเข้าทางานเฉพาะตาแหน่งว่างเท่านั้น
2.1) หลักเกณฑ์ของการสรรหา
ศิวาพร มัณฑุกานนท์ (2528 : 52) ได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์ที่เป็นที่นิยมใช้ในการบริหารทรัพยากร
มนุษย์กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ เพื่อใช้ในการสรรหาผู้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานมีอยู่ 4
ประการ คือ
(1) หลักความสามารถ (Competence) หมายถึงการยึดถือความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์ในการ
เลือกสรรบุคคลเข้าทางาน การสอบแข่งขัน การคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง การพิจารณาความดีความชอบ และ
การเลื่อนขั้นเลื่อนตาแหน่ง
(2) หลักความเสมอภาค (Equality of Opportunity) หมายถึง การเปิดโอกาสเท่าเทียมกันแก่ผู้ที่
คุณสมบัติตามความต้องการ หรือที่กาหนดไว้ในการรับสมัครเข้าทางาน โดยไม่คานึงถึงชาติตระกูล ศาสนาหรือ
ผิวพรรณ และกาหนดเงินค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน ยึดหลักการที่ว่า งานที่มีลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบ
เท่าเทียมกันหรือคล้ายคลึงกัน ควรได้รับค่าตอบแทนเท่ากันและได้สัดส่วนเท่ากับปริมาณงาน
(3) หลักความมั่นคง (Security on Tenure) หมายถึง การมีหลักประกันที่จะสามารถยึดถื อเป็น
อาชีพ ตลอดไป จนกว่าจะเกษี ย ณอายุ หรืต ราบเท่ าที่ ยั งคงรักษาระดั บ มาตรฐานหรือความสามารถในการ
ปฏิบัติงานไว้ได้ การให้ออกจากงานต้องมีเหตุผล
(4) หลักความเป็นกลางทางการเมือง (Political Neutrality) หลักข้อนี้ไม่มีความสาคัญสาหรับการ
บริหารธุรกิจ แต่มีความสาคัญมากสาหรับข้าราชการ ข้าราชการประจาจะต้องปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ของประชาชนเท่านั้น
2.2) แหล่งที่มาในการสรรหาบุคลากร
ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2547 : 93-94) ได้จาแนกแหล่งที่มาในการสรรหาบุคคลได้ 2 แหล่ง คือ
(1) การสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การ องค์การสามารถสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ทักษะ และ
ประสบการณ์จากภายในองค์การเพื่อเข้าปฏิบัติงานในตาแหน่งที่ว่างลง หรือตาแหน่งที่เปิดขึ้นใหม่ โดยที่การสรร
หาบุคลากรจากภายในองค์การจะมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
ข้อดี ของการสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การมีดังต่อไปนี้
156
- สร้างขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติงานให้แก่พนักงาน
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสรรหาบุคลากรขององค์การ
ข้อเสีย ของการสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การมีดังต่อไปนี้
- ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์ในการประเมินโอกาส การแก้ปัญหา และการ
สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางธุรกิจ
- ไม่สามารถสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสมเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในตาแหน่งที่มีความต้องการ
บุคลากร
- ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรขึ้นภายในองค์การ
(2) การสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การ องค์การจะทาการสรรหาบุคลากรที่มีความเหมาะสม
จากภายนอกองค์การเพื่อเข้าปฏิบัติงานในตาแหน่งงานที่ว่าง โดยการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การจะมี
ข้อดี และข้อเสีย ที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
ข้อดี ของการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การมีดังต่อไปนี้
- สร้างความหลากหลายในการวิเคราะห์ โอกาส การแก้ปัญหา และการพัฒนานวัตกรรมทาง
ธุรกิจ
- สร้างโอกาสในการคัดเลือกบุคลากรที่มีความเหมาะสมในแต่ละหน้าที่งาน
- แก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนบุคลากรภายในองค์การทั้งในด้านของจานวนและคุณสมบัติ
ข้อเสีย ของการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การมีดังต่อไปนี้
- สิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายในการเตรียมการขององค์การ
- มีผลกระทบต่อขวัญและกาลังใจของบุคลากร
- ไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศในการปฏิบัติงานขององค์การ
2.3) ระบบการคั ด เลื อ กบุ ค คล เข้ าท างานซึ่ งสามารถจ าแนกเป็ น 2 ระบบใหญ่ ๆ (พะยอม
วงศ์สารศรี. 2538 : 162) คือ
(1) ระบบคุ ณ ธรรม (Merit System) หรื อ ระบบความรู้ ค วามสามารถ หรื อ ระบบความดี
ความสามารถ เป็ น วิธีการที่ต้องการให้ ได้ผู้ ที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน วิธีการสาคัญ ของระบบ
คุณธรรม คือการทดสอบ
(2) ระบบอุปถัมภ์ (Patronage System) เป็นระบบที่ตรงกันข้ามกับระบบคุณธรรม เป็นระบบ
พรรคพวก ระบบชุบเลี้ยง ระบบสืบสายโลหิตเดียวกัน
2.4) กระบวนการในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทางาน
การให้ ได้มาซึ่งบุ คลากรที่เหมาะสมเข้ามาทางานในองค์กรถือเป็นสิ่ งส าคัญเพราะหากได้คนที่ไม่
เหมาะสมเข้ามาในองค์กรย่อมจะก่อให้เ กิดความเสียหายต่อตัวองค์กรเอง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียค่าใช้จ่าย เวลา
ผลผลิตและประสิทธิภาพในการดาเนินกิจกรรมแล้ว ยังส่งผลต่อขวัญกาลังใจของบุคลากรในการทางานอีกด้วย
157
4.2) วัตถุประสงค์ในการให้ค่าตอบแทน
161
4.3) หลักในการกาหนดค่าตอบแทน
การประเมิ น ค่ า งานเป็ น กระบวนการส าคั ญ ในการก าหนดค่ า ตอบแทน ผู้ มี ห น้ า ที่ ก าหนด
ค่าตอบแทนจะต้องทาการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินค่างาน ตลอดจนนาข้อมูลที่มี่อยู่มาใช้ประกอบกา รจัด
เรี ย งล าดั บ งานตามความส าคั ญ โดย ณั ฏ ฐพั น ธ์ เขจรนั น ทน์ ( 2547 : 223 - 225)ได้ อ ธิ บ ายว่ า เพื่ อ ก าหนด
ค่าตอบแทนที่เหมาะสมและยุติธรรม โดยที่การประเมินค่างาน สามารถกระทาได้ 2 วิธี ดังต่อไปนี้
- การประเมิ น ค่างานเชิงคุณ ภาพ วิธีก ารนี้ ผู้ ท าหน้ าที่ ป ระเมิน ค่ างานจะท าการจาแนก
เปรียบเทียบ และจัดลาดับงานตามความสาคัญ
- การประเมินค่างานเชิงปริมาณ วิธีการนี้ผู้ทาหน้าที่ประเมินค่างานจะทาการวิเคราะห์ความ
แตกต่างของแต่ละงานในรูปของตัวเลข
ข้อมูลที่ได้จากการประเมินค่างานถือเป็นปัจจัยสาคัญในการกาหนดค่าตอบแทนของบุคลากร
