Professional Documents
Culture Documents
41322-1 Merged
41322-1 Merged
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-1
หน่วยที่ 1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืม
และสัญญายืมใช้คงรูป
ธ
รองศาสตราจารย์ปรียา วิศาลเวทย์
มส
ธ
มส
ม
ชื่อ รองศาสตราจารย์ปรียา วิศาลเวทย์
สธ
วุฒิ น.บ. (เกียรตินิยมดี), น.บ.ท.
LL.M (Tulane University, U.S.A. ทุนรัฐบาล)
ต�ำแหน่ง กรรมการกลุ่มปรับปรุงเอกสารการสอน
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 1
ม
1-2 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แผนการสอนประจ�ำหน่วย
ธ
หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป
ตอนที่
แนวคิด
มส
1.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืม
1.2 สัญญายืมใช้คงรูป
1.3 ความระงับและอายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูป
1. ก ฎหมายจัดเรื่องยืมเข้าไว้เป็นเอกเทศสัญญา เนื่องจากมีบทบัญญัติที่ใช้บังคับเป็นการเฉพาะ
นอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์ของสัญญาธรรมดาโดยทั่วไป
ธ
2. ยมื ใช้คงรูปเป็นสัญญายืมประเภทหนึง่ ซึง่ มีลกั ษณะเฉพาะอันเป็นสาระส�ำคัญ คือ ผูย้ มื มีสทิ ธิ
ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมได้เปล่าโดยกรรมสิทธ์ในทรัพย์สินที่ยืมไม่โอนไปยังผู้ยืม ตลอดจนเรื่อง
สิทธิและหน้าทีใ่ นระหว่างผูย้ มื และผูใ้ ห้ยมื แตกต่างจากสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองซึง่ เป็นสัญญายืม
มส
อีกประเภทหนึ่งโดยสิ้นเชิง
3. กฎหมายบัญญัติเรื่องความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูป ตลอดจนอายุความที่เกี่ยวข้องไว้โดย
อาศัย หลักเกณฑ์อันเป็นลักษณะเฉพาะของสัญญายืมใช้คงรูป
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายลักษณะส�ำคัญและประเภทของสัญญายืมได้
2. บอกความแตกต่างในสาระส�ำคัญของสัญญายืมแต่ละประเภทได้
3. อธิบายสาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้คงรูปได้
ม
4. แจกแจงสิทธิและหน้าที่ในระหว่างผู้ยืมและผู้ให้ยืมในสัญญายืมใช้คงรูปได้
5. อธิบายเกี่ยวกับความระงับและอายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้
6. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสัญญายืมใช้คงรูปได้
สธ
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-3
กิจกรรมระหว่างเรียน
1. ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 1
2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 1.1-1.3
3. ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ธ
4. ฟังซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. เข้ารับบริการสอนเสริม (ถ้ามี)
7.
สื่อการสอน
1.
2.
3.
4.
มส
ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 1
เอกสารการสอน
แบบฝึกปฏิบัติ
ซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
รายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
5. การสอนเสริม (ถ้ามี)
ธ
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
มส
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบประจ�ำภาคการศึกษา
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 1 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป ม
สธ
ม
1-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
บทน�ำ
ธ
ช่วยเหลือ เกื้อกูลซึ่งกันและกันอยู่เป็นปกติวิสัย การยืมทรัพย์สินกันใช้สอยนั้นจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของ
ชีวิตประจ�ำวันของ คนทั่วไป ดังนั้น กฎหมายจึงจ�ำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการก�ำหนดหลักเกณฑ์ที่
ส�ำคัญต่างๆ ในเรือ่ งดังกล่าวไว้ เพือ่ เป็นการฟ้องกันข้อโต้เถียงซึง่ อาจจะเกิดขึน้ ได้ในระหว่างผูย้ มื และผูใ้ ห้
มส
ยืมทรัพย์สินนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อความเป็น ระเบียบและปกติสุขของบุคคลผู้อยู่ร่วมกันในสังคมให้มากที่สุด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของเรานัน้ ได้บญ ั ญัตหิ ลักเกณฑ์เกีย่ วกับสัญญายืมไว้เป็นพิเศษ
ซึ่ง เรียกว่าเอกเทศสัญญา ในบรรพ 3 ลักษณะ 9 ตั้งแต่มาตรา 640 ถึงมาตรา 656 รวมทั้งสิ้น 17 มาตรา
ด้วยกัน ในเอกสาร การสอนหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 ซึง่ นักศึกษาจะได้ศกึ ษาเป็นล�ำดับต่อไปนีจ้ ะได้กล่าว
ถึงลักษณะโดยทั่วไปของ สัญญายืมทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยลักษณะในทางกฎหมายของสัญญายืม
ประเภทของสัญญายืม สาระส�ำคัญ รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมและผู้ให้ยืม ตลอดถึงความระงับแห่ง
สัญญายืมและอายุความ ซึ่งจะมีบทมาตรา ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ
ตั้งแต่มาตรา 640 ถึงมาตรา 652 ส่วนตั้งแต่มาตรา 653 ถึงมาตรา 656 ซึ่งเป็นเนื้อหาเฉพาะในเรื่องการ
กู้ยืมเงินนั้นจะได้นำ� ไปกล่าวแยกไว้เป็นพิเศษในหน่วยที่ 3 เนื่องจากมีเนื้อหาสาระซึ่งแตกต่างออกไปจาก
ธ
ลักษณะทัว่ ไปของสัญญายืมมาก ดังนัน้ ในการศึกษาเพือ่ ให้ทราบ เนือ้ หาในรายละเอียดของสัญญายืมโดย
ครบถ้วนสมบูรณ์ นักศึกษาจึงจ�ำเป็นต้องศึกษาเอกสารการสอนในหน่วยที่ 1 ถึงหน่วยที่ 3 เกี่ยวโยงต่อ
มส
ม
สธ
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-5
ตอนที่ 1.1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืม
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 1.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
1.1.1 ลักษณะของสัญญายืม
1.1.2 ประเภทของสัญญายืม
1. ส ญ
ั ญายืมเป็นเอกเทศสัญญาลักษณะหนึง่ โดยเป็นสัญญาไม่ตา่ งตอบแทน และบริบรู ณ์
เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม ตลอดจนมีวัตถุแห่งสัญญาเป็นทรัพย์สิน
2. สญ ั ญายืมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สัญญายืมใช้คงรูป และสัญญายืมใช้สนิ้ เปลือง
ซึ่งต่างก็มีลักษณะเฉพาะในตัวเองอย่างเด่นชัด
ธ
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 1.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
มส
1. อธิบายลักษณะที่สำ� คัญของสัญญายืม
2. แจกแจงประเภทของสัญญายืมได้
ม
สธ
ม
1-6 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ความน�ำ
จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของเราได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ
ธ
เรื่องยืมไว้พิเศษเป็นลักษณะหนึ่งในบรรพ 3 ซึ่งเรียกว่า เอกเทศสัญญา ที่จัดว่าเป็นเอกเทศสัญญานั้น
เพราะเป็นลักษณะของสัญญาที่แตกต่างไปจากสัญญาธรรมดาโดยทั่วไป เนื่องจากมีบทบัญญัติพิเศษเพิ่ม
เติมขึ้นเพื่อใช้บังคับนอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์ของสัญญาธรรมดาตามความส�ำคัญของสัญญานั้นๆ
ดังทีบ่ ญ
มส
อย่างไรก็ตาม เอกเทศสัญญาจะต้องเกิดขึ้นและมีความสมบูรณ์ตามหลักมูลฐานของสัญญาธรรมดาทั่วไป
ั ญัตไิ ว้ในบรรพ 1–2 นัน้ เสียก่อน ดังนัน้ ในการศึกษาเอกเทศสัญญานัน้ มิใช่จะมุง่ พิจารณาบทบัญญัติ
ของลักษณะทีว่ า่ ด้วยสัญญานัน้ ๆ โดยเฉพาะเท่านัน้ ต้องประกอบด้วยบทบัญญัตอิ นั เป็นมูลฐานของสัญญา
นัน้ ด้วย สัญญายืมทีจ่ ะศึกษาต่อไปนีก้ เ็ ช่นเดียวกันจะต้องเกิดเป็นสัญญาสมบูรณ์ตามหลักมูลฐานมาแล้ว
จึงจะพิจารณาต่อไปว่าเข้าลักษณะเป็นสัญญายืมหรือไม่ หากเข้าลักษณะเป็นสัญญายืมแล้วจึงจะใช้
บทบัญญัติลักษณะยืมมาใช้บังคับเป็นการเฉพาะต่อไป
ที่กล่าวว่าจะเป็นสัญญายืมได้จะต้องสมบูรณ์ตามหลักมูลฐานของสัญญามาก่อนนั้น หมายความ
ว่าการเกิดของสัญญาจะต้องเป็นไปตามหลักของนิติกรรม มีการแสดงเจตนาบริสุทธิ์ที่จะผูกพันกันตาม
สัญญานั้น มีคำ� เสนอ ค�ำสนองตรงกัน มีวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย และคู่กรณีมีความสามารถที่จะ
ธ
ท�ำนิติกรรมได้ ซึ่งจะน�ำมากล่าวโดยสรุปได้ดังนี้คือ
1. สัญญาเป็นนิติกรรมหลายฝ่ายซึ่งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป
มส
ระหว่างบุคคลแล้วก็หาเป็นนิติกรรมไม่1
2. สัญญาจะเกิดขึน้ เมือ่ คูก่ รณีแสดงเจตนาเป็นค�ำเสนอค�ำสนองถูกต้องตรงกัน การแสดงเจตนานัน้
โดยปกติตอ้ งแสดงให้ปรากฏอย่างใดอย่างหนึง่ จะเป็นโดยกิรยิ าอาการ โดยวาจา หรือโดยลายลักษณ์อกั ษร
ม
บุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ” ดังนัน้ ถ้าการใดมิได้มงุ่ ทีจ่ ะผูกนิตสิ มั พันธ์
ธ
อ�ำพราง เมื่อคดีได้ความว่าความจริงเป็นเรื่องโจทก์จ�ำเลยเข้าหุ้นส่วนกันในการแสดงละครเพื่อหาก�ำไร
จ�ำนวน เงินที่โจทก์จะมอบให้จ�ำเลยไปซื้อหาและใช้จ่ายในการแสดงละครนั้น โจทก์ให้จ�ำเลยท�ำหนังสือ
มส
สัญญากู้โจทก์ไว้ เพื่อให้จำ� เลยเอาเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดการแสดงจริงๆ และเพื่อป้องกันเจ้าหนี้
อื่น ถ้าหากว่าจ�ำเลยจะ ไปก่อให้เกิดขึ้นมิให้มาฟ้องร้องโจทก์ในฐานเป็นหุ้นส่วน ดังนี้สัญญากู้ดังกล่าวจึง
เป็นนิติกรรมอ�ำพรางตกเป็น โมฆะตาม ปพพ. มาตรา 118 (ปัจจุบันคือมาตรา 155)
ฎ. 2059/2525 จ�ำเลยท�ำสัญญากู้ให้โจทก์เพื่อเอาใจโจทก์ เพราะขณะนั้นจ�ำเลยถูกฟ้องคดีอาญา
และต้องการจะเอาบุตรซึง่ เกิดจากสามีของโจทก์คนก่อนมาเป็นพยานให้จำ� เลยในคดีทถี่ กู ฟ้อง และเกรง ว่า
โจทก์จะร้องเรียนผู้บังคับบัญชาทางวินัย เพราะจ�ำเลยมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนที่จะได้โจทก์
เป็น ภรรยา ส่วนโจทก์ประสงค์จะใช้สัญญากู้เป็นข้อต่อรองให้จ�ำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยมิได้มี
การรับเงินกัน ตามสัญญากู้เงิน ดังนี้ สัญญากู้ดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่คู่สัญญาท�ำขึ้นโดยเจตนาลวง ไม่
ประสงค์จะผูกพันกัน จึงบังคับไม่ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 118 (ปัจจุบันคือมาตรา 155)
ธ
ฎ. 1076/2539 เมื่อค�ำให้การจ�ำเลยแปลความได้ว่า จ�ำเลยยอมรับว่าได้ตกลงกู้เงินจากโจทก์และ
หลังจากท�ำสัญญากูแ้ ล้ว จ�ำเลยได้รบั เงินจากโจทก์จนครบและเกินจ�ำนวนทีก่ ำ� หนดไว้ในสัญญากู้ จึงถือได้
มส
ธ
นิติกรรม นั้นสมบูรณ์มีผลบังคับได้จนกว่าจะถูกบอกล้าง ซึ่ง ปพพ. มาตรา 175 ได้กำ� หนดตัวผู้มีอำ� นาจ
บอกล้างโมฆียะกรรมไว้แล้ว และเมือ่ มีผบู้ อกล้างโมฆียะกรรมแล้ว ปพพ. มาตรา 176 ให้มผี ลถือว่านิตกิ รรม
มส
นัน้ เป็นโมฆะแต่เริม่ แรก คูก่ รณีตอ้ งกลับคืนสูฐ่ านะเดิม เว้นแต่ถา้ เป็นการพ้นวิสยั จะกลับคืนฐานะเดิมเช่นนัน้
ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้แทน
จากหลักมูลฐานแห่งนิติกรรมดังกล่าว หากได้พิจารณาว่าเอกเทศสัญญาใดไม่ขัดกับหลักมูลฐาน
ดังกล่าวแล้ว ก็จะต้องพิจารณาต่อไปว่าเป็นเอกเทศสัญญาลักษณะใด เพือ่ ทีจ่ ะได้นำ� บทบัญญัตใิ นเอกเทศ
สัญญา ลักษณะนั้นๆ มาใช้บังคับต่อไป
เรื่องที่ 1.1.1
ธ
ลักษณะของสัญญายืม
มส
ธ
โดยส่งตัว๋ นัน้ ไปเก็บเงินจากผูท้ จี่ ำ� เลยส่งสินค้าไปให้อกี ต่อหนึง่ การทีโ่ จทก์จา่ ยเงินให้จำ� เลย ดังนีห้ าเรียกว่า
เป็นการกู้ยืมเงินไม่ แม้จะไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อจ�ำเลยผู้ต้องรับผิด โจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินได้
มส
ฎ. 874/2486 การเข้าหุ้นเล่นแชร์เปียหวยไม่เป็นการกู้ยืมเงิน
ฎ. 315/2491 จ�ำเลยให้โจทก์เป็นนายหน้าขายสายพานให้ โดยจ�ำเลยขอให้โจทก์จ่ายเงินค่า
สายพานนี้ให้ก่อน 20,000 บาท ถ้าผู้มาซื้อสายพานไปตามนัด จ�ำเลยก็ไม่ต้องช�ำระเงินคืนให้โจทก์ แต่ถ้า
ผูซ้ อื้ ไม่มาซือ้ จ�ำเลยจะต้องคืนเงิน ดังนี้ ศาลฎีกาวินจิ ฉัยว่า โจทก์มใิ ช่ผซู้ อื้ สายพาน ข้อตกลงระหว่างโจทก์
จ�ำเลยเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองตามมาตรา 650 เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 653 โจทก์จะ
ฟ้องบังคับจ�ำเลยให้ช�ำระเงินคืนหาได้ไม่
ฎ. 49/2491 จ�ำเลยขอให้โจทก์จา่ ยเงินแก่หญิงคนหนึง่ ไปแล้ว จ�ำเลยจะใช้ให้ โจทก์จา่ ยเงินไปแล้ว
จ�ำเลยไม่ยอมใช้คนื โจทก์จงึ ฟ้องเรียกเงินทีจ่ า่ ยไป ศาลฎีกาวินจิ ฉัยว่า การจ่ายเงินนัน้ โดยจ�ำเลยสัง่ เป็นการ
ท�ำแทนจ�ำเลยตัวแทนย่อมเรียกเงินทีจ่ า่ ยทดรองจากตัวการได้โดยไม่ตอ้ งมีหลักฐานเป็นหนังสือเพราะไม่ใช่
ธ
เรื่องกู้ยืม (มี ฎ. 319/2510 วินิจฉัยในท�ำนองเดียวกัน)
ฎ. 122/2501 รับมอบเงินไปซื้อกระบือและโคมาให้ ซื้อกระบือบ้างแล้วกลับขายเสียและคืนเงินให้
มส
ธ
จากการที่สัญญายืมเป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทนนี้ย่อมมีผลทางกฎหมาย กล่าวคือ หลักเกณฑ์
ต่างๆ ที่ใช้บังคับกับสัญญาต่างตอบแทน จะน�ำมาใช้บังคับกับสัญญายืมไม่ได้ เช่นสิทธิที่จะบังคับเอากับ
มส
คู่สัญญาตาม ปพพ. มาตรา 369 ไม่สามารถจะน�ำมาใช้กับสัญญายืมได้ ผลทางกฎหมายก็คือ ถ้าเกิดมี
กรณีที่ผู้ให้ยืมไม่ยอมส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม ผู้ยืมก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้ผู้ยืมส่งมอบให้ เป็นต้น
3. สัญญายืมเป็นสัญญาทีบ่ ริบรู ณ์ตอ่ เมือ่ ส่งมอบทรัพย์สนิ ทีใ่ ห้ยมื (มาตรา 641 และมาตรา 650
วรรคสอง) หมายความว่า ตราบใดทีผ่ ใู้ ห้ยมื ยังไม่สง่ มอบทรัพย์สนิ ทีใ่ ห้ยมื แก่ผยู้ มื สัญญายืมก็ยงั ไม่ บริบรู ณ์
แม้ว่าคู่สัญญาจะได้ท�ำสัญญากันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วก็ตาม5
ส่วนปัญหาทีว่ า่ การทีไ่ ม่มกี ารส่งมอบทรัพย์อนั เป็นเหตุให้สญ
ั ญายืมไม่บริบรู ณ์นนั้ จะหมายความถึงว่า
สัญญายืมนั้นตกเป็นโมฆะไปเลยหรือไม่ มีความเห็นของนักกฎหมายแยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
ฝ่ายแรก6 มีความเห็นว่า การส่งมอบทรัพย์สินเป็นแบบอย่างหนึ่งของนิติกรรมนอกเหนือไปจาก
แบบที่กฎหมายบังคับอย่างอื่น กล่าวคือ ฝ่ายนี้มีความเห็นว่าแบบแห่งความสมบูรณ์หรือบริบูรณ์ของ
ธ
นิติกรรมที่กฎหมายบังคับไว้แบ่งแยกได้เป็น 3 ประเภท คือ
ก. ต้องท�ำเป็นหนังสือ เช่น สัญญาเช่าซื้อ ตาม ปพพ. มาตรา 572
มส
ธ
650 ได้ความแต่เพียงว่า สัญญายืมนัน้ ย่อมบริบรู ณ์ตอ่ เมือ่ ส่งมอบทรัพย์สนิ ซึง่ ให้ยมื ซึง่ ตีความหมายได้วา่
ตราบใดที่ยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์ที่ให้ยืม สัญญายืมนั้นก็ยังไม่มีผลบริบูรณ์ตามกฎหมาย ต่อเมื่อมีการ
มส
ส่งมอบทรัพย์แล้วสัญญานัน้ ย่อมมีผลบริบรู ณ์ คือก่อให้เกิดสิทธิและหน้าทีข่ องคูส่ ญ ั ญาตามกฎหมาย ไม่มี
ข้อความใดในบทบัญญัตทิ ใี่ ห้ตกเป็นโมฆะซึง่ หมายความถึงความเสียเปล่าอันไม่สามารถจะท�ำให้กลับคืนดี
ได้ในภายหลัง หากกฎหมายมีเจตนารมณ์จะให้การส่งมอบทรัพย์เป็นแบบของนิตกิ รรมก็ควรจะได้บญ
ผลไว้ชดั แจ้งว่าให้ตกเป็นโมฆะ เช่น ในสัญญาซือ้ ขายอสังหาริมทรัพย์ (ปพพ. มาตรา 456) หรือในสัญญา
เช่าซื้อ (ปพพ. มาตรา 572) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติใน ปพพ. อีกหลายประการ ซึ่งเห็นได้โดย
ชัดแจ้งว่าไม่ใช่แบบของนิติกรรมซึ่งจะมีผลท�ำให้นิติกรรมกลายเป็นโมฆะหากไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมาย
ก�ำหนด เช่น ในเรื่องหลักฐานเป็นหนังสือในสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน (ปพพ. มาตรา 456 วรรคสอง)
ั ญัติ
ส่งมอบให้ครอบครองอาจเกิดก่อนสัญญายืมก็ได้ เช่นผู้ยืมครอบครองทรัพย์ที่ยืมอยู่ก่อนแล้วโดยอาศัย
สัญญาอื่น เช่น รับฝากทรัพย์ที่ยืมไว้ก่อนแล้ว เป็นต้น
สัญญาจะให้ยืม
ปัญหาที่น่าพิจารณาเกี่ยวกับการส่งมอบทรัพย์อีกประการหนึ่งก็คือในเรื่องสัญญายืมจะมีผล
บริบรู ณ์ตอ่ เมือ่ มีการส่งมอบทรัพย์สนิ ทีย่ มื ตราบใดยังไม่มกี ารส่งมอบทรัพย์ทยี่ มื ให้แก่ผยู้ มื สัญญายืมยัง
ธ
ไม่มผี ลบังคับ ผูย้ มื ย่อมไม่อาจบังคับให้ผยู้ มื ส่งมอบทรัพย์สนิ ให้แก่ตนได้ ดังนัน้ หากคูส่ ญ
ั ญาท�ำสัญญาจะ
ให้ยมื ไว้ทำ� นองเดียวกับสัญญาจะให้ หรือสัญญาจะซือ้ จะขายทรัพย์สนิ เพือ่ ให้มผี ลบังคับกันได้หากผูใ้ ห้ยมื
มส
เปลี่ยนใจภายหลัง จะท�ำได้หรือไม่ ในเรื่องดังกล่าวมีความเห็นของนักกฎหมายแตกต่างกัน คือ ฝ่ายหนึ่ง
เห็นว่า สัญญาจะให้ยมื หรือค�ำมัน่ จะให้ยมื ใช้บงั คับตามกฎหมายไม่ได้8 เพราะยังไม่มกี ารส่งมอบทรัพย์ แม้
จะได้มกี ารตกลงเป็นหนังสือไว้วา่ ฝ่ายหนึง่ จะให้ยมื ทรัพย์สนิ แต่ถา้ ยังไม่มกี ารส่งมอบทรัพย์นนั้ อีกฝ่ายหนึง่
จะน�ำสัญญามาฟ้องให้ศาลบังคับผู้จะให้ยืมส่งมอบทรัพย์สินนั้นไม่ได้ แต่ความเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า
สัญญาจะให้ยมื หรือค�ำมัน่ จะให้ยมื นัน้ น่าจะเป็นสัญญาทีส่ มบูรณ์บงั คับฟ้องร้องกันได้เพราะเป็นสัญญาตาม
หลักทัว่ ไปซึง่ ไม่ใช่สญ
กันเท่านั้น9
ั ญายืม จึงไม่จำ� เป็นต้องสมบูรณ์โดยการส่งมอบทรัพย์ แต่สมบูรณ์โดยมีเจตนาตกลง
หรือค�ำมั่นจะให้ยืมลงไปอีก คือ
1. สัญญาจะให้ยืมโดยไม่เอาค่าตอบแทนแต่อย่างใด ได้แก่ สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายที่ให้ค�ำมั่นนั้น
ไม่หวังค่าตอบแทนในการให้ยมื แต่ประการใดเลย เช่น เรามีรถยนต์อยูค่ นั หนึง่ ได้มเี พือ่ นมาขอยืมใช้ในวัน
อาทิตย์หน้า โดยมิให้คา่ ตอบแทนแก่เราอย่างไร (ถ้าเพือ่ นให้คา่ ตอบแทนแก่เราก็จะเป็นสัญญาเช่ารถยนต์
ซึง่ ย่อมใช้บงั คับได้โดยไม่ตอ้ งมีการส่งมอบ) เราก็ตอบว่าได้ ให้มาเอารถยนต์ในวันอาทิตย์หน้า ดังนี้ เข้าใจ
ว่าสัญญาจะให้ยมื โดยไม่เอาค่าตอบแทนดังกล่าว หาใช้บงั คับได้ไม่ กล่าวคือ ตราบใดทีเ่ รายังไม่ได้สง่ มอบ
รถยนต์ให้ไปนั้น เราจะกลับใจไม่ยอมให้เพื่อนยืมรถยนต์ไปใช้ได้ ม
ทั้งนี้ ก็โดยเห็นว่าสัญญาจะให้ยืมโดยไม่เอาค่าตอบแทนนั้นมีลักษณะใกล้กับสัญญาให้มากที่สุด
แต่สัญญาให้นั้นจะสมบูรณ์ก็โดยการส่งมอบทรัพย์ (ดูมาตรา 523) สัญญาจะให้ยืมจึงน่าจะเข้าในข่ายแห่ง
สัญญา ให้นั้นด้วย
2. สัญญาจะให้ยมื โดยเอาค่าตอบแทน ได้แก่ สัญญาทีค่ สู่ ญ ั ญาฝ่ายทีใ่ ห้คำ� มัน่ นัน้ หวังค่าตอบแทน
ในการให้ยืมนั้น เช่น ธนาคารมีเงินให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย ได้มีลูกค้ามาขอท�ำสัญญาให้ธนาคารเปิดเครดิต
เพื่อตน ยืมเงินไปได้ในอัตราดอกเบี้ยที่กำ� หนด ธนาคารก็ตกลง (กรณีเช่นนี้ไม่ใช่สัญญาเช่าทรัพย์ เพราะ
เงินเป็นทรัพย์สิน ที่ใช้ไปสิ้นไป เป็นวัตถุแห่งสัญญาเช่าทรัพย์ไม่ได้) ดังนี้ เข้าใจว่า สัญญาจะให้ยืมโดยมี
ค่าตอบแทนดังกล่าวใช้ บังคับตามกฎหมายได้ กล่าวคือ หากธนาคารเกิดไม่ยอมให้ยืมตามที่สัญญาไว้
ธ
ลูกค้าย่อมมีสิทธิที่จะบังคับให้ให้ ยืมได้”
ส�ำหรับผู้เขียนนั้น มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า กฎหมายลักษณะยืมไม่ได้บัญญัติในเรื่องสัญญา
มส
จะให้ ยืมไว้ว่ามีได้หรือไม่อย่างไร ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ดูตามลักษณะของสัญญาแล้ว สัญญายืมเป็นสัญญาไม่
ต่างตอบ แทนซึ่งจะน�ำหลักเกณฑ์ของสัญญาต่างตอบแทนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิที่จะบังคับแก่
คู่สัญญา ตาม ปพพ. มาตรา 369 มาใช้บังคับไม่ได้ กล่าวคือ สัญญายืมในตัวของมันเอง เมื่อเกิดกรณีที่
ผู้ให้ยืมไม่ยอมส่งมอบทรัพย์ สินที่ยืม ผู้ยืมก็ไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้ผู้ยืมส่งมอบได้อยู่แล้ว ดังนั้น สัญญา
จะให้ยืมไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ ก็ไม่น่าจะใช้บังคับได้ นอกจากนี้แม้แต่ในสัญญาต่างตอบแทน
บางประเภท เช่น สัญญาจะซื้อจะขายที่ให้สิทธิคู่ สัญญาในการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาได้ ก็เพราะ
เป็นเรื่องที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ (ปพพ. มาตรา 456 วรรคสอง) หรือแม้ในสัญญาไม่ต่างตอบแทน
บางลักษณะ เช่น สัญญาให้ ในกรณีมคี ำ� มัน่ จะให้ซงึ่ ให้สทิ ธิผรู้ บั เรียกให้ผใู้ ห้สง่ มอบทรัพย์สนิ หรือราคาแทน
ทรัพย์สินได้นั้น ก็เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้กระท�ำได้เช่นกัน มิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจจะ
ธ
ฟ้องร้องบังคับกันได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีความเห็นต่อไปอีกว่า ที่ว่าสัญญาจะให้ยืมใช้ บังคับไม่ได้นั้น
หมายความเพียงว่าผู้จะยืมจะฟ้องบังคับให้ผู้จะให้ยืมส่งมอบทรัพย์สินที่จะให้ยืมไม่ได้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ
มส
กรณีที่ผู้จะยืมอาจเกิดความเสียหายจากการที่ผู้จะให้ยืมผิดสัญญา ซึ่งอาจฟ้องเรียกค่าเสียหายกันได้เป็น
ส่วนหนึ่งต่างหากตามหลักของสัญญาทั่วไป
อุทาหรณ์เกี่ยวกับการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม
ฎ. 2525/2499 โจทก์ให้จำ� เลยวิง่ เต้นขายทีด่ นิ ถ้าได้เงินมาจะให้จำ� เลยยืมเงินหนึง่ แสนบาท จ�ำเลย
ท�ำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ล่วงหน้า แต่การขายไม่ส�ำเร็จ จ�ำเลยไม่ได้เงิน สัญญายืมไม่บริบูรณ์เพราะไม่มีการ
ส่งมอบ
ธ
ฎ. 4686/2540 เมื่อ ปพพ. มาตรา 650 วรรคสอง ระบุว่า สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองย่อมบริบูรณ์
ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม การกู้ยืมเงินเข้าลักษณะยืมใช้สิ้นเปลือง ดังนั้นที่จำ� เลยน�ำสืบว่าไม่ได้รับเงิน
มส
ตามสัญญากูย้ มื เงินย่อมเป็นเหตุให้สญ ั ญากูย้ มื เงินไม่บริบรู ณ์ ทัง้ ไม่มมี ลู หนีเ้ งินกูร้ ะหว่างโจทก์จำ� เลย การ
ทีจ่ ำ� เลยน�ำพยานบุคคลมาสืบว่าสัญญากูย้ มื เงินดังกล่าวไม่มมี ลู หนีเ้ พราะจ�ำเลยไม่ได้รบั เงิน จ�ำเลยไม่ตอ้ ง
รับผิดตามสัญญากูย้ มื เงินต่อโจทก์ จ�ำเลยย่อมน�ำสืบได้ ตาม ปวพ. มาตรา 94 วรรคสอง หาต้องห้ามตาม
กฎหมายไม่
ฎ. 621/2543 หลังจากที่จ�ำเลยที่ 1 ท�ำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์แล้ว โจทก์ได้โอนเงินจ�ำนวน
45,000,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินไปเข้าบัญชีเงินฝากของจ�ำเลยที่ 1 แล้วน�ำไปหักกับดอกเบี้ยเงินกู้
รายอื่นที่จำ� เลยที่ 1 ค้างช�ำระแก่โจทก์ ดังนี้ แม้จ�ำเลยที่ 1 จะมิได้ถอนเงินจ�ำนวน 45,000,000 บาท จาก
บัญชีเงินฝากจ�ำเลยที่ 1 แต่การทีโ่ จทก์จดั ให้นำ� เงินจ�ำนวนดังกล่าวไปช�ำระหนีค้ า่ ดอกเบีย้ ทีจ่ ำ� เลยที่ 1 เป็น
หนี้โจทก์อยู่ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับอื่น ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบเงินกู้จำ� นวน 45,000,000 บาท ให้
ธ
แก่จำ� เลยที่ 1 แล้ว สัญญากูย้ มื เงินระหว่างโจทก์กบั จ�ำเลยที่ 1 ย่อมบริบรู ณ์ ตาม ปพพ. มาตรา 650 วรรค
สอง
ฎ. 6792/2543 จ�ำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัท ฟ. จ�ำกัด เพื่อช�ำระหนี้ตามสัญญา
มส
ธ
อสังหาริมทรัพย์ สิทธิตา่ งๆ ย่อมไม่ใช่วตั ถุทจี่ ะให้ยมื กันได้ การให้ยมื อสังหาริมทรัพย์ เช่น ทีด่ นิ บ้านเรือน
นัน้ แม้จะกล่าวว่าเป็นการให้ยมื ก็ตาม ก็ยอ่ มมีผลบังคับกันในลักษณะสัญญาอย่างอืน่ เช่น ให้ยมื ทีด่ นิ หรือ
มส
บ้านโดยไม่มีค่าตอบแทน ก็ย่อมบังคับกันในลักษณะของสิทธิอาศัย แต่ถ้ามีค่าตอบแทนก็ย่อมกลายเป็น
เรือ่ งเช่าไป ส่วนถ้าเป็นสิทธิตา่ งๆ เช่น ลิขสิทธิห์ รือสิทธิการเช่า ก็ไม่อาจให้ยมื ได้เช่นเดียวกัน แต่อาจโอน
ขาย (ในกรณีที่เป็นลิขสิทธิ์) หรือให้เช่าช่วงไปได้ (ในกรณีที่เป็นสิทธิการเช่า)11
อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่ว่าอสังหาริมทรัพย์จะเป็นวัตถุแห่งการยืมไม่ได้ เพราะโดยลักษณะและ
สภาพ อสังหาริมทรัพย์เป็นสิง่ ทีเ่ คลือ่ นทีไ่ ม่ได้ยอ่ มไม่อาจส่งมอบกันได้นนั้ มีความเห็นแตกต่างออกไป ซึง่
ผู้เขียนเห็นด้วยว่ามีเหตุผลอยู่มากโดยเฉพาะในสัญญายืมใช้คงรูป กล่าวคือ เห็นว่าการส่งมอบทรัพย์ตาม
ที่กฎหมายต้องการนั้นมิได้หมายความว่า ต้องเอามือจับทรัพย์นั้นแล้วยกมาส่งให้ผู้ยืมจริงๆ เพราะหาก
กฎหมายต้องการเช่นนั้นแล้ว แม้แต่สังหาริมทรัพย์บางชนิด เช่น รถยนต์ เรือก�ำปั่น ฯลฯ ก็ไม่มีทางที่จะ
ส่งมอบกันได้ การส่งมอบโดยปริยายคืออากัปกิริยาที่แสดงให้เห็นว่าทรัพย์สินนั้นได้อยู่ในครอบครองของ
ธ
ผูย้ มื ก็เป็นการเพียงพอแล้วทีจ่ ะถือว่าเป็นการส่งมอบ ดังนัน้ การส่งมอบอสังหาริมทรัพย์กน็ า่ จะท�ำได้ เช่น
ยืมบ้านพักตากอากาศ เจ้าของบ้านผู้ให้ยืมมอบกุญแจให้ผู้ยืมไขประตูเข้าไปในบ้าน เมื่อผู้ยืมได้เข้าไปใน
มส
กิจกรรม 1.1.1
ธ
สัญญายืมมีลกั ษณะในทางกฎหมายทีส่ ำ� คัญอย่างไรบ้าง จงอธิบาย และทีว่ า่ สัญญายืมเป็นเอกเทศ
สัญญานั้น หมายความว่าอย่างไร
เสียก่อน
มส
แนวตอบกิจกรรม 1.1.1
สัญญายืมมีลักษณะในทางกฎหมายที่สำ� คัญ คือ
1. เป็นเอกเทศสัญญา คือ เป็นสัญญาทีม่ บี ทบัญญัตเิ ป็นพิเศษแตกต่างออกไปจากสัญญาธรรมดา
โดยทั่วไป แต่จะเป็นเอกเทศสัญญาได้จะต้องมีความสมบูรณ์ของสัญญาตามหลักมูลฐานแห่งนิติกรรม
เรื่องที่ 1.1.2
ประเภทของสัญญายืม
ม
เมือ่ พิจารณา ปพพ. มาตรา 640 และมาตรา 650 เปรียบเทียบกัน ท�ำให้แยกประเภทของสัญญายืม
ได้เป็น 2 ประเภทคือ ยืมใช้คงรูป และยืมใช้สิ้นเปลือง
สัญญายืมใช้คงรูปนั้น มาตรา 640 บัญญัติไว้ว่า “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคน
หนึ่ง เรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืม
ตกลงว่าจะคืน ทรัพย์สินนั้น เมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”
ส่วนสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง มาตรา 650 บัญญัติไว้ว่า “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่ง
ผู้ให้ยืม โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีก�ำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืม
สธ
ตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น”
ลักษณะแตกต่างทีส่ �ำคัญระหว่างสัญญายืมใช้คงรูปและสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองนัน้ อยูท่ ปี่ ระเภทและ
ชนิดของทรัพย์ รวมทั้งลักษณะการใช้ทรัพย์นั้น ตลอดถึงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยืมด้วย
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-17
ธ
ค�ำนึงเจตนาของคูส่ ญ ั ญาเป็นส�ำคัญด้วย เช่น ยืมข้าวสารตัวอย่างไปตัง้ แสดงในงานนิทรรศการผลิตผลทาง
เกษตร แล้วตกลงจะคืนของเดิมเมื่อเสร็จงาน เช่นนี้จะเห็นว่าเป็นการยืมใช้คงรูป เพราะการใช้ทรัพย์ตาม
มส
เจตนาของคู่สัญญานั้นไม่ท�ำให้เสียภาวะเสื่อมสลายหรือสิ้นเปลืองหมดไป
สัญญายืมใช้คงรูปนัน้ ลักษณะการใช้ทรัพย์ไม่ทำ� ให้เสียภาวะเสือ่ มสลายไป และไม่ทำ� ให้สนิ้ เปลือง
หมดไป จึงต้องคืนของเดิมทีย่ มื ไปนัน้ และไม่มกี ารโอนกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ทีย่ มื โดยปกติทรัพย์สนิ ทีเ่ ป็น
วัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปนั้น จัดอยู่ในจ�ำพวกสังหาริมทรัพย์อันมิอาจจะใช้ของอื่นแทนเช่นนั้นได้14 เช่น
รถยนต์ ช้าง ม้า โค กระบือ เป็นต้น และในท�ำนองเดียวกัน แม้ทรัพย์นั้นจะเข้าลักษณะเป็นทรัพย์ตาม
สัญญายืมใช้คงรูป แต่ตามเจตนาของคู่สัญญาอาจเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองได้ เช่น ยืมโคมาฆ่าเอาเนื้อไป
ขาย เป็นต้น กรณีเช่นนี้จึงเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง
สรุปได้ว่าเราอาจจ�ำแนกข้อแตกต่างที่ส�ำคัญระหว่างสัญญายืมใช้คงรูปและสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
ได้ 3 ประการ คือ
ธ
1. สัญญายืมใช้คงรูป ผู้ให้ยืมไม่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืมให้แก่ผู้ยืม ส่วนสัญญายืมใช้
สิ้นเปลืองนั้น ผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืมให้แก่ผู้ยืม
มส
13 ทรัพย์ประเภทนี้เดิมเรียกว่า “สังกมะทรัพย์” และ “โภคยทรัพย์” ตามบทบัญญัติในมาตรา 102 และ 103 แห่ง ปพพ.
สธ
บรรพ 1 ที่ได้ตรวจช�ำระใหม่ พ.ศ. 2468 ซึ่งในปัจจุบันได้ถูกยกเลิกไปแล้วโดย พรบ. ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่ง ปพพ. ที่ได้ตรวจ
ช�ำระใหม่ พ.ศ. 2535
14 ทรัพย์ประเภทนี้เดิมเรียกว่า “อสังกมะทรัพย์” ตามมาตรา 102 แพ่ง ปพพ. บรรพ 1 ที่ได้ตรวจช�ำระใหม่ พ.ศ. 2468
ซึ่งในปัจจุบันได้ถูกยกเลิกไปแล้วโดย พรบ. ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่ง ปพพ. ที่ได้ตรวจช�ำระใหม่ พ.ศ. 2535 เช่นกัน
ม
1-18 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แต่ต่อมาผู้ยืมได้รับบริจาคข้าวสารมาจากผู้ใจบุญหลายถัง ผู้ยืมไม่มีความจ�ำเป็นต้องใช้ข้าวสารที่ยืมมาก็
อาจส่งคืนข้าวสารถังเดิมนั้นได้โดยไม่ท�ำให้กลายเป็นสัญญายืมใช้คงรูปไปเพราะคู่กรณีมีเจตนาท�ำสัญญา
ยืมใช้สิ้นเปลืองกันตั้งแต่ต้น
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นแต่เพียงการแสดงลักษณะที่แตกต่างกันระหว่างสัญญายืมใช้คงรูปและ
สัญญา ยืมใช้สิ้นเปลืองโดยสังเขปเท่านั้น นักศึกษาจะได้ทราบถึงสาระส�ำคัญอันเป็นลักษณะเฉพาะของ
ธ
สัญญาทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว ในรายละเอียดต่อไปตามล�ำดับ
มส
กิจกรรม 1.1.2
สัญญายืมแบ่งออกได้เป็นกีป่ ระเภท จงอธิบายลักษณะทีแ่ ตกต่างกันในสาระส�ำคัญของสัญญาแต่ละ
ประเภทมาพอสังเขป
แนวตอบกิจกรรม 1.1.2
สัญญายืมแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ สัญญายืมใช้คงรูปและสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
ข้อแตกต่างในสาระส�ำคัญ คือ สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองเป็นสัญญาที่ผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์
ประเภท ใช้ไปหมดเปลืองไปให้แก่ผยู้ มื ไป และผูย้ มื ต้องคืนทรัพย์อนั เป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกัน
ธ
ให้แก่ผใู้ ห้ยมื แต่สญ
ั ญายืมใช้คงรูปนัน้ ผูใ้ ห้ยมื ไม่โอนกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ให้แก่ผยู้ มื วัตถุของสัญญาและ
ลักษณะของการใช้ทรัพย์มไิ ด้สนิ้ เปลืองหมดไป หรือเสียภาวะเสือ่ มสลายไป และผูย้ มื ต้องคืนทรัพย์อนั เดียว
มส
กับที่ยืมไปนั้นให้แก่ผู้ให้ยืมเมื่อได้ใช้สอยทรัพย์นั้นเสร็จสิ้นแล้ว
ม
สธ
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-19
ตอนที่ 1.2
สัญญายืมใช้คงรูป
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 1.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
1.2.1 สาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้คงรูป
1.2.2 สิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูป
1.2.3 สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืมใช้คงรูป
1. ส ัญญายืมใช้คงรูปมีลักษณะเฉพาะอันเป็นสาระส�ำคัญนอกเหนือไปจากลักษณะทั่วไป
ของสัญญายืม เป็นสัญญาไม่มคี า่ ตอบแทน และไม่โอนกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ทีย่ มื วัตถุ
แห่งสัญญายืมใช้คงรูปเป็น ทรัพย์อันเดียวกับที่ยืมไป ซึ่งไม่อาจใช้ของอื่นแทนได้
2. ผยู้ มื ใช้คงรูปมีสทิ ธิใช้สอยทรัพย์สนิ ทีย่ มื ตามสัญญาและมีสทิ ธิตอ่ บุคคลภายนอกในฐานะ
ธ
เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิน แต่ก็มีหน้าที่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย ต้องใช้ทรัพย์สินโดยชอบ
ต้องสงวนรักษาทรัพย์สินเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง และต้องส่งคืน
มส
ทรัพย์สินอันเดียวกับที่ยืมไปนั้นแก่ผู้ให้ยืมเมื่อถึงก�ำหนดเวลาต้องส่งคืน
3. ผใู้ ห้ยมื ใช้คงรูปมีสทิ ธิบอกเลิกสัญญาและเรียกทรัพย์สนิ คืนจากผูย้ มื เมือ่ ครบก�ำหนดเวลา
ยืม หรือเมือ่ ผูย้ มื ปฏิบตั ผิ ดิ หน้าทีใ่ นการใช้หรือสงวนรักษาทรัพย์สนิ และมีสทิ ธิเรียกค่า
ทดแทนในความเสียหายที่ เกิดแก่ทรัพย์สนิ เนือ่ งจากความผิดของผูย้ มื แต่กม็ หี น้าทีไ่ ม่
ขัดขวางการใช้ทรัพย์สนิ ของผูย้ มื ตาม สัญญา และรับผลแห่งภัยพิบตั ใิ นทรัพย์สนิ นัน้ เอง
หากเกิดความเสียหายขึ้นโดยมิใช่ความผิดของผู้ยืม
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 1.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายสาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้คงรูปได้
ม
2. แจกแจงสิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมในสัญญายืมใช้คงรูปได้
3. แจกแจงสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืมในสัญญายืมใช้คงรูปได้
สธ
4. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสัญญายืมใช้คงรูปได้
ม
1-20 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 1.2.1
สาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้คงรูป
ธ
ปพพ. มาตรา 640 บัญญัติว่า “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้ยืม ให้
บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สิน
มส
นั้น เมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”
จากมาตรา 640 จะเห็นได้ว่า สัญญายืมใช้คงรูปมีสาระส�ำคัญส่วนหนึ่งที่เป็นลักษณะโดยทั่วไป
เช่นเดียวกับสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองตามทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วในตอนที่ 1.1 จะไม่นำ� มากล่าวในรายละเอียดซ�ำ้ อีก
เพียงแต่จะสรุปหัวข้อดังกล่าวไว้ดังนี้คือ
1. สัญญายืมใช้คงรูปเป็นเอกเทศสัญญา
2. สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน
3. สัญญายืมใช้คงรูปบริบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ยืม
4. สัญญายืมใช้คงรูปมีวัตถุแห่งสัญญาเป็นทรัพย์สิน
นอกจากนี้สัญญายืมใช้คงรูปมีสาระส�ำคัญซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะในตัวของมันเอง กล่าวคือ
ธ
1. สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน กล่าวคือ นอกจากจะเป็นสัญญาไม่ต่าง
ตอบแทน คือก่อหนีห้ รือหน้าทีใ่ ห้เกิดแก่ผยู้ มื แต่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว สัญญายืมใช้คงรูปยังเป็นสัญญาทีผ่ ใู้ ห้ยมื
ให้ผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมนั้นอย่างได้เปล่า คือไม่มีค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น หมายความว่าผู้ยืมไม่มี
มส
ประการ กล่าวคือ
ม
อนึ่ง โดยเหตุที่สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน จึงท�ำให้เกิดผลทางกฎหมายบาง
1.1 สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาที่ท�ำขึ้นโดยความเชื่อถือในตัวบุคคลผู้ยืมเป็นส�ำคัญ
เนือ่ งจากการยืมใช้คงรูปเป็นการให้ใช้สอยทรัพย์สนิ อย่างได้เปล่าไม่มคี า่ ตอบแทน ก่อนทีจ่ ะให้ยมื ผูใ้ ห้ยมื
ย่อมจะต้องพิจารณาถึงตัวบุคคลผู้ยืมแล้วว่าสมควรจะให้ยืมทรัพย์สินไปหรือไม่ โดยอาจจะพิจารณาถึง
บุคลิกลักษณะนิสัยของผู้ยืมว่าเป็นบุคคลที่ใช้และระวังรักษาทรัพย์สินดีมากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุนี้หาก
สธ
เป็นกรณีทผี่ ใู้ ห้ยมื ให้ยมื ทรัพย์สนิ โดยส�ำคัญผิดในตัวบุคคลผูย้ มื เช่น นายฟ้าตัง้ ใจจะให้นายด�ำยืมทรัพย์สนิ
ของตน แต่กลับให้นายแดงซึ่งเป็นน้องฝาแฝดของนายด�ำยืมไป ดังนี้ สัญญายืมใช้คงรูปดังกล่าวย่อมตก
เป็นโมฆะไป ตาม ปพพ. มาตรา 156 และโดยเหตุที่สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาที่อาศัยสิทธิเฉพาะตัว
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-21
ธ
เปรียบเทียบกับเรือ่ งเช่า ทัง้ นีเ้ พราะสัญญาเช่านัน้ เป็นสัญญาทีผ่ เู้ ช่าได้ใช้สอยทรัพย์สนิ โดยเสียค่าเช่าให้แก่
ผู้ให้เช่าเป็นค่าตอบแทน หน้าที่ซึ่งกฎหมายก�ำหนดให้ผู้เช่าต้องปฏิบัติต่อผู้ให้เช่าจึงมีน้อยกว่าในเรื่องยืม
มส
ใช้คงรูป ซึ่งผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใดๆ แก่ผู้ให้ยืม ในทางกลับกัน เรื่องเช่า
ทรัพย์นนั้ กฎหมายก�ำหนดหน้าทีข่ องผูใ้ ห้เช่าไว้หลายประการ เช่น ต้องส่งมอบทรัพย์สนิ ในสภาพทีซ่ อ่ มแซม
ดีแล้ว ต้องรับผิดต่อกรณีช�ำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิ (ปพพ. มาตรา 546-550) เป็นต้น แต่ในสัญญา
ยืมใช้คงรูป กฎหมายไม่ได้ก�ำหนดหน้าที่ของผู้ให้ยืมไว้แต่ประการใดเลย เช่น ยืมรถไปใช้ ผู้ให้ยืมไม่มี
หน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ยืมในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว แต่ถ้าเป็นกรณีที่เกิดความช�ำรุดบกพร่อง
เพราะความผิดของผู้ให้ยืม เช่น เบรครถไม่ดีอยู่แล้ว ผู้ให้ยืมก็ทราบอยู่แต่ไม่บอกความจริงให้ผู้ยืมทราบ
ยังขืนให้ยมื ไป หากผูย้ มื ไปขับขีแ่ ล้วเกิดความเสียหายขึน้ ผูย้ มื ไม่ตอ้ งรับผิดออกค่าซ่อมแซมความเสียหาย
นัน้ และหากผูย้ มื ได้รบั ความเสียหายจากการนีก้ ส็ ามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนเอาจากผูใ้ ห้ยมื ได้ดว้ ย แต่
ถ้าผู้ให้ยืมไม่รู้ถึงความช�ำรุดบกพร่องนั้นก็ไม่ต้องรับผิด ซึ่งในเรื่องนี้ต่างกับกรณีเช่าทรัพย์ ซึ่งแม้ผู้ให้เช่า
ธ
จะไม่มีส่วนผิด คือไม่รู้ถึงความช�ำรุดบกพร่องที่มีอยู่ ผู้ให้เช่าก็ยังต้องรับผิดอยู่นั่นเอง15
2. สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาไม่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้ยืม คงมีแต่การส่งมอบให้
มส
ผู้ยืมได้ครอบครองใช้สอยในทรัพย์สินนั้นแล้วต้องส่งคืนทรัพย์สินอันเดียวกันนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้วแก่
ผู้ให้ยืม เนื่องจากประเภทของทรัพย์สินที่ยืมนั้นเป็นทรัพย์สินที่ไม่เสียภาวะเสื่อมสลายไปเพราะการใช้
กรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ดังกล่าวจึงไม่โอนไปยังผูย้ มื ลักษณะทีส่ ำ� คัญในประการนีท้ ำ� ให้เกิดผลทางกฎหมาย
บางประการคือ
2.1 ผู้ให้ยืมในสัญญายืมใช้คงรูปอาจไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินหรือเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินที่ให้ยืมนั้นก็ได้ แต่ก็ต้องมีสิทธิที่จะให้ยืมด้วย เช่น ผู้เช่ารถจักรยานยนต์ของคนอื่นมา อาจให้
เพื่อนยืมรถคันนั้นไปขับขี่ต่อไปได้ ม
2.2 ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ให้ยืมนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปโดยมิใช่ความผิดของผู้ยืมแล้ว
ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ถ้าผู้ให้ยืมเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นก็ต้องยอมรับผลพิบัติที่เกิดขึ้นแก่
ทรัพย์สนิ นัน้ เองตามหลัก กฎหมายทัว่ ไปว่า ความวินาศแห่งทรัพย์สนิ ตกเป็นพับแก่เจ้าของ แต่ถา้ ผูใ้ ห้ยมื
ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สนิ ผูใ้ ห้ยมื จะต้องรับผิดต่อเจ้าของทรัพย์สนิ นัน้ อย่างไร ก็ตอ้ งพิจารณาดูวา่ ในระหว่าง
ผู้ให้ยืมกับเจ้าของทรัพย์สินนั้น มีสัญญาต่อกันไว้อย่างไรเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
สธ
อุทาหรณ์ที่แสดงว่าสัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาที่ไม่โอนกรรมสิทธิ์
ฎ. 1554-1555/2512 จ�ำเลยยืมเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งเป็นทรัพย์ประเภทที่จัดอยู่ในเรื่องยืมใช้
คงรูปไป แล้วไม่ยอมคืนทรัพย์นั้น กลับทุจริตยักยอกเอาไว้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเสีย จ�ำเลยย่อมมี
ความผิดทางอาญา ฐานยักยอกทรัพย์ด้วย มิใช่เป็นเพียงเรื่องยืมในทางแพ่งเท่านั้น
ฎ. 5946/2537 ตามค�ำฟ้องระบุว่าจ�ำเลยยืมถังแก๊สจากโจทก์ จ�ำเลยก็ให้การว่าได้ยืมถังแก๊สจาก
ธ
โจทก์จริง เพียงแต่อ้างว่าจ�ำเลยไม่ได้ผิดสัญญา จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองน�ำ
ปพพ. มาตรา 640 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปมาปรับใช้ในการวินิจฉัยคดีนี้ จึงไม่เป็นการ
มส
คลาดเคลื่อนหรือนอกค�ำฟ้อง
ฎ. 1407/2538 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิท์ รัพย์พพิ าทรายการที่ 1 ถึงที่ 4 จึงมีสทิ ธิตดิ ตามเอาคืน
จากจ�ำเลยได้ ทรัพย์พิพาทรายการที่ 5 ไม่ใช่ทรัพย์ของโจทก์แต่เป็นทรัพย์ของผู้อื่นที่โจทก์ขอยืมมาแล้ว
ให้ ท. ยืมไปอีกต่อหนึ่งดังนี้ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิครอบครองในทรัพย์พิพาทรายการนี้ เมื่อทรัพย์
พิพาทรายการนี้ไปตกอยู่กับจ�ำเลยโดยจ�ำเลยไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ โจทก์ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
ในทรัพย์รายการนี้ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนจากจ�ำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ได้
ฎ. 1184/2543 จ�ำเลยได้ยมื เครือ่ งมือก่อสร้างตามฟ้องไปจากโจทก์ตามบันทึกการยืมระบุขอ้ ความ
ว่า จะน�ำมาส่งคืนเมือ่ แล้วเสร็จหรือทวงถาม หลังจากจ�ำเลยยืมเครือ่ งมือก่อสร้างไปแล้วโจทก์กไ็ ม่พบจ�ำเลย
อีก มาพบจ�ำเลยอีกครั้งในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2537 โจทก์ทวงถามถึงเครื่องมือก่อสร้างที่จำ� เลยยืมไป
ธ
แต่จ�ำเลยปฏิเสธ ถือได้ว่าโจทก์ทราบว่าจ�ำเลยมีเจตนาเบียดบังเอาเครื่องมือก่อสร้างของโจทก์ไปในวันที่
15 ธันวาคม พ.ศ. 2537 วันดังกล่าวจึงเป็นวันทีโ่ จทก์รเู้ รือ่ งความผิดและรูต้ วั ผูก้ ระท�ำผิดคดีนแี้ ละอายุความ
มส
เริ่มนับตั้งแต่วันนั้น
กิจกรรม 1.2.1
สัญญายืมใช้คงรูปมีสาระส�ำคัญอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
แนวตอบกิจกรรม 1.2.1 ม
สัญญายืมใช้คงรูปนอกจากจะมีสาระส�ำคัญตามลักษณะโดยทั่วไปของสัญญายืม กล่าวคือ เป็น
สัญญา ไม่ตา่ งตอบแทนซึง่ มีวตั ถุแห่งสัญญาเป็นทรัพย์สนิ และมีผลบริบรู ณ์เมือ่ มีการส่งมอบทรัพย์ทใี่ ห้ยมื
แล้วยังมี ลักษณะเฉพาะที่สำ� คัญซึ่งแตกต่างไปจากสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ สัญญายืม
ใช้คงรูปเป็นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน และเป็นสัญญาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้ยืมมิได้โอนไปยังผู้ยืม
ผู้ยืมจึงต้องคืน ทรัพย์อันเดิมกับที่ได้ยืมไปนั้นให้แก่ผู้ให้ยืม
สธ
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-23
เรื่องที่ 1.2.2
สิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูป
ธ
เมือ่ สัญญายืมใช้คงรูปเกิดขึน้ และมีผลบริบรู ณ์ตามกฎหมาย กล่าวคือ ได้มกี ารส่งมอบทรัพย์สนิ ที่
ให้ยืมกันเรียบร้อยแล้ว ผลของสัญญายืมใช้คงรูปนี้ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ในระหว่างผู้ยืมและผู้ให้ยืม ใน
มส
เรื่องที่ 1.2.2 นี้จะได้กล่าวถึงสิทธิและหน้าที่ในส่วนของผู้ยืม ดังต่อไปนี้
สิทธิของผู้ยืมใช้คงรูป
แยกอธิบายได้ คือ
1. มีสิทธิใช้สอยทรัพย์ สัญญายืมใช้คงรูปมีลักษณะส�ำคัญอยู่ที่การได้ใช้สอยทรัพย์ได้เปล่าโดย
ไม่ตอ้ งเสียค่าตอบแทน และต้องส่งทรัพย์คนื ดังนัน้ ผูย้ มื จึงมีสทิ ธิใช้ทรัพย์ตามสัญญา การใช้สอยทรัพย์สนิ
ซึ่งเป็นการได้เปล่านี้ผิดกับการเช่าซึ่งมีค่าตอบแทนในการใช้ทรัพย์เป็นค่าเช่า16 แต่สัญญายืมใช้คงรูป
เป็นการใช้ทรัพย์ที่ยืมได้เปล่า ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ผู้ให้ยืมต้องส่งมอบทรัพย์ในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว
เหมือนการเช่า ดังนั้น ผู้ยืมจึงได้แต่ใช้สอยทรัพย์ตามสภาพที่ได้รับมอบมา ถ้าทรัพย์ที่ยืมซึ่งได้รับมอบมา
ธ
อยู่ในสภาพที่ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ผู้ยืมก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ให้ยืมซ่อมแซม หรือถ้าผู้ยืมเอา
ทรัพย์นั้นไปซ่อมแซมเองเกินกว่าการบ�ำรุงรักษาตามปกติโดยไม่จำ� เป็นเพื่อจะให้ใช้ทรัพย์นั้นได้ เช่น ยืม
รถยนต์ไปใช้ รถยนต์ที่รับมอบมานั้นเกิดยางแตก ถ้าผู้ยืมไปซื้อยางเส้นใหม่มาเปลี่ยน ถือว่าเป็นการ
มส
16
ม
กฎหมายในเรื่องเช่าบัญญัติหน้าที่ของผู้ให้เช่าไว้ว่าต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ให้เช่านั้นในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว (ปพพ.
มาตรา 546) ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าได้ ถ้ามีการช�ำรุดบกพร่องในทรัพย์สินนั้นในระหว่างการเช่า ผู้ให้เช่า
ต้องซ่อมแซม เว้นแต่จะเป็นการซ่อมแซมเล็กน้อย หรือมีกฎหมายหรือจารีตประเพณีว่าเป็นหน้าที่ของผู้เช่าต้องซ่อมแซม (ปพพ.
มาตรา 550) หรือถ้าผู้เช่าต้องเสียค่าใช้จ่ายไปโดยความจ�ำเป็นและสมควร เพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเช่านอกจากปกติที่ผู้เช่าจะต้องท�ำ
แล้ว ผูใ้ ห้เช่าก็ตอ้ งชดใช้คา่ ใช้จา่ ยนัน้ ให้แก่ผเู้ ช่า (ปพพ. มาตรา 547) ซึง่ จะเห็นว่าสัญญาเช่าทีผ่ เู้ ช่าได้ ใช้ทรัพย์สนิ โดยเสียค่าตอบแทน
สธ
ทรัพย์ทเี่ ช่าจึงต้องอยูใ่ นสภาพทีใ่ ช้ประโยชน์ตามจุดประสงค์ทเี่ ช่าได้ เช่น เช่ารถยนต์ไปขับ รถยนต์นนั้ ก็ตอ้ งอยูใ่ นสภาพทีผ่ เู้ ช่าจะน�ำ
ไปใช้ขับได้ ถ้าใช้ไม่ได้ ผู้เช่าก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ (ปพพ. มาตรา 548)
17 ประพันธ์ ทรัพย์แสง ให้ความเห็นในคณะกรรมการกลุ่มปรับปรุงเอกสารการสอนชุดวิชากฎหมายพาณิชย์ 2 เมื่อวันที่
17 ก.ย. 2556
ม
1-24 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
2. มีสิทธิต่อบุคคลภายนอกในฐานะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิน แม้สัญญายืมใช้คงรูปนั้น
กรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ จะไม่โอนไปยังผูย้ มื แต่การทีผ่ ใู้ ห้ยมื ส่งมอบทรัพย์สนิ ให้กเ็ ป็นการมอบการครอบครอง
ทรัพย์สนิ นัน้ ให้แก่ผยู้ มื ผูย้ มื ในฐานะผูค้ รอบครองจึงมีสทิ ธิตอ่ บุคคลภายนอกในการทีจ่ ะขัดขวางมิให้บคุ คล
อื่นสอดเข้ามา เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่
ทรัพย์สินนั้นเสมือนหนึ่ง ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินของผู้ยืมเอง เช่น ขัดขวางผู้ที่มาบุกรุกหรือแย่งการ
ธ
ครอบครองทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบ ซึ่งถ้าหากถึงขนาดไม่อาจขัดขวางหรือป้องกันได้โดยอ�ำนาจของตน ก็
ต้องรีบบอกกล่าวถึงภัยดังกล่าวที่เกิดขึ้นให้ แก่ผู้ให้ยืมซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทราบทันที
มส
หน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูป
จากการที่สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาที่ผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินได้เปล่า ไม่ต้องเสียค่าตอบแทน
กฎหมายจึงต้องก�ำหนดหน้าที่ของผู้ยืมไว้หลายประการ กล่าวคือ
1. หน้าที่ในการเสียค่าใช้จ่าย ในเรื่องนี้มี มาตรา 642 บัญญัติว่า “ค่าฤชาธรรมเนียมในการท�ำ
สัญญาก็ดี ค่าส่งมอบ และค่าส่งคืนทรัพย์สินซึ่งยืมก็ดี ย่อมตกอยู่กับผู้ยืมเป็นผู้เสีย” และ มาตรา 647
บัญญัติว่า “ค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย”
เหตุผลก็คือ สัญญายืมใช้คงรูปนั้นผู้ยืมได้รับประโยชน์ฝ่ายเดียว คือได้ใช้สอยทรัพย์สินได้เปล่า
กฎหมายจึงต้องบัญญัติว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นหน้าที่ของผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตามถ้าผู้ยืมและ
ธ
ผู้ให้ยืมจะตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น กฎหมายก็รับบังคับให้เนื่องจากไม่ใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
มส
ค่าใช้จ่ายในการนี้ จะได้น�ำไปกล่าวไว้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากในเรื่องความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูปใน
ตอนที่ 1.3 ความระงับและอายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูป ต่อไป
ค่าใช้จา่ ยอันเป็นปกติแก่การบ�ำรุงรักษาทรัพย์สนิ ทีย่ มื เช่น ยืมรถยนต์กต็ อ้ งเสียค่าน�ำ้ มันหล่อลืน่
ค่าน�ำ้ กลัน่ หม้อแบตเตอรี ค่าปะยาง ฯลฯ หรือยืมช้าง ม้า โค กระบือ ไปใช้งาน ก็ตอ้ งเสียค่าอาหารเลีย้ งดูใน
ระหว่างการยืม เป็นต้น
ธ
การที่กฎหมายก�ำหนดให้ผู้ยืมเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเหล่านี้เพียงฝ่ายเดียวเนื่องจากสัญญายืมใช้
คงรูปนั้นผู้ยืมเป็นผู้ได้ประโยชน์จากสัญญายืมแต่เพียงฝ่ายเดียว เมื่อผู้ให้ยืมไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทน
มส
จากสัญญายืมเลยก็เป็นธรรมดีแล้วที่ผู้ให้ยืมไม่ควรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายซึ่งเกิดขึ้นจากการยืมนั้น
2. หน้าที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพย์สินที่ยืม จากการทีผ่ ยู้ มื ในสัญญายืมใช้คงรูปมีสทิ ธิจะใช้สอยทรัพย์
ทีย่ มื นัน้ ได้เปล่าโดยไม่ตอ้ งเสียค่าตอบแทน กฎหมายจึงต้องบัญญัตใิ ห้ผยู้ มื มีหน้าทีเ่ กีย่ วกับการใช้ทรัพย์สนิ
นัน้ ด้วย กล่าวคือ มาตรา 643 บัญญัตวิ า่ “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่น นอกจากการ
อันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้นหรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี
เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลาย
ไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็
คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”
ตามมาตรานี้ แบ่งแยกหน้าที่ในการใช้ทรัพย์สินของผู้ยืมได้ 3 ประการ คือ
ธ
2.1 ผู้ยืมมีหน้าที่ต้องใช้ทรัพย์สินที่ยืมอย่างปกติที่วิญญูชนเขาใช้ทรัพย์กัน หรือตามที่มีข้อ
ตกลงกันไว้ในสัญญา เช่น ยืมมีดโกนหนวด ตามปกติก็ต้องน�ำไปใช้โกนหนวดเครา ถ้าเอาไปหั่นเนื้อหรือ
มส
ธ
ก็ถือได้ว่าเอาทรัพย์ของเขาไว้นานเกินควร หรือถ้ายืมไปแล้วทอดทิ้งไม่ใช้เสียตั้งแต่ต้น ซึ่งถ้าได้ใช้เสียใน
ระหว่างเวลาทีล่ ว่ งเลยไปก็คงจะใช้เสร็จแล้ว เช่น ยืมหนังสือไปอ่าน แต่กไ็ ม่ได้อา่ นสักทีจนเวลาผ่านไป ซึง่
มส
ถ้าอ่านเสียก็คงจะจบแล้วในระยะเวลาทีล่ ว่ งเลยไปนัน้ เช่นนี้ ต้องถือว่าเวลาผ่านไปพอสมควรทีจ่ ะได้ใช้สอย
ทรัพย์แล้ว ซึ่งผู้ให้ยืมเรียกทรัพย์คืนได้ ส�ำหรับมาตรา 646 นี้จะได้กล่าวรายละเอียดในตอนที่ 1.3 ความ
ระงับและอายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูป ต่อไป
ตามทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วข้างต้น ถ้าผูย้ มื มิได้ปฏิบตั หิ น้าทีใ่ นการใช้ทรัพย์สนิ ดังกล่าว ไม่วา่ จะเป็นการ
ใช้ ทรัพย์ผดิ ไปจากปกติทคี่ วรใช้ หรือผิดไปจากข้อตกลงหรือสัญญา หรือเอาไปให้บคุ คลภายนอกใช้ หรือ
เก็บทรัพย์ ไว้นานกว่าที่ควรก็ดี นอกเหนือจากผู้ให้ยืมจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา 645 ซึ่งจะ
กล่าวเป็นส่วนหนึ่ง ต่างหากในเรื่องสิทธิของผู้ให้ยืมแล้ว ผู้ยืมยังจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์สินนั้นต้อง
สูญหายหรือบุบสลายไป แม้ว่าจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่ผู้ยืมจะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สิน
นั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่ นั่นเอง
ธ
ค�ำว่า “เหตุสุดวิสัย” นี้ ปพพ. มาตรา 8 บัญญัติไว้ว่า “เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติ
ก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นจะได้จัดการ
มส
อย่างไรก็ตาม มาตรา 643 นัน้ เองได้บญ ั ญัตขิ อ้ ยกเว้นไว้วา่ ถ้าผูย้ มื สามารถพิสจู น์ได้วา่ ถึงอย่างไร
ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง ผู้ยืมก็อาจหลุดพ้นจากความรับผิดได้ เช่น ตาม
อุทาหรณ์ข้างต้น ถ้าบ้านของนายแดง นายขาว และนายด�ำอยู่ในละแวกเดียวกัน กระบือของนายแดงก็
ต้องถูกน�้ำท่วมตายอยู่นั่นเอง เพราะภัยจากน�้ำท่วมนั้นแผ่ขยายกว้างขวางครอบคลุมทั่วไปหมด ซึ่งหาก
นายด�ำพิสูจน์ ได้เช่นนี้ นายด�ำก็ไม่ต้องรับผิดแม้ตนจะใช้ทรัพย์นั้นโดยมิชอบ ความเสียหายก็ตกเป็น
ธ
ภัยพิบัติของผู้ให้ยืมไป
อนึ่ง ในเรื่องความรับผิดของผู้ยืมในการใช้ทรัพย์สินที่ยืมนั้น ถ้าปรากฏว่าผู้ยืมได้ใช้ความ
มส
ระมัดระวังและ ใช้ทรัพย์สินอย่างปกติ ถ้าทรัพย์ที่ยืมเกิดความเสียหายขึ้นโดยมิใช่ความผิดของผู้ยืมแล้ว
ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืม เช่น ยืมรถของผู้อื่นใช้อย่างปกติและถูกรถของผู้อื่นชนเสียหายโดยไม่ใช่
เพราะความผิดของผู้ยืม ผู้ยืมไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อผู้ให้ยืม เว้นแต่ผู้ยืมจงใจหรือ
ประมาทเลินเล่อท�ำให้ทรัพย์เสียหาย ผู้ให้ยืมฟ้องให้ผู้ยืมรับผิดในเรื่องละเมิดได้
อุทาหรณ์
ฎ. 534/2506 ยืมรถของผู้อื่นไปใช้อย่างปกติแล้วถูกรถของบุคคลภายนอกชนเสียหาย โดยไม่ใช่
เพราะความผิดของฝ่ายผู้ยืม ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น
ฎ. 526/2529 โจทก์ติดต่อซื้อรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุเพื่อใช้ในราชการโดยโจทก์ได้รับรถยนต์
จากผูข้ ายมาใช้กอ่ น ในวันเกิดเหตุจำ� เลยยืมรถยนต์คนั ดังกล่าวจากโจทก์ไปใช้และเกิดอุบตั เิ หตุได้รบั ความ
ธ
เสียหาย โจทก์จึงฟ้องให้จ�ำเลยรับผิดตามสัญญายืมใช้คงรูป เมื่อรถยนต์คันที่จ�ำเลยยืมไปใช้เกิดอุบัติเหตุ
ชนกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของบุคคลอื่น รถยนต์คันดังกล่าวเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างที่โจทก์ดูแล
มส
ธ
ยืมใช้คงรูปเป็นการที่ผู้ยืมมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินได้เปล่า ย่อมเป็นการสมควรที่กฎหมายจะก�ำหนดหน้าที่
ในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมในระหว่างที่ผู้ยืมได้ครอบครองใช้สอยทรัพย์สินนั้น ดังที่ มาตรา 644
มส
บัญญัติว่า “ผู้ยืมจ�ำต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตน”
ค�ำว่า “วิญญูชน” นั้นคือ บุคคลผู้รู้ผิดรู้ชอบตามปรกติ20 หรือบุคคลที่มีความระมัดระวังอย่าง
ธรรมดา (a person of ordinary prudence)21 ในหมู่บุคคลธรรมดาย่อมจะต้องมีความระมัดระวังอย่าง
คนธรรมดาโดยทัว่ ไป แต่ในหมูบ่ คุ คลทีม่ อี าชีพทีต่ อ้ งใช้ศลิ ปะหรือฝีมอื ความสามารถเป็นพิเศษ เช่น แพทย์
วิศวกร ทนายความ ฯลฯ ความระมัดระวังของบุคคลประเภทเหล่านี้ก็ต้องอาศัยความช�ำนาญ ฝีมือ และ
ความระมัดระวังยิ่งกว่าบุคคล ธรรมดา22 ดังนั้น การสงวนทรัพย์สินอย่างเช่นวิญญูชนจะสงวนทรัพย์สิน
ของตนเอง จึงพอจะอธิบายโดยเทียบ เคียงได้ว่าบุคคลผู้อยู่ในสภาพและฐานะเช่นเดียวกับผู้ยืมนั้นควรจะ
ปฏิบัติในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมเช่น เดียวกับที่ผู้ยืมได้ปฏิบัติหรือไม่23 เป็นการพิจารณาในระดับ
ของคนทีม่ คี วามรูค้ วามสามารถธรรมดาจะพึงปฏิบตั ใิ นการสงวนทรัพย์สนิ ตามสภาพของทรัพย์นนั้ ๆ ไม่ใช่
ธ
ระดับของคนทีย่ อ่ หย่อนความระมัดระวัง หรือในระดับทีเ่ คย ประพฤติของตนเองซึง่ ต�ำ่ กว่าระดับของธรรมดา
ที่เขาพึงประพฤติกัน24
มส
ขนาดไหนจึงจะถือว่าเป็นการระมัดระวังอย่างวิญญูชนจึงต้องแล้วแต่พฤติการณ์เป็นกรณีไป เช่น
ยืมรถยนต์เขามาแล้วจอดทิ้งไว้กลางแดดกลางฝน จนสีรถร่อนแตกออกและตัวถังผุเพราะแช่น�้ำฝน
จะถือว่าผู้ยืมได้ สงวนรักษารถยนต์นั้นเช่นวิญญูชนแล้วหรือไม่ ก็ต้องพิจารณาว่าคนที่มีความระมัดระวัง
ตามธรรมดาทั่วไปจะสงวนรักษารถยนต์ของตนเองอย่างไร คือจะจอดทิ้งไว้กลางแดดกลางฝนหรือไม่ ถ้า
ไม่เป็นเช่นนั้น ก็ต้องถือว่าผู้ยืมท�ำผิดหน้าที่ในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม กล่าวคือ จะถือระดับความ
ระมัดระวังเช่นทีเ่ คยประพฤติในกิจการตนเองของผูย้ มื เป็นส�ำคัญไม่ได้ เพราะแม้โดยปกติผยู้ มื จะเคยสงวน
20
21
พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
ม
รักษาทรัพย์สินของตนเองอย่างปล่อยปละละเลย เช่น รถของตนก็จอดตากแดดตากฝนไว้เป็นประจ�ำ ก็จะ
กระท�ำต่อรถที่ยืมเขามาเหมือนอย่างที่ตนเองประพฤติไม่ได้ เช่นนี้เป็นต้น
ธ
ท�ำความสะอาดพอสมควร ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการบ�ำรุงรักษาตามปกติเช่นนี้เป็นหน้าที่ของผู้ยืมต้อง
รับผิดชอบ หากผู้ยืมกระท�ำได้เช่นนี้ ย่อมพอจะนับได้ว่าเป็นการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมเช่นวิญญูชน
มส
จะกระท�ำต่อทรัพย์สินของตนเองแล้ว
ผลของการละเลยหน้าที่ไม่สงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมเช่นวิญญูชนจะสงวนรักษาทรัพย์สินของ
ตนเองดัง กล่าวนี้ นอกจากจะท�ำให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 645 ซึ่งจะได้กล่าวถึงเป็นอีก
ส่วนหนึ่งต่าง หากต่อไปแล้ว ผู้ยืมยังอาจจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายใดๆ ที่
เกิดแก่ทรัพย์สินที่ยืมด้วย เช่น ตามอุทาหรณ์ข้างต้น ยืมรถเขามาแล้วจอดตากแดดตากฝนไว้ ท�ำให้สีรถ
หลุดร่อนและตัวถังผุเพราะแช่น�้ำฝน ผู้ยืมจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายดังกล่าวแก่
ผู้ให้ยืม ทั้งนี้แม้บทบัญญัติในเรื่องยืมจะไม่ได้กล่าวไว้โดยเฉพาะดังเช่นมาตรา 643 แต่ก็เป็นไปตามหลัก
ทั่วไปว่าด้วยการไม่ชำ� ระหนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 213
ในกรณีทบี่ คุ คลภายนอกกระท�ำละเมิดท�ำให้ทรัพย์สนิ ทีย่ มื เสียหายนัน้ หากผูย้ มื ไม่ได้ทำ� ผิดหน้าที่
ธ
ตามมาตรา 643 หรือ 644 ผูย้ มื ย่อมไม่มอี ำ� นาจฟ้องเรียกค่าซ่อมแซมทรัพย์สนิ จากผูท้ ำ� ละเมิด เพราะกรณี
เช่นนี้ผู้ยืมไม่ต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืม จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิของผู้ให้ยืมมาฟ้องได้
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 1180/2519 โจทก์ฟอ้ งว่าจ�ำเลยขับรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์โดยละเมิด แต่ได้ความว่า
รถจักรยานยนต์เป็นของน้องชายโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถ และการที่เกิดเหตุชนกันก็เป็นการใช้รถ
จักรยานยนต์ของโจทก์โดยปกติธรรมดา โจทก์จึงไม่มีอ�ำนาจฟ้องให้จ�ำเลยใช้ค่าซ่อมรถและค่าเสื่อมราคา
ซึ่งเป็นค่าเสียหายที่เกี่ยวกับรถโดยตรง
ฎ. 3451/2524 ในการยืมใช้คงรูปนั้น ปพพ. มาตรา 643 ได้บัญญัติให้ผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืม
ม
เฉพาะแต่กรณีผยู้ มื เอาทรัพย์ทยี่ มื ไปใช้การอย่างอืน่ นอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สนิ นัน้ หรือนอกจาก
การอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ โจทก์
เป็นแต่เพียงผู้ยืมรถคันที่ถูกชน ไม่ได้เป็นเจ้าของ ไม่ปรากฏเหตุดังกล่าวที่โจทก์จะต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืม
และการทีร่ ถทีโ่ จทก์ขบั ได้รบั ความเสียหายก็มใิ ช่เป็นความผิดของโจทก์ ฉะนัน้ โจทก์ในฐานะผูย้ มื จึงไม่ตอ้ ง
รับผิดต่อเจ้าของรถและแม้ว่าโจทก์จะได้ซ่อมรถคันดังกล่าวไปแล้ว โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิ
ของเจ้าของรถทีจ่ ะเรียกร้องให้จำ� เลยรับผิดได้ เพราะการรับช่วงสิทธิจะมีได้ตอ่ เมือ่ ผูร้ บั ช่วงสิทธิมหี นีอ้ นั จะ
ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้คือเจ้าของรถ เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิโจทก์จึงไม่มีอำ� นาจฟ้อง
สธ
ฎ. 2766/2551 เหตุละเมิดทีเ่ กิดขึน้ แก่รถยนต์ทโี่ จทก์ยมื มาจากมารดาโจทก์ซงึ่ เป็นเจ้าของเนือ่ งจาก
ความผิดของห้างหุน้ ส่วนจ�ำกัดจ�ำเลยที่ 2 ซึง่ เป็นบุคคลภายนอกทีร่ บั จ้างกรมทางหลวงจ�ำเลยที่ 1 ก่อสร้าง
ถนนโจทก์ในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของทรัพย์ ตาม ปพพ. มาตรา 643 แม้โจทก์จะซ่อมรถยนต์
ม
1-30 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรียบร้อยแล้ว โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิของเจ้าของทรัพย์ที่จะเรียกร้องให้ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด
จ�ำเลยที่ 2 และจ�ำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรับผิดได้ เพราะการรับช่วงสิทธิจะมีได้ต่อเมื่อผู้รับช่วง
สิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้คือเจ้าของ เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิ โจทก์จึงไม่มีอำ� นาจฟ้อง
4. ผู้ยืมมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว หลักในเรือ่ งนีป้ รากฏอยูใ่ นมาตรา
640 ดังที่บัญญัติว่า “…ผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้น เมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว” ทั้งนี้เนื่องจากสัญญา
ธ
ยืมใช้คงรูปนัน้ กรรมสิทธิแ์ ห่งทรัพย์สนิ ทีย่ มื มิได้ตกอยูแ่ ก่ผยู้ มื ฉะนัน้ เมือ่ ได้มกี ารใช้สอยเสร็จแล้ว หรือเมือ่
มีการบอกเลิก สัญญากันแล้ว ผู้ยืมก็มีหน้าที่ต้องส่งคืนทรัพย์สินนั้น ซึ่งทรัพย์สินที่ต้องส่งคืนนั้นต้องเป็น
มส
ทรัพย์สนิ อันเดียวกับทีผ่ ใู้ ห้ยมื ได้สง่ มอบให้แก่ผยู้ มื ไปเมือ่ แรกเริม่ ท�ำสัญญากัน ความข้อนีแ้ ตกต่างกับสัญญา
ยืมใช้สนิ้ เปลืองซึง่ จะได้ กล่าวต่อไปเพราะในสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองนัน้ ผูย้ มื คงคืนแต่ทรัพย์สนิ ทีเ่ ป็นประเภท
ชนิด และปริมาณเดียวกับ ทรัพย์สินที่ได้รับมอบมาเท่านั้น
จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ในกรณีที่ผู้ให้ยืมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินซึ่งเป็น
วัตถุแห่ง สัญญายืมใช้คงรูปได้บุบสลายหรือสูญหายไปโดยจะโทษผู้ยืมไม่ได้แล้ว ผู้ให้ยืมก็จะต้องรับเอา
ความวินาศนั้นเอง ดังนั้น ในทางกลับกันถ้าทรัพย์สินนั้นได้เกิดดอกผลธรรมดาขึ้น เช่น ยืมกระบือตัวเมีย
ไปไถนาแล้วกระบือนั้นเกิดตกลูกออกมา ผู้ยืมก็ต้องคืนลูกกระบือนั้นให้แก่ผู้ให้ยืมด้วย เพราะดอกผลของ
กระบือคือลูกกระบือนั้นย่อมตกเป็นของผู้ให้ยืม ตามนัยแห่ง ปพพ. มาตรา 1336
ในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อใช้สอยเสร็จแล้วนั้น แยกพิจารณาได้คือ
ธ
4.1 ในกรณีที่การยืมใช้คงรูปนั้นมีก�ำหนดเวลาส่งคืนไว้เป็นการแน่นอน เมื่อครบก�ำหนด
ผู้ยืมก็ต้องส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้นตามสภาพแห่งการใช้และการส่งคืนโดยปกติ
มส
กิจกรรม 1.2.2
1. จงกล่าวถึงสิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมในสัญญายืมใช้คงรูปมาโดยสังเขป
2. ด�ำให้แดงยืมรถยนต์ไปท�ำธุระที่ภูเก็ตเป็นเวลา 10 วัน เมื่อครบก�ำหนด 10 วันแล้ว แดงเกิดมี
ธุระจะต้องไปท�ำต่อทีน่ ครศรีธรรมราชอีก 7 วัน จึงขับรถต่อไปท�ำธุระทีน่ ครศรีธรรมราช หลังจากนัน้ จึงขับ
ธ
รถกลับกรุงเทพมหานคร ระหว่างนั้นมีฝนตกพายุพัดอย่างหนัก แดงไม่สามารถจะขับรถหนีไปได้ จึงต้อง
จอดรถอยู่ข้างทางจนกระทั่งพายุสงบเป็นเหตุให้รถยนต์ของด�ำต้องแช่น�้ำอยู่หลายชั่วโมงท�ำให้เครื่องยนต์
มส
เสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงิน 3,000 บาท ดังนี้ ด�ำจะเรียกค่าซ่อมแซมจากแดงได้หรือไม่
แนวตอบกิจกรรม 1.2.2
1. สิทธิและหน้าที่ของผู้ยืม แบ่งเป็น
1.1 สิทธิของผู้ยืม คือ
1) มีสทิ ธิใช้สอยทรัพย์สนิ ทีย่ มื ได้เปล่าโดยไม่ตอ้ งเสียค่าตอบแทนตามสภาพปกติของ
ทรัพย์และตามข้อตกลงในสัญญา
2) มีสิทธิต่อบุคคลภายนอกในฐานะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินที่ยืม มีสิทธิขัดขวางมิ
ให้ผู้อื่นสอดเข้ามาเกี่ยวข้องในทรัพย์นั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
1.2 หน้าที่ของผู้ยืม คือ
ธ
1) หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการยืม
2) หน้าที่ในการใช้ทรัพย์ที่ยืมโดยชอบ
มส
3) หน้าที่ในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมเช่นวิญญูชน
4) หน้าที่ในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อใช้สอยเสร็จแล้ว
2. ตามอุทาหรณ์ เป็นการยืมใช้คงรูป แดงต้องคืนทรัพย์ คือรถยนต์นั้นเมื่อครบก�ำหนด 10 วัน
การที่ แดงเอารถไปใช้ที่นครศรีธรรมราชต่ออีก 7 วัน เป็นการเอาทรัพย์ที่ยืมไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้
เป็นการฝ่าฝืน มาตรา 643 เมื่อรถเกิดเสียหายในระหว่างที่แดงใช้รถโดยมิชอบ แม้จะเป็นด้วยเหตุสุดวิสัย
แดงก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าซ่อมแซมรถดังกล่าวให้แก่ด�ำ
ม
สธ
ม
1-32 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 1.2.3
สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืมใช้คงรูป
ธ
ในเรือ่ งที่ 1.2.2 นักศึกษาได้ทราบถึงสิทธิและหน้าทีข่ องผูย้ มื ในสัญญายืมใช้คงรูปแล้ว ต่อไปจะได้
กล่าวถึงสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืม
มส
สิทธิของผู้ให้ยืมใช้คงรูป
แยกอธิบายได้ ดังนี้
1. สิทธิบอกเลิกสัญญาเมือ่ ผูย้ มื บกพร่องในหน้าทีข่ องผูย้ มื เช่น กรณีไม่ใช้ทรัพย์สนิ ทีย่ มื ตามปกติ
หรือตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้ เอาไปไว้นานกว่าที่ควร (มาตรา 643)
หรือไม่สงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมเช่นวิญญูชนพึงสงวนทรัพย์สินของตน (มาตรา 644) ดังที่ มาตรา 645
บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นี้ก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อความใน
มาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”
2. สิทธิเรียกเอาทรัพย์คืนหรือให้ใช้ราคา ซึ่งเป็นสิทธิตามสัญญายืมใช้คงรูป ผู้ให้ยืมมีสิทธิเรียก
ธ
ทรัพย์สินที่ให้ยืมคืนได้หรือเรียกให้ชดใช้ราคาเมื่อไม่มีตัวทรัพย์นั้นแล้วในกรณีดังต่อไปนี้คือ
2.1 เมื่อบอกเลิกสัญญาตาม มาตรา 645 แล้ว
2.2 เมื่อครบก�ำหนดเวลาส่งคืน ส�ำหรับก�ำหนดเวลาในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมนี้มีบัญญัติ
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 643/2480 ยืมของเขาไปแล้วไม่สง่ คืน เมือ่ ของนัน้ ไปตกอยูท่ บี่ คุ คลอืน่ ผูใ้ ห้ยมื ย่อมมีสทิ ธิตดิ ตาม
เอาของคืนจากบุคคลนั้นได้ ตาม ปพพ. มาตรา 1336
ฎ. 1407/2538 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิท์ รัพย์พพิ าทรายการที่ 1 ถึงที่ 4 จึงมีสทิ ธิตดิ ตามเอาคืน
จากจ�ำเลยได้ ทรัพย์พิพาทรายการที่ 5 ไม่ใช่ทรัพย์ของโจทก์แต่เป็นทรัพย์ของผู้อื่นที่โจทก์ขอยืมมาแล้ว
ธ
ให้ ท. ยืมไปอีกต่อหนึง่ ดังนี้ ถือได้วา่ โจทก์เป็นผูท้ รงสิทธิครอบครองในทรัพย์พพิ าทรายการนี้ เมือ่ ทรัพย์
พิพาทรายการนี้ไปตกอยู่กับจ�ำเลยโดยจ�ำเลยไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ โจทก์ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
มส
ในทรัพย์รายการนี้ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนจากจ�ำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ได้
4. ในกรณีที่ผู้ให้ยืมเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ผู้ให้ยืมก็มีสิทธิที่จะได้ดอกผลธรรมดาอันเกิดจาก
ทรัพย์สนิ ทีใ่ ห้ยมื ในระหว่างการยืมใช้ทรัพย์สนิ นัน้ ทัง้ นีด้ ว้ ยอ�ำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ ตาม ปพพ. มาตรา 1336
เช่นเดียวกัน ตัวอย่างที่เคยได้กล่าวถึงมาแล้ว เช่น ให้ยืมแม่กระบือไปใช้ไถนา ในระหว่างนั้นแม่กระบือ
ตกลูกออกมา ลูกกระบือย่อมเป็น กรรมสิทธิ์ของผู้ให้ยืมซึ่งเป็นเจ้าของแม่กระบือ ซึ่งผู้ยืมต้องส่งมอบให้
แก่ผู้ให้ยืม
5. สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนหรือค่าสินไหมทดแทน ซึ่งแบ่งได้ ดังนี้
5.1 สิทธิที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเมื่อผู้ยืมปฏิบัติผิดหน้าที่จนท�ำให้เกิด
ความเสียหายตามมาตรา 643 ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในเรื่องหน้าที่ของผู้ยืม กล่าวคือ ไม่ใช้ทรัพย์ตามปกติ
ธ
หรือตามข้อตกลงในสัญญา เอาไปให้บคุ คลภายนอกใช้ หรือเอาไว้นานกว่าทีค่ วร จนกระทัง่ ท�ำให้เกิดความ
บุบสลายหรือสูญหายในทรัพย์สินที่ยืม ดังนี้ ผู้ให้ยืมก็มีสิทธิจะเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่
เกิดขึน้ ได้25 แม้ความเสียหายนัน้ จะเกิดจากเหตุสดุ วิสยั ก็ตาม เว้นแต่ผยู้ มื จะพิสจู น์ได้วา่ ถึงอย่างไรทรัพย์สนิ
มส
25 ฎ. 1892/2535
ม
1-34 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ทรัพย์สนิ ทีย่ มื ตามปกติตามมาตรา 647 เนือ่ งจากกฎหมายบัญญัตใิ ห้คา่ ใช้จา่ ยต่างๆ ดังกล่าวเหล่านี้ ผูย้ มื
ต้องเป็นผู้เสีย ดังนั้น เมื่อผู้ให้ยืมต้องจ่ายแทนไปให้ก่อน จึงมีสิทธิเรียกคืนเอาจากผู้ยืมได้
อนึ่ง สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนตามที่ได้กล่าวมานี้เป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดจากสัญญายืมใช้คงรูป
เท่านัน้ ไม่เกีย่ วกับการท�ำให้ทรัพย์สนิ ทีย่ มื เสียหายโดยละเมิด ซึง่ ถ้าผูย้ มื เป็นผูท้ ำ� ละเมิด ผูย้ มื ก็ตอ้ งรับผิด
ในเหตุละเมิด ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเหตุนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
ธ
หน้าที่ของผู้ให้ยืมใช้คงรูป
มส
ปพพ. ไม่ได้บัญญัติถึงหน้าที่ของผู้ให้ยืมในสัญญายืมใช้คงรูปไว้แต่ประการใดเลย นอกเหนือจาก
การปฏิบัติหน้าที่อันเป็นสาระส�ำคัญของสัญญาคือการส่งมอบทรัพย์สินให้ผู้ยืม เพื่อให้สัญญายืมใช้คงรูปมี
ผลบริบูรณ์ตามกฎหมายใช้บังคับกันได้แล้วก็ไม่มีบัญญัติถึงหน้าที่ของผู้ให้ยืมไว้ประการใดอีก แต่แม้จะ
ไม่มบี ทบัญญัตไิ ว้ชดั แจ้งเช่นนัน้ โดยหลักทัว่ ไปตามลักษณะของสัญญายืมใช้คงรูป ผูใ้ ห้ยมื ย่อมมีหน้าทีอ่ ยู่
บางประการและอาจจะต้องรับผิดต่อผู้ยืมในการละเลยต่อหน้าที่ ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่ผู้ยืมเช่น
เดียวกัน ซึ่งแยกอธิบายได้ดังต่อไปนี้
1. หน้าทีท่ จี่ ะต้องบอกกล่าวให้ผยู้ มื ได้ทราบถึงการช�ำรุดบกพร่องหรือบุบสลายแห่งทรัพย์ทใี่ ห้ยมื
ในกรณีที่มิได้มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น หากทรัพย์สินที่ให้ยืมนั้นมีการช�ำรุดบกพร่องหรือบุบสลายซึ่ง
ผูใ้ ห้ยมื ได้รอู้ ยูแ่ ล้วก่อนการส่งมอบว่าทรัพย์สนิ นัน้ ช�ำรุดบกพร่องหรือบุบสลาย ซึง่ อาจเกิดอันตรายเสียหาย
ธ
แก่ผู้ยืมได้แล้ว ผู้ยืมมีหน้าที่จะต้องบอกกล่าวให้ผู้ยืมได้ทราบถึงการช�ำรุดบกพร่องหรือบุบสลายแห่ง
ทรัพย์สินที่ให้ยืมนี้ เช่น ให้ยืมรถที่เบรคไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าผู้ให้ยืมได้ทราบถึงการช�ำรุดบกพร่องดังกล่าวแล้ว
มส
ชนกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของบุคคลอื่น รถยนต์คันดังกล่าวเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างที่โจทก์ดูแล
และทดลองใช้อยู่ โจทก์ช�ำระเงินค่าซ่อมให้เจ้าของรถแล้ว จ�ำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้เงินคืนแก่โจทก์
ตามค�ำฟ้องดังกล่าวไม่ปรากฏเหตุใดตาม ปพพ. มาตรา 643 ที่จะท�ำให้จ�ำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในความ
เสียหายทีเ่ กิดขึน้ เลย จ�ำเลยจึงไม่ตอ้ งรับผิดชดใช้คา่ เสียหายให้โจทก์ (หมายเหตุ-ฟ้องให้รบั ผิดตามสัญญา
ยืมใช้คงรูป ศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุตามมาตรา 643 ที่จะให้ผู้ยืมรับผิด-ผู้เขียน)
ธ
ฎ. 1892/2535 โจทก์ฟอ้ งว่าจ�ำเลยที่ 1 ได้ขอยืมรถจากโจทก์โดยสัญญาว่าจะไม่นำ� รถของโจทก์ไป
ให้บุคคลภายนอกใช้สอย แต่กลับผิดสัญญาโดยน�ำรถของโจทก์ไปให้จำ� เลยที่ 2 ยืมไปขับ จ�ำเลยที่ 2 ได้
พลิกคว�ำ
มส
ขับรถของโจทก์ด้วยความประมาทในขณะมึนเมาสุราและขับด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้รถแฉลบเสียหลัก
่ รถของโจทก์ได้รบั ความเสียหายซึง่ ท�ำให้โจทก์เสียหาย ศาลฎีกาวินจิ ฉัยว่า คดีนโี้ จทก์ฟอ้ งจ�ำเลย
ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ในฐานละเมิดเพราะจ�ำเลยที่ 2 ได้ขบั รถของโจทก์โดยประมาท เป็นเหตุให้รถของโจทก์พลิก
คว�่ำเสียหาย จ�ำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะบิดามารดามิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลจ�ำเลย
ที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ แม้โจทก์จะได้ฟ้องจ�ำเลยที่ 1 ตามสัญญายืม มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายตาม
สัญญายืมก็ตามก็หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจ�ำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฐานละเมิดด้วยไม่
ฎ. 2766/2551 เหตุละเมิดทีเ่ กิดขึน้ แก่รถยนต์ทโี่ จทก์ยมื มาจากมารดาโจทก์ซงึ่ เป็นเจ้าของเนือ่ งจาก
ความผิดของห้างหุน้ ส่วนจ�ำกัดจ�ำเลยที่ 2 ซึง่ เป็นบุคคลภายนอกทีร่ บั จ้างกรมทางหลวงจ�ำเลยที่ 1 ก่อสร้าง
ถนนโจทก์ในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของทรัพย์ ตาม ปพพ. มาตรา 643
ธ
4. ถ้าผู้ยืมต้องเสียค่าใช้จ่ายไปโดยกรณีจ�ำเป็น ซึ่งมิใช่เป็นการบ�ำรุงรักษาตามปกติ ทั้งนี้เพื่อ
เป็นการรักษาหรือป้องกันอันตรายซึ่งอาจเกิดจากการช�ำรุดบกพร่องหรือบุบสลายของทรัพย์นั้น ผู้ให้ยืม
มส
ม
สธ
ม
1-36 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
กิจกรรม 1.2.3
สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืมในสัญญายืมใช้คงรูปมีอย่างไรบ้าง จงอธิบายโดยสังเขป
แนวตอบกิจกรรม 1.2.3
ธ
สิทธิของผู้ให้ยืม คือ
1. บอกเลิกสัญญาและเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายในกรณีผยู้ มื ท�ำผิดหน้าทีต่ ามมาตรา
643, 644, 646
มส
2. เรียกทรัพย์สินคืนจากผู้ยืมเมื่อบอกเลิกสัญญาหรือเมื่อครบก�ำหนดสัญญายืม หรือถ้าไม่มี
ก�ำหนด เวลา เมือ่ ผูย้ มื ได้ใช้สอยทรัพย์สนิ ทีย่ มื นัน้ เสร็จสิน้ แล้ว หรือเมือ่ เวลาได้ลว่ งพ้นไปพอสมควรทีผ่ ยู้ มื
จะได้ใช้สอย ทรัพย์เสร็จแล้ว หรือถ้าไม่ได้ก�ำหนดเวลาส่งคืนไว้ และไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใด ผู้ให้
ยืมเรียกทรัพย์สินคืนได้ทันที
หน้าที่ของผู้ให้ยืม คือ
1. หน้าที่รับผลแห่งภัยพิบัติในทรัพย์ที่ยืม เมื่อทรัพย์นั้นเกิดสูญหายหรือบุบสลายไปโดยไม่ใช่
ความผิดของผู้ยืม
2. หน้าทีต่ อ้ งบอกกล่าวแก่ผยู้ มื ในเวลาส่งมอบทรัพย์ หากผูใ้ ห้ยมื ได้รวู้ า่ มีความช�ำรุดบกพร่องใน
ทรัพย์ทจี่ ะให้ยมื อย่างไร หากปิดบังไว้ไม่บอกกล่าวแล้วเกิดความเสียหายขึน้ แก่ผยู้ มื เมือ่ น�ำทรัพย์นนั้ ไปใช้
ธ
ผู้ให้ยืมต้องรับผิดชอบ
3. หน้าที่ไม่ขัดขวางการใช้สอยทรัพย์สินของผู้ยืมตามสัญญา
มส
4. หน้าที่ชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ผู้ยืมได้จ่ายทดรองไปก่อนในกรณีจ�ำเป็นเพื่อรักษาทรัพย์ที่ยืมซึ่งมิใช่
เป็นการบ�ำรุงรักษาตามปกติ
ม
สธ
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-37
ตอนที่ 1.3
ความระงับและอายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูป
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 1.3 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
1.3.1 ความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูปในกรณีปกติ
1.3.2 ความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูปในกรณีพิเศษ
1.3.3 อายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูป
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 1.3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูปในกรณีปกติและในกรณีพิเศษได้
2. อธิบายอายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้
3. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความระงับและอายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้
ม
สธ
ม
1-38 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 1.3.1
ความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูปในกรณีปกติ
ธ
สัญญายืมใช้คงรูประงับไปอย่างปกติธรรมดาคือไม่มเี หตุการณ์พเิ ศษเกิดขึน้ ตามทีม่ บี ทบัญญัตไิ ว้
ในเรื่องการยืมใช้คงรูป ดังนี้
มส
1. ถ้าคู่สัญญาได้ก�ำหนดระยะเวลายืมกันไว้ในสัญญา
สัญญายืมใช้คงรูปย่อมระงับไปเมื่อพ้นก�ำหนดระยะเวลาที่ได้ตกลงกันไว้นั้นเหมือนกับสัญญา
ธรรมดา ทั่วไป เช่น สัญญายืมพัดลมมีก�ำหนด 5 วัน เมื่อครบก�ำหนด 5 วัน สัญญาย่อมระงับลงทันที
ผูย้ มื ก็ตอ้ งส่งคืนพัดลมให้แก่ผใู้ ห้ยมื ทันที ในเรือ่ งระยะเวลายืมนีอ้ าจก�ำหนดกันตลอดชีวติ ก็ได้ แม้กฎหมาย
ในเรือ่ งนีจ้ ะมิได้ บัญญัตไิ ว้ แต่สญ
ั ญายืมเป็นเรือ่ งของบุคคลสิทธิ และโดยเฉพาะการยืมใช้คงรูปนัน้ ถือความ
ส�ำคัญเฉพาะตัวผู้ยืม เป็นหลัก คู่สัญญาจึงอาจจะตกลงให้ยืมกันนานเท่าใดก็เป็นเรื่องความพอใจของคู่
สัญญา หากไม่เป็นการขัดต่อ สิทธิของผู้อื่นในทรัพย์นั้น เช่น หากผู้ให้ยืมไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ให้ยืม
ได้แก่ เป็นผู้เช่าหรือผู้ครอบครองทรัพย์ก็ย่อมให้ยืมได้เพียงเท่าที่ไม่เกินก�ำหนดระยะเวลาที่ตนมีสิทธิตาม
ธ
สัญญาเช่าทรัพย์ หรือก�ำหนดเวลาครอบครองทรัพย์แล้วแต่กรณี แต่ถา้ ผูใ้ ห้ยมื เป็นเจ้าของทรัพย์สนิ ก็ไม่มี
ปัญหาในเรือ่ งนี้ ข้อส�ำคัญคือ ถ้าได้กำ� หนดระยะเวลายืมกันไว้ ผูใ้ ห้ยมื จะเรียกทรัพย์สนิ คืนก่อนก�ำหนดไม่ได้
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 338/2479 คูส่ ญ
ั ญาตกลงกันให้ยมื ทรัพย์สนิ ตลอดชีวติ ผูย้ มื ได้ แม้ผใู้ ห้ยมื ตายก่อนผูย้ มื ทายาท
ของผู้ให้ยืมจะเรียกทรัพย์สินคืนก่อนก�ำหนดไม่ได้
2. ถ้าคู่สัญญามิได้ก�ำหนดระยะเวลายืมกันไว้
มาตรา 646 บัญญัติว่า “ถ้ามิได้ก�ำหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอย
ม
ทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว ตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้ เมื่อเวลาได้ล่วง
ไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว
ถ้าเวลาก็มิได้ก�ำหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืมจะ
เรียกของคืนเมื่อไรก็ได้”
ตามมาตรา 646 นี้ แยกอธิบายได้ คือ
2.1 ก�ำหนดเวลายืมไม่ได้ตกลงกันไว้แน่นอน แต่เมือ่ พิจารณาจากสัญญาแล้วได้ความว่า คูส่ ญ ั ญา
ได้ตกลงยืมทรัพย์สนิ ไปใช้เพือ่ การใด ซึง่ หากปรากฏความข้อนีแ้ ล้วสัญญายืมใช้คงรูปย่อมครบก�ำหนดเมือ่
สธ
ผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินเพื่อการนั้นแล้ว เช่น ยืมรถไปตากอากาศที่พัทยา เมื่อผู้ยืมได้ใช้รถไปในการตาก
อากาศที่พัทยาและกลับมาแล้ว ผู้ให้ยืมเรียกรถคืนได้ ซึ่งมีผลท�ำให้สัญญายืมใช้คงรูประงับลง
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-39
ธ
2.3 ก�ำหนดเวลายืมไม่ได้ตกลงกันไว้ และในสัญญายืมใช้คงรูปนัน้ ก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพือ่ การ
ใด ดังนี้ผู้ให้ยืมเรียกทรัพย์สินที่ยืมคืนเมื่อใดก็ได้ซึ่งมีผลเป็นการบอกเลิกสัญญา ท�ำให้สัญญายืมใช้คงรูป
มส
ระงับลง ทั้งนี้เป็นไปตามหลักทั่วไปในเรื่องเวลาอันพึงช�ำระหนี้มิได้ก�ำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจาก
พฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 203
3. เมื่อผู้ยืมส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม
เรื่องนี้เป็นไปตามหลักธรรมดาของสัญญายืมใช้คงรูป ซึ่งผู้ยืมมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมได้เปล่า
โดยไม่มีค่าตอบแทน ผู้ยืมจึงส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมคืนได้แม้ในสัญญาจะก�ำหนดระยะเวลายืมกันไว้ ผู้ยืมก็
คืนทรัพย์นั้น ก่อนก�ำหนดได้ เท่ากับเป็นการบอกเลิกสัญญาท�ำให้สัญญาระงับ ในเรื่องนี้ผิดกับสัญญาเช่า
ทรัพย์ไม่มีก�ำหนดเวลา ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้คู่สัญญาที่ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาต้องบอกกล่าวแก่อีก
ฝ่ายหนึง่ ให้รตู้ วั ก่อนล่วง หน้าชัว่ ก�ำหนดระยะเวลาช�ำระค่าเช่าระยะหนึง่ แต่ไม่เกิน 2 เดือน (ปพพ. มาตรา
ธ
566) เพราะในสัญญาเช่าผู้ให้เช่าได้ประโยชน์ตอบแทนเป็นค่าเช่า การบอกเลิกสัญญาจึงต้องมีการบอก
กล่าวให้รู้ตัวล่วงหน้า เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
มส
ธ
ส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมเหมือนเช่นเรื่องค่าใช้จ่ายในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม ดังนั้น เมื่อการส่งคืนทรัพย์สินที่
ยืมเป็นการช�ำระหนีต้ ามสัญญายืม จึงต้องน�ำบทบัญญัตอิ นั เป็นหลักทัว่ ไปในเรือ่ งการช�ำระหนี้ ตาม ปพพ.
มส
มาตรา 324 มาใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับสัญญายืมใช้คงรูป กล่าวคือ
มาตรา 324 บัญญัติว่า “เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะพึงช�ำระหนี้ ณ สถานที่
ใดไซร้ หากจะต้องส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ท่านว่าต้องส่งมอบกัน ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลา
เมื่อก่อให้เกิดหนี้ ...”
ตามมาตรานี้อธิบายได้ว่า หากได้มีการแสดงเจตนาไว้ในระหว่างผู้ยืมและผู้ให้ยืมว่าจะส่งคืน
ทรัพย์สินที่ยืมกันที่ใด ก็ต้องเป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ เช่น ให้ส่งคืนที่บ้านของผู้ให้ยืม ผู้ยืมก็ต้องส่งคืน
ทรัพย์สินที่ยืมที่บ้านของผู้ให้ยืมตามที่ได้ตกลงกัน แต่ถ้าเป็นกรณีที่มิได้ตกลงกันไว้ ก็ต้องส่งคืนทรัพย์สิน
ที่ยืมกันนั้น ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์ที่ยืมนั้นได้อยู่ในเวลาที่ก่อให้เกิดหนี้ เนื่องจากสัญญายืมใช้คงรูปนั้น
ทรัพย์สนิ ทีย่ มื มีลกั ษณะเป็นทรัพย์เฉพาะสิง่ คือเป็นทรัพย์ทกี่ ำ� หนดตัวได้แน่นอน และผูย้ มื ต้องคืนทรัพย์สนิ
ธ
อันเดียวกับที่ได้รับมอบมานั้นเองให้แก่ผู้ให้ยืม ไม่อาจเอาของอื่นมาแทนได้ ดังนั้น เมื่อเวลาที่สัญญายืม
เกิดขึ้น ซึ่งหมายความว่าส่งมอบทรัพย์ที่ยืมกันที่ใด ก็ต้องส่งคืนทรัพย์ที่ยืม ณ สถานที่เดียวกัน หากมิได้
มส
มีการแสดงเจตนากันไว้เป็นอย่างอื่น
กิจกรรม 1.3.1
สัญญายืมใช้คงรูประงับในกรณีปกติ อย่างไรบ้าง จงอธิบาย
แนวตอบกิจกรรม 1.3.1
สัญญายืมใช้คงรูประงับไปในกรณีปกติ ดังนี้
ม
1. เมื่อสัญญามีกำ� หนดระยะเวลา สัญญาย่อมระงับลงเมื่อพ้นก�ำหนดระยะเวลานั้น ผู้ให้ยืมเรียก
ทรัพย์สินที่ยืมคืนได้ และผู้ยืมต้องส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้นให้
2. เมื่อสัญญาไม่มีก�ำหนดเวลา แบ่งเป็น
2.1 เมือ่ ปรากฏในสัญญาว่ายืมไปใช้เพือ่ การใด ผูใ้ ห้ยมื เรียกทรัพย์สนิ ทีย่ มื คืนได้เมือ่ ผูย้ มื ได้
ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว อันมีผลท�ำให้สัญญาระงับลง
สธ
2.2 เมื่อเวลาใดล่วงพ้นไปพอสมควรที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว แม้ความจริง
จะยังไม่ได้ใช้ก็ตาม ผู้ให้ยืมเรียกคืนได้ และท�ำให้สัญญาระงับ
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-41
ธ
เรื่องที่ 1.3.2
มส
ความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูปในกรณีพิเศษ
ในบางกรณีสัญญายืมใช้คงรูปอาจระงับสิ้นผลไปได้เมื่อเกิดเหตุการณ์พิเศษซึ่งมิใช่กรณีปกติที่จะ
เกิดขึ้น โดยสัญญา ดังต่อไปนี้
1. ผูย้ มื ตาย เนือ่ งจากสัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาทีถ่ อื ความส�ำคัญเฉพาะตัวผูย้ มื เป็นหลัก ดังนัน้
ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่สัญญายืมใช้คงรูปนั้นมีก�ำหนดเวลาหรือไม่ก็ตาม หากผู้ยืมตายลง สัญญายืมใช้คงรูปก็
เป็นอันระงับสิ้นไปทันที ดังทีม่ าตรา 648 บัญญัติไว้ว่า “อันการยืมใช้คงรูป ย่อมระงับสิ้นไปด้วยมรณะ
ธ
แห่งผู้ยืม”
อนึ่ง ในการที่ผู้ให้ยืมจะฟ้องเรียกทรัพย์ที่ให้ยืมคืนในกรณีนี้ ต้องค�ำนึงถึงอายุความมรดก ตาม
มส
ธ
ไม่มที รัพย์ทจี่ ะคืนให้อกี สัญญายืมใช้คงรูปจึงต้องระงับลงตามหลักกฎหมายทัว่ ไปทีว่ า่ สัญญาทัง้ ปวงย่อม
ระงับสิ้นไปเมื่อทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ของสัญญานั้นได้สูญหายไป
มส
อย่างไรก็ตาม การทีท่ รัพย์สนิ ทีย่ มื นัน้ สูญหายไปอาจเกิดขึน้ ได้ทงั้ ในกรณีทเี่ ป็นความผิดของผูย้ มื
และในกรณีที่มิใช่ความผิดของผู้ยืม ซึ่งท�ำให้เกิดผลในเรื่องสิทธิและความรับผิดระหว่างผู้ให้ยืมและผู้ยืม
แตกต่างกันคือ หากเป็นกรณีทรัพย์สินที่ยืมสูญหายไปเพราะความผิดของผู้ยืม เช่น เอาไปให้บุคคลอื่นใช้
แล้วทรัพย์สนิ นัน้ เกิดสูญหายไป สัญญายืมใช้คงรูปย่อมระงับลง แต่ผใู้ ห้ยมื มีสทิ ธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
ความเสียหายดังกล่าวจากผู้ยืมซึ่งมีหน้าที่จะต้องชดใช้ให้ได้ตามมาตรา 643 เป็นต้น แต่หากทรัพย์สินที่
ยืมนั้นสูญหายไปโดยจะเอาผิดจากผู้ยืมไม่ได้ เช่น ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินนั้นตามปกติไม่ผิดหน้าที่ แต่
ทรัพย์สินที่ยืมนั้นสูญหายไปเนื่องจากถูกขโมยลักไป แม้ผู้ยืมจะได้สงวนทรัพย์สินนั้นเช่นวิญญูชนจะพึง
สงวนทรัพย์สินของตนแล้วก็ตาม เช่นนี้ สัญญายืมใช้คงรูปย่อมระงับลงโดยผู้ให้ยืมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้อง
อะไรจากผู้ยืมได้เลย ต้องรับบาปเคราะห์ในผลพิบัติที่เกิดขึ้นนั้นเอง
ธ
มส
กิจกรรม 1.3.2
สัญญายืมใช้คงรูปอาจระงับลงเมื่อเกิดเหตุการณ์อันมิใช่กรณีตามปกติที่จะเกิดขึ้นจากสัญญาได้
อย่างไรบ้าง
แนวตอบกิจกรรม 1.3.2
สัญญายืมใช้คงรูปอาจระงับลงในกรณีที่มิใช่เหตุการณ์ปกติที่จะเกิดขึ้นโดยสัญญาได้ คือ
1. เมื่อผู้ยืมตาย
2. เมื่อผู้ให้ยืมบอกเลิกสัญญาเนื่องจากผู้ยืมผิดสัญญา
3. เมื่อทรัพย์สินที่ยืมสูญหายไปทั้งหมด
ม
สธ
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-43
เรื่องที่ 1.3.3
อายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูป
ธ
อายุความเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้
มส
1. การบังคับเอาทรัพย์สินคืน
1.1 ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ยืมนั้นมีตัวอยู่ ไม่ได้สูญหายหรือถูกท�ำลายไป การที่ผู้ให้ยืมใช้คงรูปจะมี
สิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์ที่ยืมในก�ำหนดอายุความเท่าใดนั้น แยกอธิบายได้ดังนี้
1) ถ้าผูใ้ ห้ยมื เป็นเจ้าของกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์ทยี่ มื นัน้ ผูใ้ ห้ยมื ก็มสี ทิ ธิตดิ ตามเอาทรัพย์คนื ได้
โดยอาศัยหลักอ�ำนาจของเจ้าของกรรมสิทธิ์ ตาม ปพพ. มาตรา 1336 โดยไม่มีอายุความจนกว่าจะสิ้น
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น ทั้งนี้ โจทก์ผู้ให้ยืมต้องบรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่ง
ทรัพย์ของโจทก์จากจ�ำเลยผูย้ มื ซึง่ ไม่มสี ทิ ธิยดึ ถือไว้ตามอ�ำนาจแห่งเจ้าของกรรมสิทธิท์ ี่ ปพพ. มาตรา 1336
บัญญัติไว้
2) ถ้าผู้ให้ยืมไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือแม้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่ได้อาศัยสิทธิตาม
ธ
สัญญายืมใช้คงรูปฟ้องร้องเรียกทรัพย์คนื โดยไม่บรรยายฟ้องให้คลุมถึงการใช้อำ� นาจแห่งกรรมสิทธิด์ งั กล่าว
ข้างต้น การใช้สทิ ธิเรียกร้องให้คนื ทรัพย์ทยี่ มื ตามสัญญายืมใช้คงรูปนีใ้ นกฎหมายลักษณะยืมไม่มบี ทบัญญัติ
ไว้เป็นพิเศษ เรื่องนี้ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ ได้ให้ความเห็นไว้ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยว่า ต้องบังคับกัน
มส
ที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป…”
ม
ส่วนการก�ำหนดนับอายุความนัน้ ปพพ. มาตรา 193/12 บัญญัตวิ า่ “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะ
ธ
ทั่วไปใน ปพพ. มาตรา 164 (ปัจจุบันมาตรา 193/30)
ฎ. 187/2522 ยืมโคไปใช้งาน แล้วกลับเอาโคไปขายเอาเงินไปใช้ประโยชน์สว่ นตัวเสีย เป็นการยืม
มส
แล้วไม่คืนให้ และเมื่อคืนไม่ได้ก็ต้องใช้ราคา เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษจึงมีกำ� หนด 10 ปี ตาม
หลักอายุความทั่วไป
ฎ. 2589/2526 อายุความ ตาม ปพพ. มาตรา 649 เป็นกรณีฟ้องให้รับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนอัน
เกี่ยวกับการยืมใช้คงรูป เช่น ค่าเสียหายเกี่ยวกับความช�ำรุดหรือเสื่อมราคาเนื่องจากการใช้สอยทรัพย์ที่
ยืม ในกรณีฟอ้ งเรียกคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ทยี่ มื ไม่มบี ทกฎหมายบัญญัตไิ ว้ จึงต้องปรับด้วย ปพพ. มาตรา
164 (ปัจจุบันมาตรา 193/30) คือมีอายุความ 10 ปี
ฎ. 566/2536 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จ�ำเลยที่ 1 ซือ้ ผลิตภัณฑ์ขวดแก้วและยืมลังไม้ใส่ขวดแก้วจาก
โจทก์หลายคราวติดต่อกันตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ถึง พ.ศ. 2522 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปพพ. มาตรา 649 เป็น
เรื่องความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูป เช่น เรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับความช�ำรุดหรือ
ธ
เสือ่ มราคาจากการใช้ทรัพย์ทใี่ ห้ยมื แต่ตามค�ำฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกคืนลังไม้หรือราคาลังไม้ซงึ่ จ�ำเลย
ที่ 1 ยืมไปพร้อมผลิตภัณฑ์ขวดแก้วซึ่งโจทก์ขายให้จ�ำเลยที่ 1 ตามสัญญาซื้อขาย และจ�ำเลยที่ 1 ปฏิบัติ
มส
2. การเรียกร้องค่าทดแทนตามสัญญา
ในเรื่องนี้ มาตรา 649 บัญญัติเรื่องอายุความในการเรียกค่าทดแทนความเสียหาย ตามสัญญายืม
ใช้คงรูปไว้ว่า
ม
“ในข้อความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้น
เวลาหก เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา”
ตามมาตรา 649 นี้ มีความหมายว่า สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนใดๆ อันเกี่ยวกับสัญญายืมใช้คงรูป
นั้นให้มีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสัญญาซึ่งก็คือวันที่สัญญายืมใช้คงรูประงับลงนั่นเอง
ข้อสังเกต ค่าทดแทนตามมาตรา 649 นี้ มีความหมายเดียวกับ “ค่าสินไหมทดแทน” ในมาตรา
671 คือเป็นค่าสินไหมทดแทนซึ่งเกิดจากสัญญาโดยชดใช้กันด้วยเงินเท่านั้น ต่างกับค่าสินไหมทดแทนใน
เรื่องละเมิดซึ่งมีความหมายกว้างกว่ามาก เพราะ ตาม ปพพ. มาตรา 438 วรรคสอง ค่าสินไหมทดแทน
สธ
ในเรือ่ งละเมิดนัน้ ได้แก่การคืนทรัพย์สนิ อันผูเ้ สียหายต้องเสียหายไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สนิ นัน้
และรวมทั้งค่าเสียหายที่มีขึ้นจากการละเมิดด้วย
27 เรื่องเดียวกัน
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-45
ธ
1. ค่าทดแทนความเสียหายเมื่อผู้ยืมปฏิบัติผิดสัญญาตามมาตรา 643, 644 ซึ่งได้กล่าวมาแล้ว
ในเรื่องที่ 1.2.3 สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืมใช้คงรูป
มส
2. ค่าทดแทนความเสียหายเมือ่ ผูย้ มื ผิดสัญญาไม่สง่ ทรัพย์สนิ คืนเมือ่ ถึงก�ำหนด แล้วความเสียหาย
เกิดแก่ทรัพย์สินนั้นแม้จะด้วยเหตุสุดวิสัยตามมาตรา 643 ประกอบมาตรา 646 เช่น ยืมรถเขามาใช้แล้ว
ไม่ส่งคืนเมื่อครบก�ำหนด แล้วเกิดไฟไหม้ลามมาจากที่อื่นท�ำให้รถยนต์ถูกไฟไหม้เสียหาย เป็นต้น
3. ค่าฤชาธรรมเนียมในการท�ำสัญญา ค่าส่งมอบ และค่าส่งคืนทรัพย์สนิ ตามมาตรา 642 ซึง่ ผูใ้ ห้
ยืมได้จ่ายแทนผู้ยืมไปก่อน
4. ค่าใช้จ่ายในการบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมตามปกติซึ่งผู้ยืมจะต้องออกตามมาตรา 647 และผู้
ให้ยืมได้ออกแทนไปก่อน
ส�ำหรับกรณีผู้ยืม ได้แก่
1. ค่าทดแทนความเสียหาย เมื่อผู้ให้ยืมส่งมอบทรัพย์สินซึ่งช�ำรุดบกพร่องให้แก่ผู้ยืมโดยไม่แจ้ง
ธ
ให้ผยู้ มื ทราบ ทัง้ ทีผ่ ใู้ ห้ยมื ได้รอู้ ยูแ่ ล้วก่อนการส่งมอบว่าทรัพย์สนิ นัน้ ช�ำรุด อาจเป็นอันตรายหรือเกิดความ
เสียหายแก่ผู้ยืมได้ ซึ่งเมื่อผู้ยืมน�ำทรัพย์สินไปใช้แล้วเกิดความเสียหายขึ้นดังกล่าว
มส
2. ค่าใช้จ่ายในการบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมในกรณีจ�ำเป็นอันมิใช่การบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินตาม
ปกติ ซึ่งผู้ให้ยืมจะต้องเสีย แต่ผู้ยืมได้ออกทดรองไปก่อน
ม
สธ
ม
1-46 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
กิจกรรม 1.3.3
1. อายุความเกี่ยวกับสัญญายืมใช้คงรูปมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
2. นายด�ำยืมรถยนต์ทนี่ ายแดงเช่ามาเพือ่ ใช้ในการทอดกฐิน มีกำ� หนดเวลา 7 วัน เมือ่ ครบก�ำหนด
แล้ว นายด�ำไม่ยอมส่งคืนรถยนต์ให้นายแดง ดังนี้ นายแดงจะต้องฟ้องเรียกรถยนต์คืนตามสัญญาจาก
ธ
นายด�ำภายในก�ำหนดอายุความเท่าใด
แนวตอบกิจกรรม 1.3.3
มส
1. อายุความเกีย่ วกับสัญญายืมใช้คงรูป ได้แก่ อายุความในการฟ้องเรียกทรัพย์คนื และให้ใช้ราคา
ทรัพย์ตามสัญญา ซึ่งแยกพิจารณาได้คือ
1.1 ในกรณีที่มีตัวทรัพย์อยู่ ถ้าผู้ให้ยืมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์
คืนได้โดยไม่มีก�ำหนดอายุความ โดยอาศัยอ�ำนาจ ตาม ปพพ. มาตรา 1336 แต่ถ้าผู้ให้ยืมไม่ใช่เจ้าของ
กรรมสิทธิ์หรือแม้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่ใช้สิทธิเรียกร้องทรัพย์คืนโดยอาศัยสัญญายืมใช้คงรูปต้องใช้
อายุความ10 ปี นับแต่วันที่สัญญาระงับตามหลักทั่วไปใน ปพพ. มาตรา 193/30
1.2 กรณีทที่ รัพย์สญ
ู หายหรือถูกท�ำลายไปแล้ว ผูย้ มื ต้องใช้ราคาทรัพย์ทยี่ มื นัน้ โดยผูใ้ ห้ยมื
(ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่) ต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในอายุความ 10 ปี
2. เป็นกรณีฟอ้ งเรียกทรัพย์คนื ตามสัญญา นายแดงต้องใช้สทิ ธิฟอ้ งร้องภายในก�ำหนด 10 ปี นับ
ธ
แต่วันครบก�ำหนดตามสัญญายืมดังกล่าวอันเป็นวันที่สัญญายืมระงับ
มส
ม
สธ
ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสัญญายืมและสัญญายืมใช้คงรูป 1-47
บรรณานุกรม
ธ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
จี๊ด เศรษฐบุตร. (2492). ค�ำอธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง.
มส
บัญญัติ สุชีวะ. (2506). “ประมาท” บทบัณฑิตย์. เล่ม 21 ตอน 2 เมษายน พ.ศ. 2506
ประวัติ ปัตตพงศ์. (2487). ค�ำสอนชั้นปริญญาตรีกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฯลฯ. พระนคร.
ประเสริฐมนูกิจ, หลวง. (2477). ค�ำสอนชั้นปริญญาตรีกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฯลฯ. พระนคร.
พจน์ ปุษปาคม. (2521). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ด้วยยืม กูย้ มื ฝากทรัพย์. นิตบิ รรณาการ.
ศักดิ์ สนองชาติ. (2524). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ด้วยนิติกรรมและสัญญา. (พิมพ์ครั้งที่
2). นิติบรรณาการ.
สุปัน พูลพัฒน์. (2515). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ. (พิมพ์ครั้งที่ 3). พระนคร.
เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว. (2505). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและหนี้. เล่ม 1 (ภาค 1-2)
พ.ศ. 2478 แก้ไขเพิ่มเติม (พิมพ์ครั้งที่ 2). นิติบรรณาการ.
ธ
มส
ม
สธ
มส
ธ
มส
สธ ธ
ม ม
ม
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง 2-1
หน่วยที่ 2
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
ธ
รองศาสตราจารย์ปรียา วิศาลเวทย์
มส
ธ
มส
ม
ชื่อ รองศาสตราจารย์ปรียา วิศาลเวทย์
สธ
วุฒิ น.บ. (เกียรตินิยมดี), น.บ.ท.
LL.M. (Tulane University, U.S.A. ทุนรัฐบาล)
ต�ำแหน่ง กรรมการกลุ่มปรับปรุงเอกสารการสอน
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 2
ม
2-2 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แผนการสอนประจ�ำหน่วย
ธ
หน่วยที่ 2 สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
ตอนที่
แนวคิด
มส
2.1 สาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองและสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญา
2.2 ความระงับและอายุความแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
1. ยืมใช้สิ้นเปลืองเป็นการยืมประเภทหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะอันเป็นสาระส�ำคัญที่แตกต่างจาก
สัญญายืมใช้คงรูปโดยสิ้นเชิง
2. ความระงับแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองและอายุความที่เกี่ยวข้องมีทั้งบทบัญญัติที่ใช้ทั่วไป และ
ธ
บทบัญญัติพิเศษที่เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน
วัตถุประสงค์
มส
กิจกรรมระหว่างเรียน
1.
2.
3.
ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 2
ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 2.1-2.2
ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ม
4. ฟังซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
สธ
6. เข้ารับบริการสอนเสริม (ถ้ามี)
7. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 2
ม
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง 2-3
สื่อการสอน
1. เอกสารการสอน
2. แบบฝึกปฏิบัติ
3. ซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
4. รายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
ธ
5. การสอนเสริม (ถ้ามี)
มส
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบประจ�ำภาคการศึกษา
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 2 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ธ
มส
ม
สธ
ม
2-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 2.1
สาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองและสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญา
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 2.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
2.1.1 สาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
2.1.2 สิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมใช้สิ้นเปลือง
2.1.3 สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืมใช้สิ้นเปลือง
วัตถุประสงค์
ขึ้น
ความน�ำ
ธ
การแบ่งประเภทของสัญญายืมว่ามีอยู่ 2 ประเภท คือ สัญญายืมใช้คงรูป และสัญญายืมใช้สนิ้ เปลือง ส�ำหรับ
สัญญายืมใช้คงรูปนั้นได้กล่าวไว้โดยละเอียดแล้วว่ามีสาระส�ำคัญของสัญญาอย่างไร ผลในทางกฎหมายได้
ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าทีใ่ นระหว่างคูส่ ญ
ั ญา คือผูย้ มื และผูใ้ ห้ยมื ในประการใดบ้าง รวมตลอดถึงความระงับ
มส
แห่งสัญญาและอายุความ ในหน่วยที่ 2 นี้จะได้กล่าวต่อไปในส่วนที่เกี่ยวกับสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองโดย
เฉพาะในท�ำนองเดียวกับสัญญายืมใช้คงรูป โดยจะกล่าวถึงสาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้สนิ้ เปลือง ผลในทาง
กฎหมายซึง่ ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าทีใ่ นระหว่างผูใ้ ห้ยมื และผูย้ มื ทีจ่ ะต้องปฏิบตั ติ อ่ กัน จนในทีส่ ดุ จะได้กล่าว
ถึงความระงับแห่งสัญญายืมประเภทนี้ ตลอดจนอายุความที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อการท�ำความเข้าใจถึง
ลักษณะโดยทั่วไปของสัญญายืมให้ได้ชัดเจนและถูกต้องครบถ้วน นักศึกษาจึงจ�ำเป็นต้องศึกษาเอกสาร
การสอนในหน่วยที่ 1 และ 2 นี้ต่อเนื่องกันไปโดยไม่ขาดตอน
เรื่องที่ 2.1.1
ธ
สาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
มส
มาตรา 650 บัญญัตวิ า่ “อันว่ายืมใช้สนิ้ เปลืองนัน้ คือสัญญาซึง่ ผูใ้ ห้ยมื โอนกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ
ชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีก�ำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินประเภท ชนิด
และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น
สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”
3. สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองย่อมบริบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ยืม
4. สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองมีวัตถุแห่งสัญญาเป็นทรัพย์สิน
สธ
ในส่วนรายละเอียดของหัวข้อดังกล่าวข้างต้น ขอให้นักศึกษาย้อนกลับไปทบทวนเนื้อหาของ
หน่วยที่ 1 ตอนที่ 1.1 ดังกล่าว เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น
ม
2-6 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
นอกจากสาระส�ำคัญอันเป็นลักษณะร่วมดังกล่าว สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองยังมีสาระส�ำคัญซึ่งเป็น
ลักษณะเฉพาะในตัวของมันเองซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าแตกต่างจากสัญญายืมใช้คงรูปโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ
1. สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอาจเป็นสัญญามีค่าตอบแทนได้ ในสัญญายืมใช้คงรูปนั้นได้กล่าวมา
แล้วว่านอกจากจะเป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน คือก่อหนี้ให้เกิดแก่ผู้ยืมเพียงฝ่ายเดียวแล้ว ยังเป็นสัญญา
ไม่มีค่าตอบแทนอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากความในมาตรา 640 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ให้ยืมให้ผู้ยืมใช้สอย
ธ
ทรัพย์สินได้เปล่า และถือเป็นลักษณะส�ำคัญของสัญญายืมใช้คงรูป ซึ่งท�ำให้เกิดผลทางกฎหมายอยู่หลาย
ประการตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น มาตรา 650 ไม่ได้กล่าวไว้เลยว่าผู้ให้ยืมให้
มส
ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินได้เปล่า ดังนั้น ในสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองจึงอาจมีค่าตอบแทนได้ด้วย การที่อาจมี
ค่าตอบแทนนี้ท�ำให้สัญญายืมใช้ สิ้นเปลืองมีลักษณะใกล้เคียงกับสัญญาเช่าทรัพย์ แต่มีข้อแตกต่างกันอยู่
ทีว่ า่ ในสัญญาเช่าทรัพย์นนั้ วัตถุแห่งสัญญาเป็นทรัพย์เฉพาะสิง่ ทีก่ ำ� หนดตัวแน่นอน ไม่อาจใช้ของอืน่ แทน
ได้ และผู้เช่าไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่า ผู้เช่าจึงต้องส่งคืนทรัพย์อันเดียวกับที่ผู้ให้เช่าได้ส่ง
มอบมาให้แก่ผใู้ ห้เช่า ส่วนสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองนัน้ เป็นการโอนกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์ทยี่ มื ให้แก่ผยู้ มื ผูย้ มื ไม่จำ� ต้อง
ส่งคืนทรัพย์สนิ อันเดียวกับทีย่ มื ไป คงคืนแต่ทรัพย์สนิ อันเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกับทรัพย์สนิ
ที่รับมอบไปคืนให้แก่ผู้ให้ยืมเท่านั้น
ค่าตอบแทนในสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองนีม้ ไิ ด้จำ� กัดว่าจะต้องเป็นทรัพย์สงิ่ ใด หรือประเภทใด ดังนัน้
ค่าตอบแทนจึงอาจจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นก็ได้สุดแล้วแต่คู่สัญญาจะได้ตกลงกัน ที่สำ� คัญคือต้อง
ธ
ตกลงกันจึงจะเรียกค่าตอบแทนได้ เช่น ยืมข้าวสาร 10 ลิตร ตกลงเรียกค่าตอบแทนเป็นข้าวสาร 2 ลิตร
หรือยืมเงินตกลงเรียกดอกเบีย้ เป็นค่าตอบแทน เป็นต้น ในกรณียมื เงินนี้ ถ้าไม่ได้มขี อ้ ตกลงให้ดอกเบีย้ จะ
มส
เรียกดอกเบี้ยในระหว่างสัญญาไม่ได้ เว้นแต่จะผิดนัดแล้วเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดเท่านั้น
อนึ่ง การยืมเงินโดยผู้ยืมให้ค่าตอบแทนแก่ผู้ให้ยืมในการที่ผู้ยืมได้ใช้ประโยชน์ในเงินที่ยืมไปเป็น
ดอกเบี้ยนั้น กฎหมายเรียกว่า การกู้ยืมเงิน ซึ่งการกู้ยืมเงินก็เป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง แต่ก็มี
บทบัญญัตทิ เี่ กีย่ วกับการกูย้ มื เงินและใช้บงั คับแก่การกูย้ มื เงินเป็นพิเศษแตกต่างจากการยืมใช้สนิ้ เปลืองใน
ทรัพย์สินอื่นอยู่หลายมาตรา คือตั้งแต่ มาตรา 653 ถึงมาตรา 656 เช่น การให้ยืมทรัพย์สินอื่นไม่มี
บทบัญญัตใิ ห้ตอ้ งมีหลักฐานเป็นหนังสือเหมือนการกูย้ มื เงิน การใช้คนื ก็ไม่มขี อ้ จ�ำกัดการพิสจู น์เหมือนการ
ม
ใช้เงิน แต่เป็นการพิสูจน์โดยอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้เพราะเงินหรือเงินตรา
นั้นมีการหยิบยืมใช้กันมากกว่าทรัพย์สินอย่างอื่น และมีลักษณะพิเศษกว่าทรัพย์สินอื่นอยู่หลายประการ
เช่น ถ้าใครได้ไปโดยสุจริตแล้วเจ้าของจะมาติดตามเอาคืนไม่ได้ ทั้งนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 1331 ซึ่งบัญญัติ
ว่า “สิทธิของบุคคลผู้ได้เงินตรามาโดยสุจริตนั้น ท่านว่ามิเสียไปถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าเงินนั้นมิใช่
ของบุคคลซึ่งโอนให้มา” ซึ่งต่างกับทรัพย์สินอื่นซึ่งถ้าผู้ให้ยืมไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ (เช่นในสัญญายืมใช้
คงรูป) เจ้าของที่แท้จริงมีสิทธิติดตามเอาคืนได้
มีปัญหาว่า การยืมเงินคิดดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทนได้เพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ท�ำได้1 ถ้า
สธ
เป็นการยืมทรัพย์สินอย่างอื่นโดยมีค่าตอบแทน จะเป็นการขัดกับบทบัญญัติในมาตรา 650 ซึ่งก�ำหนดให้
ผูย้ มื ต้องคืน ทรัพย์สนิ ในปริมาณเช่นเดียวกันกับทีใ่ ห้ยมื หรือไม่ ในเรือ่ งนีค้ วรพิจารณาดู ปพพ. มาตรา 151
ซึง่ บัญญัตวิ า่ “การใดเป็นการแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย ถ้ามิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับ ความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นไม่เป็นโมฆะ” ดังนั้น หากมีการตกลงให้คืนทรัพย์สิน
ที่ยืมเกินกว่าปริมาณ ที่ให้ยืม ซึ่งถือเป็นการยืมโดยมีค่าตอบแทน จึงต้องดูผลแห่งการตกลงนั้นว่า ต้อง
ห้ามตามกฎหมายอืน่ และเป็นกฎหมายอันเกีย่ วด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือ
ธ
ไม่ หากเป็นการต้องห้ามตามนั้น ข้อตกลงนั้นก็เป็นโมฆะ หากไม่ต้องห้ามข้อตกลงนั้นก็ใช้บังคับได้ตาม
กฎหมาย ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป
มส
ในเรื่องกู้ยืมเงินนั้นมีพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 บัญญัติห้ามเรียก
ดอกเบี้ย เงินกู้เกินอัตราที่กฎหมายก�ำหนดไว้ ตาม ปพพ. มาตรา 654 คือ ร้อยละ 15 ต่อปี ผู้ฝ่าฝืนย่อม
มีโทษทางอาญา นอกจากนัน้ ยังมีประกาศห้ามมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ. 1239 ซึง่ มีสาระส�ำคัญ คือ ถ้าผูก้ เู้ งิน
กันแล้วตกลงให้ส่ง ข้าวแทนตัวเงินหรือดอกเบี้ย ห้ามมิให้คิดราคาข้าวตํ่ากว่าราคาที่ซื้อขายกันในเวลาใช้
ข้าว ซึ่งต่อมามีค�ำพิพากษาศาลฎีกา2 วินิจฉัยว่าประกาศห้ามตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ. 1239 นั้น รวมอยู่ใน
ปพพ. มาตรา 656 แล้ว ประกาศดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไปไม่ใช้บังคับแล้ว ในเรื่องนี้จึงขอให้สังเกตว่า
พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 นั้นเป็นบทบัญญัติที่ใช้แก่การกู้ยืมเงินเท่านั้น ไม่
ใช้บังคับแก่การยืมใช้สิ้นเปลืองทรัพย์สินอย่างอื่นด้วย ดังนั้น ถ้ายืมข้าวสารกัน 2 กระสอบ และตกลงกัน
ว่าจะใช้คนื 3 กระสอบ ซึง่ ถ้าจะคิดว่าเป็นดอกเบีย้ ก็เท่ากับร้อยละ 50 เช่นนี้ ย่อมกระท�ำได้ ไม่เป็นการเรียกร้อง
ธ
ดอกเบีย้ เกินอัตราตามกฎหมายแต่อย่างใด และกรณีกไ็ ม่เข้า ตาม ปพพ. มาตรา 656 ซึง่ เป็นเรือ่ งกูย้ มื เงิน
แล้วช�ำระคืนเป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจ�ำนวนเงินด้วย
อุทาหรณ์
มส
2 ฎ. 650/2505, ฎ.1981/2511.
ม
2-8 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ผลทางกฎหมายบางประการจากการที่สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองเป็นสัญญาโอนกรรมสิทธิ์แห่ง
ทรัพย์สิน มีดังต่อไปนี้
2.1 ผูใ้ ห้ยมื ในสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองต้องเป็นผูม้ กี รรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ทีใ่ ห้ยมื นัน้ หรือเป็นเจ้าของ
ทรัพย์สินนั้น หรืออาจเป็นตัวแทนหรือผู้ได้รับมอบอ�ำนาจจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ในการให้ยืมได้ มิฉะนั้นก็
ไม่อาจ โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นไปได้3 ปัญหาโต้เถียงอาจมีได้ว่า ในกรณีที่ผู้ให้ยืมไม่มีกรรมสิทธิ์ใน
ธ
ทรัพย์สินที่ให้ยืมสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองน่าจะมีผลบังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญา คือ ห้ามมิให้จำ� เลยต่อสู้
ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของ ทรัพย์สินที่ให้ยืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการกู้ยืมเงินซึ่งมีหลักฐานในสัญญาเป็น
มส
เอกสารประกอบด้วย ในเรื่อง นี้เคยมี ฎ. 1413/2479 วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจ�ำเลยตามสัญญากู้ จ�ำเลยต่อสู้
ว่าเงินกู้ไม่ใช่ของโจทก์ แต่รับว่า โจทก์ท�ำการแทนเจ้าของเงินกู้ ศาลฎีกาจึงวินัจฉัยว่า สัญญายืมเงินนั้น
สมบูรณ์ ไม่ให้จำ� เลยน�ำพยานบุคคลเข้า มาสืบหักล้างเอกสาร ซึ่งเรื่องนี้มีข้อเท็จจริงว่า จ�ำเลยรับว่าโจทก์
ท�ำการแทนเจ้าของเงินกู้ จึงย่อมมีอำ� นาจมาท�ำสัญญาให้กู้ได้ แต่หากไม่ได้ข้อเท็จจริงเช่นนั้น เช่น โจทก์
ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แล้วจ�ำเลยต่อสูว้ า่ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของเงิน โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทำ� การแทนหรือ
ได้รับมอบอ�ำนาจจากเจ้าของเงินมาหรือไม่ เช่นนี้ ก็ยังน่าจะถือว่า จ�ำเลยไม่สามารถจะน�ำพยานบุคคลมา
สืบได้ เพราะจะเป็นการสืบแก้ไขพยานเอกสารคือสัญญากู้ที่ได้ท�ำขึ้นนั้น อันเป็นการต้องห้าม ตาม ปวพ.
มาตรา 94
ต่อมามี ฎ.16/2534 วินิจฉัยในท�ำนองเดียวกันโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่คู่ความ
ธ
น�ำสืบฟังเป็นยุตวิ า่ เมือ่ วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2527 จ�ำเลยที่ 1 ได้ทำ� สัญญากูเ้ งินโจทก์จำ� นวน 300,000 บาท
อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายคือร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จ�ำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ไปเรียบร้อยแล้วจากมารดาโจทก์
มส
ธ
นัน้ จนสิน้ เปลืองหมดไปไม่อาจน�ำของเดิมมาใช้คนื ได้ จึงต้องให้คนื ทรัพย์อนั เป็นประเภท ชนิด และปริมาณ
เดียวกันแทน ทรัพย์ประเภทนี้ เช่น ข้าว นํ้าตาล ถ่าน นํ้ามัน เกลือ แป้ง เงินตรา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
มส
ทรัพย์สนิ บางประเภท ถ้าพิจารณาเพียงลักษณะของทรัพย์สนิ นัน้ น่าจะเป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้สนิ้ เปลือง
หรือสัญญายืมใช้คงรูป แต่กรณีอาจหาเป็นเช่นนัน้ ไม่ ทัง้ นีต้ อ้ งดูเจตนาของคูส่ ญ ั ญาประกอบด้วยว่าต้องการ
ให้เป็นสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองหรือยืมใช้คงรูป เช่น ยืมข้าวสารตัวอย่าง หรือเงินตรารุน่ เก่า ซึง่ ไม่มกี ารพิมพ์
ออกมาใช้แล้วไว้ส�ำหรับไปแสดงในงานนิทรรศการ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการยืมในลักษณะนี้เป็นการยืมใช้
คงรูป กล่าวคือ เมื่อเสร็จงานนิทรรศการแล้ว ผู้ยืมก็จะน�ำข้าวสารและเงินตราดังกล่าวนั้นมาคืนแก่ผู้ให้ยืม
ดังเดิม โดยมิได้มีการใช้ทรัพย์ให้เสื่อมสลายภาวะไปแต่อย่างใด
อุทาหรณ์
ฎ. 905/2505 จ�ำเลยได้ยมื ไม้และสังกะสีของผูร้ อ้ งเพือ่ ปลูกเรือน ซึง่ อาจต้องเอามาบัน่ ทอน ตัดฟัน
แปรสภาพไปเป็นตัวเรือน หาได้คงรูปในสภาพเดิมไม่ และหากตามปกติเมือ่ ยืมมาใช้เช่นนีก้ ห็ มายความว่า
ธ
เอาทรัพย์นั้นๆ มาขาดทีเดียว ไม่ใช่จะเอาทรัพย์นั้นไปคืนอีก ฉะนั้นการยืมชนิดนี้ต้องถือว่าเป็นการยืมใช้
สิ้นเปลืองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์โอนไปเป็นของจ�ำเลย ตาม ปพพ. มาตรา 650
มส
กิจกรรม 2.1.1
1. จงกล่าวถึงสาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง โดยสังเขป
2. นายเขียวยืมนํ้าตาลทรายจากนายขาวมา 1 กระสอบ เพื่อใช้ท�ำอาหารขาย ก�ำหนดจะใช้คืน
ภายใน 1 เดือน ในระหว่างการใช้ เกิดไฟไหม้โรงครัวของนายเขียว ท�ำให้นํ้าตาลทรายที่ยืมมาและเก็บไว้
ทรายให้นายขาว ได้หรือไม่
แนวตอบกิจกรรม 2.1.1
ม
ในโรงครัวนั้นเสีย หายหมด เมื่อเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ความผิดของนายเขียว นายเขียวจะไม่ยอมคืนนํ้าตาล
1. สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองนอกจากจะมีสาระส�ำคัญอันเป็นลักษณะทั่วไปของสัญญายืมร่วมอยู่กับ
สัญญายืมใช้คงรูป กล่าวคือ เป็นสัญญาไม่ตา่ งตอบแทนและมีผลบริบรู ณ์เมือ่ มีการส่งมอบทรัพย์สนิ ทีใ่ ห้ยมื
แล้ว ยังมีลักษณะเฉพาะที่ส�ำคัญที่แตกต่างไปจากสัญญายืมใช้คงรูปโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ สัญญายืมใช้
สธ
สิน้ เปลืองนัน้ อาจเป็นสัญญามีคา่ ตอบแทนก็ได้ และเป็นสัญญาทีผ่ ใู้ ห้ยมื โอนกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ประเภท
ใช้ไปสิ้นไป คือ เสื่อมภาวะสลายไปให้แก่ผู้ยืม โดยที่ผู้ยืมต้องคืนทรัพย์อันเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ
เดียวกันกับที่ยืมไป ให้แก่ผู้ให้ยืมเมื่อถึงก�ำหนดจะต้องส่งคืน
ม
2-10 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
2. กรณีตามอุทาหรณ์ การยืมนํ้าตาลทรายมาใช้ท�ำอาหารขายลักษณะของนํ้าตาลเป็นทรัพย์
ประเภทใช้ไปสิ้นไป และตามเจตนาของคู่กรณีเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง กรรมสิทธิ์ในนํ้าตาลตกเป็นของ
นายเขียว ซึ่งนาย เขียวมีสิทธิจะใช้สอยอย่างไรก็ได้ตามอ�ำนาจแห่งกรรมสิทธิ์แห่ง ปพพ. มาตรา 1336
ดังนัน้ แม้นาํ้ ตาลจะสูญหาย ไปด้วยเหตุสดุ วิสยั นายเขียวก็ตอ้ งรับผลพิบตั แิ ห่งความเสียหายของนํา้ ตาลนัน้
ในฐานะเป็นเจ้าของ โดยทีน่ ายเขียวยังจะต้องมีหน้าทีป่ ฏิบตั ติ ามสัญญายืมใช้สนิ้ เปลือง คือคืนทรัพย์สนิ อัน
ธ
เป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกับที่ได้ยืมมาให้แก่นายขาว คือ นํ้าตาล 1 กระสอบ แก่นายขาว จะ
ปฏิเสธความรับผิดไม่ได้
มส
เรื่องที่ 2.1.2
สิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมใช้สิ้นเปลือง
เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ยืมให้แก่ผู้ยืมแล้ว สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองก็เกิดขึ้น
ธ
โดยบริบูรณ์และมีผลท�ำให้เกิดสิทธิและหน้าที่ในระหว่างผู้ให้ยืมและผู้ยืมผูกพันกันตามสัญญา ในเรื่องที่
2.1.2 นี้จะขอกล่าวถึงสิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมใช้สิ้นเปลืองก่อน
เนือ่ งจากสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองมีลกั ษณะแตกต่างจากสัญญายืมใช้คงรูปในประการส�ำคัญประการหนึง่
มส
คือ เป็นสัญญาทีผ่ ใู้ ห้ยมื โอนกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ทีใ่ ห้ยมื ให้แก่ผยู้ มื ตามทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วแต่ตน้ กรรมสิทธิ์
ใน ทรัพย์สินย่อมตกเป็นของผู้ยืมทันทีที่มีการส่งมอบทรัพย์สินนั้น ดังนั้นกฎหมายจึงบัญญัติถึงสิทธิและ
หน้าที่ของผู้ยืมไว้น้อยกว่าในสัญญายืมใช้คงรูป ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้
สิทธิของผู้ยืมใช้สิ้นเปลือง
ม
โดยอ�ำนาจแห่งกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ทีย่ มื ซึง่ ได้โอนมายังผูย้ มื ในทันทีทมี่ กี ารส่งมอบทรัพย์สนิ นัน้
ผู้ยืมในสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง จึงมีสิทธิที่จะใช้สอยทรัพย์สินนั้นอย่างไรก็ได้หรือจะโดยวิธีใดก็ได้ (ตาม
ปพพ. มาตรา 1336) สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองไม่ใช่เรื่องสิทธิเฉพาะตัวผู้ยืม แม้จะเป็นการใช้ผิดวัตถุประสงค์
ที่ยืมมาก็ตาม ผู้ให้ยืมก็ไม่อาจทักท้วงห้ามปรามได้ เช่น ยืมข้าวสารเพื่อมาหุงรับประทาน แล้วผู้ยืมกลับ
น�ำเอามาแจกจ่ายหรือให้ผู้อื่นยืมต่อไปอีกก็ย่อมกระท�ำได้ นอกจากนี้ ผู้ยืมในสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองยังไม่
จ�ำเป็นต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมเหมือนเช่นในสัญญายืมใช้คงรูป เพราะเหตุที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่
ยืมโอนมายังผูย้ มื แล้ว หากจะเกิดความสูญหายหรือบุบสลายแก่ทรัพย์สนิ ทีย่ มื ในระหว่างนี้ ผูย้ มื ก็ตอ้ งรับผล
สธ
พิบัตินั้นเอง
ม
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง 2-11
หน้าที่ของผู้ยืมใช้สิ้นเปลือง
กฎหมายก�ำหนดหน้าที่ของผู้ยืมในสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองไว้เป็นประการส� ำคัญ 2 ประการ ดัง
ต่อไปนี้ คือ
1. หน้าที่ในการเสียค่าใช้จ่าย ซึ่ง มาตรา 651 บัญญัติว่า “ค่าฤชาธรรมเนียมในการท�ำสัญญาก็ดี
ค่าส่งมอบและส่งคืนทรัพย์สินซึ่งยืมก็ดี ย่อมตกแก่ผู้ยืมเป็นผู้เสีย”
ธ
มาตรานี้บัญญัติไว้เป็นอย่างเดียวกับมาตรา 642 ในสัญญายืมใช้คงรูป ซึ่งนักศึกษาได้ศึกษาผ่าน
มาแล้วในหน่วยที่ 1 เหตุผลจึงเป็นไปในท�ำนองเดียวกัน คือ ผู้ยืมเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่จาก
มส
สัญญาคือได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมมา แม้ในบางกรณีสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอาจจะมีค่าตอบแทนในการได้
ใช้ทรัพย์สินซึ่งผู้ยืมจะต้องจ่ายให้ผู้ให้ยืมก็ตาม เช่น สัญญากู้ยืมเงิน เป็นต้น แต่ก็ไม่ท�ำให้สัญญายืมใช้สิ้น
เปลืองนั้นกลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนไปได้4 ดังนั้น ในสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอันเป็นสัญญาไม่ต่าง
ตอบแทนซึ่งก่อหนี้แก่ผู้ยืมเพียงฝ่ายเดียวกฎหมายจึงก�ำหนดให้ผู้ยืมเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ถ้าผูย้ มื และผูใ้ ห้ยมื จะตกลงกันไว้เป็นอย่างอืน่ เช่น ตกลงกันให้ฝา่ ยผูใ้ ห้ยมื เป็นผูเ้ สียหรือให้
รับผิดชอบร่วมกันฝ่ายละครึ่งหนึ่ง กฎหมายก็ยอมรับบังคับให้ เนื่องจากมาตรา 651 ไม่ใช่กฎหมายที่
เกีย่ วกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน คูส่ ญ ั ญาจึงตกลงเป็นอย่างอืน่ ได้ ไม่เป็นโมฆะ
(ปพพ. มาตรา 151)
ส่วนที่ว่า ค่าฤชาธรรมเนียมในการท�ำสัญญา ค่าส่งมอบ และค่าส่งคืนนั้น คืออะไรบ้าง ขอให้
ธ
นักศึกษา ย้อนกลับไปทบทวนหน่วยที่ 1 เรื่องที่ 1.2.2 สิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูป จะไม่นำ� มากล่าว
ซํ้าอีก
มส
อนึง่ ในส่วนทีเ่ กีย่ วกับสถานทีใ่ นการส่งคืนทรัพย์สนิ ทีย่ มื ในสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองนัน้ ก็ตอ้ งน�ำบท
บัญญัติทั่วไปในเรื่องการช�ำระหนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 324 มาใช้บังคับเช่นกัน ซึ่งจะได้กล่าวถึงในล�ำดับ
ต่อไปเมื่อศึกษาเกี่ยวกับความระงับของสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
2. หน้าที่ในการคืนทรัพย์สิน ผู้ยืมในสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองมีหน้าที่ต้องส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมไป
เมือ่ ครบก�ำหนดเวลาทีย่ มื หรือเมือ่ ครบก�ำหนดเวลาทีผ่ ใู้ ห้ยมื ได้บอกกล่าวให้ผยู้ มื ส่งคืนทรัพย์สนิ ทีย่ มื ตาม
ปพพ. มาตรา 652 แล้ว ซึ่งเรื่องก�ำหนดเวลาส่งคืนนี้จะได้กล่าวโดยละเอียดในเรื่องความระงับแห่งสัญญา
ม
ยืมใช้สิ้นเปลืองต่อไป ทั้งนี้ผู้ยืมจะต้องคืนทรัพย์สินซึ่งเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันกับที่ได้
รับมอบมาให้ แก่ผู้ให้ยืม เพราะโดยลักษณะแห่งทรัพย์สินประกอบกับเจตนาของคู่กรณีในสัญญายืมใช้
สิน้ เปลืองนัน้ ผูย้ มื ได้รบั โอนกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ทีย่ มื มาและใช้สอยทรัพย์นนั้ ในลักษณะทีใ่ ช้ไปแล้วทรัพย์
นัน้ นย่อมเสียภาวะเสือ่ มสลายหรือสิน้ เปลืองหมดไป ย่อมไม่มที รัพย์เดิมคืนให้แก่ผใู้ ห้ยมื กฎหมายจึงก�ำหนด
ให้คืนทรัพย์ซึ่งเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกันกับที่ยืมไป
สธ
4 ในสัญญาต่างตอบแทนซึ่งตาม ปพพ. มาตรา 369 เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิและหน้าที่ผูกพันซึ่งกัน
และกัน ในการปฏิบัติการชำ�ระหนี้ตอบแทนให้แก่กันและกัน คือต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่ายนั้น โดยปกติ
คู่สัญญามีหน้าที่ต้องออกค่าฤชาธรรมเนียมในการทำ�สัญญากันฝ่ายละครึ่งหนึ่งเท่าๆ กัน เช่น สัญญาซื้อขายทรัพย์สิน ทั้งผู้ซื้อและ
ผู้ขายมีหน้าที่ออกค่าฤชาธรรมเนียมในการทำ�สัญญากันฝ่ายละเท่าๆ กัน (ปพพ. มาตรา 457)
ม
2-12 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
หักหรือป่นปนอยู่ในจ�ำนวน 5% หรือ 10% ตามล�ำดับ ย่อมไม่ได้
ค�ำว่า ปริมาณ (Quantity) หมายถึง จ�ำนวนหรือปริมาตรของทรัพย์สินเดียวกัน คือต้องคืน
มส
ทรัพย์สนิ ในจ�ำนวนหรือปริมาตรเดียวกันกับทีย่ มื มา เช่น ยืมข้าวสารเสาไห้ชนิด 5% มา 2 กระสอบ ก็ตอ้ ง
คืนข้าวสารเสาไห้ชนิด 5% ในจ�ำนวน 2 กระสอบเท่าที่ยืมมา เช่นกัน หรือยืมนํ้ามันร�ำข้าวมา 1 ลิตร ก็
ต้องคืนนํ้ามันร�ำข้าว 1 ลิตรเช่นกัน
กิจกรรม 2.1.2
สิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมในสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง มีอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
แนวตอบกิจกรรม 2.1.2
ธ
สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองเป็นสัญญาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโอนไปยังผู้ยืม ดังนั้น ผู้ยืมจึงมีสิทธิ
ใช้สอย ทรัพย์สินยืมนั้นอย่างไรก็ได้ตามชอบใจ โดยไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ยืมต้องมีหน้าที่ใช้ทรัพย์ตามที่
มส
ม
สธ
ม
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง 2-13
เรื่องที่ 2.1.3
สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืมใช้สิ้นเปลือง
ธ
จากเรื่องที่ 2.1.2 สิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมใช้สิ้นเปลือง นักศึกษาได้ศกึ ษาเกีย่ วกับสิทธิและหน้าที่
ของผู้ยืมในสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองแล้ว ต่อไปควรจะได้ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืมบ้างดังนี้
มส
สิทธิของผู้ให้ยืม
1. สิทธิเรียกคืนทรัพย์สนิ ถึงแม้วา่ สาระส�ำคัญของสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองจะเป็นการโอนกรรมสิทธิ์
ในทรัพย์สินที่ยืมให้แก่ผู้ยืม และการใช้สอยทรัพย์สินนั้นจะเป็นการใช้ไปสิ้นเปลืองหมดไปก็ตาม แต่ผู้ยืมก็
มีหน้าทีจ่ ะต้องคืนทรัพย์สนิ อันเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกันกับทีไ่ ด้รบั มอบมาให้แก่ผใู้ ห้ยมื ดังนัน้
เมื่อครบก�ำหนดเวลายืมตามที่ได้ตกลงกันไว้ ผู้ให้ยืมก็มีสิทธิที่จะเรียกให้ผู้ยืมคืนทรัพย์สินอันเป็นประเภท
ชนิด และปริมาณเดียวกันนัน้ ได้ทนั ที หรือถ้าไม่ได้กำ� หนดเวลากันไว้กต็ อ้ งมีการบอกกล่าวก่อน (ตามมาตรา
652)
2. สิทธิเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์สิน ในกรณีที่ผู้ยืมไม่ยอมคืนทรัพย์สินอันเป็นประเภท ชนิด และ
ธ
ปริมาณเดียวกับที่ได้ยืมให้แก่ผู้ให้ยืม ผู้ให้ยืมก็มีสิทธิฟ้องร้องขอให้ศาลบังคับผู้ยืมให้ส่งมอบทรัพย์สินอัน
เป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกับทีย่ มื หรือถ้าผูย้ มื ไม่สามารถหาทรัพย์สนิ เช่นนัน้ ได้ ผูใ้ ห้ยมื ก็มสี ทิ ธิ
เรียกร้องให้ผยู้ มื ใช้ราคาทรัพย์สนิ แก่ผใู้ ห้ยมื ได้ ในการเรียกร้องให้ใช้ราคาทรัพย์สนิ นัน้ มีปญ
ั หาว่าจะคิดราคา
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 76/2489 จ�ำเลยขอยืมเงินโจทก์ 400 บาท โจทก์ไม่มีให้ จ�ำเลยจึงขอยืมทองรูปพรรณไป 5
อย่าง รวมหนัก 11 บาทสลึง โจทก์ให้ยมื ไป ต่อมาจ�ำเลยบอกกล่าวว่าทองค�ำจ�ำน�ำหลุดไปแล้ว ขอให้ใช้เงิน
60 บาทก่อน ส่วนที่ค้างเอาไว้คิดกันทีหลัง โจทก์ยอมตกลงด้วย ต่อมาจ�ำเลยไม่ยอมช�ำระอีกเลย โจทก์จึง
มาฟ้องขอให้ จ�ำเลยคืนทองหรือช�ำระราคาตามราคาในขณะฟ้อง
ธ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เรื่องนี้จ�ำเลยขอใช้ราคาทองให้ไป 60 บาทก่อน เป็นกรณีที่โจทก์และจ�ำเลย
ต่างได้ ตกลงกันเสร็จแล้วว่าจะช�ำระเป็นเงินต่อกัน จึงต้องคิดราคาทองทีจ่ ะช�ำระต่อกันในขณะทีต่ กลงกันนัน้
มส
โจทก์จะมาเรียกทองคืนหรือมาคิดราคาในสมัยที่ทองขึ้นราคาแพงไปนั้นหาถูกต้องไม่”
3. สิทธิเรียกค่าเสียหาย นอกจากผูใ้ ห้ยมื จะมีสทิ ธิเรียกให้ผยู้ มื คืนทรัพย์สนิ หรือใช้ราคาแล้ว หาก
เกิดความเสียหายแก่ผใู้ ห้ยมื ในการไม่คนื ทรัพย์สนิ หรือคืนล่าช้า หรือไม่สามารถหาทรัพย์สนิ เช่นนัน้ มาคืน
ได้แล้วแต่กรณี ผู้ให้ยืมยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการที่ผู้ยืมไม่ช�ำระหนี้ให้ถูกต้องตามความประสงค์
ที่แท้จริงของมูลหนี้ นั้นได้อีกส่วนหนึ่งด้วยตามหลักทั่วไปในเรื่องหนี้
หน้าที่ของผู้ให้ยืม
ผูใ้ ห้ยมื ในสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองมีหน้าทีไ่ ม่ขดั ขวางการใช้ทรัพย์สนิ ตามความพอใจของผูย้ มื เพราะ
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นโอนไปยังผู้ยืมแล้ว นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในประการส�ำคัญเช่นเดียวกับกรณีของ
ธ
สัญญายืมใช้ คงรูปอยู่ประการหนึ่ง คือ ถ้าไม่มีข้อสัญญาก�ำหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นแล้ว หากทรัพย์สินที่
ให้ยมื นัน้ บุบสลายหรือ มีอนั ตราย ซึง่ ผูใ้ ห้ยมื ได้รอู้ ยูแ่ ล้วก่อนการส่งมอบถึงความบุบสลายหรืออันตรายเช่น
มส
ว่านัน้ ซึง่ อาจจะเกิดความเสีย หายแก่ผยู้ มื ได้ ผูใ้ ห้ยมื มีหน้าทีจ่ ะต้องบอกกล่าวให้ผยู้ มื ได้ทราบถึงความบุบ
สลายหรืออันตรายแห่งทรัพย์ที่ให้ยืมนั้น หากไม่บอกกล่าวให้ทราบและผู้ยืมใช้ทรัพย์สินที่ยืมไปแล้วเกิด
ความเสียหายหรือเกิดอันตรายขึน้ ผูใ้ ห้ยมื จะต้องรับผิดชดใช้คา่ เสียหายแก่ผยู้ มื เช่น ให้ยมื อาหารกระป๋อง
ไปโดยที่ผู้ให้ยืมรู้แล้วว่า อาหารกระป๋องนั้นได้เก็บ ไว้นานแล้วอาจจะเสียได้ แต่ไม่บอกให้ผู้ยืมรู้ เมื่อผู้ยืม
น�ำไปประกอบอาหารรับประทานแล้วเกิดมีอาการอาหาร เป็นพิษป่วยเจ็บขึ้น ผู้ให้ยืมต้องรับผิด เป็นต้น
กิจกรรม 2.1.3
สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้ยืมในสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองมีอย่างไร จงอธิบาย
แนวตอบกิจกรรม 2.1.3
ม
สัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองเป็นสัญญาทีผ่ ใู้ ห้ยมื โอนกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ทีใ่ ห้ยมื ให้แก่ผยู้ มื ผูใ้ ห้ยมื จึง
มีแต่ เพียงสิทธิที่จะเรียกทรัพย์สินคืนเมื่อถึงเวลาต้องส่งคืน โดยเรียกเอาทรัพย์สินอันเป็นประเภท ชนิด
สธ
และปริมาณ เดียวกับที่ให้ยืมไปคืนจากผู้ยืม หากผู้ยืมไม่ยอมส่งคืนหรือไม่สามารถหาทรัพย์สินอันเป็น
ประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกันมาคืนได้ ผู้ให้ยืมก็มีสิทธิฟ้องศาลบังคับให้ผู้ยืมคืนทรัพย์สินประเภท
ชนิด และปริมาณเดียวกัน หรือให้ใช้ราคาทรัพย์สนิ แล้วแต่กรณีและเรียกค่าเสียหาย ส่วนหน้าทีข่ องผูใ้ ห้ยมื
ม
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง 2-15
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
2-16 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 2.2
ความระงับและอายุความแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 2.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
2.2.1 ความระงับแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
2.2.2 การช�ำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน
2.2.3 อายุความแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
เรื่องค่าทดแทนดังเช่นสัญญายืมใช้คงรูป
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 2.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายเรื่องความระงับแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองได้
2. อธิบายเรื่องการช�ำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินได้
3. อธิบายและให้เหตุผลในเรื่องอายุความแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองได้
ม
4. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับความระงับและอายุความแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองได้
สธ
ม
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง 2-17
ความน�ำ
ธ
ส�ำคัญของสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองตลอดจนสิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมและผู้ให้ยืมแล้ว ต่อไปตอนที่ 2.2 นี้ จะ
ได้กล่าวถึงเรื่องความระงับแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง และอายุความที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่าง
ออกไปจากสัญญายืมใช้คงรูป โดยเฉพาะความระงับแห่งสัญญาในกรณีที่เป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองทั่วไปกับ
ประการ
มส
กรณีที่เป็นการกู้ยืมเงิน ซึ่งแม้จะเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองเหมือนกัน ก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่หลาย
เรื่องที่ 2.2.1
ความระงับแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
ธ
จากที่ได้ทราบแล้วว่า สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองนั้นมีลักษณะเป็นสัญญาที่ผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินที่ให้ยืมแก่ผู้ยืมไปโดยที่ทรัพย์สินนั้นเป็นประเภทใช้ไปสิ้นเปลืองหมดไป ผู้ยืมมีสิทธิที่จะใช้สอย
มส
ธ
ประชาชน
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 866/2534 สัญญากู้ระบุว่า ผู้กู้ตกลงจะช�ำระหนี้ตามสัญญานี้ภายในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.
2525 แต่ทงั้ นีไ้ ม่เป็นการตัดสิทธิผใู้ ห้กทู้ จี่ ะเรียกร้องให้ผกู้ ชู้ ำ� ระหนีต้ ามสัญญานีท้ งั้ หมดหรือแต่บางส่วนก่อน
ถึงก�ำหนดก็ได้ตามแต่ผู้ให้กู้จะเห็นสมควรและโดยมิพักต้องชี้แจงแสดงเหตุ ผู้กู้สัญญาว่าในกรณีที่ผู้ให้กู้
เรียกร้องให้ช�ำระหนี้ ผู้กู้จะช�ำระหนี้ที่เรียกร้องทันที ข้อสัญญานี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
อันดีของประชาชน จึงมีผลผูกพัน
อย่างไรก็ดี ถ้าผู้ยืมตายก่อนครบก�ำหนดเวลา ผู้ให้ยืมมีสิทธิเรียกคืนทรัพย์จากผู้รับมรดกหรือ
ผูจ้ ดั การมรดกของผูย้ มื ได้ทนั ทีโดยไม่ตอ้ งรอให้ถงึ ก�ำหนด และต้องเรียกคืนด้วย มิฉะนัน้ สิทธิเรียกร้องของ
ผู้ให้ยืมอาจขาดอายุความ ตาม ปพพ. มาตรา 1754 วรรคสามได้
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 1413/2479 ในกรณีทลี่ กู หนีต้ ายก่อนหนีถ้ งึ ก�ำหนดช�ำระนัน้ เจ้าหนีม้ สี ทิ ธิฟอ้ งเรียกจากผูจ้ ดั การ
มฤดกได้ทันที แม้หนี้จะยังไม่ถึงก�ำหนดช�ำระก็ตาม อายุความมฤดก 1 ปีนั้นรวมถึงเจ้าหนี้ด้วย
มส
ธ
คงรูปซึ่งทรัพย์สินที่ต้องส่งคืนก็คือทรัพย์สินอันเดิมที่ได้รับมอบมานั่นเอง
เมื่อถึงก�ำหนดเวลาตามค�ำบอกกล่าวตามมาตรา 652 นี้แล้ว สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองย่อมระงับลง
มส
ถ้าผูย้ มื ยังไม่สง่ คืนทรัพย์สนิ ทีย่ มื ผูใ้ ห้ยมื ก็ยอ่ มมีสทิ ธิฟอ้ งร้องเรียกให้ผยู้ มื ส่งคืนหรือเรียกเอาราคาทรัพย์สนิ
ทีย่ มื รวมทัง้ ค่าเสียหายทีผ่ ใู้ ห้ยมื ได้รบั เนือ่ งจากการทีผ่ ยู้ มื ไม่สง่ ทรัพย์สนิ ทีย่ มื คืนตามก�ำหนดเวลาทีแ่ จ้งใน
ค�ำบอกกล่าวได้
อุทาหรณ์
ฎ. 859/2515 จ�ำเลยยืมเงินจากโจทก์รวมห้าครั้งโดยไม่มีก�ำหนดเวลาให้ใช้เงิน เมื่อโจทก์ได้ส่งค�ำ
บอกกล่าวให้จำ� เลยช�ำระเงินคืนภายในเวลาหนึง่ เดือน จ�ำเลยไม่ชำ� ระเงินภายในก�ำหนดเวลานัน้ โจทก์ฟอ้ ง
บังคับช�ำระหนี้เงินพร้อมทั้งดอกเบี้ย ตาม ปพพ. มาตรา 652 ได้โดยไม่จ�ำต้องมีการบอกเลิกสัญญาเสีย
ก่อน
ฎ. 599/2535 จ�ำเลยซึง่ เป็นชาวไร่ทำ� ใบยาสูบ ยืมปุย๋ ยาบ�ำรุงใบยาสูบและยาฆ่าแมลงไปจากโจทก์
ธ
เพือ่ ใช้ในการท�ำใบยาสูบ จ�ำเลยตกลงกับโจทก์ไว้วา่ จะต้องส่งคืนสิง่ ของเมือ่ สิน้ ฤดูกาลท�ำใบยาสูบ ซึง่ อนุมาน
จาก พฤติการณ์ว่าภายในสิ้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2526 อันเป็นกรณีที่มิได้ก�ำหนดไว้ตามวันแห่งปีปฏิทิน
มส
ธ
ความรับผิดไม่ และโจทก์ย่อมมีอ�ำนาจฟ้องผู้คํ้าประกัน โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัด
ระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยที่ 1 นับแต่วันที่จ�ำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือบอกเลิกแต่ไม่ปรากฏว่าจ�ำเลยที่ 1 ได้รับ
มส
หนังสือดังกล่าวเมื่อใด โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้เพียงแค่วันที่ลงในหนังสือนั้น ต่อจากนั้นไป
คงคิดได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดา”
ศาสตราจารย์จติ ติ ติงศภัทยิ ์ ได้บนั ทึกหมายเหตุทา้ ยค�ำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวนีไ้ ว้วา่ “เรื่อง
ทวงถามหนี้ในแง่ของกฎหมายลักษณะหนี้อันเป็นสารบัญญัติ เมื่อเป็นหนี้เขาแล้วก็ต้องใช้หนี้เขา ซึ่งตาม
มาตรา 194 บัญญัติว่า ด้วยอ�ำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ช�ำระหนี้ได้ มิใช่ว่าถ้าไม่
ทวงถามก็ไม่มีอ�ำนาจเรียกให้ช�ำระหนี้หรือถ้ายังไม่ทวง ลูกหนี้ก็ยังไม่ต้องช�ำระหนี้ การทวงถามเป็นแค่
“ค�ำเตือน” ตามมาตรา 204 ซึ่งมีผลให้ลูกหนี้ผิดนัดในกรณีหนี้ที่มิได้ก�ำหนดช�ำระไว้ตามวันแห่งปฏิทิน
เท่านั้น… ถ้าเจ้าหนี้ ฟ้องคดีเช่นนี้โดยไม่ปรากฏว่าได้บอกกล่าวก่อนก็ถือว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิของ
เขาตามมาตรา 194 มาตรา 203 …ถ้าจ�ำเลยให้การปฏิเสธหนี้ก็คงแน่ชัดว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิกันแล้ว ถ้า
ธ
จ�ำเลยรับว่าเป็นหนี้จริง หรือถือได้ว่าจ�ำเลยรับว่าเป็นหนี้จริงตามฟ้อง แต่อ้างว่าโจทก์ฟ้องไม่บอกกล่าว
ก่อน ค�ำฟ้องนั้นเองก็เป็นการบอกกล่าวอยู่ในตัวและคงไม่ใช่วิสัยที่ศาลจะให้ความยุติธรรมโดยยกฟ้อง
มส
ธ
หรือเกือบจะไม่มีเลย จึงต้องให้ความยุติธรรมแก่เจ้าหนี้ซึ่งอาจเลือกที่จะไม่ปฏิบัติในขั้นตอนของการบอก
กล่าวโดยไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้ไม่สุจริต และในเมื่อลูกหนี้ก็ยอมรับว่าเป็นหนี้เขาจริง ศาลก็ไม่อาจตัดฟ้อง
มส
โจทก์เพียงเพราะสาเหตุไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายในเรื่องการบอกกล่าวให้ช�ำระหนี้ก่อนฟ้อง5 โดยถือว่า
ค�ำฟ้องนั้นเองเป็นการบอกกล่าวอยู่ในตัวแล้ว
อนึ่ง ในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมตามสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองนี้มีเรื่องที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
ใน ท�ำนองเดียวกับสัญญายืมใช้คงรูป คือเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม และสถานที่ส่งคืน
ทรัพย์สินที่ยืม กล่าวคือ
ค่าใช้จ่ายในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม สัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองมีบทบัญญัตเิ กีย่ วกับค่าใช้จา่ ยในการ
ส่งคืน ทรัพย์สนิ ทีย่ มื ไว้เป็นพิเศษเช่นเดียวกับในเรือ่ งการยืมใช้คงรูป ตามมาตรา 651 ซึง่ บัญญัตไิ ว้วา่ “…
ค่าส่งคืน ทรัพย์สินซึ่งยืมก็ดี ย่อมตกแก่ผู้ยืมเป็นผู้เสีย”
เหตุผลก็เป็นท�ำนองเดียวกับสัญญายืมใช้คงรูป กล่าวคือ สัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองมีลกั ษณะส�ำคัญที่
ธ
ผู้ยืม ได้รับประโยชน์จากสัญญาแต่เพียงฝ่ายเดียว แม้ในบางกรณีสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองบางสัญญาอาจมี
ค่าตอบแทน แก่ผใู้ ห้ยมื ด้วยก็ตาม แต่กย็ งั ถือว่าสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองซึง่ เป็นสัญญาไม่ตา่ งตอบแทนนัน้ ถือ
มส
ธ
เป็นกรณีพิเศษเช่นในสัญญายืมใช้คงรูป เช่น ในเรื่องการตายของผู้ยืม หรือการให้สิทธิผู้ให้ยืมในการบอก
เลิกสัญญาเพราะผูย้ มื ผิดสัญญาหรือไม่ปฏิบตั หิ น้าทีข่ องผูย้ มื ในการใช้ทรัพย์หรือสงวนรักษาทรัพย์สนิ อย่าง
มส
เช่นในสัญญายืมใช้คงรูป ทัง้ นีเ้ พราะลักษณะของสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองนัน้ เป็นกรณีทผี่ ใู้ ห้ยมื โอนกรรมสิทธิ์
ในทรัพย์สนิ ชนิดใช้ไปสิน้ ไปให้แก่ผยู้ มื ไปใช้สอยตามความพอใจโดยผูใ้ ห้ยมื ไม่มสี ทิ ธิเข้าไปเกีย่ วข้อง ทรัพย์
นัน้ จะเสียหายหรือสูญหายไปในระหว่างการใช้อย่างไรก็เป็นเรือ่ งทีผ่ ยู้ มื จะต้องรับผลแห่งภัยพิบตั นิ นั้ เอง และ
จะสงวนรักษาทรัพย์สนิ นัน้ อย่างไรหรือไม่กเ็ ป็นเรือ่ งของผูย้ มื เองในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หลักในเรือ่ ง
ถือเอาความส�ำคัญเฉพาะตัวผูย้ มื ก็ไม่นำ� มาใช้เพราะผูใ้ ห้ยมื มีสทิ ธิเพียงแต่จะได้รบั ทรัพย์สนิ อันเป็นประเภท
ชนิด และปริมาณเดียวกับทีไ่ ด้ให้ ยืมกลับคืนไปตามสัญญาเท่านัน้ ดังนัน้ ในสัญญายืมใช้สนิ้ เปลือง แม้ผยู้ มื
จะตายลงก่อนครบก�ำหนด เวลาส่งคืนทรัพย์ สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองก็ไม่ระงับ ทายาทหรือผูจ้ ดั การมรดก
ของผู้ยืมยังจะต้องรับผิดในการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมคืนให้แก่ผู้ให้ยืม ตาม ปพพ. มาตรา 1600 โดยผู้ให้ยืม
ก็ต้องใช้สิทธิเรียกคืนโดยค�ำนึงถึง ปพพ. มาตรา 1754 วรรคสามตามที่กล่าวมาแล้วด้วย หรือแม้ทรัพย์สิน
ธ
นั้นจะสูญหายไปทั้งหมดสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองก็ไม่ระงับ ผู้ยืมยังคงมีหน้าที่ต้องส่งคืนทรัพย์สินอันเป็น
ประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกันกับที่ยืมมาให้แก่ผู้ให้ยืมตามสัญญาอยู่นั่นเอง ต่อเมื่อมีการส่งคืน
มส
ทรัพย์สินที่ยืมเสร็จสิ้นแล้วจึงจะมีผลให้สัญญาระงับลง
กิจกรรม 2.2.1
ความระงับของสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองโดยทั่วไปมีกรณีใดบ้าง
แนวตอบกิจกรรม 2.2.1
ไว้ในสัญญา
สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองระงับลงในกรณีต่อไปนี้คือ
ม
1. ถ้าเวลายืมได้กำ� หนดกันไว้ในสัญญา สัญญายืมย่อมระงับไป เมือ่ พ้นก�ำหนดเวลาทีไ่ ด้ตกลงกัน
เรื่องที่ 2.2.2
การช�ำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน
ธ
จากทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วว่าการกูย้ มื เงินก็เป็นการยืมใช้สนิ้ เปลืองอย่างหนึง่ แต่เนือ่ งจากทรัพย์อนั เป็น
วัตถุ แห่งสัญญากู้ยืมเงิน เป็นเงินตราซึ่งมีลักษณะพิเศษในตัวของมันเองแตกต่างจากทรัพย์ประเภทอื่น
มส
เนือ่ งจากเป็นวัตถุกลางแห่งการแลกเปลีย่ น ซึง่ หากใครได้ไปโดยสุจริตแล้วเจ้าของก็จะมาติดตามเอาคืนไม่
ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 1331 ซึง่ ได้กล่าวมาแล้ว ดังนัน้ ในเรือ่ งการกูย้ มื เงินจึงมีบทบัญญัตพิ เิ ศษในลักษณะยืม
แตกต่างจากการยืมใช้สิ้นเปลืองโดยทั่วไป
ความระงับหนีข้ องสัญญากูย้ มื เงินในบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมายลักษณะยืม ก็คอื การช�ำระหนีเ้ งินกูย้ มื
แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าหนี้กู้ยืมเงินจะระงับลงได้ก็แต่เพียงการช�ำระหนี้เงินกู้ยืมเท่านั้น เพราะยังมี
บทบัญญัติทั่วไปในบรรพ 2 หมวด 5 ว่าด้วยความระงับหนี้ ซึ่งบัญญัติถึงกรณีที่หนี้ทั้งหลายอาจจะระงับ
ไปด้วยเหตุอนื่ นอกจากการช�ำระหนีก้ ไ็ ด้ เช่น ปลดหนี้ หักกลบลบหนี้ แปลงหนีใ้ หม่ หรือหนีเ้ กลือ่ นกลืนกัน
หนีก้ ยู้ มื เงินก็เช่นเดียวกัน อาจระงับไปด้วยเหตุอนื่ ดังกล่าวนีไ้ ด้ ดังนัน้ จึงต้องศึกษาบทบัญญัตใิ นบรรพ 2
หมวดที่ 5 ว่าด้วยความระงับหนีป้ ระกอบด้วย ในทีน่ จี้ ะกล่าวเฉพาะการช�ำระหนีเ้ งินกูย้ มื ตามบทบัญญัตใิ น
ธ
กฎหมายลักษณะยืมเท่านั้น และจะกล่าวเพียงสังเขปเพื่อให้ท�ำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนจะศึกษาราย
ละเอียดในหน่วยที่ 3 การกู้ยืมเงิน ต่อไป
การช�ำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ก็คือการใช้เงินที่ยืมพร้อมทั้งดอกเบี้ยที่ตกลงช�ำระให้ โดยปกติ
มส
ธ
หลักฐานแห่งการกู้ยืม กล่าวคือ ผู้ให้กู้ส่งมอบหนังสือสัญญากู้หรือหลักฐานการกู้ยืมที่ผู้กู้ยืมได้ท�ำไว้คืนให้
แก่ผู้กู้ หรือได้มีการแทงเพิกถอนลงในเอกสารดังกล่าวนั้น คือ มีการบันทึกข้อความลงในเอกสารนั้นโดย
มส
ผู้ให้กู้แสดงว่าสัญญากู้ได้ระงับลงแล้วโดยการช�ำระเงินกู้ยืม ดังนั้น หากไม่มีการกระท�ำอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในมาตรา 653 วรรคสองนี้ ผู้กู้จะน�ำพยานบุคคลมาสืบว่าได้มีการช�ำระหนี้แล้วไม่ได้
อุทาหรณ์
ฎ. 110/2480 กู้เงินกันแม้จะไม่เกินกว่า 50 บาท (ปัจจุบัน 2,000 บาท) ถ้าหากได้ท�ำหนังสือไว้
เป็นหลักฐาน การใช้เงินก็ตอ้ งมีหลักฐานเป็นหนังสือ ผูก้ จู้ ะน�ำพยานบุคคลมาสืบว่าได้ใช้เงินตามสัญญาแล้ว
ไม่ได้ ต้องบังคับ ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสาม (หมายเหตุ-ค�ำพิพากษาศาลฎีกานีต้ ดั สินตามกฎหมาย
เก่าก่อนมีการแก้ไขจ�ำนวนเงินตามมาตรา 653 ในปัจจุบัน-ผู้เขียน)
นอกจากนี้ มาตรา 653 วรรคสอง นีใ้ ช้บงั คับเฉพาะกรณีการช�ำระหนีต้ น้ เงินเท่านัน้ ไม่รวมถึงการ
ช�ำระดอกเบี้ยด้วย ดังนั้น การช�ำระดอกเบี้ยเงินกู้นั้นแม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงก็สืบพยาน
ธ
บุคคลแทนได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 653 วรรคสอง (ฎ. 243/2530, ฎ. 936/2504)
2. การช�ำระหนี้ด้วยทรัพย์สินหรือสิ่งของอื่น เรื่องนี้มีมาตรา 656 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า ถ้า
มส
ท�ำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการช�ำระหนี้แทนเงินที่กู้
ยืมแล้ว หนี้ก็เป็นอัน ระงับไปได้ แต่การคิดราคาทรัพย์สินหรือสิ่งของนั้นต้องคิดตามราคาซื้อขาย ณ เวลา
และสถานทีท่ ไี่ ด้นำ� ทรัพย์สนิ หรือสิง่ ของอืน่ นัน้ มาช�ำระ เช่น ถ้ากูย้ มื เงินไป 1,000 บาท แล้วเจ้าหนีย้ อมรับ
เอาข้าวเปลือกจ�ำนวน 5 ถัง มาใช้หนี้แทนเงินก็ย่อมท�ำได้ แต่ต้องคิดราคาข้าวเปลือกในเวลาและสถานที่
ที่ได้น�ำข้าวเปลือกมาช�ำระแทนเงินนั้น เมื่อคิดราคาได้เป็นจ�ำนวนเงินเท่าใด จึงเอาไปหักกับหนี้เงินกู้ หลัง
จากนัน้ จึงจะรูว้ า่ หนีเ้ งินนัน้ ระงับไปมากน้อยเพียงใด ดังนัน้ ตามอุทาหรณ์ ถ้าในเวลาและสถานทีท่ ชี่ ำ� ระข้าว
ม
เปลือกแทนเงินนัน้ ราคาข้าวเปลือก 5 ถัง ราคา 1,500 บาท ผูใ้ ห้กกู้ ต็ อ้ งคืนส่วนทีเ่ กินให้แก่ผกู้ ู้ แต่ถา้ ราคา
เพียง 900 บาท ก็ถือว่าผู้กู้ได้ช�ำระเงินคืนให้แก่ผู้ให้กู้เท่าจ�ำนวนราคาข้าวเปลือกนั้น
นอกจากการช�ำระหนีด้ ว้ ยทรัพย์สนิ หรือสิง่ ของอืน่ แล้ว ยังอาจมีการช�ำระหนีอ้ ย่างอืน่ ได้อกี ถ้าเจ้าหนี้
หรือ ผู้ให้กู้ยินยอมด้วย ทั้งนี้เป็นไปตามหลักทั่วไปใน ปพพ. มาตรา 321 เช่น กู้ยืมเงินกัน แล้วต่อมาผู้ให้
กู้ยอมให้ผู้กู้มาท�ำงานให้แทนการช�ำระหนี้เป็นเงินก็ได้ เมื่อผู้กู้ทำ� งานครบตามก�ำหนดเวลาตามที่ตกลงกัน
หนี้เงินกู้ยืมก็ระงับไป โดยการช�ำระหนี้อย่างอื่น ตาม ปพพ. มาตรา 321
อนึ่ง ขอให้สังเกตว่า การน�ำสืบเรื่องการช�ำระหนี้ด้วยทรัพย์สินหรือสิ่งของอื่นหรือช�ำระอย่างอื่น
สธ
แทนการช�ำระเป็นเงินนั้น ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 653 วรรคสอง ผู้กู้จึงน�ำพยานบุคคลมาสืบได้ไม่ต้อง
ห้าม
ม
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง 2-25
อุทาหรณ์
ฎ. 905/2497 การกูเ้ งินมีหลักฐานเป็นหนังสือผูก้ นู้ ำ� พยานบุคคลมาสืบได้วา่ ผูใ้ ห้กยู้ อมรับการช�ำระหนี้
อย่างอื่นแทนเงินกู้
ฎ. 1051/2503 จ�ำเลยให้การรับว่าได้ท�ำสัญญายืมเงินโจทก์จริง แต่โจทก์ได้ยอมรับช�ำระหนี้ด้วย
ข้าวเปลือกแทนเงินตามสัญญายืม ดังนี้ หนี้เป็นอันระงับสิ้นไป ตาม ปพพ. มาตรา 321 จ�ำเลยย่อมสืบได้
ธ
ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 653 วรรคสอง (อ้างฎีกาที่ 905/2497)
ฎ. 1496/2503 ท�ำหนังสือสัญญากู้เงินกัน แล้วต่อมาตกลงช�ำระหนี้ด้วยทรัพย์อย่างอื่น แม้จะมิได้
มส
ท�ำหลักฐานการช�ำระหนี้หรือเวนคืนหรือแทงเพิกถอนหนังสือสัญญากู้ก็ย่อมน�ำสืบการช�ำระหนี้เช่นนั้นได้
ฎ. 767/2505 การช�ำระหนีเ้ งินกูด้ ว้ ยเช็ค เป็นการช�ำระหนีด้ ว้ ยการออกตัว๋ เงิน ตาม ปพพ. มาตรา
321 วรรค สาม ถือว่าเป็นการช�ำระหนี้อย่างอื่นอันมิใช่การช�ำระหนี้ด้วยเงิน ผู้กู้จึงน�ำพยานบุคคลมาสืบได้
ไม่ต้องห้าม ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง
ฎ. 182/2518 ออกเช็คใช้หนีเ้ งินกูเ้ ป็นการช�ำระหนีด้ ว้ ยของอืน่ เมือ่ โจทก์ยอมรับและได้รบั เงินตาม
เช็คแล้ว หนี้ก็ระงับ จ�ำเลยน�ำสืบการใช้เงินโดยพยานบุคคลได้
กิจกรรม 2.2.2
ธ
การช�ำระหนี้เงินกู้ยืมในจ�ำนวนไม่เกินสองพันบาท ผู้กู้ยืมน�ำพยานบุคคลน�ำสืบพิสูจน์ได้เสมอไป
หรือไม่
มส
แนวตอบกิจกรรม 2.2.2
โดยหลักแล้ว การกู้ยืมเงินไม่เกินสองพันบาท กฎหมายไม่บังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลง
ลายมือชื่อผู้กู้ยืม ดังนั้น ในการช�ำระหนี้เงินกู้ยืมนี้ก็ไม่จำ� ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืม
แสดงการรับช�ำระหนี้แล้วมาแสดง หากเกิดปัญหาโต้เถียงกัน ผู้กู้ยืมน�ำพยานบุคคลมาสืบได้ แต่หากได้มี
การท�ำหลักฐานการกูย้ มื ไว้เป็นหนังสือแล้ว แม้เงินทีก่ ยู้ มื จะไม่เกินสองพันบาท การพิสจู น์วา่ ได้มกี ารช�ำระ
ม
หนี้เงินกู้ยืมแล้ว ก็ต้องกระท�ำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม มาตรา 653 วรรคสอง ผู้กู้ยืมจะน�ำพยานบุคคล
มาสืบแทนไม่ได้
สธ
ม
2-26 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 2.2.3
อายุความแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
ธ
เนื่องจากสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืมตกเป็นของผู้ยืมในทันทีที่ผู้ให้ยืม
ส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมแก่ผู้ยืม ในเรื่องสิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สินของผู้ให้ยืม ตาม ปพพ. มาตรา 1336
มส
จึงไม่มี ผูย้ มื คงมีหนีแ้ ต่เพียงทีจ่ ะต้องคืนทรัพย์สนิ เป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกันกับทีย่ มื ไปให้แก่
ผูใ้ ห้ยมื เท่านัน้ ดังนัน้ สิทธิเรียกร้องของผูใ้ ห้ยมื ทีจ่ ะให้ผยู้ มื คืนทรัพย์สนิ ตามสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองนัน้ (ไม่
ว่าวัตถุแห่งสัญญาจะเป็นสิ่งของหรือเป็นเงินก็ตาม) จึงเป็นสิทธิเรียกร้องให้ช�ำระหนี้ตามธรรมดา ซึ่งต้อง
น�ำหลักทัว่ ไปในเรือ่ งอายุความ ตาม ปพพ. มาตรา 193/30 มาใช้บงั คับ เนือ่ งจากไม่มบี ทบัญญัตพิ เิ ศษ คือ
10 ปี นับแต่ที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ ตาม ปพพ. มาตรา 193/12 ซึ่งแยกอธิบายได้ ดังนี้
1. ถ้าเป็นการยืมมีก�ำหนดเวลา อายุความ 10 ปี เริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นก�ำหนดเวลายืมอันเป็นวัน
ที่ผู้ให้ยืมมีสิทธิเรียกร้องให้คืนทรัพย์สินที่ยืม
2. ถ้าเป็นการยืมไม่มีก�ำหนดเวลา แบ่งเป็น 2 กรณี คือ
2.1 กรณีที่มีการบอกกล่าวเรียกทรัพย์สินคืนโดยก�ำหนดเวลาให้ในค�ำบอกกล่าวตามมาตรา
ธ
652 อายุความ 10 ปี เริ่มนับตั้งแต่เมื่อพ้นก�ำหนดเวลาในค�ำบอกกล่าวเลิกสัญญาของผู้ให้ยืม
2.2 กรณีไม่มีการบอกกล่าวเรียกทรัพย์สินคืน อายุความ 10 ปี เริ่มนับตั้งแต่วันที่สัญญายืม
เกิดขึ้น เพราะเป็นขณะแรกที่จะบอกกล่าวเรียกทรัพย์สินคืนได้
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 422/2478, ฎ. 22/2479 อายุความฟ้องเรียกเงินกูไ้ ม่มกี ฎหมายบัญญัตไิ ว้เป็นอย่างอืน่ ต้องถือว่า
มีกำ� หนดอายุความ 10 ปี
นอกจากนี้ สัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองไม่มบี ทบัญญัตเิ กีย่ วกับอายุความในเรือ่ งค่าทดแทน เหมือนเช่น
ในสัญญายืมใช้คงรูป ทั้งนี้เพราะไม่มีค่าทดแทนในการที่ท�ำให้ทรัพย์เสียหาย เนื่องจากเมื่อผู้ยืมได้ทรัพย์
ม
นั้นมาก็เป็นการได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยืมนั้นมาเป็นของตน ดังนั้นทรัพย์จะเสียหายหรือบุบสลาย
ไปอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ผู้ยืมจะต้องรับบาปเคราะห์ในผลพิบัตินั่นเอง เมื่อครบก�ำหนดเวลายืมก็ต้องส่งคืน
ทรัพย์ใหม่อันเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกับที่ยืมไปให้แก่ผู้ให้ยืม ดังนั้น อายุความในเรื่องค่า
ทดแทนจึงไม่มีเหมือนเช่นในสัญญายืมใช้คงรูป
อนึง่ ส�ำหรับสัญญากูย้ มื เงินนัน้ อาจมีกำ� หนดเวลาช�ำระกันเป็นงวดๆ และมีการเรียกดอกเบีย้ เป็น
ค่า ตอบแทนในการให้กู้ยืมรวมอยู่ด้วย ดังนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับการฟ้องเรียกเงินที่ผ่อนช�ำระเป็นงวดๆ
ซึ่งก�ำหนดไว้แน่นอนก็ดี หรือในการเรียกดอกเบี้ยที่ผู้กู้ค้างช�ำระอยู่ก่อนฟ้องก็ดี ก็ต้องบังคับกันโดยอายุ
สธ
ความ 5 ปี ตามบท บัญญัติใน ปพพ. มาตรา 193/33 (1),(2)
ม
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง 2-27
อุทาหรณ์
ฎ. 1187/2482 สิทธิเรียกร้องดอกเบีย้ ซึง่ มีกำ� หนดอายุความ 5 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 166 (ปัจจุบนั
มาตรา 193/33) นั้น หมายถึงดอกเบี้ยที่ค้างส่งอยู่ก่อนฟ้อง ส่วนดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะใช้เงิน
เสร็จนั้น ไม่ใช่ดอกเบี้ยค้างส่ง เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกได้จนกว่าลูกหนี้จะใช้เงินเสร็จ ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา
166 (ปัจจุบัน มาตรา 193/33)
ธ
ฎ. 275/2487 แม้ในสัญญากูจ้ ะเขียนไว้วา่ ผ่อนช�ำระเป็นงวดก็ดี ถ้าไม่มขี อ้ ความว่าจะใช้กงี่ วด งวด
ละเท่าใด และใช้เมื่อใดแล้ว ถือว่าคดีไม่อยู่ในบังคับอายุความ ตาม ปพพ. มาตรา 166 (ปัจจุบันมาตรา
193/33)
กิจกรรม 2.2.3
มส
เหตุใดในสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองจึงไม่น�ำ ปพพ. มาตรา 1336 มาใช้บังคับ และไม่มีก�ำหนดอายุ
ความในเรื่องค่าทดแทนดังเช่นในสัญญายืมใช้คงรูป
แนวตอบกิจกรรม 2.2.3
สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืมตกเป็นของผู้ยืมในทันทีที่มีการส่งมอบ ใน
ธ
เรื่องสิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สินของผู้ให้ยืม ตาม ปพพ. มาตรา 1336 จึงไม่มี ผู้ยืมคงมีหนี้แต่เพียงที่จะ
ต้องคืนทรัพย์สนิ เป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกันกับทีย่ มื ไปให้แก่ผใู้ ห้ยมื เท่านัน้ ดังนัน้ สิทธิเรียกร้อง
มส
ของผูใ้ ห้ยมื ทีจ่ ะให้ผยู้ มื คืนทรัพย์สนิ ตามสัญญายืมใช้สนิ้ เปลืองนัน้ (ไม่วา่ วัตถุแห่งสัญญาจะเป็นสิง่ ของหรือ
เป็นเงินก็ตาม) จึงเป็นสิทธิเรียกร้องให้ช�ำระหนี้ตามธรรมดา ซึ่งต้องน�ำหลักทั่วไปในเรื่องอายุความ ตาม
ปพพ. มาตรา 193/30 มาใช้บังคับ และเมื่อสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองมีลักษณะเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สนิ ทีย่ มื ให้แก่ผยู้ มื ผูย้ มื จะใช้ทรัพย์สนิ ทีย่ มื อย่างไรก็ได้ หรือแม้ทรัพย์สนิ นัน้ สูญหายหรือบุบสลายไป
ก็เป็นเรื่องภัยพิบัติตกแก่ผู้ยืมเอง ผู้ให้ยืมจึงไม่มีสิทธิในการเรียกค่าทดแทนในการใช้ทรัพย์สินโดยไม่ชอบ
หรือไม่สงวนรักษาทรัพย์สินดังเช่นในสัญญายืมใช้คงรูป ก�ำหนดอายุความในการเรียกค่าทดแทนดังกล่าว
จึงไม่มี ม
สธ
ม
2-28 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
บรรณานุกรม
ธ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
จี๊ด เศรษฐบุตร. (2492). ค�ำอธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง.
มส
บัญญัติ สุชีวะ. (2506). “ประมาท” บทบัณฑิตย์. เล่ม 21 ตอน 2 เมษายน พ.ศ. 2506.
ประวัติ ปัตตพงศ์. (2487). ค�ำสอนชั้นปริญญาตรีกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฯลฯ. พระนคร.
ประเสริฐมนูกิจ, หลวง. (2477). ค�ำสอนชั้นปริญญาตรีกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฯลฯ. พระนคร.
พจน์ ปุษปาคม. (2521). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ด้วยยืม กูย้ มื ฝากทรัพย์. นิตบิ รรณาการ.
ศักดิ์ สนองชาติ. (2524). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ด้วยนิตกิ รรมและสัญญา. (พิมพ์ครัง้ ที่ 2).
นิติบรรณาการ.
สุปัน พูลพัฒน์. (2515). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ. (พิมพ์ครั้งที่ 3). พระนคร.
เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว. (2505). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและหนี้. เล่ม 1 (ภาค 1-2)
พ.ศ. 2478 แก้ไขเพิ่มเติม. (พิมพ์ครั้งที่ 2). นิติบรรณาการ.
ธ
มส
ม
สธ
ม
การกู้ยืมเงิน 3-1
หน่วยที่ 3
การกู้ยืมเงิน
ธ
รองศาสตราจารย์เพชรา จารุสกุล
มส
ธ
มส
ม
ชื่อ รองศาสตราจารย์เพชรา จารุสกุล
วุฒิ น.บ. (เกียรตินิยมดี), น.ม. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
น.บ.ท., ประกาศนียบัตรกฎหมายทรัพย์สินท างปัญญา
สธ
สำ�นักอบรมศึกษาแห่งเนติบัณฑิตย สภา
ตำ�แหน่ง อาจารย์พิเศษสาขาวิชานิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 3
ม
3-2 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แผนการสอนประจำ�หน่วย
ธ
หน่วยที่ 3 การกยู้ ืมเงิน
ตอนที่
3.1
3.2
3.3
3.4
มสลักษณะทั่วไปของการกยู้ ืมเงิน
การกู้ยืมเงินในลักษณะอื่นและการเล่นแชร์เปียหวย
ดอกเบี้ย
ความระงับแห่งสัญญากยู้ ืมเงินและการนำ�สืบการใช้เงินก ู้
แนวคิด
1. ก ารกยู้ มื เงินเป็นน ติ กิ รรมสญั ญาชนิดห นึง่ ทีม่ คี วามเกีย่ วพนั ก บั ก ารด�ำ เนินช วี ติ ป ระจำ�วนั ข อง
ธ
มนุษย์ทงั้ ในทางสว่ นตวั และทเี่ กีย่ วกบั ธรุ กิจ ซึง่ สญั ญากยู้ มื เงินมสี าระส�ำ คัญในเรือ่ งหลักฐ าน
แห่งการกยู้ ืมเป็นหนังสือในกรณีก ยู้ ืมเงินก ว่าสองพันบาทขึ้นไป
2. การกู้ยืมเงินของสถาบันการเงิน และการกู้ยืมเงินของรัฐมีขั้นตอนและวิธีการแตกต่างจาก
มส
การกยู้ ืมเงินตามธรรมดา
3. สัญญาอื่นที่มีลักษณะเดียวกับสัญญากู้ยืมเงิน ได้แก่ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี สัญญาซื้อลด
ตั๋วเงิน สัญญาเล่นแชร์เปียหวย มีลักษณะคล้ายสัญญากยู้ ืมเงิน
4. ดอกเบีย้ ทผี่ ใู้ ห้กยู้ มื สามารถคดิ ได้ตามกฎหมายไม่เกินรอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปี และการคดิ ดอกเบีย้
ทบต้นในสัญญากยู้ ืมเงินทำ�ไม่ได้ เว้นแต่จะเข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย
5. ความระงับแห่งสัญญากยู้ ืมเงินเป็นไปตามความระงับแห่งส ัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
ม
1. อธิบายได้ว่าการกยู้ ืมเงินเข้ามาเกี่ยวข้องกับการดำ�เนินชีวิตประจำ�วันข องมนุษย์อย่างไร และ
สาระส�ำ คัญของสัญญากยู้ ืมเงินมีอะไรบ้างได้
2. อธิบายถึงวิธีการกู้ยืมเงินและแหล่งเงินกขู้ องรัฐ การกู้ยืมเงินระหว่างสถาบันการเงินต่างๆ ได้
สธ
พอสังเขป
3. บอกถงึ ช นิดข องสญ ั ญาอนื่ ท มี่ ลี กั ษณะเดียวกบั ส ญ
ั ญากยู้ มื เงินได้ และอธิบายถงึ ค วามแตกตา่ ง
ของสัญญากยู้ ืมเงินและสัญญาชนิดอื่นทมี่ ลี ักษณะใกล้เคียงกันได้
ม
การกู้ยืมเงิน 3-3
กิจกรรมระหว่างเรียน
ธ
1. ทำ�แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 3
2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 3.1-3.4
3.
4.
5.
6.
7.
สื่อการสอน
มส
ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ฟังซีดเี สียงประจำ�ชุดวิชา
ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
ทำ�แบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 3
1. เอกสารการสอน
2. แบบฝึกปฏิบัติ
ธ
3. ซีดีเสียงประจำ�ชุดวิชา
4. รายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
มส
5. การสอนเสริม (ถ้ามี)
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบประจำ�ภาคการศึกษา
ม
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ทำ�แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 3 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
สธ
ม
3-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 3.1
ลักษณะทั่วไปของการกู้ยืมเงิน
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 3.1 แล้วจึงศ ึกษารายละเอียดต่อไ ป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
3.1.1 การกยู้ ืมเงินและสัญญาอื่นที่มีลักษณะเดียวกับสัญญากู้ยืมเงิน
3.1.2 สาระส�ำ คัญของสัญญากยู้ ืมเงิน
1. น อกจากสัญญากู้ยืมเงินแล้วยังมีสัญญาอื่นที่มีลักษณะเดียวกับสัญญากู้ยืมเงิน ได้แก่
การเบิกเงินเกินบัญชี และการซื้อลดตั๋วเงิน
2. สาระส�ำ คัญข องสญ ั ญากยู้ มื เงิน ได้แก่ การสง่ ม อบเงินท ใี่ ห้ก ยู้ มื หลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื เงิน
ที่เป็นหนังสือที่ผู้ให้กู้ยืมจำ�เป็นต้องมีไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง กรณีผู้กู้
ไม่ชำ�ระหนี้
ธ
วัตถุประสงค์
มส
ม
สธ
ม
การกู้ยืมเงิน 3-5
เรื่องที่ 3.1.1
การกู้ยืมเงินและสัญญาอื่นที่มีลักษณะเดียวกับสัญญากู้ยืมเงิน
ธ
การกู้ยืมเงินเป็นเอกเทศสัญญาชนิดหนึ่งอยูใ่ น ปพพ. ลักษณะ 9 หมวด 2 ยืมใช้สิ้นเปลือง การ
กูย้ ืมเงินได้เริ่มมมี าตั้งแต่สมัยโบราณ เดิมเป็นการยืมสิ่งของเครื่องใช้ เพื่ออุปโภค เช่น ยืมวัว ควาย เพื่อ
มส
ใช้งาน ยืมพืชผลเพื่อบริโภค ต่อมาเมื่อมนุษย์รู้จักใช้ว ัตถุกลางในการแลกเปลี่ยนเป็นเงิน มนุษย์จ ึงใช้เงิน
แลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการ ดังนั้น จึงมีการยืมเงินแทนการยืมวัตถุสิ่งของ ในชั้นแรกเป็นการกู้ยืมเงินกันใน
ระหว่างเอกชน ต่อมาเมื่อการค้าขยายกว้างขึ้น ทำ�ให้ระบบเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า มีการตั้งสถาบันการ
เงินอันได้แก่ธนาคาร ธนาคารได้ตั้งขึ้นในราวศตวรรษที่ 12 หลังจากพ้นยุคมืด การธนาคารในยุโรปฟื้นตัว
ขึน้ เมือ่ ส งั คมมรี ะเบียบเรียบร้อยการคา้ แ ละการพาณิชย์ก เ็ จริญแ พร่ห ลายขนึ้ จึงม กี ารกยู้ มื เงินจ ากธนาคาร
มากขนึ้ ธนาคารในสมัยน นั้ เฟือ่ งฟู ผูด้ �ำ เนินก จิ การธนาคารในยคุ น นั้ ส ว่ นมากเป็นพ วกยวิ เพราะพระในสมัย
นั้นรังเกียจการให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ย พวกยิวมีความชำ�นาญทางการเงินรู้จักใช้ตั๋วแลกเงินให้พวก
ขุนนางและประชาชนกู้เงินโดยมีที่ดิน เพชร พลอย และของมีค่าอื่นๆ เป็นป ระกัน และคิดดอกเบี้ยแพง
บางทีร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 30 เมื่อพวกกษัตริย์และขุนนางติดหนี้สินร ุงรังจนไม่มเี งินชำ�ระคืนก็ตระบัดห นี้
ธ
ใช้อ�ำ นาจขับไล่พวกยิวออกนอกประเทศ หลังจากพวกยิวถูกขับไล่ออกจากอังกฤษแล้ว ชาวลอมพาด จาก
ฟลอ-เรนซ์ เวนิส และเยนัวก็เข้าไปทำ�กิจการธนาคารแทนมากขึ้นร าวๆ ศตวรรษที่ 14 มีก ารให้กเู้งินโ ดย
คิดอ ตั ราดอกเบีย้ แ ละช�ำ ระเงินโ ดยการใช้ต วั๋ แ ลกเงิน ในคริสต์ศ กั ราช 1546 กฎหมายอนุญาตให้ค ดิ ด อกเบีย้
มส
ความหมายของการกู้ยืมเงิน
การกู้ยืมเงินในความเข้าใจของคนโดยทั่วไปเข้าใจว่า การกู้ยืมเงินคือการยืมเงินจากผู้อื่น โดย
ให้ดอกเบี้ยเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน2 ซึ่งอาจจะทำ�หลักฐานการกู้ยืมเงินกันไว้ หรือบางรายมิได้ทำ�หลักฐาน
ม
การกู้ยืมเนื่องจากเชื่อใจกัน การกู้ยืมเงินกันโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ถ้าเงินจำ�นวนไม่มากนักก็ไม่มี
ปัญหาใด หากเงินที่ให้กู้ยืมมีจำ�นวนมากเกินกว่าจำ�นวนที่กฎหมายกำ�หนดให้มีหลักฐานเป็นหนังสือ
การไม่ไ ด้ท ำ�หลักฐ านเป็นห นังสืออ าจเป็นมูลเหตุให้เกิดก รณีพิพาทในเรื่องการไม่ชำ�ระหนีเ้งินท กี่ ยู้ ืมไ ด้
การกยู้ มื เงินอ าจมหี ลักป ระกันหรือไ ม่มกี ไ็ ด้ส ดุ แ ล้วแ ต่ผ ใู้ ห้ก ยู้ มื ก บั ผ กู้ ยู้ มื ต กลงกนั หากมที รัพย์สนิ
ประเภทสังหาริมทรัพย์ เช่น เครื่องประดับมาเป็นประกัน ได้แก่ การกู้ยืมเงินที่มีการจำ�นำ�ทรัพย์สิน
เป็นหลักประกัน หรือกู้ยืมเงินโดยมีที่ดินเป็นหลักประกัน โดยจดทะเบียนจำ�นองที่ดินหลักประกันก็เป็น
สธ
1 วารี พงษ์เวช การเงินและการธนาคาร พิมพ์ครั้งที่ 4 พระนคร: อุตสาหกรรมการพิมพ์ พ.ศ. 2502 น. 144, 146, 147.
2 พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
ม
3-6 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
การกู้ยืมเงินที่มีสัญญาจำ�นองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือการกู้ยืมเงินโดยให้บุคคลค้ำ�ประกัน โดยบุคคลนั้น
ทำ�สัญญาค้ำ�ประกันให้ผู้ให้กู้ยืม เรียกว่าการกู้ยืมเงินโดยมีบุคคลค้ำ�ประกัน ซึ่งการกู้ยืมเงินดังกล่าวข้าง
ต้นม ีสัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาประธาน มีก ารจำ�นำ� จำ�นอง และการค้ำ�ประกัน ซึ่งเป็นเอกเทศสัญญาอัน
เป็นส ัญญาอุปกรณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งต ้องน� ำ หลักก ฎหมายในสัญญานั้นๆ มาใช้บ ังคับก ับคกู่ รณีด้วย
ธ
การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินต่างๆ
การกู้ยืมเงินนอกจากจะกู้ยืมจากเอกชนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาแล้ว ยังมีการกู้ยืมเงินจากสถาบัน
มส
ที่ดำ�เนินก ิจการให้กู้ยืมเงินโดยเฉพาะ ได้แก่ การกู้ย ืมเงินจากโรงรับจ ำ�นำ� การกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์
ที่ตั้งขึ้นด้วยอำ�นาจแห่งกฎหมาย การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินอื่น3และต่อไปนจี้ ะกล่าวถึงการกยู้ ืมเงิน
จากแหล่งก ารเงินท สี่ ำ�คัญๆ ดังนี้
1. โรงรับจำ�นำ�4 (Pawn Shop) โรงรับจ ำ�นำ�เป็นแหล่งเงินกู้ที่คนมรี ายได้น ้อยสามารถใช้บริการได้
จนได้ชื่อว่าเป็นธนาคารของคนยาก การกู้ยืมเงินจากโรงรับจำ�นำ� ผู้กู้ต้องมีทรัพย์สินเป็นหลักประกันการ
กู้ย ืมค ือ ทรัพย์สินที่จ�ำ นำ�นั่นเอง อาจเป็นเครื่องประดับ เครื่องใช้ซึ่งมรี าคาไม่ม ากนัก ได้แก่ แหวน สร้อย
พัดลม เตารีด ตูเ้ย็น วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ โรงรับจำ�นำ�ให้ก ู้ยืมในวงเงินส ูงสุดไ ม่เกิน 100,000 บาท ปัจจุบัน
มีโรงรับจ ำ�นำ� 3 ประเภทคือ
1.1 โรงรับจำ�นำ�ที่ดำ�เนินการโดยเอกชน เป็นโรงรับจำ�นำ�ที่ตั้งขึ้นโดยเอกชนซึ่งในปัจจุบัน
ธ
ไม่มกี ารตงั้ โรงรบั จ �ำ นำ�ประเภทนขี้ นึ้ ม าอกี นอกจากทมี่ อี ยูแ่ ล้ว เนือ่ งจากในภายหลังไ ด้ม กี ารออกกฎหมาย
ห้ามตั้งโรงรับจำ�นำ�โดยเอกชน
มส
3 พระราชบญ
ั ญัตดิ อกเบีย้ เงินให้ก ยู้ มื ข องสถาบันก ารเงิน พ.ศ. 2523 ให้ค วามหมายค�
(1) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(2) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
ม
ำ วา่ ส ถาบันก ารเงินต ามมาตรา 3 ดังนี้
ธ
2.1 การกยู้ มื เงิน (Loans) การกยู้ มื เงินช นิดน เี้ ป็นการกยู้ มื ช นิดท มี่ สี ญ
ั ญากเู้ งินเป็นล ายลกั ษณ์
อักษรซงึ่ อ ยูใ่ นบทบงั คับข องบทบัญญัติ ใน ปพพ. มาตรา 653 ถึงม าตรา 656 เช่น การทธี่ นาคารให้ล กู ค้า
น้�ำ ตาล
มส
กู้ยืมเงินเพื่อเป็นทุนในการค้า เป็นต้น
ชนิดของเงินให้กยู้ ืม
2.1.1 การกยู้ ืมเงินโดยแบ่งตามวัตถุประสงค์ที่น�ำเงินไปใช้
1) เงินให้กู้ยืมเพื่อก ารพาณิชย์ เช่น การให้กู้ยืมเพื่อค้าเสื้อผ้าส ำ�เร็จรูป
2) เงินให้กู้ยืมเพื่อการอุตสาหกรรม เช่น การให้กู้ยืมเพื่อกิจการโรงงานผลิต
3) เงินให้ก ยู้ มื เพือ่ ก ารกสกิ รรม เช่น การให้ก ยู้ มื เงินเพือ่ ก จิ การเลีย้ งสกุ ร เลีย้ งไก่
ทำ�สวน ทำ�นา
4) เงินให้ก ยู้ ืมเพื่อก ารบริโภค เช่น เงินให้ก ยู้ ืมเพื่อใช้จ ่ายส่วนตัว ปลูกบ ้าน ทุน
ธ
การศึกษา
2.1.2 การให้กยู้ ืมเงินโดยแบ่งตามระยะเวลาครบก�ำหนด
มส
6 เรื่องเดียวกัน น. 262-263.
ม
3-8 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ทอนบัญชีหนีร้ ะหว่างกันตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด โดยมีข้อสัญญากับธนาคารให้ผู้มีบัญชีดังกล่าวกู้หรือ
เบิกเงินเกินก ว่าเงินท ตี่ นมอี ยูใ่ นบญ
ั ชีภ ายในวงเงินท ไี่ ด้ต กลงกนั ไ ว้ ซึง่ บ างครัง้ เรียกวา่ ส ญ
ั ญากเู้ บิกเงินเกิน
มส
บัญชี สัญญากเู้ บิกเงินเกินบ ญ
ตนมอี ยูใ่ นบญ
ั ชีเกิดข นึ้ เมือ่ ผ เู้ บิกเงินเกินบ ญ
ั ชี โดยธนาคารกนั เงินไ ว้ให้ต ามวงเงิน เช่น นายแดงเปิดบ ญ
เช่นนี้ได้เรื่อยไปจนกว่าจะครบกำ�หนดตามสัญญา หรือต่อสัญญาและเมื่อครบกำ�หนดสัญญาจะมีการหัก
ไปใช้บ ญ
ม
ตนได้เกินกว่าจ�ำ นวนเงินทตี่ นมีอยูใ่ นบัญชีแต่ไม่เกินวงเงินที่ทำ�สัญญาไว้กับธนาคาร นายแดงสามารถท�
2.3 การซอื้ ล ดตวั๋ เงิน (Discount) ก่อนจะเข้าใจความหมายของค� ำ วา่ ซือ้ ล ดตวั๋ เงิน ต้องเข้าใจ
ความหมายของคำ�ว่าตั๋วเสียก่อน ตั๋วในที่นี้หมายถึงตั๋วเงิน อันได้แก่ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และ
เช็ค9การซื้อลดตั๋วเป็นส ัญญาชนิดห นึ่งท มี่ ลี ักษณะเช่นเดียวกันกับการให้กยู้ ืมโดยมีตั๋วนั่นเองเป็นประกัน
2.3.1 การซื้อล ดตั๋วแ ลกเงิน ตั๋วแลกเงินเป็นตั๋วเงินชนิดหนึ่งซึ่งมีคกู่ รณี 3 ฝ่าย ได้แก่
1) ผูส้ ั่งจ่าย
ธ
2) ผูจ้ ่าย
3) ผู้รับเงิน
จะน�
มส ตัว๋ แ ลกเงินต ามความหมายใน ปพพ. มาตรา 908 บัญญัติวา่ “อันว่าต วั๋ แ ลกเงินน นั้ ค อื
หนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่ง ที่เรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จ่าย ให้ใช้เงินจำ�นวนหนึ่งแก่
บุคคลคนหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำ�สั่งของบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน” ตั๋วแลกเงินต้องมีข้อความตามที่ระบุ
ไว้ใน ปพพ. มาตรา 909 จึงจ ะเป็นต ั๋วแ ลกเงินที่สมบูรณ์
ผูจ้ า่ ยเงินต ามตวั๋ แ ลกเงินป กติจ ะเป็นธ นาคารเพราะเป็นส ถาบันก ารเงินท เี่ ชือ่ ถ อื ไ ด้ การ
ขายลดตวั๋ แ ลกเงิน ปฏิบตั ทิ �ำ นองเดียวกบั ก ารขายตวั๋ ส ญ
ำ มาขายลดกันม ากกว่าตั๋วเงินป ระเภทอื่น
ั ญาใช้เงิน ซึง่ จะกล่าวตอ่ ไ ปในขอ้ 2.3.2 ซึง่ น ยิ มที่
ใช้เงิน ธนาคารรับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินจากผู้น�ำมาขายลดโดยตั๋วนั้นมีผู้รับรองการรับซื้อลดเช่นนี้ถือ
เป็นการให้เครดิตอนั เป็นการให้ (สินเชือ่ ) ชนิดห นึง่ ของธนาคาร ปกติธนาคารอนื่ เป็นผรู้ บั รอง (อาวัล) ถ้า
ธนาคารที่รับซื้อลดตั๋วเห็นว่าตั๋วฉบับนั้นน่าเชื่อถือ ก็จะซื้อลดตั๋วฉบับนั้นไว้โดยหักส่วนลด (ดอกเบี้ย) ไว้
เช่น บริษทั เหลืองจ�ำกัด ออกตวั๋ ส ญ ั ญาใช้เงินให้นายแดง เพือ่ ช�ำระคา่ สนิ ค้าจ�ำนวน 500,000 บาท ตัว๋ ครบ
ก�ำหนดในเวลาอีก 3 เดือนต่อมา แต่นายแดงต้องการใช้เงินก่อน จึงน�ำตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับนั้นไปให้
ธนาคารชว่ ยไทยรบั รอง แล้วน �ำตวั๋ ฯ ฉบับน นั้ ม าขายลดให้ธ นาคารกอบกไู้ ทยโดยนายแดงสลักห ลังต วั๋ ฉ บับ
ม
นัน้ ธนาคารกอบกไู้ ทย เห็นวา่ ต วั๋ ฉบับน นั้ นา่ เชือ่ ถอื และมธี นาคารชว่ ยไทยรบั รอง จึงรบั ซอื้ ลดตวั๋ นนั้ ไว้โดย
คิดดอกเบี้ยจากวันที่นายแดงน�ำตั๋วฯ มาขายลดจนถึงวันที่ครบก�ำหนดตามตั๋วฯ แล้วธนาคารเพื่อไทยหัก
ส่วนลดจากจ�ำนวนเงินต้น 500,000 บาทนั้น เหลือเท่าใดจึงเป็นเงินที่นายแดงได้รับสุทธิจากการขายลด
ตัว๋ ฯ ซึง่ การขายลดตวั๋ นที้ างฝา่ ยเจ้าหนีส้ ามารถหกั เอาดอกเบีย้ ช�ำระได้กอ่ นไม่เหมือนกบั การกยู้ มื เงิน หรือ
เบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งผู้กู้ยืมจะช�ำระดอกเบี้ยต่อเมื่อได้น�ำเงินที่กู้ยืมไปใช้แล้ว อย่างไรก็ตาม การคิดอัตรา
ดอกเบี้ยในการรับซื้อล ดตั๋ว (ส่วนลด) นี้ต ้องอยูภ่ ายในบังคับแห่ง ปพพ. เช่นเดียวกัน
สธ
9 ปพพ. มาตรา 898 บัญญัตวิ ่า “อันตั๋วเงินตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้มีสามประเภทๆ หนึ่งคือ ตั๋วแ ลกเงิน
ประเภทหนึ่งคือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ประเภทหนึ่งคือ “เช็ค”
ม
3-10 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ในทางปฏิบัติเมื่อธนาคารรับซื้อลดตั๋วจากลูกค้าแล้ว ธนาคารก็เป็นผู้ทรงโดยชอบ
ธนาคารจะเก็บต ั๋วฉบับนั้นไว้จนกว่าจะครบกำ�หนดแล้วน ำ�ไปเรียกเก็บจากผู้รับรอง กรณีข้างต้น ธนาคาร
เพื่อไ ทยจะไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารช่วยไทย หรือธนาคารผู้รับซื้อลดตั๋วไว้จ ะนำ�ตั๋วไ ปขายช่วงลด (Re
discount) ให้กับธนาคารกลางหรือธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ กรณีที่ธนาคารผู้รับซื้อลดตั๋วรอให้ตั๋ว
ครบกำ�หนดแล้วไปเรียกเก็บเงินตามตั๋ว จะได้เงินเต็มจำ�นวนในตั๋ว หากกรณีนำ�ไปขายช่วงลดก็จะถูกหัก
ธ
ส่วนลดเช่นก ัน
ในปจั จุบนั ธ นาคารเข้าไปมบี ทบาทในเรือ่ งตวั๋ เงินอ ย่างมาก พบวา่ แ นวโน้มข องการซอื้
มส
ลดตั๋วสัญญาใช้เงินของธนาคารมีแนวโน้มสูงขึ้น ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ธนาคารรับซื้อลดนั้นเกิดจากกิจกรรม
การค้าในประเทศและจากกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศด้วย ที่สำ�คัญปัจจุบันความนิยมของการใช้
ตั๋วเงินของประชาชนทั่วๆ ไปยังตํ่า ทั้งนี้เพราะประเทศไทยไม่นิยมดำ�เนินธุรกรรมทางการค้าโดยอาศัย
เครือ่ งมอื ท างเครดิต กิจกรรมทใี่ ช้ต วั๋ ส ญ ั ญาใช้เงินโ ดยมากมกั จ ะมาจากกจิ กรรมทางการคา้ ร ะหว่างประเทศ
และอตุ สาหกรรมเป็นส �ำ คัญ อาจมบี า้ งทธี่ นาคารจะท�ำ การรบั ซ อื้ ต วั๋ ส ญ
10
บ้าง แต่กก็ �ำ หนดกนั ในวงเงินทจี่ �ำ กัด และการรบั ซอื้ ต วั๋ สญ
ั ญาใช้เงินร ะยะสนั้ จ ากบคุ คลทวั่ ๆ ไป
ั ญาใช้เงินนนั้ โดยทวั่ ๆ ไป ธนาคารมกั ให้ผ ขู้ าย
ลดตั๋วส ัญญาใช้เงินก ับธ นาคารทำ�หนังสือร ับรอง หรือทำ�สัญญาค้ำ�ประกันต่างหากอีกทหี นึ่ง
2.3.3 การซอื้ ล ดเช็ค เช็คเป็นต วั๋ เงินช นิดห นึง่ ซ งึ่ ม รี ปู แ บบเฉพาะตา่ งหากจากตวั๋ ส ญ
ั ญา
ใช้เงินแ ละตั๋วแ ลกเงิน ดังคำ�อธิบายใน ปพพ. มาตรา 987 ซึ่งบ ัญญัติว่า “อันว่าเช็คน ั้น คือหนังสือตราสาร
ธ
ซึ่งบ ุคคลหนึ่ง เรียกว่า ผูส้ ั่งจ ่าย สั่งธนาคารให้ใ ช้เงินจำ�นวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แ ก่บคุ ลอีก คนหนึ่ง หรือให้ใ ช้
ตามค�ำ สงั่ ข องบคุ คลอกี ค นหนึง่ อนั เรียกวา่ ผ รู้ บั เงิน” และเช็คต อ้ งมรี ายการตามทรี่ ะบุไ ว้ในมาตรา 988 จึงจะ
มส
เป็นเช็คท ี่สมบูรณ์
การซอื้ ล ดเช็คเป็นส ญ ั ญาทมี่ ลี กั ษณะเดียวกบั ก ารกยู้ มื เงิน โดยผนู้ � ำ เช็คม าขายลดให้ก บั
ธนาคารผรู้ บั ซ อื้ ล ด เช่น ในวนั ท ี่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556 นายกจิ นำ�เช็คท ไี่ ด้ร บั จ ากการขายสนิ ค้าให้น ายขงิ ซึง่ เป็น
เช็คลงวันท ลี่ ่วงหน้า เนื่องจากนายกิจ ให้เครดิตแก่นายขิง เป็นเวลา 3 เดือน นายขิง ได้เขียนเช็คลงวันที่
ล่วงหน้าจำ�นวนเงิน 100,000 บาท ให้แ ก่น ายกิจ วันที่ลงในเช็คเป็นวันท ี่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ในกรณีนี้
นายกิจ จะนำ�เช็คไปเบิกเงินจากธนาคารไม่ไ ด้เพราะเช็คย ังไม่ถ ึงก ำ�หนด หากนายกิจ มีค วามจำ�เป็นต้อง
ม
ใช้เงินนายกิจ จะทำ�ได้โดยนำ�เช็คฉบับนั้นไปขายลดให้กับธนาคาร ธนาคารจะรับซื้อลดเช็คฉบับนั้น โดย
พิจารณาให้ผู้นำ�เช็คมาขายลดทำ�หนังสือร ับรองความเสียหายกับธนาคาร หรือให้มีผู้ค้ำ�ประกันก ารรับซื้อ
ลดเช็คของธนาคารเช่นเดียวกับการให้กู้ยืมเงิน ธนาคารจะหักส่วนลดจากจำ�นวนเงินในเช็คและจ่ายส่วน
ทีเ่หลือให้แ ก่นายกิจ ซึ่งก รณีน นี้ ายกิจจะได้เงินจากการขายลดเช็คก่อนเช็คถึงก ำ�หนด ส่วนทางธนาคารก็
จะน� ำ เช็คไ ปเรียกเก็บเงินเมื่อถ ึงว ันทกี่ ำ�หนดในเช็ค คือวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556
สธ
10 ปัญญา อุดมระติ เศรษฐศาสตร์ การเงินแ ละการธนาคาร กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยรามคำ�แหง พ.ศ. 2520 น. 115.
ม
การกู้ยืมเงิน 3-11
ธ
กิจกรรม 3.1.1
นั้นๆ พอสังเขป
มส
1. ให้น กั ศึกษาระบุส ญ
ั ญาอนื่ ท มี่ ลี กั ษณะเดียวกบั ก ารกยู้ มื และอธิบายถงึ ล กั ษณะของสญ
2. การขายลดเช็คเป็นสัญญาที่มลี ักษณะอย่างไร
แนวตอบกิจกรรม 3.1.1
1. สัญญาทมี่ ลี ักษณะเช่นเดียวกับการกยู้ ืมเงินมี 2 ชนิด คือ
1) การเบิกเงินเกินบัญชี (Overdrafts)
ั ญาชนิด
2) การรับซื้อลดตั๋วเงิน (Discount)
(1) การเบิกเงินเกินบัญชี คือ การกู้ยืมเงินประกอบกับสัญญาบัญชีเดินสะพัด
ธ
(2) การรับซื้อลดตั๋วเงิน ได้แก่ การรับซื้อลดตั๋วแลกเงิน ตั๋วส ัญญาใช้เงิน เช็ค โดยมีตั๋ว
นั่นเองเป็นประกัน
มส
2. การขายลดเช็คเป็นส ญ ั ญาชนิดห นึง่ ท มี่ ลี กั ษณะเช่นเดียวกบั ก ารกยู้ มื เงินเพราะการทผี่ รู้ บั ซ อื้ ล ด
เช็คไ ด้ให้เงินแ ก่ผ นู้ �
ำ เช็คม าขายลดกอ่ นวนั ท คี่ รบก�ำ หนดในเช็ค เป็นการให้เครดิตอ ย่างหนึง่ โดยหกั ส ว่ นลด
ซึ่งถือเป็นดอกเบี้ยจากผู้น� ำ มาขายลด
ม
สธ
ม
3-12 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 3.1.2
สาระสำ�คัญของสัญญากู้ยืมเงิน
ธ
จากการทไี่ ด้ก ล่าวถงึ ช นิดข องการกยู้ มื เงินในหวั เรือ่ งที่ 3.1.2 การกยู้ มื เงินแ ละสญ ั ญาอนื่ ท มี่ ลี กั ษณะ
เดียวกับสัญญากู้ยืมเงินมาแล้ว ในหัวเรื่องนี้จะได้กล่าวถึงสาระสำ�คัญของสัญญากยู้ ืมเงิน สัญญากยู้ ืมเงิน
มส
เป็นสัญญาชนิดหนึ่งต้องมีสาระสำ�คัญตามที่กฎหมายกำ�หนดตามลักษณะของนิติกรรมสัญญาโดยทั่วไป
ได้แก่ เรื่องวัตถุประสงค์ ความสามารถของคสู่ ัญญา เช่น ในเรื่องวัตถุประสงค์ในการทำ�สัญญาดังตัวอย่าง
ใน ฎ.707/2487 “ให้กู้เงินไปโดยผกู้ บู้ อกให้รวู้ ่าจะเอาไปค้าฝิ่นเถื่อนนั้นสัญญากยู้ ่อมเป็นโมฆะ ผูใ้ห้ก ู้ฟ้อง
เรียกเงินกไู้ ม่ได้” เพราะสัญญากยู้ ืมเงินเช่นนี้มวี ัตถุประสงค์ผิดกฎหมายตาม ปพพ. มาตรา 150 สัญญา
ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ส่วนการเล่นการพนันแล้วทำ�สัญญากู้ยืมเงินกันไว้แทนการชำ�ระหนี้การพนันไม่
สามารถฟ้องบังคับให้ใช้หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินได้เพราะการพนันขันต่อหาก่อให้เกิดหนี้ไม่ ตาม ปพพ.
มาตรา 853
แต่ถ า้ ก ารกระท�
ำ ของโจทก์ไ ม่เป็นการตอ้ งหา้ มตามกฎหมาย สัญญากยู้ มื ร ะหว่างเจ้าห นีแ้ ละลกู ห นี้
จึงไม่เป็นโมฆะ
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 101/2532 จำ�เลยตกลงให้โจทก์ติดต่อกับบริษัทจัดหางานส่งจำ�เลยไปทำ�งานต่างประเทศโดย
โจทก์ค ดิ ค า่ บ ริการ 35,000 บาท และให้จ �ำ เลยท� ำ สญ ั ญากยู้ มื เงินโจทก์ไ ว้ เมือ่ ก ารกระท�
ำ ของโจทก์ไ ม่เป็นการ
มส
1. การส่งมอบทรัพย์สินที่กู้ยืม
ม
สาระส�ำ คัญป ระการหนึง่ ในสญ
ั ญากยู้ มื เงิน คือก ารสง่ ม อบทรัพย์สนิ ให้ก ยู้ มื การกยู้ มื เงินเป็นส ญ
ั ญา
ยืมใช้สิ้นเปลือง ดังนั้น ต้องนำ�บทบัญญัตใิ นเรื่องยืมใช้สิ้นเปลืองมาใช้บังคับด้วย ดังทบี่ ัญญัติไว้ใน มาตรา
สธ
650 วรรค 2 ว่า “สัญญานยี้ ่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งม อบทรัพย์สินที่ยืม” ทรัพย์สินท ี่ต้องส่งมอบในสัญญากยู้ ืม
ม
การกู้ยืมเงิน 3-13
เงินก ค็ อื เงิน เมือ่ ท �ำ สัญญากยู้ มื เงินก นั แ ล้ว ผูใ้ ห้ก ตู้ อ้ งสง่ ม อบเงินให้แ ก่ผ กู้ ู้ สัญญากยู้ มื เงินจ งึ บ ริบรู ณ์11ผูใ้ ห้
กูจ้ ะส่งมอบสิ่งอื่นแทนเงินไ ม่ได้ เว้นแ ต่ผู้ก จู้ ะตกลงยอมเช่นนั้น ซึ่งกรณีจะเป็นเรื่องทผี่ กู้ ยู้ อมรับเอาสิ่งของ
หรือทรัพย์สินอ ย่างอื่นแทนจำ�นวนเงิน ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในหัวเรื่องที่ 3.2.2 การกู้ยืมโดยวิธีเอาสิ่งของ
หรือทรัพย์สินอ ย่างอื่นแทนจำ�นวนเงิน
การสง่ ม อบเงินใ ห้แ ก่ผ กู้ ใู้ นสญ
ั ญายมื เงินเป็นข อ้ ก �ำ หนดทเี่ คร่งครัดห รือไ ม่ เมือ่ ท � ำ สญ ั ญากยู้ มื เงินก นั
ธ
ผู้ให้ก จู้ ะต้องส่งมอบเงินให้แ ก่ผกู้ ู้จึงจะทำ�ให้สัญญากยู้ ืมเงินบริบูรณ์ ตัวอย่างต่อไ ปนี้ถือว่าได้ม ีการส่งม อบ
เงินให้ผ กู้ แู้ ล้ว
มส
อุทาหรณ์
ฎ.1374/2505 ความวา่ “โจทก์จ �ำ เลยคดิ บ ญ
ต่อป เีท่ากับด อกเบี้ย โดยคิดต ั้งแต่ว ันผิดนัดได้ด้วย ตาม ปพพ. มาตรา 224 แต่ม ีบางกรณีท ี่คกู่ รณีเจตนา
จะก่อให้เกิดห นีต้ ามสัญญากยู้ ืมเงิน แต่มิได้มีการส่งม อบเงินแก่ก ันก ็ถือว่ามมี ูลหนี้ต่อกันแล้ว
ฎ. 1557/2524 “ทำ�สัญญากเู้ ป็นป ระกันว ่าถ้าบุตรโจทก์ไม่ได้ไปทำ�งานยังต่างประเทศตามทจี่ ำ�เลย
ชักนำ� จำ�เลยจะคืนเงินทโี่จทก์เสียไปแก่โจทก์ เมื่อบุตรไม่ได้ท ำ�งานตามสัญญาจำ�เลยต้องคืนเงินแ ก่โจทก์
เป็นเรื่องมมี ูลหนีต้ ่อก ันต ามสัญญากู้ ไม่จำ�ต้องรับเงินไปตามสัญญา”
ฎ. 3359/2531 สัญญากมู้ ีมูลหนี้มาจากการทโี่จทก์ทดรองจ่ายเงินในการซื้อขายหุ้นให้จ ำ�เลย การที่
ม
โจทก์อ อกเช็คให้จ �ำ เลยและจ�ำ เลยสลักห ลังค นื แ ก่โจทก์เป็นว ธิ กี ารช�ำ ระหนีเ้ งินท ดรองทโี่ จทก์จ า่ ยแทนจ�ำ เลย
ไปในการซอื้ ห นุ้ เท่านัน้ เจตนาอนั แ ท้จริงเป็นเรือ่ งทโี่ จทก์จ �ำ เลยตกลงระงับห นีเ้ งินท ดรองทโี่ จทก์อ อกไปโดย
วิธจี �ำ เลยกเู้ งินโจทก์ใช้ห นี้ จำ�นวนเงินท โี่ จทก์จ ะตอ้ งจา่ ยแก่จ �ำ เลยตามสญ ั ญาคอื จำ�นวนเงินท โี่ จทก์น �
หนีเ้งินทดรองจ่ายนั้นเอง เมื่อปรากฏว่าจ�ำ เลยลงลายมือช ื่อในสัญญากู้ดังกล่าวและโจทก์ได้น ำ�จำ�นวนเงิน
ตามสญ ั ญากไู้ ปช�ำ ระหนีเ้ งินท ดรองจนเสร็จสนิ้ แ ล้ว จึงต อ้ งฟงั วา่ จ �ำ เลยเป็นหนีโ้ จทก์ต ามจ�ำ นวนทรี่ ะบุไ ว้ใน
ำ ไปช�ำ ระ
สัญญากนู้ นั้ จำ�เลยจะอา้ งวา่ จ �ำ เลยยงั ไ ม่ไ ด้ร บั เงินต ามสญ ั ญากแู้ ละไม่ต อ้ งรบั ผ ดิ ต อ่ โจทก์ต ามสญ ั ญากไู้ ม่ไ ด้
สธ
11ดูค
�
ำ อธิบายเรือ่ ง สัญญาบริบรู ณ์ในหน่วยที่ 2 การยมื ใช้ส นิ้ เปลือง, เพชรา จารุส กุล, ความสับสนของการใช้ค�ำ ในกฎหมาย
“ไม่สมบูรณ์” “ไม่บริบูรณ์” วารสารกฎหมายสุโขทัยธรรมาธิร าช ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 ธันวาคม 2555 น. 5-6.
