Professional Documents
Culture Documents
โดย
นางสาวณัฐรัมภา นาชัยภูมิ
ตรวจสอบความรู้ก่อนเรียน
• .......1. การศึกษาการไหลเวียนของไซโทพลาซึมในเซลล์สาหร่ายหางกระรอกสามารถศึกษาได้ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้
แสงแบบสเตอริโอ
• .......2. การศึกษาการจัดเรียงตัวของใบสาหร่ายหางกระรอกสามารถศึกษาได้ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอ
• .......3. โครงสร้างพื้นฐานของเซลล์ได้แก่ ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส
• .......4. ถ้าเยื่อหุ้มเซลล์เสียสภาพแต่เซลล์ยังมีนิวเคลียสอยู่เซลล์จะยังทางานได้เป็นปกติ
• .......5. การแพร่เกิดจากการเคลื่อนที่ของโมเลกุลสารโดยใช้พลังงานจลน์ของโมเลกุล
• .......6. ออสโมซิสเป็นการแพร่ของน้าจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารต่าไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารสูง โดย
ไม่จาเป็นต้องผ่านเยื่อเลือกผ่าน
• ........7. การหายใจระดับเซลล์เกิดขึ้นได้ทั้งภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอและออกซิเจนไม่เพียงพอ
• ........8. วัตถุประสงค์หนึ่งของการแบ่งเซลล์คือการเติบโต
• ........9. เซลล์ลูกที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสทาให้เกิดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
• ........10. เซลล์ลูกที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสจะมีจานวนโครโมโซมเท่ากับเซลล์แม่
กล้องจุลทรรศน์ (microscope)
เครื่องมือขยายภาพเพื่อใช้ศึกษาเซลล์ หรือวัตถุที่มีขนาดเล็ก
เกินกว่าจะศึกษาได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งจาแนกได้ 2 แบบ
ตามแหล่งกาเนิดแสง ดังนี้
Antonie Philips van Leeuwenhoek : อันโตนี ฟัน เลเวินฮุก
Robert Hooke : โรเบิร์ต ฮุก
กล้องจุลทรรศน์
• ใช้เลนส์นูนเพียงอันเดียวในการขยายภาพ
• ได้ภาพเสมือน 2 มิติ หัวตั้ง เห็นได้ด้วยตา
เปล่า มีขนาดใหญ่กว่าวัตถุ
• กาลังขยายสูงสุดของกล้องประมาณ 400 เท่า
กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงเชิงประกอบ (Compound Light microscope)
ต้องย้อมวัตถุด้วยสารประกอบโลหะ แล้วใช้ลาอิเล็กตรอนแทนแสงในการสร้างภาพ
ของวัตถุ บริเวณที่เป็นเนื้อสารจะติดโลหะที่ย้อม ลาอิเล็กตรอนจึงผ่านไม่ได้ แล้ว
ใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าขยายสัญญาณของลาอิเล็กตรอน จากนั้นนามาแปลงเป็น
ภาพ ได้กาลังขยายสูงถึง 1 ล้านเท่า
กล้องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนชนิดส่องผ่าน
(transmission electron microscope : TEM)
• อาศัยการส่องลาอิเล็กตรอนทะลุผ่านวัตถุ
