Professional Documents
Culture Documents
652 2551305
652 2551305
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
เอกสารประกอบการเรียน
รายวิชาหลักพื้นฐานการบริหารราชการแผ่นดิน
"
่านั้น
าเท
ศึกษ
กา ร
เพื่อ
หลักสูตรนิติศาสตร์
หลักสูตรรัฐศาสตร์
ิต
หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
โรงเรียนกฎหมายและการเมือง
โรงเรียนกฎหมายและการเมือง
2561
"
่านั้น
าเท
ศึกษ
กา ร
ิต เพื่อ
เอกสารประกอบการเรียน
นดุส
หลักพืน้ ฐานการบริหารราชการแผ่นดิน
ัยสว
ยาล
ผู้เรียบเรียง : หลักสูตรนิติศาสตร์
หลักสูตรรัฐศาสตร์
าวิท
หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์
"มห
ออกแบบปก : ศูนย์บริการสื่อและสิ่งพิมพ์กราฟฟิคไซท์
พิมพ์ที่ : ศูนย์บริการสื่อและสิ่งพิมพ์กราฟฟิคไซท์
โทร : 0-2244-5081
คานา
"
เอกสารนี้เป็นการเรียบเรียงและรวบรวมความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆเพื่อใช้เป็นสื่อในการ
่านั้น
เรีย นให้เ กิ ด ประสิทธิ ภาพสู งสุด ในจุดมุ่งหมายของเอกสารรายวิชานั้น ได้มุ่งเน้นในการให้
การศึกษา ความรู้ ความเข้าใจในเชิงภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติไปประกอบกันไป โดยเฉพาะ
าเท
การให้ ค วามรู้ ด้ า น นิ ย าม ความหมาย หลั ก การและแนวคิ ด ที่ ส าคั ญ ของนั ก วิ ช าการด้ า น
ศึกษ
กฎหมาย การเมืองและการบริหารงานภาครัฐ ที่จะช่วยส่งเสริมความชัดเจนในทางวิชาการ
ได้มากยิ่งขึน้
กา ร
เอกสารรายวิชาความรู้เบื้องต้นว่าด้วยกฎหมายและการเมือง เป็นเอกสารที่ถูก
เพื่อ
รวบรวมจากอาจารย์ผู้สอนทั้ง 3 หลักสูตร ได้แก่หลักสูตรรัฐศาสตร์ หลักสูตรนิติศาสตร์และ
หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ จึงทาให้เนื้อหาของเอกสารนี้มีความหลากหลายและมีความ
ิต
เหมาะสมแก่ผู้เรียนทั้ง 3 หลักสูตรที่จะสามารถนาความรู้เชิงบรูณาการไปใช้ให้เกิดประโยชน์
นดุส
สูงสุดต่อสังคม ต่อไป
ัยสว
คณะผู้จัดทาเอกสารประกอบการเรียน
ยาล
15 มกราคม 2561
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
สารบัญ
หน้า
คานา (1)
สารบัญ (3)
"
่านั้น
สารบัญภาพ (9)
สารบัญตาราง (13)
าเท
บทที่ 1 แนวคิดและที่มาของการบริหารราชการ 1
ศึกษ
แนวคิดและที่มาของระบบการบริหารราชการ 1
ลักษณะสาคัญของการบริหารราชการ
กา ร 2
การบริหารราชการประจากับการเมือง 4
รูปแบบการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 5
เพื่อ
สรุป 14
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 1 15
ิต
เอกสารอ้างอิง 16
นดุส
บทที่ 2 รูปแบบการบริหารราชการของประเทศไทยในอดีต 17
ัยสว
รูปแบบการบริหารราชการไทยในอดีต 17
การบริหารราชการไทยในสมัยกรุงสุโขทัย (พ.ศ.1762 – 1893) 18
ยาล
สรุป 29
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2 30
"มห
เอกสารอ้างอิง 31
บทที่ 3 หลักการในการจัดระเบียบบริหารราชการไทย 33
ที่มาของระบบบริหารราชการ 33
ที่มาของอานาจในการบริหารราชการ 33
การแบ่งส่วนราชการ 38
(4)
หน้า
การควบคุมการบริหารราชการ 45
สรุป 49
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 50
เอกสารอ้างอิง 52
"
่านั้น
บทที่ 4 หลักการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันในรูปแบบ 53
การบริหารราชการแผ่นดินในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค
าเท
รูปแบบการจัดระเบียบการบริหารราชการของประเทศไทยในปัจจุบัน 53
การบริหารราชการส่วนกลาง 53
ศึกษ
การบริหาราชการส่วนภูมิภาค 79
สรุป 89
กา ร
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4 90
เพื่อ
เอกสารอ้างอิง 91
บทที่ 5 หลักการบริหารราชการแผ่นดิน ในรูปแบบการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น 93
ิต
หลักการกระจายอานาจปกครอง 94
นดุส
การกระจายอานาจกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 96
หลักการสาคัญ แนวคิด ทฤษฎีวา่ ด้วยการปกครองท้องถิ่น 97
ัยสว
ความหมายและสาระสาคัญของการปกครองท้องถิ่น 98
การปกครองท้องถิ่นกับการพัฒนาท้องถิ่น 103
ยาล
ภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 105
าวิท
รูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 106
การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นไทยในปัจจุบัน 109
"มห
ภาระกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 110
สรุป 123
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 5 123
เอกสารอ้างอิง 124
(5)
หน้า
"
่านั้น
หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
สรุป 150
าเท
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6 151
เอกสารอ้างอิง 152
ศึกษ
บทที่ 7 รัฐธรรมนูญกับการบริหารราชการแผ่นดิน 153
ความหมายและความสาคัญ 153
กา ร
การบริหาราชการแผ่นดินไทยในอดีต 153
เพื่อ
ผูม้ ีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน 155
การบริหารแผ่นดินตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 156
ิต
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 157
นดุส
พันธกิจของการบริหารราชการแผ่นดิน 159
แนวโน้มของกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการ 160
ัยสว
สรุป 165
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 7 166
ยาล
เอกสารอ้างอิง 167
าวิท
หลักการจาแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกากับของฝ่ายบริหาร 171
ประเภทหน่วยงานของรัฐในกากับของฝ่ายบริหาร 172
สรุป 178
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 8 178
เอกสารอ้างอิง 179
(6)
หน้า
"
่านั้น
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 9 193
เอกสารอ้างอิง 194
าเท
บทที่ 10 การตรวจสอบการใช้อานาจของรัฐ 195
การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐโดยศาล 195
ศึกษ
การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐโดยองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 200
ผูต้ รวจการแผ่นดิน 200
กา ร
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 206
เพื่อ
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 211
สรุป 225
ิต
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 10 226
นดุส
เอกสารอ้างอิง 227
บทที่ 11 ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ภาครัฐ 229
ัยสว
ข้าราชการ 230
พนักงานของรัฐในส่วนราชการ 233
ยาล
บุคลากรของรัฐวิสาหกิจ 235
าวิท
บุคลากรขององค์กรมหาชน 236
สรุปพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 237
"มห
สรุป 248
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 11 248
เอกสารอ้างอิง 249
บทที่ 12 กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน 251
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติวธิ ีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 251
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและ 260
วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
(7)
หน้า
"
่านั้น
เอกสารอ้างอิง 273
บทที่ 13 กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน (ต่อ) 275
าเท
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 275
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 283
ศึกษ
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติขอ้ มูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 285
สาระสาคัญของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และ 290
กา ร
วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546
เพื่อ
สรุป 291
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 13 292
ิต
เอกสารอ้างอิง 293
นดุส
ความสาคัญของการบริหารการพัฒนา 297
เหตุผลของการพัฒนาระบบราชการ 298
ยาล
การปฏิรูประบบราชการโดยการพัฒนาระบบราชการ 299
าวิท
สรุป 322
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 14 323
เอกสารอ้างอิง 324
(8)
หน้า
"
่านั้น
สรุป 340
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 15 341
าเท
เอกสารอ้างอิง 342
บรรณานุกรม 343
ศึกษ
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
"
่านั้น
11.1 บุคลากรภาครัฐของประเทศไทย 229
14.1 แสดงกรอบแนวคิด McKinsey’s 7 S 302
าเท
14.2 แสดงเครื่องมือทางการบริหารในการพัฒนาระบบราชการ 306
14.3 แสดงตัวอย่างแนวทางการวิเคราะห์บทบาทภารกิจของหน่วยงาน 315
ศึกษ
ของรัฐ กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
"
่านั้น
าเท
ศึกษ
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
บทที่ 1
แนวคิดและที่มาของการบริหารราชการ
เอกอนงค์ ศรีสำอำงค์
"
่านั้น
กำรศึกษำเกี่ยวกับแนวคิดและที่มำของระบบกำรบริหำรรำชกำรเป็นกำรกล่ำวถึง
าเท
แนวคิดและที่มำของระบบกำรบริหำรรำชกำรภำยใต้กำรปกครองในระบอบประชำธิปไตย อันมี
พระมหำกษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ อธิบำยถึงควำมหมำยของกำรบริหำรรำชกำร
ศึกษ
ลักษณะที่สำคัญของกำรบริหำรรำชกำร ควำมเกี่ยวพันระหว่ำงกำรบริหำรรำชกำรประจำกับ
กา ร
กำรเมือง แนวทำงกำรจัดระเบียบบริหำรรำชกำรแผ่นดินรูปแบบต่ำงๆ และข้อดีข้อเสียของกำร
จัดระเบียบบริหำรรำชกำร
เพื่อ
แนวคิดและที่มาของระบบการบริหารราชการ
ิต
ความหมายของการบริหารราชการ
ตำมที่ สมำน รังสิโยกฤษฎ์ และสุธี สุทธิสมบูรณ์ (น. 1-6 , 2522) กล่ำวไว้ว่ำ กำร
บริหำรรำชกำรอำจจะมีค วำมหมำยตรงกั บ คำในภำษำอังกฤษว่ำ Public Administration ซึ่ง
สำมำรถอธิบำยรำยละเอียด ได้ดังนี้
กำรบริหำร (Administration) หมำยถึง ควำมพยำยำมในกำรที่จะดำเนิน งำน
ของหน่วยงำนใดหน่วยงำนหนึ่ง ให้บรรลุตำมเป้ำหมำยที่วำงไว้
"
่านั้น
รำชกำร (Public) หมำยถึง ข้อรำชกำรหรือกิจกำรต่ำง ๆ ที่รัฐพึงปฏิบัติ ทั้งฝ่ำย
ข้ำรำชกำร พลเรือน, ฝ่ำยทหำร, ฝ่ำยนิติบัญญัติและฝ่ำยตุลำกำร
าเท
ข้ำรำชกำร (Officaldom) หมำยถึง พนักงำนของรัฐทั้งในส่วนข้ำรำชกำรประจำ,
ข้ำรำชกำรกำรเมือง, ลูกจ้ำงประจำ, ลูกจ้ำงชั่วครำว และอัตรำจ้ำงรูปแบบต่ำง ๆ
ศึกษ
กำรบริหำรรำชกำร (Public Administration) หมำยถึง ควำมพยำยำมในกำร
ด ำเนิ น งำน ของส่ ว นรำชกำรต่ ำ ง ๆ หรื อ ด ำเนิ น กิ จ กำรต่ ำ ง ๆ ที่ รั ฐ พึ ง ปฏิ บั ติ ใ ห้ บ รรลุ ตำม
กา ร
เป้ำหมำยที่วำงไว้
เพื่อ
ระบบรำชกำร (Bureaucracy) หมำยถึง รูปแบบกำรดำเนินงำนและกำรบริหำร
ในแบบของระบบรำชกำร
ิต
ลักษณะสาคัญของการบริหารราชการ
ยาล
ประชำชนเพิ่มมำกขึ้นกำรบริหำรรำชกำรก็ต้องขยำยขอบเขตให้ กว้ำงขวำงยิ่งขึ้นจนในบำงครั้ง
ควำมใหญ่โตกว้ำงขวำงของกิจกำรของ รัฐนีเ้ องมีผลทำให้กำรบริหำรรำชกำรมีลักษณะอืดอำด
และล่ำช้ำในสำยตำของประชำชนโดยทั่วไป
2. อานาจหน้าที่ อำนำจหน้ำที่ในกำรบริหำรรำชกำรนั้น มีอยู่อย่ำงกว้ำงขวำง
ทั้งที่ก ำหนดไว้เ ป็นลำยลั กษณ์อัก ษร เช่น กฎหมำย กฎ ระเบีย บ ข้อบังคับ ฯลฯ และที่มิไ ด้
กำหนดเป็นลำยลักษณ์อักษร เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี กำรใช้ดุลพินิจในกิจกำรบำงอย่ำง
"
่านั้น
เป็นต้น
กำรบริหำรรำชกำรส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องกำรใช้อำนำจหน้ำที่ตำมที่กำหนดไว้
าเท
ในกฎหมำย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่วำงไว้ และเป็นไปตำมลำดับชั้นตำมสำยกำรบังคับบัญชำ
(Hierarchy) ซึ่งมีลั ก ษณะเป็น รูป ปิรำมิด คือ อำนำจสูงสุดอยู่ที่ส่วนบนของปิรำมิดอันได้ แก่
ศึกษ
คณะรัฐมนตรีและนำยกรัฐมนตรี ถัดลงมำก็ได้แก่รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้อำนวยกำร
กองหรือหัวหน้ำกอง และหัวหน้ำฝ่ำยหรือหัวหน้ำแผนก ลดหลั่นกันลงมำ
กา ร
3. ผู้ปฏิบัติงาน กำรบริหำรรำชกำระเป็นอำชีพอย่ำงหนึ่ง (Career service)
เพื่อ
และเป็น ที่ยอมรับว่ำเป็นอำชีพที่มั่นคงกว่ำอำชีพอื่น ๆ โดยได้แบ่งงำนออกตำมลักษณะเฉพำะ
ของแต่ ล ะงำน (Specialization) เช่ น กำรสื่ อ สำรคมนำคม กำรเกษตร กำรสำธำรณสุ ข
กำรประชำสงเครำะห์ เป็นต้น จึงจำเป็นต้องคัดเลือกผูม้ ีควำมรู้ ควำมสำมำรถในงำนแต่ละด้ำน
ิต
นดุส
เข้ำมำปฏิบัติงำน
4. วัตถุประสงค์ กำรบริหำรรำชกำรมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริกำร (Service
ัยสว
เป็นต้น
5. ความต่ อ เนื่ อ ง กำรบริ ห ำรรำชกำรมี ลัก ษณะมั่น คงและต่ อเนื่องกั นไป
ไม่ว่ำกลุ่มใดหรือพรรคกำรเมืองใดจะเข้ำมำเป็นรัฐบำลบริหำรประเทศ กำรบริหำรรำชกำรจะ
ทำ ๆ หยุด ๆ ตำมอำเภอใจมิได้ เพรำะกำรบริหำรรำชกำรมีผลกระทบอย่ำงสำคัญต่อควำม
เป็นอยู่และควำมผำสุกของประชำชน ช่น กำรไฟฟ้ำ กำรประปำ กำรขนส่ง เป็นต้น ควำมมั่นคง
ของกำรบริหำรรำชกำรนี้มีไปถึงตัว ผู้ปฏิบัติงำน (ข้ำรำชกำร) ด้วย คือ ผู้ปฏิบัติงำนจะมีควำม
มั่นคงและก้ำวหน้ำในอำชีพรำชกำรตำมควำมรูค้ วำมสำมำรถ ของแต่ละคน
4
สำหรับกำรบริหำรงำนของธุรกิจเอกชน อำจหยุดดำเนินกำรเสียเมื่อใดก็ได้
เช่น บริษัทห้ำงร้ำนเอกชนที่ได้ดำเนินกำรไปชั่วระยะเวลำหนึ่งแล้ว อำจหยุดดำเนินกำรเพื่อ
ตรวจสอบกิจกำร หรือเพื่อสำเหตุอื่นก็ได้ โดยจะมีผลกระทบเฉพำะผู้ที่เกี่ยวข้อ งซึ่งมีจำนวนไม่
มำก เช่น พนักงำน ลูกค้ำ เป็นต้น
6. การควบคุม กำรบริหำรรำชกำรเป็นกำรบริหำรงำนขององค์กำรขนำดใหญ่
ลักษณะของกิจกำรต่ำง ๆ ที่ปฏิบัติจึงสลับซับซ้อนและจำต้องแบ่งสรรอำนำจในกำรปฏิบัติงำน
"
่านั้น
ออกไปให้ชัดแจ้ง มีกำรควบคุมตำมลำดับชั้นของสำยกำรบังคับบัญ ชำ นอกจำกนั้นยังจะถูก
ควบคุมจำกพรรคกำรเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มประชำมติ เช่น หนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชน
าเท
อื่น ๆ เป็นต้น
ศึกษ
การบริหารราชการประจากับการเมือง กา ร
ในกำรบริหำรประเทศนั้น อำจแยกออกเป็นขั้นตอนสำคัญ ๆ 2 ขั้นตอน คือ กำร
กำหนดนโยบำย (Policy determination) ซึ่งเป็นหน้ำที่ของฝ่ำยกำรเมืองหรือข้ำรำชกำรกำรเมือง
เพื่อ
และกำรนำนโยบำยไปปฏิบัติจัดท ำ (Implementation) ซึ่งเป็นหน้ำที่ของฝ่ำยบริหำรรำชกำร
ประจำหรือข้ำรำชกำรประจำ
ิต
แต่เนื่องจำกกำรบริหำรรำชกำรประจำเป็นงำนที่จำเป็นจะต้องอำศัยผู้มีควำมรู้
นดุส
ประจำ หรืออำจมีกำรแต่งตั้งผู้ที่ไม่มีควำมรู้ควำมสำมำรถเข้ำปฏิบัติงำนอันจะเป็นผลให้ก ำร
ปฏิบัติงำนของข้ำรำชกำรประจำโดยส่วนรวมขำดประสิทธิภำพไป
"มห
"
และเมื่อพิจำรณำถึงสภำพควำมเป็นจริงแล้ว ก็จะเห็นได้ว่ำ ไม่สำมำรถจะแยก
่านั้น
กำรบริหำรรำชกำรประจำออกจำกกำรเมืองได้ เพรำะกำรบริหำรรำชกำรประจำเป็นกำร
าเท
ปฏิบัติตำมนโยบำยให้บรรลุตำมเป้ำหมำยที่รัฐบำลได้วำงไว้ ซึ่งนโยบำยของรัฐบำลนั้ นก็ มี
ลักษณะเป็นเรื่องของกำรเมืองทั้งสิ้น แม้แต่นโยบำยกำรบริหำรรำชกำรประจำเองก็มีลักษณะ
ศึกษ
เป็นกำรเมือง อุดมกำรณ์ทำงกำรเมื องจะกำหนดแบบของกำรบริหำรประเทศ และประกำร
ส ำคั ญ ที่ สุ ด ก็ คื อ นโยบำยกำรบริ ห ำรรำชกำรประจ ำนั่ น เองก็ จ ะต้ อ งได้ รั บ ควำมเห็ น ชอบ
กา ร
ตรวจสอบ และควบคุมโดยฝ่ำยกำรเมืองหรือข้ำรำชกำรกำรเมืองในระดับสูงอยู่เสมอ ถ้ำหำก
ฝ่ำยกำรเมืองหรือข้ ำรำชกำรกำรเมืองไม่เห็นชอบด้วยก็อำจยกเลิก แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง
เพื่อ
นโยบำยกำรบริหำรรำชกำรประจำนั้นๆเสียอย่ำงไรก็ได้
สรุป ได้ว่ำ กำรบริ หำรรำชกำรประจ ำกั บ กำรเมื องนั้ น ในทำงทฤษฎีนั้นจะเป็ น
ิต
นดุส
รูปแบบการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
ยาล
กำรจัดรูปแบบกำรปกครองของประเทศ.ที่มีรูปแบบเป็นรัฐเดี่ยว สำมำรถจำแนก
าวิท
1. การจัดองค์กรของรัฐแบบรวมอานาจ (Centralization)
กำรปกครองแบบรวมอ ำนำจ เป็ น วิ ธี ก ำรที่ รั ฐ ผู ก ขำดอ ำนำจปกครองไว้ที่
ส่วนกลำงเป็นสำคัญ กล่ำวคือ ในกำรปกครองแบบกำรรวมศูนย์อำนำจ กำรปกครอง อำนำจ
ในกำรตัด สินทั้งหลำยจะอยู่ที่รัฐ บำลในส่วนกลำงทั้งสิ้น ไม่มีก ำรมอบอำนำจกำรตัดสินใจ
บำงระดั บ บำงเรื่ อ งไปให้ แ ก่ เ จ้ ำ หน้ ำ ที่ ข องรั ฐ บำลที่ ส่ ง ออกไปประจ ำอยู่ ใ นส่ ว นภู มิ ภ ำค
อนึ่ง รูปแบบเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ในรัฐสมัยใหม่ที่มีกิจกรรมต้องทำมำกมำยและหลำกหลำย
"
่านั้น
ซึ่งรั ฐ บำลในส่ว นกลำงไม่ส ำมำรถตัด สิ นใจในทุก เรื่ องได้ ดังนั้นจึงต้องมีก ำรปกครองแบบ
กระจำยกำรรวมศูนย์อำนำจกำรปกครองหรือกำรแบ่งอำนำจกำรปกครองขึ้น โดยในกำรนี้
าเท
รัฐบำลในส่วนกลำง จะจัดให้มีกำรมอบอำนำจตัดสินใจในบำงเรื่องบำงระดับให้แก่ตัวแทนหรือ
เจ้ำหน้ำที่ของรัฐบำลที่ถูกส่งไปประจำในภูมิภำค โดยบรรดำตัวแทนหรือเจ้ำหน้ำที่ดังกล่ำวจะ
ศึกษ
อยู่ภำยใต้อำนำจบังคับบัญชำของรัฐบำลส่วนกลำง
2. การจัดองค์กรของรัฐโดยใช้หลักการกระจายอานาจ (Decentralization)
กา ร
เป็ น กำรปกครองที่รั ฐ มอบอำนำจปกครองบำงส่ ว นให้อ งค์ก รรู ป แบบอื่นๆ
เพื่อ
นอกจำกองค์กรของส่วนกลำง เพื่อจัดทำบริกำรสำธำรณะบำงอย่ำงโดยมีควำมอิสระตำม
สมควร ไม่ต้องอยู่ใต้บังคับบัญชำของส่วนกลำง เพียงแต่อยู่ในควำมควบคุมกำกับเท่ำนั้น โดย
กำรปกครองแบบกำรกระจำยอำนำจบำงพื้นที่ เกิดขึ้นจำกแนวควำมคิดทำงกำรเมืองแบบเสรี
ิต
นดุส
ปกครองหำกเจ้ำหน้ำที่ของท้องถิ่นยังคงได้รับกำรแต่งตัง้ จำกส่วนกลำงอยู่แล้วก็จะเป็นกำรรวม
อำนำจ มิใช่กำรกระจำยอำนำจ ดังนั้นกำรกระจำยอำนำจในควำมหมำยนี้จึงต้ องมีอ งค์ ก ร
ยาล
แต่อยู่ภำยใต้อำนำจควบคุมกำกับของส่วนกลำง สำหรับกำรกระจำยอำนำจทำงกำรบริก ำร
"มห
เกิดขึ้นในรัฐสมัยใหม่ซึ่งมีกิจกำรของรัฐที่จะต้องจัดทำเพิ่มมำกขึ้นและสลับซับซ้อนขึ้นกว่ำแต่
ก่อน ทำให้รัฐต้องเข้ำไปจัดทำกิจกรรมดังกล่ำวในรูปขององค์กรที่ได้รับกำรกระจำยอำนำจทำง
บริกำรไม่ว่ำจะในทำงเศรษฐกิจ สังคม กีฬำ วัฒนธรรม ฯลฯ โดยให้กิจกำรนั้น ๆ เป็นนิติบุคคล
แยกต่ำงหำกออกจำกรัฐ มีทรัพย์สินของตนเอง มีผู้บริหำรของตนเอง โดยที่ประเด็นในเรื่องกำร
เลือกตั้งผู้บริหำรไม่ได้เป็นเงื่อนไขในกำรจัดตั้งองค์กรที่ได้รับกำรกระจำยอำนำจทำงกำรบริกำร
จึงแตกต่ำงจำกองค์กรกระจำยอำนำจทำงเขตแดนที่ผบู้ ริหำรจะมำจำกกำรเลือกตั้ งของรำษฎร
7
"
่านั้น
1) อ านาจการบั งคับ บั ญ ชา คือ อำนำจที่หัวหน้ำหน่วยงำนใช้ป กครอง
ผูใ้ ต้บังคับบัญชำ เช่น กำรที่รัฐมนตรีใช้อำนำจบังคับบัญชำเหนือเจ้ำหน้ำที่ทั้งหลำยในกระทรวง
าเท
อ ำนำจบั ง คั บ บั ญ ชำเป็น อ ำนำจที่ผู้ บั ง คับ บัญ ชำสำมำรถสั่ ง กำรใด ๆ ก็ ไ ด้ ต ำมที่ ต นเห็ นว่ำ
เหมำะสม สำมำรถกลับ แก้ ยกเลิก เพิกถอนคำสั่งหรือกำรกระทำของผูใ้ ต้บังคับบัญชำได้เสมอ
ศึกษ
เว้นแต่จะมีกฎหมำยบัญญัติไว้โดยเฉพำะเป็นประกำรอื่น อย่ำงไรก็ตำม กำรใช้อำนำจบังคับ
บัญชำนีต้ ้องชอบด้วยกฎหมำย ไม่ใช่วำ่ จะใช้ไปในทำงที่เหมำะสมแต่ขัดต่อกฎหมำยได้
กา ร
2) อ านาจควบคุ ม ก ากั บ นั้ น ไม่ ใ ช่ เ รื่ อ งของควำมสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ ำ ง
เพื่อ
ผูบ้ ังคับบัญชำกับผูอ้ ยู่ใต้บังคับบัญชำ แต่เป็นควำมสัมพันธ์ระหว่ำงองค์กรควบคุมกำกับ จึงเป็น
อำนำจที่มีเ งื่อนไข คือ จะใช้ไ ด้ก็ ต่อเมื่อ มีก ฎหมำยให้อ ำนำจและต้ องเป็นไปตำมรูป แบบที่
กฎหมำยกำหนดในกำรควบคุมกำกับนั้น องค์กรควบคุมกำกับจะไม่มีอำนำจสั่งกำรให้องค์กร
ิต
นดุส
องค์ภำยใต้กำรควบคุมฯปฏิบัติหน้ำที่ให้ถูกต้องตำมกฎหมำยเท่ำนั้น ในบำงกรณีกฎหมำยให้
อำนำจองค์กรควบคุมฯ ที่จะยกเลิกเพิกถอนหรือเข้ำสั่งกำรแทนองค์กรภำยใต้กำรควบคุมฯ
ยาล
สำหรับควำมสัมพันธ์ระหว่ำงรำชกำรบริหำรส่วนกลำงและรำชกำรบริหำรส่วนภูมิภ ำคของ
"มห
"
่านั้น
(2) มีกำรมอบอำนำจในกำรสั่งกำรไว้กับรำชกำรส่วนกลำง
(3) มีกำรลำดับชั้นตำมสำยกำรบังคับบัญชำ คือ เจ้ำหน้ำที่ซึ่งมีตำแหน่งสูง
าเท
มีอำนำจในกำรบังคับบัญชำและสั่งกำรเจ้ำหน้ำที่ซึ่งมีตำแหน่งรองลงมำ โดยมีวินัยเป็นเครื่อง
บังคับให้ต้องปฏิบัติ ตำมคำสั่ง และผู้มีอำนำจในกำรบังคับบัญชำต้องรับผิดชอบในกิจกำรที่
ศึกษ
ผูใ้ ต้บังคับบัญชำปฏิบัติไปตำมหน้ำที่และตำมคำสั่งของตน
อำนำจของผูบ้ ังคับบัญชำ อำจจำแนกได้เป็น 4 ประกำร ดังนี้
กา ร
- อำนำจที่จะออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชำปฏิบัติกำรอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง
- อำนำจที่จะควบคุมกิจกำรที่ผู้ใต้บังคับบัญชำปฏิบัติ
เพื่อ
- อำนำจที่จะลงโทษทำงวินัยแก่ผู้ใต้บังคับบัญชำ
- อำนำจที่จะให้ควำมดีควำมชอบแก่ผู้ใต้บังคับบัญชำ
ิต
นดุส
เจ้ำหน้ำที่ชั้นผู้น้อยขึ้นไปจนถึงรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชำชั้นสูงสุดของ
กระทรวงนั้น ๆ
ยาล
2) ผลของการลาดับชั้นตามสายการบังคับบัญชา กำรมีกำรลำดับชั้นตำม
สำยกำรบังคั บ บั ญ ชำมีค วำมส ำคั ญ มำกในกำรรวมอ ำนำจในกำรบริ ห ำรเข้ ำ ไว้ใ นรำชกำร
าวิท
ส่วนกลำงและทำให้เกิดผลหลำยประกำรดังต่อไปนี้
"มห
(1) กำรแต่งตั้งและถอดถอนเจ้ำหน้ำที่เป็นอำนำจของรำชกำรส่วนกลำง
ทั้งสิน้ ไม่ว่ำจะเป็นในส่วนกลำงหรือในส่วนภูมภิ ำค
(2) เจ้ำหน้ำที่ต่ำง ๆ ได้รับกำรแต่งตั้ง มิใช่ได้รับกำรเลือกตั้งจำกประชำชน
เพรำะหลักกำรรวมอำนำจใช้วิธีแต่งตั้งเป็นสำตัญ ไม่ใช้วิธีเลือกตั้งเหมือนกับหลักกำรกระจำย
อำนำจ
(3) กำรใช้อำนำจในกำรบังคับบัญชำ อำจใช้เพื่ออนุมัติ สั่งระงับ หรือแก้ไข
ตลอดจนเพิกถอนกำรกระทำต่ำง ๆ ของเจ้ำหน้ำที่ตำมที่เห็นเป็นกำรสมควร
9
"
่านั้น
ของประเทศ ทั้งนี้เพรำะได้รวมกำลังและอำนำจในกำรบังคับบัญชำไว้ในมือทั้งหมด จึงอำจจะ
บันดำลให้คำสั่งเกิดผลได้ทั่วไป และมีทำงที่จะบังคับโดยใช้กำลังเมื่อมีผู้ไม่ยอมปฏิบัติตำม
าเท
(2) กำรรวมอำนำจในกำรบริหำรเป็นวิธีก ำรที่จะอำนวยประโยชน์ให้แก่
ประชำชนได้เ สมอหน้ำกั นทั่ว ประเทศ ทั้งนี้เ พรำะกำรบริหำรรำชกำรส่ว นกลำงย่อมจั ด ท ำ
ศึกษ
กิจกำรโดยมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมทั้งประเทศ มิได้มุ่งต่อประโยชน์ของท้องถิ่นหนึ่งท้องถิ่นใด
โดยเฉพำะ กา ร
(3) กำรรวมอำนำจในกำรบริหำรเป็นหลักกำรบริหำรที่ประหยั ดกว่ำกำร
กระจำยอ ำนำจในกำรบริ ห ำร เพรำะมี เ จ้ ำ หน้ ำ ที่ ซึ่ ง สกั ด ต่ อ ส่ ว นกลำงทั่ ว ประเทศ และมี
เพื่อ
(4) กำรรวมอำนำจในกำรบริหำรเป็นหลักกำรบริหำรที่มีประโยชน์ในอันที่
จะรักษำไว้ซึ่งเอกภำพในกำรบริหำร เพื่อให้ประสำนและเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันทั่วประเทศ
ยาล
อันหนึ่งอันเดียวกันในกำรบริหำรเป็นอย่ำงดี
"มห
นอกจำกนั้น รำชกำรส่วนกลำงย่อมประกอบด้วยเจ้ำหน้ำที่ซึ่งมีคุณวุฒิและ
สมรรถภำพดีก ว่ ำเจ้ ำหน้ ำที่ ของท้ องถิ่ น ผู้ไ ด้รับ เลื อกตั้ง เป็น อัน มำก ทั้งมีก ำรประสำนงำน
ระหว่ำงองค์กำรต่ำง ๆ ในส่วนกลำงและส่วนภูมิภำคโดยใกล้ชิด ทำให้บริกำรต่ำง ๆ ดำเนินไป
สม่ำเสมอและเป็นไปในแนวเดียวกัน
10
"
ไม่ทันต่อเหตุกำรณ์ เนื่องจำกเจ้ำหน้ำที่จำกรำชกำรส่วนกลำงต้องรอคำวินิจฉัยสั่งกำรจำก
่านั้น
รำชกำรส่วนกลำงเพียงแห่งเดียว
าเท
(3) คำสั่งที่มำจำกรำชกำรส่วนกลำง อำจมีข้อยุ่งยำกในทำงปฏิบัติในแต่ละ
ท้องถิ่น เนื่องจำกมีสภำวะแวดล้อมทำงภูมิศำสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี และศำสนำต่ำงกัน
ศึกษ
(4) กำรรวมอำนำจในกำรบริหำรเป็นอุปสรรคต่อกำรปกครองประเทศตำม
ระบอบประชำธิปไตย เพรำะประชำชนไม่มีโอกำสได้เรียนรู้วิธีกำรปกครองตนเองตำมหลักกำร
กา ร
กระจำยอำนำจ
5. หลักการแบ่งอานาจ (Deconcentration)
เพื่อ
เกิดควำมล่ำช้ำในกำรบริกำรแก่ประชำชน เนื่องจำกเจ้ำหน้ำที่จะต้องขึ้นต่อกันตำมลำดับชั้นสำย
กำรบังคับบัญชำ จึงได้แก้ไข "ข้อเสีย" เหล่ำนี้ด้วยกำร "แบ่งอำนำจ" ให้แก่รำชกำรส่วนภูมิภำคตำม
ัยสว
กำรวินิจฉัยสั่งกำรบำงส่วนให้แก่เจ้ำหน้ำที่ของรำชกำรส่วนกลำงที่ส่งออกไปประจำตำมเขตต่ำง ๆ
ของประเทศ สำมำรถวินิจฉัยสั่งกำรภำยในเขตนั้น ๆ ได้ แต่ทั้งนี้ รำชกำรส่วนกลำงจะเป็นผู้วำง
าวิท
ระเบียบแบบแผนเพื่อให้กำรปฏิบัติงำนในเขตต่ำง ๆ เป็นไปในแนวเดียวกัน
"มห
หลักกำรแบ่งอำนำจในกำรบริหำรให้แก่รำชกำรส่วนภูมิภำคนั้น เป็นหลักกำรที่
รำชกำรส่วนกลำงมอบอำนำจในกำรวินิจฉัยสั่งกำรในกำรดำเนินงำนบำงส่วนให้แก่เจ้ำหน้ำที่ที่
เป็นผู้แทนของรำชกำรส่ว นกลำงซึ่งส่งไปประจำปฏิบัติงำนตำมเขตต่ำง ๆ ของประเทศแต่
เจ้ำหน้ำที่เหล่ำนั้นยังคงเป็นผู้ที่ รำชกำรส่วนกลำงแต่งตั้งทั้งสิ้น มิใช่เป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจำก
ประชำชน กล่ำวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นหลักกำรที่เพิ่มอำนำจให้แก่ผแู้ ทนของรำชกำรส่วนกลำงใน
ส่วนภูมิภำค เพรำะฉะนั้น หลักกำรแบ่งอำนำจในกำรบริหำรให้แก่รำชกำรส่วนภูมิภำคนี้ จึงถือ
11
"
เป็นกำรตัดอำนำจของรำชกำรส่วนกลำงให้แก่รำชกำรส่วนท้องถิ่นเพื่อปฏิบัติงำนโดยตนเอง
่านั้น
(2) เจ้ำหน้ำที่ในส่วนภูมิ ภำคเป็นผู้แทนของรำชกำรส่วนกลำง ซึ่งรำชกำร
าเท
ส่ ว นกลำงเป็ น ผู้ แ ต่ ง ตั้ ง และถอดถอนทั้ ง สิ้ น แต่ เ จ้ ำ หน้ ำ ที่ ข องรำชกำรส่ ว นท้ อ งถิ่ น เช่ น
เจ้ำหน้ำที่ขององค์กำรบริหำรส่วนจังหวัด หรือเทศบำล มิได้เป็นผู้แทนของรำชกำรส่วนกลำง
ศึกษ
แต่เป็นเจ้ำหน้ำที่ของท้องถิ่นเอง ซึ่งประชำชนเป็นผู้เลือกตั้งขึ้นมำทั้งหมดหรือบำงส่วน
หลักกำรแบ่งอำนำจในกำรบริหำรให้แก่รำชกำรส่วนภูมิภำค มีประโยชน์หลำย
กา ร
ประกำร คือ
(1) กำรใช้หลักนี้เป็นก้ำวแรกที่จะนำไปสู่กำรกระจำยอำนำจในกำรบริหำร
เพื่อ
ถ้ ำ จะเปลี่ ย นรู ป กำรจั ด ระเบีย บบริ ห ำรรำชกำรส่ ว นภู มิ ภ ำคมำเป็น กำรจั ดระเบีย บบริ หำร
รำชกำร ส่ว นท้องถิ่ นตำมหลั กกำรกระจำยอำนำจในกำรบริหำร ก็ ย่อมท ำได้ง่ำยเข้ำ โดย
ัยสว
"
่านั้น
หลักกำรกระจำยอำนำจในกำรบริหำร (Decentralization) เป็นวิธีกำรที่รัฐโอน
อำนำจในกำรบริหำรกิจกำรบำงส่วนให้แก่องค์กำรบริหำรอื่น ๆ ที่อยู่ในเขตต่ำง ๆ ไปดำเนินกำร
าเท
โดยตนเอง ไม่ต้องอยู่ในบังคับบัญชำโดยตรงของรำชกำรส่วนกลำง เพียงแค่คอยกำกับเท่ำนั้น
กำรจัด ระเบีย บบริ หำรตำมหลั ก กำรกำรกระจำยอำนำจนี้ เป็นกำรลดอำนำจของรำชกำร
ศึกษ
ส่วนกลำงสำหรับกิจกำรบำงอย่ำงที่โอนให้รำชกำรส่วนท้องถิ่นไปจัดทำเอง มิใช่แต่เพียงแบ่ง
อำนำจเหมือนกับหลักกำรแบ่งอำนำจในกำรบริหำรให้แก่รำชกำรส่วนภูมิภำค
กา ร
1) ลั ก ษณะส าคัญ ของการกระจายอ านาจ หลัก กำรกระจำยอำนำจใน
เพื่อ
กำรบริหำรให้แก่รำชกำรส่วนท้องถิ่นมีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
(1) มีองค์การบริหารซึ่งเป็นนิติบุคคล แยกออกจำกรำชกำรส่วนกลำง
เช่ น องค์ ก ำรบริ ห ำรส่ ว นจั ง หวั ด เทศบำล เป็ น ต้ น องค์ ก ำรบริ ห ำรเหล่ ำ นี้ มี ง บประมำณ
ิต
นดุส
มีท รัพ ย์สิน มีเ จ้ำหน้ำที่ และมีอำนำจที่จะจัดท ำกิจกำรที่ไ ด้ รับ มอบหมำยได้โ ดยอิสระตำม
สมควร ฉะนั้น กำรที่ยกฐำนะของท้องถิ่นขึ้นเป็นเทศบำลหรือจัดตั้งองค์กำรบริหำรอื่น ๆ ขึ้น
ัยสว
ประกอบด้วยผู้บริหำรและสภำท้องถิ่นซึ่งได้รับเลือกจำกประชำชนในท้องถิ่นนั้นทั้งหมดหรือ
บำงส่วนมิได้เป็นเจ้ำหน้ำที่ที่รำชกำรส่อนกลำงแต่งตั้งให้ไปประจำแต่ละท้องถิ่น ถ้ำไม่มีกำร
เลือกตั้งก็ไม่นับว่ำ มีกำรกระจำยอำนำจในกำรบริหำรให้ แก่รำชกำรท้องถิ่นอย่ำงแท้จริง อย่ำง
น้อยที่สุดก็ควรมีกำรเลือกตั้งสมำชิกของสภำท้องถิ่น
(3) องค์กำรบริหำรตำมหลักกำรกระจำยอำนำจ มีอานาจอิสระ ที่เรียกว่ำ
Autonomy ในกำรปฏิบัติกำรตำมหน้ำที่ ซึ่งได้รับมอบหมำยโดยไม่ต้อ งขอคำสั่งจำกรำชกำร
ส่วนกลำงก่อน แต่สำมำรถวินิจฉัยสั่งกำรและดำเนินกำรได้ด้วยงบประมำณ และเจ้ำหน้ำที่ของ
13
"
่านั้น
กิจกำรอันเป้นประโยชน์ส่วนได้เสียของท้องถิ่นให้ท้องถิ่นจัดทำเอง ซึ่งจะสำมำรถสนองควำม
ต้องกำรของประชำชนในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้รวดเร็วและตรงกับควำมต้องกำรของประชำชนใน
าเท
ท้องถิ่นมำกยิ่งขึน้
ส่วนกำรกระจำยอำนำจตำมกิจกำร ก็ย่อมทำให้กำรดำเนินกิจกำรนั้น ๆ
ศึกษ
เป็นไปโดยสะดวกและเหมำะสม ไม่ต้องอยู่ในระเบียบรำชกำรมำกเกินไป
(2) เป็นกำรแบ่งเบำภำระของรำชกำรส่วนกลำงในกิจกำรที่โอนให้ท้องถิ่นไป
กา ร
จัดทำเอง ทำให้รำชกำรส่วนกลำงมีเวลำที่จะทำกิจกำรใหญ่ ๆ อันเกี่ยวกับประโยชน์ส่วนรวม
ของประเทศได้มำกยิ่งขึน้
เพื่อ
กำรปกครองประเทศตำมระบอบประชำธิปไตย
ส่วน “ข้อเสีย” ของกำรกระจำยอำนำจในกำรบริหำรนั้น มีดังต่อไปนี้
ัยสว
และไม่มีกำรประสำนงำนกัน จึงจำเป็นต้องกำกับดูแลเพื่อรักษำควำมเป็นอันหนึ่งอันเดียวใน
กำรปกครองประเทศไว้
าวิท
(2) ทำให้ประชำชนในท้องถิ่นเห็นประโยชน์ของท้องถิ่นของตนเองสำคัญ
"มห
"
่านั้น
การจัดระเบียบบริหารราชการของไทยนั้น ใช้ทั้ง 3 หลัก คือ
1) หลักกำรรวมอำนำจใช้กับรำชกำรส่วนกลำง โดยจัดเป็นกระทรวง ทบวง กรม
าเท
2) หลั ก กำรแบ่ งอำนำจใช้กั บ รำชกำรส่วนภูมิภำค โดยแบ่งและมอบอำนำจใน
กำรบริหำร
ศึกษ
บำงส่ ว นให้ แ ก่ จั ง หวั ด และอ ำเภอเป็ น ผู้ ท ำกำรแทนรำชกำรส่ ว นกลำง โดยมี
เจ้ำหน้ำที่ของรำชกำรส่วนกลำง ซึ่งเป็นผู้แทนของกระทรวง ทบวง กรม ไปประจำในจังหวัด
กา ร
และอำเภอต่ำงๆ
เพื่อ
3) หลั ก กำรกระจำยอ ำนำจใช้ กั บ รำชกำรส่ ว นท้อ งถิ่ น โดยโอนอำนำจในกำร
บริหำรกิจกำรบำงอย่ำงให้แก่ประชำชนในท้องถิ่นไปจัดทำเอง โดยประชำชนเลือกตั้งตัวแทนซึ่ง
ิต
สรุป
ัยสว
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 1
1. อธิบำยควำมหมำยและลักษณะของกำรบริหำรรำชกำร
2. แสดงควำมคิ ด เห็ น ถึ ง กำรท ำงำนร่ ว มกั น ระหว่ ำ งข้ ำ รำชกำรประจ ำกั บ
ข้ำรำชกำรกำรเมือง
3. กำรกำหนดนโยบำยหมำยควำมว่ำอย่ำงไร
4. รัฐมีกำรดำเนินงำนเช่นไรในกำรกระจำยอำนำจสู่ท้องถิ่น
"
่านั้น
5. สรุปแนวทำงกำรจัดระเบียบบริหำรรำชกำรแผ่นดินประเภทต่ำง ๆ
าเท
ศึกษ
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
เอกสารอ้างอิง
สมำน รังสิโยกฤษฎ์ และ สุธี สุทธิสมบูรณ์. (2541). การบริหารราชการ. กรุงเทพมหำนคร.
สำนักงำน ก.พ.
สมำน รั ง สิ โ ยกฤษฎ์ . (2543). การบริ ห ารราชการไทย อดี ต ปั จ จุ บั น และอนาคต.
กรุงเทพมหำนคร. สำนักพิมพ์บรรณกิจ.
"
Arnell B. Bautista. (1993). Rules and Regulations Implementing the Local
่านั้น
Government Code of 1991 with Related Laws and Concept of
Decentralization. National Book Store.
าเท
Max Weber. (1978). Bureaucracy in Jay M. Shafritz and Albert C. Hyde, eds., Classics
ศึกษ
of Public Administration. Oak Park Illinois. Moore Publishing.
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
บทที่ 2
รูปแบบการบริหารราชการของประเทศไทยในอดีต
เอกอนงค์ ศรีสำอำงค์
"
่านั้น
กำรบริห ำรรำชกำรไทยในอดีต นั้น จะเป็ นกำรศึก ษำถึงประวัติศำสตร์ของกำร
าเท
บริห ำรรำชกำรของประเทศไทยตั้ งแต่ส มั ย รำชอำณำจั ก รน่ ำนเจ้ ำซึ่ งมี ก ำรจั ดระเบี ย บกำร
ศึกษ
บริหำรรำชกำรค่อนมีรูปแบบคล้ำยกับกำรบริหำรรำชกำรในปัจจุบันของไทย สมัยกรุงสุโขทัยที่
มีกำรปกครองแบบพ่อปกครองลูก สมัยกรุงศรีอยุธยำที่มีกำรปกครองแบบเทวสมมติหรือเทว
กา ร
สิทธิ์ สมัยกรุงธนบุรี และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และตรำบจนถึงรัชสมัยของพระบำทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวรัชกำล ที่ 5
เพื่อ
รูปแบบการบริหารราชการไทยในอดีต
ิต
นดุส
รับ ผิ ด ชอบในกำรบริห ำรงำนลดหลั่ นกั น ไป แต่ ล ะเมื อ งจะแบ่ งออกเป็ นแขวง มี น ำยอำเภอ
"มห
"
่านั้น
ประตูวัง เมื่อประชำชนเดือดร้อนก็จะมำสั่นกระดิ่งเพื่อขอควำมเป็นธรรมได้ เป็นต้น สำหรับกำร
บริหำรงำนนั้น ก็จะทำกำรบริหำรลดหลั่นกันไปตำมลำดับ ทำนองกันกับสมัยรำชอำณำจักร
าเท
น่ำนเจ้ำ วิธีกำรบริหำรแบบบิดำกับบุตรนี้ ยังใช้เป็นหลัก ในกำรบริหำรรำชกำรมำจนถึงกำร
เปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2475 เนื่องจำกวิธีกำรบริหำรแบบนี้ มีควำมสำคัญ และมีอิทธิพลต่อ
ศึกษ
จิตใจของคนไทยเป็นอย่ำงยิ่ง
กำรบริหำรแบบบิดำกับบุตรเป็นกำรแสดงถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงพระมหำกษัตริย์
กา ร
ซึ่งเป็นผู้บริหำรสูงสุดของประเทศที่เปรียบเสมือนบิดำกับประชำชน ซึ่งอยู่ภำยใต้กำรปกครองที่
เพื่อ
เปรียบเสมื อนบุ ตร (Father and Children Relationships) นั้ นเป็ นที่ ยอมรับกั นว่ำ พระมหำกษั ตริ ย์
ในฐำนะบิดำ ทรงมีพระรำชอำนำจเด็ดขำด สำมำรถที่จะสั่งสอนหรือลงโทษประชำชนฉันญำติ
ิต
ได้ ดั งนั้ น ถ้ ำพระมหำกษั ต ริย์ ตั้ งอยู่ ในทศพิ ธ รำชธรรมประชำชนก็ จ ะอยู่ เย็ น เป็ น สุ ข ซึ่ งจะ
นดุส
แตกต่ำงกับหำรบริหำรแบบนำยกับบ่ำวหรือเจ้ำกับข้ำ ประชำชนจะไม่มีหลักประกันเกี่ยวกับ
สวัสดิภำพใด ๆ ทั้งสิน้
ัยสว
มีหั วหน้ำหรือผู้บ ริหำรประเทศเรีย กว่ำ “พ่ อขุน ” ดังปรำกฏในภำพที่ 2.1 แสดงรูป แบบกำร
บริหำรและผูบ้ ริหำรระดับต่ำง ๆ ในสมัยกรุงสุโขทัย
19
ประเทศ พ่อขุน
เมือง พ่อเมือง
"
่านั้น
บ้ าน
พ่อบ้าน
าเท
เรื อน
ศึกษ
พ่อเรื อน
ครอบครัว กา ร พ่อครัว
ิต เพื่อ
1. ลักษณะการแบ่งเขตการปกครองและบริหารราชของสมัยสุโขทัย
1) ราชธานี คือ เขตที่ตั้ งนครหลวงอันได้แก่กรุงสุโขทัย มีตัวเมืองชั้นในรำย
ยาล
"
่านั้น
ไทยจะทรงแต่งตั้งเจ้ำ ชำวพื้นเมืองนั้นเป็นเจ้ำเมืองมีอำนำจสิทธิ์ขำดเสมือนเจ้ำแผ่นดิ นในเมือง
ของตน เพียงแต่ต้องถวำยต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องรำชบรรณกำรต่อพระมหำกษัตริย์ไทย
าเท
ตำมกำหนด และเวลำเกิดศึกสงครำมก็เกณฑ์กองทัพมำช่วยเท่ำนั้น
ศึกษ
การบริหารราชการไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.1893 - 2310) กา ร
กรุงศรีอยุธยำเคยเป็ นประเทศรำชของกรุงสุโขทัยมำก่อน เมื่อสิ้นรัชสมัยของพ่อ
ขุนรำมคำแหงมหำรำชแล้ว อำณำจักรสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนำจลง ปรำกฏว่ำ เมืองมอญ ซึ่งเป็น
เพื่อ
เมืองขึ้นได้ก่อกำรกบฏ กรุงสุโขทัยไม่สำมำรถปรำบปรำมได้ พระเจ้ำอู่ทองทรงเห็นว่ำ กรุงสุโขทัย
อ่อนอำนำจลงจึงประกำศอิสรภำพ และท ำกำรเปลี่ยนแปลงกำรบริหำรประเทศเสียใหม่ เพื่อให้
ิต
ข้อที่น่ำสั งเกตอยู่ 3 ประกำร คือ (1) รัฐเกิ ดขึ้นโดยพระเจ้ำบงกำร (2) พระเจ้ำทรงเป็นผู้แต่ งตั้ ง
ผูป้ กครองรัฐ และ (3) ผู้ปกครองรัฐมีพันธะควำมรับผิดชอบต่อพระผูเ้ ป็นเจ้ำแต่เพียงผู้เดียว
ัยสว
ชนชั้นหนึ่งต่ำงหำกมีอภิสิทธิ์เสมือนเทพเจ้ำตำมคติของฮินดู ประชำชนกลำยเป็นผู้อยู่ใต้อำนำจ
และถูกปกครองอย่ำงแท้จริงระบอบสมบูรณำญำสิทธิรำชย์ คือ กำเนิดจำกระบบนี้ และเป็น
"มห
ที่มำของลัทธินำยกับบ่ำวหรือทำสและระบบศักดินำ
ในสมัยกรุงศรีอยุธยำนี้ สมเด็จพระรำมำธิบดีที่ 1 (พระเจ้ำอู่ทอง) ได้ทรงปรับปรุง
ระบอบกำรบริหำรรำชกำรในส่ วนกลำงเสียใหม่ เป็ นแบบจตุสดมภ์ ตำมอย่ ำงแบบขอม โดยมี
พระมหำกษัตริย์เป็นผู้อำนวยกำรในกำรบริหำรรำชกำร และเสนำบดี 4 คน คือ ขุนเวียงหรือ
เมือง ขุนวัง ขุนคลัง และขุนนำ ในกำรบริหำรงำนของกรมเวียงหรือเมือง กรมวัง กรมคลัง และ
กรมนำ ตำมลำดับ พร้อมทั้งได้ทรงตรำกฎหมำยลักษณะอำญำหลวง และกฎหมำยลักษณะ
อำญำรำษฎร เพื่อเป็นบรรทัดฐำนในด้ำนกำรยุติธรรม
21
สำหรับกำรบริหำรรำชกำรในส่วนกลำง ได้บ่งหน้ำที่ควำมรับผิดชอบของกรมต่ำง ๆ
ดังนี้
1) กรมเวียงหรือเมือง มีหน้ำที่ควำมรับผิดชอบเกี่ยวกับกำรรักษำควำมสงบ
เรี ย บร้ อ ยภำยในเขตรำชธำนี ศำลชั้ น ต้ น และศำลนครบำล ซึ่ ง ในปั จ จุ บั น เป็ น งำนของ
กระทรวงมหำดไทย และกระทรวงยุติธรรม
2) กรมวั ง มี ห น้ ำ ที่ ค วำมรั บ ผิ ด ชอบเกี่ ย วกั บ เรื่อ งรำชส ำนั ก รำชประเพณี
"
่านั้น
ศำลอุ ท ธรณ์ และศำลฎี ก ำ ซึ่ งในปั จจุ บั น เป็ น งำนของส ำนั ก รำชเลขำธิ ก ำร และกระทรวง
ยุติธรรม
าเท
3) กรมคลัง มีหน้ำที่ควำมรับผิดชอบเกี่ยวกับรำยรับ – จ่ำยเงินของหลวง กำร
จัด เก็ บ ภำษี อ ำกร ศำลช ำระคดี เกี่ ย วกั บ พระรำชทรัพ ย์ กำรเจ้ ำท่ ำ กำรพำณิ ช ย์ และกำร
ศึกษ
ต่ำงประเทศ ซึ่ งในปั จ จุบั น เป็ น งำนนของกระทรวงกำรคลั ง กระทรวงคมนำคม กระทรวง
พำณิชย์ และกระทรวงกำรต่ำงประเทศ
กา ร
4) กรมนา มี ห น้ ำ ที่ ค วำมรั บ ผิ ด ชอบเกี่ ย วกั บ กำรจั ด ซื้ อ ข้ ำ วขึ้ น ฉำงหลวง
เพื่อ
กำรดูแลรักษำฉำงหลวง กำรจ่ำยข้ำวใช้ในรำชกำร และจัดเก็บค่ำเช่ำนำจำกประชำชน ซึ่งใน
ปัจจุบัน งำนนีไ้ ด้กระจำยไปอยู่ตำมส่วนรำชกำรต่ำง ๆ หลำยส่วนรำชกำรด้วยกัน
ิต
ส่วนกำรจัดแบ่งเขตในกำรบริหำรเมื่อแรกตั้งกรุงศรีอยุธยำนั้น ได้เอำแบบอย่ำง
นดุส
ของกรุงสุ โขทั ย มำเป็ น หลั ก โดยแบ่ งออกเป็ นเขตรำชธำนี เขตเมื อ งพยำมหำนคร และเขต
ประเทศรำช แต่ต่อมำในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนำถ ได้ทรงปรับปรุงรูปแบบกำร
ัยสว
กลำโหมเป็นอัครเสนำบดี
อย่ำงไรก็ตำม ในระยะหลัง ๆ นอกจำกแต่ละฝ่ำยจะรับผิดชอบงำนเฉพำะฝ่ำยพล
"มห
กำรเป ลี่ ย นแปลงรู ป แบ บกำรบ ริ ห ำรใหม่ นี้ เป็ น กำรเสริ ม สร้ ำ งระบอบ
สมบูรณำญำสิทธิรำชย์ให้มคี วำมเข้มแข็งยิ่งขึ้น ประกอบกับได้มพี วกพรำหมณ์และพวกเจ้ำนำย
ท้ำวพระยำจำกกั ม พู ชำมำเป็นที่ปรึกษำด้วย ท ำให้พระมหำกษัตริย์และสถำบันของพระองค์
กลำยเป็นสมมติเทวรำชอย่ำงเต็มรูป
ในกำรปรับปรุงกำรจัดระเบียบบริหำรรำชกำรในภูมิภำคนั้น ได้มีกำรขยำยเขตรำช
ธำนี และเขตหัวเมืองชั้นในออกไปให้กว้ำงขวำงกว่ ำเดิม เพื่อที่จะรวมอำนำจกำรบริหำรเข้ำสู่
"
ส่วนกลำง และให้ส่วนกลำงสำมำรถควบคุมภูมภิ ำคได้ดียิ่งขึ้น
่านั้น
สำหรับ กำรจัด ระเบียบกำรบริหำรรำชกำรเมืองภำยนอกเขตรำชธำนีนั้น ยังคง
าเท
จัดเป็นเมืองพระยำมหำนครตำมเดิม ซึ่งต่อมำเรียกว่ำ “หัวเมืองชั้นนอก” เพรำะอยู่นอกเขต
รำชธำนีและอยู่ห่ำงไกล แต่ละเมืองก็มีเมืองขึ้น ในอำณำเขตเช่นเดียวกับเขตรำชธำนี ส่วนหัว
ศึกษ
เมืองที่อยู่ห่ำงไกลออกไปซึ่งเป็นเมืองชนต่ำงชำติต่ำงภำษำอยู่ตำมชำยแดนต่อจำกประเทศอื่น
ให้เป็นเมืองประเทศรำชเช่นเดียวกับสมัยกรุงสุโขทัย กา ร
อนึ่ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยำนี้ ปรำกฏหลักฐำนแน่ชัดว่ำ ได้มีกำรจัดระเบียบบริหำร
รำชกำรในภูมิภำคปลีกย่อยออกไปอีก ซึ่งได้แก่กำรจัดระเบียบกำรบริหำรงำนภำยในเมืองหนึ่ง ๆ
เพื่อ
อย่ ำ งไรก็ ดี กำรบริ ห ำรแบบเทวสิ ท ธิ์ ถ้ ำ พิ จ ำรณำถึ ง ผลสะท้ อ นที่ เกิ ด ขึ้ น กั บ
กำรบริหำรรำชกำรแล้ว ก็จะเห็นได้ว่ำ ประเทศไทยในสมัยนั้น เมื่อได้มีกำรสถำปนำประเทศเข้ำ
ยาล
การบริหารราชการไทยในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยกรุงธนบุรี ในสมัยนี้ กำรจัดระเบียบบริหำรรำชกำรทั้งในส่วนกลำงและส่วน
ภูมภิ ำคก็คงถือหลักที่ใช้อยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยำ เพรำะนับตั้งแต่พระเจ้ำตำกสินได้ทรงเป้นพระ
"
่านั้น
มหำกษัตริย์แล้ว บ้ำนเมืองก็ ยังไม่สงบรำบคำบ มีหัวเมืองบำงแห่งแข็งเมืองคิดกบฏ จึงต้อ ง
เสีย เวลำไปปรำบปรำมหลำยครั้ง มิหนำซ้ำพม่ำได้ย กกองทัพ มำตีเมืองไทยอยู่เสมอ ก็ ต้อง
าเท
เสียเวลำยกกองทัพไปทำศึกกับพม่ำเสมอมำ พระองค์จึงไม่มีโอกำสที่จะทำนุบำรุงและปรับปรุง
กำรบริหำรประเทศเลย
ศึกษ
สมั ย กรุงรัต นโกสิ น ทร์ (พ.ศ.2325 – พ.ศ.2475) ในสมั ย กรุงรัต นโกสิ น ทร์
กา ร
ตอนต้น รูปแบบกำรบริหำรประเทศมิได้เปลี่ยนแปลงไปจำกรูปแบบกำรบริหำรในสมัยกรุงศรี
อยุธยำมำกนัก ตรำบจนถึงรัชสมัยของพระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวรัชกำลที่ 5
เพื่อ
อัน เป็ นระยะเวลำที่ ป ระเทศไทยได้ มี ก ำรติด ต่อ สั มพั น ธ์กั บ ต่ ำงประเทศมำกขึ้น กว่ำแต่ก่ อ น
วัฒนธรรมและอำยธรรมต่ำง ๆ ได้หลั่งไหลเข้ำมำสู่ประเทศไทย ประกอบกับอิทธิพลในกำร
ิต
ประศำสโนบำยเพื่อนำประเทศไทยให้พ้นวิกฤติกำรณ์จำกกำรคุกคำมทำงกำรเมือง และนำ
ประเทศไทยสู่ควำมก้ำวหน้ ำยุคใหม่ โดยกำรปฏิรูปในด้ำนต่ำง ๆ ให้ทันสมัยรวมทั้งกำรปฏิรูป
ยาล
สำคัญที่สุดในประวัติศำสตร์ของชำติไทย จนสำมำรถนำประเทศไทยให้รอดพ้นจำกกำรถูกยึด
ครองจำกประเทศมหำอำนำจตะวันตกและนำควำมเจริญ รุ่งเรืองนำนัปกำรมำสู่ประเทศชำติ
"มห
และปวงชนชำวไทย
ส ำหรั บ ปั ญ หำอั น เป็ น มู ล เหตุ ใ นกำรปฏิ รู ป ระบบรำชกำร ในรั ช สมั ย ของ
พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว รัชกำลที่ 8 อำจสรุปได้ ดังต่อไปนี้
1) ปัญ หำกำรคุกคำมควำมมั่นคง อธิป ไตย และบูรณภำพแห่งดินแดนจำก
จักรวรรดิ์นยิ มตะวันตก
2) ปัญหำควำมล้ำหลังของระบบรำชกำร
3) ปัญหำกำรจัดเก็บภำษีอำกรและกำรคลัง
24
4) ปัญหำควำมล้ำสมัยของระบบกฎหมำยและกำรศำล
5) ปัญหำกำรขำดประสิทธิภำพของระบบทหำรแบบเดิม
6) ปัญหำกำรควบคุมกำลังคนในระบบไพร่
7) ปัญหำกำรมีทำส
8) ปัญหำด้ำนกำรศึกษำและกำรพัฒนำคน
ในกำรปฏิรูปกำรบริหำรรำชกำรดังกล่ำวข้ำงต้น พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว
"
รัชกำลที่ 5 ได้ท รงปฏิ รูป ทั้งในส่วนกลำง ส่วนภูมิภำค และส่วนท้ องถิ่นควบคู่กั นไป โดยมี
่านั้น
รำยละเอียดพอสรุปได้ ดังนี้
าเท
บริหารราชการส่วนกลาง ได้จัดแบ่งหน่วยงำนรำชกำรตำมลักษณะเฉพำะของ
งำน (Specialization) เพื่อให้กำรบริหำรงำนดำเนินกำรไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ โดยแบ่งออกเป็น
ศึกษ
12 กรม ต่อมำได้ยกฐำนะขึน้ เป็น 12 กระทรวง คือ
1) กระทรวงมหำดไทย กา ร
2) กระทรวงกลำโหม
3) กระทรวงกำรต่ำงประเทศ
เพื่อ
4) กระทรวงวัง
5) กระทรวงเมือง
ิต
นดุส
6) กระทรวงเกษตรำธิกำร
7) กระทรวงพระคลังมหำสมบัติ
ัยสว
8) กระทรวงยุติธรรม
9) กระทรวงยุทธนำธิกำร
ยาล
10) กระทรวงธรรมกำร
11) กระทรวงโยธำธิกำร
าวิท
12) กระทรวงมุรธำธิกำร
"มห
"
่านั้น
กำรปฏิรูประบบรำชกำรในรัชสมัยของพระบำทสมเด็จพระจุล จอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว
รัชกำลที่ นี้เป็นกำรวำงรำกฐำนกำรบริหำรรำชกำรในระยะต่อ ๆ มำ ดังปรำกฏว่ำ ในรัชสมัย
าเท
ของพระบำทสมเด็จพระมงกุ ฎเกล้ำเจ้ำอยู่หัว รัชกำลที่ 6 พระองค์ก็ได้ดำเนินนโยบำยเจริญ
รอยตำมพระยุคลบำทของพระรำชบิดำในกำรจัดระเบียบบริหำรรำชกำร โดยมิได้เปลี่ยนระบบ
ศึกษ
แต่จะมีก ำรแก้ ไขเปลี่ยนแปลงด้วยกำรเปลี่ย นชื่อกระทรวงเพิ่มหน้ำที่รำชกำรบำงอย่ำงบำง
แผนกให้เหมำะสมยิ่งขึ้น ตั้งกระทรวงเพิ่มขึ้นและโอนกระทรวง ดังนี้
กา ร
1) เปลี่ยนชื่อกระทรวงโยธำธิกำร เป็นกระทรวงคมนำคม และกระทรวงธรรม
กำร เป็นกระทรวงศึกษำ
เพื่อ
1. กระทรวงมหำดไทย
2. กระทรวงกลำโหม
ยาล
3. กระทรวงกำรต่ำงประเทศ
4. กระทรวงพระคลังมหำสมบัติ
าวิท
5. กระทรวงวัง
"มห
6. กระทรวงเกษตรำธิกำร
7. กระทรวงยุติธรรม
8. กระทรวงคมนำคม
9. กระทรวงศึกษำธิกำร
10. กระทรวงทหำรเรือ
11. กระทรวงมุรธำธร
12. กระทรวงพำณิชย์
26
นอกจำกนั้ น พระบำทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ ำ เจ้ ำ อยู่ หั ว ได้ ท รงจั ด ตั้ ง “ภำค”
ขึน้ โดยรวมมณฑลหลำย ๆ มณฑลเป็นภำค โดยแบ่งออกเป็น 4 ภำค คือ ภำคพำยับ ภำคอีสำน
ภำคใต้ และภำคอยุธยำ มีอุปรำชเป็นหัวหน้ำรับผิดชอบ
สำหรับกำรบริหำรรำชกำรในส่วนภูมิภำคนี้ ต่อมำได้มีกำรแบ่งใหม่ออกเป็น 5
ภำคและแบ่งภำคออกเป็นจังหวัด ซึ่งเป็นรำกฐำนของกำรบริหำรรำชกำรในปัจจุบัน
ภำยหลั งที่ ป ระเทศไทยได้ มีก ำรเปลี่ย นแปลงระบอบกำรปกครองประเทศจำก
"
ระบอบสมบูรณำญำสิท ธิร ำชย์มำเป็นระบอบประชำธิป ไตยแล้ว ก็ ได้มีกำรปรับ ปรุงกำรจัด
่านั้น
ระเบียบบริหำรรำชกำรแผ่นดิน โดยได้ประกำศใช้พระรำชบัญญัติระเบียบบริหำรรำชกำรแห่ง
าเท
รำชอำณำจัก รสยำม พ.ศ.2476 ตำมพระรำชบั ญ ญั ติฉ บั บ นี้ ได้ มี ก ำรวำงหลัก เกณฑ์ และ
ขอบเขตรำชกำรฝ่ำยบริหำร รวมทั้งได้ปรับปรุงแก้ไขส่วนรำชกำรต่ำง ๆ ให้เหมำะสมกับงำน
ศึกษ
และหน้ำที่ควำมรับผิดชอบ ซึ่งพระรำชบัญญัติฉบับนี้ได้ใช้บังคับมำจนถึงปี พ.ศ. 2495 จึงได้มี
กำรตรำพระรำชบั ญ ญั ติ ร ะเบี ย บบริ ห ำรรำชกำรแผ่ น ดิ น พ.ศ. 2495 ขึ้ น มำใช้ แ ทน ตำม
กา ร
พระรำชบั ญ ญั ติ ฉ บั บ นี้ ได้ จัด ระเบี ย บบริห ำรรำชกำรออกเป็ น 3 ส่ วน คือ รำชกำรบริห ำร
ส่วนกลำง รำชกำรบริหำรส่วนภูมิภ ำค และรำชกำรบริหำรส่วนท้องถิ่น แม้ต่อมำจะได้มีกำร
เพื่อ
หลำยฉบับ
ยาล
าวิท
"มห
27
การบริหารราชการสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 5)
การบริ หารราชการในสมัยรัชกาลที่ 5
"
การบริ หารราชการส่ วนกลาง
่านั้น
กระทรวง เสนาบดี
าเท
ศึกษ
การบริ หารราชการส่ วนภูมิภาค
สมุหเทศาภิบาล
มณฑล
กา ร
จังหวัด ผูว้ า่ ราชการเมือง
เพื่อ
อาเภอ นายอาเภอ
ตาบล กานัน
ิต
นดุส
สุ ขาภิบาลกรุ งเทพ
"มห
สุ ขาภิบาลหัวเมือง
การบริหารราชการสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 6)
การบริ หารราชการในสมัยรัชกาลที่ 6
"
่านั้น
การบริ หารราชการส่ วนกลาง
าเท
กระทรวง เสนาบดี
ศึกษ
การบริ หารราชการส่ วนภูมิภาค กา ร
ภาค อุปราช
เพื่อ
มณฑล สมุหเทศาภิบาล
จังหวัด ผูว้ า่ ราชการเมือง
ิต
นดุส
อาเภอ นายอาเภอ
ตาบล กานัน
ัยสว
สุ ขาภิบาลกรุ งเทพ
สุ ขาภิบาลหัวเมือง
สรุป
กำรบริ ห ำรรำชกำรไทยในอดี ต นั้ น สำมำรถกล่ ำ วได้ ว่ ำ เริ่ ม มี นั บ ตั้ ง แต่ สมั ย
รำชอำณำจัก รน่ำนเจ้ำ ซึ่งมีก ำรจัดระเบีย บกำรบริหำรรำชกำรค่อนมีรูป แบบคล้ำยกั บ กำร
บริหำรรำชกำรในปัจจุบันของไทยมำกที่สุด โดยแบ่งออกเป็นกำรบริหำรรำชกำรในส่วนกลำง
มีอภิรัฐมนตรี รัฐมนตรีหรือเสนำบดี ปลัดกระทรวง อธิบดี เจ้ำกรมรับผิ ดชอบในกำรบริหำร
รำชกำรตำมลำดับ ส่วนกำรบริหำรรำชกำรในภูมิภำคได้แบ่งเขตกำรบริหำรออกเป็น มณฑล
"
่านั้น
สมัยกรุงสุโขทัยมีลักษณะเป็นกำรบริหำรแบบบิดำกับบุตรหรือแบบครอบครัว (Paternalism)
กล่ำวคือ พระมหำกษัตริย์เปรียบเสมือนพ่อ ข้ำรำชกำรหรือข้ำรำชกำรบริพำร และประชำชน
าเท
เปรียบเสมือนลูกหรือบุคคลในครอบครัว มีกำรแบ่งเขตกำรปกครองและกำรบริหำรรำชกำร
ออกเป็น เขตรำชธำนี เมืองพระยำมหำนคร และประเทศรำช สมัย กรุงศรีอ ยุ ธ ยำมีก ำร
ศึกษ
ปกครองแบบเทวสิทธิ์นี้ ถือกติกำกำรบริหำรมำจำกขอมและอินดู แบ่งแยกผู้ปกครองกับผู้อยู่
ใต้ปกครองออกจำกกัน พระมหำกษัตริย์ถูกยกย่องเป็นเสมือนสมมติเทพเช่นพระอิศวรหรือ
กา ร
พระนำรำยณ์และกำรบริหำรแบบเทวสิทธิ์นี้ ทำให้ชนชั้นปกครองกลำยเป็นชนชั้นหนึ่งต่ำงหำก
เพื่อ
มีอภิสิทธิ์เสมือนเทพเจ้ำตำมคติของฮินดู ประชำชนกลำยเป็นผู้อยู่ใต้อำนำจและถูกปกครอง
อย่ำงแท้จริงระบอบสมบูรณำญำสิทธิรำชย์ คือ กำเนิดจำกระบบนี้ และเป็นที่มำของลัทธิ
ิต
นำ สมั ย กรุง ธนบุ รี ยั งคงใช้ วิ ธี ก ำรบริ ห ำรรำชกำรแบบกรุ ง ศรีอ ยุ ธ ยำอยู่ ส่ ว นในสมั ย กรุ ง
รัตนโกสินทร์พ ระบำทสมเด็ จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว รัชกำลที่ 5 ได้ท รงคำดกำรณ์ ถึ ง
ัยสว
กำรปฏิ รู ป ในด้ ำ นต่ ำ งๆ ให้ ทั น สมั ย รวมทั้ ง กำรปฏิ รู ป กำรบริ ห ำรรำชกำร (Administrative
าวิท
Reform) โดยมีกำรบริหำรรำชกำรคล้ำยกับของต่ำงประเทศโดยนำรูปแบบของกระทรวงมำใช้
ในกำรบริหรำชกำรไทย และยั งมีก ำรแบ่ งส่วนกำรบริห ำรรำชกำรออกเป็ นส่วนกลำง ส่วน
"มห
ภูมภิ ำค และส่วนท้องถิ่น
30
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2
1. อธิบำยรูปแบบกำรบริหำรรำชกำรสมัยกรุงสุโขทัย
2. อธิบำยรูปแบบกำรบริหำรรำชกำรสมัยกรุงศรีอยุธยำ
3. อธิบำยรูปแบบกำรบริหำรรำชกำรสมัยกรุงธนบุรี
4. อธิบำยรูปแบบกำรบริหำรรำชกำรสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
5. สังเครำะห์พัฒนำกำรของรูปแบบกำรบริหำรรำชกำรไทยในอดีต
"
่านั้น
าเท
ศึกษ
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
เอกสารอ้างอิง
สมำน รังสิโยกฤษฎ์ และ สุธี สุทธิสมบูรณ์ . (2541). กำรบริหำรรำชกำร. กรุงเทพมหำนคร.
สวัสดิกำรสำนักงำน ก.พ. สำนักงำน ก.พ.
สมำน รั ง สิ โ ยกฤษฎ์ . (2543). กำรบริ ห ำรรำชกำรไทย อดี ต ปั จ จุ บั น และอนำคต.
กรุงเทพมหำนคร. สำนักพิมพ์บรรณกิจ.
ชัยอนันต์ สมุทวนิช. (2538). 100 ปี แห่งกำรปฏิรูประบบรำชกำร : วิวัฒนำกำรอำนำจรัฐและ
"
่านั้น
อำนำจกำรเมือง. กรุงเทพมหำนคร. สถำบันนโยบำยกำรศึกษำ.
สมพงษ์ เกษมสิน. (2515). กำรปกครองไทย. กรุงเทพมหำนคร. สำนักพิมพ์ไทยวัฒนำพำณิช.