ม
3-14 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
จากการวนิ จิ ฉัยในค� ำ พพิ ากษาศาลฎีกาทยี่ กมาเป็นต วั อย่างขา้ งตน้ จะเห็นไ ด้ว า่ ในเรือ่ งการสง่ ม อบ
เงินให้แ ก่ผ กู้ ใู้ นสญั ญากยู้ มื น นั้ ไม่เป็นข อ้ ก �ำ หนดทเี่ คร่งครัด อาจมกี ารปฏิบตั กิ นั อ ย่างอนื่ ท ที่ �ำ ให้ส ญ ั ญากยู้ มื
เงินบริบูรณ์โดยไม่ต้องส่งมอบเงินให้แก่กันดังก ล่าวแล้วก็ได้
อุทาหรณ์
ฎ. 10227/2551 โจทก์และจ�ำ เลยที่ 1 ตกลงกันให้นำ�หนี้พร้อมดอกเบี้ยท ี่จำ�เลยที่ 1 ค้างช�ำ ระโจทก์
ธ
ซึง่ เป็นม ลู ห นีท้ ชี่ อบดว้ ยกฎหมายมาเป็นต้นเงินท � ำ สญ ั ญากนั ใหม่ ย่อมถอื ว่าโจทก์ไ ด้ส ง่ ม อบเงินท กี่ ยู้ มื ต าม
สัญญาให้จำ�เลยที่ 1 โดยชอบแล้ว สัญญากยู้ ืมเงินจึงสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย
มส
อนึง่ กรณีท ตี่ อ่ สูว้ า่ ส ญ
พยานบุคคลมาสืบได้
ั ญายมื ใช้ส นิ้ เปลืองไม่บ ริบรู ณ์เพราะยงั ม ไิ ด้ร บั ม อบเงินท กี่ ยู้ มื ไ ปสามารถน�
เงินกู้ไปแล้ว
อุทาหรณ์
ฎ.1255/2541 การทผี่ ู้ร้องท� ำ สัญญากู้เงินจากจำ�เลยและรับเงินกดู้ ้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อผ รู้ ้องได้
รับต วั๋ ส ญ
ั ญาใช้เงินด งั ก ล่าวแล้ว ผูร้ อ้ งได้น � ำ ไปขายลดและช�ำ ระหนีแ้ ก่บ คุ คลอนื่ โดยเฉพาะตวั๋ ส ญ ั ญาใช้เงินท ี่
ผู้ร้องนำ�ไปขายลดให้แก่ธนาคาร แม้ธนาคารจะรับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้ แต่ธ นาคารก็ได้ยื่นขอรับ
ชำ�ระหนีจ้ ากกองทรัพย์สนิ ข องจ�ำ เลยในมลู ห นีต้ ามตวั๋ ส ญ ั ญาใช้เงินด งั ก ล่าว ซึง่ ศ าลชนั้ ต น้ ไ ด้ม คี � ำ สงั่ อ นุญาต
ให้ได้รับช ำ�ระหนี้ และธนาคารได้รับส่วนแบ่งจากกองทรัพย์สินของจำ�เลยครั้งแ รกเป็นเงิน 2 ล้านบาทเศษ
เงินสดแล้วเท่ากับจำ�นวนเงินตามสัญญา จึงถือว่าผู้ร้องได้รับประโยชน์และได้รับเงินกู้จากจำ�เลยไปแล้ว
ผูร้ ้องจึงต้องรับผิดใช้เงินตามสัญญากจู้ ากจ�ำ เลย
ม
นอกจากน ี้ ผู้ร้องยังได้รับเงินสดและเช็คจากการกู้เงินซึ่งเมื่อรวมจ�ำ นวนเงินต ามตั๋วส ัญญาใช้เงิน เช็ค และ
ตัวอย่างต่อไปนี้ถือไม่ได้ว่ามีมูลหนี้เงินกู้ยืม
ฎ. 4951/2528 จำ�เลยเช่าซื้อโทรทัศน์จากบุคคลอื่น โจทก์ค� ้ำ ประกัน หลังค้ำ�ประกันเพียง 3 ชั่วโมง
โจทก์ให้จ �ำ เลยท� ำ สญ
ั ญากใู้ ห้เพือ่ ป ระกันค วามเสียห ายในการค� ้ำ ประกัน เมือ่ ค วามเสียห ายจากการค� ้ำ ประกัน
การเช่าซ อื้ ย งั ไ ม่เกิดข นึ้ แ ละยงั ค �ำ นวณไม่ไ ด้ จึงเป็นห นีท้ ยี่ งั ไ ม่แ น่นอนไม่อ าจน�ำ มาเป็นม ลู ห นีใ้ นสญั ญากไู้ ด้
จำ�เลยจึงไม่ไ ด้กู้เงินโจทก์ ผู้ค� ้ำ ประกันการกจู้ ึงไม่ต้องรับผิด
ธ
ดังนั้น การส่งมอบเงินให้แก่ผใู้ ห้กู้อาจจะมไี ด้หลายกรณีดังต่อไปนี้ คือ ส่งมอบกันก่อนทำ�สัญญา
หรือหลังจากทำ�สัญญาหรือบางกรณีกถ็ ือว่าได้มีการส่งมอบเงินกันแล้ว
มส
นอกจากนั้นในกรณีทที่ � ำ สัญญากยู้ ืมเงินแ ล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้ผู้กจู้ ะฟ้องให้ส่งมอบเงินไ ม่
ได้ แต่ถ้าทำ�สัญญากู้ยืมเงินกันโดยทำ�สัญญาต่างตอบแทนกันไว้ดังนีม้ สี ิทธิฟ้องให้ส่งมอบเงินก ันได้
อุทาหรณ์
ฎ. 2923/2525 ผู้ให้กู้ยืนยันตามข้อตกลงเปลี่ยนแปลงวงเงินที่ให้ไว้กับผู้กู้ ย่อมเกิดสัญญาผูกพัน
ตามนนั้ จำ�เลยมที ดี่ นิ ไ ด้เสนอโจทก์เพือ่ ร ว่ มท� ำ โครงการจดั สรรทดี่ นิ พร้อมบา้ นกบั จ �ำ เลยพร้อมอนุมตั กิ เู้ งิน
เพื่อลงทุนด้วย โจทก์อนุมัติ ได้ทำ�สัญญากัน 2 ฉบับ คือ สัญญากเู้ งินและสัญญาให้ผซู้ ื้อกเู้ งินโจทก์ไปซื้อ
ทีด่ นิ แ ละบา้ นตามโครงการ ดังนี้ สัญญาฉบับห ลังเป็นส ว่ นหนึง่ ข องสญ ั ญาฉบับแ รกขอ้ ความในสญ ั ญาแต่ละ
ฉบับม ผี ลผกู พันบ งั คับก นั ไ ด้ ดังน นั้ การตคี วามเจตนาของคสู่ ญ ั ญาจงึ ต อ้ งแปลจากสญ ั ญาทงั้ 2 ฉบับร วมกนั
ไม่ใช่ย กเอาเฉพาะขอ้ ความ ตอนใดตอนหนึง่ ห รือส ญ ั ญาฉบับใดฉบับห นึง่ ห รือข อ้ ใดขอ้ ห นึง่ ม าแปล จึงไ ม่ใช่
ธ
นิตกิ รรมอ�ำ พราง และไม่ใช่ส ญ ั ญากเู้ งินโดยวธิ อี อกตวั๋ ส ญ ั ญาใช้เงินอ ย่างเดียว สัญญาทงั้ 2 ฉบับจ งึ เป็นส ญ ั ญา
ต่างตอบแทนกันเป็นพิเศษยิ่งกว่าสัญญากู้ธรรมดา คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต่างมีสิทธิและหน้าที่จะต้องปฏิบัติ
มส
ตอบแทนซึ่งกันและกันตามข้อความที่ระบุไว้ในสัญญา
โจทก์ยอมให้จำ�เลยกู้เงินสูงกว่าจำ�นวนที่ขอกู้ในการเสนอโครงการครั้งแรก แสดงว่าได้ตกลง
เปลีย่ นแปลงวงเงินก นั แ ล้ว เท่ากับเป็นการยนื ยันต ามขอ้ ต กลงนนั้ ข้อต กลงนจี้ งึ ผ กู พันโจทก์ โจทก์จ ะปฏิเสธ
ไม่ให้จ�ำ เลยและผู้ซื้อที่ดินกับบ้านกเู้ งินถึงจำ�นวนดังกล่าวไม่ได้เป็นการผิดสัญญา
ส่วนการส่งมอบเงินนั้นจะส่งมอบให้แก่ใครที่เป็นตัวแทนของผู้กู้ยืมเงินก็ได้ เช่น พ่อทำ�สัญญา
กู้ยืมเงินแล้วให้เจ้าหนีส้ ่งมอบเงินให้แก่ลูกกถ็ ือว่าพ ่อได้ร ับเงินกแู้ ล้ว
2. หลักฐานในการกู้ยืมเงิน
ม
ข้อส ังเกต เงินที่ให้กเู้ ป็นของใครไม่ส�ำ คัญ คนที่ทำ�สัญญากต็ ้องรับผ ิดตามสัญญานั้น เช่น ลูกนำ�
ั ญาจะปฏิเสธวา่ ไ ม่ใช่เงินข องลกู ค นทเี่ ป็น
สาระส�ำ คัญข องสญ ั ญากยู้ มื เงินอ กี เรือ่ งหนึง่ ค อื หลักฐ านในการกยู้ มื เงิน การกยู้ มื เงินก ฎหมายไม่ไ ด้
บังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการกู้ยืมกันทุกครั้งไปเพียงแต่กฎหมายกำ�หนดจำ�นวนเงินขั้นตํ่าไว้
สธ
เป็นเกณฑ์ว ่าห ากมีการท� ำ สัญญากยู้ ืมเงินก ันเกินก ว่าจ ำ�นวนที่กฎหมายกำ�หนดให้ท ำ�หลักฐ านเป็นห นังสือ
ลงลายมือชื่อผู้กู้เป็นสำ�คัญเพื่อเป็นประโยชน์ในการฟ้องร้องบังคับคดีระหว่างคู่สัญญา เกณฑ์ขั้นตํ่าที่
กฎหมายให้มีหลักฐานเป็นหนังสือได้ก�ำ หนดไว้ในมาตรา 653 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่า
ม
3-16 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ฟ้องให้ล ูกห นีต้ ้องใช้ส่วนที่ขาดจากการบังคับจำ�นำ�ไม่ได้
กฎหมายบังคับให้มีหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำ�คัญเท่านั้น ดังนั้น
มส
สัญญากยู้ ืมเงินที่ไม่มีล ายมือชื่อผู้ให้ก ู้ยืมกใ็ช้เป็นหลักฐ านฟ้องผกู้ ู้ยืมเงินได้
อุทาหรณ์
ฎ. 2484/2533 การกยู้ ืมเงินเกินก ว่าห้าสิบบ าท (ปัจจุบันสองพันบาท) กฎหมายเพียงแต่บังคับให้
มีห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื เป็นห นังสือแ ละลงลายมือช อื่ ผ กู้ จู้ งึ จ ะฟอ้ งรอ้ งบงั คับค ดีไ ด้ โดยมไิ ด้บ งั คับผ ใู้ ห้ก ตู้ อ้ ง
ลงลายมือชื่อ แม้สัญญากเู้งินจะเป็นนิติกรรมสองฝ่าย แต่กเ็ ป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเมื่อจำ�เลยลงลายมือ
ชื่อผกู้ ู้แ ล้วกช็ อบที่จะฟ้องร้องบังคับค ดีไ ด้ตาม ปพพ. มาตรา 653
ฎ. 4537/2553 ปพพ. มาตรา 653 วรรคแรก (เดิม) บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าส ิบบ าทขึ้นไปนั้น
ถ้าม ไิ ด้ม หี ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื เป็นห นังสืออ ย่างใดอย่างหนึง่ ล งลายมือช อื่ ผ ยู้ มื เป็นส �ำ คัญ ท่านวา่ จ ะฟอ้ งรอ้ งให้
บังคับค ดีห าได้ไ ม่” สาระส�ำ คัญข องหลักฐ านเป็นห นังสือต าม ปพพ. มาตรา 653 วรรคแรก อยูท่ วี่ า่ มีก ารแสดง
ธ
ให้เห็นว ่าม กี ารกยู้ ืมเงินก ันก เ็ พียงพอแล้ว ไม่ไ ด้บ ังคับถ ึงก ับจ ะต้องระบุช ื่อข องผใู้ห้ก ไู้ ว้ ดังน ั้น เมื่อโจทก์น ำ�
หนังสือสัญญากู้และค้ำ�ประกันมาฟ้องจ�ำ เลยทั้งสาม และปรากฏชัดว่าเอกสารพิพาทมสี าระสำ�คัญแสดงให้
มส
เห็นว า่ จำ�เลยที่ 1 กูย้ มื เงินจ ากผใู้ ห้ก ู้ แม้จ ะไม่ไ ด้ร ะบุช อื่ ผ ใู้ ห้ก ลู้ งไว้ให้ถ กู ต อ้ งแต่ร ะบุจ �ำ นวนเงินแ ละจ�ำ เลยที่ 1
ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้กคู้ รบถ้วน จึงถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมและค้ำ�ประกันของโจทก์ได้แล้ว
นอกจากนั้นหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้นไม่มีพยานลงลายมือชื่อในขณะที่ทำ�หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน
กันก ใ็ช้เป็นห ลักฐานในการฟ้องร้องคดีได้
อุทาหรณ์
ฎ. 650/2536 จ�ำ เลยกเู้ งินจ ากโจทก์จ �ำ นวน 120,000 บาท โดยไม่ไ ด้ท � ำ หลักฐ านเป็นห นังสือไว้ แล้วต อ่
มาจ�ำ เลยได้ท � ำ หนังสือส ญั ญากเู้ งินให้โจทก์ไ ว้ ขณะทจี่ �ำ เลยเขียนสญ
ไม่มีบุคคลอื่นลงชื่อเป็นพยานในสัญญา โดยพยานดังกล่าวได้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินในภายหลัง
ก็ไม่มีผลทำ�ให้หนังสือสัญญากู้เงินเสื่อมเสียไป เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน
เป็นห นังสือน นั้ จ ะตอ้ งมลี ายมือช อื่ ข องพยานดว้ ย แต่ถ า้ ผ กู้ พู้ มิ พ์ล ายนวิ้ ม อื ในสญ
ม
ั ญากเู้ งินแ ละลงชือ่ เป็นผ กู้ ใู้ นสญ
“เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใด
อย่างหนึ่งดังต ่อไ ปนี้ แม้ถึงว่าคคู่ วามอีกฝ่ายหนึ่งจ ะได้ยินยอมก็ดี ฯลฯ” ซึ่งเรื่องการนำ�สืบพยานบุคคลนี้มิได้
ห้ามโดยเด็ดข าด มีข อ้ ย กเว้น ซึง่ จ ะกล่าวไว้ในเรือ่ งการนำ�สบื ก ารใช้เงินในตอนที่ 3.4 ความระงับแ ห่งส ญ ั ญา
กเู้งินและการนำ�สืบการใช้เงินก ตู้ ่อไป
อนึ่ง กรณีที่ทำ�หลักฐานเป็นหนังสือไว้แล้วแต่ต่อมาหลักฐานดังกล่าวถูกเพิกถอน ก็ยังถือว่าการ
ธ
กู้ย ืมเงินไ ด้มีหลักฐานการกยู้ ืมเงินแล้ว
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 2274/2531 หนังสือสัญญาจำ�นองมีข้อความระบุว่าให้ถือสัญญาจำ�นองเป็นหลักฐานแห่งการ
กู้ยืมเงินจำ�นวน 300,000 บาท แม้ต่อมาสัญญาจำ�นองจะถูกเพิกถอนก็ไม่กระทบกระเทือนถึงข้อความที่
ระบุไ ว้เกี่ยวกับการกยู้ ืม ถือได้ว่าการกู้ยืมมหี ลักฐานเป็นหนังสือเจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำ�ระหนี้ได้ตาม พรบ.
ล้มละลายฯ มาตรา 92
การลงลายมือชื่อผู้กู้เป็นส�ำ คัญ หลักฐานการกู้ยืมเงินที่เป็นหนังสือดังกล่าวต้องมลี ายมือชื่อผู้ก ู้เป็น
สำ�คัญ ซึง่ ล ายมือช อื่ น มี้ ไิ ด้ก �ำ หนดเคร่งครัดว า่ จ ะตอ้ งเป็นล ายมือช อื่ ข องผกู้ เู้ ท่านัน้ ผูก้ อู้ าจจะท�
แกงได ลายพมิ พ์น วิ้ ม อื หรือใช้ต ราประทับแ ทนลงลายมือช อื่ ซึง่ ก ารกระท�
ำ เครือ่ งหมาย
ำ ดงั ก ล่าวกถ็ อื ว่าม ผี ลสมบูรณ์ต าม
กฎหมาย (ปพพ. มาตรา 9 วรรคสอง) 12
แต่ในเรื่องการพิมพ์ลายนิ้วมือ แกงไดหรือเครื่องหมายอื่นทำ�นองเช่นว่านี้ย่อมนำ�ไปใช้ในเรื่อง
ธ
สัญญากู้เงินประเภทเบิกเงินเกินบัญชีไม่ได้ เพราะในการปฏิบัติตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต้องมีสัญญา
บัญชีเดินสะพัดควบคู่กันไป การสั่งจ่ายเงินต้องใช้เช็ค ซึ่งเป็นตั๋วเงินชนิดหนึ่ง ซึ่ง ปพพ. มาตรา 900 วรรค
มส
กฎหมายดงั ก ล่าวมใี จความส�ำ คัญว า่ หากมกี ารกยู้ มื เงินก นั ต งั้ แต่ 1 ชัง่ (80 บาท) ขึน้ ไ ปให้ม หี ลักฐ าน
เป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นส�ำ คัญ ให้ค ิดดอกเบี้ย 1 บาท ฯลฯ ส่วนในวรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าหาเอกสาร
สำ�คัญดังกล่าวไม่ได้ หากมาฟ้องร้องกัน กฎหมายห้ามบังคับให้ คือไม่รับฟังและกฎหมายตราสามดวงได้
บัญญัติไว้เคร่งครัดกว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในปัจจุบัน เพราะกรณีการกู้ยืมเงินกันโดยไม่มี
หลักฐานเป็นหนังสือในส่วนที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือกฎหมายห้ามคิดดอกเบี้ยด้วย ดังข้อความในพระ
ธ
ไอยการลักษณะกู้หนี้ ข้อ 63
3. มาตราหนึง่ ท �ำ สารกรมทนั ก เู้ งินท า่ น มีใ นสารกรมทนั ต น้ เงินแ ต่เท่านัน้ ๆ แล้วเอาเงินน อกกรมทนั
มส
นัน้ อ กี ม ากนอ้ ยเท่าใดกด็ ี และคดิ เอาดอกเบีย้ ม ไิ ด้เลย เพราะเป็นเงินน อกกรม14 หมายความวา่ การท�
ต้องท� ำ ในรปู ส ญ
ั ญากเู้ งินเท่านัน้ เพราะหลักฐ านเป็นห นังสือไ ม่ใช่แ บบของนติ กิ รรมเรือ่ งแบบก�ำ หนดไว้เป็น
องค์ส มบูรณ์แ ห่งน ติ กิ รรม ถ้าไ ม่ท � ำ ตามการทที่ �
ำ ไปตกเป็นโมฆะเสียเปล่า (ปพพ. มาตรา 152) จะให้ส ตั ยาบัน
ธ
กันไ ม่ไ ด้ (ปพพ. มาตรา 172) การใดตกเป็นโมฆะย่อมจะมกี ารรับชำ�ระหนี้แก่ก ันไ ม่ได้ เพราะโมฆกรรม
ไม่ก อ่ ให้เกิดห นีท้ จี่ ะพงึ ร บั ช �ำ ระกนั ไ ด้ ส่วนหลักฐ านไม่ใช่อ งค์ส มบูรณ์แห่งน ติ กิ รรม นิตกิ รรมทขี่ าดหลักฐ าน
มส
เป็นแ ต่ฟ อ้ งรอ้ งขอให้บ งั คับค ดีไ ม่ไ ด้ ไม่ใช่โ มฆะหรือโ มฆียะ หนีย้ อ่ มเกิดข นึ้ แ ม้น ติ กิ รรมสญ ั ญาทเี่ ป็นม ลู น นั้
จะขาดหลักฐ าน เพราะฉะนัน้ จ งึ อ าจมกี ารช�ำ ระหนีก้ นั ไ ด้โดยสมบูรณ์15นอกจากนนั้ ย งั ม คี � ำ พพิ ากษาของศาล
ฎีกาได้ตัดสินท�ำ นองเดียวกัน
ฎ. 3464/2528 หลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื เป็นห นังสือม ใิ ช่แ บบของนติ กิ รรม ทัง้ ก ฎหมายกม็ ไิ ด้บ ญ ั ญัตวิ า่
หลักฐานนนั้ จะตอ้ งมใี นขณะทใี่ ห้กยู้ มื หลักฐานแห่งการกยู้ มื เป็นหนังสือจงึ อาจมกี อ่ นหรือหลังการกยู้ มื เงิน
ก็ได้
ม
จำ�เลยจ�ำ นองทดี่ นิ พ ร้อมสงิ่ ป ลูกส ร้างไว้แ ก่โจทก์ เพือ่ เป็นป ระกันก ารช�ำ ระหนีเ้ งินก ซู้ งึ่ จ �ำ เลยกจู้ าก
โจทก์ เมื่อหนังสือสัญญาจำ�นองเป็นหลักฐานการกู้เงินด้วย และจำ�เลยมิได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินที่กู้จาก
โจทก์ ดังนี้หนังสือสัญญาจ�ำ นองนั้นย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
สธ
14 เรื่องเดียวกัน น. 371.
15 ธร์มสาร เล่ม 18 คำ�พิพากษาฎีกา พ.ศ. 2477 (บันทึกท้ายคำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2477)
ม
การกู้ยืมเงิน 3-19
ธ
โยงเป็นเรื่องเดียวกัน และรับฟังประกอบกันเป็นห ลักฐานแห่งการกู้ยืมได้ในทางปฏิบัติสัญญากู้ยืมเงินเป็น
สัญญาทมี่ ีค่าตอบแทน (ดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้ให้กู้)
ข้างท้าย)
มส
ดังนั้น ในทางปฏิบัติจึงมักทำ�หลักฐานในรูปของสัญญากู้ยืมเงิน (ดังตัวอย่างหนังสือสัญญากู้
ตัวอย่างหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน
เขียนที่............................
วันที่..........เดือน...........................พ.ศ..........
ข้าพเจ้า..................................................................................................................................ผู้ กู้ อายุ........................ปี
อยูบ่ า้ นเลขที่ ........................ตำ�บล.....................อำ�เภอ..........................................จังหวัด........................ได้ท � ำ หนังสือส ญ ั ญากเู้ งิน
ให้ไ ว้แ ก่.............................................................................................................ดังม ขี ้อความต่อไ ปนี้
ธ
ข้อ 1 ผู้ก ู้ได้ยืมเงินของท่านผู้ให้กู้ไปเป็นจำ�นวนเงิน......................................................................................................
(.......................................................................................) และได้รับเงินไปเสร็จแล้ว แต่วันท ำ�สัญญานี้
ข้อ 2 ผูก้ ยู้ อมให้ดอกเบี้ยตามจำ�นวนเงินที่กู้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราร้อยละ..........................ต่อปี นับแ ต่วันทำ�สัญญานี้เป็นต้น
มส
ไปจนกว่าจะใช้ต ้นเงินเสร็จสิ้น
ข้อ 3 ผูก้ ู้ยอมสัญญาว่าจะนำ�เงินทกี่ ู้นี้มาชำ�ระให้แก่ผู้ให้กภู้ ายในวันที่.............เดือน.............พ.ศ...
ข้อ 4 เพื่อเป็นประกันในการกู้ยืมเงินนี้ ผู้กู้ได้นำ�..........................................................................................................
.......................................................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................................
มอบให้ไว้แก่ผ ู้ให้กู้เพื่อยึดไว้เป็นประกันเงินกู้ และผู้กรู้ ับรองว่าทรัพย์สินที่ได้น ำ�มามอบเป็นประกันไว้นเี้ป็นทรัพย์สินของ
ผูก้ เู้ อง และมิได้เป็นป ระกันหรือมีภาระติดพันในหนีส้ ินรายอื่น หรือ
ธ
ลงลายมือชอื่ ลกู หนีแ้ ละสบื พยานหลักฐานประกอบอธิบายได้วา่ หนีส้ นิ นนั้ เป็นหนีส้ นิ แห่งการกยู้ มื เอกสาร
นั้นก็เป็นหนังสืออันเป็นหลักฐานแห่งการกยู้ ืมแล้ว การลงลายมือชื่อผู้กยู้ ืมน ั้นจะลงในบริเวณใดในหนังสือ
มส
สัญญากู้ยืมหรือหลักฐานอื่นๆ ก็ได้ จะลงลายมือชื่อเป็นชื่อตนเองหรือชื่อบ ุคคลอื่น เมื่อต นได้ลงลายมือชื่อ
ในฐานะผู้กยู้ ืมก็ต้องรับผิดตามสัญญากยู้ ืมเงิน
ตัวอย่างหลักฐานแห่งการกู้ยืมอื่นๆ เช่น จดหมาย (ฎ.483/2510) บันทึกการเป็นหนี้บันทึก
เปรียบเทียบของอำ�เภอ (ฎ. 1567/2499) รายงานการประชุม (ฎ. 368/2505) บันทึกป ระจำ�วันของสถานี
ตำ�รวจ (ฎ. 644/2509 และ ฎ. 3003/2538) เป็นต้น แต่เช็คไ ม่ใช่ห ลักฐ านในการกยู้ มื เงินด งั ม คี �
ศาลฎกี าได้ว นิ จิ ฉัยไ ว้ใน ฎ. 914/2467 ฎ. 1595/2503 (ป.ใหญ่) วินจิ ฉัยว า่ “เช็คม ไิ ด้ม คี �ำ วา่ ก หู้ รือย มื ข้อความ
ำ พพิ ากษาของ
ในเช็คก ไ็ ม่มเี ค้าว่าเป็นการกยู้ ืมแ ต่ป ระการใด สภาพของเช็คเป็นการใช้เงิน ไม่ใช่ก ารกหู้ รือย ืมเงิน ฉะนั้น เช็คจ ึง
มิใช่ห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื ” ใน ฎ. 159/2503 ได้ม บี นั ทึกห มายเหตุท า้ ยค� ำ พพิ ากษาฎกี าของอาจารย์ ยล ธีรก ลุ
ว่า “ปพพ. มาตรา 653 ใช้ค � ำ วา่ “หลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื เป็นห นังสือ” (written evidence of the loan) ไม่ใช่
ธ
“หลักฐานเป็นหนังสือ” เฉยๆ เหมือนกรณีอื่นๆ ทั้งนี้หมายความว่า หลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นต้องมอี ะไร
บ่งแสดงในหนังสือนั่นเองว่าเป็นการกยู้ ืมด้วย สำ�หรับเช็คนั้นตาม มาตรา 987 บัญญัติแสดงอยูว่ ่าเช็คเป็น
มส
ด้วยความเสน่หาซงึ่ เดิมม ไิ ด้ม หี นีต้ อ่ ก นั ม ากอ่ น เนือ่ งจากเช็คเป็นเครือ่ งมอื ในการด�ำ เนินธ รุ กิจอ ย่างหนึง่ ข อง
ระบบเศรษฐกิจในปจั จุบนั ซ งึ่ ถ อื ว่าก ารใช้เช็คเป็นว ธิ หี นึง่ ท กี่ อ่ ให้เกิดเงินต ามบญ ั ชีก ระแสรายวนั อันเป็นเงิน
ซึง่ ส ร้างโดยระบบธนาคาร มีว ธิ สี งั่ จ า่ ยเงินด ว้ ยเช็ค ดังน นั้ เช็คจ งึ ม ใิ ช่ห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื เงิน แม้บ างกรณี
การออกเช็คจะมีมูลเหตุจากการให้กู้ยืมก็ตาม ปัญหาเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม
เงินห รือไ ม่น นั้ ไ ด้ม คี �
ำ พพิ ากษาศาลฎกี าทวี่ นิ จิ ฉัยไ ว้ใน ฎ. 439/2493 ความวา่ โจทก์ฟ อ้ งเรียกเงินก โู้ ดยอา้ ง
ธ
ตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งมีข้อความแสดงแต่เพียงรับรองว่าจำ�เลยมีหนี้อันจะต้องชำ�ระแก่โจทก์โดยไม่มีถ้อยคำ�
ชัดว่าเป็นหนี้เงินก ู้ หรือห นี้อย่างอื่น โจทก์ย่อมนำ�พยานหลักฐานมาสืบประกอบว่าห นี้นั้นเป็นห นี้เงินก ไู้ ด้
มส
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 หาได้มีความหมายเคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมี
ถ้อยคำ�วา่ ก ยู้ มื เป็นห ลักฐ านในเอกสารนนั้ ไ ม่ เมือ่ โจทก์ม หี ลักฐ านเป็นห นังสือแ สดงความเป็นห นีล้ งลายมือช อื่
ลูกหนีแ้ ล้ว และสืบพยานประกอบอธิบายได้ว่า หนีน้ ั้นเป็นหนีส้ ินแห่งการกยู้ ืม เอกสารนั้นกเ็ป็นหนังสืออัน
เป็นห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื แ ล้ว คำ�พพิ ากษาศาลฎกี าวนิ จิ ฉัยโดยทีป่ ระชุมใหญ่แ ละมบี นั ทึกท า้ ยค�
ฎีกา โดย อาจารย์ประกอบ หุตะสิงห์ “คำ�พิพากษาคดีนี้ ได้วางหลักซึ่งเกี่ยวกับบทบัญญัติมาตรา 653
ประมวลแพ่งและพาณิชย์ ลงไปว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามมาตรานี้ไม่จำ�เป็นจะต้องถึงกับมีคำ�ว่ากู้ยืม
ปรากฏอยูใ่ นเอกสารนนั้ ด ว้ ย เป็นแ ต่เพียงมหี ลักฐ านเป็นห นังสือล งลายมือช อื่ ฝ า่ ยผกู้ ตู้ อ้ งรบั ผ ดิ อ นั แ สดงถงึ
ำ พพิ ากษา
การเป็นห นีก้ นั อ ยูก่ พ็ อแล้ว ซึง่ ผ อู้ า้ งเอกสารนนั้ ย อ่ มมสี ทิ ธิท จี่ ะขอสบื พ ยาน เพือ่ แ สดงวา่ ห นีต้ ามเอกสารนนั้
เป็นห นี้แห่งการกยู้ ืมได้ตามมาตรา 94 ปวพ. ความจริงถ้อยคำ�แห่งมาตรา 653 นี้เองเป็นเหตุให้เกิดค วาม
ธ
สงสัยขนึ้ ได้ในเรือ่ งนี้ เพราะในบรรดากจิ การทกี่ ฎหมายบญ ั ญัตวิ า่ ต้องมหี ลักฐานเป็นหนังสือจงึ จะฟอ้ งรอ้ ง
บังคับคดีได้น ั้น กฎหมายบัญญัติไว้ แต่เพียงว่าต้องมหี ลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือช ื่อ
มส
ธ
ได้ว่าตั๋วส ัญญาใช้เงินนั้นปราศจากมูลหนี้จำ�เลยจึงต ้องรับผิดตามตั๋วส ัญญาใช้เงินน ั้น” ในคำ�พิพากษาศาล
ฎีกาฉบับน ี้ มิได้ว ินจิ ฉัยตรงประเด็นท วี่ ่าตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ ืมเงินห รือไ ม่ เพราะโจทก์
มส
ในคดีน ี้ฟ้องเรียกหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน มิใช่เรียกหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน หากกรณีนี้โจทก์ฟ้องเรียกหนี้
ตามสัญญากู้ยืมเงินโดยอ้างตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน ศาลฎีกาจะวินิจฉัยไปในรูปใด
ผู้เขียนเห็นว่าศ าลฎีกาอาจจะวินิจฉัยยืนตาม ฎ. 439/2493 หรือวินิจฉัยต าม ฎ. 1595/2503 ก็อาจเป็นไป
ได้ต ามเหตุผลทไี่ ด้กล่าวมาแล้วข ้างต้น
ข้อส งั เกต เหตุท มี่ กี ารโต้เถียงกนั ว า่ ต วั๋ ส ญ
ั ญาใช้เงินห รือเช็คเป็นห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื ก นั ห รือไ ม่ ก็
เพราะคู่สัญญาจะอาศัยประโยชน์จากเรื่องอายุความ หากฟ้องโดยอาศัยเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค อายุ
ความในการฟอ้ งรอ้ งจะสนั้ เพียง 3 ปีห รือ 1 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 1001, 1002 ส่วนการฟอ้ งรอ้ งตามสญ
อายุค วามการฟ้องร้องมกี ำ�หนดถึง 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30 ส่วนเอกสารอื่นๆ จะถือเป็นหลักฐาน
ั ญากยู้ มื
ธนาคารออมสินแ ล้ว เป็นเรือ่ งการมอบอ�ำ นาจให้ผ อู้ นื่ ร บั เงินแ ทน มีข อ้ ความเป็นค วามหมายชดั แ จ้ง นอกจากนนั้
เอกสารแบบพมิ พ์ถ อนเงินอ อมสินก ม็ ไิ ด้ม เี ค้าม ลู ว า่ เป็นการกยู้ มื แ ต่ป ระการใด ฉะนัน้ จ งึ ไ ม่เป็นห ลักฐ านแห่งก าร
กูย้ ืมต าม ปพพ. มาตรา 653 จะนำ�สืบพยานบุคคลว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินหาได้ไ ม่”
อย่างไรกต็ าม แม้ห ลักฐ านการกยู้ มื เงินไ ม่จ � ำ ตอ้ งมขี อ้ ความวา่ ก ยู้ มื เงิน แต่ค วรมขี อ้ ความใดทที่ �ำ ให้
ผูอ้ า่ นเข้าใจได้ว า่ ค กู่ รณีม หี นีก้ นั ต ามสญ
ั ญากู้ ดังต วั อย่างค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าตอ่ ไ ปนไี้ ม่ถ อื ว่าเป็นห นีก้ ยู้ มื ก นั
ฎ. 3809/2526 ตอนบนของเอกสารมชี อื่ แ ละนามสกุลของจ�ำ เลยถดั ไ ปเป็นร ายการลงวนั เดือนปแี ละ
มีข ้อความว่า “เอาเงิน” กับจ�ำ นวนเงินต่างๆ กันรวม 12 รายการ อีก 5 รายการ มีข้อความว่า “ข้าวสาร”
และลงจำ�นวนไว้ว ่า 1 กิโลกรัมบ้าง 1 ถังบ้าง 3 ถังบ้าง และทุกรายการมีชื่อจ ำ�เลยลงก�ำ กับไ ว้ ดังนี้เอกสาร
ดังกล่าวไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตาม ปพพ. มาตรา 653
ฎ. 2757/2528 ความในเอกสารมีว่า อ. ที่นับถือผมให้ ส. มาหา ผมกำ�ลังวิ่งหาซื้อของจะขึ้นไป
ม
หน่วยงานที่ผมเรียนไว้เมื่อเช้าว่าจะเอาคืนก่อน 400,000 บาท ผมคิดรายการที่จำ�เป็นจะต้องใช้ดูไม่ค่อย
พอดี จึงเขียนเช็คม าให้ 450,000 บาท ขอให้ค ณ ุ จ า่ ยธนาคาร อ. ผมจะให้ ส. ไปท� ำ แคชเชียร์เช็คจ ากธนาคาร
สธ
ดังนี้ไม่มีข้อความตอนใดพอที่จะแสดงว่ามีการกู้ยืมเงินกันหรือจำ�เลยเป็นลูกหนี้โจทก์จะใช้เงินคืนให้โจทก์
จึงไ ม่ใช่ห ลักฐานแห่งการกู้ยืม
ม
การกู้ยืมเงิน 3-23
เช็คที่จำ�เลยลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายมอบให้แก่โจทก์ก็ดีหรือเช็คที่โจทก์ออกให้แก่จำ�เลยและจำ�เลยนำ�
ไปรับเงินแล้วก็ดี ไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยตื าม ปพพ. มาตรา 653
กรณีทำ�สัญญากู้ยืมเงินกันโดยนำ�ดอกเบี้ยเกินอัตรารวมเป็นต้นเงินด้วย เมื่อแยกดอกเบี้ยส่วนที่
เป็นโมฆะออก ส่วนทเี่ หลือเป็นเงินต้น สามารถนำ�มาเป็นห ลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีได้
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 2657/2534 โจทก์ให้จ �ำ เลยกยู้ มื เงินโดยคดิ ด อกเบีย้ เกินอ ตั ราทกี่ ฎหมายก�ำ หนด แต่จ �ำ เลยยนิ ยอม
ให้เอาดอกเบีย้ ร วมกบั ต น้ เงินก รอกลงในสญ ั ญากู้ จึงไ ม่เป็นเอกสารปลอมโดยแยกสว่ นตน้ เงินท สี่ มบูรณ์อ อก
มส
ต่างหากได้ สัญญากคู้ งตกเป็นโมฆะเฉพาะส่วนดอกเบี้ย หาตกเป็นโมฆะทั้งฉบับไ ม่
ฎ. 4690/2540 จำ�เลยที่ 1 และจ�ำ เลยที่ 2 ทำ�สัญญากู้ยืมและค� ้ำ ประกันกับโจทก์ต ามลำ�ดับ จำ�เลย
ทั้งสองรู้และยินยอมให้โจทก์คำ�นวณดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำ�หนดรวมเข้าเป็นเงินต้นด้วยนั้น
เป็นนิติกรรมที่มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างโจทก์และจำ�เลยทั้งสอง สัญญากู้ยืมและสัญญา
ค้� ำ ประกันดงั ก ล่าวมผี ลใช้บ งั คับไ ด้ห าเป็นโ มฆะทงั้ ฉ บับไ ม่ เฉพาะดอกเบีย้ เกินก ว่าอ ตั ราทกี่ ฎหมายก�ำ หนด
และน�
เป็นโมฆะ
ำ ไปคำ�นวณเป็นเงินต ้นเป็นการกระทำ�ทมี่ วี ัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแ จ้งโ ดยกฎหมายย่อมตก
155 วรรคหนึง่ ) และตอ้ งบงั คับต ามนติ กิ รรมการกยู้ มื เงินซ งึ่ เป็นน ติ กิ รรมทถี่ กู อ �ำ พรางไว้ต าม ปพพ. มาตรา
118 วรรคสอง เดิม (มาตรา 155 วรรคสอง) และแม้ในกรณีเช่นนี้จะมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็น
หนังสืออ ย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือช ื่อจำ�เลยเป็นส ำ�คัญต ่างหากจากสัญญาจะซื้อข ายก็ตาม ย่อมถือไ ด้ว่า
สัญญาจะซื้อขายเป็นนิติกรรมสัญญากยู้ ืมเงินทที่ ำ�กันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างจำ�เลยกับโจทก์ จึงมี
ผลบังคับกันได้ เมื่อจ�ำ เลยยอมช�ำ ระเงินทกี่ ยู้ ืมคืนแก่โจทก์ โจทก์ก ต็ ้องคืนท ี่ดินพ ิพาทที่ทำ�กินต่างดอกเบี้ย
และ นส.3 ก. ให้แก่จ�ำ เลย
ฎ. 1579/2552 โจทก์ม หี นังสือส ญ ม
ั ญากู้ 2 ฉบับ ทีจ่ �ำ เลยทงั้ ส ามเถียงวา่ โจทก์ล วงให้จ �ำ เลยที่ 1 ลงชือ่
ผูกพันเป็นผู้กู้ไว้ก่อน อีกทั้ง อ. พยานโจทก็ซึ่งม ีต�ำ แหน่งเป็นผชู้ ่วยผู้จัดการด้านสินเชื่อส าขาหาดใหญ่ข อง
โจทก์มาเบิกความรับรองด้วยว่า หลังจากโจทก์อนุมัตใิ ห้จำ�เลยที่ 1 กู้ จำ�เลยที่ 1 ก็ได้รับเงินกู้ทั้ง 2 จำ�นวน
ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว โดยจ�ำ เลยที่ 1 ลงชื่อรับเงินไว้ เมื่อจำ�เลยที่ 1 มิได้ป ฏิเสธว่าลายมือชื่อผ ู้กู้มิใช่
เป็นของจ�ำ เลยที่ 1 จึงถือว่าโจทก์มีหลักฐานการกยู้ ืมเงินเป็นหนังสือตามกฎหมายแล้ว
กรณีที่มีหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นหลักฐานการกู้ยืม ต่อมามีการแก้ไขต่อเติมตัวเลขลงในตัว
หนังสือสัญญาฉบับนั้น ปัญหาเรื่องการแก้ไขต่อเติมตัวเลขในหนังสือส ัญญากยู้ ืมเงินน ั้น ตัวหนังสือสัญญา
สธ
กูย้ ืมเงินจะใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องได้หรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ดังนี้
ม
3-24 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
อุทาหรณ์
ฎ. 761/2509 (ป. ใหญ่) จำ�เลยท� ำ สัญญากเู้ งินไว้ให้โจทก์จำ�นวนหนึ่ง ต่อมาโจทก์ล อบเติมเลข 1 ลง
หน้าจ �ำ นวนเงินในเอกสารนนั้ ทำ�ให้จ �ำ นวนเงินก มู้ ากขนึ้ แ ล้วเอาเอกสารนนั้ ม าฟอ้ งเรียกเงินจ ากจ�ำ เลย ศาล
พิพากษาให้จำ�เลยช�ำ ระเงินจ�ำ นวนเดิม คือจ�ำ นวนที่จำ�เลยยืมไปได้ การเติมเลข 1 ลงเพื่อเพิ่มจ�ำ นวนเงินกู้
เดิมไม่ท�ำ ให้หลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือเดิมเสียไป (ฎ.1149/2552)
ธ
แต่ถ้าได้ความว่าสัญญากยู้ ืมเงินเป็นเอกสารปลอมก็ใช้เป็นหลักฐานในการกยู้ ืมเงินไม่ไ ด้
อุทาหรณ์
พยานหลักฐานในการฟ้องคดีได้เมื่อเงินกู้จำ�นวนดังกล่าวไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำ�เลยซึ่ง
เป็นผู้กมู้ าแสดงโจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีให้จำ�เลยรับผิดช ำ�ระหนี้เงินกแู้ ก่โจทก์ได้
ฎ. 1539/2548 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำ�เลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปจากโจทก์เพียง 45,000 บาท และลง
ลายมือช ื่อในสัญญากยู้ ืมเงินท ยี่ ังไม่ได้กรอกจ�ำ นวนเงินไ ว้ แล้วม กี ารนำ�สญ ั ญากยู้ ืมเงินไ ปกรอกจำ�นวนเงิน
กูเ้ ป็น 200,000 บาท ในภายหลังเกินก ว่าจ �ำ นวนเงินก ทู้ แี่ ท้จ ริง โดยจ�ำ เลยที่ 1 ไม่ไ ด้ยนิ ย อม สัญญากยู้ มื เงิน
ดังก ล่าวจงึ เป็นเอกสารปลอม ถือไ ด้ว า่ โจทก์ม ไิ ด้ม หี ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื เงินเป็นห นังสือ โจกทจ์ งึ ไ ม่อ าจฟอ้ ง
ฎ. 552/2548 จำ�เลยที่ 1 กูย้ มื เงินโจทก์ 20,000 บาท โจทก์ค ดิ ด อกเบีย้ อ ตั รารอ้ ยละ 10 ต่อเดือน จำ�เลย
ที่ 1 ชำ�ระดอกเบีย้ แ ก่โจทก์ป ระมาณ 50,000 บาท เมือ่ จ �ำ เลยที่ 1 หยุดช �ำ ระดอกเบีย้ ด งั ก ล่าว โจทก์จ งึ น �
กูเ้ งินทจี่ �ำ เลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้ และสัญญาค้ำ�ประกันที่จำ�เลยที่ 2 พิมพ์ล ายนิ้วม ือไว้มากรอกข้อความใน
ำ สญั ญา
ฎ. 625/2548 ข้อที่จำ�เลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้เงินที่โจทก์นำ�มาฟ้อง
เนื่องจากจำ�เลยทั้งสองกู้ยืมเงินเพียง 100,000 บาท แต่โจทก์ก รอกจำ�นวนเงินในสัญญากู้เงินเป็นจำ�นวน
275,000 บาท โดยจ�ำ เลยทั้งสองไม่ยินยอมสัญญากู้เงินจึงเป็นเอกสารปลอมนั้น หากข้อเท็จจริงร ับฟังได้
ตามที่จำ�เลยทั้งสองอ้างก็ย่อมมีผลทำ�ให้สิทธิเรียกร้องตามคำ�ฟ้องของโจทก์ไม่ได้รับการบังคับให้ตาม
กฎหมายและศาลย่อมนำ�มาเป็นเหตุยกฟ้องได้อยู่แล้ว จำ�เลยทั้งสองหาจำ�ต้องฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์
ธ
รับชำ�ระหนี้ 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้โจทก์ส่งมอบสัญญากเู้ งินปลอมแก่จำ�เลยทั้งสองเพื่อนำ�
ไปทำ�ลายประการใดไม่ ทั้งคำ�ขอตามฟ้องแย้งดังกล่าวศาลก็ไม่อาจบังคับให้ได้ เพราะหากสัญญากู้เงิน
มส
ตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม ก็เท่ากับการกู้ยืมเงินรายนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ไม่อาจนำ�มาฟ้อง
ร้องบังคับเอาแก่จ�ำ เลยทั้งสองได้
ฎ. 1651/2548 จ�ำ เลยกเู้ งินโจทก์จ �ำ นวน 10,000 บาท และได้ล งลายมือช อื่ ไว้ในแบบพมิ พ์ห นังสือส ญ
กู้เงินที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบไว้ให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้กรอกข้อความและจำ�นวนเงินในหนังสือ
สัญญากเู้ งินว า่ จำ�เลยกเู้ งินโจทก์ไ ป 300,000 บาท โดยจ�ำ เลยมไิ ด้ร เู้ ห็นย นิ ยอมดว้ ยสญ
เป็นเอกสารปลอม โจทก์จ งึ ไ ม่อ าจอา้ งเอกสารดงั ก ล่าวมาเป็นพ ยานหลักฐ านในคดีไ ด้ ถือว่าโจทก์ไ ม่มหี ลักฐ าน
แห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
ั ญา
กูเ้ งินแ ละสญั ญาค� ้ำ ประกันแ ล้ว ก็ไ ม่ท �ำ ให้ห นังสือส ญั ญากเู้ งินแ ละหนังสือส ญ ั ญาค�
้ำ ประกันเป็นเอกสารปลอม
หนังสือสัญญาทั้งสองฉบับจึงมีผลผูกพันโจทก์กับจำ�เลยทั้งสอง
ฎ. 1149/2552 โจทก์มีหนังสือสัญญากู้ยืมที่จำ�เลยลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ระบุว่าจำ�เลยกู้ยืมเงินโจทก์
จำ�นวน 20,000 บาท เป็นหลักฐ านการกยู้ ืมเป็นหนังสือซึ่งจำ�เลยต้องรับผิด แม้ภ ายหลังโจทก์แ ก้ไขจำ�นวน
เงินในสญ ั ญากใู้ ห้ส งู ข นึ้ เป็น 120,000 บาท ซึง่ ไ ม่เป็นไ ปตามทโี่ จทก์แ ละจ�ำ เลยตกลงกนั แต่ก ไ็ ม่ท �ำ ให้ห ลักฐ าน
ธ
การกยู้ ืมเงินท ที่ ำ�ไว้แต่เดิม และมีผลสมบูรณ์ต้องเสียไป จำ�เลยต้องรับผ ิดต่อโจทก์เท่าทกี่ ไู้ ปจริง
สรุป จากตวั อย่างในค� ำ พพิ ากษาศาลฎกี าในเรือ่ งจ�ำ นวนเงินต ามสญ ั ญากนู้ นั้ หากไม่ไ ด้ร ะบุต วั เลข
มส
ไว้ในหนังสือสัญญา ผู้ให้กู้ใส่ตัวเลขตามจำ�นวนที่แท้จริง หนังสือสัญญากู้ยืมฉบับนั้นใช้เป็นหลักฐานใน
การฟ้องร้องบังคับไ ด้ แต่หากเว้นช่องว่างไว้ ผู้ให้ก ู้กรอกจำ�นวนเงินมากกว่าจ ำ�นวนเงินที่กยู้ ืมกัน สัญญา
กู้เป็นสัญญาปลอมหรือจำ�นวนเงินในเอกสารกู้ยืมเงินเป็นจำ�นวนหนึ่ง ผู้กู้ยืมได้ขอยืมเงินเพิ่มและผู้ให้กู้
ยืมแ ก้ไขตัวเลขในสัญญากยู้ ืมเพิ่มขึ้น หนังสือสัญญากยู้ ืมนั้นใช้เป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงินได้ หรือผใู้ห้กู้
แก้ไขจำ�นวนเงินโดยพลการ หนังสือสัญญากู้ยืมเงินกันใช้เป็นหลักฐานบังคับกันได้เฉพาะแต่ตามจำ�นวน
เงินเดิมทกี่ ู้กันจริง
กรณีม ีหลักฐ านการกยู้ ืมเงินเป็นหนังสือไม่ว่าจ ะเป็นห ลักฐานการยืมเงินกู้ หรือทำ�สัญญากยู้ ืมเงิน
เป็นอย่างอื่น ก็ถือว่ามีหลักฐานการกยู้ ืมเงินเป็นห นังสือตามมาตรา 653 แล้ว
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 3775/2546 หนังสือหลักฐานการรับเงินกู้ที่จำ�เลยลงลายมือชื่อเป็นแบบพิมพ์ของโจทก์ที่มี
รายละเอียดระบุถ งึ ก ารกเู้ งินแ ละรบั เงินท กี่ ไู้ ว้อ ย่างชดั เจน ผูท้ อี่ า่ นยอ่ มสามารถเข้าใจได้โ ดยงา่ ย ดังน นั้ เมือ่
มส
จำ�เลยได้กู้เงินโจทก์โดยทำ�สัญญาจำ�นองเป็นประกันไว้จริง และจำ�เลยได้รับเงินไปจากโจทก์ตามหนังสือ
หลักฐานการรับเงินกู้ ซึ่งเอกสารดังกล่าวสามารถใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้ จำ�เลยจึงต้องรับผิดต่อ
โจทก์
สัญญากู้เงินและสัญญาจำ�นอง เป็นนิติกรรมคนละประเภทที่สามารถแยกออกจากกันได้ โจทก์
ฟ้องขอให้จำ�เลยชำ�ระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินเมื่อสัญญากู้เงินไม่อาจรับฟังเป็นพยาน
หลักฐาน ย่อมไม่อาจน� ำ เอาอัตราดอกเบี้ยท ี่กำ�หนดไว้ในสัญญาจำ�นองมาบังคับการกเู้ งินได้
อุทาหรณ์
จากโจทก์จ ำ�นวน 200,000 บาท กำ�หนดชำ�ระเงินค ืนภายในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2538 เพื่อเป็นประกัน
การช�ำ ระหนี้ จำ�เลยได้ส งั่ จ า่ ยเช็คธ นาคารกรุงเทพ จำ�กัด (มหาชน) ให้ไ ว้ต ามเอกสารสญ
ม
ฎ. 3826/2546 โจทก์นำ�สืบว่าเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2538 จำ�เลยทำ�สัญญากู้และรับเงินไป
กรณีม เี อกสารระบุว า่ ร บั เงินไ ปโดยไม่ร ะบุว า่ จ ะใช้เงินค นื โจทก์อ ย่างไร ไม่ถ อื เป็นห ลักฐ านการกยู้ มื
ที่เป็นหนังสือ ตาม ปพพ. มาตรา 653
ฎ. 306/2506 (ป.ใหญ่) ส่วนเอกสารทมี่ ขี ้อความเพียงว่ารับเงินไ ปจ�ำ นวนหนึ่งแ ล้วลงชื่อจำ�เลย โดย
ไม่มีข้อความแสดงว่าในการรับเงิน จำ�เลยเป็นลูกหนี้จะใช้เงินคืนแก่โจทก์แต่อย่างใดนั้นฟังเป็นหลักฐาน
การกยู้ ืมเงินไม่ได้
ธ
ฎ. 7620/2540 แม้จำ�เลยทั้งสองจะนำ�สืบให้เห็นได้ว่าโจทก์ยังเป็นหนี้กู้ยืมจำ�เลยทั้งสองจำ�นวน
50,000 บาทจริง แต่ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคแรก กำ�หนดว่าการกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาท (ปัจจุบัน
มส
2,000 บาท) ขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็น
สำ�คัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไ ม่ ดังนั้นหนีเ้ งินกู้ 50,000 บาท ดังกล่าว จึงเป็นหนี้ทไี่ ม่อาจฟ้องร้อง
ให้บังคับคดีกันได้ เมื่อหนี้ที่จ�ำ เลยทั้งสองอาศัยเป็นมูลเหตุให้ยืดถือโฉนดที่ดินพิพาทไว้ไม่อาจฟ้องร้องให้
บังคับคดีได้ จำ�เลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทต่อไป จำ�เลยทั้งสองจะมีสิทธินำ�สืบถึงหนี้
จำ�นวนดังกล่าวหรือไม่ ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของจำ�เลยทั้งสอง
หมายเหตุ หากกรณีไ ด้ค วามวา่ ไ ม่ใช่ส ญ
หวย ก็ไม่ต้องมหี ลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องตามสัญญานั้นๆ ได้
ั ญากยู้ มื เงินก นั เช่น สัญญาตา่ งตอบแทน การเล่นแ ชร์เปีย
อุทาหรณ์
ฎ. 4805/2540 กจิ การแพปลาของโจทก์น อกจากจะรบั ซ อื้ ส ตั ว์น � ้ำ แล้ว โจทก์ย งั ให้ย มื เงินแ ละทดรอง
ธ
จ่ายค่าใช้จ่ายและค่าอุปกรณ์เกี่ยวกับเรือประมงของผู้ซึ่งนำ�สัตว์น้ำ�มาขายแก่โจทก์ การชำ�ระคืนตกลงให้
หักเอาจากค่าปลาหรือสัตว์น้ำ�ทนี่ � ำ มาขาย จำ�เลยเป็นเจ้าของเรือประมง 4 ลำ� และเป็นผู้นำ�ปลามาขายแก่
มส
กูย้ มื เป็นห นังสือก นั ไ ว้ไ ม่แ ต่ในเวลาตอ่ ม าถา้ ไ ด้ม หี ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื เป็นห นังสือล งลายมือช อื่ ผ ตู้ อ้ งรบั ผ ดิ
เป็นส ำ�คัญเกิดข ึ้นแ ล้ว ผู้ให้ย ืมก ย็ ่อมฟ้องร้องให้บ ังคับค ดีน ั้นไ ด้” ซึ่งอ าจารย์พ จน์ป ุษป าคม ได้ให้ค วามเห็น
ในคำ�พิพากษาฉบับนี้ว่า “เรื่องนี้มีการส่งม อบโดยตรงแล้ว และมหี นี้กู้ยืมเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังฟ ้องร้องไม่ไ ด้
เพราะขาดหลักฐานเป็นหนังสือตามทกี่ ฎหมายต้องการ เมื่อม ีหลักฐานเกิดขึ้นแ ล้วสิทธิฟ ้องร้องก็มีขึ้น หนี้
ที่มีอยู่แล้วเป็นหนี้สมบูรณ์แล้วเพียงแต่ขาดหลักฐานเท่านั้น16ต่อมามีคำ�พิพากษาศาลฎีกา 8175/2551 ก็
ธ
บัญญัตไิ ว้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น ถ้าก ยู้ ืมเงินก ว่า 2,000 บาท ผูใ้ห้ก ู้ไม่มหี ลักฐานการให้กู้ยืมจะฟ้องร้องบังคับคดีผู้กไู้ ม่ไ ด้
มส
ฎ. 200/2496 (ป.ใหญ่) เอาเงินข องเขาไปโดยเสียดอกเบีย้ แ ล้วม อบทองรปู พ รรณไว้เป็นป ระกัน การ
จำ�นำ� โดยมูลห นีเ้ดิมค ือก ยู้ ืมเงิน ถ้าไ ม่มีหลักฐ านเป็นหนังสือ จะฟ้องให้ล ูกห นี้ต้องใช้ส ่วนที่ยังข าดจากการ
บังคับจำ�นำ�ไม่ไ ด้
หลักฐ านของการกยู้ มื ต ามสญ ั ญาเบิกเงินเกินบ ญ ั ชี ดังท ไี่ ด้ก ล่าวถงึ ล กั ษณะของการเบิกเงินเกินบ ญ
มาบ้างแล้วในหัวข้อที่ 3.1.2 การกู้ยืมเงินและสัญญาอื่นที่มีลักษณะเดียวกับสัญญากู้ยืมเงิน การเบิกเงิน
เกินบัญชีเป็นการกู้ยืมเงินชนิดหนึ่งอันประกอบด้วยสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา 85617และสัญญากู้ยืมเงิน โดยผู้เบิกเกินบ ัญชีต กลงกับธ นาคารในการขอเบิกเงินเกินบ ัญชี
ั ชี
ตามจำ�นวนเงินในสัญญาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนี้มีข้อแตกต่างจากสัญญากู้ยืมเงินอยู่
บ้าง ในกรณีที่การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ
ธ
ผู้กู้เป็นสำ�คัญจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ส่วนการเบิกเงินเกินบัญชีนั้นแม้ไม่มีหลักฐานการเบิกเงินเกิน
บัญชีเป็นหนังสือกฟ็ ้องร้องบังคับค ดีกันได้ ดังตัวอย่างใน ฎ. 1446/2512 ซึ่งวินิจฉัยดังนี้ “คดีนี้จ�ำ เลยทำ�
มส
16 พจน์ ปุษป
าคม คำ�อธิบายประมวลกฎหมายแพ่งแ ละพาณิชย์ว า่ ด ว้ ยยมื กูย้ มื และฝากทรัพย์ กรุงเทพมหานคร แสงทอง
สธ
การพิมพ์ พ.ศ. 2511 น. 61.
17 มาตรา 856 “อันว่าส ญ ั ญาบญ
ั ชีเดินส ะพัดน นั้ คือส ญ
ั ญาซงึ่ บ คุ คลสองคนตกลงกนั ว า่ ส บื แ ต่น นั้ ไ ป หรือในซงึ่ เวลาก�ำ หนด
อันใดอันหนึ่งให้ตัดทอนบัญชีทั้งหมด หรือแ ต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน และคงชำ�ระแต่ส่วน
ที่เป็นจำ�นวนคงเหลือโดยดุลยภาค”
ม
การกู้ยืมเงิน 3-29
เดินสะพัดก่อให้เกิดหนี้ไม่ได้ ถ้าหนี้นั้นเป็นการกู้ยืมโดยเฉพาะและมิได้เบิกเงินโดยตั๋วเงินเมื่อไม่มี
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือก็ไม่เกิดหนี้ที่จะเรียกร้องกันได้ การหักกลบลบหนี้ตามบัญชีเดินสะพัด
ก็ต ้องนำ�บทบัญญัติเรื่องหักกลบลบหนี้ตาม ปพพ. มาตรา 341 ถึง 348 มาใช้ด้วย สิทธิเรียกร้องใดยังมี
ข้อต่อสู้อยู่สิทธิเรียกร้องนั้น ท่านว่าหาอาจจะนำ�มาหักกลบลบหนี้ได้ไม่ตาม ปพพ. มาตรา 344 เมื่อหนี้
เงินกู้ไม่มีเอกสารแห่งการกู้ยืมหนี้เช่นนี้เอามาหักกลบลบหนี้ไม่ได้เพราะเป็นหนี้ที่มีข้อต่อสู้”18 ซึ่งผู้เขียน
ธ
เห็นว่าหากจะพิจารณาดูเหตุผลว่าที่สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไม่จำ�เป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้กู้โดย
เบิกเงินเกินบ ญ ั ชีย งั ค งตอ้ งรบั ผ ดิ เนือ่ งจากในการท� ำ สญั ญาบญ ั ชีเดินส ะพัดน นั้ ม หี ลักฐ านอยูแ่ ล้วค อื ร ายการ
มส
หักทอนบัญชีระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ในการ์ดลงบัญชีของลูกหนี้ และนอกจากนั้นยังมีเช็คซึ่งเป็นการ
สัง่ จ า่ ยเงินจ ากบญั ชี ซึง่ ม ลี ายมือช อื่ ข องลกู ห นีป้ รากฏอยูแ่ ล้ว หลักฐ านทงั้ ส องอย่างกน็ า่ จ ะเพียงพอ สำ�หรับ
ยืนยันค วามเป็นห นี้ได้โดยไม่จำ�เป็นต ้องมีหลักฐ านแห่งก ารกู้เงินเกินบ ัญชีเป็นห นังสืออ ีก ดังม ีต ัวอย่างใน
ฎ. 1122/2514 วินจิ ฉัยวา่ “การให้ก เู้ บิกเงินเกินบญ ั ชีเป็นคราวๆ โดยวธิ ใี ช้เช็คสงั่ จ า่ ยเงินและมกี ารฝากเงิน
เข้าบัญชีลดหนี้เช่นนี้ หาเข้าลักษณะการกู้ยืมเงิน ตาม ปพพ. มาตรา 653 ไม่ แต่เข้าลักษณะสัญญาบัญชี
เดินสะพัด ตามมาตรา 856 ซึ่งไม่จำ�เป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ” การที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “หาเข้า
ลักษณะการกยู้ ืมเงินตาม ปพพ. มาตรา 653 ไม่ แต่เข้าล ักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัด ซึ่งน่าจะเข้าใจว่า
ศาลปฏิเสธไม่ยอมรับว่าการเบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญากู้ยืมเงิน เฉพาะเรื่องที่ต้องการหลักฐานแห่งการ
กู้ยืมเป็นหนังสือในการฟ้องร้องคดีเท่านั้น จะถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงินเสียเลย
ทีเดียวหาได้ไม่ เพราะลักษณะที่ธนาคารให้ลูกหนี้เบิกเงินไปเกินกว่าจำ�นวนที่ตนมีอยู่ในบัญชีเป็นการให้
ธ
เครดิตแก่ลูกห นี้ คือ การให้กยู้ ืมเงินในลักษณะที่มีสัญญาบัญชีเดินส ะพัดประกอบด้วย เพราะหากตีความ
ว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดเพียงอย่างเดียวก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะมีสัญญา
มส
3. สัญญากู้ยืมเงินต้องปิดอากรแสตมป์
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้น ไม่จำ�ต้องทำ�เป็นหนังสือสัญญากู้ยืมกันเป็นกิจจะ
ลักษณะอย่างชัดแจ้ง เพียงแต่กฎหมายบัญญัติว่า หากมีการกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปต้องมี
หลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำ�คัญถึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวหลักฐาน
ธ
แห่งการกู้ยืมเหล่านั้นไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ก็ใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องกันได้ตามกฎหมาย ซึ่งถ้าเป็น
หลักฐานเป็นหนังสืออย่างอื่นกไ็ ม่ต้องปิดอากรแสตมป์กใ็ ช้ฟ้องร้องบังคับค ดีกันได้ ถ้าท ำ�ในรูปสัญญากู้ยืม
จึงต้องปิดอากรแสตมป์ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ดังตัวอย่างใน ฎ. 368/2506 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
มส
“ที่จำ�เลยฎีกาว่ารายงานการประชุมตามเอกสารหมาย จ. 1-2 รับฟังเป็นพ ยานไม่ได้ เป็นหนังสือแสดงว่า
ได้มีการกู้ยืมเงินรายนี้กันเท่านั้น จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ เพราะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์
ตามประมวลรัษฎากรรับฟังเป็นพ ยานได้” ฎ. 248/2507 “จำ�เลยทำ�หลักฐ านเป็นรูปจดหมายให้ไว้แ ก่โจทก์
ขอรับรองและขอบคุณโจทก์ สำ�หรับเงินกทู้ โี่ จทก์ให้จ�ำ เลยกจู้ งึ เป็นเพียงหนังสือรบั สภาพวา่ เป็นเงินทโี่ จทก์
ให้จ�ำ เลยยืมอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม ตามมาตรา 653 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อย่าง
หนึ่งเท่านั้นหาใช่เป็นลักษณะแห่งตราสารการกู้ยืมอันจะถึงต้องปิดอากรแสตมป์ไ ม่”
นอกจากนั้น บันทึกเงินยืมเป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมิใช่ห นังสือสัญญากยู้ ืมเงิน
จึงไ ม่เข้าล กั ษณะประมวลรษั ฎากรแม้ไ ม่ไ ด้ป ดิ อ ากรแสตมป์ก ร็ บั ฟ งั เป็นพ ยานหลักฐ านได้ (ฎ. 10428/2551)
อนึ่ง หากต้องการใช้สัญญากู้ยืมเงินมาเป็นพยานหลักฐานในคดีต ้องปิดอากรแสตมป์ให้ค รบถ้วน
ธ
มิฉะนั้นจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ เท่ากับไ ม่มีหลักฐ านในการฟ้องร้องคดี
อุทาหรณ์
มส
ส่วนกรณีถ้าคู่สัญญากู้ยืมเงินกันไว้ ซึ่งในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมีข้อความโดยละเอียดชัดเจน
และรัดกุมและส่วนใหญ่มีข้อความทเี่ ป็นประโยชน์ สำ�หรับผู้ให้กยู้ ืมเงิน ซึ่งมรี ายละเอียดในเรื่องจำ�นวนเงิน
ทีก่ ยู้ ืมกัน อัตราดอกเบี้ย กำ�หนดเวลาช�ำ ระคืน (ตามตัวอย่างสัญญากู้ยืมข้างต้น) และบางกรณีส ัญญากยู้ ืม
จะมีข้อความสงวนสิทธิของผู้ให้กู้ยืมในการเปลี่ยนแปลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่ผู้ให้กู้ยืมเป็นสถาบัน
การเงิน เช่น ธนาคาร เป็นต้น สัญญากยู้ มื เงินท ที่ � ำ ขนึ้ ด งั ก ล่าวกฎหมายได้บ ญ ั ญัตใิ ห้ป ดิ อ ากรแสตมป์อ นั เป็น
ธ
ค่าธรรมเนียมที่เป็นรายได้ของรัฐ หากสัญญากยู้ ืมเงินฉบับใดไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ไว้ (อากรแสตมป์ท ี่ปิด
สัญญากยู้ มื ปิดต ามจ�ำ นวนเงินท กี่ ยู้ มื ก นั หมืน่ ล ะหา้ บ าท) สัญญากยู้ มื ฉ บับน นั้ ก ไ็ ม่ส มบูรณ์น �ำ มาเป็นห ลักฐ าน
มส
ในการฟ้องร้องคดีหาได้ไม่ มิใช่ว่าสัญญากู้ยืมฉบับนั้นเสียไปใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมไม่ได้เพียงแต่ไม่
สมบูรณ์เท่านั้น หากมีการปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนและมีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ก่อนใช้เป็นหลักฐาน
ในการอ้างอิงในศาล สัญญากยู้ ืมเงินฉบับนั้นใช้ได้สมบูรณ์ตามกฎหมาย ดังตัวอย่างใน ฎ. 1873/2493 ซึ่ง
วินิจฉัยว่า “ประมวลรัษฎากรมาตรา 118 บังคับแต่เพียงจะใช้ตราสารเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้
จนกว่าจะได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์และขีดฆ่าแล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นทเี่ห็นได้ชัดว่า ตราสารที่มิได้ป ิดอากร
แสตมป์บริบูรณ์มาแต่เดิมก็ดี ถ้าได้มีการปิดอากรแสตมป์ขึ้นแล้วในภายหลังก็ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐาน
ในคดีแพ่งได้ทันที มิได้มีอะไรสูญเสียไป โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำ�เลยตามเอกสารสัญญากู้ แต่ปรากฏว่า
สัญญากปู้ ดิ อ ากรแสตมป์ย งั ไ ม่ค รบถว้ น เมือ่ ส บื พ ยานโจทก์เสร็จแ ล้ว สืบพ ยานจ�ำ เลยเสร็จแ ล้ว ศาลยอมให้
โจทก์นำ�สัญญากไู้ ปปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนบริบูรณ์ด ังนี้ศาลย่อมรับฟังสัญญากเู้ ป็นพยานหลักฐานได้”
ธ
ฎ. 1400/2522 เอกสารกู้เงินติดอากรแสตมป์ แต่มิได้ขีดฆ่าถือว่ายังไม่ติดอากรแสตมป์บริบูรณ์
ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้
มส
กิจกรรม 3.1.2
1. ให้นักศึกษาสรุปสาระส�ำ คัญของสัญญากู้ยืมเงิน
สธ
2. ให้นักศึกษาอธิบายว่า ทำ�ไมสัญญากู้ชนิดเบิกเงินเกินบ ัญชีไ ม่ต ้องมหี ลักฐานแห่งการกู้ (เบิก
เงินเกินบัญชี) เป็นหนังสือกฟ็ ้องร้องบังคับคดีได้
ม
3-32 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แนวตอบกิจกรรม 3.1.2
1. สาระส�ำ คัญข องการกยู้ มื เงิน ต้องมกี ารสง่ ม อบทรัพย์สนิ ท ใี่ ห้ก ยู้ มื และการกยู้ มื เงินก ว่าส องพนั
บาท ต้องมหี ลักฐานแห่งการกยู้ ืมเงินเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้กู้ยืมเป็นสำ�คัญ มิฉ ะนั้นจ ะฟ้องร้องบังคับ
คดีไม่ได้ (ปพพ. มาตรา 653)
ธ
2. สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เป็นสัญญากู้ยืมเงินที่ประกอบด้วยสัญญาบัญชีเดินสะพัด การนำ�ตั๋ว
เงินลงเป็นรายการในบัญชีเดินสะพัดนั้นท่านให้ส ันนิษฐานไว้ก ่อนว่า ลงด้วยเงื่อนไขว่าจ ะมผี ชู้ �ำ ระเงินตาม
จะน� ำ มาลงบญ
มส
ตัว๋ เงินน นั้ และถา้ ต วั๋ เงินน นั้ ม ไิ ด้ช �ำ ระเงินไ ซร้จ ะเพิกถ อนรายการอนั น นั้ เสียก ไ็ ด้ จึงเห็นไ ด้ว า่ ถ า้ ไ ม่มหี นีแ้ ล้ว
ั ชีไ ม่ไ ด้ เพราะบญ ั ชีเดินส ะพัดเป็นบ ญ ั ชีห นีท้ งั้ ส องฝา่ ยแล้วห กั ก ลบลบกนั ดังน นั้ สัญญาเบิก
เงินเกินบัญชีจึงไม่ต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ (เบิกเงินเกินบัญชี) ก็ฟ ้องร้องบังคับคดีได้
ธ
มส
ม
สธ
ม
การกู้ยืมเงิน 3-33
ตอนที่ 3.2
การกู้ยืมเงินในลักษณะอื่นและการเล่นแชร์เปียหวย
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 3.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
3.2.1 การกยู้ ืมเงินในลักษณะพิเศษ
3.2.2 การกยู้ ืมเงินโดยวิธีเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอ ย่างอื่นแทนจำ�นวนเงิน
3.2.3 การเล่นแชร์เปียหวยและการกู้ยืมเงินท ี่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
1. ก ารกู้ยืมเงินนอกจากมีการกู้ยืมเงินระหว่างเอกชนด้วยกันแล้ว ยังมีการกู้ยืมเงินใน
ลักษณะพิเศษอื่นๆ ในระหว่างรัฐกับเอกชน และรัฐกับรัฐ การกู้ยืมเงินระหว่างรัฐกับ
สถาบันการเงินในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น
2. การกู้ยืมเงินนอกจากจะส่งมอบเงินให้แก่กันแล้ว คู่สัญญาสามารถตกลงกันโดยผู้กู้ยืม
ธ
ยอมรับส งิ่ ของหรือท รัพย์สนิ อ นื่ แ ทนจ�ำ นวนเงินก ไ็ ด้ โดยคดิ เป็นห นีค้ า้ งช�ำ ระตามจ�ำ นวน
เท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลา และ ณ สถานที่ที่ส่งมอบ
มส
3. การเล่นแชร์เปียหวยไม่ใช่สัญญากู้เงิน แต่เป็นสัญญาชนิดหนึ่งซึ่งมีผลบังคับได้ตาม
กฎหมาย การเล่นแชร์ที่เข้าลักษณะของการประกอบธุรกิจมีความผิดทางอาญา ตาม
พรบ. การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 และการกยู้ ืมเงินท ี่มีลักษณะเป็นการฉ้อโกงประชาชนมี
ความผิดตามพระราชก�ำ หนดการกู้ยืมเงินทเี่ป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 3.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ ม
1. อธิบายสาระส�ำ คัญของการกยู้ ืมเงินของสถาบันการเงินอื่น และการกู้ยืมเงินของรัฐได้
2. อธิบายถึงวิธีการกู้ยืมเงินโดยยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นแทนจำ�นวนเงินได้
3. อธิบายลักษณะของการเล่นแชร์เปียหวย การเล่นแชร์ที่เข้าลักษณะความผิดทางอาญา
และลักษณะการกยู้ ืมเงินทเี่ ป็นการฉ้อโกงประชาชนได้
สธ
ม
3-34 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 3.2.1
การกู้ยืมเงินในลักษณะพิเศษ
ธ
นอกจากการกยู้ มื เงินในระหว่างเอกชนกบั เอกชนแล้ว ยังม กี ารกยู้ มื เงินร ะหว่างรฐั ก บั เอกชน ระหว่าง
รัฐกับสถาบันการเงินในประเทศและสถาบันการเงินต่างประเทศ ซึ่งมีวิธีการในทางปฏิบัติต่างไปจากการ
มส
กู้ยืมกันระหว่างเอกชนกับเอกชนดังนี้
1. การกู้ยืมเงินระหว่างรัฐกับเอกชน
เมือ่ ร ฐั บาลตอ้ งการใช้เงินท นุ เพือ่ พ ฒ
ั นาประเทศหรือท �
ำ กจิ การใดเพือ่ ส าธารณูปโภค นอกจากรายได้
จากการเก็บภาษีอากรจากราษฎรแล้ว วิธีทรี่ ัฐจะได้มาซึ่งเงินทุนดังกล่าวทำ�ได้โ ดยการออกพันธบัตร หรือ
ตัว๋ เงินค งคลัง19 ในประเทศไทยเมือ่ ร ฐั บาลตอ้ งการเงินท นุ ด งั ก ล่าว รัฐจ ะออกพนั ธบัตรรฐั บาลมกี �ำ หนดระยะ
เวลา เช่น 5 ปี 10 ปี ตามความเหมาะสม และจะก�ำ หนดดอกเบี้ยในพันธบัตรรัฐบาลนั้นปกติจะเท่ากับอัตรา
ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ� หรือสูงก ว่าเล็กน ้อยเพื่อเป็นการจูงใจให้มีผู้ซื้อพันธบัตรมากขึ้น พันธบัตรรัฐบาล
นับเป็นหลักประกันทมี่ ั่นคง เมื่อผ ู้ใดถือพันธบัตรรัฐบาล20 ก็เท่ากับผู้นั้นเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลในจำ�นวนเงินท ี่
ธ
ปรากฏในพันธบัตร21
นอกจากการออกพนั ธบัตรเป็นท างให้ร ฐั ไ ด้ม าซงึ่ เงินท นุ เท่ากับร ฐั ก ยู้ มื เงินจ ากประชาชนแล้ว แหล่ง
เงินกู้ทสี่ �ำ คัญอีกแหล่งหนึ่งของรัฐกค็ ือ ธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐจะกเู้ งินจากธนาคารแห่งประเทศไทย
มส
ตามระเบียบวิธีการทางการเงินการธนาคารของประเทศ
2. การกู้ยืมเงินระหว่างรัฐกับรัฐ
ในกรณีร ฐั บาลตอ้ งการเงินท นุ เพือ่ จ ะด�ำ เนินก ารตามโครงการใดของรฐั นอกจากวธิ กี ารขอ้ 1 แล้ว รัฐย งั
มีว ธิ หี าเงินท นุ โดยกยู้ มื จ ากรฐั ต า่ งประเทศโดยตวั แทนของรฐั บาล เช่น นายกรฐั มนตรีจ ะเจรจากบั ต วั แทนของ
ม
รัฐต่างประเทศถึงเรื่องความต้องการความช่วยเหลือทางการเงินโดยวิธีกู้เงินซึ่งจะตกลงในเรื่องจำ�นวนเงิน
อัตราดอกเบี้ย กำ�หนดเวลาช�ำ ระคืน ซึ่งการให้ความช่วยเหลือของรัฐต ่างประเทศมักจ ะให้ความช่วยเหลือ
เพื่อรัฐผู้กู้ใช้ในโครงการระยะยาว เช่น ในโครงการแก๊สธรรมชาติ รัฐสามารถกู้เงินได้จากมิตรประเทศ เช่น
ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษและฝรั่งเศส เป็นต้น โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผดู้ ำ�เนินการกู้ยืม
โดยผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย
สธ
19 วารี พงษ์เวช เรื่องเดียวกัน น. 91.
20 ผู้ถือพันธบัตร เป็นผ
ู้ซื้อพันธบัตรจากรัฐบาลและเป็นเจ้าของพันธบัตร
21 ม.ร.ว. คึกฤ
ทธิ์ ปราโมช การธนาคารพาณิชย์ ธนาคารศรีนครจดั พ มิ พ์เป็นอ นุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศ พพระยา-
โทณวณิก มนตรี กรุงเทพมหานคร เกษมสัมพันธ์ก ารพิมพ์ พ.ศ. 2516 น. 41.
ม
การกู้ยืมเงิน 3-35
3. การกู้ยืมเงินของสถาบันการเงินในประเทศ
การกู้ยืมเงินของสถาบันการเงินในประเทศ ได้แก่
3.1 การกู้ยืมเงินของธนาคารพาณิชย์
3.2 การกู้ยืมเงินของบริษัทเงินทุนและค้าหลักทรัพย์ หรือสถาบันการเงินอื่น
3.1 การกู้ยืมเงินของธนาคารพาณิชย์ การกยู้ ืมเงินของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ ได้แก่ การกยู้ ืม
ธ
เงินระหว่างธนาคารพาณิชย์กับธนาคารพาณิชย์เพื่อด�ำ รงเงินสดสำ�รองตามกฎหมายและอื่นๆ
ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยกยู้ ืมเงินได้จากแหล่งที่สำ�คัญ 3 แหล่ง คือ
มส 1) ธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศ
2) ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ
3) ธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยกู้ยืมเงินจ ากธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศเป็นจ ำ�นวนมากที่สุด
เมื่อเปรียบเทียบกับการกจู้ ากแหล่งอื่นอีก 2 แหล่ง22 สาเหตุเพราะจากลักษณะเฉพาะของการด�ำ เนินงาน
ของธนาคารในประเทศอย่างหนึ่ง คือการที่ธนาคารให้เครดิตแก่ลูกค้าเพื่อการส่งสินค้าออกหรือสั่งสินค้า
เข้าแล้ว ธนาคารมักจะไปขอเปิด Credit กับธนาคารในต่างประเทศต่ออีกทหี นึ่งโดยเฉพาะเครดิตเพื่อการ
สั่งสินค้าเข้า
เหตุส�ำ คัญ 2 ประการทธี่ นาคารพาณิชย์ในประเทศมักไปกยู้ ืมเงินจากธนาคารต่างประเทศ
ธ
1. ธนาคารพาณิชย์ส ามารถกยู้ มื จ ากตลาดเงินในตา่ งประเทศเกือบจะไม่มขี อบเขตจ�ำ กัด และเสีย
ดอกเบี้ยในอัตราตํ่ากว่าทธี่ นาคารแห่งประเทศไทยเรียกเก็บ
มส
3) การกยู้ มื เงินธ นาคารแห่งป ระเทศไทย ธนาคารแห่งป ระเทศไทยเป็นแ หล่งก ยู้ มื แ หล่งส ดุ ท้าย
ของธนาคารพาณิชย์ เพราะหากธนาคารพาณิชย์ส ามารถกยู้ มื ไ ด้จ ากธนาคารอนื่ ธนาคารแห่งป ระเทศไทย
จะไม่ให้ก ู้ ธนาคารแห่งป ระเทศไทยจะให้ธ นาคารพาณิชย์ก ยู้ มื เงินเพือ่ ให้ธ นาคารพาณิชย์ด �ำ รงเงินสดส�ำ รอง
ไว้หรือเพื่อผดุงฐานะของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น การให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมนั้นอาจไม่มีหลักประกันใด
แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขการชำ�ระคืนตามข้อก�ำ หนดของธนาคารแห่งประเทศไทย
ธ
ธนาคารพาณิชย์กยู้ ืมเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ 2 วิธี
1) กูย้ มื โ ดยมหี ลักท รัพย์ร ฐั บาลไทย24 เป็นป ระกัน ธนาคารแห่งป ระเทศไทยพจิ ารณาให้ก ยู้ มื
มส
เป็นรายๆ ไปตามความจำ�เป็นของแต่ละธนาคาร เช่น เพื่อดำ�รงเงินสดสำ�รองให้ถูกต้องตามที่กฎหมาย
กำ�หนด หรือเพื่อช่วยเหลือธนาคารโดยทำ�หนังสือขอกู้และวางหลักทรัพย์รัฐบาลเป็นประกันตามระเบียบ
แล้ว ธนาคารแห่งป ระเทศไทยจะจา่ ยเงินก ใู้ ห้ท นั ที นอกจากนธี้ นาคารพาณิชย์ย งั อ าจท�
กู้เงินและวางหลักทรัพย์รัฐบาลเป็นประกันล่วงหน้าได้ด้วย และเมื่อมีความจำ�เป็นต้องใช้เงินขึ้น ธนาคาร
พาณิชย์ก เ็ พียงแต่อ อกตวั๋ ส ญ
ำ หนังสือค วามตกลง
มักจะรวมอยูด่ ้วยกัน
แหล่งสำ�คัญของเงินทุนของบริษัทเงินทุน การกู้ยืมเงินจากประชาชนโดยวิธีขายตั๋วสัญญาใช้เงิน
กำ�หนดอายุในตั๋ว และกำ�หนดดอกเบี้ยให้การกู้ยืมเงินและเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารพาณิชย์26 ส่วน
สถาบันการเงินอื่น เช่น บริษัทเครดิตฟองซิเอร์บ้านและที่ดิน ทรัสต์ ก็มที างหาเงินทุนโดยวิธกี ารกู้ยืมเงิน
ทางหนึ่ง ซึ่งกเ็ ป็นไปในทำ�นองเดียวกับสถาบันการเงินที่ได้กล่าวมาแล้ว
4. การกู้ยืมเงินของรัฐบาลกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศ
แห่งส หภาพยโุ รป (EBC) ธนาคารของอเมริกา (OECF) เป็นต้น ซึง่ ในทนี่ จี้ ะขอยกตวั อย่างเพือ่ ให้ท ราบถงึ
วัตถุประสงค์เงื่อนไขของการกยู้ ืมเงินเฉพาะสถาบันท ี่สำ�คัญที่สุดค ือ ธนาคารโลก
สธ
24 หลักทรัพย์รัฐบาล ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล
25 ฝ่ายวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย หนังสือที่ระลึกครบรอบ 30 ปี ประวัติและการดำ�เนินงานของธนาคารแห่ง
ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร ห้างหุ้นส่วนจำ�กัด ศิวพร พ.ศ. 2515 น. 43.
26 สุรักษ์ บุญนาค และวณี จงศิริรัตน์ เรื่องเดียวกัน น. 159.
ม
การกู้ยืมเงิน 3-37
ธ
มีสมดุลโดยการสนับสนุนการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาทรัพยากรที่จะเพิ่มกำ�ลังผ ลิตของประเทศ
สมาชิก นอกจากนี้ธนาคารโลกยังช่วยเหลือรัฐบาลโดยทางอ้อมโดยวิธีค� ้ำ ประกันหรือเข้าร่วมกับบุคคลอื่น
มส
ในการให้เอกชนกยู้ ืมและลงทุนในต่างประเทศ
ประเทศที่เป็นสมาชิกของธนาคารโลกเวลานี้มีสมาชิกกว่า 185 ประเทศ28 รวมทั้งประเทศไทย
การช�ำ ระค่าหุ้นในธนาคารโลกต้องชำ�ระเป็นทองคำ�หรือดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 2 ของจำ�นวนเงินที่
จะต้องช�ำ ระทั้งหมด ส่วนอีกร้อยละ 18 จะต้องช�ำ ระเป็นเงินตราของสมาชิกที่ซื้อหุ้นและฝากไว้ ณ ธนาคาร
กลางของประเทศสมาชิก เช่น เงินบาทก็ฝากไว้ ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น29
โดยทั่วๆ ไปธนาคารโลกมีอำ�นาจกำ�หนดอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลา และกำ�หนดเงื่อนไขในการ
ไถ่ถอนเงินทธี่ นาคารให้กไู้ ป และก�ำ หนดเงื่อนไขที่ธนาคารจะค้ำ�ประกันเงินกู้ของสมาชิกหรือเอกชน
เนื่องจากธนาคารโลกเป็นสถาบันการเงินที่สำ�คัญที่สุด ดังนั้น จึงได้กำ�หนดเงื่อนไขในการให้
ประเทศสมาชิกกู้ยืมเงิน หรือค้ำ�ประกันค่อนข้างเคร่งครัด ซึ่งจะขอยกขึ้นมากล่าวเป็นตัวอย่างพอให้เห็น
ธ
เป็นแนวทางดังนี้
เงื่อนไขในการให้กยู้ ืมและค้ำ�ประกัน ธนาคารโลกมีเงื่อนไขในการให้กู้ยืมและค้ำ�ประกันดังนี้
มส
4. ในการให้กู้ยืมหรือค้ำ�ประกัน ธนาคารจะพิจารณาตามสมควรว่าผู้กู้หรือผู้ค้ำ�ประกันมีความ
สามารถชำ�ระหนี้ ธนาคารจะตั้งกรรมการผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคขึ้นเพื่อศึกษาโครงการและรายงานว่า
โครงการนนั้ จ ะเพิม่ ก �ำ ลังผ ลิต จะเพิม่ พูนท รัพย์แ ละทรัพยากรของประเทศและเป็นป ระโยชน์ช ว่ ยให้ส มาชิก
มีฐานะดีขึ้นในดุลชำ�ระเงินระหว่างประเทศเพียงใดหรือไ ม่
5. สมาชิกจ ะตดิ ต่อก บั ธ นาคารโดยผา่ นกระทรวงการคลัง ธนาคารกลางกองทุนจ ดั เสถียรภาพหรือ
ธ
ตัวแทนการคลังท ที่ �ำ หน้าทีค่ ล้ายคลึงกนั และธนาคารจะตดิ ต่อก บั ส มาชิกโ ดยผา่ นเจ้าห น้าทีด่ งั ก ล่าวเท่านัน้
6. ธนาคารไม่บ ังคับห รือม เีงื่อนไขว่าเงินก ทู้ ผี่ กู้ ไู้ ด้ร ับไ ปนั้น จะต้องเอาไปใช้ภ ายในอาณาเขตของ
มส
สมาชิกหรือของบรรดาสมาชิก โดยเฉพาะเงินที่กู้ยืมไปนั้นสมาชิกจะเอาไปใช้ในประเทศสมาชิกใดก็ได้
ฉะนั้นธนาคารจึงช่วยให้สมาชิกได้กู้ยืมเงินในตลาดทุนโดยเสียดอกเบี้ยถูกและช่วยให้สมาชิกได้ใช้เงินซื้อ
วัตถุดิบและเครื่องจักร ฯลฯ จากทที่ ี่มีราคาถูก30
รัฐบาลไทยสามารถกยู้ ืมเงินจากธนาคารโลกได้ตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น ซึ่งธ นาคารโลกได้ให้
ความชว่ ยเหลือแ ก่ร ฐั บาลไทยในการพฒ ั นาประเทศมาโดยตลอด ธนาคารโลกให้ก ยู้ มื ร ะยะยาวกว่าธ นาคาร
พาณิชย์โดยสามารถกไู้ ด้ในระยะยาว 15–20 ปี ขยายเวลาการช�ำ ระหนี้คืนงวดแรกเป็น 3–5 ปี รัฐบาลของ
หลายประเทศที่กำ�ลังพัฒนาให้กเู้ งินไปเพื่อจัดท� ำ โครงการต่างๆ เช่น ความพยายามลดความยากจน การ
จัดบ ริการทางสังคมการพิทักษ์ส ิ่งแ วดล้อม และการสนับสนุนก ารเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจ ะนำ�ไปสกู่ ารยก
ระดับมาตรฐานการครองชีพ31
ธ
มส
กิจกรรม 3.2.1
ให้น กั ศึกษาทบทวนเนือ้ หาของเรือ่ งที่ 3.2.1 แล้วล องให้ค �
ำ ตอบวา่ ธนาคารโลกให้ก ยู้ มื แ ก่ป ระเทศ
สมาชิกเพื่อวัตถุประสงค์ใด
แนวตอบกิจกรรม 3.2.1
ธนาคารโลกให้ประเทศสมาชิกกู้ยืมเพื่อช่วยเหลือในการบูรณะและพัฒนาภายในอาณาเขตของ
สมาชิก ม
สธ
30 เรื่องเดียวกัน น. 477-479.
31 www.worldbank.org/website/External/Countries.
ม
การกู้ยืมเงิน 3-39
เรื่องที่ 3.2.2
การกู้ยืมเงินโดยวิธีเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจำ�นวนเงิน
ธ
การกยู้ มื เงินโ ดยวธิ เี อาสงิ่ ของหรือเอาทรัพย์สนิ อ ย่างอนื่ แ ทนจ�ำ นวนเงินน เี้ ป็นการกยู้ มื เงินก นั โ ดย
มิได้มีการส่งมอบเงินให้แก่กันตามลักษณะสัญญายืมใช้ส ิ้นเปลืองทั่วไป ตาม ปพพ. มาตรา 650 วรรคสอง
มส
ซึ่งบัญญัติว่า “สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม” ในการกู้ยืมเงินวัตถุแห่งสัญญาต้อง
มอบเงินแก่กัน แต่ตามกรณีทจี่ ะกล่าวนี้เป็นการกู้ยืมเงินกันโดยมวี ัตถุแห่งสัญญาเป็นสิ่งของหรือท รัพย์สิน
อืน่ ซึง่ ก รณีน จี้ ะท�ำ ได้เพียงใดและมผี ลบงั คับก นั ต ามกฎหมายหรือไ ม่ การกยู้ มื เงินก นั โ ดยมวี ตั ถุแ ห่งส ญ
เป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นได้บัญญัตไิ ว้ใน ปพพ. มาตรา 656 ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าทำ�สัญญากู้ย ืมเงินก ัน และ
ผู้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจำ�นวนเงินนั้นไซร้ ท่านให้คิดเป็นหนี้เงินค้างชำ�ระโดย
จำ�นวนเท่ากับร าคาทอ้ งตลาดแห่งส งิ่ ของหรือท รัพย์สนิ น นั้ ใ นเวลาและ ณ สถานทสี่ ง่ ม อบ” ดังน นั้ จ ะเห็นว า่ ก รณี
ดังกล่าวนที้ ำ�ได้เมื่อผู้กยู้ ืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจำ�นวนเงินนั้น เช่น กั้ง ยืมเงิน เข่ง
ั ญา
โดยกงั้ ผ กู้ ยู้ มื ต กลงกบั เข่งผ ใู้ ห้ก วู้ า่ จ ะรบั เอาขา้ วสารหนึง่ ก ระสอบแทนจ�ำ นวนเงินต ามกรณีน ี้ กัง้ เป็นห นีเ้ งิน
ค้างชำ�ระแก่ เข่งโดยจำ�นวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่
ธ
ส่งม อบขา้ วสารนนั้ เช่น ในขณะทสี่ ง่ ม อบขา้ วสารกนั น นั้ ข้าวสารมรี าคาในทอ้ งตลาดกระสอบละ 1,000 บาท
กรณีนถี้ ือว่า กั้งเป็นหนีเ้ งินค้างชำ�ระแก่เข่งจำ�นวน 1,000 บาท ตามราคาข้าวสารในขณะนั้น
ในทางกลับก นั ก รณีก ารช�ำ ระหนีท้ กี่ ยู้ มื ก นั ผูก้ ตู้ กลงกบั ผ ใู้ ห้ก ยู้ มื เงินว า่ จ ะช�ำ ระสงิ่ ของหรือท รัพย์สนิ
มส
อืน่ แ ทนจ�ำ นวนเงินท กี่ ยู้ มื ก นั คูส่ ญ ั ญายอ่ มตกลงเช่นน นั้ ไ ด้ หากขอ้ ส ญ ั ญาดงั ก ล่าวไม่ข ดั ต อ่ ม าตรา 656 วรรค
สอง ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าทำ�สัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการ
ชำ�ระหนีแ้ ทนเงินท กี่ ยู้ มื ไ ซร้ หนีอ้ นั ร ะงับไ ปเพราะการช�ำ ระเช่นน นั้ ทา่ นให้ค ดิ เป็นจ �ำ นวนเท่ากับร าคาทอ้ งตลาด
แห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานทสี่ ่งมอบ”
ปกติในการกู้ยืมเงินเวลาชำ�ระหนี้ผู้กู้ต้องชำ�ระคืนด้วยเงิน แต่มีบางกรณีที่ผู้ให้กู้ยินยอมรับเอา
ม
สิง่ ของหรือท รัพย์สนิ อ ย่างอนื่ แ ทนการช�ำ ระหนีด้ ว้ ยเงินก เ็ ป็นไ ด้ ซึง่ ก ารยอมรับส งิ่ ของหรือท รัพย์สนิ อ นื่ ใดนี้
คู่สัญญาจะตกลงกันไว้ในขณะทำ�สัญญากู้ยืมเงิน หรือมาตกลงกันในขณะชำ�ระหนี้ ข้อนี้เห็นว่าตกลงกัน
เวลาใดกไ็ ด้ เพียงแต่ผ ใู้ ห้ก ยู้ อมรับก เ็ ป็นอ นั ใช้ได้ ข้อส �ำ คัญต อ้ งตกลงในเรือ่ งราคาสงิ่ ของหรือท รัพย์สนิ อ นื่ ใน
เวลาและ ณ สถานทสี่ ง่ ม อบ การปฏิบตั เิ ช่นน นั้ ก ถ็ อื ว่าใช้ได้ต ามกฎหมาย เช่น กัง้ กูย้ มื เงิน เข่ง จำ�นวน 1,000 บาท
โดยตกลงกันว่าในเวลาชำ�ระหนี้กั้ง จะชำ�ระด้วยข้าวสารจำ�นวน 1 กระสอบแทนจำ�นวนเงิน 1,000 บาท
ดังนั้น เมื่อเข่ง ตกลงยินยอมด้วยในขณะชำ�ระหนี้ โดยยอมรับเอาข้าวสารนั้นแทนจำ�นวนเงิน 1,000 บาท
โดยคิดราคาข้าวสารนั้นตามราคาท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ เมื่อเข่ง ยอมรับข้าวสารนั้น
สธ
ไว้เท่ากับเป็นการชำ�ระหนี้ หนี้อันนั้นกร็ ะงับสิ้นไ ปเพราะการช�ำ ระเช่นนั้น ความตกลงของคู่สัญญาดังกล่าว
มีผลบังคับได้ ซึ่งการที่กฎหมายบังคับไว้เช่นนั้น เป็นการยุติธรรมสำ�หรับผู้ให้กู้ยืมและผู้กู้ยืม คือการให้
คิดราคาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นที่ส่งมอบเท่ากับราคาแห่งท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้น
ม
3-40 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ข้าวสารในท้องตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็นกระสอบละ 1,500 บาท ผู้กู้ก็ไม่ต้องชำ�ระเงินให้ผู้กู้เท่าจำ�นวนราคา
ข้าวสารในขณะนั้น ผู้กู้คงชำ�ระเงินเท่ากับราคาข้าวสารขณะส่งมอบเท่านั้นคือ 1,000 บาท หรือกรณี
มส
กลับกัน ผู้กู้ได้กู้เงินจากผู้ให้กู้ 1,000 บาท ในขณะชำ�ระหนี้ ผู้ให้กู้ยินยอมจะให้ผู้กู้ชำ�ระคืนด้วย
ข้ า วสารช นิ ด ห นึ่ ง ซึ่ง ใ นข ณะที่ไ ด้กู้ยืม เงิน กัน ราคาข้าวสารชนิด นั้นมี ราคา 1,500 บาท แต่ ขณะที่
ผู้กู้ชำ�ระหนี้คืนผ ู้ให้กู้ยืมราคาในท้องตลาดของข้าวสารดังกล่าวลดลงเหลือกระสอบละ 1,000 บาท ดังนั้น
ผูก้ ไู้ ม่จ �
ำ ตอ้ งหาขา้ วสารชนิดร าคา 1,500 บาท มาช�ำ ระให้แ ก่ผ ใู้ ห้ก ู้ ผูก้ ชู้ �ำ ระขา้ วสารให้แ ก่ผ ใู้ ห้ก ตู้ ามราคาทอ้ ง
ตลาดในขณะนั้น คือ 1,000 บาท หากผู้ให้กู้ยอมรับการชำ�ระหนีด้ ้วยข้าวสาร ซึ่งเป็นการรับช�ำ ระหนีด้ ้วย
สิ่งของหรือทรัพย์สินอื่น ถือว่าหนี้ได้ระงับสิ้นไปเพราะการชำ�ระหนี้นั้น ผู้ให้กู้จะบังคับให้ผู้กู้ชำ�ระหนี้ด้วย
ข้าวสารชนิดท ี่มีราคาสูง โดยคิดราคาขณะทใี่ ห้ก ู้ยืมไม่ไ ด้
อนึ่ง เดิมม ีประกาศห้ามมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ. 1239 (พ.ศ. 2420) ซึ่งห้ามมิให้ตกลงส่งใช้
ต้นเงินแ ละดอกเบีย้ เป็นข า้ วโดยก�ำ หนดจ�ำ นวนขา้ วแน่นอนวา่ เป็นจ �ำ นวนเท่านัน้ เท่าน ี้ ถ้าไ ด้ต กลงกนั เช่นน ี้
ธ
เรียกว่า ทำ�สัญญาตกข้าว ห้ามมิให้ศาลบังคับคดีให้ แต่ถ้าคกู่ รณีได้ต ีราคาข้าวหรือกำ�หนดราคาไว้แ น่นอน
เช่น กู้ยืมเงินไป 1,000 บาท ให้ชำ�ระคืนด ้วยข้าวสาร 1 กระสอบ ราคา 1,000 บาท ย่อมทำ�ได้ไ ม่ต้องห้าม
มส
ฎ. 1683/2493 สัญญากู้เงินมีใจความว่ากู้เงินไปจำ�นวนหนึ่งสัญญาจะใช้คืนภายในกำ�หนดและมี
ข้อความวา่ ผ กู้ ไู้ ด้น �
ำ นาแปลงหนึง่ ม าให้ผ ใู้ ห้ก ยู้ ดึ ไ ว้เป็นป ระกัน โดยมบี นั ทึกว า่ นารายนขี้ า้ พเจ้าไ ม่น �
ำ ตน้ เงิน
และดอกเบี้ยมาให้ท่านตามสัญญานี้ ข้าพเจ้ายอมโอนที่นารายนี้ให้แก่ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ดังนี้ถือว่าเป็น
สัญญากหู้ นีธ้ รรมดาไม่ใช่ส ัญญาจะซื้อข ายทนี่ า ฉะนั้นจ ึงต ้องบังคับต ามกฎหมายว่าด ้วยยืมใช้ส ิ้นเปลืองคือ
ตาม ปพพ. มาตรา 650 เมือ่ ต กลงกนั ล ว่ งหน้าว า่ ถ า้ ไ ม่ช �ำ ระหนีภ้ ายในก�ำ หนดยอมโอนทนี่ าให้เป็นก รรมสิทธิ์
ธ
จึงเป็นการเอาทรัพย์สินอย่างอื่นชำ�ระหนี้แทนเงินกันทีเดียวโดยมิคำ�นึงถึงราคานาเสียเลย จึงเป็นการฝ่าฝืน
มาตรา 656 วรรคสอง และตกเป็นโมฆะ ตามวรรคสาม ผู้ให้กจู้ ึงไ ม่มสี ิทธิที่จะฟ้องขอให้บ ังคับผู้กโู้ อนทนี่ า
มส
ให้แก่ตนตามสัญญาได้
ฎ. 766–767/2506 (ป.ใหญ่) “ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ว่าเมื่อผู้กู้ไม่ใช้เงินต้องโอนสิทธิการเช่าให้แก่
ผู้ให้กู้โดยไม่ต้องคำ�นึงถึงว่าสิทธิแห่งการเช่านั้น มีราคาเท่าใดในท้องตลาดในเวลาส่งมอบ ย่อมขัดกับ
ปพพ. มาตรา 656 วรรคสองจึงเป็นโมฆะตามวรรคสามผู้ให้กู้ไม่มีสิทธิฟ้องให้โอนสิทธิการเช่าดังกล่าว”
กรณีนแี้ ม้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะ แต่ถ้าค ู่กรณีได้ทำ�สัญญากยู้ ืมเงินก ันจ ริง ผู้ให้กกู้ ม็ ีสิทธิฟ้องเรียกเงิน
ำ พิพากษาศาลฎีกาที่ 3052/2527 วินิจฉัยไว้ด ังนี้ “จำ�เลยทำ�สัญญาโอนสิทธิ
ที่ให้กยู้ ืมคืนได้ แต่ต่อมามีค�
การเช่าอาคารพาณิชย์กับโจทก์มีข้อความว่า ตามที่จำ�เลยทำ�สัญญากู้เงินโจทก์ จำ�เลยตกลงโอนสิทธิการ
เช่าให้แก่โจทก์และโจทก์ตกลงรับโอน ภายใต้เงื่อนไขบังคับก่อนว่า การโอนสิทธิการเช่ารายนี้จะบังเกิดผ ล
สมบูรณ์ต ามกฎหมายกต็ อ่ เมือ่ จ �ำ เลยผดิ นัดไ ม่ช �ำ ระหนีต้ ามสญ ั ญากเู้ งินในการโอนสทิ ธิก ารเช่า เมือ่ ผ รู้ บั โอน
ธ
ตีราคาสิทธิการเช่าตามราคาทรัพย์ในท้องตลาดตามนัยแห่งมาตรา 656 ของ ปพพ. ในเวลาและสถานที่
ส่งม อบแล้ว หากได้เงินไ ม่พ อช�ำ ระหนีจ้ �ำ เลยยนิ ยอมช�ำ ระหนีส้ ว่ นทขี่ าดแก่โจทก์จ นครบ และปรากฏตอ่ ม าวา่
มส
จำ�เลยผิดนัดชำ�ระหนี้เงินกู้ตามสัญญา ดังนี้หนี้เงินกู้เดิมซึ่งเป็นหนี้ประธานมีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้น
มิได้มกี ารเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระส�ำ คัญอันจะท�ำ ให้หนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไป เพราะเมื่อต ีราคาสิทธิก ารเช่า
ตามราคาทรัพย์ในท้องตลาดตามนัยแห่งมาตรา 656 ในเวลาและสถานที่ที่ส่งมอบแล้ว หากได้เงินไม่พอ
ชำ�ระหนี้ จำ�เลยยนิ ยอมช�ำ ระหนีส้ ว่ นทขี่ าดจนครบ สัญญาโอนสทิ ธิก ารเช่าด งั ก ล่าวจงึ เป็นเพียงหลักป ระกัน
การชำ�ระหนี้เงินกเู้ พื่อให้โจทก์สามารถบังคับเอาช�ำ ระหนี้เงินก ไู้ ด้เท่านั้น หาเป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ เมื่อ
โจทก์ไม่สามารถรับโอนสิทธิการเช่าตามสัญญาเนื่องจากจำ�เลยอ้างว่ายังมิได้ผิดสัญญาจำ�เลยก็ต้องรับผิด
ม
ชำ�ระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง” ความเป็นโมฆะก็เฉพาะเรื่องการคิดราคาไม่ทำ�ให้สัญญากู้เสียไป
ฎ. 779/2497 “การกเู้ งินโดยมีข้อสัญญาว่าถ ้าไม่ใช้เงินกคู้ ืน ผู้กยู้ อมโอนกรรมสิทธิท์ ี่นาให้นั้น ข้อ
ตกลงทเี่ ป็นโมฆะตามมาตรา 656 วรรคสองและวรรคสาม ก็เฉพาะเรื่องการคิดราคาทรัพย์ท ี่ใช้แ ทนเงินกู้
เท่านั้น หาทำ�ให้สัญญากู้เสียไปทั้งฉบับไม่ ผู้ให้กู้ฟ้องเรียกเงินคืนได้” แต่ถ้าเป็นการสละการครอบครอง
ล่วงหน้าท �ำ ได้ต าม ฎ. 2146/2520 กูเ้ งินแ ล้วม อบนาให้ท � ำ กนิ ต า่ งดอกเบีย้ แ ละท�
ำ หนังสือย กนาให้เจ้าห นีเ้ มือ่
ผูก้ ตู้ าย เป็นการสละการครอบครองลว่ งหน้าแ ทนการช�ำ ระหนีไ้ ม่ข ดั ต อ่ ม าตรา 656 วรรคสองและวรรคสาม
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 2033/2541 ล. มีสิทธิได้โควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลจากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
งวดละ 10 เล่มครึ่ง ได้มอบโควต้าให้ ส. ไปรับสลากกินแบ่งแทนโดย ส. ต้องชำ�ระเงินให้แก่สภาสังคม
สงเคราะห์ฯ ในนามของ ล. ไปก่อน ถือได้ว่า ล.เป็นตัวการให้ ส. เป็นตัวแทน ตาม ปพพ. มาตรา 797
ม
3-42 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
สิง่ ของหรือท รัพย์สนิ อ ย่างอนื่ แ ทนการช�ำ ระหนีแ้ ทนเงินก ู้ แต่ไ ม่ป รากฏวา่ ไ ด้ม กี ารตกลงวา่ ส ทิ ธิก ารเช่าซ อื้ ท ดี่ นิ
และบา้ นพพิ าททตี่ ใี ช้ห นีเ้ งินย มื ม รี าคาเท่าใด เท่ากับร าคาในทอ้ งตลาดในเวลาและสถานทมี่ อบหรือไ ม่ ข้อต กลง
มส
ดังกล่าวจึงขัดต่อ ปพพ. มาตรา 656 วรรคสอง ตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 656 วรรคสาม การโอนสิทธิการ
เช่าซื้อท ี่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์โดยยินยอมของ ส. ย่อมไม่มผี ลบังคับ ถือไม่ได้ว ่าจำ�เลยได้โอนสิทธิ
การเช่าซื้อที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ แม้จะมีการทำ�สัญญาโอนสิทธิการเช่าต่อการเคหะแห่งชาติ
และโจทก์ได้ชำ�ระค่าเช่าซื้อให้แก่การเคหะแห่งชาติเสร็จสิ้น ทั้งได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและ
บ้านพิพาทเป็นของโจทก์แล้วก ็ตาม ก็หาทำ�ให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านดังกล่าวไม่
ฎ. 6449/2544 จำ�เลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องเพื่อช�ำ ระหนีข้ อง ป. ให้แก่จำ�เลยร่วมภายหลังที่
ศาลได้ม คี �ำ สงั่ ต งั้ โจทก์เป็นผ จู้ ดั การมรดกของ ป. ผูต้ ายแล้ว แม้จ �ำ เลยรว่ มจะเป็นท ายาทของ ป. ผูต้ ายกเ็ ป็น
บุคคลที่ไม่มสี ิทธิรับชำ�ระหนี้แทน ป. ผู้ตาย ประกอบกับข้อตกลงการโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว เพื่อ
ชำ�ระหนี้เงินกยู้ ืม ไม่ปรากฏว่าไ ด้คิดเป็นหนี้เงินทคี่ ้างชำ�ระจำ�นวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งที่ดินในวันที่
ธ
จดทะเบียน จึงเป็นข้อตกลงชำ�ระหนี้เงินกู้ยืมด้วยทรัพย์สินอื่นแทนจำ�นวนเงินที่กู้ยืมโดยไม่มีการคำ�นวณ
หนี้เงินที่ค้างชำ�ระเท่ากับราคาท้องตลาดของที่ดินที่อ้างว่าโอนเพื่อใช้หนี้แทนให้จำ�เลยร่วม ข้อตกลง
มส
ดังก ล่าวจงึ ข ดั ต อ่ ปพพ. มาตรา 656 วรรคหนึง่ ย่อมตกเป็นโ มฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม การจดทะเบียน
โอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวหาทำ�ให้ห นี้เงินก รู้ ะงับไม่
ฎ. 7378/2552 การกู้ยืมเงินโดยผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาที่ดินเป็นการชำ�ระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมนั้น
ปพพ. มาตรา 656 วรรคสองบัญญัติให้หนี้เป็นอันระงับไปเพราะการชำ�ระเช่นนั้นให้ต้องคิดเป็นจำ�นวน
เท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบในวันที่ 9 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นวันจดทะเบียนโอนที่ดินตีราคาที่ดิน 590,000 บาท ซึ่งเป็นราคาประเมินของกรม
ม
ที่ดิน แม้โจทก์จำ�เลยจะมิได้นำ�สืบถึงราคาซื้อขายในท้องตลาดที่แท้จริงซึ่งเป็นราคาที่ดินเป็นหลักใน
การคำ�นวณ ณ เวลาที่ส่งมอบ แต่ก็เห็นได้ว่าราคาประเมินในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของ
กรมที่ดินในเบื้องต้นพอจะอนุมานได้ว่าน่าจะใกล้เคียงกับราคาท้องตลาดและไม่แตกต่างกันมาก เว้น
แต่จะมีเหตุผลพิเศษสำ�หรับที่ดินบางแปลงเป็นการเฉพาะรายเท่านั้น ราคาที่ดินขณะจดทะเบียน
โอนกรรมสิทธิ์จึงสูงกว่าภาระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยค้างชำ�ระตามที่จำ�เลยอ้าง ซึ่งมีอยู่ประมาณ
230,000 บาท จำ�เลยก็รับว่ามีส่วนต่างอยู่ประมาณ 300,000 บาท ดังนี้ ความตกลงดังกล่าวย่อมตก
เป็นโมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 656 วรรคสาม ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ
สธ
เรียบร้อยของประชาชน เพราะเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้กู้และทำ�ให้ผู้ให้กู้ได้เปรียบในทางทรัพย์สิน
เงินทอง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาและเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาโดยชอบในศาลล่าง ศาลฎีกาก็มีอำ�นาจ
ม
การกู้ยืมเงิน 3-43
หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.ว.พ. มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 เมื่อก ารโอน
กรรมสิทธิท์ ี่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะ จำ�เลยจึงไม่ไ ด้ที่ดินไปทางทะเบียน
ฎ. 6852/2553 การโอนขายที่ดินระหว่างโจทก์ก บั จำ�เลยที่ 1 เป็นกรณีสบื เนื่องมาจากการที่โจทก์ได้
กู้เงินจ ากจำ�เลยที่ 2 แล้วไม่ชำ�ระหนีเ้งินกู้ จำ�เลยที่ 2 จึงนำ�หนังสือมอบอำ�นาจทโี่จทก์ทำ�ให้ไว้มาโอนขาย
ให้แก่จำ�เลยที่ 1 ผู้เป็นบิดา กรณีจ ึงเป็นเรื่องนำ�ทรัพย์สินมาตีร าคาช�ำ ระเงินกู้ ซึ่งต ามบทบัญญัติใน ปพพ.
ธ
มาตรา 656 วรรคสอง ข้อตกลงเรื่องการทผี่ ู้ให้กยู้ อมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการช�ำ ระหนี้
แทนเงินที่กู้ยืมนั้นหนี้เงินกู้จะระงับไปต้องคิดเป็นจำ�นวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สิน
มส
นั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ และหากมีข้อตกลงอย่างใดๆ ขัดกับข้อความดังกล่าวนี้ย่อมตกเป็น
โมฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม เมื่อสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำ�เลยที่ 1 ตกลงซื้อขายในราคา
700,000 บาท เท่ากับจำ�นวนเงินที่โจทก์กเู้ งินจากจำ�เลยที่ 2 ส่วนคำ�ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ
บันทึกก ารประเมินร าคาทรัพย์สนิ เพือ่ จ ดทะเบียนสทิ ธิแ ละนติ กิ รรม ราคาประเมินต ารางวาละ 130 บาท รวม
ราคาประเมิน 270,400 บาท ราคาประเมินข องเจ้าพนักงานที่ดินเป็นราคาประเมินเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการ
คำ�นวณภาษีจดทะเบียนสทิ ธิและนติ กิ รรม หาใช่เป็นราคาทอ้ งตลาดแห่งทดี่ นิ ไม่ ทัง้ ร าคาประเมินของทดี่ นิ
พิพาทเมื่อวันท ี่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2540 ในคราวที่ทำ�การประเมินเพื่อจดทะเบียนสิทธิแ ละนิติกรรมประเภท
ขายฝากก่อนจดทะเบียนซื้อขายวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2542 มีราคาประเมินถึงตารางวาละ 1,000 บาท คิด
เป็นเงิน 2,080,000 บาท ยิ่งกว่านั้นราคาประเมินของที่ดินพิพาทในคราวที่นำ�ไปใช้ประกันผ ู้ต้องหาเมื่อวัน
ธ
ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2544 กลับมีราคาสูงขึ้นมาอีกจากตารางวาละ 130 บาท ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2542
เป็นต ารางวาละ 1,000 บาท บ่งช วี้ า่ ร าคาประเมินเฉพาะในวนั ท ี่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2542 ซึง่ เป็นว นั จ ดทะเบียน
มส
ธ
ดังน นั้ ในกรณีท ผี่ กู้ นู้ �
ำ สงิ่ ของหรือท รัพย์สนิ อ นื่ ม าช�ำ ระหนีแ้ ทนเงินน นั้ ต้องมกี ารตรี าคาสงิ่ ของหรือ
ทรัพย์สินนั้นเสมอไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่นที่ดินห รือส ังหาริมทรัพย์ เช่น แหวนเพชร
กูเ้ งินด�
มส
ข้อตกลงนั้นจะมีมาก่อนหรือหลังใช้หนีก้ ็ได้ มิฉะนั้นข้อตกลงเป็นโ มฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม เช่น แดง
ำ สามแสนบาท โดยมีที่ดินเป็นหลักประกัน เมื่อหนี้ถึงก�ำ หนดแดงไม่ใช้หนี้เงินกู้ให้ดำ� แต่ยอมให้ดำ�
ยึดที่ดินทเี่ ป็นประกันใช้หนี้ ต่อมาราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นมาก แดงมาฟ้องศาลให้ด�
ในขณะทยี่ กทดี่ นิ ใช้ห นีใ้ ห้ด �
ดำ�ต้องคืนที่ดินให้แดง
ข้อส ังเกต การชำ�ระหนี้อย่างอื่นต่างจากการช�ำ ระหนี้ด้วยสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่น
การชำ�ระหนี้ด้วยสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนเงินได้กล่าวมาแล้วตามมาตรา 656 วรรคสอง
ำ คืนที่ดินแก่ตนโดยอ้างว่า
ำ ไม่ไ ด้ม กี ารตรี าคาทดี่ นิ ตามราคาทอ้ งตลาดในขณะนนั้ ข้อต กลงยอ่ มเป็นโมฆะ
การใช้เงินตามเช็คแล้ว
ม
เงินทใี่ ห้กู้ยืมตามมาตรา 656 วรรค 2 แต่เป็นการชำ�ระหนีอ้ ย่างอื่นตามความในมาตรา 321 ส่วนหนึ่งต ่าง
หากเพราะใน การช�ำ ระหนีด้ ้วยเช็ค หนีย้ ังไม่ระงับสิ้นไป หนี้กยู้ ืมทไี่ ด้รับชำ�ระด้วยเช็คจะระงับไปต่อเมื่อม ี
ตัวอย่างเช่น กุ้ง ทำ�สัญญากยู้ ืมเงิน เข้ม จำ�นวน 1,000 บาท กำ�หนดชำ�ระคืนภายใน 1 ปี กุ้ง ชำ�ระ
ดอกเบีย้ ท กุ เดือน เมือ่ ค รบก�ำ หนดกงุ้ ไ ด้น � ำ เงินสดจ�ำ นวน 5,000 บาทและเช็ค จำ�นวน 5,000 บาท มาช�ำ ระคนื
ดังนี้จะถือว่าหนีร้ ะงับไปในขั้นแรกจ�ำ นวน 5,000 บาท ตามจำ�นวนเงินสด ในส่วนที่ช�ำ ระด้วยเช็ค จะถือว่า
หนี้ระงับต่อเมื่อเข้มเรียกเก็บเงินตามเช็คได้แล้ว
สธ
ม
การกู้ยืมเงิน 3-45
อุทาหรณ์
ฎ. 905/2497 (ป. ใหญ่) จ�ำ เลยกเู้ งินโจทก์ไ ปซอื้ ร ถยนต์แ ล้วโจทก์ย อมรับโ อนรถยนต์จ ากจ�ำ เลยแทน
การชำ�ระหนี้เงินดังนี้ เท่ากับโจทก์ยอมรับชำ�ระหนี้อย่างอื่นแทนหนี้เงิน หนี้ส ินระหว่างโจทก์ก ับจำ�เลยตาม
หนังสือสัญญากเู้งินย่อมระงับสิ้นไป ตาม ปพพ. มาตรา 321 โจทก์จะมาฟ้องจำ�เลยอีกห าได้ไ ม่ แม้หนังสือ
สัญญากเู้ งินจ ะอยูก่ บั โจทก์โดยยงั ม ไิ ด้ค นื ให้แ ก่จ �ำ เลยกต็ าม จำ�เลยน�ำ สืบถ งึ ก ารช�ำ ระหนีด้ ว้ ยพยานบคุ คลได้
ธ
ฎ. 767/2505 (ป.ใหญ่) การชำ�ระเงินกู้ด้วยเช็คเป็นการชำ�ระหนี้ด้วยการออกตั๋วเงิน ตาม ปพพ.
มาตรา 321 วรรคสาม ย่อมถือได้ว่าเป็นการชำ�ระหนี้อย่างอื่นซึ่งมิใช่การชำ�ระหนี้ด้วยเงิน แม้ว่าการช�ำ ระ
มส
หนี้เงินกู้นั้นจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง ศาลกย็ ่อมรับฟังพยานบุคคล
ทีน่ �ำ สืบในเรื่องการชำ�ระหนี้นั้นได้
ฎ. 4643/2537 ล. ทำ�สัญญากเู้ งินจากโจทก์ 2 ครั้ง และได้มอบสมุดคฝู่ ากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์
และบตั รถอนเงินอ ตั โนมัตไิ ว้ก บั โจทก์ โดยมขี อ้ ต กลงให้โจทก์น � ำ สมุดค ฝู่ ากเงินฝ ากออมทรัพย์แ ละบตั รถอน
เงินอัตโนมัติดังกล่าวไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อหักชำ�ระหนี้เงินกู้ได้ แม้การใช้เงินกู้จะไม่มีหลักฐานเป็น
หนังสืออ ย่างหนึง่ อ ย่างใดลงลายมือช อื่ ผ ใู้ ห้ย มื ม าแสดง หรือเอกสารอนั เป็นห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื ไ ด้เวนคืน
แล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแ ล้ว ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง แต่ก ารที่โจทก์ไ ด้รับมอบ
สิทธิในการเบิกเงินจาก ล. โดยน� ำ บัตรถอนเงินอัตโนมัตไิ ปถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของ ล. ที่
เปิดไว้กับธนาคารผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติของธนาคารนั้น ถือว่าเป็นการชำ�ระหนี้อย่างอื่นซึ่งโจกท์ใน
ธ
ฐานะเจ้าหนีไ้ ด้ยอมรับแล้ว ตาม ปพพ. มาตรา 321 วรรคแรก
ฎ. 6028/2539 จำ�เลยโอนเงินท างโทรศัพท์เข้าบ ญ ั ชีโจทก์เพือ่ ช �ำ ระหนีเ้ งินก ไู้ ม่ต อ้ งดว้ ย ปพพ. มาตรา
มส
กิจกรรม 3.2.2
ให้นักศึกษาทำ�ความเข้าใจในหัวเรื่องที่ 3.2.2 และให้วินิจฉัยปัญหาข้างล่างนี้ โดยให้เหตุผล
ประกอบค� ำ ตอบ
ม
นายขาวกู้ยืมเงินนายมืด จำ�นวน 5,000 บาท เพื่อลงทุนซื้อปุ๋ยใส่ในนาข้าว นายมืดตกลงให้ก ยู้ ืม
เงินดังกล่าว โดยตกลงกับนายขาวว่า หากนายขาวไม่สามารถชำ�ระหนี้เงินกู้ดังกล่าวได้ภ ายในเวลา 1 ปี
ให้นายขาวโอนที่นาให้แก่ตน ดังนี้เมื่อนายขาวไม่สามารถชำ�ระหนี้ให้แก่นายมืดได้ภายในกำ�หนดเวลาที่
ตกลงกัน นายมืดจะบังคับให้นายขาวโอนทนี่ าให้แ ก่ตนได้หรือไม่ เพียงใด
แนวตอบกิจกรรม 3.2.2
นายมืดจะบังคับให้นายขาวโอนที่นาให้แก่ตนไม่ได้ เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวขัดกับ ปพพ.
สธ
มาตรา 656 วรรคสอง เป็นโมฆะตามวรรคสาม เพราะนายมืดไม่ได้ค ิดราคาสิ่งของ (ที่น า) กับราคาท้อง
ตลาดแห่งส งิ่ ของหรือท รัพย์สนิ น นั้ ในเวลา และ ณ สถานทสี่ ง่ ม อบ แต่น ายมดื จ ะฟอ้ งเรียกเงินท ใี่ ห้น ายขาว
กูย้ ืมไปคืนจากนายขาวได้
ม
3-46 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 3.2.3
การเล่นแชร์เปียหวยและการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
ธ
การเล่นแชร์เปียหวย
เหตุทนี่ ำ�เรื่องการเล่นแชร์เปียหวยมากล่าวไว้ในลักษณะกู้ยืมเงินด้วย เพราะการเล่นแชร์เปียห วย
มส
มีลักษณะใกล้เคียงกับการกู้ยืมเงินมากลักษณะหนึ่ง ประกอบกับการเล่นแชร์เปียหวยเป็นที่นิยมเล่นกัน
แพร่ห ลาย ในระหว่างญาติ เพือ่ นฝงู พนักงานในหน่วยงานของรฐั แ ละเอกชน และมปี ญ
การเล่นแชร์ดังกล่าวอยูเ่ สมอ
วิเคราะห์ศัพท์ “แชร์เปียหวยเป็นคำ�ผสมระหว่างอังกฤษกับจีน “แชร์” (Share) เป็นภาษา
อังกฤษหมายถึงหุ้นส่วนในกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง “เปีย” เป็นภาษาจีน แปลว่า ประมูลในราคาสูงสุด
แข่งขันให้ราคาสูงกว่า “หวย” เป็นภาษาจีน แปลว่า มาพบกัน มารวมกัน สมาคมประชุม32 ตามรูปศ ัพท์
แชร์ เ ปี ยห วยเ มื่ อรวมเป็นคำ�เดียวกันน่า จะแ ปลได้ว่า “กิจการที่เอาเงิน หรือสิ่งของมาร่วมกันแล้ว
ั หาขอ้ พ พิ าทในเรือ่ ง
ประมูลให้ราคาสูงกว่า” แต่ความหมายที่สมบูรณ์หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งตกลงกันระหว่างผู้เล่นออก
เงินเป็นรายเดือน รายสัปดาห์หรือรายวันคนละเท่าๆ กัน รวมเข้ากัน เป็นเงินกองกลางแล้ผลัดกัน
ธ
ชักทุนก องกลางนั้นไ ปใช้สอยโดยเสียดอกเบี้ยอ ัตราสูงสุดป ระจำ�เดือน หรือระยะเวลานั้นๆ33
การเล่นแ ชร์ต ามความเข้าใจของคนทวั่ ไป หมายถงึ ก ารทบี่ คุ คลน� ำ เงินม ารวมกนั โดยให้บ คุ คลหนึง่
บุคคลใดมีหน้าที่รวบรวมเงิน และมีสิทธิใช้เงินนั้นได้ก่อน และลูกวงผลัดกันนำ�เงินไปใช้ได้โดยวิธีประมูล
มส
เงินก องกลางทรี่ วบรวมได้ไ ปใช้ก อ่ นโดยไม่เสียดอกเบีย้ ในเดือนตอ่ ๆ มามกี ารประมูลด อกเบีย้ ก นั ในระหว่าง
ลูกวงเรียกว่า “เปีย” ลูกวงคนใดให้ราคา (ดอกเบี้ย) สูงสุด ซึ่งถือว่าเปียได้ มีสิทธินำ�เงินไปใช้ก่อน โดย
เถ้าเป็นตัวแทนเก็บเงินจากลูกวงทุกคนคนละ 100 บาท ให้ลูกวงคนที่เปียได้ เดือนต่อมาก็มีการประมูล
ดอกเบี้ยกันอีก ยกเว้นคนที่เปียแล้วไม่มีสิทธิเปีย นอกเสียว่าคนๆ นั้นจะเล่นแชร์หลายมือ เมื่อคนที่เปีย
ได้เดือนถัดมามีสิทธิน� ำ เงินกองกลางพร้อมกับด อกเบี้ยของคนที่เปียไปก่อนแล้วไปใช้ เช่น กุ้ง เปียโดยให้
ธ
ดอกเบี้ยส ูงสุด 30 บาทในเดือนที่ 2 ต่อมาในเดือนที่ 3 เข้มเปียได้ เดือนที่ 3 นีก้ ุ้งต้องช�ำ ระเงินจำ�นวน
130 บาท ส่วนเดือนที่ 4 เข้มต ้องชำ�ระเงิน 100 บาท บวกด้วยดอกเบี้ยท ี่ เข้มเปียได้ ส่วนกุ้งก็ต้องช�ำ ระ
มส
เดือนละ 130 บาท ทุกๆ เดือนจนกว่าผ เู้ล่นจ ะประมูลค รบทุกคน ซึ่งในมือส ุดท้ายเรียกว่า “บ๊วย” ไม่ต้อง
“เปีย” จะได้เงินท ั้งจ�ำ นวนพร้อมดอกเบี้ยของลูกวงคนอื่นๆ ทีป่ ระมูลได้เงินไปแล้ว
ดอกเบี้ยในการประมูล (เปีย) แชร์มที ั้งชนิด “ดอกตาม” และ “ดอกหัก” “แชร์ด อกตาม” ได้แก่
ผูเ้ ล่นช �ำ ระดอกเบีย้ ต ามทตี่ นได้ป ระมูลไ ว้ไ ปพร้อมกบั เงินท ตี่ นตอ้ งสง่ ค นื ท กุ ๆ เดือน ส่วนแชร์ “ดอกหกั ” นัน้
“เถ้า” แชร์จะหักดอกเบี้ยไว้ก่อนเหลือเท่าใด จะให้ลูกวงที่เปียได้ การเล่นแชร์ดอกหักมักไม่นิยมเล่นกัน
เพราะผเู้ปียจ ะถูกหักดอกเบี้ยไว้ก่อน
ชนิดของแชร์ แชร์ม ี 2 ชนิด
1. แชร์เชื่อใจกัน อาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันโดยไม่มหี ลักฐานใดเลย
2. แชร์เช็ค แชร์ช นิดน มี้ กี ารเก็บเงินเป็นเช็คจ า่ ยเงินเป็นเช็ค เถ้าต งั้ แ ชร์เก็บเงินจ ากลกู วงแชร์ โดย
ธ
การรับเช็คของลูกแชร์แต่ละคนมาในขณะเดียวกัน เถ้าเองก็จ่ายเช็คข องตนให้แก่ล ูกแชร์ไปคนละใบทุกคน
แชร์เช็คนั้นเถ้าแชร์ต ้องสลักหลังเช็คทุกใบ และต้องรับผิดแทนลูกวงไม่ชำ�ระหนี36 ้
มส
เนือ่ งจากการเล่นแ ชร์เปียห วยเป็นท นี่ ยิ มเล่นก นั ด งั ก ล่าวแล้ว แม้ในหน่วยงานของรฐั ซ งึ่ ม คี �
ำ สงั่ ห า้ ม
การเล่นแชร์เปียหวย (ตามมติของคณะรัฐมนตรี ที่ น.ว. 12/2498) แต่ก ย็ ังมกี ารเล่นกันอ ยูท่ ั่วไป เนื่องจาก
มีปัญหาการฉ้อโกงแชร์กันอยูเ่ สมอ ทั้งผฉู้ ้อโกงและผถู้ ูกฉ้อโกงมักจะต่อสูค้ ดี ในเรื่องการเล่นแ ชร์เปียหวย
ว่าเป็นสัญญากยู้ ืมเงิน เพราะหากปรับเข้าลักษณะสัญญากู้ยืมเงินกต็ ้องนำ�บทบัญญัติข องกฎหมายในเรื่อง
การกู้ยืมเงินม าใช้บังคับก ับคู่กรณีด้วย ดังนั้น การจะตัดสินว ่าสัญญาเล่นแชร์เปียหวยเข้าลักษณะสัญญาใด
ก็พิจารณาได้จากเหตุผลในคำ�พิพากษาของศาลฎีกาที่วินิจฉัยในเรื่องนี้ไว้โดยสังเขป
อุทาหรณ์ ม
ฎ.1631-1634/2508 การเล่นแชร์เปียหวยเกิดขึ้นจากความตกลงกันในระหว่างผู้เล่นจึงเป็นสัญญา
ชนิดหนึ่งเมื่อไม่มีกฎหมายห้ามก็ใช้บังคับได้แม้จะไม่เป็นการกู้ยืม นายวงก็ไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่านายวง
ได้ท รัพย์ไปโดยไม่มีมูลทจี่ ะอ้างได้ตามกฎหมาย กรณีไม่เป็นลาภมคิ วรได้
ฎ.284/2516 การเล่นแชร์เปียหวย เกิดจ ากการตกลงกันในระหว่างผู้เล่น จึงเป็นส ัญญาชนิดหนึ่ง
เมื่อไม่มกี ฎหมายห้ามกใ็ ห้บังคับได้ แม้จะไม่เป็นการกยู้ ืมจำ�เลยก็ไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว ่าจ ำ�เลยได้ท รัพย์ไป
โดยไม่มมี ูลจะอ้างได้ตามกฎหมายกรณีไม่ใช่เป็นลาภมิควรได้
สธ
ฎ.2253/2518 การเล่นว งแชร์เป็นส ญ ั ญาชนิดห นึง่ เกิดข นึ้ จ ากความตกลงระหว่างผเู้ ล่น ไม่มกี ฎหมาย
บังคับว ่าจะต้องทำ�สัญญาหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือค งบังคับก ันได้ตามหลักสัญญาทั่วไป เมื่อพฤติการณ์
เป็นท เี่ ข้าใจกนั ร ะหว่างผเู้ ล่นว า่ จ �ำ เลยเป็นน ายวงตกลงยอมเป็นผ รู้ บั ผ ดิ ช อบในเงินแ ก่ล กู วงทยี่ งั ไ ม่ไ ด้ป ระมูล
(เปีย) ในเมื่อวงแชร์ล้มดังนี้ เมื่อวงแชร์ล้มจำ�เลยก็ต้องรับผ ิดชอบต่อโจทก์ ซึ่งเป็นลูกวงและยังมิได้ประมูล
จากค� ำ พพิ ากษาศาลฎกี าทยี่ กมาเป็นต วั อย่างขา้ งตน้ พ อท�ำ ให้เข้าใจในขนั้ ต น้ แ ล้วว า่ ส ญ ั ญาเล่นแ ชร์
ธ
เปียห วยไม่ใช่ส ญ ั ญากยู้ มื เงิน แต่จ ะเข้าล กั ษณะสญ ั ญาใดนนั้ ศ าลฎกี ายงั ไ ม่ไ ด้ว นิ จิ ฉัยให้ช ดั แ จ้ง นักก ฎหมาย
ได้พ ยายามปรับเรือ่ งการเล่นแ ชร์เปียห วยเข้าล ักษณะสัญญาต่างๆ เช่น ลักษณะสญ ั ญาตวั แทนบ้าง สัญญา
ค้�
มส
ำ ประกันบ้าง ฯลฯ เพื่อว่าจะได้นำ�กฎหมายในลักษณะนั้น มาใช้บังคับแก่ค กู่ รณี สัญญาเล่นแชร์เปียห วย
เป็นสัญญาทไี่ ม่มีชื่อในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ดังนั้น จนบัดนี้กย็ ังไม่สามารถชชี้ ัดได้ว่า สัญญาเล่นแชร์เปียหวยเป็นสัญญาชนิดใด แต่ควรทราบ
ไว้ประการหนึ่งว่า สัญญาเล่นแชร์เปียหวยไม่ใช่สัญญากยู้ ืมเงิน ดังนั้น จึงไม่อาจนำ�บทบัญญัติในเรื่องกู้ยืม
เงินมาใช้กับการเล่นแชร์เปียหวยได้ จึงต้องท�
แชร์เปียห วยไม่เข้าล กั ษณะสญ
ำ บทบัญญัติในเรื่องสัญญาโดยทั่วไปมาใช้บังคับ เมื่อก ารเล่น
ั ญากยู้ มื เงิน จึงไ ม่น �
ำ เรือ่ งการทำ�หลักฐ านการกยู้ มื เงิน กรณีท กี่ ยู้ มื เงินก ว่าส อง
พันบาทมาใช้บังคับหมายความว่า การเล่นแชร์เปียหวยแม้มจี ำ�นวนกว่าห้าส ิบบาท (ปัจจุบันสองพันบาท)
ไม่ต้องทำ�หลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ (ฎ.629/2486) หรือการเล่นแชร์เปียหวยไม่ต้อง
ห้ามในการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละสิบห้าต ่อปี (ฎ.764/2502, และ 1631-1634/2508) วินิจฉัยว ่า “การ
ธ
เล่นแชร์เปียหวย ไม่เป็นการกยู้ ืม แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องกันได้ การประมูลให้ดอกเบี้ยก ัน
ถือไม่ได้ว่า เป็นการให้ดอกเบี้ยในการกยู้ ืมเป็นลักษณะการประมูลว่าใครจะให้ประโยชน์ส ูงกว่ากันเท่านั้น
มส
ธ
เพือ่ ป ระโยชน์แ ห่งม าตรานี้ ให้ถ อื ว่าผ ทู้ สี่ ญ
ั ญาวา่ จ ะใช้เงิน หรือท รัพย์สนิ อ นื่ ใดแทนนายวงแชร์ หรือ
ผูจ้ ัดให้มกี ารเล่นเป็นนายวงแชร์ หรือผจู้ ัดให้มีการเล่นแชร์ด้วย
มส
ดังน ั้น บุคคลหรือนิติบุคคลใดเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มกี ารเล่นแชร์ตามลักษณะของมาตรา 6 มี
ความผดิ ต ามพระราชบญ ั ญัตแิ ละมโี ทษ ตามทบี่ ญ ั ญัตไิ ว้ในมาตรา 16 ทีว่ า่ “นิตบิ คุ คลใดทฝี่ า่ ฝืนม าตรา 5 ต้อง
ระวางโทษปรับต งั้ แต่ห นึง่ เท่า หรือส ามเท่าข องกองกลางแต่ละงวดของทกุ ว งแชร์ แต่ต อ้ งไม่ต าํ่ ก ว่าส องแสนบาท
และให้ศาลสั่งให้นิติบุคคลนั้นหยุดด�ำ เนินการเป็นนายวงแชร์” หรือมาตรา 17 บัญญัติว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 6
ต้องระวางโทษจำ�คุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจ ำ�ทั้งปรับ” เป็นต้น
ดังน นั้ ในปจั จุบนั น หี้ ากบคุ คลธรรมดา หรือน ติ บิ คุ คลใดจดั ให้ม กี ารเล่นแ ชร์ท มี่ ลี กั ษณะตามมาตรา
6 แห่งพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มีค วามผิดทางอาญาและต้องได้รับโทษดังกล่าว อย่างไรกด็ ี
กฎหมายมิได้กำ�หนดว่าการเล่นแชร์ตกเป็นโมฆะทั้งหมด
อุทาหรณ์
ธ
ฎ.85/2543 จำ�เลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท แม้เช็ค
ดังกล่าวโจทก์จะได้มาจากการเล่นแชร์ซึ่งตาม พรบ. การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 ห้ามมิให้บุคคล
มส
ธรรมดาเป็นน ายวงแชร์ หรือจ ดั ให้ม กี ารเล่นแ ชร์ท มี่ ที นุ ก องกลางตอ่ ห นึง่ ง วดรวมทงั้ ท กุ ว งเป็นม ลู ค่าม ากกว่า
จำ�นวนทกี่ �ำ หนดไว้ในกฎกระทรวง แต่ในมาตรา 7 ก็บ ญ ั ญัตใิ ห้ส ทิ ธิแ ก่ส มาชิกว งแชร์ท จี่ ะฟอ้ งคดีห รือใช้ส ทิ ธิ
เรียกร้องเอากับนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ได้ย่อมแสดงว่ากฎหมายมิได้มีกำ�หนดว่าการเล่นแชร์
ดังกล่าวตกเป็นโมฆะเสียหมด การนี้โจทก์จำ�เลยกับพวกซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมเล่นแชร์มีการประมูลระหว่าง
กันและกันและจำ�เลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำ�ระหนี้ค่าแชร์แล้วเช็คมาอยู่ในครอบครองของโจทก์ซึ่งเป็น
ลูกวงแชร์ด้วยกันย่อมไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 6 นิติกรรมการเล่นแชร์ของโจทก์จำ�เลยจึงไม่ตกเป็นโมฆะ
ตาม ปพพ.มาตรา 173 จำ�เลยต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้โจทก์
อย่างไรกด็ ี ผูเ้ ข้าร่วมเล่นแชร์มีการประมูลระหว่างกันสามารถฟ้องร้องกันได้
ม
สธ
37 ให้ก
�ำ หนดทนุ ก องกลางหา้ มมใิ ห้บ คุ คลธรรมดาเป็นการวงแชร์ห รือจ ดั ให้ม กี ารเล่นแ ชร์ต อ่ ห นึง่ ง วดรวมกนั ท กุ ว งเป็นม ลู ค่า
มากกว่าสามแสนบาท
ม
3-50 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
อนึ่ง เคยมีการให้กู้ยืมเงินจากบุคคลเป็นจำ�นวนมาก โดยผู้ยืมได้นำ�เงินของผู้ให้กู้รายใหม่ไป
หมุนเวียนจา่ ยเป็นด อกเบีย้ ให้แ ก่ผ ใู้ ห้ก รู้ ายเก่าท ตี่ นกยู้ มื เงินไ ปซงึ่ เรียกกนั ว า่ “แชร์” ในยคุ แ ชร์แ ม่ช ม้อย หรือ
แชร์แ ม่น กแก้ว หรือแ ชร์ล กู โซ่ต า่ งๆ ทีท่ � ำ โดยหลอกผเู้ ข้าร ว่ มลงทุนว า่ จ ะได้ผ ลตอบแทนเป็นจ �ำ นวนสงู ครัง้ แ รก
ธ
ก็ส ามารถจา่ ยผลตอบแทนได้ส งู จ ริง ต่อม ากม็ ผี หู้ ลงเชือ่ ค � ำ หลอกลวงเข้าม าลงทุน ผหู้ ลอกลวงกน็ � ำ เงินเหล่าน ี้
ไปจา่ ยให้ผ ลู้ งทุนเดิม หากมผี มู้ ารว่ มลงทุนม ากเข้า ผูน้ นั้ ก ไ็ ม่ส ามารถจา่ ยคา่ ต อบแทนให้ผ รู้ ว่ มลงทุนไ ด้ต ามที่
โฆษณาไว้ ซึง่ แ ชร์ล กู โซ่ด งั ก ล่าวเกิดข นึ้ ในสงั คมไทยเป็นร ะยะๆ ในรปู แ บบตา่ งๆ เช่น แชร์น �้ำ มัน แชร์ท องคำ�
มส
ปัจจุบนั (ปลายปี 2556) มีแ ชร์ล อตเตอรี่ หลอกให้เข้าล งทุน 38,000 บาท จะได้ร บั เงินปันผลเดือนละ 4,000 บาท
กำ�หนดเวลา 20 เดือน หากผหู้ ลงเชือ่ ไ ปหาลกู ค้าเพิม่ อ กี จ ะได้เพิม่ ห วั ล ะ 1,000 บาท เท่ากับเป็นการหลอกลวง
ผู้เข้าร่วมลงทุน ซึ่งการเล่นแชร์ลูกโซ่ดังกล่าวมิใช่แชร์ตามสัญญาเล่นแชร์เปียหวยตามที่กล่าวมาแล้ว แต่
เป็นการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนซึ่งทำ�ให้ประชาชนที่นำ�เงินไปให้ผู้กู้ยืมเหล่านั้นนำ�เงินไป
หมุนเวียนโดยวิธีดังกล่าวเดือดร้อนเป็นอันมากเนื่องจากมิได้รับต้นเงินคืน เกิดความปั่นป่วนในระบบ
เศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีการตราพระราชกำ�หนดการกยู้ ืมเงินทเี่ป็นการฉ้อโกงประชาชน
พ.ศ. 2527 ขึ้น เพื่อลงโทษบุคคลทดี่ �ำ เนินการดังกล่าวในทางอาญา ซึ่งการกู้ยืมเงินต ามพระราชกำ�หนดนี้
ได้วิเคราะห์ศัพท์ตามมาตรา 3 ดังนี้
“กู้ยืมเงิน” “หมายความว่ารับเงินไม่ว่าใ นลักษณะของการรับฝาก การกู้ การยืม การรับเข้าร่วมลงทุน
ธ
หรือในลักษณะอื่นใด โดยผู้กู้ยืมเงินจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนหรือตกลงว่าจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่
ผูใ้ ห้ก ยู้ มื เงิน ทัง้ นีไ้ ม่ว า่ จ ะเป็นการรบั เพือ่ ต นเองหรือร บั ใ นฐานะตวั แทนหรือล กู จ้างของผกู้ ยู้ มื เงินห รือข องผใู้ ห้
มส
กิจกรรม 3.2.3
1. ให้นักศึกษาอธิบายว่า การเล่นแชร์เปียหวย เป็นสัญญาประเภทใด
2. การประมูลด อกเบีย้ ในการเล่นแ ชร์เปียห วย ประมูลไ ด้ส งู สุดเกินก ว่าอ ตั รารอ้ ยละสบิ ห า้ ต อ่ ป ไี ด้
หรือไม่เพราะเหตุใด
ธ
แนวตอบกิจกรรม 3.2.3
มส
1. การเล่นแ ชร์เปียห วย ไม่ใช่ส ญ ั ญากยู้ มื เงิน หรือส ญั ญาค�้ำ ประกันห รือส ญ
ั ญาตวั แทนเป็นส ญ
ธรรมดาชนิดห นึง่ ซึง่ ฟ อ้ งรอ้ งบงั คับค ดีก นั ไ ด้ แม้ไ ม่มหี ลักฐ านเป็นห นังสือ (ฎ.1631-1634/2508, 284/2516,
2553/2518)
2. การประมูลด อกเบีย้ ในการเล่นแ ชร์เปียห วยประมูลไ ด้เกินร อ้ ยละสบิ ห า้ ต อ่ ป เี พราะมใิ ช่ส ญ
ยืมเงินไม่ต้องห้าม ตาม ปพพ. มาตรา 654 และ พรบ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475
ั ญา
ั ญากู้
ธ
มส
ม
สธ
ม
3-52 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 3.3
ดอกเบี้ย
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 3.3 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
3.3.1 ความหมายของดอกเบี้ยและการคิดอัตราดอกเบี้ย
3.3.2 ดอกเบี้ยทบต้น
1. ดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนจากการให้กู้ยืมเงิน
2. การคิดดอกเบี้ยคิดได้สูงสุดไม่เกินอัตราที่กฎหมายก�ำ หนด
3. การคดิ อ ตั ราดอกเบีย้ ข องสถาบันก ารเงินน นั้ สามารถคดิ ไ ด้ต ามทกี่ �ำ หนดไว้ในกฎหมาย
พิเศษซึ่งอาจคิดได้ในอัตราทสี่ ูงกว่าที่กำ�หนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
4. ดอกเบี้ยทบต้นเป็นการคิดดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยที่ค้างชำ�ระ แล้วนำ�ไปทบกับต้นเงิน
ธ
เป็นต้นเงินใหม่ซึ่งตามปกติกฎหมายห้ามมิให้กระทำ�
วัตถุประสงค์
มส
ม
สธ
ม
การกู้ยืมเงิน 3-53
เรื่องที่ 3.3.1
ความหมายของดอกเบี้ยและการคิดอัตราดอกเบี้ย
ธ
ความหมายของดอกเบี้ย
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายคำ�ว่าด อกเบี้ยว่า “ค่าตอบแทนที่บุคคล
มส
คนหนึ่งต้องใช้ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเพื่อการที่ได้ใช้เงินของบุคคลนั้น หรือเพื่อทดแทนการไม่ชำ�ระหนี้หรือ
ชำ�ระหนี้ไม่ถูกต้อง”
เดิมป ระเทศไทยใช้เบีย้ 38 เป็นอ ปุ กรณ์ส�ำ หรับใช้จ า่ ยสงิ่ ของ ดอกเบีย้ จงึ เป็นด อกทงี่ อกเงยจากเงิน
ความหมายของดอกเบี้ยในทางการเงิน
ในทางการเงิน ดอกเบี้ย หมายถึง จำ�นวนเงินที่ผู้กตู้ ้องจ่ายชำ�ระแก่ผ ู้ให้กเู้ นื่องจากได้น�
สิ่งของมีค่าอื่นของผู้ให้กู้ไปใช้ประโยชน์ โดยสัญญาว่าจะชำ�ระคืนเต็มมูลค่าในวันกำ�หนดในอนาคต โดย
ทั่วไปดอกเบี้ยคิดเป็นร้อยละของต้นเงิน เรียกว่า “อัตราดอกเบี้ย”39
ำ เงินหรือ
ความหมายของดอกเบี้ยในวิชาเศรษฐศาสตร์
ธ
ในวชิ าเศรษฐศาสตร์ ดอกเบีย้ เป็นค า่ ต อบแทนปจั จัยก ารผลิตช นิดห นึง่ คือ เป็นค า่ ต อบแทนปจั จัย
การผลิตป ระเภททนุ ทฤษฎีด อกเบีย้ ซึง่ ม อี ยูห่ ลายทฤษฎีไ ด้อ ธิบายความหมายของดอกเบีย้ ต า่ งๆ กันด งั นี้
มส
เช่น อธิบายวา่ ด อกเบีย้ ค อื ร าคาทผี่ ยู้ มื จ า่ ยแก่ผ ใู้ ห้ย มื เป็นค า่ ป ระโยชน์ข องเงิน หรือด อกเบีย้ คือ รางวัลท จี่ า่ ย
ให้แ ก่ผ ยู้ มื เสียส ละความคล่องตวั ข องเงินอ อม40 (คือย อมให้ผ อู้ นื่ น � ำ เงินข องตนไปใช้ห มุนเวียนในกจิ การเพือ่
ให้ผยู้ ืมม คี วามคล่องตัวในธุรกิจมากขึ้น รางวัลข องการทยี่ อมเช่นน ั้น คือ ดอกเบี้ย)
ความหมายของดอกเบี้ยในทางกฎหมาย
ตามความหมายในทางกฎหมาย ดอกเบีย้ ถ อื เป็นด อกผลนติ นิ ยั ดังท บี่ ญ ั ญัตไิ ว้ในประมวลกฎหมาย
ม
แพ่งแ ละพาณิชย์ มาตรา 148 วรรค 3 ความว่า “ดอกผลนิตินัยห มายความว่าท รัพย์ห รือประโยชน์อ ื่นที่ได้เป็น
ครัง้ ค ราวแก่เจ้าท รัพย์จ ากผอู้ นื่ ท ไี่ ด้ใ ช้ท รัพย์น นั้ และสามารถค�ำ นวณและถอื เอาได้เป็นร ายวนั หรือต ามระยะเวลา
ทีก่ �ำ หนดไว้” จากความหมายดงั ก ล่าวขา้ งตน้ ด อกเบีย้ เป็นด อกผลทกี่ �ำ หนดโดยกฎหมายทตี่ กได้แก่เจ้าท รัพย์
จากผู้อื่น เพื่อทไี่ ด้ใช้ทรัพย์นั้น คือ จากการทผี่ ู้ยืมเงินได้ใช้ประโยชน์จากเงินน ั้น ดอกเบี้ยย่อมคำ�นวณและ
ถือเอาได้ตามรายวันหรือตามระยะเวลาที่กำ�หนดไว้
สธ
38เบี้ย คือ หอยจำ�พวกหลังนูน ท้องเป็นร่องๆ เปลือกแข็ง โบราณใช้เป็นอุปกรณ์ส�ำ หรับใช้จ่ายสิ่งของ มีอัตรา 100 เบี้ย
เป็น 1 อัฐ ไชยณัฏ ธีรพัฒนะ “ดอกเบี้ย” บทบัณฑิตย์ เล่มที่ 32 ตอนที่ 2 พ.ศ. 2518 น. 227.
39 สุรักษ์ บุนนาค และวณี จงศิริวัฒน์ เรื่องเดียวกัน น. 59.
40 เรื่องเดียวกัน
ม
3-54 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
การกู้ยืมเงินกันนั้นจะมีข้อตกลงไม่คิดดอกเบี้ยหรือค ิดดอกเบี้ยก็ได้
การคิดดอกเบี้ยในทางกฎหมาย มี 2 กรณี คือ
1. การคิดดอกเบี้ยกรณีทคี่ ู่สัญญามิได้กำ�หนด
2. การคิดดอกเบี้ยกรณีทคี่ ู่สัญญาตกลงกันก�ำ หนด
1. การคิดดอกเบี้ยกรณีที่คู่สัญญามิได้กำ�หนด กรณีที่ไม่ไ ด้กำ�หนดเรื่องอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญา
ธ
กู้ยืม กรณีนี้ผู้ให้กู้ยืมจะคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมเป็นจำ�นวนเท่าใด ซึ่งในเรื่องนี้บทบัญญัติในเรื่องการกู้ยืม
เงินมิได้กำ�หนดไว้ ดังนั้น จึงต้องน� ำ บทบัญญัติทั่วไปในเรื่องการเสียดอกเบี้ยให้แก่กัน กรณีดอกเบี้ยมิได้
มส
กำ�หนดไว้โดยนิติกรรมหรือบทกฎหมายให้ชัดแจ้ง จึงน ำ�บททั่วไปแห่ง ปพพ. ใช้บังคับในกรณีนั้น ดังน ั้น
ผูใ้ ห้กยู้ ืมย่อมคิดดอกเบี้ยจากผกู้ ยู้ ืมร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ปพพ. มาตรา 7 41
นอกจากนนั้ ในกรณีค สู่ ญ ั ญาตกลงกนั ให้เรียกดอกเบีย้ ไ ด้ต ามกฎหมาย ซึง่ ก รณีน ผี้ ใู้ ห้ก ยู้ มื ส ามารถ
เรียกดอกเบี้ยจากผู้กยู้ ืมได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปเี ช่นกัน
อุทาหรณ์
ฎ. 497/2506 สัญญากู้มีข้อสัญญาว่าผู้กู้ยอมให้ด อกเบี้ยต ามจำ�นวนเงินที่กู้แก่ผู้ให้ก ู้ตามกฎหมาย
ย่อมถือว่ามีอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เพราะกรณีต้องด้วย ปพพ.มาตรา 7
ฎ. 235/2507 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาเบื้องต้นมีว่าในการกู้รายนี้จะคิดดอกเบี้ยกันในอัตรา
เท่าใดในสัญญากู้หมาย จ.1 ระบุว่าให้คิดดอกเบี้ยก ันตามกฎหมาย แต่มิได้กำ�หนดอัตราว่าเท่าใดชัดแ จ้ง
ตาม ปพพ. มาตรา 7 บัญญัตวิ ่า “ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้ก�ำ หนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรม
ธ
หรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้งไซร้ ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี”
ฎ. 3708/2528 สญ ั ญากรู้ ะบุเรือ่ งดอกเบีย้ ว า่ “ยอมให้ด อกเบีย้ ต ามกฎหมายอย่างสงู ” เป็นข อ้ ความ
มส
ที่มิได้กำ�หนดอัตราดอกเบี้ยโดยชัดแจ้งแน่นอนว่าเป็นอัตราอย่างสูงเท่าไร ต้องตีความไปในทางที่เป็น
คุณแก่ผกู้ ู้ ผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปตี าม ปพพ. มาตรา 7
กรณีที่ผู้กู้ตกลงกับผู้ให้กู้ให้คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราสูงสุด แต่ไม่ได้ระบุอัตราไว้ ผู้ให้กู้สามารถคิด
ดอกเบี้ยจากผกู้ ู้ได้ไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปเี ช่นเดีวยกัน
อนึง่ แม้ในหนังสือส ญ ั ญากยู้ มื ร ะบุข อ้ ความวา่ ไ ม่มดี อกเบีย้ แ ต่ข อ้ ความตอนตน้ ร ะบุไ ว้ว า่ ผ กู้ ยู้ อมให้
ดอกเบี้ยตามจำ�นวนทกี่ ู้แก่ผู้ให้กู้ ถือได้ว่าม ีการก�ำ หนดดอกเบี้ยกันไว้
อุทาหรณ์
บาทต่อเดือน (ร้อยละ 15 ต่อปี) นับแต่ว ันครบก�ำ หนดช�ำ ระหนีต้ ามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว หาใช่คสู่ ัญญา
ไม่ได้ตกลงกำ�หนดอัตราดอกเบี้ยในอันทจี่ ะใช้อ ัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตาม ปพพ. มาตรา 7 ไม่
สธ
41ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535) “ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแ ก่ก ันและดอกเบี้ย
นั้นมิได้กำ�หนดอัตราดอกเบี้ยไว้โ ดยนิติกรรม หรือบ ทกฎหมายอันชัดแจ้งให้ใช้อ ัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อป ี”
ม
การกู้ยืมเงิน 3-55
ธ
กฎหมายได้ก �ำ หนดอตั ราดอกเบีย้ ส งู สุดซ งึ่ ผ ใู้ ห้ก ยู้ มื ส ามารถคดิ จ ากผกู้ ไู้ ด้ใน มาตรา 654 ซึง่ บ ญ ั ญัติ
ว่า “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห ้าต่อปี ถ้าใ นสัญญากำ�หนดดอกเบี้ยเกินก ว่าน ั้นก็ให้ล ดลงมาเป็น
มส
ร้อยละสบิ ห า้ ต อ่ ป ”ี ดอกเบีย้ ก รณีน ี้ คูส่ ญ
เกินกว่านั้น ดอกเบี้ยเป็นโมฆะทั้งหมด
อุทาหรณ์
ั ญาตกลงกนั ให้ผ กู้ ยู้ มื ช �ำ ระแก่ผ ใู้ ห้ก ยู้ มื เป็นร ายเดือน โดยผใู้ ห้ก ยู้ มื
คิดได้สูงสุดในอัตราไม่เกินร้อยละสิบห้าต่อปี (ร้อยละหนึ่งบาทยี่สิบห้าสตางค์ต่อเดือน) หากตกลงกัน
ความมุ่งหมายในการออกพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ได้ปรากฏในคำ�แถลงการณ์
ของคณะกรรมการราษฎร ดังนี้ “เหตุผลที่จูงใจรัฐบาลออกกฎหมายฉบับนี้ คือ หวังจะบำ�รุงการกู้ยืมให้เป็น
ไปทางที่ควร การกู้ยืมนั้นโดยปกติผู้กู้ต้องการทุน เมื่อได้ทุนแล้วไปประกอบกิจการอันใดอันหนึ่งมีผลงอกงาม
ขึ้นก็แบ่งผลนั้นใช้เป็นดอกเบี้ยบ้างหรือรวบรวมไว้เพื่อใช้หนี้ทุนต่อไป ดังนี้ฝ่ายเจ้าหนี้ก็ได้ดอกเบี้ยเป็นค่า
ป่วยการ และมีโอกาสที่จะได้รับใช้ทุนคืนในภายหลัง แต่ถ้าดอกเบี้ยเรียกแรงเกินไปแล้ว ลูกหนี้ได้ผลไม่พอที่
จะใช้ดอกเบี้ยได้ ย่อมต้องย่อยยับไปด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยเหตุนี้ประเทศทั้งหลายและประเทศของเราเองจึงมี
ม
กฎหมายมาแต่โ บราณกาลก�ำ หนดอตั ราดอกเบีย้ อ ย่างสงู ไ ว้ กล่าวคอื ชัง่ ล ะ 1 บาทตอ่ เดือน (หรือร อ้ ยละ 15 ต่อป )ี
อันที่จริงอัตรานี้เป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว แต่แม้กระนั้นยังปรากฏทุกวันนี้มีการให้กู้ยืมกันโดยอัตราสูง
กว่าน นั้ และเจ้าห นีก้ บั ล กู ห นีต้ า่ งรว่ มใจรว่ มมอื ก นั ห ลีกเลีย่ งกฎหมาย เพราะฝา่ ยหนึง่ อ ยากได้ อีกฝ า่ ยหนึง่ ค วาม
จำ�เป็นบังคับ ในที่สุดก็ได้ผลอันไม่พึงปรารถนาดังกล่าว ฯลฯ”
เหตุผลของการที่กฎหมายห้ามคิดอัตราดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปีก็เนื่องจากไม่ประสงค์ให้
ผูใ้ ห้กยู้ ืมเงินเอาเปรียบผู้กู้ ดังนั้น ผลของการฝ่าฝืนกฎหมายตามมาตรานี้ ผู้ให้กจู้ ะมีความผิดตาม พรบ.
ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นกฎหมายอาญา ผู้ฝ่าฝืนจะถูกล งโทษตามความในมาตรา 3
สธ
ของ พรบ. ดังกล่าวและดอกเบี้ยทคี่ ิดเกินอัตราตกเป็นโมฆะทั้งหมด
ม
3-56 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
อุทาหรณ์
ฎ. 478/2488 (ป.ใหญ่) การกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรานั้น ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะทั้งหมด
แต่ต้นเงินไม่เป็นโมฆะ ดังนั้นผใู้ ห้กจู้ ึงฟ้องเรียกได้เฉพาะต้นเงิน
ฎ. 533/2532 จำ�เลยกู้ยืมเงินโจทก์ จำ�เลยตกลงให้มีการคิดดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่าที่กฎหมาย
กำ�หนด ดอกเบี้ยสำ�หรับต้นเงินกจู้ ึงตกเป็นโมฆะทั้งหมดจำ�เลยไม่มสี ิทธิน ำ�ดอกเบี้ยทชี่ ำ�ระให้โจทก์ไปแล้ว
ธ
ซึ่งตกเป็นโมฆะนั้นไปหักกับต้นเงินให้ลดน้อยลงไปได้ตาม ปพพ. มาตรา 407 เมื่อจำ�เลยยังไ ม่ได้ช �ำ ระต้น
เงิน จำ�เลยจึงยังต้องรับผิดช�ำ ระต้นเงินให้แก่โจทก์
มส
ฎ. 966/2534 สัญญากู้ระบุให้ตกลงคิดดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนอัตราดังกล่าว
เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ตาม ปพพ. มาตรา 654 และต้องห้ามตาม พรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.
2475 ดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด
การคิดดอกเบี้ยเกินอัตรานั้นเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้นเป็นโมฆะ ส่วนเงินต้นเรียกคืนได้ และเรียก
ดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้
ฎ. 1238/25025 “ดอกเบี้ยตามสัญญากเู้ ป็นโมฆะเพราะเกินอัตราที่กฎหมายก�ำ หนดไว้ เจ้าหนี้ไม่มี
สิทธิได้รับดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำ�สัญญากู้ และไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องได้มีการผิดนัดลูกหนี้จึงต้องรับผิดใช้
ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป”
ฎ. 2032/2522 จำ�เลยกู้เงินโจทก์ โดยโจทก์จำ�เลยตกลงให้มีการคิดดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่าที่
ธ
กฎหมายกำ�หนด ดอกเบี้ยสำ�หรับต้นเงินกู้จึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด จำ�เลยไม่มีสิทธินำ�ดอกเบี้ยที่ชำ�ระเงิน
ให้โจทก์ไปแล้ว ซึ่งตกเป็นโมฆะนั้นไปหักกับต้นเงินให้ลดน้อยลงไปได้ ตาม ปพพ. มาตรา 407 เมื่อจำ�เลย
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 804/2506 (ป.ใหญ่) ลูกหนี้ออกเช็คชำ�ระหนีเ้ งินกู้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยปรากฏว่า
ดอกเบีย้ เป็นโ มฆะรวมอยูด่ ว้ ยศาลฎกี าแยกให้เห็นว า่ การออกเช็คก บั ก ารกอ่ ห นีน้ เี้ ป็นน ติ กิ รรมคนละอนั ก นั
เพราะนิติกรรมเช็คไม่ตกเป็นโมฆะด้วย (ส่วนไหนเป็นโมฆะก็ไม่ต้องรับผิด) จึงพิพากษาให้จำ�เลยผู้ออก
เช็คชำ�ระหนีเ้ งินตามเช็คเฉพาะต้นเงิน ส่วนดอกเบี้ยให้ย กฟ้องไป
ธ
ฎ. 2657/2534 โจทก์ให้จำ�เลยกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำ�หนด แต่จำ�เลย
ยินยอมให้เอาดอกเบี้ยรวมกับต้นเงินกรอกลงในสัญญากู้ จึงไม่เป็นเอกสารปลอมโดยแยกส่วนต้นเงินที่
มส
สมบูรณ์ออกต่างหากได้ สัญญากคู้ งตกเป็นโมฆะเฉพาะส่วนดอกเบี้ยหาตกเป็นโมฆะทั้งฉบับไ ม่
ข้อสังเกต จะเห็นได้ว่ากรณีมีบทบัญญัตเิ ฉพาะตาม พรบ. การห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.
2475 แล้ว ให้ใช้บทบัญญัตดิ ังกล่าว คือดอกเบี้ยที่เกินอ ัตราตกเป็นโมฆะทั้งหมด ไม่นำ� ปพพ. มาตรา 654
ตอนท้ายมาใช้คือ กรณีคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปใี ห้ล ดลงมาเป็นร ้อยละสิบห้าต่อปีอีกต ่อไ ป ประกอบ
กับการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 3 มีมาก่อนการประกาศใช้ พรบ. ห้ามเรียก
ดอกเบีย้ เกินอ ตั รา พ.ศ. 2475 ซึง่ พ ระราชกฤษฎีกาให้ใช้บ ทบัญญัตแิ ห่งป ระมวลกฎหมายแพ่งแ ละพาณิชย์
ที่ได้ตรวจชำ�ระใหม่นี้ให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2472 เป็นต้นไป
ดังน นั้ จะเห็นได้ว า่ ม กี ารคดิ อ ตั ราดอกเบีย้ เกินกว่าทกี่ ฎหมายก�ำ หนดไว้ส �ำ หรับการกยู้ มื เงินกนั อ ยู่
เสมอในทางปฏิบตั อิ ตั ราดอกเบีย้ ส งู สุดท กี่ �ำ หนดขนึ้ น มี้ ผี ลบงั คับไ ด้เฉพาะการกยู้ มื ในตลาดการเงินในระบบ
(organized money market)42เท่านัน้ ยากจะบงั คับไ ด้ก บั ต ลาดการเงินน อกระบบ (unorganized money
ธ
market)43เพราะในตลาดนผี้ กู้ จู้ ะยนิ ดีจ า่ ยดอกเบีย้ ส งู ก ว่าอ ตั ราสงู สุดท กี่ ฎหมายก�ำ หนด โดยรว่ มมอื ก บั ผ ใู้ ห้
กูห้ ลีกเลีย่ งกฎหมายดว้ ยวธิ กี ารมากมาย เช่น ยินยอมท� ำ สญ
ั ญาเงินก เู้ ป็นจ �ำ นวนสงู ก ว่าท ไี่ ด้ร บั จ ริง ซึง่ ก รณี
มส
ดังกล่าวเป็นต้นเหตุให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมายอยู่เนืองๆ เนื่องจากตลาดการเงินในระบบของไทยยัง
ไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ผู้กู้จำ�เป็นต้องพึ่งเงินกู้จากตลาดการเงินนอกระบบอย่างมาก และจำ�ต้องเสีย
ดอกเบี้ยในอัตราสูงระหว่างร้อยละ 2 ต่อเดือน จนถึงร้อยละ 20 ต่อเดือน ซึ่งคิดว ่าไ ม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็
มีในการกยู้ ืมในตลาดการเงินน อกระบบในประเทศไทย44
อนึ่ง การคิดดอกเบี้ยการกู้ยืมเงินในอัตราไม่เกินร้อยละสิบห้าต่อปีนั้น มีเฉพาะในการกู้ยืมเงิน
ระหว่างเอกชนกับเอกชน ส่วนสถาบันก ารเงินส ามารถคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ต าม
พรบ.ดอกเบี้ยเงินให้กยู้ ืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มาตรา 4 บัญญัตวิ ่า “เพื่อป ระโยชน์ในการแก้ไข
ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ รัฐมนตรีโดยค�ำ แนะนำ�ของธนาคารแห่งประเทศไทย มีอ�ำ นาจกำ�หนดอัตราสูงสุด
ของดอกเบี้ยท ี่สถาบันการเงินอาจคิดจากผกู้ ู้ยืมให้สูงกว่าร้อยละสิบห้าต่อป ีก็ได้ ฯลฯ”
นอกจากนั้น พรบ.ฯ ฉบับดังกล่าวไม่ให้น�
ม
ำ ปพพ. มาตรา 654 มาใช้ตามมาตรา 6 ที่บัญญัตวิ ่า
“เมื่อรัฐมนตรีกำ�หนดอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยตามมาตรา 4 แล้ว มิให้นำ�มาตรา 654 แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ม าใช้บังคับแก่การคิดดอกเบี้ยของสถาบันการเงินทรี่ ัฐมนตรีกำ�หนดตามมาตรา 4”
สธ
42 ตลาดการเงินที่สร้างขึ้นจากสถาบันการเงินทต
ี่ ั้งขึ้นต ามกฎหมาย เช่น ธนาคาร
43 ตลาดการเงินโดยทั่วไป เป็นการกยู้ ืมเงินระหว่างบุคคล
44 สุรักษ์ บุนนาค และวณี จงศิริวัฒน์ เรื่องเดียวกัน น. 70.
ม
3-58 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พรบ.การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ซึ่งในปี 2524
มส
ธนาคารแห่งป ระเทศไทยได้อ อกประกาศธนาคารแห่งป ระเทศไทย เรื่องการก�ำ หนดให้ธ นาคารพาณิชย์ถ ือ
ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2524 ถึงร้อยละ 19 ต่อปี
หลังจ ากมปี ระกาศฉบับน ี้ อัตราดอกเบีย้ ด งั ก ล่าวได้ข นึ้ ล งตามความเคลือ่ นไหวของภาวะเศรษฐกิจ
ภายในประเทศหลายครั้ง เมื่อสภาพการเงินมีความคล่องตัวธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศลดอัตรา
ดอกเบีย้ เงินให้ก ยู้ มื เพือ่ ให้ธ นาคารพาณิชย์ถ อื ป ฏิบตั ิ ในชว่ งปี 2525 เศรษฐกิจข องประเทศมคี วามคล่องตวั
มากขนึ้ ธ นาคารแห่งป ระเทศไทยได้ป ระกาศลดอตั ราดอกเบีย้ เป็นค รัง้ ค ราว เมือ่ ภ าวะเศรษฐกิจข องประเทศ
ไม่คล่องตัวธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกโดยพิจารณาดูจากเสถียรภาพ
ทางการเงินข องประเทศเป็นค ราวๆ ไป ซึง่ ในชว่ งระยะเวลาระหว่าง พ.ศ. 2533–2534 ก็ได้ม กี ารด�ำ เนินก าร
ดังก ล่าว ต่อม าในชว่ ง พ.ศ. 2539–2540 ประเทศไทยประสบวกิ ฤตทางเศรษฐกิจอ กี ค รัง้ ห นึง่ ภาวะดอกเบีย้
ธ
ก็ผันผวนตามมามกี ารปรับอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับภ าวะเศรษฐกิจ และในปัจจุบัน (พ.ศ. 2556) ค่า
เงินบาทไทยแข็งขึ้น มีแนวโน้มที่จะปรับอัตราดอกเบี้ย
มส
ธ
ธนาคารแห่งป ระเทศไทยก็เป็นการคดิ ด อกเบีย้ เกินอ ตั ราตาม พรบ. ห้ามเรียกดอกเบีย้ เกินอ ตั รา พ.ศ. 2475
เช่นก ัน
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 956/2541 แม้โจทก์ซ งึ่ เป็นธ นาคารพาณิชย์จ ะมสี ทิ ธิค ดิ ด อกเบีย้ เงินก ไู้ ด้ในอตั รารอ้ ยละ 18.5 ต่อป ี
ตามประกาศธนาคารแห่งป ระเทศไทย เรือ่ ง การก�ำ หนดให้ธ นาคารพาณิชย์ป ฏิบตั ใิ นเรือ่ งดอกเบีย้ แ ละสว่ นลด
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นอัตราที่โจทก์สามารถคิดได้แต่เฉพาะกับลูกหนี้ซึ่งผิดนัดชำ�ระหนี้หรือปฏิบัติ
ผิดเงื่อนไขของสัญญากู้ มิใช่อัตราดอกเบี้ยสำ�หรับลูกค้าทั่วไป ซึ่งตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ในขณะนั้นกำ�หนดไว้ไม่เกินอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี แต่ขณะทำ�สัญญาโจทก์คิดดอกเบี้ยกับจำ�เลยซึ่งเป็น
ลูกค้าท ั่วไปในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อป ี จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราตามประกาศของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยและเกินกว่าอ ัตราที่กฎหมายกำ�หนด ขัดต่อ พรบ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอ ัตรา พ.ศ. 2475
ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโ มฆะ
ธ
ฎ. 8749/2544 โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ ขณะจำ�เลยทำ�สัญญากยู้ ืมเงินจ ากโจทก์ โจทก์ประกาศ
อัตราดอกเบี้ยโดยกำ�หนดอัตราดอกเบี้ยในการอำ�นวยสินเชื่อไว้สำ�หรับสินเชื่อสำ�หรับบุคคลทั่วไปว่า 1.1
มส
ข้อสังเกต
อย่างไรก็ตาม ประกาศกระทรวงการคลังในเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นเรื่องข้อเท็จจ ริงผู้ใด
กล่าวอ้างถึงประกาศดังกล่าว ผู้นั้นต้องมีหน้าทนี่ �ำ สืบว่ามปี ระกาศเช่นน ั้นจริง
อุทาหรณ์
ฎ. 650/2532 ประกาศกระทรวงการคลังเรือ่ งอตั ราดอกเบีย้ เป็นข อ้ เท็จจ ริงไ ม่ใช่ข อ้ ก ฎหมายแต่เป็น
ธ
ข้อเท็จจริงที่ต้องน�ำ สืบ เมื่อโจทก์ไม่สืบ โจทก์จึงไม่มสี ิทธิคิดดอกเบี้ยเกินไ ปจากอัตราปกติตามที่กฎหมาย
บัญญัตไิ ว้ (ฎ. 567/2536)
มส
อนึง่ ป จั จุบนั มกี ารใช้บ ตั รเครดิตกนั อ ย่างแพร่ห ลายตาม พรบ. บัตรเครดิต พ.ศ. 2542 แต่เนือ่ งจาก
การใช้บัตรเครดิตไม่ใช่การกยู้ ืมเงิน ดังนั้น มาตรา 4 แห่ง พรบ. ดังกล่าวกำ�หนดอัตราดอกเบี้ยและค่าป รับ
ที่ผู้ออกบัตรอาจเรียกเก็บจากผถู้ ือบัตรในกรณีผิดนัดชำ�ระหนี้หรือช�ำ ระหนี้ล่าช้ากว่ากำ�หนด ดอกเบี้ยแ ละ
ค่าปรับนั้นเมื่อคิดคำ�นวณรวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรืออ ัตราร้อยละ 18 ต่อปี
อุทาหรณ์
ฎ. 1550/2539 คำ�ขอสินเชื่อบัตรเครดิตมีข้อสัญญาว่าโจทก์ยอมผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนทั้งที่เงิน
ฝากในบัญชีมีไม่พอจ่าย โดยไม่มีกำ�หนดเวลาชำ�ระคืน เป็นแต่เพียงจำ�เลยตกลงชำ�ระคืนพร้อมดอกเบี้ย
ในอัตราสูงสุดทธี่ นาคารแห่งประเทศไทยก�ำ หนดเป็นการกำ�หนดดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า ถือได้ว่าจำ�เลยตกลง
ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวแต่ต้น จึงไม่อยู่ในบังคับ ปพพ. มาตรา 654 ซึ่งห้ามคิดดอกเบี้ยเกิน
ธ
ร้อยละสิบห้าต่อปี เพราะมิใช่การกยู้ ืม และโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ ข้อต กลงดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย
ไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ
มส
กิจกรรม 3.3.1
1. อัตราดอกเบี้ยเงินกยู้ ืมสูงสุดทพี่ ึงคิดได้ตามกฎหมาย ได้แก่ อัตราเท่าใด
2. ธนาคารคิดดอกเบี้ยลูกค้าเงินกยู้ ืมได้สูงสุดเกินร้อยละสิบห ้าต่อปีได้ห รือไม่ เพราะเหตุใด
3. กรณีมิได้กำ�หนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมไว้ ผู้ให้กู้สามารถคิดดอกเบี้ยในอัตราเท่าใดตาม
กฎหมาย
แนวตอบกิจกรรม 3.3.1
1. ร้อยละสิบห้าต่อปี ปพพ. มาตรา 654
2. ได้ เพราะทำ�ได้ตาม พรบ. ธนาคารพาณิชย์มาตรา 14 และตามประกาศธนาคารแห่ง
ม
ประเทศไทย
3. ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ปพพ. มาตรา 7
สธ
ม
การกู้ยืมเงิน 3-61
เรื่องที่ 3.3.2
ดอกเบี้ยท บต้น
ธ
นอกจากกฎหมายหา้ มคดิ อ ตั ราดอกเบีย้ เงินให้ก ยู้ มื เกินร อ้ ยละ 15 ต่อป แี ล้วย งั ห า้ มการคดิ ด อกเบีย้
ซ้อนดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยทบต้น) ในสัญญากยู้ ืมเงินด้วย
มส
จากบทบัญญัตใิ น ปพพ. มาตรา 655 วรรคหนึง่ ซึง่ บ ญ
ทีค่ า้ งช�ำ ระ แต่ท ว่าเมือ่ ด อกเบีย้ ค า้ งช�ำ ระไม่น อ้ ยกว่าป หี นึง่ คสู่ ญ
1. กรณีดอกเบี้ยค้างชำ�ระกว่า 1 ปี การห้ามคิดดอกเบี้ยทบต้นในสัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นการห้าม
อย่างเด็ดขาดหรือไม่ เพราะในบทบัญญัตขิ องมาตรา 655 ประโยคต่อมามวี ่า “แต่ท ว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำ�ระ
ไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงิน แล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำ�นวน
เงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำ�เป็นหนังสือ” ถ้าอ่านจากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่า
กฎหมายให้ค ิดด อกเบี้ยท บต้นก ันในสัญญากยู้ ืมเงินไ ด้ในกรณีท มี่ ีดอ กเบี้ยค ้างช�ำ ระไม่น ้อยกว่าป หี นึ่ง และ
ความตกลงเช่นนั้นของคู่สัญญาต้องท�
ทุกเดือน นายด�
ทบต้นจากนายด�
ม
ำ เป็นหนังสือ เช่น นายดำ�กยู้ ืมเงินจากนายขาวจำ�นวน 100,000 บาท
กำ�หนดชำ�ระต้นเงินคืนภายในเวลา 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยนายดำ�ตกลงจะชำ�ระดอกเบี้ย
ำ ได้ค า้ งช�ำ ระดอกเบีย้ น ายขาวเป็นเวลาปกี ว า่ ในชว่ งเวลา 1 ปีท ผี่ า่ นมา นายขาวจะคดิ ด อกเบีย้
ำ ไม่ได้คือจะนำ�ดอกเบี้ยมารวมกับต ้นเงิน 100,000 บาท แล้วค ิดด อกเบี้ยจากต้นเงินใหม่
ไม่ได้ นอกเสียว่านายขาวและนายดำ�ทำ�ข้อตกลงเป็นหนังสือว่า นายดำ�ยินยอมให้นายขาวนำ�ดอกเบี้ยที่
ค้างชำ�ระภายใน 1 ปี มารวมกับต้นเงิน 100,000 บาท เป็นจำ�นวนต้นเงินใหม่ และคิดด อกเบี้ยจากต้นเงิน
จำ�นวนนั้นได้ ส่วนกรณีถ้าคู่สัญญามีข้อตกลงกันไว้ย่อมคิดดอกเบี้ยท บต้นได้ แต่จะคิดก ันตั้งแต่แ รกกู้ทำ�
สธ
ไ ม่ไ ด้อ กี เช่นก นั แต่ก รณีข า้ งตน้ หากนายด� ำ มไิ ด้ต กลงยนิ ยอมกบั น ายขาวโดยมขี อ้ ต กลงเป็นห นังสือในการ
ที่นายขาวจะนำ�ดอกเบี้ยที่ค้างชำ�ระไปบวกกับต้นเงินและคิดดอกเบี้ยในเงินจำ�นวนนั้น นายขาวก็ย่อมคิด
ดอกเบี้ยท บต้นไม่ได้ เพราะกฎหมายได้ห้ามการกระทำ�เช่นนั้นไว้
ม
3-62 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
อุทาหรณ์
ฎ. 694/2506 การกู้เงินโดยเอาที่ดินและบ้านมาทำ�จำ�นองเป็นประกันหนี้นั้น เมื่อไม่มีข้อตกลงให้
เจ้าห นีผ้ รู้ บั จ �ำ นองคดิ ด อกเบีย้ ท บตน้ ไ ด้ กรณีต อ้ งปรับด ว้ ย ปพพ. มาตรา 655 วรรคแรก ซึง่ ห า้ มเอาดอกเบีย้
ทบเข้ากับต้นเงิน
ฎ. 6457/2539 การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำ�เลยเป็นเรื่องสัญญากู้ยืมเงินธรรมดา แม้ตามบันทึก
ธ
ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจ�ำ นองข้อ 2 ระบุข้อความว่า ผู้จำ�นองยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ยอม
ส่งเงินดอกเบี้ยทุกๆ เดือนเสมอไป ถ้าผิดนัดชำ�ระดอกเบี้ยยอมให้ผู้รับจำ�นองคำ�นวณดอกเบี้ยที่ค้างทบ
มส
เข้าในบัญชีของผจู้ ำ�นองด้วย ก็เป็นเรื่องทโี่ จทก์เป็นลูกหนี้จำ�เลยแต่ฝ่ายเดียว ไม่มหี นี้สินอ ะไรทจี่ ะหักกลบ
ลบหนี้ในทางบัญชีเดินสะพัดได้ ส่วนบัญชีที่ระบุไว้ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จ�ำ เลยทำ�บัญชีเพื่อประสงค์จะทราบ
ว่าโจทก์กู้เงินไปเมื่อใด จำ�นวนเท่าใด ผ่อนชำ�ระดอกเบี้ยแ ละต้นเงินแ ล้วเพียงใด กับยังค้างชำ�ระอีกเท่าใด
จึงมิใช่บัญชีเดินสะพัดหรือการค้าขายอย่างอื่นทำ�นองบัญชีเดินสะพัด ทั้งบันทึกข้อตกลงไม่มีข้อความว่า
ต้องรอให้ดอกเบี้ยค ้างชำ�ระไม่น้อยกว่าหนึ่งปีก่อนจึงจะนำ�มาทบเข้ากับต้นเงิน แล้วคิดดอกเบี้ยในจำ�นวน
เงินท ี่ทบเข้าก ันนั้น ต้องปรับด ้วย ปพพ. มาตรา 655 วรรคหนึ่ง ข้อตกลงเฉพาะที่ให้คิดดอกเบี้ยทบต้น
ดังกล่าวตกเป็นโมฆะและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกา
มีอ�ำ นาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
อนึ่ง การแปลงหนี้ใหม่โดยนำ�ดอกเบี้ยเกินอัตรามารวมกับต้นเงินและคิดโดยวิธีทบต้นมาเป็นต้น
ธ
เงินกู้ส่วนทเี่ ป็นดอกเบี้ยเกินอัตรา และคิดโดยวิธีทบต้นเป็นโมฆะ
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 3236/2533 จำ�เลยไม่ชำ�ระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้โจทก์จำ�เลยจึงตกลงแปลงหนี้ตามสัญญากู้นั้น
ซึ่งรวมดอกเบี้ยเกินอัตราและคิดโดยวิธีทบต้นมาเป็นต้นเงินกู้ด้วย ดังนั้นส ่วนที่เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราและ
คิดโดยวิธีทบต้นจึงต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นโมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 113 (ปัจจุบันมาตรา 150)
มาตรา 654 และมาตรา 655
นอกจากนั้นการคิดดอกเบี้ยทบต้นกัน ตั้งแต่แรกกู้เงินต้องห้ามตามกฎหมาย ฎ. 1260/2509
ดอกเบี้ยท จี่ ะเอามาทบเป็นเงินต ้นไ ด้ต ้องเป็นด อกเบี้ยท คี่ ้างชำ�ระมาแล้วไ ม่น ้อยกว่า 1 ปี การทเี่อาดอกเบี้ย
มาทบต้นตั้งแต่แรกกู้เงินโดยยังไม่ค้างชำ�ระเป็นการต้องห้ามตามกฎหมายมาตรา 655 แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ม
2. กรณีมีประเพณีการค้าขาย การคิดดอกเบี้ยทบต้นในสัญญากู้ยืมเงิน โดยปกติทำ�ไม่ได้ ตาม
ปพพ. มาตรา 655 วรรค 1 แต่ถ้าหากมีดอกเบี้ยค้างชำ�ระไม่น้อยกว่าปีหนึ่งและคู่สัญญากู้ยืมต กลงกันเป็น
หนังสือให้คิดดอกเบี้ยทบต้นกันย่อมท�ำ ได้ นอกจากการคิดดอกเบี้ยทบต้นในสัญญากู้ยืมดังกล่าวแล้วยังมี
การคดิ ด อกเบีย้ ท บตน้ ในการคา้ ขาย ทีค่ �ำ นวณดอกเบีย้ ท บตน้ ก นั ต ามมาตรา 655 วรรคสอง ความวา่ “ส่วน
ประเพณีก ารคา้ ขายทคี่ �ำ นวณดอกเบีย้ ท บตน้ ในบญ ั ชีเดินส ะพัดก ด็ ี ในการคา้ ขายอย่างอนื่ ท �ำ นองเช่นว า่ น กี้ ด็ ี
สธ
หาอยูใ่ นบงั คับแห่งบทบัญญัตซิ งึ่ ก ล่าวมาในวรรคกอ่ นนนั้ ไ ม่” กฎหมายยนิ ยอมให้ค ดิ ด อกเบีย้ ท บตน้ ก นั ไ ด้
ในประเพณีก ารคา้ ขาย (Commercial usage) ทีค่ �ำ นวณดอกเบีย้ ท บตน้ ในบญ ั ชีเดินส ะพัดซ งึ่ ป ระเพณีก าร
ม
การกู้ยืมเงิน 3-63
ค้าขายทคี่ ำ�นวณดอกเบี้ยท บต้นในบัญชีเดินส ะพัด ได้แก่ ประเพณีข องธนาคารซึ่งม ขี ึ้นโ ดยลูกค้าเปิดบ ัญชี
กระแสรายวันกับธนาคารและมกี ารหักทอนบัญชีหนี้ระหว่างกัน
ประเพณี (usage) หมายถึง ทางปฏิบัตทิ ี่เป็นมาทำ�นองเดียวกับประเพณีตามมาตรา 368, 552,
803 ฯลฯ ต่างกับประเพณีท้องถิ่น (local custom) ซึ่งจะนำ�มาใช้บังคับอย่างกฎหมายตามมาตรา 4 จึง
หมายความแต่เพียงเคยปฏิบัติกันมาอย่างไรก็ปฏิบัติกันอย่างนั้น ไม่ต้องมีมานานอย่างประเพณีท้องถิ่น
ธ
ฯลฯ นอกจากนี้ The Concise Oxford Dictionary ให้ความหมาย ของค� ำ ว่า usage (ซึ่งเป็นถ้อยคำ�ที่
ใช้ในฉบับภ าษาอังกฤษ) ในทางกฎหมายไว้ว ่า “เป็นปกติวิสัย แต่ไ ม่จำ�เป็นต ้องปฏิบัติมานานจนจ� ำ ไม่ไ ด้”
มส
(habitual but not necessarily immemorial practice)45
ประเพณีก ารคา้ ขายของธนาคารทจี่ ะคดิ ด อกเบีย้ ท บตน้ ก นั ไ ด้ต ามกฎหมาย นักก ฎหมายบางทา่ น
เห็นว่าต้องมอี งค์ประกอบ 3 ประการคือ
2.1 ต้องเป็นการให้กู้ยืมเป็นการค้า
2.2 ต้องมปี ระเพณีให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ และ
2.3 ต้องเป็นการคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยวิธีบัญชีเดินส ะพัด
เมื่อครบหลักเกณฑ์ 3 ประการนี้ ธนาคารจึงจ ะคิดด อกเบี้ยทบต้นได้46 หากขาดหลักเกณฑ์ข้อใด
ข้อห นึ่งธ นาคารจะคิดด อกเบี้ยท บต้นไ ม่ไ ด้ ซึ่งก รณีนศี้ าสตราจารย์ไพจิตร ปุญญพันธุ์ มีความเห็นว่าการที่
ธนาคารจะคิดด อกเบี้ยท บต้นไ ด้ต ้องเข้าห ลักเกณฑ์ 2 ประการข้างต้น คือเป็นการให้กู้ยืม เป็นการค้าและ
ธ
มีป ระเพณีให้คิดดอกเบี้ยท บต้นไ ด้ แต่ไ ม่จ ำ�เป็นต ้องเป็นการคิดดอกเบี้ยทบต้นโ ดยวิธบี ัญชีเดินส ะพัดตาม
ข้อ 3 ซึ่งผ เู้ขียนเห็นด ้วยกับศ าสตราจารย์ไ พจิตร ปุญญพันธุ์ เพราะเห็นว ่าการที่ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยท บ
มส
ต้นไ ด้น นั้ ไม่ใช่ม เี ฉพาะกรณีป ระเพณีก ารคา้ ขายทใี่ ห้ค ดิ ด อกเบีย้ ท บตน้ ต ามบญั ชีเดินส ะพัดเท่านัน้ มิฉ ะนัน้
มาตรา 655 วรรค 2 จะไม่บ ัญญัตถิ ึงในการค้าขายอย่างอื่นท ำ�นองเช่นว่านี้ ก็แสดงว่าต้องมปี ระเพณีการ
ค้าอ ย่างอื่นนอกจากบัญชีเดินส ะพัด
ดังน ั้น จึงส รุปไ ด้ว ่าการคิดด อกเบี้ยท บต้นได้ตามมาตรา 655 วรรค 2 มี 2 กรณี คือ
1) กรณีม ปี ระเพณีก ารคา้ ขายทคี่ �ำ นวณดอกเบีย้ ท บตน้ ในบญ ั ชีเดินส ะพัด กรณีน ตี้ อ้ งมบี ญ
ั ชี
เดินส ะพัดในการหักท อนหนีก้ ันร ะหว่างผใู้ห้ก แู้ ละผู้กยู้ ืม
ม
2) กรณีก ารค้าขายอย่างอื่นท ำ�นองบัญชีเดินส ะพัดก รณีน ไี้ ม่ต ้องมบี ัญชีเดินส ะพัด แต่เป็น
ประเพณีการค้าข องธนาคารให้ค ิดด อกเบี้ยท บต้นไ ด้
ดังมีตัวอย่างคำ�พิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยให้คิดดอกเบี้ยทบต้นไว้เช่น ฎ. 1951/2506 ซึ่ง
วินิจฉัยว ่า “แม้ป ระมวลกฎหมายแพ่งม าตรา 655 บัญญัติความไว้ในวรรคต้นว่าท ่านห้ามมใิห้ค ิดดอกเบี้ย
ที่ค้างชำ�ระ ฯลฯ ก็ตาม แต่ในวรรคสองยังบัญญัติยกเว้นไว้อีกว่า “ส่วนประเพณีการค้าขายที่คำ�นวณ
ดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดี ในการค้าขายอื่นทำ�นองเช่นว่านี้ก็ดี หาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติ
สธ
45 ไพจิตร ปุญญพันธุ์ “ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบต้นในเงินก ไู้ ด้ห รือไ ม่” บทบัณฑิตย์ เล่ม 37 ตอน 3 ปี 2523 น. 384.
46 เรื่องเดียวกัน น. 379.
ม
3-64 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ซึง่ ก ล่าวมาในวรรคกอ่ นนนั้ ไ ม่ ฯลฯ เห็นว า่ ม าตรา 655 วรรคสองมใิ ห้เอาขอ้ บ ญ ั ญัตใิ นวรรคตน้ ม าใช้บ งั คับ
ในประเพณีการค้าที่มีการคิดดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดอย่างหนึ่ง และประเพณีการค้าอย่าง
อื่นที่คิดดอกเบี้ยทบต้นโดยไม่ใช่บัญชีเดินสะพัด แต่อาจจะใช้วิธีอย่างอื่นในทำ�นองนั้นก็ได้อีกอย่าง
หนึ่ง ฯลฯ รูปคดีนี้เข้าอยู่ในบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคสอง
ซึ่ ง เ ป็ น ข้ อ ย กเว้ น ข องว รรคต้ น สั ญ ญากู้ ที่ จำ � เลยทำ �ไว้ กั บ ธ นาคารโจทก์ ย อมใ ห้ คิ ด ด อกเบี้ ย ทบต้ น
ธ
เมื่อผิดนัดเป็นรายเดือนจึงสมบูรณ์ใช้ได้หาเป็นโมฆะดังจำ�เลยที่ 1 กล่าวอ้างไม่ จำ�เลยจึงต้องชำ�ระ
ดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนให้แก่โจทก์” ส่วนการกู้เงินธนาคารไปเพื่อปลูกบ้านโดยตรงมิใช่กรณีบัญชี
มส
เดินสะพัดของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ต้องห้ามตามมาตรา 655 วรรคหนึ่ง
ดังคำ�วินิจฉัยใน ฎ. 580/2509 ในคดีนี้จำ�เลยกู้เงินธนาคารไปปลูกบ้านค้างต้นเงินแสนบาทเศษโจทก์
ฟ้องจำ�เลยใช้ต้นเงินกับดอกเบี้ยทบต้นอีก 40,000 บาทเศษ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าส่วนที่โจทก์เรียกร้อง
ดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญาข้อ 4 ที่ให้คิดดอกเบี้ยค้างชำ�ระทบต้นทุกวันสิ้นเดือนนั้น เป็นการขัดต่อ
ข้อห้าม ตาม ปพพ. มาตรา 655 เพราะกรณีของโจทก์จำ�เลยนี้เป็นการกู้ยืมเงินปลูกอาคารโดยตรง
มิใช่กรณีบัญชีเดินสะพัดของธนาคารพาณิชย์ที่จะอ้างประเพณีการค้าขาย ในการคำ�นวณดอกเบี้ย
ทบต้นตามความในวรรคสองแต่ประการใด สัญญาข้อ 4 จึงเป็นโมฆะ พิพากษาให้จำ�เลยใช้ต้นเงินกับ
ดอกเบี้ยร้อยละ 4 ครึ่งต่อปีเท่าที่โจทก์ฟ้อง (โดยไม่ให้คิดทบต้น)47 ส่วนตัวอย่างคำ�พิพากษาศาลฎีกา
ทีว่ ินิจฉัยให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยท บต้นได้ตาม ฎ. 1129/2524 “เมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์
ธ
จำ�เลยมิได้ก�ำ หนดระยะเวลากันไ ว้ ต้องถือว่าไ ด้ม ีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัด เมื่อจำ�เลยไม่ชำ�ระหนี้ให้
โจทก์ภายในระยะเวลาที่โจทก์แ จ้งไ ปยังจ ำ�เลยให้จ ัดการชำ�ระหนี้เบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งในระหว่างนั้นจำ�เลย
มส
ก็มิได้สั่งจ่ายเงินอีก
ตามประเพณีการค้าธนาคารโจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดได้
ข้อต กลงไม่เป็นโมฆะ ปัญหาว่าข ้อนี้เป็นโ มฆะหรือไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน”
1) กรณีไม่มีสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีมีเพียงสัญญาบัญชีเดินสะพัดจะคิดดอกเบี้ยทบต้นได้
หรือไม่ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สัญญากู้ยืมเงินตามธรรมดากฎหมายห้ามคิดดอกเบี้ยทบต้นเว้นแต่จะ
มีข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาให้ทำ�เช่นนั้นได้ กรณีมีดอกเบี้ยค้างชำ�ระกว่าหนึ่งปีขึ้นไป และการกู้ยืมเงิน
ม
ชนิดที่เรียกว่าเบิกเงินเกินบัญชีเท่านั้นที่สามารถคิดดอกเบี้ยทบต้นกันได้ ส่วนการมีบัญชีเดินสะพัดโดย
ไม่ได้มีสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต่อกันดังนี้ จะคิดดอกเบี้ยทบต้นได้หรือไม่ ย่อมทำ�ได้เพราะเป็นไปตาม
มาตรา 655 วรรคสอง โดยตรง มีคำ�พิพากษาศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าการคิดดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าวย่อม
ทำ�ได้ตาม ฎ. 1837/2524 ความว่า “การฝากเงินกระแสรายวัน ถ้าไม่ตกลงเบิกเงินเกินบัญชีหรือไม่มี
ระเบียบการบัญชีเงินฝากประกอบแล้วธนาคารไม่จ่ายเงินฝากแต่จำ�เลยได้รับและทราบระเบียบการบัญชี
เงินฝากกระแสรายวันของธนาคารโจทก์ดีแล้ว จึงยินยอมเข้าผูกพันกับโจทก์ด้วยการขอเปิดบัญชีเงิน
สธ
47 ตัวอย่าง ฎ. 580/2509 โจทก์เป็นธ นาคารอาคารสงเคราะห์ มิใช่ธ นาคารพาณิชย์ จะอา้ งประเพณีก
ารคา้ ด งั เช่นธ นาคาร
พาณิชย์ไม่ได้
ม
การกู้ยืมเงิน 3-65
ฝากกระแสรายวนั เมือ่ จ �ำ เลยจา่ ยเช็คถ อนเงินเกินก ว่าจ �ำ นวนทจี่ �ำ เลยมอี ยูใ่ นบญ ั ชีแ ละโจทก์ไ ด้ผ อ่ นผนั จ า่ ย
ให้ไป จำ�เลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เสมือนโจทก์กับจำ�เลยมีสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต่อกัน โจทก์มีสิทธิคิด
ดอกเบี้ยท บต้นได้”
อนึง่ มีน กั ก ฎหมายบางทา่ นเห็นว า่ การมบี ญ ั ชีเดินส ะพัดก บั ธ นาคารถา้ ไ ม่ไ ด้ม สี ญ ั ญาเบิกเงิน
เกินบัญชีต ่อก ันจ ะคิดดอกเบี้ยท บต้นไม่ได้
ธ
นอกจากการคดิ อ ตั ราดอกเบีย้ ท บตน้ ในบญ ั ชีเดินส ะพัด ตามประเพณีก ารคา้ ข องธนาคารแล้ว
ยังสามารถคิดดอกเบี้ยทบต้นในการค้าขายอย่างอื่นทำ�นองเดียวกับบัญชีเดินสะพัดได้ ซึ่งประเพณีการ
มส
ค้าขายอย่างอื่นท�ำ นองเดียวกับบัญชีเดินสะพัด ได้แก่ การค้าเงินอันเป็นธุรกิจส ำ�คัญของธนาคารพาณิชย์
หากผู้ให้กู้ (ธนาคาร) นำ�สืบได้ว่าเป็นประเพณีการค้าของธนาคารแล้วย่อมคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ ส่วน
การตกลงกันให้คิดดอกเบี้ยทบต้นในสัญญากู้ยืมเงินธรมดาก็ไม่ถือว่าการกู้ยืมเงินเป็นการค้าขายอย่าง
อื่นทำ�นองเดียวกับบัญชีเดินสะพัด เพราะประเพณีธนาคารที่จะใช้ในการคิดดอกเบี้ยทบต้นมีได้เฉพาะ
ในวรรค 2 เท่านั้น คือการเบิกเงินเกินบัญชี ดังตัวอย่างใน ฎ. 543/2510 วินิจฉัยว่า “ตามประมวล
กฎหมายแพ่งแ ละพาณิชย์มาตรา 655 ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยท ี่ค ้างช�ำ ระแต่คสู่ ัญญาจะตกลงกัน
เป็นหนังสือให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ในเมื่อดอกเบี้ยค้างชำ�ระไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือมีประเพณีการค้าขาย
ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ ตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องข้อ 3 มีว่า “การให้กู้และกู้ตามหนังสือนี้ให้เป็นไปตาม
ประเพณีผู้ให้กู้ ฉะนั้นหากผู้กู้ผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ยตามอัตราและกำ�หนดที่กล่าวมาแล้วในข้อ 2 ฯลฯ ผู้กู้
ธ
ยินยอมให้ดอกเบี้ยที่ค้างชำ�ระนั้นทบเข้ากับต้นเงินทันทีที่ค้างชำ�ระเป็นคราวๆ ไป และยอมให้ผู้ให้กู้คิด
ดอกเบี้ยทบเข้ากับต้นเงิน ดังว่านี้เป็นตัวเงินอันผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราเดียวกัน และมีกำ�หนด
มส
48 เรื่องเดียวกัน น. 378–379.
ม
3-66 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าธนาคารพาณิชย์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นในการให้กู้ยืมเงินได้ หากมีข้อตกลงเช่นนั้น
เนื่องจากประเพณีการค้าอย่างอื่นทำ�นองเดียวกับบัญชีเดินสะพัดของธนาคารพาณิชย์คือ การให้กู้ยืมเงิน
ไม่ว า่ ในรปู ใดทที่ �ำ ให้ธ นาคารได้ด อกเบีย้ อนั เป็นร ายได้ส ว่ นหนึง่ ข องธนาคารพาณิชย์ แต่มคี � ำ พพิ ากษาศาล
ฎีกาทวี่ นิ จิ ฉัยว า่ การท� ำ สญั ญากยู้ มื เงินก บั บ ริษทั เงินท นุ ห ลักท รัพย์ไ ม่ใช่เรือ่ งบญ
ั ชีเดินส ะพัดห รือก ารคา้ ขาย
อย่างอื่นท ำ�นองบัญชีเดินสะพัด
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 1870/2527 สัญญากู้ที่ตกลงให้ส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือนหากผู้กู้ผิดนัดไม่ชำ�ระเดือนใด
มส
ผูใ้ ห้ก มู้ สี ทิ ธิค ดิ ด อกเบีย้ ท บตน้ ไ ด้ท นั ทีโดยไม่ต อ้ งรอให้ด อกเบีย้ ค า้ งช�ำ ระไม่น อ้ ยกว่าป หี นึง่ ก อ่ นนนั้ ข้อต กลง
เฉพาะที่ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 655 วรรคแรกตกเป็นโมฆะ
สัญญากเู้ งินร ะหว่างบริษทั เงินท นุ ห ลักท รัพย์ โจทก์ก บั จ �ำ เลยเป็นส ญ
โดยจ�ำ เลยเป็นล กู ห นีโ้ จทก์เพียงฝา่ ยเดียวไม่มหี นีส้ นิ อ ะไรทจี่ ะหกั ก ลบลบกนั แม้โจทก์จ ะท�
กู้เงินไว้ก็เพื่อประสงค์จะทราบว่าจำ�เลยกู้เงินไปเมื่อใด จำ�นวนเท่าใด ผ่อนชำ�ระดอกเบี้ยและเงินต้นแล้ว
เพียงใดกับย ังค ้างชำ�ระอีกเท่าใด มิใช่เป็นการตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดขึ้นแ ต่กิจการในระหว่างโจทก์จ ำ�เลย
นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำ�เลยจึงมิใช่เรื่องบัญชีเดินสะพัดหรือการค้าขายอย่างอื่นทำ�นองบัญชีเดินสะพัด
ั ญากเู้ งินก นั ต ามธรรมดา
ำ ทะเบียนสญ ั ญา
อุทาหรณ์
ฎ. 1054/2526 ธนาคารโจทก์ให้จำ�เลยกู้เบิกเงินเกินบัญชี จำ�เลยได้เบิกเงินเกินบัญชี
และน� ำ เงินเข้าบ ญ
ั ชีห ลายครัง้ เพือ่ ห กั ก ลบลบหนี้ ดังนีส้ ญ ั ญาระหว่างโจทก์จ �ำ เลยมลี กั ษณะเป็นส ญ ั ญาบญ ั ชี
เดินส ะพัด
การที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำ�เลยนำ�เงินส่งเข้าบัญชีเพื่อลดยอดเงินที่เบิกเกิน
ธ
บัญชีทั้งหมดภายในกำ�หนด 1 เดือน นับแต่วันรับหนังสือ มิฉะนั้นโจทก์จะดำ�เนินคดีแก่จำ�เลยเช่นนี้เป็น
การบอกเลิกส ญ ั ญาบญ ั ชีเดินส ะพัด โดยมผี ลให้ส ญ ั ญาเลิกก นั เมือ่ ค รบก�ำ หนด 1 เดือน นับแ ต่ว นั ร บั ห นังสือ
เท่านั้น
มส
แล้ว หลังจากสัญญาเลิกกันแล้วธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้คงคิดดอกเบี้ยโดยวิธีธรรมดา
บันทึกเพิม่ เติมต อ่ อ ายุส ญั ญากเู้ บิกเงินเกินบ ญ ั ชีค รัง้ ส ดุ ท้ายจนถึงว นั ท โี่ จทก์ค ดิ ห กั ท อนบญ ั ชีค รัง้ ส ดุ ท้าย ก่อน
ทวงถามให้จ �ำ เลยทงั้ ส ชี่ �ำ ระเงินต ามสญ ั ญาดงั ก ล่าว จำ�เลยที่ 1 ไม่ไ ด้เบิกเงินอ กี เลย และไม่ป รากฏวา่ โจทก์
สธ
ได้ย อมให้จ �ำ เลยที่ 1 เบิกเงินเกินบ ญ ั ชีต อ่ ไ ปอกี คงมแี ต่จ �ำ เลยที่ 1 นำ�เงินเข้าบ ญ ั ชีเพือ่ ห กั ท อนหนีต้ ามยอด
เงินท คี่ า้ งช�ำ ระในระหว่างนนั้ ร วม 8 ครัง้ เป็นเงิน 6,000 บาท โดยไม่มลี กั ษณะเป็นการเดินส ะพัดท างบญ ั ชี
หักก ลบลบกนั ในระหว่างโจทก์จ �ำ เลยที่ 1 ในชว่ งระยะเวลาดงั ก ล่าว ดังนี้ พฤติการณ์แ สดงวา่ โจทก์จ �ำ เลยที่ 1
ม
3-68 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ไม่ประสงค์จะต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกันอีก ถือว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นสัญญาบัญชี
เดินส ะพัดส ิ้นส ุดล งนับแ ต่ว ันค รบกำ�หนดตามบันทึกเพิ่มเติมต ่ออ ายุส ัญญาครั้งส ทุ ด้าย ตาม ปพพ. มาตรา
856 โจทก์ไ ม่มสี ทิ ธิค ดิ ด อกเบีย้ ท บตน้ จ ากจ�ำ เลยที่ 3 และที่ 4 อีกน บั แ ต่ว นั ถ ดั จ ากวนั ส นิ้ ส ดุ ส ญ
ั ญาคงมสี ทิ ธิ
คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตั้งแต่วันที่จำ�เลยที่ 1 ทำ�สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์จนถึงวันสิ้นสุดสัญญา
และมีสิทธิคิดดอกเบี้ยโดยไม่ทบต้นได้ตั้งแต่วันถัดจากวันสิ้นสุดสัญญาไปจนกว่าจำ�เลยที่ 3 และที่ 4 จะ
ธ
ชำ�ระเสร็จแ ก่โจทก์
ฎ. 801/2536 สัญญาบัญชีเดินสะพัดร ะหว่างโจทก์จำ�เลยรวมอยู่ในสัญญาเบิกเงินเกิน
บัญชี ซึ่งท�
มส
ำ ขึ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2523 มีก�ำ หนด 12 เดือน ย่อมสิ้นส ุดลงในวันที่ 28 สิงหาคม
พ.ศ. 2524 สัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งรวมอยู่ด้วยจึงสิ้นสุดไปพร้อมกัน เว้นแต่โจทก์จำ�เลยจะได้ตกลงต่อ
สัญญากันต่อไปโดยตรงหรือโดยปริยาย การที่โจทก์จำ�เลยจะเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไปภายหลังจาก
สัญญาครบกำ�หนดแล้ว จำ�เลยจะต้องเบิกเงินจากบัญชีได้อีก แต่โจทก์หายอมให้จำ�เลยเบิกเงินได้อีกไม่
จึงเห็นเจตนาของโจทก์ชัดแจ้งว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเดินสะพัดทางบัญชีกับจำ�เลยอีก ส่วนการที่จำ�เลยนำ�
เงินเข้าบัญชี 2 ครั้ง ภายหลังจ ากครบกำ�หนดเวลาตามสัญญาแล้วก ็เป็นการนำ�เงินเข้าบัญชีเพื่อช ำ�ระหนี้
เท่านัน้ หาได้ม เี จตนาจะเดินส ะพัดท างบญ ั ชีก บั โจทก์ต อ่ ไ ปไม่ ภายหลังจ ากสญ ั ญาดงั ก ล่าวสนิ้ ส ดุ ล ง โจทก์
คงมีสิทธิคิดด อกเบี้ยจากจำ�เลยได้โดยวิธธี รรมดาจะคิดดอกเบี้ยโดยวิธที บต้นต ่อไปอีกหาได้ไม่
ค. ผู้เบิกเงินเกินบัญชีตาย เมื่อผู้เบิกเงินเกินบัญชีตาย สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอัน
ธ
ประกอบด้วยสัญญาบัญชีเดินส ะพัดย ่อมระงับไ ปด้วย เพราะถือว่าส ัญญาบัญชีเดินส ะพัดเป็นส ัญญาที่เกิด
ขึ้นเนื่องจากความเชื่อถือระหว่างบุคคลเท่านั้น เมื่อคู่สัญญาตายสัญญาย่อมระงับไปโดยปริยาย ดังนั้น
มส
กิจกรรม 3.3.2
สธ
1. ให้นักศึกษาอธิบายว่า การคิดดอกเบี้ยทบต้นในสัญญากยู้ ืมเงินทำ�ได้ห รือไม่เพียงใด
2. ให้นักศึกษาให้เหตุผลว่า ทำ�ไมจึงค ิดดอกเบี้ยทบต้นในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีได้
ม
การกู้ยืมเงิน 3-69
แนวตอบกิจกรรม 3.3.2
1. ทำ�ได้กรณีผู้กู้ค้างชำ�ระดอกเบี้ยกว่าหนึ่งปีขึ้นไปและตกลงกับผู้ให้กู้เป็นหนังสือว่ายอมให้คิด
ดอกเบี้ยทบต้นได้ และท�ำ ได้ในกรณีมปี ระเพณีค้าขายให้ท ำ�ได้ (ปพพ. มาตรา 655 วรรคหนึ่ง และสอง)
2. เพราะเป็นเรือ่ งการคา้ ขายเงิน และประเพณีธ นาคารทจี่ ะใช้ในการคดิ ด อกเบีย้ ท บตน้ มีเฉพาะ
ธ
ในบัญชีเดินสะพัด ดังนั้น สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดประกอบด้วยสัญญากยู้ ืมเงิน
จึงสามารถคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ (ปพพ. มาตรา 655 วรรคสอง)
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
3-70 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 3.4
ความระงับแ ห่งสัญญากู้ยืมเงินและการนำ�สืบการใช้เงินกู้
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 3.4 แล้วจ ึงศ ึกษารายละเอียดต่อไ ป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
3.4.1 ความระงับแห่งสัญญากยู้ ืมเงิน
3.4.2 การนำ�สืบการใช้เงินกู้
1. ส ัญญากู้ยืมเงินที่กำ�หนดระยะเวลาชำ�ระเงิน ย่อมระงับลงเมื่อสัญญากู้ยืมครบกำ�หนด
ชำ�ระ
2. สญั ญากยู้ มื เงินท ไี่ ม่ไ ด้ก �ำ หนดระยะเวลาการช�ำ ระเงิน ย่อมครบก�ำ หนดตามระยะเวลาใน
ค�
ำ บอกกล่าวที่ผใู้ ห้กยู้ ืมแจ้งไปยังผู้กยู้ ืม
3. การนำ�สืบการใช้เงินต้องไม่ขัดกับมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
ธ
แพ่งค อื จะนำ�พยานบคุ คลมาสบื ต ดั ท อนหรือเปลีย่ นแปลงแก้ไขขอ้ ความในเอกสารไม่ไ ด้
วัตถุประสงค์
มส
ม
สธ
ม
การกู้ยืมเงิน 3-71
เรื่องที่ 3.4.1
ความระงับแ ห่งสัญญากู้ยืมเงิน
ธ
เนื่องจากสัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองชนิดหนึ่ง ความระงับแห่งสัญญาจึงต้องนำ�
บทบัญญัติในเรื่องความระงับแห่งสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองมาใช้บังคับซึ่งได้กล่าวไว้อย่างละเอียดในหน่วยที่
มส
2 ดังนั้นในเรื่องนี้จะกล่าวไว้เพียงสังเขป
1. สัญญากู้ยืมเงินมีกำ�หนดเวลาชำ�ระ
ในการท� ำ สญ
ั ญากยู้ มื เงินเมือ่ ค สู่ ญ
ผูใ้ ห้กยู้ ืม ก็ให้ถือเวลานั้นเป็นเวลาครบก�ำ หนดสัญญา
ั ญาได้ต กลงกนั ไ ว้ว า่ เวลาใดเป็นเวลาทผี่ กู้ ยู้ มื จ ะตอ้ งช�ำ ระหนีค้ นื
การแสดงเจตนาดงั ก ล่าวมาในวรรคกอ่ น ท่านวา่ ห าอาจจะถอนได้” เช่น กุง้ ให้ เข้มก ยู้ มื เงินจ �ำ นวน
10,000 บาท ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 กำ�หนดให้เข้มชำ�ระต้นเงินคืนภายใน 1 ปี โดยกำ�หนดวันช ำ�ระ
เงินคืนตามสัญญาในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557 ดังนั้น หากเข้มลูกหนี้มิได้ช�ำ ระหนีใ้ห้กุ้งในวันดังกล่าว
เข้มตกเป็นผู้ผิดนัด โดยกุ้งผู้ให้กยู้ ืมมิพักต้องเตือนเลย ตาม ปพพ. มาตรา 204 วรรคสอง สัญญากู้ยืมเป็น
อันระงับ
ธ
2. ความตายของคู่สัญญาไม่ทำ�ให้สัญญากู้ยืมเงินระงับ
มส
3. สัญญากู้ยืมเงินที่ไม่ได้กำ�หนดระยะเวลา
สธ
ความระงับแ ห่งส ญ
ั ญากยู้ มื เงินในกรณีน ยี้ อ่ มเป็นไ ปตามความระงับแ ห่งส ญ
ั ญายมื ใช้ส นิ้ เปลืองตาม
ปพพ. มาตรา 652 ความว่า “ถ้าในสัญญาไม่มกี �ำ หนดเวลาให้คืนทรัพย์สินซึ่งย ืมไป ผูใ้ ห้ยืมจะบอกกล่าวแก่
ผูย้ ืมให้คืนทรัพย์สินภายในเวลาดังกล่าวนั้นก็ได้” เช่น ขาวให้เขียวกู้ยืมเงินไปจำ�นวน 3,000 บาท โดยมิได้
ม
3-72 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
กำ�หนดให้เขียวชำ�ระคืนภายในเวลาใด ดังนี้ผู้ให้ยืมคือขาวต้องทำ�คำ�บอกกล่าวไปยังเขียวผู้ยืมว่าให้ชำ�ระ
เงินที่ยืมเมื่อใดอาจจะกำ�หนดให้เขียวนำ�เงินมาชำ�ระคืนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำ�บอกกล่าวนั้น
เมื่อครบกำ�หนดเขียวไม่นำ�เงินมาชำ�ระคืนขาว ถือว่าเขียวตกเป็นผู้ผิดนัด เมื่อเขียวผิดนัด ขาวอาจบอก
เลิกส ัญญากับเขียวได้ สัญญาเป็นอันระงับ เขียวต้องนำ�เงินม าช�ำ ระคืนให้ขาว
อนึ่งในเรื่องการกยู้ ืมเงินซ ึ่งเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองนไี้ ม่นำ�บทบัญญัติใน ปพพ. มาตรา 20349
ธ
ในเรื่องการชำ�ระหนี้โดยทั่วไปมาใช้บังคับ เพราะมีบทกฎหมายโดยเฉพาะใช้บังคับ ดังนั้น การที่จะทำ�ให้
สัญญากู้ยืมชนิดที่ไม่ได้กำ�หนดระยะเวลาการชำ�ระหนี้ไว้ระงับ ผู้ให้กู้ยืมต้องทำ�คำ�บอกกล่าวแจ้งไปยัง
มส
ผกู้ ู้ยืมก ่อน เมื่อผกู้ ยู้ ืมไ ม่ป ฏิบัติต ามกำ�หนดในคำ�บอกกล่าวจึงตกเป็นผ ผู้ ิดนัด และผใู้ห้ก ู้มีสิทธิเลิกสัญญา
อายุค วามตามสัญญากู้ยืมเงิน
ในสัญญากู้ยืมเงินนั้น ปพพ. มิได้กำ�หนดอายุความไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงต้องนำ�บทบัญญัติใน
ปพพ. มาตรา 193/30 มาบังคับ “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดย
เฉพาะให้ม กี �ำ หนดสิบปี” (ฎ. 229/2522 ป.ใหญ่) อายุความ 10 ปี นับตั้งแต่วันกู้เงินถึงวันที่โจทก์ฟ้อง แต่
หากฟ้องให้ก องมรดกชำ�ระหนี้ กรณีล ูกห นีเ้งินก ตู้ ายก่อนยังไม่ได้ช�ำ ระหนี้ก็ต้องอยู่ภายในอายุความมรดก
ตาม ปพพ. มาตรา 1754 วรรคสามด้วย
ธ
กิจกรรม 3.4.1
ให้นักศึกษาตอบคำ�ถามต่อไปนี้
มส
1. สัญญากู้ยืมเงินที่มีกำ�หนดเวลาชำ�ระหนี้สัญญาจะระงับสิ้นไปเมื่อใด ความตายของคู่สัญญา
ทำ�ให้สัญญาระงับสิ้นไปหรือไม่ เพราะเหตุใด
2. สัญญากยู้ ืมเงินทไี่ ม่ได้ก�ำ หนดเวลาชำ�ระหนี้กันไว้ ระงับสิ้นไ ปเมื่อใด
แนวตอบกิจกรรม 3.4.1
1. สัญญากู้ยืมเงินที่ไม่ได้กำ�หนดเวลาชำ�ระระงับสิ้นไปเมื่อครบกำ�หนดสัญญา ความตายของคู่
ม
สัญญาหาทำ�ให้สัญญากู้ยืมเงินระงับไปไม่ เพราะสาระสำ�คัญของการกู้ยืมเงินอยู่ที่การส่งมอบทรัพย์ที่ให้
กู้ยืมตามมาตรา 650 มิใช่เป็นส ิทธิเฉพาะตัว
2. สัญญากยู้ มื เงินท ไี่ ม่ไ ด้ก �ำ หนดเวลาช�ำ ระหนีก้ นั ไ ว้ ระงับส นิ้ ไ ปเมือ่ เจ้าห นีม้ หี นังสือบ อกกล่าวให้
ลูกหนีช้ ำ�ระหนีภ้ ายในก�ำ หนดไว้ในค� ำ บอกกล่าว (ปพพ. มาตรา 652) หากลูกหนีไ้ ม่ช ำ�ระหนี้ตามกำ�หนด
เวลาในคำ�บอกกล่าวถือว่าลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนีม้ สี ิทธิบอกเลิกสัญญา เป็นเหตุให้สัญญากยู้ ืมเงินร ะงับ
สธ
49 มาตรา 203 “ถ้าเวลาอันจะพึงชำ�ระหนี้นั้นมิได้กำ�หนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่า
เจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ช�ำ ระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะช�ำ ระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน”
ม
การกู้ยืมเงิน 3-73
เรื่องที่ 3.4.2
การนำ�สืบการใช้เงินกู้
ธ
เรือ่ งการนำ�สบื ก ารใช้เงินน เี้ ป็นเรือ่ งทมี่ คี วามส�ำ คัญในล�ำ ดับเดียวกันก บั เรือ่ งการกยู้ มื เงินท กี่ ฎหมาย
กำ�หนดให้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ เรื่องการนำ�สืบเป็นเรื่องที่จะศึกษาได้โดยละเอียดในวิธี
ชนิด คือ
มส
พิจารณาความแพ่ง ส่วนในหัวข้อนี้จะกล่าวไว้โ ดยสังเขปเท่านั้น การนำ�สืบการใช้เงินน�
1. พยานบุคคล การกู้ยืมเงินกรณีที่กฎหมายไม่บังคับให้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
การนำ�สืบการใช้เงินกรณีนี้คู่สัญญาสามารถนำ�พยานบุคคลมาสืบได้ เช่น กุ้งกู้ยืมเงินเข้มจำ�นวน 1,500
ำ พยานมาสืบได้ 2
บาท โดยไม่มหี ลักฐานการกยู้ ืมเงินเป็นหนังสือ แล้วกไ็ ม่ช�ำ ระเงินค ืนเข้ม ดังนั้นในชั้นดำ�เนินค ดี เข้มย ่อม
นำ�พยานบุคคลมาสืบได้ว่ากุ้งกู้เงินเข้มไปจริง
2. พยานเอกสาร กรณีทกี่ ฎหมายบังคับให้มหี ลักฐานแห่งการกยู้ ืมเงินเป็นหนังสือ การนำ�สืบการ
ใช้เงินดังกล่าว ผู้นำ�สืบต้องนำ�หลักฐานแห่งการกยู้ ืมเป็นหนังสืออันเป็นพยานเอกสารมาแสดง ตาม ปวพ.
มาตรา 94 ความว่า “เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยาน
ธ
บุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าค ู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมกด็ ี”
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนำ�เอกสารมาแสดง
(ข) สืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อได้นำ�เอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมี
มส
อย่างหนึง่ ล งลายมือช อื่ ผ ใู้ ห้ย มื ม าแสดง หรือเอกสารอนั เป็นห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื น นั้ ไ ด้เวนคืนแ ล้ว หรือไ ด้แ ทง
เพิกถ อนลงในเอกสารนั้นแล้ว” เช่น แดงกยู้ ืมเงินดำ� 1,000 บาท โดยทำ�หลักฐานการกยู้ ืมเงินเป็นห นังสือ
เมื่อแดงชำ�ระหนี้เงินกู้ไปแล้วต้องมีหลักฐานการใช้เงินเป็นหนังสือ หรือเวนคืนเอกสารกู้ยืมเงินหรือแทง
เพิกถ อนลงในเอกสาร มิฉะนั้นจะนำ�สืบการใช้เงินไ ม่ไ ด้ ตามมาตรา 653 วรรคสอง แม้กู้ยืมเงินกันไม่เกิน
2,000 บาทก็ตาม
ธ
การนำ�สืบการใช้เงินตามมาตรา 653 วรรคสอง หมายความถึงก ารใช้ต้นเงินไม่รวมถึงดอกเบี้ยที่
เกิดจ ากต้นเงินน ั้น (ฎ. 826/2504)
มส
การนำ�สืบก ารใช้เงิน กระทำ�ได้ 3 กรณี
1) มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือช ื่อผู้ให้ย ืมมาแสดง หรือ
2) เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นไ ด้เวนคืนแล้ว หรือ
3) ได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแ ล้ว
ทั้ง 3 ข้อนจี้ ะได้กล่าวรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง การกู้ยืมเงินที่มี
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นห นังสือ การนำ�สืบการใช้เงินก็ต้องมีหลักฐ านเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงลายมือช ื่อผู้ให้ยืมมาแสดงเช่นกัน ซึ่งโดยปกติได้แก่ใบเสร็จรับเงิน
ธ
ตัวอย่างใบเสร็จรับเงิน
มส
ใบเสร็จรับเงิน
ธ
กูย้ มื เงินม หี ลักฐ านเป็นห นังสือน นั้ ท า่ นวา่ จ ะน�ำ สืบก ารใช้เงินไ ด้ต อ่ เมือ่ ม หี ลักฐ านเป็นห นังสืออ ย่างใดอย่างหนึง่
ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง ฯลฯ” กฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้องมใี บเสร็จรับเงินม าแสดงเลย
มส หลักฐ านอย่างใดอย่างหนึง่ น นั้ จะเป็นห ลักฐ านอะไรกไ็ ด้ข อให้ม ขี อ้ ความแสดงวา่ ผูใ้ ห้ก ยู้ มื ไ ด้
รับช �ำ ระหนีท้ ใี่ ห้ก ยู้ มื แ ล้วโดยมลี ายมือช อื่ ข องผใู้ ห้ย มื เป็นส �ำ คัญ ซึง่ เป็นท �ำ นองเดียวกันก บั ห ลักฐ านการกยู้ มื
เงิน ซึง่ หลักฐานดงั กล่าวอาจจะเป็นจดหมายหรือบนั ทึกใดๆ ก็ได้ ข้อส�ำ คัญหลักฐานดงั กล่าวตอ้ งมลี ายมือ
ชือ่ ผ ใู้ ห้ก เู้ ป็นส �ำ คัญห รือห ากไม่มลี ายมือช อื่ ข องผใู้ ห้ก ู้ ผูใ้ ห้ก จู้ ะพมิ พ์ล ายนวิ้ ม อื ก ใ็ ช้ได้ แต่ต อ้ งมพี ยานรบั รอง
พิมพ์ลายนวิ้ มอื สองคน ตาม ปพพ. มาตรา 9 หากไม่มพี ยานรบั รองกถ็ อื ไม่ได้วา่ มลี ายมือชอื่ ของผใู้ ห้กยู้ มื
เป็นสำ�คัญ ผูก้ ู้จะใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ว่าผใู้ ห้กไู้ ด้รับชำ�ระหนี้จากผู้กู้แล้ว (ฎ. 2550/2554)
อุทาหรณ์
ฎ. 3339/2532 (ป.ใหญ่) ในการชำ�ระหนี้เงินยืม ผู้ยืมให้ผู้ให้กู้ยืมเงินรับเงินเดือนแทนผู้ยืม
และหักเงินเดือนชำ�ระหนี้ ดังนี้สมุดจ่ายเงินเดือนของทางราชการที่ผู้ให้ยืมลงชื่อรับเงินเดือนแทนผู้ยืมนั้น
เป็นหลักฐานการใช้เงิน ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง
ธ
ฎ. 3657/2534 จำ�เลยที่ 1 กู้เงินโจทก์และได้ชำ�ระหนี้เงินกู้รายพิพาทเป็นเช็ค แต่ธนาคาร
ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค หนีเ้ งินกจู้ ึงยังคงมีอยู่ การที่จำ�เลยที่ 2 ซึ่งเป็นผคู้ � ้ำ ประกันน ำ�สืบว่า จำ�เลยที่ 1
มส
นำ�เงินสดตามเช็คไ ปช�ำ ระแก่โจทก์จ นครบและรบั เช็คค นื จ ากโจทก์แ ล้วจ งึ เป็นการน�ำ สืบก ารใช้เงินต ามความ
หมายของ ปพพ. มาตรา 653 วรรคสองเมื่อจ�ำ เลยที่ 2 ไม่มหี ลักฐานเป็นห นังสือล งลายมือช ื่อผู้ให้ยืมม า
แสดง และไม่ป รากฏวา่ เอกสารอนั เป็นห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื น นั้ ไ ด้เวนคืนห รือไ ด้แ ทงเพิกถ อนลงในเอกสาร
นั้นแล้วจึงรับฟังไม่ได้ว่าจ�ำ เลยที่ 1 ได้ช�ำ ระหนีใ้ ห้แก่โจทก์
ฎ. 4094/2540 การช�ำ ระหนี้กยู้ ืมเงินต้องมหี ลักฐาน ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสองมา
แสดง จำ�เลยร่วมเพียงปากเดียวมาเบิกความลอยๆ ว่าได้ชดใช้เงินให้แก่โจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้
การที่จำ�เลยนำ�เงินฝากเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์เพื่อชำ�ระหนี้เงินที่กู้ยืมจากโจทก์เป็นการชำ�ระหนี้ผ่าน
ธนาคารที่โจทก์มีบัญชีเงินฝากเพื่อให้โจทก์ได้รับเงินที่ชำ�ระหนี้โดยไม่ได้ทำ�นิติกรรมโดยตรงต่อโจทก์
ไม่อาจมกี ารกระทำ� ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ยอมรับการชำ�ระหนี้อย่างอื่น
แทนการชำ�ระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตาม ปพพ. มาตรา 321 วรรคหนึ่งที่จำ�เลยน�ำ สืบว่าจ ำ�เลยช�ำ ระหนีใ้ห้แก่
สธ
โจทก์ด ้วยการนำ�เงินฝากเข้าบัญชีของโจทก์ได้นั้นจำ�เลยจึงนำ�สืบได้
ม
3-76 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ส่วนการนำ�สืบการใช้เงินกรณีที่คู่สัญญาตกลงชำ�ระหนี้เงินกู้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นแม้จะ
มิได้ทำ�หลักฐานการชำ�ระหนีเ้ ป็นหนังสือกย็ ่อมน� ำ พยานบุคคลมาสืบการช�ำ ระหนีเ้ ช่นนั้นไ ด้ ดังตัวอย่างใน
ฎ. 1496/2503 ซึง่ คสู่ ญ ั ญาได้ท �ำ หนังสือส ญ
ั ญากยู้ มื เงินก นั แ ล้วต อ่ ม าตกลงช�ำ ระหนีด้ ว้ ยทรัพย์อ ย่างอนื่ แม้
จะมิได้ท� ำ หลักฐานการชำ�ระหนี้เป็นหนังสือกย็ ่อมนำ�สืบการชำ�ระหนี้นั้นได้ ศาลฎีกาได้ให้เหตุผลว่า “ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งแ ละพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง บัญญัตกิ ารนำ�สบื เฉพาะกรณีก ารใช้เงิน ไม่หา้ ม
ธ
การนำ�สืบกรณีใช้ทรัพย์สินอย่างอื่นชำ�ระหนีแ้ ทนเงิน”
2) เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนแล้ว นอกจากการนำ�สืบการใช้เงิน โดยมี
มส
หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงแล้ว ผู้กู้ยังนำ�สืบได้ว่าหลักฐานการ
กู้ยืมได้เวนคืนให้แก่ผกู้ แู้ ล้ว
เวนคืน หมายถึง การมอบเอกสารอันป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมคืนให้แก่ผู้กู้ยืม เมื่อผู้กู้ยืม
ได้ชำ�ระหนี้แก่ผู้ให้กู้ยืมแล้ว เช่น กุ้งกู้ยืมเงินเข้มโดยทำ�สัญญากู้ยืมกันไว้ เมื่อกุ้งได้ชำ�ระหนี้รายนี้เสร็จ
สิ้นเรียบร้อยแล้วเข้มย่อมจะเวนคืนเอกสารสัญญากู้ยืมเงินให้แก่กุ้งผู้กู้เป็นการแสดงว่าสัญญากู้ยืมเงินดัง
กล่าวได้ระงับสิ้นลงตามความใน ปพพ. มาตรา 326 ที่บัญญัติว่า “บุคคลผชู้ ำ�ระหนี้ชอบที่จะได้ร ับใบเสร็จ
เป็นส�ำ คัญจากผรู้ บั ช�ำ ระหนีน้ นั้ และถา้ หนีน้ นั้ ได้ช�ำ ระสนิ้ เชิงแล้ว ผชู้ �ำ ระหนีช้ อบทจี่ ะได้ร บั เวนคืนเอกสารอนั
เป็นหลักฐานแห่งหนี้” และการเวนคืนเอกสารดังกล่าวถือว่าหนี้นั้นระงับสิ้นไ ป ตามมาตรา 327 วรรคสาม
“ถ้าเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ได้เวนคืนแล้วไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้น
ธ
ไปแล้ว”
การเวนคืนเอกสารดังกล่าว ต้องเป็นเจตนาของผู้ให้กู้ที่จะเวนคืนให้แก่ผู้กู้ เนื่องจากผู้กู้ได้
มส
ชำ�ระหนีเ้ งินกเู้ รียบร้อยแล้ว ไม่ใช่เพียงแต่วา่ สญ ั ญากยู้ มื ได้ตกไปอยูใ่ นมอื ของผกู้ โู้ ดยวธิ อี นื่ เช่น ผูก้ ขู้ อยืม
สัญญากู้จากผใู้ ห้กู้ยืมไปแล้วไม่คืนให้ หรือผู้กไู้ ด้ล ักสัญญากยู้ ืมเงินไ ปจากผู้ให้ก ู้ หรือผ ู้ให้กทู้ ำ�สัญญากตู้ ก
หายแล้วมีผู้เก็บไปให้ผู้กู้ กรณีที่กล่าวเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งสัญญา
กู้ยืมโดยเจตนาของผู้ให้กยู้ ืม
อุทาหรณ์
ฎ. 2657/2534 หนังสือร บั รองการท� ำ ประโยชน์ท จี่ �ำ เลยมอบให้โจทก์เป็นห ลักป ระกันก ารกยู้ มื
ม
เงินไ ม่ใช่ห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื การเวนคืนเอกสารดงั ก ล่าวจงึ ร บั ฟ งั ไ ม่ไ ด้ว า่ จ �ำ เลยช�ำ ระหนีใ้ ห้แ ก่โจทก์แ ล้ว
3) ได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว การนำ�สืบการใช้เงินในข้อสุดท้ายนี้ เป็นการแทง
เพิกถอนลงในเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นโดยตรง ซึ่งหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน อาจจะเป็น
ตัวเอกสารสัญญากยู้ ืมเงินหรือหลักฐานอย่างอื่น
การแทงเพิกถอน หมายถึง บันทึกแสดงการชำ�ระหนี้ของผู้กู้ยืม เช่น ผู้ให้กู้ได้ทำ�สัญญา
กู้ฉบับน ั้นว ่าไ ด้ม ีการชำ�ระหนีก้ ันเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ให้ก ู้ไม่จ ำ�ต้องคืนส ัญญากู้ให้แ ก่ผ ู้กกู้ ย็ ่อมทำ�ได้ ถือว่า
การแทงเพิกถอนลงในสัญญาดังกล่าวเป็นการทำ�ให้สัญญากู้ระงับสิ้นไปอย่างหนึ่ง การแทงเพิกถอนลงใน
สธ
สัญญากู้ยืมเงินนี้ ผู้ให้กู้ (เจ้าหนี้) ต้องเป็นผแู้ ทงเพิกถอน หรือโดยคำ�สั่งของเจ้าหนีใ้ ห้แทงเพิกถอน ผู้กู้
จะแทงเพิกถอนเองไม่ได้
ม
การกู้ยืมเงิน 3-77
ธ
บังคับให้มหี ลักฐานแห่งการกยู้ ืมเงินเป็นหนังสือ หรือต้องน� ำ พยานเอกสารมาสืบก รณีทกี่ ฎหมายบังคับให้
มีห ลักฐ านแห่งก ารกยู้ มื ม าแสดงดงั บ ทบัญญัตใิ น ปวพ. 94 ความวา่ “เมือ่ ใ ดมกี ฎหมายบงั คับใ ห้ต อ้ งมพี ยาน
มส
เอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีก
ฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมกด็ ี ฯลฯ”
การนำ�สืบการใช้เงินเรื่องดอกเบี้ยนั้นกฎหมายมิได้บังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง
ดังนั้นผู้กู้สามารถนำ�พยานบุคคลมาสืบเรื่องการชำ�ระดอกเบี้ยได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานการใช้เงินเป็น
หนังสืออันเป็นพยานเอกสารมาแสดงต่อศาล ซึ่งมีตัวอย่างคำ�พิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยในเรื่องนี้ว่า
ในเรื่องการกู้ยืมเงินที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือกฎหมายห้ามนำ�พยานบุคคลมาสืบการใช้เงิน เฉพาะใน
ต้นเงิน แต่ในเรื่องการช�ำ ระดอกเบี้ย กฎหมายมิได้ห้ามดังเช่น ฎ. 243/2503 ซึ่งศ าลฎีกาวินิจฉัยโดยมติ
ที่ประชุมใหญ่ “เห็นว่าวรรคสองแห่งกฎหมายดังกล่าว (มาตรา 653) ปัญหาเรื่องการนำ�สืบการให้เงินว่า
ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเฉพาะเรื่องการกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาท (ปัจจุบันสองพันบาท) ขึ้นไปเท่านั้น
ส่วนดอกเบี้ยหาได้มบี ัญญัตไิ ว้ไม่ ด้วยเหตุนี้การที่จำ�เลยจะนำ�สืบพยานบุคคลว่าได้ช�ำ ระดอกเบี้ยแก่โจทก์
ธ
จึงไม่ขัดต่อ ปวพ. มาตรา 94 ฯลฯ”
ฎ. 1084/2510 “การช�ำ ระดอกเบีย้ ไ ม่จ � ำ ตอ้ งมหี ลักฐ านเป็นห นังสือต ามประมวลกฎหมายแพ่ง
มส
รับชำ�ระหนี้ เพื่อระยะ ก่อนๆ นั้นด้วยแล้ว ตาม ปพพ. มาตรา 327 เช่น คูส่ ัญญากำ�หนดช�ำ ระดอกเบี้ย
ม
2) การนำ�สบื เรือ่ งการใช้ด อกเบีย้ ห รือต น้ เงินในกรณีช �ำ ระดอกเบีย้ ห รือต น้ เงินพ ร้อมดอกเบีย้
เป็นง วดๆ นัน้ ถ้าเจ้าห นีอ้ อกใบเสร็จให้เพือ่ ร ะยะหนึง่ แ ล้วโ ดยมอิ ดิ เอือ้ น ให้ส นั นิษฐานไว้ก อ่ นวา่ เจ้าห นีไ้ ด้
ธ
ในเรื่องชำ�ระหนี้ได้ (ฎ. 767/2505, 543/2510, 1084/2510)
4) การนำ�สบื ก ารช�ำ ระหนีโ้ ดยโอนเงินท างอนิ เทอร์เน็ตหรือเอทีเอ็ม ในปจั จุบนั เทคโนโลยีได้
มส
พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว วิธกี ารชำ�ระหนี้กร็ ุดหน้าไปด้วยมีการโอนเงินทาง Internet (อินเทอร์เน็ต) หรือใช้
ATM ก่อนมกี ารยกเลิกการใช้โ ทรเลขในประเทศไทย ได้มกี ารโอนเงินท างโทรเลขเข้าบ ญ
ถือเป็นการใช้เงินอย่างหนึ่ง
อุทาหรณ์
ฎ. 2965/2531 การกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือจะนำ�สืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐาน
เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้
เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง การที่จำ�เลยโอน
เงินทางโทรเลขเข้าบัญชีโจทก์ไม่เข้าบทบัญญัติมาตรานี้ แต่เป็นการช�ำ ระหนี้อย่างอื่นตาม ปพพ. มาตรา
ั ชีข องเจ้าห นี้ ซึง่
การทจี่ ะน�ำ สืบต าม มาตรา 653 วรรคสองนนั้ ต อ้ งเป็นการช�ำ ระหนีก้ นั ด ว้ ยเงินโดยตรง ชำ�ระ
ด้วยมือต่อมือ (by hand)
กิจกรรม 3.4.2
ให้นักศึกษาศึกษาถึงเรื่องการนำ�สืบการใช้เงินแ ล้วตอบค�ำ ถามต่อไปนี้
1. การนำ�สืบการใช้เงินนั้น ผูก้ สู้ ามารถนำ�สืบการใช้เงินได้กี่วิธี อะไรบ้าง จงอธิบายม
2. หลักฐานการใช้เงินมเี พียงใบเสร็จรับเงินใช่หรือไม่ หลักฐ านอย่างอื่นใช้ได้เพียงใดจงอธิบาย
3. การนำ�สืบการใช้เงิน หมายความว่านำ�สืบในเรื่องใด การนำ�สืบพยานบุคคลในเรื่องดอกเบี้ย
ทำ�ได้หรือไม่ เพียงใด ให้เหตุผลประกอบ
แนวตอบกิจกรรม 3.4.2
1. การนำ�สืบการใช้เงินตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสองมี 3 วิธี
สธ
1) มีหลักฐานแห่งการใช้เงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ย ืมเป็นสำ�คัญ
2) ได้เวนคืนเอกสารแห่งก ารกยู้ ืมเงิน
3) ได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารการกู้ยืมเงิน
ม
การกู้ยืมเงิน 3-79
2. ไม่ใช่ หลักฐ านเป็นห นังสือใดๆ ก็ได้แ สดงวา่ ม กี ารใช้เงินให้แ ก่ผ ใู้ ห้ก ยู้ มื แ ล้ว เช่น จดหมายตอบรบั
3. การนำ�สืบการใช้เงินหมายความถึงการนำ�สืบการใช้ต้นเงินตามมาตรา 653 วรรค 2 การนำ�
พยานบุคคลมาสืบในเรื่องดอกเบี้ยทำ�ได้เพราะมิใช่การนำ�สืบการใช้ต้นเงิน การนำ�สืบตามมาตรา 653 ที่
กฎหมายบังคับให้มีพยานเอกสารมาแสดงนั้นใช้เฉพาะการนำ�สืบต้นเงิน การนำ�สืบเรื่องชำ�ระดอกเบี้ย
สามารถนำ�พยานบุคคลมาสืบได้ (ฎ. 1084/2510, ฎ.243/2503)
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
3-80 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
บรรณานุกรม
ธ
ไชยณัฐ ธีระ พัฒนะ. (2518). ดอกเบี้ย. บทบัณฑิตย์ 32. ตอน 2.
ธนาคารแห่งประเทศไทย ฝ่ายวิชาการ. (2515). ประวัติและการดำ�เนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย
กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส ่วนจำ�กัดศ ิวพร หนังสือท รี่ ะลึกค รบรอบ 30 ปี ของธนาคารแห่งประเทศไทย
มส
ธรรมนิตย์ วิชญเนตินัย. (2523). แชร์เปียหวยกับปัญหากฎหมาย. กรุงเทพมหานคร: บริษัทส ยามบรรณ จำ�กัด.
ปัญญา อุดมระติ. (2520). เศรษฐศาสตร์การเงินและการธนาคาร. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
รามคำ�แหง.
พจน์ ปุษปาคม. (2511). คำ�อธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม กู้ยืม และฝากทรัพย์.
กรุงเทพมหานคร: แสงทองการพิมพ์.
พนม ตั้งนิมิตรมงคล. (2525). ผู้อำ�นวยการฝ่ายการธนาคารต่างประเทศ สัมภาษณ์ ณ ธนาคารไทยทนุ จำ�กัด
สำ�นักงานใหญ่. วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525
พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523
ไพจิตร ปุญญพันธุ์. (2523). ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยท บต้นในเงินก ู้ได้ห รือไม่. บทบัณฑิตย์ 37. ตอน 3 ปี 2523.
ม.ร.ว. คึกฤ ทธิ์ ปราโมช.(2516). การธนาคารพาณิชย์. กรุงเทพมหานคร: เกษมสมั พันธ์ก ารพมิ พ์ ธนาคารศรีนคร
ธ
จัดพ ิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระยาโทณวณิกมนตรี.
วารี พงษ์เวช. (2502). การเงินและการธนาคาร. (พิมพ์ครั้งที่ 4). พระนคร: อุตสาหกรรมการพิมพ์.
มส
สุร ักษ์ บุนนาค และวณี จงศิริวัฒน์. (2510). การเงินและการธนาคาร. (พิมพ์ค รั้งท ี่ 1). กรุงเทพมหานคร: สำ�นัก
พิมพ์ไ ทยวัฒนาพาณิชย์ จำ�กัด.
www. worldbank.org/website/External/Countries.
ม
สธ
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-1
หน่วยที่ 4
สัญญาฝากทรัพย์
ธ
รองศาสตราจารย์เพชรา จารุสกุล
มส
ธ
มส
ชื่อ
วุฒิ
รองศาสตราจารย์เพชรา จารุสกุล
ม
น.บ. (เกียรตินิยมดี), น.ม. มหาวิทยาลัยธ รรมศาสตร์
น.บท., ประกาศนียบัตรกฎหมายทรัพย์สินท างปัญญา
ส�ำนักอบรมศึกษาแห่งเนติบ ัณฑิตย ส ภา
ต�ำแหน่ง อาจารย์พิเศษสาขาวิชานิติศาสตร์
สธ
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 4
แผนการสอนประจ�ำหน่วย
ธ
หน่วยที่ 4 สัญญาฝากทรัพย์
ตอนที่
แนวคิด
มส
4.1 ลักษณะทั่วไปของสัญญาฝากทรัพย์
4.2 สัญญาฝากทรัพย์เฉพาะในการฝากเงิน
4.3 สัญญาฝากทรัพย์เฉพาะสำ� หรับการฝากกับเจ้าส�ำนักโรงแรม
1. ส ัญญาฝากทรัพย์ เป็นชื่อของเอกเทศสัญญาลักษณะหนึ่งที่กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครอง
บุคคลทเี่ รียกวา่ “ผูฝ้ าก” กับบคุ คลอกี ค นหนึง่ ทเี่ รียกวา่ “ผูร้ บั ฝาก” โดยกำ� หนดสทิ ธิและหน้าที่
ธ
ระหว่างกัน ตลอดจนความระงับแห่งสิทธิและหน้าที่ดังกล่าว และข้อก�ำหนดว่าด้วยอายุความ
2. การฝากเงิน มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากการฝากทรัพย์ธรรมดา กฎหมายจึงบัญญัตกิ �ำหนด
สิทธิและหน้าที่ของผฝู้ ากเงินและผู้รับฝากเงินขึ้นโดยเฉพาะ
มส
3. ก ารฝ ากทรั พ ย์กั บเจ้ า สำ� นัก โรงแรม มี ลั กษณะพิ เ ศษแตกต่ างจ ากการฝากทรัพย์ธรรมดา
กฎหมายได้บญ ั ญัตสิ ทิ ธิหน้าที่ของคนเดินทางกบั เจ้าสำ� นักโรงแรมขนึ้ เฉพาะ และกำ� หนดอายุ
ความใช้ค่าทดแทนเพื่อทรัพย์สินคนเดินทางสูญหายหรือบุบสลายเป็นกรณีพิเศษไว้ด ้วย
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 4 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
ส�ำหรับการฝากกับเจ้าสำ� นักโรงแรมได้
2. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสัญญาฝากทรัพย์เฉพาะในการฝากเงินได้
3. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสัญญาฝากทรัพย์เฉพาะการฝากกับเจ้าส�ำนักโรงแรมได้
ม
1. อธิบายหลักเกณฑ์และยกตัวอย่างสัญญาฝากทรัพย์ วิธีเฉพาะในการฝากเงิน และวิธีเฉพาะ
กิจกรรมระหว่างเรียน
สธ
1. ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 4
2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 4.1-4.3
3. ปฏิบัติกจิ กรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-3
4. ฟังซีดเี สียงประจ�ำชุดวิชา
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
7. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 4
ธ
สื่อการสอน
1. เอกสารการสอน
2.