• ได้ภาพขาวดา 2 มิติ เห็นโครงสร้างภายในวัตถุ
• กาลังขยายสูงสุดของกล้อง ประมาณ 1 ล้านเท่า
• นิยมใช้ศึกษาโครงสร้างภายในเซลล์
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด
(scanning electron microscope : SEM)
• อาศัยการส่องลาอิเล็กตรอนสะท้อนผิววัตถุ
• ได้ภาพขาวดา 3 มิติ เห็นรูปทรงของวัตถุ
• กาลังขยายสูงสุดของกล้อง ประมาณ 5 แสนเท่า
• นิยมใช้ศึกษาโครงสร้างภายนอกเซลล์
ส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์
1. เลนส์ใกล้ตา (ocular lens/ eyepiece)
2. เลนส์ใกล้วัตถุ (objective lens)
3. แท่นวางสไลด์ (stage)
4. ไดอะแฟรม (diaphragm)
5. ปุ่มปรับภาพหยาบ (course adjustment knob)
6. ปุ่มปรับภาพละเอียด (fine adjustment knob)
7. เลนส์รวมแสง (condenser lens)
8. แป้นหมุนเลนส์ (nose piece)
9. ปุ่มเลื่อนสไลด์ (stage controls)
• กาลังขยายของภาพ = กาลังขยายเลนส์ใกล้ตา x กาลังขยายเลนส์ใกล้วัตถุ
เซลล์ (Cell)
โรเบิร์ต ฮุค : ผู้สร้างกล้องจุลทรรศน์เลนส์ประกอบ ศึกษาชิ้นส่วน
ไม้คอร์ก พบว่า ไม้คอร์กเกิดจากช่องว่างเล็กๆ มากมาย จึงตั้งชื่อ
ว่า เซลล์ (Cell)
โครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์
- Phospholipid bilayer : เป็นโมเลกุลที่มี 2 ส่วน คือส่วนที่
มีขั้ว และส่วนที่ไม่มีขั้ว เรียงซ้อนกัน 2 ชั้น หันด้านมีขั้วออก
จากกัน และด้านไม่มีขั้วชนกัน หัวด้านหนึ่งหันเข้าหาไซโทซอล
อีกด้านหันออกนอกเซลล์
- Cholesterol : แทรกอยู่ระหว่าง phospholipid bilayer ทา
ให้เยื่อหุ้มเซลล์มีความยืดหยุ่น
- Protein : ทาหน้าที่ลาเลียงสารขนาดใหญ่ผ่านเข้า-ออกเซลล์
- Oligosaccharide : ทาหน้าที่เป็นตัวสื่อสารระหว่างเซลล์
ไซโทพลาซึม (Cytoplasm)
เป็นส่วนที่อยู่ระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์และนิวเคลียส
แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
- ไซโทซอล (Cytosol) เป็นส่วนของ
ของเหลว
- ออร์แกเนลล์ (Organelle) เป็นส่วนที่ทา
หน้าที่คล้ายอวัยวะของเซลล์
ออร์แกเนลล์ในเยือ่ หุม้ เซลล์
รู้หมือไร่???
การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
Active
การนาสาร การนาสาร
ใช้พลังงาน เข้าสู่เซลล์ ออกจากเซลล์
transport
Endocytosis Exocytosis
Osmosis ของแข็ง
Phagocytosis
Passive ของเหลว
ไม่ใช้พลังงาน Diffusion Pinocytosis
transport
เลือกรับ
Facilitated Simple บางตัว Receptor-mediated
diffusion diffusion endocytosis
การลาเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง แบ่งเป็น 2 ประเภท
• การลาเลียงสารแบบใช้พลังงาน
(Active transport) : การลาเลียง
สารจากที่ความเข้มข้นต่าไปยังบริเวณ
ที่ความเข้มข้นสูงกว่า เซลล์จึงต้องใช้