เนื่องจากการประเมินค่างานจะทาการเปรียบเทียบและจัดเรียงงานตามลาดับความสาคัญ โดยผู้ทาหน้าที่กาหนด
ค่าตอบแทนสามารถนาข้อมูลมาใช้งานได้โดยตรง
4.4) สวัสดิการ
สวัสดิการ หมายถึง ผลประโยชน์อื่นๆ ของบุคลากรที่องค์กรจ่ายนอกเหนือจากเงินเดือนและ
ค่าจ้าง ผลประโยชน์ดังกล่าวอาจจ่ายเป็นเงินสด สิ่งของ หรือบริการ เช่น อาหาร ค่าพาหนะ ภาษีเงินได้ที่องค์กร
ออกให้ เสื้อผ้า ที่พักอาศัย เป็นต้น
สวัสดิการเป็นสิ่งที่องค์การหรือนายจ้างเป็นผู้จัดหาให้แก่บุคลากร เช่น ที่อยู่อาศัย ค่าเล่าเรียน
บุตร ค่ารักษาพยาบาล อาหารกลางวัน และวันหยุด พิเศษ เป็นต้น ซึ่งเป็นการจัดหาในสิ่งที่นอกเหนือจากค่าจ้างที่
จ่ายให้โดยตรง โดยถือเสมือนเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของนายจ้าง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่องค์การสมควรปฏิบัติ
162
6) การประเมินผลการปฏิบัติงาน
การประเมินผลการปฏิบัติงาน หมายถึง ระบบที่องค์กรจัดทาขึ้นมา เพื่อหาคุณค่าของบุคลากร
ในแง่ของการปฏิบัติงาน อันได้แก่ การกาหนดบุคคลที่ทาหน้าที่ประเมินผลการปฏิบัติงาน วิธีการประเมินผลการ
ปฏิบัติงาน และวัตถุประสงค์ของการประเมินผลการปฏิบัติงาน
Dwivedi R.S. (1985 : 159) ได้ให้กล่าวเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงานไว้ว่าเป็นหน้าที่
ของผู้บั งคับ บั ญชาที่จะต้องพิจารณาว่า ผู้ใต้บังคับบัญ ชาสามารถปฏิบัติงานในตาแหน่งที่ได้รับมอบหมายได้มี
ประสิทธิภาพเพียงไร มีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงเรื่องใดบ้าง ตลอดจนศักยภาพเพียงพอที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดารง
ตาแหน่งที่สูงขึ้นหรือไม่
การประเมินผลการปฏิบั ติงาน เป็นระบบ (Systematic Process) ที่ถูกพัฒ นาขึ้นเพื่อทาการวัด
คุณ ค่าของบุ คลากรในการปฏิบั ติงานภายในช่ว งระยะเวลาที่กาหนด ว่าเหมาะสมกับมาตรฐานที่ กาหนดและ
เหมาะสมกับรายได้ที่บุคลากรได้รับจากองค์การหรือไม่ ตลอดจนใช้ประกอบการพิจารณาศักยภาพของบุคลากรใน
การปฏิบัติงานในตาแหน่งที่สูงขึ้นไป และณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2547 : 194-204) ได้กล่าวถึง วัตถุประสงค์ของ
การประเมินผลการปฏิบัติงานมีดังต่อไปนี้
(1) ใช้พิจารณาความเหมาะสมในการให้ผ ลตอบแทนแก่บุคลากร เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง หรือ
ผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ ว่ามีความสอดคล้องกับงานที่บุคลากรปฏิบัติเพียงใด
164
6.5 สรุป
167
คาถามท้ายบท
1. การบริหารงานบุคคลหมายถึงอะไรและมีความสาคัญอย่างไร
2. การบริหารงานบุคคลมีกระบวนการอะไรบ้าง อธิบายยกตัวอย่าง
3. ภารกิจการบริหารงานบุคคลมีว่าอย่างไร
4. การบริหารงานบุคคลเกี่ยวข้องอย่างไรกับองค์การ
168
169
เอกสารอ้างอิง
7.1 การคลัง
7.1.1 ความหมายของการคลังภาครัฐ
การคลังภาครัฐ (Public Finance) หมายถึง การคลังในส่วนของรัฐบาล หรือ
การคลั งในกิจ กรรมที่รั ฐ บาลเป็ น เจ้าของ การคลั งภาครัฐ หรือการคลั งของรัฐ บาลเป็ น เรื่อ ง
เกี่ยวกับกิจกรรมทางการคลัง การเงินต่างๆ ของรัฐบาลที่ถือเป็นหน่วยที่สำคัญหน่วยหนึ่งของ
ระบบสังคม เนื่องจากมีผลผูกพันและกระทบไม่เฉพาะชีวิตความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบันเท่านั้น
แต่ยังมักจะส่งผลกระทบและผูกพันถึงคนในอนาคตหรือในยุคต่อไปด้วย
มีนักวิชาการหลายคนได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการคลังภาครัฐ ไว้ดังนี้
การคลังภาครัฐ ครอบคลุมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศแทบทุกประการ
โดยอาจแบ่งปัญหาได้เป็น 4 ประการใหญ่ๆ คือ
1) ปัญหาการจัดสรรทรัพยากร (Resource Allocation)
2) ปัญหาการกระจายรายได้ประชาชาติ (Income Distribution)
3) ปัญหาการทำให้คนมีงานทำ (Full Employment)
4) ปัญหาเสถียรภาพของระดับราคาและการพัฒนาเศรษฐกิจ (Price-Level
Stability and Economic Growth)
การคลัง เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเข้าไปมีบทบาทในทางเศรษฐกิจของ
รัฐบาลในด้านต่างๆ รวม 4 ด้าน คือ
1) การจัดสรรทรัพยากร (The Allocation Function)
169
5) รั ฐ บาลจะมี วิ ธ การอย่ างไรในการรับ มื อกั บ วงจรธุรกิ จ เมื่ อเกิด เหตุก ารณ์ ที่ ไม่ ได้
คาดคิดมาก่อนอันสืบเนื่องจากความพลาดพลั้งของมนุษย์ หรือเมื่อมีการประเมินสถานการณ์ทาง
เศรษฐกิจผิดพลาด
6) เหตุใดจึงต้องกังวลกับการเป็นหนี้ของประเทศชาติ
การคลั ง ภาครั ฐ หรื อ การคลั ง รั ฐ บาล ประกอบด้ ว ยการศึ ก ษาแนวคิ ด ทฤษฎี
พฤติกรรม กิจกรรมการดำเนินงาน ตลอดจนแนวปฏิบัติต่างๆ เกี่ยวกับ การหารายได้ การใช้จ่าย
สาธารณะ การภาษีอากร การก่อหนี้ส าธารณะ การใช้จ่ายของรัฐบาล บทบาทของรัฐบาลใน
ระบบเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ระดับประเทศ และ/หรือระดับท้องถิ่น
รวมทั้งการศึกษาผลกระทบจากกิจกรรมการดำเนินการต่างๆ ทางการคลังของรัฐบาลที่มีต่อสังคม
และประเทศโดยส่วนรวม
7.2 นโยบายการคลัง
นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) คือ นโยบายเกี่ยวกับการใช้จ่ายและรายได้ของรัฐ
เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดแนวทาง เป้าหมาย และการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ทางเศรษฐกิจ นโยบายการคลังประกอบด้วย นโยบายภาษีอากร นโยบายด้านรายจ่าย นโยบาย
การก่อหนี้และบริหารหนี้สาธารณะ และนโยบายในการบริหารเงินคงคลัง
วัตถุประสงค์ของนโยบายการคลัง
ประการที่ 1 ส่ งเสริ ม การจัด สรรทรัพ ยากรระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ บาลให้ มี
ประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดี จัดสรรทรัพยากรในสัดส่วนที่
ทำให้สังคมได้รับสวัสดิการและมีประสิทธิภาพสูงสุด รัฐสามารถจัดหาสินค้าและบริการสาธารณะ
(Public goods and service) ในปริมาณและคุณภาพตรงกับความต้องการของประชาชน
ประการที่ 2 ส่งเสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม แต่ละกลุ่มจะได้รับประโยชน์และ
ภาระที่ เป็ น ธรรม นโยบายการคลั งจะนำไปสู่ ก ารปรับ ปรุ งการกระจายรายได้ เบื้ อ งต้ น ของ
ประชาชนให้ทัดเทียมกัน
ประการที่ 3 เสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รัฐบาลสามารถใช้นโยบายการ
คลังเพิ่มการใช้จ่ายและขยายการลงทุนในภาครัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาด้านสาธารณูปโภค