3.
4.
5.
มส
แบบฝึกปฏิบัติ
ซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
รายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
การสอนเสริม (ถ้ามี)
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบประจ�ำภาคการศึกษา
ธ
มส
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 4 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ม
สธ
ม
4-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 4.1
ลักษณะทั่วไปของสัญญาฝากทรัพย์
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 4.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
4.1.1 สาระสำ� คัญของสัญญาฝากทรัพย์
4.1.2 สิทธิและหน้าทีข่ องผู้รับฝาก
4.1.3 สิทธิและหน้าทีข่ องผู้ฝาก
4.1.4 ความระงับแห่งสัญญาฝากทรัพย์
4.1.5 อายุความ
1. ล ักษณะของสัญญาฝากทรัพย์นั้น ผู้รับฝากต้องเก็บรักษาทรัพย์สินไว้ในอารักขา
แห่ง ตนแล้วจะคืนให้ โดยผู้รับฝากไม่ได้รับบ�ำเหน็ จค่า ฝาก เว้นแต่มี ข้อ ตกลงหรือ
ธ
พึงค าดหมายได้โดยพฤติการณ์ว า่ ม บี ำ� เหน็จค า่ ฝ าก ความบริบรู ณ์ข องสญ ั ญาฝากทรัพย์
นัน้ อยูท่ กี่ ารสง่ มอบทรัพย์สนิ ท ฝี่ าก โดยไม่จำ
� ตอ้ งมหี ลักฐ านเป็นหนังสือห รือมแี บบพเิ ศษ
แต่อย่างใด
มส
5. อ ายุความในเรื่องฝากทรัพย์แบ่งเป็นอายุความเฉพาะ คือในข้อความรับผิดเพื่อใช้เงิน
บ�ำเหน็จค่าฝากทรัพย์ ชดใช้เงินค่าใช้จ่ายหรือใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝาก
ทรัพย์ ซึ่งมีกำ� หนดเวลาเพียง 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญาเท่านั้น อายุความเรียกคืน
ทรัพย์ทฝี่ ากในกรณีอื่นๆ ซึ่งมีกำ� หนดเวลา 10 ปี
ธ
วัตถุประสงค์
มส
เมื่อศึกษาตอนที่ 4.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายหลักเกณฑ์ และยกตวั อย่างสญ
กับกฎหมายลักษณะอื่นได้
2. ร่างสัญญาฝากทรัพย์ได้
ั ญาฝากทรัพย์ และเปรียบเทียบสญั ญาฝากทรัพย์
3. อธิบายสิทธิและหน้าที่ของผู้รับฝากและผู้ฝาก การระงับแห่งสัญญาฝากทรัพย์และอายุ
ความในเรื่องฝากทรัพย์ตามสถานการณ์ที่กำ� หนดให้ได้
4. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของสัญญาฝากทรัพย์ได้
ธ
มส
ม
สธ
ม
4-6 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ความน�ำ
ธ
และค�ำสนอง (acceptance) ถูกต้องตรงกันเช่นเดียวกับสัญญาทั้งหลาย แต่มลี ักษณะเฉพาะคือต้องมกี าร
ส่งม อบท รั พย์สินที่ ฝากด้วยสั ญญาจึ งจ ะบริบู รณ์ และผู้รั บฝากที่รับม อบท รัพย์ ต้องตกลงรักษาทรั พย์
โดยเก็บไว้ให้แล้วจะส่งคืน ดังนั้น เพื่อป้องกันการโต้แย้งระหว่างผู้ฝากกับผู้รับฝาก กฎหมายจึงกำ� หนด
มส
สิทธิและหน้าที่ของคู่กรณีขึ้นเพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้องต่อไป
สัญญาฝากทรัพย์ หมายรวมเอาการฝากทรัพย์สินทุกชนิด ตลอดจนถึงการฝากเงินและฝาก
เจ้าส ำ� นักโรงแรมดว้ ย เว้นแ ต่ก ารฝากสนิ ค้าซ งึ่ ถงึ แม้ส นิ ค้าจ ะเป็นท รัพย์สนิ อ ย่างหนึง่ ก ต็ าม แต่ก ฎหมายได้
แยกบญ ั ญัติเป็นเอกเทศสญ
หน่วยที่ 5 ต่อไป
ั ญาลกั ษณะหนึง่ ตา่ งหาก คือเก็บของในคลังสนิ ค้าซงึ่ นกั ศึกษาพงึ ศกึ ษาได้จาก
ต้อ งฝ ากข องนั้ น ไว้ แ ก่เจ้า สำ� นั ก โรงแรมแ ละบ อกราคาแ ห่ง ทรั พย์ สินนั้นไว้ ด้ วย หากมิไ ด้ท�ำเช่ นนั้ น
เดิมเจ้าส�ำนักโรงแรมต้องรับผิดเพียงห้าร้อยบาท ต่อมาเมื่อมูลค่าแห่งเงินนั้นลดน้อยลงได้มีการแก้ไขเพิ่ม
เติม ปพพ. มาตรา 675 วรรคสอง โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2548 ได้แก้ไขจำ� นวนเงินที่เจ้าสำ� นักโรงแรมต้องรับผิดจากห้าร้อยบาทเป็นห้าพันบาท
เพื่อให้เหมาะสมกับมูลค่าของเงินในปัจจุบัน
ม
สธ
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-7
เรื่องที่ 4.1.1
สาระส�ำคัญของสัญญาฝากทรัพย์
ธ
ประวัติความเป็นมาและประเภทของสัญญาฝากทรัพย์
ประวัตคิ วามเป็นม าของสญ ั ญาฝากทรัพย์ในสมัยด งั้ เดิมน นั้ อาจเกิดจ ากความจำ� เป็นท เี่ จ้าของทรัพย์
มส
จะตอ้ งไปกจิ ธ รุ ะคา้ งแรมทอี่ นื่ เป็นเวลานาน จึงอ อกปากฝากทรัพย์สนิ เช่น บ้านเรือน ต้นไม้ สัตว์เลีย้ ง ของ
มีค่า ฯลฯ ให้ไว้แก่เพื่อนบ้านช่วยเก็บรักษาไว้ เมื่อกลับมาก็เอาคืนไป เป็นต้น หรือในกรณีที่เกิดภัยทาง
ธรรมชาติหรือมีเหตุฉุกเฉิน เช่น เกิดอุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว ไฟไหม้ เรืออับปาง การจลาจล การ
ศึกสงคราม ซึง่ เจ้าของทรัพย์จ ำ � ตอ้ งฝากทรัพย์แ ก่เพือ่ นบา้ นโดยความจำ� เป็น ในพฤติการณ์พ เิ ศษดงั กล่าว
จึงเกิดการฝากทรัพย์ขึ้น หรือในบางกรณีการฝากทรัพย์อาจเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ เช่น ทรัพย์ของเพื่อน
บ้านปลิวมาตกในบริเวณทดี่ นิ หรือบา้ นของเราและออกปากฝากเราไว้ แล้วเรากเ็ ข้าไปเคลือ่ นยา้ ยเก็บรกั ษา
ไว้ให้ เป็นต้น นอกจากนกี้ ารฝากทรัพย์อ าจเกิดขนึ้ ในกรณีท เี่ จ้าของทรัพย์ไ ม่มสี ถานทเี่ ก็บรกั ษา หรือท รัพย์
เป็นข องใหญ่โ ตหรือม จี ำ� นวนมาก หรือถ นนหนทางทจี่ ะนำ � ทรัพย์เข้าม าเก็บในบา้ นของเจ้าท รัพย์ล ำ� บาก จึง
จ�ำตอ้ งฝากทรัพย์ไ ว้ ณ สถานทใี่ ดสถานทหี่ นึง่ ดังนี้ เป็นต้นจ งึ อ าจกล่าวได้ว า่ ตามปกติแ ล้วก ารฝากทรัพย์
ธ
ได้กระท�ำกันโดยอัธยาศัยเพื่อนบ้าน ไม่มีบ�ำเหน็จค่าฝากกันดังกล่าว เว้นแต่โ ดยพฤติการณ์พึงค าดหมาย
ได้วา่ เขารบั ฝากทรัพย์เพือ่ บำ� เหน็จคา่ ฝากหรือตกลงกนั วา่ จะมบี ำ� เหน็จคา่ ฝากกนั อย่างไรกด็ ี เมือ่ บา้ นเมือง
เจริญขึ้น ที่ดินและสิ่งต่างๆ มีราคาสูงขึ้น ความจำ� เป็นที่จะต้องมีสถานที่เก็บทรัพย์และให้ทรัพย์สินปลอด
มส
ความหมายและสาระส�ำคัญของสัญญาฝากทรัพย์
ค�ำว่า “ฝาก” มี ความหมาย 3 อย่าง คือ
1) มอบให้ไว้ เป็นต้นว่าเพื่อให้ช่วยดูแล คุ้มครองหรือพิทักษ์รักษา เช่น ฝากบ้าน เป็นต้น
2) ให้ปรากฏเป็นเกียรติ เช่น ฝากชื่อเสียง ฝากฝีมือ
� แทนตัว เช่น ฝากจดหมายฝากหน้าที่11
ธ
3) ให้น�ำไปหรือให้ทำ
แต่คำ� ว่า “ฝากทรัพย์” ในความหมายของกฎหมายนั้น มุ่งในความหมายที่ว่า ส่งมอบทรัพย์สิน
ให้เก็บรักษาแล้วผู้รับฝากจะคืนให้ ไม่หมายถึงฝากทรัพย์สินให้นำ � ส่งให้อีกต่อหนึ่ง อันเป็นลักษณะของ
มส
สัญญารับขนหรือสัญญาตัวแทน
สัญญาฝากทรัพย์นนั้ ปพพ. มาตรา 657 ให้ความหมายวา่ คือ “สัญญาซงึ่ บ คุ คลคนหนึง่ เรียกวา่
ผู้ฝ าก ส่ ง ม อบท รั พ ย์ สิ น ใ ห้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่ ง เรียกว่าผู้ รับฝ าก และผู้รับฝากตกลงว่ าจะเก็บรักษา
ทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วจะคืนให้” ดังนี้จึงพอจ�ำแนกสาระส�ำคัญของสัญญาฝากทรัพย์
ออกได้ 5 ประการคือ
1. สัญญาฝากทรัพย์เป็นสัญญา 2 ฝ่าย และไม่ต้องการหลักฐานเป็นหนังสือหรือแ บบ
2. สัญญาฝากทรัพย์เป็นสัญญาประเภททบี่ ริบูรณ์ด ้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่ฝาก
3. วัตถุแห่งสัญญาฝากทรัพย์ต้องเป็นทรัพย์สิน
4. หนี้ของสัญญาฝากทรัพย์คือผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตน
ธ
แล้วจะคืนให้
5. สัญญาฝากทรัพย์เป็นสญ ั ญาไม่ตา่ งตอบแทนและไม่มคี า่ ตอบแทน เว้นแ ต่ต กลงวา่ มคี า่ ตอบแทน
มส
หรือโดยพฤติการณ์พึงคาดหมายได้ว่ามีค่าตอบแทน
1. สัญญาฝากทรัพย์เป็นสญ ั ญา 2 ฝ่าย และไม่ตอ้ งการหลักฐานเป็นหนังสือหรือแบบ หมายความวา่
สัญญาฝากทรัพย์เป็นสัญญา 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ฝากอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้รับฝาก เมื่อมีคำ � เสนอ
กับคำ� สนองของผู้ฝากและผู้รับฝากตรงกัน แม้จะเสนอสนองตกลงกันด้วยวาจาก็มีผลบังคับได้ การฝาก
ทรัพย์ใดๆ ก็ดีหรือฝากเงินกว่า 2,000 บาทก็ดี มิได้บังคับให้ต้องมีหลักฐานการฝากทรัพย์เป็นหนังสือ
เหมือนกบั การกยู้ มื เงินกว่า 2,000 บาท ตาม ปพพ. มาตรา 653 หรือตอ้ งทำ � เป็นหนังสือเหมือนกบั สญ ั ญา
หรือในกรณีทนี่ ำ �้ พดั ไม้ขอนสักมาคา้ งในทดี่ นิ ของเราหรือผ ลไม้ของเพือ่ นบา้ นตกมาอยูใ่ นสวนของเรา หรือ
ต้นไม้เพือ่ นบา้ นลม้ เข้ามาในทดี่ นิ ของเรา ถ้าเราไปแตะตอ้ งเคลือ่ นยา้ ยทรัพย์นนั้ เข้าหรือเราเก็บทรัพย์ทตี่ ก
หายในที่สาธารณะ หรือที่มีผู้ส่งทรัพย์อย่างหนึ่งมาให้โดยที่เราไม่ได้ร้องขอ เช่น ส่งภาพวาดมาให้หรือ
ส่งมอบให้เราโดยสำ� คัญผิด เช่น กิจประสงค์ฝากนาฬิกาแก่ เข่ง แต่ส่งมอบให้แก่เราโดยส่งผิดตัว ดังนี้
แม้เราจะรบั ท รัพย์ดงั กล่าวไว้กไ็ ม่ใช่ท ำ
� สญั ญาฝากทรัพย์ ดังนนั้ ถ้าท รัพย์ดงั ก ล่าวเกิดเสียห ายขนึ้ ในระหว่าง
ธ
ทีอ่ ยูก่ บั เรา ก็จะนำ
� เรือ่ งฝากทรัพย์มาวนิ จิ ฉัยให้เรารบั ผดิ ไม่ได้ และจะนำ
� หลักเกณฑ์เรือ่ งการสง่ มอบทรัพย์
โดยปริยายมาวินิจฉัยว่ามีการส่งมอบทรัพย์แล้ว จึงเป็นสัญญาฝากทรัพย์ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ส่วนการที่
มส
ทรัพย์นนั้ มาอยูใ่ นอารักขาของเรา ท�ำให้เรามหี น้าทจี่ ะตอ้ งระมัดระวังรกั ษาหากประมาทเลินเล่อทำ� ให้ทรัพย์
นัน้ เสียห าย เราตอ้ งรบั ผ ดิ อ ย่างไรหรือไ ม่น นั้ อาจารย์ส มชยั ศิรบิ ตุ ร เห็นว า่ เราจะตอ้ งพจิ ารณาตามกฎหมาย
ละเมิด (ดู ปพพ. มาตรา 420) หาใช่พิจารณาตามกฎหมายลักษณะฝากทรัพย์ไม่2
2. สัญญาฝากทรัพย์เป็นสัญญาที่บริบูรณ์ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่ฝาก หมายความว่า
ั ญาฝากทรัพย์จ งึ จ ะเกิดข นึ้ บ ริบรู ณ์3
ผูฝ้ ากจะตอ้ งสง่ ม อบทรัพย์สนิ ท ฝี่ ากให้แ ก่ผ รู้ บั ฝ ากเข้าค รอบครองแล้วส ญ
การส่งมอบทรัพย์สินที่ฝาก จึงไม่ใช่แบบของนิติกรรม4 แต่อยู่ในขั้นแสดงเจตนา คือถ้ายังไม่ส่งมอบก็ถือ
ไม่ได้ว่าเขามีเจตนาจะให้สัญญาฝากทรัพย์บริบูรณ์ ดังนั้นก่อนส่งมอบผู้ฝากจึงอาจกลับใจได้เทียบได้กับ
การแสดงเจตนาต่อผู้อยู่ห่างโดยระยะทางตราบใดที่ผู้แสดงเจตนาเปลี่ยนใจ ย่อมถอนคืนได้ตาม ปพพ.
มาตรา 169 สัญญาฝากทรัพย์ ซึ่งต้องส่งมอบทรัพย์สินจึงจะเป็นสัญญาที่บริบูรณ์นี้ ก็ท�ำนองเดียวกับ
ธ
สัญญายืมตาม ปพพ. มาตรา 641, 650 สัญญาจำ� น�ำ ตาม ปพพ. มาตรา 747 นั่นเอง
มส
การส่งมอบทรัพย์สินที่ฝากและการเข้าครอบครองทรัพย์สินที่รับฝากอาจกระท�ำโดยตรงเช่น
หยิบยนื่ ทรัพย์สนิ ทฝี่ ากให้และผรู้ บั ฝากรบั ไว้ เป็นต้น หรือสง่ มอบโดยปริยาย เช่น มอบกญ ุ แจรถให้ นอกจากนี้
การเข้าครอบครองอาจให้บคุ คลอนื่ ครอบครองแทนผรู้ บั ฝากกไ็ ด้ เช่น สัง่ ให้ลกู จ้างครอบครองแทน เป็นต้น
3. วัตถุแห่งสัญญาฝากทรัพย์ต้องเป็นทรัพย์สิน ค�ำว่า “ทรัพย์สิน” ตาม ปพพ. มาตรา 138
หมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุที่ไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ แต่วัตถุไม่มีรูปร่าง เช่น
ธ
ลิขสิทธิ์ สิทธิในเครือ่ งหมายการค้า สิทธิบ ตั รไม่อาจสง่ ม อบให้แก่กนั เพือ่ เก็บรกั ษา ไม่ว า่ จะเป็นการสง่ มอบ
โดยตรงหรือส่งมอบโดยปริยายก็ตาม จึงเป็นทรัพย์สินที่ไม่อาจฝากกันได้ แต่ก็มีนักกฎหมายบางท่าน
มส
เห็นว่า การรับฝากนั้นรวมทั้งการดูแลระมัดระวังมิให้ทรัพย์สินนั้นเกิดความเสียหาย อันจะท�ำให้เจ้าของ
ทรัพย์สินหรือผฝู้ ากนั้นได้รับความเสียหาย ฉะนั้นก ารฝากให้บ ุคคลใดบุคคลหนึ่งดูแลรักษามใิ ห้ใครละเมิด
สิทธิกน็ ่าจ ะเป็นการฝากทรัพย์สินได้5 ซึ่งอ าจารย์สมชัย ศิรบุตร ไม่เห็นด้วย เห็นว ่าการฝากลิขสิทธิ์ สิทธิ
ในเครื่องหมายการค้า หรือสิทธิบัตรเพื่อให้ดูแลระมัดระวังมิให้ผู้ใดมาละเมิด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่
เจ้าของทรัพย์ น่าจ ะเป็นส ัญญาตัวแทนไม่ใช่ส ัญญาฝากทรัพย์ ซึ่งผู้เขียนเห็นพ ้องด้วย
สังหาริมทรัพย์ตาม ปพพ. มาตรา 140 นั้น ย่อมเป็นทรัพย์ที่ฝากกันได้เสมอ เช่น ฝากรถยนต์
รถจกั รยาน เครือ่ งบนิ โต๊ะ เก้าอี้ สมุด ดินสอ สัตว์ตา่ งๆ เครือ่ งทองรปู พรรณ กระเป๋า เครือ่ งมอื เครือ่ งใช้
ต่างๆ เงิน ทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณีหรือของมีค่าอื่นๆ เป็นต้น
ส่วนก�ำลังแรงแห่งธรรมชาติ เช่น แก๊ส พลังไอน�้ำ พลังนำ�้ ตก อยู่ในความหมายของทรัพย์สินอื่นนอกจาก
ธ
อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สนิ น นั้ ห มายความรวมทงั้ วตั ถุไม่มรี ปู ร า่ ง ซึง่ อ าจมรี าคาและอาจถอื เอาได้ เมือ่ บ รรจุ
ภาชนะมรี ปู ร า่ งกย็ อ่ มฝากกนั ได้ ส่วนสงั หาริมทรัพย์ท หี่ มายความถงึ ส ทิ ธิอ นั เกีย่ วกบั ท รัพย์สนิ น นั้ ดว้ ย หาก
เป็นวัตถุที่มีรูปร่างก็ย่อมฝากกันได้ ส่วนสังหาริมทรัพย์ที่หมายความถึงสิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวด้วย
มส
5
กมล สนธิเกษตริน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืมและฝากทรัพย์ กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2521 น. 51-52.
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-11
ธ
เจ้าของทรัพย์ที่ฝากแต่อย่างใด เคยมีคดีเรื่องหนึ่ง โจทก์ฟ้องว่าได้นำ � เรือบรรทุกข้าวไปฝากจ�ำเลยไว้ จึง
ฟ้องขอคืน จ�ำเลยต่อสู้คดีว่าซื้อเรือจากโจทก์และมอบเงินให้ไปแล้วไม่ได้รับฝาก ศาลชั้นต้นจึงสั่งงด
มส
สบื พ ยานแล้วพ พิ ากษาวา่ โจทก์ไ ม่มอี ำ� นาจฟอ้ ง พิพากษายกฟ้อง ศาลอทุ ธรณ์และศาลฎกี าวนิ จิ ฉัยว า่ ฟ้อง
ของโจทก์เป็นเรือ่ งสญ ั ญาฝากทรัพย์แ ล้วจำ� เลยผดิ สญ
ฎ. 4835/2540 โจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อมีสิทธิที่จะยึดถือและใช้ประโยชน์ตลอดจนหน้าที่ต้องดูแล
รักษารถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดีตลอดไป และได้ชำ� ระเงินให้ครบถ้วนตามสัญญา
เช่าซื้อแล้ว รถจักรยานยนต์ย่อมตกเป็นสิทธิแก่โจทก์หรือหากเลิกสัญญาเช่าซื้อกัน โจทก์มีหน้าที่ต้อง
ส่งม อบรถจักรยานยนต์ค ืนผ ู้ให้เช่าซื้อในสภาพเดิม ดังนั้น เมื่อรถจักรยานยนต์ท ี่โจทก์น�ำมาฝากจ�ำเลยทั้ง
ธ
สองได้สูญหายในระหว่างอยู่ในความดูแลของจ�ำเลยทั้งสองจนเป็นเหตุให้จ�ำเลยทั้งสองไม่สามารถคืน
รถจกั รยานยนต์ซงึ่ รบั ฝากนนั้ ให้แก่ผฝู้ ากได้ จ�ำเลยทงั้ สองตอ้ งรบั ผดิ คนื ทรัพย์สนิ ซงึ่ รบั ฝากหรือชดใช้ราคา
โจทก์ซ ึ่งเป็นผ ฝู้ ากทรัพย์จึงม ีสิทธิฟ ้องจ�ำเลยทั้งสองให้ชดใช้ราคาทรัพย์ซ ึ่งรับฝ ากได้
มส
การฝากทรัพย์นนั้ อาจทำ � ในลกั ษณะทชี่ ดั แจ้งโดยตรง เช่น น�ำสตั ว์เลีย้ งไปฝากเพือ่ นบา้ นเลีย้ งไว้
ในขณะที่ผู้ฝากไปต่างจังหวัดหลายวัน แต่มีการฝากทรัพย์บางอย่างไม่ได้เป็นการฝากโดยตรง แต่มี
พฤติการณ์ถือว่าเป็นการฝากทรัพย์ เช่น ไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารและนำ � รถไปด้วย ขณะที่นั่ง
รับประทานอาหารกจ็ อดรถให้อยูใ่ นความดแู ลของรา้ นอาหาร หรือไปหา้ งสรรพสนิ ค้าน ำ � รถไปจอดในบริเวณ
ที่ห้างฯ จัดบริการไว้ส�ำหรับผู้มาใช้บริการในห้างฯ หรือไปงานเลี้ยงที่โรงแรมมีพนักงานของโรงแรมมา
ม
บรกิ ารขับร ถยนต์ไ ปจอดให้ โดยเจ้าของรถส่งม อบกุญแจให้พ นักงานดังก ล่าวไปเหล่าน เี้ป็นการฝากทรัพย์
หรือไ ม่
6 ฎ. 401/2491
สธ
7 กฎหมายต่างประเทศเช่นอังกฤษและฝรั่งเศส ทรัพย์ที่จะฝากกันได้ต้องเป็นสังหาริมทรัพย์ ดูหลวงประเสริฐมนูกิจ
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ดว้ ยยมื ฝากทรัพย์ ฯลฯ ค�ำสอนภาค 3 ชัน้ ปริญญาตรีข องมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พระนคร
ม.ป.ท. พ.ศ. 2477 น. 28.
8 ฎ. 800/2498
ม
4-12 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
อุทาหรณ์
ฎ. 925/2536 จ�ำเลยที่ 1 จัดบริการให้แก่ล ูกค้าซึ่งไ ปรับป ระทานอาหารทภี่ ัตตาคารของจ�ำเลยที่ 1
โดยให้จ�ำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำ� เลยที่ 1 ต้อนรับ เอากุญแจรถยนต์ขับรถยนต์เข้าที่จอด และเคลื่อนย้าย
รถยนต์ หากมรี ถยนต์คันอื่นเข้าออกในบริเวณภัตตาคาร ออกใบรับท ี่จ ดหมายเลขทะเบียนรถยนต์และรับ
กุญแจรถยนต์ของโจทก์เก็บไว้ ถือได้ว่าเป็นการฝากทรัพย์ตาม ปพพ. มาตรา 657 ซึง่ จำ� เลยที่ 1 ผูร้ บั ฝาก
ธ
จะต้องดูแลระมัดระวังสงวนทรัพย์สินทฝี่ ากนั้นเหมือนเช่นที่เคยประพฤติในกิจการของตนเอง เมื่อรถยนต์
โจทก์ที่นำ � มาฝากเพื่อรับประทานอาหารในภัตตาคารของจ�ำเลยที่ 1 หายไป โดยจำ� เลยที่ 1 มิได้ดูแลหรือ
มส
ใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สนิ ซงึ่ ฝากนนั้ เหมือนเช่นทเี่ คยประพฤติในกจิ การของตน จ�ำเลยที่ 1 จึงตอ้ ง
รับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
โจทก์ใช้รถยนต์ประกอบการคา้ เมือ่ รถยนต์หายไปโจทก์ไม่มรี ถยนต์ทจี่ ะใช้ประกอบอาชีพได้ยอ่ ม
ได้รับความเสียหาย มีสิทธิได้รับค่าเสียหายส่วนนี้
ส่วนการไปจอดรถในห้างสรรพสินค้า ที่มีการรับบัตรเข้าออกหรือจอดรถในโรงแรมโดยพนักงาน
ของโรงแรมเป็นผขู้ บั รถไปจอดให้นนั้ ผูเ้ ขียนเห็นวา่ เป็นการฝากทรัพย์กนั โดยปริยายเพราะรถอยูใ่ นอารักขา
ของหา้ งฯ หรือโรงแรมแล้ว แต่มคี ำ � พพิ ากษาศาลฎกี าที่ 4845/2555 ไม่ได้วนิ จิ ฉัยวา่ เป็นสญ
ั ญาฝากทรัพย์
โดยตรง ซึ่งต่างจากการเข้าไปจอดรถในสถานทรี่ าชการหรือหน่วยงานอื่น เพื่อติดต่อราชการ หรือท�ำธุระ
แม้จะมบี ัตรเข้าไปจอดกไ็ ม่ใช่การฝากทรัพย์ แต่เป็นการบริการให้ทจี่ อดรถแก่ผู้มาติดต่อ
นอกจากนั้นก ารน�ำรถยนต์ไ ปจอดยังส ถานที่ทดี่ �ำเนินก ิจการรับฝ ากรถโดยมีบ�ำเหน็จ เมื่อร ถยนต์
ธ
สูญหายไป ผูด้ ำ� เนินกจิ การดงั กล่าวตอ้ งรบั ผดิ ในฐานะผรู้ บั ฝากตามสญ
ั ญาฝากทรัพย์ จะอา้ งวา่ เป็นการให้
เช่าท จี่ อดรถเพื่อจะปฏิเสธไม่รับผิดไม่ได้
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 4235/2541 โจทก์น�ำรถยนต์คันพิพาทไปฝากไว้กับจ�ำเลยที่ 2 และที่ 3 ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23
มกราคม พ.ศ. 2535 และฝากเรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันที่รถหายโดยจ�ำเลยที่ 2 และที่ 3 เรียกเก็บค่าฝาก
เป็นรายเดือน มีระเบียบว่าเจ้าของรถจะต้องฝากกุญแจรถไว้กับจ�ำเลยที่ 3 เพื่อให้จำ� เลยที่ 3 เลื่อนรถใน
กรณีที่มีรถอื่นเข้ามาจอด ซึ่งโจทก์ได้มอบกุญแจให้จ�ำเลยที่ 3 ทุกครั้งที่นำ � รถมาจอด พฤติการณ์ดังกล่าว
แสดงว่าจำ� เลยที่ 2 และที่ 3 รับฝากทรัพย์โดยมีบ�ำเหน็จหาใช่เป็นเรื่องที่จ�ำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เช่าสถาน
ม
ที่จอดรถไม่ เมื่อรถยนต์คันพิพาทของโจทก์หายไป จ�ำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต ้องรับผิดต่อโจทก์
โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทมาในราคา 1,350,000 บาท ได้ใช้รถยนต์คันพิพาทเพียง 5 เดือนเศษ
แล้วหายไป การที่ศาลก�ำหนดให้จำ� เลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ราคารถยนต์คันพิพาทแก่โจทก์จ�ำนวน 800,000
บาท จึงเหมาะสมแล้ว
แต่กรณีที่น�ำรถไปจอดในบริเวณศูนย์ฯ รถหายไปศาลฎีกาตัดสินว่าเป็นการละเมิดโดยประมาท
ปราศจากความระมัดระวัง
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 374/2551 จ�ำเลยที่ 1 ท�ำสัญญากับจ�ำเลยที่ 2 รับจ้างรักษาความปลอดภัยบริเวณภายในและ
ภายนอกอาคารที่ก�ำหนดรวมทั้งลานจอดรถของจ�ำเลยที่ 3 โดยก�ำหนดให้ต้องรักษาความปลอดภัยด้าน
โจรกรรม และดูแลรถของลูกค้าหรือบุคคลภายนอกที่เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์ไม่ให้เกิดความเสียหาย
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-13
ซึ่งในทางปฏิบัติจ�ำเลยที่ 1 จะจัดให้มีพนักงานประจ�ำที่ทางเข้าลานจอดรถเพื่อคอยมอบบัตรผ่านลานจอด
รถและเขียนหมายเลขทะเบียนกำ� กับไว้ก อ่ นมอบให้ผทู้ จี่ ะนำ � รถเข้ามาจอด เมือ่ จะนำ � รถออกผขู้ บั ร ถจะตอ้ ง
คืนบตั รผา่ นลานจอดรถและชำ� ระคา่ บ ริการจอดรถให้แ ก่พ นักงานทปี่ ระจ�ำทางออกให้เสร็จเรียบร้อยกอ่ นจงึ
ขับร ถผา่ นออกไปได้ ก. และ ว. ผูเ้ อาประกันภ ยั ไ ด้น ำ � รถทโี่ จทก์ร บั ป ระกันภ ยั เข้าไปจอดในลานจอดรถของ
อาคารดงั ก ล่าว และได้รบั บตั รผา่ นลานจอดรถจากพนักงานของจำ� เลยที่ 1 แต่ไม่ได้เขียนหมายเลขทะเบียน
ธ
รถกำ� กับไ ว้ จึงม ผี นู้ ำ
� รถยนต์พ พิ าทผา่ นออกจากลานจอดรถได้ โดยทีบ่ ตั รผา่ นลานจอดรถและหลักฐ านการ
เป็นเจ้าของรถยงั อยูก่ บั ว. ผูเ้ อาประกันภ ยั เหตุท รี่ ถยนต์ข อง ว. ผูเ้ อาประกันภ ยั สญ ู หายไปเกิดจากความ
มส
ประมาทเลินเล่อของพนักงานของจ�ำเลยที่ 1 ที่ไม่เขียนหมายเลขทะเบียนรถก�ำกับไว้ในบัตรผ่านลานจอด
รถและไม่ต รวจสอบหลักฐ านให้ล ะเอียดรอบคอบกอ่ นทจี่ ะอนุญาตให้น ำ � รถออกไป เป็นการละเว้นไ ม่ป ฏิบตั ิ
หน้าที่ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ด้านหลังบัตรผ่านลานจอดรถ ถือได้ว่าพนักงานของจำ� เลยที่ 1 กระท�ำโดย
ประมาทปราศจากความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้รถยนต์ของ ว. ผู้เอาประกันภัย
สูญหาย ถือได้ว่าลูกจ้างของจ�ำเลยที่ 1 กระท�ำละเมิดในทางการที่จ้างของจ�ำเลยที่ 1 ดังนั้น จ�ำเลยที่ 1
จึงต้องรับผิดในค่าเสียหายแก่โจทก์ผเู้ อาประกันภัย
เงื่อนไขที่ระบุไว้ด้านหลังบัตรผ่านลานจอดรถที่ว่า การออกบัตรนี้ไม่ใช่เป็นการรับฝากรถ
บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายต่อรถใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นเงื่อนไขที่จ�ำเลยที่ 1 ก�ำหนด
ขึน้ เพือ่ ให้จำ� เลยที่ 1 พ้นค วามรบั ผ ดิ ต ามเงือ่ นไขทจี่ ำ� เลยที่ 1 ก�ำหนดขนึ้ แ ต่ฝา่ ยเดียว ไม่มผี ลเป็นการยกเว้น
ธ
ความรับผิดในการกระท�ำละเมิดข องลูกจ้างของจ�ำเลยที่ 1 ดังนั้น จ�ำเลยที่ 1 จึงต ้องร่วมกับจ�ำเลยที่ 2 และ
ที่ 3 รับผ ิดช ดใช้ค ่าเสียห ายแก่โจทก์ในฐานะผู้รับช ่วงสิทธิ
หมายเหตุ กรณีน ศี้ าลไม่ไ ด้ว นิ จิ ฉัยว า่ เป็นส ญ ั ญาฝากทรัพย์ แต่ให้จ ำ� เลยรบั ผดิ เพราะการทรี่ ถยนต์
มส
หายไปเป็นการละเมิดโ ดยประมาทเลินเล่อของจ�ำเลย
นอกจากนั้น ยังม คี �ำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4845/2555 วินิจฉัยว่าการทหี่ ้างสรรพสินค้าม อบหมาย
ให้พ นักงานรกั ษาความปลอดภัยเป็นต วั แทนของบริษทั รับด แู ลความปลอดภัยเพือ่ อ ำ� นวยความสะดวกให้
แก่ล ูกค้าผ มู้ าใช้บ ริการ เมื่อพ นักงานรักษาความปลอดภัยล ะเมิดโ ดยปล่อยปละละเลยให้ค นร้ายลักร ถยนต์
ของลูกค้าไป ห้างสรรพสินค้าซ ึ่งเป็นตัวการต้องร่วมรับผ ิด
อุทาหรณ์
ฎ.4845/2555 จ�ำเลยที่ 1 มีข้อปฏิบัติสำ� หรับผู้ที่จะนำ
ห้างสรรพสินค้าของจ�ำเลยที่ 1 ว่าจะต้องรับบัตรจอดรถจากพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นลูกจ้าง
ของจ�ำเลยที่ 2 ก่อน และเมื่อจะน�ำรถออกจากบริเวณลานจอดรถก็จะต้องนำ
พนักงานรักษาความปลอดภัยท ี่ทางออก หากไม่มบี ัตรจอดรถพนักงานรักษาความปลอดภัยจ ะไม่อ นุญาต
ม
� รถยนต์เข้าไปจอดในบริเวณลานจอดรถใน
� บัตรจอดรถมอบคืนให้แก่
ซือ้ ส นิ ค้าท หี่ า้ งสรรพสนิ ค้าข องจำ� เลยที่ 1 โดยจำ� เลยที่ 1 มอบหมายให้จ�ำเลยที่ 2 และพนักงานรักษาความ
ปลอดภัยของจ�ำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนรับดูแลรักษาความเรียบร้อยและความปลอดภัยโดยถือว่าเป็นการ
ให้บริการอย่างหนึ่งของจำ� เลยที่ 1 เพื่ออ�ำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าผู้มาใช้บริการ ซึ่งถือได้ว่ามีผล
โดยตรงต่อยอดการจำ� หน่ายสินค้าของจำ� เลยที่ 1 ด้วย เมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำ� เลยที่ 2
กระท�ำละเมิดโดยปล่อยปละละเลยให้คนร้ายลักรถยนต์ของ อ. ผู้เอาประกันภัยซึ่งจอดอยู่ในลานจอดรถ
ธ
ของจ�ำเลยที่ 1 ไป จ�ำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการจึงต้องร่วมรับผิดกับจำ� เลยที่ 2 ตาม ปพพ. มาตรา 427
ประกอบมาตรา 420 โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยตามสัญญาประกันภัยซึ่งได้ชำ� ระค่าเสียหายในการที่
มส
รถยนต์สูญหายไปแล้วจึงร ับช่วงสิทธิท จี่ ะไล่เบี้ยเอาแก่จ �ำเลยที่ 1 ได้
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาดังก ล่าวข้างต้น ศาลกไ็ ม่ไ ด้ว ินิจฉัยโ ดยตรงว่า การเอารถยนต์เข้าไปจอดใน
ห้างสรรพสินค้าเป็นการฝากทรัพย์ ถือเป็นการให้บริการอย่างหนึ่งของห้างฯ เพื่ออ�ำนวยความสะดวกให้
แก่ลูกค้า แต่ศาลวินิจฉัยไปในทางที่ว่าเมื่อห้างท�ำสัญญาจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยมาดูแลทรัพย์สิน
เมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทดังกล่าวกระท�ำละเมิดปล่อยปละละเลยให้คนร้ายลักรถยนต์
ของลูกค้าไป ห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นตัวการต้องร่วมรับผิดกับบริษัทฯ ตัวแทน ตาม ปพพ. มาตรา 427
ประกอบมาตรา 420 เมื่อบริษัทป ระกันภ ัยช ดใช้ค ่าเสียหายให้แ ก่ล ูกค้าต ามสัญญาประกันภัยท ลี่ ูกค้าท �ำไว้
กับบริษัทประกันภัยแ ล้ว จึงรับช ่วงสิทธิท จี่ ะไล่เบี้ยจ ากตัวการคือห ้างสรรพสินค้าได้
4. หนี้ของสัญญาฝากทรัพย์ คือผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขา
แห่งตนแล้วจะคืนให้ หนี้หรือหน้าที่ของผู้รับฝากในข้อนี้ แยกอธิบายเป็น 2 ประการ คือ 4.1 หน้าที่เก็บ
ธ
รักษาทรัพย์สินที่ฝากไว้ในอารักขาแห่งตน 4.2 หน้าที่คืนทรัพย์ทรี่ ับฝาก
4.1 หน้าทีเ่ก็บร ักษาทรัพย์สินท ี่ฝากไว้ในอารักขาแห่งต น หมายความว่า เมื่อผ ฝู้ ากส่งม อบ
มส
ธ
สัญญาประเภทอนื่ เช่น สัญญาตวั แทน สัญญารบั ขนของ สัญญายมื สัญญาจา้ งทำ � ของ สัญญาจา้ งแรงงาน
ฯลฯ หาใช่สัญญาฝากทรัพย์ไม่
ในฐานะตัวการ
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 305/2469 จ�ำเลยรบั ฝ ากเงินของเด็กไ ว้โ ดยมหี น้าท จี่ ดั หาผลประโยชน์แ ทนเด็กไ ม่ใช่ก ารรบั ฝาก
ทรัพย์ แต่เป็นเรือ่ งบงั คับตามสญ ั ญาตวั แทน เพราะการรบั ฝากไว้นนั้ เป็นการรบั ปกครองเงินนนั้ ไว้แทนเด็ก
ตามค�ำพิพากษาศาลฎีกาแม้จะได้รับมอบทรัพย์ไว้แต่มิใช่เพื่อเก็บรักษาอย่างเดียวแล้วจะคืนให้
จึงไม่ใช่ฝากทรัพย์ แต่เป็นการรับมอบเพื่อจัดการทรัพย์นั้น โดยมีอำ� นาจกระท�ำต่อบุคคลภายนอก ซึ่ง
ตัวการจะต้องผูกพันจึงเป็นสัญญาตัวแทน
ฎ. 872/2486 โจทก์มอบเครื่องเ งิน เครื่ องทองให้จ�ำเลยไปขาย ไม่ใช่สัญญาฝากทรัพย์ ตาม
ค�ำพพิ ากษาศาลฎกี านี้ ผูร้ บั ม อบทรัพย์ไ ปได้ส ทิ ธิท จี่ ะนำ
� ไปขายดว้ ย ถ้าผ รู้ บั ม อบทรัพย์ข ายไปตามอำ� นาจ
ธ
ทีม่ อบให้ ผู้มอบเอาคืนไม่ได้จ ึงไม่ใช่ฝ ากทรัพย์ ซึ่งต้องเป็นเรื่องตกลงจะคืนให้แ ละมีหน้าที่เก็บร ักษาอย่าง
เดียว
ฎ. 769/2473 โจทก์จ ำ� เลยตา่ งไปเลีย้ งโคในทงุ่ น าดว้ ยกนั โคนนั้ ป ล่อยหากินอ ยูใ่ นทงุ่ น า โจทก์พ ดู
มส
ธ
ฎ. 685/2512 กรมป่าไม้ทำ � สัญญาจ้างผู้รับจ้างเฝ้ารักษาป่าไม้ของกลาง ซึ่งเจ้าพนักงานป่าไม้จับ
ั ญาวา่ “สัญญาจ้างเฝ้ารักษา” มีขอ้ ส ญ
ได้ และของกลางยงั อยูท่ ตี่ อทถี่ กู ตดั โค่นในปา่ ร ะบุช อื่ สญ ั ญาวา่ ผูร้ บั
มส
จ้างยอมรับเฝ้ารักษาไม้ของกลาง โดยคิดอัตราค่าจ้างเป็นรายท่อนต่อเดือน นับแต่วันท�ำสัญญาถ้าไม้ซึ่ง
รับจ้างเฝ้ารักษาขาดหายหรืออันตราย ผู้รับจ้างยอมให้ปรับไหมเป็นรายท่อนตามจ�ำนวนที่สูญหาย หรือ
เป็นอันตรายระหว่างเวลาที่ผู้รับจ้างรับผิดชอบเฝ้ารักษา กรมป่าไม้ผู้จ้างอาจขนไม้ของกลางทั้งหมดหรือ
แต่บางสว่ นไปจากทเี่ ดิมในเวลาใดๆ ก็ได้แต่ตอ้ งแจ้งให้ผรู้ บั จา้ งทราบและทำ � ใบรับไม้ให้ ดังนีว้ นิ จิ ฉัยวา่ เป็น
สัญญาจ้างแรงงาน มิใช่สัญญาฝากทรัพย์ เพราะอำ� นาจการครอบครองไม้ของกลางยังอยู่กับกรมป่าไม้
ผู้จ้าง ผู้รับจ้างเป็นเพียงเฝ้ารักษาระวังมิให้ผู้ใดมาลักหรือเกิดภัยพิบัติ ไม้ของกลางยังอยู่ในป่าตามเดิม
ผู้รับจ้างมิได้ชักล ากไปเก็บไว้ในอารักขาแห่งตน12
ตามค�ำพิพากษานี้แสดงให้เห็นหลักกฎหมายส�ำคัญที่จะบ่งชี้ว่าเป็นสัญญาฝากทรัพย์หรือไม่ คือ
หน้าทีเ่ ก็บรกั ษาทรัพย์ในอารักขาแห่งตน และขนาดไหนทจี่ ะถอื ว่าเก็บรกั ษาทรัพย์สนิ ไว้ในอารักขาแห่งต น
ธ
นัน้ ศาลฎกี าตคี วามจำ� กัดโ ดยถอื เอาอำ� นาจการครอบครองทรัพย์สนิ ทฝี่ ากวา่ ตอ้ งชกั ลากไปเก็บไว้ในความ
อารักขาของตนดว้ ย ตามฎกี านไี้ ม้ของกลางยงั อยูท่ ตี่ อทถี่ กู โค่นในปา่ ตามเดิมไ ม่มกี ารชกั ลากไปเก็บไว้ จึง
มส
ไม่ใช่สัญญาฝากทรัพย์
ฎ. 607/2521 (ป.ใหญ่) โจทก์จ�ำเลยตกลงท�ำสัญญากัน โดยกรมป่าไม้โจทก์มอบไม้ของกลางให้
จ�ำเลยจัดการขนย้ายจากที่แห่งหนึ่งไปเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยและจ�ำเลยต้องเก็บรักษาไม้ของกลางไว้
เป็นการชั่วคราวในอารักขาแห่งตน ดังนี้วินิจฉัยว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการยอมให้จ�ำเลยครอบครองไม้
ของกลางแทนโจทก์ เข้าลักษณะฝากทรัพย์
ตามคำ � พพิ ากษาศาลฎกี าฉบับนี้ จ�ำเลยเก็บรกั ษาไม้ไว้ในอารักขาแห่งตนเท่ากับจำ� เลยครอบครอง
ไม้ของกลาง จึงเป็นสัญญาฝากทรัพย์แตกต่างกับค �ำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้น
ฎ. 2152/2522 สัญญาพพิ าทเรียกวา่ “สัญญารบั ฝากเก็บ และสแี ปรสภาพขา้ วเปลือก” เป็นสญ
ม
ระหว่างกระทรวงพาณิชย์โจทก์ซึ่งในสัญญาเรียกว่า ผู้ฝากกับโรงสีมิตรทวีโดยจ�ำเลยเป็นเจ้าของและ
ผู้จัดการ ซึ่งในสัญญาเรียกว่า ผู้รับฝากเก็บและสีแปรสภาพข้าว โดยผู้รับฝากฯ ตกลงจะรับฝากเก็บและ
สแี ปรสภาพขา้ วกลับค นื ให้แ ก่ผ ฝู้ ากเป็นข า้ วสารตามชนิด จ�ำนวนและระยะเวลาทคี่ ณะกรรมการสำ� รองขา้ ว
ั ญา
สธ
11 แต่มีนักกฎหมายบางท่านว่า ตามอุทาหรณ์นี้ เป็นสัญญาทั่วไป ที่ไม่มีบทบัญญัติโดยเฉพาะที่จะนำ�มาปรับแก่คดีได้
ศาลจึงต้องนำ�หลักก ฎหมายตัวแทนมาปรับกับค ดี อาศัยทเี่ ป็นก ฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง ตามมาตรา 4 ดู มาโนช สุทธิว าทนฤพุฒิ
เรื่องเดียวกัน น.157.
12 ฎ. 1523/2520 และ ฎ. 243/2536 วินิจฉัยท�ำนองเดียวกัน
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-17
สั่งโดยผู้ฝากให้ประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้รับฝากคือต้นข้าว ปลายข้าวและร�ำข้าวทั้งหมดที่เหลือจากการส่ง
ให้แก่ผฝู้ าก โดยในสญ ั ญาไม่ปรากฏวา่ ผรู้ บั ฝากตอ้ งสง่ คนื ขา้ วเปลือกทรี่ บั ไว้นนั้ ให้แก่ผฝู้ าก ดังนีว้ นิ จิ ฉัยวา่
สัญญาพิพาทหาใช่สัญญาฝากทรัพย์ไม่ แต่ เป็ นสั ญญาที่จ�ำเลยตกลงรั บฝากเ ก็บข้าวเปลือกไว้เ พื่อสี
แปรสภาพจนส�ำเร็จเป็นข้าวให้แก่โจทก์ และโจทก์ตกลงให้ต้นข ้าว ปลายข้าวและร�ำข้าวเป็นการตอบแทน
ที่จ �ำเลยสแี ปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข ้าวสาร สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่ง
ธ
ตามคำ� พพิ ากษาศาลฎกี านี้ ปรากฏวา่ เนือ่ งจากรฐั บาลมนี โยบายทจี่ ะพยุงราคาขา้ ว โดยให้ชาวนา
ขายข้าวเปลือกทตี่ นผลิตแก่รัฐบาลโดยตรง โดยมหี น่วยรับซ ื้อข องทางราชการ คือเจ้าห น้าทีข่ องกระทรวง
มส
พาณิชย์ โจทก์และคณะกรรมการส�ำรองข้าวซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานคณะ
กรรมการดำ� เนินก ารนี้ เมือ่ ซ อื้ ข า้ วเปลือกจากชาวนาแล้วจ ะมอบไว้ก บั โรงสที ตี่ งั้ อ ยูใ่ นทอ้ งทเี่ ป็นผ เู้ ก็บร กั ษา
ข้าวเปลือก และเมือ่ ค ณะกรรมการสำ� รองขา้ วมคี ำ � สงั่ ให้โรงสสี ง่ ม อบ โรงสจี ะตอ้ งแปรสภาพขา้ วเปลือกเป็น
ข้าวสารชนิดใดชนิดหนึ่งตามที่ตกลงส่งมอบให้เป็นคราวๆ โดยโรงสีจะได้รับประโยชน์คือร�ำข้าว ต้นข้าว
และปลายข้าวทั้งหมด จ�ำเลยซึ่งเป็นเจ้าของโรงสีมิตรทวีจึงยื่นค�ำเสนอขอรับเป็นผู้รับฝากเก็บและสีแปร
สภาพข้าวเปลือกตามสัญญาพิพาท จ�ำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าเป็นสัญญาฝากทรัพย์ โจทก์จะคิดราคา
ข้าวในขณะเรียกให้ส่งมอบไม่ได้ ได้แต่เรียกร้องราคาทรัพย์ที่ฝากตามราคาในวันฝากเท่านั้น และคดี
ขาดอายุค วามเพราะเรียกคา่ ทดแทนเกีย่ วกบั ฝ ากทรัพย์พ น้ 6 เดือน นับแต่วนั ส นิ้ ส ญ ั ญาฝากทรัพย์ จึงฟอ้ ง
แย้งเรียกเงินที่โจทก์เรียกร้องเอาจากธนาคารที่ค�้ำประกันจำ� เลย ซึ่งเกิดจากความรับผิดของจ�ำเลย โจทก์
ธ
แก้ฟ้องแย้งว่า สัญญาพิพาทเป็นสัญญาจ้างแรงงาน หากเป็นสัญญาฝากทรัพย์ตามฟ้องแย้งของจำ� เลย
ฟ้องแย้งก็ขาดอายุความเช่นเดียวกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าส ัญญาพิพาทเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภท
หนึ่งไม่ใช่สัญญาฝากทรัพย์หรือสัญญาแจ้งแรงงาน และสัญญาพิพาทมีอายุค วาม 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาด
มส
ธ
ติดตัวไ ปด้วยและลงชื่อรับทราบข้อความในใบเสร็จรับเงินซึ่งมวี ่า “โปรดทราบ รถทที่ ่านน�ำมาจอดบริเวณ
ปัม๊ นตี้ อ้ งนำ
� กญุ แจกลับไปดว้ ย เพราะทางรา้ นให้เช่าทจี่ อดรถไม่ใช่รบั ฝากรถ ฉะนัน้ ทางรา้ นไม่รบั ผดิ ชอบ
มส
ในการสูญหาย เสียหายต่อรถและสิ่งของใดๆ ที่มีอยู่ในรถ” ดังนี้วินิจฉัยว่าไม่มีการกระทำ
เห็นว า่ เจ้าของรถยนต์หรือผนู้ ำ
รถยนต์ท นี่ ำ
เจตนาของจ�ำเลยตามข้อความในใบเสร็จรับเงินว่า ให้เช่าที่จอดรถไม่ใช่รับฝาก รถยนต์ที่นำ
ยังอ ยู่ในความครอบครองของเจ้าของรถยนต์ จึงม ิใช่ส ัญญาฝากทรัพย์14
� ใดๆ แสดงให้
� รถยนต์ไปจอดได้สง่ มอบรถยนต์ให้แก่จำ� เลยและจำ� เลยตกลงวา่ จะเก็บรกั ษา
� ไปจอดนนั้ ไ ว้ในอารักขาของจำ� เลยแล้วจ ะคนื ให้ เจ้าของรถยนต์ห รือผ นู้ ำ � รถยนต์ไ ปจอดกท็ ราบ
� เสนอสนองตกลงเช่าที่จอดรถไม่ใช่ฝากรถ ทั้ง
การปฏิบัติเจ้าของรถก็เป็นผู้ใส่กุญแจรถและนำ � กุญแจกลับไป ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าเป็นสัญญาเช่าที่จอด
รถยนต์ ไม่ใช่ฝากรถยนต์ อย่างไรก็ดีผู้เขียนเห็นว่าการเช่าสถานที่จอดรถ ถ้าเจ้าของรถบรรยายฟ้องและ
ธ
น�ำสืบไ ด้ว า่ ปม๊ั นำ�้ มันจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ท�ำให้ร ถทเี่ ช่าส ถานทจี่ อดเสียหายหรือสญ ู หายไป ปัม๊ ก อ็ าจ
ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้ ไม่ใช่ไม่ต้องรับผ ิดใดๆ
มส
ฎ. 1621/2534 จ�ำเลยยินยอมให้ลูกค้าน�ำรถยนต์มาจอดในบริเวณที่ว่างในสถานีบริการน�้ำมันทั้ง
กลางวันแ ละกลางคืนเป็นการชั่วคราวได้โดยไม่ต้องเสียเงิน แต่ถ ้าน�ำรถยนต์อ อกไปจากที่จอดหลังเวลา 6
นาฬิกา จะตอ้ งเสียเงินคนั ละ 10 บาท การน�ำรถยนต์มาจอดหรือเอาออกไปไม่ตอ้ งบอกใคร กรณีมกี ารเก็บ
เงินพ นักงานของจ�ำเลยจะมาเก็บ เมื่อ ส. น�ำรถยนต์ม าจอด ล็อกประตูแ ล้วเก็บก ุญแจไว้เองมิได้ส ่งม อบให้
พนักงานของจำ� เลย การครอบครองรถยนต์ระหว่างทจี่ อดยงั อยูใ่ นความครอบครองของ ส. แม้จะมกี ารเก็บ
เงินค ่าจ อดหรือค่าบริการก็ไม่เป็นการฝากทรัพย์
ฎ. 243/2536 กรมปา่ ไ ม้โจทก์ทำ � สญ ม
ั ญาจา้ งจำ� เลยเฝ้ารกั ษาไม้ของกลาง ระบุช อื่ ส ญ
ู หายหรือเป็น
ทีเ่ ดิมในเวลาใดๆ ก็ได้แต่ตอ้ งแจ้งให้ผวู้ า่ จ้างทราบและทำ � ใบรับไม้ทขี่ นไปนนั้ ทกุ คราวไปหลังจากทำ � สญ ั ญา
แล้วไ ม้ข องกลางอยูห่ า่ งจากบา้ นจำ� เลยประมาณ 2 กิโลเมตร โดยกองอยูร่ มิ ท างเดินในหมูบ่ า้ น จ�ำเลยมไิ ด้
สธ
ชักลากไม้มาเก็บรักษาไว้ในอารักขาของตน ดังนี้แสดงว่าอำ� นาจการครอบครองไม้ยังอยู่แก่โจทก์ มิได้ส่ง
ธ
ทีจ่ อดรถดังกล่าว ยังไ ม่พอฟังว่าเป็นการส่งม อบรถยนต์ให้แก่จ�ำเลยทั้งสองอันจะท�ำให้จ�ำเลยทั้งส องอยู่ใน
ฐานะผู้รับฝากทรัพย์มีบ�ำเหน็จ เมื่อรถยนต์ได้สูญหายไป จ�ำเลยทั้งสองจึงไ ม่ต้องรับผิดชดใช้ค ่าเสียหาย
มส
5. สัญญาฝากทรัพย์เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทนและไม่มีค่าตอบแทน เว้นแต่ตกลงว่ามีค่า
ตอบแทนหรือโดยพฤติการณ์พึงคาดหมายได้ว่ามีค่าตอบแทน15 หมายความว่า สัญญาฝากทรัพย์เป็น
สัญญาไม่ตา่ งตอบแทนทเี่ ป็นหนีผ้ กู พันผรู้ บั ฝากฝา่ ยเดียววา่ ต้องเก็บรกั ษาทรัพย์สนิ นนั้ ไว้ในอารักขาแห่ง
ตนแล้วจะคืนให้ ทั้งเป็นสัญญาที่ท�ำให้เปล่าไม่มีค่าตอบแทนหรือไม่มีบำ� เหน็จค่าฝากทรัพย์ด้วย ดังนั้นจึง
อาจกล่าวได้ว่า ถ้าไม่มีข้อตกลงว่า การฝากทรัพย์น ั้นมีบ�ำเหน็จค่าฝ ากหรือค าดหมายจากพฤติการณ์ก็ไม่
ได้แล้ว ต้องถือว่าส ัญญาฝากทรัพย์รายนั้นไม่มีบ�ำเหน็จค่าฝ ากหรือเป็นสัญญาไม่มคี ่าตอบแทนนั่นเอง
บ�ำเหน็จค า่ ฝ ากอาจเป็นต วั เงิน หรือเป็นป ระโยชน์ในทางทรัพย์สนิ ท ไี่ ม่ใช่ต วั เงิน เช่น ให้เป็นส งิ่ ของ
หรือท �ำการงานให้ เป็นต้น แต่ป ระโยชน์ทใี่ ห้กันท างจิตใจไม่ใช่บ �ำเหน็จค่าฝาก
อย่างไรก็ดี สัญญาฝากทรัพย์อาจเป็นสัญญาที่มีค่าตอบแทน หรือมีบ�ำเหน็จค่าฝากตอบแทนกัน
ได้ใน 2 กรณี คือ
ธ
1) ตกลงโดยชัดแ จ้ง
2) ตกลงโดยปริยาย
มส
ความแตกต่างระหว่างสัญญาฝากทรัพย์ไม่มีบ�ำเหน็จค่าฝากทรัพย์กับมีบ�ำเหน็จค่าฝากทรัพย์อีก
ประการหนึ่งคือ หน้าที่ในการใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากย่อมไม่เหมือนกันตามมาตรา 659
กล่าวคือ ฝากทรัพย์ไม่มีบำ� เหน็จค่าฝาก ผู้รับฝากต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติ
ในกิจการของตนเอง ส่วนฝากทรัพย์มีบำ� เหน็จค่าฝากผู้รับฝากต้องสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นว ิญญูชน
รวมทงั้ การใช้ฝมี อื อนั พเิ ศษเฉพาะการในทจี่ ะพงึ ใช้ฝมี อื ดว้ ย และเฉพาะในกรณีของผมู้ อี าชีพรบั ฝากทรัพย์
ธ
ก็ยงิ่ ต อ้ งใช้ค วามระมัดระวังแ ละใช้ฝ มี อื เท่าท เี่ ป็นธ รรมดาจะตอ้ งใช้แ ละสมควรจะตอ้ งใช้ในกจิ การคา้ ข ายหรือ
อาชีพรับฝากทรัพย์ด้วย
มส
เมื่อได้ตกลงชัดแจ้งหรือถือได้โดยปริยายว่า ฝากทรัพย์มีบ�ำเหน็จค่าฝากแล้วปัญหาว่าบ�ำเหน็จ
ค่าฝากเป็นจำ� นวนเท่าใดนนั้ เห็นวา่ ถ้าเป็นกรณีทผี่ รู้ บั ฝากประกอบอาชีพรบั ฝากทรัพย์ยอ่ มมอี ตั ราคา่ ฝาก
ก�ำหนดไว้แน่นอน การทผี่ ฝู้ ากนำ � ทรัพย์เข้าฝากเท่ากับยอมรับอัตราค่าฝากที่ก�ำหนดไว้แล้ว แต่ถ ้าฝากกับ
บุคคลธรรมดา ถ้าไม่ตกลงจ�ำนวนบ�ำเหน็จค่าฝาก น่าจะต้องถือว่าได้ตกลงกันเป็นจ�ำนวนตามธรรมเนียม
(เทียบ ปพพ. มาตรา 846 วรรคสอง)
อุทาหรณ์
ฎ. 2748-2749/2515 การท่าเรือแห่งประเทศไทยโจทก์เป็นองค์การประกอบกิจการท่าเรือเพื่อ
ประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน มีบทกฎหมายพิเศษที่ก่อตั้งและรับรองให้มีอ�ำนาจกำ� หนดอัตราค่าภาระ
การใช้ทา่ เรือ ซึง่ ร วมถงึ คา่ ฝากของทเี่ ก็บไว้ทที่ า่ เรือน นั้ ด ว้ ย ผูใ้ ดมาใช้บริการเอาของฝากไว้ทที่ า่ เรือ สัญญา
ธ
ฝากทรัพย์ระหว่างโจทก์กับผู้นั้นก็เกิดขึ้นโดยไม่ต้องตกลงกันอีกในเรื่องค่าฝาก เพราะเท่ากับได้ตกลงกัน
อยูใ่ นตวั วา่ ให้ถ อื เอาตามอตั ราทโี่ จกทไ์ ด้ก ำ� หนดไว้ แม้โจทก์ก ำ� หนดอตั ราคา่ ฝ ากให้ส งู ขนึ้ หลังจ ากทโี่ จทก์
รับฝากทรัพย์ของจำ� เลยไว้แล้ว ก็ถือได้ว่าอัตราใหม่นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งอยู่ในข้อตกลงเดิม ในสัญญาฝาก
มส
หน้าแล้ว
ม
ประกาศไว้ ส่วนภายหลังโจทก์ขึ้นอัตราค่าฝาก แต่จ�ำเลยรู้แล้วก็ไม่ขนทรัพย์ออกไป ย่อมถือได้ว่าตกลง
โดยปริยายตามอัตราค่าฝ ากใหม่นั้นแล้ว
ค�ำพิพากษาศาลฎีกานี้จึงต่างกับกรณีฝากทรัพย์กับบุคคลธรรมดาทั่วๆ ไป ซึ่งต้องตกลงกันใน
จ�ำนวนบำ� เหน็จคา่ ฝากไว้ดว้ ย เว้นแต่ผปู้ ระกอบอาชีพรบั ฝากทกี่ ำ� หนดอตั ราคา่ ฝากเป็นคำ � เสนอซงึ่ รกู้ นั ลว่ ง
อุทาหรณ์
ฎ. 1685/2529 จ�ำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินบริเวณสยามสแควร์มอบให้จ�ำเลยที่ 1 ดูแลความ
เรียบร้อยและจัดการจราจรภายในที่ดินดังกล่าว พนักงานของจ�ำเลยที่ 1 จะออกบัตรให้และเจ้าของรถจะ
ต้องคืนบัตรเมื่อน�ำรถออกไป หากจอดรถจะต้องเสียค่าบริการ แต่เจ้าของรถเป็นผู้เลือกสถานที่จอดรถ
เปิด ปิด ประตูและเก็บกุญแจรถไว้เอง หากเจ้าของรถจะเคลื่อนย้ายรถหรือนำ� รถออกจากที่จอดหรือ
ธ
น�ำไปจอดที่ใดในบริเวณนั้น ก็ท�ำได้เองโดยไม่ต้องแจ้งให้พนักงานของจ�ำเลยที่ 1 ทราบเช่นนี้ รถยนต์ที่
น�ำมาจอดยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าของรถ กรณีนี้ไม่ใช่การฝากทรัพย์ เพราะไม่มีการส่งมอบ
มส
ทรัพย์สินให้แก่จำ� เลยทั้งสอง หรือพนักงานของจำ� เลยทั้งสอง และจ�ำเลยทั้งสองได้ตกลงจะรักษารถยนต์
คันดังกล่าวไว้ในอารักขาแห่งตนแล้ว จะคืนให้ จ�ำเลยจึงไม่มีข้อผูกพันที่จะต้องรับผิดในการที่รถยนต์ซึ่ง
น�ำมาจอดในที่ดินบ ริเวณนั้นส ูญหายไป
เปรียบเทียบสัญญาฝากทรัพย์กับสัญญาลักษณะอื่น
เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจลักษณะของสัญญาฝากทรัพย์อย่างแท้จริง เห็นสมควรเปรียบเทียบสัญญา
ฝากทรัพย์กับสัญญาลักษณะอื่นทคี่ ล้ายคลึงกัน ดังต่อไปนี้
1. เปรียบเทียบสัญญาฝากทรัพย์กับสัญญายืม สัญญาฝากทรัพย์เหมือนกับสัญญายืมใช้คงรูป
ในข้อที่ต้องมีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่กัน สัญญาจึงจะบริบูรณ์ นัยหนึ่งคือ ทรัพย์ตกมาอยู่ในอ�ำนาจ
ธ
ครอบครองของผู้รับมอบโดยเป็นการครอบครองแทน และมีหน้าที่รักษาทรัพย์นั้นจนกว่าจะส่งคืนเหมือน
กัน แต่แ ตกตา่ งกนั ทคี่ วามประสงค์ข องสญ ั ญา คือย มื ใช้ค งรปู เป็นการรบั ม อบทรัพย์เพือ่ ป ระโยชน์ข องผรู้ บั
มส
ธ
ของเด็กจากผปู้ กครองเด็กเพื่อหาประโยชน์แทนเด็กเป็นสัญญาตัวแทน ไม่ใช่ส ัญญาฝากทรัพย์
3. เปรียบเทียบสัญญาฝากทรัพย์กับสัญญารับขนของ สัญญารบั ขนของนนั้ ผูข้ นส่งรบั มอบของ
มส
จากผู้ส่งก็เพื่อจัดการขนไปยังผู้รับตราส่งในที่อีกแห่งหนึ่งตามค�ำสั่งของผู้ส่ง จึงไม่ใช่สัญญาฝากทรัพย์
เพราะไม่ได้มอบของให้ไปเก็บรกั ษาไว้ในอารักขาแล้วจะคนื ให้เท่านัน้ หากแต่มหี น้าทตี่ อ้ งจดั สง่ ของไปตาม
ค�ำสั่งของผู้ส่งอีกด้วย เช่น รับมอบข้าวโพดลงเรือเพื่อน�ำส่งไปยังที่หมายปลายทางเป็นสัญญารับขนของ
ไม่ใช่ส ัญญาฝากทรัพย์
จ้างทำ
4. เปรียบเทียบสัญญาฝากทรัพย์กับสัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างท�ำของ สัญญาจา้ งแรงงานหรือ
� ของในกรณีทนี่ ายจ้างหรือผวู้ า่ จา้ งสง่ มอบทรัพย์สนิ ให้แก่ลกู จ้างหรือผรู้ บั จา้ งตามลำ� ดับนนั้ ก็เพือ่ ให้
ท�ำงานให้ตามที่จ้าง จึงไม่ใช่สัญญาฝากทรัพย์ เพราะไม่ได้มอบทรัพย์สินให้ไปเก็บรักษาไว้เท่านั้น เช่น
ลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานได้ร ับมอบเครื่องมือก็เพื่อทำ� งานให้นายจ้าง ไม่ใช่เอาไปเก็บรักษา หรือผู้รับ
จ้างตามสญ ั ญาจา้ งทำ � ของได้รบั มอบสมั ภาระสำ� หรับการทำ� งาน ก็เพือ่ ทำ� การงานสงิ่ นนั้ ให้สำ� เร็จ เมือ่ ทำ� การ
ธ
งานเสร็จแล้วม สี ัมภาระเหลืออ ยู่กต็ ้องส่งคืน ไม่ใช่เอาไปเก็บรักษาเท่านั้น
เมื่อได้ศึกษาลักษณะสัญญาฝากทรัพย์โดยตลอดแล้ว ย่อมเห็นได้ว่า สัญญาฝากทรัพย์แตกต่าง
มส
จากนิติกรรมสัญญาอื่นตรงที่ต้องเก็บรักษาทรัพย์สินที่ฝากไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วจะคืนให้ สัญญาฝาก
ทรัพย์เป็นชอื่ ของสญ ั ญาที่ ปพพ. ก�ำหนดให้เรียกเช่นนนั้ แต่ในทางปฏิบตั ิอาจเรียกชอื่ สญ ั ญาเป็นอย่างอนื่
ก็ได้เช่นเรียกว่า สัญญาเก็บทรัพย์ สัญญารักษาทรัพย์ สัญญารับฝากและรักษาทรัพย์19 ฯลฯ ดังนั้น
17 18
นักศึกษาอย่าติดชื่อของสัญญา แต่ควรพิเคราะห์ด ูสาระสำ� คัญของสัญญานั้นๆ เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ในการ
พิจารณาว่า เป็นสัญญาอะไร เมื่อทราบว่าเป็นสัญญาอะไรแล้วย่อมเป็นการง่ายที่จะวินิจฉัยว่าคู่สัญญานั้น
มีสิทธิและหน้าทีท่ ี่จะพึงป ฏิบัติต่อกันอย่างไรดังทจี่ ะศึกษาต่อไป
ม
17 ดูหน่วยที่ 5 เก็บของในคลังสินค้า ซึ่งเป็นสัญญาฝากทรัพย์ชนิดหนึ่ง นัยก ลับกันอาจเรียกสัญญาเก็บของในคลังส ินค้า
สธ
เป็นสัญญาฝากของในคลังสินค้าก็ได้
18 ในทางปฏิบัติ เจ้าพนักงานบังคับคดีท �ำการยึดทรัพย์ จะท�ำ “สัญญารักษาทรัพย์” กับล ูกห นีเ้หนือบ ุคคลภายนอกไว้
ไม่น ิยมเขียนชื่อส ัญญาว่า สัญญาฝากทรัพย์ ดู ปวพ. มาตรา 303, 304, 305
19 ฎ. 689/2510
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-23
กิจกรรม 4.1.1
1. จงแสดงตารางเปรียบเทียบขอ้ ทเี่ หมือนกนั วัตถุประสงค์ข องสญ ั ญาฝากทรัพย์ ประโยชน์ข อง
สัญญาและหนีข้ องสญ ั ญาฝากทรัพย์กบั สญ ั ญายมื ใช้คงรปู สัญญาตวั แทน สัญญารบั ขนของและสญ ั ญาจา้ ง
แรงงาน
ธ
2. จงร่างสัญญาฝากข้าวเปลือกจำ� นวน 10 เกวียน ราคา 200,000 บาท ซึ่งฝากเก็บไว้ในยุ้งข้าว
ของผรู้ บั ฝากและผรู้ บั ฝากได้รบั บำ� เหน็จคา่ ฝาก 2,000 บาท ไปตงั้ แต่วนั ทำ
� สญั ญาแล้ว กับมกี ำ� หนดสง่ คนื
มส
ในวั น ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 ถ้า ผิดสั ญญา ยอมใช้ ราคาพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตลอดจน
ค่าใช้จ่ายในการทวงถามและค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้องแก่ผู้ฝาก
แนวตอบกิจกรรม 4.1.1
1. ตารางเปรียบเทียบข้อที่เหมือนกัน วัตถุประสงค์ ประโยชน์และหนี้ของสัญญาฝากทรัพย์ กับ
สัญญายืมใช้คงรูป ตัวแทน รับขนของและจ้างแรงงาน
ครอบครองแทน
(2) ” เพื่อผู้รับมอบเอาทรัพย์ ผู้ยืม (ผู้รับมอบ) เมื่อใช้สอยเสร็จแล้ว
ยืมใช้คงรูป ” ออกใช้สอย ได้ใช้ทรัพย์นั้น ต้องส่งคืน
(3) ” เพื่อไปท�ำกิจการแทน ตัวการ (ผู้มอบ) เมื่อกระท�ำการแทนแล้ว
ตัวแทน ตัวการต่อบุคคลภายนอก ได้ประโยชน์ที่มีผู้กระท�ำ เงินและทรัพย์สินที่รับไว้
กิจการแทนให้ ต้องส่งให้ตัวการ
(4)
รับขนของ
(5)
จ้างแรงงาน
”
”
”
”
เพื่อให้ขนของส่งไปยัง
ผู้รับตราส่ง
ผู้ส่ง (ผู้มอบ) ได้
ประโยชน์ที่มี
ผู้ขนของส่งไปให้
เพื่อให้ทำ� งานให้ตามที่จ้าง นายจ้าง (ผู้มอบ) ได้
ประโยชน์ที่มี
ม ผู้ขนส่งต้องขนของส่งไป
ยังผู้รับตราส่งตามค�ำสั่ง
ของผู้ส่ง
ลูกจ้าง (ผู้รับมอบ) ต้อง
ท�ำงานให้ ส่วนนายจ้าง
ผู้ทำ� การงานให้ (ผู้มอบ) ก็ต้องให้สินจ้าง
ตลอดเวลาที่ท�ำงานให้
สธ
ม
4-24 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
2. ร่างสัญญาฝากข้าวเปลือก
สัญญาท�ำที่ ................................
วันที่ ........... เดือน..................ปี พ.ศ. .............
(นาย, นาง, นางสาว) ....................................................................... อายุ ............. ปี
ธ
ตัง้ บ า้ นเรือนอยู่ ณ บ้านเลขท.ี่ ...........................ถนน.......................ต�ำบล (แขวง)...........................อ�ำเภอ
(เขต)..........................จังหวัด..................................................................ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่า
มส
“ผูฝ้ าก” ฝ่ายหนึง่ กบั (นาย, นาง, นางสาว)...............................................อายุ ......................ตัง้ บา้ นเรือน
อยู่ ณ บ้ า นเลขที่ ..........................ถนน...................................ต�ำบล (แขวง).................................
อ�ำเภอ (เขต)......................จังหวัด........................ ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่า “ผู้รับฝาก” อีกฝ่ายหนึ่ง
ทั้งสองฝ่ายตกลงท�ำสัญญากัน มีข้อความดังต่อไปนี้:
ข้อ 1 ผู้ฝากตกลงฝากและผู้รับฝากตกลงเก็บรักษา ข้าวเปลือก จ�ำนวน 10 เกวียน ไว้ในยุ้งข้าว
ของผู้รับฝาก คิดเป็นราคาทรัพย์สินทฝี่ ากจ�ำนวน 20,000 บาท และในวันท�ำสัญญานี้ผู้ฝากได้ส่ง
มอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับฝากไปครบถ้วนแล้ว
ข้อ 2 ผูฝ้ ากตกลงให้บ�ำเหน็จค่าฝากเป็นเงินจ�ำนวน 20,00 บาท แก่ผู้รับฝ าก และผู้รับฝาก
ได้รับเงินบ�ำเหน็จค่าฝากไปตั้งแต่วันท�ำสัญญานแี้ ล้ว
ธ
ข้อ 3 ผู้ ฝ ากแ ละผู้ รั บ ฝ ากต กลงจ ะคื น ท รัพ ย์ สิ น ที่ ฝากทั้งหมดให้ ณ วันที่ 1 เดือน มกราคม
พ.ศ. 2556
มส
เรื่องที่ 4.1.2
สิทธิและหน้าที่ของผู้รับฝาก
ธ
เมื่ อ สั ญ ญาฝากทรัพย์ เกิดขึ้นแล้ว คู่กรณีย่อมมี สิทธิและหน้าที่ตามสัญญา สิทธิและหน้าที่ของ
ผู้รับฝากเกิดจากหนี้ที่จะต้องเก็บรักษาทรัพย์สิน เว้นแต่คู่สัญญาจะมีข้อตกลงกันในสัญญาฝากทรัพย์เป็น
มส
อย่างอื่นแล้ว20 ผู้รับฝากมีสิทธิและหน้าทีด่ ังต่อไ ปนี้
สิทธิของผู้รับฝาก
ผู้รับฝาก มีสิทธิอยู่ 4 ประการ คือ
1. สิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์สินที่ฝาก
2. สิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ฝาก
3. สิทธิเรียกบำ� เหน็จค่าฝาก
4. สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินทฝี่ าก
1. สิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์สินที่ฝาก เนื่องจากสัญญาฝากทรัพย์เป็นสัญญาที่ทำ � ขึ้น
ธ
เพื่อประโยชน์ของผู้ฝากซึ่งเป็นเจ้าหนี้ เมื่อมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการคืนทรัพย์สินที่ฝาก มาตรา 667 จึง
บัญญัติวา่ “ค่าคืนท รัพย์สินซ ึ่งฝ ากนั้น ย่อมตกแก่ผ ู้ฝ ากเป็นผู้เสีย” เช่น กุง้ อยู่จงั หวัดลำ� ปาง รับฝากชา้ ง
ของเข่งซึ่งภูมิลำ� เนาอยู่ที่เชียงใหม่ ในการคืนช้างที่รับฝาก กุ้งต้องจ้างคนงานและรถบรรทุกช้างมาส่งคืน
มส
แก่ เข่งทเี่ชียงใหม่ ตาม ปพพ. มาตรา 324 ดังนี้ เมื่อ กุ้ง ออกค่าใช้จ ่ายไปเท่าใด กุ้งย่อมมสี ิทธิเรียกจาก
เข่งได้
อย่างไรกด็ ี คูส่ ญ
ั ญาอาจตกลงยกเว้นม าตรา 667 ให้ผ รู้ บั ฝ ากเป็นผ เู้ สียค า่ ใช้จ า่ ยในการคนื ท รัพย์สนิ
ทีฝ่ ากกย็ อ่ มทำ� ได้ ไม่เป็นการขดั ตอ่ ความสงบเรียบร้อยหรือศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน ตาม ปพพ. มาตรา
151 เช่น กุ้ง รับฝ ากช้างของเข่งไ ว้ โดยมีข ้อส ัญญาว่า กุ้ง เอาช้างไปใช้งานได้ และต้องรับผิดในค่าใช้จ่าย
ม
เกี่ยวกับการคืนช้างด้วย ดังนี้ย่อมเป็นข้อตกลงที่ชอบ กุ้งจึงต้องเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการคืนช้างเอง จะ
เรียกร้องจาก เข่งห าได้ไ ม่
2. สิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ฝาก โดยที่สัญญาฝากทรัพย์นั้นผู้รับฝากมี
หน้า ที่ ต้ องเ ก็ บ รัก ษาทรั พ ย์ สินที่ฝ าก ในระหว่างสั ญญาจ�ำต้องบ�ำรุงรัก ษาท รัพย์ที่ฝาก จึงอ าจต้องเสีย
ค่าใช้จา่ ยเพือ่ การนี้ มาตรา 668 จึงบญ ั ญัตวิ า่ “ค่าใ ช้จ ่ายใดอันค วรแก่การบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งฝ ากนั้น
ผู้ฝากจ�ำต้องชดใช้ให้แก่ผู้รับฝาก เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้โดยสัญญาฝากทรัพย์ว่าผู้รับฝากจะต้องออกเงิน
ค่าใช้จ่ายนั้นเอง” เช่น กุ้ง รับฝากม้าจากเข่ง กุ้ง ต้องซื้อหญ้า ข้าวเปลือก เพื่อบำ� รุงรักษาม้า ดังนี้ กุ้งมี
สธ
20
ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันให้ม ีสิทธิและหน้าที่มากกว่าหรือน ้อยกว่าที่กฎหมายกำ�หนด อาจกลายเป็นสัญญาอื่นไ ม่ใช่
สัญญาฝากทรัพย์ซ ึ่งต ้องพิจารณาข้อเท็จจ ริงเป็นเรื่องๆ ไป
ม
4-26 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
สิทธิเรียกค่าใช้จ่ายดังกล่าวจาก เข่งหรือ กุ้งรับฝ ากเรือนจาก เข่ง และกุ้ง ได้อ อกเงินซ ่อมแซมเรือนไป กุ้ง
มีสิทธิเรียกชดใช้เงินซ่อมแซมจาก เข่ง21 เป็นต้น
การบ�ำรุงรักษา22 นั้นหมายความถึงกระท�ำต่อทรัพย์นั้นในทางระวังดูแลป้องกันให้ทรัพย์นั้นคง
สภาพเดิมเป็นคา่ ใช้จา่ ยนอกเหนือจากคา่ ตอบแทนในการฝากทรัพย์ทเี่ รียกวา่ บำ� เหน็จคา่ ฝาก เช่น ค่าเลีย้ ง
สัตว์ ค่าปุ๋ยบำ� รุงต้นไม้ ค่าซ่อมแซมโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง ค่าทำ� ความสะอาดกระจกรถยนต์ ฯลฯ ซึ่ง
ธ
กฎหมายก�ำหนดให้ผู้รับฝากมีหน้าที่ตามมาตรา 659 นั่นเอง แต่ไม่หมายถึงการใช้สอยทรัพย์ซึ่งเป็นการ
กระท�ำเพือ่ ประโยชน์แก่คนทใี่ ช้สอยเองตามมาตรา 660 หรือคา่ ใช้จา่ ยในการจา้ งคนเฝ้าร กั ษาทรัพย์ ซึง่ คดิ
มส
รวมอยูใ่ นบำ� เหน็จค่าฝากแล้ว
อย่างไรกด็ ี ถ้าตกลงกันไว้ในสัญญาว่า ผู้รับฝากเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการบ�ำรุงรักษาทรัพย์สิน
ทีฝ่ าก ก็ต้องเป็นไปตามข้อสัญญานั้น
3. สิทธิเรียกบ�ำเหน็จค่าฝาก การฝากทรัพย์นั้นถ้าคู่สัญญาตกลงชัดเจนว่า มีค่าตอบแทนในการ
รับฝากทรัพย์หรือที่เรียกว่า บ�ำเหน็จค่าฝากทรัพย์หรือการฝากทรัพย์ที่โดยพฤติการณ์พึงคาดหมายได้ว่า
มีบ�ำเหน็จค่าฝากกันตามมาตรา 658 แล้ว ผู้รับฝากก็ย่อมมีสิทธิได้บ�ำเหน็จค่าฝาก ส่วนบ�ำเหน็จค่าฝาก
จะพึงให้ก นั เมือ่ ใดนนั้ มาตรา 669 บัญญัตวิ า่ “ถ้าไม่ได้ก�ำหนดเวลาไว้ในสัญญาหรือไม่มีก�ำหนดโดยจารีต
ประเพณีว่าบ�ำเหน็จค่าฝากทรัพย์นั้นจะพึงช�ำระเมื่อไรไซร้ ท่านให้ช�ำระเมื่อคืนทรัพย์สินซึ่งฝาก ถ้าได้
ก�ำหนดเวลากันไ ว้เป็นร ะยะเวลาอย่างไร ก็พ ึงช �ำระเมื่อส ิ้นร ะยะเวลานั้นท ุกค ราวไป” บทบัญญัตนิ ที้ ำ� นอง
ธ
เดียวกับการจ่ายสินจ้างในการจ้างแรงงาน ตาม ปพพ. มาตรา 580 ซึ่งเห็นได้ว่าบ�ำเหน็จค่าฝากนั้น
ช�ำระกันในกำ� หนดเวลาต่อไปนี้ คือ ช�ำระเมื่อคืนทรัพย์ กับช�ำระตามก�ำหนดในสัญญา
มส
ธ
ตกลงบ�ำเหน็จค่าฝาก 2,000 บาท กุ้งออกค่าใช้จ่ายอบถั่วให้แห้งเป็นการบ�ำรุงรักษาถั่วที่ฝาก 500 บาท
และเสียค่ารถบรรทุกถั่วส่งคืนแก่ เข่ง 500 บาท รวมเป็นเงินที่ เข่งค้างแก่ กุ้ง 3,000 บาท ดังนีถ้ ้า เข่งไม่
มส
ช�ำระเงินจ�ำนวนนี้เมื่อส่งคืนถั่วให้ กุ้งย่อมมีสิทธิยึดหน่วงถั่วแดงจ�ำนวน 200,000 กระสอบไว้จนกว่า เข่ง
จะชำ� ระเงินบรรดาทคี่ ้างทั้งหมดให้ (ปพพ. มาตรา 244)
การยึดหน่วงดังกล่าวกเ็ พื่อให้ได้ช�ำระเงินบรรดาทคี่ ้างชำ� ระแก่ผู้รับฝากเท่านั้น จะเอาทรัพย์ที่ยึด
หน่วงไปใช้สอยหรือให้เช่าหรือเอาไปทำ
จะรักษาทรัพย์สินทฝี่ าก
� เป็นหลักประกันไม่ได้ เว้นแต่ผฝู้ ากยนิ ยอมหรือเป็นการใช้สอยเพือ่
ทรัพย์ที่ฝากนั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับช�ำระค่าฝาก แม้ศาลชั้นต้นจะได้มีค�ำพิพากษาให้จ�ำเลยน�ำสินค้าของ
จ�ำเลยออกไปจากโรงพักสินค้าของโจทก์ โจทก์ก็ยังมีสิทธิยึดหน่วงสินค้านั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับช�ำระค่า
ฝาก ส่วนกรณีเกี่ยวกับการบังคับตามค�ำพิพากษาและการคิดบ�ำเหน็จค่าฝากนั้นได้ความว่า จ�ำเลยไปขอ
ขนทรัพย์ออกจากโรงพักสินค้าเพื่อปฏิบัติตามค�ำพิพากษา แต่โจทก์ไม่ยอมให้ขนออกไปต้องถือว่าจ�ำเลย
มิได้ฝ า่ ฝืนค ำ� บงั คับข องศาล การทที่ รัพย์อ ยูใ่ นโรงพกั ส นิ ค้าข องโจทก์ ก็เป็นเรือ่ งทโี่ จทก์ใช้ส ทิ ธิย ดึ ห น่วงเอา
ไว้เองตามสิทธิของโจทก์ มิใช่จ�ำเลยฝ่าฝืนไม่น�ำออกไป การคิดบำ� เหน็จค่าฝากทรัพย์จากจ�ำเลยตามค�ำ
23 ฎ. 2748-2749/2515.
ม
4-28 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
มีข อ้ สงั เกตวา่ สิทธิยดึ หน่วงเอาทรัพย์สนิ ซงึ่ ฝากนผี้ รู้ บั ฝากชอบทจี่ ะยดึ หน่วงไว้ได้จนกว่าจะได้รบั
เงินบ รรดาทคี่ ้างชำ� ระแก่ต นเกี่ยวด้วยการฝากทรัพย์น ั้นเท่านั้น ไม่มสี ิทธิท ี่จะเอาทรัพย์สินท ไี่ ด้ย ึดห น่วงไว้
นั้ น อ อกข ายทอดตลาดแ ล้วหักเงิน บรรดาที่ค้างช�ำระด้วยตนเองดังที่กฎหมายบัญญัติให้สิท ธิแก่เจ้า
ส�ำนักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นเช่นว่านั้น ตามมาตรา 679
ธ
หน้าที่ของผู้รับฝาก
ผู้รับฝากมีหน้าที่ 4 ประการคือ
มส
1. หน้าทีใ่ นการสงวนรักษาทรัพย์สินทฝี่ าก
2. หน้าทีใ่ นการงดเว้นใช้สอยทรัพย์หรือให้คนอื่นเก็บรักษาทรัพย์ทฝี่ าก
3. หน้าทีใ่ นการบอกกล่าวเมื่อถูกฟ ้องหรือยึดท รัพย์สินที่ฝาก
4. หน้าทีใ่ นการคืนทรัพย์สินทฝี่ ากพร้อมด้วยดอกผล
1. หน้าที่ในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ฝาก หน้าที่ข้อนี้เป็นหน้าที่สำ� คัญของผู้รับฝาก หากผู้รับ
ฝากผิดหน้าที่ก็จะต้องรับผิดต่อผู้ฝากในความเสียหายอย่างใดๆ ที่เกิดขึ้น24 และโดยที่ระดับของความ
ระมัดระวังในการสงวนรักษาทรัพย์สินของบุคคลย่อมแตกต่างกัน จึงขอแบ่งสัญญาฝากทรัพย์ออกเป็น
3 ประเภท ตามหน้าทีใ่นการสงวนรักษาทรัพย์สินทฝี่ ากคือ
1.1 สัญญาฝากทรัพย์โดยไม่มีบ�ำเหน็จค่าฝากหรือการรับฝากทรัพย์เป็นการท�ำให้เปล่า
ธ
มาตรา 659 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าการรับฝากเป็นการกระท�ำให้เปล่า ไม่มีบ�ำเหน็จไซร้ ท่านว่าผู้รับ
ฝากจ�ำต้องใช้ความระมัดระวังส งวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง”
มส
ธ
กุมภาเช่นรถของมกราแล้ว
อุทาหรณ์
ธ
นอกจากนี้ผู้รับฝากก็ต้องใช้ฝีมือความรู้ความสามารถพิเศษของตนเฉพาะการรับฝากทรัพย์ซึ่งตามสภาพ
แล้วต้องใช้ความระมัดระวังเอาใจใส่เป็นพิเศษอีกด้วย เช่น รับฝากเสื้อขนสัตว์หรือเสื้อผ้าไหม ก็ต้อง
มส
ระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้เสื้อเสียหายมีแมลงมากัดกิน หรือรับฝากกล้วยไม้หรือนกเขาก็ต้องสงวนรักษา
โดยใช้ความรู้เรื่องกล้วยไม้ หรือการเลี้ยงนกเขาเข้าช่วยด้วย หรือรับฝากปลาเงินปลาทองก็ต้องใช้ความรู้
การเลี้ยงปลา เช่น ต้องคอยเปลี่ยนน�้ำให้หรือรับฝากรถยนต์โดยมีบ�ำเหน็จค่าฝาก ก็ต้องท�ำความสะอาด
ทดลองเดินเครื่องทุกวัน เป็นต้น รวมทั้งต้องใช้ฝีมืออันพิเศษ เช่น การท�ำความสะอาดรถที่รับฝาก ต้อง
ขัดให้สะอาดเป็นเงางามน่าดู หรือดูแลเครื่องยนต์ให้ใช้งานได้ตามปกติ
อุทาหรณ์
ฎ. 932/2517 จ�ำเลยที่ 4 เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์จำ� หน่ายนำ�้ มันเชื้อเพลิงบ ริการอัดฉีด
และล้างรถ ให้จอดรถโดยคิดค่าบริการคืนละ 5 บาทต่อรถยนต์หนึ่งคัน โจทก์นำ � รถยนต์ไปฝากที่ปั๊มของ
จ�ำเลยที่ 4 ซึ่งมีจำ� เลยที่ 3 เป็นผู้จัดการ และมอบกุญแจรถให้จำ� เลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจ�ำเลยที่ 3
ธ
จ�ำเลยที่ 1 ที่ 2 มีหน้าที่ดูแลรถยนต์ที่น�ำมาฝาก จ�ำเลยที่ 2 รับกุญแจรถยนต์จากจำ� เลยที่ 1 ไปไขกุญแจ
ติดเครือ่ งยนต์ของโจทก์ถอยออกไปจากโรงเก็บ เอาไปจอดหน้าโรงเก็บเพือ่ ให้รถยนต์ของผอู้ นื่ ออกไป เมือ่
มส
ธ
เป็นสัญญาเช่าท รัพย์
อุทาหรณ์
มส ฎ. 6704/2537 การที่โจทก์ท ี่ 1 กับ น. เช่าต นู้ ิรภัยจ ากจ�ำเลยที่ 1 เพื่อใช้เป็นท เี่ก็บท รัพย์น ั้น
ทุกครั้งที่โจทก์ที่ 1 กับ น.ภรรยาโจทก์ที่ 1 น�ำทรัพย์ไปเก็บ โจทก์ที่ 1 กับ น. มิได้ส่งมอบทรัพย์ที่เก็บให้
จ�ำเลยที่ 1 และจ�ำเลยที่ 1 ก็มิได้มีส่วนรู้เห็นว่า โจทก์ที่ 1 กับ น. น�ำทรัพย์อะไรไปเก็บไว้บ้าง เมื่อโจทก์ที่
1 กับ น.ต้องการนำ � ทรัพย์ที่เก็บไว้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนกลับคืนไปก็ไปนำ � กลับมาเองโดยโจทก์ที่ 1 กับ
น.เพียงแต่ยื่นค�ำร้องขอให้จำ� เลยที่ 1 น�ำกุญแจต้นแบบของธนาคารมาร่วมไขเปิดตู้นิรภัยด้วยเท่านั้น โดย
จ�ำเลยที่ 1 มิได้ส่งมอบทรัพย์สินคืนเป็นสัญญาเช่าตนู้ ิรภัยจึงไม่ใช่สัญญาฝากทรัพย์
แต่ปจั จุบนั การเก็บของในตนู้ ริ ภัยของธนาคารศาลฎกี าได้พพิ ากษาวา่ ธนาคารตอ้ งรบั ผดิ ฐาน
ละเมิด ตาม ปพพ. มาตรา 420 เพราะทรัพย์สินดังกล่าวอยูใ่ นตนู้ ิรภัยซึ่งอยูใ่ นครอบครองของธนาคารอยู่
ตลอดเวลา เมื่อทรัพย์สินหายไปธนาคารต้องรับผิด แม้จะใช้ชื่อว่าสัญญาเช่าตู้นิรภัยก็ตาม
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 2205/2542 จ�ำเลยที่ 1 ฎีกาว่าทรัพย์สินโจทก์ทั้งสามมิได้สูญหายจริง แม้จ�ำเลยที่ 1 จะ
มส
ใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น ตามมาตรา
659 วรรคสาม คือต้องจัดให้มกี ารป้องกันทมี่ ั่นคง แข็งแ รง ยากแก่การเข้าไปเอาตัวทรัพย์ได้โดยง่าย
นอกจากนั้นในอาชีพอื่นๆ ในการรับฝากทรัพย์ เช่น ผู้มีอาชีพรับฝากรถยนต์ ก็ต้องมีการ
ดูแลรักษาไว้ในโรงเก็บทมี่ ั่นคงปลอดภัยมีทดี่ ับเพลิงและยามเฝ้าด้วย เป็นต้น
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 10082/2551 การที่จะพิจารณาว่าจ�ำเลยในฐานะผู้รับฝากรถยนต์คันพิพาทไว้โดยมี
บ�ำเหน็จค ่าฝ ากได้ใช้ค วามระมัดระวังแ ละใช้ฝ ีมือเพื่อส งวนทรัพย์สินน ั้นเหมือนเช่นว ิญญูชนจะพึงประพฤติ
มส
โดยพฤติการณ์ดังนั้นหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับคนทั่วๆ ไปในภาวะเช่นนั้นว่าควรจะพึง
ใช้ความระมัดระวังเช่นไร ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจ�ำเลยจอดรถยนต์คันพิพาทไว้บริเวณด้านหน้าอู่ซ่อมรถ
ของจำ� เลย โดยได้ลอ็ กประตูและลอ็ กพวงมาลัยรถยนต์คนั พพิ าท ส่วนตวั จำ� เลยกน็ อนอยู่ภายในอดู่ งั กล่าว
เมือ่ ได้ยนิ เสียงเครือ่ งยนต์รถดงั ขนึ้ กไ็ ด้ลกุ ขนึ้ ดู ปรากฏวา่ รถยนต์คนั พพิ าทหายไปกไ็ ด้แจ้งให้เจ้าพนักงาน
ต�ำรวจสายตรวจทผี่ า่ นมาทราบและออกตดิ ตามคนร้ายกบั เจ้าพ นักงานตำ� รวจดว้ ย ตามพฤติการณ์ด งั ก ล่าว
ถือว่าจ�ำเลยได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติ
โดยพฤติการณ์ดังนั้นแล้ว
อูซ่ อ่ มรถของจำ� เลยเป็นหอ้ งแถวและเป็นอขู่ นาดเล็ก บริเวณดา้ นหน้าของอตู่ งั้ ประชิดตดิ กบั
ขอบถนน ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะมีการกั้นรั้วหรือจัดหายามมาคอยระแวดระวังในเวลากลางคืน ดังนั้น
ธ
การที่จำ� เลยจอดรถยนต์คันพิพาทไว้บริเวณด้านหน้าของอู่จะถือว่าจำ� เลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังและใช้
ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้นหาได้ไ ม่
มส
ในกรณีที่เปิดบริการรับฝากรถ หากผู้ให้บริการไม่ใช้ความระมัดระวังเท่าที่จะต้องใช้ในการ
ประกอบการค้า ผู้นั้นต้องรับผิดตามสัญญาฝากทรัพย์
อุทาหรณ์
ฎ. 749/2518 โจทก์นำ � รถยนต์บรรทุกเล็กไปจอดที่ปั๊มของจ�ำเลยที่มีบริการคิดค่าจอด
เดือนละ 80 บาท ผู้น�ำรถมาจอดใส่กญ ุ แจรถถอื กลับไป แต่ปล่อยห้ามล้อให้เข็นย้ายที่ได้ รถของโจทก์ห าย
ไป โจทก์จงึ ฟ อ้ งเรียกราคารถกบั คา่ เสียหายในการจา้ งรถอนื่ ม าใช้แทน ดังนีพ้ ฤติการณ์เป็นทรี่ กู้ นั ท วั่ ไปวา่
รถที่ฝากอย่างผู้มีอาชีพแล้วจึงต้องรับผิดต่อผู้ฝาก ซึ่งในคดีนี้คือราคารถกับค่าที่ไม่ได้ใช้ทรัพย์ตามปกติที่
เคยใช้ (ปพพ. ตามมาตรา 222) เป็นต้น
ฎ. 22/2536 โจทก์เดินท างเข้าม าทอ่ งเทีย่ วในประเทศได้น ำ � ทรัพย์สนิ ท ตี่ ดิ ตัวม าไปฝากไว้แ ก่
เจ้าห น้าทีร่ บั ฝากทรัพย์ท ดี่ า่ นศลุ กากรทา่ อากาศยานกรุงเทพ ของกรมศลุ กากรจำ� เลยรกั ษาไว้ร ะหว่างทอ่ ง
เทีย่ วโดยมบี ำ� เหน็จ จ�ำเลยผรู้ บั ฝากจำ � ตอ้ งใช้ความระมัดระวังแ ละใช้ฝมี อื เพือ่ สงวนทรัพย์สนิ นนั้ เหมือนเช่น
ธ
วิญญูชนจะพงึ ประพฤติโดยพฤติการณ์ดงั่ นนั้ การทเี่ จ้าหน้าทีข่ องจำ� เลยกระท�ำความผดิ โดยใช้รถยนต์ของ
จ�ำเลยขนทรัพย์สินของโจทก์ออกไปโดยหลบหนีภาษีศุลกากรจนทรัพย์สินของโจทก์ถูกยึดเป็นของกลาง
มส
ระหว่างดำ� เนินค ดีอาญาแสดงวา่ จ�ำเลยขาดความระมัดระวังไ ม่ใช้ฝ มี อื สงวนรกั ษาทรัพย์สนิ ท รี่ บั ฝ ากไว้เช่น
วิญญูชน กรณีมิใช่เหตุสุดวิสัย จ�ำเลยจึงต้องรับผิดในทรัพย์สินที่รับฝ ากจากโจทก์
ฎ. 6280/2538 จ�ำเลยประกอบธุรกิจธนาคาร การจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้มาขอเบิกเงินเป็น
ธุรกิจอย่างหนึ่งของจ�ำเลยซึ่งต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจ�ำ จ�ำเลยย่อมมีความชำ� นาญในการตรวจสอบลาย
มือชอื่ ในเช็ควา่ เป็นลายมือชอื่ ของผสู้ งั่ จา่ ยหรือไม่ยงิ่ กว่าบคุ คลธรรมดา ทัง้ จำ� เลยจะตอ้ งมคี วามระมัดระวัง
ในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่วๆ ไป การที่จ�ำเลยจ่ายเงินตามเช็คพิพาทให้แก่ผู้น�ำมาเรียก
เก็บเงินไปโดยที่ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์ ทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อโจทก์ที่ให้ไว้กับจำ� เลย
กับม เี ช็คอ กี ห ลายฉบับท โี่ จทก์เคยสงั่ จ า่ ยไว้อ ยูท่ จี่ ำ� เลย จึงเป็นการขาดความระมัดระวังข องจำ� เลย เป็นการ
กระท�ำละเมิดและผิดสัญญาฝากทรัพย์ต่อโจทก์ จ�ำเลยจะยกข้อตกลงยกเว้นความรับผิดตามที่ระบุไว้ใน
ธ
ค�ำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดไม่ได้
ฎ. 1795/2541 จ�ำเลยเป็นธนาคารผรู้ บั ฝากเงินเป็นอาชีพโดยหวังผลประโยชน์ในการเอาเงิน
มส
สูญหายเพราะถูกคนร้ายลักเอาไป ท�ำให้การส่งคืนสินค้าแก่โจทก์กลายเป็นพ้นวิสัยซึ่งเกิดจากจ�ำเลยกับ
พวกไม่ไ ด้ใช้ค วามระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อรักษาสินค้าข องโจทก์ในฐานะเป็นผ มู้ วี ิชาชีพในกิจการค้าขาย
ู หาย
และยืดหยุ่นจ่ายให้ไป โดยมิได้ใส่ใจให้ความส�ำคัญแก่ลายมือชื่อผู้ถอนเงินว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงหรือ
ไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ใบถอนเงินลงชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินเอง แต่ไม่มีตัวโจทก์มา พนักงานของ
จ�ำเลยที่ 1 ก็ย งั จา่ ยเงินให้แก่จำ� เลยที่ 2 ไปแทน พฤติการณ์ช ชี้ ดั วา่ พ นักงานของจำ� เลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ
อย่างร้ายแรงในการจ่ายเงินให้แก่จ�ำเลยที่ 2 หากพนักงานของจ�ำเลยที่ 1 ใช้ความละเอียดรอบคอบและ
ความระมัดระวังเยีย่ งผปู้ ระกอบวชิ าชีพธ นาคารแล้ว ก็ย อ่ มจะทราบได้ว า่ ล ายมือช อื่ โจทก์ในใบถอนเงินเป็น
ธ
ลายมือชื่อป ลอม และจำ� เลยที่ 2 ก็จะไม่สามารถถอนเงินฝากจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ไ ปได้
แม้ในปกหน้าดา้ นในของสมุดเงินฝาก จะมขี อ้ ความให้ผฝู้ ากเงินเป็นผเู้ ก็บรกั ษาสมุดเงินฝาก
มส
เองก็ตาม ก็เป็นเพียงค�ำแนะน�ำมิใช่ข้อตกลงในการฝากเงิน ส่วนในค�ำขอเปิดบัญชีเงินฝากนั้นก็ไม่ได้มี
เงื่อนไขโดยชัดแจ้งว่าผู้ฝากหรือโจทก์จะต้องเก็บรักษาสมุดเงินฝากไว้เอง คงมีแต่ค�ำแนะน�ำว่าควรเก็บไว้
ในที่ปลอดภัยเท่านั้น การที่จ�ำเลยที่ 2 ถอนเงินฝากจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ไปได้ จึงเกิดจากความ
ประมาทเลินเล่อของพนักงานของจ�ำเลยที่ 1 มิได้เป็นผลโดยตรงจากการที่โจทก์ฝากสมุดเงินฝากไว้กับ
จ�ำเลยที่ 2 การกระท�ำของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อในการกระท�ำละเมิดของ
จ�ำเลยที่ 2 ด้วย
ฎ. 555/2553 รถยนต์กระบะคันพิพาทเข้าซ่อมที่อู่ของจ�ำเลยที่ 2 และในระหว่างที่ท�ำการ
ซ่อมร ถยนต์ ไ ด้ ถูก คนร้า ยลั กไป ถือได้ว่า รถยนต์กระบะพิพาทอยู่ในค วามครอบครองของจ�ำเลยที่ 2
ดังน ั้น จ�ำเลยที่ 2 จะต้องเก็บรักษารถยนต์กระบะคันพ ิพาทไว้ในที่ปลอดภัยในระหว่างการซ่อม ทั้งต้องใช้
ธ
ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อมิให้รถยนต์กระบะคันพิพาทต้องสูญหายหรือเสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงรับ
ฟังได้อย่างแน่ชัดว่า จ�ำเลยที่ 2 น�ำรถยนต์กระบะคันพิพาทไปจอดไว้บริเวณที่ว่างหน้าอู่โดยไม่มีรั้วรอบ
มส
ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว
ม
แสดงให้เห็นว่าจ�ำเลยที่ 2 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้รถยนต์สูญหายหรือเสียหาย
แต่อย่างใด และการที่ไม่เคยมีรถยนต์สูญหายหรือได้รับความเสียหายมิได้เป็นหลักประกันว่า จ�ำเลยที่ 2
ความระมัดระวังในการดูแลบัญชีเงินฝากของโจทก์อันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา ได้ความว่าโจทก์ฝากเงิน
ประเภทประจ�ำ 3 ปี กรณีเป็นเรื่องปกติวิสัยที่เจ้าของบัญชีจะอุ่นใจมิได้ติดตามผลในบัญชีเงินฝากจนกว่า
จะครบก�ำหนดตามระยะเวลาที่กำ� หนด การที่โจทก์มิได้ไปติดต่อรับดอกเบี้ยจึงมิใช่เรื่องผิดวิสัยและไม่ใช่
ความผดิ ข องโจทก์เนือ่ งจากโจทก์เป็นลกู ค้าของจำ� เลย มิใช่ผมู้ หี น้าทรี่ ะมัดระวังดแู ลทรัพย์สนิ ทตี่ นฝาก เมือ่
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จ�ำเลยผิดสัญญาฝากเงินไม่ได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะ
ธ
ต้องใช้และสมควรจะตอ้ งใช้ในกจิ การคา้ ขายหรืออาชีวะอย่างนนั้ ในการดแู ลเงินฝากของโจทก์ เมือ่ เงินฝาก
ของโจทก์ถูกเบิกถอนไปจนหมด จ�ำเลยจึงต้องรับผ ิดชดใช้เงินจ�ำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์
ย่อมทำ
ม
ั ญาฝากทรัพย์นนั้ ผูร้ บั ฝากตกลงวา่ จะเก็บรกั ษาทรัพย์สนิ นนั้ ไว้ในอารักขาแห่งตน ดังนนั้ ผูร้ บั
ฝากจะเอาไปให้บุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่คนในบังคับบัญชาของผู้รับฝากเก็บรักษาโดยผู้ฝากมิได้อนุญาต
� ไม่ได้ ส่วนการใช้สอยทรัพย์นั้น เป็นอันห้ามขาด คือผู้ฝากเองหรือบุคคลภายนอกก็เอาไปใช้สอย
ไม่ได้เว้นแต่ผฝู้ ากอนุญาต หากฝา่ ฝืนและทรัพย์ทฝี่ ากสญ ู หายหรือบบุ สลาย ผูร้ บั ฝากตอ้ งรบั ผดิ หน้าที่ขอ้
นี้เช่นเดียวกับหน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูปตามมาตรา 643 ผู้รับจ�ำน�ำ ตาม ปพพ. มาตรา 760 ส่วนเรื่องฝาก
ทรัพย์ บัญญัติอยู่ในมาตรา 660 ว่า “ถ้าผู้ฝากมิได้อนุญาต และผู้รับฝากเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นออก
ใช้สอยเอง หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไซร้ ท่านว่าผู้รับฝากจะ
สธ
ต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินซึ่งฝากนั้น สูญหายหรือบุบสลายอย่างหนึ่งอย่างใดแม้ถึงจะเป็นเหตุสุดวิสัย เว้น
แต่จะพิสูจน์ได้ว่า ถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง” หน้าที่ตาม
มาตรา 660 จึงแบ่งได้ 2 กรณี คือ 1. หน้าทีเ่ ก็บรักษาทรัพย์กับ 2. หน้าที่งดเว้นใช้สอยทรัพย์
ม
4-36 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
2.1 หน้าทีเ่ก็บร ักษาทรัพย์ ผูร้ บั ฝ ากจะตอ้ งเก็บร กั ษาทรัพย์ท ฝี่ ากไว้ในอารักขา พจนานุกรม
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ค วามหมายคำ� ว่า “อารักขา” “ป้องกัน คุ้มครอง ดูแล” แห่งต น (มาตรา
657) จะให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไม่ได้ (มาตรา 660) แต่ค�ำว่า “บุคคลภายนอก” ย่อมไม่หมายถึงคน
ของผู้รับฝาก เช่น ลูกจ้างของผู้รับฝาก หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้รับฝาก จะถือว่าลูกจ้างหรือผู้อยู่ใต้
บังคับบัญชาของผู้รับฝากเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ เช่น กุ้ง รับฝากนาฬิกาของ เข่ง ดังนี้ กุ้ง ต้องเก็บ
ธ
รักษานาฬิกานนั้ ดว้ ยตนเอง แต่กงุ้ อาจสงั่ ให้ คังลกู จ้างของตนหรือเงิน บุตรของตนเก็บรกั ษาไว้กไ็ ด้ สมมติ
ว่า กุ้งให้ จิ้งซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเก็บรักษาไว้ที่บ้านจิ้ง ดังนี้ย่อมท�ำไม่ได้ เพราะถ้านาฬิกาเรือนนั้น
มส
ถูกฟ้าผ่าสูญหายระหว่างที่ จิ้งเก็บรักษาเป็นเหตุสุดวิสัย กุ้ง ก็ยังต ้องรับผิดต่อ เข่ง เว้นแต่ กุ้งจะพิสูจน์ได้
ว่าเกิดฟ้าผ่าทั้งที่บ้านกุ้งและที่บ้านจิ้งซึ่งอยู่ติดกัน ไม่ว่านาฬิกาของ เข่งจะเก็บรักษาไว้ที่บ้านกุ้ง หรือที่
บ้านจงิ้ ก็ต้องถูกฟ้าผ่าสูญหายเช่นเดียวกัน ดังนี้ กุ้งจึงจ ะพ้นความรับผ ิดไปได้
ที่ว่า “เหตุสุดวิสัย” (force majeure) นั้น หมายความว่า “เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดีจะ
ให้ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้แม้ทั้งบุคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้
จัดการระมัดระวังตามสมควรอนั พงึ คาดหมายได้จากบคุ คลนนั้ ในฐานะและภาวะเช่นนนั้ ” (ปพพ. มาตรา
8) กล่าวคือ ในกรณีฝากทรัพย์ ถ้าเหตุที่เกิดขึ้นมิใช่ความผิดของผู้รับฝากหรือที่ผู้รับฝากต้องรับผิดชอบ
และเป็นเหตุทไี่ ม่สามารถปอ้ งกันได้ ทัง้ ๆ ที่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว เช่น ฟ้าผ่า แผ่นดนิ ไหว
พายุพัด น�ำ ้ ท่วมท�ำให้ทรัพย์ที่รับฝากสูญหายหรือบุบสลาย หรือโจรปล้นทรัพย์ที่รับฝาก ฯลฯ ดังนี้ ผู้รับ
ธ
ฝากไม่ต้องรับผ ิด (ปพพ. มาตรา 219)
แต่ถา้ เหตุสดุ วิสยั ทเี่ กิดขนึ้ ทำ� ให้ทรัพย์สนิ ทฝี่ ากสญ
ู หายหรือบ บุ สลายไป เป็นกรณีทผี่ รู้ บั ฝาก
มส
อุทาหรณ์
ม
แล้วเอาไปให้ คังเก็บรักษา แต่ทรัพย์ที่ฝากไม่สูญหายหรือบุบสลายอย่างใด กุ้ง ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา
660 แต่ กุ้งยังต้องรับผ ิดต่อ เข่งฐานผิดสัญญาตามมาตรา 657, 222 ซึ่งเป็นอีกปัญหาหนึ่ง
ทั้งสองได้สูญหายในระหว่างอยู่ในความดูแลของจ�ำเลยทั้งสองจนเป็นเหตุให้จ�ำเลยทั้งสองไม่สามารถคืน
รถจกั รยานยนต์ซงึ่ รบั ฝากนนั้ ให้แก่ผฝู้ ากได้ จ�ำเลยทงั้ สองตอ้ งรบั ผดิ คนื ทรัพย์สนิ ซงึ่ รบั ฝากหรือชดใช้ราคา
โจทก์ซ ึ่งเป็นผู้ฝากทรัพย์จึงมีสิทธิฟ้องจำ� เลยทั้งสองให้ช ดใช้ร าคาทรัพย์ซ ึ่งรับฝากได้
2.2 หน้าที่งดเว้นใช้สอยทรัพย์ หน้าที่ข้อนี้ห้ามทั้งผู้รับฝากเอาทรัพย์ออกใช้สอยเองหรือ
เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยด้วย ค�ำว่า “ใช้สอย” หมายความว่า เอามาท�ำให้เกิดประโยชน์แก่คนที่
ธ
ใช้สอยนั้นเอง เช่น ขับรถที่รับฝากไปจ่ายตลาด หรือเอาม้าที่รับฝากมาขี่เล่น เป็นต้น ซึ่งเป็นการกระท�ำ
นอกเหนือเพื่อรักษาทรัพย์ แต่ทรัพย์บางอย่างต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อรักษาทรัพย์ เช่น รับฝากรถยนต์
มส
เป็นเวลานาน ต้องรักษาเครื่องยนต์โดยการเดินเครื่องยนต์บ้าง หรือรับฝากม้า ไม่ใช่ผ ูกให้ม้ายืนอยู่เฉยๆ
ต้องให้เดินให้ว งิ่ หรือร บั ฝากมา้ แ ข่งก ต็ อ้ งพาเดินต อนเช้าแ ละซอ้ มวงิ่ ในสนามเป็นการสงวนฝเี ท้าในการแข่ง
ไว้ตามหน้าที่ในการเก็บรักษาทรัพย์ที่ฝากหรือรับฝากเปียโนไว้ ก็ต้องดีดเปียโนในบางคราวเพื่อจะรักษา
เสียงให้ดีไว้เสมอ มิฉะนั้นฝุ่นละอองจะจับสายท�ำให้เสียงเพี้ยนหรืออาจเกิดสนิมที่สายก็ได้27 อย่างไรเป็น
การใช้สอยและอย่างไรเป็นเพียงการรักษาให้ทรัพย์อยู่ในสภาพเดิม เป็นข้อเท็จจริงซึ่งต้องพิจารณาตาม
สภาพของทรัพย์เป็นเรื่องๆ ไป
การผิดหน้าที่ของผู้รับฝากที่เอาทรัพย์ออกใช้สอยนี้ ถ้าทรัพย์ที่ฝากสูญหายหรือบุบสลาย
อย่างหนึง่ อ ย่างใดแม้ถ งึ จ ะเป็นเหตุสดุ วิสยั ผูร้ บั ฝ ากกต็ อ้ งรบั ผ ดิ เว้นแ ต่จ ะพสิ จู น์ไ ด้ว า่ ถ งึ อ ย่างไรๆ ทรัพย์สนิ
ทีฝ่ ากกค็ งจะต้อง สูญหายหรือบุบส ลายอยูน่ ั่นเอง เช่น กุ้ง รับฝากม้าแข่งจาก เข่งแล้ว กุ้งเอาไปให้ คังน�ำ
ธ
ไปแสดงละครเก็บเงิน ต่อมาม้าแข่ง เป็นโรคตาย กุ้งต้องรับผิดต่อ เข่ง เว้นแต่ กุ้งพิสูจน์ได้ว่าในต�ำบลที่
กุง้ และคงั อ ยูม่ โี รคระบาดของมา้ ไม่วา่ มา้ ทรี่ บั ฝากจะอยูท่ ี่ กุง้ ห รือที่ คังมา้ ทรี่ บั ฝากกจ็ ะตอ้ งตายเหมือนกนั
มส
ธ
ตามบทบัญญัตนิ ี้ ผูร้ บั ฝากจะตอ้ งรบั ผดิ ตอ่ ผฝู้ ากในเมือ่ ผฝู้ ากตอ้ งเสียหายอย่างใดเพราะความละเลยชกั ช้า
ของผู้รับฝาก ตาม ปพพ.มาตรา 251, 222 การบอกกล่าวให้ผ ู้ฝากทราบนั้น ต้องกระท�ำโดยพลัน28 ทันที
มส
ที่บุคคลภายนอกมาอ้างสิทธิ อาจกระท�ำด้วยวาจาหรือหนังสือก็ได้ ขอให้ผู้รับฝากทราบก็เพียงพอแล้ว
แม้ผู้ฝากทราบเหตุนั้นอยู่ก่อนแล้วก็เห็นว่าผู้รับฝากก็ยังต้องบอกกล่าว เพราะกฎหมายไม่ได้ยกเว้นให้
ไม่ต้องบอกกล่าวในกรณีที่ผู้ฝากทราบแล้ว ดังเช่นผู้เช่า ตาม ปพพ. มาตรา 557 อย่างไรก็ดี ถ้าผู้ฝาก
ทราบเหตุนั้นอยู่ก่อนแล้ว ผู้ฝากย่อมเข้าต่อสู้คดีหรือโต้แย้งการยึดทรัพย์ได้อยู่แล้ว ผู้ฝากจึงอาจจะไม่
เสียหาย จึงเรียกค่าเสียหายจากผู้รับฝากไม่ได้เท่านั้นเอง
4. หน้าที่ในการคืนทรัพย์สินที่ฝากพร้อมดอกผล หน้าทีข่ อ้ นขี้ องผรู้ บั ฝ ากกเ็ นือ่ งจากสญ ั ญาฝาก
ทรั พ ย์ นั้ น ผู้ รั บ ฝ ากเ ก็บ รั ก ษาท รั พ ย์ สิ น นั้ น ไว้ ใ ห้ แ ล้ ว ต กลงจะคืน ให้ การคืน ทรัพย์สินที่ฝากจึงเป็น
ความรับผิดโดยตรงของสัญญา ถ้าผู้รับฝากคืนทรัพย์สินนั้นให้ไม่ได้หรือคืนไม่ตรงเวลาหรือคืนผิดตัวไปก็
ต้องรับผ ิด ซึ่งจะแยกอธิบายเป็น 3 ข้อ ดังนี้
ธ
4.1 ระยะเวลาคืนท รัพย์
4.2 ทรัพย์ท จี่ ะต้องคืน
มส
มีก�ำหนด 2 เดือน กุ้ง จะคืนข้าวเปลือกแก่ เข่งก่อนถึงกำ� หนดระยะเวลา 2 เดือนที่ตกลงกันไ ม่ไ ด้ ถ้า กุ้ง
คืนก่อนก�ำหนดก็ถือว่า กุ้งผิดสัญญา เข่ง ย่อมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ตาม ปพพ. มาตรา 213, 222
เว้นแ ต่กุ้งมีเหตุจำ� เป็นอ นั มิอาจก้าวล่วงได้ เช่น บ้านเรือนและทดี่ ินของก้งุ ถกู ท างราชการเวนคืนไม่มีที่เก็บ
ขา้ วเปลือก เป็นต้น กุง้ จงึ มสี ทิ ธิคนื ขา้ วเปลือกแก่ เข่งกอ่ นถงึ กำ� หนดเวลา หรือในกรณีทกี่ งุ้ รบั ฝากเรือยนต์
ของเข่งไว้จนกว่าเข่งจ ะปลูกบ้านเสร็จ กุ้ง ก็จะคืนเรือยนต์แ ก่ เข่งก่อนก�ำหนดไม่ได้ เว้นแต่ กุ้งได้ร ับค�ำสั่ง
ธ
ให้ไปปฏิบัติราชการต่างประเทศ ซึ่งเป็นเหตุจ�ำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ กุ้ง ย่อมคืนเรือยนต์แก่
เข่งก่อนเข่งปลูกสร้างบ้านเสร็จได้
ได้ไม่ว า่ เวลาใดๆ อยูแ่ ล้ว ซึง่ หลักเกณฑ์ดงั กล่าวตรงกบั ผลแห่งหนีท้ วั่ ๆ ไปทบี่ ญ ั ญัตวิ า่ “ถ้าเวลาอันจะพึง
ช�ำระหนี้นั้นมิได้ก�ำหนดลงไว้ ฯลฯ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ช�ำระหนี้ได้โดยพลันและฝ่ายลูกหนี้ก็
ย่อมจะช�ำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน” (ปพพ. มาตรา 203 วรรคหนึง่ ) เช่น กุง้ ฝากกล้วยไม้แก่ เข่ง
โดยไม่กำ� หนดระยะเวลาฝากกันนานเท่าใด พอตกลงฝากกันเรียบร้อย เข่งผู้รับฝากก็อาจคืนกล้วยไม้ทรี่ ับ
ฝากแก่ กุ้งไ ด้ทันที กุ้ง จะปฏิเสธไม่รับคืนอ้างว่ายังไม่มที ี่เก็บหรือฝากกันยังไม่ทันข ้ามวันก ็เอามาคืนดังนี้
ไม่ไ ด้ ฝ่าย กุ้งท ฝี่ ากกล้วยไม้ไ ว้เมื่อไ ม่ก ำ� หนดเวลาเรียกคืน ก็เรียกกล้วยไม้ค ืนไ ด้ท ุกเมื่อเช่นเดียวกัน เหตุ
ม
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการฝากทรัพย์นั้นเป็นภาระแก่ผู้รับฝาก เมื่อไม่ก�ำหนดเวลากันไว้ ผู้รับฝากจึงย่อมคืน
ทรัพย์นั้นได้ทุกเมื่อ
4.2 ทรั พ ย์ ที่ จ ะต้ อ งคื น ทรัพย์สินที่ผู้รับฝากมีหน้าที่ ต้องคืนนั้นแบ่งได้เป็น 2 กรณีคือ
1. การคืนตัวทรัพย์กับ 2. การคืนด อกผล
1) การคนื ตัวทรัพย์ ทรัพย์สนิ ท ผี่ รู้ บั ฝากมหี น้าทตี่ อ้ งคนื ให้แก่ผฝู้ ากนนั้ ก็คอื ทรัพย์สนิ
ทีร่ บั ฝ ากอนั เป็นวตั ถุแห่งหนีต้ ามสญ ั ญาฝากทรัพย์นนั้ เอง (มาตรา 665, 657) จะคนื ทรัพย์อนั อนื่ แก่ผฝู้ าก
ก็ไม่ได้ ถ้าผู้รับฝากคืนทรัพย์อันอื่นซึ่งไม่ใช่ทรัพย์ที่รับฝาก ผู้ฝากย่อมปฏิเสธและเรียกค่าเสียหายได้ด้วย
สธ
นอกจากนี้การคืนทรัพย์สินที่รับฝากไม่ได้ เนื่องจากทรัพย์ที่ฝากสูญหายหรือถูกท�ำลาย หรือเสียหายจน
คืนไม่ได้ ผู้รับฝ ากกต็ ้องรับผิดใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้ฝากตาม ปพพ. มาตรา 222 เว้นแ ต่ผู้รับฝ ากพิสูจน์ไ ด้ว่า
การคนื ทรัพย์ทฝี่ ากกลายเป็นพน้ วสิ ยั เพราะพฤติการณ์ซงึ่ ผรู้ บั ฝากไม่ตอ้ งรบั ผดิ ชอบเกิดขนึ้ ผูร้ บั ฝากจงึ จะ
ม
4-40 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
หลุดพ้นจ ากการคืนทรัพย์นั้นตาม ปพพ. มาตรา 219 เช่น กุ้ง รับฝ ากรถยนต์ของ เข่งไว้ กุ้ง ได้เก็บรักษา
ทรัพย์ข อง เข่งต ามหน้าทีแ่ ต่รถยนต์ของ เข่งถูกฟ้าผ่าเสียหายใช้การไม่ได้ ดังนี้ กุ้งกไ็ ม่ต้องรับผิดต่อ เข่ง
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของ เข่ง กุ้ง เป็นแต่เพียงครอบครองแทนเมื่อรถยนต์
ที่รับฝากสูญหายเพราะไม่ใช่ความผิดของกุ้ง บาปเคราะห์แห่งทรัพย์สินจึงย่อมตกเป็นพับแก่เจ้าของ
ทรัพย์สินนั้น ตามหลักทั่วไปที่ว่า ความวินาศแห่งทรัพย์สินย่อมตกเป็นพับแก่ผู้เป็นเจ้าของ หรือที่ภาษา
ธ
ละตินว ่า Res Perit Domino
อย่างไรกต็ าม ถ้าผรู้ บั ฝากยอมรับทรัพย์สนิ อนื่ แทนทรัพย์ทฝี่ าก หนีน้ นั้ กเ็ ป็นอนั ระงับ
กับท ฝี่ าก
มส
สิ้นไป ตาม ปพพ. มาตรา 321 หรือฝากเงินตามมาตรา 672 ผู้รับฝากก็ไม่จ�ำต้องคืนเงินตราอันเดียวกัน
อุทาหรณ์
ฎ. 3067/2533 จ�ำเลยรับฝากเงินของโจทก์ จ�ำเลยผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออก
ใช้ก็ได้ ฉะนั้น แม้การรับฝากเงินจะไม่มีบ�ำเหน็จค่าฝากและจ�ำเลยจะได้ใช้ความระมัดระวัง สงวนรักษา
ทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของจ�ำเลยเองก็ตาม เมื่อปรากฏว่า เงินที่ฝากนั้น
สูญหายเพราะถูกค นร้ายลักไป แม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งไ ม่อาจป้องกันได้จ �ำเลยกต็ ้องรับผ ิดคืนจ �ำนวนเงิน
ทีร่ ับฝ าก
2) การคนื ดอกผล ค�ำวา่ “ดอกผลของทรัพย์นนั้ ” ได้แก่ (1) ดอกผลธรรมดา หมายความ
ธ
ว่า สิง่ ทเี่ กิดขนึ้ ตามธรรมชาติของทรัพย์ ซึง่ ได้มาจากตวั ทรัพย์โดยการมหี รือการใช้ทรัพย์นนั้ ตามปกตินยิ ม
และสามารถถือเอาได้เมื่อข าดจากทรัพย์นั้น (2) ดอกผลนิตินัย หมายความว่า ทรัพย์หรือประโยชน์อ ย่าง
มส
อืน่ ทไี่ ด้มาเป็นครัง้ คราวแก่เจ้าของทรัพย์จากผอู้ นื่ เพือ่ การทไี่ ด้ใช้ทรัพย์นนั้ และสามารถคำ� นวณและถอื เอา
ได้เป็นร ายวัน หรือต ามระยะเวลาทกี่ �ำหนดไว้ (ปพพ. มาตรา 148) ฉะนั้นในกรณีฝ ากทรัพย์ กรรมสิทธิใ์ น
ทรัพย์ทฝี่ ากยงั เป็นข องผฝู้ าก เหตุนมี้ าตรา 666 จึงบญ ั ญัตวิ า่ “เมื่อคืนทรัพย์ถ้ามีดอกผลเกิดแต่ทรัพย์สิน
ซึ่งฝ ากนั้นเท่าใด ผู้รับฝ ากจ�ำต้องส่งมอบพร้อมไปกับท รัพย์สินน ั้นด ้วย” เช่น กุ้ง รับฝ ากแม่แ พะจากเข่ง
ระหว่างที่รับฝากนั้น แม่แพะตกลูก 2 ตัว ดังนั้น เวลาคืนทรัพย์ที่รับฝาก นอกจาก กุ้งต้องคืนแม่แพะแก่
เข่งแล้ว กุ้ง ยังต้องคืนลูกแพะ 2 ตัวพร้อมไปกับแม่แพะด้วย หรือกุ้งรับฝากดูแลบ้านและที่ดินของ เข่ง
อุทาหรณ์
ม
ระหว่างที่รับฝาก คังได้ให้ค่าเช่าที่ดินให้แก่ กุ้ง ดังนี้เวลาคืนบ้านและที่ดินแก่ เข่ง กุ้ง ต้องคืนค่าเช่าที่ได้
รับม าจาก คังส ่งม อบให้ เข่งพ ร้อมกันไ ปด้วย
ธ
ที่ฝากจะโอนไปแล้ว ผู้รับฝากก็ยังต้องคืนให้แก่ผู้ฝาก เพราะในเรื่องการฝากทรัพย์นั้นผู้ฝากทรัพย์ย่อมมี
สิทธิเรียกคนื ท รัพย์ทตี่ นฝากจากผรู้ บั ฝากได้เสมอ ไม่มปี ระเด็นจะตอ้ งวนิ จิ ฉัยถงึ กรรมสิทธิใ์ นทรัพย์วา่ เป็น
มส
ของผฝู้ ากจริงหรือไม่ (ฎ. 800/2498)
ผูฝ้ ากอาจใช้ชอื่ จริง นามสกุลจริงในการฝากทรัพย์ หรืออาจใช้นามแฝงหรือนามสมมติ
ขึน้ มา หรือใช้เลขรหัสทกี่ ำ� หนดขนึ้ ในการฝากทรัพย์กไ็ ด้ เช่นใช้ชอื่ วา่ “หนุมาน” “ราม” “ลักษณ์” “สุคร พี ”
“191” “123” ฯลฯ เป็นผู้ฝาก เป็นต้น เมื่อต้องคืนทรัพย์ ผู้รับฝากก็ต้องคืนให้แก่ผู้ฝากซึ่งเป็นคู่สัญญา
โดยตรง
อุทาหรณ์
ฎ. 2423/2551 หลังจากโจทก์เบิกเงินจากบัญชีเงินฝากประจ�ำของ ท. บิดาโจทก์ไป
แล้ว แม้วา่ ตอ่ มาโจทก์นำ � เงินมาฝากตามบญ ั ชีพพิ าทในนามของโจทก์ เท่ากับโจทก์เป็นผู้ฝากเงินตามบัญชี
พิพาท ส่วนปญ ั หาทวี่ า่ เงินในบญั ชีพพิ าทเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ บรรดาทายาทตอ้ งไปวา่ กล่าวเป็นอกี คดี
ธ
หนึ่ งต่างห ากไม่เกี่ยวกับคดี นี้ นอกจากนี้ใ นระหว่างการพิจารณาของศาลชั้ นต้น มีคำ � สั่งตั้งโจทก์เป็น
ผูจ้ ดั การมรดกของ ท. ซึง่ ตามคำ � ให้การของจำ� เลย จ�ำเลยรบั วา่ จะคนื เงินให้แก่ทายาททศี่ าลมคี ำ � สงั่ ตงั้ เป็น
มส
มิได้เป็นค สู่ ญ
ั ญากบั ธ นาคารดว้ ย จึงไ ม่มสี ทิ ธิเรียกคนื เงินท รี่ บั ฝ ากไว้จ ากบญ ั ชีเงินฝ ากทเี่ ปิดไ ว้ในนามของ
จ�ำเลย ตาม ปพพ. มาตรา 665 และมาตรา 672 ผู้ร้องเพียงแต่ม ีสิทธิเรียกร้องให้จ�ำเลยปฏิบัติตามหน้าที่
ทีจ่ �ำเลยมตี ่อผรู้ ้องเท่านั้น หากจ�ำเลยไม่รับซื้อนำ�้ มันใช้แ ล้วจากลูกค้าตามที่ผู้ร้องอนุมัติเงินไ ป ผูร้ ้องก็ไม่มี
สิทธิท จี่ ะถอนเงินจากบญ ั ชีเงินฝากของจำ� เลยคนื ไ ด้เอง ผูร้ อ้ งจงึ ม ใิ ช่เจ้าของเงินฝากตามบญ ั ชีธนาคารของ
จ�ำเลยทถี่ ูกอายัดไ ว้ และไม่มีสิทธิขอให้ถอนอายัดเงินฝากดังกล่าว
ธ
2) บุคคลที่ผู้ฝากระบุนาม ผู้ฝากอาจแจ้งนามให้ผู้รับฝากทราบว่า ทรัพย์สินนั้นฝาก
ในนามของผู้ใด ผู้รับฝากก็ต้องคืนแก่ผู้นั้น เช่น กุ้ง เป็นตัวแทนน�ำรถยนต์ของ เข่งไปฝาก คังโดยแจ้งให้
มส
คังทราบว่า เข่ง เป็นผู้ฝาก ดังนี้ คัง มีหน้าที่ต้องคืนร ถยนต์แ ก่ เข่ง
3) บุคคลที่ผู้ฝากมีค�ำสั่ง ผู้ฝากอาจแจ้งให้ผู้รับฝากทราบว่าทรัพย์ที่ฝากนั้นให้คืนแก่
ผู้ใด หรือให้คืนแก่ผทู้ ี่ระบุชื่อในสัญญา ดังนี้ผู้รับฝากกต็ ้องคืนแ ก่ผู้นั้นไม่ต ้องคืนแ ก่ผู้ฝาก
ค�ำสั่งของผู้ฝากในข้อนี้ต้องให้โดยตรงแก่ผู้รับฝากจะให้ในขณะฝากหรือภ ายหลังก็ได้
แต่จะสั่งแก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้รับฝากไม่ได้ ทั้งจะต้องเป็นคำ � สั่งโดยชอบที่ผู้รับฝากปฏิบัติได้ด้วย เช่น กุ้ง
ฝากนาฬิกาแก่ เข่งแล้วบอกให้ เข่งคืนแก่ คัง เมื่อเข่งได้คืนนาฬิกาแก่ คังตามค�ำสั่งแล้ว ก็ถือว่าคืนตาม
สัญญา เข่ง ไม่ต้องคืนแก่ กุ้ง หรือแดงฝากเครื่องทองแก่ ด�ำ เพื่อให้แก่บุตรแดง บุตรแดงไปเอาคืนจาก
ด�ำโดย แดงรู้แล้วไม่คัดค้าน ดังนี้ถือว่า ด�ำคืนทรัพย์โ ดยชอบแล้ว แดงจะฟ้องเรียกเครื่องทองคืนจาก ด�ำ
อีกไม่ได้ (ฎ. 999/2493)
ธ
4) ทายาทของผู้ฝาก ในกรณีที่ผู้ฝากตายกฎหมายบัญญัติให้คืนแก่ทายาทของผู้ฝาก
ไม่ใช่ทายาทของเจ้าของทรัพย์ ทายาทของผู้ฝากอาจเป็นทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม (ปพพ.
มส
ตามค�ำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ ผู้รับฝากจะต้องรับผิดชอบในความผิดของคนงานที่ตนใช้
ในการช�ำระหนี้นั้นโดยขนาดเสมอกับว่าเป็นความผิดของตนเอง ตาม ปพพ.มาตรา 220 อย่างไรก็ตาม
ผูร้ บั ฝากอาจตกลงลว่ งหน้ากบั ผฝู้ ากเป็นขอ้ ความยกเว้นมใิ ห้ตนตอ้ งรบั ผดิ เพือ่ กลฉอ้ ฉลหรือความประมาท
เลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลที่ตนใช้ในการช�ำระหนี้ หรือของตัวแทนของตนได้ (ปพพ. มาตรา 220,
373)
ธ
อนึง่ การคนื ทรัพย์ให้แก่บคุ คลตามมาตรา 665 นัน้ ผูร้ บั ฝากตอ้ งคนื ตัวทรัพย์ทฝี่ ากในสภาพ
เดิมขณะรับฝาก พร้อมทั้งดอกผลแห่งทรัพย์นั้นด้วย
กิจกรรม 4.1.2 มส
กิจไปตา่ งจงั หวัดจ งึ เอาสนุ ขั ช อื่ แต้มฝ าก สุขมุ เพือ่ นบา้ น สุขมุ ให้แ ต้มส นุ ขั ท ฝี่ ากกนิ อ าหารสนุ ขั เช่น
เดียวกับสุนัขทตี่ นเลี้ยง แต้มเกิดป่วยเพราะอาหารไม่ย่อย กิจก ลับมาน�ำแต้มไปหาสัตวแพทย์ ดังนี้ กิจจะ
เรียกค่ารักษาแต้มจากสุขุมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวตอบกิจกรรม 4.1.2
สุขมุ ผ รู้ บั ฝ ากดว้ ยการทำ� ให้เปล่าไ ม่มบี ำ� เหน็จค า่ ฝ ากได้ใช้ค วามระมัดระวังส งวนรกั ษาทรัพย์สนิ ท ี่
ธ
ฝาก คือสุนัขชื่อแต้มให้กินอาหารเช่นเดียวกับที่ให้สุนัขของตนกิน เป็นการชอบด้วย ปพพ. มาตรา 659
วรรคหนึ่งแล้ว กิจจะเรียกค่ารักษาจากสุนัขไม่ไ ด้
มส
ม
สธ
ม
4-44 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 4.1.3
สิทธิและหน้าที่ของผู้ฝาก
ธ
สิทธิและหน้าทีข่ องผฝู้ ากทจี่ ะกล่าวตอ่ ไปนี้ เป็นการกล่าวในดา้ นตรงกนั ข า้ มกบั เรือ่ งที่ 4.1.2 สิทธิ
และหน้าที่ของผู้รับฝากที่ได้ศึกษามาแล้ว ทั้งนี้เว้นแต่คู่สัญญาจะได้ตกลงกันไว้ในสัญญาฝากทรัพย์เป็น
อย่างอื่น
มส
สิทธิของผู้ฝาก
ผู้ฝากมสี ิทธิอยู่ 3 ประการคือ
1. สิทธิฟ้องบังคับให้สงวนรักษาทรัพย์ ห้ามใช้สอย หรือห้ามคนอื่นเก็บรักษาทรัพย์
2. สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์
3. สิทธิเรียกคืนทรัพย์และดอกผล
1. สิ ท ธิ ฟ้องบั งคั บ ให้ส งวนรั กษาทรัพย์ ห้ามใช้สอยหรือห้ามคนอื่นเก็บรักษาทรัพย์ ในการ
ฝากทรัพย์ ผู้รับฝากมีหน้าทสี่ งวนรักษาทรัพย์สินซึ่งฝาก ตามมาตรา 659 และจะเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้น
ธ
ออกใช้สอยเอง หรือเอาไปให้บ ุคคลภายนอกใช้สอยหรือให้บ ุคคลภายนอกเก็บร ักษาไม่ไ ด้ต ามมาตรา 660
หากผู้รับฝากละเลยไม่ช �ำระหนี้ (fails to perform) ที่ต นมีภาระผูกพันอยูต่ ามมาตรา 659,660 ผู้ฝากซึ่ง
เป็นเจ้าหนีย้ อ่ มฟอ้ งให้ศาลสงั่ บงั คับให้ผรู้ บั ฝากงดเว้นใช้สอยทรัพย์ทฝี่ ากหรืองดเว้นให้คนอนื่ เก็บรกั ษาตาม
มส
ทรัพย์ก นั เป็นเวลานาน โดยมบี ำ� เหน็จคา่ ฝาก และมขี อ้ ตกลงดว้ ยวา่ ถา้ ระหว่างสญ ั ญา สองนำ � ทรัพย์ไปฝาก
ที่อื่น ต้องเสียเบี้ยปรับอย่างสูงแก่หนึ่งทั้งการกระท�ำของหนึ่งยังไม่ถึงขนาดที่ท�ำให้รถยนต์ที่ฝากเสียหาย
สธ
อันจะฟ้องเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ สองย่อมฟ้องต่อศาลให้สั่งบ ังคับหนึ่งให้ชำ� ระหนี ้ ตาม ปพพ. มาตรา 213
วรรคสอง
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-45
ธ
2.1 กรณีผ ู้รับฝ ากไม่ส งวนรักษาทรัพย์ท ี่ฝากตาม มาตรา 659 ผูร้ บั ฝากมหี น้าทสี่ งวนรกั ษา
ทรัพย์ท ฝี่ ากในระหว่างทตี่ นเก็บร ักษา ถ้าผ ู้รับฝ ากละเลยไม่สงวนรักษาทรัพย์สินจ นเป็นเหตุให้ท รัพย์ที่รับ
มส
ฝากสูญหายหรือถูกท�ำลาย หรือเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด อันถือได้ว่าผู้รับฝากไม่ช�ำระหนี้ให้ต้องตาม
ความประสงค์อนั แ ท้จริงแห่งมลู ห นี้ ผูฝ้ ากยอ่ มฟอ้ งเรียกคา่ สนิ ไหมทดแทนเพือ่ ความเสียหายอนั เกิดแต่การ
นั้นได้ (ปพพ. มาตรา 215) ค่าเสียห ายทฟี่ ้องเรียกนั้นได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่น
ทีต่ ามปกติยอ่ มเกิดขนึ้ แต่การไม่ชำ� ระหนีน้ นั้ นอกจากนผี้ ้ฝู ากจะเรียกคา่ สนิ ไหมทดแทนได้ แม้กระทัง่ เพือ่
ความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ หากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็น
พฤติการณ์เช่นน ั้นล ่วงหน้าก ่อนแล้ว (ปพพ. มาตรา 222)
อุทาหรณ์
กิจรบั ฝากรถยนต์รบั จ้างคนโดยสารของ เข่ง ซึง่ มรี าคา 2 แสนบาท แต่ กิจลมื ปดิ โรงรถและ
ทิง้ กญุ แจรถยนต์ไ ว้ด ว้ ย คนร้ายจงึ ลกั เอารถยนต์ข อง เข่งไ ป กิจม คี วามผดิ ทไี่ ม่ร ะมัดระวังส งวนรกั ษารถยนต์
ของ เข่ง รุ่งขึ้น เข่งไปทวงรถแต่ กิจไม่มีรถให้ ดังนี้ เข่งย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกราคารถ 2 แสนบาท พร้อม
ธ
ด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีจาก กิจ รวมทั้งค่าที่ เข่งต้องว่าจ้างรถอื่นไปส่งที่ท�ำงานทั้งขาไปขากลับ
ทุกวนั วันละ 200 บาท นับแต่วนั ไปทวงรถจนกว่า กิจจะชำ� ระให้เสร็จสนิ้ นอกจากนเี้ วลาเลิกงานแล้ว เข่ง
มส
ธ
กิจรบั ฝากโคของ เข่งผ้มู อี าชีพทำ � นาและรบั จ้างไถนา แต่กจิ เอาโคไปขเี่ ล่น บังเอิญโคตกลง
ไปในแม่น�้ำตาย นอกจาก กิจต้องรับผิดใช้ราคาโคแก่ เข่งแล้ว กิจยังต้องรับผิดที่ เข่งไม่สามารถเอาโคไป
มส
ไถนา ต้องเสียค่าเช่าโคของคนอื่นมาไถนา กับต้องรับผิดในการที่ เข่งขาดรายได้จากการเอาโคให้เช่า
วันละ 300 บาท ซึ่ง กิจคาดเห็นได้อยูแ่ ล้ว นับแต่โคตายจนกว่าจ ะช�ำระเสร็จอีกด้วย
อย่างไรก็ดี มีข้อยกเว้นที่ผู้รับฝากไม่ต้องรับผิด คือพิสูจน์ได้ว่า ถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สินที่
รับฝากกค็ งจะต้องสูญหายหรือบุสลายอยูน่ ั่นเอง
อุทาหรณ์
กิจเอามา้ แข่งทรี่ บั ฝากไปขเี่ ล่นท หี่ น้าบ า้ นของ กิจเอง แต่วนั เกิดเหตุฟา้ ผ่าท โี่ รงเก็บมา้ กบั ที่
หน้าบ้านกิจพร้อมๆ กัน ไม่ว่าม้าแข่งของ เข่งจะอยู่ที่โรงเก็บม้าหรืออยู่ที่หน้าบ้าน กิจ ม้าแข่งก็ต้องถูก
ฟ้าผ่าตายเหมือนกัน ดังนี้ กิจพ้นผิด เข่งไม่มีสิทธิเรียกชดใช้ค ่าสินไหมทดแทนจาก กิจ
2.3 กรณีผู้รับฝากไม่บอกกล่าวเมื่อถูกฟ้องหรือถูกยึดทรัพย์สินที่ฝากตามมาตรา 661 ถ้า
บุคคลภายนอกอ้างว่ามีสิทธิเหนือทรัพย์สินซึ่งฝาก และยื่นฟ้องผู้รับฝากก็ดี หรือยึดทรัพย์สินนั้นก็ดี ผู้รับ
ธ
ฝากต้องรีบบอกกล่าวแก่ผู้ฝากโดยพลัน ดังนี้หากผู้รับฝากไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้ฝากเลย หรือบอกกล่าว
ล่าช้าจนเกิดความเสียหายแก่ผู้ฝาก ย่อมถือได้ว่า ผู้ฝากไม่ช�ำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริง
มส
หน้าที่ของผู้ฝาก
ผู้ฝากมีหน้าที่ 3 ประการ คือ
1. หน้าทีเ่ สียค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์
2. หน้าทีเ่ สียค่าใช้จ่ายในการสงวนรักษาทรัพย์
3. หน้าทีช่ �ำระบ�ำเหน็จค่าฝาก
ธ
1. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์ สัญญาฝากทรัพย์มขี ึ้นก็เพื่อประโยชน์ของผู้ฝาก ดังน ั้น
มาตรา 667 จึ ง บั ญ ญั ติว่ า “ค่ าคืนท รัพย์สินซึ่งฝากนั้ น ย่อมตกแก่ผู้ฝากเป็นผู้เสีย” ถ้าผู้ฝากไม่เสีย
มส
ผู้รับฝากย่อมฟ้องร้องต่อศาลให้บังคับได้ (มาตรา 671) รวมทั้งเรียกดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ผู้ฝาก
ผิดนัดเป็นต้นไปตาม ปพพ. มาตรา 221 ได้ด้วย หรือผู้รับฝากจะใช้สิทธิยึดหน่วงเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้น
ไว้จนกว่าจะได้รับค่าคืนทรัพย์ตามมาตรา 670 ก็ได้ อย่างไรก็ดีถ้าคู่สัญญาตกลงให้ผู้รับฝากเป็นผู้เสียค่า
คืนทรัพย์กต็ ้องเป็นไปตามข้อตกลงนั้น
2. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการสงวนรักษาทรัพย์ ในบางกรณีผู้รับฝากจ�ำต้องบ�ำรุงรักษาทรัพย์ท ี่
ฝาก ดังนั้นมาตรา 668 จึงบัญญัติว่า “ค่าใช้จ่ายใดอันควรแก่การบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้น ผู้ฝาก
จ�ำต้องชดใช้ใ ห้แก่ผ ู้รับฝ าก” เช่น ค่าซ่อมแซมทรัพย์สิน ค่าอาหารส�ำหรับสัตว์ที่ฝากเลี้ยง ค่ารักษาความ
สะอาด ฯลฯ เหล่านี้ผู้รับฝากได้ออกไปก่อน ผู้ฝากจึงมีหน้าที่ต้องชดใช้แก่ผู้รับฝาก ถ้าผู้ฝากไม่ชดใช้
ผู้รับฝากย่อมฟ้องร้องต่อศาลให้บังคับพร้อมด้วยดอกเบี้ยในเงินที่ผิดนัดด้วย (มาตรา 671) นอกจากนี้
ธ
ผูร้ บั ฝ ากยงั อาจใช้ส ทิ ธิย ดึ หน่วงทรัพย์สนิ ซ งึ่ ฝากนนั้ ไว้จ นกว่าจ ะได้ร บั ช ดใช้ค า่ ใช้จ า่ ยในการบำ� รุงร กั ษาทรัพย์
ที่ฝากตามมาตรา 670 ได้ด้วย อย่างไรก็ดีคู่สัญญาอาจตกลงกันให้ผู้รับฝากเป็นผู้เสีย จึงมีข้อยกเว้นใน
มาตรา 668 ว่า “เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้โดยสัญญาฝากทรัพย์ว่าผู้รับฝากจะต้องออกเงินค่าใช้จ่าย
มส
(ในการบ�ำรุงรักษาทรัพย์สิน) นั้นเอง”
3. หน้าที่ช�ำระบ�ำเหน็จค่าฝาก ตามปกติแ ล้วก ารฝากทรัพย์ไ ม่มคี า่ ตอบแทนในการรบั ฝ ากทรัพย์
หรือที่เรียกว่า “บ�ำเหน็จค่าฝาก” (remuneration) แต่คู่สัญญาอาจตกลงชัดแจ้งให้มีบ�ำเหน็จค่าฝากหรือ
ตกลงโดยปริยายให้มบี ำ� เหน็จคา่ ฝากกนั กไ็ ด้ ดังทศี่ กึ ษามาในเรือ่ งที่ 4.1.1 สาระสำ� คัญของสญ ั ญาฝากทรัพย์
เมือ่ ม ขี อ้ ต กลงกนั ด งั ก ล่าว ผูฝ้ ากกจ็ ำ
� ตอ้ งชำ� ระบำ� เหน็จค า่ ฝ ากตามทกี่ ำ� หนดไว้ส ญ ั ญาหรือต ามจารีตป ระเพณี
ทีถ่ อื ปฏิบตั กิ นั ในการฝากทรัพย์ประเภทนนั้ ๆ ถ้าไม่ได้ก ำ� หนดเวลาไว้ในสญ ั ญาหรือไม่มกี ำ� หนดโดยประเพณี
ม
ผู้ฝากก็มีหน้าที่ชำ� ระเมื่อเวลาที่ผู้รับฝากคืนทรัพย์ตามมาตรา 669 ถ้าผู้ฝากไม่ช�ำระเงินบ�ำเหน็จค่าฝาก
ทรัพย์ ผู้รับฝ ากย่อมฟ้องร้องต่อศ าลให้บังคับไ ด้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในเงินน ั้นนับวันผิดนัด (ปพพ. มาตรา
671) นอกจากนี้ ผูร้ บั ฝากชอบทจี่ ะยดึ หน่วงเอาทรัพย์สนิ ซงึ่ ฝ ากนนั้ ไ ด้ จนกว่าจะได้ร บั เงินบำ� เหน็จคา่ ฝ าก
ตามมาตรา 670 อีกด ้วย
กิจกรรม 4.1.3
สธ
หนึ่งรับฝากม้าแข่งจากสอง ต่อมาฟ้าผ่าม้าแข่งของสองตายไป เนื่องจากหนึ่งไม่ระมัดระวังดูแล
ม้าแข่งให้ดอี ย่างหนึ่ง หรือห นึ่งเอาม้าแข่งไปฝากแก่สามดูแลรักษาอีกอย่างหนึ่ง ฟ้าผ่าม ้าแข่งต ายไป ดังนี้
หนึ่งจะต้องรับผิดชดใช้ราคาม้าแข่งแก่สองอย่างไรบ้างหรือไม่
ม
4-48 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แนวตอบกิจกรรม 4.1.3
กรณีท หี่ นึง่ ไ ม่ร ะมัดระวังด แู ลมา้ แ ข่งให้ด นี นั้ เป็นการผดิ ห น้าทีต่ าม ปพพ. มาตรา 659 แต่ม า้ แ ข่ง
ตายเพราะฟ้าผ่าอันเป็นเหตุสุดวิสัย การคืนม้ากลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังและ
หนึ่งไม่ต้องรับผิดชอบหนึ่งเป็นอันหลุดพ้นจ ากการคืนม้าแข่งหรือรับผ ิดชดใช้ราคาม้าแข่งแก่สอง
ธ
ส่วนในกรณีที่หนึ่งเอาม้าแข่งของสองไปฝากแก่สามดูแลรักษานั้น แม้ม้าแข่งจะตายเพราะฟ้าผ่า
อันเป็นเหตุสุดวิสัย หนึ่งก็ยังต้องรับผิดชดใช้ราคาม้าแข่งแก่สอง เพราะหนึ่งกระท�ำผิดหน้าทีข่ องผู้รับฝาก
มส
ตาม ปพพ. มาตรา 660
เรื่องที่ 4.1.4
ความระงับแ ห่งสัญญาฝากทรัพย์
ความระงับข องสญ ั ญายอ่ มเป็นไ ปตามหลักก ฎหมายทวั่ ไปและตามรปู ของสญ ั ญา ดังน นั้ จ งึ เห็นไ ด้ว า่ สัญญา
ฝากทรัพย์ระงับด ้วยเหตุ 4 ประการ ต่อไปนี้
1. ระงับตามข้อตกลงในสัญญา
2. ระงับเมื่อส่งทรัพย์คืน
3. ระงับเมือ่ ทรัพย์สญู หายหรือถกู ทำ� ลายไปหมด หรือบคุ คลภายนอกยดึ ทรัพย์ทรี่ บั ฝากไปโดยชอบ
4. ระงับเมื่อผู้รับฝ ากตาย
1. ระงับตามข้อตกลงในสัญญา
ม
สัญญาฝากทรัพย์ย่อมระงับไปเมื่อสิ้นสุดก�ำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ หรือตกลงว่าเมื่อเงื่อนไขที่
ก�ำหนดในสัญญาเสร็จสิ้น สัญญาเป็นอันระงับกต็ ้องเป็นไปตามนั้น
อุทาหรณ์
กิจฝากแหวนแก่ เข่งมกี ำ� หนด 7 วัน เมื่อครบ 7 วัน สัญญาฝากทรัพย์ย่อมระงับ
สธ
นายอาทิตย์ฝากสร้อยแก่นายจันทร์โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้านายอาทิตย์สอบไล่ได้นิติศาสตรบัณฑิต
ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเมื่อใด นายจันทร์ต้องคืนสร้อยแก่นายอาทิตย์ ดังนี้เมื่อนายอาทิตย์
สอบได้ นายจันทร์กต็ ้องคืนสร้อยแก่นายอาทิตย์ตามเงื่อนไขในสัญญา (ปพพ. มาตรา 183 วรรคสอง)
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-49
2. ระงับเมื่อส่งทรัพย์คืน
สัญญาฝากทรัพย์นั้นผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตน เมื่อมีการ
ส่งคนื ทรัพย์ทฝี่ ากแล้วสญ
ั ญายอ่ มระงับ ทัง้ นีไ้ ม่วา่ ผฝู้ ากเรียกคนื (มาตรา 663) หรือผรู้ บั ฝากสง่ คนื ในกรณี
สัญญาไม่ได้กำ� หนดเวลาคืนทรัพย์ (มาตรา 664) หรือสัญญาฝากทรัพย์กำ� หนดเวลาคืนทรัพย์แต่ผู้ฝาก
ธ
มีเหตุจำ� เป็นอันมอิ าจจะก้าวล่วงเสียได้ จึงคืนทรัพย์ก่อนถึงเวลากำ� หนด (มาตรา 662)
อุทาหรณ์
กิจ ฝากตำ� รากฎหมายพาณิชย์ 2 แก่ เข่งโดยไม่กำ� หนดเวลาคืน กิจย ่อมเรียกคืนต�ำราได้ท ุกเมื่อ
มส
ส่วน เข่งกข็ อส่งคืนต�ำราทรี่ ับฝากให้ได้ทุกเมื่อเช่นเดียวกัน เมื่อกิจเรียกคืน หรือ เข่งขอส่งคืน สัญญาฝาก
ทรัพย์ย่อมระงับ
อังคารฝากถังแก๊สไว้ที่พุธ มีกำ� หนด 15 วัน อังคารเรียกถังแก๊สคืนก่อนก�ำหนด 15 วันได้ ส่วน
พุธจะคืนก่อนก�ำหนด 15 วันทตี่ กลงกันไม่ได้ เว้นแ ต่พุธมีเหตุจ�ำเป็นมิอาจก้าวล่วง เช่น น�้ำท่วมบ้าน ก็ขอ
ส่งคืนก่อนก�ำหนด 15 วันได้ เมื่ออังคารเรียกคืนหรือพุธขอส่งคืน สัญญาฝากทรัพย์ย ่อมระงับ
3. ระงับเมื่อทรัพย์สูญหายหรือถูกท�ำลายไปหมด หรือถูกบุคคลภายนอกยึดทรัพย์ที่รับฝาก
ไปโดยชอบ
สัญญาฝากทรัพย์น นั้ มกี ารสง่ ม อบและรบั ม อบทรัพย์ท ฝี่ ากเพือ่ ให้ผ รู้ บั ฝ ากเก็บร กั ษา เมือ่ ท รัพย์สนิ
ธ
ทีฝ่ ากสญ
ู หายหรือถ กู ท ำ� ลายไปหมดเพราะเหตุสดุ วิสยั (มาตรา 660) หรือเพราะเหตุอ นื่ ใดอนั ม ใิ ช่ค วามผดิ
ของผู้รับฝาก เป็นการพ้นวิสัยทจี่ ะคืนทรัพย์สินทฝี่ าก (ปพพ. มาตรา 219) หรือเพราะบุคคลภายนอกอ้าง
มส
สัญญาฝากรถยนต์เป็นอันระงับ
4. ระงับเมื่อผู้รับฝากตาย
ม
เสาร์รับฝากรถยนต์จากอาทิตย์ จันทร์อ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ยึดเอารถยนต์ไปโดยชอบ ดังนี้
อุทาหรณ์
กิจ รับฝากสุกรจากเข่ง กิจตาย สัญญาฝากสุกรย่อมระงับ ไม่ตกทอดแก่ คังทายาทของ กิจ
ผลของการที่สัญญาฝากทรัพย์ระงับ คือผู้รับฝากต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากแก่ผู้ฝาก หากคืนไม่ได้
ก็ต้ อ งใช้ ราคาทรัพ ย์ นอกจากนี้ ทรัพย์ที่รับ ฝากเสีย หายอ ย่างใ ดๆ เพราะความผิดข องผู้รั บฝาก เช่น
เอาไปใช้สอยหรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษา ผู้รับฝากต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฝาก และถ้ามี
ธ
ดอกผลเกิดแต่ทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเท่าใดผู้รับฝากจ�ำต้องส่งมอบพร้อมไปกับทรัพย์สินนั้นด้วย อย่างไรก็ดี
ผู้รับฝากก็มีสิทธิยึดหน่วงเอาทรัพย์สินที่ฝากไว้ได้จนกว่าผู้ฝากจะชำ� ระเงินบรรดาที่ค้างแก่ผู้รับฝาก เช่น
มส
บ�ำเหน็จค า่ ฝ าก ค่าใช้จ า่ ยในการบำ� รุงร กั ษาทรัพย์ท ฝี่ าก เป็นต้น การทที่ ราบวา่ ส ญ
เหตุอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวย่อมเป็นป ระโยชน์ในการเริ่มน ับอายุความอีกด ้วย
กิจกรรม 4.1.4
ั ญาฝากทรัพย์ร ะงับด ว้ ย
แนวตอบกิจกรรม 4.1.4
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 แม่แมวตาย สัญญาฝากแม่แมวระงับ แต่การฝากแม่แมวรายนี้
เป็นการทำ� ให้เปล่า ไม่มบี ำ� เหน็จ นายนอ้ มผรู้ บั ฝ ากได้ใช้ความระมัดระวังส งวนแม่แมวเหมือนเช่นแมวตวั ผู้
ของตน การทแี่ ม่แมวตาย ท�ำให้การคนื แม่แมวเป็นพน้ วสิ ยั เพราะพฤติการณ์ซงึ่ เกิดขนึ้ และนายนอ้ มไม่ต อ้ ง
รับผิดชอบ นายน้อมเป็นอันหลุดพ้นไม่ต้องคืนแม่แมว คงต้องคืนลูกแมว 5 ตัว ที่เป็นดอกผลของทรัพย์ที่
ฝากให้แก่นายม่อน (ปพพ. มาตรา 659 วรรคหนึ่ง, 219, 666) ม
สธ
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-51
เรื่องที่ 4.1.5
อายุความ
ธ
อายุค วามนนั้ หมายถงึ กำ� หนดระยะเวลาทกี่ ฎหมายกำ� หนดไว้เพือ่ การใช้สทิ ธิฟอ้ งรอ้ งถา้ มไิ ด้ใช้ส ทิ ธิ
เรียกร้องบังคับเสียภายในระยะเวลาอันกฎหมายก�ำหนดไว้เป็นอันขาดอายุความ (ปพพ. มาตรา 193/9)
มส
อายุความที่กฎหมายกำ� หนดไว้นี้ มีระยะเวลาแน่นอนจะขยายออกหรือย่นเข้าไม่ได้ แต่ถ้าอายุความครบ
บริบูรณ์แล้วลูกหนี้อาจจะละประโยชน์แห่งอายุความนั้นได้ และถ้าลูกหนี้ชำ� ระหนี้อย่างใดๆ ไปตามสิทธิ
เรียกร้องอันขาดอายุความแล้วเป็นราคามากน้อยเท่าใด ย่อมจะเรียกคืนไม่ได้ ถึงแม้ว่าการชำ� ระหนี้นั้นจ ะ
ได้ท �ำไปเพราะไม่รู้กำ� หนดอายุความกเ็ รียกคืนไม่ได้ นอกจากนี้ เมื่อลูกหนี้ไม่ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้
ในกรณีทถี่ กู ฟ อ้ ง ศาลกจ็ ะอา้ งเอาอายุความมาเป็นมลู ยกฟ้องไม่ได้เช่นเดียวกัน อย่างไรกด็ เี มือ่ กำ� หนดอายุ
ความได้ล่วงพ้นไปแล้ว ฝ่ายลูกหนี้ชอบที่จะบอกปัดการช�ำระหนี้ได้
อายุค วามในเรื่องฝากทรัพย์ แยกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. อายุค วามเฉพาะ
2. อายุค วามเรียกคืนทรัพย์ทฝี่ าก
ธ
1. อายุความเฉพาะ
ในเรื่องฝากทรัพย์ กฎหมายกำ� หนดอายุความไว้เฉพาะเพียง 6 เดือนเท่านั้น ในมาตรา 671 ที่
มส
ในสญ
ค�ำวา่ “วันสนิ้ สญ
ั ญา” หมายความวา่ วันทสี่ ญ
ั ญา ระงับเมือ่ ส ง่ ทรัพย์คนื ระงับเมือ่ ทรัพย์สญ
ม
ั ญาฝากทรัพย์ระงับลงซงึ่ อาจจะระงับลงตามขอ้ ต กลง
ู หายหรือถกู ทำ� ลายไปหมด หรือระงับเมือ่ ผรู้ บั ฝ ากตาย
ดังที่กล่าวมาแล้วในเรื่องที่ 4.1.4 ความระงับแห่งสัญญาฝากทรัพย์ การนับอายุความ 6 เดือน จึงต้องเริ่ม
นับแต่วันที่สัญญาฝากทรัพย์ระงับลงด้วยเหตุต่างๆ ข้างต้น เช่น กิจรับฝากโคของ เข่ง ตกลงฝากกัน 6
เดือน แต่ เข่งเรียกโคคืนก่อนก�ำหนดและค้างชำ� ระค่าใช้จ่ายคืนโคที่ฝาก ดังนี้ กิจต้องฟ้องเรียกค่าใช้จ่าย
คืนโคภายใน 6 เดือน นับแต่วันทสี่ ่งมอบโคคืนแก่ เข่ง
อย่างไรก็ดี อันอายุความนั้นท่านให้เริ่มนับแต่ขณะที่จะอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตาม
สธ
ปพพ. มาตรา 193/12 ดังนั้น ถ้าสัญญาฝากทรัพย์ยังไม่เลิกกันหรือคู่สัญญาตกลงก�ำหนดเวลาชำ� ระหนี้ที่
ค้างกัน ดังนี้ อายุค วามย่อมเริ่มนับแต่วันที่สัญญาเลิกกันหรือว ันถัดจากวันที่ครบกำ� หนดเวลานั้น
ม
4-52 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
อุทาหรณ์
กิจรับฝากรถของ เข่ง กิจต้องเสียค่าบ�ำรุงรักษาเป็นเงิน 1,000 บาท เข่งเรียกรถคืนและขอผลัด
ช�ำระเงินค่าบำ� รุงรักษาไปอีก 1 ปี ดังนั้น กิจย ่อมฟ้องเรียกเงิน 1,000 บาทจาก เข่งได้ภายใน 6 เดือน นับ
แต่วันถัดจากวันที่ครบกำ� หนด 1 ปีนั้น
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 538/2495 ท�ำสัญญาฝากยางกันไว้จ�ำนวนหนึ่งภายหลังผู้ฝากขายยางที่ฝากให้แก่ผู้ซื้อไป
ส่วนหนึ่งโดยให้ผู้ซื้อไปรับยางจากผู้รับฝาก ดังนี้ย่อมถือว่าสัญญาฝากยางจ�ำนวนที่ยังคงเหลืออยู่ที่ผู้รับ
มส
ฝากยงั หาได้สนิ้ หรือเลิกกนั ไม่เพราะยงั ไม่มกี ารแสดงเจตนาเลิกสญ
เริ่มน ับอ ายุค วามตามมาตรา 671
ั ญากนั สัญญายงั คงผกู พันอยู่ จึงยงั ไม่
อุทาหรณ์
กิจรั บ ฝากรถจักรยานยนต์จาก เข่ง ตกลงบ�ำเหน็จค่าฝาก 100 บาท ถ้า เข่งไม่ช�ำระบ�ำเหน็จ
ค่าฝาก กิจต้องฟ้องเรียกภายใน 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา
ทองรับฝากโคของเงินเป็นเวลา 7 วัน บ�ำเหน็จค ่าฝากวันละ 200 บาท พอฝากกันได้ 2 วัน เงิน
มาทวงโคคนื และไม่ยอมชำ� ระบำ� เหน็จคา่ ฝาก 400 บาท ดังนี้ถา้ ทองจะฟอ้ งเรียกบำ� เหน็จคา่ ฝากตอ้ งฟอ้ ง
ภายใน 6 เดือนนับแต่วันทเี่ งินมาทวงโคคืน
ม
1.2 สิทธิเรียกร้องเงินค่าใช้จ่าย ในก รณีที่ผู้รับฝากมีสิทธิเรียกค่าคืนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นตาม
มาตรา 667 ก็ดี เรียกให้ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นตามมาตรา 668 ก็ดี ถ้า
ผู้ฝากไม่ช�ำระ ผู้รับฝากย่อมใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลให้บังคับผู้ฝากให้ช�ำระได้ แต่ต้องฟ้องเสียภายใน 6
เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญาหรือวันที่สัญญาฝากทรัพย์ระงับ ถ้าไม่ฟ้องในก�ำหนดและผู้ฝากยกอายุความขึ้น
ต่อสู้ ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
อุทาหรณ์
กิจรบั ฝากมา้ ของ เข่งตอ่ มา กิจไม่พอใจ เข่งจงึ เอามา้ ไปคนื แก่ เข่งในการนี้ กิจตอ้ งจา้ งรถบรรทุก
สธ
ม้าไปส่งมอบแก่ เข่ง เสียค่ารถไป 1,000 บาท ถ้า เข่งไม่ยอมช�ำระ กิจต้องฟ้องเรียกภายใน 6 เดือนนับ
แต่วันที่ส่งม้าคืนมฉิ ะนั้นคดีขาดอายุความ
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-53
ธ
หรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาตามมาตรา 660 ก็ดี หรือไม่บอกกล่าวเมื่อถูกฟ้องหรือถูกยึดทรัพย์สินที่
ฝากตามมาตรา 661 ก็ดี หรือรักษาทรัพย์ไม่ดีทำ� ให้สูญหาย ต้องเสียเบี้ยปรับตามสัญญาก็ดี ในกรณีใด
สัญญา
มส
กรณีหนึง่ ดงั กล่าวหากเกิดความเสียหายแก่ผฝู้ าก ผูฝ้ ากยอ่ มฟอ้ งเรียกคา่ เสียหายจากผรู้ บั ฝากได้ แต่กต็ อ้ ง
ฟ้องเสียภายใน 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญาหรือวันที่ใช้สิทธิเลิกสัญญา มิฉะนั้นคดีขาดอายุความ
อุทาหรณ์
กิจรับฝากสุนัขพันธุ์ปักกิ่งของ เข่ง แต่ กิจไม่ระมัดระวังดูแลสงวนรักษาสุนัขของ เข่งเป็นเหตุให้
สุนัขขาหัก เข่งเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายจาก กิจได้ แต่ต้องฟ้องภายใน 6 เดือนนับแ ต่วันใช้สิทธิเลิก
น้อมรับฝากเรือยนต์จากน�้ำต่อมาโจนอ้างว่าเป็นเจ้าของเรือยนต์และเอาเรือยนต์ไป โดยน้อมลืม
บอกกล่าวแก่นำ �้ จนกระทั่งโจนเอาเรือยนต์ไปขายแล้ว น�้ำจึงทราบเรื่อง ดังนี้น�้ำฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก
น้อมได้ภายใน 6 เดือนนับแต่วันทราบเรื่อง
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 607/2521 กรมปา่ ไม้โจทก์ทำ � สญ ั ญามอบไม้ข องกลางให้จ ำ� เลยขนจากสถานีต ำ� รวจไปรกั ษาไว้
มส
ฎ. 9190/2547 จ�ำเลยรับจ้างโจทก์ขนถ่ายรถยนต์ที่โจทก์สั่งซื้อมาจากต่างประเทศขึ้นจากเรือและ
รับฝ ากไว้ท ลี่ านพกั ส นิ ค้าก ลางแจ้งข องจำ� เลย การทจี่ ำ� เลยขนถา่ ยรถยนต์ท งั้ หมดขนึ้ จ ากเรือเสร็จแ ล้ว โจทก์
มิได้รบั รถยนต์ไปทนั ที แต่ได้ให้จำ� เลยเก็บรกั ษาไว้ทลี่ านพกั ส นิ ค้าของจำ� เลย โดยมกี ารคดิ คา่ เก็บรกั ษา จึง
มีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์โดยมีบ�ำเหน็จรวมอยู่ด้วย ซึ่งหากรถยนต์ได้รับความเสียหาย จ�ำเลยผู้รับ
ฝากทรัพย์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ผู้ฝาก การฟ้องเรียกค่าซ่อมแซมรถยนต์เป็นการฟ้องเรียก
ธ
ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์อันมีอายุความ 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญาตาม ปพพ. มาตรา
671 โจทก์ฟ ้องคดีเมื่อพ ้น 6 เดือนนับจากวันท ี่โจทก์รับรถยนต์คืนไ ปจากจ�ำเลยอันเป็นเวลาสิ้นส ัญญาฝาก
มส
ทรัพย์ สิทธิเรียกร้องของโจทก์สำ� หรับจ�ำเลยจึงขาดอายุความ
2. อายุความเรียกคืนทรัพย์ที่ฝาก
ตามปกติแล้วผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคล
ผไู้ ม่มสี ิทธิจะยึดถือไว้ ตามกฎหมายลักษณะกรรมสิทธิ์ใน ปพพ.มาตรา 1336 สิทธิติดตามเอาคืนน ี้กระท�ำ
ได้โดยไม่ต้องฟ้องศาล แต่ถ้าหากมีบุคคลอื่นโต้แย้งว่าเขามีสิทธิยึดไว้โดยชอบก็ต้องฟ้องศาลให้สั่งบังคับ
และถา้ คนื ตัวทรัพย์ไม่ได้ ย่อมฟอ้ งขอให้ชดใช้ราคาทรัพย์นนั้ ได้ การตดิ ตามเอาทรัพย์สนิ คนื นไี้ ม่มกี ำ� หนด
อายุความ จะช้าน านเพียงใด สิทธิติดตามเอาคนื ของเจ้าทรัพย์สินก็ยงั มีอยู่ เว้นเสียแต่ผไู้ ด้ทรัพย์สินนนั้ จะ
ได้ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ตาม ปพพ. มาตรา 1382, 138329
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 3939/2541 โจทก์ฟ อ้ งขอให้จำ� เลยคนื ขา้ วเปลือกทฝี่ ากไว้ ถ้าค นื ไม่ได้ให้ชดใช้ร าคาขา้ วเปลือก
มส
เป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกคืนทรัพย์ที่ฝากไว้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่ใช่เรียกร้องให้จ�ำเลยช�ำระค่า
สินไหมทดแทน ดังนั้น เมื่อจำ� เลยยังไม่คืนทรัพย์ที่รับฝาก โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเรียกคืนได้ตลอดเวลา
ที่ทรัพย์ดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ ส่วนการให้ชดใช้ราคานั้นเป็นขั้นตอนที่โจทก์จะบังคับคดี
เอาแก่จำ� เลย เมื่อจำ� เลยคืนทรัพย์ที่ฝากไม่ได้เท่านั้น
ฎ. 5939/2545 จ�ำเลยเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ไว้กับธนาคารโจทก์นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์
และจ�ำเลยจึงเป็นเรื่องสัญญาฝากทรัพย์ การที่พนักงานของโจทก์บันทึกรายการรับฝากเงินเข้าบัญชีของ
ม
จ�ำเลยซ�้ำกัน 2 ครั้ง ท�ำให้ย อดเงินในบัญชีของจำ� เลยมจี �ำนวนเกินไ ปจากความเป็นจ ริง 35,505 บาท และ
จ�ำเลยเบิกถ อนเงินจำ� นวนดังกล่าวไปโดยอาศัยความผิดพ ลาดในการปฏิบัตหิ น้าที่ข องพนักงานโจทก์ เงิน
จ�ำนวนดงั ก ล่าวเป็นท รัพย์สนิ ข องโจทก์ เมือ่ จ ำ� เลยได้เงินน นั้ ไ ปโดยไม่ช อบ โจทก์ย อ่ มมสี ทิ ธิต ดิ ตามเอาเงิน
จ�ำนวนนั้นค ืนจากจำ� เลยผซู้ ึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตาม ปพพ. มาตรา 1336 ซึ่งไ ม่มกี �ำหนดอายุค วาม
สธ
29 ฎ. 424/2499, ฎ. 466/2508 วินจิ ฉัยวา่ เจ้าของทรัพย์สน
ิ ฟ อ้ งเรียกเอาทรัพย์ท ผี่ ทู้ ำ�ละเมิดย ดึ ถือค รอบครองไว้โดยพลการ
เจ้าของมสี ทิ ธิตดิ ตามเอาคนื ได้ตามมาตรา 1336 ผู้ทำ�ละเมิดจะได้กรรมสิทธิ์กต็ อ้ งครอบครองตามมาตรา 1382, 1383 จะใช้อ ายุความ
ตามมาตรา 448 มิได้
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-55
ธ
438 วรรคสอง 1336 แต่กลับบรรยายฟ้องว่าจำ� เลยได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนที่
ราชการกำ� หนดโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รบั ความเสียหาย จ�ำนวน 310,670.20 บาท
มส
และจ�ำเลยต้องรับผิดคืนเงินจ�ำนวนดังกล่าวให้โจทก์ จึงไม่ใช่การฟ้องคดีเพื่อติดตามเอาทรัพย์สินของ
โจทก์คืนซึ่งไม่มีก�ำหนดเวลา เว้นแต่จะถูกจำ� กัดด้วยอายุความได้สิทธิ แต่เป็นการฟ้องให้จ�ำเลยรับผิดใน
การละเมิดตามมาตรา 420 ซึ่งอยู่ในบังคับอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 วรรคแรก
หมายเหตุ กรณีที่จะเรียกตัวทรัพย์คืน ตาม ปพพ. มาตรา 1336 ในกรณีนี้ ต้องยังมตี ัวทรัพย์อยู่
เช่น ฝากโคไว้กับแดง แดงไม่ยอมคืนโคที่ฝาก ต่อมาแดงตาย ผู้ฝากสามารถฟ้องเรียกโคคืนจากทายาท
แดงได้ ในกรณีน ี้เป็นการเรียกร้องตามหลักเจ้าของกรรมสิทธิ์
ในกรณีท ี่ไม่ใช่การเรียกร้องตาม มาตรา 671 คือ ความรับผิดเพื่อใช้เงินบ�ำเหน็จค่าฝาก ซึ่งใช้เงิน
ค่าใช้จ ่ายหรือใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ให้ใช้อายุความ 10 ปี
อุทาหรณ์
ฎ. 190/2538 โจทก์ทำ � สัญญาเช่าฉางกับจ�ำเลยเพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวเปลือกของโจทก์และ
ธ
มีข้อสัญญาว่า จ�ำเลยจะเก็บรักษาข้าวเปลือกไว้มิให้สูญหาย หากสูญหายจ�ำเลยจะรับผิดชอบชดใช้ราคา
ข้าวเปลือกให้ มีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วย เมือ่ ทรัพย์ทรี่ บั ฝากสญ ู หายไปจำ� เลยตอ้ ง
มส
รวมอยู่ด้วย การฟอ้ งให้จ ำ� เลยชำ� ระราคาขา้ วเปลือกทขี่ าดจำ� นวนไปพร้อมดอกเบีย้ เช่นน ี้ มิใช่ก ารฟอ้ งเรียก
ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ ตาม ปพพ. มาตรา 671 และไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงเรื่องอายุ
ความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปคือ 10 ปี ตาม ปพพ. 193/30 (มาตรา 164 เดิม) ฟ้องโจทก์
ยังไ ม่ขาดอายุความ
ฎ. 4712/2546 โจทก์ฟอ้ งให้จำ� เลยที่ 5 รับผดิ ในฐานะทเี่ ป็นผรู้ บั ฝากตสู้ นิ ค้าไว้แล้วสนิ ค้าได้สญ
ู หาย
ธ
ไปในระหว่างทจี่ ำ� เลยที่ 5 รับฝ าก เป็นการฟอ้ งเรียกให้ใช้ร าคาทรัพย์ไ ม่ใช่เรียกคา่ ส นิ ไหมทดแทนเกีย่ วแก่
การฝากทรัพย์ ตาม ปพพ. มาตรา 671 และกรณีน ไี้ ม่มกี ฎหมายบัญญัติอายุค วามไว้โ ดยเฉพาะ จึงต ้องใช้
มส
อายุค วาม 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30 คดีน ผี้ ู้ข นส่งส ่งม อบและผู้รับต ราส่งร ับม อบสินค้าเมื่อว ันท ี่ 15
ธันวาคม พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ผู้รับตราส่งรู้ว่าสินค้าหายไป จากวันดังกล่าวนับถึงวันฟ้องคือ
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ยังไม่ครบ 10 ปี ฟ้องโจทก์เกีย่ วกบั จำ� เลยที่ 5 จึงไม่ขาดอายุความ จ�ำเลยที่
5 และ 6 ต้องรับผ ิดต ่อโจทก์
อนึ่ง กรณีที่ผู้รับฝ ากได้ก ระท�ำให้ท รัพย์ทฝี่ ากเสียหายต้องรับผ ิดในฐานละเมิดด้วย
อุทาหรณ์
ฎ. 10155/2539 แม้เป็นเรื่องฝากทรัพย์แต่จำ� เลยได้กระท�ำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้สินค้า
เครื่องจักรเสียหายถือเป็นการกระท�ำละเมิดต่อโจทก์ด้วย จึงมีอายุความ 1 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 448
วรรคหนึ่ง
ธ
เรื่องฝากทรัพย์ เป็นเรื่องทคี่ ู่กรณีตกลงท�ำสัญญากัน ผู้รับฝากมีสิทธิยึดถือทรัพย์ตามสัญญาฝาก
ทรัพย์ แต่เมือ่ สญ ั ญาฝากระงับห รือเลิกกนั ผูฝ้ ากยอ่ มมสี ทิ ธิเรียกคนื ทรัพย์ท ฝี่ ากไว้พร้อมดอกผล ถ้าค นื ตัว
ทรัพย์ไม่ได้ก็ให้ชดใช้ราคาทรัพย์นั้นได้ การเรียกคืนตัวทรัพย์ที่ฝาก ไม่ใช่การเรียกค่าสินไหมทดแทน
มส
เกีย่ วกบั การฝากทรัพย์ ซึง่ มอี ายุความ 6 เดือน ตามมาตรา 671 ดังทอี่ ธิบายมาแล้วและกรณีนไี้ ม่มกี ฎหมาย
บัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น การเรียกคืนทรัพย์ที่ฝากหรือให้ชดใช้ราคาทรัพย์จึงมีก�ำหนดอายุความ
สิบปี ตาม ปพพ. มาตรา 190/30 เช่น ผู้รับฝากไม่สงวนรักษาทรัพย์ทฝี่ ากท�ำให้ทรัพย์ที่ฝากหายไป เป็น
เหตุให้สัญญาฝากทรัพย์ระงับ อายุความเรียกให้ชดใช้ราคาทรัพย์ย่อมมกี ำ� หนดสิบปี ดังนีเ้ ป็นต้น
อุทาหรณ์
ธ
ความ 10 ปี จึงเริ่มน ับแ ยกเป็น 2 ประการตามประเภทของการฝากทรัพย์ คือ ฝากทรัพย์โ ดยไม่มกี �ำหนด
ระยะเวลากับฝ ากทรัพย์โดยมีกำ� หนดระยะเวลา
มส
2.1 ฝากทรัพย์โดยไม่มีก�ำหนดระยะเวลา ผู้ฝากมีสิทธิเรียกคืนได้ทุกเมื่อ จึงเริ่มนับอายุความ
10 ปี ตั้งแต่เวลาทรี่ ับฝากทรัพย์เป็นต้นไป
อุทาหรณ์
ฎ. 350/2475 โจทก์ฟอ้ งเรียกเงิน 3,200 บาท ซึง่ ได้ฝากไว้กบั จำ� เลยผเู้ ป็นพอ่ ตาโจทก์มาเป็นเวลา
เกิน 10 ปี นับแต่วันฝากจนถึงวันฟ้อง โดยภายหลังที่ฝากกัน 10 ปีแล้ว โจทก์ไปทวงถามเงินนั้น จ�ำเลย
ปฏิเสธว่ามิได้รับฝาก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า อายุความเริ่มนับแ ต่วันท วงถามและจ�ำเลยปฏิเสธ คดีโจทก์ไม่
ขาดอายุความแต่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาวินิจฉัยว ่า การฝากเงินร ายนี้ไม่มกี �ำหนดเวลาเรียกคืน โจทก์จะ
เรียกคืนเมื่อใดๆ ก็ได้ และตาม ปพพ. มาตรา 193/12 ท่านให้เริ่มน ับอ ายุค วามแต่ข ณะที่จ ะอาจบังคับส ิทธิ
เรียกรอ้ งได้เป็นต้นไป การนบั อายุความในเรือ่ งนี้จงึ ตอ้ งนบั แต่วันฝาก ไม่ใช่วนั ทวงถาม คดีโจทก์ขาดอายุ
ธ
ความเสียแล้ว
อายุค วามนนั้ ท่านให้น บั เริม่ ตงั้ แต่ขณะผทู้ รงสทิ ธิอ าจบงั คับส ทิ ธิเรียกรอ้ งได้เป็นต้นไ ป ตาม ปพพ.
มส
มาตรา 193/12 ฝากเงินกนั โดยไม่กำ� หนดเวลาเรียกคนื ผูฝ้ ากจะเรียกคนื เมือ่ ใดกไ็ ด้ เพราะฉะนัน้ อายุความ
จึงต้องตั้งต้นนับแต่วันฝากเป็นต้นไป หาใช่ตั้งแต่วันทวงถาม และผู้รับฝากปฏิเสธไม่
ตามค�ำพิพากษาศาลฎีกานี้ มีปัญหาน่าคิดว่า ถ้าเราฝากเงินกระแสรายวันกับธนาคารเกิน 10 ปี
เรามิหมดสิทธิที่จะเรียกร้องเงินนั้นคืนหรือ เห็นว่าการฝากเงินกระแสรายวันกับธนาคารนั้นตามวิธีการที่
ธนาคารปฏิบัติกันแล้ว ธนาคารส่งใบแสดงรายการยอดจ�ำนวนเงินที่เหลืออยู่กับธนาคารมาให้ผู้ฝากทุกๆ
6 เดือน เพราะฉะนั้น อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ตาม ป.พพ. มาตรา 193/1432
2.2 ฝากทรัพย์โดยมีก�ำหนดระยะเวลา ผู้ฝากมีสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันถัดจากวันครบก�ำหนด
ระยะเวลานั้นแล้ว
อุทาหรณ์
กิจฝากเสื้อนอกไว้ที่ เข่ง มีกำ� หนดส่งคืนในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556 อายุความฟ้องเรียกเสื้อ
นอกหรือใช้ราคาเสื้อนอก มีกำ� หนด 10 ปี นับแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป
ม
สธ
31 แต่มีนักกฎหมายบางท่านเห็นว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายโดยตรง การทศี่ าลแปลว่าโจทก์ฟ ้องเรียกเอาตัวรถจึงน่าจะขัด
กับฟ อ้ ง ทัง้ ค ดีน โี้ จทก์ฟ อ้ งเรียกคา่ เสียห ายเกิดจ ากสญ
ั ญาฝากทรัพย์ม ใิ ช่เรือ่ งจำ�เลยเอาทรัพย์โจทก์ไ ปหรือค รอบครองทรัพย์โจทก์อ ยู่
ดูห มายเหตุท้าย ฎ. 2004/2517
32 หลวงประเสริฐม นูก ิจ เรื่องเดียวกัน น. 43.
ม
4-58 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
กิจกรรม 4.1.5
เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556 เอฝากรถยนต์คันหนึ่งราคา 3 แสนบาทไว้แก่บี ต่อมาวันที่ 5
มีนาคม พ.ศ. 2556 บีเอารถยนต์ของเอไปขับชนกับต้นไม้ท�ำให้รถยนต์เสียหายเป็น 5,000 บาท วันที่ 2
ธันวาคม พ.ศ. 2556 เอไปทวงรถคืน บีปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝากไว้ วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557 เอจึงฟ้อง
ธ
คดีศาลบังคับให้บคี ืนรถหรือใช้ราคา 3 แสนบาทกับค่าเสียหายอีก 5,000 บาท บีต ่อสู้ว่าคดีขาดอายุความ
แล้ว ถ้าท่านเป็นศาลจะตัดสินอย่างไร
มส
แนวตอบกิจกรรม 4.1.5
การฝากรถยนต์รายนไี้ ม่มกี ำ� หนดเวลา อายุความเรียกคนื รถหรือใช้ราคา 3 แสนบาท มีอายุความ
10 ปีนับแต่วันฝากรถ (ปพพ. มาตรา 193/12, 193/30) คือวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556 เอ ฟ้องคดีวันที่
7 มกราคม พ.ศ. 2557 ยังไม่เกิน 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ ส่วนค่าเสียหาย 5,000 บาท เป็นการเรียก
ร้องค่าส ินไหมทดแทนเกี่ยวแก่ก ารฝากทรัพย์เนื่องจากบีเอารถยนต์ไ ปใช้สอย มีอายุค วาม 6 เดือน นับแ ต่
วันสนิ้ สญ
ั ญาคอื วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ซึง่ เป็นวนั ทวงรถคนื นับถงึ วนั ฟ อ้ งคอื วนั ท ี่ 7 มกราคม พ.ศ.
2557 ยังไม่เกิน 6 เดือน ดังนั้นคดีจึงไม่ขาดอายุความ ตาม ปพพ. มาตรา 671 ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล
จะตัดสินใจให้บคี ืนรถยนต์หรือใช้ราคารถยนต์ 3 แสนบาท กับค่าเสียหายอีก 5,000 บาท แก่เอ
ธ
มส
ม
สธ
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-59
ตอนที่ 4.2
สัญญาฝากทรัพย์เฉพาะในการฝากเงิน
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 4.2 แล้วจ ึงศ ึกษารายละเอียดต่อไ ป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
4.2.1 การฝากเงิน
4.2.2 สิทธิและหน้าทีข่ องผู้รับฝากเงินและผฝู้ ากเงิน
จ�ำต้องคืนเงินเพียงเท่าจำ� นวนทฝี่ าก
3. ผู้ฝากเงินมีหน้าที่ 3 ประการ คือ หน้าที่รับคืนเงินตราอันอื่นที่ไม่ใช่อันเดียวกับที่ฝาก
หน้าที่ไม่ขัดขวางในการที่ผู้รับฝากเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้สอยและหน้าที่ไม่ถอนเงิน
คืนก่อนถึงเวลาที่ตกลงกันไว้ เฉพาะในกรณีที่ผู้รับฝากจ�ำต้องคืนเงินเพียงเท่าจ�ำนวนที่
ฝาก ส่วนสิทธิของผฝู้ ากเงินคือ สิทธิเรียกคืนเงินที่ฝากจนครบจ�ำนวน
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 4.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการฝากเงินได้
2. บอกสิทธิและหน้าทีข่ องผู้รับฝากเงินและผู้ฝากเงินได้
3. เปรียบเทียบวิธีการฝากเงินกับการยืมเงินได้
ม
4. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับวิธีเฉพาะในการฝากเงินได้
สธ
ม
4-60 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 4.2.1
การฝากเงิน
ธ
ค�ำว่า “เงิน” ก็คือ “เงินตรา” ตามพระราชบัญญัตเิงินตรา พ.ศ. 2501 ซึ่งมาตรา 6 แห่งพระราช
บัญญั ติ เ งิ น ตรา พ.ศ. 2501 บัญญัติ ว่า เงินต รา ได้แก่ เหรียญกษาปณ์และธนบั ตร นอกจากนี้ ธนาคาร
มส
แห่ง ป ระเทศไทยยัง มีอำ� นาจออกบัต รธ นาคารที่ชำ� ระหนี้ได้ตามกฎหมายตามพระราชบั ญญั ติธ นาคาร
แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 และพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 ดังนั้น เงินตรา
ก็คือเหรียญกษาปณ์และธนบัตร หรือบัตรธนาคารที่ชำ� ระหนี้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งตรงกับความหมายอย่าง
แคบของค�ำว่า currency33
เหตุนกี้ ารฝากเงินกค็ ือ การฝากเงินตรานี่เอง34 ไม่ใช่ฝากแร่สีขาวเนื้ออ่อนที่แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
เงินบริสุทธิ์ (silver) กับแร่เงินที่ใช้เป็นเครื่องประดับกาย หรือเป็นภาชนะกับใช้ในทางวิทยาศาสตร์และ
อุตสาหกรรมถ่ายทอดภาพหรืออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น35 เพราะ “เงิน” ในความหมายอย่าง
หลังนี้เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ดังนั้นถ้าเป็นการฝากเงินบริสุทธิ์หรือแร่เงินก็ต้องนำ � บทเบ็ดเสร็จทั่วไปใน
ลักษณะฝากทรัพย์มาใช้บังคับ หาใช่นำ � บทบัญญัตวิ ิธีเฉพาะการฝากเงินดังที่จะศึกษาในเรื่องนี้มาใช้บังคับ
ธ
ไม่
ค�ำวา่ เงินหรือเงินตรานตี้ อ้ งหมายถงึ เงินตราของไทยซงึ่ เป็นว ตั ถุทชี่ ำ� ระหนีไ้ ด้ตามกฎหมายไทย
ปัจจุบันไม่ใช้เงินตราชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้ว ถ้าเป็นการฝากเงินตราชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้แล้ว เช่น เงิน
มส
พดด้วงโบราณหรือเหรียญหรือธ นบัตรทยี่ กเลิกแ ล้ว ก็เป็นการฝากทรัพย์ธ รรมดาตอ้ งนำ � บทเบ็ดเสร็จท วั่ ไป
ในลักษณะฝากทรัพย์มาใช้บังคับ จะนำ � บทบัญญัตวิ ิธเี ฉพาะการฝากเงินมาใช้บังคับไม่ไ ด้เช่นเดียวกัน
ส�ำหรับเงินตราตา่ งประเทศ เช่น เงินยโู รของประเทศในสหภาพยโุ รป เงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกา
เงินเยนของญี่ปุ่น ฯลฯ ธนาคารรับฝากได้ และธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์จ่าย
อัตราดอกเบี้ยให้แก่ผฝู้ ากได้ในอัตราสูงก ว่าเงินฝากที่เป็นเงินบาทตามปกติ เนื่องจากเงินตราต่างประเทศ
ม
มีค่าแข็งกว่าเงินไทย และไม่จ�ำเป็นต้องเป็นเงินฝากประเภทใด โดยปกติบุคคลที่จะมีเงินตราต่างประเทศ
ได้ต้องเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศไทย ฉะนั้นธนาคารจะรับฝากเงินตราต่างประเทศจาก ผู้ที่มีภูมิลำ� เนา
ธ
เงินหรือเงินตรานี้มลี ักษณะพิเศษในทางกฎหมายยิ่งกว่าทรัพย์สินอื่นๆ เช่น วัตถุแห่งหนี้ ถ้าเป็น
หนี้เงิน (money) ได้แสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศ (a foreign currency) จะส่งใช้เป็นเงินไทย (Thai
มส
currency) ก็ได้ โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน (ปพพ. มาตรา 196) ถ้าหนี้
เงินจะพึงส่งใช้ด้วยเงินตราชนิดหนึ่งชนิดใดโดยเฉพาะ อันเป็นชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้วในเวลาที่จะต้อง
ส่งเงินใช้หนี้นั้นไซร้ การส่งใช้เงินท่านให้ถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดนั้น (ปพพ.
มาตรา 197) หนีเ้ งินให้คดิ ดอกเบีย้ ในระหว่างผดิ นัด แต่หา้ มคดิ ดอกเบีย้ ซอ้ นดอกเบีย้ ในระหว่างผดิ นัด และ
จะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่ (ปพพ. มาตรา 224, 221) เรื่องกรรมสิทธิ์ในเงินตราก็มี
ปพพ. มาตรา 1331 บัญญัติว่า “สิทธิของบุคคลผู้ได้เงินตรามาโดยสุจริตนั้น ท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้
ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าเงินนั้นมิใช่ของบุคคลซึ่งได้โอนให้มา” ส่วนในเรื่องสัญญากู้ยืมเงินก็มีกฎหมาย
บัญญัตหิ ลักเกณฑ์เป็นพ ิเศษ ใน ปพพ. มาตรา 653 เรื่องฝากเงินห รือฝ ากเงินต ราก็เช่นเดียวกันก ฎหมาย
ได้กำ� หนดหลักเกณฑ์เป็นพิเศษกว่าการฝากทรัพย์สินอื่นคือ
ธ
1. ผู้รับฝากไม่ต้องคืนเงินตราอันเดียวกับที่รับฝาก
2. ผู้รับฝากเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ได้
มส
ปัญหาว่าการฝากเงินกรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้รับฝากหรือไม่ เห็นว่าถ้าเปรียบเทียบกับการยืมเงิน
แล้ว กฎหมายบญ ั ญัตไิ ว้ชดั เจนวา่ เงินทใี่ ห้ยมื ตกเป็นกรรมสิทธิข์ องผยู้ มื และผยู้ มื ตกลงจะคนื ทรัพย์สนิ ทเี่ ป็น
ประเภทชนิดและปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น (มาตรา 650) ส่วนการฝากเงินนั้น
มาตรา 672 หาได้บัญญัติว่า เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ดังกรณียืมใช้สิ้นเปลืองไม่ แต่บัญญัติว่าผู้รับฝากท�ำ
อะไรแก่เงินนั้นได้บ้าง เช่น ผู้รับฝากไม่จำ � ต้องคืนเงินทองตราอันเดียวกับที่ฝาก (มาตรา 672 วรรคหนึ่ง)
ธ
ผู้รับฝากเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ได้ (มาตรา 672 วรรคสอง) การที่ผู้รับฝากใช้เงินนั้นได้และต้องคืนเงิน
ให้ครบจำ� นวนทั้งต้องรับผิดแม้เงินนั้นสูญหายไปเพราะเหตุสุดวิสัย (มาตรา 672 วรรคสอง) จึงเห็นได้ว่า
มส
ผูร้ บั ฝากมแี ต่หนีท้ จี่ ะตอ้ งชำ� ระเงินจำ� นวนเท่ากนั คนื หนีข้ องผรู้ บั ฝากไม่ใช่รกั ษาและคนื ตัวทรัพย์เดิมทเี่ ป็น
กรรมสิทธิ์ของผ้ฝู ากเงิน37 อย่างไรกด็ กี ม็ คี วามเห็นของศาลฎกี าวนิ จิ ฉัยวา่ การฝากเงินนนั้ กรรมสิทธิ์โอน
ไปยังผู้รับฝากเงินแ ล้วตามอุทาหรณ์ข้างล่างนี้
อุทาหรณ์
ฎ. 2611/2522 จ�ำเลยฝากเงินกับธนาคาร เงินที่ฝากย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ธนาคาร
คงมีหน้าที่ต้องคืนให้ครบจ�ำนวน การทจี่ ำ� เลยตกลงมอบเงินฝากพร้อมใบรับฝากเงินแก่ธนาคาร เพือ่ เป็น
ประกันความเสียหายทธี่ นาคารออกหนังสือคำ �้ ประกันจำ� เลยไว้ตอ่ กรมทางหลวงให้ธนาคารมอี ำ� นาจหกั เงิน
จากบัญชีเงินฝากของจำ� เลย ช�ำระค่าเสียหายที่ธนาคารชดใช้แทนได้ทันทีและจ�ำเลยจะไม่ถอนเงินฝาก
จนกว่าธนาคารจะพน้ ภาระความรบั ผดิ ชอบ ตามหนังสือคำ �้ ประกันนนั้ เป็นเรือ่ งตกลงในการฝากเงินนนั้ เอง
ธ
หาทำ� ให้ต วั เงินต ามจำ� นวนในบญ ั ชีฝากตกเป็นกรรมสทิ ธ์ของจำ� เลยอนั ธนาคารได้ยดึ ไ ว้เพือ่ เป็นประกันก าร
ช�ำระหนีไ้ ม่ ความตกลงดังกล่าวจึงไม่ใช่ก ารจ�ำน�ำเงินฝาก
มส
ทีว่ า่ การฝากเงิน กรรมสิทธิโ์ อนไปยงั ธ นาคารนนั้ ห มายความวา่ ม กี ารฝากเป็นต วั เงิน แต่ถ า้ ธ นาคาร
เป็นแต่เพียงตัวแทนเรียกเก็บเงินตามเช็ค เมื่อเรียกเก็บไม่ได้ธนาคารย่อมเพิกถอนเงินฝากตามเช็คนั้นได้
(ปพพ. มาตรา 321 วรรคท้าย)
ฎ. 1587/2523 จ�ำเลยน�ำเช็คธนาคารอื่นเข้าบัญชีของจ�ำเลยในธนาคารโจทก์ ธนาคารโจทก์เรียก
เก็บเงินตามเช็คในฐานะตวั แทนจำ� เลย แต่เรียกเก็บไม่ได้ ธนาคารโจทก์ยอ่ มมอี ำ� นาจทจี่ ะเพิกถอนรายการ
ธ
การรับฝ ากเงินต ามเช็คด ังก ล่าวออกได้ ยังไ ม่ถ ือว่าธนาคารโจทก์ได้ร ับฝากเงินจ �ำนวนดังก ล่าวไว้
การฝากเงินนั้นตามปกติผู้ฝากไม่ต้องเสียบ�ำเหน็จค่าฝาก เพราะผู้รับฝากเอาเงินที่ฝากออกใช้หา
มส
ประโยชน์ได้อยูแ่ ล้ว (มาตรา 672) เหตุนผี้ รู้ บั ฝากจงึ เป็นฝา่ ยให้คา่ ตอบแทนหรือดอกเบีย้ แก่ผฝู้ าก เว้นแต่
การฝากเงินชนิดที่ ตกลงมิให้ผู้รับฝากเอาเงินออกใช้ หรือผู้รับฝากมีฐานะมั่นคงเป็นที่เชื่อถือของผู้ฝาก
โดยทั่วไป ผู้รับฝากอาจเรียกบ�ำเหน็จค่าฝากก็ย่อมท�ำได้ เนื่องจากผู้รับฝากไม่สามารถน�ำเงินจ�ำนวน
ดังกล่าวไปหาประโยชน์ทงี่ อกเงยขนึ้ ได้ แต่มภี าระตอ้ งรบั ดรู กั ษาเงินผฝู้ ากไว้ เช่น เศรษฐีเมืองไทยเอาเงิน
ไปฝากยังธนาคารในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีการคิดบ�ำเหน็จค่าฝาก หรือธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน
มีขอ้ สญ
ั ญากบั ผฝู้ ากเงินขอ้ หนึง่ วา่ ถ้าผฝู้ ากไม่ตดิ ต่อกบั ธนาคารเป็นเวลา 5 ปี ธนาคารจะคดิ คา่ รกั ษาบญ
ปีล ะ 200 บาท โดยหักจากบัญชีเงินฝากของผู้ฝาก ดังนี้เป็นต้น ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นบ�ำเหน็จค่าฝากได้
ั ชี
แม้ก ารรบั ฝ ากเงินจ ะไม่มบี ำ� เหน็จค า่ ฝ ากและจำ� เลยจะได้ใช้ค วามระมัดระวังส งวนทรัพย์สนิ ซ งึ่ ฝ ากนนั้ เหมือน
เช่นเคยประพฤติในกจิ การของจำ� เลยเองกต็ าม เมือ่ ปรากฏวา่ เงินซงึ่ ฝากนนั้ สญ ู หายเพราะถกู คนร้ายลกั ไป
แม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งไม่อาจป้องกันได้ จ�ำเลยก็ต้องรับผิดชอบคืนเงินจ�ำนวนที่รับฝากไว้แก่โจทก์ตาม
ปพพ. มาตรา 672
ฎ. 291/2547 โจทก์เป็นธนาคารซึ่งรับฝากเงินของ ส. ผู้เป็นลูกค้า ย่อมมีหน้าที่ต้องคืนเงินที่ ส.
ฝากไว้เมื่อ ส. ทวงถาม การทจี่ ำ� เลยที่ 1 ได้ถอนเงินจากบัญชี ส. แล้วยักยอกเงินดังกล่าวไป ท�ำให้เงินใน
ม
บัญชีเงินฝากของ ส. ขาดหายไป โจทก์มหี น้าทตี่ อ้ งคนื เงินทหี่ ายไปให้แก่ ส. ตาม ปพพ. มาตรา 672 การ
ที่โจทก์คืนเงินที่จำ� เลยที่ 1 ยักยอกไปให้แก่ ส. จึงมิใช่เป็นการชำ� ระหนี้ตามอ�ำเภอใจโดยรู้ว่าไม่มีหนี้ต้อง
ช�ำระ เมื่อโจทก์ได้ช�ำระหนี้ทเี่ กิดจากจำ� เลยที่ 1 กระท�ำละเมิดต่อโจทก์ให้แก่ ส. ไปแล้ว ย่อมมสี ิทธิฟ้องให้
จ�ำเลยที่ 1 รับผิดในเงินทชี่ �ำระไปได้ ตาม ปพพ.มาตรา 420
ฎ. 8963/2553 ปพพ. มาตรา 665 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้รับฝากจ�ำต้องคืนทรัพย์สิน ซึ่งรับ
ฝากไว้นั้นให้แก่ผู้ฝาก หรือทรัพย์สินนั้นฝากในนามของผู้ใดคืนให้แก่ผู้นั้น... บัญชีเงินฝากชื่อบัญชี
เป็นการฝากในนามจ�ำเลยโดยไม่ปรากฏข้อความว่าจ�ำเลยเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าวแทนผู้ร้อง ธนาคาร
สธ
ผู้รับฝ ากจึงต ้องคืนเงินฝ ากให้แ ก่จ �ำเลยตามบทบัญญัติของกฎหมาย” แม้ผรู้ ้องน�ำเงินเข้าบัญชีข องจ�ำเลย
เพื่อให้จ�ำเลยรับซื้อน�้ำมันใช้แล้วจากลูกค้าทั่วไปแทนผู้ร้อง แต่เงินที่ผู้ร้องน�ำเข้าฝากในบัญชีเงินฝากของ
จ�ำเลยจึงเป็นกรณีการฝากเงิน ซึ่งตาม ปพพ. มาตรา 672 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องส่ง
ม
4-64 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
จ�ำเลยตาม ปพพ. มาตร 665 และมาตรา 672 ผู้ร้องเพียงแต่มีสิทธิเรียกร้องให้จ�ำเลยปฏิบัติตามหน้าที่ที่
จ�ำเลยมีต่อผู้ร้องนั้น หากจ�ำเลยไม่รับซื้อน�้ำมันใช้แล้วจากลูกค้าตามที่ผู้ร้องอนุมัติเงินไป ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิ
มส
ทีจ่ ะถอนเงินจากบญ ั ชีเงินฝากของจำ� เลยคนื ได้เอง ผูร้ อ้ งจงึ มใิ ช่เจ้าของเงินฝ ากตามบญ
ที่ถูกอายัดไว้ และไม่มีสิทธิข อให้ถ อนอายัดเงินฝากดังกล่าว
ั ชีธนาคารของจำ� เลย
และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 ซึ่งบ ริษัทเหล่าน ี้สามารถกู้ยืมเงินจ ากประชาชนหรือร ับฝ ากเงินจ าก
ประชาชนในรูปข องตั๋วสัญญาใช้เงินได้ด ้วย
กิจการรบั ฝากเงินเหล่านตี้ อ้ งใช้บทบัญญัตขิ องประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรือ่ งการฝากเงิน
บังคับ เว้นแต่มีบทบัญญัติของกฎหมายพิเศษดังกล่าวแล้วบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น เช่น ธนาคารที่รับฝาก
เงินย อ่ มคนื เงินฝ ากได้ท กุ เมือ่ ในเมือ่ เป็นการฝากเงินท มี่ ไิ ด้ก ำ� หนดเวลาไว้ (มาตรา 664) (ฎ. 8963/2553)
ธ
หรือธนาคารที่รับฝากเงินต้องคืนเงินที่รับฝากแก่ผู้ฝากหรือที่ผู้ฝากระบุนาม หรือตามคำ � สั่งของผู้ฝากและ
ถ้าผฝู้ ากตายก็ต้องคืนเงินฝากแก่ทายาทของผู้ฝาก (มาตรา 665) เป็นต้น
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 2335/2524 โจทก์ทำ � สัญญาฝากเงินออมทรัพย์ไว้กับธนาคารซึ่งเป็นสัญญาฝากทรัพย์ที่มิได้
ก�ำหนดเวลากันไว้ว่า จะพึงคืนทรัพย์สินที่ฝากเมื่อใด ธนาคารในฐานะผู้รับฝาก จึงอาจคืนทรัพย์นั้นได้
ทุกเมื่อโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ตามมาตรา 664 กรณีไม่ต้องด้วย ปพพ. มาตรา 393 ที่จะต้อง
ก�ำหนดระยะเวลาแก่ฝ่ายทมี่ สี ิทธิเลิกสัญญาก่อน
ฎ. 244/2522 บิดาฝ ากเ งิน กั บธ นาคารใ นชื่อ เ ด็กเ ป็น เจ้าของบัญชี โดยเจตนายกเงินให้เด็ก
เงินต กเป็นก รรมสิทธิข์ องเด็กทนั ทีทธี่ นาคารรบั เข้าบญ ั ชี บิดาตกลงกบั ธนาคารวา่ บดิ าเป็นผลู้ งชือ่ ถ อนเงิน
บิดาตาย ธนาคาร จ่ายเงินแก่ผจู้ ดั การมรดกซงึ่ ขอถอนเงินนนั้ เป็นการชอบ (มาตรา 665) ผู้จดั การมรดก
รับเงินมาต้องมอบแก่เด็กตามหน้าที่เช่นเดียวกับบิดาเด็ก เด็กติดตามเอาคืนได้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยตั้งแต่
วันผ ู้จัดการมรดกขอถอนเงิน
ธ
กล่าวโดยเฉพาะ กิจการของธนาคารพาณิชย์ที่เปิดรับฝากเงินจากผู้ฝากย่อมอาศัยแนวความคิด
ดัง้ เดิมท วี่ า่ ผูฝ้ ากมคี วามเชือ่ (trust) ต่อธ นาคารวา่ ฝากแล้วตอ้ งได้ดอกเบีย้ ต้องได้บริการ และถา้ ตอ้ งการ
มส
41
จะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามประเภทที่กำ�หนดต่อเมื่อครบระยะเวลาที่กำ�หนดไว้เท่านั้น ถ้าถอนก่อนระยะเวลาที่กำ�หนดไว้ผู้ฝากไม่มี
สิทธิจะได้รับด อกเบี้ยเหมือนประเภทที่ (3) (2) เงินฝ ากออมทรัพย์ (savings) กรณีน ี้จะมีสมุดฝากเงินให้ผ ฝู้ ากเพื่อใช้ในการฝาก
เพิม่ เติม หรือถอนเงิน ซึง่ จะสามารถฝากหรือถอนได้ทกุ ว นั แต่ไม่ใช้เช็คในการเบิกถอนการฝากประเภทนมี้ กั ก ำ�หนดให้ฝากครัง้ แรก
ไม่ต่ำ�กว่า 100 บาท หรือฝ ากจนครบ 100 บาท ธนาคารก็จะให้ด อกเบี้ยค ่อนข้างสูง เพื่อส ่งเสริมออมทรัพย์ข องประชาชนรายย่อย
โดยทั่วไป ซึ่งไม่มีเงินจำ�นวนมากเหลือพ อฝากเป็นเงินฝากประจำ� (3) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม (demand deposits) ใน
ประเทศไทยเรียกชื่อบ ัญชีเงินฝ ากว่าเงินฝ ากกระแสรายวัน (current account) ในสหรัฐอเมริกาเรียกว่า checking account เพราะ
สธ
ต้องใช้เช็คในการถอนเงินห รือส งั่ จ า่ ยเงินท ำ�ให้ส ะดวกสบายยงิ่ ข นึ้ เงินฝ ากประเภทนรี้ วมถงึ ก ารฝากทตี่ อ้ งจา่ ยคนื เมือ่ ส นิ้ ร ะยะเวลาไม่
ถึง 3 เดือนด้วย ธนาคารจะให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ�มากเพราะเงินฝ ากประเภทนี้ ผู้ฝากมวี ัตถุประสงค์เพื่อใช้ในธุรกิจ เช่น ใช้เช็ค มิได้
หวังด อกเบีย้ แ ละธนาคารกห็ าประโยชน์จ ากเงินฝ ากนไี้ ด้น อ้ ย เพราะผฝู้ ากเบิกถ อนได้เสมอตามทตี่ อ้ งการ ในทางปฏิบตั แิ ล้วธ นาคาร
ส่วนใหญ่มิได้คิดดอกเบี้ยให้ส ำ�หรับเงินฝ ากประเภทนี้ ดูพิชา ดำ�รงพิวัฒน์ เรื่องเดียวกัน น. 62 และ 96.
ม
4-66 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
และถอนก่อนตั๋วสัญญาใช้เงินครบอายุหรือก่อนกำ� หนดเวลา อาจเกิดวิธีการต่อรองแบ่งให้ถอนคืนก็ได้42
อย่างไรก็ดีกิจการธนาคารพาณิชย์ที่รับฝากเงินเป็นอาชีพ ธนาคารย่อมต้องใช้ความระมัดระวังอย่างผู้มี
มส
วิชาชีพและมหี น้าที่ รูจ้ กั ล ายมือช อื่ ของ ผูเ้ คยคา้ ต ามตวั อย่างทใี่ ห้ไ ว้ต อ่ ธ นาคาร หรือก รณีท ผี่ เู้ คยคา้ น ำ
เข้าบัญชีเพื่อให้ธนาคารเรียกเก็บ แต่ธนาคารมิได้เรียกเก็บ และมิได้แจ้งเหตุขัดข้องจนผู้เคยค้าเสียสิทธิ
เรียกรอ้ งชำ� ระเงินตามเช็ค ธนาคารกต็ อ้ งรบั ผ ดิ เว้นแ ต่ในกรณีอ นื่ ถา้ ธนาคารจา่ ยเงินไปโดยสจุ ริตปราศจาก
ความประมาทเลินเล่อ ธนาคารกไ็ ม่ต ้องรับผ ิด
อุทาหรณ์
ฎ. 1254/2497 ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คที่ถูกแก้จ�ำนวนเงิน 60,000 ลดลงเป็น 50,000 บาท และ
แก้วันที่ 25 เป็น 21 แต่ธนาคารได้จ่ายเงินไปโดยสุจริตปราศจากประมาทเลินเล่อ แม้จะได้ความว่าผู้สั่ง
� เช็ค
ธนาคารให้จ า่ ยเงิน 60,000 บาท แม้จ ะมผี แู้ ก้จ ำ� นวนเงินเป็น 50,000 บาท และธนาคารจา่ ยเงินไ ปตามนนั้
ก็ไม่เป็นการปฏิบัตินอกเหนือคำ � สั่งของโจทก์แต่อย่างใด ส่วนที่จ่ายไปก่อนวันที่แท้จริง ก็ไม่ได้ความว่า
ธนาคารประมาทเลินเล่อ ธนาคารจึงไม่ต้องรับผิด
ฎ. 294/2522 โจทก์มีบัญชีฝากกระแสรายวันกับธนาคารจ�ำเลย มีผู้น�ำเช็คที่ปลอมลายมือชื่อ
โจกทส์ ่งจ ่ายเงิน 340,000 บาท มายื่น และเปลี่ยนรับแคชเชียร์เช็คข องธนาคารจ�ำเลยไป ต่อม าโจทก์ออก
เช็คส ั่งจ ่ายเงินม า 240,000 บาท ปรากฏว่าไม่มีเงินในบัญชีท จี่ �ำเลยจะจ่ายตามเช็คให้ ดังนี้เห็นว ่าธนาคาร
ม
จ�ำเลยเป็นผ ู้รับฝ ากเงินเป็นอ าชีพโดยหวังประโยชน์ในบ�ำเหน็จค่าฝ าก หรือจากการเอาเงินฝากของผู้ฝาก
ไปแสวงหาประโยชน์ได้ มีหน้าทตี่ ามกฎหมายจะตอ้ งใช้ความระวดั ระวังและความรคู้ วามชำ� นาญเป็นพเิ ศษ
ตรวจสอบลายมือชอื่ ผ สู้ งั่ จา่ ยวา่ เหมือนลายมือทใี่ ห้ตวั อย่างไว้กบั จำ� เลยหรือไม่ หากเห็นวา่ ลายมือชอื่ สงั่ จ า่ ย
ในเช็คพ ิพาทไม่เหมือนตัวอย่างทใี่ห้ไ ว้ จ�ำเลยก็ชอบที่จะปฏิเสธการจ่ายเงิน ฉะนั้นก ารที่จ�ำเลยได้จ่ายหรือ
หักบัญชีเงินฝากของโจทก์ให้บุคคลอื่นไป จึงถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำ� เลย จ�ำเลยจึงต้อง
สธ
42 เสรี (นามแฝง) “ธนาคารเขาทำ�งานกันอย่างไร?” หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ฉบับล งวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2525
น. 7.
43
จิตติ ติงศภัทิย์ หมายเหตุท้าย ฎ. 1254/2497 ค�ำพิพากษาฎีกาประจ�ำพุทธศักราช 2497 พิมพ์ครั้งที่ 2 พระนคร เนติ
บัณฑิตสภา พ.ศ. 2497 น. 1121-1122.
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-67
ธ
ซึง่ ฝ ากนนั้ จ ะได้สญ
ู หายไปดว้ ยเหตุสดุ วิสยั กต็ าม ผูร้ บั ฝากกจ็ ำ � ตอ้ งคนื เงินจำ� นวนดงั กล่าวให้ ฉะนัน้ ปญ ั หา
เรือ่ งธนาคารผรู้ บั ฝ ากเงินป ระมาทเลินเล่อห รือไม่ จึงม ไี ม่ได้อ ยูเ่ อง โดยเหตุนจี้ งึ ม บี ทบัญญัตใิ นกรณีธนาคาร
มส
จ่ายเงินใน ปพพ. มาตรา 1009 ท�ำนองเดียวกับ ปพพ. มาตรา 949 คือ ธนาคารได้รับความคุ้มครองแม้
ลายมือชื่อผู้สลักหลังปลอม แต่ไม่ยกเว้นความรับผิดกรณีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายปลอม เพราะถ้าลายมือชื่อ
ผู้สั่งจ่ายปลอมธนาคารต้องรับผิดไม่ว่าในกรณีใดๆ แม้เป็นเหตุสุดวิสัย แต่ถ้าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่ปลอม
แต่ม เี หตุบกพร่องอื่นธนาคารต้องรับผิดชอบต่อเมื่อป ระมาทเลินเล่อเท่านั้น45
ฎ. 521/2525 โจทก์เป็นลูกค้าของธนาคารได้เปิดบัญชีฝากกระแสรายวันไว้ โจทก์น�ำเช็คจำ� นวน
เงิน 100,000 บาท ซึ่งนายวิรัชสั่งจ่ายช�ำระหนี้แก่โจทก์ฝากเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารจ�ำเลย
มิได้เรียกเก็บเงินต ามเช็คจ ากบัญชีข องนายวิรัชท มี่ ีอยูท่ ี่จ�ำเลย ทั้งๆ ทีน่ ายวิรัชม เีงินพ อจะเรียกเก็บไ ด้ ทั้ง
มิได้คนื เช็คและมไิ ด้แจ้งเหตุขดั ข้องแก่โจทก์ โจทก์จงึ เข้าใจวา่ จำ� เลยเรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับพพิ าทได้ จน
กระทั่งเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2521 โจทก์จ่ายเช็คให้ลูกค้า 100,000 บาท แต่ธนาคารจ�ำเลยปฏิเสธการ
ธ
จ่ายเงิน โจทก์จงึ ได้ตรวจสอบใบรับฝากทงั้ หมดและบญ ั ชีกระแสรายวนั จึงพบขอ้ ผดิ พลาดเรือ่ งทจี่ ำ� เลยมไิ ด้
เรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับพพิ าทจากบญ ั ชีของนายวริ ชั จึงตอ้ งถอื ว่าโจทก์ทราบเรือ่ งทจี่ ำ� เลยมไิ ด้เรียกเก็บ
มส
เงินตามเช็คฉบับพพิ าทเมือ่ เดือนมถิ นุ ายน พ.ศ. 2521 ฉะนัน้ ทีโ่ จทก์นำ � คดีน มี้ าฟอ้ งเมือ่ ว นั ที่ 23 เมษายน
พ.ศ. 2522 จึงไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จ�ำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 100,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันท เี่ช็คฉ บับพิพาทถึงก �ำหนดจนกว่าจะใช้เงินให้โจทก์เสร็จ
ตามคำ � พพิ ากษาศาลฎกี านี้ ศาลฎกี าวนิ จิ ฉัยว า่ ธนาคารกระท�ำละเมิดน นั่ เอง จึงใช้อ ายุความ 1 ปี
ตาม ปพพ. มาตรา 448 บังคับ ซึง่ เป็นการวนิ จิ ฉัยทำ� นองเดียวกบั ทเี่ คยวนิ จิ ฉัยมาแล้ว ตาม ฎ. 820/2518
อนึ่งมีความเห็นของนักนิติศาสตร์บางท่านว่า การที่ลูกค้ายื่นค�ำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแส
รายวนั และธนาคารตกลง เกิดเป็นสญ ั ญาผกู พันระหว่างลกู ค้ากบั ธนาคารตามขอ้ ส ญ
ธนาคารผรู้ บั ฝากมหี น้าทคี่ นื เงินทฝี่ ากนนั้ (เทียบ ฎ. 2924/2522) อีกทงั้ การทลี่ กู ค้านำ
ม
บัญชีเพื่อให้ธนาคารเรียกเก็บเงินตาม ปพพ. มาตรา 925, 989 หากเรียกเก็บไม่ได้ก็มีหน้าที่ต้องคืนเช็ค
ให้ลูกค้า การที่ธนาคารรับเช็คแล้วไม่จัดการเรียกเก็บให้ จะโดยหลงลืม พลั้งเผลอหรือประมาทเลินเล่อ
ก็ตาม ก็เป็นการผิดสัญญาฝากทรัพย์หรือตัวแทนนั่นเอง จึงต้องนำ
ั ญาในคำ� ขอเปิดบ ญ
� เช็คฉบับพพิ าทเข้า
� อายุความในมูลสัญญาดังกล่าวมาใช้
ั ชี
สธ
44 ดู ฎ.5246/2555 ในเรื่องที่ 4.1.2 สิทธิและหน้าที่ของผู้รับฝาก น่าจะตรงกับมาตรา 659 มากกว่า
45 จิตต
ิ ติงศ ภัทยิ ์ หมายเหตทุ า้ ยฎกี า ค�ำพพิ ากษาฎกี าประจ�ำพทุ ธศักราช 2522 กรุงเทพมหานคร เนติบ ณ
ั ฑิตส ภา พ.ศ.
2522 น. 2301-2302.
ม
4-68 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
เหตุให้ผ ตู้ รวจสอบบญ ั ชีเห็นวา่ เงินข าดบญ
ั ชีไป จ�ำเลยจงึ ได้ให้โจทก์ท ำ
� สญั ญาประนีประนอมยอมความและ
รับสภาพหนี้ยอมรับผิดชดใช้เงินที่ขาดบัญชี ซึ่งต่อมาจ�ำเลยได้ฟ้องเรียกเงินดังกล่าวจากโจทก์ ศาลฎีกา
มส
พิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์รับผิดชอบใช้เงินนั้น และโจทก์ได้ชดใช้เงินให้แก่จ�ำเลยแล้วทั้งที่ปรากฏว่าเงิน
จ�ำนวนนยี้ ังอ ยูใ่นบัญชีเงินฝ ากธนาคารของจ�ำเลย เงินด ังก ล่าวแม้จ ะตกเป็นข องธนาคารแต่จ �ำเลยในฐานะ
เจ้าของบัญชีก็มีสิทธิเรียกร้องให้ธนาคารใช้เงินนั้นให้แก่จ�ำเลยเมื่อใดก็ได้ เมื่อจ�ำเลยได้รับเงินจ�ำนวน
เดียวกันกับเงินที่ฝากธนาคารไปจากโจทก์ตามคำ � พิพากษาถึงที่สุดแล้ว เงินที่จำ� เลยมีสิทธิเรียกร้องจาก
ธนาคารจงึ ป ราศจากมลู อ นั จ ะอา้ งกฎหมายได้ และเป็นการท�ำให้โจทก์เสียเปรียบโจทก์มสี ทิ ธิฟอ้ งเรียกเงิน
จ�ำนวนดังก ล่าวคืนจ ากจ�ำเลยในฐานลาภมคิ วรได้
ฎ. 744/2540 จ�ำเลยเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กับธนาคารโจทก์เพื่อฝากเงินและถอนเงินกับ
โจทก์ สัญญาฝากเงินและเบิกถอนเงินระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยเป็นสัญญาฝากทรัพย์ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้รับ
ฝากมีหน้าทตี่ อ้ งคนื เงินทรี่ บั ฝากให้จำ� เลยเพียงจำ� นวนเงินทโี่ จทก์รับฝากไว้จากจำ� เลย ตาม ปพพ. มาตรา
ธ
672 การที่จ�ำเลยเบิกถอนเงินฝากจากโจทก์เกินกว่าที่จ�ำเลยฝากไว้เป็นจ�ำนวนเงิน 62,811 บาท เป็นการ
กระท�ำผดิ ตอ่ สญ ั ญาฝากทรัพย์ จ�ำเลยจงึ ตอ้ งคนื เงินจำ� นวนดงั กล่าวให้โจทก์พร้อมดว้ ยดอกเบีย้ ในอตั รารอ้ ย
มส
จึงจำ� เป็นทจี่ ะตอ้ งปฏิบตั ติ ามกฎหมาย จะอา้ งประเพณีของธนาคารมาลบล้างกฎหมายไม่ได้ กล่าวคอื ต้อง
ท�ำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอน ตาม ปพพ. มาตรา 306 ซึ่งเป็นแบบของนิติกรรมที่กฎหมายบังคับไว้
มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 152 นั่นเอง (ฎ. 1947-1950/2524) อนึ่ง ปัจจุบันนี้ธนาคาร
พาณิชย์ให้สนิ เชือ่ แก่ลกู ค้าไม่วา่ กยู้ มื เงิน เบิกเงินเกินบญ ั ชีจะนำ
� เงินฝากประจ�ำของลกู ค้ามาเป็นหลักประกัน
โดยทำ � ในรปู การจำ� น�ำสทิ ธิในเงินฝาก ซึง่ ศาลฎกี าได้มคี ำ � พพิ ากษาวนิ จิ ฉัยวา่ การกระทำ � เช่นนนั้ ไม่ใช่จำ� น�ำ
ธ
สิทธิซึ่งมีตราสาร สมุดฝากเงินเป็นเพียงหลักฐานการรับฝากและถอนเงิน เงินฝากของลูกค้าที่ฝากไว้กับ
ธนาคารย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารตั้งแต่ทมี่ กี ารฝากเงิน (ฎ. 9663/2554)
มสอุทาหรณ์
ฎ. 450/2536 ตาม ปพพ. มาตรา 747 ในการจำ� น�ำผู้จ�ำน�ำจะต้องส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่ง
ให้แ ก่บ คุ คลอกี ค นหนึง่ เรียกวา่ ผูร้ บั จ ำ� น�ำเพือ่ เป็นการประกันก ารชำ� ระหนี้ การทจี่ ำ� เลยสลักห ลังจ ำ� น�ำใบรับ
ฝากเงินประจ�ำและยินยอมให้ธนาคารผู้ร้องนำ � เงินที่ฝากไว้ตามใบรับฝากเงินประจ�ำของจำ� เลยเป็นประกัน
หนี้ ที่ ค้างชำ� ระต่อผู้ ร้องได้ แต่ เ งินฝ ากประจ�ำจ�ำนวนดัง กล่ าวที่ จำ� เลยฝ ากไว้กับผู้ร้องนั้ นย่อมตกเป็น
กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องมาตั้งแต่มีการฝากเงินแล้ว จ�ำเลยผู้ฝากคงมีเพียงสิทธิที่จะถอนเงินที่ฝากไปได้และ
ผู้ร้องคงมีหน้าทตี่ ้องคืนเงินให้ครบจำ� นวนที่ขอถอนเท่านั้น จึงมิใช่การส่งมอบสังหาริมทรัพย์ของจ�ำเลยให้
แก่ผ้รู อ้ งตามลกั ษณะจำ� น�ำ ผู้รอ้ งจงึ หามสี ทิ ธิเหนือทรัพย์สนิ ของจำ� เลยในทางจำ� น�ำหรือมบี รุ มิ สิทธิทบี่ งั คับ
ได้ท�ำนองเดียวกับผู้รับจ�ำน�ำไม่ ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
ธ
มาตรา 6 ผูร้ อ้ งคงมสี ทิ ธิขอนำ � เงินฝากประจ�ำของจำ� เลยมาหกั กลบลบหนีก้ บั จำ� เลยได้ตาม พรบ. ล้มละลาย
พ.ศ. 2483 มาตรา 102 เท่านั้น แต่กไ็ ม่อาจน�ำดอกเบี้ยของเงินฝากประจ�ำของจ�ำเลยที่เกิดขึ้นในภายหลัง
มส
ทีม่ ีคำ
� สั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้วมาหักกลบลบหนีไ้ ด้
ฎ. 4102/2539 จ�ำเลยฝากเงินไว้กับผู้ร้อง เงินที่ฝากจึงตกเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องคงมีแต่หน้าที่คืน
เงินให้ครบจำ� นวน การทจี่ ำ� เลยทำ � สญ ั ญาจำ� น�ำและมอบสมุดคฝู่ ากเงินประจ�ำไว้แก่ผรู้ อ้ งกเ็ พียงเพือ่ ประกัน
หนีท้ มี่ ตี อ่ ผ รู้ อ้ ง แม้จะยินยอมให้ผู้ร้องน�ำเงินจากบัญชีดังกล่าวมาช�ำระหนี้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าว ก็เป็น
เรื่องความตกลงในการฝากเงินเพื่อเป็นประกัน ไม่เป็นการจ�ำน�ำเงินฝาก อีกท งั้ ส มุดค ฝู่ ากเงินป ระจ�ำกเ็ ป็น
เพียงหลักฐานการรับฝากและถอนเงินที่ผู้ร้องออกให้จ�ำเลยยึดถือไว้เพื่อสะดวกในการฝากและถอนเงินใน
ม
บัญชีของจ�ำเลยเท่านั้นไม่อยู่ในลักษณะของสิทธิซึ่งมีตราสาร ผู้ร้องจึงไม่เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิจ�ำน�ำ ไม่มี
สิทธิได้รับช ำ� ระหนีก้ ่อนโจทก์
ฎ. 3293/2545 เงินฝ ากของลกู ห นีท้ ฝี่ ากไว้ก บั ธ นาคารผรู้ อ้ งยอ่ มตกเป็นก รรมสิทธิข์ องผรู้ อ้ งตงั้ แต่
ที่มีการฝากเงิน ลูกหนี้มีสิทธิที่จะถอนเงินที่ฝากไปได้ ผู้ร้องคงมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบจ�ำนวนเท่านั้น
ตาม ปพพ. มาตรา 672 การสง่ ม อบสมุดเงินฝ ากจงึ มใิ ช่เป็นการสง่ ม อบเงินฝ ากซงึ่ เป็นส งั หาริมทรัพย์ สมุด
เงินฝากเป็นเพียงหลักฐานการรับฝากและถอนเงินที่ผู้รับฝากออกให้แก่ผู้ฝากยึดถือไว้เพื่อสะดวกในการ
ฝากและถอนเงินในบัญชีของผู้ฝาก สมุดเงินฝากจึงไม่อยู่ในลักษณะของสิทธิซึ่งมีตราสาร ข้อตกลงที่
สธ
ลูกหนี้มอบสมุดเงินฝากให้ผู้ร้องยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ต่อผู้ร้องจึงไม่ใช่เป็นการจำ� น�ำสิทธิซึ่งมีตราสาร
ตาม ปพพ. มาตรา 750 ผูร้ อ้ งจงึ มใิ ช่เจ้าห นีม้ ปี ระกัน ตามมาตรา 6 แห่ง พรบ. ล้มล ะลายฯ (ฎ. 1063/2540)
ม
4-70 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
กิจกรรม 4.2.1
จงเปรียบเทียบการฝากเงินกับการยืมเงิน
แนวตอบกิจกรรม 4.2.1
ธ
1. การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใด
อย่างหนึง่ ลงลายมือชอื่ ผยู้ มื เป็นสำ� คัญ จะฟอ้ งรอ้ งให้บงั คับคดีหาได้ไม่ และการกยู้ มื เงินโดยมหี ลักฐานเป็น
มส
หนังสือจะนำ� สืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืม หรือ
เวนคืนหรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารแห่งการกู้ยืมนั้น (ปพพ. มาตรา 653) ส่วนการฝากเงินไม่จ�ำต้องมี
เอกสารส�ำหรับการรับฝากหรือการคืนเงินฝากเพียงแต่มสี มุดคู่ฝากเพื่อต รวจสอบเงินในบัญชีข องผู้ฝาก
2. การกยู้ มื เงินผ ใู้ ห้ย มื ค ดิ ด อกเบีย้ ร อ้ ยละสบิ ห า้ ต อ่ ป ไี ม่ไ ด้ (ปพพ. มาตรา 654) และ พรบ. ห้าม
เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ส่วนการฝากเงินนั้นผู้รับฝากให้ดอกเบี้ย เท่าใดก็ได้
3. การยืมเงินและฝากเงินต่างกันที่มูลเหตุของสัญญา คือถ้าการให้เงินไปเป็นเพราะเหตุที่ผู้รับ
เงินตอ้ งใช้เงินกเ็ ป็นยมื ใช้สนิ้ เปลือง (ปพพ. มาตรา 650) แต่ถ า้ เป็นการรบั เงินเพือ่ ร กั ษาไว้แล้วคนื ให้ไม่ใช่
เพื่อใช้เงินนั้น ก็เป็นการฝาก (ปพพ. มาตรา 657) ส่วนการเอาเงินออกใช้นั้น ผู้รับฝากเงินจะเอาเงินซึ่ง
ฝากนนั้ ออกใช้หรือไม่ใช้กไ็ ด้ (ปพพ. มาตรา 672) เพราะการใช้เงินไม่ใช่วตั ถุแห่งหนี้ และไม่ใช่วตั ถุประสงค์
ของสัญญาฝากทรัพย์
ธ
4. วัตถุแห่งหนี้ของการฝากเงินและยืมเงินที่เหมือนกันคือ ต้องใช้เงินคืนและไม่ต้องคืนเป็นเงิน
ทองตราอันเดียวกับทยี่ ืมหรือฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจ�ำนวนเท่านั้น
มส
เรื่องที่ 4.2.2
สิทธิและหน้าที่ของผู้รับฝากเงินและผู้ฝากเงิน
ธ
การฝากเงินนั้นกฎหมายกำ� หนดวิธีการเฉพาะเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของผู้รับฝากเงินและผู้ฝาก
เงินแตกต่างจากการฝากทรัพย์สินโดยทั่วไป ผู้รับฝากเงินมสี ิทธิและหน้าที่ด ังต่อไ ปนี้
มส
สิทธิและหน้าที่ของผู้รับฝากเงิน
ผู้รับฝากเงินมสี ิทธิและหน้าที่ 4 ประการคือ
1. สิทธิที่จะไม่ต้องคืนเงินตราอันเดียวกับทรี่ ับฝาก
2. สิทธิที่จะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ได้
3. หน้าทีท่ จี่ ะต้องคืนเงินทรี่ ับฝากให้ครบจ�ำนวน
4. หน้าที่ไม่ต้องส่งคืนเงินก่อนถึงเวลาที่ตกลงกันไว้เฉพาะในกรณีที่ต้องคืนเงินเพียงเท่าจ�ำนวน
ทีฝ่ าก
1. สิทธิที่จะไม่ต้องคืนเงินตราอันเดียวกับที่รับฝาก การฝากทรัพย์อนื่ นอกจากเงินตรานนั้ ผูร้ บั
ธ
ฝากจ�ำต้องคืนทรัพย์สินซึ่งรับฝากไว้นั้นให้แก่ผู้ฝาก (มาตรา 657, 665) จะคืนทรัพย์อันอื่นมิได้ ในเรื่อง
ฝากเงินกฎหมายบัญญัติข้อสันนิษฐานไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา 672 วรรคหนึ่งว่า “ถ้าฝากเงิน ท่านให้
สันนิษฐานไว้ก ่อนว่า ผู้รับฝ ากไม่พ ึงต ้องส่งค ืนเป็นเงินท องตราอันเดียวกันก ับท ี่ฝาก แต่จ ะต้องคืนเงินใ ห้
มส
ครบจ�ำนวน”
อุทาหรณ์
กิจ ฝากเงิน 2,000 บาท ไว้ที่ เข่ง มีธนบัตรใบละ 500 บาท 2 ฉบับ ฉบับล ะ 100 บาท 8 ฉบับ
ฉบับละ 20 บาท 5 ฉบับ เหรียญบาทอีก 100 อัน รวมเป็นเงิน 2,000 บาท เวลาที่เข่งจะส่งคืนเงิน เข่ง
คืนเป็นธนบัตรฉบับละ 10 บาท จ�ำนวน 200 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2,000 บาท แก่ กิจดังนีเ้ ป็นการชำ� ระหนี้
โดยชอบ
ก็เป็นการฝากทรัพย์ธรรมดา
อุทาหรณ์
ฎ.752-753/2523 ศาลชนั้ ตน้ พพิ ากษาตามสญ
ม
อย่างไรก็ดี คู่สัญญาอาจตกลงให้ส่งเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝากก็ได้ ซึ่งการตกลงเช่นนี้
ธ
ผู้ร ้องไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ ให้ยกค�ำร้อง
ตามคำ � พพิ ากษาศาลฎกี านี้ ศาลฎกี าตดั สินวา่ เงินฝากโอนเป็นกรรมสทิ ธ์ของผรู้ บั ฝาก โดยตคี วาม
มส
จากมาตรา 672 วรรคแรก ที่กฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอัน
เดียวกันกับที่ฝาก เงินที่ฝากก็เป็นของผู้ฝาก ธนาคารผู้ร้องจึงจะอ้างว่าตนเป็นเจ้าของเงินที่ถูกผู้ฝากเงิน
โกงเอาไปฝากไม่ไ ด้
2. สิ ท ธิ ที่ จ ะเ อาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ได้ การฝากทรัพย์อื่นนอกจากเงินตรานั้น ผู้รับฝากเอา
ทรัพย์สนิ ซงึ่ ฝากนนั้ ออกใช้สอยเองหรือเอาไปให้บคุ คลภายนอกใช้สอยโดยผฝู้ ากมไิ ด้อนุญาตยอ่ มทำ
(มาตรา 660) แต่เนือ่ งจากการฝากเงิน กฎหมายสนั นิษฐานไว้กอ่ นวา่ ผรู้ บั ฝากไม่ถงึ ตอ้ งสง่ คนื เป็นเงินทอง
ตราอันเดียวกันกับที่รับฝาก มาตรา 672 วรรคแรก และเงินฝากโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับฝากแล้ว
� ไม่ได้
เหตุนจี้ ึงมมี าตรา 672 วรรคสองบัญญัตวิ ่า “อนึ่ง ผู้รับฝ ากจะเอาเงินที่ฝากนั้นอ อกใช้ก็ได้ แต่หากจ�ำต้อง
คืนเงินให้ครบจ�ำนวนเท่านั้นฯ” เช่น กิจฝากเงิน 2,000 บาท ไว้ที่ เข่ง มีธนบัตรฉบับละ 500 บาท
ธ
4 ฉบับ ดังนี้ เข่งมีสิทธิเอาธนบัตรฉบับล ะ 500 บาท 4 ฉบับ ดังก ล่าวออกใช้ได้ แต่เวลาส่งค ืนต้องคืนเงิน
ให้ครบจ�ำนวน 2,000 บาทเท่านั้นจะใช้ธ นบัตรฉบับละ 1,000 บาท 2 ฉบับ มาส่งคืนก็ได้
มส
47 ฎ.233/2504
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-73
ธ
ใช้หมดแล้ว หลังจากนนั้ ผเู้ สียหายไปทวงอกี หลายครัง้ จ�ำเลยผดั ผ่อนและไม่เคยปฏิเสธวา่ ไม่ได้รบั ฝากเงิน
จนกระทัง่ ผ้เู สียหายไปแจ้งความ พนักงานสอบสวนเรียกไปสอบถาม จ�ำเลยจงึ ปฏิเสธวา่ ไม่เคยรบั ฝากเงิน
มส
จากผเู้ สียหาย ดังนีเ้ ห็นวา่ ตามมาตรา 672 ผูร้ บั ฝ ากเงินม สี ทิ ธิเอาเงินทฝี่ ากไปใช้โดยมหี น้าท ตี่ อ้ งคนื เงินให้
ครบจำ� นวน ขณะทจี่ ำ� เลยเอาเงินไปใช้หมด จ�ำเลยไม่มีเจตนาทจุ ริตยกั ยอกเงินนนั้ เพราะจำ� เลยได้ผดั ผ่อน
การชำ� ระเงินอยู่ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง การที่จำ� เลยปฏิเสธในภายหลังว่าไม่เคยรับฝากเงินกบั
ผูเ้ สียหาย ไม่ทำ� ให้จำ� เลยมคี วามผดิ ฐานทจุ ริตทรี่ บั ฝาก ไม่เป็นความผดิ ยกั ยอก พิพากษายกฟ้อง
3. หน้าที่ที่จะต้องคืนเงินที่รับฝากให้ครบจ�ำนวน การฝากทรัพย์อ ื่นนอกจากเงินตรา ถ้าผู้ฝาก
มิได้อนุญาตและผรู้ บั ฝากเอาทรัพยสนิ ซงึ่ ฝากนนั้ ออกใช้สอยหรือเอาไปให้บคุ คลภายนอกใช้สอย ผูร้ บั ฝาก
จะต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นสูญาหยหรือบุบสลาย แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย (มาตรา 660)
ส่วนการฝากเงิน กฎหมายบัญญัติให้ผู้รับฝากเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกไปใช้ได้เหตุนี้จึงบัญญัติตามมาตรา
672 วรรคสองตอ่ ไปวา่ “แม้ว่าเงินฝากนั้นจ ะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จ �ำต้องคืนเงิน
เป็นจ �ำนวนดังว ่าน ั้น”
ธ
อุทาหรณ์
กิจฝ ากเงินจำ� นวน 500 บาท ไว้แก่ เข่ง มีธนบัตรฉบับละ 100 บาท 5 ฉบับ เข่งรบั มอบแล้วเอาไป
มส
เก็บไว้ในตู้ ต่อมาไฟไหม้ธนบัตรทงั้ หมด ดังนี้ เข่ง ก็ยงั มหี น้าที่ตอ้ งคืนเงินให้ครบจำ� นวน 500 บาท แก่กจิ
ฎ. 1369/2493 ชายหญิงอยูก่ นิ ดว้ ยกนั ฉนั สามีภรรยา แต่ไม่จดทะเบียนสมรส หญิงมอบเงินจำ� นวน
หนึ่งให้ชายเพื่อให้หาผลประโยชน์ให้ ชายจึงเอาเงินนั้นไปให้ผู้อื่นกู้ ดังนี้หาใช่หญิงตั้งชายเป็นตัวแทนไป
ท�ำนติ กิ รรมการกไู้ ม่ ชายจงึ ตอ้ งรบั ผดิ คนื เงินให้หญิงโดยถอื ว่าชายเป็นผใู้ ห้กยู้ อ่ มมสี ทิ ธิและความรบั ผดิ ตอ่
ผูก้ โู้ ดยตรง เงินท ี่หญิงมอบให้ชายไว้นั้นเท่ากับเงินฝ ากซึ่งผ ู้รับฝากจะต้องคืนให้ตามมาตรา 672 เมื่อช าย
ตาย ผูจ้ ดั การมรดกและทายาทตอ้ งคนื เงินจำ� นวนนแี้ ก่หญิง จะอา้ งวา่ ชายเป็นตวั แทนของหญิง จึงให้หญิง
ไปเรียกร้องเอาจากลูกหนี้เงินก ไู้ ม่ได้
ตามคำ� พพิ ากษาศาลฎกี า เมือ่ ว นิ จิ ฉัยว า่ เป็นส ญ
4. หน้าที่ไม่ต้องส่งคืนเงินก่อนถึงเวลาที่ตกลงกันไว้เฉพาะในกรณีที่จ�ำต้องคืนเงินเพียงเท่า
จ�ำนวนทฝี่ าก การฝากทรัพย์อ นื่ น อกจากเงินต รานนั้ แม้วา่ ค สู่ ญ ั ญาจะได้ก ำ� หนดเวลาไว้ว า่ จ ะพงึ ค นื ท รัพย์สนิ
ซึ่งฝากนั้นเมื่อไรก็ตาม ผูฝ้ ากเรียกคืนในเวลาใดๆ ก็ได้ (มาตรา 663) แต่การฝากเงินนั้นผ ู้รับฝากเอาเงิน
สธ
ซึ่งฝากนั้นออกใช้ได้ (มาตรา 672 วรรคสอง) ถ้าผู้ฝากเรียกคืนก่อนก�ำหนดอาจไม่สะดวกแก่ผู้รับฝาก
ส่วนดา้ นผรู้ บั ฝากทคี่ นื กอ่ นครบกำ� หนด ผูฝ้ ากกอ็ าจจะไม่สะดวกทจี่ ะเอาเงินนนั้ ร กั ษาไว้และอาจไม่เป็นการ
ปลอดภัยก็ได้ เหตุนี้ กรณีที่ต้องคืนเงินแต่เพียงเท่าจ�ำนวนที่ฝาก กฎหมายจึงบัญญัตไิ ว้ในมาตรา 673 ว่า
ม
4-74 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
อุทาหรณ์
กิจฝากเงิน 1,000 บาท ไว้ที่ เข่ง มีก�ำหนด 2 เดือน และ เข่งต้องคืนเงินแต่เพียงจ�ำนวน 1,000
มส
บาท ดังนี้ กิจจะเรียกถอนเงิน 1,000 บาท คืนก่อน 2 เดือนไม่ไ ด้ และ เข่ง จะส่งเงิน 1,000 บาท คืนก่อน
2 เดือน ทีต่ กลงกันไว้ไม่ได้ดุจกัน
แดง ฝากเงิน 1,000 บาท แก่ดำ � มีก�ำหนด 2 เดือน และ ด�ำตกลงจะให้ดอกเบี้ยแ ก่ แดง 20 บาท
ด้วย ดังนี้แดงผู้ฝากเงินเรียกคืนในเวลาใดๆ ก่อนกำ� หนดได้ (มาตรา 663) แต่ ด�ำผู้รับฝากไม่มีสิทธิคืน
เงินก่อนถึงเวลาก�ำหนด (มาตรา 662)
อุทาหรณ์
ฎ. 80/2511 ผูฝ้ ากเงินไว้กบั ธนาคารมนี ติ สิ มั พันธ์กบั ธนาคารตามลกั ษณะฝากทรัพย์ ผูฝ้ ากจะถอน
เงินค นื กอ่ นถงึ เวลาทตี่ กลงกนั ไว้ไ ม่ได้ และธนาคารผรู้ บั ฝากจะสง่ เงินคนื ก อ่ นถงึ เวลานนั้ กไ็ ม่ไ ด้ต ามมาตรา
67348 แต่ถ้าผู้ฝากตายก่อนถึงเวลาที่ตกลงกัน ธนาคารมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้แก่ทายาทตามมาตรา 665
จะอ้างมาตรา 673 ไม่คืนเงินจนกว่าจะถึงกำ� หนดตามที่ตกลงกันไม่ได้
ธ
ตามค�ำพิพากษาศาลฎีกานี้ แสดงว่า มาตรา 673 ที่ว่าคืนเงินที่ฝากก่อนถึงเวลาที่ตกลงกันไม่ได้
ต้องอยูภ่ ายใต้บ งั คับม าตรา 665 กล่าวคอื ถ้าผ ฝู้ ากตายกอ่ นกำ� หนดเวลาทตี่ กลงกนั ผูร้ บั ฝ ากกต็ อ้ งคนื เงิน
มส
สิทธิและหน้าที่ของผู้ฝากเงิน
ผู้ฝากเงินมีสิทธิและหน้าที่ 4 ประการ คือ
1. สิทธิเรียกเงินทฝี่ ากจนครบจำ� นวน
2. หน้าทีร่ ับคืนเงินตราอันอื่นทไี่ ม่ใช่อันเดียวกับทฝี่ าก
3. หน้าทีไ่ ม่ขัดขวางในการที่ผู้รับฝากเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้สอย
ม
4. หน้าทีไ่ ม่ถอนเงินคนื ก อ่ นถงึ เวลาทตี่ กลงกนั ไ ว้เฉพาะในกรณีทผี่ รู้ บั ฝ ากจำ
� ตอ้ งคนื เงินเพียงเท่า
จ�ำนวนทฝี่ าก
สธ
48 มาตรา 673 หมายความเฉพาะกรณีที่ธนาคารผู้รับฝาก คืนเงินแต่เพียงเท่าจำ�นวนที่ฝากเท่านั้น เช่น คืนต้นเงินให้
ไม่มีดอกเบี้ย ถ้าธนาคารผู้รับฝากต้องคืนดอกเบี้ยด้วย ก็อ้างมาตรา 673 ไม่ได้
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-75
1. สิทธิเรียกคืนเงินที่ฝากจนครบจ�ำนวน การฝากเงินนั้นกรรมสิทธิ์ในเงินโอนไปยังผู้รับฝาก
ดังก ล่าวแล้ว เมื่อเงินนั้นเกิดสูญหายด้วยประการใดๆ ก็ด ี แม้เป็นเหตุสุดวิสัย ก็ย ่อมตกเป็นพ ับแ ก่เจ้าของ
เหตุนี้กฎหมายจึงบัญญัติว่าแม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จ�ำต้อง
คืนเงินเป็นจ�ำนวนดั่งว่านั้น (มาตรา 672 วรรคสอง) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าผู้ฝากเงินมีสิทธิเรียกคืนเงิน
ที่ฝากจนครบจ�ำนวนทั้งๆ ที่เงินฝากได้สูญหายด้วยเหตุสุดวิสัยน ั่นเอง (ฎ.3076/2533)
ธ
อนึ่ง ผู้ฝากเงินได้ฝากเงินแก่ผู้รับฝากโดยไม่รู้ว่าการที่ผู้รับฝากเงินประกอบการธนาคารพาณิชย์
โดยมิได้ร ับอ นุญาต สัญญาฝากจึงไม่เป็นโ มฆะเพราะมวี ัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย ปพพ.