าเท
ศึกษ
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
บทที่ 3
หลักการในการจัดระเบียบบริหารราชการไทย
เอกอนงค์ ศรีสำอำงค์
"
่านั้น
หลักกำรในกำรจัดระเบียบบริหำรรำชกำรไทยจะกล่ำวถึง ที่มำของระบบบริหำร
าเท
รำชกำร อำนำจตำมตัวบทกฎหมำย ซึ่งประกอบไปด้วย กฎหมำยรัฐธรรมนูญ พระรำชบัญญัติ
ศึกษ
พระรำชกำหนด พระรำชกฤษฎีกำ กฎกระทรวง ประกำศของกระทรวง ข้อบังคับ และอำนำจ
ตำมคำพิพำกษำของศำลและธรรมเนียมในกำรปฏิบัติรำชกำร หลักกำรในกำรแบ่งส่วนรำชกำร
กา ร
และกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำร
เพื่อ
ที่มาของระบบบริหารราชการ
ที่มาของอานาจในการบริหารราชการ
ิต
นดุส
กำรบริหำรรำชกำรเป็นกำรดำเนินงำนเพื่อประโยชน์สุขของประชำชนทั้งประเทศ
และในบำงกรณี กำรบริหำรรำชกำรจะใช้วิธีกำรดำเนินงำนอย่ำงธุรกิจเอกชนไม่ได้ จำเป็นต้อง
ัยสว
กำบริหำรรำชกำรดำเนินไปด้วยดี จึงจำเป็นจะต้องได้รับอำนำจกว้ำงขวำงกว่ำธุรกิจเอกชนมำก
โดยทั่วไปแล้ว อำนำจในกำรบริหำรรำชกำรนั้น มีทั้งที่กำหนดไว้ในตัวบทกฎหมำย
าวิท
คำพิพำกษำของศำลและแบบธรรมเนียมในกำรปฏิบัติรำชกำร ซึ่งอำจเรียกรวมกันว่ำอำนำจที่
"มห
"
่านั้น
ประกำศของกระทรว ข้อบังคับ ตลอดจนข้อบัญ ญั ติขององค์กำรบริหำรส่วนท้องถิ่น ตัวบท
กฎหมำยเหล่ำนี้มีฐำนะไม่เท่ำเทียมกัน กล่ำวคือ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมำยที่มีฐำนะสูงสุดเหนือ
าเท
กฎหมำยทั้งหลำย ถัดลงมำก็คือ พระรำชบัญ ญั ติ พระรำชกำหนดซึ่งมีฐำนะสูงกว่ำพระรำช
กฤษฎีกำ และพระรำชกฤษฎีกำมีฐำนะสูงกว่ำกฎกระทรวง ลดหลั่นกันไปตำมลำดับ ผลแห่ง
ศึกษ
กำรที่กฎหมำยมีฐำนะไม่เท่ำเทียมกันมีอยู่ว่ำ กฎหมำยที่มีฐำนะสูงกว่ำหรือเท่ำเทียมกัน อำจ
เปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือยกเลิกกฎหมำยที่มีฐำนะต่ำกว่ำหรือเท่ำเทียมกันได้ แต่กฎหมำยที่มี
กา ร
ฐำนะต่ำกว่ำจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือขัดแย้งต่อกฎหมำยที่มีฐำนะสูงกว่ำไม่ได้ ซึ่งจะ
แยกพิจำรณำตำมลำดับ ดังนี้
เพื่อ
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงรัฐกับประชำชน เป็นต้น
2) พระราชบั ญ ญั ติ พระรำชบั ญ ญั ติ เป็ น กฎหมำยที่ อ อกโดยฝ่ ำ ยนิ ติ
ยาล
บัญญัติกำรตรำพระรำชบัญญัตินั้นจะมีได้หรือทำได้โดยได้รับคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภำ
และพระมหำกษัตริย์ท รงลงพระปรมำภิไธย และประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำใช้บังคับ เป็น
าวิท
ส ำคั ญ ๆ ได้ แก่ พระรำชบั ญ ญั ติ ระเบี ย บบริห ำรรำชกำรแผ่ น ดิ น พระรำชบั ญ ญั ติ ป รับ ปรุ ง
กระทรวง ทบวง กรม พระรำชบั ญ ญั ติ ร ะเบี ย บข้ ำ รำชกำรพลเรื อ นฝ่ ำ ยต่ ำ ง ๆ เป็ น ต้ น
พระรำชบัญญัติต่ำง ๆ เหล่ำนีไ้ ด้กำหนดวิธีกำรจัดระเบียบบริหำรรำชกำร กำหนดอำนำจหน้ำที่
ของหน่วยงำนหรือส่วนรำชกำรต่ำง ๆ ตลอดจนอำนำจหน้ำที่ของข้ำรำชกำรหรือผู้ปฏิบัติ งำน
ฝ่ำยต่ำง ๆ ด้วย
ในกรณีที่มีกำรเปลี่ยนรัฐบำลโดยกำรปฏิวัติหรือมีปฏิรูป คณะปฏิวัติหรือ
คณะปฏิรูปอำจมีควำมจำเป็นจะต้องออกกฎหมำยใหม่ขึ้นมำใช้หรือมีควำมจำเป็นจะต้องแก้ไข
35
"
และประกำศของคณะปฏิ รู ป จึ ง เป้ น ที่ ม ำของอ ำนำจในกำรบริ ห ำรรำชกำรเช่ น เดี ย วกั บ
่านั้น
พระรำชบัญญัติ
าเท
นอกจำกนั้น ยังมีคำสั่งของนำยกรัฐมนตรี ซึ่งออกโดยใช้อำนำจพิเศษตำมที
รัฐธรรมนูญหรือธรรมนูญกำรปกครองได้ให้อำนำจไว้ กล่ำวคือ รัฐธรรมนูญหรือธรรมนูญกำร
ศึกษ
ปกครองบำงฉบับ จะให้อำนำจพิเศษแก่นำยกรัฐมนตรี ในกรณีที่นำยกรัฐมนตรีเห็นเป็นกำร
จำเป็นเพื่อประโยชน์ในกำรป้องกัน ระงับหรือปรำบปรำมกำรกระทำอันเป็นกำรบ่อนทำลำย
กา ร
ควำมมั่นคงของรำชอำณำจักร รำชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือรำชกำรแผ่นดิน หรือ
กำรกระทำอันเป็นกำรก่อกวนหรือคุกคำมควำมสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชำชน
เพื่อ
หรือกำรกระทำอันเป็นกำรทำลำยทรัพยำกรของประเทศหรือเป็นกำรบั่นทอนสุขภำพอนำมัย
ของประชำชน ให้นำยกรัฐมนตรีมีอำนำจสั่งกำรหรือกระทำกำรใดๆ ก็ได้ และให้ถือว่ำคำสั่ง
ิต
นดุส
กฎหมำย และเป็นที่มำของอำนำจในกำรบริหำรรำชหำรทำงหนึ่งอีกเช่นกัน
3) พระราชกาหนด พระรำชกำหนดเป็นกฎหมำยซึ่งออกโดยฝ่ำยบริหำร
ยาล
กล่ำวคือ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือมีควำมจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษำควำมมั่นคงของประเทศ
หรือป้องปัดภัยพิบัติสำธำรณะต่ำง ๆ และจะเรียกประชุมรัฐสภำให้ทันท่วงทีมิได้ หรือแม้แต่ในสมัย
าวิท
ประชุมรัฐสภำ อำจมีควำมจำเป็นต้องตรำกฎหมำยเกี่ยวกับภำษีอำกรหรือเงินตรำซึ่งจะต้องได้รับ
"มห
มำของอำนำจในกำรบริหำรรำชกำรเช่นเดียวกับพระรำชบัญญัติ แต่มีไม่มำกนักและมีระยะเวลำสั้น
มำกดังได้กล่ำวมำแล้ว
4) พระราชกฤษฎี ก า พระรำชกฤษฎี ก ำเป็ น กฎหมำยซึ่ งออกโดยฝ่ ำ ย
บริหำรตำมที่รัฐธรรมนูญ หรือพระรำชบัญ ญั ติให้อำนำจไว้ พระรำชกฤษฎีกำเป็นกฎหมำยที่
บังคับแก่ประชำชนโดยทั่วไปเช่นเดียวกับพระรำชบัญญัติ แต่เป็นกฎหมำยที่กำหนดรำยละเอียด
รองลงไปจำกรัฐธรรมนูญหรือพระรำชบัญญัติอีกทีหนึ่ ง เพรำะกำรตรำพระรำชกฤษฎีกำต้อง
"
่านั้น
อำศัยอำนำจตำมรัฐธรรมนูญหรือพระรำชบัญญัติฉบับใดฉบับหนึ่ง และต้องไม่ขัดกับกฎหมำย
ที่ออกโดยฝ่ำยนิติบัญญัติ นอกจำกนั้น พระรำชบัญญัติบำงฉบับจะใช้บังคับได้ต่อเมื่อมีพระรำช
าเท
กฤษฎี ก ำก ำหนดให้ ใช้ พระรำชกฤษฎี ก ำที่ เป็ น ที่ ม ำของอ ำนำจในกำรบริห ำรรำชกำรมี อ ยู่
มำกมำยเช่นเดียวกับพระรำชบัญญัติ เพรำะเป็นรำยละเอียดของพระรำชบัญญัติ เช่น พระรำช
ศึกษ
กฤษฎีกำแบ่งส่วนรำชกำรในระดับ กรม ซึ่งออกตำมพระรำชบัญ ญั ติบ ริหำรรำชกำรแผ่นดิน
พระรำชกฤษฎีกำว่ำด้วยระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือนในพระองค์ซึ่งออกตำมพระรำชบัญ ญั ติ
กา ร
ระเบียบข้ำรำชกำรพลเรือน เป็นต้น
เพื่อ
5) กฎกระทรวง กฎกระทรวงเป็ น กฎหมำยที่ อ อกโดยฝ่ ำยบริ ห ำรโดย
รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงเป็นผู้ออกในนำมของกระทรวง เพื่อบังคับใช้แก่ประชำชนทั่วไปตำมที่
พระรำชบั ญ ญั ติ ห รื อ พระรำชกฤษฎี ก ำให้ อ ำนำจไว้ กฎกระทรวงเป็ น กฎหมำยที่ ก ำหนด
ิต
นดุส
รำยละเอียดที่จะต้องปฏิบัติตำมพระรำชบัญญัติหรือพระรำชกฤษฎีกำอีกชัน้ หนึ่ง
สำนักนำยกรัฐมนตรีซึ่งมีฐำนะเทียบเท่ำกระทรวง ก็มีอำนำจออกกฎสำนัก
ัยสว
กฎกระทรวงที่ส่วนรำชกำรที่มีฐำนะต่ำกว่ำกระทรวงเป็นผู้ออก
"มห
ของกฎหมำย แต่ ถ้ ำเป็ น ประกำศข้อ รำชกำรให้ ป ระชำชนทรำบ โดยมิ ได้ อ ำศั ย อ ำนำจของ
กฎหมำย ก็ไม่ถือว่ำเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมำย
นอกจำกรัฐ มนตรี ว่ ำกำรกระทรวงแล้ ว พระรำชบั ญ ญั ติ บ ำงฉบั บ ยั งให้
อำนำจแก่คณะกรรมกำรซึ่งตั้งขึ้นตำมพระรำชบัญญัตินั้นที่จะออกประกำศกำหนดเงื่อนไขใน
กำรใช้บังคับพระรำชบัญญัตินั้นได้ เช่น ประกำศของคณะกรรมกำรกลำงป้องกันกำรค้ำกำไร
เกินควร ประกำศของคณะกรรมกำรส่วนจังหวัดป้องกันกำรค้ำกำไรเกินควร ซึ่งออกโดยอำศัย
"
อำนำจตำมพระรำชบัญญัติป้องกันกำรค้ำกำไรเกินควร เป็นต้น ประกำศเช่นนี้มีลักษณะเป็น
่านั้น
ส่วนหนึ่งของกฎหมำยเช่นกัน
าเท
7) ข้อบังคับ พระรำชบัญญัติบำงฉบับได้ให้อำนำจแก่เจ้ำพนักงำนระดับต่ำ
กว่ำรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงที่จะออกข้อบังคับอันมีผลบังคับแก่ประชำชน เช่นพระรำชบัญญัติ
ศึกษ
จรำจรทำงบก ให้อำนำจแก่เจ้ำพนักงำนจรำจรออกข้อบังคับได้ในกรณีต่ำง ๆ ตำมที่ระบุไว้ใน
พระรำชบัญญัตินั้น พระรำชบัญญัติเทศบำลให้อำนำจแก่เทศบำลตรำเทศบัญญัติเพื่อบังคับแก่
กา ร
ประชำชนในเขตเทศบำลนัน้ เป็นต้น ข้อบังคับหรือข้อบัญญัติดังกล่ำวเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมำย
นอกจำกที่ ม ำของกฎหมำยดั ง กล่ ำ วข้ ำ งต้ น แล้ ว ยั ง ปรำกฏว่ ำ ได้ มี
เพื่อ
พระรำชบัญญัติบำงฉบับได้กำหนดไว้ว่ำ กำรปฏิบัติงำนบำงอย่ำงตำมพระรำชบัญญัติดังกล่ำว
ในบำงกรณีจะต้องได้รับอนุมัติจำกคณะรัฐมนตรี หรือโดยควำมเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เช่น
ิต
นดุส
เป็นกำรแต่งตั้งข้ำรำชกำรตั้งแต่ตำแหน่งอธิบดีหรือเทียบเท่ำขึ้นไป ต้องได้รับควำมเห็นชอบจำก
คณะรัฐมนตรี พระรำชบัญ ญั ติข้ำรำชกำรพลเรือนฉบับปัจจุบัน กำหนดไว้ว่ำ กำรบรรจุและ
ยาล
คณะรั ฐ มนตรี ต ำมที่ ก ฎหมำยให้ อ ำนำจไว้ ก็ เ ป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของกฎหมำย แต่ ถ้ ำ เป็ น มติ
คณะรัฐมนตรีที่มิได้มีกฎหมำยให้ อำนำจไว้ ก็ไม่ถือว่ำเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมำย เป็นแต่เพียง
แนวทำงในกำรปฏิบัติรำชกำรของข้ำรำชกำรหรือหน่วยรำชกำรเท่ำนั้น
38
"
่านั้น
ย่อมเป็นข้อผูกมัดที่จะต้องบังคับให้เป็นไปตำมคำพิพำกษำนั้น ๆ เช่น กำรบังคับให้ชำระหนี้หรือ
ชดใช้ค่ำเสียหำยตำมคำพิพำกษำของศำล เป็นต้น คำพิพำกษำของศำล จึงเป็นที่มำของอำนำจใน
าเท
กำรบริหำรรำชกำรทำงหนึ่ง
2) แบบธรรมเนียมในการปฏิบัติราชการ ในกรณีที่กฎหมำยให้อำนำจแก่
ศึกษ
เจ้ำพนักงำนหรือเจ้ำหน้ำที่ใช้ดุลพินิจในกำรพิจำรณำตัดสินใจในเรื่องใดได้ เจ้ำพนักงำนหรือ
เจ้ำหน้ำที่มักจะใช้ ดุลพินิจตำมแบบธรรมเนียมในกำรปฏิบัติรำชกำรที่แล้วๆ มำเป็นหลัก เช่น
กา ร
กำรแต่งตัง้ ข้ำรำชกำรให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้นหรือเลื่อนตำแหน่ง ส่วนรำชกำรต่ำงๆ ส่วน
เพื่อ
ใหญ่จะถืออำวุโสเป็นหลัก เป็นต้น แบบธรรมเนียมในกำรปฏิบัติรำชกำรจึงเป็นที่มำของอำนำจ
ในกำรบริหำรรำชกำรทำงหนึ่ง
ิต
หนึ่งได้เช่นกัน
ยาล
การแบ่งส่วนราชการ
าวิท
"
่านั้น
1. ความจาเป็นในการแบ่งส่วนราชการ
กำรแบ่งส่วนรำชกำรออกเป็นส่วนต่ำงๆ ดังได้กล่ำวมำแล้วกัน ถ้ำพิจำรณำใน
าเท
ด้ำนเหตุผลและควำมจำเป็นแล้ว อำจสรุปได้ดังนี้
1) กำรแบ่งส่วนรำชกำรเป็นกำรแบ่งแยกหน้ำที่ตำมลักษณะควำมชำนำญ
ศึกษ
เฉพำะด้ ำ น (Specialization) เช่ น งำนด้ ำ นเกษตรหรื อ งำนด้ ำ นสำธำรณสุ ข ก็ จั ด รวมไว้ ใ น
กระทรวงเดียวกัน กำรรวมหน้ำที่อย่ำงเดียวกัน ไว้ด้วยกันเช่นนี้ ย่อมมองเห็นควำมมุ่งหมำยได้
กา ร
ชัด เจน และสำมำรถระดมทรัพ ยำกรแต่ ละด้ ำนดำเนิ นงำนให้ บ รรลุวัต ถุ ป ระสงค์ได้ อย่ำงมี
ประสิทธิภำพ
เพื่อ
ซึ่งจำเป็นจะต้องทบทวนปรับปรุงให้สอดคล้องกับหน้ำที่และควำมรับผิดชอบที่เพิ่มมำกขึ้น
3) กำรแบ่งส่วนรำชกำรเพื่อประโยชน์ในกำรสอดแรกเทคนิคและวิธีก ำร
ัยสว
บริห ำรงำนสมั ย ใหม่ เพื่ อ ป้ อ งกั น มิ ให้ ก ำรบริห ำรรำชกำรล้ ำหลั งกำรบริห ำรงำนในส่ วนอื่ น
จนเกินไป
ยาล
4) กำรแบ่งส่วนรำชกำรช่วยให้เกิดควำมคล่องตัวในกำรปฏิบัติงำน และ
สำมำรถปรับให้เข้ำกับสภำพแวดล้อมทำงกำรบริหำรได้
าวิท
กำรดำรงอยู่ของส่วนรำชกำร
2. หลักการแบ่งส่วนราชการ
1) การแบ่ งส่ ว นราชการต้ อ งเหมาะสมกั บ ความมุ่ งหมาย ปั ญ หา และ
สภาพแวดล้อมของหน่วยราชการ
(1) ความมุ่งหมายและหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยราชการ หน่วย
รำชกำรที่มีควำมมุ่งหมำย หน้ำที่ควำมรับผิดชอบต่ำงกัน ย่อมจำเป็นต้องประกอบด้วยส่วน
รำชกำรที่ต่ำงกัน เพื่อให้สำมำรถปฏิบัติงำนได้ตำมมุ่งหมำย หน้ำที่ควำมรับผิดชอบของแต่ละ
40
หน่ ว ยรำชกำร เช่ น กรมกำรฝึ ก หั ด ครู แ ละกรมสรรพำกร มี ค วำมมุ่ ง หมำยหน้ ำ ที่ ค วำม
รับผิดชอบต่ำงกัน ควรแบ่งส่วนรำชกำรต่ำงกัน เป็นต้น
(2) ปั ญ หาของหน่วยราชการ ถึงแม้ว่ำหน่วยรำชกำร 2 แห่งจะมีหน้ำที่
และควำมรับผิดชอบอย่ำงเดียวกันก็ตำม ถ้ำมีปัญหำต่ำงกันก็อำจจะต้องแบ่งส่วนรำชกำรให้
ต่ำงกัน เพื่อจะได้ปฏิบัติงำนให้ได้ผลดี เช่น หน่วยรำชกำรหนึ่งมีปัญ หำเกี่ยวกับเจ้ำหน้ำที่ที่มี
ควำมรู้และคุณวุฒิต่ำ ไม่เหมำะสมกับงำนที่จะปรับปรุงใหม่ แต่ถ้ำจะให้เจ้ำหน้ำที่เหล่ำนั้นออก
"
่านั้น
จำกรำชกำร ก็ไม่อำจกระทำได้ เพรำะกฎหมำยไม่เปิดโอกำสให้ปฏิบัติเช่นนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็
อำจจำเป็นต้องมีส่วนรำชกำรที่ทำหน้ำที่ให้คำปรึกษำ อบรม แต่ถ้ำหน่วยรำชกำรนั้นมีเจ้ำหน้ำที่
าเท
ที่มีควำมรู้และคุณวุฒิเหมำะสมแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนรำชกำรดั งกล่ำวหรือในกรณีที่ส่วน
รำชกำรใดมีกำรทุจริตกันมำก ก็อำจจำเป็นต้องมีสว่ นรำชกำรที่ทำหน้ำที่คอยตรวจสอบป้องกัน
ศึกษ
กำรทุจริต เป็นต้น
(3) สภาพแวดล้ อ ม รวมทั้ ง ลั ก ษณะทางสั ง คมและลั ก ษณะทาง
กา ร
ภูมิศาสตร์ บำงครั้งสภำพแวดล้อมดังกล่ำวเป็นตัวสำคัญทำให้กำรแบ่งส่วนรำชกำรมีลักษณะ
เพื่อ
อย่ำงหนึ่งอย่ำงใดเฉพำะ ส่วนสภำพแวดล้อมทำงภูมิศำสตร์ เช่น กำรคมนำคม ก็มีผลต่อกำร
แบ่งส่วนรำชกำรเช่นกัน กล่ำวคือ ในบำงครั้งอำจจำเป็นต้องแบ่งส่วนรำชกำรให้มีจำนวนมำก
เมื่อกำรคมนำคมไม่สะดวก เพื่อจะได้ไปตั้งในท้องถิ่นที่สะดวกแก่กำรปฏิบัติรำชกำรและติดต่อ
ิต
นดุส
2) ส่วนราชการย่อยที่จัดแบ่งให้แก่กรมหรือหน่วยราชการใดต้องคลุมถึง
หน้าที่สาคัญของกรมหรือหน่วยราชการนั้นทุกอย่าง กล่ำคือ หน้ำที่และควำมรับของส่วน
ยาล
รำชกำรย่อยรวมกัน ควรคลุมและสอดคล้องกับหน้ำที่และควำมรับผิดชอบของส่วนรำชกำร
าวิท
"
กำรจัดกลุ่มงำน อำจกระทำได้ 5 วิธี
่านั้น
(1) ถื อ ความมุ่ งหมายหรื อ วั ต ถุ ป ระสงค์ (Purpose) เป็ นหลั ก โดยรวม
าเท
หน้ ำที่ ควำมรั บ ผิ ด ชอบ ลั ก ษณะ และกิ จ กรรมที่ ช่ ว ยให้ ก รมหรื อ หน่ ว ยรำชกำรส ำเร็ จ
วัตถุประสงค์อย่ำงหนึ่ง ๆ เข้ำด้วยกันเป็นส่วนรำชกำรหรือหน่วยงำนเดียวกัน
ศึกษ
(2) ถือกระบวนการ (Process) เป็นหลัก เป็นกำรจัดกลุ่มงำนตำมขั้นตอน
ของกำรปฏิบัติงำน
กา ร
(3) ถือ เวลาหรือกะ (Shift) เป็นหลัก บำงครั้งเพื่อควำมสะดวกแก่กำร
เพื่อ
ผลัดเปลี่ยนกันปฏิบัติงำน อำจไม่จัดกลุ่มงำนออกเป็นแผนกหรือหน่วยงำนแต่จะแบ่งเป็น “เวร”
หรือ “กะ” กำรจั ด กลุ่ ม งำนโดยวิธีนี้ มั ก จะใช้ในกรณี ต้ อ งปฏิ บั ติ งำนเกิ น กว่ำเวลำรำชกำร
ธรรมดำ เช่น ต้องปฏิบัติงำนตลอด 24 ชั่วโมง และเป็นลักษณะงำนที่สำมำรถใช้บุคคลกลุ่ม
ิต
นดุส
เดียวกันผลัดเปลี่ยนกันได้
(4) ถือ เขตพื้นที่ (Area) เป็ นหลั ก ได้แก่กำรแบ่งกลุ่มงำนออกตำมเขต
ัยสว
หรือประเภทของผูร้ ับบริกำร
4) การจัดแบ่ งส่ วนราชการต้อ งพิ จารณาถึ งปริมาณงานว่า ควรจะเป็ น
"มห
จะต้ อ งประกอบด้ ว ยต ำแหน่ งต่ ำง ๆ ไม่ ต่ ำกว่ำ 15 ต ำแหน่ ง ส่ วนงำนระดั บ แผนก จะต้ อ ง
ประกอบด้วยตำแหน่งต่ำงๆไม่น้อยกว่ำ 5 ตำแหน่ง
5) การแบ่ งส่ ว นราชการควรจะได้ก าหนดอ านาจหน้าที่ ของแต่ล ะส่ วน
ราชการไว้ ให้ ชัด เจน เพื่อ จะได้ เป็นแนวสำหรับ ข้ำรำชกำรในส่ วนรำชกำรนั้น ยึดถือปฏิบั ติ
เพื่อให้เจ้ำหน้ำที่ทุกคนรู้หน้ำที่และควำมรับผิดชอบของตนแล้ว ยังต้องทรำบหน้ำที่และควำม
รับผิดชอบของหน่วยรำชกำรที่ตนสังกัดด้วย เพื่อจะได้ประสำนงำนให้เป็นไปตำมควำมมุง่ หมำย
"
่านั้น
หรือวัตถุประสงค์ของส่วนรำชกำรนัน้ ๆ ต่อไป
กำรไม่กำหนดหน้ำที่และควำมรับผิดชอบของส่วนรำชกำรให้ชัดเจนนั้นจะทำให้
าเท
เกิดผลเสีย 3 ประกำร คือ
(1) เกิดงานซ้อนงาน ซึ่งอำจเกิดขึ้นได้ทั้งในกระทรวง ทบวง กรมเดียวกัน
ศึกษ
และในต่ำงกระทรวงทบวงกรม
(2) เกิ ด แย่ ง งานกั น ท า ทั้ ง ในระหว่ ำ งกระทรวง ทบวง กรม และใน
กา ร
กระทรวง ทบวง กรม เดียวกัน
เพื่อ
(3) เกิดละเลยไม่ทางานบางอย่าง ซึ่งมักจะพบอยู่เสมอว่ำมีงำนบำงอย่ำง
ที่ทำงรำชกำรควรจะเข้ำไปดำเนินกำร แต่ไม่ปรำกฏว่ำมีกระทรวงทบวงกรมใดไปดำเนินกำร
ิต
มิได้กำหนดให้เป็นหน้ำที่และควำมรับผิดชอบของแผนกหรือกองในสังกัดของตน
6) การแบ่งส่วนราชการควรจะให้มีจานวนผู้ใต้บังคับบัญ ชาที่เหมาะสม
ัยสว
เพรำะจะทำให้สิน้ เปลืองมำก
าวิท
กำรที่ผู้บังคับบัญชำคนหนึ่งควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชำกี่คนนั้น ขึ้นอยู่กับควำม
ยำกง่ำยและลักษณะของงำน งำนที่ปฏิบัติประจำวันหรืองำนที่สำมำรถวำงมำตรฐำนได้ อำจมี
"มห
ผู้ ใต้ บั งคั บ บั ญ ชำได้ ม ำก แต่ งำนที่ มี ลั ก ษณะยุ่ งยำกและสลั บ ซั บ ซ้ อ นหรื อ งำนที่ มี ลั ก ษณะ
แตกต่ ำ งกั น และไม่ เ กี่ ย วพั น กั น ซึ่ ง ยำกแก่ ก ำรปฏิ บั ติ แ ละแนะน ำ ย่ อ มจ ำเป็ น ต้ อ งมี
ผูใ้ ต้บังคับบัญชำน้อยลง (โดยทั่วไปแล้ว ผูบ้ ังคับบัญชำคนหนึ่งจะมีผใู้ ต้บังคับบัญชำประมำณ 4
-10 คน)
7) การแบ่งส่วนราชการควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดงานซ้อนงานระหว่างส่วน
ราชการ เพรำะจะทำให้เกิ ดผลเสียหลำยประกำร เช่นเดียวกับ กำรกำหนดหน้ำที่และควำม
รับผิดชอบของส่วนรำชกำรไม่ชัดเจน คือ
43
(1) ทาให้ เกิด แย่งงานกั น ทาในส่ วนซ้อ นกั น ในกรณี งำนนั้นมีลัก ษณะ
น่ำสนใจหรือเป็นทำงที่จะได้ประโยชน์บำงอย่ำง
(2) ทาให้เกิดการเกี่ยงหรือละเลยไม่ทาในส่วนที่ซ้อนกันในกรณีที่งำนนั้นมี
ลักษณะยุ่งยำก ไม่น่ำสนใจ และต้องเสียสละ เพรำะถือว่ำส่วนรำชกำรอื่นรับผิดชอบอยู่แล้ว
(3) นอกจำกนั้น ยังทาให้เกิดผลเสียอื่น ๆ เช่น เกิดควำมสิ้นเปลืองมำก
เกิดกำรทะเลำะไม่ลงรอยกันระหว่ำงส่วนรำชกำรเป็นผลให้เกิดกำรแตกแยกควำมสำมัคคีและ
"
่านั้น
เสียกำรประสำนงำน เกิดควำมไม่รับผิดชอบในส่วนงำนที่ซ้อนกัน ไม่ทรำบว่ำตนมีหน้ำที่อะไร
และส่วนรำชกำรที่ตนสังกัดอยู่มหี น้ำที่และขอบข่ำยงำนแค่ไหน
าเท
8) การแบ่งส่วนราชการต้องไม่ให้เกิดความสับสนในเรื่องการสั่งงานและ
การรับคาสั่ง กล่ำวคือ กำรแบ่งส่วนรำชกำรที่ดีนั้น จะสร้ำงกลไกให้เจ้ำหน้ำที่หรือข้ำรำชกำร
ศึกษ
คนหนึ่งรับคำสั่งจำกผู้บังคับบัญชำเพียงคนเดียว (Unity of command) มิฉะนั้นข้ำรำชกำรหรือ
ผูใ้ ต้บังคับบัญชำจะเกิดสับสนว่ำ ตนจะรับคำสั่งจำกใคร จะทำงำนตำมคำสั่งของผู้บังคับบัญชำ
กา ร
คนไหนก่ อน และจะรำยงำนแก่ ใคร กำรมี Unity of command ช่วยให้ก ำรแนะนำ ตรวจสอบ
เพื่อ
ควบคุม มีประสิทธิภำพ และงำนบรรลุผลตำมแผนที่วำงไว้
9) การแบ่งส่วนราชการควรจะให้เกิดดุลระหว่างส่วนราชการ กล่ำวคือ
ิต
ส่วนรำชกำรใดมีหน้ำที่และควำมรับผิดชอบงำนสำคัญ ก็ควรจะเป็นส่วนรำชกำรใหญ่หรือเป็น
นดุส
2 ประกำร คือ
าวิท
รำชกำรนัน้
(2) ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชำระดั บ สู ง (Executive หรื อ Top management) หรื อ ผู้ มี
อำนำจในกำรแบ่งส่วนรำชกำร ให้ควำมสำคัญแก่งำนที่ตนถนัดหรือมีพืน้ ฐำนควำมรูอ้ ยู่มำกเกิน
สมควร ทำให้ลืมควำมสำคัญของงำนด้ำนอื่นที่ควรจะสำคัญมำกกว่ ำ ทั้งนี้เพรำะมีแนวโน้มอยู่
ว่ำ บุคคลมีควำมถนัดทำงใดหรือพื้นควำมรู้ทำงใด มักจะถือว่ำ งำนด้ำนนั้นสำคัญกว่ำงำนด้ำน
อื่น ถ้ ำในหน่ ว ยรำชกำรใดแบ่ งส่ วนรำชกำรไม่ ได้ดุ ล ตำมควำมส ำคั ญ ของหน้ ำที่ แ ละควำม
44
"
่านั้น
ที่มีฐำนะเทียบกอง ตลอดจนกำรแบ่งส่วนรำชกำรเป็นอย่ำงอื่นนอกจำกกองหรือส่วนรำชกำรที่
มีฐำนะเทียบกอง ซึ่งจะไปปรำกฏในพระรำชกฤษฎีกำแบ่งส่วนรำชกำรของแต่ละกรมนั้นจะต้อง
าเท
ดำเนินกำรตำมขั้นตอนดังต่อไปนี้
1) การพิ จารณาในระดับ ต้น ในขั้นนี้โดยปกติจะริเริ่ม จำกส่วนรำชกำร
ศึกษ
ระดับ กรมที่มีค วำมจำเป็นต้องปรับปรุงส่วนรำชกำร เนื่องจำกมีหน้ำที่และควำมรับ ผิดชอบ
เพิ่ ม ขึ้ น หรื อ มี ป ริ ม ำณงำนที่ เ พิ่ ม ขึ้ น หรื อ เพื่ อ ปรั บ ปรุ ง กำรจั ด ส่ ว นรำชกำรให้ ทั น สมั ย มี
กา ร
ประสิทธิภำพก็จะเสนอให้หัวหน้ำส่วนรำชกำรพิจำรณำ ซึ่งโดยปกติหัวหน้ำส่วนรำชกำรจะมอบ
เพื่อ
ให้ ห น่ ว ยงำนกำรเจ้ ำ หน้ ำ ที่ เ ป็ น เจ้ ำ ของเรื่ อ ง หรื อ จะด ำเนิ น กำรในรู ป ของคณะท ำงำนที่
ประกอบด้วยผู้แทนจำกกองต่ำงๆ พิจำรณำหำรือกั น จนกระทั่งได้ข้อยุ ติ ก็ จะเสนอเรื่องให้
กระทรวงพิจำรณำ
ิต
นดุส
เลขำธิกำรคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจำรณำต่อไป
ในกำรพิจำรณำในระดับกระทรวงนั้น ควรจะพิจำรณำในเรื่องกำรแก้ปัญหำ
ยาล
งำนซ้ำซ้อนหรืองำนเหลื่อมล้ำกันระหว่ำงส่วนรำชกำร กำรกำหนดอำนำจหน้ำที่ของแต่ละส่วน
รำชกำรให้แน่นอน ชัดเจน กำรปรับปรุงระบบงำนและขั้นตอนในกำรปฏิบัติงำนให้ง่ำยและสั้น
าวิท
และมีประสิทธิภำพ
3) การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อสำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี
ได้รับเรื่องกำรแบ่งส่วนรำชกำรที่กระทรวงต่ำงๆ เสนอมำให้พิจำรณำนำเสนอคณะรัฐมนตรีนั้น
สำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรีจะส่งเรื่องให้สำนักงำน ก.พ. และสำนักงบประมำณร่วมกันเสนอ
ควำมเห็นเพื่อประกอบกำรพิจำรณำของคณะรัฐมนตรีใน 4 เรื่อง คือ กำรแบ่งส่วนรำชกำร
กำรก ำหนดอ ำนำจหน้ ำที่ ข องแต่ ล ะส่ ว นรำชกำร กำรจั ด อั ต รำก ำลั ง และกำรจั ด สรรเงิ น
งบประมำณให้สอดคล้องไปในครำวเดียวกันด้วย
45
เมื่อคณะรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบและตรำเป็นพระรำชกฤษฎีกำ โดยระบุ
อำนำจหน้ำที่ของแต่ละส่วนรำชกำรไว้ในพระรำชกฤษฎีกำ และประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำ
แล้วถือว่ำ กำรแบ่งส่วนรำชกำรดังกล่ำวมีผลบังคับตำมกฎหมำย ใช้เป็นหลักในกำรบริหำรงำน
ต่อไปได้
สำหรับกำรแบ่งส่วนรำชกำรออกเป็นกระทรวง หรือทบวง หรือกรม โดยกำรจัดตั้ง
ขึ้น ใหม่ ห รื อ ยุ บ เลิ ก ส่ ว นรำชกำรที่ มี อ ยู่ เดิ ม ก็ มี ขั้ น ตอนเพิ่ ม ขึ้ น คื อ จะต้ อ งเสนอให้ รัฐ สภำ
"
พิจำรณำอนุมัติเพื่อตรำเป็นพระรำชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และจะมีผลบังคับ
่านั้น
ภำยหลังที่ได้ประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำแล้ว
าเท
การควบคุมการบริหารราชการ
ศึกษ
กำรบริหำรงำนใด ๆ ก็ตำม วัตถุประสงค์ที่สำคัญประกำรแรกก็คือกำรดำเนินงำน
กา ร
ให้สำเร็จตำมเป้ำหมำยที่วำงไว้อย่ำงมีประสิทธิภำพ และในบรรดำกระบวนกำรในกำรบริหำร
(Administration processes) ที่ จ ะน ำไปสู่ ค วำมส ำเร็ จ นั้ น กำรควบคุ ม งำน (Control) เป็ น
เพื่อ
กระบวนกำรที่สำคัญ ประกำรหนึ่ง เพรำะจะช่วยให้กำรประสำนงำนระหว่ำงหน่วยงำนต่ำง ๆ
ด ำเนิ นงำนไปด้ว ยดีและช่วยให้ เ กิดควำมมั่ นใจว่ำ แต่ละหน่วยงำนในองค์ ก ำรได้ป ฏิบัติ งำน
ิต
สำเร็จตำมที่ได้รับมอบหมำย
นดุส
1. การควบคุมภายในวงราชการ
กำรควบคุมภำยในวงรำชกำร (Internal control) ได้แก่ กำรควบคุมตำมลำดับ
ชั้นของสำยกำรบังคับบัญชำ และกำรควบคุมโดยหน่วยงำนต่ำง ๆ ของรัฐ คือ
1) การควบคุ ม ตามล าดั บ ชั้ น ของสายการบั งคั บ บั ญ ชา กำรควบคุ ม
ตำมล ำดั บชั้นของสำยกำรบังคับ บัญ ชำ หมำยถึงกำรควบคุมโดยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่ำ
ควบคุ ม กำรปฏิ บั ติ ง ำนของผู้ ที่ อ ยู่ ใ นต ำแหน่ ง ที่ ต่ ำกว่ ำ ลดหลั่ น กั น ไปตำมล ำดั บ ตั้ ง แต่
นำยกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้อำนวยกำรกองหรือหัวหน้ำกอง หัวหน้ำงำน
46
หรือหัวหน้ำแผนก ไปจนถึงผู้ปฏิบัติงำนในแต่ละเรื่องหรือแต่ละด้ำนสำหรับเทคนิคหรือวิธีกำร
ในกำรควบคุ มงำนตำมล ำดั บ ชั้ นของสำยกำรบังคับบัญ ชำนั้น ก็ อำจจะเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง
ดังต่อไปนีไ้ ด้ตำมควำมเหมำะสมเช่น
(1) การใช้แผนผัง (Chart) กำรควบคุมโดยวิธีนี้เป็นวิธีกำรอย่ำงง่ำย ๆ
โดยกำหนดรำยละเอียดกำรดำเนินงำนในด้ำนต่ำงๆ พร้อมทั้งระยะเวลำเพื่อใช้ในกำรตรวจสอบ
งำน ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมกันมำก เพรำะสะดวกต่อกำรใช้และสำมำรถจัดทำได้ง่ำย
"
่านั้น
(2) การใช้งบประมาณ (Budgeting) ในกำรดำเนินงำนประจำปกติ
หรืองำนที่มีแผนหรือโครงกำรกำหนดไว้ สำมำรถควบคุมได้โดยอำศัยงบประมำณ เช่น กำรจัด
าเท
งบประมำณให้ตำมผลงำนที่ได้รับหรือจัดสรรงบประมำณโดยแบ่งออกเป็นงวดๆ ถ้ำปฏิบัติงำน
ไม่แล้วเสร็จตำมแผนงำนหรือโครงกำรที่กำหนด หรือไม่เป็นไปตำมระยะเวลำที่กำหนดก็จะต้อง
ศึกษ
ชี้แจงเหตุผล และควำมจำเป็น ที่ ท ำให้งำนไม่แล้วเสร็จตำมก ำหนด มิฉ ะนั้น อำจระงับ กำร
จ่ำยเงินงบประมำณไว้ก่อน เป็นต้น
กา ร
(3) การตรวจงาน (Inspect) กำรไปตรวจงำน ณ จุดที่ปฏิบัติจะทำให้
เพื่อ
เกิดผลดีในด้ำนควำมรวดเร็ว และมองเห็นสภำพกำรปฏิบัติงำนที่แท้จริง และในขณะเดียวกันก็
สำมำรถสอนแนะแก่ผปู้ ฏิบัติงำนพร้อมกันไปด้วย
ในกรณีที่มีควำมจำเป็นต้องตรวจเป็นประจำหรืองำนที่มีปัญหำเกี่ยวกับ
ิต
นดุส
ตัวบุคคลหรืองำนที่ต้องกำรคำแนะนำเพิ่มเติม ส่วนรำชกำรต่ำงๆมักจะกำหนดให้มีตำแหน่ง
เพื่อรับ ผิดชอบด้ำนกำรตรวจงำนนี้โดยทำงตรง เช่น ตำแหน่งผู้จัดกำร หรือตำแหน่งผู้ตรวจ
ัยสว
รำชกำรต้องส่งรำยงำนเป็นระยะ ๆ หรือรำยงำนพิเศษเกี่ยวกับกิจกำรของหน่วยรำชกำรนั้นๆ
าวิท
ไม่อำศัยข้อเท็จจริงเลยก็ได้ หรือจะทำให้ผู้บังคับบัญชำระดับสูงขึ้นไปไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและ
แท้จริง
(5) การใช้ห้องปฏิบัติการ(Operation room) ใช้ในกำรควบคุมงำนที่มี
ขอบเขตกว้ำงขวำง หน่วยงำนหรือส่วนรำชกำรต่ำง ๆ มักจะสร้ำงห้องปฏิบัติกำรเพื่อใช้ควบคุม
กำรบริหำรรำชกำรโดยกำรจำลองแผนกำรดำเนินงำนของหน่วยงำนต่ำง ๆ ทั้งหมด มีก ำร
เชื่ อ มโยงงำนด้ ำ นต่ ำ ง ๆ มี ร ะบบกำรรำยงำน กำรสั่ ง งำน ไปแสดงในห้ อ งปฏิ บั ติ ก ำรซึ่ ง
ผูบ้ ังคับบัญชำสำมำรถควบคุมกำรดำเนินงำน ของหน่วยงำนต่ำง ๆ ได้ตลอดเวลำ
47
"
่านั้น
ต่ำง ๆ เป็นต้น
(2) สานักงบประมาณ ควบคุมด้ำนกำรจัดสรรงบประมำณ กำรอนุมัติ
าเท
เงินงวด ตลอดจนกำรติดตำมกำรใช้จ่ำยเงินงบประมำณให้เป็นไปตำมแผนหรือโครงกำรที่วำงไว้
(3) ส านัก งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ควบคุม
ศึกษ
ด้ำนกำรบริหำรงำนบุคคลของส่วนรำชกำรต่ำง ๆ คือ ทำหน้ำที่เป็นองค์กำรบริหำรงำนบุคคล
กลำง
กา ร
(4) สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ
เพื่อ
ประพฤติมิ ชอบในข้ าราชการ (ป.ป.ป.) ควบคุมด้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบในวง
รำชกำรในกรณีตำ่ ง ๆ
ิต
ให้เป็นไปตำมระเบียบของรำชกำร
จะเห็นได้ว่ำ หน่วยงำนต่ำงๆดังกล่ำวข้ำงต้น ส่วนใหญ่ สังกั ดนำยกรัฐ มนตรี
ยกเว้นกรมบัญชีกลำง และสำนักงำนตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.)
นอกจำกนี้ ยังมีหน่วยงำนอื่น ๆ ที่มีส่วนในกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรไม่
ทำงใดก็ทำงหนึ่งอีกมำก เช่น สำนักงำนเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี สำนักงำนสภำควำมมั่นคง
แห่งชำติ สำนักงำนคณะกรรมกำรกฤษฎีกำ สำนักงำนคณะกรรมกำรศึกษำแห่งชำติ เป็นต้น
48
"
่านั้น
เป็นไปตำมควำมต้องกำรของกลุ่มหรือสมำคมของตน
นอกจำกลุ่มผลประโยชน์ทำงเศรษฐกิจแล้ว ยังมีกลุ่มอิทธิพลทำงกำรเมือง
าเท
(Pressure groups) เช่น ศู น ย์ นิ สิ ต นั ก ศึ ก ษำกลุ่ ม กระทิ งแดง กลุ่ ม นวพล เป็ น ต้ น กลุ่ ม ต่ ำงๆ
เหล่ำนี้จะเกิดขึน้ และสลำยตัวไปตำมภำวะทำงกำรเมืองของประเทศ กลุ่มอิทธิพลทำงกำรเมือง
ศึกษ
นี้มีส่วนในกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรมำก บำงยุคบำงสมัยได้สร้ำงเงื่อนไขนำไปสู่ควำม
เปลี่ยนแปลงทำงรัฐบำลได้
กา ร
2) การควบคุมโดยสื่อมวลชน (Mass media) ซึ่งอำจเรียกได้เป็น
เพื่อ
(1) หนั งสื อ พิ ม พ์ หนั งสื อ พิ ม พ์ น อกจำกจะเป็ น สื่ อ กลำงแสดงควำม
คิดเห็นและควำมต้องกำรของประชำชนแล้ว ยังช่วยควบคุมกำรปฏิบัติงำนของข้ำรำชกำรและ
ิต
ควบคุมกำรปฏิบัติงำนของข้ำรำชกำรและกำรบริหำรงำนของหน่วยงำนรำชกำรต่ำงๆ ได้เป็น
อย่ำงดี โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งโทรทัศน์ เพรำะจะสำมำรถแสดงให้เห็นได้ชัดเจนและรวดเร็ว เช่น
ยาล
"
ข้อเท็ จจริงในเรื่อ งนั้ น ๆ นอกจำกกำรตั้งกระทู้ถ ำมกำรบริห ำรรำชกำรในเรื่อ งต่ ำง ๆ แล้ ว
่านั้น
สมำชิกรัฐสภำผู้แทนรำษฎรยังอำจเข้ำชื่อรวมกันขอเปิดอภิปรำยไม่ไว้วำงใจคณะรัฐมนตรีเป็น
าเท
รำยบุคคลหรือทั้งคณะ โดยจะมีกำรลงมติหรือไม่ลงมติก็ได้ด้วย
5) การควบคุมโดยตรงจากประชาชน กำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำร
ศึกษ
โดยตรงจำกประชำชนนั้ น อำจท ำได้ ห ลำยทำงด้ วยกั น เช่ น กำรยื่ น เรื่อ งรำวร้อ งทุ ก ข์ห รื อ
ร้องเรียนต่อนำยกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รัฐมนตรีหรือข้ำรำชกำรชั้นผู้ใหญ่ ในกรณีที่ข้ำรำชกำร
กา ร
หรือหน่วยรำชกำรไม่ให้ควำมเป็นธรรมหรือไม่ปฏิ บัติตำมหน้ำที่ หรือไม่ดำเนินกำรให้แล้วเสร็จ
ภำยในระยะเวลำอันสมควร นอกจำกนั้น ยังอำจเสนอควำมคิดเห็นเกี่ยวกับกำรปรับปรุงแก้ไข
เพื่อ
สรุป
ยาล
กำรบริหำรรำชกำรเป็นกำรดำเนินงำนเพื่อประโยชน์สุขของประชำชนทั้งประเทศ
าวิท
"
ควบคุ มโดยสื่ อมวลชน กำรควบคุ ม โดยพรรคกำรเมือ ง กำรควบคุ ม โดยรัฐ สภำ และกำร
่านั้น
ควบคุมโดยตรงจำกประชำชน
าเท
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3
ศึกษ
1. อธิบำยถึงที่มำของอำนำจในกำรบริหำรรำชกำรต่ำงๆ
กา ร
2. อธิบำยถึงกำรแบ่งส่วนรำชกำรและหลักในกำรแบ่งส่วนรำชกำร
3. อธิบำยขั้นตอนในกำรพิจำรณำกำรแบ่งส่วนรำชกำร
เพื่อ
4. อธิบำยกำรควบคุมกำรบริหำรรำชกำรจำกภำยในและภำยนอก
5. ยกตัวอย่ำงกำรใช้อำนำจในกำรบริหำรรำชกำรที่ไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส
ิต
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
เอกสารอ้างอิง
วรเดช จันทรศร. (2543). กำรขยำยตัวของหน่วยงำนในระบบรำชกำรไทย : ปัญหำ อุปสรรค
และแนวโน้ม. กรุงเทพมหำนคร. สมำคมนักวิจัยมหำวิทยำลัยไทย.
ส ำนั ก งำน ก.พ. (2542). ตลำดสั ม มนำปฏิ รู ป รำชกำรเพื่ อควำมอยู่ ร อดของไท ย.
กรุงเทพมหำนคร. สถำบันพัฒนำข้ำรำชกำรพลเรือน สำนักงำน ก.พ.
สมำน รังสิโยกฤษฎ์ และ สุ ธี สุ ท ธิสมบู รณ์ . (2541) กำรบริหำรรำชกำร. กรุงเทพมหำนคร
"
่านั้น
สวัสดิกำรสำนักงำน ก.พ. สำนักงำน ก.พ.
สมำน รั ง สิ โ ยกฤษฎ์ . (2543). กำรบริ ห ำรรำชกำรไทย อดี ต ปั จ จุ บั น และอนำคต.
าเท
กรุงเทพมหำนคร. สำนักพิมพ์บรรณกิจ.
Owen E. Hughes. ( 1 9 9 8 ). Public Management and Administration. 2nd ed. London :
ศึกษ
Macmillan.
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
บทที่ 4
หลักการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน
ในรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินในส่วนกลาง
"
และส่วนภูมภิ าค
่านั้น
าเท
เอกอนงค์ ศรีสำอำงค์
ศึกษ
รูปแบบกำรจัดระเบียบกำรบริหำรรำชของไทยในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น กำรบริหำร
กา ร
รำชกำรส่วนกลำง กำรบริหำรรำชกำรส่วนภูมิภำค และกำรบริหำรรำชกำรส่วนท้องถิ่น จะ
กล่ำวถึงในส่วนของรูปแบบกำรบริหำรรำชกำรส่วนกลำง ซึ่งประกอบด้วยกระทรวง กรม ต่ำงๆ
เพื่อ
กำรบริหำรรำชกำรส่วนกลำงจึงเป็นอำนำจหน้ำที่และควำมรับผิดชอบโดยตรงของส่วนกลำง
หรือรัฐบำลกลำงเพื่อประโยชน์ของสังคมหรือประเทศเป็นส่วนรวม และในส่วนของรูปแบบกำร
ิต
รูปแบบการจัดระเบียบการบริหารราชการของประเทศไทยในปัจจุบัน
ัยสว
การบริหารราชการส่วนกลาง
ยาล
ส่วนกลำงจึงเป็นอำนำจหน้ำที่และควำมรับผิดชอบโดยตรงของส่วนกลำง หรือรัฐบำลกลำงเพื่อ
ประโยชน์ของสังคมหรือประเทศเป็นส่วนรวม มิได้มุ่งเพื่อประโยชน์ของชุมชนหรือท้องถิ่นหนึ่ง
ท้องถิ่นใดโดยเฉพำะ กำรบริหำรรำชกำรส่วนกลำงจึง เป็นกำรจัดระเบียบที่ยึดหลักกำรรวม
อำนำจกำรจั ด โครงสร้ำงหน่ ว ยรำชกำรส่วนกลำงปั จจุ บั นมุ่ งเน้ น กำรจัด แบ่ งออกเป็ น กลุ่ ม
ภำรกิจที่สำคัญของภำครัฐ ให้มีควำมสัมพันธกัน มุ่งเน้นทำให้กำรจัดโครงสร้ำงองคภำครัฐให้
มีควำมชัดเจนเป็นเอกภำพ ขจัดควำมทับซ้อนของงำนในกลุ่มภำรกิจต่ำงๆ รวมทั้งยึดหลักกำร
สร้ำงองค์กรใหม่ที่มีประสิทธิภำพประสิทธิผล ตอบสนองควำมต้องกำรของประชำชน ประหยัด
54
"
่านั้น
1) ส ำนั ก นำยกรั ฐ มนตรี มี ฐ ำนะเป็ น ที ม งำนฝ่ ำ ยกำรเมื อ ง มี เป้ ำ หมำยเพื่ อ
สนั บ สนุ น กำรท ำงำน ของรั ฐ มนตรี แ ละของกระทรวงในเชิ งยุ ท ธศำสตร์แ ละกำรวิ เครำะห์
าเท
สถำนกำรณ์ กำรเชื่อมโยงนโยบำยของกระทรวงกับภำพรวมนโยบำยของรัฐบำลระดับมหภำค
กำรประสำนนโยบำยกับกระทรวงต่ำงๆ ตลอดจนจัดทำรำยงำนกับฝ่ำยประจำเพื่อสนับสนุน
ศึกษ
รัฐมนตรีในกำรจัดท ำนโยบำย เป้ำหมำย และผลสัมฤทธิ์ของกระทรวงที่รัฐมนตรีจะต้องท ำ
ข้อ ตกลงกำรท ำงำนกั บ คณะกรรมกำรกำรนโยบำยของรัฐ บำลตลอดจนจัด ท ำรำยงำนต่ อ
กา ร
รัฐ บำล รัฐ สภำและสำธำรณชน และเป็ นแกนประสำนเชื่อมโยงกำรดำเนิน นโยบำยรัฐ บำล
ระหว่ำงกระทรวง
เพื่อ
ของกระทรวงให้ว่ำงอยู่บนหลักกำรและเป็นไปตำมหลักกำรวิชำกำรอย่ำงเป็นระบบสำนักงำน
ปลัดกระทรวงจึงถูกออกแบบให้รับผิดชอบภำรกิจด้ำนยุทธศำสตร์ (Strategic Function) ภำรกิจ
ัยสว
ภำรกิจเฉพำะด้ำนที่ตอบสนองวัตถุประสงค์หลักอันหนึ่งของกระทรวง
4) กรมหรือส่ว นรำชกำรที่เรีย กชื่อเป็ นอย่ำงอื่น เป็ นหน่วยงำนที่รับ ผิด ชอบ
าวิท
ภำรกิจหลักภำยใต้กลุ่มภำรกิจหรือภำยใต้กระทรวง ตำมที่กำหนดในกฎกระทรวง
"มห
5) กลุ่มงำน/ฝ่ำย/งำน/สำขำหรือส่วนรำชกำรที่เรียกชื่ออย่ำงอื่น หลักกำรในกำร
จัดกระทรวงที่เป็นหน่วยงำนรำชกำรดังกล่ำวข้ำงต้น มุ่งเน้นให้กระทรวงทำบทบำทหลักที่ชัดเจน
โดยหน่วยรำชกำรส่วนกลำงในยุคใหม่ควรเน้นบทบำทสำคัญ 3 ประกำรคือ (1) บทบำทภำรกิจ
ในกำรก ำหนดนโยบำย (Policy Formulation) (2) บทบำทภำรกิ จ ในกำรวำงและก ำกั บ
กฎระเบียบและกำรตรวจสอบ (Regulation) และ (3) บทบำทภำรกิจ ในกำรสนับสนุนส่งเสริม
(Promotion)
55
2. การกาหนดอานาจหน้าที่โครงสร้างภายใน
1) สานักนายกรัฐมนตรี มีเพียงหน่วยงำนเดียว มีฐำนะเป็นกระทรวงและยังมี
บทบำทเป็น แหล่งประสำนงำนระหว่ำงกระทรวงต่ำงๆ และงำนอื่นๆ ในระดับชำติอกี ด้วย
2) กระทรวง เป็ น หน่ ว ยงำนของข้ ำ งรำชกำรส่ ว นกลำงที่ ใ หญ่ ที่ สุ ด ซึ่ ง
รับผิดชอบงำนเฉพำะด้ำนใดด้ำนหนึ่งของประเทศ ในแต่ละกระทรวงมีรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวง
เป็ นผู้บั งคั บ บัญ ชำข้ำรำชกำรและก ำหนดนโยบำยของกระทรวงให้สอดคล้องกั บ นโยบำยที่
"
่านั้น
คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติและรับผิดชอบในกำรปฏิบัติรำชกำรของกระทรวง และจะให้มี
รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติรำชกำรแทนก็ได้ ส่วนรำชกำรของกระทรวงมี
าเท
หน้ำที่และควำมรับผิดชอบ ดังนี้
(1) สำนักงำนเลขำนุกำรรัฐมนตรี มีหน้ำที่เกี่ยวกับรำชกำรทำงกำรเมือง มี
ศึกษ
เลขำนุกำรรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้ำรำชกำรกำรเมืองเป็นผู้บังคับ ข้ำรำชกำรและรับผิดชอบในกำร
ปฏิบัติรำชกำรของสำนักงำนขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวง และจะให้มีผู้ช่วยเลขำนุกำร
กา ร
รั ฐ มนตรี ค นหนึ่ ง หรื อ หลำยคนซึ่ ง เป็ น ข้ ำ รำชกำรกำรเมื อ งเป็ น ผู้ ช่ ว ยปฏิ บั ติ ร ำชกำรแทน
เพื่อ
เลขำนุก ำร รัฐมนตรีก็ ได้ส ำนัก งำนเลขำนุก ำรรัฐมนตรีตำมกฎหมำยว่ำด้วยระเบีย บบริหำร
รำชกำรแผ่นดินในปัจจุบัน ไม่มีฐำนะเทียบเท่ำกรมและไม่มีบัญญัติไว้ว่ำจะแบ่งส่วนรำชกำรใน
สำนักงำนนีอ้ ย่ำงไร
ิต
นดุส
(2) ส ำนั ก งำนปลั ด กระทรวง มี ฐ ำนะเป็ น กรม มี อ ำนำจหน้ ำ ที่ เกี่ ย วกั บ
รำชกำรประจำทั่วไปของกระทรวงและรำชที่คณะรัฐมนตรีมิได้กำหนดให้เป็นหน้ำที่ของกรมใด
ัยสว
3) กรม เป็นหน่วยงำนรำชกำรขนำดกลำงรับผิดชอบงำนด้ำนใดด้ำนหนึ่งของ
รัฐแยกย่อยจำกกระทรวง หรือ ทบวง กรมอำจสังกั ดสำนัก นำยกรัฐมนตรี สังกั ดกระทรวง
ทบวง หรือเป็นกรมอิสระก็ได้ กำรจัดระเบียบรำชกำรในกรม กรมหรือส่วนรำชกำรที่มีฐำนะเป็น
กรมซึ่ งมี ค วำมจ ำเป็ น หรื อเหตุ ผ ลพิ เศษจะแบ่ งส่ ว นรำชกำรที่ เรีย กชื่อ อย่ ำงอื่น และมี ฐ ำนะ
เทียบเท่ำกองหรือแผนกก็ได้
56
"
่านั้น
กระทรวงต่ำงประเทศ กระทรวงมหำดไทย และกระทรวงยุติธรรม
(1) สานักนายกรัฐมนตรี พระรำชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม
าเท
พ.ศ. 2545 มำตรำ6 ก ำหนดอ ำนำจหน้ ำ ที่ ค วำมรั บ ผิ ด ชอบ ส ำนั ก นำยกรั ฐ มนตรี โดยมี
นำยกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญ ชำข้ำรำชกำรและกำหนดนโยบำยของสำนักนำยกรัฐมนตรีให้
ศึกษ
สอดคล้องกับนโยบำยที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติ และรับผิดชอบในกำรปฏิบัติรำชกำร
ของส ำนั ก นำยกรั ฐ มนตรี รวมทั้ ง ให้ มี ร องนำยกรั ฐ มนตรี หรื อ รั ฐ มนตรี ป ระจ ำส ำนั ก
กา ร
นำยกรัฐมนตรี หรือมีทั้งรองนำยกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีประจำสำนักนำยกรัฐมนตรีเป็นผู้ช่วย
เพื่อ
สั่งและปฏิบัติรำชกำรก็ได้ ทั้งนี้เป็นไปตำมที่นำยกรัฐมนตรีมอบหมำยผูบ้ ังคับบัญชำและผูร้ ับผิด
งำนของสำนักนำยกรัฐมนตรี นอกจำกนำยกรัฐมนตรี รองนำยกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำ
สำนั ก นำยกรัฐมนตรีแล้ว ยังมีป ลั ด ส ำนัก นำยกรัฐมนตรีคนหนึ่ง มีหน้ำที่รับ ผิดชอบควบคุม
ิต
นดุส
สั่งหรือปฏิบัติรำชกำรแทนปลัดสำนักนำยกรัฐมนตรีก็ได้สำนักนำยกรัฐมนตรี จัดเป็นหน่วยงำน
ที่มีอำนำจหน้ำที่กว้ำงขวำงมำกเช่นรำชกำรทั่วไปของนำยกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี รวมทั้ง
าวิท
แห่ งชำติ กฤษฎี ก ำ ซึ่ งเป็น หน่ว ยงำนขึ้น ตรงต่ อนำยกรัฐ มนตรี รวมทั้ งควบคุ มบังคั บ บั ญ ชำ
ข้ำรำชกำรอื่นๆ ซึ่งมิได้อยู่ในอำนำจหน้ำที่ของกระทรวง ทบวง กรม ใดโดยเฉพำะ
57
กำรจัดระเบียบและกำรจัดองค์กำรสำนักนำยกรัฐมนตรีแบ่งส่วนรำชกำร
ออกเป็นสำนักเลขำธิกำรนำยกรัฐมนตรี สำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี สำนักงำนปลัดสำนัก
นำยกรั ฐ มนตรี และมี ส ำนั ก ส ำนั ก งำน และกรม ซึ่ งทุ ก หน่ วยมี ฐ ำนะเป็ น กรมขึ้น ต่ อ ส ำนั ก
นำยกรัฐมนตรี โดยปัจจุบันหน่วยงำนขึ้นตรงต่อนำยกรัฐมนตรี ได้แก่
• สำนักข่ำวกรองแห่งชำติ
• สำนักงบประมำณ
"
• สำนักงำนสภำควำมมั่นคงแห่งชำติ
่านั้น
• สำนักงำนคณะกรรมกำรกฤษฎีกำ
าเท
• สำนักงำนคณะกรรมกำรข้ำรำชกำรพลเรือน
• สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำระบบรำชกำร
ศึกษ
• สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ
• สำนักงำนคณะกรรมกำรพิเศษเพื่อประสำนงำนโครงกำรอันเนื่องมำจำก
กา ร
พระรำชดำริ
• สำนักเลขำธิกำรนำยกรัฐมนตรี มีอำนำจหน้ำที่เกี่ยวกับรำชกำรกำรเมือง
เพื่อ
นำยกรัฐมนตรีฝ่ำยบริหำรเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติรำชกำรด้วยก็ได้
• ส ำนั ก เลขำธิ ก ำรคณะรั ฐ มนตรี มี อ ำนำจหน้ ำที่ เกี่ ย วกั บ รำชกำรของ
ัยสว
คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติรำชกำร และจะให้มีผู้ช่วยเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรีด้วยก็ได้
• ส ำนั ก งำนปลั ด ส ำนั ก นำยกรั ฐ มนตรี มี อ ำนำจหน้ ำที่ เกี่ ย วกั บ รำชกำร
าวิท
ประจำทั่วไปของสำนักนำยกรัฐมนตรี และรำชกำรที่คณะรัฐมนตรีมิได้กำหนดให้เป็นหน้ำที่ของ
"มห
โครงสร้างส่วนราชการของสานักนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี
ส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ได้แก่
- สำนักรำชเลขำธิกำร
- สำนักพระรำชวัง
- สำนักงำนพระพุทธศำสนำแห่งชำติ
รองนายกฯ - รำชบัณฑิตยสถำน
"
่านั้น
- สำนักงำนตำรวจแห่งชำติ
- สำนักงำนคณะกรรมกำรวิจัยแห่งชำติ
- สำนักคณะกรรมกำรพิเศษเพื่อประสำนงำน
าเท
สานักนายกรัฐมนตรี โครงกำรอันเนื่องมำจำกพระรำชดำริ
- สำนักงำนป้องกันและปรำบปรำมกำรฟอกเงิน
ศึกษ
กา ร
เพื่อ
ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชา ส่วนราชการอื่น
ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
ิต
นดุส
ส่วนรำชกำรช่วยอำนวยกำร
- สำนักเลขำธิกำรนำยกรัฐมนตรี
ัยสว
- สำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี
- สำนักงำนสภำควำมมั่นคงแห่งชำติ
ยาล
- สำนักข่ำวกรองแห่งชำติ
าวิท
องค์กำรกลำง
- สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติ
"มห
- สำนักงำนคณะกรรมกำรข้ำรำชกำรพลเรือน
- สำนักงำนคณะกรรมกำรกฤษฎีกำ
- กรมประชำสัมพันธ์
- สำนักงำนคณะกรรมกำรคุ้มครองผู้บริโภค
รัฐวิสำหกิจ
- องค์กำรสื่อสำรมวลชนแห่งประเทศไทย
- กำรท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
59
"
่านั้น
หน้ำที่ของกระทรวงกลำโหมหรือส่วนรำชกำรที่สังกัดกระทรวงกลำโหม
ส่ ว นกำรจั ด ระเบี ย บรำชกำรกระทรวงกลำโหมให้ เป็ น ไปตำมกฎหมำย
าเท
ข้อบังคับ และระเบียบ สำมำรถแบ่งส่วนรำชกำรได้ดังนี้
ศึกษ
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงกลาโหม
กา ร
กระทรวงกลาโหม
เพื่อ
สานักงานเลขานุการรัฐมนตรี สานักงานปลัดกระทรวง
ิต
นดุส
กองบัญชาการทหารสูงสุด กรมราชองครักษ์
ัยสว
ยาล
กองทัพบก องค์กรรัฐวิสาหกิจ
าวิท
กองทัพอากาศ
"มห
กองทัพเรือ
ส่วนราชการอื่น
60
"
่านั้น
กำรบริหำรหนี้สำธำรณะ กำรบริหำรและกำรพัฒนำรัฐวิสำหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐ
ส่วนรำชกำรที่สังกัดกระทรวงกำรคลัง ประกอบไปด้วย
าเท
1. สำนักงำนรัฐมนตรี
2. สำนักงำนปลัดกระทรวง
ศึกษ
- สำนักงำนเศรษฐกิจกำรคลัง
- กรมบัญชีกลำง
กา ร
- หน่วยงำนในกำกับ สถำบันวิจัยนโยบำยเศรษฐกิจกำรคลัง
เพื่อ
3. กลุ่มทรัพย์สินและหนี้สนิ
- กรมธนำรักษ์
ิต
- สำนักงำนคณะกรรมกำรนโยบำยรัฐวิสำหกิจ
นดุส
- สำนักงำนบริหำรหนี้สำธำรณะ
- องค์กรบริหำรประสิทธิภำพ สำนักกษำปณ์
ัยสว
4. กลุ่มรำยได้
ยาล
- กรมศุลกำกร
- กรมสรรพสำมิต
าวิท
- กรมสรรพำกร
5. รัฐวิสำหกิจ
"มห
- สำนักงำนสลำกกินแบ่งรัฐบำล
- โรงงำนยำสูบ , องค์กรสุรำ , องค์กรไพ่
- ธนำคำรกรุงไทย จำกัด (มหำชน) , ธนำคำรออมสิน , ธนำคำรเพื่อ
กำรเกษตรและสหกรณ์ ก ำรเกษตร , ธนำคำรเพื่อกำรส่งออกและนำเข้ำแห่งประเทศไทย ,
ธนำคำรอำคำรสงเครำะห์
61
- บรรษัทตลำดรองสินเชื่อที่อยู่อำศัย , บรรษัทเงินทุนอุตสำหกรรม
ขนำดย่อม , บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสำหกรรมขนำดย่อม , บรรษัทบริหำรสินทรัพย์สถำบัน
กำรเงิน
- องค์กรเพื่อกำรปฏิรูประบบสถำบันกำรเงิน
"
โครงสร้างส่วนราชการของกระการคลัง
่านั้น
กระทรวงการคลัง
าเท
ศึกษ
กา ร สานักงานรัฐมนตรี
เพื่อ
โดยมีระบบกำรสื่อสำรติดต่อถึงส่วนรำชกำรที่ปฏิบัติงำนในประทศต่ำงๆ อย่ำงคล่องตัวรวดเร็ว
โดยมีส่วนรำชกำรดังต่อไปนี้
62
โครงสร้างส่วนราชการกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศ
สานักงานรัฐมนตรี
"
่านั้น
ปลัดกระทรวง
าเท
ศึกษ
สำนักงำนปลัดกระทรวง กรมยุโรป
กรมพิธีกำรทูต กรมอเมริกำและแปซิกฟิกใต้
กา ร
กรมสำรนิเทศ กรมเอเชียตะวันออก
กรมสนธิสัญญำและ กรมเอเชีย ตะวันออกกลำงและ
เพื่อ
กฎหมำย แอฟำริกำ
กรมกำรกงสุล กรมองค์กำรระหว่ำงประเทศ
กรมวิเทศสหกำร กรมอำเซียน
ิต
นดุส
กรมเศรษฐกิจระหว่ำงประเทศ
ัยสว
ส่วนรำชกำรในต่ำงประเทศ
ยาล
- สถำนเอกอัครรำชทูต 60 แห่ง
าวิท
- สถำนกงสุลใหญ่ 22 แห่ง
- คณะทูตถำวรประจำองค์กำรสหประชำชำติ 2 แห่ง
"มห
63
"
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงมหาดไทย
่านั้น
กระทรวงมหาดไทย
าเท
ศึกษ
สานักงานรัฐมนตรี
กา ร ปลัดกระทรวง
เพื่อ
กลุ่มภารกิจด้านความมัน่ คงภายใน
- กรมกำรปกครอง
ิต
- กรมที่ดิน
นดุส
ัยสว
กลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริม
การปกครองท้องถิ่น
ยาล
- กรมกำรพัฒนำชุมชน
- กรมส่งเสริมกำรปกครองท้องถิ่น
าวิท
กลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง
"มห
- กรมโยธำธิกำรและผังเมือง
- กรมป้องกันและบรรเทำสำธำรณภัย
64
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงยุติธรรม
"
่านั้น
กระทรวงยุติธรรม
าเท
ศึกษ
สำนักงำนรัฐมนตรี ส่วนรำชกำรไปสังกัดสำนักนำยกรัฐมนตรี
กระทรวงหรือทบวง แต่อยู่ในบังคับบัญชำของ
รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงยุติธรรม
กา ร
สำนักอัยกำรสูงสุด
ปลัดกระทรวง สำนักงำนป้องกันและปรำบปรำมกำร
เพื่อ
- สำนักงำนปลัดกระทรวง ฟอกเงิน
- กรมบังคับคดี
ิต
- สำนักงำนกิจกำรยุติธรรม
นดุส
กลุ่มภำรกิจด้ำนเสริมสร้ำงและอำนวยควำม
ยุติธรรม
ัยสว
- กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภำพ
- สถำบันนิติวิทยำศำสตร์
ยาล
กลุ่มภำรกิจด้ำนพฤตินิสัย
าวิท
- กรมคุมประพฤติ กลุ่มภำรกิจด้ำนปฎิบัติกำรบังคับใช้กฎหมำย
- กรมพินิจและคุ้มครองเด็ก - กรมตรวจคนเข้ำเมือง
และเยำวชน
"มห
- กรมสอบสวนคดีพิเศษ
- กรมรำชทัณฑ์
ส่วนรำชกำรที่อยู่ในบังคับบัญชำขึน้ ตรงต่อ
รัฐมนตรี
- สำนักงำนคณะกรรมกำรป้องกันและ
ปรำบปรำมยำเสพติด
65
2) กลุ่มกระทรวงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ เป็นกลุ่มกระทรวงที่เน้น
นโยบำยและยุ ท ธศำสตร์ในกำรพั ฒ นำประเทศ มี ลั ก ษณะเป็ น กำรพั ฒ นำข้ำ มช่ วงเวลำ มี
ควำมสำคัญต่อเนื่องตรำบเท่ำที่ประเทศและสังคมยังมีควำมต้องกำรและยังจำเป็นอยู่ แต่จะมี
กำรเปลี่ยนแปลง พัฒนำไปตำมสภำพและเงื่อนไขต่ำงๆของสังคม กลุ่มกระทรวงประกอบไป
ด้วย 10 กระทรวง ได้แก่
(1) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พระรำชบัญญั ติ
"
่านั้น
ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 มำตรำ 16 กำหนดให้กระทรวงกำรพัฒนำสังคม
และควำมมั่นคงของมนุษย์ มีอำนำจหน้ำที่เกี่ยวกับกำรพัฒนำสังคมกำรสร้ำงควำมเป็นธรรม
าเท
และควำมเสมอภำคในสังคม กำรส่งเสริมและพัฒนำคุณภำพและควำมมั่นคงในชีวิต สถำบัน
ครอบครั ว และชุ ม ชน และรำชกำรอื่ น ตำมที่ มี ก ฎหมำยก ำหนดให้ เป็ น อ ำนำจหน้ ำ ที่ ข อง
ศึกษ
กระทรวงกำรพัฒนำสังคมและควำมมั่นคงของมนุษย์หรือส่วนรำชกำรที่สังกัดกระทรวงกำร
พัฒนำสังคมและควำมมั่นคงของมนุษย์
กา ร
โครงสร้างของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ิต เพื่อ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นดุส
สำนักงำนรัฐมนตรี สภำกำรพัฒนำสังคม
ัยสว
ยาล
สำนักงำนปลัดกระทรวง สำนักงำนกิจกำรสตรีและสถำบัน
รำชกำรบริหำรส่วนภูมภิ ำค 75 จังหวัด ครอบครัว
าวิท
"มห
สำนักงำนส่งเสริมสวัสดิภำพและ กรมพัฒนำสังคมและสวัสดิกำร
พิทักษ์เด็ก เยำวชน ผู้ด้อยโอกำส
คนพิกำรและผูส้ ูงอำยุ
รัฐวิสำหกิจ องค์กำรมหำชน
1) กำรเคหะแห่งชำติ 1) สถำบันพัฒนำองค์กรชุมชน
2) สำนักงำนธนำนุเครำะห์
66
"
่านั้น
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
าเท
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ศึกษ
กา ร สำนักงำนรัฐมนตรี
ปลัดกระทรวง กลุ่มภำรกิจด้ำนพัฒนำกำรผลิต
เพื่อ
- สำนักงำนปลัดกระทรวง - กรมวิชำกำรเกษตร
- สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตร - กรมปศุสัตว์
- สำนักงำนมำตรฐำนสินค้ำเกษตร - กรมประมง
ิต
และอำหำรแห่งชำติ
นดุส
ัยสว
กลุ่มภำรกิจด้ำนกำรบริหำรจัดกำรทรัพยำกร กลุ่มภำรกิจด้ำนส่งเสริมและพัฒนำเกษตร
เพื่อกำรผลิต และระบบสหกรณ์
ยาล
- กรมชลประทำน - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์
- กรมป่ำไม้
"มห
"
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงคมนาคม
่านั้น
าเท
กระทรวงคมนาคม
ศึกษ
สำนักงำนรัฐมนตรี
กา ร
ปลัดกระทรวง กลุ่มภำรกิจด้ำนกำรขนส่งทำงบก
- สำนักงำนปลัดกระทรวง - กรมทำงหลวง
เพื่อ
- สำนักงำนนโยบำยและแผนกำร - กรมกำรขนส่งทำงบก
ขนส่งและจรำจร - กรมทำงหลวงชนบท
ิต
นดุส
กลุ่มภำรกิจด้ำนกำรขนส่งทำงน้ำและอำกำศ
- กรมกำรขนส่งทำงน้ำและพำณิชยนำวี
ัยสว
- กรมกำรขนส่งทำงอำกำศ
ยาล
"
่านั้น
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
าเท
ศึกษ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กา ร
สำนักงำนรัฐมนตรี
เพื่อ
- กรมทรัพยำกรธรณี
- กรมทรัพยำกรน้ำบำดำล
ยาล
าวิท
รัฐวิสำหกิจ
- องค์กำรสวนสัตว์ รัฐวิสำหกิจ :
"มห
- องค์กำรสวนพฤกษศำสตร์ องค์กำรจัดกำรน้ำเสีย
69
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงพาณิชย์
"
่านั้น
กระทรวงพาณิชย์
าเท
ศึกษ
สำนักงำนรัฐมนตรี
กา ร
เพื่อ
- กรมกำรค้ำภำยใน ระหว่ำงประเทศ
นดุส
- กรมทรัพย์สินทำงปัญญำ - กรมกำรค้ำต่ำงประทศ
- กรมพัฒนำธุรกิจกำรค้ำ - กรมส่งเสริมกำรส่งออก
ัยสว
- กรมกำรประกันภัย
ยาล
าวิท
รัฐวิสำหกิจ : องค์กำรคลังสินค้ำ
"มห
70
"
่านั้น
2. พั ฒ นำก ำลั งแรงงำน ปกป้ องคุ้ มครองและสร้ำงหลั ก ประกั นควำม
มั่นคงของชีวติ กำรทำงำน
าเท
3. สร้ำงระบบประกันกำรมีงำนทำที่มปี ระสิทธิภำพ
4. สร้ำงเอกภำพในกำรบริหำรงำนรำชกำรส่ วนภู มิ ภำคของกระทรวง
ศึกษ
แรงงำนและพัฒนำอำชีพ
กา ร
โครงสร้างส่วนราชการของแระทรวงแรงงาน
เพื่อ
กระทรวงแรงงาน
ิต
นดุส
ัยสว
กรม องค์กำรมหำชน
1. สำนักงำนรัฐมนตรี 1. สำนักงำนประกันสังคม (หลังแก้
2. สำนักงำนปลัดกระทรวง กฎหมำยใหม่แล้ว พ.ศ. 2546)
ยาล
5. กรมสัวสดิกำรและคุ้มครองแรงงำน
6. สำนักงำนประกันสังคม
"มห
องค์กำรบริหำรประสิทธิภำพ ESU
1. สถำบันพัฒนำฝีมือแรงงำนและศูนย์พัฒนำฝีมือแรงงำน
2. งำนวิจัยและพัฒนำด้ำนแรงงำน
3. งำนบริหำรข้อมูลสำรสนเทศ
71
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
"
่านั้น
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
าเท
ศึกษ
สำนักงำนรัฐมนตรี
กา ร
สำนักงำนปลัดกระทรวง กรมวิทยำศำสตร์บริกำร สำนักงำนปรมำณูเพื่อสันติ
ิต เพื่อ
นดุส
หน่วยงำนในกำกับ
- สำนักงำนพัฒนำ ว& ท แห่งชำติ
ัยสว
- สถำบันมำตรวิทยำแห่งชำติ
องค์กำรมหำชน
- สำนักงำนพัฒนำเทคโนโลยีอวกำศและภูมสิ ำรสนเทศ
ยาล
รัฐวิสำหกิจ
- สถำบันวิจัย ว & ท แห่งประเทศไทย
าวิท
- องค์กำรพิพิธภัณฑ์วิทยำศำสตร์แห่งชำติ
"มห
72
"
่านั้น
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงศึกษาธิการ
าเท
กระทรวงศึกษาธิการ
ศึกษ
สำนักงำนรัฐมนตรี กา ร
สำนักตรวจสอบภำยในระดับกระทรวง
เพื่อ
คณะกรรมกำรติดตำมตรวจสอบและ
ิต
ประเมินผล
นดุส
สำนักงำนปลัดกระทรวง
ัยสว
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน
ยาล
าวิท
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอุดมศึกษำ
"มห
สำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ
73
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงสาธารณสุข
"
่านั้น
สภำวิชำชีพ กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมกำรสุขภำพแห่งชำติ
าเท
สำนักงำนรัฐมนตรี
ศึกษ
กา ร
ปลัดกระทรวง กลุ่มภำรกิจด้ำนกำรพัฒนำ กลุ่มภำรกิจด้ำนบริกำรสุขภำพ
- สำนักงำน กำรแพทย์และกำรสำธำรณสุข - กรมวิทยำศำสตร์
เพื่อ
ปลัดกระทรวง - กรมกำรแพทย์ กำรแพทย์
- สำนักงำน - กรมควบคุมโรค - กรมสนับสนุนบริกำร
สำธำรณสุขจังหวัด - กรมพัฒนำ สุขภำพ
ิต
- กรมสุขภำพจิต
- กรมอนำมัย
ยาล
าวิท
องค์กำรมหำชน โรงพยำบำลบ้ำนแพ้ว
"มห
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม
"
่านั้น
กระทรวงอุตสาหกรรม
าเท
ศึกษ
สำนักงำนรัฐมนตรี สำนักงำนคณะกรรมกำร
กา ร ส่งเสริมกำรลงทุน
เพื่อ
ตรวจสอบกระบวนกำรผลิต อุตสำหกรรม
นดุส
- สำนักงำน
คณะกรรมกำร
อ้อยและน้ำตำล
าวิท
ทรำย
"มห
75
3) กลุ่มกระทรวงขนาดเล็ก จัดตั้งขึ้นมาเป็นภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาล
เป็นกลุ่มกระทรวงที่ปฏิบัติงำนเกี่ยวกับภำรกิจเร่งด่วนที่เกิดขึ้นเฉพำะเป็นครั้งครำวตำมกำร
เปลี่ย นแปลงของสังคม ๆ มีลัก ษณะเป็นพลวัตร สำมำรถปรับ เปลี่ยนได้ง่ำย เพื่ออำนวยต่อ
ควำมสะดวกและคล่องตัวของรัฐบำลชุดต่ำงๆ ที่จะเข้ำมำปฏิบัติงำน ให้เป็นไปตำมนโยบำยที่
กำหนดไว้ ประกอบไปด้วย 4 กระทรวงได้แก่
(1) กระทรวงท่ อ งเที่ ย วและกี ฬ า มี อ ำนำจหน้ำที่ เกี่ ย วกั บ กำรส่งเสริม
"
่านั้น
สนับสนุนและพัฒนำอุตสำหกรรมกำรท่องเที่ยวกำรกีฬำกำรศึกษำด้ำนกีฬำ นันทนำกำรและ
รำชกำรอื่นตำมที่มีกฎหมำยกำหนดให้เป็นอำนำจหน้ำที่ของ กระทรวงกำรท่องเที่ยวและกีฬำ
าเท
หรือส่วนรำชกำรที่สังกัดกระทรวงกำรท่องเที่ยวและกีฬำ
ศึกษ
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา
กา ร
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เพื่อ
สำนักงำนรัฐมนตรี รัฐวิสำหกิจ
ิต
กำรกีฬำแห่งประเทศไทย
นดุส
ัยสว
ปลัดกระทรวง
รองปลัดกระทรวง
ยาล
าวิท
หน่วยตรวจสอบภำยใน สำนักงำนพัฒนำกำรกีฬำและนันทนำกำร
"มห
สำนักงำนปลัดกระทรวง สำนักงำนพัฒนำกำรท่องเที่ยว
76
"
่านั้น
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
าเท
กระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ศึกษ
กา ร สำนักงำนรัฐมนตรี
เพื่อ
สำนักงำนปลัดกระทรวง สำนักงำนส่งเสริมเทคโนโลยี
สำรสนเทศและกำรสื่อสำร
ิต
นดุส
กรมอุตุนิยมวิทยำ
กำรสำรวจและทำแผนที่พลเรือน
ัยสว
สำนักงำนสถิติแห่งชำติ
ยาล
าวิท
"มห
77
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงพลังงาน
"
่านั้น
กระทรวงพลังงาน
สำนักงำนรัฐมนตรี
าเท
ศึกษ
ปลัดกระทรวง
กา ร
เพื่อ
สำนักงำนปลัดกระทรวง สำนักงำนนโยบำยและแผน
ิต
พลังงำน
นดุส
ัยสว
กรมเชื้อเพลิงพลังงำน กรมธุรกิจพลังงำน
ยาล
าวิท
กรมพัฒนำพลังงำนทดแทน
และอนุรักษ์พลังงำน
"มห
78
(4) กระทรวงวั ฒ นธรรม มีอ ำนำจหน้ ำที่ เกี่ ย วกั บ ศิลปะ ศำสนำ และ
วั ฒ นธรรม และรำชกำรอื่ น ตำมที่ มี ก ฎหมำยก ำหนดให้ เป็ น อ ำนำจหน้ ำ ที่ ข องกระทรวง
วัฒนธรรม หรือส่วนรำชกำรที่สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม
โครงสร้างส่วนราชการของกระทรวงวัฒนธรรม
"
กระทรวงวัฒนธรรม
่านั้น
าเท
สำนักงำนรัฐมนตรี
ศึกษ
กา ร สำนักงำนปลัดกระทรวง
เพื่อ
กรมกำรศำสนำ กรมศิลปำกร
ิต
นดุส
ัยสว
สำนักงำนคณะกรรมกำร สำนักงำนศิลปวัฒนธรรม
วัฒนธรรมแห่งชำติ ร่วมสมัย
ยาล
าวิท
องค์กำรมหำชน : ศูนย์มำนุษยวิทยำสิริธร
"มห
79
การบริหาราชการส่วนภูมิภาค
กำรบริหำรรำชส่ว นภูมิภำค หมำยถึง รำชกำรของกระทรวง กรม ต่ำงๆ ซึ่งได้
แบ่งแยกออกไปดำเนินกำรจัดทำตำมเขตกำรปกครองของประเทศ เพื่อสนองควำมต้องกำร
ของประชำชนในเขตกำรปกครองนั้นๆ โดยมี เจ้ำหน้ำที่ของรำชกำรส่วนกลำง ซึ่งได้ รับ กำร
แต่งตั้งออกไปประจำตำมเขตกำรปกครองต่ำงๆ ในส่วนภูมิภำคเพื่อบริหำรรำชกำรภำยใต้กำร
บังคับบัญชำของรำชกำรส่วนกลำง กล่ำวอีกนัยหนึ่งรำชกำรส่วนภูมิภำคคือสำขำของรำชกำร
"
่านั้น
ส่วนกลำงที่ได้รับกำรแบ่งและมอบอำนำจให้ไปดำเนินกำรแทน เนื่องจำกรำชกำรส่วนกลำงมี
งำนที่กว้ำงขวำง เพื่อผลประโยชน์ของประชำชนทั่วประเทศ กำรให้มีสำนักงำนกลำงที่จัดตั้งเป็น
าเท
กระทรวง ทบวง กรม อ ำนวยกำรอยู่ ที่เมือ งหลวงแห่ งเดี ย ว ไม่ อำจอ ำนำยประโยชน์ ให้แ ก่
ประชำชนได้ทั่วถึง จึงจำเป็นต้องแยกสำขำออกไปตั้งปฏิบัติรำชกำรอยู่ตำมพื้ นที่ต่ำงๆ กำร
ศึกษ
บริ ห ำรรำชกำรส่ ว นภู มิ ภ ำคจั ด เป็ น กำรจั ด ระเบี ย บกำรปกครองตำมหลั ก กำรแบ่ งอ ำนำจ
(Deconcentration) ลักษณะสำคัญของรำชกำรบริหำรส่วนภูมิภำค มีดังนีค้ ือ
กา ร
1) กำรบริ ห ำรรำชกำรส่ ว นภู มิ ภ ำคเป็ น กำรแบ่ ง อ ำนำจกำรปกครองจำก
เพื่อ
ส่วนกลำงแล้วมอบอำนำจให้แก่ผู้แทนรำชกำรบริหำรส่วนกลำงซึ่งไปประจำอยู่ในส่วนภูมิภำค
มิใช่เป็นกำรกระจำยอำนำจกำรปกครอง
ิต
โดยเฉพำะในเรื่องกำรแต่งตั้งถอดถอนโดยวินัยเป็นเครื่องบังคับ และผู้มีอำนำจบังคับบัญชำมี
ควำมรับผิดชอบในรำชกำรที่ผใู้ ต้บังคับบัญชำปฏิบัติไปตำมคำสั่งของตนทุกประกำร
ัยสว
3) รำชกำรส่วนภูมิภำคได้รับมอบอำนำจในกำรวินิจฉัยสั่งกำรเฉพำะบำงเรื่อง
บำงประกำรเท่ำนั้น รำชกำรส่วนกลำงมีอำนำจที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขวินิจฉัยคำสั่งกำรของ
ยาล
การจัดโครงสร้างส่วนราชการในส่วนภูมิภาค
"มห
"
จังหวัด หรือกลุ่มจังหวัด โดยให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดยื่นคำขอจัดตั้งงบประมำณได้ ทั้งนี้ ตำม
่านั้น
หลักเกณฑ์วิธีกำร และเงื่อนไขที่กำหนดในพระรำชกฤษฎีกำ ในกรณีนี้ให้ถือว่ำจังหวัดหรือกลุ่ม
าเท
จังหวัดเป็นส่วนรำชกำรตำมกฎหมำยว่ำด้วยวิธีกำรงบประมำณ
ให้จังหวัดมีอำนำจภำยในเขตจังหวัด ดังต่อไปนี้
ศึกษ
(1) นำภำรกิจของรัฐบำลและนโยบำยของรัฐไปปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์
(2) ดูแลให้มีกำรปฏิบัติและบังคับกำรให้เป็นไปตำมกฎหมำย เพื่อให้เกิด
กา ร
ควำมสงบเรียบร้อยและเป็นธรรมในสังคม
(3) จัดให้มีกำรคุ้มครอง ป้องกัน ส่งเสริม และช่วยเหลือประชำชนและ
เพื่อ
ชุมชนที่ด้อยโอกำส เพื่อให้ได้รับควำมเป็นธรรมทั้งด้ำนเศรษฐกิจและสังคมในกำรดำรงชีวิต
อย่ำงพอเพียง
ิต
นดุส
หน่วยงำนอื่นของรัฐมอบหมำยหรือที่มกี ฎหมำยกำหนด
เพื่อประโยชน์ในกำรปฏิบัติหน้ำที่ของจังหวัดดังกล่ำว ให้เป็นหน้ำที่ของส่วน
าวิท
รำชกำรและหน่วยงำนของรัฐที่ประจำอยู่ในเขตจังหวัดที่จะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องและเป็นไป
"มห
ตำมแผนพัฒนำจังหวัด ซึ่งจังหวัดต้องจัดทำแผนพัฒนำจังหวัดให้สอดคล้องกับแนวทำงพัฒนำ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติและควำมต้องกำรของประชำชนในท้องถิ่นจังหวัด
ในกำรจัดทำแผนพัฒนำจังหวัดดังกล่ำว ให้ผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดจัดให้มีกำร
ประชุมหำรือระหว่ำงหัวหน้ำส่วนรำชกำรที่มีสถำนที่ตั้งอยู่ในจังหวัดไม่ว่ำจะเป็นรำชกำรบริหำร
ส่นวภูมิภำคหรือรำชกำรบริหำรส่วนกลำงและผู้บริหำรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมดใน
จังหวัด รวมทั้งผู้แทนภำคประชำสังคมและผู้แทนภำคธุรกิจเอกชน
81
"
่านั้น
1.2.1 ผู้ว่าราชการจังหวัด ในกำรบริหำรรำชกำรของจังหวัด หนึ่งๆ นั้น
มีผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด คนหนึ่งเป็นผู้รับ นโยบำยและคำสั่งจำกนำยกรัฐมนตรีในฐำนะหัวหน้ำ
าเท
รัฐบำล คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มำปฏิบัติให้เหมำะสมกับท้องที่และประชำชน และ
เป็นหัวหน้ำบังคับบัญชำบรรดำข้ำรำชกำรฝ่ำยบริหำร ซึ่งปฏิบัติหน้ำที่ในรำชกำรส่วนภูมิภำคใน
ศึกษ
เขตจังหวั ด และรับ ผิด ชอบในรำชกำรจังหวัดและอำเภอ ผู้ ว่ำรำชกำรจังหวัด จึงเป็ น บุค คล
ส ำคั ญ ที่ สุ ด ในจังหวั ด หนึ่ งๆ เพรำะเป็ น ผู้ ด ำเนิ น กำรและรับ ผิ ด ชอบกำรบริห ำรงำนในส่ ว น
กา ร
ภูมิ ภ ำค โดยเป็ น ผู้รับ นโยบำยจำกส่ วนกลำงมำปฏิ บั ติ ซึ่ งจะต้ องติด ต่ อกั บ รำชกำรบริห ำร
เพื่อ
ส่ว นกลำง นั บ ตั้ งแต่ นำยกรัฐ มนตรีในฐำนะหั วหน้ ำรัฐ บำล คณะรัฐ มนตรี รัฐ มนตรีว่ำกำร
กระทรวง และอธิบดี เพื่อรับนโยบำยหรือคำสั่งไปปฏิบัติให้ได้รับผลดี มีประสิทธิภำพสมควำม
มุ่งหมำยในเขตจังหวัดซึ่งตนรับผิดชอบในด้ำนกำรปกครองบังคับบัญชำข้ำรำชกำรในจังหวัดนั้น
ิต
นดุส
กฎหมำยก็กำหนดให้ผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดเป็นหัวหน้ำบังคับบัญชำบรรดำข้ำรำชกำรฝ่ำยบริหำร
ส่วนภูมิภำคในเขตจังหวัด ต้องคอยสอดส่องดูแลปกครองบังคับบัญชำข้ำรำชกำรสังกัดจังหวัด
ัยสว
ปลั ด กระทรวง กระทรวงมหำดไทย เป็ นผู้ รับ ผิดชอบกำรบริห ำรส่วนภู มิภ ำคในเขตจังหวัด
ดังกล่ำวข้ำงต้น
าวิท
กฎหมำยระเบียบบริหำรรำชกำรแผ่นดินได้กำหนดให้มีตำแหน่งรองผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด หรือ
ผู้ช่วยผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด หรือมีทั้งรองและผู้ช่วยผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดเป็นผู้ช่วยปฏิบัติรำชกำร
แทนผูว้ ่ำรำชกำรจังหวัดก็ได้ ตำแหน่งรองผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดและผู้ช่วยผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดเป็น
ข้ำรำชกำรสังกัดกระทรวงมหำดไทยเช่นเดียวกับผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด ถ้ำจังหวัดใดมีกำรตั้งรอง
ผู้ ว่ ำ รำชกำรจั ง หวั ด หรื อ ผู้ ช่ ว ยผู้ ว่ ำ รำชกำรจั ง หวั ด ผู้ ด ำรงต ำแหน่ ง ดั ง กล่ ำ วนี้ ก็ เ ป็ น
ผู้บั งคั บ บั ญ ชำข้ำรำชกำรฝ่ ำยบริห ำรส่ วนภู มิ ภ ำคในเขตจังหวัด และรับ ผิ ด ชอบกำรบริห ำร
รำชกำรของจังหวัดรองจำกผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด
82
สำหรับตำแหน่งรองผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดนั้น ในกำรพิจำรณำตั้งตำแหน่ง
นี้กระทรวงมหำดไทยพิจำรณำจัดตั้งขึ้นในจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีปริมำณมำก ซึ่งปัจจุบันมีกำรตั้ง
รองผู้ ว่ำรำชกำรจังหวั ด ในทุ ก จังหวั ด แล้ ว รองผู้ ว่ำรำชกำรจังหวัด ตั้งขึ้นเพื่ อช่วยเหลื อผู้ ว่ำ
รำชกำรจังหวัดในกำรรับผิดชอบและบริหำรรำชกำรให้บังเกิดผลดีโดยทั่วถึง
ส่ ว นต ำแหน่ งผู้ ช่ วยผู้ ว่ำรำชกำรจั งหวั ด ซึ่ งได้ ก ำหนดไว้ในกฎหมำย
ระเบียบบริหำรรำชกำรแผ่นดินฉบับปัจจุบัน และฉบับก่อน ว่ำเป็นตำแหน่งผูช้ ่วยปฏิบัติรำชกำร
"
แทนเช่นเดียวกับตำแหน่งรองผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดนั้น ยังไม่มีกำรแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง
่านั้น
นีเ้ ลย จึงเป็นตำแหน่งที่ปรำกฏอยู่ตำมกฎหมำยเท่ำนั้น
าเท
1.2.3 ปลัดจังหวัด ในแต่ละจังหวัดมีปลัดจังหวัดเป็นผู้ช่วยผู้ว่ำรำชกำร
จังหวัดในหน้ำที่ทั่วไปและปฏิบัติงำนในด้ำนธุรกำรให้แก่ผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด ปลัดจังหวัดเป็น
ศึกษ
ข้ำรำชกำรสั งกั ด กรมกำรปกครอง กระทรวงมหำดไทย เป็ น หั วหน้ ำส่ วนรำชกำรแผนกำร
ปกครองของจังหวัด มีฐำนะเท่ำเทียมกับหัวหน้ำส่วนรำชกำรอื่นๆ ในจังหวัดทุกประกำร โดย
กา ร
เป็นผูร้ ับผิดชอบในงำนของกรมกำรปกครองในจังหวัดนั้น เช่นเดียวกับประชำสงเครำะห์จังหวัด
ซึ่งรับผิดชอบงำนของกรมประชำสงเครำะห์ในจังหวัด ศึกษำธิกำรจังหวัดรับผิดชอบงำนของ
เพื่อ
ที่ไมมีรองผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดหรือผู้ช่วยฯ ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ำงำนซึ่งเป็นหน้ำที่ของ
รองผู้ว่ำฯ จะตกเป็นหน้ำที่ของปลัดจังหวั ด และตำมกฎหมำยก็ได้กำหนดให้ปลัดจังหวัดเป็น
ยาล
ผู้รักษำรำชกำรแทนผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดในกรณีที่ผู้ว่ำฯ ไม่อยู่หรือไม่อำจปฏิบัติหน้ำที่ได้ด้วย
ดังนัน้ ถ้ำจังหวัดใดมีรองผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดปลัดจังหวัดจะทำหน้ำที่ประจำเฉพำะส่วนที่เป็นงำน
าวิท
เท่ำนั้น
1.2.4 หัวหน้าส่วนราชการประจาจังหวัด ในจังหวัดหนึ่งนอกจำกจะมี
ผู้ว่ำรำชกำรจังหวั ด เป็ นผู้ ป กครองบั งคั บ บัญ ชำข้ำรำชกำรและรับ ผิด ชอบงำนรำชกำรของ
จังหวัด บำงจังหวัดมีรองผู้ว่ำฯ และปลัดจังหวัดแล้ว จะมีหัวหน้ำส่วนรำชกำรประจำจังหวัดซึ่ง
กระทรวง ทบวง กรมต่ำงๆ ส่งมำประจำทำหน้ำที่เป็นผู้ช่วยเหลือผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด และมี
อำนำจหน้ำที่บังคับบัญชำข้ำรำชกำรส่วนภูมิภำค ซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ในจังหวัดนั้น
เช่น อั ย กำรจังหวั ด คลั งจังหวั ด สรรพำกรจังหวัด สรรพสำมิต จังหวัด หั วหน้ ำต ำรวจภูธ ร
83
"
่านั้น
1.2.5 คณะกรรมการจังหวัด ในจังหวัดหนึ่งให้มีคณะกรรมกำรจังหวัด
ทำหน้ำที่เป็นที่ปรึกษำของผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดในกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินในจังหวัดนั้น และ
าเท
ให้ควำมเห็นชอบในกำรจัดทำแผนพัฒนำจังหวัด กับปฏิบัติหน้ำที่อื่นตำมกฎหมำยหรือมติของ
คณะรัฐมนตรีกำหนด
ศึกษ
คณะกรรมกำรจังหวัดประกอบด้วยผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดเป็นประธำน
รองผู้ว่ำรำชกำรหนึ่งคนตำมที่ผวู้ ่ำฯ มอบหมำย ปลัดจังหวัด อัยกำรจังหวัด ซึ่งเป็นหัวหน้ำที่ทำ
กา ร
กำรอัยกำรจังหวัด ผู้บังคับกำรตำรวจภูธรจังหวัด และหัวหน้ำส่วนรำชกำรประจำจังหวัดจำก
กระทรวงและทบวงต่ำงๆ เว้นแต่กระทรวงมหำดไทยซึ่งประจำอยู่ในจังหวัด กระทรวงหรือ
เพื่อ
ทบวงละหนึ่งคนเป็นกรรมกำรจังหวัด และหัวหน้ำสำนักงำนจังหวัดเป็นกรรมกำรจังหวัดและ
เลขำนุกำร
ิต
นดุส
ของหน่วยงำนของรัฐในจังหวัดให้ใช้วิธีกำรบริหำรกิจกำรบ้ำนเมืองที่ดีและเป็นไปตำมหลักกำร
ที่กำหนดไว้ในมำตรำ3/1
าวิท
จังหวัดเป็นประธำนผู้แทนภำคประชำสังคม ผู้แทนสมำชิกสภำท้องถิ่นที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่ง
ผู้บริหำรและผู้แทนภำคธุรกิจเอกชน ทั้งนี้ จำนวน วิธีกำรสรรหำ และกำรปฏิบัติหน้ำที่ของ ก.