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การลงทุนและการผลิตของภาคเอกชน
ประการที่ 4 รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นโยบายการคลังสามารถใช้ในการสร้าง
เสถีย รภาพทางเศรษฐกิ จ เสถี ย รภาพในตลาดเงิน และความสมดุ ล ในบั ญ ชี ดุล การชำระเงิน
ระหว่างประเทศ
171
7.3 นโยบายทางเศรษฐกิจ
นโยบายทางเศรษฐกิจ หมายถึง กิจกรรมทางเศรษฐกิจของบุคคลหรือคณะบุคคล โดยมี
จุดมุ่งหมายทางเศรษฐกิจที่ได้ตั้งไว้
นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. นโยบายการเงิน หมายถึง นโยบายที่ เกี่ ยวข้อ งกั บ การใช้ม าตรการต่ าง ๆ ในการ
กำหนดและ ควบคุมปริมาณเงิน และสิ นเชื่อ ให้ มีความเหมาะสมกับความต้องการและความ
จำเป็นของระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพของราคา การส่งเสริมให้มีการจ้างงาน
เพิ่มขึ้นการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม การรักษาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการชำระเงิน
ระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เป็นการแก้ไขปัญหาเงินฝืดของรัฐบาล โดย
ใช้เครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ เพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับภาวะทาง
เศรษฐกิจในขณะนั้น ซึ่งเป็น การเพิ่มอำนาจการซื้อให้ประชาชน เป็นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้น
ตัว ทำให้ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น จูงใจให้ ลงทุนเพิ่มขึ้น การจ้างงานก็จะเพิ่มขึ้น ผลผลิตเพิ่มจน
รายได้ประชาชาติสูงขึ้น เป็นการแก้ไขปัญหาเงินฝืด
2) นโยบายการเงินแบบเข้มงวดหรือแบบรัดตัว เป็นการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของ
รัฐบาลโดยใช้เครื่องมือการเงิ นต่าง ๆ เพื่อลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับภาวะ
เศรษฐกิจในขณะนั้น คือ ลดอำนาจการซื้อของประชาชนลง เป็นการแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อ
หลักการจัดเก็บภาษีที่ดี
1. หลักความยุติธรรม หมายถึง บุคคลทุกคนต้องมีหน้าที่เสียภาษีจากรายได้
ของตนเอง
2. หลักความแน่นอน หมายถึง การกำหนดวิธีการปฏิบัติให้แน่นอน เพื่อให้ทุกคน
ถือปฏิบัติให้ เหมือนกัน เช่น อัตราการคำนวณภาษี วิธีการชำระภาษี ระยะเวลาในการชำระภาษี
การจ่ายคืนภาษี ฯลฯ
3. หลักความสะดวก หมายถึง การกำหนดให้ผู้เสียภาษีได้รับความสะดวกในการ
เสียภาษี
4. หลักความประหยัด หมายถึง การคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษี
เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้
5. หลักความยืดหยุ่น หมายถึง การควบคุมภาวะเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำหรือรุ่งเรือง
จนเกินไป
ประเภทของภาษีอากร
1. การแบ่งตามลักษณะของฐานภาษี แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1) การเก็บภาษีจากทรัพย์สิน ได้แก่ ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน
2) การเก็บภาษีจากการขายหรือใช้สิ่งของ ได้แก่ ภาษีการค้า ภาษีศุลกากร
ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
3) การเก็บภาษีเงินได้จากผู้มีรายได้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภาษีเงินได้
นิติบุคคล
2. การแบ่งตามหลักการผลักภาระภาษี แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1) ภาษีทางตรง เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระภาษีให้ผู้อื่นได้ เช่น
ภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก ฯลฯ
2) ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีอากรสามารถผลักภาระให้ผู้อื่นได้เช่น
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิ
7.2 การงบประมาณ
7.2.1 การงบประมาณ
งบประมาณแผ่นดิน หมายถึง แผนเกี่ยวกับการใช้จ่ายของรัฐบาลและการจัดหารายรับ
ให้ เพี ย งพอกับ การใช้จ่ ายในรอบระยะเวลาหนึ่ง โดยปกติมี ระยะเวลา 1 ปี ดังนั้ น จึงเรียกว่า
งบประมาณแผ่นดินประจำปี ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคมของปีไปจนถึงวันที่ 30 กันยายนของ
ปีถัดไป สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดทำงบประมาณแผ่นดินและนำเสนอเพื่อ
พิจารณา เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงตราออกมาเป็นพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีเพื่อใช้บังคับ
ต่อไป
การจัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้รัฐบาลมีการวางแผนที่จะดำเนินการ
ไว้ล่วงหน้าและรายจ่ายของรัฐบาลเป็นส่วนประกอบของอุปสงค์รวม การวางแผนการใช้จ่ายและ
การหารายรับจะทำให้สามารถคาดคะเนสภาพเศรษฐกิจในปีต่อไปได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้รัฐบาล
บริการการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในขอบเขตของงบประมาณที่จัดทำขึ้น
7.2.2 ประเภทของงบประมาณแผ่นดิน
งบประมาณแผ่นดินแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
งบประมาณสมดุล (Balanced budget) หมายถึง งบประมาณที่รายได้ของรัฐบาล
รวมกันแล้วเท่ากับรายจ่ายของรัฐบาลพอดี ดังนั้น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องกู้เงินมาใช้จ่ายหรือนำเงิน
คงคลังออกมาใช้
งบประมาณไม่ส มดุ ล (Unbalanced budget) หมายถึ ง งบประมาณที่ รายได้ ของ
รัฐ บาลไม่เท่ ากับ รายจ่ ายของรั ฐบาล ถ้ารายได้ของรัฐ บาลสู งกว่ารายจ่ายของรัฐ บาลเรียกว่า
งบประมาณเกินดุล (Surplus budget) ซึ่งรัฐบาลจะมีรายได้เหลือจากการใช้จ่าย เงินคงคลังของ
รัฐบาลจะเพิ่มขึ้น ถ้ารายได้ของรัฐบาลต่ำกว่ารายจ่ายของรัฐบาล เรียกว่ า งบประมาณขาดดุล
(Deficit budget) ซึ่งรัฐบาลต้องกู้เงินหรือนำเงินคงคลังออกมาใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในแง่ของประมาณการรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลแล้ว
งบประมาณแผ่นดินจะต้องสมดุลเพื่อมิให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆ ตามมา
Otto Eckstein กล่าวถึงการคลังภาครัฐบาล (Public Finance) หรือการคลังสาธารณะ
ว่าเป็นการศึกษากิจกรรมการหารายได้และการใช้จ่ายของรัฐบาล การอธิบายเกี่ยวกับการใช้จ่าย
การเงินงบประมาณ ภาษีอากร รายจ่ายสาธารณะ และหนี้สาธารณะ
การคลั งภาครัฐ เป็ น การศึกษาผลกระทบต่างๆ ของงบประมาณต่ อระบบเศรษฐกิ จ
โดยเฉพาะผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายสำคัญทางเศรษฐกิจในด้านความเจริญเติบโตทาง
เศรษฐกิจ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ตลอดจนประสิทธิภาพการ
178
10.การบริหารการตรวจสอบ
11. การบริหารการประเมินทางการคลัง
12. การบริหารการจัดเก็บภาษ
7.3 สรุป
การคลังภาครัฐ หรือการคลังของรัฐบาลเป็นเรื่องเกี่ยวกับกิจกรรมทางการคลัง การเงิน
ต่างๆ ของรัฐบาลที่ถือเป็นหน่วยที่สำคัญหน่วยหนึ่งของระบบสังคม เนื่องจากมีผลผูกพันและ
กระทบไม่เฉพาะชีวิตความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบัน ซึ่งมีนโยบายเกี่ยวกับการใช้จ่ายและรายได้
ของรัฐ เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดแนวทาง เป้าหมาย และการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายทางเศรษฐกิจ นโยบายการคลังประกอบด้วย นโยบายภาษีอากร นโยบายด้านรายจ่าย
นโยบายการก่อหนี้และบริหารหนี้สาธารณะ และนโยบายในการบริหารเงินคงคลัง
ส่วนการงบประมาณนั้น การใช้จ่ายของรัฐบาลและการจัดหารายรับให้เพียงพอกับการใช้
จ่ายในรอบระยะเวลาหนึ่ ง โดยปกติมีระยะเวลา 1 ปี ดังนั้ น จึงเรียกว่า งบประมาณแผ่ น ดิน
ประจำปี ซึ่ งจะเริ่ ม ต้ น ในวัน ที่ 1 ตุล าคมของปี ไปจนถึงวัน ที่ 30 กัน ยายนของปี ถัด ไป สำนั ก
งบประมาณเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดทำงบประมาณแผ่นดินและนำเสนอเพื่อพิจารณา เมื่อ
ได้รับอนุมัติแล้วจึงตราออกมาเป็นพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีเพื่อใช้บังคับ ซึ่งทั้งสอง
ส่วนรัฐบาลแต่ละยุคสมัยจะต้องพิจารณาและดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของ
ประชาชน พลเมืองและของรัฐเป็นสำคัญ
คำถามท้ายบท
1. จงอธิบายถึงความหมาย “การบริหารการคลังภาครัฐ” พอสังเขป
2. ให้อธิบายถึงการบริหารการคลังของรัฐบาลและกิจกรรมทางการคลังที่สำคัญมีอะไรบ้าง
3. การคลังสาธารณะและการงบประมาณมีความสำคัญอย่างไร
4. ให้อธิบายการบริหารการคลังสาธารณะพอพอเข้า พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
5. ขงบอกความแตกต่างระหว่างนโยบายการคลัง(Fiscal Policy) กับนโยบายการเงิน
(Monetary Policy)
180
เอกสารอ้างอิง
บทที่ 8 บทนี้นำเสนอทิศทำงรัฐประศำสนศำสตร์และกำรปฏิรูประบบรำชกำรใน
ปัจจุบัน เพื่อสังเครำะห์รัฐประศำสนศำสตร์ให้เห็นถึงทิศทำงในอนำคต และกำรปฏิรูประบบ
รำชกำรที่เกิดขึ้นในประเทศไทย บทนี้ประกอบด้วย
1. ทิศทำงรัฐประศำสนศำสตร์ : สิทธิพรร์ สุนทร
2. กำรปฏิรูประบบรำชกำรในปัจจุบัน : รังสรรค์ อินทน์จันทน์
3. สรุป
8.1 ทิศทางรัฐประศาสนศาสตร์
สภำพควำมรู้วิชำรัฐประศำสนศำสตร์และวิธีกำรศึกษำตลอดจนประสบกำรณ์ในทำง
ปฏิบัติของบริบทสังคมไทยที่ได้พัฒนำมำอย่ำงยำวนำนจนมีกำรยอมรับกำรวิเครำะห์แบบ
ตะวันตกทั้งในฐำนะวิชำกำร(as a field of study ) และในฐำนะกิจกรรม ( as an activity ) ที่
ครอบคลุมถึงพัฒนำกำรลักษณะ ระบบและโครงสร้ำงของระบบ กลไก ตลอดจนเจ้ำหน้ำที่ และ
ควำมพยำยำมของวิชำนี้ต่อสำธำรณะจนเป็นที่เข้ำใจตรงกัน และแทบจะไม่เกิดเป็นปัญหำต่อ
เอกลักษณ์ของสำขำวิชำ ประกอบกับกำรพัฒนำกำรของกำรบริหำรงำนในรำชกำรไทยที่เริ่ม
ปฏิรูปจำกปี พ.ศ.2435 ที่ทำให้กำรศึกษำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ในประเทศไทยมีควำมแข็งแกร่ง
ตำมกระบวนกำรสร้ำงศำสตร์โดยผ่ำนขั้นตอนกำรปฏิบัติจนถึงกำรสร้ำงหลักกำรและทฏษฏีกำร
บริหำรงำนในภำครัฐ ปัจจุบันซึ่งกำลัง ก้ำวหน้ำเข้ำสู่ยุค 2,000 อันอยู่ในยุคของคลื่นลูกที่ 3 จึง
สมควรที่จะวิเครำะห์ถึงสภำพกำรณ์ของสังคมปัจจุบันและอนำคตเพื่อโยงสภำพกำรบริหำรงำน
สำธำรณะและหลักวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ บทควำมนี้เป็นควำมพยำยำมที่จะวิเครำะห์ถึงวิชำรัฐ
ประศำสนศำสตร์ว่ำควรจะดำเนินไปในลักษณะใดใน 4 ประเด็นดังนี้ ขอบเขตกำรศึกษำวิชำรัฐ
ประศำสนศำสตร์ในปัจจุบัน ควำมเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในยุคคลื่นลูกที่ 3 แนวทำงของรัฐ
ประศำสนศำสตร์ในยุคคลื่นลูกที่ 3 และข้อวิพำกษ์ที่มีต่อกำรจัดกำรภำครัฐแนวใหม่
8.1.1.ขอบเขตกำรศึกษำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ในปัจจุบัน
182
กำรศึกษำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ได้เปลี่ยนแปลงไปตำมยุคสมัยโดยนักวิชำกำรได้
วิเครำะห์ตำมสภำพสังคมกำรเมืองซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมทำงกำรบริหำรในช่วงต่ำงๆ ที่ผ่ำนมำ เรื่องที่
นิยมศึกษำกันมำกคือ กำรแบ่งแยกกำรศึกษำตำมกรอบเค้ำโครงควำมคิด ที่พัฒนำเป็นกรอบ
จำลองควำมคิดเพื่อกำรเรียนรู้ (Parsdigm ) ซึ่งถือเป็นองค์ควำมรู้ (Body of Knowledge)
ในทำงวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ อย่ำงหนึ่งดังเช่น นิโคลัส เฮนรี่ (Nicholas Heny) หรือ โรเบอร์ต
ที โคเลมบิวสกี ( Robert T.Golembiewski)ที่ได้แบ่งวิธีกำรศึกษำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์แต่ละ
ช่วงเวลำในอดีตว่ำมีจุดเน้น (Focus ) และทิศทำง (Locus) เป็นอย่ำงไรตัวอย่ำงเช่นกำรศึกษำใน
ยุคช่วงก่อนสงครำมโลกครั้งที่ 2 นักวิชำกำรได้เสนอทฤษฏีกำรแยกกำรเมืองออกจำกกำรบริหำร
หรือกล่ำวอีกนัยหนึ่งได้ว่ำกำรบริหำรรัฐกิจไม่ใช่กำรเมือง ( Political Science/Public
admistraion Dichotomy) กำรเสนอวิธีกำรบริหำรงำนโดยมุ่งเน้นประสิทธิภำพ กำรเสนอทฤษฏี
ระบบรำชกำร กำรบริหำรและกำรจัดกำรแบบวิทยำศำสตร์ (Scientifie Management ) และ
หลักกำรบริหำรโดยทั่วไป (The Principle of Management) ฯลฯ ในช่วงเวลำระหว่ำงปี 1900
–1950 วิชำรัฐประศำสนศำสตร์ได้ถูกยอมรับในหมู่นักวิชำกำรว่ำมีเอกลักษณ์และควำมแข็งแกร่ง
ของวิชำค่อนข้ำงมำก
ในช่วงปี 1950 – 1970 มีนักวิชำกำรเสนอแนวควำมคิดในกำรบริหำรงำนที่แตกต่ำง
ออกไปเช่นมองว่ำกำรบริหำรงำนของรัฐจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับกำรเมือง มีกำรเสนอทฤษฎี
องค์กรอรูปนัย(informal Organization) ในรำชกำร รวมถึงหลักกำรบริหำรแบบวิทยำศำสตร์ถูก
ท้ำทำยจำกกำรเสนอหลักกำรบริหำรที่คำนึงถึงหลักมนุษย์สัมพันธ์และทรัพยำกรมนุษย์ ทำให้วิชำ
รัฐประศำสนศำสตร์โดยรวมถูกท้ำทำยจนเกิดวิกฤตกำรณ์ด้ำนเอกลักษณ์ ในช่วงต่อเนื่องกันนี้ผู้
เสนอวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ในแนวทำงใหม่ (New Public Administration – NPA) ที่เสนอให้
