Professional Documents
Culture Documents
หนังสืออ วาโร
หนังสืออ วาโร
คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
2565
ความเป็นครู: แนวคิด ทฤษฎี สู่กลยุทธ์การพัฒนา
Self-Actualization for Teachers: Concepts, Theories
to Developmental Strategies
ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์
ค.บ. เกียรตินยิ มอันดับ 1 (วิชาเอกการศึกษาปฐมวัย วิชาโทภาษาอังกฤษ)
ศษ.บ. (การวัดและประเมินผลการศึกษา)
กศ.ม. (การวัดผลการศึกษา)
ศษ.ด. (การบริหารการศึกษา)
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสานักหอสมุดแห่งชาติ
วาโร เพ็งสวัสดิ์.
ความเป็นครู: แนวคิด ทฤษฎี สู่กลยุทธ์การพัฒนา. สกลนคร: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ราชภัฏสกลนคร, 2565. จานวน 204 หน้า.
1. การศึกษา 2. ความเป็นครู
370.72
ครั้งทีพ
่ ิมพ์ 1 จานวน 100 เล่ม มิถุนายน พ.ศ. 2565
สงวนลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ ห้ามคัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ท้าซ้า จัดพิมพ์หรือกระท้าอื่นใด
โดยวิธีการใด ๆ ในรูปแบบใด ๆ ไม่วา่ ส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี เพื่อเผยแพร่ในสื่อทุกประเภท
หรือเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากผู้เขียนเท่านัน
“กว่าที่จะประสบความสาเร็จ
และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไป
ไม่ใช่เรื่องที่จะได้มาโดยบังเอิญ
แต่หากต้องอาศัยความเพียรพยายาม
ความอดทน และไม่ยอ่ ท้อต่ออุปสรรค”
วาโร เพ็งสวัสดิ์
สิงหาคม 2548
สารบัญ
เรื่อง หน้า
เรื่อง หน้า
คุณลักษณะของครูที่ดีตามคาสอนในพระพุทธศาสนา ..................……….……. 45
คุณลักษณะของครูที่ดีตามแนวคิดของนักการศึกษาและหน่วยงาน ............… 48
คุณลักษณะของครูที่ดีจากผลการวิจัย ............................................…………… 53
การสังเคราะห์คุณลักษณะของครูที่ดี .......................................................... 57
ขอบข่ายเนื้อหาการพัฒนาคุณลักษณะของครู .............................................. 61
กระบวนการพัฒนาคุณลักษณะของครู ........................................................ 62
วิธีการประเมินผลการพัฒนาคุณลักษณะของครู .......................................... 64
สรุปท้ายบท ……….……………………………………………………….…….………………………….. 65
แบบฝึกหัดท้ายบท ………………………..……………………………………..……………………….. 66
เรื่อง หน้า
เรื่อง หน้า
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
“ความชราไม่ได้ขึน้ อยู่กับตัวเลขของอายุ
แต่ขึน้ อยู่กับความคิด จิตใจ และสุขภาพของแต่ละคน
คนบางคนเกิดมาก็แก่แล้ว
และบางคนไม่เคยแก่”
ไทรอน เอ็ดวาร์ดส์
(9)
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
“การล้มเหลวทาให้เจ็บปวด
แต่มันจะยิ่งเลวร้ายกว่าการไม่เคยพยายามทาอะไรให้สาเร็จเลย
ในชีวติ นีเ้ ราไม่มีทางได้อะไรมาโดยปราศจากความอุสาหะ”
ธีออดอร์ โรสท์เวลท์ (1858-1919)
บทที่ 1
ความสาคัญของวิชาชีพครู
วิชาชีพครูมีความสาคัญอย่างมาก เพราะครูเป็นผู้ปลูกฝังความรู้ ความคิดและคุณธรรม
และพัฒนาเยาวชนให้มีความเจริญในทุก ๆ ด้าน ยิ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้ า
มากย่อมต้องอาศัยครูที่มีความรู้ ความสามารถในการที่จะพัฒนาเยาวชนให้มีความเจริญงอก
งาม รู้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในด้านต่าง ๆ เพื่อให้มีความรู้ความสามารถและเป็น
กาลังสาคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมืองต่อไป
สาหรับในบทนี้จะได้นาเสนอเนื้อหาตามลาดับ ดังนี้ ความหมายของวิชาชีพ ความหมาย
ของครู ลักษณะของวิชาชีพครู ความสาคัญของวิชาชีพครู หน้าที่และความรับผิดชอบของครู และ
บทบาทของครูในศตวรรษที่ 21
ความหมายของวิชาชีพ
ความหมายของครู
ลักษณะของวิชาชีพครู
ชื่อนักการศึกษา
2) อุทุมพร จามรมาน (2537)
องค์ประกอบที่คัดสรร
4) ยนต์ ชุ่มจิต (2553)
1) Gutek (1981)
ลักษณะวิชาชีพครู
ความถี่
ร้อยละ
1. การใช้วิธีการแห่งปัญญาในการให้บริการ 5 83.33 √
-วิชาชีพเป็นกิจกรรมทางปัญญาและวิชาความรู้เฉพาะด้าน
-กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญญา
-การใช้วิธีการแห่งปัญญาในการให้บริการ
-ใช้วธิ กี ารทางปัญญา
-การใช้วธิ กี ารแห่งปัญญาในการให้บริการ
2. การบริการให้แก่สังคม 5 83.33 √
-วิชาชีพเป็นกิจการที่จาเป็นเฉพาะสาขาที่สังคมต้องการและบริการแก่สังคม
-กิจกรรมที่บริการผู้อื่น
-มีบริการที่ให้แก่สังคมที่มีลักษณะเฉพาะ เจาะจง และจาเป็นที่สังคม
จาต้องมีบริการดังกล่าว
-บริการสังคม
-การให้บริการที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงและจาเป็นแก่สังคม
3. การใช้ระยะเวลาในการศึกษาอบรมยาวนาน 6 100 √
-การเข้าสู่วชิ าชีพนั้นต้องเตรียมตัวในการศึกษาวิชาชีพนั้น ๆ ในวิทยาลัย
หรือมหาวิทยาลัยในระยะเวลาที่มากพอสมควร
-กิจกรรมที่ต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้า
-ได้รับการศึกษาอบรมให้มีความรู้กว้างขวางลึกซึ้ง โดยใช้ระยะเวลา
ยาวนานพอสมควร
-ใช้ระยะเวลาในการศึกษาอบรมยาวนาน
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 5
องค์ประกอบที่คัดสรร
4) ยนต์ ชุ่มจิต (2553)
1) Gutek (1981)
ลักษณะวิชาชีพครู
ความถี่
ร้อยละ
-มีการศึกษาอบรมเป็นระยะเวลานาน
-การได้รับการอบรมระยะเวลานานเพื่อให้มีความรู้กว้างขวางลึกซึ้ง
4. การมีเสรีภาพในการใช้วิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพ 6 100 √
-ผู้ประกอบวิชาชีพมีเอกสิทธิ์และเสรีภาพทางวิชาชีพ
-กิจกรรมที่มีมาตรฐาน
-มีความเป็นอิสระและมีเสรีภาพทางวิชาการในการให้บริการตาม
มาตรฐานของวิชาชีพ
-มีอิสระในการตัดสินใจตามสมรรถนะของผู้ประกอบวิชาชีพ
หรือความเป็นอิสระของผู้ประกอบวิชาชีพ
-การมีเสรีภาพในการใช้วชิ าชีพตามมาตรฐานวิชาชีพ
5. การมีจรรยาบรรณวิชาชีพ 3 50 √
-มีจรรยาบรรณวิชาชีพ
-มีจรรยาบรรณ
-การมีจรรยาบรรณ
6. การฝึกอบรมประจาอย่างต่อเนื่อง 2 33.33
-กิจกรรมที่ต้องการความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
-มีการฝึกอบรมประจาการอย่างต่อเนื่อง
7. การมีองค์กรวิชาชีพเป็นแหล่งกลางในการสร้างสรรค์จรรโลงมาตรฐาน 6 100 √
-สมาชิกแห่งวิชาชีพต่าง ๆ มีการจัดตั้งองค์กรวิชาชีพที่เป็นอิสระ
ในการควบคุมจรรยาบรรณ
-กิจกรรมที่มีองค์กร สถาบันรองรับอย่างชัดเจนและเข้มแข็ง
-มีสถาบันวิชาชีพเป็นแหล่งกลางในการควบคุมมาตรฐานและ
ส่งเสริมความก้าวหน้าของวิชาชีพ
-มีองค์กรพิทักษ์ประโยชน์
-การมีสถาบันวิชาชีพ
8. อยู่บนพื้นฐานทางทฤษฎี ทางวิทยาการของศาสตร์แต่ละสาขา 2 33.33
-การประกอบการของวิชาชีพนั้นอยู่บนพื้นฐานทางทฤษฎี
ทางวิทยาการของศาสตร์แต่ละสาขา
-กิจกรรมที่อาศัยความรู้เฉพาะสิ่ง
9. วิชาชีพแต่ละสาขาจะกาหนดมาตรฐานแห่งวิชาชีพ 1 16.67
10. กิจกรรมที่ต้องใช้เวลาเต็มเวลาและมีการเป็นสมาชิกที่ถาวร 1 16.67
11. การยอมรับเป็นอาชีพได้ตลอดชีวิต 1 16.67
รวม 7 8 6 8 3 6
วิชาชีพเป็นแหล่งกลางในการสร้างสรรค์จรรโลงมาตรฐานของวิชาชีพ
ลักษณะของวิชาชีพครูที่กล่าวมา สามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ ดังนี้
การใช้วิธีการแห่งปัญญาในการให้บริการ
การบริการให้แก่สงั คม
การใช้ระยะเวลาในการศึกษาอบรมยาวนาน
ลักษณะของ
วิชาชีพครู การมีเสรีภาพในการใช้วิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพ
การมีจรรยาบรรณวิชาชีพ
การมีองค์กรวิชาชีพเป็นแหล่งกลางในการสร้างสรรค์จรรโลง
มาตรฐาน
ของวิชาชีพ
ลักษณะของวิชาชีพครูแต่ละลักษณะมีรายละเอียด ดังนี้
1. วิชาชีพครูใช้วิธีการแห่งปัญญาในการให้บริการ (intellectual techniques) วิชาชีพครู
ต้องใช้วิธีการแห่งปัญญาเป็นอย่างยิ่ง เพราะการสอนเป็นการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์
ค่านิยมไปสู่เยาวชน ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ ความคิด หลักการและทฤษฎีในการให้บริการ จึง
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้เรียนไปในแนวทางที่ปรารถนา เป็นทั้งศาสตร์และ
ศิลป์ที่ต้องอาศัยการวินิจฉัย ไตร่ตรอง ด้วยวิธีการแห่งปัญญา จึงจะสามารถให้บริการได้ตาม
จุดมุง่ หมายของการศึกษา
2. วิชาชีพ ครูมีการบริการให้แก่สังคม (social service) เป็นการให้บริการที่มีลักษณะ
เฉพาะเจาะจง และจาเป็นที่สังคมจาต้องมีบริการดังกล่าว การสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้สามารถ
ดารงตนอยู่ในสังคมได้อย่างดี มีความสุขและเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม เป็นกิจกรรมสาคัญที่ทุก
สังคมถือเป็นรากฐานของความเจริญ วิชาชีพครูถือว่าเป็นวิชาชีพหลักที่เป็นแหล่งกาเนิดของ
วิชาชีพอื่น เพราะถ้าปราศจากการบริการจากวิชาชีพครูแล้ว การพัฒนาคนเพื่อให้เป็น สมาชิก
ของวิชาชีพอื่น ๆ ย่อมจะกระทาไม่ได้
3. วิชาชีพครูจะใช้ระยะเวลาในการศึกษาอบรมยาวนาน (long period of training)
วิชาชีพครูตอ้ งการผู้ประกอบวิชาชีพเป็นผูท้ ี่มคี วามรู้ ความชานาญมากเป็นพิเศษ ซึ่งจาเป็นต้อง
ได้รับการศึกษาอบรมให้มีความรู้ ความชานาญในเนื้อหาวิชาที่จะสอนอย่างลึกซึ้ง มีความรู้กว้าง
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 7
ความสาคัญของวิชาชีพครู
วิชาชีพครูมีบทบาทสาคัญต่อสังคมและประเทศ โดยเป็นเครื่องมือสาคัญในการพัฒนา
คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการแข่งขัน
ในนานาประเทศ ความส าคั ญ ของวิชาชีพครูจะเห็นได้ จากพระราโชวาทของสมเด็ จพระบรม
โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่กล่าวถึงความสาคัญ ของครูในพิธีพระราชทานปริญ ญา
บัตรแก่ผู้สาเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยครู เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2523 ตอนหนึ่งว่า
“...หน้าที่ของครูนั้นเป็นหน้าที่ที่มีความสาคัญ เพราะเป็นการปลูกฝังความรู้ ความคิด
และจิตใจแก่เยาวชน เพื่อที่จะเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่ดี และมีประสิทธิภาพของประเทศชาติใน
กาลข้างหน้า ผู้เป็นครูจึงจัดได้ว่าเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการสร้างสรรค์ บันดาลอนาคตของ
ชาติบ้านเมือง...”
พระบรมราโชวาทของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่พระราชทาน
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สาเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยครู เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม
2526 ตอนหนึ่งว่า
“...อาชีพครูถือว่าสาคัญ ยิ่ง เพราะครูมีบทบาทสาคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญ
มั่นคง และก่อนที่จะพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญได้นั้น จะต้องพัฒนาคนซึ่งได้แก่เยาวชนของชาติ
เสียก่อน เพื่อให้เยาวชนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่าสมบูรณ์ทุกด้าน จึงสามารถสร้างความเจริญ
ให้แก่ชาติตอ่ ไปได้...”
จักรพรรดิ วะทา (2556: 20-21) ได้กล่าวว่าวิชาชีพมีบทบาทต่อสังคมและประเทศ ดังนี้
1) การสร้างพลเมืองที่ดีของประเทศ เป็นการเตรียมสมาชิกใหม่ของสังคม โดยการให้การศึกษา
พื้นฐานที่ทาให้ประชาชนของประเทศเป็นพลเมืองที่ดี 2) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเป็น
การพัฒนากาลังคน เพื่อสนองตอบการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของประเทศ ทั้งนี้ วิชาชีพครูมีส่วน
สาคัญในการจัดการพัฒนา นับตั้งแต่กาลังคนระดับแรงงาน ระดับช่างฝีมือ และระดับวิชาชีพ
และ 3) การสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติ โดยวิชาชีพครูจะทาหน้าที่เป็นเครื่องมือ
ถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง เป็นการรักษาความ
เป็นชาติของประเทศไว้นั่นเอง
พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ (2556: 3) ได้กล่าวถึงความสาคัญของครูว่า ครูเป็นบุคคล
สาคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาศิษย์ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ศิษย์ เพื่อไป
สร้างสรรค์ครอบครัวและสังคมให้มคี วามเจริญก้าวหน้า
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 9
หน้าที่และความรับผิดชอบของครู
ความหมายของหน้าที่และความรับผิดชอบของครู
ได้มผี ใู้ ห้ความหมายหน้าที่และความรับผิดชอบของครู ดังนี้
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (ราชบัณฑิตยสถาน. 2546: 1247) ได้
ให้ความหมายของคาว่า “หน้าที่”ซึ่งเป็นคานาม หมายถึง กิจที่จะต้องทาด้วยความรับผิดชอบ
ส่วนคาว่า “ความรับผิดชอบ” ซึ่งเป็นคากริยา หมายถึง ยอมรับผลทั้งที่ดีและไม่ดีในกิจการที่
ตนได้ทาลงไปหรือที่อยู่ในความดูแลของตน ดังนั้น หน้าที่และความรับผิดชอบ หมายถึง กิจที่
ต้องทาด้วยความรับผิดชอบและยอมรับผลที่ตนได้ทาลงไป
ธีรศักดิ์ อัครบวร (2543: 31) ได้กล่าวว่า หน้าที่ และความรับผิดชอบของครู หมายถึง
กิจที่ครูต้องกระทาให้ได้ผลดีโดยสม่าเสมอ การกระทาของครูเพื่อให้เกิดผลดีได้นั้นต้องอาศัย
พืน้ ฐานของกฎระเบียบ แบบธรรมเนียม จริยธรรม จรรยาบรรณและคุณธรรมเป็นปัจจัยสาคัญ
ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของยนต์ ชุ่มจิต (2553: 75) ได้กล่าวว่า หน้าที่และความรับผิดชอบ
ของครู หมายถึง กิจที่ผู้เป็นครูจาเป็นต้องกระทาให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ซึ่งอาจเป็นความจาเป็น
โดยอาศัยหลักศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม กฎหมาย หรือด้วยความสานึกในความถูกต้อง
เหมาะสมก็ได้
ในทัศนะของผู้เขียน หน้าที่และความรับผิดชอบของครู หมายถึง กิจที่ครูจะต้องทาด้วย
ความรับผิดชอบ และยอมรับผลที่เกิดขึ้นทั้งทางที่ดีและไม่ดี ในกิจที่ตนได้ท าลงไป หรืออยู่ใน
ความดูแลของตน
10 ความสาคัญของวิชาชีพครู
หน้าที่และความรับผิดชอบของครู
ได้มผี กู้ ล่าวถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของครู ดังนี้
พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) (1985 อ้างถึงใน พระครูโกวิทสุตาภรณ์ (สมดี โกวิโท).
2560: 132-133) ได้กล่าวถึงหน้าที่ของครูไว้ว่าครูมีหน้าที่ 2 ประการ ดังนี้
1) การถ่ายทอดความรู้ ศิลปวิทยา ครูควรเป็นผู้เชี่ยวชาญที่จะต้องสั่งสอนวิชาการ
ต่าง ๆ ให้ผเู้ รียนนาไปใช้ในการประกอบอาชีพ ดาเนินชีวติ เพื่อพึ่งตนเองได้ และทาประโยชน์แก่
สังคม ดังนัน้ หน้าที่ของครูจะต้องถ่ายทอดศิลปวิทยาให้ผเู้ รียน ดังนี้
1.1) ฝึกฝนแนะนาให้เป็นคนดี
1.2) สอนให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
1.3) สอนศิลปวิทยาให้อย่างไม่ปิดบัง
2) การชีแ้ นะให้ผู้เรียนมีปัญญาและคุณธรรม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นมนุษย์
ที่สมบูรณ์ ซึ่งหน้าที่นี้เรียกว่า เป็น “กัลยาณมิตร” ดังนั้น ครูผู้เป็นกัลยาณมิตรจึงต้องทาหน้าที่
ชีแ้ นะแนวทางในการดาเนินชีวิตที่ถูกต้องและชักนาให้ผู้เรียนฝึกฝนพัฒนาตน เพื่อให้เป็นมนุษย์
ทีส่ มบูรณ์ดว้ ยตนเอง หน้าที่ของครูในข้อนี้จะให้ความอนุเคราะห์ผเู้ รียน 2 ประการ ดังนี้
2.1) ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง
2.2) ทาการป้องกันในทิศทั้งปวง
ยนต์ ชุ่มจิต (2553: 86-90) ได้กล่าวถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของครูไว้ ดังนี้
1) สอนศิลปวิทยาการต่าง ๆ ให้แก่ศิษย์ บุคคลใดก็ตามที่เข้ามาประกอบวิชาชีพครู
จะต้องมีหน้ าที่สั่งสอนศิล ปวิทยาการให้แก่ศิษ ย์เป็นประการสาคัญ หากไม่ได้กาหนดหน้าที่
ดังกล่าวแล้วความเป็นครูย่อมไม่บังเกิดขึ้นกับตนเอง การอบรมสั่งสอนศิษย์นั้น นอกจากจะสั่ง
สอนวิชาความรูแ้ ล้ว จะต้องแนะนาวิธีการคิดแก้ไขปัญหาหรือให้ศษิ ย์เป็นคนคิดเป็นด้วย
2) ฝึกอบรมคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่ดีงามให้แก่ศิษย์ การฝึกอบรมคุณธรรม
จริยธรรม และค่านิยมที่ดีงามให้แก่ศิษย์ เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของครูทุกคนต้องกระทา
ควบคู่กับการสอนศิลปวิทยาการต่าง ๆ ครูอาจารย์ทุกคนต้องถือว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
ของตนโดยตรง จะละทิ้งหรือปล่อ ยปละละเลยมิได้ หากครูอาจารย์มุ่งสอนแต่ความรู้โดยมิได้
ฝึกอบรมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ดีงามให้แก่ศิษย์ เท่ากับสอนให้ศิษย์มีแต่ความรู้แต่
ขาดคุ ณ ธรรม บุ ค คลที่ มี ค วามรู้แ ต่ขาดคุ ณ ธรรมย่ อ มไม่ เป็ น ที่ ป รารถนาของสั งคม ในทาง
ตรงกันข้ามกลับจะเป็นอันตรายต่อสังคมมากกว่า หากครูอาจารย์คนใดปล่อยให้ศษิ ย์ของตนมี
สภาพเช่นนั้น ก็เท่ากับครูอาจารย์ผู้นนั้ มีส่วนร่วมในการทาลายสังคมด้วย
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 11
3) การปกครองดูแลความทุกข์ของศิษย์ เด็กนักเรียนเมื่ออยู่ที่บ้านย่อมได้รับการ
ดูแลเอาใจใส่ในความทุกข์สุขจากมารดาบิดาหรือผู้ปกครอง เมื่อมาอยู่ที่โรงเรียนจึงเป็นหน้าที่
ของครูอาจารย์ทุกคนที่จะต้องดูแลเอาใจใส่ความทุกข์สุขของศิษย์ให้ทั่วถึงเช่นเดียวกับที่ศิษย์
อยู่ที่บ้าน วิธีก ารดูแลทุกข์สุ ขของศิษย์เมื่ออยู่ที่โรงเรียน ซึ่งครูอาจารย์สามารถกระท าได้ มี
วิธีการดังต่อไปนี้
3.1) ดูแลห้ามปรามตักเตือน หรือลงโทษนักเรียนที่มีนิสัยก้าวร้าวต่อเพื่อน เพื่อ
มิให้ทาความเดือนร้อนราคาญแก่เพื่อนนักเรียนด้วยกัน
3.2) ดูแลเรื่องอาหารการกิน น้าดื่ม น้าใช้ สาหรับนักเรียนให้สะอาดถูกสุขอนามัย
อยู่เสมอ
3.3) ยามเมื่อนักเรียนป่วยไข้หรือได้รับอุบัติเหตุ ครูอาจารย์ตอ้ งรีบพยาบาล
รักษา ซึ่งถ้าหากอาการเจ็บป่วยของนักเรียนมีมาก ต้องรีบแจ้งผู้ปกครองโดยด่วน
3.4) ช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม หรือไม่มีอาหารกลางวัน
รับประทาน ตลอดจนนักเรียนที่ขัดสนในอุปกรณ์การเขียน เป็นต้น
3.5) จัดกิจกรรมนันทนาการเพื่อให้นักเรียนได้พักผ่อนหย่อนใจ หรือเสริมสร้าง
สติปัญญาตามความเหมาะสม
3.6) สอดส่องดูแล ห้ามปราม ตักเตือน หรือลงโทษนักเรียนที่มีนิสัยชอบขโมย
ของเพื่อน
4) การประเมินผลความเจริญก้าวหน้าของศิษย์ การประเมินผลความเจริญก้าวหน้า
ของศิษย์ ถือว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่สาคัญ ของครูอีก ประการหนึ่ง ทั้งนี้เพราะถ้า
หากปราศจากการประเมินผลแล้วก็จะไม่สามารถทราบได้ว่าศิษย์ของตนมีความเจริญก้าวหน้า
หรือมีการพัฒนาขึ้นกว่าเดิมหรือไม่เพียงใด ดังนั้นจึงถือว่าการประเมินผลความเจริญก้าวหน้า
ของศิษย์เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของครูทุกคนซึ่งจะต้องกระทาเป็น ระยะๆ ตลอดเวลาที่
มีการเรียนการสอน
5) แนะแนวการศึกษาและอาชีพแก่นักเรียน เนื่องจากนักเรียนแต่ละคนจะมีความ
แตกต่างกัน ทั้งทางด้านสติปัญญา ความสามารถ ความถนัดและบุคลิกภาพ เมื่อเป็นเช่นนี้ หาก
ครูช่วยให้นักเรียนได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการ หรือวิชาชีพที่ตรงกับความสามารถหรือความถนัดของ
นักเรียนแล้ว ก็จะช่วยทาให้นักเรียนเกิดความเจริญงอกงามอย่างเต็มที่และประสบความสาเร็จ
ในชีวิตค่อนข้างสูง หน้าที่ของครูอาจารย์ในด้านนี้ คือ การแนะแนวทางการศึกษาและอาชีพแก่
นักเรียนให้เหมาะสมกับระดับสติปัญญา ความสามารถ ความถนัดและบุคลิกภาพของตนเอง
12 ความสาคัญของวิชาชีพครู
6) จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความเจริญงอกงามของศิษย์ กิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัด
ให้แก่นักเรียนสามารถจาแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ 1) กิจกรรมการเรียนการสอน
ตามหลักสูตร เป็นกิจกรรมที่จัดให้นักเรียนได้เรียนรูใ้ นวิชาการต่าง ๆ ซึ่งอาจจะจัดในห้องเรียน
หรือนอกห้องเรียนก็ได้ และ 2) กิจกรรมเสริมหลักสูตร เป็นกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน
ตามหลักสูตรในวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นกิจกรรมที่มีส่วนสนับสนุนความเจริญงอกงาม
ของนักเรียนในหลาย ๆ ด้าน เช่น กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด รักษาดินแดน การแข่งขัน
กีฬาภายใน และการอยู่ค่ายพักแรม เป็นต้น
7) ปฏิบัติงานในหน้าที่และงานที่ได้รับมอบหมายให้สาเร็จเรียบร้อยและมีคุณภาพ
งานในหน้าที่ หมายถึง งานที่ครูต้องกระทาเป็นประจาควบคู่กับงานสอน เช่น งานตรวจสมุด
แบบฝึกหัดของนักเรียน ทาบัญชีเรียกชื่อ สมุดประจาชั้น สมุดประจาตัวนักเรียน และระเบียบ
นักเรียน เป็นต้น ส่วนงานที่ได้รับมอบหมาย หมายถึง งานใด ๆ ก็ได้ที่ผู้บริหารมอบหมายให้
กระทา เมื่อได้รับมอบหมายแล้วต้องถือว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ ซึ่งต้องกระทางานนั้น
ให้สาเร็จอย่างมีคุณภาพทุกครั้ง
8) ดูแลสอดส่องป้องกันภัยพิบัติมใิ ห้บังเกิดแก่ทรัพย์สนิ ของโรงเรียน ทรัพย์สนิ ของ
โรงเรียน คือ ทรัพย์สนิ ของทางราชการหรือของส่วนรวมซึ่งได้มาจากภาษีอากรของประชาชน
ทั้งประเทศ ครูที่ทาการสอนอยู่ในโรงเรียนใดก็เปรียบเสมือนเจ้าของโรงเรียนนั้น ดังนั้นจึงเป็น
หน้าที่และความรับผิดชอบของครูในโรงเรียนนั้น ๆ ทุกคนที่จะต้องช่วยกันรักษาทรัพย์สินทุกอย่าง
ของโรงเรียนให้อยู่เป็นปกติเช่นเดียวกับทรัพย์สินของตนเอง
9) สร้างเสริมสมรรถภาพทางวิชาการให้แก่ตนเองอย่างสม่าเสมอ หน้าที่ของครูใน
ด้านนี้ถือว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบต่อตนเองด้วย กล่าวคือ ครูทุกคนต้องราลึกอยู่เสมอว่า
วิชาชีพครูเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้เป็นเครื่องมือสาหรับสอนคน หากเครื่องมือเก่าหรือล้าสมัยและ
ไร้คุณภาพ ผลผลิตคือความเจริญงอกงามของศิษย์ก็จะด้อยคุณภาพด้วย แม้ว่าครูทุกคนจะศึกษา
เล่าเรียนจนสาเร็จปริญญาจากสถาบันอุดมศึกษาใด ๆ ก็ตาม ก็หาเป็นการเพียงพอไม่ แต่จะต้อง
ศึกษาค้นคว้าพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะความรู้ที่ได้จากการศึกษาเล่าเรียนมานั้น บางสิ่ง
บางอย่างอาจจะนามาใช้ในสถานการณ์จริงไม่ได้ เพราะล้าสมัยหรือไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลง
ทางเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
10) รักษาวินัยและประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์และบุคคลทั่วไป หน้าที่
และความรับผิดชอบของครูในด้านนี้ ถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนโดยตรง แต่ก็มี
ผลต่อการสั่ งสอนอบรมศิษ ย์ในทางอ้อม ทั้งนี้เพราะถ้าหากครูคนใดเป็นผู้มีพฤติก รรมหรือ
ความประพฤติเสื่อมเสีย ไม่เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของศิษย์และประชาชนทั่วไปแล้ว การจะสั่งสอน
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 13
6. ปฏิบัติงานในหน้าที่และงาน 1. จัดการเรียนรู้
ที่ได้รับมอบหมายให้สาเร็จ
4. เสริมสร้างสมรรถนะทางวิชาการ 3. รักษาวินัยและประพฤติตนให้เป็น
ให้แก่ตนเองอย่างสม่าเสมอ แบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียนและบุคคลทั่วไป
บทบาทของครูในศตวรรษที่ 21
สรุปท้ายบท
วิชาชีพหมายถึงอาชีพที่ผู้ประกอบการต้องมีความรู้ ความสามารถที่ต้องได้รับการฝึกฝน
โดยเฉพาะ มีมาตรฐานในการประกอบอาชีพและมีการควบคุมการประกอบอาชีพนั้นให้เป็นไปตาม
มาตรฐานวิชาชีพ วิชาชีพครูมีลักษณะสาคัญ 6 ประการ ได้แก่ การใช้วิธีการแห่งปัญญาในการ
ให้บริการ การบริการที่ให้แก่สังคมที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง ใช้ระยะเวลาในการศึกษาอบรม
22 ความสาคัญของวิชาชีพครู
แบบฝึกหัดท้ายบท
จงตอบคาถามหรือทากิจกรรมต่อไปนี้
1. จงให้ความหมายของครู วิชาชีพ และวิชาชีพครู
2. วิชาชีพครูมลี ักษณะที่สาคัญอย่างไรบ้าง และมีลักษณะที่ตา่ งจากวิชาชีพอื่นอย่างไร