พลังงาน ATP เข้าช่วย โดยใช้
โปรตีนตัวพา (carrier protein)
เป็นตัวบังคับทิศทางการเคลื่อนที่
การลาเลียงสารแบบไม่ใช้พลังงาน (Passive transport) : การลาเลียงสารเข้า-ออกเซลล์ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยไม่ต้องใช้
พลังงาน ดังนี้
• การแพร่ (diffusion) : การลาเลียงสารจากที่มีความเข้มข้นสูงไปที่มีความเข้มข้นต่ากว่า แบ่งเป็น 2 วิธี
- การแพร่ธรรมดา (simple diffusion) : เป็นการเคลื่อนที่ของ - ปัจจัยทีม่ ผี ลต่อการแพร่
สาร (ตัวถูกละลาย) ที่ไม่มีขั้วผ่าน phospholipid โดยตรง - อุณหภูมิ
จนกระทั่งเข้าสู่ภาวะสมดุล (dynamic equilibrium) ซึ่งความ - ความแตกต่างของความเข้มข้นที่แพร่
เข้มข้นของสารทั้ง 2 บริเวณ จะเท่ากัน - ขนาดและน้าหนักโมเลกุลสารที่แพร่
- พื้นที่หน้าตัด
เช่น การลาเลียงกรดไขมัน วิตามิน A D E และ K เข้าสู่เซลล์บุผิว
ลาไส้เล็ก
- การแพร่โดยใช้ตวั พา (facilitated diffusion) : เป็นการเคลื่อนที่ของสาร (ตัวถูกละลาย) ที่มีขั้ว
โดยอาศัยโปรตีนตัวพา (carrier protein) เป็นตัวนาสารผ่านเข้าออก โดยเมื่อโปรตีนตัวพาจับกับสารแล้ว
พาสารเข้าสู่ไซโทพลาซึมเรียบร้อยแล้ว จะปล่อยสารออกแล้วกลับไปทาหน้าที่ใหม่อีกครั้ง เช่น การลาเลียง
ฟรักโทสเข้าสูเ่ ซลล์บผุ ิวลาไส้เล็ก
• ออสโมซิส (osmosis) : เป็นชื่อเรียกการแพร่ของน้าผ่านเยื่อเลือกผ่าน ให้พิจารณาหลักว่า “น้าจะแพร่จากทีม่ นี ามากไป
้
ที่มีน้าน้อย” และ “สารความเข้มข้นต่าจะมีนาอยู
้ ม่ ากกว่าสารความเข้มข้นสูง” ออสโมซิสจึงเป็นการแพร่จากสารความ
เข้มข้นต่าไปสูง ซึ่งตรงข้ามกับทิศทางของการแพร่ปกติ มี 3 กรณี
Hypotonic solution : สารละลายมีความ Isotonic solution : สารละลายมีความ Hypertonic solution : สารละลายมีความ
เข้มข้นน้อยกว่าของเหลวในเซลล์ (มีน้า เข้มข้นเท่ากับของเหลวในเซลล์ ไม่เกิดการ เข้มข้นมากกว่าของเหลวในเซลล์ (มีน้าน้อย
มากกว่า) น้าจะออสโมซิสเข้าไปในเซลล์ ออสโมซิส เซลล์คงสภาพปกติ กว่า) น้าจึงออสโมซิสออกจากเซลล์ เรียกว่า
เรียกว่า plasmoptysis ทาให้เกิดแรงดันเต่ง plasmolysis เกิดเซลล์เหีย่ ว (shriveled cell)
(turgor pressure) เซลล์สัตว์จะเต่งจนแตกใน
ที่สุด แต่เซลล์พืชมีผนังเซลล์ จึงไม่แตก
Hypotonic Hypotonic
การลาเลียงสารโดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ : ใช้สาหรับนาเข้า-ออกสารที่มีขนาดใหญ่ จะต้องใช้
พลังงาน ATP ในการนาสารเข้า-ออกเซลล์เสมอ
- Phagocytosis : การนาของแข็งเข้าเซลล์โดยใช้เยื่อ
หุ้มเซลล์ทาเป็นเท้าเทียมโอบล้อมสารเข้าเซลล์ เรียกว่า cell
eating เช่น การกินอาหารของอะมีบา, การกินเชื้อโรคของเซลล์
เม็ดเลือดขาว
- Pinocytosis : การนาของเหลวเข้าสู่เซลล์โดยการดื่ม