ระบบรำชกำรต้องคำนึงถึงปัจจัยในเรื่องค่ำนิยมของสังคม ควำมยุติธรรม ควำมสำคัญในเรื่อง
กำรเมืองต่อกำรบริหำรงำนและสิ่งแวดล้อมในกำรบริหำรงำนอื่น ๆ ในช่วงสงครำมเวียดนำม
แนวทำงกำรศึกษำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ยึดถือแนวทำงของ NPA ซึ่งเสริมกำรศึกษำในเรื่องของ
เทคนิคกำรบริหำรงำนและกำรศึกษำกำรบริหำรเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Public
Administration CPA ) ที่มีมำก่อนหน้ำโดยเน้นถึงกำรศึกษำสภำพแวดล้อม และสภำพสังคม
กำรเมืองนประเทศต่ำงๆ ควบคู่กับไปเพื่อประสิทธิผลในกำรให้ควำมช่วยเหลือของประเทศ
สหรัฐอเมริกำต่อประเทศกำลังพัฒนำ
ดังนั้นกำรศึกษำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ในปัจจุบันจึงมีขอบเขตกำรศึกษำและระบบของ
วิชำที่สัมพันธ์ระหว่ำงควำมเป็นวิชำกับกิจกรรมกำรบริหำรงำนจริงที่มีลักษณะประกอบด้วย
1. ขอบเขตหรือสำระของวิชำ (Seope)
183
เป็นวิชำที่เกี่ยวข้องกับกำรบริหำรงำนสำธำรณะที่ว่ำด้วยโครงสร้ำงและหน้ำที่,
กระบวนกำรบริหำรงำน ,ทรัพยำกรมนุษย์,เทคโนโลยี และควำมเป็นศำสตร์
2. ควำมแข็งแกร่งของวิชำรัฐประศำสนศำสตร์
ควำมเป็นศำสตร์ในวิชำรัฐประศำสตร์ เกิดจำกกำรสร้ำงด้วยแบบทฤษฏีทำงกำร
บริหำรงำนโดยอำศัยกำรวิจัยและสหวิชำกำรเช่น สถิติ คณิตศำสตร์ วิศวอุตสำหกำร กำรวิจัย
ดำเนินงำนกำรบัญชี และ เครื่องมือด้ำนคอมพิวเตอร์ เป็นต้น กำรสร้ำงควำมแข็งแกร่งในฐำนะ
ศำสตร์ดังกล่ำวนำไปสู่กำรอธิบำยระบบของวิชำอย่ำงมีหลักกำรและเหตุผลโดยผ่ำนกำรพิสูจน์ที่มี
ควำมแข็งแกร่งเนื่องจำกสำมำรถทดสอบได้และถูกต้อง
3. มีเป้ำหมำยที่เด่นชัด
กำรพัฒนำควำมเป็นศำสตร์ในกำรบริหำรงำนสำธำรณะมีเป้ำหมำยในกำรลดควำมเสี่ยง
และควำมไม่แน่นอนในกำรบริหำรรวมทั้งเพื่อกำรเพิ่มผลผลิต(และกำรบริหำร) จนถึงจุดที่เกิด
ควำมพอใจ(Maximized Productivity and Satisfaction) เพรำะหำกขำดสิ่งเหล่ำนี้จะทำให้
กำรบริหำรงำนขำดทิศทำงก่อให้เกิดปัญหำในเรื่องคุณภำพประสิทธิภำพและประสิทธิผล
4. สอดคล้องกับค่ำนิยมและปทัสถำน
กำรบริหำรงำนภำครัฐและกำรบริหำรงำนสำธำรณะมีควำมจำเป็นต้องอำศัยค่ำนิยมและ
ปทัสถำนของสังคมอย่ำงเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจุดนี้ทำให้วิชำรัฐประศำสนศำสต้องศึกษำถึงบทบำท
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงรัฐบำลกับเอกชน องค์กำรของรัฐด้วยกันเอง รัฐกับข้ำรำชกำร และรัฐกับ
เอกชน ดังนั้นจึงทำให้มีขอบเขตวิชำที่ครอบคลุมถึงทำงเลือกสำธำรณะ เศรษฐศำสตร์กำรเมือง
กำรวิเครำะห์นโยบำย กำรบริหำรงำนสำธำรณะ เรื่องที่ว่ำด้วยวิวัฒนำกำร กำรควบคุมจริยธรรม
ของข้ำรำชกำรกำรออกแบบองค์กำรสมัยใหม่ กำรพัฒนำองค์กำร เทคนิคกำรบริหำร
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรบริหำรงำนต่ำงๆ และกำรเติบโตและกำรสิ้นสุดขององค์กำร เป็นต้น
8.1.2 ความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในยุคคลื่นลูกที่สาม
ควำมเปลี่ยนแปลงของมนุษย์โลกตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบันที่ถือว่ำเป็นกำร
เปลี่ยนแปลงด้ำนอำรยธรรม (Civilizations )และวัฒนธรรม (Cultures) ขนำนใหญ่เกิดขึ้นรวม 3
ครั้ง ซึ่งกำรเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งมีมติด้ำนเวลำแห่งกำรเปลี่ยนแปลงในอัตรำเร่ง กล่ำวคือ ใน
ครัง้ แรกเป็นควำมเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่ำเป็นกำรปฏิวัติเกษตรกรรมอันเป็นกำรเปลี่ยนแปลงของ
184
กำรเพิ่มอำนำจให้กับประชำชนในสังคมย่อมมำกขึ้น จึงมิใช่ระบบมวลชนรวมศูนย์หำกแต่จะเป็น
สังคมประชำธิปไตยแบบชิ้นส่วนย่อย (Mosaic Democracy) นอกจำกนี้ในแง่พลังขับดันของกลุ่ม
ต่ำงๆ ส่วนหนึ่งจะถูกผลักดันโดยสื่อมวลชน และกำรติดต่อผ่ำนเครือข่ำยเทคโนโลยีสำรสนเทศที่
ทันสมัย ทำให้กลุ่มภำยในสังคมมีแนวโน้มในกำรตัดสินใจภำยในท้องถิ่นด้วยตนเอง กำรต่อสู้
แข่งขันกันด้วยลัทธิและอุดมกำรณ์ทำงกำรเมืองจะแปรเปลี่ยนไปเป็นกำรต่อสู้ในเชิงเศรษฐกิจ
ในขณะที่ปัญหำใหญ่ที่โลกต้องเผชิญร่วมกันอันหนึ่งคือปัญหำด้ำนสิ่งแวดล้อม
ภำรกิจในกำรบริหำรภำครัฐยังคงต้องมีบทบำทในด้ำนต่ำงๆ ค่อนข้ำงมำก โดยต้อง
ปรับเปลี่ยนบทบำทในบำงด้ำนให้เหมำะสมยิ่งขึ้น องค์กรของรัฐบำงแห่งจะมีบทบำทและมี
อิทธิพลมำกขึ้นในสังคมของยุคคลื่นลูกที่ 3 ซึ่งได้แก่องค์กรที่มีบทบำทในกำรควบคุมกำรไหลเวียน
ของสำระสนเทศและกำรวินิจฉัยสั่งกำรด้ำนนี้ อย่ำงไรก็ตำมองค์กรทำงด้ำนกำรวิจัยและพัฒนำ
(R&D) กำรศึกษำ กำรค้นคว้ำทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนกำรเศรษฐกิจก็จะเป็นอีก
กลุ่ม องค์กรหนึ่งที่ทรงอิทธิพล นอกจำกนั้นองค์กรที่จะมีบทบำทเป็นอย่ำงมำกในอนำคตคือ
องค์กรที่ รับผิดชอบดูแลด้ำนกำรจัดกำรสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นระบบกำรจัดกำรองค์กำรของรัฐต่อ
บทบำทสำธำรณะโดยเฉพำะกลุ่มองค์กรทั้งสำมข้ำงต้นจะต้องมีกำรปรับเปลี่ยนระบบไปอย่ำง
มำก.
8.1.4 แนวทางของรัฐประศาสนศาสตร์ในยุคคลื่นโลกที่ 3
ภำยหลังกำรสิ้นสุดยุคสงครำมเย็นในปี 1995 กำรเผชิญหน้ำระหว่ำงค่ำยทุนนิยมและ
คอมมิวนิสต์ได้ลดลง ประเทศที่อยู่ในร่มเงำของค่ำยทั้งสองมีแนวทำงในเรื่องทำงกำรเมืองกำร
บริหำรรัฐกิจเปลี่ยนไป เช่นระหว่ำงที่อยู่ในกำรต่อสู้ด้ำนลัทธิและอุดมกำรณ์จนถึงยุคช่วงสงครำม
เย็น แนวคิดอย่ำงหนึ่งที่ใช้ในกำรบริหำรประเทศไทย คือ กำรยอมรับฝ่ำยบริหำรที่แข็งแกร่งที่
อำศัยบุคลิกภำพและคุณลักษณะบำงประกำรของผู้นำ ในกำรนำพำประเทศ
กำรเข้ำสู่ยุคข้อมูลข่ำวสำรภำยหลังกำรต่อสู้ทำงอุดมกำรณ์นำมำสู่กำรแข่งขันในทำง
เศรษฐกิจวัฒนธรรมกำรบริหำรและกำรปกครองด้วยลักษณะกำรบังคับด้วยกฎหมำย และกำรใช้
กฎเกณฑ์โดยรัฐเปลี่ยนแปลงไปสู่กำรที่รัฐต้องคอยเอื้ออำนวยให้เกิดกำรประสำนงำนเพื่อกำร
แข่งขันและกำรต่อสู้ในทำงเศรษฐกิจระหว่ำงประเทศ โดยนัยดังกล่ำวบทบำทของรัฐจึงต้องมีกำร
ปรับเปลี่ยนและถูกทดแทนโดยบทบำทของประชำชนและสังคมในลักษณะกำรมีส่วนร่วมและ
ควำมเป็นประชำธิปไตย โดยอำศัยองค์กรประชำชนและองค์กรทำงสังคม
8.1.5 การศึกษาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration)
187
กำรปรับปรุงระบบวิชำและกิจกรรมกำรบริหำรรัฐกิจเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อควำมสอดคล้อง
กับสภำพกำรณ์ทำงสังคมที่กำลังเปลี่ยนไปเนื้อหำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ที่ควรจะปรับเปลี่ยน
ได้แก่
1. โครงสร้ำงกำรบริหำรงำนของรัฐ