3. จงอธิบายให้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดอาชีพครูจงึ เป็น “วิชาชีพชั้นสูง”
4. ถ้าหากไม่มอี าชีพครู นักศึกษาคิดว่าจะส่งผลเสียต่อสังคมอย่างไรบ้าง
5. จงอภิปรายถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของครู
6. จงอธิบายในเชิงเปรียบเทียบว่า ครูที่สอนในระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา และ
มัธยมศึกษา จะมีหน้าที่และความรับผิดชอบเหมือนกันและต่างกันอย่างไรบ้าง
7. ขอให้นักศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับ “บทบาทของครูในศตวรรษที่
21” แล้วมาวิเคราะห์ว่าครูควรมีบทบาทอย่างไรบ้าง
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 23
8. ให้นักศึกษาสัมภาษณ์ครูที่มีประสบการณ์สอนไม่น้อยกว่า 10 ปี และมีผลงานดีเด่น
โดยสัมภาษณ์เกี่ยวกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ และบทบาทของครูในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับ
ผูเ้ รียน
9. จากผลการสัมภาษณ์ในข้อ 8 ให้นักศึกษาทาการวิเคราะห์ และวางแผนการพัฒนา
ตนเอง เพื่อให้มีสมรรถนะตามหน้าที่ ความรับผิดชอบ และบทบาทของครูในการส่งเสริมการเรียนรู้
ให้กับผูเ้ รียน
10. ให้นักศึกษาดาเนินการศึกษาค้นคว้างานวิจัยเกี่ยวกับ “หน้าที่และความรับผิดชอบ
ของครู” แล้วสรุปเนื้อหาในประเด็น ต่อไปนี้
10.1 จุดมุ่งหมายของการวิจัย
10.2 กรอบความคิดการวิจัย
10.3 ขั้นตอนหรือกระบวนการวิจัย พร้อมสรุปเป็นแผนภาพ
10.4 สรุปผลการวิจัยโดยสังเขป
จากนั้นให้นักศึกษานาเสนอแนวทางการนาผลการวิจัยที่ศึกษาไปใช้ประโยชน์
24 ความสาคัญของวิชาชีพครู
บทที่ 2
มาตรฐานวิชาชีพครู
มาตรฐานวิชาชีพเป็นข้อกาหนดแนวทางปฏิบัติสาหรับให้ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติ เพื่อให้
เกิดความมั่นใจในวิชาชีพของผู้ปฏิบัติและให้การปฏิบัติงานมีคุณภาพสูงสุด ทาให้ผู้รับบริการ
และสาธารณชนมีความมั่นใจในการบริการดังกล่าว
ส าหรับ ในบทนี้ จะได้นาเสนอเนื้อหาตามลาดับ ดั งนี้ ที่มาของมาตรฐานวิชาชีพ ทาง
การศึกษา ความหมายของมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา และ
แนวทางการพัฒนาครูตามมาตรฐานวิชาชีพ
ที่มาของมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา
มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษามีแหล่งที่มา ดังนี้
1. พระราชบัญ ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้บัญ ญัติไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
มาตรฐานวิชาชีพครู ดังนี้
มาตรา 53 ให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา มี
ฐานะเป็นองค์กรอิสระภายใต้การบริหารของสภาวิชาชีพ ในกากับ ของกระทรวงศึกษาธิการ มี
อานาจหน้าที่กาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กากับดูแล
การปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพครู ผู้บริหาร
สถานศึกษา และผูบ้ ริหารการศึกษา
ให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาอื่น ทั้งของ
รัฐและเอกชนต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามที่กฎหมายกาหนด
2. พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ได้บัญญัติไว้ในส่วน
ที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานวิชาชีพครู ดังนี้
มาตรา 48 ผูซ้ ึ่งได้รับใบอนุญาตต้องประพฤติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของ
26 มาตรฐานวิชาชีพครู
วิชาชีพตามที่กาหนดในข้อบังคับของคุรุสภา
มาตรา 49 ให้มีข้อบังคับว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพประกอบด้วย
(1) มาตรฐานความรู้และประสบการณ์
(2) มาตรฐานการปฏิบัติงาน
(3) มาตรฐานการปฏิบัติตน
3. ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556 และฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562
คณะกรรมการคุรุสภาได้ออกข้อบังคับคุรุสภาเกี่ยวกับมาตรฐานวิชาชีพ จานวน 2
ฉบับ ได้แก่ ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556 และข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วย
มาตรฐานวิชาชีพ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ซึ่งได้กาหนดรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรฐานวิชาชีพทาง
การศึกษา ประกอบด้วยมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงานและ
มาตรฐานการปฏิบัติตน
โดยสรุป มาตรฐานวิชาชีพ ทางการศึกษาจะมีที่มาอยู่ 3 แหล่ง ดังนี้ พระราชบัญ ญั ติ
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
และข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556 และฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562
ความหมายของมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา
มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา
มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา ประกอบด้วยมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
มาตรฐานการปฏิบัติงาน และมาตรฐานการปฏิบัติตน (ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ
พ.ศ. 2556; ประกาศคณะกรรมการคุรุสภา เรื่องสาระความรู้ สมรรถนะและประสบการณ์
วิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์
ตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556; ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐาน
วิชาชีพ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562; ประกาศคณะกรรมการคุรุสภา เรื่องรายละเอียดของมาตรฐาน
ความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ครูตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ (ฉบับที่ 4)
พ.ศ. 2562) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
มาตรฐานความรู้และประสบการณ์ วิชาชีพ หมายถึง ข้อกาหนดเกี่ยวกับ ความรู้
และประสบการณ์ ในการจัดการเรียนรู้ หรือการจัดการศึกษา ซึ่งผู้ต้องการประกอบวิชาชีพ
ทางการศึกษาต้องมีเพียงพอที่สามารถนาไปใช้ในการประกอบวิชาชีพได้ ผูป้ ระกอบวิชาชีพครู
ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ากว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเท่า หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง
โดยมีมาตรฐานความรูแ้ ละประสบการณ์วิชาชีพ ดังต่อไปนี้
1.1 มาตรฐานความรู้ มีดังต่อไปนี้
1.2 มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ
ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญ ญาทางการศึกษา
เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากาหนด ดังนี้
1) การฝึกประสบการณ์วิชาชีพระหว่างเรียน
2) การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ
สาระการฝึก ประสบการณ์ วิชาชีพ ระหว่างเรีย น และการปฏิบัติก ารสอนใน
สถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ และสมรรถนะ ประกอบด้วย
2) การจัดการเรียนรู้
2.1) การมีส่วนร่วมในการพัฒนาและ
ส่งเสริมหลักสูตรสถานศึกษา
30 มาตรฐานวิชาชีพครู
3) ความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและ
ชุมชน
3.1) ร่วมมือกับผู้ปกครองในการ
พัฒนา และแก้ปัญหาผู้เรียนให้มี
คุณลักษณะที่พึงประสงค์
3.2) สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับ
ผู้ปกครองและชุมชนเพื่อสนับสนุนการ
เรียนรู้ที่มีคุณภาพของผู้เรียน
3.3) ศึกษา เข้าถึงบริบทของชุมชน
และสามารถอยู่ร่วมกันบนพืน้ ฐาน
ความแตกต่างทางวัฒนธรรม
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 31
2. มาตรฐานการปฏิบัติงาน
มาตรฐานการปฏิบัติงาน หมายถึง ข้อกาหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะหรือการแสดง
พฤติกรรมการปฏิบัติงานและการพัฒนางาน ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องปฏิบัติตาม
เพื่อให้เกิดผลตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายการเรียนรู้ หรือการจัดการศึกษา รวมทั้งต้องฝึกฝน
ให้มีทั ก ษะหรือความชานาญสู งขึ้นอย่างต่ อเนื่อง ผู้ป ระกอบวิชาชีพ ครูต้องมีมาตรฐานการ
ปฏิบัติงาน ดังนี้
1) ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเพื่อพัฒนาวิชาชีพครูให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ
เป็นการศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนาตนเอง การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และ
การเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการที่องค์การหรือหน่วยงานหรือสมาคมจัดขึ้น เช่น การประชุม
การอบรม การสัมมนา และการประชุมเชิงปฏิบัติการ เป็นต้ น ทั้งนี้ ต้องมีผลงานหรือรายงานที่
ปรากฏชัดเจน
2) ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดยคานึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผเู้ รียน
เป็นการเลือกอย่างชาญฉลาดด้วยความรักและหวังดีต่อผู้เรียน ดังนั้น ในการ
เลือกกิจกรรมการเรียนรู้และกิจกรรมอื่น ๆ ครูตอ้ งคานึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่ผเู้ รียนเป็นหลัก
3) มุ่งมั่นพัฒนาผูเ้ รียนให้เติบโตตามศักยภาพ
เป็นการใช้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถของครูที่จะให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้ให้มากที่สุด ตามความถนัดความสนใจ ความต้องการ โดยวิเคราะห์ วินิจฉัยปัญหาความ
ต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนที่จะให้ได้ผลดีกว่าเดิม รวมทั้งการส่งเสริม
พัฒนาการด้านต่าง ๆ ตามศักยภาพของผูเ้ รียนแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
4) พัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้จริงในชั้นเรียน
เป็ น การเลื อ กใช้ ปรั บ ปรุ ง หรื อ สร้ างแผนการสอน บั น ทึ ก การสอน หรื อ
เตรียมการสอนในลักษณะอื่น ๆ ที่สามารถนาไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนบรรลุ
32 มาตรฐานวิชาชีพครู
วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้
5) พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มปี ระสิทธิภาพอยู่เสมอ
เป็นการประดิษฐ์ คิดค้น ผลิต เลือกใช้ ปรับ ปรุงเครื่องมือ อุป กรณ์ เอกสาร
สิ่งพิมพ์ เทคนิควิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ผเู้ รียนบรรลุจุดประสงค์ของการเรียนรู้
6) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์โดยเน้น
ผลถาวรที่เกิดแก่ผเู้ รียน
เป็นการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนประสบผลสาเร็จในการแสวงหา
ความรูต้ ามสภาพความแตกต่างของบุคคล ด้วยการปฏิบัติจริง และสรุปความรู้ทั้งหลายได้ด้วย
ตนเอง ก่อให้เกิดค่านิยมและนิสัยในการปฏิบัติจนเป็นบุคลิกภาพถาวรติดตัวผู้เรียนตลอดไป
7) รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ
เป็นการรายงานผลการพัฒนาผู้เรียนที่เกิดจากการปฏิบัติการเรียนรู้ให้ครอบคลุม
สาเหตุ ปัจจัย และการดาเนินงานที่เกี่ยวข้อง โดยครูนาเสนอรายงานการปฏิบัติในรายละเอียด
ดังนี้ 1) ปัญหาความต้องการของผู้เรียนที่ต้องได้รับการพัฒนา และเป้าหมายของการพัฒ นา
ผู้เรียน 2) เทคนิค วิธีการ หรือนวัตกรรมการเรียนการสอนที่นามาใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพ
ของผู้เรียนและขั้นตอนวิ ธีการ หรือนวัตกรรมนั้น ๆ 3) ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ตามวิธีการที่กาหนดที่เกิดแก่ผู้เรียน และ 4) ข้อเสนอแนะแนวทางใหม่ ๆ ในการปรับปรุงและ
พัฒนาผู้เรียนให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
8) ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดแี ก่ผู้เรียน
เป็นการแสดงออก การประพฤติและปฏิบัติในด้านบุคลิกภาพทั่วไป การแต่งกาย
กิริยา วาจาและจริยธรรมที่เหมาะสมกับความเป็นครูอย่างสม่าเสมอ ที่ทาให้ผู้เรียนเลื่อมใส
ศรัทธา และถือเป็นแบบอย่าง
9) ร่วมมือกับผู้อ่นื ในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์
เป็นการตระหนักถึงความสาคัญ รับฟังความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ ความ
สามารถ ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ของเพื่อนร่วมงานด้วยความเต็มใจ เพื่อให้
บรรลุเป้าหมายของสถานศึกษา และร่วมรับผลที่เกิดขึ้นจากการกระทานัน้
10) ร่วมมือกับผูอ้ ื่นในชุมชนอย่างสร้างสรรค์
เป็นการตระหนักถึงความสาคัญ รับฟังความคิดเห็นยอมรับในความรู้ ความ
สามารถของบุคคลอื่นในชุมชน และร่วมมือปฏิบัติงานเพื่อพัฒนางานของสถานศึกษาให้ชุมชน
และสถานศึกษามีการยอมรับซึ่งกันและกัน และปฏิบัติงานร่วมกันด้วยความเต็มใจ
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 33
3. มาตรฐานการปฏิบัติตน
มาตรฐานการปฏิบัติตน หมายถึง จรรยาบรรณของวิชาชีพที่กาหนดขึ้นเป็นแบบแผน
ในการประพฤติตน ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องปฏิบัติตาม เพื่อรักษาและส่งเสริม
เกียรติคุณ ชื่อเสียง และฐานะของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาแก่
ผูร้ ับบริการและสังคมอันจะนามาซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ
ผูป้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องมีมาตรฐานการปฏิบัติตนตามข้อบังคับคุรุสภา
ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ ดังนี้
จรรยาบรรณต่อตนเอง
1) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ
บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่
เสมอ
จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ
2) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อ
วิชาชีพ และเป็นสมาชิกที่ดขี ององค์กรวิชาชีพ
34 มาตรฐานวิชาชีพครู
จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ
3) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม
ให้กาลังใจแก่ศษิ ย์ และผูร้ ับบริการตามบทบาทหน้าที่โดยเสมอหน้า
4) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และ
นิสั ย ที่ถู ก ต้องดีงามแก่ ศิษ ย์และผู้รับ บริก ารตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วย
ความบริสุทธิ์ใจ
5) ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ
6) ผู้ ป ระกอบวิช าชีพ ทางการศึ ก ษาต้อ งไม่ ก ระท าตนเป็ น ปฏิ ปัก ษ์ ต่ อความ
เจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์และผู้รับบริการ
7) ผู้ประกอบวิชาชีพ ทางการศึกษาต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอ
ภาค โดยไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ตาแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ
8) ผู้ป ระกอบวิชาชีพ ทางการศึ ก ษาพึ งช่วยเหลือเกื้ อกู ล ซึ่งกั น และกั น อย่าง
สร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบคุณธรรม สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
จรรยาบรรณต่อสังคม
9) ผู้ ป ระกอบวิช าชี พ ทางการศึ ก ษาพึ ง ประพฤติ ป ฏิ บั ติ ต นเป็ น ผู้ น าในการ
อนุรักษ์และพั ฒ นาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒ นธรรม ภูมิปัญ ญา สิ่งแวดล้อม รักษา
ผลประโยชน์ของส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข
จากที่กล่าวมา มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษาประกอบด้วยมาตรฐานความรูแ้ ละ
ประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงาน และมาตรฐานการปฏิบัติตน ซึ่งสามารถสรุปเป็น
แผนภาพได้ ดังนี้
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 35
องค์ประกอบของ
มาตรฐานวิชาชีพ
ทางการศึกษา
แนวทางการพัฒนาครูตามมาตรฐานวิชาชีพ
ครูที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนจะต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่คุรุสภากาหนด เพื่อ
เป็นครูที่มีคุณภาพและสามารถพัฒนาผูเ้ รียนให้มีศักยภาพ เป็นไปตามเป้าหมายของการปฏิรูป
การศึกษาอย่างแท้จริง จากผลการวิจัยการปฏิบั ติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พบว่ามี
สภาพการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครู โดยรวมและรายมาตรฐานอยู่ในระดับมาก (พิมพร
แคล้วคลาด และกัญญรัชการย์ นิลวรรณ. 2560: 1717; นิสา แหละหีมและสุนทรี วรรณไพเราะ.
2561: 1036) และระดับมากที่สุด (กมลชาติ อุ่นยศและสุภาภรณ์ ตั้งดาเนินสวัสดิ์. 2561: 167)
สาหรับการพัฒนาครูตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพ พบว่ามีประเด็นการพัฒนาและแนวทาง
การพัฒนาครูตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพ ดังนี้ (ทัศนีย์ ภัทรพงศ์บัณฑิต. 2554: 447-449;
ศิริวรรณ จันทะจรและธานี เกสทอง. 2558: 1408-1410; พิมพร แคล้วคลาด และกัญญรัชการย์
นิลวรรณ. 2560: 1719-1721)
มาตรฐานที่ 1 ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเพื่อพัฒนาวิชาชีพครูให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การเป็นสมาชิกขององค์การ -ควรส่งเสริมให้เป็นสมาชิกขององค์กรวิชาชีพครู นอกเหนือจากที่
วิชาชีพครู ทางราชการจัดตัง้
2. การเข้าร่วมประชุม อบรม -จัดประชุมเชิงปฏิบัตกิ าร โดยเชิญวิทยากรมาให้ความรู้ดา้ น
สัมมนาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู หลักสูตรและการใช้หลักสูตร
-ส่งเสริมให้ครูเข้าร่วมประชุม สัมมนา กิจกรรมทางวิชาการ
36 มาตรฐานวิชาชีพครู
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
ทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกอย่างสม่าเสมอ
3. การนาผลงานทางวิชาการออก -ควรจัดทาและเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ เข้าร่วมจัดกิจกรรม
เผยแพร่ ทางวิชาการที่องค์กรหรือหน่วยงานหรือสมาคมจัดขึน้
4. เมื่อมีการประชุม อบรม สัมมนา -ควรมีการจัดทารายงานอย่างเป็นระบบในการประชุม อบรม
แล้วไม่มรี ายงานผลอย่างเป็นระบบ สัมมนา โดยมีรายละเอียดประกอบการรายงาน
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การจัดกิจกรรมการเรียนการ -จัดโครงการคุณธรรม จริยธรรมในสถานศึกษา เข้าค่ายคุณธรรม
สอนที่สร้างคุณธรรมให้เกิดกับ ที่วัดในชุมชน
ผู้เรียน -ส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่บูรณาการความรู้กับ
คุณธรรมให้เกิดแก่ผู้เรียน
2. การฝึกทักษะในการจัดกิจกรรม -ควรจัดกิจกรรมเสริมความรู้ โดยคานึงถึงผลทีจ่ ะเกิดกับผู้เรียน
ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถ -ควรจัดกิจกรรมทุกอย่างที่มีความสัมพันธ์ในการพัฒนา
ของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ ความสามารถของผู้เรียน
-ส่งเสริมให้ครูให้ความสาคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ทาให้นกั เรียนได้มสี ่วนร่วมในการเรียนการ
สอนมากขึ้น
3. การจัดกิจกรรมการปฏิบัตงิ าน -ควรจัดให้มีการแข่งขันกีฬาสีภายใน ประกวดด้านวิชาการต่าง ๆ
ต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กับการ เช่น วาดรูประบายสี แต่งกลอน
พัฒนาการของผู้เรียน
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การสอนซ่อมเสริมนักเรียนที่มี -ฝึกให้ครูมีจิตสาธารณ สอนซ่อมเสริมนักเรียนที่มีปัญหานอกเวลา
ปัญหา ข้อจากัดทางการเรียน เรียน
2. การพัฒนาการสอนอย่าง -ผู้บริหารโรงเรียนควรจัดครูให้ตรงตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่จบมา
สม่าเสมอ โดยการแสวงหา -สร้างนวัตกรรมหรือสื่อการเรียนรู้ใหม่ ๆ มีการอบรมออนไลน์
นวัตกรรมการเรียนรู้ เพื่อเพิ่มพูน
ทักษะการสอนและให้ความสาคัญ
แก่ผู้เรียน
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 37
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
3. การปรับเปลี่ยนวิธีการสอนตาม -ตระหนักถึงความสาคัญทางด้านการค้นหาศักยภาพของผู้เรียน -
ความสามารถของผู้เรียนเป็น -ใช้เทคนิควิธีการสอนที่เหมาะสมและพัฒนาผู้เรียนด้วยวิธีการที่
รายบุคคล หลากหลาย
-จัดการเรียนการสอนนักเรียนตามความแตกต่างระหว่างบุคคล
ให้ความช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาทางด้านการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 4 พัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้จริงในชั้นเรียน
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การจัดทาแผนการสอนโดย -จัดทาหลักสูตรท้องถิ่น เชิญวิทยากรในชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญ
คานึงถึงสภาพของโรงเรียนและ มาให้ความรู้แก่ผู้เรียน
ชุมชน
2. การจัดทาแผนการสอน -สร้าง พัฒนา หรือปรับปรุงแผนการสอนให้ สอดคล้องกับ
ที่สอดคล้องกับความสามารถของ ความสามารถของผู้เรียน
ผู้เรียน -จัดทาแผนการสอนที่เน้นกิจกรรมการปฏิบัตติ ามกระบวนการ
แสวงหาความรู้และการสร้างความรู้
3. การจัดทาแผนการสอนที่เน้น -การพัฒนาแผนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนปฏิบัตไิ ด้จริง ค้นหา
กิจกรรมการปฏิบัติ ตาม คาตอบด้วยตนเอง
กระบวนการแสวงหาความรู้และ -ควร ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูได้รับการอบรมการจัดทาแผนการ
การสร้างความรู้ จัดการเรียนรู้ที่ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และมีการส่งแผนการจัดการ
เรียนรู้ให้คณะกรรมการตรวจสอบ เพือ่ นาไปใช้กับนักเรียนได้อย่าง
ถูกต้อง
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การใช้ส่อื การเรียนการสอนให้ -จัดซือ้ สื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย เหมาะสมกับความสามารถ
เหมาะสมกับความสามารถของ ของผู้เรียน
ผู้เรียน -อบรมการผลิตสื่อการเรียนการสอนตามความเหมาะสมในชั้นเรียน
ที่รับผิดชอบ ให้เหมาะสมกับกิจกรรมและวัตถุประสงค์
-ศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในกระบวนการเรียนการสอน
โดยอาจประชุมวางแผนการจัดอบรม สัมมนา ศึกษาดูงานทางด้าน
เทคโนโลยีทางการศึกษา มีการกากับ ติดตามการพัฒนาด้าน
38 มาตรฐานวิชาชีพครู
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
เทคโนโลยีของครู
2. การเผยแพร่ส่อื การเรียน -จัดอบรมการประดิษฐ์ สื่อการเรียนการสอน ให้สามารถบูรณาการ
การสอนที่ใช้ได้ผลดีให้กับเพื่อนครู ได้หลายวิชา
ด้วยกัน
3. การผลิตสื่อการเรียนการสอน -มุง่ เน้นให้ครูใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชนเป็นสื่อการเรียนการสอน
โดยใช้วัสดุท้องถิ่น -อบรมสัมมนาการผลิตสื่อการเรียนการสอนโดยใช้วัสดุท้องถิ่น
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การแนะนาผู้เรียนให้ลงมือ -เน้นกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุผล
ทางานตามกระบวนการสร้าง -การแนะนาผู้เรียนให้ลงมือทางานตามกระบวนการสร้างความคิด
ความคิดรวบยอด รวบยอด
2. การจัดกิจกรรมการเรียนการ -จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเลือกและปฏิบัตไิ ด้ตามศักยภาพ
สอนที่ให้นักเรียนมีการประเมิน -จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนมีการประเมินตนเอง
ตนเองและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ แล้วนาผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง
3. การจัดกิจกรรมการเรียนการ -มุง่ เน้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ตามสภาพความแตกต่างของบุคคล
สอนโดยให้นักเรียนเลือกปฏิบัติ -จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยให้นักเรียนเลือกปฏิบัตติ าม
ตามความแตกต่างของบุคคล ความสามารถและความแตกต่างของบุคคล
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การรายงานผลการใช้เทคนิค -ให้ครูผู้สอนจัดทารายงานผลพัฒนาการของนักเรียนทั้งเป็น
วิธีการ หรือนวัตกรรมที่แสดงถึง รายบุคคล และรายกลุ่มอย่างสม่าเสมอ เป็นระบบ ระเบียบ และ
