Professional Documents
Culture Documents
การศึกษาฤทธิต
บทนำ
เนื้อหา
จากตารางพบว่า ประเทศที่อยู่แถบยุโรปมักพบเปอร์เซ็นของเชื้อบริเวณที่
เท้าจากมากไปน้อย คือ เชื้อ T.rubrum T.interdigitalae และ
E.floccosum ตามลำดับ และประเทศที่อยู่แถบเอเชียพบเปอร์เซ็นของเชื้อ
บริเวณที่เท้าจากมากไปน้อย คือ เชื้อ T.rubrum T.mentagrophytes และ
[2]
E.floccosum ตามลำดับ
โคโลนีโดยทั่วไปจะมีลักษณะแบน มีสข
ี าวถึงสีครีม พื้นผิวเป็ นผงถึง
เป็ นเม็ด บางชนิดตรงกลางจะมีลักษณะเป็ นกระจุก สีน้ำตาลเหลืองถึง
น้ำตาลแดง Macroconidia เป็ นเซลล์เดียว อยู่เป็ นกระจุกหนาแน่น ผนัง
[4]
เรียบและบาง รูปร่างคล้าย clavate
ภาพที่ 7 สมุนไพรข่า
ที่มา : พรรณไม้ไทย, 2566
ชื่อสมุนไพร ข่า
ชื่ออื่น กฎกกโรหิ
ุ นี (กลาง); ข่าตาแดง ข่าหยวก ข่าหลวง (เหนือ)
ข่าใหญ่
ชื่อวิทยาศาสตร์ Alpinia galanga (L.) Willd.
ชื่อพ้อง Alpinia alba (Retz.) Roscoe, Alpinia bifida Warb,
Alpinia carnea Griff, Alpinia
pyramidata Blume, Alpinia rheedei Wight, Alpinia viridiflora
Griff, Amomum galanga (L.) Lour ,
Amomum medium Lour, Galanga officinalis
Salisb, Hellenia alba (Retz.) Willd, Heritiera alba Retz, Languas
galanga (L.) Stuntz, Languas pyramidata
(Blume) Merr, Languas vulgare J.Koenig,
Maranta galanga L., Zingiber galanga (L.) Stokes, Zingiber
medium Stokes, Zingiber sylvestre
ชื่อวงศ์ Zingeberaceae
3.1 ถิ่นกำเนิด
สำหรับข่า เป็ นพืชพื้นเมืองของไทยอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ทุกภาคของ
ประเทศโดยมีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศเขตร้อนในเอเชีย สามารถพบได้ตาม
ประเทศ ศรีลงั กา อินโดนีเซีย ฟิ ลิปปิ นส์ อินเดีย และไทย ซึง่ คนไทยนิยมใช้
ข่ามาตัง้ แต่อดีตแล้ว โดยการนำมาประกอบอาหารและยังใช้เป็ นสมุนไพรอีก
ด้วย
3.2 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุกมีเหง้าใต้ดิน สีน้ำตาลอมแสด เลื้อยขนานกับผิวดิน มีอายุหลาย
ปี มีข้อปล้องสัน
้ ก้านใบแผ่เป็ นกาบหุ้มซ้อนกัน ดูคล้ายลำต้น แตกกอ สูง
1.5-2.5 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับ รอบลำต้น เหนือดิน ใบรูปใบหอก หรือรูป
ขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 4-11 เซนติเมตร ยาว 25-45 เซนติเมตร กาบ
ใบมีขน ปลายใบแหลม ฐานใบสอบแหลม ขอบใบเรียบเป็ นคลื่น เส้นกลาง