จะต้องมีโครงสร้ำงที่เอื้อต่อกำรเป็นรำชกำรลง โดยเน้นหนักในเรื่องควำมเป็น
วิชำกำรและมืออำชีพ (Professionlization) มำกขึ้น และยังต้องมีโครงสร้ำงกำรบริหำรในเชิง
ระนำบ (Horzontal) มำกกว่ำโครงสร้ำงในแนวดิ่ง (Vertica) เพื่อให้องค์กำรทำงสังคมทั้งสำม
องค์กร คือ ภำครัฐ เอกชน ประชำชน
2. บทบำทของรัฐ
กำรศึกษำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ในเรื่องบทบำทของรัฐต่อสังคมใหม่ที่สำคัญจำเป็น
ต้องมีกำรปรับเปลี่ยนโดยมีกำรสนับสนุนให้มีกำรพัฒนำอย่ำงยั่งยืน (Sustainable) ในสังคมอัน
ได้แก่ กำรพัฒนำทรัพยำกรมนุษย์ กำรพัฒนำศักยภำพคนในด้ำนวิทยำกร วิทยำศำสตร์
เทคโนโลยีต่ำง ๆ กำรบริหำรกำรจัดกำรด้ำนระบบข้อมูลสำรสนเทศ และกำรแลกเปลี่ยนข้อมูล
ข่ำวสำรต่ำง ๆ ซึ่งบทบำทของภำพรวม คือ กำรเน้นกำรสนับสนุนต่อสังคม
3. ภำวะผู้นำ (Leadership)
กำรศึกษำวิชำรัฐประศำสนศำสตร์ในเรื่องของภำวะผู้นำของสังคมยุคใหม่ เน้นผู้นำที่
สำมำรถพำองค์กำรสำธำรณะให้บรรลุผลซึ่งนอกจำกอำศัยควำมรู้ควำมสำมำรถของคนรวมทั้ง
สมรรถนะในกำรบริหำรขององค์กำร (Internal Management Capacity) ซึ่งโดยส่วนใหญ่
ผู้บริหำรมักจะไม่คำนึงถึงสิ่งนี้ทำให้กำรตัดสินใจผิดพลำด ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรอื่นและ
ทรัพยำกรโดยรวมของสังคม เช่น กำรมีพฤติกรรมในกำรมุ่งขยำยขอบเขตควำมรับผิดชอบออกไป
อยู่ไม่หยุดยั้งและควำมต้องกำรงบประมำณมำก ๆ เป็นต้น ซึ่งองค์กำรต้องกำรภำวะกำรเป็น
ผู้นำที่กล้ำตัดสินใจทั้งในแง่สร้ำงสรรกำรทำงำนของรัฐใหม่ (Reinventing Government) หรือ
กำรรื้อปรับระบบกำรทำงำน (Re-engineering)
4. กำรปฏิรูป (Reformation)
จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับกำรปฏิรูปบทบำท และภำรกิจขององค์กำรทั้งในมิติของ
กระบวนกำรทำงำนมิติระหว่ำงคควำมสัมพันธ์ระหว่ำงองค์กรของรัฐกับองค์กรสังคมอื่น และกำร
แก้ไขปัญหำอุปสรรคของภำรกิจที่มีควำมหลำกหลำยและควำมสับสน (Nonlincar and
Choatic) ต่ำง ๆ ที่จะมีในสังคมใหม่
5. กำรวิจัยทำงด้ำนรัฐประศำสนศำสตร์
ควำมรู้ในด้ำนกำรวิจัยทำงด้ำนรัฐประศำสนศำสตร์ควรจะประกอบไปด้วยกำรส่งเสริม
188
8.2 การปฏิรูประบบราชการในปัจจุบัน
กำรปฏิรูประบบรำชกำร หมำยถึงกำรปฏิรูประบบกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินและพัฒนำ
กฎหมำยที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับกำรพัฒนำกำรเมือง กำรบริหำร เศรษฐกิจ และสังคม โดยมี
เป้ำหมำยเพื่อสร้ำงระบบกำรบริหำรและกำรบริกำรภำครัฐที่รวดเร็ว เสมอภำค และเป็นธรรม มี
ควำมสำมำรถในกำรให้บริกำรและพัฒนำ และให้มีกำรปฏิบัติงำนร่วมกันระหว่ำงหน่วยงำนของ
รัฐได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ
กำรปฏิรูประบบรำชกำรมิใช่เป็นสิ่งที่ใหม่ ทุกประเทศในโลกต่ำงก็มีกำรปฏิรูประบบ
รำชกำรให้เอื้อต่อกำรพัฒนำประเทศตำมลำดับ โดยทดลองใช้วิธีกำรหลำยรูปแบบ ทั้งนี้ต้อง
พิจำรณำถึงองค์ประกอบภำยในของแต่ละประเทศด้วย อย่ำงไรก็ดี แนวควำมคิดเกี่ยวกับกำร
ปฏิรูประบบรำชกำรที่หลำยประเทศต่ำงก็มีกำรนำมำปรับใช้มีอยู่หลำยแนวควำมคิด ได้แก่
1. แนวควำมคิดกำรประดิษฐ์คิดค้นระบบใหม่ (Reinventing Government)
แนวควำมคิดนี้ได้มีกำรกล่ำวขวัญถึงและยอมรับนำไปประยุกต์ใช้กันอย่ำงแพร่หลำยมำก
โดยเฉพำะในกำรปฏิรูประบบรำชกำรของประเทศสหรัฐอเมริกำ ผู้คิดค้นแนวควำมคิดนี้ได้แก่
Osborne และ Gaebler มีเนื้อหำแนวคิดโดยสรุปดังนี้
1.1 กำรที่รัฐมีบทบำทเป็นผู้กำกับดูแลมำกกว่ำกำรเป็นผู้ปฏิบัติ (Catalytic
Government: Steering rather than rowing) รัฐบำลควรมีบทบำทในกำรเป็นผู้กำกับ ดูแล
โดยลดบทบำทในกำรเป็นผู้ปฏิบัติเองให้น้อยลงเท่ำที่จำเป็น ทั้งนี้ กำรกำกับดูแลดังกล่ำวอำจจะ
190
เน้นในบทบำทกำรตรวจสอบและกำรให้ควำมรู้เชิงเทคนิควิชำกำรมำกขึ้น ในขณะเดียวกันก็เน้น
กำรให้เอกชนเข้ำมำ มีบทบำทเป็นผู้ปฏิบัติมำกยิ่งขึ้นในลักษณะหลำยรูปแบบ เช่น รูปแบบของ
กำรจ้ำงเหมำเอกชน
1.2 กำรให้อำนำจแก่ชุมชนเข้ำมำมีบทบำทในกำรดูแลตนเอง (Community
Owned Government : Empowering rather than serving) นั่นคือ ภำครัฐมิควรไปก้ำวก่ำย
หรือรับผิดชอบในกิจกรรมงำนของชุมชนทั้งหมด เนื่องจำกภำครัฐมิได้มีบุคลำกรที่ปฏิบัติงำนอยู่
ในชุมชนตลอด กำรเปิดโอกำสให้ชุมชนเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบตนเองให้มำกที่สุดจะเป็นสิ่งที่
เหมำะสม เนื่องจำกชุมชนเป็นผู้ใกล้ชิดปัญหำตลอดเวลำ กำรได้มีส่วนร่วมในกำรแก้ไขปัญหำ
พัฒนำพื้นที่ของตนเองด้วยภูมิปัญญำที่สั่งสมมำแต่บรรพบุรุษ ย่อมทำให้คนในพื้นที่เกิดควำมรู้สึก
เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน รู้สึกหวงแหนทำเพื่อชุมชนของตน
1.3 กำรสร้ำงระบบกำรแข่งขัน (Competitive Government: Infection
competitive into service delivery) รัฐบำลนอกจำกจะลดบทบำทกำรเป็นผู้ปฏิบัติเองแล้วยัง
ต้องสร้ำงระบบกำรแข่งขันให้เอกชนเข้ำมำมีบทบำทดังกล่ำวแทนด้วยควำมเสมอภำคด้วย
กล่ำวคือ ให้เอกชนต่ำงแข่งขันกันเข้ำมำมีส่วนในกำรให้บริกำรประชำชน ทั้งนี้ ภำครัฐต้องมี
บทบำทในกำรเป็นผู้กำหนดแนวทำง ระเบียบกำรตลำดเพื่อกำรแข่งขันของภำคเอกชน มิให้เกิด
กำรผูกขำดของภำคเอกชนในกำรให้บริกำรประชำชน
1.4 กำรเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ (Mission-Driven Government :
Transforming rule-driven organizations) สิ่งที่นับเป็นเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่ำงหนึ่งของ
ระบบรำชกำรที่ให้บริกำรแก่ประชำชนล่ำช้ำก็คือ กำรกำหนดระเบียบขั้นตอนและกฎหมำย
รองรับมำกเกินไป ทำให้ข้ำรำชกำรต้องยึดถือและปฏิบัติตำมโดยไม่กล้ำหลีกเลี่ยง เนื่องจำกเป็น
หลักประกันว่ำตนเองจะไม่มีควำมผิด ดังนั้น กำรเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ กฎหมำยให้เอื้อต่อกำร
ให้บริกำรประชำชนมีขั้นตอนน้อยลง ย่อมจะส่งผลให้กำรให้บริกำรประชำชนเป็นไปอย่ำงมี
ประสิทธิภำพขึ้นได้
1.5 กำรจัดสรรงบประมำณโดยมุ่งเน้นกำรบรรลุเป้ำหมำย (Results-Oriented
Government: Funding Outcomes, Not Inputs) รัฐควรมีระบบกำรจัดสรรงบประมำณโดย
ยึดผลสำเร็จตำมเป้ำหมำยที่กำหนดไว้ในแต่ละภำรกิจเป็นหลัก มิใช่จัดสรรโดยใช้กำรเพิ่มยอด
วงเงินทีละเล็กละน้อย จำกยอดวงเงินที่ได้รับกำรอนุมัติของปีงบประมำณที่ผ่ำนมำดังเช่นใน
ปัจจุบัน โดยไม่คำนึงถึงว่ำโครงกำรที่ขอรับกำรจัดสรรเงินงบประมำณนั้นมีควำมเหมำะสมที่