พัฒนาการของผู้เรียนเป็น เป็นปัจจุบัน
รายบุคคล หรือรายกลุ่ม
2. การศึกษา เสนอแนะแนวทาง -จัดทาเกณฑ์เฉพาะสาหรับการประเมินผลการเรียนของแต่ละกลุ่ม
ในการพัฒนาผู้เรียน จาแนกเป็น อย่างเหมาะสม และใช้ประโยชน์ของการประเมินผลเป็นพืน้ ฐาน ใน
รายบุคคล การปรับปรุงการเรียนการสอน เพื่อสนองต่อความแตกต่างระหว่าง
บุคคล
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 39
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
3. การเสนอแนะในการพัฒนา -จัดประชุม อบรม สัมมนาอย่างเข้มเกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียน
ผู้เรียนสอดคล้องกับการพัฒนา จาแนกเป็นรายบุคคล
แต่ละระดับ
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การให้คาแนะนาแก้ไขข้อบกพร่อง -ควรมีนโยบายหรือข้อกาหนดให้ครูในการยกย่องให้กาลังใจผู้เรียน
และการให้กาลังใจ ยกย่องชมเชย ที่มีความประพฤติดี
เมื่อนักเรียนประพฤติดี
2. การแต่งกายสุภาพเรียบร้อย -มีการประชุมชีแ้ จงให้ครูเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับระเบียบการแต่งกาย
เหมาะสมกับกาลเทศะ ที่ถูกต้องและเหมาะสม
3. การมีนาใจโอบอ้
้ อมอารี -สร้างความตระหนักในเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพครูให้มากขึน้
มีเมตตากรุณาต่อผู้เรียน
มาตรฐานที่ 9 ร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การปฏิบัตงิ านอย่างมีเป้าหมาย -นาแนวทางการปฏิบัตงิ านมาสร้างสรรค์งาน เพื่อประโยชน์
และยึดประโยชน์ของส่วนรวม ส่วนรวม
เป็นหลัก
2. การร่วมมือปฏิบัตกิ ิจกรรม -มีการประชุมชีแ้ จงเรื่องการทางานร่วมกัน การทางานเป็นทีม
ต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายด้วย มีความสามัคคี มีนาใจและความจริ
้ งใจต่อกัน
ความเต็มใจ
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การปฏิบัตงิ านของตนและกลุม่ -ฝึกการทางานเป็นทีม ยอมรับความรู้ ความสารถในทีมของตน
แล้วมีการปรับปรุงพัฒนางาน และร่วมกันพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
2. การยอมรับความรู้ -เปิดโอกาสให้ ชุมชนเข้ามามีสว่ นร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียน
ความสามารถของบุคคลในชุมชน การสอนแก่โรงเรียน
40 มาตรฐานวิชาชีพครู
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
3. การเป็นผู้นาในการริเริ่มกิจกรรม -ควรให้ครูและผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
ที่เป็นประโยชน์ตอ่ ชุมชนและสังคม เพื่อฝึกจิตสาธารณะและภาวะผูน้ าให้แก่ครูและผู้เรียน
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การวิเคราะห์ขอ้ มูลข่าวสาร -ครูต้องแสวงหาข้อมูลข่าวสารที่จาเป็นในการดารงชีวิตประจาวัน
นามาใช้ในกิจกรรมการเรียน มาใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อก้าวทันเหตุการณ์ปัจจุบัน
การสอน
2. การจัดทาระบบข้อมูลข่าวสาร -ควรจัดให้ครูจัดทาระบบข่าวสารที่เกี่ยวกับการศึกษา เทคนิค
ให้สามารถนามาใช้พัฒนาการเรียน การสอน นวัตกรรมทีท่ ันสมัย
การสอน -จัดทาวิจัยในชัน้ เรียน เพื่อเป็นข้อมูลเบือ้ งต้นในการพัฒนาการเรียน
การสอน
ประเด็นการพัฒนา แนวทางพัฒนาครู
1. การนาปัญหามาสร้างกิจกรรม -จัดการเรียนรู้ โดยมุ่งให้ผู้เรียนแสวงหาและค้นคว้าด้วยตนเอง
การเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนรู้จักการ ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน นิสัยความกระตือรือร้น ใฝ่รู้ และใฝ่เรียน
แก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง
2. การจัดกิจกรรมทัศนศึกษา -ครูควรส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดแก่ผู้เรียนทุกสถานการณ์ ทุกเวลา
ให้ผู้เรียนได้รับความรู้และ และทุกสถานที่ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อยู่เสมอ
ประสบการณ์ในการแก้ปัญหา
3. การจัดกิจกรรมการเรียนการ -ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ โดยกาหนดวัตถุประสงค์ของ
สอนที่ให้นักเรียนได้สร้างแนว การเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ในการพัฒนาและป้องกัน
ทางการพัฒนางาน เพื่อป้องกัน ปัญหาต่าง ๆ
ปัญหา
สรุปท้ายบท
แบบฝึกหัดท้ายบท
จงตอบคาถามหรือทากิจกรรมต่อไปนี้
1. จงให้ความหมายของ “มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา”
2. มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษามีองค์ประกอบกี่มาตรฐาน อะไรบ้าง และจงให้
ความหมายของแต่ละมาตรฐาน
3. จงอธิบายความแตกต่างเรื่องคุณภาพการปฏิบัติงานระหว่างครูที่มีวิทยฐานะกับครู
ทีไ่ ม่มีวทิ ยฐานะ
4. วิธีการพัฒนาครูเพื่อให้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพ สามารถดาเนินการ
อย่างไรได้บ้าง
5. ให้นักศึกษาเขียนโครงการพัฒนาครู เพื่อให้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู
มาคนละ 1 โครงการ
6. ให้นักศึกษาประเมินตนเองว่า “มี” หรือ “ไม่มี” คุณลักษณะตามเกณฑ์มาตรฐาน
วิชาชีพครูด้านการปฏิบัติงาน ถ้าหากคุณลักษณะใดที่ไม่มี ขอให้นักศึกษานาเสนอแนวทางการ
พัฒนาตนเอง เพื่อให้มคี ุณลักษณะดังกล่าว
42 มาตรฐานวิชาชีพครู
บทที่ 3
คุณลักษณะของครูที่ดี
อุดมการณ์ครู
การที่ครูจะปฏิบัติหน้าที่ครูได้อย่างเต็มศักดิ์ศรีและเต็มความภาคภูมิได้นั้น ครูจาเป็นต้อง
มีหลักยึดไว้ประจาใจทุกขณะที่ประกอบภารกิจของครู ซึ่งสานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2552: 113-117) ได้กาหนดอุดมการณ์ครูไว้ 5 ประการ ดังนี้
1. เต็มรู้ คือ มีความรูบ้ ริบูรณ์
อาชีพครูเป็นอาชีพที่ต้องถ่ายทอด อธิบายให้ความรู้แก่คน ดังนั้น ครูทุกคนจะต้อง
เป็นผู้ที่ทาให้ตนเองนั้นสมบูรณ์ หรือเต็มไปด้วยความรู้ ซึ่งในตัวครูควรประกอบด้วยความรู้ 3
ประการ ดังนี้
1.1 ความรู้ด้านวิชาการและวิชาชีพ ครูควรเสาะแสวงหาความรู้และนาประสบการณ์
ใหม่ ๆ มาถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้เกิดความรูท้ ี่ทันสมัย
1.2 ความรู้เรื่องโลก ครูควรมีความรู้และประสบการณ์ชีวิตอย่างเพียงพอ เพื่อให้
สามารถอธิบาย บอกเล่า ถ่ายทอดทั ศนคติ ความเชื่อ วัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ของสังคม
ไปสู่ศษิ ย์ ครูควรเข้าใจชีวิตอย่างเพียงพอที่จะให้คาแนะนา คาสั่งสอน เพื่อให้ศิษย์ได้ดาเนินชีวิต
ที่ดใี นอนาคต
1.3 ความรู้เรื่องธรรมะ ครูควรมีสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ เพื่อที่จะอบรมสั่งสอนให้ศิษย์
มีความคิดที่ดี มีความประพฤติดี ครูควรมีความรู้ด้านธรรมะ สามารถหยิบยกเรื่องธรรมะมา
เป็นอุทาหรณ์สาหรับสั่งสอนศิษย์ได้ เมื่อศิษย์เข้าใจและนาไปปฏิบัติก็ย่อมทาให้ศิษย์ประสบ
ความสาเร็จในการศึกษา นอกจากนี้ ครูยังได้ประโยชน์จากการศึกษาธรรมะ ทาให้ครูไม่หวั่นไหว
ต่อกิเลศ อันทาให้จติ ของครูตอ้ งเป็นทุกข์เศร้าหมอง
2. เต็มใจ คือ ความมีใจเป็นครู
คนจะเป็นครูที่มีอุดมการณ์ จาเป็นต้องสร้างใจให้เป็นใจที่เต็มบริบูรณ์ด้วยการมีใจ
เป็นครู การทาใจให้เต็มบริบูรณ์จะต้องถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบ ดังนี้
2.1 รักอาชีพ ครูต้องมีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพ เห็นว่าอาชีพครูมีประโยชน์ มีเกียรติ มี
กุศล ได้บุญ ได้ความภูมใิ จ และพอใจที่จะสอนอยู่เสมอ พยายามหาวิธีสอนที่ดเี พื่อศิษย์
2.2 รักศิษย์ มีใจคิดให้ศิษย์พ้นจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ครูต้องมีใจอยากให้ทุกคน
มีความสุข พยายามชี้แนะหนทางสู่ความสาเร็จและความสุขให้แก่ศิษย์ มีการยินดีหรือมีมุทิตาจิต
เมื่อเห็นศิษย์ประสบความก้าวหน้าในชีวติ
3. เต็มเวลา คือ การรับผิดชอบ การทุ่มเทเพื่อการสอน
ครูที่มอี ุดมการณ์ จะต้องใช้ชีวติ อย่างเต็มเวลาทั้ง 3 ส่วน ดังนี้
3.1 งานสอน ครูต้องใช้เวลาในการเตรียมการสอนอย่างเต็มที่ วางแผนการสอน
ค้นคว้าหาวิธีการที่จะสอนศิษย์ในรูปแบบต่าง ๆ
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 45
ความหมายคุณลักษณะของครูที่ดี
คุณลักษณะของครูท่ดี ีตามคาสอนในพระพุทธศาสนา
คุณลักษณะของครูท่ดี ีตามแนวคิดของนักการศึกษาและหน่วยงาน
นักการศึกษาที่ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของครูที่ดี มีดังนี้
วิจติ ร ศรีสอ้าน (2541: 48) กล่าวว่าครูทีด่ ตี ามวัฒนธรรมไทย จะต้องมีลักษณะ “3 สุ”
ดังนี้
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 49
7) ครูต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรับหรือยอมรับ
ผลประโยชน์จากการใช้ตาแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
8) ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบคุณธรรม
สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
9) ครูพึงประพฤติป ฏิบัติตนเป็นผู้นาในการอนุรัก ษ์และพัฒ นาเศรษฐกิจ สังคม
ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และยึดมั่นใน
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
รัญจวน อินทรกาแหง (2557: 12–14) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้เป็นครูไว้ ดังนี้
1) มีความเมตตากรุณาอย่างแท้จริง กล่าวคือมีความเมตตากรุณาโดยไม่หวังผล
ตอบแทน ไม่คิดทวงคืนจากศิษย์ กระทาอย่างไม่ขาดตอนและไม่ลดละ ทาเพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่
ถูกต้อง ควรทา
2) มีความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์ตลอดชีวิต ไม่ว่าศิษย์จะเติบโตเป็นผูใ้ หญ่ หรือมี
ตาแหน่งหน้าที่อย่างใด ครูยัง คงห่วงใยติดตามด้วยความหวังดี ถ้าได้ทราบว่าลูกศิษย์ไปตกอยู่
ในอันตรายหรือตกอยู่ในความเขลา ครูซึ่งเป็นกัลยาณมิตรของศิษย์จะให้คาแนะนา ตักเตือน
ว่ากล่าว เพื่อให้ศษิ ย์ได้ดี มีความเจริญก้าวหน้า
3) มีความซื่อตรงต่ออุดมคติของความเป็นครู ครูต้องมีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ในการ
มุ่งสร้างสังคม สร้างชาติบ้านเมืองด้วยการสร้างเด็กให้เป็นพลเมืองดี ผลพลอยได้ก็คือการสร้าง
โลกให้น่าอยู่
4) อดทนและเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ผู้เป็นครูไม่สามารถปฏิเสธการร่วมรับผิดชอบ
ในความเสื่อมและความเจริญของสังคมที่เกี่ยวข้องได้ ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าสภาวะของ
สังคมที่เป็นปัจจุบันไม่ใช่ผลิตผลของการศึกษา ครูยังต้องเป็นผูเ้ สียสละเห็นแก่ธรรมะและความ
ถูกต้องของสังคม
5) เป็นเสมือนประภาคารหรือดวงประทีปของศิษย์ ครูเป็นผู้พัฒนาจิตของศิษย์ให้มี
สติปัญญาอันถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ในทางธรรมเปรียบความสาคัญของสัมมาทิฏฐิว่าจะช่วย
ไม่ให้ชีวิตนั้นหลงทาง จะรู้ว่าอะไรคือความถูกต้อง แม้มีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นก็แก้ไขได้ด้วย
สติปัญญา
ทวีศักดิ์ จินดานุรักษ์ (2558: 303–308) ได้กล่าวถึงลักษณะของครูมอื อาชีพไว้ ดังนี้
1) มีความรู้ดี องค์ประกอบด้านความรู้ ได้แก่ ความรู้ในส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระใน
ศาสตร์หรือวิชาที่ตนเองสอน และความพื้นฐานในกลุ่มสาขาวิชาเฉพาะ ได้แก่ ความรูด้ ้านภาษา
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 53
คุณลักษณะของครูที่ดีจากผลการวิจัย
การสังเคราะห์คุณลักษณะของครูที่ดี
9) Whitaker (2012)
6) สพฐ. (2552)
องค์ประกอบ
ความถี่
1. ด้านความรู้ 17
-ความรู้ดี
-ภูมิรู้
-หาความรู้อยู่เสมอ
-มีความคิดริเริ่ม วิจารณ์
และตัดสินอย่างมีเหตุผล
-สอนคนอื่นให้ประสบความ
สาเร็จด้วยตนเอง
-วิชาการ
-ความรู้ความสามารถ
-ความสาเร็จของการเรียนร่วม
-การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงาม
-ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการ
เกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอยู่
เสมอ
-แสวงหาและใช้ข้อมูล
สารสนเทศในการพัฒนาวิชาชีพครู
2. ด้านคุณธรรม จริยธรรม 37
-มีคุณธรรม จริยธรรม
-รับผิดชอบต่อหน้าที่
-ภูมิธรรม
-มีความยุติธรรม
-ให้อภัย
58 คุณลักษณะของครูที่ดี
9) Whitaker (2012)
6) สพฐ. (2552)
องค์ประกอบ
ความถี่
-ซื่อสัตย์สุจริต
-เมตตากรุณา
-ความรัก ความเมตตา เอาใจใส่
ช่วยเหลือ ให้กาลังใจ
-เสียสละ
-อดทน
-ความมีระเบียบวินัย
-ตรงต่อเวลา
-มีความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์
-มีความซื่อตรงต่ออุดมคติ
ความเป็นครู
-ขยัน ประหยัดและยึดมั่น
ในสัมมาอาชีพ
-ความสานึกในหน้าที่และ
การงานต่าง ๆ
-มีความสามารถ
ในการพึ่งพาตนเอง
-ภาคภูมิใจและรู้จัก
ทานุศิลปวัฒนธรรม
-เป็นผู้ให้คาปรึกษา
-เป็นดวงประทีปของศิษย์
-ความเสียสละและเมตตาอารี
-จรรยาบรรณ
-การไม่กระทาตนเป็นปรปักษ์ต่อ
ความเจริญทางกาย สติปัญญา
จิตใจ อารมณ์และสังคมของศิษย์
-การให้บริการด้วยความจริงใจ
และเสมอภาค
-ค่านิยมที่ดีงาม
-การพัฒนาตนเองเกี่ยวกับ
วิชาชีพครู
3. ความสามารถในการจัด 14
การเรียนรู้
-มีความสามารถ
ในการปฏิบัติการสอน
-สอนดี
-วิชาชีพ
-การจัดการเรียนการสอน
-มีทักษะการสอน
-การสอน
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 59
9) Whitaker (2012)
6) สพฐ. (2552)
องค์ประกอบ
ความถี่
-รายงานผลการพัฒนาผู้เรียน
และการพัฒนาสื่อการจัดการ
เรียนรู้อย่างมีระบบ
-พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ให้
สามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง
-ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดย
คานึงถึงผลที่จะเกิดกับผู้เรียนให้
เต็มตามศักยภาพ
-การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สู่
การพัฒนาผู้เรียน
4. ด้านบุคลิกภาพ 23
-มีมนุษยสัมพันธ์
-แต่งกายสะอาด
-เป็นแบบอย่างที่ดี
-การประพฤติตนเป็นแบบอย่าง
ที่ดี ทัง้ ทางกาย วาจา ใจ
-ภูมิฐาน
-มีบุคลิกภาพดี
-บุคลิก ลักษณะ และ
การแต่งกายดี
-ร่าเริงแจ่มใส
-อารมณ์ดี
-มีประชาธิปไตย
-กระตือรือร้นในการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย
-มีพลานามัยสมบูรณ์
-ความประพฤติเรียบร้อย
-ปฏิบัติตนดี
-รู้ถึงความแตกต่างระหว่าง
การจัดการกับภาวะผูน้ า
-คุณลักษณะส่วนตน
-ร่วมมือกับผูอ้ ื่นอย่าง
สร้างสรรค์ในชุมชน
-ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่
ผูเ้ รียน
คุณธรรม จริยธรรม
บุคลิกภาพ
คุณลักษณะของครูที่ดี
ความรู้
ความสามารถในการจัดการเรียนรู้
ขอบข่ายเนื้อหาการพัฒนาคุณลักษณะของครู
กระบวนการพัฒนาคุณลักษณะของครู
กระบวนการพัฒนาคุณลักษณะของครูเป็นกระบวนการดาเนินงานเพื่อให้ครูได้พัฒนา
และเพิ่มพูนความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะ เพื่อให้สามารถจัดการเรียนรู้และปลูกฝัง
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการ
พัฒนาคุณลักษณะของครูโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน สามารถดาเนินการได้ ดังนี้
1. ขั้นการวางแผนพัฒนา เป็นการเตรียมการก่อนดาเนินการพัฒนาคุณลักษณะของครู
โดยการประชุมครูในสถานศึกษาที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เพื่อร่วมกันการวางแผนในการจัดกิจกรรม
การพัฒนาด้วยการตรวจสอบประเมินคุณลักษณะของครูตามสภาพที่เป็นอยู่ และสภาพที่ต้องการ
ในการพัฒนาต่อจากนั้น ผูใ้ ห้การพัฒนาและผูร้ ับการพัฒนาร่วมกันวางแผนจัดกิจกรรมการพัฒนา
ซึ่งประกอบด้วยผูบ้ ริหารสถานศึกษา ผูเ้ ข้ารับการพัฒนา และผูใ้ ห้การพัฒนาทาข้อตกลงร่วมกัน
2. ขั้นการพัฒนา เป็นการสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึง้ เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการ
พัฒนาที่เกี่ยวข้องหรือส่งผลต่อภารงานที่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสาคัญในกระบวน
การพัฒนา ผู้เข้ารับการพัฒนาจะต้องให้ความร่วมมือในการทากิจกรรมต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ส่วน
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 63
1. การวางแผนพัฒนา
5. การปรับปรุง 2. การพัฒนา
กระบวนการพัฒนาคุณลักษณะ
ของครู โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
4. การสะท้อนคิด 3. การตรวจสอบ
วิธีการประเมินผลการพัฒนาคุณลักษณะของครู
สรุปท้ายบท
แบบฝึกหัดท้ายบท
จงตอบคาถามหรือทากิจกรรมต่อไปนี้
1. จงอธิบายคุณลักษณะของครูที่มี “อุดมการณ์ครู”
2. คุณลักษณะของครูที่ดีตามคาสอนในพระพุทธศาสนา นักศึกษาคิดว่าคุณลักษณะ
ด้านใดมีความสาคัญที่สุด เพราะเหตุใด
3. คุณลักษณะของครูที่ดีในบริบทของสังคมไทยปัจจุบันควรมีลักษณะอย่างไร เพราะ
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
4. คุณลักษณะของครูที่ดีมคี วามสาคัญอย่างไรบ้าง
5. ขอให้นักศึกษาไปสัมภาษณ์คุณครูที่มีผลงานดีเด่น ผู้บริหารโรงเรียน และผูป้ กครอง
นักเรียนเกี่ยวกับคุณลักษณะของครูที่ดีที่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยปัจจุบัน
6. ขอให้นักศึกษานาข่าวจากหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณลักษณะของครูที่
ไม่ดี โดยให้นักศึกษาทาการวิเคราะห์ถึงปัญหาดังกล่าว ผลกระทบที่เกิดผล พร้อมเสนอแนวทาง
แก้ปัญหานั้น
7. คุณลักษณะของครูที่ดีในศตวรรษที่ 21 ควรมีลักษณะอย่างไรบ้าง ที่มสี ่วนสาคัญต่อ
การส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรูข้ องผู้เรียน
8. ศึกษาแนวคิดคุณลักษณะของครูที่ดีแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง หรืออาจจะบูรณาการ
หลาย ๆ แนวคิด เพื่อใช้เป็นกรอบในการสร้างแบบวัดคุณลักษณะของครูที่ดี จากนั้นจึงนาไป
เก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งอาจจะเป็นนักศึกษาครูชั้นปีสุดท้าย หรือครูประจาการ
จานวนไม่น้อยกว่า 30 คน เสร็จแล้วทาการวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล อภิปรายผลการศึกษา และ
เสนอแนะแนวทางการนาผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์
9. จากผลการศึกษาคุณลักษณะของครูที่ดี (ในข้อ 8) ให้นักศึกษาทาการเปรียบเทียบ
คุณลักษณะที่ได้จากการสารวจกับคุณลักษณะของตนเองว่า “มี” และ “ไม่มี” ในประเด็นใดบ้าง
แล้วทาการวางแผนพัฒนาตนเอง เพื่อให้เกิดคุณลักษณะดังกล่าว
10. ศึกษาแนวคิดกระบวนการพัฒนาคุณลักษณะของครูจากหลาย ๆ แนวคิด แล้วสรุปว่า
มีกี่ขนั้ ตอน อะไรบ้าง และแต่ละขั้นตอนควรมีกิจกรรมอะไรบ้าง
บทที่ 4
การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู
การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู เป็นการสร้างความตระหนักและเห็นคุณค่าของ
การเป็นครู ศรัทธาและยึดมั่นในอุดมการณ์แห่งวิชาชีพ เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง
ครูกับศิษย์ ความสามารถเชื่อมโยงวิชาการสู่ทักษะชีวิต เพื่อบ่มเพาะความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ของผู้เรียน
สาหรับในบทนีจ้ ะได้นาเสนอเนือ้ หาตามลาดับ ดังนี้ ความหมายของจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณในการทางาน ความหมายของจิตวิญญาณความเป็นครู องค์ประกอบของจิตวิญญาณ
ความเป็นครู ปัจจัยที่ส่งผลต่อจิตวิญญาณความเป็นครู และวิธีการพัฒนาจิตวิญญาณความ
เป็นครู
ความหมายของจิตวิญญาณ
ความเชื่อที่ลึกซึ่งเกี่ยวกับแก่นแท้ของการดาเนินชีวิตของมนุษย์ โดยลดความเห็นแก่ตัวและเห็น
แก่ผอู้ ื่นมาขึน้ อันจะนาไปสู่การเป็นที่ยอมรับ ความสุขและความภาคภูมใิ จในตนเอง
ในทัศนะของผู้เขียน จิตวิญญาณ หมายถึง ความรับรู้เกี่ยวกับใจ หรือการรู้สึกนึกคิด
เพื่อหาหนทางที่นาไปสู่การเป็นที่ยอมรับและความภาคภูมิใจในตนเอง
จิตวิญญาณในการทางาน
ความหมายของจิตวิญญาณความเป็นครู
สาหรับ “จิตวิญญาณความเป็นครู” (teacher spirituality) จากการศึกษาพบว่ามีการใช้
คาที่แตกต่างกันไป ได้แก่ จิตวิญ ญาณความเป็นครู จิตวิญ ญาณครู วิญ ญาณครู วิญ ญาณ
ความเป็นครู ในที่น้ีใช้คาว่า จิตวิญญาณความเป็นครู ซึ่งมีผใู้ ห้ความหมาย ดังนี้
สุมน อมรวิวัฒน์ (2535) ให้ความหมาย จิตวิญญาณความเป็นครู หมายถึง การเป็น
กัลยาณมิตร การเป็นผู้นาทางปัญญาและวิญญาณ การมีความเป็นมนุษย์ และดารงค้าจุนความ
เป็นไทย และมีศาสตร์และศิลป์ในการสอน ดารง ประเสริฐกุล (2542: 51) ให้ความหมาย จิต
วิญญาณความเป็นครู หมายถึง ความเชื่อ ความรู้สึกตัว เพื่อกระตุ้นจิตสานึกของครูให้กระทา
ในสิ่งที่ดีงามตามบทบาทหน้าที่ และเกียรติแห่งวิชาชีพครู ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง และปิยวรรณ
วิเศษสุวรรณภูมิ (2553: 31) ให้ความหมาย จิตวิญญาณความเป็นครู หมายถึง คุณลักษณะ
ของบุคคลในการมีจิตใจที่ปฏิบัติตนเพื่อนาไปสู่การเป็นที่ยอมรับและภาคภูมิใจในการถ่ายทอด
ความรู้ให้แก่บุคคลอื่น ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2553) ให้ความหมาย จิตวิญญาณความเป็นครู
หมายถึง ลักษณะและภาวะทางจิตที่บุ คคลเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการมีอุดมการณ์ ในการทางาน
ของครู เข้าถึงและเข้าใจผู้อื่น ศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือในความจริงที่เหนือธรรมชาติ เข้าถึง
คุณค่าของจิตใจมากกว่าวัตถุ ธรรมนันทิกา แจ้งสว่าง (2554: 8) ให้ความหมาย จิตวิญญาณ
ความเป็นครู หมายถึง คุณลักษณะทางจิตและพฤติกรรมการทางานที่สะท้อนถึงการเป็ นครูที่ดี
ส่วนวัลนิกา ฉลากบาง (2559: 124) ให้ความหมาย จิตวิญญาณความเป็นครู หมายถึง จิตสานึก
ตามกรอบคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งทาให้เกิดการใฝ่รู้ ค้นหา สร้างสรรค์ ถ่ายทอด ปลูกฝัง และ
เป็นแบบอย่างที่ดีทั้งของศิษย์ เพื่อนร่วมงาน และคนในสังคม
จากนิยามข้างต้น จะเห็นว่าจิตวิญญาณความเป็นครูประกอบด้วยคุณลักษณะทางจิต
และพฤติกรรมการทางานที่สะท้องถึงการเป็นครูที่ดี ซึ่งจากคานิยามของนักวิชาการดังกล่าวจะ
ปรากฏลักษณะสาคัญที่บ่งชีถ้ ึงการมีจิตวิญญาณความเป็นครู ดังนี้
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 71
คุณลักษณะทางจิต พฤติกรรม
-การมีจติ ใจที่ปฏิบัติตนเพื่อเป็นที่ยอมรับ -การเป็นแบบอย่างที่ดี
และภาคภูมิใจในการถ่ายทอดความรู้ -การใฝ่รู้ ค้นหา สร้างสรรค์
-การมีความเป็นมนุษย์ -การถ่ายทอด ปลูกฝัง
-การเข้าใจอย่างลึกซึง้ ถึงการมีอุดมการณ์ใน -การเป็นกัลยาณมิตร
การทางานของครู -การเป็นผู้นาทางปัญญา และวิญญาณ
-การศรัทธาต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
-การเข้าถึงคุณค่าของจิตใจ
-จิตสานึกตามกรอบคุณธรรมจริยธรรม
จากข้อมูลที่กล่าวมา สะท้อนให้เห็นว่าจิตวิญญาณความเป็นครูที่ปรากฏเป็นคุณลักษณะ
ทางจิต จะมีความเกี่ยวข้องกับความคิดที่ มีอิทธิพลต่อวิชาชีพครูที่เด่นชัด ได้แก่ การมีจิตใจที่
ปฏิบัติตนเพื่อเป็นที่ยอมรับและภาคภูมิใจในการถ่ายทอดความรู้ การเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการ
มีอุดมการณ์ในการทางานของครู การศรัท ธาในวิชาชีพ การมีจิตสานึกตามกรอบคุณ ธรรม
จริยธรรม ในขณะที่จิตวิญญาณความเป็นครูที่ป รากฏเป็นพฤติกรรม ได้แก่ การเป็นแบบอย่าง
ที่ดี การใฝ่รู้ ค้นหา สร้างสรรค์ ถ่ายทอด ปลูกฝัง การเป็นกัลยาณมิตร และความเป็นผู้นาทาง
ปัญญาและจิตวิญญาณ
ในทั ศนะของผู้ เขียน จิ ตวิญ ญาณความเป็ นครู หมายถึง ลักษณะและสภาวะทางจิตที่
บุคคลเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงอุดมการณ์ในการเป็นครู ซึ่งทาให้เกิดการใฝ่รู้ สร้างสรรค์ ถ่ายทอด
ปลูกฝัง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ เพื่อนร่วมงาน และสังคม
องค์ประกอบของจิตวิญญาณความเป็นครู
มีนักการศึกษาได้ศึกษาองค์ประกอบของจิตวิญญาณความเป็นครู ดังนี้
กิตินันท์ โนสุและเสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ (2557: 60-61) ได้ศึกษาองค์ประกอบและ
ตัวบ่งชี้จิตวิญ ญาณความเป็นครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัด
ภาคเหนือตอนบน พบว่าจิตวิญญาณความเป็นครูประกอบด้วย 10 องค์ประกอบ ได้แก่ การพัฒนา
ตนเอง ความมีเหตุผลในการปฏิบัติงาน ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การปฏิบัติตามจรรยาบรรณ
72 การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู
องค์ประกอบที่คัดสรร
ความถี่
ร้อยละ
1. การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 4 28.57
-การพัฒนาตนเอง
-การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
-ความมุ่งมั่นพัฒนาตนเองเพื่อวิชาชีพ
2. ความมีเหตุผลในการปฏิบัตงิ าน 2 14.29
-ความมีเหตุผลในการปฏิบตั ิงาน
-ปฏิบัติตนและงานในหน้าที่ครู
3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 1 1.14
4. ความวิริยะอุตสาหะ 2 14.29
-ความวิริยะอุตสาหะ
-ความมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่
5. ความมีเมตตากรุณา 6 42.86
-ความรักและความเมตตา
-ความมีเมตตากรุณา
-ความรักและปรารถนาดีต่อศิษย์
-ความรักและเมตตาช่วยเหลือต่อศิษย์
-ความรักความเมตตา
-ช่วยเหลือ เอือ้ อาทร เมตตาต่อศิษย์
6. ความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ 1 7.14
7. ความดี 1 7.14
8. ความรักและศรัทธาในวิชาชีพครู 13 92.86
-ความรักในอาชีพ
-ความรักศรัทธาในวิชาชีพครู
-ความรักและศรัทธาในวิชาชีพครู
-ความศรัทธาในวิชาชีพ
-ทัศนคติท่ดี ตี ่ออาชีพครู
-ความศรัธาในตนเองและวิชาชีพครู
9. ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ 3 21.43
-การปฏิบตั ิการสอน
-ความเชี่ยวชาญในการสอน
-ความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
10. ความมีมนุษยสัมพันธ์ 4 28.57
-การมีมนุษย์สัมพันธ์ทดี่ ีและมีความเป็นกัลยาณมิตร
-ความมีมนุษยสัมพันธ์
11. การเป็นแบบอย่างทีด่ ี 11 78.57
-การเป็นแบบอย่างทีด่ ี
-ปฏิบัติตนอยูบ่ นวิถีแห่งความเป็นครู
-การปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพ
-การตระหนักรูแ้ ละปฏิบัตติ นบนวิถีความเป็นครู
-การเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม
-การวางตนเหมาะสม
-ความเป็นกัลยาณมิตรในวิถีแห่งความเป็นครู
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 75
องค์ประกอบที่คัดสรร
ความถี่
ร้อยละ
-ความประพฤติดี
-การเป็นแบบอย่างทีด่ ีต่อศิษย์
12. การมีจิตวิทยาในการสอน 2 14.29
-การมีจิตวิทยาในการสอน
-มีจิตวิญญาณในการสอน
13. การมีคณ ุ ธรรมและจริยธรรม 5 35.71
-การมีคุณธรรมและจริยธรรม
-คุณลักษณะส่วนตัวและการมีคุณธรรมจริยธรรม
14. ความผูกพันระหว่างครูกับศิษย์ 1 7.14
15. การรู้บทบาทหน้าที่ 1 7.14
16. ความเสียสละ 6 42.88
-ความเสียสละ
-การอุทิศตนต่อองค์กร
-ความเสียสละในงานครู
-เสียสละ จิตอาสา
17. ความอดทน 1 7.14
18. ความเอือ้ อาทร 1 7.14
19. ความรับผิดชอบ 9 64.29
-ความรับผิดชอบ
-การปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่
-ความมุ่งมั่นในการพัฒนาผู้เรียน
-ความรับผิดชอบหรือการปฏิบัติตามหน้าที่
-การปฏิบัติตนตามหน้าที่ครู
20. เป็นผู้ร่วมงานอย่างสร้างสรรค์ 1 7.14
21. ความเข้าใจเคารพเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น 1 7.14
22. มีตัวแบบทางจิตวิญญาณความเป็นครู 1 7.14
23. มีความสุขกับการทางาน 2 14.29
-มีความสุขกับการทางาน
-รักการสอน มีความสุขในการสอน
24. ความเชื่อมั่นในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน 2 14.29
-ความเชื่อมั่นในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน
-ความเชื่อในศักยภาพมนุษย์
25. เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ 2 14.29
26. ความร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษา 1 7.14
และชุมชนอย่างสร้างสรรค์
27. ความรักและเมตตาลูกศิษย์ 1 7.14
28. ความรู้ดี 1 7.14
29. การปฏิบัตติ ่อศิษย์โดยเสมอภาค 1 7.14
30. รอบรู้ความเป็นครู 1 7.14
รวม 10 5 5 7 4 5 9 6 5 7 7 4 6 8
ความรักและศรัทธาในวิชาชีพครู
การเป็นแบบอย่างที่ดี
จิตวิญญาณความเป็นครู ความรับผิดชอบ
ความมีเมตตากรุณา
ความเสียสละ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณความเป็นครู
4. แรงจูงใจในการทางาน แรงจูงใจในการปฏิบัติงานเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความพึง
พอใจในการปฏิบัติงาน เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจ แรงจูงใจในการ
ปฏิบัติงานจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ครูกระทาพฤติกรรมต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน ถ้าครูได้รับ
การกระตุน่ ในการปฏิบัติงานจะทาให้ครูปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่น และเต็มกาลังความสามารถ
ซึ่งทาให้เกิดความรักและศรัทธาในวิชาชีพครู ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจิตวิญญาณความเป็น
ครูนั่นเอง
5. ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์เป็นการปฏิบัติตน
เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้แก่ การที่ครูปฏิบัติต่อศิษย์โดยการช่วยเหลือ การดูแลเอา
ใจใส่ การอบรมสั่งสอน การให้คาปรึกษาและแนะแนวทางในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วนักเรียนเชื่อฟัง
นาไปปฏิบัติ จะเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการพัฒนาความเป็นครูผู้มีจิตวิญ ญาณครู ทั้งนี้เพราะ
ความผูกพันระหว่างครูกับนักเรียนที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเป็นพลวัตรที่เคลื่อนไปพร้อมกับการ
ปฏิบัติงานในฐานะครูที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนไปเรื่อย ยิ่งปริมาณการติดต่อสัมพันธ์เพิ่ม
มากขึ้นก็ยิ่งจะส่งผลถึงการประเมินค่าทางอารมณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ทาให้เกิดแรง
สนับสนุนทางจิตใจต่อการดารงอยู่ในบทบาทของครู และส่งผลต่อการเป็นครูที่มีจิตวิญญาณครู
6. ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผูบ้ ริหาร ปัจจัยความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผูบ้ ริหารเป็น
สิ่งสาคัญที่ส่งผลต่อจิตวิญญาณความเป็นครู เพราะผู้บริหารมีบทบาทในการสนับสนุนให้ครู
สามารถจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าหากครูมีความศรัทธาและเชื่อมั่น
ในตัวผู้บริหารแล้วจะทาให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความราบรื่น เกิดความร่วมมือร่วมใจใน
การปฏิบัติงาน เกิดการทางานเป็นทีม ผู้บริหารจะให้การสนับสนุนส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู
ทาให้ครูเกิดขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติงาน ซึ่งส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
สูงตามไปด้วย
7. ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเพื่อนร่วมงาน
เป็นการปฏิบัติตนของครู เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี ต่อกัน เช่น การให้ความร่วมมือในการ
ทางานร่วมกั น การยอมรับฟั งความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ดีต่อกัน การเห็นอกเห็นใจกั น
การแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้การทางานร่วมกัน ซึ่งสิ่งเหล่านีจ้ ะส่งผลให้เกิดบรรยากาศที่ดีใน
การทางาน จะจูงใจให้ครูปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท อันจะส่งผลต่อจิตวิญญาณความเป็นครู
จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อจิตวิญญาณความเป็นครูมีหลายปัจจัย ได้แก่
ประสบการณ์ในการทางาน ความตั้งใจในการประกอบวิชาชีพครู เจตคติต่อวิชาชีพครู แรงจูงใจ
ในการทางาน ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ และความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผูบ้ ริหาร
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 79
วิธีการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู
2. การพัฒนาโดยใช้เพลง
เพลง หมายถึง ถ้อยคาที่นักประพันธ์เรียงร้อย หรือเรียบเรียงขึ้น ซึ่งประกอบด้วย
เนื้อร้อง ทานอง จังหวะ ทาให้เกิดความไพเราะ สร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้ฟัง มีคุณค่าด้าน
วรรณศิลป์ทั้งด้านการเลือกสรรคาที่ใช้ในการแต่ง การเรียบเรียงประโยค และการใช้โวหาร
80 การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู
ตัวอย่างเพลงที่ควรนาไปใช้จัดกิจกรรม
เพลงที่ควรนาไปใช้จัดกิจกรรม เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู ได้แก่ เพลง
แม่พิมพ์ของชาติ (สุเทพ โชคสกุล) เพลงครูกระดาษทราย (คาร้อง: โรจน์ชนา วโรภาษ ทานอง/
เรียบเรียง: รามจิตติ หงสกุล) เพลงพระคุณที่สาม (สุเทพ โชคสกุล) เพลงเทียนส่องฟ้า (นาวาเอก
ทองย้อย แสงสินชัย) เป็นต้น
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 81
เพลง แม่พิมพ์ของชาติ
คาร้อง-ทานอง: สุเทพ โชคสกุล
ขับร้องโดย: วงจันทร์ ไพโรจน์
เพลง เทียนส่องฟ้า
คาร้อง: นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย
ขับร้องโดย: ดนุพล แก้วกาญจน์
เทียนที่เรืองแสงส่อง คือแสงทองส่องทาง
เปล่งประกาย ยอมละลายให้สว่าง คนหลงทาง เห็นทางที่แสวง
ดินเอ๋ย ดินไร้คา่ ใครหนอ มาเปลี่ยนแปลง
ปั้นเป็นดาว สีทองส่องแสง คือน้าแรง ของครูทุกเขตคาม
โอ เหนื่อยมาแสนนาน งานสิหนักช่างสมนาม
82 การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู
3. การพัฒนาโดยใช้คาประพันธ์
คาประพันธ์ หมายถึง ถ้อยคาที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์
โดยมีกาหนดข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความครึกครื้น และมีความไพเราะแตกต่างไปจากถ้อยคา
ธรรมดา มีสัมผัสคล้องจองกัน ซึ่งแต่งเป็นกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ และร่าย การนาคาประพันธ์
ประเภทต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาส่งเสริม ปลูกฝัง กระตุ้น ปลุกเร้าอาชีพครูให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูศึกษา
จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูได้อกี ประการหนึ่ง
การนาค าประพันธ์มาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาจิตวิญ ญาณความเป็นครู
อาจดาเนินการได้หลายลักษณะ ดังนี้
1) ใช้เป็นบทเกริ่นนา หรือบทสรุปในกิจกรรมวันสาคัญ ๆ เช่น วันครู วันไหว้ครู
วันประชุม อบรม สัมมนา วันปิดภาคเรียน
2) ใช้เป็นเนื้อหาประกอบการแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ หาข้อสรุป แนวคิด
แนวทางการปฏิบัติ การแก้ปัญหา
3) ใช้เป็นเพลงประกวด แข่งขัน การร้องเพลงในโอกาสต่าง ๆ
4) ใช้เป็นสื่อกระตุ้นเตือนจิตสานึก เช่น จัดทาเป็นแผนภู มิเพลง หรือใส่กรอบติดไว้
ในห้องพักครู หรือห้องประชุม
5) ใช้เป็นเพลงประกอบการแสดงจินตลีลาเนื่องในวันสาคัญต่าง ๆ เช่น วันครู
วันเกษียณอายุราชการ
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 83
ตัวอย่างคาประพันธ์
ใครคือครู
ผู้ประพันธ์: เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
4. การพัฒนาโดยใช้คาขวัญ
คาขวัญ หมายถึง ถ้อยคา ข้อความ คาคล้องจอง หรือบทกลอนสั้น ๆ เพื่อให้จาได้
ง่าย โดยอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1) ถ้อยคาหรือข้อความที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ แสดงอุดมคติ หรือเป้าหมาย
ของกลุ่ม หรือองค์กรนั้น ๆ เช่น คาขวัญวันเด็ก คาขวัญวันครู คาขวัญประจาโรงเรียน
2) ถ้อยคาหรือข้อความที่แต่งขึน้ มาเพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ คุณสมบัติ ความโดด
เด่น เช่น คาขวัญประจาจังหวัด ทั้งนี้อาจใช้คาคม หรือพุทธพจน์มาเป็นคาขวัญก็ได้ (Wikipedia.
2560)
คาขวัญ มีประโยชน์หลายประการ ได้แก่ ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ ของหน่วยงาน
หรือ กิ จกรรมต่ าง ๆ ให้ ข้ อ คิ ด เตื อ นสติ ในการท างาน รณรงค์ กิ จ กรรมต่ าง ๆ เพื่ อ ให้ ค นได้
ตระหนักถึงกิจกรรมนั้น และช่วยประชาสัมพันธ์งาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยถ้อยคาสัน้ ๆ
ตัวอย่างคาขวัญ
5. การมีตัวแบบด้านจิตวิญญาณความเป็นครู การที่บุคคลเป็นตัวแบบในการทางาน
ที่ดี หรือการมีบุคคลต้นแบบแสดงพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงการมีจิตวิญญาณความเป็นครู หรือการ
มีป ระสบการณ์ ที่ เกี่ ย วข้ องสั ม พั น ธ์ กั บ บุ ค คลต้น แบบในลั ก ษณะต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลื อ
นักเรียน การขยันอดทนมุ่งมั่นสู่เป้าหมายชีวิต การแสดงออกของบุคคลต้นแบบที่ปฏิบัติต่อ
ตนเอง หรือมีโอกาสใกล้ชิดและได้รับการดูแลจากบุคคลต้นแบบ ย่อมทาให้เกิดการสังเกต การ
เก็บจา และซึมซับความเชื่อนั้นเป็นของตนเอง ขณะเดียวกันทาให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะพัฒนา
จิตวิญญาณความเป็นครู หรือทาตามพฤติกรรมของตัวแบบของตน
จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่าวิธีการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูสามารถทาได้หลายวิธี
เช่น การพัฒนาโดยใช้กิจกรรมการฝึกอบรม การพัฒนาโดยใช้เพลง การพัฒนาโดยใช้คาประพันธ์
การพัฒนาโดยใช้คาขวัญ และการมีตัวแบบด้านจิตวิญญาณความเป็นครู
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 85
การพัฒนาโดยใช้กิจกรรมการฝึกอบรม
วิธีการพัฒนา การพัฒนาโดยใช้เพลง
จิตวิญญาณความเป็นครู การพัฒนาโดยใช้คาประพันธ์
การพัฒนาโดยใช้คาขวัญ
การมีตัวแบบด้านจิตวิญญาณความเป็นครู
สรุปท้ายบท
แบบฝึกหัดท้ายบท
จงตอบคาถามหรือทากิจกรรมต่อไปนี้
1. จงให้ความหมายของ “จิตวิญญาณ” และ “จิตวิญญาณความเป็นครู”
2. จิตวิญญาณความเป็นครูควรมีองค์ประกอบอะไรบ้าง จงอธิบายรายละเอียดของ
แต่ละองค์ประกอบ
3. จงหาบทเพลง คาประพันธ์ และคาขวัญที่เกี่ยวกับครูอย่างละ 2 รายการ พร้อม
อธิบายแนวคิด หรือข้อเตือนใจที่ได้จากบทประพันธ์นนั้ ๆ
86 การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู
4. จงเขียนโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู มา 1 โครงการ
5. จงแต่งเพลง หรือคาประพันธ์ หรือคาขวัญเกี่ยวกับ “ครูผมู้ ีจติ วิญญาณความเป็นครู”
6. ให้นักศึกษาคิดวิธีการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู อย่างน้อย 3 วิธี (ที่นอกเหนือ
จากเนื้อหาในบทนี้) ว่าควรดาเนินการอย่างไรได้บ้าง พร้อมอธิบายรายละเอียดของแต่ละวิธี
7. ให้นักศึกษาสัมภาษณ์ครูที่ได้รับรางวัล “ครูผสู้ อนดีเด่น” ของคุรุสภา หรือหน่วยงาน
ต้นสังกัด โดยสัมภาษณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะหรือองค์ประกอบของครูที่มีจิตวิญญาณ
ความเป็นครู และวิธีการพัฒนาเพื่อให้ครูมจี ติ วิญญาณความเป็นครูตามองค์ประกอบดังกล่าว
8. จากผลการสัมภาษณ์ครูผู้สอนดีเด่น (ในข้อ 7) ให้นักศึกษาเปรียบเทียบคุณลักษณะ
หรือองค์ป ระกอบของจิตวิญ ญาณความเป็นครู ที่ได้จากการสัมภาษณ์ กั บ คุณ ลัก ษณะหรือ
องค์ประกอบจิตวิญญาณความเป็นครูของตนเองว่า “มี” และ “ไม่มี” ในประเด็นใดบ้าง แล้วให้
จัดทาแผนพัฒนาตนเอง เพื่อให้เกิดคุณลักษณะหรือองค์ประกอบดังกล่าว
บทที่ 5
การเสริมสร้างสมรรถนะวิชาชีพครู
บุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายในปัจเจกบุคคล ซึ่งสามารถผลักดันให้ปัจเจกบุคคลนั้น
สร้ า งผลการปฏิ บั ติ ง านที่ ดี ห รื อ ตามเกณฑ์ ที่ ก าหนดในงานที่ ต นรั บ ผิ ด ชอบ และเป็ น สิ่ ง ที่
ประกอบขึน้ มาจากความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และแรงจูงใจ
สาหรับในบทนีจ้ ะได้นาเสนอเนือ้ หาตามลาดับ ดังนี้ ความหมายของสมรรถนะ
องค์ประกอบของสมรรถนะ ประเภทของสมรรถนะ สมรรถนะวิชาชีพครู ประโยชน์ของสมรรถนะ
การประเมินสมรรถนะบุคคล และการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพครู
ความหมายของสมรรถนะ
องค์ประกอบของสมรรถนะ
ประเภทของสมรรถนะ
นักวิชาการหลายท่านได้แบ่งประเภทของสมรรถนะไว้ ดังนี้
ณรงค์วิทย์ แสนทอง (2547: 10-11) ได้แบ่งสมรรถนะออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1) สมรรถนะหลัก (core competency) หมายถึง บุคลิกลักษณะของคนที่สะท้อนให้
เห็นถึงความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ความเชื่อและอุปนิสัยของคนในองค์การโดยรวม ที่จะช่วยสนับสนุน
ให้องค์การบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ได้
2) สมรรถนะประจาสายงาน (job competency) หมายถึง บุคลิกลักษณะของคน ที่
สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ความเชื่อ และอุปนิสัยที่จะช่วยส่งเสริมให้คน ๆ นั้น
สามารถสร้างผลงานในการปฏิบัติงานตาแหน่งนัน้ ๆ ได้สูงกว่ามาตรฐาน
90 การเสริมสร้างสมรรถนะวิชาชีพครู
สมรรถนะวิชาชีพครู
นักวิชาการและหน่วยงานทางการศึกษาได้กาหนดองค์ประกอบสมรรถนะวิชาชีพครู ดังนี้
พงษ์ศักดิ์ ด้วงพา (2558: 912-913) ได้ทาการวิจัยสมรรถนะวิชาชีพครูโรงเรียนเอกชน
ในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 พบว่าสมรรถนะวิชาชีพครูในสมรรถนะหลัก
มี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) จิตวิทยาสาหรับครู 2) ความเป็นครู 3) การพัฒนาตนเอง 4) การมุ่ง
ผลสัมฤทธิ์ 5) การทางานเป็นทีม 6) การบริการที่ดี และ 7) วินัย คุณธรรมและจรรยาบรรณ
วิชาชีพ ส่วนสมรรถนะวิชาชีพครูในสมรรถนะประจาสายงานมี 9 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ภาวะผู้นา
ครู 2) การพัฒนาหลักสูตร 3) การสร้างความร่วมมือกับชุมชน 4) วิเคราะห์สังเคราะห์และการ
วิจัยทางการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียน 5) การวัดและการประเมินผลการศึกษา 6) ภาษา เทคโนโลยี
สาหรับครูและนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา 7) ความรู้ในเนื้อหาวิชา 8) การ
พัฒนาผู้เรียนที่เน้นผูเ้ รียนเป็นสาคัญ และ 9) การจัดการเรียนรู้และการบริหารจัดการชั้นเรียน
ฉัตรชัย หวังมีจงมีและองอาจ นัยพัฒน์ (2560: 53-60) ได้ทาการวิจัยสมรรถนะของ
ครูไทยในศตวรรษที่ 21 พบว่าสมรรถนะของครูมี 7 สมรรถนะ ได้แก่ 1) การจัดการเรียนการสอน
โดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง 2) การวัดประเมินผลเพื่อการพัฒนาและคานึงถึงความแตกต่าง
หลากหลายระหว่างบุค คล 3) คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีและการรู้เท่าทันสื่อ 4) คุณ ธรรม
จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ 5) การทางานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
6) การข้ามวัฒนธรรม และ 7) การเป็นผู้อานวยความสะดวกและแนะแนวทาง
ภิญญาพัชญ์ กาวินคา (2560: 26-27) ได้ทาวิจัยพัฒนาสมรรถนะครูผสู้ อนในโรงเรียน
ขนาดเล็กในเขตพื้นที่ตาบลเวียงชัย พบว่าสมรรถนะที่เหมาะสมกับครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็ก
ประกอบด้วย 14 สมรรถนะ ได้แก่ 1) ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาสาระในรายวิชาและเนื้อหาสาระใน
รายวิชาที่เกี่ยวข้อง 2) ทักษะการใช้ภาษาและการสื่อสาร 3) ทักษะการใช้สื่อ นวัตกรรม และ
เทคโนโลยีสารสนเทศ 4) ทักษะการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ 5) ทักษะการพัฒนา
หลักสูตร 6) ทักษะการบริหารจัดการชั้นเรียน 7) ทักษะการพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียน 8) ทักษะ
92 การเสริมสร้างสมรรถนะวิชาชีพครู
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
3.1 การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ติดตาม 1. ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ มุ่งมัน่ และแสวงหาโอกาสพัฒนาตนเองด้วยวิธีการที่
องค์ความรูใ้ หม่ ๆ ทางวิชาการและวิชาชีพ หลากหลาย เช่น การเข้าประชุม /สัมมนา การศึกษาดูงาน การค้นคว้าด้วย
ตนเอง
3.2 การสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม 1. รวบรวม สังเคราะห์ข้อมูล ความรู้ จัดเป็นหมวดหมู่ และปรับปรุงให้ทันสมัย
ในการพัฒนาองค์กรและวิชาชีพ 2. สร้างองค์ความรู้ และนวัตกรรมเพือ่ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ องค์กรและ
วิชาชีพ
3.3 การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้าง 1. แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่นเพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนางาน
เครือข่าย 2. ให้คาปรึกษา แนะนา นิเทศ และถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ทางวิชาชีพ
แก่ผู้อื่น
3. มีการขยายผลโดยสร้างเครือข่ายการเรียนรู้
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
4.1 การให้ความร่วมมือช่วยเหลือและ 1. สร้างสัมพันธภาพที่ดีในการทางานร่วมกับผูอ้ ่นื
สนับสนุนเพื่อร่วมงาน 2. ทางานร่วมกับผู้อื่นตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
3. ช่วยเหลือ สนับสนุน เพื่อนร่วมงานเพื่อสู่เป้าหมาย ความสาเร็จร่วมกัน
4.2 การเสริมแรงให้กาลังใจเพื่อนร่วมงาน 1. ให้เกียรติ ยกย่องชมเชย ให้กาลังใจแก่เพื่อนร่วมงานในโอกาสที่เหมาะสม
4.3 การปรับตัวเข้ากับกลุ่มคนหรือ 1. มีทักษะในการทางานร่วมกับบุคคล/กลุ่มบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้ง
สถานการณ์ที่หลากหลาย ภายในและภายนอกสถานศึกษา และในสถานการณ์ตา่ ง ๆ
4.4 การแสดงบทบาทผู้นาหรือผู้ตาม 1. แสดงบทบาทผูน้ าหรือผู้ตามในการทางานร่วมกับผูอ้ ่นื ได้อย่างเหมาะสม
ตามโอกาส
4.5 การเข้าไปมีส่วนร่วมกับผูอ้ ่นื ในการ 1. แลกเปลี่ยน/รับฟังความคิดเห็นและประสบการณ์ภายในทีมงาน
พัฒนาการจัดการศึกษาให้บรรลุผลสาเร็จ 2. แลกเปลี่ยนเรียนรู้/รับฟังความคิดเห็นและประสบการณ์ระหว่างเครือข่ายและ
ตามเป้าหมาย ทีมงาน
3. ร่วมกับเพื่อนร่วมงานในการสร้างวัฒนธรรมการทางานเป็นทีมให้เกิดขึน้
ในสถานศึกษา
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
2. มีความเป็นกัลยาณมิตรต่อผู้เรียน เพื่อนร่วมงาน และผูร้ ับบริการ
3. ปฏิบัติตนตามหลักการครองตน ครองคน ครองงานเพื่อให้การปฏิบัติงาน
บรรลุผลสาเร็จ
4. เป็นแบบอย่างที่ดีในการส่งเสริมผูอ้ ่นื ให้ปฏิบัติตนตามหลักจริยธรรม
จรรยาบรรณวิชาชีพครู และพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับ
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
6. พัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ระหว่างโรงเรียนกับผูป้ กครอง และชุมชน
1.4 การใช้และพัฒนาสื่อนวัตกรรม 1. ใช้สื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้อย่างหลากหลาย
เทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้ เหมาะสมกับเนือ้ หาและกิจกรรมการเรียนรู้
2. สืบค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้
3. ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อ/นวัตกรรมที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้
1.5 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 1. ออกแบบวิธีการวัดและประเมินผลอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับเนือ้ หา
กิจกรรมการเรียนรู้ และผูเ้ รียน
2. สร้างและนาเครื่องมือวัดและประเมินผลไปใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม
3. วัดและประเมินผลผูเ้ รียนตามสภาพจริง
4. นาผลการประเมินการเรียนรู้มาใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
2.1 การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้กับ 1. สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมแก่ผู้เรียนในการจัด การเรียนรู้ในชั้นเรียน
ผู้เรียน 2. จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมโดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ
วางแผนกิจกรรม
3. จัดทาโครงการ/กิจกรรมที่สง่ เสริมคุณธรรมจริยธรรมให้แก่ผู้เรียน