ธ.จ. ให้เป็นไปตำมระเบียบสำนักนำยกรัฐมนตรี
ในกรณี ที่ ก.ธ.จ. พบว่ำมีก ำรละเลยไม่ป ฏิบัติตำมกฎหมำย ระเบีย บ
หรือข้อบังคับหรือมีกรณีที่เป็นกำรทุจริตให้เป็นหน้ำที่ของ ก.ธ.จ. ที่จะต้องแจ้งให้ผู้ว่ำรำชกำร
จังหวัด หัวหน้ำส่วนรำชกำร รัฐวิสำหกิจ หรือหน่วยงำนอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี เพื่อ
ดำเนินกำรตำมอำนำจหน้ำที่ตอ่ ไป
84
"
่านั้น
กระทรวงในเมื่อไม่ขัดต่อกฎหมำย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งของกระทรวง ทบวง กรม มติ
ของคณะรัฐมนตรีหรือกำรสั่งกำรของนำยกรัฐมนตรี
าเท
(4) ก ำกั บ ดู แ ลกำรปฏิ บั ติ ร ำชกำรอั น มิ ใ ช่ ร ำชกำรส่ ว นภู มิ ภ ำคของ
ข้ ำ รำชกำรซึ่ ง ประจ ำอยู่ ใ นจั ง หวั ด นั้ น ยกเว้ น ข้ ำ รำชกำรทหำร ข้ ำ รำชกำรฝ่ ำ ยตุ ล ำกำร
ศึกษ
ข้ำรำชกำรฝ่ำยอัยกำร ข้ำรำชกำรพลเรือนในมหำวิทยำลัย ข้ำรำชกำรในสำนักงำนตรวจเงิน
แผ่นดิน และข้ำรำชกำรครู ให้ปฏิบัติรำชกำรให้เป็นไปตำมกฎหมำย ระเบียบ ข้อบังคับหรือ
กา ร
คำสั่งของกระทรวง ทบวง กรม หรือมติของคณะรัฐมนตรี หรือกำรสั่งกำรของนำยกรัฐมนตรี
หรือยับยั้งกำรกระทำใด ๆ ของข้ำรำชกำรในจังหวัดที่ขัดต่อกฎหมำย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือ
เพื่อ
(7) ควบคุมดูแลกำรบริหำรรำชกำรส่วนท้องถิ่นในจังหวัดตำมกฎหมำย
"มห
"
่านั้น
รำชกำรของกระทรวง ทบวง กรมนั้ น ๆ มี หั ว หน้ ำ ส่ ว นรำชกำรประจ ำจั ง หวั ด นั้ น ๆ เป็ น
ผูป้ กครองบังคับบัญชำรับผิดชอบ
าเท
2) อาเภอ คือหน่วยรำชกำรบริหำรส่วนภูมิภำครองจำกจังหวัด อำเภอไม่มี
ฐำนะเป็นนิติบุคคล กำรจัด ตั้งอำเภอ ทำได้โดยรวมท้องที่หลำยๆ ตำบล ประมำณ 3 ตำบล
ศึกษ
กำรจัดตั้ง ยุบ และ เปลี่ยนแปลงเขตอำเภอ กระทำได้โดยกำรตรำเป็นพระรำชกฤษฎีกำ ใน
อำเภอหนึ่งมีนำยอำเภอคนหนึ่งเป็นหัวหน้ำปกครองบังคับบัญชำบรรดำข้ำรำชกำรในอำเภอ
กา ร
และรับ ผิ ด ชอบงำนบริ ห ำรรำชกำรของอ ำเภอในอ ำเภอหนึ่ งนอกจำกจะมี น ำยอ ำเภอเป็ น
เพื่อ
ผู้ ป กครองบั ง คั บ บั ญ ชำและรั บ ผิ ด ชอบงำนบริ ห ำรรำชกำรของอ ำเภอดั ง กล่ ำ วแล้ ว ให้ มี
ปลัดอำเภอและหัวหน้ำส่วนรำชกำรประจำอำเภอซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่ำงๆ ส่งมำประจำ
ให้ปฏิบัติหน้ำที่เป็นผูช้ ่วยเหลือนำยอำเภอ และมีอำนำจำบังคับบัญชำข้ำรำชบริหำรส่วนภูมภิ ำค
ิต
นดุส
ซึ่งสังกัดกระทรวงทบวงกรมนั้นในอำเภอนั้น
พระรำชบัญญัติระเบียบบริหำรำชกำรแผ่นดิน 2534 มำตรำ 61 ได้บัญญัติให้มี
ัยสว
ในลักษณะศูนย์บริกำรร่วม
"มห
(3) ประสำนงำนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อร่วมมือกับชุมชนในกำร
ด ำเนิ นกำรให้ มี แ ผนชุม ชน เพื่ อ รองรับ กำรสนั บ สนุ น งบประมำณจำกองค์ ก รปกครองส่ว น
ท้องถิ่น จังหวัด และกระทรวง ทบวง กรม
(4) ไกล่เกลี่ยหรือจัดให้มีกำรไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพำทเพื่อให้เกิดควำม
สงบเรียบร้อยในสังคม
หลักเกณฑ์ในกำรตั้งอำเภอเป็นไปตำมพระรำชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่
พระพุทธศักรำช 2457 คือ
86
"
(4) ให้สมุหเทศำภิบำลบอกข้อกำหนดเหล่ำนี้เข้ำมำยังเสนำบดีในเวลำที่จะ
่านั้น
จัดตัง้ อำเภอใหม่ เมื่อได้รับพระรำชทำนพระบรมรำชำนุญำตแล้ว จึงประกำศตั้งอำเภอได้
าเท
ในอดีตยั งมีก ำรแบ่งเขตกำรปกครองออกเป็นกิ่งอำเภอในกรณี ที่เขตอำเภอ
กว้ ำ งขวำงแต่ จ ำนวนประชำชนยั ง ไม่ ม ำกพอที่ จ ะตั้ ง เป็ น อ ำเภอ ตำมมำตรำ 64 แห่ ง
ศึกษ
พระรำชบัญญั ติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักรำช 2457 จะแบ่งพื้นที่ตั้งเป็นกิ่งอำเภอ
กำรบริหำรรำชกำรของกิ่งอำเภอนั้น นอกจำกมีนำยอำเภอท้องที่เป็นผู้บังคับบัญชำแล้ว จะมี
กา ร
ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ำประจำกิ่งอำเภอ รับผิดชอบในกำรบริหำรรำชกำรรองจำกนำยอำเภอ
และปฏิบัติรำชกำรแทนนำยอำเภอ ในเวลำที่นำยอำเภอมิได้มำอยู่ที่กิ่งอำเภอ โดยปลัดอำเภอผู้
เพื่อ
ผู้รับผิดชอบการบริหารราชการของอาเภอ
อำเภอหนึ่งมี นำยอำเภอ คนหนึ่ง เป็นหัวหน้ำปกครองบังคับบัญชำ บรรดำ
ยาล
โอนไปเป็นอำนำจและหน้ำที่ของนำยอำเภอผู้รับผิดชอบ กำรบริหำรรำชกำรของอำเภอเดิมนั้น
เป็นรูปคณะกรมกำรอำเภอ ซึ่งประกอบด้วนนำยอำเภอ ปลัดอำเภอ และหัวหน้ำส่วนรำชกำร
บริหำรฝ่ำยพลเรือนต่ำงๆ ซึ่งเป็นเจ้ำหน้ำที่ประจำอำเภอ โดยมี นำยอำเภอ เป็นประธำนบริหำร
อำเภอร่ว มกั น แต่เมื่อได้ ป ระกำศใช้พ ระรำชบั ญ ญั ติ ระเบี ย บบริห ำรรำชกำรแผ่น ดิน พ.ศ.
๒๔๙๕ คณะกรมกำรอำเภอ ได้ถู กเลิกไป และให้อำนำจรับ ผิดชอบตกอยู่กับนำยอำเภอแต่
เพียงผู้เดียว ในอำเภอหนึ่งนอกจำกจะมี นำยอำเภอ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชำ และรับผิดชอบ
งำนบริหำร รำชกำรของอำเภอดังกล่ำวแล้ว ให้มีปลัดอำเภอ และหัวหน้ำส่วนรำชกำร ประจำ
87
"
นำยอำเภอ ที่มีอยู่ตำมกฎหมำยนั้น ปรำกฏอยู่ในพระรำชบั ญ ญั ติสองฉบับ ที่เป็นแม่บท คือ
่านั้น
อำนำจหน้ำที่ตำมกฎหมำย ระเบียบบริหำรรำชกำรแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และอำนำจหน้ำที่
าเท
ตำมกฎหมำยลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม
อานาจหน้าที่ของนายอาเภอ ตามกฎระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมี
ศึกษ
ดังนี้
1. บริห ำรรำชกำรตำมกฎหมำย ระเบี ย บแบบแผนของทำงรำชกำร ถ้ ำ
กา ร
กฎหมำยใดมิได้บัญ ญั ติว่ำ กำรปฏิบัติตำมกฎหมำยนั้น เป็นหน้ำที่ของผู้ใด โดยเฉพำะให้เป็น
เพื่อ
หน้ำที่ของ นำยอำเภอที่จะต้องรักษำ กำรให้เป็นไปตำมกฎหมำยนั้นด้วย
2. บริหำรรำชกำรตำมที่คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มอบหมำย
หรือตำมที่นำยกรัฐมนตรีสั่งกำรในฐำนะหัวหน้ำรัฐบำล
ิต
นดุส
4. ควบคุมดูแลกำรบริหำรรำชกำรส่วนท้องถิ่นในอำเภอตำมกฎหมำย
ปลัดอาเภอ
าวิท
รับผิดชอบบริหำรรำชกำรของอำเภอแล้ว ยังมีปลัดอำเภอเป็นผู้ช่วยเหลือในกำรปฏิบัติรำชกำร
ปลั ด อ ำเภอเป็ น ข้ำรำชกำรสั งกั ด กรมกำรปกครอง กระทรวงมหำดไทย อ ำเภอหนึ่ งๆจะมี
ปลัดอำเภอจำนวนมำกน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปริมำณงำนและควำมรับผิดชอบ รวมทั้งควำม
สมควรแก่รำชกำรเป็นสำคัญ
88
หัวหน้าส่วนราชการประจาอาเภอ
ในแต่ล ะอำเภอ นอกจำกจะมีนำยอำเภอและปลัดอำเภอแล้วยังมีหัวหน้ำ
ส่วนรำชกำรประจำ อำเภอ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่ำงๆส่งไปประจำทำงำนในหน้ำที่ของตน
ทำหน้ำที่เป็นผู้ช่วยเหลือนำยอำเภอและมีอำนำจปกครองบังคับบัญชำบรรดำข้ำรำชกำรส่วน
ภูมิภำค ซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมนั้นในอำเภอนั้น หัวหน้ำส่วนรำชกำรประจำอำเภอ เช่น
สำรวั ต รใหญ่ หรื อ สำรวั ต รสถำนี ต ำรวจภู ธ รอ ำเภอ สรรพกรอ ำเภอ สรรพสำมิ ต อ ำเภอ
"
่านั้น
ศึกษำธิกำรอำเภอ สำธำรณสุขอำเภอ เกษตรอำเภอ เป็นต้น
3) กิ่งอาเภอ เป็นหน่วยกำรปกครองซึ่งรวมหลำยตำบล แต่ไม่มีลักษณะใหญ่
าเท
พอที่จะตั้งเป็นอำเภอ หนึ่งได้ กิ่งอำเภอเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอ กำรจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอก็เพื่อ
สะดวกในกำรปกครองแต่ให้ตั้งขึ้นเมื่อมีควำมจำเป็นในกำรปกครองเท่ำนั้น หำกเจ้ำหน้ำที่
ศึกษ
อำเภอตรวจตรำท้องที่ได้สะดวกก็ไม่จำเป็นต้องตั้งกิ่งอำเภอขึ้น ในอำเภอหนึ่งๆ จะมีกิ่งอำเภอ
เดียวหรือหลำยกิ่งอำเภอ ก็ได้และแบ่งเขตออกเป็นตำบลเช่นเดียวกับอำเภอ ผู้บังคับบัญชำ
กา ร
และรับผิดชอบ กำรบริหำรรำชกำรของกิ่งอำเภอมีปลัดอำเภอประจำกิ่งอำเภอเป็นหัวหน้ำ และ
เพื่อ
มีป ลั ด อำเภออื่นๆ ตำมจำนวนที่จำเป็นหัวหน้ำส่วนรำชกำรของกระทรวง ทบวง กรมต่ำงๆ
ประจำกิ่งอำเภอคล้ำยอำเภอ ปลัดอำเภอประจำกิ่งอำเภออยู่ในบังคับบัญ ชำของนำยอำเภอ
และทำกำรแทนนำยอำเภอ ทั้งนี้เพรำะว่ำกิ่งอำเภอเป็นเขตกำรปกครองส่วนหนึ่งซึ่งรวมอยู่ใน
ิต
นดุส
ในต ำบลหนึ่ ง มี ก ำนั น คนหนึ่ งมี ห น้ ำ ที่ ป กครองรำษฎรในเขตต ำบลนั้ น ก ำนั น เป็ น ต ำแหน่ ง
ผูป้ กครองตำบลขึน้ ตรงต่อนำยอำเภอ
5) หมู่บ้าน เป็นหน่วยกำรปกครองในส่วนภูมิภำคที่มขี นำดเล็กที่สุด ในหมูบ่ ้ำน
หนึ่ งจะประกอบด้ ว ยบ้ ำนจ ำนวนหลำยๆ บ้ ำน กำรจั ด ตั้ งหมู่ บ้ ำ นขึ้ น ใหม่ พระรำชบั ญ ญั ติ
ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 กำหนดไว้ว่ำจะต้องมีคนประมำณ 200 คน หรือถ้ำมีคน
น้อยและบ้ำนห่ำงไกลกันก็จะต้องมีบ้ำนไม่ต่ำกว่ำ 5 หลัง นอกจำกนั้นกระทรวงมหำดไทยยัง
"
่านั้น
กำหนดหลักเกณฑ์ เพิ่มเติมว่ำเมื่อแยกตั้งเป็นหมู่บ้ำนใหม่แล้วหมูบ่ ้ำนเดิมต้องมีพลเมืองไม่น้อย
กว่ำ 200 คน ระยะทำงติดต่อระหว่ำงหมู่บ้ำนใหม่กับหมู่บ้ำนเก่ำใช้เวลำไม่น้อยกว่ำ 2 ชั่วโมง
าเท
และจะต้องมีควำมเหมำะสมในด้ำนอื่นๆ ด้วย ในกำรจัดตั้งหมู่บ้ำนขึน้ ใหม่นำยอำเภอท้องที่นนั้ มี
หน้ำที่ตรวจสภำพท้องที่ สำรวจจำนวนพลเมืองและจำนวนครัวเรือน แล้วจึงเสนอเรื่องและ
ศึกษ
เหตุผลต่อผู้ว่ำรำชกำรจังหวัดเพื่อรำยงำนกระทรวงมหำดไทยเมื่อกระทรวงมหำดไทยเห็นชอบ
ก็ให้จังหวัดทำเป็นประกำศจังหวัดจัดตั้งหมู่บ้ำนแล้วแจ้งให้รำษฎรทรำบทั่วกัน ในหมู่บ้ำนหนึ่งมี
กา ร
ผู้ใหญ่คนหนึ่งมีอำนำจหน้ำที่ปกครองรำษฎรและรักษำควำมสงบเรียบร้อยในเขตหมู่บ้ำนนั้น
เจ้ำหน้ำที่ปกครองหมู่บ้ำนนอกจำกผู้ใหญ่บ้ำนแล้วยังมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้ำนฝ่ำยปกครองหมูบ่ ้ำนละ
เพื่อ
สรุป
กำรบริ ห ำรรำชกำรส่ ว นกลำงเป็ น ภำระหน้ ำ ที่ ข องหน่ ว ยงำนส่ ว นกลำงซึ่ ง
"มห
"
กำรบริห ำรรำชส่ว นภูมิภ ำค หมำยถึง รำชกำรของกระทรวง กรม ต่ำงๆ ซึ่งได้
่านั้น
แบ่งแยกออกไปดำเนินกำรจัดทำตำมเขตกำรปกครองของประเทศ เพื่อสนองควำมต้องกำรของ
าเท
ประชำชนในเขตกำรปกครองนั้นๆ โดยมีเจ้ำหน้ำที่ของรำชกำรส่วนกลำง ซึ่งได้รับกำรแต่งตั้ง
ออกไปประจำตำมเขตกำรปกครองต่ำงๆ ในส่วนภูมิภำคเพื่อบริหำรรำชกำรภำยใต้กำรบังคับ
ศึกษ
บั ญ ชำของรำชกำรส่ ว นกลำง กล่ ำวอี ก นั ย หนึ่ งรำชกำรส่ วนภู มิ ภ ำคคื อ สำขำของรำชกำร
ส่วนกลำงที่ได้รับกำรแบ่งและมอบอำนำจให้ไปดำเนินกำรแทน เนื่องจำกรำชกำรส่วนกลำงมี
กา ร
งำนที่กว้ำงขวำง เพื่อผลประโยชน์ของประชำชนทั่วประเทศ กำรให้มีสำนักงำนกลำงที่จัดตั้งเป็น
กระทรวง ทบวง กรม อำนวยกำรอยู่ที่ เมือ งหลวงแห่ งเดี ย ว ไม่ อำจอำนำยประโยชน์ให้ แ ก่
เพื่อ
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4
1. อธิบำยแนวทำงกำรบริหำรรำชกำรของไทยในปัจจุบัน
ยาล
2. อธิบำยบทบำทหน้ำที่ของส่วนรำชกำรระดับต่ำงๆ
าวิท
3. อธิบำยกลุ่มกระทรวงที่รับผิดชอบแนวนโยบำยพืน้ ฐำนแห่งรัฐ
4. อธิบำยกลุ่มกระทรวงยุทธศำสตร์กำรพัฒนำประเทศ
"มห
5. อธิบำยกลุ่มกระทรวงเร่งด่วนของรัฐบำล
เอกสารอ้างอิง
คณะกรรมกำรสร้ำงควำมเข้ำใจเกี่ยวกับร่ำงพระรำชบัญญัติ. (2545). ระเบียบบริหำรรำชกำร
แผ่นดิน. กรุงเทพมหำนคร. สำนักงำน ก.พ.
วิศิ ษ ฐ์ ทวี เศรษฐ และคณะ. (2557). กำรเมื อ งและกำรปกครองไทย. กรุ งเทพมหำนคร.
สำนักพิมพ์มหำวิทยำลัยรำมคำแหง.
สมชำย บำรุงทรัพ ย์ และ ณั ฐวิภำ ผลเกลี้ยง. (2544). สรุป พระรำชบัญ ญั ติระเบีย บบริหำร
"
่านั้น
รำชกำรแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และ พระรำชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม
พ.ศ. 2534. กรุงเทพมหำนคร. สำนักพิมพ์ สกำยบุ๊กส์ จำกัด.
าเท
ส ำนัก พิ มพ์ สกำยบุ๊ ก ส์. (2544). พระรำชบั ญ ญั ติระเบีย บข้ำรำชกำรพลเรือน พ.ศ. 2534.
กรุงเทพมหำนคร. สำนักพิมพ์ สกำยบุ๊กส์ จำกัด.
ศึกษ
สำนักพิมพ์นิติรัฐ. (2545). โครงสร้ำงกระทรวง ทบวง กรมใหม่ ตำมกฎหมำยปฏิรูป ระบบ
รำชกำร. กรุงเทพมหำนคร. บริษัทธนบรรณปิ่นเกล้ำ จำกัด.
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
บทที่ 5
หลักการบริหารราชการแผ่นดิน
ในรูปแบบการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
"
่านั้น
จตุพล ดวงจิตร
าเท
ในประเทศที่ มี ก ารปกครองระบอบประชาธิป ไตย หลั ก การที่ ส าคัญ ในการจั ด
ศึกษ
ระเบี ย บการปกครองประเทศตามอุด มการณ์ ของประชาธิป ไตยประการหนึ่ ง ได้ แก่ “การ
กระจายอานาจปกครอง” ซึ่งรัฐบาลทุกประเทศจะต้องจัดให้มีและส่งเสริมรูปแบบการปกครอง
กา ร
ตนเองของราษฎรขึ้นในท้องถิ่ นต่างๆ ให้สมบูรณ์ ที่ สุดเท่าที่จะท าได้ เพื่อให้องค์ก รปกครอง
เพื่อ
ท้องถิ่นเป็นสถาบันการเมืองระดับพื้นฐานที่จะฝึกฝนให้พลเมืองเกิดความรู้ความเข้าใจในกลไก
และกระบวนการการเมื อ งการปกครองระบอบประชาธิ ป ไตยอย่ า งแท้ จ ริ ง และเพื่ อ ให้
ิต
องค์กรปกครองท้องถิ่นแบ่งเบาภาระของรัฐบาลกลางมาปฏิบัติจัดทาสนองความต้องการของ
นดุส
ตะวันตกมีพัฒนาการของการปกครองท้องถิ่นมาอย่างยาวนานหลายร้อยปีมาแล้ว
าวิท
หลักการกระจายอานาจปกครอง (Decentralization)
การปกครองท้ อ งถิ่ น (Local Government) หรือ การยิ น ยอมให้ ท้ อ งถิ่ น ปกครอง
ตนเอง (Local Self-Government) มี ร ากฐานที่ ม าจากแนวคิ ด หรื อ หลั ก การกระจายอ านาจ
ปกครอง ซึ่งมีนักวิชาการให้ความหมายไว้ เช่น
เดวิ ด วิ ล สั น และ คริ ส เกม (David Wilson and Chris Game, 1998: 19 – 20)
กล่าวถึงความหมายของการกระจายอานาจ โดยอธิบายให้เห็นว่า การกระจายอานาจสามารถ
"
่านั้น
ดาเนินการได้ในหลายแนวทางและหลายระดับความเข้มข้น ซึ่ง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์
ระหว่างการกระจายอานาจกับการปกครองตนเองของท้องถิ่นว่ามีมากน้อยเพียงใด ดังนี้
าเท
(1) การกระจายอานาจด้านการบริหาร (Administrative Decentralization) หรือ
การมอบอานาจ (Delegation)
ศึกษ
การกระจายอานาจในลักษณะนี้ การตัดสินใจในนโยบายหลักๆ ทั้งหมด
ต่ า งล้ ว นด าเนิ น การโดยการบริ ห ารราชการส่ ว นกลาง ข้ า ราชการได้ รั บ การแต่ ง ตั้ ง จาก
กา ร
ส่ ว นกลางเช่ น เดี ย วกั น ท้ อ งถิ่ น มี ห น้ า ที่ เ พี ย งให้ บ ริ ก ารและการตั ด สิ น ใจในเรื่ อ งของ
เพื่อ
การบริหารงานโดยทั่วไป
(2) การกระจายอานาจด้านหน้าที่ (Functional Decentralization)
ิต
การกระจายอานาจลักษณะนี้ การบริหารราชการส่วนกลางดาเนินการ
นดุส
ราชการส่วนกลางมอบหมายให้หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นผู้ดาเนินงาน
กระจายไปยั งจังหวั ด หรืออาเภอต่างๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข มีหน่ วยงานสาธารณสุ ข
ยาล
จังหวัด ทาหน้าที่ในการให้บริการด้านสาธารณสุขในท้องถิ่นต่างๆ
าวิท
การกระจายอานาจลักษณะนี้ การบริหารราชการส่วนกลางมอบอานาจ
การตัดสินใจในด้านต่างๆ อย่างกว้างขวางให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีอานาจอิสระ
ในการบริหารงาน มี ผู้บ ริห ารที่ มาจากการเลื อกตั้ งของประชาชนเพื่ อด าเนิ นการให้บ ริก าร
แก่ท้องถิ่นอย่างเป็นอิสระในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาท้องถิ่นบนพืน้ ฐานของท้องถิ่นเอง
หากพิ จารณาแล้ ว จะพบว่ า การกระจายอ านาจตามข้ อ ที่ 3 คื อ การกระจาย
อานาจด้านการเมื องมี ค วามหมายที่ ส อดคล้อ งกั บ หลัก การกระจายอ านาจปกครองให้ กั บ
องค์กรปกครองสวนท้องถิ่นได้ทาการปกครองตนเอง
95
สมคิ ด เลิ ศ ไพฑู ร ย์ (2550: 29–30) กล่ า วถึ ง หลั ก การกระจายอ านาจว่ า
มี 2 ลักษณะ ดังนี้
(1) การกระจายอานาจทางพื้นที่ (Decentralization by Territory) คือ การที่รัฐ
มอบอานาจในการจัดทาบริการสาธารณะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทา ทั้งนี้ การจัดทา
บริการสาธารณะที่ได้รับมอบหมายจะถูกจากัดขอบเขตโดยพื้นที่หรืออาณาเขตขององค์ก ร
ปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น นั้ น ๆ เพื่ อ ตอบสนองความต้ อ งการของประชาชนในท้ อ งถิ่ น นั้ น ๆ
"
การจัดระเบียบการบริหารราชการลักษณะนีเ้ รียกว่า การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งถือเป็น
่านั้น
การกระจายอานาจปกครอง
าเท
(2) การกระจายอานาจทางภารกิจหน้าที่ (Decentralization by Function) หรือ
การกระจายอานาจทางเทคนิค คือ การที่รัฐมอบอานาจในการจัดทาบริการสาธารณะในบางเรื่อง
ศึกษ
บางอย่างให้แก่องค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะเป็นผู้จัดทา การกระจายอานาจทางภารกิจ
หน้าที่นี้ไม่ถือเป็นการกระจายอานาจปกครองแต่งอย่างใด เป็นเพียงการมอบให้องค์กรของรัฐ
กา ร
ไปจัดทาบริการสาธารณะ โดยแยกออกมาเป็นนิติบุคคลต่างหากจากรัฐ มีทรัพย์สินของตนเอง
และมีผู้บริหารของตนเอง โดยนิติบุคคลกระจายอานาจนี้จะต้องอยู่ภายใต้การกากับดูแลของ
เพื่อ
ลักษณะของหลักการกระจายอานาจปกครอง ไว้ดังนี้
(1) หลั ก การกระจายอ านาจปกครองมี ก ารจั ด ตั้ ง องค์ ก รขึ้ น เป็ น นิ ติ บุ ค คล
ัยสว
เป็นหน่วยงานของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่เป็นอิสระ แยกออกจากการบริหารราชการ
ส่ ว นกลาง มี เจ้ า หน้ าที่ ทรั พ ย์ สิ น ตลอดจนงบประมาณและรายได้ ข องตนเอง ซึ่ งมาจาก
ยาล
ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น
"มห
หรือถือครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อการดาเนินงานขององค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นและประชาชนในท้องถิ่น
การกระจายอานาจกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
การกระจายอานาจมีค วามสาคัญ อย่างยิ่งต่อ ประเด็ นต่างๆ ซึ่ งเป็ นหลั ก การที่
สาคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยดังเช่นที่ แอนดรูว์ ฮีย์วูด (Andrew Heywood,
"
่านั้น
2002: 159) เสนอไว้ ดังนี้
1. การมีส่วนร่วม (Participation) การกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครอง
าเท
ส่วนท้องถิ่นเป็นการให้โอกาส แก่ประชาชน ในการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่น
ศึกษ
หรือชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองก็คือ
การสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางการเมือง ซึ่งการปกครองท้องถิ่นมีประสิทธิภาพในการสร้าง
กา ร
การเรียนรู้มากกว่าการเมืองในระดับชาติ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของประชาชนใน
ท้องถิ่น
เพื่อ
2. การตอบสนอง (Responsiveness) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความ
ใกล้ชิดกับประชาชนและสามารถตอบสนอง ความต้องการได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความ
ิต
ต้องการของประชาชนมากกว่ารัฐบาลกลาง ทั้งยังจะส่งผลทาให้เกิดความเข้มแข็งในแง่ของการ
นดุส
ตรวจสอบและเป็นหลักประกันว่าปัญหาเฉพาะหรือความต้องการเฉพาะของท้องถิ่นซึ่งแตกต่าง
จากสังคมโดยรวมจะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกัน
ัยสว
เป็ น อยู่ ข องประชาชนมี ผ ลต่ อ การยอมรั บ หรือ ถู ก ตั้ งค าถามต่ อ การตั ด สิ น ใจในเรื่ อ งต่ างๆ
แตกต่างจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่การตัดสินใจต่างๆ ในระดับท้องถิ่นได้รับการยอมรับ
าวิท
ว่าอยู่บนรากฐานของความรูข้ องท้องถิ่นส่งผลทาให้มีความชอบธรรมในการดาเนินงาน
"มห
หลักการกระจายอานาจมีข้อเสีย ดังนี้
ฝ่ า ยที่ คั ด ค้ านการกระจายอ านาจมี ข้ อ โต้ แ ย้ ง ว่า การกระจายอ านาจมี ข้ อ เสี ย
หลายประการ ดังนี้ (Wilson and Game, 1998: 29)
1. ต้นทุนทางการเงิน หนึ่งในปัญ หาที่มีการโต้แย้ง ไม่เห็นด้วยต่อการกระจาย
อานาจก็คือ ปัญหาเรื่องต้นทุนหรืองบประมาณที่ต้องใช้ในการดาเนินงานและค่าตอบแทนต่อ
เจ้าหน้าที่ที่มเี พิ่มมากขึ้น แทนที่จะเป็นเรื่องของการบริหารราชการส่วนกลางเท่านั้น
"
่านั้น
2. ประสิทธิภาพ หากไม่ได้กระจายอานาจอย่างเต็มที่และงบประมาณไม่มากพอ
ก็ยากที่จะดึงดูด คนที่มีความรู้ความสามารถสูง มีประสบการณ์สูงเข้ามาร่วมงานกับองค์กร
าเท
ปกครองส่วนท้องถิ่นได้
3. ปั ญ หาเรื่อ งบุ คลากร ในท้องถิ่นมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในด้าน
ศึกษ
ต่างๆ ไม่มากนัก ข้อจากัดของบุคลากรในท้องถิ่นอาจทาให้ท้องถิ่นย่าเท้าอยู่กับที่ ไม่ก่อให้เกิด
กา ร
การพัฒนาเปลี่ยนแปลงหรือสร้างความก้าวหน้าในท้องถิ่นได้
4. ความไม่เท่าเทียม การกระจายอานาจให้กับท้องถิ่นให้เกิดความแตกต่างใน
เพื่อ
การพัฒนาในแต่ละท้องถิ่น เกิดความเจริญก้าวหน้าในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน และอาจนาไปสู่
ข้ออ้างของฝ่ายที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน (Separatism) ได้ เนื่องจากไม่พอใจต่อสภาพของ
ิต
ท้องถิ่นตนที่แตกต่างจากท้องถิ่นอื่น
นดุส
5. ปั ญ หาการคอรั ป ชั่ น การคอรั ป ชั่ น ซึ่ ง แต่ เ ดิ ม ปั ญ หานี้ เกิ ด ขึ้ น เฉพาะใน
ระดับชาติ แต่หากมีการกระจายอานาจให้แก่ท้องถิ่นก็ จะท าให้ปัญ หานี้แพร่กระจายลงไปสู่
ัยสว
ระดับท้องถิ่นด้วย
ยาล
การปกครองท้องถิ่นมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องการกระจายอานาจ
หรือสามารถกล่ าวได้ว่า แนวคิ ด เรื่อ งการปกครองท้ อ งถิ่น มี รากฐานที่ม าจากแนวคิ ดเรื่อ ง
"มห
ความหมายและสาระสาคัญของการปกครองท้องถิ่น
อุทั ย หิรัญ โต (2523: 11 – 12) ให้ความหมายว่า การปกครองท้องถิ่นเป็นการ
กระจายอ านาจของรั ฐ ให้ แ ก่ ป ระชาชนเพื่ อ ปกครองตนเองในชุ ม ชนที่ มี พ ลเมื อ งหนาแน่ น
พอสมควร และมีรายได้เพียงพอแก่การปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ
การปกครองท้องถิ่นเป็นระบบการปกครองที่ยอมรับว่าเป็นรากฐานของการปกครองระดับชาติ
โดยกระทาด้วยตนเองซึ่งจะทานายผลให้เกิดความชานาญและความสามารถที่จะเข้าไปมีส่วน
"
่านั้น
ร่วม ในการปกครองระดับชาติในโอกาสต่อไปได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล
ในระบอบประชาธิ ป ไตยที่ จ ะต้ อ งสนั บ สนุ น ให้ ป ระชาชนได้ มี ส่ ว นร่ ว มในการบริ ห ารงาน
าเท
ของท้ อ งถิ่ น โดยถื อ ว่ า จะเป็ น รากฐานก่ อ ให้ เ กิ ด การพั ฒ นาประชาธิ ป ไตยระดั บ ชาติ
เพราะการปกครองท้องถิ่นเป็นการกระจายอานาจของรัฐบาล และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้
ศึกษ
ศักยภาพของตนเองสร้างความเจริญให้แก่ชุมชนโดยการปฏิบัติงานร่วมกันภายใต้การควบคุม
ของรั ฐ เมื่ อ ใดที่ ก ารปกครองท้ อ งถิ่ น มั่ น คงและมี ก ารบริ ห ารงานอย่ างมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ
กา ร
จะสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ประเทศชาติได้ในที่สุด
เพื่อ
สถาบั นด ารงราชานุภ าพ (2539: 113) ให้ค วามหมายของการปกครองท้องถิ่ น
ตาม Chammer’s Encyclopeid ว่ า “การปกครองท้ อ งถิ่ น หมายถึ ง การปกครองตนเองของ
ิต
นโยบายของตนเอง
"มห
เอ็ม. เอ. มูตตอลิบ และ โมฮัมหมัด. อัคบัร อาลี ข่าน (M.A. Muttalib and Mohd.
Akvar Ali Khan, 1982: 2 – 19) เสนอว่า แนวคิดว่าด้วยการปกครองท้องถิ่นเกี่ย วข้องกั บมิติ
ต่างๆ หลายมิติ ดังนี้
1. มิติทางสังคม (Social Dimension) คือ การปกครองท้องถิ่นเป็นการรวมกลุ่ ม
ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใดพืน้ ที่หนึ่ง ซึ่งมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้สภาพสังคม
และเศรษฐกิจเฉพาะที่แตกต่างจากพืน้ ที่อื่นๆ
99
"
ที่แตกต่างจากประชาชนในพื้นที่อื่นๆ ในประเทศเดียวกัน และย่อมมองเห็นถึงประโยชน์ที่ตน
่านั้น
จะได้รับแตกต่างจากชุมชน หรือสังคมที่อยู่ติดกับตนและพื้นที่อื่นๆ ด้วยประโยชน์ที่แตกต่าง
าเท
ในแต่ละพื้นที่ย่อมทาให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ แตกต่างกันด้วย ดังนั้น ปัญหาที่แตกต่าง
กันย่อมต้องแก้ ไขแตกต่างกั นทั้งในด้านวิธีก าร แนวทางการเมือง การบริหารและกฎหมาย
ศึกษ
ด้วยเหตุน้ีจึงเป็นความจาเป็นที่จะต้องมีการปกครองท้องถิ่นเกิดขึ้น
4. มิติทางกฎหมาย (Legal Dimension) คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนับเป็น
กา ร
หน่วยงานของรัฐที่ทาหน้าที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์สาธารณชนในพื้นที่ ทาหน้าที่เป็นส่วนหนึ่ง
ในด้านอานาจอธิปไตยของรัฐ มีอสิ ระ ในการดาเนินงานในระดับหนึ่ง
เพื่อ
กฎหมายแห่งรัฐ และเพื่อตอบสนองตามความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น
"มห
ประหยั ด หงษ์ ท องคา (2526: 10–12) ได้ ก ล่าวถึงหลัก การปกครองท้ องถิ่ นว่า
การปกครองท้องถิ่น เป็นหน่วยการปกครองที่มีความเป็นอิสระในระดับหนึ่ง เป็นหน่วยกลาง
ที่ประชาชนในท้องถิ่นได้แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการตัวเอง ตามความต้องการ
ของชุมชนในท้องถิ่นนั้นและได้สรุปถึงหลักของการปกครองท้องถิ่นไว้ 5 ประการ ดังนี้
1. การปกครองท้ อ งถิ่ น เป็ น การปกครองของชุม ชนหนึ่ ง ซึ่ งชุม ชนเหล่ านั้ น
อาจจะมีลั ก ษณะแตกต่างกั นในด้านความเจริญ จานวนประชากร หรือขนาดของพื้ นที่ เช่น
องค์ก รปกครองท้องถิ่ นของไทยแบบกรุงเทพมหานคร แบบเมืองพัท ยา แบบเทศบาล แบบ
100
องค์ ก รบริ ห ารส่ ว นจังหวั ด และแบบองค์ ก ารบริห ารส่ วนต าบล เป็ น ต้ น ซึ่ งจะมี ลั ก ษณะที่
แตกต่างกันโดยเหตุผลที่ตา่ งกัน
2. การปกครองท้องถิ่นจะต้องมีอานาจอิสระ (Autonomy) ในการปฏิบัติหน้าที่
ตามความเหมาะสม มี ข อบเขตที่ เหมาะสม ถ้ า การปกครองท้ อ งถิ่ น มี อ านาจน้ อ ยเกิ น ไป
ก็ ไ ม่ อ าจป ฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ใ ห้ เ กิ ด ประโยชน์ แ ก่ ป ระชาชนและท้ อ งถิ่ น ได้ ส มเจตนารมณ์
ของการปกครองท้ อ งถิ่ น ในทางกลั บ กั น ถ้ า องค์ ก รปกครองท้ อ งถิ่ น มี อ านาจมากเกิ น ไป
"
จนไม่มีขอบเขตการปกครองท้องถิ่ นก็ จะมีสภาพเป็นรัฐที่มีอานาจอธิป ไตย ซึ่งจะท าให้เกิด
่านั้น
ความแตกแยกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยดาเนินการปกครองและทาหน้าที่ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง
าเท
ภายในชุมชนนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิ นขอบเขตความสามารถที่ท้องถิ่นจะท าได้ เพราะข้อจากั ด
ของท้องถิ่นนั้นเอง เรื่องอานาจอิสระของท้องถิ่นนี้ มีขอบเขตที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะ
ศึกษ
ความเจริญ และความสามารถของประชาชนในท้องถิ่นนั้นเป็นสาคัญ รวมทั้งความใจกว้าง
ของรัฐบาลกลางในการที่จะพิจารณากระจายอานาจให้การปกครองท้องถิ่นมากน้อยเพียงใด
กา ร
จึงจะเหมาะสม
3. การปกครองท้ อ งถิ่ น จะต้ อ งมี สิ ท ธิ ต ามกฎหมาย (Legal Rights) ที่ จ ะ
เพื่อ
หน้าที่ของการปกครองท้องถิ่นนัน้ ๆ
4. มีองค์กรที่จาเป็นในการปกครองตนเอง (Necessary Organization) องค์กรที่
าวิท
องค์ ก ารฝ่ า ยบริ ห ารและองค์ ก ารฝ่ า ยนิ ติ บั ญ ญั ติ เช่ น การปกครองท้ อ งถิ่ น ในรู ป แบบ
ของเทศบาล ก็ มี ค ณะผู้ บ ริ ห ารเป็ น ฝ่ า ยบริ ห าร และสภาเทศบาลเป็ น ฝ่ า ยนิ ติ บั ญ ญั ติ
หรื อ ในรู ป แบบของกรุ ง เทพมหานคร ก็ มี ผู้ ว่ า ราชการกรุ ง เทพมหานครเป็ น ฝ่ า ยบริ ห าร
สภากรุงเทพมหานครเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นต้น ในต่างประเทศบางประเทศ มีการแบ่งองค์กร
ออกเป็น 3 ฝ่าย คือ นอกจากองค์ก รฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติแล้ว ยังมีองค์ก รฝ่ายตุลาการ
ของท้องถิ่นอีกด้วย กล่าวคือ ในแต่ละท้องถิ่นจะมีศาลท้องถิ่น ทาหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี
ซึ่งกระทาผิดต่อท้องถิ่นหรือคนที่ละเมิดต่อกฎหมายของท้องถิ่ นอีกด้วยในเรื่องเกี่ยวกับองค์กร
101
"
อื่ น อี ก อาจท าได้ ห ลายแบบ หลายระดั บ ทั้ งนี้ ขึ้น อยู่ กั บ ความสนใจ ความสามารถ ความ
่านั้น
เสียสละ ของประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ เป็นสาคัญ เช่น ประชาชนบางคนอาจมีส่วนร่วมเฉพาะ
าเท
การใช้สิทธิเลือกตั้งตัวแทนของตน เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในตาแหน่งต่างๆ ขององค์ก รปกครอง
ท้องถิ่นเท่านั้น ประชาชนบางคนอาจมีความสนใจที่จะเข้าฟังการประชุมสภาท้องถิ่น รวมทั้งเอา
ศึกษ
ใจใส่ดูแล การปฏิบัติหน้าที่ หรือการบริหารงานของตัวแทนของตนในการปกครองท้องถิ่นว่า
รับผิดชอบต่อความเจริญก้าวหน้า และรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและท้องถิ่นมากน้อย
กา ร
แค่ไหน เพื่อใช้เป็นแนวทางประกอบการพิจารณาเลือกตั้งครั้งต่อไป หรือประชาชนบางคนอาจ
มี ความสนใจกิจการของท้องถิ่นมาก มีความเสียสละสูงมีความตั้งใจจริงที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม
เพื่อ
และภายใต้การควบคุมของประชาชนในท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด มิใช่โดยการสั่งการหรือการบังคับ
บัญชาจากรัฐบาลกลาง
าวิท
กว้างขวาง ยั งเป็ น การช่ว ยส่ งเสริม ให้ ป ระชาชนเกิ ดความเข้าใจอย่ างถ่ อ งแท้ ในกลไกการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยเกิดความสานึกในความสาคัญ ของสิทธิเสรีภาพทางการเมือง
ของตน ตลอดจนเกิดความตื่นตัวที่จะใช้สิทธิทางการเมือง หรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง
ด้วยความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์สว่ นรวมอีกด้วย
จากนิยามต่างๆ ข้างต้น สามารถสรุปเป็นหลักการปกครองท้องถิ่นในสาระสาคัญ
ได้ดังนี้
102
1. เป็นการปกครองของชุมชนหนึ่ง ซึ่งชุมชนเหล่านั้นอาจมีความแตกต่างกั น
ในด้านความเจริญ จานวนประชากรหรือขนาดของพื้นที่ เช่น หน่วยการปกครองท้องถิ่นของ
ไทยจัดเป็น เมืองพัทยา กรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การ
บริหารส่วนตาบล
2. หน่วยการปกครองท้องถิ่นจะต้องมีอานาจอิสระ (Autonomy) ในการปฏิบัติ
หน้าที่ตามความเหมาะสม กล่าวคือ อานาจของหน่วยการปกครองท้องถิ่นจะต้องมีขอบเขต
"
พอควรเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยการปกครองท้องถิ่นอย่างแท้จริง
่านั้น
หากมีอานาจมากเกิ นไปไม่มีขอบเขต หน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้นก็จะกลายสภาพเป็นรัฐ
าเท
อธิปไตยเอง เป็นผลเสียต่อความมั่นคงของรัฐบาล อานาจของท้องถิ่นอาจมีขอบเขตที่แตกต่าง
กันออกไป ตามลักษณะความเจริญและความสามารถของประชาชนในท้องถิ่นเป็นสาคัญ
ศึกษ
3. หน่วยการปกครองท้องถิ่นจะต้องมีสิทธิตามกฎหมาย (Legal Rights) ที่จะ
ดาเนินการปกครองตนเอง สิทธิตามกฎหมายแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือกา ร
3.1 หน่ ว ยการปกครองท้ อ งถิ่ น มี สิ ท ธิ ที่ จ ะตรากฎหมายหรื อ ระเบี ย บ
ข้อบังคับต่างๆ ขององค์กรปกครองท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ในการบริหารตามหน้าที่และเพื่อใช้
เพื่อ
กาหนดงบประมาณเพื่อบริหารกิจการตามอานาจหน้าที่ของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนัน้ ๆ
4. มีองค์ก รที่จาเป็ นในการบริห ารและการปกครองตนเอง องค์ก รที่จาเป็ น
ัยสว
ของท้ อ งถิ่ น จั ด แบ่ ง เป็ น สองฝ่ า ย คื อ องค์ ก รฝ่ า ยบริ ห าร และองค์ ก รฝ่ า ยนิ ติ บั ญ ญั ติ
เช่น การปกครองท้องถิ่นแบบเทศบาลจะมีคณะเทศมนตรีเป็นฝ่ายบริหาร และสภาเทศบาล
ยาล
5. ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกครองท้องถิ่น จากแนวความคิด
"มห
ที่ ว่ า ประชาชนในท้ อ งถิ่ น เท่ า นั้ น ที่ จ ะรู้ ปั ญ หา และจะแสวงหาวิ ธี ก ารแก้ ไ ขของตนเองได้
อย่างถูกต้องตรงตามความต้องการ หน่วยการปกครองท้องถิ่นจึงจาเป็นต้องมีคนในท้องถิ่น
มาบริ ห ารงานเพื่ อ ให้ เป็ น ไปตามเจตนารมณ์ แ ละความต้ อ งการของชุ ม ชนและอยู่ ภ ายใต้
การควบคุมของประชาชนในท้องถิ่น นอกจากนั้นยังเป็นห้องเรียนการฝึกให้ประชาชนในท้องถิ่น
เข้ า ใจในระบบและกลไกของประชาธิ ป ไตย อั น จะเป็ น การส่ ง เสริ ม การปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
103
สาระสาคัญของหลักการปกครองท้องถิ่นสามารถสรุป ได้ดังนี้
1. อาจมีรูป แบบหน่วยการปกครองท้องถิ่นหลายรูปแบบตามความแตกต่าง
ของความเจริญ ประชากร หรือขนาดพืน้ ที่
2. ต้องมีอานาจอิสระ (Autonomy) ในการปฏิบัติหน้าที่ตามความเหมาะสม
3. หน่วยการปกครองท้องถิ่นต้องมีสิทธิตามกฎหมายที่จะดาเนินการปกครอง
ตนเอง โดยสิทธินีแ้ บ่งเป็น 2 ประการ คือ
"
่านั้น
3.1 สิทธิที่จะตรากฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับต่างๆ ขององค์กรปกครอง
ท้องถิ่น
าเท
3.2 สิทธิในการกาหนดงบประมาณ เพื่อบริหารกิจการตามอานาจหน้าที่ที่มี
อยู่
ศึกษ
4. มีองค์กรที่จาเป็นในการบริหารและปกครองตนเอง คือมีองค์กรฝ่ายบริหาร
และองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ กา ร
5. ประชาชนในท้องถิ่นมีสว่ นร่วมในการปกครองท้องถิ่น
เพื่อ
การปกครองท้องถิ่นกับการพัฒนาท้องถิ่น
ิต
Wilson and Chris Game, 1998: 29–39; Muttalib and Khan, 1982: 30–32)
1. การสร้ า งอั ต ลั ก ษณ์ ข องชุ ม ชนและความผู ก พั น ของคนในชุ ม ชน
ัยสว
ออกมาให้คนในชุมชนได้เห็นและช่วยกระตุ้นความรูส้ ึกผูกพันต่อพื้นที่และชุมชนของประชาชน
าวิท
"
่านั้น
(Responding Swiftly, Appropriately, Corporately) การปกครองท้ อ งถิ่ น จะตอบสนอง
ต่อปัญ หาที่เกิ ด ขึ้นในชุมชนอย่างรวดเร็ว มีวิธีก ารในการแก้ไขปั ญ หาที่ เหมาะสมและได้รับ
าเท
ความร่วมมือจากคนในท้องถิ่ นมากกว่าหน่วยงานภาครัฐ ส่วนกลาง อีก ทั้งอาจจะประหยั ด
หรือคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจมากกว่า อีกด้วย
ศึกษ
5. ก ารก ระจาย อ าน าจ (Dispersing Power) การป กครองท้ องถิ่ น
ช่วยส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดสังคมที่มีลักษณะพหุสังคม (Plural Society) ซึ่งเป็นลักษณะของ
กา ร
สังคมตามความเชื่อของหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สังคม ที่จะมีลักษณะเช่นนี้
เพื่อ
ได้ อานาจจะต้องกระจายตัวไปทั่วทั้งสังคม อย่างกว้างขวาง ไม่กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง หรือ
บุคคลใด บุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใด กลุ่มบุคคลหนึ่งเท่านั้น
ิต
มากที่สุดต่อพลเมือง
7. การกระตุ้ นต่ อการพั ฒ นาทางเศรษฐกิ จ (Spurring of Economic
ยาล
ให้ เจริญ เติ บ โตเพิ่ ม มากขึ้น แทนที่ จ ะให้ บ ทบาทนี้ เป็ น หน้ าที่ ของส่ วนกลางแต่ เพี ย งผู้ เดี ย ว
บทบาทขององค์ก รปกครองส่วนท้องถิ่นในด้านนี้ เช่น การสร้างถนนและสิ่งสาธารณู ป โภค
"มห
สั งคมแล้ ว ยั งมี โครงการต่ างๆ ในการขจั ด ความยากจนและ การไม่ รู้ห นั งสื อ ซึ่ งย่ อ มเป็ น
พลังขับเคลื่อนหนึ่งที่สาคัญไม่ต่างจากองค์กรอื่นๆ ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
9. การกระจายผลลั พ ธ์ ข องการพั ฒ นาอย่ า งเป็ น ธรรม (Equitable
Distribution of Fruits of Development) เมื่อพิจารณาถึงองค์กรปกครองในระดับต่างๆ แล้ว
การปกครองท้องถิ่นนับว่าเป็นองค์ก รที่มีความเป็นรูปธรรม มีความใกล้ชิดในการติดต่อพบปะ
กับประชาชน และมีความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่น ดังนั้น การตัดสินใจดาเนินงานด้านต่างๆ ย่อมทาให้
"
่านั้น
ท้องถิ่นได้รับประโยชน์ มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ทาให้ผลของการพัฒนากระจายทั่วทั้ง
สังคมอย่างเป็นธรรม
าเท
ภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ศึกษ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีภารกิจหลักที่สาคัญ 4 ด้าน (Leach and Stewart,
กา ร
1992 อ้างถึงใน Wilson and Game, 1998: 83; สมคิด เลิศไพฑูรย์, 2550; 350 – 354)
1. การให้บริการสาธารณะ (Service Public) ภารกิจนี้ได้แก่ การให้บริการ
เพื่อ
ด้านต่างๆ เพื่อส่งเสริมสวัสดิภาพของประชาชน ทั้งในทางกายภาพและจิตใจและเพื่อให้เกิด
ความยุติธรรมในสังคม เช่น การให้บริการ ด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง
ิต
ส่ ว นท้ อ งถิ่ น ท าหน้ า ที่ ใ นการวางแผนเชิ ง กลยุ ท ธ์ ใ นระยะยาว เพื่ อ เป็ น กรอบส าหรั บ
การปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กร รวมถึงหน่วยงานหรือองค์กรภายนอกที่มี
"มห
ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้บริการด้านต่างๆ
4. การส่ ง เสริ ม และสนั บ สนุ น (Promotion and Advocacy) องค์ ก ร
ปกครองส่วนท้องถิ่นเชิญชวนให้องค์กรหรือหน่วยงานอื่นๆ ของภาคเอกชนหรือองค์กรเอกชน
มาร่ ว มในกิ จ กรรมต่ า งๆ ที่ เ ป็ น ประโยชน์ ต่ อ ท้ อ งถิ่ น โดยองค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น
ให้ ก ารส่ งเสริม และสนั บ สนุ น เช่ น การให้ เงิ น ทุ น สนั บ สนุ น แก่ อ งค์ ก รเอกชน ที่ ด าเนิ น งาน
ด้านการอนุรักษ์ส่งิ แวดล้อม เป็นต้น
106
รูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
องค์ก รปกครองส่ ว นท้อ งถิ่ น ในประเทศโลกตะวัน ตกที่ ก ารปกครองในระบอบ
ประชาธิ ป ไตยมีค วามเจริญ ก้ าวหน้าและพั ฒ นามาอย่างยาวนานนั้น ไม่ใช่เพี ย งแต่ป ระเภท
ขององค์ก รปกครองส่ว นท้อ งถิ่ นจะมีค วามแตกต่างกั น ตามขนาดของพื้ นที่ ความหนาแน่ น
ของประชากร และความเจริญก้าวหน้าของสภาพเศรษฐกิจแต่ยังมี รูปแบบขององค์กรปกครอง
ส่ ว นท้ อ งถิ่ น (Forms of Government) อี ก หลายรู ป แบบ ซึ่ งแต่ ล ะรู ป แบบก็ มี ค วามสั ม พั น ธ์
"
่านั้น
กั บ ปั จ จั ย ดั ง กล่ า วข้ า งต้ น ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู่ กั บ แต่ ล ะพื้ น ที่ ว่ า จะเลื อ กน าเอารู ป แบบใดมาใช้
โดยรายละเอียด มีดังนี้ (Norton, 1994: 420–425; Keller and Perry, 1991: 40–42)
าเท
1. รู ป แบบที่ ป ระชุ ม เมื อ งขนาดเล็ ก (Town and Township Meeting)
รูปแบบนี้มักถูกนามาใช้ในท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา ที่มีประชากรต่ากว่า 10,000 คน ซึ่งปัจจุบัน
ศึกษ
ความนิยมในรูปแบบนี้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ โดยจะมีการประชุมชาวชุมชนปีละครั้งหรื อ 2 ครั้ง
เพื่อเลือกตัวแทน 3–9 คน เป็นคณะกรรมการ (Board) ที่เรียกว่า Select Men หรือ Councilmen
กา ร
มาทาหน้าที่ในการพิจารณาและตัดสินใจนโยบาย แผนงานและมาตรการต่างๆ ในบางกรณี
เพื่อ
คณ ะกรรมการอาจมี ก ารว่ า จ้ า งผู้ บ ริ ห ารแห่ ง สภาที่ ป ระชุ ม เมื อ ง (Township Council
Administration) หรื อ ผู้ จั ด การ (Managers) ซึ่ ง ถื อ เป็ น มื อ อาชี พ มาช่ ว ยปฏิ บั ติ ง านภายใต้
ิต
ความรับผิดชอบของคณะกรรมการ
นดุส
รูปแบบนีไ้ ปใช้
รู ป แบบนี้ มี ลั ก ษณะที่ ส าคั ญ คื อ การบริ ห ารงานท้ อ งถิ่ น ในรู ป แบบของ
"มห
ที่จะทาให้เกิดความร่วมมือกันในการทางานในหมู่คณะกรรมการ ในฐานะที่ต้องเป็นผู้บริหาร
หรือหัวหน้าฝ่ายต่างๆ ด้วย
3. รูปแบบสภา–นายกเทศมนตรี (The council–Mayor Form) รูปแบบนี้
จ าลองตามรูป แบบความสั ม พั น ธ์ ระหว่า งฝ่ ายนิ ติ บั ญ ญั ติ กั บ ฝ่ า ยบริห ารในระดั บ รั ฐ สภา
(Parliamentary System) ของการเมืองระดับชาติ ซึ่งอังกฤษถือเป็นแม่แบบ โดยที่ความสัมพันธ์
ระหว่าง 2 ฝ่ายเป็นไปตามหลั กการความเชื่อมโยงแห่งอานาจ (Fusion of Power) เนื่องจาก
"
่านั้น
ฝ่ า ยบริ ห ารมี ที่ ม าจากการคั ด เลื อ กของสมาชิ ก สภาผู้ แ ทนราษฎร หรื อ ประชาชนเลื อ ก
ฝ่ายบริหารโดยทางอ้อมนั่นเอง
าเท
การปกครองท้องถิ่นก็เช่นเดียวกัน รูปแบบนีจ้ ะแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายนิติ
บัญญัติและฝ่ายบริหาร ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกสภาโดยตรงเพื่อทาหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น
ศึกษ
เทศบัญ ญั ติ ส่วนฝ่ายบริหารหรือนายกเทศมนตรีมาจากผู้นาเสียงข้างมากของสมาชิก สภา
นั่นเอง หรือมาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อม ฝ่ายบริหารหรือนายกเทศมนตรี จะถูกตรวจสอบ
กา ร
และถ่ ว งดุ ล การท างานจากสภาด้ ว ยมาตรการต่ า งๆ เช่ น การพิ จ ารณาให้ ค วามเห็ น ชอบ
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ การตั้งกระทู้ถาม การยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นต้น
เพื่อ
ในอดี ต องค์ ก รป กครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น ของไท ยบ างป ระเภท ใช้ รู ป แบบ นี้ ก่ อ นที่ จ ะมี
การเปลี่ยนแปลงไปใช้รูปแบบนายกเทศมนตรีเข้มแข็ง เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล
ิต
นดุส
เป็นต้น
4. รูปแบบนายกเทศมนตรีอ่อนแอ (The Weak Mayor Form) รูปแบบนี้
ัยสว
และถ่ ว งดุ ล ซึ่ ง กั น และกั น ป้ อ งกั น การทุ จ ริ ต คอรั ป ชั่ น และแก้ ไ ขปั ญ หาประสิ ท ธิ ภ าพ
"มห
ในการทางาน
อย่างไรก็ ตาม ในเวลาต่อมาพบว่า รูป แบบนี้ ก่อให้เ กิดปัญ หาในการท างาน
เป็นอย่างมาก เพราะนายกเทศมนตรีขาดอานาจในการบริหารงาน ไม่สามารถบัญชาการฝ่าย
ต่างๆ ที่หัวหน้าฝ่ายมาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้เช่นเดียวกั น อีก ทั้งพบว่ารูป แบบนี้
สมาชิกสภาเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือแสดงบทบาทในการบริหารงาน การจัดการ การจัดทานโยบาย
มากเกินไป
108
"
่านั้น
หน้าที่ในด้านการออกกฎข้อบังคับต่า งๆ ตลอดจน การสอดส่องดูแลการทางานของฝ่ายต่างๆ
ในการบริหารงาน
าเท
6. รู ป แบบสภา-ผู้ จั ด การ (The Council - Manager Form) รู ป แบบนี้
ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกสภาจานวน 5–9 คน โดยคัดเลือกกันเอง ให้ใครคนใดคนหนึ่งดารง
ศึกษ
ตาแหน่ งนายกเทศมนตรีแต่ไม่ มีอานาจในการบริห ารงาน มีหน้ าที่เพีย งด้านพิ ธีก ารเท่ านั้ น
เนื่องจากสภาจะจ้างนัก บริหารมืออาชีพที่มีป ระสบการณ์ ในการบริหารงานจากภาคธุรกิจ
กา ร
หรือภาคเอกชนมาก่อนมาเป็นผู้จัดการ หรือผู้จัดการเมือง (City Manager) รูปแบบนี้จึงถือว่า
เพื่อ
ผู้ จั ด การเมื อ งรั บ มอบอ านาจจากสภาและต้ อ งปฏิ บั ติ ง านภายใต้ ค วามพึ งพอใจของสภา
เพราะมีโอกาสที่จะถูกปลดพ้นจากตาแหน่งเมื่อใดก็ได้ หากปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามที่กาหนดไว้
หรือบกพร่องต่อหน้าที่
ิต
นดุส
รูป แบบนี้ ผู้ จั ด การเมื อ งมี อ านาจเต็ ม ในการบริ ห ารงานของท้ อ งถิ่ น ได้ แ ก่
การบริหารงานประจาวัน การว่าจ้างและปลดหัวหน้าฝ่ ายต่างๆ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตาแหน่ง
ัยสว
การปกครองท้องถิ่นเป็นการจัดระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ตามหลัก
การกระจายอ านาจปกครอง (Deconcentralization) ซึ่ ง มี ลั ก ษณะที่ ส าคั ญ คื อ มี ก ารจั ด ตั้ ง
าวิท
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นนิติบุคคล แยกอิสระออกจากการบริหารราชการส่วนกลาง
"มห
ทาให้มีสิทธิและอานาจในการทานิติกรรมและสัญญาต่างๆ ตลอดจนเป็นเจ้าของหรือถือครอง
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อการดาเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และประชาชนในท้องถิ่น โดยมีเจ้าหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณและรายได้เป็นของท้องถิ่นเอง
มีการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม
ในการปกครองตนเอง ทั้งนี้ การดาเนินงานของท้องถิ่นต้องเป็นไปตามกรอบกฎหมายแห่งรัฐ
การปกครองท้องถิ่ นจึงเป็นแนวทางที่ท าให้ป ระชาชนในท้องถิ่นได้คิด ริเริ่ม
และหาวิ ธี ก ารในการแก้ ไขปั ญ หาและพั ฒ นาท้ อ งถิ่ น โดยประชาชนที่ ด าเนิ น ชี วิต อยู่ ภ ายใน
109
การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นไทยในปัจจุบัน
การบ ริ ห ารราชการส่ ว นท้ องถิ่ น ได้ แ ก่ ก ารกระจายอ านาจสู่ ท้ องถิ่ น
"
่านั้น
(Decentralization) เพื่ อ ให้ ป ระชาชนมี อ านาจในการตั ด สิ น ใจเกี่ ย วกั บ กิ จ การต่ า งๆ ที่ เ ป็ น
สาธารณะของท้ อ งถิ่ น ตนเอง ตามภารกิ จ หน้ า ที่ ที่ ร ะบุ ใ ห้ ด าเนิ น การอย่ า งชั ด เจน มี พื้ น ที่
าเท
รับ ผิ ด ชอบชั ด เจน มี ผู้ บ ริห ารที่ ได้ รับ การเลื อ กตั้ ง โดยตรงจากประชาชน หรือ อาจจะได้ รั บ
ความเห็นชอบจากสภาท้องถิ่น
ศึกษ
ก ารบ ริ ห ารราชก ารส่ วน ท้ อ งถิ่ น คื อ ก ารใช้ ห ลั ก ก ารก ระจ าย อ าน าจ
(Decentralization) ให้กับประชาชนโดยตรง
กา ร
การกระจายอานาจ เป็นการให้อานาจแก่ท้องถิ่น ในฐานะผู้รับมอบอานาจจะต้อง
เพื่อ
มีความรับผิดชอบต่อการดาเนินการและการตัดสินใจของตนเอง
การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในปัจจุบัน มีอยู่ 2 ระบบ ประกอบด้วย
ิต
องค์การบริหารส่วนตาบลและองค์การบริหารส่วนจังหวัด
2) ระบบพิ เศษที่ ใช้เฉพาะท้ อ งถิ่ น บางแห่ งซึ่งในปั จจุ บั น มี อยู่ 2 รูป แบบ คื อ
ัยสว
กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินหรือหลักการจัดระเบียบการปกครองประเทศ
ยาล
ภาระกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ภาระกิ จขององค์ก รปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญ ญั ติก าหนดแผนและ
ขั้นตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มีรายละเอียด ดังนี้
"
่านั้น
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 มาตรา 284 วรรคสาม บัญญัติว่า
“เพื่ อพั ฒ นาการกระจายอานาจเพิ่ม ขึ้นให้ ท้อ งถิ่นอย่างต่ อเนื่อ ง ให้มี ก ฎหมายก าหนดแผน
าเท
และขั้นตอนการกระจายอานาจ ซึ่งอย่างน้อยต้องมีสาระสาคัญ ดังต่อไปนี้
(1) การกาหนดอานาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะระหว่าง
ศึกษ
รัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง
กา ร
(2) การจั ด สรรสั ด ส่ ว นภาษี แ ละอากรระหว่ า งรั ฐ กั บ องค์ ก รปกครอง
ส่ว นท้ อ งถิ่ น โดยค านึ งถึ งภาระหน้าที่ ข องรับ กั บ องค์ ก รปกครองส่ วนท้ อ งถิ่ น และระหว่าง
เพื่อ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเองเป็นสาคัญ
(3) การจั ด ให้ มี ค ณะกรรมการขึ้ น คณะหนึ่ ง ท าหน้ า ที่ ต าม (1) และ (2)
ิต
ประกอบด้วยผู้แทนของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นดุส
“พระราชบัญญัติกาหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. 2542” เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ซึ่งมีสาระสาคัญสามารถแจกแจงได้ดังนี้
ยาล
บั ญ ญั ติ ว่ า องค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น หมายถึ ง องค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นจั ง หวั ด เทศบาล
องค์การบริหารส่วนตาบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่
"มห
มีกฎหมายจัดตั้ง
2. คณะกรรมการการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
มาตรา 6 บัญญัติว่า ให้มีคณะกรรมการการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ประกอบด้วย
(1) นายกรั ฐ มนตรี ห รือ รองนายกรัฐ มนตรีซึ่ งนายกรั ฐ มนตรี ม อบหมาย
เป็นประธาน
111
"
ผูบ้ ริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดสองคน ผู้บริหารเทศบาลสามคน ผู้บริหารองค์การบริหาร
่านั้น
ส่ว นต าบลห้ าคนและผู้ บ ริห ารกรุงเทพมหานคร ผู้บ ริห ารเมื อ งพั ท ยาหรือ ผู้ บ ริห ารองค์ ก ร
าเท
ปกครองส่วนท้องถิ่น อื่นที่มกี ฎหมายจัดตั้งขึน้ รวมสองคน ทั้งนี้ โดยให้ผบู้ ริหารองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภทเลือกกันเองตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่นายกรัฐมนตรีกาหนด
ศึกษ
(4) ผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ จ านวนสิ บ สองคน ประกอบด้ ว ยบุ ค คลซึ่ ง มี ค วามรู้
ความเชี่ยวชาญ ในด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านการพัฒนาท้ องถิ่น ด้านเศรษฐศาสตร์
กา ร
ด้านการปกครอง ส่วนท้องถิ่นในสาขารัฐศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ และด้านกฎหมาย
ทั้งนี้ การสรรหาผูท้ รงคุณวุฒิให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่นายกรัฐมนตรีกาหนด
เพื่อ
ให้หัวหน้าสานักงานคณะกรรมการการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นเป็นเลขานุการคณะกรรมการ
ิต
นดุส
ปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น และระหว่ า งองค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น ด้ ว ยกั น เอง โดยค านึ ง ถึ ง
ภาระหน้าที่ของรัฐกั บ องค์ก รปกครองส่วนท้องถิ่นและระหว่างองค์ก รปกครองส่วนท้องถิ่น
ด้วยกันเองเป็นสาคัญ
(4) ก าหนดหลั ก เกณฑ์ แ ละขั้ น ตอนการถ่ า ยโอนภารกิ จ จากราชการ
ส่วนกลางและราชการส่วนภูมภิ าคให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(5) ประสานการถ่ายโอนข้าราชการ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น และพนักงาน
รั ฐ วิ ส าหกิ จ ระหว่ า งส่ ว นราชการ รั ฐ วิ ส าหกิ จ และองค์ ก ารปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น กั บ
112
คณ ะกรรมการพนั ก งานส่ ว นท้ อ งถิ่ น หรื อ หน่ ว ยงานที่ เ กี่ ย วข้ อ ง เพื่ อ ให้ ส อดคล้ อ ง
กั บ การก าหนดอ านาจและหน้ า ที่ ก ารจั ด สรรภาษี แ ละอากร เงิน อุ ด หนุ น เงิน งบประมาณ
ที่ราชการส่วนกลางโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและการถ่ายโอนภารกิจ
(6) เสนอแนะต่ อ คณะรั ฐ มนตรี ให้ มี ก ารกระจายอ านาจการอนุ มั ติ ห รื อ
การอนุญ าตตามที่มีก ฎหมายบั ญ ญั ติให้ต้องขออนุมัติหรือขออนุญ าตไปให้องค์ก รปกครอง
ส่วนท้องถิ่น โดยคานึงถึงความสะดวก รวดเร็วในการให้บริการประชาชน และการกากับดูแล
"
ให้เป็นไปตามกฎหมายนั้นๆ เป็นสาคัญ
่านั้น
(7) เส น อ แ น ะม าต รก ารด้ าน ก ารเงิ น ก ารค ลั ง ก ารภ าษี อ าก ร
าเท
การงบประมาณและการรักษาวินัยทางการเงิน การคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(8) เสนอแนะการตราพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา ออกกฎกระทรวง
ศึกษ
ประกาศ ข้อบังคับ ระเบียบ และคาสั่งที่จาเป็นเพื่อดาเนินการให้เป็นไปตามแผนการกระจาย
อานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อคณะรัฐมนตรี กา ร
(9) เร่ ง รั ด ให้ มี ก ารตราพระราชกฤษฎี ก า ออกกฎกระทรวง ประกาศ
ข้อบังคับ ระเบียบและคาสั่งที่จาเป็นเพื่อดาเนินการให้เป็นไปตามแผนการกระจายอานาจให้แก่
เพื่อ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(10) เสนอแนะต่ อ คณะรัฐ มนตรีในการจัด สรรเงิน งบประมาณที่ จั ดสรร
ิต
นดุส
ส่วนท้องถิ่นตามความจาเป็น
(12) เสนอแนะและจัด ระบบตรวจสอบและการมีส่ วนร่วมของประชาชน
ยาล
ในท้องถิ่น
(13) เสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่ งการในกรณีที่ปรากฏ
าวิท
ว่าส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจไม่ดาเนินการตามแผนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครอง
"มห
ส่วนท้องถิ่น
(14) เสนอรายงานเกี่ ย วกั บ การกระจายอ านาจให้ แ ก่ อ งค์ ก รปกครอง
ส่วนท้องถิ่นต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยปีละหนึ่งครัง้
113
"
่านั้น
มาตรา 16 บัญ ญั ติให้เทศบาล เมืองพัทยาและองค์การบริหารส่วนตาบล
มีอานาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น
าเท
ดังต่อไปนี้
(1) การจัดทาแผนพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง
ศึกษ
(2) การจัดให้มีและบารุงรักษาทางบก และทางระบายน้า
(3) การจัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้ามและที่จอดรถ
กา ร
(4) การสาธารณูปโภคและการก่อสร้างอื่นๆ
เพื่อ
(5) การสาธารณูปการ
(6) การส่งเสริม การฝึกและการประกอบอาชีพ
ิต
(8) การส่งเสริมการท่องเที่ยว
(9) การจัดการศึกษา
ัยสว
วัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น
(12) การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดและการจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
"มห
(13) การจัดให้มีและบารุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
(14) การส่งเสริมกีฬา
(15) การส่ ง เสริ ม ประชาธิ ป ไตย ความเสมอภาค และสิ ท ธิ เสรี ภ าพ
ของประชาชน
(16) การส่งเสริมการมีสว่ นร่วมของราษฎรในการพัฒนาท้องถิ่น
(17) การรั ก ษาความสะอาดและความเป็ น ระเบี ย บเรี ย บร้ อ ย ของ
บ้านเมือง
114
"
อนามัย โรงมหรสพและสาธารณสถานอื่นๆ
่านั้น
(24) การจัดการ การบารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ที่ดิน
าเท
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(25) การผังเมือง
ศึกษ
(26) การขนส่งและการวิศวกรรมจราจร
(27) การดูแลรักษาที่สาธารณะ กา ร
(28) การควบคุมอาคาร
(29) การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
เพื่อ
3.2 อานาจและหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด
มาตรา 17 บั ญ ญั ติ ใ ห้ อ งค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นจั ง หวั ด มี อ านาจและหน้ า ที่
ยาล
ในการจัดระบบการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นดังต่อไปนี้
(1) การจั ด ท าแผนพั ฒ นาท้ อ งถิ่ น ของตนเอง และประสานการจัด ท า
าวิท
แผนพัฒนาจังหวัดตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกาหนด
"มห
(2) การสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในการพัฒนาท้องถิ่น
(3)การประสานและให้ ค วามร่ว มมื อ ในการปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ข ององค์ ก ร
ปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น
(4) การแบ่งสรรเงินซึ่งตามกฎหมายจะต้องแบ่งให้แก่องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นอื่น
(5) การคุ้มครอง ดูแล และบารุงรักษาป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม
115
(6) การจัดการศึกษา
(7) การส่ ง เสริ ม ประชาธิ ป ไตย ความเสมอภาค และสิ ท ธิ เสรี ภ าพ
ของ ประชาชน
(8) การส่งเสริมการมีสว่ นร่วมของราษฎรในการพัฒนาท้องถิ่น
(9) การส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม
(10) การจัดตัง้ และดูแลระบบบาบัดน้าเสียรวม
"
(11) การกาจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลรวม
่านั้น
(12) การจัดการสิ่งแวดล้อมและมลพิษต่างๆ
าเท
(13) การจัดการและดูแลสถานีขนส่งทั้งทางบกและทางน้า
(14) การส่งเสริมการท่องเที่ยว
ศึกษ
(15) การพาณิ ช ย์ การส่ ง เสริ ม การลงทุ น และการท ากิ จ การไม่ ว่ า
จะดาเนินการเองหรือร่วมกับบุคคลอื่นหรือจากสหการ
กา ร
(16) การสร้า งและบ ารุ งรั ก ษาทางบกและทางน้ าที่ เชื่อ มต่ อ ระหว่ า ง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น
เพื่อ
ของท้องถิ่น
(19) การจัดให้ มีโรงพยาบาลจังหวัด การรัก ษาพยาบาล การป้ องกั น
ัยสว
และควบคุมโรคติดต่อ
(20) การจัดให้มีพิพธิ ภัณฑ์และหอจดหมายเหตุ
ยาล
(21) การขนส่งมวลชนและการวิศวกรรมจราจร
(22) การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
าวิท
(23) การจัดให้มีระบบรักษาความสงบเรียบร้อยในจังหวัด
"มห
"
(29) กิ จ การอื่ น ใดที่ เ ป็ น ผลป ระโยชน์ ข องป ระชาชนในท้ อ งถิ่ น
่านั้น
ตามที่คณะกรรมการประกาศกาหนด
าเท
3.3 อานาจและหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร
มาตรา 18 บัญญัติให้กรุงเทพมหานครมีอานาจและหน้าที่ในการจัดระบบ
ศึกษ
การบริ ก ารสาธารณะเพื่ อ ประโยชน์ ข องประชาชนในท้ อ งถิ่ น ของตนเองตามมาตรา 16
และมาตรา 17 คือ มีอานาจและหน้าที่ทั้งหมดที่เป็นอานาจและหน้าที่ของเทศบาล เมืองพัทยา
กา ร
องค์การบริหารส่วนตาบลและองค์การบริหารส่วนจังหวัด
เพื่อ
3.4 อานาจและหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น
มาตรา 19 บัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายกาหนดให้
เป็ น องค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น รู ป แบบพิ เศษไม่ เ ต็ ม พื้ น ที่ จั ง หวั ด มี อ านาจและหน้ า ที่
ิต
นดุส
ในการจัดระบบบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองตามมาตรา
16 คือ มีอานาจและหน้าที่เช่นเดียวกับเทศบาล เมืองพัทยาและองค์การบริหารส่วนตาบล
ัยสว
แต่ถ้าหากเป็นกรณี ที่กฎหมายกาหนดให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
รูปแบบพิเศษเต็มพื้นที่จังหวัด ก็ให้มีอานาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะ
ยาล
ภาคเอกชน
มาตรา 21 บั ญ ญั ติ ว่ า ในการด าเนิ น งานตามอ านาจและหน้ า ที่ ที่ ระบุ ไ ว้
ในมาตรา 16 มาตรา 17 มาตรา 18 และมาตรา 19 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจร่วมมือกัน
ดาเนินการหรืออาจร้องขอให้รัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นแล้ วแต่กรณี ดาเนินการ
แทนได้
มาตรา 22 องค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น อาจมอบให้ เอกชนด าเนิ น การ
ตามอานาจและหน้าที่แทนได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กาหนดในกฎกระทรวง
117
"
่านั้น
อาจมีรายได้จากภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและเงินรายได้ดังต่อไปนี้
(1) ภาษีโรงเรือนและที่ดนิ ตามกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดนิ
าเท
(2) ภาษีบารุงท้องที่ตามกฎหมายว่าด้วยภาษีบารุงท้องที่
(3) ภาษีป้ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีป้าย
ศึกษ
(4) ภาษี มู ล ค่ าเพิ่ ม ตามประมวลรั ษ ฎากรที่ ได้ รับ การจั ด สรรในอั ต รา
ซึ่งเมื่อรวมกับ การจัดสรรตามมาตรา 24 (3) และมาตรา 25 (6) แล้วไม่เกินร้อยละสามสิบ
กา ร
ของภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัด เก็ บ ได้ หัก ส่วนที่ต้องจ่ายคืน แล้ว โดยเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร
เพื่อ
ที่จะจัดเก็บ
(5) ภาษีธุรกิจเฉพาะตามประมวลรัษฎากร โดยออกข้อบัญ ญั ติจัดเก็บ
เพิ่มขึ้นในอัตราซึ่งเมื่อรวมกับมาตรา 24 (4) แล้วไม่เกินร้อยละสามสิบของอัตราภาษีที่จัดเก็บ
ิต
นดุส
ตามประมวลรัษฎากร โดยเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรที่จะจัดเก็บ
(6) ภาษี ส รรพสามิ ต ตามกฎหมายว่า ด้ วยภาษี ส รรพสามิ ต ภาษี สุ ร า
ัยสว
ในอั ต ราไม่ เกิ นร้อ ยละสามสิ บ ของอั ต ราภาษี ที่ ก รมสรรพสามิ ต จั ดเก็ บ และให้ ถื อเป็ น ภาษี
และค่าแสตมป์ ตามกฎหมายว่าด้วยการนัน้ โดยเป็นหน้าที่ของกรมสรรพสามิตที่จะจัดเก็บ
าวิท
รถยนต์ภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และค่าธรรมเนียมล้อเลื่อนตามกฎหมาย
ว่าด้วยล้อเลื่อน
(8) ภาษีการพนันตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน
(9) ภาษีเพื่อการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
(10) อากรการฆ่ า สั ต ว์ แ ละผลประโยชน์ อื่ น อั น ได้ จ ากการฆ่ า สั ต ว์
ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการฆ่าสัตว์และจาหน่ายเนื้อสัตว์
(11) อากรรังนกอีแอ่นตามกฎหมายว่าด้วยอากรรังนกอีแอ่น
118
(12) ค่าภาคหลวงแร่ตามกฎหมายว่าด้วยแร่หลังจากหักส่งเป็นรายได้
ของรัฐในอัตราร้อยละสี่สิบแล้วดังต่อไปนี้
(ก) องค์การบริหารส่วนตาบลหรือเทศบาลที่มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่
ตามประทานบัตรให้ได้รับการจัดสรรในอัตราร้อยละยี่สิบของเงินค่าภาคหลวงแร่ที่จัดเก็บได้
ภายในเขต
(ข) องค์การบริหารส่วนตาบลหรือเทศบาลอื่นที่อยู่ภาย ในจังหวัดที่มี
"
พื้ น ที่ ค รอบคลุ ม พื้ น ที่ ต ามประทานบั ต ร ให้ ไ ด้ รั บ การจั ด สรรในอั ต ราร้ อ ย ละสิ บ ของเงิ น
่านั้น
ภาคหลวงแร่ที่จัดเก็บได้ภายในเขต
าเท
(ค) องค์ ก ารบริห ารส่ วนต าบลหรื อ เทศบาลในจั งหวั ด อื่ น ให้ ได้ รั บ
การจัดสรรในอัตราร้อยละสิบของเงินค่าภาคหลวงแร่ที่จัดเก็บได้ภายในเขต
ศึกษ
(13) ค่าภาคหลวงปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม หลังจาก
หักส่งเป็นรายได้ของรัฐในอัตราร้อยละสี่สิบแล้วดังต่อไปนี้ กา ร
(ก) องค์การบริหารส่วนตาบลหรือเทศบาลที่มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่
ตามสั ม ปทานให้ ไ ด้ รั บ การจั ด สรรในอั ต ราร้ อ ยละยี่ สิ บ ของเงิ น ค่ า ภาคหลวงปิ โ ตรเลี ย ม
เพื่อ
ที่จัดเก็บได้ภายในเขต
(ข) องค์การบริหารส่วนตาบลหรือเทศบาลอื่นที่อยู่ภายในจังหวัดที่มี
ิต
นดุส
พื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ตามสัมปทาน ให้ได้รับการจัดสรรในอัตราร้อยละสิบของเงินภาคหลวง
ปิโตรเลียมที่จัดเก็บได้ภายในเขต
ัยสว
อาคารชุด
"มห
"
(18) ค่ า ใช้ น้ าบาดาลตามกฎหมายว่ าด้ ว ยน้ าบาดาล ทั้ งนี้ ให้ เป็ น ไป
่านั้น
ตามสัดส่วนที่คณะกรรมการกาหนด
าเท
(19) ค่ า ธรรมเนี ย มใดๆ ที่ เรีย กเก็ บ จากผู้ ใ ช้ห รื อ ได้ รั บ ประโยชน์ จ าก
บริการสาธารณะที่จัดให้มีข้นึ
ศึกษ
(20) รายได้อื่นตามที่กฎหมายบัญ ญั ติให้เป็นของเทศบาล เมืองพัท ยา
และองค์การบริหารส่วนตาบล กา ร
4.2 องค์การบริหารส่วนจังหวัด
มาตรา 24 บัญ ญั ติว่า องค์ก ารบริหารส่วนจังหวัดอาจมีรายได้จากภาษี
เพื่อ
และน้ ามั น ที่ ค ล้ายกั น น้ ามัน ดี เซล และน้ ามั น ที่ ค ล้ายกั น ก๊ าซปิ โตรเลี ย มที่ ใช้ เป็ น เชื้อ เพลิ ง
สาหรับรถยนต์ซึ่งเก็บจากการค้าในเขตจังหวัดโดยออกข้อบัญญัติจัดเก็บเพิ่มได้ไม่เกินลิตรละ
ัยสว
สิบสตางค์สาหรับน้ามัน และกิโลกรัมละไม่เกินสิบสตางค์สาหรับก๊าซปิโตรเลียม
(2) ภาษี บ ารุ งองค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นจั งหวั ด ส าหรั บ ยาสู บ ซึ่ งเก็ บ จาก
ยาล
การค้าในเขตจังหวัดโดยออกข้อบัญญัติจัดเก็บเพิ่มได้ไม่เกินมวนละสิบสตางค์
(3) ภาษี มู ล ค่ าเพิ่ ม ตามประมวลรัษ ฎากรที่ ได้ รับ การจั ด สรรในอัต รา
าวิท
ซึ่ ง เมื่ อ รวมกั บ อั ต ราตามมาตรา 23 (4) และมาตรา 25 (6) แล้ ว ไม่ เ กิ น ร้ อ ยละสามสิ บ
"มห
ของภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้หักส่วนที่ต้องจ่ายคืนแล้ว โดยเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรที่จะ
จัดเก็บ
(4) ภาษีธุรกิจเฉพาะตามประมวลรัษฎากร โดยออกข้อบัญญั ติจัดเก็บ
เพิ่มขึน้ ในอัตราซึ่งเมื่อรวมกับอัตราตามมาตรา 23 (5) แล้วไม่เกินร้อยละสามสิบของอัตราภาษี
ที่จัดเก็บตามประมวลรัษฎากรโดยเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรที่จะจัดเก็บ
120
"
ร้อยละยี่สิบ ของค่าภาคหลวงแร่ที่จัดเก็บได้ภายในเขตขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้น
่านั้น
(9) ค่ าภาคหลวงปิ โตรเลี ย มตามกฎหมายว่าด้ วยปิ โตรเลี ย มให้ ได้ รับ
าเท
การจัด สรรในอัตราร้อยละยี่สิบ ของค่าภาคหลวงปิโตรเลีย มที่จัดเก็ บ ได้ในเขตขององค์การ
บริหารส่วนจังหวัดนั้น
ศึกษ
(10) ค่าธรรมเนียมบารุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยออกข้อบัญญัติ
เรียกเก็บจากผู้พักในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม กา ร
(11) ค่ าธรรมเนี ย ม ค่ า ใบอนุ ญ าต และค่ าปรั บ ในกิ จ การที่ ก ฎหมาย
มอบหมายหน้าที่ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นเจ้าหน้าที่ดาเนินการภายในเขตองค์การ
เพื่อ
บริหารส่วนจังหวัดนั้น และให้ตกเป็นรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด
(12) ค่ า ธรรมเนี ย มใดๆ ที่ เรีย กเก็ บ จากผู้ ใช้ ห รื อ ได้ รั บ ประโยชน์ จ าก
ิต
นดุส
บริการสาธารณะที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดจัดให้มขี นึ้
(13) รายได้ อื่ น ตามที่ ก ฎหมายบั ญ ญั ติ ใ ห้ เ ป็ น ขององค์ ก ารบริ ห าร
ัยสว
ส่วนจังหวัด
4.3 กรุงเทพมหานคร
ยาล
(3) ภาษีป้ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีป้าย
"มห
(4) ภาษี บ ารุ ง กรุ ง เทพมหานครส าหรั บ น้ ามั น เบนซิ น และน้ ามั น
ที่คล้ายกัน น้ามันดีเซลและน้ามันที่คล้ายกัน ก๊าซปิโตรเลียมที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสาหรับรถยนต์
ซึ่งเก็ บ จากการค้ าในเขตกรุงเทพมหานครโดยออกข้อ บั ญ ญั ติ จัด เก็ บ เพิ่ ม ได้ ไม่ เกิ นลิ ต รละ
สิบสตางค์สาหรับน้ามัน และไม่เกินกิโลกรัมละสิบสตางค์สาหรับก๊าซปิโตรเลียม
(5) ภาษีบารุงกรุงเทพมหานครสาหรับ ยาสูบ ซึ่งเก็บ จากการค้าในเขต
กรุงเทพมหานครโดยออกข้อบัญญัติจัดเก็บเพิ่มได้ไม่เกินมวนละสิบสตางค์
121
"
หน้าที่ของกรมสรรพากรที่จะจัดเก็บ
่านั้น
(8) ภาษี ส รรพสามิ ต ตามกฎหมายว่าด้ วยภาษี ส รรพสามิ ต ภาษี สุ ร า
าเท
ตามกฎหมายว่าด้วยสุราและค่า แสตมป์ยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ซึ่งเก็บจากการค้า
ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยออกข้อ บั ญ ญั ติจั ดเก็ บ เพิ่ ม ขึ้นในอัต ราภาษีที่ ก รมสรรพสามิ ต
ศึกษ
จัดเก็บและให้ถือเป็นภาษีและค่าแสตมป์ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นโดยเป็นหน้าที่ของกรม
สรรพสามิตที่จะจัดเก็บ กา ร
(9) ภาษีเพื่อการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
(10) ภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ รวมทั้งเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วย
เพื่อ
(11) ภาษีการพนันตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน
(12) ค่ า ภาคหลวงแร่ ต ามกฎหมายว่ า ด้ ว ยแร่ ที่ จั ด เก็ บ ภายในเขต
ัยสว
ของกรุงเทพมหานครในอัตราร้อยละสี่สิบของค่าภาคหลวงแร่ที่กรมทรัพยากรธรณีจัดเก็บได้จริง
(13) ค่าภาคหลวงปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมที่จัดเก็ บ
ยาล
ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการฆ่าสัตว์และจาหน่ายเนื้อสัตว์
(15) ค่ า ธรรมเนี ย มบ ารุ ง กรุ ง เทพมหานคร โดยออกข้ อ บั ญ ญั ติ
เรียกเก็บจากผู้พักในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
(16) ค่าธรรมเนียมสนามบินตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ ทั้งนี้
ให้เป็นไปตามอัตราและวิธีการที่คณะกรรมการกาหนด
(17) ค่ า ธรรมเนี ย มการจดท ะเบี ย นสิ ท ธิ แ ละนิ ติ ก รรมเกี่ ย วกั บ
อสังหาริมทรัพย์ที่มที ุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดนิ และกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
122
"
มอบหมายหน้าที่ให้กรุงเทพมหานครเป็นเจ้าหน้าที่ดาเนินการภายในเขตของกรุงเทพมหานคร
่านั้น
และให้ตกเป็นรายได้ของกรุงเทพมหานคร
าเท
(20) ค่าธรรมเนียมใดๆ ที่เรียกเก็บจากผู้ใช้หรือได้รับประโยชน์ จากบริการ
สาธารณะที่กรุงเทพมหานครจัดให้มีข้ึน
ศึกษ
(21) รายได้อ่นื ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นของกรุงเทพมหานคร
4.4 รายได้อื่นๆ กา ร
มาตรา 28 บัญญัติวา่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจมีรายรับดังต่อไปนี้
(1) รายได้จากทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อ
(2) รายได้จากสาธารณูปโภค
(3) รายได้จากการพาณิ ชย์และการท ากิจการ ไม่ว่าจะดาเนินการเอง
ิต
นดุส
หรือร่วมกับบุคคลอื่นหรือจากสหการ
(4) ภาษี อ ากร ค่ า ธรรมเนี ย ม ค่ า ใบอนุ ญ าต ค่ า ปรั บ ค่ า ตอบแทน
ัยสว
ระหว่างประเทศ
(8) รายได้จากการจาหน่ายพันธบัตร
(9) เงินกู้จากกระทรวง ทบวง กรม องค์การ หรือนิตบิ ุคคลต่างๆ
(10) เงินกู้จากต่างประเทศ องค์การต่างประเทศ หรือองค์การระหว่าง
ประเทศ
(11) เงินและทรัพย์สนิ อย่างอื่นที่มีผู้อุทิศให้
(12) เงินช่วยเหลือหรือเงินค่าตอบแทน
123
"
่านั้น
สรุป
าเท
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกประเภทของไทยในปัจจุบันมี พัฒนาการรวมถึง มี
การปรับ ปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขให้ก ารท างานมีความสมบูรณ์ และสามารถบริหารจัดการ
ศึกษ
เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้าง อานาจหน้าที่
แหล่งที่มาของรายได้ การบริหารงานบุคคล การกากับดูแลเพื่อให้สอดคล้องกับ เจตนารมณ์
กา ร
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2540 ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บท ที่นามา
เพื่อ
สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการปกครองท้องถิ่นไทย แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถูกยกเลิกไป
แล้ วและถู ก ก าหนดด้ วยรัฐ ธรรมนูญ แห่ งราชอาณาจัก รไทย ฉบั บ ปี พ.ศ. 2550 ก็ ตาม แต่
ิต
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 5
ยาล
1. จงอธิบายวัตถุประสงค์ของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
2. จงอธิ บ ายข้ อ ความที่ ว่ า “ลดการผู้ ข าดอ านาจรั ฐ เพิ่ ม อ านาจประชาชน
าวิท
และการส่งผลการกระจายอานาจ” มาให้เข้าใจ
3. จงขยายความข้อความต่อไปนี้ “ประชาชนในท้องถิ่นเท่านั้นที่จะรู้ปัญหา และรู้
"มห
การแก้ไขปัญหาของตนเองแท้จริง”
4. หากประชาชนขาดการมี ส่วนร่วมในการปกครองท้ องถิ่น จะเกิ ดผลกระทบ
อย่างไรบ้าง
5. ให้นักศึกษาสรุปสาระสาคัญของหลักการปกครองส่วนท้องถิ่นมาให้เข้าใจ
เอกสารอ้างอิง
ธเนศวร์ เจริญ เมือง. (2540). 100 ปี การปกครองท้อ งถิ่นไทย พ.ศ. 2440 - 2540. พิมพ์
ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ
ประทาน คงฤทธิศึกษากร. (2524). การปกครองเมืองพัทยา. กรุงเทพมหานคร:
ประหยัด หงษ์ทองคา. (2526). การปกครองท้องถิ่นไทย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
"
่านั้น
_______. (2526). การปกครองท้ อ งถิ่ น ไทย. พิ ม พ์ ค รั้ ง ที่ 2. กรุ ง เทพฯ: จุ ฬ าลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
าเท
“พระราชบัญญัติกาหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ศึกษ
พ.ศ.2542” (2542, 17 พฤศจิกายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 116. ตอน 114 ก.
