Professional Documents
Culture Documents
3. กฐินสู่ธรรม ดำเนินตามอริยชน ทานกุศล
3. กฐินสู่ธรรม ดำเนินตามอริยชน ทานกุศล
อยากเก็บรายละเอียดให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจ
เจาะให้เห็นสภาวธรรมที่เราท่านทั้งหลายกำลังศึกษา วิธีคิด
วิธีมนสิการในการบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา
ทานเป็นบันไดขั้นแรกที่ไต่ขึ้นไปสู่สวรรค์
ทานเป็นเสบียงที่ติดตัวไป ปราศจากอันตรายต่างๆ
และให้ผลเป็นความสะดวกสบายแก่ผู้ที่ยังเวียนว่าย
อยู่ในสังสารวัฏ
ทานเป็นทางสายตรงที่จะนำไปสู่พระนิพพาน
และทานเป็นเหตุอย่างประเสริฐที่ยังผลให้พ้นจากวัฏสงสาร
มีอยู่ยุคหนึ่งที่กล่าวว่าชาวพุทธเราเอาสวรรค์มาล่อและระดมให้
ทานกัน มีพุทธบริษัทกลุ่มหนึ่งก็โจมตีกัน
ในยุคนี้เราก็จะเห็นว่า ช่วงออกพรรษาวัดต่างๆก็จัดให้มีประธาน
กฐิน รองประธาน ว่า ตำแหน่งต่างๆต้องจ่ายเท่าไหร่
โยมก็เครียดกัน ทุกข์ เจ้าอาวาสก็วิตกว่าปีนี้จัดกฐินจะคุ้มหรือไม่
นี่เป็นปัญหามาก
อย่างนี้บ่งบอกทัศนคติว่าการให้ทานขับเน้นที่ตัววัตถุ ไม่เข้าใจ
วัตถุประสงค์ของการให้ทานอย่างแท้จริง
ต้องการชี้ให้เห็นว่าชาวพุทธขาดความเข้าใจอย่างมาก
และเอาจำนวนเงินมาเป็นตัวตั้ง วัดไหนได้เงินมากคนเป็นเจ้าภาพ
ก็หน้าบานชื่นใจ ประกาศตัวเลขกันแล้วก็จะถามกันว่า
วัดนั้นได้เท่าไหร่ วัดนี้ได้เท่าไหร่
ค่านิยมตรงนี้แก้ยากจริงๆ เป็นวัฒนธรรม เป็นความเชื่อ
ทั้งหลาย กฐินไปๆมาๆก็เลยกลายเป็นเรื่องเงิน ไม่สนใจเรื่องผ้า
และไม่คำนึงถึงพระวินัย
ก็เลยมีชาวพุทธกลุ่มหนึ่งไม่เอากฐิน เลิกทอดกฐิน ทำให้เสียหาย
ทานมีการบริจาคเป็นลักษณะ
การมีเจตนาที่จะให้หรือถวายก็ดี วัตถุที่จะให้หรือถวายก็ดี เรียกว่าทาน
ฉะนั้นเจตนาที่จะถวายและการได้ถวายนั้นเรียกว่าทาน
ผู้ที่ไม่มีเจตนาก็ไม่อยากถวาย ผู้มีเจตนาเท่านั้นที่จะถวายได้
เจตนาในที่นั้นก็คือถือเอามุญจนเจตนาที่เป็นตัวทานแท้ๆ
เจตนาในที่นี้ที่จะเรียกว่าทานต้องหมายเอามุญจนเจตนา
เจตนาที่กำลังถวาย ขณะที่ถวาย มุญจน หมายถึงการสละ
เจตนาที่เกิดขึ้นในขณะถวายนั้นเรียกว่ามุญจนเจตนา
มุญจนเจตนาเป็นองค์ธรรมของทานอย่างแท้จริง แต่ต้องเป็นเจตนา
ที่เป็นกุศลด้วย
มุญจนเจตนาเป็นทานแท้ๆ ในขณะที่ตั้งจิตคิดที่จะถวาย มันมีความพร้อมระหว่างตัววัตถุ มีความพร้อม
ทั้งเจตนาที่จะสละในขณะนั้น มีสัมฤทธิ์ผลคือมีผู้รับ อย่างนี้
ตัวมุญจนเจตนาถือว่าสมบูรณ์ที่สุด จึงเรียกว่าเป็นทานแท้ๆ
แต่ไม่ได้หมายความว่าปุพเจตนาจะไม่เป็นทาน เป็นกุศล แต่ความสมบูรณ์
ของการให้ยังไม่สัมฤทธิ์ก่อนเพราะยังไม่ได้มีการหยิบและยื่น
มีการปรุงแต่ง ประดับตกแต่งจิต ตรงนั้นก็ให้ผลเช่นกัน แต่ทานที่แท้จริง
ขับเน้นที่มุญจนเจตนา
ปุพพเจตนา นับเข้าในทานได้ เพราะคำว่าปุพพ แปลว่าก่อน หมายถึงไทยธรรม