มส
มาตรา 150 ผูฝ้ ากเงินม สี ิทธิเรียกเงินฝากคืนจากผู้รับฝ ากได้
ตามค�ำพิพากษาศาลฎีกา ผู้ฝากเงินไม่รู้ว่า ผู้รับฝากเงินเอาเงินฝากไปหาประโยชน์เข้าข่าย
ประกอบการธนาคารพาณิชย์ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมาย สัญญาฝากเงินไม่เป็นโมฆะ ผู้ฝากจึงมีสิทธิเรียก
คืนเงินที่ฝากจนครบจำ� นวนแต่หากผู้ฝากเงินรู้ว่าผู้รับฝากน�ำเงินไปประกอบการธนาคารพาณิชย์แล้ว
สัญญาฝากเงินเป็นโมฆะ เพราะวตั ถุประสงค์ตอ้ งหา้ มชดั แ จ้งโ ดยกฎหมาย ตาม ปพพ. มาตรา 150 ผู้ฝาก
ไม่มสี ิทธิเรียกเงินท ี่ฝ ากคืน
อุทาหรณ์
ฎ. 1124/2512 กรณีส ืบเนื่องจากจ�ำเลย (ลูกห นี้) ถูกศ าลพิพากษาให้เป็นบ ุคคลล้มล ะลาย เจ้าห นี้
ยืน่ คำ� ขอรบั ชำ� ระหนีอ้ า้ งวา่ จำ� เลย (ลูกหนี)้ เป็นหนีค้ า่ รบั ฝากเงินและดอกเบีย้ ศาลฎกี าเห็นวา่ การฝากเงิน
ธ
รายนี้ ผูข้ อรับช ำ� ระหนีจ้ ะถอนคนื ต อ้ งบอกกล่าวลว่ งหน้าแก่ล กู ห นี้ 1 เดือน ลูกห นีใ้ ห้ผลประโยชน์ต อบแทน
เป็นดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือนโดยทบต้น ลูกหนี้เอาเงินที่ฝากไปหาประโยชน์โดยให้พ่อค้าและเพื่อนๆ ที่
มส
รูจ้ กั ชอบพอกนั กยู้ มื โดยลกู หนีเ้ รียกคา่ นายหน้า ค่ารางวัล ค่าดอกเบีย้ จากผทู้ กี่ ยู้ มื ไปมจี ำ� นวนสงู ก ว่าจำ� นวน
ดอกเบีย้ จากผทู้ กี่ ยู้ มื ไปมจี ำ� นวนสงู กว่าจำ� นวนดอกเบีย้ ทจี่ ะจา่ ยให้แก่ผฝู้ าก การกระทำ � ของลกู หนีเ้ ป็นปกติ
ธุระ จึงเป็นการประกอบการธนาคารพาณิชย์ดังบัญญัติในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์
พ.ศ. 2505 ที่บัญญัติว่า การกระท�ำของลูกหนี้ในกิจกรรมธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวมานี้เป็นโมฆะหรือไม่
ศาลฎกี าเห็นว า่ ผ ขู้ อรับช ำ� ระหนีไ้ ม่ท ราบวา่ ก จิ การทลี่ กู ห นีเ้ อาเงินท รี่ บั ฝ ากไปหาประโยชน์เป็นการธนาคาร
พาณิชย์ ผูข้ อรับชำ� ระหนีม้ ไิ ด้รว่ มรใู้ นการกระทำ � ของลกู หนี้ ซึง่ มวี ตั ถุประสงค์เป็นการตอ้ งหา้ มโดยกฎหมาย
ม
ดังนี้ นิตกิ รรมรบั ฝากเงินระหว่างผขู้ อรับชำ� ระหนีก้ บั ลกู หนีจ้ งึ ไม่เป็นโมฆะ ผูข้ อรับช ำ� ระหนีม้ สี ทิ ธิเรียกเงิน
ฝากนี้คืนได้
2. หน้าที่รับคืนเงินตราอันอื่นที่ไม่ใช่อันเดียวกับที่ฝาก โดยที่การฝากเงิน กรรมสิทธิ์ในเงินโอน
ไปยังผู้รับฝาก ฉะนั้นเวลารับคืนเงินฝาก ผู้ฝากเงินจึงต้องรับคืนเงินตราอันอื่นที่ไม่ใช่อันเดียวกับที่ฝาก
เพียงแต่ม สี ิทธิร ับค ืนเงินฝ ากครบจ�ำนวน (มาตรา 672 วรรคหนึ่ง)
3. หน้าที่ไม่ขัดขวางในการที่ผู้รับฝากเอาเงินซึ่งรับฝากนั้นออกใช้สอย การฝากเงินกรรมสิทธิ์
ในเงินโอนไปยังผู้รับฝากดังกล่าวมาแล้ว กฎหมายจึงบัญญัติว่าผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้
สธ
แต่หากเวลาคืนจ�ำต้องคืนเงินให้ครบจำ� นวนเท่านั้น (มาตรา 672 วรรคสอง) เหตุนี้ ผู้ฝากเงินจึงมีหน้าที่
ไม่ขัดขวางในกรณีทผี่ ู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้
ม
4-76 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
4. หน้าที่ไม่ถอนเงินคืนก่อนถึงเวลาที่ตกลงไว้ เฉพาะในกรณีที่ผู้รับฝากจ�ำต้องคืนเงินเพียงเท่า
จ�ำนวนที่ฝาก ผูฝ้ ากเก็บเงินไ ว้เองอาจจะไม่เป็นการปลอดภัยจ ึงน �ำเงินไ ปฝาก ฉะนั้น เมื่อค สู่ ัญญาคือผ ู้รับ
ฝากและผฝู้ ากเงินต า่ งตกลงกนั ก ำ� หนดเวลาทจี่ ะคนื เงินฝ ากเท่าจ ำ� นวนทฝี่ ากกนั เมือ่ ใดแล้ว ผูร้ บั ฝ ากเงินจ ะ
ส่งคนื เงินฝากกอ่ นถงึ เวลาทตี่ กลงกนั ไว้ไม่ได้ ส่วนผฝู้ ากเงินมหี น้าทที่ จี่ ะไม่ถอนเงินคนื กอ่ นถงึ เวลาทตี่ กลง
กันไ ว้เช่นเดียวกัน (มาตรา 673)
ธ
กิจกรรม 4.2.2
มส
สดมรี าชการต้องไปต่างจังหวัดหลายเดือน จึงเอาสุนัข 1 ตัว กับเงินสด 10,000 บาท ไปฝากสวย
ไว้ โดยก�ำหนดจะมารับทรัพย์สินที่ฝากคืนในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ต่อมาสดกลับก่อนก�ำหนดใน
วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556 จึงมาปรึกษาท่านว่า
หรือไม่
1. ถ้าสดไปขอรับทรัพย์สินที่ฝากคืนในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556 สวยมีหน้าที่ต้องคืนให้
ตอนที่ 4.3
สัญญาฝากทรัพย์เฉพาะส�ำหรับการฝากกับเจ้าส�ำนักโรงแรม
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 4.3 แล้วจ ึงศ ึกษารายละเอียดต่อไ ป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
4.3.1 การฝากทรัพย์กับเจ้าสำ� นักโรงแรม
4.3.2 สิทธิและหน้าทีข่ องเจ้าสำ� นักโรงแรมและคนเดินทาง
4.3.3 อายุความ
สิทธิเหนือทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยที่เอามาไว้ในโรงแรม 2 ประการคือ
สิทธิยึดหน่วงและสิทธิเอาออกขายทอดตลาดเพื่อหักใช้หนี้แก่ตน ส่วนคนเดินทางหรือ
แขกอาศัยมีหน้าที่ 2 ประการคือ ให้ค่าพักอาศัย และต้องแจ้งความทันทีเมื่อพบว่า
ทรัพย์สินของตนสูญหายหรือบุบสลาย กับมสี ิทธิต่อเจ้าน ักโรงแรม 2 ประการได้แก่ ได้
รับชดใช้กรณีที่ทรัพย์สูญหายหรือบุบสลาย และไม่ยอมตกลงในการยกเว้นหรือจ�ำกัด
ความรับผิดของเจ้าสำ� นักโรงแรม
วัตถุประสงค์
ม
3. อายุความในเรือ่ งเจ้าสำ� นักโรงแรมแบ่งเป็นอายุความเฉพาะเรียกคา่ ทดแทนซงึ่ มกี ำ� หนด
เวลาเพียง 6 เดือน กับอายุความเรียกคนื ทรัพย์สนิ ทหี่ ลงลืมไว้ซ งึ่ ไ ม่มกี ำ� หนดอายุค วาม
เรื่องที่ 4.3.1
การฝากทรัพย์กับเจ้าส�ำนักโรงแรม
ธ
ค�ำวา่ “โรงแรม” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ค วามหมายวา่ ทีพ่ กั เดินท าง
ซึง่ ตอ้ งเสียคา่ พกั แรมดว้ ย ส่วนคำ � วา่ “โฮเต็ล” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หมายความ
มส
ถึงโรงแรมหรือที่พักคนเดินทาง ที่ภาษาอังกฤษใช้ค�ำว่า hotel นั่นเอง ส่วนตามพระราชบัญญัติโรงแรม
พ.ศ. 2547 มาตรา 4 ให้นิยามคำ � ว่า “โรงแรม” หมายความว่า “สถานที่พักทจี่ ัดตั้งขึ้นโดยมวี ัตถุประสงค์
ในทางธรุ กิจเพือ่ ให้บริการทพี่ กั ชวั่ คราวสำ� หรับคนเดินทางหรือบคุ คลอนื่ ใดโดยมคี า่ ต อบแทนทงั้ นีไ้ ม่รวมถงึ
(1) สถานที่พักที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการที่พักชั่วคราวซึ่งด�ำเนินการโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
องค์กรมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐหรือเพื่อการกุศลหรือการศึกษา ทั้งนี้โดยมิใช่เป็นการหาผลก�ำไร
หรือรายได้มาแบ่งปันกัน
ไปเท่านั้น
(2) สถานทพี่ กั ทจี่ ดั ตงั้ ขนึ้ โดยมวี ตั ถุประสงค์เพือ่ ให้บริการทพี่ กั โดยคดิ คา่ บริการเป็นรายเดือนขนึ้
โรงแรมเช่นกัน
เนือ่ งจากพระราชกฤษฎีกาใช้บ ทบัญญัตแิ ห่งป ระมวลกฎหมายแพ่งแ ละพาณิชย์บ รรพ 3 ทีไ่ ด้ต รวจ
ช�ำระใหม่ซงึ่ ลกั ษณะฝากทรัพย์ เป็นเอกเทศสญ ั ญาชนิดหนึง่ ทบี่ ญ
ั ญัตใิ นบรรพ 3 ประกาศวนั ที่ 1 มกราคม
พ.ศ. 2471 ซึง่ ขณะนนั้ ยงั ไม่มพี ระราชบญ ั ญัตโิ รงแรม พ.ศ. 2478 (ปัจจุบนั แก้ไขเพิม่ เติมเป็น พรบ. โรงแรม
พ.ศ. 2547) และพระราชบญ ั ญัตหิ อพัก พ.ศ. 2507 ออกใช้บงั คับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ
3 ลักษณะฝากทรัพย์หมวด 3 วิธีเฉพาะสำ� หรับเจ้าส�ำนักโรงแรม จึงบังคับถึง “โรงแรม หรือโฮเต็ล หรือ
สถานทอี่ ื่นท �ำนองเช่นว่านั้นด้วย” ซึ่งตัวบทภาษาอังกฤษใช้คำ
ดังนั้นค�ำว่าโรงแรม (an inn) ตามความเข้าใจในขณะประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์น่าจะ
ม
� ว่า “an inn, hotel or such other place”
ธ
เท่านัน้ เช่น ทีพ่ กั ค นเดินท างมเี ครือ่ งเรือนพร้อมสำ� หรับผ มู้ รี ถยนต์ห รือร ถจกั รยานยนต์ข บั ม าพกั แ รมระหว่าง
เมืองต่อเมืองในต่างประเทศ ทีเ่รียกว่า motel ซึ่งวัตถุประสงค์ต่างจากโมเต็ลทใี่ช้ในประเทศไทย เป็นต้น
มส
บทบัญญัติลักษณะฝากทรัพย์ วิธีเฉพาะส�ำหรับเจ้าสำ� นักโรงแรมนี้ กฎหมายบัญญัติสิทธิหน้าที่
ความรับผิดของบุคคลสองฝ่ายคือ “เจ้าส�ำนัก” ฝ่ายหนึ่ง กับ “คนเดินทางหรือแขกอาศัย” ค�ำว่า “เจ้า
ส�ำนัก” ตาม พรบ. โรงแรม พ.ศ. 2478 ให้ความหมายว่าบุคคลผู้ควบคุมและจัดการโรงแรมต่อมาเมื่อมี
การประกาศใช้ พรบ. โรงแรม พ.ศ. 2547 ค�ำว่า “เจ้าส�ำนัก” ไม่ปรากฏใน พรบ.ดังกล่าวมีเพียงค�ำว่า
“ผู้ป ระกอบธุรกิจโรงแรม” หมายความว่า ผู้ไ ด้รับอ นุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามพระราชบัญญัตนิ ี้และ
มีค�ำนิยามค�ำว่า “ผู้จัดการ” หมายความว่า “ผู้จัดการโรงแรมตามพระราชบัญญัตินี้และในมาตรา 30
แห่ง พรบ. ดังกล่าวบญ ั ญัติ “ให้ผปู้ ระกอบธรุ กิจโรงแรมจดั ให้มผี จู้ ดั การคนหนึง่ เป็นผมู้ หี น้าทจี่ ดั การโรงแรม
และผปู้ ระกอบธุรกิจโรงแรมและผจู้ ัดการโรงแรมหนึ่งๆ จะเป็นบ ุคคลคนเดียวกันก ็ได้”
ดังนั้นปัจจุบันนี้ “เจ้าสำ� นักโรงแรม” ก็หมายความถึงผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตาม พรบ. โรงแรม
ธ
พ.ศ. 2547
ส่วนค�ำว่า “ผู้พัก” ตาม พรบ. ดังกล่าวหมายความว่า “คนเดินทางหรือบุคคลอื่นใดที่ใช้บริการ
มส
ธ
แยกได้เป็น 2 กรณีคือ
1. ฝากทรัพย์โดยตรง หรือโดยสัญญาฝากทรัพย์เฉพาะราย
มส
2. ฝากทรัพย์โดยปริยาย หรือโดยบทบัญญัติของกฎหมาย
1. ฝากทรัพย์โดยตรง หรือโดยสัญญาฝากทรัพย์เฉพาะราย หมายความว่า คนเดินทางหรือ
แขกอาศัยได้พาทรัพย์สินมา เช่น กระเป๋าเดินทาง รถยนต์ เงินตรา ตั๋วเงิน ฯลฯ ของมีค่าอื่นๆ ได้ฝาก
ทรัพย์สนิ เหล่าน นั้ ไ ว้ต อ่ เจ้าส ำ� นักโรงแรมหรือผ แู้ ทนเจ้าส ำ� นักโรงแรมโดยตรงและบอกราคาของนนั้ ไ ว้ช ดั แ จ้ง
ซึ่งสิทธิหน้าที่ความรับผิดระหว่างเจ้าสำ� นักโรงแรมกับคนเดินทางหรือแขกอาศัยย ่อมเหมือนกับฝากทรัพย์
ธรรมดา ถ้าเจ้าส�ำนักโรงแรมเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นออกใช้สอย หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือ
ให้บคุ คลภายนอกเก็บรกั ษา ก็จะตอ้ งรบั ผดิ เมือ่ ทรัพย์สนิ ซงึ่ ฝากนนั้ สญ ู หายหรือบบุ สลายแม้ถงึ จะเป็นเพราะ
เหตุสุดวิสัย (มาตรา 660) หรือบุคคลภายนอกอ้างว่ามีสิทธิเหนือทรัพย์ซึ่งฝากและยึดทรัพย์สินนั้น
เจ้าส ำ� นักโรงแรมต้องรีบบ อกกล่าวแก่คนเดินทาง หรือแขกอาศัยโดยพลัน (มาตรา 661) เป็นต้น
ธ
ส่วนบทบัญญัติที่แสดงว่า คนเดินทางหรือแขกอาศัยอาจมีการฝากทรัพย์โดยตรงหรือทำ � สัญญา
ฝากทรัพย์เฉพาะรายกับเจ้าส�ำนักโรงแรมก็คือ มาตรา 675 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ความรับผิดนี้
มส
ไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้น ก็ค งต้องรับผิด” และมาตรา 677 บัญญัติว่า “ถ้ามี
ค�ำแจ้งค วามปิดไ ว้ใ นโรงแรม โฮเต็ล หรือส ถานที่อ ื่นท�ำนองเช่นว ่าน ี้ เป็นข ้อความยกเว้นห รือจ�ำกัดค วาม
รับผิดของเจ้าส�ำนักไซร้ ท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะได้ตกลงด้วย
ชัดแ จ้งในการยกเว้นหรือจ�ำกัดความรับผิดดั่งว่านั้น”
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 3024/2533 บริษัท ส. ได้รับอนุญาตให้ด�ำเนินก ิจการโรงแรมโดยมีจ�ำเลยเป็นเจ้าส �ำนักโรงแรม
จ�ำเลยซึ่งเจ้าของส�ำนักโรงแรมต้องรับผิดต่อโจทก์ ตาม ปพพ. มาตรา 674, 675 จ�ำเลยจะอ้างว่าไม่ต้อง
มส
รับผิดเป็นส ่วนตัวเพราะเป็นตัวแทนของบริษัท ส. ไม่ไ ด้
ฎ. 5005/2540 น.น�ำรถยนต์มาจอดไว้ในบริเวณลานจอดรถของโรงแรมจ�ำเลยและรถยนต์ได้หาย
ไป จ�ำเลยจึงต ้องรับผิดต่อโจทก์ต าม ปพพ. มาตรา 674 แม้ น.จะ มิได้แ จ้งให้พนักงานของจ�ำเลยทราบว่า
ได้น�ำรถยนต์มาจอดไว้ก็ตาม แต่เมื่อ น. ทราบแน่ชัดว่ารถยนต์หายไปก็ได้แจ้งแก่ ว. ผู้จัดการทั่วไปของ
โรงแรมจ�ำเลยทราบในทันที ทั้ง น. ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนถือได้ว่าเป็นการแจ้งเหตุแก่จ�ำเลย
ผู้เป็นเจ้าส �ำนักโรงแรมทราบทันที ตาม ปพพ. มาตรา 676 แล้ว ส่วนที่ใบกรอกรายละเอียด ชื่อ ทีอ่ ยู่ของ
ผู้เข้าพักโรงแรมจ�ำเลย ในตอนท้ายมีข้อความพิมพ์ไว้ว่า “โรงแรมจะไม่รับผิดชอบในทรัพย์สิน สิ่งมีค่า
หรือธ นบัตรซึ่งอ าจเกิดส ูญหาย...” อันเป็นการยกเว้นความรับผิดของจ�ำเลย และเป็นเอกสารที่จ �ำเลยท�ำ
ขึ้นฝ ่ายเดียว ไม่ป รากฏว่า น. ได้ต กลงด้วยชัดแ จ้งใ นการยกเว้นหรือจ �ำกัดค วามรับผ ิดข องจ�ำเลยดังก ล่าว
ธ
ข้อความเช่นน ี้จ ึงเป็นโ มฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 677 จ�ำเลยจึงยังคงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด เมื่อโจทก์
ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยแล้วย่อมได้
มส
กิจกรรม 4.3.1
ทิวได้มาพักที่โรงแรมฟอล์คแลนด์ และนำ
ม
� รถยนต์ที่ยืมมาจากราตรีมาจอดไว้ในโรงแรม บุญช่วย
คนของโรงแรมน�ำรถไปขับ ท�ำให้ชนกับรถคันอื่นเสียหาย ผู้จัดการโรงแรมฟอล์คแลนด์โต้แย้งว่า ไม่ต้อง
รับผิดเพราะบุญช่วยไม่ใช่ลูกจ้างของโรงแรม และทิวไม่ได้บอกฝากรถยนต์แก่ผู้จัดการโรงแรม ดังนี้ ถ้า
ราตรีมาปรึกษาท่านเพื่อฟ้องเรียกราคารถยนต์จากโรงแรมฟล์อคแลนด์ ท่านจะแนะน�ำอย่างไร
สธ
ม
4-82 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แนวตอบกิจกรรม 4.3.1
การทคี่ นเดินท างพาทรัพย์สินม าในโรงแรม คนเดินท างไม่ต ้องบอกกล่าวฝากแก่เจ้าส �ำนักโรงแรม
เพราะมใิ ช่เรือ่ งฝากทรัพย์ธ รรมดาทวั่ ไป แต่เป็นเรือ่ งเกีย่ วกบั เจ้าส ำ� นักโรงแรมซงึ่ ปพพ. มาตรา 674 บัญญัติ
ว่าเจ้าสำ� นักโรงแรม...จะตอ้ งรบั ผดิ เพือ่ ความสญ
ู หายหรือบบุ สลายอย่างใดๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สนิ ซงึ่ คนเดิน
ธ
ทางหรือแขกอาศัย หากได้พามาและ ปปพ. มาตรา 675 เจ้าส ำ� นักตอ้ งรบั ผดิ ในการทที่ รัพย์สนิ ข องคนเดิน
ทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้น
มส
เพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม...ก็คงต้องรับผิด เหตุนี้ เมื่อทิวได้พารถยนต์มาจอดไว้ในโรงแรม
ฟอล์คแลนด์ โรงแรมฟอล์คแลนด์ก็ต้องรับผิดโดยไม่ต้องค�ำนึงถึงว่าบุญช่วยผู้ทำ � ละเมิดขับรถไปชนรถ
ค้นอื่นเสียหายจะเป็นลูกจ้างของโรงแรมฟอล์คแลนด์หรือไม่ กล่าวคือ โรงแรมฟอล์คแลนด์ต้องรับผิดใช้
ราคารถยนต์แก่ราตรี ข้าพเจ้าจะแนะน�ำตามที่กล่าวมาแล้ว
เรื่องที่ 4.3.2
สิทธิและหน้าที่ของเจ้าส�ำนักโรงแรมและคนเดินทาง
ธ
มส
เมื่อคนเดินทางหรือแขกอาศัยได้ตกลงท�ำสัญญาพักอาศัยอยู่ในโรงแรม โฮเต็ลหรือสถานที่อื่น
ท�ำนองเช่นว่านั้นแล้ว เจ้าสำ� นักโรงแรมและคนเดินทางหรือแขกอาศัยย่อมมีสิทธิและหน้าทีต่ ่อกันเกี่ยวกับ
ทรัพย์สินที่คนเดินทางหรือแขกอาศัยได้พามาหรือเอามาไว้ในโรงแรม โฮเต็ลหรือสถานที่เช่นนั้นโดย
บทบัญญัตขิ องกฎหมายทำ� นองคล้ายกับว่าทรัพย์สินนั้นฝากไว้ก ับเจ้าส�ำนักโรงแรมแล้ว ดังต่อไปนี้
สิทธิของเจ้าส�ำนักโรงแรม
คือ
1. สิทธิยึดหน่วงเครื่องเดินทางหรือทรัพย์สินอื่นอันเอาไว้ในโรงแรม
ม
เจ้าสำ� นักโรงแรม มีสทิ ธิเหนือทรัพย์สนิ ของคนเดินทางหรือแขกอาศัยทเี่ อาไว้ในโรงแรม 2 ประการ
ทีย่ ดึ หน่วงกไ็ ม่ได้ แต่ความจำ� เป็นทคี่ นเดินทางมาจากตา่ งประเทศ การทจี่ ะให้เจ้าสำ� นักโรงแรมไปฟอ้ งรอ้ ง
ย่อมไม่คุ้มกับความเสียหายและเป็นการยุ่งยากทั้งเป็นเงินจ�ำนวนไม่มากนัก กิจการโรงแรมเป็นการค้า
ต้องการวิธีที่รวบรัดและรวดเร็ว เหตุนี้กฎหมายจึงบัญญัติให้อำ� นาจยึดหน่วงโดยเฉพาะไว้ในมาตรา 679
วรรคหนึ่งว่า “เจ้าส�ำนักชอบที่จะยึดหน่วงเครื่องเดินทาง หรือทรัพย์สินอย่างอื่นของคนเดินทางหรือ
แขกอาศัยอ ันเอาไว้ในโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นน ั้นไ ด้จ นกว่าจ ะได้ร ับใ ช้เงินบ รรดาที่ค ้างช�ำระแก่
ธ
ตน เพื่อการพักอาศัยและการอื่น ๆ อันได้ท�ำให้แก่คนเดินทางหรือแขกอาศัยตามที่เขาพึงต้องการนั้น
รวมทั้งการชดใช้เงินทั้งห ลายที่ได้ออกแทนไปด้วย”
มส
ทรัพย์สินที่เจ้าสำ� นักโรงแรมมีสิทธิยึดหน่วงคือเครื่องเดินทาง เช่น กระเป๋าใส่เสื้อผ้า ใส่เครื่องใช้
ส่วนตัว หรือเครื่องสำ� อางของคนเดินทาง เป็นต้น รวมตลอดทั้งทรัพย์สินอื่นของคนเดินทางอันเอาไว้ใน
โรงแรม เช่น เครื่องเล่นกีฬา เครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพที่คนเดินทางเอามาไว้
ยานพาหนะที่คนเดินทางเอามไว้ ของเด็กเล่น ของขวัญหรือทรัพย์สินอื่นที่คนเดินทางซื้อมาระหว่างพัก
แรมและน�ำมาไว้ในโรงแรม ฯลฯ เป็นต้น ข้อส�ำคัญคือทรัพย์สินเหล่านี้คนเดินทางต้องเป็นเจ้าของ ไม่ใช่
คนเดินทางรับฝากไว้หรือยืมมาหรือเป็นของบุคคลอื่น และถ้าทรัพย์สินเหล่านี้ แม้เป็นของคนเดินทางแต่
เอาไว้นอกโรงแรม เช่น คนเดินทางจอดรถยนต์ไว้ที่ข้างถนนหรือที่ปั๊มน�้ำมัน ซึ่งไม่ใช่เป็นโรงเก็บรถยนต์
ของโรงแรม เจ้าส�ำนักโรงแรมก็จะยึดหน่วงไม่ได้ หรือเป็นของติดตัวของผู้เดินทาง เช่น ปากกาที่เสียบไว้
ที่กระเป๋าเสื้อ นาฬิกาที่ผูกไว้ที่ข้อมือ หรือส ร้อยคอที่สวมไว้ที่คอของคนเดินทาง เจ้าส�ำนักโรงแรมก็จะยึด
ธ
หน่วงไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะทรัพย์สินดังกล่าว คนเดินทางไม่ได้เอาไว้ในโรงแรมนั่นเอง
มีข้อน่าสังเกตประการหนึ่งส�ำหรับหน้าที่ของเจ้าส�ำนักโรงแรมที่ต้องรับผิดต่อทรัพย์สินของ
มส
ธ
ทดรองเงินค่าร ถรับจ้างทพี่ าคนเดินท างมา ทดรองเงินซื้อข องตามที่คนเดินท างสั่ง เป็นต้น
นอกจากนี้ 3 กรณีดังกล่าวแล้ว เจ้าส�ำนักโรงแรมจะใช้สิทธิยึดหน่วงไม่ได้ เช่น หนี้ที่คนเดินทาง
มส
กู้ย ืมเงินเจ้าส �ำนักโรงแรมหรือห นี้ทคี่ นเดินท างท�ำละเมิดเป็นเหตุให้โรงแรมเสียห าย ฯลฯ เจ้าส �ำนักโรงแรม
จะยึดห น่วงเครื่องเดินทางหรือท รัพย์สินของคนเดินทางหาได้ไม่
2. สิทธิเอาทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยออกขายทอดตลาดเพื่อหักใช้หนี้แก่ตน
เนือ่ งจากกจิ การโรงแรมเป็นการคา้ พ าณิชย์ท ตี่ อ้ งการความสะดวกรวบรัดแ ละรวดเร็วด งั ก ล่าว กฎหมายจงึ
บัญญัติให้สิทธิเจ้าส�ำนักโรงแรมที่จะบังคับการช�ำระหนี้ด้วยตนเองโดยเอาทรัพย์สินที่ยึดหน่วงออกขาย
ทอดตลาดหกั ใช้ห นีแ้ ก่ต น ไม่ต อ้ งฟอ้ งขอให้ศ าลบงั คับให้ เช่นเดียวกบั สทิ ธิของผรู้ บั จำ� น�ำ ในการบงั คับจำ� น�ำ
ตาม ปพพ. มาตรา 764-768 ซึ่งผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงอื่นๆ หามีสิทธิเอาทรัพย์ที่ยึดหน่วงออกขายไม่ ใน
เรื่องเจ้าส �ำนักโรงแรม กฎหมายบัญญัตไิ ว้เป็นพ ิเศษในมาตรา 679 วรรคสอง และวรรคสามว่า
“เจ้าสำ� นักจะเอาทรัพย์สนิ ทไี่ ด้ยดึ หน่วงไว้เช่นวา่ นนั้ ออกขายทอดตลาดแล้วหกั เอาเงินใช้จำ� นวน
ธ
ที่ค้างชำ� ระแก่ตน รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาดนั้นจ ากเงินที่ขายทรัพย์สิน
นั้นก ็ได้ แต่ท่านมิให้เจ้าส �ำนักใช้ส ิทธิดังว ่าน ี้ จนเมื่อ
มส
ธ
อื่นๆ อันได้ทำ� ให้แก่คนเดินทางและ (ค) หนี้เงินได้อ อกแทนไป
(2) หักเอาเงินใช้ค่าฤชาธรรมเนียม (ถ้ามี) กล่าวคือ กรณีวางเงิน ณ ส�ำนักงานวางทรัพย์ ซึ่ง
มส
ต้องเสียคา่ ฤชาธรรมเนียมในการวางทรัพย์ (ปพพ. มาตรา 338) เจ้าสำ� นักโรงแรมยอ่ มหกั เอาออกจากเงิน
ทีข่ ายทอดตลาดได้
(3) หักเอาเงินใช้ค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาด (ถ้ามี) กล่าวคือ การขายทอดตลาดหลักทรัพย์
ทีย่ ึดห น่วง เจ้าส �ำนักโรงแรมอาจจัดการขายเอง หรือม อบให้ส �ำนักงานที่ท�ำหน้าทีข่ ายทอดตลาดจัดการให้
ซึ่งในการนี้ย่อมต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาด ดังนี้ เจ้าส�ำนักโรงแรมย่อมหักเอาออกจากเงินที่
ขายทอดตลาดได้เช่นเดียวกัน
(4) เมือ่ หกั ใช้หนีด้ งั กล่าวมาในขอ้ (1) (2) (3) แล้วมเี งินเหลืออยูอ่ กี เท่าใด ต้องคนื ให้แก่เจ้าของ51
(5) ถ้าเจ้าสำ� นักโรงแรมไม่สามารถจะหยัง่ รถู้ งึ สทิ ธิหรือไม่รตู้ วั เจ้าของทรัพย์สนิ ได้แน่นอนโดยมใิ ช่
เป็นความผิดของตนหรือเจ้าของทรัพย์สินบอกปัดไม่ยอมรับเงินที่เหลือหรือไม่สามารถจะรับเงินที่เหลือไว้
ธ
เจ้าส�ำนักโรงแรมก็ชอบที่จะวางเงินที่เหลือ ณ ส�ำนักงานวางทรัพย์ประจ�ำต�ำบลที่จะต้องชำ� ระหนี้ (ปพพ.
มาตรา 331, 333) ซึง่ ปจั จุบนั นี้ ส�ำนักงานวางทรัพย์สำ� หรับกรุงเทพมหานครคอื ส�ำนักงานวางทรัพย์กลาง
มส
กรมบงั คับคดี ส่วนตา่ งจงั หวัดคอื สำ� นักงานบงั คับคดีและวางทรัพย์ภมู ภิ าคซงึ่ ตงั้ อยูใ่ นจงั หวัดทตี่ งั้ สำ� นักงาน
อธิบดีผ พู้ ิพากษาภาคทั้ง 9 ภาค แต่ในกรณีท ี่สถานที่จะต้องชำ� ระหนีไ้ ม่ใช่ท ี่ตั้งส�ำนักงานบังคับค ดีและวาง
ทรัพย์ภ มู ภิ าค เจ้าส ำ� นักโรงแรมกช็ อบทจี่ ะวางเงินท เี่ หลือต อ่ จ า่ ศ าลจงั หวัดน นั้ จ่าศ าลจงั หวัดก จ็ ะรบั ท รัพย์
นั้นไว้แล้วแจ้งให้ส�ำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคทราบ วิธีการวางทรัพย์ต้องปฏิบัติอย่างไรนั้น
กระทรวงยุติธรรมได้วางระเบียบว่าด้วยการวางทรัพย์ ส�ำนักงานวางทรัพย์ก ลางกรมบังคับคดี พ.ศ. 2518
และระเบียบปฏิบตั เิ กีย่ วกบั ก ารวางทรัพย์ในตา่ งจงั หวัดต าม น.ว. ที่ 36/2519 ลงวนั ท ี่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.
ม
2519 ขึน้ เพือ่ วางระเบียบเกีย่ วกบั การวางทรัพย์ไว้แล้ว52 เจ้าสำ� นักโรงแรมทปี่ ระสงค์จะวางทรัพย์จงึ ไม่ตอ้ ง
ร้องขอตอ่ ศาลกำ� หนดสำ� นักงานวางทรัพย์ และตงั้ ผพู้ ทิ กั ษ์ทรัพย์ทวี่ างนนั้ ขนึ้ ตาม ปพพ. มาตรา 333 วรรค
ท้าย
สธ
51แต่ถ้านำ�ทรัพย์สินท ยี่ ึดหน่วงออกขายทอดตลาดแล้ว ได้เงินไ ม่พอชำ�ระหนี้ เจ้าสำ�นักโรงแรมกต็ ้องฟ้องคดีเพื่อให้ศ าล
บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของคนเดินทางต่อไป
52 สมชาย ศิริบุตร จิระวรรณ ศิรบ ิ ุตร คู่มือต ุลาการภาคปฏิบัติเกี่ยวกับคดีแพ่ง คดีอาญา คดีล้มละลาย คดีอาญาในศาล
แขวง คดีเด็กและเยาวชน เล่ม 1 กรุงเทพมหานคร แสวงสุทธิการพิมพ์ พ.ศ. 2525 น. 134-142.
ม
4-86 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
หน้าที่ของเจ้าส�ำนักโรงแรม
เจ้าสำ� นักโรงแรมมหี น้าทใี่ ห้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สนิ ของคนเดินทางหรือแขกอาศัย ถ้าไม่ปฏิบตั ิ
ก็ก่อให้เกิดความรับผิด ซึ่งความรับผิดเช่นว่านี้อาจแยกออกได้เป็น 2 ประการ คือ
1. ความรับผิดชดใช้ราคาทรัพย์ไม่จำ� กัดจ�ำนวนเงิน
ธ
2. ความรับผิดชดใช้ราคาทรัพย์สินโดยจ�ำกัดจ�ำนวนเงิน
1. ความรับผิดชดใช้ราคาทรัพย์สินไม่จ�ำกัดจ�ำนวนเงิน โดยที่เจ้าส�ำนักโรงแรมได้ประโยชน์
ตอบแทนเป็นคา่ ทีพ่ กั จากคนเดินทางหรือแขกอาศัยจงึ ตอ้ งมหี น้าทใี่ ห้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สนิ ซ งึ่ คนเดิน
มส
ทางหรือแ ขกอาศัยไ ด้พ ามาหรือเอามาไว้ในโรงแรม ซึง่ เท่ากับส ง่ ม อบทรัพย์สนิ น นั้ ฝากไว้ก บั เจ้าส ำ� นักโรงแรม
โดยปริยายแล้วนั่นเอง เมื่อทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไป ไม่ว ่าเกิดจาก
ครอบครัวลูกจ้างหรือคนงานของเจ้าส�ำนัก คนเดินทางหรือแขกอาศัยคนอื่นหรือผู้คนที่ไปมาเข้าออก
โรงแรมเป็นผ ู้กระท�ำ เจ้าส�ำนักโรงแรม ก็ต้องรับผิดในทรัพย์สินของคนเดินทาง โดยไม่จ�ำกัดจ�ำนวนเท่าท ี่
เสียห ายจริง ดังท ี่มาตรา 674 บัญญัตวิ ่า “เจ้าส �ำนักโ รงแรมหรือโ ฮเต็ล หรือส ถานที่อื่นท �ำนองเช่นว ่าน ั้น
จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย
หากได้พามา” และมาตรา 675 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “เจ้าส�ำนักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดิน
ทางหรือแขกอาศัยสญ ู หายหรือบบุ ส ลายไปอย่างใด ๆ แม้ถงึ ว่าความสญ ู หายหรือบบุ ส ลายจะเกิดขนึ้ เพราะ
ผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้น ก็คงต้องรับผิด” ทรัพย์สินที่ต้องรับผิดตาม
ธ
มาตรา 674, 675 วรรคหนึ่ง หมายถึง ทรัพย์สินทั่วๆ ไป เช่น กระเป๋าเดินทาง เสื้อผ้า เครื่องกีฬา
ยานพาหนะและอื่นๆ ยกเว้นทรัพย์สินที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 675 วรรคสอง คือเงินทองตรา ธนบัตร
มส
ธ
มาตรา 675 วรรคสองหาได้ไม่ พิพากษาให้จำ� เลยทั้งสองคดีใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์คดีแรก 27,650
บาท และแก่โจทก์คดีห ลัง 6,000 บาท
มส
2. ความรับผิดชดใช้ราคาทรัพย์สินโดยจ�ำกัดจ�ำนวนเงิน โดยทีท่ รัพย์สนิ บ างอย่าง คือ เงินท อง
ตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณีของมีค่าอื่นๆ อาจมีราคาสูงมาก
เป็นของที่ต้องเก็บรักษาไว้อย่างมั่นคงแข็งแรงและต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าทรัพย์สินธรรมดา หาก
เกิดสูญหายหรือบุบสลายขึ้นและเจ้าสำ� นักโรงแรมต้องรับผิดเท่าที่เกิดความเสียหายแท้จริงแล้ว กิจการ
โรงแรม โฮเต็ ล หรื อ ส ถานที่ อื่ น ท�ำ นองเช่ น ว่า นั้ น จะต้อ งล้ มละลายเ นื่อ งจากไ ม่มี เงิ น ช ดใช้ ก็เ ป็นได้
ทั้งเป็นการบัญญัติให้เจ้าส�ำนักโรงแรมรับผิดเกินควรอีกด้วย กฎหมายจึงจ�ำกัดความรับผิดของเจ้าส�ำนัก
โรงแรมไว้เพียงห้าพันบาท แต่ถ้าคนเดินทางหรือแขกอาศัยได้ฝากไว้แก่เจ้าส�ำนักโรงแรมและได้บอกราคา
แห่งข องนนั้ ชัดแ จ้ง เจ้าส ำ� นักโรงแรมยอ่ มตอ้ งใช้ค วามระมัดระวังม ากขนึ้ แ ละเก็บร กั ษาของนนั้ ไ ว้ในทมี่ นั่ คง
แข็งแ รง เช่น เก็บไว้ในตู้นิรภัย เป็นต้น ดังนี้ เมื่อเกิดสูญหายหรือบุบสลายขึ้น เจ้าส�ำนักโรงแรมจึงจะต้อง
ธ
รับผิดตามราคาแห่งของที่รับฝากไว้ เหตุนี้มาตรา 675 วรรคสองจึงบัญญัติว่า “ความรับผิดนี้ (ความ
รับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลาย) ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา
มส
ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเช็ค
ม
2.2 ตัว๋ เงิน (bills) ตามความหมายแห่ง (ปพพ. มาตรา 898) มีสามประเภทคอื ตัว๋ แ ลกเงิน
2.5 ใบหุ้นกู้ (debentures) คือเอกสารใบสำ� คัญท บี่ ริษทั ออกให้ไ ว้แ ก่ผทู้ ใี่ ห้บริษทั ก เู้ งิน แสดง
ยอดจ�ำนวนเงินท บี่ ริษัทจ ะกู้ ยอดจ�ำนวนหุ้นกู้ มูลค่าห ุ้นก หู้ ุ้นหนึ่งเท่าใด อัตราดอกเบี้ย วิธไี ถ่ค ืนหุ้นกแู้ ละ
ก�ำหนดเวลาทจี่ ะต้องไถ่คืน (ปัจจุบัน บริษัทเอกชน จะออกหุ้นกู้ไม่ได้ (ปพพ. มาตรา 1229))
2.6 ประทวนสิ น ค้ า (warrents) คือ เ อกสารซึ่ งอ อกจ ากทะเบี ยนมี ต้ นขั้ว เฉพาะก ารที่
นายคลังสินค้าออกให้แก่ผฝู้ ากสินค้า (ปพพ. มาตรา 775, 778)
ธ
2.7 อัญมณี (jewels) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมาย
ว่าร ตั นชาติท เี่ จียระไนแล้ว แก้วม ณีอ นื่ ๆ นอกจากเพชรพลอย พจนานุกรมไทยฉบับข องหา้ งหนุ้ ส ว่ นจำ� กัด
มส
บ�ำรุงส าส์นจ �ำหน่าย ให้ค วามหมายว่า เพชรพลอยและแก้วแหวนมีค่า
2.8 ของมีค่าอื่น (other valuables) คือทรัพย์สินที่มีคุณค่าอันมีลักษณะพิเศษทำ� นองเดียว
กับเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี นั่นเอง เช่น ธนาคาร
บัตร (Bank note) (เทียบมาตรา 620) หรือเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น
ของมีค่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 675 วรรคสองนี้ ถ้าคนเดินทางหรือแขกอาศัยเก็บเอาไว้เอง
หากเกิดสูญหายหรือบุบสลายไป เจ้าสำ� นักโรงแรมรับผิดจ�ำกัดเพียงห้าพันบาทเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นของมี
ค่าก สี่ งิ่ ก ต็ าม หรือข องมคี า่ เหล่าน นั้ จ ะมรี าคามหาศาลเท่าใดกต็ าม แต่ถ า้ ค นเดินท างหรือแ ขกอาศัยไ ด้ฝ าก
ไว้แ ก่เจ้าส ำ� นักโรงแรมและบอกราคาแห่งข องนนั้ ชดั แจ้งแ ล้ว ถ้าเกิดส ญ ู หายไปเจ้าส ำ� นักโรงแรมกต็ อ้ งรบั ผดิ
ตามราคาทบี่ อกไว้ แต่ถ า้ เกิดบ บุ ส ลายไปก็ รับผ ดิ ช ดใช้ค า่ ส นิ ไหมทดแทนเท่าท บี่ บุ ส ลายนนั้ ต ามความเป็น
ธ
จริง ไม่ใช่จำ� กัดเพียงห้าพันบาท
อุทาหรณ์
มส
ธ
จอดในโรงแรมแล้วหายไปทางโรงแรมต้องรับผิด
ฎ. 206-7/2522 กล้องถ่ายภาพยนตร์ และกล้องถ่ายภาพนิ่ง ไม่ใช่ของมีค่านอกเหนือจาก
มส
ของใช้ธรรมดา แม้ราคาสูงกไ็ ม่อยูใ่ นความหมายของมาตรา 675 วรรคสอง
ฎ. 289/2523 ของมีค่าตามความหมายในมาตรา 675 ไม่รวมถึงปืนและกระสุนปืน ซึ่งมิใช่
ของมคี ่าพ ิเศษนอกเหนือไปจากทรัพย์สินธรรมดา
ฎ. 1370/2526 โจทก์มาพักโรงแรมของจ�ำเลยและน�ำรถยนต์จอดไว้ที่โรงรถหรือลานจอดรถ
ในบริเวณโรงแรมโดยลอ็ คกญ ุ แจประตูรถไว้ ต่อมารถสญ
ทราบทันที จ�ำเลยกต็ ้องรับผิดต่อโจทก์
ู หายโดยถกู คนร้ายลกั ไป และโจทก์ได้แจ้งให้จำ� เลย
ฎ. 727/2536 โจทก์เข้าพักในโรงแรมได้น�ำรถยนต์ไปจอดไว้ที่ถนนสาธารณะหน้าโรงแรม
ตามที่พนักงานโรงแรมบอกให้จอด เมื่อรถยนต์ของโจทก์หายไป จ�ำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าส�ำนักโรงแรมจึง
ต้องรับผิดต่อโจทก์ต าม ปพพ. มาตรา 674
ธ
ฎ. 7790/2544 ลานจอดรถเป็นของจ�ำเลยจัดให้ผู้มาพักโรงแรมของจ�ำเลยได้จอดรถ น.
ซึ่งเป็นคนเดินทางจึงมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะน�ำรถยนต์เข้าไปจอดภายในบริเวณลานจอดรถดังกล่าว
มส
ซึง่ อยูใ่ นความรบั ผดิ ชอบของจำ� เลย ส่วนทจี่ ำ� เลยปดิ ประกาศไม่รบั ผดิ ชอบหากเกิดก ารสญ ู หายของทรัพย์สนิ
ก็ไม่ปรากฏว่า น. ได้ตกลงด้วยโดยชัดแจ้งในการยกเว้นความรับผิดตามประกาศดังกล่าว กรณีจึงไม่ต้อง
ด้วยข้อยกเว้นความรับผิด ตาม ปพพ. มาตรา 677 และในการจอดรถ น. ได้ป ิดล ็อกประตูรถทุกบานแล้ว
เพราะเป็นระบบเซ็นทรัลล็อก ย่อมถือได้ว่า น. มิได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์สูญหาย กรณี
ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามมาตรา 675 วรรคสาม
รถยนต์เป็นเพียงทรัพย์สินธ รรมดาทั่วๆ ไป เท่านั้น ถึงแม้ราคาจะค่อนข้างสูงก็ตาม ยังถือ
ไม่ได้มลี ักษณะเป็นข องมีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง น. ไม่จ�ำต้องแจ้งฝากรถยนต์ไว้ต่อจ�ำเลย
ข้อยกเว้นความรับผิดของเจ้าส�ำนักโรงแรม
ม
เจ้าส�ำนักโรงแรมที่มีหน้าที่รับผิดต่อทรัพย์สิน ของคนเดินทางหรือแขกอาศัยไม่ว่าจ�ำกัดจ�ำนวน
เงินหา้ พนั บาทหรือไม่จำ� กัดจำ� นวนเงินกต็ าม ก็มขี อ้ ยกเว้นไม่ตอ้ งรบั ผดิ ในกรณีตอ่ ไปนซี้ งึ่ แยกได้ 5 ประการ
คือ
1. ไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย
สธ
2. ไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น
3. ไม่ตอ้ งรบั ผดิ เพือ่ ความสญ
ู หายหรือบบุ สลายอนั เกิดแต่ความผดิ ของคนเดินทางหรือแขกอาศัย
หรือบริวารของเขาหรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ
ม
4-90 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
4. ไม่ต้องรับผิด เมื่อคนเดินทางหรือแขกอาศัยพบเห็นความสูญหายหรือบุบสลายไม่แจ้งความ
ต่อเจ้าสำ� นักโรงแรมทันที
5. ไม่ต้องรับผิดเมื่อคนเดินทางหรือแขกอาศัยได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในข้อความยกเว้นหรือจ�ำกัด
ความรับผิด
1. ไม่ต้ อ งรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย “เหตุสุดวิสัย” นั้น
ธ
หมายความวา่ เหตุใดๆ อันจ ะเกิดข นึ้ ก ด็ จี ะมผี ลพบิ ตั กิ ด็ ี ไม่มใี ครจะอาจปอ้ งกันไ ด้ แม้ท งั้ บ คุ คลผตู้ อ้ งประสบ
หรือใกล้จ ะตอ้ งประสบเหตุน นั้ จะได้จ ดั การระมัดระวังต ามสมควร อันพ งึ คาดหมายได้จ ากบคุ คลนนั้ ในฐานะ
มส
เช่นนั้น (ปพพ. มาตรา 8) เหตุสุดวิสัย ก็เป็นเรื่องที่การช�ำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ที่
ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบอย่างหนึ่ง ซึ่งในเรื่องหนี้ทั่วไป ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการช�ำระหนี้นั้นเหตุนี้
มาตรา 675 วรรคท้าย จึงบัญญัติว่า “แต่เจ้าส�ำนักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิด
แต่เหตุสุดวิสัย...” ด้วย เช่น โรงแรมทพี่ กั ถกู ร ะเบิด ภัยจากสงคราม ฟ้าผ่า แผ่นดนิ ไหว ลมพายุ53 น�ำ
54
ฉับพลัน คลื่นลมผิดปกติ ฝนตกผิดปกติติดต่อกันหลายวัน การชิงทรัพย์ปล้นทรัพย์ เพลิงไหม้จากที่
อื่น56 ท�ำให้ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยที่พามาหรือเอาไว้ในโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่น
ท�ำนองเช่นว่านั้นสูญหายหรือบุบสลาย เจ้าส�ำนักย่อมไม่ต้องรับผิด
55
้ ทว่ ม
2. ไม่ต อ้ งรบั ผดิ เพือ่ ความสญ ู หายหรือบบุ สลายอนั เกิดแต่สภาพแห่งทรัพย์สนิ นนั้ ค�ำวา่ “สภาพ
แห่ง ท รัพย์ สิ น (the nature of the property) หมายความว่ า ภาวะแ ห่ ง ท รั พ ย์ สิ นหรือธรรมชาติ
ธ
แห่งทรัพย์สิน หรือความเป็นเองหรือลักษณะในตัวเองของทรัพย์สินนั่นเอง ดังนั้น สภาพแห่งทรัพย์สินที่
สูญหายหรือบ บุ ส ลายนี้ ก็ห มายความวา่ ท รัพย์สนิ น นั้ เสือ่ มเสียไ ปตามภาวะหรือธ รรมชาติห รือค วามเป็นไ ป
เองของทรัพย์สนิ น นั้ และเป็นเรือ่ งทกี่ ารชำ� ระหนีก้ ลายเป็นพ น้ ว สิ ยั เพราะพฤติการณ์ท ลี่ กู ห นีไ้ ม่ต อ้ งรบั ผ ดิ
มส
ชอบอย่างหนึง่ เช่นเดียวกบั ท บี่ ญ ั ญัตไิ ว้ในเรือ่ งรบั ข นของตามมาตรา 616 เก็บข องในคลังส นิ ค้าต ามมาตรา
772 ส่วนในเรื่องเจ้าส�ำนักโรงแรมบัญญัติไว้ในมาตรา 675 วรรคสามว่า “แต่เจ้าส�ำนักไม่ต้องรับผิดเพื่อ
ความสูญหายหรือบ ุบส ลายอันเกิดแ ต่ส ภาพแห่งท รัพย์สินน ั้น....” เช่น คนเดินทางหรือแขกอาศัยน �ำองุน่
ทุเรียน หรือผลไม้อื่นหรือของสดของเสียได้57 เป็นต้นว่า ปลาสด กุ้งสด ของทะเล เนื้อสัตว์ ไข่มาไว้ใน
โรงแรม ทรัพย์สินดังกล่าวเกิดเน่าเสียห ายตามสภาพดังนี้เจ้าส�ำนักโรงแรมไม่ต้องรับผิด
53
ม
ฎ. 2140/2520
54 ฎ. 565/2497 ฎ. 1371/2524
55 ฎ. 2378/2523 สินค้าสูญหายไปเพราะถูกคนร้ายใช้อาวุธชิงเอาไป เป็นเหตุสุดวิสัยท คี่ นขับจะป้องกันขัดข วางได้ ผู้
สธ
ขนส่งจ ึงไม่ต้อง รับผิดตามมาตรา 616 (มาตรา 616 บัญญัตยิ กเว้นความรับผ ิดเช่นเดียวกับมาตรา 675 วรรคท้าย จึงเทียบเคียง
กันได้)
56 ฎ. 575/2510 ฎ. 830/2519
57 ดูถ้อยค�ำใน ปพพ. มาตรา 631 วรรคสาม ปวพ. มาตรา 308 วรรคสอง
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-91
ธ
772 โดยใ นเรื่ อ งเจ้ า ส�ำ นัก โรงแรม กฎหมายบั ญ ญั ติ ยกเว้น ไว้ใน ปพพ. มาตรา 675 วรรคส ามว่ า
“แต่ เ จ้ า ส�ำนั ก ไ ม่ ต้ อ งรับ ผิด เ พื่ อ ค วามสู ญ หายหรื อ บุ บ สลายอั น เกิด แ ต่ เหตุสุ ด วิ สั ย หรือแต่สภาพ
มส
แห่งทรัพย์สินนั้นหรือแต่ ความผิดข องคนเดินทางหรือแ ขกอาศัยผ ู้นั้นเองหรือบ ริวารของเขา หรือบ ุคคล
ซึ่งเขาได้ต้อนรับ”
“ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัย” หมายความว่า เรื่องไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดของคน
เดินท างหรือแ ขกอาศัย นอกจากนี้ความประมาทเลินเล่อ ไม่ใช้ค วามระมัดระวังอ ย่างวิญญูชน ก็ถ ือว่าเป็น
ความผิดอ ย่างหนึ่งด ้วย
“บริวารของเขา”58 หมายความว่า ผูแ้ วดล้อมหรือผู้ติดตามของคนเดินท างหรือแขกอาศัย
“บุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”59 หมายความว่า บุคคลที่คนเดินทางหรือแขกอาศัย ได้รับรองหรือ
รับแขก
อุทาหรณ์
ธ
กิจ พักอยู่ในโรงแรมเข่งเฮงแล้วออกจากห้องพักโดยลืมใส่กุญแจห้อง เป็นเหตุให้คนร้ายเข้าลัก
ทรัพย์ในห้องกิจ ดังนี้ เจ้าส�ำนักโรงแรมเข่งเฮงไม่ต ้องรับผิดชดใช้ค ่าเสียหายแก่กิจ
หนึง่ พาเด็กรบั ใช้มาพกั แรมในโรงแรมแล้วออกจากหอ้ งไปธรุ ะ กลับมาปรากฏวา่ เด็กรบั ใช้หายไป
มส
โจทก์
สธ
58 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
59 ค�ำว่า “ต้อนรับ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายว่า รับรอง รับแขก
ม
4-92 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
4. ไม่ต้องรับผิดเมื่อคนเดินทางหรือแขกอาศัยพบเห็นความสูญหายหรือบุบสลายไม่แจ้งความ
ต่อเจ้าส�ำนักโรงแรมทันที ในเรื่องผลของหนี้โดยทั่วไป ถ้าเป็นความผิดของฝ่ายผู้ที่เสียหายจะมีแต่เพียง
ละเลยไม่เตือนลกู หนีใ้ ห้รสู้ กึ ถงึ อนั ตรายแห่งก ารเสียหายอนั เป็นอ ย่างรา้ ยแรงผดิ ป กติ ซึง่ ล กู ห นีไ้ ม่รหู้ รือไ ม่
อาจจะรู้ได้หรือเพียงแต่ละเลยไม่บ�ำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายนั้นด้วย ก็น�ำมาค�ำนึงในการ
ก�ำหนดคา่ เสียหาย (ปพพ. มาตรา 223) เหตุนใี้ นเรือ่ งความรบั ผดิ ของเจ้าสำ� นักโรงแรมกฎหมายจงึ ยกเว้น
ธ
ความรับผิดไว้ ตาม ปพพ. มาตรา 676 ว่า “ทรัพย์สินซ ึ่งม ิได้น �ำฝากบอกราคาชัดแ จ้งน ั้นเมื่อพบเห็นว่า
สูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าส�ำนักโรงแรม โฮเต็ล หรือ
675 ”
มส
สถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้น ท่านว่าเจ้าส�ำนักย่อมพ้นจากความรับผิดดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ
หรือจ �ำกัดค วามรับผ ิดของเจ้าส�ำนักไซร้ ท่านว่าความนั้นเป็นโ มฆะ เว้นแ ต่ค นเดินท างหรือแ ขกอาศัยจ ะ
ได้ต กลงด้วยชัดแจ้ง ในการยกเว้นห รือจ �ำกัดค วามรับผ ิดดั่งว ่าน ั้น” หมายความวา่ การเปลีย่ นแปลงความ
รับผิดของเจ้าส�ำนักโรงแรมให้เบาลงนี้ ต้องท�ำความตกลงกันอย่างชัดแจ้ง จะถือว่าการนิ่ง หรือไม่ทักท้วง
ค�ำแจ้งความของโรงแรมทปี่ ิดไว้ในห้องพัก เป็นการตกลงชัดแจ้งไม่ได้
อย่างไรกด็ ี ถ้าข อ้ ความยกเว้นห รือจ ำ� กัดค วามรบั ผ ดิ ข องเจ้าส�ำนักโรงแรมนี้ ถ้าเป็นค วามตกลงทำ �
ธ
ไว้ล่วงหน้าเป็นข้อความยกเว้นมิให้เจ้าส�ำนักโรงแรมต้องรับผิดเพื่อกลฉ้อฉลหรือประมาทเลินเล่ออย่าง
ร้ายแรง ย่อมเป็นโมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 373
มส
“กลฉ้อฉล” ตามมาตรา 37360 หมายความถึงการไม่ชำ� ระหนีห้ รือการท�ำให้เสียหายโดยจงใจ ซึ่ง
แตกตา่ งจากกลฉอ้ ฉลตามมาตรา 159 ซึง่ เป็นการหลอกลวงให้ผ้แู สดงเจตนาสำ� คัญผดิ หรือแสดงขอ้ ความ
ให้ผิดค วามจริงเพื่อล วงให้เขาหลงเชื่อแสดงเจตนา ส่วนประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงนั้น61 หมายความว่า
การกระทำ � โดยปราศจากความระมัดระวังเสียเลยซึ่งถือเท่ากับความผิดโดยจงใจเหมือนกัน
อุทาหรณ์
โรงแรมสวีเดน มีแจ้งความของโรงแรมวา่ จะไม่รบั ผดิ ชอบในทรัพย์สนิ ของคนเดินทางทนี่ ำ
โรงแรมและสญ
� มาไว้ใน
ู หายหรือบบุ สลายไป และให้คนเดินทางลงชือ่ ดว้ ยแล้ว ดังนี้ เจ้าสำ� นักโรงแรมสวีเดนไม่ตอ้ ง
รับผิดเพราะคนเดินทางได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในข้อจ�ำกัดความรับผิด
กรณีดังกล่าวหากโรงแรมปิดประกาศไว้ไม่ปรากฏว่าคนเดินทางได้ตกลงด้วยโดยชัดแจ้งในการ
ยกเว้นความรับผิดดังกล่าวโรงแรมยังต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินของคนเดินทางหายไป (ฎ. 7790/2544)
ธ
สิทธิของคนเดินทางหรือแขกอาศัย
มส
674, 675)
ู หายหรือบ บุ ส ลายไป โดยไม่จ ำ
ม
หรือบ ริวารของตนหรือบุคคลซึ่งตนได้ต้อนรับแล้ว คนเดินท างหรือแขกอาศัยย ่อมมสี ิทธิได้รับช ดใช้กรณีที่
ทรัพย์สนิ ข องตนสญ � ตอ้ งฝากทรัพย์สนิ ด งั ก ล่าวแก่เจ้าส ำ� นักโรงแรม (มาตรา
สธ
60 จิตติ ติงศภัทิย์ คำ�อธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 มาตรา 241 ถึง 452 กรุงเทพมหานคร
เนติบ ัณฑิตย ส ภา พ.ศ. 2503 น. 324.
61 เรื่องเดียวกัน น. 325.
ม
4-94 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
2. สิทธิที่จะไม่ตกลงในการยกเว้นหรือจ�ำกัดความรับผิดของเจ้าส�ำนักโรงแรม ในการพักแรม
ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทำ� นองเช่นว่านี้ เจ้าส�ำนักอาจยกเว้นหรือจ�ำกัดความรับผิดของตน แต่
ต้องให้คนเดินทางหรือแขกอาศัยตกลงด้วยชัดแจ้ง มิฉะนั้นเป็นโมฆะ เหตุนี้คนเดินทางหรือแขกอาศัย จึง
มีส ิทธิทจี่ ะไม่ตกลงในการยกเว้นหรือจำ� กัดค วามรับผิดเช่นว่านี้ได้ (มาตรา 677)
ธ
หน้าที่ของคนเดินทางหรือแขกอาศัย
คนเดินทางหรือแขกอาศัยมีหน้าทตี่ ่อเจ้าส�ำนักโรงแรม 2 ประการคือ
แทนไป
มส
1. หน้าทีใ่ ช้เงินเพือ่ ก ารพกั อ าศัย การอนื่ อ นั เจ้าส ำ� นักโรงแรมทำ� ให้แ ละเงินท เี่ จ้าส ำ� นักโรงแรมออก
กิจกรรม 4.3.2
ม
น้อมเดินทางไปพักแรมที่โรงแรมเชียงใหม่ เจ้าของโรงแรมได้ยื่นประกาศระเบียบของโรงแรมให้
อ่านดกู อ่ นลงชือ่ เข้าพ กั ความวา่ โรงแรมจะไม่ร บั ผ ดิ ช อบในการสญ
ู หายหรือบ บุ สลายทเี่ กิดแ ก่ท รัพย์สนิ ข อง
ผู้มาพักไม่ว่าในกรณีใดๆ น้อมอ่านแล้วหัวเราะแล้วลงชื่อเข้าพักแรม ระหว่างพักอยู่นั้น ม่อนทราบ จึงมา
เยี่ยม แล้วลอบลักเอาปากการาคา 1,000 บาท ของน้อมไป ดังนีเ้ จ้าของโรงแรมเชียงใหม่ต้องรับผิดชดใช้
ราคาปากกาของน้อมเพียงใด หรือไม่
แนวตอบกิจกรรม 4.3.2
สธ
เจ้าส �ำนักโรงแรมต้องรับผ ิดในการทที่ รัพย์สินข องคนเดินท างหรือแ ขกอาศัยส ูญหายหรือบ ุบส ลาย
ไปอย่างใดๆ แม้วา่ จ ะเกิดข นึ้ เพราะผคู้ นไปมาเข้าอ อก ณ โรงแรมกค็ งตอ้ งรบั ผ ดิ (ปพพ. มาตรา 675 วรรค
หนึง่ ) และถา้ มคี ำ
� แจ้งความยกเว้นหรือจำ� กัดความรบั ผดิ ของเจ้าสำ� นักโรงแรมยอ่ มเป็นโมฆะ เว้นแต่คนเดิน
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-95
ทางหรือแ ขกอาศัยจ ะได้ตกลงดว้ ยชดั แ จ้งในการยกเว้นหรือจ ำ� กัดค วามรบั ผ ดิ ด งั่ วา่ นนั้ (ปพพ. มาตรา 677)
ตามปัญหานี้ ประกาศระเบียบของโรงแรมเชียงใหม่ที่จะไม่รับผิดชอบ จึงเป็นโมฆะ เว้นแต่น้อมจะยอม
ตกลงด้วยและการ ตกลงนั้นจะต้องกระท�ำโดยชัดแจ้ง จะถือเอาโดยปริยายไม่ได้ การที่น้อมนิ่งไม่ทักท้วง
เพียงแต่หวั เราะ จะถอื ว่าได้ตกลงดว้ ยชดั แจ้งหาได้ไม่ ดังนนั้ ประกาศของโรงแรมเชียงใหม่จงึ เป็นโมฆะ แต่
ตามปญ ั หานี้ ปากกาของนอ้ มสญ ู หายไปเพราะมอ่ นซงึ่ มาเยีย่ มเอาไป จึงเข้าขอ้ ยกเว้นวา่ เจ้าสำ� นักโรงแรม
ธ
ไม่ต ้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบ ุบสลายอันเกิดแต่ค วามผิดข องบุคคลซึ่งค นเดินทางหรือแ ขกอาศัยไ ด้
ต้อนรับ กรณีนมี้ อ่ นเป็นบคุ คลซงึ่ นอ้ มได้ตอ้ นรับ และมอ่ นเป็นผลู้ กั ปากกาไป ฉะนัน้ เจ้าของโรงแรมเชียงใหม่
มส
จึงไ ม่ต ้องรับผิดช ดใช้ค่าปากกาแก่น้อม
เรื่องที่ 4.3.3
อายุความ
ธ
อายุความสำ� หรับการฝากทรัพย์อื่นแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ อายุความเฉพาะ 6 เดือน ตามมาตรา
671 กับอายุความเรียกคืนทรัพย์กรณีอื่น ซึ่งมีอายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30 ดังที่ศึกษามา
มส
2. อายุความเรียกคืนทรัพย์ที่หลงลืมไว้ ในกรณีที่คนเดินทางหรือแขกอาศัยออกไปจากโรงแรม
แล้วลืมทรัพย์สินไว้ทโี่ รงแรมกด็ ี คนเดินทางหรือแขกอาศัยฝากทรัพย์สินไว้แก่เจ้าส�ำนักโรงแรมแล้วลืมเอา
ไปก็ดี ดังนี้ เจ้าของทรัพย์ย่อมฟ้องเรียกคืนทรัพย์ได้ อาศัยกฎหมายลักษณะกรรมสิทธิ์ (ปพพ. มาตรา
1336) การฟ้องเอาทรัพย์สินคืนนี้ไม่มีกำ� หนดอายุความ
แต่ถ า้ ค นเดินท างฝากทรัพย์ไ ว้แ ล้วล มื เอาไป ประสงค์จ ะฟอ้ งโดยอาศัยส ทิ ธิต ามสญ
ั ญาฝากทรัพย์
ธ
ก็มีอายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30
กิจกรรม 4.3.3
มส
นิลเข้าพักแรมที่โรงแรมญี่ปุ่น วันท ี่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 นิล
ออกจากโรงแรมไปเทีย่ วตา่ งจงั หวัด ต่อมาวนั ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556 จึงกลับมาหอ้ งพกั ปรากฏวา่ แหวน
เพชร นาฬิกา และเสื้อผ้าหายไป จึงรีบแจ้งแก่ผู้จัดการโรงแรมญี่ปุ่น แต่ผู้จัดการไม่ยอมรับรู้ นิลโมโหจึง
ไปพักแรมที่โรงแรมโตเกียวในวันนั้นเอง วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557 นิลยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้
จัดการโรงแรมญี่ปุ่น ผู้จัดการโรงแรมญี่ปุ่นต่อสู้ว่า นิลออกไปจากห้องพักตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.
2556 คดีขาดอายุความแล้ว ดังนีข้ ้อต่อสูข้ องผจู้ ัดการโรงแรมญี่ปุ่นฟังขึ้นหรือไ ม่
ธ
แนวตอบกิจกรรม 4.3.3
ข้อต่อสู้ของผู้จัดการโรงแรมญี่ปุ่นฟังไม่ขึ้น เพราะนิลฟ้องเรียกค่าเสียหายภายในหกเดือนนับแต่
มส
ม
สธ
ม
สัญญาฝากทรัพย์ 4-97
บรรณานุกรม
ธ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
จิต ติ ติ ง ศ ภัทิ ย์. (2503). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 มาตรา 241 ถึง 452
กรุงเทพมหานคร: เนติบัณฑิตย สภา.
มส
จิต ติ ติ ง ศ ภัทิ ย์ (ม.ป.ป.) ค�ำอ ธิบายประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ตอนที่ 2 และภาค 3. (พิมพ์ครั้งที่ 2).
กรุงเทพมหานคร: เนติบัณฑิตยสภา.
หลวงประเสริฐม นูก จิ . (2477). กฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ดว้ ยยมื ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสนิ ค้า ประนีประนอม
การพนันและขันต่อ ค�ำสอนภาค 3 ชัน้ ปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พระนคร:
ม.ป.ท..
พจน์ ปุ ษปาคม. (2511). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย ยืม กู้ยืม ฝากทรัพย์.
กรุงเทพมหานคร: แสงทองการ-พิมพ์.
พิชา ด�ำรงพิวัฒน์. (ม.ป.ป.). กฎหมายว่าด้วยการธนาคาร. กรุงเทพมหานคร: แสงจันทร์การพิมพ์.
มาโนช สุทธิวาทนฤพุฒิ. (2522). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย ยืม ฝากทรัพย์ เก็บของ
ในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ธ
ธรรมศาสตร์.
สมชัย ศิรบิ ุตร และจิระวรรณ ศิรบิ ุตร. (2525). คู่มือตุลาการภาคปฏิบัติเกี่ยวกับคดีแพ่ง คดีอาญา คดีล้มละลาย
มส
หน่วยที่ 5
เก็บของในคลังสินค้า
ธ
อาจารย์อิงครัต ดลเจิม
มส
ธ
มส
ชื่อ
วุฒิ
อาจารย์อิงครัต ดลเจิม
ม
นิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
นิติศาสตรมหาบัณฑิต (กฎหมายมหาชน) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ต�ำแหน่ง อาจารย์ประจ�ำสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
สธ
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 5
แผนการสอนประจ�ำหน่วย
ธ
หน่วยที่ 5 เก็บของในคลังสินค้า
ตอนที่
มส
5.1 ลักษณะทั่วไปของการเก็บของในคลังสินค้า
5.2 สิทธิหน้าที่และความรับผิดของนายคลังสินค้าและผู้เกี่ยวข้อง
5.3 ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า
5.4 อายุความ
แนวคิด
1. ก ารเก็บของในคลังสินค้าเป็นการฝากทรัพย์อย่างหนึง่ ซึง่ มีสถานทีซ่ งึ่ บุคคลใช้เก็บสินค้าโดย
ธ
เฉพาะเรียกว่า คลังสินค้า และเป็นสัญญาระหว่างนายคลังสินค้าซึ่งเป็นผู้รับฝากกับผู้ฝาก
สินค้า
2. นายคลังสินค้ามีสิทธิและมีหน้าที่หลายประการ ได้แก่ สิทธิได้รับบ�ำเหน็จค่าฝาก เก็บรักษา
มส
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 5 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายลักษณะทั่วไปของการเก็บของในคลังสินค้าได้
2. อธิบายสิทธิและหน้าที่ของนายคลังสินค้าได้
ธ
3. อธิบายสิทธิและความรับผิดของผู้เกี่ยวข้องได้
4. อธิบายลักษณะใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้าได้
5. อธิบายอายุความเกี่ยวกับการเก็บของในคลังสินค้าได้
2.
3.
4.
มส
6. วิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับการเก็บของในคลังสินค้าได้
กิจกรรมระหว่างเรียน
1. ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 5
ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 5.1-5.4
ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ฟังซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
ธ
7. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 5
มส
สื่อการสอน
1. เอกสารการสอน
2. แบบฝึกปฏิบัติ
3. ซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
4. รายการสอนทางวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
5. การสอนเสริม (ถ้ามี)
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
ม
3. ประเมินผลจากการสอบประจ�ำภาคการศึกษา
สธ
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 5 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ม
5-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 5.1
ลักษณะทั่วไปของการเก็บของในคลังสินค้า
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 5.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
5.1.1 กิจการคลังสินค้า
5.1.2 การเก็บของในคลังสินค้ากับการฝากทรัพย์
5.1.3 ระยะเวลาฝาก
1. ค ลังสินค้าเป็นอาคาร หรือสถานทีซ่ งึ่ บุคคลใช้เก็บสิง่ ของ วัสดุ พืชผลและทีไ่ ว้สนิ ค้า คลัง
สินค้าเกิดจากความจ�ำเป็นทางการค้า คลังสินค้าที่จัดไว้เพื่อรับฝากสินค้าของคนอื่นนั้น
อาจมีลักษณะแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพสินค้านั้น
2. กจิ การของคลังสินค้านัน้ จะมีลกั ษณะทีเ่ กีย่ วข้องกับคลังสินค้า บุคคลทีเ่ กีย่ วข้องกับการ
ธ
เก็บของในคลังสินค้า บ�ำเหน็จ และก�ำหนดเวลาช�ำระบ�ำเหน็จ
3. การเก็บของในคลังสินค้าถือเป็นการฝากทรัพย์อย่างหนึง่ และเป็นสัญญาระหว่างนายคลัง
สินค้าซึง่ เป็นผูร้ บั ฝากกับผูฝ้ ากสินค้า จึงน�ำบทบัญญัตวิ า่ ด้วยการฝากทรัพย์ทวั่ ไปมาใช้
มส
บังคับได้
4. การเก็บของในคลังสินค้ามีบทบัญญัติที่แตกต่างกับการฝากทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวกับ
บ�ำเหน็จค่าตอบแทน เอกสารการฝาก สถานทีเ่ ก็บสินค้า การควบคุมของกฎหมาย และ
สิ่งของที่ฝาก
5. ถ้าได้ก�ำหนดระยะเวลาฝากไว้ นายคลังสินค้าจะบังคับให้ผู้ฝากถอนสินค้าไปก่อนสิ้น
ระยะเวลาที่ตกลงกันไว้นนั้ มิได้ แต่ถ้ามิได้ก�ำหนดระยะเวลาฝากไว้ นายคลังสินค้าจะส่ง
วัตถุประสงค์
คืนสินค้าจะต้องแจ้งแก่ผู้ฝากล่วงหน้าก่อน
ความน�ำ
ธ
สิ่งของจากลูกค้า เก็บไว้ในที่เก็บของตนเพื่อบ�ำเหน็จค่าจ้าง สินค้าที่ฝากอาจจ�ำหน่ายหรือจ�ำน�ำด้วยการ
สลักหลังเอกสารทีน่ ายคลังสินค้าออกให้ เพราะฉะนัน้ การเก็บของในคลังสินค้าทีจ่ ะกล่าวต่อไปนีจ้ งึ เป็นเรือ่ ง
ทีเ่ กีย่ วกับสิทธิและหน้าทีร่ ะหว่างบุคคลหลายฝ่าย คือ นายคลังสินค้า ผูฝ้ าก และผูร้ บั สลักหลังตราสาร ซึง่
มส
อาจมีได้หลายคน
ความเป็นมา คลังสินค้ามีมาแต่โบราณกาล ก�ำเนิดจากผลิตผลทางเกษตรเป็นต้นเหตุ เพราะสมัย
ก่อนประชาชนประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม เมื่อเก็บเกี่ยวผลิตผลแล้วต้องเก็บไว้ในที่เหมาะสมเรียกว่า
ยุ้งฉาง เพื่อความปลอดภัยของผลิตผลของตน จะได้เก็บไว้กินไว้ใช้ในอนาคตนานๆ ครั้นต่อมาเมื่อมีการ
ค้าขายเกิดขึน้ จึงมีระบบการเก็บสินค้าในคลัง (warehousing) เกิดขึน้ พ่อค้าบางรายก็มที เี่ ก็บของตนเอง
ซึ่งมักจะท�ำตามความสะดวกของตน อาจเป็นเพียงแพไม้ซุง ถังเก็บนํ้ามัน หรือเป็นเพียงห้องเก็บของ
แต่บางคนก็น�ำไปฝากในที่เก็บของคนอื่นซึ่งรับฝากสินค้าจากบุคคลทั่วไป โดยอาศัยข้อตกลงเป็นสัญญา
ฝากต่อมา คลังสินค้าประเภทนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคลังสินค้ารับฝาก หรือ Terminal warehouse เมื่อ
ขายสินค้าที่ฝาก ผู้ฝากก็เขียนค�ำสั่งให้ผู้ซื้อถือไปให้นายคลังสินค้าส่งมอบสินค้านั้นแก่ผู้ซื้อหรือมิฉะนั้นก็
ธ
ให้เก็บรักษาไว้ในคลังแทนผูซ้ อื้ ต่อไป นอกจากขายแล้วผูฝ้ ากอาจน�ำสินค้าทีฝ่ ากไปเป็นประกันหนีเ้ งินกูย้ มื
โดยให้ผรู้ บั ฝากครอบครองสินค้าทีเ่ ป็นประกันแทนเจ้าหนีผ้ รู้ บั จ�ำน�ำ ซึง่ การฝากสินค้าในลักษณะนี้ ในทีส่ ดุ
มส
ธ
ระหว่างรอจ�ำหน่ายแล้ว ตามกฎหมายเจ้าของสินค้าสามารถที่จะขายสินค้าในคลัง โดยสลักหลังใบรับของ
คลังสินค้า และจ�ำน�ำสินค้าด้วยการสลักหลังประทวนสินค้า
มส
เรื่องที่ 5.1.1
กิจการคลังสินค้า
อุทาหรณ์
ฎ. 2920/2522 จ�ำเลยรับเก็บรักษาล�ำไยในห้องเย็นของจ�ำเลย จ�ำเลยเป็นผูม้ วี ชิ าชีพเฉพาะกิจการ
ค้าทางห้องเย็นต้องใช้ความระวังและฝีมอื อันเป็นธรรมดาและสมควรในกิจการห้องเย็น จ�ำเลยใช้ความเย็น
ไม่พอล�ำไยของโจทก์เน่าเสีย จ�ำเลยต้องใช้ค่าเสียหาย
การเก็บของในคลังสินค้านี้เป็นการรับฝากทรัพย์ของประชาชน จัดอยู่ในกิจการค้าขายที่กระทบ
ธ
ถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน2 ผู้ที่จะประกอบกิจการคลังสินค้าจะต้องเป็นบริษัทที่ได้รับ
อนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แล้วจึงจะประกอบกิจการรับฝากของได้ มิฉะนั้นมีความผิด
มส
ทางอาญา แต่ไม่กระทบกระเทือนตัวบุคคลภายนอกผู้ฝากของโดยสุจริตไม่รู้ว่าผู้รับฝากมิได้ขออนุญาต
หมายความว่าสัญญาฝากผูกพันตามตกลง3
คลังสินค้านั้นมักจะตั้งอยู่ในย่านสะดวก เช่น อยู่ใกล้ชิดติดกับสถานที่ขนส่ง เช่น ท่าเรือสินค้า
ท่าเรือหาปลา สถานีรถไฟ สถานีขนส่ง สนามบิน หรือในย่านการผลิตสินค้า เพราะว่านอกจากจะเป็นความ
สะดวกในการขนส่งทั่วไปแล้วยังเป็นการประหยัดและสะดวกในการขนย้ายด้วย
คลังสินค้าเกิดขึน้ จากความจ�ำเป็นในทางค้าขายโดยแท้ คือพ่อค้าต้องเก็บสินค้าไว้กอ่ นทีจ่ ะขนส่ง
ต่อไป เช่น สินค้าทีส่ ง่ มาจากต่างประเทศพักไว้ทคี่ ลังสินค้าก่อนผ่านพิธศี ลุ กากรและส่งต่อไปยังผูร้ บั บางที
เป็นเวลาหลายๆ วัน อีกอย่างหนึ่งสินค้าบางประเภทขายได้เป็นบางฤดูกาลระหว่างที่ยังไม่ได้ขายก็ต้อง
อาศัยคลังสินค้าเป็นที่เก็บรักษา แม้ทั้งที่จ�ำหน่ายได้ทุกฤดูกาลก็ยังต้องอาศัยคลังสินค้าอยู่ดี เพราะราคา
ธ
อาจไม่ดี เจ้าของไม่ต้องการขายขณะนั้น หรือแม้จะขายก็ไม่สามารถขายหมดในคราวเดียวยิ่งกว่านั้นการ
ผลิตจ�ำเป็นต้องอาศัยการเก็บตุนวัตถุดิบไว้ในคลังเพื่อจะได้ป้อนโรงงานโดยไม่ขาดแคลน
มส
นายคลังสินค้าไม่จ�ำเป็นจะต้องสร้างโกดังหรือเป็นเจ้าของคลังสินค้าเสมอไป อาจเป็นเพียง
ผูเ้ ช่าอาคารสถานทีป่ ระกอบกิจการรับฝากสิง่ ของจากบุคคลอืน่ ก็ได้ แต่จะต้องเป็นคูส่ ญ ั ญาเก็บของในคลัง
สินค้ากับผู้ฝากทั้งหลาย
อนึ่ง นายคลังสินค้านั้นเป็นพ่อค้าซึ่งแสวงหาประโยชน์เป็นบ�ำเหน็จตอบแทน ย่อมอยู่ใน
ข้อสันนิษฐานว่ากระท�ำการเพื่อบ�ำเหน็จ ใครกล่าวอ้างว่านายคลังสินค้าเก็บรักษาของให้แก่ตนโดยไม่มี
ธ
บ�ำเหน็จตอบแทน ผู้นั้นจะต้องพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว
ในกรณีทผี่ ้ปู ระกอบการกิจการคลังสินค้าเป็นห้างหุ้นส่วน หรือบริษทั ซึง่ มอบให้บคุ คลหนึง่
มส
หรือหลายคนเป็นผูจ้ ดั การ มีอำ� นาจลงชือ่ ในเอกสารใบรับรองของคลังสินค้า หรือประทวนสินค้า ห้างหุน้ ส่วน
หรือบริษทั ผูป้ ระกอบการเป็นนายคลังสินค้าตามกฎหมาย ไม่ใช่บคุ คลผูล้ งลายมือชือ่ ในช่องนายคลังสินค้า
เป็นนายคลังสินค้า
อุทาหรณ์
ตัวอย่าง บริษัทโกดังสินประเสริฐ มีวัตถุประสงค์รับฝากสินค้าทั่วไป ได้ตั้งให้นายเฮงเป็น
ผู้จัดการลงลายมือชื่อในเอกสารการฝากในฐานะหัวหน้าฝ่ายคลังสินค้าวันหนึ่งมีขโมยลักสินค้าที่ฝากไป
หลายอย่าง กรณีเช่นนีบ้ ริษทั อยูใ่ นฐานะเป็นนายคลังสินค้าผูเ้ ป็นคูส่ ญั ญารับผิดต่อเจ้าของสินค้าทีห่ าย นาย
เฮงเป็นแต่เพียงตัวแทนของบริษัทเท่านั้น นายเฮงจึงไม่ใช่คู่สัญญาในกรณีนี้
2.2 ผู้ฝาก (depositor) เป็นคูส่ ญ
ั ญาอีกฝ่ายหนึง่ คือผูน้ ำ� สิง่ ของหรือสินค้าไปมอบให้นายคลัง
ธ
สินค้าเพื่อเก็บรักษา
ผู้ฝากปกติเป็นเจ้าของสินค้าหรือสิ่งของที่ฝาก ผู้ฝากอาจไม่ใช่เจ้าของสินค้านั้นก็ได้ แต่มี
มส
อ�ำนาจจัดการอย่างเจ้าของ เช่น
ตัวอย่าง 1 แดงได้ส่งสินค้าไปให้ขาวในต่างจังหวัด ขาวในฐานะตัวแทนค้าต่างได้นำ� สินค้า
นั้นไปฝากไว้กับโกดังของเขียว ขาวก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝากเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
ตัวอย่าง 2 บริษทั ขนส่งสินค้า ระหว่างทางรถเสียจะต้องขนสินค้าลงจากรถเพือ่ ซ่อมหลายวัน
ต้องเก็บสินค้าไว้ในโกดังเพือ่ ความปลอดภัย บริษทั ขนส่งสินค้าย่อมได้ชอื่ ว่าเป็นผูฝ้ ากเป็นคูส่ ญ ั ญากับนาย
คลังสินค้า
อีกเรื่องหนึ่ง
ม
ส่วนผู้ใดจะเป็นผู้มีอ�ำนาจสลักหลังเอกสารการฝากของ เพื่อขายและ/หรือเพื่อจ�ำน�ำเป็น
3. ค่าตอบแทนการฝากของในคลังสินค้า
บ�ำเหน็จ เป็นค่าตอบแทนในการเก็บรักษาสิง่ ของในคลังสินค้าซึง่ มักจะมีเสมอ แต่อาจมีขอ้ ยกเว้น
บางราย เพราะเป็นกิจการค้าเป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้รับฝากจะต้องท�ำเพื่อค่าตอบแทน ดังความใน ปพพ.
มาตรา 770 ทีย่ กมาในข้างต้นนัน่ เอง เพราะฉะนัน้ ย่อมตกอยูใ่ นข้อสันนิษฐานว่าฝากทรัพย์มบี ำ� เหน็จ ผูใ้ ด
กล่าวอ้างว่าฝากเปล่าๆ โดยไม่มีบ�ำเหน็จ ผู้นั้นมีหน้าที่พิสูจน์ เพราะเหตุที่บ�ำเหน็จเป็นปัจจัยส�ำคัญใน
ธ
สัญญา การฝากของในคลังสินค้าจึงมักจะก�ำหนดบ�ำเหน็จค่าฝากกันไว้เสมอ ในการออกเอกสารการฝาก
ของไม่ว่าจะเป็นใบรับของคลังสินค้าหรือประทวนสินค้า ปพพ. มาตรา 778 (3) บังคับให้ระบุบ�ำเหน็จค่า
ฝากไว้ด้วย
มส
บ�ำเหน็จในทางการค้านั้นมักเป็นเงิน อาจเป็นเงินไทยหรือเงินสกุลต่างประเทศก็ได้สุดแท้แต่ข้อ
ตกลงของคู่สัญญา กฎหมายมิได้ก�ำหนดว่าบ�ำเหน็จจะต้องเป็นเงิน คู่สัญญาจะตกลงกันเป็นอย่างอื่นก็ได้
เช่น นายแดงน�ำข้าวเปลือกฝากในไซโลของนายด�ำ อาจตกลงให้ขา้ วเปลือกทีฝ่ ากส่วนหนึง่ เป็นบ�ำเหน็จค่า
ฝากแก่นายด�ำได้ สัญญาเก็บของในคลังสินค้าจึงเป็นสัญญามีค่าตอบแทน
3.1 อัตราค่าบ�ำเหน็จ มักจะก�ำหนดกันตามสะดวกของนายคลังสินค้า ผู้ประกอบการ โดย
ค�ำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง ไม่เหมือนกันทุกแห่งไป สุดแล้วแต่สภาพและสถานที่ตั้งของคลังสินค้า
คลังสินค้าใหม่อาจคิดค่าฝากแพง คลังสินค้าที่อยู่ใกล้ท่าเรือนํ้าลึก สามารถคิดค่าฝากสูงและสมํ่าเสมอ แต่
คลังสินค้าที่อยู่ในตรอกในซอยคนไม่นิยมฝาก ไม่สามารถจะคิดค่าฝากสูงดังต้องการได้ก็จะคิดค่าฝากลด
มาให้เหมาะกับความต้องการของผู้ฝาก
ธ
อัตราค่าฝากมักก�ำหนดกันไว้เป็นรายเดือนเพราะความสะดวกในการคิดค�ำนวณ แม้จะฝาก
ในระยะเวลาน้อยหรือมากกว่านัน้ ก็ตาม สุดแท้แต่ประเภทของสิง่ ของทีฝ่ าก อาจคิดตามนํา้ หนักหรือปริมาตร
มส
อนึง่ นายคลังสินค้ามีสทิ ธิยดึ หน่วงของทีฝ่ าก ตาม ปพพ. มาตรา 630 ประกอบมาตรา 772
เพราะฉะนัน้ สิทธิยดึ หน่วงนีจ้ งึ ยกขึน้ ต่อสูผ้ รู้ บั สลักหลังเอกสารการฝากได้ทกุ คนไม่วา่ จะเป็นผูร้ บั จ�ำน�ำสินค้า
หรือผู้รับโอนสินค้านั้น ผู้สลักหลังมีสิทธิอย่างไรในขณะที่ตนรับสลักหลังตนย่อมจะรับผลตามนั้น ในกรณี
ที่มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ฝากนายคลังสินค้ามีสิทธิที่จะหักค่าฝากไว้ก่อน แล้วจึงจ่ายให้ผู้รับจ�ำน�ำ
แม้เงินที่ขายได้นั้นจะไม่คุ้มหนี้ก็ตาม ผู้รับโอนสินค้าก็ท�ำนองเดียวกัน ถ้าผู้ฝากยังไม่ช�ำระบ�ำเหน็จค่าฝาก
ธ
นายคลังสินค้าไม่ยอมให้ถอนสินค้าตนก็จำ� เป็นต้องช�ำระค่าฝาก
กิจกรรม 5.1.1
มส
จงอธิบายความหมายของนายคลังสินค้าพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ
แนวตอบกิจกรรม 5.1.1
นายคลังสินค้า เป็นผูป้ ระกอบกิจการคลังสินค้าโดยใน ปพพ. มาตรา 770 ได้ให้คำ� นิยามของนาย
คลังสินค้าไว้ว่า คือ บุคคลผู้รับท�ำการเก็บรักษาสินค้าเพื่อบ�ำเหน็จเป็นทางค้าปกติของเขา เช่น นายก้อง
สร้างโกดังเพื่อรับฝากสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากพ่อค้าทั่วไป เพื่อเก็บค่าฝากเป็นรายได้ปกติของตน
ดังนั้น นายก้องเป็นนายคลังสินค้า
ธ
มส
ม
สธ
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-11
เรื่องที่ 5.1.2
การเก็บของในคลังสินค้ากับการฝากทรัพย์
ธ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่มีบทนิยามจ�ำกัดความว่า เก็บของในคลังสินค้าคืออะไร แต่
พอสรุปได้ว่าหมายถึง สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเรียกว่า นายคลังสินค้า ซึ่งเป็นผู้เก็บรักษาสินค้าเพื่อ
มส
บ�ำเหน็จเป็นการค้าปกติได้ตกลงกับคูส่ ญ ั ญาอีกฝ่ายหนึง่ เรียกว่าผูฝ้ าก ว่านายคลังสินค้าจะเก็บรักษาสินค้า
ของผูฝ้ ากไว้ในคลังสินค้า และเมือ่ ผูฝ้ ากต้องการ จะออกใบรับของคลังสินค้ากับประทวนสินค้าให้แก่ผฝู้ าก
เป็นหลักฐานเพื่อผู้ฝากจะได้โอนหรือจ�ำน�ำสินค้าต่อไปได้ โดยผู้ฝากตกลง จะให้บ�ำเหน็จค่าฝากแก่นาย
คลังสินค้าตามอัตราที่กำ� หนดไว้เป็นการตอบแทน4
1. ความแตกต่างระหว่างการเก็บของในคลังสินค้ากับการฝากทรัพย์ มีดังนี้ คือ
1.1 การเก็บของในคลังสินค้าเป็นเรื่องธุรกิจ ซึ่งต้องมีเงินทุนหมุนเวียน การเก็บของใน
คลังสินค้าจึงมีบ�ำเหน็จเป็นเครื่องตอบแทนทุกกรณีไป แม้ไม่ได้ตกลงค่าบ�ำเหน็จกันไว้ก็ต้องถือว่ามีและ
เรียกเอาได้ หากจะมีการเก็บสินค้าให้เปล่าๆ ก็คงเป็นข้อยกเว้น ดังก�ำหนดไว้ใน ปพพ. มาตรา 770 นัน่ เอง
ส่วนการฝากทรัพย์ทั่วๆ ไป ปกติเป็นการไหว้วานใช้สอย เช่น แดงจะไปตากอากาศจึงน�ำของมีค่าไปฝาก
ธ
ไว้กับด�ำเพื่อนบ้าน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะคิดเอาบ�ำเหน็จค่าฝากแก่กัน แดงอาจซื้อปลาเค็มมาฝากด�ำสัก
ตัวหนึง่ นัน่ เป็นสินนาํ้ ใจไม่ใช่บำ� เหน็จค่าฝาก ถ้าแดงและด�ำจะคิดบ�ำเหน็จค่าฝากทรัพย์แก่กนั ต้องตกลงกัน
ไว้ มิฉะนั้นผู้รับฝากจะเรียกเอาบ�ำเหน็จไม่ได้
มส
ธ
1.5 สิง่ ของทีฝ่ าก ในคลังสินค้านัน้ ต้องเป็นสินค้า5 แต่ทรัพย์ทชี่ าวบ้านฝากกันทัว่ ๆ ไป ปกติ
ไม่ใช่สินค้า
มส
2. การน�ำบทบัญญัติในเรื่องฝากทรัพย์มาใช้ ปพพ. มาตรา 771 ให้น�ำมาใช้ได้เพียงเท่าที่ไม่ขัด
กับบทบัญญัตใิ นลักษณะนี้ ถ้าบทบัญญัตใิ นลักษณะนีก้ ล่าวไว้ แล้วก็เป็นเรือ่ งเฉพาะไปจะน�ำบทบัญญัตใิ น
เรื่องฝากทรัพย์ทั่วๆ ไปมาใช้ไม่ได้อยู่เอง เช่น ถ้าถามว่าการเก็บของในคลังสินค้าคืออะไร ก็ต้องน�ำ
บทบัญญัตใิ นเรือ่ งเก็บของในคลังสินค้ามาใช้ ดังนีเ้ ป็นต้น นักศึกษาจะเห็นจากการศึกษาต่อไปว่า เรือ่ งเก็บ
ของในคลังสินค้านี้ได้น�ำเอาบทบัญญัติในเรื่องฝากทรัพย์ธรรมดามาใช้เป็นส่วนใหญ่ เช่น ถ้ามีปัญหาว่า
นายคลังสินค้ามีหน้าที่ใช้ความระมัดระวังและฝีมือมากน้อยเพียงใดต้องอาศัย ปพพ. มาตรา 659 ความ
รับผิดของนายคลังสินค้าเมื่อเอาของที่ฝากไปใช้ต้องใช้ ปพพ. มาตรา 660 นายคลังสินค้ามีหน้าที่ต้องแจ้ง
ให้ผู้ฝากทราบเมื่อมีบุคคลภายนอกอ้างสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ฝากไว้ ตาม ปพพ. มาตรา 661 การคืน
ทรัพย์สินและการถอนทรัพย์สินที่ฝากต้องใช้ ปพพ. มาตรา 662, 663 และ 664 การคืนดอกผลของ
ธ
ทรัพย์สินที่ฝากต้องอาศัย ปพพ. มาตรา 666 ความรับผิดของผู้ฝากในการคืนทรัพย์สินใช้ ปพพ. มาตรา
667 ค่าใช้จ่ายในการรักษาทรัพย์ซึ่งฝากผู้ฝากเป็นผู้รับภาระตาม ปพพ. มาตรา 668 ก�ำหนดจ่ายบ�ำเหน็จ
มส
5 สิ่งของที่ซื้อขายกัน
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-13
กิจกรรม 5.1.2
1. สัญญาเก็บของในคลังสินค้ากับสัญญาฝากทรัพย์ทั่วไปเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
2. การน�ำบทบัญญัติในเรื่องฝากทรัพย์มาใช้กับการเก็บของในคลังสินค้าใช้อย่างไร อธิบาย
ธ
แนวตอบกิจกรรม 5.1.2
1. เก็บของในคลังสินค้า ก็คือฝากทรัพย์ชนิดหนึ่งนั่นเอง เกิดจากสัญญาระหว่างนายคลังสินค้า
มส
ผูร้ บั ฝากอาชีพกับผูฝ้ ากซึง่ ส่วนใหญ่กเ็ ป็นพ่อค้าอีกเหมือนกัน เพราะฉะนัน้ สัญญาเก็บของคลังสินค้าจึงเป็น
สัญญาฝากทรัพย์ชนิดหนึ่ง จะต่างกับสัญญาฝากทรัพย์ทั่วๆ ไปก็เฉพาะคู่สัญญากับวัตถุแห่งสัญญาคือ
ทรัพย์ที่ฝาก ซึ่งท�ำให้มีผลแตกต่างจากการฝากทรัพย์ธรรมดาไปบ้าง กฎหมายจึงได้บัญญัติรองรับไว้เป็น
พิเศษในลักษณะนี้
2. การน�ำบทบัญญัตใิ นเรือ่ งฝากทรัพย์ทวั่ ๆ ไปมาใช้กบั การเก็บของในคลังสินค้านัน้ ใช้เท่าทีไ่ ม่ขดั
กับบทบัญญัติเฉพาะที่กำ� หนดวิธีการพิเศษไว้ในเรื่องเก็บของในคลังสินค้าแล้ว
เรื่องที่ 5.1.3
ธ
ระยะเวลาฝาก
มส
ธ
เสียหายก็ยังจะเกิดขึ้นอยู่ดี เช่น แดงแจ้งว่าจะน�ำข้าวไปเก็บไว้ใต้ถุนบ้านของแดงในย่านนั้น ซึ่งบ้านของ
แดงก็ถูกไฟไหม้เหมือนกัน
ไว้ได้
มส
อย่างไรก็ตามผูฝ้ ากจะต้องช�ำระค่าฝากด้วย มิฉะนัน้ นายคลังสินค้าอาจใช้สทิ ธิยดึ หน่วงของทีฝ่ าก
กิจกรรม 5.1.3
ระยะเวลาฝากก�ำหนดไว้เพื่อประโยชน์แก่ผู้ใด จงอธิบาย
แนวตอบกิจกรรม 5.1.3
ธ
ระยะเวลาฝากก�ำหนดไว้เพื่อประโยชน์ของผู้ฝากดังจะเห็นได้จาก ปพพ. มาตรา 774 ซึ่งบัญญัติ
ว่า “นายคลังสินค้าจะเรียกให้ผู้ฝากถอนสินค้าไปก่อนสิ้นระยะเวลาที่ตกลงกันไว้นั้น ท่านว่าหาอาจท�ำ
มส
ได้ไม่ ถ้าไม่มีกำ� หนดเวลาส่งคืนสินค้า นายคลังสินค้าจะส่งคืนได้ต่อเมื่อบอกกล่าวให้ผู้ฝากทราบล่วงหน้า
เดือนหนึ่ง แต่ท่านมิให้ผู้ฝากต้องถูกบังคับให้ถอนสินค้าไปก่อนเวลาล่วงแล้วสองเดือน นับแต่วันที่ได้
ส่งมอบฝากไว้” และ ปพพ. มาตรา 663 บัญญัติว่า “ถึงแม้ว่าคู่สัญญาจะได้ก�ำหนดเวลาไว้ว่าจะพึงคืน
ทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเมื่อไรก็ตาม ถ้าว่าผู้ฝากจะเรียกคืนในเวลาใดๆ ผู้รับฝากก็ต้องคืนให้”
ธ
มส
ม
สธ
ม
5-16 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 5.2
สิทธิหน้าที่และความรับผิดของนายคลังสินค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 5.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
มส
5.2.1
5.2.2
5.2.3
5.2.4
5.2.5
5.2.6
5.2.7
สิทธิของนายคลังสินค้า
หน้าที่เก็บรักษาสินค้าที่ฝาก
หน้าที่บอกกล่าวเมื่อบุคคลภายนอกอ้างสิทธิเหนือสินค้าที่ฝาก
หน้าที่คืนสินค้าที่ฝาก
หน้าที่เบ็ดเตล็ด
ความรับผิดของนายคลังสินค้า
หน้าที่และความรับผิดของผู้เกี่ยวข้องกับการฝากสินค้า
แนวคิด
ธ
1. น ายคลังสินค้ามีสิทธิที่จะได้บ�ำเหน็จค่าฝาก ค่าบ�ำรุงรักษาทรัพย์ที่ฝาก ค่าส่งคืนทรัพย์
และค่าเสียหาย นอกจากนี้ยังมีสิทธิที่จะยึดหน่วงทรัพย์ และจัดการกับทรัพย์ที่รับฝาก
ได้ตามความจ�ำเป็น
มส
ธ
นั้นตกเป็นโมฆะ เว้นแต่ผู้ฝากจะแสดงความตกลงด้วยโดยชัดแจ้ง
9. ความรับผิดของนายคลังสินค้าจะสิ้นสุดลงในเมื่อผู้ฝากได้รับของคืนไว้แล้ว และถ้าเป็น
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 5.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของนายคลังสินค้าได้
2. วิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิและความรับผิดของนายคลังสินค้าได้
ผู้เกี่ยวข้องได้
ม
3. ร ะบุผู้เกี่ยวข้องกับการเก็บของในคลังสินค้า ตลอดจนอธิบ ายสิท ธิและหน้าที่ของ
4. วิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องกับการเก็บของในคลังสินค้าได้
สธ
ม
5-18 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 5.2.1
สิทธิของนายคลังสินค้า
ธ
สิทธิตา่ งกับหน้าทีเ่ พราะสิทธิเป็นประโยชน์ทกี่ ฎหมายรับรอง ผูม้ สี ทิ ธิจะสละสิทธิเสียก็ได้ แต่หน้าที่
นั้นต้องกระท�ำตามกฎหมาย มิฉะนั้นหากเกิดความเสียหายผู้มีหน้าที่ต้องรับผิด สิทธิของนายคลังสินค้ามี
มส
หลายประการ กล่าวคือ
1. สิทธิที่จะได้บ�ำเหน็จค่าฝาก ซึ่งเป็นค่าตอบแทนในการเก็บรักษาสินค้าปกติมีเสมอเพราะ
นายคลังสินค้าเป็นพ่อค้า ประกอบกิจการเพือ่ ผลก�ำไร ปพพ. มาตรา 770 จึงบัญญัตไิ ว้วา่ “นายคลังสินค้า
นั้นเก็บรักษาสินค้าเพื่อบ�ำเหน็จสินจ้าง ในทางการค้าปกติของตน” ผู้ใดก็ตามที่น�ำสินค้ามาฝากใน
คลังสินค้า หากไม่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอืน่ แล้วต้องเสียบ�ำเหน็จให้นายคลังสินค้า ไม่เหมือนกับการฝาก
ทรัพย์ทั่วๆ ไป ซึ่งได้กล่าวมาแล้ว
1.1 ผู้ช�ำระค่าฝาก ผู้มีหน้าที่เสียค่าฝากคือ ผู้ฝากซึ่งเป็นคู่สัญญาเก็บของในคลังสินค้า
อย่างไรก็ตาม นายคลังสินค้านั้นมีสินค้าอยู่ในมือและมีสิทธิยึดหน่วง ตาม ปพพ. มาตรา 630 และมาตรา
670 นายคลังสินค้าจึงใช้สิทธิยึดหน่วงนี้ต่อสู้ได้ทุกคนแม้แต่ผู้รับจ�ำน�ำ ตราบใดที่ยังไม่มีการช�ำระค่าฝาก
ธ
นายคลังสินค้าก็ไม่จำ� ต้องปล่อยสินค้าให้ไป หากมีการขายทอดตลาดในการบังคับจ�ำน�ำนายคลังสินค้าก็มี
สิทธิทจี่ ะหักค่าฝากของตนไว้กอ่ นจนครบจ�ำนวน ผูร้ บั จ�ำน�ำจึงจะได้รบั ช�ำระหนีต้ ามจ�ำนวน ไม่วา่ จะคุม้ หนี้
ที่ค้างช�ำระหรือไม่ก็ตาม
มส
ธ
มีสัตว์อื่นติดโรคมาก็ได้
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จา่ ยทีน่ ายคลังสินค้าจะพึงเรียกได้นนั้ จะต้องเป็นค่าใช้จา่ ยอันควรแก่การบ�ำรุง
มส
รักษาทรัพย์สนิ เช่น ค่าอาหารไก่ทรี่ บั ฝาก ค่ายาวัคซีนทีฉ่ ดี ยามมีโรคระบาด เป็นต้น เท่าทีจ่ ำ� เป็น ส�ำหรับ
การท�ำให้ทรัพย์ที่ฝากคงอยู่ หากผู้ฝากดูแลทรัพย์นั้นเองก็คงท�ำอย่างเดียวกัน ถ้านายคลังสินค้าใช้จ่ายไป
เกินกว่าที่จ�ำเป็น ก็คงเรียกได้เป็นจ�ำนวนที่จ�ำเป็นหรือสมควร ไม่ใช่เรียกไม่ได้เลย
มีปัญหาว่าค่าใช้พื้นที่ที่นายคลังสินค้าได้ใช้จ่ายเงินไปในการนี้จะเรียกดอกเบี้ยได้หรือไม่ ถ้าเรียก
ได้ตั้งแต่เมื่อใด ความในตัวบทไม่ได้แสดงไว้เป็นพิเศษ นายคลังสินค้าจะเรียกดอกเบี้ยจากเงินดังกล่าวได้
ก็ตงั้ แต่ผดิ นัดเป็นต้นไป คือทวงถามแล้วผูฝ้ ากไม่ยอมใช้ให้ในอัตราร้อยละ 7 ครึง่ ต่อปี ตาม ปพพ. มาตรา
224 คิดตั้งแต่เวลาออกแทนไปให้เหมือนดังกรณีตัวแทนซึ่งบัญญัติไว้โดยเฉพาะใน ปพพ. มาตรา 816
ตัวอย่าง นายคลังสินค้าได้จ่ายค่าบ�ำรุงรักษาทรัพย์ของนายแดงที่ฝากเป็นเงินจ�ำนวนหนึ่งซึ่ง
สมควร ต่อมานายแดงมาถอนสินค้า นายคลังสินค้าเรียกให้นายแดงจ่ายค่าบ�ำรุงรักษาดังกล่าว แต่นายแดง
ธ
ไม่ยอมจ่าย ดังนี้ถือว่านายแดงผิดนัด นายคลังสินค้ามีสิทธิคิดดอกเบี้ยในเงินจ�ำนวนนั้นในอัตราร้อยละ 7
ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่นายแดงมาถอนสินค้า
มส
ธ
ต่อนายคลังสินค้า เช่น สินค้าที่ฝากมีสภาพเป็นอันตราย แต่ผู้ฝากไม่ได้แจ้งให้นายคลังสินค้าทราบ ต่อมา
สินค้านัน้ ระเบิดขึน้ มาท�ำให้คลังสินค้าและสินค้าอืน่ เสียหาย เหล่านีล้ ว้ นเป็นเงินทีค่ า้ งช�ำระทีน่ ายคลังสินค้า
มส
จะพึงใช้สิทธิยึดหน่วงได้ทั้งสิ้น
ตัวอย่าง แดงฝากข้าวเปลือกไว้ในไซโลของบริษทั โกดังทอง 1,000 กระสอบ กระสอบละ 500 บาท
แดงค้างค่าฝากอยู่ 2,000 บาท บริษัทโกดังทองน่าจะยึดไว้เพียง 5-6 กระสอบ
ในกรณีนี้หากพิจารณาตาม ปพพ. มาตรา 224 จะพบว่าใน ปพพ. มาตรา 224 จะเป็นเรื่อง
ยึดหน่วงทัว่ ๆ ไป ให้สทิ ธิเจ้าหนีท้ จี่ ะยึดหน่วงทรัพย์สนิ ไว้ได้ทงั้ หมด โดยไม่คำ� นึงถึงจ�ำนวนหนี้ แต่ ปพพ.
มาตรา 630 นี้เป็นเรื่องเฉพาะให้ยึดไว้ได้ตามที่จ�ำเป็นเพื่อเป็นประกันหนี้เท่านั้น
การยึดหน่วงนั้นตามธรรมดาย่อมยึดไว้ได้จนกว่าเจ้าหนี้จะได้รับช�ำระหนี้ ไม่มีสิทธิขายทรัพย์นั้น
แต่การยึดหน่วงของนายคลังสินค้า ตาม ปพพ. มาตรา 630 นี้ ยึดไว้เป็นประกันหนี้เท่ากับหนี้นั้นมีทรัพย์
ที่ยึดเป็นประกัน เท่ากับจ�ำน�ำนั่นเอง เมื่อนายคลังสินค้าได้บอกกล่าว ตาม ปพพ. มาตรา 764 แล้วก็นำ�
ธ
สินค้านั้นออกขายทอดตลาดเอาเงินมาช�ำระหนี้ของตนได้ ข้อส�ำคัญก็คือ อย่าปล่อยทรัพย์ให้กลับไปอยู่ใน
ความครอบครองของลูกหนี้เพราะจะท�ำให้สิทธิยึดหน่วงหมดไป
มส
ธ
ในกรณีเช่นนี้กฎหมายให้นายคลังบอกกล่าวผู้ฝากเพื่อขอค�ำสั่งว่าจะให้เก็บสินค้าไว้ที่ไหน เมื่อถามไป
แม้ผู้ฝากไม่สั่งว่ากระไรหรือสั่งแต่ไม่อาจจะปฏิบัติตามได้ เช่น บอกประชดให้เอาไปไว้บนต้นไม้ เป็นต้น
มส
แต่ถ้าไม่รู้ว่าผู้ฝากอยู่ที่ไหน ก็เป็นกรณีที่ไม่อาจบอกกล่าวได้ ถ้าเป็นเช่นนี้กฎหมายให้นายคลังสินค้า
น�ำสินค้าไปฝากไว้ที่สำ� นักงานฝากทรัพย์แล้วตนเองก็พ้นหน้าที่
5.2 การขายสินค้าที่ฝากนั้น เป็นกรณีที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วในข้อ 5.1
แต่สินค้าที่ฝากนั้นเป็นของสดของเสียง่าย เช่น อาจเป็นผลไม้ซึ่งเก็บไว้นานนักไม่ได้จะน�ำไปฝากไว้ ณ
ส�ำนักงานวางทรัพย์อย่างในกรณีแรกก็ไม่เหมาะ เพราะเก็บไว้นานไม่ได้หรือพอจะน�ำไปส่งได้ แต่เมื่อ
พิจารณาแล้วเห็นว่าราคาของไม่มาก ไม่คุ้มกับค่าระวางและบ�ำเหน็จค่าฝากของตน นายคลังก็มีสิทธิที่จะ
เอาสินค้านั้นออกขายทอดตลาดเสียได้ ได้เงินสุทธิเท่าใด นายคลังมีสิทธิที่จะหักไว้ใช้หนี้ตนก่อน เหลือ
เท่าใดถ้ามีการจ�ำน�ำก็ให้ส่งให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำ เหลือจากนี้จึงส่งแก่ผู้ฝากหรือผู้รับโอนแล้วแต่กรณี
การเอาของไปฝากก็ดี ขายทอดตลาดก็ดี นายคลังจะต้องแจ้งเจ้าของทรัพย์และผู้เกี่ยวข้อง
ธ
เช่น ผูท้ รงประทวนสินค้าทราบทุกคนด้วยโดยมิชกั ช้า เว้นแต่ไม่สามารถจะท�ำได้โดยให้บอกก่อนวางทรัพย์
หรือก่อนขายได้ ถ้าไม่บอกกล่าวเขาในกรณีที่สามารถท�ำได้ นายคลังสินค้าจะต้องรับผิดต่อเขาในความ
มส
เสียหายที่เกิดจากการไม่บอกนั้น
ตัวอย่าง นายคลังสินค้าเอาสินค้าไปฝาก ณ ส�ำนักงานฝากทรัพย์และก็ละเลยมิได้แจ้งให้
ผูฝ้ ากทราบ ผูฝ้ ากไม่รจู้ งึ ไม่ได้มารับเอาสินค้า ท�ำให้สนิ ค้าเสียหายหลายรายการ ดังนัน้ นายคลังสินค้าต้อง
รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
ถ้ามีผรู้ บั สลักหลังเอกสารทัง้ สองฉบับนัน้ นายคลังสินค้าต้องบอกกล่าวให้ทราบเช่นเดียวกัน
6. สิทธิที่จะได้รับค่าเสียหาย ปพพ. มาตรา 619 บัญญัติไว้ว่า “ถ้าของเป็นสภาพอันจะก่อให้
ม
เกิดอันตรายได้ หรือเป็นสภาพเกลือกจะก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินไซร้ ผู้ส่งต้องแสดง
สภาพแห่งของนั้นไว้ก่อนท�ำสัญญา ถ้ามิได้ท�ำเช่นนั้นผู้ส่งจะต้องรับผิดในการเสียหายไม่ว่าอย่างใด ๆ
อันเกิดแต่ของนั้น” เช่นนี้ ถ้าสินค้าทีจ่ ะขนส่งมีสภาพทีอ่ าจจะก่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายได้ เช่น
ดินปืน นํ้ามันหรือนํ้ายาเคมี เป็นต้น ผู้ส่งต้องบอกผู้ขนส่งให้รู้ถึงสภาพของที่ขนส่งก่อนท�ำสัญญาโดยใน
ปพพ. มาตรา 772 ให้น�ำมาตรานี้มาใช้กับเรื่องเก็บของในคลังสินค้าด้วย เพราะฉะนั้นผู้ฝากจะต้องบอก
สภาพสินค้าที่ฝากให้นายคลังสินค้าทราบด้วยเพื่อเขาจะได้ใช้ความระมัดระวังในการเก็บได้ถูกต้อง
เหมาะสม ถ้าไม่บอกก็เรียกว่าเป็นความผิดของผู้ฝาก เพราะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าเกิด
สธ
อะไรขึน้ เช่น ดินระเบิดเกิดประทุระหว่างอากาศร้อนไฟไหม้คลังสินค้าหมด เช่นนีน้ ายคลังสินค้ามีสทิ ธิเรียก
ค่าเสียหายเอาจากผู้ฝากผู้เป็นต้นเหตุ ถ้าผู้ฝากตายความรับผิดนี้จะตกทอดไปยังทายาทตามกฎหมาย
ม
5-22 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ไม่ดี ท�ำให้นํ้ายาเคมีซึมออกมาถูกสินค้าอื่นเสียหาย ดังนี้ผู้ฝากก็ยังต้องรับผิดชอบอยู่ เว้นแต่จะได้บอก
ด้วยว่าสภาพของหีบห่อนั้นไม่ค่อยมั่นคง ถ้าเก็บไม่เหมาะสมจะก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่างนี้ผู้ฝากอาจจะ
หลักสุจริต
มส
พ้นความรับผิด กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้ฝากต้องแจ้งถึงสภาพและอันตรายของสินค้าที่ฝากทุกอย่างโดยถือ
กฎหมายให้แจ้งก่อนลงมือท�ำสัญญา คือเมื่อขนสินค้าที่จะฝากไปถึงคลังก่อนน�ำของเข้าเก็บไม่ใช่
ก่อนลงมือเขียนใบรับของคลังสินค้าหรือใบประทวนสินค้า เพราะการออกเอกสารนั้นอาจจะออกภายหลัง
นัน้ หลายวันก็ได้ แต่สญ ั ญาฝากทรัพย์เกิดขึน้ แล้วในขณะตกลงฝาก ถ้าบอกภายหลังท�ำสัญญาฝากแล้วผล
จะเป็นอย่างไร เช่นนึกได้ในภายหลังก่อนเกิดอันตรายขึน้ จึงไปบอกนายคลังสินค้าว่าของทีต่ นฝากนัน้ เป็น
อันตราย อย่างนี้ไม่ท�ำให้ผู้ฝากพ้นความรับผิด แต่อาจรับผิดน้อยลงหากเป็นความผิดของนายคลังสินค้า
ด้วยที่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังหลังจากทราบเรื่องแล้ว
เพือ่ ป้องกันความผิดพลาดหลงลืม นายคลังสินค้ามักจะก�ำหนดไว้ในแบบฟอร์มใบรับของคลังสินค้า
ธ
ของตนให้มีการแจ้งสภาพของสินค้าที่ฝากด้วย
มส
กิจกรรม 5.2.1
แดงน�ำสินค้าไปฝากไว้ในโกดังของห้างโกดังทอง ต่อมาสินค้าเกิดระเบิดท�ำให้โกดังเสียหาย กรณี
นี้แดงและนายคลังสินค้ามีสิทธิและหน้าที่ต่อกันประการใดบ้าง
แนวตอบกิจกรรม 5.2.1
ม
แดงมีหน้าที่ต้องแจ้งสภาพของสินค้าที่ฝาก เสียบ�ำเหน็จค่าฝาก อาจมีหน้าที่ต้องเอาประกันภัย
สินค้า หากมีข้อตกลงกันเช่นนั้น และมีสิทธิที่จะเรียกร้องไม่รับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า สิทธิที่จะ
รับสินค้าจากคลังเมือ่ เสียค่าฝากแล้ว และสิทธิทจี่ ะให้นายคลังสินค้าแยกสินค้าออกเป็นส่วนๆ โดยยอมเสีย
ค่าใช้จา่ ยและเวนคืนใบรับของและประทวนสินค้า นอกจากนัน้ ยังมีสทิ ธิทจี่ ะจ�ำหน่ายหรือจ�ำน�ำสินค้าทีฝ่ าก
หากมีการขายก็มีสิทธิที่จะได้รับเงินที่เหลือจากการช�ำระหนี้จ�ำน�ำและค่าบริการต่างๆ แล้ว
ส่วนนายคลังสินค้านั้นมีหน้าที่จะเก็บรักษาสินค้าที่ฝากด้วยความสามารถและระมัดระวัง และใช้
ฝีมือสมกับที่มีอาชีพเช่นนั้น และมีหน้าที่ที่จะจดแจ้งการจ�ำน�ำลงในต้นขั้วเอกสาร หน้าที่แยกทรัพย์สินที่
สธ
ฝากออกเป็นส่วนๆ และออกเอกสารหลายใบตามส่วนสินค้าที่แยกออกนั้น หน้าที่ที่จะคืนสินค้าที่ฝากเมื่อ
ผูฝ้ ากหรือผูท้ รงเอกสารทีฝ่ ากได้เวนคืนเอกสารดังกล่าวตามกฎหมาย และหน้าทีท่ จี่ ะขายทอดตลาดสินค้า
เมือ่ ผูท้ รงประทวนได้รอ้ งขอให้ทำ� เช่นนัน้ และหน้าทีเ่ บ็ดเตล็ดอีกหลายประการ ส่วนสิทธินนั้ เบือ้ งต้นมีสทิ ธิ
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-23
ธ
เรื่องที่ 5.2.2
มส
หน้าที่เก็บรักษาสินค้าที่ฝาก
หน้าที่เก็บสินค้าที่ฝากนี้เป็นหน้าที่โดยตรงของนายคลังสินค้า ซึ่งแบ่งได้เป็นหลายประการคือ
1. หน้าที่เก็บรักษาสินค้าด้วยตนเอง เมือ่ เก็บรักษาทรัพย์ทฝี่ ากไว้ในอารักขาแห่งตนคือรักษาไว้
เองในที่เก็บซึ่งตนเป็นผู้ดูแล ดังปรากฏอยู่ใน ปพพ. มาตรา 657 จะน�ำไปให้คนอื่นเก็บรักษาไว้แทนไม่ได้
เพราะผู้ฝากเขาไว้ใจ นายคลังสินค้าผู้มีหน้าที่เก็บรักษาสินค้าคนเดียว ผู้ฝากจึงได้น�ำทรัพย์มาฝากไว้กับ
ตน
ธ
ในกรณีที่นายคลังไปเช่าคลังสินค้าของผู้อื่น แล้วน�ำของที่ฝากไปเก็บในคลังที่เช่ายังได้ชื่อว่านาย
คลังเก็บสินค้าไว้ในความอารักขาของเขาเอง ไม่ต้องห้าม ตาม ปพพ. มาตรา 660 ถ้านายคลังสินค้า
มส
ธ
อุทาหรณ์
ฎ.999/2493 โจทก์มอบทรัพย์ตามพินัยกรรมที่จะยกให้บุตรโจทก์ไว้กับจ�ำเลย เพราะบุตร
คือ
มส
ของโจทก์ก็อยู่กับจ�ำเลยต่อมาบุตรของโจทก์ออกจากจ�ำเลยไปมีผัวและเมีย ได้น�ำเอาสิ่งของทองรูปพรรณ
ซึ่งโจทก์ฝากไว้ติดตัวไปด้วย โจทก์รู้เห็นมิได้คัดค้านประการใด ดังนี้ต้องถือว่าโจทก์ยอมให้จ�ำเลยมอบ
ทรัพย์ให้บุตรโจทก์ไปแล้ว
2. หน้าที่ใช้ความระมัดระวังและฝีมือ หน้าที่นี้กฎหมายบัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 659 กล่าว
“ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการท�ำให้เปล่าไม่มีบ�ำเหน็จไซร้ ท่านว่าผู้รับฝากจ�ำต้องใช้ความ
ระมัดระวังสงวนทรัพย์สิน ซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง
ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบ�ำเหน็จค่าฝาก ท่านว่าผู้รับฝากจ�ำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือ
เพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น ทั้งนี้ย่อมรวมทั้งการใช้
ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย
ธ
ถ้าและผูร้ บั ฝากเป็นผูม้ วี ชิ าชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างหนึง่ อย่างใดก็จำ� ต้องใช้ความ
ระมัดระวังและใช้ฝมี อื เท่าทีเ่ ป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่าง
มส
นั้น”
กฎหมายมาตรานี้แยกหน้าที่ของนายคลังสินค้าไว้เป็นสามกรณี คือ
2.1 ในกรณีที่ฝากทรัพย์ไม่มีบ�ำเหน็จ ซึ่งอาจมีได้ในบางกรณี เช่น การบุญ การกุศล หรือ
เพื่อชาติบ้านเมือง นายคลังสินค้าอาจรับรักษาสิ่งของให้เปล่า กรณีเช่นนี้ กฎหมายให้นายคลังสินค้าใช้
ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สนิ ซึง่ มากนัน้ เหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง ไม่ใช่ทงิ้ ขว้าง เพราะ
เห็นว่าไม่มีบ�ำเหน็จสินจ้าง
ม
ตัวอย่าง บริษัทโกดังทองรับฝากอาวุธที่กระทรวงกลาโหมส่งเข้ามาโดยไม่คิดบ�ำเหน็จ โดย
ให้เก็บไว้ในโกดังเปลีย่ ว และไม่ให้ยามเฝ้าเพราะเห็นว่าไม่ได้คา่ ตอบแทนอะไร ทัง้ ๆ ทีบ่ ริเวณนัน้ ขโมยชุม
ดังนี้ได้ชื่อว่าบริษัทไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ หากสิ่งของที่ฝากถูกขโมยลัก บริษัทจะ
ต้องรับผิด
อุทาหรณ์
ฎ.1216/2508 คดีนี้จ�ำเลยขายข้าวให้โจทก์ แล้วรับฝากข้าวไว้ในยุ้งโดยไม่มีบำ� เหน็จต่อมา
เกิดอุทกภัย จ�ำเลยให้โจทก์มารับข้าว โจทก์ไม่มา จ�ำเลยจึงขายข้าวนั้นไป หลังจากที่จ�ำเลยขายข้าวของ
สธ
ตนเองไปหมดแล้ว เพราะเกรงว่านํา้ จะท่วมข้าวเสียหาย ศาลฎีกาตัดสินว่า จ�ำเลยในฐานะผูร้ บั ฝากต้องการ
ท�ำให้เปล่าไม่มบี ำ� เหน็จ ได้ใช้ความระมัดระวังในการรักษาทรัพย์สนิ ทีฝ่ ากเหมือนเช่นได้ประพฤติในกิจการ
ของตนเอง และเป็นการกระท�ำเพื่อจะปัดป้องอันตรายอันจะเป็นภัยแก่ทรัพย์สินนั้น โดยมิได้จงใจท�ำผิด
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-25
ธ
ในมาตรา 770 ว่า นายคลังสินค้านัน้ รับท�ำการเก็บรักษาสินค้าเพือ่ บ�ำเหน็จเป็นทางค้าปกติของตน เพราะ
เขาเป็นพ่อค้าที่ไม่คิดเอาค่าตอบแทนแล้วย่อมจะอยู่ไม่ได้ กฎหมายให้นายคลังสินค้าใช้ความระมัดระวัง
มส
และใช้ฝมี อื เพือ่ สงวนทรัพย์สนิ นัน้ เหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงปฏิบตั ิ โดยพฤติการณ์ดงั นัน้ รวมทัง้ การใช้ฝมี อื
พิเศษเฉพาะการที่จะพึงใช้เช่นนั้นด้วย
ค�ำว่า “วิญญูชน” นัน้ หมายถึงบุคคลผูม้ คี วามระมัดระวัง คือเมือ่ จะเอาบ�ำเหน็จเขาแล้วต้อง
รักษาของเขาให้ดี สมกับนํ้าเงินที่เขาจ้าง ยิ่งกว่าของตัวเอง ของตัวเองบางอย่างอาจไม่ชอบเพราะเห็นว่า
มันเก่าแล้ว อาจเก็บตามมีตามเกิด แต่ถ้าเป็นของซึ่งลูกค้าน�ำมาฝากแม้มันจะเก่าอย่างไรก็ต้องเก็บรักษา
ของเขาให้ดี และด้วยความระมัดระวัง
ตัวอย่าง บริษัทเกษตรกรรมพืชผล ต้องการเงินมาหมุนเวียนด้วยการจ�ำน�ำข้าวเปลือกใน
ไซโลของตนไว้กบั บริษทั สุนทรทรัสต์ แต่เนือ่ งจากสินค้าเก็บไว้ในคลังสินค้าของตนเองไม่อาจจ�ำน�ำได้ตาม
กฎหมาย จึงตกลงกับบริษัทสุนทรทรัสต์ให้บริษัทโกดังทองเป็นผู้ครอบครองรักษาสินค้าในไซโลของตน
ธ
โดยบริษัทโกดังทองเก็บค่าเฝ้ารักษาตามระเบียบและออกใบรับของคลังสินค้า และประทวนสินค้าให้แก่
บริษัทเกษตรกรรมพืชผลเพื่อสลักหลังจ�ำน�ำตามกฎหมาย แต่บริษัทโกดังทองไม่ได้ให้คนเฝ้าจึงถูกขโมย
มส
ธ
ความเย็นไม่พอ ล�ำไยของโจทก์เน่าเสีย จ�ำเลยต้องใช้ค่าเสียหาย
มส
กิจกรรม 5.2.2
เหตุใดกฎหมายจึงให้นายคลังมีหน้าที่เก็บรักษาสินค้าด้วยตนเอง จงอธิบาย
แนวตอบกิจกรรม 5.2.2
เหตุทกี่ ฎหมายบัญญัตใิ ห้นายคลังสินค้ามีหน้าทีเ่ ก็บรักษาสินค้าด้วยตนเองก็เพราะว่า สัญญาฝาก
ทรัพย์นั้นเป็นสัญญาที่อาศัยความไว้วางใจเฉพาะตัว
ธ
เรื่องที่ 5.2.3
มส
หน้าที่บอกกล่าวเมื่อบุคคลภายนอกอ้างสิทธิเหนือสินค้าที่ฝาก
ต่อมาเหลืองฟ้องบริษัทโกดังทองให้ส่งข้าวเปลือกกึ่งจ�ำนวนแก่ตน มิฉะนั้นให้ใช้ราคาข้าวเปลือก
กรณีเช่นนี้บริษัทโกดังทองต้องรีบแจ้งให้แดงผู้ฝากทราบ มิฉะนั้นถือว่าละเลยต่อหน้าที่ หากเกิดความ
เสียหายต้องรับผิดต่อ ผู้ฝากหรือผู้รับโอนแล้วแต่กรณี
ถ้าผู้ฝากได้โอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่ฝากด้วยการสลักหลังใบรับของคลังสินค้า ปกติการสลักหลัง
ใบรับของคลังสินค้านัน้ ไม่จำ� ต้องบอกกล่าวแก่นายคลังสินค้า นายคลังสินค้าจึงไม่จำ� ต้องบอกกล่าวแก่ผรู้ บั
ธ
สลักหลังดังกล่าว นายคลังสินค้าบางแห่ง เช่น องค์การคลังสินค้า เป็นต้น จะก�ำหนดเงื่อนไขไว้ให้ผู้ฝาก
แจ้งนามและที่อยู่ของผู้รับโอนให้แก่ตนทราบด้วยจะได้สะดวกแก่การติดต่อและการคืนสินค้า
มส
ตัวอย่างที่ 2 กรณีตามตัวอย่างข้างต้น เหลืองฟ้องบริษัทโกดังทองเป็นจ�ำเลยที่ 1 และฟ้องแดง
ผูฝ้ ากเป็นจ�ำเลยที่ 2 เรียกสินค้าทีฝ่ ากนัน้ กึง่ หนึง่ กรณีเช่นนี้ บริษทั โกดังทองไม่ตอ้ งแจ้งให้แดงผูฝ้ ากทราบ
เพราะแดงทราบอยู่แล้ว
2. กรณีทรัพย์ที่ฝากถูกยึด อาจเป็นการยึดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามหมายบังคับคดีของศาล
หรือโดยเจ้าหน้าทีฝ่ า่ ยปกครองหรือต�ำรวจก็ได้ หรือแม้เพียงได้รบั ค�ำสัง่ อายัดให้สง่ ทรัพย์ดงั กล่าว นายคลัง
สินค้าต้องรีบแจ้งแก่ผู้ฝากเช่นเดียวกัน เว้นแต่ผู้ฝากเองจะรู้อยู่แล้ว
ตัวอย่าง 1 แดงฝากสินค้าไว้กับบริษัทโกดังทองต่อมามีเจ้าหน้าที่ต�ำรวจมีหมายค้นมาขอตรวจ
แล้วยึดเอาสินค้าทีฝ่ ากนัน้ ไปโดยอ้างว่าเป็นของโจรทีถ่ กู ขโมยมา กรณีเช่นนีบ้ ริษทั โกดังทองต้องรีบแจ้งให้
แดงผู้ฝากทราบมิฉะนั้นหากเกิดความเสียหายแก่แดง บริษัทโกดังทองต้องรับผิด
ธ
ตัวอย่าง 2 แดงฝากสินค้าไว้กับบริษัทโกดังทองต่อมาแดงถูกเจ้าหน้าที่ฟ้องเรียกหนี้สิน และ
มส
เจ้าหนี้ขอคุ้มครองชั่วคราวห้ามมิให้แดงจ�ำหน่ายจ่ายโอนสินค้าที่ฝาก ศาลได้ส่งค�ำสั่งห้ามแดงและบริษัท
โกดังทองจ�ำหน่ายจ่ายโอนสินค้านั้น กรณีเช่นนี้บริษัทโกดังทองไม่ต้องแจ้งให้แดงทราบเพราะแดงก็ได้รับ
ค�ำสั่งศาลอยู่แล้ว
ทีว่ า่ รีบบอกกล่าว นัน้ คือบอกกล่าวโดยไม่ชกั ช้าบอกกล่าวให้ทนั การในโอกาสแรกทีจ่ ะบอกกล่าว
ได้ถ้าบอกกล่าวโดยวิธีนี้ไม่ได้ เพราะมีอุปสรรค เช่น นํ้าท่วมไปมาไม่สะดวกที่จะส่งจดหมาย ก็อาจบอก
กล่าวโดยวิธีอื่นที่เป็นไปได้ เช่น โทรศัพท์หรือทางเครื่องมือสื่อสารอย่างอื่น อย่างน้อยก็ภายในเวลาที่ผู้
ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฝาก
กิจกรรม 5.2.3
ม
ฝากจะสามารถเข้าปกปักษ์รักษาประโยชน์ของเขาได้ ถ้าแจ้งช้าไปท�ำให้ผู้ฝากเสียหาย นายคลังสินค้าจะ
ถ้านายคลังไม่บอกกล่าวตามหน้าที่ผลจะเป็นอย่างไร จงอธิบาย
สธ
แนวตอบกิจกรรม 5.2.3
ถ้านายคลังสินค้าไม่บอกกล่าวตามหน้าทีจ่ ะได้ชอื่ ว่าท�ำผิดหน้าทีห่ ากเกิดความเสียหาย ตนเองจะ
ต้องรับผิดต่อผู้ฝากหรือผู้สืบสิทธิของเขา
ม
5-28 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 5.2.4
หน้าที่คืนสินค้าที่ฝาก
ธ
หน้าที่คืนสินค้าที่ฝากของนายคลังสินค้านั้น เป็นสาระส�ำคัญอันหนึ่งในการเก็บของในคลังสินค้า
เป็นหน้าที่ที่กฎหมายบังคับดังกล่าวไว้ใน ปพพ. มาตรา 657 นั่นเอง สาระส�ำคัญของมาตรานี้มีว่า ผู้รับ
มส
ฝากเก็บรักษาทรัพย์ทฝี่ ากไว้ในอารักขาแห่งตน แล้วจะคืนให้ การฝากทรัพย์นนั้ บางกรณีอาจไม่มกี ารออก
ใบรับของคลังสินค้า เพราะผู้ฝากไม่ต้องการ ตาม ปพพ. มาตรา 775 ด้วยเอกสาร ใบรับของคลังสินค้า
กับประทวนสินค้านัน้ ออกเมือ่ ผูฝ้ ากต้องการ บางกรณีซงึ่ ผูฝ้ ากไม่ประสงค์จะให้ผรู้ บั ฝากยุง่ ยาก เช่น ฝาก
ของในโกดังญาติพนี่ อ้ งกันเอง อาจจะให้ผรู้ บั ฝากเซ็นชือ่ ในบัญชีสนิ ค้าก็ได้ ซึง่ สะดวกกว่า กรณีทไี่ ม่มใี บรับ
ของคลังสินค้านี้ การคืนทรัพย์ที่ฝากคงปฏิบัติ ตาม ปพพ. มาตรา 662 และ 663 คือคืนแบบธรรมดา แต่
ถ้ามีการออกใบรับรองของคลังสินค้า และประทวนสินค้าก็ต้องปฏิบัติ ตาม ปพพ. มาตรา 788 และ 789
คือต้องมีการเวนคืนเอกสารด้วย มิฉะนัน้ จะรับของไปไม่ได้ ขอกล่าวถึงการคืนทรัพย์แบบธรรมดาก่อน ตาม
หัวข้อต่อไปนี้
1. ก�ำหนดเวลาคืนทรัพย์ ตามทีไ่ ด้ศกึ ษามาแล้วว่า สัญญาฝากทรัพย์เป็นสัญญาเพือ่ ผูฝ้ าก เพราะ
ฉะนั้นถ้าผู้ฝากเรียกคืนเมื่อใดนายคลังจะต้องคืนให้ทุกเมื่อไม่ว่าสัญญาฝากจะได้ก�ำหนดเงื่อนเวลาไว้หรือ
ธ
ไม่กต็ าม แต่ตรงกันข้ามนายคลังสินค้าไม่มสี ทิ ธิคนื สินค้าก่อนเวลาทีก่ ำ� หนด เว้นแต่ในเหตุจำ� เป็นอันมิอาจ
จะก้าวล่วงเสียได้ ดังปรากฏอยู่ใน ปพพ. มาตรา 662 และ 663 ที่บัญญัติว่า
มส
ธ
มาตรานี้หมายถึง การฝากธรรมดาไม่มีเอกสารใบรับของคลังสินค้า ซึ่งอาจมิได้
มาตรานีก้ ล่าวถึงผูม้ สี ทิ ธิรบั คืนได้ 4 กรณี ถ้านายคลังสินค้าคืนให้บคุ คลอืน่ นอกจากนีถ้ อื ว่า ช�ำระ
มส
หนี้ผิดตัวเจ้าหนี้ เท่ากับไม่ได้ช�ำระหนี้ บุคคล ผู้มีสิทธิรับคืนทรัพย์ที่ฝาก ได้แก่
2.1 ผู้ฝาก ซึ่งเป็นคู่สัญญาโดยตรง ผู้ฝากอาจไม่ใช่เจ้าทรัพย์ที่ฝากก็ได้ เมื่อเขาเป็นผู้ฝาก
ก็ต้องคืนให้แก่เขา
ตัวอย่าง 1 แดงเจ้าของไร่กระเทียม ส่งกระเทียมมาให้ดำ� พ่อค้าขายส่งที่ตลาดท่าเตียนขาย
แทน ด�ำให้น�ำกระเทียมไปฝากไว้ที่โกดังของบริษัทโกดังทองในนามของด�ำ เพื่อรอการจ�ำหน่าย บริษัท
โกดังทองต้องคืนกระเทียมให้แก่ด�ำผู้ฝาก แม้แดงเจ้าของที่แท้จริงมาขอรับคืนบริษัทโกดังทองก็ไม่จำ� ต้อง
คืนให้
ตัวอย่าง 2 องค์การ ร.ส.พ. บรรทุกสินค้าของลูกค้าจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ไปถึง
นครสวรรค์ รถเสียจ�ำเป็นต้องขนสินค้าออกจากรถเพือ่ ซ่อม ผูจ้ ดั การ ร.ส.พ. ทีน่ ครสวรรค์ได้นำ� สินค้าฝาก
ธ
ที่โกดังฮวดเง็กตึ้งเจ้าของโกดังต้องคืนสินค้าที่ฝากให้แก่ผู้ฝาก สมมติว่าเจ้าของสินค้าอันแท้จริงมาขอรับ
สินค้านายคลังสินค้าของโกดังฮวดเง็กตึง้ ได้คนื สินค้าให้แก่เจ้าของอันแท้จริงท�ำให้ผขู้ นส่งซึง่ ฝากสินค้านัน้
มส
ธ
นามของด�ำ (ไม่ได้ออกใบรับของคลังสินค้าแต่เซ็นรับสินค้าในบัญชีสินค้า) ต่อมาด�ำสั่งให้คืนสินค้าที่ฝาก
ให้แก่ขาวผู้ซื้อ ค�ำสั่งของด�ำเป็นค�ำสั่งที่ชอบ แต่แดงไม่มีอำ� นาจสั่ง
ตัวอย่าง พ่อค้าสัตว์ปกี ฝากไก่พนั ธุ์ 20 ตัว ไว้กบั ทีพ่ กั สัตว์ของห้างซุน่ ฮวดหลีบริการ เพือ่ ให้เจ้า
หน้าทีต่ รวจ 3 วันก่อนส่งขึน้ เครือ่ งบิน ระหว่างนัน้ ไก่ไข่ออกมาหลายฟอง นายคลังต้องคืนทัง้ ไก่ทฝี่ ากและ
ไข่ไก่ที่ว่านั้นให้แก่ ผู้ฝากด้วย ถ้าขืนเอาไปกินมีความผิดฐานยักยอก
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีข้อตกลงว่าไม่ต้องคืนดอกผลก็เป็นเรื่องยกเว้น ถ้าเช่นนั้นนายคลังสินค้าก็ไม่
ต้องคืน ดอกผลด้วย
ธ
4. ค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์ ค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์นั้น ปพพ. มาตรา 667 ให้ตกแก่ผู้ฝาก
เป็นผูเ้ สีย เช่น ค่ากุลแี บกหามสินค้า ค่าขนส่ง ปกตินายคลังจะคิดรวมไว้ในค่าบริการ อันนีไ้ ม่ใช่หน้าทีน่ าย
มส
คลังสินค้า เว้นแต่จะได้เขียนไว้ในสัญญาฝากทรัพย์เป็นอย่างอืน่ ให้นายคลังน�ำมารวมไว้ในค่าบริการ เพราะ
จะให้รักษาทรัพย์สินด้วยและเรียกค่าคืนทรัพย์ด้วยเป็นการไม่ยุติธรรมอย่างที่เห็นได้อยู่ในตัว
อนึ่ง การขนส่งสินค้ามาฝากและขนกลับนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ฝากอยู่แล้ว ผู้ฝากจึงต้องเสียค่า-
ใช้จ่ายนายคลังมีหน้าที่รับฝากและคืนทรัพย์ที่ฝากให้เขาเท่านั้นแม้ในกรณีที่นายคลังน�ำสินค้าไปคืนให้แก่
ผู้ฝากตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 774 ผู้ฝากก็ยังจะต้องเป็นผู้เสียค่าส่งคืนสินค้าอยู่นั่นเอง
ตัวอย่าง แดงฝากสินค้าไว้กับบริษัทโกดังทอง โดยไม่มีกำ� หนด ต่อมามีลูกค้ารายใหญ่นำ� ของมา
ฝากซึง่ ทางบริษทั ต้องการเนือ้ ที่ จึงบอกกล่าวแก่แดงให้มารับสินค้าคืนไป แต่แดงไม่นำ� พาต่อการคืนสินค้า
หลังจากบอกกล่าวได้ 1 เดือน และเป็นเวลากว่า 2 เดือนนับแต่แดงฝากทรัพย์ บริษัทจึงขนสินค้าไปคืน
แดง แดงจะต้องเป็นผู้เสียค่าขนส่งสินค้าให้แก่บริษัทโกดังทอง ผู้รับฝาก
ธ
สมมติว่า แดงน�ำสินค้าไปฝากไว้กับโกดังของบริษัทโกดังทอง รุ่งขึ้นจากวันฝากบริษัทโกดังทอง
ต้องการ ใช้สอยที่ จึงขนเอาสินค้ามาคืนแดง ซึ่งไม่มีอำ� นาจท�ำได้ ตาม ปพพ. มาตรา 774 แม้กระนั้นแดง
มส
ก็จะต้องเสียค่าคืนทรัพย์ ส่วนแดงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส�ำหรับการคืนทรัพย์ในกรณีที่มีการออกใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้านั้น ต้องถือเอา
เอกสารเป็นส�ำคัญ คือใบรับของคลังสินค้านั้นผู้ฝากสามารถสลักหลังโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าให้แก่ผู้อื่นได้
ผู้ทรงใบรับของคลังสินค้าจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในสินค้านั้น เพราะฉะนั้น ปพพ. มาตรา 788 จึงบัญญัติว่า
“อันสินค้าที่เก็บรักษาไว้ในคลังนั้นจะรับเอาไปได้ก็แต่เมื่อเวนคืนใบรับของคลังสินค้า”
ผู้เวนคืนใบรับของคลังสินค้านั้นจะต้องเป็นผู้ทรงโดยชอบมีชื่อรับสลักหลังโดยชอบด้วยกฎหมาย
หมายถึงการคืนโดยการส่งมอบใบส�ำคัญต่างๆ และ/หรือจดแจ้งไว้ในใบส�ำคัญนั้นๆ
ม
ไม่ใช่เป็นผูถ้ อื ใบรับของคลังสินค้า ซึง่ อาจเป็นผูข้ โมยเขามาก็ได้ ใบรับของคลังสินค้าไม่อาจออกให้แก่ผถู้ อื
และจะมีการสลักหลังให้แก่ผู้ถือก็ไม่ได้ตามที่กล่าวไว้ใน ปพพ. มาตรา 779 นั่นเอง การเวนคืนในที่นี้
ธ
สินค้าที่ฝาก การสลักหลังใบรับของคลังสินค้าโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้านั้นจะต้องโอนใบประทวนสินค้าไป
ด้วย การรับสลักหลังใบรับของคลังสินค้าจึงมีใบประทวนสินค้าอยูใ่ นมือด้วย ตาม ปพพ. มาตรา 786 สินค้า
มส
ทีฝ่ ากไม่ได้เป็นประกันหนีอ้ นั นายคลังสินค้าจะพึงรับผิดเลย เพราะฉะนัน้ เขาเอาใบรับของคลังสินค้าใบเดียว
มาเวนคืนเอาสินค้า นายคลังก็ยอ่ มจะคืนให้ได้ ผูฝ้ ากจะน�ำเอาใบประทวนสินค้าทีม่ อี ยูใ่ นมือไปจ�ำน�ำได้หลัง
จากถอนสินค้าออกไปแล้วย่อมไม่เกี่ยวข้องกับนายคลังสินค้า
แต่กรณีทมี่ กี ารสลักหลังจ�ำน�ำใบประทวนสินค้าตามกฎหมายถือว่า นายคลังสินค้าครอบครองสินค้า
ทีจ่ ำ� น�ำในฐานะตัวแทนของเจ้าหนีแ้ ละจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนีถ้ า้ ขืนปล่อยสินค้าไปเสีย เพราะฉะนัน้ ปพพ.
มาตรา 789 จึงบังคับไว้ในวรรคหนึง่ ว่า “ถ้าได้แยกประทวนสินค้าออกสลักหลังจ�ำน�ำแล้วจะรับเอาสินค้า
ได้แต่เมื่อเวนคืนทั้งใบรับของสินค้าและประทวนสินค้า”
ที่บังคับไว้ให้เวนคืนเอกสารทั้งสองใบนั้นก็เพื่อเป็นที่แน่ใจว่า สินค้านั้นปลอดจากการเป็นประกัน
แล้ว นายคลังสินค้าไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้แต่อย่างใด ถ้าเขาเวนคืนใบรับของคลังสินค้าใบเดียวนายคลัง
ธ
สินค้าปล่อยให้สินค้าเขาไป ตนต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ถ้าผู้ฝากต้องการถอนสินค้าโดยไม่ช�ำระหนี้จ�ำน�ำก่อน
ต้องน�ำเงินมาวางตามความใน ปพพ. มาตรา 789 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “แต่ว่าผู้ทรงใบรับของคลัง
มส
สินค้าอาจให้คืนสินค้าแก่ตนได้ในเวลาใดๆ เมื่อวางเงินแก่นายคลังสินค้าเต็มจ�ำนวนหนี้ซึ่งลงไว้ใน
ประทวนสินค้า กับทั้งดอกเบี้ยจนถึงวันก�ำหนดช�ำระหนี้นั้นด้วย”
เมื่อผู้ฝากวางเงินเต็มจ�ำนวนหนี้ซึ่งลงไว้ในประทวนสินค้า นายคลังสินค้าต้องคืนสินค้าให้แก่เขา
จะเกี่ยงเอามากไปกว่านั้นไม่ได้
เงินนีน้ ายคลังเอาไว้จา่ ยให้แก่ผรู้ บั จ�ำน�ำเมือ่ เขาน�ำประทวนสินค้ามาเวนคืน ดังความในมาตรา 789
วรรคสาม ซึ่งบัญญัติว่า “อนึ่ง จ�ำนวนเงินที่วางเช่นนี้นายคลังสินค้าต้องช�ำระแก่ผู้ทรงประทวนสินค้า
เมื่อเขาเวนคืนประทวนนั้น” ม
ตัวอย่าง แดงฝากสินค้ามูลค่าหนึ่งล้านบาทไว้กับบริษัทโกดังทอง แล้วสลักหลังจ�ำน�ำสินค้านั้นไว้
กับด�ำเพียง 100,000 บาท ก�ำหนดช�ำระภายใน 6 เดือน ดอกเบี้ย 7,500 บาท ต่อมาจะต้องส่งสินค้านั้น
ไปต่างประเทศ แต่ปล่อยสินค้าไม่ได้เพราะยังไม่ได้ชำ� ระหนีแ้ ก่ดำ � เพือ่ เอาประทวนคืนมา จึงไปยืมเงินเพือ่ น
ฝูงได้มาแสนกว่าบาทแล้วเอามาวางไว้กบั บริษทั โกดังทอง 107,500 บาท ดังนัน้ บริษทั โกดังทองต้องปล่อย
สินค้าให้แดงไป จะเกี่ยงเอาประกันมากกว่านั้นไม่ได้
เงินจ�ำนวนนี้นายคลังสินค้าเก็บไว้จ่ายให้ด�ำผู้ทรงประทวนสินค้า เมื่อเขาน�ำประทวนสินค้ามา
สธ
เวนคืน ดังความในมาตรา 789 วรรคสาม
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-33
ธ
แทนได้หรือไม่ข้อนี้ตอบได้ว่าไม่ได้ ถ้าน�ำทรัพย์สินอย่างอื่นมาวาง เช่น แหวนเพชรราคาแพงๆ นายคลัง
สินค้าไม่มีหน้าที่ต้องรับไว้ เนื่องจากกฎหมายบัญญัติมิให้ผู้ทรงน�ำเงินมาวางพร้อมดอกเบี้ย เวลามีผู้น�ำ
มส
ประทวนมาเวนคืนนายคลังสินค้าจะต้องจ่ายเงินให้เขาไป
ในกรณีทนี่ ายคลังสินค้ารับเอาทรัพย์อนื่ ไว้แทนเงินเช่นรับแหวนเพชรไว้ ต่อมาขายได้ไม่ถงึ จ�ำนวน
หนี้ที่ค้างช�ำระก็ดี นายคลังสินค้าต้องรับผิด
อย่างไรก็ตาม นายคลังสินค้าอาจเอือ้ เฟือ้ ให้ความสะดวกแก่ลกู ค้า เพือ่ เอาใจกันไว้โดยรับเอาหลัก
ประกันอย่างอื่นไว้แทน เช่น หนังสือคํ้าประกันของธนาคารหรือแม้แต่ตั๋วสัญญาใช้เงินของลูกหนี้เองก็ได้
อันนี้เป็นสิทธิของนายคลังสินค้าไม่ใช่หน้าที่
ข้อสังเกต ตัวบทใน ปพพ. มาตรา 663 และ 664 ใช้คำ� ว่าผู้ฝากจะเรียกคืนทรัพย์สินเมื่อใดก็ได้
ทุกเมื่อ เป็นปัญหาว่า ผู้ฝากจะเรียกคืนสินค้าในเวลาวิกาล หรือวันหยุดท�ำการงานได้หรือไม่ ข้อนี้ต้อง
อาศัยบทกฎหมายทีใ่ กล้เคียง ตาม ปพพ. มาตรา 773 คือ จะต้องเป็นเวลาอันสมควร การเรียกคืนในเวลา
ธ
กลางคืนนั้นย่อมไม่ใช่วิสัย ส�ำหรับในวันหยุด ตามปกตินั้นคงไม่สะดวกแก่นายคลังทั้งเป็นการที่เห็นได้ว่า
คู่สัญญาตกลงกันโดยปริยายว่า จะไม่มีการเรียกคืนในวันเช่นนั้น
มส
กิจกรรม 5.2.4
1. นายคลังสินค้ามีหน้าที่ต้องคืนสินค้าที่ฝากให้แก่ใคร
2. นายคลังสินค้าไม่ต้องคืนสินค้าในกรณีใดบ้าง
ม
3. การคืนสินค้าในกรณีที่การฝากมีเอกสารการฝากกับไม่มีเอกสารการฝากต่างกันหรือไม่
4. การคืนสินค้าให้แก่ผู้ไม่ควรรับ ผลจะเป็นอย่างไร
แนวตอบกิจกรรม 5.2.4
สธ
1. นายคลังสินค้ามีความผูกพันกับผู้ฝากเพราะฉะนั้นนายคลังสินค้าจึงต้องคืนทรัพย์ที่ฝากให้แก่
ผู้ฝากเว้นแต่
ม
5-34 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
1) ผู้ฝากสั่งให้คืนแก่ผู้อื่น
2) ผู้ฝากตายคืนให้แก่ทายาท
3) ผู้ฝากในนามของผู้อื่น กรณีเช่นนี้ผู้ฝากอยู่ในฐานะเพียงตัวแทน นายคลังต้องคืนให้แก่
เจ้าของซึ่งเป็นผู้ฝากอันแท้จริง
2. นายคลังสินค้าอาจไม่ต้องคืนสินค้าในกรณีที่ผู้ฝากมิได้เวนคืนเอกสารรับฝากตามที่กฎหมาย
ธ
บังคับ หรือผู้ฝากเวนคืนเอกสารแต่ไม่ยอมช�ำระเงินที่เกี่ยวค้าง เช่น บ�ำเหน็จ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ นายคลัง
สินค้าอาจใช้สิทธิยึดหน่วงสินค้าเอาไว้ได้
มส
3. การคืนสินค้าในกรณีฝากทรัพย์โดยออกเอกสารใบรับของและประทวนสินค้ากับกรณีไม่ได้ออก
เอกสารดังกล่าวนั้นต่างกัน ในกรณีที่มีการออกเอกสารใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้านั้นจะต้องมี
การเวนคืนเอกสาร 2 ฉบับนี้ตามที่กฎหมายก�ำหนดไว้ในลักษณะนี้ แต่ในกรณีที่ไม่มีการออกตราสรา
ดังกล่าวนั้น การคืนทรัพย์ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยการฝากทรัพย์ทั่วไป
4. การคืนทรัพย์ให้แก่ผทู้ ไี่ ม่ควรรับนัน้ เป็นการช�ำระหนีผ้ ดิ ตัวเจ้าหนี้ นายคลังสินค้าจะต้องรับผิด
ต่อผู้ฝากหรือผู้สืบสิทธิอันแท้จริงของเขา
ธ
เรื่องที่ 5.2.5
หน้าที่เบ็ดเตล็ด
มส
แต่ทว่าผู้ทรงตราสารหรือตัวแทนเช่นว่านั้นจะต้องมาในเวลาอันควรและจะต้องมาในเวลาที่
นายคลังเปิดท�ำการงานติดต่อกับลูกค้าตามปกติด้วย ผู้ทรงจะมาขอตรวจสินค้าในเวลากลางคืนหรือใน
ระหว่างที่เขาเปิดท�ำงานเป็นพิเศษ เช่น ปิดบัญชีงบครึ่งปีและไม่มีการติดต่อกับลูกค้าอย่างนี้ไม่ได้
อย่างไรเป็นเวลาอันควรนั้นแล้วแต่พฤติการณ์แต่ละแห่ง คลังสินค้าบางแห่งอาจเปิดบริการลูกค้า
ตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าเช่นนั้นผู้ทรงก็สามารถติดต่อขอตรวจหรือขอตัวอย่างสินค้าได้ทุกมื่อ
ธ
2. หน้าที่ออกเอกสารการฝาก เอกสารการฝากอันมีใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้าตาม
ที่บัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 775 ความว่า“ถ้าผู้ฝากต้องการไซร้ นายคลังสินค้าต้องส่งมอบเอกสารซึ่ง
มส
เอาออกจากทะเบียนมีตน้ ขัว้ เฉพาะการอันมีใบรับของคลังสินค้าฉบับหนึง่ และประทวนสินค้าฉบับหนึง่
ให้แก่ผู้ฝาก”
กฎหมายให้นายคลังออกเอกสาร 2 ฉบับนี้ กล่าวคือใบรับรองของคลังสินค้าและใบประทวนสินค้า
เมื่อผู้ฝากต้องการ ลูกค้าบางรายที่ไม่ประสงค์จะขายหรือจ�ำน�ำสินค้าด้วยการสลักหลังเอกสาร 2 ฉบับนี้
เพียงแต่อยากจะเก็บสินค้าไว้เฉยๆ เพื่อรอราคาหรือรอเวลา เขาอาจจะไม่ต้องการเอกสาร 2 ฉบับนี้ก็ได้
นายคลังสินค้าอาจลงลายมือชื่อรับสินค้าในบัญชีสินค้าที่ผู้ฝากน�ำมาก็ได้ซึ่งสะดวกกว่าซึ่งเอกสาร 2 ฉบับ
ที่ว่านี้จะต้องท�ำขึ้นมีรายการครบถ้วนตามที่บังคับไว้ใน ปพพ. มาตรา 778
การออกเอกสาร 2 ฉบับนี้ ปพพ. มาตรา 779 บัญญัติว่าจะออกให้แก่ผู้ถือไม่ได้ หรือสลักหลังให้
แก่ผถู้ อื ไม่ได้คอื จะต้องออกโดยระบุชอื่ ผูฝ้ ากสารไปในตราสารทุกกรณีไปจะเขียนเพียงว่า “บริษทั โกดังทอง
จ�ำกัดได้รับฝากสินค้า ตามบัญชีสินค้าแนบท้ายไว้จากผู้ถือเอกสารนี้” อย่างนี้ไม่ได้
ธ
เมื่อเริ่มฝากผู้ฝากอาจไม่ต้องการเอกสารใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า ต่อมาผู้ฝากเกิด
ต้องการขึน้ มาจะด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ นายคลังสินค้าจ�ำต้องออกให้เขา ถ้าไม่ยอมออกผูฝ้ ากฟ้องเรียก
มส
เอาได้
คลังสินค้าบางแห่งเคยออกแต่ใบรับของคลังสินค้าไม่เคยออกประทวนสินค้า ถ้าผูฝ้ ากต้องการทัง้
ใบรับและประทวน ก็คงไม่ยาก เพราะประทวนสินค้ากับใบรับนั้นมีรายการเหมือนกัน นายคลังสินค้าอาจ
ถ่ายรูปใบรับแล้ว ขีดฆ่าค�ำว่าใบรับออกแล้วเขียนค�ำว่า ประทวนสินค้าลงไปแทน แล้วกรอกข้อความ
ปิดอากรแสตมป์ลงลายมือชื่อ นายคลังสินค้าเท่านั้นก็มใช้ได้ตามกฎหมาย
3. หน้าที่จดรายการจ�ำน�ำลงในต้นขั้วเอกสาร ตามความใน ปพพ. มาตรา 782 ซึ่งบัญญัติว่า
ม
“เมื่อใดผู้ฝากจ�ำน�ำสินค้าและส่งมอบประทวนสินค้าแก่ผู้รับสลักหลังแล้ว ผู้รับสลักหลังเช่นนั้นต้องมี
จดหมายบอกกล่าวแก่นายคลังสินค้าให้ทราบจ�ำนวนหนีซ้ งึ่ จ�ำน�ำสินค้านัน้ เป็นประกัน ทัง้ จ�ำนวนดอกเบีย้
และวันอันหนี้นั้นจะถึงก�ำหนดช�ำระ เมื่อนายคลังสินค้าได้รับค�ำบอกกล่าวเช่นนั้นแล้วต้องจดรายการทั้ง
นั้นลงในต้นขั้ว
ถ้ามิได้จดในต้นขั้วเช่นนั้น ท่านว่าการจ�ำน�ำนั้นหาอาจจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ทั้งหลายของ
ผู้ฝากได้ไม่”
หน้าทีจ่ ดรายการจ�ำน�ำตามมาตรานีเ้ กิดขึน้ เมือ่ นายคลังสินค้าได้รบั ค�ำบอกกล่าวการจ�ำน�ำจากผูร้ บั
สธ
สลักหลังเป็นการรักษาผลประโยชน์ของเขา การทีผ่ รู้ บั สลักหลังบอกมาเช่นนัน้ เท่ากับแจ้งให้นายคลังสินค้า
ทราบโดยปริยายว่า ต่อแต่นั้นไปนายคลังสินค้าครอบคลุมสินค้าที่ฝากแทนเขาในฐานะผู้รับจ�ำน�ำด้วย จะ
ส่งคืนสินค้าแก่ผู้ฝากหรือบุคคลอื่นใดไม่ได้ จนกว่าจะได้ชำ� ระหนี้จ�ำน�ำแก่เขาก่อน
ม
5-36 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
โกดังทองทราบเพราะไม่รู้ระเบียบ
ต่อมาแดงถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องและยึดสินค้าในคลังออกขายทอดตลาด ด�ำจะมายื่นค�ำร้องขอรับ
มส
ช�ำระหนี้จ�ำน�ำก่อนเจ้าหนี้อื่นในฐานะเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิ ตาม ปพพ. มาตรา 278, 282 ประกอบด้วย
ปวพ. มาตรา 289 ไม่ได้ ด�ำต้องฟ้องคดีให้ศาลพิพากษาเสียก่อนแล้วจึงมาขอเฉลี่ยหนี้อย่างเจ้าหนี้สามัญ
ซึ่งอาจไม่ทันกาลก็ได้ ถ้าได้รับช�ำระหนี้ไม่พอก็จะมาโทษนายคลังสินค้าไม่ได้ เพราะเป็นความผิดของ
ตัวเองที่ไม่ได้แจ้งให้นายคลังสินค้าทราบ
ตัวอย่าง 2 กรณีตามตัวอย่างข้างต้น หลังจากด�ำได้รับจ�ำน�ำไว้แล้ว ได้แจ้งการจ�ำน�ำให้นายคลัง
สินค้าทราบเป็นหนังสือ แต่นายคลังสินค้ามิได้จดแจ้งการจ�ำน�ำลงไว้ในต้นขั้วใบรับของคลังสินค้า ต่อมา
สินค้าทีฝ่ ากถูกเจ้าหนีต้ ามค�ำพิพากษาของแดงยึดขายทอดตลาด กรณีเช่นนีด้ ำ� จะขอรับช�ำระหนีจ้ ำ� น�ำก่อน
เจ้าหนีอ้ นื่ ไม่ได้เช่นกันเพราะมิได้จดแจ้งการจ�ำน�ำลงในต้นขัว้ ใบรับของคลังสินค้า ตาม ปพพ. มาตรา 782
แต่การไม่จดเกิดจากความเลินเล่อของนายคลังสินค้าเอง นายคลังสินค้าต้องรับผิดต่อด�ำเจ้าหนี้ในความ
ธ
เสียหายใดๆ ที่เกิดแต่การที่ตนไม่กระท�ำตามหน้าที่นั้น
4. หน้าที่แยกสินค้าและออกเอกสารใหม่ หน้าทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้ใน ปพพ. มาตรา 783 ความว่า “ผู้ทรง
มส
เอกสารอันมีทั้งใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้านั้น จะให้นายคลังสินค้าแยกสินค้าที่เก็บรักษา
ไว้ออกเป็นหลายส่วนและให้ส่งมอบเอกสารแก่ตนส่วนละใบก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้ทรงเอกสารต้องคืน
เอกสารเดิมแก่นายคลังสินค้า
อนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการแยกสินค้าและการส่งมอบเอกสารใหม่นั้น ผู้ทรงเอกสารต้องรับใช้”
หน้าที่แยกสินค้าออกเป็นส่วนๆ และออกเอกสารส�ำหรับแต่ละส่วนที่แยกออกเกิดขึ้นตามความ
ต้องการของผูท้ รงเอกสารทัง้ สองใบอยูใ่ นมือ ปกติกม็ กั จะเป็นผูฝ้ าก แต่อาจเป็นผูร้ บั โอนสินค้าก็ได้ เพราะ
ม
การโอนสินค้าก่อนล่วงหน้านัน้ จะต้องโอนเอกสาร 2 ฉบับนีไ้ ปด้วยกันตามความมุง่ หมายในการแยกสินค้า
เป็นส่วนๆ ก็เพื่อจะได้ขายหรือจ�ำน�ำเป็นส่วนๆ สะดวกขึ้น ผู้ทรงต้องมีเอกสาร 2 ฉบับนั้นอยู่ในมือพร้อม
ที่จะเวนคืนให้นายคลังสินค้าเพื่อแลกเอาเอกสารชุดใหม่ จึงจะมีสิทธิขอให้แยกสินค้าและออกเอกสารใหม่
ตามมาตรานี้ได้ ถ้ามีเพียงใบเดียว เช่น มีแต่ประทวนสินค้า หรือมีแต่ใบรับของคลังสินค้าหามีสิทธิขอให้
เขาแยกไม่ เหตุกเ็ พราะว่า ถ้าเอกสาร 2 ใบนีแ้ ยกกันเมือ่ ใด หมายถึงว่าสินค้าในคลังถูกจ�ำน�ำเสียแล้วกรณี
เช่นนี้กฎหมายไม่ให้แยก นายคลังสินค้าไม่จ�ำต้องแยกให้
อนึ่ง ผู้ทรงที่ขอให้แยกสินค้าจะต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายด้วย ถ้าไม่ยอมนายคลังสินค้าก็ไม่มีหน้าที่
สธ
ต้องแยกอีกเหมือนกัน
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-37
ธ
ผู้ฝากอาจแจ้งแยกสินค้าที่ฝากเป็นหลายๆ ส่วนตั้งแต่เริ่มฝากเลยทีเดียวก็ได้ ถ้าเช่นนั้นนายคลัง
สินค้าก็ตอ้ งออกเอกสารให้หลายชุดตามทีผ่ ฝู้ ากต้องการ และอาจไม่คดิ เอาค่าใช้จา่ ยพิเศษอะไรเลยก็ได้ ซึง่
มส
ตามหลักเขามีสิทธิคิด เพราะตามกฎหมายให้เขามีหน้าที่ออกให้ชุดเดียว
เอกสารชุดเก่าผู้ทรงต้องคืนให้นายคลังสินค้าไปมิฉะนั้นจะเกิดมีการขายและจ�ำน�ำสินค้ารายนั้น
ซํ้าซ้อนกันได้
กิจกรรม 5.2.5
1. เหตุใดกฎหมายจึงยอมให้ผู้ทรงใบประทวน หรือใบรับของคลังสินค้ามีอ�ำนาจตรวจและเอา
ตัวอย่างสินค้าในคลังไปได้
2. ในการฝากสินค้าในชั้นต้น ผู้ฝากไม่ต้องการเอกสารใบรับของคลังสินค้าและประทวนหากต่อ
ธ
มาเกิดต้องการขึ้นจะมีสิทธิขอให้นายคลังสินค้าออกเอกสารดังกล่าวแก่ตนหรือไม่
3. นายคลังสินค้ามีหน้าที่จดแจ้งการจ�ำน�ำในต้นขั้วเอกสารเมื่อใด แดงรับจ�ำน�ำประทวนสินค้าใน
มส
แนวตอบกิจกรรม 5.2.5
1. เหตุที่กฎหมายได้ก�ำหนดไว้เช่นนั้นก็เพื่อความสะดวกในการค้าขายของผู้ทรง
ม
2. กฎหมายให้นายคลังสินค้ามีหน้าที่ออกเอกสาร 2 ฉบับนี้แก่ผู้ฝาก ไม่ว่าผู้ฝากต้องการขณะ
ฝากหรือในภายหลัง นายคลังสินค้ามีหน้าที่ต้องออกให้เขา
3. กฎหมายให้ผู้รับจ�ำน�ำแจ้งการจ�ำน�ำเป็นหนังสือให้นายคลังสินค้าทราบ ถ้าแจ้งด้วยวาจา นาย
คลังสินค้าไม่จ�ำต้องจดแจ้งการจ�ำน�ำลงไว้ในต้นขั้วเอกสารการฝาก
4. ทีก่ ฎหมายก�ำหนดหน้าทีไ่ ว้เช่นนัน้ ก็เพือ่ เป็นการเอือ้ อ�ำนวยให้ผทู้ รงเอกสารมีความสะดวกใน
การน�ำมาค้าขาย
สธ
ม
5-38 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 5.2.6
ความรับผิดของนายคลังสินค้า
ธ
ความรับผิดของนายคลังสินค้านัน้ เกีย่ วเนือ่ งกับหน้าทีข่ องนายคลังสินค้า เนือ่ งจากสิทธิกบั หน้าที่
นัน้ เป็นของคูก่ นั หน้าทีก่ อ่ ให้เกิดความรับผิด และความรับผิดของนายคลังสินค้าก็คอื สิทธิของผูท้ เี่ กีย่ วข้อง
มส
กับนายคลังสินค้านั่นเอง
สาระส�ำคัญในเรื่องความรับผิดของนายคลังสินค้ามี 3 ประการ คือ
1. ความรับผิดของนายคลังสินค้า
2. ข้อยกเว้นความรับผิด และ
3. ความสิ้นสุดแห่งความรับผิดของนายคลังสินค้า
1. ความรับผิดของนายคลังสินค้า มีอยู่ 6 ประการ คือ
1.1 รับผิดเพราะเอาสินค้าที่ฝากไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ฝาก ไม่ว่าจะใช้เองหรือให้
คนอื่นใช้ ตามที่กล่าวไว้ใน ปพพ. มาตรา 660
1.2 รับผิดเพราะให้ผู้อื่นเก็บรักษาทรัพย์ที่ฝาก ซึ่งกล่าวไว้ใน ปพพ. มาตรา 660 เช่นกัน
ธ
หากทรัพย์นั้นสูญหายหรือบุบสลาย นายคลังสินค้าจะต้องรับผิด ถึงแม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะ
เกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรทรัพย์ที่ฝากนั้นก็ต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่
นั่นเอง
มส
ขอให้สังเกตด้วยว่าถ้านายคลังสินค้าเก็บสินค้าไว้เองนั้นถ้าสินค้าเสียหายเพราะ
เหตุสุดวิสัย นายคลังสินค้าไม่รับผิด
2) ความสูญหายหรือบุบสลายนั้นเกิดแต่สภาพของของที่ฝากนั้นเอง เช่น ระหว่างที่
เก็บไว้ในคลังสินค้านั้น ของที่ฝากซึ่งเป็นนํ้ายาเคมีเกิดระเบิดขึ้นมา อย่างนี้นายคลังสินค้าก็ไม่ต้องรับผิด
หรือ
ธ
3) ความสูญหายหรือบุบสลายนัน้ เกิดเพราะความผิดของผูฝ้ ากหรือคนของผูฝ้ าก เช่น
ผูฝ้ ากห่อของ ไม่ดี ท�ำให้หอ่ ของแตก สินค้าทีเ่ ก็บกระจุยกระจายเสียหาย หรือของทีฝ่ ากนัน้ มีสภาพทีเ่ ป็น
มส
อันตราย แต่ไม่ได้แจ้งให้นายคลังสินค้าทราบก่อนท�ำสัญญาฝาก นายคลังจึงไม่ได้ระมัดระวัง ท�ำให้เกิด
ระเบิดขึ้น อย่างนี้ก็เป็นความผิดของผู้ฝากเอง นายคลังไม่ต้องรับผิดชอบ
1.5 รับผิดเพราะมิได้จดแจ้งการจ�ำน�ำ ตาม ปพพ. มาตรา 782 สาระส�ำคัญของมาตรานี้มี
ว่า เมื่อผู้ฝากจ�ำน�ำสินค้าที่ฝากด้วยการสลักหลังและส่งมอบประทวนสินค้าให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำแล้ว ผู้รับจ�ำน�ำ
นั้นมีหน้าที่ต้องแจ้งเป็นหนังสือบอกกล่าวแก่นายคลังสินค้าให้ทราบว่า มีหนี้จ�ำน�ำจ�ำนวนเท่าใด วันถึง
ก�ำหนดช�ำระเมื่อใด คิดดอกเบี้ยถึงนั้นเป็นเงินเท่าใด เมื่อนายคลังสินค้าได้รับแจ้งเช่นนี้แล้วจะต้องจด
รายการทั้งหมดที่เขาบอกนั้นลงไว้ในต้นขั้ว ถ้านายคลังสินค้าไม่ได้จด ไม่ว่าจะเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึง
การณ์ หรือความหลงลืมก็ตามที มีผลว่าจะยกการจ�ำน�ำนั้นขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ทั้งหลายไม่ได้ หากท�ำให้ผู้รับ
จ�ำน�ำเสียหายนายคลังจะต้องชดใช้
ธ
ตัวอย่าง แดงฝากสินค้าไว้กบั บริษทั โกดังทอง ต่อมาแดงจ�ำน�ำสินค้าไว้กบั ขาว 50,000 บาท
ก�ำหนดช�ำระใน 2 เดือน ดอกเบี้ย 1,200 บาท ขาวได้มีจดหมายบอกกล่าวให้บริษัทโกดังทองทราบแล้ว
มส
ความผิดของขาวเอง ขาวจะไปโทษนายคลังสินค้าไม่ได้
ม
แต่ถ้ารับจ�ำน�ำไว้แล้ว ขาวละเลยไม่บอกกล่าวการจ�ำน�ำให้นายคลังสินค้าทราบก็เป็นเรื่อง
ธ
ของแดงด้วยที่ไม่รับสินค้านั้นไว้และไม่น�ำพาต่อผลประโยชน์ของตนเอง
2. ข้อจ�ำกัดความรับผิดของนายคลังสินค้า ข้อจ�ำกัดความรับผิดนี้ เป็นเรื่องที่กฎหมายเป็นห่วง
มส
ประชาชน เกรงว่าจะถูกพ่อค้าเอาเปรียบ ด้วยการพิมพ์ข้อยกเว้นความรับผิดลงไว้ในเอกสารสัญญาใน
ลักษณะมัดมือชก บางรายพิมพ์ตัวอักษรขนาดเล็กจนคนทั่วๆ ไปไม่อ่านดู พอมีเรื่องมีราวถึงตรงที่ตนจะ
ต้องรับผิด ก็น�ำเอาข้อยกเว้นที่ตัวเองพิมพ์ไว้นั้นขึ้นมาต่อสู้ ถ้ายอมให้ท�ำเช่นนั้นได้ก็จะไม่เป็นธรรมแก่
ประชาชน เพราะเขาไม่ได้ตกลงด้วยจริงๆ
ปพพ. มาตรา 616 และ 625 น�ำมาใช้กบั การเก็บของในคลังสินค้าตาม ปพพ. มาตรา 772 มาตรา
616 ได้อธิบายมาแล้วว่า ปพพ. มาตรา 625 เป็นมาตราที่ยํ้าถึงความรับผิดที่ว่านั้นเมื่อใช้กับการเก็บของ
ในคลังสินค้า ใบรับของคลังสินค้าก็ดี ประทวนสินค้าก็ดี หรือเอกสารอืน่ ๆ ท�ำนองเดียวกันนัน้ ซึง่ นายคลัง
สินค้าได้ออกให้แก่ผฝู้ าก ถ้ามีขอ้ ความยกเว้นหรือจ�ำกัดความรับผิดของนายคลังสินค้าประการใด กฎหมาย
ให้ความนั้นเป็นโมฆะ คือเท่ากับไม่ได้เขียนไว้เลย ผลก็คือนายคลังสินค้าจะต้องรับผิดต่อผู้ฝากหรือผู้ทรง
ธ
เอกสารนั้นแล้วแต่กรณีตามที่กฎหมายก�ำหนดไว้ เว้นแต่ผู้ฝากจะได้แสดงความตกลงด้วยโดยชัดแจ้ง
การตกลงด้วยโดยชัดแจ้งนั้นเป็นข้อเท็จจริง หมายถึงผู้ฝากเข้าใจข้อความยกเว้นหรือจ�ำกัดความ
มส
ตัวอย่างเงื่อนไขในใบรับของคลังสินค้าขององค์การคลังสินค้ามาให้ดูเป็นตัวอย่างดังนี้
ตัวอย่างเงื่อนไขขององค์การคลังสินค้า
ธ
โดยความปรวนแปรของอากาศ หรือโดยความบกพร่องในการท�ำ มัดหรือหีบห่อหรือด้วยเหตุทหี่ บี ห่อหรือ
เครื่องป้องกันนั้นได้บุบสลายเสียหายไป หรือโดยภัยนอกอ�ำนาจ เช่น อุทกภัย วาตภัย ภัยอันเนื่องจาก
มส
สงคราม การจลาจล การนัดหยุดงานของกรรมกร และอื่นๆ
(2) สินค้าที่น�ำมาฝาก ผู้ฝากต้องจัดการเอาประกันวินาศภัยไว้ในนามขององค์การคลังสินค้าใน
วงเงินไม่ตํ่ากว่าราคาสินค้าที่องค์การคลังสินค้าก�ำหนด โดยผู้ฝากสินค้าเป็นผู้ออกเงินค่าเบี้ยประกันและ
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการเอาประกันภัยทั้งสิ้น
(3) ความรับผิดชอบขององค์การคลังสินค้าจะจ�ำกัดเพียงจ�ำนวนเงินเท่าที่ปรากฏในกรมธรรม์
ประกันภัย หรือเพียงเท่าราคาสินค้าที่องค์การคลังสินค้าก�ำหนด และถ้ากรณีที่ได้มีการถอนคืนสินค้าไป
แล้วบางส่วน ความรับผิดชอบดังกล่าวจะต้องลดลงตามส่วนของราคาสินค้าที่ถอนคืนไปนั้น
(4) สินค้าใดทีน่ ำ� มาฝากไว้ หากปรากฏว่ามีวตั ถุระเบิดหรือวัตถุอนั ตรายหรือวัตถุผดิ กฎหมายอยู่
ด้วย องค์การคลังสินค้าจะไม่รับผิดชอบ และสงวนสิทธิที่จะจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตามที่เห็นสมควร
ธ
โดยคิดค่าใช้จ่ายในการนี้จากผู้ฝาก และถ้าองค์การคลังสินค้าหรือบุคคลใดๆ ได้รับความเสียหายจากวัตถุ
นัน้ ด้วยประการใดๆ ผูฝ้ ากสินค้าจะต้องรับผิดชอบชดใช้คา่ เสียหายให้แก่องค์การคลังสินค้าและบุคคลทีร่ บั
มส
ความเสียหายทุกประการ
(5) ในกรณีที่ระยะเวลาฝากสินค้าที่ตกลงกันได้สิ้นสุดลง ถ้าไม่มีการต่ออายุสัญญาหรือในกรณีที่
ไม่มีการก�ำหนดระยะเวลาฝาก และองค์การคลังสินค้าได้แจ้งให้ผู้ฝากทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 เดือน
ให้ถอนสินค้าทีฝ่ ากคืนไปและผูฝ้ ากมิได้นำ� สินค้าออกจากทีเ่ ก็บรักษาองค์การคลังสินค้าจะเรียกเก็บค่ารักษา
เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า นับแต่วันที่ซึ่งก�ำหนดดังกล่าวแล้ว
(6) ภายในบริเวณคลังสินค้า ผู้ฝากจะต้องใช้กรรมกรขององค์การคลังสินค้า และเสียค่าจ้าง
คิดค่าใช้จ่ายจากผู้ฝาก
ม
กรรมกรตามอัตราที่องค์กรคลังสินค้าก�ำหนด การขนสินค้าเข้าเก็บในคลังสินค้าก็ดี การขนออกจากคลัง
สินค้าก็ดี ตลอดจนการขนย้ายเพื่อตรวจสอบหรือเพื่อความปลอดภัยก็ดีองค์การคลังสินค้าย่อมท�ำได้โดย
(9) ในกรณีที่ผู้ฝากโอนกรรมสิทธิ์สินค้าที่ฝากด้วยการสลักหลังใบรับของคลังสินค้าผู้โอนต้องมี
หนังสือแจ้งให้องค์การคลังสินค้าทราบการโอนกรรมสิทธิ์ภายในก�ำหนด 7 วัน นับแต่วันโอน ว่าได้โอนให้
แก่ผู้ใด มีภูมิลำ� เนาอยู่ที่ใด เมื่อใด
(10) ในกรณีทผี่ ฝู้ ากจ�ำน�ำสินค้าทีฝ่ ากโดยสลักหลังประทวนสินค้าให้แก่ผใู้ ด ซึง่ เป็นผูร้ บั จ�ำน�ำ ผูร้ บั
จ�ำน�ำต้องมีหนังสือแจ้งให้องค์การคลังสินค้าทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันรับจ�ำน�ำ ให้ทราบวันรับจ�ำน�ำ
ธ
สินค้า จ�ำนวนหนีท้ จี่ ำ� น�ำสินค้าไว้เป็นประกันรวมทัง้ อัตราดอกเบีย้ วันอันหนีน้ นั้ จะถึงก�ำหนดช�ำระและให้จด
รายการทั้งสิ้นลงในต้นขั้ว
มส
(11) ในระหว่างเวลาที่จ�ำน�ำ ถ้าองค์การคลังสินค้าเห็นว่าสินค้าที่รับจ�ำน�ำส่วนใดส่วนหนึ่งได้เสื่อม
คุณภาพ บุบสลายหรือสูญหายไป องค์การคลังสินค้ามีสิทธิที่จะแจ้งให้ผู้จ�ำน�ำจัดสินค้ามาเพิ่มเติมให้ครบ
ถ้วนภายในเวลาที่ก�ำหนดให้พร้อมทั้งดอกเบี้ยและอุปกรณ์ ถ้าผู้จ�ำน�ำไม่ปฏิบัติตามที่ให้ค�ำบอกกล่าวไป
องค์การคลังสินค้ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ และให้ผู้จ�ำน�ำเงินกู้มาช�ำระคืนให้แก่องค์การคลังสินค้า เพื่อ
ไถ่ถอนการจ�ำน�ำพร้อมทั้งดอกเบี้ยและอุปกรณ์ภายในเวลา 15 วัน
เงือ่ นไขเหล่านีจ้ ะถือว่าผูฝ้ ากตกลงด้วยไม่ได้ เพียงแต่พมิ พ์ไว้เป็นเครือ่ งเตือนสติเท่านัน้ เอง เพราะ
ผู้ฝากไม่ได้อ่านและลงชื่อด้วย เอกสารฝากของคลังสินค้านั้นนายคลังสินค้ามักจะลงชื่อฝ่ายเดียว
อุทาหรณ์
ฎ. 763/2522 คดีนี้จำ� เลยมีรถเย็นรับส่งของสด โจทก์ได้ส่งไก่สดไปกับรถเย็นจ�ำเลย แต่เนื่องจาก
ธ
ความเย็นไม่พอท�ำให้ไก่ของโจทก์เน่าเสีย ใบส่งสินค้าของจ�ำเลยพิมพ์ข้อความจ�ำกัดความรับผิดไว้ว่าจะ
ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ไม่เกิน 500 บาท ปรากฏว่าโจทก์มิได้ลงชื่อยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว
มส
ธ
นั้น หากว่าได้บอกกล่าวความสูญหาย หรือบุบสลายแก่ผู้ขนส่ง ภายในแปดวันนับแต่วันที่ส่งมอบ
อนึ่ง บทบัญญัติทั้งหลายนี้ท่านมิให้ใช้บังคับในกรณีที่มีการทุจริต หรือประมาทเลินเล่ออย่าง
มส
ร้ายแรง อันจะปรับเอาเป็นความผิดของผู้ขนส่งได้”
พึงเข้าใจด้วยว่าความรับผิดของนายคลังสินค้านั้นมีสามประการใหญ่ๆ คือ
1. เพื่อความสูญหายของทรัพย์สินที่ฝาก
2. เพื่อความบุบสลายของทรัพย์ที่ฝากอย่างหนึ่ง และ
3. เพื่อส่งมอบทรัพย์ที่ฝากชักช้าอีกอย่างหนึ่ง
ปพพ. มาตรา 623 วรรคหนึ่ง วางหลักความรับผิด ส่วนวรรคสอง และวรรคสาม เป็นบทยกเว้น
ขยายความของวรรคแรกอีกทีหนึง่ วรรคแรกให้ความรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายหรือส่งมอบชักช้า
ของนายคลังสินค้าสิน้ สุดลงเมือ่ ผูฝ้ ากหรือผูร้ บั โอนแล้วแต่กรณีได้รบั เอาสินค้าทีฝ่ ากไว้แล้วโดยไม่อดิ เอือ้ น
หมายความว่าผูฝ้ ากเห็นสินค้าแล้วรับเอาไว้โดยดุษฎี กับทัง้ ได้ใช้คา่ บ�ำเหน็จและเงินเกีย่ วค้างอย่างอืน่ เช่น
ธ
ค่าบ�ำรุงรักษาทรัพย์ทฝี่ าก เป็นต้น ให้แก่นายคลังเสร็จสิน้ แล้วด้วย สองอย่างประกอบกัน ถ้าผูฝ้ ากเป็นแต่
รับทรัพย์ไว้แต่ยังไม่ได้ใช้ค่าบ�ำเหน็จ นายคลังก็ยังไม่พ้นความรับผิด บางกรณีผู้ฝากอาจจะคอยดูทรัพย์
มส
เสียก่อนว่าสูญหายหรือแตกหักบุบสลายบ้างหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าสินค้าปลอดภัยแล้วจึงจ่ายเงินค่าฝากก็
เป็นได้
ตัวอย่าง 1 แดงฝากโถลายครามทีส่ งั่ เข้ามาจากต่างประเทศหลายร้อยใบไว้ในโกดังของบริษทั โกดัง
ทอง วันที่ไปรับของออกจากโกดัง แดงได้ตรวจดูโถทุกใบ มีบางใบปากบิ่นไปบ้างเพราะกระทบกันตอน
ขนเข้าขนออก แดงเห็นว่าเล็กน้อยจึงไม่ตดิ ใจเรียกเอาค่าเสียหายจากบริษทั แดงได้จา่ ยค่าฝากและขนของ
กลับบ้าน ดังนีบ้ ริษทั โกดังทองหมดความรับผิด ต่อมาแดงจะกลับใจไปเรียกค่าเสียหายเอาจากบริษทั โกดัง
ทองอีกไม่ได้ ม
ตัวอย่าง 2 กรณีแดงฝากทรัพย์ตามตัวอย่างข้างต้นตอนที่แดงไปขอถอนทรัพย์นั้นคนงานลา
หลายคน ท�ำให้บริษทั ส่งมอบของให้แก่แดงล่าช้าไปหลายวัน กรณีเช่นนีแ้ ดงเรียกค่าเสียหายได้ แต่ถา้ แดง
ไม่ทักท้วงและยอมจ่ายค่าฝากไปแล้ว แดงจะมาเรียกเอาค่าเสียหายจากบริษัทในภายหลังไม่ได้
อนึ่ง หากผู้รับฝากมิได้รับฝากสินค้าเพื่อบ�ำเหน็จเป็นทางการค้าปกติของตนก็ไม่ต้องรับผิดต่อ
ผู้ฝาก
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 1529-1530/2531 แม้การท่าเรือประเทศไทยจ�ำเลย จะเป็นผูท้ ำ� การเก็บรักษาสินค้า แต่กป็ รากฏ
ว่าการรับฝากสินค้า 3 วันแรก จ�ำเลยไม่คดิ ค่าฝาก หากเจ้าของสินค้าไม่มารับสินค้านัน้ ภายใน 3 วัน จ�ำเลย
จะคิดค่าฝากในอัตราก้าวหน้า เพื่อเป็นการเร่งรัดให้เจ้าของกรรมสิทธิ์รีบน�ำสินค้าออกจากโรงพักสินค้า
ม
5-44 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
และเสียค่าบ�ำเหน็จอะไรต่างๆ นั้น ผู้ฝากจึงไม่ได้ทักท้วง แต่มาพบเอาภายหลัง นายคลังสินค้าก็ยังต้อง
รับผิดอยู่ แต่ว่าผู้ฝากหรือผู้รับโอนแล้วแต่กรณีจะต้องบอกกล่าวแก่นายคลังสินค้าภายใน 8 วัน นับแต่วัน
มส
ส่งมอบ ต้องระวังให้ดีถ้านับ 8 วันไปแล้ว ก็จะไปเรียกเอาอะไรจากนายคลังสินค้าไม่ได้
กรณีที่มีการทุจริต หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอันถือได้ว่าเป็นความผิดของนายคลังสินค้า
นั้น ผู้ฝากหรือผู้รับโอนแล้วแต่กรณีเรียกค่าเสียหายได้เสมอ ไม่ต้องอาศัยเงื่อนไขตามที่กล่าวไว้ในบท
บัญญัติก่อนๆ
ตัวอย่าง 3 แดงฝากปลาสดไว้ในห้องเย็นของบริษัทห้องเย็นสยาม บริษัทบรรจุปลาเกินอัตรา จึง
ท�ำให้ความเย็นไม่ถึงขนาดปลาเสียเป็นจ�ำนวนมาก ตอนขนออกจากห้องเย็นแดงไม่ได้สังเกตเพราะปลา
อยูใ่ นลัง จึงได้จา่ ยค่าฝากไปตามระเบียบ วันหลังลูกค้าจึงแจ้งมาว่าปลาไม่สดพอ มีเน่าเป็นบางส่วนขอลด
ราคา แดงจึงทราบว่าปลาเสีย แต่เป็นเวลาหลังขนปลาจากห้องเย็น 10 วันแล้ว แดงจึงบอกไปยังนายคลัง
สินค้าและขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีเช่นนี้แดงยังเรียกค่าเสียหายจากบริษัทได้เพราะเป็นความประมาท
ธ
เลินเล่ออย่างร้ายแรงและเป็นความผิดของนายคลัง
ตัวอย่าง 4 แดงสั่งแจกันเกาหลีซึ่งมีราคาแพงมากเข้ามาขาย และได้ฝากไว้ที่โกดังของการท่าเรือ
มส
รับของคืนไปตามวรรคสองก็ตาม
กิจกรรม 5.2.6
ม
ไม่อิดเอื้อนตามวรรคแรกและไม่ได้แจ้งนายคลังสินค้าถึงความสูญหายของทรัพย์ที่ฝากใน 8 วัน นับแต่วัน
เหตุใดกฎหมายจึงให้ข้อจ�ำกัดความรับผิดที่นายคลังสินค้าเขียนไว้ข้างเดียวเป็นโมฆะ จงอธิบาย
สธ
แนวตอบกิจกรรม 5.2.6
กฎหมายให้ข้อจ�ำกัดความรับผิดที่นายคลังเขียนไว้เป็นโมฆะ เพื่อป้องกันมิให้นายคลังสินค้าเอา
เปรียบผู้ฝาก
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-45
เรื่องที่ 5.2.7
หน้าที่และความรับผิดของผู้เกี่ยวข้องกับการฝากสินค้า
ธ
หน้าที่และความรับผิดของผู้เกี่ยวข้องกับการฝากสินค้า ได้แก่ หน้าที่และความรับผิดของผู้ฝาก
หน้าที่และความรับผิดของผู้สืบสิทธิของผู้ฝากและหน้าที่และความรับผิดของผู้รับจ�ำน�ำสินค้า ซึ่งมีสาระ
มส
ส�ำคัญโดยล�ำดับ ดังต่อไปนี้ คือ
1. ผู้ฝาก
1.1 หน้าที่ของผู้ฝาก
1) ผูฝ้ ากมีหน้าทีต่ อ้ งแจ้งสภาพและปริมาณแก่นายคลังสินค้าตามความเป็นจริง โดยเฉพาะ
ถ้าของที่ฝากมีสภาพที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ตาม ปพพ. มาตรา 619 ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าของเป็นสภาพ
อันจะก่อให้เกิดอันตรายได้ หรือเป็นสภาพเกลือกจะก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินไซร้ ผู้ส่ง
ต้องแสดงสภาพแห่งของนั้นไว้ก่อนท�ำสัญญา ถ้ามิได้ท�ำเช่นนั้น ผู้ส่งจะต้องรับผิดในการเสียหายไม่ว่า
อย่างใดๆ อันเกิดแต่ของนั้น” เช่น ผู้ฝากน�ำกล่องดินระเบิดไปฝากก็ต้องแจ้งให้เขารู้ว่าเป็นดินระเบิดอัน
ธ
อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ถ้าไม่แจ้งหรือแจ้งผิดไปจากความจริง เช่น แจ้งว่าเป็นดินนํ้ามัน ภายหลังเกิด
ระเบิดขึ้นมาผู้ฝากจะต้องรับผิดต่อนายคลังสินค้าโดยไม่มีเงื่อนไข
มาตรา 619 ให้ผู้ฝากแจ้งก่อนท�ำสัญญา ทั้งนี้เพื่อเขาได้ใช้ความระมัดระวังในการแก้สินค้า
มส
นั้นอย่างเหมาะสม ถ้าแจ้งเอาภายหลังก่อนเกิดอันตรายอาจท�ำให้รับผิดน้อยลงและอาจจะต้องชดใช้ค่าใช้
จ่ายในการที่ นายคลังสินค้าขนย้ายสิ่งของไปเก็บไว้ในที่เหมาะสม นอกจากนั้นยังอาจถูกนายคลังสินค้า
บอกเลิกสัญญาฝากเสียได้แม้จะก่อนถึงก�ำหนดฝากก็ตาม เพราะถือว่าผูฝ้ ากปกปิดความจริงเป็นกลฉ้อฉล
2) หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์ที่ฝาก ตาม ปพพ. มาตรา 667 ซึ่งบัญญัติว่า “ค่า
คืนทรัพย์สินที่ฝากนั้นย่อมตกแก่ผู้ฝากเป็นผู้เสีย” ค่าคืนทรัพย์ทฝี่ ากก็เช่นค่ากุลขี นของขึน้ มา ค่าพาหนะ
เรื่องสิทธิของนายคลังสินค้าประกอบ
ดังนี้
ม
ขนส่ง แม้ว่านายคลังสินค้าจะเป็นผู้นำ� ทรัพย์มาส่งคืนผู้ฝาก ตาม ปพพ. มาตรา 774 ก็ตามผู้ฝากก็มีหน้า
ทีเ่ สียค่าใช้จา่ ย แต่ทว่าค่าใช้จา่ ยนัน้ จะต้องไม่เกินความจ�ำเป็นดังได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อก่อนๆ ขอให้ดใู น
สองมาตรานี้ได้อธิบายมาแล้วขอให้ย้อนไปดูในเรื่องสิทธิของนายคลังสินค้า
4) หน้าที่เสียค่าบ�ำรุงรักษาให้แก่นายคลังสินค้า ตาม ปพพ. มาตรา 668 ซึ่งได้อธิบาย
มาแล้วในเรื่องสิทธิของนายคลังสินค้า
5) หน้าที่จดแจ้งการจ�ำน�ำส่งในใบรับของคลังสินค้าร่วมกับผู้รับจ�ำน�ำ ตาม ปพพ. มาตรา
780 จะได้อธิบายเมื่อถึงเรื่องจ�ำน�ำ
ธ
1.2 สิทธิของผู้ฝาก
1) สิทธิทจี่ ะถอนทรัพย์ทฝี่ าก ปพพ. มาตรา 662 และ 663 ให้ผฝู้ ากหรือรับโอนแล้วแต่กรณี
มส
มีสิทธิเรียกทรัพย์ที่ฝากคืนได้ทุกเมื่อ แม้การฝากนั้นจะได้ก�ำหนดระยะเวลาฝากไว้ก็ตาม
นายคลังสินค้า
2) สิทธิที่จะตรวจสินค้าที่ฝากและเอาตัวอย่างไปได้ในเวลาอันควรระหว่างเวลาท�ำงาน
2. ผู้สืบสิทธิของผู้ฝาก
ธ
ผู้สืบสิทธิของผู้ฝาก ได้แก่ ผู้รับโอนด้วยการรับสลักหลังใบรับของคลังสินค้าและผู้รับมรดก ผู้สืบ
สิทธิของผู้ฝากก็มีสิทธิและหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ฝาก เว้นแต่หน้าที่บางประการที่คงมีได้เฉพาะผู้ฝาก เช่น
มส
แต่ทว่าข้อตกลงนั้นจะต้องได้เขียนไว้ให้ปรากฏในเอกสารใบรับของคลังสินค้า
3. ผู้รับจ�ำน�ำสินค้า
ม
เสียหายเกิดขึ้นไม่เกินนี้ ผู้รับโอนจะไปเรียกร้องจากนายคลังสินค้า โดยอ้างว่าตนไม่ได้ตกลงด้วยหาได้ไม่
3.1 หน้าที่ของผู้รับจ�ำน�ำสินค้า
1) จดแจ้งการสลักหลังประทวนสินค้าลงในใบรับของคลังสินค้า กล่าวคือ จดแจ้งแล้วลงชื่อ
สธ
ด้วยกันกับผู้จ�ำน�ำมิฉะนั้นถ้ามีการโอนสินค้าไปแล้วผู้รับจ�ำน�ำจะเสียสิทธิคือจะยกการจ�ำน�ำขึ้นต่อสู้ผู้ซื้อ
สินค้าไม่ได้ ทั้งนี้โดยนัยแห่งความใน ปพพ. มาตรา 780 และนอกจากนั้นยังจะต้องร่วมกันจดแจ้งไว้ใน
ประทวนสินค้าว่าได้จดแจ้งข้อความนั้นลงในใบรับของคลังสินค้าแล้ว แล้วลงชื่อด้วยกันกับผู้ฝากตามนัย
แห่ง ปพพ. มาตรา 781
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-47
2) แจ้งการจ�ำน�ำให้นายคลังสินค้าทราบ เพื่อนายคลังสินค้าจะได้จดแจ้งจ�ำน�ำลงไว้ในต้นขั้ว
ถ้าละเลยอาจเสียสิทธิ ตาม ปพพ. มาตรา 782
3) ยอมให้นายคลังสินค้าเอาทรัพย์จำ� น�ำออกขายทอดตลาด ตาม ปพพ. มาตรา 790
4) มีจดหมายบอกกล่าวให้ผู้ฝากทราบ วัน เวลา และสถานที่ ที่จะขายทอดตลาดทรัพย์สิน
ในคลังสินค้า ตาม ปพพ. มาตรา 791
ธ
3.2 สิทธิของผู้รับจ�ำน�ำสินค้า ได้แก่ สิทธิที่จะให้นายคลังสินค้าเอาทรัพย์สินตามประทวนออก
ขายทอดตลาดเอาเงินมาช�ำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่น ตาม ปพพ. มาตรา 790 และถ้าได้เงินไม่คุ้มหนี้ก็มี
มส
สิทธิทจี่ ะฟ้องไล่เบีย้ เอาจากผูส้ ลักหลังตราสารได้ ตาม ปพพ. มาตรา 794 ซึง่ จะได้กล่าวในรายละเอียดต่อ
ไปในเรื่องการจ�ำน�ำและบังคับจ�ำน�ำ
กิจกรรม 5.2.7
1. ผู้ฝากไม่แจ้งสภาพของสินค้าที่ฝากกับแจ้งผิดจากความจริงนี้ผลต่างกันหรือไม่
2. ถ้าผู้ฝากไม่ยอมเสียค่าฝากมีผลอย่างไร
แนวตอบกิจกรรม 5.2.7
ธ
1. ผลอย่างเดียวกันคือ ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นผู้ฝากจะต้องรับผิดต่อนายคลังสินค้า และนาย
คลังสินค้าอาจถือว่าเป็นกลฉ้อฉลได้
มส
2. ถ้าผู้ฝากไม่ยอมเสียค่าฝากก็จะท�ำให้นายคลังสินค้ามีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินที่ฝากไว้เป็น
ประกันค่าฝากได้
ม
สธ
ม
5-48 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 5.3
ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 5.3 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
5.3.1
5.3.2
5.3.3
5.3.4
ลักษณะของเอกสาร
การจ�ำน�ำสินค้าในคลังสินค้า
การโอนกรรมสิทธิ์และการรับเอาสินค้าที่ฝาก
การบังคับจ�ำน�ำและการไล่เบี้ย
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 5.3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายลักษณะและประโยชน์ของใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้าได้
2. อ ธิ บ ายให้ เ หตุ ผ ลความจ� ำ เป็ น ที่ ต ้ อ งมี ร ายการต่ า งๆ ในใบรั บ ของคลั ง สิ น ค้ า และ
ธ
ประทวนสินค้าได้
3. อธิบายวิธีจ�ำน�ำสินค้าในคลังสินค้าได้
มส
4. ระบุวิธีโอนกรรมสิทธิ์และอธิบายการรับสินค้าที่ฝากคืนได้
5. เปรียบเทียบการโอนกรรมสิทธิ์สินค้าที่ฝากกับการโอนตั๋วเงินได้
6. อธิบายการบังคับจ�ำน�ำหรือการขายทอดตลาดและการไล่เบี้ยได้
ธ
มส
ม
สธ
ม
5-50 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 5.3.1
ลักษณะของเอกสาร
ธ
ลักษณะของเอกสารมี 2 ฉบับอันได้แก่ ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้ามีขอ้ ทีน่ า่ พิจารณา
อยู่ 3 ประการคือ
มส
1. ลักษณะทั่วๆ ไป
2. ความมุ่งหมายในการใช้ และ
3. รายการที่กฎหมายบังคับให้มี
1. ลักษณะทั่วๆ ไป
ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้านี้หากพิจารณาแล้วจะพบว่าเหมือนคู่ฉบับกัน เพราะมี
ลักษณะและรายการอย่างเดียวกันออกจากต้นขัว้ อันเดียวกัน จะต่างกันก็แต่จา่ หน้าว่าอันไหนเป็นใบรับของ
คลังสินค้าและอันไหนเป็นประทวนสินค้ากับข้อความเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่ค�ำ
เอกสาร 2 ฉบับนีเ้ ป็นตราสารอันจะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร และเป็นตราสารที่
ธ
โอนกันได้โดยการสลักหลังตามวิธกี ารทีก่ ฎหมายบัญญัตไิ ว้โดยเฉพาะใน ปพพ. มาตรา 779 ซึง่ บัญญัตวิ า่
“อันใบรับของคลังสินค้าก็ดี ประทวนสินค้าก็ดี ท่านว่าหาอาจออกให้หรือสลักหลังให้แก่ผู้ถือ
ได้ไม่”
มส
รับรองไว้ในบัญชีสินค้าดังนี้ก็เป็นได้
ม
นอกจากจะเป็นหลักฐานการฝากทรัพย์แล้วผูฝ้ ากสามารถใช้สลักหลังโอนขายหรือจ�ำน�ำสินค้าทีฝ่ ากได้ดว้ ย
แต่อาจมีบางกรณีที่ไม่ออกเอกสารเช่นว่านี้ เช่น บริษัทในเครือเดียวกันฝากสินค้ากันเองอาจจะเพียงเซ็น
ตามถ้อยค�ำของ ปพพ. มาตรา 779 นัน้ ทีว่ า่ จะออกให้แก่ผถู้ อื ไม่ได้นนั้ หมายความว่า ต้องกรอก
ชื่อผู้ทรงไว้ในแบบฟอร์ม กล่าวคือ ในช่องผู้ฝากต้องระบุชื่อผู้ฝากลงไป เช่น จะกรอกข้อความลงไปว่า
องค์การคลังสินค้าได้รับฝากสินค้าจากผู้ถือเอกสารนี้ อย่างนี้ไม่ได้ต้องระบุชื่อผู้ฝากลงไปทุกกรณี จ�ำน�ำก็
จะต้องระบุชื่อผู้รับจ�ำน�ำเช่นเดียวกัน
สธ
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-51
2. ความมุ่งหมายที่จะใช้
ส�ำหรับความมุ่งหมายที่จะใช้นั้น เอกสาร 2 ฉบับนี้ไม่เหมือนกัน
2.1 ใบรั บ ของคลั ง สิ น ค้ า ใบรั บ ของคลั ง สิ น ค้ า นั้ น มี ป ระโยชน์ ใ นการโอนขายสิ น ค้ า ในคลั ง
ดังบัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 776 ความว่า “อันใบรับของคลังสินค้านั้น ย่อมให้สิทธิแก่ผู้ฝากที่จะ
สลักหลังโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าไปเป็นของผู้อื่นได้”
ธ
ตัวอย่าง แดงฝากของในคลังสินค้าของบริษัทโกดังทองได้รับใบรับของคลังสินค้ามาแดงประสงค์
จะขายสินค้าให้ขาว จึงเขียนลงใบรับของคลังสินค้าว่า โอนขายให้ขาวแล้วมอบใบรับของให้ขาวไป ขาวจะ
มส
เป็นเจ้าของสินค้านั้นตามกฎหมาย
ขาวผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่บรรดาที่ปรากฏอยู่บนตราสารนั้น สมมติว่า แดงยังไม่
ช�ำระค่าบ�ำเหน็จ ขาวก็ต้องเสียบ�ำเหน็จ รวมทั้งค่าบ�ำรุงรักษาทรัพย์ที่ฝาก ถ้าหากมีด้วย ถ้าขาวไม่เสีย
นายคลังสินค้ามีสิทธิยึดหน่วงสินค้าไว้ได้
ในทางกลับกัน นายคลังสินค้ามีหน้าที่และความรับผิดต่อขาวผู้รับโอนเหมือนกับมีต่อผู้ฝาก เช่น
มีเหตุทจี่ ะต้องแจ้ง หรือมีผมู้ ายึดสินค้านัน้ โดยอ้างว่าเป็นของเขา นายคลังสินค้าก็ตอ้ งแจ้งให้ขาวทราบเว้น
แต่จะไม่รู้ และถ้าของทีฝ่ ากสูญหายหรือบุบสลาย หรือส่งมอบชักช้า นายคลังสินค้าก็ตอ้ งรับผิดต่อขาวเช่น
เดียวกัน
ประโยชน์ของใบรับของคลังสินค้านอกจากจะใช้สำ� หรับสลักหลังโอนกรรมสิทธิใ์ นสินค้าแล้วยังอาจ
ธ
สลักหลังจ�ำน�ำสินค้านั้นได้อีกด้วย แต่ต้องเป็นเวลาภายหลังประทวนสินค้าได้สลักหลังจ�ำน�ำไปแล้ว
ดังความในมาตรา 785 ซึง่ บัญญัตวิ า่ “สินค้าซึง่ เก็บรักษาไว้นนั้ อาจจ�ำน�ำได้แต่ดว้ ยสลักหลังประทวนสินค้า
มส
เมื่อประทวนสินค้าได้สลักหลังแล้วสินค้านั้นจะจ�ำน�ำแก่ผู้อื่นอีกชั้นหนึ่งด้วยสลักใบรับของคลังสินค้า
อย่างเดียวกับสลักหลังประทวนสินค้านั้นก็ได้”
ความจริงเอกสารสองฉบับนี้แสดงว่า ผู้ฝากมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ฝาก ผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
ย่อมมีสทิ ธิทจี่ ะจ�ำหน่ายจ่ายโอน หรือจ�ำน�ำจ�ำนองทรัพย์นนั้ ๆ ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 1336 ได้อยูแ่ ล้ว เป็น
แต่กฎหมายจัดระเบียบและวิธีการจ�ำน�ำไว้ให้เพื่อไม่ให้สับสนเท่านั้น
มีปญ
ั หาว่าในกรณีทผี่ ฝู้ ากฉ้อฉล หรือประมาทเลินเล่อไม่แจ้งสภาพสินค้าทีเ่ ป็นอันตราย หรือแจ้ง
ต้นขั้ว
เลขที่....................................
ธ
ปทุมวัน กรุงเทพฯ
วันที่............................................................................
มส
ได้รับฝากสินค้าจาก......................................................................................................................................................
อยู่บ้านเลขที่........................ถนน..................................แขวง............................เขต..............................จังหวัด...............................
ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ โดยผู้ฝากยอมรับเงื่อนไขดังปรากฏในด้านหลัง
เก็บไว้ในคลังสินค้า บริษัท พาณิชย์ 2 จ�ำกัด โกดังที่.................................ถนน.....................................จังหวัด..............................
ก�ำหนดเวลาฝากสินค้าตั้งแต่วันที่............................................................ถึงวันที่.............................................................................
ค่าบ�ำเหน็จเก็บรักษา......................................................ละ.......................................บาท..................................................ต่อเดือน
เครื่องหมายและ
เลขล�ำดับบนหีบห่อ
สภาพและรายการสินค้าเป็นไปตามที่รับแจ้ง จ�ำนวน นํ้าหนัก/ขนาด ราคาประเมิน หมายเหตุ
จากผู้ฝากโดยไม่มีการตรวจสอบ
ธ
มส
รายการประกันภัย
คงเหลือ นามผู้ฝาก
ม ผู้จัดการ หมายเหตุ
ใบรับของคลังสินค้า
เลขที่....................................
ธ
ปทุมวัน กรุงเทพฯ
วันที่............................................................................
มส
ได้รับฝากสินค้าจาก......................................................................................................................................................
อยู่บ้านเลขที่........................ถนน..................................แขวง............................เขต..............................จังหวัด...............................
ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ โดยผู้ฝากยอมรับเงื่อนไขดังปรากฏในด้านหลัง
เก็บไว้ในคลังสินค้า บริษัท พาณิชย์ 2 จ�ำกัด โกดังที่.................................ถนน.....................................จังหวัด..............................
ก�ำหนดเวลาฝากสินค้าตั้งแต่วันที่............................................................ถึงวันที่.............................................................................
ค่าบ�ำเหน็จเก็บรักษา......................................................ละ.......................................บาท..................................................ต่อเดือน
เครื่องหมายและ
เลขล�ำดับบนหีบห่อ
สภาพและรายการสินค้าเป็นไปตามที่รับแจ้ง จ�ำนวน นํ้าหนัก/ขนาด ราคาประเมิน หมายเหตุ
จากผู้ฝากโดยไม่มีการตรวจสอบ
ธ
มส
รายการประกันภัย
คงเหลือ นามผู้ฝาก
ม ผู้จัดการ หมายเหตุ
ใบประทวนสินค้า
เลขที่....................................
บริษัท พาณิชย์ 2 จ�ำกัด
ปทุมวัน กรุงเทพฯ
ธ
ได้รับฝากสินค้าจาก......................................................................................................................................................
อยู่บ้านเลขที่........................ถนน..................................แขวง............................เขต..............................จังหวัด...............................
ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ โดยผู้ฝากยอมรับเงื่อนไขดังปรากฏในด้านหลัง
เครื่องหมายและ
เลขล�ำดับบนหีบห่อ
มส
เก็บไว้ในคลังสินค้า บริษัท พาณิชย์ 2 จ�ำกัด โกดังที่.................................ถนน.....................................จังหวัด..............................
ก�ำหนดเวลาฝากสินค้าตั้งแต่วันที่............................................................ถึงวันที่.............................................................................
ค่าบ�ำเหน็จเก็บรักษา......................................................ละ.......................................บาท..................................................ต่อเดือน
รายการประกันภัย
ธ
วันที่ นามผู้รับประกัน กรมธรรม์ จ�ำนวนเงินที่ประกัน ก�ำหนดเวลาประกัน
มส
รายการถอนสินค้า
รายการสลักหลัง
ธ
ต่อเดือน
ข้าพเจ้าผู้ฝากกับผู้รับจ�ำน�ำ ได้จดแจ้งการสลักหลังนี้ไว้ในใบรับของคลังสินค้าด้วยแล้วแต่วันที่...............
มส
เดือน................พ.ศ. ....................
เงื่อนไขของการฝาก
ผู้ทรงใบรับนี้ย่อมผูกพันตนเองตามเงื่อนไขดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ.-
ลงนาม.................................................ผู้ฝาก
ลงนาม.................................................ผู้รับจ�ำน�ำ
สลักหลัง ณ วันที่.............เดือน......... พ.ศ. .......
รายการโอนกรรมสิทธิ์
ข้าพเจ้า.........................................................................................ผู้ฝากได้โอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าตามใบรับของคลังสินค้านี้
ให้แก่......................ตั้งแต่วันสลักหลังนี้เป็นต้นไป
ลงนาม.......................................ผู้ฝาก (สลักหลัง)
ธ
ลงนาม..................................................ผู้รับโอน
สลักหลัง ณ วันที่.......เดือน............พ.ศ. ................
มส รายการจ�ำน�ำสินค้าตามประทวน
ข้าพเจ้า.............................................ผู้ฝากได้จ�ำน�ำสินค้าตามใบรับของคลังสินค้านี้ไว้กับ..........................................
เป็ น จ� ำ นวนเงิ น ....................................................บาท (...............................................................................................)
มีก�ำหนด................................นับแต่วันที่.......................เดือน................................พ.ศ. .................เป็นต้นไป ดอกเบี้ยในอัตรา
ร้อยละ...................ต่อเดือน และได้ส่งมอบใบประทวนสินค้าแก่ผู้รับจ�ำน�ำแล้วจึงได้จดแจ้งไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ลงนาม..........................................ผู้ฝาก (สลักหลัง)
ลงนาม.....................................................ผู้รับจ�ำน�ำ
สลักหลัง ณ วันที่........เดือน...........พ.ศ. ..........
เงื่อนไขของการฝาก
ธ
ผู้ทรงใบรับนี้ย่อมผูกพันตนเองตามเงื่อนไขดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ.-
(1) บริษัทจะไม่รับผิดชอบในการที่ของซึ่งเก็บรักษาไว้นี้ต้องสูญเสียไป ซึ่งนํ้าหนักหรือส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดต้องถูกท�ำลาย
หรือสูญเสียไปโดยธรรมชาติ หรือโดยความแปรปรวนของอากาศ หรือโดยความบกพร่องในการผูกมัดหีบห่อ หรือด้วยเหตุที่หีบห่อหรือเครื่อง
มส
วันที่................เดือน..............................พ.ศ. 25….......…..ได้รับหนังสือจาก................................................................................
แจ้งว่าได้รับจ�ำน�ำสินค้ารายนี้จาก....................................................................ผู้ฝากเป็นจ�ำนวนเงิน.........................................บาท
(................................................................บาทถ้วน) คิดดอกเบีย้ ร้อยละ....................................ต่อเดือน และหนีถ้ งึ ก�ำหนดช�ำระใน
วันที่..........เดือน.....................................พ.ศ. ...........................
ลงนาม...................................นายคลังสินค้า
ธ
เงื่อนไขของการฝาก
มส
ผู้ทรงใบรับนี้ย่อมผูกพันตนเองตามเงื่อนไขดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ.-
(1) บริษัทจะไม่รับผิดชอบในการที่ของซึ่งเก็บรักษาไว้นี้ต้องสูญเสียไป ซึ่งนํ้าหนักหรือส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดต้อง
ถูกท�ำลายหรือสูญเสียไปโดยธรรมชาติ หรือโดยความแปรปรวนของอากาศ หรือโดยความบกพร่องในการผูกมัดหีบห่อ หรือด้วยเหตุ
ทีห่ บี ห่อหรือเครือ่ งป้องกันนัน้ ได้บบุ สลายเสียหายไป หรือโดยอันตรายอันเกิดจากการกระท�ำของแมลงหรือสัตว์หรือโดยภัยนอกอ�ำนาจ
เช่น อุทกภัย วาตภัย ภัยอันเกิดจากการสงคราม การจลาจล การนัดหยุดงานของกรรมกรและอื่นๆ
(2) ในกรณีทสี่ นิ ค้าทีน่ ำ� ฝากมิได้มปี ระกัน และผูฝ้ ากมิได้ขอร้องให้บริษทั นีจ้ ดั การในเรือ่ งเอาประกันอัคคีภยั แทนตน บริษทั
เป็นอันพ้นความรับผิดอันเกิดจากอัคคีภัยไม่ว่ากรณีใดๆ
(3) ความรับผิดของบริษัทจะจ�ำกัดเพียงจ�ำนวนเงินเท่าที่ปรากฏในใบส�ำคัญประกันภัย หรือเพียงเท่าราคาสินค้าที่ผู้ฝาก
ได้แจ้งไว้ และถ้าในกรณีที่ได้มีการถอนสินค้าไปบ้างแล้ว ความรับผิดที่กล่าวแล้วก็จะต้องลดลงตามส่วน
(4) ผูใ้ ดจะโดยรูห้ รือโดยประมาทเลินเล่อก็ตาม น�ำวัตถุระเบิดหรือวัตถุอนั ตรายหรือวัตถุอนั ต้องห้ามตามกฎหมายมาฝาก
ไว้ โดยมิได้บอกกล่าวและได้รับความยินยอมจากบริษัทเป็นพิเศษแล้ว เป็นการมิชอบและถ้าบริษัทตรวจพบบริษัทสงวนสิทธิ์ที่จะ
ธ
ท�ำลาย จ�ำหน่ายหรือจัดการอย่างหนึง่ อย่างใดได้ตามทีบ่ ริษทั เห็นสมควร โดยคิดว่าใช้จา่ ยในการนีจ้ ากผูฝ้ าก และถ้าบริษทั ได้รบั ความ
เสียหายจากวัตถุนั้นด้วยประการใดๆ ผู้น�ำวัตถุนั้นๆ มาฝากจักต้องรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายนั้นให้แก่บริษัทอีกด้วย
(5) ในกรณีทกี่ ำ� หนดอายุของการฝากได้สดุ สิน้ ลง หรือในกรณีทบี่ ริษทั ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้ามาแล้วไม่นอ้ ยกว่า 1 เดือน
มส
ผูท้ รงใบรับนีม้ ไิ ด้มาน�ำของออกไปจากทีเ่ ก็บรักษา บริษทั จะได้คดิ ค่าเก็บรักษาเพิม่ ขึน้ เป็นสองเท่านับแต่วนั ทีซ่ งึ่ ถึงก�ำหนด
ดังกล่าวแล้ว
(6) ค่าใช้จา่ ยต่างๆ อันเกีย่ วเนือ่ งกับการขนของในขณะรับเข้าเก็บในโรงสินค้าก็ดี ในการขนออกจากโรงสินค้าก็ดี ตลอด
จนการขนย้ายตรวจสอบเพื่อความบริสุทธิ์ปลอดภัยก็ดี บริษัทย่อมท�ำได้ โดยคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ฝาก
(7) อันการค�ำนวณเวลาในการคิดค่าเช่นนั้น หากการฝากสินค้าตํ่ากว่า 15 วัน ก็จะค�ำนวณเป็น 15 วัน หากฝากสินค้า
เกินกว่า 15 วัน แต่ไม่เกิน 1 เดือน ก็จะค�ำนวณเป็น 1 เดือน เมื่อฝากเกินกว่า 1 เดือนแล้ว ก็จะค�ำนวณตามเกณฑ์เช่นเดียวกัน
(8) เวลาใดเวลาหนึ่ง ถ้าบริษัทเห็นว่าของที่ผู้ฝากท�ำการสลักหลังจ�ำน�ำไว้กับบริษัทได้เสื่อมราคาลงจะเนื่องด้วยเหตุใดๆ
ปกติการจ�ำน�ำนั้นเจ้าหนี้ผู้รับจ�ำน�ำจะต้องครอบครองทรัพย์สินที่จ�ำน�ำเป็นประกันหนี้รายใดราย
หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวค้างอยู่กับเจ้าหนี้ เมื่อลูกหนี้ชำ� ระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว จ�ำน�ำอันเป็นสัญญาอุปกรณ์จะระงับสิ้นไป
ทันที ตาม ปพพ. มาตรา 769
แต่กรณีฝากของคลังสินค้านี้ เป็นกรณีพเิ ศษ กฎหมายให้เพียงสลักหลังใบประทวนสินค้าจ�ำน�ำของทีฝ่ าก
แล้วมอบใบประทวนให้ผู้รับจ�ำน�ำครอบครอง ส่วนสินค้าที่ฝากนั้น นายคลังครอบครองแทนผู้รับจ�ำน�ำโดยปริยาย
ธ
จ�ำเดิมแต่ได้รับค�ำบอกกล่าวเป็นต้นไป หากลูกหนี้ผิดนัดผู้รับจ�ำน�ำย่อมจะบอกให้นายคลังสินค้าซึ่งอยู่ในฐานะ
ตัวแทนของตนนั้น เอาสินค้าออกขายทอดตลาดเอาเงินมาช�ำระหนี้แก่ตนได้
มส
3. รายการในใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า
ได้กล่าวมาแล้วว่าใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้านั้นมีต้นขั้วเดียวกัน และมีรายการ
เหมือนกัน ตามที่บัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 778 ความว่า
“ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้าต้องมีเลขล�ำดับตรงกับเลขในต้นขั้ว และลงลายมือชื่อ
ของนายคลังสินค้า
อนึ่ง ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้านั้น ท่านให้มีรายละเอียดดังกล่าวต่อไปนี้คือ
(1) ชื่อยี่ห้อ และส�ำนักของผู้ฝาก
(2) ที่ตั้งคลังสินค้า
ธ
(3) ค่าบ�ำเหน็จส�ำหรับเก็บรักษา
(4) สภาพของสินค้าที่เก็บรักษา และนํ้าหนักหรือขนาดแห่งสินค้านั้น กับทั้งสภาพ จ�ำนวน และ
เครื่องหมายหีบห่อ
มส
(5) สถานที่และวันออกใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า
(6) ถ้าได้ก�ำหนดกันไว้ว่าให้เก็บสินค้าไว้ชั่วเวลาเท่าใดให้แจ้งก�ำหนดนั้นด้วย
(7) ถ้าของที่เก็บรักษามีประกันภัย ให้แสดงจ�ำนวนเงินที่ประกันก�ำหนดเวลาที่ประกันภัยและ
ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับประกันภัยด้วย
อนึ่ง นายคลังสินค้าต้องจดรายละเอียดทั้งนี้ลงไว้ในต้นขั้วด้วย”
ม
ถ้าไม่มลี ายมือชือ่ ของนายคลัง เอกสารนัน้ ไม่สมบูรณ์เป็นตราสารใช้บงั คับไม่ได้ ผูฝ้ ากไม่มอี �ำนาจ
บังคับให้ออกใบใหม่ หรือให้ลงชื่อให้บริบูรณ์ได้
ส�ำหรับรายการต่างๆ ตามวรรค 2 อันเป็นรายละเอียดของเอกสาร 2 ฉบับนี้ นัน้ ไม่ใช่สาระส�ำคัญ
ถึงขาดไปบางรายการหาท�ำให้เอกสารเสียไป เป็นแต่อาจท�ำให้เกิดความไม่สะดวกในการติดต่อ เช่น
ไม่ได้ระบุที่ตั้งคลังสินค้าอาจประสบความล�ำบากในการแจ้งการจ�ำน�ำไปยังนายคลังสินค้า ถ้าไม่ระบุค่า
บ�ำเหน็จในการเก็บรักษาก็ต้องถือตามธรรมเนียม ถ้าไม่มีธรรมเนียมก็ต้องคิดกันตามสมควรหรือถ้าได้
ตกลงกันไว้แต่เดิม ก็คิดตามนั้นได้ แม้จะไม่ได้เขียนลงไป แต่ต่อสู้ได้เฉพาะผู้ฝากกับนายคลังเท่านั้นส่วน
สธ
ผู้รับสลักหลังต่อสู้ไม่ได้
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-59
ธ
นายคลังสินค้าในความเสียหายใดๆ ที่เขาได้รับ ตามที่อธิบายมาแล้ว
บางกรณีนํ้าหนักของสินค้าอาจไม่จ�ำเป็น เพราะอาจถือเอาปริมาตรเป็นส�ำคัญ กรณีเช่นนี้ก็ไม่
มส
จ�ำเป็นต้องระบุนํ้าหนัก
ส่วนจ�ำนวนหีบห่อและเครื่องหมายนั้น ถ้าไม่ได้ระบุก็อาจยุ่งได้ในกรณีฝากหลายเจ้าของ เป็น
หน้าที่ของนายคลังสินค้าที่จะคืนสินค้าให้แก่ผู้ทรงตราสารครบตามจ�ำนวนที่ฝาก แม้ว่าจะได้ระบุจ�ำนวน
หีบห่อและเลขหมายในใบรับของคลังสินค้าหรือไม่ก็ตาม
ถ้ามิได้ระบุสถานที่ออกเอกสารก็พึงสันนิษฐานได้ว่าออก ณ ที่ทำ� การของนายคลังสินค้า ส่วนวัน
เดือน ปี ที่ออกเอกสารนั้น ผู้ทรงอาจจดลงตามที่ถูกต้องแท้จริงได้
ส�ำหรับก�ำหนดเวลาฝากนั้น ถ้าไม่ได้จดลงไปก็อาจจะให้นายคลังสินค้าจดลงในภายหลังก็ได้
ถ้าไม่ได้จดลงเลยต่อมาภายหลังเอกสารนั้นเปลี่ยนมือไปยังผู้ทรงด้วยกัน ซึ่งรับโอนไว้โดยสุจริต ก็จะต้อง
ถือว่าฝากไม่มีกำ� หนดเวลา
ในกรณีที่มีการประกันภัย ถ้าไม่ได้แสดงจ�ำนวนเงินที่เอาประกัน ก�ำหนดเวลาเอาประกันภัย และ
ธ
ชื่อยี่ห้อของผู้รับประกันภัยไว้ ก็อาจจะท�ำให้เกิดความไม่สะดวกในการที่ผู้ทรงจะเรียกร้องค่าเสียหายจาก
ผู้รับประกันภัยหรือท�ำให้ผู้ทรงไม่รู้ว่าผู้รับประกันภัยเป็นใคร ท�ำให้ผู้ทรงเสียสิทธิได้
มส
ธ
การประกัน
การประกันอาจใช้ทรัพย์สนิ อะไรก็ได้ เช่น เงินสด พันธบัตรรัฐบาล ตัว๋ สัญญาใช้เงิน เช็คทีธ่ นาคาร
มส
รับรอง หนังสือคํ้าประกันของธนาคาร สมุดฝากเงินธนาคารหรือใบประทวนสินค้าของผู้อื่นที่มาสลักหลัง
จ�ำน�ำไว้เป็นประกันก็ได้
กฎหมายให้นายคลังสินค้าเรียกได้ตามสมควร คือเป็นราคาเงินพอคุม้ กับความเสียหายทีน่ ายคลัง
สินค้าจะพึงได้รบั เนือ่ งจากการออกใบแทนนัน้ ถ้าเรียกสูงเกินไปจะเท่ากับปฏิเสธ ผูท้ รงมีอำ� นาจฟ้องบังคับ
ให้ออกได้ แค่ไหนสมควรแล้วแต่พฤติกรรมไม่เหมือนกันทุกกรณีไป
ตัวอย่าง แดงฝากสินค้าไว้ในโกดังราคา 1,000,000 บาท ปรากฏในต้นขั้วว่าแดงได้สลักหลัง
ประทวนสินค้าจ�ำน�ำไว้กับขาว 300,000 บาท ต่อมาขาวมาขอให้ออกประทวนสินค้าให้ใหม่โดยอ้างว่า ใบ
ประทวนถูกลักไป ขาวต้องหาประกันอันสมควรให้ ในที่นี้น่าจะเป็นทรัพย์สินมีราคาคุ้มหนี้ 300,000 บาท
พร้อมด้วยดอกเบี้ยจนถึงก�ำหนด อาจเกินไปบ้างเล็กน้อยก็เป็นการประกันค่าใช้จ่ายเมื่อต้องบังคับจ�ำน�ำ
ธ
การที่ให้เรียกเท่านั้นก็เพราะว่า เผื่อว่าใบเดิมไม่ได้หายจริง หากแต่ขาวผู้ทรงเอกสารสลักหลัง
จ�ำน�ำต่อไปยังเขียว ซึ่งนายคลังสินค้าไม่รู้เพราะการจ�ำน�ำครั้งหลังไม่ต้องแจ้งให้นายคลังทราบ เมื่อได้
มส
กิจกรรม 5.3.1
1. เหตุใดกฎหมายจึงบัญญัติให้มีทั้งใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า
เหตุใด
3. ใบรับของคลังสินค้ากับทรัสต์รีซีทต่างกันอย่างไร
ม
2. กฎหมายบัญญัติให้เอกสาร 2 ฉบับนี้มีรายการต่างๆ เหมือนกันนั้นเพื่อความมุ่งหมายอันใด
4. กฎหมายบังคับให้นายคลังสินค้าเรียกประกันในกรณีที่มีการขอให้ออกเอกสารใหม่เพราะ
แนวตอบกิจกรรม 5.3.1
1. การที่กฎหมายบัญญัติให้มี 2 ฉบับก็เพื่อความสะดวกในการค้าขาย ใบหนึ่งไว้สลักหลังขาย
สธ
ส่วนอีกใบหนึ่งไว้สลักหลังจ�ำน�ำ ถ้ามีใบเดียวก็จะท�ำได้เพียงอย่างเดียว การค้าขายก็จะไม่สะดวก
2. การที่กฎหมายให้เอกสาร 2 ฉบับมีรายการต่างๆ เหมือนกันก็เพราะออกมาจากต้นขั้ว
อันเดียวกัน และรายการต่างๆ นั้นกฎหมายก็บังคับให้มีตามความจ�ำเป็นในทางธุรกิจ
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-61
3. ทรัสต์รีซีทเป็นหนังสือแสดงว่าธนาคารหรือนายเงินเป็นเจ้าของสินค้าให้ลูกหนี้รับสินค้าไป
จ�ำหน่ายจ่ายโอนน�ำเงินมาช�ำระหนี้แก่ตน ส่วนใบรับของคลังสินค้านั้นเป็นเอกสารแสดงถึงกรรมสิทธิ์ใน
สินค้าที่ฝาก
4. การทีก่ ฎหมายบังคับให้นายคลังสินค้าเรียกประกันในกรณีมกี ารขอให้ออกเอกสารการฝากใหม่
ก็เพื่อป้องกันความรับผิดของนายคลังสินค้าเอง และเพื่อรักษาประโยชน์ของบุคคลภายนอกด้วย
ธ
มส
เรื่องที่ 5.3.2
การจ�ำน�ำสินค้าในคลังสินค้า
1. การสลักหลังประทวนสินค้า
การสลักหลังมีวิธีการหลายขั้นตอนดังนี้คือ
1.1 ผู้ทรงเขียนลงในประทวนสินค้า จะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลังก็ได้ ปกตินายคลังจะออกแบบ
สธ
ฟอร์ม มีช่องส�ำหรับสลักหลังจ�ำน�ำไว้ให้หนึ่งแห่ง ข้อความที่จะต้องจดลงไปในช่องสลักหลังนั้นกล่าวไว้ใน
มาตรา 787 ความว่า “ในการสลักหลังลงในประทวนสินค้าครั้งแรกนั้นต้องจดแจ้งจ�ำนวนหนี้ที่จ�ำน�ำ
สินค้าเป็นประกัน ทั้งจ�ำนวนดอกเบี้ยที่จะต้องช�ำระและวันที่หนี้จะถึงก�ำหนดช�ำระด้วย”
ม
5-62 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตามความในมาตรานี้มีสิ่งที่จะต้องจดแจ้งในการสลักหลังตราสารฉบับนี้จ�ำน�ำถึง 3 ประการคือ
1) จ�ำนวนหนี้ 2) จ�ำนวนดอกเบี้ย และ 3) วันถึงก�ำหนดช�ำระแล้วลงชื่อก�ำกับไว้
ข้อส�ำคัญก็คอื ต้องระบุชอื่ ผูร้ บั จ�ำน�ำลงในประทวนสินค้า เพราะ ปพพ. มาตรา 779 ห้ามมิให้สลัก
หลังให้แก่ผู้ถือ
ธ
ตัวอย่าง
รายการสลักหลังประทวนสินค้า
มส
ข้าพเจ้า...................................................................ผู้ฝาก ได้จ�ำน�ำสินค้าที่จดแจ้งในประทวนสินค้านี้
ไว้กับ........................................................................ เป็นจ�ำนวนเงิน.......................................................บาท
(...................................................................... บาท) มีก�ำหนด 3 เดือนนับตั้งแต่วันสลักหลังนี้เป็นต้นไป และ
ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ.....................................ต่อเดือน
ข้ า พเจ้ า ผู ้ ฝ ากกั บ ผู ้ รั บ จ� ำ น� ำ ได้ จ ดแจ้ ง การสลั ก หลั ง นี้ ไว้ ใ นใบรั บ ของคลั ง สิ น ค้ า ด้ ว ยแล้ ว ตั้ ง แต่
วันที่...........เดือน........................................... พ.ศ. 25.................................
ลงนาม............................................ผู้ฝาก
ลงนาม............................................ผู้รับจ�ำน�ำ
ธ
สลักหลัง ณ วันที่ ................เดือน.......พ.ศ. 25….......
ว่า “เมื่อใดผู้ฝากสลักหลังประทวนสินค้าให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำคู่สัญญาต้องจดแจ้งการที่สลักหลังนั้นลงไว้ใน
ใบรับของคลังสินค้าด้วย”
ค�ำว่า “คู่สัญญา” ในที่นี้คือ คู่สัญญาจ�ำน�ำ ได้แก่ ผู้ฝากกับผู้รับจ�ำน�ำนั่นเอง ไม่ใช่ผู้ฝากกับนาย
คลังสินค้า
เหตุที่กฎหมายบังคับให้ผู้ฝากและผู้รับจ�ำน�ำจดแจ้งการจ�ำน�ำลงไว้ในใบรับของคลังสินค้าก็เพื่อจะ
ได้ปรากฏการจ�ำน�ำอยู่บนใบรับของคลังสินค้า อันเป็นการรักษาผลประโยชน์ของผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ ผู้จะ
พร้อมดอกเบี้ยได้
ตัวอย่าง 1 แดงฝากสินค้า ราคา 1,000,000 บาทไว้ในโกดังแห่งหนึ่ง ต่อมาแดงสลักหลัง
ประทวนสินค้าจ�ำน�ำไว้กบั ขาว 500,000 บาท แต่มไิ ด้จดแจ้งการจ�ำน�ำไว้ในใบรับของคลังสินค้า ต่อมาแดง
ม
ซือ้ สินค้าต่อไปจะได้รวู้ า่ สินค้าทีต่ นจะซือ้ นัน้ มีภาระจ�ำน�ำติดอยู่ เขาจะได้ซอื้ ในราคาทีส่ ามารถช�ำระหนีจ้ ำ� น�ำ
เพราะเหตุนี้เองในแบบฟอร์มใบรับของคลังสินค้ามักจะจัดช่องไว้ส�ำหรับบันทึกแสดงถึงการจ�ำน�ำ
ไว้ ดังปรากฏในตัวอย่างทีย่ กมาให้ดขู า้ งต้น ถ้าไม่ได้ออกแบบเว้นช่องไว้จะจดลงไปในช่องว่างตรงไหนก็ได้
แล้วผู้จำ� น�ำและผู้รับจ�ำน�ำลงชื่อด้วยกัน
1.3 คู่สัญญาจ�ำน�ำหมายเหตุไว้ในประทวนสินค้าว่าได้จดแจ้งการจ�ำน�ำในใบรับของคลังสินค้า
แล้ว ตามความใน ปพพ. มาตรา 781 ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อประทวนสินค้าได้สลักหลังและส่งมอบแก่ผู้รับ
ธ
จ�ำน�ำแล้ว ให้ผู้ฝากกับผู้รับจ�ำน�ำจดลงไว้ในประทวนสินค้าเป็นส�ำคัญ ว่าได้จดข้อความตามที่บัญญัติใน
มาตราก่อนไว้ในใบรับของคลังสินค้าแล้ว”
มส
มาตรา 781 ได้ก�ำหนดให้ผู้ฝากและผู้รับจ�ำน�ำร่วมกันจดแจ้ง คือเมื่อได้จดลงไปแล้วคู่สัญญา
ดังกล่าวก็ลงชื่อด้วยกัน ที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ก็เพื่อเตือนสติคู่สัญญาให้จดแจ้งการจ�ำน�ำลงในใบรับ
ของคลังสินค้า แต่การจดแจ้งลงในประทวนตามมาตรา 781 นี้เป็นวิธีการเพื่อให้ผู้ที่รับประทวนสินค้าได้
ทราบว่า คู่สัญญาจ�ำน�ำได้จดแจ้งการสลักหลังนั้นไว้ในใบรับของคลังสินค้าตาม ปพพ. มาตรา 780 แล้ว
1.4 ผู้รับจ�ำน�ำบอกกล่าวการจ�ำน�ำให้นายคลังสินค้าทราบ การที่ต้องบอกกล่าวนั้น ก็เนื่องจาก
การจ�ำน�ำนั้นผู้รับจ�ำน�ำต้องเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินที่จ�ำน�ำไว้เป็นส�ำคัญ แต่กรณีฝากของในคลังสินค้า
นั้น ตัวทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งหนี้ อยู่ในความครอบครองของนายคลังสินค้ามาแต่ต้น ต่อมาเมื่อมีการจ�ำน�ำ
สินค้า กฎหมายจึงบัญญัติให้ผู้รับจ�ำน�ำต้องแจ้งให้นายคลังสินค้าทราบถึงการจ�ำน�ำนั้น และนับตั้งแต่นาย
คลังทราบก็ถือว่า นายคลังสินค้าครอบครองสินค้านั้นแทนผู้รับจ�ำน�ำ ทั้งนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 782 “เมื่อ
ธ
ใดผูฝ้ ากจ�ำน�ำสินค้าและส่งมอบประทวนสินค้าแก่ผรู้ บั สลักหลังแล้ว ผูร้ บั สลักหลังเช่นนัน้ ต้องมีจดหมาย
บอกกล่าวแก่นายคลังสินค้าให้ทราบจ�ำนวนหนี้ซึ่งจ�ำน�ำสินค้านั้นเป็นประกัน ทั้งจ�ำนวนดอกเบี้ยและวัน
มส
อันหนี้พึงจะถึงก�ำหนดช�ำระ เมื่อนายคลังสินค้าได้รับค�ำบอกกล่าวเช่นนั้นแล้วต้องจดรายการทั้งนั้นลง
ในต้นขั้ว
ถ้าและมิได้จดในต้นขั้วเช่นนั้น ท่านว่าการจ�ำน�ำนั้นหาอาจจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ทั้งหลาย
ของผู้ฝากได้ไม่”
ข้อความในใบแจ้งควรเป็นดังนี้
เรียน ผู้จัดการบริษัทโกดังทอง จ�ำกัด ม
เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ข้าพเจ้าได้รับจ�ำน�ำใบประทวนสินค้า เลขที่ 123 ลง
วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งท่านเป็นผู้ออกเป็นจ�ำนวนเงิน 500,000 บาท มีกำ� หนด 3 เดือน (ครบ
ก�ำหนด 29 มกราคม พ.ศ. 2557) ดอกเบีย้ ร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วนั ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป
ขอได้โปรดจดแจ้งการจ�ำน�ำลงในต้นขั้วด้วย จักขอบคุณยิ่ง
ขอแสดงความนับถือ
สธ
(...............................)