หน้า 48. กา ร
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540” (2540, 11 ตุลาคม). ราชกิจจานุเบกษา.
เล่ม 114. ตอน 55 ก. หน้า 1.
เพื่อ
"
่านั้น
าเท
ศึกษ
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
บทที่ 6
ระเบียบการปฏิบัติราชการแผ่นดิน
อานุภาพ รักษ์สุวรรณ
"
่านั้น
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย
าเท
ที่สาคัญ 2 ฉบับ ประกอบด้วย พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ซึ่งมี
การแก้ไขเพิ่มเติมมาโดยตลอดนับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญ ญั ติดังกล่าวเป็นต้นมา
ศึกษ
และในปัจจุบันมีการแก้ไขเพิ่มเป็นฉบับที่ 8 พ.ศ.2553 โดยมีเนื้อหาสาระสาคัญว่าด้วยการจัด
กา ร
ระเบี ย บบริห ารราชการแผ่ นดิ น แบ่ งออกเป็ น 3 ระดั บ คื อ ระเบี ย บบริหารราชการแผ่น ดิ น
ส่วนกลาง ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาค และระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วน
เพื่อ
ท้องถิ่น และกฎหมายที่สาคัญอีกหนึ่งฉบับที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของไทยคือ
พระราชกฤษฎีก าว่าด้ว ยหลั ก เกณฑ์ แ ละวิธีก ารบริห ารกิ จการบ้ านเมื อ งที่ ดี พ.ศ.2546 ซึ่ ง
ิต
กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติราชการของส่วนราชการต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติตราชการ
นดุส
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามพระราชบัญ ญั ติระเบียบ
ยาล
บริหารราชการแผ่นดินฯ
าวิท
กาหนดให้การบริหารราชการแผ่นดินต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์
ต่อภารกิจของรัฐ มีป ระสิท ธิภาพ คุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลด
ภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จาเป็น กระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น กระจาย
อานาจตัดสินใจ อานวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งนี้ เพื่อให้
การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปในทิศทางที่กาหนด พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ
แผ่ น ดิ น ฯ จึ งก าหนดให้ มี ก ารจั ด ระเบี ย บบริ ห าราชการแผ่ น ดิ น แบ่ งออกเป็ น 3 ระดั บ คื อ
128
"
่านั้น
รูปแบบมีฐานะเป็นนิติบุคคล ได้แก่
1.1 สานักนายกรัฐมนตรี การจัดระเบียบราชการในสานักนายกรัฐมนตรี
าเท
เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม โดยสานักนายกรัฐมนตรีเป็น
หน่ว ยงานในระดั บ กระทรวงและมี นายกรัฐ มนตรีเป็น ผู้บังคั บ บัญ ชา และนายกรัฐ มนตรีจะ
ศึกษ
มอบหมายงานในรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรีดูแลรับผิดชอบ
งานตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายก็ได้ ทั้งนี้ การบริหารราชการของสานักนายกรัฐมนตรีให้
กา ร
แบ่งส่วนราชการเป็น 4 รูปแบบ (บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ, 2560) คือ
เพื่อ
1) รูปแบบที่หัวหน้ าส่วนราชการเป็นข้าราชการการเมือง ได้แก่ สานัก
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งทาหน้าที่ลักษณะเดียวกันกับสานักงานรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ
ส่ ว นราชการรูป แบบนี้ มี เลขาธิ ก ารนายกรัฐ มนตรี ดู แลรับ ผิ ด ชอบ และให้ มี ร องเลขาธิ ก าร
ิต
นดุส
นายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองและรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ ายบริหารเป็นผู้ช่วยสั่งการและ
ปฏิบัติราชการ รวมทั้งอาจจะกาหนดให้มีผู้ช่วยเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ช่วยสั่งการหรือ
ัยสว
เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
2) รูป แบบที่ หั วหน้าส่วนราชการที่ เป็ นข้าราชการประจาและมี ฐานะ
าวิท
เที ย บเท่ า ปลั ด กระทรวงและขึ้ น ตรงต่ อ นายกรั ฐ มนตรี ส่ ว นราชการเหล่ า นี้ ได้ แ ก่ ส านั ก
"มห
"
เกี่ ย วกั บ การงบประมาณ ระบบราชการ การบริห ารงานบุ ค คล กฎหมายและการพั ฒ นา
่านั้น
กฎหมาย การติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการ การปฏิบัติภารกิจพิเศษและราชการ
าเท
อื่นตามที่มีกฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ของสานักนายกรั ฐมนตรีหรือส่วนราชการที่
สังกัดสานักนายกรัฐมนตรี หรือที่มไิ ด้อยู่ภายใต้อานาจหน้าที่ของกระทรวงใดโดยเฉพาะ”
ศึกษ
สานักนายกรัฐมนตรีนอกจากจะมีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ
รัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรี พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ มาตรา
กา ร
16 ยังกาหนดให้มีปลัดสานักนายกรัฐมนตรี 1 คน มีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) รับ ผิ ด ชอบควบคุ ม ราชการประจาในสานัก นายกรัฐ มนตรี ก าหนด
เพื่อ
แนวทางและแผนการปฏิ บัติ ราชการของส านัก นายกรัฐ มนตรี และลาดั บ ความส าคั ญ ของ
แผนการปฏิบัติราชการประจาปีของส่วนราชการในสานักนายกรัฐมนตรี ในเป็นไปตามนโยบาย
ิต
นดุส
2) เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการของส่วนราชการในสานักนายกรัฐมนตรี
รองจากนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรี ยกเว้น
ยาล
ข้าราชการของส่วนราชการซึ่งหัวหน้าส่วนราชการขึน้ ตรงต่อนายกรัฐมนตรี
3) เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรี
าวิท
และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรี
"มห
จัดระเบียบราชการในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการทหารและการศึกษา ให้เป็นไปตามกฎหมาย
ว่าด้วยการนัน้ )
ในกระทรวงหนึ่งให้ให้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง 1 คน เป็นผู้บังคับบัญ ชา
ข้าราชการ มีหน้าที่รับผิดชอบในการกาหนดนโยบายและการดาเนินงานของกระทรวง และจะ
ให้มรี ัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งหรือปฏิบัติราชการก็ได้
ในกระทรวงให้มีปลัดกระทรวง 1 คน ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็น
"
ผู้บังคับบัญชาข้าราชการของส่วนราชการในกระทรวง และจะให้มีรองปลัดกระทรวงเป็นผู้ช่วย
่านั้น
สั่งและปฏิบัติราชการตามที่ปลัดกระทรวงมอบหมายก็ได้ โดยมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการ
าเท
ปฏิบัติราชการประจาในกระทรวง แปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ กากับติดตามการทางานของ
ส่วนราชการในกระทรวง ประสานการปฏิบัติราชการกับส่วนราชการในกระทรวง
ศึกษ
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ของกระทรวงหรือทบวงซึ่งมีฐานะ
เทียบเท่ากระทรวง แบ่งส่วนราชการออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
กา ร
1) สานักงานรัฐมนตรี มีอานาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการทางการเมือง และ
มีเลขานุการรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้าราชการการเมืองเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่รับผิดชอบในการ
เพื่อ
เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี
2) ส านักงานปลัดกระทรวง มีฐานะเป็นกรม และมีป ลัดกระทรวงเป็น
ัยสว
คณะรัฐมนตรีกาหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมใดกรมหนึ่งในสังกัดกระทรวงโดยเฉพาะ รวมทั้ง
กากับและเร่งรัดการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในกระทรวงให้เป็นไปตามนโยบาย แนวทาง
าวิท
และแผนการปฏิบัติราชการของกระทรวง
"มห
3) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น
1.3 ทบวง ซึ่งสังกัดสานักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง หมายถึง ส่วน
ราชการซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง แต่โดยสภาพและปริมาณงานยังไม่เหมาะสมที่จะจัดตั้ง
เป็นกระทรวง การจัดตั้งทบวงจะกาหนดให้สังกัดสานักงานนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวงก็ได้
โดยมีรัฐมนตรีว่าการทบวงเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบการปฏิบัติราชการของ
ทบวง และการจัดระเบียบราชการในทบวงและอานาจหน้าที่ของทบวงให้เป็นไปตามกฎหมาย
ว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ของทบวงนัน้ ๆ
131
"
ปฏิบัติราชการ และจะให้มีผู้ช่วยปลัดทบวงเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการตามที่ปลัดทบวง
่านั้น
มอบหมายก็ได้ โดยปลั ดทบวงมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติราชการประจาในทบวง
าเท
กาหนดแนวทางและแผนปฏิบัติราชการของทบวง และลาดับความสาคัญของแผนการปฏิบัติ
ราชการประจาปีของส่วนราชการในทบวงให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐมนตรีก าหนด รวมทั้ ง
ศึกษ
กากับ เร่งรัด ติตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในทบวง
การจั ด ระเบี ย บ บ ริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น ของท บ วงซึ่ ง สั ง กั ด ส านั ก
กา ร
นายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง แบ่งส่วนราชการออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1) สานักงานรัฐมนตรี มีอานาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการทางการเมือง มี
เพื่อ
อาจจะจัดให้มีผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีซึ่งเป็นข้าราชการการเมืองอีก 1 คน หรือหลายคน ทา
หน้าที่เป็นผู้ช่วยสั่งหรือปฏิบัติราชการแทนเลขานุการรัฐมนตรีก็ได้
ัยสว
อานาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการประจาทั่วไปของทบวง และราชการที่คณะรัฐมนตรีกาหนดให้เป็น
หน้าที่ของกรมใดกรมหนึ่งในสังกัด ทบวงโดยเฉพาะ รวมทั้งกากับและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ
าวิท
3) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น
1.4 กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ซึ่ง
ไม่ สั งกั ด ส านั ก นายกรัฐ มนตรี กระทรวงหรือ ทบวง หมายถึ ง ส่ วนราชการที่ อยู่ ภ ายใต้
กระทรวง มีอานาจหน้า ที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวงตามที่กาหนดในกฎกระทรวงว่าด้วย
การแบ่งส่วนราชการกรม หรือตามกฎหมายว่าด้วยอานาจหน้าที่ของกรมนั้นๆ โดยมีอธิบดี 1
คน เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกรมให้เกิดผลสัมฤทธิ์
และเป็ น ไปตามเป้ า หมาย แนวทาง และแผนปฏิ บั ติ ร าชการของกระทรวง นอกจากนี้
132
"
นอกจากนี้ ส่ ว นราชการที่ เ รีย กชื่ อ อยางอื่ น และมี ฐ านะเป็ น กรม จะให้ มี
่านั้น
เลขาธิการ ผู้อานวยการ หรือตาแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งเทียบเท่าปลัดกระทรวงหรืออธิบดี
าเท
ทาหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการก้ได้
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของกรม อาจแบ่งส่วนราชการได้ดังนี้
ศึกษ
1) สานักงานเลขานุการกรม มีอานาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของ
กรม และราชการที่ไม่ได้แยกให้เป็ นหน้าที่ของกองหรือส่วนราชการใดโดยเฉพาะ และให้ มี
กา ร
เลขานุการกรมเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสานักงาน
เลขานุการกรม
เพื่อ
2) กองหรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบเท่ากอง เว้นแต่กรมเห็นว่าไม่มี
ความจาเป็น จะไม่แยกส่วนราชการตั้งขึ้นเป็นกองก็ได้ ส่วนราชการระดับกองมีอานาจหน้าที่
ิต
นดุส
ข้าราชการ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ
2. การปฏิบั ติราชการแทนและการรัก ษาราชการแทน พระราชบัญ ญั ติ
ยาล
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ ได้กาหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ของการการปฏิบัติราชการ
แทนและการรักษาราชการแทน ดังที่ บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ (2560) สรุปได้ดังนี้
าวิท
"
เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค) และ
่านั้น
5) เมื่อมีการมอบอานาจแล้ว ผู้มอบอานาจมีหน้าที่กากับติดตามผลการ
าเท
ปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอานาจ และให้มีอานาจแนะนาและแก้ไขการปฏิบัติราชการของ
ผูร้ ับมอบอานาจได้
ศึกษ
2.2 การรั ก ษาราชการแทน พระราชบั ญ ญั ติ ร ะเบี ย บบริ ห ารราชการ
แผ่นดินฯ กาหนดให้มีการรักษาราชการแทนได้ ในกรณีที่ผู้ดารงตาแหน่งไม่อาจปฏิบัติราชการ
กา ร
ได้ การรัก ษาราชการแทนมี วั ต ถุ ป ระสงค์ เพื่ อ ให้ ก ารบริห ารราชการมี ค วามต่ อ เนื่ อ ง ทั้ ง นี้
หลักการสาคัญของการรักษาราชการแทนมี 3 ประการ คือ
เพื่อ
1) กรณี ที่ ไม่มี ผู้ด ารงต าแหน่ งนั้ นหรือ มีผู้ ดารงต าแหน่ง นั้น แต่ ไม่อ าจ
ปฏิบัติราชการได้ด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม
ิต
นดุส
2) ผู้รักษาราชการแทนมีอานาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ที่ตนรักษาราชการ
แทนทุกประการ และ
ัยสว
3) การรักษาราชการแทนให้เป็นไปตามที่กาหนดไว้ในกฎหมาย
ในการรักษาราชการแทนพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ
ยาล
เป็ นผู้ รัก ษาราชการแทน ในกรณี ที่ มี รองนายกรัฐ มนตรีห ลายคน ให้ ค ณะรั ฐ มนตรี (ครม.)
"มห
มอบหมายให้ รองนายกรัฐ มนตรีค นใดคนหนึ่ งเป็ น ผู้ รัก ษาราชการแทน และถ้ าไม่มี ผู้ ด ารง
ตาแหน่งรองนายกรัฐ มนตรีหรือมีแต่ไม่ อาจปฏิบัติราชการแทนได้ ให้คณะรัฐ มนตรี (ครม.)
มอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
2) ในกรณี ที่ไม่มีผู้ดารงตาแหน่งรั ฐมนตรีว่าการกระทรวงหรือมีแต่ไม่
อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเป็นผู้รัก ษาราชการแทน ในกรณี ที่มี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงหลายคน ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่า
การกระทรวงคนใดคนหนึ่งเป็นผูร้ ักษาราชการแทน และถ้าไม่มีผู้ดารงตาแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่า
134
"
หนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน และถ้าไม่มีผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ให้รฐมนตรีว่าการกระทรวง
่านั้น
แต่งตั้งข้าราชการในกระทรวงคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน ทั้งนี้ ให้ดาเนินการในลักษณะ
าเท
เดียวกันในกรณีของเลขานุการรัฐมนตรีวา่ การทบวงด้วยโดยอนุโลม
4) ในกรณีที่ไม่มีผู้ดารงตาแหน่งปลัดกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติ
ศึกษ
ราชการได้ ให้รองปลัดกระทรวงเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้ามีรองปลัดกระทรวงหลายคน ให้
นายกรั ฐ มนตรี ส าหรั บ ส านั ก นายกรั ฐ มนตรี ห รื อ รั ฐ มนตรี ว่ า การกระทรวง แต่ ง ตั้ ง รอง
กา ร
ปลัดกระทรวงคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
ถ้าไม่มีผู้ดารงตาแหน่งรองปลัดกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
เพื่อ
ให้นายกรัฐมนตรีสาหรับสานักนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง แต่งตั้งข้าราชการ
ในกระทรวงซึ่งดารงตาแหน่งไม่ต่ากว่าอธิบดีหรือเทียบเท่าเป็นผู้รักษาราชการแทน สาหรับใน
ิต
นดุส
ผูร้ ักษาราชการแทนได้
ทั้ ง นี้ ให้ ด าเนิ น การในลั ก ษณะเดี ย วกั น ในกรณี ที่ ไ ม่ มี ผู้ ด ารงต าแหน่ ง
ยาล
ปลัดกระทรวงหรือรองปลัดกระทรวงด้วยโดยอนุโลม
1) ในกรณีที่ไม่มีผดู้ ารงตาแหน่งอธิบดี หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
าวิท
อธิบดีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
ถ้าไม่มีผู้ดารงตาแหน่งรองอธิบดี หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้
ปลัดกระทรวงแต่งตั้งข้าราชการในกรมซึ่งดารงตาแหน่งเทียบเท่ารองอธิบดี หรือข้ าราชการ
ตั้งแต่ตาแหน่งหัว หน้ากองหรือเทีย บเท่าขึ้นไปคนใดคนหนึ่งเป็ นผู้รัก ษาราชการแทน แต่ถ้ า
นายกรัฐมนตรีสาหรับสานักนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเห็นสมควร เพื่อความ
เหมาะสมแก่กีรรับผิดชอบการปฏิบัติราชการในกรมนั้น นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกา
135
ระทรวง จะแต่งตั้งข้าราชการคนใดคนหนึ่งซึงดารงตาแหน่งไม่ต่ากว่ารองอธิบดีหรือเทียบเท่า
เป็นผู้รักษาราชการแทนก็ได้
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดารงตาแหน่งรองอธิบดี หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการ
ได้ อธิบดีจะแต่งตั้งข้าราชการในกรมซึ่งดารงตาแหน่งเทียบเท่ารองอธิบดี หรือข้าราชการตั้ งแต่
ระดับหัวหน้ากองหรือเทียบเท่าขึน้ ไป เป็นผู้รักษาราชการแทนก็ได้
ทั้ ง นี้ บทบั ญ ญั ติ ดั ง กล่ า วให้ ใ ช้ บั ง คั บ ในกรณี ที่ ไ ม่ มี ผู้ ด ารงต าแหน่ ง
"
เลขาธิการ รองเลขาธิการ ผู้อานวยการ รองผู้อานวยการ หรือตาแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่ง
่านั้น
เทียบเท่าปลัดกระทรวงหรือธิบดีในส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรมด้วยโดย
าเท
อนุโลม
2) ในกรณีที่ไม่มีผู้ดารงตาแหน่งเลขานุการกรมหรือหัวหน้าส่วนราชการ
ศึกษ
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้อธิบดีแต่งตัง้ ข้าราชการในกรมคนหนึ่ง ซึ่งดารงตาแหน่งไม่
ต่ากว่าหัวหน้ากองหรือเทียบเท่า เป็นผู้รักษาราชการแทน ทั้งนี้ บทบัญญัติดังกล่าวให้ใช้บังคับ
กา ร
กับส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรมด้วยโดยอนุโลม
3) ให้ผู้รักษาราชการแทนตามที่บทบัญญัติของพระราชบัญญัติ ระเบียบ
เพื่อ
ในจังหวัดหนึ่งให้มีผู้ว่าราชการจังหวัด 1 คน เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
ทาหน้าที่เป็นผู้รับนโยบายจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง
าวิท
บรรดาข้ า ราชการฝ่ ายบริ ห าร ซึ่ งปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ในราชการส่ ว นภู มิ ภ าคในเขตจั งหวั ด และ
รับผิดชอบในราชการจังหวัดและอาเภอ
ในจังหวั ด หนึ่ งๆ จะให้ มี รองผู้ ว่าราชการจั งหวัด หรือ ผู้ ช่ว ยผู้ ว่ าราชการ
จังหวัด หรือทั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติ
ราชการแทนผู้ ว่าราชการจั งหวั ดก็ ได้ ทั้ งนี้ รองผู้ ว่าราชการจั งหวัด หรือ ผู้ช่ วยผู้ว่าราชการ
จังหวัดเป็นผู้บังคับบัญ ชาข้าราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัด และรับผิดชอบใน
ราชการรองจากผู้วา่ ราชการจังหวัด
136
"
การแบ่ งส่ วนราชการในจั งหวั ด พระราชบั ญ ญั ติ ระเบี ย บบริ หารราชการ
่านั้น
แผ่นดินฯ กาหนดให้มี
าเท
1) สานักงานจังหวัด มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปและการวางแผนพัฒนา
จังหวัดของจังหวัดนั้น และให้มีหัวหน้าสานักงานจังหวัด ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็น
ศึกษ
ผูบ้ ังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสานักงานจังหวัด
2) ส่วนราชการต่างๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ได้ตั้งขั้น มีหน้าที่เกี่ยวกับ
กา ร
ราชการของกระทรวง ทบวง กรมนั้ น ๆ โดยมี หั วหน้ าส่ วนราชการประจ าจั งหวั ด นั้ นๆ เป็ น
ผูป้ กครองบังคับบัญชารับผิดชอบ
เพื่อ
2) ดู แลให้ การปฏิ บั ติ และบั งคั บการให้ เป็ นไปตามกฎหมาย เพื่ อให้ เกิ ด
ความสงบเรียบร้อยและเป็นธรรมในสังคม
ัยสว
พอเพียง
4) จัดให้มีการบริการภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเสมอ
าวิท
"
คณะรัฐมนตรีกาหนด
่านั้น
2) การจัดทาแผนพัฒนาจังหวัด โดยจะต้องสอดคล้องกับ
าเท
- แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระดับชาติ และความต้องการ
ของประชาชนในท้องถิ่นในจังหวัด
ศึกษ
- ในการจัดท าแผนพัฒนาจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องจัดให้มี
การประชุมปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างหัวหน้าส่วนราชการที่มีสถานที่ตั้งทาการอยู่ในจังหวัด ไม่
กา ร
ว่าจะเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาคหรือราชการบริหารส่วนกลาง และผู้บริหารองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นทั้งหมดในจังหวัด รวมทั้งผูแ้ ทนภาคประชาสังคม และผูแ้ ทนภาคธุรกิจเอกชน
เพื่อ
บ้านเมืองที่ดี
สาหรับบทบัญญัติที่ว่าด้วยการรักษาราชการแทนในกรณีของการบริหาร
ัยสว
- ถ้าไม่มีทั้งผู้ดารงตาแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ช่วยผู้ว่าราชการ
จังหวัด หรือปลัดจังหวัด หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้หัวหน้าส่วนราชการประจาจังหวัด
ซึ่งมีอาวุโสตามระเบียบแบบแผนของทางราชการเป็นผูร้ ักษาราชการแทน
3.2 อาเภอ พระราชบัญญั ติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ บัญญั ติให้ใน
จังหวัดหนึ่งให้มีหน่วยราชการบริหารรองจากจังหวัดและให้เรียกว่า “อาเภอ” โดยการตั้ง ยุบ
เปลี่ยนแปลงเขตอาเภอให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และอาเภอไม่มีฐานะเป็นนิตบิ ุคคล
"
่านั้น
ในอาเภอหนึ่งมีนายอาเภอซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ 1 คน สังกั ด
กระทรวงมหาดไทย เป็ น หั ว หน้ า ปกครองบั ง คั บ บั ญ ชาบรรดาข้ า ราชการในอ าเภอ และ
าเท
รับผิดชอบการบริหารราชการของอาเภอ และนอกจากนายอาเภอแล้ว พระราชบัญญัติระเบียบ
บริ หารราชการแผ่ นดิ นฯ ก าหนดให้ มี ป ลั ดอ าเภอและหั วหน้ าส่ วนราชการประจ าอ าเภอ ซึ่ ง
ศึกษ
กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ส่งมาประจาให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือนายอาเภอ และมีอานาจ
บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาคซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมนั้นในอาเภอนั้น
กา ร
การแบ่งส่วนราชการในอาเภอ ตามพระราชบัญญั ติระเบียบบริหารราชการ
แผ่นดินฯ ประกอบด้วย
เพื่อ
เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชารับผิดชอบ
ทั้งนี้ อ าเภอมีอ านาจหน้าที่ในเขตอ าเภอ และอ านาจหน้ าที่ของอ าเภอมี
ยาล
ลักษณะเดียวกันกับอานาจหน้าที่ของจังหวัด แต่เป็นเพียงการดาเนินการในเขตอาเภอ
ส าหรับบทบัญ ญั ติที่ว่าด้ วยการรักษาราชการแทนในกรณี ของการบริหาร
าวิท
- ในกรณีที่ไม่มีผู้ดารงตาแหน่งนายอาเภอ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง
ปลั ดอ าเภอ หรื อหั วหน้ าส่ วนราชการประจ าอ าเภอผู้ มี อาวุ โสตามระเบี ยบแบบแผนของทาง
ราชการเป็นผูร้ ักษาราชการแทน
- ในกรณีมีผู้ดารงตาแหน่งนายอาเภอ แต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้
นายอาเภอแต่งตั้งปลัดอาเภอ หรือหัวหน้าส่วนราชการประจาอาเภอผูม้ ีอาวุโสตามระเบียบแบบ
แผนของทางราชการเป็นผูร้ ักษาราชการแทน
139
- ในกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอาเภอ มิได้แต่งตั้งผู้รักษาราชการ
แทนไว้ ให้ปลัดอาเภอ หรือหัวหน้าส่วนราชการประจาอาเภอผู้มีอาวุโสตามระเบียบแบบแผน
ของทางราชการเป็นผูร้ ักษาราชการแทน
4. การจัด ระเบีย บบริห ารราชการส่ วนท้ อ งถิ่น พระราชบัญ ญั ติระเบี ย บ
บริหารราชการแผ่นดินฯ ก าหนดให้มีก ารจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นออกเป็น 4
ประเภท ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล สุขาภิบาล (ไม่มีการจั ดระเบียบ
"
่านั้น
บริหารราชการสุขาภิบาล ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของ
สาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ.2542) และราชการส่วนท้องถิ่นอื่นตามที่มีกฎหมายกาหนด ได้แก่
าเท
องค์การบริหารส่วนตาบล (อบต.) เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร
อย่ า งไรก็ ต าม การจั ด ระเบี ย บบริ ห ารราชการส่ ว นท้ อ งถิ่ น ประเภทต่ า งๆ
ศึกษ
ดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นประเภทนั้นๆ
กา ร
หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติราชการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์
เพื่อ
และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
การตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่
ิต
คุ้มค่ าในเชิงภารกิ จแห่ งรัฐ ลดขั้นตอนการปฏิ บัติงาน ลดภารกิ จและยุ บ เลิก หน่วยงานที่ ไม่
จาเป็น กระจายภารกิ จและทรัพ ยากรให้แก่ท้องถิ่น กระจายอานาจตัดสินใจ อานวยความ
ยาล
สามารถตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศและการให้บริการสาธารณะกับประชาชนเป็นไปอย่าง
มีประสิทธิภาพ มีการกาหนดนโยบาย เป้าหมาย และแผนการปฏิบัติราชการที่มีความชัดเจน
"มห
สามารถประเมินและวัดผลสาเร็จของการปฏิบัติราชการได้
บทบั ญ ญั ติ ของพระราชกฤษฎีก าว่าด้ วยหลั ก เกณฑ์ แ ละวิธีก ารบริห ารกิ จการ
บ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 เป็นการก าหนดหลักเกณฑ์ และวิธีก ารปฏิบัติราชการ เพื่ อให้ส่วน
ราชการและข้าราชการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งเป็นส่วน
หนึ่งของการปฏิรูประบบราชการนับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา ทั้งนี้ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วย
หลักเกณฑ์และวิธี การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ประกอบด้วยสาระสาคัญ แบ่ง
140
"
่านั้น
1. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
2. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
าเท
3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุม้ ค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
4. ไม่มขี ั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจาเป็น
ศึกษ
5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อเหตุการณ์
7. ประชาชนได้รับการอานวยความสะดวก และได้รับการตอบสนองความ
กา ร
8. มีการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่าเสมอ
เพื่อ
หมวดที่ 2 การบริหารราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
การบริหารราชการเพื่อประโยชนสุขของประชาชน หมายถึง การปฏิบัติราชการที่
มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความผาสุกและความเปนอยูที่ดีของประชาชน ความสงบและปลอดภัย
ิต
นดุส
1. การกาหนดภารกิจของรัฐและส่วนราชการต้ องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของ
ประชาชน สอดคล้องกับแนวนโยบายแห่งรัฐและนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา
ยาล
5. เมื่อเกิดปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติราชการ ให้ส่วนราชการดาเนินการ
แก้ไขปัญหาและอุปสรรคนั้นโดยเร็ว ในกรณีที่ปัญหาหรืออุปสรรคนั้นเกิดขึ้นจากส่วนราชการ
อื่นหรือระเบียบข้อบังคับที่ออกโดยส่วนราชการอื่น ให้แจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อ
ดาเนินการแก้ ไขปรับ ปรุงโดยเร็วต่อไป และให้แจ้งคณะกรรมการพัฒ นาระบบราชการเพื่ อ
รับทราบ
หมวด 3 การบริหารราชการเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
"
่านั้น
เป็นบทบัญ ญั ติที่กาหนดให้ การบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
โดยมีจุดมุง่ หมายเพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการสอดคล้องเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับ
าเท
ภารกิจและวัตถุประสงค์ที่กาหนดขึ้นไว้สาหรั บงานนั้น และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีความคุ้มค่ากับ
การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถกาหนดตัวชีว้ ัดผลการทางานได้อย่างชัดเจน
ศึกษ
โดยกาหนดแนวทางให้ส่วนราชการปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. การจัด ท าแผนปฏิบัติราชการ โดยก่อนจะดาเนินการตามภารกิจใด ส่วน
กา ร
ราชการต้องจัดทาแผนปฏิบัติราชการไว้ล่วงหน้า โดยแผนปฏิบัติราชการจะกาหนดรายละเอียด
และขั้นตอนของแผน กาหนดระยะเวลาและงบประมาณที่จะต้องใช้ในการดาเนินการของแต่ละ
เพื่อ
ผลกระทบหรือเปลี่ยนแผนปฏิบัติราชการให้เหมาะสม
2. การบริหารราชการแบบบูรณาการ ในการบริหารราชการอาจจะมีภารกิจที่
ยาล
เกี่ยวข้องกับส่วนราชการหลายๆส่วนหรือมีภารกิจที่ใกล้เคียงหรือต่อเนื่องกัน ส่วนราชการที่
เกี่ยวข้องต้องกาหนดแนวทางการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดการบริหารราชการแบบบูรณาการ
าวิท
ระดับจังหวัดและในต่างประเทศ ในระดับจังหวัดให้ส่วนราชการมีหน้าที่สนับสนุนการปฏิบัติ
ราชการของผู้ว่าราชการจังหวัด ในต่างประเทศให้ส่วนราชการมีหน้าที่สนับสนุนการปฏิบัติ
ราชการของหั วหน้าคณะผู้แทนในต่างประเทศ เช่น เอกอัครราชทู ต เพื่ อให้เกิ ดการบริหาร
ราชการแบบบูรณาการ สามารถใช้อานาจตามกฎหมายได้อย่างครบถ้วน ตามความจาเป็นและ
บริหารราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. องค์ ก ารแห่ งการเรีย นรู้ เพื่ อ ให้ ก ารบริห ารราชการเกิ ด ผลสั ม ฤทธิ์ ส่ ว น
ราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มลี ักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่าง
142
"
ราชการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี โดยวิธีการจัดท าความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร หรือโดย
่านั้น
วิธีการอื่นใด เพื่อแสดงความรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ
าเท
5. การจัดทาแผนบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ในการปฏิบัติ
ราชการ ภายหลั งจากที่ ค ณะรัฐ มนตรีได้ แถลงนโยบายต่อ รัฐ สภาแล้ ว ให้ สานั ก เลขาธิก าร
ศึกษ
คณะรัฐมนตรี สานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ และสานักงบประมาณ ร่วมกันจัดทาแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เสนอ
กา ร
ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ทั้งนี้ แผนการบริหารราชการแผ่นดินให้จัดทาเป็นแผนสี่ปี โดยนานโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อ
เพื่อ
รัฐสภามาพิจารณาดาเนินการให้สอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามบทบัญญัติของ
รัฐ ธรรมนูญ แห่งราชอาณาจัก รไทย และแผนพั ฒ นาประเทศด้านต่ าง ๆ ที่ เกี่ย วข้อง มี ก าร
ิต
นดุส
ดาเนินการและการติดตามประเมินผล
6. การจัดทาแผนนิติบัญญั ติ เมื่อมีการจัดทาแผนการบริหารราชการแผ่นดิน
ยาล
แล้ว ให้สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีร่วมกันพิจารณา
จัดทาแผนนิติบัญญัติ เพื่อพิจารณาว่าจะต้องมีการบัญญัติ กฎหมายขึ้นใหม่ แก้ไขเพิ่มเติมหรือ
าวิท
ยกเลิกกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเสนอให้คณะรัฐมนตรี
"มห
ให้ความเห็นชอบ
7. การจั ด ท าแผนปฏิ บั ติ ร าชการ เมื่ อ มี ก ารจั ด ท าแผนการบริ ห ารราชการ
แผ่นดินแล้ว จะต้องดาเนินการจัดทาแผนปฏิบัติราชการที่สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการ
แผ่นดิน โดยจัดทาเป็นแผนสี่ปี ในแต่ละปีงบประมาณให้จัดทาแผนปฏิ บัติราชการประจาปี ที่มี
รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของ
งาน รวมทั้งประมาณการรายได้และรายจ่ายและทรัพยากรอื่นๆ เสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อให้ความ
เห็นชอบ นอกจากนี้ เมื่อรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติราชการ ให้สานักงบประมาณ
143
ดาเนินการจัดสรรงบประมาณเพื่อปฏิบัติงานให้บรรลุผลสาเร็จในแต่ละภารกิจตามแผนปฏิบัติ
ราชการ สานักงบประมาณจะไม่จัดสรรงบประมาณสาหรับภารกิจที่ส่วนราชการไม่ได้เสนอ
แผนปฏิบัติราชการ หรือภารกิจที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี และเมื่อสิ้นปีงบประมาณ
ให้ ส่ ว นราชการจั ด ท ารายงาน แสดงผลสั ม ฤทธิ์ ข องแผนปฏิ บั ติ ร าชการประจ าปี เสนอต่ อ
คณะรัฐมนตรี
สานักงบประมาณและคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการจะร่วมกันกาหนดแนว
"
ทางการจัดทางบประมาณตามแผนปฏิบัติราชการ และเมื่อมีการกาหนดงบประมาณรายจ่าย
่านั้น
ประจ าปี ต ามแผนปฏิ บั ติ ราชการแล้ ว การโอนงบประมาณจากภารกิ จหนึ่ งที่ ได้ ก าหนดใน
าเท
แผนปฏิบัติราชการไปดาเนินการในภารกิจอย่างอื่น ซึ่งมีผลทาให้ภารกิจเดิมไม่บรรลุเป้าหมาย
หรื อ น าไปใช้ ใ นภารกิ จ ใหม่ ที่ มิ ไ ด้ ก าหนดในแผนปฏิ บั ติ ร าชการ จะต้ อ งขออนุ มั ติ จ าก
ศึกษ
คณะรัฐมนตรีให้ปรับแผนปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกัน โดยการปรับแผนปฏิบัติราชการจะ
กระทาได้เฉพาะในกรณีที่ภารกิจไม่อาจดาเนินการตามวัตถุประสงค์ต่อไปได้ หรือหมดความ
กา ร
จาเป็นหรือไม่เป็นประโยชน์ หรือหากดาเนินการต่อไปจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินความจาเป็น
หรือมี ค วามจาเป็ น อย่ างอื่น อั น ไม่ อ าจหลี ก เลี่ ย งได้ ที่ จ ะต้ อ งเปลี่ ย นแปลงสาระส าคั ญ ของ
เพื่อ
แผนปฏิบัติราชการ
ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ปรับแผนปฏิบัติราชการแล้ว ให้ดาเนินการ
ิต
นดุส
แก้ไขแผนการบริหารราชการแผ่นดินให้สอดคล้องกันด้วย แต่ถ้านายกรัฐมนตรีพ้นจากตาแหน่ง
ให้หัวหน้าส่วนราชการสรุปผลการปฏิบัติ ราชการต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อนายกรัฐมนตรี
ัยสว
คนใหม่จะได้ใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณากาหนด นโยบายการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป
หมวด 4 การบริหารราชการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิง
ยาล
ภารกิจของรัฐ
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.
าวิท
1) การบริหารราชการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า ส่วนราชการ
จะต้ อ งก าหนดเป้ า หมาย แผนการท างาน ระยะเวลาแล้ วเสร็จ ของงานหรื อ โครงการและ
งบประมาณที่จะต้องใช้ในแต่ล ะงานหรือโครงการ และเผยแพร่ให้ข้าราชการและประชาชน
ทราบ เพื่อให้งานบริการสาธารณะเกิดความคุ้มค่า ส่วนราชการจะต้องจัดทาบัญชีต้นทุนและ
ต้องคานวณรายจ่ายต่อหน่วยของงานบริการสาธารณะ พร้อมทั้งรายงานให้สานักงบประมาณ
กรมบั ญ ชี ก ลาง และ ก.พ.ร. ทราบ ถ้ ารายจ่ายต่ อหน่ วยของงานบริก ารสาธารณะสู งกว่ า
รายจ่ายต่อหน่วยของงานประเภทและคุณภาพเดียวกันหรือ คล้ายคลึงกันของส่วนราชการอื่น
144
"
การประเมินความคุ้มค่ายังรวมถึงประโยชน์หรือผลเสียทางสังคมและประโยชน์หรือผลเสียซึ่ง
่านั้น
ไม่อาจคานวณเป็นตัวเงินได้ด้วย
าเท
2) การจัดซื้อหรือจัดจ้าง การจัดซื้อหรือจัดจ้างจะต้องเปิดเผยและเที่ยงธรรม
ในการจัดซือ้ หรือจัดจ้างที่ต้องคานึงถึงคุณภาพและการดูแลรักษาเป็นสาคัญ การจัดซื้อหรือจัด
ศึกษ
จ้างไม่ตอ้ งถือราคาต่าสุดในการเสนอซือ้ หรือจ้างเสมอไป
3) การกาหนดระยะเวลาพิจารณา เพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปอย่างมี
กา ร
ประสิ ท ธิ ภ าพ การอนุ ญ าต อนุ มัติ หรือให้ค วามเห็น ชอบส่ วนราชการอื่ น ที่ มีก ฎหมาย กฎ
ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือมติคณะรัฐมนตรีกาหนด จะต้องแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบ
เพื่อ
หรื อ ให้ ค วามเห็ น ชอบไม่ ส ามารถด าเนิ น การให้ แ ล้ ว เสร็ จ ในเวลาที่ ก าหนด หากเกิ ด ความ
เสียหายขึ้น ให้ถือว่าข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องและหัวหน้าส่วนราชการนั้ นประมาทเลินเล่อ
ยาล
"
่านั้น
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.
2546 กาหนดแนวทางการลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของส่วนราชการไว้ 3 แนวทาง ดังนี้
าเท
1) การกระจายอานาจการตัดสินใจ ให้ส่วนราชการการกระจายอานาจการ
ตัดสินใจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการ หรือการดาเนินการอื่นใด ให้แก่
ศึกษ
ผู้ด ารงตาแหน่ งที่ มีห น้าที่รับ ผิด ชอบในการด าเนิ นการในเรื่องนั้ นโดยตรง เพื่ อให้ เกิด ความ
รวดเร็วและลดขั้นตอนการปฏิบัติราชการ การกระจายอานาจการตัดสินใจต้องมุ่งผลให้เกิด
กา ร
ความสะดวกและรวดเร็วในการบริการประชาชน เมื่ อได้มีการกระจายอานาจการตัดสินใจ ให้
ส่วนราชการกาหนดหลักเกณฑ์การควบคุม ติดตาม และกากับดูแลการใช้อานาจและความ
เพื่อ
รับผิดชอบของผู้มอบอานาจและผู้รับมอบอานาจ หลักเกณฑ์ดังกล่าวต้องไม่สร้างขั้นตอนหรือ
การกลั่นกรองงานที่ไม่จาเป็นในการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น และถ้าสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ิต
นดุส
ความเหมาะสมและกาลังเงินงบประมาณ และเมื่อส่วนราชการได้มีการกระจายอานาจการ
ตัดสินใจหรือมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือโทรคมนาคมแล้ว ให้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบ
ยาล
เป็นการทั่วไป
นอกจากนี้ ในการกระจายอานาจการตัดสินใจ คณะกรรมการพัฒ นาระบบ
าวิท
ราชการจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการหรือแนวทางในการ
"มห
"
ราชการในกระทรวง รวมทั้งแบบคาขอต่าง ๆ ไว้ให้พร้อมที่จะบริการประชาชน นอกจากนี้ ส่วน
่านั้น
ราชการจะต้องจัดพิมพ์รายละเอียดของเอกสารหลักฐาน ที่ประชาชนจะต้องจัดหามาในการขอ
าเท
อนุมัติหรือขออนุญาตในแต่ละเรื่องมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการร่วม และให้ศูนย์บริการ
ร่ว มแจ้ งให้ ป ระชาชนที่ ม าติ ด ต่ อ ได้ ท ราบในครั้งแรกที่ ม าติ ด ต่ อ และตรวจสอบว่ าเอกสาร
ศึกษ
หลั ก ฐานที่ จาเป็ น ดั งกล่ าวนั้ น ประชาชนได้ ยื่น มาครบถ้วนหรือ ไม่ พร้อมทั้ งแจ้ งให้ ท ราบถึ ง
ระยะเวลาที่จะต้องใช้ดาเนินการในเรื่องนั้น กา ร
ในระดับจังหวัด อาเภอหรือกิ่งอาเภอ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอาเภอ และ
ปลัดอาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจากิ่งอาเภอ จัดให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการบริการ
เพื่อ
ประชาชนทราบ
หมวด 6 การปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการ
ัยสว
1) การทบทวนภารกิจของส่วนราชการ โดยกาหนดให้ส่วนราชการดาเนินการ
ทบทวนภารกิ จของตนว่าภารกิ จ ใดที่ มี ค วามจาเป็ น หรือ สมควรที่ จะด าเนิ นการต่ อ ไป โดย
าวิท
ของภารกิ จ และสถานการณ์ อื่ น ๆ ในกรณี ที่ ส่ ว นราชการเห็ น ควรยกเลิ ก ปรั บ ปรุ ง หรื อ
เปลี่ ย นแปลงภารกิ จ ให้ ส่ ว นราชการด าเนิ น การปรั บ ปรุ ง อ านาจหน้ า ที่ โครงสร้ า ง และ
อั ต ราก าลั ง ของส่ ว นราชการให้ ส อดคล้ อ งกั น และเสนอคณะรัฐ มนตรี พิ จ ารณาให้ ค วาม
เห็นชอบเพื่อดาเนินการต่อไป
ในกรณีที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาแล้วเห็นว่าภารกิจของ
รัฐที่ส่วนราชการใดรับผิดชอบดาเนินการอยู่สมควรเปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือเพิ่มเติม ให้เสนอ
147
"
ส่ว นราชการมี ห น้าที่ สารวจ ตรวจสอบ และทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบี ย บ
่านั้น
ข้อบังคับ และประกาศ ที่อยู่ในความรับผิดชอบเพื่อดาเนินการยกเลิ ก ปรับปรุง หรือจัดให้มี
าเท
กฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศขึ้นใหม่ ให้ทันสมัยและเหมาะสมกับสภาวการณ์
หรือสอดคล้องกับความจาเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยคานึงถึง
ศึกษ
ความสะดวกรวดเร็วและลดภาระของประชาชน
2) การแก้ไข ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมาย ในกรณีที่สานักงานคณะกรรมการ
กา ร
กฤษฎีกาเห็นว่ากฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วน
ราชการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่เอือ้ อานวยต่อการพัฒนาประเทศ เป็นอุปสรรค
เพื่อ
คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาวินจิ ฉัย
หมวด 7 การอ านวยความสะดวกและการตอบสนองความต้ อ งการของ
ยาล
ประชาชน
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.
าวิท
2546 กาหนดแนวทางการอานวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการของประชาชน
"มห
"
ราชการจัด ให้ มี ระบบเครือ ข่ายสารสนเทศของส่ วนราชการเพื่ ออ านวยความสะดวกให้ แ ก่
่านั้น
ประชาชนที่จะสามารถติดต่อสอบถามหรือขอข้อมูลหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติ
าเท
ราชการ โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารวางระบบเครือข่ายสารสนเทศ
กลาง
ศึกษ
3) การร้องเรียน เสนอแนะ หรือความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีป ฏิบัติราชการ เมื่อ
ส่วนราชการได้รับคาร้องเรียน เสนอแนะ หรือความคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติราชการ ให้ส่วน
กา ร
ราชการนัน้ พิจารณาแล้วแจ้งให้บุคคลนั้นทราบ โดยอาจแจ้งผ่านทางระบบเครือข่ายสารสนเทศ
ของส่วนราชการแต่การแจ้งผ่านทางระบบเครือข่ายสารสนเทศ มิให้เปิดเผยชื่อหรือที่ อยู่ของผู้
เพื่อ
ร้อ งเรี ย น เสนอแนะ หรือ แสดงความคิ ด เห็ น และเพื่ อ ให้ ก ารปฏิ บั ติ ราชการเป็ น ไปอย่า งมี
ประสิทธิภาพและเกิดความสะดวกรวดเร็ว ให้สว่ นราชการที่มีอานาจออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
ิต
นดุส
หน้าที่ของส่วนราชการอื่นหรือไม่ เพื่อดาเนินการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมโดยเร็วต่อไป
ในกรณีที่ได้รับการร้องเรียนหรือเสนอแนะจากข้าราชการหรือส่วนราชการอื่น
ยาล
ร้องเรียนหรือเสนอแนะทราบภายในสิบห้าวัน และถ้าคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเห็น
"มห
ความมั่นคงของประเทศความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน
หรือการคุ้มครองสิทธิสว่ นบุคคล จึงให้กาหนดเป็นความลับได้เท่าที่จาเป็น
5) การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจาปี เพื่อให้เกิด ความ
โปร่งใสตามหลัก การบริหารจัด การที่ดี ส่วนราชการต้องจัดให้มีก ารเปิดเผยข้อมูลเกี่ย วกั บ
งบประมาณรายจ่ายแต่ละปี รายการเกี่ยวกับการจัดซื้อหรือจัดจ้าง สัญญาที่ได้มีการอนุมัติให้
จัดซื้อหรือจัดจ้างแล้ว การเปิดเผยข้อมูลอาจทาที่สถานที่ทาการหรือระบบเครือข่ายสารสนเทศ
"
ของส่ ว นราชการ แต่ ทั้ งนี้ ก ารเปิ ด เผยข้ อ มู ล ดั งกล่ าวต้ อ งไม่ ก่ อ ให้ เกิ ด ความได้ เปรีย บหรื อ
่านั้น
เสียเปรียบหรือความเสียหายแก่บุคคลใดในการจัดซื้อหรือจัดจ้าง และห้ามมิให้มีข้อความหรือ
าเท
ข้อตกลงห้ ามมิให้ เปิ ด เผยข้อความหรือข้อ ตกลงในสั ญ ญาจัด ซื้อ หรือ จัด จ้าง เว้น แต่ ข้อ มู ล
ดั ง กล่ า วเป็ น ข้ อ มู ล ที่ อ ยู่ ภ ายใต้ บั งคั บ กฎหมาย กฎ ระเบี ย บ หรื อ ข้ อ บั ง คั บ ที่ เกี่ ย วกั บ การ
ศึกษ
คุ้มครองความลับทางราชการ หรือในส่วนที่เป็นความลับทางการค้า
หมวด 8 การประเมินผลการปฏิบัติราชการ กา ร
เพื่อให้เป็นไปตามหลัก การการตรวจสอบ จะมีคณะผู้ประเมินอิสระดาเนินการ
ประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ คุณภาพการ
เพื่อ
หน่วยงานหรือไม่
ให้มีการจัดสรรเงินเพิ่มพิเศษเป็นบาเหน็จความชอบแก่ส่วนราชการที่ดาเนินการ
าวิท
ให้บริการอย่างมีคุณภาพและเป็นไปตามเป้าหมายที่กาหนด สร้างความพึงพอใจแก่ประชาชน
"มห
หรืออาจให้ส่วนราชการใช้เงินงบประมาณเหลือจ่าย เพื่อนาไปใช้ในการปรับปรุงการปฏิบัติงาน
ของส่วนราชการหรือจัดสรรเป็นรางวัลให้ข้าราชการในสังกัด ตามหลัก เกณฑ์และวิธีก ารที่
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกาหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
เมื่อส่วนราชการดาเนินงานบรรลุเป้าหมาย สามารถเพิ่มผลงานและผลสัมฤทธิ์
โดยไม่เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและคุ้มค่าต่อภารกิจของรัฐ หรือลดค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ที่
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกาหนด ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอต่อ
คณะรัฐมนตรีเพื่อจัด สรรเงินรางวัลการเพิ่ม ประสิทธิภาพให้แก่ส่วนราชการนั้น หรือให้ส่วน
150
"
่านั้น
1. เพื่ อ ให้ ก ารบริห ารราชการเป็ น ไปอย่ า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและคุ ม ค่ า ในเชิ ง
ภารกิจของรัฐ อาจกาหนดให้ส่วนราชการต้องปฏิบัติการใดนอกเหนือจากที่กาหนดไว้ในพระ
าเท
ราชกฤษฎีกานี้
2. ในกรณี ที่พระราชกฤษฎีกานี้กาหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทาแผนงานใน
ศึกษ
เรื่องใด และมี ก ฎหมายฉบั บ อื่ น ก าหนดให้ ส่ วนราชการต้ อ งจั ดท าแผนงานในเรื่อ งเดี ย วกั น
ทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อส่วนราชการได้จัดทาแผนงานตามกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งแล้วให้ถือ
กา ร
ว่า ส่วนราชการนัน้ ได้จัดทาแผนตามพระราชกฤษฎีกานีด้ ้วยแล้ว
3. ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทาหลักเกณฑ์การบริหารกิจการบ้านเมือง
เพื่อ
ที่ ดี ตามแนวทางของพระราชกฤษฎี ก านี้ โดยอย่ างน้ อ ยต้ อ งมี ห ลั ก เกณฑ์ เกี่ ย วกั บ การลด
ขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการอานวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการของ
ิต
นดุส
4. ให้องค์การมหาชนและรัฐวิสาหกิจ ดาเนินการตามหลักเกณฑ์การบริหาร
กิจการบ้านเมืองที่ดีตามแนวทางของพระราชกฤษฎีกานี้ ในกรณีที่คณะกรรมการพัฒนาระบบ
ยาล
ราชการเห็นว่าองค์การมหาชนหรือรัฐวิสาหกิจใดไม่จัดให้มีหลักเกณฑ์หรือมีแต่ไม่สอดคล้อง
กับพระราชกฤษฎีกานี้ ให้ดาเนินการแจ้งต่อ รัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่กากับดูแลองค์การมหาชนหรือ
าวิท
รัฐวิสาหกิจ เพื่อพิจารณาสั่งการให้องค์การมหาชนหรือรัฐวิสาหกิจดาเนินการให้ถูกต้องต่อไป
"มห
สรุป
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย เป็นไปตามบทบัญญัติของ
พระราชบัญญั ติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ซึ่งมีการปรับปรุงมาเป็นระยะ จน
กระทั้งปัจจุบันเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2553 ซึ่งจะระเบียบบริหารราชการเป็น 3
ระดับ คือ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยเนื้อหาของพระราชบัญ ญั ติระเบีย บ
บริหารราชการแผ่นดินฯ มุง่ เน้นการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางและส่วนภูมภิ าค โดยมี
151
"
ให้กับส่วนราชการดาเนินการ เพื่อให้การปฏิบัติราชการของส่วนราชการต่างๆ บรรลุเป้าหมาย
่านั้น
7 ประการตามที่พ ระราชกฤษฎีก าฉบับ ดังกล่าวได้ก าหนดไว้ ประกอบด้วย การปฏิบัติราช
าเท
เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิ ทธิภาพและเกิด
ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจาเป็น มีการปรับ ปรุง
ศึกษ
ภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อเหตุการณ์ ประชาชนได้รับการอานวยความสะดวก และได้รับ
การตอบสนองความ และมีการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่าเสมอ
กา ร
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6
เพื่อ
การบริหารราชการแผ่นดินไว้อย่างไร จงอธิบาย
นดุส
2. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ กาหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ
ราชการแทนไว้อย่างไร จงอธิบาย
ัยสว
กระทรวง อย่างไร
าวิท
5. จงอธิบายสาระสาคัญของแนวทางการบริหารราชเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ
การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
เอกสารอ้างอิง
"
่านั้น
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546,
(2546).
าเท
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติมถึงปัจจุบัน (ฉบับที่ 8)
พ.ศ.2553, (2553).
ศึกษ
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
บทที่ 7
รัฐธรรมนูญกับการบริหารราชการแผ่นดิน
ธนภัทร ปัจฉิมม์
"
่านั้น
ประเทศไทยได้ยึดหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
าเท
ทรงเป็นประมุขในระบบรัฐสภาเช่นนี้มานับแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่
24 มิถุนายน 2475 โดยระบอบการปกครองนี้ มีส่วนสาคัญที่ทาให้การบริหารราชการแผ่นดิน
ศึกษ
จาต้องมีคณะบุคคลขึน้ มารับผิดชอบ มีบุคคลหนึ่งทาหน้าที่หัวหน้าคณะผูบ้ ริหาร ที่พร้อมจะถูก
กา ร
ควบคุม ตรวจสอบ และถ่วงดุลการใช้อานาจทางการบริหารจากรัฐสภา ตามแนวคิดอานาจ
อธิปไตย ซึ่งเป็นอานาจสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศเป็นของปวงชน ที่แต่ละฝ่ายต่างมี
เพื่อ
ความเป็นอิสระในการใช้อานาจของตนเอง แต่ยังมีการควบคุมและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
ิต
ความหมายและความสาคัญ
นดุส
ภารกิ จ ของรั ฐ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ คุ้ ม ค่ า ในเชิ ง ภารกิ จ แห่ ง รั ฐ การลดขั้ น ตอนการปฏิ บั ติ งาน
การลดภารกิจที่ไม่จาเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น การกระจายอานาจ
าวิท
มารองรับ ตลอดจนการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายตามที่อานาจนิติบัญญัติคือรัฐสภาให้
ความเห็นชอบตราขึน้ ใช้บังคับ
การบริหาราชการแผ่นดินไทยในอดีต
ในสมัย กรุงสุ โขทัย ไม่ปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งผู้ใ ดในการบริหาร
ปกครองบ้านเมือง แต่จากหลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 พบว่า มีการปกครองแบบ
พ่อปกครองลูก และให้ราษฎรช่วยกัน "ถือบ้านถือเมือง" ครั้นล่วงมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้
154
แยกการบริหารออกเป็นฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร มีสมุหนายกเป็นผู้รับผิดชอบด้านพลเรือน
บริหารกิจการเกี่ยวกับเวียง วัง คลัง และนา และมีสมุหกลาโหมรับผิดชอบด้านการทหารและ
การป้ อ งกั น ประเทศ แต่ ภ ายหลั ง ทั้ ง สมุ ห นายกและสมุ ห กลาโหมต้ อ งรั บ ผิ ด ชอบทั้ ง ด้ า น
การทหารและพลเรื อ นพร้ อ มกั น แต่ ไ ด้ แ บ่ ง พื้ น ที่ อ อกเป็ น หั ว เมื อ งด้ า นใต้ ใ ห้ อ ยู่ ใ นความ
รับผิดชอบของสมุหกลาโหม และหัวเมืองด้านเหนือให้อยู่ในความรับผิดชอบของสมุหนายก
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูป
"
การปกครองแผ่ น ดิ น โดยยกเลิ ก ต าแหน่ ง ต าแหน่ ง สมุ ห นายก และสมุ ห กลาโหม รว มทั้ ง
่านั้น
จตุสดมภ์ด้วย และได้จัดระเบียบบริหารราชการออกเป็นกระทรวง ตามแบบอย่างประเทศ
าเท
ตะวันตก ให้มีเสนาบดีเป็นผู้รับผิดชอบแต่ละกระทรวงทั้ง 12 กระทรวง มีปลัดทูลฉลองเป็นผู้
กลั่นกรองงานและช่วยราชการภายในกระทรวง มีการประชุมคณะเสนาบดีซึ่งพระมหากษัตริย์
ศึกษ
ประทับ เป็นองค์ป ระธาน หรือให้ที่ป ระชุมเลือกประธานเป็นครั้งคราว การบริหารราชการ
แผ่นดินในรูปคณะเสนาบดีได้ดาเนินมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมี
กา ร
การจัด ตั้ง องคมนตรีส ภา ท าหน้าที่ถ วายคาปรึก ษาในการปกครองและการออกกฎหมาย
ท านองเดีย วกั บ รัฐ สภา และจัด ตั้งเสนาบดีสภา เป็นที่ป ระชุมปรึก ษาหารือข้อราชการของ
เพื่อ
เสนาบดีทั้งหลาย
การบริหารราชการแผ่นดินก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงเป็นเรื่องของ
ิต
นดุส
เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน
สยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 กาหนดให้มีคณะบุคคลขึ้นคณะหนึ่งทาหน้าที่ในการบริหาร
ยาล
แล้ ว ต าแหน่ ง เหล่ า นี้ เ ปลี่ ย นชื่ อ ใหม่ ว่า "คณะรั ฐ มนตรี " รั บ ผิ ด ชอบร่ ว มกั น ในการบริ หาร
"มห
ผู้มีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน
ในการบริหารราชการแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ จะทรงแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรีคน
หนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผูผ้ ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรเสียงข้างมากตามการกราบบังคมทูลของประธานสภาผู้แทนราษฎร และทรงแต่งตั้ง
รัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคนตามการกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี ประกอบเป็น
คณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน ก่อนเข้ารับ
"
่านั้น
หน้าที่รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และต้อง
าเท
รั ก ษาไว้ ซึ่ ง รั ฐ ธรรมนู ญ รวมทั้ ง ต้ อ งไม่ ก ระท าการใด ๆ ที่ ขั ด ต่ อ รั ฐ ธรรมนู ญ ด้ ว ยเช่ น กั น
คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อนาแนวนโยบาย
ศึกษ
ของพรรคการเมืองที่นาเสนอต่อประชาชนในคราวหาเสียงเลือกตั้ง หรือที่ประกาศเป็นสัญญา
ประชาคมให้ผสู้ มัครของพรรคได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน มาปฏิบัติเป็นนโยบายให้เกิดผล
กา ร
อย่างแท้จริง และชีแ้ จงการดาเนินการตามแนวนโยบายพืน้ ฐานแห่งรัฐ โดยไม่มีการลงมติความ
เพื่อ
ไว้วางใจ และเมื่อเข้ารับหน้าที่แล้ว ต้องจัดทาแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อกาหนดแนว
ทางการปฏิบัติราชการแต่ละปี บรรดารัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารราชการใน
ิต
เกี่ ย วกั บ การบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น ที่ ค ณะรั ฐ มนตรี เ ห็ น สมควรจะฟั ง ความคิ ด เห็ น ของ
สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มี
ยาล
ในการกาหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผ่านการ
"มห
การบริหารแผ่นดินตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ
รัฐ ธรรมนูญ แห่งราชอาณาจัก รไทย พุ ท ธศัก ราช 2550 วางแนวทางให้รัฐ ต้อง
ดาเนินการตามแนวนโยบายด้านบริหารราชการแผ่นดิน ดังต่อไปนี้
1. การบริหารราชการแผ่นดินต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และ
ความมั่นคงของประเทศ อย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดาเนินงานตามปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียง และคานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสาคัญ
"
่านั้น
2. จัดระบบการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้มี
ขอบเขต อานาจหน้าที่ และความรับ ผิด ชอบที่ชัดเจนเหมาะสมแก่ก ารพัฒนาประเทศ และ
าเท
สนับสนุนให้จังหวัดมีแผนและงบประมาณ เพื่อพัฒนาจังหวัด เพื่อประโยชน์ของประชาชนใน
พืน้ ที่
ศึกษ
3. กระจายอานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพึ่งตนเอง และตัดสินใจใน
กิจการของท้องถิ่นได้เอง ส่งเสริมให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการดาเนินการ
กา ร
ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ พัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและ
เพื่อ
สาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่ว
ประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่
ิต
โดยคานึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น
นดุส
5. การจัดระบบงานราชการและงานของรัฐอย่างอื่น เพื่อให้การจัดทาและการ
ให้บริการสาธารณะเป็นไปอย่างรวดเร็ว มี[[ประสิทธิภาพ[[ โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยคานึงถึง
าวิท
การมีส่วนร่วมของประชาชน
"มห
6. ดาเนินการให้หน่วยงานทางกฎหมาย ที่มีหน้าที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการ
ดาเนินงานของรัฐตามกฎหมายและตรวจสอบการตรากฎหมายของรัฐ ดาเนินการอย่างเป็น
อิสระ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน เป็นไปตามหลักนิตธิ รรม
7. จัดให้มีแผนพัฒนาการเมือง รวมทั้งจั ดให้มีสภาพัฒนาการเมืองที่มีความ
เป็นอิสระ เพื่อติดตามสอดส่องให้มีการปฏิบัติตามแผนและมาตรฐานดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
8. ด าเนินการให้ข้า ราชการและเจ้ าหน้ าที่ข องรัฐ ได้ รับ สิท ธิป ระโยชน์ อ ย่ า ง
เหมาะสม การวางแนวทางดังกล่าวไว้นี้ มีเจตนารมณ์เพื่อกาหนดให้การบริหารราชการแผ่นดิน
157
เป็ น ไปตามหลั ก การพั ฒ นาที่ ยั่ ง ยื น บนพื้ น ฐานปรั ช ญาเศรษฐกิ จ พอเพี ย ง และค านึ ง ถึ ง
ผลประโยชน์ของชาติเป็นสาคัญ โดยที่รัฐต้องกาหนดขอบเขตและความสัมพันธ์ระหว่างอานาจ
หน้าที่ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้ชัดเจน สนับสนุนให้จังหวัดจัดทา
แผนพัฒนาโดยภาคประชาชนมีส่วนร่วม สนับสนุนงบประมาณให้จังหวัด มีศักยภาพในการ
พัฒนาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับความต้องการและความจาเป็นของประชาชน ให้ความสาคัญ
แก่การกระจายอานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการพัฒนา
"
ทุกด้านตามแนว นโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ไม่จากัดเฉพาะเรื่องที่เป็นอานาจหน้าที่ขององค์กร
่านั้น
ปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น
าเท
ในด้านบุคลากร ต้องมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรภาครัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค
ส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ให้มีความสามารถคู่คุณธรรมและจริยธรรม จัดระบบงานเพื่อ
ศึกษ
บริการสาธารณะให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ พัฒนา
วิธีปฏิบัติราชการโดยยึดหลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดีหรือหลักธรรมาภิบาลในการบริหา
กา ร
ราชการแผ่นดิน โดยข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเหมาะสม เช่น
การรักษาพยาบาล บาเหน็จ บานาญ เป็นต้น
เพื่อ
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
ิต
นดุส
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศต่าง ๆ มีปรากฏให้เห็นทั้งที่แบ่ง
ออกเป็ น 2 ส่ ว น คื อ ส่ ว นกลางกั บ ส่ ว นท้ อ งถิ่ น เช่ น ญี่ ปุ่ น อั ง กฤษ และเยอรมนี ส่ ว น
ัยสว
เด่นชัด มี 2 ประเทศ คือ ไทย และฝรั่ง เศส อย่างไรก็ ต าม การจัดระเบีย บบริ ห ารราชการ
ออกเป็ น 2 หรื อ 3 ส่ ว นนั้ น ขึ้ น อยู่ กั บ นโยบายของรั ฐ บาล สภาพของประเทศ ตลอดจน
าวิท
ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมด้านการเมืองการปกครองและการบริหารของประเทศ
"มห
นั้น ๆ
ประเทศไทยได้มีวิวัฒนาการของการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาอย่าง
ยาวนาน โดยได้มีการปฏิรูปครั้งสาคัญที่นาไปสู่การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินสมัยใหม่
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงจัดโครงสร้างระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดินขึ้นใหม่เป็นสามส่วน ได้แก่ ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ระเบียบบริหาร
ราชการส่วนภูมิภาค และระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น จากนั้นประเทศไทยได้ มีก าร
ปรับปรุงการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาอย่างต่อเนื่อง และได้มีการ ปรับปรุงการจัด
158
"
กระทรวง ทบวง และกรม
่านั้น
2. ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย จังหวัดและอ าเภอ
าเท
3. ระเบีย บบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์ก ารบริหารส่ว น
จังหวัด (อบจ.) เทศบาล สุขาภิบาล (ในปี พ.ศ. 2542 ได้ถูกยกฐานะเป็นเทศบาลทั้งหมดแล้ว)
ศึกษ
และราชการส่ว นท้องถิ่นอื่นตามที่มีกฎหมายก าหนด ในส่วนของโครงสร้างการจัดระเบี ย บ
บริหารราชการแผ่นดินของกระทรวงมหาดไทยตามพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง
กา ร
กรม พ.ศ. 2545 ได้กาหนดให้กระทรวงมหาดไทยมีอานาจหน้าที่เกี่ยวกับการบาบัด ทุกข์บารุง
สุข การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน การอานวยความเป็นธรรมของสังคม การ
เพื่อ
1. การบริหารงานส่วนกลางแบบกลุ่มภารกิจ ตามกฎกระทรวงว่าด้วยกลุ่ม
ภารกิจ พ.ศ. 2545 ได้จัด กลุ่มภารกิจของกระทรวงมหาดไทยออกเป็น 3 กลุ่มภารกิจ ได้แก่
าวิท
3. การกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประเทศไทยมีการ
จัดระเบียบบริหารราชการ ส่วนท้องถิ่นเป็น 2ระบบ ได้แก่ ระบบทั่วไป (องค์การบริหารส่วน
จังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนต าบล) และระบบพิเศษ (กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา)
จากสภาพแวดล้ อ มที่ เ ปลี่ ย นแปลงไปได้ ส่ ง ผลกระทบต่ อ การด าเนิ น งานของ
กระทรวงมหาดไทย ซึ่ ง เป็ น กระทรวงหลั ก ส าคั ญ ในการบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น มาอย่ า ง
ยาวนาน ทาให้ต้องมีการปรับตัวเองให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยได้มี
"
การพิจารณาแนวทางการพั ฒ นาระดับ ชาติที่เ กี่ย วข้ อง การพิจารณา สภาพแวดล้อ มการ
่านั้น
เปลี่ย นแปลงที่ท้าทายกระทรวงมหาดไทย และการศึก ษาแนวโน้มบทบาทและภารกิจของ
าเท
กระทรวงมหาดไทยในอนาคต ทั้งนี้ ได้มีการวิเคราะห์ความจาเป็นเชิงยุทธศาสตร์ด้านการจัด
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งในด้าน นโยบายและกฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวข้อง และด้านผู้
ศึกษ
มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) โดยได้มีการนาเทคนิคการ คาดการสถานการณ์ (Scenario
Planning) มาใช้ รวมทั้งมีการวิเคราะห์จุดยืนการพัฒนาของกระทรวงมหาดไทย ในการบริหาร
กา ร
ราชการแผ่นดิน และการประเมินศัก ยภาพของภารกิจการจัดระเบีย บการบริหารราชการ
แผ่ น ดิ น (SWOT Analysis) น าไปสู่ ก ารก าหนดทิ ศ ทางของยุ ท ธศาสตร์ ต ามภารกิ จ การจั ด
เพื่อ
พันธกิจของการบริหารราชการแผ่นดิน
ยาล
ทั่วประเทศ
"มห
ปฏิรูประบบการบริหารจัดการภายในให้คล่องตัวและเป็นองค์กรทันสมัย มี
นวัตกรรมการเปลี่ยนแปลง และเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการดาเนินภารกิจอย่างเข้มแข็งและ
ยั่งยืน
บริหารบุคลากร พัฒนาความสามารถ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของบุคลากร
รองรับภารกิจและ ยุทธศาสตร์การพัฒนา
พัฒนาระบบงานเพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนการเติบโตและการเสริมสร้าง
"
่านั้น
ขีดความสามารถทางการ แข่งขันของประเทศ รวมทั้งการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประเด็น
ยุทธศาสตร์
าเท
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 การเชื่อมโยง บูรณาการ และขับเคลื่อนนโยบาย
ยุทธศาสตร์ประเทศ และ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสูก่ ารปฏิบัติในทุกระดับทั่วทั้งประเทศ
ศึกษ
ประเด็ น ยุ ท ธศาสตร์ ที่ 2 การปรั บ ปรุ ง และพั ฒ นากฎหมาย ระเบี ย บ
กา ร
ระบบงาน ขั้นตอนการ ปฏิบัติงานให้คล่องตัว ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรองรับการ
เติบโต การแข่งขันของประเทศ และการเข้าสู่ ประชาคมอาเซียน
เพื่อ
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้าง และพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และ
การเชื่อมโยงเครือข่ายระบบ ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกันในการบริหาร และ
ิต
การบริการร่วม
นดุส
เสริมสร้างธรรมาภิบาล
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกระดับให้พร้อมรับ
ยาล
แนวโน้มของกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการ
ปัจจัย ที่มีส่ว นส าคั ญ ต่อการก าหนดแนวโน้มของกฎหมายเกี่ย วกั บ การบริ ห าร
ราชการมีอย่างน้อย 8 ประการ (ยกตัวอย่างประกอบการอธิบายโดยใช้รัฐธรรมนูญ 2540
ดังนั้นในการศึกษาจึงควรใช้รัฐธรรมนูญที่เป็นปัจจุบัน)
1. รั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจั ก รไทย (พ.ศ. 2540) รั ฐ ธรรมนู ญ เป็ น
กฎหมายสูงสุดของประเทศและกฎหมายใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ ประกอบกับ
161
รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่นี้ได้กาหนดแนวทางในการปกครองและบริหารประเทศไว้อย่างกว้างขวาง
และละเอียดพอสมควร ส่วนหนึ่งเห็นได้จากการมีบทบัญญัติมากถึง 336 มาตรา ทาให้เป็น
รั ฐ ธรรมนู ญ ฉบั บ ยาวที่ สุ ด หรื อ มี บ ทบั ญ ญั ติ ม ากที่ สุ ด เท่ า ที่ เ คยมี ม าในประวั ติ ศ าสตร์ ข อง
ไทย แนวโน้มการออกกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการจึงจาเป็นต้องสอดคล้องและเป็นไป
ตามแนวทางรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะในหมวด 3 สิทธิเสรีภาพของปวง
ชนชาวไทย หมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เป็นต้น
"
ตัวอย่างเช่น การใช้อานาจโดยองค์กรของรัฐทุก องค์กรต้องคานึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
่านั้น
สิทธิและเสรีภาพของประชาชน (หมวด 3 มาตรา 26) หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมี
าเท
หน้าที่ดาเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อานวยความสะดวก และ
ให้บริการแก่ประชาชน (หมวด 4 มาตรา 70 วรรคหนึ่ง) รวมตลอดถึงการที่รัฐต้องส่งเสริมและ
ศึกษ
สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนอีกด้วย (หมวด 5 มาตรา 76) ดังนี้
“มาตรา 26 การใช้ อ านาจโดยองค์ ก รของรั ฐ ทุ ก องค์ ก ร ต้ อ งค านึ ง ถึ ง
กา ร
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพตาม บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
เพื่อ
“มาตรา 70 บุ ค คลผู้ เ ป็ น ข้ า ราชการ พนั ก งาน หรื อ ลู ก จ้ า งของหน่ ว ย
ราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือของ ราชการส่วนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่อื่นของ
รัฐ มีหน้าที่ดาเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อานวยความสะดวก
ิต
นดุส
และให้บริการแก่ประชาชน…..”