ไทยทานที่มีอยู่แล้ว มีความตั้งใจว่าจะถวายทานนี้
มันมีวัตถุ มีการขวนขวายหา เรียกว่าปุพเจตนา
ถ้าเจาะกันให้ลึกจริงๆ ถ้าไม่มีวัตถุทานเลย เพียงคิดว่าจะให้
อย่างนี้เรียกว่ากุศลสามัญ ยังไม่นับเนื่องเป็นทานอย่างแท้จริง
ทานประกอบไปด้วย ๑. เจตนา
๒. วัตถุ
ที่จะให้สมบูรณ์จริงๆ ต้องมีเจตนาเจตจำนง มีเจตนาที่จะให้นี้ รวมทั้ง
อโลภะ คือความไม่โลภ
อโทสะ คือความไม่โกรธ
อโมหะ คือปัญญา
อยู่ในนั้น ถ้าจะให้สมบูรณ์ต้องไปเจาะรายละเอียดว่าเราสามารถตั้ง
เจตนากระตุ้นเตือนให้อโลภะความไม่โลภ อโทสะความไม่โกรธ และ
ปัญญาเกิดขึ้นในการที่จะให้จะสละหรือไม่ และมีวัตถุทาน
มีทั้งเจตนา มีทั้งวัตถุ จึงจะสมบูรณ์
เช่นถวายน้ำแด่พระ มีเจตนาเป็นตัวกระตุ้นเตือนขับเคลื่อนในการ
ที่จะให้ ถ้าครบองค์ประกอบอย่างนี้ ในขณะให้นั้นเป็นมุญจนเจตนา
เป็นตัวทานกุศลแท้ๆ พอให้สัมฤทธิ์ผลแล้ว วัตถุก็มี เจตนาก็เป็นไป
แต่เจตนาต้องเป็นกุศลด้วย หลังให้แล้วผลของทานที่จะให้ผล
ตัววัตถุเป็นตัวให้ผล หรือตัวเจตนาเป็นตัวให้ผล
การที่เรามีองค์ความรู้แบบนี้สำคัญมาก ถ้าอย่างนั้นมันไม่รู้ว่าจะ
ระลึกอย่างไร ถ้าเราเคยให้ข้าวเป็นทาน มีเจตจำนงจงใจตั้งใจ
ที่จะสละข้าวเป็นทานแล้ว ถ้าอย่างนั้นทำไมเราจึงยังยินดีในการ
กินข้าวอยู่เล่า เราให้น้ำเป็นทาน แต่ทำไมเรายังยินดีพอใจใน
น้ำอยู่เล่า เราให้เสื้อผ้าเป็นทานแต่ทำไมยินดีพอใจในเสื้อผ้า
เราให้พาหนะเป็นทานแต่ทำไมเรายังยินดีพอใจในยานพาหนะ
เราให้เครื่องลูบไล้ ของหอม ให้ที่นอน ที่พักอาศัย ให้ประทีป
แสงสว่างเป็นทานก็ให้มาแล้วแต่ทำไมยังยินดีพอใจในสิ่งเหล่า
นี้อยู่ แสดงให้เห็นชัดว่าเราไม่ได้ชำระความรู้สึก หรือจิตที่คิดจะ
สละสิ่งเหล่านี้
เหตุใกล้ของทาน มีวัตถุอันควรสละเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
เรื่องทานจริงๆแล้วเป็นเรื่องใหญ่
I
Ef
เราท่านทั้งหลาย ยึดติดในผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ บ่งบอกถึงความที่เราไม่ได้สละ
การให้ทานสัตว์เดรัจฉาน ในพระสูตรกล่าวไว้ว่าการให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉาน
กล่าวไว้ในทักขิณาวิภังคสูตร ๑ อิ่ม ได้อานิสงส์ ๑๐๐ อัตภาพ
เช่นจะราดเศษอาหารเททิ้ง มนสิการว่าให้มด แมลงใดๆ หมู่หนอน
ทั้งหลาย ได้เศษอาหารนี้จงอิ่มหนำสำราญ จงเป็นผู้มีความสุข
มีอายุยืนเถิด
อานิสงส์ การให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉาน ๑อิ่มคือ จะได้
อายุ วรรณะ ความสุข กำลัง ปัญญา ๑๐๐ อัตภาพ * ๕
เวลาไปเกิด ๑๐๐ อัตภาพ ท่านจะเป็นผู้มีอายุยืน มีกำลัง มีผิวพรรณ
งามและมีปัญญา ๑๐๐ ชาติ เจตนาคือจิตที่คิดจะให้ด้วยความรู้และ
เข้าใจ ต้องรู้และเข้าใจด้วยจึงจะได้ปัญญา อยู่ที่ว่าเราได้ให้ได้สละ
ได้ถูกต้องหรือไม่