ใบใหญ่ทางด้านท้องใบเป็ นเส้นนูนชัด เส้นใบขนานกัน ก้านใบเป็ นกาบหุ้ม
ดอกช่อแยกแขนง ตัง้ ขึน
้ ขนาดใหญ่ ออกที่ปลายยอด ก้านดอกยาว 15-20
เซนติเมตร เมื่อยังอ่อนมีสีเขียวปนเหลือง ดอกแก่สีขาวปนม่วงแดง ดอกย่อย
จำนวนมากเรียงกันแน่น อยู่บนก้านช่อเดียวกัน ดอกย่อยคล้ายดอกกล้วยไม้
มีขนาดเล็ก มีใบประดับย่อยเป็ นแผ่นรูปไข่ กลีบดอกสีขาวแกมเขียว 3
กลีบ โคนเชื่อมติดกันตลอด ปลายแยกจากกันเป็ นปาก แต่ละกลีบเป็ นรูปไข่
กลับ ที่ปากท่อดอกจะมีอวัยวะยาวเรียวจากโคนถึงยอด สีม่วงคล้ายตะขอ 1
คู่ ใต้อวัยวะมีต่อมให้กลิ่นหอม เกสรเพศเมียมี 1 อัน รังไข่อยู่ใต้วงกลีบ เกสร
เพศผู้มี 3 อัน มี 2 อัน คล้ายกลีบดอก มีเรณู 1 อัน เกสรตัวผู้ที่เป็ นหมันแผ่
เป็ นแผ่นคล้ายกลีบดอกสีขาว มีลายเส้นสีม่วงแดง ผลแห้งแตก รูปกระสวย
หรือทรงกลม ขนาด 0.5-1 เซนติเมตร มีกลีบเลีย
้ งติดอยู่ เมื่อแก่มีสส
ี ้มแดง
มี 1-2 เมล็ด เมล็ดใช้เป็ นเครื่องเทศ ดอกใช้เป็ นผักจิม
้ ได้ ออกดอกช่วงเดือน
พฤษภาคมถึงมิถุนายน
3.3 ประโยชน์ทางยา
ทางบัญชียาหลักแห่งชาติ
การใช้ข่าในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของเหง้าข่า
ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดตามเส้น
[5]
เอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา
ทางตำรับยาไทย
เหง้าหรือลำต้นใต้ดิน รสเผ็ดร้อนขม แก้ฟกช้ำ แก้บวม แก้อาการท้อง
อืด ท้องเฟ้ อ จุกเสียด แน่น แก้กลาก เกลื้อน ขับลมในลำไส้ แก้ปวดมวนใน
ท้อง ขับลมในสตรีหลังคลอดบุตร ใช้ภายนอกรักษาอาการคันในโรคลมพิษ
ช่วยย่อยอาหาร แก้บิด แก้ลมพิษ แก้โรคปวดบวมตามข้อ หลอดลมอักเสบ
มีฤทธิก์ ดหัวใจ กระตุ้นการหายใจ กดการหายใจ กระตุ้นการหายใจในเด็ก
เป็ นยาธาตุ
ผล รสเผ็ดร้อนฉุน ช่วยย่อยอาหาร แก้ปวดท้อง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้ อ
แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้บิด แก้แน่นหน้าอก
ต้นแก่ นำไปเคี่ยวกับน้ำมันมะพร้าว ทาแก้ปวดเมื่อย เป็ นตะคริว
ใบมีรสเผ็ดร้อน แก้พยาธิ
์ ่าเชื้อแบคทีเรีย
สารสกัดจากข่า มีฤทธิฆ
น้ำมันหอมระเหย ์ ำให้ไข่แมลงฝ่ อ
น้ำมันหอมระเหยจากข่ามีฤทธิท
กำจัดเชื้อราบางชนิดได้ ใช้ผสมกับสะเดาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัด
แมลงข่า ลดการบีบตัวของลำไส้ ขับน้ำดี ขับลม ลดการอักเสบ ยับยัง้ แผลใน
กระเพาะอาหาร ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อราใช้รักษากลากเกลื้อน
ใบ รสเผ็ดร้อน แก้กลากเกลื้อน ฆ่าพยาธิ ต้มอาบแก้ปวดเมื่อยตาม