“มาตรา 76 ให้รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีสว่ นร่วมของประชาชนใน
ัยสว
"
่านั้น
แผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ และต้องจัดท า
รายงานแสดงผลการดาเนินการรวมทั้งปัญหาและอุปสรรค เสนอต่อรัฐสภาปีละหนึ่งครัง้ ”
าเท
“มาตรา 212 ในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีต้องดาเนินการตาม
บทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง รั ฐ ธรรมนู ญ กฎหมาย และนโยบายที่ ไ ด้ แ ถลงไว้ต ามมาตรา 211 และต้ อ ง
ศึกษ
รับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาใน
นโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี”
กา ร
“มาตรา 169 ภายใต้ บั ง คั บ มาตรา 170 ร่ า งพระราชบั ญ ญั ติ ห รื อ ร่ า ง
เพื่อ
พระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรั ฐ ธรรมนู ญ จะเสนอได้ ก็ แ ต่ โ ดยสมาชิ ก สภาผู้ แ ทนราษฎรหรื อ
คณะรัฐมนตรี…..”
นโยบายของรัฐบาลอาจแบ่งเป็น นโยบายทั่วไปและนโยบายเร่งด่วน ซึ่งล้วน
ิต
นดุส
การที่รัฐบาลแต่ละรัฐบาลยึดถือแนวคิดและปรัชญาที่แตกต่างกั น ย่อมมี
ส่วนสาคัญทาให้นโยบายของรัฐบาลในการออกกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแตกต่าง
าวิท
"
่านั้น
“มาตรา 169 ภายใต้ บั ง คั บ มาตรา 170 ร่ า งพระราชบั ญ ญั ติ ห รื อ ร่ า ง
พระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรั ฐ ธรรมนู ญ จะเสนอได้ ก็ แ ต่ โ ดยสมาชิ ก สภาผู้ แ ทนราษฎรหรื อ
าเท
คณะรัฐมนตรี แต่ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะเสนอได้ก็
ต่อเมื่อมีคารับรองของนายกรัฐมนตรี…..”
ศึกษ
ดังนั้น หากนายกรัฐมนตรีมีภาวะผู้นาที่เข้มแข็ง ให้ความสนใจ และสนับสนุน
การออกกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งหรือหลายฉบับแล้ว นายกรัฐมนตรีอาจขอความร่วมมือจาก
กา ร
สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร หรือใช้สื่อทางโทรทัศน์หรือวิทยุประชาสัมพันธ์ความสาคัญ และ
เพื่อ
ความจาเป็นของการออกกฎหมาย กฎหมายดังกล่าวนั้นย่อมผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย
ได้ง่าย
4. สถานการณ์บ้านเมือง เป็นปัจจัยที่มีส่วนสาคัญต่อการกาหนดแนวโน้ม
ิต
นดุส
5. ภาวะวิกฤตหรือความจาเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ของประเทศ
เป็นปัจจัยที่มสี ่วนผลักดันในการกาหนดแนวโน้มของกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการอย่าง
ยาล
"
่านั้น
“มาตรา 169 ภายใต้ บั ง คั บ มาตรา 170 ร่ า งพระราชบั ญ ญั ติ ห รื อ ร่ า ง
พระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรั ฐ ธรรมนู ญ จะเสนอได้ ก็ แ ต่ โ ดยสมาชิ ก สภาผู้ แ ทนราษฎรหรื อ
าเท
คณะรัฐมนตรี แต่ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะเสนอได้ก็
ต่อเมื่อมีคารับรองของนายกรัฐมนตรี…..”
ศึกษ
“มาตรา 170 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอ
ต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่กาหนดในหมวด 3 และหมวด 5 แห่ง
กา ร
รัฐธรรมนูญนี้คาร้องขอตามวรรคหนึ่งต้องจัดทาร่างพระราชบัญญัติเสนอมาด้วย หลักเกณฑ์
เพื่อ
และวิธีการเข้าชื่อรวมทั้งการตรวจสอบ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ”
ในระดั บ ท้ อ งถิ่ น ประชาชนยั ง มี สิ ท ธิ เ ข้ า ชื่ อ เสนอข้ อ บั ญ ญั ติ ท้ อ งถิ่ น ได้ ต าม
พระราชบัญญัติวา่ ด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ด้วย
ิต
นดุส
"
่านั้น
สรุป
าเท
การบริหารราชการแผ่นดินตามเจตนารมณ์แห่งรัฐ ธรรมนูญ รั ฐ ธรรมนูญ ของ
ประเทศไทยหลายฉบับได้วางแนวทางให้รัฐต้องดาเนินการตามแนวนโยบายด้านบริหารราชการ
ศึกษ
แผ่นดิน ดังต่อไปนี้ กา ร
1. การบริหารราชการแผ่นดินต้อ งเป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และ
ความมั่นคงของประเทศ อย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดาเนินงานตามปรัชญาเศรษฐกิจ
เพื่อ
พอเพียง และคานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสาคัญ
2. จัดระบบการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมภิ าค และส่วนท้องถิ่น ให้มีขอบเขต
ิต
สาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่ว
าวิท
ประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่
โดยคานึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น
"มห
6. ดาเนินการให้หน่วยงานทางกฎหมาย ที่มีหน้าที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการ
ดาเนินงานของรัฐตามกฎหมายและตรวจสอบการตรากฎหมายของรัฐ ดาเนินการอย่างเป็น
อิสระ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน เป็นไปตามหลักนิตธิ รรม
7. จัดให้มีแผนพัฒนาการเมือง รวมทั้งจัดให้มีสภาพัฒนาการเมืองที่มีความ
เป็นอิสระ เพื่อติดตามสอดส่องให้มีการปฏิบัติตามแผนและมาตรฐานดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
การวางแนวทางดั งกล่า วไว้ นี้ มีเ จตนารมณ์เ พื่อก าหนดให้ก ารบริห ารราชการ
"
แผ่นดินเป็นไปตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนบนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคานึงถึง
่านั้น
ผลประโยชน์ของชาติเป็นสาคัญ โดยที่รัฐต้องกาหนดขอบเขตและความสัมพันธ์ระหว่างอานาจ
าเท
หน้าที่ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้ชัดเจน สนับสนุนให้จังหวัดจัดทา
แผนพัฒนาโดยภาคประชาชนมีส่วนร่วม สนับสนุนงบประมาณให้จังหวัด มีศักยภาพในการ
ศึกษ
พัฒนาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับความต้องการและความจาเป็นของประชาชน ให้ความสาคัญ
แก่การกระจายอานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการพัฒนา
กา ร
ทุกด้านตามแนว นโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ไม่จากัดเฉพาะเรื่องที่เป็นอานาจหน้าที่ขององค์กร
ปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น เท่ า นั้ น ในด้ า นบุ ค ลากรต้ อ งมุ่ ง เน้ น การพั ฒ นาบุ ค ลากรภาครั ฐ ทั้ ง
เพื่อ
สามารถตรวจสอบได้ พัฒนาวิธีปฏิบัติราชการโดยยึดหลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดีหรือ
หลักธรรมาภิบาลในการบริหาราชการแผ่นดิน
ัยสว
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 7
ยาล
1. จงอธิบายความสาคัญของการบริหารราชการแผ่นดินมาพอสังเขป
าวิท
2. การบริหารราชการแผ่นดินก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีความ
เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
"มห
รั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจั ก รไทย พุ ท ธศั ก ราช 2550. ส านั ก กรรมาธิ ก าร 3. ส านั ก งาน
เลขาธิการสภาผูแ้ ทนราษฎร. กรุงเทพฯ : 2550
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 108 ตอน
ที่ 156 ฉบับพิเศษ หน้า 1. 4 กันยายน 2534.
"
่านั้น
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475. ราชกิจจา
นุเบกษา. เล่ม 49. หน้า 116. 10 ธันวาคม 2475
าเท
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475, ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 49. หน้า
529-551. 27 มิถุนายน 2475
ศึกษ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 124. ตอนที่
กา ร
47 ก. 24 สิงหาคม 2550.
รายงานการประชุ ม สภาผู้ แ ทนราษฎร ชุ ด ที่ 1 สมั ย ประชุ ม สามั ญ สมั ย ที่ 1/2475 วั น ที่ 25
เพื่อ
พฤศจิกายน 2475.สานักงานเลขาธิการสภาผูแ้ ทนราษฎร, กรุงเทพฯ
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ . (2548). การบริหารจัดการและการบริหาร การพัฒนาขององค์กรตาม
ิต
อานุภาพ รักษ์สุวรรณ
"
่านั้น
นับ ตั้ งแต่ มี ก ารปฏิ รูป ระบบราชการในปี 2545 เป็ นต้ น มา การบริห ารราชการ
าเท
แผ่ น ดิ น ของได้ ไดมี ก ารด าเนิ น การผ่ า นหน่ ว ยงานของรั ฐ ที่ มี รู ป แบ บ หลากห ลาย
ศึกษ
นอกเหนือไปจากหน่วยงานของรัฐที่เรียกว่าส่วนราชการ ทั้งนี้ เพื่อให้การขับเคลื่อนการบริหาร
ราชการแผ่นดินและการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ของรัฐเป็นไปด้วยความเหมาะสมและสอดคล้อง
กา ร
กับบริบทการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความต้องการและบทบาทของ
ภาคประชาชนที่มีต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินและ
เพื่อ
การดาเนินการของรัฐโดยอาศัยกลไลของหน่วยงานของรัฐที่เรียกว่า “ส่วนราชการ” ในบาง
เรื่องในบางกรณีก็ขาดความเหมาะสมกับการดาเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เนื้อหาใน
ิต
บทนี้มีสาระสาคัญเกี่ยวกับที่มาของการจาแนกประเภทขององค์การภาครัฐ หลักการจาแนก
นดุส
ประเภทหน่วยงานของรัฐในกากับของฝ่ายบริหาร และประเภทหน่วยงานของรัฐในกากับของ
ฝ่ายบริหาร
ัยสว
ยาล
ที่มาของการจาแนกประเภทขององค์การภาครัฐ
การจาแนกประเภทหน่วยงานภาครัฐในกากับของฝ่ายบริหาร สานักงาน ก.พ.ร.
าวิท
ประเภทได้ และสามารถกาหนดกระบวนการบริหารงานภายในให้สอดคล้องกับประเภทภารกิจ
เพื่อให้เกิ ด การท างานอย่างมีป ระสิท ธิภ าพและมีความคล่ องตัวในการบริหารงานมากกว่า
รูปแบบองค์การที่เป็นหน่วยราชการ
ทั้ งนี้ ในการจ าแนกประเภทหน่ ว ยงานภาครั ฐ ดั งกล่ า ว ส านั ก งาน ก.พ.ร. ให้
ความส าคั ญ กั บ การจ าแนกประเภทหน่ ว ยงานภาครัฐ โดยพิ จ ารณาจากการจั ด ท าบริ ก าร
สาธารณะ (Public service) ในฐานะที่ เป็นภารกิจพื้นฐานที่รัฐมีหน้าที่ และความรับผิดชอบใน
170
"
1. บริการสาธารณะทางปกครอง (Administrative Public Service) เป็นกิจการที่
่านั้น
เอกชนทาไม่ได้เพราะกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมประเภทการรักษา
าเท
ความสงบและเป็นการใช้อานาจทางปกครองด้วยการออกระเบียบกฎเกณฑ์ เช่น การอนุญาต
ตั้งโรงงาน การจัดระเบียบจราจร เป็นต้น ทั้งนี้ รูปแบบของการจัดโครงสร้างของหน่วยงานที่
ศึกษ
รับผิดชอบบริการประเภทนี้ จึงมีฐานะเป็นส่วนราชการ ซึ่งรวมถึงราชการส่วนกลาง ราชการ
ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น และเรื่องใดที่เป็นคดีความระหว่างส่วนราชการกับเอกชนต้องขึ้น
กา ร
ศาลปกครองเนื่องจากส่วนราชการใช้อานาจรัฐฝ่ายเดียวเป็นหลัก
2. บริ ก ารสาธารณะทางพาณิ ช ยกรรมและอุ ต สาหกรรม (Industrial and
เพื่อ
กิจกรรมมีลักษณะเป็นการผลิตหรือจาหน่ายสินค้าหรือบริการเพื่อแสวงหารายได้ แต่รัฐเป็น
เจ้าของหรือเป็นผู้ถือหุน้ เกิน 50% หรือทั้งหมด
ัยสว
มหาชน
171
หลักการจาแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกากับของฝ่ายบริหาร
ในการจาแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกากับของฝ่ายบริหารมีหลักการสาคัญ
ดังนี้
1. ความสัมพันธ์กับรัฐ มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้
1.1 การจั ด ตั้ ง : พิ จ ารณาถึ งที่ ม าของการจั ด ตั้ งเช่น กฎหมายที่ ใช้ ในการ
จัดตั้งหากจัดตั้งโดยกฎหมายมหาชนเช่นพระราชบัญญัติพระราชกฤษฎีกาพระราชกาหนดถือ
"
่านั้น
ว่ามีความสาคัญกับรัฐสูงแต่หากจัดตั้งโดยการจดทะเบียนบริษัทจากัดหรือบริษัทมหาชนถือว่า
มีความสาคัญกับรัฐน้อย
าเท
1.2 รูปแบบ: พิจารณาถึงประเภทของหน่วยงานที่ระบุไว้ในกฎหมายจัดตั้ง
เช่นกาหนดว่าเป็นรัฐวิสาหกิจกาหนดว่าเป็นนิติบุคคลที่มิใช่ส่วนราชการแต่หากกาหนดว่าเป็น
ศึกษ
นิตบิ ุคคลเท่านั้นจะถือว่าไม่มคี วามสัมพันธ์กับรัฐ
1.3 การแต่งตั้งบุคลากรระดับสูง : พิจารณาว่ารัฐมีอานาจหรือบทบาทใน
กา ร
การแต่งตั้งคณะกรรมการและผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานนั้นๆ อย่างไรหรือไม่มีอานาจแต่
เพื่อ
อย่างใดเช่นคณะกรรมการบริหารแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรีผู้บริหารสูงสุดต้องผ่านการสรรหา
ตามระเบียบกฎหมายใด
ิต
ดาเนินกิจการของหน่วยงานนั้นหรือไม่อย่างไรเช่นอานาจในการกากับดูแลตามกฎหมายการ
อนุมัตโิ ครงการเป็นต้น
ัยสว
3. งบประมาณ/รายได้ของหน่วยงานการค้าประกันหนี้ : พิจารณาถึงแหล่งที่มา
าวิท
ของงบประมาณหรือรายได้หลักของหน่วยงานว่ามาจากแหล่งใดเป็นเงินงบประมาณของรัฐเป็น
ต้นรวมทั้งพิจารณาว่ารัฐค้าประกันหนี้ของหน่วยงานนั้นหรือไม่โดยยึดพระราชบัญ ญั ติก าร
"มห
บริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548เป็นหลักในการพิจารณา
4. สถานะของบุคลากร : พิจารณาว่าบุคลากรของหน่วยงานมีสถานะอย่างไร
เป็นข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายใดหรือไม่
5. วิธีการและระบบกฎหมายที่ใช้ในการทากิจกรรม : พิจารณาถึงการดาเนิน
กิจกรรมหลักของหน่วยงานว่าหน่วยงานต้องใช้อานาจรัฐบังคับฝ่ายเดียวเป็นหลักในการทางาน
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดตัง้ หน่วยงานหรือใช้รูปแบบของสัญญาระหว่างหน่วยงาน
172
6. ความเป็นเจ้าของและอานาจในการบริหารจัดการ : พิจารณาจากที่มาของ
การจัดตั้งเงินทุนประเดิมสัดส่วนของรัฐในการถือหุ้นอานาจตัดสินใจในการบริหารจัดการและ
การมีส่วนร่วมในการครอบงากิจการ
ประเภทหน่วยงานของรัฐในกากับของฝ่ายบริหาร
"
จากหลั ก เกณฑ์ดั งกล่าวการจาแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในก ากับ ของฝ่าย
่านั้น
บริ ห าร แบ่ ง ออกได้ เ ป็ น 4 ประเภทคื อ ส่ ว นราชการ รั ฐ วิ ส าหกิ จ องค์ ก ารมหาชน แ ละ
หน่วยงานของรัฐรูปแบบใหม่ โดยมีสาระสาคัญสรุปได้ดังนี้
าเท
1. ส่วนราชการ หมายถึง เป็นหน่วยงานที่มคี ุณสมบัติดังนี้
ศึกษ
1. เป็ น หน่ ว ยงานที่ รั บ ผิ ด ชอบการให้ บ ริ ก ารสาธารณ ะท างป กครอง
(Administrative Public Sevice) ซึ่งเป็นภารกิจหลักของรัฐเช่นการรักษาความสงบเรียบร้อยการ
กา ร
ป้องกันประเทศ
2. ให้บริการทั่วไปและไม่มงุ่ กาไร
เพื่อ
3. ความสัมพันธ์กับรัฐ
- รัฐจัดตั้ง
ิต
- รัฐปกครองบังคับบัญชา
นดุส
- ใช้งบประมาณแผ่นดิน
- ใช้อานาจฝ่ายเดียวของรัฐเป็นหลักในการดาเนินกิจกรรม
ัยสว
- บุคลากรมีสถานะเป็นข้าราชการ
ยาล
- รัฐต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการกระทาของหน่วยงาน
ในการขอจั ด ตั้ ง ส่ ว นราชการ ส านั ก งาน ก.พ.ร. ได้ ก าหนดแนวทางการ
าวิท
ดาเนินการดังนี้
1. ในการร่างกฎหมายเพื่อใช้บังคับในเรื่องใดก็ตาม ไม่ควรมีข้อกาหนดใน
"มห
รายละเอียดให้มีการจัดตัง้ ส่วนราชการขึ้นใหม่
2. หากจะมีการจัดตัง้ ส่วนราชการขึน้ ใหม่ให้ดาเนินการดังนี้
2.1 กรณี ขอจั ด ตั้ งส่ วนราชการระดั บ กรม ให้ ก ระทรวงดาเนิ นการขอ
จัดตั้งส่วนราชการตามพระราชบัญ ญั ติป รับ ปรุงกระทรวง ทบวง กรม หรือพระราชบัญ ญั ติ
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
2.2 กรณีขอจัดตั้งส่วนราชการระดับต่ากว่ากรม จะต้องดาเนินการตาม
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549
173
2.3 เพื่อประโยชน์ในการกลั่นกรองความเหมาะสมของการจัดตั้งส่วน
ราชการ
2. รัฐวิสาหกิจ หมายถึง เป็นหน่วยงานที่มคี ุณสมบัติดังนี้
1. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยก
รรม (Industrial and Commercial Public service) ซึ่งผลิตและจาหน่ายสินค้าหรือบริการที่เป็น
การให้บริการสาธารณะ และงานสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ เพื่อให้งานบริการนั้นได้มาตรฐาน
"
่านั้น
ทั้งในเรื่องคุณภาพ ปริมาณ ค่าใช้จ่าย และอื่นๆ
2. มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ แสวงหารายได้ ต้ อ งสามารถเลี้ ย งตั ว เองจากการ
าเท
ดาเนินงานเชิงพาณิชย์ ต้องไม่มวี ัตถุประสงค์มงุ่ กาไรสูงสุด (Maximization of profit)
3. เป็นนิติบุคคล
ศึกษ
4. ความสัมพันธ์กับรัฐ
4.1 รัฐจัดตั้ง กา ร
4.2 ทุนเกินครึ่งเป็นของรัฐ
4.3 รั ฐ มี อ านาจก ากั บ ดู แ ลตามที่ ก ฎหมายก าหนด เช่ น การอนุ มั ติ
เพื่อ
งบประมาณ
4.4 การลงทุนต้องขอความเห็นชอบจากรัฐและรายได้ตอ้ งส่งคืนรัฐ
ิต
นดุส
4.5 บุคลากรมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
4.6 วิ ธี ด าเนิ น การไม่ ใ ช้ อ านาจฝ่ า ยเดี ย วเป็ น หลั ก แต่ ใ ช้ สั ญ ญา ไม่ ใ ช้
ัยสว
การจัดประเภทของรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายจัดตัง้
1. จัดตั้งโดยพระราชบัญญัติ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทบ
าวิท
3. จัดตัง้ โดยพระกฤษฎีกา
4. จัดตัง้ โดยระเบียบหรือข้อบังคับ เช่น โรงงานยาสูบ
5. จัดตัง้ โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
3. องค์การมหาชน หมายถึง เป็นหน่วยงานที่มคี ุณสมบัติดังนี้
1. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบทางสังคมและวัฒนธรรม (Social Cultural Public
Services) เช่น การศึกษา การวิจัย การฝึกอบรม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ การสังคม
สงเคราะห์ นันทนาการ หรือการดาเนินการอันเป็นประโยชน์อื่นใด ซึ่งไม่เหมาะที่จะใช้วธิ ีการขอ
174
องราชการในการบริหาร อนึ่งการบริการสาธารณะขององค์กรการมหาชนต้องไม่เป็นกิจการที่
มี ลั ก ษณะเป็ น การแข่ ง ขั น กั บ ภาคเอกชน ซึ่ ง ตามลั ก ษณะต้ อ งห้ า มตามรั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง
ราชอาณาจักรไทย
2. ไม่มวี ัตถุประสงค์ในการแสวงหาผลกาไร
3. เป็นนิตบุคคล
4. ความสัมพันธ์กับรัฐ
"
(1) รัฐจัดตั้ง
่านั้น
(2) ได้รับเเงินอุดหนุนจากรัฐ หรือสามารถเลีย้ งต้นเองได้
าเท
(3) รัฐมีอานาจกากับดูแลตามที่กฎหมายกาหนด
(4) การลงทุนต้องขอความเห็นชอบจากรัฐ
ศึกษ
(5) บุคคลาการมีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
(6) วิธี ก ารด าเนิ นการไม่ใช้อ านาจฝ่ายเดี ย วเป็ นหลัก แต่ ใช้สัญ ญา ไม่ใช้
กา ร
กฎระเบียบของทางราชการ
การจัดประเภทขององค์กการมหาชน ตามกฎหมายจัดตั้ง
เพื่อ
2) องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (หน่วยงานในกากับ)
การก ากั บ ดู แลองค์ ก ารมหาชน โดยหลั ก การรัฐ มนตรีผู้รัก ษาการตามกฎหมายจัด ตั้ งจะมี
ัยสว
หน้าที่ในการกากับดูแลตามที่กฎหมายกาหนด ส่วนบทบาทของรัฐมนตรีโดยส่วนใหญ่จะทา
"มห
จึงมิได้เป็นหน่วยงานที่สังกัดกระทรวงหรือสังกัดสานักนายกรัฐมนตรี แต่เป็นหน่วยงานที่อยู่ใน
การก ากั บ ดู แลของรัฐ มนตรีที่รัก ษาการตามกฎหมาย ปลัด กระทรวงหรือ ข้าราชการอื่ นไม่
สามารถจะใช้อานาจบังคับบัญชาต่อองค์การมหาชน การขอจัดตัง้ องค์การมหาชน
ทั้งนี้ สามารถสรุปลักษณะขององค์การเหล่านั้นได้ดังนี้
1) หน่วยธุ รการขององค์ก ารของรัฐ ที่เป็นอิสระ (Independent Administrative
Organization) มีลักษณะสาคัญคือ จัดตั้งขึ้นเพื่อทาหน้าที่ในการควบคุม กากับดูแลกิจการของ
"
รัฐ หรือดาเนินกิจการบริการสาธารณะตามนโยบายที่ต้องการความเป็นกลาง ปราศจากการ
่านั้น
แทรกแซงจากอานาจทางการเมือง ซึ่งจะมีคณะกรรมการเป็นองค์กรที่มีอานาจและมีหน่วย
าเท
ธุรการเพื่อทาหน้าที่อานวยการ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหาผลกาไร เป็นนิติบุคคล ในด้าน
ความสัมพันธ์กับรัฐ รัฐจัดตั้ง ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ รัฐมีอานาจกากับดูแลตามที่กฎหมาย
ศึกษ
กาหนด บุคลากรมีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องการอานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของ
รัฐในการบังคับฝ่ายเดียวต่อประชาชนหรือกากับตรวจสอบ การบริหารงานไม่ใช้กฎระเบียบทาง
กา ร
ราชการ รายงายผลต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐ สภา การจัดประเภทของหน่วยงานธุรการของ
องค์การของรัฐที่เป็นอิสระตามลักษณะภารกิจ
เพื่อ
ในการก ากั บ ตลาดเงิ น และตลาดทุ น ส าหรั บ ในประเทศไทยเป็ น หน่ ว ยงานจั ด ตั้ ง ขึ้ น โดย
พระราชบัญญัติเฉพาะ
ัยสว
บริหารและปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง โดยเฉพาะสื่อมวลชน
4) กองทุนที่เป็นนิติบุคคล คือ หน่วยงานที่เป็นกลไกทางเศรษฐกิจ โดยกองทุน
าวิท
ที่เป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นโดยตราเป็นพระราชบัญญัติ เนื่องจากต้องการอานาจรัฐในการบังคับ
"มห
เป้าหมายให้บริการหน่วยงานเจ้าสังกัดเป็นหลัก และหากมีกาลังการผลิตส่วนเกินจะให้บริการ
หน่วยงานอื่นและประชาชนได้
2) การดาเนินงานใช้รูป แบบวิธีการบริหารจัดการสมัยใหม่ สามารถจะเรีย ก
เก็บค่าบริการจากหน่วยงานเจ้าสังกัดหรือลูกค้าผูร้ ับบริการอื่นๆได้
3) ไม่มวี ัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาผลกาไร และไม่นาส่งรายได้เข้ารัฐโดยตรง
4) ความสั ม พั น ธ์ กั บ ส่ ว นราชการเจ้ า สั งกั ด จั ด ตั้ ง ขึ้ น จากการแปลงสภาพ
"
หน่วยงานบางหน่วยของส่วนราชการ เจ้าสังกัดตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการ
่านั้น
บริหารงานของหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของส่วนราชการเจ้าสังกัด และไม่
าเท
มีฐานะเป็นนิติบุคคลแยกจากส่วนราชการเจ้าสังกัด ส่วนราชการเจ้าสังกัดจะตั้งงบประมาณ
อุดหนุนหน่วยบริการรูปแบบพิเศษในลักษณะค่าตอบแทนหรือค่าบริการในการใช้บริการของ
ศึกษ
หน่ ว ยบริก ารรูป แบบพิ เศษ หรือ ค่ าใช้จ่ ายในการลงทุ น เริ่ม แรก แต่ จะตั้ งงบประมาณ เพื่ อ
อุดหนุนหน่วยบริการรูปแบบพิเศษไม่ได้ ส่วนราชการเจ้าสังกัดมีอานาจบริหารจัดการ การ
กา ร
ด าเนิน งานใดๆ ของหน่ ว ยบริก ารรูป แบบพิ เศษต้ อ งได้ รับ การมอบอ านาจจากหั วหน้ าส่ว น
ราชการหน่วยงานเจ้าสั งกั ด บุคลากรมีสถานะเป็นพนัก งานของหน่วยบริการรูป แบบพิเศษ
เพื่อ
1) หน่วยบริการรูปแบบพิเศษที่มีลักษณะภารกิจให้บริการด้านพาณิชยกรรม
หรืออุตสาหกรรมแก่ส่วนราชการเจ้าสังกัด
ยาล
2) หน่วยบริการรูปแบบพิเศษที่มีลักษณะภารกิจในการให้บ ริการสาธารณะ
ทางสังคม และวัฒนธรรมหน่วยงานที่ใช้อานาจรัฐหรือเป็นกลไกของรั ฐแต่ไม่เป็นองค์กรของรัฐ
าวิท
ผลจากการวิเคราะห์พบว่า มีหน่วยงานจานวนหนึ่งที่ไม่เข้าตามหลักเกณฑ์การเป็นหน่วยงานรัฐ
"มห
เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริยธรรมของวิชาชีพเท่านั้นที่ใช้กฎหมายปกครอง มีรายได้
ส่วนใหญ่จากการเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆจากสมาชิก มีเลขาธิการเป็นผู้ บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่
ของสภาทุกระดับ ตัวอย่างเช่น แพทยสภา สภาทนายความ เป็นต้น
- สถาบันภายใต้มูลนิธิ ซึ่งเป็นกลไกของส่วนราชการ มีวัตถุประสงค์ของ
การจัดตั้งเพื่อ บริการสาธารณะเฉพาะด้าน จะจัดตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ
สร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมเฉพาะสาขาในระยะเริ่มแรก และเมื่ออุตสาหกรรมสาขา
"
นั้น ๆมีความเข้มแข็งแล้วภาคเอกชนจะรับภารกิจนั้นไปดาเนินการเอง สถาบันเหล่านี้จะไม่มี
่านั้น
สถานภาพเป็นนิติบุคคล แต่จะจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมารองรับเป็นองค์กรรองรับด้านการเงินและใน
าเท
การทานิติกรรมต่าง ๆ ในฐานะที่เป็น นิติบุคคลตามกฎหมาย จะบริหารงานโดยคณะกรรมการ
หรือ คณะกรรมการบริห ารเป็ น ผู้ ก าหนดนโยบาย ควบคุ ม ดู แล ติ ด ตาม และประเมิ น ผล
ศึกษ
ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานแม่ต้นสังกัด ภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ย วข้อง
ผู้ท รงคุณ วุฒิ นักวิชาการตามสัดส่วนที่เหมาะสมแยกการบริหารเป็น ๒ คระกรรมการ คือ
กา ร
คณะกรรมการมูลนิธิ และ คณะกรรมการบริหาร งบประมานที่ใช้จา่ ยในการดาเนินงานมาจาก
รายได้ในการด าเนินงาน และงบประมานแผ่นดินที่ รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี ในหมวดเงิน
เพื่อ
นโยบายเศรษฐกิจการคลัง
- มูลนิธิบุคคลเฉพาะกิจ จัดตั้งขึ้นเพื่อระดมทุนจากเอกชนสาหรับโครงการ
ัยสว
ส าคั ญ ของรัฐ โดยมี วั ตถุ ป ระสงค์ไม่ ต้ องการให้เป็ นหนี้ สาธารณะ มีลั ก ษณะซื้ อขายบริก าร
เช่นเดียวกับรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน แต่ไม่ต้องการให้เป็นหนี้สาธารณะ จึงจัดตั้งเป็นนิติ
ยาล
ตามพระราชกาหนด
178
สรุป
หน่วยงานหรือองค์การของรัฐในกากับของฝ่ายบริหารในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 4
ประเภท ได้แก่ ส่ ว นราชการ รัฐ วิส าหกิ จ องค์ ก ารมหาชน และหน่วยบริก ารรูป แบบพิ เศษ
อย่างไรก็ ต าม การจาแนกประเภทหน่ วยงานของรัฐในก ากั บ ของฝ่ายบริหารพิ จารณาจาก
ความสัมพันธ์ของหน่วยงานนั้นๆ ที่มีกับรัฐ กิจกรรมการดาเนินงานของหน่วยงานนั้นๆ ที่มาของ
งบประมาณหรือรายได้ของหน่วยงานนั้น สถานะของบุคลากรที่สังกัดหน่วยงานนั้นๆ วิธีการ
"
่านั้น
และระบบกฎหมายที่หน่วยงานนั้นๆ ใช้ใ นการทากิจกรรม และความเป็นเจ้าของและอานาจใน
การบริหารจัดการ
าเท
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 8
ศึกษ
1. ส านั ก งาน ก.พ.ร. ได้ จ าแนกประเภทของบริก ารสาธารณะไว้ อ ย่ า งไร และ
กา ร
บริการสาธารณะแต่ละประเภทมีลักษณะสาคัญอย่างไร
2. หน่วยงานของรัฐมีกี่ป ระเภท อะไรบ้าง และมีหลักเกณฑ์ในการแบ่งประเภท
เพื่อ
หน่วยงานของรัฐอย่างไร
3. เพราะเหตุใดจึงจาเป็นต้องแบ่งหน่วยงานของรัฐออกเป็นประเภทต่างๆ
ิต
4. จงอธิบายจุดเด่นของหน่วยงานของรัฐประเภทต่างๆ มาพอสังเขป
นดุส
5. จงอธิบายข้อจากัดของหน่วยงานของรัฐประเภทต่างๆ มาพอสังเขป
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
เอกสารอ้างอิง
"
่านั้น
รัฐในกากับของฝ่ายบริหาร. กรุงเทพฯ, สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ
ราชการ.
าเท
สุเทพ เชาวลิต (2548). การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management).
กรุงเทพฯ, สานักพิมพ์เสมาธรรม.
ศึกษ
สุพจน์ ทรายแก้ว (2545). การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management: NPM).
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, โรงพิมพ์เทียนวัฒนา.
กา ร
Ferlie, E., et al. (1996). The New Public Management in Action. USA, Oxford University
เพื่อ
Press.
Kates, A. and J. R. Galbraith (2007). Designing Your Organization: Using the Star Model to
ิต
Solve 5 Critical Design Challenges. San Francisco, John Wiley & Sons, Inc.
นดุส
อานุภาพ รักษ์สุวรรณ
"
่านั้น
เนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงการกากับดูแลการปฏิบัติราชการในการบริหารราชการ
าเท
ของไทย โดยเฉพาะที่เป็นการกากับดูแลการปฏิบัติราชการโดยหน่วยงานกลาง เช่น สานักงาน
คณะกรรมการพั ฒ นาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สานัก งบประมาณ และกรมบัญ ชีก ลาง ทั้ งนี้
ศึกษ
เพื่อให้การบริหารราชแผ่นดินเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตาม
การกากับดูแลการปฏิบัติราชการที่จะกล่าวต่อไปในบทนี้มีความแตกต่างจากการตรวจสอบ
กา ร
การปฏิ บั ติ ราชการซึ่ งจะได้ ก ล่ าวถึ งในบทต่ อ ไป และไม่ ใช่ ก ารควบคุ ม การบริห ารราชการ
เพื่อ
แผ่นดินภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ซึ่งเป็นการดุลอานาจซึ่งกัน
และกัน (Check and Balance) ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ
ิต
เข้าไปแทรกแซงหรือก้าวก่ายการดาเนินงานของส่วนราชการต่างๆ เนื่องจากแต่ละส่วนราชการ
มีกฎหมายจัดตั้งหน่วยงาน ที่กาหนดอานาจหน้าที่และความรับผิดของหน่วยงานตนเองไว้แล้ว
ัยสว
และแต่ละส่วนราชการยังต้องปฏิบัติราชการตามหน้าที่ตามพระราชบัญญัติหรือกฎหมายอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับบาทบาทภารกิจของหน่วยงาน ดังนั้น การกากับการปฏิบัติราชการที่จะกล่าวถึง
ยาล
ต่อไปจึงเป็นเพียงการกากับการปฏิบัติราชการของส่วนราชการให้เป็นไปในทิศทางหรือเป็นไป
าวิท
ทั้งนี้ เนื้อหาในบทนี้จะอธิบายถึงบาทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่ทาหน้าที่ในการ
กากับดูแลการปฏบัติราชการแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) การกากับการปฏิบัติราชการก่อนการ
ปฏิบัติราชการ ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่ของสานังบประมาณ และ 2) การกากับการปฏิบัติราชการ
ในระหว่ า งการปฏิ บั ติ ร าชการ ซึ่ ง เป็ น บทบาทหน้ า ที่ ข องกรมบั ญ ชี ก ลาง และส านั ก งาน
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
182
การกากับการปฏิบัติราชการก่อนการปฏิบัติราชการ
การกากับการปฏิบัติราชการโดยสานักงบประมาณ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานต้น
ทางที่ ท าหน้ า ที่ ใ นการจั ด สรรงบประมาณเพื่ อ การปฏิ บั ติ ร าชการให้ กั บ ส่ ว นราชการและ
หน่วยงานของรัฐอื่นๆ รวมถึงการกากับการใช้จา่ ยงบประมาณแผ่นดินของส่วนราชการต่างๆ
ส านั ก งบประมาณ เป็ น ส่ ว นราชการที่ มี ฐ านะเที ย บเท่ า กรม สั ง กั ด ส านั ก
นายกรัฐ มนตรี ท าหน้าที่เป็นหน่ว ยงานกลางในการจัดท างบประมาณแผ่นดิน เพื่อเสนอให้
"
่านั้น
นายกรัฐ มนตรีและคณะรัฐ มนตรีพิ จารณาอนุมั ติ ก่อ นที่รัฐ บาลจะน าเสนอต่อรัฐ สภาเพื่ อ
พิจารณาและอนุมัติให้ประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีต่อไป ทั้งนี้
าเท
สานักงบประมาณต้องทาหน้าที่จัดสรรงบประมาณที่มีอยู่อย่างจากัดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุด
แก่ประชาชนและประเทศชาติ โดยจัดสรรออกมาในรูปของงบประมาณรายจ่ายประจาปี เพื่อให้
ศึกษ
ส่ ว นราชการและรั ฐ วิ ส าหกิ จ น าไปใช้จ่ า ยในกิ จ กรรมของรัฐ เพื่ อ การพั ฒ นาประเทศ และ
กิ จ การที่ จ าเป็ น ทั้ งมวล รวมทั้ งจะต้ อ งดู แลให้ ก ารใช้ จ่ ายงบประมาณแผ่ น ดิ น เป็ น ไปอย่ า ง
กา ร
ประหยัดที่สุดไม่ให้มกี ารรั่วไหลหรือสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ (สานักงบประมาณ, 2560)
เพื่อ
ทั้ ง นี้ กฎกระทรวงแบ่ งส่ ว นราชการส านั ก งบประมาณ ส านั ก นายกรั ฐ มนตรี
พ.ศ.2559 ก าหนดให้ ส านัก งบประมาณมีภารกิจเกี่ย วกับ การเสนอแนะและให้ความเห็นแก่
ิต
รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐในด้านการงบประมาณ การจัดทางบประมาณที่สนองต่อนโยบาย
นดุส
"
8. ติดตามผล ประเมินผล และรายงานผลความสาเร็จของการดาเนินงานของ
่านั้น
ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่อคณะรัฐมนตรี
าเท
9. จัดทารายงานการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
10. เสนอแนะและให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในด้านการงบประมาณและ
ศึกษ
ด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
11. ปฏิ บั ติ ก ารอื่ น ใดตามที่ ก ฎหมายก าหนดให้ เป็ น อ านาจหน้ า ที่ ของส านั ก
กา ร
งบประมาณ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย
นอกจากอานาจหน้าที่ ตามที่ บั ญ ญั ติ ไว้ในกฎกระทรวงแบ่ งส่วนราชการสานั ก
เพื่อ
การกากับการปฏิบัติราชการในระหว่างการปฏิบัติราชการ
เป็นการกากับการปฏิบัติราชการของส่วนราชการต่างๆ โดยหน่วยงานกลางของ
รั ฐ บาล เพื่ อ ให้ ก ารปฏิ บั ติ ร าชการเป็ น ไปในทิ ศ ทางหรื อ มาตรฐานกลางที่ รั ฐ บาลก าหนด
ประกอบด้วยบทบาทของหน่วยงานกากับการปฏิบัติราชการที่สาคัญ 2 หน่วยงาน ได้แก่
1. การกากับการปฏิบัติราชการโดยสานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ
ราชการ
"
่านั้น
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เป็นส่วนราชการระดับกรม สังกัด
สานักนายกรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญ ญั ติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไข
าเท
เพิ่ มเติมโดยพระราชบั ญ ญั ติระเบีย บบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบั บ ที่ 7) พ.ศ.2550 มีหน้าที่
รับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อให้การดาเนินการ
ศึกษ
ของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการบรรลุเป้าหมาย และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมาย
หรือ ก.พ.ร.กาหนด โดยมีเลขาธิการ ก.พ.ร. เป็นผู้บังคับบัญชา
กา ร
บุ ญ เกี ย รติ การะเวกพั น ธุ์ และคณะ (2560) อธิ บ ายโดยสรุ ป ถึ ง การจั ด ตั้ ง
เพื่อ
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการว่า การจัดตั้งสานักงานคณะกรรมการพัฒนา
ระบบราชการเป็นผลมาจากที่มีการแก้ไขพระราชบัญ ญั ติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534
ิต
บริห ารราชต้ อ งเป็ น ไปเพื่ อ ประโยชน์ สุ ขของประชาชน เกิ ด ผลสั ม ฤทธิ์ ต่ อ ภารกิ จ ของรัฐ มี
ประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดภารกิจและยุบ
ัยสว
ระบบราชการจึงเป็นการดาเนินการที่สาคัญ เพื่อให้การดาเนินการพัฒนาระบบราชการเป็นไป
าวิท
"
่านั้น
ราชการและงานของรัฐอย่างอื่น ซึ่งรวมถึงโครงสร้างระบบราชการ ระบบงบประมาณ ระบบ
บุค ลากร มาตรฐานทางคุ ณ ธรรมและจริยธรรม ค่าตอบแทน และวิธีป ฏิบัติราชการอื่น ให้
าเท
เป็นไปตามมาตรา 3/11 โดยจะเสนอแนะให้มีการกาหนดเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการก็
ได้
ศึกษ
2) เสนอแนะและให้คาปรึกษาแก่หน่วยงานอื่นของรัฐที่มิได้อยู่ในกากับของ
ราชการฝ่ายบริหารตามที่หน่วยงานดังกล่าวร้องขอ กา ร
3) รายงานต่อคณะรัฐมนตรีในกรณีที่มีการดาเนินการขัดหรือไม่สอดคล้อง
กับหลักเกณฑ์ที่กาหนดในมาตรา 3/1
เพื่อ
4) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกาหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานในการจัดตั้ง
การรวม การโอน การยุบเลิก การกาหนดชื่อ การเปลี่ยนชื่อ การกาหนดอานาจหน้าที่ และการ
ิต
นดุส
ออกตามพระราชบัญญัติน้ี
6) ดาเนินการให้มีการชี้แจงทาความเข้าใจแก่ส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ที่
ยาล
เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป รวมตลอดทั้งการฝึกอบรม
าวิท
"มห
"
9) เรี ย กให้ เ จ้ า หน้ า ที่ ห รื อ บุ ค คลอื่ น ใดมาชี้ แ จงหรื อ แสดงความเห็ น
่านั้น
ประกอบการพิจารณา
าเท
10) จัดทารายงานประจาปีเกี่ยวกับการพัฒนาและจัดระบบราชการและงาน
ของรัฐอย่างอื่นเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อสภาผูแ้ ทนราษฎรและวุฒิสภา
ศึกษ
11) แต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทางาน เพื่อปฏิบัติ
หน้าที่ตา่ ง ๆ ตามที่มอบหมาย และจะกาหนดอัตราเบีย้ ประชุมหรือค่าตอบแทนอื่นด้วยก็ได้
กา ร
12) ปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ อื่ น ตามที่ ก าหนดในพระราชบั ญ ญั ติ นี้ ห รื อ ตามที่
คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
เพื่อ
มาตรฐานและหลั ก เกณฑ์ ในการจัด ตั้ ง การรวม การโอน การยุ บ เลิก การก าหนดชื่อ การ
เปลี่ยนชื่อ การกาหนดอานาจหน้าที่ และการแบ่งส่วนราชการ การติดตามและประเมินผลและ
ยาล
ให้คาแนะนาการปฏิบัติราชการของส่วนราชการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติ
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2553
าวิท
บทบัญญัติของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.
2546 เพื่อให้การบริหารราชการของส่วนราชการต่างๆ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
การบริ ห ารราชการเพื่ อ ให้ เกิ ด ผลสั ม ฤทธิ์ ต่ อ ภารกิ จ ของรั ฐ การบริ ห ารราชการอย่ า งมี
ประสิ ท ธิ ภ าพและเกิ ด ความคุ้ม ค่าในเชิงภารกิจ ของรัฐ การลดขั้น ตอนการปฏิ บัติ งาน การ
ปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการ การอานวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการ
ของประชาชน และการประเมินผลการปฏิบัติราชการ
187
"
่านั้น
และ พ.ศ.2551-2555 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบราชการโดยมีวัตถุประสงค์หลักที่
ส าคั ญ 4 ประการคือ การพั ฒ นาคุณ ภาพการให้บ ริก ารประชาชนที่ ดี ขึ้น การปรับ บทบาท
าเท
ภารกิ จและขนาดของส่ วนราชการให้ มีความเหมาะสม การยกระดับ ขีดความสามารถและ
มาตรฐานการทางานให้อยู่ในระดับสูงและเทียบเท่าเกณฑ์สากล และการตอบสนองต่อการ
ศึกษ
บริหารการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดผลตามบทบัญญัติของมาตรา 3/1 ของพระราชบัญญัติ
กา ร
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับ ที่ 5) พ.ศ.2545 ที่กาหนดให้ การบริหารราชการต้อง
เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ความมีประสิทธิภาพ
เพื่อ
สถานการณ์ ประชาชนได้รับการอานวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ
"มห
และมีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่าเสมอ
ทั้ ง นี้ เพื่ อ ให้ ก ารปฏิ รู ป ระบบราชการบรรลุ ผ ลตามตามแผนยุ ท ธศาสตร์
ดังกล่าว สานักงาน กพร. ได้มีการดาเนินการพัฒนาระบบราชการโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับ
การให้บริการสาธารณะ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ ได้แก่
1. ในปีงบประมาณ 2546 โดยมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม
2546 ได้กาหนดให้ส่วนราชการจะต้องทาการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการ และ
สานักงาน กพร. ได้กาหนดกรอบการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการออกเป็น 4 มิติ
188
"
จัดทารายงานผลการประเมินผลการปฏิบัติราชการประจาปี ทั้งนี้ การติดตามประเมินผลการ
่านั้น
ปฏิบัติราชการด้วยกระบวนการเหล่านี้ ก็เพื่อเป็นการทาให้แน่ใจว่าการดาเนินกิจกรรมและการ
าเท
บริหารจัดการของส่วนราชการเป็นไปตามกรอบตามแผนยุทธศาสตร์และได้ผลลัพธ์ตามที่ส่วน
ราชการได้กาหนดไว้
ศึกษ
2. ในปี 2546 สานักงาน กพร. ได้เริ่มผลักดันให้ส่วนราชการลดขั้นตอนและ
ระยะเวลาการปฏิบัติราชการและร่วมมือกับส่วนราชการในการส่งมอบบริการสาธารณะการ
กา ร
พั ฒ นาระบบรั ฐ บาลอิ เล็ ก ทรอนิ ก ส์ (e-Government) โดยพยายามที่ จ ะเชื่ อ มโยงเครื อ ข่ า ย
ข่าวสารข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดเข้าด้วยกัน และผลจากการพัฒนาระบบรัฐบาล
เพื่อ
Government Counter Services: GCS และหน่ วยให้ บ ริก ารเคลื่อ นที่ และนอกสถานที่ (Mobile
Unit) รวมทั้งมีก ารจัด ตั้ง Government Contac Center หรือ GCC:1111 เพื่ อให้ศู นย์รวมในการ
ยาล
3. ส านั ก งาน กพร. ได้ ส่ งเสริ ม สนั บ สนุ น และผลั ก ดั น ให้ ส่ ว นราชการ
ด าเนิ นการพั ฒ นาคุ ณ ภาพการให้ บ ริ การสาธารณะ โดยได้ มี ก ารจั ดท าหลั ก เกณฑ์ และแนว
ทางการพิจารณารางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ (Thailand Public Service Quality Awards) และมี
การมอบรางวั ล ให้ กั บ ส่ วนราชการที่ มี คุ ณ ภาพการให้ บ ริก ารสาธารณะที่ ดี โดยแบ่ งรางวั ล
ออกเป็น 4 ประเภทคือ รางวัลนวัตกรรมการให้บริการ โดยพิจารณาจากการปรับปรุงบริการ
รายกระบวนงานหนึ่งที่มีการพัฒนาคุณภาพการให้บริการมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถนาเสนอ
เป็นการให้บริการรูปแบบใหม่ได้ รางวัลภาพรวมกระบวนงาน โดยพิจารณาจากการดาเนินการ
189
"
จัดการภาครัฐตามที่กล่าวมาแล้ว สานักงาน กพร. มีความพยายามที่จะปรับเปลี่ยนกระบวน
่านั้น
ทัศน์ วัฒนธรรมและค่านิยมของระบบราชการด้วยการกาหนดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ
าเท
ข้าราชการเพื่อรองรับกับการพัฒนาระบบราชการรวม 8 ประการ หรือที่รวมเป็นตัวย่อว่า “I AM
READY” (Office of the Public Sector Development Commission (OPDC), 2003, 117)
ศึกษ
ประกอบด้วย การทางานอย่างมีศักดิ์ศรี (Integrity) ขยันและตั้งในทางานเชิงรุก (Activeness) มี
ศีลธรรมและคุณธรรม (Morality) รู้ทันโลก ปรับตัวทันเหตุการณ์ สอดคล้องกับความต้องการ
กา ร
ของสั ง คม (Relevancy) มุ่ ง เน้ น ประสิ ท ธิ ภ าพ (Efficiency) รั บ ผิ ด ชอบต่ อ การด าเนิ น งาน
(Accountability) มีใจและการกระทาที่เป็นประชาธิปไตย มีส่วนร่วม โปร่งใส (Democracy) และ
เพื่อ
มุ่งเน้นผลผลิต (Yield)
5. สานักงาน กพร. ส่งเสริมและกากับให้ส่วนราชการมีการพัฒนาคุณภาพ
ิต
นดุส
"
กรอบแนวคิดธรรมาภิบาล (Good Governance) และแนวคิดการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่
่านั้น
(NPM) ซึ่งเป็นการนาแนวทางและเครื่องมือการบริหารจัดการที่ดีของภาคเอกชนมาใช้ในภาครัฐ
าเท
การให้บ ริก ารสาธารณะได้เปลี่ย นจากการให้บ ริก ารตามความจาเป็นมาเป็นการให้บ ริก าร
สาธารณะตามความต้องการและความจาเป็นของประชาชน ประชาชนหรือผู้รับ บริการถู ก
ศึกษ
เปรียบเทียบว่าเป็นลูกค้า (Customers) ของส่วนราชการมากกว่าจะเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพาบริการจาก
รั ฐ (Clients or Constituents) แล ะรั ฐ บ าลที่ มี ป ระชาชน เป็ นศู นย์ ก ลาง (Citizen-centered
กา ร
government) ได้ ก ลายมาเป็ น กรอบแนวคิ ด การในการบริหารจั ดการภาครัฐ ที่ เข้ามาแทนที่
กรอบแนวคิดการบริหารจัดการภาครัฐแบบดั่งเดิม (traditional bureaucratic system)
เพื่อ
2. การกากับการปฏิบัติราชการโดยกรมบัญชีกลาง
กรมบัญชีกลางเป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัด กระทรวงการคลัง ในภาพรวม
ิต
นดุส
5. ดาเนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการคลังภาครัฐ ในความรับผิดชอบของ
กรม รวมทั้งติดตามการด าเนินงานและการบริหารด้านการคลังเพื่อประกอบการพิจารณา
เสนอแนะนโยบายด้านการคลังของประเทศ
6. ควบคุม ดูแล และตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินของหน่วยงานภาครัฐ การก่อ
หนี้ผูกพัน การนาเงินส่งคลัง และการถอนคืนเงินรายได้ของส่วนราชการ รวมทั้งพิจารณาทา
ความตกลงในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณตามที่ส่วนราชการขอทาความตกลง
"
7. ดาเนินการเกี่ยวกับการบริหารเงินคงคลัง
่านั้น
8. พั ฒ นาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณในด้านก ากั บ ดู แล การติ ดตาม
าเท
ประเมินผล การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ การทบทวนประสิทธิภาพและความจาเป็นในการ
ด าเนิ น งานของเงิน นอกงบประมาณอย่ างเป็ น ระบบที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ รวมทั้ ง การพั ฒ นา
ศึกษ
กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการกากับและบริหารเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ
9. กาหนด ปรับปรุง และพัฒ นามาตรฐานค่าตอบแทน สวัสดิก าร และสิท ธิ
กา ร
ประโยชน์ของบุคลากรภาครัฐ
10. พัฒนาระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ และ
เพื่อ
กากับดูแล การบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์
11. ด าเนิ น เกี่ ย วกั บ การก าหนดมาตราฐานการบั ญ ชี ภ าครั ฐ ระบบบั ญ ชี
ิต
นดุส
ตลอดจนการจัดทาและวิเคราะห์รายงานการเงินของแผ่นดิน
12. ดาเนินการเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่า
ัยสว
การตรวจสอบภายใน และการพัสดุภาครัฐ
15. ให้คาปรึก ษา เสนอแนะ และให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการทางการเงิน
การคลัง การบัญชี การพัสดุภาครัฐ การตรวจสอบภายในแก่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ
และการปฏิบัติงานแก่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ
16. ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ของกรมหรือ
ตามที่กระทรวงหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
192
"
การดาเนินการเกี่ยวกับการบริหารเงินคงคลังให้มีใช้จ่ายอย่างเพียงพอ และการเสนอข้อมูลใน
่านั้น
เชิ ง นโยบายการคลั ง แก่ ฝ่ า ยบริ ห าร โดยประสานงานกั บ หน่ วยงานที่ เกี่ ย วข้ อ งเพื่ อ ให้ เกิ ด
าเท
เสถียรภาพทางการคลัง รวมทั้งดาเนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการคลังภาครัฐ การกากับ
ดูแลนโยบายและมาตราฐานค่าตอบแทนสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ของบุคลากรภาครัฐ
สรุป
ศึกษ
กา ร
การกากับการปฏิบัติราชการมีจุดมุง่ หมายหลักเพื่อกากับให้ส่วนราชการในฐานะที่
เพื่อ
เป็นกลไกการขับเคลื่อนการบริหารราชการ สามารถปฏิบัติราชการได้อย่างมีทิศทาง เป็นไป
ตามแนวทางหรือมาตรฐานเดียวกัน บทพื้นฐานของบทบาทและอานาจหน้าที่ของแต่ละส่วน
ิต
1) การกากับการปฏิบัติราชการก่อนการปฏิบัติราชการ ซึงเป็นบทบาทการกากับการปฏิบัติ
ราชการของส านั ก งบประมาณ โดยเป็ น การก ากั บ เกี่ ย วกั บ การจั ด ท า การขอ และการใช้
"มห
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 9
1. การกากับการปฏิบัติราชการแบ่งออกเป็นประเภท และแต่ละประเภทมีลักษณะ
การกากับการปฏิบัติราชการอย่างไร
2. การก ากั บ การปฏิ บั ติ ร าชการที่ ท่ า นศึ ก ษามา มี ค วามแตกต่ า งจากการ
ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่น ดิน ตามระบบการปกครองแบบประชาธิป ไตย ในระบบ
รัฐสภาอย่างไร
"
่านั้น
3. จงอธิบ ายอานาจหน้าที่และบทบาทของสานักงบประมาณ ในการกากับ การ
ปฏิบัติราชการมาพอสังเขป
าเท
4. จงอธิบายอานาจหน้าที่และบทบาทของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ
ราชการ (สานักงาน ก.พ.ร) ในการกากับการปฏิบัติราชการมาพอสังเขป
ศึกษ
5. จงอธิบายอานาจหน้าที่และบทบาทของกรมบัญชีกลาง ในการกากับการปฏิบัติ
ราชการมาพอสังเขป
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
เอกสารอ้างอิง
"
่านั้น
เมื่อ 20 สิงหาคม 2560
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545
าเท
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2550
ศึกษ
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2553
สานักงบประมาณ (2560). ประวัติและความเป็นมา. กา ร
http://www.bb.go.th/bbweb/?page_id=5757 สืบค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2560
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
บทที่ 10
การตรวจสอบการใช้อานาจของรัฐ
อานุภาพ รักษ์สุวรรณ
"
่านั้น
ระบบและกลไกการในการกากับ ติดตาม และตรวจสอบการใช้อานาจของรัฐใน
าเท
การบริหารราชการแผ่นดินของไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะใหญ่ ได้แก่ 1) ระบบ
ศึกษ
การถ่วงดุลอานาจ (Check and Balance) ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นระบบ
และกลไกการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินที่กาหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยฝ่าย
กา ร
นิติบัญ ญัติสอดส่องดูแลการปฏิบัติราชการของฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ด้วยการการตั้ง
กระทู้ถ าม การขอเปิด อภิป รายทั่วไปเพื่อให้ คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความ
เพื่อ
คิดเห็นในปัญหาอันเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน และการขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลง
มติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฝ่าย
ิต
อิสระตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ เนื้อ หาของบทนี้จะกล่าวถึงเฉพาะแต่กลไกการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ
าวิท
การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐโดยศาล
การตรวจสอบการใช้อานาจของรัฐโดยศาล เป็นกลไกการตรวจสอบการใช้อานาจ
ของรัฐ (ฝ่ายบริหาร) ตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 197 กาหนดให้การตรวจสอบการใช้อานาจของรัฐ
เป็นหน้าที่ของศาลปกครอง โดยกาหนดให้ศาลปกครองมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง
อันเนื่องมาจากการใช้อานาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดาเนินกิจการทาง
ปกครอง โดยวิธีพิจารณาคดี การพิจารณาคดี และการดาเนินงานของศาลปกครองเป็นไปตาม
196
"
ในสมัยแรก อานาจในการพิจารณาวินิจฉัยคดีปกครองรวมอยู่ที่ พระมหากษัตริย์
่านั้น
และฝ่ายปกครอง ต่อมาได้เปลี่ยนมาอยู่ที่ฝา่ ยตุลาการหรือศาลยุติธรรมเป็นหลัก และภายหลัง
าเท
นั ก กฎหมายและนั ก การเมื อ งต่ างมี แ นวความคิ ด ว่ า คดี ป กครองเป็ น คดี ที่ มี ลั ก ษณะพิ เศษ
แตกต่ างจากคดี ทั่ ว ไป จึ ง ได้ เสนอแนวคิ ด ให้ มี ก ารจั ด ตั้ ง ศาลปกครองขึ้ น โดยได้ มี ก ารตั้ ง
ศึกษ
กรรมการร่างกฎหมาย ตามพระราชบัญ ญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476 และ
กรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ ตามพระราชบัญญั ติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2492 ขึ้น เพื่อเป็นที่
กา ร
ปรึกษากฎหมายและเป็นองค์กรชี้ขาดข้อพิพาททางปกครอง แต่ในการดาเนินงานก็ยังประสบ
กั บ ปั ญ หา ท าให้ ไ ม่ ส ามารถด าเนิ น งานได้ อ ย่ า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ ภายหลั ง จึ ง ได้ มี ก ารตรา
เพื่อ
ได้มีบทบัญญัติให้จัดตั้งศาลปกครองขึ้น โดยกาหนดระยะเวลาการจัดตั้งศาลปกครองให้แล้ว
เสร็จภายในสองปี นับแต่วันประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ และได้บัญ ญัติรายละเอียดเกี่ยวกับศาล
ยาล
แยกต่างหากและเป็นอิสระจากระบบศาลยุติธรรมอย่างเด็ดขาด นับแต่นนั้ มา
"มห
1. ลักษณะพิเศษของศาลปกครอง ศาลปกครองมีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจาก
ศาลยุติธรรมและศาลประเภทอื่นๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ หลายประการ ทั้งนี้ รติ
กร เจือกโว้น (2560) ได้สรุปลักษณะพิเศษที่สาคัญของศาลปกครองไว้ 2 ประการดังนี้
1) ศาลปกครองใช้ระบบไต่สวนในการดาเนินคดี ศาลปกครองมีอานาจ
แสวงหาข้อเท็จจริงอื่นใดได้ โดยไม่จาเป็นต้องรับ ฟังเฉพาะคู่กรณี ทั้งสองฝ่าย สาเหตุที่ศาล
ปกครองใช้ระบบไต่สวนในการดาเนินคดี เนื่องมาจากคดีปกครองมีนิติสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นส่วน
ใหญ่จากการออกกฎเกณฑ์ หรือการออกคาสั่งของฝ่ายปกครองที่สามารถดาเนินการได้เอง
197
"
ดาเนินคดีในศาลยุติธรรม ที่ใช้ระบบกล่าวหาในการดาเนินคดี โดยศาลยุติธรรมจะรับฟังเฉพาะ
่านั้น
ข้อมูลของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายที่แสดงต่อศาลเท่านั้น
าเท
2) ระบบวิธีพิจารณาของศาลปกครองเป็นระบบถ่วงดุล ในการดาเนินคดี
ในศาลปกครอง มีการถ่วงดุลในการพิจารณา 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายแรก ผู้พิพากษาศาลปกครอง
ศึกษ
หรือที่ เรีย กว่า ตุ ล าการเจ้าของส านวน ท าหน้าที่แสวงหาข้อ เท็ จจริงต่าง ๆ ฝ่ายที่ส อง ผู้
พิพากษาศาลปกครองหรือที่เรียกว่า องค์คณะ โดยเรียกผูพ้ ิพากษาที่ทาหน้าที่นวี้ ่า ตุลาการผู้
กา ร
แถลงคดี ท าหน้ า ที่ แ ถลงการณ์ ต่ อ คณะผู้ พิ พ ากษา และฝ่ า ยที่ ส าม องค์ ค ณะที่ มี ห น้ า ที่
เพื่อ
พิจารณาพิพากษาคดีปกครอง โดยองค์คณะมีอิสระที่จะพิพากษาหรือมีคาสั่งเป็นอย่างอื่นได้
โดยไม่ต้องพิพากษาหรือมีคาสั่งตามแนวความเห็นของตุลาการเจ้าของสานวนหรือตุลาการผู้
ิต
ปกครอง
2. โครงสร้ างของศาลปกครอง พระราชบั ญ ญั ติ จั ด ตั้ งศาลปกครองและวิ ธี
ัยสว
"
่านั้น
2) อ งค์ ก รบ ริ ห ารงาน บุ ค ค ล ข อ งศ าล ป ก ค รอ ง บ ท บั ญ ญั ติ ขอ ง
พระราชบัญ ญั ติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 กาหนดให้ ศาล
าเท
ปกครองมี “คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง” หรือเรียกโดยย่อว่า “ก.ศป.” ซึ่งทาหน้าที่
บริหารงานบุคคลของศาลปกครองโดยเฉพาะ แยกต่างหากและเป็นเอกเทศจากคณะกรรมการ
ศึกษ
ตุลาการศาลยุติธรรม โดยให้คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองประกอบด้วย ประธานศาล
ปกครองสู ง สุ ด เป็ น ประธานกรรมการ และมี ค ณะกรรมการ จ านวน 11 คน นอกจากนี้
กา ร
พระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว ได้กาหนดคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม วิธีการเลือกกรรมการตุลา
การศาลปกครองผู้ทรงคุณวุฒิ วาระการดารงตาแหน่ง การพ้นจากตาแหน่งก่อนครบวาระของ
เพื่อ
กรรมการตุลาการศาลปกครองผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดาเนินงานของ
คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองไว้
ิต
นดุส
1 ในวาระเริ่ ม แรก ก าหนดให้ จั ด ตั้ งศาลปกครองในภู มิ ภ าคขึ้ น จ านวน 16 ศาล โดยจั ด ตั้ งขึ้ น ในภาคกลางจ านวน 2 ศาล ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ จานวน 6 ศาล ภาคตะวันออก จานวน 1 ศาล ภาคเหนือ จานวน 3 ศาล และภาคใต้ จานวน 4 ศาล อย่างไรก็
ตาม มิได้หมายความว่าศาลปกครองในภูมิภาคทั้ง 16 ศาล จะต้องเปิดทาการพร้อมกันทันที กฎหมายบังคับไว้แต่เพียงว่าให้ดาเนินการ
เปิดทาการตามความจาเป็น แต่ทั้งนีต้ ้องไม่น้อยกว่าปีละเจ็ดศาล ในระหว่างที่เปิดทาการศาลปกครองในภูมิภาคทั้ง 16 ศาล ยังไม่ครบ
ทุกแห่ง ที่ประชุมใหญ่ ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมีอานาจออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา กาหนดให้ศาลปกครองในภูมิภาคที่
เปิดทาการแล้ว มีเขตอานาจในจังหวัดใดที่อยู่ใกล้เคียงกับศาลปกครองนั้นเพิ่มเติมได้ (รติกร เจือกโว้น, 2560)
199
3. ประเภทของคดีท่ีอยู่และไม่อยู่ในอานาจของศาลปกครอง พระราชบัญญัติ
จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 จาแนกคดีพิพาทที่อยู่ในอานาจ
และไม่อยู่ในอานาจของศาลปกครอง ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
"
หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทาการโดยไม่ชอบด้วย ประเภทนี้อาจเกี่ยวข้องกับคาสั่งใด ๆ ซึ่งเป็นการ
่านั้น
กฎหมาย กระท าที่ ไ ม่ ช อบด้ ว ยกฎหมายที่ อ าจเป็ น คดี
- คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง ประเภทที่ ฟ้ อ งต่ อ ศาลปกครอง แต่ ก ฎหมาย
าเท
หรื อ เจ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ ละเลยต่ อ หน้ า ที่ ต ามที่ กาหนดว่าจะฟ้องต่อศาลปกครองไม่ได้ เหตุผล
ศึกษ
กฎหมายกาหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและเด็ดขาด
ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร - การด าเนิ น การของคณะกรรมการตุ ล าการ
- คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทาละเมิดหรือความรับ (ก.ต.) ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ
กา ร
ผิ ด อย่ า งอื่ น ของหน่ ว ยงานทางปกครองหรื อ ฝ่ายตุลาการ คดีประเภทนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ
เพื่อ
เจ้ าหน้าที่ ของรัฐอั น เกิ ด จากการใช้อ านาจตาม สั่งการทางด้านบริหารบุคคลของคณะกรรมการ
กฎหมาย หรือจากกฎ คาสั่งทางปกครอง หรือ ตุ ล าการ เหตุ ผ ลเพื่ อ ความเป็ น อิ ส ระในการ
ค าสั่ ง อื่ น หรือ จากการละเลยต่ อ หน้ า ที่ ต ามที่ ปฎิบัตหิ น้าที่ของผู้พพิ ากษา
ิต
หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้
บุค คลต้อ งกระทาหรือละเว้น กระทาอย่างหนึ่ง พิ เศษนั้ น ๆ จะไปยื่ น ฟ้ อ งคดี ต่ อ ศาลปกครอง
ไม่ได้
าวิท
อย่างใด
- คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกาหนดให้อยู่ - นอกจากคดีทั้งสามประเภทนี้แล้ว ถ้าคดีเรื่องนั้น
เป็นคดีที่อยู่ในอานาจของศาลยุติธรรม ก็ส่งผล
"มห
ในอานาจของศาลปกครอง[6
ให้ยื่นฟ้องคดีนนั้ ๆ ต่อศาลปกครองไม่ได้
4. กระบวนการพิจารณาคดีในศาลปกครอง กระบวนการพิจารณาคดีในศาล
ปกครองมีความแตกต่างจากกระบวนการพิ จารณาคดีในระบบศาลยุติธรรม โดย รติกร เจือ
กโว้น (2560) ได้สรุปสรุปขั้นตอนของการพิจารณาคดีในศาลปกครองได้ดังนี้
- การรับคาฟ้องและการตรวจคาฟ้องเบื้องต้น
200
- อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นสั่งจ่ายสานวนคดีให้องค์คณะและแต่งตั้งตุลาการผู้
แถลงคดี
- องค์คณะสั่งจ่ายคดีให้ตุลาการเจ้าของสานวน
- การตรวจคาฟ้องโดยตุลาการเจ้าของสานวน
- ส่งหมายและสาเนาคาฟ้องให้ผถู้ ูกฟ้องคดีทาคาให้การ
- ส่งสาเนาคาให้การให้ผู้ฟ้องคดีทาคาคัดค้านคาให้การหรือแจ้งความประสงค์
"
่านั้น
ไม่ทาคาคัดค้านคาให้การภายในกาหนดเวลา
- ส่งสาเนาคาคัดค้านคาให้การให้ผถู้ ูกฟ้องคดีทาคาให้การเพิ่มเติม
าเท
- ตรวจสอบความครบถ้วนเพียงพอของข้อเท็จจริง
ศึกษ
- สรุปสานวนเสนอองค์คณะและอธิบดีศาลปกครองชั้นต้น
- อธิ บ ดี ศ าลปกครองชั้ น ต้ น ส่ ง ส านวนให้ ตุ ล าการผู้ แ ถลงคดี จั ด ท าค า
กา ร
แถลงการณ์
- การนั่งพิจารณาคดี
เพื่อ
- ศาลปกครองชั้นต้นมีคาพิพากษาหรือคาสั่ง
- การอุทธรณ์คาพิพากษาหรือคาสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
ิต
- ศาลปกครองสูงสุดมีคาพิพากษาหรือคาสั่งชี้ขาดคดี
นดุส
- การขอให้พิจารณาใหม่
ัยสว
- การบังคับคดี
ยาล
การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐโดยองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
าวิท
การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐโดยองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นบทบาทการ
ตรวจสอบการใช้อ านาจรั ฐ ของหน่ ว ยงานที่ รัฐ ธรรมนู ญ แห่ งราชอาณาจั ก รไทยก าหนดไว้
"มห
แผ่ น ดิ น ” เป็ น องค์ ก รที่ จั ด ตั้ ง ขึ้ น ครั้ ง แรกตามของรั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจั ก รไทย
พุทธศักราช 2540 ภายใต้ชื่อ “ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา” โดยมีเจตนารมณ์มุ่งหวังให้มี
กลไกในการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน และตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ โดยได้รับ
อิ ท ธิ พ ลทางความคิ ด จากประเทศแถบสแกนดิ เ นเวี ย ที่ มี ต าแหน่ ง “ออมบุ ด สแมน
(Ombudsman)” ทาหน้าที่ดูแลปัดเป่าเรื่องทุกข์ร้อนของประชาชนแทนพระมหากษัตริย์ (สุเทพ
เอี่ยมคง, 2560)
"
สุเทพ เอี่ยมคง (2560) ได้อธิบายถึงความเป็นมาของผู้ตรวจการแผ่นดินของ
่านั้น
ไทย โดยมีจุดเริ่มต้นจากนายกมล สนธิเกษตริน ได้เสนอแนวคิดเรื่องผู้ตรวจการแผ่นดินใน
าเท
ประเทศไทยครั้งแรก ในชื่อเรื่อง “ออมบุดสแมนในประเทศไทย” โดยเผยแพร่ในวารสารบท
บัณฑิตย์ ปี พ.ศ. 2509 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สภาร่างรัฐธรรมนูญ กาลังจัดทาร่างรัฐธรรมนูญ
ศึกษ
แห่ ง ราชอาณาจั ก รไทย (พุ ท ธศั ก ราช 2511) แต่ ไ ม่ ไ ด้ รั บ ความสนใจจากทุ ก ฝ่ า ย เพราะ
สถานการณ์ ท างการเมื องในขณะนั้น ไม่ เอื้อ ต่อ การมี ก ลไกตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ เมื่ อ
กา ร
สถานการณ์ ผ่อนคลายลง ชัยอนันต์ สมุท วณิ ช ได้จุดประกายการจัดตั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน
ขึ้ น มาอี ก ครั้ ง หลั ง จากที่ ไ ด้ แ ลกเปลี่ ย นความคิ ด เห็ น กั บ Ombudsman แห่ ง มลรั ฐ ฮาวาย
เพื่อ
วิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากไม่เห็นชอบด้วย เพราะเห็นว่ารัฐสภามีอานาจที่จะ
ควบคุมตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินได้อยู่แล้ว หากมีปัญหาในการควบคุมดูแลเจ้าหน้าที่
ัยสว
เมื่ อ วั น ที่ 23 กุ ม ภาพั น ธ์ 2534 ในการจั ด ท าร่ า งรั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณ าจั ก รไทย
"มห
(พุ ท ธศั ก ราช 2534) แต่ ด้ ว ยเหตุ ผ ลเดิ ม ท าให้ ค ณะกรรมาธิ ก ารวิ ส ามั ญ พิ จ ารณาร่ า ง
รั ฐ ธรรมนู ญ ได้ ตั ด สาระที่ เกี่ ย วกั บ ผู้ ต รวจการแผ่ น ดิ น ออก แต่ ต่ อ มาในการแก้ ไขเพิ่ ม เติ ม
รัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2538 ได้เพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยผูต้ รวจการแผ่นดินของรัฐสภาไว้สั้น ๆ
เพียงมาตราเดียว และไม่ได้มีการกาหนดให้มีกฎหมายจัดตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาขึน้ มา
รองรอง โดยกาหนดแต่เพียงให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ตรวจการรัฐสภามีจานวนไม่เกินห้า
คนตามมติของรัฐสภา และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง
ผู้ตรวจการรัฐ สภา และในวรรคสองได้ก าหนดรายละเอีย ดเกี่ ย วกั บ คุณ สมบั ติ หลั ก เกณฑ์
202
"
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2542 เพื่อกาหนดรายละเอียด
่านั้น
เกี่ยวกับคุณสมบัติ รวมทั้งบทบาท อานาจหน้าที่ และแนวทางการดาเนินงานของผู้ตรวจการ
าเท
แผ่ น ดิ น ของรั ฐ สภา และถึ ง แม้ จ ะมี ก ารร่ า งรั ฐ ธรรมนู ญ ใหม่ ใ นเวลาต่ อ มาอี ก 2 ครั้ ง คื อ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.