2.2 การพัฒนาทักษะชีวติ และสุขภาพ 1. จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาผูเ้ รียนด้านการดูแลตนเอง มีทกั ษะในการเรียนรู้
สุขภาพจิตผู้เรียน การทางาน การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
2.3 การปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย 1. สอดแทรกความเป็นประชาธิปไตย ความภูมิใจในความเป็นไทย ให้แก่
ความภูมิใจในความเป็นไทยให้แก่ผู้เรียน ผู้เรียน
2. จัดทาโครงการ/กิจกรรมส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ความภูมิใจใน
ความเป็นไทย
2.4 การจัดระบบดูแลนักเรียน 1. ให้ผู้เรียน คณะครูผู้สอน และผูป้ กครองมีส่วนร่วมในดูแลช่วยเหลือ
นักเรียนรายบุคคล
2. นาข้อมูลนักเรียนไปใช้ช่วยเหลือ/พัฒนาผูเ้ รียนทั้งด้านการเรียนรู้และปรับ
พฤติกรรมเป็นรายบุคคล
3. จัดกิจกรรมเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหา และส่งเสริมพัฒนาผูเ้ รียนให้แก่
นักเรียนอย่างทั่วถึง
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมกับค่านิยมที่ดงี าม
5. ดูแล ช่วยเหลือ ผู้เรียนทุกคนอย่างทั่วถึง ทันการณ์
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 97
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
4.1 การวิเคราะห์รายการพฤติกรรม 1. สารวจปัญหาเกี่ยวกับนักเรียนที่เกิดขึน้ ในชั้นเรียนเพื่อวางแผนการวิจัย
เพื่อพัฒนาผูเ้ รียน
2. วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาเกี่ยวกับนักเรียนที่เกิดขึน้ ในชั้นเรียนเพื่อกาหนด
ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาระบุสภาพปัจจุบัน
3. มีการวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อย อุปสรรคและโอกาสความสาเร็จของการวิจัย
เพื่อแก้ไขปัญหาทีเ่ กิดขึน้ ในชั้นเรียน
4.2 การสังเคราะห์รายการพฤติกรรม 1. รวบรวม จาแนกและจัดกลุ่มของสภาพปัญหาของผู้เรียน แนวคิดทฤษฎี
และวิธีการแก้ไขปัญหาเพื่อสะดวกต่อการนาไปใช้
2. มีการประมวลผลหรือสรุปข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไข
ปัญหาในชั้นเรียนโดยใช้ข้อมูลรอบด้าน
4.3 การวิจัยเพื่อพัฒนาผูเ้ รียน 1. จัดทาแผนการวิจัย และดาเนินกระบวนการวิจัย อย่างเป็นระบบตามแผน
98 การเสริมสร้างสมรรถนะวิชาชีพครู
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
ดาเนินการวิจัยที่กาหนดไว้
2. ตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของผลการวิจัยอย่างเป็นระบบ
3. มีการนาผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ในกรณีศกึ ษาอื่น ๆ ที่มีบริบทของปัญหา
ที่คล้ายคลึงกัน
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
5.1 วุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่ที่เหมาะสม 1. พิจารณาทบทวน ประเมินตนเองเกี่ยวกับพฤติกรรมทีแ่ สดงออกต่อผู้เรียน
กับความเป็นครู และผูอ้ ่นื และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม
2. เห็นคุณค่า ให้ความสาคัญในความคิดเห็นหรือผลงาน และให้เกียรติแก่ผู้อ่นื
3. กระตุ้นจูงใจ ปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทาของผู้อื่นให้มคี วามผูกพัน
และมุง่ มั่นต่อเป้าหมายในการทางานร่วมกัน
5.2 การสนทนาอย่างสร้างสรรค์ 1. มีปฏิสมั พันธ์ในการสนทนา มีบทบาท และมีส่วนร่วมในการสนทนาอย่าง
สร้างสรรค์กับผู้อื่น โดยมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ของผู้เรียนและการพัฒนาวิชาชีพ
2. มีทักษะการฟัง การพูดและการตั้งคาถาม เปิดใจกว้าง ยืดหยุ่น ยอมรับ
ทัศนะที่หลากหลายของผู้อื่น เพื่อเป็นแนวทางใหม่ ๆ ในการปฏิบัติงาน
3. สืบเสาะข้อมูล ความรูท้ างวิชาชีพใหม่ ๆ ทีส่ ร้างความท้าทายในการสนทนา
อย่างสร้างสรรค์กับผู้อื่น
5.3 การเป็นบุคคลแห่งการเปลี่ยนแปลง 1. ให้ความสนใจต่อสถานการณ์ตา่ ง ๆ ที่เป็นปัจจุบัน โดยมีการวางแผนอย่างมี
วิสัยทัศน์ ซึ่งเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ เป้าหมายและพันธกิจของโรงเรียนร่วมกับ
ผู้อื่น
2. ริเริ่มการปฏิบัติที่นาไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนานวัตกรรม
3. กระตุ้นผู้อ่นื ให้มีการเรียนรู้และความร่วมมือใน
วงกว้างเพื่อพัฒนาผูเ้ รียน สถานศึกษา และวิชาชีพ
4. ปฏิบัติงานร่วมกับผูอ้ ่นื ภายใต้ระบบ/ขั้นตอนที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้
5.4 การปฏิบัติงานอย่างไตร่ตรอง 1. พิจารณาไตร่ตรองความสอดคล้องระหว่างการเรียนรู้ของนักเรียน และการ
จัดการเรียนรู้
2. สนับสนุนความคิดริเริ่มซึง่ เกิดจากการพิจารณาไตร่ตรองของเพื่อนร่วมงาน
และมีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ
3. ใช้เทคนิควิธีการหลากหลายในการตรวจสอบ ประเมินการปฏิบัติงานของ
ตนเองและผลการดาเนินงานสถานศึกษา
5.5 การมุ่งพัฒนาผลสัมฤทธิ์ผู้เรียน 1. กาหนดเป้าหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ที่ท้าทายความสามารถของ
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 99
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
ตนเองตามสภาพจริง และปฏิบัติให้บรรลุผลสาเร็จได้
2. ให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นรอบด้านของผู้เรียนต่อผู้ปกครองและผูเ้ รียนอย่างเป็น
ระบบ
3. ยอมรับข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับความคาดหวังด้านการเรียนรู้ของผู้เรียน
จากผู้ปกครอง
4. ปรับเปลี่ยนบทบาทและการปฏิบัตงิ านของตนเองให้เอือ้ ต่อการพัฒนา
ผลสัมฤทธิ์ผู้เรียน
5. ตรวจสอบข้อมูลการประเมินผูเ้ รียนอย่างรอบด้าน รวมไปถึงผลการวิจยั
หรือองค์ความรูต้ ่าง ๆ และนาไปใช้ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนอย่างเป็น
ระบบ
สมรรถนะที่ 6 การสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชนเพื่อการจัด
การเรีย นรู้ (relationship & collaborative-building for learning management) หมายถึ ง การ
ประสานความร่วมมือ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างเครือข่ายกับผู้ปกครอง ชุมชนและองค์กร
อื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสนั บสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วยตัวบ่งชี้และ
รายการพฤติกรรม ดังนี้
ตัวบ่งชี้ รายการพฤติกรรม
6.1 การสร้างความสัมพันธ์และความ 1. กาหนดแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และความร่วมมือกับชุมชน
ร่วมมือกับชุมชนเพื่อจัดการเรียนรู้ 2. ประสานให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของสถานศึกษา
3. ให้ความร่วมมือในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
4. จัดกิจกรรมที่เสริมสร้าง ความสัมพันธ์และความร่วมมือกับผูป้ กครอง
ชุมชน และองค์กรอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อการจัดการเรียนรู้
6.2 การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ 1. สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างครู ผู้ปกครอง ชุมชน และองค์กร
เพื่อการจัดการเรียนรู้ อื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนรู้
ชื่อนักการศึกษา
3) ภิญญาพัชญ์ กาวินคา (2560)
องค์ประกอบที่คัดสรร
ณ สุนทร (2562)
องค์ประกอบ
ความถี่
ร้อยละ
1) คุณลักษณะความเป็นผู้มีจิตวิทยาสาหรับครู 2 25
-จิตวิทยาสาหรับครู
-คุณลักษณะความเป็นผู้มีจติ วิทยาสาหรับครู
2) คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ 7 87.50
-ความเป็นครู
-วินัย คุณธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
-คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
-คุณลักษณะความเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
-จริยธรรมและจรรยาบรรวิชาชีพครู
-ความเป็นครูและจรรยาบรรณวิชาชีพ
3) การพัฒนาตนเอง 4 50.00
-การพัฒนาตนเอง
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 101
องค์ประกอบที่คัดสรร
ณ สุนทร (2562)
องค์ประกอบ
ความถี่
ร้อยละ
-ทักษะการบริหารจัดการและการพัฒนาตนเอง
-การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
4) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ 1 12.50
5) การทางานเป็นทีม 4 50.00
-การทางานเป็นทีม
-การทางานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
-ทักษะการทางานร่วมกับผู้อื่น
6) การบริการทีด่ ี 3 37.50
-การบริการทีด่ ี
-การเป็นผู้อานวยความสะดวกและแนะแนวทาง
7) ภาวะผู้นาครู 2 25.00
8) การพัฒนาหลักสูตร 5 62.50
-การพัฒนาหลักสูตร
-ทักษะการพัฒนาหลักสูตร
-การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้
9) การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน 4 50.00
-การสร้างความร่วมมือกับชุมชน
-การสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชนเพือ่ การจัดการเรียนรู้
-ความสัมพันธ์กับชุมชน
-การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน
10) การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจัยทางการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียน 4 50.00
-การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจัยทางการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียน
-ทักษะการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และวิจัยการศึกษา
-การคิด
11) การวัดและประเมินผลทางการศึกษา 5 62.50
-การวัดและประเมินผลทางการศึกษา
-การวัดประเมินผลเพื่อการพัฒนาและคานึงถึงความแตกต่าง
หลากหลายระหว่างบุคคล
-ทักษะการวัดและการประเมินผล
-การประเมินผลและการวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษา
12) นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา 5 62.50
-ภาษา เทคโนโลยีสาหรับครู และนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ
ทางการศึกษา
-คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีและการรูเ้ ท่าทันสื่อ
-ทักษะการใช้สื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ
-นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
-การสื่อสารและเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร
13) ความรู้ในเนือ้ หาวิชา 5 62.50
-ความรู้ในเนือ้ หาวิชา
-ความรู้เกี่ยวกับเนือ้ หาสาระในรายวิชาและเนือ้ หาสาระในรายวิชา
ที่เกี่ยวข้อง
-การพัฒนาทางวิชาการ
-ความรู้ลึกในเนือ้ หาวิชาและวิธีวิทยาการสอน
14) การพัฒนาผู้เรียน 6 75.00
-การพัฒนาผู้เรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
-ทักษะการพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียน
-การพัฒนาผู้เรียน
15) การจัดการเรียนรู้ 5 62.50
102 การเสริมสร้างสมรรถนะวิชาชีพครู
องค์ประกอบที่คัดสรร
ณ สุนทร (2562)
องค์ประกอบ
ความถี่
ร้อยละ
-การจัดการเรียนการสอนโดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
-ทักษะการจัดการเรียนรูท้ ี่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
-การจัดการเรียนรู้
16) การบริหารจัดการชั้นเรียน 5 62.50
-การจัดการเรียนรู้และการบริหารจัดการชั้นเรียน
-ทักษะการบริหารจัดการชั้นเรียน
-การบริหารจัดการชั้นเรียน
17) การข้ามวัฒนธรรม 1 12.50
18) ทักษะการใช้ภาษาและการสื่อสาร 1 12.50
19) ทักษะการปรับตัว 1 12.50
20) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบตั ิงาน 1 12.50
21) การพัฒนาสถานศึกษา 1 12.50
22) ความรู้ทางวิชาชีพครู 1 12.50
23) การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ 1 12.50
รวม 7 7 14 11 5 6 6 7
ประโยชน์ของสมรรถนะ
การประเมินสมรรถนะบุคคล
การพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพครู
2. วิธีการพัฒนาสมรรถนะครู
วิธีการพัฒนาสมรรถนะครู อาจทาได้หลายรูปแบบตามความเชื่อของแต่ละบุคคล
ในองค์การ ที่ยึด ถือรากฐานของปรัชญาหรือทฤษฎีใด นอกจากนี้ ยั งขึ้นอยู่กับ ลักษณะของ
สถานศึกษา วัฒนธรรม และการเมืองของแต่ละองค์การ เงื่อนไขเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อวิธีการ
พัฒนาสมรรถนะครูทั้งสิ้น
วิธีการพัฒนาสมรรถนะครูที่สาคัญมี ดังนี้
2.1 การเรีย นรู้ด้ ว ยตนเอง (self-directed learning) การเรีย นรู้ด้วยตนเองเป็น
กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนริเริ่มการเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ความต้องการ ความถนัด
อย่างมีเป้าหมาย รู้จักแสวงหาแหล่งทรัพยากรของการเรียนรู้ เลือกวิธีการเรียนรู้ ตลอดจนการ
ประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเอง โดยจะดาเนินการด้วยตนเองหรือ จะร่วมมือ
กับผู้อื่นก็ได้ การเรียนรู้ด้วยตนเองมีกระบวรการเรียนรู้ ดังนี้ 1) การประเมินความต้องการของ
ตนเอง 2) การกาหนดจุดมุ่งหมาย 3) การกาหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ 4) การจัดการในการเรียน
5) การเลือกวิธีการเรียนและสื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์การสอน เทคนิคการสอน ทรัพยากร
108 การเสริมสร้างสมรรถนะวิชาชีพครู
และยังมีโอกาสสอบถามหรือแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ และข้อคิดเห็นอันอาจนามาใช้
ปรับปรุงการทางานในหน่วยงานของตน ร่วมทั้งก่อให้เกิดประโยชน์ในการประสานงานระหว่าง
หน่วยงานของตนกับหน่วงงานที่ไปเยี่ยมชมต่อไปในอนาคตอีกด้วย การศึกษาดูงานจึงเป็นการ
เพิ่มพูนความรูแ้ ละประสบการณ์ให้กับบุคลากร โดยมีแนวคิดที่จะให้บุคลากรได้มโี อกาสพบเห็น
ได้รับฟัง และมีประสบการณ์โดยตรงกับสิ่งที่ตอ้ งการศึกษา จะทาให้เกิดความสนใจ เข้าใจและ
ตระหนักในประเด็นที่ตอ้ งการมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคลากรผูไ้ ปดู
งานด้วย
2.8 การเข้าร่วมกิจกรรมวิชาการ การเข้าร่วมกิจกรรมวิชาการเป็นการเข้าร่วม
กิจกรรมวิชาการที่หลากหลาย สอดคล้องกับความสนใจและการปฏิบัติงานในหน้าที่ เช่น การ
สัมมนาวิชาการ กิจกรรมของสมาคมวิชาชีพหรือวิชาการ การเผยแพร่และเสนอผลงานวิชาการ
การส่งเสริมวินัยและพัฒนาคุณธรรม
สรุปได้ว่า วิธีการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพครูมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การเรียนรู้ด้วย
ตนเอง การสอนงาน ระบบพี่เลี้ยง การให้คาปรึกษา การฝึกอบรม การนิเทศ การศึกษาดูงาน
การเข้าร่วมกิจกรรมวิชาการ ดังนั้น ในการพัฒนาสมรรถนะใดจะต้องเลือกวิธีการที่สอดคล้อง
และเหมาะสมกับสมรรถนะเหล่านั้น
สรุปท้ายบท
แบบฝึกหัดท้ายบท
จงตอบคาถามหรือทากิจกรรมต่อไปนี้
1. จงให้ความหมายของ “สมรรถนะ” และ “สมรรถนะวิชาชีพครู”
2. สมรรถนะมีกี่องค์ประกอบ อะไรบ้าง จงอธิบายรายละเอียดแต่ละองค์ประกอบ
3. สมรรถนะวิชาชีพครูมกี ี่ประเภท จงอธิบายรายละเอียดแต่ละประเภท
4. สมรรถนะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
5. วิธีการประเมินสมรรถนะวิชาชีพครูทาอย่างไรได้บ้าง
6. ท่านคิดว่าสมรรถนะวิชาชีพครูมีความจาเป็นต่อการปฏิบัติงานหรือไม่ อย่างไร
7. จงอธิบายขั้นตอนการจัดทาแผนพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพครู
8. วิธีการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพครูมวี ิธีใดบ้าง
9. ให้นักศึกษาสัมภาษณ์ครูที่ได้รับรางวัล “ครูผสู้ อนดีเด่น” ของคุรุสภาหรือหน่วยงาน
ต้นสังกัด โดยสัมภาษณ์เพื่อให้ได้ขอ้ มูลเกี่ยวกับองค์ประกอบของสมรรถนะวิชาชีพครู และวิธีการ
พัฒนาเพื่อให้ครูมีสมรรถนะตามองค์ประกอบดังกล่าว
10. จากผลการสัมภาษณ์ครูผู้สอนดีเด่น (ในข้อ 9) ให้นักศึกษาเปรียบเทียบสมรรถนะ
วิชาชีพครูที่ได้จากการสัมภาษณ์กับสมรรถนะวิชาชีพครูของนักศึกษาว่า “มี” และ “ไม่มี” ใน
องค์ประกอบใดบ้าง แล้วให้จัดทาแผนพัฒนาตนเอง เพื่อให้เกิดสมรรถนะวิชาชีพครูดังกล่าว
112 การเสริมสร้างสมรรถนะวิชาชีพครู
บทที่ 6
การจัดการความรู้วิชาชีพครู
การจัดการความรู้วิชาชีพครูมีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นกระบวนการของการใช้
ความรู้อย่างเหมาะสมและเป็นระบบ โดยประกอบด้วยการแสวงหาความรู้ การเก็บรวบรวมความรู้
การสร้างความรู้ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการนาความรูไ้ ปใช้
สาหรับในบทนีจ้ ะได้นาเสนอเนื้อหาตามลาดับ ดังนี้ ความหมายของความรู้ ประเภทของ
ความรู้ ระดับของความรู้ วงจรเกลียวความรู้ ความหมายของการจัดการความรู้ กระบวนการ
จัดการความรู้ สภาพของการจัดการความรูใ้ นสถานศึกษา รูปแบบการจัดการความรูใ้ น
สถานศึกษา ประโยชน์ของการจัดการความรู้ และปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการจัดการความรู้
ความหมายของความรู้
ประเภทของความรู้
ประเภทของความรู้
ระดับของความรู้
มีนักวิชาการได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับระดับของความรู้ ดังนี้
Collison and Parcell (2004: 23-24) ได้เสนอแนวคิดในการแบ่งระดับความรู้ออกเป็น
4 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 รู้ว่าคืออะไร (know-what) เป็นความรู้เชิงทฤษฎีล้วน ๆ เปรียบเสมือน
ความรู้ผู้จบปริญญามาใหม่ ๆ เมื่อนาเอาความรู้เหล่านี้ไปใช้งานก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ ผลบ้าง หรือ
เป็นลักษณะความรู้ในเชิงการรับรู้ ผู้ปฏิบัติงานจะปฏิบัติงานตามข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งต้องใช้เวลาใน
การรวบรวมความรูแ้ ละการตัดสินใจในงานที่ปฏิบัติ
ระดับที่ 2 รู้วิธีการ (know-how) หรือกลวิธี เป็นความรู้ที่มีทั้งเชิงทฤษฎีและเชิงบริบท
เปรียบเสมือนความรู้ของผู้จบปริญญาและมีประสบการณ์การทางานระยะหนึ่ง เช่น 2-3 ปี จะมี
ความรู้ในลักษณะที่รู้จักปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหรือบริบท หรือเป็นความสามารถในการนา
ความรูไ้ ปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ มีเทคนิค และวิธีการทางานที่เหมาะสมกับงานที่ปฏิบัติ
ระดับที่ 3 รู้เหตุผล (know-why) เป็นความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุได้ว่าทาไมความรู้
นั้น ๆ จึงใช้ได้ผลในบริบทหนึ่ง แต่ใช้ไม่ได้ผลในอีกบริบทหนึ่ง หรือเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเชิง
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 117
วงจรเกลียวความรู้
การจะทาให้ความรู้เฉพาะบุคคลเกิดการถ่ายทอดไปยังกลุ่มองค์การ หน่วยงานและใน
ระดับนานาชาติ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนานั้น ก็คือรูปแบบของเกลียวความรู้หรือ
ปฏิสัมพันธ์ของความรู้ (SECI) มี 4 ส่วน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สาคัญอย่างหนึ่งในการยกระดับความรู้
118 การจัดการความรู้วชิ าชีพครู
ความหมายของการจัดการความรู้
กระบวนการจัดการความรู้
มีนักวิชาการนาเสนอกระบวนการจัดการความรู้ ดังนี้
กองบรรณาธิการ วารสารหมออนามัย (2546: 13) ได้เสนอกิจกรรมในการจัดการความรู้
ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย 5 ขั้นตอน ดังนี้
1) การกาหนดความรู้ (define) สิ่งแรกที่เราต้องกระทา คือ การร่วมกันตั้งคาถาม
ว่า อะไรคือความรู้ที่สาคัญและจาเป็นกับองค์การ ความรู้ที่ต้องใช้ในการดาเนินกิจกรรม หรือ
การประกอบ การจะทาให้การกาหนดความรู้ที่จาเป็นต้องจัดหา หรือสร้างขึ้นมาใช้ในองค์การ
ขั้นตอนนี้เป็นการนาเอาความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ พันธะกิจ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และนโยบาย
ขององค์การเป็นตัวกาหนดความรู้ที่ตอ้ งการใช้
2) การสร้างความรู้ (create) เป็นการสร้างกระบวนการ และขั้นตอนในการทางาน
ภายในองค์การ และนาความรู้ ข้อสนเทศ หรือข้อมู ล จากภายนอก มาสังเคราะห์ เป็นความรู้
สาหรับใช้ในการทางานที่สอดคล้องกับบริบทขององค์การ โดยเฉพาะการสร้างความรู้ด้วยการ
วิจัยในการปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนาและยกระดับการให้บริการแก่ประชาชน
3) การเสาะหาและยึดกุมความรู้ (capture) จากความเชื่อที่ว่า ความรู้มีอยู่ทั่วไปทั้ง
ภายในและภายนอกองค์การ ในสังคม ในโลก องค์การจะต้องพัฒนาขีดความสามารถในการ
เสาะแสวงหาความรู้และยึดกุมความรู้ที่กระจัดกระจายและแฝงอยู่ตามที่ต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์
และดาเนินการดังกล่าวอยู่อย่างสม่าเสมอ จนเกิดทักษะความชานาญ รวมทั้งพัฒนาวิธีการ
ใหม่ ๆ เพื่อการเสาะหาและยึดจับกุมความรู้จากประสบการณ์เดิม
4) การเปลี่ยนความรู้ (sharing) เป็นขั้นตอนที่สาคัญที่สุด และเป็นขั้นตอนที่ทาได้
ยากที่สุด ในองค์การบางประเภทที่สมาชิกองค์การมีพฤติกรรมปกปิดความรู้ เก็บงาไว้คนเดียว
เพื่อเอาไว้ใช้แสดงความเหนือคนอื่น เพื่อประโยชน์ในการแข่งขัน เลื่อนตาแหน่งหน้าที่การงาน
กระบวนการจัดการความรู้จะต้องสร้างเงื่อนไขและกติกา ที่ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนแบ่งปัน
ความรู้ และไม่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผมู้ ีพฤติกรรมกักตุนความรู้
5) การใช้ความรู้ (use) ถ้าไม่มีขั้นตอนของการประยุกต์ใช้ความรู้ การจัดการความรู้
จะไม่บังคับเกิดผลใด ๆ เป็นการลงทุนที่สูญเปล่า การประยุกต์ใช้ความรู้ทาให้เกิดผลจากการใช้
ความรู้นั้น ทั้งเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ พัฒนากระบวนการทางาน และพัฒนาศักยภาพ
122 การจัดการความรู้วชิ าชีพครู
ของสมาชิกในองค์การ เป็นเรื่องสาคัญยิ่งและมีผลในเชิงป้อนกลับต่อกระบวนการจัดการความรู้
ทุก ๆ ขั้นตอน
McKeen and Smith (2003: 51-58) เสนอว่าการจัดการความรู้ประกอบกระบวนการ
5 ขั้นตอน ดังนี้
1) การกาหนดความรู้ที่ต้องการ ต้องอาศัยพนักงานที่มีความรู้ ความสามารถ และ
ความคิดใหม่ๆเพื่อให้เกิดความรูใ้ หม่ที่จะสนับสนุนความสาเร็จขององค์การได้
2) การเข้าถึงความรู้ องค์การต้องรู้ว่าจะเข้าถึงความรู้ได้อย่างไร ซึ่งอาจได้จากผู้รู้
หรือเครือข่ายต่าง ๆ
3) การยึดกุมความรู้ ส่วนมากได้จากความรูท้ ี่ฝังลึกในตัวคน
4) การสร้างความรู้ เป็นกระบวนการที่สาคัญที่จะทาให้เกิดความสาเร็จ เพราะได้
จากการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างคน ระหว่างกลุ่ม หรือระหว่างองค์การ
5) การใช้ความรู้ เพื่อประโยชน์ของพนักงานและองค์การ โดยองค์การจะต้องสร้าง
วัฒนธรรมการใฝ่รู้ให้เกิดกับพนักงานภายใต้ศาสตร์แห่งการจัดการความรู้
วิจารณ์ พานิช (2547: 7) ได้กล่าวว่า กิจกรรมการจัดความรู้มี 6 ประการ ดังนี้
1) กาหนดความรู้ที่ตอ้ งการใช้ (define) เป็นการนาวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และ
วัตถุประสงค์ขององค์การมากาหนดความรู้ที่ตอ้ งการใช้ และเพื่อให้การจัดการความรูม้ ีจุดเน้น
ไม่สะเปะสะปะ
2) การเสาะหาและยึดกุมความรู้ (capture) เป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการ
เสาะหาและยึดความรู้ ที่อยู่กระจัดกระจายหรือแฝงอยู่ตามที่ต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ดาเนินการ
อย่างสม่าเสมอ จนเกิดเป็นทักษะและความชานาญในการเสาะหา และยึดกุมแหล่งความรู้ที่จะ
เสาะหาอาจจะมาจากภายนอกหรือผูท้ ี่ทางานอยู่ด้วยกันในองค์การก็ได้
3) การสร้างความรู้ (create) ในมุมมองเดิมนั้นความรู้ต้องสร้างโดยผู้รู้ แต่มุมมองใหม่
ความรู้เกิดขึ้นทุกจุดของการทางาน โดยทุกคนที่ทางาน เป็นความรู้ที่ฝังอยู่ในสมอง อาจพูดออกมา
ไม่ได้ การสร้างความรู้อาจทาได้ทั้งก่อนลงมือทา ระหว่างทางาน และสรุปประมวลประสบการณ์
หลังจากการทางาน ในการสร้างความรูไ้ ม่จาเป็นต้องสร้างขึน้ ใหม่ทั้งหมด อาจจะเริ่มจาก 10-
20% ก็ได้
4) การลั่นกรอง (distil) ความรู้บางอย่างเป็นสิ่งไม่เหมาะสมกับบริบท หรือสภาพ-
แวดล้อม จึงจาเป็นต้องมีการกลั่นกรอง เพื่อให้นาความรูท้ ี่เหมาะสมมาใช้
5) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (share) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นสิ่งสาคัญที่สุด เพราะ
แต่ละคนมีมุมมองของความรู้ไม่เหมือนกัน ต้องมาแลกเปลี่ยนกัน มิฉะนั้นจะเก็บอยู่ภายในตัว
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 123
สภาพของการจัดการความรู้ในสถานศึกษา
รูปแบบการจัดการความรู้ในสถานศึกษา
คอมพิวเตอร์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ กาหนดให้มีการสรุปและรายงานการทากิจกรรม
ทุกครั้ง
นภสร ใจอิ่นคา คานึง ทองเกตุและพรภวิษย์ มนตร์วัชรินทร์ (2557: 100-103) ได้ทา
การวิจัยการจัดการความรู้ของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอ ใน
เขตภาคเหนือตอนบน พบว่า การจัดการความรูม้ ี 7 ขั้นตอน โดยแต่ละขั้นตอนมีกิจกรรม ดังนี้
1) การบ่งชี้ความรู้ ดาเนินการให้สถานศึกษามีความตระหนักว่าความสาเร็จเกิดจาก
บุคลากรมีความรู้ ความสามารถและมุ่งมั่นต่อความสาเร็จในการทางาน มีการสารวจองค์ความรู้
ของงานแต่ละด้านเพิ่มเติมจากเอกสารคู่มือการปฏิบัติงานหรือบุคลากร มีการวิเคราะห์ ทบทวน
ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจที่ปรับเปลี่ยนตามนโยบาย
2) การสร้างและแสวงหาความรู้ ดาเนินการส่งเสริมให้บุคลากรเข้าร่วมอบรมสัมมนา
ต่าง ๆ สถานศึกษามุ่งมั่นที่จะพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา และให้อานาจในการตัดสินใจ
เกี่ยวกับการเรียนรู้และการปฏิบัติงาของตนเอง กระตุ้นและจูงใจให้ทุกคนมีความกระตือรือร้น
ที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
3) การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ ดาเนินการโดยสถานศึกษาจัดเก็บความรู้แยกตาม
ภารกิจ หน้าที่ บทบาทความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลที่ได้รับมอบหมาย มีการสร้ างกระบวน
การเรียนรู้ขององค์ก ารอย่างมีก ลยุ ท ธ์ ตั้งแต่การวางแผนดาเนินการจนถึงการประเมินโดย
ผู้บริหารเป็นผู้กากับดูแลเกื้อหนุน สถานศึกษามีการกาหนดนโยบายในการจัดเก็บองค์ความรู้
เพื่อใช้ในการทางานและการเรียนรูท้ ี่ชัดเจน
4) การประมวลผลและกลั่นกรองความรู้ ดาเนินการโดยสถานศึกษามีการวิเคราะห์
ประเมินความพึงพอใจ เพื่อนามาพัฒนาระบบการจัดการความรู้ การประมวลความรู้ให้ตรงกับ
ความต้องการขององค์การ และมีการตรวจสอบวิเคราะห์ความรู้เพื่อให้ได้ความรูท้ ี่เป็นประโยชน์
5) การเข้าถึงความรู้ ดาเนินการโดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนสามารถ
เข้าถึงข้อมูลที่ตนต้องการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการฝึกอบรมโดย
ใช้เนื้อหาจากองค์ความรู้ที่มีอยู่ภายในองค์การ จัดทาเว็บไซด์การจัดการความรู้ที่บุคลากรสามารถ
ใช้งานได้ง่าย และจัดทาเว็บบอร์ดเผยแพร่ความรู้ให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา
6) การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้ ดาเนินการโดยผูบ้ ริหารสถานศึกษาส่งเสริม
และให้การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคลากร มีมุมความรู้ให้บุคลากรเข้าถึงและ
ใช้ความรูอ้ ย่างสะดวก ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนตระหนักถึงความจาเป็นในการเก็บ
รักษาความรูแ้ ละการแบ่งปันความรู้ให้กับผู้อ่นื
128 การจัดการความรู้วชิ าชีพครู
7) การเรียนรู้ ดาเนินการโดยครูและบุคลากรทางการศึกษารับฟังความคิดเห็นของ
ผูเ้ รียนเพื่อที่จะได้เรียนรู้ รวมไปถึงการปรับปรุงพัฒนากระบวนการทางาน ใช้กระบวนการเรียนรู้
เชิงปฏิบัติโดยการพิจารณาไตร่ตรองเกี่ยวกับปัญหาหรือสถานการณ์อย่างรอบคอบและนาความรู้
ใหม่ที่ได้รับมาประยุกต์ใช้ต่อไป บุคลากรมีการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ เกิดประสบการณ์
ตรงและการทางานร่วมกันเป็นทีมเพื่อเรียนรู้และแก้ไขปัญหาร่วมกัน
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า รูปแบบการจัดการความรูใ้ นสถานศึกษามี 7 ขั้นตอน ประกอบ
ด้วยการบ่งชีค้ วามรู้ การสร้างและแสวงหาความรู้ การจัดการความรูใ้ ห้เป็นระบบ การประมวล
และกลั่นกรองความรู้ การเข้าถึงความรู้ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการเรียนรู้
ประโยชน์ของการจัดการความรู้
4. ช่วยให้แนวทางการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เพราะการจัดการความรู้ทาให้ผู้ปฏิบัติได้
เรียนรู้ข้อผิดพลาดของคนอื่น ๆ จากบทเรียนในอดีตที่มีการถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา โดยผู้ปฏิบัติงาน
ไม่จาเป็นต้องเสียเวลาทางานด้วยการลองผิดลองถูก
5. ทาให้เกิดแหล่งเรียนรู้ในองค์การ บุคลากรและผูเ้ กี่ยวข้องสามารถเข้าถึงความรู้และ
นาความรู้ที่ต้องการออกมาใช้ได้ และอาจมีการเผยแพร่ให้หน่วยงานอื่น ๆ ได้รับรู้และได้ศึกษา
ค้นคว้าต่อไป
6. ป้องกันการสูญหายของภูมิปัญญา การจัดการความรู้ทาให้องค์การสามารถรักษา
ความเชี่ยวชาญ ความชานาญและความรู้ที่อาจสูญหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของบุคลากร
เช่น การเกษียณอายุทางาน การลาออกจากงาน หรือการเสียชีวติ
7. เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและความอยู่รอด การจัดการความรู้จะช่วยลดปัญหาใน
การบริหารจัดการ การได้ขยายผลทางความคิดทาให้องค์การเกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
8. เป็นการลงทุนทางทรัพยากรบุคคล ได้พัฒนาบุคลากรซึ่งเป็นกลไกสาคัญต่อการทา
ให้องค์การดารงอยู่ได้ เกิดการเรียนรู้ตลอดเวลา เปลี่ยนวัฒนธรรมอานาจในแนวดิ่งไปสู่วัฒนธรรม
ความรูใ้ นแนวราบ ทุกคนมีสิทธิ์เรียนรู้อย่างเท่าเทียมกัน
9. ส่งผลให้เกิดความยืดหยุ่น ไม่ยึดติด ทาให้บุคลากรมีความกล้าที่จะเข้าถึงและนา
ความรูไ้ ปใช้ในการตัดสินใจดาเนินการต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง
10. ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการทางานในองค์การ ซึ่งเปลี่ยนจากเดิมมาสู่การมีวินัยในตนเอง
มีการศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้ตลอดชีวิต ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น มีพลังในการสร้างสรรค์
มีความขยัน อดทน มีจิตสานึกของการเป็นผูใ้ ห้ และมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย
โดยสรุป การจัดการความรู้มีประโยชน์ในการลดขั้นตอนในการทางาน ช่วยให้เกิดการ
แลกเปลี่ยนความรู้ ช่วยให้ผู้ป ฏิบัติงานเข้าถึงแหล่งความรู้ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้
แนวทางในการปฏิบัติงานที่เหมาะสม ทาให้เกิดแหล่งเรียนรู้ในองค์การ ป้องกันการสูญหายของ
องค์ความรู้ และก่อให้เกิดวัฒนธรรมการทางานที่ดีในองค์การ ซึ่งจะทาให้กระบวนการทางาน
ที่มปี ระสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพของผลผลิต และเพิ่มศักยภาพขององค์การ
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการจัดการความรู้
จากการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วย
การจัดการความรู้ โดยสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2552: 141-145) สรุปได้ว่า ปัจจัย
ที่เป็นอุปสรรคในการจัดการความรู้มี ดังนี้
130 การจัดการความรู้วชิ าชีพครู
สรุปท้ายบท
แบบฝึกหัดท้ายบท
จงตอบคาถามหรือทากิจกรรมต่อไปนี้
1. จงให้ความหมายของ “ความรู”้
2. ความรูส้ ามารถจาแนกออกเป็นกี่ประเภท จงอธิบายแนวคิดแต่ละประเภท
3. จงให้ความหมายของ “การจัดการความรู”้
4. จงอธิบาย “วงจรเกลียวความรู้”
5. กระบวนการจัดการความรู้มีกี่ขนั้ ตอน อะไรบ้าง จงอธิบายรายละเอียดแต่ละขั้นตอน
6. เพราะเหตุใดองค์การหรือหน่วยงานจึงต้องมีการจัดการความรู้ และถ้าองค์การหรือ
หน่วยงานไม่มีการจัดการความรูแ้ ล้วจะส่งผลเสียอย่างไรบ้าง
7. ให้นักศึกษาสัมภาษณ์ผบู้ ริหารโรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีการจัดการ
ความรูท้ ี่ดี ดังนี้
7.1 โรงเรียนมีการจัดการความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพครูในเรื่องใดบ้าง
7.2 กระบวนการจัดการความรู้ที่ดาเนินการมีกี่ขนั้ ตอน อะไรบ้าง และแต่ละขั้นตอน
มีกิจกรรมอะไรบ้าง
7.3 ผลที่เกิดจากการจัดการความรู้เป็นอย่างไรบ้าง
7.4 ปัญหาหรืออุปสรรคในการจัดการเรียนรู้มีอะไรบ้าง แล้วมีวธิ ีการแก้ปัญหา
อย่างไร
132 การจัดการความรู้วชิ าชีพครู
8. ให้นักศึกษาทาการสัมภาษณ์ครูผู้สอนในโรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพืน้ ฐานที่ดาเนิน
การจัดการความรู้เกี่ยวกับรายวิชาที่สอน เพื่อให้ได้สารสนเทศถึงกระบวนการจัดการความรู้ และ
ผลทีเ่ กิดจากการจัดการความรู้
9. ให้นักศึกษาทาการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับ “การจัดการความรู้วิชาชีพครู” แล้วสรุป
องค์ความรูข้ องงานวิจัยดังกล่าวเกี่ยวกับขั้นตอนการวิจัย และผลการวิจัย พร้อมทั้งนาเสนอแนว
ทางการนาผลการวิจัยที่ศึกษาไปใช้ประโยชน์
บทที่ 7
ธรรมาภิบาลในสถานศึกษา
คำว่ำ “good governance” ได้เริ่มใช้ในรัฐธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจักรไทย และหลัง
วิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 ทั้งนี้เนื่องจำกในหนังสือแสดงเจตจำนงกู้เงินจำนวน 17.2 พันล้ำน
ดอลล่ำร์จำกกองทุนกำรเงินระหว่ำงประเทศ หรื อ IMF โดยรัฐบำลไทยให้คำมั่นว่ำจะต้องสร้ำง
“good governance” ขึ้นในกำรบริหำรจัดกำรภำครัฐ ซึ่งแสดงโดยพฤตินัยทั้งรัฐบำลไทยและ
กองทุนกำรเงินระหว่ำงประเทศว่ำวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นผลส่วนหนึ่งมำจำกกำรบริหำร
จัดกำรที่ไม่ดีหรือไม่มธี รรมำภิบำล
สำหรับในบทนี้จะได้นำเสนอเนื้อหำตำมลำดับ ดังนี้ ควำมหมำยของธรรมำภิบำล ควำม
เป็นมำของธรรมำภิบำล องค์ประกอบของธรรมำภิบำล กำรเสริมสร้ำงธรรมำภิบำล ธรรมำภิบำล
ในสถำนศึกษำ ยุทธศำสตร์สู่ควำมสำเร็จในกำรนำธรรมำภิบำลมำใช้ในสถำนศึกษำ และงำนวิจัย
เกี่ยวกับธรรมำภิบำลและกำรประยุกต์ใช้
ความหมายของธรรมาภิบาล
ความเป็นมาของธรรมาภิบาล
องค์ประกอบของธรรมาภิบาล
ควำมคิดเห็นและกำรรับเรื่องรำวร้องทุกข์ที่จะให้ประชำชนเข้ำมำมีส่วนร่วม และขณะเดียวกัน
ภำยในองค์กรจะต้องสนับสนุนกำรมีส่วนร่วมในกำรบริหำรภำยในด้วย
6) หลักควำมคุ้มค่ำ (value for money) หมำยถึง กำรบริหำรจัดกำรและใช้ทรัพยำกร
ที่มีจำกัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม โดยรณรงค์ให้คนไทยมีควำมประหยัด ใช้ของ
อย่ำงคุ้มค่ำ สร้ำงสรรค์สินค้ำและบริกำรที่มีคุณภำพ สำมำรถแข่งขันได้ในเวทีโลก และรักษำ
พัฒนำทรัพยำกรธรรมชำติให้สมบูรณ์ยั่งยืน
สำหรับในระดับองค์กร หลักควำมคุ้มค่ำ หมำยถึง ผู้บริหำรจัดทบทวนงำนใน
ควำมรับผิดชอบทั้งหมด เพื่อถ่ำยโอนงำนให้ธุรกิจเอกชนหรือประชำชนทำได้มีประสิทธิภำพสูง
กว่ำออกไป เลือกนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มำใช้และพัฒนำควำมสำมำรถของเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ
อย่ำงเป็นระบบและต่อเนื่อง
กรองทอง เขียนทอง (2555: 225) ได้วิเครำะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันกำรบริหำรจัดกำร
บ้ำนเมืองที่ดีของผู้บริหำรสถำนศึกษำขั้นพื้นฐำน ผลกำรวิจัยพบว่ำมี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ หลัก
ควำมรับผิดชอบ หลักบริหำรจัดกำรควำมรู้ หลักควำมคุ้มค่ำ หลักควำมโปร่งใส หลักนิติธรรม
หลักคุณธรรม หลักกำรมีส่วนร่วม และหลักเทคโนโลยีสำรสนเทศ
วีระยุทธ พรพจน์ธนมำศ (2557: 85) ได้สังเครำะห์องค์ประกอบของธรรมำภิบำลใน
โรงเรียน ผลกำรวิจัยพบว่ำควรมี 8 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักกำร
มีส่วนร่วม หลักควำมโปร่งใส หลักควำมรับผิดชอบ หลักควำมคุ้มค่ำ หลักควำมมั่นคง และหลัก
เป้ำหมำยสอดคล้องต่อสังคม
ทัศนียำ วงศ์มำศ สัญญำ เคณำภูมิ และภักดี โพธิ์สิงห์ (2558: 143) ได้ศึกษำองค์ประกอบ
ของกำรศึกษำธรรมำภิบำลที่แท้จริงเพื่อกำรบริหำรจัดกำร พบว่ำมี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ หลัก
คุณธรรม หลักนิติธรรม หลักควำมรับผิดชอบ หลักควำมคุ้มค่ำ หลักกำรมีส่วนร่วม และหลัก
ควำมโปร่งใส
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอุดมศึกษำ (2560: 36-37) ได้กำหนดหลักธรรมำภิบำล
ที่เหมำะสมจะนำมำปรับใช้ในภำครัฐมี 10 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักประสิทธิผล หลักประสิทธิภำพ
หลักกำรตอบสนอง หลักภำระรับผิดชอบ หลักควำมโปร่งใส หลักกำรมีส่วนร่วม หลักกำรกระจำย
อำนำจ หลักนิตธิ รรม หลักควำมเสมอภำค และหลักมุ่งเน้นฉันทำมติ
ชรินรัตน์ แพงดี ชัยยงค์ พรหมวงศ์และนิตยำ ศรีมกุฏพันธุ์ (2562: 48) ได้พัฒนำระบบ
กำรบริหำรสถำนศึกษำด้วยหลักธรรมำภิบำลสำหรับผู้บริหำรสถำนศึกษำ ผลกำรวิจัยพบว่ำ
ประกอบด้วยหลักกำร 10 ประกำร ได้แก่ หลักประสิทธิภำพ หลักประสิทธิผล หลักกำรตอบสนอง
หลัก ภำระรับผิด ชอบ/สำมำรถตรวจสอบได้ หลักเปิดเผย/โปร่งใส หลักนิติธรรม หลัก ควำม
138 ธรรมำภิบำลในสถำนศึกษำ
ชื่อนักการศึกษา
2) กรองทอง เขียนทอง (2555)
7) วิไลลักษณ์ อำนำจดีและ
ศศิรดำ แพงไทย (2562)
กำรอุดมศึกษำ (2560)
องค์ประกอบที่คัดสรร
ควำมถี่
ร้อยละ
องค์ประกอบ
1. หลักนิติธรรม 7 100
2. หลักคุณธรรม 7 100
3. หลักควำมโปร่งใส 7 100
4. หลักกำรมีส่วนร่วม 7 100
5. หลักควำมรับผิดชอบ 7 100
6. หลักควำมคุ้มค่ำ 5 71.43
7. หลักควำมมั่นคง 1 14.29
8. หลักเป้ำหมำยสอดคล้อง 1 14.29
ต่อสังคม
9. หลักประสิทธิผล 2 28.57
10. หลักประสิทธิภำพ 3 42.86
11. หลักกำรตอบสนอง 2 28.57
12. หลักกำรกระจำยอำนำจ 2 28.57
13. หลักควำมเสมอภำค 2 28.57
14. หลักมุ่งเน้นฉันทำมติ 1 14.29
15. หลักบริหำรจัดกำรควำมรู้ 1 14.29
16. หลักเทคโนโลยีสำรสนเทศ 1 14.29
รวม 6 8 8 6 10 10 7
รองศำสตรำจำรย์ ดร.วำโร เพ็งสวัสดิ์ 139
หลักนิตธิ รรม
หลักคุณธรรม
หลักควำมโปร่งใส
ธรรมำภิบำลในสถำนศึกษำ
หลักกำรมีส่วนร่วม
หลักควำมรับผิดชอบ
หลักควำมคุ้มค่ำ
การเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วิธีกำรในกำรเสริมสร้ำงธรรมำภิบำล มีดังนี้
1. กำรมีส่วนร่วม เป็นกำรมีส่วนร่วมของประชำชนและเจ้ำหน้ำที่ของรัฐ ในกำรบริหำรงำน
เพื่อให้เกิดควำมคิดริเริ่มและพลังกำรทำงำนที่สอดประสำนกัน เพื่อบรรลุเป้ำหมำยในกำรให้
บริกำรประชำชน
2. ควำมยั่งยืน มีกำรบริหำรงำนที่อยู่บนหลักกำรของควำมสมดุลทั้งในเมืองและชนบท
ระบบนิเวศและทรัพยำกรธรรมชำติ
3. ประชำชนมีควำมรูส้ ึกว่ำเป็นสิ่งที่ชอบธรรม และให้กำรยอมรับกำรดำเนินงำนของ
หน่วยงำน สอดคล้องกับควำมต้องกำรของประชำชน
4. มีควำมโปร่งใส ข้อมูลต่ำง ๆ ต้องตรงกับข้อเท็จจริงของกำรดำเนินกำร และสำมำรถ
ตรวจสอบได้ มีกำรดำเนินกำรที่เปิดเผย ชัดเจน และเป็นไปตำมที่กำหนดไว้
5. ส่งเสริมควำมเป็นธรรมและกำรเสมอภำค มีกำรกระจำยกำรพัฒนำอย่ำงทั่วถึงเท่ำ
เทียมกัน ไม่มกี ำรเลือกปฏิบัติ และมีระบบรับเรื่องรำวร้องทุกข์ที่ชัดเจน
รองศำสตรำจำรย์ ดร.วำโร เพ็งสวัสดิ์ 141
6. มีควำมสำมำรถที่จะพัฒนำทรัพยำกร และวิธีบริหำรกิจกำรบ้ำนเมืองและสังคมที่ดี
เจ้ำหน้ำที่ของทุกหน่วยงำนจะต้องได้รับกำรพัฒนำควำมรู้และทักษะ เพื่อให้สำมำรถนำไปใช้กับ
กำรทำงำนได้และมีขนั้ ตอนกำรทำงำนที่ชัดเจน เพื่อให้ทุกหน่วยงำนยึดถือเป็นแนวปฏิบัติรว่ มกัน
7. ส่งเสริมควำมเสมอภำคทำงเพศ เปิดโอกำสให้สตรีทั้งในเมืองและชนบทเข้ำมำมีสว่ น
ร่วมในกำรพัฒนำชุมชนและสังคมในทุก ๆ ด้ำน
8. กำรอดทน อดกลั้นและกำรยอมรับทัศนะที่หลำกหลำย รวมทั้งต้องยุติข้อขัดแย้งด้วย
เหตุผล หำจุดร่วมที่ทุกฝ่ำยยอมรับกันได้
9. กำรดำเนินกำรตำมหลักนิติธรรม พัฒนำ ปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมำยให้มีควำม
ทันสมัย
10. ควำมรับผิดชอบ เจ้ำหน้ำที่ต้องมีควำมรับผิดชอบต่อประชำชน ควำมพึงพอใจของ
ประชำชนต่อกำรปฏิบัติงำนจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในกำรประเมินควำมสำเร็จของหน่วยงำนและ
เจ้ำหน้ำที่
11. กำรเป็นผู้กำกับดูแลแทนกำรควบคุม โอนงำนบำงอย่ำงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ซึ่งใกล้ชิดกับประชำชนมำกที่สุด หรืองำนบำงอย่ำงต้องแปรรูปให้เอกชนดำเนินกำรแทน
โดยสรุป วิธีกำรเสริมสร้ำงธรรมำภิ บำลสำมำรถทำได้โดยกำรส่งเสริมกำรมีส่วนร่วม
ของประชำชนและเจ้ำหน้ำที่ของรัฐในกำรดำเนินงำน เพื่อให้ประชำชนรูส้ ึกว่ำเป็นสิ่งที่ชอบธรรม
และยอมรับในกำรดำเนินงำน ข้อมูลต่ำง ๆ ตรงกับข้อเท็จจริงของกำรดำเนินกำรและสำมำรถ
ตรวจสอบได้ ส่งเสริมควำมเป็นธรรมและควำมเสมอภำค ส่งเสริมควำมเสมอภำคทำงเพศ และ
ดำเนินกำรตำมหลักนิตธิ รรม
ธรรมาภิบาลในสถานศึกษา
3) หลักควำมโปร่งใส กำรทำงำนทุกขั้นตอนต้องยึดหลักควำมโปร่งใสเพื่อสร้ำงควำมไว้
วำงใจซึ่งกันและกัน มีกำรปรับปรุงกลไกกำรทำงำนร่วมกัน ให้สำมำรถตรวจสอบ เปิดเผยข้อมูล
ข่ำวสำรที่เป็นประโยชน์ สร้ำงโอกำสให้ประชำชนเข้ำถึงข้อมูลข่ำวสำรได้สะดวก
4) หลักกำรมีส่วนร่วม มีกำรเปิดโอกำสให้ประชำชนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ำยเข้ำมำ และ
เสนอควำมคิดเห็นในกำรตัดสินใจในปัญหำสำคัญของกำรบริหำรและจัดกำรศึกษำ
5) หลักควำมรับผิดชอบ มีควำมตระหนักในสิทธิหน้ำที่ของตนเองและผู้อื่น สำนึกและ
ควำมรับผิดชอบในกำรตัดสินใจที่ส่งผลต่อกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำของสถำนศึกษำ ใส่ใจและ
กระตือรือร้นในกำรแก้ปัญหำที่เกี่ยวข้อง เคำรพในควำมคิดเห็นที่แตกต่ำงและมีควำมกล้ำหำญ
ที่จะยอมรับผลจำกกำรกระทำของตนเองตำมบทบำทหน้ำที่ของสถำนศึกษำ และคณะกรรมกำร
สถำนศึกษำขั้นพื้นฐำน
6) หลักควำมคุ้มค่ำ มีกำรบริหำรจัดกำรและใช้ทรัพยำกรอย่ำงประหยัดและเกิดประโยชน์
สูงสุดต่อกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำของเยำวชน และประชำชนที่สถำนศึกษำรับผิดชอบ
ยุทธศาสตร์สู่ความสาเร็จในการนาธรรมาภิบาลมาใช้ในสถานศึกษา
งานวิจัยเกี่ยวกับธรรมาภิบาลและการประยุกต์ใช้
กำรวิจัยเกี่ยวกับกำรใช้หลักธรรมำภิบำลในสถำนศึกษำ ดังนี้
1) กำรศึกษำกำรบริหำรงำนโดยใช้หลักธรรมภิบำล เช่น งำนวิจัยของธเนตร มีรัตน์ (2552)
วิจัยเรื่องกำรใช้หลักธรรมำภิบำลในกำรบริหำรโรงเรียนมัธยมศึกษำ ผลกำรวิจัยพบว่ำกำรใช้
หลักธรรมำภิบำลในกำรบริหำรโรงเรียนมัธยมศึกษำตำมควำมคิดเห็นของผู้บริหำรและครูอยู่ใน
ระดับมำก ทั้งโดยรวมและรำยด้ำน ส่งเสริม มีพร้อม (2552) ได้ศึกษำกำรบริหำรงำนตำมหลัก
ธรรมำภิบำลของผู้บริหำรสถำนศึกษำขั้นพื้นฐำน ผลกำรวิจัยพบว่ำกำรบริหำรงำนตำมหลัก
ธรรมำภิบำลของผู้บริหำรส่วนใหญ่บริหำรงำนตำมหลักธรรมำภิบำล โดยยึดหลักกำรมีส่วนร่วม
และรองลงมำ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักควำมรับผิดชอบ หลักควำมคุ้มค่ำ และ
หลักควำมโปร่งใส นอกจำกนี้ยังพบอีกว่ำ ผู้บริหำร ครูและประธำนคณะกรรมกำรสถำนศึกษำ
ขั้นพื้นฐำนมีควำมคิดเห็นต่อกำรบริหำรงำนตำมหลักธรรมำภิบำลของผู้บริหำรโดยรวมอยู่ในระดับ
มำก เมื่อพิจำรณำเป็นรำยด้ำนพบว่ำอยู่ในระดับมำกทุกด้ำ น เรียงลำดับจำกมำกไปน้อย ดังนี้
หลักควำมโปร่งใส หลักกำรมีส่วนร่วม หลักควำมรับผิดชอบ หลักคุณธรรม หลักควำมคุ้มค่ำ
และหลักนิติธรรม ตำมลำดับ ชัยรัตน์ แพงดี ชัยยงค์ พรหมวงศ์และนิตยำ ศรีมกุฏพันธุ์ (2562)
ได้ทำกำรวิจัยพัฒนำระบบกำรบริหำรจัดกำรสถำนศึกษำด้วยหลักธรรมำภิบำลพบว่ำกำรใช้หลัก
ธรรมำภิบำลของผู้บริหำรสถำนศึกษำโดยรวมอยู่ในระดับมำก โดยหลักที่ใช้ในกำรบริหำรมำก
ที่สุด ได้แก่ หลักภำระรับผิดชอบ/สำมำรถตรวจสอบได้ รองลงมำ ได้แก่ หลักคุณธรรม/จริยธรรม
และหลักควำมเสมอภำค
2) กำรศึกษำควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกำรบริหำรโดยใช้หลักธรรมำภิบำลกับตัวแปรอื่น ๆ
ที่พิจำรณำแล้วเห็นว่ำมีควำมสัมพันธ์กับธรรมำภิบำล ตัวแปรที่ใช้ศึกษำ อำทิ ประสิทธิผลกำร
บริหำรสถำนศึกษำ ควำมพึงพอใจที่มตี ่อกำรบริหำรงำน ควำมผูกพันต่อสถำนศึกษำ ภำวะผูน้ ำ
รองศำสตรำจำรย์ ดร.วำโร เพ็งสวัสดิ์ 145
แนวทางการประยุกต์ใช้
จำกผลกำรวิจัยเกี่ยวกับธรรมำภิบำล สำมำรถนำไปประยุกต์ใช้ ดังนี้
1) ผูบริหำรโรงเรียนควรดูแลกำรปฏิบัติงำนของครูอย่ำงใกล้ชิด และจะต้องอำนวยควำม
สะดวกในกำรปฏิบัติงำนของครู ใหกำลังใจอยูเสมอ พยำยำมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกำรจัดกิจกรรม
ต่ำง ๆ ของโรงเรียน เพื่อใหชุมชนเห็นควำมสำคัญและยอมรับในวิชำชีพครู มอบหมำยงำนใหกับ
ครูโดยคำนึงถึงควำมเหมำะสมทั้งในดำนควำมรู ควำมสำมำรถ ควำมถนัด และควำมพึงพอใจ
ของครู เปิดโอกำสให้ครูใช้ควำมสำมำรถอย่ำงอิสระและมีส่วนร่วมรับผิดชอบกับผลงำนที่เกิดขึ้น
ดวยควำมภำคภูมใิ จ
2) ผบู ริหำรโรงเรียนควรพยำยำมสรำงแรงจูงใจให้เกิดขึ้นกับครูมำกที่สุด เพรำะครูเป็น
บุคลำกรสำคัญในกำรจัดกำรเรียนรู้ให้กับนักเรียน ตองใหควำมสำคัญกับกำรเสริมสรำงแรงจูงใจ
โดยอำจจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับกำรเพิ่มประสิทธิภำพผูบริหำรโรงเรียนและครู รวมทั้งกำรอบรม
146 ธรรมำภิบำลในสถำนศึกษำ
สรุปท้ายบท
แบบฝึกหัดท้ายบท
จงตอบคำถำมหรือทำกิจกรรมต่อไปนี้
1. จงให้ควำมหมำยของ “ธรรมำภิบำล”
2. จงอธิบำยควำมเป็นมำของหลักธรรมำภิบำล
3. องค์ประกอบของธรรมำภิบำลมีอะไรบ้ำง จงอธิบำยรำยละเอียดแต่ละองค์ประกอบ
4. เหตุใดกำรดำเนินงำนของสถำนศึกษำต้องยึดหลักธรรมภิบำล
5. มีควำมจำเป็นอย่ำงไรที่จะต้องนำหลักธรรมำภิบำลมำใช้ในสถำนศึกษำ
รองศำสตรำจำรย์ ดร.วำโร เพ็งสวัสดิ์ 147
6. ถ้ำสถำนศึกษำไม่มธี รรมำภิบำลแล้วจะมีผลเสียอย่ำงไร
7. กำรเสริมสร้ำงธรรมำภิบำลในสถำนศึกษำต้องดำเนินกำรอย่ำงไรบ้ำง
8. จงนำเสนอกลยุทธ์หรือวิธีกำรในกำรนำธรรมำภิบำลมำใช้ในสถำนศึกษำให้ประสบ
ผลสำเร็จ
9. กระทรวงศึกษำธิกำรได้กำหนดแนวทำงส่งเสริมกำรบริหำรสถำนศึกษำขั้นพืน้ ฐำน
โดยให้สถำนศึกษำนำหลักธรรมำภิบำลมำบูรณำกำรในกำรบริหำรจัดกำรศึกษำ เพื่อเสริมสร้ำง
ควำมเข้มแข็งให้กับสถำนศึกษำ ท่ำนคิดว่ำหลักกำรข้อใดมีควำมจำเป็นเร่งด่วนสำหรับสถำนศึกษำ
จงอธิบำยพร้อมทั้งให้เหตุผล
10. ศึกษำงำนวิจัยเกี่ยวกับ “ธรรมำภิบำลในสถำนศึกษำ” แล้วให้นำเสนอแนวทำงกำร
นำผลกำรวิจัยที่ศึกษำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์
148 ธรรมำภิบำลในสถำนศึกษำ
บทที่ 8
คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
คุณธรรมกับความเป็นครูเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ คุณธรรมสาหรับครูจึง
ได้นาหลักธรรมที่สาคัญของพุทธศาสนามาอธิบายเพื่อนาไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม ส่วน
จรรยาบรรณ หมายถึง ความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพต่า ง ๆ ได้ร่วมกันกาหนดขึ้นไว้เป็น
แนวทางประพฤติปฏิบัติ เพื่อร่วมกันรักษาชื่อเสียง เกียรติคุณของวิชาชีพนั้น ๆ ให้เจริญรุ่งเรือง
กาหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นหลักฐานในการติดตามและอ้างอิงได้
ส าหรั บ ในบทนี้ จ ะได้ น าเสนอเนื้ อ หาตามล าดั บ ดั ง นี้ ความหมายของคุ ณ ธรรม
ความส าคั ญ ของคุณธรรมส าหรับผู้ ประกอบวิชาชีพครู หลักคุณธรรมสาหรับครู แนวทางการ
ส่งเสริมคุณธรรมสาหรับครู ความหมายของจรรยาบรรณ ความสาคัญของจรรยาบรรณ แบบ
แผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ การลงโทษผู้ทาผิดจรรยาบรรณ และกรณีศึกษา
การลงโทษผูท้ าผิดจรรยาบรรณ
ความหมายของคุณธรรม
ความสาคญขของคุณธรรมสาหรญบููปรระออบวิชาชีพครู
คุณธรรมสาหรญบครู
คุณธรรมสาหรับครูเป็นสิ่งที่สาคัญที่ครูควรมีส่ิงยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และมีหลักคุณธรรม
ทางศาสนาที่ตนนับถือมาเป็นหลักปฏิบัติ มีดังนี้
1. คุณธรรมพื้นฐาน
คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ที่ควรปลูกฝังให้กับเยาวชน เพื่อให้เป็นคนดี มีความรู้
และอยู่ดีมีสุข มีดั งนี้ (สานัก งานคณะกรรมการการศึก ษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ.