ข้อ
ต้น รสเผ็ดร้อนซ่า ต้นแก่โขลกผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้ตะคริว แก้
ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ตามข้อ
ดอก รสเผ็ดร้อน เป็ นยาแก้กลากเกลื้อน
หน่อ รสเผ็ดร้อนหวาน บำรุงไฟธาตุ แก้ลมแน่นหน้าอก
เหง้าและราก รสร้อนปร่า ขับลม แก้ปวดท้อง ท้องเสีย จุกเสียด
แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย
[6]
ราก รสร้อนปร่า ขับเสมหะ ขับโลหิต แก้เหน็บชา ขับหลอดลม
3.3 รูปแบบและขนาดวิธีใช้
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ทางคลินิก
ยาแก้ลมอัมพฤกษ์ : รับประทานครัง้ ละ 1 กรัม ชงน้ำร้อนดื่มประมาณ
120-200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครัง้ ก่อนอาหาร
ทางตำรับยาไทย
- รักษาท้องขึน
้ ท้องอืด ท้องเฟ้ อ ขับลม แก้ท้องเดิน (ที่เรียกโรคป่ วง)
แก้บิด อาเจียน ปวดท้อง
ใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1-1 ½ นิว้ ฟุต (หรือประมาณ 2 องคุลี) ตำให้
ละเอียด เติมน้ำปูนใส ใช้น้ำยาดื่ม ครัง้ ละ ½ ถ้วยแก้ว วันละ 3 เวลา หลัง
อาหาร
- เหง้าแก่สดหรือแห้ง ใช้รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้ อ แน่นจุกเสียด ให้
ใช้ประมาณเท่าหัวแม่มือ ใช้สดประมาณ 5 กรัม และแห้งประมาณ 2 กรัม
นำมาทุบให้แตกแล้วต้มเอาน้ำดื่ม
- ในการรักษาโรคผิวหนัง
- เหง้าสด ใช้รักษาเกลื้อน นำเหง้าสดมาฝนผสมกับเหล้าโรงหรือน้ำส้ม
สายชู หรือตำแล้วนำมาแช่แอลกอฮอล์ ใช้ทาที่เป็ น
- ใช้เหง้าข่าปอกเปลือก จุม
่ เหล้าแล้วเอามาทาบริเวณทีเ่ ป็ นเกลื้อน ทา
แรงๆ ทำเช่นนี้ 4-5 วัน ก็จะหาย
- ใช้เหง้าข่าแก่ๆ ล้างให้สะอาดฝานเป็ นแว่นบางๆ หรือทุบพอแตก นำ
ไปแช่เหล้าขาวทิง้ ไว้สัก 1 คืน ทำความสะอาดขัดถูบริเวณที่เป็ นเกลื้อนจน
พอแดงและแสบ แล้วเอาข่าที่แช่ไว้มาทาเฉพาะบริเวณที่เป็ นเกลื้อน จะรู้สึก
แสบๆ เย็นๆ ทาเช้าและเย็นหลังอาบน้ำทุกวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ เกลื้อน
จะจางลง และหายไปในที่สุด - ใช้เหง้าข่าล้างให้สะอาด ฝานเป็ นแผ่
นบางๆ นำไปแช่เหล้า 35 ดีกรี ประมาณ 5 นาที แล้วทาที่มีผ่ น
ื คัน อาการ
จะหายไป และถ้าแช่ค้างคืนจะใช้รักษาเกลื้อนได้ดี
- ใช้เหง้าข่าสดตัดท่อนละ 1 นิว้ ทุบให้แตกพอช้ำอย่าถึงกับละเอียด ใส่
ถ้วยแช่เหล้าโรงประมาณ 1/4 ถ้วยชา ใช้สำลีชุบทาวันละครัง้
- ใช้เหง้าข่าแก่ๆ นำมาตำพอแหลก แล้วผสมเหล้าหรือแอลกอฮอล์ แช่ไว้ 1
คืน ใช้ทาแก้เกลือ
้ น หรือกลาก