ศึกษ
2560 ยังให้คงผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาไว้ แต่ด้วยอานาจหน้าที่ที่เปลี่ยนไป เพราะมีหน้าที่
ตรวจสอบจริยธรรมของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ซึ่งรวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ
กา ร
สมาชิ ก วุ ฒิ ส ภาด้ ว ย จึ ง เห็ น ว่ า ไม่ เ หมาะสมที่ จ ะเป็ น องค์ ก รของรั ฐ สภา จึ ง ได้ เ ปลี่ ย นชื่ อ
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสียใหม่ เป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” และให้มีสถานะเป็นองค์กร
เพื่อ
อิสระตามรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ข้ึนตรงต่อทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
อานาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน
ิต
นดุส
1. เสนอแนะต่ อ หน่ ว ยงานของรั ฐ ที่ เกี่ ย วข้ อ ง เพื่ อ ให้ มี ก ารปรั บ ปรุ ง
กฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคาสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใดๆ บรรดาที่
ยาล
ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่
จาเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ
าวิท
2. แสวงหาข้อเท็จจริงเมื่อเห็นว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่
"มห
เป็นธรรมอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอานาจตาม
กฎหมายของหน่ ว ยงานของรั ฐ หรื อ เจ้ า หน้ าที่ ข องรั ฐ เพื่ อ เสนอแนะต่ อ หน่ วยงานของรั ฐ ที่
เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมนั้น
3. เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติ
ให้ถูกต้อง
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ยังกาหนดอีกว่า
203
1. ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ดาเนินการตามข้อเสนอแนะ
ของผู้ตรวจการแผ่นดินโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินแจ้งให้คณะรัฐมนตรี
ทราบเพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป
2. ในกรณี ที่ เ ป็ น เรื่ อ งเกี่ ย วข้ อ งกั บ การละเมิ ด สิ ท ธิ ม นุ ษ ยชน ให้
ผูต้ รวจการแผ่นดินส่งเรื่อให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดาเนินการต่อไป
3. ในการปฏิบัติตามหน้าที่และอานาจตามที่กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ถ้า
"
บทบัญ ญั ติแห่งกฎหมายใดมีปัญ หาเกี่ยวข้องกั บ ความชอบด้วยรัฐ ธรรมนูญ ให้ผู้ตรวจการ
่านั้น
แผ่นดินเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธณรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธณรมนูญพิจารณา
าเท
วินจิ ฉัย
4. ในการปฏิบัติตามหน้าที่และอานาจตามที่กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ถ้า
ศึกษ
กฎ คาสั่ง หรือการกระทาอื่นใดของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีปัญ หาเกี่ยวกับ
ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็น
กา ร
ต่อศาลปกครองและให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า
นอกเหนื อ จากกรอบหน้ า ที่ แ ละอ านาจของผู้ ต รวจการแผ่ น ดิ น ตาม
เพื่อ
รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
1.2 การปฏิบั ติหรือละเลยไม่ป ฏิบั ติหน้าที่ของข้าราชการ พนัก งาน
าวิท
หรือ ลู ก จ้ างของหน่ ว ยราชการ หน่ วยงานของรัฐ รัฐ วิส าหกิ จ หรือ ราชการส่ วนท้ อ งถิ่ น ที่
"มห
ก่ อ ให้ เกิ ด ความเสี ย หายแก่ ผู้ ร้องเรีย นหรือ ประชาชนโดยไม่ เป็ นธรรม ไม่ ว่าการนั้ นจะชอบ
หรือไม่ชอบด้วยอานาจหน้าที่ก็ตาม
1.3 การตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่
โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้
ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล
1.4 กรณีอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
204
2. ดาเนินการเกี่ยวกับ จริยธรรมของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองและ
เจ้าหน้าที่ของรัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
3. ติ ด ตาม ประเมิ น ผล และจั ด ท าข้ อ เสนอแนะในการปฏิ บั ติ ต าม
รัฐธรรมนูญ รวมตลอดถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจาเป็น
4. รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่พร้อมข้อสังเกตต่อ
คณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุ ฒิสภาทุกปี ทั้งนี้ ให้ประกาศรายงานดังกล่าวในราช
"
กิจจานุเบกษาและเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย
่านั้น
และในการปฏิ บั ติ ห น้ าที่ ต ามพระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรัฐ ธรรมนู ญ ด้ ว ย
าเท
ผูต้ รวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552 ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอานาจดังนี้
1. ให้ ห น่ ว ยราชการ หน่ ว ยงานของรัฐ รัฐ วิส าหกิ จ หรือ ราชการส่ ว น
ศึกษ
ท้องถิ่ น มี หนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงหรือให้ค วามเห็ นในการปฏิบั ติงาน หรือส่ งวัต ถุ เอกสาร
หลักฐาน หรือพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา
กา ร
2. ให้หัวหน้าหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานตาม (๑) พนักงาน
อัยการ พนักงานสอบสวน หรือบุคคลใด มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง หรือมาให้ถ้อยคาหรือส่ง
เพื่อ
เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา
4. ตรวจสถานที่ที่เกี่ยวกับเรื่องที่มีการร้องเรียนโดยแจ้งให้เจ้าของหรือผู้
ัยสว
ครอบครองสถานที่ทราบล่วงหน้าในเวลาอันควร
5. ออกระเบี ย บก าหนดหลั ก เกณฑ์ แ ละวิ ธี ก ารเกี่ ย วกั บ การรั บ ค า
ยาล
ร้องเรียนไว้พิจารณาและระเบียบว่าด้วยการสอบสวนหาข้อเท็จจริง
6. ออกระเบียบกาหนดหลักเกณฑ์และวิธีก ารเพื่อดาเนินการเกี่ย วกั บ
าวิท
จริยธรรมของผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
"มห
7. ออกระเบียบกาหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าใช้จ่าย เบี้ยเลี้ยงและค่า
เดินทางของพยานบุคคลและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่
8. ออกระเบี ย บหรื อ ปฏิ บั ติ ก ารอื่ น ใดตามพระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบ
รัฐธรรมนูญนี้ หรือกฎหมายอื่นที่กาหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน
การดาเนินการตามอานาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน
1. การร้องเรียน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการ
แผ่น ดิ น พ.ศ.2552 มี บ ทบั ญ ญั ติโดยสรุป ได้ ว่า บุ ค คล คณะบุ ค คล และชุ มชน ย่อ มมี สิท ธิ
205
ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
และการร้ อ งเรี ย นตามพระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรั ฐ ธรรมนู ญ นี้ ไ ม่ ตั ด สิ ท ธิ ผู้ ร้ อ งเรี ย นที่ จ ะ
ดาเนินการตามกฎหมายอื่น โดยการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้ทาได้โดยทาเป็นหนังสือ
ด้วยวาจาหรือด้วยวิธีการอื่น และในกรณีที่ร้องเรียนเป็นหนังสืออย่างน้อยต้องมีรายละเอียด
ประกอบด้วย ชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องเรียน เหตุที่ทาให้ต้องร้องเรียนพร้อมด้วยข้อเท็จจริงหรือ
พฤติการณ์ที่เกี่ยวกับข้อร้องเรียนตามสมควร ใช้ถ้อยคาที่สุภาพในการร้องเรียน และลงลายมือ
"
ชื่อผู้รอ้ งเรียน
่านั้น
2. การพิ จ ารณาและสอบสวนข้ อ เท็ จ จริง พระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบ
าเท
รัฐ ธรรมนู ญ ว่ าด้ ว ยผู้ ต รวจการแผ่ น ดิ น พ.ศ.2552 มี บ ทบั ญ ญั ติ โ ดยสรุป ได้ ว่า เมื่ อ มี ก าร
ร้องเรียนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินต้องดาเนินการให้แล้ว
ศึกษ
เสร็จโดยไม่ชักช้าและต้องเปิดโอกาสให้ ผู้ร้องเรียน ข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วย
ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องชี้แจงและแสดง
กา ร
พยานหลักฐานประกอบคาชีแ้ จงของตนได้ตามสมควร
เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องใดเสร็จ
เพื่อ
ทราบ หรือพิจารณาดาเนินการต่อไป
เรื่องใดที่ผตู้ รวจการแผ่นดินได้พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ปรากฏว่าการกระทาใน
ัยสว
"
ราชการส่วนท้องถิ่นนั้นเพื่อให้สั่ งการตามควรแก่ก รณี และให้รายงานผลการดาเนินการให้
่านั้น
ผูต้ รวจการแผ่นดินทราบโดยไม่ชักช้า
าเท
และเมื่อผูต้ รวจการแผ่นดินเห็นว่าเรื่องใดมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการทุจริตหรือ
ประพฤติ มิชอบในวงราชการ หรือ มีมู ล ความผิ ดทางอาญา หรือมี มูล ความผิ ดทางวินัย ให้
ศึกษ
ผู้ตรวจการแผ่นดิน แจ้งให้ หน่ วยงานที่มี อานาจสอบสวนเรื่องนั้น ๆ และผู้ บังคั บ บั ญ ชาของ
ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการ
กา ร
ส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อดาเนินการตามกฎหมายต่อไป
เพื่อ
2. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
ิต
1) วางนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน
2) กาหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน
ยาล
เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ รวมทั้งการให้คาแนะนาแก่หน่วยงาน
ของรัฐในการแก้ไขข้อบกพร่องเกี่ยวกับการใช้จา่ ยเงินแผ่นดิน
5) สั่งลงโทษทางปกครองกรณีมีการกระทาผิดกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงิน
การคลังของรัฐ ทั้งนี้ ผู้ถูกสั่งลงโทษอาจอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายในเก้าสิบวันนับ
แต่วันที่ได้รับคาสั่งในการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดต้องคานึงถึงนโยบายการตรวจเงิน
แผ่นดินและหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดินตาม (1) และ (2) ประกอบด้วย
207
"
เป็ น ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาสู ง สุ ด ของหน่ ว ยธุ ร การของคณ ะกรรมการตรวจเงิ น แผ่ น ดิ น เป็ น
่านั้น
ผูบ้ ังคับบัญชาของข้าราชการและลูกจ้างในสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน โดยมีรองผู้ช่วยผู้ว่า
าเท
การตรวจเงินแผ่นดินเป็นผูช้ ่วยสั่งและปฏิบัติราชการ
ทั้งนี้ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต้องปฏิบัติหน้าที่โดยเที่ยงธรรม เป็นกลาง และ
ศึกษ
ปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจ โดยมีหน้าที่และอานาจดังต่อไปนี้
1) ตรวจเงิ น แผ่ น ดิ น ตามนโยบายการตรวจเงิน แผ่ น ดิ น และหลั ก เกณฑ์
กา ร
มาตรฐานเกี่ยวกั บ การตรวจเงินแผ่นดินที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินกาหนด และตาม
กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
เพื่อ
2) ตรวจผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้จา่ ยเงินของหน่วยงานของรัฐ
3) มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดาเนินการตาม (1) และ (2) และ
ิต
นดุส
4) กากับและรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตาม (3)
นอกจากนี้ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินยังมีอานาจหน้าที่ในการระงับหรือยับยั้ง
ัยสว
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ โดยให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอผล
การตรวจสอบการกระทาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและอาจ
ยาล
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ยังได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับความเชื่อมโยงการตรวจสอบการใช้
อานาจรัฐกับหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญอื่นๆ ได้แก่
1) ในกรณีที่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการใช้จ่ายเงินแผ่นดินมีพฤติการณ์
อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือ
กฎหมาย หรืออาจทาให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม และเป็นกรณีที่ผู้ว่าการ
ตรวจเงินแผ่นดินไม่มีอานาจจะดาเนินการใดได้ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแจ้งคณะกรรมการ
208
ป้ องกั นและปราบปรามการทุ จริ ตแห่ งชาติ คณะกรรมการการเลื อกตั้ ง หรื อหน่ วยงานอื่ นที่
เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี เพื่อทราบและดาเนินการตามหน้าที่และอานาจต่อไป หรือ
2) ในกรณีที่การดาเนินการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ
ทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือหน่วยงานอื่นตามที่ได้รับแจ้ง ให้ถือว่าเอกสาร
และหลักฐานที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบหรือจัดทาขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของสานวนการ
สอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการ
"
เลือกตั้ง หรือของหน่วยงานอื่นนั้น แล้วแต่กรณี การดาเนินงานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน
่านั้น
เป็นบทบาทที่ต้องดาเนินการร่วมกันระหว่างคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจ
าเท
เงินแผ่นดินในฐานะที่เป็นผูบ้ ังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างในสานักงานการตรวจเงินแผ่ นดิน
โดยพระราชบัญ ญั ติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าดัวยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 บัญญั ติให้
ศึกษ
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีอานาจหน้าที่เกี่ยวกับการวางนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน
การกาหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน การกาหนดหลักเกณฑ์และวิธี
กา ร
พิ จ ารณาในเรื่ อ งวินั ย ทางงบประมาณและการคลั ง การให้ ค าปรึ ก ษาและค าแนะน า การ
เสนอแนะให้มีการแก้ไขข้อบกพร่องเกี่ย วกับ การตรวจเงินแผ่นดิน การก าหนดโทษปรับทาง
เพื่อ
ปกครอง การพิจารณาวินิจฉัยความผิดวินัยทางงบประมาณและการคลังในฐานะที่เป็นองค์กร
สูงสุด การพิจารณาเลือกผู้สมควรดารงตาแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และการดาเนินการ
ิต
นดุส
ทั้งนี้ สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) รับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการ
ยาล
2) ตรวจสอบ2การเงินแผ่นดิน ดังต่อไปนี้
2.1 ตรวจสอบการรั บ จ่ า ย การเก็ บ รั ก ษา และการใช้ จ่ า ยเงิ น และ
าวิท
โครงการของหน่วยรับตรวจและแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป็นไปโดยประหยัด
ได้ผลตามเป้าหมายและมีผลคุ้มค่าหรือไม่
ในกรณีหน่วยรับตรวจ3 เป็นหน่วยรับตรวจตามมาตรา ๔ (๔) หรือ (๕)
ให้แสดงความเห็นตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไปด้วย
2.2 ตรวจสอบบัญชีและรายงานการรับจ่ายเงินประจาปีงบประมาณและ
งบแสดงฐานะการเงินแผ่นดินประจาปีงบประมาณ และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมาย
"
และตามความเป็นจริงหรือไม่
่านั้น
2.3 ตรวจสอบบัญ ชีทุนสารองเงินตราประจาปี และแสดงความเห็นว่า
าเท
เป็นไปตามกฎหมายและตามความเป็นจริงหรือไม่
2.4 ศึ ก ษาและเสนอความเห็ น เกี่ ย วกั บ แผนงาน งาน โครงการที่ จ ะมี
ศึกษ
ผลกระทบต่อการจัดทางบประมาณ
2.5 ตรวจสอบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและรายได้
กา ร
อื่นของหน่วยรับตรวจ และแสดงความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติ
คณะรั ฐ มนตรี ห รื อ ไม่ ในกรณี นี้ ใ ห้ มี อ านาจตรวจสอบการประเมิ น ภาษี อ ากรการจั ด เก็ บ
เพื่อ
การเงินแผ่นดินให้กระทาได้เฉพาะการตรวจสอบว่าการรับจ่ายและการใช้เงินอุดหนุน หรือเงิน
หรื อ ทรั พ ย์ สิ น ลงทุ น เป็ น ไปอย่ างถู ก ต้ อ ง และเป็ น ไปตามวั ต ถุ ป ระสงค์ ห รื อ ไม่ โดยวิธี ก าร
ยาล
ตรวจสอบนั้นให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกาหนด
3) จัด ท ารายงานผลการปฏิบั ติงานประจาปี ของสานัก งานการตรวจเงิน
าวิท
ปฏิบัติงานระหว่างปีตามมาตรา ๔๙
4) ติดตามผลการดาเนินงานของหน่วยรับตรวจตามข้อเสนอของสานักงาน
การตรวจเงินแผ่นดินตามที่ปรากฏในรายงานผลการปฏิบัติงานประจาปีหรือรายงานผลการ
ปฏิบัติงานระหว่างปี
5) ปฏิบัติหน้าที่อ่นื ตามที่กฎหมายกาหนด
ในการตรวจเงินแผ่นดินพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าดัวยการตรวจ
เงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 กาหนดให้ผู้ว่าการและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ มีอานาจตรวจสอบเงินและ
"
ทรัพย์สินอื่น บัญชี ทะเบียน เอกสาร หรือหลักฐานในการใช้จา่ ย และหลักฐานอื่นที่อยู่ในความ
่านั้น
รับผิดชอบของหน่วยรับตรวจและให้มอี านาจดังต่อไปนีด้ ้วย
าเท
1) เรียกผูร้ ับตรวจหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยรับตรวจมาเพื่อสอบสวน หรือสั่ง
ให้ผู้รับตรวจหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยรับตรวจส่งมอบบัญชี ทะเบียน เอกสาร หรือหลักฐานอื่น
ศึกษ
บรรดาที่หน่วยรับตรวจจัดทาขึน้ หรือมีไว้ในครอบครอง
2) อายัดเงินและทรัพย์สิน บัญชีทะเบียน เอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่มีอยู่ใน
กา ร
ความรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจ
3) เรีย กบุ ค คลใด ๆ มาให้ ก ารเป็ น พยานเพื่ อประโยชน์ในการตรวจสอบ
เพื่อ
อื่น หรืออายัดเงินหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับหรือสันนิษฐานเกี่ยวกับหน่วยรับตรวจเท่าที่จาเป็น
ในการดาเนินการตามที่กล่าวมา หากหน่วยรับตรวจเป็นหน่วยงานที่มีกฎหมาย
ยาล
ห้ามการเปิดเผยข้อมูลหรือห้ามบุคคลอื่นใดเข้าไปในเขตพื้นที่หรือสถานที่แห่งใด หากผู้ว่าการ
ได้มีหนังสือแจ้งผู้ควบคุมกากับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจแล้ว ให้การปฏิบัติหน้าที่ตาม
าวิท
วรรคหนึ่งเป็นการได้รับยกเว้นจากกฎหมายดังกล่าว การเรียกบุคคลมาให้การเป็นพยานหรือ
"มห
คณะกรรมการมีหนังสือแจ้งให้หน่วยรับตรวจชี้แจงหรือแก้ไขข้อบกพร่องหรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือ
ให้ ด าเนิ นการตามกฎหมายหรื อระเบี ยบแบบแผนที่ ราชการหรื อหน่ วยรั บ ตรวจก าหนดไว้ แก่
เจ้าหน้าที่หน่วยรับตรวจซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบตามควรแก่กรณี และให้หน่วยรั บตรวจแจ้งผลการ
ดาเนินการให้คณะกรรมการทราบภายในหกสิบวัน เว้นแต่คณะกรรมการจะกาหนดเป็นอย่างอื่น
2) ในกรณี ที่คณะกรรมการเห็นว่าข้อบกพร่องเกิดขึ้นเนื่องจากกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติคณะรัฐมนตรีไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน หรือไม่อาจปฏิบัติ
"
ได้ หรือหากปฏิบัติแล้วจะเสียประโยชน์ต่อราชการ ให้คณะกรรมการแจ้งต่อผู้มีอานาจหน้าที่ใน
่านั้น
เรื่องนั้น ๆเพื่อพิจารณาดาเนินการปรับปรุงแก้ไขต่อไป
าเท
ถ้ า ผู้ รั บ ตรวจไม่ ด าเนิ น การตามวรรคหนึ่ ง โดยไม่ มี เ หตุ อั น สมควร ให้
คณะกรรมการแจ้งต่อกระทรวงเจ้าสังกัด หรือผู้ควบคุมก ากับ หรือรับ ผิดชอบของหน่วยรับ
ศึกษ
ตรวจดาเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนที่ราชการหรือหน่วยรับตรวจกาหนดแก่
ผูร้ ับตรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยรับตรวจผู้รับผิดชอบตามควรแก่กรณี และ
กา ร
3) ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งหรือไม่อาจดาเนินการได้ตามที่กล่าวมาข้างต้น ให้
คณะกรรมการรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี
เพื่อ
3. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ิต
นดุส
การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
โดยบั ญ ญั ติ ให้ ค ณะกรรมการป้ อ งกั น และปราบปรามการทุ จ ริต แห่ งชาติ เป็ น องค์ ก รตาม
ยาล
รัฐธรรมนูญที่มีอิสระมีอานาจหน้าที่ตรวจสอบการยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้
ด ารงต าแหน่ ง ทางการเมื อ งและเจ้ า หน้ า ที่ อื่ น ของรั ฐ หากปรากฏว่ า ผู้ ด ารงต าแหน่ ง ทาง
าวิท
เอกสารประกอบตามที่กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและ
หนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
ให้ค ณะกรรมการป้องกั นและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เสนอเรื่องให้ศาลรัฐ ธรรมนู ญ
วินจิ ฉัยชีข้ าด (ชนิดา จรรโลงศิริชัย, 2560)
การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการของไทย
มีพัฒนาการมาตั้งแต่ในอดีต โดย ชนิดา จรรโลงศิริชัย (2560) ได้สรุปให้เห็นพัฒนาการการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการของไทย โดยเริ่มจากมีการ
212
ตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคือ กฎหมายลักษณะอาญา
ร.ศ. 127 พระราชบั ญ ญั ติ ร ะเบี ย บข้ า ราชการตุ ล าการ พ.ศ. 2471 พระราชบั ญ ญั ติ
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2476 พระราชกฤษฎีกาวิธีพิจารณาลงโทษข้าราชการ
และพนักงานเทศบาลผู้กระทาผิดหน้าที่หรือหย่อนความสามารถ พ.ศ. 2490]] พระราชบัญญัติ
เรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. 2492 และต่อมาในปี พ.ศ. 2494 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิบัติ
ราชการตามมติ ป ระชาชน (ก.ป.ช.) เพื่ อ รับ เรื่อ งราวร้ อ งทุ ก ข์ และพั ฒ นามาเป็ น กรมตรวจ
"
ราชการแผ่ น ดิ น ในปี พ.ศ. 2496 แต่ ไ ด้ ถู ก ยุ บ เลิ ก ไปในปี พ.ศ. 2503 และมี ก ารแต่ ง ตั้ ง
่านั้น
คณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับภาษีอากร (ก.ต.ภ.) ขึ้นตามพระราชบัญ ญัติตรวจสอบการ
าเท
ปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีอากรและรายได้อ่นื ของรัฐ พ.ศ. 2503
ภายหลั ง การรั ฐ ประหารเมื่ อ วั น ที่ 17 พฤศจิ ก ายน 2514 ได้ มี ก ารปรั บ ปรุ ง
ศึกษ
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินใหม่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหาร ลดการทางานที่
ซ้าซ้อ นโดยรวมงานของ คณะกรรมการตรวจสอบเกี่ย วกั บ ภาษี อากร (ก.ต.ภ.) ส านั ก งาน
กา ร
คณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์และงานของผู้ตรวจราชการสานักนายกรัฐมนตรี เข้าด้วยกัน
แล้วจัดตั้งเป็นสานักงานคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการ (ก.ต.ป.) ตาม
เพื่อ
สอบสวนเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยใน
วัน ที่ 14 ตุ ล าคม 2516 เป็ น ผลให้ ส านั ก งานคณะกรรมการตรวจและติ ดตามผลการปฏิ บั ติ
ัยสว
จะป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการให้หมดสิ้นไป จึงได้แต่งตั้ง
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการขึน้ โดยอาศัย
าวิท
ที่ 216 ลงวั น ที่ 29 กั น ยายน 2515 (ฉบั บ ที่ 10) พ.ศ. 2518 จัด ตั้ งส านั ก งานคณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สังกัดสานักนายกรัฐมนตรีขนึ้
นอกจากนี้ เมื่ อ ได้ มี ก ารประกาศใช้ รั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจั ก รไทย
พุทธศักราช 2540 ได้มีการกาหนดองค์กรอิสระขึ้น หนึ่งในจานวนนั้นมีองค์กรที่มีอานาจหน้าที่
เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เรียกว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ มีสานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็น
"
หน่วยธุรการที่เป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณและการดาเนินการอื่น และ
่านั้น
ต่อมาในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2542 ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
าเท
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2542 เป็นผลให้
สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบได้ถูกยุบเลิกไป
ศึกษ
และได้มีการจัดตั้งเป็นสานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่
เรีย กโดยย่ อว่า “ส านัก งาน ป.ป.ช.” มี ชื่อภาษาอั งกฤษว่า The National Counter Corruption
กา ร
Commission
โครงสร้างการดาเนินงานในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
เพื่อ
ดาเนินการโดย
1) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่ง
ัยสว
คณะกรรมการสรรหา โดยผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
"มห
(2) รับราชการหรือเคยรับราชการในตาแหน่งไม่ต่ากว่าอธิบดีหรือหัวหน้า
ส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่นอ้ ยกว่าห้าปี
(3) เป็นหรือเคยเป็ นผู้ดารงตาแหน่ งผู้บ ริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ หรือ
หน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจมาแล้วไม่นอ้ ยกว่าห้าปี
(4) ดารงตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยใน
ประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์
"
(5) เป็ น หรือ เคยเป็ น ผู้ ป ระกอบวิช าชีพ ที่ มี ก ฎหมายรับ รองการประกอบ
่านั้น
วิชาชีพโดยประกอบวิชาชีพอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบปีนับถึงวันที่
าเท
ได้รับการเสนอชื่อ และได้รับการรับรองการประกอบวิชาชีพจากองค์กรวิชาชีพนั้น
(6) เป็ น ผู้ มี ค วามรู้ค วามช านาญและประสบการณ์ ท างด้ า นการบริ ห าร
ศึกษ
การเงิน การคลัง การบัญชี หรือการบริหารกิจการวิสาหกิจในระดับไม่ต่ากว่าผู้บริหารระดับสูง
ของบริษัทมหาชนจากัดมาแล้วไม่นอ้ ยกว่าสิบปี กา ร
(7) เคยเป็นผู้ดารงตาแหน่งตาม (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๖) รวมกันไม่น้อย
กว่าสิบปี
เพื่อ
ดังนี้
(1) ไต่ ส วนและมี ค วามเห็ น กรณี มี ก ารกล่ า วหาว่ า ผู้ ด ารงต าแหน่ ง ทาง
ัยสว
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
"มห
"
มอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอานาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการ
่านั้น
ทุจริตดาเนินการแทนในเรื่องที่มิใช่เป็นความผิดร้ายแรงหรือที่เป็นการกระทาของเจ้าหน้าที่ของ
าเท
รัฐบางระดับหรือกาหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยธุรการของคณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้ดาเนินการสอบสวนหรือไต่สวนเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์
ศึกษ
วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตก็ได้ กา ร
นอกจากนี้ พระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรั ฐ ธรรมนู ญ ว่ า ด้ ว ยการป้ อ งกั น และ
ปราบปรามการทุ จ ริต พ.ศ. 2542 ได้ ก าหนดอ านาจหน้ าที่ข องคณะกรรมการป้ อ งกั น และ
เพื่อ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไว้ 13 ข้อดังนี้
(1) ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสานวนพร้อมทั้งทาความเห็นเสนอต่อวุฒิสภา
ิต
นดุส
หน้าที่ในการยุติธรรม
(4) ตรวจสอบความถูกต้องและความมี อยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินของ
าวิท
เจ้าหน้าที่ ของรัฐ รวมทั้ ง ตรวจสอบความเปลี่ย นแปลงของทรัพ ย์สิ น และหนี้ สิน ของผู้ด ารง
"มห
ตาแหน่งทางการเมือง
(5) กาหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกาหนดตาแหน่งและชั้นหรือระดับของ
เจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะต้องยื่น บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนีส้ ิน
(6) ก าหนดหลั ก เกณฑ์ แ ละวิ ธี ก ารยื่ น บั ญ ชีแ สดงรายการทรั พ ย์ สิ น และ
หนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐและการ เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดารง
ตาแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
216
(7) รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่พร้อมข้อสังเกตต่อ
คณะรัฐมนตรี สภาผูแ้ ทนราษฎร และวุฒิสภา ทุกปี และนารายงานนั้นออกพิมพ์เผยแพร่ตอ่ ไป
(8) เสนอมาตรการ ความเห็น หรือข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา
ศาล หรือ คณะกรรมการตรวจ เงิน แผ่ น ดิน เพื่ อ ให้มี ก ารปรับ ปรุงการปฏิ บั ติ ราชการ หรือ
วางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือ
ปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่การกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ หรือการกระทา
"
ความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
่านั้น
(9) ดาเนินการส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอให้ศาลมีคาสั่งหรือคา
าเท
พิพากษาให้ยกเลิกหรือ เพิกถอนสิทธิหรือเอกสารสิทธิที่เจ้าหน้าที่ข องรัฐได้อนุมัติหรืออนุญาต
ให้สิทธิประโยชน์หรือออกเอกสารสิทธิแก่ บุคคลใดไปโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือระเบียบของ
ศึกษ
ทางราชการอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ
(10) ด าเนินการเพื่อป้องกั นการทุจริตและเสริมสร้างทัศนคติและค่านิย ม
กา ร
เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งดาเนินการให้ประชาชนหรือกลุ่มบุคคลมีส่วนร่วมในการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริต
เพื่อ
หรือกฎหมายอื่นกาหนดให้เป็น อานาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ
ทุจริตแห่งชาติ
ยาล
2) สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
าวิท
กรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มีอานาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไป
ของคณะกรมมการ ป.ป.ช. และมีอานาจหน้าที่รับผิดชอบงานธุ รการของคระกรรมการ ป.ป.ช.
ศึกษาและรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานของคระกรรมการ ป.ป.ช. ศึกษาและสนั บสนุนให้มี
การศึกษาวิจัยและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการทุจริตในวงราชการและการเมือง รวมถึงปฏิบัติงาน
อื่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสานักงาน ป.ป.ช. รับผิดชอบการปฏิบัติงานของ
ส านั กงาน ป.ป.ช. ขึ้ นตรงต่ อประธานกรรมการและเป็ นผู้ บั งคั บบั ญ ชาข้ าราชการและลู กจ้ าง
217
"
่านั้น
ทรัพย์สินและหนี้สนิ ประกอบด้วย
1) "เจ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ " หมายความว่ า ผู้ ด ารงต าแหน่ ง ทางการเมื อ ง
าเท
ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีตาแหน่ง หรือเงินเดือนประจา พนักงานหรือบุคคล
ผูป้ ฏิบัติงานในรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นซึ่งมิใช่
ศึกษ
ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง เจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่ และให้
หมายความรวมถึงกรรมการ อนุกรรมการ ลูกจ้างของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงาน
กา ร
ของรัฐ และบุคคลหรือคณะบุคคลซึ่งใช้อานาจหรือได้รับมอบให้ใช้อานาจทางการปกครองของ
รัฐในการดาเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นในระบบราชการ
เพื่อ
รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐ
2) "ผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมือง" หมายความว่า
ิต
นดุส
(1) นายกรัฐมนตรี
(2) รัฐมนตรี
ัยสว
ข้าราชการฝ่ายรัฐสภา
(7) ผูบ้ ริหารท้องถิ่น รองผูบ้ ริหารท้องถิ่น และผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่นของ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่ นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด โดยประกาศในราชกิจจา
นุเบกษา
(8) สมาชิ ก สภาท้ อ งถิ่ น ขององค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น ตามที่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา”
218
"
บัญชาการตารวจแห่งชาติ ปลัดกรุงเทพมหานคร กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ
่านั้น
หัวหน้าหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล กรรมการและผู้บริหารสูงสุด
าเท
ของหน่ ว ยงานอื่ น ของรั ฐ ตามที่ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. ก าหนด โดยประกาศในราชกิ จ จา
นุเบกษา และผูด้ ารงตาแหน่งอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติ
ศึกษ
4) “ผู้บริหารระดับสูง” หมายความว่า ผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมือง ผูด้ ารง
ตาแหน่งระดับสูง กรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้ดารง
กา ร
ตาแหน่งตั้งแต่ผู้อานวยการระดับ ต้นหรือเทียบเท่าของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น
ของรัฐ หน่วยงานที่ใช้อานาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อานาจทางปกครอง และให้หมายความ
เพื่อ
รวมถึ งบุ ค คลหรือ คณะบุ ค คลที่ มี อ านาจหน้ าที่ ค วบคุ ม ก ากั บ ดู แลหน่ วยงานดั งกล่ าว และ
เจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กาหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ิต
นดุส
"
่านั้น
ทุจริต
ตามบทบัญ ญัติของพระราชบัญ ญั ติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกัน
าเท
และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 การป้องกันและปราบปรามการทุจริตดาเนินการได้ 2
ลักษณะคือ
ศึกษ
1) การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองและ
เจ้ า หน้ า ที่ ข องรัฐ ในกรณี นี้ พระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรัฐ ธรรมนู ญ ว่ าด้ วยการป้ อ งกั น และ
กา ร
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กาหนดให้
เพื่อ
1.1) ในกรณี ของผู้ด ารงต าแหน่ งทางการเมื อ ง มี ห น้ าที่ ยื่ นบั ญ ชีแสดง
รายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามที่มีอยู่จริงใน
วันที่ยื่นบัญ ชีดังกล่าวตามแบบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกาศกาหนด ต่อคณะกรรมการ
ิต
นดุส
หนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
"มห
ให้ผู้นั้นพ้นจากตาแหน่งนับแต่วันที่ครบกาหนดต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
หรือนับแต่วันที่ตรวจพบว่ามีการกระทาดังกล่าว แล้วแต่กรณี และห้ามมิให้ผู้นั้นดารงตาแหน่ง
ทางการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตาแหน่ง ในการนี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ
เรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่าเป็นการจงใจยื่น
บัญ ชีแสดงรายการทรัพ ย์สินและหนี้ สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือ
ปกปิด ข้อเท็จจริงที่ค วรแจ้งให้ท ราบ ให้ผู้นั้นพ้นจากตาแหน่งทางการเมืองที่ดารงอยู่ แต่ไม่
กระทบกระเทือนกิจการที่ผู้นนั้ ได้กระทาไปในตาแหน่งดังกล่าว
220
1.2) ในกรณี เ จ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ ให้ ผู้ ด ารงต าแหน่ ง ประธานศาลฎี ก า
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด กรรมการการเลือกตั้ง
ผู้ตรวจการแผ่ นดิ นของรัฐ สภา ตุล าการศาลรัฐ ธรรมนูญ กรรมการตรวจเงิน แผ่น ดิ น รอง
ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลปกครองสูงสุด หัวหน้าสานักตุลาการทหาร ผู้พิพากษาใน
ศาลฎีก า ตุล าการในศาลปกครองสู งสุ ด รองอัย การสูงสุด และผู้ดารงตาแหน่งระดับ สูง มี
หน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
"
ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทุกครั้งที่เข้ารับตาแหน่งทุกสามปีที่อยู่ในตาแหน่ง และเมื่อพ้นจาก
่านั้น
ตาแหน่ง ตามแบบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด
าเท
และถ้ า ผู้ ใ ดจงใจไม่ ยื่ น บั ญ ชี แ สดงรายการทรั พ ย์ สิ น และหนี้ สิ น และ
เอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายในเวลาที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ศึกษ
นี้ ก าหนด หรื อ จงใจยื่ น บั ญ ชี แ สดงรายการทรั พ ย์ สิ น และหนี้ สิ น และเอกสารประกอบด้ ว ย
ข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ให้ผนู้ ั้นพ้นจากตาแหน่งนับแต่วันที่
กา ร
ครบกาหนดต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือนับแต่วันที่ตรวจพบว่ามีการ
กระทาดังกล่าว แล้วแต่กรณี และห้ามมิให้ผู้นั้นดารงตาแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเวลาห้าปีนับ
เพื่อ
แต่วันที่พ้นจากตาแหน่ง
2) การกล่าวหาผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองร่ารวยผิดปกติหรือกระทาผิด
ิต
นดุส
ต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทาความผิดต่อตาแหน่ง
หน้ า ที่ ร าชการ ในกรณี นี้ พ ระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรั ฐ ธรรมนู ญ ว่ า ด้ ว ยการป้ อ งกั น และ
ัยสว
การดาเนินการต่อผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริต
พระราชบัญญั ติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ
ทุจริต พ.ศ. 2542 กาหนดให้มีการดาเนินการต่อผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริต แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะคือ
1) การถอดถอนจากตาแหน่ง โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า
"
่านั้น
ด้ ว ยการป้ อ งกั น และปราบปรามการทุ จ ริ ต พ.ศ. 2542 ก าหนดว่ า เมื่ อ ปรากฎว่ า ผู้ ด ารง
ตาแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา
าเท
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด กรรมการการเลือกตั้ง
ผู้ตรวจการแผ่ นดิ นของรัฐ สภา ตุล าการศาลรัฐ ธรรมนูญ กรรมการตรวจเงิน แผ่น ดิ น รอง
ศึกษ
ประธานศาลฎีก า รองประธานศาลปกครองสูงสุด หัวหน้าสานักตุลาการทหาร รองอัยการ
สูงสุด หรือผู้ดารงตาแหน่งระดับสูง เป็นผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ารวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อ
กา ร
หน้าที่ส่ อว่ากระท าผิด ต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระท าผิดต่อตาแหน่ งหน้าที่ ในการ
เพื่อ
ยุ ติธ รรมหรือ ส่อว่าจงใจใช้อานาจหน้าที่ ขัดต่อ รัฐ ธรรมนู ญ หรือกฎหมาย วุฒิ ส ภามีอานาจ
ดาเนินการถอดถอนผู้นนั้ ออกจากตาแหน่งได้
ิต
และผู้ใดถูกถอดถอนออกจากตาแหน่ง ให้ผู้นั้นพ้นจากตาแหน่งหรือให้ออก
จากราชการนับแต่วันที่วุฒิสภา มีมติให้ถอดถอน และให้ตัดสิทธิผู้นั้นในการดารงตาแหน่งใด
ยาล
ในทางการเมืองหรือในหน่วยงานของรัฐ หรือในการรับราชการเป็นเวลาห้าปี
ทั้งนี้ มติของวุฒิ สภาถือเป็น ที่สุด และจะมีก ารร้องขอให้ถ อดถอนบุคคล
าวิท
คดี อ าญาของผู้ ด ารงต าแหน่งทางการเมื อ ง หรือ ศาลที่ มี เขตอ านาจพิ จ ารณาพิ พ ากษาคดี
แล้วแต่กรณี และเมื่อวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตาแหน่งแล้ว ให้ประธานวุฒิสภา
แจ้งมติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกถอดถอนจากตาแหน่ง เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ
เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
2) การดาเนินคดีอาญา พระราชบัญ ญั ติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กาหนดเกี่ยวกับการดาเนินคดีอาญาไว้เป็น 2
ลักษณะคือ
222
"
2.2) ในกรณีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่
่านั้น
สวนข้อ เท็ จจริงแล้ ว มี ม ติ ว่าข้อ กล่ าวหาใดไม่ มี มู ล ให้ ข้อ กล่ าวหานั้ น เป็ น อั น ตกไป แต่ ถ้ าข้ อ
าเท
กล่าวหาใดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติวา่ มีมูลความผิดให้ดาเนินการแบ่งได้เป็น 2 กรณีคือ
(1) ถ้ า มี มู ล ความผิ ด ทางวิ นั ย เมื่ อ คณ ะกรรมการ ป.ป.ช. ได้
ศึกษ
พิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทาความผิดแล้วมีมติว่าผู้ถูกกล่าวหาผู้ใดได้กระทาความผิด
วินัย ให้ประธานกรรมการส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่ พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชา
กา ร
หรือผู้มีอานาจแต่งตั้งถอดถอนผูถ้ ูกกล่าวหาผู้นั้นเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ มี ม ติ โดยไม่ ต้ อ งแต่ งตั้ งคณะกรรมการสอบสวนวิ นั ย อี ก ในการ
เพื่อ
จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองหรือข้าราชการอัยการตามกฎหมายว่าด้วย
ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ให้ประธานกรรมการส่งรายงานและเอกสารที่ มีอยู่ พร้อมทั้ง
าวิท
ความเห็นไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการ ประธานคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง
"มห
"
่านั้น
รายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด หรือฟ้องคดีต่อศาลกรณีผถู้ ูกกล่าวหา
เป็นอัยการสูงสุด เพื่อดาเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอานาจพิจารณาพิพากษาคดี โดยให้
าเท
ถือว่ารายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นสานวนการสอบสวนตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา และให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ตอ้ งไต่สวนมูลฟ้อง
ศึกษ
เมื่ออัยการสูงสุดได้รับรายงานและเอกสาร พร้อมทั้งความเห็นจาก
กา ร
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามวรรคหนึ่ งแล้ ว เห็ น ว่ารายงาน เอกสาร และความเห็ น ที่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งให้ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะดาเนินคดี ได้ ให้อัยการสูงสุดแจ้งให้
เพื่อ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบเพื่อ ด าเนิ น การต่ อ ไป โดยให้ ระบุ ข้อ ที่ ไม่ ส มบู รณ์ นั้ น ให้
ครบถ้ ว นในคราวเดี ย วกั น ในกรณี นี้ ให้ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. และอั ย การสู ง สุ ด ตั้ ง
ิต
คณะทางานขึ้นโดยมีผู้แทนจากแต่ละฝ่ายจานวนฝ่ายละเท่ากันเพื่อดาเนินการรวบรวม
นดุส
พยานหลักฐานให้สมบูรณ์แล้วส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีต่อไป ในกรณีที่คณะทางาน
ัยสว
3) การให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า
ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กาหนดว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.
าวิท
ตรวจสอบพบว่าทรัพ ย์ สิ น รายใดของผู้ ถู ก กล่ า วหา เป็ น ทรั พ ย์ สิ น ที่ เกี่ ย วข้อ กั บ การร่ารวย
ผิด ปกติ และมี พ ฤติ ก ารณ์ น่ าเชื่ อ ว่าจะมี ก ารโอน ยั ก ย้ าย แปรสภาพหรื อ ซุ ก ซ่ อ นทรัพ ย์สิ น
"มห
"
่านั้น
รัฐมนตรี สมาชิก สภาผู้ แ ทนราษฎร สมาชิ ก วุฒิ ส ภา หรือ ข้า ราชการการเมื อ งอื่ น ให้
ประธานกรรมการส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคาร้อง ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารง
าเท
ตาแหน่งทางการเมืองเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สนิ ตกเป็นของแผ่นดิน
(2) ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดารงตาแหน่งประธานศาลฎีกา ประธาน
ศึกษ
ศาลรัฐธรรมนูญ ประธาน ศาลปกครองสูงสุด กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของ
รัฐ สภา ตุล าการศาลรั ฐ ธรรมนู ญ กรรมการ ตรวจเงินแผ่ น ดิน รองประธานศาลฎีก า รอง
กา ร
ประธานศาลปกครองสู งสุ ด หั ว หน้ าส านั ก ตุ ล าการทหาร รอง อั ย การสู ง สุ ด หรื อ ผู้ ด ารง
เพื่อ
ตาแหน่ งระดั บ สู ง ให้ป ระธานกรรมการส่งเรื่องให้อัย การสูงสุดยื่นคาร้องต่อศาล ซึ่งมี เขต
อานาจพิจารณาพิพากษาคดีเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
(3) ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดารงตาแหน่งอัยการสูงสุด ให้ประธาน
ิต
นดุส
กรรมการยื่นคาร้องต่อศาล ซึ่งมีเขตอานาจพิจารณาพิพากษาคดีเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สิน
ตกเป็นของแผ่นดิน
ัยสว
พิ จ ารณาพิ พ ากษาคดี เพื่ อ ขอให้ ศ าลสั่ งให้ ทรั พ ย์ สิ น ตกเป็ น ของแผ่ น ดิ น และให้ ป ระธาน
กรรมการแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอานาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ ถูกกล่าวหาสั่งลงโทษไล่ออก
าวิท
ข้าราชการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ ข้าราชการตุลาการ
ศาล ปกครองตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง หรือ
ข้าราชการอัยการตาม กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ให้ประธานกรรมการ
แจ้งไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการ ประธานคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง หรือ
ประธานคณะกรรมการอัยการ แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณา ดาเนินการตามกฎหมายว่าด้วย
ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธี พิจารณาคดี
ปกครอง หรือกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ
225
"
สมบูรณ์ แล้วส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อยื่นคาร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่ง
่านั้น
ทางการเมือง หรือศาลซึ่งมีเขตอานาจพิจารณาพิพากษาคดี แล้วแต่กรณี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้
าเท
ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต่อไป ในกรณีที่คณะทางานดังกล่าวไม่อาจหาข้ อยุติเกี่ยวกับการ
ดาเนินคดีได้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอานาจยื่นคาร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้
ศึกษ
ดารงตาแหน่งทางการเมือง หรือศาลซึ่งมีเขตอานาจพิจารณาพิพากษาคดี แล้วแต่กรณี เพื่อ
ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สนิ ตกเป็นของแผ่นดิน กา ร
ทั้งนี้ กรณีตาม (2) (3) และ (4) ให้นาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมา
ใช้บังคับโดยอนุโลม
เพื่อ
สรุป
ิต
นดุส
กลไกการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐที่กล่าวถึงในบทนี้ เป็นกลไกการตรวจสอบ
อานาจรัฐโดยสถาบันหรือองค์กรตามที่รัฐธรรมนูญกาหนด โดยเป็นกลไกที่ถูกกาหนดไว้ตั้งแต่
ัยสว
อ านาจรัฐ ได้ เป็ น 2 กลไก คื อ 1) การตรวจสอบการใช้ อ านาจรัฐ โดยองค์ ก ารศาล ซึ่ งเป็ น
าวิท
"
่านั้น
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 10
าเท
1. ระบบและกลไกการตรวจสอบการใช้ อ านาจของรั ฐ ในการบริ ห ารราชการ
แผ่นดินของประเทศแบ่งออกได้เป็นกี่ลักษณะ อะไรบ้าง
ศึกษ
2. ผูต้ รวจการแผ่นดินมีอานาจและหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐอย่างไร
3. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีอานาจและหน้าที่ ในการตรวจสอบการใช้
กา ร
อานาจรัฐอย่างไร
เพื่อ
4. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติมีอานาจและหน้าที่ใน
การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐอย่างไร
ิต
5. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างบทบาทหน้าที่ของศาลปกครอง ผู้ตรวจการ
นดุส
"
่านั้น
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผูต้ รวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติมถึงปัจจุบัน (ฉบับที่ 8)
าเท
พ.ศ.2553
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560
ศึกษ
รติ ก ร เจื อ กโว้ น (2560). ศาลปกครอง. http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ศาลปกครอง
กา ร
สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2560
สุ เ ท พ เ อี่ ย ม ค ง (2 5 6 0 ) . ผู้ ต ร ว จ ก า ร แ ผ่ น ดิ น . เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ด
เพื่อ
http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ผู้ ต รวจการแผ่ น ดิ น สื บ ค้ น เมื่ อ 1 กั น ยายน
2560
ิต
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
229
บทที่ 11
ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ภาครัฐ
ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล
"
่านั้น
อาชีพข้าราชการเกิดขึ้นเป็นอาชีพที่แท้จริงเมื่อ มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบ
าเท
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2472 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
ศึกษ
จานวนข้าราชการก็ เ พิ่มขึ้นเป็นลาดับมาเรื่ อยๆ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2531 และปัจจุบันมีจานวน
ข้าราชการประมาณ 2,00,000 คน (ศุภชัย ยาวะประภาส ,) ซึ่งบุคลากรในองค์การภาครัฐ
กา ร
สามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ บุคลากรของ
รัฐวิสาหกิจ บุคลากรขององค์การมหาชน พนักงานของรัฐในส่วนราชการ
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
ข้าราชการ
ข้าราชการแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ข้าราชการการเมือง และข้าราชการ
ประจา
1. ข้าราชการการเมือง ตาแหน่งข้าราชการการเมือง ได้แก่ บุคคลซึ่งรับราชการ
ในตาแหน่งข้าราชการการเมือ ง ซึ่งตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญ ญั ติระเบีย บข้ าราชการ
การเมือง พ.ศ.2535 กาหนดตาแหน่งข้าราชการการเมือง คือผู้ดารงตาแหน่ง ดังต่อไปนี้
"
่านั้น
1) นายกรัฐมนตรี
2) รองนายกรัฐมนตรี
าเท
3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
4) รัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรี
ศึกษ
5) รัฐมนตรีว่าการทบวง กา ร
6) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
7) รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวง
เพื่อ
8) ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
9) ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี
ิต
10) ที่ปรึกษารัฐมนตรีและที่ปรึกษารัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรี
นดุส
11) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
12) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ัยสว
13) โฆษกประจาสานักนายกรัฐมนตรี
14) รองโฆษกประจาสานักนายกรัฐมนตรี
ยาล
15) เลขานุการรัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรี
าวิท
16) ประจาสานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
17) เลขานุการรัฐมนตรีวา่ การกระทรวง
"มห
"
่านั้น
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ
• ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งได้รับ
าเท
แต่งตัง้ ให้ดารงตาแหน่งในพระองค์พระมหากษัตริย์ตามที่กาหนดในพระราชกฤษฎีกา
• ข้าราชการประจาต่างประเทศพิเศษ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่ง
ศึกษ
ได้รับ แต่งตั้งให้ ด ารงต าแหน่ง ในต่ า งประเทศในกรณีพิ เ ศษโดยเหตุ ผ ลทางการเมื อ งตามที่
บัญญัติไว้ในลักษณะ 5 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ
กา ร
• ตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ มี 3 ประเภท
เพื่อ
(ก) ต าแหน่ ง ประเภททั่ ว ไป เป็ น ประเภทที่ ลั ก ษณะงานมี
ความส าคั ญ ไม่ ม าก การสรรหา ผู้ ท างานประเภทนี้ ไ ม่ ค่ อ ยมี ก ารแข่ ง ขั น ในตลาดแรงงาน
ิต
สามารถหาคนแทนได้โดยไม่ยาก
นดุส
ทางานในตาแหน่งประเภทนีใ้ ห้คุณค่าสูงคือผลงานดีหรือไม่ดีจะกระทบต่อผลผลิตขององค์การ
มาก ต้ อ งใช้ ค นที่ ไ ด้ ศึ ก ษาวิ ช าชี พ เฉพาะมาและมี ป ระสบการณ์ พ อสมควร การสรรหาคน
ยาล
ความสามารถทัดเทียมกันมาแทนได้ยาก
(ค) ต าแหน่ ง บริ ห ารระดั บ สู ง หรื อ บริ ห ารระดั บ กลาง ตามที่
"มห
3. ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งอยู่ในกากับดูแลของรัฐบาล อันได้แก่
(1) พนักงานเทศบาล
(2) ข้าราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัด
(3) พนักงานส่วนตาบล
(4) ข้าราชการกรุงเทพมหานคร
4. ข้าราชการอื่นซึ่งมิได้อยู่ในบั งคับบัญ ชาหรือก ากับ ดูแลของรัฐบาล อัน
"
่านั้น
ได้แก่
(1) ข้าราชการฝ่ายรัฐสภา
าเท
(2) ข้าราชการตุลาการ
(3) ข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง
ศึกษ
(4) ข้าราชการสานักงาน ป.ป.ช.
(5) ข้าราชการสานักงานตรวจเงินแผ่นดิน
กา ร
(6) ข้าราชการสานักงานศาลรัฐธรรมนูญ
เพื่อ
“ลูกจ้างของส่วนราชการ” หมายถึงบุคคลประเภทหนึ่งซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในส่วน
ราชการ เช่นเดีย วกั นกั บ ข้าราชการประเภทต่าง ๆ แต่มิไ ด้เ ป็นข้าราชการ ลูก จ้างของส่วน
ิต
นดุส
(1) ลูกจ้างของส่วนราชการเป็นผู้ปฏิบัติงานของรัฐประเภทหนึ่งที่ปฏิบัติงานอยู่
"มห
"
โรงพยาบาลซึ่งจ้างโดยใช้เงินรายได้ของโรงพยาบาล ลูกจ้างของสถานศึกษาซึ่งจ้างโดยใช้เงิน
่านั้น
บารุงการศึกษา เป็นต้นการจัดประเภทของลูกจ้างของส่วนราชการ โดยพิจารณาจากลักษณะ
าเท
งานตามที่ปฏิบัติ อาจแบ่งลูกจ้างของส่วนราชการออกได้เป็น 5 ประเภท คือ
(ก) ลูกจ้างที่ใช้แรงงาน หมายถึง ลูกจ้างผู้ปฏิบัติงานในตาแหน่งที่ใช้แรงงาน
ศึกษ
เช่น นักการภารโรง ยาม พนักงานขับรถ คนงาน คนสวน ฯลฯ
(ข) ลู ก จ้ า งที่ ใ ช้ ฝี มื อ หรื อ ความช านาญ หมายถึ ง ลู ก จ้ า งผู้ ป ฏิ บั ติ ง านใน
กา ร
ตาแหน่งที่ใช้ฝมี อื หรือ ความชานาญ เช่น ช่างตัดผม ช่างไม้ ช่างสี ช่างพิมพ์ ช่างประปา เป็นต้น
(ค) ลู ก จ้างประเภทผู้ชานาญการพิเศษหรือผู้เชี่ย วชาญ หมายถึงลูก จ้าง
เพื่อ
ลูกจ้างชั่วคราว หมายถึงลูกจ้างที่ปฏิบัติงานชั่วคราวก็ได้
พนักงานของรัฐในส่วนราชการ
บุคลากรภาครัฐประเภทสุดท้ายคือ พนักงานของรัฐในส่วนราชการซึ่งปฏิบัติงาน
ตามสัญญาจ้างในตาแหน่งหน้าที่และเงื่อนไขที่คล้ายคลึงกันกับตาแหน่งหน้าที่และเงื่อนไขของ
ข้ า ราชการ แต่ ไ ม่ มี ส ถานภาพเป็น ข้ า ราชการ บุ ค ลากรภาครั ฐ ประเภทนี้ใ นปัจ จุ บัน ได้แก่
พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และพนักงานศาลปกครอง
234
1) พนักงานราชการ โดยที่ปัจจุบันมีแนวความคิดว่ากระบวนการจ้างงานภาครัฐ
ในส่วนของลูกจ้างของส่วนราชการควรมีความหลากหลาย เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการใช้
กาลังคนภาครัฐและให้การปฏิบัติราชการมีความคล่องตัวเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล
และสอดคล้องตามแนวทางการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ คณะรัฐมนตรีจึงได้พิจารณาเห็น
ควรให้มีการจ้างพนักงานราชการสาหรับการปฏิบัติงานของส่วนราชการ และได้ออกระเบียบ
สานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพนักงานราชการ พ.ศ. 2547 ขึ้น โดยกาหนดหลักเกณฑ์สาคัญ ๆ
"
่านั้น
ไว้ ดังนี้
(1) พนักงานราชการ หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญาจ้างโดย
าเท
ได้รับค่าตอบแทนจากงบประมาณของส่วนราชการในด้านงานบริการ งานเทคนิค งานบริหาร
ทั่วไป งานวิชาชีพเฉพาะ หรือ งานเชี่ยวชาญเฉพาะ
ศึกษ
(2) พนักงานราชการ มี 2 ประเภท คือ
ก. พนักงานราชการทั่วไป ได้แก่ พนักงานราชการซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะที่
กา ร
เป็นงานประจาทั่วไปของส่วนราชการ ในด้านงานบริการ งานเทคนิค งานบริหารทั่วไป งาน
วิชาชีพเฉพาะ หรือ งานเชี่ยวชาญเฉพาะ
เพื่อ
ข. พนักงานราชการพิเศษ ได้แก่พนักงานราชการซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะที่
ต้องใช้ความรู้หรือความเชี่ยวชาญสูงมากเป็นพิเศษ เพื่อปฏิบัติงานในเรื่องที่มีความสาคัญและ
ิต
นดุส
จาเป็นเฉพาะเรื่องของส่วนราชการ หรือมีความจาเป็นต้องใช้บุคคลในลักษณะดังกล่าว
(3) การจ้างพนักงานราชการให้กระทาเป็นสัญญาจ้างไม่เกินคราวละ 4 ปี หรือ
ัยสว
ตามโครงการที่มีกาหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดไว้ โดยอาจมีการต่อสัญญาจ้างได้ตามความ
เหมาะสมและความจาเป็นของแต่ละส่วนราชการ
ยาล
2) พนักงานมหาวิทยาลัย สืบเนื่องจากได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐที่เป็น
ส่วนราชการรูปแบบที่สามที่มิใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติ
าวิท
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมีการริเริ่มให้มหาวิทยาลัยของรัฐที่ได้รับการจัดตั้งมาแต่เดิม มี
ความเป็ น อิ ส ระในการบริ ห ารงานเพิ่ ม มากขึ้ น หรื อ เรี ย กกั น ว่ า “ออกนอกระบบราชการ”
กล่าวคือขอเปลี่ยนสถานภาพจากส่วนราชการเป็นหน่วยงานของรัฐรูปแบบที่สาม จึงมีผลทาให้
บุคลากรของมหาวิทยาลัยของรัฐเปลี่ยนสถานภาพจากการเป็นข้าราชการมาเป็นพนักงานของ
รัฐ ซึ่งปฏิบัติงานตามสั ญ ญาจ้างโดยจะต้องผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นระยะ ๆ
เพื่อที่จะได้รับการต่อสัญญาจ้าง ในการนี้เพื่อเป็นการเตรียมการเปลี่ยนมหาวิทยาลัยของรัฐที่
จะ “ออกนอกระบบราชการ” คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2542 ให้ปรับวิธีบรรจุ
235
บุ ค ลากรเข้ า ปฏิ บั ติ ง านในมหาวิ ท ยาลั ย ให้ เ ป็ น พนั ก งานมหาวิ ท ยาลั ย แทนการบรรจุ เป็ น
ข้ า ราชการเพื่ อ เตรี ย มการเป็ น มหาวิ ท ยาลั ย ในก ากั บ ของรั ฐ ในอนาคตดั ง นั้ น ในขณะนี้ ใ น
มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของรัฐจึงมีบุคลากรทั้งที่เป็นข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัยและลูกจ้าง
ของส่วนราชการ
3. พนักงานศาลปกครอง สานักงานศาลปกครอง (ซึ่งเป็นหน่วยธุรการของศาล
ปกครอง) เป็นหน่วยอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีสถานภาพเป็นส่วนราชการและมีบุคลากรคล้าย
"
่านั้น
กับส่วนราชการโดยทั่วไป คือ มีบุคลากรเป็นข้าราชการและลูกจ้างของสานักงานศาลปกครอง
(พนักงานราชการและลูกจ้างชั่วคราว) ทั้งนีต้ ามที่กาหนดในมาตรา 84 (11) แห่งพระราชบัญญัติ
าเท
จัดตัง้ ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 กาหนดให้คระกรรมการข้าราชการ
ฝ่ายศาลปกครองมีอานาจออกระเบียบเกี่ยวกับการกาหนดวิธี และเงื่อนไขในการจ้างลูก จ้าง
ศึกษ
สานักงานศาลปกครอง ซึ่งบุคลากรประเภทดังกล่าวนี้ เรียกว่า “พนักงานศาลปกครอง” โดยมี
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้ กา ร
(1) สานักงานศาลปกครองอาจจ้างพนักงานศาลปกครองได้ในตาแหน่งต่าง ๆ
ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครองซึ่งมี ทั้งตาแหน่งที่ใช้วุฒิต่า
เพื่อ
กว่าปริญญาตรีและตาแหน่งที่ใช่วุฒิแต่ปริญญาตรีขึน้ ไป
(2) พนักงานศาลปกครองจะปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างโดยมีระยะเวลาจ้าง
ิต
นดุส
เลื่อนค่าจ้างหนึ่งขั้น ซึ่งอัตราค่าจ้างมีตั้งแต่ขั้นต่าจนถึงขั้นสูง
ยาล
บุคลากรของรัฐวิสาหกิจ
าวิท
บุคลากรของรัฐวิสาหกิจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
(ก) กรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ
"มห
(ข) พนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ
(ค) พนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เป็นผูบ้ ริหารของรัฐวิสาหกิจซึ่งอาจมี
ชื่อเรีย กที่แตกต่างกั นในแต่ล ะรัฐ วิส าหกิจ เข่น ผู้ว่าการ ผู้อานวยการ กรรมการผู้จั ด การ
ผูจ้ ัดการ เป็นต้น
236
บุคลากรขององค์กรมหาชน
ปัจจุบันมีหน่วยงานของรัฐรูปแบบที่สามที่มิใช้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ที่ว่า
“องค์การมหาชน” เกิดขึ้นเป็นจานวนมากเพียงแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าใดนัก หน่วยงานของ
รัฐ รูป แบบที่ส ามนี้มีทั้งที่จัด ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญ ญั ติเ ฉพาะ เช่นธนาคารแห่งประเทศไทย
สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความใน
พระราชบัญญัติองค์กรมหาชน พ.ศ. 2542 จึงทาให้มีบุลากรของรัฐในองค์กรประเภทนี้เพิ่มมา
"
่านั้น
ขึ้นในช่วงปัจจุบันโดยแยกเป็น ปัจจุบันมีหน่วยงานของรัฐรูปแบบที่สามที่มิใช้ส่วนราชการและ
รัฐวิสาหกิจ ที่ว่า “องค์การมหาชน” เกิดขึ้นเป็นจานวนมากเพียงแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าใด
าเท
นัก หน่วยงานของรัฐรูปแบบที่สามนี้มที ั้งที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติเฉพาะ เช่นธนาคารแห่ง
ประเทศไทย สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออก
ศึกษ
ตามความในพระราชบัญญัติองค์กรมหาชน พ.ศ. 2542 จึงทาให้มีบุลากรของรัฐในองค์กร
ประเภทนีเ้ พิ่มมาขึ้นในช่วงปัจจุบันโดยแยกเป็น
กา ร
1) บุ ค ลากรขององค์ ก รมหาชนที่ จั ดตั้ ง ขึ้ น โดยพระราชบั ญ ญั ติ เ ฉพาะ จะมี
เพื่อ
สถานภาพเป็ น พนั ก งานของรั ฐ ซึ่ ง มี ส ถานภาพที่ ค ล้ า ยคลึ ง กั บ พนั ก งานรั ฐ วิ ส าหกิ จ โดย
พระราชบัญญัติจัดตั้ง องค์กรมหาชนนั้น ๆ จะกาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารงาน
ิต
บุคคลไว้โดยเฉพาะ
นดุส
อาจเที ย บได้ กั บ พนั ก งานของรั ฐ วิ ส าหกิ จ และลู ก จ้ า งซึ่ ง มี ศั ก ดิ์ แ ละสิ ท ธิ ไ ม่ เ ท่ า เที ย มกั บ
“เจ้าหน้าที่” อาจเทียบได้กับลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจโดยอาจจะเป็นลูกจ้างประจาหรือลูกจ้าง
ยาล
ชั่วคราวก็ได้
าวิท
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีประเภทขององค์กรภาครัฐหรือองค์กรที่ใช้
อานาจของรัฐมีความหลากหลายเพื่อการตอบสนองต่อภารกิจต่างๆมากขึ้น ส่งผลทาให้เกิด
"มห
ประเภทของบุคลากรที่สังกัดในองค์กรประเภทต่างๆมีความหลากหลายโดยขึ้นอยู่กับระเบียบ
ของแต่องค์กรที่จัดตั้งขึ้น ในที่น้ขี อยกประเด็นสาคัญของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพล
เรือน พ.ศ.2551 เพื่อเป็นพื้นฐานส าคั ญ ต่อการศึก ษาในประเด็ นดังกล่าว โดยรายละเอีย ด
สามารถสรุปได้ดังนี้
237
"
่านั้น
เรือน ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบราชการประเภทนั้น
ข้าราชการฝ่ายพลเรือน แบ่งได้ 2 ประเภท
าเท
1. ข้าราชการพลเรือน
2. ข้าราชการอื่นในกระทรวง กรมฝ่ายพลเรือน ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ศึกษ
ราชการประเภทนั้น
ข้ า ราชการพลเรื อ น หมายความว่ า บุ ค คลซึ่ ง ได้ รั บ การบรรจุ แ ละแต่ ง ตั้ ง ตาม
กา ร
พระราชบัญญัตินี้ให้รับราชการโดยได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณในกระทรวง กรม ฝาย
เพื่อ
พลเรือน มี 2 ประเภท
(1) ข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับ
ิต
บรรจุแต่งตั้งตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะของข้าราชการพลเรือนสามัญ
นดุส
กฤษฎีกา
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จานวน 10 – 12 คน ประกอบด้วย
ยาล
ประธาน
2) กรรมการโดยตาแหน่ง ประกอบด้วย
"มห
2.1 ปลัดกระทรวงการคลัง
2.2 ผูอ้ านวยการสานักงบประมาณ
2.3 เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3) กรรมการซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการ
บริหารงานบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมาย จานวนไม่น้อยกว่าห้าคน
แต่ไม่เกินเจ็ดคน (อยู่ในวาระคราวละ 3 ปี)
4) เลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ
238
โดยคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)มีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) เสนอแนะและให้คาปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายการบริหารงาน
บุคคลและยุทธศาสตร์การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐในด้านมาตรฐานค่าตอบแทน การ
บริหารและการพั ฒนาทรัพ ยากรบุค คล รวมตลอดทั้งการวางแผนก าลังคนและด้านอื่ น ๆ
เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทางในการดาเนินการ
2) รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงเงินเดือน เงินประจาตาแหน่ง
"
เงินเพิ่มค่าครองชีพ สวัสดิการ หรือประโยชน์เกือ้ กูลอื่นสาหรับข้าราชการพลเรือนให้เหมาะสม
่านั้น
3) กาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรฐานการบริหารและพัฒนาทรัพยากร
าเท
บุคคลของข้าราชการพลเรือน เพื่อส่วนราชการใช้เป็นแนวทางในการดาเนินงาน
4) ให้ความเห็นชอบกรอบอัตรากาลังของส่วนราชการ
ศึกษ
5) ออกกฎ ก.พ. และระเบี ย บเกี่ ย วกั บ การบริ ห ารทรั พ ยากรบุ ค คล เพื่ อ
ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ….. กฎ ก.พ.เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และประกาศ
กา ร
ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
6) ตีความและวินจิ ฉัยปัญหาที่เกิดขึน้ เนื่องจากการใช้บังคับพระราชบัญญัติน้ี..
เพื่อ
9) ออกข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการจัดการศึกษาและควบคุมดูแล และ
การให้ความช่วยเหลือบุคคลภาครัฐ นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง นักเรียนทุนของรัฐบาล…
ยาล
ข้าราชการพลเรือนและการกาหนดเงินเดือน หรือค่าตอบแทน
"มห
11) กาหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
12) พิจารณาจัดทาระบบทะเบียนประวัติและแก้ไขทะเบียนประวัติเกี่ยวกับวัน
เดือนปีเกิด และการควบคุมเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือน
13) ปฏิบัติหน้าที่อ่นื ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติน้ี และกฎหมายอื่น
ทั้งนี้ให้มีสานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เรียกโดยย่อว่า สานักงาน
ก.พ. โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและบริหารราชการของสานักงาน
ก.พ. ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
239
"
3.1 ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการบริหารและการ
่านั้น
จัดการ และด้านกฎหมาย
าเท
3.2 ข้ า ราชการพลเรื อ นผู้ ด ารงต าแหน่ ง ประเภทบริ ห ารระดั บ สู ง ใน
กระทรวง ซึ่งได้รับเลือกจากข้าราชการพลเรือนผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าวจานวนไม่เกิน 5 คน
ศึกษ
2. คณะอนุกรรมการสามัญประจากรม (อ.ก.พ.กรม) ประกอบด้วย
(1) อธิบดีเป็นประธาน รองอธิบดีที่อธิบดีมอบหมายหนึ่งคนเป็นรองประธาน
กา ร
และอนุกรรมการซึ่งเป็น อ.ก.พ.แต่งตั้งจาก
(2) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการ
เพื่อ
(1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านการบริหารและการ
จัดการ และด้านกฎหมาย จานวนไม่เกิน 3 คน
(2) ข้าราชการพลเรือนผู้ดารงตาแหน่งซึ่งดารงตาแหน่งประเภทบริหารหรือ
ประเภทอานวยการ ซึ่งกระทรวงหรือกรมแต่งตั้งไปประจาจังหวัดนั้น และได้รับเลือกจากข้า
ราชพลเรือนผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าวจานวนไม่เกิน 6 คน ซึ่งแต่ละคนต้องไม่สังกัดกระทรวง
เดียวกัน
240
"
คน เป็นกรรมการ ก.พ.ผู้ทรงคุณวุฒิหนึ่งคน ซึ่งได้รับเลือก โดย ก.พ. และให้เลขาธิการ กพ.
่านั้น
เป็นกรรมการและเลขานุการ
าเท
6. กรรมการ ก.พ.ค. มีวาระการดารงตาแหน่งหกปี นับแต่วันที่ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ แต่งตัง้ และดารงตาแหน่งวาระเดียว
ศึกษ
7. ก.พ.ค. มีอานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) เสนอแนะต่อ ก.พ. หรือองค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่น เพื่อให้ ก.พ.
กา ร
หรื อ องค์ ก รกลางบริ ห ารงานบุ ค คลอื่ น ด าเนิ น การให้ มี ห รื อ ปรั บ ปรุ ง นโยบายการบริ ห า ร
ทรัพยากรบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับ การพิทักษ์ระบบคุณธรรม
เพื่อ
2) พิจารณาวินจิ ฉัยอุทธรณ์
3) พิจารณาวินจิ ฉัยเรื่องร้องทุกข์
ิต
นดุส
4) พิจารณาเรื่องการคุ้มครองระบบคุณธรรม
5) ออกกฎ ก.พ.ค.ระเบี ย บ หลั ก เกณฑ์ และวิ ธี ก ารเพื่ อปฎิบั ติ ก ารตาม
ัยสว
พระราชบัญญัติน้ี
6) แต่งตั้งบุค คลซึ่งมีคุ ณสมบัติ และไม่มี ลัก ษณะต้อ งห้ า มตามที่ ก.พ.ค.
ยาล
ข. ลักษณะต้องห้าม
(1) เป็นผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง
(2) เป็นผู้คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริต
หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
(3) เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้
ก่อนตามพระราชบัญญัติน้หี รือตามกฎหมายอื่น
"
(4) เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม
่านั้น
(5) เป็นกรรมการหรือผู้ดารงตาแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรค
าเท
การเมืองหรือเจ้าหน้าที่ ในพรรคการเมือง
(6) เป็นบุคคลล้มละลาย
ศึกษ
(7) เป็นผู้เคยต้องรับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุกเพราะ
กระทาความผิดทางอาญาเว้นแต่เป็นโทษสาหรับความผิดที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิด
กา ร
ลหุโทษ
(8) เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากรัฐวิสาหกิจ
เพื่อ
หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
(9) เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก หรือปลดออก เพราะกระทาผิดวินัย ตาม
ิต
นดุส
กฎหมายพระราชบัญญัติน้หี รือตามกฎหมายอื่น
(10) เป็ น ผู้ เ คยถู ก ลงโทษไล่ อ อก เพราะกระท าผิ ด วิ นั ย ตามกฎหมาย
ัยสว
พระราชบัญญัติน้หี รือตามกฎหมายอื่น
(11) เป็ น ผู้ เ คยกระท าการทุ จ ริ ต ในการสอบเข้ า รั บ ราชการ หรื อ เข้ า
ยาล
ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนซึ่งมีลักษณะต้องห้าม
ตาม ข. (4) (6) (7) (8) (9) (10) หรือ (11) ก.พ.อาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้ ส่วนผู้ที่
าวิท
ข้าราชการพลเรือนสามัญมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ต้อง
ไม่กระทบประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน และความต่อเนื่องในการจัดทาบริการ
สาธารณะ และต้องไม่มวี ัตถุประสงค์ทางการเมือง
ประเภทของข้าราชการพลเรือนสามัญ มี 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
(1) ตาแหน่งประเภทบริหาร ได้แก่ ตาแหน่งหัวหน้าส่วนราชการและรองหัวหน้า
ส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และตาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กาหนดเป็นตาแหน่งประเภทบริหาร
"
(2) ตาแหน่งประเภทอานวยการ ได้แก่ ตาแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่ต่ากว่า
่านั้น
ระดับกรม และตาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กาหนดเป็นตาแหน่งประเภทอานวยการ
าเท
(3) ตาแหน่งประเภทวิชาการ ได้แก่ ตาแหน่งที่จาเป็นต้องใช้ผู้สาเร็จการศึกษา
ระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กาหนดเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตาแหน่งนั้น
ศึกษ
(4) ต าแหน่ ง ประเภททั่ ว ไป ได้ แ ก่ ต าแหน่ ง ที่ ไ ม่ ใ ช่ ต าแหน่ ง ประเภทบริ ห าร
ตาแหน่งประเภทอานวยการ และตาแหน่งประเภทวิชาการ ทั้งนี้ ตามที่ ก.พ. กาหนด
กา ร
สาหรับระดับตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีดังต่อไปนี้
(1) ตาแหน่งประเภทบริหาร มีระดับดังต่อไปนี้
เพื่อ
(ก) ระดับต้น
(ข) ระดับสูง
ิต
นดุส
(ข) ระดับสูง
(3) ตาแหน่งประเภทวิชาการ มีระดับดังต่อไปนี้
ยาล
(ก) ระดับปฏิบัติการ
(ข) ระดับชานาญการ
าวิท
(ค) ระดับชานาญการพิเศษ
"มห
(ง) ระดับเชี่ยวชาญ
(จ) ระดับทรงคุณวุฒิ
(4) ตาแหน่งประเภททั่วไป มีระดับดังต่อไปนี้
(ก) ระดับปฏิบัติงาน
(ข) ระดับชานาญงาน
(ค) ระดับอาวุโส
(ง) ระดับทักษะพิเศษ
243
การสรรหา
การสรรหาเพื่อให้ได้บุคคลมาบรรจุเข้ารับราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้
ดารงตาแหน่ง ต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคานึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคล
ดังกล่าว ตลอดจนประโยชน์ของทางราชการ
"
่านั้น
การบรรจุ
าเท
การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดารง
ต าแหน่ ง ใด ให้ บ รรจุ แ ละแต่ง ตั้ ง จากผู้ ส อบแข่ ง ขัน ได้ ใ นต าแหน่ ง นั้ น โดยบรรจุ แ ละแต่ งตั้ง
ศึกษ
ตามล าดั บ ที่ใ นบัญ ชี ผู้ ส อบแข่ งขั นได้ นอกจากนี้ยั งให้มีก ารสับ เปลี่ย นหน้ าที่ ย้ายหรือ โอน
ข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหาร ผู้ใดปฏิบัติหน้าที่เดียวติดต่อกันเป็นเวลานานครบ 4
กา ร
ปี ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการสับเปลี่ยนหน้าที่ ย้าย หรือโอนไปปฏิบัติหน้าที่อ่ืน เว้ นแต่มีความ
เพื่อ
จาเป็นจะขออนุมัติ ครม. ให้คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่เดิมต่อไปได้ไม่เกิน 2 ปี
การทดลองปฏิบัติราชการ
ิต
นดุส
ความดู แ ลของบั ง คั บ บั ญ ชา ถ้ า ผู้ มี อ านาจสั่ ง บรรจุ เห็ น ว่ า ผู้ นั้ น มี ผ ลการประเมิ น ต่ ากว่ า
มาตรฐานที่กาหนด ไม่ควรให้รับราชการต่อไปก็ให้สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการได้ ไม่ว่าจะครบ
ยาล
กาหนดเวลาทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการแล้วหรือไม่ก็ตาม
การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งข้าราชการพลเรือน
าวิท
ในกรณีตาแหน่งข้าราชการพลเรือนว่างลงหรือผู้ดารงตาแหน่งไม่สามารถปฏิบัติ
หน้ า ที่ ไ ด้ และเป็ น กรณี ที่ มิ ไ ด้ บั ญ ญั ติ ไ ว้ ใ นกฎหมายระเบี ย บบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น ให้
ผู้บังคั บ บัญ ชาตามมาตรา 27 มีอานาจสั่งให้ข้าราชการพลเรือนที่เ ห็นสมควรรัก ษาการใน
ตาแหน่งนั้นได้และ ในกรณีที่มเี หตุผลความจาเป็น ผูบ้ ังคับบัญชาตามมาตรา 57 มีอานาจสั่งให้
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ประจาส่วนราชการเป็นการชั่วคราวโดยให้พ้นจากตาแหน่งเดิม
244
การเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติราชการ
1) ให้ส่วนราชการมีหน้าที่ดาเนินการให้มีการเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้าง
แรงจูงใจแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อให้ข้าราชการมีคุณภาพ คุณธรรม และจริยธรรม
คุณภาพชีวิต มีขวัญกาลังใจในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจภาครัฐ
2) ให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้ใต้บังคับบัญชา
เพื่อประกอบการพิจารณาแต่งตัง้ และเลื่อนเงินเดือน
"
่านั้น
การรักษาจรรยาบรรณข้าราชการ
าเท
ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาจรรยาบรรณข้าราชการตามที่ส่วนราชการ
กาหนดไว้ โดยเฉพาะในเรื่องดังต่อไปนี้
ศึกษ
(1) การยึดมั่นและยืนหยัดทาในสิ่งที่ถูกต้อง
(2) ความซื่อสัตย์สุจริตและความรับผิดชอบ
กา ร
(3) การปฏิบัติหน้าที่ดว้ ยความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้
เพื่อ
(4) การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
(5) การมุง่ ผลสัมฤทธิ์ของงาน
ิต
นดุส
วินัยและการรักษาวินัย
1) ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมี
ัยสว
"
มิให้เสื่อมเสีย
่านั้น
(11) กระทาการอื่นใดตามที่กาหนดในกฎ ก.พ.
าเท
ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องไม่กระทาการอันใดอันเป็นข้อห้าม ดังต่อไปนี้ (มาตรา 83)
ศึกษ
(1) ต้องไม่รายงานเท็จต่อผูบ้ ังคับบัญชา
(2) ต้องไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทาการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน
กา ร
(3) ต้องไม่อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยตาแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์
เพื่อ
ให้แก่ตนเองหรือผูอ้ ื่น
(4) ต้องไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ
(5) ต้องไม่กระทาการหรือยอมให้ผู้อื่นกระทาการหาผลประโยชน์อันอาจทาให้เสีย
ิต
นดุส
ความเที่ยงธรรมหรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตาแหน่งหน้าที่ราชการของตน
(6) ต้ อ งไม่ เ ป็ น กรรมการผู้ จั ด การ หรื อ ผู้ จั ด การ หรื อ ด ารงต าแหน่ ง อื่ น ใดที่ มี
ัยสว
ลักษณะงานคล้ายคลึงกันนั้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
(7) ต้องไม่กระทาการอย่างใดที่เป็นการกลั่นแกล้ง กดขี่ หรือข่มเหงในการปฏิบัติ
ยาล
ราชการ
(8) ต้องไม่กระทาการอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศตามที่กาหนดใน
าวิท
กฎ ก.พ.
"มห
"
แก่ราชการอย่างร้ายแรง
่านั้น
(3) ละทิ้งหน้าที่ราชการติด ต่อในคราวเดีย วกั นเป็น เวลาเกิ นสิบ ห้ าวั นโดยไม่ มี
าเท
เหตุผลอันสมควร หรือมีพ ฤติก ารณ์อัน แสดงถึง ความจงใจไม่ป ฏิบัติ ต ามระเบีย บของทาง
ราชการเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
ศึกษ
(4) กระทาการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
(5) ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ ขมเหง หรือทาร้ายประชาชนผู้ติดต่อราชการอย่าง
กา ร
ร้ายแรง
(6) กระทาความผิด อาญาจนได้รับโทษจาคุก หรือโทษที่หนักกว่าจาคุก โดยคา
เพื่อ
วินัยอย่างร้ายแรง
โดยโทษทางวินัยมี 5 สถาน ดังต่อไปนี้
าวิท
(1) ภาคทัณฑ์
"มห
(2) ตัดเงินเดือน
(3) ลดเงินเดือน
(4) ปลดออก
(5) ไล่ออก
247
ในกรณี ที่ ข้ า ราชการพลเรื อ นสามั ญ ผู้ ก ระท าผิ ด วิ นั ย อย่ า งไม่ ร้ า ยแรง ให้
ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดเงินเดือน ตามสมควรแก่กรณีให้เหมาะสม
กับความผิด ถ้ามีเหตุอันควรงดโทษก็ได้ จะงดโทษให้ โดยทาทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าว
ตักเตือนก็ได้
ส่วนข้าราชการพลเรือนสามัญผู้กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาสั่ง
ลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนามา
"
ประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ากว่าปลดออก
่านั้น
นอกจากนีข้ ้าราชการพลเรือนสามัญใดถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
าเท
จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทาความผิดอาญา เว้นแต่
เป็นความผิดที่ได้กระทาโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษอาจสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออก
ศึกษ
จากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาได้
การออกจากราชการ ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการเมื่อ
กา ร
1) ตาย
2) พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ (อายุ 60 ปี
เพื่อ
บริบูรณ์)
3) ลาออกจากราชการและได้รับอนุญาตให้ลาออกหรือการลาออกมีผล
ิต
นดุส
4) ถูกสั่งให้ออก
5) ถูกสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก
ัยสว
การร้องทุกข์
1) ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดมีความคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติ หน้ าที่
หรือปฏิบัติตอ่ ตนของผู้บังคับบัญชาผูน้ ั้น อาจร้องทุกข์ได้
2) การร้องทุกข์ที่เหตุเกิดจากผูบ้ ังคับบัญชา ให้ร้องทุกข์ตอ่ ผูบ้ ังคับบัญชาเหนือขึน้ ไป
3) การพิจารณาเรื่องร้องทุกข์เหตุเกิดจากหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่ขึ้นต่อ
นรม. รมต. ปลัดกระทรวง รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือ นรม. ให้รอ้ งทุกข์ตอ่ ก.พ.ค.