เรียกว่า cell drinking เยื่อหุ้มเซลล์จะเว้าเป็นร่องให้ของเหลวเข้า
มาในเซลล์ แล้วจึงเชื่อมติดกันเป็น vesicle เช่น การดูดซึม
ไขมันที่ลาไส้เล็ก
- Receptor-mediated endocytosis : การนา
ไอออนเข้าสู่เซลล์โดยใช้โปรตีนที่มีความจาเพาะที่เยื่อหุ้มเซลล์
เป็นตัวนาพาสาร
• การลาเลียงสารออกจากเซลล์ (Exocytosis) : vesicle หรือ vacuole ซึ่งบรรจุสารที่
เซลล์ต้องหารส่งออก จะหลอมรวมเข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์ แล้วปล่อยสารนั้นออกไปนอกเซลล์ เช่น
การส่งอออกเอนไซม์ของกอลจิบอดี
การหายใจระดับเซลล์ (Cellular respiration)
เป็นกระบวนการแคแทบอลิซึม คือ การ
สลายสารอาหารที่มีโมเลกุลใหญ่ให้มี
โมเลกุลเล็กลง และปลดปล่อยพลังงาน
ออกมาใช้ จนผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ได้คือ
CO2 ซึ่งถูกขับออกมาทางลมหายใจ
สารตั้งต้นของการหายใจระดับเซลล์คือ
อาหารทุกชนิด เช่น คาร์โบไฮเดรต
โปรตีน ไขมัน แต่สารตั้งต้นที่นามาใช้
ศึกษาในบทนี้ คือ กลูโคส (C6H12O6)
เพราะมีขั้นตอนง่ายที่สุด
พลังงานที่ได้จากการหายใจระดับ
เซลล์เก็บไว้ในรูปของ ATP
การหายใจระดับเซลล์เป็นปฏิกิริยาที่
ตรงข้ามกับการสังเคราะห์ด้วยแสง
การออกซิไดส์สารอาหารจะมี e-
และ H+ หลุดออกมา โดยจะมี
ตัวรับสารเหล่านี้ 2 ตัว คือ NAD+
และ FAD แล้วนาเข้าสู่กระบวนการ
แปลงไปเป็นพลังงาน ATP อีก
รอบหนึ่ง
รูปแบบการหายใจระดับเซลล์
1. ไกลโคลิซสิ (Glycolysis) : สลายกลูโคส (C6) ให้กลายเป็นไพรูเวท
• การหายใจแบบใช้ออกซิเจน (aerobic respiration) : เพื่อนา O2 เข้า (C3) 2 โมเลกุล เกิดที่ไซโทพลาซึมของเซลล์
ไปรับ e- ตัวสุดท้ายของกระบวนการหายใจระดับเซลล์ และคาย CO2
ซึ่งเป็นของเสียจากกระวนการย่อยสลายกลูโคส การหายใจแบบนี้ให้ 2. สร้าง acetyl coenzyme A : เป็นการสลายไพรูเวท (C3) จากขั้น
พลังงาน 36 หรือ 38 ATP/กลูโคส กลไกทั้งหมดมี 4 ขั้นตอน คือ แรกให้กลายเป็น acetyl coenzyme A (C2) กระบวนการนี้เกิดขึ้นใน
matrix ของไมโทคอนเดรีย
เป็นกระบวนการนาพลังงานจากสาร
พลังงานสูง NADH และ FADH2 ที่
ได้จาก 3 ขั้นแรก ไปใช้สร้าง ATP
มีรายละเอียดดังนี้
• NADH และ FADH2 ใน matrix ของไมโทอนเดรีย
ถูกออกซิไดซ์ให้ H+ และ e- หลุด ดังสมการ
• NADH >> NAD+ + 2H+ + 2e-
• FADH2 >> FAD + 2H+ + 2e-
• e- และ H+ ที่หลุดออกมาจะถูกรีดิวซ์ด้วยตัวรับ e-
เป็นทอดๆ คือ coenzyme Q, cytochrome b,
cytochrome c, cytochrome a+a3 และ O2 เป็น
ตัวรับ e- ตัวสุดท้าย เกิดเป็นน้า ดังสมการ
• 2e- + 2H+ + 1/2O2 >> H2O
• แต่ละขั้นของการรีดิวซ์ e- มีการคายพลังงาน
ออกมา พลังงานนี้นามาใช้นการปั๊ม H+
ออกจากชั้น matrix ไปสู่ inner membrane