- รักษาลมพิษ ใช้เหง้าข่าแก่ๆ ที่สด 1 แง่ง ตำให้ละเอียด เติมเหล้าโรง
[5]
พอให้แฉะๆ ใช้ทงั ้ เนื้อและน้ำ ทาบริเวณที่เป็ นลมพิษบ่อยๆ จนกว่าจะดีขน
ึ้
[7]
3.4 องค์ประกอบทางเคมี
สารประกอบทางเคมีที่พบในข่าได้มากที่สุด คือ 1,8-cineol, -
fenchyl acetate, ß-farnesene, ß-∝
bisabolene, ∝-bergamotene, ß-pinene, and 1'-acetoxychavicol
acetate. 1, 8-cineole และพบสารประกอบทางเคมีอ่ น
ื ๆ คือ galango
flavonoid, 1'S-1'-acetoxychavicol acetate ( ACE ) ,
phenylpropanoidsand phydroxybenzaldehyde (1'S-1'-
acetoxychavicol acetate และ 1'S-1'-acetoxyeuginol acetate),
acetoxycineoles (trans และ cis)-2-และ 3-acetoxy- 1, 1, 8 - cineoles,
1'-acetoxychavicol acetate (galangal acetate), ß -Sitosterol
diglucoside (AG-7) และ ß -sitsteryl Arabinoside (AG-8), hydroxy-1,8-
cineole
glucopyranosides, (1R, 2R, 4S)-และ (1S, 2S, 4R)-trans-2- hydroxy-1,8-
cineole ß -D-glucopyranoside, และ (1R, 3S, 4S)-trans-3-hydroxy-1, 8-
[8]
cineole ß-D-glucopyranoside
ภาพที่ 8 รูปแบบโครงสร้างองค์ประกอบทางเคมีของเหง้าข่า
ที่มา : Ramesh Kumar Verma, Neeraj Sharma, 2562
4. การสกัดสารด้วยตัวทำละลาย
์ ้านเชื้อของวงศ์ Zingiberaceae ในเชื้อ
จากการศึกษาฤทธิต
Staphylococcus aureus โดยใช้สารสกัดเอทานอล 100 เป็ นตัวทำละลาย
ในสมุนไพรข่า ขิง ขมิน
้ และกระชัย โดยสมุนไพรในแต่ละตัวต้องเข้าอบ
อุณหภูมิที่ 50 º C ใน 24 hr. และบดเป็ นผงปริมาณ 10 g ผสมกับเอทา
นอล 100% : 100 มล. ทิง้ ไว้ในอุณภูมิห้อง 1 คืน และสกัดแห้งด้วยเครื่อง
rotary evaporator เก็บไว้อุณหภูมิที่ 4 º C ทดสอบกับเชื้อ
Staphylococcus aureus เพาะเชื้อโดย agar disc diffusion พบว่า สาร
สกัดข่ามีฤทธิย์ ับยัง้ เชื้อ S .aureus ได้ดีที่สุด โดยค่า MIC คือ 0.325
mg/ml และค่า MBC คือ 1.3 mg/ml โดยใช้วิธี broth dilution
[9]
method
การศึกษาสารประกอบทางเคมีของ 1’-acetoxychavicol acetate จาก
สารสกัดข่าที่มีสารต้านแบคทีเรีย โดยใช้ตัวทำละลาย 6 ชนิด คือ n-
hexane, chloroform, ethyl acetate, n-butayl alcohol, ethanol
และ น้ำ เมื่อทดสอบกับเชื้อ Staphylococcus aureus พบว่า ตัวทำละลาย
์ ้านเชื้อแบคทีเรียได้ดีที่สุด คือ ethanol โดยมีค่าความเข้มข้นใน
ที่มีฤทธิต
การยับยัง้ ขัน
้ ต่ำ (MIC) และค่าความเข้มข้นขัน
้ ต่ำในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