2552: 133-135)
1.1 ขยัน หมายถึง ความตั้งใจเพียรพยายาม ทาหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่อง สม่าเสมอ
อดทน ความขยันต้องปฏิบัติควบคู่กับการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาจนเกิดผลสาเร็จ ผู้ที่มคี วามขยัน
คือผู้ที่ตงั้ ใจทาอย่างจริงจังต่อเนื่องในเรื่องที่ถูกที่ควร เป็นคนสู้งานมีความพยายาม ไม่ท้อถอย
กล้าเผชิญอุปสรรค รักงานที่ทา ตั้งใจทาอย่างจริงจัง
1.2 ประหยัด หมายถึง การรูจ้ ักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน สิ่งของแต่พอควร
พอประมาณ ให้เกิดประโยชน์คมุ้ ค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ผูท้ ี่มคี วามประหยัดคือผู้ที่ดาเนินชีวิต
ความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย รู้จักฐานะการเงินของตน คิดก่อนใช้ คิดก่อนซือ้ เก็บออม ถนอมใช้
ทรัพย์สิน สิ่งของอย่างคุ้มค่า รูจ้ ักทาบัญชีรายรับ รายจ่าย รายออมของตนเองอยู่เสมอ
1.3 ซื่อสัตย์ หมายถึง ประพฤติตรง ไม่เอนเอียง ไม่มเี ล่หเ์ หลี่ยม มีความจริงใจ
ปลอดจากความรู้สึกลาเอียงหรืออคติ ผูท้ ี่มีความซื่อสัตย์คือผูท้ ี่มีความประพฤติตรงทั้งต่อหน้าที่
ต่อวิชาชีพ ตรงต่อเวลา ไม่ใช้เล่ห์กล คดโกง ทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าที่ของตนเองและ
ปฏิบัติอย่างเต็มที่ถูกต้อง
1.4 มีวินัย หมายถึง การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติ ซึ่งมีทั้ง
วินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม ผูท้ ี่มีวินัยคือผูท้ ี่ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎ ระเบียบของสถานศึกษา
สถาบัน องค์กร สังคมและประเทศ โดยที่ตนเองยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจและตั้งใจ
1.5 สุภาพ หมายถึง เรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อม มีกิรยิ ามารยาทที่ดงี าม มี
สัมมาคารวะ ผูท้ ี่มคี วามสุภาพคือผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพและกาลเทศะ ไม่ก้าวร้าว
รุนแรง วางอานาจข่มผูอ้ ื่นทั้งโดยวาจาและท่าทาง แต่ในเวลาเดียวกันยังคงมีความมั่นใจในตนเอง
เป็นผู้ที่มมี ารยาท วางตนเหมาะสมตามวัฒนธรรมไทย
1.6 สะอาด หมายถึง ปราศจากความมัวหมองทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม ความ
ผ่องใสเป็นที่เจริญตา ทาให้เกิดความสบายใจแก่ผพู้ บเห็น ผู้ที่มีความสะอาดคือผูร้ ักษาร่างกาย
ที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อมถูกต้องตามสุขลักษณะ ฝึกฝนจิตใจมิให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ
152 คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
2. คุณธรรมสาหรญบครูเพื่อเพิ่มรระสิทธิภาพในอารทางาน
การทางานเพื่อให้มปี ระสิทธิภาพของงานมากยิ่งขึ้น ครูต้องมีหลักธรรมเพื่อเป็นสิ่ง
ยึดเหนี่ยวในการทางาน ดังนี้
2.1 อิทธิบาท 4
อิทธิบาท หมายถึง การดาเนินไปสู่ความสาเร็จ ซึ่งประกอบด้วยองค์ธรรม 4
ประการ ดังนี้
2.1.1 ฉันทะ หมายถึง ความพึงพอใจ ความต้องการที่จะทา ใฝ่ใจรักจะทาสิ่ง
นั้นอยู่เสมอ และปรารถนาทาให้ได้ผลดียิ่ง ๆ ขึน้ ไป
2.1.2 วิริยะ หมายถึง ความเพียร ขยันหมั่นเพียรประกอบสิ่งนั้น ๆ ด้วยความ
พยายาม เข็มแข็งอดทน
2.1.3 จิตตะ หมายถึง ความคิดตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทา และทาสิ่งนั้นด้วยความคิด
เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านจากสิ่งที่ตอ้ งรับผิดชอบ
2.1.4 วิมั งสา หมายถึ ง ความไตร่ต รอง หมั่ น ใช้ ปั ญ ญาพิ จ ารณาใคร่ค รวญ
ตรวจตราหาเหตุผล และมีการวางแผน ปรับปรุงงานอยู่เสมอ
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 153
3. คุณธรรมสาหรญบครูเพื่อความสุข ความเจริขของตนและส่วนรวม
หลักธรรมที่ครูต้องปฏิบัติเพื่อความเจริญส่วนตัวและส่วนรวม มีดังนี้
3.1 พรหมวิหาร 4
พรหมวิหาร หมายถึง ธรรมของพรหม เป็นธรรมอันประเสริฐของผูท้ ี่ทาหน้าที่
เป็นที่พึงของผู้อื่น หรือผู้เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งครูจะต้องมีธรรมประจาใจในหลักธรรมนี้ เพื่อเป็นหลัก
ประพฤติปฏิบัติตนที่ดีงาน ได้แก่
3.1.1 เมตตา หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาดีที่อยากให้ศิษย์มีความสุข มีจติ ใจ
ที่ดงี าม
3.1.2 ความกรุณา หมายถึง ความสงสาร เอ็นดูศิษย์ พึงช่วยเหลือให้ศิษย์พ้นจาก
ความทุกข์และความไม่รู้
3.1.3 มุทิตา หมายถึง ความชื่นชม ยินดีเมื่อศิษย์ได้ดี และยกย่องเชิดชูให้ปรากฏ
อันเป็นการให้กาลังใจและช่วยให้เกิดความภาคภูมใิ จในตนเอง
3.1.4 อุเบกขา หมายถึง การวางตัว วางใจเป็นกลาง ดารงอยู่ในธรรมที่พิจารณา
เห็นด้วยปัญญา ไม่เอนเอียงด้วยความรักหรือความชัง พร้อมที่จะวินจิ ฉัยและปฏิบัติตามธรรม
3.2 สังคหวัตถุ 4
สังคหวัตถุ หมายถึง ธรรมที่ยึดเหนี่ยวน้าใจคนหรือธรรมที่ช่วยให้มีมนุษยสัมพันธ์
ที่ดตี ่อกัน ซึ่งถ้าครูประพฤติปฏิบัติเป็นประจาจะทาให้ครูมีเสน่ห์ เป็นที่รักของศิษย์ ประกอบด้วย
3.2.1 ทาน หมายถึง การให้ ครูจะต้องให้คาแนะนา สั่งสอน ให้ความรู้และความ
เข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ให้ความรักความห่วงใย รวมถึงการให้อภัยแก่ผู้อ่นื
3.2.2 ปิย วาจา หมายถึ ง การพู ดจาด้วยน้ าใจหวังใจ พูด ด้วยถ้ อยค าสุภ าพ
น้าเสียงนุ่มนวล พูดชี้แจงในสิ่งที่เป็นประโยชน์ มุ่งให้เป็นประโยชน์และเกิดผลดี ทาให้เกิดความ
เชื่อถือและเคารพนับถือ
3.2.3. อัตถจริยา หมายถึง การประพฤติอันเป็นประโยชน์ การขวนขวายช่วยเหลือ
กิจการสาธารณประโยชน์ การมีนาใจช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ตลอดจนช่วยแก้ไข
ปรับปรุง ส่งเสริมในทางจริยธรรมแก่ผู้อ่นื
3.2.4 สมานัตตตา หมายถึง การปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลาย ทาตัวเป็นกันเอง
กับผู้อื่น ผูกมิตรกับผู้อื่น ร่วมเผชิญและแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์สุขแก่ส่วนร่วม ตลอดจนการ
วางตัวให้เหมาะสมแก่ฐานะ ภาวะ บุคคล เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 155
4. คุณธรรมสาหรญบครูเพื่อหลีอเลี่ยงหรือละเวปน
สิ่งที่ครูควรละเว้นและหลีกเลี่ยง เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของครูมีประสิทธิภาพและ
ทาให้นา่ เคารพนับถือแก่ศษิ ย์ ครูควรยืดหลักธรรม ดังนี้
4.1 อคติ 4
อคติ หมายถึง ความลาเอียง หรือความประพฤติที่คลาดเคลื่อนจากธรรม ผูเ้ ป็น
ครูควรจะปราศจากอคติ 4 ประการ ได้แก่
4.1.1 ฉันทาคติ (สาเอียงเพราะรัก) หมายถึง การช่วยเหลือหรือเข้าข้างคนที่รัก
ทาให้เสียความเที่ยงธรรม
4.1.2 โทสาคติ (ลาเอียงเพราะชัง) หมายถึง การกลั่นแกลังให้โทษคนที่เราไม่
ชอบ หรือเกลียดชัง
4.1.3 โมหาคติ (ลาเอียงเพราะหลงหรือเขลา) หมายถึง การช่วยเหลือหรือให้
โทษคนอื่นเพราะความโง่เขลา ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ หรือคนที่
เราเกลียดชังอย่างขาดสติ ทาให้เสียความยุติธรรม
4.1.4 ภยาคติ (ลาเอียงเพราะขลาดกลัว) หมายถึง เกรงกลัวอิทธิพลอานาจ
วาสนาฐานะของบุคคลที่เหนือกว่า โดยทาการช่วยเหลือเพราะกลัวสิ่งดังกล่าว ทาให้เสียความ
ยุติธรรม
4.2 อบายมุข 6
อบายมุข หมายถึง ทางแห่งความเสื่อมหรือทางแห่งความหายนะ มี 6 ประการ
ผูเ้ ป็นครูควรหลีกเลี่ยงทุกประการ ได้แก่
4.2.1 ติดสุราและของมีนเมา มีโทษ 6 อย่าง ได้แก่ 1) ความเสื่อมทรัพย์อันผู้ด่ืม
พึงเห็นได้เอง 2) ก่อการทะเลาะวิวาท 3) เป็นบ่อเกิดแห่งโรค 4) เป็นเหตุเสื่อมเสียชื่อเสียง 5) เป็น
เหตุไม่รู้จักละอาย และ 6) เป็นเหตุทอนกาลังสติปัญญา
4.2.2 ติดเที่ยวกลางคืน มีโทษ 6 อย่าง ได้แก่ 1) ได้ชื่อว่าไม่รักษาตัว 2) ได้ชื่อว่า
ไม่รักษาลูกเมีย 3) ได้ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติ 4) เป็นที่ระแวงสงสัย 5) เป็นเป้าให้เขาใส่ความ
หรือข่าวลือ และ 6) เป็นที่มาของเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ
4.2.3 ติดเที่ยวดูการละเล่น ทาให้การงานเสื่อมเสีย เพราะใจกังวลคอยคิดจอง
และเสียเวลาเมื่อไปดูสิ่งนั้น 6 ประการ ได้แก่ 1) ราที่ไหนไปที่นั่น 2) ขับร้องที่ไหนไปที่นั่น 3) ดีดสี
ตีเป่าที่ไหนไปที่นั่น 4) เสภาที่ไหนไปที่นั่น 5) เพลงที่ไหนไปที่นั่น และ 6) เถิดเทิดที่ไหนไปที่นั่น
156 คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
แนวทางอารส่งเสริมคุณธรรมสาหรญบครู
3.3 การฝึก สมาธิ เพื่ อให้ มีจิ ตใจที่ ส งบไม่ฟุ้ งซ่ าน ด้ วยวิธีนี้ จะช่ วยให้ ค รูมีค วาม
แจ่ม ใสในอารมณ์ สามารถที่ จะเพิ่ ม สมรรถภาพทางจิ ตให้ กั บ ตนเองได้เป็น อย่างดี ในเวลา
เดียวกันจะช่วยให้ครูตระหนักและมองเห็นคุณค่าของสมาธิ มีเหตุผลที่จะประพฤติปฏิบัติสมาธิ
อย่างต่อเนื่องตลอดไปจนกลายเป็นกิจนิสัยที่ดี
โดยสรุป แนวทางการส่งเสริมคุณธรรมสาหรับครูสามารถดาเนินการได้หลายวิธี ได้แก่
การเลียนแบบจากตัวแบบที่ดี การรวมพลังกลุ่ม การเพิ่มสมรรถภาพทางจิตโดยการฝึกควบคุม
อารมณ์ของตนเอง การพยายามเอาชนะอุปสรรคด้วยการสร้างคาสัญญาและบันทึกผลการ
ปฏิบัติของตน และการฝึกสมาธิ
ความหมายของจรรยาบรรณ
ความสาคญขของจรรยาบรรณ
เนื่องจากจรรยาบรรณเป็นข้อกาหนดความประพฤติของสมาชิกในแต่ละวิชาชีพ ดังนั้น
จรรยาบรรณจึงมีความสาคัญ ดังนี้ (พิชัย ไชยสงคราม. 2542: 126)
1. ช่วยควบคุมมาตรฐาน รับประกันคุณภาพและปริมาณที่ถูกต้องในการประกอบวิชาชีพ
ตามลักษณะของงานแต่ละประเภทของวิชาชีพ
2. ช่วยควบคุมจริยธรรมของผู้ประกอบอาชีพ ผู้ผลิต และผู้ค้า เช่น มีความซื่อสัตย์
สุจริต ยุติธรรม
3. ช่วยส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพและปริมาณที่ดี มีคุณค่า และเผยแพร่ให้รู้จัก เป็นที่นยิ ม
เชื่อถือได้
4. ช่วยส่งเสริมจริยธรรมของผูป้ ระกอบอาชีพและผู้ผลิต เช่น ให้มีเมตตา หิริโอตตัปปะ
5. ช่วยลดปัญหาอาชญากรรม ลดปัญหาคดโกง ฉ้อฉล เอารัดเอาเปรียบ ความเห็นแก่ได้
เห็นแต่ประโยชน์สว่ นตน
6. ช่วยให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นในภาพพจน์ที่ดีของผูม้ ีจริยธรรม เช่น การเสียสละ การเห็น
ประโยชน์สว่ นรวมมากกว่าส่วนตัว
7. ช่วยทาหน้าที่พิทักษ์รักษาสิทธิตามกฎหมาย สาหรับผู้ประกอบวิชาชีพ ให้เป็นไป
อย่างถูกต้องและยุติธรรม
สรุปได้วา่ จรรยาบรรณมีความสาคัญ เนื่องจากช่วยควบคุมมาตรฐาน ทาให้บุคคลใน
วิชาชีพมีความประพฤติที่ดี มีระเบียบวินัย ก่อให้เกิดประโยชน์ตอ่ วิชาชีพ ผูป้ ระกอบวิชาชีพ และ
ผูร้ ับบริการ และรวมถึงภาพพจน์แห่งวิชาชีพ
แบบแูนพฤติอรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ
ทางการศึกษาต้องหรือพึงละเว้น (ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณ
ของวิชาชีพ พ.ศ. 2550)
แบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครู มีดังนี้
1. จรรยาบรรณต่อตนเอง
ครูต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ให้ทันต่อ
การพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ โดยต้องประพฤติและละเว้น
การประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้
พฤติอรรมทีพ
่ ึงรระสงค์ พฤติอรรมทีไ่ ม่พึงรระสงค์
(๑) 1. ประพฤติตนเหมาะสมกับสถานภาพและเป็นแบบอย่(า๑ง) 1. เกี่ยวข้องกับอบายมุขหรือสิ่งเสพติดจนขาดสติหรือ
(๒) ที่ดี (๒) กิริยาไม่สุภาพเป็นที่น่ารังเกียจในสังคม
(๓) 2. ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดใี นการดาเนินชีวิตตาม(๓) 2. ประพฤติผดิ ทางชู้สาวหรือมีพฤติกรรมล่วงละเมิด
(๔) ประเพณี และวัฒนธรรมไทย (๔) ทางเพศ
(๕) 3. ปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สาเร็จ (๕) 3. ขาดความรับผิดชอบ ความกระตือรือร้น ความเอา
(๖) อย่างมีคุณภาพ ตามเป้าหมายที่กาหนด (๖) ใจใส่ จนเกิดความเสียหายในการปฏิบัติงานตาม
(๗) 4. ศึกษา หาความรู้ วางแผนพัฒนาตนเอง พัฒนางาน(๗) หน้าที่
(๘) และสะสมผลงานอย่างสม่าเสมอ (๘) 4. ไม่รับรูห้ รือไม่แสวงหาความรูใ้ หม่ ๆ ในการจัดการ
(๙) 5. ค้นคว้า แสวงหา และนาเทคนิคด้านวิชาชีพที่พัฒนา (๙) เรียนรู้ และปฏิบัติหน้าที่
และก้าวหน้าเป็นที่ยอมรับมาใช้แก่ศิษย์และ 5. ขัดขวางการพัฒนาองค์การจนเกิดผลเสียหาย
ผู้รับบริการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่พึงประสงค์
2. จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ
ครูต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพ และเป็นสมาชิกที่ดีของ
องค์กรวิชาชีพ โดยต้องประพฤติและละเว้นการประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรม ดังตัวอย่าง
ต่อไปนี้
พฤติอรรมทีพ
่ ึงรระสงค์ พฤติอรรมทีไ่ ม่พึงรระสงค์
(๑) 1. แสดงความชื่นชมและศรัทธาในคุณค่าของวิชาชีพ 1. ไม่แสดงความภาคภูมิใจในการประกอบวิชาชีพ
(๒) 2. รักษาชื่อเสียงและปกป้องศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ 2. ดูหมิ่น เหยียดหยาม ให้รา้ ยผู้รว่ มประกอบวิชาชีพ
(๓) 3. ยกย่องและเชิดชูเกียรติผู้มีผลงานในวิชาชีพให้ ศาสตร์ในวิชาชีพ หรือองค์กรวิชาชีพ
(๔) สาธารณชนรับรู้ 3. ประกอบการงานอื่นที่ไม่เหมาะสมกับการเป็น
(๕) 4. อุทิศตนเพื่อความก้าวหน้าของวิชาชีพ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
(๖) 5. ปฏิบัติหน้าที่ดว้ ยความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์สุจริตตาม 4. ไม่ซ่อื สัตย์สุจริต ไม่รับผิดชอบ หรือไม่ปฏิบัติตามกฎ
(๗) กฎ ระเบียบ และแบบแผนของทางราชการ ระเบียบ หรือแบบแผนของทางราชการจนก่อให้เกิด
160 คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
พฤติอรรมทีพ
่ ึงรระสงค์ พฤติอรรมทีไ่ ม่พึงรระสงค์
(๘) 6. เลือกใช้หลักวิชาที่ถูกต้อง สร้างสรรค์เทคนิค วิธกี าร ความเสียหาย
(๙) ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาวิชาชีพ 5. คัดลอกหรือนาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
7. ใช้องค์ความรูห้ ลากหลายในการปฏิบัติหน้าที่ และ 6. ใช้หลักวิชาการที่ไม่ถูกต้องในการปฏิบัติวิชาชีพ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสมาชิกในองค์การ ส่งผลให้ศิษย์หรือผู้รับบริการเกิดความเสียหาย
8. เข้าร่วมกิจกรรมของวิชาชีพหรือองค์กรวิชาชีพอย่าง 7. ให้ความรู้ทางวิชาการ วิชาชีพ หรืออาศัยองค์กร
สร้างสรรค์ วิชาชีพแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเอง หรือผู้อื่น
โดยมิชอบ
3. จรรยาบรรณต่อููปรญบบริอาร
ครูต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กาลังใจแก่ศิษย์ และผู้รับบริการตาม
บทบาทหน้าที่โดยเสมอหน้า ครูต้องส่งเสริมให้เกิดการเรีย นรู้ ทักษะ และนิสัย ที่ถูกต้องดีงาม
แก่ศิษย์และผู้รับบริการตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ ครูต้อง
ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจาและจิตใจ ครูต้องไม่กระทาตนเป็นปฏิปักษ์
ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์และผู้รับบริการ และครู
ต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการ
ใช้ตาแหน่งหน้าที่โดยมิชอบโดยต้องปฏิบัติและละเว้นการประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรม ดัง
ตัวอย่างต่อไปนี้
พฤติอรรมทีพ
่ ึงรระสงค์ พฤติอรรมทีไ่ ม่พึงรระสงค์
(๑) 1. ให้คาปรึกษาหรือช่วยเหลือศิษย์และผู้รับบริการด้วย(๑) 1. ลงโทษศิษย์อย่างไม่เหมาะสม
(๒) ความเมตตากรุณาอย่างเต็มกาลังความสามารถ (๒) 2. ไม่ใส่ใจหรือไม่รับรู้ปัญหาของศิษย์หรือผู้รับบริการ
(๓) และเสมอภาค (๓) จนเกิดผลเสียหายต่อศิษย์หรือผู้รับบริการ
(๔) 2. สนับสนุนการดาเนินงานเพื่อปกป้องสิทธิเด็ก (๔) 3. ดูหมิ่นเหยียดหยามศิษย์หรือผู้รับบริการ
(๕) เยาวชน และผู้ดอ้ ยโอกาส (๕) 4. เปิดเผยความลับของศิษย์หรือผู้รับบริการ เป็นผล
(๖) 3. ตั้งใจ เสียสละ และอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ (๖) ให้ได้รับความอับอายหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง
(๗) เพื่อให้ศิษย์และผู้รับบริการได้การพัฒนาตามความ(๗) 5. จูงใจ โน้มน้าว ยุยงส่งเสริมให้ศิษย์หรือผู้รับบริการ
(๘) สามารถ ความถนัดและความสนใจของแต่ละบุคคล(๘) ปฏิบัติขัดต่อศีลธรรมหรือกฎระเบียบ
(๙) 4. ส่งเสริมให้ศิษย์และผู้รับบริการสามารถแสวงหา (๙) 6. ชักชวน ใช้ จ้าง วานศิษย์หรือผู้รับบริการให้จัดซื้อ
ความรู้ได้ดว้ ยตนเองจากสื่ออุปกรณ์ และแหล่ง จัดหาสิ่งเสพติด หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข
เรียนรูอ้ ย่างหลากหลาย 7. เรียกร้องผลตอบแทนจากศิษย์ หรือผู้รับบริการ
5. ให้ศิษย์และผู้รับบริการ มีสว่ นร่วมวางแผนการ ในงานตามหน้าที่ที่ต้องให้บริการ
เรียนรู้ และเลือกวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมกับตนเอง
6. เสริมสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ศิษย์และผู้รับบริการ
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 161
พฤติอรรมทีพ
่ ึงรระสงค์ พฤติอรรมทีไ่ ม่พึงรระสงค์
ด้วยการรับฟังความคิดเห็น ยกย่อง ชมเชย และให้
กาลังใจอย่างกัลยาณมิตร
4. จรรยาบรรณต่อููปร่วมรระออบวิชาชีพ
ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบคุณธรรม
สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ โดยพึงประพฤติและละเว้นการประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรม
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
พฤติอรรมทีพ
่ ึงรระสงค์ พฤติอรรมทีไ่ ม่พึงรระสงค์
(๑) 1. เสียสละ เอือ้ อาทร และให้ความช่วยเหลือผู้ร่วม (๑) 1. ปิดบังข้อมูลข่าวสารในการปฏิบัติงาน จนทาให้เกิด
(๒) ประกอบวิชาชีพ (๒) ความเสียหายต่องานหรือผู้รว่ มประกอบวิชาชีพ
(๓) 2. มีความรัก ความสามัคคี และร่วมใจกันผนึกกาลัง (๓) 2. ปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยตาหนิ ให้ร้ายผู้อื่นใน
(๔) ในการพัฒนาการศึกษา (๔) ความบกพร่องที่เกิดขึน้
(๕) 3. สร้างกลุม่ อิทธิพลภายในองค์กรหรือกลั่นแกล้ง
(๖) ผู้รว่ มประกอบวิชาชีพให้เกิดความเสียหาย
(๗) 4. เจตนาให้ข้อมูลเท็จทาให้เกิดความเข้าใจผิดหรือเกิด
(๘) ความเสียหายต่อผู้รว่ มประกอบวิชาชีพ
(๙) 5. วิพากษ์ วิจารณ์ผู้ร่วมประกอบวิชาชีพในเรื่องที่
ก่อให้เกิดความเสียหายหรือแตกความสามัคคี
5. จรรยาบรรณต่อสญงคม
ครู พึ ง ประพฤติ ป ฏิ บั ติ ต นเป็ น ผู้ น าในการอนุ รั ก ษ์ แ ละพั ฒ นาเศรษฐกิ จ สั ง คม
ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และยึดมั่นใน
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุ ข โดยพึงประพฤติและ
ละเว้นการปฏิบัติตามแบบแผนพฤติกรรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้
พฤติอรรมทีพ
่ ึงรระสงค์ พฤติอรรมทีไ่ ม่พึงรระสงค์
(๑) 1. ยึดมั่น สนับสนุน และส่งเสริมการปกครองระบอบ(๑) 1. ไม่ให้ความร่วมมือหรือสนับสนุนกิจกรรมของชุมชน
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่จัดเพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
(๒) 2. นาภูมปิ ัญญาท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมมาเป็น (๒) 2. ไม่แสดงความเป็นผู้นาในการอนุรักษ์หรือพัฒนา
ปัจจัยในการจัดการศึกษาให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา
3. จัดกิจกรรมส่งเสริมให้ศิษย์เกิดการเรียนรูแ้ ละ หรือสิ่งแวดล้อม
สามารถดาเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง (๓) 3. ไม่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดใี นการอนุรักษ์หรือ
(๓) 4. เป็นผู้นาในการวางแผนและดาเนินการเพื่ออนุรักษ์ พัฒนาสิ่งแวดล้อม
162 คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
พฤติอรรมทีพ
่ ึงรระสงค์ พฤติอรรมทีไ่ ม่พึงรระสงค์
สิ่งแวดล้อมพัฒนาเศรษฐกิจ ภูมปิ ัญญาท้องถิ่น และ (๔) 4. ปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อวัฒนธรรมอันดีงามของชุมชน
ศิลปวัฒนธรรม หรือสังคม
อารลงโทษููปทาูิดจรรยาบรรณ
อรณีศอึ ษาอารลงโทษููปอระทาูิดจรรยาบรรณ
กรณีตัวอย่างคาวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ กรณีผู้ประกอบวิชาชีพ
ทางการศึกษาประพฤติผดิ จรรยาบรรณของวิชาชีพ ดังนี้ (สานักงานเลขาธิการคุรุสภา. 2563:
ออนไลน์)
เรื่องที่ 1 อรณีความูิดเอี่ยวอญบทรญพย์
ขปอเท็จจริง: นาง ฉ เป็นครูอัตราจ้างของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นผู้ได้รับใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพครู มีพฤติกรรมเรียกเก็บเงินค่าถ่ายรูปหมูข่ องนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่กาลังจะจบการศึกษา คนละ 300 บาท เพื่อนาไปชาระให้กับร้านถ่ายรูป
แต่ นาง ฉ ได้นาเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่ชาระเงินบางส่วนให้แก่ร้านถ่ายรูป
เป็นเหตุให้นักเรียนไม่ได้รับรูปถ่าย
อารรระพฤติูิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ
164 คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
คาวินิจฉญยคณะอรรมอารมาตรฐานวิชาชีพ
คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีคาวินิจฉัยชี้ขาด ให้พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ครูเป็นเวลา 5 ปี ตามมาตรา 54 (4) แห่งพระราชบัญ ญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึ กษา
พ.ศ. 2546
เรื่องที่ 2 อรณีความูิดเอี่ยวอญบอารล่วงละเมิดทางเพศต่อนญอเรียนหขิง
ขปอเท็จจริง: นาย ส เป็นผู้ประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ตาแหน่งผู้อานวยการ
โรงเรียน เป็นผู้ได้รับ ใบอนุญ าตประกอบวิชาชีพครูและใบอนุญ าตประกอบวิ ชาชีพผู้บริหาร
สถานศึกษา มีพฤติกรรมล่วงละมิดทางเพศ โดยกระทาอนาจารต่อนักเรียนหญิง อายุไม่เกิน 15
ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล จานวน 3 คน ดังนี้
-นักเรียนหญิงคนที่ 1 ขณะที่เรียนอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้ไปฝึกซ้อม
เต้นแอโรบิคกับภรรยาของ นาย ส ที่บ้ านของนาย ส และถูกนาย ส กระชากตัว ให้ไปนั่งบนตัก
พร้อมกับหอมแก้มและจูบปาก ซึ่งนักเรียนหญิงไม่สามารถขัดขืนได้ เนื่องจากสู้แรงไม่ไหว
-นักเรียนหญิงคนที่ 2 ขณะที่เรียนอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้ไปโชว์เต้น
แอโรบิคที่โรงเรียนอื่น เมื่อเต้นเสร็จได้ลงจากเวทีและรับประทานอาหารบริเวณข้างเวที ต่อมา
ได้ไปเก็บขยะ ขณะที่กาลังเก็ บขยะอยู่นั้น นาย ส เดินเข้ามาทางด้านหลังและได้เอามือจับก้ น
ซึ่งนักเรียนหญิงหันหลังกลับไปมอง นาย ส แต่ นาย ส กลับทาเหมือนไม่มอี ะไรเกิดขึ้น
-นักเรียนหญิงคนที่ 3 ขณะที่เรียนอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้ไปฝึกซ้อม
เต้นแอโรบิคที่บ้านของ นาย ส จากนั้น นาย ส ได้เรียกให้เข้าไปพบที่หอ้ งทางานโดยอยู่กับนักเรียน
หญิงเพียงลาพังสองคน นาย ส ได้จับกัน จับท้อง และชวนให้นักเรียนหญิงมานอนที่บ้าน
อารรระพฤติูิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ
เป็นการประพฤติผดิ จรรยาบรรณต่อตนเอง ตามข้อ 7 จรรยาบรรณต่อวิ ชาชีพ ตามข้อ
8 และจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ตามข้อ 12 แห่งข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของ
วิชาชีพ พ.ศ. 2556
คาวินิจฉญยคณะอรรมอารมาตรฐานวิชาชีพ
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 165
คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีคาวินิจฉัยขาด ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ทุกประเภท ตามมาตรา 54 (5) แห่งพระราชบั ญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.