จะต้องดำเนินกำรอย่ำงต่อเนื่องต่อไปหรือไม่
1.6 กำรตอบสนองควำมต้องกำรของผู้รับบริกำร (Customer Driven
191
Government: Meeting the Needs of the Customer, not the bureaucracy) โดยกำรที่
รัฐหรือบุคลำกรของรัฐต้องใกล้ชิดประชำชนเพื่อรับทรำบควำมต้องกำรปัญหำควำมเดือดร้อนของ
ประชำชน สำมำรถนำมำกำหนดวิธีกำร แนวทำงแก้ไขได้ถูกต้อง เหมำะสม
1.7 กำรจัดหำทรัพยำกรให้มำกกว่ำกำรใช้ (Enterprising Government:
Earning rather than Spending) ข้ำรำชกำรควรมุ่งเน้นกำรจัดหำหรือระดมทรัพยำกรจำกนอก
องค์กรมำใช้จ่ำยเพื่อกำรบริหำรจัดกำรให้คุ้มค่ำ เกิดประโยชน์สูงสุด จำกเดิมมุ่งกำรใช้จ่ำย
งบประมำณและทรัพยำกรให้หมดภำยในปีงบประมำณเท่ำนั้น
1.8 กำรมุ่งเน้นกำรป้องกันมำกกว่ำกำรแก้ไขปัญหำ (Anticipatory
Government: Prevention rather than Cure) กำรปฏิบัติงำนของหน่วยงำนภำครัฐ ควรจะ
ดำเนินงำนแก้ไขปัญหำควำมเดือดร้อนหรือควำมต้องกำรของประชำชนควบคู่กันไปกับกำร
วิเครำะห์ที่ปัญหำที่อำจจะเกิดขึ้นในอนำคต และเสนอแนะแนวทำงป้องกันปัญหำที่เกิดขึ้น อันจะ
เป็นกำรป้องกันกำรเกิดปัญหำในระยะยำวได้
1.9 กำรกระจำยอำนำจ (Decentralized Government : From hierarchy
to participation and teamwork) กำรจัดโครงสร้ำงระบบองค์กรภำครัฐควรจะมีชั้นกำรบังคับ
บัญชำน้อยลง เพื่อให้เกิดควำมคล่องตัวและรวดเร็วในกำรปฏิบัติภำรกิจ เป็นกำรใช้กำลังคนให้
เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย นอกจำกนี้ยังเป็นกำรกระตุ้นให้ข้ำรำชกำรระดับล่ำงได้แสดง
ควำมสำมำรถคิดสร้ำงสรรค์สิ่งใหม่ รวมถึงกำรกระจำยอำนำจกำรตัดสินใจทำงกำรบริหำรจำก
รัฐบำลกลำงไปสู่รัฐบำลท้องถิ่นมำกยิ่งขึ้น ให้ประชำชนหรือองค์กรท้องถิ่นมีบทบำทในกำร
ตัดสินใจแก้ปัญหำของพื้นที่ได้มำกยิ่งขึ้น
1.10 กำรเปลี่ยนกำรบริหำรแบบผูกขำดเป็นกำรแข่งขันในระบบตลำด
(Market-Oriented Government: Leveraging change through the market) หน่วยงำน
ภำครัฐจะต้องลดบทบำทกำรเป็นผู้ปฏิบัติมำเป็นผู้ควบคุม ตรวจสอบมำตรฐำน ซึ่งบทบำทผู้
ปฏิบัตินั้นควรให้องค์กรเอกชนรับผิดชอบ ในขณะเดียวกันหน่วยงำนภำครัฐก็จะเป็นผู้กำหนด
มำตรฐำน ควบคุมกำรให้บริกำรที่เอกชนรับช่วงไปจำกภำครัฐ
2. แนวควำมคิดเกี่ยวกับกำรปรับรื้อระบบใหม่ (Reengineering) แนวคิดนี้มีพื้นฐำนมำ
จำกกำรรื้อปรับโครงสร้ำง ระบบงำนขององค์กรเอกชน ซึ่งสำมำรถนำมำใช้ได้ประสบควำมสำเร็จ
เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งกำรมุ่งเน้นปรับเปลี่ยนระบบเดิมโดยสิ้นเชิง ได้แก่ แนวคิด
ของ Hammer และ Champy ซึ่งมีสำระสำคัญของแนวคิดดังกล่ำว คือ
2.1 กำรเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดจำกผู้บริหำรระดับสูงที่มีอำนำจตัดสินใจ
ทำงกำรบริหำรขององค์กำร
192
ส่วนร่วมของผู้ร่วมงำนภำยในองค์กำรและระหว่ำงองค์กำร ซึ่งจะก่อให้เกิดวัฒนธรรมกำรทำงำน
เป็นทีม และเกิดลักษณะกำรทำงำนสื่อสำรสองทำง (Two-way Communication) คือ มีทั้ง
ลักษณะกำรสั่งกำรจำกเบื้องบน (Top-Down) และกำรนำเสนอจำกระดับล่ำงไปสู่ระดับบน
(Bottom-Up) ซึ่งจะทำให้เกิดควำมคิดเชิงสร้ำงสรรค์หรือนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นในหน่วยงำนได้
5.6 หลักนิติธรรม (Legal Framework) กำรบริหำรโดยยึดหลักที่ถูกต้องตำม
กฎหมำย จะช่วยลดควำมขัดแย้งในสังคมและองค์กำรได้
5.7 กำรตอบสนองควำมต้องกำรของผู้รับบริกำร (Responsiveness)
ข้ำรำชกำรจะต้องมีทัศนคติว่ำผู้มำขอรับบริกำรเปรียบเสมือนลูกค้ำ ต้องยึดประชำชนหรือผู้มำ
ขอรับบริกำรมำกกว่ำที่จะมุ่งตอบสนองควำมต้องกำรของผู้บังคับบัญชำ
5.8 หลักจริยธรรม (Ethics) องค์กำรที่บุคลำกรทุกระดับในองค์กำรเป็นผู้มี
คุณธรรมและจริยธรรม ย่อมนำไปสู่ควำมเจริญรุ่งเรือง มีภำพลักษณ์ที่ดีในสำยตำบุคคลภำยนอก
8.2.1 ความสาคัญของการปฏิรูประบบราชการ
กำรเปลี่ยนแปลงของโลกภำยใต้กระแสโลกำภิวัตน์ ทำให้กำรแข่งขันในเวทีโลกรุนแรง
มำกขึ้น สังคมเข้ำสู่ยุคแห่งกำรเรียนรู้ กระแสแห่งประชำธิปไตยทำให้บทบำทของภำคประชำ
สังคมมีบทบำทต่อกำรบริหำรงำนภำครัฐเพิ่มมำกขึ้น ระบบรำชกำรไทยต้องปรับเปลี่ยนและ
พัฒนำกำรบริหำรจัดกำรเพื่อเป็นองค์กรสมัยใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมำยเพื่อ
1.เกิดประโยชน์สุขของประชำชน
2.เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภำรกิจของรัฐ
3.มีประสิทธิภำพและเกิดควำมคุ้มค่ำในเชิงภำรกิจของรัฐ
4.ไม่มีขั้นตอนกำรปฏิบัติงำนเกินควำมจำเป็น
5.มีกำรปรับปรุงภำรกิจของส่วนรำชกำรให้ทันต่อสถำนกำรณ์
6.ประชำชนได้รับกำรอำนวยควำมสะดวกและได้รับกำรตอบสนองควำมต้องกำร
8.2.2 การปฏิรูประบบราชการไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ระบบรำชกำรไทยได้มีกำรปฏิรูปตำมลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับกำรเปลี่ยนแปลงทำง
เศรษฐกิจ สังคม และกำรเมืองทั้งภำยในและภำยนอกประเทศ ซึ่งกำรปฏิรูประบบรำชกำรไทยมี
ลำดับในกำรปฏิรูปที่สำคัญดังนี้คือ
1. การปฏิรูประบบราชการในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
จำกเดิมที่ระบบกำรปกครองอยุธยำตอนต้นใช้ระบอบกำรปกครองตำมแบบอย่ำงของ
ขอม โดยมีกษัตริย์เป็นศูนย์กลำง และมีเสนำบดี 4 ฝ่ำย คือ ขุนเมือง ขุนวัง ขุนคลัง ขุนนำ[3] แต่
195
กำรที่อำณำจักรอยุธยำแผ่ขยำยออกไปเรื่อยๆ โดยเฉพำะหลังกำรผนวกอำณำจักรสุโขทัยเข้ำเป็น
ส่วนหนึ่งของอำณำจักรอยุธยำในปี พ.ศ.1981 รวมถึงปัญหำกำรแย่งชิงอำนำจทำงกำรเมืองตลอด
ช่วงต้นของอำณำจักรอยุธยำ ทำให้ต้องปฏิรูปกำรปกครองเพื่อให้มีประสิทธิภำพและควำมมั่นคง
ยิ่งขึ้น โดยมีกำรตั้ง กรมกลำโหมและกรมมหำดไทย โดยทั้งสองกรมมีอัครมหำเสนำบดีเป็น
ผู้บังคับบัญชำและมีอำนำจเหนือ เสนำบดีจตุสดมภ์ แยกอำนำจของฝ่ำยทหำรและพลเรือนออก
จำกกันเพื่อรวมอำนำจเข้ำสู่ศูนย์กลำง ทำให้รำชธำนีเป็นศูนย์กลำงแห่งอำนำจ
นอกจำกนี้สมเด็จพระบรมไตรโลกนำถทรงกำรจัดระเบียบควำมสัมพันธ์ระหว่ำงรำชธำนี
กับหัวเมืองใหม่ โดยให้พื้นที่รอบกรุงศรีอยุธยำและอำณำเขตเมืองลูกหลวงให้มำขึ้นกับเมืองหลวง
โดยตรงเป็นเขตปกครองใหม่เรียกว่ำ รำชธำนี จัดเป็นหัวเมืองชั้นในหัวเมืองนอกวงรำชธำนี
ออกไปจัดเป็นหัวเมืองเอกหรือเมืองลูกหลวงเอกและเมืองโทหรือเมืองลูกหลวงโท ไกลออกไปจำก
รำชธำนีและเมืองลูกหลวงเอกเมืองลูกหลวงโท จะเป็นเขตหัวเมืองใหญ่ เรียกว่ำ เมืองพระยำมหำ
นคร
2.การปฏิรูประบบราชการในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กำรแผ่ขยำยของลัทธิจักรวรรดินิยมและกำรทำสนธิสัญญำเบำวริง ส่งผลให้สยำมต้องมี
กำรปรับปรุงระบบกำรค้ำ กำรจัดเก็บภำษี และระบบยุติธรรม กำรเกิดรัฐชำติ (Nation State)
ทำให้อำณำจักรสยำมขยำยตัวออกไปเป็นอันมำก และควำมซับซ้อนของสังคม ระบบกำรปกครอง
แบบจตุสดมภ์จึงล้ำสมัยและขำดประสิทธิภำพ พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวจึงทรง
ยกเลิกกำรปกครองแบบจตุสดมภ์และตั้งกระทรวงจำนวน 12 กระทรวงในวันที่ 1 เมษำยน 2435
เพื่อทำหน้ำทีบ่ ริหำรรำชกำรแผ่นดิน คือ
1.กระทรวงมหำดไทย
2.กระทรวงนครบำล
3.กระทรวงโยธำธิกำร
4.กระทรวงธรรมกำร
5.กระทรวงเกษตรพำนิชกำร
6.กระทรวงยุติธรรม
7.กระทรวงมุรธำธร
8.กระทรวงยุทธนำธิกำร
9.กระทรวงพระคลังมหำสมบัติ
10.กระทรวงกำรต่ำงประเทศ
11.กระทรวงกลำโหม
196
12.กระทรวงวัง
กำรปฏิรูปรำชกำรบริหำรส่วนท้องถิ่น โปรดเกล้ำให้จัดระเบียบรำชกำรบริหำรส่วน
ท้องถิ่นโดยตรำพระรำชบัญญัติกำหนดสุขำภิบำลกรุงเทพฯ พ.ศ.2440 โดยให้กระทรวงนครบำล
จัดสุขำภิบำลขึ้นในกรุงเทพฯ และทดลองจัดตั้งสุขำภิบำลที่ตำบลท่ำฉลอม เมืองสมุทรสำคร ในปี
2448 และ ตรำพระรำชบัญญัติจัดกำรสุขำภิบำล ร.ศ.127 (พ.ศ.2452)
นอกจำกนี้ยังทรงปฏิรูปกฎหมำยและกำรศำล มีกำรยุบรวมปรับปรุงศำลเพื่อให้ทำหน้ำที่ได้ดี
ยิ่งขึ้น และตรำพระธรรมนูญศำลยุติธรรม พ.ศ. 2451 ให้มศี ำลฎีกำ ศำลสถิตยุติธรรม
กรุงเทพฯ และศำลหัวเมือง
3. การปฏิรูประบบราชการ พ.ศ.2476
หลังกำรเปลี่ยนแปลงกำรปกครอง พ.ศ.2475 ได้มีกำรตรำพระรำชบัญญัติว่ำด้วย
ระเบียบบริหำรรำชกำรแห่งรำชอำณำจักรสยำม พ.ศ.2476 เพื่อวำงโครงสร้ำงกำรบริหำรรำช
แผ่นดินภำยใต้ระบอบกำรปกครองใหม่ โดยแบ่งกำรบริหำรรำชกำรออกเป็น รำชกำรบริหำร
ส่วนกลำง ส่วนภูมิภำคและส่วนท้องถิ่น
4. การปฏิรูประบบราชการ พ.ศ.2545
กำรประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มิถุนำยน พ.ศ.2544 มีกำรกำหนดนโนบำยกำร
ปฏิรูประบบรำชกำร โดยอนุมัติระเบียบสำนักนำยกรัฐมนตรีว่ำด้วยกำรปฏิรูประบบ
รำชกำร เพื่อให้กำรปฏิรูประบบรำชกำรบรรลุผลได้อย่ำงมีประสิทธิภำพและประสิทธิผล โดยให้มี
คณะกรรมกำรปฏิรูประบบรำชกำร เรียกโดยย่อว่ำ "ปรร." ประกอบด้วย นำยกรัฐมนตรีหรือรอง
นำยกรัฐมนตรีที่นำยกรัฐมนตรีมอบหมำยเป็นประธำนกรรมกำร รองนำยกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี
ประจำสำนักนำยกรัฐมนตรีที่นำยกรัฐมนตรีมอบหมำยเป็นรองประธำนกรรมกำร โดยมีเลขำธิกำร
คณะกรรมกำรปฏิรูประบบรำชกำรเป็นกรรมกำรและเลขำนุกำร
คณะกรรมกำรปฏิรูประบบรำชกำรมีอำนำจหน้ำที่ที่สำคัญในกำรกำหนดนโยบำย มำตรกำร และ
แนวทำงกำรดำเนินงำนเพื่อกำรปฏิรูประบบรำชกำร จัดทำแผนแม่บทกำรปฏิรูประบบรำชกำร
เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี พิจำรณำอนุมัติ พิจำรณำกลั่นกรอง ประเมิน วิเครำะห์และเสนอแนะ
มำตรกำรหรือแนวทำงตัดสินใจเชิงรุกตำมนโยบำย
สำหรับกำรดำเนินกำรของรัฐบำลในกำรปฏิรูปเพื่อจัดระเบียบบริหำรรำชกำรส่วนกลำง
ของรัฐบำลปัจจุบัน ได้มีกำรทำกรอบแนวคิดทำงเศรษฐศำสตร์ คือ ห่วงโซ่แห่งคุณค่ำ (Value
Chain) มำปรับใช้ โดยผสมผสำนกับแนวคิดในกำรบริหำรจัดกำรที่ดี (Good Governance) ซึง่
รัฐบำลได้ประชุมเชิงปฏิบัติกำรโดยระดมสมองจำกนักกำรเมืองผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชำกำรและ
197
8.3 สรุป
กำรเข้ำสู่ยุคข้อมูลข่ำวสำรภำยหลังกำรต่อสู้ทำงอุดมกำรณ์นำมำสู่กำรแข่งขันในทำง
เศรษฐกิจวัฒนธรรมกำรบริหำรและกำรปกครองด้วยลักษณะกำรบังคับด้วยกฎหมำย และกำรใช้
กฎเกณฑ์โดยรัฐเปลี่ยนแปลงไปสู่กำรที่รัฐต้องคอยเอื้ออำนวยให้เกิดกำรประสำนงำนเพื่อกำร
แข่งขันและกำรต่อสู้ในทำงเศรษฐกิจระหว่ำงประเทศ โดยนัยดังกล่ำวบทบำทของรัฐจึงต้องมีกำร
200
ปรับเปลี่ยนและถูกทดแทนโดยบทบำทของประชำชนและสังคมในลักษณะกำรมีส่วนร่วมและ
ควำมเป็นประชำธิปไตย โดยอำศัยองค์กรประชำชนและองค์กรทำงสังคม ทิศทำงรัฐประศำสน
ศำสตร์เพื่อปรับทิศทำงให้ทันต่อกำรเปลี่ยนแปลง โดยเฉพำะกำรปฏิรูปรำชกำรในปัจจุบัน
201
คาถามท้ายบท
1. อธิบำยกำรปฏิรูประบบรำชกำรไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
2. สำเหตุของกำรปฏิรูประบบรำชกำรไทยในปัจจุบัน
3. กฎหมำยสำคัญในกำรปฏิรูประบบรำชกำรไทยในปัจจุบัน
202
เอกสารอ้างอิง
Dwight Waldo. The Study of Public Administration. New York : Random House, 1955.
Dwivedi R.S.. Management of Human Resources. New Delhi : Oxford & IBH
Publishing, 1985.
Dye, Thomas R. Understanding Public Policy. 5th ed. Englewood Cliff, New Jersey :
Prentice Hall, 1984.
Easton, David. A Framework for Political Analysis. Englewood Cliff, New
Jersey : Prentice Hall, 1965.
Felex A. Nigro and Lloyd G. Nigro. Modern public administration. 6th ed. New York :
Harper & Row, 1984.
George, H. Frederickson. (1980). “Comparing the Reinventing Government
Movement with the New Public Administration”. Public Administration
Review 56 (3).
Gronroos, C. Relationship approach to marketing in service contexts: The
marketing and organizational behavior interface. Journal of Business
Research, 20(1), 3-17. 1990.
Jarmo R. Lehtinen. Customer Relationship Management. McGraw-Hill Companies :
1st ed. December 15, 2001.
Kaplan, Robert S., and Norton David P. The Balanced Scorecard : Translating
Strategies into Action. Boston : Harvard Business School Press. 1996.
Katz, D., & Kahn, R. L. The Social Psychology of Organizations. New York: Wiley.
1966.
Katz, Daniel and Kahn, Robert. The Social Psychology Organizations. New York :
John Wiley. Sons, 1973.
Kotler, P. Marketing management: Analysis planning implementation and
control. 8th ed. Englewood Cliffs, NJ.: Prentice-Hall, 1997.
Lasswell, Harold D. and Caplan, Abraham. Power and Society. New Haven : Yale
University Press, 1970.
LoveLock, H. C. Managing Services. New York : McGraw - Hill Book Company, 1996.
Millet, J. D. Management in the public service. New York: McGrew-Hill Book, 1954.
Mondy R. Wayne, Robert M. Noe, and Shane R. Premeaux, Human Resource
Management. New Jersey : Prentice Hall, Inc, 1996.
207