คำถาม ถวายทานแด่สงฆ์ที่เป็นภิกษุทุศีล กับพระพุทธเจ้า อันไหนได้อานิสงส์มากกว่ากัน
คำว่าถวายสงฆ์ ท่านไม่นับคำว่าสงฆ์ทุศีล
สงฆ์ทุศีลไม่มี เพราะสงฆ์ไม่ใช่บุคคล ห้ามนับเป็นบุคคล
ถวายทานแด่สงฆ์ ไม่ได้สนใจว่าจะมีศีลหรือไม่มีศีล เพราะเขาไม่ได้
น้อมถวายคนนั้น ทั้งสมมติสงฆ์และอริยสงฆ์
ไปกระทบถึงคุณ ศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ วิมุตติคุณ วิมุตติ
ญาณทัสสนคุณ ของหมู่สงฆ์ ไม่ได้มุ่งตัวบุคคล
แต่เพราะมีสัญลักษณ์ผ้าเหลืองพันอยู่จึงน้อมแก่สงฆ์ ไม่ได้น้อมขันธ์
นั้นด้วย ไม่ได้ไปดูรายละเอียดด้วยว่ากระแสชีวิตนี้จะทุศีลหรือไม่
ทุศีล เขามองเพียงแค่เป็นตัวแทนของสงฆ์
ยกตัวอย่างเช่น เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย
ไม่ได้มองเป็นบุคคลนั้นแต่มองว่าเป็นตัวแทนของประชากรประเทศ
อินเดีย
ต้องแยกระหว่างสงฆ์กับบุคคลให้ออก
บุคคลใดน้อมถวายสงฆ์ได้ บุญจะเกิดขึ้นมหาศาล
ต้องฝึกในการให้ทาน แต่ประเด็นคือใจของเรา ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าทำได้ง่าย ทำได้ยาก
มองว่ากระแสชีวิตท่านเป็นตัวแทน เวลาดูแลก็ดูแลกระแสชีวิตท่าน
อย่างดี ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่มที่เหมาะสมกับตัวท่าน แต่ไม่ได้มอง
ที่ตัวท่านเลย มองท่านเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น ไม่ได้หวังบุญจาก
หนึ่งกระแสชีวิตนี้ แต่เบื้องหลังตัวแทนคือสงฆ์ทั่วสังฆมณทลเช่น
อริยสงฆ์ มีพระโสดาบันเป็นต้นจนถึงพระอรหันต์เป็นที่สุด
และมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข จึงไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลเลย
คนที่เป็นพระสงฆ์จึงต้องขวนขวายในการฝึกตนอย่างมาก
ว่าเราจะมีคุณสมบัติไปรับทานหรือไม่ ต้องไปว่ากันอีกเยอะ
อามิสทาน
ธรรมทาน
การพูดว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลายที่ทำการบูชาองค์พระเจดีย์นั้น
เป็นผู้รับทานก็ไม่ผิด เพราะองค์ของพระเจดีย์นั้นเป็นวัตถุที่ควรบูชา
ของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เช่นนั้นจึงเรียกวัตถุทานก็ได้
ถ้าจะถือเอาตามนี้
ผู้ท่ีสร้างพระเจดีย์นั้นเป็นผู้ให้ทาน
องค์พระเจดีย์เป็นวัตถุทาน
มนุษย์และเทวดาผู้บูชากราบไหว้เป็นผู้รับทานก็ได้
E เรื่องทานคิดได้หลายมุม ห้ามสุดโต่ง
คนที่สร้าง คนที่สละ คนที่ทำ แปลว่ามีเจตนาที่สร้าง
ต่อมาคนก็มาบูชา เทวดาก็มาบูชา ก็ถือว่าเป็นผู้รับก็ได้
สำหรับบุคคลที่สุดโต่งว่าเป็นวัตถุทานไม่ได้ก็ให้คิดมุมนี้ไป
เพื่อแก้ความขุ่นข้องหมองใจ
ในโลกนี้ทั้งหมดมีวัตถุปัจจัยหลายๆอย่าง
แต่ละอย่างนั้นก็ต้องใช้ตามฐานะที่ควรใช้ เช่นถ้าเป็นของกินก็ใช้
กิน ถ้าเป็นของใช้สอย เครื่องสวมใส่ เป็นสิ่งที่ควรบูชาก็บูชา
กราบไหว้ การขุดบ่อขุดสระ ทางอันเป็นที่สัญจรนั้นไม่ได้ถวายผู้
ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ แต่สร้างเพื่อบุคคลทั่วไปที่เดินทาง
ฉะนั้นผู้สร้างก็เป็นผู้ให้ทาน
บ่อน้ำ สระ ศาลา ถนน ก็เป็นวัตถุทาน
ผู้ใช้ทั่วไปก็เป็นผู้รับทาน นี้ก็สำเร็จเป็นทานเช่นกัน
ในกระแสชีวิต ต้องไปประชุมและทำให้เกิดให้มีขึ้นมา
เราไปยืนไปเดินไปนั่งไปนอน แปลว่าพระธรรมวินัยกำลังกำกับ
ท่านกำลังปฏิบัติตามวินัยและฝึกตามสิกขาบทเข้าสู่ธรรมะ
วินัยคลุมทั้งหมดพูดโดยรวม ส่วนสิกขาบทเป็นข้อๆ แปลว่าเรามี
พระวินัยเป็นตัวกำกับอยู่ ฝึกตามข้อฝึกแต่ละข้อเข้าสู่ศีล พัฒนาสู่ปราโมทย์
ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ พัฒนาสู่ปัญญา เลยเข้าถึงศีล สมาธิ ปัญญา
สู่ธรรมะแต่มีวินัยเป็นแบบแผน มีสิกขาบทเป็นข้อฝึกและดำเนินสู่ศีล สมาธิ
ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมะ ธรรมและวินัยจึงมากำกับ แปลว่าพระศาสดาก็
ทำกิจตลอด พระธรรมวินัยก็ไม่หยุด ไปประกาศให้พระธรรมวินัยนั้นเปล่ง
แสงออกมา ผลักออกมาเป็นการกระทำ เป็นคำพูด
เป็นกระบวนการความคิด พุทธบริษัทก็งดงาม อุบาสกอุบาสิกาก็งดงาม
มารก็สกัดไม่อยู่ ยกเว้นพุทธบริษัทไม่แข็งแรง ไม่สามารถนำธรรมวินัย
เข้าไปอยู่ในกระแสชีวิตได้
การจะเห็นคุณธรรมของผู้อื่นได้ก็ต้องฝึกในการที่จะมอง
เหมือนกรณีที่แม่เห็นคุณธรรมของลูก ลูกเห็นคุณธรรมของแม่
สามีเห็นคุณธรรมของภรรยา ภรรยาเห็นคุณธรรมของสามี
เพื่อนเห็นคุณธรรมของกันและกัน
พระเห็นคุณธรรมของญาติโยม ญาติโยมเห็นคุณธรรมของพระ
ก็เลยปฏิบัติต่อกัน รู้สึกซาบซึ้งตรึงใจที่ปฏิบัติต่อกัน
มันก็เลยอยู่ด้วยกันอย่างผาสุกทันที
แต่ถ้าไปเห็นบาปก็จะเครียดต่อกัน
ต้องมองให้เห็นคุณธรรม
จริงๆแล้วกระแสชีวิตมันมีจุดเด่นอีกเยอะมาก มองให้เป็นเจาะให้ถึง
แล้วเราจะได้เคารพซึ่งกันและกันได้อย่างซาบซึ้ง
ไม่ใช่ไปร่องลึกแข็งทื่อ จำอะไรแต่สิ่งที่ไม่เป็นสาระ
อดีตที่เคยไปทำผิดมาก็ตอกย้ำกัน เอาปมด้อยมาว่ากัน
ไม่เรียกว่าปฏิบัติธรรม มันไม่ได้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดเลย
เอามาขู่กัน กดกัน มีตัณหา มานะทิฏฐิใส่กัน
ให้เลิกเสีย ถอนเสีย
เพราะเราต้องการประพฤติธรรมที่จะพัฒนาให้ไปไกลกว่านี้
ไม่ใช่อยู่เพียงเท่านี้ ไปกดกัน และไม่เคารพกันอย่างแท้จริง
เคารพความเป็นมนุษย์ ธรรมของมนุษย์
กุศลกรรมบถที่ปฏิบัติมันมีอยู่
เราให้ทานแก่กันยังเป็นบุญเลย
แล้วเราปฏิบัติศีลต่อกันมันจะไม่เป็นบุญได้อย่างไร
พูดจาดีต่อกัน มนสิการที่เป็นกุศลต่อกัน
กุศลจะมีพลังเฟื่องฟูมาก ในบ้านนั้น ในสังคมนั้น น่าชื่นใจ
การปฏิบัติธรรมน่าตื่นเต้น ไม่ใช่นั่งหลับตาแต่ว่าทิฏฐิเต็มตัว
ทิฏฐิฝังร่องลึก เครียดใส่กัน นั่งหลับตาใส่กันไม่คุยกัน ขัดแย้งกัน
เมื่อเราเข้าใจแล้วต้องทำทันที แล้วจะเป็นประโยชน์กับท่านทั้งหลาย