2546
เรื่องที่ 3 อรณีความูิดเอี่ยวอญบอารล่วงละเมิดทางเพศต่อนญอเรียนหขิง
ขปอเท็จจริง: นาย ป เป็นข้าราชการครู เป็นผู้ได้รับ ใบอนุญ าตประกอบวิชาชีพครู มี
พฤติกรรมล่วงละมิดทางเพศโดยกระทาอนจารต่อนักเรียนหญิง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็น
ศิษย์อยู่ในความดูแล จานวน 13 ราย เป็นการกระทาต่างกรรมต่างวาระ
เหตุเกิดที่ห้องเรียนวิชาสังคมศึกษา ซึ่งเป็นห้องเรียนที่ นาย ป สอนนักเรียนเป็นประจา
พฤติกรรมของ นาย ป คือ จะเรียกนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มาหาที่ห้องเรียนดังกล่าว
ครั้งละ 1-2 คน โดย นาย ป จะกระทานาจารนักเรียนหญิงด้วยพฤติกรมที่ต่างกันไป เช่น พูด
เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ เปิดคลิปวิดีโอลามกอนาจรให้นักเรียนหญิงดู และกระทาอนาจารนักเรียน
หญิง ด้วยการใช้มือจับหน้าอก จับอวัยวะเพศ บังคับให้นักเรียนหญิงนวดขาและให้ลูบจับอวัยวะ
เพศของ นาย ป โดยนาย ป ได้พูดจาข่มขู่นักเรียนไม่ให้ไปบอกเรื่องดังกล่ าวกับผูอ้ ื่น ต่อมาศาล
มีคาพิพากษาจาคุก นาย ป ในทุกกระทงความผิด เป็นเวลา 32 ปี และคดีถึงที่สุด
อารรระพฤติูิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ
เป็นการประพฤติผดิ จรรยาบรรณต่อตนเอง ตามข้อ 7 จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ตามข้อ
8 และจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ตามข้อ 12 แห่งข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของ
วิชาชีพ พ.ศ. 2556
คาวินิจฉญยคณะอรรมอารมาตรฐานวิชาชีพ
คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีคาวินิจฉัยชีข้ าด ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ครู ตามมาตรา 54 (5) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
เรื่องที่ 4 อรณีความูิดเอี่ยวอญบอารล่วงละเมิดทางเพศต่อนญอเรียนชาย
166 คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
อารรระพฤติูิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ
เป็นการประพฤติผดิ จรรยาบรรณต่อตนเอง ตามข้อ 7 จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ตามข้อ
8 และจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ตามข้อ 12 แห่ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พ.ศ. 2556
คาวินิจฉญยคณะอรรมอารมาตรฐานวิชาชีพ
คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีคาวินิจฉัยชีข้ าด ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบ
วิชาชีพครู ตามมาตรา 54 (5) แห่พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
เรื่องที่ 5 อรณีความูิดเอี่ยวอญบอารล่วงละเมิดทางเพศต่อนญอเรียนหขิง
ขปอเท็จจริง: นาย ล เป็นผู้ประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ตาแหน่งรองผู้อานวยการ
โรงเรียน เป็นผู้ได้รับใบอนุญ าตประกอบวิช าชีพครู และใบอนุญ าตประกอบวิชาชีพผู้บริหาร
สถานศึกษา มีพฤติกรรมลักษณะเชิงชู้สาวทางแอพพลิเคชั่นไลน์ (line) กับนักเรียนหญิง ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล โดยโน้มน้าวให้นักเรียนหญิงส่งภาพลามกอนาจาร
(ภาพเปลือยหน้าอก) มาให้ นาย ล ดู และได้สนทนาด้วย ข้อความว่า "คิดถึงนะ" "อยากเห็นนม
อิๆๆ" นักเรียนหญิงจึงได้ส่งภาพอื่นในลักษณะใกล้เคียงกันให้ดูแทน การกระทาของ นาย ล เป็น
การกระทาอันเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการที่นักเรียนอาจถูกล่อลวง หรือชักจูงไปในทางที่ไม่เหมาะสม
นาย ล ไม่มีวินัยในตนเอง เนื่องจากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ การกระทาดังกล่าวเป็น
การล่วงละเมิดทางเพศด้วยวาจาต่อนักเรียนและเป็นศิษย์ในความดูแล
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 167
อารรระพฤติูิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ
เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณต่อตนเอง ตามข้อ 7 จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ตามข้อ
8 และจรรยาบรรณต่อผูร้ ับบริการ ตามข้อ 12 แห่งข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของ
วิชาชีพ พ.ศ. 2556
คาวินิจฉญยคณะอรรมอารมาตรฐานวิชาชีพ
คณะกรมการมาตรฐานวิชาชีพมีคาวินิจฉัยชีข้ าด ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ทุกประเภท ตามมาตรา 54 (5) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.
2546
เรื่องที่ 6 อรณีความูิดเอี่ยวอญบความสญมพญนธ์ฉญนชูปสาว
ขปอเท็จจริง: นางสาว ก เป็นครูผดู้ ูแลเด็ก เป็นผูไ้ ด้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู มี
พฤติกรรมความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ นาย ส ซึ่งเป็นชายที่มี นาง อ เป็นภรรยาโดยชอบด้วย
กฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งนางสาว ก คบหากับ นาย ส อย่างเปิดเผยและไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อ
สอง เป็นเหตุให้ครอบครัวของ นาง อ ได้รับความเสียหาย ประกอบกับ นาง อ ฟ้องร้องเรียกค่า
เสียหายทางแพ่งในกรณีที่ นางสาว ก เป็นชู้กับ นาย ส และต่อมาได้มกี ารทาสัญญาประนีประนอม
ยอมความกันระหว่าง นางสาว ก กับ นาง อ เพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดจากการเป็นชู้กัน
ในภายหลัง
อารรระพฤติูิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ
เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณต่อตนเอง ตามข้อ 7 และจรรยาบรรณต่อวิชาชีพตาม
ข้อ 8 แห่งข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. 2556
คาวินิจฉญยคณะอรรมอารมาตรฐานวิชาชีพ
168 คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีคาวินิจฉัยขี้ขาด ให้พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ครูเป็นเวลา 2 ปี ตามมาตรา 54 (4) แห่ งพระราชบัญญั ติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. 2546
เรื่องที่ 7 อรณีความูิดเอี่ยวอญบอารเสพสุรา
ขปอเท็จจริง: นาย ท เป็นผู้บริหารถานศึกษา ตาแหน่งผูอ้ านวยการโรงเรียน เป็นผู้ได้รับ
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา มีพฤติกรม
ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ภายในบริเวณโรงเรียนอันเป็นสถานที่ราชการและสถานศึกษา ซึ่ง
ปรากฏมีภาพและคลิปวิดีโอในขณะกาลังถือและดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งมีพฤติกรรม
พูดจาหยาบคายกับผูใ้ ต้บังคับบัญชาเป็นประจา
อารรระพฤติูิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ
เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณต่อตนเอง ตามข้อ 7 และจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ตาม
ข้อ 8 แห่งข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. 2556
คาวินิจฉญยคณะอรรมอารมาตรฐานวิชาชีพ
คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีคาวินิจฉัยชีข้ าด ให้พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ทุกประเภทเป็นเวลา 6 เดือน ตามมาตร 54 (4) แห่พระราชบัญ ญัติสภาครูและบุคลากรทาง
การศึกษา พ.ศ. 2546
เรื่องที่ 8 อรณีความูิดเอี่ยวอญบอรอระทาความูิดคอมพิวเตอร์
ขปอเท็จจริง: นาย ส เป็ นข้าราชการครู เป็นผู้ได้รับ ใบอนุญ าตประกอบวิชาชีพครู มี
พฤติก รรมการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยนาคลิปวิดีโอขณะที่ตนเองกาลังมี
เพศสัมพันธ์กับชายอื่นที่มีลักษณะอันลามกอนาจาร เผยแพร่เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชน
ทั่วไปอาจเข้าถึงได้ อันเป็นความผิดตาม มาตรา 14 (4) แห่งพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทา
ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 255O
ศาลชั้นต้นได้มีคาพิพากษาจาคุก 6 เดือน ปรับ 25,000 บาท โทษจาคุกให้รอการ
ลงโทษไว้มกี าหนด 2 ปี
อารรระพฤติูิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 169
คาวินิจฉญยคณะอรรมอารมาตรฐานวิชาชีพ
คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีคาวินิจฉัยชีข้ าด ให้พักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
เป็นเวลา 1 ปี ตามมาตรา 54 (4) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.
2546
เรื่องที่ 9 อรณีความูิดเอี่ยวอญบอารล่วงละเมิดทางเพศต่อบุคคลอื่น
ขปอเท็จจริง: นาย พ เป็นข้ าราชการครู เป็นผู้ได้รับใบอนุญ าตประกอบวิชาชีพครู มี
พฤติกรรมเผยแพร่ภาพอนาจารของ นางสาว ม ซึ่งเป็นอดีตภรรยา ด้วยการโพสต์รูปภาพอนาจาร
(ภาพเปลือย) ของนางสาว ม ลงในสื่อสังคมออนไลน์เฟสบุ๊ค (facebook) กระทาไปเพื่อเป็นการ
ข่มขู่และประจาน ทาให้นางสาว ม ได้รับความอับอายและเสื่อมเสียชื่ อเสียง ซึ่งเป็นความผิด
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ตามมาตรา
14 (1) (4) ศาลมีคาพิพากษาจาคุก นาย พ 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจาคุกให้รอการลงโทษไว้
มีกาหนด 2 ปี
อารรระพฤติูิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ
เป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณต่อตนเอง ตามข้อ 7 จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ตามข้อ
8 แห่งข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ. 2556
คาวินิจฉญยคณะอรรมอารมาตรฐานวิชาชีพ
คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีคาวินจิ ฉัยชีข้ าด ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบ
วิชาชีพครู ตามมาตรา 5 (5) แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546
สรุรทปายบท
170 คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
แบบฝึอหญดทปายบท
จงตอบคาถามหรือทากิจกรรมต่อไปนี้
1. จงให้เหตุผลว่าเพราะเหตุใด “คุณธรรม” จึงมีความสาคัญสาหรับผูป้ ระกอบวิชาชีพครู
2. คุณธรรมสาหรับครูเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทางาน ควรมีหลักคุณธรรมใดบ้าง
จงให้เหตุผล พร้อมรายละเอียด
3. ขอให้เสนอแนวทางในการพัฒนาหรือเสริมสร้างคุณธรรมสาหรับครู อย่างน้อย 3
แนวทาง
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 171
4. จงให้ความหมายของ “จรรยาบรรณ”
5. จงให้ความหมายของ “จรรยาบรรณของวิชาชีพครู”
6. จรรยาบรรณมีความสาคัญอย่างไร
7. เหตุใดอาชีพครูจงึ ต้องมีจรรยาบรรณของวิชาชีพ
8. ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับ “จรรยาบรรณของวิชาชีพครู ” แล้วสรุปเนื้อหาในประเด็น
ต่อไปนี้
8.1 ชื่อเรื่องวิจัย ชื่อผู้วจิ ัย สถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานของผูว้ ิจัย
8.2 จุดมุง่ หมายของการวิจัย
8.3 กรอบความคิดการวิจัย
8.4 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
8.5 เครื่องมือและการหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
8.6 ขั้นตอนหรือกระบวนการวิจัย พร้อมสรุปเป็นแผนภาพ
8.7 สรุปผลการวิจัย
8.8 ให้ท่านนาเสนอแนวทางการนาผลการวิจัยที่ศึกษาไปใช้ประโยชน์
9. ผูร้ ับใบอนุญาตที่ทาผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพอาจได้รับโทษกีป่ ระการ อะไรบ้าง
172 คุณธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
บทที่ 9
กลยุทธ์การพัฒนาความเป็นครู
การพัฒนาครูให้มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน กล่าวคือให้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะ
ในการให้การศึกษาและพัฒนาศักยภาพศิษย์ เอาใจใส่ดูแลศิษย์เป็นอย่างดี มีจิตวิญญาณของ
ความเป็นครู และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ หรือที่เรียกว่าพัฒนาให้มีความเป็นครูมือ
อาชีพ เป็นสิ่งที่มีความสาคัญเป็นอย่างมาก เพราะครูมีบทบาทสาคัญในการพัฒนาและปลูกฝัง
คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความรู้ และทักษะให้แก่เยาวชนและสังคม
สาหรับในบทนี้ จะได้นาเสนอเนื้อหาตามลาดับ ดังนี้ ความหมายของกลยุทธ์ ความสาคัญ
ของกลยุทธ์ กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ องค์ประกอบของกลยุทธ์ เกณฑ์การพิจารณาการ
จัดทากลยุทธ์ที่ดี และกลยุทธ์การพัฒนาความเป็นครู
ความหมายของกลยุทธ์
ประกอบด้วยการดาเนินเชิงแข่งขัน เพื่อสามารถนาไปดาเนินงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
สุ ด ใจ วั น อุ ด มเดชาชั ย (2556: 10) กล่ าวว่า กลยุ ท ธ์ หมายถึ ง แผนการหรือ วิธี ก ารในการ
ดาเนินงานขององค์การที่ทาให้องค์การบรรลุเป้าหมายด้วยความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ต่าง
จากคู่แข่งขัน
ในทัศนะของผูเ้ ขียน กลยุทธ์ หมายถึง แผนการ หรือวิธีการดาเนินงานเชิงรุกที่ทาให้
องค์การบรรลุความสาเร็จตามวัตถุประสงค์
ความสาคัญของกลยุทธ์
กลยุทธ์มีความสาคัญหลายประการ ดังนี้
1. ช่วยให้องค์การมีทิศทางในการดาเนินงานที่ชัดเจน เห็นแนวทางที่องค์การจะต้องปฏิบัติ
เพื่อให้องค์การมีความแข็งแกร่ง ประสบความสาเร็จ โดยใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์สภาพ
แวดล้อมตามกระบวนการวิเคราะห์สถานการณ์ (situation analysis) อันเป็นกระบวนการเพื่อ
แสวงหาของกลยุทธ์
2. ช่วยสร้างความสอดคล้องของการดาเนินงานภายในองค์การ ทาให้หน่วยงานของ
องค์การมุ่งไปสู่วัตถุประสงค์เดียวกัน
3. เปิดโอกาสให้ผบู้ ริหารในระดับต่าง ๆ มีส่วนช่วยในการบริหาร เห็นโอกาสใหม่ ๆ
และข้อจากัดที่อาจจะเกิดขึ้น ทาให้ได้พัฒนาความคิด และช่วยลดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
ที่อาจเกิดขึ้นได้
4. ช่วยให้องค์การคาดการณ์ปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลง
ทั้งภายในภายนอกองค์การ
5. สร้างความพร้อมให้แก่องค์การ เนื่องจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและการกาหนด
กลยุทธ์ชว่ ยให้ผบู้ ริหารและสมาชิกในองค์การเกิดความเข้าใจในภาพรวมของการดาเนินงานใน
องค์การ ตลอดจนปัจจัยที่ส่งผลต่อการดาเนินงานขององค์การ
6. ช่วยให้เกิดความตระหนักในความไม่แน่นอนของอนาคตที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
ขึน้ ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึน้ อาจเป็นโอกาส หรืออุปสรรคต่อเป้าหมายในการดาเนินงานขององค์การ
สรุปได้วา่ กลยุทธ์มีความสาคัญในการกาหนดทิศทางขององค์การ ตลอดจนช่วยสร้าง
ความสอดคล้องของการดาเนินงานภายในองค์การ ซึ่งส่งผลให้การดาเนินงานขององค์การ
ประสบความสาเร็จ
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 175
กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์
หมายถึง ความสามารถและสถานการณ์ภายในองค์การที่ทาให้องค์การเหนือกว่าองค์การอื่น
ทาให้ได้เปรียบในการแข่งขัน องค์การนามาใช้ประโยชน์ในการทางานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
หรือหมายถึงการดาเนินงานภายในที่องค์การทาได้ดี ในขณะที่จุดอ่อน (weakness: W) หมายถึง
สถานการณ์ภายในองค์การที่เป็นอุปสรรคต่อการดาเนินงานขององค์การ และด้อยความสามารถ
องค์การไม่สามารถนามาใช้ประโยชน์ในการทางานเพื่อ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึงการ
ดาเนินงานภายในที่องค์การทาได้ไม่ดี
ในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การอาจใช้กรอบแนวคิด 7S ของ
McKinsey (McKinsey seven “S” framework) โดยวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน 7 ประเด็น ซึ่ง
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1) กลุ่มที่เป็นรูปธรรม (hard elements) ประกอบด้วยกลยุทธ์ (strategy)
โครงสร้าง (structure) และระบบ (systems) 2) กลุ่มที่เป็นรูปธรรมน้อยกว่า (soft elements)
ประกอบด้วยทักษะ (skill) ค่านิยมร่วม (shared values) บุคลากร (staff) และรูปแบบการบริหาร
จัดการ (style) โดยทั้ง 7S มีรายละเอียด ดังนี้
1) strategy (กลยุทธ์ขององค์การ) เป็นการวางแผนเพื่อตอบสนองการ
เปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมจะช่วยให้องค์การกาหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
ขึ้นมา และเป็นแนวทางให้บุคลากรภายในองค์การทราบว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใด
จึงจะประสบความสาเร็จ
2) structure (โครงสร้างองค์การ) เป็นการแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
อานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ รวมถึงการควบคุม การรวมอานาจ และการกระจายอานาจของ
ผู้บริหาร การกาหนดหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทางานร่วมกันในฝ่ายต่าง ๆ
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตงั้ ไว้
3) systems (ระบบในการดาเนินงานขององค์การ) เป็นกระบวนการ
และลาดับขั้นตอนของการปฏิบัติงานทุกอย่างที่ต่อเนื่อง สอดคล้องประสานกันทุกระดับเพื่อให้
บรรลุตามเป้าหมายที่ตงั้ ไว้
4) skills (ทักษะ) เป็นทักษะความสามารถ หรือสมรรถนะขององค์การ
5) shared values (ค่านิยมร่วมของบุคลากร) เป็ นค่านิยมร่วม หรือสิ่ง
ที่บุคลากรส่วนใหญ่ในองค์การเห็นว่าเป็นสิ่งดี พึงปฏิบัติจนกลายเป็นวัฒนธรรมในการทางาน
เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
6) staff (บุคลกร) การคัดเลือกบุคลากรที่มีความรูค้ วามสามารถ การ
พัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง จานวนเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการ และมีบุคลากรที่
จะตอบสนองการเติบโตขององค์การในอนาคต
รองศาสตราจารย์ ดร.วาโร เพ็งสวัสดิ์ 177
ผูบ้ ริหารควรกาหนดกลยุทธ์เชิงรุก
ถือเป็นสถานการณ์ “ดาวรุ่ง” (star) ภาวะคุกคาม (T)
สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เนื่องจาก
องค์การกาลังเผชิญกับภัยคุกคาม และ จุดแข็ง (S) จุดอ่อน (W)
ภายในองค์การมีจุดอ่อนหรือมีปัญหา
หลายประการ ดังนั้น ผูบ้ ริหารควรกาหนด ภาวะคุกคาม (T)
กลยุทธ์เชิงรับหรือป้องกันตัว
สถานการณ์ “สุนัข” (dogs)
ถือเป็นสถานการณ์ “สุนัข” (dogs)
3) WO Strategies เป็น โอกาส (O)
สถานการณ์ที่องค์การมีโอกาสหลาย
?
ประการ แต่ภายในองค์การมีปัญหาหรือ จุดแข็ง (S) จุดอ่อน (W)
จุดอ่อนที่เป็นอุปสรรค์ในการดาเนินงาน
ดังนัน้ ผูบ้ ริหารควรกาหนดกลยุทธ์การ ภาวะคุกคาม (T)
ที่สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การไม่เอือ้
ต่อการทางาน แต่ภายในองค์การมีข้อ จุดแข็ง (S) จุดอ่อน (W)
ได้เปรียบหรือจุดแข็งหลายประการ ดังนัน้
ผูบ้ ริหารควรกาหนดกลยุทธ์การแตกตัว ภาวะคุกคาม (T)
หรือกระจายกิจการ ถือเป็นสถานการณ์
เป็นสถานการณ์ “แม่วัวให้นม” (cash cows)
“แม่วัวให้นม” (cash cows)
ทรัพยากรมนุ ษย์ (organization change and human resource development) และ4) การกระจาย
กลยุทธ์ (strategic development)
5. การควบคุม และประเมินกลยุทธ์ (strategy evaluation and control) เป็น
กระบวนการซึ่งผู้บริหารได้ติดตามกิจกรรมและผู้ปฏิบัติงานขององค์การอย่างสม่าเสมอ เพื่อ
ประเมินว่ากิจกรรมนั้น ๆ ได้รับ การปฏิบัติอย่างมีประสิท ธิภาพและประสิทธิผลหรือไม่ เพื่อ
ประโยชน์ในการแก้ไขและปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานในองค์การ การควบคุม
กลยุทธ์ประกอบด้วยกระบวนการ ดังนี้ 1) การกาหนดวัตถุประสงค์และสิ่งที่ต้องการทาการ
ควบคุม 2) การกาหนดเกณฑ์และมาตรฐาน 3) การวัดผลการปฏิบัติงาน 4) การเปรียบเทียบ
ผลการปฏิบัติงานกับมาตรฐาน และ 5) การปรับปรุงแก้ไข
กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่กล่าวมา สามารถสรุปเป็นภาพประกอบได้ ดังนี้
ข้อมูลย้อนกลับ
องค์ประกอบของกลยุทธ์
เกณฑ์การพิจารณาการจัดทากลยุทธ์ท่ดี ี
กลยุทธ์การพัฒนาความเป็นครู
สรุปท้ายบท
แบบฝึกหัดท้ายบท
จงตอบคาถามหรือทากิจกรรมต่อไปนี้
1. จงให้ความหมายของ “กลยุทธ์”
2. กลยุทธ์ที่ดคี วรมีลักษณะอย่างไรบ้าง
3. จงอธิบายขั้นตอนของกระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ พร้อมระบุกิจกรรมที่ต้อง
ดาเนินการในแต่ละขั้นตอน
4. จงอธิบายกระบวนการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (environmental scanning)
5. ขอให้นักศึกษาวิเคราะห์ตนเองด้านการเรียน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ SWOT (SWOT
analysis) หลังจากนั้นจึงสร้างกลยุทธ์การพัฒนา
188 กลยุทธ์การพัฒนาความเป็นครู
บรรณานุกรม
ประว ัติการศึกษา
ปริญญำตรี ครุศำสตรบัณฑิต (เกียรตินย
ิ มอันดับ 1) (ค.บ.)
สำขำวิชำกำรศึกษำปฐมวัย วิชำโทภำษำอังกฤษ
(นักศึกษำโครงกำรคุรทุ ำยำท รุน
่ ที่ 2 ของสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรประถมศึกษำแห่งชำติ
กระทรวงศึกษำธิกำร) วิทยำลัยครูเพชรบุร ี จ. เพชรบุร ี
ปริญญำตรี ศึกษำศำสตรบัณฑิต (ศษ.บ.) สำขำวิชำกำรวัดผลและประเมินผลกำรศึกษำ มสธ
ปริญญำโท กำรศึกษำมหำบัณฑิต (กศ.ม.) สำขำวิชำกำรวัดผลกำรศึกษำ มหำวิทยำลัยมหำสำรคำม
ปริญญำเอก ศึกษำศำสตรดุษฎีบณั ฑิต (ศษ.ด.) สำขำวิชำกำรบริหำรกำรศึกษำ มหำวิทยำลัยขอนแก่น
ประสบการณ์สอน
พ.ศ. 2535-2537 อำจำรย์ 1 โรงเรียนบ ้ำนหนองประดู อ. เลำขวัญ จ. กำญจนบุร ี (สปจ. กำญจนบุร)ี
พ.ศ. 2537-ปั จจุบน
ั อำจำรย์คณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร
ประสบการณ์บริหารหน่วยงาน
พ.ศ. 2540-2542 หัวหน ้ำฝ่ ำยทะเบียนนักศึกษำ สำนักส่งเสริมวิชำกำร มหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร
พ.ศ. 2541-2544 ประธำนโปรแกรมวิชำกำรวัดผลกำรศึกษำ คณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร
พ.ศ. 2542-2546 รองคณบดีคณะครุศำสตร์ (ฝ่ ำยฝึ กประสบกำรณ์วช ิ ำชีพครู) มหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร
พ.ศ. 2547-2553 ผู ้ช่วยอธิกำรบดี (ฝ่ ำยประกันคุณภำพกำรศึกษำ) มหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร
พ.ศ. 2552–ปั จจุบนั ประธำนสำขำวิชำกำรบริหำรและพัฒนำกำรศึกษำ คณะครุศำสตร์
พ.ศ. 2553-2557 คณบดีคณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร (คำสัง่ สภำมหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร
ที่ 2/2553 วันที่ 30 เมษำยน 2553) (วำระที่ 1)
พ.ศ. 2557-2561 คณบดีคณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร (คำสัง่ สภำมหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร
ที่ 2/2557 วันที่ 25 เมษำยน 2557) (วำระที่ 2)
ั รองอธิกำรบดีฝ่ำยวิชำกำร มหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร (คำสัง่ สภำมหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร
พ.ศ. 2564-ปั จจุบน
ที่ 26/2564 วันที่ 31 สิงหำคม 2564)
ประสบการณ์บริหารหล ักสูตร
พ.ศ. 2552-ปั จจุบน
ั กรรมกำรบริหำรหลักสูตรปรัชญำดุษฎีบณั ฑิต (ปร.ด.) สำขำวิชำกำรบริหำรและพัฒนำกำรศึกษำ
คณะครุศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏสกลนคร
พ.ศ. 2555–ปั จจุบนั ประธำนหลักสูตรครุศำสตรมหำบัณฑิต (ค.ม.) สำขำวิชำกำรบริหำรและพัฒนำกำรศึกษำ
พ.ศ. 2556–ปั จจุบน ั ประธำนหลักสูตรประกำศนียบัตรบัณฑิต สำขำวิชำชีพครู (ป. บัณฑิตสำขำวิชำชีพครู)