(MBC) 0.313 และ 0.625 mg/ml. ตามลำดับ การศึกษานีพ
้ บว่า
สารประกอบทางเคมีของ 1’-acetoxychavicol acetate มีอิทธิพลอย่าง
นัยสำคัญต่อสัณฐานวิทยาของแบคทีเรีย ทำให้ความสมบูรณ์ของเยื่อหุ้ม
เซลล์ของแบคทีเรียของแบคทีเรียเสียหาย กลไกการเชื้อแบคทีเรียของ 1’-
acetoxychavicol acetate อาจจะใช้ประโยชน์เป็ นสารกันเสียตาม
[10]
ธรรมชาติในอุตสาหกรรมได้
์ ้านเชื้อ
5. การทดสอบฤทธิต
์ ้านเชื้อราของสารสกัด ข่า
จากการศึกษาของวิจัย การทำงานของฤทธิต
และ หอมแดง โดยใช้เชื้อรา คือ M. canis, M. gypseum และ T.
mentagophyte และยีสต์ฉวยโอกาส คือ Candida albicans โดยใช้
เทคนิค broth dilution. แสดงค่า IC50SEM และ EmaxSEM ของสารสกัด
เมื่อเปรียบเทียบกับ Ketoconazole เเละ griseofulvin พบว่า ค่า IC50
ของสารสกัดข่า มีการยับยัง้ เชื้อ M. canis ได้ใน 26.05 ± 7.42 mg/ml
มากกว่าเชื้อราชนิดอื่น ในขณะที่สารสกัดหอมแดงสามารถยับยัง้ เชื้อที่
ทดสอบไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จึงสรุปได้ว่า สารสกัดข่าและ
หอมแดง ยังเป็ นทางเลือกที่สามารถนำมายับยัง้ เชื้อราได้ อย่างไรก็ตาม ผล
[11]
ข้างเคียงของสารสกัดยังคงต้องมีการพิจารณาต่อไป
การศึกษาความคงตัวและฤทธิเ์ บื้องต้นของสารสกัดจากตำรับสมุนไพรไทย
ในการต้านเชื้อจุลชีพที่ก่อโรคผิวหนัง โดยการเตรียมตำรับยาสมุนไพรจะใช้
วิธีการเตรียมโดยการตัง้ ตำรับยาตามศาสตร์แพทย์แผนไทย ซึง่ ประกอบด้วย
ตัวยาตรง ตัวยาช่วย ตัวยาประกอบ ตัวยาชูกลิ่น ชูรส และแต่งสี ประกอบ
ด้วย สมุนไพร 9 ชนิด คือ เหงือกปลาหมอ พญายอ เปลือกมังคุด น้ำมันขันธ์
พลู เบญกานี บัวบก สาบเสือ และกำมะถัน สกัดสารโดยใช้เครื่องไมโคเวฟ
(Microwave-assisted extraction; MAE) และใช้ตัวทำละลาย ได้แก่
์ ำรุงผิวรวมถึงรักษาโรคผิวหนังอีกด้วย จากนัน
น้ำมันมะพร้าว มีฤทธิบ ้ นำสาร
สกัดจากตำรับสมุนไพรที่ได้ไปศึกษาความคงตัวในสภาวะต่างๆ และศึกษา
ฤทธิก์ ารต้านเชื้อจุลชีพที่ก่อโรคบนผิวหนังด้วยวิธี Agar dilution ที่ระดับ
ความเข้มข้น 0.0025-5 mg/ml. ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดจากตำรับ
สมุนไพรมีความคงตัวดีเมื่อเก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิด ป้ องกันแสงที่อุณหภูมิ
ห้อง และสารสกัดนีม ์ ้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus
้ ีฤทธิต
ATCC 6538 และ Propionibacterium acnes DMST 14916 รวมถึงเชื้อ
รา Trichophyton mentagrophytes DMST 19735, Candida albicans