ของไมโทคอนเดรีย
เกิดกับเซลล์ร่างกายในสภาวะที่ขาดออกซิเจน
เช่น เซลล์กล้ามเนื้อลาย และพบการหายใจ
แบบไม่ใช้ออกซิเจนในสิ่งมีชีวิตบางชนิด
เช่น ยีสต์ การหายใจแบบนี้ให้พลังงาน
เพียง 2 ATP/กลูโคส โดยใช้สารอื่นที่
ไม่ใช่ O2 เป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย
• ไกลโคลิซสิ (glycolysis) : เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึม
และเหมือนการหายใจแบบใช้ออกซิเจนทุกประการ
• การหมัก (fermentation) : เกิดที่ไซโทพลาซึม
การที่ไม่มีออกซิเจน มารับอิเล็กตรอน ทาให้เซลล์
ต้องสร้างสารบางอย่างเพื่อมาใช้รับอิเล็กตรอน
• การหมักแอลกอฮอล์ (Alcoholic
fermentation) พบในยีสต์ พืช
แบคทีเรีย เริ่มจาก pyruvate
กลายเป็นสารที่มี C 2 อะตอม เรียกว่า
acetaldehyde (C2H4O) และ
ปลดปล่อย C ออกมาในรูป CO2
จากนั้นจะรับ 2H+ และ 2e- มาจาก
NADH กลายเป็น ethanol
(C2H5OH) โดยหากเซลล์ขับเอทานอล
ออกไม่ทันจะทาให้เซลล์ตายในทันที
การแบ่งเซลล์
(Cell division)
การแบ่งนิวเคลียส การแบ่งไซโทพลาซึม
(karyokinesis) (Cytokinesis)
• 1. โพรเฟส (Prophase) :
• ในนิวเคลียส
• โครมาทินขดตัวกลายเป็นแท่งโครโมโซม (1 โครโมโซม มี
2 โครมาทิด) ยึดติดกันด้วยโปรตีนไคนีโตคอร์
• ในไซโทพลาซึม
• เซนทริโอลจาลองตัวเองเป็น 2 อัน แต่ละอันเคลื่อนตัวไปคน
ละขั้วเซลล์ ไมโครทิวบูลต่อกันเป็นสายยาว เรียกว่า เส้น
ใยสปินเดิล (spindle fiber) แล้วไปจับกับเซนทริโอลที่แต่
ละขั้วเซลล์กับเซนโตรเมียร์ของแต่ละโครโมโซม
• Prophase II : โครโมโซมหดสั้นมาก
เยื่อหุ้มนิวเคลียสสลายตัว ทาให้เห็นแต่ละ
โครโมโซมมี 2 โครมาทิด
• Metaphase II : แต่ละโครโมโซมจะถูกดึง
ด้วย spindle fiber มาเรียงตัวกันอยู่กลาง
เซลล์ในแนวระนาบ (equatorial plate)
• Anaphase II : spindle fiber หดตัวลง ทาให้ sister
chromatid ของแต่ละโครโมโซมแยกออกจากกัน (disjunction) ไป
ยังขั้วแต่ละข้างของเซลล์ ทาให้โครโมโซมเพิ่มจาก n>>2n ระยะสั้นๆ
• Telophase II : spindle fiber สลายไป เกิด
นิวเคลียสใหม่ 4 นิวเคลียส มีการสร้างเยื่อหุ้มนิวเคลียส
และนิวคลีโอลัสใหม่อีกครั้ง
การแบ่งไซโทพลาซึม (Cytokinesis) : เซลล์สัตว์และเซลล์พืชจะมีการแบ่งไซโทพลาซึมที่แตกต่างกัน
• การแบ่งไซโทพลาซึมในเซลล์สตั ว์ : การก่อตัวของเยื่อหุ้ม การแบ่งไซโทพลาซึมในเซลล์พชื : ผนังเซลล์ก่อตัวจาก
เซลล์ เกิดจากไมโครฟิลาเมนต์ภายในไซโทพลาซึม รวมตัว Golgi body ส่งถุง vesicle มารวมกันให้ใหญ่ขึ้นจนเป็น
กันเป็น contractile ring และหดตัวดึงให้เยื่อหุ้มเซลล์คอด cell plate และใหญ่ขึ้นจนกลายเป็น cell wall ในที่สุด
เข้าหากัน เรียกว่า คลีเวจ เฟอร์โรว (Cleavage furrow)