"
่านั้น
4) ก.พ.ค. มีอานาจไม่รับเรื่องร้องทุกข์ หรือพิจารณาวินจิ ฉัยเรื่องร้องทุกข์ ได้
าเท
ข้าราชการพลเรือนในพระองค์
สาหรับการแต่งตั้งและการให้ข้าราชการพลเรือนในพระองค์พ้นจากตาแหน่งให้
ศึกษ
เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
กา ร
สรุป
เพื่อ
ระบบบริหารงานบุค ลากรภาครัฐสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ บุคลากรของรัฐวิสาหกิจ บุคลากรขององค์การมหาชน
ิต
พนักงานของรัฐในส่วนราชการ โดยปัจจุบันมีประเภทขององค์กรภาครัฐหรือองค์กรที่ใช้อานาจ
นดุส
ของรัฐมีความหลากหลายเพื่อการตอบสนองต่อภารกิจต่างๆมากขึ้น ส่งผลทาให้เกิดประเภท
ของบุคลากรที่สังกัดในองค์กรประเภทต่างๆมีความหลากหลายโดยขึ้นอยู่กับระเบียบของแต่
ัยสว
องค์กรที่จัดตั้งขึ้น ในบทนี้ได้ยกประเด็นสาคัญของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
ยาล
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 11
"มห
1. ให้นักศึกษาอธิบายถึงลักษณะของข้าราชการประเภทต่างๆ
2. ให้นักศึกษาอธิบายถึงลักษณะที่สาคัญและความแตกต่างของข้าราชการและ
พนักงานราชการ
3. ให้นักศึกษาอธิบายถึงลักษณะของพนักงานมหาวิทยาลัย
4. ให้นักศึกษาอธิบายถึงลักษณะของพนักงานศาลปกครอง
5. สรุปสาระสาคัญของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
249
เอกสารอ้างอิง
"
่านั้น
จินตนา บุญบงการ, 2539, การสร้างจิตสานึกการให้บริการกับการปรับปรุงบริการภาครัฐ,
คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
าเท
ฉลอง สุสังกรณ์กาญจน์ และอภิชัย พันธเสน, 2539, ภาคราชการกับอนาคตการพัฒนา
ศึกษ
ประเทศ, มูลนิธิชัยพัฒนาและมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ชาญชัย แสวงศักดิ์, 2540, การปรับปรุงองค์การภาครัฐ : การควบคุมและการตรวจสอบการ
กา ร
ใช้อานาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ, คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
ลิขติ ธีรเวคิน, 2539, แนวปฏิบัติของข้าราชการในยุคสมัยแห่งการปรับปรุงบริการภาครัฐเพื่อ
เพื่อ
ประชาชน, คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
สมาน รังสิโยกฤษฎ์, 2541, ความรูท้ ั่วไปเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล, สวัสดิการสานักงาน
ิต
ก.พ.
นดุส
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
บทที่ 12
กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน
"
สรศักดิ์ มั่นศิลป์
่านั้น
กฎหมายที่เกี่ ย วข้องกั บ เกี่ย วกั บ การบริหารราชการแผ่นดินของหน่วยงานและ
าเท
เจ้าหน้าที่มีหลายฉบับแต่ที่สาคัญ ที่จะขอยกตัวอย่างในบทนี้ได้แก่ พระราชบัญ ญั ติวิธีปฏิบัติ
ศึกษ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 พระราชบัญ ญั ติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดี
ปกครอง พ.ศ.2542 และ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เป็น
กา ร
ต้น ซึ่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฎิบัติ
ราชการทางตั้ งแต่ ก ระบวนการออกค าสั่ งทางปกครอง การออกกฎ และการอุ ท ธรณ์ ต่ อ
เพื่อ
"
7. การบังคับทางปกครอง (ม.55 - ม.63)
่านั้น
8. ระยะเวลาและอายุความ (ม.64 - ม.67)
าเท
9. การแจ้งคาสั่งทางปกครอง (ม.68- ม.74)
ศึกษ
ตัวอย่างคาวินิจฉัยของศาลปกครอง
กรณีเกี่ยวกับคาสั่งทางปกครอง
กา ร
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 186/2559
เพื่อ
กรณีฟ้องว่า ผูฟ้ ้องคดีได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างและดัดแปลงอาคาร เพื่อใช้เป็น
ที่พักอาศัยบนที่ดินมีโฉนด ผู้ฟ้องคดีจึงได้ทาการก่อสร้างและดัดแปลงอาคารตามใบอนุญาต
ิต
ดังกล่าวซึ่งต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคาพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาตนายกเทศมนตรีนคร
นดุส
ปากเกร็ ด (ผู้ ถู ก ฟ้ อ งคดี ที่ 2) จึ ง มี ค าสั่ งให้ ผู้ ฟ้ อ งคดี ด าเนิ น การแก้ ไ ขและ ให้ ยื่ น ค าขอรั บ
ใบอนุญาตก่อสร้างดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารหรือดาเนินการแจ้ง ตามมาตรา -
ัยสว
ความเสียหายอันเนื่องจากการเสียค่าใช้จ่ายไปเป็นค่าก่อสร้างอาคาร และค่าใช้จ่ายในการรื้อ
าวิท
"
เดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่อธิการบดี มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) มี
่านั้น
คาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินผลการสอน ของผู้เสนอขอตาแหน่งทางวิชาการ ระดับรอง
าเท
ศาสตราจารย์ของผู้ฟ้องคดี โดยไม่ถูกต้อง ตามระเบียบคณะกรรมการการอุดมศึกษาว่าด้วย
มาตรฐานหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้ง คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนห์ดารงตาแหน่ง
ศึกษ
ทางวิ ช าการ (ฉบั บ ที่ 3) พ.ศ. 2550 ขอให้ ศ าลมี ค าพิ พ ากษาหรื อ ค าสั่ ง ให้ เพิ ก ถอนค าสั่ ง
ดังกล่าว และกาหนดเงื่อนไขในการแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการประเมินการสอนให้ถูกต้องตาม
กา ร
กฎหมาย กรณี จึ งเป็ น คดี พิ พ าทเกี่ ย วกั บ การที่ เจ้า หน้ าที่ ข องรัฐ ออกค าสั่ งโดยไม่ ช อบด้ ว ย
กฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
เพื่อ
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 250/2558
กรณีที่ตารวจภูธรภาค 5 ได้มีคาสั่ง ลงวันที่ 30 มีนาคม 2554 แต่งตั้ง ผู้ฟ้อง
ิต
นดุส
คดี เป็ น ข้ าราชการต ารวจชั้น สั ญ ญาบั ตร ตาแหน่ งรองสารวัต รป้ อ งกั น ปราบปราม สถานี
ตารวจภู ธ รจุน จังหวั ด พะเยา ตั้ งแต่วัน ที่ 31 มีน าคม 2554 เป็ น ต้น ไป แต่ผู้ ฟ้ อ งคดี เห็ น ว่า
ัยสว
คาสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งอยู่ในอานาจพิจารณาพิพากษา ของศาลปกครองตามมาตรา
"มห
"
จังหวัดอุบลราชธานีเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มดังกล่าว ตามข้อ 39 (4) ของ
่านั้น
ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินบาเหน็จบานาญข้าราชการ ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2546 ผู้
าเท
ฟ้องคดีเห็นว่า การจ่ายเงินบานาญปกติโดยไม่จ่ายเงินเพิ่มดังกล่าว ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงนา
คดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสั่งให้เพิกถอนหนังสือ ตอบข้อหารือของกรมส่งเสริ ม
ศึกษ
การปกครองท้องถิ่น (ผู้ถูกฟ้องคดี) ที่มีถึงผู้ว่าราชการจังหวัด อุบลราชธานี ซึ่งหนังสือตอบข้อ
หารือดังกล่าวมิใช่คาสั่งทางปกครองที่ผู้ฟ้องคดีจะนามาฟ้อง ขอให้ศาลเพิกถอนได้แต่อย่างใด (
กา ร
สานักงานศาลปกครอง, 2560, น. 32)
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 655/2545
เพื่อ
การตอบข้อหารือของกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินประจาตาแหน่
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 697/2559
ิต
นดุส
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 262/2552
หนังสือเรียกให้เจ้าหน้าที่คืนเงินเดือน ค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ไปราชการที่ได้รับ ไปโดยไม่มีสิทธิ มิใช่เป็นการใช้อานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐออก
คาสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 แต่เป็น
การใช้สิทธิเรียกเงินที่มีลักษณะเป็นลาภมิควรได้ตามมาตรา 406 ปพพ. จึงเป็นเพียงหนังสือ
ทวงถามให้ชาระเงินเท่านั้น
255
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 109/2559
กรณีฟ้องว่า ผูฟ้ ้องคดีได้ทาสัญญาเงินกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคาร ก. (ผูถ้ ูก
ฟ้องคดีที่ 4) และต่อมา ได้ยื่นเรื่องขอไถ่ถอนหลักประกันคืน ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ได้แจ้งยอดไถ่
ถอนหลักประกัน รวมเป็นเงินจานวน 1,609,956.34 บาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่า จานวนเงินที่ตอ้ ง
ใช้ไถ่ ถ อนไม่ถู ก ต้องจึงแจ้งให้ผู้ถู ก ฟ้องคดีที่ 4 ตรวจสอบ และต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้มีหนั งสือ
ร้องเรียนต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ผูถ้ ูกฟ้องคดีที่ 1) ให้ตรวจสอบ รายการชาระหนี้และการ
"
คิดดอกเบี้ยสินเชื่อในกรณี นี้ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และ
่านั้น
ผูอ้ านวยการศูนย์คุ้มครองผูใ้ ช้บริการทางการเงินธนาคาร แห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือลงวันที่
าเท
16 มิถุนายน 2557 แจ้งผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้สง่ เรื่องของผู้ฟ้องคดีให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4
ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อได้ผลเป็นประการใด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 จะแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบ
ศึกษ
โดยตรงต่อไป ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าหนังสือดังกล่าว เป็นคาสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ขอให้ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสั่งเพิกถอน คาสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามหนังสือดังกล่าว เห็น
กา ร
ว่า หนังสือดังกล่าวเป็นการแจ้งให้ผู้ฟ้องคดี ทราบว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ส่งเรื่องให้ผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ 4 ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อได้ผล เป็นประการใด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 จะแจ้งให้ผู้ฟ้องคดี
เพื่อ
เป็นเพียงการดาเนินการดาเนินการตามขั้นตอนภายในของหน่วยงานทางปกครองก่อนมีคาสั่ง
"มห
ทางปกครอง
คาสั่งทางปกครองสูงสุดที่ 236/2551
การออกค าสั่ งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
เป็นเพียงวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง กล่าวคือ คณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย ซึ่ง
เป็นเจ้าหน้าที่จะดาเนินการสอบสวนความผิดวินัยอย่างร้ายแรงต่อผู้ฟ้องคดี เพื่อจัดให้มีคาสั่ง
ทางปกครองตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งผลการ
256
"
่านั้น
อาเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2555 เป็นพระราชกฤษฎีกา ที่ตราขึ้นโดยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสั่งให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกา ฉบับดังกล่าว เป็น
าเท
คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดย ความเห็นชอบของ
คณะรัฐมนตรี อันอยู่ในอานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ตามมาตรา 11 (2) แห่ง
ศึกษ
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ (สานักงานศาลปกครอง, 2560, น. 15)
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด 13 / 2559 กา ร
กรณี ฟ้ อ งขอให้ ศ าลเพิ ก ถอนมาตรา 7 แห่ ง พระราชกฤษฎี ก า ค่ า เช่ า บ้ า น
ข้าราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และให้ตรามาตรา 7 ใหม่ โดยให้มีผลใช้บังคับ กับข้าราชการ
เพื่อ
ที่ได้รับคาสั่งให้เดินทางไปประจาสานักงานในต่างท้องที่ที่บรรจุเข้ารับราชการ ครั้งแรกก่อนที่
พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ โดยให้มีสิทธิเช่นเดียวกับข้าราชการที่ได้รับคาสั่ง ให้เดินทาง
ิต
นดุส
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด 18 / 2559
"มห
"
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และโดยที่กฎกระทรวงดังกล่ าวเป็นกฎที่รัฐมนตรีว่าการ
่านั้น
กระทรวงการคลังออกโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี คดีน้จี ึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอานาจ
าเท
พิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดตามมาตรา 11 (2) แห่งพระราชบัญ ญัติ เดียวกัน (
สานักงานศาลปกครอง, 2560, น. 16)
ศึกษ
คาสั่งศาลปกครองสูงสุด 120 / 2548
ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยลูกจ้างประจา พ.ศ.2541 ที่กาหนดให้ผู้ที่จะ
กา ร
เข้ารับราชการเป็นลูกจ้างประจาของกระทรวงกลาโหมต้องไม่เป็นผู้ดารงตาแหน่งกานันแพทย์
ประจ าต าบล สารวั ต รก านั น ผู้ ใ หญ่ บ้ า น และผู้ ช่ ว ยผู้ ใ หญ่ บ้ า น และลู ก จ้ า งประจ า
เพื่อ
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 79/2552
ข้ อ บั ง คั บ มหาวิ ท ยาลั ย รามค าแหงว่ า ด้ ว ยหลั ก เกณฑ์ และวิ ธี ก ารสรรหา
ัยสว
วินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติใช้อานาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
การป้องกั นและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ในการออกกฎ คาสั่ง หรือมติใด ๆ ที่ มี
ผลกระทบต่ อ บุ ค คล อั น เป็ น การใช้ อ านาจตามกฎหมายระดั บ พระราชบั ญ ญั ติ นั้ น
คณะกรรมการป้ อ งกั น และปราบปรามการทุ จ ริ ต แห่ งชาติ มี ฐ านะเป็ น คณะกรรมการที่ มี
กฎหมาย ให้ อ านาจในการออกกฎ ค าสั่ ง หรื อ มติ ใ ด ๆ ที่ มี ผ ลกระทบต่ อ บุ ค คล จึ ง เป็ น
"
เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
่านั้น
กรณีวินิจฉัยว่าไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
าเท
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 454/2559
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เป็นคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะ
ศึกษ
รักษา ความสงบแห่งชาติตามบทบัญญัติมาตรา 39/1 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558 เพื่อทาหน้าที่
กา ร
จัดทาร่างรัฐธรรมนูญและหน้าที่อื่นตามที่กาหนดในรัฐธรรมนูญเท่านั้น การปฏิบัติหน้าที่ ของ
คณะกรรมการรร่างรัฐธรรมนูญในการจัดทาร่างรัฐธรรมนูญ จึ งไม่ใช้การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ
เพื่อ
กลาง
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ 267 -269/2553
าวิท
มู ล นิ ธิ ดั ง กล่ า วร้ อ งเรี ย นเรื่ อ งแพทย์ แ ละโรงพยาบาลแห่ ง หนึ่ ง เกี่ ย วกั บ มาตรฐานการ
รักษาพยาบาล ต่อมานายแพทย์ ก ได้เป็นกรรมการแพทย์สอบสวนในเรื่องดังกล่าว และได้ให้
ความเห็นต่อสื่อมวลชนในลั กษณะพาดพิงและปรปักษ์กั บคู่ก รณี เช่นนี้ถือว่านายแพทย์เป็น
คู่ก รณี โดยตรงตามมาตรา 13 (1) และมี เหตุซึ่ งมี สภาพร้ายแรงอั นอาจท าให้ การพิ จารณาทาง
ปกครองไม่เป็นกลาง ตามมาตรา 16
259
กรณีสิทธิท่ีจะได้รับการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ท่มี ีอานาจตามกฎหมายและ
มีความเป็นกลาง
คาพิพากษาศาลปกครอง 262/2552
นายกเทศมนตรี เป็ น เจ้ าพนั ก งานท้ อ งถิ่ น ตามพระราชบั ญ ญั ติ รั ก ษาความ
สะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 ได้ออกประกาศเรื่องการจัด
ระเบียบผู้ประกอบการค้าบนทางเท้าในเขตเทศบาลเมือง นายกเทศมนตรี จึงมีอานาจสั่งให้ผู้ค้า
"
่านั้น
ขายรื้อถอนสิ่งของหรือสินค้าที่ตั้งวางโดยฝ่าฝืนได้ภายในเวลาที่ก าหนด ตักเตือนหรือสั่งให้
แก้ ไขหรือขจัด ความสกปรกหรือความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยดังกล่าวให้หมดไปและเมื่อผู้
าเท
ค้าขายละเลยหรือเพิกเฉยหรือไม่เชื่อฟังคาตักเตือน นายกเทศมนตรีมีอานาจจับกุมผู้ค้าขาย
พร้อมด้วยเครื่องมือหรือสั่งของที่ใช้ในการกระทาความผิดเพื่อดาเนินการตามกฎหมายได้ ทั้งนี้
ศึกษ
ตามมาตรา 39 วรรคสอง มาตรา 44 และมาตรา 50 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญ ญั ติ รัก ษา
ความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 การที่นายกเทศมนตรี
กา ร
มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของเทศบาลดาเนินการรื้อถอนสิ่งของและสินค้าของผูค้ ้าเฉพาะที่ตั้งวาง
เพื่อ
นอกแนวเขตที่ประกาศกาหนดหรือที่อนุญ าตและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามคาสั่งดังกล่าว จึงเป็น
การกระทาที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดต่อผูค้ ้า
กรณีสิทธิในการรับทราบข้อเท็จจริงและโต้แย้งพยานหลักฐาน
ิต
นดุส
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 36/2547
นายกเทศมนตรีตาบลชมพูมีคาสั่งห้ามผู้ฟ้องคดีใช้อาคารพิพาทและให้ร้ือถอน
ัยสว
กรณีท่ไี ม่ถือว่าเป็นอุทธรณ์
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 236/2546
คู่กรณีได้อุทธรณ์ด้วยวาจา
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 12 /2546
หนังสือขอความเป็นธรรมในลักษณะทวงสัญญาหรือสอบถามข้อเท็จจริง ขอ
ทราบเหตุผลการนับเวลาสาหรับคานวณบานาญและมีหนังสือขอความเป็นธรรม
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 391/2545
260
สาระสาคัญของพระราชบัญญัตจิ ัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดี
ปกครอง พ.ศ.2542
"
เหตุ ผ ลในการประกาศใช้ พ ระราชบั ญ ญั ติ ฉ บั บ นี้ คื อ โดยที่ รั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง
่านั้น
ราชอาณาจักรไทยได้ บัญญัติให้จัดตั้งศาลปกครองขึ้น เพื่อให้มีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีที่
มีข้อพิพาททางกฎหมายปกครองระหว่างเอกชนกับหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือ
าเท
ระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน เกี่ยวกับการกระทาหรือการละเว้นการ
ศึกษ
กระท าที่หน่ วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเนื่องจากการ
กระทาหรือการละเว้นการกระทาที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับผิดชอบในการ
กา ร
ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งตามอานาจหน้าที่ของศาลปกครองดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง
กับการออกกฎหรือคาสั่ งทางปกครอง การกระทาละเมิดในทางปกครอง หรือการทาสัญญา
เพื่อ
ทางปกครอง อันเป็นเรื่องของกฎหมายมหาชน และโดยที่ระบบการพิจารณาและพิพากษาคดี
จาเป็นต้องมีกระบวนการเป็นพิเศษต่างจากคดีปกติทั่ว ๆ ไป เพราะผลแห่งคาพิพากษาอาจ
ิต
กระทบถึงการบริหารราชการแผ่นดิน หรือต้องจ่ายเงินภาษีอากรของส่วนรวมเป็นค่าชดเชย
นดุส
หรือค่าเสียหายแก่เอกชน ในขณะเดียวกันเอกชนจะอยู่ในฐานะเสียเปรียบที่ไม่อาจทราบข้อมูล
จากหน่ วยงานของรัฐ ได้ ในการพิ จารณาจึงจาเป็น ต้อ งใช้ระบบไต่สวนเพื่ อหาข้อเท็จจริงที่
ัยสว
แท้จริง และต้องมีตุลาการที่มีความเชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากฝ่าย
ยาล
เป็ น ไปตามเจตนารมณ์ ของรั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณ าจั ก รไทย จึ ง จ าเป็ น ต้ อ งตรา
พระราชบัญญัติน้ี
"มห
261
โครงสร้างเนื้อหา มีสาระสาคัญดังนี้
เรื่องทั่วไปและนิยาม มาตรา 1 ถึง มาตรา 6
หมวด 1 การจัดตัง้ และเขตอานาจศาลปกครอง มาตรา 7 ถึง มาตรา 11
หมวด 2 ตุลาการศาลปกครอง มาตรา 12 ถึงมาตรา 34
หมวด 3 คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง มาตรา 35 ถึงมาตรา 41
หมวด 4 วิธีพิจารณาคดีปกครอง
"
่านั้น
ส่วนที่ 1 การฟ้องคดีปกครอง มาตรา 42 ถึงมาตรา 53
ส่วนที่ 2 การดาเนินคดีปกครอง มาตรา 54 ถึงมาตรา 66
าเท
ส่วนที่ 3 คาพิพากษาหรือคาสั่งคดีปกครอง มาตรา 67 ถึงมาตรา 75
ศึกษ
หมวด 5 สานักงานศาลปกครอง มาตรา 76 ถึงมาตรา 93
บทเฉพาะกาล กา ร มาตรา 94 ถึงมาตรา 107
เกี่ยวกับวิธีพิจารณาของศาลปกครอง
ัยสว
ตัวอย่างคาวินิจฉัยของศาลปกครอง
ยาล
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 348/2550
ข้ อ บั ญ ญั ติ อ งค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นจั ง หวั ด อุ ด รธานี (ชั่ ว คราว) เรื่ อ ง ก าหนด
ค่ าตอบแทนการใช้ ที่ ดิ นของรัฐ พ.ศ.2548 ข้อบั ญ ญั ติ องค์ ก ารบริ หารส่ วนจั งหวัด อุ ดรธานี
(ชั่วคราว) เรื่อง การเก็บภาษีบารุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2548 มีผลบังคับ
เป็นการทั่วไป จึงเป็นกฎตาม มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองวิธีพิจารณาคดี
ปกครอง พ.ศ.2542
"
่านั้น
กรณีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2)
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 67/2559
าเท
กรณีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของอาคารตั้งอยู่ซอยร่วมฤดี เขตปทุมวัน ได้มี
หนังสือถึงผู้อานวยการเขตปทุมวัน (ผูถ้ ูกฟ้องคดีที่ 1) และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูก
ศึกษ
ฟ้องคดีที่ 2) ให้ดาเนินการกับผู้รุกล้าเขตทางสาธารณประโยชน์ตลอดซอยร่ วมฤดี ภายใน 30
วั น นั บ แต่ วั น ที่ ไ ด้ รั บ หนั ง สื อ แต่ ผู้ ถู ก ฟ้ อ งคดี ทั้ ง สองไม่ ไ ด้ ด าเนิ น การหรื อ มี ห นั ง สื อ แจ้ ง
กา ร
เหตุขัดข้องให้ผู้ฟ้องคดีทราบ จึงนาคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี
ทั้งสองปฏิบัติตามอานาจหน้ าที่ในการรักษาเขตทางสาธารณประโยชน์ และเรียกคืน เขตทาง
เพื่อ
สาธารณประโยชน์ เ พื่ อ ให้ ป ระชาชนได้ ใ ช้ ป ระโยชน์ ร่ ว มกั น เป็ น คดี พิ พ าทเกี่ ย วกั บ การที่
เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง
ิต
นดุส
ฟ้อ งคดี จึ งนาคดี มาฟ้ องขอให้ศ าลมีค าพิ พ ากษาหรือค าสั่ งให้ผู้ ถู ก ฟ้ องคดีต รวจสอบ และ
"มห
ด าเนิ น คดี กั บ มหาวิท ยาลั ย ห. นั้ น เป็ น กรณี ที่ ผู้ ฟ้ อ งคดี ฟ้ อ งว่ าผู้ ถู ก ฟ้ อ งคดี ใ นฐานะ นาย
ทะเบียนตามพระราชบัญญัติหอพักฯ ซึ่งมีหน้าที่ตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าว
ในการตรวจตราควบคุม และมีอานาจสั่งให้เจ้าของหอพักหรือผูจ้ ัดการหอพักจัดการ หรือแก้ไข
หอพัก หรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ภายใน กาหนดเวลาที่
นายทะเบียนเห็นสมควรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติ เดียวกัน ละเลยต่อ
หน้าที่ดังกล่าว จึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญ ญัติ จัดตั้งศาล
ปกครองฯ (สานักงานศาลปกครอง, 2560, น. 40)
263
"
่านั้น
ส านั ก ทะเบี ย นราษฎรอ าเภอเชี ย งของ (ผู้ ถู ก ฟ้ อ งคดี ที่ 5) ได้ รั บ แจ้ ง การตายไว้ ผู้ ฟ้ อ งคดี
พยายามขอเพิ่มชื่อลงในทะเบียนบ้านและขอทาบัตรประจาตัวประชาชนกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 มา
าเท
โดยตลอด จนกระทั่งวันที่ 7 เมษายน 2554 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 จึงดาเนินการตรวจพยานเอกสาร
และพยานบุคคลจนเป็นที่ชัดแจ้งว่า ผูฟ้ ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิตามคาขอดังกล่าว และได้อนุญาต ให้
ศึกษ
เพิ่ ม ชื่ อ ผู้ ฟ้ อ งคดี ล งในทะเบี ย นบ้ า นเมื่ อ วั น ที่ 16 มิ ถุ น ายน 2554 และท าบั ต รประจ าตั ว
ประชาชนใหม่ให้แกผู้ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2554 ผูฟ้ ้องคดีจงึ นาคดีมาฟ้องขอให้ศาล มี
กา ร
คาพิพากษาหรือคาสั่งให้ผถู้ ูกฟ้องคดีทั้งห้าชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผฟู้ ้องคดี นั้น การกระทา ของ
ผูถ้ ูกฟ้องคดีทั้งห้าเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ฟ้องคดี ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่
เพื่อ
ควรจะได้ รับ เงิน เพิ่ ม ขึ้น อี ก จ านวน 85,572 บาท ผู้ ฟ้ อ งคดี จึ งน าคดี ม าฟ้ องขอให้ ศ าล มี ค า
"มห
"
่านั้น
ภารกิจให้บริการทางการศึกษาของสถาบันราชภัฏสวนดุสิต จึงถือว่าเป็นสัญญาที่ให้เอกชนเข้า
ดาเนินการหรือเข้าร่วมดาเนินงานบริการสาธารณะอันเป็นสัญ ญาทางปกครองตามาตรา 3
าเท
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 848/2548
ศึกษ
สัญญาที่เมืองพัทยาว่าจ้างเอกชนให้ดาเนินการจัดเก็บขยะมูลฝอย มีลักษณะ
เป็ น สั ญ ญาที่ ใ ห้ จั ด ท าบริ ก ารสาธารณะจึ ง เป็ น สั ญ ญาทางปกครองตามาตรา 3 แห่ ง
กา ร
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 252/2559
เพื่อ
คดีทั้งเจ็ดสิบเก้าเช่าที่ดินตามสัญญาเช่าที่ดินเพื่อจาหน่ายสินค้าบริเวณตลาดนัดจตุจักร อัน
เป็นการดาเนินการในลักษณะธุรกิจการค้า มุ่งแสวงหากาไร สัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจึงมิได้ มี
ัยสว
กรณีกรมเจ้าท่าฟ้องขอให้ศาลมีคาสั่งให้ผู้ที่บุกรุกพื้นที่สาธารณประโยชน์และ
"มห
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 351/2552
กรณีนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร้องขอให้ศาลปกครองมีคาสั่งจับกุม
และกักขังผู้ที่ต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น เนื่องจากผู้ถูกร้องมิได้
ดาเนินการรื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมดังกล่าวตามคาสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น
(หมายเหตุ เป็นกรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นอาศัยอานาจตามมาตรา 43 วรรค
หนึ่ง(1) แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ฟ้องขอให้จับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติ
"
ตามคาสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น)
่านั้น
กรณีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (6)
าเท
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 25-26/2559
กรณีที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย (ผู้ร้อง) ร้องขอให้ศาลมีคาพิพากษา หรือ
ศึกษ
ค าสั่ งเพิก ถอนค าชี้ขาดของอนุญ าโตตุลาการที่สืบ เนื่องจากข้อพิพาทตามสัญ ญาจ้างเหมา
สร้างปั่นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าชนิดเดินบนราง ระหว่างผู้ร้องกับบริษัท ท. (ผู้คัดค้านที่ 1) และ
กา ร
บริษัท P. (ผู้คัดค้านที่ 2) และกรณีที่ผู้คัดค้านทั้งสองร้องขอให้ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสั่ง ให้
บังคับตามคาชีข้ าดดังกล่าว เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกาหนดให้อยู่ใน เขตอานาจ
เพื่อ
(1) การดาเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร
(2) การดาเนินการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ยาล
ข้าราชการฝ่ายตุลาการ
(3) คดีที่อยู่ในอานาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษี
าวิท
พิเศษอื่น
การดาเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร
การด าเนินการเกี่ย วกั บ วินัย ทหาร ตามมมาตรา 9 (1) แห่งพระราชบัญ ญั ติ
จัดตั้งศาลปกครองและวิธีคดีปกครอง พ.ศ.2542 ได้บัญญัติชัดเจนว่าไม่อยู่ในอานาจของศาล
ปกครอง
266
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 687/2546
คาสั่งให้ถอดยศและปลดนายทหารชั้นประทวนออกจากประจาการเป็นการ
ดาเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 223/2547
คาสั่งของกองทัพอากาศที่ สั่งพักราชการข้าราชการทหาร เป็นการดาเนินการ
ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการทหารพักราชการ พ.ศ.2528 ซึ่งถือ
"
ได้ว่าเป็นคาสั่งเพื่อการดาเนินการเกี่ยวกับวินัยทหารการยื่นฟ้องคดีเพื่อขอให้เพิกถอนคาสั่ง
่านั้น
ดั งกล่ าวจึ งเป็ น กรณี ที่ ไ ม่ อ ยู่ ในอ านาจของศาลปกครองที่ จ ะพิ จ ารณาพิ พ ากษาได้ ต ามนั ย
าเท
มาตรา 9 วรรคสอง (1) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ
การด าเนิ น การขอคณะกรรมการตุ ล าการตามกฎหมายว่ า ด้ ว ยระเบี ย บ
ศึกษ
ข้าราชการฝ่ายตุลาการ
การดาเนินของคณะการการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ
กา ร
ฝ่ายตุลาการไม่อยู่ในอานาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตามนัย มาตรา 9 วรรค
สอง (2) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ
เพื่อ
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 18/2550
กรณีฟ้องขอให้ศาลมีคาพิพากษาหรือมีคาสั่งให้ประธานศาลฎีกาดาเนินการ
ิต
นดุส
สอบสวนการกระทาตามหน้าที่ของผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ซึ่งการดาเนินการในขั้นสุดท้ายต้อง
เข้ า สู่ ก ารพิ จ ารณาของคณะกรรมการตุ ล าการ จึ ง เป็ น เรื่ อ งเกี่ ย วกั บ การด าเนิ น การของ
ัยสว
คณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ จึงไม่อยู่ในอานาจ
ศาลปกครอง ตามมาตรา 9 วรรคสอง (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
ยาล
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 116/2544
การด าเนิ น งานของคณะกรรมการตุ ล าการศาลยุ ติ ธ รรมในการสอบสวน
าวิท
เจ้าหน้าที่และผู้พิพากษาที่ประพฤติมิชอบในการขายทอดตลาด เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วย
"มห
ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม กรณีฟ้องว่าคณะกรรมการศาลยุติธรรมละเลย
ต่ อ หน้ าที่ แ ละปฏิ บั ติ ห น้ าที่ ล่ าช้ าในเรื่อ งดั งกล่ าว จึ งไม่ อ ยู่ ในอ านาจของศาลปกครองที่ จ ะ
พิจารณาพิพากษาตามมาตรา 9 วรรคสอง (2) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ
คดีที่อยู่ในอานาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลล้มละลาย หรือศาลชานัญพิเศษอื่น
คาสั่ง
267
"
บุคคลสูงเกินไป ขอให้ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสั่งให้งดหรือลดเบี้ยปรับภาษีเงินได้นิติบุคคล
่านั้น
แม้ข้อพิพาทดัง กล่าวจะเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับคาสั่งทางปกครองก็ตาม แต่มาตรา 9 วรรค
าเท
สอง (3) แห่งพระราชบัญ ญั ติจัดตั้งศาลปกครองฯ บัญญั ติยกเว้นอานาจของศาลปกครองไว้
โดยบัญญัติ ให้อยู่ในอานาจของศาลภาษีอากร ซึ่งศาลภาษีอากรมีอานาจพิจารณาข้อพิพาท
ศึกษ
ดังกล่าว ตามมาตรา 7 (1) แห่งพระราชบัญญั ติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษี
อากร พ.ศ. 2528 คดีจงึ ไม่อยู่ในอานาจศาลปกครอง (สานักงานศาลปกครอง, 2560, น. 66)
กา ร
ศาลปกครองสูงสุดที่ 641/2546
คดีพิพาทเกี่ยวกับการจ่ายเงินทดแทนกองทุนประกันสังคม อยู่ในอานาจศาล
เพื่อ
แรงงาน
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 561/2548
ิต
นดุส
การกล่าวอ้างว่าการออกใบสาคัญการสมรสไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิก
ถอนใบสาคัญการสมรส มีผลเท่ากับขอให้เพิกถอนการสมรสโดยกล่าวอ้างว่าการสมรสไม่ชอบ
ัยสว
ด้วยกฎหมาย จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวซึ่งอยู่ในอานาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชน
และครอบครัวตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญั ติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯไม่อยู่ใน
ยาล
กรณีกรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากผู้ฟ้องคดีแต่ผู้ฟ้อง
"มห
คดีมิได้ชาระภาษีอากรให้เสร็จสิ้นจึงถือว่าเป็นภาษีอากรค้าง กรมสรรพากรจึงได้ใช้อานาจ
บังคับชาระหนี้ โดยผู้ฟ้องคดีโต้แย้งว่าไม่ต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรที่ขาดอายุความแล้วและ
กรมสรรพากรไม่มี อานาจบั งคั บ ชาระหนี้ภาษี อากร นั้นถือได้ว่าเป็นข้อพิ พาทเกี่ย วกั บ สิท ธิ
เรีย กร้องของรัฐในหนี้ภาษีอากร ซึ่งอยู่ในอานาจพิจ ารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรตาม
มาตรา 7 (2) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรฯไม่อยู่ในอานาจศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรค
สอง(3) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ
268
กรณีผู้มีสิทธิฟ้องคดีปกครอง
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 143/2545
แม้เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะได้มีคาสั่งให้เจ้าของอาคารที่กระทาการฝ่าฝืนกฎหมาย
ว่าด้วยการควบคุมอาคารทาการรื้อถอนอาคารที่ไม่ถูกต้องนั้นแล้ว แต่เมื่อระยะเวลาได้ล่วงพ้นไป
พอสมควร บุ ค คลดั งกล่ าวยั งไม่ ร้ื อ ถอนอาคารตามค าสั่ ง และเจ้ าพนั ก งานท้ องถิ่ นก็ ยั งไม่
ดาเนินการรื้อถอนอาคารดังกล่าว อาจถือได้ว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร
"
่านั้น
ผูฟ้ ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าของอาคารที่อยู่ติดกับอาคารจึงเป็นผูเ้ ดือดร้อนหรือเสียหายที่มสี ิทธิฟ้องคดี
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 408/2550
าเท
บริษัทประกันภัยผู้รับช่วงสิทธิตามสัญญาประกันภัย โดยได้ซ่อมแซมรถยนต์คัน
ที่ เอาประกั นภั ย ซึ่ งตกลงไปในท่ อระบายน้ า ย่ อมเข้ารับ ช่วงสิ ท ธิจากผู้ เอาประกั นภั ยในการ
ศึกษ
เรียกร้องค่าเสียหายจากรมทางหลวง เนื่องจากไม่ดูแลรักษาตรวจตราปิดฝาท่อระบายน้าในเขต
ทางหลวงให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย จึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการกระท า
กา ร
ละเมิดของกรมทางหลวง
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 104/2545
เพื่อ
เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
ัยสว
สาระสาคัญของพระราชบัญญัตคิ วามรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
ยาล
พ.ศ.2539
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ การที่เจ้าหน้าที่ดาเนินกิจการ
าวิท
"
โดยไม่รอบคอบอยู่แล้ว ดั งนั้น จึงสมควรก าหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องรับ ผิดทางละเมิดในการ
่านั้น
ปฏิบัติงานในหน้าที่เฉพาะเมื่อเป็นการจงใจกระทาเพื่อการเฉพาะตัว หรือจงใจให้เกิดความ
าเท
เสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น และให้แบ่งแยกความรับผิดของแต่ละคนมิให้
นาหลักลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการ
ศึกษ
ปฏิบัติงานของรัฐ จึงจาเป็นต้องตราพระราชบัญญัติน้ี
โครงสร้างเนื้อหา
กา ร
มีตัวบทมาตรา อยู่ 15 มาตรา ซึ่งเป็ นกฎหมายที่เกี่ยวกับ การการคุ้มครอง
เพื่อ
การทางานของเจ้าหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากการดาเนินกิจการต่างๆ ตาม
อานาจหน้าที่แล้วไปก่ อให้เกิ ดความเสีย หายใดๆ ขึ้น เจ้าหน้าที่ต้องรับ ผิดทางละเมิดในการ
ิต
ปฏิบัติงานในหน้าที่เฉพาะเมื่อเป็นการกระทาโดยจงใจเพื่อการเฉพาะตัว หรือจงใจให้เกิดความเสียหาย
นดุส
ตัวอย่างคาวินิจฉัยของศาลปกครอง
กรณีความหมายของคาว่าเจ้าหน้าที่
าวิท
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 9/2556
คณะรัฐ มนตรี เป็ น คณะบุ ค คลท าหน้ าที่ บ ริห ารประเทศและมี ก ฎหมาย ให้
"มห
"
ปกครองตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญั ติจัดตั้งศาลปกครองฯ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีตาแหน่ง
่านั้น
เป็นอธิบ ดีกรมบังคับ คดี และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีตาแหน่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ท รัพย์ กอง
าเท
บั ง คั บ คดี ล้ ม ละลาย 5 อธิ บ ดี ก รม่ บั งคั บ คดี แ ละเจ้ า พนั ก งานพิ ทั ก ษ์ ท รั พ ย์ กองบั ง คั บ คดี
ล้มละลาย 5 จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
ศึกษ
กรณีเจ้าหน้าที่กระทาละเมิดเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 343/2558 กา ร
กรณีฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2542 ผู้ฟ้องคดีไปที่ว่าการอาเภอแม่สาย
ขอเพิ่ ม ชื่อ ลงในทะเบี ย นบ้ านและท าบั ต รประจ าตัวประชาชนใหม่ เนื่ อ งจากบั ต รประจาตั ว
เพื่อ
ส านั ก ทะเบี ย นราษฎรอ าเภอเชี ย งของ (ผู้ ถู ก ฟ้ อ งคดี ที่ 5) ได้ รั บ แจ้ ง การตายไว้ ผู้ ฟ้ อ งคดี
พยายามขอเพิ่มชื่อลงในทะเบียนบ้านและขอทาบัตรประจาตัวประชาชนกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 มา
ัยสว
เพิ่ ม ชื่ อ ผู้ ฟ้ อ งคดี ล งในทะเบี ย นบ้ า นเมื่ อ วั น ที่ 16 มิ ถุ น ายน 2554 และท าบั ต รประจ าตั ว
ประชาชนใหม่ให้แกผู้ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2554 ผูฟ้ ้องคดีจงึ นาคดีมาฟ้องขอให้ศาล มี
าวิท
"
มหาวิทยาลัย และสภามหาวิทยาลัยนเรศวรซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้
่านั้น
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 562/2546
าเท
การที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศมีคาสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้นาสินค้าเข้า
มาในราชอาณาจักรของผู้ฟ้องคดี เป็นการกระทาในการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น เมื่อมีข้อกล่าวหา
ศึกษ
ว่าการกระท าการก่ อ ให้ เกิ ด ความเสี ย หายขึ้ น แก่ ผู้ ฟ้ อ งคดี กรมการค้ าต่ างประเทศซึ่ งเป็ น
หน่วยงานของรัฐที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศอยู่ในสังกัดจึงต้องรับผิดในผลแห่งมูลละเมิด
กา ร
ต่อผู้ฟ้องคดี
เพื่อ
สรุป
ิต
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 12
1. เหตุผลในการประกาศใช้ พระราชบัญญั ติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.
2539 คืออะไร
2. การตอบข้อหารือของกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินประจาตาแหน่ง
เป็นคาสั่งทางปกครองหรือไม่ เพราะเหตุใด
3. ให้อธิบายสาระสาคัญของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา
"
่านั้น
คดีปกครอง พ.ศ.2542
4. ข้ อ บั ญ ญั ติ อ งค์ ก ารบริ ห ารส่ ว นจั ง หวั ด อุ ด รธานี (ชั่ ว คราว) เรื่ อ ง ก าหนด
าเท
ค่าตอบแทนการใช้ที่ดนิ ของรัฐ พ.ศ.2548 เป็นกฎหรือไม่ เพราะเหตุใด
5. ให้อธิบายสาระสาคัญของพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
ศึกษ
พ.ศ.2539
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
เอกสารอ้างอิง
"
กรุงเทพฯ: สานักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา.
่านั้น
ชาญชัย แสวงศักดิ์.(2548).กฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ:สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ชาญชัย แสวงศัก ดิ์.(2555). กฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิ จารณาคดีป กครอง.
าเท
(พิมพ์ครัง้ ที่ 7 แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์วญ
ิ ญูชน.
ศึกษ
นันทวัฒน์ บรมานันท์.(2552). กฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์วญ ิ ญูชน.
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ. (2537). กฎหมายมหาชน:การแบ่งแยกกฎหมายมหาชน-เอกชน
กา ร
และพัฒนากฎหมายมหาชนในประเทศไทย. กรุงเทพฯ:สานักพิมพ์นิตธิ รรม.
ส านั ก งานศาลปกครอง.(2560).แนวค าวิ นิ จ ฉั ย ของศาลปกครอง เล่ ม ที่ 6. กรุ ง เทพ:
เพื่อ
สานักงานศาลปกครอง.
ิต
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
บทที่ 13
กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน (ต่อ)
สรศักดิ์ มั่นศิลป์
"
่านั้น
กฎหมายที่เกี่ ยวข้องกับ การกฎหมายที่เกี่ยวกั บการบริหารราชการแผ่นดินของ
าเท
หน่ ว ยงานและเจ้ า หน้ า ที่ มี ห ลายฉบั บ แต่ ที่ ส าคั ญ ที่ จ ะขอยกตั ว อย่ า งในบ ทนี้ ไ ด้ แ ก่
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ศึกษ
ทบวง กรม พ.ศ. 2545 พระราชบัญญั ติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ. 2540 พระราชกฤษฎีกาว่าด้วย
กา ร
หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิ จการบ้านเมืองที่ดีเป็นต้น ซึ่งพระราชบัญญั ติระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายหลักในการบริหารราชการแผ่นดิน กาหนดอานาจ
เพื่อ
หน้าที่ของหน่วยงานหลัก ๆของทางราชการ พระราชบัญ ญั ติปรับ ปรุงกระทรวง ทบวง กรม
พ.ศ. 2545 เป็ น กฎหมายที่ ก าหนดที่ ก าหนดโครงสร้ า งของแต่ ล ะกระทรวงว่ า เป็ น เช่ น ไร
ิต
การเข้ าถึ งข้อ มูล ข่าวสารนั้น ๆ และพระราชกฤษฎี ก าว่าด้ วยหลั ก เกณฑ์ และวิธีก ารบริห าร
กิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับข้อกาหนดในด้านต่างๆเพื่อให้เกิดการบริหารกิจการ
ัยสว
บ้านเมืองที่ดี
ยาล
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.
าวิท
2534
"มห
"
อย่ างมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและลดความซ้ าซ้อ น มี ก ารมอบหมายงานเพื่ อ ลดขั้ นตอนการปฏิบั ติ
่านั้น
ราชการ และสมควรกาหนดการบริหารราชการในต่างประเทศให้เหมาะสมกับ ลักษณะการ
าเท
ปฏิบัติหน้าที่และสามารถปฏิบัติการ ได้อย่างรวดเร็วและมีเอกภาพ โดยมีหัวหน้าคณะผู้แทน
เป็นผู้รับ ผิด ชอบ ในการบริหารราชการ นอกจากนี้ สมควรให้มีคณะกรรมการพัฒ นาระบบ
ศึกษ
ราชการเพื่อเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดูแลการจัดส่วนราชการและการปรับปรุง ระบบ
การทางานของภาคราชการให้มีการจัดระบบราชการอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป จึงจาเป็นต้อง
กา ร
ตราพระราชบัญญัติน้ี
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มีการแก้ไขมาแล้ว 6 ครั้งดังนี้
เพื่อ
ผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและ รับผิดชอบ
ในการปฏิบัติราชการ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ในการนี้ ต้องแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 15 แห่ ง
พระราชบั ญ ญั ติ ร ะเบี ย บบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น พ.ศ. 2534 ซึ่ ง แก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม โดย
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 เพื่อกาหนดให้หัวหน้า
ส่วนราชการทั้งสองเป็นผู้บังคับบัญชา ข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติ ราชการขึ้นตรง
ต่อนายกรัฐมนตรี จึงจาเป็นต้องตราพระราชบัญญัติน้ี
"
3. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543
่านั้น
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐธรรมนูญ แห่ง
าเท
ราชอาณาจักรไทย มาตรา 230 ได้บัญญัติให้การรวมหรือโอนกระทรวง ทบวง กรม ที่ไม่มีการ
ก าหนดต าแหน่ งหรืออัต ราของข้าราชการหรือลู ก จ้างเพิ่ม ขึ้น หรือการยุ บ เลิก ส่วนราชการ
ศึกษ
ดังกล่าว สามารถทาได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น สมควรกาหนดลักษณะของกรณีที่
สามารถตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและวิธีการ ดาเนินการของแต่ละกรณี และรูปแบบของพระ
กา ร
ราชกฤษฎี ก าดั งกล่ าว รวมทั้ งปรับ ปรุง หลั ก เกณฑ์ ก ารแบ่ งส่ วนราชการภายในสานั ก งาน
รัฐมนตรีและส่วนราชการระดับ กรม ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญ ญั ติของรัฐธรรมนูญ
เพื่อ
ดังกล่าว จึงจาเป็นต้องตราพระราชบัญญัติน้ี
4. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545
ิต
นดุส
ประเมิ น ผลการปฏิ บั ติ ร าชการในแต่ ล ะระดั บ ได้ อ ย่ า งชั ด เจน มี ก รอบการบริ ห ารกิ จ การ
บ้านเมืองที่ดีเป็นแนวทางในการกากับการกาหนดนโยบาย และการปฏิบัติราชการ และเพื่อให้
าวิท
"
5. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2546
่านั้น
เหตุผลในการประกาศใช้ พระราชบัญ ญั ติฉบับนี้ คือ โดยที่ใ นปัจจุบัน ได้มี
าเท
การโอนกรมต ารวจไปจั ด ตั้ ง เป็ น ส านั ก งานต ารวจแห่ ง ชาติ แ ละก าหนดให้ ผู้ บั ง คั บ การ
ตารวจภูธรจังหวัดทาหน้าที่หัวหน้าตารวจภูธรจังหวัด จึงสมควร แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วย
ศึกษ
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินในส่ วนของชื่อกรมตารวจและตาแหน่งของข้าราชการตารวจใน
กรมการจังหวัดให้สอดคล้องกัน จึงจาเป็นต้องตราพระราชบัญญัติน้ี
กา ร
6.พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควร
เพื่อ
ปรับปรุงระบบการบริหารราชการให้สอดคล้องกับนโยบาย ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการจัดองค์กร
ภาครัฐให้สอดคล้องกับทิศทางการนาพาประเทศ ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และเพื่อให้การปฏิบัติ
ิต
นดุส
ราชการสามารถอานวยความสะดวก และให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สนั บ สนุน ให้ มีก ารมอบอ านาจ ให้ป ฏิ บั ติ ราชการแทนได้ก ว้างขวางขึ้น เพื่ อเน้ น การบริก าร
ัยสว
การในจั ง หวั ด บรรลุ ผ ล สมควรปรั บ ปรุ ง อ านาจการด าเนิ น การของจั ง หวั ด การจั ด ท า
แผนพัฒนาจังหวัดและการจัดทางบประมาณของจังหวัดให้เหมาะสม รวมทั้งสมควรส่งเสริม
าวิท
"
่านั้น
โครงสร้างเนื้อหา มีสาระสาคัญดังนี้
บททั่วไป มาตรา 1 - 6
าเท
ส่วนที่ 1 การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง มาตรา 7 – 8
หมวด 1 การจัดระเบียบราชการในสานักนายกรัฐมนตรี มาตรา 9 – 17
ศึกษ
หมวด 2 การจัดระเบียบราชการในกระทรวงหรือทบวง มาตรา 18 – 24
หมวด 3 การจัดระเบียบราชการในทบวงซึ่งสังกัดสานักนายกรัฐมนตรี
กา ร
หรือกระทรวง มาตรา 25 – 30
เพื่อ
หมวด 4 การจัดระเบียบราชการในกรม มาตรา 31 – 37
หมวด 5 การปฏิบัติราชการแทน มาตรา 38 – 40
ิต
บทเฉพาะกาล มาตรา 72 – 75
าวิท
ตัวอย่างคาวินิจฉัยของศาลปกครอง
"มห
กรณีการยุบสภาเทศบาล
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.323/2559
เทศบาลเป็นการปกครองท้องถิ่นที่มีการจัดโครงสร้างขององค์กรและกาหนด
อานาจหน้าที่ภายในเทศบาลไว้ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดย
พระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2546 โดยตามมาตรา 14 กาหนดให้เทศบาล ประกอบด้วย
สภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีที่มาจากการเลือกต้ังโดยตรงของราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ใน
เขตเทศบาลตามมาตรา 15 และมาตรา 48 นายกเทศมนตรีมี อ านาจหน้ าที่ ในการก าหนด
280
"
เทศบัญญัติ ก่อนเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาตามมาตรา 62 และกฎหมายยังบัญญัติถึง
่านั้น
ความสัมพันธ์ ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับองค์กรฝ่ ายปกครองในลักษณะของการ
าเท
กากับดูแล โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทาหน้าที่ควบคุมดูแลเทศบาลให้ปฏิบัติการตามอานาจ
หน้าที่ โดยถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรา 71 ถึงมาตรา 73 และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นผู้
ศึกษ
รั ก ษาการตามพระราชบั ญ ญั ติ นี้ มี อ านาจออกกฎกระทรวงหรื อ ระเบี ย บ ข้ อ บั งคั บ เพื่ อ
ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งมี อานาจออกคาสั่งยุบสภาเทศบาลได้ตามมาตรา 74
กา ร
จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า กฎหมายจัดวางโครงสร้างและอานาจหน้ าที่
ของสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีไว้ในลักษณะของการร่วมกันทางาน โดยนายกเทศมนตรี
เพื่อ
เป็นผู้บริหารมีอานาจหน้ าที่ในการกาหนดนโยบายและบริหารราชการของเทศบาลให้เป็นไป
ตามกฎหมาย ขณะที่สภาเทศบาลเป็นผู้ให้คาปรึกษาและให้ความเห็นชอบในนโยบายและ การ
ิต
นดุส
โดยเทศบาลตาบลลาไทรได้เบิกจ่ายเงินค่าก่อสร้างไปแล้วบางส่ วน เมื่อนายกเทศมนตรีตาบล
ลาไทรได้ยื่นญัตติเสนอต่อสภาเทศบาลตาบลล าไทรเพื่อพิจารณา งบประมาณในการก่อสร้ าง
อาคารสานักงานเทศบาลตาบลลาไทรที่ค้างไว้ให้แล้วเสร็จ โดยเสนอ ในวาระต่างกันตั้งแต่ ปี
พ.ศ. 2548 ถึ ง พ.ศ. 2550 รวม 6 ครั้ ง แต่ ส ภาเทศบาลต าบลล าไทร ไม่ อ นุ มั ติ โ ครงการ
ดังกล่าวตามที่นายกเทศมนตรีตาบลลาไทรเสนอ นั้น แม้สภาเทศบาลเป็นผู้มีอานาจพิจารณา
ว่าจะอนุมัติโครงการดังกล่าวหรือไม่ รวมตลอดถึงมีอานาจที่จะพิจารณา ตัดลดงบประมาณได้
"
ตามข้อ 59 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยข้อบังคับ การประชุม สภาท้ องถิ่น พ.ศ.
่านั้น
2547 ก็ ต าม แต่ ก ารที่ ส ภาเทศบาลจะมี มติไปในทางใดก็ จะต้ อ งมีเหตุ ผล อันสมควรเพื่ อ ใช้
าเท
ประกอบการพิจารณามีมติดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มติที่เกี่ยวข้อง กับการพิจารณา
ร่ า งเทศบั ญ ญั ติ ง บประมาณรายจ่ า ยประจ าปี ซึ่ ง นายกเทศมนตรี เ ป็ น ผู้ เ สนอ เนื่ อ งจาก
ศึกษ
งบประมาณเป็นเครื่องมืออันสาคัญ ที่ฝ่ายบริหารจะนาไปใช้เพื่อการพั ฒนาท้องถิ่น ให้ บรรลุ
ตามแผนและนโยบายที่ฝ่ายบริหารกาหนดไว้ อีกทั้ง โครงการที่พิพาท คือ โครงการ ก่อสร้ าง
กา ร
อาคารสานักงานเทศบาลตาบลลาไทรซึ่งถือเป็นอุปกรณ์สาคัญอย่ างหนึ่งของเทศบาล ในอันที่
จะทาให้การบริการสาธารณะแก่ประชาชนในท้องถิ่นเป็นไปอย่ างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การที่
เพื่อ
สภาเทศบาลตาบลลาไทรจะพิจารณามีมติไม่อนุมัติโครงการก่อสร้างอาคารสานักงานฯ จึง
ต้องมีเหตุผลที่หนักแน่นควรค่าแก่การรับฟังว่าไม่สมควรที่ จะทาการก่อสร้างอาคารดังกล่าว
ิต
นดุส
อย่างแท้จริง และต้องเป็นเหตุผลที่สาธารณชนฟังแล้วยอมรับโดยมิได้มีข้อเคลือบแคลงสงสัย
แต่เมื่อปรากฏเหตุผลที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบสองไม่อนุมัติโครงการ เนื่องจากไม่มั่นใจในความมั่นคง
ัยสว
แข็งแรงของโครงสร้างเดิมว่าจะสามารถก่อสร้างต่อเติมได้หรือไม่รวมทั้งไม่มั่นใจว่ ารัฐบาล จะ
จัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อจัดทาโครงการดังกล่าวหรือไม่ และรอผลการสอบสวนจากหน่วยงาน ที่
ยาล
ซึ่ ง สะท้ อ นให้ เห็ น ถึ ง ปั ญ หาความขั ด แย้ ง ทางการเมื อ งท้ อ งถิ่ น ระหว่ า งสภาเทศบาล กั บ
"มห
นายกเทศมนตรี ซึ่งต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาล
มติ ข องสภาเทศบาลต าบลล าไทรโดยผู้ ฟ้ อ งคดี ทั้ ง สิ บ สองที่ ตั ด งบประมาณหรื อ ปรั บ ลด
งบประมาณ โครงการก่อสร้า งอาคารสานักงานเทศบาลตาบลลาไทรที่ก่อสร้างค้างไว้ ตามที่
นายกเทศมนตรีตาบล ล าไทรเสนอรวม 6 ครั้ง จึงเป็ นการใช้ดุ ลพิ นิ จโดยมิ ชอบ ทั้ งการให้
เหตุผลในการปฏิเสธ มีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ ละครั้งที่มีการเสนอของบประมาณ ซึ่งเป็น
การขัดขวาง ไม่ให้นายกเทศมนตรีตาบลลาไทรบริหารงานของเทศบาลอย่างมีประสิทธิภาพ
และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในเขตเทศบาลตาบลลาไทร อันเป็ นการกระทาที่หวังผล
282
ทางการเมืองท้องถิ่นมากเสียยิ่งกว่าที่ต้องการจะตรวจสอบความถูกต้องโปร่งใสของการใช้
งบประมาณของผู้ บ ริ ห ารท้ อ งถิ่ น เพื่ อ ให้ เกิ ด ความรอบคอบรั ด กุ ม และเป็ น ประโยชน์ ต่ อ
ประชาชน อย่างแท้จริง กรณีจึงเป็นการกระทาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สาหรับการที่ผฟู้ ้องคดีที่
1 ไม่เรียกประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่างเทศบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจาปี พ.ศ. 2550
ตามที่ผู้ถู กฟ้ องคดีที่ 1 ได้ส่งคืนให้ เทศบาลต าบล ลาไทรพิจารณาทบทวน นั้น แม้ว่าจะเป็น
ดุลพินิจของผู้ฟ้องคดีที่ 1 แต่การใช้ดุลพิ นิจดังกล่าวย่อมต้องมีเหตุผลรองรับที่เหมาะสมโดย
"
คานึงถึงเจตนารมณ์และหลักการทาหน้าที่ของสภาเทศบาล การอ้างว่าเป็นช่วงที่มีประกาศกฎ
่านั้น
อัยการศึก ซึ่งต้องปฏิบัติตามหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ มท 0841.2/876 ลงวันที่ 24 กันยายน 2549
าเท
ที่ขอให้หยุ ด ความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองท้ องถิ่ น รวมถึงการประชุมของสมาชิก สภา
ท้องถิ่นด้วย นั้น หนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการกาหนด ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ ง
ศึกษ
หยุ ดการเคลื่อนไหวทางการเมืองเฉพาะที่เป็น การรวมกลุ่มในลัก ษณะที่จะก่อให้ เกิดความ
วุ่น วาย หรื อ การปลุ ก ระดมประชาชนในท้ อ งถิ่ น เพื่ อ ให้ ชุ ม นุ ม ทางการเมื อ งเท่ า นั้ น มิ ได้ มี
กา ร
ความหมายว่า ห้ามมิให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทาการประชุมสภาเพื่อพิจารณาเรื่องที่อยู่
ในปกติธุระและหรือตามอานาจหน้าที่แต่อย่างใด เหตุผลดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ และย่ อม
เพื่อ
เป็ น เครื่องมื อส าคั ญ และจ าเป็ น ส าหรับ การบริห ารกิ จการ ของเทศบาลต าบลล าไทร การ
กระทาดังกล่าวจึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อเทศบาลตาบลลาไทร เมื่อสภาเทศบาลตาบลลา
ยาล
เพื่ อ การพั ฒ นาท้ อ งถิ่ น ได้ อ ย่ างมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ โดยอาศั ย อ านาจ ตามกฎหมาย ระเบี ย บ
"มห
ประชาชนในท้ องถิ่ น อย่ างแท้ จริง การที่ ผู้ ถู ก ฟ้ อ งคดีที่ 1 รายงานเสนอต่อ ผู้ถู ก ฟ้ องคดีที่ 2
เพื่ อให้ พิ จารณา และผู้ถู ก ฟ้ องคดีที่ 2 พิ จารณาเห็ นว่าการกระท าของผู้ฟ้ องคดีทั้ งสิบ สอง
ดังกล่าว เป็นการละเลยไม่ปฏิบัติการตามอานาจหน้าที่ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้ าที่ของ
เทศบาลตาบล ลาไทร รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ เพื่อคุ้มครองประโยชน์
ของประชาชนในเขตเทศบาลตาบลลาไทรและประโยชน์ของประเทศชาติเป็นส่ วนรวม และ
อาศั ย อ านาจตามมาตรา 74 วรรคสองแห่ งพระราชบั ญ ญั ติ เทศบาลฯ ออกค าสั่ งยุ บ สภา
"
เทศบาลต าบล ล าไทร จึ ง เป็ น การใช้ ดุ ล พิ นิ จ โดยชอบด้ ว ยกฎหมาย พิ พ ากษายกฟ้ อง
่านั้น
(สานักงานศาลปกครอง , 2560 , น. 1515 – 1522)
าเท
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545
ศึกษ
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญ ญั ติฉบับนี้ คือ โดยที่ระบบราชการนั้นเป็น
กลไกสาคัญ ของประเทศในอันที่จะผลักดันให้แนวทางการบริหารประเทศตามที่กาหนดไว้ใน
กา ร
รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งการดาเนินการตามแนวนโยบายของรั ฐเกิดผลสาเร็จ
เพื่อ
เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนส่วนร่วม การจัดกลไกของระบบราชการจึงเป็นเรื่อง
สาคัญ ที่จะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นไป ของสังคม ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าจะมี
ิต
การบริหารที่ไม่แตกต่างจากรูปแบบเดิมซึ่งเป็นผลให้การทางานของข้าราชการเป็นไปด้วยความ
ล่าช้าเพราะมีขั้นตอนการปฏิบัติงานค่อนข้างมาก และส่วนราชการต่าง ๆ มิได้กาหนดเป้าหมาย
ัยสว
จาเป็นต้องมีการปรับปรุงระบบราชการทั้งระบบ โดยการปรับอานาจหน้าที่ของส่วนราชการขึ้น
ใหม่ และปรับปรุงการบริหารงานโดยการจัดส่วนราชการ ที่ปฏิบัติ งานสัมพันธ์กันรวมไว้เป็น
าวิท
เพื่อให้สามารถกาหนดเป้าหมายและทิศทางการปฏิบัติงานของส่วนราชการที่มีความ เกี่ยวข้อง
กันให้สามารถท างานร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพ และเกิดประสิทธิภาพ รวมทั้ งจะเป็นการลด
ค่าใช้จ่าย ในส่วนงานที่ซ้าซ้อนกัน เมื่อจัดส่วนราชการใหม่ให้สามารถปฏิบัติงานได้แล้วจะมีผล
ท าให้แนวทาง ความรับ ผิด ชอบของส่วนราชการต่าง ๆ มีเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งจะสามารถ
ปรับ ปรุงการท างานของข้าราชการ ให้มีป ระสิท ธิภาพในระยะต่อไปได้ จึงจาเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัติน้ี
284
"
5. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552
่านั้น
6. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2552
าเท
7. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2553
8. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2553
ศึกษ
9. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2556
10. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2556
กา ร
11. ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 100/2557 เรื่อง การแก้ไข
เพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริม
เพื่อ
การลงทุน
12. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2558
ิต
นดุส
โครงสร้างเนื้อหา มีสาระสาคัญดังนี้
"มห
บททั่วไป มาตรา 1 – 5
หมวด 1 สานักนายกรัฐมนตรี มาตรา 6 – 7
หมวด 2 กระทรวงกลาโหม มาตรา 8 – 9
หมวด 3 กระทรวงการคลัง มาตรา 10 – 11
หมวด 4 กระทรวงการต่างประเทศ มาตรา 12 – 13
หมวด 5 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มาตรา 14 – 15
หมวด 6 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
285
มาตรา 16 – 17
หมวด 7 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาตรา 18 – 19
หมวด 8 กระทรวงคมนาคม มาตรา 20 – 21
หมวด 9 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาตรา 22 – 23
หมวด 10 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มาตรา 24 – 25
"
หมวด 11 กระทรวงพลังงาน มาตรา 26 – 27
่านั้น
หมวด 12 กระทรวงพาณิชย์ มาตรา 28 – 29
าเท
หมวด 13 กระทรวงมหาดไทย มาตรา 30 – 31
หมวด 14 กระทรวงยุติธรรม มาตรา 32 – 33
ศึกษ
หมวด 15 กระทรวงแรงงาน มาตรา 34 – 35
หมวด 16 กระทรวงวัฒนธรรม กา ร มาตรา 36 – 37
หมวด 17 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรา 38 – 39
หมวด 18 กระทรวงศึกษาธิการ มาตรา 40 – 41
เพื่อ
บทเฉพาะกาล มาตรา 47 – 60
ยาล
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540
าวิท
ประโยชน์ของตนได้อีกประการหนึ่งด้ วย ประกอบกับสมควรคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในส่วนที่
เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารของราชการไปพร้อมกัน จึงจาเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
โครงสร้างเนื้อหา มีสาระสาคัญดังนี้
บททั่วไป มาตรา 1 – 6
หมวด 1 การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร มาตรา 7 – 13
หมวด 2 ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ตอ้ งเปิดเผย มาตรา 14 – 20
"
่านั้น
หมวด 3 ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล มาตรา 21 – 25
หมวด 4 เอกสารประวัติศาสตร์ มาตรา 26
าเท
หมวด 5 คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ มาตรา 27 – 34
หมวด 6 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
ศึกษ
มาตรา 35 – 39
หมวด 7 บทกาหนดโทษ มาตรา 40 – 41
กา ร
บทเฉพาะกาล มาตรา 42 – 43
เพื่อ
ตัวอย่างคาวินิจฉัยของศาลปกครอง
ิต
กรณีฟ้องว่าหน่วยงานของรัฐปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลข่าวสารตามที่มีคาขอ
นดุส
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.214/2559
กรณีผถู้ ูกฟ้องคดีที่ 2 แจ้งว่า ไม่มีข้อมูลข่าวสารลาดับที่ 1 และลาดับที่ 12 ซึ่งผู้
ัยสว
"
มีจานวนมาก ซึ่งสานักบริหารที่ราชพัสดุกรุงเทพมหานคร ยินดีให้ ตรวจสอบ จึงขอให้ผู้ฟ้องคดี
่านั้น
มาตรวจสอบด้วยตนเองเพื่อจะได้เอกสารตรงตามความประสงค์ เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่ได้
าเท
ปฏิเสธไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารตามที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอ จึงไม่ถือว่า เป็นการจัดหาข้อมูลข่าวสาร
ให้ผู้ฟ้ องคดี ซึ่งในกรณี นี้ ผู้ ถูก ฟ้ องคดีที่ 1 ได้วินิจฉัย ว่า ผู้ฟ้องคดี ควรเข้าไปตรวจดูข้อมูล
ศึกษ
ข่าวสารดังกล่าวก่อน หากมีการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแล้วจึงใช้สิทธิ ร้องเรียนต่อไป จึงเป็นคา
วินิจฉัยที่ชอบด้วยเหตุผลแล้ว กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 แจ้งว่า ข้อมูลลาดับที่ 9 ไม่ใช่เอกสารของ
กา ร
ทางราชการ จึงให้ผู้ฟ้องคดีขอเอกสารจากบริษัทที่มีข้อมูลข่าวสารโดยตรง ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
มีคาวินิจฉัย เช่นเดียวกันกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากผู้ถูก
เพื่อ
เมื่ อ ผู้ ถู ก ฟ้ อ งคดี ที่ 2 เห็ น ว่ าได้ ก ระท าโดยชอบแล้ ว ผู้ ถู ก ฟ้ อ งคดี ที่ 2 ย่ อ มไม่ อ าจระบุ ชื่ อ
เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการกระทาดังกล่าวได้ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 วินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ 2 สามารถใช้ดุลพินิจในการจัดหาข้อมูลข่าวสารหรือไม่ก็ได้ตามความเหมาะสม จึงชอบ ด้วย
เหตุผลแล้ว สาหรับกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่ได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้ฟ้องคดีเอง แต่มี
คาสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาและให้ความเห็นเรื่องร้องเรียนดาเนินการแทน เห็นว่า
พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการฯ มิได้บัญญัติหลักเกณฑ์หรือวิธีการ ขั้นตอน ในการ
"
ดาเนินการพิจารณาเรื่องร้ องเรีย นของผู้ถู กฟ้ องคดีที่ 1 ไว้แต่อย่างใด และมาตรา 344 แห่ง
่านั้น
พระราชบัญ ญั ติดั งกล่ าว บัญ ญั ติให้ ค ณะกรรมการมีอานาจแต่ งตั้งคณะอนุก รรมการ เพื่ อ
าเท
พิจารณาหรือปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้ ดังนัน้ ผูถ้ ูกฟ้อง
คดีที่ 1 จึงย่อมมีอานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และกาหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการตรวจสอบ
ศึกษ
เพื่อใช้ในการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนได้ตามความเหมาะสม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมิได้ละเลยต่อ
หน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดให้ต้องปฏิบัติ พิพากษายกฟ้อง (สานักงานศาลปกครอง , 2560 ,
กา ร
น. 1443 – 1445)
กรณี ฟ้ อ งว่ า หน่ ว ยงานของรั ฐ ละเลยไม่ ป ฏิ บั ติ ต ามค าวิ นิ จ ฉั ย ของ
เพื่อ
พิ จารณาวินิจ ฉั ย อุ ท ธรณ์ มติ ห รือ คาสั่งที่ มิให้เปิ ด เผยข้อมู ลข่าวสารได้ ตามมาตรา 35 แห่ ง
พระราชบัญ ญัติข้อมูลข่าวสารของราชการฯ โดยที่มาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามทุจริตฯ เป็นการกาหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการ
รั ก ษาความลั บ ของทางราชการที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ การปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ข องเจ้ า หน้ า ที่ ต าม
พระราชบั ญ ญั ติดั งกล่าว แต่ก็ มิได้ห้ามที่จะเปิดเผยข้อความ ข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่ได้ม า
เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้โดยไม่มีเหตุอันสมควร
"
แต่ อย่ างใด และยั งให้ อานาจ ผู้ถู ก ฟ้ อ งคดี ที่ 2 ที่ จะสามารถใช้ดุ ล พิ นิ จในการที่ จะเปิ ดเผย
่านั้น
หรือไม่ก็ได้ โดยพิจารณาถึงมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
าเท
2550 และบทบัญ ญั ติในพระราชบัญ ญั ติ ข้อมูลข่าวสารของราชการฯ ประกอบด้ วย ซึ่งจาก
บทบัญญัติตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการฯ เห็น
ศึกษ
ได้ว่า เป็นดุลพินิจของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ได้
โดยต้องคานึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และ
กา ร
ประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ย วข้ องประกอบกั น เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีนี้ ไม่ป รากฏว่า
สานวนการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ได้ ดาเนินการพิจารณาเสร็จสิ้น และได้แจ้ง
เพื่อ
รับรู้ข้อมูลข่าวสารเพื่อตรวจสอบความโปร่งใส ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้
สิน้ สงสัยตามมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จึงเห็นได้
ยาล
"
ข่าวสารให้แก่ผู้ฟ้ องคดีตามคาวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผย ข้อมูลข่ าวสาร
่านั้น
ภายใน 15 วั น นั บ แต่ วั น ที่ ศ าลมี ค าพิ พ ากษา (ส านัก งานศาลปกครอง , 2560 , น. 1452 –
าเท
1455)
ศึกษ
สาระสาคัญของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหาร
กิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546
กา ร
เหตุผลในการประกาศใช้พ ระราชกฤษฎีก าฉบั บ นี้ คื อ โดยที่ มีก ารปฏิ รูป ระบบ
เพื่อ
ราชการ เพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศและ ให้บริการ
แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่ งการบริหารราชการและการปฏิบัติหน้าที่ ของ
ิต
เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพเกิดความ
คุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เกินความจาเป็น และประชาชนได้รับการ
ัยสว
อานวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ รวมทั้งมีการประเมินผลการปฏิบัติ
ยาล
กระทาโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จึงจาเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
291
โครงสร้างเนื้อหา มีสาระสาคัญดังนี้
บททั่วไป มาตรา 1 – 5
หมวด 1 การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี มาตรา 6
หมวด 2 การบริหารราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
มาตรา 7 – 8
หมวด 3 การบริหารราชการเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
"
่านั้น
มาตรา 9 – 19
หมวด 4 การบริหารราชการอย่ างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มครองในเชิง
าเท
ภาระกิจของรัฐ มาตรา 20 – 26
หมวด 5 การลดขั้นตอนการปฎิบัติงาน มาตรา 27 – 32
ศึกษ
หมวด 6 การปรับปรุงภาระกิจของส่วนราชการ มาตรา 33 – 36
หมวด 7 การอานวยความสะดวกและการตอบสนอง
กา ร
ความต้องการของประชาชน มาตรา 37 – 44
เพื่อ
หมวด 8 การประเมินผลการปฎิบัติราชการ มาตรา 45 – 49
หมวด 9 บทเบ็ดเตล็ด มาตรา 50 – 53
ิต
นดุส
สรุป
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายหลักใน
ัยสว
สุ ขของประชาชน เกิ ด ผลสั มฤทธิ์ ต่อ ภารกิจของรัฐ มี ป ระสิ ท ธิภ าพ เกิ ดความ คุ้ ม ค่าในเชิง
ภารกิจของรัฐ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เกินความจาเป็น และประชาชนได้รับการ อานวย
ความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 13
1. เหตุผลในการประการใช้พระราชบัญญั ติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
"
่านั้น
คืออะไร
2. ให้อธิบายสาระสาคัญของพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545
าเท
3. โครงสร้างเนื้อหาของพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 มี
อะไรบ้าง
ศึกษ
4. เหตุผลในการประการใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 คือ
อะไร
กา ร
5. โครงสร้างเนื้อหาพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการ
เพื่อ
บ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มีอะไรบ้าง
ิต
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
เอกสารอ้างอิง
"
กรุงเทพฯ: สานักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา.
่านั้น
ชาญชัย แสวงศักดิ์.(2548).กฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ:สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ชาญชัย แสวงศัก ดิ์.(2555). กฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิ จารณาคดีป กครอง.
าเท
(พิมพ์ครัง้ ที่ 7 แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์วญ
ิ ญูชน.
ศึกษ
นันทวัฒน์ บรมานันท์.(2552). กฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์วญ ิ ญูชน.
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ. (2537). กฎหมายมหาชน:การแบ่งแยกกฎหมายมหาชน-เอกชน
กา ร
และพัฒนากฎหมายมหาชนในประเทศไทย. กรุงเทพฯ:สานักพิมพ์นิตธิ รรม.
สันทัศน์ รันดาเว. การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2560 จาก
เพื่อ
http://www.comdopa.com/dopa/tuter/doc/tuter002.ppt
ส านั ก งานศาลปกครอง.(2560).แนวค าวิ นิ จ ฉั ย ของศาลปกครอง เล่ ม ที่ 6. กรุ ง เทพ:
ิต
นดุส
สานักงานศาลปกครอง.
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
"มห
าวิท
ยาล
ัยสว
นดุส
ิต เพื่อ
กา ร
ศึกษ
าเท
่านั้น
"
บทที่ 14
การพัฒนาระบบบริหารราชการไทยระยะแรก
"
ภาวินี รอดประเสริฐ
่านั้น
าเท
ระบบเศรษฐกิ จ สั ง คม และการเมื อ งในโลกยุ ค โลกาภิ วั ต น์ มี ก ารพั ฒ นาและ
เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว รวมถึงความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่
ศึกษ
กลายเป็นสังคมที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ก้าวสู่สังคมแห่งความทันสมัย
เพื่อการดารงชีวิตมากขึ้น ส่วนเรื่องการคมนาคมและการติดต่อสื่อสารก็เป็นไปอย่างสะดวก
กา ร
รวดเร็ว ประชาชนมีสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึน้ แต่ในขณะเดียวกันความก้าวหน้าใน
เพื่อ
สังคมแบบทันสมัยก็ต้องเผชิญกับปัญหาสังคมทั้งภายใน และภายนอกประเทศที่เพิ่มขึ้นด้วย
รวมถึงการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศที่ มีความรุนแรงมากขึ้น ฉะนั้น ทุกประเทศจึง
ิต
และบริการจากต่างประเทศ ประกอบกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาหลายประเทศต้องเผชิญกับ
เรื่องของการก่ อการร้ าย ปัญ หาเศรษฐกิจตกต่า และความวุ่นวายทางการเมื อง จึงท าให้
ัยสว
หน่วยงานภาครัฐจาเป็นจะต้องเพิ่มงบประมาณ และมาตรการเพื่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้ น
ยาล
หน่วยงานภาครัฐที่จะสามารถแก้ไขปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างมีประสิทธิภาพและ
เกิดประสิทธิผล มีความคุ้มกับทรัพยากรที่สูญเสียไป นาพาประเทศไปสู่ความมั่งคั่งและมั่นคง
นอกจากนี้ ประชาชนยังต้องการการบริการสาธารณะจากภาครัฐที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง
จากความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก รวมถึงความต้องการของประชาชนต่อภาครัฐ
ส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการบริหารงานภาครัฐจะต้องมีระบบในการจัดการและ
กลไกต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ต้องใช้ความรอบคอบ ความรู้ในการบริหารจัดการ อย่างมี
296
"
่านั้น
ภายในประเทศด้วย รัฐบาลไทยหลายสมัยพยายามที่จะพัฒนาระบบการบริหารราชการ ซึ่ง
งานด้านการปฏิรูป ระบบราชการของประเทศไทยนั้น มีก ารดาเนินมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งใน
าเท
บทเรียนนี้ผู้เขียนจะขอนาเสนอเรื่องของแนวคิด และความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการบริหารการ
ศึกษ
พัฒนา และการบริหารการพัฒนาระบบราชการตามลาดับ โดยการพัฒนาระบบราชการของ
ไทยจะเป็นข้อมูลจากสานักงานพัฒนาระบบราชการ หรือ ก.พ.ร. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการ
กา ร
พัฒนาระบบราชการของประเทศไทย
เพื่อ
แนวคิดและความหมายของการบริหารการพัฒนา
ิต
จากแนวคิดและความหมายของการบริหารการพัฒนาของนักวิชาการหรือผู้รู้ของ
นดุส
การบริ ห ารที่ ต้ องเกี่ ย วข้ องกั บ กิ จกรรมการพั ฒ นาของหน่ ว ยงานของรั ฐ ในลั ก ษณะที่ เ ป็ น
กระบวนการของการปฏิบัติการ (action) หรือเป็นกิจกรรม (activity) หรือการบริหารที่เกี่ยวข้อง
าวิท
"
่านั้น
ต้น
โดยสรุ ป การบริ ห ารการพั ฒ นาเป็ น แนวทางหรื อ วิ ธี ก ารหนึ่ ง ของการบริ ห าร
าเท
จัดการของหน่วยงานภาครัฐที่นามาใช้ในการบริหารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมพัฒนา รวมทั้งการ
ศึกษ
พั ฒ นาหรื อ ปรั บ ปรุ ง การบริ ห ารภายในในของหน่ ว ยงานของรั ฐ และเจ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ เช่ น
โครงสร้าง อานาจหน้าที่ กระบวนการ และบุคคล โดยคานึงถึงสภาพแวดล้อมด้วย ทั้งนี้ มี
กา ร
จุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนเพื่อความเจริญก้าวหน้าของ
ประเทศ
ิต เพื่อ
ความสาคัญของการบริหารการพัฒนา
นดุส
ในทุกประเทศจาเป็นต้องมีการบริหารราชการแผ่นดินหรือการบริหารงานภาครัฐ
ัยสว
ข้างต้น และหน่วยงานของรัฐรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐนาไปใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อ
"มห
เหตุผลของการพัฒนาระบบราชการ
โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
การพั ฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ท าให้โลกก้าวสู่ยุค
โลกาภิวัตน์ ซึ่งทาให้ประเทศต่างๆ ต้องรับผลกระทบจากกระแสสาคัญ เช่น เศรษฐกิจเสรีไร้
พรมแดน (Global Market Economy) สั ง คมบนฐานแห่ ง ความรู้ (Knowledge-based Society)
"
และกระแสประชาธิปไตยและธรรมาภิบาล (Democratic Governance) ประเทศที่เรียนรู้ปรับตัว
่านั้น
ได้ทันโลกก็จะอยู่รอด และก้าวหน้าไปได้ในโลกของการแข่งขัน ส่วนประเทศที่ไม่สามารถเรียนรู้
และปรับตัวให้ทันกับโลกยุคโลกาภิวัตน์น้ีได้ ก็จะประสบปัญหาต่าง ๆ มากมาย
าเท
ประเทศไทยในกระแสโลกาภิวัตน์
ศึกษ
ประเทศไทย เมื่อครัง้ ที่ได้เชื่อมต่อเศรษฐกิจของไทยเข้ากับเศรษฐกิจโลกในการ
เปิดเสรีทางการเงินด้วย Bangkok International Banking Facilities (BIBF) ในเวลาไม่นาน ธุรกิจ
กา ร
อุตสาหกรรมของไทยก็ล้มละลาย ปัญ หาสังคมต่าง ๆ เกิดขึ้นตามมามากมาย ถึงขนาดที่
เพื่อ
ประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายจนกระทั่งลุกขึน้ มาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองโดยการแก้ไข
รัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2540
ิต
การปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ที่กล่าวมาทาให้หน่วยงานภาครัฐต้องมีภารกิจเพิ่มมาก
ขึน้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการจัดสวัสดิการให้คนว่างงานจานวนมาก การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตลอดจน
การจัดการศึกษาให้คนทั้งประเทศได้รู้ทันโลก ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันรัฐกลับ มีกาลังคน และ
งบประมาณที่น้อยลง ทั้งนี้เพราะสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่าผนวกกับกระแสเศรษฐกิจเสรี และ
กระแสประชาธิปไตยที่เน้นให้รัฐต้องจากัดบทบาท ขนาด และการใช้ทรัพยากร นอกจากนี้
ภายใต้กระแสประชาธิปไตย และธรรมาภิบาล รัฐบาลก็ไม่สามารถที่จะดาเนินการต่าง ๆ ได้
ตามชอบใจได้เหมือนในสมัยก่อน ๆ การดาเนินโครงการต่าง ๆ เช่น การสร้างเขื่อน การสร้าง
299
"
่านั้น
หรือ OD) ก็จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับการบริหารภาครัฐของไทยนั้น เป็นธรรมชาติขององค์การที่
เป็นระบบเปิด ซึ่งย่อมได้รับ ผลกระทบจากสภาพแวดล้อม และจะต้องพยายามปรับตัวเพื่อ
าเท
จัดการกับสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึน้ เพื่อความอยู่รอด และเจริญก้าวหน้า
ศึกษ
การปฏิรูประบบราชการโดยการพัฒนาระบบราชการ กา ร
การปรับตัวของระบบบริหารภาครัฐของไทย
เพื่อ
ในการปรับเปลี่ยนระบบบริหารภาครัฐของไทยเพื่อรองรับกระแสโลกาภิวัตน์
เริ่มจากรัฐบาลสมัย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเริ่มปรากฎเป็นรูปธรรมเมื่อ
ิต
26-27)
"มห
"
่านั้น
ว่าการพัฒนาระบบราชการในครั้งนี้ เป็นการนาหลักการ และเครื่องมือในการพัฒนาองค์การ
และองค์การที่เรียนรู้ มาประยุกต์ใช้นั่นเอง โดยในบทเรียนนี้จะเน้นไปที่ แผนยุทธศาสตร์การ
าเท
พั ฒนาระบบราชการไทย ซึ่งจะขอไล่เ ลีย งไปทีละฉบับ ในแต่ ละสมัย ของการพัฒนาระบบ
ศึกษ
ราชการโดยเริ่มจาก แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2546 - พ.ศ. 2550)
กา ร
แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2546 – พ.ศ. 2550)
เพื่อ
(ส านัก งานคณะกรรมการพั ฒนาระบบราชการ, 2546, แผนยุ ท ธศาสตร์ก ารพัฒนาระบบ
ราชการไทย (พ.ศ. 2546 - พ.ศ. 2550))
ิต
วิสัยทัศน์
นดุส
พัฒนาระบบราชการไทยให้มีความเป็นเลิศ สามารถรองรับกับการพัฒนาประเทศ
ในยุคโลกาภิวัตน์ โดยยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และประโยชน์สุขของประชาชน
ัยสว
ราชการให้สามารถปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมใน “ยุคโลกาภิวัตน์”
และ “การทาให้ระบบราชการไทยมีความเป็นเลิศ ” ก็สะท้อนถึงความพยายามที่จะทาให้เกิด
าวิท
ประเด็นยุทธศาสตร์
ในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2546 – พ.ศ. 2550) ได้
กาหนดยุทธศาสตร์ การพัฒนาไว้ 7 ประการคือ
1. การปรับเปลี่ยนกระบวนการและวิธีการทางาน
2. การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน
3. การรื้อปรับระบบการเงินและการงบประมาณ
4. การสร้างระบบบริหารงานบุคคลและค่าตอบแทนใหม่
301
"
่านั้น
ยุทธศาสตร์ท่ี 1 “การปรับเปลี่ยนกระบวนการและวิธีการทางาน” ก็คือ การ
ปรับเปลี่ยน ยุทธศาสตร์ (Strategy) ในการดาเนินงานให้เหมาะกับภาวะที่ต้องมีงานมากขึ้น แต่
าเท
มีเงินและคนน้อยลง ซึ่ง กระบวนการวิธีการทางานตามยุทธศาสตร์ เดิมย่อมใช้ไปได้อกี ไม่นาน
ศึกษ
ยุทธศาสตร์ท่ี 2 “การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน ” ก็คือ
การปรับเปลี่ยนโครงสร้าง (Structure) หรือวิธีการ “จัดทัพ” เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ใหม่
กา ร
ซึ่งในการพั ฒนาระบบราชการก็ มุ่งเน้นการจัดโครงสร้ างโดยเชื่อมโยง “หน้าที่ ” (Function
Departmentalization) คือ กระทรวง ทบวง กรม กับ “พื้นที่” (Regional Departmentalization)
เพื่อ
โดยการกาหนดให้มีการทาคารับรองผลการปฏิบัติราชการที่มีตัวชี้วัดผลงานอย่างชัดเจน และ
ยาล
จัดสรรงบประมาณไปตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ และให้ส่วนราชการได้มีอิสระในการบริหาร
จัด การโดยไม่ติ ด ยึ ด กั บ กฎระเบี ย บต่ า งๆ จนมากเกินไป ซึ่งก็ คือการปลดพั นธนาการของ
าวิท
กฎระเบียบเพื่อให้ส่วนราชการสามารถเลือกวางระบบระเบียบวิธีปฏิบัติได้เอง หรือเป็นการให้
อิสระในการจัดระบบงาน (System) นั่นเอง
"มห
ยุทธศาสตร์ท่ี 4 “การสร้างระบบบริหารงานบุคคลและค่าตอบแทนใหม” ก็
คือการปรับเปลี่ยนระบบการบริหารงานบุคคล เพื่อให้สามารถจัดการทรัพยากรบุคคล (Staff)
ให้มีขีดสมรรถนะ และทักษะความสามารถ (Skill) ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ โครงสร้าง และ
ระบบงานใหม่นั่นเอง
302
"
่านั้น
พฤติกรรม (Style) ในการปฏิบัติราชการนั่นเอง
สรุป การพัฒนาระบบราชการตาม แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย
าเท
(พ.ศ. 2546 – พ.ศ. 2550) ก็คือการปรับเปลี่ยนส่วนต่างๆ ของระบบราชการไทยตามตัวแปร
ศึกษ
ต่าง ๆ ในกรอบแนวคิด McKinsey’s 7 S นั่นเอง
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
เครื่องมือทางการบริหารที่นามาใส่ในการพัฒนาระบบราชการ
นอกจากการปรับเปลี่ยนตัวแปรทางการบริหารทั้ง 7 ประการตาม McKinsey’s
7 S แล้ว การพัฒนาระบบราชการในครั้งนี้ ยังเป็นการนาเครื่องมือทางการบริหารสมัยใหม่มา
ประยุกต์ใช้กับระบบบริหารราชการอีกเป็นจานวนมาก โดยเครื่องมือส่วนใหญ่ที่นามาใช้จะมี
กาหนดไว้ใน พระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.