ATCC 10231 มีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ต้านเชื้อ ( Minimal Inhibitory
[16]
Concentration; MIC) เท่ากับ 5, 0.5, 0.5 และ 5 mg/ml. ตามลำดับ
ดังตาราง
สรุปเนื้อหา
โรคกลากที่เท้าเป็ นโรคที่พบได้บ่อยสุดในผู้ชายที่ต้องใส่รองเท้าอับชื้นหรือ
ทำงานที่เท้าโดนน้ำบ่อยๆ โดยเชื้อราเหล่านีจ
้ ะพบในที่ต่างๆ เช่น พื้นห้องน้ำ
สระว่ายน้ำ พื้นที่ห้องพักนักศึกษา ที่วางรองเท้าและพื้นบ้าน รองเท้า และ
ถุงเท้า เป็ นแหล่งสะสมของเชื้อ Dermatophyte (เจนจิรา ชัชโลทรกุล,
2545) จากการศึกษาพบว่า ปั จจัยจัยการเติบโตของเชื้อจะแตกต่างกันไปใน
แต่ละภูมิภาคสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ลักษณะพฤติกรรม เช่น ประเทศที่
อยู่แถบยุโรปมักพบเปอร์เซ็นของเชื้อบริเวณที่เท้าจากมากไปน้อย คือ เชื้อ
T.rubrum T.interdigitalae และ E.floccosum ตามลำดับ และประเทศที่
อยู่แถบเอเชียพบเปอร์เซ็นของเชื้อบริเวณที่เท้าจากมากไปน้อย คือ เชื้อ
T.rubrum T.mentagrophytes และ E.floccosum (Danuta Nowicka
และ Urszula Nawrot, 2564) โดยวิธีการทดสอบเชื้อ คือ เพาะเลีย
้ งเชื้อรา
ด้วยอาหาร SDA บ่มที่อุณหภูมิ 35 ± 2 º C 24 hr. (บงกชวรรณ สุตพฟา
หะ และบรรยง คันธวะ, 2554) โดยในทางการแพทย์แผนไทยมีการใช้
สมุนไพรในการรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนังมายาวนาน โดยเฉพาะเชื้อรา เช่น
สมุนไพรในวงศ์ Zingiberaceae ประกอบไปด้วย ข่า ขมิน
้ ไพล และขิง
เป็ นต้น โดยเฉพาะข่า สามารถหาได้ง่ายตามครัวเรือนในประเทศไทย มี
ประโยชน์และสรรพคุณมากมาย เช่น เหง้า สามารถแก้อาการท้องอืดท้อง
เฟ้ อ แก้กลากเกลื้อนได้ดี (อ.โชติอนันต์ และคณะ, 2551). อีกทัง้ มีการศึกษา
ด้านการวิจัย พบว่า ข่ามีองค์ประกอบทางเคมีที่สามารถฆ่าเชื้อรา
Microsporum gypseum, Trichophyton rubrum และ Trichophyton
mentagrophyte คือสารประกอบ 1'-acetoxychavicol acetate และ 1'-
acetoxyeugenol acetate (ประเสริฐ สุขเจริญ และวรินทร ร่มโพธิช์ ี,
2563) และการสกัดสารข่าที่สามารถได้สารประกอบทางเคมีได้มากที่สุด
คือตัวทำละลาย ได้แก่ คือ เอทานอล และเมทานอล (บงกชวรรณ สุตพฟา
หะ และบรรยง คันธวะ, 2554) ทัง้ นีส
้ มุนไพรข่าอาจจะต่อยอดเป็ น
ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในการรักษาของผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนังที่เกิด
จากเชื้อราและแบคทีเรียต่อไปในอนาคต
เอกสารอ้างอิง