ม
5-64 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เมื่อได้รับหนังสือแล้วนายคลังมีหน้าที่จดแจ้งการจ�ำน�ำลงในต้นขั้ว จะละเลยหรือหลงลืมเสียมิได้
ถ้ามิได้จดลงไปไม่วา่ เพราะเหตุประการใด นายคลังสินค้าจะต้องรับผิดต่อผูร้ บั จ�ำน�ำ ส�ำหรับความเสียหาย
ใดๆ ที่เขาได้รับขอให้ดูตัวอย่างที่อธิบายมาแล้วในตอนก่อน
ค�ำว่าต้นขั้วในที่นี้ก็คือต้นขั้วใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า เอกสาร 2 ฉบับนี้มีต้นขั้ว
อันเดียวกัน
ธ
ผลของการไม่ได้จดแจ้งการจ�ำน�ำ อาจแบ่งแยกได้เป็น 2 กรณี คือ ผลต่อบุคคลภายนอกและ
ผลต่อความรับผิดของนายคลังสินค้า
มส
1) ผลต่อบุคคลภายนอก การไม่ได้จดแจ้งการจ�ำน�ำไว้ ย่อมท�ำให้ไม่สามารถยกการจ�ำน�ำมาต่อสู้
บุคคลภายนอกได้ ไม่วา่ การไม่จดแจ้งนัน้ จะเกิดจากการทีน่ ายคลังสินค้าไม่ได้รบั แจ้ง หรือเกิดจากนายคลัง
สินค้าละเลยไม่ได้จดแจ้งก็ตาม ทั้งนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 782 วรรคสอง
2) ผลต่อความรับผิดของนายคลังสินค้า ในกรณีที่นายคลังสินค้าไม่จดแจ้งการจ�ำน�ำไว้ แม้จะได้
รับแจ้งแล้วก็ตาม กรณีนนี้ ายคลังสินค้าต้องรับผิดต่อผูร้ บั จ�ำน�ำแต่ถา้ เป็นกรณีทนี่ ายคลังสินค้าไม่ได้รบั แจ้ง
กรณีเช่นนี้นายคลังสินค้าก็ไม่ต้องรับผิดต่อผู้รับจ�ำน�ำ
การบอกกล่าวนั้น ปพพ. มาตรา 782 มิได้ก�ำหนดเวลาไว้ว่าผู้รับจ�ำน�ำจะต้องบอกกล่าวแก่
นายคลังสินค้าช้าเร็วอย่างไร ดังนั้นจะบอกกล่าวเมื่อไรก็ย่อมได้ แต่ต้องก่อนที่จะมีการยึดทรัพย์สินออก
ขายทอดตลาด และนายคลังสินค้าน่าจะได้จดลงในต้นขั้วก่อนที่ทรัพย์ถูกยึดออกขายทอดตลาด เช่น
ธ
ขาวรับจ�ำน�ำแล้วได้แจ้งการจ�ำน�ำไปยังนายคลังสินค้าตามระเบียบ แต่นายคลังสินค้าลืมจดแจ้งการจ�ำน�ำลง
ไว้ในต้นขั้ว จนแดงผู้ฝากถูกเจ้าหนี้รายอื่นยื่นฟ้องคดี ขาวรู้ได้โทรศัพท์ไปบอก นายคลังสินค้าจึงนึกได้
และได้จดแจ้งการจ�ำน�ำลงในต้นขั้วก่อนเจ้าหนี้ของแดงมายึดสินค้าที่ฝาก 1 วัน กรณีเช่นนี้ขาวยังยกการ
มส
จ�ำน�ำขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้อื่นและขอรับช�ำระหนี้จ�ำน�ำก่อนเขาได้ แต่ถ้าเจ้าหนี้อื่นมายึดทรัพย์ในคลังและเปิดดู
ต้นขัว้ ไม่มกี ารจดแจ้งการจ�ำน�ำไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจงึ ได้หมายเหตุไว้วา่ ไม่มกี ารจ�ำน�ำเช่นนีข้ าวจะมา
กล่าวอ้างว่าตนได้รับจ�ำน�ำสินค้าที่ยึดจึงขอรับช�ำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นในฐานะผู้รับจ�ำน�ำไม่ได้
2. การสลักหลังใบรับของคลังสินค้า
การจ�ำน�ำใบรับของคลังสินค้านี้ เป็นการจ�ำน�ำตราสาร ตาม ปพพ. มาตรา 752 กล่าวคือ ต้อง
จดแจ้ง การจ�ำน�ำให้ปรากฏในตราสาร และบอกกล่าวแก่ลูกหนี้ตามตราสารนั้น
หนึ่งและกรณีมีใบประทวนอีกอย่างหนึ่ง
ม
การสลักหลังจ�ำน�ำใบรับของคลังสินค้านั้น แยกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ กรณีไม่มีใบประทวนอย่าง
ธ
เขียนลงไปในใบรับของคลังสินค้าว่า จ�ำน�ำไว้กบั บุคคลใด หนีจ้ ำ� นวนเท่าใด อัตราดอกเบีย้ เท่าใด ถึงก�ำหนด
ช�ำระคืนเมื่อใด แล้วลงลายมือชื่อผู้จ�ำน�ำ
ตัวอย่าง
มส
ข้าพเจ้า นายแดง สีม่วง ผู้ฝาก ได้จ�ำน�ำสินค้ารายนี้ไว้กับนายขาว สีเผือก อีกเป็นจ�ำนวนเงิน 50,000
บาทมีก�ำหนดช�ำระใน 3 เดือนนับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงได้มอบ
ใบรับของคลังสินค้านี้ไว้กับนายขาวผู้รับจ�ำน�ำตั้งแต่บัดนี้
กิจกรรม 5.3.2
1. หลักในการจ�ำน�ำเอกสารการฝากมีอย่างไรบ้าง
2. แดงจ�ำน�ำใบประทวนสินค้าไว้กบั ขาว โดยมอบประทวนทีจ่ ำ� น�ำให้ขาวครอบครองโดยมิได้สลัก
หลังดังนี้จะมีผลตามกฎหมายอย่างใดบ้าง
แนวตอบกิจกรรม 5.3.2
ม
1. เอกสารการฝากอันมีใบรับของคลังสินค้า และประทวนสินค้านัน้ เป็นตราสารอันมีวตั ถุประสงค์
แห่งสิทธิเป็นทรัพย์สนิ ตามหลักการจ�ำน�ำ เอกสารเช่นนีต้ อ้ งสลักหลังตราสารแล้วมอบแก่เจ้าหน้าทีใ่ ห้ยดึ ถือ
ไว้เป็นจ�ำน�ำ แล้วบอกกล่าวลูกหนีแ้ ห่งตราสารในทีน่ กี้ ค็ อื นายคลังสินค้า นอกจากนัน้ ยังต้องบัญญัตติ ามวิธี
การที่กฎหมายบัญญัติไว้ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอีกหลายประการ
สธ
2. การจ�ำน�ำใบประทวนโดยมิได้สลักหลัง เช่นนัน้ หามีผลเป็นการจ�ำน�ำสินค้าตามกฎหมายไม่ แต่
เป็นการจ�ำน�ำแผนกระดาษ เหมือนกับจ�ำน�ำใบโฉนดที่ดิน จะมีผลดีแต่เพียงว่าลูกหนี้ไม่สามารถจะจ�ำน�ำ
สินค้าอีกต่อไป จะถอนก็ไม่ได้เท่านั้น
ม
5-66 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 5.3.3
การโอนกรรมสิทธิ์และการรับเอาสินค้าที่ฝาก
ธ
ในเรื่องนี้จะแบ่งกล่าวเป็น 2 หัวข้อย่อยคือวิธีโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ฝากข้อหนึ่ง และวิธีรับเอา
ทรัพย์ที่ฝากจากคลังอีกหัวข้อหนึ่ง
มส
1. วิธีโอนกรรมสิทธิ์
การโอนกรรมสิทธิข์ องสินค้าทีฝ่ ากนัน้ จะต้องโอนโดยบทบัญญัตขิ อง ปพพ. มาตรา 784 ซึง่ บัญญัติ
ว่า “กรรมสิทธิ์ในสินค้าที่เก็บรักษาไว้นั้น ท่านว่าอาจโอนได้แต่ด้วยสลักหลังใบรับของคลังสินค้าเท่านั้น”
มาตรานี้เป็นการโอนโดยทางนิติกรรม ส่วนกรณีการโอนโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมนั้น ไม่อยู่ในบังคับ
ของ ปพพ. มาตรา 784 นี้ เช่น กรณีมีการบังคับจ�ำน�ำ ผู้รับจ�ำน�ำชอบที่จะเอาทรัพย์สินที่จ�ำน�ำออกขาย
ทอดตลาด ตามบทบัญญัติเรื่องจ�ำน�ำสินค้า (ปพพ. มาตรา 790-794) ผู้ที่ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอด
ตลาด ก็ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ฝากไว้ในคลัง อนึ่ง การสลักหลัง ตาม ปพพ. มาตรา 784 นี้ มิได้
บัญญัติว่าจะต้องท�ำอย่างไรจึงอาจท�ำได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้ คือ
ธ
ตัวอย่าง 1
โอนให้นายขาว สีม่วง
มส
ตัวอย่าง 2
รายการสลักหลังนี้แสดงว่านายแดง สีแสด ได้โอนขายสินค้าให้นายขาว สีม่วง ในราคา 100,000 บาท
จึงลงชื่อไว้เป็นส�ำคัญ
ในทางปฏิบัติ คลังสินค้าบางแห่งเขียนมีรายการตามตัวอย่างที่ 3
ตัวอย่างที่ 3
สลักหลังลงวันที่ 10 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เพื่อแสดงว่าได้โอนกรรมสิทธิ์ในคลังสินค้าตามใบรับ
ของคลังสินค้านี้ให้แก่นายขาว สีม่วง ตั้งแต่วันที่สลักหลังนี้เป็นต้นไป
ธ
(ลงชื่อ) แดง สีแสด ผู้สลักหลัง (ผู้ฝาก)
(ลงชื่อ) นายขาว สีม่วง ผู้รับสลักหลัง
มส
อนึง่ การสลักหลังใบรับของคลังสินค้านัน้ ถ้าได้มกี ารท�ำก่อนมีการสลักหลังประทวนสินค้า ผูส้ ลัก
หลังจะต้องส่งมอบประทวนสินค้าให้แก่ผู้รับสลักหลังไปด้วยเพราะประทวนสินค้ากับใบรับของคลังสินค้า
นั้นเป็นคู่ฉบับกัน กฎหมายห้ามโอนแยกต่างหากจากกันดังความใน ปพพ. มาตรา 786 ซึ่งบัญญัติว่า
“ตราบใดสินค้าที่เก็บรักษาไว้ไม่ได้จ�ำน�ำ ท่านว่าจะโอนใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้าไป
ต่างหากกันไม่ได้อยู่ตราบนั้น”
2. การรับของที่ฝากคืน
การรับของที่ฝากไว้ในคลังสินค้านั้นอาจแยกได้เป็น 3 กรณี ตามหลักเกณฑ์ของ ปพพ. มาตรา
ธ
788 และมาตรา 789 ดังนี้คือ
2.1 กรณีที่ไม่ได้แยกใบประทวนออกจ�ำน�ำ กรณีเช่นนีเ้ มือ่ จะรับสินค้าก็ตอ้ งเวนคืนใบรับของคลัง
สินค้าทั้งนี้ตามมาตรา 788
มส
สินค้านั้น
กิจกรรม 5.3.3
ม
ตาม ปพพ. มาตรา 789 วรรคสองและวรรคสาม กล่าวคือนายคลังสินค้าจะมอบเงินให้แก่ผรู้ บั จ�ำน�ำไปแทน
1. การโอนสินค้าด้วยการสลักหลังตราสารนั้น มีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง
2. การรับเอาสินค้าจากคลังสินค้าจะต้องปฏิบัติอย่างไร
สธ
3. แดงฝากสินค้าในคลังสินค้า ต่อมาได้ยืมเงินนายคลังสินค้าและระบุในสัญญากู้ว่าให้สินค้าใน
คลังเป็นประกันเงินกู้ ต่อมาแดงได้สลักหลังใบรับของคลังสินค้าโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้านั้นให้ขาว กรณีนี้
ขาวจะรับเอาสินค้าในคลังได้หรือไม่
ม
5-68 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แนวตอบกิจกรรม 5.3.3
1. การโอนสินค้าที่ฝากด้วยการสลักหลังตราสารใบรับของคลังสินค้านั้นมีหลักอยู่ที่ว่า 1) จะต้อง
สลักหลังใบรับของคลังสินค้าระบุชอื่ ผูร้ บั โอนเพราะกฎหมายห้ามสลักหลังให้แก่ผถู้ อื 2) มอบใบรับของคลัง
สินค้าและประทานให้แก่ผรู้ บั สลักหลังไปด้วยเว้นแต่ประทวนนัน้ จะได้สลักหลังจ�ำน�ำแล้ว ควรหมายเหตุการ
ธ
โอนไว้ในประทวนด้วย
2. การรับเอาสินค้าจากคลังนั้นจะต้องเวนคืนใบรับของคลังสินค้า แต่ถ้ามีการสลักหลังจ�ำน�ำ
ประทวนสินค้า แล้วตามระเบียบจะต้องเวนคืนประทวนด้วย เพื่อเป็นการแสดงว่าสินค้านั้นปลอดจากการ
มส
จ�ำน�ำแล้ว แต่ถ้าการฝากไม่มีใบรับของคลังสินค้า หรือสินค้านั้นโอนกรรมสิทธิ์ไปยังบุคคลภายนอกโดย
ทางอื่น ซึ่งมิใช่นิติกรรม ก็ถอนคืนสินค้าวิธีธรรมดา
ขาวไม่ได้
3. ขาวเวนคืนใบรับของคลังสินค้าเอาสินค้าออกจากคลังได้ นายคลังจะยกเอาการจ�ำน�ำขึ้นต่อสู้
เรื่องที่ 5.3.4
ธ
การบังคับจ�ำน�ำและการไล่เบี้ย
มส
1. การบังคับจ�ำน�ำ
หนี้อันเป็นประธาน
ม
การบังคับจ�ำน�ำเกิดขึน้ เมือ่ ลูกหนีผ้ ดิ นัดไม่ชำ� ระหนีจ้ งึ เอาทรัพย์ทจี่ ำ� น�ำออกขายทอดตลาดเอาเงิน
สุทธิที่ได้มาช�ำระหนี้ของตน ถ้าลูกหนี้ช�ำระหนี้เสียแล้วจ�ำน�ำก็หมดไป เพราะจ�ำน�ำเป็นเพียงอุปกรณ์ของ
ธ
กล่าวแก่ลูกหนี้เหมือนกับในเรื่องตั๋วเงิน นอกนั้นปฏิบัติท�ำนองเดียวกับการบังคับจ�ำน�ำทั่วๆ ไปภายในหัว
ข้อนี้มีเรื่องที่จะกล่าวถึง 3 ประการคือ
มส
1.1 ลูกหนี้ผิดนัดและการท�ำค�ำคัดค้าน ข้อนี้ได้บัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 790 ว่า “ถ้าหนี้ซึ่ง
สินค้าจ�ำน�ำเป็นประกันมิได้ช�ำระเมื่อวันถึงก�ำหนดไซร์ ผู้ทรงประทวนสินค้าเมื่อได้ยื่นค�ำคัดค้านตาม
ระเบียบแล้วชอบที่จะให้นายคลังสินค้าขายทอดตลาดสินค้านั้นได้ แต่ท่านห้ามมิให้ขายทอดตลาดก่อน
แปดวันนับแต่วันคัดค้าน”
ความในมาตรานี้ก�ำหนดเงื่อนไขไว้ 2 ขั้นตอน คือ
1) หนี้ถึงก�ำหนด ตัวบทแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วผู้อ่านคงจ�ำได้ว่าการจ�ำน�ำประทวนสินค้า
และใบรับของคลังสินค้านัน้ จะต้องระบุกำ� หนดเวลาหนีถ้ งึ ก�ำหนดไว้ดว้ ยเป็นช�ำระภายใน 3 เดือนหรือภายใน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เป็นต้น หนี้บางรายอาจมิได้ก�ำหนดเวลาช�ำระเอาไว้ เช่น แดงยืมเงินด�ำ
น้องชาย 50,000 บาทเนือ่ งจากเป็นพีน่ อ้ งกันจึงไม่ได้กำ� หนดเวลาช�ำระหนีไ้ ว้แล้วแต่จะให้เมือ่ ใด ต่อมาแดง
ธ
น�ำสินค้าไปฝากไว้ในคลังและสลักหลังจ�ำน�ำประทวนให้แก่น้องชายเป็นจ�ำน�ำประกันหนี้เดิม โดยไม่ได้
ก�ำหนดเวลาช�ำระไว้เพราะความเกรงใจกัน กรณีเช่นนี้ต้องบอกกล่าวก�ำหนดเวลาให้แดงช�ำระหนี้ภายใน
มส
ก�ำหนดเวลาเสียก่อน เมื่อแดงไม่ช�ำระจึงจะท�ำค�ำคัดค้านและจากนั้นจึงจะให้นายคลังสินค้าขายสินค้าใน
คลังได้
2) การท�ำค�ำคัดค้าน เป็นวิธีการตามกฎหมายอย่างหนึ่ง แสดงว่าลูกหนี้ตามตราสารผิดนัด
เจ้าหนี้ไม่พอใจจะใช้สิทธิเรียกร้องท�ำนองเดียวกับการบอกกล่าวแต่เป็นทางการว่า “ค�ำคัดค้าน” ภาษา
อังกฤษใช้ protest
การคัดค้านนี้ ปพพ. มาตรา 961 ให้นายอ�ำเภอหรือผู้ทำ� การแทน หรือทนายความซึ่งได้รับ
อ�ำนาจเพื่อการนี้เป็นผู้ท�ำ
ส�ำหรับประเทศไทยมีกฎเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการนี้มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
พ.ศ. 2470 เมื่อครั้งพระยาจินดาภิรมย์เป็นเสนาบดี กระทรวงยุติธรรมเรียกว่ากฎที่ 67 ให้อ�ำนาจอธิบดี
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นผู้อนุญาตให้ทนายความท�ำค�ำคัดค้านตั๋วเงินและตราสารท�ำนองนี้ได้ มีอายุ
ใบอนุญาตคราวละ 1 ปี ตลอดจนได้ออกแบบไว้ให้ด้วย แต่ไม่มีผู้นิยม ส่วนใหญ่มักจะเขียนไว้ในตั๋วเงินว่า
สธ
“ไม่ต้องคัดค้าน” เมื่อเขียนไว้อย่างนี้และก็ไม่ต้องคัดค้าน พอตั๋วเงินถึงก�ำหนดก็มักจะให้ทนายยื่นโนติส
หรือค�ำบอกกล่าวเป็นพิธีแล้วก็ฟ้องกันและศาลก็อ�ำนวยความยุติธรรมให้เป็นอย่างดีเสมอมา
ม
5-70 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
แล้วลูกหนีต้ อ้ งช�ำระหนีภ้ ายในก�ำหนดนัน้ ถ้าไม่ชำ� ระได้ชอื่ ว่าผิดนัดเจ้าหนีใ้ ช้สทิ ธิเรียกร้องได้โดยไม่จำ� ต้อง
บอกกล่าว
มส
ตัวอย่างค�ำคัดค้าน
ที่ท�ำการอ�ำเภอเมืองกาฬสินธุ์
จังหวัดกาฬสินธุ์
16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
เนือ่ งด้วย นายแดง สีมว่ ง อยูบ่ า้ นเลขที่ 123 หมู่ 1 ต�ำบลล�ำพาน อ�ำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
ผู้ทรงประทวนสินค้าตามส�ำเนาที่แนบท้ายค�ำคัดค้านนี้ได้มาแจ้งว่า ลูกหนี้ตามประทวนสินค้าซึ่งปรากฏที่อยู่ใน
ประทวนดังกล่าวแล้ว มิได้ช�ำระหนี้ตามก�ำหนดในประทวน (หรือในค�ำบอกกล่าว) ประสงค์จะให้นายคลังสินค้า
ธ
น�ำทรัพย์ออกขายทอดตลาด และได้ร้องขอให้ทำ� ค�ำคัดค้านให้
เพราะฉะนั้นตามค�ำร้องดังกล่าวข้างต้นและโดยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้า นายเก่ง ยิ่งอุดม ในฐานะ
นายอ�ำเภอโนนสะอาด จึงคัดค้านการไม่ช�ำระหนี้ตามประทวนดังกล่าวนั้น เพื่อสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงของผู้ทรง
มส
จากนั้นผู้ท�ำค�ำคัดค้านจะมอบค�ำคัดค้านให้ผู้ขอและผู้ขอจะต้องรีบส่งค�ำบอกกล่าวการคัดค้านนั้น
ไปยังผู้ถูกคัดค้าน หรือลูกหนี้จ�ำน�ำ วิธีส่งนั้นจะเดินไปส่งให้ด้วยมือหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ได้
แต่ถ้าไม่ทราบภูมิล�ำเนาหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ได้ แต่ถ้าไม่ทราบภูมิล�ำเนาเพราะเหตุที่ลูกหนี้
หนีหายหรือเหตุอนื่ ใด จะปิดส�ำเนาคัดค้านไว้ทเี่ ห็นได้งา่ ย ณ ทีว่ า่ การอ�ำเภอท้องทีท่ ลี่ กู หนีม้ ภี มู ลิ ำ� เนาครัง้
หลังสุดก็ได้
สธ
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-71
ธ
ส�ำเนาค�ำคัดค้านไว้ ณ ที่ว่าการอ�ำเภอจะได้บอกกล่าวแก่ผู้สลักหลังคนก่อนๆ ซึ่งไม่ทราบที่อยู่ ถ้าหากมี
ด้วย
มส
1.2 การขายทอดตลาดสินค้าทีจ่ ำ� น�ำ การขายทอดตลาดนัน้ กฎหมายบังคับให้ผทู้ รงบอกสถานที่
ขายทรัพย์แก่ผู้ฝากทราบ ตามที่บัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 791 ความว่า “ผู้ทรงประทวนสินค้าต้องมี
จดหมาย บอกกล่าวให้ผู้ฝากทราบเวลาและสถานที่จะขายทอดตลาด”
มาตรานีร้ ะบุไว้แต่เพียงว่า ผูท้ รงประทวนสินค้าเป็นผูบ้ อกกล่าว ผูอ้ า่ นอาจสงสัยว่าแล้วผูท้ รงใบรับ
ของคลังสินค้าในฐานะผู้รับจ�ำน�ำไม่ต้องท�ำอย่างเดียวกันหรือข้อนี้ขอตอบว่า ผู้ทรงใบรับของคลังสินค้านั้น
เป็นผูร้ บั จ�ำน�ำคนหลัง เมือ่ ประทวนสินค้าได้สลักหลังจ�ำน�ำแล้วไม่คอ่ ยจะมีโอกาสบังคับจ�ำน�ำ เป็นแต่เพียง
ผู้คอยรับประโยชน์เมื่อเขาขายทรัพย์แล้วก็น�ำใบรับของคลังสินค้าไปยื่นขอรับเงินที่ค้างช�ำระอยู่แก่ตน
ภายหลัง ผู้ทรงประทวนสินค้าได้รับไปแล้วตามที่กล่าวไว้ใน ปพพ. มาตรา 792 วรรคสอง
ทีก่ ฎหมายให้ผทู้ รงบอกกล่าวให้ผฝู้ ากทราบ วัน เวลา และสถานทีข่ ายทอดตลาดสินค้านัน้ ก็เพือ่
ธ
ว่าผู้ฝากจะได้รักษาผลประโยชน์ของเขา เช่น บอกคนเข้าสู้ราคาเพื่อให้การขายได้ราคาดีขึ้น เพราะการ
ขายทอดตลาดนั้นเป็นการขายด้วยการประมูลราคา ถ้ามีคนเข้าสู้ราคาน้อยหรือผู้ซื้อสมคบกันให้ราคาตํ่า
มส
ผู้ฝากก็เสียหาย คือได้เงินไม่พอช�ำระหนี้ซึ่งตนจะต้องรับผิดในจ�ำนวนที่เหลือ
ค่าใช้จา่ ยในการบอกกล่าวก็ดี ค่าท�ำคัดค้านก็ดเี ป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ ซึง่ ผูท้ รงมีสทิ ธิทจี่ ะหักไว้กอ่ น
รายการอื่นทั้งนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 253 (1)
บุคคลอื่นอาจบอกกล่าวได้เป็นการท�ำแทนผู้ทรงไปเช่น นายคลังก่อนจะเอาทรัพย์ออกขายทอด
ตลาด รู้ว่าผู้ทรงไม่ได้บอกผู้ฝาก นายคลังอยากจะให้ผู้ฝากรู้บ้าง จึงจดหมายบอกกล่าวให้ผู้ฝากรู้สถานที่
และวันเวลาขายทอดตลาด ย่อมจะใช้ได้ตามมาตรานี้
หนังสือพิมพ์อันเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป
ม
ที่กฎหมายให้บอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อความแจ้งชัดและเป็นหลักฐานที่แน่นอน ควร
จะส่งลงทะเบียนด้วยจะได้อ้างอิงเป็นหลักฐานยันผู้ฝากได้ ถ้าหาตัวไม่พบหรือย้ายที่อยู่ก็ให้ประกาศ
ธ
ก็เรียกว่าผู้ฝากมีส่วนผิดด้วย จะเรียกค่าเสียหายจากผู้ทรงเต็มที่ไม่ได้
1.3 การจ่ายเงิน เจ้าหนีผ้ รู้ บั เงินจากการขายทรัพย์นนั้ คือ ผูท้ รงประทวน กับผูท้ รงใบรับของคลัง
สินค้า
ประการคือ มส
ก่อนอื่นขอให้เข้าใจในเบื้องต้นว่า การจ�ำน�ำนั้นเป็นประกันการช�ำระทั้งหนี้อันเป็นประธานและ
อุปกรณ์ หนี้อันเป็นประธานก็เช่น เงินยืม 50,000 บาท ส่วนอุปกรณ์นั้น ปพพ. มาตรา 748 จ�ำแนกไว้ 5
แก่ผู้รับจ�ำน�ำคนหลังคือผู้รับจ�ำน�ำใบรับของคลังสินค้า เมื่อเขาเอาเอกสารดังกล่าวมาเวนคืนถ้ายังเหลืออยู่
อีกผู้ฝากจึงค่อยรับไป
ถ้าจ่ายให้ล�ำดับก่อนแล้วเงินหมดล�ำดับหลังก็ไม่ได้หรือได้เงินน้อยนิดเดียว นายคลังสินค้า
หักเงินที่ค้างช�ำระแก่ตนแล้วเหลือเพียง 100 บาท อย่างนี้ผู้ทรงประทวนก็ต้องรับไปเพียง 100 บาท ผู้รับ
จ�ำน�ำคนหลังและผู้ฝากย่อมจะไม่ได้รับ
ธ
กรณีได้เงินไม่คุ้มหนี้ การขายทอดตลาดนั้นมักได้ราคาตํ่า ถ้าประจวบกับสินค้าราคาตก
อาจขายได้เงินไม่พอช�ำระหนีผ้ ทู้ รงประทวนสินค้า หรือช�ำระหนีผ้ ทู รงประทวนสินค้าแล้วยังเหลือเงินไม่พอ
มส
ช�ำระหนี้ผู้รับจ�ำน�ำใบรับของคลังสินค้าก็ได้ ปพพ. มาตรา 793 บัญญัติวางหลักไว้ว่า “ถ้าจ�ำนวนเงินสุทธิ
ที่ขายทอดตลาดได้ไม่พอช�ำระหนี้แก่ผู้ทรงประทวนสินค้าไซร้ นายคลังสินค้าต้องคืนประทวนสินค้า
แก่เขา กับจดบอกจ�ำนวนเงินที่ได้ช�ำระลงไว้ในประทวนสินค้านั้นแล้วจดลงไว้ในสมุดบัญชีของตนด้วย”
ตั ว อย่ า ง แดงฝากสิ น ค้ า มู ล ค่ า 100,000 บาท ไว้ ใ นคลั ง สิ น ค้ า แล้ ว สลั ก หลั ง จ� ำ น� ำ
ประทวนสินค้านัน้ ไว้กบั ขาว 70,000 บาท ต่อมาขาวบังคับจ�ำน�ำ นายคลังขายสินค้าทีฝ่ าก หักรายจ่ายและ
ค่าฝากแล้วเหลือเงิน 70,000 บาท พอช�ำระหนี้แต่เงินต้น ดอกเบี้ยอีก 9,000 บาท ไม่ได้ชำ� ระ กรณีเช่น
นี้นายคลังสินค้าต้องปฏิบัติดังนี้
1) จดจ�ำนวนเงินที่ได้ช�ำระ 70,000 บาท ลงไว้ในประทวนสินค้า ลงลายมือชื่อไว้เสียด้วย
2) มอบประทวนสินค้านั้นให้แก่ผู้ทรงไปจะเอาไว้ไม่ได้
3) จดลงในสมุดบัญชีของตนด้วยว่าขายสินค้าได้เงินเท่าใด เสียค่าใช้จ่ายไปเท่าใด ค่าฝาก
ธ
เท่าใด เหลือเท่าใดซึง่ ไม่คมุ้ หนีผ้ ทู้ รงประทวน ตนได้จดแจ้งจ�ำนวนทีช่ ำ� ระลงในประทวนและได้มอบประทวน
นั้นให้แก่ผู้ทรงไปแล้ว
มส
เหตุผลที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ก็เนื่องจากว่าผู้ฝากและผู้สลักหลังต่อมา จะต้องรับผิดต่อ
ผู้ทรงส�ำหรับจ�ำนวนหนี้ที่ค้างช�ำระอยู่นั้น จะได้ใช้ประทวนสินค้าที่รับคืนมานั้นไล่เบี้ย
ถ้าผูร้ บั จ�ำน�ำใบรับของคลังสินค้าน�ำเอกสารดังกล่าวมาเวนคืนไม่มเี งินจ่ายให้เขา ก็ตอ้ งบันทึก
ให้ปรากฏบนเอกสารนัน้ ท�ำนองเดียวกัน ไม่เหมือนกับการจ�ำนองซึง่ กฎหมายบัญญัตไิ ว้ใน ปพพ. มาตรา
733 เป็นพิเศษว่า ถ้าบังคับจ�ำนองได้เงินไม่พอช�ำระหนี้ ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิด
แต่น่าสังเกตว่า ปพพ. มาตรา 793 นี้กล่าวถึงเฉพาะหนี้ตามใบประทวน ถ้าผู้ฝากจ�ำน�ำ
ม
ใบรับสินค้าด้วยต่อมาบังคับจ�ำน�ำแล้วได้เงินพอช�ำระหนี้ในใบประทวน แต่ไม่พอช�ำระหนี้ของผู้ทรงใบรับ
ของคลังสินค้า จะท�ำอย่างไร ซึ่งอาจมีได้เหมือนกัน ข้อนี้เห็นได้ว่านายคลังสินค้าต้องปฏิบัติอย่างเดียวกับ
กรณีเงินไม่พอช�ำระหนี้ผู้ทรงประทวนสินค้าคือ นายคลังสินค้าจะต้องบันทึกจ�ำนวนเงินที่ได้ชำ� ระแก่ผู้ทรง
ใบรับของคลังสินค้า ลงลายมือชือ่ แล้วมอบใบรับของคลังสินค้าแก่ผทู้ รงไป แล้วจดแจ้งจ�ำนวนหนีท้ ไี่ ด้ชำ� ระ
แก่ใครต่อใครไปแล้วเท่าใดในสมุดบัญชีของตนด้วย
ที่ว่าลงลายมือชื่อนั้นตัวบทไม่ได้กล่าวไว้ แต่ตามหลักทั่วไปบุคคลใดจดแจ้งการได้ลงใน
เอกสารใด เพือ่ เป็นหลักฐานว่าการนัน้ ได้กระท�ำโดยชอบบุคคลนัน้ จะต้องลงชือ่ ก�ำกับไว้ให้ปรากฏ มิฉะนัน้
สธ
ก็จะมีการกล่าวอ้างในภายหลังว่าตนมิได้ท�ำ แต่ถ้ากรณีใดที่กฎหมายก�ำหนดให้ท�ำเป็นหนังสือ ผู้กระท�ำ
ต้องลงลายมือชื่อไว้ด้วย (ปพพ. มาตรา 9)
ม
5-74 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
2. การไล่เบี้ย
การไล่เบี้ยตามรูปค�ำแปลว่าไล่เอาเงิน ทางกฎหมาย หมายถึงการเรียกให้ช�ำระหนี้ ขั้นต่อมา
ค�ำว่าเบี้ยนั้นหมายถึงเงิน การไล่เบี้ยของผู้ทรงประทวนสินค้าก็ท�ำนองเดียวกัน เมื่อรับช�ำระหนี้จากการ
ขายทอดตลาดได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว จึงหันไปไล่เอาจากลูกหนี้อื่นที่รับผิดต่อตน นัยก็คือผู้สลักหลัง
ธ
ประทวนสินค้า ซึ่งอาจมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ จะไล่เอาจากผู้สลักหลังคนหนึ่งคนใดหรือทั้งหมดก็ได้
ความใน ปพพ. มีดังนี้
มาตรา 794 “ผู้ทรงประทวนสินค้ามีสิทธิจะไล่เบี้ยเอาจ�ำนวนเงินที่ยังค้างช�ำระนั้นแก่ผู้สลักหลัง
มส
คนก่อนๆ ทั้งหมดหรือแต่คนใดคนหนึ่งได้ แต่ต้องได้ขายทอดตลาดภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันคัดค้าน
อนึ่ง ท่านห้ามมิให้ฟ้องไล่เบี้ยเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันขายทอดตลาด”
เงื่อนไขในมาตรานี้มีว่า จะต้องขายทอดตลาดภายใน 1 เดือนนับแต่วันคัดค้าน ถ้าขายทอดตลาด
เมื่อพ้น 1 เดือนนับแต่วันคัดค้าน ก็หมายความว่าผู้ทรงมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลัง เพราะฉะนั้นผู้ทรง
ต้องกระตือรือร้นให้มาก จะมาไล่เบี้ยเอาจากผู้สลักหลังไม่ได้
ตัวอย่าง 1 แดงสลักหลังประทวนสินค้าจ�ำน�ำไว้กับขาว ขาวสลักหลังจ�ำน�ำต่อให้เขียว เขียวจ�ำน�ำ
ต่อให้มว่ งหลังจากหนีถ้ งึ ก�ำหนดแล้วม่วงได้ทำ� ค�ำคัดค้าน และเร่งให้นายคลังเอาสินค้าทีจ่ ำ� น�ำออกขายทอด
ตลาด ได้เงินไม่พอช�ำระหนี้ นายคลังจึงจดแจ้งจ�ำนวนหนีท้ ชี่ ำ� ระแล้วไว้บนประทวน อย่างนีม้ ว่ งน�ำประทวน
นั้นไปฟ้องเรียกเงินที่เหลือรวมทั้งค่าป่วยการเอาจากแดง ขาวและเขียวได้จะฟ้องคนหนึ่งคนใด หรือฟ้อง
ธ
ทั้งหมดทุกคนพร้อมกันก็ได้
ตัวอย่าง 2 ข้อเท็จจริงตามตัวอย่างข้างต้น ม่วงบอกนายคลังเอาสินค้าออกขายทอดตลาด
มส
ตั๋วเงินก็ได้
ม
เอกสารดังกล่าวเป็นของเอกชนผู้เกี่ยวข้องกับตราสารนั้นเท่านั้น เพราะเหตุนั้นคู่สัญญาจึงอาจเขียน
ข้อยกเว้นความรับผิดไว้บนตราสารนั้นได้ เช่น เขียนไว้บนประทวนว่า “ไม่จ�ำต้องคัดค้าน” เหมือนดัง
ธ
ประทวนนัน้ ต่อไปยังขาว ต่อมาขาวบังคับจ�ำน�ำได้เงินไม่พอช�ำระหนีข้ าวจะมาไล่เบีย้ เอาจากแดงไม่ได้ โดย
อาศัย ปพพ. มาตรา 923 ในเรื่องตั๋วเงินมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มส
ตัวอย่าง 6 แดงสลักหลังประทวนสินค้าจ�ำน�ำไว้กับด�ำ ด�ำสลักหลังต่อให้ขาว และขาวสลักหลังต่อ
ไปยังม่วง ต่อมาม่วงบังคับจ�ำน�ำได้เงินไม่พอช�ำระหนีแ้ ละอุปกรณ์ ม่วงย่อมฟ้องไล่เบีย้ เอาจากแดง ด�ำ และ
ขาวได้ทกุ คน แดงจะต่อสูม้ ว่ งว่าตนได้ใช้หนีจ้ ำ� น�ำให้แก่ขาวแล้วจึงไม่ตอ้ งรับผิดต่อม่วงไม่ได้ เพราะ ปพพ.
มาตรา 916 ในเรื่องตั๋วเงินห้ามมิให้ยกข้อต่อสู้ระหว่างบุคคลขึ้นต่อสู้ผู้ทรง
ที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างการน�ำบทบัญญัติในเรื่องตั๋วเงินมาใช้บังคับเรื่องเก็บของในคลังสินค้าโดย
อนุโลม ตัวอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้นอกจากนี้ยังมีมาก เช่น อาจมีข้อห้ามเปลี่ยนมือลงไว้ในใบรับของคลัง
สินค้าก็เป็นได้ กรณีเช่นนั้นต้องน�ำ ปพพ. มาตรา 917 มาใช้บังคับคือจะสลักหลังเอกสารใบรับของคลัง
สินค้าไม่ได้ หากจะซื้อขายสินค้ากันก็ซื้อขายอย่างธรรมดา นอกจากนั้นยังอาจมีบุคคลภายนอกเข้ามาใช้
หนีแ้ ทนลูกหนี้ ผูส้ ลักหลัง หรือผูฝ้ ากคนใดคนหนึง่ ซึง่ ใช้แทนได้กใ็ ห้เขียนระบุลงในประทวนให้ปรากฏ เมือ่
ธ
ผูท้ รงได้รบั ช�ำระหนีแ้ ล้วต้องส่งมอบเอกสารแก่เขาพร้อมด้วยค�ำคัดค้านหากมี ทัง้ นีโ้ ดยอาศัย ปพพ. มาตรา
957 ในเรื่องตั๋วเงินนั่นเอง
มส
การระงับของสัญญาฝากของในคลังสินค้า
บทบัญญัติแห่ง ปพพ. มาตรา 771 ได้บัญญัติให้น�ำบทบัญญัติในเรื่องฝากทรัพย์ มาใช้แก่กรณี
การฝากของในคลังสินค้า ดังนัน้ ในเรือ่ งการระงับของสัญญาฝากของในคลังสินค้าจึงต้องน�ำหลักเกณฑ์ใน
สัญญาฝากทรัพย์มาใช้บังคับ
กิจกรรม 5.3.4
2. ถ้าบังคับจ�ำน�ำแล้วได้เงินไม่คุ้มหนี้จะท�ำอย่างไร
3. การบังคับจ�ำน�ำจะต้องท�ำค�ำคัดค้านเสมอไปหรือไม่
ม
1. การบังคับจ�ำน�ำสินค้าในคลังสินค้านั้นต่างกับการบังคับจ�ำน�ำทั่วๆ ไปอย่างไร
4. ท�ำไมกฎหมายจึงให้น�ำบทบัญญัติเรื่องตั๋วเงินมาใช้บังคับแก่การรับของคลังสินค้าโดยอนุโลม
ค�ำว่าใช้อนุโลมคือใช้อย่างไร
สธ
ม
5-76 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แนวตอบกิจกรรม 5.3.4
1. การบังคับจ�ำน�ำสินค้าในคลังนั้นเหมือนกับการบังคับจ�ำน�ำทั่วๆ ไปนั่นเอง คือเอาทรัพย์ที่ฝาก
ออกขายทอดตลาดเอาเงินมาช�ำระหนีแ้ ละอุปกรณ์ แตกต่างกับการบังคับจ�ำน�ำธรรมดาอยูต่ รงทีว่ า่ ต้องท�ำ
ค�ำคัดค้าน แทนที่จะบอกกล่าวบังคับจ�ำน�ำอย่างกรณีธรรมดา เว้นแต่จะเขียนยกเว้นไว้ให้ไม่ต้องท�ำค�ำ
ธ
คัดค้าน อีกประการหนึง่ นายคลังสินค้าเป็นผูข้ ายทอดตลาดแทนผูร้ บั จ�ำน�ำไม่เหมือนกับจ�ำน�ำทัว่ ๆ ไป ซึง่
ผู้รับจ�ำน�ำเป็นผู้ขายทอดตลาดทรัพย์เอง
มส
2. ถ้าได้เงินไม่คุ้มหนี้ ผู้ทรงก็มีสิทธิที่จะฟ้องไล่เบี้ยเอาจากผู้สลักหลังส�ำหรับเงินที่ค้างช�ำระ แต่
ทั้งนี้ต้องได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยเรื่องนี้
3. ถ้าไม่มขี อ้ ยกเว้นเขียนไว้บนประทวนสินค้าในขณะจ�ำน�ำ ปกติกต็ อ้ งท�ำค�ำคัดค้าน แต่ในสังคม
ธุรกิจเมืองไทยไม่คอ่ ยนิยมการท�ำค�ำคัดค้านจนกลายเป็นประเพณีไปเสียแล้วขณะนี้ อีกอย่างหนึง่ ในกรณี
ที่ผู้ทรงประทวนสินค้าได้ครอบครองทรัพย์สินที่จ�ำน�ำเสียเองในภายหลังต้องบังคับจ�ำน�ำโดยวิธีบอกกล่าว
เองอย่างธรรมดาก็ได้
4. ที่กฎหมายให้น�ำบทบัญญัติในเรื่องตั๋วเงินมาใช้บังคับโดยอนุโลมก็เพราะประทวนสินค้าและ
ใบรับของคลังสินค้าเป็นตราสารแลกเปลี่ยนท�ำนองเดียวกับตั๋วเงิน
ค�ำว่าใช้บังคับโดยอนุโลมหมายความว่าดัดแปลงใช้เท่าที่พอใช้กันได้ ไม่ขัดกับบบัญญัติและ
เจตนารมณ์ของหมวดนี้
ธ
มส
ม
สธ
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-77
ตอนที่ 5.4
อายุความ
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 5.4 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
5.4.1 อายุความเรียกเอาสินค้าจากนายคลังสินค้า
5.4.2 อายุความไล่เบี้ยของผู้ทรงตราสาร
5.4.3 อายุความเรียกเอาบ�ำเหน็จ ค่าใช้จ่าย และค่าสินไหมทดแทน
1. ก ารฟ้องเรียกเอาสินค้าจากนายคลังสินค้า มิได้บญ
ทั่วไปโดยอนุโลม คือ ภายในเวลา 10 ปี
ั ญัตไิ ว้เป็นพิเศษ จึงต้องใช้อายุความ
2. การฟ้องคดีนั้นผู้ทรงตราสารมีสิทธิจะไล่เบี้ยจากผู้สลักหลังตราสาร และผู้ฝากภายใน
เวลา 1 ปี นับแต่วันขายทอดตลาดทรัพย์
ธ
3. ความรับผิดเพือ่ ใช้เงินบ�ำเหน็จค่าฝาก ค่าใช้จา่ ย และค่าสินไหมทดแทนเกีย่ วกับการฝาก
ทรัพย์จะฟ้องร้องคดีได้ภายในเวลา 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสัญญา
มส
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 5.4 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายอายุความเกี่ยวกับการฝากของในคลังสินค้าได้
2. วิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับอายุความการเก็บของในคลังสินค้าได้
3. อธิบายอายุความเรียกเอาบ�ำเหน็จ ค่าใช้จ่ายและค่าสินไหมทดแทนได้
ม
สธ
ม
5-78 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 5.4.1
อายุความเรียกเอาสินค้าจากนายคลังสินค้า
ธ
การเรียกเอาสินค้าคืนจากนายคลังสินค้าผู้รับฝากนั้น กฎหมายในเรื่องฝากทรัพย์ไม่ได้บัญญัติไว้
เป็นพิเศษ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป ตาม ปพพ. มาตรา 193/30 คือ 10 ปี นับแต่ขณะที่จะอาจบังคับสิทธิ
มส
เรียกร้องได้เป็นต้นไป คือขณะฝากทรัพย์นเี้ อง เพราะผูฝ้ ากมีสทิ ธิทจี่ ะถอนทรัพย์คนื ทุกเมือ่ แม้จะได้กำ� หนด
เวลาฝากไว้ก็ตาม ตามมาตรา 663 นายคลังจะอ้างอ�ำนาจปรปักษ์ต่อสู้ผู้ฝากไม่ได้ ตราบใดที่สัญญาฝาก
ยังอยู่ เพราะนายคลังครอบครองทรัพย์สินตามสัญญาหาใช่ครอบครองโดยเจตนาเพื่อตนไม่
อุทาหรณ์
ฎ. 349/2500 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ฝากทรัพย์ไว้กับจ�ำเลยไว้แล้วน�ำมาฝากกันใหม่นั้น
เป็นการฝากกันใหม่ประจ�ำปี เรือ่ งอายุความไม่ตอ้ งค�ำนึงถึงส่วนทีจ่ ำ� เลยต่อสูว้ า่ ใช้สทิ ธิครอบครองเกินกว่า
10 ปี ได้สิทธิตามกฎหมาย ซึ่งหมายความว่าจ�ำเลยยกอายุความปรปักษ์ ตาม ปพพ. มาตรา 1332 ขึ้น
เป็นข้อต่อสู้ จ�ำเลยหาได้อา้ งอายุความฝากทรัพย์ไม่ ศาลจึงยกขึน้ วินจิ ฉัยไม่ได้ เพราะต้องห้าม ตาม ปพพ.
มาตรา 193/30 ตัดสินให้จ�ำเลยคืนทรัพย์ให้โจทก์
ธ
กรณีนายคลังตาย ถ้านายคลังสินค้าตายลงจะใช้อายุความตามมาตรา 1754 วรรคสามหรือไม่
ความในวรรคนี้บัญญัติว่า “ภายในบังคับแห่งมาตรา 193/27 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียกร้อง
ของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดก มีก�ำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นก�ำหนด
มส
หนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก”
ในกรณีทผี่ รู้ บั ฝากเป็นบุคคลธรรมดา ก็ตอ้ งเอาอายุความเรือ่ งมรดกมาใช้บงั คับ แต่ถา้ เป็นนิตบิ คุ คล
ก็ต้องน�ำอายุความที่เกี่ยวกับการเรียกร้องหนี้ ในกรณีที่นิติบุคคลสิ้นสภาพมาใช้บังคับ
อย่างไรก็ตาม การเก็บของในคลังสินค้านัน้ เป็นกิจการค้าขายทีก่ ระทบถึงความปลอดภัยและความ
ผาสุกของสาธารณสุข ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น โอกาสที่บุคคลธรรมดาจะประกอบกิจการประเภทนี้
ม
น่าจะยากมีแต่ นิติบุคคลมีแต่เลิกกัน ซึ่งจะต้องมีการช�ำระบัญชี กรณีเช่นนี้ผู้ฝากจะต้องฟ้องเรียกทรัพย์
คืนหรือเรียกค่าเสียหายภายใน 2 ปี นับแต่วันถึงที่สุดแห่งการช�ำระบัญชี ตาม ปพพ. มาตรา 1272
กิจกรรม 5.4.1
1. จงให้เหตุผลเหตุใดเมื่อผู้รับฝากตาย อายุความจึงสั้นเข้า
2. ในกรณีทนี่ ายคลังสินค้าล้มละลาย ท่านคิดว่าสัญญาฝากสิน้ สุดลงหรือไม่ และควรจะฟ้องเรียก
สธ
คืนสินค้าในระยะเวลานานเท่าใด
ม
เก็บของในคลังสินค้า 5-79
แนวตอบกิจกรรม 5.4.1
1. เหตุผลทีอ่ ายุความสัน้ เข้าในกรณีทผี่ รู้ บั ฝากตายนัน้ ก็เพราะว่าเมือ่ ผูร้ บั ผิดตายสัญญาฝากทรัพย์
สิ้นสุดลงประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ทายาททั้งหลายเขาจะต้องจัดการแบ่งปันมรดกกัน สมควรที่จะให้
เขาได้ช�ำระสะสางกองมรดกภายในเวลาอันไม่ยาวเกินไป กฎหมายจึงบัญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 1754
ธ
วรรคสามให้เจ้าหนี้เรียกร้องภายใน 1 ปี นับแต่วันรู้ถึงความตายของเจ้ามรดก มิฉะนั้นก็จะเป็นภาระแก่
ทายาทซึ่งมีมีหน้าที่โดยไม่จ�ำเป็น
มส
2. ในกรณีนายคลังสินค้าล้มละลายนัน้ กฎหมายมิได้บญ ั ญัตใิ ห้สญ
ั ญาฝากทรัพย์นนั้ สิน้ สุดลงอย่าง
ในกรณีตวั แทน เพราะฉะนัน้ เราจะตีความว่าสัญญาฝากสิน้ สุดลงนัน้ ไม่ได้ อย่างไรก็ตามเจ้าพนักงานพิทกั ษ์
ทรัพย์อาจบอกเลิกสัญญาเสียได้ ตามกฎหมายล้มละลาย การเรียกคืนทรัพย์สินก็น่าจะเป็นไปตามหลัก
ทั่วไปคือ 10 ปี
เรื่องที่ 5.4.2
อายุความไล่เบี้ยของผู้ทรงตราสาร
ธ
มส
ธ
นับแต่วันที่ผู้สลักหลังนั้นเองถูกฟ้อง” ตาม ปพพ. มาตรา 1003 นี้ แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ
1) ถ้าผูส้ ลักหลังถูกฟ้อง ผูส้ ลักหลังนัน้ ต้องฟ้องผูส้ ลักหลังคนก่อนภายใน 6 เดือน นับแต่วนั ทีต่ น
มส
ถูกฟ้องแม้ตนจะยังไม่ได้ช�ำระเงินให้ผู้ทรงก็ตาม
2) ถ้าไม่มีการฟ้องคดี แต่ผู้สลักหลังได้ใช้หนี้ให้แก่ผู้ทรงเองและถือเอาประทวนสินค้าหรือใบรับ
ของคลังสินค้านั้น 2 อย่างประกอบกัน ต้องได้ตั๋วเงินมาไว้ในมือด้วย และได้ใช้เงินด้วย
ผู้ทรงฟ้องตามหนี้เดิม ได้กล่าวมาแล้วว่า การจ�ำน�ำประทวนสินค้านั้นเป็นเพียงหนี้อุปกรณ์ของ
หนี้อันเป็นประธานซึ่งอาจเป็นเงินกู้ หรือซื้อขายหลายมือโดยประการหนึ่งประการใดก็ได้ถ้าผู้ทรงหลงลืม
ไปมิได้บังคับจนหนี้ตามตราสารขาดอายุความ ผู้ทรงก็ยังสามารถฟ้องตามหนี้เดิมได้ ปพพ. มาตรา 1005
ซึง่ บัญญัตไิ ว้มขี อ้ ความดังนี้ “ถ้าตั๋วเงินได้ท�ำขึ้นหรือได้โอนหรือสลักหลังไปแล้วในมูลหนี้ อันหนึ่งอันใด
และสิทธิตามตั๋วเงินนั้นมาสูญสิ้นไปเพราะอายุความก็ดี หรือเพราะละเว้นไม่ด�ำเนินการให้ต้องตามวิธี
ใดๆ อันจะพึงต้องท�ำก็ดี ท่านว่าหนี้เดิมนั้นก็ยังคงมีอยู่ตามหลักกฎหมาย อันแพร่หลายทั่วไป เท่าที่
ธ
ลูกหนี้มิได้ต้องเสียหายแต่การนั้น เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น”
มาตรานีส้ บื เนือ่ งมาจาก ปพพ. มาตรา 321 วรรคสาม ซึง่ บัญญัตใิ จความว่า “ถ้าการช�ำระหนีด้ ว้ ย
มส
กิจกรรม 5.4.2
1. ผู้ทรงฟ้องไล่เบี้ยกับผู้สลักหลังฟ้องกันเองใช้อายุความเหมือนกันหรือต่างกัน
2. แดงผู้ฝากได้สลักหลังจ�ำน�ำประทวนสินค้าไว้กับขาวประกันหนี้เงินกู้ซึ่งแดงยืมไปซื้อสินค้า
ดังกล่าว ขาวบังคับจ�ำน�ำ แต่ได้เงินไม่คมุ้ หนี้ ขาวจะฟ้องเรียกเงินทีเ่ หลือจากแดงได้ภายในอายุความเท่าใด
ธ
แนวตอบกิจกรรม 5.4.2
มส
1. ผูท้ รงฟ้องไล่เบีย้ เอาเงินทีค่ า้ งช�ำระตามประทวนสินค้านัน้ ใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วนั ขายทอด
ตลาด ตาม ปพพ. มาตรา 795 แต่ถ้าผู้สลักหลังฟ้องกันเอง ใช้อายุความ 6 เดือน ตาม ปพพ. มาตรา
1003 นับแต่วันถูกฟ้องหรือวันที่ผู้นั้นเข้าใช้เงินและรับเอาประทวนสินค้ามา
2. ขาวเลือกฟ้องได้ 2 ทางคือ ถ้าฟ้องตามประทวนสินค้าต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วนั ขายทอด
ตลาด แต่ถ้าขาวไม่ฟ้องตามประทวนสินค้า แต่ฟ้องตามสัญญากู้ ขาวฟ้องได้ใน 10 ปีนับแต่วันกู้
เรื่องที่ 5.4.3
ธ
อายุความเรียกเอาบ�ำเหน็จ ค่าใช้จ่าย และค่าสินไหมทดแทน
มส
ธ
อื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายอ้างว่าเป็นละเมิด แดงต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาลต้องตัดสินใจให้จ�ำเลย
ชนะคดี เพราะฟ้องโจทก์ยื่นเกิน 6 เดือนนับแต่สัญญาสิ้นสุดลง
มส
ขอให้สงั เกตด้วยว่าการทีผ่ ฝู้ ากเรียกสินค้าคืนจากนายคลังสินค้า ถ้าคืนไม่ได้กใ็ ห้ใช้ราคานัน้ ไม่ใช่
ฟ้องเรียกค่าเสียหาย แต่เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืออายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30
ตัวอย่าง 3 แดงฝากกระบือไว้กบั บริษทั สัตวบาลเอ็กซ์ปอร์ต ซึง่ จัดการเตรียมฉีดวัคซีนส�ำหรับสัตว์
ที่จะส่งนอก บริษัทได้ฉีดวัคซีนเสียค่าให้อาหารสัตว์ และค่าบริการรวมเป็นเงิน 5,000 บาท หลังจากแดง
ส่งสัตว์ออกนอกแล้ว 8 เดือน บริษัทฟ้องเรียกค่าบริการที่ว่านั้น แดงต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เกิน 6 เดือนนับแต่
สัญญาฝากสิ้นสุดลง ศาลต้องตัดสินให้แดงชนะคดี เพราะโจทก์ฟ้องเกิน 6 เดือน ขาดอายุความแล้ว
อายุความ 6 เดือนนี้ไม่ใช่บังคับกรณีที่นายคลังยึดหน่วงสินค้าของผู้ฝากไว้เป็นประกันเงินที่
เกี่ยวค้าง นายคลังอาจยึดไว้เกิน 6 เดือน หลังจากสัญญาฝากสิ้นสุดลงก็ได้ กรณีเช่นนี้แม้หนี้จะขาดอายุ
ความก็ยังบังคับเอาจากทรัพย์ที่ยึดหน่วงไว้ได้
ธ
ตัวอย่าง แดงฝากสินค้าไว้กบั บริษทั โกดังทอง ถึงเวลาถอนสินค้าไม่ชำ� ระค่าบริการแต่ยอมให้บริษทั
ยึดหน่วงสินค้าไว้สว่ นหนึง่ เป็นประกันเงินทีค่ า้ งช�ำระ กรณีเช่นนี้แม้หนี้นนั้ จะขาดอายุความแล้วบริษัทก็ยัง
ยึดหน่วงไว้ได้ตราบเท่าที่ยังไม่ได้ช�ำระหนี8้ และบังคับช�ำระหนี้เอาจากสินค้านั้นได้
มส
มีตัวอย่างในเรื่องฝากทรัพย์เกี่ยวกับอายุความที่นำ� มาใช้ในเรื่องเก็บข้องในคลังสินค้าได้
อุทาหรณ์
ฎ. 2185/2519 กรณีฝากทรัพย์แล้วทรัพย์ทฝี่ ากได้หายไป มิใช่เป็นเรือ่ งทีผ่ รู้ บั ฝากทรัพย์ทำ� ละเมิด
จึงไม่ใช่อายุความ 1 ปี และไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ปพพ. มาตรา 671
ที่ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา ต้องใช้อายุความสิบปี ตาม ปพพ. มาตรา 164
(ปัจจุบนคือมาตรา 193/30) ในการใช้ราคาทรัพย์ ม
ฎ. 301/2520 ผู้เอาประกันฝากรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับจ�ำเลย รถหายไป ผู้รับประกันภัยใช้
ค่าสินไหมทดแทนแล้ว ได้รับช่วงสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจ�ำเลยให้ใช้ราคาที่ฝากจ�ำเลยไว้ กรณีไม่ใช่
เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ ตาม ปพพ. มาตรา 671 แต่เป็นการเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์
อายุความ 10 ปี
ฎ. 991/2521 ฟ้องให้ผรู้ บั ฝากรถใช้คา่ ซ่อมรถทีเ่ สียหายเพราะความผิดของผูร้ บั ฝาก เป็นฟ้องเรียก
ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ ต้องห้ามมิให้ฟ้องเกิน 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา คือวันที่
สธ
ผู้ฝากรับรถคืน
ธ
กิจกรรม 5.4.3
มส
การใช้สิทธิยึดหน่วงท่านเข้าใจว่าอย่างไร อย่างเดียวกับจ�ำน�ำหรือไม่
แนวตอบกิจกรรม 5.4.3
การใช้สิทธิยึดหน่วงนั้นเป็นการใช้อ�ำนาจตามกฎหมายยึดเอาทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้เพื่อหน่วงให้
เขาใช้หนี้ เป็นการกระท�ำโดยพลการ ซึ่งต่างกับการจ�ำน�ำซึ่งเป็นเรื่องสัญญาที่ลูกหนี้เต็มใจให้เจ้าหนี้ยึด
สิ่งของไว้เป็นประกันหนี้
ธ
มส
ม
สธ
ม
5-84 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
บรรณานุกรม
ธ
เสนีย์ ปราโมช. (2499). ค�ำอธิบายกฎหมายตั๋วเงิน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: ผดุงไทย.
สุปัน พูลพัฒน์. (2532). ค�ำอธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์นิติ
มส
บรรณาการ.
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน 6-1
หน่วยที่ 6
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน
ธ
อาจารย์ ดร.ประพันธ์ ทรัพย์แสง
มส
ธ
มส
ชื่อ
วุฒิ
อาจารย์ ดร.ประพันธ์ ทรัพย์แสง
น.บ. (เกียรตินิยมดีมาก), นบท.
ม
ศศ.ม. (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง
น.ด. (กิตติมศักดิ์) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
สธ
ต�ำแหน่ง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 6
แผนการสอนประจ�ำหน่วย
ธ
หน่วยที่ 6 ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน
ตอนที่
แนวคิด
มส
6.1 ความรู้เบื้องต้นของสัญญาตัวแทน
6.2 ชนิดของตัวแทน
1. ส ัญญาตัวแทนมีความส�ำคัญในทางพาณิชย์เพราะท�ำให้เกิดความสะดวกในทางการค้า ท�ำให้
บุคคลสามารถท�ำกิจการแทนกันได้โดยไม่กระทบกระเทือนถึงความรับผิดในทางกฎหมาย
2. ธรรมเนียมประเพณีในทางการค้าสามารถน�ำมาใช้กบั สัญญาตัวแทนได้ เพราะกฎหมายตัวแทน
ธ
นั้นมีวิวัฒนาการมาจากธรรมเนียมประเพณีทางการค้าในสมัยก่อน
3. ชนิดของตัวแทนแบ่งแยกตามอ�ำนาจหน้าทีข่ องตัวแทน ซึง่ มีผลต่อความรับผิดของตัวแทนต่อ
ตัวการและต่อบุคคลภายนอก
มส
4. ในบางกรณีบุคคลอาจเป็นตัวแทนโดยผลของกฎหมายได้ ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอก
ผู้สุจริตมิให้ได้รับผลเสียหายจากความส�ำคัญผิดอันเนื่องมาจากการกระท�ำของบุคคลที่แสดง
ตัวเชิดตัวเองเป็นตัวแทนของบุคคลอื่นหรือเชิดบุคคลอื่นเป็นตัวแทนของตน
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 6 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความเป็นมาและประโยชน์ของกฎหมายตัวแทนได้
2. อธิบายหลักเกณฑ์การก่อสัญญาตัวแทนได้
3. อธิบายความแตกต่างของตัวแทนแต่ละชนิดได้
4. วินิจฉัยปัญหาลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทนได้
ม
กิจกรรมระหว่างเรียน
สธ
1. ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 6
2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 6.1-6.2
3. ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน 6-3
4. ฟังซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
7. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 6
ธ
สื่อการสอน
1. เอกสารการสอน
2.
3.
4.
5.
มส
แบบฝึกปฏิบัติ
ซีดีเสียงประกอบชุดวิชา
รายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
การสอนเสริม (ถ้ามี)
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบประจ�ำภาคการศึกษา
ธ
มส
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 6 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ม
สธ
ม
6-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 6.1
ความรู้เบื้องต้นของสัญญาตัวแทน
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 6.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
6.1.1 ความเป็นมาของกฎหมายตัวแทน
6.1.2 หลักเกณฑ์การก่อสัญญาตัวแทน
1. ก ฎหมายตัวแทนมีวิวัฒนาการมาจากธรรมเนียมประเพณีทางการค้าที่ยึดถือกันมาเป็น
เวลานาน
2. สญั ญาตัวแทนเป็นเอกเทศสัญญาชนิดหนึง่ ดังนัน้ จึงต้องอาศัยหลักเกณฑ์โดยทัว่ ไปของ
นิติกรรมสัญญาด้วย คือมีคู่สัญญา มีค�ำเสนอค�ำสนองตรงกัน มีวัตถุประสงค์ ความ
สามารถในการท�ำนิติกรรมและแบบ
ธ
3. สัญญาตัวแทนมีลักษณะเฉพาะ คือมีการมอบอ�ำนาจให้ท�ำการแทนกัน เป็นสัญญา
ไม่ต่างตอบแทนหรือมีค่าตอบแทนและเป็นสัญญาเฉพาะตัว
มส
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 6.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความเป็นมาและประโยชน์ของกฎหมายตัวแทนได้
2. อธิบายหลักเกณฑ์การก่อสัญญาตัวแทนได้
3. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นของสัญญาตัวแทนได้
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน 6-5
เรื่องที่ 6.1.1
ความเป็นมาของกฎหมายตัวแทน
ธ
สัญญาตัวแทนเป็นเอกเทศสัญญาลักษณะหนึง่ ซึง่ บัญญัตไิ ว้ใน ปพพ. มาตรา 797 ถึงมาตรา 844
ซึง่ ส่วนใหญ่นำ� มาจากบทบัญญัตขิ องกฎหมายเรือ่ งตัวแทนของประเทศเยอรมนี ญีป่ นุ่ อังกฤษ และฝรัง่ เศส
มส
ซึ่งมักจะเป็นต้นแบบของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยทั่วไป กฎหมายพาณิชย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ได้มี
วิวัฒนาการมาเป็นระยะเวลานานร่วมสองพันปีก่อนคริสต์ศักราช กฎหมายพาณิชย์ที่รู้จักกันเป็นฉบับแรก
คือ Law of Hammurabi (ฮัมมูราบี) วิวัฒนาการมาจากธรรมเนียมประเพณีทางการค้าซึ่งศาลได้
ตัดสินไว้และต่อมาก็ได้นำ� มารวบรวมเป็นประมวลกฎหมายขึ้น ปัจจุบันกฎหมายพาณิชย์มีแนวโน้มที่จะ
บัญญัติให้มีหลักเกณฑ์คล้ายกันเกือบทั่วโลก ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในทางการค้าระหว่างประเทศ โดยมีการ
ท�ำสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศขึน้ เช่น ในกลุม่ ตลาดร่วมยุโรป (EEC) เป็นต้น ประมวลกฎหมาย
ทีบ่ ญ
ั ญัตขิ นึ้ ในระยะหลัง อย่างเช่น Uniform Commercial Code ของสหรัฐอเมริกา ซึง่ แม้วา่ จะเป็นการ
รวบรวมหลัก Common Law มาไว้เป็นประมวล แต่ในด้านนิติวิธีก็ยังยึดถือตามแบบประมวลกฎหมาย
ของภาคพืน้ ยุโรป ซึง่ มีรากฐานมาจากกฎหมายโรมัน แต่เดิมนัน้ กฎหมายโรมันไม่ยอมรับรูเ้ รือ่ งการท�ำการ
ธ
แทนกัน แต่ต่อมาโรมันก็ยอมรับในเรื่องการท�ำการแทนกันโดยถือเป็นจารีตประเพณี กฎหมายตัวแทนใน
รูปแบบสมัยใหม่ได้กำ� เนิดมาจากกฎหมายศาสนาในสมัยกลาง กฎหมายดังกล่าววางหลักเรื่องการท�ำการ
แทนไว้ ในอังกฤษก็เพิง่ รูจ้ กั เรือ่ งตัวแทนเมือ่ ศตวรรษที่ 13 นีเ้ อง อาจสรุปได้วา่ กฎหมายตัวแทนในปัจจุบนั
มส
ธ
ใดๆ อันท�ำให้ธุรกิจของเขาได้เปรียบมากขึ้น ในกรณีเช่นนี้ตัวการก็อาจตั้งตัวแทนให้กระท�ำการแทนโดย
มิต้องเปิดเผยชื่อของตัวการให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ หรือในบางกรณีมีความจ�ำเป็นที่จะต้องปกปิดชื่อหรือสถานะ
มส
ของตัวการไว้เป็นความลับ เพราะเหตุทตี่ วั การได้แก่รฐั บาลต่างประเทศ เช่น ระหว่างสงคราม รัฐบาลทีท่ ำ�
สงครามอาจตั้งตัวแทนให้ด�ำเนินการในเรื่องการจัดซื้ออาวุธหรือสิ่งอื่นๆ อันจ�ำเป็น โดยผู้ขายก็มิทราบว่า
ตนก�ำลังขายให้ใครเพราะตัวแทนนั้นจะปกปิดความลับ อันอ�ำนวยประโยชน์ต่อกิจการบริหารประเทศของ
รัฐบาลนั้นๆ เป็นอย่างยิ่ง
ในบางกรณีการขนส่งสินค้านั้นมีปัญหาและอุปสรรคโดยเฉพาะ เช่น วิธีการขนส่ง วิธีการทาง
ศุลกากร และค่าระวางบรรทุก สิง่ ต่างๆ เหล่านีจ้ ำ� เป็นต้องใช้ผรู้ อบรูห้ รือเชีย่ วชาญโดยเฉพาะมาด�ำเนินการ
ธุรกิจตัวแทนประเภทนี้จึงมีขึ้นตามท่าเรือหรือท่าอากาศยานอันเป็นคุณประโยชน์ต่อพ่อค้าเอง ตัวแทน
ประเภทนีเ้ รียกว่า ชิปปิง้ (Shipping Agent) ซึง่ มีความสามารถเฉพาะตัวและเป็นทีพ่ งึ่ ของผูท้ ำ� ธุรกิจการ
ค้าส่งออกหรือสัง่ เข้าเป็นอันมาก ประโยชน์ทวี่ งการธุรกิจได้รบั จากการมีตวั แทนจึงมีอยูอ่ ย่างมากในปัจจุบนั
ธ
แม้ในการด�ำเนินคดีในศาล ทนายความก็อยู่ในฐานะตัวแทนของโจทก์หรือจ�ำเลย และกฎหมายในเรื่องนี้
ก็ยอมให้มีการตั้งตัวแทนให้ด�ำเนินคดีแทนกันได้ อันแสดงให้เห็นถึงการยอมรับถึงความจ�ำเป็นและความ
มส
ธ
เพื่อให้นิยามส�ำหรับบรรดาค�ำที่ใช้ในทางกฎหมายได้ให้ค�ำนิยาม นอมินีว่าหมายถึง บุคคลที่ถูกก�ำหนดให้
กระท�ำการแทนบุคคลอื่นซึ่งโดยทั่วไปใช้ในกรณีเฉพาะ และอาจหมายถึงคู่สัญญาซึ่งถือกรรมสิทธิ์ตาม
มส
กฎหมายที่ส�ำคัญเป็นพื้นฐานเพื่อประโยชน์ส�ำหรับบุคคลอื่นหรือบุคคลซึ่งได้รับหรือจ�ำหน่ายเงินเพื่อ
ประโยชน์ของบุคคลอื่น หรือผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการเลือกตั้งหรือบุคคลที่มีชื่อในการลงทะเบียน
เป็นเจ้าของหลักทรัพย์แทนบุคคลอื่นที่เป็นเจ้าของตัวจริงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การใช้ค�ำว่านอมินีในภาษาอังกฤษนั้นมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้ใน
แต่ละเรื่องซึ่งอาจน�ำมาใช้ได้ในทั้งในเชิงบวกและในเชิงลบได้เช่นกัน ทั้งนี้ พบว่ามีการใช้นอมินีเพื่อเป็น
เครือ่ งมือทีส่ อ่ ไปในทางทุจริตโดยเฉพาะการหลีกเลีย่ งการเสียภาษี การฟอกเงิน การถือครองกรรมสิทธิใ์ น
ทรัพย์สิน การเป็นตัวแทนถือหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
ส�ำหรับในกรณีของการเสียภาษีในสหรัฐอเมริกามีการกล่าวถึงนอมินไี ว้อย่างชัดเจนในคูม่ อื การเสีย
ภาษีของสรรพากร (Internal Revenue Manual) ซึง่ เป็นเอกสารทีส่ รรพากรจัดท�ำขึน้ เพือ่ อธิบายระเบียบ
ธ
หลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการเสียภาษี ที่สอดคล้องกับประมวลรัษฎากร (Internal Revenue Code. 1986)
ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่ใช้ในการบังคับจัดเก็บภาษีของอเมริกา โดยคู่มือดังกล่าวให้นิยามไว้ว่า นอมินี คือ
มส
กิจกรรม 6.1.1
กฎหมายตัวแทนมีความส�ำคัญและมีประโยชน์ต่อธุรกิจการค้าในปัจจุบันนี้อย่างไร จงอธิบายและ
ยกตัวอย่าง
ธ
แนวตอบกิจกรรม 6.1.1
มีความส�ำคัญเพราะท�ำให้มกี ารท�ำการแทนกันได้ในกิจการต่างๆ โดยมิได้เปลีย่ นแปลงความรับผิด
มส
ในทางกฎหมายของบุคคลและมีประโยชน์ตอ่ วงการธุรกิจ เพราะท�ำให้ผปู้ ระกอบการสามารถด�ำเนินกิจการ
ทีก่ ว้างใหญ่ทซี่ บั ซ้อนได้โดยผ่านทางตัวแทน และในบางกรณีกจิ การบางอย่างต้องใช้บคุ คลทีม่ คี วามสามารถ
เฉพาะด�ำเนินการได้ ตัวแทนสามารถเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าวได้ เช่น การด�ำเนินคดีใน
ศาลหรือการขนส่งสินค้า เป็นต้น
เรื่องที่ 6.1.2
หลักเกณฑ์การก่อสัญญาตัวแทน
ธ
มส
1. เป็นสัญญาซึ่งต้องอาศัยหลักเกณฑ์ของสัญญาทั่วไป
ม
สัญญาตัวแทนเป็นเอกเทศสัญญาลักษณะหนึง่ ซึง่ บัญญัตไิ ว้ใน ปพพ บรรพ 3 แต่ตอ้ งใช้หลักเกณฑ์
ของสัญญาที่บัญญัติไว้ใน ปพพ. บรรพ 1 และบรรพ 2 ด้วย กล่าวคือ
1.1 ต้องมีคู่สัญญา คูส่ ญ
ั ญาในสัญญาตัวแทนก็คอื ตัวการและตัวแทน ตัวการ ได้แก่ บุคคลทีต่ กลง
ให้ผอู้ นื่ กระท�ำกิจการในนามของตนเองภายใต้การควบคุมสัง่ การจากตน ส่วนตัวแทนก็ได้แก่บคุ คลทีร่ บั จะ
สธ
ท�ำกิจการแทนผู้อื่นภายใต้การควบคุมสั่งการของตัวการ เช่น นายแดงตกลงให้นายด�ำไปซื้อกระบือจาก
ตลาดโคกระบือเพือ่ เอามาไว้ไถนา นายแดงก็เป็นตัวการ ส่วนนายด�ำถ้าตกลงทีจ่ ะท�ำการดังกล่าวนัน้ ก็ได้
ชือ่ ว่าเป็นตัวแทนของนายแดง บุคคลทีเ่ ป็นคนธรรมดาหรือนิตบิ คุ คลก็ได้ไม่มกี ฎหมายห้าม (ฎ. 1361/2527)
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน 6-9
อย่างไรก็ตามการเป็นตัวแทนนั้นมิใช่เพียงพิจารณาว่ามีการท�ำการแทนกันหรือไม่เท่านั้น แต่จ�ำเป็นต้อง
พิจารณาถึงเจตนาของคูส่ ญ ั ญาด้วยว่ามีเจตนาทีจ่ ะก่อสัญญาตัวแทนขึน้ หรือไม่ การพิจารณาเจตนาจะต้อง
พิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นรายๆ ไป ถ้าผู้ที่รับท�ำการแทนนั้นไม่มีเจตนาที่จะเป็นตัวแทนเพียงแต่ทำ� การ
งานให้ตามอัธยาศัยการสมาคม หรือท�ำกิจการร่วมกัน หรือการปฏิบตั ริ าชการด้วยกัน หรือการใช้สอยไหว้
วานกันไม่ใช่ตัวแทน
ธ
กรณีไม่เป็นตัวแทน
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 600/2476 การที่บุคคลหนึ่งรับเงินมาจากโจทก์แล้วจัดการให้จ�ำเลยกู้ไปโดยใส่ชื่อโจทก์เป็น
ผู้ให้กู้ในหนังสือสัญญา เพียงเท่านี้ไม่พอจะถือว่าผู้นั้นเป็นตัวแทนโจทก์
ฎ. 273/2487 การที่ปลัดอ�ำเภอมอบฉันทะให้สารวัตศึกษาไปรับสลากกินแบ่งมาถือว่าต้องปฏิบัติ
ราชการด้วยกัน ไม่ถือว่าเป็นตัวการตัวแทนกัน เมื่อสารวัตศึกษายักยอกเงินสลากกินแบ่งนั้น ปลัดอ�ำเภอ
ไม่ต้องรับผิดชอบในฐานะตัวการตัวแทน
ฎ. 367/2489 เจ้าหน้าทีป่ ระตูนำ�้ ไม่ใช่ตวั แทนของกรมชลประทานในการชีเ้ ขตบริเวณประตูนำ �้ ใน
กรณีทเี่ จ้าของทีด่ นิ ข้างเคียงรังวัดขอสอบเขต การทีเ่ จ้าหน้าทีป่ ระตูนำ�้ ชีเ้ ขตไปโดยไม่ได้รบั มอบอ�ำนาจหรือ
มอบฉันทะจากกรมชลประทาน จึงไม่ผูกพันรัฐ
ฎ. 1176/2510 เจ้าของรถยนต์น�ำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถยนต์ เจ้าของรถยนต์วานช่างซ่อมรถ
ธ
ขับรถคันนัน้ ไปส่งทีอ่ นื่ เมือ่ ส่งเสร็จแล้วช่างซ่อมรถขับรถกลับอูไ่ ปเกิดชนกับรถจักรยานยนต์ของผูเ้ สียหาย
ระหว่างทาง ดังนี้ช่างซ่อมรถไม่ได้เป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของเจ้าของรถยนต์ เจ้าของรถยนต์ ไม่ต้องร่วม
มส
รับผิดในการละเมิดนั้น
ฎ. 3049/2528 โจทก์ซื้อกระจกจากบริษัท ก. แล้วขายต่อไปให้บริษัท ม. อีกต่อหนึ่ง ไม่ปรากฏ
ว่าโจทก์เป็นผู้ท�ำการชี้ช่องหรือจัดการให้บริษัท ก. ได้เข้าท�ำสัญญากับผู้ใด หรือโจทก์ได้ขายกระจกแทน
บริษทั ก. และหนังสือสัญญาระหว่างโจทก์กบั บริษทั ก. ก็ระบุไว้ดว้ ยว่า ความสัมพันธ์ทงั้ สองฝ่ายไม่ใช่เป็น
ความสัมพันธ์ในทางตัวการตัวแทน แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โจทก์จึงมิได้เป็นนายหน้า
หรือตัวแทนของบริษัท ก.
ม
ฎ. 1607/2532 โจทก์มอบพลอยจ�ำนวน 3 หมู่ให้จ�ำเลยไปขาย โดยก�ำหนดราคาขั้นต�ำ่ ไว้ จ�ำเลย
จะขายในราคาสูงกว่าก็ได้ เช่นนี้จ�ำเลยย่อมมีสิทธิขายพลอยอย่างเป็นของตนเองไม่ใช่เป็นตัวแทนในการ
ขายในนามของโจทก์ แม้จะมีข้อตกลงให้ค่าตอบแทนแก่จ�ำเลยเป็นเงิน 3 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ขายได้
ก็ไม่ท�ำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ จ�ำเลยเปลี่ยนแปลงไป การที่จ�ำเลยไม่ยอมคืนพลอยหรือใช้เงินให้
โจทก์เป็นเพียงผิดข้อตกลงกันซึ่งโจทก์จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องแก่จ�ำเลยทางแพ่ง หาเป็นเรื่องที่มีความผิด
ในทางอาญาฐานยักยอกไม่
ฎ. 85/2540 จ�ำเลยที่ 1 ท�ำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับจ�ำเลยที่ 2 และที่ 3 มีข้อตกลงให้จ�ำเลยที่ 2
สธ
และที่ 3 เป็นผู้พัฒนาที่ดินเพื่อจัดสรร แล้วจ�ำเลยที่ 1 จะเป็นผู้น�ำที่ดินไปให้บุคคลภายนอกเช่าซื้อ เมื่อ
ผู้เช่าซื้อช�ำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว จ�ำเลยที่ 1 จะน�ำเงินดังกล่าวช�ำระให้จ�ำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วจ�ำเลย
ที่ 2 และที่ 3 ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้เช่าซื้อ แสดงว่าจ�ำเลยทั้งสามได้ร่วมกันจัดสรรที่ดินเพื่อ
ม
6-10 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
กรณีที่เป็นตัวแทน
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 890/2503 ผูเ้ สียหายไม่วา่ จะเป็นนิตบิ คุ คลหรือบุคคลธรรมดาย่อมมอบอ�ำนาจให้ฟอ้ งคดีอาญา
แทนได้ เมื่อผู้เสียหายมอบอ�ำนาจให้ฟ้องคดีอาญาแล้ว ผู้ที่รับมอบอ�ำนาจก็ย่อมลงชื่อในฟ้องแทนผู้มอบ
อ�ำนาจได้ไม่ขัดกับ ปวอ. มาตรา 158 (7)
ฎ. 33/2532 โจทก์มอบหมายให้จ�ำเลยซึง่ เป็นทนายความของโจทก์ในคดีกอ่ นมีอ�ำนาจรับเงินจาก
จ�ำเลยในคดีนั้นแทนโจทก์ได้ เมื่อจ�ำเลยรับเงินจากธนาคารซึ่งช�ำระหนี้แก่โจทก์แทนจ�ำเลยในคดีดังกล่าว
เงินทีจ่ ำ� เลยรับไว้จงึ ตกเป็นของโจทก์ จ�ำเลยเบียดบังเอาเงินนัน้ ไปเป็นประโยชน์สว่ นตนโดยทุจริต การกระท�ำ
ของจ�ำเลยเป็นความผิดฐานยักยอก โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอ�ำนาจฟ้องจ�ำเลยได้
ฎ. 4145/2533 เมื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ได้ท�ำตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
แล้ว จึงถือได้ว่าเป็นสัญญาที่ผูกพันเกี่ยวข้องกับคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายโดยสมบูรณ์ และเมื่อโจทก์ซื้อหุ้นให้
ธ
จ�ำเลยแล้ว โจทก์กย็ อ่ มมีสทิ ธิเรียกร้องให้จำ� เลยผูม้ คี ำ� สัง่ ซือ้ ชดใช้คา่ หุน้ ทีโ่ จทก์ได้ทดรองจ่ายไป เมือ่ จ�ำเลย
ช�ำระค่าหุ้นครบถ้วนและมีความประสงค์จะรับโอนหุ้นก็ย่อมท�ำได้ ตาม ปพพ. มาตรา 1129 โจทก์ขอรับ
มส
ใบหุ้นพร้อมตราสารการโอนหุ้นซึ่งมีลายมือชื่อผู้ถือหุ้นเดิมในลักษณะการโอนลอยไปลงชื่อและจดแจ้งการ
โอนลงในทะเบี ย นผู ้ ถื อ หุ ้ น ได้ อั น เป็ น คนละขั้ น ตอนกั บ ขั้ น ตอนการซื้ อ ขายในตลาดหลั ก ทรั พ ย์ แ ห่ ง
ประเทศไทย ฉะนั้นการซื้อขายหุ้นดังกล่าวที่โจทก์ซื้อแทนจ�ำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย
คูส่ ญ
ั ญาตัวแทนนัน้ จะเป็นฝ่ายตัวการหรือตัวแทนอาจมีกคี่ นก็ได้ไม่จำ� เป็นว่าจะต้องมีเพียงสองคน
เช่น นายแดงตัวการอาจตั้งนายด�ำ นายขาว นายเขียว และนายเหลืองให้เป็นตัวแทนท�ำการใดการหนึ่ง
ร่วมกันแทนตนได้ หรือนายแดง นายด�ำ และนายเขียวอาจตัง้ ให้นายเหลืองและนายฟ้าร่วมกันเป็นตัวแทน
ให้ตนได้ คูส่ ญ
อุทาหรณ์
ม
ั ญาในตัวแทนจึงอาจมีมากกว่าหนึง่ คนก็ได้และอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิตบิ คุ คลได้เช่นกัน
ธ
ต้องไม่ตกเป็นโมฆะหรือเป็นโมฆียะ และอาจแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้ การแสดงเจตนา
โดยชัดแจ้งอาจท�ำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจาก็ได้ เช่น นายแดงแต่งตั้งนายขาวเป็นตัวแทนโดย
โดยชัดแจ้ง
มส
ท�ำสัญญาเป็นหนังสือหรือโดยบอกกล่าวตกลงกับนายขาวด้วยวาจา เช่นนีย้ อ่ มถือได้วา่ เป็นการแสดงเจตนา
การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง
อุทาหรณ์
ฎ. 7314/2537 จ�ำเลยเป็นพนักงานของโจทก์และเป็นทนายว่าความให้โจทก์จึงถือว่าโจทก์เป็น
ตัวการและจ�ำเลยเป็นตัวแทน (แสดงว่าสัญญาตัวแทนซ่อนอยู่ในสัญญาจ้างท�ำของ)
ฎ. 514/2538 จ�ำเลยที่ 1 และที่ 2 มีสทิ ธิแต่งตัง้ ทนายความให้วา่ ความและด�ำเนินกระบวนพิจารณา
แทนได้ ตาม ปวพ. มาตรา 60 ซึง่ เป็นการแต่งตัง้ ตัวแทนมาตรา 797 และการแต่งตัง้ ผูใ้ ดเข้าเป็นทนายความ
ขึ้นอยู่กับความไว้วางใจของจ�ำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นส�ำคัญ ฉะนั้นจ�ำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมมีสิทธิขอถอน
ธ
ทนายความซึ่งเป็นตัวแทนเมื่อใดก็ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 827 วรรคหนึ่ง หากทนายจ�ำเลยที่ 1 และที่ 2
เสียหายอย่างไร ชอบที่ว่ากล่าวเอาแก่จำ� เลยที่ 1 และที่ 2 ตามที่ ปพพ. มาตรา 827 วรรคสองให้สิทธิไว้
มส
ธ
นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างไปซื้อรถยนต์ 1 คัน ลูกจ้างมีฐานะเป็นลูกจ้างและฐานะตัวแทนนายจ้างหรือจ้างทนาย
ว่าความ ทนายมีฐานะเป็นผู้รับจ้างท�ำของและฐานะตัวแทน
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 3643/2532 โจทก์มอบหมายให้จำ� เลยด�ำเนินการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากชือ่ โจทก์ไปเป็น
ของ ส. ผู้รับโอนให้เป็นที่เรียบร้อย จ�ำเลยจึงเป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์
ฎ. 2519/2537 จ�ำเลยเป็นเพียงบริษัทนายหน้าในการประกันภัยและที่ปรึกษาประกันภัย แต่ตาม
พฤติการณ์ทจี่ ำ� เลยแสดงออกในการติดต่อให้โจทก์นำ� เอาความเสีย่ งภัยทีโ่ จทก์รบั ประกันภัยไว้ไปประกันภัย
ต่อแก่ผู้รับประกันภัยซึ่งอยู่ต่างประเทศนั้น เกินเลยกว่าการเป็นนายหน้า แม้ผู้รับประกันภัยต่อมิได้
มีหนังสือแต่งตัง้ จ�ำเลยเป็นตัวแทนให้กระท�ำในกิจการดังกล่าว แต่การปฏิบตั ขิ องผูร้ บั ประกันภัยต่อทีไ่ ด้ยนิ ยอม
ให้จำ� เลยปฏิบตั งิ านแทนตลอดมา จ�ำเลยย่อมจะอยูใ่ นฐานะเป็นตัวแทนของผูร้ บั ประกันภัยต่อในต่างประเทศ
โดยปริยาย ตาม ปพพ. มาตรา 797 วรรคสอง ในกรณีเช่นว่านีต้ วั การไม่จำ� ต้องแต่งตัง้ ตัวแทนเป็นหนังสือ
ธ
และไม่อยู่ในบังคับของ ปพพ. มาตรา 798 เมื่อตัวการซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยต่ออยู่ต่างประเทศและ
มีภูมิล�ำเนาอยู่ในต่างประเทศ จ�ำเลยซึ่งเป็นตัวแทนท�ำสัญญาประกันภัยต่อแทนตัวการจึงต้องรับผิดตาม
มส
ธ
ปริยาย จึงเป็นการรับสภาพหนี้ที่มีผลผูกพันจ�ำเลยที่ 1 ท�ำให้อายุความสะดุดหยุดลง
นอกจากนี้ยังมีตัวแทนที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย คือ ไม่ได้มีการแต่งตั้งกันมาตั้งแต่ต้น แต่
มส
กฎหมายให้ถือว่าเป็นตัวแทนคือตัวแทนเชิด ตาม ปพพ. มาตรา 821 ซึ่งจะได้กล่าวภายหลัง
1.2 คู่สัญญาต้องมีความสามารถในการท�ำนิติกรรม โดยหลักแล้วคู่สัญญาต้องมีความสามารถ
ในการท�ำนิตกิ รรมสัญญา คือ ไม่เป็นผูเ้ ยาว์ คนไร้ความสามารถ เสมือนไร้ความสามารถ หรือบุคคลล้มละลาย
มิฉะนัน้ นิตกิ รรมนัน้ จะเป็นโมฆียะ ถ้าตัวการเป็นผูม้ คี วามสามารถในการท�ำนิตกิ รรมตัง้ ตัวแทนผูบ้ กพร่อง
ในเรือ่ งความสามารถในการท�ำนิตกิ รรม หากตัวการทราบว่าตัวแทนนัน้ ไร้ความสามารถและประสงค์จะตัง้
บุคคลดังกล่าวเป็นตัวแทน ตัวการดังกล่าวก็ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในกิจการที่ตัวแทนผู้ไร้ความ
สามารถดังกล่าวได้กระท�ำไป ตัวการจะอ้างความเป็นโมฆียะมาปฏิเสธความรับผิดต่อคนภายนอกไม่ได้
โดย ปพพ. มาตรา 799 บัญญัตวิ า่ “ตัวการคนใดใช้บคุ คลผูไ้ ร้ความสามารถเป็นตัวแทน ท่านว่าตัวการคนนัน้
ย่อมต้องผูกพันในกิจการที่ตัวแทนกระท�ำ”
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 598/2506 ยายยกที่ดินให้หลานโดยท�ำใบมอบอ�ำนาจให้หลานไปท�ำนิติกรรมแทน แม้หลาน
มส
นั้นจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เป็นผู้รับมอบอ�ำนาจได้
ดังนัน้ คูส่ ญ
ั ญาทีแ่ ท้จริงจึงได้แก่ตวั การ เมือ่ เป็นเช่นนีค้ วามสามารถของตัวแทนจึงไม่มคี วามส�ำคัญ
อย่างไร ในเรื่องความสามารถในการท�ำนิติกรรมของตัวแทนนี้เป็นข้อยกเว้นจากหลักเกณฑ์ทั่วไปในเรื่อง
นิติกรรมสัญญา ส่วนที่เกี่ยวความสามารถ จึงกล่าวได้ว่าปกติแล้วตัวแทนอาจเป็นบุคคลใดๆ ก็ได้ แม้เป็น
คนไร้ความสามารถ ซึ่งในเรื่องความสามารถในการท�ำนิติกรรมของตัวแทนนี้เป็นเรื่องระหว่างตัวการกับ
บุคคลภายนอก กล่าวคือไม่มีผลท�ำให้ตัวการหลุดพ้นจากความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่เข้าท�ำนิติกรรม
เจตนาของคู่กรณีเป็นส�ำคัญ
ม
กับตัวแทนที่ไร้ความสามารถนั้น แต่ในระหว่างตัวการกับตัวแทนนั้นอาจมีผลต่อความสมบูรณ์ของสัญญา
และความรับผิดต่อกันในระหว่างตัวการและตัวแทนได้ ซึ่งต้องดูเป็นกรณีๆ ไป ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและ
ธ
เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็น
โมฆะ” ดังนั้นวัตถุประสงค์สัญญาตัวแทนจึงต้องชอบด้วยกฎหมายและไม่พ้นวิสัยหรือขัดต่อความสงบ
มส
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น นายแดงแต่งตัง้ ให้นายด�ำเป็นตัวแทนไปซือ้ หรือขายยาเสพติด
หรือแต่งตั้งให้ไปดูแลบ่อนการพนันที่ตั้งโดยผิดกฎหมาย กรณีเช่นนี้สัญญาตัวแทนย่อมเป็นโมฆะ ตาม
ปพพ. มาตรา 150
1.4 แบบของสัญญา สัญญาตัวแทนนั้นโดยทั่วไปเป็นสัญญาที่ไม่ต้องมีแบบหรือหลักฐานเป็น
หนังสือแต่อย่างใด เพียงแต่ตกลงด้วยวาจาสัญญาก็เกิดแล้ว แต่เนือ่ งจากกิจการทีต่ วั แทนจะไปกระท�ำแทน
ตัวการนั้นเป็นกิจการซึ่งจะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกเสมอ ดังนั้นในบางกรณีจึงจ�ำเป็นต้องอาศัย
กิจการทีต่ วั แทนจะต้องกระท�ำการนัน้ เป็นเครือ่ งพิจารณาว่าสัญญาตัง้ ตัวแทนนัน้ จะต้องท�ำตามแบบประการ
ใดหรือไม่ โดย ปพพ. มาตรา 798 ได้บัญญัติว่า “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องท�ำเป็น
หนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องท�ำเป็นหนังสือด้วย
ธ
กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้อง
มีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย” สัญญาตัวแทนนั้นไม่ต้องมีแบบหรือหลักฐานใดๆ เพราะมาตรานี้มิใช่แบบ
มส
ธ
ด้วย” กิจการบางอย่างกฎหมายก�ำหนดให้มีหลักฐานเป็นหนังสืออันเป็นหลักฐานเพื่อการฟ้องร้องคดีกัน
สัญญาตัวแทนที่จะกระท�ำกิจการดังกล่าวก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย เช่น นายด�ำตั้งนายแดงเป็น
มส
ตัวแทน ในการไปกู้ยืมเงินจากนายเขียว หากต่อมานายด�ำเขียนจดหมายไปถึงนายแดงระบุว่านายด�ำได้
ตั้งนายแดงให้ท�ำสัญญากู้แทน ก็ถือว่าเป็นหลักฐานเป็นหนังสือตามความหมายใน ปพพ. มาตรา 798
วรรคสองแล้ว หลักฐานเป็นหนังสือจึงหมายถึงข้อความที่พอแสดงให้เห็นว่าได้มีการตั้งตัวแทนไว้
ข้อสังเกต
มีคำ� ทีเ่ ราเคยได้ยนิ กันอยูค่ อื ค�ำว่าใบมอบฉันทะกับใบมอบอ�ำนาจ ใบมอบฉันทะนัน้ มิใช่แบบของ
สัญญาตัวแทนแต่ใบมอบฉันทะเป็นแบบทีท่ างราชการก�ำหนดขึน้ ในกรณีทตี่ อ้ งมีการลงนามแทนกันในการ
เสนอหรือแจ้งเรื่องราวบางประการแก่ทางราชการ กล่าวอีกนัยหนึง่ ใบมอบฉันทะนั้นคือแบบของการแสดง
เจตนาในการลงนามแทนกัน ซึง่ ก�ำหนดโดยฝ่ายปกครองโดยเฉพาะ แต่ปจั จุบนั มักมีความสับสนโดยน�ำไป
ใช้เรียกการตั้งตัวแทนในทางแพ่ง แต่หากจะถือว่าเป็นหลักฐานในการตั้งตัวแทนก็ย่อมจะใช้ได้อยู่แล้ว
ธ
ส�ำหรับใบมอบอ�ำนาจก็มีความหมายเช่นเดียวกับใบมอบฉันทะดังกล่าวมาแล้ว
นอกจากนี้คำ� ว่ากิจการ ตาม ปพพ. มาตรา 798 นั้น จะหมายถึงกิจการในทางนิติกรรมสัญญา
มส
กับตัวการด้วยกัน ในกรณีที่ตัวการเรียกร้องเอาประโยชน์จากตัวแทนที่ได้รับไว้แทนตัวการจากบุคคล
ภายนอกนั้น ตัวแทนจะอ้าง ปพพ. มาตรา 798 มาใช้บังคับไม่ได้
ฎ. 2863/2525 ปพพ. มาตรา 798 เป็นกรณีการตั้งตัวแทนโดยมีการตกลงกันจริงๆ ส่วน ปพพ.
มาตรา 821 เป็นกรณีที่มิได้มีการตั้งตัวแทนกันจริงจังตามกฎหมาย เมื่อโจทก์แสดงออกหรือยอมให้ ส.
แสดงออกว่าเป็นตัวแทนของตน และ ส.ไปท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจ�ำเลย โจทก์กต็ อ้ งรับเอา
ธ
ผลดังกล่าวมาเป็นของตนจะอ้างว่าการตั้งตัวแทนไม่ได้ทำ� เป็นหนังสือไม่ได้
ฎ. 3958/2527 การทวงหนี้ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องท�ำหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ การ
มส
ตั้งตัวแทนเพื่อทวงหนี้สินจึงไม่จำ� เป็นต้องท�ำเป็นหนังสือหรือท�ำหลักฐานเป็นหนังสือ
ฎ. 225/2532 โจทก์เป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อของ พ. การตั้ง พ. เป็นตัวแทนในกรณีเช่นนี้จึงไม่
ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ตาม ปพพ. มาตรา 798 โจทก์ตวั การซึง่ มิได้เปิดเผยชือ่ ย่อมแสดงตนให้ปรากฏ
และเข้ารับเอาสัญญาประกันภัยรถยนต์ที่ พ. ตัวแทนท�ำไว้กับจ�ำเลยแทนตนได้ ตาม ปพพ. มาตรา 806
เมือ่ โจทก์เป็นผูเ้ ช่าซือ้ รถยนต์ทเี่ อาประกันภัยไว้กบั จ�ำเลย โจทก์จงึ เป็นผูม้ สี ว่ นได้เสียในเหตุทปี่ ระกันภัยไว้
นั้น สัญญาประกันภัยมีผลสมบูรณ์ ตาม ปพพ. มาตรา 863 (ฎ. 531/2537)
ฎ. 5761/2534 จ�ำเลยได้รับเงินค่าขายที่ดินของโจทก์ไว้ในฐานะเป็นผู้กระท�ำการแทนโจทก์ผู้ขาย
จ�ำเลยจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบให้แก่โจทก์ แม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการตั้งจ�ำเลยเป็นตัวแทนในกิจการซื้อที่ดิน
ดังกล่าวก็หาเป็นเหตุให้จำ� เลยพ้นความรับผิดที่ต้องส่งเงินที่ได้รับไว้แทนคืนแก่โจทก์ไม่
ธ
ฎ. 2239/2547 ปพพ. มาตรา 728 มิได้บัญญัติว่า การบอกกล่าวบังคับจ�ำนองต้องท�ำเป็นหนังสือ
กรณีจงึ ไม่ตกอยูใ่ นบังคับ ปพพ. มาตรา 798 วรรคหนึง่ ทีก่ ำ� หนดการตัง้ ตัวแทนเพือ่ กิจการนัน้ ต้องท�ำเป็น
มส
ธ
อาจมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือมีการวางมัดจ�ำหรือช�ำระหนี้บางส่วนก็ได้
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 3125/2535 จ�ำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จ�ำเลยที่ 1 ขายที่ดินแทน ในวันท�ำสัญญาโจทก์ได้วาง
มัดจ�ำไว้ 5,000 บาท จึงเป็นสัญญาจะซือ้ ขายทีไ่ ม่จำ� ต้องท�ำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ตาม
ปพพ. มาตรา 456 การตั้งตัวแทนของจ�ำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องท�ำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ตาม ปพพ. มาตรา 798
ฎ. 2927/2547 จ�ำเลยทั้งสองให้การรับว่าได้ท�ำสัญญาจะซื้อขายกับโจทก์จริงแต่อ้างว่าโจทก์เป็น
ฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ไม่ใช่คสู่ ญ
ั ญากับจ�ำเลยทัง้ สองและไม่มอี �ำนาจฟ้อง แม้เรือ่ งอ�ำนาจ
ฟ้องจะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ปวพ.
มาตรา 142 (5) ก็ตาม แต่คดีนี้จ�ำเลยทั้งสองรับว่าได้วางมัดจ�ำไว้ตามสัญญาจะซื้อขายจ�ำนวน 100,000
บาท ซึ่งตาม ปพพ. มาตรา 456 วรรคสอง ระบุว่า สัญญาจะซื้อจะขายหากมีการวางมัดจ�ำไว้แล้วแม้ไม่มี
ธ
หลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้ ดังนั้นการตั้งตัวแทนหรือมอบอ�ำนาจของโจทก์ในการท�ำ
สัญญาจะซื้อจะขายที่ได้วางมัดจ�ำไว้แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ท�ำหนังสือมอบอ�ำนาจให้บริษัท ส. ท�ำสัญญาจะ
มส
2. ลักษณะพิเศษของสัญญาตัวแทน
2.1 ต้องมีข้อตกลงและมีความยินยอมกระท�ำการแทนกัน
2.2 สัญญาตัวแทนไม่มีบ�ำเหน็จหรือค่าตอบแทน
2.3 คู่สัญญามีความสามารถเป็นตัวการและตัวแทนได้
2.4 เป็นสัญญาเฉพาะตัว ม
2.1 ต้องมีข้อตกลงและมีความยินยอมกระท�ำการแทนกัน สาระส�ำคัญของสัญญาตัวแทนก็คือ
การให้ตัวแทนมีอำ� นาจท�ำการแทนตัวการกับบุคลภายนอก ซึ่งแยกพิจารณาได้ดังนี้
1) ต้องมีข้อตกลงให้มีการท�ำการแทนกัน การแสดงเจตนาของคู่สัญญาตัวแทนนั้นต้องมี
จุดมุง่ หมายเพือ่ การท�ำการแทนกันในฐานะตัวแทนด้วย กล่าวคือ มีการแสดงเจตนาเท่านัน้ ยังไม่กอ่ ให้เกิด
สัญญาได้ แต่จะต้องมีวตั ถุประสงค์ของสัญญาและวัตถุประสงค์นนั้ จะต้องถูกต้องตรงกันระหว่างคูก่ รณีดว้ ย
สธ
สัญญาตัวแทนจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่จะกระท�ำการแทนกันในกิจการซึ่งสามารถท�ำการแทนกันได้ตาม
กฎหมาย คือ ต้องมีการมอบอ�ำนาจของตัวการให้ไว้แก่ตัวแทน เพื่อให้ตัวแทนท�ำงานให้แก่ตนโดยต้องมี
การติดต่อกับบุคคลภายนอก คนภายนอกจะมีหรือไม่มกี ไ็ ด้ เช่น วานให้รว่ มเอาควายไปเลีย้ งไม่ใช่ตวั แทน
ม
6-18 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ว่าข้อตกลงลักษณะนั้นๆ เป็นสัญญาตัวแทนหรือไม่ เช่นในกรณีดังต่อไปนี้
พนักงานขาย (Salesman) พนักงานขายของนัน้ ในทางธุรกิจมีสองประเภท คือ ประเภทประจ�ำร้าน
มส
เป็นลูกจ้างอยู่ในร้านกับอีกประเภทหนึ่งออกไปขายสินค้านอกร้าน กรณีขายสินค้าอยู่ในร้านนั้นมักจะเป็น
ลูกจ้างของเจ้าของร้าน แต่จะเป็นตัวแทนเสมอไปหรือไม่ต้องดูที่เจตนาของตัวการตัวแทนและธรรมเนียม
ประเพณีปฏิบัติทางการค้าด้วย ถ้าลูกจ้างดังกล่าวนี้สามารถท�ำสัญญาซื้อขายแทนตัวการ (เจ้าของร้าน)
ได้ ก็เป็นตัวแทนในการซื้อขายรายนั้นของตัวการด้วย กล่าวคือตัวการยอมให้ลูกจ้างท�ำสัญญาแทนตน
จะยินยอมโดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้ พนักงานขายตามร้านจึงอาจเป็นทั้งลูกจ้างและตัวแทนไปในเวลา
อันเดียวกันก็ได้ ซึง่ ต้องดูเป็นรายๆ ไป ข้อพิจารณาทีส่ ำ� คัญคือต้องดูวา่ มีการท�ำการแทนโดยตัวการยินยอม
หรือไม่
อีกประเภทหนึง่ คือพนักงานขายทีอ่ อกไปท�ำหน้าทีใ่ นท้องทีต่ า่ งๆ ตามทีต่ วั การมอบหมาย ส่วนใหญ่
จะเป็นลูกจ้างอยู่แล้วโดยมีค่าจ้างและมีบ�ำเหน็จให้ด้วย ตามปกติพนักงานประเภทนี้ไม่ได้น�ำสินค้าติดตัว
ธ
ไปขายด้วย มีอย่างมากก็แค่ตัวอย่าง หน้าที่ก็คือชักชวนให้ลูกค้าตกลงซื้อขายด้วย กล่าวคือเก็บใบสั่งมา
ให้นายจ้าง ข้อพิจารณาในเรือ่ งนีก้ ค็ อื ถ้ามีการมอบอ�ำนาจให้ทำ� สัญญาซือ้ ขายแทนตัวการด้วยหรือน�ำสินค้า
มส
ธ
ไม่ได้
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 24947/2516 (ป.ใหญ่) ผู้รับมอบอ�ำนาจให้ฟ้องคดีอยู่ในฐานะคู่ความซึ่งมีอำ� นาจยื่นค�ำฟ้องได้
จึงชอบที่จะเรียงหรือแต่งค�ำฟ้องรวมทั้งลงชื่อเป็นโจทย์ได้ด้วย หาว่าต้องมอบอ�ำนาจให้ทนายความเสียง
หรือแต่งค�ำฟ้องให้อีกต่อหนึ่งไม่ ฉะนั้นค�ำฟ้องของโจทย์ซึ่งผู้รับมอบอ�ำนาจลงชื่อเป็นผู้เรียง จึงเป็นฟ้องที่
ถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมาย (ฎ.3266/2527, ฎ.898-912/2530, ฎ.4512/2530, ฎ.2346/2531)
อนึง่ ยังมีตวั แทนในลักษณะนีอ้ กี มาก กล่าวคือเป็นตัวแทนตามบทบัญญัตขิ องกฎหมาย ดังนัน้ จึง
ต้องดูกฎหมายในเรื่องนั้นๆ ตัวแทนประเภทนี้เช่น ผู้จัดการมรดก ผู้ขายทอดตลาด ผู้แทนโดยชอบธรรม
ผู้พิทักษ์ เป็นต้น ซึ่งต้องพิจารณาดูเป็นเรื่องๆ ไป
ผู้จัดจ�ำหน่าย ตัวแทนขายหรือผู้จัดจ�ำหน่ายเป็นตัวแทนอย่างหนึ่งเรียกว่าตัวแทนค้าต่าง ซึ่งจะ
อธิบายในภายหลัง อย่างไรก็ตามผูจ้ ดั จ�ำหน่ายนีบ้ างกรณีอาจสับสนกับนายหน้าก็ได้ ข้อส�ำคัญต้องดูเจตนา
ธ
คู่กรณีและธรรมเนียมปฏิบัติประกอบด้วย บางครั้งก็อาจมิใช่ตัวแทนก็ได้ เช่นติดป้ายหน้าร้านว่า ผู้จัด
จ�ำหน่ายสินค้าชนิดนัน้ แต่ขอ้ เท็จจริงปรากฏว่าผูจ้ ดั จ�ำหน่ายเป็นเพียงไปซือ้ แล้วเอามาขายต่อโดยบวกก�ำไร
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 1333/2551 ตาม พรบ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 5 ได้ให้ค�ำจ�ำกัดความของตัวแทน
ประกันชีวิตว่า หมายความว่า “ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ท�ำการชักชวนให้บุคคลท�ำสัญญาประกันชีวิต
กับบริษัท” และมาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ตัวแทนประกันชีวิตอาจท�ำสัญญาประกันชีวิตในนาม
ของบริษัทได้เมื่อได้รับมอบอ�ำนาจเป็นหนังสือจากบริษัท” แต่โจทก์ไม่ได้นำ� สืบว่า ช. เป็นตัวแทนประกัน
ธ
ชีวิตผู้ได้รับมอบอ�ำนาจเป็นหนังสือจากจ�ำเลยให้ท�ำสัญญาประกันชีวิตในนามของจ�ำเลยได้ เช่นนี้ ช. จึง
เป็นเพียงตัวแทนในการหาผู้เอาประกันชีวิต มีหน้าที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาท�ำสัญญาประกันชีวิตกับจ�ำเลย
มส
เท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนในการท�ำสัญญาประกันชีวิตของจ�ำเลย จึงไม่ใช่ตัวแทนของจ�ำเลยตาม ปพพ. การที่
ช. ได้ทราบหรือควรทราบข้อเท็จจริงขณะท�ำหนังสือรับรองสุขภาพว่า ส. เคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบและมี
อาการแน่นหน้าอกเนื่องจากดื่มสุรามากได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อ. จะถือว่าจ�ำเลยได้ทราบความจริง
ดังกล่าวหาได้ไม่ (ฎ.599/2537)
2) ต้องมีความยินยอมกระท�ำตามข้อตกลงนั้น ความยินยอมนั้นอาจเป็นความยินยอมโดย
ชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้เว้นแต่
(1) เมื่อมีกรณีท�ำการเกินอ�ำนาจโดยบุคคลภายนอกไม่ทราบความจริง ปพพ. มาตรา
822 บัญญัตวิ า่ “ถ้าตัวแทนท�ำการอันใดเกินอ�ำนาจตัวแทนแต่ทางปฏิบัติของตัวการท�ำให้บุคคลภายนอก
มีมลู เหตุอนั สมควรจะเชือ่ ว่าการอันนัน้ อยูภ่ ายในขอบอ�ำนาจของตัวแทนไซร้ ท่านให้ใช้บทบัญญัตมิ าตรา
ธ
ก่อนนี้เป็นบทบังคับ แล้วแต่กรณี” จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติมาตรานี้น�ำหลักเรื่องตัวแทนเชิดมาใช้บังคับ
กรณีดังกล่าวจึงเป็นข้อยกเว้นในเรื่องความยินยอมของคู่สัญญาซึ่งเป็นหลักคุ้มครองผู้สุจริต
มส
ธ
2) ถ้าไม่มีข้อตกลงกันไว้ก็ต้องดูที่เคยประพฤติปฏิบัติต่อกันมาอย่างไร หรือดูธรรมเนียม
ประเพณีในเรื่องนั้นๆ ว่ามีอยู่อย่างไร ถ้าเคยให้บ�ำเหน็จแก่กันหรือมีธรรมเนียมเช่นนั้นก็ถือว่ามีการคิด
มส
บ�ำเหน็จแก่กันเช่นกรณีดังกล่าวมาแล้วข้างต้น มีธรรมเนียมการให้ไปโอนที่ดินนั้นย่อมเป็นที่รู้กันว่า
มีบ�ำเหน็จแก่กันเป็นต้น
บ�ำเหน็จ บ�ำเหน็จเป็นค่าตอบแทนที่ตัวแทนได้รับจากการเป็นตัวแทนในการเข้าท�ำกิจการ
แทน ตัวการอาจเป็นทรัพย์สินชนิดอื่นใดก็ได้ ไม่จ�ำเป็นต้องเป็นเงินเสมอไป บ�ำเหน็จนั้นมีความหมาย
กว้างกว่าค�ำว่าค่าจ้าง ดังนัน้ ค่าจ้างหรือเงินเดือนจึงอาจเป็นส่วนหนึง่ ของบ�ำเหน็จได้ และในเรือ่ งของจ�ำนวน
บ�ำเหน็จนัน้ หากไม่ได้ตกลงจ�ำนวนเงินไว้ตอ้ งดูธรรมเนียมประเพณีหรือพฤติการณ์ทเี่ คยปฏิบตั ติ อ่ กัน หาก
ไม่สามารถก�ำหนดได้ก็ต้องคิดอัตราที่สมควรซึ่งศาลจะวินิจฉัยให้เป็นกรณีเป็นเรื่องๆ ไป ส่วนระยะเวลาที่
จะให้บำ� เหน็จนัน้ ก็ตอ้ งดูขอ้ ตกลงหรือธรรมเนียมประเพณีดว้ ย และอาจมีบางกรณีทตี่ วั แทนอาจถูกตัดสิทธิ
ในการรับบ�ำเหน็จได้แก่กรณีดังต่อไปนี้
ธ
1) มีกฎหมายบังคับว่าตัวแทนท�ำการอย่างใดต้องมีประกาศนียบัตรหรือใบส�ำคัญเพือ่ แสดง
ว่าตัวแทนมีความสามารถท�ำกิจการนั้นได้ และตัวแทนไม่มีคุณสมบัติเช่นว่านั้น เช่น นายด�ำอวดอ้างว่า
มส
ธ
กฎเกณฑ์เหล่านัน้ โดยครบถ้วนเสียก่อนจึงสามารถเป็นตัวแทนโดยชอบด้วยกฎหมายได้ แต่โดยทัว่ ไปแล้ว
ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะบุคคลใดๆ ก็อาจเป็นตัวแทนได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะความเป็นตัวแทน
มส
เป็นเรือ่ งของการไว้วางใจกันระหว่างบุคคล กฎหมายจึงเปิดช่องให้มอี สิ ระอย่างเต็มทีใ่ นการตัง้ ตัวแทน เว้นแต่
มีกฎหมายเข้ามาควบคุมทัง้ นีเ้ พือ่ ปกป้องคุม้ ครองประชาชนทีเ่ ข้าไปเกีย่ วข้องกับตัวแทนเหล่านัน้ มิให้ตอ้ ง
ได้รับความเสียหาย เพราะความที่ตัวแทนเหล่านั้นขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อกิจการเหล่านั้น ส�ำหรับ
ตัวการกิจการบางอย่างไม่อาจตัง้ ตัวแทนให้กระท�ำการแทนได้ ตัวการก็ไม่สามารถทีจ่ ะตัง้ ตัวแทนได้ซงึ่ อาจ
จะเป็นดังต่อไปนี้
1) เป็นกิจการซึ่งต้องท�ำเองเฉพาะตัว เป็นที่ยอมรับกันว่ากิจการบางอย่างนั้นบุคคลต้องท�ำ
ด้วยตนเองหรือสภาพของกิจการบ่งชัดว่าต้องท�ำด้วยตนเอง กิจการเหล่านี้ย่อมไม่สามารถตั้งตัวแทนได้
เช่น การสมรส การเข้ารับราชการ การเข้าสอบแข่งขัน เช่นนี้เป็นต้น
2) กฎหมายบัญญัติไว้ กฎหมายอาจบัญญัติไว้ให้กิจการบางอย่างบุคคลต้องท�ำด้วยตนเอง
ธ
จะแต่งตั้งตัวแทนให้กระท�ำการแทนกันไม่ได้ หรือในบางกรณีกฎหมายอาจก�ำหนดตัวบุคคลเอาไว้เฉพาะ
เจาะจง กรณีเช่นนีก้ ไ็ ม่อาจตัง้ ตัวแทนท�ำการแทนได้ เช่น กฎหมายระบุให้มคี ณะกรรมการหรือให้บคุ คลใด
มส
ธ
กิจกรรม 6.1.2
มส
1. หลักเกณฑ์ของสัญญาตัวแทนมีประการใดบ้าง จงอธิบาย
2. นายเสรีจ้างให้นายจิระท�ำหน้าที่ขายสินค้าในร้านของนายเสรี ในการขายสินค้านั้น นายจิระ
ลงนามในสัญญาซือ้ ขายระหว่างลูกค้ากับร้านค้าของนายเสรีดว้ ย กรณีเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างนายเสรี
กับนายจิระอยู่ในความหมายของตัวแทนหรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวตอบกิจกรรม 6.1.2
1. ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้
ก. ต้องใช้หลักเกณฑ์ทั่วไปของสัญญา
ข. ต้องมีลักษณะเฉพาะของสัญญา
ธ
2. นายจิระเป็นตัวแทนของนายเสรีและยังเป็นลูกจ้างของนายเสรีดว้ ย ทัง้ นีเ้ พราะนายเสรียนิ ยอม
ให้นายจิระเป็นตัวแทนโดยปริยาย ตาม ปพพ. มาตรา 797 วรรคท้าย ในระหว่างนายเสรีและนายจิระต่าง
มส
มีความยินยอมกันโดยปริยาย
ม
สธ
ม
6-24 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 6.2
ชนิดของตัวแทน
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 6.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
6.2.1 ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการ
6.2.2 ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไปเฉพาะกิจการ
6.2.3 ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไป
6.2.4 ตัวแทนชนิดพิเศษ
ธ
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 6.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
มส
1. อธิบายหลักเกณฑ์การแบ่งแยกชนิดของตัวแทนได้
2. อธิบายความหมาย อ�ำนาจหน้าที่ ตลอดจนยกตัวอย่างของตัวแทนชนิดต่างๆ ได้
3. อธิบายความแตกต่างของตัวแทนแต่ละชนิดได้
4. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับขอบอ�ำนาจหน้าที่ของตัวแทนแต่ละชนิดได้
ธ
มส
ม
สธ
ม
6-26 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ค�ำน�ำ
การแบ่งแยกชนิดของตัวแทนนั้นสามารถกระท�ำได้หลายวิธีอาจพิจารณาจากวิธีการแต่งตั้งหรือ
ธ
ประเภทกิจการที่กระท�ำหรือขอบอ�ำนาจหน้าที่ของตัวแทนก็ได้ การแบ่งแยกชนิดของตัวแทนจากวิธีการ
แต่งตั้งนั้น อาจแบ่งแยกเป็นตัวแทนโดยตรง โดยปริยายและโดยผลกฎหมาย ส�ำหรับการแบ่งแยกชนิด
ของตัวแทนโดยอาศัยขอบเขตอ�ำนาจหน้าที่ของตัวแทนเป็นเกณฑ์ในการพิจารณานั้นแบ่งแยกได้ดังนี้
มส
1. ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการ
2. ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไปเฉพาะกิจการ
3. ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไป
การแบ่งแยกชนิดของตัวแทนโดยอาศัยขอบเขตอ�ำนาจหน้าที่ของตัวแทนค�ำนึงถึงกิจการงานที่
ตัวแทนสามารถท�ำการแทนตัวการได้ กล่าวคือพิจารณาจากตัวการว่าได้มอบหมายอ�ำนาจให้ตวั แทนกระท�ำ
ได้เพียงใด เมือ่ ทราบขอบเขตอ�ำนาจแล้วจึงวินจิ ฉัยว่าตัวแทนดังกล่าวเป็นตัวแทนชนิดใด ดังนัน้ ในการแต่ง
ตั้งตัวแทนและก�ำหนดอ�ำนาจหน้าที่นั้น ตัวการอาจไม่ได้ระบุชื่อเรียกชนิดของตัวแทนนั้นไว้เลยก็ได้ ทาง
ปฏิบัติไม่ได้คำ� นึงถึงชนิดตัวแทนมากนัก แต่พิจารณาจากข้อตกลงระหว่างตัวการกับตัวแทนเป็นส�ำคัญ
ธ
เรื่องที่ 6.2.1
มส
ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการ
1. ความหมาย
ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการ หมายถึง ตัวแทนที่ได้รับมอบอ�ำนาจให้กระท�ำกิจการแต่
ม
เฉพาะเรื่อง เฉพาะราวหรือเฉพาะหน้าที่บางประการเท่านั้น เช่น นายแดงแต่งตั้งให้นายด�ำเป็นตัวแทน
ไปท�ำสัญญาขายที่ดินแปลงหนึ่งของนายแดงให้แก่นายเขียว เช่นนี้จะเห็นได้ว่านายด�ำมีหน้าที่เฉพาะเรื่อง
การท�ำสัญญาขายที่ดินรายนี้เท่านั้น นายด�ำเป็นตัวแทนรับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการ ดังนั้นในกรณีที่จะ
พิจารณาว่าตัวแทนได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนรับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการหรือไม่จึงต้องพิจารณาดังนี้คือ
1. อ�ำนาจของตัวแทนมีจ�ำกัดเฉพาะการหรือเฉพาะเรื่อง หมายความว่าตัวแทนจะต้องมีอ�ำนาจ
จ�ำกัดเฉพาะ
2. ตัวการที่มีความประสงค์จะให้ตัวแทนกระท�ำการเพียงเท่าที่ก�ำหนดดังกล่าวนั้น หมายความ
สธ
ว่าตัวแทนและตัวการต้องมีเจตนาหรือวัตถุประสงค์ตรงกันในเรือ่ งทีจ่ ะกระท�ำการแทนเฉพาะการหรือเฉพาะ
เรื่องที่ตกลงหรือก�ำหนดไว้เท่านั้น
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน 6-27
ธ
ไม่ได้ ต้องพิจารณาจากข้อตกลงระหว่างตัวการกับตัวแทน เช่น นายแดงแต่งตั้งให้นายขาวดูแลกิจการ
ค้าขายของนายแดง โดยมิได้ระบุอำ� นาจหน้าที่ นายขาวจะท�ำหน้าที่เพียงรับเงินรายได้จากลูกค้า ไปฝาก
มส
ธนาคารไว้เท่านัน้ หน้าทีน่ อกเหนือจากนีแ้ ล้วนายขาวไม่ยอมกระท�ำ กรณีเช่นนีถ้ อื ว่านายขาวมิใช่ตวั แทน
รับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการแต่เป็นตัวแทนชนิดอื่น หรือในกรณีที่นายแดงแต่งตั้งให้นายขาวเป็นตัวแทน
เฉพาะการสั่งสินค้ามาขายในร้าน และจ�ำกัดเฉพาะสินค้าประเภทเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัตินายแดง
ยินยอมให้นายขาวกระท�ำการแทนตนหมดทุกเรือ่ งในกิจการร้านค้านัน้ กรณีเช่นนีม้ ใิ ช่กรณีตวั แทนรับมอบ
อ�ำนาจแต่เฉพาะการ เพราะต้องวินจิ ฉัยว่านายแดงแต่งตัง้ ให้นายขาวเป็นตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทัว่ ไปเฉพาะ
กิจการโดยปริยายแล้ว
2. ขอบอ�ำนาจหน้าที่
ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการนั้นมีอ�ำนาจหน้าที่จ�ำกัด จะต้องปฏิบัติหน้าที่ในขอบเขตที่
ธ
ตัวการมอบหมายเท่านัน้ ปพพ. มาตรา 800 บัญญัตวิ า่ “ถ้าตัวแทนได้รบั มอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการ ท่านว่า
จะท�ำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิง่ ทีจ่ ำ� เป็น เพือ่ ให้กจิ การอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนัน้ ส�ำเร็จลุลว่ งไป”
มส
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่จ�ำเป็นในการที่ตัวแทนต้องปฏิบัติแทนตัวการนั้นอาจเป็นงานในหน้าที่โดยตรง และการ
อันเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่ด้วย เช่น นายขาวแต่งตั้งให้นายแดงไปท�ำสัญญาขายที่ดินแปลงหนึ่งของนายขาว
ให้แก่นายด�ำ กิจการทีน่ ายแดงจะกระท�ำแทนนายขาวได้ยอ่ มหมายถึงการลงนามในสัญญา การช�ำระค่าทีด่ นิ
ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนนิตกิ รรมการขายทีด่ นิ ค่าพาหนะเดินทางไปท�ำสัญญาซือ้ ขาย ค่าถ่ายส�ำเนา
เอกสารต่างๆ เช่นนี้เป็นต้น จะเห็นว่ากิจการที่นายแดงจะต้องกระท�ำนั้นมีทั้งกิจการอันเป็นหน้าที่โดยตรง
คือการลงนามในสัญญา การรับช�ำระราคาจากนายด�ำ และมีกิจการอันเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่ คือ ค่าพาหนะ
ม
เดินทาง ค่าถ่ายส�ำเนาเอกสาร เช่นนี้เป็นต้น นายแดงสามารถกระท�ำได้ทั้งสิ้นในกิจการเหล่านั้น
อย่างไรก็ตามเกีย่ วกับขอบเขตอ�ำนาจของตัวแทนชนิดนี้ แม้จะมีจำ� กัด แต่ถา้ เป็นกรณีฉกุ เฉินเพือ่
ประโยชน์ของตัวการแล้ว ตัวแทนชนิดนี้ก็อาจท�ำการได้ เช่น กรณีตัวแทนตัวอย่างที่ยกมานั้นหากนายด�ำ
ผูซ้ อื้ ช�ำระราคาเป็นเช็ค และเช็คนัน้ ไม่สามารถขึน้ เงินได้ กรณีเช่นนีน้ ายแดงอาจด�ำเนินการอายัดทีด่ นิ แปลง
นั้นต่อนายทะเบียนได้เป็นต้น ดังนั้นในการพิจารณาขอบอ�ำนาจหน้าที่ของตัวแทนชนิดนี้จึงต้องพิจารณา
โดยเคร่งครัด ตาม ปพพ. มาตรา 800 กล่าวคือตัวแทนชนิดนี้จะมีอ�ำนาจหน้าที่กระท�ำการแทนตัวการ
เพียงใดในสิ่งที่จำ� เป็น เพื่อให้งานนั้นส�ำเร็จลุล่วงไปได้ตามที่ตัวการมุ่งหวังเท่านั้น จะท�ำนอกเหนืออ�ำนาจ
สธ
หน้าทีไ่ ม่ได้ หากกระท�ำนอกเหนืออ�ำนาจหน้าทีก่ ต็ อ้ งรับผิดต่อตัวการดังทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้ใน ปพพ. มาตรา 812
ซึ่งหากตัวแทนจะไม่ต้องรับผิดก็ต้องเป็นกรณีที่ตัวการให้สัตยาบันแก่การกระท�ำนั้น ตาม ปพพ. มาตรา
823
ม
6-28 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
กิจกรรม 6.2.1
1. กิจการที่ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการจะต้องกระท�ำนั้นอาจแบ่งแยกออกได้เป็นกี่
ประเภท อะไรบ้าง
2. นายจันทร์มอบหมายให้นางอาทิตย์ไปท�ำสัญญาจ�ำนองแทน กรณีเช่นนีน้ างอาทิตย์จะมีอำ� นาจ
ธ
ท�ำการแทนนายจันทร์ในเรื่องการบังคับจ�ำนองหรือการไถ่ถอนจ�ำนองหรือไม่เพราะเหตุใด
แนวตอบกิจกรรม 6.2.1
มส
1. แยกได้เป็น 2 ประเภท คือกิจการในหน้าที่และกิจการอันเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่
2. นางอาทิตย์ไม่มอี ำ� นาจกระท�ำเช่นนัน้ เพราะขอบเขตอ�ำนาจมีเพียงเฉพาะการคือเรือ่ งท�ำสัญญา
จ�ำนอง ทั้งนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 800
เรื่องที่ 6.2.2
ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไปเฉพาะกิจการ
ธ
มส
1. ความหมาย
ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไปเฉพาะกิจการนั้นได้แก่ตัวแทนที่มีหน้าที่ดูแลหรือด�ำเนินการแทน
ตัวการเป็นการทั่วไป แต่ก็เฉพาะกิจการบางอย่างเท่านั้น อ�ำนาจที่มีอยู่ทั่วไปจึงมีเฉพาะในกิจการหรือที่
เกีย่ วเนือ่ งกับกิจการ ตัวแทนชนิดนีแ้ ตกต่างจากตัวแทนรับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการตรงทีก่ จิ การทีต่ วั แทน
จะกระท�ำการแทนตัวการได้นนั้ ยังเป็นกิจการเฉพาะการอยู่ เช่น นายแดงมอบอ�ำนาจให้นายด�ำดูแลกิจการ
ร้านค้าผ้าของตน นายด�ำย่อมเป็นตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทัว่ ไปเฉพาะในกิจการร้านค้าผ้าของนายแดงเท่านัน้
ม
แต่อำ� นาจดูแลกิจการนั้นมีกว้างขวาง เช่น การสั่งซื้อสินค้า ขายสินค้า จ้างลูกจ้าง ช�ำระภาษี ฯลฯ เช่นนี้
เป็นต้น ส�ำหรับตัวแทนชนิดนี้บางทีก็อาจจะถูกจัดอยู่ในประเภทตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไปเฉพาะใน
กิจการ ตาม ปพพ. มาตรา 800 เท่านัน้ ไม่ใช่ตวั แทนรับมอบอ�ำนาจทัว่ ไป ตาม ปพพ. มาตรา 801 เพราะ
เจตนาของนายแดงมีเพียงให้นายด�ำดูแลกิจการร้านค้าเท่านั้น นายด�ำย่อมมีอ�ำนาจจ�ำกัดในกิจการแต่
ไม่จ�ำกัดในการด�ำเนินงาน เพราะการด�ำเนินงานเป็นวิธีการ แต่กิจการเป็นเรื่องของขอบเขตอ�ำนาจ หาก
นายด�ำท�ำกิจการเหนือขอบอ�ำนาจ นายด�ำย่อมต้องรับผิดต่อนายแดง ตาม ปพพ. มาตรา 812 เว้นแต่จะ
สธ
มีข้อยกเว้น ตาม ปพพ. มาตรา 802 ซึ่งตัวแทนตามมาตรา 802 สามารถใช้ได้กับตัวแทนทุกกรณี
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน 6-29
2. ขอบเขตอ�ำนาจหน้าที่
ตัวแทนชนิดนี้เป็นเพียงตัวแทนเฉพาะการอย่างหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนเฉพาะการที่มีอ�ำนาจทั่วไป
เฉพาะในการนั้นๆ อ�ำนาจจึงกว้างขวางกว่าชนิดแรก โดยมีอ�ำนาจทั่วไปในขอบเขตเฉพาะกิจการที่ได้รับ
มอบหมายเท่านัน้ จึงเรียกว่าตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทัว่ ไปเฉพาะกิจการ ซึง่ จ�ำเป็นต้องพิจารณาจากอ�ำนาจ
ธ
หน้าที่ จากข้อตกลง หรือธรรมเนียมประเพณีในเรื่องนั้นๆ ด้วย
อุทาหรณ์
ฎ. 247/2510 ตัวการมอบอ�ำนาจให้ตัวแทนมีอ�ำนาจรับจ�ำนองที่พิพาทแทนจนเสร็จการ ตัวแทน
มส
ย่อมมีอ�ำนาจท�ำการใดๆ ในสิ่งจ�ำเป็นได้ เพื่อการรับจ�ำนองได้ส�ำเร็จลุล่วงไป เมื่อตัวแทนรับทราบว่าที่
พิพาทนัน้ อยูร่ ะหว่างเป็นความกันแต่กร็ บั จ�ำนองไว้ ผลก็เท่ากับตัวการได้รบั จ�ำนองไว้โดยรูว้ า่ เขาเป็นความ
กัน เมือ่ ปรากฏภายหลังว่าผูจ้ �ำนองไม่มสี ทิ ธิเอาทีพ่ พิ าทไปจ�ำนอง การจ�ำนองก็ไม่ผกู พันเจ้าของอันแท้จริง
ฎ. 10482/2546 สัญญาที่มีข้อตกลงเกี่ยวกับการเงินที่โจทก์และจ�ำเลยจะต้องปฏิบัติต่อกันไม่มี
สัญญาข้อใดหรือตอนใดระบุว่าโจทก์และจ�ำเลยได้ตกลงเข้ากันเพื่อกระท�ำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะ
แบ่งปันก�ำไรอันจะพึงได้แก่กิจการที่ท�ำนั้น อันเป็นหลักการของการเป็นหุ้นส่วนดังที่บัญญัติไว้ใน ปพพ.
มาตรา 1012 ในสัญญาคงมีแต่ขอ้ ความว่า จ�ำเลยมีสทิ ธิได้รบั เงินอะไรทีไ่ ม่ตอ้ งคืนโจทก์เท่านัน้ ส�ำหรับเงิน
ที่โจทก์โอนให้แก่จ�ำเลยเพื่อซื้อที่ดินแปลงพิพาทนั้น ในสัญญาก็ระบุให้จ�ำเลยจะต้องคืนเงินทุนทั้งหมดที่
โจทก์โอนมาให้แก่จ�ำเลยเพื่อซื้อที่ดิน ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นแจ้งชัดว่าโจทก์และจ�ำเลยมิใช่หุ้นส่วนกัน เมื่อจ�ำเลย
ธ
มีหน้าทีต่ ามสัญญาเพียงส่งมอบเงินทุนทัง้ หมดคืนแก่โจทก์ จ�ำเลยจึงมีฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ในกิจการ
นี้เท่านั้น โจทก์ซึ่งเป็นตัวการย่อมมีสิทธิในเงินที่ได้จากการขายที่ดินแปลงพิพาทแต่เพียงผู้เดียว
มส
ฎ. 247/2550 ผู้รับมอบอ�ำนาจให้ฟ้องคดีแทนวัดเป็นตัวแทนเฉพาะการย่อมมีอ�ำนาจกระท�ำการ
แทนตัวการในสิ่งที่จ�ำเป็นเพื่อให้กิจการอันตัวการได้มอบหมายแก่ตนส�ำเร็จลุล่วงไป การตั้งทนายความ
เป็นการกระท�ำทีจ่ ำ� เป็นในการด�ำเนินคดี ผูร้ บั มอบอ�ำนาจจึงมีอำ� นาจตัง้ ทนายความด�ำเนินคดีแทนวัด ตาม
ปพพ. มาตรา 800 และ ปวพ. มาตรา 60 วรรคสอง
อย่างไรก็ดี ถ้าตามสภาพของกิจการเองหรือธรรมเนียมประเพณีอาจมีกรณีจ�ำเป็นตัวแทนย่อม
กระท�ำการใดๆ ก็ได้ตามทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้ใน ปพพ. มาตรา 802 ว่า “ในเหตุฉุกเฉินเพื่อป้องกันมิให้ตัวการต้อง
ม
เสียหาย ท่านให้สนั นิษฐานไว้กอ่ นว่าตัวแทนจะท�ำการใดๆ เช่นอย่างวิญญูชนจะพึงกระท�ำ ก็ยอ่ มมีอำ� นาจ
จะท�ำได้ทั้งสิ้น” ซึ่งก็หมายความว่าตัวแทนไม่สามารถติดต่อกับตัวการได้แม้จะพยายามแล้ว และการที่
กระท�ำไปนั้นเพื่อประโยชน์ของตัวการ และจ�ำเป็นโดยพิจารณาจากหลักวิญญูชน ทั้งต้องกระท�ำไปโดย
สุจริต ซึ่งการอ้างถึงกรณีตัวแทนโดยจ�ำเป็นนั้นมักจะต้องมีความสัมพันธ์ในฐานะตัวแทนตัวการกันอยู่
ก่อนแล้ว แต่มีการท�ำการเกินอ�ำนาจเกิดขึ้น หากไม่มีความสัมพันธ์กันมาก่อนเลยก็ไม่อาจอยู่ในเรื่องของ
ตัวแทนแต่อาจเป็นเรื่องจัดการงานนอกสั่ง
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 2445/2533 จ�ำเลยที่ 2 ซึง่ เป็นหุน้ ส่วนผูจ้ ดั การของห้างหุน้ ส่วนจ�ำกัดจ�ำเลยที่ 1 ได้ถงึ แก่ความ
ตายไปก่อนโจทก์ฟอ้ งจ�ำเลยขอให้ลม้ ละลาย ห้างฯ จ�ำเลยที่ 1 ซึง่ มีหนุ้ ส่วนอยู่ 2 คน คือจ�ำเลยที่ 2 และ ว.
จึงต้องเลิกกันเนื่องจากสภาพความเป็นหุ้นส่วนย่อมไม่มีอีกต่อไป คงมีอยู่แต่เฉพาะ ว. ผู้เดียว หากจะ
ม
6-30 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาทีผ่ ดิ ระเบียบนับแต่ ว.แต่งทนายเข้ามาสูค้ ดีแทนห้างฯ จ�ำเลยที่ 1 เสียทัง้ หมด
มส
กิจกรรม 6.2.2
นายเสรีมอบอ�ำนาจให้นายสุวิทย์ดูแลกิจการเหมืองแร่ของตนเป็นเวลา 1 ปี กรณีเช่นนี้นายสุวิทย์
จะมีอำ� นาจหน้าที่เพียงใด
แนวตอบกิจกรรม 62.2
อ�ำนาจหน้าทีข่ องนายสุวทิ ย์มเี ฉพาะในกิจการเหมืองแร่เท่านัน้ ซึง่ อาจเป็นอ�ำนาจโดยตรงและโดย
ทางอ้อม
ธ
มส
เรื่องที่ 6.2.3
ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไป
1. ความหมาย
ม
ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทัว่ ไปคือตัวแทนทีม่ อี ำ� นาจกระท�ำการแทนตัวการทุกอย่างเว้นแต่ในกิจการ
ที่กฎหมายห้ามมิให้กระท�ำการแทนกันได้ หรือเป็นกิจการที่จ�ำเป็นต้องท�ำเองเฉพาะตัวไม่อาจจะกระท�ำ
การแทนกันได้ ตัวแทนชนิดนีม้ อี ำ� นาจกว้างขวางมาก ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทัว่ ไปอาจมีได้ในกรณีทตี่ วั การ
ไม่อาจด�ำเนินกิจการได้ด้วยตนเองเพราะเหตุจ�ำเป็นบางประการ เช่น นายแดงเจ็บป่วยหนักไม่สามารถ
ด�ำเนินกิจการของตนเองได้ จึงแต่งตั้งให้นายด�ำท�ำการแทนตนในทุกเรื่องได้ เป็นต้น
2. ขอบเขตอ�ำนาจหน้าที่
สธ
ในเรื่องขอบเขตอ�ำนาจหน้าที่ของตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไป ปพพ. มาตรา 801 บัญญัติว่า “ถ้า
ตัวแทนได้รับมอบอ�ำนาจทั่วไป ท่านว่าจะท�ำกิจใดๆ ในทางจัดการแทนตัวการก็ย่อมท�ำได้ทุกอย่าง
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน 6-31
ธ
(5) ยื่นฟ้องต่อศาล
(6) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา”
มส
จากบทบัญญัตดิ งั กล่าวจะเห็นได้วา่ ตัวแทนประเภทนีม้ อี �ำนาจท�ำการแทนตัวการได้ทกุ อย่างทีพ่ งึ
ท�ำการแทนกันได้ กฎหมายจึงจ�ำกัดอ�ำนาจไว้เฉพาะอย่างตามอนุมาตรา 1 ถึงอนุมาตรา 6 ทัง้ นีเ้ พือ่ คุม้ ครอง
ผลประโยชน์ของตัวการ ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทัว่ ไปแตกต่างกับตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทัว่ ไปเฉพาะกิจการ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
อุทาหรณ์
ฎ. 686/2546 หนังสือมอบอ�ำนาจทัว่ ไปมิได้มงุ่ หมายให้ตวั แทนกระท�ำกิจการใดโดยเฉพาะเจาะจง
ทั้งการฟ้องคดีก็มิได้ระบุตัวบุคคลผู้เป็นลูกหนี้หรือบุคคลที่จะถูกฟ้องว่าเป็นบุคคลใดย่อมมีผลในการมอบ
อ�ำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนร่วมกระท�ำการมากกว่าครั้งเดียว โจทก์จึงใช้หนังสือมอบอ�ำนาจ
ดังกล่าวฟ้องลูกหนี้ของโจทก์ได้ทุกคดี โดยไม่มีจ�ำกัดจ�ำนวนคดีและตัวบุคคล แม้โจทก์จะเคยใช้หนังสือ
ธ
มอบอ�ำนาจฟ้องจ�ำเลยมาแล้ว โจทก์ก็มีอ�ำนาจใช้หนังสือมอบอ�ำนาจฉบับเดิมมาฟ้องจ�ำเลยในคดีนี้ได้อีก
(ฎ. 652/2508, ฎ. 8743/2542, ฎ. 3171–3172/2545, ฎ. 1690/2551, ฎ. 6659/2551)
ฎ. 3093/2549 ผูร้ อ้ งมอบอ�ำนาจให้ อ. ยืน่ ค�ำร้องขอคืนของกลางแทนผูร้ อ้ ง โดยให้มอี ำ� นาจด�ำเนิน
มส
กิจกรรม 6.2.3
ธ
1. ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไป มีขอบเขตอ�ำนาจหน้าที่จะกระท�ำการแทนตัวการเพียงใด และมี
ข้อจ�ำกัดอย่างไรบ้างหรือไม่ จงอธิบาย
มส
2. นายอังคารแต่งตั้งให้นายพุธเป็นตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไป ขณะที่ท�ำหน้าที่ตัวแทนให้แก่
นายอังคารนั้น นายพุธน�ำบ้านและที่ดินของนายอังคารไปจ�ำนองกับธนาคารเพื่อกู้เงินมาใช้จ่ายในกิจการ
ของนายอังคาร กรณีเช่นนี้นายพุธมีอ�ำนาจกระท�ำการแทนดังกล่าวหรือไม่
แนวตอบกิจกรรม 6.2.3
1. มีอ�ำนาจกระท�ำการได้ทุกประการเว้นแต่กิจการ ตาม ปพพ. มาตรา 801 (1)-(6) และกิจการ
ที่ตัวการจะต้องท�ำเองเฉพาะตัว
2. นายพุธไม่มีอ�ำนาจกระท�ำเพราะขัดกับบทบัญญัติ ปพพ. มาตรา 801 (1)
ธ
มส
เรื่องที่ 6.2.4
ตัวแทนชนิดพิเศษ
1. ตัวแทนช่วง
ม
ตัวแทนช่วงคือบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากตัวแทนให้กระท�ำการในหน้าที่ของตัวแทนให้กับตัวการ
ตัวแทนช่วงจึงเปรียบเสมือนตัวแทนคนหนึ่งของตัวการนั่นเอง แตกต่างจากการตั้งตัวแทนหลายคนตรงที่
ในกรณีตั้งตัวแทนหลายคนนั้น ตัวการเองเป็นผู้แต่งตั้ง แต่กรณีตัวแทนช่วงนั้น ตัวแทนเป็นผู้แต่งตั้ง อาจ
แต่งตัง้ โดยความยินยอมชัดแจ้งจากตัวการหรือโดยการยินยอมโดยปริยายก็ได้ ตามปกตินนั้ การเป็นตัวแทน
สธ
กันนั้นย่อมต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวเพราะเป็นเรื่องความไว้วางใจกัน กฎหมายจึงวางหลักไว้ว่า
ตัวแทนเมื่อได้รับแต่งตั้งจากตัวการแล้วจะต้องกระท�ำหน้าที่ด้วยตนเอง ในบางครั้งตัวแทนก็จ�ำเป็นต้องมี
ผู้ช่วย ดังนั้นจึงอาจตั้งตัวแทนช่วงเพื่อช่วยเหลือในภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากตัวการได้ เช่น นาย
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน 6-33
ธ
ชัดแจ้ง และเกิดจากการแต่งตั้งโดยปริยาย
ผลทางกฎหมายเมื่อมีการตั้งตัวแทนช่วง ฐานะตัวแทนช่วงอยู่ในฐานะเช่นเดียวกับตัวแทนไม่ว่า
มส
จะเป็นตัวแทนช่วงทีไ่ ด้รบั การแต่งตัง้ โดยความยินยอมโดยตรงหรือโดยปริยายของตัวการก็ตาม เมือ่ มีการ
แต่งตั้งตัวแทนช่วงขึ้นแล้ว ความรับผิดระหว่างตัวการตัวแทนและตัวการช่วงมีดังนี้
1.1 กรณีที่ตัวการระบุตัวแทนช่วงชัดแจ้ง กรณีเช่นนีต้ วั การกับตัวแทนช่วงย่อมมีหน้าทีแ่ ละความ
รับผิดต่อกันโดยตรง ส่วนตัวแทนเดิมไม่ต้องรับผิดต่อตัวการในความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้น ตัวแทนจะ
รับผิดต่อตัวการเพียงในกรณีทตี่ นได้รอู้ ยูว่ า่ การตัง้ ตัวแทนช่วงนัน้ เป็นผูไ้ ม่เหมาะสมแก่การทีก่ ระท�ำนัน้ หรือ
เป็นผู้ที่ไม่น่าไว้วางใจและไม่ได้แจ้งเหตุการณ์ดังกล่าวให้ตัวการทราบหรือมิได้ถอนตัวแทนช่วงนั้นเสีย
ตามที่ ปพพ. มาตรา 813 บัญญัตวิ า่ “ตัวแทนผูใ้ ดตัง้ ตัวแทนช่วงตามทีต่ วั การระบุตวั ให้ตงั้ ท่านว่าตัวแทน
ผู้นั้นจะต้องรับผิดแต่เพียงในกรณีที่ตนได้รู้ว่าตัวแทนช่วงนั้นเป็นผู้ที่ไม่เหมาะแก่การ หรือเป็นผู้ที่
ไม่สมควรไว้วางใจแล้ว และไม่ได้แจ้งความนั้นให้ตัวการทราบหรือมิได้เลิกถอนตัวแทนช่วงนั้นเสียเอง”
ธ
ในกรณีที่ตัวการมิได้ระบุตัวแทนช่วงไว้แต่ระบุให้ตัวแทนมีอ�ำนาจตั้งตัวแทนช่วงได้ กรณีนี้ความ
รับผิดของตัวการกับตัวแทนก็มไิ ด้เปลีย่ นแปลงไป ตัวแทนช่วงท�ำสิง่ ใดเกิดความเสียหายแก่ตวั การ ตัวแทน
มส
คนเดิมก็ยังมีความผูกพันต่อตัวการอยู่เช่นเดิม
1.2 กรณีตัวการยินยอมให้ตั้งตัวแทนช่วงโดยปริยาย การยินยอมโดยปริยายของตัวการนี้มีผล
แตกต่างจากการยินยอมโดยตรงและระบุตัวแทนช่วงไว้ เพราะหากเป็นกรณีที่ตัวแทนตั้งตัวแทนช่วงขึ้น
โดยอาศัยความยินยอมโดยปริยายจากตัวการแล้ว ตัวแทนต้องรับผิดชอบต่อตัวการในการกระท�ำของ
ตัวแทนช่วงด้วย เช่น ตัวแทนเลือกตัวแทนช่วงที่ไม่เหมาะสมท�ำให้กิจการที่ท�ำเสียหายเช่นนี้ยังต้องรับผิด
ต่อตัวการอยู่ ส่วนตัวแทนช่วงนั้นย่อมต้องรับผิดชอบต่อตัวการอยู่แล้วไม่ว่าตนจะเป็นตัวแทนช่วงโดยได้
2. ตัวแทนเชิด
ปพพ. มาตรา 821 บัญญัติว่า “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตน
ก็ดี รู้แล้วยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้น
จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน” ตัวแทนเชิด
ธ
เป็นหลักกฎหมายเพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริต กล่าวคือเป็นกรณีที่บุคคลหนึ่งซึ่งมิได้เป็นตัวการ
ตัวแทนกันมาก่อน แต่บุคคลนั้นไปแสดงตนต่อบุคคลภายนอกว่าตนเป็นตัวแทนของบุคคลอีกคนหนึ่ง จน
บุคคลภายนอกหลงเชื่อและก่อนิติสัมพันธ์ขึ้นด้วย ซึ่งตัวแทนเชิดนั้นต้องอาศัยการแสดงออกโดยตรงหรือ
มส
โดยปริยายของตัวการว่ายอมให้เชิดหรือไม่ มิใช่วา่ อยูด่ ๆี ใครก็ไปแอบอ้างโดยเขาไม่รเู้ รือ่ ง เรือ่ งตัวแทนเชิดนี้
อย่าน�ำไปปะปนกับกรณีที่ตัวแทนท�ำการเกินอ�ำนาจ ตาม ปพพ. มาตรา 822 หรือตัวแทนโดยการให้
สัตยาบันตาม ปพพ. มาตรา 823 หรือตัวแทนโดยจ�ำเป็น ตาม ปพพ. มาตรา 802 ซึ่งกรณีดังกล่าว
มีความเป็นตัวแทนตัวการกันมาก่อนแล้ว แต่ตัวแทนท�ำการเกินอ�ำนาจ ทั้งกรณีตัวแทนเชิดก็มิใช่ตัวแทน
ที่ไม่เปิดเผยชื่อตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 806 ซึ่งขออธิบายโดยย่อๆ
กรณีตัวแทนเชิด ตาม ปพพ. มาตรา 821 เป็นตัวแทนโดยผลของกฎหมาย เพราะมิได้มีการตั้ง
ตัวแทนกันมาก่อน แต่กฎหมายปิดปากมิให้เถียงว่าบุคคลนั้นไม่ใช่ตัวแทน
อุทาหรณ์
ฎ. 803-804/2543 บริษัทจ�ำเลยที่ 1 รู้และยินยอมให้จำ� เลยที่ 2 และที่ 3 น�ำที่ดินจัดสรรออกขาย
ธ
แก่บคุ คลภายนอกซึง่ รวมทัง้ ทีด่ นิ พิพาท ถือได้วา่ จ�ำเลยที่ 1 เชิดจ�ำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทน
ของตน หรือรู้แล้วยอมให้จำ� เลยที่ 2 และที่ 3 เชิดตัวเองออกเป็นตัวแทนของตน จ�ำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพัน
มส
ธ
ที่ 1 ซึง่ ไม่ถกู ต้องตามข้อบังคับทีต่ อ้ งมีจำ� เลยที่ 2 ลงลายมือชือ่ ร่วมกับกรรมการอืน่ อีกคนหนึง่ และประทับ
ตราส�ำคัญของบริษัทก็ตาม แต่บริษัทจ�ำเลยที่ 1 ให้การยอมรับว่า จ�ำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อ
มส
ค�้ำประกันการกู้ยืมเงินของจ�ำเลยที่ 1 จึงเท่ากับเป็นการให้สัตยาบัน บริษัทจ�ำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตาม
เช็คพิพาทแก่โจทย์ตามมาตรา 823, 1167 จ�ำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
กรณีตวั แทนโดยจ�ำเป็น ปพพ. มาตรา 802 บัญญัตวิ า่ “ในเหตุฉุกเฉินเพื่อจะป้องกันมิให้ตัวการ
ต้องเสียหาย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ตัวแทนจะท�ำการใดๆ เช่นอย่างวิญญูชนจะพึงกระท�ำ ก็ย่อม
มีอ�ำนาจจะท�ำได้ทั้งสั้น”
ตัวแทนโดยจ�ำเป็นเน้นเรือ่ งทีม่ กี ารตัง้ ตัวแทนไว้ แต่มกี รณีจำ� เป็นในเหตุฉกุ เฉินต้องกระท�ำการแต่
ตัวแทนไม่สามารถติดต่อขอค�ำสั่งจากตัวการได้ ซึ่งแต่เดิมตัวแทนไม่ได้มีอ�ำนาจจะกระท�ำการเช่นนั้น
ตัวแทนจึงต้องป้องกันเพื่อมิให้ตัวการเสียหาย ทั้งนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวการ โดยตัวแทนต้อง
กระท�ำอย่างวิญญูชนจะพึงกระท�ำ
ธ
อุทาหรณ์
นายด�ำตั้งให้นายแดงเป็นตัวแทนในการขายรถยนต์ ในราคา 2000,000 บาท นายแดงขายอยู่
มส
ธ
ที่มีต่อตัวแทนและได้ขวนขวายมาก่อนที่จะรู้ว่าเป็นตัวแทนไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองผู้สุจริต
อุทาหรณ์
มส
นายแดงเป็นตัวแทนนายด�ำท�ำการซื้อขายที่ดินจากนายขาวโดย ปกปิดมิให้นายขาวทราบว่า
ท�ำการแทนนายด�ำ ทั้งนี้เพราะนายด�ำกับนายขาวไม่ถูกกัน หากนายขาวทราบความจริงจะไม่ยอมขายที่
ให้นายแดง ต้องถือว่านายแดงเป็นคูส่ ญ ั ญากับนายขาวโดยตรง แม้ตอ่ มาภายหลังนายแดงจะเปิดเผยความ
จริงให้ นายขาวทราบก็ตาม ดังนัน้ หากการซือ้ ขายนัน้ นายแดงตกลงจะจดทะเบียนภาระจ�ำยอมให้แก่นาย
ขาวเป็นการตอบแทนทีน่ ายขาวยอมขายทีด่ นิ ให้เช่นนี้ นายด�ำก็ตอ้ งจดทะเบียนภาระจ�ำยอมตามทีน่ ายแดง
ตกลงไว้ แต่หากภายหลังบอกความจริงกับนายขาวแล้วจึงสัญญาว่าจะจดทะเบียนภาระจ�ำยอมให้เช่นนี้
กรณีไม่ใช่นายขาวได้สิทธิขวนขวายได้มาแต่ก่อน ตาม ปพพ. มาตรา 806
ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 2761/2549 โจทก์ที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอ�ำนาจกระท�ำนิติกรรมแทนโจทก์ที่ 2 การที่โจทก์ที่ 1
รับจ�ำนองทีด่ นิ จากจ�ำเลยเพือ่ เป็นประกันหนีเ้ งินกูท้ จี่ ำ� เลยกูย้ มื ไปจากโจทก์ที่ 2 เป็นการกระท�ำแทน โจทก์
มส
หาได้ไม่ ตาม ปพพ. มาตรา 806 โจทก์จงึ ไม่มอี ำ� นาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนทีด่ นิ ทีจ่ ำ� เลย
ได้มาจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผลทางกฎหมาย เมือ่ เกิดตัวแทนเชิดขึน้ ก็เกิดมีสญ ั ญาตัวแทนขึน้ ในระหว่างตัวแทนเชิดและตัวการ
ดังนั้น จึงต้องบังคับไปเหมือนตัวแทนธรรมดา ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนเชิดกับตัวการคงเป็นไปตาม
ปกติเหมือนตัวแทนธรรมดานั่นเอง ซึ่งบุคคลภายนอกจะต้องฟ้องร้องให้ตัวการรับผิดไม่ใช่ตัวแทนเชิด
ธ
ยกเว้นในกรณีละเมิดซึ่งตัวแทนเชิดและตัวการต้องร่วมกันรับผิด ตาม ปพพ. มาตรา 427
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 2452/2531 ผู้มีชื่อน�ำรถแท็กซี่มาจดทะเบียนเป็นชื่อของบริษัทจ�ำเลยที่ 2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์
ประกอบการเดินรถยนต์บรรทุกคนโดยสาร แล้วจ�ำเลยที่ 2 ยอมให้จ�ำเลยที่ 1 น�ำรถคันดังกล่าวออกวิ่งรับ
คนโดยสาร โดยมีตราของบริษทั จ�ำเลยที่ 2 ติดอยูข่ า้ งรถ และจ�ำเลยที่ 2 ได้รบั ผลประโยชน์จากการนีด้ ว้ ย
ดังนี้เท่ากับจ�ำเลยที่ 2 เชิดให้จำ� เลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จ�ำเลยที่ 2 ต้องร่วม
รับผิดต่อโจทก์ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการท�ำละเมิดของจ�ำเลยที่ 1
ฎ. 1925/2537 การรถไฟแห่งประเทศไทย จ�ำเลยที่ 1 มิได้สั่งให้จ�ำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานของ
จ�ำเลยที่ 1 สั่งซื้อเบียร์จากโจทก์ในนามจ�ำเลยที่ 1 แต่เป็นเรื่องจ�ำเลยที่ 3 ใช้ตำ� แหน่งหน้าที่โดยทุจริตสั่ง
ซื้อเบียร์จากโจทก์เองโดยพลการ การที่จ�ำเลยที่ 3 ใช้อำ� นาจหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ไว้โดยใช้ใบรับเงิน
ของจ�ำเลยที่ 1 จ�ำเลยที่ 1 ก็ไม่รู้เห็นยินยอมให้จ�ำเลยที่ 3 กระท�ำ การกระท�ำของจ�ำเลยที่ 3 ต่างๆ จ�ำเลย
ธ
ที่ 1 มิได้มีส่วนได้เสียหรือยินยอมด้วย จ�ำเลยที่ 3 จึงมิใช่ตัวแทนเชิดของจ�ำเลยที่ 1
ฎ. 2305/2542 แม้จ�ำเลยที่ 1 และที่ 2 จะตกลงให้จำ� เลยที่ 3 รับเหมาช่วงงานก่อสร้างบางส่วน
มส
3. ตัวแทนค้าต่าง
ม
จึงต้องร่วมรับผิดกับจ�ำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ด้วย แต่จ�ำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
ธ
ผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ ผู้จัดการงานนอกสั่ง ผู้จัดการมรดกมิได้มีนิติสัมพันธ์กันโดยแต่งตั้งตาม
สัญญาเป็นแต่กฎหมายให้นำ� บทบัญญัตเิ รือ่ งตัวแทนมาอนุโลมใช้บงั คับเท่านัน้ มิใช่ตวั แทนตามความหมาย
มส
ใน ปพพ. แต่เป็นตัวแทนที่เกิดขึ้นโดยอ�ำนาจของกฎหมาย
อุทาหรณ์
ฎ. 1217/2543 ผู้จัดการมรดกที่ศาลมีคำ� สั่งตั้งมีอำ� นาจและหน้าที่ที่จะท�ำการอันจ�ำเป็นเพื่อให้การ
เป็นไปตามค�ำสัง่ แจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินยั กรรมและเพือ่ จัดการมรดกโดยทัว่ ไปหรือเพือ่ แบ่งปันทรัพย์
มรดก และเป็นหน้าที่ของผู้จัดการมรดกจะต้องจัดการโดยตนเอง จะให้ผู้ใดท�ำแทนไม่ได้ เว้นแต่กรณีเข้า
ข้อยกเว้นให้ผู้จัดการมรดกมอบให้ตัวแทนท�ำการได้ตามอ�ำนาจที่ให้ไว้โดยชัดแจ้ง หรือโดยปริยายใน
พินยั กรรม หรือโดยค�ำสัง่ ศาล หรือในพฤติการณ์เพือ่ ประโยชน์แก่กองมรดกผูจ้ ดั การมรดกทีศ่ าลมีคำ� สัง่ ตัง้
มิใช่ตัวแทนของทายาท อ�ำนาจหน้าที่และความรับผิดของผู้จัดการมรดกต่อทายาทเกิดขึ้นโดยบทบัญญัติ
ของกฎหมาย จึงมีฐานะเป็นผู้แทนตามกฎหมายของทายาทที่จะต้องจัดการมรดกเพื่อประโยชน์แก่กอง
ธ
มรดกและทายาท ทายาทหามีอ�ำนาจที่จะสั่งการให้ผู้จัดการมรดกกระท�ำการใดได้เพียงแต่ผู้จัดการมรดก
จะต้องรับผิดต่อทายาทโดยกฎหมายอนุโลมให้น�ำบทบัญญัติบางมาตราของลักษณะตัวแทนมาใช้ และ
มส
ทายาทย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้ควบคุมการจัดการมรดกของผู้จัดการมรดกให้อยู่ในขอบอ�ำนาจที่พินัยกรรม
และกฎหมายก�ำหนดไว้ รวมทั้งมีอ�ำนาจที่จะขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกที่ละเลยไม่ท�ำการตามหน้าที่
ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1729, 1731, 1726, 1732 และ 1727 วรรคสอง เป็นกรณี
ที่กฎหมายบัญญัติให้ศาลเป็นผู้ดูแลให้ผู้จัดการมรดกปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เพื่อให้การ
จัดการมรดกเป็นไปโดยเรียบร้อย ดังนั้น วิธีการจัดการมรดกซึ่งเป็นอ�ำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่จะ
กระท�ำเองทายาทและศาลไม่มีอ�ำนาจที่จะบังคับให้ผู้จัดการมรดกปฏิบัติตามมติที่ประชุมทายาทได้
กิจกรรม 6.2.4
1. ตัวแทนช่วงนั้นจะต้องรับผิดต่อใครบ้าง
ม
2. นายแดงเป็นเจ้าของร้านค้าชือ่ แดงพาณิชย์ ต่อมานายแดงได้ให้นายด�ำเช่าร้านค้าเพือ่ ประกอบ
กิจการค้าโดยนายแดงไม่ได้ปลดป้ายชือ่ ร้านเดิมออก นายด�ำได้สงั่ ซือ้ สินค้าจากนายขาวเข้ามาใช้โดยใช้ชอื่
ร้านของนายแดง โดยนายขาวไม่ทราบว่านายแดงได้ให้นายด�ำเช่าร้านค้านัน้ แล้ว ต่อมานายด�ำไม่ชำ� ระค่า
สธ
สินค้า กรณีเช่นนี้ท่านเห็นว่านายแดงจะต้องรับผิดชอบในหนี้สินต่อนายขาวหรือไม่ เพราะเหตุใด
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาตัวแทน 6-39
แนวตอบกิจกรรม 6.2.4
1. ต้องรับผิดต่อตัวการโดยตรงเสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนธรรมดา
2. นายแดงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวต่อนายขาวเพราะพฤติการณ์ของนายแดงเป็นการเชิดนาย
ด�ำเป็นตัวแทนของตนโดยนายขาวสุจริตไม่ได้ทราบความจริง ตาม ปพพ. มาตรา 821
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
6-40 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
บรรณานุกรม
ธ
กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์นิติบรรณาการ.
จักรพงษ์ เล็กสกุลไชย. (2545). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ด้วยตัวแทน นายหน้า จ้างท�ำของ
รับขน. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์นิติธรรม
มส
ไผทชิต เอกจริยกร. (2543). ตัวแทน นายหน้า. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพมหานคร: วิญญูชน.
มาโนช สุทธิวาทนฤพุฒิ. (2525). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า. (พิมพ์
ครั้งที่ 6). กรุงเทพมหานคร: บริษัทประชาชน จ�ำกัด.
สรรเสริญ ไกรจิตติ. (2520). กฎหมายว่าด้วยตัวแทนและนายหน้า. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
รามค�ำแหง.
ธ
มส
ม
สธ
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-1
หน่วยที่ 7
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ
ธ
อาจารย์ ดร.ประพันธ์ ทรัพย์แสง
มส
ธ
มส
ชื่อ
วุฒิ
อาจารย์ ดร.ประพันธ์ ทรัพย์แสง
น.บ. (เกียรตินิยมดีมาก) นบท.
ศศ.ม. (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง
ม
น.ด. (กิตติมศักดิ์) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ต�ำแหน่ง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 7
สธ
แผนการสอนประจ�ำหน่วย
ธ
หน่วยที่ 7 หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ
ตอนที่
แนวคิด
มส
7.1 หน้าที่และความรับผิดของตัวแทนต่อตัวการ
7.2 หน้าที่และความรับผิดของตัวการต่อตัวแทน
7.3 อายุความฟ้องร้องระหว่างตัวการกับตัวแทน
3. ตัวแทนต้องรับผิดต่อตัวการหากปฏิบัติผิดหน้าที่
4. ตัวการมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อตัวแทนในกิจการที่ตัวแทนได้กระท�ำไปตามหน้าที่หรือตามค�ำสั่ง
ของตัวการ หากการกระท�ำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวแทน
5. เมื่อเกิดความรับผิด ตัวการและตัวแทนย่อมฟ้องร้องกันในก�ำหนดอายุความ
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 7 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
ม
1. อธิบายหลักเกณฑ์เกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวการกับตัวแทนได้
2. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวการกับตัวแทนได้
3. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอายุความฟ้องร้องระหว่างตัวการกับตัวแทนได้
กิจกรรมระหว่างเรียน
สธ
1. ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 7
2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 7.1-7.3
3. ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-3
4. ฟังซีดีเสียงประกอบชุดวิชา
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
7. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 7
ธ
สื่อการสอน
1. เอกสารการสอน
2.
3.
4.
5.
มส
แบบฝึกปฏิบัติ
ซีดีเสียงประกอบชุดวิชา
รายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
การสอนเสริม (ถ้ามี)
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบประจ�ำภาคการศึกษา
ธ
มส
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 7 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ม
สธ
ม
7-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 7.1
หน้าที่และความรับผิดของตัวแทนต่อตัวการ
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 7.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
7.1.1 หลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทน
7.1.2 หน้าที่ของตัวแทนต่อตัวการ
7.1.3 ความรับผิดของตัวแทนต่อตัวการ
4. ตัวแทนไม่อาจได้รับประโยชน์หรือสิ่งตอบแทนใดๆ จากบุคคลภายนอกในเหตุที่ตนได้
กระท�ำไปในหน้าทีต่ วั แทน หากรับไว้กต็ อ้ งมอบให้แก่ตวั การ และหากเอาเงินของตัวการ
ไปใช้ต้องเสียดอกเบี้ย
5. ในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนตามที่ได้รับมอบหมายจากตัวการนั้น หากตัวการได้รับ
ความเสียหายใดๆ ตัวการสามารถเรียกร้องเอาจากตัวแทนได้
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 7.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของตัวแทนได้
ม
2. อธิบายเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนที่มีต่อตัวการได้
3. วินิจฉัยปัญหาเรื่องหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนต่อตัวการได้
สธ
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-5
เรื่องที่ 7.1.1
หลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทน
ธ
เมือ่ ตัวการและตัวแทนก่อสัญญาตัวแทนขึน้ โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตัวแทนก็ตอ้ งปฏิบตั หิ น้าที่
ของตนตามทีไ่ ด้รบั มอบหมายจากตัวการอย่างดีที่สุดโดยเต็มความสามารถและโดยสุจริต ในขณะเดียวกัน
มส
ตัวการก็ย่อมมีอ�ำนาจในการที่ควบคุมดูแลและสั่งการให้ตัวแทนปฏิบัติหน้าที่สมดังเจตนาของตัวการ
ลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดหลักเกณฑ์ทวั่ ไปในการปฏิบตั งิ านของตัวแทนซึง่ แบ่งแยกลักษณะการท�ำงานได้
เป็น 2 ประการคือ
1. ลักษณะงานในหน้าที่ของตัวแทน
2. ลักษณะการใช้อำ� นาจของตัวแทน
1. ลักษณะงานในหน้าที่ของตัวแทน อาจกล่าวได้ว่างานของตัวแทนนั้นมีอยู่ 2 ชนิดคือ งานใน
หน้าที่โดยตรงและงานอันเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่
1.1 งานในหน้าที่โดยตรง หมายถึง งานที่ตัวการมีเจตนาโดยตรงที่จะให้ตัวแทนปฏิบัติ
อันเป็นวัตถุประสงค์ของการตั้งตัวแทน เช่น นายแดงมอบให้นายด�ำเป็นตัวแทนในการด�ำเนินธุรกิจบ้าน
ธ
จัดสรร หน้าที่โดยตรงของนายด�ำก็คือการหาคนมาซื้อบ้านจัดสรรให้ได้ หน้าที่อื่นๆ นอกจากนั้นย่อมเป็น
หน้าที่ที่เกี่ยวเนื่องทั้งสิ้น การที่จะให้ตัวการก�ำหนดหน้าที่ของตัวแทนอย่างละเอียดไปทุกขั้นตอนและ
ทุกเรื่องในทางปฏิบัติกระท�ำได้ยาก ดังนั้นเมื่อตัวการมอบหมายให้ตัวแทนกระท�ำกิจการใดๆ ย่อมต้องใช้
มส
หรือเป็นงานอันเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่
อุทาหรณ์
ม
ขอไฟฟ้าหรือนาํ้ ประปาในเขตทีด่ นิ ทีจ่ ดั สรร งานโฆษณาประชาสัมพันธ์กจิ การ งานจ้างลูกจ้างเพือ่ ท�ำหน้าที่
ต่างๆ ฯลฯ งานเหล่านี้นับได้ว่าเป็นงานอันเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่ทั้งสิ้น อย่างไรเป็นงานในหน้าที่โดยตรง
ฎ. 2207/2533 ทนายโจทก์ไม่อ�ำนาจรับเงินช�ำระหนี้ตามค�ำพิพากษาจากจ�ำเลยนอกศาล
แทนโจทก์ โดยไม่ได้รับมอบอ�ำนาจจากโจทก์ให้รับเงินนั้นแทน การที่จ�ำเลยช�ำระหนี้ให้แก่ทนายเท่ากับ
เป็นการช�ำระหนี้ให้แก่บุคคลผู้ไม่มีอ�ำนาจรับช�ำระหนี้ เมื่อโจทก์ไม่ได้ให้สัตยาบันในการกระท�ำดังกล่าว
การช�ำระหนี้ของจ�ำเลยย่อมไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ชอบที่จะบังคับคดีต่อไปได้
2. ลักษณะการใช้อ�ำนาจในหน้าที่ของตัวแทน ปพพ. มาตรา 807 บัญญัติว่า “ตัวแทนต้อง
ธ
ท�ำการตามค�ำสั่งแสดงออกชัดหรือโดยปริยายของตัวการ เมื่อไม่มีค�ำสั่งเช่นว่านั้น ก็ต้องด�ำเนินตามทาง
ที่เคยท�ำกันมาในกิจการค้าขายอันเขาให้ตนท�ำอยู่นั้น
มส
อนึ่งบทบัญญัติมาตรา 659 ว่าด้วยการฝากทรัพย์นั้น ท่านให้น�ำมาใช้ด้วยโดยอนุโลมตามควร”
ปพพ. มาตรา 807 วรรคหนึ่ง วางหลักเกณฑ์ทั่วไปในการใช้อำ� นาจของตัวแทนไว้ 2 ประการคือ
2.1 การใช้อ�ำนาจโดยความยินยอมโดยชัดแจ้งจากตัวการ หมายถึง การใช้อ�ำนาจของ
ตัวแทนเพือ่ สัง่ การในหน้าทีน่ นั้ ซึง่ ต้องพิจารณาขอบเขตของอ�ำนาจทีต่ วั การมอบหมายไว้ให้เป็นหลัก อ�ำนาจที่
ตัวการมอบหมายให้แก่ตัวแทนโดยชัดแจ้งนั้นจึงได้แก่อ�ำนาจที่จะกระท�ำหน้าที่ในงานหลักที่ตัวการมอบ
หมาย เช่น นายด�ำมอบอ�ำนาจให้นายแดงไปท�ำสัญญาขายสวนผลไม้ให้แก่นายขาว อ�ำนาจโดยชัดแจ้งที่
นายแดงได้รับจากนายด�ำคือการขายสวนผลไม้ อ�ำนาจนี้เป็นอ�ำนาจที่ชัดแจ้งดังนั้นการที่นายด�ำลงนามใน
สัญญาขายพร้อมทัง้ รับช�ำระราคาจากนายขาวจึงเป็นอ�ำนาจทีก่ ระท�ำได้จากการมอบหมายโดยชัดแจ้งของ
นายแดง
ธ
2.2 การใช้อ�ำนาจโดยความยินยอมโดยปริยายจากตัวการ อ�ำนาจชนิดนี้ตัวแทนสามารถ
ใช้ได้โดยความยินยอมโดยปริยายจากตัวการซึ่งพิจารณาจากสภาพของงานหรือธรรมเนียมประเพณีใน
มส
ธ
นิตสิ มั พันธ์ตอ่ กัน และในการรับรถคืนไปนี้ ส. ได้บนั ทึกจ�ำนวนเงินค่าแรงซ่อมและเครือ่ งอะไหล่ให้โจทก์ไว้
เป็นหลักฐาน เพื่อให้โจทก์ไปรับเงินจากบริษัทจ�ำเลย ถือว่าการกระท�ำของ ส. เป็นไปภายในขอบเขต
มส
วัตถุประสงค์ของการมอบอ�ำนาจ ทั้งเมื่อบริษัทจ�ำเลยทราบเรื่องที่ ส. ได้บันทึกหนี้สินไว้กับโจทก์แล้วก็ไม่
ทักท้วงกลับนิ่งเฉยและรับเอาผลการซ่อมรถจึงเป็นการให้สัตยาบันโดยปริยายด้วย
ฎ. 3582/2534 แม้จำ� เลยที่ 1 จะมอบอ�ำนาจให้จำ� เลยที่ 2 ขอรับรถยนต์ของกลางจากสารวัตร
ใหญ่ แต่สารวัตรใหญ่ก็เป็นพนักงานสอบสวนคนหนึ่งและเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนด้วย การมอบ
อ�ำนาจให้กระท�ำต่อสารวัตรใหญ่ย่อมกระท�ำต่อพนักงานสอบสวนได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นการที่จ�ำเลยที่ 2
ยื่นค�ำร้องต่อพนักงานสอบสวนจึงเป็นการกระท�ำภายในขอบอ�ำนาจที่ได้รับมอบหมายและผูกพันจ�ำเลยที่
1 ด้วย การมอบอ�ำนาจให้ขอรับรถยนต์คืนจากพนักงานสอบสวนนั้น ย่อมรวมถึงการกระท�ำใดๆ เกี่ยวกับ
การขอรับรถยนต์ เช่น ยื่นค�ำขอรับรถยนต์และเซ็นรับรถยนต์ไว้ถือเป็นการกระท�ำการครั้งเดียวตามที่ได้
รับมอบอ�ำนาจให้ขอรับรถยนต์คืน
ธ
ฎ. 237/2535 ตามหนังสือมอบอ�ำนาจของโจทก์ ช. มีอำ� นาจเต็มในการขายรถยนต์ ให้เช่า
ซื้อรถยนต์ ตลอดจนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ อ�ำนาจเช่นนี้ย่อมหมายความรวมถึงอ�ำนาจในการขาย
มส
กิจกรรม 7.1.1
1. งานทีต่ วั แทนจะต้องปฏิบตั เิ พือ่ ตัวการนัน้ สามารถแบ่งแยกออกได้เป็นกีช่ นิด การแบ่งแยกชนิด
ดังกล่าวก่อให้เกิดผลประการใดต่อตัวแทน
2. การใช้อ�ำนาจของตัวแทนนั้น อาจใช้อ�ำนาจในลักษณะใดบ้าง
แนวตอบกิจกรรม 7.1.1
ม
1. แบ่งแยกออกได้เป็น 2 ชนิด คืองานในหน้าที่โดยตรงและงานอันเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่ การแบ่ง
แยกดังกล่าวก่อให้เกิดอ�ำนาจในการที่ตัวแทนจะกระท�ำตามหน้าที่เหล่านั้นโดยชอบ
2. ตัวแทนใช้อ�ำนาจในลักษณะที่ได้รับความยินยอมจากตัวการโดยตรงและโดยปริยายอันเป็น
สธ
หลักเกณฑ์ทั่วไปที่กฎหมายก�ำหนดไว้
ม
7-8 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 7.1.2
หน้าที่ของตัวแทนต่อตัวการ
ธ
1. หลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับหน้าที่ที่ตัวแทนมีต่อตัวการ
โดยทั่วไปเมื่อตัวการมอบหมายให้ตัวแทนปฏิบัติหน้าที่ ตัวแทนย่อมต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้
มส
ค�ำสัง่ หรือการควบคุมจากตัวการ หากปฏิบตั หิ น้าทีโ่ ดยถูกต้องตามค�ำสัง่ หรือตามบทบัญญัตขิ องกฎหมาย
แล้ว ตัวแทนย่อมหลุดพ้นความรับผิดใดๆ ต่อตัวการและต่อบุคคลภายนอก เพราะการที่ตัวแทนด�ำเนิน
การไปนัน้ ย่อมต้องถือว่าเป็นการกระท�ำไปในนามของตัวการทัง้ สิน้ ตัวแทนจึงไม่ตอ้ งรับผิดชอบต่อตัวการ
หรือต่อบุคคลภายนอก หากงานที่ตัวแทนจะต้องท�ำนั้นเป็นงานที่ผิดกฎหมาย ตัวแทนก็มีสิทธิปฏิเสธ
ไม่ปฏิบัติตามได้แม้จะท�ำให้ตัวการเสียหายตัวแทนก็ไม่ต้องรับผิดต่อตัวการ หรือกรณีที่เป็นเหตุสุดวิสัย
ตัวแทนก็ไม่ต้องรับผิดต่อตัวการ เว้นแต่ตัวแทนและตัวการจะได้ตกลงกันไว้เป็นประการอื่น อนึ่งในกรณีที่
มีการตั้งตัวแทนหลายคนให้ท�ำกิจการรายเดียวกัน หากมิได้มีข้อตกลงไว้เป็นประการอื่นกฎหมายก�ำหนด
ให้ตัวแทนทั้งหลายต้องร่วมกันด�ำเนินการจะต่างคนต่างท�ำไม่ได้ โดย ปพพ. มาตรา 804 บัญญัติว่า
“ถ้าในสัญญาอันเดียว ตัวการคนเดียวตั้งตัวแทนหลายคนเพื่อแก่การอันเดียวกันไซร้ ท่านให้สันนิษฐาน
ธ
ไว้ก่อนว่าตัวแทนจะต่างคนต่างท�ำการนั้นๆ แยกกันไม่ได้” ซึ่งลักษณะการท�ำงานดังกล่าวคล้ายกับการ
เข้าหุ้นด�ำเนินการในลักษณะหุ้นส่วนบริษัท ซึ่งเรียกว่าเป็นกิจการอันต้องร่วมกันท�ำและร่วมกันรับผิดด้วย
ซึง่ มาตรานีเ้ ป็นข้อสันนิษฐานเบือ้ งต้นเท่านัน้ หากตัวการและตัวแทนตกลงกันไว้เป็นประการอืน่ ก็ยอ่ มเป็น
มส
ธ
ต่างด้าว ซึ่งตาม ป. ที่ดิน มาตรา 97 บัญญัติให้โจทก์มีฐานะเสมือนคนต่างด้าวในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิใน
ที่ดิน กรรมการบริษัทโจทก์จึง ตกลงให้โอนโฉนดจากผู้ขายมาเป็นชื่อ ส. ต้องถือว่า ส. ได้มาซึ่งที่ดินใน
มส
ฐานะเป็นเจ้าของแทนนิติบุคคล ซึ่งกฎหมายให้ถือเสมือนบุคคลต่างด้าว โจทก์จะเรียกร้องเอาที่ดินเป็น
กรรมสิทธิ์ของตนไม่ได้ต้องให้อธิบดีกรมที่ดินจ�ำหน่ายที่พิพาทเสีย
ฎ. 1560/2527 การทีโ่ จทก์ให้จำ� เลยกูเ้ งินไปเพือ่ ซือ้ หุน้ ของบริษทั โจทก์เอง โดยโจทก์ยดึ ถือหุน้ นัน้
ไว้เป็นจ�ำน�ำหรือเป็นประกัน เงินที่โจทก์ทดรองจ่ายซื้อหุ้นหรือโจทก์ให้จ�ำเลยกู้เงินจากบริษัทในเครือของ
บริษทั โจทก์ โดยเงินทีก่ เู้ ป็นเงินของบริษทั โจทก์ให้บริษทั ในเครือดังกล่าวกูไ้ ปให้จำ� เลยกูอ้ กี ต่อหนึง่ ทัง้ หุน้
ที่จ�ำเลยจ�ำน�ำแก่บริษัทในเครือดังกล่าว โจทก์เป็นผู้ยึดถือไว้เอง พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ให้
จ�ำเลยกูเ้ งินไปซือ้ หุน้ ของบริษทั โจทก์ และโจทก์รบั จ�ำน�ำหุน้ ของตนเองเป็นประกัน เป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง
ตาม ปพพ. มาตรา 1143 ทั้งต่อมา พรบ. การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจ
เครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 20/3 (ปัจจุบัน พรบ. ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551) บัญญัติห้าม
ธ
มิให้บริษทั เงินทุนรับหุน้ ของบริษทั เงินทุนนัน้ เองเป็นประกันหรือรับหุน้ ของบริษทั เงินทุนจากบริษทั เงินทุน
อื่นเป็นประกันอีกด้วย การกระท�ำของโจทก์จึงตกเป็นโมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 113 (ปัจจุบันมาตรา 150)
มส
2. หน้าที่ที่ตัวแทนมีต่อตัวการตามบทบัญญัติของกฎหมาย
1. หน้าที่โดยทั่วไป
2. หน้าที่เฉพาะเรื่อง
1. หน้าที่โดยทั่วไป ปพพ. มาตรา 807 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ตัวแทนต้องท�ำการตามค�ำสั่ง
ม
แสดงออกชัดหรือโดยปริยายของตัวการ เมื่อไม่มีค�ำสั่งเช่นว่านั้น ก็ต้องด�ำเนินตามทางที่เคยท�ำกันมาใน
กิจการค้าขายอันเขาให้ตนท�ำอยู่นั้น” จะเห็นได้วา่ กฎหมายวางหลักในเรือ่ งหน้าทีข่ องตัวแทนทีม่ ตี อ่ ตัวการ
ไว้เป็นหลักเกณฑ์โดยทัว่ ไป คือต้องท�ำตามค�ำสัง่ ของตัวการซึง่ อาจจะเป็นค�ำสัง่ ทีแ่ สดงออกโดยชัดแจ้งหรือ
โดยปริยายก็ได้ การท�ำกิจการทุกอย่างต้องท�ำให้ดีที่สุดโดยท�ำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เต็มความสามารถ
และโดยสุจริต
การท�ำหน้าที่ตามกฎหมาย การท�ำตามค�ำสั่งของตัวการนั้นจะต้องเป็นค�ำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
หากเป็นค�ำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตัวแทนย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ปฏิบัติหน้าที่นั้นได้ เช่น นายแดง
สธ
มอบหมายให้นายขาวดูแลกิจการโรงแรมของตน ต่อมานายแดงได้โทรศัพท์ถงึ นายขาวให้นายขาวเปิดบ่อน
การพนันขึ้นในโรงแรม ดังนั้นนายขาวย่อมปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามค�ำสั่งของนายแดงได้ แม้นายแดงจะ
เสียหายเนื่องจากได้นัดหมายสถานที่จากนักพนันไว้แล้วก็ตาม นอกจากนี้ค�ำสั่งนั้นต้องเป็นค�ำสั่งที่
ม
7-10 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ราคาค่าจ้างนั้นด้วย แม้ตัวการจะไม่ได้สั่งในเรื่องตกลงราคาค่าจ้างไว้ แต่ตัวแทนไปตกลงราคาค่าจ้างกับ
ช่างในราคาที่ไม่เกินสมควรแล้ว และช่างได้ท�ำกิจการของตัวการเสร็จสมตามความประสงค์แล้วเช่นนี้
มส
ตัวการต้องรับผิดช�ำระค่าจ้างแก่ชา่ งตามราคาทีต่ วั แทนได้ตกลง ส่วนตัวแทนนัน้ เมือ่ ตัวการต้องรับผิดแล้ว
ตัวแทนก็ไม่ต้องรับผิดต่อช่างที่จ้างมานั้น
หน้าทีต่ อ้ งท�ำการโดยสุจริต เนือ่ งจากความสัมพันธ์ระหว่างตัวการกับตัวแทนนัน้ เป็นความสัมพันธ์
ทีจ่ ะต้องอาศัยความไว้วางใจต่อกันเป็นอย่างยิง่ ในทางปฏิบตั ติ วั แทนจึงต้องปฏิบตั หิ น้าทีข่ องตนด้วยความ
สุจริต เพราะการปฏิบัติหน้าที่ไม่สุจริตย่อมก่อให้เกิดผลต่อตัวแทนคือตัวแทนต้องรับผิดต่อตัวการ
ถ้าตัวแทนท�ำโดยไม่สุจริต ตัวแทนก็ไม่มีสิทธิจะได้รับบ�ำเหน็จในส่วนนั้นๆ และอาจต้องรับผิดต่อบุคคล
ภายนอกโดยล�ำพัง ซึ่งหน้าที่โดยทั่วไปนี้ ปพพ. มาตรา 5 บัญญัติว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการ
ช�ำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระท�ำโดยสุจริต”
มาตรา 818 บัญญัติว่า “การในหน้าที่ตัวแทนส่วนใด ตัวแทนได้ท�ำมิชอบในส่วนนั้นท่านว่า
ธ
ตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้บ�ำเหน็จ”
ปพพ. มาตรา 825 บัญญัติว่า “ถ้าตัวแทนเข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอกโดยเห็นแก่อามิสสิน
มส
หน้าที่ต้องท�ำการเต็มความสามารถ หมายความว่าหน้าที่ของตัวแทนต้องใช้ฝีมือความรู้ความ
สามารถอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตัวแทนมีความรู้ความสามารถพิเศษ ตัวแทนก็ต้องปฏิบัติเต็ม
ความสามารถ
อุทาหรณ์
ฎ. 247/2510 ตัวการมอบอ�ำนาจให้ตัวแทนมีอ�ำนาจรับจ�ำนองที่พิพาทแทนจนเสร็จการ ตัวแทน
ธ
ย่อมมีอำ� นาจท�ำการใดๆ ในสิง่ ทีจ่ ำ� เป็นเพือ่ การรับจ�ำนองให้สำ� เร็จลุลว่ งไป เมือ่ ตัวแทนรับทราบว่าทีพ่ พิ าท
นั้นอยู่ระหว่างเป็นความกัน แต่ก็รับจ�ำนองไว้ ผลก็เท่ากับตัวการได้รับจ�ำนองไว้โดยรู้ว่าเขาเป็นความกัน
มส
เมื่อปรากฏภายหลังว่าผู้จ�ำนองไม่มีสิทธิเอาที่พิพาทไปจ�ำนอง การจ�ำนองก็ไม่ผูกพันเจ้าของอันแท้จริง
เจ้าของอันแท้จริงเพิกถอนการจ�ำนองได้
2. หน้าที่เฉพาะเรื่อง ซึ่งได้แก่หน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังนี้
2.1 ต้องท�ำงานด้วยตนเอง ปพพ. มาตรา 808 บัญญัติว่า “ตัวแทนต้องท�ำการด้วยตนเอง
เว้นแต่จะมีอ�ำนาจใช้ตัวแทนช่วงท�ำการได้” เนื่องจากการเป็นตัวแทนนั้นเป็นเรื่องการไว้วางใจกันเป็น
ส่วนตัว ดังนั้นเมื่อตัวการให้ตัวแทนไปด�ำเนินการใด ตัวแทนต้องปฏิบัติงานด้วยตนเองจะใช้ผู้อื่นท�ำแทน
ไม่ได้ เว้นแต่โดยธรรมเนียมหรือโดยสภาพการงานหรือโดยข้อตกลงระหว่างตัวการตัวแทน ตัวแทนสามารถ
ใช้ให้ผู้อื่นกระท�ำการแทนได้ หรือสามารถตั้งตัวแทนช่วงได้ เช่น นายแดงมอบให้นายขาวไปท�ำสัญญา
ซื้อขายทรัพย์สินของนายแดง นายขาวย่อมต้องกระท�ำหน้าที่ด้วยตนเองคือลงนามในสัญญา ติดต่อหา
ธ
ผู้ซื้อ และรับช�ำระราคา นายขาวจะใช้คนอื่นให้ท�ำการแทนตนมิได้ เว้นแต่โดยสภาพของงานหรือโดย
ธรรมเนียมหรือโดยอนุมัติจากนายแดง นายขาวจึงสามารถที่จะใช้ผู้อื่นท�ำการแทนได้ หรือใช้ตัวแทน
มส
ช่วงได้
หากตัวแทนฝ่าฝืนต่อหน้าทีเ่ ช่นนีโ้ ดยตัง้ ตัวแทนช่วงโดยไม่มอี ำ� นาจ ในส่วนของตัวแทนช่วง
นั้นย่อมปราศจากความสัมพันธ์กับตัวการ คือตัวการไม่ต้องรับผิดใดๆ ต่อตัวแทนช่วง ในขณะเดียวกัน
ตัวแทนช่วงก็มิต้องรับผิดใดๆ ต่อตัวการเช่นกัน แต่ถ้ามีการตั้งตัวแทนช่วงโดยชอบตัวการกับตัวแทนช่วง
ย่อมผูกพันกันโดยตรง ตัวแทนเดิมหลุดพ้นจากความรับผิดชอบต่อตัวการ
อุทาหรณ์
ม
ฎ. 1116-1117/2495 (ป. ใหญ่) ท�ำใบมอบอ�ำนาจให้เขามีอ�ำนาจแต่งตั้งผู้รับมอบอ�ำนาจ
ช่วงให้ฟอ้ งความได้ ดังนีเ้ มือ่ ผูร้ บั มอบอ�ำนาจได้แต่งตัง้ ผูร้ บั มอบอ�ำนาจช่วงเพือ่ ฟ้องคดีแล้ว ผูร้ บั มอบอ�ำนาจ
ช่วงจะมอบอ�ำนาจช่วงให้แก่บุคคลอื่นต่อไปในการฟ้องคดียังโรงศาลอีกต่อหนึ่งนั้นย่อมอยู่นอกขอบเขตใน
ใบมอบอ�ำนาจดังกล่าว ผู้รับมอบอ�ำนาจช่วงคนหลังนี้จึงไม่มีอำ� นาจที่จะฟ้องคดีได้
ฎ. 1451/2512 ผู้ได้รับมอบอ�ำนาจให้เป็นโจทก์ฟ้องความและให้รับเงินแทนด้วยนั้นจะมอบ
อ�ำนาจให้บุคคลอื่นรับเงินจากศาลแทนไม่ได้ เพราะเป็นการตั้งตัวแทนช่วงโดยมิได้รับอนุญาตจากตัวการ
ฎ. 4061/2533 เมือ่ หนังสือมอบอ�ำนาจมีขอ้ ความมุง่ หมายจะมอบอ�ำนาจให้ ท. เป็นผูม้ อี ำ� นาจ
สธ
ท�ำการตามทีร่ ะบุไว้ในกิจการอันเกีย่ วกับการรับประกันภัยทัง้ สิน้ โดยไม่จำ� กัดว่าให้กระท�ำได้แต่ในประเทศ
ญี่ปุ่นเท่านั้น และยังมอบอ�ำนาจให้ ท. มีอ�ำนาจฟ้องคดี และมีอ�ำนาจตั้งตัวแทนช่วงหรือผู้รับมอบอ�ำนาจ
ช่วงได้ ท. จึงมอบอ�ำนาจให้ พ. ซึ่งอยู่ในประเทศไทยฟ้องและด�ำเนินคดีแทนโจทก์ได้
ม
7-12 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ตัวแทนช่วงนั้นเสียเอง”
แม้ตัวแทนจะมีอ�ำนาจตั้งตัวแทนช่วงได้ตามที่ต้องการระบุตัวให้ตั้งก็ไม่ใช่ว่าตัวแทนจะไม่
มส
ใส่ใจในการตัง้ ตัวแทนช่วงนัน้ เลย ถ้าตัวแทนรูว้ า่ ตัวแทนช่วงนัน้ เป็นผูไ้ ม่เหมาะแก่การหรือเป็นผูไ้ ม่สมควร
น่าไว้วางใจ เช่น นายแดงตัง้ นายขาวเป็นตัวแทนในการขายรถยนต์ และยินยอมให้นายขาวตัง้ นายด�ำเป็น
ตัวแทนช่วงได้ถ้านายขาวไม่ว่าง ดังนี้ถ้านายขาวรู้ว่านายด�ำไม่เคยขายรถมาก่อน หรือนายด�ำเคยติดคุก
ฐานยักยอกเงินของนายจ้างมาแล้ว เช่นนี้ถือว่านายด�ำเป็นผู้ที่ไม่เหมาะแก่การขายรถยนต์ หรือเป็นผู้ไม่
สมควรไว้วางใจ
2.2 หน้าที่รายงานกิจการให้ตัวการทราบ หากตัวการจะมีความประสงค์ที่จะทราบความ
เป็นไปของการที่ได้มอบหมายแก่ตัวแทนนั้น ตัวแทนต้องท�ำตามแต่การสั่งการดังกล่าวต้องสมเหตุสมผล
สมควร เช่น นายทองมอบหมายให้นายเงินเป็นตัวแทนไปซือ้ ขายแร่ทางภาคใต้ ต่อมานายทองเกรงว่าการ
ซือ้ ขายแร่อาจก�ำหนดราคาโดยไม่ถกู ต้องอันท�ำให้ขาดทุนได้ นายทองจึงแจ้งให้นายเงินรายงานการท�ำงาน
ธ
ติดต่อนัน้ ๆ ให้นายทองทราบเป็นระยะๆ ได้ เพราะสมควรแก่เหตุ ซึง่ ในกรณีเช่นนีน้ ายเงินต้องรายงานให้
ทราบ โดย ปพพ. มาตรา 809 บัญญัติว่า “เมื่อตัวการมีความประสงค์จะทราบความเป็นไปของการที่ได้
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 1043/2522 โจทก์ตั้งจ�ำเลยเป็นตัวแทนซื้อที่ดินโดยให้จ�ำเลยออกเงินไปก่อน และลงชื่อ
ในโฉนดแทน แม้การตั้งตัวแทนนั้นจะมิได้ท�ำเป็นหนังสือ โจทก์ก็มีอ�ำนาจบังคับจ�ำเลยโอนใส่ชื่อโจทก์ใน
ที่ดินดังกล่าวได้ ไม่ขัดต่อ ปพพ. มาตรา 798 (ฎ. 640/2489, ฎ. 493/2510, ฎ. 1404–1405/2510,
ฎ. 4759/2545)
ธ
ฎ. 33/2532 โจทก์มอบหมายให้จ�ำเลยซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ในคดีก่อนมีอ�ำนาจรับ
เงินในคดีนั้นแทนโจทก์ได้ เมื่อจ�ำเลยรับเงินจากธนาคารซึ่งช�ำระหนี้แก่โจทก์ เงินที่จ�ำเลยรับไว้จึงตกเป็น
มส
ของโจทก์ จ�ำเลยเบียดบังเอาเงินนัน้ ไปเป็นประโยชน์สว่ นตนโดยทุจริต การกระท�ำของจ�ำเลยเป็นความผิด
ฐานยักยอก โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำ� นาจฟ้องจ�ำเลยได้
ฎ. 4761/2534 จ�ำเลยได้รับเงินค่าขายที่ดินของโจทก์ไว้ในฐานะเป็นผู้กระท�ำการแทนโจทก์
ผูข้ าย จ�ำเลยจึงมีหน้าทีต่ อ้ งส่งมอบเงินให้แก่โจทก์ แม้โจทก์ไม่มหี ลักฐานการตัง้ จ�ำเลยเป็นตัวแทนในกิจการ
ซื้อขายที่ดินดังกล่าว ก็หาเป็นเหตุให้จำ� เลยพ้นความรับผิดที่ต้องส่งเงินที่ได้รับไว้แทนคืนแก่โจทก์ไม่
ฎ. 2178/2548 โจทก์ให้จำ� เลยรับจ�ำนองทีด่ นิ โดยโจทก์เป็นผูเ้ ก็บรักษาหนังสือสัญญาจ�ำนอง
ไว้ และจ�ำเลยลงลายมือชือ่ ในหนังสือมอบอ�ำนาจทีย่ งั ไม่ได้กรอกข้อความให้ไว้ตอ่ โจทก์ เพือ่ ให้โจทก์สามารถ
ไถ่ถอนจ�ำนองได้เอง แสดงให้เห็นได้วา่ จ�ำเลยรับจ�ำนองทีด่ นิ ในฐานะตัวแทนของโจทก์ เมือ่ โจทก์ฟอ้ งบังคับ
จ�ำเลยเปลี่ยนชื่อผู้รับจ�ำนองที่ดินเป็นชื่อโจทก์อันเป็นเรื่องตัวการเรียกทรัพย์สินจากจ�ำเลยซึ่งเป็นตัวแทน
ธ
ตาม ปพพ. มาตรา 810 แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้ ไม่ขัดต่อ ปพพ. มาตรา
798 (ฎ. 3497/2551)
มส
อย่างไรก็ตามมาตรานี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ซึ่งสามารถน�ำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้
อุทาหรณ์
ฎ. 992/2479 เมื่อสัญญาตั้งผู้จัดการไว้หลายคนเพื่อกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ถ้าไม่มี
ข้อความให้อ�ำนาจผู้จัดการผู้เดียวจัดการแทนผู้อื่นได้ดังนี้ ผู้จัดการแต่ผู้เดียว หามีสิทธิร้องขัดทรัพย์ต่อ
ศาลเกี่ยวกับทรัพย์ที่ถูกยึดไม่
ธ
2.6 ตัวแทนท�ำนิตกิ รรมแทนตัวการกับตนเองไม่ได้ ปพพ. มาตรา 805 บัญญัตวิ า่ “ตัวแทน
นั้นเมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ จะเข้าท�ำนิติกรรมอันใดในนามของตัวการท�ำกับตนเองในนาม
มส
ของตนเองหรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ เว้นแต่นิติกรรมนั้นจะมีเฉพาะแต่การ
ช�ำระหนี”้ เนือ่ งจากการทีต่ วั แทนกระท�ำการให้ตวั การนัน้ ในทางกฎหมายถือเสมือนว่าตัวการได้ทำ� ด้วยตัวเอง
ดังนั้นถ้าตัวแทนกลายเป็นคู่สัญญาของตัวการเสียเองจึงเท่ากับตัวแทนอยู่ในสองฐานะในเวลาเดียวกัน
คือเป็นตัวแทนและเป็นคูส่ ญ ั ญา ซึง่ การกระท�ำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ตวั การเพราะอาจท�ำให้
ตัวแทนเกิดผลประโยชน์ขดั กันกับหน้าที่ เช่น ถ้าเป็นตัวแทนในการขายสินค้าก็ตอ้ งพยายามขายให้ได้ราคา
สูงเท่าที่จะท�ำได้ แต่ถ้าเป็นผู้ซื้อก็ต้องซื้อให้ได้ในราคาตํ่าสุด เช่นนี้เห็นได้ว่าผลประโยชน์และหน้าที่ของ
ตัวแทนเกิดขัดกัน แต่การเป็นตัวแทนของบุคคล 2 ฝ่ายอาจมีได้ เช่น คู่พนันมอบเงินให้คนกลางไว้
เพื่อจ่ายให้แก่ฝ่ายชนะ ถือว่าคนกลางเป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่าย (ฎ. 595/2491) ส�ำหรับหลักเกณฑ์ตาม
มาตรานี้ต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่า
1) การที่ตัวแทนจะเข้าท�ำกับตัวการได้นั้นต้องเป็นนิติกรรมเท่านั้น ดังนั้นหากมิใช่
ธ
นิติกรรมก็ไม่อยู่ในบังคับของมาตรานี้
2) ตัวแทนได้เข้ากระท�ำการในฐานะคู่สัญญากับตัวการ เช่น กรณีตัวการให้ไปขาย
มส
สินค้าแต่ตัวแทนกลับรับซื้อสินค้าไว้เสียเอง หรือ
3) ตัวแทนได้เข้าท�ำการในฐานะเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกด้วย เช่น นายแดง
มอบให้นายด�ำไปขายรถยนต์ให้นายขาว แต่นายขาวเกิดไม่วา่ งในวันนัดซือ้ ขายกัน นายขาวจึงมอบอ�ำนาจ
ให้นายด�ำเป็นตัวแทนของตนเจรจาซื้อขายรถยนต์ของนายแดงแทน เป็นต้น
4) นิติกรรมนั้นมิได้เป็นนิติกรรมซึ่งเป็นการช�ำระหนี้ ค�ำว่านิติกรรมที่มีแต่การช�ำระ
หนี้นั้นหมายความว่าเป็นการช�ำระหนี้หรือส่งมอบทรัพย์ให้เมื่อถึงก�ำหนดเวลาเพียงอย่างเดียวซึ่งไม่ท�ำให้
ม
ตัวการหรือตัวแทนได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างใด เช่น นายแดงเป็นตัวแทนนายขาวไปขายรถยนต์ของ
นายขาวให้แก่นายเขียวราคา 500,000 บาท กรณีเช่นนี้นายแดงต้องเข้าท�ำสัญญาขายรถยนต์คันดังกล่าว
ในนามของนายขาว แต่ปรากฏว่านายเขียวซึ่งนัดจะน�ำค่ารถยนต์มาช�ำระติดธุระไม่สามารถมาตามนัดได้
จึงมอบหมายให้นายแดงเป็นตัวแทนน�ำเงิน 500,000 บาท มาช�ำระแก่นายขาวแทนเช่นนี้ถือว่านิติกรรม
ช�ำระหนีน้ นั้ นายแดงสามารถกระท�ำในนามของตัวแทนนายเขียวได้ โดยไม่ตอ้ งได้รบั ความยินยอมจากนาย
ขาว เพราะกรณีเช่นนี้เห็นได้ว่าตัวแทนมิได้ท�ำให้ตัวการเสียหายแต่อย่างใด
เมื่อตัวแทนท�ำนิติกรรมแทนตัวการกับตนเองหรือตัวแทนได้เข้ากระท�ำการในฐานะตัวแทน
สธ
บุคคลภายนอกด้วย ตัวแทนต้องแจ้งให้ตัวการทราบความจริงและต้องได้รับความยินยอมจากตัวการก่อน
มิฉะนัน้ ตัวการอาจงดบ�ำเหน็จ ตาม ปพพ. มาตรา 818 หรืออาจท�ำให้ตวั แทนต้องรับผิดต่อตัวการได้ ตาม
ปพพ. มาตรา 812
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-15
อุทาหรณ์
ฎ. 1966/2526 ก. ตัวแทนของจ�ำเลยได้ทำ� สัญญาขายไม้ให้แก่โจทก์ในนามของจ�ำเลยท�ำกับ
ตัว ก. เอง โดยอาศัยโจทก์เป็นเครื่องมือ เมื่อ ก. ไม่ได้รับความยินยอมจากจ�ำเลยซึ่งเป็นตัวการสัญญานี้
ย่อมไม่ผูกพันจ�ำเลยตาม ปพพ. มาตรา 805
2.7 ต้องดูแลทรัพย์สินที่ตัวการมอบไว้ให้ โดย ปพพ. มาตรา 807 วรรคสอง ได้บัญญัติ
ธ
ไว้ว่า “อนึ่งบทบัญญัติมาตรา 659 ว่าด้วยการฝากทรัพย์นั้น ท่านให้น�ำมาใช้ด้วยโดยอนุโลมตามควร”
กรณีนเี้ ป็นเรือ่ งทีต่ วั การมอบทรัพย์สนิ ไว้ให้ตวั แทนดูแลซึง่ เป็นทรัพย์สนิ ทีต่ วั แทนจะต้องขายหรือให้เช่าหรือ
มส
ท�ำประการใดตามหน้าทีท่ ไี่ ด้รบั มอบหมายตัวแทนต้องดูแลทรัพย์สนิ นัน้ ซึง่ หลักเกณฑ์การฝากทรัพย์ ปพพ.
มาตรา 659 บัญญัติว่า “ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการท�ำให้เปล่าไม่มีบ�ำเหน็จไซร้ ท่านว่าผู้รับฝากจ�ำต้อง
ใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง
ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบ�ำเหน็จค่าฝาก ท่านว่าผู้รับฝากจ�ำต้องใช้ความระมัดระวังและ
ใช้ฝีมือ เพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น ทั้งนี้ย่อม
รวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย
ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จ�ำต้อง
ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรือ
อาชีวะอย่างนั้น” ซึ่งเมื่ออนุโลมตามบทบัญญัติดังกล่าวแยกได้ดังนี้
ธ
1) ถ้าการท�ำการเป็นตัวแทนเป็นการท�ำให้เปล่าไม่มีบำ� เหน็จ ตัวแทนจ�ำต้องใช้ความ
ระมัดระวังในการท�ำการแทนตัวการในกิจการนัน้ เหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง ตาม ปพพ.
มส
กิจกรรม 7.1.2
1. นายประสงค์มอบหมายให้นายประสาทเป็นตัวแทนไปซือ้ อาวุธจากต่างประเทศเพือ่ น�ำมาขาย
ให้กับกองทัพบก แต่ในระหว่างนั้นมีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้เอกชนซื้ออาวุธเข้ามาจ�ำหน่ายในประเทศ
นายประสาททราบเรื่องจึงระงับการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวที่ได้รับมอบหมายจากนายประสงค์ กรณีเช่นนี้
ธ
นายประสาทมีสิทธิจะกระท�ำโดยชอบหรือไม่เพราะเหตุใด
2. นายขาวมอบให้นายเขียวเป็นตัวแทนขายสินค้า นายเขียวเมื่อรับช�ำระราคาจากแล้วก็น�ำเงิน
มส
นั้นไปใช้ส่วนตัวโดยมิได้แจ้งให้นายขาวทราบ กรณีเช่นนี้นายเขียวจะมีความรับผิดอย่างไรต่อนายขาว
แนวตอบกิจกรรม 7.1.2
1. นายประสาทมีสทิ ธิโดยชอบทีจ่ ะไม่ปฏิบตั ิ เพราะการปฏิบตั กิ ารนัน้ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและ
ไม่ต้องรับผิดในเหตุเสียหายใดๆ ต่อนายประสงค์
2. นายเขียวต้องใช้เงินคืนแก่นายขาว ตาม ปพพ. มาตรา 810 และต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่
เอาเงินไปใช้ด้วย ตาม ปพพ. มาตรา 811
ธ
เรื่องที่ 7.1.3
มส
ความรับผิดของตัวแทนต่อตัวการ
อุทาหรณ์
ฎ. 1107/2497 ตัวแทนซึ่งเป็นลูกจ้างตัวการในต�ำแหน่งผู้จัดการฝ่ายสินค้าขาออกมีหน้าที่ตรวจ
ตีตราไม้ซึ่งตัวการจะรับซื้อ ตัวแทนตีตราไม้ซึ่งมีคุณภาพเลวกว่าที่ตกลงกันเป็นความประมาทเลินเล่อก่อ
ให้เกิดความเสียหายแก่ตัวการ ตัวแทนต้องรับผิดชอบค่าเสียหายตามมาตรา 812
ฎ. 7314/2537 ตามค�ำสั่งจ้างจ�ำเลยเป็นนิติกรของโจทก์ท�ำหน้าที่ทนายความก�ำหนดไว้ว่า แม้
ธ
ทนายความซึ่งได้แต่งตั้งโดยให้มีอ�ำนาจท�ำการประนีประนอมยอมความได้ก็ตาม หากจะประนีประนอม
ยอมความแล้วให้ทนายความเสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรือ่ งทีจ่ ะประนีประนอมยอมความต่อ
มส
โจทก์ทุกครั้งก่อน การที่จ�ำเลยท�ำการประนีประนอมยอมความกับจ�ำเลยในคดีที่จ�ำเลยเป็นทนายความให้
โจทก์ โดยมิได้เสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะตกลงหรือประนีประนอมยอมความต่อ
โจทก์ ย่อมถือว่าจ�ำเลยมิได้ปฏิบัติตามค�ำสั่งของโจทก์อันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ท�ำให้
โจทก์เสียหาย จ�ำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ จ�ำเลยจะอ้างเพียงว่าใบแต่งทนายความให้จ�ำเลยมีอ�ำนาจ
ประนีประนอมยอมความได้แล้วจ�ำเลยย่อมมีอ�ำนาจท�ำการประนีประนอมยอมความที่จ�ำเลยเห็นสมควร
โดยพลการหาได้ไม่
2. กรณีไม่ทำ� การเป็นตัวแทน เป็นกรณีทตี่ วั แทนไม่ไปท�ำการงานตามทีต่ วั การมอบหมาย รวมถึง
การไปท�ำหน้าที่ของตัวแทนแต่ตัวแทนละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ควรกระท�ำด้วย
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 1725-1726/2516 โจทก์น�ำเช็คซึ่งบริษัทโรงสีไปออกให้เข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคาร
จ�ำเลย เพือ่ ให้จำ� เลยเรียกเก็บเงินตามเช็คนัน้ ปรากฏว่าธนาคารจ�ำเลยเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ และมิได้
มส
ธ
ตัวแทนต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้ และสมควรต้องใช้ในการน�ำเงินของ
เจ้าหนี้ไปลงทุน ตาม ปพพ. มาตรา 807 วรรคสอง ประกอบ ปพพ. มาตรา 659 วรรคสาม การที่ลูกหนี้
มส
น�ำเงินของเจ้าหนี้ไปซื้อลดตั๋วแลกเงินที่ออกโดยบริษัท ก. และเป็นผู้รับรองการจ่ายเงินสั่งจ่ายให้แก่
ม. กับมีบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ส. เป็นผู้อาวัล เป็นการลงทุนโดยไม่ปฏิบัติตามหนังสือยืนยันนโยบาย
การลงทุนที่ลูกหนี้มีถึงประธานคณะกรรมการของเจ้าหนี้ว่า จะลงทุนในตั๋วแลกเงินที่ธนาคารรับรอง จึง
เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนโดยปราศจากอ�ำนาจหรือนอกเหนืออ�ำนาจตามที่ตัวการได้มอบหมาย ซึ่งผล
ปรากฏต่อมาว่าเจ้าหนี้ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินนั้นได้ แม้เจ้าหนี้ได้ยื่นฟ้องเรียกเงินตาม
ตัว๋ แลกเงินจากผูส้ งั่ จ่าย ผูอ้ าวัลและผูส้ ลักหลังกับได้ยนื่ ค�ำขอรับช�ำระหนีจ้ ากกองทรัพย์สนิ ของผูอ้ าวัล และ
ศาลมีค�ำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับช�ำระหนี้แล้วแต่ไม่เป็นที่แน่นอนว่าเจ้าหนี้จะได้รับเงินครบถ้วนหรือไม่
การกระท�ำของลูกหนี้จึงเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย ลูกหนี้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
แก่เจ้าหนี้
ธ
4. ท�ำการนอกเหนืออ�ำนาจ เป็นกรณีตวั แทนท�ำการเกินอ�ำนาจทีต่ วั การให้อำ� นาจไว้ เช่น ตัวการ
ให้เอาสินค้าไปขายโดยตั้งราคาไว้ 10,000 บาท หากซื้อเงินสดลดราคาได้ 10% แต่ตัวแทนไปลดราคาให้
มส
20%
ข้อสังเกต
แม้ตัวการให้สัตยาบันแก่การกระท�ำนอกเหนือขอบอ�ำนาจของตัวแทน ตาม ปพพ. มาตรา 823
แล้ว ก็ไม่มีผลท�ำให้ตัวแทนหลุดพ้นจากความรับผิดต่อตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 812 เพียงแต่ตัวแทน
ไม่ต้องผูกพันกับคนภายนอกเท่านั้น และถ้าตัวการละเลยไม่บ�ำบัดขัดข้องความเสียหายที่เกิดขึ้น ตัวแทน
ก็ไม่ต้องรับผิดต่อตัวการ นอกจากนี้ ถ้าตัวแทนท�ำการตามหน้าที่อย่างถูกต้องไม่ได้ประมาทเลินเล่อหรือ
อุทาหรณ์
ม
ท�ำการโดยปราศจากอ�ำนาจหรือท�ำนอกเหนืออ�ำนาจ แม้เกิดความเสียหายขึ้นตัวแทนก็ไม่ต้องรับผิดต่อ
ตัวการ
ธ
มีโอกาสจะท�ำได้ จนโจทก์หมดสิทธิฟ้องเพราะขาดอายุความมรดก เมื่อ บ. มีทรัพย์สินและโจทก์มีโอกาส
จะได้รับช�ำระหนี้สิ้นเชิงหากด�ำเนินการฟ้องร้องหนี้นั้น ดังนั้นการที่โจทก์ไม่ฟ้องร้องย่อมเป็นการละเลยไม่
มส
บ�ำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหาย ถือเป็นเหตุทใี่ ห้เจ้าหนีม้ สี ว่ นท�ำความผิดให้เกิดความเสียหาย หรือ
นัยหนึ่งความเสียหายเกิดจากการละเว้นการกระท�ำของโจทก์ที่ไม่ยอมบ�ำบัดปัดป้องไม่ให้ความเสียหาย
เกิดขึ้น จ�ำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนผู้กระท�ำการนอกเหนือขอบอ�ำนาจจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และจ�ำเลย
ที่ 2 ในฐานะผู้คํ้าประกันก็ย่อมไม่ต้องรับผิดด้วย
ฎ. 326/2515 จ�ำเลยเป็นตัวแทนท�ำพลอยของโจทก์ไปขาย ผู้ซื้อช�ำระค่าพลอยมาเป็นเช็คลงวันที่
สั่งจ่ายล่วงหน้า จ�ำเลยก็น�ำเช็ดทั้งหมดมามอบให้โจทก์เช็คบางฉบับก่อนจะถึงก�ำหนดวันที่สั่งจ่ายผู้ซื้อยัง
ไม่มเี งินในบัญชีของธนาคารขอให้จำ� เลยไปติดต่อกับโจทก์ขอเปลีย่ นเช็คใหม่โดยขยายเวลาต่อไปอีกโจทก์
ก็ยอม เมื่อโจทก์น�ำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ ได้ใช้ให้จำ� เลยไปดูพลอยที่ขายในร้านของผู้ซื้อเพื่อจะ
เอาคืนมาจ�ำเลยก็ไปดูให้ เมือ่ พบว่าไม่มสี งิ่ ของในร้านผูซ้ อื้ เหลืออยู่ จ�ำเลยก็กลับมาแจ้งให้โจทก์ทราบ ดังนี้
ธ
ถือได้วา่ จ�ำเลยปฏิบตั หิ น้าทีต่ วั แทนครบถ้วนแล้ว จ�ำเลยไม่ตอ้ งรับผิดต่อโจทก์เป็นเรือ่ งของโจทก์จะต้องว่า
กล่าวเอากับผู้สั่งจ่ายเช็ค
มส
กิจกรรม 7.1.3
ผูจ้ ดั การธนาคารให้ลกู ค้าเบิกเงินเกินบัญชีโดยไม่มหี ลักประกัน ต่อมาลูกค้าไม่ใช้หนีธ้ นาคารท�ำให้
ธนาคารเสียหาย ดังนี้ ผู้จัดการธนาคารต้องรับผิดต่อธนาคารหรือไม่
แนวตอบกิจกรรม 7.1.3 ม
ผู้จัดการธนาคารต้องรับผิดในความเสียหายเพราะท�ำการนอกเหนือขอบอ�ำนาจ ตาม ปพพ.
มาตรา 812
สธ
ม
7-20 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 7.2
หน้าที่และความรับผิดของตัวการต่อตัวแทน
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 7.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
7.2.1 หน้าที่ของตัวการต่อตัวแทน
7.2.2 ความรับผิดของตัวการต่อตัวแทน
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 7.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายและวินิจฉัยหน้าที่ของตัวการที่มีต่อตัวแทนได้
2. อธิบายและวินิจฉัยความรับผิดของตัวการที่มีต่อตัวแทนได้
ม
สธ
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-21
เรื่องที่ 7.2.1
หน้าที่ของตัวการต่อตัวแทน
ธ
ในเรื่องหน้าที่ของตัวการต่อตัวแทนนั้น เป็นการรองรับสิทธิของตัวแทน กล่าวคือหากตัวการไม่
ปฏิบัติตามหน้าที่ที่มีต่อตัวแทน ตัวแทนก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ตัวการรับผิดได้ สิทธิหน้าที่จึงเป็นสิ่ง
เฉพาะเรื่อง
มส
คูก่ นั หน้าทีข่ องตัวการทีม่ ตี อ่ ตัวแทนนัน้ แยกได้เป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกัน คือ หน้าทีโ่ ดยทัว่ ไปและหน้าที่
ผิดต่อตัวแทนด้วยตามหลักเกณฑ์ทั่วไป
อุทาหรณ์
ฎ. 3109/2553 หนังสือแต่งตั้งจ�ำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของบริษัท ช. แต่งตั้งจ�ำเลยที่ 2 ให้
เป็นตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทัว่ ไป ดังนัน้ จ�ำเลยที่ 2 จะท�ำกิจใดๆ ในทางจัดการแทนตัวการก็ยอ่ มท�ำได้ทกุ
อย่าง ตาม ปพพ. มาตรา 801 นอกจากนี้ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็ระบุชื่อผู้ประกอบการคือบริษัท
ม
ช. จ�ำกัด กระท�ำการแทนโดยจ�ำเลยที่ 2 เมื่อสัญญารับขนของทางทะเลกระท�ำในราชอาณาจักรมีบริษัท
ช. ซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำ� เนาอยู่ต่างประเทศเป็นผู้ขนส่ง โดยจ�ำเลยที่ 2 รับจองวางเรือและมีการ
ออกใบตราส่งที่ระบุชัดว่า จ�ำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในฐานะตัวแทนของผู้ขนส่ง (AS AGENTS FOR
THE CARRIER) ทั้งยังเป็นผู้แจ้งให้ผู้ส่งของน�ำสินค้ามาบรรทุกลงเรือและรับช�ำระค่าระวางโดยออกใบ
เสร็จรับเงิน/ใบก�ำกับภาษีในนามของผู้ขนส่ง พฤติการณ์จึงรับฟังได้ว่า จ�ำเลยที่ 2 ท�ำสัญญารับขนของ
ทางทะเลรายนี้ในฐานะเป็นตัวแทนของบริษัท ช. ผู้ขนส่งตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิล�ำเนาใน
ต่างประเทศ จ�ำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดตามสัญญาแต่ลำ� พังตนเอง ตาม ปพพ. มาตรา 824
สธ
1.2 หน้าที่ต้องจ่ายบ�ำเหน็จให้แก่ตัวแทน โดยหลักแล้วสัญญาตัวแทนเป็นสัญญาที่ท�ำให้
เปล่าแก่กนั เว้นแต่จะมีขอ้ ตกลงหรือมีธรรมเนียมให้บำ� เหน็จ ทัง้ นีเ้ ป็นหลักเกณฑ์ทบี่ ญ
ั ญัตไิ ว้ใน ปพพ. มาตรา
803 ดังนั้นในกรณีที่มีข้อตกลงให้บ�ำเหน็จแก่กัน ตัวการก็ต้องผูกพันที่จะต้องช�ำระหนี้ค่าบ�ำเหน็จให้แก่
ม
7-22 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
“ถ้าตัวแทนมีความประสงค์ไซร้ ตัวการต้องจ่ายเงินทดรองให้แก่ตัวแทนตามจ�ำนวนที่จำ� เป็น เพื่อท�ำการ
อันมอบหมายแก่ตัวแทนนั้น” ทัง้ นีเ้ พราะในการปฏิบตั หิ น้าทีข่ องตัวการบางครัง้ ต้องมีคา่ ใช้จา่ ยหากจะให้
มส
ตัวแทนออกไปก่อนก็ย่อมเป็นภาระแก่ตัวแทน ย่อมเกิดความไม่เป็นธรรม ตัวแทนจึงมีสิทธิของให้ตัวการ
จ่ายเงินทดรองให้แก่ตัวแทนได้ ซึ่งตัวการก็มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติหากไม่ปฏิบัติและเกิดความเสียหาย
อย่างใดๆ แก่ตัวแทนแล้ว ตัวการก็ต้องรับผิดหรือตัวแทนอาจมีสิทธิบอกเลิกสัญญาการเป็นตัวแทนได้
2.2 หน้าที่ต้องชดใช้เงินทดรองหรือค่าใช้จ่ายที่ตัวแทนได้จ่ายไป ปพพ. มาตรา 816 วรรค
หนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าในการจัดท�ำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออก
เงินค่าใช้จ่ายไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจ�ำเป็นได้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้
จากตัวการ รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้” ทั้งนี้เป็นกรณีที่ตัวแทนได้ออกเงิน
ทดรองให้แก่ตัวการไปก่อนหรือเสียค่าใช้จ่ายไปบางประการ เพราะในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนนั้น
อาจจ�ำเป็นต้องใช้เงินโดยเร่งด่วนและจ�ำเป็นจะต้องตัดสินใจกระท�ำเช่นนัน้ กรณีเช่นนีต้ วั การก็มหี น้าทีต่ อ้ ง
ธ
ชดใช้คืนให้แก่ตัวการพร้อมดอกเบี้ย
อุทาหรณ์
มส
นายสมานมอบให้นายจารึกเป็นตัวแทนไปขายรถยนต์ให้แก่นายศักดิ์ แต่ปรากฏว่ารถยนต์
ของนายสมานเกิดช�ำรุดก่อนส่งมอบ นายจารึกจึงต้องน�ำไปให้ช่างแก้ไขซ่อมแซมก่อนส่งมอบให้นายศักดิ์
และได้เสียค่าใช้จ่ายไปก่อน ดังนี้นายจารึกมีสิทธิเรียกร้องให้นายสมานช�ำระค่าซ่อมให้แก่ตนได้พร้อม
ดอกเบี้ย
2.3 หน้าที่ต้องช�ำระหนี้แทนตัวการ ปพพ. มาตรา 816 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าในการ
จัดท�ำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนต้องรับภาระเป็นหนี้อย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งพิเคราะห์ตาม
ม
เหตุควรนับว่าเป็นการจ�ำเป็นได้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนจะเรียกให้ตัวการช�ำระหนี้แทนตนก็ได้ หรือถ้ายังไม่
ถึงเวลาก�ำหนดช�ำระหนี้ จะให้ตัวการให้ประกันอันสมควรก็ได้” เช่นกรณีตวั อย่างในข้อ 2.2 หากตัวแทน
ไม่มีเงินไปช�ำระค่าจ้างในการซ่อมแซมรถยนต์ โดยได้ติดค้างช�ำระค่าจ้างดังกล่าว ตัวแทนก็อาจจะ
เรียกร้องให้ตัวการคือนายสมานน�ำเงินไปช�ำระหนี้ค่าจ้างซ่อมได้ หรืออาจจะให้นายสมานน�ำแหวนหนึ่งวง
มาเป็นประกันการช�ำระหนี้ได้
2.4 หน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ปพพ. มาตรา 816 วรรคสาม บัญญัติว่า “ถ้าในการจัดท�ำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตน
สธ
นั้น เป็นเหตุให้ตัวแทนต้องเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด มิใช่เป็นเพราะความผิดของตนเองไซร้ ท่านว่า
ตัวแทนจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากตัวการก็ได้” เนือ่ งจากการทีต่ วั แทนท�ำการให้ตวั การนัน้ เป็นการ
กระท�ำไปเพื่อประโยชน์ของตัวการและท�ำในนามตัวการ ดังนั้นหากการกระท�ำนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-23
ธ
ล้มลงได้รับบาดเจ็บถือไม่ได้ว่าตัวแทนประสบอันตรายเนื่องจากการเป็นตัวแทน
อุทาหรณ์
การโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นได้ อันเป็นคนละขั้นตอนกับขั้นตอนการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่ง
ประเทศไทย การซื้อขายหุ้นดังกล่าวที่โจทก์ซื้อแทนจ�ำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย (ฎ. 5388/2545)
กิจกรรม 7.2.1
นายแจ้งมอบหมายให้นายสว่างขับรถไปส่งของให้ลูกค้าที่ต่างจังหวัดและรับเงินค่าซื้อสินค้าจาก
นี้นายสว่างจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากนายแจ้งได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวตอบกิจกรรม 7.2.1
ม
ลูกค้า ในระหว่างทางมีรถคันหนึ่งขับโดยประมาทชนรถของนายสว่างจนท�ำให้นายสว่างบาดเจ็บกรณีเช่น
นายสว่างมีสิทธิเรียกร้องเพราะเกิดความเสียหายในขณะปฏิบัติหน้าที่ให้นายแจ้ง และไม่ใช่ความ
ผิดของนายสว่าง (ปพพ. มาตรา 816 วรรคท้าย)
สธ
ม
7-24 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 7.2.2
ความรับผิดของตัวการต่อตัวแทน
ธ
เมือ่ ตัวการไม่ปฏิบตั ติ ามหน้าทีด่ งั กล่าว นอกจากตัวแทนจะเรียกร้องให้ตวั การรับผิดตามหน้าทีใ่ น
เรื่องที่ 7.2.1 หน้าที่ของตัวการต่อตัวแทนแล้ว ตัวแทนยังมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์ของตัวการอีกด้วย โดย
มส
ปพพ. มาตรา 819 บัญญัติว่า “ตัวแทนชอบที่ยึดหน่วงทรัพย์สินอย่างใดๆ ของตัวการอันตกอยู่ในความ
ครอบครองของตนเพราะเป็นตัวแทนนัน้ เอาไว้ได้ จนกว่าจะได้รบั เงินบรรดาค้างช�ำระแก่ตนเพราะการเป็น
ตัวแทน”
เมือ่ เกิดสัญญาตัวแทนขึน้ ตัวการและตัวแทนต่างมีหนีต้ อ้ งปฏิบตั ติ อ่ กันตามสัญญา ดังนัน้ ในกรณี
ที่ตัวการจะต้องช�ำระเงินใดๆ ซึ่งตัวแทนมีสิทธิเรียกร้องโดยชอบตามกฎหมายจากตัวการ ตัวการก็ต้อง
ช�ำระให้ หากตัวการละเลยนอกจากตัวแทนจะมีสิทธิในฐานะคู่สัญญาแล้ว ตัวแทนยังอาจใช้สิทธิยึดหน่วง
แก่ทรัพย์สินของตัวการที่ตกอยู่ในความครอบครองของตัวแทนได้ แต่ทั้งนี้ต้องปรากฏหลักเกณฑ์ ดังต่อ
ไปนี้
1. ตัวการติดค้างช�ำระหนี้ให้แก่ตัวแทน ถ้าหนี้ระงับแล้ว เช่น เพราะแปลงหนี้ใหม่ตัวแทนจะยึด
ธ
หน่วงไม่ได้
2. หนี้นั้นเป็นหนี้ที่ต้องช�ำระเป็นเงิน
3. หนี้นั้นเกิดจากการที่ตัวแทนปฏิบัติหน้าที่ให้ตัวการ เช่น หนี้ค่าบ�ำเหน็จ เป็นต้น
มส
4. ทรัพย์สินซึ่งตัวแทนยึดหน่วงไว้นั้นเป็นทรัพย์สินของตัวการ และตัวแทนได้รับมอบมาจาก
ตัวการเพื่อใช้ในกิจการของตัวแทน
5. ทรัพย์สินนั้นตัวแทนได้ครอบครองอยู่แล้วในขณะใช้สิทธิยึดหน่วง
6. ตัวแทนและตัวการไม่มีข้อตกลงเป็นพิเศษห้ามมิให้ตัวแทนยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้
7. ตัวแทนมีสิทธิยึดหน่วงไว้เท่านั้นแต่ไม่มีสิทธิน�ำไปขายเพื่อช�ำระหนี้หรือโอนให้ใคร
อุทาหรณ์
ม
การใช้สิทธิยึดหน่วงของตัวแทนจึงต้องด�ำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว สิทธิยึดหน่วงนี้เป็น
ทรัพยสิทธิอย่างหนึ่ง ซึ่ง ปพพ. บัญญัติไว้ในมาตรา 241 ถึง 250
ฎ. 1725/2528 เจ้าหนี้ได้ออกเงินช�ำระหนี้ค่าซื้อหุ้นแทนจ�ำเลยไปในฐานะเป็นตัวแทนซื้อหุ้นให้
จ�ำเลยในตลาดหลักทรัพย์ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิยึดหน่วงใบหุ้นเหล่านั้นอันตกอยู่ในความครอบครองของ
เจ้าหนี้ไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างช�ำระแก่ตน เพราะการเป็นตัวแทน ตาม ปพพ. มาตรา 819
ฎ. 1815/2534 แม้เดิมโจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันเพราะเป็นผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงเหนือใบหุ้นซึ่งเป็น
สธ
ทรัพย์สินของจ�ำเลย แต่เมื่อโจทก์และจ�ำเลยได้ตกลงแปลงหนี้ใหม่โดยท�ำเป็นสัญญาประนีประนอม
ยอมความ หนี้ที่มีประกันเดิมของโจทก์ย่อมระงับสิ้นไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ตามผลของ ปพพ. มาตรา
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-25
ธ
ม.820-823
ฟ้อง ม.810, 812, 813
มส
ตัวการ
หน้าที่และความรับผิด
ไม่จำ� เป็นต้องมีหลักฐาน
ตั้งตัวแทน
ฟ้อง ม.816, 819
ม.820–823
ตัวแทน นิติกรรม
- ม.900
- ม.824
คนภายนอก
ยกเว้น - ม.427
- ท�ำนอกเหนืออ�ำนาจ
ธ
มส
กิจกรรม 7.2.2
นายแดงให้นายด�ำยืมรถยนต์ไปขับต่างจังหวัด เมือ่ กลับมาแล้วนายแดงตัง้ นายด�ำเป็นตัวแทนขาย
ทองตกลงให้บำ� เหน็จ 10% ของราคาขาย นายด�ำขายทองได้แล้ว นายแดงไม่ยอมจ่ายค่าบ�ำเหน็จ นายด�ำ
จึงยึดรถยนต์คันนั้นไว้เพื่อช�ำระค่าบ�ำเหน็จ ดังนี้จะท�ำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวตอบกิจกรรม 7.2.2
ม
นายด�ำจะยึดหน่วงรถยนต์ของนายแดงทีย่ มื มาเพือ่ ช�ำระหนีไ้ ม่ได้ เพราะทรัพย์ทยี่ ดึ ไว้นนั้ ไม่ได้มา
เนื่องจากการท�ำหน้าที่ตัวแทน ตาม ปพพ. มาตรา 819
สธ
ม
7-26 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 7.3
อายุความ
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 7.3 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
7.3.1 อายุความฟ้องให้ตัวแทนรับผิด
7.3.2 อายุความฟ้องให้ตัวการรับผิด
1. อ ายุความตัวแทนฟ้องให้ตัวแทนรับผิด ถ้าเป็นกรณีไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้
เป็นอย่างอืน่ ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30 เว้นแต่เป็นการใช้สทิ ธิ
ติดตามเอาทรัพย์คนื ตาม ปพพ. มาตรา 1336 ไม่มกี ำ� หนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สทิ ธิ
2. อายุความตัวแทนฟ้องให้ตัวการรับผิด ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ต้องใช้
อายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30
ธ
วัตถุประสงค์
มส
ม
สธ
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-27
เรื่อที่ 7.3.1
อายุความต้องให้ตัวแทนรับผิด
ธ
อายุความเป็นก�ำหนดระยะเวลาตามทีก่ ฎหมายบัญญัตไิ ว้เพือ่ ให้ใช้สทิ ธิเรียกร้องอย่างใดอย่างหนึง่
ถ้าพ้นก�ำหนดเวลานั้นแล้วผู้ใดจะอ้างสิทธิเรียกร้องอย่างใดๆ ย่อมไม่อาจท�ำได้
มส
อายุความฟ้องร้องให้ตัวแทนรับผิดหรืออายุความฟ้องร้องให้ตัวการรับผิดตามหน้าที่ดังกล่าวมา
แล้ว ปกติแล้วไม่มีกฎหมายก�ำหนดไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ ตาม ปพพ. มาตรา 193/30 กล่าว
คือ ต้องฟ้องร้องกันภายในก�ำหนด 10 ปี นับแต่วันเกิดสิทธิเรียกร้อง มิฉะนั้นคดีขาดอายุความ เว้นแต่
เป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน ตาม ปพพ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีก�ำหนดเวลา นอกจากนี้ยังมีอายุ
ความเฉพาะเรือ่ ง และในการฟ้องร้องถือว่าโจทก์ผฟู้ อ้ งใช้สทิ ธิขอ้ หาใดฐานะใด นอกจากนีต้ อ้ งดูฐานะตัวแทน
ด้วยบางกรณีตวั แทนอาจมีฐานะเป็นลูกจ้าง หรือจ้างท�ำของ เช่น ทนายความอาจมีทงั้ ฐานะเป็นลูกจ้างของ
บริษทั หรือเป็นผูร้ บั จ้างท�ำของ และเป็นตัวแทนด้วย ซึง่ มีกฎหมายบัญญัตเิ รือ่ งอายุความไว้เป็นพิเศษ และ
อายุความฟ้องร้องนี้หมายถึงตัวการ ตัวแทนฟ้องร้องกันโดยตรง ถ้าฝ่ายใดตามอาจมีการฟ้องร้องทายาท
อาจมีเรื่องอายุความมรดกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป
ธ
อายุความฟ้องให้ตัวแทนรับผิด
1. ตัวการฟ้องตัวแทนให้รับผิดตามสัญญาตั้งตัวแทน
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 741/2523 โจทย์ฟ้องจ�ำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขา อันเป็นสัญญาตั้ง
ตัวแทนมีอายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 164 (มาตรา 193/30 ปัจจุบัน)
ฎ. 2602/2524 สัญญาจัดตัง้ สาขาธนาคาร ซึง่ ธนาคารโจทก์ยอมให้จำ� เลยเปิดสาขาธนาคารโจทก์
ขึ้นเพื่อด�ำเนินกิจการธนาคารพาณิชย์นั้น เมื่อตามสัญญาโจทก์ยอมให้จ�ำเลยด�ำเนินกิจการภายใต้ความ
ม
ควบคุมของโจทก์ จ�ำเลยไม่มีอ�ำนาจด�ำเนินการอย่างอิสระ จึงไม่ใช่สัญญาจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่
ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์
ธนาคารโจทก์ฟ้องจ�ำเลยโดยอาศัยสัญญาตัวแทน (สัญญาจัดตั้งสาขาธนาคาร) เป็นมูลฐาน แม้
จะกล่าวว่าจ�ำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารโจทก์ ท�ำการโดยประมาทเลินเล่อปราศจาก
อ�ำนาจ นอกเหนือขอบอ�ำนาจหน้าที่ แสวงหาประโยชน์โดยไม่สุจริต ก็เป็นการกล่าวตามที่มีปรากฏใน
สัญญาเป็นเรื่องฟ้องขอให้จ�ำเลยรับผิดตามสัญญา ซึ่งไม่มีกฎหมายก�ำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นมิใช่
ฟ้องโดยอาศัยมูลละเมิดจึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 165 (มาตรา 193/30 ปัจจุบัน)
สธ
2. สิทธิเรียกร้องของตัวการให้ตัวแทนรับผิดส่งเงินและทรัพย์สินอย่างอื่น บรรดาทีต่ วั แทนรับ
ไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนให้แก่ตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 810 กรณีนี้เช่น
ม
7-28 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
อุทาหรณ์
ฎ. 1877/2542 โจทก์ฟอ้ งขอให้บงั คับจ�ำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ ป. ผูต้ ายให้สง่ มอบเงิน
จากกองทุนไฟป่าทีผ่ ตู้ ายเบิกและรับไว้แทนให้แก่โจทก์ เป็นการฟ้องให้จำ� เลยในฐานะทายาทรับผิดกรณีที่
ผู้ตายซึ่งเป็นตัวแทนต้องรับผิดต่อโจทก์ มิใช่โจทก์ฟ้องจ�ำเลยในฐานะทายาทของ ป. ในกรณีละเมิด และ
กรณีตัวการฟ้องเรียกเงินที่ตัวแทนรับไว้เกี่ยวกับการเป็นตัวแทน ตาม ปพพ. มาตรา 810 กฎหมายไม่ได้
ธ
บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30 นับแต่วันที่ ป. ผู้ตาย
รับเงินจากกองทุนไฟป่าไว้แทนโจทก์
มส
ถ้ า ตั ว การฟ้ อ งให้ ตั ว แทนส่ ง มอบทรั พ ย์ ที่ ส ่ ง มอบแก่ ตั ว แทนหรื อ บุ ค คลภายนอกส่ ง มอบนั้ น
ถ้าเป็นการใช้สทิ ธิตดิ ตามเอาทรัพย์คนื ตาม ปพพ. มาตรา 1336 ไม่มกี ำ� หนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สทิ ธิ
เว้นแต่จะถูกจ�ำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ
อุทาหรณ์
ฎ. 2185/2533 จ�ำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ท�ำหน้าที่เป็นตัวแทนรับเงินค่าซื้อรถจากลูกหนี้ของ
โจทก์ จ�ำเลยที่ 1 รับเงินตามหน้าทีแ่ ล้วไม่สง่ มอบให้แก่โจทก์ ย่อมเป็นทัง้ ละเมิดและปฏิบตั ผิ ดิ หน้าทีต่ วั แทน
ตามสัญญาจ้าง โจทก์ย่อมมีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายในการละเมิด หรือติดตามเอาทรัพย์ของโจทก์ที่จ�ำเลย
เอาไปได้ การฟ้องเรียกให้จ�ำเลยคืนเงินจึงเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์ของโจทก์คืนจากจ�ำเลยที่ 1
ผู้ไม่มีสิทธิยึดถือเอาทรัพย์ของโจทก์ไว้ ตาม ปพพ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีก�ำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้
สิทธิเช่นนี้ เว้นแต่จะถูกจ�ำกัดด้วยอายุความได้สทิ ธิ ดังนัน้ โจทก์ยอ่ มมีสทิ ธิฟอ้ งเรียกทรัพย์คนื จากจ�ำเลยที่
ธ
1 ได้ แม้เกิน 1 ปี จ�ำเลยที่ 2 ซึ่งคํ้าประกันจ�ำเลยที่ 1 มูลหนี้ของจ�ำเลยที่ 2 ก็เกิดจากสัญญาหาได้เกิดจาก
มูลละเมิดอันจะมีอายุความ 1 ปี ไม่ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
มส
ดังนั้นโจทก์ต้องบรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าเป็นการฟ้องโดยใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย หรือฟ้อง
เรียกทรัพย์คืนจากผู้ที่ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ ไม่ใช่ฟ้องในฐานะบุคคลสิทธิอย่างเดียว
3. อายุความฟ้องเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ตัวแทนเอาเงินไปใช้
อุทาหรณ์
ฎ. 4604/2547 โจทก์ฟอ้ งจ�ำเลยในฐานทีเ่ ป็นตัวแทนรับเงินค่าปุย๋ จากบริษทั น. แล้วไม่นำ� ไปมอบ
ให้แก่องค์การ ต. ท�ำให้โจทก์เสียหายต้องเสียดอกเบีย้ ให้แก่องค์การ ต. มูลคดีดงั กล่าวเกิดจากการทีจ่ ำ� เลย
ม
มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนซึ่งจ�ำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ ตาม ปพพ. มาตรา 812 ส่วน ปพพ.