2546 ซึ่งเครื่องมือต่างๆได้แก่
"
่านั้น
1. การจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Vision Management) ซึ่งเป็นเคื่องมือที่
จะช่ว ยให้ผู้บ ริห ารได้ศึ ก ษาทบทวนสถานการณ์ภ ายนอกและภายในองค์ก าร เพื่อก าหนด
าเท
วิสัยทัศน์ พันธกิจ และยุทธศาตร์ในการดาเนินงานขององค์การให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ศึกษ
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ “งานมาก แต่มีเงินและคนน้อย” ซึ่งเครื่องมือชิ้นนี้ปรากฎใน พระ
ราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 เช่น ใน
กา ร
มาตรา 33 ที่ให้ ให้ส่วนราชการจัดให้มีการทบทวนภารกิจของตนว่าภารกิจใดมีความจาเป็น
หรื อ สมควรที่ จ ะได้ ด าเนิ น การต่ อ ไปหรื อ ไม่ โดยค านึ ง ถึ ง แผนการบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น
เพื่อ
ปรับเปลี่ยนการบริหารราชการให้มามุ่งเน้นที่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจ โดยให้มีการ
ก าหนดตั ว ชี้ วั ด ผลสั ม ฤทธิ์ (Key Performance Indicators) และเป้ า หมาย และให้ จั ด สรร
าวิท
"
่านั้น
กาหนด และใหคานวณรายจ่ายต่อหน่วยของงานบริการสาธารณะที่อยู่ในความรับผิดชอบ และ
รายงานให้ส านัก งบประมาณ กรมบัญ ชีก ลาง และ ก.พ.ร. ทราบ นอกจากนี้ การคานวณ
าเท
ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยยังเป็นการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ ซึ่งในมาตรเดียวกันได้
ศึกษ
กาหนดไว้ว่า ในกรณีที่รายจ่ายต่อหน่วยของงานใดสูงกว่าราย จ่ายต่อหน่วยของส่วนราชการ
อื่น ให้ส่วนราชการนั้นจัดทาแผนการลดรายจ่ ายต่อหน่วยของงานบริการสาธารณะดังกล่าว
กา ร
เสนอสานัก งบประมาณ กรมบัญชีกลาง และ ก.พ.ร. ทราบ ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญสาหรับการ
บริหารงานในยามที่ “งานมาก แต่มีเงินและคนน้อย”
เพื่อ
ความสะดวกแก่ประชาชนให้สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ ณ ศูนย์บริการร่วมเพียงแห่งเดียว
5. การบริหารวงรอบเวลา (Cycle-time Management) ซึ่งเป็นการจัดการ
กับระยะเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้สามารถควบคุมระยะเวลาแล้วเสร็จ หรือในการ
ดาเนินงานขั้นตอนต่างๆ อย่างรวดเร็วทันกาล ซึ่งปรากฎในพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์
และวิธี ก ารบริหารกิ จการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 เช่นใน มาตรา 37 ที่ใ ห้ส่วนราชการ
กาหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานแต่ละงานและประกาศให้ประชาชนและข้าราชการทราบ
305
"
่านั้น
การจัดให้มีการบริหารคุณภาพ และประสิทธิภาพในการดาเนินงานในทุก ๆ ส่วนขององค์การ
เพื่อให้ส ามารถสนองความต้องการ และสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูก ค้าทั้งภายนอก และ
าเท
ภายในองค์การให้ได้มากที่สุด ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการรับฟั งความต้องการ และสารวจความ
ศึกษ
พึงพอใจของลูกค้าผู้ใช้บริการอยู่เสมอ ซึ่งในเรื่องนี้ ในพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และ
วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ได้กาหนดไว้ เช่น ในมาตรา 45 ให้ส่วนราชการ
กา ร
จัดให้มีคณะผู้ประเมินอิสระดาเนินการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการเกี่ยวกับ
ผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ คุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ ความ
เพื่อ
ต้น ซึ่งทั้งสองกรณีสะท้อนให้เห็นว่าส่วนราชการจะต้องมีการทบทวนปรับปรุงการดาเนินงาน
ของตนให้สอดคล้องกับความต้องการของผูร้ ับบริการอยู่เสมอ
ยาล
) ซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญในการดาเนินงานขององค์การสมัยใหม่ที่ ต้องมีกระบวนงานที่ทันสมัย
มีวงรอบของระยะเวลาการปฏิบัติงานสั้น และมีต้นทุนในกิจกรรมต่าง ๆ ลดลง และต้องการ
"มห
"
่านั้น
เครื่องมือเหล่านีม้ าจัดเรียงเป็นแผนภาพก็จะได้เห็นความเชื่อมโยงกันดังรูปต่อไปนี้
าเท
ศึกษ
กา ร
ิต เพื่อ
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
การพัฒนาระบบราชการกับการเรียนรู้ขององค์การ
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าในการพัฒนาระบบราชการในครั้งนี้ ส่วนราชการ
ไทยจะต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และยังจะต้องเรียนรู้ที่จะ
ประยุ ก ต์ ใ ช้ เ ครื่ อ งมื อ ในการบริ ห ารสมั ย ใหม่ ม ากมาย ซึ่ ง ย่ อ มจะท าให้ มี ค วามปั่ น ป่ ว น
307
ระส่าระสายบ้างซึ่งเป็นธรรมชาติของการเรียนรู้ที่จะต้องมีการปลดเปลื้องความรู้ ความคิด
กระบวนทัศน์ ความเคยชิน และวิธีปฏิบัติเดิมๆ ออกไป และนาสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ แต่ทั้งนี้ก็
เพื่อให้เกิดกระบวนทัศน์ในการมองโลก มองปัญหาจากมุมมองใหม่ ด้วยแนวคิดใหม่ ซึ่งจะ
นาไปสู่พฤติกรรม การปฏิบัติราชการในแนวใหม่ ซึ่งหากพิจารณาถึงเครื่องมือทางการบริหาร
ที่มากับการพัฒนาระบบราชการแล้วก็จะเห็นว่ามุมมองใหม่ที่สว่ นราชการพึงเรียนรู้ได้แก่
1. การปรับมุมมองในเชิงยุทธศาสตร์ใหม่ แทนที่จะมองแค่การดาเนินงาน
"
่านั้น
ประจาไปตามกฎระเบียบ ไปแบบวันต่อวัน ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ ได้มีการทบทวนสถานการณ์
และจัดวางยุทธศาสตร์ใหม่ ในกระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์
าเท
2. การนาระบบการจั ดการแบบมุ่งเน้น ผลสั มฤทธิ์ จะช่วยให้มีก ารปรั บ
ศึกษ
มุมมองมามุ่งเน้นที่ผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจหลัก แทนการมุ่งเน้นการทาตามระเบียบขั้นตอนของ
งานประจา ซึ่งจะทาให้เกิดการแข่งขันกันสร้างผลสัมฤทธิ์ของงานแทนที่จะแข่งกันในเรื่องอื่น ๆ
กา ร
ที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง
3. การนาระบบการคานวณต้นทุนฐานกิจกรรมมาใช้ จะช่วยให้มีการปรับ
เพื่อ
มุมมองให้หันมาสนใจเรื่องต้นทุนในการดาเนินงานของแต่ละกิจกรรม ซึ่งแต่เดิมมาส่วนราชการ
ไทยแทบจะไม่เคยทราบว่าแต่ละกิจกรรมนั้นมีตน้ ทุนในการดาเนินการมากน้อยแค่ไหน
ิต
นดุส
4. การนาการบริหารวงรอบเวลา และการรื้อปรับระบบงานจะช่วยให้มีการ
ปรับมุมมองให้หันมาพิจารณาเรื่องกระบวนงาน ขั้นตอน และวงรอบเวลาในการดาเนินงาน
ัยสว
เพื่อหาแนวทางในการปรับลดขั้นตอนในการดาเนินงานให้กระชับคล่องตัวยิ่งขึ้น และเพื่อไม่ให้
ใช้อัตรากาลังมากเกินไป
ยาล
6. การนาเรื่องการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จะช่วยให้มีการปรับ
มุมมองจากการปฏิบัติราชการไปแบบวันต่อวันโดยไม่ได้คานึงถึงเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่าง
รวดเร็ว เพราะคิดว่าเทคโนโลยีนั้นแพง ไม่คุ้มค่า มาเป็นการมองหาวิธีการเพิ่มคุณค่าของงาน
โดยการนาเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องช่วย
หากพิจารณาถึงเครื่องมือทางการบริหารที่กล่าวมา ก็จะเห็นว่า ขั้นตอนการ
ดาเนินการของแต่ละเครื่องมือ จะประกอบด้วยขั้นตอนหลักที่คล้าย ๆ กันคือ
308
"
่านั้น
การเปลี่ยนแปลง
4. การระดมการมีส่วนร่วมจากฝ่ายต่าง ๆ ในองค์การ โดยเฉพาะผู้ที่จะถูก
าเท
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในการนาเครื่องมือมาประยุกต์ใช้ในองค์การ
ศึกษ
5. การเรียนรู้จากประสบการณ์ร่วมกันในการนาเครื่องมือการบริหารมา
ประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะมีการประเมินผลอย่างเป้นทางการหรือไม่ก็ตาม
กา ร
6. การปรับเปลี่ยนมุมมององค์การของตนที่แตกต่างไปจากเดิม
ซึ่งทั้ง 6 ประการ สะท้อนถึงกระบวนการเรียนรู้ขององค์การ ซึ่งหากพิจารณา
เพื่อ
เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในหมู่ผู้ที่มสี ่วนร่วมเป็นแกนในการผลักดันการเปลี่ยนแปลง
5. การเรียนรูร้ ่วมกันเป็นทีม (Team Learning) คือ การที่ได้รว่ มกันพิจารณา
"มห
"
่านั้น
เหตุผล และเครื่องมือทางการบริหารที่ได้มีการนามาใช้ในการพัฒนาระบบราชการ และหวังว่า
หากทุกฝ่าย ๆ จะได้ร่วมกันผลักดันการพัฒนาระบบราชการให้ก้าวไปสู่ความสาเร็จตามที่
าเท
ต้องการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง
ศึกษ
จากยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย พ.ศ. 2546 – พ.ศ. 2550 ซึ่ง
มุ่งเน้นให้ความสาคัญในเป้าประสงค์รวม 4 ประการ ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพการให้บริการ
กา ร
การปรับ บทบาท ภารกิ จและขนาดให้มีความเหมาะสม การยกระดับ ขีดความสามรถและ
มาตรฐานการทางานให้อยู่ในระดับสูงและเทียบเท่าเกณฑ์สากล และตอบสนองต่อการบริหาร
เพื่อ
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจากการพัฒนาระบบราชการไทยตามแผนยุทธศาสตร์
ดั ง กล่ า ว พบว่ า สามารถบรรลุ เ ป้ า หมายตามที่ ต้ อ งการ คื อ ประชาชนมี ค วามพึ ง พอใจใน
ิต
นดุส
เปิดระบบราชการไทยเข้าสู่กระบวนการความเป็นประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม
าวิท
อย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ ยั งมีเ รื่องเกี่ย วกั บ การรับ รู้ ความเข้าใจ และความพึงพอใจของ
"มห
"
่านั้น
ความต้ อ งการของสั ง คม (Relevancy) มุ่ ง เน้ น ประสิ ท ธิ ภ าพ (Efficiency) รั บ ผิ ด ชอบต่ อ การ
ด าเนิ น งาน (Accountability) มี ใ จ และการกระท าที่ เ ป็ น ประชาธิ ป ไตย มี ส่ ว นร่ ว ม โปร่ ง ใส
าเท
(Democracy) มุ่ ง เน้ น ผลผลิ ต (Yield) หรื อ ที่ เ รี ย กว่ า “I AM READY” พบว่ า ข้ า ราชการและ
ศึกษ
ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้ง 8 ประการดังกล่าว นอกจากนี้ ยัง
พบว่าข้าราชการ และประชาชนมีความคิดเห็นที่ตรงกันว่าข้าราชการมีคุณลักษณะที่โดดเด่นใน
กา ร
เรื่ อ งของการรู้ ทั นโลก ปรั บ ตั ว ทั นเหตุ ก ารณ์ สอดคล้ อ งกั บ ความต้ อ งการของสั ง คม และ
สามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พบว่าข้าราชการยังมีคุณลักษณะที่ต้องปรับปรุงใน
เพื่อ
เรื่องการมีศลี ธรรมและคุณธรรม
จะเห็ น ได้ ว่ า การพั ฒ นาระบบราชการที่ ไ ด้ ด าเนิ น การมาอย่ า งต่ อ เนื่ อ งใน
ิต
นดุส
ราชการในการให้บริการประชาชน ส่งผลให้ประชาชนผู้รับบริการมีความพึงพอใจในคุณภาพ
การให้บ ริก ารของหน่ว ยงานราชการในแนวโน้ม ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ประชาชนยั งมีก ารรับรู้
ยาล
ราชการยังต้องดาเนินการต่อไป เพื่อให้การบริหารงานภาครัฐก้าวไปสู่ทิศทางที่พึงประสงค์
ตอบสนองความต้องการและประโยชน์สุขของประชาชนได้อย่างแท้จริง รวมทั้งสามารถปรับตัว
รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ได้อย่างเหมาะสมต่อไป จึงมีการจัดทายุทธศาสตร์
การพัฒนาระบบราชการขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปคือ ยุทธศาสตร์การพัฒนา
ระบบราชการ พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2555
311
"
ประเทศชาติ มีขีดสมรรถนะสูง สามารถปรับตัว และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นใน
่านั้น
หลักจริยธรรมและธรรมาภิบาล
ประเด็นยุทธศาสตร์
าเท
ในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2555) ได้
ศึกษ
กาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาไว้ 4 ประการ และจากประเด็นยุทธศาสตร์มีการกาหนดกลยุทธ์
เพื่อให้ยุทธศาสตร์แต่ละประการประสบผลสาเร็จ ดังนี้
กา ร
ยุทธศาสตรที่ 1 ยกระดับ การให้บ ริก ารและการท างาน เพื่อตอบสนองความ
เพื่อ
คาดหวังและความต้องการของประชาชนที่มีความสลับซับซ้อน หลากหลาย และเปลี่ยนแปลง
ไปอย่างรวดเร็ว
ิต
กลยุทธ์
นดุส
ตอบสนองความต้องการของประชาชน
ยาล
ความต้องการ
"มห
"
่านั้น
สถานการณ์ต่าง ๆ
กลยุทธ์
าเท
3.1 จั ด ให้ มี ก ารวางยุ ท ธศาสตร์ ก ารบริ ห ารประเทศในระยะยาว (Scenario
ศึกษ
Planning) เพื่อคาดการณ์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ อาจเกิดขึ้นในอนาคต และผลกระทบต่อการบริหาร
กิ จ การบ้ า นเมื อ ง และก าหนดเป้ า หมายที่ พึ ง ประสงค์ และต้ อ งการบรรลุ ผ ลไว้ เ พื่ อ วั ด
กา ร
ความก้าวหน้า และผลสัมฤทธิ์สาหรับใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาระยะสั้น -ปานกลาง
รวมถึงการเตรียมการวางระบบบริหารงาน และบุคลากรภาครัฐในอนาคต
เพื่อ
หลากหลายซับซ้อนมากขึ้น
3.3 เสริมสร้างให้หน่วยงานภาครัฐ มีความตื่นตัว ตอบสนอง และไวต่อการ
ัยสว
ต่อสถานการณ์และความท้าทายต่าง ๆ ได้
3.4 ปรับปรุงขีดสมรรถนะของทรัพยากรบุคคลภาครัฐ ให้สามารถเพิ่มผลิต
าวิท
ภาพ และพัฒนาขีดความสามารถให้มีความเป็นมืออาชีพ
ยุทธศาสตร์ท่ี 4 สร้างระบบการกากับดูแลตนเองที่ดี เกิดความโปร่งใส มั่นใจ
"มห
และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งทาให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างมีจิตสานึกความรับผิดชอบต่อ
ตนเอง ต่อประชาชน และต่อสังคมโดยรวม
กลยุทธ์
4.1 เสริมสร้างระบบคุ ณธรรม จริย ธรรม ปรับ กระบวนทัศน์ หล่อมหลอม
วัฒนธรรมใหม่ให้เกิดขึ้นในหน่วยงานภาครัฐ
313
"
่านั้น
ระบบราชการไทยมี ข นาดค่ อ นข้ า งใหญ่ และมี ค วามซั บ ซ้ อ นมาก การน า
ยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติแบบทาไปพร้อมกันทั้งระบบอาจจะเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
าเท
ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ คงเป็นไปได้ยาก แม้จะมีการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ครั้งใหญ่ไป
ศึกษ
เมื่อ พ.ศ. 2545 แต่ก็พบว่าโครงสร้างการบริหารราชการของฝ่ายพลเรืองยังคงยึดติดอยู่กับ
แนวคิดที่ต้องการให้ระบบราชการมีความเป็นหนึ่งเดียวยึดโยงเปรีบเทียบซึ่งกัน และกันได้ หรือ
กา ร
ต้องการให้มีระเบียบแบบแผนเป็นแบบเดียวกัน ไม่ได้มีการแยกแยะ หรือแตกต่างกัน มั้ งในแง่
ของลักษณะธรรมชาติของงาน เช่น งานประเภทนโยบาย งานประเภทควบคุมกาลังคน งาน
เพื่อ
รวมถึ ง การวั ด ผลการด าเนิ น งาน เพื่ อ ให้ เ กิ ด ความยื ด หยุ่ น คล่ อ งตั ว ทางการบริ ห าร เกิ ด
ผลสัมฤททธิ์อย่างเป็นรูปธรรม สามารถคิดริเริ่มและตอบสนองต่อความท้าทายในด้านต่าง ๆ ที่
"มห
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้ดาเนินไปพร้อมกันทั้งหมด และเลือกเน้นบางจุดมาดาเนินการ
พัฒนาให้เกิดผลก่อนเรื่องอื่น ๆ
ฉะนั้น ในช่วง 6 เดือนแรกของการนาแผนยุทธสาสตร์การพัฒนาระบบราชการ
ไทย (พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2555) ใปสู่การปฏิบัติ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
หรือ ก.พ.ร. จึงประสานการดาเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. ทบทวนบทบาท และภารกิจของภาครัฐ ในอนาคตที่เ ปลี่ย นแปลงไปตาม
"
่านั้น
สภาพแวดล้อมของประเทศและของโลก ดังที่ปรากฎในภาพท้ายข้อความนี้ รวมถึงการสอบ
ทานพันธกิจและอานาจหน้าที่ โครงสร้างและระบบงาน ผลสัมฤทธิ์ การใช้ทรัพยากร และ
าเท
อัตราก าลั งของส่ว นราชการ และหน่ว ยงานของรัฐ ที่เ กี่ย วข้องในทุก ระดับ ใหม่อีก ครั้ง โดย
ศึกษ
คานึงถึงความคิดเห็นหรือความต้องการของประชาชน และความพร้อมของฝ่ายต่าง ๆ ที่จะ
รั บ ถ่ า ยโอนภารกิ จ ของภาครั ฐ ไปด าเนิ น การแทน ทั้ ง นี้ การวิ เ คราะห์ ดั ง กล่ า วจะเน้ น ให้
กา ร
ความส าคั ญ เป็นอันดั บ แรก ในประเด็ นวาระที่มีความสาคัญ เชิงยุ ท ธศาสตร์ต่อการพัฒนา
ประเทศ และการบริ ห ารราชการแผ่ น ดิน เช่ น ลอจิ ส ติ ก ส์ อาหารและสิ น ค้ า เกษตร การ
เพื่อ
ท่องเที่ยว การบริหารจัดการเรื่องทรัพยากรน้า
2. หากมีความจาเป็นที่ภาครัฐยังคงต้องมีบทบาท และภารกิจอยู่ต่อไป ไม่ว่า
ิต
นดุส
1. ภารกิจ/งานนั้นยังจาเป็นต้อปฏิบัติอยู่
หรือไม่ ?
ไม่ใช่
ยกเลิก
ใช่
"
2. ภารกิจ/งานนั้นมีหน่วยงานใดปฏิบัติอยู่แล้ว
่านั้น
หรือไม่ ?
ไม่ใช่
3. ภารกิจ/งานนั้นเป็นภารกิจหลักใช่หรือไม่ ?
าเท
ใช่ ไม่ใช่
ศึกษ
วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการแปรสภาพ/จ้างเหมา
ใช่ กา ร
4. ภารกิจ/งานนั้นสามารถมอบอานาจหรือกระจายอานาจไปให้ราชการส่วนภูมิภาค
เพื่อ
หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดาเนินการได้หรือไม่ ?
ไม่ได้ 3. ภารกิจ/งานนั้นสามารถดาเนินการโดยจัดตั้งเป็น
ิต
หน่วยงานของรัฐรูปแบบอื่นได้หรือไม่ ?
นดุส
ได้
ไม่ได้ 6. ภารกิจ/งานนั้นจาเป็นต้องดาเนินการ
ถ่ายโอน
ัยสว
ได้ โดยภาครัฐทั้งหมดหรือไม่ ?
ไม่ใช่
ยาล
จัดตั้งเป็นหน่วยงานของรัฐรูปแบบ วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการจ้าง
อื่น เหมา
ใช่
าวิท
โอนถ่าย
7. ภารกิจ/งานนั้นมีการทบทวนอานาจหน้าที่ การจัดโครงสร้าง
"มห
ไม่ใช่
วางแผนพัฒนาองค์การ
ใช่
จบการวิเคราะห์
ภาพที่ 14.3 แสดงตัวอย่างแนวทางการวิเคราะห์บทบาทภารกิจของหน่วยงานของรัฐ
ที่มา: สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, 2546
316
ปัจจัยเงื่อนไขแห่งความสาเร็จในการพัฒนาระบบราชการไทย
ในการนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - พ.ศ. 2555)
ไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้ประสบความส าเร็จ จึงจาเป็นจะต้องได้รับ การสนับ สนุนซึ่งมีปัจ จั ย ที่
เกือ้ หนุนหลายประการ ดังนี้
1. การสร้างความเป็นเจ้าของในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
- ต้องมีการเสริมภาวะผู้นาของผู้บริหารระดับสูงในแต่ละหน่วยงานให้ มี
"
่านั้น
ความสนใจ และสนั บ สนุ น ในเรื่ อ งการบริ ห ารการเปลี่ ย นแปลงอย่า งจริ ง จั ง รวมถึ ง มี ก าร
กาหนดให้มีผู้บริหารในระดับสูง เพื่อทาหน้าที่และรับผิดชอบในการบริหารการเปลี่ยนแปลงเป็น
าเท
การเฉพาะ และปฏิบัติงานแบบเต็มเวลาในแต่ละส่วนราชการ
ศึกษ
- กาหนดให้แต่ละหน่วยงานต้องวางเป้าหมาย หรือมีเป้าหมายที่ต้องการใน
การพัฒนา และเปลี่ยนแปลงองค์การ รวมถึงการดาเนินการจัดทาแผนปฏิบัติการให้มีความ
กา ร
ชั ด เจน เกี่ ย วกั บ การพั ฒ นาระบบบริ ห ารราชการของกระทรวง ซึ่ ง เชื่ อ มต่ อ และรองรั บ
ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างธรรมาภิบาล การบริหารจัดการที่ดี ในระยะ 4 ปี ในแผนปฏิบัติการ
เพื่อ
ของแต่ละกระทรวง
- ยกระดับ ความสาคัญและเสริมสร้างขีดความเข้มแข็ง ความสามารถของ
ิต
นดุส
กลุ่มพัฒนาระบบบริหารโดยเฉพาะในระดับกระทรวง ให้สามารถรับผิดชอบในการขับเคลื่อน
แผนปฏิบัติการในการพัฒนาระบบบริหารราชการของกระทรวงสู่ก ารปฏิบัติได้อย่างบรรลุ
ัยสว
เครือข่ายในการพัฒนาระบบราชการ
- ต้องมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการลงทุนในการพัฒนาองค์การและ
าวิท
ทรัพยากรบุคคลให้แก่แต่ละหน่วยงานอย่างเหมาะสมและเพียงพอ โดยยึดตามแผนปฏิบัติการ
เกี่ยวกับการพัฒนาระบบบริหารราชการเป็นหลัก
"มห
2. การ่วมเป็นเจ้าภาพในการพัฒนาระบบราชการ
- ส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติราชการ
ของตนให้ ส ามารถเที ย บเคี ย งสมรรถนะกั บ ภาค เอกชน หรื อ หน่ ว ยงานในภาครั ฐ ที่ มี
ประสิทธิภาพสูงกว่า หรือองค์กรที่เป็นผู้นาที่เป็นกรณีศึกษา เป็นตัวอย่างในการดาเนินการเพื่อ
เป็น พั นธมิตรเชิงยุ ท ธศาสตร์ ร่ว มกั บ ก.พ.ร. ซึ่งอาจมาจากลงทุนสร้างหรือเสาะแสวงหา
หน่ว ยงานต้นแบบ ซึ่งมีก ารคิด ริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ หรือสามารถดาเนินการด้านใดด้านหนึ่งเป็น
317
"
่านั้น
ทิศทางเดีย วกั นอย่างมีเ อกภาพ รวมถึงการลดความซ้ าซ้อน และไม่สร้างภาระให้ แ ก่ ส่ ว น
ราชการจนเกินความจาเป็น
าเท
- แสวงหาความร่วมมือจากภาคธุรกิจเอกชนให้เข้ามาร่วมมือกับ ก.พ.ร.
ศึกษ
มากขึ้น เพื่อช่วยถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ หรือเทคโนโลยีบางอย่างให้แก่ข้าราชการและ
หน่วยงานของรัฐ ในฐานะของการเป็นบรรษัทพลเมืองที่ดี ซึ่งมีความรับผิดชอบต่อสังคม
กา ร
- ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา และองค์กรการพัฒนาระหว่างประเทศเพื่อ
สร้าง ศูนย์นวัตกรรมเพื่อการพั ฒนาระบบราชการไทย ในการศึกษาวิจัย สร้างกรณีศึก ษา
เพื่อ
ต้นแบบ และแสวงหานวัตกรรมและความคิดริเริ่มใหม่มาปรับใช้กับการพัฒนาระบบราชการ
ไทย รวมถึง การเปิดให้ประชาชนและข้าราชการได้แสดงความคิดเห็นและข้อแนะนาในการ
ิต
นดุส
เครื่องมือในการนายุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย
ยาล
1. การสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลง
- มี ก ารสร้ า งความเข้ า ใจ กระตุ้ น เร่ ง เร้ า สื่ อ สาร ท าความเข้ า ใจกั บ
าวิท
- เพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้าราชการแต่ละบุคคลในทางตรงมากขึ้น รวมถึง
เปิ ด ช่ อ งทางการสื่ อ สารสองทางให้ ข้ า ราชการได้ ร่ ว มแสดงความคิ ด เห็ น เชิ ง สร้ า งสรรค์
โดยเฉพาะระบบสื่อสารผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์หลาย ๆ ช่องทาง
- ปรั บ ปรุ ง เนื้ อ หาหลั ก สู ต รฝึ ก อบรมและพั ฒ นาข้ า ราชการให้ มี ค วาม
ทันสมัยและรองรับต่อการพัฒนาระบบราชการมากขึ้น และบังเกิดผลคุ้มค่าต่อการลงทุน ไม่ใช่
เป็นเพียงเรื่องของการพบปะเพื่อสร้างเครือข่ายทางสังคมเท่านั้น ในการนี้ควรมุ่งเน้นความ
"
่านั้น
เข้ ม ข้ น ทางวิ ช าการ วางระบบตรวจสอบและประกั น คุณ ภาพ เน้ น กรณี ศึ ก ษาและทดลอง
ปฏิบัติงานจริงมากกว่าฟังการบรรยาย รวมทั้งพยายามให้การฝึกอบรมและพัฒนาข้าราชการมี
าเท
ผลต่อการปรับเปลี่ยนค่านิยมและกระบวนทัศน์อย่างแท้จริง
ศึกษ
2. ผลั ก ดั น พระราชกฤษฎี ก ารว่ า ด้ ว ยหลั ก เกณฑ์ และการบริ ห ารกิ จ การ
บ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 กา ร
- ให้มีการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหาร
กิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 อย่างจริงจังและเป็ นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรา 3/1 แห่ง
เพื่อ
บาลตามที่กาหนดไว้พระราชกฤษฎีการว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่
ดี พ.ศ. 2546
ัยสว
4. เพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนและสื่อมวลชนในการพัมนาระบบ
ราชการ
- ในส่วนของประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ทั้งในแง่ของบทบาทใน
ฐานะเป็นผู้เฝ้าระวัง และบทบาทในฐานะผู้ใ ห้ข้อคิดเห็นป้อนกลับเกี่ยวกับการพัฒนาระบบ
ราชการ และคุ ณ ภาพการให้ บ ริ ก ารแก่ ป ระชาชน เพื่ อ ใช้ เ ป็ น ข้ อ มู ล ในการปรั บ ปรุ ง และ
พัฒนาการทางานผ่านทางช่องทางต่าง ๆ
"
่านั้น
- ในส่วนของสื่อมวลชนสามารถเข้ามมามีส่วนร่วมได้เช่นกัน โดยเฉพาะการ
เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความสาเร็จ และ/หรือ ปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้องในการปฏิบัติราชการ
าเท
และร่วมติดตามการทางานของส่วนราชการ รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการนาความคิดเห็นของ
ศึกษ
ประชาชนฝ่ายต่าง ๆ มานาเสนอเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาระบบราชการ
สาหรับผลการพั ฒนาระบบราชการไทยตามแผนยุทธศาสตร์ก ารพัฒนาระบบ
กา ร
ราชการไทย (พ.ศ. 2551 -พ.ศ. 2555) พบว่า สามารถบรรลุเ ป้าหมายตามที่ต้องการคื อ
ประชาชนมีความพึงพอใจในระบบราชการ โดยอยู่ในระดับความพึงพอใจของประชาชนต่อการ
เพื่อ
ใหญ่ให้บริการประชาชนในรูปแบบของการนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเข้ามาใช้ใน
การให้บริการประชาชน ขั้นพื้นฐานเท่านั้น
ดั้งนั้น การพัฒนาระบบราชการในระยะต่อไปควรให้ความสาคัญในการส่งเสริม
และพัฒนาให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้บริการประชาชนผ่านรูปแบบของการนา
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการให้บริการประชาชนมากขึ้น
ด้ า นก าลั ง คนภาครั ฐ ตั้ ง แต่ ปี ง บประมาณ พ.ศ. 2551 - พ.ศ. 2554 พบว่ า
"
่านั้น
ข้าราชการฝ่ายพลเรือนเพิ่มขึ้นเพียง 475 อัตรา ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมอัตรากาลัง
ข้าราชการ กาลังคนประเภทลูกจ้างชั่วคราว พนักงานจ้าง และพนักงานราชการรวมกัน เพิ่มขึน้
าเท
ถึง 249,026 คน ขณะเดียวกัน ภาคราชการยังมีแนวโน้ม การสูญเสียกาลังคนที่มีคุณภาพจาก
ศึกษ
การเกษียณอายุ เนื่องจากข้าราชการส่วนใหญ่เข้าสู่วัยสูงอายุ โดยข้าราชการพลเรือนสามัญมี
อายุเฉลี่ยเท่ากับ 46.92 ปี และส่วนใหญ่ร้อยละ 68.98 มีอายุอยู่ในช่วง 31 - 50 ปี แต่มีเพียง
กา ร
ร้อยละ 8.85 เท่านั้นที่มีช่วงอายุต่ากว่า 30 ปี นอกจากนี้ มาตรการควบคุมอัตรากาลัง และ
ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรได้ส่งผลให้ส่วนราชการที่ต้องการกาหนดตาแหน่งระดับสูงเพิ่มขึ้นต้อง
เพื่อ
แม้ว่าผลการพัฒนาระบบราชการจะส่งผลดีขึ้น แต่การพัฒนาระบบราชการยัง
ต้องดาเนินต่อไป ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลง วิกฤติการณ์ และความผันผวนที่เปลี่ยนไป
ัยสว
"
่านั้น
ความสาคัญในเรื่องของการปรับเปลี่ยนวิธีการทางานให้มีขีดสมรรถนะสูง และมีความทันสมัย
ต้องเร่งนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ในการดาเนินงานให้มากขึ้น เพื่อปรับตัวให้ทัน
าเท
ต่อการเปลี่ย นแปลง และสามารถให้บ ริก ารประชาชนได้ อย่ า งต่อ เนื่ อ งในทุก สถานการณ์
ศึกษ
รวมทั้ ง ยั ง มี ค วามจ าเป็ น ต้ อ งบริ ห ารจั ด การ และพั ฒ นาคุ ณ ภาพของก าลั ง คนภาครั ฐ ให้
เหมาะสม เพื่อเพิ่มผลิตภาพในการปฏิบัติงาน สร้างนวัตกรรม ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และ
กา ร
ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
3. การบูรณาการการดาเนินงานระหว่ างหน่วยงาน และการดาเนินงาน
เพื่อ
ชี้ให้เห็นว่าภารกิจของภาครัฐในพลวัตของการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถบรรลุได้ด้วยบทบาท
นดุส
ที่ภาครัฐยังคงประสบปัญหาในการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคโลกาภิวัตน์
4. ความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ แนวโน้มปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของ
าวิท
ไปสู่การปฏิบัติการเสริมสร้างขีดสมรรถนะให้สามารถรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงในบริบทด้าน
ต่าง ๆ การสร้างสมดุล และลดความเหลื่อมล้า การปรับระบบบริหารจัดการภายในภาครัฐ
และการบริหารงานแบบ บูรณาการเพื่อให้เกิดความร่วมมือไปในทิศทางเดียวกัน
สรุป
"
ภาครัฐจะต้องปรับตัวให้เท่าทันและตอบสนองความคาดหวังของทุกภาคส่วน ใน
่านั้น
ยุคที่ประเทศไทยก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลง จะต้องปรับเปลี่ยนการทางานจากแบบเดิม ๆ ที่
าเท
คุ้นเคย คิดฝ่ายเดียว ทาฝ่ายเดียว มาทางานแบบประสานความร่วมมือโดยไม่แบ่งแยกเป็นหม
น้าที่ของใคร สร้างพันธมิตรการทางานกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกันในรูปแบบ
ศึกษ
ประชารัฐ สร้างสรรค์นวัตกรรมและนาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อสร้างให้เกิดรัฐบาลแบบเปิดที่
มี ก ารสร้ า งคุ ณ ค่ า ร่ ว มกั น ระหว่ า งทุ ก ภาคส่ ว น อั น จะน าไปสู่ ก ารเป็ น รั ฐ บาลที่ มี คุ ณ ธรรม
กา ร
โปร่งใส เป็นที่ความเชื่อมั่น ศรัทธาของประชาชนและสังคมโลก
เพื่อ
ข้ า ราชการในฐานะกลไกส าคั ญ ในการขั บ เคลื่ อ นภาครั ฐ ต้ อ งเปลี่ ย นแปลง
(Change) โดยต้องก้าวออกจากกรอบความคิดและวิธีการทางานแบบเดิม พร้อมท้าทายสิ่งใหม่
ิต
และมี คุ ณ ธรรม (Corruption free) เพื่ อ การพั ฒ นาประเทศไทยด้ ว ยหลั ก ปรั ช ญาเศรษฐกิ จ
"มห
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 14
1. แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2555) ได้
กาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาไว้กี่ยุทธศาสตร์อธิบาย
2. การน าแผนยุ ท ธศาสตร์ ก ารพัฒ นาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - พ.ศ.
2555) ไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้ประสบความสาเร็จ จาเป็นจะต้องได้รับปัจจัยสนับสนุนกี่ประการ
"
อธิบาย
่านั้น
3. เครื่ อ งมื อ ในการน ายุ ท ธศาสตร์ ไ ปสู่ ก ารปฏิ บั ติ ใ ห้ บ รรลุ เ ป้ า หมายในแผน
ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - พ.ศ. 2555) มีอะไรบ้าง อธิบาย
าเท
4. ผลการพัฒนาระบบราชการไทยตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ
ศึกษ
ไทย (พ.ศ. 2551 -พ.ศ. 2555) พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจในภาพรวมของระบบราชการ
เกินกว่าร้อยละ 80 แต่ก็ยังมีส่วนที่ต้องปรับปรุงในเรื่องใด
กา ร
5. การพัฒนาในระยะต่อจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ.
เพื่อ
2551 - พ.ศ. 2555) กาหนดไว้กี่ประเด็นหลัก อธิบาย
ิต
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
324
เอกสารอ้างอิง
"
่านั้น
คณะกรรมการพั ฒ นาระบบราชการ, ส านัก งาน. (2546). รายงานผลการพั ฒ นาระบบ
ราชการประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2546. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการ
าเท
พัฒนาระบบราชการ.
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, สานักงาน. (2551). แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบ
ศึกษ
ราชการไทย (พ.ศ. 2551 – พ.ศ. 2555). กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการ
กา ร
พัฒนาระบบราชการ.
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการร่วมกับมูลนิธิสถาบันวิจัยกฎหมาย, สานักงาน. (2546).
เพื่อ
พระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
พ.ศ. 2546. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ.
ิต
นดุส
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ.
ปัณรส มาลากุล ณ อยุธยา, (2546). “การพัฒนาระบบราชการไทย การพัฒนาองค์การ
ยาล
ภาวินี รอดประเสริฐ
"
่านั้น
จะเห็นได้ว่าการพัฒนาระบบราชการที่ได้ดาเนินการมาอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา
าเท
ที่ผ่านมานั้น เกิดผลเป็นรูปธรรมในหลายด้าน ส่งผลให้ประชาชนผูร้ ับบริการมีความพึงพอใจใน
ศึกษ
คุณภาพการให้บริการของหน่วยงานราชการในแนวโน้มที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ประชาชนยังมีการ
รับรู้ เข้าใจ และพึงพอใจกับการพัฒนาระบบราชการในภาพรวม รวมทั้งมีความเชื่อมั่น ศรัทธา
กา ร
ในความโปร่งใส และใสสะอาดในเรื่องคุณภาพการให้บริการในทางที่ดีขึ้น แต่การพัฒนาระบบ
ราชการยังต้องดาเนินการต่อไป เพื่อให้การบริหารงานภาครัฐก้าวไปสู่ทิศทางที่พึงประสงค์
เพื่อ
ตอบสนองความต้องการและประโยชน์สุขของประชาชนได้อย่างแท้จริง รวมทั้งสามารถปรับตัว
รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ การพัฒนาระบบราชการไทยในระยะต่อไป จะเน้น
ิต
นดุส
และในการขับเคลื่อนนโยบายในแนวทางดังกล่าวให้เกิดประสิทธิผล และเป็นรูปธรรมได้นั้น
าวิท
"
ราชการไทย (พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2561))
่านั้น
วิสัยทัศน์
าเท
ระบบราชการไทยมุ่ ง เน้ น พั ฒ นาการท างานเพื่ อ ประชาชน และรั ก ษา
ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ภายใต้หลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ศึกษ
ยกระดั บ ขี ด สมรรถนะไปสู่ค วามเป็นเลิศบูรณาการ และเพิ่มประสิท ธิภาพงานของภาครั ฐ
ประสานการทางานกับทุกภาคส่วน สร้างความโปร่งใส ต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ
กา ร
ให้เป็นที่น่าเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน
เพื่อ
ระบบราชการไทยจะต้องให้คุณค่า ความสาคัญ และยึดมั่นในปรัชญา หลักการ
และแนวทาง ดังนี้
ิต
ประชาชน เปิ ด โอกาสให้ มี ส่ ว นร่ ว ม และรั บ ฟั ง ความคิ ด เห็ น เพื่ อ ไปปรั บ ปรุ ง บริ ก าร เพื่ อ
ตอบสนองความต้ อ งการของประ ชาชน อ านวยประโยชน์ วางระบบการจั ด การ
ยาล
- ลดบทบาทภารกิจของภาครัฐให้ดาเนินการเฉพาะส่วนที่เป็นภารกิจที่รัฐ
"มห
ควรด าเนิ น การลดความซ้ าซ้ อ นปรั บ ปรุ ง ขั้ น ตอนการท างาน และเพิ่ ม ขี ด สมรรถนะของ
หน่วยงาน พัฒนารูปแบบการบริหาร และกระบวนการทางานใหม่ สร้างขีดสมรรถนะ ค่านิยม
และวัฒนธรรมองค์การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาสนับสนุน ในการทางาน ทางาน
ด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง
- บู ร ณาการท างานของภาครั ฐ และในระดั บ ต่ า ง ๆ พั ฒ นารู ป แบบการ
ทางานให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันเพื่อรองรับการดาเนินงานนโยบายสาคัญของประเทศ
327
และระดมสรรพกาลังบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาเพื่อผลักดันการนานโยบายสู่
การปฏิบัติ รวมถึงเพิ่มบทบาทของภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคมที่มคี วามพร้อมเข้ามาร่วมดาเนินการ
- เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับพื้นที่ ให้เป็นศูนย์ความเจริญ
ในระดับภูมิภาคเชื่อมโยงอาเซียน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการทางาน การใช้ทรัพยากรให้มี
ประสิทธิภาพ เกิดความคุ้มค่า เป็นไปในทิศทางเดียวกันโดยยึดพืน้ ที่เป็นหลัก
- ลดการควบคุ ม ที่ ก่ อ ให้ เ กิ ด ภาระ อุ ป สรรคหรื อ ความยุ่ ง ยากต่ อ การ
"
่านั้น
ประกอบกิจการหรือการดาเนินชีวิตของประชาชน สร้างความโปร่งใส และความเชื่อมั่นศรัทธา
เป็นที่พึ่งของประชาชน และร่วมมือกับภาคส่วนอื่นในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
าเท
- พัฒนาและสรรหาผู้ทีมีความสามารถสูงเข้ามารับราชการ สร้างผู้นาการ
ศึกษ
เปลี่ยนแปลงในทุกระดับ เสริมสร้างทัศนคติที่ดี สร้างคุณธรรม จริยธรรม พัฒนาคุณภาพชีวิต
จัดสวัสดิการ ทบทวนระบบค่าตอบแทนที่เหมาะสม กา ร
- สร้างความพร้อมและขับเคลื่อนระบบราชการไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
และเวทีโลก
เพื่อ
ประเด็นยุทธศาสตร์
ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ. 2556 - พ.ศ.
ิต
นดุส
ยุทธศาสตร์ท่ี 1 การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน
ยาล
พัฒนางานบริการของส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐสู่ความเป็นเลิศ
เพื่อให้ป ระชาชนมี ค วามพึง พอใจต่อคุ ณ ภาพการให้บ ริก าร โดยออกแบบการบริก ารที่ ยึ ด
าวิท
ประชาชนเป็ น ศู น ย์ก ลางมี ก ารน าเทคโนโลยีส ารสนเทศที่ เ หมาะสมมาใช้ เ พื่อ ให้ ป ระชาชน
สามารถใช้บ ริการได้ง่าย และหลากหลายรูปแบบ เน้นการบริก าร เชิงรุก ที่มีป ฏิสัมพันธ์
"มห
"
่านั้น
ระบบการทางานที่คล่องตัว รวดเร็ว ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศ น์ในการทางาน เน้นการคิดริเริ่ม
สร้ า งสรรค์ (Creativity) พั ฒ นาขี ด สมรรถนะของบุ ค ลากรในองค์ ก าร เน้ น การท างานที่ มี
าเท
ประสิทธิภาพ สร้างคุณค่าในการปฏิบัติภารกิจของรัฐ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดาเนินงานต่าง
ศึกษ
ๆ และสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม อนุรักษ์ส่งิ แวดล้อมที่ยั่งยืน
กลยุทธ์ กา ร
2.1 พัฒนาหน่วยงานของรัฐให้มีขดี สมรรถนะสูง
2.2 พั ฒ นาระบบบริ ห ารจั ด การก าลั ง คน และพั ฒ นาบุ ค ลากรเพื่ อ เพิ่ ม
เพื่อ
ประสิทธิภาพระบบราชการ
ิต
นวัตกรรม
2.4 สร้างความรับผิดชอบต่อสังคม และอนุรักษ์ส่งิ แวดล้อมที่ยั่งยืน
ัยสว
ยุทธศาสตร์ท่ี 3 การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐให้เกิด
ยาล
ประโยชน์สูงสุด
วางระบบการบริ ห ารจั ดการสิ นทรั พย์ ของราชการอย่ า งครบวงจร โดย
าวิท
สูญเสียสิ้นเปลืองและเปล่าประโยชน์ รวมทั้งวางระบบและมาตรการที่จะมุ่งเน้นการบริหาร
สินทรัพย์เพื่อให้เกิดผลตอบแทนคุ้มค่า สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยรวม มีต้นทุนที่ต่าลง
และลดความต้องการของสินทรัพย์ใหม่ที่ไม่จาเป็น
กลยุทธ์
3.1 บริหารสินทรัพย์ของภาครัฐ อย่างครบวงจรเพื่อให้เกิดประสิทธิ ภ าพ
คุ้มค่า และสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของภาครัฐ
329
ยุทธศาสตร์ท่ี 4 การวางระบบการบริหารงานราชการแบบบูรณาการ
ส่งเสริมการทางานร่วมกันภายในระบบราชการด้วยกันเอง เพื่อแก้ปัญหา
การแยกส่ว นในการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงาน รวมถึงการวางระบบความสัมพันธ์ และ
ประสานความร่ว มมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ใน
รูป แบบของการประสานความร่ วมมือที่ หลากหลาย ภายใต้ วัตถุ ป ระสงค์ เ ดีย วกั น คือ นา
ศัก ยภาพเฉพาะของแต่ล ะหน่ว ยงานมาสร้างคุณค่าให้กับ งานตามเป้าหมายที่ก าหนด เพื่อ
"
่านั้น
ขับเคลื่อนนโยบาย/ยุทธศาสตร์ของประเทศ และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
กลยุทธ์
าเท
4.1 ออกแบบ และพัฒนาระบบการบริหารงานแบบูรณาการ
ศึกษ
4.2 ปรั บ ปรุ ง ความสั ม พัน ธ์ และประสานความร่ว มมือ ระหว่า งราชการ
บริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น กา ร
ยุทธศาสตร์ท่ี 5 การส่งเสริมระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกัน
เพื่อ
ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
ส่งเสริมให้หน่วยงานราชการทบทวนบทบาท และภารกิจของตนให้มีความ
ิต
เหมาะสม โดยให้ ค วามส าคั ญ ต่ อ การมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชน มุ่ ง เน้ น การพั ฒ นารู ป แบบ
นดุส
ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งภาครั ฐ กั บ ภาคส่ ว นอื่ น การถ่ า ยโอนภารกิ จ บางอย่ า งที่ ภ าครั ฐ ไม่
จาเป็นต้องด าเนินงานเองให้ภาคส่วนอื่น รวมทั้งการสร้างความร่วมมือหรือความเป็น ภาคี
ัยสว
กลยุทธ์
5.1 ทบทวนบทบาทภารกิ จ และอ านาจหน้ า ที่ ข องหน่ ว ยงานของรั ฐ ให้
าวิท
กลยุทธ์
6.1 ส่งเสริมและวางกลไกสร้างความดปร่งใสในการปฏิบัติราชการ
6.2 ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และมาตรการในการต่อต้านคอร์รัปชั่น
ยุทธศาสตรที่ 7 การสร้างความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อเข้าสูการเป็น
ประชาคมอาเซียน
เตรียมความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคม
"
่านั้น
อาเซียน รวมทั้ง ประสานพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกันในการส่งเสริม และยกระดับธรรมาภิ
บาลในภาครัฐของประเทศสมาชิกอาเซียน อันจะนาไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง
าเท
ทางการเมือง และความเจริญผาสุกของสังคมร่วมกัน
ศึกษ
กลยุทธ์
7.1 พัฒนาระบบบริหารงานของหน่วยงานที่มีความสาคัญเชิงยุทธศาสตร์
กา ร
เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
เพื่อ
7.2 เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อยกระดับธรรมาภิบาลในภาครัฐ
ของประเทศสมาชิกอาเซียน
ิต
นดุส
ปัจจัยเงื่อนไขแห่งความสาเร็จในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา
ัยสว
ระบบราชการไทยไปสู่การปฏิบัติ
ในการนายุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2561)
ยาล
ไปสู่การปฏิบัติให้ประสบผลสาเร็จจาเป็นต้องอาศัยปัจจัยเงื่อนไขหลายประการ คือ
1. เสริมสร้างภาวะผู้นาการบริหารการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการเสริมสร้าง
าวิท
"
่านั้น
การเรียนรูด้ ้วยตนเอง มีปฏิสัมพันธ์ตอ่ กันและกัน ได้เรียนรู้รว่ มกัน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้
ความคิด และประสบการณ์แก่กัน และกันมากที่สุดเท่าที่จะทาได้ (Interaction) อันส่งผลให้
าเท
ผูเ้ รียนสามารถนาความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการอย่างแท้จริง
ศึกษ
3. ปรับปรุงกฎ ระเบียบ และกฎหมายต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง
ต้องมีการปฏิรูปกฎหมาย และระเบียบปฏิบัติเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หรือที่เป็น
กา ร
ปัญหาอุปสรรคต่อการปฏิบัติราชการ หรือการให้บริการประชาชน รวมทั้ง ดาเนินการยกเลิก
การปรับ ปรุง หรือจัด ให้มีก ฎหมาย กฎ ระเบีย บ ข้อบังคับ หรือประกาศขึ้นใหม่ ให้มีความ
เพื่อ
4. นาโปรแกรมประยุกต์มาช่วยสนับสนุนการปฏิบัติราชการ ต้องมีการ
นดุส
สนับสนุนให้มีการการนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ ๆ เข้ามาสนับสนุนการปฏิบัติราชการ
ด้วยการนาโปรแกรมประยุกต์ (Applications) เข้ามาใช้ประโยชน์เพื่อเชื่อมโยงการทางานภายใน
ัยสว
นายกรัฐมนตรีมีการประกาศนโยบายการพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศไทยในยุคไทยแลนด์
4.0 สานักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล (สวพ.) ภายใต้สานักงานคณะกรรมการข้าราชการ
พลเรือน (ก.พ.) จึงจัดอบรม หลักสูตรการเตรียมความพร้อมสู่ระบบบริหารทรัพยากรบุคคลใน
บริบทไทยแลนด์ 4.0 ภายใต้ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ให้แก่ข้าราชการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อจะได้มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่นวกับ โมเดลไทยแลนด์ 4.0 และให้สามารถปฏิบัติ
ราชการได้ตามนโยบายรัฐบาล จากการอบรม สานักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล (สวพ.)
332
ระบบราชการไทยในบริบทไทยแลนด์ 4.0
"
(สานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, ระบบบริหารราชการไทยในบริบทไทยแลนด์
่านั้น
4.0, ปริญญ์ บุญดีสกุลโชค, 2559)
าเท
จากที่ประเทศไทยมีการกาหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ภาครัฐต้องปรับตัวให้สามารถ
อานวยความสะดวกในการดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมยุคดิจิทัลท่ามกลางความ
ศึกษ
เปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไม่สามารถคาดเดาได้ จึงต้องมุ่งเน้นความคล่องตัวเพื่อขับเคลื่อน
ภารกิ จ พิ เ ศษ (Agenda -Based) และน าเทคโนโลยี ดิ จิ ทั ล มาพลิ ก โฉมระบบราชการสู่
กา ร
Government 4.0
เพื่อ
Automated
"มห
Innovative
ที่มา: ปริญญ์ บุญดีสกุลโชค, 2559.
333
องค์ประกอบดังกล่าวเป็นที่มาของการวางระบบและวิธีการทางานใหม่ของระบบ
ราชการ 4.0 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบราชการ
กรอบแนวทางการปฏิรูประบบราชการเพื่อรองรับไทยแลนด์ 4.0
สานักงาน ก.พ.ร.ได้จัดทากรอบแนวทางการปฏิรูประบบราชการ เพื่อรองรับ
ไทยแลนด์ 4.0 ไว้ดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, ระบบบริหารราชการไทย
ในบริบทไทยแลนด์ 4.0, ทศพร ศิรสิ ัมพันธ์, 2559)
"
่านั้น
(1) ระบบราชการ 4.0 ภาครัฐหรือระบบราชการจะต้องทางานโดยยึดหลัก
ธรรมาภิบาลเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน (Better Governance, Happier Citizens)
าเท
(2) การปรั บ เปลี่ ย นโครงสร้ า งใหม่ เพื่ อ สร้ า งสมดุ ล และการจั ด การ
ศึกษ
ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น ๆ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
รวมทั้ง ออกแบบโครงสร้างภายในภาครัฐเองให้กระชับและไม่เกิดความซ้าซ้อน
กา ร
(3) การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทางานใหม่ โดยการสร้างจิตสานึกและ
ความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ มุ่งเน้นความซื่อสัตย์สุจริตและประโยชน์สว่ นรวม
เพื่อ
"
่านั้น
- เชื่อมโยงการทางานราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วน
ท้องถิ่นให้มเี อกภาพ และสอดรับประสานกัน
าเท
(2) ภาครั ฐ ที่ ยึ ด ประชาชนเป็ น ศู น ย์ ก ลางการบริ ก าร และเข้ า ถึ ง ความ
ศึกษ
ต้องการในระดับปัจเจก (Citizen-Centric and Service-Oriented Government) มีลกั ษณะสาคัญ
ดังนี้ กา ร
- ท างานในเชิ ง รุ ก และมองไปข้ า งหน้ า ตั้ ง ค าถามกั บ ตนเองเสมอว่า
ประชาชนจะได้อะไร
เพื่อ
- มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาให้ประชาชน
- ให้บริการเชิงรุก ตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยไม่ต้องรอ
ิต
นดุส
ให้เข้ามาติดต่อหรือร้องขอ
- ใช้ป ระโยชน์จากข้อมูลภาครัฐ ในการจัดบริการสาธารณะที่ตรงกับ
ัยสว
ความต้องการประชาชน
- ใช้ระบบดิจิทัลสมัยใหม่ในการจัดการบริการสาธารณะที่ตรงกับความ
ยาล
ต้องการประชาชน
าวิท
(3) ภาครั ฐ อั จ ฉริ ย ะ-มี ขี ด สมรรถนะสู ง และทั น สมั ย (Smart and High
Performance Government) มีลักษณะสาคัญ ดังนี้
"มห
- ต้องทางานอย่างเตรียมการล่วงหน้า มีการวิเคราะห์ความเสี่ยง
- สร้ า งนวั ต กรรมหรื อ มี ค วามคิ ด ริ เ ริ่ ม และประยุ ก ต์ อ งค์ ค วามรู้ ใ น
แบบสหสาขาวิชา เพื่อตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันเวลา
- เป็นองค์กรที่มีขดี สมรรถนะสูง ปรับตัวให้เป็นสานักงานที่ทันสมัย
- ทาให้ข้าราชการมีความผูกพันต่อการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมกับ
บทบาทของตนเอง
335
"
่านั้น
บ้านเมืองในรูปแบบ “ประชารัฐ”
(2) การสร้างนวัตกรรม (Innovation) เป็นการคิดค้น และหาวิธีการ หรือศึกษา
าเท
เรื่องใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดผลกระทบใหญ่ต่อการตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ อย่างมี
ศึกษ
คุณภาพ โดยให้ประชาชนเข้ามามีสว่ นร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจ การเข้าถึงความรู้สกึ นึกคิด
(3) การปรับเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล (Digitalization) เป็นการผสมผสานการ
กา ร
จัดเก็บ และประมวลผลข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ อุปกรณ์สมาร์ทโฟน และเครื่องมือที่ใช้ในการ
ทางานร่วมกัน เพื่อานวยความสะดวกให้กับการดาเนินการ การให้บริการของราชการ สามารถ
เพื่อ
ระบบราชการไทยในทศวรรษหน้า
การพัฒนาระบบราชการในยุคที่จะก้าวสู่ทศวรรษหน้าเป็นงานที่มีความส าคัญ
แม้ว่าในทศวรรษที่ผ่านมามีความพยายามแต่ยังไม่บ รรลุจุดหมายเท่าที่ควร ยังไม่เป็น ไปตาม
หลั ก ธรรมาภิ บ าล ซึ่ ง ขณะที่ ส ภาพแวดล้ อ ม ทางเศรษฐกิ จ สั ง คมและการเมื อ งมี ก าร
เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การปรับระบบราชการสู่การบริหารสมัยใหม่ตามที่เคย
ตั้งเป้าหมายไว้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอสาหรับการนาพาประเทศไปสู่ทศวรรษหน้าอย่าง
"
่านั้น
มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลและผูบ้ ริหารในภาคราชการต้องเร่งพิจารณา รวมถึงกาหนด
ทิ ศ ทางให้ ชั ด เจน ซึ่ ง ระบบราชการจะเป็ น กลไกส าคั ญ ในการน าพาประเทศไทยให้ บ รรลุ
าเท
เป้าหมายตามที่กาหนดในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – พ.ศ. 2579) และแผนพัฒนา
ศึกษ
เศรษฐกิ จและสั งคมแห่งชาติ ฉบับ ที่ 12 โดยเฉพาะเป้าหมายในยุ ทธศาสตร์ชาติที่จะนาพา
ประเทศไทยไปสู่ ก ารเป็ น ประเทศที่ พั ฒ นาในอี ก 20 ข้ า งหน้ า ซึ่ ง เป็ น เป้ า หมายที่ ท้ า ท าย
กา ร
ความสามารถของรั ฐ บาลชุด ปัจ จุบั น และชุดต่อ ๆ ไป รวมถึงระบบราชการไทยทั้ งระบบ
เพื่อ
(อรพินท์ สพโชคชัย, 2559, น. 165-171) (สานักนายกรัฐมนตรี, ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, 2559)
(สานักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่
ิต
12, 2559)
นดุส
การสร้างระบบราชการให้เข้มแข็ง มีศักยภาพสูงต้องคานึงถึงเงื่อนไขสาคัญของ
ปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว เพราะเงื่อนไข
ัยสว
เหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อการทางานของระบบราชการ โดยจาเป็นต้องปรับระบบราชการให้
ยาล
สามารถตอบสนองความต้องการของประเทศและประชาชน และสามารถเผชิญกับความท้า
ทายต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
าวิท
1. ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดที่ส่งผลต่อ
วิถีชีวิต และเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารและเข้าถึงข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ได้
"มห
2. การเปิดเสรีทางการค้า และผลจากข้อตกลงกรอบความร่วมมือระหว่ าง
ประเทศต่าง ๆ หรือข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ย นแปลงภูมิอากาศที่มีความ
เข้มข้นขึ้น หรือแม้แต่ข้อตกลงแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง 6
ประเทศ และความตกลงหุน้ ส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมภิ าค เป็นต้น
3. อาชญากรรมและการก่อการร้ายข้ามชาติมีแนวโน้มที่ทวีความรุนแรงและ
ควบคุมได้ยากโดยเฉพาะ การลักลอบค้ายาเสพติด ปัญหาแรงงานค่างด้าว การค้ามนุษย์ และ
"
่านั้น
การก่อการร้ายของกลุ่มต่างชาติ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงและความสงบสุขของ
ประเทศ
าเท
4. ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจโลก กติกาการค้าใหม่ และปัจจัยคุกคาม
ศึกษ
ต่าง ๆ ส่งสัญาณว่าการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างศักยภาพในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย
จะเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของระบบราชการในการสนับสนุนในเศรษฐกิจขยายตัวอย่าง
กา ร
มีเสถียรภาพและยั่งยืน
5. การเปลี่ย นแปลงทางสังคมยุ ค ข้อมู ลข่ าวสารส่ ง ผลกระทบต่อบบทบาท
เพื่อ
ภารกิจที่ภาคราชการจาเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้ทันความต้องการของสังคม ซึ่งปัญหาสังคมที่
สะสมมานานจะยิ่งทวีความรุนแรง นอกจากนีย้ ังจะมีปัญหาใหม่ ๆ ที่ตอ้ งเร่งกาหนดแนวทางใน
ิต
นดุส
การป้องกันแก้ไข
6. การเมืองภาคประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในสังคมยุคใหม่
ัยสว
ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ขณะที่ภาคประชาชนและสื่อมวลชนมี
แนวโน้มให้ความสนใจการกาหนดนโยบายสาธารณะ การจัดบริการสาธารณะ การดาเนินงาน
"มห
"
่านั้น
2. ทบทวนและปรับ บทบาทให้ส อดคล้องกั บการบริบทของระบบเศรษฐกิจ
สั งคม และการเมืองยุค ใหม่ โดยเน้นบทบาทหลักในการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ (Public
าเท
Policy Implementation) อย่างมีประสิทธิ ภาพและประสิทธิผล และการจัดบริก ารสาธารณะ
ศึกษ
(Public Service Delivery) ที่มคี ุณภาพได้มาตรฐานและตอบสนองความต้องการของผูร้ ับบริการ
3. ปรับปรุงระบบการบริหารราชการตามที่กฎหมายกาหนดไว้แล้วให้ประสบ
กา ร
ความสาเร็จ ทั้งในส่วนที่เน้นการปรับระบบราชการให้ทันสมัย เน้นการบริหารงานเชิงผลงาน
(Result-based Management) ยึดหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) เพื่อที่ระบบราชการ
เพื่อ
4. ปรับระบบราชการให้เป็นการบริหารราชการในระบบเปิด หรือการบริหาร
ราชการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Governance) เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมและ
ัยสว
เป็นทางเลือกใหม่สาหรับการบริหารราชการสาหรับสังคมยุคเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารสมัยใหม่
ที่ ส่ ง เสริ ม ให้ ก ารมี ส่ ว นร่ ว มของประชาชนมี โ อกาสที่ จ ะด าเนิ น การอย่ า งมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ
"มห
ประสิทธิผลได้มากขึ้น
5. ปรับและจัดโครงสร้างของการบริหารราชการส่วนกลางจริงจัง ซึ่งการปรับ
โครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐในสังคมสมัยใหม่ ควรมีการดาเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้
สอดคล้องกั บ สถานการณ์ของสภาพแวดล้อมและกระแสโลกที่เ ปลี่ย นแปลงอย่า งรวดเร็ ว
เพื่อให้เอื้อต่อการดาเนินงานให้สอดรับกับกระแสความต้องการและความคาดหวังของคนไทย
ในยุ ค ใหม่ รวมทั้งเพื่อเพิ่มพู นสมรรถนะการบริหารงานของภาครัฐ และระบบราชการให้ มี
339
"
่านั้น
ทางานเชิงรุก ให้ความสาคัญต่อระบบการบริหารงานเชิงกลยุทธ์ หรือการบริหารงานแบบมุ่ง
ผลสัมฤทธิ์ โดยผลักดันให้ทุกหน่วยงานจัดทาแผนยุทธศาสตร์ที่ประกอบด้วยเป้าหมาย ผลผลิต
าเท
ผลลัพธ์ ปัจจัยสู่ความสาเร็จ ตัวชีวัดผลสาเร็จ มาตรฐานผลงาน แผนการทางาน งบประมาณ
ศึกษ
และทรั พ ยากรที่ ต้ อ งการใช้ โดยเปิ ด เผยต่ อ สาธารณะและถื อ เป็ น เงื่ อ นไขการท างานของ
เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีต่อรัฐบาลและรัฐสภามีการประเมินผลเป็นรายปีก่อนได้รับงบประมาณ
กา ร
สาหรับปีตอ่ ไป ทั้งนี้ โดยกาหนดเป็นระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดทาแผนกลยุทธ์
ของส่วนราชการ และการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของงาน พัฒนาระบบการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูล
เพื่อ
- พัฒนาระบบการจัดสรรงบประมาณให้เป็นระบบที่มุ่งเน้นวัดผลผลิตและ
ผลลั พ ธ์ โดยให้อิส ระแก่ หน่ว ยปฏิบัติ ก ากั บ ตรวจสอบผลงานและให้รับ ผิดชอบต่อ ผลงาน
ยาล
พร้อมกับปรับระบบบริหารการเงินและการบัญชีให้สอดคล้องกับระบบงบประมาณ
าวิท
งาน รวมทั้งแนวทางการกระจายอานาจ
- จัดให้มีระบบงบประมาณเพื่อการพัฒนาพื้นที่ โดยจัดสรรงบประมาณ
ให้แก่พนื้ ที่หรือท้องถิ่นโดยตรง
8. ปรับปรุงระบบริหารงานบุคคลและพัฒนาข้าราชการให้สามารถบริหารงาน
อย่างมืออาชีพ รวมทั้งพัฒนาทัศนคติข้าราชการให้มจี ิตสานึกความรับผิดชอบ ทั้งนีเ้ พราะระบบ
การบริ ห ารงานบุ ค คลเป็น เครื่อ งมื อส าคั ญ ที่ จ ะท าให้ ร ะบบการบริ ห ารงานภาครั ฐ ประสบ
340
ผลส าเร็ จ หรื อ ล้ ม เหลว จึ ง จ าเป็ น ต้ อ งพั ฒ นากลไกการบริ ห ารงานบุ ค คลทุ ก ด้ า นตั้ ง แต่
กระบวนการสรรหา และการพัฒนาข้าราชการจะต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อให้
ข้ า ราชการซึ่ ง มี บ ทบาทส าคั ญ ในการบริ ห ารงานภาครั ฐ มี ศั ก ยภาพการปฏิ บั ติ ง านสู ง ขึ้ น
สามารถนานโยบายไปปฏิบัติงานให้บรรลุผลสาเร็จ นอกจากนี้ ระบบราชการไทยต้องปรับ
ระบบการบริ ห ารราชการให้ ทั นสมั ย คล่ อ งตัว สิ่ ง ที่ ส าคั ญ ต้ อ งปรั บ ระบบค่ า ตอบแทนและ
สวัสดิการให้สามารถแข่งขันในตลาดแรงงานได้เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้
"
่านั้น
สนใจเข้ารับราชการ
9. ฟื้นฟูปรับปรุง และพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของกลไกการขับเคลื่อนการ
าเท
พั ฒนาระบบราชการ โดยเฉพาะคณะกรรมการ ก.พ.ร. สานัก งาน ก.พ.ร. และกลไกการ
ศึกษ
ขับเคลื่อนในระดับกระทรวงและกรม
กา ร
สรุป
เพื่อ
ในทศวรรษหน้าระบบราชการที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล ปฏิบัติราชการเพื่อ
ประโยชน์สุ ขของประชาชน และมีระบบการบริหารงานโดยยึดหลัก ธรรมาภิบ าลจะช่วยให้
ิต
ด้านอย่างสมดุล ระบบราชการที่ยึดหลักความเป็นมืออาชีพจะช่วยถ่วงดุลอานาจทางการเมือง
ลดทุ จ ริ ต ประพฤติ มิ ช อบ และส่ ง เสริ ม การด าเนิ น นโยบายสาธารณะที่ เ ป็ น ประโยชน์ ต่ อ
ัยสว
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 15
1. ในแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2561) มี
การกาหนดวิสันทัศน์หลักไว้กี่ประเด็นอะไรบ้าง อธิบาย
2. ในการนายุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2561)
ไปสู่การปฏิบัติให้ประสบผลสาเร็จต้องอาศัยปัจจัยกี่ประการ อธิบาย
"
3. องค์ประกอบของการก้าวไปสู่ระบบราชการ 4.0 แบ่งได้เป็น 3 มิติ (ด้าน)
่านั้น
อธิบายในแต่ละด้าน
4. ระบบราชการในทศวรรษหน้าจาเป็นต้องกาหนดเงื่อนไข บทบาทภารกิจ และ
าเท
จัดระเบียบการบริหารราชการเสียใหม่ โดยควรเน้นการดาเนินการ ใดบ้างอธิบาย
ศึกษ
5. ปรับปรุงระบบงานงบประมาณของประเทศไปสู่ระบบงบประมาณที่กระจาย
อานาจการดาเนินงานและเน้นที่ผลสัมฤทธิ์ของงาน (ผลผลิตและผลลัพธ์) พั ฒนาระบบการวัด
กา ร
และประเมินผลการดาเนินงานของระบบราชการในทศวรรษหน้า ควรมีแนวทางการดาเนินงาน
เพื่อ
อย่างไร
ิต
นดุส
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
เอกสารอ้างอิง
"
่านั้น
ราชการไทย (พ.ศ. 2556 – พ.ศ. 2561). กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการ
พัฒนาระบบราชการ.
าเท
คณะกรรมการพั ฒนาเศรษฐกิ จและสั งคมแห่งชาติ, สานัก งาน. (2559). ร่างแผนพัฒ นา
ศึกษ
เศรษฐกิ จ และสั ง คมแห่ งชาติ ฉบั บ ที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564). กรุงเทพฯ:
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษบกิจและสังคมแห่งชาติ.
กา ร
สานักนายกรัฐมนตรี, (2559). แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2560-2579). กรุงเทพฯ: สานัก
นายกรัฐมนตรี.
เพื่อ
สถาบันพระปกเกล้า.
ัยสว
ยาล
าวิท
"มห
บรรณานุกรม
กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ.2559
กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสานักงบประมาณ สานักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2559
กระมล ทองธรรมชาติ และ พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว ,2541, ข้าราชการไทย ความสานึกและ
อุดมการณ์, สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น . สารานุ ก รมไทยส าหรั บ เยาวชนในพระบรมราชู ป ถั ม ภ์ .
"
่านั้น
ออนไลน์ http://www.kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK27/chapter2/
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. สานักงาน. (2559). ระบบบริหารราชการไทยในบริบท
าเท
ไทยแลนด์ 4.0. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน.
ศึกษ
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. สานักงาน. (2546). แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบ
ราชการไทย (พ.ศ. 2546 – พ.ศ. 2550). กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการ
กา ร
พัฒนาระบบราชการ.
--------. (2546). รายงานผลการพัฒนาระบบราชการประจาปีงบประมาณ พ.ศ.
เพื่อ
พระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
าวิท
กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ.
คณะกรรมการพั ฒนาเศรษฐกิ จและสังคมแห่งชาติ, สานัก งาน. (2559). ร่างแผนพัฒ นา
เศรษฐกิ จ และสั ง คมแห่ งชาติ ฉบั บ ที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564). กรุงเทพฯ:
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษบกิจและสังคมแห่งชาติ.
คณะกรรมการสร้ า งความเข้ า ใจเกี่ ย วกั บ ร่ า งพระราชบั ญ ญั ติ . (2545). ระเบี ย บบริ ห าร
ราชการแผ่นดิน. กรุงเทพมหานคร. สานักงาน ก.พ.
344
"
่านั้น
ฉลอง สุสังกรณ์กาญจน์ และอภิชัย พันธเสน, 2539, ภาคราชการกับอนาคตการพัฒนา
ประเทศ, มูลนิธิชัยพัฒนาและมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
าเท
ชนิดา จรรโลงศิริชัย (2560). คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
เข้ า ถึ ง ได้ จ าก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=คณะกรรมการป้ อ งกั น และ
ศึกษ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2560
ชัยอนันต์ สมุทวนิช. (2538). 100 ปี แห่งการปฏิรูประบบราชการ : วิวัฒนาการอานาจรัฐ
กา ร
และอานาจการเมือง. กรุงเทพมหานคร. สถาบันนโยบายการศึกษา.
เพื่อ
ชาญชัย แสวงศักดิ์, 2540, การปรับปรุงองค์การภาครัฐ : การควบคุมและการตรวจสอบ
การใช้อานาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ, คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
ิต
"
่านั้น
--------. (2526). การปกครองท้องถิ่นไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
าเท
ปัณรส มาลากุล ณ อยุธยา, (2546). “การพัฒนาระบบราชการไทย การพัฒนาองค์การ
และการสร้างองค์การที่เรียนรู้”. วารสารสถาบันพระปกเกล้า ปี 2546 เล่มที่ 2
ศึกษ
วารสารปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2546. กรุงเทพฯ: สถาบัน
กา ร
พระปกเกล้า.
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546,
เพื่อ
(2546).
พระราชบัญญัติกาหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน
ิต
ท้องถิ่น พ.ศ.2542 (2542). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 116. ตอน 114 ก. หน้า 48.
นดุส
แห่งชาติ พ.ศ.2542
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552
าวิท
"
่านั้น
55 ก. หน้า 1.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (2550). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 124. ตอน
าเท
47 ก. หน้า 1.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 124. ตอนที่
ศึกษ
47 ก. 24 สิงหาคม 2550. กา ร
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. สานักกรรมาธิการ 3. สานักงาน
เลขาธิการสภาผูแ้ ทนราษฎร. กรุงเทพฯ : 2550
เพื่อ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475, ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 49. หน้า
529-551. 27 มิถุนายน 2475
ิต
ภาครัฐเพื่อประชาชน, คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
ยาล
"
่านั้น
สมชาย บารุงทรัพย์ และ ณัฐวิภา ผลเกลี้ยง. (2544). สรุปพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และ พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง
าเท
กรม พ.ศ. 2534. กรุงเทพมหานคร. สานักพิมพ์ สกายบุ๊กส์ จากัด.
สมพงษ์ เกษมสิน. (2515). การปกครองไทย. กรุงเทพมหานคร. สานักพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิช.
ศึกษ
สมาน รังสิโยกฤษฎ์, 2541, ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล, สวัสดิการ
กา ร
สานักงาน ก.พ.
สมาน รังสิโยกฤษฎ์ และ สุธี สุทธิสมบูรณ์. (2541) การบริหารราชการ. กรุงเทพมหานคร
เพื่อ
สวัสดิการสานักงาน ก.พ. สานักงาน ก.พ.
--------. (2541). การบริหารราชการ. กรุงเทพมหานคร. สานักงาน ก.พ.
ิต
กรุงเทพมหานคร. สานักพิมพ์บรรณกิจ.
สันทัศน์ รันดาเว. การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี. เข้าถึงได้จาก
ัยสว
http://www.comdopa.com/dopa/tuter/doc/tuter002.ppt สืบค้นเมื่อวันที่ 10
ยาล
สิงหาคม 2560
สานักงบประมาณ (2560). ประวัติและความเป็นมา. เข้าถึงได้จาก
าวิท
"
่านั้น
นายกรัฐมนตรี.
สานักพิมพ์ สกายบุ๊กส์. (2544). พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2534.
าเท
กรุงเทพมหานคร. สานักพิมพ์ สกายบุ๊กส์ จากัด.
สานักพิมพ์นิติรัฐ. (2545). โครงสร้างกระทรวง ทบวง กรมใหม่ ตามกฎหมายปฏิรูประบบ
ศึกษ
ราชการ. กรุงเทพมหานคร. บริษัทธนบรรณปิ่นเกล้า จากัด.
กา ร
สุเทพ เชาวลิต (2548). การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management).
กรุงเทพฯ, สานักพิมพ์เสมาธรรม.
เพื่อ
สุเทพ เอี่ยมคง (2560). ผู้ตรวจการแผ่นดิน. เข้าถึงได้จาก
http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ผูต้ รวจการแผ่นดิน สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน
ิต
2560
นดุส
เคลื่อ นตัว สู่ ทศวรรษหน้า. บริษัท ซัน แพคเก็ จจิ้ง (2014) จากั ด. กรุงเทพฯ:
สถาบันพระปกเกล้า.
าวิท
สถาบันพระปกเกล้า.
อุทัย หิรัญโต. (2523). การปกครองทองถิ่น. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.
Arnell B. Bautista. ( 1993) . Rules and Regulations Implementing the Local
Government Code of 1991 with Related Laws and Concept of
Decentralization. National Book Store.
349
Ferlie, E., et al. (1996). The New Public Management in Action. USA, Oxford
University Press.
Heywood. Andrew. (2002). Politics. 2nd ed. New York: Palgrave
Kates, A. and J. R. Galbraith (2007). Designing Your Organization: Using the Star
Model to Solve 5 Critical Design Challenges. San Francisco, John Wiley
& Sons, Inc.
"
่านั้น
Keller. Lawrence F. and Perry. David C. (1991). “The Structures of Government”. In
Richard D. Bingham et al. Managing Local Government: Public Administration
าเท
in Practice. Newbury Park. London and New Delhi: Sage Publication.
Max Weber. (1978). Bureaucracy in Jay M. Shafritz and Albert C. Hyde, eds., Classics of
ศึกษ
Public Administration. Oak Park Illinois. Moore Publishing.
กา ร
Mintzberg, H. (1981). "Organization Design: Fashion or Fit?" Harvard Business
Review(January-Febuary 1981): 103-116.
เพื่อ
Muttalib. M.A. and Khan, Mohd. Akbar Ali. (1982). Theory of Local Government. New
Delhi: Sterling Publishers Private Limited
ิต
Muttalib. M.A. and Khan, Mohd. Akbar Ali. (1982). Theory of Local Government. New
นดุส
Wilson. David and Game, Chris. (1998). Local Government in the United Kingdom. 2nd
ed. London: Macmillan Press.
"มห
"
่านั้น
าเท
ศึกษ
กา ร
ถึงนักศึกษาและผูอานทุกทาน
เพื่อ
ขอบคุณที่สนับสนุนหนังสือของ ศูนยบริการสื่อและสิ่งพิมพ กราฟฟคไซท
หากคุณพบหนังสือที่ชำรุดจากการพิมพหรือเขาเลม
โปรดติดตอเรา เพื่อรับหนังสือเลมใหม
ิต