มาตรา 811 นั้น กฎหมายบัญญัติไว้เพื่อให้ตัวการมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากเงินที่ตัวแทนรับไว้แล้วมิได้ส่งให้
ตัวการเท่านั้น โจทก์ไม่ได้ฟ้องให้จ�ำเลยคืนหรือใช้เงินที่รับไว้ซึ่งจ�ำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยในจ�ำนวนเงิน
ดังกล่าวด้วย แต่โจทก์ฟ้องให้จ�ำเลยใช้ค่าเสียหายโดยอาศัยดอกเบี้ยเป็นฐานในการค�ำนวณค่าเสียหาย
เท่านัน้ มิใช่ฟอ้ งเรียกดอกเบีย้ โดยตรง และการทีโ่ จทก์ฟอ้ งเรียกค่าเสียหายจากจ�ำเลย ตาม ปพพ. มาตรา
812 ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 164
เดิม (ปัจจุบันมาตรา 153/30) และอายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิที่เรียกร้องได้เป็นต้นไป ตาม
สธ
ปพพ. มาตรา 169 เดิม (ปัจจุบันมาตรา 193/12) เมื่อจ�ำเลยได้รับเงินไว้แทนโจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 31
มีนาคม พ.ศ. 2526 อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2526 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องวันที่ 2
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เกิน 10 ปีแล้วจึงขาดอายุความ
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-29
ธ
ปพพ. มาตรา 812 ซึ่งมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 (มาตรา 193/30 ปัจจุบัน)
ฎ. 7314/2537 จ�ำเลยเป็นพนักงานของโจทก์และเป็นทนายว่าความให้โจทก์จึงถือว่าโจทก์เป็น
มส
ตัวการและจ�ำเลยเป็นตัวแทน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จ�ำเลยรับผิดในฐานะเป็นตัวแทนกระท�ำการโดยประมาท
เลินเล่อท�ำให้โจทก์ผู้เป็นตัวการเสียหายซึ่งมิได้มีบทบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะแล้วย่อมมีอายุความ
ฟ้องร้อง 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 164 เดิม (มาตรา 190/30 ปัจจุบัน) ไม่ใช่กรณีละเมิดซึ่งต้องใช้อายุ
ความ 1 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 420, 448
อายุความฟ้องให้ตัวการรับผิด
อุทาหรณ์
ฎ. 1180/2530 โจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนฟ้องเรียกเงินทดรองจากจ�ำเลยซึ่งเป็นตัวการ ตาม ปพพ.
มาตรา 816 กฎหมายมิได้ก�ำหนดระยะเวลาการใช้สิทธิเรียกร้องไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ 10 ปี ตาม
ปพพ. มาตรา 164 (มาตรา 193/30 ปัจจุบัน) (ฎ. 3566/2525, ฎ. 1757/2527, ฎ. 1865/2530, ฎ.
ธ
2744/2534)
ฎ. 10875/2555 โจทก์เป็นกรรมการของจ�ำเลยที่ 1 เป็นผูด้ แู ลการผลิต การตลาด และการขายแร่
มส
กิจกรรม 7.3.1
ม
จ่ายคืนจากตัวการได้ สิทธิเรียกร้องนี้ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นพิเศษ จึงมีอายุความ
นายสุนทรตั้งนายทองเป็นตัวแทนไปรับโอนที่ดินโดยไม่ได้ท�ำเป็นหนังสือตั้งตัวแทน นายทองใส่
ชื่อในโฉนดที่ดินเป็นของตน หลังจากนั้นอีก 11 ปี นายสุนทรขอให้นายทองโอนโฉนดที่ดินมาเป็นชื่อของ
สธ
นายสุนทร นายทองปฏิเสธไม่ยอมโอนให้อ้างว่าคดีขาดอายุความแล้ว ดังนี้ ท่านเห็นว่าคดีขาดอายุความ
หรือไม่เพราะเหตุใด
ม
7-30 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แนวตอบกิจกรรม 7.3.1
ตัวการฟ้องตัวแทนเรียกทรัพย์ของตัวการซึ่งอยู่ในความครอบครองของตัวแทนเป็นการใช้สิทธิ
ติดตามเอาทรัพย์คืนจากตัวแทน ซึ่งไม่มีสิทธิยึดถือไว้ ตาม ปพพ. มาตรา 1336 ไม่มีอายุความฟ้องร้อง
คดีจึงไม่ขาดอายุความ
ธ
มส
เรื่องที่ 7.3.2
อายุความต้องให้ตัวการรับผิด
อายุความฟ้องให้ตัวการรับผิด
ตัวแทนอาจฟ้องร้องให้ตวั การรับผิดมีได้ 2 กรณีคือ ตาม ปพพ. มาตรา 816 โดยเฉพาะการเรียก
เงินทดรองที่จ่ายไปคืนจากตัวการ และกรณีฟ้องเรียกบ�ำเหน็จ
1. กรณีฟอ้ งเรียกเงินทดรองทีจ่ า่ ยไปคืนจากตัวการ มีอายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/34
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 1757/2527 จ�ำเลยสัง่ ให้โจทก์ซอื้ หุน้ ในตลาดหลักทรัพย์และยอมช�ำระค่าหุน้ 30 เปอร์เซ็นต์แก่
มส
ป.พ.พ. มาตรา 165 (7) ไม่ เพราะโจทก์จะต้องปฏิบตั ติ ามค�ำสัง่ ของจ�ำเลย โจทก์หามีอำ� นาจทีจ่ ะใช้ดลุ พินจิ
ของตนเองด�ำเนินการอย่างใดไม่ ดังนี้ เป็นการกระท�ำในฐานะตัวแทนในกิจการของจ�ำเลยซึ่งเป็นตัวการ
และเมื่อกฎหมายมิได้บัญญัติเรื่องอายุความในกรณีเช่นนี้ไว้เป็นพิเศษ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี อันเป็น
บทบัญญัติทั่วไป ตามมาตรา 164 ) (มาตรา 193/30 ปัจจุบัน) (ฎ. 4145/2543, 2744/2534)
ฎ. 10875/2555 โจทก์เป็นกรรมการของจ�ำเลยที่ 1 เป็นผูด้ แู ลการผลิต การตลาด และการขายแร่
ธ
ทีจ่ งั หวัดนครศรีธรรมราชทัง้ หมด ส่วนจ�ำเลยทัง้ สองอยูท่ กี่ รุงเทพมหานคร แสดงว่าการดูแลกิจการเหมืองแร่
ตกเป็นหน้าที่ของโจทก์ การส่งเงินให้แก่จำ� เลยที่ 1 รวมทั้งการมอบเงินผ่านพนักงานของจ�ำเลยที่ 1 ต่าง
มส
เป็นการกระท�ำในฐานะที่โจทก์เป็นกรรมการของจ�ำเลยที่ 1 และเพื่อประโยชน์ของจ�ำเลยที่ 1 เป็นหลัก จึง
เป็นเรือ่ งทีโ่ จทก์ในฐานะกรรมการได้ออกเงินของตนเพือ่ ทดรองจ่ายในกิจการของจ�ำเลยที่ 1 การทีโ่ จทก์มา
เรียกเงินคืนจากจ�ำเลยที่ 1 จึงเป็นกรณีความเกี่ยวพันระหว่างกรรมการและบริษัทซึ่ง ตาม ปพพ. มาตรา
1167 ให้บังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยตัวแทน และตามมาตรา 816 ตัวแทนชอบที่จะเรียกเงินที่ตนทดรอง
จ่ายคืนจากตัวการได้ สิทธิเรียกร้องนี้ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นพิเศษ จึงมีอายุความ
10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30
2. ตัวแทนฟ้องเรียกบ�ำเหน็จ การฟ้องเรียกร้องค่าบ�ำเหน็จการเป็นตัวแทนนั้น กฎหมายไม่ได้
ก�ำหนดอายุความไว้ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30
แต่ส�ำหรับตัวแทนที่ประกอบธุรกิจการค้า อาจมีอายุความเป็นพิเศษตาม ปพพ. มาตรา 193/34
ธ
ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 193/34 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำ� หนดอายุความสองปี
มส
ธ
(10) ครูสอนผู้ฝึกหัดงาน เรียกเอาค่าฝึกสอนและค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ตามที่ได้ตกลงกันไว้
รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป
ออกทดรองไป
มส (11) เจ้าของสถานศึกษาหรือสถานพยาบาล เรียกเอาค่าธรรมเนียมการเรียนและค่าธรรม
เนียมอื่นๆ หรือค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอย่างอื่น รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป
(12) ผูร้ บั คนไว้เพือ่ การบ�ำรุงเลีย้ งดูหรือฝึกสอน เรียกเอาค่าการงานทีท่ ำ� ให้ รวมทัง้ เงินทีไ่ ด้
ล่วงหน้าไป
(17) ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรม สถาปัตยกรรม ผู้สอบบัญชี หรือผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ
อื่น เรียกเอาค่าการงานที่ท�ำให้ รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป หรือผู้ว่าจ้างให้ประกอบการงานดังกล่าว
เรียกเอาคืนซึ่งเงินเช่นว่านั้นที่ตนได้จ่ายล่วงหน้าไป
กรณีตาม ตาม ปพพ. มาตรา 193/34 มีได้หลายกรณี มีข้อความชัดเจนอยู่แล้ว ค�ำว่าผู้ประกอบ
การค้าหรืออุตสาหกรรมตาม (1) หมายถึงผู้ประกอบการค้าทุกชนิด รวมถึงตัวแทนถ้าต่าง ตาม ปพพ.
ฎ. 2121/2540 สัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความแก่จําเลยเป็นสัญญาจ้างทําของซึ่งการเริ่มนับอายุ
ความในการเรียกร้องให้จําเลยชําระหนี้ค่าว่าความนี้ ปพพ. มาตรา 193/12 ให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับ
สิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป และมาตรา 602 วรรคหนึ่ง กําหนดให้สินจ้างพึงใช้เมื่อรับมอบการที่ทํา ก็คือ
เมือ่ ศาลชัน้ ต้นพิพากษาคดีแล้ว เมือ่ โจทก์ทำ� การตามสัญญาจ้างว่าความเสร็จสิน้ ตัง้ แต่ศาลชัน้ ต้นพิพากษา
สธ
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 แล้ว สิทธิที่โจทก์จะเรียกเอาสินจ้างย่อมเกิดขึ้นทันที โจทก์นําคดีมา
ฟ้องจาํ เลยวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2537 เกินกว่า 2 ปีนบั แต่วนั ทีศ่ าลชัน้ ต้นพิพากษาคดี จึงขาดอายุความ
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-33
ธ
ตาม ปพพ. มาตรา 193/34 (16)
อนึ่ง ถ้าทนายความเป็นลูกจ้างของบริษัท ทนายความฟ้องเรียกเงินเดือนค่าจ้างที่จ่ายเป็นระยะ
มส
เวลาต้องใช้อายุความ ตาม ปพพ. มาตรา 193/33 (4) มีอายุความ 5 ปี
ส�ำหรับกรณีที่ตัวการหรือตัวแทนตายและมีการฟ้องร้องทายาทของตัวการหรือตัวแทนให้รับผิด
นั้น อาจเกี่ยวข้องกับอายุความมรดกด้วย โดย ปพพ. มาตรา 1754 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดก
เมื่อพ้นก�ำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายหรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความ
ตายของเจ้ามรดก
คดีฟอ้ งเรียกตามข้อก�ำหนดพินยั กรรม มิให้ฟอ้ งเมือ่ พ้นก�ำหนดหนึง่ ปี นับแต่เมือ่ ผูร้ บั พินยั กรรม
ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงสิทธิที่ตนมีอยู่ตามพินัยกรรม
ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 193/27 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อ
เจ้ามรดกมีก�ำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นก�ำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้า
ธ
หนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
ถึงอย่างไรก็ดี สิทธิเรียกร้องตามที่ว่ามาในวรรคก่อนๆ นั้น มิให้ฟ้องร้องเมื่อพันก�ำหนดสิบปีนับ
มส
แต่เมื่อเจ้ามรดกตาย”
อุทาหรณ์
ฎ. 1679/2522 ระหว่างจัดการมรดกทายาททีค่ รอบครองทรัพย์มรดกทีย่ งั มิได้แบ่งกัน ย่อมถือได้
ว่าครอบครองแทนทายาทอื่น ตาม ปพพ. มาตรา 1363, 1745, 1748 ทายาทอื่นหรือผู้จัดการมรดกซึ่งเป็น
ตัวแทนของทายาททัง้ ปวงย่อมมีสทิ ธิฟอ้ งเรียกทรัพย์มรดกเพือ่ จัดการแบ่งปันต่อไปได้ แม้จะล่วงพ้นก�ำหนด
อายุความ ตาม ปพพ. มาตรา 1754 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ม
ฎ. 8205/2554 นิติสัมพันธ์ระหว่างลูกหนี้กับผู้ตายที่ซื้อและขายหลักทรัพย์ตามสัญญาแต่งตั้ง
นายหน้า/ตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์และการให้กู้ยืมมีลักษณะเป็นตัวการตัวแทน การที่ผู้คัดค้านใช้สิทธิ
เรียกร้องของลูกหนี้เรียกเอาเงินที่ลูกหนี้ทดรองจ่ายไปแทนผู้ตายเป็นเรื่องการใช้สิทธิเรียกร้องของตัวแทน
เรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการ ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ มีอายุความ 10 ปี ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 193/30 เมื่อปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2543 จึงเป็นกรณีที่สิทธิ
เรียกร้องของลูกหนีท้ มี่ ตี อ่ ผูต้ ายมีกำ� หนดอายุความยาวกว่า 1 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 1754 วรรคสาม ห้าม
มิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องเมื่อพ้นก�ำหนด 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
สธ
ม
7-34 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
กิจกรรม 7.3.2
ทนายความฟ้องเรียกบ�ำเหน็จค่าจ้างว่าความจากผู้ว่าจ้าง มีอายุความเท่าไร
แนวตอบกิจกรรม 7.3.2
ธ
ทนายความรับจ้างว่าความ เป็นการรับจ้างท�ำของและท�ำหน้าที่เป็นตัวแทนด้วย ฟ้องเรียกค่า
บ�ำเหน็จ มีอายุความ 2 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/34 ไม่ใช่อายุความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
หน้าที่และความรับผิดระหว่างตัวแทนกับตัวการ 7-35
บรรณานุกรม
ธ
กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์นิติบรรณาการ.
จักรพงษ์ เล็กสกุลไชย. (2545). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ด้วยตัวแทน นายหน้าจ้างท�ำของ
รับขน. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์นิติธรรม.
มส
ไผทชิต เอกจริยกร. (2543). ตัวแทน นายหน้า. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพมหานคร: วิญญูชน.
มาโนช สุทธิวาทนฤพุฒิ. (2525). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า. (พิมพ์
ครั้งที่ 6). กรุงเทพมหานคร: บริษัทประชาชน จ�ำกัด.
สรรเสริญ ไกรจิตติ. (2520). กฎหมายว่าด้วยตัวแทนและนายหน้า. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
รามค�ำแหง.
ธ
มส
ม
สธ
มส
ธ
มส
สธ ธ
ม ม
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-1
หน่วยที่ 8
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอก
และความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน
ธ
รองศาสตราจารย์วรวุฒิ เทพทอง
มส
ธ
มส
ม
ชื่อ รองศาสตราจารย์วรวุฒิ เทพทอง
วุฒิ น.บ. (เกียรตินิยมอันดับ 2)
น.บ.ท., รป.ม. ประกาศนียบัตรบัณฑิต กฎหมายมหาชน
สธ
ประกาศนียบัตรกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
ตำ�แหน่ง รองศาสตราจารย์ประจำ�สาขาวิชานิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 8
ม
8-2 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แผนการสอนประจำ�หน่วย
ธ
หน่วยที่ 8 ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญา
ตอนที่
แนวคิด
มส ตัวแทน
8.1 ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอก
8.2 ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน
1. ตัวแทนเป็นเพียงเครื่องมือของตัวการ เมื่อตัวแทนทำ�การแทนตัวการไปภายในขอบอำ�นาจ
แห่งฐานตัวแทนแล้วการนั้นย่อมผูกพันตัวการ คือตัวการและบุคคลภายนอกย่อมผูกพันกัน
ธ
โดยตรง ตัวแทนย่อมไม่มีความรับผิดใดๆ ต่อบุคคลภายนอก
2. สญ
ั ญาตัวแทนย่อมระงับสิน้ ไปเมือ่ คูส่ ญ
ั ญาบอกเลิกสัญญา หรือคูส่ ญ
ั ญาตาย ตกเป็นผูไ้ ร้ความ
สามารถหรือล้มละลาย
มส
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 8 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอกได้
2. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาความรับผิดของตัวแทนต่อบุคคลภายนอกได้
3. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทนได้
กิจกรรมระหว่างเรียน
1.
2.
ทำ�แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 8
ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 8.1-8.2
ม
3. ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
4. ฟังซีดีเสียงประจำ�ชุดวิชา
สธ
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
7. ทำ�แบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 8
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-3
สื่อการสอน
1. เอกสารการสอน
2. แบบฝึกปฏิบัติ
3. ซีดีเสียงประจำ�ชุดวิชา
ธ
4. รายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
5. การสอนเสริม (ถ้ามี)
มส
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบไล่ประจำ�ภาคการศึกษา
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ทำ�แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 8 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ธ
มส
ม
สธ
ม
8-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 8.1
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอก
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 8.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
8.1.1 ความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอก
8.1.2 ความรับผิดของตัวแทนต่อบุคคลภายนอก
4. ตัวการต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกเมื่อได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำ�ของตัวแทนซึ่งทำ�
ไปโดยปราศจากอำ�นาจหรือนอกเหนืออำ�นาจ
5. ตัวแทนต้องรับผิดตามสัญญาต่อบุคคลภายนอกแม้ได้กระทำ�ไปภายในขอบอำ�นาจ ใน
กรณีที่ตัวการมีภูมิลำ�เนาและอยู่ต่างประเทศ
6. กรณีตัวแทนทำ�การโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างหรือประโยชน์อันบุคคลภายนอกได้ให้เป็น
ส่วนตัว ตัวการไม่จำ�ต้องผูกพันในการนั้น เว้นแต่ตัวการจะยินยอมด้วย
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 8.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
ม
1. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอกได้
2. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาความรับผิดของตัวแทนต่อบุคคลภายนอกได้
สธ
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-5
เรื่องที่ 8.1.1
ความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอก
ธ
ตัวแทนเป็นเพียงเครื่องมือของตัวการ โดยปกติเมื่อตัวแทนได้จัดทำ�การไปแทนตัวการตาม
ที่ตัวการมอบหมายแล้ว ตัวการย่อมต้องเข้ามาผูกพันในกิจการที่ตัวแทนได้จัดการไปเช่นนั้นต่อบุคคล
มส
ภายนอก ส่วนตัวแทนย่อมไม่มคี วามรับผิดใดต่อบุคคลภายนอกอีก อย่างไรก็ตาม ตัวการอาจไม่ตอ้ งรับผิด
ต่อบุคคลภายนอกในกรณีทตี่ วั แทนทำ�การไปโดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ เว้นแต่
ตัวการจะได้ให้สตั ยาบันแก่การนัน้ หรือในกรณีทตี่ วั แทนทำ�การไปโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างทีบ่ คุ คลภายนอก
ให้เป็นลาภส่วนตัวหรือให้คำ�มั่นว่าจะให้แก่ตัวแทน เว้นแต่ตัวการจะได้ยินยอมด้วย สำ�หรับในเรื่องความ
รับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอกนี้ จะกล่าวถึงเรื่องตัวการต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอก ตัวการไม่ต้อง
ผูกพันต่อบุคคลภายนอก ตัวการต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ดังจะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไปนี้
1. ตัวการต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอก
สัญญาตัวแทนเป็นสัญญาซึง่ ให้ตวั แทนมีอ�ำ นาจทำ�การแทนตัวการ ดังนัน้ โดยหลักแล้วเมือ่ ตัวแทน
ธ
หรือตัวแทนช่วงได้ท�ำ การแทนตัวการไปภายในขอบอำ�นาจของตัวแทนนัน้ แล้ว โดยเฉพาะการทีต่ วั แทนหรือ
ตัวแทนช่วงทำ�กิจการกับบุคคลภายนอก กิจการนัน้ ย่อมผูกพันตัวการ ตัวแทนหรือตัวแทนช่วงไม่มหี น้าทีแ่ ละ
ความรับผิดใดๆ ต่อบุคคลภายนอกดังกล่าว เปรียบเสมือนหนึง่ ว่าตัวแทนหรือตัวแทนช่วงนัน้ เป็นเพียงเครือ่ ง
มส
อุทาหรณ์
ม
ชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้ หรือในกรณีทมี่ กี ารตัง้ ตัวแทนช่วง ต้องปรากฏว่ามีการตัง้ ตัวแทนช่วงโดยชอบ
ด้วยเช่นกัน หากไม่มีสัญญาตัวแทนหรือมิได้เป็นตัวแทน ย่อมไม่มีความผูกพันตามมาตราดังกล่าว
ปัญหาทางการเงินและต้องขอความช่วยเหลือจากจำ�เลย จึงต้องมีการพิจารณาบุคคลที่จะเข้าไปบริหาร
กิจการของบริษัทเพื่อให้ที่ประชุมใหญ่ของบริษัทแต่งตั้งอีกชั้นหนึ่ง บุคคลที่จำ�เลยเสนอชื่อเข้าไปไม่ได้
กระทำ�การในฐานะตัวแทนบริหารงานบริษทั แทนจำ�เลย จำ�เลยไม่มอี �ำ นาจในการควบคุมกรรมการบริหาร
บริษัท และการบริหารงานของบริษัทก็ไม่ได้กระทำ�ตามคำ�สั่งของจำ�เลย ดังนั้น กรรมการและกรรมการ
บริหารบริษัทจึงมิใช่ตัวแทนของจำ�เลย ตาม ปพพ. มาตรา 797 จำ�เลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในการ
ธ
บริหารงานของกรรมการบริษัท ธ.
1.2 ตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำ�ไปภายในขอบอำ�นาจ ตัวการจะมีความผูกพันต่อบุคคล
มส
ภายนอกในกิจการที่ตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำ�ไปนั้น ต้องปรากฏว่า ตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำ�ไป
ภายในขอบอำ�นาจของตัวแทนนัน้ ด้วย แม้วา่ การกระทำ�ดังกล่าวของตัวแทนหรือตัวแทนช่วงจะผิดระเบียบ
ที่เป็นเรื่องกิจการภายในของตัวการบ้างก็ตาม
ผลการผูกพันคือ ตัวการย่อมถือเอาสิทธิเรียกร้องต่อบุคคลภายนอก หรือถูกบุคคลภายนอก
เรียกร้องให้ปฏิบัติการชำ�ระหนี้ตามกิจการที่ตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ท�ำ ไปภายในขอบอำ�นาจนั้น
อุทาหรณ์
ฎ. 455/2506 ตัวแทนว่าจ้างโจทก์เป็นทนายว่าคดีให้แก่จำ�เลย จำ�เลยซึ่งเป็นตัวการย่อมผูกพัน
ต่อโจทก์ซึ่งเป็นทนายความโดยตรง ตัวแทนหาต้องรับผิดไม่
ฎ. 7728-7729/2548 ลูกหนี้ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งไม่ประจำ�ทางให้บริษัทเขมจิรา
ธ
ขนส่ง จำ�กัด เช่ารถบรรทุกนาํ้ มันคันเกิดเหตุโดยมีชอื่ และเครือ่ งหมายของลูกหนีอ้ ยูท่ รี่ ถ แล้วนำ�ไปบรรทุกนาํ้
มันส่งให้แก่ลกู ค้าทัว่ ราชอาณาจักร ถือได้วา่ บริษทั ดังกล่าวเป็นตัวแทนของลูกหนีใ้ นการขนส่งนํา้ มัน เมือ่ ผูข้ บั
มส
ธ
ปรากฏว่าเกิดความเสียหายแก่ตวั การ ตัวการย่อมต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอก ส่วนความเสียหายทีเ่ กิดขึน้
ดังกล่าว ต้องพิจารณาในเรื่องความรับผิดระหว่างตัวการกับตัวแทนกันต่อไป
มส
ตัวอย่าง นายจันทร์แต่งตัง้ นายอังคารเป็นตัวแทนไปรับชำ�ระหนีเ้ งินกูท้ นี่ ายพุธกูย้ มื ตนไปจำ�นวน
10,000 บาท หลังจากที่นายพุธได้ส่งมอบเงินจำ�นวน 10,000 บาท ให้แก่นายอังคารและนายอังคารคืน
หนังสือสัญญากูย้ มื ให้แก่นายพุธไปแล้วปรากฏว่านายอังคารนำ�เงินดังกล่าวไปเล่นการพนันจนหมด เช่นนี้
นายจันทร์ยอ่ มต้องผูกพันในการชำ�ระหนีเ้ งินกูด้ งั กล่าว จะเรียกร้องให้นายพุธชำ�ระหนีใ้ ห้ตนอีกไม่ได้ นาย
จันทร์ต้องไปเรียกร้องเอาจากนายอังคาร
อุทาหรณ์
ฎ. 645/2515 ตัวการให้ตัวแทนไปรับเงินที่กู้แม้ตัวแทนจะไม่ได้นำ�เงินที่รับมานั้นไปมอบให้แก่
ตัวการ ตัวการก็ผูกพันรับผิดใช้คืนเงินนั้นให้แก่ผู้ให้กู้
ข้อสังเกต กรณีทที่ นายความเป็นตัวแทนฟ้องคดีแทนตัวการซึง่ เป็นโจทก์ โดยปกติทนายความจะ
ธ
มีอ�ำ นาจหน้าทีใ่ นการดำ�เนินคดีเท่านัน้ ไม่มอี �ำ นาจหน้าทีร่ บั ชำ�ระหนีจ้ ากคูค่ วามอีกฝ่ายหนึง่ ซึง่ เป็นจำ�เลย
ดังนั้น หากจำ�เลยซึ่งเป็นคู่ความอีกหนึ่งฝ่ายได้ชำ�ระหนี้ให้แก่ทนายความตัวแทนนั้นไป การชำ�ระหนี้นั้น
มส
2. ตัวการไม่ต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอก
ม
โดยหลักตัวการต้องผูกพันกับบุคคลภายนอกในกิจการที่ตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้กระทำ�ไป
ภายในขอบอำ�นาจของตัวแทนดังกล่าวมาแล้ว แต่ก็มีกรณีที่ตัวการไม่ต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกได้แก่
กรณีตัวแทนกระทำ�การไปโดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ หรือกรณีตัวแทนเข้าทำ�
สัญญากับบุคคลภายนอกโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างเป็นทรัพย์สนิ อย่างใดๆ หรือประโยชน์อย่างอืน่ อันบุคคล
ภายนอกได้ให้เป็นลาภส่วนตัว หรือให้คำ�มั่นว่าจะให้ แยกพิจารณาเป็น 2 กรณี ดังนี้
สธ
2.1 กรณีตัวแทนกระทำ�การไปโดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ
มาตรา 823 บัญญัตวิ า่ “ถ้าตัวแทนกระทำ�การอันใดอันหนึง่ โดยปราศจากอำ�นาจก็ดี หรือทำ�นอก
ทำ�เหนือขอบอำ�นาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการ เว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น
ม
8-8 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
เช่น แต่งตั้งตัวแทนไปทำ�สัญญากู้ยืมเงินจำ�นวน 100,000 บาท ปรากฏว่าตัวแทนไปทำ�สัญญากู้ยืมเงิน
จำ�นวน 150,000 บาทเกินขอบอำ�นาจไป 50,000 บาท
มส
ดังนี้แล้ว การกระทำ�ของตัวแทนดังกล่าวไม่ผูกพันตัวการ ซึ่งตัวการย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ผูกพัน
ตามสัญญาดังกล่าวข้างต้นได้และผู้ที่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกก็คือตัวแทนนั่นเอง เว้นเสียแต่ว่าใน
ขณะทำ�การนั้น บุคคลภายนอกได้รู้อยู่แล้วว่าตัวแทนได้ทำ�การโดยปราศจากอำ�นาจหรือทำ�นอกทำ�เหนือ
ขอบอำ�นาจแล้วแต่กรณี
ตัวอย่าง นายนาํ้ ตัง้ นายฝนไปซือ้ ทุเรียนหมอนทองจากสวนของนายดินจำ�นวน 1,000 ลูก นายฝน
ไปซื้อทุเรียนก้านยาวจากสวนของนายดินจำ�นวน 1,000 ลูก เพราะเห็นว่าทุเรียนก้านยาวน่ารับประทาน
กว่าทุเรียนหมอนทอง เช่นนีส้ ญ ั ญาซือ้ ทุเรียนก้านยาวจำ�นวน 1,000 ลูกนัน้ ไม่ผกู พันนายนาํ้ เพราะนายฝน
ตัวแทนทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 5336/2550 ส. เดินทางไปกับ ก. ซึง่ เป็นผูร้ บั มอบอำ�นาจช่วงของโจทก์และร่วมกันเจรจาขอรับ
รถยนต์คืนตลอดจนทำ�บันทึกการตรวจสภาพรถมอบให้แก่ตัวแทนของจำ�เลยที่ 1 เป็นพฤติการณ์ที่ ส.
มส
การให้สัตยาบันของตัวการ นำ�หลักการให้สัตยาบันในเรื่องโมฆียะกรรมมาใช้บังคับโดยอนุโลม1
กล่าวคือ ต้องแสดงเจตนาแก่คกู่ รณีอกี ฝ่ายหนึง่ ซึง่ เป็นบุคคลทีม่ ตี วั กำ�หนดได้แน่นอน ในกรณีนยี้ อ่ มหมายถึง
บุคคลภายนอกและหากบุคคลภายนอกถึงแก่ความตายก็ต้องแสดงเจตนาต่อทายาทของบุคคลดังกล่าว
ตาม ปพพ. มาตรา 178 การให้สัตยาบันนั้นอาจกระทำ�โดยชัดแจ้งคือยอมรับหรือรับรองการที่ตัวแทนได้
ทำ�ไป หรือกระทำ�โดยปริยาย ตาม ปพพ. มาตรา 180 เช่น ได้ปฏิบัติการชำ�ระหนี้แล้วทั้งหมดหรือแต่บาง
ธ
ส่วน ได้มีการเรียกให้ช�ำ ระหนี้นั้นแล้ว ได้มีการให้ประกันเพื่อหนี้นั้น หรือได้มีการกระทำ�อย่างอื่นอันแสดง
ได้ว่าเป็นการให้สัตยาบัน เป็นต้น
มส
ตัวอย่าง นายนาํ้ ตัง้ นายฝนไปซือ้ ทุเรียนหมอนทองจากสวนของนายดินจำ�นวน 1,000 ลูก นายฝน
ไปซื้อทุเรียนก้านยาวจากสวนของนายดินจำ�นวน 1,000 ลูก เพราะเห็นว่าทุเรียนก้านยาวน่ารับประทาน
กว่าทุเรียนหมอนทอง ปรากฏว่านายนํ้าเห็นดีด้วยและได้ชำ�ระหนี้ค่าทุเรียนก้านยาวบางส่วนให้แก่นาย
ดินไปแล้ว เช่นนี้ สัญญาซื้อทุเรียนก้านยาวจำ�นวน 1,000 ลูกนั้นย่อมผูกพันนายนํ้า เพราะนายนํ้าได้ให้
สัตยาบันในการกระทำ�ของนายฝนตัวแทนซึ่งทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ
อุทาหรณ์
ฎ. 12523/2547 หนังสือมอบอำ�นาจที่โจทก์มอบอำ�นาจให้ ด. ฟ้องคดีระบุว่า ให้เป็นผู้มีอำ�นาจ
ฟ้องร้องและดำ�เนินคดีแพ่งกับจำ�เลย รวมทั้งแต่งทนายความถอนฟ้อง ประนีประนอมยอมความ ใช้สิทธิ
หรือสละสิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกา ผู้รับมอบอำ�นาจจึงเป็นตัวแทนโจทก์ในการดำ�เนินคดีฟ้องจำ�เลยใน
ธ
คดีเกีย่ วกับทางจำ�เป็นเท่านัน้ การทีผ่ รู้ บั มอบอำ�นาจได้แถลงต่อศาลตกลงจะขายทีด่ นิ ของโจทก์ให้แก่จ�ำ เลย
จึงเป็นการกระทำ�นอกเหนือขอบอำ�นาจของโจทก์ ย่อมไม่ผูกพันตัวการ แต่หลังจากผู้รับมอบอำ�นาจกับ
มส
ธ
ฎ. 10625/2554 แม้ผู้บอกกล่าวบังคับจำ�นองจะมิใช่ผู้รับจำ�นองและไม่ได้รับมอบอำ�นาจจากผู้รับ
จำ�นอง แต่โจทก์ผู้รับจำ�นองยอมรับเอาการกระทำ�ของผู้บอกกล่าวบังคับจำ�นองที่ได้กระทำ�ไปในนามของ
มส
โจทก์โดยการฟ้องคดีนี้ ถือว่าโจทก์ได้ให้สตั ยาบันแก่การบอกกล่าวบังคับจำ�นองนัน้ แล้ว ตาม ปพพ. มาตรา
823 โจทก์จึงมีอ�ำ นาจฟ้องบังคับจำ�นอง
มีข้อสังเกตว่า แม้การทีต่ วั การได้ให้สตั ยาบันแก่การนัน้ ทำ�ให้ตวั แทนย่อมหลุดพ้นความรับผิดต่อ
บุคคลภายนอก แต่ถ้าการกระทำ�ของตัวแทนนั้นปรากฏว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ตัวการ ตัวแทนย่อม
ต้องรับผิดในความเสียหายต่อตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 812
อุทาหรณ์
ฎ. 1585/2529 การทีต่ วั การให้สตั ยาบันต่อการกระทำ�นอกเหนือขอบอำ�นาจของตัวแทนต่อบุคคล
ภายนอกอันมีผลทำ�ให้นติ กิ รรมซึง่ ไม่ผกู พันตัวการกลับเป็นผูกพันตัวการโดยตรงและทำ�ให้ตวั แทนหลุดพ้น
ความรับผิดทีม่ ตี อ่ บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 นัน้ ไม่ท�ำ ให้ตวั แทน
ธ
หลุดพ้นจากความรับผิดต่อตัวการในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกิจการที่ตนกระทำ�นอกเหนือขอบอำ�นาจ
นั้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 812 จำ�เลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสาขาธนาคารโจทก์โดยมีจำ�เลยที่ 2 เป็นผู้คํ้า
มส
เงือ่ นไขทีผ่ รู้ บั มอบอำ�นาจและจำ�เลยตกลงกัน ถือได้วา่ โจทก์ได้ให้สตั ยาบันแก่นติ กิ รรมทีผ่ รู้ บั มอบอำ�นาจได้
กระทำ�นอกเหนือขอบอำ�นาจแล้ว ตาม ปพพ. มาตรา 823 โจทก์จึงต้องผูกพันตามนิติกรรมนั้นด้วย
ฎ. 397/2554 ในขณะทีจ่ �ำ เลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการดำ�เนินการของโจทก์ และจำ�เลยที่ 2 ถึงที่ 14
เป็นคณะกรรมการ ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำ�ปี 2540 ของโจทก์มีมติอนุมัติให้ซื้อรถยนต์เพื่อใช้ใน
กิจการของโจทก์สองคัน ในวงเงิน 1,500,000 บาท ต่อมาจำ�เลยทั้งสิบสี่ซื้อรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด 1 คัน ราคา
ธ
291,970 บาท และยี่ห้อเบนซ์ 1 คัน ราคา 1,750,000 บาท เกินกว่าวงเงินตามมติของโจทก์ดังกล่าวถึง
541,970 บาท ย่อมเป็นการกระทำ�ที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับของโจทก์ และทำ�ให้โจทก์เสียหาย เพราะโจทก์
มส
จะต้องจ่ายเงินซื้อรถยนต์ในราคาที่สูงเกินไป แทนที่จะนำ�เงินจำ�นวนนั้นไปใช้อย่างอื่นตามวัตถุประสงค์
ของโจทก์เป็นการไม่ประหยัดไม่ต้องด้วยวัตถุประสงค์ของโจทก์ ที่จำ�เลยทั้งสิบสี่อ้างว่าโจทก์ให้สัตยาบัน
ยอมรับรู้การกระทำ�ดังกล่าวแล้ว ทั้งโจทก์ยังขายรถยนต์ทั้งสองคัน โดยหักค่าเสื่อมราคาแล้วไม่ขาดทุน
ไม่ท�ำ ให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ความเสียหายของโจทก์เกิดขึ้นนับแต่วันที่จำ�เลยทั้งสิบสี่ซื้อ
รถยนต์ทั้งสองคันดังกล่าว แม้ภายหลังโจทก์จะขายรถยนต์ทั้งสองคันโดยหักค่าเสื่อมราคาแล้วไม่ขาดทุน
ก็ไม่อาจทำ�ให้ความเสียหายของโจทก์กลับเป็นไม่มีความเสียหายอีกได้ และการให้สัตยาบันยอมรับรู้การ
กระทำ�ของจำ�เลยทั้งสิบสี่ก็เป็นเพียงทำ�ให้โจทก์ต้องรับผิดชอบต่อผู้ขายรถยนต์ทั้งสองคัน ผู้สุจริตจากการ
กระทำ�ของจำ�เลยทั้งสิบสี่ ตาม ปพพ. มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 ถึง 823 เท่านั้นโดยมิได้ทำ�ให้
จำ�เลยทั้งสิบสี่พ้นความรับผิดในความเสียหายจากการกระทำ�ของตนต่อโจทก์
ธ
มีข้อสังเกตอีกว่า การให้สัตยาบันนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นตัวแทน หาก
ปรากฏว่าตัวแทนกระทำ�การไปโดยปราศจากอำ�นาจหรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจตัวแทน แล้วการทำ�ไป
มส
นัน้ อยูน่ อกวัตถุประสงค์ของนิตบิ คุ คลนัน้ ด้วย เช่น ตัวแทนเป็นมูลนิธแิ ล้วมูลนิธนิ นั้ ไปทำ�การแสวงหากำ�ไร
ซึง่ เป็นการกระทำ�โดยปราศจากอำ�นาจหรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจตัวแทนและอยูน่ อกวัตถุประสงค์ของ
มูลนิธินั้น เช่นนี้ตัวการไม่อาจให้สัตยาบันแก่การดังกล่าวได้ หรือในกรณีเป็นเรื่องอำ�นาจฟ้อง ที่ตัวแทน
ฟ้องคดีเกินอำ�นาจที่ได้รับมอบหมายจากตัวการ เช่น ตัวการมอบอำ�นาจให้ตัวแทนฟ้องคดีแบ่งมรดก แต่
ตัวแทนกลับไปฟ้องคดีเรียกทรัพย์คนื โดยไม่มอี �ำ นาจฟ้อง เช่นนีต้ วั การย่อมไม่อาจให้สตั ยาบันแก่การฟ้อง
คดีดังกล่าวได้
ม
อนึ่ง ถ้าตัวการไม่ได้ให้สัตยาบันแก่การที่ตัวแทนทำ�ไปโดยปราศจากอำ�นาจหรือทำ�นอกทำ�เหนือ
ขอบอำ�นาจดังกล่าว ตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำ�พังตนเอง เว้นแต่จะพิสจู น์ได้วา่ บุคคล
ภายนอกนัน้ ได้รอู้ ยูว่ า่ ตนทำ�การโดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ ดังจะได้กล่าวต่อไป
ในเรื่องที่ 8.1.2 ความรับผิดของตัวแทนต่อบุคคลภายนอก
2.2 กรณีตวั แทนเข้าทำ�สัญญากับบุคคลภายนอกโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างเป็นทรัพย์สนิ อย่างใด ๆ
หรือประโยชน์อย่างอื่นอันบุคคลภายนอกได้ให้เป็นลาภส่วนตัว หรือให้คำ�มั่นว่าจะให้
มาตรา 825 บัญญัตวิ า่ “ถ้าตัวแทนเข้าทำ�สัญญากับบุคคลภายนอกโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างเป็น
สธ
ทรัพย์สินอย่างใด ๆ หรือประโยชน์อย่างอื่นอันบุคคลภายนอกได้ให้เป็นลาภส่วนตัวก็ดี หรือให้คำ �มั่น
ว่าจะให้ก็ดี ท่านว่าตัวการหาต้องผูกพันในสัญญาซึ่งตัวแทนของตนได้ทำ�นั้นไม่ เว้นแต่ตัวการจะได้ยิน
ยอมด้วย”
ม
8-12 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ตัวการและอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ตลอดจนกระทำ�การโดยไม่สุจริตต่อตัวการได้ในที่สุด
มีข้อสังเกตว่า การกระทำ�ของตัวแทนโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างเป็นทรัพย์สินอย่างใดๆ หรือ
825 นี้ มส
ประโยชน์อย่างอืน่ อันบุคคลภายนอกได้ให้เป็นลาภส่วนตัว หรือให้ค�ำ มัน่ ว่าจะให้นนั้ ต้องเป็นการทำ�สัญญา
กับบุคคลภายนอกเท่านัน้ หากเป็นการกระทำ�การอืน่ ทีม่ ใิ ช่สญ ั ญาย่อมไม่อยูใ่ นบังคับบทบัญญัตขิ องมาตรา
ธ
สัญญาแล้วโดยสิ่งที่ให้ไม่ใช่อามิสสินจ้าง ตัวการจะปฏิเสธความผูกพันกับบุคคลภายนอกตามสัญญา
ดังกล่าวย่อมไม่ได้
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 791/2515 จำ�เลยมอบอำ�นาจให้ จ. ทำ�สัญญาจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กบั โจทก์แทนจำ�เลย เป็น
เรือ่ งที่ จ. ทำ�สัญญาไปโดยได้รบั ความเห็นชอบยินยอมจากจำ�เลย ถึงหากต่อมาภายหลังโจทก์จะทำ�สัญญา
จ่ายเงินให้ จ. บ้าง ก็ไม่ถือว่า จ. ทำ�สัญญาจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับโจทก์แทนจำ�เลยโดยเห็นแก่อามิส
สินจ้าง จำ�เลยจะยกเอา ปพพ. มาตรา 825 ขึ้นปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
การที่ตัวแทนเข้าทำ�สัญญาโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างเป็นลาภส่วนตัวนั้น นักกฎหมายเห็นว่าถือว่า
เป็นการที่ตัวแทนทำ�การไปโดยมิชอบในหน้าที่ หากเป็นกรณีที่มีบำ�เหน็จตัวแทน ตัวแทนย่อมไม่มีสิทธิ
ได้รับบำ�เหน็จนั้นด้วย ตาม ปพพ. มาตรา 8182 บัญญัติว่า “การในหน้าที่ตัวแทนส่วนใดตัวแทนได้ทำ�มิ
ชอบในส่วนนั้น ท่านว่าตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้บำ�เหน็จ”
ธ
มีปัญหาว่า อามิสสินจ้างที่ตัวแทนได้รับมาจากบุคคลภายนอกนั้น ตัวแทนมีหน้าที่ต้องส่งมอบให้
แก่ตวั การหรือไม่ ซึง่ ในประเด็นดังกล่าวมีนกั กฎหมายให้ความเห็นไว้วา่ ถ้าตัวการให้ความยินยอมภายหลัง
แล้ว ตัวแทนต้องส่งคืนให้แก่ตัวการด้วย3 และถ้าตัวการไม่ยินยอม การนั้นไม่ผูกพันตัวการแล้วก็ไม่น่าจะ
มส
3. ตัวการต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ถ้าตัวแทนได้ทำ�การไปภายในขอบอำ�นาจของตัวแทน ตัวการต้องผูกพัน
กับบุคคลภายนอกในกิจการนั้นกล่าวคือตัวการมีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลภายนอกรับผิดในการนั้นได้ และ
บุคคลภายนอกก็มสี ทิ ธิเรียกร้องให้ตวั การรับผิดในการนัน้ ได้เช่นกัน แต่กม็ กี รณีทตี่ วั การต้องรับผิดต่อบุคคล
ธ
ภายนอกฝ่ายเดียว ได้แก่ กรณีตัวแทนเชิด หรือกรณีตัวแทนทำ�การเกินอำ�นาจแต่ทางปฏิบัติของตัวการ
เป็นเหตุให้บุคคลภายนอกเชื่อว่าตัวแทนมีอ�ำ นาจทำ�การนั้น ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้
3.1 ตัวแทนเชิด
มส
มาตรา 821 บัญญัตวิ า่ “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดีรู้แล้ว
ยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิด
ต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน”
ลักษณะของตัวแทนเชิดนัน้ ต้องเข้าใจในเบือ้ งต้นเสียก่อนว่า ตัวแทนเชิดเป็นตัวแทนทีม่ ไิ ด้เกิดขึน้
โดยสัญญาตัวแทน กล่าวคือตัวการมิได้ตงั้ แต่งตัวแทนโดยตกลงทำ�สัญญาตัวแทนกันแต่อย่างใด ไม่มสี ญ
ตัวแทนเกิดขึ้น จึงเป็นลักษณะของกฎหมายปิดปากไม่ให้บุคคลอีกคนหนึ่งดังกล่าวมานั้นปฏิเสธความ
รับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตโดยการอ้างว่าไม่มีสัญญาตัวแทนกันหรืออ้างว่าตัวแทนเชิดไม่ใช่ตัวแทน
ั ญา
ของตน ซึง่ มาตรา 821 นีเ้ ป็นบทบัญญัตเิ กีย่ วกับความรับผิดของตัวการทีม่ ตี อ่ บุคคลภายนอกเท่านัน้ ไม่มี
ข้อความใดที่กำ�หนดให้บุคคลภายนอกต้องรับผิดหรือมีความผูกพันต่อตัวการเลย บุคคลภายนอกจึงมี
ธ
อำ�นาจฟ้องให้ตวั การรับผิดได้แต่บคุ คลภายนอกไม่อาจฟ้องตัวแทนได้ และตัวการก็จะฟ้องบุคคลภายนอก
ให้รับผิดไม่ได้เช่นกัน
มส
ตัวแทนเชิดของนายธงชัย
ม
ลูกค้าว่าตนเป็นตัวแทนทำ�หน้าทีข่ ายอะไหล่รถยนต์เสมอมา โดยนายธงชัยรูเ้ ห็นพฤติกรรมของนายเอกชัย
โดยตลอดก็ไม่ได้ว่ากล่าวทักท้วงแต่ประการใด เช่นนี้แล้วการแสดงออกของนายเอกชัยจึงมีลักษณะเป็น
ธ
ยังหางานทำ�ไม่ได้ จึงมาช่วยดูแลลูกค้าร้านขายอะไหล่รถยนต์ของนายธงชัย เวลาที่ลูกค้ามาติดต่อซื้อ
อะไหล่ นายธงชัยจะบอกกับลูกค้าว่านายเอกชัยเป็นตัวแทนทำ�หน้าที่ขายอะไหล่รถยนต์ โดยนายเอกชัย
มส
ก็ไม่ได้ขัดข้องแต่ประการใด เช่นนี้แล้วนายเอกชัยจึงมีลักษณะเป็นตัวแทนเชิดซึ่งถูกเชิดโดยนายธงชัย
ตัวอย่าง ห้างหุ้นส่วนจำ�กัดเขียวทองได้เชิดให้นายทองหลางซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำ�กัด
ความรับผิดออกแสดงเป็นผู้มีอำ�นาจจัดกิจการต่างๆ ของห้างหุ้นส่วนจำ�กัดเขียวทอง นายทองหลางได้
แสดงตนเองต่อบุคคลภายนอกรวมทัง้ นางนฤมลว่าเป็นผูม้ อี �ำ นาจจัดกิจการงานต่างๆ ของห้างหุน้ ส่วนจำ�กัด
เขียวทอง และได้สงั่ จ่ายเช็คแลกเงินสดจากนางนฤมลมาใช้ในกิจการของห้างหุน้ ส่วนจำ�กัดเขียวทอง ต่อมา
นางนฤมลนำ�เช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ เช่นนี้ ห้างหุ้นส่วนจำ�กัดเขียวทองต้องรับผิดต่อนางนฤมล5
อุทาหรณ์
ฎ. 2448/2518 ห้างหุ้นส่วนจำ�กัดจำ�เลยที่ 1 มีจำ�เลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำ�เลยที่ 3
เป็นหุ้นส่วนจำ�พวกจำ�กัดความรับผิด จำ�เลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อจากโจทก์อยู่ จำ�เลยที่ 3 ได้คิด
ธ
บัญชีกับโจทก์แล้วได้ทำ�หนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้โดยจำ�เลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้มอบอำ�นาจให้ทำ�แทน
แต่มีพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าจำ�เลยที่ 1 โดยจำ�เลยที่ 2 เชิดให้จ�ำ เลยที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำ�เลย
มส
ธ
ไปจากพนักงานสอบสวนและไม่ปรากฏว่าจำ�เลยมิได้รับรถคันดังกล่าวไว้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำ�เลย
เชิด จ. เป็นตัวแทนในการตกลงค่าเสียหายกับโจทก์ แม้ จ. จะมิได้กระทำ�ด้วยตนเองแต่มอบอำ�นาจให้
มส
ส. กระทำ�การแทนก็ตาม จำ�เลยจึงต้องรับผิดตามบันทึกตกลงค่าเสียหาย
ฎ. 4723/2553 ส. เป็นบุตรของ ว. และ ฉ. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ โดย ส. เป็น
หุน้ ส่วนประเภทจำ�กัดความรับผิดของโจทก์อยูด่ ว้ ย ทัง้ ยังมีหน้าทีข่ บั รถยนต์คนั หนึง่ และเป็นผูป้ ระสานงาน
ตามสัญญาว่าจ้างเหมารถรับส่งพนักงานระหว่างโจทก์กับจำ�เลยตลอดมา ส่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
โจทก์กบั ส. ว่า โจทก์เชิด ส. ออกแสดงเป็นตัวแทน โจทก์จงึ ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผูส้ จุ ริตเสมือนว่า
ส. เป็นตัวแทนของตน ตาม ปพพ. มาตรา 821 ประกอบมาตรา 1042 ซึ่งบัญญัติว่าความเกี่ยวพันระหว่าง
หุ้นส่วนผู้จัดการกับผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลายอื่นนั้น ท่านให้บังคับด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่า
ด้วยตัวแทน ดังนัน้ การที่ ส. ลงลายมือชือ่ ในหนังสือแจ้งเลิกสัญญากับจำ�เลยย่อมผูกพันโจทก์ซงึ่ เป็นตัวการ
ฎ. 11488/2555 การที่จำ�เลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหกล้อของจำ�เลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้าง
ธ
ไปในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเลินเล่อเลี้ยวขวากลับรถกะทันหันให้รถขวางถนนจนเป็นเหตุให้ อ.
ซึ่งขับรถยนต์กระบะพุ่งชนจน อ. ถึงแก่ความตาย และ ส. ซึ่งนั่งโดยสารมาด้วยได้รับบาดเจ็บ เมื่อขณะ
มส
ผูกพันในกิจการที่ตัวแทนเชิดทำ�ไปนั้น ดังนั้นบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นจะฟ้องร้องบังคับบุคคลภายนอกไม่ได้
ตัวการทีจ่ ะฟ้องบุคคลภายนอกได้ตอ้ งมีสญ ั ญาตัวแทนหรือมีความเป็นตัวการตัวแทนจริงจังเพือ่ ให้เกิดความ
ั ญัตไิ ว้ตามมาตรา 8206 และเมือ่ ตัวแทนเชิดได้กระทำ�ไปภายในขอบอำ�นาจแล้ว
ผูกพันบังคับกันได้ดงั ทีบ่ ญ
ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเป็นส่วนตัว
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 6567/2544 จำ�เลยที่ 1 อ้างแก่โจทก์ว่าเป็นตัวแทนจำ�หน่ายรถยนต์ของจำ�เลยที่ 2 ซึ่ง
เป็นบริษทั ประกอบกิจการขายรถยนต์ จำ�เลยที่ 1 ได้ออกหนังสือรับรองการจำ�หน่ายรถยนต์ซงึ่ หัวกระดาษ
มส
เป็นชื่อของจำ�เลยที่ 2 ให้แก่โจทก์และลูกค้าทั่วๆ ไป ที่มาซื้อรถยนต์ จำ�เลยที่ 2 ทราบแต่ไม่ได้ทักท้วง
หรือสั่งห้ามจำ�เลยที่ 1 แต่อย่างใด ทั้งจำ�เลยที่ 2 ยังได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้อยู่ในความครอบครองของ
จำ�เลยที่ 1 ซึ่งประกอบกิจการขายรถยนต์เช่นเดียวกับจำ�เลยที่ 2 ในประการที่เห็นได้ว่าจำ�เลยที่ 1 จะนำ�
รถยนต์พพิ าทขายแก่บคุ คลทัว่ ๆ ไป พฤติการณ์เช่นนีถ้ อื ได้วา่ จำ�เลยที่ 2 รูแ้ ล้วยอมให้จ�ำ เลยที่ 1 เชิดตัวเอง
ออกแสดงเป็นตัวแทนของจำ�เลยที่ 2 เมือ่ โจทก์ซอื้ รถยนต์พพิ าทจากจำ�เลยที่ 1 โดยสุจริต จำ�เลยที่ 2 จึงต้อง
รับผิดต่อโจทก์
ฎ. 5587/2551 การผลิตปลากระป๋อง การสัง่ ปลาและการรับมอบปลาจากโจทก์ จำ�เลยรับว่า
เกิดในที่ทำ�การของจำ�เลย แต่อ้างว่าเป็นการกระทำ�โดยส่วนตัวของ พ. และ ร. การที่จ�ำ เลยยินยอมให้ พ.
และ ร. ใช้สถานทีข่ องจำ�เลยประกอบการผลิตปลากระป๋องโดยเครือ่ งมือการผลิตเครือ่ งมือสือ่ สารติดต่อกับ
ธ
โจทก์ทงั้ เครือ่ งโทรศัพท์และเครือ่ งโทรสารรวมทัง้ แบบฟอร์มใบสำ�คัญจ่ายซึง่ เป็นหลักฐานแสดงการยอมรับ
ว่าเป็นหนีข้ องจำ�เลย ประกอบกับวัตถุประสงค์ของจำ�เลยตามทีจ่ ดทะเบียนระบุวา่ จำ�เลยประกอบกิจการค้า
มส
ในข้อนี้และยังเบิกความด้วยว่า จำ�เลยร่วมมีตำ�แหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของจำ�เลยมีอำ�นาจสูงสุดในการ
จัดการแทนจำ�เลย แสดงว่าจำ�เลยร่วมเป็นพนักงานที่มีตำ�แหน่งสูงสุดของจำ�เลย ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่า
จำ�เลยรู้แล้วยอมให้จำ�เลยร่วมเชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำ�เลยว่ามีอำ�นาจสั่งซื้อขายสินค้ากับ
บุคคลภายนอกแทนจำ�เลยได้ จำ�เลยซึ่งเป็นตัวการจึงต้องรับผิดชำ�ระค่าปุ๋ยที่ค้างชำ�ระให้แก่โจทก์ที่เป็น
บุคคลภายนอกผูส้ จุ ริตเสมือนว่าจำ�เลยร่วมเป็นตัวแทนของจำ�เลย ตาม ปพพ. มาตรา 821 ส่วนจำ�เลยร่วม
ธ
เป็นเพียงตัวแทนเชิดของจำ�เลยและได้กระทำ�ไปภายในขอบอำ�นาจไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคล
ภายนอกเป็นส่วนตัว
มาใช้บังคับได้ เพราะไม่มีสัญญาตัวแทนให้ผูกพันกัน
อุทาหรณ์
ฎ. 1522/2535 จำ�เลยที่ 2 เชิดจำ�เลยที่ 1 เป็นตัวแทนทำ�สัญญาเช่าท่าเทียบเรือประมงกับ
โจทก์ จำ�เลยที่ 2 เข้าดำ�เนินกิจการท่าเทียบเรือแต่ผู้เดียวหลังจากทำ�สัญญา จำ�เลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้อง
รับผิดตามสัญญาเช่าท่าเทียบเรือประมงร่วมกับจำ�เลยที่ 2 ซึง่ เป็นตัวการดังนี้ โจทก์ไม่มอี �ำ นาจฟ้องจำ�เลยที่
1 ให้ช�ำ ระค่าเช่าตามสัญญาเช่าดังกล่าว
อุทาหรณ์
ม
(4) ความรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตนั้น นอกจากต้องรับผิดตามสัญญาที่ตัวแทนเชิด
ไปทำ�แล้วยังรวมถึงกรณีที่ตัวแทนเชิดไปทำ�ละเมิดบุคคลภายนอกผู้สุจริตด้วย
ฎ. 2452/2531 ผู้ มี ชื่ อ นำ � รถแท็ ก ซี่ ม าจดทะเบี ย นเป็ น ชื่ อ ของบริ ษั ท จำ � เลยที่ 2 ซึ่ ง มี
วัตถุประสงค์ประกอบการเดินรถยนต์บรรทุกคนโดยสาร แล้วจำ�เลยที่ 2 ยอมให้จำ�เลยที่ 1 นำ�รถคันดัง
กล่าวออกวิง่ รับคนโดยสารโดยมีตราบริษทั จำ�เลยที่ 2 ติดอยูข่ า้ งรถ และจำ�เลยที่ 2 ได้รบั ผลประโยชน์จาก
การนี้ด้วย ดังนี้ เท่ากับจำ�เลยที่ 2 เชิดให้จ�ำ เลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จำ�เลยที่
สธ
2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการทำ�ละเมิดของจำ�เลยที่ 1
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-19
ธ
เป็นตัวแทนของตนนัน้ บุคคลอีกคนหนึง่ นัน้ ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผูส้ จุ ริตด้วยหรือไม่ ผูเ้ ขียนมีความ
เห็นว่า ในกรณีตวั แทนเชิดทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจทีบ่ คุ คลอีกคนหนึง่ เชิดเขาออกแสดงเป็นตัวแทนของ
มส
ตนนัน้ บุคคลอีกคนหนึง่ นัน้ ไม่ตอ้ งรับผิดต่อบุคคลภายนอกผูส้ จุ ริต เว้นแต่บคุ คลอีกคนหนึง่ นัน้ ให้สตั ยาบัน
แก่การดังกล่าว ตาม ปพพ. มาตรา 823 โดยนำ�บทบัญญัติมาตรา 823 มาใช้ในกรณีดังกล่าวในฐานะที่
เป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งตามมาตรา 4 ซึ่งในประเด็นนี้ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ว่า ถ้าบุคคลอีกคน
หนึ่งนั้นไม่ได้ให้สัตยาบันแก่การนั้นก็ไม่ผูกพันต่อบุคคลภายนอก
อุทาหรณ์
ฎ. 5336/2550 ส. เดินทางไปกับ ก. ซึง่ เป็นผูร้ บั มอบอำ�นาจช่วงของโจทก์และร่วมกันเจรจา
ขอรับรถยนต์คืนตลอดจนทำ�บันทึกการตรวจสภาพรถมอบให้แก่ตัวแทนของจำ�เลยที่ 1 เป็นพฤติการณ์ที่
ส. แสดงออกเป็นตัวแทนของโจทก์และโจทก์ก็รับเอารถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนไปจากการยึด เห็นได้ว่าโจทก์
เชิด ส. ออกแสดงเป็นตัวแทนของตน ตาม ปพพ. มาตรา 821 แต่อ�ำ นาจหน้าทีข่ อง ส. ซึง่ เป็นตัวแทนเชิด
ธ
มีเพียงเท่าที่ผู้รับมอบอำ�นาจช่วงของโจทก์มีอยู่ คือ ติดตามเอาคืน ยึดเข้าครอบครองเคลื่อนย้ายรถ แจ้ง
ความร้องทุกข์ และกระทำ�การตามความจำ�เป็นตามกฎหมายเพื่อนำ�รถยนต์คันที่เช่าซื้อกลับคืนโจทก์ ส.
มส
ธ
เท่านัน้ มิได้มอบอำ�นาจให้เป็นตัวแทนรับชำ�ระหนีจ้ ากลูกหนีแ้ ต่อย่างใด การที่ ก. รับชำ�ระหนีต้ ามหนังสือ
รับสภาพหนีไ้ ว้จากลูกหนี้ จึงเป็นการกระทำ�นอกเหนือขอบอำ�นาจของตัวแทน ทัง้ ตามหนังสือมอบอำ�นาจ
มส
ก็ระบุว่าเจ้าหนี้ยอมรับผิดต่อลูกหนี้เฉพาะในการกระทำ�ที่ ก. ได้ทำ�ไปตามที่เจ้าหนี้มอบอำ�นาจเท่านั้น
เจ้าหนี้จึงไม่ต้องผูกพันกับการรับชำ�ระหนี้ของ ก. ประกอบกับตามทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์
ทรัพย์ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดอันจะพึงถือได้ว่า ทางปฏิบัติของเจ้าหนี้ทำ�ให้ลูกหนี้มีมูลเหตุอันสมควรจะ
เชื่อว่าการชำ�ระหนี้แก่ ก. นั้นอยู่ภายในขอบอำ�นาจของ ก. ซึ่งจะทำ�ให้เจ้าหนี้ต้องรับผิดต่อลูกหนี้ผู้สุจริต
เสมือนว่า ก. เป็นตัวแทนผูม้ อี �ำ นาจรับชำ�ระหนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 822 ประกอบมาตรา 821 การรับชำ�ระ
หนี้ของ ก. จึงเป็นการกระทำ�โดยปราศจากอำ�นาจย่อมไม่ผูกพันเจ้าหนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 823 เจ้าหนี้
ชอบที่จะได้รับชำ�ระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้เต็มจำ�นวน โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำ�นาจนำ�
เงินที่ลูกหนี้ชำ�ระต่อ ก. ซึ่งมิใช่บุคคลผู้มีอำ�นาจรับชำ�ระหนี้แทนเจ้าหนี้มาหักชำ�ระหนี้ได้
ดังนั้น กรณีที่จะบังคับ ตาม ปพพ. มาตรา 822 ให้ตัวการต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกได้หรือไม่
ธ
นัน้ ย่อมขึน้ อยูก่ บั ว่าในทางปฏิบตั ขิ องตัวการทำ�ให้บคุ คลภายนอกมีมลู เหตุอนั สมควรจะเชือ่ ว่าการนัน้ อยูใ่ น
ขอบอำ�นาจของตัวแทนหรือไม่ หากทางปฏิบตั ขิ องตัวการไม่มมี ลู เหตุทที่ �ำ ให้บคุ คลภายนอกสมควรจะเชือ่
มส
ธ
ไม่เกิน 60,000 บาท ส่วนข้อความในใบมอบอำ�นาจให้ ล. กรอกเอาเอง ต่อมา ล. กรอกข้อความใน
หนังสือมอบอำ�นาจว่า ล. เป็นผู้มีอำ�นาจจำ�นอง และจำ�นองโจทก์ไว้เป็นเงิน 200,000 บาท ดังนี้ หาทำ�ให้
มส
การตั้งตัวแทนเป็นโมฆะไม่ แต่เป็นเรื่องที่ ล. ทำ�เกินอำ�นาจของตนซึ่ง ล. จะต้องรับผิดต่อจำ�เลยเป็นอีก
ส่วนหนึ่งต่างหาก แต่ทางปฏิบัติของจำ�เลยทำ�ให้โจทก์เชื่อว่าการที่ ล. จำ�นองโจทก์ถึง 200,000 บาทนั้น
อยู่ในอำ�นาจของ ล. เพราะถ้าจำ�เลยจะให้บุคคลอื่นรู้ว่า ล. มีอ�ำ นาจจำ�นองได้เพียง 60,000 บาท ก็ชอบ
ทีจ่ ะเขียนจำ�นวนเงินทีจ่ ะจำ�นองลงในหนังสือมอบอำ�นาจให้ปรากฏชัด การทีจ่ �ำ เลยละเลย ถือว่าเป็นความ
ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้รับจำ�นองโดยสุจริต ตาม ปพพ. มาตรา 822
ฎ. 4708/2533 การที่ตัวการลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือมอบอำ�นาจโดยไม่กรอกข้อความไว้
ภายหลังจำ�เลยที่ 1 โดยทุจริตได้นำ�ใบมอบอำ�นาจดังกล่าวไปกรอกข้อความแล้วขายฝากที่พิพาทให้
จำ�เลยที่ 2 ที่ 3 เป็นกรณีเข้าลักษณะความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอก ตาม ปพพ. มาตรา 822
ซึง่ เป็นเรือ่ งทีต่ วั แทนคือจำ�เลยที่ 1 ทำ�การเกินอำ�นาจตัวแทน แต่ทางปฏิบตั ขิ องตัวการทำ�ให้บคุ คลภายนอก
ธ
มีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่า การอันนั้นอยู่ภายในขอบอำ�นาจของตัวแทน ตัวการจึงต้องรับผิดต่อจำ�เลยที่
2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของตัวการย่อมไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการ
มส
ขายฝากดังกล่าว
ฎ. 1368/2552 โจทก์กู้ยืมเงินจากจำ�เลยที่ 1 และมอบหนังสือรับรองการทำ�ประโยชน์ (น.ส.
3) หนังสือสำ�คัญที่ดินพิพาท หนังสือมอบอำ�นาจให้จดทะเบียนโอนของ ค. เจ้าของที่ดินเดิมและลงชื่อใน
หนังสือมอบอำ�นาจ โดยที่ยังไม่กรอกข้อความให้ไว้แก่จำ�เลยที่ 1 เป็นประกันหนี้กู้ยืม ซึ่งต่อมาจำ�เลยที่ 1
ปลอมหนังสือมอบอำ�นาจดังกล่าวด้วยการกรอกข้อความโดยไม่ได้รบั ความยินยอมและฝ่าฝืนคำ�สัง่ ของโจทก์
โอนขายทีด่ นิ ให้แก่จ�ำ เลยที่ 2 พฤติการณ์ดงั กล่าวย่อมทำ�ให้บคุ คลภายนอกผูส้ จุ ริตหลงเข้าใจว่า จำ�เลยที่ 1
รับผิดต่อจำ�เลยที่ 2 ซึ่งรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต
ม
เป็นตัวแทนของโจทก์ในทีด่ นิ พิพาท ทัง้ การทีโ่ จทก์ลงลายมือชือ่ ในหนังสือมอบอำ�นาจโดยไม่กรอกข้อความ
ถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โจทก์ไม่อาจยกเอาความผิดของตนดังกล่าวมาปฏิเสธความ
ถ้าบุคคลภายนอกหลงเชื่อว่าการที่ตัวแทนทำ�เกินอำ�นาจนั้นอยู่ในขอบอำ�นาจของตัวแทน
โดยเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลภายนอกเอง เช่นนี้ บุคคลภายนอกนั้นย่อมไม่
อาจได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา 822 นี้
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 4998/2549 การที่จ�ำ เลยที่ 4 รับซื้อฝากที่ดินพิพาทเป็นจำ�นวนเงินถึง 2,500,000 บาท
โดยรูเ้ ห็นอยูแ่ ล้วว่าหนังสือมอบอำ�นาจมีเพียงลายมือชือ่ ของโจทก์ซงึ่ ไม่มขี อ้ ความว่ามอบอำ�นาจให้ท�ำ สิง่ ใด
และรูเ้ ห็นถึงการกรอกข้อความในหนังสือมอบอำ�นาจโดยโจทก์ไม่ได้ยนิ ยอมด้วย จึงเกิดจากความประมาท
ม
8-22 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ขายฝากระหว่างโจทก์กับจำ�เลยที่ 4 ได้
ข้อสังเกต กรณีตัวการตั้งตัวแทนให้ไปทำ�กิจการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยตัวการลงชื่อใน
มส
หนังสือมอบอำ�นาจไว้ แล้วมอบให้ตวั แทนไปกรอกข้อความในหนังสือมอบอำ�นาจเองนัน้ ถ้าตัวแทนไปกรอก
ข้อความเป็นว่ามอบอำ�นาจให้ไปทำ�เรื่องอื่น เช่นนี้ เป็นกรณีมาตรา 822 คือตัวแทนทำ�การเกินอำ�นาจแต่
ทางปฏิบตั ขิ องตัวการทำ�ให้บคุ คลภายนอกหลงเชือ่ ว่าอยูใ่ นอำ�นาจ แต่ถา้ เป็นกรณีปลอมหนังสือมอบอำ�นาจ
โดยบุคคลคนหนึง่ ซึง่ มิใช่ตวั แทนกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำ�นาจว่าบุคคลอีกคนหนึง่ มอบอำ�นาจให้
ตนไปทำ�กิจการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนแล้วปลอมลายมือชื่อของบุคคลนั้น เช่นนี้ มิใช่กรณีมาตรา 822
ดังนัน้ แม้จะปรากฏว่าบุคคลภายนอกหลงเชือ่ โดยสุจริตว่ามีการมอบอำ�นาจกันจริง บุคคลภายนอกนัน้ ก็ไม่
ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 822 นี้
ตัวการมอบสร้อยคอเพชรให้ตัวแทนไปขาย แต่ตัวแทนกลับนำ�ไปเป็นหลักประกัน โดย
บอกแก่บุคคลภายนอกว่าตัวการให้นำ�มาเป็นหลักประกันและตัวการเคยใช้ตัวแทนให้จำ �นำ�ทรัพย์แก่
ธ
บุคคลภายนอกมาแล้วนั้น
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 1348/2493 ตัวการมอบสร้อยคอเพชรให้แก่ตัวแทนเพื่อไปขายแก่บุคคลภายนอกแต่
ตัวแทนกลับนำ�สร้อยคอเพชรนั้นไปเป็นหลักประกันแทนแหวนเพชรที่ตัวแทนจำ�นำ�ไว้กับบุคคลภายนอก
โดยบอกกับบุคคลภายนอกว่าตัวการให้นำ�สร้อยคอเพชรมาเป็นหลักประกันแทนแหวนเพชรและขอรับ
แหวนเพชรกลับไป ดังนี้ถือว่าทางปฏิบัติของตัวการที่เคยใช้ตัวแทนให้จำ�นำ�ทรัพย์แก่บุคคลภายนอกมา
แล้วนั้นทำ�ให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการจำ�นำ�โดยการแลกเปลี่ยนกับทรัพย์ที่จำ�นำ�ไว้
นั้นอยู่ภายในขอบอำ�นาจของตัวแทนตามที่ตัวแทนบอกยืนยันตัวการจึงต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกใน
กิจการที่ตัวแทนได้ทำ�ไป ตาม ปพพ. มาตรา 820, 822
ข้อสังเกต
ม
(1) มาตรา 822 บัญญัติให้ตัวการต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกการกระทำ�ของตัวแทน
ที่ทำ�การเกินอำ�นาจตัวแทน แม้มีทางปฏิบัติของตัวการทำ�ให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่า
การอันนั้นอยู่ภายในขอบอำ�นาจของตัวแทนก็ตาม แต่ถ้าการกระทำ�ของตัวแทนนั้นทำ�ให้ตัวการเสียหาย
ตัวแทนมีหน้าที่ต้องรับผิดในความเสียหายนั้นต่อตัวการ ตามมาตรา 812
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 9272/2553 จำ�เลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำ�เลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุจ�ำ เลยที่ 3 ทำ�งานใน
ตำ�แหน่งผู้บริหารงานลูกค้าอาวุโสสายงานธนบดีธนกิจของจำ�เลยที่ 1 ซึ่งเป็นสายงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้
บริการแนะนำ�ลูกค้าด้านการลงทุนซึง่ โดยตำ�แหน่งหน้าทีข่ องจำ�เลยที่ 3 รวมถึงลักษณะงานทีท่ ำ�ย่อมทำ�ให้
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-23
ธ
(2) ตัวแทนทำ�การเกินอำ�นาจแต่ทางมีทางปฏิบัติของตัวการ ตามมาตรา 822 นี้ ไม่อยู่
ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 798
มส อุทาหรณ์
ฎ. 1815/2493 ตั้งตัวแทนจัดการร้านค้าของตัวการแล้ว ตัวการไปต่างประเทศเสียชั่วคราว
ในระหว่างที่ตัวการไปอยู่ต่างประเทศนั้น ตัวแทนซึ่งเป็นผู้จัดการร้านได้กู้ยืมเงินของบุคคลภายนอกมาใช้
จ่ายในกิจการค้าของร้านตัวการ ผูใ้ ห้กกู้ เ็ ข้าใจว่าตัวแทนมีสทิ ธิท�ำ การกูย้ มื เงินไปใช้ในกิจการค้านัน้ ได้ เช่น
นีเ้ ข้าลักษณะตัวแทน ตาม ปพพ. มาตรา 821, 822 แม้ตวั การจะไม่ได้ตงั้ ตัวแทนเป็นหนังสือ ตัวการก็ตอ้ ง
รับผิดในจำ�นวนเงินที่ตัวแทนไปกู้เขามาดังกล่าว
(3) ตัวแทนเชิดตามมาตรา 821 กับตัวแทนทำ�การเกินอำ�นาจแต่ทางปฏิบตั ขิ องตัวการทำ�ให้
บุคคลภายนอกหลงเชื่อว่าอยู่ในอำ�นาจตามมาตรา 822 นี้ มีความแตกต่างที่สำ�คัญคือ ตัวแทนเชิดตาม
มาตรา 821 นั้น ไม่มีการตั้งแต่งตัวแทนโดยสัญญาตัวแทนแต่อย่างใด ส่วนตัวแทนทำ�การเกินอำ�นาจแต่
ธ
ทางปฏิบตั ขิ องตัวการทำ�ให้บคุ คลภายนอกหลงเชือ่ ว่าอยูใ่ นอำ�นาจตามมาตรา 822 นี้ มีการตัง้ แต่งตัวแทน
โดยสัญญาตัวแทน แต่ตวั แทนไปทำ�การเกินอำ�นาจตัวแทนและมีทางปฏิบตั ขิ องตัวการทำ�ให้บคุ คลภายนอก
มส
กิจกรรม 8.1.1
1. การทีต่ วั แทนหรือตัวแทนช่วงได้กระทำ�ไปภายในขอบอำ�นาจของตัวแทนแล้ว ถ้าปรากฏว่าการ
ผูกพันตัวการในกรณีใด
ม
กระทำ�นั้นเกิดความเสียหายแก่ตัวการ ตัวการจะต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกอยู่หรือไม่ อย่างไร
2. ตัวแทนกระทำ�การอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ จะ
ธ
แสดงเพื่อขอรับต้นฉบับใบสั่งซื้อจากนางสุภาพรรณเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการเรียกเก็บเงินค่าสินค้า
จากบริษทั สุโขจำ�กัด ปรากฏว่าการซือ้ สินค้าในครัง้ นี้ บริษทั สุโขจำ�กัดไม่ได้มอบหมายให้สงั่ ซือ้ แต่นางสุภา
มส
พรรณทำ�การทุจริตสั่งซื้อไปเป็นประโยชน์ส่วนตน โดยการสั่งซื้อจากบริษัททองหลางจำ�กัด ทางโทรศัพท์
โดยไม่มีใบสั่งซื้อที่ได้รับอนุมัติจากนายศุภกิจ กรรมการผู้มีอ�ำ นาจของบริษัทสุโขจำ�กัด เช่นนี้ บริษัทสุโข
จำ�กัด ต้องรับผิดชำ�ระค่าสินค้าที่นางสุภาพรรณสั่งซื้อในครั้งนี้หรือไม่
แนวตอบกิจกรรม 8.1.1
1. เมื่อตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้กระทำ�ไปภายในขอบอำ�นาจของตัวแทนแล้ว แม้จะปรากฏว่า
เกิดความเสียหายแก่ตวั การ ตัวการย่อมต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอก ส่วนความเสียหายทีเ่ กิดขึน้ ดังกล่าว
ต้องพิจารณาในเรื่องความรับผิดระหว่างตัวการกับตัวแทนกันต่อไป
2. ตัวแทนกระทำ�การอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ จะ
ธ
ผูกพันตัวการในกรณีที่ตัวการให้สัตยาบันแก่การนั้น ตาม ปพพ. มาตรา 823 วรรคหนึ่ง
3. การที่นายสมัยนำ�รถแท็กซี่คันดังกล่าวออกมาขับรับผู้โดยสาร ย่อมเป็นการแสดงออกต่อ
มส
นางสุภาพรรณทัง้ ทีร่ อู้ ยูแ่ ล้วว่าการสัง่ ซือ้ สินค้าของนางสุภาพรรณไม่เป็นไปตามเงือ่ นไขการสัง่ ซือ้ สินค้าของ
บริษัททองหลางจำ�กัด และนางสุภาพรรณนำ�สินค้าที่ได้รับไปเป็นประโยชน์ส่วนตน เช่นนี้แล้ว บริษัทสุโข
จำ�กัดจึงไม่ต้องรับผิดชำ�ระค่าสินค้าแก่บริษัททองหลางจำ�กัด (นัย ฎ.8191/2555)
ธ
เรื่องที่ 8.1.2
มส
ความรับผิดของตัวแทนต่อบุคคลภายนอก
โดยปกติเมื่อตัวแทนทำ�การแทนตัวการไปภายในขอบอำ�นาจแห่งฐานตัวแทนแล้ว ตัวแทนย่อม
หลุดพ้นจากความรับผิดต่อบุคคลภายนอกและตัวการย่อมต้องผูกพันในการนั้นต่อบุคคลภายนอกต่อไป
ตาม ปพพ. มาตรา 820 ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องที่ 8.1.1 ความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอก ถ้า
ตัวแทนกระทำ�การไปโดยปราศจากอำ�นาจหรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจโดยบุคคลภายนอกไม่รู้ว่า
ตัวแทนกระทำ�การไปโดยปราศจากอำ�นาจหรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจและตัวการไม่ได้ให้สัตยาบัน
ธ
แก่การนัน้ ดังนีแ้ ล้วตัวแทนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก หรือแม้ในกรณีทตี่ วั แทนทำ�สัญญาแทนตัวการไป
ภายในขอบอำ�นาจแห่งฐานตัวแทนแล้ว หากตัวการนัน้ อยูแ่ ละมีภมู ลิ �ำ เนาในต่างประเทศ ดังนีแ้ ล้วตัวแทน
มส
ยังมีหน้าที่ต้องรับผิดตามสัญญานั้นต่อบุคคลภายนอก สำ�หรับในเรื่องความรับผิดของตัวแทนต่อบุคคล
ภายนอกนี้ จะกล่าวถึงเรือ่ งตัวแทนกระทำ�การอันใดอันหนึง่ โดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกทำ�เหนือของ
อำ�นาจ ตัวแทนทำ�สัญญาแทนตัวการซึง่ อยูแ่ ละมีภมู ลิ �ำ เนาในต่างประเทศ ดังจะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไปนี้
1. ตัวแทนกระทำ�การอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ
มาตรา 823 บัญญัตวิ า่ “ถ้าตัวแทนกระทำ�การอันใดอันหนึง่ โดยปราศจากอำ�นาจก็ดี หรือทำ�นอก
ม
ทำ�เหนือขอบอำ�นาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการ เว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น
ถ้าตัวการไม่ให้สตั ยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำ�พังตนเอง เว้นแต่
จะพิสจู น์ได้วา่ บุคคลภายนอกนัน้ ได้รูอ้ ยูว่ า่ ตนทำ�การโดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกเหนือขอบอำ�นาจ”
ดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องที่ 8.1.1 ความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอก ว่าการที่ตัวการให้
สัตยาบันต่อการกระทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจของตัวแทนต่อบุคคลภายนอกอันมีผลทำ�ให้นิติกรรมซึ่ง
ไม่ผกู พันตัวการกลับเป็นผูกพันตัวการโดยตรงและทำ�ให้ตวั แทนหลุดพ้นความรับผิดทีม่ ตี อ่ บุคคลภายนอก
และถ้าตัวการไม่ได้ให้สตั ยาบันแก่การทีต่ วั แทนทำ�ไปโดยปราศจากอำ�นาจหรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ
สธ
ดังกล่าว ตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำ�พังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอก
นั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำ�การโดยปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ
ม
8-26 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
เนือ่ งจากนายนาํ้ ได้โทรศัพท์แจ้งให้นายดินทราบก่อนแล้วว่านายนํา้ ตัง้ นายฝนไปซือ้ ทุเรียนหมอนทองจาก
สวนของนายดินจำ�นวน 1,000 ลูก
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 443/2524 จำ�เลยที่ 3 เป็นผูจ้ ดั การคลังนาํ้ มันของจำ�เลยที่ 1 เมือ่ จำ�เลยที่ 1 ได้รบั เงินจากลูกค้า
และอนุมตั ใิ ห้ขายนาํ้ มันได้แล้ว จำ�เลยที่ 3 มีอ�ำ นาจออกใบเสร็จรับเงินให้ลกู ค้าและควบคุมการจ่ายนํา้ มันให้
ลูกค้า ในชัน้ สอบสวนคดีอาญาทีจ่ �ำ เลยที่ 3 ต้องหาว่าฉ้อโกงโจทก์ จำ�เลยที่ 3 รับว่ารับเงินเดือนจากจำ�เลยที่
1 จำ�เลยที่ 3 จึงเป็นตัวแทนของจำ�เลยที่ 1 แต่จ�ำ เลยที่ 1 มอบอำ�นาจให้จำ�เลยที่ 3 รับคำ�สั่งซื้อจากผู้ซื้อได้
เฉพาะแต่ผู้ที่เป็นลูกค้าที่ได้ทำ�สัญญาไว้กับจำ�เลยที่ 1 ที่สำ�นักงานใหญ่เท่านั้น การที่จำ�เลยที่ 3 เอาชื่อปั๊ม
ซึง่ เป็นลูกค้าทีไ่ ด้ท�ำ สัญญาไว้กบั จำ�เลยที่ 1 ซือ้ นาํ้ มันจากจำ�เลยที่ 1 มาขายให้โจทก์ จึงเป็นการกระทำ�โดย
ปราศจากอำ�นาจหรือทำ�นอกเหนืออำ�นาจ เมื่อจำ�เลยที่ 1 ไม่ได้ให้สัตยาบัน จำ�เลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อ
โจทก์ ส่วนจำ�เลยที่ 3 เมื่อไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าโจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำ�เลยที่ 3 ดำ�เนินการโดยปราศจากอำ�นาจ
ธ
จำ�เลยที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์โดยลำ�พัง
ฎ. 6057/2545 หนังสือมอบอำ�นาจของเจ้าหนี้ระบุข้อความอันเป็นการกระทำ�ภายในขอบอำ�นาจ
มส
2. ตัวแทนทำ�สัญญาแทนตัวการซึ่งอยู่และมีภูมิลำ�เนาในต่างประเทศ
มาตรา 824 บัญญัติว่า “ตัวแทนคนใดทำ�สัญญาแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำ�เนา
ในต่างประเทศ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะต้องรับผิดตามสัญญานั้นแต่ลำ�พังตนเอง แม้ทั้งชื่อของตัวการ
จะได้เปิดเผยแล้ว เว้นแต่ข้อความแห่งสัญญาจะแย้งกันกับความรับผิดของตัวแทน”
ธ
โดยปกติเมื่อตัวแทนทำ�การแทนตัวการโดยกระทำ�ไปภายในขอบอำ�นาจแห่งฐานตัวแทนแล้ว
ตัวการต้องผูกพันในการนัน้ กับบุคคลภายนอกตามมาตรา 820 ตัวแทนไม่ตอ้ งรับผิดต่อบุคคลภายนอกแต่
ประการใด ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่มีกรณีที่ตัวแทนต้องรับผิดตามสัญญาที่ตนเองได้ทำ�ไว้แทนตัวการ แม้
มส
การทำ�สัญญานั้นจะอยู่ภายในขอบอำ�นาจแห่งฐานตัวแทนก็ตาม ดังหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
2.1 ตัวการอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำ�เนาในต่างประเทศ ตัวการต้องอยู่และมีภูมิลำ�เนาในต่าง
ประเทศ การที่กฎหมายบัญญัติให้ตัวแทนต้องรับผิดตามสัญญานั้นก็เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่บุคคล
ภายนอกที่สามารถฟ้องร้องตัวแทนในประเทศไทย โดยไม่ต้องไปฟ้องร้องตัวการซึ่งอยู่และมีภูมิลำ�เนาใน
ต่างประเทศ หากตัวการอยูใ่ นประเทศไทยหรือมีภมู ลิ �ำ เนาในประเทศไทย ตัวแทนไม่ตอ้ งรับผิดตามสัญญา
ที่ได้ท�ำ ไว้นั้น ซึ่งตัวการย่อมต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกตามสัญญาดังกล่าว
อุทาหรณ์
ฎ. 3934/2546 จำ�เลยที่ 2 อยูต่ า่ งประเทศและมีภมู ลิ �ำ เนาในต่างประเทศโดยไม่มสี �ำ นักงานหรือสาขา
อยูใ่ นประเทศไทย จำ�เลยที่ 2 ประกอบกิจการรับขนของทางทะเลระหว่างประเทศโดยมีบ�ำ เหน็จเป็นทางค้า
ธ
ปกติรวมทัง้ ในประเทศไทยด้วย ซึง่ ในการประกอบกิจการในประเทศไทยจำ�เลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จ�ำ เลยที่ 1
เป็นผูก้ ระทำ�การแทนและจำ�เลยที่ 1 ได้เข้าทำ�สัญญารับขนสินค้าทางทะเลกับโจทก์ที่ 1 ผูส้ ง่ แทนจำ�เลยที่ 2
มส
ธ
2.2 ตัวแทนทำ�สัญญาแทนตัวการ ตัวแทนไม่มหี น้าทีต่ อ้ งรับผิดตามสัญญาทีต่ วั การได้ท�ำ ไว้ไม่วา่
จะได้ท�ำ ในประเทศไทยหรือทำ�ในต่างประเทศ และไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เกิดจากการกระทำ�ของ
มส
ตัวการหรือลูกจ้างของตัวการ
อุทาหรณ์
ฎ. 987/2506 ตัวแทนในประเทศมีหน้าที่ดำ�เนินธุรกิจจัดรับส่งสินค้าและผู้โดยสารแทนตัวการซึ่ง
อยูต่ า่ งประเทศจะต้องรับผิดตามลำ�พังตนเองก็แต่เฉพาะในกรณีทตี่ วั แทนทำ�สัญญาแทนตัวการเท่านัน้ และ
ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างของตัวการได้กระทำ�ไปในหน้าที่การงานของตัวการนั้นแต่อย่างใด
ฎ. 1265/2517 โจทก์ฟอ้ งจำ�เลยที่ 1 ซึง่ เป็นตัวแทนของเจ้าของเรือเดินสมุทรชือ่ ไตชุนชาน ซึง่ อยู่
ต่างประเทศ ให้รบั ผิดใช้คา่ เสียหายฐานละเมิดแก่โจทก์ เนือ่ งจากความประมาทเลินเล่อของกัปตันผูค้ วบคุม
เรือดังกล่าว ซึง่ เป็นลูกจ้างของเจ้าของเรือ ขณะปฏิบตั หิ น้าทีต่ ามทางการทีจ่ า้ งระหว่างเข้ามาในประเทศไทย
เป็นเหตุให้เรือดังกล่าวนัน้ กระแทกเรือของโจทก์แตกและจมเสียหาย ตัวแทนของตัวการซึง่ อยูต่ า่ งประเทศ
ธ
และมีภมู ลิ �ำ เนาในต่างประเทศจะต้องรับผิดตามลำ�พังตนเองก็แต่เฉพาะกรณีตวั แทนทำ�สัญญาแทนตัวการ
เท่านั้น ดังที่บัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 824 ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ตัวแทนต้องรับผิดในผลแห่งละเมิด
มส
ที่ลูกจ้างของตัวการได้กระทำ�ไปในหน้าที่การงานของตัวการด้วยเลย ไม่ว่าตัวการจะอยู่ต่างประเทศหรือ
ในประเทศ ฉะนั้น จำ�เลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดโดยลำ�พังตนเองตามที่โจทก์ฟ้อง
ฎ. 155/2519 จำ�เลยเป็นตัวแทนของสายการเดินเรือซึ่งเป็นนิติบุคคลอยู่ต่างประเทศต้องรับผิด
ตามสัญญาที่จำ�เลยเป็นผู้ทำ�ในประเทศเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดในสัญญารับขนที่ตัวการทำ�ไว้ในต่างประเทศ
แล้วมาเกิดความเสียหายในประเทศไทย
2.3 ตัวแทนต้องรับผิดตามสัญญานั้นแต่ล�ำ พังตนเอง แม้ทงั้ ชือ่ ของตัวการจะได้เปิดเผยแล้ว เว้น
แต่ข้อความแห่งสัญญาจะแย้งกันกับความรับผิดของตัวแทน ม
ความว่า “ตัวแทนต้องรับผิดตามสัญญานั้นแต่ลำ�พังตนเอง” มีความหมายเพียงใด ตัวการยังคง
ต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกหรือไม่นนั้ ผูเ้ ขียนมีความเห็นว่ากฎหมายต้องการให้ตวั แทนรับผิดตามสัญญา
นั้นจะปฏิเสธโดยอ้างว่าได้กระทำ�ไปภายในขอบอำ�นาจแห่งฐานตัวแทนแล้วไม่ได้ เนื่องจากตัวการอยู่และ
มีภูมิลำ�เนาในต่างประเทศย่อมไม่สะดวกที่ให้บุคคลภายนอกฟ้องร้องตัวการ ถือได้ว่าเป็นหลักกฎหมาย
ปิดปากตัวแทนอีกมาตราหนึง่ ซึง่ เป็นบทยกเว้นมาตรา 820 อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าเมือ่ กฎหมาย
บัญญัตใิ ห้ตวั แทนรับผิดตามสัญญานัน้ แล้ว ตัวการจะหลุดพ้นความผูกพันตามสัญญานัน้ ต่อบุคคลภายนอก
สธ
ตัวการยังคงต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอก ตามมาตรา 820
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-29
อุทาหรณ์
ฎ. 630/2500 บทบัญญัติของ ปพพ. มาตรา 824 ซึ่งกำ�หนดว่าตัวแทนของตัวการซึ่งอยู่ต่าง
ประเทศและมีภูมิลำ�เนาในต่างประเทศจะต้องรับผิดตามสัญญาที่ได้ทำ�แทนไปแต่โดยลำ�พังนั้น เป็นบท
ยกเว้นจากหลักทั่วไปของมาตรา 820 เป็นผลให้ตัวแทนต้องรับผิดเป็นส่วนตัว หาใช่เป็นบทยกเว้นความ
รับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอกไม่
ธ
ฎ. 788/2500 ตัวการย่อมต้องรับผิดในกิจการทัง้ หลายอันตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ท�ำ ไปภายใน
ขอบอำ�นาจ ตาม ปพพ. มาตรา 820 มิได้มีข้อยกเว้นว่าหากตัวการอยู่ต่างประเทศแล้วจะมิต้องรับผิด
มส
ส่วน ปพพ. มาตรา 824 ที่ให้ตัวแทนต้องรับผิดในเมื่อตัวการอยู่ต่างประเทศนั้นเป็นการเพิ่มความรับผิด
แก่ตัวแทนเท่านั้น มิได้เปลี่ยนแปลงหลักกฎหมายแต่อย่างใด
ฎ. 50/2501 ปพพ. มาตรา 824 บัญญัตไิ ว้เพือ่ ความสะดวกแก่บคุ คลในประเทศไทยทีจ่ ะฟ้องร้อง
ตัวแทนที่อยู่ในประเทศไทยของตัวการที่อยู่ในต่างประเทศต่อศาลไทย แทนที่จะต้องไปฟ้องในศาลต่าง
ประเทศเท่านัน้ ไม่ได้หมายความเลยไปว่าตัวการทีอ่ ยูใ่ นต่างประเทศจะไม่มคี วามรับผิดต่อบุคคลภายนอก
ทีท่ �ำ สัญญากับตัวแทนของตนในประเทศไทยและไม่ได้หมายความว่าตัวแทนไม่มสี ทิ ธิไล่เบีย้ เอาแก่ตวั การ
ของตนที่อยู่ในต่างประเทศสำ�หรับหนี้สินใดๆ ที่ตัวแทนได้ก่อขึ้นเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทน
มีปญ
ั หาน่าคิดว่า เมือ่ บุคคลภายนอกฟ้องตัวการซึง่ อยูต่ า่ งประเทศและมีภมู ลิ �ำ เนาในต่างประเทศ
ให้รบั ผิดตามสัญญาทีต่ วั แทนเป็นคูส่ ญ
ั ญากับบุคคลภายนอกแล้ว ตัวแทนซึง่ ถูกฟ้องรวมมาด้วยยังต้องรับผิด
ธ
ในฐานะเป็นตัวแทนซึ่งทำ�สัญญานั้นแทนตัวการอยู่อีกหรือไม่นั้น ในประเด็นปัญหานี้ ศาลฎีกาแผนกคดี
ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศโดยมติที่ประชุมใหญ่ที่ 4199/2546 วินิจฉัยว่าแม้โดยหลัก
มส
ทั่วไปว่าด้วยความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอก เมื่อตัวแทนกระทำ�การแทนตัวการไป
ภายในขอบอำ�นาจแห่งฐานตัวแทนแล้ว ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายที่
ตัวแทนได้ทำ�ไปดังกล่าวนั้น โดยตัวแทนไม่ต้องผูกพันหรือรับผิดต่อบุคคลภายนอก ตาม ปพพ. มาตรา
820 ก็ตาม แต่ในกรณีตัวแทนที่ทำ�สัญญาแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิล�ำ เนาในต่างประเทศนั้น
เป็นกรณีที่มี ปพพ. มาตรา 824 บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ตัวแทนเช่นนี้ต้องรับผิดตามสัญญานั้นแต่ลำ�พัง
ตนเอง ซึ่งหมายความว่าตัวแทนเช่นว่านี้ต้องมีความรับผิดด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องจำ�เลยที่ 1 ตัวการซึ่ง
ธ
ว่า “ตัวแทนคนนั้นจะต้องรับผิดตามสัญญานั้นแต่ลำ�พังตนเอง” ดังนั้น ความรับผิดของตัวแทนเกิดจาก
สัญญาที่ตัวแทนทำ�กับบุคคลภายนอก ดังนั้น แม้ตัวการได้กลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้วหรือเลิกเป็น
มส
ตัวแทนแล้วก็ย่อมไม่ทำ�ให้ความรับผิดของตัวแทนหมดสิ้นไปด้วยเหตุดังกล่าว
ความว่า “แม้ทั้งชื่อของตัวการจะได้เปิดเผย” แสดงอยู่ในตัวว่า แม้ในขณะที่บุคคลภายนอกทำ�
สัญญากับตัวแทนจะไม่รู้ว่าใครคือตัวการซึ่งอยู่และมีภูมิล�ำ เนาในต่างประเทศ ก็ไม่เป็นเหตุที่ตัวแทนจะนำ�
มากล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิด ถึงแม้ว่าบุคคลภายนอกจะได้รู้ชื่อของตัวการนั้นในภายหลัง
อนึ่ง มาตรา 824 มีบทบัญญัติยกเว้นความรับผิดของตัวแทนไว้ โดยให้สิทธิตัวแทนทำ�สัญญา
ตกลงยกเว้นความรับผิดของตนกับบุคคลภายนอกได้
อุทาหรณ์
ฎ. 3116/2549 แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าจำ�เลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำ�เลยที่ 1 ตัวการซึ่งอยู่ต่าง
ประเทศและมีภูมิลำ�เนาอยู่ต่างประเทศซึ่ง ตาม ปพพ. มาตรา 824 บัญญัติให้ตัวแทนต้องรับผิดแต่ลำ�พัง
ธ
ตนเอง เว้นแต่ข้อความแห่งสัญญาจะแย้งกันกับความรับผิดของตัวแทน ดังนี้ เมื่อตามใบตราส่งพิพาท
ข้อ 27 ได้ก�ำ หนดเงื่อนไขยกเว้นความรับผิดของตัวแทนไว้ เท่ากับผู้ขนส่งและผู้ส่งของตกลงยกเว้นความ
มส
กิจกรรม 8.1.2
1. การทีต่ วั แทนกระทำ�การอันใดอันหนึง่ โดยปราศจากอำ�นาจก็ดี หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ
ก็ดี ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ผลจะเป็นอย่างไร และตัวแทนจะปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายได้หรือไม่
ในกรณีใด ม
2. กรณีทตี่ วั แทนทำ�สัญญากับบุคคลภายนอกแทนตัวการซึง่ มีทอี่ ยูแ่ ละมีภมู ลิ �ำ เนาในต่างประเทศ
นั้น บุคคลภายนอกจะฟ้องร้องให้ตัวการปฏิบัติตามสัญญานั้นได้หรือไม่ อย่างไร
แนวตอบกิจกรรม 8.1.2
1. การทีต่ วั แทนกระทำ�การอันใดอันหนึง่ โดยปราศจากอำ�นาจก็ดี หรือทำ�นอกทำ�เหนือขอบอำ�นาจ
ก็ดนี นั้ ถ้าตัวการไม่ให้สตั ยาบัน ตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำ�พังตนเอง และตัวแทนจะ
สธ
ปฏิเสธความรับผิดต่อบุคคลภายได้ในกรณีใดทีพ่ สิ จู น์ได้วา่ บุคคลภายนอกนัน้ ได้รอู้ ยูว่ า่ ตัวแทนทำ�การโดย
ปราศจากอำ�นาจ หรือทำ�นอกเหนือขอบอำ�นาจนั้น ตาม ปพพ. มาตรา 823
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-31
ธ
เปลี่ยนแปลงหลักกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้นบุคคลภายนอกชอบที่จะฟ้องร้องให้ตัวการปฏิบัติตามสัญญา
นั้นได้
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
8-32 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 8.2
ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 8.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
8.2.1 เหตุที่ท�ำ ให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไป
8.2.2 ผลแห่งความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน
1. สญ
ั ญาตัวแทนอาจระงับสิน้ ไปได้โดยเจตนาของคูส่ ญ
ั ญาทีต่ กลงกัน หรือโดยบทบัญญัติ
กฎหมายได้แก่ตัวการถอนตัวแทนหรือตัวแทนบอกเลิกเป็นตัวแทน หรือตัวการหรือ
ตัวแทนตาย ตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือล้มละลาย
2. กฎหมายคุม้ ครองคูส่ ญ ั ญาตัวแทนและบุคคลภายนอกทีก่ ระทำ�การโดยสุจริตซึง่ ไม่ทราบ
ถึงเหตุที่ท�ำ ให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไป
ธ
วัตถุประสงค์
มส
ม
สธ
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-33
เรื่องที่ 8.2.1
เหตุที่ทำ�ให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไป
ธ
สัญญาตัวแทนอาจระงับสิ้นไปด้วยเหตุที่คู่สัญญาตัวแทนมีข้อตกลงกำ�หนดเหตุที่ทำ�ให้สัญญา
ตัวแทนระงับสิน้ ไป หรือมีกรณีทกี่ ฎหมายบัญญัตใิ ห้สญ
ั ญาตัวแทนระงับสิน้ ไปไว้ ดังจะได้กล่าวโดยละเอียด
ต่อไปนี้
มส
1. คู่สัญญาตัวแทนกำ�หนดกรณีให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไป
เนื่องจากสัญญาตัวแทนเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้น คู่สัญญาอาจตกลงกำ�หนดเหตุที่ทำ�ให้
สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปได้ อาทิ กำ�หนดเวลาเมื่อครบกำ�หนดเวลานั้น หรือกำ�หนดกรณีอันเป็นเหตุให้
สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไป เมื่อมีกรณีนั้นเกิดขึ้น เช่น กำ�หนดว่าถ้ามีการปฏิวัติหรือรัฐประหารในประเทศ
เมือ่ ใดให้สญ
ั ญาตัวแทนระงับสิน้ ไป หรือกำ�หนดว่าถ้ารัฐบาลประกาศยุบสภาเมือ่ ใดให้สญ ั ญาตัวแทนระงับ
สิ้นไป เป็นต้น
ตัวอย่าง นายคนองมอบหมายให้นายประวิทย์เป็นตัวแทนทำ�หน้าทีเ่ ก็บเงินค่าเช่าแผงในตลาดสด
ธ
ของนายคนองโดยมีกำ�หนดเวลา 3 ปี เช่นนี้ เมื่อครบกำ�หนดเวลา 3 ปี สัญญาตัวแทนที่นายคนองตั้งแต่ง
นายประวิทย์เป็นตัวแทนนั้นย่อมระงับสิ้นไป
ตัวอย่าง นายอาวุธมอบหมายให้นายทรงยศเป็นตัวแทนสั่งซื้อผลไม้ต่างประเทศเพื่อจำ�หน่ายใน
มส
2. กรณีที่กฎหมายบัญญัติให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไป
ม
นอกจากนั้นกรณีที่สัญญาตัวแทนอาจระงับสิ้นไปเพราะเหตุที่มีข้อกำ�หนดไว้ในสัญญาตัวแทนดัง
ได้กล่าวมาแล้วนั้น สัญญาตัวแทนอาจระงับสิ้นไปเพราะเหตุที่กฎหมายบัญญัติไว้ ได้แก่กรณีตัวการถอน
ตัวแทนหรือตัวแทนบอกเลิกเป็นตัวแทน หรือกรณีตัวการหรือตัวแทนตาย หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ
หรือล้มละลาย ดังจะกล่าวต่อไปนี้
2.1 ตัวการถอนตัวแทนหรือตัวแทนบอกเลิกเป็นตัวแทน
มาตรา 826 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “อันสัญญาตัวแทนย่อมระงับสิ้นไปด้วยตัวการถอนตัวแทน
หรือด้วยตัวแทนบอกเลิกเป็นตัวแทน”
สธ
มาตรา 827 บัญญัติว่า “ตัวการจะถอนตัวแทน และตัวแทนจะบอกเลิกเป็นตัวแทนเสียในเวลา
ใด ๆ ก็ได้ทุกเมื่อ
ม
8-34 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
คู่สัญญาฝ่ายซึ่งถอนตัวแทนหรือบอกเลิกเป็นตัวแทนในเวลาที่ไม่สะดวกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง จะต้อง
รับผิดต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นในความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น เว้นแต่ในกรณีที่เป็นความจำ�เป็น
อันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้”
สัญญาตัวแทนมีคู่สัญญาคือตัวการและตัวแทน เมื่อคู่สัญญาไม่มีความประสงค์จะผูกพันกันตาม
สัญญาตัวแทนต่อไปย่อมที่จะยุติความผูกพันตามสัญญานั้นได้โดยแยกพิจารณาเป็น 2 กรณี ดังนี้
ธ
2.1.1 ตัวการถอนตัวแทน การทีต่ วั การสามารถถอนตัวแทนเพือ่ ยุตคิ วามผูกพันตามสัญญา
ตัวแทนได้โดยแสดงเจตนาไปยังตัวแทนซึง่ อาจจะแสดงเจตนาถอนตัวแทนด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อกั ษร
มส
ก็ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 386 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญาหรือ
โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำ�ด้วยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง” เมื่อการ
แสดงเจตนานั้นมีผลสมบูรณ์แล้ว กล่าวคือกรณีเป็นการแสดงเจตนาถอนตัวแทนต่อตัวแทนซึ่งอยู่เฉพาะ
หน้า เมื่อตัวแทนได้ทราบถึงการแสดงเจตนาถอนตัวแทนนั้นแล้ว7 หรือกรณีเป็นการแสดงเจตนาถอน
ตัวแทนต่อตัวแทนซึง่ มิได้อยูเ่ ฉพาะหน้า เมือ่ การแสดงเจตนาถอนตัวแทนนัน้ ได้ไปถึงตัวแทนแล้ว8 สัญญา
ตัวแทนย่อมระงับสิ้นไป
ตัวการจะถอนตัวแทนในเวลาใดก็ได้ทุกเมื่อหลังจากที่เกิดสัญญาตัวแทนขึ้นแล้ว แม้ว่าใน
เวลาที่ ตัวการถอนตัวแทนนั้นจะเป็นเวลาที่ไม่สะดวกแก่ตัวแทนก็ตาม
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 1947/2545 การที่จำ�เลยทั้งสองตั้งให้โจทก์เป็นผู้แทนขายสินค้าในประเทศสาธารณรัฐ
ประชาชนจีนและฮ่องกง และโจทก์ตกลงทำ�การดังกล่าว ย่อมเข้าลักษณะของสัญญาตัวแทน ตาม ปพพ.
มส
“ความจำ�เป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้” ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นแต่ละกรณีไป
เช่นกัน หากตัวการถอนตัวแทนในกรณีที่เป็นความจำ�เป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้แม้จะเป็นเวลาที่ไม่
สะดวกแก่ตัวแทน ตัวการก็ไม่ต้องรับผิดต่อตัวแทนในความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น ตัวอย่าง
เช่น นายแก้วตัง้ แต่งนายม้าเป็นตัวแทนให้ไปส่งสินค้ายังต่างจังหวัดโดยตกลงให้บ�ำ เหน็จกัน นายม้าได้ลา
งานประจำ�พร้อมเช่ารถเพื่อบรรทุกสินค้าไปส่งที่ต่างจังหวัดตามที่นายแก้วมอบหมาย ก่อนออกเดินทาง 2
ธ
ชั่วโมง นายแก้วทราบว่านายม้าได้เตรียมขนยาเสพติดไปพร้อมกับสินค้าของนายแก้ว เช่นนี้เป็นกรณีที่มี
ความจำ�เป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้ การที่นายแก้วแสดงเจตนาถอนนายม้าจากตัวแทน แม้จะเป็นการ
มส
ถอนตัวแทนในเวลาที่ไม่สะดวกแก่ตัวแทน นายแก้วก็ไม่ต้องรับผิดต่อนายม้าในความเสียหายที่นายม้าได้
ลางานประจำ�พร้อมเช่ารถเพื่อบรรทุกสินค้านั้น
ข้อสังเกต แม้ว่าตัวการจะถอนตัวแทนในเวลาที่ไม่สะดวกแก่ตัวแทนก็เป็นเหตุให้สัญญา
ตัวแทนระงับสิ้นไป ส่วนประเด็นที่ตัวการจะต้องรับผิดต่อตัวแทนในความเสียหายอย่างใดๆ หรือไม่นั้น
ต้องพิจารณาต่อไปว่าเป็นกรณีที่เป็นความจำ�เป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้หรือไม่ ถ้าเป็นกรณีดังกล่าว
ตัวการก็ไม่ต้องรับผิดต่อตัวแทนในความเสียหายนั้น แต่ถ้าไม่เป็นกรณีดังกล่าว ตัวการก็ต้องรับผิดต่อ
ตัวแทนในความเสียหายนั้น
2.1.2 ตัวแทนบอกเลิกเป็นตัวแทน การทีต่ วั แทนสามารถบอกเลิกเป็นตัวแทนเพือ่ ยุตคิ วาม
ผูกพันตามสัญญาตัวแทนได้โดยแสดงเจตนาไปยังตัวการซึ่งอาจจะแสดงเจตนาบอกเลิกเป็นตัวแทนด้วย
วาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 386 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิก
ธ
สัญญาโดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำ�ด้วยแสดงเจตนา
แก่อีกฝ่ายหนึ่ง” เมื่อการแสดงเจตนานั้นมีผลสมบูรณ์แล้ว กล่าวคือกรณีเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกเป็น
มส
ธ
ต้องกระทำ�โดยที่ประชุมใหญ่ และการแต่งตั้งกรรมการบริษัทจะต้องนำ�ความไปจดทะเบียน ตาม ปพพ.
มาตรา 1151 และ 1157 เท่านั้น ส่วนกรณีกรรมการบริษัทลาออกไม่มีบทกฎหมายบังคับไว้9 เมื่อปรากฏ
มส
ว่าขณะที่ น. บอกเลิกจ้างโจทก์เป็นเวลาภายหลังที่ น. ลาออกจากบริษัทจำ�เลย น. ย่อมพ้นจากตำ�แหน่ง
กรรมการผู้จัดการจำ�เลยแล้ว จึงไม่มีอำ�นาจกระทำ�การแทนจำ�เลย ถือไม่ได้ว่าจำ�เลยบอกเลิกจ้างโจทก์
โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินต่างๆ อันเนื่องจากการเลิกจ้าง
ตัวแทนซึง่ บอกเลิกเป็นตัวแทนในเวลาทีไ่ ม่สะดวกแก่ตวั การ จะต้องรับผิดต่อตัวการในความ
เสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น เว้นแต่ในกรณีที่เป็นความจำ�เป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้
“ในเวลาทีไ่ ม่สะดวก” ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นกรณีไป ตัวอย่างเช่น นายแก้วตัง้ แต่ง
นายม้าเป็นตัวแทนให้ไปส่งสินค้ายังต่างจังหวัดโดยตกลงให้บำ�เหน็จกัน นายม้าได้บอกเลิกเป็นตัวแทน
ก่อนถึงกำ�หนดส่งสินค้าเพียงวันเดียวโดยนายแก้วไม่สามารถให้ผู้อื่นไปส่งสินค้าได้ทันตามกำ�หนด เช่น
นี้เป็นการบอกเลิกเป็นตัวแทนในเวลาที่ไม่สะดวกแก่ตัวการ นายม้าจะต้องรับผิดต่อนายแก้วในความเสีย
ธ
หายที่นายแก้วผิดนัดการส่งสินค้านั้น
“ความจำ�เป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้” ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นแต่ละกรณีไป
มส
เช่นกัน หากตัวแทนบอกเลิกเป็นตัวแทนในกรณีที่เป็นความจำ�เป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้แม้จะเป็น
เวลาที่ไม่สะดวกแก่ตัวการ ตัวแทนก็ไม่ต้องรับผิดต่อตัวการในความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น
ตัวอย่างเช่น นายแก้วตัง้ แต่งนายม้าเป็นตัวแทนให้ไปส่งสินค้ายังต่างจังหวัดโดยตกลงให้บ�ำ เหน็จกัน นาย
ม้าได้บอกเลิกเป็นตัวแทนก่อนถึงกำ�หนดส่งสินค้าเพียงวันเดียวโดยนายแก้วไม่สามารถให้ผอู้ นื่ ไปส่งสินค้า
ได้ทนั ตามกำ�หนด เพราะนายม้ามีอาการป่วยเนือ่ งจากเส้นโลหิตแตกในสมองต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล
เช่นนีเ้ ป็นกรณีทมี่ คี วามจำ�เป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้ การทีน่ ายม้าได้บอกเลิกเป็นตัวแทน แม้จะเป็นการ
ม
บอกเลิกเป็นตัวแทนในเวลาทีไ่ ม่สะดวกแก่ตวั การ นายม้าก็ไม่ตอ้ งรับผิดต่อนายแก้วในความเสียหายทีน่ าย
แก้วผิดนัดการส่งสินค้านั้น
ข้อสังเกต แม้ว่าตัวแทนจะบอกเลิกเป็นตัวแทนในเวลาที่ไม่สะดวกแก่ตัวการก็ตาม ย่อม
เป็นเหตุให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไป ส่วนประเด็นที่ตัวแทนจะต้องรับผิดต่อตัวการในความเสียหายอย่าง
ใดๆ หรือไม่นนั้ ต้องพิจารณาต่อไปว่าเป็นกรณีทเี่ ป็นความจำ�เป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้หรือไม่ ถ้าเป็น
ตัวแทนก็ไม่ต้องรับผิดต่อตัวการในความเสียหายดังกล่าว แต่ถ้าไม่เป็น ตัวแทนก็ต้องรับผิดต่อตัวการใน
ความเสียหายดังกล่าว
สธ
9 ปัจจุบน
ั ปพพ. มาตรา 1153/1 บัญญัตวิ า่ “กรรมการคนใดจะลาออกจากตำ�แหน่ง ให้ยนื่ ใบลาออกต่อบริษทั การลาออก
มีผลนับแต่วันที่ใบลาออกไปถึงบริษัท กรรมการซึ่งลาออกตามวรรคหนึ่ง จะแจ้งการลาออกของตนให้นายทะเบียนทราบด้วยก็ได้”
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-37
ธ
ดังต่อไปนี้
2.2.1 ตัวการหรือตัวแทนตาย เมื่อตัวการหรือตัวแทนถึงแก่ความตายไม่ว่าจะตายโดย
มส
ธรรมชาติคือสิ้นลมหายใจหรือตายโดยผลของกฎหมายคือมีคำ�สั่งศาลให้เป็นคนสาบสูญ สัญญาตัวแทน
ย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป เนื่องจากตัวแทนเป็นเพียงเครื่องมือของตัวการและตัวการจะตั้งบุคคลใดเป็น
ตัวแทนย่อมพิจารณาอย่างรอบคอบและมอบความไว้วางใจให้ประกอบกับการเป็นตัวแทนเป็นเรือ่ งเฉพาะตัว
ดังนั้นเมื่อตัวการตาย การเป็นตัวแทนย่อมต้องยุติลงด้วยเช่นกัน และในกรณีตัวแทนตาย สัญญาตัวแทน
ก็ต้องระงับสิ้นไป
อุทาหรณ์
ฎ. 926/2530 ผู้รับมอบอำ�นาจตายก่อนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หนังสือมอบอำ�นาจย่อม
ระงับสิ้นไปหรือหมดสภาพไป ตาม ปพพ. มาตรา 826 จำ�เลยร่วมซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินทราบแล้วว่า
ผู้มอบอำ�นาจตายแต่ยังดำ�เนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินจนเสร็จสิ้น ก่อให้เกิดความเสียหาย
ธ
แก่โจทก์ การกระทำ�ของจำ�เลยร่วมเป็นการปฏิบตั ริ าชการในหน้าทีฝ่ า่ ฝืนกฎหมายเป็นการละเมิดต่อโจทก์
ฎ. 5241/2537 การทีค่ คู่ วามแต่งตัง้ ทนายความให้วา่ ความและดำ�เนินกระบวนพิจารณาแทน
มส
ธ
อาชวดิศจะถึงแก่ชีพิตักษัยต่อมา กรณีไม่ใช่ลักษณะสัญญาตัวแทนย่อมระงับสิ้นไป เมื่อคู่สัญญาฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่งตายที่จำ�เลยจะพึงหยิบยกขึ้นอ้างว่านายบัญญัติไม่มีอำ�นาจร้องทุกข์เพราะหม่อมเจ้าอาชวดิศ
มส
ผู้มอบอำ�นาจถึงแก่ชีพิตักษัยแล้ว
อนึ่ง ในกรณีที่ตัวการหลายคนตั้งตัวแทนคนเดียวร่วมกัน ถ้าตัวการคนใดคนหนึ่งตาย
ศาสตราจารย์กมล สนธิเกษตริน ให้ความเห็นไว้ว่าสัญญาตัวแทนก็ระงับไป10 และถ้ากรณีตัวแทนตาย
สัญญาตัวแทนนั้นก็ระงับสิ้นไป
สำ�หรับสัญญาอันเดียวตัวการคนเดียวตั้งตัวแทนหลายคนเพื่อการอันเดียวกัน ตามมาตรา
804 ซึ่งบัญญัติว่า ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าตัวแทนจะต่างคนต่างทำ�การนั้นๆ แยกกันไม่ได้ ดังนั้น หาก
ตัวแทนคนหนึง่ คนใดตาย ผูเ้ ขียนเห็นว่า สัญญาตัวแทนอันเดียวนัน้ ย่อมระงับสิน้ ไปเช่นกัน แต่ถา้ เป็นกรณี
ทีต่ กลงให้ตวั แทนต่างคนต่างทำ�การนัน้ ๆ แยกกันได้ ผูเ้ ขียนเห็นว่า หากตัวแทนคนหนึง่ คนใดตาย สัญญา
ตัวแทนอันเดียวนั้นยังไม่ระงับสิ้นไป
ธ
มีปญั หาน่าคิดว่า ในกรณีทตี่ วั แทนมีอ�ำ นาจตัง้ ตัวแทนช่วงได้ และตัวแทนได้ตงั้ ตัวแทนช่วง
ดำ�เนินกิจการแล้ว เช่นนี้ ตัวแทนช่วงย่อมต้องผูกพันต่อตัวการโดยตรง ตัวแทนหาต้องผูกพันต่อตัวการ
มส
ธ
นั้น การที่จะให้สัญญาตัวแทนยังไม่อยู่ต่อไปย่อมอาจเป็นปัญหาต่อตัวการได้และการจะให้ถอนตัวแทนใน
ภายหลังอาจเกิดอุปสรรคเพราะความบกพร่องในความสามารถของตัวการจึงสมควรให้สัญญาตัวแทนสิ้น
มส
สุดลงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 826 วรรคสองนี้
2.2.3 ตัวการหรือตัวแทนล้มละลาย ตัวการหรือตัวแทนซึง่ ตกเป็นคนล้มละลายในภายหลัง
ที่มีการตั้งตัวแทนกันแล้ว สัญญาตัวแทนก็เป็นอันระงับสิ้นไป ในกรณีตัวการตกเป็นคนล้มละลาย อำ�นาจ
จัดการทรัพย์สนิ ของตัวการตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทกั ษ์ทรัพย์ ดังนัน้ การจะให้ตวั แทนทำ�การแทนตัวการ
ต่อไปย่อมเกิดการทับซ้อนในการจัดการทรัพย์สนิ ของตัวการ ส่วนกรณีตวั แทนตกเป็นคนล้มละลาย อำ�นาจ
จัดการทรัพย์สนิ ของตัวแทนตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทกั ษ์ทรัพย์ หากจะให้ตวั แทนทำ�การแทนตัวการต่อ
ไปย่อมเกิดอาจความเสียหายแก่ตัวการได้เช่นกัน
แม้กฎหมายจะบัญญัติให้เหตุที่ตัวการหรือตัวแทนตาย ตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือล้ม
ละลาย ทำ�ให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปนั้น อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังบัญญัติข้อยกเว้นไว้ว่า “เว้นแต่จะ
ธ
ปรากฏว่าขัดกับข้อสัญญาหรือสภาพแห่งกิจการนั้น” ซึ่งแยกพิจารณาข้อยกเว้นดังกล่าวได้ 2 กรณีดังนี้
(1) ขัดกับข้อสัญญา หมายความว่า สัญญาตัวแทนมีขอ้ ตกลงกันไว้วา่ แม้ตวั การหรือ
มส
ระงับสิ้นไป
ม
(2) ขั ดกับสภาพแห่งกิจการ หมายความว่า กิจการที่ตัวการให้ตัวแทนไปท�ำการนั้น
โดยสภาพแล้วแม้ตวั การหรือตัวแทนตาย ตกเป็นผูไ้ ร้ความสามารถ หรือล้มละลาย ก็ไม่ท�ำให้สญ ั ญาตัวแทน
กิจกรรม 8.2.1
1. ตัวการถอนตัวแทนในเวลาที่ไม่สะดวกแก่ตัวแทน เช่นนี้ สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปหรือไม่
2. สัญญาตัวแทนไม่ระงับแม้ตัวการถึงแก่ความตายในกรณีใด
ธ
แนวตอบกิจกรรม 8.2.1
1. ตัวการจะถอนตัวแทนในเวลาก็ได้ทกุ เมือ่ ตาม ปพพ. มาตรา 827 วรรคแรก แม้จะเป็นเวลาที่
826 วรรคแรก
มส
ไม่สะดวกแก่ตวั แทนก็ตาม เมือ่ ตัวการถอนตัวแทนแล้ว สัญญาตัวแทนย่อมระงับสิน้ ไป ตาม ปพพ. มาตรา
ผลแห่งความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน
เมื่อสัญญาระงับสิ้นไปแล้วตามปกติบุคคลซึ่งเคยเป็นคู่สัญญาย่อมหมดหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตาม
สัญญานัน้ แต่ส�ำ หรับสัญญาตัวแทน กฎหมายยังบัญญัตกิ รณีทใี่ ห้ตวั แทนหรือทายาทหรือบุคคลผูร้ บั หน้าที่
ดูแลมรดกของตัวแทนยังมีหน้าที่ต้องจัดการบางอย่างเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการจนถึงเวลา
ม
อันสมควร สำ�หรับในเรื่องผลแห่งความระงับสิ้นไปของสัญญาตัวแทนนี้ จะกล่าวถึงการปกปักรักษา
ประโยชน์ของตัวการ การห้ามมิให้ยกเหตุแห่งสัญญาตัวแทนระงับขึน้ เป็นข้อต่อสู้ และสิทธิของตัวการเรียก
ให้เวนคืนหนังสือมอบอำ�นาจ ดังจะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไปนี้
1. การปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการ
มาตรา 828 บัญญัติว่า “เมื่อสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตายก็ดี ตัวการตกเป็น
สธ
ผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลายก็ดี ท่านว่าตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษา
ประโยชน์อันเขาได้มอบหมายแก่ตนไปจนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะอาจเข้าปกปักรักษา
ประโยชน์นั้น ๆ ได้”
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-41
ธ
ทายาทหรือบุคคลผู้รับหน้าที่ดูแลมรดกของตัวแทน แล้วแต่กรณี โดยแยกพิจารณาได้เป็น 2 กรณีดังนี้
1.1 กรณีสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตายก็ดี ตัวการตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือ
มส
ล้มละลาย ตัวแทนมีหน้าที่ต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์ตามที่ตัวการได้
มอบหมายไว้ไปจนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะอาจเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้นๆ ได้
“จัดการอันสมควรทุกอย่างเพือ่ จะปกปักรักษาประโยชน์” มีขอบเขตแค่ไหนเพียงไร ต้องพิจารณา
จากข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป เช่น ตัวการตายในระหว่างพิจารณาคดี ตัวแทนเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่
ผู้มรณะตัวการได้ หรือตัวการตายในระหว่างบังคับคดี ตัวแทนยังมีอำ�นาจยื่นคำ�ร้องขอทุเลาการบังคับ
คดีได้ หรือตัวการตายภายในกำ�หนดระยะเวลาฎีกา ตัวแทนยังมีอ�ำ นาจลงนามเป็นผู้ฎีกาแทนตัวการได้
อุทาหรณ์
ฎ. 789/2550 จำ�เลยที่ 2 แต่งตั้ง พ. ทนายความให้ว่าความและดำ�เนินกระบวนพิจารณาแทน
จำ�เลยที่ 2 ตาม ปวพ. มาตรา 60 เป็นการแต่งตัง้ ตัวแทน ตาม ปพพ. ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทน แม้จ�ำ เลยที่ 2
ธ
ซึ่งเป็นตัวการถึงแก่ความตายไปจะเป็นผลให้สัญญาตัวแทนระงับไปก่อนที่ พ. จะยื่นอุทธรณ์ แต่ พ. ก็ยัง
คงมีอ�ำ นาจและหน้าทีจ่ ดั การดำ�เนินคดีเพือ่ ปกปักรักษาประโยชน์ของจำ�เลยที่ 2 ต่อไป ตาม ปพพ. มาตรา
มส
ธ
ทนายโจทก์ที่ 2 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ศาลชัน้ ต้นอนุญาตให้ทนายโจทก์ที่ 2 ดำ�เนินคดีแทน
โจทก์ที่ 2 ในฐานะตัวแทนเพือ่ ไม่ให้กระบวนพิจารณาเสียหายเท่านัน้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวัน
มส
ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 หลังจากนั้นไม่ปรากฏว่ามีผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือภริยาของโจทก์ที่ 2
ประสงค์เข้าดำ�เนินคดีแทนโจทก์ที่ 2 ตาม ปวอ. มาตรา 29 วรรคหนึ่ง ประกอบ พรบ. จัดตั้งศาลแขวง
และวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 โจทก์ที่ 2 ฎีกาโดยทนายโจทก์ที่ 2 เป็น
ผูก้ ระทำ�การแทนและลงลายมือชือ่ เป็นผูฎ้ กี า เช่นนี้ เมือ่ โจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตายระหว่างการพิจารณาของ
ศาลชั้นต้นนับจนถึงเวลาที่ทนายโจทก์ที่ 2 ยื่นฎีกาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี ทนายโจทก์ที่ 2 ย่อมหมดสภาพ
จากการเป็นทนายของโจทก์ที่ 2 และล่วงเลยเวลาที่ทนายโจทก์ที่ 2 จะจัดการอันสมควรเพื่อปกปักรักษา
ประโยชน์ทโี่ จทก์ที่ 2 มอบหมายแก่ตน จนกว่าจะมีผเู้ ข้าดำ�เนินคดีแทนโจทก์ที่ 2 ตาม ปพพ. มาตรา 828
แล้ว จึงไม่มีอำ�นาจกระทำ�การแทนโจทก์ที่ 2 อีกต่อไป
หมายเหตุ คดีนี้ โจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 คำ�ร้องของ
ธ
ทนายโจทก์ที่ 2 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 การทีศ่ าลอนุญาตให้ทนายโจทก์ที่ 2 ดำ�เนินคดีแทน
โจทก์ที่ 2 ในฐานะตัวแทนเพื่อไม่ให้กระบวนพิจารณาเสียหายถือได้ว่าเป็นการจัดการอันสมควรเพื่อจะ
มส
ธ
จำ�เลยที่ 1 ทนายจำ�เลยที่ 1 ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นทราบว่าจำ�เลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้ว ในกรณีเช่นนี้
ศาลชั้นต้นจะต้องสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดว่าจำ�เลยที่ 1 ถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ และหากเป็นความจริง
มส
ก็ถือว่าจำ�เลยที่ 1 ถึงแก่ความตายระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นจะต้องจัดให้มีผู้เข้าเป็นคู่
ความแทนที่จ�ำ เลยที่ 1 ตาม ปวพ. มาตรา 42 เสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำ�สั่งศาลฎีกาดังกล่าวโดย
มิได้ด�ำ เนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นการดำ�เนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ตาม ปวพ. มาตรา
27 และการที่ทนายจำ�เลยที่ 1 มิได้ดำ�เนินการใดๆ เพื่อขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
ดังกล่าวภายในกำ�หนดเวลา 8 วัน นับแต่วนั ทราบเรือ่ งผิดระเบียบ แต่กลับยืน่ คำ�ร้องขอขยายระยะเวลานำ�
เงินค่าธรรมเนียมศาลชัน้ ฎีกามาวางต่อศาลชัน้ ต้นตามคำ�สัง่ ศาลฎีกาแทนจำ�เลยที่ 1 นัน้ ก็ถอื ไม่ได้วา่ เป็นการ
กระทำ�ของจำ�เลยที่ 1 ตัวการ เพราะการกระทำ�ดังกล่าวมิใช่การดำ�เนินคดีไปในทางปกปักรักษาประโยชน์
ของตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 828 แต่เป็นการกระทำ�ทีม่ ผี ลทำ�ให้จ�ำ เลยที่ 1 ซึง่ เป็นคูค่ วามฝ่ายทีเ่ สียหาย
เสียสิทธิทจี่ ะยกข้อคัดค้านเรือ่ งผิดระเบียบดังกล่าวขึน้ กล่าวอ้างในภายหลัง ตาม ปวพ. มาตรา 27 วรรคสอง
ธ
เมือ่ ทนายจำ�เลยที่ 1 ไม่มสี ทิ ธิยนื่ คำ�ร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชัน้ ฎีกาแทนจำ�เลยที่ 1
การทีศ่ าลชัน้ ต้นมีค�ำ สัง่ อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินตามขอก็ดี และต่อมามีค�ำ สัง่ ให้จ�ำ หน่ายคดีเพราะ
มส
ผู้เขียนมีความเห็นว่า ในระหว่างทายาทหรือบุคคลผู้รับหน้าที่ดูแลทรัพย์มรดกของตัวแทนโดย
ชอบด้วยกฎหมาย คนใดคนหนึ่งได้บอกกล่าวแก่ตัวการและจัดการเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการ
ไปตามสมควรแก่พฤติการณ์ จนกว่าตัวการอาจเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้นๆ ได้แล้ว คนอื่นก็ไม่จำ�ต้อง
ทำ�หน้าที่นั้นซํ้าอีก
มีข้อสังเกตว่า กฎหมายมิได้กำ�หนดระยะเวลาการบอกกล่าวไว้ว่าต้องบอกกล่าวเมื่อใด ผู้เขียน
ธ
มีความเห็นว่าต้องบอกกล่าวในทันทีที่บอกกล่าวได้ กล่าวคือเมื่อทราบถึงความตายของตัวแทนและอยู่ใน
ฐานะที่จะบอกกล่าวตัวการได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ยังไม่ได้บอกกล่าวหรือบอกกล่าวแล้วก็ยัง
มส
มีหน้าที่ต้องจัดการเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการไปตามสมควรแก่พฤติการณ์ จนกว่าตัวการอาจ
เข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้นๆ ได้
ตัวอย่าง นายอนันต์มอบหมายให้นายดนัยเป็นตัวแทนขายเรือกลไฟ ต่อมานายดนัยถึงแก่ความ
ตาย เช่นนี้ ทายาทของนายดนัยหรือผู้จัดการมรดก หรือผู้ปกครองทรัพย์มรดก แล้วแต่กรณี ต้องบอก
กล่าวถึงความตายของนายดนัยให้นายอนันต์ทราบ และต้องดูแลรักษาเรือกลไฟนัน้ ไปจนกว่าจะได้สง่ มอบ
ให้นายอนันต์แล้ว
มีข้อน่าฉงนว่า กฎหมายกำ�หนดให้เป็นหน้าที่ของทายาทหรือบุคคลผู้รับหน้าที่ดูแลทรัพย์มรดก
ของตัวแทนโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งบุคคลดังกล่าวจะมีขึ้นได้ก็แต่ในกรณีตัวแทนตาย ส่วนกรณีตัวแทน
ตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลายนั้น ไม่อาจมีทายาทหรือบุคคลผู้รับหน้าที่ดูแลทรัพย์มรดกของ
ธ
ตัวแทนโดยชอบด้วยกฎหมายดัง่ ทีว่ า่ นัน้ มีนกั กฎหมายเห็นว่า กรณีตวั แทนตกเป็นผูไ้ ร้ความสามารถ หรือ
ล้มละลายนั้น ผู้อนุบาลของตัวแทนโดยพฤตินัยหรือผู้อนุบาลที่ศาลแต่งตั้งของตัวแทนซึ่งตกเป็นผู้ไร้ความ
สามารถ หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของตัวแทนซึ่งล้มละลายนั้นควรมีหน้าที่ดังกล่าว11
มส
2. การห้ามมิให้ยกเหตุแห่งสัญญาตัวแทนระงับขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ม
มาตรา 830 บัญญัติว่า “อันเหตุที่ทำ�ให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปนั้นจะเกิดแต่ตัวการหรือ
ตัวแทนก็ตาม ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง จนกว่าจะได้บอกกล่าวเหตุนั้น ๆ ไป
ยังคู่สัญญาฝ่ายนั้นแล้ว หรือจนกว่าคู่สัญญาฝ่ายนั้นจะได้ทราบเหตุแล้ว”
สธ
11 สถิตย์ เล็งไธสง คำ�อธิบายกฎหมายตัวแทนและนายหน้า กรุงเทพมหานคร บริษท
ั สำ�นักพิมพ์วญ
ิ ญูชนจำ�กัด พ.ศ. 2539
น. 234.
12 เรื่องเดียวกัน
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-45
ธ
2.1 คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
“คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง” หมายความว่า ตัวการหรือตัวแทน แล้วแต่กรณี
มส
จนกว่าจะได้บอกกล่าวเหตุนนั้ ๆ ไปยังคูส่ ญ
ั ญาฝ่ายนัน้ แล้ว หรือจนกว่าคูส่ ญ
ั ญาฝ่ายนัน้ จะได้ทราบ
เหตุแล้ว สำ�หรับเหตุที่ทำ�ให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปนั้นจะเกิดแต่ตัวการหรือตัวแทนซึ่งหมายถึงเหตุที่
ตัวการหรือตัวแทนตาย ตกเป็นผูไ้ ร้ความสามารถ หรือล้มละลาย ส่วนเหตุทตี่ วั การถอนตัวแทน หรือตัวแทน
บอกเลิกเป็นตัวแทน หรือตัวการและตัวแทนตกลงเลิกสัญญากันนัน้ ได้มกี ารแสดงต่อคูส่ ญ ั ญาอีกฝ่ายอยูแ่ ล้ว
ดังนั้น ทายาทหรือผู้แทนของตัวการ หรือทายาท หรือบุคคลผู้รับหน้าที่ดูแลทรัพย์มรดกของ
ตัวแทนแล้วแต่กรณี จะยกเหตุดังกล่าวข้างต้นขึ้นต่อสู้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้บอกกล่าว
เหตุนั้นๆ ไปยังคู่สัญญาฝ่ายนั้นแล้ว หรือจนกว่าคู่สัญญาฝ่ายนั้นจะได้ทราบเหตุแล้ว
ตัวอย่าง นายสมยศตั้งนายอาทิตย์ทนายความเป็นตัวแทนฟ้องคดีโดยให้มีอำ�นาจถอนฟ้อง และ
ยอมความได้ ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลนายสมยศถึงแก่ความตายโดยนายอาทิตย์ไม่ทราบ นาย
ธ
อาทิตย์ได้ถอนฟ้องคดีนั้น เช่นนี้ นางยุพาทายาทของนายสมยศจะต่อสู้นายอาทิตย์ว่านายอาทิตย์ไม่มี
อำ�นาจถอนฟ้องเพราะสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปแล้วไม่ได้ เพราะนางยุพายังไม่ได้บอกกล่าวถึงความตาย
มส
ของนายสมยศให้นายอาทิตย์ทราบและไม่ปรากฏว่า นายอาทิตย์ได้ทราบถึงความตายของนายสมยศมาก่อน
2.2 บุคคลภายนอกผู้ทำ�การโดยสุจริต
“บุคคลภายนอก” หมายความว่า บุคคลซึ่งมิใช่ตัวการและตัวแทนนั่นเอง
“โดยสุจริต” หมายความว่า ไม่ทราบถึงความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน
สำ�หรับความระงับสิน้ ไปแห่งสัญญาตัวแทนซึง่ รวมทุกเหตุไม่วา่ จะเป็นเหตุทตี่ วั การหรือตัวแทนตาย
ตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือล้มละลาย หรือเหตุที่ตัวการถอนตัวแทน หรือตัวแทนบอกเลิกเป็นตัวแทน
เว้นแต่บุคคลภายนอกหากไม่ทราบความนั้นเพราะความประมาทเลินเล่อของตนเอง ม
ดังนั้น ทายาทหรือผู้แทนของตัวการ หรือทายาท หรือบุคคลผู้รับหน้าที่ดูแลทรัพย์มรดกของ
ตัวแทนแล้วแต่กรณี จะยกเหตุดังกล่าวข้างต้นขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ทำ�การโดยสุจริต คือไม่รู้ถึงเหตุที่
ทำ�ให้สญั ญาตัวแทนระงับสิน้ ไปไม่ได้ แต่ถา้ ความไม่รขู้ องบุคคลภายนอกนัน้ เกิดจากความประมาทเลินเล่อ
แล้วก็ย่อมยกขึ้นต่อสู้ได้
ตัวอย่าง นายดิสัยตั้งนายสุธรรมเป็นตัวแทนขายรถยนต์ของนายดิสัย หลังจากที่นายดิสัยถึงแก่
ความตายและนายสุวัฒน์ทายาทของนายดิสัยเข้าครอบครองรถยนต์คันนั้นแล้ว นายสุธรรมได้ทำ�สัญญา
สธ
ขายรถยนต์นนั้ ให้แก่นายวรวรรณไปโดยนายสุธรรมไม่รวู้ า่ นายดิสยั ถึงแก่ความตายแล้ว เช่นนี้ นายสุวฒ ั น์
ทายาทของนายดิสัยจะต่อสู้นายวรวรรณว่านายสุธรรมไม่มีอำ�นาจทำ�สัญญาขายรถยนต์นั้นเพราะสัญญา
ตัวแทนระงับสิ้นไปแล้วไม่ได้ เพราะนายวรวรรณเป็นบุคคลภายนอกผู้ท�ำ การโดยสุจริต แต่ถ้าปรากฏว่า
ม
8-46 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
บุคคลภายนอกซึ่งไม่ทราบความตามประกาศของหนังสือพิมพ์ดังกล่าวย่อมไม่ผูกพัน และจะถือว่าการที่
บุคคลภายนอกไม่ทราบเพราะเหตุไม่ได้อา่ นหนังสือพิมพ์นนั้ ย่อมไม่อาจถือได้วา่ การทีไ่ ม่ทราบเช่นนัน้ เป็น
มส
เพราะความประมาทเลินเล่อของบุคคลภายนอกดังกล่าว
3. สิทธิของตัวการเรียกให้เวนคืนหนังสือมอบอำ�นาจ
มาตรา 832 บัญญัตวิ า่ “ในเมือ่ สัญญาตัวแทนระงับสิน้ ไป ตัวการชอบทีจ่ ะเรียกให้เวนคืนหนังสือ
มอบอำ�นาจอย่างใด ๆ อันได้ให้ไว้แก่ตัวแทนนั้นได้”
เมือ่ สัญญาตัวแทนระงับสิน้ ไปไม่วา่ ด้วยเหตุใด ตัวการย่อมมีสทิ ธิทจี่ ะเรียกคืนหนังสือมอบอำ�นาจ
ต่างๆ ทีเ่ คยให้ไว้แก่ตวั แทนนัน้ ได้ เว้นแต่ตวั แทนจะมีสทิ ธิยดึ หน่วง ตาม ปพพ. มาตรา 819 อย่างไรก็ตาม
โดยหลักแล้วเมือ่ สัญญาตัวแทนระงับ ตัวแทนย่อมไม่มสี ทิ ธิน�ำ หนังสือมอบอำ�นาจทีต่ วั การเคยให้ไว้ไปทำ�การ
ในฐานตัวแทนได้อีกต่อไปยกเว้นการอันจำ�เป็นเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการในกรณีที่ตัวการ
ธ
ตาย ตกเป็นคนไร้ความสามารถ หรือล้มละลาย ตาม ปพพ. มาตรา 828 แต่เพื่อมิให้ตัวการต้องเสียหาย
การที่ตัวการเรียกคืนหนังสือมอบอำ�นาจต่างๆ ที่เคยให้ไว้แก่ตัวแทนย่อมเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลมได้
มส
กิจกรรม 8.2.2
1. เมื่อสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตาย ตัวแทนมีหน้าที่ต้องจัดการเรื่องใดอีกหรือไม่
2. นายไก่ตงั้ นายไข่เป็นตัวแทนซือ้ สินค้าเข้ามาขายในร้านของนายไก่ ในระหว่างทีน่ ายไข่ยงั ไม่ได้
สธ
ซื้อสินค้าเข้ามาขายในร้านของนายไก่ นายไก่ถึงแก่ความตายเสียก่อนโดยนายไข่ไม่ทราบ นายไข่ได้ทำ�
สัญญาซื้อสินค้าเข้ามาขายในร้านของนายไก่แล้ว ปรากฏว่านายส้มทายาทของนายไก่ปฏิเสธไม่ยอมรับ
ม
ความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน 8-47
สินค้าดังกล่าวโดยอ้างว่านายไข่ไม่มีอำ�นาจทำ�สัญญาซื้อสินค้าแล้วเพราะสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปแล้ว
ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวตอบกิจกรรม 8.2.2
1. เมือ่ สัญญาตัวแทนระงับสิน้ ไปเพราะตัวการตาย ตัวแทนยังมีหน้าทีต่ อ้ งจัดการเรือ่ งอันสมควร
ธ
ทุกอย่างเพือ่ จะปกปักรักษาประโยชน์อนั เขาได้มอบหมายแก่ตนไปจนกว่าทายาทหรือผูแ้ ทนของตัวการจะ
อาจเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้น ๆ ตาม ปพพ. มาตรา 829
มส
2. นายส้มทายาทของนายจะไก่ปฏิเสธไม่ยอมรับสินค้าดังกล่าวโดยอ้างว่านายไข่ไม่มีอำ�นาจทำ�
สัญญาซื้อสินค้าแล้วเพราะสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปแล้ว ไม่ได้ เพราะนายส้มยังไม่ได้บอกกล่าวถึงความ
ตายของนายไก่ให้นายไข่ทราบและไม่ปรากฏว่านายไข่ได้ทราบถึงความตายของนายไก่มาก่อน ตาม ปพพ.
มาตรา 830 ทายาทของตัวการ จะยกเหตุสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปขึ้นต่อสู้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้
จนกว่าจะได้บอกกล่าวเหตุนั้น ๆ ไปยังคู่สัญญาฝ่ายนั้นแล้ว หรือจนกว่าคู่สัญญาฝ่ายนั้นจะได้ทราบเหตุ
แล้ว
ธ
มส
ม
สธ
ม
8-48 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
บรรณานุกรม
ธ
สำ�นักพิมพ์นิติบรรณาการ.
กุศล บุญยืน. (2532). คำ�อธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ด้วยตัวแทนและนายหน้า. กรุงเทพมหานคร:
ห้างหุ้นส่วนจำ�กัดยงพลเทรดดิ้ง.
มส
ไผทชิต เอกจริยากร. (2554). ตัวแทน นายหน้า. กรุงเทพมหานคร: บริษัทสำ�นักพิมพ์วิญญูชนจำ�กัด.
สถิตย์ เล็งไธสง. (2539). คำ�อธิบายกฎหมายตัวแทนและนายหน้า. กรุงเทพมหานคร: บริษทั สำ�นักพิมพ์วญ
จำ�กัด.
ิ ญูชน
ม
สธ
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-1
หน่วยที่ 9
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า
ธ
รองศาสตราจารย์วรวุฒิ เทพทอง
มส
ธ
มส
ม
ชื่อ รองศาสตราจารย์วรวุฒิ เทพทอง
วุฒิ น.บ. (เกียรตินิยมอันดับ 2), น.บ.ท.,
รป.ม, ประกาศนียบัตรบัณฑิตกฎหมายมหาชน,
สธ
ประกาศนียบัตรกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
ต�ำแหน่ง รองศาสตราจารย์ประจ�ำสาขาวิชานิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 9
ม
9-2 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แผนการสอนประจ�ำหน่วย
ธ
หน่วยที่ 9 ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า
ตอนที่
แนวคิด
มส
9.1 ตัวแทนค้าต่าง
9.2 นายหน้า
1. ต ัวแทนค้าต่างเป็นตัวแทนประเภทหนึ่งซึ่งท�ำการซื้อหรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดท�ำกิจการ
ค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ
2. นายหน้าเป็นบุคคลทีท่ ำ� หน้าทีเ่ พือ่ ชีช้ อ่ งให้คสู่ ญ
ั ญาของตนได้เข้าท�ำสัญญาหรือจัดการให้ได้ทำ�
ธ
สัญญากัน โดยไม่มีอำ� นาจท�ำการแทนแต่อย่างใด
วัตถุประสงค์
มส
กิจกรรมระหว่างเรียน
1.
2.
3.
4.
5.
ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 9
ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 9.1-9.3
ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ฟังซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
ม
6. เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
7. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 9
สธ
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-3
สื่อการสอน
1. เอกสารการสอน
2. แบบฝึกปฏิบัติ
3. ซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
4. รายการสอนทางวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
ธ
5. การสอนเสริม (ถ้ามี)
มส
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบไล่ประจ�ำภาคการศึกษา
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 9 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ธ
มส
ม
สธ
ม
9-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 9.1
ตัวแทนค้าต่าง
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 9.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
9.1.1 ความหมายและลักษณะของตัวแทนค้าต่าง
9.1.2 สิทธิ หน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่าง
9.1.3 ความระงับสิ้นไปของสัญญาตัวแทนค้าต่าง
1. ต ัวแทนค้าต่างเป็นผู้ซึ่งมีอาชีพในทางค้าขายซึ่งท�ำการซื้อหรือขายทรัพย์สินหรือรับจัด
ท�ำกิจการค้าขายอย่างอื่น โดยท�ำการในนามของตนเองต่างหากจากตัวการ
2. ตัวแทนค้าต่างไม่อาจแสวงหาประโยชน์ในการซื้อหรือขายทรัพย์สินหรือท�ำกิจการการ
ค้าขายอย่างอื่นให้แก่ตัวการ เว้นแต่ในเรื่องบ�ำเหน็จที่ตัวแทนค้าต่างจะได้รับ
ธ
3. ตัวแทนค้าต่างเป็นตัวแทนประเภทหนึ่ง ไม่ได้มีบทบัญญัติเรื่องความระงับสิ้นไปไว้โดย
เฉพาะจึงต้องเป็นไปตามเรื่องความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน
มส
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 9.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาความหมายและลักษณะของตัวแทนค้าต่างได้
2. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาสิทธิ หน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างได้
3. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาความระงับสิ้นไปของสัญญาตัวแทนค้าต่างได้
ม
สธ
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-5
เรื่องที่ 9.1.1
ความหมายและลักษณะของตัวแทนค้าต่าง
ธ
ตัวแทนค้าต่างเป็นตัวแทนอีกประเภทหนึง่ ซึง่ มีบทบัญญัตเิ ป็นการเฉพาะในประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 833-มาตรา 844 อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติทั้งหลายในเรื่องตัวแทนตามที่ได้บัญญัติ
มส
ไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น ย่อมน�ำมาใช้กับตัวแทนค้าต่างได้เท่าที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติที่
เป็นการเฉพาะดังกล่าวซึ่งจะได้อธิบายต่อไป อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างย่อมเกิดขึ้นได้โดยมีคู่สัญญา 2 ฝ่าย คือ
ตัวการฝ่ายหนึ่งและตัวแทนค้าต่างอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
ก็ได้ ส�ำหรับเรื่องความสามารถในการท�ำนิติกรรมของตัวแทนค้าต่างนั้น กฎหมายได้บัญญัติไว้เป็นการ
เฉพาะในมาตรา 836 แล้วว่าบุคคลผูไ้ ร้ความสามารถจะท�ำการเป็นตัวแทนค้าต่างไม่ได้ เว้นแต่จะได้รบั มอบ
อ�ำนาจให้กระท�ำได้ ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป
ความหมายของตัวแทนค้าต่าง
มาตรา 833 บัญญัติว่า “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมท�ำการซื้อ
ธ
หรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดท�ำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”
จากบทบัญญัติดังกล่าวได้ให้ความหมายตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อม
ท�ำการซื้อหรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดท�ำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ เห็นได้ว่า
มส
ตัวแทนค้าต่างเป็นบุคคลซึ่งมีอาชีพค้าขายโดยด�ำเนินกิจการในนามของตนเอง
อาจแยกพิจารณาลักษณะของตัวแทนค้าต่างได้เป็นข้อๆ ดังนี้
1. บุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมท�ำการซื้อหรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดท�ำกิจการค้าขาย
อย่างอื่น ตัวแทนค้าต่างจึงเป็นบุคคลซึ่งจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มีอาชีพค้าขาย ได้แก่ทำ� การ
ซือ้ เช่น บริษทั จ�ำกัดรับซือ้ มันส�ำปะหลังจากชาวไร่ ท�ำการขาย เช่น ร้านขายหนังสือแบบเรียนและนิตยสาร
ม
ต่างๆ หรือรับจัดท�ำกิจการค้าขายอย่างอื่น เช่น ท�ำกิจการรับแลกเปลี่ยนรถยนต์มือสอง ท�ำกิจการให้กู้ยืม
เงิน รับจ�ำน�ำ รับจ�ำนอง หรือท�ำกิจการขนส่งสินค้า เป็นต้น
นักกฎหมายให้ความเห็นเกีย่ วกับ “รับจัดท�ำกิจการค้าขายอย่างอืน่ ” ว่ามีความหมายกว้าง หมายถึง
กิจการใดๆ ที่ท�ำเพื่อค้าก�ำไรอันบุคคลนั้นท�ำเป็นปกติธุระ เช่น การประกอบการพาณิชย์ อุตสาหกรรม
เกษตรกรรม การให้บริการต่างๆ1
อุทาหรณ์
ฎ. 5775/2539 โจทก์ท�ำสัญญาซื้อขายสินค้ากับผู้ขายเพื่อน�ำสินค้ามาวางขายให้ห้างสรรพสินค้า
สธ
ของโจทก์โดยมีขอ้ ตกลงกันว่าในขณะทีม่ บี คุ คลทีส่ ามมาขอซือ้ สินค้าให้ถอื ว่าสินค้านัน้ ได้มกี ารซือ้ ขายเสร็จ
1 ประสิทธิ์ โฆวิไลกูล คำ�อธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยตัวแทนค้าต่างและนายหน้า กรุงเทพมหานคร
บริษัทสำ�นักพิมพ์วิญญูชนจำ�กัด พ.ศ. 2538 น. 13.
ม
9-6 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ความเสียหายหรือสูญหายของสินค้านั้นอยู่อีก ทั้งเมื่อผู้ขายจะส่งสินค้ามาวางขายผู้ขายยังต้องด�ำเนินการ
ติดตัง้ ของใช้ถาวรเฟอร์นเิ จอร์และอืน่ ๆ อันเกีย่ วกับการน�ำสินค้ามาวางขายด้วยค่าใช้จา่ ยของผูข้ ายเองโดย
มส
ความเห็นชอบจากโจทก์ก่อน โจทก์ไม่มีเจตนาอันแท้จริงที่จะซื้อสินค้าจากผู้ขายมาขายเองไม่ว่าโจทก์จะ
จัดพนักงานขายสินค้านั้นเองหรือต้องให้ผู้ขายส่งพนักงานของผู้ขายมาด�ำเนินการขายสินค้านั้นด้วยก็เป็น
เพียงข้อตกลงที่จะให้มีการขายสินค้านั้นเท่านั้น โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้านั้น โจทก์จึงเป็นผู้รับจัด
ธุรกิจการขายให้ผู้ขายเข้าอยู่ในประเภทการค้าที่ 10 นายหน้าและตัวแทนตามบัญชีอัตราภาษีการค้าแห่ง
ป.รัษฎากร เป็นตัวแทนค้าต่าง
การท�ำกิจการดังกล่าวต้องท�ำเป็นปกติธรุ ะ กล่าวคือมิได้ท�ำเป็นครัง้ เป็นคราว หากแต่ทำ� ติดต่อกัน
เป็นประจ�ำเป็นอาชีพโดยหวังผลประโยชน์ตอบแทนจากกิจการทีต่ นท�ำนัน้ ปกติอาจคิดเป็นร้อยละของราคา
ทรัพย์สินที่ตัวแทนค้าต่างจัดการซื้อหรือขายให้ได้นั้น2
ตัวอย่าง 1 นายจักรินทร์ประกอบกิจการขายพันธุไ์ ม้ลอ้ ม โดยรับซือ้ มาจากจังหวัดต่างๆ แล้วขาย
ธ
ไป ตลอดจนรับเป็นตัวแทนขายไม้ล้อมขนาดใหญ่ที่มีผู้น�ำมาฝากขาย และรับเป็นตัวแทนจัดหาซื้อไม้ล้อม
ให้แก่ผมู้ าติดต่อให้จดั ซือ้ ให้ โดยการขายหรือซือ้ เพือ่ ผูน้ ำ� มาฝากขายหรือผูม้ าติดต่อให้จดั ซือ้ นัน้ นายจักรินทร์
จะคิดค่าบ�ำเหน็จเป็นร้อยละของราคาทรัพย์สินที่ตัวแทนค้าต่างจัดการซื้อหรือขายให้ได้นั้น เช่นนี้ นาย
มส
จักรินทร์ย่อมเป็นตัวแทนค้าต่างของผู้น�ำมาฝากขายหรือผู้มาติดต่อให้จัดซื้อนั้น
ตัวอย่าง 2 บริษัทแสงทองจ�ำกัดให้บริษัทรุ่งอรุณจ�ำกัดขายปูนซีเมนต์ของจ�ำเลยตลอดจนเก็บเงิน
ทีข่ ายได้และช�ำระเงินนัน้ ให้ตน เช่นนี้ บริษทั รุง่ อรุณจ�ำกัดย่อมเป็นตัวแทนค้าต่างของบริษทั แสงทองจ�ำกัด
ตัวอย่าง 3 นายแกะประกอบกิจการขายก๋วยเตี๋ยว ที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวของนายแกะรับขนมต่างๆ
ที่นางอนงค์น�ำมาฝากขาย โดยการขายขนมนั้นนายแกะจะขายให้แก่ลูกค้าเอง แล้วคิดค่าบ�ำเหน็จเป็น
ร้อยละของเงินที่ขายได้นั้นจากนางอนงค์ เช่นนี้ นายแกะย่อมเป็นตัวแทนค้าต่างของนางอนงค์
ม
2. จัดท�ำกิจการในนามของตนเองต่างตัวการ ตัวแทนค้าต่างเป็นผูท้ ำ� กิจการนัน้ ในนามของตนเอง
ซึ่งบุคคลภายนอกอาจทราบหรือไม่ทราบว่าใครเป็นตัวการก็ได้ ซึ่งท�ำให้มีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่อ
บุคคลภายนอกโดยตรง แตกต่างจากตัวแทนโดยปกติทตี่ วั การต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกเมือ่ ตัวแทนได้
ท�ำการไปภายในขอบอ�ำนาจแห่งฐานตัวแทนแล้ว ทีต่ วั แทนค้าต่างต้องท�ำในนามของตนเองนัน้ นักกฎหมาย
ให้ความเห็นไว้ว่าสืบเนื่องมาจากทางปฏิบัติของพ่อค้าที่รับสินค้าจากตัวการไว้ขาย เขาขายอย่างพ่อค้า
ประหนึ่งว่าเขาเป็นเจ้าของสินค้านั้น3
สธ
2 กมล สนธิเกษตริน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยตัวแทนค้าต่างและนายหน้า กรุงเทพมหานคร นานา
สิ่งพิมพ์ พ.ศ. 2538 น. 118.
3 สถิตย์ เล็งไธสง คำ�อธิบายกฎหมายตัวแทนและนายหน้า กรุงเทพมหานคร บริษัทสำ�นักพิมพ์วิญญูชน จำ�กัด 2539
น. 246.
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-7
ธ
2,000,000 บาท หรือหากตํ่ากว่าราคานี้ก็ต่อเมื่อผู้รับจ้าง ว. ได้รับความยินยอมจากผู้ว่าจ้าง จ. ให้ขายได้
ดังนี้ ย่อมมีความหมายว่า ถ้ามีผู้ซื้อเสนอขอซื้อในราคาที่ก�ำหนดไว้นี้แล้ว ว. มีอ�ำนาจเป็นตัวแทนของ จ.
มส
ท�ำสัญญาจะซือ้ ขายกับผูข้ อซือ้ ได้เลยและสัญญานัน้ มีผลผูกพัน จ. และเมือ่ ว. ท�ำสัญญาจะซือ้ ขายกับผูข้ อ
ซื้อไว้ในนามของ ว. แต่เวลาจะโอนกรรมสิทธิ์ จ. ซึ่งเป็นเจ้าของต้องจัดการโอนให้ ไม่ใช่ว่า ว. จะท�ำการ
โอนขายไปเป็นผลส�ำเร็จได้เอง ดังนี้ แม้ ว. จะเป็นผู้มีอาชีพประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าขายทอดตลาดก็
ไม่ท�ำให้สัญญาระหว่าง จ. กับ ว. เป็นเรื่องตัวแทนค้าต่าง
หมายเหตุ คดีนี้ เวลาจะโอนกรรมสิทธิ์ จ. ซึ่งเป็นเจ้าของต้องจัดการโอนให้ ไม่ใช่ว่า ว. จะท�ำการ
โอนขายไปเป็นผลส�ำเร็จได้เอง ว. จึงไม่ใช่ตัวแทนค้าต่างของ จ. เป็นเพียงตัวแทนโดยปกติ
ฎ. 2605/2520 โจทก์แต่งตั้งให้จ�ำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจ�ำหน่ายปูนซีเมนต์ในเขตท้องที่อ�ำเภอ
บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยจ�ำเลยจะต้องซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์ตามราคาที่กำ� หนดไว้ และช�ำระราคาให้
ภายใน 60 วัน จ�ำเลยที่ 1 จะน�ำสินค้าไปขายได้หรือไม่ ก�ำไรหรือขาดทุนเป็นเรื่องของจ�ำเลยที่ 1 โจทก์ไม่
ธ
เกี่ยวข้อง ดังนี้จ�ำเลยที่ 1 หาใช่ตัวแทนค้าต่างของโจทก์ไม่
หมายเหตุ คดีนี้ จ�ำเลยที่ 1 ไม่ใช่ตัวแทนค้าต่างของโจทก์ แต่เป็นเรื่องซื้อขายปูนซีเมนต์ระหว่าง
มส
โจทก์กับจ�ำเลยที่ 1
ฎ. 2047/2523 การประกอบกิจการค้าของจ�ำเลยคือการส่งสินค้าไปจ�ำหน่ายยังต่างประเทศโดย
จ�ำเลยรับสินค้ายางของโจทก์ไปจ�ำหน่ายในนามของจ�ำเลย จ�ำเลยได้ค่าตอบแทนจากโจทก์เป็นบ�ำเหน็จ
ร้อยละ 10 เมื่อจ�ำเลยรับเงินจากลูกค้าในต่างประเทศส่งมาตามเลตเตอร์ออฟเครดิต มีการหักค่าบ�ำเหน็จ
ร้อยละ 10 ที่จำ� เลยมีสิทธิได้จากการขายก่อนกับหักค่าที่จำ� เลยทดรองจ่ายเป็นค่าระวางเรือ ค่าประกันภัย
และอื่นๆ ออกจากเงินที่ลูกค้าส่งมาแล้วด้วย เหลือเท่าใดเป็นเงินที่จ�ำเลยต้องช�ำระให้โจทก์ ดังนี้ จ�ำเลยจึง
เป็นตัวแทนค้าต่างของโจทก์ กรณีมิใช่จ�ำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ ม
ฎ. 6594/2537 ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยระบุชื่อสัญญาว่า “สัญญาตัวแทนจ�ำหน่ายปุ๋ย”
เรียกโจทก์ว่าตัวการเรียกจ�ำเลยว่าตัวแทนข้อความในสัญญาข้อหนึ่งใจความว่า “ตัวแทนสัญญาว่าจะ
จ�ำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองในราคาและเงื่อนไข” ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยจึง
เป็นสัญญาตัวแทนค้าต่าง ตาม ปพพ. มาตรา 833
ฎ. 1947/2545 จ�ำเลยทั้งสองตั้งให้โจทก์เป็นผู้แทนจ�ำหน่ายสินค้าของบริษัทจ�ำเลยที่ 2 โดยโจทก์
เป็นผูต้ ดิ ต่อหาลูกค้า เมือ่ ลูกค้าสัง่ ซือ้ สินค้า โจทก์จะส่งค�ำสัง่ ซือ้ ของลูกค้ามายังจ�ำเลยทัง้ สอง จ�ำเลยทัง้ สอง
สธ
ก็จะแจ้งกลับไปยังโจทก์ว่าจะส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าได้เมื่อใด โจทก์จึงแจ้งให้ลูกค้าเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต
เพื่อช�ำระราคาสินค้าให้แก่จ�ำเลยทั้งสอง เมื่อจ�ำเลยทั้งสองจัดส่งสินค้าแล้วก็จะเรียกเก็บเงินตามเลตเตอร์
ออฟเครดิตทีล่ กู ค้าเปิดไว้เห็นได้วา่ ลูกค้ามิได้สงั่ ซือ้ และรับสินค้ากับช�ำระราคาสินค้าแก่โจทก์โดยตรง ราคา
ม
9-8 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
สินค้าที่โจทก์ขายให้แก่ลูกค้าก็คือราคาที่จ�ำเลยทั้งสองขายให้แก่ลูกค้า โดยจ�ำเลยทั้งสองจ่ายค่าตอบแทน
ให้โจทก์ ร้อยละ 3 ถึงร้อยละ 7 ของจ�ำนวนสินค้าทีล่ กู ค้าสัง่ ซือ้ โจทก์มไิ ด้ขายสินค้าของจ�ำเลยที่ 2 ในนาม
ของตนเองจึงไม่ใช่ตัวแทนค้าต่างของจ�ำเลยทั้งสอง แต่การที่จ�ำเลยทั้งสองตั้งให้โจทก์เป็นผู้แทนขายสินค้า
ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและฮ่องกงและโจทก์ตกลงท�ำการดังกล่าว ย่อมเข้าลักษณะของสัญญา
ตัวแทน ตาม ปพพ. มาตรา 797 ความผูกพันระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยทั้งสองในกรณีที่ไม่มีข้อตกลงกันไว้
ธ
เป็นอย่างอื่นจึงตกอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยตัวแทน
หมายเหตุ คดีนี้ ลูกค้ามิได้สั่งซื้อและรับสินค้ากับช�ำระราคาสินค้าแก่โจทก์โดยตรง โจทก์มิได้ขาย
มส
สินค้าของจ�ำเลยที่ 2 ในนามของตนเองจึงไม่ใช่ตัวแทนค้าต่างของจ�ำเลยทั้งสอง เป็นเพียงตัวแทนโดยปกติ
ลักษณะส�ำคัญของตัวแทนค้าต่าง
ตัวแทนค้าต่างแม้เป็นตัวแทนประเภทหนึง่ ซึง่ มีบทบัญญัตขิ องกฎหมายบัญญัตไิ ว้โดยเฉพาะดังได้
กล่าวมาแล้ว ดังนัน้ ตัวแทนค้าต่างจึงมีความแตกต่างจากตัวแทนโดยปกติ ซึง่ แยกพิจารณาสาระส�ำคัญของ
ตัวแทนค้าต่างออกเป็นข้อๆ ดังนี้
1. น�ำบทบัญญัตเิ รือ่ งตัวแทนมาใช้บงั คับ ดังได้กล่าวมาแล้วว่าตัวแทนค้าต่างเป็นตัวแทนประเภท
หนึ่ง แม้จะมีบทบัญญัติเป็นการเฉพาะในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 833-มาตรา 844 ไว้
แล้ว อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติทั้งหลายในเรื่องตัวแทนตามที่ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและ
ธ
พาณิชย์ นั้น ย่อมน�ำมาใช้กับตัวแทนค้าต่างได้เท่าที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติที่เป็นการเฉพาะดังกล่าว
มาตรา 835 บัญญัติว่า “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้นท่าน
มส
ให้ใช้บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”
ดังนั้น การพิจารณาว่าจะน�ำบทบัญญัติว่าด้วยตัวแทนดังกล่าวมาใช้บังคับนั้น ต้องไม่ใช่เรื่องที่
บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วในมาตรา 833-มาตรา 834 อาทิ เรื่องบ�ำเหน็จตัวแทน ตัวแทนผู้ไร้ความ
สามารถ การได้สิทธิและความผูกพันต่อคู่สัญญา ตัวแทนฐานประกัน การแถลงรายงานแก่ตัวการ เป็นต้น
ตัวอย่าง เรื่องที่น�ำบทบัญญัติว่าด้วยตัวแทนดังกล่าวมาใช้บังคับ เช่น ตัวแทนท�ำความเสียหาย
เกิดขึ้นแก่ตัวการเพราะความประมาทเลินเล่อ ไม่ท�ำการเป็นตัวแทน หรือท�ำการโดยปราศจากอ�ำนาจหรือ
ม
นอกเหนืออ�ำนาจตัวแทนจะต้องรับผิดต่อตัวการตามมาตรา 812 หรือการออกเงินทดรองของตัวแทนไป
ก่อนเพราะเหตุจำ� เป็น ตัวแทนย่อมเรียกเอาคืนจากตัวการพร้อมดอกเบีย้ ได้ตามมาตรา 816 วรรคหนึง่ หรือ
ตัวแทนไม่มีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จตามมาตรา 818 สัญญาตัวแทนระงับเมื่อตัวการหรือตัวแทนตาย ล้มละลาย
หรือตัวการถอนตัวแทน หรือตัวแทนบอกเลิกการเป็นตัวแทนตามมาตรา 826 เป็นต้น
ส�ำหรับเรือ่ งทีบ่ ญ
ั ญัตไิ ว้เป็นการเฉพาะแล้วของตัวแทนค้าต่างซึง่ ไม่อาจน�ำบทบัญญัตวิ า่ ด้วยตัวแทน
ดังกล่าวมาใช้บังคับนั้น ซึ่งนักศึกษาจะได้ศึกษาต่อไปในหน่วยนี้
มีปัญหาน่าคิดว่าบทบัญญัติมาตรา 798 เรื่องการตั้งตัวแทน จะน�ำมาใช้บังคับกับตัวแทนค้าต่าง
สธ
ด้วยหรือไม่ เนือ่ งจากบทบัญญัตเิ รือ่ งตัวแทนค้าต่างมิได้บญั ญัตไิ ว้ ในประเด็นนีผ้ เู้ ขียนมีความเห็นว่าตัวแทน
ค้าต่างเป็นผู้ซึ่งต้องท�ำสัญญาผูกพันกับบุคคลภายนอกโดยตรงและต้องท�ำในนามของตนเองต่างตัวการ
ดังที่มาตรา 833 บัญญัติไว้ มีผลให้ตัวแทนค้าต่างได้สิทธิหรือมีหน้าที่และความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-9
ธ
เช่นนี้แล้ว เห็นว่าการตั้งตัวแทนค้าต่างสามารถตกลงกันด้วยวาจาได้ ไม่มีแบบที่กฎหมายก�ำหนดไว้แต่
อย่างใด ฉะนั้น แม้การตั้งตัวแทนค้าต่างจะมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 798 ดังกล่าว ก็ไม่ท�ำให้ความผูกพัน
มส
ระหว่างตัวแทนค้าต่างกับตัวการ หรือระหว่างตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกกลายเป็นไม่ผูกพันกันไม่
2. ผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทนค้าต่างไม่ได้
มาตรา 836 บัญญัติว่า “บุคคลผู้ไร้ความสามารถหาอาจจะท�ำการเป็นตัวแทนค้าต่างได้ไม่ เว้นแต่
จะได้รับอ�ำนาจโดยชอบให้ท�ำได้”
โดยที่ตัวแทนค้าต่างซึ่งเป็นผู้มีอาชีพทางค้าขายต้องท�ำกิจการโดยตนเองต่อบุคคลภายนอก
กฎหมายจึงบัญญัติห้ามมิให้ผู้ไร้ความสามารถ ได้แก่ ผู้เยาว์ คนวิกลจริต คนเสมือนไร้ความสามารถ และ
คนไร้ความสามารถ เป็นตัวแทนค้าต่าง เพราะอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับความสามารถบกพร่องในการท�ำ
นิติกรรมได้และเพื่อความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่ตัวแทนค้าต่างได้ท�ำไปกับบุคคลภายนอกนั้น ในเรื่องนี้จะ
มีความแตกต่างจากตัวแทนโดยปกติซึ่งผู้ไร้ความสามารถนั้นเป็นตัวแทนได้และเมื่อได้ท�ำการไปแล้วย่อม
ธ
ผูกพันตัวการดังที่ได้กล่าวมาแล้วในหน่วยที่ 8
อนึง่ มีขอ้ ยกเว้นว่า ผูไ้ ร้ความสามารถอาจเป็นตัวแทนค้าต่างได้ ถ้าได้รบั อ�ำนาจโดยชอบให้ทำ� ได้
มส
ธ
อยูใ่ นอ�ำนาจของเจ้าพนักงานพิทกั ษ์ทรัพย์ ถ้าเจ้าพนักงานพิทกั ษ์ทรัพย์เห็นชอบให้นายวิกรมเปิดร้านขาย
หนังสือต่อไปได้ เช่นนี้ นายวิกรมย่อมท�ำการเป็นตัวแทนค้าต่างให้แก่นายสมบัติซึ่งน�ำหนังสือมาฝากขาย
มส
ที่ร้านของนายวิกรมได้
มีปัญหาว่า ถ้าบุคคลผู้ไร้ความสามารถท�ำการเป็นตัวแทนค้าต่างโดยไม่ได้รับอ�ำนาจโดยชอบ
เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ ผลจะเป็นอย่างไร ซึ่งมาตรา 836 มิได้บัญญัติไว้ ประเด็นปัญหานี้มี
นักกฎหมายให้ความเห็นไว้วา่ ผลแห่งการฝ่าฝืนมาตรา 836 นีก้ ค็ งจะต้องวินจิ ฉัยตามหลักกฎหมายว่าด้วย
ความสามารถของบุคคล กล่าวคือสัญญาตัวแทนค้าต่างเป็นโมฆียะ และนิติกรรมที่ตัวแทนค้าต่างท�ำกับ
บุคคลภายนอกก็เป็นโมฆียะด้วย7 ส�ำหรับผู้เขียนมีความเห็นต่างไปว่า สัญญาตัวแทนค้าต่างระหว่างผู้ไร้
ความสามารถกับตัวการนั้นตกเป็นโมฆะ เพราะมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตาม
ปพพ. มาตรา 150 เนื่องจากบทบัญญัติมาตรา 836 นี้เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับบุคคลซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่าง
อันเป็นกฎหมายเกีย่ วกับความสงบเรียบร้อยเนือ่ งจากเป็นเรือ่ งทีเ่ กีย่ วกับระบบการค้าขายของประเทศโดย
ธ
ส่วนรวม หาใช่เป็นบทบัญญัติว่าด้วยความสามารถของบุคคล ตาม ปพพ. มาตรา 153 ไม่ ดังนั้น สัญญา
ทีต่ วั การท�ำกับผูไ้ ร้ความสามารถโดยมีวตั ถุประสงค์ให้ผไู้ ร้ความสามารถเป็นตัวแทนค้าต่างย่อมตกเป็นโมฆะ
มส
ส่วนสัญญาที่ผู้ไร้ความสามารถในฐานะตัวแทนค้าต่างไปท�ำกับบุคคลภายนอกจึงไม่มีผลผูกพันกันแต่
ประการใด เพราะผูไ้ ร้ความสามารถนัน้ หาใช่ตวั แทนค้าต่าง ย่อมไม่มอี ำ� นาจท�ำสัญญาผูกพันบุคคลภายนอก
เพื่อการดังกล่าว
3. ผลระหว่างตัวการกับตัวแทนค้าต่าง
มาตรา 844 บัญญัติว่า “ในระหว่างตัวการกับตัวแทนค้าต่าง ท่านให้ถือว่ากิจการอันตัวแทนได้
ท�ำให้ตกลงไปนั้น ย่อมมีผลเสมือนดั่งว่าได้ท�ำให้ตกลงไปในนามของตัวการโดยตรง”
ม
โดยที่ตัวแทนค้าต่างท�ำกิจการในนามของตนเองต่างตัวการ กฎหมายจึงให้ถือว่ากิจการที่ตัวแทน
ค้าต่างได้ทำ� ไปนั้นมีผลเสมือนว่าได้ทำ� ไปในนามของตัวการโดยตรง มีผลว่าตัวแทนค้าต่างต้องเข้าผูกพัน
กับบุคคลภายนอก ตัวแทนค้าต่างจึงมีสิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญากับตน
ต่อศาลได้ และบุคคลภายนอกก็มีสิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องตัวแทนค้าต่างได้เช่นเดียวกัน และตัวการไม่
อาจปฏิเสธบุคคลภายนอกในผลทีเ่ กิดจากการกระท�ำของตัวแทนค้าต่างนัน้ ซึง่ ในเรือ่ งนีม้ คี วามแตกต่างกับ
กรณีตัวแทนโดยปกติที่เมื่อตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ
ตัวแทนช่วงได้ทำ� ไปภายในขอบอ�ำนาจแห่งฐานตัวแทน ตาม ปพพ. มาตรา 820
สธ
ธ
ตกลงกันไว้
มส
ความแตกต่างที่ส�ำคัญระหว่างตัวแทนค้าต่างกับตัวแทนโดยปกติ
1. ผลการเข้าท�ำกิจการของตัวแทน ตัวแทนค้าต่างเข้าท�ำกิจการในนามของตนเองต่างจากตัวการ
ตาม ปพพ. มาตรา 833 ย่อมมีผลว่าตัวแทนค้าต่างได้ทำ� การนัน้ ในนามตัวการโดยตรง ตาม ปพพ. มาตรา
844 ตัวแทนค้าต่างต้องเข้าผูกพันกับบุคคลภายนอกโดยตรง ตัวแทนค้าต่างมีสิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้อง
บุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญากับตนต่อศาลได้ และบุคคลภายนอกก็มีสิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องตัวแทน
ค้าต่างได้เช่นเดียวกัน และตัวการไม่อาจปฏิเสธบุคคลภายนอกในผลที่เกิดจากการกระท�ำของตัวแทนค้า
ต่างนั้น ส่วนตัวแทนโดยปกตินั้นเมื่อเข้าท�ำกิจการไปภายในขอบอ�ำนาจแห่งฐานตัวแทนแล้ว ตัวการย่อม
ต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทัง้ หลายอันตัวแทนได้ทำ� ไปนัน้ ตาม ปพพ. มาตรา 820 ส่วนตัวแทน
ย่อมหลุดพ้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกไป
ธ
2. บ�ำเหน็จตัวแทน ตัวแทนค้าต่างมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จตามอัตราธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขาย
อันตนได้จัดการให้ตกลงไปนั้นทุกรายไป เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ตาม ปพพ. มาตรา 834
มส
ส่วนตัวแทนโดยปกตินั้นไม่มีสิทธิจะได้รับบ�ำเหน็จตัวแทน เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามี
บ�ำเหน็จ หรือทางการที่คู่สัญญาประพฤติต่อกันนั้นเป็นปริยายว่ามีบ�ำเหน็จ หรือเคยเป็นธรรมเนียมมี
บ�ำเหน็จ ตาม ปพพ. มาตรา 803
3. บุคคลผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทน บุคคลผู้ไร้ความสามารถไม่อาจเป็นตัวแทนค้าต่างได้
เนือ่ งจากกฎหมายห้ามไว้ เว้นแต่จะได้รบั อ�ำนาจโดยชอบให้ทำ� การเป็นตัวแทนค้าต่างได้ ตาม ปพพ. มาตรา
836 ส่วนตัวแทนโดยปกตินนั้ บุคคลผูไ้ ร้ความสามารถย่อมอาจเป็นตัวแทนโดยปกติได้ ตาม ปพพ. มาตรา
ม
799 ซึ่งตัวการที่ใช้บุคคลผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทนย่อมต้องผูกพันในการที่บุคคลผู้ไร้ความสามารถได้
ท�ำไปนั้น
4. การได้มาซึ่งสิทธิต่อบุคคลภายนอก ตัวแทนค้าต่างอาจได้มาซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่าย
หนึ่งในกิจการในการที่ตัวแทนค้าต่างท�ำการขายหรือซื้อหรือจัดท�ำกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการ โดย
เป็นผูต้ อ้ งผูกพันต่อคูส่ ญ
ั ญาฝ่ายนัน้ ด้วย ตาม ปพพ. มาตรา 837 ส่วนตัวแทนนัน้ เมือ่ ได้มาซึง่ สิทธิทงั้ หลาย
ทีข่ วนขวายได้มาในนามของตนเองโดยฐานทีท่ ำ� การแทนตัวการนัน้ ตัวแทนก็ตอ้ งโอนให้แก่ตวั การทัง้ หมด
ตาม ปพพ. มาตรา 810 วรรคสอง
สธ
5. การแถลงรายงานให้ตวั การทราบ ตัวแทนค้าต่างเมือ่ ได้ทำ� การอย่างไรไปแล้วต้องแถลงรายงาน
แก่ตัวการและเมื่อได้ท�ำการค้าต่างเสร็จลงแล้ว ก็ต้องแจ้งแก่ตัวการทราบโดยไม่ชักช้าด้วย ตาม ปพพ.
มาตรา 841 ส่วนตัวแทนนั้นเมื่อตัวการมีประสงค์จะทราบความเป็นไปของการที่ได้มอบหมายแก่ตัวแทน
ม
9-12 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
กิจกรรม 9.1.1
1. นางลินดามีอาชีพขายรถจักรยานมือสองเปิดร้านขายและรับฝากขายรถจักรยานมือสองให้แก่
มส
บุคคลอื่นด้วย นายเดชาน�ำรถจักรยานมือสองมาฝากนางลินดาขายที่ร้านขายของนางลินดาโดยตกลงกัน
ว่าถ้านางลินดาขายได้ในราคาไม่ตาํ่ กว่า 3,000 บาท นางลินดาจะได้รบั บ�ำเหน็จร้อยละ 10 ของราคาทีข่ าย
ได้ เช่นนี้ ข้อตกลงระหว่างนางลินดากับนายเดชาเป็นสัญญาใด
2. นายหลินแต่งตั้งให้นางฤทัยเป็นตัวแทนจ�ำหน่ายปูนซีเมนต์ในเขตท้องที่อ�ำเภอปากเกร็ด
จังหวัดนนทบุรี โดยนางฤทัยจะต้องซื้อปูนซีเมนต์จากนายหลินตามราคาที่ก�ำหนดไว้ และช�ำระราคาให้
ภายใน 60 วัน นางฤทัยขายปูนซีเมนต์ได้ ก�ำไรหรือขาดทุนเป็นสิทธิของนางฤทัยเอง เช่นนี้ นางฤทัยเป็น
ตัวแทนค้าต่างของนายหลินหรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวตอบกิจกรรม 9.1.1
ธ
1. นางลินดามีอาชีพขายรถจักรยานมือสองเปิดร้านขายและรับฝากขายรถจักรยานมือสองให้แก่
บุคคลอื่นด้วย นายเดชาน�ำรถจักรยานมือสองมาฝากนางลินดาขายที่ร้านขายของนางลินดาโดยตกลงกัน
มส
เรื่องที่ 9.1.2
สิทธิ หน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่าง
ธ
ตัวแทนค้าต่างย่อมต้องมีความผูกพันต่อตัวการตามสัญญาตัวแทนค้าต่างมีสิทธิ หน้าที่และความ
รับผิดต่อตัวการและบุคคลภายนอกดังจะได้กล่าวต่อไป
มส
สิทธิของตัวแทนค้าต่าง
1. สิทธิได้รับบ�ำเหน็จ
มาตรา 834 บัญญัติว่า “ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างชอบที่จะได้รับ
บ�ำเหน็จโดยอัตราตามธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขายอันตนได้จัดการให้ตกลงไปนั้นทุกรายไป”
โดยหลักแล้วตัวแทนค้าต่างเป็นผู้ซึ่งมีอาชีพในทางค้าขาย การตกลงรับเป็นตัวแทนค้าต่างก็ต้อง
หวังบ�ำเหน็จเป็นธรรมดาปกติ ดังนัน้ กฎหมายจึงบัญญัตใิ ห้ตวั แทนค้าต่างชอบทีจ่ ะได้รบั บ�ำเหน็จจากตัวการ
และบ�ำเหน็จที่จะได้นั้นให้คิดอัตราตามธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขายที่ตัวแทนค้าต่างได้ตกลงจัดการให้นั้น
ทุกราย เว้นแต่ระหว่างตัวแทนค้าต่างกับตัวการจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น เช่น ตกลงกันไว้ว่าไม่มี
ธ
บ�ำเหน็จ หรือตกลงกันไว้ว่าบ�ำเหน็จนั้นให้มีอัตราตามที่ก�ำหนดกันไว้ เป็นต้น
มีปัญหาว่า ถ้าการท�ำกิจการของตัวแทนค้าต่างไม่ส�ำเร็จ ตัวแทนค้าต่างจะมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จ
หรือไม่ เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติมาตรา 834 ที่ว่า “ตัวแทนค้าต่างชอบที่จะได้รับบ�ำเหน็จโดยอัตรา
มส
ตามธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขายอันตนได้จัดการให้ตกลงไปนั้นทุกรายไป” เห็นว่าถ้ากิจการของตัวการ
ที่ตัวแทนค้าต่างท�ำไม่ส�ำเร็จนั้น ตัวแทนค้าต่างย่อมไม่มีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จดังกล่าว
“อัตราตามธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขาย” ต้องพิจารณาจากกิจการที่ตัวการตกลงกันตัวแทนค้า
ต่างเป็นเรื่องๆ ไป และอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ปัจจุบัน
ดังนั้น พอสรุปเรื่องบ�ำเหน็จของตัวแทนค้าต่างได้ดังนี้
1. กรณีตกลงกันว่าไม่มีบ�ำเหน็จ ย่อมต้องเป็นไปตามนั้น ม
2. กรณีตกลงกันว่ามีบ�ำเหน็จและก�ำหนดอัตราบ�ำเหน็จกันไว้ ย่อมต้องเป็นไปตามนั้น
3. กรณีตกลงกันว่ามีบำ� เหน็จและไม่ได้กำ� หนดอัตราบ�ำเหน็จกันไว้ ย่อมต้องเป็นไปตามอัตราตาม
ธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขายนั้น
4. กรณีไม่ได้ตกลงกันว่ามีบำ� เหน็จหรือไม่ ย่อมต้องเป็นไป ตาม ปพพ. มาตรา 834 คือ มีบำ� เหน็จ
และเป็นไปตามอัตราตามธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขายนั้น
5. กรณีที่ตัวแทนค้าต่างเป็นตัวแทนฐานประกันด้วย ย่อมมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จพิเศษ ตาม ปพพ.
สธ
มาตรา 383 ดังจะได้กล่าวรายละเอียดต่อไป
ม
9-14 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ต่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และ
ตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย”
มส
โดยที่ตัวแทนค้าต่างเป็นผู้ซึ่งท�ำการซื้อหรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดท�ำกิจการค้าขายอย่างอื่นใน
นามของตนเองต่างตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 833 ดังนั้นในการที่ตัวแทนค้าต่างท�ำการขายหรือซื้อหรือ
จัดท�ำกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น ตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิที่มีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งใน
กิจการเช่นนัน้ เช่น มีสทิ ธิทจี่ ะเรียกร้องให้คสู่ ญ
ั ญาปฏิบตั กิ ารช�ำระหนีต้ ามสัญญาทีไ่ ด้ทำ� กันไว้ และตัวแทน
ค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย หมายความว่าตัวแทนค้าต่างมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ
การช�ำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าวเช่นกัน
ตัวอย่าง 1 นายมณีเปิดร้านขายพันธุ์ไม้ล้อม นายเอกน�ำต้นทองหลางลายที่ล้อมมาฝากนายมณี
ขาย ต่อมานายกนกตกลงซื้อต้นทองหลางลายดังกล่าวในราคา 20,000 บาท ช�ำระราคาให้นายมณีไว้แล้ว
15,000 บาท หลังจากที่นายมณีน�ำต้นทองหลางลายไปปลูกให้แก่นายกนกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายกนก
ธ
ผิดนัดไม่ช�ำระราคาส่วนที่ค้างนั้นจ�ำนวน 5,000 บาท เช่นนี้ นายมณีย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้นายกนก
ช�ำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนั้นด้วยได้
มส
การที่ตัวแทนค้าต่างได้รับค�ำสั่งให้ท�ำการขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถาน
แลกเปลีย่ นนัน้ ตัวแทนค้าต่างมีสทิ ธิทจี่ ะเข้าเป็นผูซ้ อื้ หรือผูข้ ายเสียเองได้ เช่น นายมนูญให้นายวิสฐิ ซึง่ เป็น
เจ้าของร้านขายทองค�ำเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองค�ำของตนให้ดว้ ย เช่นนี้ แม้ราคาทองค�ำจะมีการผันผวน
ไม่เท่ากันทุกวันก็ตาม นายวิสิฐย่อมมีสิทธิที่จะเข้าซื้อทองค�ำที่นายมนูญฝากขายนั้นเอาเสียเองได้ หาก
พอใจในราคาที่มีการประกาศ ณ เวลาซื้อขาย เนื่องจากกรณีดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าตัวการจะได้รับความ
ธ
เสียหาย แม้นายวิสิฐจะซื้อทองค�ำนั้นได้ในราคาที่ถูกที่สุดตามอัตราที่ประกาศมาก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มีขอ้ ยกเว้นทีต่ วั แทนค้าต่างจะเข้าเป็นผูซ้ อื้ หรือผูข้ ายเสียเองไม่ได้ ถ้าหากมีขอ้ ห้าม
มส
กันไว้ระหว่างตัวการกับตัวแทนค้าต่าง ไม่ว่าข้อห้ามนั้นจะตกลงกันด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือ
ข้อสังเกต กรณีดงั กล่าวนีแ้ ตกต่างจากตัวแทนโดยปกติ ซึง่ ปพพ. มาตรา 805 บัญญัตหิ า้ มตัวแทน
เข้าท�ำนิติกรรมอันใดในนามของตัวการท�ำกับตนเองในนามของตนเองหรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคล
ภายนอก ถ้าไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ เว้นแต่นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การช�ำระหนี้
ส�ำหรับราคาที่ตัวแทนค้าต่างจะต้องช�ำระให้แก่ตัวการนั้น ต้องคิด ณ เวลาที่ตัวแทนค้าต่างให้คำ�
บอกกล่าวแก่ตวั การถึงเจตนาทีจ่ ะเข้าเป็นผูซ้ อื้ หรือผูข้ ายทรัพย์สนิ นัน้ โดยมีกำ� หนดอัตราตามประกาศราคา
ของทรัพย์สินนั้น ณ สถานที่แลกเปลี่ยนนั้น ส่วนวิธีที่ตัวแทนค้าต่างจะเข้าเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเสียเองนั้น
ตัวแทนค้าต่างต้องให้คำ� กล่าวแก่ตวั การว่าจะเข้าเป็นผูซ้ อื้ หรือผูข้ ายเสียเองแล้วแต่กรณี กล่าวคือถ้าเป็นค�ำ
บอกกล่าวที่แสดงเจตนาต่อตัวการซึ่งอยู่เฉพาะหน้า ย่อมมีผลสมบูรณ์เมื่อตัวการได้ทราบถึงค�ำบอกกล่าว
ธ
ดังกล่าว หากตัวการไม่บอกปัดค�ำบอกกล่าวนั้น หรือถ้าเป็นค�ำบอกกล่าวที่แสดงเจตนาต่อตัวการซึ่งมิได้
อยู่เฉพาะหน้า ย่อมมีผลสมบูรณ์เมื่อค�ำบอกกล่าวดังกล่าวได้ไปถึงตัวการ หากตัวการไม่บอกปัดค�ำบอก
มส
กล่าวนั้น
อนึง่ แม้ตวั แทนค้าต่างจะได้เข้าท�ำการเป็นผูซ้ อื้ หรือผูข้ ายเสียเองกับตัวการนัน้ ไม่เป็นการตัดสิทธิ
ของตัวแทนค้าต่างที่ยังคงมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จจากตัวการ
ตัวอย่าง นายมนูญให้นายวิสฐิ ซึง่ เป็นเจ้าของร้านขายทองค�ำเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองค�ำของตน
มีนํ้าหนัก 20 บาท ให้ด้วยโดยตกลงให้บ�ำเหน็จแก่นายวิสิฐในอัตราร้อยละ 3 ของราคาที่ขายได้ แม้ราคา
ทองค�ำจะมีการผันผวนไม่เท่ากันทุกวันก็ตาม ต่อมาวันหนึง่ ราคาทองค�ำตกลงมาเป็นจ�ำนวนมาก นายวิสฐิ
ม
เห็นว่าถ้าซื้อไว้จะได้ก�ำไรเมือ่ ราคาขึน้ จึงโทรศัพท์ไปบอกนายมนูญว่าตนประสงค์จะซือ้ ทองค�ำนัน้ ทัง้ หมด
นายมนูญมิได้บอกปัดแต่อย่างใด เช่นนี้ นายวิสิฐต้องช�ำระราคาทองค�ำนั้นตามอัตราซื้อขายในขณะที่แจ้ง
ความประสงค์จะซื้อทองค�ำนั้นทางโทรศัพท์แก่นายมนูญ ทั้งนี้ นายวิสิฐยังคงมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จในอัตรา
ร้อยละ 3 ของราคาที่ตนต้องช�ำระแก่นายมนูญด้วย
หน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่าง
1. หน้าที่คิดประโยชน์ให้แก่ตัวการ
สธ
มาตรา 840 บัญญัตวิ า่ “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำ� การขายได้ราคาสูงกว่าทีต่ วั การก�ำหนด หรือท�ำการซือ้
ได้ราคาตํ่ากว่าที่ตัวการก�ำหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้
แก่ตัวการ”
ม
9-16 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ตัวอย่าง นายมงคลเปิดแผงพระอยู่หน้าวัดแห่งหนึ่ง นายโกศลได้นำ� พระเครื่องหลวงปู่ทวด
รุน่ นิยมรุน่ หนึง่ มาฝากนายมงคลขายโดยตกลงให้บำ� เหน็จเป็นเงินจ�ำนวน 5,000 บาท โดยนายโกศลก�ำหนด
มส
ราคาไว้วา่ ห้ามขายตํา่ กว่าราคา 50,000 บาท8 หลังจากนัน้ นายชัชวาลมาดูพระเครือ่ งหลวงปูท่ วดดังกล่าว
นายมงคลเห็นว่านายชัชวาลสนใจในพระเครือ่ งนัน้ มากจึงบอกเสนอขายให้นายชัชวาลในราคา 60,000 บาท
หลังจากต่อรองราคากันแล้วได้ราคายุติที่ 56,000 บาท เช่นนี้ นายมงคลต้องคิดเงินราคาในส่วนที่สูงไป
จ�ำนวน 6,000 บาทให้แก่นายโกศลด้วยและมีสทิ ธิได้รบั บ�ำเหน็จจากนายโกศลเป็นเงินจ�ำนวน 5,000 บาท
2) ท�ำการซือ้ ได้ราคาตํา่ กว่าทีต่ วั การก�ำหนด กล่าวคือซือ้ ทรัพย์สนิ ได้ถกู กว่าทีต่ วั การก�ำหนด
ตัวอย่าง นายมงคลเปิดแผงพระอยู่หน้าวัดแห่งหนึ่ง นายอ�ำนวยบอกกับนายมงคลว่าถ้ามี
ใครน�ำพระแก้วมรกตบูชาหน้าตัก 5 นิ้วขายให้นายมงคลรับซื้อไว้ด้วยโดยตกลงให้บำ� เหน็จเป็นเงินจ�ำนวน
3,000 บาท โดยนายอ�ำนวยก�ำหนดราคาไว้ว่าห้ามซื้อสูงกว่าราคา 30,000 บาทหลังจากนั้น นายเด่นชัย
น�ำพระแก้วมรกตบูชาดังกล่าวมาเสนอขายแก่นายมงคลในราคา 35,000 บาท นายมงคลเห็นว่านายเด่นชัย
ธ
มีความต้องการเงินด่วนมากจึงต่อรองราคากัน หลังจากต่อรองกันแล้วได้ราคายุตทิ ี่ 28,000 บาทถูกไปกว่า
ที่นายอ�ำนวยก�ำหนดราคาไว้ 2,000 บาท เช่นนี้ นายมงคลต้องคิดเงินราคาในส่วนที่ตํ่าไปจ�ำนวน 2,000
มส
การแถลงรายงานสิ่งที่ตัวแทนค้าต่างได้ท�ำการไปนั้น กฎหมายก�ำหนดให้ตัวแทนค้าต่างแถลง
รายงานแก่ตัวการว่าได้ท�ำการอย่างไรไปบ้าง เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ท�ำการค้าต่างส�ำเร็จแล้วต้องรีบแจ้งให้
ตัวการทราบโดยไม่ชกั ช้า คือทันทีทสี่ ามารถท�ำได้ เพือ่ ความเข้าใจในเรือ่ งนีส้ ามารถแยกประเด็นพิจารณา
ได้ดังนี้
1) เวลาทีต่ อ้ งแถลงรายงานหรือแจ้งให้ตวั การทราบ แบ่งออกได้เป็น 2 ช่วงคือ ช่วงแรกเป็น
ธ
เวลาระหว่างจัดท�ำการซื้อหรือขายทรัพย์สินหรือรับจัดท�ำกิจการค้าขายอย่างอื่น แล้วแต่กรณี และช่วงที่
สองเป็นเวลาที่ได้ท�ำการค้าต่างส�ำเร็จ
มส 2) เรื่องที่ต้องแถลงรายงาน คือในระหว่างเวลาจัดท�ำการซื้อหรือขายทรัพย์สินหรือรับจัดท�ำ
กิจการค้าขายอย่างอื่น แล้วแต่กรณี ต้องแถลงรายงานถึงความเป็นไปของการจัดท�ำการซื้อหรือขาย
ทรัพย์สินหรือรับจัดท�ำกิจการค้าขายอย่างอื่น แล้วแต่กรณีว่าได้ด�ำเนินการไปอย่างไรบ้าง ส่วนเวลาที่ได้
ท�ำการค้าต่างส�ำเร็จ ต้องแจ้งให้ตัวการทราบถึงความส�ำเร็จนั้น
3) วิธีการแจ้ง กฎหมายไม่ได้ก�ำหนดไว้ ดังนั้น จึงอาจแจ้งได้ด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้
4) ผลของการไม่แถลงรายงาน การทีต่ วั แทนค้าต่างไม่แถลงรายงานแก่ตวั การเมือ่ ได้ทำ� การ
ค้าต่างส�ำเร็จแล้ว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่ของตัวแทน หากมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ตัวการ ตัวแทน
ค้าต่างต้องรับผิดต่อตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 812 ประกอบมาตรา 835
อย่างไรก็ตาม ตัวการอาจตกลงกับตัวแทนค้าต่างให้แถลงรายงานสิง่ ทีต่ วั แทนค้าต่างได้ทำ� การไป
ธ
แตกต่างไปจากที่มาตรานี้ก�ำหนดไว้ก็ได้ เช่น ให้แถลงรายงานให้ตัวการทราบทุก 3 เดือน จนกว่าได้ท�ำ
การค้าต่างส�ำเร็จ เป็นต้น
มส
เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนัน้ 9 หรือถ้าตัวการมิได้อนุญาต
และตัวแทนค้าต่างเอาทรัพย์สนิ ซึง่ ฝากนัน้ ออกใช้สอยเอง หรือเอาไปให้บคุ คลภายนอกใช้สอย หรือให้บคุ คล
ภายนอกเก็บรักษา ตัวแทนค้าต่างจะต้องรับผิดเมือ่ ทรัพย์สนิ ซึง่ ฝากนัน้ สูญหายหรือบุบสลายอย่างหนึง่ อย่างใด
แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือ
บุบสลายอยูน่ นั่ เอง10 หรือในกรณีเมือ่ คืนทรัพย์ ถ้ามี ดอกผลเกิดแต่ทรัพย์สนิ ซึง่ ฝากนัน้ เท่าใด ตัวแทนค้าต่าง
ธ
ต้องส่งมอบพร้อมไปกับทรัพย์สนิ นัน้ ด้วย11 หรือในกรณีมคี า่ ใช้จา่ ยใดอันควรแก่การบ�ำรุงรักษาทรัพย์สนิ ซึง่
ฝากนั้น ตัวการจ�ำต้องชดใช้ให้แก่ตัวแทนค้าต่าง เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้โดยสัญญาว่าตัวแทนค้าต่างจะ
มส
ต้องออกเงินค่าใช้จ่ายนั้นเอง12
มีข้อสังเกตว่า ทรัพย์สินที่เขามอบหมายแก่ตัวแทนค้าต่างตามมาตรา 842 วรรคหนึ่ง มีนัก
กฎหมายเห็นว่านอกจากเป็นทรัพย์สินที่ตัวการมอบหมายแก่ตัวแทนค้าต่างแล้ว ยังรวมถึงทรัพย์สินที่
ตัวแทนค้าต่างรับไว้จากบุคคลภายนอกแทนตัวการด้วย เช่น ทรัพย์สนิ ทีต่ วั แทนค้าต่างซือ้ ไว้แทนตัวการ13
ในกรณีทมี่ คี วามจ�ำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ ซึง่ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป ตัวแทน
ค้าต่างอาจจัดการแก่ทรัพย์สินของตัวการดังกล่าว ตาม ปพพ. มาตรา 631 ว่าด้วยรับขน ในกรณีดังต่อไป
นี้คือ
1) ถ้าหลังจากที่ตัวแทนค้าต่างได้ท�ำสัญญากับบุคคลภายนอกแล้ว ปรากฏว่าหาตัวบุคคล
ภายนอกซึง่ เป็นคูส่ ญั ญาไม่พบ เช่น หายไปจากภูมลิ ำ� เนาโดยไม่มผี ใู้ ดทราบ หรือถ้าบุคคลภายนอกบอกปัด
ธ
ไม่ยอมรับมอบทรัพย์สินดังกล่าว ตัวแทนค้าต่างต้องบอกกล่าวไปยังตัวการทันที และถามเอาค�ำสั่งของ
ตัวการว่าจะให้ปฏิบตั อิ ย่างไร ถ้าหากว่าพฤติการณ์ขดั ขวางไม่สามารถจะท�ำได้ดงั นัน้ หรือถ้าตัวการละเลย
ไม่สง่ ค�ำสัง่ มาในเวลาอันควร หรือส่งมาเป็นค�ำสัง่ อันไม่อาจปฏิบตั ใิ ห้เป็นไปได้ เช่นนี้ ตัวแทนค้าต่างย่อมมี
มส
อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น
ไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน ชอบที่จะได้รับบ�ำเหน็จพิเศษ”
แม้ว่าตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ที่ท�ำสัญญากับบุคคลภายนอกในนามของตนเองต่างหากจากตัวการ
เพือ่ การท�ำกิจการตามทีต่ วั การมอบหมายนัน้ ก็ตาม หากปรากฏว่าบุคคลภายนอกนัน้ ผิดสัญญาไม่ชำ� ระหนี้
ตามสัญญาที่ตัวแทนค้าต่างได้ท�ำไว้กับบุคคลภายนอกนั้น โดยหลักแล้วตัวแทนค้าต่างไม่มีหน้าที่ที่จะต้อง
ธ
ช�ำระหนีน้ นั้ แทนบุคคลภายนอกให้แก่ตวั การ และตัวการก็ไม่มสี ทิ ธิเรียกร้องให้ตวั แทนค้าต่างรับผิดในกรณี
ดังกล่าว
มส
อย่างไรก็ตามมีกรณีเป็นข้อยกเว้นให้ตัวแทนค้าต่างต้องรับผิดต่อตัวการเพื่อช�ำระหนี้นั้นในกรณี
ดังกล่าว ดังนี้
1) กรณีมขี อ้ ก�ำหนดในสัญญา กล่าวคือ ในสัญญาตัวแทนค้าต่างระหว่างตัวการและตัวแทน
ค้าต่างได้ตกลงกันโดยแจ้งชัดว่า ถ้าบุคคลภายนอกผู้ซึ่งเป็นคู่สัญญากับตัวแทนค้าต่างไม่ช�ำระหนี้ตาม
สัญญานั้น ตัวแทนค้าต่างต้องรับผิดชอบต่อตัวการเพื่อช�ำระหนี้นั้น
ข้อสังเกต สัญญาตัวแทนค้าต่างกฎหมายไม่ได้ก�ำหนดแบบไว้ จึงตกลงกันด้วยวาจาหรือ
เป็นหนังสือก็ได้ ดังนั้นแล้วข้อก�ำหนดในสัญญาข้างต้นจึงก�ำหนดขึ้นโดยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้ และจะ
ก�ำหนดกันในขณะที่ท�ำสัญญาตัวแทนค้าต่างหรือหลังจากที่สัญญานั้นเกิดขึ้นแล้วก็ได้
2) กรณีมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกัน หมายความว่า ทางปฏิบัติ
ธ
ของตัวการและตัวแทนค้าต่างที่ผ่านมา เมื่อบุคคลภายนอกผู้ซึ่งเป็นคู่สัญญากับตัวแทนค้าต่างไม่ชำ� ระหนี้
ตามสัญญานัน้ ตัวแทนค้าต่างจะรับผิดชอบต่อตัวการเพือ่ ช�ำระหนีน้ นั้ ทุกครัง้ จนเป็นปริยายไปแล้วว่าหาก
มส
ชอบที่จะได้รับบ�ำเหน็จพิเศษ”
ม
ความในวรรคสองของมาตรา 838 บัญญัตวิ า่ “อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติ
ตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน
ตัวแทนฐานประกัน จึงหมายถึงตัวแทนค้าต่างซึ่งเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาในกรณีที่
คู่สัญญาไม่ชำ� ระหนี้ตามสัญญาโดยตัวแทนค้าต่างรับผิดต่อตัวการเพื่อช�ำระหนี้นั้นเอง
ตัวแทนค้าต่างเข้ารับประกันการปฏิบตั ติ ามสัญญาต่อบุคคลภายนอก หมายความว่าตัวแทนค้าต่าง
เป็นฝ่ายที่แสดงเจตนาต่อตัวการว่าถ้าบุคคลภายนอกผู้ซึ่งเป็นคู่สัญญากับตนไม่ช�ำระหนี้ตามสัญญานั้น
สธ
ตัวแทนค้าต่างจะรับผิดชอบต่อตัวการเพือ่ ช�ำระหนีน้ นั้ เอง ซึง่ เมือ่ พิจารณาจากบทบัญญัตใิ นวรรคหนึง่ แล้ว
เห็นได้วา่ การเข้ารับประกันการปฏิบตั ติ ามสัญญาของตัวแทนค้าต่างมีอยูใ่ นกรณีมขี อ้ ก�ำหนดในสัญญาหรือ
มีปริยายแต่ทางการทีต่ วั การกับตัวแทนประพฤติตอ่ กัน ส่วนกรณีมธี รรมเนียมในท้องถิน่ ว่าจะต้องรับผิดถึง
ม
9-20 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
บ�ำเหน็จพิเศษนั้นจะเป็นอัตราเท่าใด ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างตัวแทนค้าต่างกับตัวการ
มีขอ้ สังเกตต่อไปว่า ในกรณีทตี่ วั แทนค้าต่างไม่ตอ้ งรับผิดต่อตัวการเพือ่ ช�ำระหนีท้ บี่ คุ คลภายนอก
ของคูส่ ญ
มส
ซึง่ เข้าท�ำสัญญากับตัวแทนค้าต่างนัน้ แล้วบุคคลภายนอกไม่ชำ� ระหนีต้ ามสัญญานัน้ ถ้าปรากฏว่าการกระท�ำ
ของตัวแทนค้าต่างในเรื่องนั้นได้กระท�ำไปโดยความประมาทเลินเล่อ เช่นนี้ ตัวแทนค้าต่างยังคงต้องรับผิด
ในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 812 ประกอบมาตรา 835
นอกจากนีม้ ขี อ้ สังเกตถึงการเข้ารับประกันการปฏิบตั ติ ามสัญญาดังกล่าวกับการคํา้ ประกันการช�ำระหนี้
ั ญานัน้ ซึง่ มีความแตกต่างกัน กล่าวคือการเข้ารับประกันการปฏิบตั ติ ามสัญญาของตัวแทนค้าต่าง
ซึ่งเป็นตัวแทนฐานประกันตามมาตรา 838 นั้น ไม่ต้องท�ำหลักฐานเป็นเป็นหนังสือลงลายมือชื่อตัวแทนค้า
ต่างแต่ประการใด เพราะกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของตัวแทนที่บังคับ ตาม ปพพ. บรรพ 3 เอกเทศสัญญา
ลักษณะ 15 ตัวแทน ส�ำหรับการคํ้าประกันการช�ำระหนี้ของคู่สัญญานั้น ผู้คํ้าประกันต้องผูกพันตนต่อ
เจ้าหนี้ หากตัวแทนค้าต่างเป็นเจ้าหนี้ของบุคคลภายนอก ตัวแทนค้าต่างย่อมไม่อาจเป็นผู้คํ้าประกันได้
ธ
เพราะผู้คํ้าประกันต้องเป็นบุคคลภายนอก ทั้งการคํ้าประกันต้องท�ำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้คํ้า
ประกันจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้14 และต้องบังคับ ตาม ปพพ. บรรพ 3 เอกเทศสัญญา ลักษณะ 11
คํ้าประกัน
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 6594/2537 ตามสัญญาระหว่างโจทก์กบั จ�ำเลย ระบุชอื่ สัญญาว่า “สัญญาตัวแทนจ�ำหน่ายปุย๋ ”
เรียกโจทก์ว่าตัวการ เรียกจ�ำเลยว่าตัวแทนข้อความในสัญญาข้อหนึ่งใจความว่า “ตัวแทนสัญญาว่าจะ
จ�ำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรในนามของตนเองในราคาและเงื่อนไข ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยจึง
เป็นสัญญาตัวแทนค้าต่าง ตาม ปพพ. มาตรา 833 การช�ำระราคาปุ๋ยจึงต้องปรับตามมาตรา 838 วรรค
หนึง่ ซึง่ เมือ่ ข้อสัญญาก�ำหนดว่าตัวแทนค้าต่างจะต้องรับผิดในหนีห้ รือราคาปุย๋ ต่อตัวการ ดังนัน้ ไม่วา่ จ�ำเลย
มิใช่รับผิดเฉพาะกรณีที่ได้รับเงินค่าปุ๋ยมาแล้วเท่านั้น
5. ความรับผิดในการรับใช้เศษที่ขาดเกินให้แก่ตัวการ
ม
จะได้รับช�ำระหนี้ค่าปุ๋ยจากผู้ซื้อคือเกษตรกรแล้วหรือไม่จ�ำเลยจะต้องรับผิดช�ำระเงินค่าปุ๋ยที่ค้างแก่โจทก์
อาจต้องรับใช้เศษที่ขาดเกินนั้น ในกรณีที่ตัวแทนค้าต่างได้ท�ำการขายหรือท�ำการซื้อไปในกรณีต่อไปนี้
โดยจะถือเอาเป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้
1) ท�ำการขายเป็นราคาตํา่ ไปกว่าทีต่ วั การก�ำหนด กล่าวคือ ขายทรัพย์สนิ ถูกไปกว่าทีต่ วั การ
ก�ำหนด
2) ท�ำการซือ้ เป็นราคาสูงไปกว่าทีต่ วั การก�ำหนด กล่าวคือ ขายทรัพย์สนิ แพงไปกว่าทีต่ วั การ
ธ
ก�ำหนด
เมื่อตัวแทนค้าต่างรับผิดใช้ราคาในส่วนที่ขาดกรณีซื้อสูงไปหรือขายตํ่าไปกว่าที่ตัวการก�ำหนดไว้
มส
แล้ว ตัวการต้องรับการซื้อหรือการขายนั้นแล้วแต่กรณี
ตัวอย่าง 1 นายมงคลเปิดแผงพระอยู่หน้าวัดแห่งหนึ่ง นายโกศลได้น�ำพระเครื่องหลวงปู่ทวด
รุ่นนิยมรุ่นหนึ่งมาฝากนายมงคลขายโดยตกลงให้บ�ำเหน็จเป็นเงินร้อยละ 15 จากราคาที่ขายได้ โดย
นายโกศลก�ำหนดราคาไว้ว่าห้ามขายตํ่ากว่าราคา 50,000 บาท หลังจากนั้น นายชัชวาลมาดูพระเครื่อง
หลวงปู่ทวดดังกล่าวต่อรองราคากันที่ 48,000 บาท นายมงคลเห็นว่าช่วงนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง ลูกค้าสนใจ
ในพระเครื่องน้อยลงจึงตกลงขายให้นายชัชวาลในราคา 48,000 บาทดังกล่าว เช่นนี้ นายมงคลต้องรับใช้
เงินราคาในส่วนที่ขาดไปจ�ำนวน 2,000 บาท แล้วย่อมมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จจากนายโกศลเป็นเงินจ�ำนวน
7,500 บาท
ตัวอย่าง 2 นายมงคลเปิดแผงพระอยู่หน้าวัดแห่งหนึ่ง นายอ�ำนวยบอกกับนายมงคลว่าถ้ามีใคร
ธ
น�ำพระแก้วมรกตบูชาหนักตัก 5 นิ้วขายให้นายมงคลรับซื้อไว้ด้วยโดยตกลงให้บ�ำเหน็จเป็นเงินจ�ำนวน
3,000 บาท โดยนายอ�ำนวยก�ำหนดราคาไว้ว่าห้ามซื้อสูงกว่าราคา 30,000 บาทหลังจากนั้น นายเด่นชัย
น�ำพระแก้วมรกตบูชาดังกล่าวมาเสนอขายแก่นายมงคลในราคา 35,000 บาท หลังจากต่อรองราคากันแล้ว
มส
ธ
กิจกรรม 9.1.2
มส
1. ในการจัดการขายหรือซื้อทรัพย์สินของตัวแทนค้าต่างแทนตัวการนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันในเรื่อง
บ�ำเหน็จไว้ ตัวแทนค้าต่างชอบที่จะได้รับบ�ำเหน็จหรือไม่ อย่างไร
2. ตัวแทนค้าต่างต้องแถลงรายงานความเป็นไปของการจัดท�ำกิจการแทนตัวการให้ตวั การทราบ
หรือไม่ หากปรากฏว่าตัวการมิได้มีความประสงค์จะทราบถึงความเป็นไปนั้น
3. ตัวแทนฐานประกัน หมายถึงใคร
4. ตัวแทนค้าต่างได้รับมอบหมายให้ขายทรัพย์สินแทนตัวการ 2 ชิ้นโดยตัวการก�ำหนดราคา
ทรัพย์สินทั้ง 2 ชิ้นนั้นไว้ไม่ให้ขายตํ่ากว่า 5,000 บาท ปรากฏว่าตัวแทนค้าต่างขายชิ้นที่ 1 ได้ราคา 4,000
บาท และขายชิ้นที่ 2ได้ราคา 6,000 บาท เช่นนี้ ตัวแทนค้าต่างมีหน้าที่และความรับผิดต่อตัวการอย่างไร
ธ
แนวตอบกิจกรรม 9.1.2
1. ในการจัดการขายหรือซื้อทรัพย์สินของตัวแทนค้าต่างแทนตัวการนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันในเรื่อง
มส
บ�ำเหน็จไว้ ตัวแทนค้าต่างชอบที่จะได้รับบ�ำเหน็จจากตัวการโดยคิดตามอัตราตามธรรมเนียมเพื่อกิจการ
ค้าขายอันตนได้จัดการให้ตกลงไปนั้นทุกรายไป ตาม ปพพ. มาตรา 834
2. ตัวแทนค้าต่างมีหน้าทีต่ อ้ งแถลงรายงานความเป็นไปของการจัดท�ำกิจการแทนตัวการให้ตวั การ
ทราบ ตาม ปพพ. มาตรา 841 แม้จะปรากฏว่าตัวการมิได้มคี วามประสงค์จะทราบถึงความเป็นไปนัน้ ก็ตาม
3. ตัวแทนฐานประกัน หมายถึง ตัวแทนค้าต่างซึ่งเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาในกรณีที่
คู่สัญญาไม่ช�ำระหนี้ตามสัญญาโดยตัวแทนค้าต่างรับผิดต่อตัวการเพื่อช�ำระหนี้นั้นเอง ซึ่งมีสิทธิได้รับ
บ�ำเหน็จพิเศษจากตัวการ ม
4. กรณีตัวแทนค้าต่างขายชิ้นที่ 1 ได้ราคา 4,000 บาท ตัวแทนค้าต่างต้องรับใช้เศษที่ขาดไป
จ�ำนวน 1,000 บาทนั้นแก่ตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 839 ส่วนกรณีขายชิ้นที่ 2 ได้ราคา 6,000 บาท นั้น
ตัวแทนค้าต่างจะถือเอาส่วนที่เกินไปจ�ำนวน 1,000 บาทนั้นเป็นประโยชน์ของตนไม่ได้และต้องคิดให้แก่
ตัวการ ตาม ปพพ. มาตรา 840
สธ
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-23
เรื่องที่ 9.1.3
ความระงับสิ้นไปของสัญญาตัวแทนค้าต่าง
ธ
ตัวแทนค้าต่างเป็นตัวแทนประเภทหนึ่งและมาตรา 835 บัญญัติว่า “บทบัญญัติทั้งหลายแห่ง
ประมวลกฎหมายนีอ้ นั ว่าด้วยตัวแทนนัน้ ท่านให้ใช้บงั คับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงทีไ่ ม่ขดั กับบทบัญญัติ
มส
ในหมวดนี้” ดังนั้นบทบัญญัติในหมวด 5 ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทนย่อมน�ำมาใช้กับตัวแทน
ค้าต่างด้วยเท่าทีไ่ ม่ขดั กับบทบัญญัตใิ นหมวด 6 ตัวแทนค้าต่าง ซึง่ ปรากฏว่าบทบัญญัตใิ นหมวด 6 ตัวแทน
ค้าต่าง ไม่ได้บญ
ั ญัตถิ งึ ความระงับสิน้ ไปแห่งตัวแทนค้าต่างไว้เป็นการเฉพาะจึงต้องน�ำบทบัญญัตใิ นหมวด
5 ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทนมาใช้บังคับ
ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทนค้าต่าง
สัญญาตัวแทนค้าต่างอาจระงับสิ้นไปด้วยเหตุ ดังต่อไปนี้
1. คู่สัญญาตกลงก�ำหนดกันไว้ในสัญญา เช่น ตัวการและตัวแทนค้าต่างตกลงกันก�ำหนดกรณี
อันเป็นเหตุที่จะเลิกกัน เมื่อมีกรณีนั้น หรือก�ำหนดเวลาไว้ให้สัญญาตัวแทนค้าต่างระงับสิ้นไป เมื่อครบ
ก�ำหนดเวลานัน้ หรือสัญญาตัวแทนค้าต่างท�ำไว้เฉพาะเพือ่ ตัง้ ตัวแทนท�ำกิจการอย่างหนึง่ อย่างใดแต่อย่างเดียว
ธ
เมื่อเสร็จการนั้น เป็นต้น
ตัวอย่าง นายมงคลเปิดแผงพระอยูห่ น้าวัดแห่งหนึง่ นายโกศลได้นำ� พระเครือ่ งหลวงปูท่ วดรุน่ นิยม
มส
ธ
2.4 ตัวแทนค้าต่างตาย หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือล้มละลาย อย่างไรก็ดี ทายาท
หรือบุคคลผูร้ บั หน้าทีด่ แู ลทรัพย์มรดกหรือทรัพย์สนิ ของตัวแทนค้าต่างโดยชอบด้วยกฎหมายต้องบอกกล่าว
มส
แก่ตวั การและจัดการเพือ่ ปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการไปตามสมควรแก่พฤติการณ์ จนกว่าตัวการอาจ
เข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้นๆ ได้
อนึ่ง ถ้าสัญญาตัวแทนค้าต่างมีข้อตกลงกันไว้ว่าสัญญาตัวแทนค้าต่างไม่ระงับเมื่อตัวแทน
ค้าต่างตาย หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถก็ย่อมเป็นไปตามข้อตกลงนั้น ส�ำหรับกรณีตัวแทนค้าต่าง
ล้มละลายนั้น นักกฎหมายเห็นกันว่าสัญญาตัวแทนค้าต่างต้องระงับไปเสมอเพราะตัวแทนค้าต่างเป็น
ผู้ท�ำการแทนตัวการโดยอาชีพ เมื่อล้มละลายแล้วตามกฎหมายล้มละลายอ�ำนาจจัดการทรัพย์สินของ
ผู้ล้มละลายย่อมตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตัวแทนค้าต่างนั้นจึงไม่อาจท�ำกิจการของตน
ต่อไปได้17
ธ
กิจกรรม 9.1.3
มส
ตัวแทนค้าต่างระงับสิ้นไปด้วยเหตุใดบ้าง
แนวตอบกิจกรรม 9.1.3
ตัวแทนค้าต่างระงับสิ้นไปด้วยเหตุ ดังต่อไปนี้
1. คู่สัญญาตกลงก�ำหนดกันไว้ในสัญญา
2. ตามบทบัญญัตใิ น ปพพ. มาตรา 826 และมาตรา 827 บรรพ 3 ลักษณะ 15 ตัวแทน หมวด 5
ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาตัวแทน ในกรณีดังต่อไปนี้
2.1 ตัวการถอนตัวแทนค้าต่าง
2.2 ตัวแทนค้าต่างบอกเลิกเป็นตัวแทน
2.3 ตัวการตาย หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือล้มละลาย
2.4 ตัวแทนค้าต่างตาย หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือล้มละลาย
ม
สธ
ตอนที่ 9.2
นายหน้า
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 9.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
9.2.1 ความหมายและลักษณะของสัญญานายหน้า
9.2.2 สิทธิและหน้าที่ของนายหน้า
9.2.3 ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญานายหน้า
1. น ายหน้าเป็นเพียงคนกลางที่ท�ำหน้าที่ชี้ช่องให้คู่สัญญาของตนได้ท�ำสัญญากับบุคคล
ภายนอก
2. นายหน้ามีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จและค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
3. สัญญานายหน้าย่อมระงับสิ้นไปตามที่คู่สัญญานายหน้าได้ตกลงกัน ตลอดจนนายหน้า
ธ
ได้ทำ� หน้าที่ของตนส�ำเร็จ
วัตถุประสงค์
มส
ม
สธ
ม
9-26 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 9.2.1
ความหมายและลักษณะของสัญญานายหน้า
ธ
โดยทีก่ ารท�ำกิจการต่างๆ นัน้ บุคคลไม่จำ� ต้องท�ำการทุกอย่างด้วยตนเอง ในบางกรณีสามารถตัง้
ตัวแทนท�ำการแทนได้ดงั ทีไ่ ด้ศกึ ษามาแล้ว และในกิจการบางอย่างบุคคลอาจมีความประสงค์ตอ้ งท�ำกิจการ
มส
นั้นเองแต่อาจมีข้อจ�ำกัดในเรื่องต่างๆ อาทิ ไม่มีเวลา ไม่มีความช�ำนาญ จ�ำเป็นต้องพึงพาความสามารถ
ของบุคคลอื่นเพื่อคอยชี้ช่องหรือติดต่อบุคคลอื่นๆ ให้มาพบกันเพื่อท�ำสัญญากันต่อไปตามวัตถุประสงค์
ดังกล่าว บุคคลอื่นซึ่งจ�ำต้องพึงพาความสามารถของเขาที่กล่าวถึงนั้นหมายถึงนายหน้านั่นเอง นายหน้า
เป็นเอกเทศสัญญาชนิดหนึ่งที่มีบทบัญญัติเป็นการเฉพาะใน ปพพ. บรรพ 3 เอกเทศสัญญา ลักษณะ 16
สัญญานายหน้า หมายถึงสัญญาซึง่ บุคคลคนหนึง่ ตกลงให้บคุ คลอีกคนหนึง่ เรียกว่านายหน้าเป็นผูช้ ชี้ อ่ งหรือ
จัดการให้บุคคลนั้นได้เข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้าตกลงกระท�ำการดังกล่าวนั้น ซึ่งเป็น
เอกเทศสัญญาอย่างหนึ่ง
นายหน้าคือใคร มีลกั ษณะอย่างไร กฎหมายก�ำหนดมีสทิ ธิและหน้าทีข่ องนายหน้าไว้เป็นประการใด
ตลอดจนนายหน้าระงับสิ้นไปในกรณีใดจะได้กล่าวถึงในเรื่องที่ 9.2.1 นี้ และเรื่องที่ 9.2.2 สิทธิและหน้าที่
ธ
ของนายหน้า ต่อไป
ความหมายของนายหน้า
มส
ให้คู่สัญญาของตนได้เข้าท�ำสัญญาหรือจัดการให้คู่สัญญาของตนได้ทำ� สัญญากัน
ม
จากบทบัญญัตดิ งั กล่าวพอจะให้ความหมายของนายหน้าได้วา่ นายหน้า หมายถึงบุคคลผูซ้ งึ่ ชีช้ อ่ ง
ตกลงกันไว้และนายหน้ามีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายดังกล่าวแม้ว่าสัญญาจะมิได้ท�ำกันส�ำเร็จ จะเห็นได้ว่าการ
ท�ำการของนายหน้านัน้ แตกต่างจากตัวแทนโดยส�ำคัญกล่าวคือ นายหน้าเป็นเพียงคนกลางคอยชีช้ อ่ งหรือ
จัดการเท่านั้น มิได้มีอ�ำนาจเข้าไปท�ำสัญญาแทนคู่สัญญาแต่อย่างใด
ตัวอย่าง นายสมบูรณ์ตอ้ งการขายบ้านหลังหนึง่ ของตน จึงตกลงให้นายสมหวังซึง่ เป็นผูก้ ว้างขวาง
รูจ้ กั ผูค้ นจ�ำนวนมากเป็นนายหน้าไปหาผูซ้ อื้ มาท�ำสัญญากับตน ถ้านายสมหวังหาผูซ้ อื้ มาท�ำสัญญาซือ้ ขาย
ธ
บ้านหลังดังกล่าวได้ นายสมบูรณ์จะให้บ�ำเหน็จเป็นเงินจ�ำนวน 30,000 บาท และนายสมหวังตกลงที่จะ
ท�ำการเช่นนั้นให้ เช่นนี้เกิดเป็นสัญญานายหน้าโดยมีคู่สัญญาคือนายสมบูรณ์และนายสมหวังซึ่งเป็นนาย
หน้า
มสตามตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า นายสมหวังไม่มีหน้าที่ท�ำสัญญาซื้อขายกับบุคคลภายนอกเลย
นายสมหวังมีหน้าที่เพียงแต่ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาท�ำสัญญากับนายสมบูรณ์เท่านั้น
คู่สัญญา
สัญญานายหน้า
ท�ำสัญญากับ
ธ
ภาพที่ 9.1 ภาพแสดงสัญญานายหน้า
มส
ลักษณะส�ำคัญของสัญญานายหน้า
สัญญานายหน้า หมายถึง สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายหน้าเป็น
ผู้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลนั้นได้เข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้าตกลงกระท�ำการดังกล่าว
นั้น ซึ่งเป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่งเช่นกัน มีลักษณะที่ส�ำคัญดังต่อไปนี้
1. เป็นสัญญาที่มีคู่กรณีสองฝ่าย ประกอบด้วยนายหน้าฝ่ายหนึ่งและคู่สัญญาของนายหน้าอีก
ฝ่ายหนึง่ มีปญ ม
ั หาว่านายหน้าต้องมีความสามารถหรือไม่ นายหน้าเป็นเพียงคนกลางทีท่ ำ� หน้าทีเ่ พียงชีช้ อ่ ง
หรือจัดการให้คสู่ ญ
ั ญาของตนได้เข้าท�ำสัญญา มิได้เข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอกแทนคูส่ ญ ั ญาของตนแต่
อย่างใด ดังนัน้ นายหน้าจึงไม่จำ� ต้องมีความสามารถในการท�ำนิตกิ รรมแต่อย่างใด เปรียบเทียบกับตัวแทน
ซึ่งแม้เป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถท�ำการแทนตัวการ ตัวการก็ยังผูกพันในกิจการที่ตัวแทนกระท�ำไปนั้น18
ส่วนการที่บุคคลผู้ไร้ความสามารถเข้าท�ำสัญญานายหน้านั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง เพราะการท�ำสัญญา
นายหน้าเป็นการท�ำนิติกรรม ดังนั้นคู่สัญญาจึงต้องไม่บกพร่องในเรื่องความสามารถด้วย มิฉะนั้นสัญญา
สธ
นายหน้าตกเป็นโมฆียะ กล่าวโดยสรุปได้ว่า นายหน้าเกิดจากสัญญานายหน้า ซึ่งนายหน้าจะเป็นบุคคล
ธรรมดาหรือนิตบิ คุ คลก็ได้ กรณีเป็นบุคคลธรรมดาซึง่ เป็นบุคคลผูไ้ ร้ความสามารถจะเป็นนายหน้าได้ ก็ตอ้ ง
มีการท�ำสัญญานายหน้ากับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งก่อน เพราะหากไม่มีสัญญานายหน้าก็ย่อมไม่อาจมี
นายหน้าเกิดขึ้นได้
ฉะนั้นการท�ำสัญญานายหน้าโดยบุคคลผู้ไร้ความสามารถจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของ
กฎหมายว่าด้วยความสามารถด้วย มิฉะนั้นสัญญานั้นจะเป็นโมฆียะ19 อย่างไรก็ตาม แม้สัญญานายหน้า
นั้นเป็นโมฆียะตราบใดที่ยังไม่มีการบอกล้างย่อมมีผลสมบูรณ์อยู่ ดังนั้นเมื่อสัญญานายหน้ามีผลสมบูรณ์
ธ
แล้ว นายหน้าซึ่งเป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถย่อมท�ำการในฐานะนายหน้าได้
ตัวอย่าง นายสมบูรณ์ต้องการให้นายพรศักดิ์ผู้เยาว์อายุ 18 ปี เป็นนายหน้าขายรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง
มส
ของตน ด้วยเห็นว่านายพรศักดิม์ เี พือ่ นฝูงในหมูน่ กั นิยมรถรุน่ นีม้ าก ถ้านายพรศักดิไ์ ด้รบั ความยินยอมของ
ผูแ้ ทนโดยชอบธรรมก่อน การท�ำสัญญานายหน้าระหว่างนายสมบูรณ์กบั นายพรศักดิย์ อ่ มไม่ตกเป็นโมฆียะ
หลังจากที่นายพรศักดิ์เป็นนายหน้าแล้ว การท�ำหน้าที่นายหน้าของนายพรศักดิ์ซึ่งมิได้ทำ� นิติกรรมใดย่อม
ไม่จ�ำต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมอีก
2. เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ให้นายหน้าไปท�ำการชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกเข้ามา
ท�ำสัญญากับคู่สัญญาของนายหน้านั้น
สัญญานายหน้ามีวตั ถุประสงค์เพือ่ ให้นายหน้าชีช้ อ่ งให้ได้เข้าท�ำสัญญาหรือจัดการให้ได้ทำ� สัญญากัน
หากเป็นการชี้ช่องที่มิได้มีวัตถุประสงค์ให้มีการท�ำสัญญากันระหว่างคู่สัญญากับบุคคลภายนอกแล้ว
ย่อมไม่อาจเป็นนายหน้าได้ เช่น นายหนึง่ ต้องการหาทีท่ งิ้ ขยะเนือ่ งจากขยะในบ้านของนายหนึง่ มีจำ� นวนมาก
ธ
จึงให้นายสองชี้ช่องให้ว่าจะทิ้งขยะได้ที่ไหนบ้าง เช่นนี้ นายสองย่อมไม่ใช่นายหน้าของนายหนึ่ง
“สัญญา” ที่กล่าวถึงนั้นหมายถึงสัญญาที่นายหน้าชี้ช่องหรือจัดการให้คู่สัญญานายหน้าอีกฝ่าย
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 3181/2536 นายหน้าตามความหมายของ ปพพ. มาตรา 845 นั้น ได้แก่ผู้ชี้ช่องให้ได้มีการเข้า
ท�ำสัญญากันหรือผูท้ จี่ ดั การให้ได้ทำ� สัญญากัน และนายหน้ามีสทิ ธิได้รบั บ�ำเหน็จต่อเมือ่ สัญญานัน้ ได้ทำ� กัน
เสร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น การที่ ก. ได้พา ส. ผู้ซื้อไปพบจ�ำเลยที่ 4
ผู้ขายและพากันไปดูที่ดิน และต่อมาได้มีการซื้อขายกันเนื่องมาจากการชี้ช่องดังกล่าว ก. จึงมีสิทธิได้รับ
ธ
ค่าบ�ำเหน็จโดยไม่จำ� เป็นที่ ก. จะต้องอยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุกๆ ครั้ง แต่อย่างใด
ตัวอย่างพฤติการณ์ที่นายหน้าชี้ช่องให้ได้เข้าท�ำสัญญาหรือจัดการให้ได้ท�ำสัญญากันส�ำเร็จ
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 2984/2525 จ�ำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายทีด่ นิ ของจ�ำเลย โดยจ�ำเลยจะให้คา่ นายหน้า
ร้อยละ 5 ของราคาที่ขายได้ จ�ำเลยได้มอบนามบัตรของจ�ำเลยมีที่อยู่และเลขหมายโทรศัพท์ที่บ้านจ�ำเลย
กับได้มอบแผนที่หลังโฉนดให้โจทก์ไว้ด้วย ต่อมามี ต. และ บ. มาถามซื้อที่ดินบริเวณนั้น โจทก์จึงพาคน
ทั้งสองไปดูที่ดินของจ�ำเลย ต่อมา คนทั้งสองดังกล่าวได้พา พ. และ ย. มาดูที่ดินจ�ำเลย พ. กับพวกตกลง
จะซื้อ ต. และ บ. จึงขอนามบัตรของจ�ำเลยและแผนที่หลังโฉนดจากโจทก์มอบให้ พ. กับพวกไปติดต่อกับ
จ�ำเลยเอง ในที่สุด พ. ได้ทำ� สัญญาซื้อที่ดินดังกล่าวกับจ�ำเลย ดังนี้ ถือได้ว่า การซื้อขายที่ดินรายนี้เป็นผล
ส�ำเร็จได้ก็เนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์ซึ่งเป็นนายหน้าได้ชี้ช่องนั่นเอง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบ�ำเหน็จจาก
จ�ำเลย
ธ
ฎ. 1821/2540 จ�ำเลยให้โจทก์ทั้งสามเป็นนายหน้าขายที่ดินของจ�ำเลยและของบุตรสาวในราคา
13,650,000 บาท โดยเริม่ แรกโจทก์ทงั้ สามติดต่อกับบริษทั ผูซ้ อื้ เพือ่ ขายทีด่ นิ ของจ�ำเลยในราคาดังกล่าว แต่
มส
ที่ดินซึ่งโจทก์เป็นคนท�ำเอกสารดังกล่าวเองก็ยิ่งปรากฏชัดเจนว่า เป็นเรื่องที่โจทก์กับพวกซื้อที่ดินมาขาย
ให้แก่ฝ่ายจ�ำเลยจริง โดยเอาก�ำไรจากราคาที่ดินที่โจทก์ซื้อมาหักออกจากราคาที่ตั้งขายแก่ฝ่ายจ�ำเลย
ในราคาไร่ละ 60,000 บาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายของเจ้าของที่ดินชื่อ ข. ที่ปรากฏในล�ำดับที่ 6 โจทก์
ไปซื้อที่ดินรายนี้มาในราคาไร่ละ 100,000 บาท ขายให้แก่ฝ่ายจ�ำเลยราคาไร่ละ 60,000 บาท โดยโจทก์
จ่ายเงินเพิ่มเอง อันเป็นผลขาดทุนในการซื้อขายที่ดินรายนี้ ท�ำให้เห็นเจตนาของทั้งสองฝ่ายว่าการด�ำเนิน
ธ
การเกี่ยวกับที่ดินทุกแปลงรวมทั้งแปลงพิพาทเป็นเรื่องการท�ำธุรกิจซื้อขายที่ดินกัน หากโจทก์ซื้อที่ดินมา
ได้ในราคาถูกเมือ่ น�ำไปขายในราคาทีต่ กลงกัน โจทก์กม็ กี ำ� ไรมาก หากโจทก์ซอื้ ทีด่ นิ มาได้ในราคาแพงก็จะ
ส�ำเร็จ
มส
มีก�ำไรน้อย และโจทก์อาจขาดทุนได้หากซื้อที่ดินมาในราคาสูงกว่าที่ตกลงขายให้แก่ฝ่ายจ�ำเลย ลักษณะ
การท�ำธุรกิจกันดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการชี้ช่องให้ฝ่ายจ�ำเลยได้เข้าท�ำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเพื่อเอาค่า
บ�ำเหน็จนายหน้าตาม ปพพ. มาตรา 845 วรรคหนึ่ง
ตัวอย่างพฤติการณ์ที่ถือไม่ได้ว่านายหน้าชี้ช่องให้ได้เข้าท�ำสัญญาหรือจัดการให้ได้ท�ำสัญญากัน
อุทาหรณ์
ฎ. 3592/2532 โจทก์เป็นนายหน้าให้จ�ำเลยในการขายเครื่องมือวิเคราะห์ธาตุในอาหารให้แก่
องค์การผลิตอาหารส�ำเร็จรูปโดยวิธพี เิ ศษ แต่ยงั ไม่ได้ทำ� สัญญาซือ้ ขายกันทางองค์การผลิตอาหารส�ำเร็จรูป
ก็ได้ก�ำหนดให้มีการจัดซื้อใหม่โดยวิธีประกวดราคา จ�ำเลยจึงได้ไปยื่นซองประกวดราคาและเจรจาต่อรอง
ธ
ราคากับองค์การดังกล่าวเองจนตกลงท�ำสัญญาซือ้ ขายกันได้ การซือ้ ขายรายนีจ้ งึ ส�ำเร็จลงได้เพราะการเข้า
เสนอประกวดราคาของจ�ำเลยเองโดยโจทก์ไม่ได้มสี ว่ นเกีย่ วข้อง ส่วนการกระท�ำของโจทก์ในระหว่างทีเ่ ป็น
มส
ธ
ค่านายหน้าไว้แทนโจทก์ 200,000 บาทและบอกว่าส่วนที่เหลือให้โจทก์ติดต่อ พ. แสดงให้เห็นว่าจ�ำเลยไม่
ได้ตกลงโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายให้โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องให้ จ. มาซื้อที่ดินจ�ำเลยแม้โจทก์ตกลงร่วม
มส
กับ พ. ท�ำหน้าที่ติดต่อชี้ช่องให้ จ. เข้าท�ำสัญญากับจ�ำเลยหรือจัดการให้ จ. ท�ำสัญญาซื้อขายที่ดินกับ
จ�ำเลยแล้วได้ส่วนแบ่งค่านายหน้าจาก พ. ก็เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ พ. เท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างตัวแทนกับนายหน้า
1. ตัวแทนเป็นบุคคลที่เข้าท�ำสัญญาแทนตัวการ ส่วนนายหน้ามีหน้าที่เพียงชี้ช่องหรือจัดการให้
คู่สัญญาของตนได้ท�ำสัญญากับบุคคลภายนอก ไม่มีหน้าที่เข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอกแต่อย่างใด
อุทาหรณ์
ฎ. 1249/2506 กรณีทจี่ ำ� เลยมิใช่แต่เพียงเป็นสือ่ กลางให้เอาท�ำสัญญากันหากแต่จำ� เลยยังรับสินค้า
ไปจ�ำหน่ายและช�ำระเงินค่าสินค้าให้ตวั การโดยจ�ำเลยได้รบั บ�ำเหน็จเป็นผลประโยชน์ และจ�ำเลยยังมีอำ� นาจ
ธ
ครอบครองสินค้าแล้วส่งมอบแก่ผู้ซื้อเรียกและรับเงินค่าสินค้า ทั้งหนังสือยังระบุว่าหนังสือสัญญารับเป็น
ตัวแทนจ�ำหน่ายสินค้า อนึ่งการจัดหาระวางเรือโดยจ�ำเลยตกลงกับผู้รับขนแทนโดยองค์การสรรพาหาร
มส
ธ
ผูกพันกับการเช่าห้องดังกล่าวด้วย
2. ตัวแทนเมือ่ ไม่ทำ� หน้าทีต่ ามสัญญาตัวแทนแล้วมีความเสียหายเกิดขึน้ แก่ตวั การ ต้องรับผิดต่อ
หน้า
มส
ตัวการ ส่วนนายหน้าแม้ไม่ท�ำหน้าที่ชี้ช่องหรือจัดการตามสัญญานายหน้า ก็ไม่ต้องรับผิดต่อคู่สัญญานาย
3. กฎหมายห้ามมิให้ตัวแทนเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกในขณะที่เป็นคู่สัญญากับบุคคล
ภายนอกในนามของตัวการ ส่วนนายหน้าไม่มกี ฎหมายห้ามการเป็นนายหน้าของบุคคลภายนอกไว้ ดังนัน้
จึงเป็นนายหน้าได้ทั้งสองทาง
4. ตัวแทนมีอ�ำนาจท�ำการแทนตัวการได้แม้ว่าการนั้นจะไม่ใช่สัญญา เช่น การฟ้องคดี การแจ้ง
ความร้องทุกข์ ส่วนนายหน้ามีหน้าทีเ่ พียงชีช้ อ่ งหรือจัดการให้มกี ารเข้าท�ำสัญญากันเท่านัน้ เช่น ท�ำสัญญา
ซื้อขายที่ดิน ท�ำสัญญาเช่าบ้าน เป็นต้น
ธ
ความแตกต่างระหว่างตัวแทนเชิดกับนายหน้า
1. ตัวแทนเชิดเป็นตัวแทนที่มิได้เกิดขึ้นโดยสัญญาตัวแทน กล่าวคือ ตัวการมิได้ตั้งแต่งตัวแทน
มส
ความแตกต่างระหว่างตัวแทนค้าต่างกับนายหน้า
1. ตัวแทนค้าต่างเป็นบุคคลซึ่งเข้าท�ำสัญญาแทนตัวการในนามของตนเองต่างหากจากตัวการ
ส่วนนายหน้ามีหน้าที่เพียงชี้ช่องหรือจัดการให้คู่สัญญาของตนได้ทำ� สัญญากับบุคคลภายนอก ไม่มีหน้าที่
เข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอกแต่อย่างใด
2. ตัวแทนค้าต่างนั้นโดยหลักแล้วกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้บุคคลผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทน
ธ
ค้าต่าง ส่วนนายหน้านัน้ กฎหมายมิได้บญ ั ญัตหิ า้ มไว้แต่อย่างใด ดังนัน้ บุคคลผูไ้ ร้ความสามารถจึงเป็นนาย
หน้าได้
มส
3. ตัวแทนค้าต่างมีสทิ ธิเรียกร้องให้บคุ คลภายนอกซึง่ เป็นคูส่ ญ ั ญากับตนปฏิบตั กิ ารช�ำระหนีต้ าม
สัญญานั้นได้ ส่วนนายหน้าไม่มีสิทธิดังกล่าว เพราะมิได้เข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอกแต่อย่างใด
4. ตัวแทนค้าต่างซึ่งเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาของบุคคลภายนอกกับตัวการ เรียกว่า
ตัวแทนฐานประกันนั้นมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จพิเศษจากตัวการ ส่วนนายหน้านั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติใน
ลักษณะดังกล่าวไว้
5. ตัวแทนค้าต่างมีหน้าที่แถลงรายงานถึงการจัดกิจการไปให้ตัวการทราบและเมื่อการค้าต่าง
ส�ำเร็จต้องแจ้งตัวการทราบด้วย ส่วนนายหน้านั้นกฎหมายไม่ได้กำ� หนดหน้าที่ดังกล่าวไว้
ธ
กิจกรรม 9.2.1
1. นายหน้าคือใคร
มส
2. สัญญานายหน้ามีลักษณะที่สำ� คัญอย่างไรบ้าง
แนวตอบกิจกรรม 9.2.1
1. นายหน้าตามความหมายของ ปพพ. มาตรา 845 นั้น ได้แก่ ผู้ชี้ช่องให้ได้มีการเข้าท�ำสัญญา
กันหรือผูท้ จี่ ดั การให้ได้ทำ� สัญญากัน และนายหน้ามีสทิ ธิได้รบั บ�ำเหน็จต่อเมือ่ สัญญานัน้ ได้ทำ� กันเสร็จเนือ่ ง
แต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น
2. สัญญานายหน้ามีลักษณะที่ส�ำคัญดังนี้
อีกฝ่ายหนึ่ง
ม
2.1 เป็นสัญญาทีม่ คี กู่ รณีสองฝ่าย ประกอบด้วยนายหน้าฝ่ายหนึง่ และคูส่ ญ ั ญาของนายหน้า
2.2 เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ให้นายหน้าไปท�ำการชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอก
เข้ามาท�ำสัญญากับคู่สัญญาของนายหน้านั้น
2.3 เป็นสัญญาทีก่ ฎหมายไม่ได้กำ� หนดแบบไว้ ดังนัน้ จึงสมบูรณ์เมือ่ นายหน้าตกลงรับท�ำการ
เป็นนายหน้า แม้จะเป็นการตกลงด้วยวาจาก็ตาม
สธ
ม
9-34 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 9.2.2
สิทธิและหน้าที่ของนายหน้า
ธ
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า สัญญานายหน้า หมายถึง สัญญาซึง่ บุคคลคนหนึง่ ตกลงให้บคุ คลอีกคนหนึง่
เรียกว่านายหน้าเป็นผูช้ ชี้ อ่ งหรือจัดการให้บคุ คลนัน้ ได้เข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้าตกลง
มส
กระท�ำการดังกล่าวนัน้ ซึง่ เป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึง่ ซึง่ กฎหมายได้บญ
ไว้ ดังจะกล่าวต่อไปนี้
สิทธิของนายหน้า
ั ญัตสิ ทิ ธิและหน้าทีข่ องนายหน้า
ค่าบ�ำเหน็จนั้นถ้ามิได้ก�ำหนดจ�ำนวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจ�ำนวนตามธรรมเนียม”
จากบทบัญญัติดังกล่าวแยกพิจารณาสิทธิของนายหน้าได้เป็น 2 กรณี คือ สิทธิได้รับบ�ำเหน็จ
นายหน้า และสิทธิได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เสียไป ดังต่อไปนี้
1. สิทธิในการได้รับบ�ำเหน็จค่านายหน้า โดยหลักแล้วนายหน้าไม่มีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จค่า
นายหน้าจากคู่สัญญานายหน้า เว้นแต่ว่าคู่สัญญานายหน้าได้ตกลงกันให้มีบ�ำเหน็จค่านายหน้า ซึ่งการ
ม
ตกลงกันในเรือ่ งบ�ำเหน็จค่านายหน้านัน้ อาจเป็นการตกลงกันโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้ แยกพิจารณา
ได้ดังนี้
(1) การตกลงกันโดยชัดแจ้ง ตาม ปพพ. มาตรา 845 วรรคหนึ่ง หมายความว่าคู่สัญญา
นายหน้าได้ตกลงกันให้นายหน้ามีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จค่านายหน้าไว้โดยชัดเจน ไม่ว่าจะตกลงกันด้วยวาจา
หรือลายลักษณ์อกั ษรก็ได้ เช่น ตกลงว่าถ้าสัญญาท�ำกันส�ำเร็จจะให้บำ� เหน็จนายหน้าเป็นเงินจ�ำนวน 20,000
บาท หรือตกลงว่าถ้าสัญญาท�ำกันส�ำเร็จจะให้บำ� เหน็จนายหน้าเป็นเงินร้อยละ 10 ของเงินทีบ่ คุ คลภายนอก
ต้องช�ำระ เป็นต้น
สธ
อุทาหรณ์
ฎ. 5604/2548 ตามสัญญานายหน้าจ�ำเลยตกลงจ่ายค่านายหน้าให้แก่โจทก์ไว้ 2 กรณี ใน
กรณีแรกตามสัญญาข้อ 3 ถ้าโจทก์ชชี้ อ่ งให้จำ� เลยขายอาคารพาณิชย์ได้ในราคาไม่ตาํ่ กว่าห้องละ 6,500,000
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-35
ธ
ทีช่ ชี้ อ่ งให้จำ� เลยทัง้ สองขายอาคารพาณิชย์ได้ในราคาไม่ตาํ่ กว่าทีก่ ำ� หนดตามสัญญาข้อ 3 และมีสทิ ธิได้รบั
เงินในส่วนที่สามารถชี้ช่องให้จ�ำเลยทั้งสองขายในราคาสูงกว่าที่กำ� หนดตามสัญญาข้อ 4 อีกด้วย
คิดค่าบ�ำเหน็จนายหน้านั้นต้องคิดจากราคาที่ซื้อขายกันจริง
อุทาหรณ์
ม
ส�ำนักงานที่ดินระบุราคาตามราคาประเมินที่ทางราชการประกาศก�ำหนด ในประเด็นปัญหานี้เห็นว่า การ
ฎ. 2199/2535 โจทก์ช่วยติดต่อขายที่ดินให้จ�ำเลยส�ำเร็จเป็นกิจการที่ท�ำให้แก่กันโดย
พฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมท�ำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบ�ำเหน็จ ถือได้ว่าตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่า
บ�ำเหน็จนายหน้า ตาม ปพพ. มาตรา 846 วรรคแรก ส่วนข้อตกลงให้เงินส่วนทีเ่ กินจากราคาทีด่ นิ ทีจ่ ำ� เลย
สธ
ก�ำหนดไว้ 2,000,000 บาทเป็นค่าบ�ำเหน็จแก่โจทก์นนั้ เป็นข้อตกลงพิเศษส่วนหนึง่ ต่างหากแยกจากกัน แม้
จ�ำเลยจะขายที่ดินให้แก่ ฉ. ในราคา 2,000,000 บาทก็ตาม โจทก์ก็ยังมีสิทธิได้ค่าบ�ำเหน็จ และเมื่อไม่ได้
ความว่าค่าบ�ำเหน็จนัน้ ได้ตกลงกันเป็นจ�ำนวนเท่าใดและไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนีโ้ ดยชัดแจ้ง ศาลย่อม
มีอ�ำนาจก�ำหนดให้เท่าที่กำ� หนดได้ตามสมควร
ม
9-36 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ฎ. 2512/2530 ค่านายหน้าต้องเป็นไปตามที่คู่สัญญาตกลงกัน เมื่อไม่ได้ตกลงกันว่าจะคิด
จากราคาที่เสนอขายหรือราคาซื้อขายที่ตกลงกัน ดังนี้ โดยพฤติการณ์ที่คาดหมายได้ว่าโจทก์ท�ำให้เพื่อจะ
มส
เอาค่าบ�ำเหน็จ และกิจการทีโ่ จทก์ทำ� ไปท�ำให้ขายทีพ่ พิ าทให้จำ� เลยได้ โจทก์จงึ เรียกค่านายหน้าจากจ�ำเลย
ตามราคาที่ขายได้ ไม่ใช่ราคาเสนอขาย
ส�ำหรับจ�ำนวนบ�ำเหน็จนายหน้าตามธรรมเนียมในเรือ่ งซือ้ ขายทีด่ นิ นัน้ ศาลฎีกาเคยวินจิ ฉัย
ให้ในอัตราร้อยละ 5 ของราคาที่ซื้อขายกันจริง
อุทาหรณ์
ฎ. 3581/2526 ค่าบ�ำเหน็จนายหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันเป็นพิเศษจะต้องก�ำหนดกันไว้โดย
ชัดแจ้ง มิฉะนัน้ จะต้องถือว่าตกลงกันเป็นจ�ำนวนตามธรรมเนียมตามบทบัญญัตมิ าตรา 846 วรรคสองแห่ง
ปพพ. เมื่อทางพิจารณาไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่ามีการตกลงก�ำหนดค่าบ�ำเหน็จนายหน้ากันไว้เท่าใดแน่นอน
จึงต้องถือเอาอัตราตามธรรมเนียมซึ่งได้ความว่าจ�ำนวนร้อยละ 5 ของราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง
ธ
สิทธิในการได้รับบ�ำเหน็จค่านายหน้า แยกพิจารณาเป็น 2 กรณี ดังนี้
1.1 กรณีเป็นสัญญาที่ไม่มีเงื่อนไขบังคับก่อน สิ ท ธิ ใ นการได้ รั บ บ� ำ เหน็ จ ค่ า นายหน้ า
มส
เนื่องจากการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนคู่สัญญาของตนได้เข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอกแล้ว
นายหน้าย่อมมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จเมื่อสัญญานั้นได้ทำ� กันส�ำเร็จ
“เงื่อนไขบังคับก่อน” หมายความว่าข้อความอันบังคับไว้ให้นิติกรรมเป็นผลต่อเมื่อมี
เหตุการณ์อันไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ในอนาคตได้สำ� เร็จลงแล้ว21
“สัญญานั้นได้ท�ำกันส�ำเร็จ” หมายความว่าสัญญาระหว่างบุคคลภายนอกกับคู่สัญญาของ
นายหน้าได้ทำ� กันขึ้นอันเนื่องมาจากผลของการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น
ม
อนึง่ ถ้านายหน้าได้ชชี้ อ่ งหรือจัดการไปเช่นนัน้ แล้ว ปรากฏว่าสัญญานัน้ ยังมิได้ทำ� กันส�ำเร็จ
เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าชี้ช่องหรือจัดการนั้น นายหน้าย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าบ�ำเหน็จนายหน้า ใน
กรณีซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องท�ำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้ได้ท�ำกันเป็น
สัญญาจะซือ้ จะขายอสังหาริมทรัพย์นนั้ แล้วก็ถอื ได้วา่ สัญญานัน้ ได้ทำ� กันส�ำเร็จแล้ว หรือในกรณีสญ ั ญาทีท่ ำ�
นัน้ กฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ถ้าได้ทำ� สัญญากันแล้วแม้ยงั ไม่ได้ทำ� หลักฐานเป็นหนังสือ
ก็ถือได้ว่าสัญญานั้นได้ทำ� กันส�ำเร็จแล้วเช่นกัน
สธ
อุทาหรณ์
ฎ. 2173/2519 โจทก์จะเรียกค่านายหน้าได้ก็ต่อเมื่อจ�ำเลยกับผู้ซื้อได้ท�ำสัญญาซื้อขายกัน
เสร็จเนื่องจากผลของการที่โจทก์ชี้ช่องหรือจัดการ เมื่อสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจ�ำเลยกับผู้ซื้อยังไม่ได้
กระท�ำกัน โจทก์จึงไม่มีอ�ำนาจฟ้อง
ตัวอย่าง 1 นายแดงต้องการคนมาเช่าบ้านของตนแต่ไม่มีเวลาหาผู้เช่า จึงให้นายด�ำช่วยหา
ธ
คนมาท�ำสัญญาเช่าบ้านหลังดังกล่าวกับตนโดยตกลงให้บำ� เหน็จค่านายหน้าแก่นายด�ำเป็นเงินจ�ำนวน 2,000
บาท และนายด�ำตกลงรับท�ำการดังกล่าวให้ เช่นนี้สัญญานายหน้าเกิดขึ้นแล้วโดยมีนายด�ำเป็นนายหน้า
มส
หากนายด�ำน�ำนายเหลืองมาพบกับนายแดงและดูบ้านเช่า จนนายเหลืองตกลงเช่าโดยท�ำสัญญาเช่าบ้าน
นั้นกับนายแดง ดังนี้ นายด�ำย่อมมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จค่านายหน้าเป็นเงินจ�ำนวน 2,000 บาทจากนายแดง
แล้ว แต่นายถ้าเหลืองมาดูบ้านหลังดังกล่าวแล้วไม่ประสงค์จะเช่าและไม่ท�ำสัญญาเช่ากับนายแดง เช่นนี้
นายด�ำย่อมไม่มสี ทิ ธิได้รบั บ�ำเหน็จค่านายหน้าเป็นเงินจ�ำนวน 2,000 บาท เพราะสัญญาเช่ายังไม่ได้ทำ� กัน
ส�ำเร็จ
ตัวอย่าง 2 นายแดงต้องการขายที่ดินแปลงหนึ่งแต่ไม่มีเวลาหาผู้ซื้อ จึงให้นายด�ำช่วยหา
ผูซ้ อื้ มาท�ำสัญญาซือ้ ขายทีด่ นิ นัน้ กับนายแดง โดยตกลงจะให้บำ� เหน็จค่านายหน้าแก่นายด�ำเป็นเงินจ�ำนวน
ร้อยละ 10 ของราคาขายที่ดินแปลงนั้น และนายด�ำได้อาสารับท�ำการดังกล่าวให้ เช่นนี้ สัญญานายหน้า
เกิดขึ้นแล้วโดยมีนายด�ำเป็นนายหน้า หากนายด�ำน�ำนายม่วงมาพบกับนายแดงและดูที่ดินแปลงดังกล่าว
ธ
แล้ว นายม่วงตกลงซื้อที่ดินแปลงนั้น โดยวางเงินมัดจ�ำให้ไว้ก่อนในวันท�ำสัญญา เช่นนี้นายด�ำย่อมมีสิทธิ
ได้รบั ค่าบ�ำเหน็จเป็นเงินจ�ำนวนร้อยละ 10 ของราคาทีข่ ายทีด่ นิ นัน้ นับตัง้ แต่วนั ทีว่ างมัดจ�ำ ซึง่ เป็นวันทีน่ ายแดง
มส
นายเอกจึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าบ�ำเหน็จในการเป็นนายหน้าจากนายเดช
อุทาหรณ์
ม
ที่ดินนั้นไว้ ดังนี้ เป็นเพียงการท�ำหนังสือแจ้งความประสงค์จะจองที่ดินเท่านั้น ยังไม่ได้ทำ� สัญญาจะซื้อจะ
ขายระหว่างนายเดชกับนายโทกัน ผลจากการชีช้ อ่ งหรือจัดการของนายเอกทีท่ ำ� การเป็นนายหน้ายังไม่เกิดขึน้
ธ
ตกลงด้วย โดยน�ำที่ดินแปลงดังกล่าวมาร่วมกับนายตรี ดังนี้ไม่อาจถือได้ว่านายเดชขายที่ดินนั้นได้ส�ำเร็จ
แล้วด้วยการชี้ช่องของนายเอก นายเอกจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาบ�ำเหน็จค่านายหน้าจากนายเดช
มส อุทาหรณ์
ฎ. 7550/2550 จ�ำเลยทัง้ ห้าตกลงมอบหมายให้โจทก์ไปติดต่อขายทีด่ นิ ทัง้ ห้าแปลง โจทก์จงึ
ได้ไปติดต่อขายทีด่ นิ ให้แก่ ส. แต่ทโี่ จทก์นำ� สืบว่า ส. ไปตรวจดูทดี่ นิ แล้วพอใจ ส. และจ�ำเลยทัง้ ห้าจึงตกลง
ท�ำสัญญาซื้อขายกันที่บ้านของ ส. โดยโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาซื้อขายด้วยนั้นไม่น่าเชื่อ
เพราะโจทก์ไม่มหี ลักฐานสัญญาซือ้ ขายทีก่ ล่าวอ้างมาแสดง คงมีแต่คำ� เบิกความลอยๆ เท่านัน้ จึงยังถือไม่
ได้วา่ โจทก์ทำ� งานเสร็จเรียบร้อย หลังจากนัน้ โจทก์ยอมรับว่าโจทก์ไม่ได้ตดิ ต่อกับ ส. และจ�ำเลยทัง้ ห้าเกีย่ วกับ
เรื่องซื้อขายที่ดินนี้อีก ข้อเท็จจริงจึงเชื่อตามที่จ�ำเลยทั้งห้าน�ำสืบต่อมาโดยมีหลักฐานเป็นพยานเอกสาร
สนับสนุนว่า อ. บุตรเขยจ�ำเลยที่ 1 เป็นผู้ด�ำเนินการติดต่อกับ ส. ต่อมา โดย ส. อ้างว่าไม่มีเงินมาซื้อที่ดิน
ทั้งห้าแปลงของจ�ำเลยทั้งห้า แต่ถ้าจะน�ำที่ดินมาร่วมลงทุนกันและหาก�ำไรมาแบ่งกันก็สามารถท�ำได้ ข้อ
ธ
ตกลงทีว่ า่ ให้น�ำทีด่ นิ มาร่วมลงทุนและหาก�ำไรมาแบ่งกัน จึงเป็นข้อตกลงและวัตถุประสงค์ใหม่ซงึ่ จ�ำเลยทัง้
ห้าต้องน�ำไปปรึกษาหารือกันและตัดสินใจกันใหม่วา่ จะรับข้อเสนอใหม่นหี้ รือไม่ แสดงว่าการชีช้ อ่ งของโจทก์
มส
ทีต่ อ้ งการให้จำ� เลยทัง้ ห้าขายทีด่ นิ ให้แก่ ส. นัน้ ไม่เป็นผลส�ำเร็จเนือ่ งจาก ส. ไม่มเี งินซือ้ การตกลงน�ำทีด่ นิ
เข้าร่วมลงทุนกับ ส. แล้วน�ำก�ำไรมาแบ่งกันภายหลัง จึงเป็นวัตถุประสงค์ใหม่ของจ�ำเลยทั้งห้าไม่เกี่ยวข้อง
กับโจทก์และไม่อยู่ในกรอบวัตถุประสงค์เดิม เพราะการเข้าร่วมลงทุนนั้นเป็นการน�ำเอาที่ดินของจ�ำเลยทั้ง
ห้ามาเข้าร่วมกับ ส. และให้ ส. เป็นผู้บริหารจัดการโดยจ�ำเลยทั้งห้าได้เข้าร่วมเป็นเจ้าของโดยรับหุ้นของ
บริษัท บ. ของ ส. ซึ่งเป็นข้อตกลงใหม่ การเข้าร่วมลงทุนกับ ส. ตามข้อตกลงใหม่ดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่า
จ�ำเลยทั้งห้าขายที่ดินได้สำ� เร็จแล้วด้วยการชี้ช่องของโจทก์ แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงวิธีการขายที่ดิน
ม
ในรูปแบบใหม่ ซึ่งในที่สุดข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าจ�ำเลยทั้งห้าทราบว่าถูก ส. หลอกลวง จ�ำเลยทั้งห้าจึง
ได้ฟ้องเรียกที่ดินทั้งห้าแปลงคืนจากบริษัท บ. และ ส. กับพวก และศาลพิพากษาตามยอมให้คืนที่ดินทั้ง
ห้าแปลงดังกล่าวแก่จำ� เลยทั้งห้าแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์สามารถชี้ช่องให้จ�ำเลยทั้งห้าขายที่ดิน
ตามฟ้องจนส�ำเร็จวัตถุประสงค์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่านายหน้าจากจ�ำเลยทั้งห้าตามที่ตกลงกัน
1.2 กรณีเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน สิทธิในการได้รับบ�ำเหน็จค่านายหน้าในกรณีนี้
จะเกิดขึ้นเมื่อเงื่อนไขนั้นส�ำเร็จแล้ว มิใช่เกิดขึ้นตั้งแต่วันท�ำสัญญา
“สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน” หมายความว่า สัญญานั้นจะมีผลบังคับได้ก็ต่อเมื่อมี
สธ
เหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดในอนาคตที่กำ� หนดไว้เป็นเงื่อนไขนั้นได้เกิดขึ้นส�ำเร็จแล้ว เช่น ให้สัญญานั้นมี
ผลเมือ่ บุคคลภายนอกซึง่ เป็นคูส่ ญ ั ญากลับมาจากต่างประเทศแล้ว หรือให้สญ ั ญานัน้ มีผลเมือ่ บุคคลภายนอก
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-39
ซึ่งเป็นคู่สัญญาช�ำระเงินครบถ้วนแล้ว หรือให้สัญญานั้นมีผลเมื่อคู่สัญญานายหน้าได้โอนกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินให้แก่บุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญานั้นแล้ว เป็นต้น
ดังนั้น ในวันท�ำสัญญาดังกล่าวนี้ นายหน้ายังไม่มีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จจนกว่าเหตุการณ์ใน
อนาคตที่กำ� หนดไว้เป็นเงื่อนไขนั้นได้เกิดขึ้นส�ำเร็จแล้ว
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 3777/2533 ข้อตกลงเป็นนายหน้ามิได้ตกลงหรือก�ำหนดไว้เป็นอย่างอืน่ ประกอบกับสัญญา
จะซื้อขายที่ได้ท�ำกันไว้มีเงื่อนไขเป็นเงื่อนไขบังคับก่อน และเงื่อนไขตามสัญญาไม่ส�ำเร็จก็มิได้มีการเลิก
มส
สัญญาเช่นนี้ โจทก์จะเรียกค่าบ�ำเหน็จค่านายหน้าจากจ�ำเลยหาได้ไม่
ตัวอย่าง 1 นายแดงต้องการขายรถยนต์โตโยต้าโคโรน่าหมายเลขทะเบียน กก-2159
กรุงเทพมหานคร ใช้แล้วเป็นเวลา 8 ปี ในราคา 200,000 บาท โดยตกลงให้นายด�ำหาผู้ซื้อมาท�ำสัญญา
ซื้อขายกับนายแดง และตกลงให้บ�ำเหน็จค่านายหน้าเป็นเงินจ�ำนวน 10,000 บาท นายด�ำตกลงรับท�ำการ
ดังกล่าวให้ ต่อมานายด�ำได้พานายแสดมาพบนายแดงและดูรถยนต์คนั ดังกล่าวจนนายแสดตกลงซือ้ รถยนต์
คันนัน้ โดยมีเงือ่ นไขว่าให้นายแสดได้รบั ค�ำสัง่ ย้ายมารับราชการทีก่ รุงเทพฯ ก่อน เช่นนีเ้ ป็นสัญญาซือ้ ขาย
ที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน นายด�ำยังไม่มีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จค่านายหน้าเป็นเงินจ�ำนวน 10,000 บาท จากนาย
แดงเพราะเงื่อนไขตามสัญญาซื้อขายยังไม่เกิดขึ้น นายด�ำต้องรอจนกว่านายแสดได้รับค�ำสั่งย้ายให้มารับ
ราชการที่กรุงเทพฯ ก่อนจึงจะมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จค่านายหน้าดังกล่าว
ธ
ตัวอย่าง 2 นายแดงต้องการขายที่ดินแปลงหนึ่งแต่ไม่มีเวลาหาผู้ซื้อ จึงตกลงให้นายด�ำเป็น
นายหน้าหาผู้ซื้อมาท�ำสัญญาซื้อขายที่ดินนั้นกับนายแดง โดยตกลงจะให้บ�ำเหน็จค่านายหน้าแก่นายด�ำ
มส
เป็นเงินจ�ำนวนร้อยละ 10 ของราคาขายที่ดินแปลงนั้นเมื่อมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นให้แก่
ผูซ้ อื้ แล้ว นายด�ำน�ำนายม่วงมาพบกับนายแดงและดูทดี่ นิ แปลงดังกล่าวแล้ว นายม่วงตกลงซือ้ ทีด่ นิ แปลงนัน้
โดยวางเงินมัดจ�ำให้ไว้ก่อนในวันท�ำสัญญา เช่นนี้นายด�ำยังไม่มีสิทธิได้รับค่าบ�ำเหน็จ เพราะเป็นกรณีที่
สัญญามีเงือ่ นไขบังคับก่อน นายด�ำจะมีสทิ ธิได้รบั ค่าบ�ำเหน็จเป็นเงินจ�ำนวนร้อยละ 10 ของราคาทีข่ ายทีด่ นิ นัน้
นับตั้งแต่วันที่นายแดงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นให้แก่นายม่วงแล้วซึ่งเป็นวันที่เงื่อนไขส�ำเร็จ
เมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาท�ำสัญญาแล้ว และนายหน้ามี
สิทธิได้รบั บ�ำเหน็จค่านายหน้าดังกล่าวมาแล้วไม่วา่ ในกรณีใด แม้ตอ่ มาคูส่ ญ
นายหน้าแต่อย่างใด กล่าวคือนายหน้านั้นยังคงมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จอยู่เช่นเดิม
อนึง่ ในกรณีทคี่ สู่ ญ
ั ญาทัง้ สองฝ่ายคือ บุคคลภายนอกกับคูส่ ญ
ม
ั ญาได้ประพฤติปฏิบตั ผิ ดิ สัญญา
ต่อกัน หรือมีการเลิกสัญญากันก็ยอ่ มไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิทจี่ ะได้รบั บ�ำเหน็จค่านายหน้าต่อคูส่ ญ ั ญา
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 517/2494 นายหน้าได้ชักน�ำผู้ซื้อมาตกลงท�ำสัญญาซื้อขายกับผู้ขายตามความประสงค์
ผู้ขาย
มส
ของผู้ขายที่ได้ตกลงไว้กับนายหน้าแล้วนับว่านายหน้าได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน ตาม ปพพ. มาตรา 845
แล้ว แม้ภายหลังผู้ซื้อผิดสัญญากับผู้ขาย โดยไม่มีเงินไปช�ำระแก่ผู้ขายก็ตาม ก็เป็นเรื่องของผู้ขายจะ
ว่ากล่าวแก่ผู้ซื้อไม่เกี่ยวแก่นายหน้าอย่างใด ฉะนั้นนายหน้าย่อมมีสิทธิได้รับค่านายหน้าตามที่ตกลงไว้กับ
อายุความสิทธิเรียกร้องค่าบ�ำเหน็จนายหน้า กฎหมายมิได้บัญญัติอายุความสิทธิเรียกร้อง
ค่าบ�ำเหน็จนายหน้าไว้โดยเฉพาะ จึงต้องมีกำ� หนด 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/30
อุทาหรณ์
ฎ. 5103/2539 โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าบ�ำเหน็จนายหน้าโดยที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุ
ความเกี่ยวกับนายหน้าไว้เป็นพิเศษแต่อย่างใดจึงต้องใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำ� หนด 10 ปี
ธ
ฎ. 6952/2552 โจทก์ฟ้องเรียกค่าบ�ำเหน็จและเงินส่วนเกินตามสัญญานายหน้า ตาม ปพพ.
มาตรา 845 มิได้ฟ้องเรียกเอาสินจ้างจากการรับท�ำการงาน สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมิได้มีกฎหมายบัญญัติ
มส
เป็นต้น
ม
คู่สัญญาของตน แม้ว่าสัญญาระหว่างบุคคลภายนอกกับคู่สัญญาของนายหน้าจะมิได้ท�ำกันส�ำเร็จก็ตาม
ดังที่ ปพพ. มาตรา 845 วรรคสองบัญญัติไว้
“ค่าใช้จ่ายของนายหน้า” เช่น ค่าพาหนะ ค่าส่งจดหมายไปรษณีย์ ค่าโทรสาร ค่าโทรศัพท์ตดิ ต่อ
หน้าที่ของนายหน้า
ธ
มาตรา 847 บัญญัตวิ า่ “ถ้านายหน้าท�ำการให้แก่บคุ คลภายนอกด้วยก็ดี หรือได้รบั ค�ำมัน่ แต่บคุ คล
ภายนอกเช่นนั้นว่าจะให้ค่าบ�ำเหน็จอันไม่ควรแก่นายหน้าผู้กระท�ำการโดยสุจริตก็ดีเป็นการฝ่าฝืนต่อการ
ไม่”
มส
ที่ตนเข้ารับท�ำหน้าที่ไซร้ ท่านว่านายหน้าหามีสิทธิจะได้รับค่าบ�ำเหน็จหรือรับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไป
นายหน้ามีหน้าที่ดังต่อไปนี้
1. หน้าที่ต้องชี้ช่องหรือจัดการให้มีการท�ำสัญญากัน ดังได้กล่าวมาแล้วว่าสัญญานายหน้ามี
วัตถุประสงค์เพือ่ ให้นายหน้าชีช้ อ่ งให้ได้เข้าท�ำสัญญาหรือจัดการให้ได้ทำ� สัญญากัน ดังนัน้ หน้าทีข่ องนายหน้า
ในเรื่องชี้ช่องหรือการจัดการดังกล่าวนั้นจึงเป็นหน้าที่อันส�ำคัญของนายหน้า นายหน้าไม่มีหน้าที่เข้าไป
จัดการท�ำสัญญาด้วยตนเองแต่อย่างใด ซึง่ เป็นข้อแตกต่างจากสัญญาตัวแทนเว้นแต่คสู่ ญ ั ญาจะได้ตกลงให้
นายหน้านั้นเป็นตัวแทนด้วย
2. หน้าที่ต้องท�ำการตามหน้าที่ด้วยความสุจริต เมือ่ มีการตกลงรับเป็นนายหน้าแก่บคุ คลใดแล้ว
ธ
นายหน้าจะต้องกระท�ำด้วยความสุจริต ถ้านายหน้าท�ำการให้แก่บุคคลภายนอกด้วย หรือได้รับค�ำมั่นแต่
บุคคลภายนอกว่าจะให้คา่ บ�ำเหน็จอันไม่ควรแก่นายหน้าผูก้ ระท�ำการโดยสุจริต เป็นการฝ่าฝืนต่อการทีต่ น
มส
เข้ารับท�ำหน้าที่ดังกล่าว นายหน้าย่อมไม่มีสิทธิจะได้รับค่าบ�ำเหน็จหรือรับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไป
ตัวอย่าง นายวิชัยตกลงให้นายทนงเป็นนายหน้าขายที่ดินเนื้อที่ 10 ไร่ ในราคา 2.5 ล้านบาท แต่
ถ้าผูซ้ อื้ ต้องการซือ้ ในราคา 2 ล้านบาท ก็ให้ตกลงขาย ตกลงให้บำ� เหน็จร้อยละ 5 ของราคาทีต่ กลงซือ้ ขาย
กันและห้ามมิให้นายทนงไปเรียกร้องบ�ำเหน็จจากผู้ซื้อ นายทนงทราบว่านายสุรยุทธ์ต้องการที่ดินดังกล่าว
จึงไปเรียกร้องบ�ำเหน็จร้อยละ 7 ของราคาทีต่ กลงซือ้ ขายกันจากนายสุรยุทธ์และรับว่าจะด�ำเนินการให้นาย
สุรยุทธ์ซอื้ ทีด่ นิ นัน้ ในราคา 2 ล้านบาท ซึง่ เป็นราคาตํา่ ทีส่ ดุ ทีน่ ายวิชยั จะขายได้ ท�ำให้ประโยชน์ทนี่ ายวิชยั
ม
จะได้รบั ลดลง จนสัญญาซือ้ ขายทีด่ นิ นัน้ ได้ทำ� กันระหว่างนายวิชยั กับนายสุรยุทธ์ เช่นนี้ เป็นการท�ำการให้
แก่บุคคลภายนอกด้วยเพื่อหวังค่าบ�ำเหน็จจากผู้ซื้ออันไม่ควรแก่นายหน้าผู้กระท�ำการโดยสุจริต เป็นการ
ฝ่าฝืนต่อการเข้ารับท�ำหน้าที่ เช่นนี้ นายทนงไม่มสี ทิ ธิจะได้รบั ค่าบ�ำเหน็จหรือรับชดใช้คา่ ใช้จา่ ยทีไ่ ด้เสียไป
จากนายวิชัย
จากตัวอย่างข้างต้น นายทนงมีสทิ ธิเรียกร้องบ�ำเหน็จค่านายหน้าจากนายสุรยุทธ์ได้ เพราะนายทนง
มิได้ทำ� การใดที่เป็นการฝ่าฝืนต่อการเข้ารับท�ำหน้าที่เป็นนายหน้าของนายสุรยุทธ์
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 326-328/2518 จ�ำเลยทั้งสามได้ตกลงจะให้ค่าบ�ำเหน็จแก่โจทก์ผู้เป็นนายหน้า เพื่อชี้ช่องให้ได้
เข้าท�ำสัญญาขายที่ดินแก่กระทรวงการคลังในอัตราร้อยละยี่สิบของราคาที่ดินที่ขายได้ และสัญญาซื้อขาย
ทีด่ นิ ระหว่างจ�ำเลยกับกระทรวงการคลังได้ทำ� กันเสร็จเนือ่ งแต่ผลแห่งการทีโ่ จทก์ได้ชชี้ อ่ งนัน้ ศาลฎีกาเห็น
ม
9-42 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
เป็นนายหน้าของบุคคลภายนอกและเป็นนายหน้าของบุคคลทีจ่ ะเป็นคูส่ ญ ั ญากับบุคคลภายนอกนัน้ ในขณะ
เดียวกันได้ แต่ต้องไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อการที่ตนเข้ารับท�ำหน้าที่นายหน้านั้นด้วย มิฉะนั้นแล้วนายหน้าผู้
มส
นั้นจะไม่มีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จและค่าใช้จ่ายจากคู่สัญญาที่ตนฝ่าฝืนหน้าที่เช่นนั้น
ตัวอย่าง นายแดงต้องการขายทีด่ นิ แปลงหนึง่ เนือ้ ที่ 10 ไร่ ซึง่ ตัง้ อยูต่ ดิ แม่นาํ้ เจ้าพระยาและอยูใ่ กล้
ถนนในราคา 20 ล้านบาท โดยตกลงให้นายด�ำหาผู้ซื้อมาท�ำสัญญาซื้อขายกับนายแดง และตกลงจะให้
บ�ำเหน็จค่านายหน้าแก่นายด�ำเป็นเงินจ�ำนวนร้อยละ 5 ของราคาขาย และให้ค่าใช้จ่ายอีกเป็นเงินจ�ำนวน
50,000 บาท หากนายด�ำรู้ว่านายเขียวต้องการที่ดินลักษณะดังกล่าว นายด�ำจึงขอเป็นนายหน้าให้แก่นาย
เขียวเพือ่ หาทีด่ นิ มาให้นายเขียวท�ำสัญญาซือ้ ขายโดยนายเขียวตกลงและจะให้บำ� เหน็จค่านายหน้าแก่นาย
ด�ำเป็นเงินจ�ำนวน 200,000 บาท และค่าใช้จา่ ยอีก 100,000 บาท เช่นนีถ้ า้ นายด�ำชีช้ อ่ งหรือจัดการจนนาย
แดงกับนายเขียวได้ท�ำสัญญาซือ้ ขายกันส�ำเร็จ นายด�ำย่อมมีสทิ ธิได้รบั บ�ำเหน็จค่านายหน้าเป็นเงินจ�ำนวน
ร้อยละ 5 ของราคาขายที่ดินแปลงนั้นในราคา 20 ล้านบาท ทั้งค่าใช้จ่าย 50,000 บาทจากนายแดง และ
ธ
นายด�ำยังมีสทิ ธิได้รบั บ�ำเหน็จเป็นเงินจ�ำนวน 200,000 บาท และค่าใช้จา่ ยอีก 100,000 บาทจากนายเขียว
ด้วย เพราะนายด�ำเป็นนายหน้าทั้งสองทาง กล่าวคือนายด�ำเป็นนายหน้าของนายแดงและนายเขียว และ
นายด�ำก็ไม่ได้ฝา่ ฝืนหน้าทีข่ องการเป็นนายหน้าต่อนายแดงหรือต่อนายเขียวแต่อย่างใด เมือ่ สัญญาซือ้ ขาย
มส
ได้ท�ำกันส�ำเร็จ นายด�ำจึงมีสิทธิได้รับค่าบ�ำเหน็จและค่าใช้จ่ายจากคู่สัญญาตามสัญญานายหน้านั้น
แต่ถ้าตามตัวอย่างข้างต้น นายแดงได้ตกลงกับนายด�ำไว้ว่า ห้ามนายด�ำไปเรียกบ�ำเหน็จจากฝ่าย
ผู้ซื้ออีก เมื่อนายด�ำฝ่าฝืนไปเรียกบ�ำเหน็จจากนายเขียวผู้ซื้อดังกล่าว เช่นนี้เป็นกรณีที่นายด�ำนายหน้า
ท�ำการฝ่าฝืนหน้าทีก่ ารเป็นนายหน้าต่อนายแดง นายด�ำย่อมไม่มสี ทิ ธิได้รบั บ�ำเหน็จเป็นเงินจ�ำนวนร้อยละ
5 ของราคาขายที่ดิน 20 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอีก 20,000 บาทจากนายแดง แต่นายด�ำยังคงมีสิทธิได้
รับบ�ำเหน็จ 200,000 บาท และค่าใช้จา่ ย 100,000 บาทจากนายเขียว เพราะนายด�ำไม่ได้กระท�ำการฝ่าฝืน
ต่อการที่เข้ารับท�ำหน้าที่เป็นนายหน้าของนายเขียวแต่อย่างใด
3. หน้าที่ต้องบอกชื่อของฝ่ายหนึ่งให้รู้ถึงอีกฝ่ายหนึ่ง
ม
มาตรา 848 บัญญัติว่า “ตัวนายหน้าไม่ต้องรับผิดไปถึงการช�ำระหนี้ตามสัญญาซึ่งได้ท�ำต่อกัน
เพราะตนเป็นสื่อ เว้นแต่จะมิได้บอกชื่อของฝ่ายหนึ่งให้รู้ถึงอีกฝ่ายหนึ่ง”
โดยหลักแล้ว นายหน้าไม่มหี น้าทีต่ อ้ งรับผิดไปถึงการช�ำระหนีข้ องบุคคลภายนอกซึง่ เป็นคูส่ ญ ั ญา
ของคู่สัญญากับนายหน้า หรือการช�ำระหนี้ของคู่สัญญานายหน้ากับบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญากับ
สธ
คูส่ ญ
ั ญานายหน้า เพราะนายหน้าเป็นเพียงคนกลางทีช่ ชี้ อ่ งหรือจัดการให้ได้ทำ� สัญญากัน โดยนายหน้ามิได้
เข้าท�ำสัญญาด้วย อย่างไรก็ดี การทีม่ าตรา 848 บัญญัตขิ อ้ ยกเว้นให้นายหน้าต้องรับผิดไปถึงการช�ำระหนี้
ตามสัญญาซึ่งคู่สัญญาของนายหน้ากับบุคคลภายนอกได้ท�ำไว้เพราะตนเป็นสื่อนั้น ในกรณีที่นายหน้าไม่
ได้บอกชื่อของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-43
ธ
ต่อไปนี้
มส
คู่สัญญา บุคคลภายนอก
บอกชื่อของบุคคลภายนอก บอกชื่อของคู่สัญญา
นายหน้า
ธ
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าต้องมีพฤติการณ์ของนายหน้ามาประกอบการวินิจฉัย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้นายหน้า
แสวงหาประโยชน์โดยไม่สุจริตจากกรณีการท�ำหน้าที่นายหน้าดังกล่าว อย่าไรก็ตาม การวินิจฉัยจาก
มส
พฤติการณ์ต่างๆ ของนายหน้าในประเด็นความรับผิดของนายหน้าถึงการช�ำระหนี้ตามสัญญาซึ่งคู่สัญญา
ของนายหน้ากับบุคคลภายนอกได้ทำ� ไว้ เพราะตนเป็นสือ่ ในกรณีทนี่ ายหน้าไม่ได้บอกชือ่ ของคูส่ ญ
หนึ่งให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งรู้นั้น คงต้องรอศึกษาจากค�ำพิพากษาของศาลฎีกาต่อไปว่าจะตีความค�ำว่า
“เพราะตนเป็นสื่อ” แค่ไหนเพียงไร
ข้อสันนิษฐานของกฎหมาย
มาตรา 849 บัญญัติว ่า “การรับเงินหรือรับช�ำระหนี้อันจะพึงช�ำระตามสัญญานั้น ท่านให้
สันนิษฐานไว้ก่อนว่านายหน้าย่อมไม่มีอ�ำนาจที่จะรับแทนผู้เป็นคู่สัญญา”
ั ญาฝ่าย
บุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญากับคู่สัญญานายหน้านั้นแทนคู่สัญญานายหน้า
รับเงินหรือรับช�ำระหนี้แทน
กิจกรรม 9.2.2
1. นายหนึ่งต้องการขายสุนัขของตนราคา 12,000 บาท ตกลงให้นายสองเป็นนายหน้าและจะให้
บ�ำเหน็จ 2,000 บาท ถ้าตนขายสุนัขนั้นได้ นายสองติดต่อนายสามมาดูสุนัขจนนายสามตกลงซื้อสุนัขนั้น
จากนายหนึ่งโดยนายสามได้วางเงินมัดจ�ำให้นายหนึ่งไป 3,000 บาท ต่อมานายสามเกิดเปลี่ยนใจไม่ยอม
ธ
มารับสุนัขนั้นและไม่ชำ� ระเงินที่ค้างอีก 9,000 บาท โดยยินดีให้นายหนึ่งริบไป เช่นนี้ นายสองมีสิทธิได้รับ
บ�ำเหน็จนายหน้า 2,000 บาท หรือไม่
มส
2. นายไก่ต้องการขายพระเครื่ององค์หนึ่ง ตกลงให้นายไข่เป็นนายหน้าหาผู้ซื้อจะให้ค่าบ�ำเหน็จ
2,000 บาท นายไข่ตกลงด้วย ต่อมานายไข่ทราบมาว่านายเป็ดเสาะหาพระเครื่ององค์ดังกล่าวมานานแล้ว
จึงรับเป็นนายหน้าติดต่อผู้ขายให้และขอค่าบ�ำเหน็จนายหน้า 3,000 บาท นายเป็ดตกลงด้วย ในที่สุดนาย
ไข่ได้น�ำนายไก่และนายเป็ดมาพบกันจนตกลงซื้อขายพระเครื่ององค์นั้นในราคา 30,000 บาท นายไข่จึง
เรียกร้องค่าบ�ำเหน็จ 2,000 บาท จากนายไก่ นายไก่ปฏิเสธอ้างว่านายไข่ได้บ�ำเหน็จจากนายเป็ดแล้ว ตน
ไม่มีหน้าที่ต้องให้อีก เช่นนี้ ข้ออ้างของนายไก่ฟังขึ้นหรือไม่
แนวตอบกิจกรรม 9.2.2
1. นายหนึ่งต้องการขายสุนัขของตนราคา 12,000 บาท ตกลงให้นายสองเป็นนายหน้าและจะให้
บ�ำเหน็จ 2,000 บาท ถ้าตนขายสุนัขนั้นได้ นายสองติดต่อนายสามมาดูสุนัขจนนายสามตกลงซื้อสุนัขนั้น
ธ
จากนายหนึ่งโดยนายสามได้วางเงินมัดจ�ำให้นายหนึ่งไป 3,000 บาท เช่นนี้ สัญญาซื้อขายสุนัขนั้นได้ทำ�
กันส�ำเร็จแล้วโดยเกิดจากการชี้ช่องหรือจัดการของนายสองนายหน้า นายสองย่อมมีสิทธิได้รับบ�ำเหน็จ
มส
เรื่องที่ 9.2.3
ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญานายหน้า
ธ
บทบัญญัติใน ปพพ. บรรพ 3 ลักษณะ 16 นายหน้า ไม่ได้บัญญัติถึงเหตุที่ทำ� ให้สัญญานายหน้า
ระงับสิ้นไป ดังนั้นย่อมเป็นไปตามหลักทั่วไป และใน ปพพ. บรรพ 2 ลักษณะ 2 หมวด 4 การเลิกสัญญา
มส
มาใช้บังคับด้วย
สัญญานายหน้าอาจระงับสิ้นไปในกรณีดังต่อไปนี้
1. ถ้าในสัญญานายหน้าที่ทำ� ไว้มีก�ำหนดกรณีอันใดเป็นเหตุที่จะให้ระงับสิ้นไป เมื่อมีกรณีนั้น
อุทาหรณ์
ฎ. 225/2481 จ�ำเลยท�ำสัญญาให้โจทก์เป็นนายหน้าขายทีด่ นิ โดยให้คา่ นายหน้าร้อยละ 5 และส่วน
ที่ขายได้เกินตารางวาละ 2.75 บาท ให้เป็นของโจทก์ด้วย แต่ถ้าจ�ำเลยขายได้เองหรือมีผู้นำ� เอาไปขายให้
ได้แล้วสัญญานี้เป็นระงับ ท�ำสัญญาแล้วได้ 8 เดือน โจทก์ก็ยังขายไม่ได้จำ� เลยจึงแบ่งที่ออกเป็น 10 แปลง
แล้วมีผอู้ นื่ มารับเป็นนายหน้าขายทีด่ นิ ไปได้ 8 แปลง โดยโจทก์กท็ ราบดังนี้ สัญญานายหน้าระหว่างโจทก์
จ�ำเลยเป็นอันระงับ
ธ
ฎ. 4522/2533 ตามหนังสือสัญญานายหน้าได้ระบุไว้ว่า โจทก์จะต้องจัดการจดทะเบียนโอนขาย
ทีด่ นิ ให้เสร็จภายใน 200 วัน นับแต่วนั ท�ำสัญญา จึงเห็นได้วา่ การทีจ่ ะถือว่าโจทก์ทำ� การเป็นนายหน้าส�ำเร็จ
ต่อเมื่อจดทะเบียนโอนขายที่ดินกัน
มส
2. ถ้าสัญญานายหน้าที่ท�ำไว้มีก�ำหนดเวลา เมื่อครบก�ำหนดเวลานั้น
อุทาหรณ์
ฎ. 827/2523 สัญญานายหน้าระบุให้นายหน้าจัดการขายที่ดินให้เสร็จภายใน พ.ศ. 2518 เว้นแต่
มีเหตุสุดวิสัยเจ้าของที่ดินจะผ่อนเวลาต่อไปให้อีกตามที่เห็นสมควรนั้น แสดงให้เห็นถึงเจตนาของคู่สัญญา
ว่า ได้กำ� หนดระยะเวลาไว้แน่นอนแล้วว่าจะต้องขายทีด่ นิ ให้เสร็จภายในสิน้ ปี พ.ศ. 2518 หากไม่มกี ารผ่อน
เวลา ย่อมถือได้ว่าสัญญาดังกล่าวได้สิ้นสุดลง ม
ฎ. 1118/2533 จ�ำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินให้จ�ำเลย โดยหนังสือสัญญานายหน้า
มีข้อความว่า “มอบให้นายหน้าไปจัดการให้จดทะเบียน ณ ส�ำนักงานที่ดินให้เสร็จภายในก�ำหนด 10 วัน
นับแต่วันท�ำสัญญานี้ถ้าพ้นก�ำหนดเวลาดังกล่าวสัญญานายหน้านี้เป็นอันระงับสิ้นสุดลง”ดังนี้เห็นได้ว่าคู่
สัญญามีเจตนาก�ำหนดเวลาไว้แน่นอนว่าจะต้องจดทะเบียนซือ้ ขายโอนกรรมสิทธิใ์ ห้เสร็จสิน้ ภายในก�ำหนด
เวลา 10 วัน นับแต่วันท�ำสัญญา ก�ำหนดเวลาดังกล่าวจึงเป็นข้อสาระส�ำคัญของสัญญานายหน้า ทั้งไม่
ปรากฏว่าจ�ำเลยได้ผ่อนเวลาออกไปอีกแต่อย่างใด แม้โจทก์จะเป็นผู้ติดต่อให้ ม. ซื้อที่ดินจากจ�ำเลยก็ตาม
สธ
แต่เมือ่ พ้นก�ำหนด 10 วัน ตามสัญญา โจทก์ยงั ไม่สามารถจัดการให้มกี ารจดทะเบียนซือ้ ขายโอนกรรมสิทธิ์
กันได้ ถือว่าสัญญาสิ้นสุดไม่มีผลผูกพันคู่กรณี
ม
ตัวแทนค้าต่างและนายหน้า 9-47
ธ
กิจกรรม 9.2.3
มส
สัญญานายหน้าระหว่างนายอรุณเจ้าของทีด่ นิ กับนางสายทองนายหน้าระบุให้นางสายทองจัดการ
ขายทีด่ นิ ให้เสร็จภายใน พ.ศ. 2556 เว้นแต่มเี หตุสดุ วิสยั นายอรุณจะผ่อนเวลาต่อไปให้อกี ตามทีเ่ ห็นสมควร
ปรากฏว่านางสายยังไม่สามารถจัดการให้มีคนมาซื้อที่ดินนั้นได้ เช่นนี้ สัญญานายหน้าระหว่างนายอรุณ
กับนางสายทองได้ระงับสิ้นไปแล้วหรือยัง
แนวตอบกิจกรรม 9.2.3
สัญญานายหน้าระหว่างนายอรุณเจ้าของทีด่ นิ กับนางสายทองนายหน้าระบุให้นางสายทองจัดการ
ขายทีด่ นิ ให้เสร็จภายใน พ.ศ. 2556 เว้นแต่มเี หตุสดุ วิสยั นายอรุณจะผ่อนเวลาต่อไปให้อกี ตามทีเ่ ห็นสมควร
ปรากฏว่านางสายยังไม่สามารถจัดการให้มคี นมาซือ้ ทีด่ นิ นัน้ ได้ เช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงเจตนาของนายอรุณ
ธ
กับนางสายทองคู่สัญญาว่า ได้ก�ำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนแล้วว่าจะต้องขายที่ดินนั้นให้เสร็จภายในสิ้นปี
พ.ศ. 2556 เมื่อไม่มีการผ่อนเวลา ย่อมถือได้ว่าสัญญานายหน้าระหว่างนายอรุณกับนางสายทองได้ระงับ
มส
สิ้นไปแล้ว
ม
สธ
ม
9-48 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
บรรณานุกรม
ธ
ส�ำนักพิมพ์นิติบรรณาการ.
กุศล บุญยืน. (2532). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ด้วยตัวแทนและนายหน้า. กรุงเทพมหานคร:
ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัดยงพลเทรดดิ้ง.
มส
ไผทชิต เอกจริยากร. (2554). ตัวแทน นายหน้า. กรุงเทพมหานคร: บริษัทส�ำนักพิมพ์วิญญูชนจ�ำกัด.
สถิตย์ เล็งไธสง. (2538). ค�ำอธิบายกฎหมายตัวแทนและนายหน้า. กรุงเทพมหานคร: บริษัทส�ำนักพิมพ์วิญญูชน
จ�ำกัด.
ธ
มส
ม
สธ
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-1
หน่วยที่ 10
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ
ธ
ศาสตราจารย์ ดร.เสาวนีย์ อัศวโรจน์
มส
ธ
มส
ชื่อ
วุฒิ
ศาสตราจารย์ ดร.เสาวนีย์ อัศวโรจน์
ม
น.บ. (เกียรตินิยมดี) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
น.บ.ท., น.ม. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
น.ด. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศ.ศ.ด. กิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยรังสิต
สธ
LL.M. (International Legal Studies) New York University
LL.M. (General Studies) New York University
ต�ำแหน่ง กรรมการปฏิรูปกฎหมาย ส�ำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 10
ม
10-2 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แผนการสอนประจ�ำหน่วย
ธ
หน่วยที่ 10 ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ
ตอนที่
แนวคิด
มส
10.1 ประนีประนอมยอมความ
10.2 การพนันและขันต่อ
1. ป ระนีประนอมยอมความเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดการระงับข้อพิพาทซึ่งเป็นทางเลือกอย่างหนึ่ง
นอกจากการฟ้องคดีต่อศาล โดยคู่กรณีพิพาทตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทของตนที่มีอยู่แล้ว
หรือจะมีขึ้นด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือและมีผลท�ำให้ข้อพิพาท
ธ
เดิมระงับสิ้นไปและคู่กรณีแต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา
2. การพนันและขันต่อเป็นสัญญาทีค่ สู่ ญ
ั ญาได้ตกลงกันว่า ฝ่ายแพ้จะจ่ายเงินหรือทรัพย์สนิ แก่อกี
ฝ่ายหนึ่งซึ่งชนะ เมื่อเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งไม่แน่นอนเกิดขึ้นในอนาคตอันเป็นการ
มส
เสี่ยงโชคโดยอาศัยความสามารถของคู่สัญญา และอาจมีการต่อรองซึ่งได้เสียกันโดยอาศัย
เหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอนเป็นข้อแพ้ชนะโดยคู่สัญญามิได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
เหล่านั้น แต่ผลของการพนันและขันต่อนั้นไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่บังคับกันได้ตามกฎหมาย
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 10 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาในเรื่องประนีประนอมยอมความได้
2. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาในเรื่องการพนันและขันต่อได้
กิจกรรมระหว่างเรียน
ม
1. ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 10
2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 10.1-10.2
สธ
3. ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
4. ฟังซีดีเสียงประกอบชุดวิชา
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-3
6. เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
7. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 10
สื่อการสอน
ธ
1. เอกสารการสอน
2. แบบฝึกปฏิบัติ
3. ซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
4.
5.
มส
รายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
การสอนเสริม (ถ้ามี)
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบประจ�ำภาคการศึกษา
ธ
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 10 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
มส
ม
สธ
ม
10-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 10.1
ประนีประนอมยอมความ
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 10.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
10.1.1 สาระส�ำคัญของประนีประนอมยอมความ
10.1.2 ประเภทของประนีประนอมยอมความ
10.1.3 หลักฐานของประนีประนอมยอมความ
10.1.4 ผลของประนีประนอมยอมความ
10.1.5 การบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความและอายุความ
1. ป ระนีประนอมยอมความเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดการระงับข้อพิพาทที่คู่กรณีพิพาทตกลง
กันระงับข้อพิพาททีม่ อี ยูห่ รือทีจ่ ะมีขนึ้ ในอนาคตให้เสร็จสิน้ ไปโดยคูก่ รณีพพิ าทต่างยอม
ผ่อนผันให้แก่กนั และเป็นการระงับข้อพิพาททางเลือกอย่างหนึง่ นอกจากการฟ้องคดีตอ่
ธ
ศาล โดยเป็นเอกเทศสัญญาชนิดหนึ่งที่บัญญัติไว้ใน ปพพ. ดังนั้นในกรณีใดที่ไม่มี
บทบัญญัตขิ องกฎหมายทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้เป็นพิเศษก็ตอ้ งอยูภ่ ายใต้บงั คับของบทบัญญัตขิ อง
มส
5. ก ารบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นต้องกระท� ำโดยการฟ้องคดีต่อศาล
ส�ำหรับประนีประนอมยอมความนอกศาล หรือบังคับโดยขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี
ส�ำหรับประนีประนอมยอมความในศาล
6. อายุความส�ำหรับการฟ้องคดีเพื่อบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีก�ำหนด
ธ
สิบปี หากไม่มีการฟ้องคดีภายในก�ำหนดอายุความ คดีย่อมขาดอายุความอันท�ำให้
คู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีสามารถยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้
มส
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 10.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายสาระส�ำคัญของประนีประนอมยอมความและสัญญาประนีประนอมยอมความได้
2. อธิบายประเภทและลักษณะของประนีประนอมยอมความของแต่ละประเภทได้
3. อธิบายหลักฐานของประนีประนอมยอมความได้
4. อธิบายผลของประนีประนอมยอมความได้
5. อธิบายการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และอายุความของการบังคับตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความได้
ธ
6. วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับประนีประนอมยอมความได้
มส
ม
สธ
ม
10-6 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 10.1.1
สาระส�ำคัญของประนีประนอมยอมความ
ธ
ประนีประนอมยอมความเป็นการระงับข้อพิพาททางแพ่งวิธีหนึ่งนอกจากการฟ้องคดีต่อศาลและ
การอนุญาโตตุลาการ โดยเป็นการระงับข้อพิพาททีเ่ ป็นทางเลือกชนิดหนึง่ นอกจากการฟ้องคดีตอ่ ศาล เช่น
มส
เดียวกับการอนุญาโตตุลาการ เนือ่ งจากการระงับข้อพิพาทหลักของประเทศไทย คือ การฟ้องคดี แต่คกู่ รณี
พิ พ าทอาจเลื อ กระงั บ ข้ อ พิ พ าทของตนโดยวิ ธี ก ารอื่ น ๆ ได้ คื อ ประนี ป ระนอมยอมความและการ
อนุญาโตตุลาการ
ประนีประนอมยอมความเป็นวิธกี ารระงับข้อพิพาททีเ่ กิดขึน้ และใช้กนั ในสังคมตัง้ แต่ยคุ เริม่ แรกและ
ยังได้รับความนิยมใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน1 เนื่องจากมีความสะดวก ประหยัด รวดเร็ว และสามารถรักษา
ชื่อเสียง ความลับและความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีพิพาทไว้ได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับการระงับข้อพิพาทวิธี
อื่นๆ2
การระงับข้อพิพาทโดยประนีประนอมยอมความนั้นมีลักษณะเป็นสัญญา กล่าวคือ เกิดขึ้นจาก
สัญญาระหว่างคูก่ รณีพพิ าททีต่ กลงกันให้ระงับข้อพิพาทโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กนั และคูก่ รณีผกู พันได้
ธ
สิทธิต่างๆ กันตามที่ตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ส�ำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับประนีประนอมยอมความนั้นมีบทบัญญัติลักษณะทั่วไปไว้ ใน ปพพ.
บรรพ 3 ลักษณะ 17 ซึ่งอยู่ใน มาตรา 850-852 กล่าวคือ มาตรา 850 เป็นเรื่องค�ำนิยามและหลักเกณฑ์
มส
จากบทบัญญัตินี้สามารถแบ่งแยกสาระส�ำคัญหรือหลักเกณฑ์ของประนีประนอมยอมความได้
ดังจะกล่าวต่อไป
1. เป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีพิพาทและเป็นเอกเทศสัญญา
2. มีการระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไป
3. คู่กรณีต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน
ธ
1. เป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีพิพาทและเป็นเอกเทศสัญญา
มส
การทีจ่ ะมีการระงับข้อพิพาทโดยประนีประนอมยอมความได้นนั้ จะต้องมีสญ ั ญา คือ มีการตกลงกัน
ระหว่างคู่กรณีพิพาทที่จะระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ระหว่างกันหรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยประนีประนอม
ยอมความ นอกจากนัน้ ในความสัมพันธ์ระหว่างคูก่ รณีหลังจากตกลงระงับข้อพิพาทโดยประนีประนอมยอม
ความแล้วในบางส่วนก็ยงั เป็นเรือ่ งของสัญญา เช่น คูก่ รณีพพิ าทตกลงกันในเรือ่ งทีพ่ พิ าทว่าจะให้สทิ ธิหน้าที่
ในเรื่องที่พิพาทต่อกันแก่บุคคลใดและอย่างไรบ้าง
นอกจากประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาแล้วก็มลี กั ษณะเป็นเอกเทศสัญญา คือ หากมีกรณีที่
กฎหมายบัญญัตไิ ว้เป็นเอกเทศ คือ เป็นพิเศษแยกต่างหากจากกรณีทวั่ ไปก็อยูภ่ ายใต้บงั คับบทบัญญัตขิ อง
กฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะหรือเป็นพิเศษนั้น ซึ่งมีเพียงสองเรื่อง คือ ประนีประนอมยอมความต้องมี
หลักฐานเป็นหนังสือเพื่อใช้ในการฟ้องบังคับคดี และผลของประนีประนอมยอมความย่อมท�ำให้ข้อพิพาท
ธ
เดิมระงับสิ้นไปและคู่กรณีผูกพันกัน คือ ได้รับสิทธิตามที่ได้ตกลงระบุกันไว้ในสัญญา แต่ถ้าเรื่องใดไม่มี
กฎหมายบัญญัตไิ ว้โดยเฉพาะก็อยูภ่ ายใต้บงั คับบทบัญญัตนิ ติ กิ รรมสัญญา เช่น ความสามารถของคูส่ ญ ั ญา
มส
การเกิดของสัญญา และการแสดงเจตนาของคู่กรณี
ด้วยเหตุดังกล่าว ประนีประนอมยอมความจึงมีส่วนเนื้อหาสาระส�ำคัญส่วนใหญ่เป็นสัญญา และ
ต้องน�ำบทบัญญัติในกฎหมายลักษณะนิติกรรมสัญญาไปใช้บังคับ ตั้งแต่การเกิด การปฏิบัติตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความ การบังคับการให้เป็นไปตามสัญญาในกรณีที่มีการไม่ปฏิบัติตามสัญญา และการ
สิ้ น สุ ด ของประนี ป ระนอมยอมความ แต่ ใ นเรื่ อ งหลั ก ฐานของประนี ป ระนอมยอมความและผลของ
ประนีประนอมยอมความย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติเฉพาะ โดยมีรายละเอียดต่างๆ ดังจะกล่าวต่อไป
ได้
คูก่ รณีพพิ าท คือ บุคคลทีม่ ปี ญ
ม
1.1 คู่สัญญา บุคคลที่จะเป็นคู่สัญญาในประนีประนอมยอมความนั้นต้องเป็นคู่กรณีพิพาทในข้อ
พิพาทที่จะระงับกันนั้น
ั หาพิพาทหรือความขัดแย้งในปัญหาใดๆ ทีย่ งั ไม่สามารถตกลงกัน
อุทาหรณ์
ฎ. 7473/2537 โจทก์จ�ำเลยอยูก่ นิ ฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ขณะทีโ่ จทก์และจ�ำเลย
ท�ำบันทึกข้อตกลงแยกกันอยู่โดยให้ ย. ผู้เยาว์อยู่กับแต่ละฝ่ายคนละ 2 สัปดาห์ โจทก์ไม่ได้เป็นบิดาโดย
ชอบด้วยกฎหมายของ ย. โจทก์จึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ดังกล่าว ข้อพิพาทอันเกี่ยวกับการปกครองดูแล ย.
ระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยย่อมไม่มี โจทก์และจ�ำเลยจึงไม่อาจท�ำบันทึกข้อตกลงเพื่อระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับ
ธ
ย. ได้ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850 โจทก์
ไม่อาจฟ้องให้บังคับจ�ำเลยให้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวได้
มส
อนึง่ ในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความนัน้ คูก่ รณีพพิ าทอาจเป็นผูท้ ำ� สัญญาด้วยตนเองหรือ
มอบอ�ำนาจให้บุคคลอื่นท�ำแทนก็ได้ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่มีความแตกต่างกันบ้าง ดังจะกล่าวต่อไป
1) คู่กรณีท�ำสัญญาด้วยตนเอง ในกรณีทคี่ กู่ รณีพพิ าทประสงค์จะท�ำสัญญาด้วยตนเองก็ตอ้ ง
เป็นผู้มีความสามารถในการท�ำนิติกรรม กล่าวคือ ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาก็ต้องมีความสามารถบริบูรณ์ตาม
กฎหมาย หรือหากมีความสามารถบกพร่องก็ตอ้ งกระท�ำการโดยบุคคลซึง่ มีอำ� นาจกระท�ำการแทนและปฏิบตั ิ
ตามบทบัญญัตขิ องกฎหมายทีเ่ กีย่ วข้อง แต่ถา้ เป็นนิตบิ คุ คลก็ตอ้ งกระท�ำโดยผ่านทางผูแ้ ทนของนิตบิ คุ คล
โดยมีรายละเอียด เพราะหากคู่กรณีท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่มีความสามารถแล้วก็มีผล
เช่นเดียวกับการท�ำนิติกรรมใดๆ โดยไม่มีความสามารถ คือ มีผลเป็นโมฆียะซึ่งอาจถูกบอกล้างให้เป็น
โมฆะได้ ตาม ปพพ. มาตรา 153 ดังนัน้ บุคลทีจ่ ะท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงต้องมีความสามารถ
ธ
ตามกฎหมาย ดังนี้
(1) บุคคลธรรมดา ดังทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วว่าบุคคลธรรมดาทีจ่ ะเป็นคูส่ ญ ั ญาในสัญญาใน
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 767/2499 สัญญาแบ่งมรดกระหว่างทายาท เมื่อทายาทคนหนึ่งเป็นผู้เยาว์
ท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความเรื่องแบ่งมรดก แม้พี่สาวจะลงชื่อในสัญญาแทนก็ใช้ไม่ได้ตามกฎหมาย
ฎ. 1019/2512 ทีน่ าพิพาทเป็นทรัพย์มรดกตกทอดได้แก่โจทก์ โจทก์ทงั้ สามเป็น
ผูเ้ ยาว์ มารดาโจทก์ไม่มอี ำ� นาจท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความเกีย่ วกับทีพ่ พิ าทได้โดยพลการ ต้องห้าม
ธ
ตาม ปพพ. สัญญาประนีประนอมยอมความที่ท�ำกันไว้ ไม่มีผลบังคับโจทก์ได้
ฎ. 1313/2512 ทายาททุกคนท�ำสัญญาแบ่งปันมรดกซึง่ ไม่มพี นิ ยั กรรม เป็นการ
ตกเป็นโมฆะ
มส
ระงับข้อพิพาทแห่งกองมรดกที่จะมีขึ้น จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่การที่ผู้เยาว์อายุ 18 ปี
มีภริยาทีไ่ ม่ได้จดทะเบียนสมรส จึงยังไม่บรรลุนติ ภิ าวะได้ทำ� สัญญาประนีประนอมยอมความในการแบ่งปัน
ทรัพย์มรดก โดยผู้ใช้อ�ำนาจปกครองให้ความยินยอมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลนั้นย่อมใช้บังคับไม่ได้
ขณะที่ผู้ใช้อำ� นาจปกครองท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับทรัพย์สิน
ของเด็กในศาลแพ่ง ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางเปิดด�ำเนินการแล้ว ผู้ใช้อ�ำนาจปกครองจึงต้องได้รับ
อนุญาตจากศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง ตาม พรบ. จัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 8
ก่อนมิฉะนั้นเป็นการขัดต่อ ปพพ. มาตรา 1546 สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวและค�ำพิพากษา
ตามยอม ไม่ผูกพันเด็ก ไม่ว่าเด็กจะรู้เห็นยินยอมหรือไม่
ฎ. 1602/2519 ข้อตกลงแบ่งที่ดินมรดกเป็นการระงับข้อพิพาทที่จะมีขึ้นเป็น
ม
สัญญาประนีประนอมยอมความ บิดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยขอบธรรมของผู้เยาว์ท�ำแทนโดยไม่ได้รับอนุญาต
จากศาลตกเป็นโมฆะ ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความ
สงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จ�ำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ก็มี
อ�ำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ (ฎ. 1072/2527)
ข) คนไร้ความสามารถ คือ คนวิกลจริตที่ไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้
ซึง่ ศาลได้สงั่ ให้เป็นคนไร้ความสามารถและอยูใ่ นความอนุบาลของผูอ้ นุบาลแล้วนัน้ จะท�ำนิตกิ รรมใดๆ ด้วย
ตนเองมิได้ ดังนั้น หากคนไร้ความสามารถจะท�ำนิติกรรมใดๆ ต้องให้ผู้อนุบาลกระท�ำแทน ตาม ปพพ.
สธ
มาตรา 29 แต่ในกรณีการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นอาจมีปัญหาว่าผู้อนุบาลจะท�ำสัญญาแทน
คนไร้ความสามารถเหมือนกับนิติกรรมอื่นๆ ได้หรือไม่เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติใดห้ามหรือตั้งเงื่อนไขไว้
อย่างชัดเจนซึ่งไม่เหมือนกับกรณีของผู้เยาว์
ม
10-10 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ผูเ้ ยาว์และมีบดิ ามารดาเป็นผูอ้ นุบาล คนไร้ความสามารถทีม่ ใิ ช่ผเู้ ยาว์และมีบดิ ามารดาหรือบุคคลอืน่ ทีม่ ใิ ช่
คูส่ มรสเป็นผูอ้ นุบาลและคนไร้ความสามารถทีเ่ ป็นผูเ้ ยาว์แต่มบี คุ คลอืน่ ทีม่ ใิ ช่บดิ ามารดาเป็นผูอ้ นุบาล และ
มส
คนไร้ความสามารถที่มิใช่ผู้เยาว์และมีคู่สมรสเป็นผู้อนุบาล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- คนไร้ความสามารถซึ่งเป็นผู้เยาว์และมีบิดามารดาเป็นผู้อนุบาล
ในกรณีคนไร้ความสามารถซึง่ เป็นผูเ้ ยาว์และมีบดิ ามารดาเป็นผูอ้ นุบาลนัน้
มีบทบัญญัติของ ปพพ. มาตรา 1598/18 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องการอนุบาลคนไร้ความสามารถบัญญัติให้
น�ำบทบัญญัตวิ า่ ด้วยอ�ำนาจหน้าทีข่ องผูใ้ ช้อำ� นาจปกครองมาใช้บงั คับโดยอนุโลม จึงต้องน�ำบทบัญญัตขิ อง
ปพพ. มาตรา 1574 (12) ซึ่งอยู่ในเรื่องอ�ำนาจหน้าที่ของผู้ใช้อ�ำนาจปกครองมาใช้บังคับกับประนีประนอม
ยอมความที่ผู้อนุบาลดังกล่าวท�ำแทนผู้ไร้ความสามารถซึ่งเป็นผู้เยาว์ด้วย
- คนไร้ความสามารถซึง่ เป็นผูบ้ รรลุนติ ภิ าวะแล้วและมีบดิ าหรือมารดาเป็น
ผู้อนุบาล
ธ
ส�ำหรับกรณีคนไร้ความสามารถซึง่ เป็นผูบ้ รรลุนติ ภิ าวะแล้วและมีบดิ าหรือ
มารดาเป็นผู้อนุบาล หรือในกรณีที่มีบุคคลอื่นซึ่งมิใช่บิดามารดาหรือคู่สมรสเป็นผู้อนุบาล ซึ่งรวมทั้งกรณี
มส
ธ
ก่อน เพราะเป็นกิจการที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 34 (11) ว่าเป็นกิจการที่ต้องได้รับความ
ยินยอมจากผูพ้ ทิ กั ษ์กอ่ น มิฉะนัน้ ประนีประนอมยอมความย่อมเป็นโมฆียะซึง่ อาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะ
ได้
มส ง) ผู้ซึ่งถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์และบุคคลล้มละลาย บุคคลซึ่งเป็นลูกหนี้และมี
หนี้สินล้นพ้นตัวอาจถูกเจ้าหนี้ฟ้องต่อศาลเป็นคดีล้มละลายได้และหากศาลมีค�ำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์สินของ
ลูกหนีไ้ ม่วา่ เด็ดขาดหรือชัว่ คราว ย่อมมีผลท�ำให้ลกู หนีห้ มดอ�ำนาจจัดการทรัพย์สนิ ของตน เนือ่ งจากอ�ำนาจ
จัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์
ดังนั้น ผู้ที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวหรือเด็ดขาด ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็น
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และประสงค์จะท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความก็ต้องด�ำเนินการโดยเจ้า
พนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เนื่องจากบุคคลดังกล่าวไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้ ตาม มาตรา 22 แห่ง
พรบ. ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 และหากบุคคลนั้นถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายก็ไม่สามารถกระท�ำ
ธ
นิติกรรมใดๆ รวมทั้งการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความได้เช่นกัน เพราะเป็นอ�ำนาจของเจ้าพนักงาน
พิทักษ์ทรัพย์
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 8707/2555 ตาม พรบ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 บัญญัติว่า “เมื่อ
ศาลสั่ ง พิ ทั ก ษ์ ท รั พ ย์ ข องลู ก หนี้ แ ล้ ว เจ้ า พนั ก งานพิ ทั ก ษ์ ท รั พ ย์ แ ต่ ผู ้ เ ดี ย วมี อ� ำ นาจดั ง ต่ อ ไปนี้ . ..(3)
ประนีประนอมยอมความ หรือฟ้องร้อง หรือต่อสู้คดีใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้” การที่ผู้ร้องยื่น
ค�ำร้องขอกันส่วนจากเงินขายทอดตลาดที่ดิน ซึ่งจ�ำเลยที่ 1 ผู้ล้มละลายมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย ย่อมมีผล
เกี่ยวกับทรัพย์สินของจ�ำเลยที่ 1 อ�ำนาจในการต่อสู้คดีนี้ของจ�ำเลยที่ 1 จึงตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์
ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามบทบัญญัติดังกล่าว จ�ำเลยที่ 1 หามีสิทธิด�ำเนินกระบวนพิจารณาต่อสู้คดีด้วยตนเอง
ไม่ ที่ศาลชั้นต้นไม่ส่งส�ำเนาค�ำร้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจ�ำเลยที่ 1 เพื่อเข้าด�ำเนินกระบวน
พิจารณาแทนจ�ำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบ
ม
(2) นิตบิ คุ คล ส�ำหรับนิตบิ คุ คลซึง่ จะท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความนัน้ ก็เหมือนกับ
การท�ำนิตกิ รรมอืน่ ๆ ทัว่ ไป คือ ต้องกระท�ำโดยผ่านผูแ้ ทนของนิตบิ คุ คล โดยปฏิบตั ติ ามข้อบังคับ ตราสาร
จัดตั้ง และอยู่ในขอบวัตถุประสงค์และอ�ำนาจหน้าที่ของนิติบุคคล เนื่องจาก ปพพ. มาตรา 70 บัญญัติไว้
มีใจความว่า นิตบิ คุ คลต้องมีผแู้ ทนคนหนึง่ หรือหลายคน ทัง้ นีต้ าม ทีก่ ฎหมายข้อบังคับ หรือตราสารจัดตัง้
สธ
จะได้ก�ำหนดไว้ และความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคล
3) ผู้มีอ�ำนาจท�ำสัญญาแทนคู่สัญญา นอกจากคู่กรณีพิพาทที่มีความสามารถบริบูรณ์จะท�ำ
สัญญาด้วยตนเองแล้ว ก็อาจมอบหมายให้บุคคลอื่นท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนตนได้ แต่ถ้า
ม
10-12 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
อย่างไรก็ตาม ในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเนื่องจากต้องมีการท�ำ
หลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องบังคับคดีกันได้ ในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความของตัวแทนแทน
มส
ตัวการก็ตอ้ งมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย เนือ่ งจาก ปพพ. มาตรา 798 วรรคสอง บัญญัตไิ ว้วา่ กิจการอันใด
ทีก่ ฎหมายบังคับไว้วา่ ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตัง้ ตัวแทนเพือ่ กระท�ำกิจการนัน้ ก็ตอ้ งมีหลักฐานเป็น
หนังสือด้วย เว้นแต่เข้ากรณียกเว้นไม่ต้องด�ำเนินการตามปกติ เช่น ตัวแทนเชิด หรือการให้สัตยาบันการ
กระท�ำที่นอกขอบอ�ำนาจ
อุทาหรณ์
ฎ. 946/2509 (ป.ใหญ่) เจ้าหนี้ของจ�ำเลยฟ้องจ�ำเลยเรียกหนี้สิน ผู้รับมอบอ�ำนาจจาก
จ�ำเลยน�ำใบมอบอ�ำนาจมาขอท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจ�ำเลย แต่ใบมอบอ�ำนาจนั้นเป็นเรื่อง
ท�ำให้คำ� ขอรับรองการท�ำประโยชน์และท�ำนิติกรรมขายที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 607 แม้จะมีข้อความว่าให้มี
อ�ำนาจด�ำเนินคดีทางศาล เช่น ยอมความได้ดว้ ยก็ตาม ก็เป็นเรือ่ งเกีย่ วกับทีด่ นิ นัน้ เท่านัน้ ดังนัน้ ผูร้ บั มอบ
ธ
อ� ำ นาจจึ ง ไม่ มี อ� ำ นาจท� ำ สั ญ ญาประนี ป ระนอมยอมความกั บ เจ้ า หนี้ ข องจ� ำ เลย แม้ ศ าลจะท� ำ สั ญ ญา
ประนีประนอมยอมความและพิพากษาตามยอมให้ ก็ไม่มีผลผูกพันจ�ำเลย เมื่อจ�ำเลยถูกศาลพิพากษาให้
มส
ธ
ที่เกิดขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันโดยการสละสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่จะพึงมี
ต่อกัน ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและเป็นผลให้มูลละเมิดซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไป
มส
การที่ ช. ยินยอมให้ ว. ตกลงระงับข้อพิพาทในมูลละเมิดโดยการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความเท่ากับ
ช. แสดงออกหรือยอมให้ ว. แสดงออกว่า ว. เป็นตัวแทนของ ช. ในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความ
ช. จึงต้องผูกพันและรับเอาผลของการที่ ว. ท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจ�ำเลยซึ่งเป็นบุคคล
ภายนอกผู้สุจริตที่มีเหตุควรเชื่อว่า ว. เป็นตัวแทนของ ช. ตาม ปพพ. มาตรา 821 โจทก์จะอ้างว่าการตั้ง
ตัวแทนไม่ได้ทำ� เป็นหนังสือ ตาม ปพพ. มาตรา 789 ไม่ได้ แม้ร้อยต�ำรวจโท อ. พนักงานสอบสวนเป็น
ผู้ท�ำบันทึกรายงานประจ�ำวันเกี่ยวกับคดีเพื่อเปรียบเทียบปรับจ�ำเลย และ ว. แต่เมื่อเอกสารดังกล่าวมีข้อ
ตกลงระหว่างคู่กรณีที่มุ่งจะระงับข้อพิพาททางแพ่งที่เกิดขึ้นแล้วซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอม
ยอมความรายงานประจ�ำวันเกี่ยวกับคดีจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ชอบด้วยกฎหมาย
(2) ทนายความ โดยหลัก ทนายความมีอำ� นาจว่าความและด�ำเนินกระบวนพิจารณา
ธ
แทนตัวความเพือ่ ประโยชน์ของตัวความ และต้องไม่ดำ� เนินกระบวนพิจารณาใดๆ ทีเ่ ป็นไปในทางจ�ำหน่าย
สิทธิของตัวความ เว้นแต่ได้รับมอบอ�ำนาจจากตัวความโดยชัดแจ้ง ดังนั้น ทนายความจึงไม่สามารถท�ำ
ประนีประนอมยอมความแทนตัวความได้ เว้นแต่ได้รับมอบอ�ำนาจจากตัวความโดยชัดแจ้ง เช่น ระบุว่าให้
มส
มีอ�ำนาจท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความได้ในใบแต่งทนายหรือในภายหลังโดยระบุไว้ในเอกสารอื่นๆ
เพราะประนีประนอมยอมความอาจก่อผลในทางจ�ำหน่ายสิทธิของคูค่ วามได้ เนือ่ งจากต้องมีการสละข้อเรียกร้อง
ที่พิพาทกันและยอมรับผูกพันว่าจะได้รับสิทธิตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือได้
มีการให้สัตยาบันส�ำหรับการกระท�ำที่เกินขอบอ�ำนาจ
อุทาหรณ์
ฎ. 1328/2480 สัญญายอมความที่ทนายลงนามแทนตัวความโดยมิได้รับมอบอ�ำนาจ
ม
พิเศษจากตัวความนัน้ หาตกเป็นโมฆะเสียเปล่าไม่ ตัวความอาจให้ความรับรองในภายหลังได้ แม้วา่ สัญญา
ยอมความทีศ่ าลได้มคี ำ� พิพากษาท้ายยอมแล้วนัน้ จักบกพร่องไม่สมบูรณ์เนือ่ งจากทีท่ นายความลงนามโดย
ปราศจากอ�ำนาจก็ตาม เมื่อตัวความทราบข้อบกพร่องนี้แล้วมิได้ฟ้องอุทธรณ์ขอให้ท�ำลายสัญญาย่อมนั้น
จนล่วงเลยเวลามาเช่นนี้ ต้องถือว่าค�ำพิพากษาท้ายยอมนั้นเด็ดขาดถึงที่สุดจะรื้อฟื้นขึ้นโต้เถียงอีกไม่ได้
ฎ. 2851/2530 ทนายโจทก์มอี ำ� นาจท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความและได้ทำ� สัญญา
ประนีประนอมยอมความกับจ�ำเลย ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ดังนี้แม้ทนายจ�ำเลยจะบอกเล่าเรื่อง
สธ
ราวต่างๆ แก่ทนายโจทก์ไม่ตรงต่อความจริงแต่ทนายโจทก์ยอ่ มมีโอกาสใช้ดลุ พินจิ ไตร่ตรองแล้วว่าสมควร
จะตกลงท�ำสัญญากับจ�ำเลยหรือไม่ ทัง้ ข้ออ้างทีว่ า่ ทนายโจทก์ขาดสติสมั ปชัญญะเพราะเหตุผลเรือ่ งสุขภาพ
จึงตกลงประนีประนอมยอมความกับทนายจ�ำเลยนั้นก็เป็นความบกพร่องของทนายโจทก์เอง โจทก์จึงจะ
อ้างว่าได้ทำ� สัญญาประนีประนอมยอมความไปโดยถูกฝ่ายจ�ำเลยฉ้อฉลหาได้ไม่
ม
10-14 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ฎ. 7626/2541 ตามค�ำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าทนายความของโจทก์ซึ่ง
เป็นตัวแทนกระท�ำการนอกเหนือขอบอ�ำนาจของการเป็นตัวแทน แต่การที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการได้รับความ
เสียหาย เป็นประการใดก็ชอบที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ทนายความของโจทก์ตามกฎหมาย เมื่อคดี
ดังกล่าวโจทก์เป็นคู่ความและโจทก์จ�ำเลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลพิพากษา
ตามยอมแล้วเช่นนี้ ค�ำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมผูกพันโจทก์ตาม ปวพ. มาตรา
ธ
145 หากโจทก์เห็นว่าไม่ถกู ต้องก็อาจจะอุทธรณ์คดั ค้าน ค�ำพิพากษาดังกล่าวได้ หากเข้ากรณีตามทีบ่ ญ ั ญัติ
ไว้ใน ปวพ. มาตรา 138 เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และคดี ถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จะมาฟ้องร้องขอให้เพิกถอนค�ำ
มส
พิพากษา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่
1.2 การแสดงเจตนา เนื่องจากประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาชนิดหนึ่ง ในการท�ำสัญญา
ประนีประนอมยอมความนัน้ คูก่ รณีพพิ าทจึงต้องตกลงกันว่าจะระงับข้อพิพาทโดยประนีประนอมยอมความ
กันด้วย ซึง่ มีลกั ษณะเช่นเดียวกับการท�ำสัญญาโดยทัว่ ไป คือ ต้องมีการท�ำค�ำเสนอของคูก่ รณีพพิ าทฝ่ายหนึง่
และมีการท�ำค�ำสนองของคู่กรณีพิพาทอีกฝ่ายหนึ่ง โดยค�ำเสนอและค�ำสนองของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต้อง
ถูกต้องตรงกัน และการแสดงเจตนาต้องไม่บกพร่อง
อนึง่ ในการตกลงกันเพือ่ ประนีประนอมยอมความนัน้ อาจเกิดขึน้ จากการตกลงกันโดยคูก่ รณีพพิ าท
เอง หรืออาจเกิดขึ้นโดยการไกล่เกลี่ยของบุคคลภายนอก เช่น ญาติผู้ใหญ่ เพื่อน หรือประนีประนอมยอม
ความในศาลซึ่งอาจท�ำโดยศาลไกล่เกลี่ย หรือมีผู้ไกล่เกลี่ยในศาลให้คู่พิพาทตกลงกันประนีประนอมยอม
ธ
ความกัน
1) มีการแสดงเจตนาของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความที่
มส
ธ
ได้แต่จะฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ท�ำกันไว้เท่านั้น
ฎ. 1610/2513 โจทก์กับจ�ำเลยถูก ต. ฟ้องขอแบ่งมรดก แล้วโจทก์ท�ำหนังสือมอบให้จ�ำเลย
มส
ไว้ มีใจความว่า โจทก์ขอสละสิทธิรับมรดกเพราะโจทก์ไม่ต้องการไปศาลเพราะสุขภาพไม่ดีและไม่มีจิตใจ
ตลอดจนเงินทองในการสู้คดีให้จ�ำเลยออกเงินและสู้คดีไปโดยล�ำพัง ดังนี้ ไม่มีผลเป็นการสละมรดก ตาม
ปพพ. มาตรา 1612 เพราะโจทก์มิได้มอบหนังสือนั้นไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ และหนังสือนั้นเป็นหนังสือที่
โจทก์แสดงเจตนาเพียงฝ่ายเดียว ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
ฎ. 4919/2528 ข้อตกลงตามบันทึกประจ�ำวันของพนักงานสอบสวนมีขอ้ ความว่า “พ. ผูข้ บั ขี่
ยินยอมรับผิดและยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับ ธ. แต่ในวันนี้ยังไม่สามารถท�ำการตกลงค่าเสียหายได้
ได้นดั ให้คกู่ รณีมาตกลงค่าเสียหายกันใหม่ในวันต่อไปจึงบันทึกไว้ ฯลฯ” ตามบันทึกดังกล่าวทีค่ กู่ รณีตกลง
กันได้คือ พ. ยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้เท่านั้น แต่จ�ำนวนค่าเสียหายที่ยอมชดใช้ยังตกลงกัน
ไม่ได้ จะต้องตกลงกันอีกครั้งหนึ่งในวันต่อไปตามที่พนักงานสอบสวนนัดไว้ดังนี้ข้อพิพาทเรื่องจ�ำนวน
ธ
ค่าเสียหายยังไม่เสร็จสิ้นข้อตกลงตามบันทึกประจ�ำวันดังกล่าว จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
ฎ. 5573/2552 ตามสัญญาระบุวา่ จ�ำเลยที่ 3 ยินดีทจี่ ะให้การช่วยเหลือโจทก์ทไี่ ด้เสียค่าใช้จา่ ย
มส
ในการดูแลรักษาสุขภาพและอาการป่วยจากการติดเชื้อเอชไอวีในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาประมาณ 5 ปี
เป็นเงินจ�ำนวนหนึ่งไม่เกิน 500,000 บาท โดยจ�ำเลยที่ 3 จะน�ำเรื่องนี้ไปปรึกษาคณะกรรมการบริหารของ
จ�ำเลยที่ 1 ก่อนและจะแจ้งผลให้ทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันท�ำสัญญาฉบับนี้ แสดงว่าข้อตกลงดังกล่าว
เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขว่าต้องให้จ�ำเลยที่ 3 น�ำไปปรึกษาคณะกรรมการบริหารของจ�ำเลยที่ 1 ก่อน ซึ่งยัง
ไม่แน่ว่าคณะกรรมการบริหารของจ�ำเลยที่ 1 จะเห็นชอบและตกลงท�ำสัญญาดังกล่าวหรือไม่ ข้อพิพาท
ระหว่างโจทก์กบั จ�ำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงยังไม่ระงับไปตามสัญญา สัญญาดังกล่าวจึงมิใช่สญ ั ญาประนีประนอม
ยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850 อันมีผลเป็นการรับสภาพความรับผิดต่อโจทก์ ตาม ปพพ. มาตรา ม
193/35 การใช้สิทธิเรียกร้องในค่าเสียหายแต่ละมูลละเมิดของโจทก์จึงต้องใช้ภายใน 1 ปี นับแต่โจทก์รู้ถึง
การละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2539 โจทก์น�ำคดีมาฟ้อง
วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 จึงล่วงพ้นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้อง
ใช้ค่าสินไหมทดแทน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
อนึง่ ในการแสดงเจตนาตกลงกันประนีประนอมยอมความต้องมีรายละเอียดทีช่ ดั เจนว่าตกลง
กันระงับข้อพิพาทแล้ว
สธ
อุทาหรณ์
ฎ. 3600/2524 นายจ้างของคนขับรถทีข่ บั รถชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายและมีผไู้ ด้รบั บาดเจ็บ
ท�ำบันทึกยอมจะซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้ใช้การได้ดอี ยูใ่ นสภาพเดิมกับยอมใช้คา่ รักษาพยาบาล ค่าทดแทน
ม
10-16 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ให้แก่ ผูบ้ าดเจ็บเมือ่ บริษทั ประกันภัยได้พจิ ารณาแล้ว ไม่มรี ายละเอียด หรือข้อตกลงทีแ่ น่นอนอันปราศจาก
การโต้แย้งเป็นต้นว่าซ่อมที่อู่ไหน สภาพอย่างไรที่เรียกว่าใช้การได้ดีอยู่ในสภาพเดิม จ�ำนวนเงินที่จะต้อง
ช�ำระ เป็นต้น โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลและค่าทดแทนของผู้บาดเจ็บเป็นข้อตกลงที่มีเงื่อนไข ต้องให้
บริษทั ประกันภัยพิจารณาเสียก่อน ซึง่ บริษทั ประกันภัยอาจมีความเห็นว่าไม่ตอ้ งรับผิดก็ได้ จึงไม่เป็นสัญญา
ประนีประนอมยอมความ (ฎ. 7802/2552)
ธ
ฎ. 898/2534 จ�ำเลยที่ 2 ขับรถสองแถวของจ�ำเลยที่ 1 ไปในทางการที่จ้างของจ�ำเลยที่ 1
โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย แล้วโจทก์กับจ�ำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อใน
มส
รายงานประจ�ำวันเกี่ยวกับคดีซึ่งมีข้อความว่า จ�ำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้อง
คู่กรณีตกลงไม่ติดใจเอาความในทางอาญาอีกต่อไปข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะผู้เสียหายไม่
ติดใจจะด�ำเนินคดีอาญาแก่จำ� เลยที่ 2 เพือ่ พนักงานสอบสวนจะได้เปรียบเทียบปรับจ�ำเลยที่ 2 เท่านัน้ ส่วน
ข้อความที่จ�ำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้องนั้น ไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่
แน่นอนเกี่ยวกับจ�ำนวนเงินที่ต้องช�ำระ วิธีการช�ำระ อันจะท�ำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก ข้อความใน
รายงานประจ�ำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าวมิใช่เป็นการระงับข้อพิพาทในมูลละเมิดจึงมิใช่สัญญาประนีประนอม
ยอมความอันจะท�ำให้จ�ำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างหลุดพ้นความรับผิดในมูลละเมิด
ฎ. 207/2541 บันทึกข้อตกลงในรายงานประจ�ำวันเกี่ยวกับคดีมีข้อความว่า วันนี้คู่กรณีทั้ง
สามฝ่ายได้ตกลงชดใช้ค่าเสียหายกันโดยฝ่าย ช. (จ�ำเลยที่ 1) ซึ่งเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นตกลง
ธ
ชดใช้ค่าเสียหายให้กับรถยนต์ตู้หมายเลขทะเบียน ม-3558 ภูเก็ต โดยรับซ่อมให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดี
เหมือนเดิม และรับชดใช้ค่าโทรทัศน์สี 14 นิ้วที่ได้รับความเสียหายครั้งนี้ และในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.
มส
ธ
ข้อความระบุชัดแจ้งว่าฝ่ายจ�ำเลยจะช�ำระค่าซ่อมรถยนต์เป็นเงินเท่าใด และหากฝ่ายจ�ำเลยไม่ซ่อม โจทก์
จะเรียกร้องได้เพียงใด ไม่ชดั แจ้งทีจ่ ะเป็นการระงับข้อพิพาท จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม
จ�ำเลย
มส
ปพพ. มาตรา 850 ที่จะท�ำให้มูลหนี้ละเมิดระงับไป จ�ำเลยจึงยังต้องรับผิดในการกระท�ำละเมิดของลูกจ้าง
ดังนั้น ถ้าในการตกลงกันระหว่างคู่กรณีพิพาททั้งสองฝ่ายที่จะประนีประนอมยอมกันอย่าง
ชัดเจนแล้วย่อมมีผลเป็นประนีประนอมยอมความ
อุทาหรณ์
ฎ. 647/2515 ล. ซึ่งได้รับสิทธิเข้าท�ำการก่อสร้างอาคารในที่ดินของกระทรวงการคลังและมี
สิทธิให้เช่าช่วงได้ ท�ำสัญญาให้โจทก์เข้าก่อสร้างและได้รบั ผลประโยชน์แทน จ�ำเลยบุกรุกเข้าไปอยูใ่ นอาคาร
รายพิพาทที่โจทก์มีสิทธิจากการก่อสร้าง โจทก์ด�ำเนินคดีหาว่าจ�ำเลยบุกรุก แล้วโจทก์จ�ำเลยตกลงกันโดย
จ�ำเลยยอมช�ำระเงินให้โจทก์บางส่วนก่อน และจะช�ำระให้อีกจ�ำนวนหนึ่งภายในก�ำหนดสามเดือนหากถึง
ธ
ก�ำหนดไม่ช�ำระให้ถือว่าตกลงเลิกสัญญา ให้โจทก์คืนเงินที่รับไว้จากจ�ำเลยให้แก่จ�ำเลยในวันที่จ�ำเลยออก
ไปจากอาคาร และหากจ�ำเลยไม่ยอมออกไปต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์วันละหนึ่งร้อยบาทจนกว่าจะได้
มส
ธ
ชื่อให้ไว้ แท้จริงโฉนดที่ 2598 มีเนื้อที่มากที่สุด ดังนี้ การที่จ�ำเลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความยก
ที่ดินโฉนดที่ 2600 ให้แก่โจทก์ทั้งสี่เป็นการส�ำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระส�ำคัญแห่งนิติกรรม สัญญา
มส
ประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 119
แต่ถ้าไม่มีเหตุใดๆ ที่เกี่ยวกับการแสดงเจตนา คือ ไม่บกพร่องย่อมใช้บังคับได้
อุทาหรณ์
ฎ. 2968/2516 โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจ�ำเลยที่ 1 โดยช�ำระเงินกับออกเช็คสั่งจ่ายเงินช�ำระ
ราคาค่าที่ดินให้แก่จำ� เลยที่ 1 และได้ท�ำสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ ต่อมาปรากฏว่าจ�ำเลยที่ 1 ไม่มีที่ดินที่จะ
ขายให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจ�ำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกง แล้วโจทก์และจ�ำเลยทั้งสองได้ท�ำสัญญา
ประนีประนอมยอมความไว้ตอ่ กัน ในการท�ำสัญญาดังกล่าวแม้จะฟังตามทีจ่ ำ� เลยน�ำสืบว่าจ�ำเลยทัง้ สองลงชือ่
ไปเพราะโจทก์พูดว่า “ต้องคืนเงิน (ที่จ�ำเลยรับไป) ถ้าไม่คืนจะเอาเข้าตะราง” ก็ดี หรือทนายโจทก์พูดว่า
“ขอให้คืนมัดจ�ำและเช็คให้เสีย ถ้าไม่คืนเงินจะให้เอาเข้าตะราง” ก็ดี เป็นเรื่องที่โจทก์ขู่ว่า ถ้าจ�ำเลยไม่คืน
ธ
เงินและเช็คทีร่ บั ไปแล้ว โจทก์จะฟ้องเอาผิดกับจ�ำเลยทางอาญาฐานฉ้อโกง อันเป็นการใช้สทิ ธิทางศาลโดย
สุจริตเพราะตนมีสทิ ธิในมูลกรณีนนั้ ดังนี้ ถือได้วา่ เป็นการขูว่ า่ จะใช้สทิ ธิตามปกตินยิ มหาจัดว่าเป็นการข่มขู่
มส
ไม่ และไม่ใช่เรื่องหลอกลวงสัญญาประนีประนอมยอมความจึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้
ฎ. 2259/2526 แม้จำ� เลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมขายทีด่ นิ คืนแก่โจทก์เพราะ
เข้าใจผิดคิดว่าโจทก์เป็นทายาทของเจ้ามรดก ก็เป็นเรื่องจ�ำเลยส�ำคัญผิดต่อฐานะทางกฎหมายของโจทก์
เท่านั้น หาใช่ความส�ำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลซึ่งตามปกติย่อมเป็นสาระส�ำคัญ ตาม ปพพ. มาตรา
120 อันจะท�ำให้สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จ�ำเลยเป็นโมฆียะไม่
ฎ. 2851/2530 ทนายโจทก์มีอ�ำนาจท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความและได้ท�ำสัญญา
ม
ประนีประนอมยอมความกับจ�ำเลยศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ดังนีแ้ ม้ทนายจ�ำเลยจะบอกเล่าเรือ่ งราวต่างๆ
แก่ทนายโจทก์ไม่ตรงต่อความจริงแต่ทนายโจทก์ยอ่ มมีโอกาสใช้ดลุ พินจิ ไตร่ตรองแล้วว่าสมควรจะตกลงท�ำ
สัญญากับจ�ำเลยหรือไม่ ทั้งข้ออ้างที่ว่าทนายโจทก์ขาดสติสัมปชัญญะเพราะเหตุผลเรื่องสุขภาพ จึงตกลง
ประนีประนอมยอมความกับทนายจ�ำเลยนั้นก็เป็นความบกพร่องของทนายโจทก์เอง โจทก์จึงจะอ้างว่าได้
ท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความไปโดยถูกฝ่ายจ�ำเลยฉ้อฉลหาได้ไม่
ฎ. 5594/2536 จ�ำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ตรวจพบว่าสินค้าและเงิน
ในความรับผิดชอบของจ�ำเลยที่ 1 สูญหายไป และจ�ำเลยที่ 1 ไม่ยอมรับผิดชอบ โจทก์ข่มขู่ว่าจะจับกุม
สธ
ด�ำเนินคดีอาญากับจ�ำเลยที่ 1 ในข้อหายักยอก จ�ำเลยที่ 1 จึงยอมท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ
โจทก์ ดังนี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมของโจทก์ที่พึงใช้สิทธิของตนตามปกตินิยม กรณีหาใช่เป็นการข่มขู่อันจะ
ท�ำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่ สัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีผลใช้บังคับได้
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-19
3) วัตถุประสงค์ของสัญญาต้องสมบูรณ์ไม่บกพร่อง ในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอม
ความนั้นก็เช่นเดียวกับการท�ำสัญญาอื่นๆ คือ ต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เป็นการพ้น
วิสัย หรือไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม ปพพ. มาตรา 150 เนื่องจาก
ประนีประนอมยอมความเป็นเอกเทศสัญญาอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นสัญญาประนีประนอมย่อมเป็นโมฆะ
อย่างไรก็ตาม ในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งแม้เกีย่ วเนือ่ งกับ
ธ
คดีอาญาก็สามารถท�ำได้ หากผู้กระท�ำตกลงกันเรื่องค่าเสียหายทางแพ่งโดยไม่มีการตกลงกันระงับเรื่อง
ความรับผิดทางอาญาทีเ่ ป็นความผิดต่อแผ่นดิน หรือตกลงเรือ่ งค่าเสียหายทางแพ่ง และระงับคดีทางอาญา
มส
ที่สามารถยอมความกันได้เพราะการตกลงกันประนีประนอมยอมความในเรื่องทางแพ่งนั้นท�ำได้ไม่ขัดต่อ
ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น มีการท�ำร้ายร่างกายและผู้กระท�ำและผู้ถูกกระท�ำ
ตกลงกันชดใช้คา่ เสียหายทีเ่ กิดจากการกระท�ำละเมิด แต่มไิ ด้ตกลงกันระงับคดีทางอาญา หรือมีการกระท�ำ
อนาจารผู้หญิงและผู้กระท�ำกับผู้ถูกกระท�ำตกลงเรื่องค่าเสียหายทางแพ่งและยอมความในคดีอาญา ดังนั้น
คูก่ รณีในคดีอาญาไม่วา่ จะเป็นความผิดอันยอมความกันได้หรือไม่กต็ ามอาจตกลงประนีประนอมยอมความ
เรือ่ งค่าเสียหายในทางแพ่งตามสิทธิของตนได้ เพราะกฎหมายห้ามเฉพาะการตกลงยอมความเพือ่ ระงับการ
ฟ้องคดีอาญาที่เป็นความผิดต่อแผ่นดินเท่านั้น
อุทาหรณ์
ฎ. 524/2484 ท�ำสัญญายอมความให้ค่าเสียหายเพื่อมิให้ฟ้องร้องคดีอาญาแผ่นดินด้วยนั้น
ธ
นับว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน สัญญานั้นเป็นโมฆะ
ฎ. 1331/2505 สัญญาประนีประนอมที่มีเงื่อนไขว่า จะจ่ายเงินที่เหลือต่อเมื่อศาลพิพากษา
มส
ของประชาชน สัญญาจึงตกเป็นโมฆะ
ม
ได้ทำ� สัญญาปรองดองกัน โดยฝ่ายจ�ำเลยยอมชดใช้คา่ เสียหายทัง้ สิน้ ฝ่ายโจทก์ไม่เอาความผิดในคดีอาญา
ดังนี้ วัตถุประสงค์ของสัญญามีผลเท่ากับตกลงให้ระงับคดีอาญาแผ่นดินเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย
ธ
ฎ. 2624/2516 สัญญาประนีประนอมยอมความที่จ�ำเลยท�ำให้ไว้แก่โจทก์เนื่องจากจ�ำเลย
บุกรุกขึน้ ไปบนเรือนโจทก์ในเวลากลางคืนและกระท�ำอนาจารโจทก์ มีขอ้ ความว่า จ�ำเลยยอมเสียค่าท�ำขวัญ
มส
ให้แก่โจทก์เป็นเงินจ�ำนวนหนึ่งภายในเวลาที่ก�ำหนด หากไม่ท�ำตาม ยอมให้ดำ� เนินคดีต่อไปนั้น เป็นเรื่อง
ท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้คา่ เสียหายฐานละเมิดให้แก่โจทก์ในทางแพ่งเท่านัน้ ไม่ใช่คา่ เสียหาย
ที่เรียกร้องเพื่อระงับการฟ้องคดีอาญาซึ่งกฎหมายห้ามไว้แต่อย่างใด จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้ และเนื่องจาก
สัญญาประนีประนอมยอมความนัน้ กฎหมายมิได้บงั คับว่าคูก่ รณีจะต้องลงชือ่ ทัง้ สองฝ่าย แม้จ�ำเลยผูเ้ ดียว
ลงชื่อรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฎ. 958/2519 จ�ำเลยท�ำสัญญายอมชดใช้คา่ เสียหายแก่โจทก์โดยมีเจตนาทีจ่ ะไม่ให้โจทก์แจ้ง
ความด�ำเนินคดีอาญากับบุตรจ�ำเลยในการที่ท�ำให้บุตรโจทก์ตาย โจทก์ตกลงด้วยวัตถุประสงค์ของสัญญา
เป็นการตกลงให้ระงับคดีอาญาแผ่นดิน ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตาม ปพพ. มาตรา 113
(ปัจจุบัน คือ มาตรา 150) สัญญาจึงตกเป็นโมฆะกรรม
ฎ. 570/254 การที่ศาลฎีกาจะพิพากษาตามยอมได้นั้น ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาสัญญา
ธ
ประนีประนอมยอมความของคู่ความว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือไม่ หากสัญญาประนีประนอมยอม
ความดังกล่าวฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลฎีกาก็ย่อมไม่อาจพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญา
มส
ธ
นิติบุคคล ซึ่งโจทก์และจ�ำเลยทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นร่วมกัน เป็นการเปลี่ยนตัวผู้รับอนุญาตหรือการโอนสิทธิ
ตามทีไ่ ด้รบั อนุญาตให้แก่บคุ คลอืน่ นัน่ เอง จึงไม่สามารถกระท�ำได้ ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอม
มส
ความรวมทั้งข้อตกลงเพิ่มเติมในรายงานกระบวนพิจารณา เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้าม
ชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 150 กระบวนพิจารณาต่างๆ ที่ด�ำเนินมาภายหลัง
ค�ำพิพากษาตามยอมไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมตกไปด้วย
ดังนั้น การกระท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมาย ความ
สงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญานั้นย่อมสมบูรณ์
อุทาหรณ์
ฎ. 125/2521 จ�ำเลยมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยูแ่ ล้ว ได้มาอยูก่ นิ กับโจทก์ฉนั สามีภริยา
ต่อมาโจทก์จ�ำเลยได้ตกลงเลิกอยู่กินด้วยกันโดยจ�ำเลยจะให้เงินโจทก์ 40,000 บาท และได้ขอให้พนักงาน
สอบสวนจดบันทึกข้อตกลงนัน้ ไว้ในรายงานประจ�ำวันแล้วโจทก์จำ� เลยลงชือ่ ไว้เป็นหลักฐาน บันทึกข้อตกลง
ธ
ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย มีผลสมบูรณ์ให้จำ� เลยต้องปฏิบัติตามไม่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อศีลธรรมอันดีของ
ประชาชนไม่เป็นโมฆะ
มส
ธ
ฉ้อโกงนั้นถือว่าข้อความตอนนี้เป็นส่วนที่พึงสันนิษฐานได้ว่าคู่กรณีเจตนาจะแยกส่วนนี้ออกหากจากส่วน
อื่นได้ สัญญาประนีประนอมยอมความนี้จึงสมบูรณ์
สัญญาหรือตกลงกันยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายมิให้สิทธิน�ำคดีอาญามาฟ้องระงับได้ แม้ในสัญญา
ประนีประนอมยอมความ จะมีข้อความว่า การตกลงประนีประนอมยอมความนี้ โจทก์และจ�ำเลยไม่ถือว่า
ได้ตกลงยอมความในคดีอาญาหากจ�ำเลยไม่ช�ำระหนี้ตามสัญญานี้โจทก์ยังคงประสงค์ที่จะด�ำเนินคดีอาญา
กับจ�ำเลยจนถึงทีส่ ดุ นัน้ หากจะฟังว่าไม่เป็นการยอมความในคดีอาญา ก็เป็นคนละเรือ่ งกับกรณีหนีท้ จี่ �ำเลย
ได้ออกเช็คพิพาทเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพัน ซึ่งมีผลให้คดีเลิกกันและสิทธิน�ำคดีอาญามาฟ้องระงับไป
อีกกรณีหนึ่งที่มิใช่กรณี ตาม ปวอ. มาตรา 39 (2) โจทก์และจ�ำเลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า
ม
การตกลงประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่ถอื ว่าเป็นการยอมความในคดีอาญา อันเป็นเรือ่ งทีโ่ จทก์และ
จ�ำเลยท�ำสัญญาหรือข้อตกลงกันไม่ให้สทิ ธิในการฟ้องคดีอาญาเกีย่ วกับเช็คพิพาทคดีนเี้ ป็นอันระงับไป ถือว่า
มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายโดยชัดแจ้ง จึงตกเป็นโมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 150 แต่ข้อตกลงในส่วน
ดังกล่าวนีส้ ามารถแยกออกต่างหากจากข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมในส่วนอืน่ ได้ จึงไม่ทำ� ให้สญ
ประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งตกเป็นโมฆะทั้งหมด ตาม ปพพ. มาตรา 173
ั ญา
สธ
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-23
2. เป็นการระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไป
ในประนีประนอมยอมความนั้นคู่กรณีพิพาทต้องมีการระงับข้อพิพาทของตน ดังนั้นจึงต้องมี
ข้อพิพาทเกิดขึ้นและยังคงอยู่ในขณะตกลงระงับข้อพิพาท
2.1 มีการระงับข้อพิพาท ค�ำว่า ข้อพิพาท คือ “ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล
ซึ่งยังไม่เป็นที่ยอมรับกันในระหว่างคู่กรณีพิพาท”
ธ
ข้อพิพาทที่จะสามารถระงับได้โดยประนีประนอมยอมความนั้นเป็นข้อพิพาททางแพ่งที่ชอบด้วย
กฎหมาย และไม่ใช่เรื่องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้น เรื่องที่พิพาท
มส
กันนั้นอาจเป็นเรื่องใดๆ ก็ได้ แม้เป็นข้อพิพาททางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาก็สามารถระงับได้โดย
ประนีประนอมยอมความ
ข้อพิพาทที่สามารถระงับได้โดยประนีประนอมยอมความจึงเป็นเรื่องทางแพ่งใดๆ ก็ได้ เช่น หนี้
สัญญา ละเมิด ห้างหุ้นส่วนและบริษัท ครอบครัว มรดก และสิทธิในทรัพย์สินต่างๆ
นอกจากนั้นข้อพิพาทที่จะท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นอาจเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแล้ว
หรือข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตโดยท�ำสัญญากันไว้ล่วงหน้าว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างคู่กรณี
ให้ระงับโดยประนีประนอมยอมความ ซึ่งมีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจากทางปฏิบัติในเรื่องข้อพิพาทต่างๆ ดังจะ
กล่าวต่อไป
1) การระงับข้อพิพาทที่เกี่ยวกับสัญญา ในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นอาจ
ธ
เป็นการระงับข้อพิพาทที่เกี่ยวกับสัญญาต่างๆ
อุทาหรณ์
มส
ธ
ได้อยู่กินกับน้องจ�ำเลยนั้น สัญญาเช่นนี้ เป็นสัญญาตกลงกันระงับข้อพิพาทอันปรับได้ว่าเป็นสัญญา
ประนีประนอมยอมความซึ่งบังคับกันได้ตามกฎหมาย หาใช่เป็นการให้ตามหน้าที่ในทางศีลธรรมไม่
ธ
ดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ (ฎ. 867/2508, ฎ. 1079/2512, ฎ. 3/2535, ฎ. 2435/2536
และ ฎ. 7473/2537)
อุทาหรณ์
ม
4) การระงับข้อพิพาทที่เกี่ยวกับมรดก ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับมรดกเป็นข้อพิพาทอย่างหนึ่งที่
นิยมระงับกันโดยประนีประนอมยอมความ
ฎ. 977/2497 บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้ไปแจ้งทะเบียนส�ำมะโนครัวว่าเป็นบุตรและใช้
นามสกุลของบิดา และบิดาได้อปุ การะบุตรมาอันเป็นพฤติการณ์ทรี่ อู้ ยูก่ นั ทัว่ ไป ดังนีไ้ ด้ชอื่ ว่าบิดาได้รบั รอง
แล้ว และถือได้ว่าเป็นผู้สืบสันดานของบิดาและมีสิทธิรับมรดกแทนที่บิดาได้ และแม้คดีจะขาดอายุความ
มรดกแล้วแต่ทายาทท�ำสัญญาประนีประนอมแบ่งทรัพย์มรดกแก่กัน สัญญานั้นย่อมใช้บังคับได้
สธ
ฎ. 503/2500 โจทก์จำ� เลยร่วมกันท�ำหนังสือถึงนายอ�ำเภอขอให้จดั การท�ำนิตกิ รรมแบ่งทีด่ นิ
ซึ่งเป็นมรดกตามที่ตกลงกันไว้เช่นนี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยชอบ ตาม ปพพ. มาตรา
850
ม
10-26 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ฎ. 825/2514 โจทก์จ�ำเลยท�ำสัญญาแบ่งที่ดินมรดกโดยจ�ำเลยยอมแบ่งให้โจทก์เพื่อไม่ต้อง
เป็นความกัน ดังนี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ใช่สัญญายกให้โดยเสน่หา
ฎ. 590/2540 บันทึกที่ จ. ให้ถ้อยค�ำต่อเจ้าพนักงานที่ดินมีใจความส�ำคัญว่า ที่ดินมรดกที่
มีชื่อ ฉ. ผู้ตายเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นี้ ทายาทของผู้ตายคือจ�ำเลยและ จ. แต่ จ. ไม่ประสงค์จะขอรับมรดก
ที่ดินแปลงนี้แต่อย่างใด และยินยอมให้จ�ำเลยเป็นผู้ขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้แต่เพียงผู้เดียวนั้น เป็นบันทึก
ธ
ที่เจ้าพนักงานที่ดินปฏิบัติไปตาม ป. ที่ดินฯ มาตรา 81 ประกอบกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 24 (พ.ศ.
2516) ออกตามความใน พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินฯ ซึ่งถ้อยค�ำดังกล่าวไม่ใช่กรณีทายาทสละ
มส
มรดกตามความหมายใน ปพพ. มาตรา 1612 เพราะการสละมรดกตามมาตรานี้หมายถึงการสละส่วนหนึ่ง
ของตนโดยไมไม่เจาะจงว่าจะให้แก่ทายาทคนใด แต่บันทึกถ้อยค�ำของ จ. ดังกล่าวมีลักษณะเป็น
ประนีประนอมยอมความ มีผลบังคับได้ ตาม ปพพ. มาตรา 850, 852 และ 1750 ทั้งตามโฉนดที่ดินซึ่ง
จ�ำเลยส่งศาลในวันชีส้ องสถานระบุชอื่ จ�ำเลยเป็นผูร้ บั โอนเสร็จสิน้ โดยโจทก์ทงั้ สองซึง่ เป็นทายาทของ จ. ไม่
คัดค้านความถูกต้อง ถือได้วา่ จ�ำเลยผูม้ ชี อื่ ในโฉนดได้รบั กรรมสิทธิใ์ นทีด่ นิ แปลงนีโ้ ดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ที่ดินแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิแบ่งที่ดินแปลงนี้จากจ�ำเลย
ฎ. 4031/2540 พนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ระบุไว้ใน ปพพ. มาตรา 1612 หมายถึงนายอ�ำเภอ
ตาม พรบ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 หาใช่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ การที่โจทก์ท�ำหนังสือ
ไม่ขอรับมรดกไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่ใช่เป็นการสละมรดก แต่ที่โจทก์ท�ำหนังสือไม่ขอรับมรดกที่ดิน
ธ
พิพาทโดยยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทให้แก่จำ� เลยที่ 1 หากมีข้อผิดพลาด
หรือเสียหายประการใด โจทก์ขอรับผิดชอบเองทัง้ สิน้ พร้อมทัง้ โจทก์และจ�ำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชือ่ ต่อหน้า
พยาน 2 คนเช่นนี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความในการสละมรดกถูกต้อง ตาม ปพพ. มาตรา 1612
มส
5) การระงับข้อพิพาทที่เกี่ยวกับแรงงาน ข้อพิพาทเกี่ยวกับแรงงานนั้นอาจมีบางส่วนที่
เกี่ยวข้องกับทางแพ่ง เช่น ค่าจ้าง ซึ่งสามารถระงับได้โดยประนีประนอมยอมความ
อุทาหรณ์
ฎ. 552/2533 โจทก์ฟ้องจ�ำเลยและจ�ำเลยฟ้องแย้งเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งช�ำระเงินแก่ตน
ครั้นถึงวันนัดสืบพยาน คู่ความยอมตกลงกันตามที่ศาลแรงงานกลางไกล่เกลี่ย ศาลแรงงานกลางจัดท�ำ
ธ
สัญญาประนีประนอมยอมความและได้มคี ำ� พิพากษาตามยอม ในวันนัน้ ตามข้อ 2 แห่งสัญญาประนีประนอม
ยอมความได้ระบุไว้ว่า โจทก์จ�ำเลยต่างไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดกันอีก ซึ่งหมายความว่า จ�ำเลยได้สละข้อ
มส
เรียกร้องของตนตามฟ้องแย้งแล้ว ถือว่าข้อเรียกร้องตามฟ้องแย้งของจ�ำเลยได้ระงับสิน้ ไปด้วยผลของสัญญา
ประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 852
ฎ. 4800/2534 โจทก์จำ� เลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 7 มีนาคม 2534
มีความว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อพิพาททั้งปวงดังต่อไปนี้ (1) ลูกจ้างตกลงยินยอมรับค่าชดเชยตาม
กฎหมายเนือ่ งจากบริษทั ได้เลิกจ้างโจทก์ตงั้ แต่วนั ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2534 ไว้ตามจ�ำนวนทีต่ กลงกันถูกต้อง
แล้วในขณะท�ำสัญญานี้ (2) บริษัทตกลงยอมจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว (3) ลูกจ้างยอมรับว่าการที่บริษัทได้
เลิกจ้างครั้งนี้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายและเป็นธรรมแล้ว (4) ลูกจ้างสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องหรือ
ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหรือเงินใดๆ จากบริษัทอีก หมายความว่า ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นก่อนวันท�ำสัญญา
ระหว่างคูก่ รณีทมี่ อี ยูน่ นั้ ให้ถอื ตามความทีต่ กลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ สิทธิเรียกร้อง
ธ
ของโจทก์เกีย่ วกับเงินใดๆ รวมทัง้ ค่าล่วงเวลาและค่าท�ำงานในวันหยุดทีม่ ขี อ้ พิพาทกันอยูก่ อ่ นวันท�ำสัญญา
นีเ้ ป็นอันระงับไปโดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จงึ ไม่มอี ำ� นาจฟ้องบังคับให้จำ� เลยรับผิด
มส
ในเงินดังกล่าวอีกได้
ฎ. 352/2540 โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างสมัครใจเข้าร่วมโครงการลาออกด้วยความสมัครใจของ
จ�ำเลยผู้เป็นนายจ้างซึ่งมีข้อความว่าข้าพเจ้าขอสละสิทธิและขอปลดเปลื้องบริษัทจากข้อเรียกร้องทั้งปวง
ความรับผิดข้อเรียกร้องและมูลคดีทขี่ า้ พเจ้าหรือบุคคลอืน่ โดยการเรียกร้องผ่านข้าพเจ้าซึง่ เคยมีกำ� ลังมีหรือ
อาจเรียกร้องให้มไี ด้ในอนาคตต่อบริษทั ฯลฯ ทัง้ ยังมีขอ้ ความตามบันทึกอีกว่าเงินทีจ่ ำ� เลยจ่ายให้โจทก์ตาม
โครงการดังกล่าวเป็นเงินทุกประเภทที่จำ� เลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์ ย่อมหมายความว่าการที่จำ� เลยยอมจ่าย
ม
เงินให้โจทก์ตามโครงการการลาออกด้วยความสมัครใจนั้นได้รวมเงินทุกประเภทที่โจทก์อาจเรียกร้องจาก
จ�ำเลยได้อยูแ่ ล้ว ข้อตกลงทีว่ า่ โจทก์จะไม่เรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ จากจ�ำเลยอีก เพราะจ�ำเลยได้จา่ ยเงิน
ทีโ่ จทก์พงึ จะได้รบั ตามกฎหมายให้แก่โจทก์หมดแล้วซึง่ ไม่นอ้ ยกว่าทีก่ ฎหมายก�ำหนดไว้ จึงไม่ขดั ต่อความ
สงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมมีผลบังคับระหว่างโจทก์กบั จ�ำเลยได้ โจทก์ยอ่ มไม่มสี ทิ ธิฟอ้ งเรียกผลประโยชน์
ใดๆ จากจ�ำเลยอีก
ฎ. 2157/2543 การทีโ่ จทก์นำ� สาเหตุจากการทีจ่ ำ� เลยเลิกจ้าง ไปยืน่ ค�ำร้องกล่าวหาจ�ำเลยต่อ
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าเป็นการกระท�ำอันไม่เป็นธรรม ขอให้จำ� เลยช�ำระค่าเสียหายแก่โจทก์และ
สธ
ต่อมาโจทก์ได้นำ� เหตุแห่งการเลิกจ้างดังกล่าวไปฟ้องจ�ำเลยต่อศาลแรงงานขอให้บงั คับจ�ำเลยชดใช้คา่ เสียหาย
จากการเลิกจ้างทีไ่ ม่เป็นธรรมเป็นเงิน อีกจ�ำนวนหนึง่ พร้อมทัง้ ช�ำระเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอก
กล่าวล่วงหน้า แล้วโจทก์กับจ�ำเลยได้ตกลงท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจ�ำเลยยอมช�ำระเงิน
ม
10-28 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
เนือ่ งจากความสัมพันธ์ใกล้ชดิ ระหว่างคูก่ รณีพพิ าทและหลังจากระงับข้อพิพาทแล้วคูก่ รณีอาจจ�ำเป็นต้องมี
ความสัมพันธ์ที่ดีในการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนหรือเป็นผู้ถือหุ้นหรือบริษัทที่มีปัญหานั้นกันต่อไป
มส อุทาหรณ์
ฎ. 7033/2539 โจทก์ทั้งห้าได้มอบหมายให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กับ ฉ. ด�ำเนินการท�ำสัญญา
แบ่งคืนทรัพย์สนิ อันเป็นกรรมสิทธิร์ วมโจทก์ทงั้ ห้าจึงต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวจะกลับมาโต้แย้งว่าโจทก์
ที่ 3 ถึงที่ 5 มิได้มอบอ�ำนาจเป็นหนังสือไม่ผูกพันโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่ได้ และข้อความตามสัญญาแบ่งคืน
ทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมกับบันทึกต่อท้ายมีลักษณะเป็นการที่คู่ความตกลงระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับ
การแบ่งคืนทรัพย์สินของห้างทั้งหมดให้เสร็จสิ้นไปโดยให้ทรัพย์สินนอกเหนือจากที่ปรากฏในสัญญาเป็น
ของผูใ้ ดในขณะท�ำสัญญาก็คงให้เป็นของผูน้ นั้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม
ปพพ. มาตรา 850 และโจทก์ทั้งห้าต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าว ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งห้าและ
จ�ำเลยทัง้ สองตกลงให้จดั การทรัพย์สนิ โดยวิธอี นื่ ในระหว่างผูเ้ ป็นหุน้ ส่วนด้วยกันไม่จำ� ต้องช�ำระบัญชีกนั อีก
ธ
ตาม ปพพ. มาตรา 1061
7) การระงับข้อพิพาทที่เกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน คู่กรณีพิพาทในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิใน
มส
ทรัพย์สินต่างๆ และที่ดินสามารถระงับข้อพิพาทของตนโดยประนีประนอมยอมความได้เช่นเดียวกับ
ข้อพิพาททางแพ่งอื่นๆ
อย่างไรก็ตามปัญหาพิพาทในเรื่องทรัพย์สินและบุคคลนั้นสามารถมีสิทธิบางประการตาม
กฎหมายได้แม้บคุ คลนัน้ จะไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิใ์ นทรัพย์สนิ ทีพ่ พิ าทก็ตามบุคคลนัน้ ก็เป็นคูก่ รณีพพิ าทได้
อุทาหรณ์
ฎ. 5515/2538 ผู้ครองสังหาริมทรัพย์อยู่ในขณะถูกท�ำละเมิดมีสิทธิรับช�ำระหนี้ค่าสินไหม
ม
ทดแทนจากผูท้ ำ� ละเมิดได้ ตาม ปพพ. มาตรา 441 ย่อมมีสทิ ธิทจี่ ะท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความเกีย่ ว
กับการรับช�ำระหนีค้ า่ สินไหมทดแทนได้เช่นกัน การทีจ่ ำ� เลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่ ส.
ขับ และได้มกี ารท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจ�ำเลยกับ ส. ขึน้ ในเรือ่ งค่าเสียหาย สัญญานัน้
ย่อมมีผลบังคับได้ แม้ ส. จะไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่ขับก็ตาม
ฎ. 1418/2520 เดิมโจทก์เคยฟ้องจ�ำเลยขอให้เปิดทางในที่ดินของจ�ำเลยโดยอ้างว่าเป็นทาง
ภารจ�ำยอม แล้วโจทก์จำ� เลยได้ตกลงท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจ�ำเลยยอมเปิดทางในทีด่ นิ
ดังกล่าวกว้าง 2 เมตร 50 เซนติเมตร ยาวตลอดที่ดิน ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ค�ำพิพากษานั้น
สธ
ย่อมผูกพันคูค่ วามทัง้ สองฝ่าย ตาม ปวพ. มาตรา 145 เมือ่ จ�ำเลยได้เปิดทางให้ผา่ นทีด่ นิ ของจ�ำเลยถูกต้อง
ครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้รับความสะดวกเพราะปากทางแคบไป
โจทก์ก็ไม่มีอำ� นาจมาฟ้องจ�ำเลยขอให้เปิดทางให้กว้างขึ้นไปอีก
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-29
ฎ. 3045/2530 โจทก์กับจ�ำเลยทั้งสามได้ท�ำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ใน
ที่ดินออกจากกัน จ�ำนวน 3 แปลง แต่ละคนได้ที่ดินกันคนละ 1 แปลง และยังมีเอกสารซึ่งเป็นรูปจ�ำลอง
แผนที่มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินเขียนชื่อโจทก์และจ�ำเลยทั้งสาม โดยทั้งโจทก์และจ�ำเลยทั้งสามลงชื่อรับรอง
เอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วย การตกลงกันว่าผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะ
มีขึ้นให้เสร็จไปจึงเป็นประนีประนอมยอมความ
ธ
ฎ. 183/2531 โจทก์และบิดาจ�ำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกัน ต่อมาได้ร่วมกันยื่นค�ำร้องขอ
แบ่งกรรมสิทธิ์รวมต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยบันทึกข้อตกลงแบ่งแยกให้บิดาจ�ำเลยได้เนื้อที่ 1 ใน 5 ส่วน
มส
โจทก์และบิดาจ�ำเลยลงชื่อไว้ บันทึกนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850
ฎ. 1401/2531 โจทก์ฟ้องคดีก็เพื่อต้องการที่ดินในส่วนที่ฝ่ายจ�ำเลยรุกลํ้าเข้าไปในที่ดินของ
โจทก์กลับคืน เมื่อโจทก์จ�ำเลยตกลงกันโดยฝ่ายจ�ำเลยยอมให้โจทก์ได้รับที่ดิน เพิ่มขึ้น 7 ตารางวา และ
ฝ่ายจ�ำเลยเป็นผู้เสียสละที่ดินตามเนื้อที่ดังกล่าวให้โจทก์ ดังนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
2.2 การระงับข้อพิพาทที่มีอยู่แล้วหรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไป ประนีประนอมยอมความนั้นต้องมี
การระงับข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีพิพาทให้เสร็จสิ้นไป โดยอาจเป็นข้อพิพาทที่มีอยู่แล้วในขณะท�ำสัญญา
หรือมีการตกลงกันระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตให้เสร็จสิ้นไป โดยอาจเป็นการระงับข้อพิพาท
ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงบางส่วนดังนั้น หากไม่มีข้อพิพาทต่อกันหรือมีข้อพิพาทแต่ไม่มีตกลงกันให้ระงับ
ข้อพิพาทให้เสร็จสิ้นไปก็ไม่เป็นประนีประนอมยอมความ
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 347/2488 สัญญาซึง่ ไม่มขี อ้ ความอันเกีย่ วกับการระงับข้อพิพาทย่อมไม่ใช่สญ ั ญาประนีประนอม
มส
ยอมความ
ฎ. 1314/2501 โจทก์ฟ้องขอให้จำ� เลยแบ่งที่พิพาทให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จ�ำเลย
ต่อสู้ว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญายกให้ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่มีผลบังคับ
เมื่อข้อความในสัญญาที่โจทก์อ้าง มีข้อความแสดงให้เห็นว่าการที่จ�ำเลยจะให้ที่ดินครั้งนี้เพราะ
โจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของนาง กี เจ้าของเดิม ซึ่งบอกว่าให้แก่โจทก์ตั้งแต่ก่อนที่ นางกี โอนที่พิพาทให้
แก่จำ� เลย ไม่มขี อ้ ความตอนใดระบุวา่ เป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กบั จ�ำเลยเลยสัญญาดังกล่าว จึง
ธ
ฎ. 3038/2533 โจทก์และ ม. เอาทีด่ นิ พิพาทไปขายฝากไว้กบั จ�ำเลยแล้วไม่ไถ่คนื ตามก�ำหนดระยะ
เวลาในสัญญาที่ดินพิพาทตกเป็นของจ�ำเลยโดยเด็ดขาดเป็นเรื่องการท�ำนิติกรรมขายฝากที่ดินโดยทั่วไป
มส
มิได้กอ่ ให้เกิดกรณีพพิ าทระหว่างโจทก์ ม. และจ�ำเลย การทีโ่ จทก์ไปร้องทุกข์ตอ่ ส�ำนักนายกรัฐมนตรีขอให้
ทางราชการไกล่เกลี่ยให้จ�ำเลยขายที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ นายอ�ำเภอจึงท�ำการไกล่เกลี่ยตามค�ำร้องทุกข์
ของโจทก์ ก็มใิ ช่กรณีพพิ าทระหว่างโจทก์จำ� เลย เพราะจ�ำเลยไม่มเี รือ่ งอะไรทีจ่ ะพิพาทกับโจทก์แต่เป็นเรือ่ ง
ทีโ่ จทก์ตอ้ งการซือ้ ทีด่ นิ พิพาทจากจ�ำเลยโดยขอให้ทางราชการช่วยไกล่เกลีย่ ให้ ทัง้ ให้บนั ทึกค�ำเปรียบเทียบ
ของนายอ�ำเภอ ก็ไม่มีข้อความระบุว่านายอ�ำเภอไกล่เกลี่ยเนื่องจากมีข้อพิพาทระหว่างโจทก์จ�ำเลย และ
เป็นการไกล่เกลีย่ เพือ่ ระงับข้อพิพาท ตาม ปพพ. มาตรา 850 ดังนีจ้ งึ ไม่ใช่สญ ั ญาประนีประนอมยอมความ
แม้จ�ำเลยจะลงลายมือชื่อในเอกสารก็ไม่มีความผูกพันที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงในเอกสารดังกล่าว เอกสาร
นั้นมีข้อความเพียงว่า จ�ำเลยตกลงขายที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ในราคา 30,000 บาท ไม่มีข้อความตอนใด
ระบุว่าโจทก์จำ� เลยจะช�ำระเงิน และไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเมื่อไร ข้อตกลงของโจทก์จ�ำเลยดังกล่าว
ธ
จึงมิใช่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท แต่เป็นสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเสร็จเด็ดขาด เมื่อทรัพย์ที่ซื้อขาย
เป็นทีด่ นิ ซึง่ เป็นอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซือ้ ขายทีด่ นิ พิพาทระหว่าง
มส
3. คู่กรณีต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน
ในประนีประนอมยอมความนั้นต้องมีการระงับข้อพิพาทโดยคู่กรณีพิพาทต่างยอมผ่อนผันให้แก่
กัน ซึ่งไม่มีคำ� นิยามไว้โดยเฉพาะ แต่จากแนวค�ำพิพากษาศาลฎีกา สามารถสรุปได้ว่า คู่กรณีพิพาทตกลง
ม
กันสละข้อเรียกร้องของคูก่ รณีพพิ าทผ่ายหนึง่ และให้ประโยชน์แก่คกู่ รณีพพิ าทอีกฝ่ายหนึง่ จึงจะท�ำให้มผี ล
เป็นประนีประนอมยอมความ โดยอาจเป็นการกระท�ำต่างๆ เช่น สละสิทธิเดิมทีพ่ พิ าทกันและตกลงในเรือ่ ง
สิทธิทเี่ คยพิพาทกันใหม่ ไม่ดำ� เนินคดีแพ่งและอาญาทีส่ ามารถยอมความกันได้เนือ่ งจากมีการมอบเงินหรือ
ทรัพย์สินอื่นให้ ถอนฟ้องและไม่เรียกร้องค่าเสียหาย เนื่องจากอีกฝ่ายหนึ่งยอมช�ำระเงินหรือทรัพย์สินอื่น
ให้ และการผ่อนผันให้แก่กันอาจเกิดจากการที่คู่กรณีพิพาทตกลงผ่อนผันกันเองหรืออาจเกิดจากบุคคล
ภายนอกหรือคนกลางเข้าไปช่วยให้คู่กรณีพิพาทตกลงผ่อนผันให้แก่กันซึ่งเรียกว่าการไกล่เกลี่ยก็ได้
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 530/2496 เจ้าของร่วมตกลงแบ่งแยกโฉนดกัน ตกลงก�ำหนดลงไปว่าใครได้ตรงไหนแน่ เช่นนี้
ย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเข้าลักษณะเป็นสัญญา
ประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-31
ฎ. 766/2509 เดิมสามีจ�ำเลยท�ำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ยังไม่ทันจดทะเบียนโอนกันสามี
จ�ำเลยก็ตายต่อมาโจทก์จำ� เลยจะพิพาทกันจึงพากันไปอ�ำเภอและท�ำสัญญาต่อกันไว้วา่ จ�ำเลยจะให้เงินโจทก์
4,000 บาท โจทก์จะคืนทีส่ วนแปลงหนึง่ และต่อไปก็จะคืนทีพ่ พิ าทให้บตุ รจ�ำเลยอีกด้วยสัญญานีเ้ ป็นสัญญา
ประนีประนอมยอมความ
ฎ. 876/2509 บันทึกทีม่ ใี จความว่า “1. โจทก์ยนื ยันว่าถ้าจ�ำเลยน�ำหลักฐานการซือ้ ขายมาแสดงได้
ธ
ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทต่อไป 2. จ�ำเลยยืนยันว่าได้ซื้อขายมีหลักฐานเป็นหนังสือท�ำที่บ้านก�ำนัน
กาศ จะน�ำหลักฐานมาแสดง ถ้าไม่สามารถน�ำมาแสดงได้ยอมคืนทีด่ นิ ให้โจทก์โดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทน
มส
ใดๆ ทั้งสิ้น” เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850
ฎ. 1077-1078/2512 บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์จ�ำเลยซึง่ มีขอ้ ความว่า หากพยานคนกลางชีข้ าด
ว่าที่พิพาทเป็นของผู้ใดแล้ว ก็ให้ผู้นั้นได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ดังนี้ จึงเป็นข้อตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาท
ระหว่างโจทก์จำ� เลย เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
เมื่อพยานคนกลางชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของจ�ำเลย โดยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ
ดังกล่าว ย่อมท�ำให้จำ� เลยได้สทิ ธิเป็นเจ้าของทีพ่ พิ าท โจทก์จงึ จะฟ้องขอให้พพิ ากษาให้ทพี่ พิ าทนัน้ เป็นของ
โจทก์ไม่ได้
ฎ. 3138/2523 โจทก์ที่ 2 กับจ�ำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสส�ำนักสงฆ์วัดราษฎร์
สามัคคีมขี อ้ พิพาทกันเกีย่ วกับเขตทีด่ นิ ของโจทก์ที่ 2 กับทีด่ นิ อันเป็นทีต่ งั้ ของส�ำนักสงฆ์ซงึ่ อยูต่ ดิ ต่อกันว่า
ธ
อยู่ตรงที่ใด และที่ดินตรงนั้นจะเป็นของโจทก์ที่ 2 หรือของส�ำนักสงฆ์ โจทก์ที่ 2 จ�ำเลยที่ 1 และจ�ำเลยที่
2 จึงท�ำบันทึกข้อตกลงว่าให้ทดี่ นิ ตรงทีพ่ พิ าทกันนัน้ ตกเป็นของส�ำนักสงฆ์วดั ราษฎร์สามัคคี ส่วนทีด่ นิ ของ
มส
ธ
แปลงที่ 2 ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้ เป็นของโจทก์ แปลงที่ 3 เป็นของจ�ำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็น
ของจ�ำเลยที่ 3 ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัดและยังมีเอกสารซึ่งเป็นรูปจ�ำลองแผนที่ มีรอยขีดเส้นแบ่ง
มส
ที่ดินออกเป็น 4 ส่วน เขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อจ�ำเลยที่ 3 ในบริเวณที่ดิน
ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งโจทก์และจ�ำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วยเมื่อ
โจทก์กบั จ�ำเลยทัง้ สามมีกรรมสิทธิร์ วมกันในทีด่ นิ พิพาทการก�ำหนดลงไปในเอกสารทัง้ สองฉบับว่า ผูใ้ ดได้ที่
ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่
โต้เถียงแย่งกันเอาทีด่ นิ ส่วนนัน้ ส่วนนี้ ทัง้ ตามข้อตกลงก็ระบุวา่ จะน�ำช่างรังวัดท�ำการปักหลักเขตแสดงว่ามี
การตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะน�ำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้
เนือ้ ทีข่ องแต่ละคนเป็นทีแ่ น่นอนเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา
850
ฎ. 2245/2544 บันทึกข้อตกลงในช่องข้อตกลงของคูก่ รณีระบุให้ ส. (บุตรโจทก์) ขนย้ายครอบครัว
ธ
ออกจากบ้านเช่าภายใน 60 วัน ส่วนจ�ำเลยยินยอมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 8021 เนื้อที่ 35 ตารางวา ให้แก่
โจทก์ ดังนี้ จะเห็นว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์กบั จ�ำเลยดังกล่าวก�ำหนดให้คกู่ รณีทงั้ สองฝ่ายต่างมีภาระหน้าที่
มส
ต่อกันและเป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
อย่างไรก็ตามการยอมผ่อนผันให้แก่กนั นัน้ ไม่จำ� เป็นทีค่ กู่ รณีพพิ าทจะให้ประโยชน์แก่คกู่ รณีพพิ าท
อีกฝ่ายหนึง่ แต่อาจตกลงสละข้อเรียกร้องทีพ่ พิ าทและให้ประโยชน์แก่บคุ คลภายนอกก็ได้หรือระบุให้บคุ คล
ภายนอกที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่และให้คู่กรณีได้รับประโยชน์ก็ได้
อุทาหรณ์
ฎ. 1254/2493 สามีภริยาท�ำหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งระบุไว้ว่า เป็นสัญญาประนีประนอมเพื่อระงับ
ม
ข้อพิพาทเรื่องเรือนและสวนยางไม่ให้ต้องเป็นความกันในโรงศาลโดยตกลงโอนกรรมสิทธิ์สวนแปลงนั้นให้
บุตร 2 คนๆ ละส่วนนับแต่วันท�ำสัญญา แม้จะมีข้อความว่าให้บุตรทั้งสองเข้าถือสิทธิครอบครองได้ต่อเมื่อ
สามีภริยาตายแล้วทั้งสองคน ก็ถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850 และ
เป็นสัญญาซึ่งคู่สัญญาตกลงจะช�ำระหนี้แก่บุตรซึ่งเป็นบุคคลภายนอก บุตรจึงมีสิทธิจะเรียกช�ำระหนี้จาก
คูส่ ญ
ั ญาได้ ตาม ปพพ. มาตรา 374 วรรคต้นและเมือ่ บุตรได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญานีแ้ ล้ว
สิทธิของบุตรก็เกิดขึ้นแล้วตามวรรคสอง บุตรย่อมฟ้องขอให้ปฏิบัติตามสัญญานั้นได้
ฎ. 766/2509 เดิมสามีจ�ำเลยท�ำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ยังไม่ทันจดทะเบียนโอนกันสามี
สธ
จ�ำเลยก็ตาย ต่อมาโจทก์จำ� เลยจะพิพาทกันจึงพากันไปอ�ำเภอและท�ำสัญญาต่อกันไว้วา่ จ�ำเลยจะให้เงินโจทก์
4,000 บาท โจทก์จะคืนทีส่ วนแปลงหนึง่ และต่อไปก็จะคืนทีพ่ พิ าทให้บตุ รจ�ำเลยอีกด้วยสัญญานีเ้ ป็นสัญญา
ประนีประนอมยอมความ
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-33
ธ
ระหว่างโจทก์ (จ�ำเลยในคดีน)ี้ กับ บ. ดังกล่าว จึงมีสว่ นหนึง่ ทีม่ ลี กั ษณะเป็นสัญญาเพือ่ ประโยชน์แก่บคุ คล
ภายนอก ตาม ปพพ. มาตรา 374 รวมอยู่ด้วย เมื่อจ�ำเลยตกลงยอมรับผิดชอบช�ำระหนี้การค้าผลไม้ซึ่ง
มส
รวมหนี้ที่มีต่อโจทก์ด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้จ�ำเลยช�ำระหนี้ได้และการที่โจทก์ทวงถามให้จ�ำเลย
ช�ำระหนี้เท่ากับเป็นการแสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว
อนึ่ง สัญญาประนีประนอมยอมความที่ให้ประโยชน์แก่บุคคลภายนอกนั้นย่อมเกิดผลเมื่อบุคคล
ภายนอกแสดงเจตนาเข้ารับประโยชน์แห่งสัญญาเช่นเดียวกับสัญญาเพือ่ ประโยชน์ของบุคคลภายนอกทัว่ ไป
แต่ถ้าเป็นกรณีที่ต้องด�ำเนินการบางอย่างก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายในเรื่องเหล่านั้นว่าบุคคลภายนอกจะ
เข้าด�ำเนินการได้หรือไม่ เช่น ในเรือ่ งการบังคับคดีบคุ คลภายนอกผูไ้ ด้รบั ประโยชน์จากประนีประนอมยอม
ความไม่มีสิทธิบังคับคดีเพราะไม่ใช่คู่ความในคดี ต้องให้คู่ความด�ำเนินการ
อุทาหรณ์
ฎ. 269/2508 เจ้าหนี้ตามค�ำพิพากษาอาจเป็นโจทก์หรือจ�ำเลยหรืออาจเป็นบุคคลภายนอกซึ่งร้อง
ธ
สอดเข้ามาในคดีก็ได้ ฉะนั้น ผู้ที่เป็นแต่เพียงผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้นจึง
หาใช่เจ้าหนี้ตามค�ำพิพากษาที่จะมีสิทธิบังคับคดีไม่
มส
ฎ. 3053/2527 โจทก์จ�ำเลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่
สุดแล้ว เมือ่ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความปรากฏข้อความชัดว่า จ�ำเลยยอมแบ่งทีด่ นิ ตามโฉนดทีด่ นิ
เลขที่ 40888 ให้กับ ส.ธ.พ. และโจทก์โดยระบุเนื้อที่ดินที่จะแบ่งให้แต่ละคนไว้ ส่วนที่เหลือเป็นของจ�ำเลย
และจ�ำเลยยอมโอนกรรมสิทธิใ์ นทีด่ นิ ตามโฉนดทีด่ นิ เลขที่ 42487 ให้กบั ส. ซึง่ เป็นบุคคลภายนอกทัง้ หมด
หากจ�ำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ให้บังคับคดีได้ทันที จ�ำเลยยินยอมจะยื่นค�ำร้องต่อ
เจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแบ่งแยกที่ดินในส่วนที่จะแบ่งให้กับโจทก์และบุคคลดังกล่าว เมื่อได้รับหนังสือบอก
ม
กล่าวจากทนายความโจทก์เท่านั้น คดีได้ความว่า ส.ธ. และ พ. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาถือ
เอาประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความนัน้ แล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขนึ้ โจทก์จำ� เลย
ซึ่งเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่ ดังนี้
โจทก์มสี ว่ นได้เสียตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยตรงได้ขอให้บงั คับจ�ำเลยปฏิบตั ติ ามค�ำพิพากษา
ของศาล ซึง่ ได้พพิ ากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว หาได้บงั คับเอาแก่บคุ คลภายนอก
แต่อย่างใดไม่ การบังคับให้จ�ำเลยปฏิบัติตามค�ำพิพากษาของศาลอยู่ในวิสัยที่จ�ำเลยปฏิบัติได้ จ�ำเลยจึง
มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม
สธ
ฎ. 7355/2553 จ�ำเลยเคยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ บ. บุตรของ น. ในคดีที่พิพาท
กันเรื่องมรดกของ น. โดยตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันหลายรายการและมีข้อตกลงให้จำ� เลยรับช�ำระหนี้ของ
บ. ที่มีต่อธนาคารและหนี้สินในการค้าผลไม้ซึ่งมีหนี้ที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้รวมอยู่ด้วย ข้อตกลงตามสัญญา
ม
10-34 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ประนีประนอมดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่สัญญา จึงมีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อ
ประโยชน์แก่บุคคลภายนอก ตาม ปพพ. มาตรา 374 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จ�ำเลยช�ำระหนี้ดังกล่าวแก่
โจทก์ได้โดยตรงตามบทบัญญัติดังกล่าว
ด้วยเหตุทใี่ นสัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีการทีค่ กู่ รณีพพิ าทตกลงกันระงับข้อพิพาทโดย
ต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ดังนั้น ถ้าไม่มีการผ่อนผันให้แก่กันระหว่างคู่กรณีพิพาท เช่น คู่กรณีพิพาทฝ่าย
ธ
หนึง่ ยอมปฏิบตั ติ ามข้อเรียกร้องของคูก่ รณีพพิ าทอีกฝ่ายหนึง่ ทุกประการ ย่อมไม่ใช่ประนีประนอมยอมความ
แต่อาจเป็นเรือ่ งอืน่ ๆ เช่น การรับสภาพหนีห้ ากมีการระบุในข้อตกลงยอมรับว่าเป็นหนีต้ อ่ กันและจะใช้หนีใ้ ห้
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 2537/2523 โจทก์ขายฝากทีด่ นิ ของโจทก์ไว้กบั จ�ำเลย ครบก�ำหนดเวลาไถ่แล้ว จ�ำเลยท�ำสัญญา
ว่าจะแบ่งทีด่ นิ คืนให้โจทก์บางส่วนเพือ่ มนุษยธรรม สัญญาดังกล่าวไม่ใช่สญ ั ญาประนีประนอมยอมความแต่
เป็นสัญญาให้ หรือค�ำมั่นจะให้ทรัพย์สิน เมื่อไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 526 สัญญา
นั้นก็ไม่ผูกพันจ�ำเลย โจทก์จะอาศัยสัญญาดังกล่าวมาฟ้องบังคับให้จำ� เลยแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ไม่ได้
ฎ. 2968/2530 หนังสือที่แสดงหลักฐานแห่งการสงวนสิทธิเรียกร้องอันมีอยู่ในมูลหนี้เดิม และมีข้อ
ตกลงในการช�ำระหนีท้ งั้ หมดว่าจะช�ำระเมือ่ ใด หากผิดนัดจะคิดดอกเบีย้ ในอัตราเท่าใด โดยไม่มกี ารทีจ่ ำ� เลย
ยอมผ่อนผันประการใดให้โจทก์ ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ
ฎ. 1001/2531 เมือ่ หนีท้ โี่ จทก์เรียกร้องมีมลู มาจากการท�ำละเมิด โจทก์ผเู้ ป็นเจ้าหนีย้ อ่ มมีสทิ ธิเรียกร้อง
ธ
ให้คืนทรัพย์สินอันต้องเสียไปเพราะละเมิดหรือให้ใช้ราคาทรัพย์นั้น การที่จ�ำเลยได้ทำ� หนังสือไว้ต่อโจทก์มี
ใจความว่ายอมจะใช้ราคาทรัพย์สนิ ทีเ่ สียหาย ดังนี้ ถือได้วา่ หนังสือดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือทีจ่ ำ� เลยผูเ้ ป็น
มส
ธ
ค่าเสียหายส่วนอื่นที่เจ้าของรถยนต์มีสิทธิเรียกร้องจากจ�ำเลยที่ 1 ได้อีก ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีลักษณะ
เป็นการระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงไม่
มส
เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850
ฎ. 3630/2552 ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจ�ำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาเป็นข้อตกลงใน
ศาลชัน้ บังคับคดีหลังจากทีศ่ าลแรงงานกลางมีคำ� พิพากษาให้จำ� เลยช�ำระหนีแ้ ก่โจทก์แล้ว โจทก์จงึ เป็นเจ้าหนี้
ตามค� ำ พิ พ ากษาและได้ ข อให้ ศ าลตั้ ง เจ้ า พนั ก งานบั ง คั บ คดี ยึ ด ทรั พ ย์ จ� ำเลยเพื่ อ บั ง คั บ ช� ำ ระหนี้ ต าม
ค�ำพิพากษาแล้ว ฉะนัน้ การทีโ่ จทก์ยอมตกลงกับจ�ำเลยในชัน้ ไต่สวนค�ำร้องขอพิพากษาคดีใหม่ โดยยอมรับ
ตามที่จ�ำเลยขอผ่อนช�ำระหนี้ในยอดเงิน 41,000 บาท โดยแบ่งช�ำระเป็น 2 งวด เป็นเพียงโจทก์ยอมสละ
สิทธิในหนี้ส่วนที่เหลือให้แก่จ�ำเลย หากจ�ำเลยปฏิบัติการช�ำระหนี้ให้ครบถ้วนตามก�ำหนดในข้อตกลง
ดังกล่าว ทั้งข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าโจทก์ยอมยกเลิกหรือไม่ติดใจบังคับคดีตาม
ค�ำพิพากษาเดิมจากจ�ำเลยทันที แต่ระบุวา่ หากจ�ำเลยน�ำเงินมาช�ำระครบถ้วนแล้ว โจทก์กไ็ ม่ตดิ ใจจะบังคับ
ธ
คดีกบั จ�ำเลยในคดีนอี้ กี เท่านัน้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ใช่สญ ั ญาประนีประนอมยอมความทีท่ ำ� ให้หนีเ้ ดิมตาม
ค�ำพิพากษาสิ้นผลบังคับไป
มส
ธ
ประการ ในส่วนของความเสียหายจะไปตรวจสอบอีกครั้งและคู่กรณีแจ้งว่าจะไปตกลงชดใช้ค่าเสียหาย
กันเอง แต่ข้อความดังกล่าวก็ได้ความเพียงว่าจ�ำเลยที่ 1 ยอมรับผิดว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายและ
มส
ตกลงชดใช้คา่ เสียหายให้แก่คกู่ รณีอกี ฝ่ายหนึง่ เท่านัน้ โดยไม่มรี ายละเอียดหรือข้อตกลงทีแ่ น่นอนเกีย่ วกับ
จ�ำนวนเงินที่ต้องช�ำระ วิธีการช�ำระ ตลอดจนก�ำหนดเวลาช�ำระที่แน่นอนอันจะท�ำให้ปราศจากการโต้แย้ง
กันอีก นอกจากนี้บันทึกข้อตกลงดังกล่าวหาได้มีข้อความโดยชัดแจ้งว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงระงับข้อ
พิพาทโดยยอมสละข้อเรียกร้องอื่นทั้งสิ้นแต่อย่างใด ดังนี้ ข้อความในเอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เป็นสัญญา
ประนีประนอมยอมความอันจะท�ำให้หนี้ในมูลละเมิดระงับสิ้นไป ตาม ปพพ. มาตรา 850 ถึง 852
ฎ. 5240/2553 ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจ�ำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่มี
ข้อความว่า จ�ำเลยจะช�ำระเงินให้แก่โจทก์จ�ำนวนเต็มตามฟ้องโดยผ่อนช�ำระเป็นรายเดือนจนกว่าจะ
ครบถ้วนให้เสร็จสิ้นภายใน 3 ปี หากโจทก์ได้รับช�ำระครบถ้วนแล้ว โจทก์จะถอนฟ้องคดีนั้น เป็นข้อตกลง
ในการผ่อนช�ำระหนีต้ ามเช็คเท่านัน้ และตามข้อตกลงดังกล่าวไม่มขี อ้ ความตอนใดแสดงว่าโจทก์ตกลงสละ
ธ
สิทธิในการด�ำเนินคดีอาญาแก่จำ� เลยในทันที จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ทำ� ให้มลู หนีเ้ ดิม
ตามเช็คระงับไปแล้วเกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งไม่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็น
มส
สัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมช�ำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะช�ำระหนี้หรือขอปฏิบัติ
การช�ำระหนี้ก็ได้
อุทาหรณ์
ฎ. 825/2514 โจทก์จ�ำเลยท�ำสัญญาแบ่งที่ดินมรดกโดยจ�ำเลยยอมแบ่งให้โจทก์เพื่อไม่ต้องเป็น
ความกัน ดังนี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่สัญญายกให้โดยเสน่หา
ธ
ข้อความในสัญญามีวา่ โจทก์จะต้องแบ่งครึง่ หนึง่ ของทีด่ นิ ทีไ่ ด้รบั ให้แก่บตุ รโจทก์ดว้ ยแล้วลงลายมือ
ชื่อโจทก์ จ�ำเลย พยาน และผู้เขียน แต่โจทก์จ�ำเลยยังตกลงกันอีกด้วยว่า บุตรของโจทก์จะต้องเสียเงิน
มส
2,000 บาทให้แก่จ�ำเลย จ�ำเลยจึงจะโอนที่ดินให้และบอกให้ผู้เขียนสัญญาเขียนข้อตกลงนี้ลงในสัญญาใน
ขณะนัน้ เองผูเ้ ขียนจึงเขียนข้อตกลงนีไ้ ว้ใต้ลายมือชือ่ ทีไ่ ด้ลงกันไว้นนั้ แล้วผูเ้ ขียนลงลายมือชือ่ ก�ำกับข้อความ
ตอนท้ายนีไ้ ว้คนเดียว ดังนี้ ก็ตอ้ งถือว่าข้อความตอนท้ายนีเ้ ป็นส่วนหนึง่ ของสัญญาประนีประนอมยอมความ
และสัญญานี้มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนด้วย ตราบใดที่ฝ่ายโจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติการช�ำระหนี้ โดย
ให้เงินแก่จ�ำเลย 2,000 บาทโจทก์ก็จะฟ้องบังคับให้จำ� เลยโอนที่ดินให้โจทก์ยังไม่ได้
ฎ. 2198/2514 (ประชุมใหญ่) โจทก์จำ� เลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาลว่า จ�ำเลย
ยอมออกจากบ้านพิพาทภายในก�ำหนด 3 เดือนนับแต่วันท�ำสัญญาและในวันที่จ�ำเลยขนย้ายออกจากบ้าน
โจทก์ โจทก์ยอมจ่ายเงินให้จ�ำเลยหนึง่ หมืน่ บาททันที พ้นก�ำหนดแล้วจ�ำเลยไม่ยอมออกไปตามสัญญายอม
จนโจทก์ขอให้ศาลบังคับให้จับจ�ำเลยมาขังไว้จนกว่าจ�ำเลยจะออกไปดังนี้ สัญญายอมดังกล่าวเป็นสัญญา
ธ
ต่างตอบแทน เมื่อจ�ำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญา และการที่จ�ำเลยออกจากบ้านพิพาทเพราะการบังคับคดี
ของศาล โจทก์จึงมิต้องจ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทให้จำ� เลย
มส
ฎ. 795/2516 บ.โจทก์ในคดีหนึ่งน�ำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จ�ำเลยโจทก์ร้องขัดทรัพย์แล้ว
ได้มปี ระนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยอมให้เงิน บ. 5,000 บาท บ. ยอมถอนการยึดทรัพย์และจ�ำเลย
ยอมยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ สัญญาที่จ�ำเลยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน เพื่อระงับ
ข้อพิพาทระหว่างบุคคลสามฝ่าย มิใช่สญ ั ญาทีจ่ ำ� เลยยกทีด่ นิ พิพาทให้โจทก์โดยเสน่หา แม้มไิ ด้จดทะเบียน
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นสัญญาที่สมบูรณ์บังคับได้
ฎ. 3910/2525 สัญญาประนีประนอมยอมความซึง่ คูส่ ญ ั ญาจ�ำต้องปฏิบตั ติ อ่ กันตามสัญญาทีร่ ะบุไว้
เดียวหาได้ไม่
ม
ทุกข้อ อันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนนั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งยังมิได้ปฏิบัติการช�ำระหนี้ให้ครบถ้วนตาม
สัญญา ก็จะหยิบยกข้อตกลงเฉพาะข้อหนึง่ ข้อใดมาบังคับเอากับอีกฝ่ายหนึง่ เพือ่ เป็นประโยชน์ของตนฝ่าย
ฎ. 95/2533 เหตุขัดข้องที่ท�ำให้ไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์กันได้ตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยทั้งสองเนื่องมาจากการค้างช�ำระค่าภาษีรถยนต์ประจ�ำปี
เมื่อตามสัญญาประนีประนอมยอมความก�ำหนดให้จ�ำเลยทั้งสองเป็นผู้รับผิดชอบค่าธรรมเนียมค่าอากร
แสตมป์และค่าใช้จ่ายต่างๆ อันเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ทั้งหมด ค่าภาษีรถยนต์ประจ�ำปีที่ค้าง
สธ
ช�ำระดังกล่าวจึงเป็นค่าใช้จา่ ยอันเกีย่ วกับการโอนกรรมสิทธิร์ ถยนต์ตามทีร่ ะบุในสัญญาประนีประนอมยอม
ความ จ�ำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชอบจ�ำเลยทั้งสองจะถือเป็นเหตุไม่ช�ำระหนี้แก่โจทก์และขอให้เพิกถอน
หมายบังคับคดีหาได้ไม่
ม
10-38 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ช�ำระเงินให้แก่จำ� เลยและจ�ำเลยยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิท์ ดี่ นิ พิพาทให้แก่โจทก์ หากจ�ำเลยไม่ปฏิบตั ิ
ตามให้ถอื เอาค�ำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจ�ำเลยสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และ
มส
จ�ำเลยดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน คู่สัญญาต่างก็มีหน้าที่จะต้องช�ำระหนี้ต่อกัน ดังนั้น การที่โจทก์จะ
ด�ำเนินการให้มกี ารจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิท์ ดี่ นิ พิพาทให้เป็นของโจทก์นนั้ โจทก์กต็ อ้ งขอปฏิบตั กิ ารช�ำระ
หนี้ให้แก่จ�ำเลยด้วย เมื่อโจทก์ไม่ด�ำเนินการดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิยื่นค�ำร้องเพื่อขอให้บังคับจ�ำเลย
ปฏิบัติตามค�ำพิพากษาได้
อย่างไรก็ตาม ในกรณีทใี่ นการผ่อนผันให้แก่กนั นัน้ ไม่มกี ารต้องกระท�ำการทีต่ า่ งตอบแทนกันก็ไม่
เป็นสัญญาต่างตอบแทน เช่น การทีส่ ามีภริยาหย่ากันและตกลงกันมอบทรัพย์สนิ ทีท่ งั้ สองมีรว่ มกันให้บตุ ร
ของทั้งสองฝ่าย ดังนี้ สัญญาประนีประนอมยอมความไม่เป็นสัญญาต่างตอบแทน
ธ
กิจกรรม 10.1.1
1. จงบอกความหมายของประนีประนอมยอมความ
มส
แนวตอบกิจกรรม 10.1.1
ม
1. ประนีประนอมยอมความ เป็นสัญญาที่คู่กรณีพิพาทตกลงกันระงับข้อพิพาทที่มีอยู่หรือที่จะมี
ขึ้นในอนาคตให้เสร็จสิ้นไปโดยคู่กรณีพิพาทต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ตาม ปพพ. มาตรา 850
2. ข้อตกลงของ นายเอ และนางสาวแอน เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะนายเอ และ
นางสาวแอน มีปญ ั หาพิพาทกันเรือ่ งกรรมสิทธิใ์ นทีด่ นิ มรดกของบิดา และได้มกี ารตกลงกันระงับข้อพิพาท
ในเรื่องที่ดินนั้นโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คือ แต่ละฝ่ายให้ประโยชน์แก่อีกฝ่ายหนึ่ง โดยตกลงกันว่า
นาย เอ มีสทิ ธิได้รบั ทีด่ นิ ทีอ่ ยูใ่ น เขตบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร และนางสาวแอน มีสทิ ธิได้รบั
ที่ดินที่อยู่ในอ�ำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตาม ปพพ. มาตรา 850
สธ
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-39
เรื่องที่ 10.1.2
ประเภทของประนีประนอมยอมความ
ธ
การตกลงประนีประนอมยอมความกันอาจจะท�ำได้ทั้งในกรณีที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้นแล้วหรือก่อน
ข้อพิพาทเกิด และเมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นแล้ว คู่กรณีพิพาทสามารถประนีประนอมยอมความกันได้ในทุก
มส
ขั้นตอน กล่าวคือ ในขณะที่ยังมิได้น�ำข้อพิพาทไปฟ้องเป็นคดีต่อศาล ในขณะที่มีการฟ้องคดีต่อศาล และ
คดีอยู่ในระหว่างการพิจาณาของศาลชั้นต้น หรือศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วแต่อยู่ในระหว่างการอุทธรณ์
ค�ำพิพากษาของศาลชัน้ ต้น หรือคดีอยูใ่ นระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์พพิ ากษาคดี
แล้วแต่อยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ค�ำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ หรือคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ
ศาลฎีกา หรือแม้แต่คดีถงึ ทีส่ ดุ แล้วก็ตาม เช่น ศาลฎีกามีคำ� พิพากษาแล้ว ก็อาจตกลงประนีประนอมยอมความ
โดยมิให้มีการบังคับคดีตามค�ำพิพากษาที่ถึงที่สุดนั้นก็ได้
ด้วยเหตุดงั กล่าว ประนีประนอมยอมความจึงอาจแบ่งประเภทได้ตามสภาพของข้อพิพาทว่าอยูใ่ น
ขั้นตอนใดและเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีในศาลหรือไม่ ซึ่งในกรณีนี้แบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
ประนีประนอมยอมความนอกศาล และประนีประนอมยอมความในศาล
ธ
1. ประนีประนอมยอมความนอกศาล
ประนีประนอมยอมความนอกศาลเป็นการตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทที่มีอยู่แล้วหรือจะมีขึ้นใน
มส
ธ
พิพากษาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินกันใหม่ เมื่อโจทก์
จ�ำเลยทั้งสี่ได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อหน้าศาลแล้ว จึงเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้
มส
ตาม ปพพ. มาตรา 850 โดยมีผลท�ำให้การเรียกร้องซึง่ แต่ละฝ่ายได้ยอมสละนัน้ ระงับสิน้ ไป และท�ำให้แต่ละ
ฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตาม ปพพ. มาตรา 852 การบังคับคดีนี้และมูลหนี้
ตามค�ำพิพากษาศาลฎีกาจึงเป็นอันระงับสิ้นไป โจทก์ จ�ำเลยทั้งสี่จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอม
ยอมความดังกล่าว เมือ่ จ�ำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทกั ษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบทีจ่ ะไป
ว่ากล่าวเอาแก่จ�ำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะกลับมาขอให้ศาลออก
หมายบังคับคดีตามค�ำพิพากษาซึ่งมูลหนี้ระงับไปแล้วหาได้ไม่
ฎ. 7907/2551 ข้อตกลงในการช�ำระหนี้ที่คู่ความท�ำขึ้นใหม่แตกต่างจากข้อตกลงในการช�ำระหนี้ที่
คูค่ วามก�ำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความทีศ่ าลพิพากษาตามยอมไปแล้วนัน้ เมือ่ มิได้กระท�ำต่อ
หน้าศาล ศาลไม่รับรู้ข้อตกลงดังกล่าว ดังนั้น หากปรากฏว่าจ�ำเลยทั้งสองยังไม่ปฏิบัติการช�ำระหนี้ตามที่
ธ
ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ถือว่าจ�ำเลยทัง้ สองผิดนัด ศาลย่อมออกหมายบังคับคดีตาม
ที่โจทก์ร้องขอได้
มส
2. ประนีประนอมยอมความในศาล
ประนีประนอมยอมความในศาลเป็นการตกลงกันเพือ่ ระงับข้อพิพาททีก่ ำ� ลังเป็นคดีอยูใ่ นศาล โดย
คูก่ รณีตา่ งยอมผ่อนฝันให้แก่กนั และศาลรับรูโ้ ดยมีสว่ นร่วมในประนีประนอมยอมความนัน้ เนือ่ งจากคูก่ รณี
ต้องแจ้งให้ศาลทราบและเมือ่ มีประนีประนอมยอมความแล้ว เสนอให้ศาลพิจารณา ซึง่ เมือ่ ศาลเห็นว่าสัญญา
ประนีประนอมยอมความดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย ศาลก็จะพิพากษาให้เป็นไปตามที่ได้ตกลง
ม
ประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งมีบทบัญญัติอยู่ใน ปวพ. มาตรา 20 มาตรา 20 ทวิ และมาตรา 138 โดย
ใน มาตรา 20 เป็นเรื่องที่สนับสนุนให้ศาลพยายามไกล่เกลี่ยให้คู่ความตกลงประนีประนอมยอมความกัน
ในข้อพิพาทที่เป็นคดีอยู่ในศาล และในมาตรา 20 ทวิ เป็นรายละเอียดในการไกล่เกลี่ยและหลักเกณฑ์และ
วิธีการในการไกล่เกลี่ย เช่น อาจท�ำเป็นความลับ และการแต่งตั้งผู้ประนีประนอมให้เป็นไปตามที่กำ� หนด
ไว้ในข้อก�ำหนดของประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา และมาตรา 138
เป็นเรื่องวิธีการและหลักเกณฑ์ของประนีประนอมยอมความในศาล เช่น ต้องไม่มีการถอนฟ้อง ไม่ฝ่าฝืน
ต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานประนีประนอมยอมความและพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอม
สธ
ความ ดังนี้
มาตรา 20 “ไม่ว่าการพิจารณาคดีจะได้ด�ำเนินไปแล้วเพียงใด ให้ศาลมีอ�ำนาจที่จะไกล่เกลี่ยให้คู่
ความได้ตกลงกัน หรือประนีประนอมยอมความกันในข้อพิพาทนั้น”
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-41
ธ
หลักเกณฑ์และวิธกี ารในการไกล่เกลีย่ ของศาล การแต่งตัง้ ผูป้ ระนีประนอม รวมทัง้ อ�ำนาจหน้าที่
ของผู้ประนีประนอม ให้เป็นไปตามที่ก�ำหนดไว้ในข้อก�ำหนดของประธานศาลฎีกา โดยความเห็นชอบ
มส
ของทีป่ ระชุมใหญ่ของศาลฎีกาหลักเกณฑ์และวิธกี ารในการไกล่เกลีย่ ของศาล การแต่งตัง้ ผูป้ ระนีประนอม
รวมทั้งอ�ำนาจหน้าที่ของผู้ประนีประนอม ให้เป็นไปตามที่ก�ำหนดไว้ในข้อก�ำหนดของประธานศาลฎีกา
โดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา”
มาตรา 138 “ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอม ความกันในประเด็นแห่งคดีโดย
มิได้มกี ารถอนค�ำฟ้องนัน้ และข้อตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันนัน้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือประนีประนอมยอมความเหล่านี้ไว้ แล้ว
พิพากษาไปตามนั้น
ห้ามมิให้อุทธรณ์ค�ำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้
(1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
ธ
(2) เมื่อค�ำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติ แห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วย
ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) เมื่อค�ำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลง หรือประนีประนอมยอมความ”
มส
จากลักษณะของประนีประนอมยอมความในศาลและบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงสรุป
ได้ว่า ประนีประนอมยอมความในศาลเป็นการระงับข้อพิพาทโดยคู่กรณีพิพาทตกลงกันให้ระงับข้อพิพาท
ระหว่างกันโดยการยอมผ่อนผันให้แก่กนั เมือ่ ข้อพิพาททีเ่ กิดขึน้ ได้นำ� ไปฟ้องเป็นคดีตอ่ ศาล และในระหว่าง
ที่ศาลก�ำลังพิจารณาคดีดังกล่าวอยู่ คู่กรณีได้ทำ� ความตกลงกันได้ในข้อพิพาทดังกล่าว อันท�ำให้ข้อพิพาท
ที่มีอยู่นั้นสิ้นสุดลง และต้องท�ำหลักฐานของสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้วเสนอให้ศาลพิจารณา
อุทาหรณ์
ม
ซึง่ เมือ่ ศาลเห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายศาลก็จะพิพากษาให้เป็นไป
ตามที่ได้ยอมความกันดังกล่าว
ไก่ เช่า ห้องชุดของ ไข่ ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท ต่อมา ไก่ ค้างค่าเช่า 6 เดือน เป็น
เงิน 30,000 บาท ไข่ จึงบอกเลิกสัญญาเช่า ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่าที่ค้างช�ำระจาก ไก่ ต่อศาลที่มีเขต
อ�ำนาจ และระหว่างการพิจารณาของศาล ไก่ ได้ท�ำความตกลงกับ ไข่ ว่า ไก่ จะขนย้ายทรัพย์สนิ ออกจาก
ห้อง เช่าภายในเวลาหนึ่งเดือน และ ไข่ ไม่ติดใจเรียกค่าเช่าที่ค้างช�ำระอีกต่อไป ไก่ และ ไข่ จึงท�ำสัญญา
สธ
ประนีประนอมยอมความเสนอต่อศาล และศาลได้พิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลงประนีประนอมยอมความ
กันนั้น
ม
10-42 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ปฏิบัติตามสัญญานั้นได้ทันที กล่าวคือ คู่สัญญาฝ่ายนั้นอาจถูกยึดหลักอายัดทรัพย์สินมาขายทอดตลาด
ช�ำระหนี้ให้ฝ่ายผู้เสียหายได้ หรือบังคับให้ต้องกระท�ำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ให้ออกไปจากบ้านเช่า
มส
ตามที่ระบุไว้ในค�ำพิพากษาได้
อุทาหรณ์
ฎ. 2169/2523 เมื่อทนายโจทก์ทนายจ�ำเลยแถลงร่วมกันว่าคดีตกลงกันได้แล้วขอให้ท�ำสัญญา
ประนีประนอมยอมความก็ไม่มคี วามจ�ำเป็นทีศ่ าลชัน้ ต้นจะต้องมีคำ� สัง่ รับค�ำให้การและค�ำแถลงจ�ำเลยเพราะ
ไม่เป็นสาระแก่คดีจะต้องพิจารณาต่อไป ชอบทีศ่ าลจะท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความและพิพากษาตาม
ยอมได้
ฎ. 2959/2551 โจทก์ จ�ำเลยทั้งสาม และจ�ำเลยร่วมท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลและ
ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ย่อมผูกพันคู่ความ ตาม ปวพ. มาตรา 145 หากจ�ำเลยที่ 1 เห็นว่าค�ำพิพากษา
นัน้ ไม่ชอบเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมายเกีย่ วด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึง่ เข้าข้อ
ธ
ยกเว้นที่สามารถอุทธรณ์คำ� พิพากษาได้ ตาม ปวพ. มาตรา 138 วรรคสอง (2) จ�ำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะใช้
สิทธิอุทธรณ์คัดค้านค�ำพิพากษานั้นตามบทบัญญัติดังกล่าวเช่นกัน เมื่อจ�ำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์และคดีถึงที่
มส
สุดไปแล้วจ�ำเลยที่ 1 จะมายื่นค�ำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนค�ำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอม
ความหาได้ไม่
ฎ. 3192/2551 โจทก์และจ�ำเลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล โดยจ�ำเลยยอมช�ำระเงิน
5,624,000 บาท แก่โจทก์ ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง
ของค�ำพิพากษาซึ่งจะแก้ไขข้อผิดพลาดได้เมื่อเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่นๆ ตาม
ปวพ. มาตรา 143 วรรคแรก ประกอบ พรบ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31
ม
หลังจากนัน้ จ�ำเลยได้ชำ� ระเงินแก่โจทก์เพียงบางส่วน โจทก์จงึ ยืน่ ค�ำร้องขอให้ศาลมีคำ� สัง่ ให้โจทก์ได้รบั ช�ำระหนี้
ในส่วนดอกเบี้ยนับแต่วันที่จ�ำเลยผิดนัดไม่ช�ำระหนี้ตามค�ำพิพากษาจนกว่าจะช�ำระเสร็จ เป็นค�ำร้องขอให้
ศาลแก้ไขค�ำพิพากษาเพิ่มความรับผิดของจ�ำเลยในส่วนของดอกเบี้ยที่จำ� เลยมิได้ยินยอมรับผิดหากผิดนัด
ไม่ชำ� ระหนีต้ ามก�ำหนดอันมิใช่ค�ำร้องขอให้ศาลวินจิ ฉัยข้อขัดข้องในการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี
และมิใช่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่นๆ ดังกล่าวศาลชอบที่จะยกค�ำร้องดังกล่าวได้
ฎ. 5716/2551 เมือ่ จ�ำเลยได้ทำ� สัญญาประนีประนอมยอมความโอนทีด่ นิ พิพาทให้ผรู้ อ้ งตามมูลหนี้
สัญญาจะซือ้ จะขาย และศาลชัน้ ต้นพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความจนคดีถงึ ที่
สธ
สุดแล้ว สิทธิของผู้ร้องตามค�ำพิพากษาที่จะเรียกร้องให้จ�ำเลยปฏิบัติตามค�ำพิพากษา หรือไปจดทะเบียน
โอนที่ดินพิพาทให้แก่ตนย่อมเกิดขึ้นทันที ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนตาม
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-43
ธ
ประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850 และมาตรา 852 เมือ่ ความรับผิดของ จ. ต่อโจทก์เปลีย่ น
เป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หนี้ของ จ. ตามสัญญากู้เงินจึงระงับสิ้นไป จ�ำเลยใน
มส
ฐานะผู้คํ้าประกันการช�ำระหนี้ตามสัญญากู้เงินของ จ. จึงหลุดพ้นความรับผิด ตาม ปพพ. มาตรา 698
กิจกรรม 10.1.2
ประนีประนอมยอมความมีกี่ประเภท แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร
แนวตอบกิจกรรม 10.1.2
ประนีประนอมยอมความมี 2 ประเภท คือ ประนีประนอมยอมความนอกศาลและประนีประนอม
ยอมความในศาล
ธ
ประนีประนอมยอมความนอกศาลเป็นการตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทที่มีอยู่แล้วหรือจะมีขึ้นใน
อนาคตโดยท�ำการผ่อนฝันให้แก่กนั ในระหว่างทีข่ อ้ พิพาทนัน้ ยังมิได้นำ� ไปฟ้องเป็นคดีในศาลหรือหากมีการ
มส
ม
สธ
ม
10-44 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 10.1.3
หลักฐานของประนีประนอมยอมความ
ธ
ถึงแม้วา่ ประนีประนอมยอมความเกิดขึน้ โดยการตกลงกันระหว่างคูก่ รณีพพิ าททีจ่ ะระงับข้อพิพาท
โดยการผ่อนผันให้แก่กัน เพราะไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายก�ำหนดว่าต้องมีแบบ แต่ประนีประนอมยอม
มส
ความนั้นต้องมีหลักฐานของการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อเป็นหลักฐานในการฟ้องบังคับคดี
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
1. หลักฐานเป็นหนังสือ
ในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมิฉะนั้นจะฟ้องบังคับคดี
กันมิได้ ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 851 ว่า
“อันสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือลายมือชื่อของตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นส�ำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้
บังคับคดีหาได้ไม่”
ธ
หลักฐานเป็นหนังสือของสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นอาจอยู่ในรูปของสัญญาที่คู่กรณี
ทั้งสองฝ่ายท�ำขึ้นที่แสดงว่ามีการตกลงประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีหรือ
หลั ก ฐานอื่ น ๆ ของทางราชการที่ ไ ด้ ช ่ ว ยให้ คู ่ ก รณี ต กลงกั น และบั น ทึ ก ข้ อ ตกลงของคู ่ ก รณี ว ่ า ได้ ท� ำ
มส
ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลด้วยรายงานกระบวนพิจารณานีจ้ งึ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
อันเป็นผลให้มูลละเมิดซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไป โจทก์จึงย่อมจะมาฟ้องจ�ำเลยในมูลละเมิดเดิมอีกไม่ได้ได้แต่จะ
ฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ท�ำกันไว้เท่านั้น (ฎ.1322/2521 และ ฎ. 3395/2530)
ฎ. 308/2509 โจทก์แจ้งยอดจ�ำนวนหนีท้ จี่ ำ� เลยเป็นหนีอ้ ยูแ่ ละจะให้ทนายฟ้องเรียกจากจ�ำเลยโดย
ทนายได้แสดงใบแต่งทนายของบริษัทโจทก์ให้ดูด้วย จ�ำเลยจึงได้ขอร้องอย่าให้ฟ้องต่อมาจึงได้ท�ำหนังสือ
ธ
ประนีประนอมยอมความว่า ลูกหนี้สละสิทธิ์ที่จะฟ้องเรียกหนี้สินจากเจ้าหนี้ตามที่เคยให้ทนายทวงถามมา
และรับว่าค้างช�ำระหนีแ้ ก่เจ้าหนี้ 30,574.56 บาท ซึง่ ลูกหนีจ้ ะช�ำระให้เสร็จภายใน 3 ปีโดยผ่อนช�ำระเดือน
มส
ละ 850 บาทในตอนท้ายลงชื่อลูกหนี้ กับลงชื่อทนายโจทก์ ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการท�ำสัญญาประนีประนอม
ยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วย ต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ตาม ปพพ. มาตรา 850
แล้ว
สัญญาประนีประนอมยอมความได้มีหลักฐานเป็นหนังสือและจ�ำเลยฝ่ายที่ต้องรับผิดได้ลงลายมือ
ชื่อไว้เป็นส�ำคัญแล้วโจทก์ก็ย่อมฟ้องบังคับคดีได้ เพราะตาม ปพพ. มิได้มีข้อความว่าจะต้องมีลายมือชื่อ
ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายลงไว้ด้วยกันจึงเป็นสัญญาอันสมบูรณ์
ฎ. 1420/2510 ที่พิพาทมีชื่อโจทก์จำ� เลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนดโดยมิได้ระบุส่วนของ
ใครเท่าใด ในเบื้องต้นก็ต้องถือว่าโจทก์จำ� เลยต่างมีส่วนเป็นเจ้าของคนละครึ่ง แต่เมื่อต่อมาโจทก์จ�ำเลยได้
ตกลงแบ่งที่พิพาทกัน จ�ำเลยได้ 3 ไร่ โจทก์ได้ 5 ไร่ 70 ตารางวา ข้อตกลงแบ่งที่ดินดังกล่าวนี้เข้าลักษณะ
ธ
สัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850 เพราะการตกลงก�ำหนดลงไปว่า ใครได้เนื้อที่
เท่าไรย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปไม่ต้องโต้เถียงกันว่าฝ่ายใดมีเหตุสมควรจะได้มาก
มส
ได้นอ้ ยกว่าครึง่ อย่างไร เมือ่ ข้อตกลงนีไ้ ด้มหี ลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชือ่ โจทก์จำ� เลยเป็นส�ำคัญ ซึง่ โจทก์
จ�ำเลยต่างรับรองต้องกัน จึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ส่วนที่การรังวัดแบ่งแยกให้เป็นไปตามค�ำขอ ยัง
มิได้ส�ำเร็จลง จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม ก็ไม่ท�ำให้ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว
เสียไป
ฎ. 1962/2523 โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ส่วนหนึ่งของที่พิพาทมาจาก ช. ผู้ถือกรรมสิทธิ์ รวมกับ
จ�ำเลยแล้วโจทก์ครอบครองทีพ่ พิ าทส่วนทางทิศเหนือตามที่ ช. เจ้าของเดิมครอบครองมา ส่วนจ�ำเลยครอบ
ม
ครองทางทิศใต้โดยถือเอาคันสวนเป็นแนวเขต ต่อมาโจทก์จ�ำเลยได้ ท�ำบันทึกตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมมี
ความว่า โจทก์จ�ำเลยตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินแปลงนี้ออกจากกันทางทิศใต้แบ่งเป็นของ
จ�ำเลยให้ได้เนือ้ ทีค่ รึง่ หนึง่ ส่วนแปลงคงเหลือเป็นของโจทก์ บันทึก ดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอม
ความใช้บังคับกันได้
ฎ. 2017/2533 โจทก์ จ�ำเลย และ ช. ได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นสัดส่วนของแต่ละคนและ
ได้ทำ� บันทึกตกลงกันต่อเจ้าพนักงานทีด่ นิ ว่าจะไปจดทะเบียนทางภารจ�ำยอมหลังจากได้รบั โฉนดทีด่ นิ แล้ว
บันทึกข้อตกลงดังกล่าวใช้บังคับได้ แม้ต่อมาภายหลังจ�ำเลยได้ถอนข้อตกลงนั้น แต่โจทก์ไม่ได้ถอนด้วย
สธ
ดังนี้ โจทก์ จ�ำเลย ต้องผูกพันตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
ม
10-46 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
เมตร ออกสู่ถนนทางด้านข้างอาคารพาณิชย์ถึงถนนสาธารณะโดยให้ใช้ได้ตลอดไป ส่วนท่อระบายนํ้าให้
ขุดลอกหน้าท่อระบายนํา้ ให้มรี ะดับตํา่ กว่าปากท่อ หากมีการซือ้ ขายส่วนเกินให้คดิ ราคา 1,800 บาท ต่อตารางวา
มส
และภายหลังจัดท�ำแผนที่โจทก์และจ�ำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ บันทึกและแผนที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็น
การระงับข้อพิพาทซึง่ มีอยูใ่ ห้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กนั จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
การทีโ่ จทก์และจ�ำเลยทัง้ สองตกลงแบ่งทีด่ นิ กันอีกตามรูปแผนที่ ซึง่ ทัง้ โจทก์ และจ�ำเลยทัง้ สองลงลายมือชือ่
รับรองไว้ จึงมีผลผูกพันคูค่ วาม แม้โจทก์จะมิได้ลงชือ่ ในบันทึกข้อตกลงด้วยตนเอง แต่พฤติการณ์โจทก์ถอื
ได้ว่าเชิด ส. เป็นผู้ลงลายมือชื่อกระท�ำการแทน มีผลเช่นเดียวกับที่โจทก์ลงลายมือชื่อเอง และถือเป็น
ส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความข้างต้น ซึ่งรูปแผนที่ตรงกับแผนที่วิวาทจึงต้องแบ่งแยก
กรรมสิทธิ์ที่ดินไปตามแผนที่วิวาท
ฎ. 5704/2555 ปพพ. มาตรา 851 บัญญัตวิ า่ อันสัญญาประนีประนอมยอมความนัน้ ถ้ามิได้มหี ลักฐาน
เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นส�ำคัญ
ธ
ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บงั คับคดีหาได้ไม่ หมายความว่า สัญญาประนีประนอมยอมความอาจท�ำขึน้ ได้โดยไม่
ต้องมีแบบของสัญญา แต่หากท�ำขึ้นโดยไม่มีลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดแล้ว ฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จาก
มส
ธ
คู่กรณีพิพาทเพียงฝ่ายเดียวก็ได้ไม่จ�ำเป็นต้องลงลายมือชื่อของคู่กรณีพิพาททั้งสองฝ่าย เพราะ ปพพ.
มาตรา 851 บัญญัตบิ งั คับให้ตอ้ งมีลายมือชือ่ ของคูส่ ญั ญาฝ่ายทีต่ อ้ งรับผิด ไม่ได้ระบุวา่ ต้องมีลายมือชือ่ ของ
มส
คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
อุทาหรณ์
ฎ. 2624/2516 สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น กฎหมายมิได้บังคับว่าคู่กรณีจะต้องลงชื่อทั้ง
สองฝ่าย แม้จ�ำเลยผู้เดียวลงชื่อรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฎ. 3555/2528 โจทก์ทำ� ตั๋วรถยนต์โดยสารของจ�ำเลยหายต่อมาโจทก์ทำ � หนังสือยอมรับผิดชดใช้
เงินเท่าราคาตั๋วที่หายให้แก่จ�ำเลยโดยขอผ่อนช�ำระจนครบเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายต้องรับผิดในเงิน ค่าตั๋ว
รถยนต์โดยสารที่หายได้ลงชื่อรับผิดไว้ในหนังสือนั้นถูกต้อง หนังสือดังกล่าวก็เป็นหลักฐานแห่งสัญญา
ประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 851 แล้ว
อนึ่ง การท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นคู่กรณีพิพาทอาจด�ำเนินการด้วยตนเองหรือมอบ
ธ
หมายให้บคุ คลอืน่ เช่น ตัวแทนไปด�ำเนินการให้แทนได้แต่ตอ้ งมีหลักฐานเป็นหนังสือในการมอบอ�ำนาจให้
ไปด�ำเนินการแทน เนื่องจาก กิจการอันใดที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือการมอบอ�ำนาจให้ตัวแทนไปท�ำ
มส
ธ
ยอมความมาในฟ้องของโจทก์โดยชัดเจนแล้ว ถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นแล้ว
ฎ. 7919/2551 หนังสือที่จ�ำเลยท�ำไว้แก่โจทก์ แม้จะใช้ค�ำว่า “หนังสือรับสภาพหนี้” แต่เมื่อข้อ
มส
ก�ำหนดและเหตุผลในการจัดท�ำเป็นเรื่องที่โจทก์กับจ�ำเลยต่างตกลงระงับข้อพิพาทซึ่งเกิดจากหนังสือรับ
สภาพหนี้ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ.
มาตรา 850 ซึ่งเมื่อจ�ำเลยปฏิบัติการช�ำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2540 อายุความที่
โจทก์จะต้องบังคับใช้สิทธิเรียกร้องจึงมีกำ� หนดสิบปีนับแต่วันดังกล่าว ตาม ปพพ. มาตรา 193/32
2. ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความที่ขาดหลักฐานเป็นหนังสือ
การที่คู่กรณีพิพาทท�ำประนีประนอมยอมความโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของ
คู่กรณีฝ่ายที่ต้องรับผิดนั้นก็ยังมีสัญญาประนีประนอมยอมความเกิดขึ้น เนื่องจากสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้น
จากการที่คู่กรณีพิพาทตกลงกันระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแล้วหรือจะเกิดขึ้นในอนาคตโดยต่างยอมผ่อนผัน
ธ
ให้แก่กนั แต่ถา้ คูก่ รณีฝา่ ยหนึง่ ฝ่ายใดไม่ยอมปฏิบตั ติ ามสัญญาประนีประนอมยอมความคูก่ รณีอกี ฝ่ายหนึง่
ก็ไม่สามารถฟ้องบังคับให้มีการปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความและจะขอน�ำ
มส
พยานบุคคลเข้าสืบในการฟ้องคดีเพี่อบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้
อุทาหรณ์
ฎ. 318/2496 เจ้าของร่วมในที่ดินแปลงหนึ่งนั้น ตามกฎหมายในเบื้องต้นก็ต้องถือว่า ต่างคนต่าง
มีส่วนเป็นเจ้าของพัวพันกันอยู่ ฉะนั้น เมื่อเจ้าของร่วมได้ตกลงกันก�ำหนดลงไปว่า ใครได้ตรงไหนดังนี้
ก็ย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไป เพราะเป็นการตกลงเพื่อเป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียง
แย่งกันเอาส่วนนัน้ ส่วนนีฉ้ ะนัน้ ข้อตกลงดังกล่าว จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา
850 เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ย่อมจะฟ้องร้องบังคับคดี ไม่ได้ ม
ฎ. 530/2496 เจ้าของร่วมตกลงแบ่งแยกโฉนดกัน โดยตกลงก�ำหนดลงไปว่าใครได้ตรงไหน และ
ข้อตกลงที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งยอมให้ เจ้าของร่วมอีกคนหนึ่งผ่านที่ ที่ตนได้รับในการแบ่งแยกนั้น ก็ย่อม
เป็นส่วนหนึง่ ของการตกลงแบ่งแยกโฉนดดังกล่าวเมือ่ ไม่ได้ท�ำเป็นหนังสือ ก็ยอ่ มจะน�ำมาฟ้องร้องให้บงั คับ
หาได้ไม่
ฎ. 1609/2512 มารดาตาย โจทก์จำ� เลยได้รบั โอนมรดกทีพ่ พิ าทร่วมกัน ต่อมาได้ตกลงแบ่งแยกกัน
ครอบครอง ถื อ ว่ า เป็ น การตกลงเพื่ อ ระงั บ ข้ อ พิ พ าทซึ่ ง จะมี ขึ้ น ให้ เ สร็ จ ไป เข้ า ลั ก ษณะเป็ น สั ญ ญา
สธ
ประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850 แต่เมื่อมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่
ต้องรับผิด ตาม ปพพ. มาตรา 851 จะน�ำพยานบุคคลมาสืบหาได้ไม่ ต้องห้าม ตาม ปวพ. มาตรา 94
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-49
ธ
ข้อตกลงดังกล่าวได้
นอกจากนั้น การไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ท�ำให้คู่สัญญาในประนีประนอมยอมความไม่สามารถ
มส
ยกสัญญาดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้เช่นกัน
ฎ. 2289/2531 จ�ำเลยที่ 2 ตกลงท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ว่าจะจ่ายค่า
ท�ำขวัญให้ในกรณีเรือยนต์หางยาวรับจ้างของจ�ำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จมลงท�ำให้มารดา พีส่ าว และบุตรโจทก์
ซึ่งโดยสารเรือมาด้วยจมนํ้าตาย แต่ปรากฏว่าจ�ำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไม่ได้ลงลายมือชื่อใน
เอกสารดังกล่าว ดังนัน้ สัญญาประนีประนอมยอมความนัน้ ย่อมเป็นสัญญาทีไ่ ม่ชอบ จ�ำเลยจะอ้างเอาสัญญา
ประนีประนอมยอมความขึ้นเป็นข้อต่อสู้หาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำ� นาจฟ้องจ�ำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้รับผิดใน
มูลละเมิดซึง่ จ�ำเลยที่ 1 ลูกจ้างได้ขบั เรือยนต์หางยาวไปในทางการทีจ่ า้ งท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความ
ทีต่ อ้ งมีหลักฐานเป็นหนังสือนัน้ เป็นเรือ่ งอ�ำนาจฟ้องและเกีย่ วด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึง่ ศาล
สามารถยกขึ้นเองได้แม้คู่กรณีมิได้กล่าวอ้าง
ธ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรือ่ งการห้ามฟ้องคดีหรือการยกขึน้ ต่อสูใ้ นคดี เพราะขาดหลักฐานเป็นหนังสือ
ตาม ปพพ. มาตรา 851 นั้นเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น แม้คู่กรณีจะ
มส
ไม่ยกขึ้นอ้าง ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
อุทาหรณ์
ฎ. 623/2498 ผูเ้ ช่าตึกพิพาทตายทายาทตกลงกันถ้าฝ่ายใดได้เช่าตึกนัน้ ต่อไปก็จะต้องใช้คา่ ทดแทน
ให้ อี ก ฝ่ า ยหนึ่ ง มิ ฉ ะนั้ น จะต้ อ งไปขอรั บ โอนการเช่ า ในนามของทายาทร่ ว มกั น ข้ อ ตกลงนี้ เ ป็ น สั ญ ญา
ประนีประนอมยอมความและในการที่โจทก์ฟ้องขอให้ปฏิบัติตามข้อตกลง จ�ำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ตกลงกับ
โจทก์แม้ไม่ได้ต่อสู้ว่า ข้อตกลงนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความต้องท�ำเป็นหนังสือก็ตามศาลก็ยก
บุคคลอื่นไปท�ำการแทนซึ่งเข้าลักษณะของตัวแทนเชิดก็สามารถบังคับกันได้
อุทาหรณ์
ม
ประเด็นเรื่องไม่ได้ทำ� เป็นหนังสือขึ้นพิจารณาได้ เพราะเป็นเรื่องอ�ำนาจฟ้อง (ฎ. 1087/2515)
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีกรณีที่ต้องใช้หลักฐานเป็นหนังสือเพื่อด�ำเนินการเช่น อาจมีการเชิดให้
ธ
จึงหาจ�ำต้องมีหนังสือมอบอ�ำนาจให้กระท�ำการแทนแต่อย่างใดไม่
มส
กิจกรรม 10.1.3
จอย ซื้อ แหวนเพชรจาก แก้ว ราคา 1,000,000 บาท และตกลงว่าจะช�ำระเงินให้ภายใน 3 เดือน
แต่ต่อมา จอย ไม่ยอมช�ำระราคาแหวนเพชร โดยอ้างว่าแหวนเพชรนั้นราคาเพียง 500,000 บาท จึงมี
ข้อพิพาทกันระหว่าง จอย และแก้ว แต่ต่อมาได้ตกลงกันด้วยวาจาให้ จอย ช�ำระเงินให้ แก้ว เป็นจ�ำนวน
700,000 บาท ดังนี้ หาก จอย ยังไม่ยอมช�ำระเงินจ�ำนวน 700,000 บาท ให้ แก้ว แก้วจะฟ้องเรียกร้องให้
จอย ช�ำระเงินจ�ำนวน 700,000 บาท ได้หรือไม่
แนวตอบกิจกรรม 10.1.3
ธ
เนือ่ งจากในการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความนัน้ คูก่ รณีพพิ าทไม่สามารถท�ำสัญญาโดยเพียง
การตกลงกันด้วยวาจา เพราะ ปพพ. มาตรา 851 บัญญัติบังคับว่าในการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญา
มส
ประนีประนอมยอมความต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือ
ลายมือชื่อของตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นส�ำคัญ ดังนั้น แก้ว จึงไม่สามารถบังคับเรียกร้องตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความให้ จอย ช�ำระเงินจ�ำนวน 700,000 บาท ได้ ต้องไปฟ้องคดีตามสัญญาซื้อขาย
แหวนเพชร
ม
สธ
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-51
เรื่องที่ 10.1.4
ผลของประนีประนอมยอมความ
ธ
เมื่อมีการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมก่อผลคือท�ำให้ข้อพิพาทเดิมนั้นระงับสิ้นไปและ
คู่สัญญาหรือคู่กรณีพิพาทมีสิทธิได้รับสิทธิหรือผูกพันกันตามที่ได้ตกลงกันระบุไว้ในสัญญาประนีประนอม
มส
ยอมความ ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 852 ว่า
“ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นย่อมท�ำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้น
ระงับสิ้นไปและท�ำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน”
1. สิทธิเรียกร้องของแต่ละฝ่ายที่ได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป
เมือ่ คูก่ รณีพพิ าทตกลงกันระงับข้อพิพาทโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กนั อันเป็นประนีประนอมยอม
ความแล้วนั้น ย่อมท�ำให้สิทธิต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายเคยเรียกร้องอันท�ำให้เกิดข้อพิพาทต่อกัน แต่ทั้งสองฝ่าย
ได้ยอมสละนั้นย่อมระงับสิ้นไปและผูกพันคู่สัญญาตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ
เนือ่ งจากสิทธิเรียกร้อง คือ สิทธิทบี่ คุ คลหนึง่ มีเหนือหรือต่อบุคคลอีกบุคคลหนึง่ ในการเรียกร้องให้
ธ
กระท�ำการต่างๆ จึงอาจหมายถึงสิทธิในเรื่องหนี้หรือไม่ก็ได้
อุทาหรณ์
ฎ. 1274/2521 โจทก์เคยฟ้องหย่าจ�ำเลย ในทีส่ ดุ ได้ทำ� สัญญาไว้ตอ่ กันเป็นข้อสาระส�ำคัญว่า โจทก์
มส
จ�ำเลยยอมคืนดีเป็นสามีภริยากันดังเดิม และข้อความในหนังสือสัญญานั้นได้กล่าวไว้ชัดว่าเป็นสัญญาที่
ท�ำขึน้ เพือ่ ระงับการฟ้องหย่าระหว่างโจทก์จำ� เลยไม่ตอ้ งเป็นความกันต่อไป โจทก์จำ� เลยจึงได้ตกลงแบ่งปัน
ทรัพย์สินกันเป็นสัดส่วน กล่าวคือให้โจทก์ได้วัวที่มีตั๋วพิมพ์รูปพรรณ 16 ตัว นอกจากทรัพย์ดังกล่าวนี้แล้ว
โจทก์ไม่ขอเอาอีกต่อไป หนังสือสัญญานี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และเมื่อข้อสัญญาระบุชัด
ว่าโจทก์จะไม่เอาทรัพย์อนื่ นอกจากทีโ่ จทก์ได้รบั ตามสัญญานี้ ก็เท่ากับยอมให้ทรัพย์พพิ าทอันเป็นทรัพย์ที่
ม
มีอยูแ่ ล้วในขณะทีท่ ำ� สัญญานัน้ ตกเป็นสิทธิของจ�ำเลยฝ่ายเดียว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์พพิ าทอีกไม่ได้
ฎ. 2388/2523 โจทก์ไปแจ้งความให้ตำ� รวจด�ำเนินคดีอาญากับจ�ำเลยฐานบุกรุกแล้วโจทก์จำ� เลยได้
ท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์ยอมให้จำ� เลยท�ำประโยชน์ในที่พิพาทต่อไปอีกหนึ่งปี โดย
จ�ำเลยยอมจ่ายค่าเช่าให้โจทก์ 4,000 บาท ดังนี้ จ�ำเลยต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
จะอ้าง พรบ. ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 5 มาเพื่อขยายเวลาเช่าออกไปเป็น 6 ปีหาได้ไม่
ฎ. 3289/2532 โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยในการขนส่งสินค้าที่ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด ธ. ผู้รับตราส่งสั่ง
ซื้อจากประเทศสิงคโปร์ มายังท่าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย จ�ำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของบริษัทผู้ขาย
สธ
ในการขนส่งสินค้าดังกล่าว และได้ว่าจ้างจ�ำเลยที่ 2 ให้ขนถ่ายสินค้านั้นลงจากเรือไปโรงพักสินค้าของการ
ท่าเรือแห่งประเทศไทย เมือ่ ปรากฏว่าสินค้าของห้างหุน้ ส่วนจ�ำกัด ธ. ผูร้ บั ตราส่งทีส่ ง่ มาทางทะเลนัน้ สูญหาย
และฝ่ายจ�ำเลยทั้งสองซึ่งต้องรับผิดในการสูญหายของสินค้าดังกล่าวได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ตามข้อจ�ำกัด
ม
10-52 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ความรับผิดของผู้ขนส่งที่ระบุไว้ในใบตราส่งครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างห้างหุ้น
ส่วนจ�ำกัด ธ. และจ�ำเลยทั้งสองแล้ว เช่นนี้ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเหลืออยู่ให้โจทก์ผู้รับประกันภัยรับช่วงมา
ฟ้องเรียกร้องเอาแก่จ�ำเลยทั้งสองอีก ถึงแม้โจทก์จะได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด ธ.
ตามพันธะ ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยนอกจากที่ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด ธ. ได้รับจากจ�ำเลยตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความแล้วก็ตาม
ธ
ฎ. 2656/2542 โจทก์ฟ้องจ�ำเลยเป็นคดีแพ่งเรียกให้จ�ำเลยใช้เงินตามเช็คพิพาท ต่อมาโจทก์และ
จ� ำ เลยได้ ท� ำ สั ญ ญาประนี ป ระนอมยอมความและศาลได้ พิ พ ากษาคดี ต ามยอมถึ ง ที่ สุ ด แล้ ว ผลของ
มส
ประนีประนอมยอมความดังกล่าว โจทก์คงมีสิทธิเรียกให้จ�ำเลยช�ำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอม
ยอมความเท่านัน้ แม้จำ� เลยจะไม่ชำ� ระหนีต้ ามสัญญาประนีประนอมยอมความนัน้ โจทก์กไ็ ม่มสี ทิ ธิทจี่ ะเรียกร้อง
ให้จ�ำเลยรับผิดในมูลหนี้ตามเช็คพิพาทได้อีก เมื่อหนี้ที่จ�ำเลยได้ออกเช็คพิพาทเพื่อใช้เงินนั้นเป็นอัน
ระงับสิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลมีค�ำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอัน
เกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการน�ำคดีมาฟ้องย่อมระงับ ตาม ปวอ. มาตรา
39 แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจะระบุเป็นข้อยกเว้นไว้ว่าการตกลงท�ำสัญญาประนีประนอมยอม
ความในคดีแพ่งไม่ถือว่าเป็นการยอมความตามกฎหมายในอันที่จะท�ำให้สิทธิในการฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับ
เช็คพิพาทเป็นอันระงับข้อตกลงดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้
เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 โดยชัดแจ้ง จึงตกเป็นโมฆะ ตาม ปพพ. มาตรา 150 และข้อตกลงดังกล่าว
ธ
สามารถแยกออกต่างหากจากข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้ออื่นได้ จึงไม่ท�ำให้สัญญา
ประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งดังกล่าวตกเป็นโมฆะทั้งหมด (ฎ. 719/2543, ฎ. 893/2544, ฎ.
มส
ธ
ครบถ้วนทุกประการ จึงต้องถือว่าหนีท้ งั้ หมดระหว่างโจทก์กบั จ�ำเลยที่ 1 ได้ระงับไปแล้วโดยประนีประนอม
ยอมความ ทั้งในสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้ระบุว่าให้น�ำเงินปันผลที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับเป็นอีก
มส
ส่วนหนึง่ ทีโ่ จทก์จะต้องน�ำมาช�ำระให้แก่จำ� เลยที่ 1 อีกด้วย และในการประชุมผูถ้ อื หุน้ ของบริษทั ล. ในวันที่
27 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 6 บาท ดังนั้น
ดอกผลนิตินัยอันเกิดจากหุ้นที่โจทก์จ�ำน�ำไว้แก่จ�ำเลยที่ 1 จึงเกิดขึ้นภายหลังจากหนี้ระหว่างโจทก์และ
จ�ำเลยที่ 1 ได้ระงับไปทั้งหมดแล้ว รวมทั้งหลักประกันต่างๆ ที่จ�ำเลยที่ 1 เคยมีสิทธิบังคับเอาแก่โจทก์
จ�ำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิที่จะน�ำเงินปันผลมาช�ำระหนี้ได้อีก จ�ำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินปันผลที่รับไว้แก่โจทก์
ฎ. 536/2554 ประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850 นั้น คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญา
ทัง้ สองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึง่ ซึง่ มีอยู่ หรือจะมีขนึ้ นัน้ ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กนั แต่
ส�ำเนารายงานประจ�ำวันเกี่ยวกับคดีมีใจความเพียงว่า “ค่าเสียหายในการนี้ คู่กรณีทั้งสองตกลงกันเองได้
และจะน�ำไปซ่อมกันเอง” ไม่มีสาระส�ำคัญแสดงว่าจ�ำเลยเจรจาตกลงกับ ส. คนขับรถบรรทุกหกล้อที่โจทก์
ธ
รับประกันภัยไว้ในเรื่องการช�ำระค่าเสียหายให้ชัดแจ้งแต่อย่างใด จึงไม่มีผลเป็นประนีประนอมยอมความ
ตามกฎหมาย มูลหนี้ละเมิดจึงไม่ระงับสิ้นไปเมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยน�ำรถยนต์บรรทุกหกล้อคัน
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 146/2532 แม้ขอ้ ตกลงระหว่าง ส. กับจ�ำเลยตามรายงานเบ็ดเสร็จประจ�ำวันมีใจความว่า ส. ได้
เรียกร้องค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาลตัวเองและของภรรยาเป็นเงินรวม 27,500 บาท และไม่ติดใจ
เรียกร้องค่าเสียหายอื่นใดอีกต่อไปทั้งทางแพ่งและอาญาก็ตาม แต่ยังมีข้อความอีกว่า ส�ำหรับรถยนต์ของ
ส. นัน้ คูก่ รณีทงั้ สองฝ่ายจะไปท�ำการเจรจากันในภายหลังต่อไป แสดงว่าคูก่ รณีเจตนาแยกการเรียกค่าเสียหาย
ธ
จากการซ่อมแซมรถยนต์ออกจากค่าเสียหายจ�ำนวน 27,500 บาท ส. จึงไม่สญ ู สิทธิทจี่ ะเรียกร้องค่าซ่อมแซม
รถยนต์ในภายหลัง เมือ่ โจทก์ผรู้ บั ประกันภัยรถยนต์ของ ส. ได้นำ� รถยนต์ดงั กล่าวไปซ่อมแซมและช�ำระค่า
2. คู่กรณีแต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่ตกลงกันในประนีประนอมยอมความว่าเป็นของตน
ธ
เมือ่ คูก่ รณีได้ตกลงกันระงับข้อพิพาทโดยประนีประนอมยอมความในรายละเอียดต่างๆ ในข้อพิพาท
แล้วย่อมได้สิทธิตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ
มส
จากการที่ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความท�ำให้ข้อพิพาทหรือข้อเรียกร้องเดิมระงับสิ้นไป
และคูก่ รณีพพิ าทแต่ละฝ่ายได้สทิ ธิตามทีต่ กลงกันว่าเป็นของตนจึงท�ำให้เป็นสัญญาทีม่ ลี กั ษณะพิเศษแตกต่าง
จากสัญญาทั่วไป กล่าวคือ สัญญาทั่วไปมักก่อสิทธิขึ้นใหม่ เช่น ในสัญญาซื้อขาย ผู้ซื้อจะได้กรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินที่ตนซื้อ ส่วนผู้ขายจะได้รับเงินค่าขายทรัพย์สิน แต่ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
คู่สัญญามิได้ได้สิทธิใหม่แต่อย่างใด คงเป็นเพียงสัญญาที่แสดงสิทธิที่ตนมีอยู่แล้ว เนื่องจากคู่สัญญาจะได้
สิทธิตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาว่าเป็นของตน ซึ่งมีผลเป็นการยุติข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งในเรื่องสิทธิที่
อุทาหรณ์
ม
พิพาทกัน ซึ่งก็เป็นสิทธิส่วนหนึ่งของคู่สัญญาที่มีอยู่เดิม3 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นสัญญาที่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่
คู่กรณีเห็นว่าเป็นสิทธิของตน
ฎ. 215/2501 การทีโ่ จทก์จำ� เลยท�ำสัญญากันไว้ เมือ่ มีขอ้ โต้เถียงกันเรือ่ งทีน่ าทีบ่ า้ นว่าให้ทดี่ งั กล่าว
เป็นของลูกจ�ำเลยซึง่ เกิดด้วยนางเอิบ บุตรีโจทก์ เป็นสัญญาทีท่ ำ� ขึน้ เพือ่ ระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำ� เลย
เป็นสัญญาประนีประนอมที่ใช้ได้ตามกฎหมาย มีผลผูกพันคู่สัญญา โจทก์ไม่มีอ�ำนาจมาฟ้องเรียกทรัพย์
พิพาทจากจ�ำเลยเว้นแต่จะฟ้องตามสัญญาประนีประนอมนั้น
สธ
3
จิ๊ด เศรษฐบุตร กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความ การ
พนันและขันต่อ กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2492 น. 169.
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-55
ธ
ประนีประนอมยอมความเท่านัน้ จะมาฟ้องให้รบั ผิดฐานละเมิดเช่นนีอ้ กี ไม่ได้ ส่วนจ�ำเลยที่ 1 นัน้ โดยตนเอง
มิได้กระท�ำละเมิดต่อโจทก์ หากแต่ ปพพ. มาตรา 425 บัญญัติให้ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดในฐานะ
มส
ที่เป็นนายจ้าง เมื่อหนี้ในมูลละเมิดในกรณีนี้ได้ระงับสิ้นไปดังกล่าวแล้ว ความรับผิดของจ�ำเลยที่ 1 ก็ย่อม
ระงับสิ้นไปด้วย โจทก์จึงฟ้องเรียกร้องให้จำ� เลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดของจ�ำเลยที่ 2
นั้นอีกไม่ได้ (ฏ. 580/2518, ฎ. 1399/2526, ฎ. 7026/2538 และ ฎ. 2569/2540)
ฎ. 2569/2551 เมื่อโจทก์ทำ� สัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัท ร. ผู้สลักหลังย่อมท�ำให้มูล
หนี้เดิมตามเช็คระงับสิ้นไป และท�ำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
อันถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ โจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องให้บริษัท ร. ช�ำระหนี้แก่ตนตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความ ไม่มสี ทิ ธิทจี่ ะเรียกให้บริษทั ร. และจ�ำเลยในฐานะผูส้ งั่ จ่ายรับผิดในมูลหนีต้ ามเช็ค
ได้อีก
ฎ. 6479/2551 แม้จ�ำเลยจะท�ำสัญญาคํ้าประกันหนี้เงินกู้ของ จ. โดยยอมรับผิดร่วมกับ จ. อย่าง
ธ
ลูกหนี้ร่วมก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ทำ� สัญญาประนีประนอมยอมความกับ จ. และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
ความรับผิดของ จ. ตามสัญญากู้ยืมเงินย่อมระงับสิ้นไปและท�ำให้ จ. ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา
มส
ประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850 และมาตรา 852 เมือ่ ความรับผิดของ จ. ต่อโจทก์เปลีย่ น
เป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หนีข้ อง จ. ตามสัญญากูเ้ งินจึงระงับสิน้ ไป จ�ำเลยในฐานะ
ผู้คํ้าประกันการช�ำระหนี้ตามสัญญากู้เงินของ จ. จึงหลุดพ้นความรับผิด ตาม ปพพ. มาตรา 698
ฎ. 2208/2552 โจทก์ฟอ้ งจ�ำเลยทัง้ สามในคดีเช็ค ต่อมาโจทก์และจ�ำเลยทัง้ สามท�ำสัญญาตกลงกัน
โดยโจทก์ให้จำ� เลยทัง้ สามผ่อนช�ำระหนีต้ ามเช็คพิพาทเป็นงวดและฝ่ายจ�ำเลยออกเช็คฉบับใหม่ 3 ฉบับ ให้
แก่โจทก์ ตามหนังสือรับสภาพหนี้ ดังนัน้ การกระท�ำของจ�ำเลยและโจทก์ทตี่ กลงกันว่าจะยุตคิ ดีเดิมและรับ
ม
ช�ำระหนีแ้ ละเรียกร้องกันตามเช็คฉบับใหม่สามฉบับนัน้ ย่อมเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทโดยต่างยอมผ่อน
ผันให้แก่กัน อันมีผลท�ำให้ข้อพิพาทและสิทธิเรียกร้องในเช็คฉบับเดิมระงับสิ้นไป และคู่กรณีต้องผูกพัน
บังคับกันตามเช็คพิพาทฉบับใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และย่อมท�ำให้สิทธิน�ำคดีอาญามา
ฟ้องส�ำหรับเช็คฉบับเดิมระงับสิน้ ไป ดังนัน้ แม้โจทก์จะเรียกเก็บเงินตามเช็คสามฉบับใหม่ไม่ได้ ก็ไม่สามารถ
ฟ้องเรียกร้องตามเช็คฉบับเดิมได้ เพราะสิทธิเรียกร้องตามเช็คฉบับเดิมนั้นระงับสิ้นไปแล้ว ตาม ปพพ.
มาตรา 852 กล่าวคือ หนี้ที่จำ� เลยทั้งสามได้ออกเช็คพิพาทเดิมตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้นเป็นอันสิ้นผลผูกพัน
ไปคดีอาญาจึงเป็นอันเลิกกันตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิ
สธ
ในการน�ำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยอ่ มระงับไป ตาม ปวอ. มาตรา 39 ดังนัน้ โจท์คงต้องฟ้องคดีตามเช็ค
ฉบับใหม่เท่านั้นทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญาตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534
ม
10-56 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
จ�ำนองตีราคาช�ำระหนี้ หรือน�ำเงินมาช�ำระหนี้แก่โจทก์ การที่สัญญาระบุว่าจ�ำเลยทั้งสามรับว่าเป็นหนี้และ
ตกลงร่วมกันหรือแทนกันช�ำระหนี้ก็เป็นเพียงการยอมรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น ผลของสัญญา
มส
ประนีประนอมยอมความย่อมท�ำให้มูลหนี้เดิมระงับ โจทก์และจ�ำเลยทั้งสามต้องผูกพันกันตามมูลหนี้ใหม่
โจทก์ชอบที่จะบังคับคดีโดยถือเอาค�ำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจ�ำเลย โจทก์หามีสิทธิเลือกบังคับ
คดีด้วยวิธีการยึดทรัพย์จ�ำนองออกขายทอดตลาดแล้วน�ำเงินมาช�ำระหนี้ตามมูลหนี้เดิมแก่โจทก์ไม่
ฎ. 1368/2556 โจทก์สมัครใจลงลายมือชือ่ ในช่องผูร้ บั เงินในใบรับเงินทีม่ ขี อ้ ความว่าจ�ำเลยเลิกจ้าง
โจทก์และได้จ่ายเงินเดือน ค่าเสียหายแทนการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า กับค่าชดเชย ซึ่งโจทก์ได้รับเงิน
จ�ำนวนดังกล่าวเรียบร้อยแล้วและไม่ตดิ ใจเรียกร้องสิทธิประโยชน์ใดจากจ�ำเลยอีก ใบรับเงินฉบับนีม้ ลี กั ษณะ
เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลผูกพันโจทก์ว่าหลังจากโจทก์ได้รับเงินทั้งสามจ�ำนวนอันเป็นเงิน
ตามกฎหมายว่าด้วยการคุม้ ครองแรงงานแล้ว โจทก์สละสิทธิทจี่ ะเรียกเงินอืน่ ใดตามกฎหมายซึง่ มีความหมาย
รวมทัง้ ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างทีไ่ ม่เป็นธรรมอันไม่ใช่เงินตามกฎหมายว่าด้วยการคุม้ ครองแรงงานทีเ่ ป็น
ธ
กฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง
ที่ไม่เป็นธรรมจากจ�ำเลย
มส
อย่างไรก็ตาม ผลของประนีประนอมยอมความนั้นผูกพันเฉพาะคู่กรณีพิพาทซึ่งเป็นบุคคลที่
เกี่ยวข้องเท่านั้นไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอก
อุทาหรณ์
ฎ. 7159/2539 แม้โจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการที่คนขับรถยนต์บรรทุกของจ�ำเลยที่ 1 ขับ
รถยนต์ชนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์เสียหายกับจ�ำเลยที่ 1 จะได้ท�ำบันทึกข้อ
ตกลงในเรื่องค่าสินไหมทดแทนต่อกันอันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความท�ำให้ความรับผิดของจ�ำเลย
ธ
อะไรอีกนั้น เป็นกรณีเฉพาะประนีประนอมยอมความกันในเรื่องค่าซ่อมรถเท่านั้น
ฎ. 9131/2551 แม้สัญญาให้ระหว่างโจทก์ผู้ให้กับจ�ำเลยผู้รับได้ก�ำหนดเงื่อนไขรายละเอียดไว้ใน
มส
สัญญาโดยให้จำ� เลยปลูกบ้านและกรีดยางพาราในทีด่ นิ ของโจทก์พร้อมทัง้ ให้สง่ รายได้สว่ นแบ่งให้โจทก์อนั
เป็นการให้โดยมีคา่ ภาระติดพันก็ตาม แต่ขอ้ ตกลงดังกล่าวเป็นเพียงบุคคลสิทธิคงมีผลผูกพันเฉพาะคูส่ ญ
คือโจทก์กับจ�ำเลยเท่านั้นไม่มีผลผูกพันผู้ร้องทั้งสามซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับสิทธิในที่ดินจากจ�ำเลย
เพราะไม่ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสามได้ตกลงยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวไว้และอยู่รู้เห็นด้วยขณะท�ำสัญญาให้
ดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อขณะจ�ำเลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องที่ 3 จ�ำเลยยังเป็นเจ้าของ
ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินย่อมมีสิทธิต่างๆ ตาม ปพพ. มาตรา 1336 บัญญัติไว้ และไม่ใช่กรณีผู้รับโอน
ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน การกระท�ำของจ�ำเลยจึงเป็นการกระท�ำโดยชอบด้วยกฎหมาย
ั ญา
จึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญากับโจทก์ สัญญาประนีประนอมยอมความและค�ำพิพากษาตามยอมไม่
ผูกพันจ�ำเลยเพราะไม่ใช่คคู่ วามในคดีดงั กล่าว โจทก์ไม่สามารถน�ำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว
มาฟ้องจ�ำเลยให้รับผิดได้ โจทก์ไม่มีอ�ำนาจฟ้อง ปัญหาเรื่องอ�ำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบ
เรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอ�ำนาจที่จะยกขึ้นได้ ตาม ปวพ. มาตรา 142 (5) ประกอบ 264 และ
247
ธ
3. ปัญหาเกี่ยวกับผลของประนีประนอมยอมความ
มส
ในเรื่องที่เกี่ยวกับผลของประนีประนอมยอมความมักมีปัญหาเกิดขึ้นต่างๆ ดังนี้
3.1 ประนีประนอมยอมความกับการระงับแห่งหนี้ ผลของประนีประนอมยอมความนัน้ มีปญ
ประการหนึ่งว่าท�ำให้หนี้ระงับสิ้นไปหรือไม่
ในบางกรณีทขี่ อ้ พิพาทเกีย่ วข้องกับหนี้ ผลของประนีประนอมยอมความอาจท�ำให้หนีท้ พี่ พิ าทระงับ
ไปได้ แต่ต้องมีกรณีที่ทำ� ให้หนี้ระงับสิ้นไป ซึ่งมีเหตุที่ท�ำให้หนี้ระงับนั้นมี 5 ประการ ตาม ปพพ. บรรพ 2
ลักษณะ 1 หมวดที่ 5 คือ การช�ำระหนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 314 กล่าวคือ ถ้าลูกหนี้ช�ำระต้นเงิน ดอกเบี้ย
และค่าสินไหมทดแทนอื่นๆ ให้กับเจ้าหนี้จนครบถ้วน การช�ำระหนี้ไม่ว่าจะช�ำระหนี้ด้วยตนเองหรือบุคคล
ั หา
ลบหนี้กันเท่าจ�ำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้
การแปลงหนี้ใหม่ ตาม ปพพ. มาตรา 349 ซึ่งเป็นกรณีที่เมื่อลูกหนี้และเจ้าหนี้ตกลงกันเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่ง
เป็นสาระส�ำคัญแห่งหนี้ เช่น ตัวเจ้าหนี้ ลูกหนี้ วัตถุแห่งหนี้ เพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข
และหนีเ้ กลือ่ นกลืนกัน ตาม ปพพ. มาตรา 353 กล่าวคือ ในกรณีทสี่ ทิ ธิและความรับผิดในหนีร้ ายใดตกอยู่
แก่บุคคลคนเดียวกัน หนี้นั้นย่อมระงับสิ้นไป
ดังนั้น ในประนีประนอมยอมความที่มีการกระท�ำที่เข้าลักษณะที่ท�ำให้หนี้ระงับ เช่น พิพาทกันใน
หนี้ที่พิพาทกันระงับสิ้นไป
อุทาหรณ์
ม
เรือ่ งหนี้ และมีการแปลงหนีใ้ หม่เพราะเปลีย่ นสิง่ ซึง่ เป็นสาระส�ำคัญแห่งหนี้ เช่น ตัวลูกหนี้ เจ้าหนี้ หรือวัตถุ
แห่งหนีก้ เ็ ป็นการแปลงหนีใ้ หม่ได้ดว้ ยและย่อมเกิดผลในลักษณะของการแปลงหนีใ้ หม่ดว้ ยเช่นกัน คือ ท�ำให้
ส�ำหรับกรณีที่การระงับข้อพิพาทไม่เกี่ยวข้องกับหนี้ก็จะไม่มีการระงับหนี้หรือเกี่ยวข้องกับหนี้แต่
ไม่เข้าลักษณะที่จะให้ท�ำหนี้ระงับก็ไม่มีการระงับแห่งหนี้
3.2 ปัญหาเกี่ยวกับหนี้อุปกรณ์จะระงับไปหรือไม่ในกรณีที่มีประนีประนอมยอมความหนี้
ประธาน ในเรื่องผลของประนีประนอมยอมความนั้นมีปัญหาประการหนึ่งว่า ในกรณีที่มีหนี้ประธาน เช่น
หนี้เงินกู้และมีการคํ้าประกันหรือจ�ำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์นั้น หากมีการตกลงกันระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้น
ธ
จากหนีป้ ระธานและตกลงระงับข้อพิพาทเรือ่ งหนีป้ ระธานโดยยอมผ่อนผันให้แก่กนั ซึง่ ท�ำให้หนีป้ ระธานระงับ
สิ้นไป แต่จะท�ำให้หนี้อุปกรณ์ เช่น หนี้คํ้าประกันและผู้คํ้าประกัน หรือหนี้จ�ำนองและผู้จ�ำนองประกันหนี้
มส
หลุดพ้นความรับผิดไปด้วยหรือไม่
ในเรื่องนี้มีความเห็นและค�ำพิพากษาศาลฎีกาแบ่งได้เป็นสองฝ่าย ดังนี้
ฝ่ายที่หนึ่งเห็นว่าเมื่อหนี้ประธานระงับสิ้นไป หนี้อุปกรณ์ คือ หนี้คํ้าประกันและหนี้จำ� นอง และผู้
คํ้าประกันหรือผู้จ�ำนองย่อมหลุดพ้นความรับผิดไปด้วย เนื่องจากไม่มีหนี้ประธานแล้ว4 ทั้งนี้เพราะผู้คํ้า
ประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในขณะเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไปไม่ว่าเพราะเหตุใดๆ ตาม ปพพ.
มาตรา 698 และจ�ำนองย่อมระงับสิน้ ไปเมือ่ หนีท้ ปี่ ระกันระงับสิน้ ไปด้วยเหตุประการอืน่ ใดอันมิใช่อายุความ
ตาม ปพพ. มาตรา 744 และมีคำ� พิพากษาฎีกาตามแนวนี้หลายฉบับ
อุทาหรณ์
ฎ. 8072/2542 หลังจากโจทก์ฟ้องจ�ำเลยแล้ว ผู้เสียหายได้น�ำมูลหนี้ตามเช็คพิพาทไปฟ้องเฉพาะ
ธ
น. ซึ่งเป็นผู้คํ้าประกันหนี้จ�ำเลยตามเช็คพิพาทให้ชดใช้เงินตามคดีแพ่งผู้เสียหาย และ น. ได้ท�ำสัญญา
ประนีประนอมยอมความ และศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว แม้จ�ำเลยจะมิได้เป็นคู่ความในคดี
มส
ฎ. 1732/2550 จ�ำเลยท�ำสัญญาคํ้าประกันการช�ำระหนี้ตามสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายของ
ก. ต่อโจทก์ แต่เมือ่ โจทก์และ ก. ได้ทำ� สัญญาประนีประนอมยอมความเกีย่ วกับค่าเสียหายที่ ก. จะต้องรับผิด
ความรับผิดของ ก. ทีเ่ กิดจากสัญญารับผิดชดใช้ความเสียหายและความรับผิดของจ�ำเลยในฐานะผูค้ าํ้ ประกัน
จึงระงับสิ้นไป และท�ำให้ ก. ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา
850 และ 852 เมือ่ ความรับผิดของ ก. ต่อโจทก์เปลีย่ นเป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ธ
จ�ำเลยในฐานะผู้คํ้าประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วยเนื่องจากหนี้ของ ก. ตามสัญญารับผิดชดใช้
ความเสียหายระงับสิ้นไปแล้วตามมาตรา 698
มส
ฎ. 6479/2551 แม้จ�ำเลยจะท�ำสัญญาคํ้าประกันหนี้เงินกู้ของ จ. โดยยอมรับผิดร่วมกับ จ. อย่าง
ลูกหนี้ร่วมก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ทำ� สัญญาประนีประนอมยอมความกับ จ. และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
ความรับผิดของ จ. ตามสัญญากู้ยืมเงินย่อมระงับสิ้นไปและท�ำให้ จ. ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความ ตาม ปพพ. มาตรา 850 และมาตรา 852 เมือ่ ความรับผิดของ จ. ต่อโจทก์เปลีย่ น
เป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หนี้ของ จ. ตามสัญญากู้เงินจึงระงับสิ้นไป จ�ำเลยใน
ฐานะผู้คํ้าประกันการช�ำระหนี้ตามสัญญากู้เงินของ จ. จึงหลุดพ้นความรับผิด ตาม ปพพ. มาตรา 698
ฎ. 11069/2554 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จ. ลูกหนีต้ ามค�ำพิพากษาต้องผ่อนช�ำระหนี้
ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 โจทก์จะขอบังคับคดีได้หลังวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.
2537 ไปแล้ว ก�ำหนดเวลา 10 ปี ตาม ปวพ. มาตรา 271 ย่อมเริม่ นับแต่วนั ทีโ่ จทก์อาจขอด�ำเนินการบังคับ
ธ
คดีได้ คือวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2537 เป็นต้นไป ซึ่งจะครบก�ำหนดภายในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2547
แม้ปรากฏว่า จ. ลูกหนี้ตามค�ำพิพากษาขอขยายระยะเวลาการช�ำระหนี้ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 1007/2517 โจทก์ฟ้อง ถ. ให้ช�ำระหนี้เงินกู้แล้วท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาล
พิพากษาตามยอมแล้ว โจทก์บังคับคดีได้เงินไม่พอช�ำระหนี้ โจทก์มีสิทธิฟ้องให้จ�ำเลยซึ่งเป็นผู้คํ้าประกัน
หนี้เงินกู้รายนี้ให้ชำ� ระหนี้ส่วนที่ยังไม่ได้รับช�ำระได้ การที่โจทก์ กับ ถ. ท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความ
และศาลพิพากษาตามยอมนั้นเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญากู้ ไม่ท�ำให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับ และ
ธ
ไม่ใช่การผ่อนเวลาให้ลูกหนี้อันจะท�ำให้จ�ำเลยซึ่งเป็นผู้คํ้าประกันหลุดพ้นจากความรับผิด
ฎ. 137/2522 ผู้ร้องคํ้าประกันลูกหนี้ตามค�ำพิพากษาชั้นทุเลาการบังคับคดีระหว่างลูกหนี้อุทธรณ์
มส
ซึง่ ตามสัญญามีผลจนคดีถงึ ทีส่ ดุ โดยน�ำโฉนดมาวางประกัน ชัน้ ฎีกาถือหลักประกันเดิม ระหว่างฎีกาโจทก์
จ�ำเลยยอมความกันแบ่งช�ำระหนี้ 18 งวด มีผู้อื่นเข้าคํ้าประกันอีกด้วย สัญญาข้อ 8 ยอมคืนโฉนดต่อเมื่อ
ลูกหนี้ช�ำระหนี้งวดที่ 7 แล้ว เมื่อปรากฏว่าจ�ำเลยยังไม่ได้ชำ� ระเงินงวดที่ 7 และเนื่องจากโจทก์เป็นเจ้าหนี้
จ�ำเลยฝ่ายเดียว จ�ำเลยไม่มีสิทธิที่จะสละและไม่ได้สิทธิอะไรจากสัญญา กรณีไม่ต้องด้วย ปพพ. มาตรา
852 หนี้เดิมจึงยังคงมีอยู่ ดังนี้ ผู้ร้องในฐานะผู้คํ้าประกันจึงยังต้องรับผิดตามสัญญาคํ้าประกัน เหตุที่โจทก์
จ�ำเลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยมีผู้คํ้าประกันตามสัญญาดังกล่าวอีก ไม่มีผลท�ำให้ความ
รับผิดตามสัญญาคํ้าประกันเปลี่ยนแปลงไป
ฎ. 957/2523 โจทก์ผู้ให้กู้ฟ้องผู้กู้ตามสัญญากู้ แล้วท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาล
พิพากษาตามยอมเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว แต่ผู้กู้ยังไม่ช�ำระหนี้ หนี้นั้นยังไม่ระงับความรับผิดของจ�ำเลยใน
ธ
ฐานะผู้คํ้าประกันยังมีอยู่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจ�ำเลยตามสัญญาคํ้าประกันอีกได้
ฎ. 2406/2524 การที่ ท. ท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความช�ำระหนีต้ ามสัญญากูเ้ บิกเงินเกินบัญชี
มส
ธ
หลุดพ้นความรับผิดไปได้ แต่ถา้ ไม่มกี ารกระท�ำใดๆ ทีเ่ ป็นเหตุให้หนีเ้ ดิมอันเป็นหนีป้ ระธานระงับสิน้ ไป หนี้
อุปกรณ์ทั้งหลายก็ยังคงอยู่แม้มีประนีประนอมยอมความข้อพิพาทต่อกัน
มส
กิจกรรม 10.1.4
นายอาทิตย์ ขับรถยนต์ไปชนรถยนต์ ของนางสาวจันทร์ และได้ตกลงกันที่สถานีต�ำรวจ โดย
ร.ต.ต. อังคาร ได้ลงบันทึกประจ�ำวันไว้วา่ นายอาทิตย์ยนิ ดีชดใช้คา่ เสียหายให้นางสาวจันทร์เพือ่ ซ่อมแซม
รถยนต์ เป็นจ�ำนวนเงิน 50,000 บาท และนางสาวจันทร์ จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากนายอาทิตย์
อีก โดยมีนายอาทิตย์ ลงลายมือชื่อรับทราบไว้ด้วย แต่หลังจากนั้นนายอาทิตย์ ไม่ยอมมอบเงินจ�ำนวน
50,000 บาท ให้นางสาวจันทร์ ดังนี้ นางสาวจันทร์ จะฟ้องคดีเพื่อบังคับให้ นายอาทิตย์ ปฏิบัติตามข้อ
ตกลงที่ได้ทำ� ไว้ได้หรือไม่
ธ
แนวตอบกิจกรรม 10.1.4
มส
ม
สธ
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-63
เรื่องที่ 10.1.5
การบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความและอายุความ
ธ
ในกรณีทคี่ สู่ ญ
ั ญาฝ่ายใดฝ่ายหนึง่ ไม่ยอมปฏิบตั ติ ามสัญญาประนีประนอมยอมความและคูก่ รณีอกี
ฝ่ายหนึ่งยังคงประสงค์จะให้มีการปฏิบัติตามสัญญาก็ต้องด�ำเนินการบังคับให้เป็นไปตามสัญญา โดยการ
มส
บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของประนีประนอมยอมความ
1. การบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาล
ในกรณีของประนีประนอมยอมความนอกศาลนัน้ หากมีการตกลงกันท�ำสัญญาประนีประนอมยอม
ความแล้วคู่กรณีไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญา คู่กรณีฝ่ายที่ยังคงประสงค์จะให้มีการปฏิบัติตามสัญญาก็ต้อง
ฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอ�ำนาจ เช่นเดียวกับกรณีผิดสัญญาทั่วไป เพื่อให้ศาลพิพากษาบังคับตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความ โดยจะไปฟ้องตามข้อพิพาทเดิมมิได้ เนื่องจากข้อพิพาทเดิมระงับสิ้นไปแล้ว
อุทาหรณ์
ฎ. 159/2475 ตามวิธพี จิ ารณาแพ่ง เมือ่ ผิดสัญญาประนีประนอม ฟ้องขอให้บงั คับฝ่ายทีผ่ ดิ สัญญา
ธ
ให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ตามที่น�ำสืบพยาน
ฎ. 2065-2091/2524 ในการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับการเคหะแห่งชาติ โจทก์รับรองว่าจะ
รื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างกับอพยพผู้อาศัยและบริวารออกไปจากที่ดินให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะท�ำการ
มส
2. การบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล
ในประนีประนอมยอมความในศาลซึง่ ศาลได้พพิ ากษาตามยอมแล้วก็เหมือนกับคดีทวั่ ไป คือ ศาล
จะมีคำ� บังคับให้คคู่ วามในคดีปฏิบตั ติ ามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึง่ เกิดผลบังคับให้คกู่ รณีตอ้ งปฏิบตั ิ
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล แต่ถ้าคู่กรณีฝ่ายที่ต้องปฏิบัติตามค�ำบังคับไม่ยอมปฏิบัติตาม
คูก่ รณีฝา่ ยทีป่ ระสงค์จะบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็เพียงแต่ยนื่ ค�ำร้องต่อศาลให้ออกหมาย
ธ
บังคับคดี หากจ�ำเป็นต้องด�ำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อให้บังคับตามค�ำพิพากษาตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความนัน้ ตาม ปวพ. มาตรา 138 คูก่ รณีจะฟ้องคดีอกี ไม่ได้ หากฟ้องคดีอกี เป็นฟ้องซํา้
มส
เพราะเคยมีการฟ้องคดีในศาลจนมีค�ำพิพากษาไปแล้ว แต่ถ้าไม่จ�ำเป็นต้องด�ำเนินการทางเจ้าพนักงาน
บังคับคดี ก็ไม่มีกรณีที่ต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี แต่อาจมีการขอให้ออกค�ำบังคับอีกได้6
อุทาหรณ์
ฎ. 3529/2541 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมและมีคำ� สั่งท้ายค�ำพิพากษาว่าบังคับตามยอม ทั้ง
มีคำ� สัง่ ไว้ทหี่ น้าส�ำนวนว่า บังคับตามยอม หากไม่ปฏิบตั ติ ามจะถูกยึดทรัพย์ตาม ปวพ. โดยโจทก์กบั จ�ำเลย
ได้ลงลายมือชือ่ ไว้เป็นส�ำคัญ ถือได้วา่ ศาลชัน้ ต้นได้มคี ำ� บังคับก�ำหนดวิธที จี่ ะปฏิบตั ติ ามค�ำบังคับนัน้ ไว้และ
จ�ำเลยทราบค�ำบังคับนั้นแล้ว เมื่อจ�ำเลยไม่ปฏิบัติตามค�ำบังคับ โจทก์จะต้องร้องขอให้บังคับคดีอีกชั้นหนึ่ง
โจทก์ยื่นค�ำร้องว่า โจทก์ประสงค์จะบังคับคดีโดยน�ำเงิน 18,200,000 บาท มาวางศาลเพื่อช�ำระแก่จ�ำเลย
ตามค�ำพิพากษาตามยอมและค�ำบังคับ อันเป็นการช�ำระหนีต้ า่ งตอบแทนในการขอให้จ�ำเลยโอนกรรมสิทธิ์
ธ
ที่ดินให้แก่โจทก์ตามค�ำพิพากษาตามยอมแต่ค�ำบังคับของศาลไม่มีกรณีต้องด�ำเนินการทางเจ้าพนักงาน
บังคับคดีหรือต้องยื่นค�ำขอให้ออกหมายบังคับคดี การยื่นค�ำร้องดังกล่าวของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการร้องขอ
มส
ธ
ยอมความย่อมท�ำให้สิทธิของจ�ำเลยที่จะเรียกร้องให้โจทก์รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อเดิมเป็นอันระงับสิ้นไป
ตาม ปพพ. มาตรา 852 จ�ำเลยคงมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ช�ำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอมยอม
ความเท่านั้น
มส
ฎ. 10872/2555 การที่โจทก์และจ�ำเลยทั้งสองตกลงกันท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล
และศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว โจทก์และจ�ำเลยทัง้ สองย่อมมีเจตนาตรงกันทีจ่ ะให้สญ ั ญาประนีประนอม
ยอมความส�ำเร็จลงสมประสงค์ของทัง้ สองฝ่าย ข้อความส�ำคัญของสัญญาประนีประนอมในข้อ 2 คือ จ�ำเลย
ทั้งสองจะช�ำระเงินจ�ำนวน 3,900,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10
สิงหาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะช�ำระเสร็จ หากจ�ำเลยทัง้ สองปฏิบตั กิ ารช�ำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์
แล้ว ย่อมเป็นอันบรรลุวตั ถุประสงค์ตามสัญญาข้อ 2 นัน้ ส่วนทีม่ ขี อ้ ความว่า โดยจ�ำเลยทัง้ สองจะช�ำระเงิน
ดังกล่าวแก่โจทก์ เมื่อจ�ำเลยทั้งสองสามารถขายที่ดินโฉนดเลขที่ 6244 เรียบร้อยแล้ว หากผิดนัดยอมให้
โจทก์บงั คับคดีทนั ทีนนั้ เป็นเพียงการอธิบายขยายความวิธกี ารช�ำระหนีข้ องจ�ำเลยทัง้ สองว่ามีวธิ กี ารหาเงิน
ธ
มาช�ำระหนีโ้ ดยการขายทีด่ นิ ข้อความดังกล่าวมิใช่เงือ่ นไขการช�ำระหนี้ และเป็นสัญญาทีไ่ ม่ได้กำ� หนดระยะ
เวลาการช�ำระหนี้ไว้ จ�ำเลยทั้งสองต้องช�ำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความภายในระยะเวลาอัน
มส
สมควร การที่จ�ำเลยทั้งสองไม่ช�ำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจนเวลาล่วงเลยไปนานถึง 7 ปี
นับแต่วันท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมเป็นเวลาที่นานเกินสมควร และถือได้ว่าจ�ำเลยทั้งสอง
ผิดนัดไม่ชำ� ระหนีต้ ามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเหตุให้โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีได้โดย
ชอบ
นอกจากนัน้ ก็เป็นไปตามหลักของการบังคับคดี เช่น ผูท้ จี่ ะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตอ้ งเป็น
คู่ความบุคคลภายนอกจะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีมิได้
อุทาหรณ์ ม
ฎ. 3053/2527 ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมเป็น
บุคคลภายนอกคดี จึงไม่มีสิทธิขอให้บังคับคดีได้ ในกรณีเช่นนี้ถือว่า คู่ความเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิขอ
ให้บังคับคดีได้
ฎ. 6378/2539 ผู้มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีได้ต้องเป็นบุคคลที่เป็นฝ่ายชนะคดีหรือเจ้าหนี้ตาม
ค� ำ พิ พ ากษา ดั ง นั้ น บุ ค คลภายนอกแม้ จ ะได้ รั บ ประโยชน์ ต ามสั ญ ญาประนี ป ระนอมยอมความซึ่ ง
ศาลพิพากษาตามยอมไม่ใช่ผู้ชนะคดี ไม่อาจร้องขอให้บังคับคดีได้
สธ
ม
10-66 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
3. อายุความ
ในการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นมีช่วงเวลาหรือก�ำหนดเวลาที่กฎหมายให้
ด�ำเนินการ ซึ่งเรียกว่าอายุความ หากไม่ด�ำเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายก�ำหนด ย่อมหมดสิทธิที่
จะด�ำเนินการเช่นเดียวกับสิทธิเรียกร้องทั้งหลายที่ต้องบังคับภายในอายุความ โดยมีก�ำหนดอายุความที่
ต้องด�ำเนินการเรียกร้องส�ำหรับประนีประนอมยอมความ คือ ภายใน 10 ปี ซึ่งท�ำให้อายุความตามหนี้เดิม
ธ
สะดุดหยุดลง แล้วอายุความตามสัญญาประนีประนอมยอมความเริ่มต้นใหม่ต่อไปอีก 10 ปี ดังนั้น ในบาง
กรณีอายุความตามสัญญาเดิมอาจน้อยกว่า 10 ปี แต่เมื่อท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความอายุความก็จะ
มส
ยาวออกไปอีก 10 ปี เช่น พ่อค้าโรงงานทอผ้าขายผ้าให้ร้านค้า แต่ยงั ไม่ได้รบั เงินค่าผ้าตามอายุความเรียก
เอาเงินค่าผ้าที่ขายตามกฎหมายซึ่งมีเพียง 2 ปี ซึ่งตามปกติเมื่อพ้น 2 ปีไปแล้วเรียกร้องเงินค่าซื้อขายผ้า
ไม่ได้ จึงมีปัญหาพิพาทกันและผู้ซื้อผู้ขายท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน เช่น โดยพ่อค้าผ้ายอมให้
ผู้ซื้อช�ำระเงินภายในก�ำหนดใหม่ โดยผู้ซื้อยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขายดังนี้ อายุความเรียกร้องเอาเงิน
ค่าผ้านัน้ จะเปลีย่ นไปเป็นตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมีอายุความ 10 ปี ดังทีบ่ ญ
มาตรา 193/32 ดังนี้
ั ญัตไิ ว้ใน ปพพ.
“สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยค�ำพิพากษาของศาล ที่ถึงที่สุดหรือโดยสัญญาประนีประนอมยอม
ความให้มีก�ำหนดอายุความสิบปี ทั้งนี้ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีก�ำหนดอายุความเท่าใด”
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 679/2514 (ป.ใหญ่) จ�ำเลยท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า ให้โจทก์มสี ทิ ธิเก็บกินในทีด่ นิ
ของจ�ำเลย ย่อมเป็นการท� ำนิติกรรมที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิแก่โจทก์ในอันที่จะเรียกร้องให้จ� ำเลยไป
มส
จดทะเบียนสิทธิเก็บกินให้เป็นทรัพย์สิทธิอันบริบูรณ์ตามกฎหมายได้ตราบเท่าที่จ�ำเลยยังมิได้โอนที่ดินให้
แก่บคุ คลอืน่ และสิทธิเรียกร้องอันตัง้ หลักฐานขึน้ โดยประนีประนอมยอมความเช่นนี้ มีกำ� หนดอายุความ 10 ปี
ฎ. 142/2549 บันทึกข้อตกลงช�ำระค่าเสียหายโดยมีการลดค่าเสียหายและก�ำหนดจ�ำนวนเงินที่จะ
ต้องผ่อนช�ำระและระยะเวลาช�ำระเสร็จรวมทัง้ ก�ำหนดอัตราดอกเบีย้ ขึน้ ใหม่แตกต่างกับข้อตกลงและจ�ำนวน
ค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อเดิม ข้อตกลงดังกล่าวเป็นกรณีที่คู่สัญญาระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ตามสัญญา
เช่าซื้อให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอม
ม
ยอมความ มิใช่หนังสือรับสภาพหนี้ มีผลให้หนี้เดิมตามสัญญาเช่าซื้อระงับไปและก่อให้เกิดหนี้ใหม่ตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยสัญญาประนีประนอมยอมความมีก�ำหนดอายุ
ความ 10 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 193/32 ทั้งนี้ ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีกำ� หนดอายุความเท่าใด ดังนั้น
เมื่อจ�ำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2539 โจทก์ฟ้องคดีนี้
วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2542 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ
4. การระงับสิ้นไปของสัญญาประนีประนอมยอมความ
สธ
สัญญาประนีประนอมยอมความย่อมระงับสิ้นไปเช่นเดียวกับสัญญาอื่นๆ เนื่องจากไม่มีกฎหมาย
บัญญัตไิ ว้เป็นพิเศษ เช่น การเลิกสัญญาโดยการตกลงกัน โดยผลของกฎหมาย โดยเหตุทรี่ ะบุไว้ในสัญญา
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-67
ซึ่งท�ำให้คู่กรณีไม่ต้องผูกพันกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความและข้อพิพาทเดิมก็ยังคงมีอยู่ไม่ระงับ
สิ้นไป
อุทาหรณ์
ฎ. 1507/2512 จ�ำเลยกล่าวหาว่าบิดาโจทก์ยักยอกไม้ เพื่อระงับข้อพิพาทโจทก์ผู้เป็นบุตรได้เข้า
ท�ำสัญญาแทนบิดายอมส่งไม้ให้จ�ำเลย โดยจ�ำเลยจะช�ำระเงินค่าไม้ โจทก์จึงตกอยู่ในฐานะเป็นคู่กรณีกับ
ธ
จ�ำเลย สัญญานีจ้ งึ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามสัญญาโจทก์จำ� เลยมีหน้าทีช่ ำ� ระหนีต้ า่ งตอบแทน
ซึง่ กันและกันครัน้ เมือ่ โจทก์สง่ ไม้มาตามสัญญา ไม้เสือ่ มคุณภาพเพราะความผิดของโจทก์ทชี่ กั ลากไม้ลา่ ช้า
มส
การช�ำระหนีจ้ งึ กลายเป็นไร้ประโยชน์แก่จำ� เลย เมือ่ จ�ำเลยบอกปัดไม่รบั มอบไม้ถอื ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญา
แล้ว โจทก์จะฟ้องบังคับให้จ�ำเลยรับไม้และช�ำระเงินไม่ได้
ฎ. 2329-2330/2523 จ�ำเลยขับรถโดยใช้ความเร็วขณะฝนตกหนักและถนนลืน่ จึงเสียหลักเข้าปะทะ
กับรถของโจทก์ซงึ่ จอดคร่อมอยูใ่ นผิวจราจร โจทก์และจ�ำเลยจึงได้ตกลงท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความ
เกี่ยวกับเรื่องค่าเสียหายไว้ว่า จ�ำเลยยินยอมช�ำระเงินจ�ำนวนหนึ่งให้แก่โจทก์ หากจ�ำเลยช�ำระเงินภายใน
ก�ำหนด โจทก์จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งต่อไป ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีเงื่อนเวลาสิ้นสุดก�ำหนดไว้
เมือ่ จ�ำเลยไม่ชำ� ระเงินภายในก�ำหนด ข้อตกลงย่อมสิน้ ผลบังคับ มูลหนีล้ ะเมิดจึงไม่ระงับ และเมือ่ จ�ำเลยยก
เรื่องข้อตกลงระหว่างโจทก์จ�ำเลยเป็นข้อต่อสู้ว่ามูลหนี้ละเมิดระงับ ศาลก็ย่อมมีอ�ำนาจวินิจฉัยว่าข้อตกลง
ตามเอกสารดังกล่าวมีผลให้มลู หนีล้ ะเมิดระงับหรือไม่ แม้โจทก์จะมิได้ยกประเด็นข้อนีข้ นึ้ เป็นข้อต่อสูก้ ต็ าม
ธ
ฎ. 4126/2530 โจทก์เช่าสถานทีจ่ ากจ�ำเลยโดยจ�ำเลยเรียกเงินกินเปล่าจ�ำนวน 220,000 บาท โจทก์
ช�ำระให้ไปก่อน 110,000 บาท ต่อมาเจ้าของที่ดินที่แท้จริงให้โจทก์ออกจากที่เช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา
มส
5. การอุทธรณ์ค�ำพิพากษา
ในกรณีที่ศาลพิพากษาบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ตามปกติจะมีการอุทธรณ์
ค�ำพิพากษานัน้ ต่อไปมิได้ เนือ่ งจากจะท�ำให้เสียเวลา เพราะคูก่ รณีได้ตกลงระงับข้อพิพาทโดยต่างยอมผ่อนผัน
ให้แก่กนั แล้ว และเมือ่ ไม่ปฏิบตั ติ ามก็ได้มกี ารฟ้องบังคับคดีทางศาลซึง่ ก็มกี ารตรวจสอบจากศาลอีกชัน้ หนึง่
แล้วจึงสมควรยุติข้อพิพาทนั้นได้ ดังที่บัญญัติไว้ใน ปวพ. มาตรา 138 วรรคสอง ดังนี้
ธ
“ห้ามมิให้อุทธรณ์ค�ำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้
(1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล
มส
(2) เมื่อค�ำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติ แห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วย
ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(3) เมื่อค�ำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลง หรือประนีประนอมยอมความ”
อย่างไรก็ตามในบางกรณีที่เห็นได้ว่าอาจไม่ยุติธรรมถ้าไม่ให้คู่กรณีสามารถอุทธรณ์ค�ำพิพากษา
ของศาลได้ กล่าวคือ มีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล หรือค�ำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่า
เป็นการละเมิดต่อบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมายอันเกีย่ วด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนหหรือมิได้เป็นไป
ตามข้อตกลง หรือประนีประนอมยอมความ
ดังนั้น หากคู่ความไม่พอใจค�ำพิพากษาที่บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความต้องอุทธรณ์
ค�ำพิพากษาจะขอเพิกถอนค�ำพิพากษาของศาลมิได้
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 2294/2552 ศาลชัน้ ต้นมีคำ� พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมือ่ วันที่ 27 เมษายน
มส
กิจกรรม 10.1.5
1. เอ ขายแหวนเพชรให้ บี โดยตกลงกันในราคา 1,000,000 บาท แต่ บี ไม่ยอมช�ำระเงินตามที่
ตกลงกันโดยอ้างว่าแหวนเพชรราคาตํ่ากว่านั้น ต่อมาจึงได้ตกลงช�ำระเงินกันใหม่ในราคา 700,000 บาท
โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลงที่ท�ำต่อกันที่สถานีต�ำรวจข้างบ้านของ เอ ดังนี้ หาก บี
ธ
ยังไม่ยอมช�ำระเงิน เอ ต้องด�ำเนินการอย่างไรจึงจะบังคับให้ บี ช�ำระเงินให้ตนได้
2. เอ ขายแหวนเพชรให้ บี โดยตกลงกันในราคา 1,000,000 บาท แต่ บี ไม่ยอมช�ำระเงินตาม
มส
ที่ตกลงกันโดยอ้างว่าแหวนเพชรราคาตํ่ากว่านั้น ต่อมา เอ จึงฟ้องคดี บี ต่อศาลที่มีเขตอ�ำนาจ และต่อมา
ศาลได้ไกล่เกลี่ยจนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงช�ำระเงินกันใหม่ในราคา 700,000 บาท และศาลได้พิพากษาตาม
ยอมแล้ว แต่ต่อมา บี ยังไม่ยอมช�ำระเงิน เอ ต้องด�ำเนินการอย่างไรจึงจะบังคับให้ บี ช�ำระเงินให้ตนได้
3. อายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีกำ� หนดกี่ปี
แนวตอบกิจกรรม 10.1.5
1. เอ ต้องฟ้องคดี บี ต่อศาลที่เขตอ�ำนาจเพื่อบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม
ปพพ. มาตรา 852
2. เอ ต้องด�ำเนินการให้ศาลออกหมายบังคับคดีและบังคับโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ตาม
ปวพ. มาตรา 138
ธ
3. อายุความการใช้สทิ ธิเรียกร้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีกำ� หนด 10 ปี ตาม ปพพ.
มาตรา 193/32
มส
ม
สธ
ม
10-70 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 10.2
การพนันและขันต่อ
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 10.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
10.2.1
10.2.2
10.2.3
10.2.4
ความหมายของการพนันและขันต่อ
หลักเกณฑ์ของการพนันและขันต่อ
ผลของการพนันและขันต่อ
การออกสลากกินแบ่งและสลากกินรวบ
รวบที่รัฐบาลให้อ�ำนาจหรือให้สัตยาบัน
ม
5. ข้อยกเว้นของการที่การพนันขันต่อไม่สมบูรณ์ คือ การออกสลากกินแบ่งหรือสลากกิน
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 10.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความหมายของการพนันและขันต่อได้
2. อธิบายความแตกต่างของการพนันและขันต่อได้
ธ
3. อธิบายความแตกต่างระหว่างการพนันขันต่อและสัญญาประเภทอืน่ ทีม่ ลี กั ษณะคล้ายคลึง
กันได้
มส
4. ระบุประเภทของการพนันและขันต่อได้
5. อธิบายผลของการพนันและขันต่อได้
6. อธิบายสลากกินแบ่งและสลากกินรวบซึง่ เป็นข้อยกเว้นของผลของการพนันและขันต่อได้
ธ
มส
ม
สธ
ม
10-72 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 10.2.1
ความหมายของการพนันและขันต่อ
ธ
การพนันเป็นกิจกรรมที่เก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ โดยมนุษย์เล่นการพนันกันมานาน
แล้วตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น ในอาณาจักรบาบิโลเนีย อียิปต์ กรีซ โรมัน จีน อินเดีย และแพร่ขยายต่อไป
มส
ยังประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปกันอย่างแพร่หลาย7
ส�ำหรับในประเทศไทยนั้นการพนันเริ่มเข้ามาพร้อมกับชาวจีนซึ่งเข้ามาท�ำการค้าในประเทศไทย
ในสมัยสุโขทัย และสมัยอยุธยา ในรัชสมัยพระเจ้าอยูห่ วั บรมโกศก็มกี ารตัง้ บ่อนมีการเก็บค่าธรรมเนียมจาก
เจ้าบ่อนเรียกว่า อากรบ่อนเบี้ย จนถึงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้มกี ารเก็บอากรบ่อนเบีย้ เพิม่ ขึน้ เพือ่ เพิม่ รายได้ให้กบั ประเทศเพือ่ ใช้ทดแทนรายได้ภาษีทขี่ าดไปเนือ่ งจาก
ผลของการยกเลิกภาษีผูกขาดหลายประเภท ซึ่งสืบเนื่องมาจากการที่ประเทศไทยมีสัญญาทางการค้ากับ
ต่างชาติมากขึ้น8
อย่างไรก็ตามแม้การพนันจะให้ความบันเทิงและความสนุกสนานตลอดจนรายได้จากการเก็บภาษี
การพนัน (หากมี) แต่กก็ อ่ ให้เกิดปัญหาต่างๆ ในสังคมได้มาก เช่น ปัญหาครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคม
ธ
ซึ่งเกิดจากการพนันและขันต่อ ในสมัยต่อๆ มา จึงได้มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการพนันขึ้นใช้ มีการ
ควบคุมโดยการตรา พรบ. การพนัน พุทธศักราช 2473 ขึ้นใช้บังคับเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการพนันฉบับ
แรกของประเทศไทยซึ่งเนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเป็นการรวบรวมกฎหมายการพนันต่างๆ มาไว้ในที่
มส
com;
7
ม
Gambling: From Ancient Cultures Until Today | The History of Poker ... www.thehistoryofgambling.
ส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพนันและขันต่อของประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์
ของเอกชน หรือผู้เป็นคู่สัญญาในการพนัน คือ ปพพ. พ.ศ. 2472 บรรพ 3 ลักษณะ 18 ซึ่งมีบทบัญญัติ
ใน มาตรา 853-855 และยังคงใช้กนั อยูใ่ นปัจจุบนั ซึง่ เป็นบทบัญญัตใิ นทางกฎหมายแพ่ง แต่มบี ทบัญญัติ
อีกส่วนหนึ่งที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอาญา คือ พรบ. การพนัน พุทธศักราช 2478 ตลอดจน
กฎกระทรวงและระเบียบที่ออกตามความใน พรบ. การพนันฯ
ธ
ส�ำหรับการพนันขันต่อตาม พรบ. การพนัน พุทธศักราช 2478 นั้น มีทั้งประเภทที่ห้ามเด็ดขาด
และประเภทที่ห้ามเล่นแต่ขอรับอนุญาตเล่นได้ตามที่ระบุไว้ใน พรบ. การพนัน พุทธศักราช 2478 รวมทั้ง
มส
การเล่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันที่ พรบ. การพนันฯ ห้ามไว้นั้น จึงนับว่าเป็นการพนันขันต่อตามความ
หมายใน ปพพ. มาตรา 853 ด้วย
ในส่วนทีเ่ กีย่ วกับค�ำนิยามหรือความหมายของการพนันหรือขันต่อนัน้ ไม่มบี ทบัญญัตใิ ดๆ ใน ปพพ.
มาตรา 853-855 และกฎหมายอื่นๆ คือ พรบ. การพนัน พุทธศักราช 2478 ซึ่งบัญญัติถึงการพนันและ
ขันต่อนั้นที่ให้ค�ำนิยามหรือความหมายของการพนันและขันต่อไว้โดยตรงเลย แต่สามารถหาความหมาย
หรือค�ำจ�ำกัดความของการพนันได้ดังนี้
1. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของค�ำว่า การพนัน หมายถึง
เล่นเอาเงิน หรือสิ่งอื่นโดยอาศัยความฉลาด ความช�ำนาญ เล่ห์เหลี่ยม ไหวพริบและฝีมือรวมทั้งโชคด้วย
การเล่นเช่นนั้นเรียกว่า การพนัน และให้ค�ำนิยามค�ำว่า พนันขันต่อไว้ว่า การพนันซึ่งได้เสียกันโดยวิธีต่อ
ธ
รอง11
2. บทบัญญัตบิ างมาตราของ พรบ. การพนันฯ ได้กล่าวถึงลักษณะการพนันเอาไว้ ได้แก่ มาตรา
มส
ธ
อยู่และเราพอจะกล่าวได้ว่า ต่างกันโดยข้อที่ว่าถ้าคู่สัญญาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อันเป็นเงื่อนไข
แห่งการแพ้ชนะเช่น คนดูการวิ่งแข่งได้ให้ค�ำมั่นว่าจะจ่ายเงินแก่กันแล้ว แต่คนวิ่งคนใดมาถึงก่อน เช่นนี้
มส
เป็นการขันต่อ14
การพนันขันต่อ คือ สัญญาชนิดหนึง่ ในเอกเทศสัญญา ซึง่ ผูพ้ นันและขันต่อทีเ่ ป็นคูส่ ญ ั ญาให้คำ� มัน่
ต่อกันไว้วา่ เมือ่ มีเหตุการณ์อนั เป็นเงือ่ นไขซึง่ ยังไม่รแู้ น่นอนตามทีต่ กลงกันไว้เกิดขึน้ แน่นอนไปทางใด อีก
ฝ่ายหนึ่งจะจ่ายเงิน ซึ่งฝ่ายที่ต้องจ่ายเงินหรือทรัพย์สินเรียกว่า ผู้แพ้ ส่วนผู้จะได้รับเงินหรือทรัพย์สินนั้น
เรียกว่า ผู้ชนะ15
การพนันและขันต่อ คือ สัญญาซึง่ คูส่ ญ ั ญาได้ตกลงซึง่ กันและกันว่า ฝ่ายหนึง่ (ฝ่ายแพ้) จะจ่ายเงิน
หรือทรัพย์สินแก่อีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายชนะ) เมื่อเหตุการณ์อย่างหนึ่งซึ่งคู่สัญญายังไม่รู้แน่นอนได้ปรากฏผล
เป็นที่แน่นอนอย่างใดแล้ว16
การพนัน นอกจากจะมีความหมายดังกล่าวแล้ว การพนันอาจมีลกั ษณะเฉพาะอยูต่ รงทีว่ า่ คูส่ ญ ั ญา
ธ
จะต้องมีสว่ นเกีย่ วข้องกับเหตุการณ์อนั เป็นข้อไขแห่งการแพ้ชนะ ส่วนขันต่อ นอกจากจะมีความหมายโดย
ทั่วไปดังกล่าว ขันต่ออาจมีลักษณะเฉพาะอยู่ตรงที่ว่า คู่สัญญามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อันเป็น
ข้อไขแห่งการแพ้ชนะ17
มส
ธ
เก่ง และแก้ว ตกลงกันว่า จะวิ่งแข่งกัน และหากบุคคลใดถึงเส้นชัยก่อนให้บุคคลนั้นเป็นฝ่ายชนะ
10,000 บาท การตกลงกันดังกล่าวเป็นการพนัน
มส
เก่ง และแก้ว วิ่งแข่งกัน โดยมี ข้าว และขวัญ เป็นผู้ดูการวิ่งแข่งและตกลงกันว่า หาก เก่ง วิ่งถึง
เส้นชัยก่อน ข้าว จะได้รับเงินจาก ขวัญ จ�ำนวน 10,000 บาท เนื่องจาก ข้าว เป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้า แก้ว
วิ่งถึงเส้นชัยก่อน ขวัญ จะได้รับเงินจาก ข้าว เนื่องจากการที่ ขวัญเป็นฝ่ายชนะ การตกลงกันดังกล่าว
เป็นการขันต่อ
กิจกรรม 10.2.1
1. เอก และหนึ่ง ว่ายนํ้าแข่งกัน และตกลงกันว่า ถ้าใครถึงหลักชัยก่อนฝ่ายนั้นชนะ และผู้แพ้ก็
ต้องจ่ายเงิน จ�ำนวน 10,000 บาท ให้ผู้ชนะ การตกลงดังกล่าวนี้เป็นอะไร
ธ
2. เอก และหนึ่ง ดูฟุตบอลคู่ บราซิล กับอิตาลี แข่งขันกันโดยมีการตกลงกันว่าจะเล่นกันคนละ
ข้างและใครเล่นข้างใด ข้างใดชนะอีกฝ่ายหนึง่ ข้างทีแ่ พ้กจ็ ะต้องจ่ายเงินจ�ำนวน 10,000 บาท ให้แก่อกี ฝ่าย
มส
หนึ่งที่ชนะ การตกลงดังกล่าวนี้เป็นอะไร
แนวตอบกิจกรรม 10.2.1
1. เป็นการพนัน เพราะ เอก และหนึง่ ซึง่ เป็นคูส่ ญ
ั ญาได้ตกลงซึง่ กันและกันว่าฝ่ายหนึง่ (ฝ่ายแพ้)
จะจ่ายเงินหรือทรัพย์สินแก่อีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายชนะ) เมื่อเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งไม่แน่นอนเกิดขึ้น
ตามเงื่อนไขแล้ว โดยเป็นการเล่นเอาเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นด้วยการเสี่ยงโชคโดยความสามารถของ
ม
ผู้เล่น ซึ่งคู่สัญญามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อันเป็นเงื่อนไขแห่งการแพ้ชนะกัน
2. เป็นการขันต่อ เพราะ เอก และหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ตกลงซึ่งกันและกันว่าฝ่ายหนึ่ง (ฝ่าย
แพ้) จะจ่ายเงินหรือทรัพย์สินแก่อีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายชนะ) ด้วยการต่อรองโดยอาศัยเหตุการณ์ในอนาคตที่
ไม่แน่นอนเป็นส่วนส�ำคัญของการแพ้ชนะ โดยคูส่ ญ
เหตุการณ์อันเป็นเงื่อนไขแห่งการแพ้ชนะกันนั้น
ั ญาไม่ตอ้ งใช้ความสามารถและไม่ได้มสี ว่ นเกีย่ วข้องกับ
สธ
ม
10-76 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 10.2.2
หลักเกณฑ์ของการพนันและขันต่อ
ธ
จากลักษณะของการพนันและขันต่อดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นมีหลักเกณฑ์อันเป็นสาระส�ำคัญดังต่อ
ไปนี้
มส
1. มีคู่สัญญาสองฝ่ายขึ้นไป
2. คู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีโอกาสได้และเสียในการพนันหรือขันต่อหรือการเสี่ยงโชคนั้น
3. มีการแพ้ชนะโดยการเสี่ยงโชคโดยอาศัยเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอนเป็นข้อแพ้ชนะ
4. สิ่งที่ได้เสียให้แก่กันนั้นเป็นเงินหรือทรัพย์สินโดยฝ่ายแพ้ต้องจ่ายเงินหรือทรัพย์สินให้ฝ่ายที่
ชนะตามข้อตกลง
1. มีคู่สัญญาสองฝ่ายขึ้นไป
การพนันและขันต่อนัน้ เป็นสัญญาซึง่ มีคสู่ ญ
ั ญาสองฝ่าย โดยมีคสู่ ญ ั ญาฝ่ายละกีค่ นก็ได้ไม่จำ� กัดว่า
ต้องมีคสู่ ญ
ั ญาเพียงฝ่ายละหนึง่ คน โดยฝ่ายหนึง่ เป็นผูร้ บั กิน หรือรับใช้ หรือเรียกว่าเจ้ามือ กล่าวคือ ผูร้ บั กิน
ธ
หรือรับประโยชน์จากผลของการพนันหรือขันต่อหากตนเป็นฝ่ายชนะและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เล่นการพนัน
หรือขันต่อ และหากเป็นฝ่ายแพ้ ก็จะเป็นผู้รับใช้ คือ เป็นฝ่ายที่ต้องจ่ายผลประโยชน์ให้อีกฝ่ายหนึ่งหาก
ตนแพ้และอีกฝ่ายหนึง่ เป็นฝ่ายชนะ หรือทัง้ สองฝ่ายต่างเป็นผูเ้ ล่นด้วยกันโดยไม่มเี จ้ามือก็ได้ แต่จะมีผเู้ ล่น
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 829/2500 จ�ำเลยตัง้ ใจเล่นสลากกินรวบแต่ไปซือ้ สลากจากเจ้าพนักงานต�ำรวจเข้า ศาลฎีกาเห็น
ว่าความผิดไม่อาจส�ำเร็จได้เพราะมีจ�ำเลยผู้แทงฝ่ายเดียว ไม่มีเจ้ามืออันแท้จริง จึงไม่เป็นพยายามท�ำผิด
พิพากษาให้ยกฟ้อง
อนึ่งมีข้อสังเกตว่าตามค�ำพิพากษาศาลฎีกานี้เป็นเรื่องในทางอาญามิใช่เรื่องทางแพ่ง และถ้าหาก
ธ
มีเจ้ามือผูท้ ำ� การขายสลากกินรวบแม้เพียงฝ่ายเดียวก็เป็นความผิดทางอาญาได้ เนือ่ งจากกฎหมายประสงค์
จะก�ำหนดความผิดของเจ้ามือผู้ทำ� การขายสลากกินรวบ
มส
ฎ. 470/2508 การพนันสลากกินรวบนั้น ไม่จ�ำเป็นต้องมีผู้เล่นสองฝ่าย เพียงแต่จำ� เลยท�ำการขาย
สลากกินรวบ แม้จะไม่มีคนซื้อก็เป็นความผิดแล้วเพราะจ�ำเลยได้จัดให้มีการเล่นการพนันขึ้น การที่ไปซื้อ
สลากกินรวบจากจ�ำเลยเพื่อประสงค์จะท�ำการจับกุมจ�ำเลยนั้น เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานแห่งการ
กระท�ำผิดของจ�ำเลย ไม่เป็นเหตุให้จำ� เลยอ้างเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดไปได้
อนึง่ ในการเล่นการพนันและขันต่อนัน้ อาจเป็นการเล่นโดยผูเ้ ล่นโดยตรงหรือมีการตัง้ ตัวแทนของ
ผู้เล่นก็ได้และผู้ที่เป็นตัวแทนนั้นอาจเป็นตัวแทนของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายก็ได้
อุทาหรณ์
ฎ. 595/2491 การเป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่ายย่อมเป็นได้ ตาม ปพพ. มาตรา 805
นายบ่อนชนโครับเงินเดิมพันจากคูพ่ นันทัง้ สองฝ่ายไว้ เพือ่ มอบเงินทัง้ หมดให้แก่ฝา่ ยชนะพนันนัน้
ธ
ย่อมได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของเจ้าของเงินทั้งสองฝ่าย ตราบใดที่ยังมิได้จ่ายเงินไปตามที่ได้รับมอบหมายไว้
ผู้วางเงินเดิมพันมีสิทธิที่จะถอนอ�ำนาจที่ได้มอบหมายนั้น คือสั่งให้งดการจ่ายเงินของตนและขอคืนไปได้
มส
2. คู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีโอกาสได้และเสีย
ม
คู่สัญญาแต่ละฝ่ายที่เข้าเล่นการพนันต้องมีโอกาสได้และเสีย ไม่ใช่มีแต่ได้หรือเสียเพียงประการ
เดียว ดังนัน้ ถ้าสัญญาใด มีคสู่ ญ
ั ญาฝ่ายใดเป็นผูไ้ ด้ฝา่ ยเดียว โดยไม่มฝี า่ ยเสีย หรือมีแต่ฝา่ ยเสียฝ่ายเดียว
โดยไม่มีฝ่ายได้เลย ย่อมไม่ใช่การพนันและขันต่อ
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 142/2479 การขายของโดยวิธีสอดธนบัตรเป็นเงินรางวัลไว้ในของนั้นเพื่อผู้ที่ซื้อของจะได้มี
โอกาสถูกได้ เงินที่สอดไว้ในซองนั้นแต่ราคาของที่ขายนั้นสูงกว่าราคาตามท้องตลาดดังนี้ ต้องถือเป็นการ
พนันเสี่ยงโชคมีได้มีเสียระหว่างผู้ซื้อแลผู้ขายเป็นความผิด
ม
10-78 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ที่หยอดดังนี้เป็นการพนันคล้ายสล๊อทแมชีน เพราะมีทั้งได้ทั้งเสีย
หากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีโอกาสได้รับเงินหรือทรัพย์สินจากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวไม่
เป็นการพนัน
มส
อุทาหรณ์
1. เอ รับจ้างชั่งนํ้าหนักของลูกค้า ได้รับทายนํ้าหนักของ บี ซึ่งเป็นลูกค้า ก่อนขึ้นชั่งนํ้าหนักว่า
50 กิโล ถ้าทายถูก บี ต้องจ่ายเงินให้ตน 100 บาท แต่ถ้าทายผิด เอ ก็จะให้ บี ชั่งนํ้าหนักฟรี ดังนี้ ไม่
เป็นการพนันหรือขันต่อ เพราะการทายนํา้ หนักเป็นเพียงเงือ่ นไขของการจ่ายเงินเท่านัน้ ไม่มกี ารได้เสียซึง่
กันและกัน เพราะถ้า เอ ทายนํ้าหนัก ของ บี ถูกต้อง เอ จะได้รับเงินค่าชั่งนํ้าหนักจาก บี แต่ถ้า เอ ทาย
นํ้าหนักของ บี ผิด ไป เอ ก็ไม่ต้องเสียเงินให้ กับ บีแต่อย่างใด
2. อิม่ ขายนาํ้ ผลไม้บรรจุขวด และให้ผซู้ อื้ สามารถส่งกระดาษทีป่ ดิ ไว้ทขี่ วดโดยเขียนชือ่ ผูซ้ อื้ เพือ่
ชิงรางวัล ดังนี้ ไม่เป็นการพนันหรือขันต่อ เพราะผูซ้ อื้ ทีส่ ง่ ชือ่ ไปชิงรางวัลนัน้ มีโอกาสได้รบั เงินหรือทรัพย์สนิ
ธ
จาก อิ่ม เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งถ้าได้ก็ถือว่าเป็นโชค แต่ถ้าไม่ถูกรางวัลก็ไม่ได้เสียอะไร ซึ่งต่างจากการพนัน
ที่มีโอกาสได้หรือมีโอกาสเสีย
มส
ฎ. 535/2477 ขายของตามราคาธรรมดาและแถมสลากให้ผู้ซื้อเพื่อจะได้มีโอกาสถูกรางวัลเป็น
สิ่งของไม่เป็นผิดตาม พรบ. การพนันฯ
3. มีการแพ้ชนะโดยการเสี่ยงโชคซึ่งอาศัยเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอนเป็นข้อแพ้ชนะ
ในการพนันและขันต่อนั้นต้องมีการเล่นที่แพ้ชนะโดยการเสี่ยงโชค คือ ไม่ใช่เป็นการลงมือท�ำการ
งานหรือกระท�ำการลงทุน แต่เป็นการตกลงกันเสีย่ งโชคในสิง่ ทีไ่ ม่แน่นอน กล่าวคือ ต้องแพ้ชนะต่อกันโดย
อาศัยเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอน
18 http://app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?whichLaw=cmd&year=2546&lawPath=c2_0014_2546
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-79
ธ
กว่าค่าเล่นเกมก็ตาม แต่เนื่องจากการได้และเสียประโยชน์อันเป็นลักษณะส�ำคัญของการพนันนั้น ไม่ได้
หมายความว่าเมือ่ น�ำการได้และเสียประโยชน์มาหักกลบกันแล้ว ผูเ้ ล่นจะต้องมีโอกาสได้ประโยชน์มากกว่า
มส
ทีเ่ สียไป โดยหากการเล่นดังกล่าวท�ำให้ผเู้ ล่นได้ประโยชน์แม้แต่เพียงเล็กน้อยเป็นสิง่ ตอบแทนแล้ว ก็ถอื ว่า
เป็นการได้และเสียประโยชน์อันเป็นการพนันแล้ว ดังนั้น การเล่นตู้เกมไฟฟ้าลักษณะดังกล่าวจึงเป็น
การพนัน ซึง่ แตกต่างจากกรณีตเู้ กมไฟฟ้าอืน่ ทีม่ งุ่ ประสงค์จะให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินและเพิม่ ทักษะ
แก่ผู้เล่นเพียงอย่างเดียว โดยมิได้มุ่งประสงค์จะให้เป็นเครื่องเล่นการพนัน เมื่อการเล่นตู้เกมไฟฟ้าเช่นนี้
เป็นการพนันแล้ว ตามมาตรา 4 วรรคสาม แห่ง พรบ. การพนัน พุทธศักราช 2478 บัญญัติให้การเล่น
ดังกล่าวต้องมีใบอนุญาตให้จัดให้มีขึ้น หรือมีกฎกระทรวงอนุญาตให้จัดขึ้นโดยไม่ต้องมีใบอนุญาต
นอกจากนี้ เมือ่ พิจารณาลักษณะการเล่นตูเ้ กมไฟฟ้าตามข้อหารือ ซึง่ มีวธิ กี ารเล่นหลายวิธี เช่น กดปุม่ ทุบ
ปุ่ม ยิงลูกบอล หรือดึงโยกคันบังคับตามแต่ละชนิดของเครื่องเล่นตู้เกมไฟฟ้านั้น โดยในการเล่นแต่ละครั้ง
ผูเ้ ล่นต้องหยอดเหรียญสิบบาทเพือ่ เล่นตูเ้ กมไฟฟ้า และอาจได้รบั ของรางวัลโดยขึน้ อยูก่ บั คะแนนทีป่ รากฏ
ธ
และจ�ำนวนคูปองทีไ่ ด้รบั เห็นได้วา่ ตูเ้ กมไฟฟ้านัน้ มีลกั ษณะเป็นเครือ่ งเล่นตามทีร่ ะบุไว้ในล�ำดับที่ 28 ของ
บัญชี ข. ท้าย พรบ. การพนัน พุทธศักราช 2478 ซึ่งตามมาตรา 4 วรรคสอง แห่ง พรบ. การพนันฯ ได้
มส
ธ
ไว้ซึ่งตํ่ากว่าอัตรารางวัลที่กองสลากของรัฐบาลจ่าย แล้วอาศัยวิธีออกสลากของรัฐบาล ดังนี้มีลักษณะเป็น
เรือ่ งค้าและเสีย่ งโชคในการพนันโดยน�ำเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลมาจัดท�ำเป็นสลากขึน้ ใหม่ มีรางวัลและการ
มส
ได้เสียเป็นการเสี่ยงโชคพนันเอาทรัพย์สินกัน จึงเป็นผิดฐานออกสลากกินแบ่งโดยไม่ได้รับอนุญาต
ฎ. 481/2524 จ�ำเลยกับพวกใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่ามี
พระอาจารย์ดบี อก หวยได้ เคยบอกหวยแก่พวกของจ�ำเลยถูกสลากกินรวบได้เงินนับล้านมาแล้ว ผูเ้ สียหาย
หลงเชื่อจึงไปขอให้พระอาจารย์ (ซึ่งเป็นพวกของจ�ำเลยปลอมตัวเป็นพระมา) บอกเบอร์หวยและมอบเงิน
ให้แก่จำ� เลยเพือ่ น�ำไปซือ้ สลากกินรวบตามเลขทีพ่ ระอาจารย์บอก ดังนี้ การกระท�ำของผูเ้ สียหายจึงเป็นการ
ร่ ว มกั บ จ� ำ เลยในการน� ำ เงิ น ไปซื้ อ สลากกิ น รวบอั น เป็ น การพนั น ทรั พ ย์ สิ น ที่ ผิ ด กฎหมาย ถื อ ได้ ว ่ า
ผู้เสียหายเป็นผู้ใช้ให้จ�ำเลยกระท�ำความผิดอาญา จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้
เจ้าพนักงานน�ำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงแก่จ�ำเลยได้
อนึ่ง ถ้าไม่มีการเสี่ยงโชคโดยอาศัยเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนย่อมไม่เป็นการพนัน
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 623/2465 จ�ำเลยใช้วธิ ขี ายรูปโปสการ์ดโดยเอารูปโปสการ์ดใส่ไว้ในตู้ ผูท้ จี่ ะซือ้ หยอด 10 สตางค์
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 1413/2494 การที่คู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยประเพณีข้อกฎหมายศาลมีอำ� นาจตัดสินไปตาม
นั้นได้ตาม ปวพ. มาตรา 183 หาใช่กิจการพนันขันต่อไม่
ฎ. 1696/2499 โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้กับดอกเบี้ย 2,037 บาท จ�ำเลยต่อสู้ว่าความจริงจ�ำเลยตกลง
ซือ้ กระบือ 2 ตัวราคา 2,000 บาท โดยโจทก์ผอ่ นช�ำระภายในเดือน 3 ทุกๆ ปี โจทก์ให้จำ� เลยท�ำเป็นสัญญา
ธ
กู้ให้ไว้ เมื่อจ�ำเลยช�ำระราคากระบือแล้วจะคืนสัญญาให้
วันชี้ คู่ความท้ากันว่าขอให้สืบนายเลี่ยม ถ้าให้การว่ากระบือรายนี้ตกอยู่แก่จ�ำเลยก่อนเดือน 11
มส
พ.ศ. 2497 แล้ว จ�ำเลยยอมคืนกระบือ 2 ตัวกับเงิน 2,000 บาท แต่ถ้าให้การว่าเพิ่งตกอยู่กับจ�ำเลยเมื่อ
เดือน 11 พ.ศ. 2498 นี้เอง จ�ำเลยยอมคืนกระบือให้โจทก์ 2 ตัวอย่างเดียว
ดังนี้เมื่อศาลพิพากษาให้จ�ำเลยคืนกระบือ 2 ตัว กับเงิน 2,000 บาทให้โจทก์ตามที่คู่ความแถลง
ตกลงกันในชั้นชี้สองสถาน จึงไม่ใช่การพนันขันต่อ
ฎ. 1745/2518 โจทก์ฟอ้ งว่าทีพ่ พิ าทเป็นของโจทก์ จ�ำเลยได้นำ� รังวัดทีด่ นิ ของจ�ำเลยเพือ่ ออก น.ส.3
แต่ได้นำ� รังวัดเอาทีพ่ พิ าทรวมเข้าไปด้วย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำ� เลยแบ่งแยกทีพ่ พิ าทออกจาก น.ส.3 และ
ห้ามเข้าเกี่ยวข้อง จ�ำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของบิดาจ�ำเลยได้บุกเบิกแผ้วถาง
ท�ำประโยชน์มานาน 40 ปีแล้ว ต่อมาบิดาจ�ำเลยตายที่ดินนี้จึงตกได้แก่จำ� เลย ชั้นพิจารณามีการท�ำแผนที่
พิพาทปรากฏว่าที่ดินตาม น.ส.3 ของจ�ำเลยนอกจากจะพิพาทกับโจทก์ ยังพิพาทกับ จ. โดยที่พิพาทคดีนี้
ธ
กับคดีนั้นอยู่ติดกัน โจทก์จำ� เลยจึงแถลงร่วมกันว่าไม่ติดใจสืบพยาน โดยตกลงท้ากันว่าเมื่อคดีนั้นถึงที่สุด
หาก จ. ชนะคดีก็ให้ถือว่าคดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายชนะ ถ้าคดีนั้นจ�ำเลยชนะก็ให้ถือว่าคดีนี้จ�ำเลยเป็นฝ่ายชนะ
มส
ธ
สัญญาเล่นแชร์เปียหวยก็ไม่ใช่การพนันหรือขันต่อ เพราะไม่มีการเสี่ยงโชค
เนื่องจากในการพนันขันต่อนั้นต้องมีการได้การเสีย ในท�ำนองการเสี่ยงโชค เป็นการแพ้ชนะด้วย
มส
การต่อรอง ไม่ใช่มีทางได้หรือเสียแต่อย่างเดียวเป็นประโยชน์ที่ผู้ชนะได้จากผู้แพ้พนัน ดังนั้นการเล่นแชร์
ซึง่ ไม่ใช่มลี กั ษณะการเสีย่ งโชค หรือหวังเอาแพ้เอาชนะกันเพือ่ การพนันหรือขันต่อแต่อย่างใด จึงไม่ใช่การ
พนันหรือขันต่อ
อุทาหรณ์
ฎ. 1327/2500 การทีโ่ จทก์ผเู้ ป็นนายวงแชร์ออกเงินแทนจ�ำเลยลูกวงผูป้ ระมูลแชร์ไปแล้วและไม่สง่
เงินที่ต้องส่งให้ครบ การกระท�ำเช่นนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการกู้ยืมเงิน ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่
เป็นการเข้าหุ้นส่วนและไม่เป็นการเล่นการพนันขันต่อ พฤติการณ์ระหว่างนายวงแชร์กับลูกวงใกล้ไปทาง
คํ้าประกัน เมื่อโจทก์ออกเงินแทนจ�ำเลยไป โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องให้จำ� เลยชดใช้คืนได้
ฎ. 453-460/2501 การเล่นแชร์เปียหวยไม่เข้าลักษณะของการพนันขันต่อ เพราะไม่มีการแพ้ชนะ
ธ
ด้วยวิธีเสี่ยงโชค จึงมีสิทธิฟ้องร้องเรียกเงินกันได้
โจทก์และจ�ำเลยได้ตกลงเข้าหุ้นลงเงินเล่นแชร์เปียหวยกัน โดยมีข้อสัญญาว่าเดือนหนึ่งๆ จะต้อง
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 2132/2527 ประกาศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรือ่ งการก�ำหนดอัตราส่วนการให้กยู้ มื เงินฯ
ส�ำหรับผู้ซื้อหุ้น ลงวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2520 ข้อ 1 โดยในช่วงระยะเวลา 4 วันแรกโจทก์ให้กู้ยืมเงิน
เกินกว่าร้อยละเจ็ดสิบซึ่งจ�ำเลยเห็นว่าเป็นการยั่วยุให้มีการซื้อขายหุ้นโดยผู้ซื้อไม่ต้องลงทุนเป็นการเสี่ยง
โชคเข้าลักษณะเป็นการพนันขันต่อนั้น ศาลเห็นว่าเป็นระเบียบหรือข้อบังคับที่ตลาดหลักทรัพย์ก�ำหนดขึ้น
ธ
เพื่อให้สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ถือปฏิบัติหากสมาชิกใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามก็อาจถูกลงโทษตาม
ข้อบังคับ และการทีโ่ จทก์ออกเงินทดรองซือ้ หุน้ ให้จ�ำเลยแล้วเรียกร้องให้จำ� เลยชดใช้คนื ก็มใิ ช่เป็นการพนัน
ขันต่อ
มส
ฎ. 2523/2527 การตัง้ ตัวแทนซือ้ ขายหุน้ ในตลาดหลักทรัพย์นนั้ วัตถุประสงค์อนั แท้จริงเป็นการค้า
เก็งก�ำไรตามราคาหุ้นที่ขึ้นลงมากกว่าประสงค์ที่จะให้มีการโอนใบหุ้นใส่ชื่อผู้สั่งซื้อ จึงไม่ต้องปฏิบัติ ตาม
ปพพ. มาตรา 1129 และการซือ้ ขายหุน้ ในลักษณะดังกล่าวมิใช่เป็นการพนันขันต่อตามความหมายใน ปพพ.
มาตรา 853
ฎ. 1802/2529 โจทก์เป็นตัวแทนของจ�ำเลยในการซือ้ ขายหุน้ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จ�ำเลยจะปฏิเสธ
ไม่ยอมชดใช้เงินทดรองให้โจทก์ได้ก็เฉพาะเมื่อเงินทดรองนั้นมิใช่เป็นการจ�ำเป็นหรือจ�ำเลยไม่ต้องรับผิด
ชดใช้เงินทดรองนั้นด้วยเหตุประการอื่นทั้งไม่ปรากฏว่าการที่โจทก์ซื้อขายหุ้นแทนจ�ำเลยโดยไม่ได้ปฏิบัติ
ตาม ปพพ. มาตรา 1129 นั้นเป็นการผิดหน้าที่ของตัวแทนหรือท�ำให้จ�ำเลยเสียผลประโยชน์ ดังนั้น จ�ำเลย
ธ
จึงต้องรับผิดชดใช้เงินทดรองที่โจทก์ได้ออกไปก่อนรวมทั้งดอกเบี้ย ตาม ปพพ. มาตรา 816 การซื้อขาย
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามปกติแม้จะมีการเก็งก�ำไรกันและมีลักษณะเป็นการเสี่ยงโชคอยู่บ้างก็หาใช่
มส
4. สิ่งที่ได้เสียให้แก่กันนั้นเป็นเงินหรือทรัพย์สินโดยฝ่ายแพ้ต้องจ่ายเงินหรือทรัพย์สินให้
ฝ่ายที่ชนะตามข้อตกลง
ในการพนันหรือขันต่อนัน้ ฝ่ายทีเ่ สียการพนันหรือขันต่อต้องมอบเงินหรือทรัพย์สนิ ให้แก่ฝา่ ยทีช่ นะ
ตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายนั้น กล่าวคือ วัตถุแห่งการช�ำระหนี้ในการพนันหรือขันต่อ ต้องเป็นเงินหรือ
ธ
ทรัพย์สิน ไม่รวมถึงการกระท�ำหรือการงดเว้นกระท�ำในหนี้ทั่วไป ดังนั้น หากมีการตกลงกันและมีการให้
ประโยชน์อย่างอืน่ นอกจากเงินหรือทรัพย์สนิ แล้วแม้จะสามารถคิดค�ำนวณเป็นเงินได้การตกลงกันดังกล่าว
ย่อมไม่เป็นการพนันหรือขันต่อ เนื่องจาก มาตรา 5 แห่ง พรบ. การพนัน พุทธศักราช 2478 ใช้ข้อความ
มส
ว่า “ผู้ใดจัดให้มีการเล่นซึ่งตามปกติย่อมจะพนันเอาเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแก่กัน”
อุทาหรณ์
1. อาทิตย์ ตกลงกับ จันทร์ ว่าให้เอาไก่ของแต่ละฝ่ายมาตีกนั หากไก่ของฝ่ายใดชนะอีกฝ่ายหนึง่
คือ ฝ่ายที่แพ้ก็ต้องจ่ายเงินให้ฝ่ายที่ชนะ 50,000 บาท ดังนี้ เป็นการเล่นการพนัน เพราะต้องมีการมอบ
เงินให้แก่กันเพื่อช�ำระหนี้การพนัน
2. อาทิตย์ ตกลงกับ จันทร์ ว่าให้เอาไก่ของแต่ละฝ่ายมาตีกนั หากไก่ของฝ่ายใดชนะอีกฝ่ายหนึง่
คือ ฝ่ายที่แพ้ก็ต้องมอบไก่ของตนให้ฝ่ายที่ชนะ ดังนี้ เป็นการเล่นการพนัน เพราะต้องมีการมอบทรัพย์สิน
ให้แก่กันเพื่อช�ำระหนี้การพนัน
3. อาทิตย์ ตกลงกับ จันทร์ ว่าให้เอาไก่ของแต่ละฝ่ายมาตีกนั หากไก่ของฝ่ายใดชนะอีกฝ่ายหนึง่
ธ
คือ ฝ่ายทีแ่ พ้ตอ้ งไปท�ำงานรับใช้ทบี่ า้ นฝ่ายทีช่ นะเป็นเวลาหนึง่ เดือน ดังนี้ ไม่เป็นการเล่นการพนัน เพราะ
ไม่มีการช�ำระหนี้ด้วยเงินหรือมอบทรัพย์สินให้แก่กันเพื่อช�ำระหนี้
มส
5. แบบหรือหลักฐานของสัญญา
ม
การพนันขันต่อไม่มีกฎหมายบัญญัติในเรื่องแบบของสัญญาหรือหลักฐานของสัญญาแต่อย่างใด
ดังนั้นแม้ตกลงกันด้วยวาจาก็มีสัญญาการพนันหรือขันต่อเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ผลของสัญญาดังกล่าวจะใช้
บังคับได้หรือไม่และหากมีการผิดสัญญาจะบังคับให้ชำ� ระหนี้กันตามสัญญานั้นได้หรือไม่
6. ประเภทของการพนัน
แม้ค�ำอธิบายนี้จะให้ความส�ำคัญกับการพนันหรือขันต่อที่มีลักษณะในทางแพ่งแต่เนื่องจากมีส่วน
สธ
เกี่ยวข้องกับในทางอาญาอยู่ด้วย เช่น การบังคับให้ช�ำระหนี้จะท�ำได้เฉพาะการพนันที่ไม่ผิดกฎหมายจึง
จ�ำเป็นต้องกล่าวถึงประเภทของการพนันตามกฎหมายอาญาว่ามีการพนันประเภทใดบ้าง และมีการพนัน
ที่ถูกกฎหมายหรือไม่
พรบ. การพนัน พุทธศักราช 2478 แบ่งประเภทของการพนัน ว่ามี 2 ประเภท คือ การพนันที่
ห้ามเด็ดขาด และการพนันที่ขออนุญาตให้เล่นกันได้ ดังนี้
1. การพนันประเภทห้ามเด็ดขาด ได้แก่ การเล่นตามบัญชี ก. ท้าย พรบ. การพนัน พุทธศักราช
ธ
2478 ซึ่งมี 28 ชนิด คือ 1) หวย ก. ข. 2) โปปั่น 3) โปก�ำ 4) ถั่ว 5) แปดเก้า 6) จับยี่กี 7) ต่อแต้ม
8) เบี้ยโบกหรือคู่คี่หรืออีโจ้ง 9) ไพ่สามใบ 10) ไม้สามอัน 11) ช้างงาหรือป๊อก 12) ไม้ดำ� ไม้แดงหรือปลา
มส
ด�ำปลาแดงหรืออีด�ำอีแดง 13) อีโปงครอบ 14) ก�ำตัด 15) ไม้หมุนหรือล้อหมุนทุกๆ อย่าง 16) หัวโตหรือ
ทายภาพ 17) การเล่นซึ่งมีการทรมานสัตว์ เช่น เอามีดหรือหนามผูกหรือวางยาเบื่อยาเมา ให้สัตว์ชนหรือ
ต่อสู้กัน หรือสุมไฟบนหลังเต่าให้วิ่งแข่งขันหรือการเล่นอื่นๆ ซึ่งเป็นการทรมานสัตว์อันมีลักษณะคล้ายกับ
ที่ว่ามานี้ 18) บิลเลียดรู ตีผี 19) โยนจิ่ม 20) สี่เหงาลัก 21) ขลุกขลิก 22) นํ้าเต้าทุกๆ อย่าง 23) ไฮโล
ว์ 24) อีก้อย 25) ปั่นแปะ 26) อีโปงซัด 27) บาการา 28) สล๊อตแมชิน
การเล่นอันระบุไว้ในบัญชี ก. ประเภทนี้ ห้ามมิให้อนุญาตจัดให้มีหรือเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการ
เล่นโดยเด็ดขาด เว้นแต่ในกรณีทรี่ ฐั บาลพิจารณาเห็นว่า ณ สถานทีใ่ ดสมควรจะอนุญาตภายใต้บงั คับเงือ่ น
ไขใดๆ ให้มีการเล่นชนิดใดก็อนุญาตได้โดยออกพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่ง พรบ.
การพนันฯ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การอนุญาตกระท�ำได้ยาก จึงมีผลเท่ากับไม่อนุญาตให้จัดให้มีการเล่นในตัว
ธ
2. การพนันประเภทอนุญาต ได้แก่ การเล่นตามบัญชี ข. ท้าย พรบ. การพนัน พุทธศักราช
2478 ซึ่งมี 28 ชนิด คือ 1) การเล่นต่างๆ ที่ให้สัตว์ต่อสู้หรือแข่งขัน เช่น ชนโค ชนไก่ กัดปลา แข่งม้า
มส
หากมีการเล่นการพนันชนิดที่สามารถท�ำได้ตามกฎหมายก็ไม่เป็นความผิดและหากมีหนี้เข้าไป
เกี่ยวข้องก็สามารถเรียกร้องกันได้
อุทาหรณ์
ฎ. 222/2488 จ�ำเลยเล่นการพนันตามใบอนุญาตที่เจ้าพนักงานได้ออกให้แต่ในใบอนุญาตเจ้า
พนักงานก�ำหนดเวลาให้เล่นเกินอ�ำนาจทีเ่ จ้าพนักงานจะให้อนุญาตได้ตามกฎกระทรวง ถือว่า จ�ำเลยได้เล่น
ธ
โดยได้รับอนุญาตตามความใน พรบ.การพนัน 2478 มาตรา 12 แล้ว จ�ำเลยไม่มีความผิด
ฎ. 1400/2492 โจทก์ฟอ้ งหาว่าจ�ำเลยเล่นการพนัน โดยไม่ได้รบั อนุญาต แต่ทางพิจารณาได้ความ
มส
ว่า การเล่นการพนันรายนีไ้ ด้รบั อนุญาตแล้ว หากแต่เล่นก่อนเวลาทีก่ ำ� หนดไว้ในใบอนุญาต ซึง่ เป็นข้อเท็จ
จริงที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษจะลงโทษจ�ำเลยไม่ได้
7. เปรียบเทียบการพนันและขันต่อกับสัญญาอื่น ๆ
ในสัญญาต่างๆ นั้นอาจมีสัญญาบางชนิด ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับสัญญาการพนันหรือขันต่อแต่
ไม่เป็นการพนันและขันต่อ เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์ของการเป็นการพนันหรือขันต่อ เช่น ในสัญญานั้น
อาจมีความเสีย่ งอันเกิดจากเหตุการณ์ในอนาคตซึง่ ไม่แน่นอนหรือมีการเสีย่ งโชคแต่ไม่กอ่ ให้เกิดทางได้หรือ
เสียระหว่างคู่สัญญา เช่น สัญญาที่มีเงื่อนไข สัญญาประกันภัย สัญญาเล่นแชร์เปียหวย และสัญญาการซื้อ
ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีรายละเอียดดังจะกล่าวต่อไป
ธ
1. สัญญาที่มีเงื่อนไข สัญญาบางอย่างอาจมีการวางเงื่อนไขในสัญญาได้หากคู่สัญญาตกลงกัน
และไม่มกี ฎหมายห้ามไว้ โดยอาจเป็นเงือ่ นไขบังคับก่อน คือ สัญญาทีร่ ะบุให้สญ ั ญาเกิดผลเมือ่ มีเหตุการณ์
มส
สอบไม่ได้
ม
ได้ ดังนี้ การที่ โท จะได้รับที่ดิน จาก เอก หรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต คือ การสอบ
ได้เนติบณ ั ฑิตของ โท และ โท มีโอกาสได้รบั ทีด่ นิ จาก เอก เพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้เสียสิง่ ใดหากตนเอง
ธ
เหตุการณ์เกิดขึน้ ตามสัญญาประกันภัย เช่น เกิดอัคคีภยั กับบ้านทีต่ นประกันภัยไว้ และผูร้ บั ประกันก็มสี ทิ ธิ
ได้รับเงินเบี้ยประกัน และจะจ่ายเงินให้ผู้เอาประกันก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัย เช่น
มส
เกิดอัคคีภยั กับบ้านทีต่ นรับประกันภัยไว้ ในขณะทีส่ ญ ั ญาการพนันหรือขันต่อนัน้ ฝ่ายทีช่ นะในการพนันหรือ
ขันต่อจะได้เพียงฝ่ายเดียว ส่วนฝ่ายที่แพ้จะต้องเสียหรือจ่ายเงินหรือทรัพย์สินโดยไม่ได้สิ่งตอบแทน
3. สัญญาเล่นแชร์เปียหวย สัญญาเล่นแชร์เปียหวยเป็นสัญญาไม่มีชื่อชนิดหนึ่ง เนื่องจากไม่มี
กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ แต่ตกอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติของกฎหมายในลักษณะนิติกรรมสัญญา
เช่นเดียวกับนิติกรรมสัญญาทั่วไป โดยสัญญาเล่นแชร์เปียหวยเป็นสัญญาที่นายวงแชร์รวบรวมเงินหรือ
ทรัพย์สินจากลูกวงแชร์ทั้งหมดที่เล่นแชร์และน�ำไปเป็นกองกลางและมอบให้กับตนเองในงวดแรกและมอบ
ให้กับที่ผู้ประมูลแชร์โดยให้ผลประโยชน์สูงสุดหรือโดยการจับสลากในงวดต่อๆ ไป และเวียนกันไปจนได้
รับกองกลางครบทุกคนที่เป็นสมาชิกวงแชร์ในแต่ละวง นายวงแชร์หรือเท้าแชร์ รวบรวมเงินจากลูกแชร์
คนละเท่าๆ กัน แล้วให้ลูกแชร์คนที่เปียแชร์ได้เอาไปใช้ก่อนก็เท่ากับลูกแชร์และเท้าแชร์เป็นเจ้าหนี้ (หรือ
ธ
ผูใ้ ห้กยู้ มื ) ของลูกแชร์ทปี่ ระมูลหรือเปียแชร์ได้ โดยนายวงแชร์กบั ลูกแชร์ตา่ งผลัดเปลีย่ นหมุนเวียนกันเป็น
เจ้าหนี้ลูกหนี้ไปจนครบจ�ำนวนผู้เล่นด้วยกัน
มส
ธ
โบรกเกอร์ และหลังจากนั้นจึงสามารถซื้อขายหุ้นได้โดยการส่งค�ำสั่งผ่านตัวแทน หรือส่งค�ำสั่งทาง
อินเทอร์เน็ต ผูล้ งทุนสามารถท�ำการซือ้ ขายหลักทรัพย์โดยผ่านระบบการซือ้ ขายของตลาดหลักทรัพย์ได้ 2
มส
วิธี ได้แก่ การซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายส่งการเสนอซื้อและเสนอขายด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเข้ามายังระบบ
การซือ้ ขายของตลาดหลักทรัพย์ โดยทีร่ ะบบคอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพย์จะท�ำการเรียงล�ำดับและจับคู่
ค�ำสั่งซื้อขายให้โดยอัตโนมัติ (Automatic Order Matching: AOM) หรือการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขาย
ได้ท�ำการเจรจาต่อรองเพื่อตกลงซื้อขายกันแล้วจึงบันทึกรายการซื้อขายนั้นเข้ามาในระบบการซื้อขาย
(Trade Report) โดยบริษทั สมาชิกสามารถประกาศโฆษณา การเสนอซือ้ หรือเสนอขายของตนผ่านระบบ
การซื้อขายได้ ในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ผู้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์อาจมีความเสี่ยงว่าจะได้กำ� ไร
หรือขาดทุนเพราะผูล้ งทุนอาจต้องการเก็งก�ำไร ซึง่ ในบางครัง้ มีกำ� ไรแต่ในบางครัง้ ก็ขาดทุน แต่กไ็ ม่เป็นการ
พนัน เนื่องจากผู้ซื้อขายหุ้นและนายหน้าต่างได้รับผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ ฝ่ายผู้ลงทุน
นั้นใช้เงินซื้อหุ้นไว้อันท�ำให้ตนได้รับหุ้น ซึ่งบุคคลดังกล่าวจะขายหรือไม่ก็ได้ โดยอาจไม่ขายหุ้นแต่เก็บหุ้น
ธ
ไว้และรอรับเงินปันผล ในฐานะผูถ้ อื หุน้ หรืออาจขายหุน้ เมือ่ ตนเห็นว่าหุน้ มีราคาสูงกว่าในขณะทีต่ นซือ้ ก็ได้
ถ้ายังมีราคาตํ่าหรือราคาไม่เป็นที่พอใจก็ไม่ขาย ส่วนนายหน้าก็ได้รับค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายหุ้น จึง
มส
ไม่ฝ่ายใดเป็นผู้แพ้หรือชนะจากการซื้อขายหุ้น
กิจกรรม 10.2.2
การพนันและขันต่อมีหลักเกณฑ์อันเป็นสาระส�ำคัญอย่างไรบ้าง
แนวตอบกิจกรรม 10.2.2
หลักเกณฑ์อันเป็นสาระส�ำคัญของการพนันและขันต่อมีดังนี้
1) เป็นสัญญาโดยต้องมีคู่สัญญาตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป
ม
2) คู่สัญญาแต่ละฝ่ายมีโอกาสได้และเสียในการพนันหรือขันต่อหรือการเสี่ยงโชคนั้น
3) มีการแพ้ชนะโดยการเสีย่ งโชคโดยอาศัยเหตุการณ์ในอนาคตทีไ่ ม่แน่นอนเป็นข้อแพ้ชนะ
4) สิ่งที่ได้เสียให้แก่กันนั้นเป็นเงินหรือทรัพย์สินโดยฝ่ายแพ้ต้องจ่ายเงินหรือทรัพย์สินให้
ฝ่ายที่ชนะตามข้อตกลง
สธ
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-89
เรื่องที่ 10.2.3
ผลของการพนันและขันต่อ
ธ
ในสัญญาทั่วไปนั้นเมื่อมีการแสดงเจตนา กล่าวคือ มีการท�ำค�ำเสนอและค�ำสนองถูกต้องตรงกันก็
เกิดสัญญาขึ้น เว้นแต่มีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับให้ต้องท�ำตามแบบ แต่ในสัญญาการพนันขันต่อนั้น
มส
แม้มีเจตนาหรือค�ำเสนอและค�ำสนองถูกต้องตรงกันถึงแม้ไม่มีการส่งมอบทรัพย์กันก็ถือว่าสมบูรณ์ท�ำให้มี
สัญญาเกิดขึน้ แล้ว แต่กห็ าท�ำให้เกิดหนีบ้ งั คับต่อกันไม่ กล่าวคือ หากคูส่ ญ
ั ญาฝ่ายทีแ่ พ้ในการพนันไม่ยอม
ช�ำระหนี้ คู่สัญญาฝ่ายที่ชนะในการพนันก็ไม่สามารถบังคับให้ฝ่ายที่แพ้ช�ำระหนี้ได้และสิ่งที่ให้แก่กันแทน
การช�ำระหนี้การพนันและขันต่อนั้นทวงคืนไม่ได้ หมายความว่าเมื่อมีการเล่นพนันขันต่อแล้วฝ่ายผู้แพ้ได้
ช�ำระหนี้ไม่ว่าเงิน ทรัพย์สิน ที่ดิน ทอง แหวนเพชร ก็เรียกคืนไม่ได้ และฝ่ายผู้ชนะไม่ต้องคืน ดังนั้น
บทบัญญัติเรื่องลาภมิควรได้เอามาใช้ไม่ได้กับการช�ำระหนี้จากการเล่นการพนันขันต่อ ดังนี้
1. การพนันหรือขันต่อนั้นไม่ก่อให้เกิดหนี้
แม้สญั ญาการพนันหรือขันต่อจะสามารถตกลงกันด้วยวาจาและมีสญ ั ญาเกิดขึน้ แต่ถา้ คูส่ ญ
ั ญาฝ่าย
ธ
ที่แพ้ไม่ยอมช�ำระหนี้คู่สัญญาฝ่ายที่ชนะก็ไม่สามารถบังคับให้ฝ่ายที่แพ้ช�ำระหนี้โดยมอบเงินหรือทรัพย์สิน
ที่ตกลงกันไว้ได้ ซึ่งแตกต่างจากสัญญาอื่นๆ โดยทั่วไปที่การท�ำสัญญาหากสมบูรณ์ตามกฎหมายย่อมก่อ
ให้เกิดผลบังคับที่ท�ำให้คู่สัญญาต้องช�ำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ และหากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอม
มส
อุทาหรณ์
ม
ข้อบัญญัตทิ กี่ ล่าวนี้ ท่านให้ใช้ตลอดถึงข้อตกลงเป็นมูลหนีอ้ ย่างหนึง่ อย่างใดอันฝ่ายข้างเสียพนัน
ขันต่อ หากท�ำให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อจะใช้หนี้เงินพนันหรือขันต่อนั้นด้วย”
อุทาหรณ์
หากตามตัวอย่างข้างต้น หนึง่ และสองตกลงกันท�ำหลักฐานเพือ่ ช�ำระหนีก้ ารพนัน โดย หนึง่ มอบ
หนังสือกูย้ มื เงินระบุวา่ ตนกูเ้ งิน สอง ไป จ�ำนวน 1,000,000 บาท และจะจ่ายเงินให้ภายหลังจากเป็นหนีก้ นั
เป็นเวลาหนึ่งเดือน ดังนี้ หาก หนึ่ง ไม่ยอมช�ำระเงิน 1,000,000 บาท ให้สอง สองก็ไม่สามารถเรียกร้อง
หรือบังคับให้ หนึ่ง ช�ำระเงินจ�ำนวนดังกล่าวให้กับตนได้
ธ
การที่การพนันขันต่อไม่ก่อให้เกิดหนี้นั้น เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามอย่างชัดเจนแต่ในเรื่อง
นี้มีความเห็นจากค�ำพิพากษาศาลฎีกา ระบุถึงสาเหตุที่ท�ำให้ไม่เป็นหนี้ที่ผูกพันกันสองความเห็นซึ่ง
มส
แตกต่างกัน ดังนี้
ความเห็นแรกนั้นเห็นว่าหนี้ที่เกิดจากการพนันหรือขันต่อนั้นต้องห้ามตามกฎหมายและเป็นการ
ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นโมฆะ โดยมีค�ำพิพากษาศาลฎีกาบางฉบับพิพากษาว่า
สัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะทัง้ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาก่อนและหลังจากใช้ ปพพ. ซึง่ เป็นกฎหมายฉบับปัจจุบนั
อุทาหรณ์
ฎ. 265/2470 หนี้สินอันเกิดจากการพนันผิดด้วยกฎหมายซึ่งท่านบัญญัติไว้ใน พรบ. อากรการ
พนัน ร.ศ. 111 มาตรา 10 เป็นสัญญาที่เป็นโมฆะ
ฎ. 1666/2494 ท�ำหนังสือกู้ให้ไว้แทนเงินที่แพ้พนันแก่เขานั้น ปวพ. มาตรา 855 บัญญัติไว้ว่า
หนังสือกู้เช่นนี้ ย่อมไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นหนังสือกู้นี้จึงไม่มีผลเป็นส�ำคัญแก่การก่อตั้งกรรมสิทธิ์หรือหนี้สิน
ธ
ตามกฎหมายอย่างไรเลย จึงขาดลักษณะการเป็นหนังสือส�ำคัญตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 6 (20)
ฉะนั้นถ้าหลอกลวงให้เขาส่งหนังสือเช่นว่านี้มาให้ตนแล้ว ฉีกท�ำลายเสีย ก็ยังไม่เป็นความผิดฐานท�ำลาย
มส
ส่วนความเห็นฝ่ายที่สองเห็นว่าหนี้ที่เกิดจากการพนันนั้นเพียงแต่ไม่ก่อให้เกิดหนี้ไม่มีผลผูกพัน
แต่ไม่เป็นโมฆะ แต่หากให้สงิ่ ต่างๆ กันไปแล้วย่อมไม่สามารถเรียกคืนได้ เนือ่ งจาก มาตรา 854 วรรคหนึ่ง
บัญญัติไว้ว่า “สิ่งที่ได้ให้กันไปในการพนัน หรือขันต่อก็จะทวงคืนไม่ได้” เพราะไม่มีหนี้ต่อกัน
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 1538/2518 ค�ำฟ้องว่ากรรมการตัดสินแข่งม้าพนันของสโมสรประมาทเลินเล่อตัดสินม้าชนะผิด
ท�ำให้ผู้แทงม้าพนันขาดเงินรางวัล เป็นเรื่องสัญญาซึ่งไม่เกิดหนี้ตาม มาตรา 853 ไม่ใช่ละเมิด
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-91
ธ
รับไว้ในฐานตัวแทนหรือไม่ โจทก์จะทวงเงินเดิมพันจากการพนันดังกล่าวหาได้ไม่ โจทก์จงึ ไม่มอี ำ� นาจฟ้อง
ฎ. 3322-3323/2525 จ�ำเลยออกเช็คเพื่อช�ำระหนี้อันเกิดจากการพนันซึ่งตามกฎหมายหาเป็นมูล
มส
หนีไ้ ม่ ดังนัน้ แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระท�ำของจ�ำเลยก็ไม่เป็นความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยความ
ผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
ฎ. 1496/2526 ป. กับ ย. สามีจ�ำเลยเข้าหุ้นเล่นการพนัน เมื่อคิดบัญชี ย. ต้องช�ำระหนี้การพนัน
ให้ ป. แต่ไม่มีเงินและเช็คจะออกช�ำระให้ ป. ให้จ�ำเลยช�ำระแทน โดยจัดการให้จ�ำเลยเปิดบัญชีกระแสราย
วันทีธ่ นาคารแล้วจ�ำเลยออกเช็คช�ำระหนีอ้ นั เกิดจากการพนันให้ ป. ซึง่ ตามกฎหมายหามีมลู หนีไ้ ม่ แม้โจทก์
จะรับเช็คดังกล่าวไว้ด้วยประการใดก็ตาม เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จ�ำเลยก็ไม่มีความผิด
ตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ
ฎ. 272/2527 จ�ำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อมอบให้แก่ พ. แต่เป็นเช็คที่มีมูลหนี้อันเกิดจาก
การเล่นการพนัน ซึ่งโจทก์ทราบอยู่แล้ว จ�ำเลยย่อมไม่มีความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจาก
ธ
การใช้เช็ค
ฎ. 2493/2527 จ�ำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่ผมู้ ชี อื่ เพือ่ ช�ำระหนีอ้ นั เกิดจากการพนันซึง่ ตามกฎหมาย
มส
ธ
กันอันเกี่ยวกับการนั้นจึงไม่สมบูรณ์ แม้จะท�ำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้ต่อกันด้วย ก็ไม่อาจฟ้องร้อง
บังคับกันได้ เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิขอรับช�ำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นได้ ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ
มาตรา 94 (1)
มส
ฎ. 3213/2538 โจทก์ฟ้องขอให้จ�ำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายให้รับผิดใช้เงินตามเช็คที่จ�ำเลยน�ำมาแลก
เงินสดไปจากโจทก์ จ�ำเลยให้การว่าจ�ำเลยไม่เคยออกเช็คให้โจทก์ จ�ำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่ ส. เพื่อช�ำระหนี้
การพนันโดย ส. สมคบกับ ถ. น้องของโจทก์ฉ้อฉลการเล่นการพนันกับจ�ำเลย และ ส. กับ ถ. สมคบกับ
โจทก์น�ำเช็คทั้งสามฉบับมาฟ้องจ�ำเลยในคดีนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะน�ำเอาเช็คทั้งสามฉบับอันเกิดจากการ
พนันมาฟ้องจ�ำเลยได้ เพราะเป็นการออกเช็คที่มิได้เกิดจากหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นค�ำให้การที่แสดง
โดยชัดแจ้งว่าจ�ำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ รวมทัง้ เหตุแห่งการนัน้ ตาม ปวพ. มาตรา 177 วรรคสองแล้ว
และเป็นค�ำให้การทีแ่ สดงให้เห็นว่า โจทก์น�ำเช็คมาฟ้องจ�ำเลยโดยคบคิดกันฉ้อฉล ตาม ปพพ. มาตรา 916
คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องน�ำสืบพยานกันต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีค�ำสั่งงดสืบพยานมานั้นจึงไม่ชอบ
ธ
ฎ. 1791/2550 จ�ำเลยสัง่ จ่ายเช็คให้แก่โจทก์เพือ่ ช�ำระหนีก้ ารพนันสลากกินรวบ จึงไม่กอ่ ให้เกิดหนี้
อันจะเรียกร้องกันได้ ตาม ปพพ. มาตรา 853, 854 จ�ำเลยไม่ต้องรับผิดช�ำระเงินตามเช็คแก่โจทก์
มส
ธ
ร้อง 5 ปี ตาม ปพพ. มาตรา 165 (5) และ 165 วรรคสุดท้าย
ฎ. 1026/2511 จ�ำเลยเป็นนายสนามชนโคได้รับมอบเงินที่ผู้เสียหายวางเดิมพันกันไว้เพื่อมอบให้
มส
แก่ฝ่ายชนะ เมื่อโคชนะแล้วผู้เสียหายไปขอรับเงินจากจ�ำเลย แต่จ�ำเลยไม่จ่ายให้โดยอ้างว่าไม่มีเงิน และ
จะท�ำสัญญาให้แล้วก็ไม่ท�ำ เช่นนี้ถือว่าเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น หาเป็นความผิดทางอาญาไม่
ฎ. 1538/2518 ค�ำฟ้องว่ากรรมการตัดสินแข่งม้าพนันของสโมสรประมาทเลินเล่อตัดสินม้าชนะผิด
ท�ำให้ผู้แทงม้าพนันขาดเงินรางวัล เป็นเรื่องสัญญาซึ่งไม่เกิดหนี้ตามมาตรา 853 ไม่ใช่ละเมิด ศาลไม่รับ
ฟ้อง
ฎ. 417/2520 จ�ำเลยท�ำสัญญาซือ้ สลากกินแบ่งรัฐบาลกับผูว้ า่ ราชการจังหวัดซึง่ กระท�ำในนามของ
จังหวัด ถือได้วา่ จ�ำเลยได้ทำ� สัญญากับจังหวัด ดังนัน้ จังหวัดโดยผูว้ า่ ราชการจังหวัดจึงมีอำ� นาจฟ้องจ�ำเลย
และในการฟ้องคดีต้องกระท�ำภายในอายุความในเรื่องนั้น ซึ่ง การที่ ปพพ. มาตรา 165 (5) ที่ก�ำหนดให้
มีอายุความ 2 ปี นั้น ได้บัญญัติเฉพาะบุคคลจ�ำพวกที่ขายตั๋วสลากกินแบ่งเรียกเอาเงินค่าที่ได้ขายตั๋วแต่
ธ
ถ้าเป็นการที่ได้ส่งมอบตั๋วเพียงส�ำหรับให้ขายต่อไปแล้วก็เข้าข้อยกเว้น ไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี แต่
มีอายุความ 5 ปี ตามวรรคสุดท้าย โจทก์ส่งมอบสลากกินแบ่งให้จำ� เลยไปขายอีกต่อหนึ่ง กรณีจึงเข้าข้อ
มส
ผู้เล่นไม่ต้องเล่นพนันเอาทรัพย์สินกันแต่อย่างใด
ม
และรับแลกเงินจากผู้เล่นที่ใช้หยอดในตู้ทีวีเกมของกลางก่อนลงมือเล่น ถือได้ว่า จ�ำเลยเป็นผู้จัดให้มีการ
เล่นเพือ่ น�ำมาซึง่ ผลประโยชน์แห่งตน เมือ่ จ�ำเลยไม่ได้รบั อนุญาตจากเจ้าพนักงานจ�ำเลยย่อมมีความผิดโดย
ฎ. 3409/2529 การที่จ�ำเลยก�ำหนดเงื่อนไขไว้ในสลากกินแบ่งทุกฉบับว่าเงินรางวัลจะจ่ายให้แก่
ผู้ถือสลากฉบับที่ถูกรางวัลน�ำมาขอรับนั้น เงื่อนไขดังกล่าวแม้จ�ำเลยจะก�ำหนดขึ้นโดยอาศัยอ�ำนาจที่มีอยู่
ตาม พรบ. ส�ำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 ก็ตาม แต่เป็นเงือ่ นไขทีก่ ำ� หนดขึน้ เพียงเพือ่ ให้จำ� เลย
มีหลักฐานในการที่จะจ่ายเงินให้แก่ผู้ถูกรางวัลเท่านั้น ไม่ใช่ข้อก�ำหนดที่จะไม่จ่ายเงินรางวัลแก่ผู้ถูกรางวัล
สธ
ที่สลากหายหรือถูกไฟไหม้ และเห็นว่าการที่จำ� เลยจัดให้มีการออกสลากกินแบ่งก็โดยมีวัตถุประสงค์อย่าง
หนึ่งว่าจะแบ่งเงินที่ได้จากการขายสลากให้แก่ผู้ถูกสลากตามจ� ำนวนที่ก�ำหนดไว้จ�ำนวนเงินที่ก�ำหนดนี้
ม
10-94 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
เงินให้ และค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับตามระเบียบของการสื่อสารแห่งประเทศไทย เนื่องจากพัสดุไปรษณีย์
สูญหาย เป็นคนละอย่างกับสิทธิเรียกร้องรับเงินรางวัลจากสลากที่ถูกรางวัลแล้วสูญหายไป
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 1400/2492 โจทก์ฟอ้ งหาว่าจ�ำเลยเล่นการพนัน โดยไม่ได้รบั อนุญาต แต่ทางพิจารณาได้ความ
ว่า การเล่นการพนันรายนีไ้ ด้รบั อนุญาตแล้ว หากแต่เล่นก่อนเวลาทีก่ ำ� หนดไว้ในใบอนุญาต ซึง่ เป็นข้อเท็จ
จริงที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษจะลงโทษจ�ำเลยไม่ได้
2. สิ่งใดที่ให้ไปแล้วในการพนันขันต่อจะมีการเรียกคืนมิได้
แม้วา่ การพนันและขันต่อจะไม่กอ่ ให้เกิดหนีท้ จี่ ะเรียกร้องต่อกัน แต่ถา้ ได้มกี ารช�ำระหนีต้ อ่ กันด้วย
สิ่งใดๆ แล้วจะมีการเรียกร้องสิ่งที่ให้กันไปแล้วกลับคืนมิได้ ดังที่บัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 853
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 832/2512 ในการเล่นพนันชนไก่ คู่พนันได้วางเงินเดิมพันล่วงหน้าไว้กับนายบ่อนก่อนรู้ผลแพ้
ชนะ ต่อมานายบ่อนได้จ่ายเงินให้เจ้าของไก่ซึ่งชนะไป เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ชำ� ระหรือให้กันในการเล่น
มส
ธ
กิจกรรม 10.2.3
มส
การพนันและขันต่อมีผลในทางกฎหมายอย่างไรบ้าง
แนวตอบกิจกรรม 10.2.3
ผลของการพนันและขันต่อมีดังนี้
1) ไม่กอ่ ให้เกิดหนีต้ ามกฎหมาย จะมีการฟ้องหรือบังคับให้ชำ� ระหนีท้ เี่ กิดจากสัญญาการพนันและ
ขันต่อมิได้ ตาม ปพพ. มาตรา 853
2) ไม่สามารถเรียกคืนทรัพย์สินที่มอบให้ได้ กล่าวคือ แม้สัญญาการพนันและขันต่อจะไม่ก่อให้
เกิดหนี้ตามกฎหมาย แต่คู่สัญญาที่ช�ำระเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กันจากการพนันและขันต่อนั้นไม่สามารถ
เรียกสิ่งเหล่านั้นที่มอบไปแล้วคืนได้ ตาม ปพพ. มาตรา 853
ธ
มส
เรื่องที่ 10.2.4
การออกสลากกินแบ่งและสลากกินรวบ
ธ
กล่าวคือ การซื้อขายและการออกสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบนั้นหากรัฐบาลได้ให้อ�ำนาจไว้หรือได้ให้
สัตยาบันในการกระท�ำดังกล่าวย่อมใช้บงั คับได้และมีหนีท้ ผี่ กู พันกันได้ ตามทีบ่ ญ
ั ญัตไิ ว้ใน มาตรา 854 ว่า
มส
“อันการออกสลากกินแบ่งก็ดี ออกสลากกินรวบก็ดี เป็นสัญญาอันจะผูกพันต่อเมื่อรัฐบาลได้ให้
อ�ำนาจหรือให้สัตยาบันแก่การนั้นเฉพาะราย นอกนั้นท่านให้บังคับตามบทบัญญัติมาตรา 853”
1. ความหมายของค�ำว่า สลากกินแบ่งและสลากกินรวบ
สลากกินแบ่ง คือ สลากที่จัดให้มีขึ้นเพื่อขายให้แก่ผู้เล่นเป็นการเสี่ยงโชค โดยมีการให้รางวัลที่
แบ่งเป็นหลายรางวัลแก่ผู้เล่นซึ่งถือสลากเลขหมายรางวัลที่ออกตามวิธีการที่ก�ำหนด21
สลากกินรวบ คือ สลากชนิดที่จําหน่ายแก่ผู้ถือเพื่อรับสิ่งของเป็นรางวัลในการเสี่ยงโชคโดย
ผู้จําหน่ายรวบเงินค่าสลากไว้ทั้งหมด22
ในทางปฏิบตั สิ ลากกินแบ่งมักออกโดยทางการเช่น ส�ำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นัน้ เป็นการเล่น
ธ
เสี่ยงโชคที่ผู้ออกสลากขายสลากให้แก่ผู้ซื้อที่มักเรียกกันว่าผู้เล่นและรวมเงินที่มีผู้ซื้อสลากเข้ากันเป็นก้อน
และเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ตลอดจนภาษีแล้วจึงเอาเงินที่เหลือมาจัดเป็นรางวัลมอบให้แก่ผู้ซื้อที่ถูกรางวัล
มส
ธ
รายการเหล่านั้น การออกรางวัลจะใช้ผลจากเลขรางวัลของสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือสลากอื่นๆ เช่น สลาก
ออมสิน มาเปรียบเทียบ แต่เงินรางวัลไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับอัตราของเจ้ามือโดยปกติจะเป็นสลากกินรวบ
มส
และหวยใต้ดินนี้เป็นการเล่นที่ผิดกฎหมายเพราะไม่ได้ขออนุญาตการออกสลากต่อรัฐบาล
2. ผลของการออกสลากกินแบ่งและสลากกินรวบ
ทั้งสลากกินแบ่งและสลากกินรวบนี้ เป็นสัญญาระหว่างผู้จัดให้มีการออกสลากกินแบ่งหรือสลาก
กินรวบ กับผูเ้ ข้าเล่นนัน้ จะผูกพันฟ้องร้องบังคับกันได้ ก็ตอ่ เมือ่ รัฐบาลให้อำ� นาจหรือให้สตั ยาบันแก่การออก
สลากนัน้ เฉพาะรายไป เมือ่ ผูจ้ ดั ให้มกี ารเล่นรายใดได้รบั อ�ำนาจหรือสัตยาบันจากรัฐบาลแล้ว สัญญาก็ผกู พัน
กันและฟ้องบังคับกันได้ ไม่อยู่ในบังคับของ ปพพ. มาตรา 853 แต่ถ้ารายใดรัฐบาลไม่ให้อ�ำนาจหรือ
สัตยาบัน การเล่นย่อมไม่ก่อให้เกิดหนี้ ตาม ปพพ. มาตรา 853 เนื่องจากโดยสภาพของสลากทั้งสอง
ประเภทนี้เป็นการพนัน
ธ
การอนุญาตให้ออกสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบนี้ รัฐบาลให้อ�ำนาจออกได้โดยไม่ต้องมีการขอ
อนุญาต ตาม พรบ. การพนันฯ โดยผู้ที่ขออาจจะเป็นหน่วยงานของรัฐบาลหรือเอกชน เมื่อคณะรัฐมนตรี
มส
อนุมัติให้ออกสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบตามค�ำขอแล้ว
ส่วนกรณีทรี่ ฐั บาลได้ให้สตั ยาบันนัน้ ได้แก่ การออกสลากกินแบ่งของรัฐบาลซึง่ เป็นการจัดขึน้ โดย
ส�ำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลของกระทรวงการคลัง กรณีเช่นนีไ้ ม่ตอ้ งมีการขออนุญาตโดยทีก่ ระทรวงการ
คลังเสนอเหตุผลไปยังคณะรัฐมนตรีเพือ่ ขอออกสลากกินแบ่ง เมือ่ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมตั ติ ามนัน้
กรณีเช่นนี้ถือว่ารัฐบาลได้ให้สัตยาบัน
อุทาหรณ์
สลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบที่มิได้รับอนุญาตจากทางการหรือไม่ได้รับการสัตยาบันเป็นสิ่งที่
ผิดกฎหมายและไม่เป็นหนี้ที่ผูกพันบังคับกันได้
อุทาหรณ์
ฎ. 1017/2494 เล่นสลากกินรวบพนันเอาทรัพย์สินกัน โดยถือเอาเลขท้ายสองตัวของเลขสลาก
สธ
ฉบับทีไ่ ด้รบั รางวัลทีห่ นึง่ ของสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดใดงวดหนึง่ นัน้ เป็นแต่อาศัยเลขสลากกินแบ่งทีร่ ฐั บาล
ออกเป็นเครื่องมือแทนการออกสลากกินรวบ ซึ่งเป็นการพนันที่ตนจัดให้มีขึ้น หาใช่เป็นการเล่นสลากกิน
แบ่งของรัฐบาลไม่ ฉะนั้นถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องมีความผิดตาม พรบ. การพนันฯ
ม
10-98 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
พรบ. การพนันฯ
ฎ. 304/2495 จ�ำเลยขายสลากกินรวบไปแล้วโดยให้ถอื เอาเลขท้ายสามตัวของรางวัลที่ 1 แห่งสลาก
มส
กินแบ่งของรัฐบาลเป็นการแพ้ชนะสลากกินแบ่งของรัฐบาลนั้นจะออกภายหลัง แต่จ�ำเลยถูกจับเสียก่อน
ดังนี้ จ�ำเลยมีความผิดฐานเล่นการพนันสลากกินรวบพนันเอาทรัพย์สินกันแล้ว
ฎ. 505/2498 เมื่อได้ความว่าจ�ำเลยเล่นการพนันสลากกินรวบเพื่อเอาทรัพย์สินกันแม้ยังไม่มีการ
ได้เสียกันกล่าวคือสลากกินแบ่งของรัฐบาลที่จะถือเป็นหลักในการแพ้ชนะจะยังไม่ออกดังนี้ก็เป็นผิดแล้ว
ฎ. 753/2498 การทีจ่ ำ� เลยจัดให้มกี ารแถมบัตรสมนาคุณแก่ผทู้ ซี่ อื้ ยาของจ�ำเลยกล่าวคือ แจกบัตร
ดังกล่าวแก่ผู้ซื้อยาธาตุห้าของจ�ำเลย 1 บัตร ต่อยาธาตุ 1 ขวด หากเลขสลากในบัตรนั้นตรงกับเลขสลาก
ลอตเตอรี่ที่ออกผู้ซื้อมีสิทธิได้รับเงิน 1 ใน 20 ส่วนของรางวัลลอตเตอรี่นั้นๆ ดังนี้ ถือว่าเป็นการแถมพก
หรือรางวัลด้วยการเสีย่ งโชคเพราะในบัตรมีหมายเลขสลากตรงกับเลขสลากลอตเตอรีข่ องรัฐบาล ซึง่ อาจจะ
ถูกรางวัลได้รับเงินตามที่ปรากฏในบัตรนั้นได้ ท�ำให้ผู้ซื้อยาจากจ�ำเลยมีหวังในการเสี่ยงโชค จ�ำเลยจะขาย
ธ
ยานัน้ โดยราคาปกติ ในท้องตลาดหรือไม่ๆ ส�ำคัญ ประกอบกับการกระท�ำของจ�ำเลยเป็นการประกอบกิจการ
ค้าหรืออาชีพ ดังนี้ เมื่อจ�ำเลยไม่รับรับอนุญาตก็มีความผิด ตาม พ.ร.บ.การพนัน
มส
ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจ�ำเลยนั้นชอบแล้ว
กิจกรรม 10.2.4
ม
เป็นเจ้ามือรายใหญ่ตามสมุดจดสลากกินรวบของกลางปรากฏว่ามีการเล่นการพนันกันถึงหลายแสนบาท ที่
การออกสลากกินแบ่งและสลากกินรวบการออกสลากกินแบ่งและสลากกินรวบมีผลตามกฎหมาย
อย่างไรบ้าง
สธ
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-99
แนวตอบกิจกรรม 10.2.4
ผลของการออกสลากกินแบ่งและสลากกินรวบมีดังนี้
1. ตามปกติไม่กอ่ ให้เกิดหนีต้ ามกฎหมาย จะมีการฟ้องหรือบังคับให้ชำ� ระหนีม้ ไิ ด้และไม่สามารถ
เรียกคืนทรัพย์สินที่มอบให้ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 853 เนื่องจากเป็นการพนัน
ธ
2. แต่การออกสลากกินแบ่งและสลากกินรวบรายใดได้รบั อ�ำนาจหรือสัตยาบันจากรัฐบาลแล้ว การ
ออกและสิ่งที่เกี่ยวข้องก็ผูกพันกันและฟ้องบังคับกันได้ ตาม ปพพ. มาตรา 854
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
10-100 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
บรรณานุกรม
ธ
จิ๊ด เศรษฐบุตร. (2493). ค�ำอธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ประชุมกฎหมายประจําศก เล่ม 4 วันอังคาร เดือนหก ขึ้น 2 คํ่า ร.ศ. 33 (พ.ศ. 2357).
มส
ประชุมกฎหมายประจําศก เล่ม 11 วันหนึ่ง เดือนสิบเอ็ด แรม 1 คํ่า ร.ศ. 103 (พ.ศ. 2431).
ประชุมกฎหมายประจําศก เล่ม 13 วันที่ 1 เมษายน ร.ศ. 105 (พ.ศ. 2433).
ประชุมกฎหมายประจําศก เล่ม 18 วันที่ 28 พฤษภาคม ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2449).
มาโนช สุทธิวาทนฤพุฒิ. (2518). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย ยืม ฝากทรัพย์ เก็บของใน
คลังสินค้า ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง.
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52/-/ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478.
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. (2546). กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์ จ�ำกัด.
สรพล สุขทรรศนีย์. (2547). ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรียงมาตราว่าด้วย ประนีประนอมยอม
ความ การพนันและขันต่อ บัญชีเดินสะพัด ประกันภัย ลักษณะ 18. กรุงเทพมหานคร: กองทุน
ธ
ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์.
ส�ำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา บันทึก เรื่อง หารือปัญหาข้อกฎหมายว่าด้วยการพนันเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์
มส
bling_history.htm.
ม
A History of Gambling-Craps Dice Control. Retrieved from www.crapsdicecontrol.com/gam-
Albert Kocourek and John H. Wigmore (comp.). (1915). Sources of Ancient and Primitive Law.
Boston: Little Brown and Company.
Gambling: From Ancient Cultures Until Today | The History of Poker ... Retrieved from www.
thehistoryofgambling.com.
สธ
http://www.ruaiduailek.blogspot.com/2012/08/blog-post.html.
http://app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?whichLaw=cmd&year=2546&lawPath
=c2_0014_2546.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000052706.
ม
ประนีประนอมยอมความ การพนันและขันต่อ 10-101
http://www.krisdika.go.th/wps/portal/general/!ut/pc5/.
Protecting Confidentiality in Mediation”. (note) 98 (2) Harvard Law Review. (1984).
Simon Roberts. (1983). “Mediation in Family Disputes”. 46 (5) The Modern Law Review.
The History of Gambling-Gypsy King Software. Retrieved from www.gypsyware.com/gamblin-
gHistory.html.
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
มส
ธ
มส
สธ ธ
ม ม
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-1
หน่วยที่ 11
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย
ธ
อาจารย์จาตุรนต์ บุณยธนะ
มส
ธ
มส
ชื่อ
วุฒิ
อาจารย์จาตุรนต์ บุณยธนะ
น.บ. มหาวิทยาลัยรามคำ�แหง
ม
LL.M. Energy Law and Policy at CEPMLP, University of Dundee
ตำ�แหน่ง อาจารย์ประจำ�สาขาวิชานิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หน่วยที่ปรับปรุง
สธ
หน่วยที่ 11
แผนการสอนประจำ�หน่วย
ธ
หน่วยที่ 11 ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย
ตอนที่
แนวคิด
มส
11.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการประกันภัย
11.2 ความหมาย ลักษณะ และบุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัย
11.3 สาระส�ำคัญของสัญญาประกันภัย
1. ส ัญญาประกันภัยเกิดขึ้นเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคม ในการสร้าง
หลักประกันให้เกิดความมั่นคงแก่ชีวิตและครอบครัว เนื่องจากแบ่งเฉลี่ยความเสียหายที่อาจ
ธ
จะเกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันภัย
2. สัญญาประกันภัย ต้องอาศัยหลักเกณฑ์ทั่วไปของการก่อให้เกิดขึ้นแห่งสัญญา โดยคู่สัญญา
มส
ในสัญญาประกันภัยประกอบไปด้วยผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย นอกจากนี้สัญญา
ประกันภัยยังต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษซึ่งควบคุมกิจการประกันภัยด้วย
3. สัญญาประกันภัย เป็น สัญญาต่างตอบแทนที่มีลักษณะเป็นการเสี่ยงโชค ซึ่งต้องอาศัยความ
ซื่อสัตย์สุจริตของคู่สัญญาเป็นส�ำคัญและถูกควบคุมโดยรัฐ
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 11 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความเป็นมา วิวัฒนาการ และประโยชน์ของการประกันภัยได้
2. อธิบายลักษณะส�ำคัญ และบุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัยได้
ม
3. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัยได้
กิจกรรมระหว่างเรียน
สธ
1. ท�ำแบบประเมินตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 11
2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 11.1-11.3
3. ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-3
4. ฟังซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
7. ท�ำแบบประเมินผลตอนเองหลังเรียนหน่วยที่ 11
ธ
สื่อการสอน
1. เอกสารการสอน
2.
3.
4.
5.
มส
แบบฝึกปฏิบัติ
ซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
รายการสอนทางวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
การสอนเสริม (ถ้ามี)
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบประจ�ำภาคการศึกษา
ธ
มส
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ทำ�แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 11 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ม
สธ
ม
11-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
บทนำ�
การประกั นภัยเป็นวิธีการหนึ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาเพื่อจัดการกับความเสี่ยงภัยและอันตราย
ธ
ต่างๆ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สิน โดยผู้เอาประกันภัยกระจาย
ความเสี่ ยงด้วยการโอนความเสี่ยงภัยของของตนไปให้แก่ผู้รับประกันภัย อนึ่งการประกันภัยถือเป็น
เอกเทศสัญญาอย่างหนึง่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึง่ บัญญัตไิ ว้ในลักษณะ 20 ตัง้ แต่มาตรา
มส
861 ถึงมาตรา 897 โดยสามารถแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 ส่วน คือ 1) บทน�ำ 2) การประกันวินาศภัย และ
3) การประกันชีวิต โดยบทบัญญัติของกฎหมายในส่วนที่ 1 บทน�ำนั้น จะถูกน�ำมาใช้กับการประกัน
วินาศภัย และการประกันชีวิตด้วย นอกจากนี้การประกันภัยยังเกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับอื่นที่ส�ำคัญอีก
เช่น พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมปี พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติประกัน
ชีวิต พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551 เป็นต้น อีกทั้งภาครัฐยังได้จัดตั้งองค์กรขึ้นมาก�ำกับดูแล
กิจการเกี่ยวกับการประกันภัยด้วย ได้แก่ กรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในปัจจุบันคือ
คณะกรรมการก�ำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-5
ตอนที่ 11.1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการประกันภัย
โปรดอ่านหัวเรี่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 11.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไปนี้
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
11.1.1 ความเป็นมาและวิวัฒนาการของการประกันภัย
11.1.2 กฎเกณฑ์ทฤษฎีพื้นฐานและประโยชน์ของการประกันภัย
1. ก ารประกันภัยเกิดขึ้นเนื่องจากความจ�ำเป็นของพ่อค้าที่ต้องการหาหลักประกันส�ำหรับ
สินค้าและเงินทุนของตน และได้วิวัฒนาการตลอดมาเป็นล�ำดับจนถึงปัจจุบัน
2. กฎเกณฑ์และทฤษฎีทสี่ �ำคัญถูกน�ำมาใช้เพือ่ ประโยชน์ในการบริหารความเสีย่ งได้อย่าง
มีประสิท ธิภาพและพัฒนาการประกันภัย เนื่องจากการประกันภัยก่อให้เกิดประโยชน์
ต่อการพั ฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทัง้ ในทางส่วนรวมและในทางส่วนตัวของผูเ้ อาประกันภัย
ธ
ในการสร้ างความมั่นคงให้แก่ ชีวิต ครอบครัว ทรัพย์สิน ตลอดจนบรรดาธุรกิจ
ต่างๆ และยังเป็นการแบ่งเบาภาระทีร่ ฐั ในการช่วยเหลือและควบคุมธุรกิจการประกันภัย
มส
อีกด้วย
วัตถุประสงค์
เมื่อได้ศึกษาตอนที่ 11.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายถึงความเป็นมาและวิวัฒนาการของการประกันภัยได้
2. อธิบายถึงกฎเกณฑ์ทฤษฎีพื้นฐานและประโยชน์ของการประกันภัยได้
ม
สธ
ม
11-6 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 11.1.1
ความเป็นมาและวิวัฒนาการของการประกันภัย
ธ
ความไม่แน่นอนจากการเกิดภัยและอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินท�ำให้มนุษย์มีความหวาดกลัว
มนุษย์จึ งได้คิดวิธีการ หรือจัดหาวิธีการ เพื่อให้หลักประกันว่า เมื่อเกิดมีภัยขึ้นมาแล้วจะไม่เป็นเหตุให้
มส
หมดเนื้อหมดตัว หรือสูญสิ้นทุกอย่าง แนวคิดท�ำนองนี้ได้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ในสมัยโบราณเพื่อให้หลักประกัน
แก่ผู้ที่อยู่ในภาวะต้องเสี่ยงภัยว่าเขาจะได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย หรือได้รับสิ่งที่เขาต้องการ หากเกิด
เหตุการณ์ หรือเกิดมีภัยขึ้นตามที่ได้ตกลงกันไว้ โดยวิวัฒนาการของการประกันภัยสามารถจ�ำแนกออก
ได้ดังนี้
1. ความเป็นมาของการประกันภัย
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์การประกันภัยเกิดขึ้นเมื่อใด และเกิด ณ ที่ใดเป็นครั้งแรกไม่
สามารถระบุได้อย่างแน่นอน แต่เป็นทีย่ อมรับกันว่า หลักการประกันภัยนัน้ ได้เกิดมีขนึ้ ตัง้ แต่ในสมัยโบราณ
โดยยุคต่างๆ ต่อไปนี้มีความส�ำคัญต่อการพัฒนาการของการประกันภัยในปัจจุบัน
ธ
ในประเทศจีนในสมัยโบราณมีวิธีการในจัดการกับภัยและอันตรายโดยวิธีการต่างๆ เช่น กรณีที่
มีส�ำนักต่างๆ รับจ้างให้ความคุ้มกันการส่งของ หรือสินค้าจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง หรือกรณีที่
มีการขนส่ งสินค้าตามล�ำน�้ำ แทนที่เจ้าของสินค้าแต่ละรายจะบรรทุกสินค้าทั้งหมดในเรือล�ำเดียวเพื่อ
มส
1 Robert I Mehr and Emerson Cammauk Principles of Insurance 4th Ed. 1966 p. 883.
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-7
ธ
ที่ท�ำให้เกิดระบบการประกันภัยขึ้นโดยแท้จริงเพราะพวกนักธุรกิจเจ้าของกิจการต่างๆ จ�ำต้องอาศัยพวก
พ่อค้าเร่ และพวกพ่อค้าเร่ก็จ�ำต้องอาศัยพวกนักธุรกิจ จึงจ�ำเป็นจะต้องมีการประนีประนอมกัน โดยยังคง
มส
ใช้ระบบเก่าอยู่ต่ อ ไป คือ พวกพ่อค้าเร่ต้องมอบทรัพย์สิน บุตร และภรรยาไว้เป็นหลักประกัน แต่มีข้อ
เพิ่มเติมว่า ในกรณี ที่กองคาราวานถูกปล้นสดมภ์โดยปราศจากความผิดหรือความประมาทเลินเล่อของ
พ่อค้าเร่ พ่อค้าเร่ไม่ต้องรับภาระในหนี้สินเมื่อได้สาบานตนและให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการ
เดินทางหลังจากกลับมาถึงแล้ว
ลักษณะข้อตกลงเช่นนี้ได้ใช้กันแพร่หลายในสมัยนั้น ซึ่งกฎเกณฑ์ในเรื่องดังกล่าว ได้ถูกรวบรวม
อยู่ในกฎหมายฮัมมูราบี (Code of Hamurabi) ซึ่งเมื่อประมาณ 2250 B.C. วิธีการดังกล่าวได้กระจาย
แพร่หลายเข้าไปใช้ กั น ในฟินิเซีย (Phoenicia) น�ำไปใช้กับกิจการเดินเรือและกระจายแพร่หลายไปสู่
แหล่ง อื่นๆ
สัญญาบอตทอมรี (Bottomry) ของกรีก (Greek) ได้พัฒนามาจากแนวความคิดและวิธีการของ
ธ
พวกบาบิโลเนียน (Babylonian)2 ในกรณีที่เจ้าของเรือ ต้องการที่จะไปขนสินค้ามาจากต่างเมือง เขาก็
จะกู้เงินโดยใช้เรือเป็นประกัน เงื่อนไขของสัญญามีว่าถ้าเรือไม่กลับมาถึงท่าโดยปลอดภัย ผู้ให้กู้จะไม่
มส
การค้าขายในระยะเริ่มแรกของยุโรป ส่วนใหญ่อาศัยทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทางริมฝัง่ ด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นจุดรวมของยุโรป เอเชียและอาฟริกา มีการส่งสินค้า
ไปขายยังต่างเมืองซึ่งอยู่ห่างไกลออกไประบบการช�ำระเงินซึ่งเรียกว่า “maritime or sea loan”6 ได้
ใช้กันเพื่อวัตถุประสงค์หลายประการ เช่น เป็นค่าซื้อสินค้าระหว่างเมืองท่าต่างๆ ค่าขนส่งทางทะเล
เป็นต้น หลักประกันในการช�ำระเงิน ได้แก่ ตัวเรือ และสินค้า ถ้าสินค้าและเรือไปไม่ถึงเมืองท่าปลายทาง
ธ
โดยปลอดภัยความเสียหายที่เกิดขึ้นจะตกอยู่กับผู้ให้กู้หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าสินค้ามาถึงเมืองท่าโดย
ปลอดภัยก็เท่ากับผู้ให้กู้ได้รับการช�ำรหนี้ ถ้าสินค้ามาไม่ถึงผู้ให้กู้ก็จะไม่ได้รับการช�ำระหนี้7
มส
เรเนส (Reynes)8 ได้ยกตัวอย่างสัญญาโดยดีมอสเทนเนส (Demosthenes) ประมาณ 384
B.C. (ก่อนคริสต์ศกั ราช) ซึง่ ในสัญญาดังกล่าว ผูใ้ ห้กู้ 2 คนร่วมกันให้เงินกู้ 3,000 ดราชมัส (Drachmas)
เพื่อไปขนเหล่าไวน์ 3,000 ไห ซึ่งจะต้องไปรับมาจากเมืองเมนต์ (Mende) โดยเรือซึ่งมี 20 ฝีพายและ
เป็นเรือของบุคคลที่ 3 จะต้องน�ำเหล่าไวน์ไปส่งให้ที่เมืองเอเธนส์ พร้อมด้วยสินค้าซึ่งได้จากการขายเหล้า
ไวน์ ดอกเบี้ยของเงินกู้จะต้องจ่ายในอัตรา 225 ดราชมัส (Drachmas) ต่อ 1,000 แต่ถ้าเรือกลับจาก
ปอนตูส (Pontus) ล่าช้าจนกระทั่งดาวอาคตูรูส (Arcturus) ขึ้นแล้วการเดินทางจะมีอันตรายมากขึ้น
เพราะอาจจะมีพายุจัดในตอนนั้น อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มเป็น 300 ดราชมัส (Drachmas) ต่อ 1,000 ถ้า
สินค้าได้ถูกน�ำกลับมาอย่างปลอดภัย ผู้กู้ยืมจะจ่ายเงินคืนให้ผู้ให้กู้พร้อมเงินต้นและดอกเบี้ยภายใน 20
วันนับแต่วันมาถึง และเมื่อสินค้ามาถึงที่เอเธนส์แล้วผู้ให้กู้มีสิทธิยึดหน่วงสินค้านั้นไว้จนกว่าจะได้รับคืน
ธ
เงินกู้และดอกเบี้ย ถ้าผู้กู้ไม่ช�ำระเงินที่กู้ ให้ผู้ให้กู้มีสิทธิจ�ำหน่ายสินค้านั้นได้เพื่อช�ำระหนี้และถ้าเงินที่ขาย
สินค้าได้ไม่พอช�ำระหนี้ ผู้ให้กู้สามารถพิสูจน์และเรียกให้ผู้กู้ช�ำระหนี้จนครบได้ ในกรณีที่เกิดความเสีย
มส
ธ
ล�ำ ซึ่งวิธีนี้ชาวจีนก็ใช้เช่นเดียวกัน กล่าวคือแทนที่จะบรรทุกสินค้าในเรือล�ำเดียวกันเพื่อส่งไปขายก็แบ่ง
สินค้าของแต่ละคนใส่ล�ำเลียงลงไปในเรือหลายๆ ล�ำ ถ้ามีเรือบางล�ำล่มสินค้าที่เสียหายเพียงส่วนเดียวไม่
มส
สูญเสียไปทั้งหมด หลักการนี้เป็นหลักในการกระจายความเสี่ยงภัย ซึ่งเป็นหลักการส�ำคัญของสัญญา
ประกันภัย ในปัจจุบันการกระจายความเสี่ยงภัย ด�ำเนินการโดยใช้วิธีการเก็บเบี้ยประกันจากผู้เอาประกัน
หลายๆ รายเพื่อน�ำเงินที่เก็บได้มาจ่ายทดแทนให้แก่ผู้ได้รับภัยพิบัติ ซึ่งจะเก็บเป็นจ�ำนวนเท่าไรขึ้นอยู่
กับการค�ำนวณของผู้พิจารณารับประกันภัย (Underwriter) โดยอาศัยสถิติต่างๆ เป็นส�ำคัญ
หลังจากที่จักรวรรดิโรมันถูกท�ำลายลงยุโรปก็เข้าสู่ยุคมืด (Dark Age) การค้าขายต้องไปกันเอง
เป็นกองคาราวาน ระบบการธนาคารหรือเข้าหุ้นส่วนต่างๆ ได้หายไปไม่เหมือนดังเช่น ในสมัยโรมันที่
รุ่งเรือง จนกระทั่งศตวรรษที่ 13 ได้มีการปรับปรุงฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยมีการขยายการค้าการเดินเรือ
เช่นที่ เวนิส (Venice) เจนัว (Genoa) และฟลอเรนซ์ (Florence) เป็นต้น มีการเข้าหุ้นส่วนทั้งการค้า
ต่างๆ มีผ้าไหม และเครื่องเทศต่างๆ จากทางตะวันออกไปจ�ำหน่าย มีการจัดตั้งเป็นรูปนิติบุคคลต่างหาก
ธ
จากบุคคลธรรมดาขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะมีส�ำนักงานใหญ่ในเวนิสและมีสาขากระจายออกไปเช่นที่ บรูกส์
(Bruges)13 แอนทเวิฟ (Antwerp) หรือลอนดอน (London) เป็นต้น เพื่อเป็นตัวแทนในการจ�ำหน่าย
มส
12 Cato (Marcus Porcius) เกิดเมื่อ 234 B.C. ที่เมือง Tusculum, Italy เป็นรัฐบุรุษของโรมัน ได้เขียนหนังสือสำ�คัญ
สธ
ไว้หลายเล่มรวมทั้ง The First Latin History of Rome
13 เป็นชื่อภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษเรียกว่า Brugge เป็นเมืองหลวงของ West Flanders Province ทางตะวันตก
เฉียงเหนือของ Belgium เป็นเมืองท่าอยู่ริมทะเลเหนือ
14 Supra Note 6 p 10.
ม
11-10 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
(Pisa) พ่อค้าชาวเมืองฟลอเรนซ์ในศตวรรษที่ 15 ระหว่าง ค.ศ. 1453-1450 ได้บันทึกไว้ว่า เขาได้จ่าย
ค่าสินไหมทดแทนมากกว่าเบีย้ ประกันทีไ่ ด้รบั อัตราค่าเบีย้ ประกันภัยระหว่างเมืองเซาท์แธมป์ตนั (South-
รับประกันภัย
มส
ampton) ไปเมืองปอตร์ปิซาโน (Porto Pisano) อยู่ประมาณ 7 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของจ�ำนวนเงินที่
15 Ibid. p 12.
16 Ibid. p 13.
17 Ibid. p 13.
สธ
18 Ibid. p 20.
19 Lombards เป็นชนเชื้อชาติเยอรมันเผ่าหนึ่งซึ่งสามารถเอาชนะพวกโรมันและปกครองอิตาลีในระหว่าง
ค.ศ. 568
ถึง ค.ศ. 774 พวก Lombards ในระยะแรกมีอาณาจักรและมีกษัตริย์ของตนเอง ในปัจจุบันแม้ไม่มีอาณาจักรของ Lombards แต่
พวกนี้ได้ทิ้งความเจริญไว้หลายเรื่อง โดยเฉพาะทางด้าน ศิลปะ ภาษาและกฎหมาย
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-11
ธ
ซึ่งเป็นหลักฐานการบันทึกคดีของ Admiralty Court ส�ำหรับกรมธรรม์เท่าที่พบฉบับแรกท�ำเมื่อวันที่ 20
กันยายน ค.ศ. 1547 เป็นภาษา Italian มีข้อความอยู่ 14 บรรทัด21 ท�ำที่ London, Lombard Street
มส
ความส�ำคัญของ London ในเรือ่ งการรับประกันภัย ได้ปรากฏหลักฐานขึน้ เมือ่ วันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1565
ซึ่งปรากฏว่ามีผู้รับประกันภัยถึง 37 รายร่วมกันรับประกันค่าเสียหายของเรือ 2 ล�ำ ซึ่งผู้เอาประกันภัย
คือ Pieter de Moncheron กรมธรรม์ได้เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสจ�ำนวนเงินเอาประกัน 1,274 ปอนด์ 13
ซิลลิง 4 เพ็นนี
ในศตวรรษที่ 17 เป็นเรื่องที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไปของพวกพ่อค้าและนักธุรกิจใน London ที่ไป
พบปะกันตามร้านกาแฟ (Coffee House) ซึ่งท�ำให้ร้านกาแฟเป็นศูนย์กลางของข่าวสารต่างๆ มีการ
ตกลงการค้าและการเจรจาต่างๆ ตามร้านกาแฟ ในตอนปลายศตวรรษที่ 17 ตามร้านกาแฟจะมีประกาศ
ต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องการเดินเรือ การขายเรือสินค้า ร้านที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งคือร้านของ Edward Lloyd
ตั้งอยู่ที่ Tower Street เป็นสถานที่เหมาะส�ำหรับเรื่องการค้าขายทางทะเล เพราะอยู่ใกล้กับ Custom
ธ
House, Navy Office และ Trinity House ใน ค.ศ. 1691 Edward Lloyd ได้ย้ายจาก TowerStreet
มาอยู่ที่ Lombard Street ใกล้กับร้านกาแฟที่มีชื่ออื่นๆ เช่น Garraway’s, Jonathan’s Banker’s
มส
เท่าใดของมูลค่าทั้งหมดที่รับเสี่ยงภัย ตามธรรมเนียมผู้รับประกันภัยลงชื่อไว้ข้างใต้ข้อเสนอของผู้เอา
ประกันภัยนี้เองเป็นที่มาของค�ำว่า “Underwriter”22
2. วิวัฒนาการเกี่ยวกับการประกันชีวิต
ธ
การประกันชีวิตเริ่มต้นเมื่อใดนั้นยังไม่สามารถหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ในระยะแรกๆ ของประเทศ
กรีซ (Greece) มีพวกกลุม่ ศาสนาต่างๆ อยูห่ ลายกลุม่ แต่ละกลุม่ จะให้ความช่วยเหลือและคุม้ ครองสมาชิก
ในกลุ่มของตน นอกจากเรื่องของศาสนาแล้วสถาบันต่างๆ เหล่านี้จะมีการเก็บเงินจากสมาชิกเป็นราย
มส
เดือน โดยมีผลตอบแทนที่สมาชิกได้รับคือการประกันว่า จะได้รับการจัดการศพโดยถูกต้องตามประเพณี
ของแต่ละกลุ่มถ้าสมาชิกรายใดช�ำระเบี้ยที่จะต้องจ่ายรายเดือนไม่ครบก�ำหนดจะมีเบี้ยปรับ และถ้าเขา
ถึงแก่กรรมในขณะที่ผิดสัญญา พิธีการทางศาสนาของศพของเขาก็จะไม่มี และจากนั้นอย่างน้อยที่สุดมี
โบสถ์แห่งหนึ่งซึ่งจัดให้มีบริการให้เงินกู้ในกรณีที่สมาชิกต้องการจะขอกู้เงินภายใต้เงื่อนไขที่ก�ำหนดไว้
ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งในการกู้ยืมเงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิตนั่นเอง23
ชาวโรมันได้รับอิทธิพลทางอารยธรรมจากชาวกรีซทั้งในด้านศิลปะ วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา
รวมทัง้ เรือ่ งการท�ำพิธศี พทางศาสนาด้วย แต่ชาวโรมันได้เปลีย่ นวิธกี ารโดยไม่เคร่งครัดในเรือ่ งของศาสนา
แต่เปิดรับจากสาธารณชนทั่วไป มีการพัฒนาให้เกิดสมาคมเพื่อที่จะรับประกันภัยพวกทหาร ซึ่งไม่เพียง
แต่ให้ประโยชน์แก่สมาชิกเมื่อถึงแก่กรรมยังมีการจ่ายบ�ำนาญ (Pensions) ให้เมื่อชราภาพลง หรือ
ธ
ไม่สามารถท�ำงานได้ นอกจากนั้นสมาคมนี้ยังจ่ายเงินให้เป็นกรณีพิเศษในกรณีที่มีการเดินทาง เมื่อมี
การโยกย้ายสับเปลี่ยนหน้าที่ หรือได้รับแจ้งแต่งตั้งเลื่อนขั้นขึ้น
มส
3. วิวัฒนาการเกี่ยวกับการประกันอัคคีภัย
ม
ในครั้งนั้นประมาณ 2,000 ปอนด์ ค่าเบี้ยประกันภัย 80 ปอนด์ และระยะเวลาเอาประกันภัย 12 เดือน24
ธ
ประกันภัยจะไม่มีผลคุ้มครอง
เมื่อวันศุกร์ที่ 2 กันยายน ใน ค.ศ. 166625 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นที่กรุงลอนดอน โดยต้นเพลิง
มส
เกิดจากโรงอบขนมปังของพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ ไฟได้ไหม้อยู่เป็นเวลานานถึง 5 วัน เกือบจะท�ำลาย
กรุ ง ลอนดอนไปทั้งเมือง ชาวอังกฤษได้ตระหนักถึงภัยอันเกิดจากอัคคีภัยที่ผู้คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย
ทรัพย์สิน ถูกท�ำลายไปเป็นจ�ำนวนมาก คนที่เคยร�่ำรวยมหาศาลต้องหมดเนื้อหมดตัวไป จึงได้มีผู้คิดที่
จะรับประกันทางด้านวินาศภัยโดยเฉพาะขึ้น
ดร.นิโคลัส บาร์บอน (Dr. Nicolas Barbon)26 เปิดกิจการรับประกันอัคคีภัยใน ค.ศ. 1667 ซึ่ง
ประสบความส�ำเร็จเป็นอย่างมากใน ค.ศ. 1680 ได้จัดตั้งห้างหุ้นส่วนขึ้นจากความส�ำเร็จของ Dr. Barbon
ท�ำให้มีการจัดตั้งองค์การและบริษัทต่างๆ ขึ้นเพื่อรับประกันอัคคีภัย
ในปัจจุบันการประกันอัคคีภัยได้กลายเป็นสิ่งส�ำคัญอย่างหนึ่งในการประกอบธุรกิจหรือในชีวิต
ประจ�ำวันของคนโดยทั่วไป ทุกหนทุกแห่งที่เราไป และทุกอย่างที่เราท�ำมีความเสี่ยงอยู่ไม่มากก็น้อย
ธ
ธุรกิจประกันภัยได้ขยายออกไปกว้างเพื่อสนองความต้องการและความจ�ำเป็นของมนุษย์เรา ได้เกิดมีการ
ประกันภัยแบบใหม่ๆ มากขึ้นกว่าเดิมมาก
มส
4. ความเป็นมาของการประกันภัยในประเทศไทย ม
ประเทศไทยมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ปรากฏตามหลักฐานการ
ติดต่อค้าขายกับจีน และในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ได้มีการติดต่อกับชาวยุโรปและชาวญี่ปุ่น ตลอดถึงสมัย
กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังนั้นการที่มีการติดต่อค้าขายระหว่างประเทศที่ไกลออกไปอาจจะมีการท�ำ
ประกันภัย หรือใช้หลักการหรือวิธีการในการประกันภัยประกอบการค้าขายหรือขนส่ง
สธ
25 Ibid. p 888.
26 Ibid. p 889.
27 W.A. Dinfdele History of Accident Insurance in Great Britain Brentford 1954 p.1.
ม
11-14 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2472 ซึ่งในบรรพ 3 ที่ตรวจช�ำระใหม่นี้มีบทบัญญัติในลักษณะที่ 20 ว่าด้วย
ประกันภัยทั้งสิ้น 37 มาตรา ตั้งแต่มาตรา 861 ถึงมาตรา 597 และได้ใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบัน
มส
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นกฎหมายสารบัญญัติซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับ
สัญญาประกันภัย โดยกล่าวถึงสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาและหลักเกณฑ์ทั่วไปของสัญญาประเภทนี้
ต่อมาในปี พ.ศ. 2471 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึง
ความปลอดภัยหรือความผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. 2471 โดยมีเหตุผลในการประกาศใช้เพื่อควบคุม
กิจการค้าขายทั้งหลาย อันกระทบถึงความปลอดภัยหรือความผาสุกแห่งสาธารณชนและคุ้มครองรักษา
ผลประโยชน์ของประชาชน ซึง่ ในพระราชบัญญัตนิ ไี้ ด้รวมกิจการประกันภัยไว้ดว้ ย เนือ่ งจากกิจการประกันภัย
มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลเป็นจ�ำนวนมากไม่ว่าจะเป็นผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ ตลอดจนทายาท
ของผู้เอาประกันภัยและลักษณะของการประกันภัยนั้นเป็นการให้หลักประกันหรือความเชื่อถือของผู้รับ
ประกันภัยแก่ผู้เอาประกันภัยและครอบครัวของผู้เอาประกันภัยนั้นในอนาคต ดังนั้นความมั่นคงใน
ธ
การประกอบกิจการของผู้รับประกันภัยจึงเป็นเรื่องที่ส�ำคัญเพื่อที่จะสามารถปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ให้ไว้
กับผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ หรือครอบครัวของผู้เอาประกันนั้นตามที่ได้มีการตกลงไว้
มส
เป็นส�ำคัญ
1. เพื่อควบคุมการด�ำเนินกิจการของบริษัทประกันภัยให้มีความมั่นคง
ม
วัตถุประสงค์ในการออกพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับดังกล่าวสรุปได้เป็น 3 ประการ ดังนี้คือ
2. เพื่อให้การประกอบกิจการประกันภัยด�ำเนินไปโดยเล็งถึงผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย
3. เพื่อส่งเสริมกิจการประกันภัยให้เจริญก้าวหน้า
สธ
28 ไชยยศ เหมะรัชตะ กฎหมายว่าด้วยประกันภัย พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพมหานคร: สำ�นักพิมพ์นิติบรรณการ พ.ศ.
2534 น. 18.
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-15
ธ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต และการประกัน
วินาศภัย ซึ่งได้ยกเลิกพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.
มส
2510 และประกาศใช้พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.
2535 โดยมีเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวคือ “เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการประกัน
ชีวิต และการประกันวินาศภัย (พ.ศ. 2510) ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานมีบทบัญญัติหลายประการ
ไม่เหมาะสมกับกาลสมัยและไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่ก�ำลังขยายตัวใน
ปัจจุบันและในอนาคต ประกอบกับได้มีการเปลี่ยนฐานะของส�ำนักงานประกันภัยเป็นกรมการประกัน
ภัย ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยสมควรปรับปรุง
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการด�ำเนินการประกอบธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยให้มีความคล่องตัว
และสามารถอ�ำนวยประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัยเพิ่มขึ้น ตลอดจนควรก�ำหนดขอบเขตอ�ำเภอและหน้าที่
ของนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่เสียใหม่ เพื่อให้สามารถควบคุมและก�ำกับดูแลกิจการธุรกิจ
ธ
ประกันชีวิตและประกันวินาศภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
และต่อมาใน พ.ศ. 2551 ได้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และ
มส
กิจกรรม 11.1.1
จงอธิบายถึงความเป็นมาของการประกันชีวิต
แนวตอบกิจกรรม 11.1.1
ธ
การประกันชีวิตเริ่มต้นเมื่อใดนั้นยังไม่สามารถหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ในระยะแรกๆ ของกรีซ
(Greece) มีพวกกลุ่มศาสนาต่างๆ อยู่หลายกลุ่มแต่ละกลุ่มจะให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองสมาชิก
มส
ในกลุ่มของตน นอกจากเรื่องของศาสนาแล้วสถาบันต่างๆ เหล่านี้จะมีการเก็บเงินจากสมาชิกเป็น
รายเดือน โดยมีผลตอบแทนที่สมาชิกได้รับคือการประกันว่า จะได้รับการจัดการศพโดยถูกต้องตาม
ประเพณีของแต่ละกลุ่มถ้าสมาชิกรายใดช�ำระเบี้ยที่จะต้องจ่ายรายเดือนไม่ครบก�ำหนดจะมีเบี้ยปรับ และ
ถ้าเขาถึงแก่กรรมในขณะที่ผิดสัญญา พิธีการทางศาสนาของศพของเขาก็จะไม่มี และจากนั้นอย่างน้อย
ทีส่ ดุ มีโบสถ์แห่งหนึง่ ซึง่ จัดให้มบี ริการให้เงินกูใ้ นกรณีทสี่ มาชิกต้องการจะขอกูเ้ งินภายใต้เงือ่ นไขทีก่ �ำหนด
ไว้ ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งในการกู้ยืมเงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิตนั่นเอง
ชาวโรมันได้รับอิทธิพลทางอารยธรรมจากชาวกรีซทั้งในด้านศิลปะ วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา
รวมทัง้ เรือ่ งการท�ำพิธศี พทางศาสนาด้วย แต่ชาวโรมันได้เปลีย่ นวิธกี ารโดยไม่เคร่งครัดในเรือ่ งของศาสนา
แต่เปิดรับจากสาธารณชนทั่วไป มีการพัฒนาให้เกิดสมาคมเพื่อที่จะรับประกันภัยพวกทหาร ซึ่งไม่เพียง
แต่ให้ประโยชน์แก่สมาชิกเมื่อถึงแก่กรรมยังมีการจ่ายบ�ำนาญ (Pensions)ให้เมื่อชราภาพลง หรือ
ธ
ไม่สามารถท�ำงานได้ นอกจากนั้นสมาคมนี้ยังจ่ายเงินให้เป็นกรณีพิเศษในกรณีที่มีการเดินทาง เมื่อมีการ
โยกย้ายสับเปลี่ยนหน้าที่ หรือได้รับแจ้งแต่งตั้งเลื่อนขั้นขึ้น
มส
เรื่องที่ 11.1.2
กฎเกณฑ์ทฤษฎีพื้นฐานและประโยชน์ของการประกันภัย
ธ
การประกันภัยในปัจจุบันได้น�ำกฎเกณฑ์และทฤษฎีที่ส�ำคัญมาใช้เพื่อการบริหารความเสี่ยงได้
อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยกฎเกณฑ์ทฤษฎีที่ส�ำคัญได้แก่29
มส
1. ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Theory of Probability)
ทฤษฎีนี้เป็นการศึกษาเพื่อคาดคะเนถึงความเป็นไปได้ในการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆ ว่ามี
มากน้อยเพียงใด โดยอาศัยข้อมูลจากการเก็บสถิติและวิชาคณิตศาสตร์เพื่อท�ำนายว่าภัยแต่ละชนิดใน
ช่วงเวลาหนึ่งจะเกิดขึ้นกี่ครั้งมีขนาดและลักษณะเป็นอย่างไร สมมติว่าจากสถิติใน 1 ปี มีอัคคีภัยเกิดขึ้น
100 ราย จากจ�ำนวนบ้าน 100,000 หลัง ความอาจจะเป็นไปได้ที่บ้านจะเกิดอัคคีภัยใน 1 ปี ก็คือ บ้าน
ทุกๆ 1,000 หลัง จะเกิดไฟไหม้ 1 หลัง ยิ่งถ้าจ�ำนวนบ้านยิ่งมากขึ้น การคาดการณ์ก็ยิ่งใกล้ความเป็นจริง
มากขึ้น นอกจากนี้ผลลัพธ์จากการค�ำนวนดังกล่าวยังสามารถน�ำมาใช้ประกอบกับการพิจารณาของผู้รับ
ประกันภัยในการที่จะตกลงรับประกันภัยรายใด เนื่องจากผลลัพธ์ดังกล่าวสามารถบอกผู้รับประกันภัย
ธ
ว่าตนมีความเสีย่ งภัยมากเพียงใด หากผูร้ บั ประกันภัยมีความเสีย่ งภัยสูง อาจปฏิเสธไม่รบั ประกันภัย หรือ
หากความเสีย่ งภัยอยูใ่ นเกณฑ์ทผี่ รู้ บั ประกันภัยสามารถรับประกันภัยได้กส็ ามารถช่วยในการก�ำหนดอัตรา
เบี้ยประกันภัยได้อย่างเหมาะสม
มส
ธ
มีอัตราสูงท�ำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับภาระจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น ท�ำให้ผู้เอาประกันภัยเข้ามาท�ำ
ประกันภัยน้อย จึงส่งผลท�ำให้การด�ำเนินงานการประกันภัยไปได้ยาก ในทางตรงกันข้าม ถ้ากลุม่ ผูเ้ สีย่ งภัย
มีมาก ค่าเบี้ยประกันภัยก็จะถูกก�ำหนดให้มีอัตราต�่ำ ผู้เอาประกันภัยมีภาระในการจ่ายค่าเบี้ยประกันภัย
มส
น้อยลง จึงท�ำให้ผเู้ อาประกันภัยเข้ามาท�ำประกันภัยมากขึน้ และส่งผลให้การประกันภัยด�ำเนินการไปด้วยดี
เมื่อมีการกระท�ำประกันภัยกันอย่างมีเหตุผลและเป็นไปตามกฎเกณฑ์และทฤษฎีพื้นฐานที่ส�ำคัญ
แล้วจึงท�ำเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย นอกจากนี้การประกันภัยได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์
ขึ้นหลายประการดังนี้ คือ
1. เป็นหลักประกันความมั่นคงให้กับครอบครัว
การประกันชีวิตช่วยให้ครอบครัวของผู้เอาประกันมีเงินส�ำหรับใช้สอยในช่วงเวลาหนึ่ง ในกรณีที่
บุคคลซึ่งเป็นผู้เลี้ยงครอบครัวต้องถึงแก่กรรมลง การประกันอัคคีภัยบ้านท�ำให้มีเงินส�ำหรับที่จะสร้างบ้าน
ใหม่ได้ท�ำให้ไม่ต้องไร้ที่อยู่อาศัย เมื่อเกิดเหตุอัคคีภัยขึ้น การประกันสุขภาพเป็นหลักประกันว่าเมื่อเจ็บไข้
ธ
ได้ปว่ ยจะมีเงินเพียงพอ ส�ำหรับการรักษาพยาบาลให้หายเป็นปกติ การประกันอุบตั เิ หตุสว่ นบุคคลจะช่วย
ให้มีค่ารักษาพยาบาลในกรณีประสบอุบัติเหตุและมีเงินมาทดแทนในขณะที่ไม่สามารถปฏิบัติงานหา
มส
รายได้มาเลี้ยงครอบครัวได้ตามปกติ เป็นต้น
2. เป็นหลักประกันความมั่นคงและคุ้มครองผู้ลงทุน
ธุรกิจทุกชนิดย่อมมีความเสี่ยงภัยมากบ้างน้อยบ้างตามประเภท ชนิด และขนาดของธุรกิจนั้น
เช่น ในกรณีต้องมีการขนส่งสินค้า ภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับสินค้า เช่น สูญหาย ถูกไฟไหม้ เป็นต้น ดังนั้น
เพื่อความมั่นคงของธุรกิจ นักธุรกิจจึงยอมจ่ายเบี้ยประกันภัยจ�ำนวนหนึ่งแก่บริษัทประกันภัยเพื่อให้
ในสัญญา
ม
คุ้มครองสินค้าของตน และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่แท้จริงเมื่อเกิดมีภัยขึ้นตามที่ได้ระบุไว้
ธ
อนุญาต เป็นต้น การออกแบบสร้างโรงงานก็มีความส�ำคัญถ้าออกแบบผิดโรงงานอาจจะพังตั้งแต่ก่อสร้าง
ก็ได้ หรือขณะก่อสร้างตอกเสาเข็มอาจจะท�ำให้อาคารข้างเคียงเสียหายต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย
มส
ซึ่งอาจจะท�ำประกันภัยความรับผิดไว้ได้ (Liability Insurance) หรือในกรณีที่ตัวโครงสร้างโรงงานไม่มี
ปัญหาแต่สายไฟที่วางไว้ขนาดเล็กไปเมื่อเริ่มด�ำเนินการแล้วเกิดไฟไหม้โรงงานหมดเพราะสายไฟ ขนาด
ไม่พอท�ำให้ร้อนจัดเกิดไฟไหม้ ในขั้นตอนอื่นๆ ก็มีความเสี่ยงภัยเช่นกัน การน�ำเครื่องจักรเข้ามาจาก
ต่างประเทศระหว่างการขนส่งอาจจะต้องท�ำประกันภัยทางทะเล เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วท�ำประกันภัยอัคคีภัย
ทั้งโรงงานและเครื่องจักร พวกคนงานอาจจะต้องท�ำประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลและประกันสุขภาพ เพราะ
เป็นความรับผิดชอบของเจ้าของโรงงานที่จะต้องดูแลรักษาพยาบาลคนงานของตนและจ่ายค่าทดแทน
ถ้าเขาได้รับอุบัติเหตุจากงานที่ท�ำ เป็นต้น หากมีการจัดเรื่องการป้องกันภัยและประกันภัยไว้โดยถูกต้อง
ผูล้ งทุนก็จะมีความมัน่ ใจได้วา่ เงินทีล่ งทุนไปเป็นจ�ำนวนมากนัน้ จะไม่สญ
ู หายไปหมด เมือ่ เกิดภัยขึน้ เพราะ
จะได้รับการชดใช้ไม่สิ้นเนื้อประดาตัวกลายเป็นบุคคลล้มละลายไป การประกันภัยจึงเป็นกลไกอันหนึ่งใน
ธ
การส่งเสริมการลงทุนเพราะนักลงทุนสามารถที่จะได้รับความคุ้มครองซึ่งจะกระจายความเสี่ยงของเขา
ออกไป โดยการจ่ายเบี้ยประกันภัย
มส
3. เป็นการสร้างเครดิตหรือความเชื่อถือแก่ผู้เอาประกัน
การให้เครดิตหรือความเชื่อถือเป็นหัวใจส�ำคัญส�ำหรับเรื่องการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งการ
ประกันภัยมีส่วนช่วยในเรื่องนี้อย่างมาก เช่น การจ�ำน�ำใบประทวนสินค้า โดยใช้สินค้าที่เก็บรักษาไว้ใน
โกดังเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน ถ้าได้มีการท�ำประกันอัคคีภัยหรือประกันขโมยไว้ ผู้รับจ�ำน�ำใบ
ประทวนสินค้าย่อมยินดีที่จะรับจ�ำน�ำใบประทวนสินค้านั้น แต่ถ้าไม่มีการท�ำประกันภัยไว้แล้ว ผู้รับจ�ำน�ำ
ม
คงจะไม่อยากรับจ�ำน�ำ เพราะหากสินค้าถูกไฟไหม้เสียหายหมด หลักประกันก็จะหมดไปด้วยและในกรณี
เช่นนี้ลูกหนี้ก็จะสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะสินค้าถูกไฟไหม้หมดไปแล้ว หนี้ที่กู้ยืมไว้ก็จะไม่ได้ช�ำระ หรือ
กรณีจะจ�ำนองบ้านหรือโรงงาน เพื่อกู้ยืมเงินมาใช้หมุนเวียน เจ้าหนี้ส่วนใหญ่จะขอให้ผู้กู้หรือผู้จ�ำนอง
ท�ำประกันอัคคีภัยบ้านหรือโรงงานนั้นๆ ไว้ด้วย เป็นต้น หรืออาจจะเป็นกรณีประกันภัยหนี้สินก็ได้
(Credit Insurance) กล่าวคือผู้ให้กู้จะท�ำประกันภัยไว้กับผู้รับประกันภัยว่าถ้าลูกหนี้ไม่ช�ำระหนี้กู้ยืมไป
ผู้รับประกันภัยจะเป็นผู้ช�ำระหนี้แทน ถ้าผู้รับประกันภัยจะเป็นผู้ช�ำระหนี้แทน ถ้าผู้รับประกันภัยพิจารณา
เห็นว่าลูกหนี้เป็นผู้มีหลักฐานมั่นคงยอมรับประกันภัยก็เท่ากับเป็นการให้เครดิตกับผู้กู้โดยตรง
สธ
ม
11-20 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
4. เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพแก่วงธุรกิจ
เมื่อนักธุรกิจไม่ต้องพะวงกับภัยที่เกิดขึ้นเพราะได้มีการท�ำประกันภัยไว้แล้ว เขาก็จะสามารถ
ประกอบธุรกิจได้อย่างเต็มที่ เมือ่ เกิดมีความเสียหายจากภัยทีเ่ อาประกันภัยไว้ ผูร้ บั ประกันภัยจะรับผิดชอบ
ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ ท�ำให้ธุรกิจไม่หยุดชะงัก สามารถด�ำเนินการต่อไปได้
ธ
5. เป็นแหล่งระดมทุน
เงินทีผ่ เู้ อาประกันภัยแต่ละรายจ่ายเบีย้ ประกันภัยรายละเล็กละน้อยนัน้ บริษทั ประกันภัยสามารถ
มส
รวบรวมเงินดังกล่าวเป็นก้อนใหญ่มากพอที่จะน�ำไปพัฒนาบ้านเมืองและเศรษฐกิจของประเทศได้ในรูป
แบบต่างๆ เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น ซึ่งโดยแท้จริงแล้วส่วนหนึ่งของกิจการประกันภัย คือ การ
ท�ำหน้าทีเ่ สมือนกับธนาคารและผูล้ งทุนทีส่ �ำคัญ และยังสามารถให้สนิ เชือ่ ระยะยาวได้ดกี ว่าธนาคารอีกด้วย
6. เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและเป็นหลักประกันแก่สังคม
การประกันภัยนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เอาประกันภัยและครอบครัวแล้ว ยังเป็นประโยชน์
แก่ชุมชนและเป็นหลักประกันแก่สังคมอีกด้วย เพราะการประกันภัยทุกชนิดจะช่วยลดหรือบรรเทาความ
ทุกข์ร้อนของผู้ประสบภัย ช่วยพยุงให้ผู้ประสบภัยสามารถด�ำรงชีพในระดับเดิมได้ ช่วยบรรเทาความ
ขาดแคลนและทุกข์ยาก ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นแล้วผู้ต้องประสบภัยทั้งหมดต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีที่อยู่
ธ
อาศัย ขาดแคลนอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นผลให้ระดับศีลธรรมของชุมชนนั้นๆ จะต�่ำลง ถ้าชุมชนนั้นได้
จัดในเรื่องความเสี่ยงภัยและการประกันภัยไว้โดยถูกต้องชุมชนนั้นก็สามารถจะอยู่อย่างราบรื่นต่อไปได้
มส
แม้ไม่มีองค์การสาธารณกุศลช่วยเหลือ ตัวอย่างไฟไหม้โรงงานถ้าเจ้าของโรงงานไม่ได้ท�ำประกันอัคคีภัย
ไว้ ไม่สามารถสร้างโรงงานได้ใหม่ คนงานและพนักงานทั้งหมดก็ไม่มีงานท�ำ ความเสียหายและความ
ทุกข์ยากจะกระจายขยายออกไป ไม่เพียงแต่เจ้าของโรงงานเท่านัน้ ทีจ่ ะต้องหมดตัว เพราะนอกจากโรงงาน
จะไหม้ ทรัพย์สินถูกท�ำลายไปหมดแล้วถ้าไม่สร้างโรงงานใหม่ ก็จะต้องจ่ายเงินทดแทนให้กับลูกจ้างและ
คนงานทุกคนเนื่องจากการเลิกจ้าง หรือถ้าจะสร้างโรงงานใหม่ ก็ต้องว่าจ้างพนักงานหรือคนงานที่มีความ
ส�ำคัญไว้และต้องจ่ายเงินเดือนในช่วงที่โรงงานยังก่อสร้างไม่เสร็จ ส่วนคนที่เลิกจ้างก็จะต้องจ่ายทดแทน
ม
ให้แก่เขา โรงงานที่ก่อสร้างใหม่อาจจะต้องใช้เงินมากกว่าเดิม เพราะค่าแรงและสินค้าต่างๆ ราคาสูงขึ้น
กว่าเมื่อแรกสร้าง เมื่อสร้างเสร็จสามารถจะผลิตสินค้าใหม่ได้แล้ว ก็จะต้องด�ำเนินการในเรื่องโฆษณาและ
ท�ำสัญญาติดต่อกับลูกค้าใหม่ เมื่อขณะที่ไฟไหม้ถ้าได้มีการท�ำสัญญาขายล่วงหน้าไว้กับลูกค้าไว้แล้วก็จะ
ต้องชดใช้คา่ เสียหายหรือคืนเงินให้ลกู ค้าด้วย จะเห็นได้วา่ ความเสียหายทีต่ ามมานัน้ มีมากถ้าไม่ได้จดั การ
ประกันภัยไว้โดยถูกต้อง จะสร้างปัญหาให้กับสังคมและชุมชนแต่ถ้ามีการจัดประกันภัยไว้โดยถูกต้องแล้ว
บริษัทประกันภัยจะรับภาระเหล่านี้ไป และถ้าหากได้มีการท�ำประกันภัยอย่างทั่วถึง อัตราความเสี่ยงก็จะ
สธ
กระจายออกไปลดน้อยลง อัตราเบีย้ ประกันภัยก็จะลดต�ำ่ ลงด้วย นอกจากนัน้ ยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระ
ของรัฐในการให้สวัสดิการแก่ประชาชนอีกด้วย
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-21
7. ทำ�ให้ทราบต้นทุนของการเสี่ยงภัย
บริษัทประกันภัยพิจารณาประกันภัยโดยค�ำนวณหาต้นทุนของการรับเสี่ยงภัย จากการหา
ถัวเฉลี่ยจากกฎจ�ำนวนมาก ซึ่งจะพิจารณาความเสี่ยงภัยของวัตถุที่เอาประกันภัย และการเกิดภัยที่ได้
ตกลงท�ำประกันภัยกันไว้แล้วน�ำไปค�ำนวณหาอัตราเบี้ยประกันภัย โดยปกติแล้ว ผู้เอาประกันภัยประเภท
ธ
เดียวกันควรจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเท่ากัน และได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกัน ถ้าบุคคลใดมีความเสี่ยง
มากกว่า ก็ควรจะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยมากขึ้น เช่น เบี้ยประกันอัคคีภัยของอาคารที่สร้างด้วยไม้ย่อม
สูงกว่าเบี้ยประกันอัคคีภัยที่เป็นคอนกรีตทั้งหลังเพราะโอกาสที่บ้านไม้จะเกิดอัคคีภัย มีสูงกว่าอาคารที่
มส
เป็นคอนกรีต เป็นต้น
กิจกรรม 11.1.2
จงอธิบายถึงทฤษฎีความน่าจะเป็น (Theory of Probability)
แนวตอบกิจกรรม 11.1.2
ทฤษฎีนี้เป็นการศึกษาเพื่อคาดคะเนถึงความเป็นไปได้ในการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆ ว่ามี
มากน้อยเพียงใด โดยอาศัยข้อมูลจากการเก็บสถิติและวิชาคณิตศาสตร์เพื่อทำ�นายว่าภัยแต่ละชนิดใน
ธ
ช่วงเวลาหนึ่งจะเกิดขึ้นกี่ครั้งมีขนาดและลักษณะเป็นอย่างไร สมมติว่าจากสถิติใน 1 ปี มีอัคคีภัยเปิดขึ้น
100 ราย จากจำ�นวนบ้าน 100,000 หลัง ความอาจจะเป็นไปได้ที่บ้านจะเกิดอัคคีภัยใน 1 ปี ก็คือ บ้าน
มส
ตอนที่ 11.2
ความหมาย ลักษณะ และบุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัย
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 11.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไปนี้
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
11.2.1 ความหมายและประเภทของสัญญาประกันภัย
11.2.2 ลักษณะของสัญญาประกันภัย
11.2.3 บุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัย
1. ส ญ
ั ญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทนเพือ่ การเสีย่ งภัยในอนาคต กรมธรรม์ประกันภัย
ไม่ใช่สัญญาประกันภัย เป็นเพียงแต่หลักฐานของสัญญาประกันภัย
2. สัญญาประกันภัยมีลักษณะเป็นการเสี่ยงโชคต้องอาศัยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่งของ
คู่สัญญา และเป็นสัญญาที่รัฐคอยควบคุมดูแล
ธ
3. ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัย และผู้รับประโยชน์เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญา
ประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มส
วัตถุประสงค์
เมื่อได้ศึกษาตอนที่ 11.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความหมายและประเภทของสัญญาประกันภัยได้
2. อธิบายและวินิจฉัยลักษณะของสัญญาประกันภัยได้
3. อธิบายและวินิจฉัยเกี่ยวกับลักษณะของบุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัยได้
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-23
เรื่องที่ 11.2.1
ความหมายและประเภทของสัญญาประกันภัย
ธ
สัญญาประกันภัยเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึง่ ดังนัน้ สัญญาประกันภัยจึงย่อมอยูภ่ ายใต้บงั คับ
ของบทบัญญัตทิ วั่ ไปในเรือ่ งนิตกิ รรมสัญญาเช่นกัน กล่าวคือ คูส่ ญ ั ญาต้องมีความสามารถในการท�ำสัญญา
มส
สัญญานั้นต้องไม่มีวัตถุที่ประสงค์เป็นการพ้นวิสัย ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบ
เรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพียงแต่สญ
หรือมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ
ั ญาประกันภัยอาจจะมีวธิ กี ารทีแ่ ตกต่างออกไปบ้าง
ในการเข้าท�ำสัญญาประกันภัยมิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษแต่ประการใด คงด�ำเนินการ
ตามหลักเกณฑ์ในการท�ำสัญญาทัว่ ไปกล่าวคือ ต้องมีค�ำเสนอและค�ำสนองเมือ่ ค�ำเสนอและค�ำสนองถูกต้อง
ตรงกัน สัญญาก็จะเกิดขึ้นในทันทีเพราะสัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่ไม่ต้องท�ำตามแบบที่กฎหมาย
ก�ำหนดแต่อย่างไร แต่วิธีการเสนอและสนองในการเข้าท�ำสัญญาประกันภัยเป็นเรื่องที่ควรจะได้ศึกษาใน
รายละเอียด เพราะอาจจะมีการเข้าใจผิดพลาดได้
ค�ำเสนอ ในการท�ำสัญญาประกันภัยนัน้ ถือว่าฝ่ายผูเ้ อาประกันภัยเป็นฝ่ายเสนอขอให้ผรู้ บั ประกันภัย
ธ
ตกลงเข้ารับเสี่ยงภัยแทนผู้เอาประกันภัย
ค�ำสนอง หมายความถึงการที่บริษัทตกลงรับประกันภัยของผู้ขอเอาประกันภัยกับบริษัท ซึ่งโดย
ปกติแล้วบริษัทผู้รับประกันภัยจะมอบหมายบุคคลผู้มีสิทธิพิจารณารับประกันภัย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วบุคคล
มส
ธ
บังคับคดีให้ผู้รับประกันภัยรับผิดได้
มส
2. ความหมายของสัญญาประกันภัย
ปพพ. มาตรา 861 บัญญัติว่า “อันว่าสัญญาประกันภัยนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะ
ใช้คา่ สินไหมทดแทน หรือใช้เงินจ�ำนวนหนึง่ ให้ในกรณีวนิ าศภัย หากมีขนึ้ หรือในเหตุอย่างอืน่ ในอนาคต
ดั่งได้ระบุไว้ในสัญญาและในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัย”
จากบทบัญญัติดังกล่าว สัญญาประกันภัย หมายถึง ความตกลงระหว่างบุคคลสองฝ่าย โดยฝ่าย
หนึ่งเรียกว่าผู้รับประกันภัยและอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้เอาประกันภัย ฝ่ายผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้
ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจ�ำนวนหนึ่งให้ ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้นหรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดัง
ได้ระบุไว้ในสัญญาและฝ่ายผู้เอาประกันภัยตกลงจะส่งเงินให้แก่ผู้รับประกันภัยซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัย
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าความตกลงหรือข้อตกลงระหว่างผู้รับประกันภัยและผู้เอาประกันภัยที่
ธ
เกี่ยวข้องกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจ�ำนวนหนึ่ง เหตุวินาศภัยหรือเหตุอย่างอื่นในอนาคต
ซึง่ อาจเรียกรวมว่า “ความเสีย่ งภัย” (risk) ทีไ่ ด้ตกลงก�ำหนดกันไว้และทีเ่ กี่ยวกับเบีย้ ประกันภัย วิธชี �ำระ
มส
ธ
ภัยไปแล้ว จ�ำเลยเองก็มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นว่าตามสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์กับบริษัท
อุตสาหกรรมนมพระนคร จ�ำกัด ไม่คมุ้ ครองนมข้นกระป๋องทีเ่ อาประกันภัยตัง้ แต่คลังสินค้าของผูเ้ อาประกันภัย
มส
จนถึงผู้รับตราส่ง เพียงแต่ต่อสู้ว่าโจทก์ท�ำกรมธรรม์รับประกันภัยเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521
ความเสียหายเกิดก่อนโจทก์ท�ำสัญญารับประกันภัยโจทก์จงึ ไม่มอี �ำนาจรับช่วงสิทธิแม้จ�ำเลยจะให้การว่าน
อกจากจ�ำเลยจะให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งแล้ว จ�ำเลยขอให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้น ก็เป็นค�ำให้การที่
ไม่ชดั แจ้งว่าจ�ำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์สว่ นใด ด้วยเหตุผลอย่างใดย่อมถือไม่ได้วา่ จ�ำเลยให้การปฏิเสธ
ข้ออ้างตามค�ำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับขอบเขตการให้คุ้มครองตามสัญญาประกันภัย แต่อย่างไรก็ดี
ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียด้วยว่า สัญญาประกันภัยนั้น กฎหมายมิได้ก�ำหนดแบบแห่งนิติกรรมไว้
เพียงบังคับให้มหี ลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึง่ ลงลายมือชือ่ ฝ่ายทีต่ อ้ งรับผิดหรือตัวแทนเป็นส�ำคัญ
มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีมิได้ ดังนั้น สัญญาประกันภัยจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงเจตนาท�ำค�ำเสนอ
ค�ำสนองถูกต้องตรงกัน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บริษัท อ. ได้ยื่นค�ำขอประกันภัยต่อโจทก์อันเป็นการ
ธ
แสดงเจตนาท�ำค�ำเสนอและโจทก์ได้สนองรับ สัญญาประกันภัยย่อมเกิดขึน้ มาตรา 867 วรรคสอง บัญญัตวิ า่
“ให้ ส ่ ง มอบกรมธรรม์ ป ระกั น ภั ย อั น มี เ นื้ อ ความต้ อ งตามสั ญ ญานั้ น แก่ ผู ้ เ อาประกั น ภั ย ฉบั บ หนึ่ ง ”
มส
ธ
ส�ำหรับสินค้าลงเรือโกตาเมเลอร์แล้วเท่านั้น ในการตีความสัญญาจะต้องตีความไปตามความประสงค์ใน
ทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย บริษัท อ. มิใช่เพิ่งจะเอาประกันภัยกับโจทก์ครั้งนี้เป็น
มส
ครั้งแรก แต่เคยส่งนมข้นกระป๋องไปจ�ำหน่ายยังต่างประเทศมาแล้วหลายครั้ง และได้เอาประกันภัยไว้กับ
โจทก์เช่นเดียวกัน กรมธรรม์ประกันภัยครั้งก่อนๆ ก็เหมือนกับกรมธรรม์ประกันภัยครั้งนี้ย่อมเป็นเหตุผล
ชี้ให้เห็นว่ากรมธรรม์ประกันภัยรายนี้ได้ออกให้ตรงตามเจตนาในการท�ำสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์
กับบริษัท อ. แล้ว หาเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคสอง แต่อย่าง
ใดไม่ เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยระบุว่า การประกันภัยรายนี้เริ่มต้นตั้งแต่เวลาออกจากสถานที่ของผู้ตราส่ง
ซึ่งหมายความถึงคลังสินค้าของบริษัทอุตสาหกรรมนมพระนคร จ�ำกัด ผู้เอาประกันภัย การที่นมข้น
กระป๋องที่โจทก์รับประกันภัยได้รับความเสียหายระหว่างขนส่งลงเรือล�ำเลียงเพื่อน�ำไปส่งมอบให้แก่เรือ
เดินทะเลโกตาเมเลอร์ จึงอยู่ในขอบเขตแห่งความรับผิดของโจทก์ตามสัญญาประกันภัย เมื่อโจทก์ได้ใช้
ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว โจทก์ย่อมได้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย ถ้าหากมี
ธ
โดยสรุปแล้วสัญญาประกันภัย เป็นสัญญาที่ผู้รับประกันภัยตกลงเข้ารับความเสี่ยงภัยแทน
ผู้เอาประกันภัย โดยสัญญาแก่ผู้เอาประกันภัยว่าเมื่อผู้เอาประกันภัยได้รับความเสียหายเพราะวัตถุที่เอา
มส
3. ประเภทของสัญญาประกันภัย
สัญญาประกันภัยอาจแยกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ 1. สัญญาประกันชีวิต (Life
Insurance) และ 2. สัญญาประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance)
สธ
3.1 สัญญาประกันชีวิต หมายถึง เฉพาะการประกันชีวิตบุคคลเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการประกัน
ชีวติ ของตนเองหรือของบุคคลอืน่ ก็ตาม วัตถุทเี่ อาประกันคือชีวติ ของบุคคลแม้วา่ เป็นสิง่ ทีแ่ น่นอนว่าบุคคล
ทุกคนย่อมจะต้องถึงแก่กรรม แต่ความไม่แน่นอนอยู่ที่ว่าจะถึงแก่กรรมเมื่อใด การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-27
ธ
ผู้เอาประกันได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใดลักษณะเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าสัญญาประกันชีวิตเป็น
สัญญามิใช่เพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Non-Indemnity Contract)
มส
3.2 สัญญาประกันวินาศภัย นอกจากสัญญาประกันชีวติ ตามทีก่ ล่าวมาแล้วถือเป็นสัญญาประกัน
วินาศภัยทัง้ สิน้ (Non-Life Insurance) เป็นสัญญาเพือ่ ชดใช้คา่ สินไหมทดแทน (Indemnity Contract)
หลักการที่ส�ำคัญในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Principle of Indemnity) ก็คือผู้รับประกันภัยจะชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนให้ผเู้ อาประกันภัยหรือผูร้ บั ประโยชน์ตามความเสียหายจริงทีเ่ กิดขึน้ การตีราคาค่าเสียหาย
ให้ตีราคา ณ สถานที่และในเวลาที่เกิดเหตุวินาศภัย31 ความเสียหายบางอย่างอาจจะประเมินได้ล�ำบาก
คู่สัญญาจะท�ำความตกลงกันไว้ล่วงหน้าได้ว่าในแต่ละกรณีผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้
เป็นจ�ำนวนเท่าใด เช่น กรณีทรัพย์ที่เป็นวัตถุโบราณ กรณีอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น เสียไต
1 ข้าง เป็นต้น กรมธรรม์ชนิดนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่า Valued Policy
การประกันวินาศภัยแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 4 ประเภทดังนี้คือ
ธ
1. การประกันอัคคีภัย
2. การประกันภัยทางทะเลและการขนส่ง
3. การประกันภัยรถยนต์ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ (1) การประกันภัยรถภาคบังคับ
มส
ข้อสังเกต
1) การประกันชีวิต หมายถึง การประกันชีวิตบุคคลเท่านั้นไม่รวมถึงการประกันชีวิตสัตว์ เพราะ
สัตว์ถือว่าเป็นทรัพย์สิน การประกันชีวิตสัตว์เป็นสัญญาประกันวินาศภัย
2) ในกรณีทสี่ ญั ญาประกันภัยประเภทมีทงั้ ลักษณะของสัญญาประกันวินาศภัยและสัญญาประกัน
ชีวิตรวมอยู่ในสัญญาหรือกรมธรรม์ประกันภัยเดียวกัน เช่น สัญญาประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล เป็นต้น
ธ
ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยประสบอุบัติเหตุ ต้องเสียค่ารักษา
พยาบาล หรือต้องขาดประโยชน์ต่างๆ ในส่วนของความคุ้มครองในส่วนนี้ถือว่าเป็นประกันวินาศภัย ซึ่ง
มส
จะต้องพิจารณาความเกี่ยวพัน สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาตามกฎหมายในส่วนที่ใช้บังคับกับการประกัน
วินาศภัยเช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะชดใช้ตามความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น ตามหลักในเรื่องการ
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Principle of Indemnity) เช่น เสียค่ารักษาพยาบาลไป 1,000 บาท ผู้รับ
ประกันภัยก็ทดแทนความเสียหายโดยจ่ายค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ให้ 1,000 บาท เป็นต้น
3) ในส่วนที่ก�ำหนดค่าสินไหมทดแทนกันเป็นการยาก เช่น ในเรื่องการขาดประโยชน์ต่างๆ
เพราะผู้ป่วยเจ็บไม่สามารถท�ำงานได้ หรือในกรณีต้องสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งไป ซึ่งถือว่าเป็น
ความเสียหายที่ได้รับ แต่ถือว่าเสียหายเท่าใดเป็นเรื่องยากที่จะพิจารณา คู่สัญญาอาจจะตกลงกันไว้ล่วง
หน้าว่า ในแต่ละกรณีผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นจ�ำนวนเท่าใด เช่น ค่าขาด
ประโยชน์จากการหารายได้ ผู้รับประกันจะจ่ายให้วันละ 100 บาท ถ้าเสียมือไปข้างหนึ่ง จะจ่ายค่าสินไหม
ธ
ทดแทนให้ 10,000 บาท กรณีที่มีการก�ำหนดจ�ำนวนค่าเสียหายไว้ล่วงหน้านี้ กรมธรรม์ชนิดนี้เรียกกัน
โดยทั่วไปว่า Valued Policy ซึ่งจะได้ศึกษาเรื่องนี้ในรายละเอียดต่อไป
มส
4) ในส่วนที่เป็นเรื่องของการประกันชีวิตก็จะต้องน�ำกฎหมายที่ใช้กับการประกันชีวิตมาใช้บังคับ
เช่น ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยถึงแก่กรรม ผู้รับประกันภัยก็จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ตามจ�ำนวน
เอาประกันภัยที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่ใช่ว่าจะมาพิจารณาว่าค่าเสียหายจริงเท่าใด ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงจุดนี้แล้ว
แท้จริงสัญญาประกันชีวิตก็มีลักษณะเป็น Valued Policy เช่นเดียวกัน Valued Policy ในประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่มีค�ำแปลที่ตรงกับ Valued Policy โดยตรง แต่เมื่อพิจารณาถึงลักษณะของ
Valued Policy แล้ว จะเห็นว่าน่าจะถือว่าเป็นกรมธรรม์ประกันภัย หรือสัญญาประกันภัยที่มีการก�ำหนด
ราคาแห่งมูลประกันภัยกันไว้นั่นเอง
4. เปรียบเทียบสัญญาประกันภัยกับสัญญาอื่นที่มีส่วนคล้ายกัน
4.1 เปรียบเทียบการประกันภัยกับการพนันขันต่อ
ม
1) สัญญาประกันภัย ผูเ้ อาประกันภัยอยูใ่ นฐานะต้องเสีย่ งภัยอยูแ่ ล้ว จึงไปขอเอาประกันภัย
เพื่อโอนภัยที่ต้องเสี่ยงไปให้ผู้รับประกันภัยซึ่งมีหน้าที่ในการกระจายความเสี่ยงภัยนั้นออกไปยังผู้ต้อง
ประสบการเสีย่ งภัยในลักษณะเดียวกัน โดยการใช้เบีย้ ประกันภัย เป็นสือ่ กลางในการกระจายความเสีย่ งภัย
สธ
ดังนั้น อาจสรุปได้ว่าสัญญาประกันภัย เป็นภัยที่น�ำมาท�ำสัญญากันนั้นมีอยู่แล้วในขณะท�ำสัญญา
การพนันขันต่อ ก่อนพนันกันคูส่ ญั ญาไม่มคี วามเสีย่ งภัยใดๆ เลย สัญญาการพนันเป็นสัญญา
ที่ก่อให้เกิดการเสี่ยงภัยขึ้นว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายได้ หรือฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายเสียในการพนันครั้งนั้น
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-29
ธ
4.2 เปรียบเทียบการประกันภัยกับการค�้ำประกัน ประเภทของการประกันภัยที่ใกล้เคียงกับการ
ค�้ำประกันคือ การประกันภัยลูกหนี้ไม่ใช้หนี้ สัญญาประกันภัยชนิดนี้เจ้าหนี้จะเป็นผู้เอาประกันภัยกับ
มส
บริษทั ประกันภัย เพือ่ โอนความเสีย่ งภัยในการทีล่ กู หนีจ้ ะไม่ช�ำระหนีม้ าให้ผรู้ บั ประกันภัยเข้าเสีย่ งภัยแทน
สิ่งที่ผู้รับประกันภัยได้รับเป็นการตอบแทนก็คือเบี้ยประกันภัย เป็นการท�ำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับ
ประกันภัย
การคำ�้ ประกันลูกหนี้ มีลกั ษณะใกล้เคียงกับการประกันภัยประเภททีก่ ล่าวมาแล้วถือเป็นการสร้าง
หลักประกันให้เจ้าหนี้เพื่อให้มีโอกาสได้รับช�ำระหนี้ ลดความเสี่ยงในเรื่องการไม่ได้รับช�ำระหนี้โดยการน�ำ
บุคคลภายนอกเข้ามาผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ในการช�ำระหนี้ด้วย
ข้อแตกต่างการประกันภัยการช�ำระหนี้ และการค�้ำประกันหนี้
1) การประกันภัย ผู้รับประกันภัยจะต้องเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการประกันภัย
กระท�ำเป็นการค้าและมีค่าตอบแทนเสมอคือเบี้ยประกันภัย
ธ
2) การค�้ำประกันนั้น โดยปกติผู้ค�้ำประกันจะเป็นใครก็ได้ที่เจ้าหนี้ยอมรับ อาจจะมีค่าตอบแทน
หรือไม่ก็ได้ ถ้าเป็นบุคคลค�้ำประกันโดยปกติจะไม่มีค่าธรรมเนียมในการค�้ำประกัน แต่ถ้าเป็นนิติบุคคล
มส
เป็นต้น
กิจกรรม 11.2.1
ม
หนี้ก่อนได้ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้มีทางที่จะช�ำระหนี้ได้ ซึ่งผู้รับประกันภัยไม่อาจจะใช้สิทธิดังกล่าวได้
สัญญาประกันภัยในประเทศไทยแบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
สธ
ม
11-30 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แนวตอบกิจกรรม 11.2.1
สัญญาประกันภัยอาจแยกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ สัญญาประกันชีวิต (Life
Insurance) และสัญญาประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance)
สัญญาประกันชีวิต หมายถึง เฉพาะการประกันชีวิตบุคคลเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการประกันชีวิต
ธ
ของตนเองหรือของบุคคลอื่นก็ตาม วัตถุที่เอาประกันคือชีวิตของบุคคล และเนื่องจากชีวิตของบุคคลเป็น
สิ่งที่ไม่อาจประเมินราคาได้จึงใช้วิธีการตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อมีเหตุการณ์ที่ก�ำหนดไว้ในสัญญานั้น
มส
จะมีการจ่ายเงินให้เป็นจ�ำนวนเท่าใด และจ�ำนวนเงินนี้จะตกลงกันเท่าใดก็ได้ โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผู้เอา
ประกันได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใดลักษณะเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าสัญญาประกันชีวิตเป็นสัญญา
มิใช่เพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Non-Indemnity Contract)
สัญญาประกันวินาศภัย นอกจากสัญญาประกันชีวิตตามที่กล่าวมาแล้วถือเป็นสัญญาประกัน
วินาศภัยทัง้ สิน้ (Non-Life Insurance) เป็นสัญญาเพือ่ ชดใช้คา่ สินไหมทดแทน (Indemnity Contract)
หลักการที่สำ�คัญในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (Principle of Indemnity) ก็คือผู้รับประกันภัยจะชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนให้ผเู้ อาประกันภัยหรือผูร้ บั ประโยชน์ตามความเสียหายจริงทีเ่ กิดขึน้ การตีราคาค่าเสียหาย
ให้ตีราคา ณ สถานที่และในเวลาที่เกิดเหตุวินาศภัย ความเสียหายบางอย่างอาจจะประเมินได้ลำ�บาก
คู่สัญญา จะทำ�ความตกลงกันไว้ล่วงหน้าได้ว่าในแต่ละกรณีผู้รับประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้
เป็นจำ�นวนเท่าใด เช่น กรณีทรัพย์ที่เป็นวัตถุโบราณ กรณีอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น เสียไต
ธ
1 ข้าง เป็นต้น กรมธรรม์ชนิดนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่า Valued Policy
มส
เรื่องที่ 11.2.2
ลักษณะของสัญญาประกันภัย
ม
มาตรา 861 บัญญัติว่า “อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่า
สินไหมทดแทนหรือใช้เงินจ�ำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้นหรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดังได้
ระบุไว้ในสัญญา และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัย”
สัญญาการประกันภัยเป็นนิติกรรมสองฝ่ายที่เกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคล ซึ่งต้องอยู่ใน
บังคับบทบัญญัตแิ ห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 หลักทัว่ ไปด้วย กล่าวคือคูส่ ญ
ั ญาประกันภัย
สธ
ต้องมีความสามารถในการท�ำนิติกรรมสัญญาได้ตามกฎหมาย และสัญญาประกันภัยดังกล่าวต้องไม่มี
วัตถุประสงค์ที่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย พ้นวิสัยหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
อันดีของประชาชน นอกจากนั้นแล้วสัญญาประกันภัยยังมีลักษณะเฉพาะที่ส�ำคัญ 5 ประการ ดังต่อไปนี้
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-31
1. เป็นสัญญาต่างตอบแทน
สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน กล่าวคือ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และ
ลูกหนี้ซึ่งกันและกันโดยฝ่ายผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจ�ำนวนหนึ่งให้ตามที่ได้
ตกลงไว้ เมือ่ มีเหตุวนิ าศภัยหรือเหตุตามทีก่ �ำหนดไว้ในสัญญาเกิดขึน้ และฝ่ายผูเ้ อาประกันภัยจะตอบแทน
ธ
ผู้รับประกันภัยโดยการจ่ายเงินจ�ำนวนหนึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัยให้
การที่สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้รับประกันภัยจึงมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนหรือเงินจ�ำนวนหนึ่งตามที่ก�ำหนดไว้ในสัญญาเมื่อเกิดเหตุวินาศภัยหรือเหตุการณ์ในอนาคต และ
มส
มีสิทธิที่จะได้รับช�ำระหนี้คือเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัย ส่วนผู้เอาประกันภัยก็มีหน้าที่ต้องส่งเบี้ย
ประกันภัย และมีสทิ ธิทจี่ ะได้รบั ชดใช้คา่ สินไหมทดแทนหรือเงินตามจ�ำนวนทีก่ �ำหนดเมือ่ เกิดเหตุวนิ าศภัย
หรือเหตุการณ์ในอนาคตจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติเรื่องสัญญาต่างตอบแทนด้วย เช่น ปพพ. มาตรา
369 ซึ่งบัญญัติว่า “ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมช�ำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
จะช�ำระหนี้หรือขอปฏิบัติการช�ำระหนี้ก็ได้ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่าย
หนึ่งยังไม่ถึงก�ำหนด”
อย่างไรก็ตาม ในสัญญาประกันภัยนั้นอาจมีข้อก�ำหนดว่า ผู้รับประกันภัยยังจะไม่เริ่มให้ความ
คุ้มครองจนกว่าผู้เอาประกันภัยจะได้ช�ำระเบี้ยประกันภัยก็ได้
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 876/2511 เงื่อนไขแนบกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า “หากมิได้ช�ำระเบี้ยประกันภัยให้
บริษัทฯ ในงวดใดก็ให้ยกกรมธรรม์โดยไม่ต้องคุ้มครองในงวดนั้นและผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิเรียกร้อง
มส
เคลมที่บริษัทโจทก์จ่ายไปตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย
ม
ร้องเงินค่าเคลมซึ่งบริษัทได้จ่ายไปนั้นๆ ทั้งหมด” นั้นเป็นการท�ำสัญญาประกันภัยมีก�ำหนด 1 ปี จ�ำเลย
ส่งเบี้ยประกันภัยเพียง 29 งวด ไม่ได้ส่งครบอายุ 1 ปี จ�ำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องรับผิดคืนเงินค่า
ตามตัวอย่างค�ำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้น จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่หรือมีหนี้ต่อกันและกัน
ในกรณีตาม ฎ. 876/2511 เมื่อผู้เอาประกันภัยไม่ช�ำระหนี้เบี้ยประกันภัย ฝ่ายผู้รับประกันภัยก็ไม่ให้ความ
คุ้มครองในช่วงเวลานั้น เมื่อมีการช�ำระเบี้ยประกันภัย ฝ่ายผู้รับประกันภัยจึงจะมีหนี้ผูกพันที่จะต้องจ่าย
ค่าสินไหมทดแทนเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นตามสัญญา ส่วน ฎ. 1114/2512 เมื่อฝ่ายผู้เอาประกันภัยไม่ช�ำระหนี้
สธ
คือค่าเบี้ยประกันภัยให้ถูกต้องครบถ้วน ฝ่ายผู้รับประกันภัยจึงมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายให้
แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้วคืนมาได้
ม
11-32 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
2. เป็นสัญญาเสี่ยงโชค
เนื่องจากวัตถุประสงค์ที่ส�ำคัญของสัญญาประกันภัย คือเมื่อมีเหตุการณ์ในอนาคตดังระบุไว้ใน
สัญญาเกิดขึ้น ผู้รับประกันภัยตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเงินจ�ำนวนหนึ่ง ให้แก่ผู้เอาประกันภัย
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการช�ำระหนี้ทางฝ่ายผู้รับประกันภัยขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ดังนี้
ธ
2.1 เหตุการณ์ในอนาคต และ
2.2 เหตุการณ์นั้นไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรือว่าจะเกิดขึ้นในเวลาใด
ลักษณะเช่นนี้ท�ำให้สัญญาประกันภัยได้ชื่อว่าเป็นสัญญาเสี่ยงโชค กล่าวคือการช�ำระหนี้ตาม
มส
สัญญานั้นจะต้องกระท�ำต่อเมื่อมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดในอนาคตที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้น
ลักษณะของการเสี่ยงโชคทางฝ่ายผู้รับประกันภัยเป็นสาระส�ำคัญในสัญญาประกันภัย สิ่งที่ท�ำให้
สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาเสี่ยงโชคคือการเสี่ยงภัย (RISK) ซึ่งในกรมธรรม์ประกันภัยต้องระบุภัยที่
ผูร้ บั ประกันภัยรับเสีย่ ง วัตถุประสงค์ขนั้ แรกแห่งสัญญาประกันภัยคือการทีผ่ รู้ บั ประกันภัยเข้ารับเสีย่ งแทน
ผู้เอาประกันภัย ก่อนท�ำสัญญาผู้เอาประกันภัยเป็นผู้เสี่ยง เมื่อท�ำสัญญาแล้วผู้รับประกันกลับเป็นผู้รับ
เสี่ยงภัยแทนต่อไป หากไม่มีการเสี่ยง วัตถุประสงค์แห่งสัญญาก็ไม่อาจมีได้ ฉะนั้นการเสี่ยงภัยจึงเป็นสิ่ง
ที่จะท�ำให้วัตถุประสงค์แห่งสัญญาประกันภัยเกิดขึ้นได้หรือไม่ได้ การเสี่ยงภัยจึงมีความส�ำคัญในสัญญา
ประกันภัยซึ่งมีผลตามกฎหมาย
สัญญาเสี่ยงโชคมีลักษณะคล้ายกับสัญญามีเงื่อนไขบังคับก่อน กล่าวคือสัญญาทั้งสองประเภทมี
ธ
ข้อก�ำหนดในเรื่องของเหตุการณ์ในอนาคตเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ว่าสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน สัญญา
เกิดขึ้นแล้วแต่จะยังบังคับตามสัญญาไม่ได้จนกว่าเงื่อนไขจะส�ำเร็จลง แต่สัญญาเสี่ยงโชค เป็นสัญญาที่มี
มส
ผลบังคับแล้วทุกประการ เพียงแต่การช�ำระหนี้ของอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอน
เท่านั้น
อุทาหรณ์
นายด�ำ ตกลงจะให้นาฬิกา นายแดง 1 เรือน ถ้านายแดงสามารถส�ำเร็จการศึกษาโดยได้รับ
ปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ตามตัวอย่างนี้ผลของสัญญายังไม่เกิดขึ้น จนกว่าที่ นายแดงจะส�ำเร็จ
ปริญญาและได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเนื่องจากเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน
ม
ส�ำหรับสัญญาเสีย่ งโชคนัน้ มีผลใช้บงั คับตัง้ แต่ท�ำสัญญา เช่น สัญญาประกันภัยเมือ่ ได้มกี ารตกลง
เข้าท�ำสัญญาแล้วสัญญามีผลใช้บงั คับทันที ผูเ้ อาประกันภัยต้องช�ำระเบีย้ ประกันภัย ถ้าไม่ช�ำระผูร้ บั ประกันภัย
มีสิทธิเรียกให้ช�ำระได้ ความคุ้มครองที่ผู้รับประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยก็เริ่มต้นตั้งแต่สัญญามีผลใช้
บังคับเช่นกันเพียงแต่การจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือการใช้เงินของผู้รับประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย
ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งไม่แน่นอนเท่านั้น จึงท�ำให้สัญญาประกันภัยมีลักษณะเป็นสัญญา
เสี่ยงโชค
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-33
3. เป็นสัญญาไม่มีแบบแต่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
นิติกรรมสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ท�ำตามแบบ ถ้าไม่ท�ำตามแบบดังกล่าวนิติกรรมสัญญานั้น
ตกเป็นโมฆะไม่มีผลใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญา เช่น สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จะต้องท�ำเป็น
หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การทีก่ ฎหมายก�ำหนดว่าจะต้องท�ำเป็นหนังสือ หมายความ
ธ
ว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องลงลายมือชื่อในหนังสือหรือในสัญญานั้นจึงจะสมบูรณ์ แต่ถ้าระบุแต่เพียงว่า
ให้มีหลักฐานเป็นหนังสือ เพียงแต่มีลายมือชื่อของฝ่ายที่ต้องรับผิดก็เพียงพอแล้ว
สัญญาประกันภัยนั้นกฎหมายก�ำหนดแต่เพียงว่า จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้อง
มส
บังคับคดีได้เท่านั้นซึ่งหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวมิใช่แบบของสัญญาประกันภัย ดังนั้นถ้าฝ่ายผู้เอา-
ประกันภัยจะฟ้องผู้รับประกันภัย ก็เพียงแต่มีข้อความแสดงว่ามีการเอาประกันภัยและมีลายมือชื่อของ
ผู้รับประกันภัยย่อมถือว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้แล้วเช่นใบเสร็จรับเงินที่แสดงว่า
เป็นการรับเบี้ยประกันภัย และมีลายมือชื่อของผู้รับประกันภัยก็ใช้ได้แล้ว ส่วนทางฝ่ายผู้รับประกันภัย
หลักฐานทีอ่ าจจะน�ำมาใช้ฟอ้ งร้องผูเ้ อาประกันภัยได้ เช่น ใบค�ำขอเอาประกันภัย เป็นต้น ทัง้ นีต้ าม มาตรา
867 ซึ่งบัญญัติว่า “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือ
ชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นส�ำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
ให้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยอันมีเนื้อความต้องตามสัญญานั้นแก่ผู้เอาประกันภัยฉบับหนึ่ง
กรมธรรม์ประกันภัย ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัยและมีรายการดังต่อไปนี้
ธ
(1) วัตถุที่เอาประกันภัย
(2) ภัยใดซึ่งผู้รับประกันภัยรับเสี่ยง
มส
4. เป็นสัญญาที่ต้องอาศัยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่งของคู่สัญญา
ม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักสุจริตไว้ในหลายมาตรา เช่น
มาตรา 5 บัญญัติว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการช�ำระหนี้ก็ดี ท่านว่าบุคคลทุกคนต้อง
สธ
กระท�ำโดยสุจริต”
ม
11-34 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
สัญญาประกันภัยอาศัยจากข้อมูลต่างๆ ที่ผู้เอาประกันภัยแถลงเป็นส�ำคัญและการให้ความคุ้มครองใน
สัญญาก็เป็นเรื่องในอนาคต ดังนั้นความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันอย่างยิ่ง (Utmost Good Faith) ระหว่าง
มส
คู่สัญญาจึงเป็นเรื่องส�ำคัญ ซึ่งถ้าพิจารณาในทางปฏิบัติแล้ว อาจกล่าวได้ว่าสัญญาประกันภัยที่สมบูรณ์
นัน้ นอกจากการแสดงเจตนาเข้าท�ำสัญญาระหว่างคูส่ ญ
ซึ่งกันและกันในอันที่จะเข้าท�ำสัญญา
5. เป็นสัญญาที่รัฐควบคุมดูแล
ั ญาแล้ว คูส่ ญ
ั ญาจะต้องมีความเชือ่ และความศรัทธา
รัฐบาลได้ออกกฎหมายมาเป็นพิเศษเพื่อใช้บังคับกับกิจการประกันชีวิตและประกันวินาศภัย
ได้แก่ พรบ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และ พรบ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535
โดยมีการควบคุมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ส�ำคัญ เช่น
5.1 กรมธรรม์ประกันภัยที่บริษัทออกให้แก่ผู้เอาประกันภัยต้องเป็นไปตามแบบและข้อความที่
ธ
นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบ (พรบ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มาตรา 29)
5.2 การก�ำหนดอัตราดอกเบี้ยประกันภัยของบริษัทต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน
มส
มาตรา 44)
ม
5.5 บริษัทต้องจัดท�ำสมุดทะเบียนและสมุดบัญชีเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทตามแบบและรายการที่
นายทะเบียนก�ำหนด (พรบ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 40, พรบ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535
5.6 บริษัทต้องจัดส่งรายงานประจ�ำปีแสดงฐานการเงินและกิจการของบริษัทส�ำหรับรอบปีปฏิทิน
ทีล่ ว่ งแล้วต่อนายทะเบียนตามแบบและรายการทีน่ ายทะเบียนก�ำหนดภายในห้าเดือนนับแต่วนั สิน้ ปีปฏิทนิ
(พรบ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 43, พรบ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มาตรา 47) เป็นต้น
นอกจากนั้นได้ให้อ�ำนาจนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกิจการและฐานการเงิน
สธ
ของบริษัท และเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบให้นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่มีอ�ำนาจ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-35
1) เข้าไปในส�ำนักงานของบริษัทในระหว่างเวลาท�ำการเพื่อทราบข้อเท็จจริง ในการนี้ให้มี
อ�ำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานอืน่ ๆ จากกรรมการผูจ้ ดั การทีป่ รึกษาพนักงาน หรือลูกจ้างของบริษทั และ
สอบถามบุคคลดังกล่าวได้
2) เข้าไปในสถานทีป่ ระกอบธุรกิจของบริษทั หรือสถานทีใ่ ดๆ ทีม่ เี หตุอนั ควรสงสัยว่ามีสมุด
บัญชี เอกสารหรือดวงตรา หรือหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท เพื่อตรวจ
ธ
สอบหรือประเมินราคาทรัพย์สินของบริษัท ในระหว่างเวลาท�ำการหรือในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและ
พระอาทิตย์ตก
มส3) สั่งให้บริษัทหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทส่งเอกสารหรือหลักฐานอื่นๆ
4) เรียกบุคคลดังกล่าวใน 1) หรือ 3) มาให้ถ้อยค�ำหรือจะสั่งให้บุคคลดังกล่าวยื่นค�ำชี้แจง
แสดงข้อเท็จจริงตามที่ต้องการก็ได้32
กิจกรรม 11.2.2
จงอธิบายความหมายและลักษณะของสัญญาประกันภัยมาโดยสังเขป
แนวตอบกิจกรรม 11.2.2
ธ
สัญญาประกันภัยเป็นเอกเทศสัญญาชนิดหนึ่งซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือ
ใช้เงินจ�ำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดังได้ระบุไว้ในสัญญา และ
มส
32 พรบ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 48 และ พรบ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มาตรา 51
ม
11-36 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 11.2.3
บุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัย
ธ
มาตรา 862 บัญญัติว่า “ตามข้อความในลักษณะนี้
ค�ำว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือ
เงินใช้ให้ มส
ใช้เงินจ�ำนวนหนึ่งให้
ค�ำว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย
ค�ำว่า “ผูร้ บั ประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผูจ้ ะพึงได้รบั ค่าสินไหมทดแทน หรือรับจ�ำนวน
1. ผู้เอาประกันภัย (Insured)
ผู้เอาประกันภัย หมายถึง คู่สัญญาฝ่ายซึ่งมีความเสี่ยงภัยที่เสนอให้ผู้รับประกันภัยเข้ารับความ
ธ
เสี่ยงภัยของตน โดยตกลงส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัยให้เป็นการตอบแทน โดยมีหน้าที่ที่ส�ำคัญคือ
ต้องเปิดเผยข้อความจริงอันเป็นสาระส�ำคัญที่มีผลโดยตรงต่อการพิจารณาของผู้รับประกันภัยว่าจะรับท�ำ
สัญญาประกันภัยหรือไม่ และมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อมีวินาศภัยเกิดขึ้นตามสัญญา
มส
2. ผู้รับประกันภัย (Insurer)
ผู้รับประกันภัย หมายถึง คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงเข้ารับความเสี่ยงภัยแทนผู้เอาประกันภัยโดย
สัญญาว่า จะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจ�ำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่าง
อื่นในอนาคตดังได้ระบุไว้ในสัญญา ในปัจจุบันจะต้องเป็นบริษัทจ�ำกัดที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ
ม
ประกันชีวิต หรือประกันวินาศภัย แล้วแต่กรณีเท่านั้น บุคคลธรรมดาทั่วไปจะเป็นผู้รับประกันภัยไม่ได้
พระราชบัญญัติว่าด้วยกิจการค้าอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยของประชาชน พ.ศ. 2471
ก�ำหนดให้การประกันภัยเป็นกิจการค้าอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยแห่งประชาชน ผู้ประกอบ
การค้าจะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเสียก่อน ซึ่งปัจจุบันมีประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26
มกราคม พ.ศ. 2515 ใช้แทน ซึ่งยังคงก�ำหนดให้กิจการประกันภัยเป็นกิจการค้าที่ต้องได้รับอนุญาตอยู่
เช่นเดิม นอกจากนี้ยังมีพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย และพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535
ก�ำหนดถึงการขออนุญาตเพื่อประกอบกิจการประกันภัย ซึ่งโดยสรุปที่ส�ำคัญแล้วผู้ประกอบกิจการรับ
สธ
ประกันภัยจะต้องเป็นบริษทั จ�ำกัดหรือบริษทั มหาชนและต้องได้รบั ใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยจาก
รัฐมนตรี โดยอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้พระราชบัญญัติทั้งสองฉบับยังได้บัญญัติถึงการควบคุม
บริษัทประกันภัย การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นต้น
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-37
3. ผู้รับประโยชน์ (Beneficiary)
ผูร้ บั ประโยชน์ หมายถึง บุคคลทีผ่ เู้ อาประกันภัยก�ำหนดให้เป็นผูร้ บั ประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย
ที่ได้ท�ำขึ้น ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นแล้วว่าสัญญาประกันภัยต้องประกอบด้วยบุคคลอย่างน้อย 2 ฝ่าย คือ
ผูเ้ อาประกันภัย และผูร้ บั ประกันภัย ซึง่ อาจกล่าวอีกนัยหนึง่ ว่า สัญญาประกันภัย หากมีผเู้ อาประกันภัย และ
ธ
ผู้รับประกันภัยสัญญาก็อาจสมบูรณ์ได้ แม้ว่าไม่มีผู้รับประโยชน์ก็ตาม
ผู ้ เ อาประกั น ภั ย จะก�ำหนดให้ ต นเองเป็ น ผู ้ รั บ ประโยชน์ ห รื อ จะก�ำหนดให้ บุ ค คลอื่ น เป็ น
ผู้รับประโยชน์ก็ได้ ในกรณีที่ไม่มีการก�ำหนดบุคคลอื่นเป็นผู้รับประโยชน์และผู้เอาประกันภัยได้ถึงแก่
มส
กรรมไปแล้ว ผู้รับประกันภัยก็จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินให้แก่ทายาทของผู้เอาประกันภัย
ในกรณีทไี่ ด้ก�ำหนดให้บคุ คลอืน่ นอกจากผูเ้ อาประกันภัยเป็นผูร้ บั ประโยชน์ ซึง่ มีลกั ษณะเป็นการ
ท�ำสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก เมื่อผู้รับประโยชน์ได้แสดงเจตนาที่จะเข้ารับเอาประโยชน์ตาม
สัญญาประกันภัยแล้วผู้รับประโยชน์ก็มีเข้ามาเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งในสัญญาประกันภัยนั้น มีสิทธิที่จะ
เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหรือการใช้เงินจากผู้รับประกันภัยโดยตรง (ดู ปพพ. มาตรา 374, 375 และ
376 ประกอบ) ใน ปพพ. มาตรา 891 ได้วางหลักไว้วา่ แม้ในกรณีทผี่ เู้ อาประกันภัยมิได้เป็นผูร้ บั ประโยชน์
เองก็ดี ผู้เอาประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะ
ได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้วและผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไป
ยังผู้รับประกันภัยแล้วว่า ตนจ�ำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น
ธ
ผู้รับประโยชน์ย่อมมีสิทธิในการได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือจ�ำนวนเงินที่ผู้รับประกันใช้ให้และ
มีหน้าทีบ่ อกกล่าวแก่ผรู้ บั ประกันภัยโดยไม่ชกั ช้า ถึงความวินาศเกิดขึน้ เนือ่ งจากภัยทีผ่ รู้ บั ประกันภัยตกลง
มส
ประกันภัยไว้เมื่อผู้รับประโยชน์ทราบความวินาศนั้น
อุทาหรณ์
ฎ. 32/2521 ผู้เช่าซื้อเอาประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อโดยระบุผู้ให้เช่าซื้อเป็นผู้รับประโยชน์รถยนต์
เกิดอุบัติเหตุผู้ให้เช่าซื้อแจ้งให้ผู้รับประกันภัยใช้ค่าเสียหายตามกรมธรรม์ประกันภัยเป็นการถือเอา
ประโยชน์ตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกและฟ้องคดีเองได้ ไม่ใช่ฟ้องแทนผู้ซื้อ
ฎ. 35/2523 ตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่ง ช. ผู้เอาประกันภัยท�ำไว้กับจ�ำเลยผู้รับประกันภัยระบุ
ม
ให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ เมื่อทรัพย์ที่เอาประกันภัยถูกเพลิงไหม้หมดและโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้
จ�ำเลยทราบแล้วว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาตามกรมธรรม์นนั้ สิทธิของโจทก์ยอ่ มเกิดมีขนึ้ ตัง้ แต่เวลา
ที่แสดงเจตนาดังกล่าว ช. หรือจ�ำเลยหาอาจเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่
ฎ. 2447/2516 ไม่มีกฎหมายบทใดจ�ำกัดสิทธิผู้เอาประกันภัยว่าจะระบุใครเป็นผู้รับประโยชน์
ไม่ได้บ้าง แม้บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ญาติของผู้เอาประกันภัยก็อาจถูกระบุเป็นผู้รับประโยชน์ได้
อนึ่ง ได้มีค�ำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับคู่สัญญาประกันภัย ดังนี้
อุทาหรณ์
สธ
ฎ. 2664/2517 โจทก์เช่าซื้อรถยนต์จากจ�ำเลยที่ 1 โดยมีข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อว่าโจทก์เป็น
ผู้เสียค่าประกันภัยรถยนต์ในนามจ�ำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของรถแล้วจ�ำเลยที่ 1 ได้ไปท�ำสัญญาประกันภัย
รถคันนีก้ บั จ�ำเลยที่ 2 ซึง่ เป็นผูร้ บั ประกัน และโจทก์เป็นผูอ้ อกเงินในการประกันภัย ดังนี้ ถือไม่ได้วา่ โจทก์
ม
11-38 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
แต่ในวงเล็บมีชื่อโจทก์ และที่อยู่ของผู้เอาประกันภัยก็ลงที่อยู่ในโจทก์ ทั้งนี้ โดยผู้ให้เช่าซื้อมิได้มีส่วนได้
เสียในเหตุที่ประกันภัยนั้น หลังจากโจทก์ช�ำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนก็เพื่อเป็นการสะดวกแก่การที่จ�ำเลยจะ
มส
มาเก็บเงินและเพื่อผู้ให้เช่าซื้อจะได้คอมมิชชันด้วยเท่านั้น โจทก์ผู้เช่าซื้อจึงเป็นผู้เอาประกันภัย มีอ�ำนาจ
ฟ้องจ�ำเลยผู้รับประกันภัยเกี่ยวกับความเสียหายของรถยนต์ของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้ได้
ฎ.1406/2523 สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ก�ำหนดให้ผู้เช่าซื้อเอาประกันภัยรถยนต์ ผู้ให้เช่าซื้อเป็นผู้รับ
ประโยชน์รถหายผู้ให้เช่าซื้อไม่เรียกร้องเอาจากผู้รับประกันภัยเพราะเสี่ยงที่ผู้รับประกันภัยอาจยกต่อสู้
ผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ เมื่อล่วงเลยไป 3 ปี จึงเรียกร้องเอาจากผู้เช่าซื้อ ไม่เป็นการใช้
สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้เช่าซื้อต้องช�ำระค่าเช่าซื้อที่ยังขาดอยู่แก่ผู้ให้เช่าซื้อ
ในส่วนทีเ่ กีย่ วกับสิทธิหน้าทีข่ องผูร้ บั ประกันภัย ผูเ้ อาประกันภัยและผูร้ บั ประโยชน์จะกล่าวเฉพาะ
ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาในสัญญาประกันภัย
คู่สัญญาอาจตกลงกันไว้ประการใดก็ได้ถ้าไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ธ
และได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียน นอกจากนี้ยังมีกฎหมายบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติประกัน
วินาศภัยและพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 ได้บัญญัติหน้าที่ของบริษัทผู้รับประกันภัยไว้อีก
หลายประการเช่น ต้องมีหลักทรัพย์ของบริษัทวางไว้กับนายทะเบียน33 การด�ำรงไว้ซึ่งเงินกองทุน34 การ
มส
ธ
หากแต่มีความแตกต่างกันดังนี้คือ
1. ตัวแทนประกันภัยเป็นบุคคลที่บริษัทแต่งตั้งขึ้นโดยอยู่ในการควบคุมบังคับบัญชาของบริษัท
มส
ผู้รับประกันภัย ซึ่งจะท�ำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ส่วนนายหน้าประกันภัยเป็นบุคคลที่ไม่อยู่ในการ
ควบคุมบังคับบัญชาของบริษัทผู้รับประกันภัยสามารถท�ำหน้าที่ของตนได้โดยอิสระ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการ
ท�ำหน้าที่แทนผู้รับประกันภัยหรือได้รับมอบหมายให้กระท�ำการใดแทนผู้รับประกันภัย
2. ตัวแทนประกันภัยมีหน้าที่ชักชวนให้บุคคลเข้าท�ำสัญญาประกันภัยกับบริษัทผู้รับประกันภัย
เท่านั้น ไม่มีอ�ำนาจเข้าท�ำสัญญาประกันภัยกับบุคคลอื่นแทนบริษัทผู้รับประกันภัย เว้นแต่จะเป็นกรณีที่
ได้มอบอ�ำนาจเป็นหนังสือจากผู้รับประกันภัยตามแบบที่อธิบดีกรมการประกันภัยก�ำหนด ส่วนนายหน้า
ประกันภัยจะมีหน้าที่เพียงแนะน�ำชี้ช่องหรือจัดการให้ผู้เอาประกันภัยได้เข้าท�ำสัญญาประกันภัยกับบริษัท
ผู้รับประกันภัยจนส�ำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเท่านั้น
3. การท�ำงานของตัวแทนประกันภัยนัน้ จะได้รบั ค่าจ้างในรูปของเงินเดือนจากบริษทั ผูร้ บั ประกันภัย
ธ
ส่วนนายหน้าประกันภัยนั้นจะท�ำการงานก็เพื่อหวังบ�ำเหน็จที่จะได้จากการที่ตนได้ชี้ช่องหรือจัดการให้
บุคคลเข้าท�ำสัญญาประกันภัยกับบริษัทผู้รับประกันภัย
มส
4. ตัวแทนประกันภัยต้องระบุด้วยว่าเป็นตัวแทนของบริษัทผู้รับประกันภัยใด ซึ่งอาจจะเป็น
ตัวแทนของหลายบริษัทผู้รับประกันภัยก็ได้ แต่ต้องมีหนังสือยินยอมของบริษัทผู้รับประกันภัยซึ่งตนได้
เป็นตัวแทนอยู่แล้วยินยอมด้วย เพื่อให้นายทะเบียนพิจารณาออกใบอนุญาตให้เป็นตัวแทนของบริษัท
ผูร้ บั ประกันภัยรายใหม่ ส่วนนายหน้าประกันภัยไม่จ�ำเป็นต้องระบุวา่ เป็นนายหน้าของบริษทั ผูร้ บั ประกันภัย
รายใด
5. ตัวแทนประกันภัยต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ส่วนนายหน้าประกันภัยจะเป็นบุคคล
ธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
นอกจากนั้นยังมีความแตกต่างระหว่างตัวแทนและนายหน้าประกันภัยอื่นอีกตามบทบัญญัติใน
พระราชบัญญัติประกันชีวิตและพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535
นอกจากนี้ พรบ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 61 และ พรบ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535
มาตรา 64 ได้ก�ำหนดคุณสมบัติของตัวแทนประกันภัยไว้ดังนี้คือ
สธ
(1) บรรลุนิติภาวะ
(2) มีภูมิล�ำเนาในประเทศไทย
(3) ไม่เป็นคนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
ม
11-40 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
นายหน้าประกันชีวิตหรือวินาศภัยแล้วแต่กรณี ในระยะเวลาสามปีก่อนวันขอรับใบอนุญาต
(8) ได้รับการศึกษาวิชาประกันชีวิตจากสถาบันการศึกษาที่นายทะเบียนประกาศก�ำหนด หรือ
มส
สอบความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิตได้ตามหลักสูตรและวิธีการที่นายทะเบียนประกาศก�ำหนด
อนึ่ง ทั้งตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิตจะท�ำหน้าที่ของตนได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากนาย
ทะเบียนประกันชีวิตแล้วเท่านั้น เนื่องจากกฎหมายห้ามมิให้ผู้ใดกระท�ำการเป็นตัวแทนประกันชีวิต หรือ
นายหน้าประกันชีวติ เว้นแต่จะได้ใบอนุญาตจากนายทะเบียน หากฝ่าฝืนจะมีความผิดโทษจ�ำคุก หรือปรับ
หรือทั้งจ�ำทั้งปรับ
อนึ่ง ตัวแทนประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัยอาจท�ำสัญญาประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัยแล้ว
แต่กรณีในนามของบริษัทได้ เมื่อได้รับมอบอ�ำนาจเป็นหนังสือจากบริษัท36
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งไม่เป็นตัวแทนประกันภัย หรือเป็นกรรมการผู้จัดการ พนักงาน
หรือลูกจ้างในบริษัทใดหากมีคุณสมบัติดังเช่นผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันภัยดังได้กล่าวมาแล้ว
ธ
นั้นก็มีสิทธิยื่นค�ำขอรับใบอนุญาตต่อนายทะเบียนได้
ส�ำหรับนิติบุคคลอาจขอรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันวินาศภัยแล้ว
มส
แต่กรณีได้เมื่อ
(1) นิติบุคคลนั้นมีส�ำนักงานใหญ่ในประเทศไทย
(2) กิจการดังกล่าวอยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้น
(3) นิติบุคคลนั้นมีพนักงานหรือลูกจ้างที่ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตหรือประกัน
วินาศภัย แล้วแต่กรณีเป็นผู้ท�ำการแทนนิติบุคคลดังกล่าว
(4) นิตบิ คุ คลนัน้ ต้องไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวติ หรือวินาศภัยแล้วแต่
กรณีในระยะเวลาสามปีก่อนวันขอรับใบอนุญาต37 ม
และนายทะเบียนมีอ�ำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตหรือวินาศภัย หรือใบ
อนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตหรือวินาศภัย เมื่อปรากฏแก่นายทะเบียนว่าตัวแทนประกันภัยหรือ
นายหน้าประกันภัยดังมีลักษณะกล่าว38นี้
(1) กระท�ำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย
แล้วแต่กรณี
สธ
36พรบ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 71 และ พรบ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มาตรา 66
37พรบ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 72 และ พรบ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มาตรา 67
38พรบ. ประกันชีวิต พ.ศ. 2535 มาตรา 81 และ พรบ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มาตรา 76
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-41
ธ
ฎ. 599/2537 ตัวแทนในการขายประกันมีหน้าที่เพียงชักชวนให้ผู้อื่นมาท�ำสัญญาประกันชีวิตกับ
จ�ำเลยเท่านั้น มิใช่ตัวแทนในการท�ำกรมธรรม์ประกันชีวิต การที่ตัวแทนในการขายประกันจะได้รู้ถึง
มส
ข้อความจริงที่ผู้เอาประกันชีวิตไม่เปิดเผยหรือไม่ ก็หาอาจจะยกเป็นข้อยันจ�ำเลยได้ไม่
กิจกรรม 11.2.3
จงอธิบายความหมายของค�ำดังต่อไปนี้ (มาตรา 862)
1. ผู้รับประกันภัย
2. ผู้เอาประกันภัย
3. ผู้รับประโยชน์
ธ
แนวตอบกิจกรรม 11.2.3
ผูร้ บั ประกันภัย หมายความว่า คูส่ ญ
ั ญาซึง่ ตกลงจะใช้คา่ สินไหมทดแทน หรือใช้เงินจ�ำนวนหนึง่ ให้
มส
ม
สธ
ม
11-42 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 11.3
สาระสำ�คัญของสัญญาประกันภัย
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 11.3 แล้วจึงศึกษารายละเอียดดังต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
11.3.1 หลักสุจริตอย่างยิ่งในสัญญาประกันภัย
11.3.2 หลักฐานของสัญญาประกันภัย
11.3.3 กรมธรรม์ประกันภัย
1. ส ญ
ั ญาประกันภัยเป็นสัญญาทีม่ ลี กั ษณะพิเศษแตกต่างไปจากสัญญาธรรมดาทัว่ ไป โดย
เฉพาะความเกี่ยวข้องกันระหว่างคู่กรณีในสัญญาประกันภัยที่ต้องมีความสุจริตต่อกัน
เป็นอย่างยิ่ง
2. สัญญาประกันภัยไม่มีแบบเนื่องจากกฎหมายไม่ได้ก�ำหนดแบบไว้ เพียงแต่คู่สัญญา
ธ
จะ ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็น
ส�ำคัญ
มส
3. กรมธรรม์ประกันภัย เป็นเอกสารที่กฎหมายบังคับให้ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่ออกและ
ส่งมอบกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 11.3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายลักษณะพิเศษของสัญญาประกันภัยได้
2. อธิบายและวินิจฉัยความสมบูรณ์ของสัญญาประกันภัยได้
3. อธิบายและวินิจฉัยลักษณะและความส�ำคัญของกรมธรรม์ประกันภัยได้
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-43
เรื่องที่ 11.3.1
หลักสุจริตอย่างยิ่งในสัญญาประกันภัย
ธ
การประกันภัย เป็นการเฉลี่ยความเสียหายที่เกิดจากภัยอย่างหนึ่งอย่างใดแก่บุคคลหนึ่งไปยัง
บุคคลอืน่ ซึง่ อยูใ่ นลักษณะเสีย่ งภัยชนิดเดียวกันและร่วมกัน โดยมีวตั ถุประสงค์เพือ่ บรรเทาความเดือดร้อน
มส
ของบุคคลผู้เอาประกันภัยที่ประสบภัย ทั้งหลักการประกันภัยนั้นต้องไม่ก่อให้เกิดก�ำไรหรือประโยชน์
อย่างหนึ่งอย่างใดแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันภัย อันเป็นลักษณะที่แตกต่างกับการพนันขันต่อ
ดังนั้น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากภัยดังกล่าวจึงต้องเท่ากับความเสียหาย
ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดภัยจากการกระท�ำโดยจงใจของผู้เอาประกันภัย
สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่อาศัยเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดในอนาคต ข้อตกลงต่างๆ ใน
สัญญาประกันภัยส่วนใหญ่ได้มาจากผู้เอาประกันภัยเป็นส�ำคัญ สัญญาประกันภัยจึงต้องอาศัยความ
ซื่อสัตย์สุจริตของคู่สัญญาประกันภัยเป็นสาระส�ำคัญของสัญญาประกันภัย
ฝ่ายผู้รับประกัน จะยอมรับประกันภัยต่อเมื่อทราบหรือคาดคะเนได้ว่าภัยที่จะเข้าไปรับเสี่ยงมี
ลักษณะอย่างไร มีความรุนแรงเสียหายมากน้อยเพียงใด ซึง่ ภัยทีก่ ล่าวถึงโดยเฉพาะนีค้ อื ภัยทีผ่ เู้ อาประกันภัย
ธ
มีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญอยู่ว่าจะเกิดขึ้นได้ อันจะมีผลให้ต้องได้รับความเสียหาย จึงต้องการที่จะถ่ายเท
ความเสี่ยง (Transfer of Risk) ไปให้ผู้รับประกันภัย และผู้รับประกันภัยสามารถที่จะกระจายความเสี่ยง
ภัย (Risk Distribution) นีอ้ อกไปโดยการเข้ารับความเสีย่ งประเภทเดียวกันนีก้ บั บุคคลอืน่ ๆ ยิง่ สามารถ
มส
มาจากการค�ำนวณ โดยใช้หลักวิชาคณิตศาสตร์ประกันภัยและสถิติ
ม
ควรเป็นเท่าใด ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายเงินเพื่อตั้งเป็นกองทุนไว้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้ที่
ต้องประสบภัยประเภทเดียวกัน จ�ำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายนี้ เรียกว่า “เบี้ยประกันภัย” ซึ่งได้
ธ
ประกันภัยต่อ” (Reinsurance) เนือ่ งจากความเสีย่ งภัยบางประเภทหากเกิดความเสียหายขึน้ ผูร้ บั ประกัน
ภัยรายนั้นแต่เพียงรายเดียว ไม่สามารถที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยได้โดยล�ำพัง ต้องน�ำ
มส
ความเสี่ยงภัยนั้นมากระจายเฉลี่ยออกไปตามก�ำลังความสามารถ (Capacity) ของผู้รับประกันภัยแต่ละ
รายที่สามารถจะรับความเสี่ยงภัยไว้เองได้ (Retention) ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้รับประกันภัยที่สุจริต
จะต้องปฏิบัติเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับผู้เอาประกันภัยได้
ฝ่ายผู้เอาประกันภัย จะขอให้ผู้รับประกันภัยรายใดรับประกันภัยในความเสี่ยงภัยของตน ก็ต่อ
เมื่อมีความเชื่อและมีความศรัทธาในความซื่อสัตย์สุจริตในผู้รับประกันภัยรายนั้นๆ ความสามารถในการ
บริหารงานและความมั่นคงของผู้รับประกันภัยว่า สามารถที่จะปฏิบัติตามสัญญากล่าวคือชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทน หรือใช้เงินตามทีไ่ ด้ตกลงกันไว้ให้ได้เมือ่ เกิดภัยขึน้ จึงอาจกล่าวได้วา่ ในการเข้าท�ำสัญญาประกันภัย
คู่สัญญานอกจากจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันแล้ว ยังต้องมีความเชื่อและศรัทธาซึ่งกันและกันด้วย
ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่ง (Utmost Good Faith)
ธ
มาตรา 865 บัญญัติว่า “ถ้าในเวลาท�ำสัญญาประกันภัยผู้เอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกัน
ชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผย
มส
ข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมท� ำ
สัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ
ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในก�ำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอก
ล้างได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในก�ำหนดห้าปีนับแต่วันท�ำสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับ
สิ้นไป”
ควรพิจารณาตามหลักสุจริตอย่างยิ่งในสัญญาประกันภัย คือ
1. บุคคลผู้มีหน้าที่เปิดเผยข้อความจริง
ม
บุคคลผู้มีหน้าที่เปิดเผยและแถลงความจริงนั้นสามารถแบ่งเป็น 2 กรณี คือ บุคคลผู้มีหน้าที่เปิด
เผยและแถลงความจริงในสัญญาประกันวินาศภัย คือ ผู้เอาประกันวินาศภัย และบุคคลผู้มีหน้าที่เปิดเผย
ข้อความจริงในสัญญาประกันชีวิต คือ ผู้เอาประกันชีวิต และในกรณีที่เป็นการประกันชีวิตบุคคลอื่น
นอกจากผูเ้ อาประกันชีวติ แล้ว ผูถ้ กู เอาประกันชีวติ (บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะ
ของเขานั้น) ย่อมมีหน้าที่ในการแถลงข้อความจริงด้วย
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-45
2. การเปิดเผยข้อความจริงและการแถลงข้อความเท็จ
ข้อความที่ต้องเปิดเผยและแถลงได้แก่ข้อความซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ย
ประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมท�ำสัญญา และต้องเป็นข้อความที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้มีหน้า
ที่ต้องแถลงรู้อยู่แล้วในขณะท�ำสัญญาประกันภัย ถ้าไม่รู้ถือไม่ได้ว่ามีการไม่เปิดเผยข้อความจริง หรือ
ธ
แถลงข้อความเป็นความเท็จ กฎหมายมิได้บญ ั ญัตขิ ยายความต่อไปว่าข้อความอย่างไรจึงจะถือว่าถึงขนาด
ที่อาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือบอกปัดไม่ยอมท�ำสัญญา จึงต้อง
พิจารณาตามความเห็นของวิญญูชนทัว่ ไปในฐานะซึง่ เป็นผูเ้ อาประกันภัยว่า ข้อความใดถึงขนาดทีจ่ ะท�ำให้
sentation)
มส
ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือบอกปัดไม่ยอมท�ำสัญญาประกันภัย
อนึ่ง ตาม ปพพ. มาตรา 865 ได้ระบุเหตุที่จะท�ำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะไว้ 2 กรณี
คือ 1) การปกปิดข้อความจริง (Concealment) และ 2) การแถลงข้อความอันเป็นเท็จ (Misrepre-
ค�ำรับรอง
ม
ในเรื่องนี้กฎหมายของอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกามีหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวคือ
เรื่องค�ำรับรองซึ่งมีเรื่องน่าพิจารณาดังนี้คือ
ธ
Law) ซึ่งได้วางหลักไว้ว่าถ้ามีการผิดค�ำรับรอง (Breach of Warranty) ไม่ว่าในกรณีใด สัญญาตกเป็น
โมฆียะ ซึง่ ผูร้ บั ประกันภัยสามารถจะปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือจ่ายเงินตามกรมธรรม์ประกันภัย
มส
ได้ทันที ไม่ว่าค�ำรับรองนั้นจะเป็นสาระส�ำคัญหรือเป็นเรื่องที่ท�ำให้ช่องแห่งความเสี่ยงภัยเปลี่ยนแปลงไป
หรือไม่ก็ตาม กล่าวคือแม้จะไม่เป็นเหตุที่ถึงขนาดท�ำให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือ
บอกปัดไม่ยอมรับประกันภัย ถ้ามีการผิดค�ำรับรองแล้ว สัญญาจะตกเป็นโมฆียะโดยทันที ซึง่ ในกรณีแถลง
ข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงจะต้องเป็นข้อความจริงที่เป็นสาระส�ำคัญด้วย จึงจะท�ำให้
สัญญาตกเป็นโมฆียะ
หลักกฎหมายในเรื่องนี้ยังใช้บังคับโดยเคร่งครัดในประเทศอังกฤษ ส�ำหรับในสหรัฐอเมริกายังคง
ใช้อย่างเคร่งครัดเฉพาะในสัญญาประกันภัยทางทะเล (Marine Insurance) เท่านั้น
ปัญหาที่ว่าข้อความใด เป็นค�ำรับรองหรือไม่จะต้องพิจารณาจากข้อความหรือเงื่อนไขที่ได้มีการ
ตกลงกันไว้ว่ามีลักษณะเป็นค�ำรับรองหรือไม่ โดยปกติแล้ว มักจะมีค�ำน�ำหน้าว่า “ขอให้ค�ำรับรองว่า”
ธ
หรือข้อความท�ำนองเดียวกัน เป็นต้น
กฎหมายไทยไม่มีหลักกฎหมายท�ำนองนี้ คงจะพิจารณาแต่เพียงว่าเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งของ
มส
ธ
ปัญหาที่ควรพิจารณาต่อไปคือ ถ้าตัวแทนของฝ่ายผู้มีหน้าที่ต้องเปิดเผยหรือแถลงได้แถลง
ข้อความจริงโดยที่ผู้มีหน้าที่ต้องเปิดเผยหรือแถลงไม่รู้เช่นนี้จะมีผลต่อสัญญาประการใด เรื่องนี้จะต้อง
มส
คอยติดตามค�ำพิพากษาของศาลฎีกาต่อไป แต่โดยความเห็นของผูเ้ ขียนแล้ว เห็นว่าหลักส�ำคัญของสัญญา
ประกันภัยคือ ความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่งของคู่สัญญา โดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ผูเ้ อาประกันภัยมีหน้าทีต่ อ้ งเปิดเผยข้อความจริงเพือ่ ให้ผรู้ บั ประกันภัยได้ทราบถึงภัยทีจ่ ะตกลงเข้ารับเสีย่ ง
ข้อความจริงใดก็ตามทีเ่ กีย่ วกับเรือ่ งการเสีย่ งภัยทีเ่ อาประกันภัย ซึง่ จะท�ำให้ผรู้ บั ประกันภัยคิดเบีย้ ประกันภัย
สูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมเข้ารับเสี่ยงภัยควรจะเปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยทราบ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ของ
ตัวผู้เอาประกันภัยหรือตัวแทนก็ตาม ในกรณีที่มีการมอบหมายให้ตัวแทนแถลงข้อความจริง หรือเปิดเผย
ข้อความจริงแทนผู้เอาประกันภัย แม้ว่าตัวผู้เอาประกันภัยเองจะไม่รู้แต่ตัวแทนรู้แล้วไม่แถลง น่าจะถือ
ได้ว่าตัวแทนของผู้เอาประกันภัยปกปิดหรือในกรณีตัวแทนแถลงเท็จยังเป็นเรื่องชัดเจนว่า น่าจะท�ำให้
สัญญาตกเป็นโมฆียะ
ธ
อุทาหรณ์
นายแดงและนางด�ำเป็นสามีภรรยากัน นายแดงป่วยไปให้นายแพทย์ตรวจปรากฏว่านายแดง
มส
เป็นมะเร็ง แพทย์ที่ตรวจแจ้งให้นางด�ำซึ่งเป็นภรรยาทราบว่านายแดงเป็นมะเร็งแต่ไม่ยอมแจ้งให้นายแดง
ทราบ นายแดงตกลงจะท�ำสัญญาประกันชีวิต และในการท�ำประกันชีวิตนี้ มอบให้นางด�ำเป็นผู้เปิดเผย
ข้อความและตอบค�ำถามแถลงข้อความจริงต่างๆ ต่อผู้รับประกันภัยในค�ำถามที่ว่านายแดงป่วยหรือเคย
ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ นางด�ำตอบว่าไม่เคย ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว นางด�ำทราบว่านายแดงก�ำลังป่วย
เป็นโรคมะเร็ง แต่นายแดงไม่ทราบ ดังนี้น่าจะถือว่าสัญญาตกเป็นโมฆียะ เพราะถ้าผู้รับประกันภัยทราบ
ข้อเท็จจริงนี้อาจจะเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมรับประกันภัยก็ได้ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว
ม
การแถลงข้อความของนางด�ำเป็นการแถลงเท็จ โดยเจตนาของ นางด�ำแม้ว่านายแดงจะไม่รู้ข้อความจริง
ก็ตาม
ส่วนในข้อที่วา่ ถ้าผูม้ หี น้าทีต่ อ้ งเปิดเผยหรือแถลงข้อความจริงรู้ แต่ตัวแทนทีม่ อบหมายให้ไปเปิด
เผยหรือแถลงไม่รู้ และผู้มีหน้าที่ดังกล่าวไม่ได้แจ้งให้ตัวแทนทราบตัวแทนจึงไม่ได้เปิดเผยหรือแถลง
ข้อความนั้นให้ผู้รับประกันภัยทราบ กรณีนี้เห็นได้ชัดว่าฝ่ายผู้มีหน้าที่ต้องเปิดเผยหรือแถลงข้อความจริง
ท�ำผิดหน้าที่สัญญาจึงตกเป็นโมฆียะ
มีปัญหาว่าข้อความใดที่จะถือว่าเป็นสาระส�ำคัญ (Material Fact) อันจะท�ำให้ผู้รับประกันภัย
สธ
เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมรับประกันภัยนั้นจะถือตามความคิดหรือตามความเห็นของ
ผู้เอาประกันภัย หรือของวิญญูชนหรือของผู้รับประกันภัย
ม
11-48 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ปัญหาที่ควรพิจารณาต่อไปคือ “วิญญูชน” ที่ว่านี้จะถือเอาวิญญูชนในฐานะผู้เอาประกันภัยหรือ
วิญญูชนในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งความคิดหรือความเห็นของวิญญูชนในฐานะผู้เอาประกันภัยและผู้รับ
มส
ประกันภัยอาจจะต่างกันได้ เพราะผู้เอาประกันภัยเป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งอาจจะไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับการ
ประกันภัยมากเท่าผูร้ บั ประกันภัยโดยเฉพาะอย่างยิง่ ในปัจจุบนั ซึง่ การประกันภัยท�ำเป็นธุรกิจผูร้ บั ประกันภัย
จึงมีฐานะเป็นผู้มีอาชีพในการรับประกันภัยย่อมที่จะเข้าใจและรู้เรื่องเกี่ยวกับการประกันภัยดีกว่าฝ่าย
ผู้เอาประกันภัย อีกประการหนึ่งเงื่อนไขและหลักการต่างๆ ในสัญญาประกันภัยโดยข้อเท็จจริงแล้วก็เป็น
เรื่องยากที่จะเข้าใจ ปัญหาในบางเรื่องอาจจะเป็นปัญหาทางเทคนิคก็ได้
ข้อสังเกต ปพพ. ไม่ได้ก�ำหนดหน้าที่ของผู้รับประกันภัยไว้เป็นพิเศษ แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความ
ว่าผู้รับประกันภัยไม่จ�ำเป็นจะต้องสุจริตในการประกันภัย ผู้รับประกันภัยคงต้องกระท�ำการหรือเข้าท�ำ
สัญญาโดยสุจริตตามบทบัญญัติในมาตรา 5 และบทบัญญัติทั่วไปในเรื่องสัญญา การที่กฎหมายก�ำหนด
เฉพาะผูเ้ อาประกันภัยก็เพราะผูเ้ อาประกันภัยเป็นฝ่ายทีม่ หี น้าทีต่ อ้ งเปิดเผยหรือต้องแถลงเกีย่ วกับสภาพ
ธ
แห่งภัยที่ได้น�ำมาตกลงท�ำสัญญาประกันภัย
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 1675/2500 ผู้เอาประกันชีวิตตนเองแถลงข้อความเท็จในเรื่องอาชีพและค่าเสียเบี้ยประกันภัย
เอง ความจริงไม่มีอาชีพและผู้รับประโยชน์เสียเบี้ยประกันภัยให้เป็นข้อที่ผู้รับประกันภัยอาจไม่ท�ำสัญญา
ด้วย สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆียะ ถ้าบอกล้างไปยังผู้รับประโยชน์แล้ว การบอกล้างนั้นใช้ได้
ฎ. 49/2501 กรมธรรม์ประกันชีวิตขาดอายุ บริษัทต่ออายุให้เพราะผู้ถูกประกันชีวิตท�ำใบรับรอง
ว่าสุขภาพดีเช่นเดิม แต่ความจริงผูถ้ กู ประกันชีวติ รูอ้ ยูว่ า่ ป่วยเกีย่ วกับท้องและสุขภาพไม่สมบูรณ์ เป็นการ
ปกปิดความจริง อันควรต้องแจ้งให้บริษัททราบ บริษัทบอกล้างสัญญาซึ่งเป็นโมฆียะได้
ม
ฎ. 355/2505 ผูเ้ อาประกันชีวติ เคยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคมะเร็งในเม็ดโลหิตขาวไม่มี
ทางรักษาหายและอาจตายภายใน 7 ถึง 6 เดือน หรืออย่างช้าภายใน 5 ปี แต่ปกปิดความจริงว่าไม่เคย
เจ็บป่วย ไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาล ท�ำให้สัญญาเป็นโมฆียะ เมื่อผู้รับประกันชีวิตบอกล้างภายใน
1 เดือนแล้ว ย่อมตกเป็นโมฆะ ผู้รับประโยชน์จะฟ้องเรียกร้องเงินประกันชีวิตไม่ได้
ฎ. 16/2507 ผู้เอาประกันชีวิตรู้ตัวดีว่าตนป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและปัสสาวะเป็นเลือด
ก่อนขอเข้าท�ำสัญญาประกันชีวิต แต่ก็ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงให้บริษัทประกันชีวิตทราบ สัญญา
ประกันชีวิตย่อมตกเป็นโมฆียะ
สธ
ผู้ตายท�ำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทจ�ำเลย โดยระบุให้ผู้เยาว์คนหนึ่งเป็นผู้รับประโยชน์เมื่อ
ปรากฏว่าสัญญาประกันชีวิตรายนี้เป็นโมฆียะ ตาม ปพพ. มาตรา 865 และบริษัทจ�ำเลยได้บอกล้างไป
ยังผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์นั้นแล้ว สัญญานั้นย่อมตกเป็นโมฆะ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-49
ธ
ตามสัญญาได้
ฎ. 765/2517 สามีของโจทก์เอาประกันชีวิตกับบริษัทจ�ำเลย โดยปกปิดความจริงและแถลงเท็จ
บอกล้าง
มส
ว่าไม่เคยให้แพทย์คนใดวินิจฉัยโรคมาก่อนทั้งที่สามีของโจทก์ก็เป็นโรคตับแข็งและโรคในล�ำคออยู่ก่อน
ท�ำให้บริษัทจ�ำเลยไม่อาจบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิตเสียได้ สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆียะ แต่
บริษัทจ�ำเลยไม่ใช้สิทธิบอกล้างเสียภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้ จึงหมดสิทธิจะ
ฎ. 2995/2517 โจทก์เอาประกันภัยกับจ�ำเลยส�ำหรับค่าทดแทนลูกจ้างของโจทก์ในระดับผู้จัดการ
ร้านสาขา ถ้าโจทก์มีความรับผิดต้องจ่ายค่าทดแทน จ�ำเลยจะต้องชดใช้เงินทุกจ�ำนวนที่โจทก์จะต้อง
รับผิดนั้น กรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาทข้อ 5 ระบุว่า “ค่าเบี้ยประกันภัยจะต้องคิดตามจ�ำนวนค่าแรง
และเงินเดือนตลอดทั้งรายได้อื่นๆ ที่ผู้เอาประกันภัยจ่ายให้แก่ลูกจ้างในระหว่างระยะเวลาประกันภัยระยะ
หนึ่งๆ” ดังนั้นการแจ้งจ�ำนวนรายได้ที่แท้จริงที่ผู้เอาประกันภัยจ่ายให้ลูกจ้างจึงเป็นข้อสาระส�ำคัญเมื่อ
ธ
โจทก์แจ้งจ�ำนวนเงินผิดไปถึง 10 เท่าตัวเศษ เป็นผลท�ำให้จ�ำเลยไม่อาจเรียกเบี้ยประกันภัยซึ่งตนมีสิทธิ
เรียกร้องได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยถึง 200,000 บาทเศษ ถือได้ว่าการไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ควรต้อง
มส
แจ้งให้ผู้รับประกันภัยทราบในเวลาท�ำสัญญาประกันภัย สัญญาประกันภัยฉบับพิพาทจึงตกเป็นโมฆียะ
ตาม ปพพ. มาตรา 865
ในสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ส�ำคัญที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงทุกข้ออันอาจจะ
ท�ำให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น หรือบอกปัดไม่ยอมท�ำสัญญาด้วย แม้กรมธรรม์ประกันภัย
จะระบุให้จ�ำเลยมีสิทธิตรวจดูสมุดบัญชีก็ตาม แต่ก็หาใช่เป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จ�ำเลยจะต้องแสวงหา
ข้อเท็จจริงนี้เองไม่ และจะถือว่าจ�ำเลยควรจะทราบข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่ได้ดุจกัน
ม
เมื่อผู้จัดการร้านสาขาคนหนึ่งของโจทก์ถึงแก่ความตายในขณะปฏิบัติหน้าที่โจทก์ได้แจ้งรายได้
อื่นๆ ของผู้ตายนอกจากเงินเดือนให้จ�ำเลยทราบด้วยแล้ว จ�ำเลยไม่ได้บอกล้างโมฆียะกรรมภายใน 1
เดือนนับแต่นั้น แต่การที่จ�ำเลยจะบอกล้างโมฆียกรรมนี้ได้จ�ำเลยจะต้องรู้ข้อเท็จจริงมากกว่านั้น คือต้อง
ค�ำนวณจากรายได้ทแี่ ท้จริงทัง้ หมดของผูจ้ ดั การร้านสาขาของโจทก์ทงั้ หมด เพือ่ จะได้ความว่าโจทก์ปกปิด
ข้อความจริงใดอันจะท�ำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะหรือไม่ เมื่อจ�ำเลยสอบถามไปโจทก์ก็ไม่ตอบ
ให้จ�ำเลยทราบจนกระทั่งฟ้องจ�ำเลยแล้วจ�ำเลยก็ได้บอกล้างภายใน 1 เดือนนับแต่จ�ำเลยได้สอบถามไป
กรณีจึงไม่ต้องด้วยวรรคสองของมาตรา 865
สธ
ฎ. 1218/2519 บริษทั จ�ำเลยถือว่าโรคความดันโลหิตสูงเป็นอันตรายร้ายแรงทีจ่ ะไม่รบั ประกันชีวติ
แต่ผู้เอาประกันชีวิตได้ให้ถ้อยค�ำต่อบริษัทจ�ำเลยว่าไม่เคยป่วยด้วยโรคเช่นว่านั้น สัญญาประกันชีวิตเป็น
โมฆียะ โดยไม่ต้องค�ำนึงว่าผู้เอาประกันชีวิตได้ตายด้วยโรคนั้นหรือไม่
ม
11-50 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
รักษาในโรงพยาบาล จึงเป็นการละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงซึง่ เรือ่ งเหล่านีม้ คี วามส�ำคัญทีจ่ �ำเลยต้องการ
ทราบเพื่อจะน�ำไปประกอบการวินิจฉัยว่าจะรับประกันชีวิตผู้ขอเอาประกันภัยหรือไม่ สัญญาประกันชีวิต
มส
ที่ผู้เอาประกันภัยท�ำไว้กับจ�ำเลยจึงตกเป็นโมฆียะ ตาม ปพพ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง
การตรวจโรคถุงลมโป่งพองโดยวิธีธรรมดาจะพบได้ยากนอกจากฉายเอ็กซเรย์หรือใช้ฉีดสีเข้าไป
ในปอดแล้วฉายเอ็กซเรย์ แต่เมื่อผู้ขอเอาประกันภัยปกปิดมิได้แจ้งเรื่องที่เจ็บป่วยให้แพทย์ผู้ตรวจสุขภาพ
ทราบ ก็ไม่มีเหตุที่แพทย์จะต้องฉายเอ็กซเรย์ตรวจดูถุงลมของผู้เอาประกันภัยเพราะไม่อาจรู้ได้ว่าผู้เอา
ประกันภัยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง นายแพทย์ได้ตรวจร่างกายผู้เอาประกันภัยแล้วเห็นว่าสุขภาพปกติจึง
รายงานเสนอความเห็นควรรับประกันภัยและการประกันชีวิตของจ�ำเลยก็พิจารณาจากรายงานของแพทย์
ประกับค�ำขอเอาประกันภัย เช่นนี้จะฟังว่าจ�ำเลยผู้รับประกันภัยประมาทเลินเล่อมิได้ กรณีไม่ต้อง ตาม
ปพพ. มาตรา 866
ฎ. 1543/2534 ล.รู้ตัวว่าตนเป็นโรคไตวายร้ายแรงแต่ละเว้นไม่เปิดเผยความจริง ท�ำให้จ�ำเลยเข้า
ธ
ท�ำสัญญายอมรับประกันชีวิต ล.โดยไม่ทราบการเป็นโรคไตวายร้ายแรงดังกล่าว ท�ำให้สัญญาประกันชีวิต
เป็นโมฆียะ ตาม ปพพ. มาตรา 865 เมื่อจ�ำเลยบอกล้างภายในก�ำหนดแล้วสัญญาย่อมตกเป็นโมฆะ ดังนี้
มส
โจทก์ในฐานะผู้รับประโยชน์ไม่อาจเรียกร้องให้จ�ำเลยรับผิดชดใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตได้
ฎ. 2397/2536 น.ผู้เอาประกันชีวิตกับจ�ำเลยในขณะท�ำสัญญาประกันชีวิตมีสุขภาพไม่สมบูรณ์
โดยป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคตับแข็ง และละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงให้จ�ำเลยทราบ ซึง่ หากจ�ำเลย
ทราบจะบอกปัดไม่ท�ำสัญญาประกันชีวิตกับ น. การปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าวท�ำให้จ�ำเลยส�ำคัญผิดใน
ข้อเท็จจริงสัญญาประกันชีวิตระหว่างจ�ำเลยกับ น. จึงตกเป็นโมฆียะ เมื่อจ�ำเลยได้บอกล้างสัญญาแล้วจึง
ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาต่อโจทก์
ม
ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อความจริงให้ผู้รับประกันภัยทราบ จะถือว่าการไม่ตรวจ
สุขภาพของผูเ้ อาประกันภัยก่อนเป็นการละเว้นหาได้ไม่ แม้การประกันชีวติ ในทุกประกันต�ำ่ ตามหลักเกณฑ์
ที่กระทรวงพาณิชย์ก�ำหนดไม่จ�ำเป็นต้องตรวจสุขภาพผู้เอาประกันภัยก็ยังถือไม่ได้ว่าผู้รับประกันภัยไม่
ถือเอาเรื่องสุขภาพของผู้เอาประกันภัยเป็นส�ำคัญ
สัญญาประกันชีวิตที่กระท�ำโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติ ปพพ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง เป็นโมฆียะผู้รับ
ประกันภัยย่อมใช้สิทธิบอกล้างได้ หากไม่ใช้สิทธิบอกล้าง สัญญาดังกล่าวย่อมใช้บังคับได้ จึงเป็นสิทธิ
ของผู้รับประกันภัยจะบอกล้างหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น แม้ผู้รับประกันภัยจะใช้สิทธิบอกล้างแต่เพียงเฉพาะ
สธ
สัญญารายใดก็หาเป็นการไม่ชอบไม่
ฎ. 599/2537 ป. รู้อยู่ก่อนแล้วว่าตนเป็นโรคความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หาย ได้
ขอเอาประกันชีวิตต่อจ�ำเลยโดยปกปิดข้อเท็จจริงไปกรอกข้อความในค�ำขอเอาประกันภัยว่าตนเป็น
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-51
ธ
ข้อความที่ไม่ถือว่าเป็นสาระส�ำคัญแม้ปกปิดสัญญาประกันภัยก็ไม่ตกเป็นโมฆียะ
อุทาหรณ์
มส
ฎ. 715/2513 การละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ย
ประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมท�ำสัญญา ตาม ปพพ. มาตรา 865 จะต้องพิจารณาถึงความส�ำคัญ
ของข้อความที่ละเว้นไม่เปิดเผยด้วยมิใช่ว่าถ้ามีการปกปิดความจริงแล้วจะท�ำให้สัญญาประกันภัยเป็น
โมฆียะไปเสียทั้งหมด
โรคไส้เลื่อนมิใช่เป็นโรคอันตรายร้ายแรง เมื่อผ่าตัดแล้วอาจหายไปได้ การที่ผู้เอาประกันภัยมิได้
แจ้งเรื่องเคยเป็นโรคนี้ และได้รับการผ่าตัดมาก่อนให้ทราบยังไม่ถึงขนาดที่อนุมานเอาได้ว่า ถ้าได้แจ้ง
เช่นนั้นผู้รับประกันภัยจะบอกปัดไม่รับประกันภัย หรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้น จึงไม่ท�ำให้สัญญา
ประกันชีวิตเป็นโมฆียะ
ฎ. 1422/2516 บริษัทจ�ำเลยไม่ถือว่าการที่ผู้ตายเคยถูกปฏิเสธการรับประกันชีวิตมาก่อนเป็น
ธ
ข้อส�ำคัญ ข้อส�ำคัญอยู่ที่ว่าขณะผู้ตายขอประกันครั้งที่เกิดเหตุเรื่องนี้สุขภาพของผู้ตายสมบูรณ์หรือไม่
ฉะนั้น เมื่อนายแพทย์ของบริษัทจ�ำเลยตรวจสุขภาพผู้ตายและเสนอเรื่องให้บริษัทจ�ำเลย จนบริษัทจ�ำเลย
มส
ธ
ฎ. 2792/2546 ใบค�ำขอเอาประกันชีวิต พ. แจ้งว่าไม่เคยรับการตรวจสุขภาพหรือการตรวจเพื่อ
วินจิ ฉัยโรค ไม่เคยเจ็บป่วย ไม่เคยรับการรักษาในสถานพยาบาล ไม่เคยเป็นหรือรับการรักษาโรคเกีย่ วกับ
มส
ตาหูคอจมูกไม่เคยเป็นโรคหืดหอบหรือโรคเกี่ยวกับปอดหรือระบบหายใจเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า
วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2538 พ. เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล เพราะพยายามฆ่าตัวตาย วัน
ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2539 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ด้วยโรคไซนัสอักเสบติดเชื้อ เดือนตุลาคม
พ.ศ. 2539 เป็นต้นมาเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลหลายครั้งด้วยอาการหลอดลมอักเสบ กระดูก
อ่อนซี่โครงอักเสบ ปวดศีรษะ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย กินอาหารไม่ได้เดือนธันวาคม พ.ศ. 2539 แพทย์
ตรวจพบว่าเป็นโรคเอดส์หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ดังนั้น พ. จึงแจ้งข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความ
จริงต่อจ�ำเลย ซึ่งถือว่าเป็นข้อสาระส�ำคัญ สัญญาประกันชีวิตจึงเป็นโมฆียะ ตาม ปพพ. มาตรา 865
วรรคหนึ่ง เป็นหน้าที่โดยตรงที่ผู้เอาประกันภัยต้องแจ้งข้อเท็จจริงตามที่ผู้รับประกันภัยจ�ำเลยต้องการ
ทราบและก�ำหนดไว้ การให้แพทย์ตรวจผู้เอาประกันภัยหรือไม่เป็นดุลพินิจของผู้รับประกันภัยเมื่อผู้เอา
ประกันภัยปกปิดความจริง แถลงข้อความเป็นเท็จเสียแล้วโจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าจ�ำเลยไม่ได้ให้แพทย์
ธ
ตรวจร่างกายผู้เอาประกันภัยถือว่าประมาทและไม่ท�ำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ
ฎ. 1333/2551 ช. เป็นตัวแทนในการหาผู้เอาประกันมีหน้าที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาท�ำสัญญาประกัน
มส
ธ
ค�ำขอนั้น ผู้เอาประกันภัยเองก็ได้ทราบและรับรองไว้ว่าเป็นข้อความจริงอันเป็นมูลฐานและสาระส�ำคัญ
แห่งการออกกรมธรรม์ของฝ่ายผูร้ บั ประกันภัย ดังนีย้ อ่ มมีผลให้สญ
ั ญาไม่สมบูรณ์เป็นโมฆียะ ผูร้ บั ประกันภัย
มส
มีสิทธิบอกล้างและคืนแต่ค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ทายาทของผู้เอาประกันภัยเท่านั้น
4. ผลของการปกปิดหรือแถลงข้อความจริง
สัญญาประกันภัยตกเป็น “โมฆียะ” ผู้รับประกันภัยสามารถจะใช้สิทธิบอกล้างได้ภายในระยะ
เวลาที่กฎหมายก�ำหนดไว้
ข้อสังเกต ในกรณีที่ผู้เอาประกันรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง หรือแถลงข้อความ
อันเป็นความเท็จและเป็นข้อความที่ถึงขนาดที่จะท�ำให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือบอกปัด
ไม่ยอมท�ำสัญญา ซึ่งมีผลท�ำให้สัญญาตกเป็นโมฆียะ แม้ว่าเหตุวินาศภัยหรือเหตุที่ก�ำหนดไว้ตามสัญญา
จะเกิดจากสาเหตุอื่นไม่เกี่ยวข้องกับความที่ผู้มีหน้าที่ต้องแถลงปกปิดหรือแถลงเท็จก็ตามผู้รับประกันภัย
ธ
ยังคงมีสิทธิที่จะบอกล้างสัญญาประกันภัยนั้นได้ เพราะสัญญานั้นยังคงเป็นโมฆียะอยู่
อุทาหรณ์
มส
5. ระยะเวลาการบอกล้างสัญญาประกันภัยที่ตกเป็นโมฆียะ
ผูร้ บั ประกันภัยจะต้องบอกล้างสัญญาประกันภัยทีต่ กเป็นโมฆียะภายในหนึง่ เดือนนับแต่วนั ทีผ่ รู้ บั
ประกันภัยทราบมูลอันบอกล้าง แต่ไม่เกินห้าปีนับแต่วันท�ำสัญญาประกันภัยนั้น มิฉะนั้นย่อมหมดสิทธิ
สธ
บอกล้างสัญญาประกันภัยดังกล่าว
ม
11-54 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
อุทาหรณ์
ฎ. 1247/2514 อายุความบอกล้างสัญญาประกันภัยตอนแรกของมาตรา 865 วรรคสอง นัน้ หมายถึง
ว่าผู้รับประกันภัยต้องใช้สิทธิบอกล้างภายในก�ำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบข้อมูล
อันจะต้องบอกล้างได้
โจทก์ยนื่ ค�ำขอรับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวติ ซึง่ ผูต้ ายท�ำไว้กบั บริษทั จ�ำเลยเมือ่ วันที่ 24
ธ
สิงหาคม พ.ศ. 2509 พร้อมด้วยรายงานของนายแพทย์โรงพยาบาลผู้รักษาผู้ตายครั้งสุดท้ายว่า ผู้ตาย
ป่วยเป็นมะเร็งล�ำไส้ใหญ่และตายด้วยโรคดังกล่าว และได้ระบุไว้ในรายงานนัน้ อีกว่าผูต้ ายเคยรับการผ่าตัด
มส
ด้วยโรคมะเร็งล�ำไส้ใหญ่ที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งเป็นเวลาก่อนผู้ตายเอาประกันชีวิตไว้กับ
บริษัทจ�ำเลย เช่นนี้ถือว่าบริษัทจ�ำเลยย่อมมีเหตุควรทราบได้แล้วว่าผู้ตายปกปิดข้อความจริงดังกล่าว
ตัง้ แต่วนั ที่ 29 สิงหาคม 2509 บริษทั จ�ำเลยจะอ้างว่ารายงานแพทย์ดงั กล่าวนัน้ ยังไม่แน่นอน บริษทั จ�ำเลย
ยังต้องสืบสวนต่อไปจนได้รับความจริงแน่นอนเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2509 ว่าผู้ตายได้ป่วยและรับ
การผ่าตัดด้วยโรคดังกล่าวมิได้ เพราะอายุความกฎหมายก�ำหนดให้เริม่ นับแต่วนั ทีท่ ราบมูลอันจะบอกล้าง
ได้เท่านั้น มิใช่เริ่มนับแต่วันที่ทราบความจริง ฉะนั้น เมื่อบริษัทจ�ำเลยบอกล้างโมฆียกรรมเมื่อวันที่ 11
ตุลาคม 2509 ซึ่งเป็นเวลาเกินหนึ่งเดือนแล้วกรมธรรม์ประกันชีวิตจึงมีผลบังคับบริษัทจ�ำเลย
ข้อสังเกต ค�ำพิพากษาฉบับนี้ใช้ค�ำว่าอายุความบอกล้างสัญญาประกันภัย ซึ่งความจริงแล้วหา
ใช่อายุความไม่แต่เป็นเรื่องระยะเวลาบอกล้างโมฆียกรรมคู่กรณีสามารถตกลงย่นเข้าหรือขยายออกได้
ธ
อุทาหรณ์
ฎ. 1785/2538 ค�ำว่า “มูลอันจะบอกล้างได้” ตาม ปพพ. มาตรา 865 วรรคสอง คือ ข้อความ
มส
ธ
ถือไม่ได้ว่าจ�ำเลยใช้สิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตดังกล่าว ตาม ปพพ. มาตรา 865 วรรคสอง จ�ำเลย
ต้องรับผิดใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้โจทก์ทั้งสาม
มส
6. กรณีผู้รับประกันภัยรู้ข้อความจริงที่มีการปกปิด
ปพพ. มาตรา 866 บัญญัติว่า “ถ้าผู้รับประกันภัยได้รู้ข้อความจริงดังกล่าวใน มาตรา 865 นั้น
ก็ดี หรือรู้ว่าข้อแถลงความเป็นความเท็จก็ดี หรือควรจะได้ รู้เช่นนั้นหากใช้ความระมัดระวังดังจะพึงคาด
หมายได้แต่วิญญูชนก็ดี ท่านให้ฟังว่าสัญญานั้นเป็นอันสมบูรณ์”
มาตรานี้เน้นเรื่องความระมัดระวังของผู้รับประกันภัย ถ้าผู้รับประกันภัยได้รู้ข้อความจริงที่ได้มี
การปกปิดหรือมีการแถลงเป็นความเท็จนั้นแล้ว หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังจะพึง
คาดหมายได้แต่วิญญูชน สัญญาประกันภัยนั้นเป็นอันสมบูรณ์
อุทาหรณ์
ธ
ฎ. 2447/2516 การประกันชีวิตที่ผู้รับประกันภัยมีสิทธิบอกล้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์มาตรา 865 นั้น จะต้องเป็นการปกปิดความจริงหรือแถลงความเท็จในข้อสาระส�ำคัญเฉพาะใน
มส
เวลาเข้าท�ำสัญญาประกันชีวิตเท่านั้น
แม้ผู้ขอประกันชีวิตจะปกปิดหรือแถลงเท็จเกี่ยวกับฐานะอันแท้จริง หากผู้รับประกันภัยควรจะ
ได้รู้เท่าทันถึงฐานะของบุคคลนั้น โดยใช้ความระมัดระวังสอดส่องเยี่ยงวิญญูชนแล้ว สัญญาประกันชีวิต
นั้นก็เป็นอันสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 866 ผู้รับประกันภัยหามีสิทธิบอก
ล้างไม่
การยกข้อต่อสู้ในเรื่องการปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความอันเป็นเท็จกฎหมายให้สิทธิ
ม
เฉพาะฝ่ายผู้รับประกันภัยเท่านั้นที่มีสิทธิยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อบอกล้างสัญญาประกันภัยที่เป็นโมฆียะให้
ตกเป็นโมฆะได้ทั้งนี้เพราะฝ่ายที่กระท�ำผิดคือฝ่ายผู้เอาประกันภัยที่ปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความ
อันเป็นเท็จจริง ดังนั้น ผู้เอาประกันภัยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะยกเอาความผิดของตนมาเป็นข้อบอกล้าง
สัญญาได้
การอ้างเหตุบอกล้างสัญญาในกรณีนี้ฝ่ายผู้รับประกันภัยจะต้องอ้างหรือพิสูจน์ให้ได้ว่า
1) ฝ่ายผู้เอาประกันภัย รู้ข้อความจริงนั้นอยู่แล้ว แต่ปกปิดเสีย หรือแถลงข้อความอันเป็นเท็จ
2) การรับประกันภัยของผู้รับประกันภัยได้พิจารณาโดยถือเอาข้อความ หรือข้อเท็จจริงตามที่
สธ
ผู้เอาประกันภัยเปิดเผยหรือแถลง
3) ข้อความทีป่ กปิดหรือแถลงเท็จนัน้ เป็นสาระส�ำคัญซึง่ ถ้าผูร้ บั ประกันภัยรูจ้ ะเรียกเบีย้ ประกันภัย
สูงขึ้น หรือบอกปัดไม่ยอมรับเสี่ยงภัย
ม
11-56 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
สินไหมทดแทน (Indemnity Contract) เมื่อเกิดเหตุวินาศภัยขึ้น ปัญหาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ว่าค่าเสียหาย
ที่เกิดขึ้นเป็นจ�ำนวนเท่าใด
มส
นอกจากนี้ ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย กล่าวคือผู้เอาประกันภัยต้องมี
กรรมสิทธิ์ สิทธิประโยชน์ หรือความรับผิดชอบในวัตถุที่เอาประกันภัย ขณะที่ท�ำสัญญาประกันภัย และ
เป็นการป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่วัตถุที่เอาประกันภัยโดยเกิดจากความจงใจของผู้เอาประกันภัย
ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยไม่ได้มีส่วนได้เสียในวัตถุที่เอาประกันภัย
กิจกรรม 11.3.1
จงอธิบายเรื่องหลักความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่งในสัญญาประกันภัย
ธ
แนวตอบกิจกรรม 11.3.1
สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาทีต่ อ้ งการความซือ่ สัตย์ของคูส่ ญ
ั ญายิง่ กว่าสัญญาประเภทอืน่ กล่าว
มส
คือคู่สัญญาต้องซื่อสัตย์ต่อกัน ซึ่งการตัดสินใจของผู้รับประกันภัยขึ้นอยู่กับข้อมูลหรือข้อความจริงที่
ผู้เอาประกันภัยแถลงให้ทราบ และเมื่อมีภัยเกิดขึ้นหรือมีความเสียหายเกิดขึ้นผู้เอาประกันภัยจะได้รับ
ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินตามจำ�นวนที่กำ�หนดไว้ในสัญญาดังนั้น มาตรา 865 จึงกำ�หนดหน้าที่ของ
ผู้เอาประกันภัยว่าถ้ามีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับการประกันวินาศภัยหรือประกันชีวิตแล้ว
ผูเ้ อาประกันจะต้องมีความสุจริตอย่างยิง่ ในการเปิดเผยข้อความจริงทีต่ นทราบให้ผรู้ บั ประกันภัยทราบด้วย
หากผู้เอาประกันปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้ผู้รับประกันภัยทราบ ซึ่งหากทราบแล้วผู้รับประกันภัย
ม
จะไม่รับประกันภัย หรือถ้ารับก็อาจจะเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นอีกเช่นนี้สัญญาประกันภัยนั้นตกเป็นโมฆียะ
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-57
เรื่องที่ 11.3.2
หลักฐานของสัญญาประกันภัย
ธ
นิติกรรมสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ท�ำตามแบบ ถ้าไม่ท�ำตามแบบดังกล่าวนิติกรรมสัญญานั้น
ตกเป็นโมฆะไม่มผี ลใช้บงั คับกันได้ระหว่างคูก่ รณี เช่น สัญญาซือ้ ขายอสังหาริมทรัพย์จะต้องท�ำเป็นหนังสือ
มส
และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การที่กฎหมายก�ำหนดว่า จะต้องท�ำเป็นหนังสือ หมายความว่า
คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องลงลายมือชื่อในหนังสือหรือในสัญญานั้น แต่ถ้าระบุแต่เพียงว่าให้มีหลักฐาน
เป็นหนังสือ เพียงแต่มีลายมือชื่อของฝ่ายที่ต้องรับผิดก็เพียงพอแล้ว
ปพพ. มาตรา 867 บัญญัติ “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใด
อย่างหนึง่ ลงลายมือชือ่ ฝ่ายทีต่ อ้ งรับผิดชอบหรือลายมือชือ่ ตัวแทนของฝ่ายนัน้ เป็นส�ำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้อง
ให้บังคับคดีหาได้ไม่...”
สัญญาประกันภัยนั้นกฎหมายก�ำหนดแต่เพียงว่า จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้อง
บังคับคดีได้เท่านั้น ซึ่งหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวไม่ใช่แบบของสัญญาประกันภัย ดังนั้นถ้าฝ่ายผู้เอา
ประกันภัยจะฟ้องผู้รับประกันภัย ก็เพียงแต่มีข้อความแสดงว่ามีการเอาประกันภัยและมีลายมือชื่อของ
ธ
ผู้รับประกันภัยย่อมถือว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องรับบังคับคดีกันได้แล้ว เช่น ใบเสร็จรับเงินที่แสดง
ว่าเป็นการรับเบี้ยประกันภัย และมีลายมือชื่อของผู้รับประกันภัย เป็นต้น หลักฐานที่ฝ่ายผู้รับประกันภัย
อาจจะน�ำมาใช้ฟ้องร้องผู้เอาประกันภัยได้ เช่น ใบค�ำขอเอาประกันภัย เป็นต้น
มส
อุทาหรณ์
ฎ. 1564/2525 สัญญาประกันภัยนั้น กฎหมายมิได้ก�ำหนดแบบแห่งนิติกรรมไว้ เพียงแต่บังคับ
ให้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนเป็นส�ำคัญ มิฉะนั้น
จะฟ้องร้องให้บังคับคดีมิได้ ดังนั้น สัญญาประกันภัยจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงเจตนาท�ำค�ำเสนอค�ำสนอง
ถูกต้องตรงกัน
แม้สญ
ม
ฎ. 2668/2528 ค�ำว่าหลักฐาน ตาม ปพพ. มาตรา 867 มิใช่แบบที่กฎหมายบังคับไว้ ตาม ปพพ.
มาตรา 115 (ปัจจุบันมาตรา 152) จึงไม่จ�ำเป็นต้องมีข้อความระบุอย่างชัดเจนว่ามีข้อตกลงกันอย่างไรบ้าง
ั ญาประกันภัยไม่มหี ลักฐานเป็นหนังสือ ก็มผี ลเป็นสัญญาถูกต้องตามกฎหมาย หากเพียงแต่จะฟ้อง
ร้องบังคับคดีไม่ได้เท่านั้น ความประสงค์ของกฎหมายที่ให้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็เพียงเพื่อความมั่นคง
แน่นอน กฎหมายหาได้บังคับไว้ว่าจะต้องเขียนหรือท�ำในรูปแบบอย่างใดไม่
ฉะนั้นหากมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดปรากฏข้อความชัดแจ้งพอรับฟังได้ว่ามีการ
ตกลงท�ำสัญญาประกันภัย และปรากฏลายมือชื่อฝ่ายที่จะต้องรับผิดแล้ว ศาลย่อมบังคับได้ตามหลักฐาน
สธ
นั้นๆ
เมื่อหนังสือมีข้อความยืนยันว่า จ�ำเลยได้ท�ำสัญญาประกันภัยกับโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย
ทีโ่ จทก์ฟอ้ งจริง แต่ดว้ ยเหตุผลบางประการจ�ำเลยจ�ำเป็นต้องบอกเลิกสัญญาประกันภัยดังกล่าว เมือ่ โจทก์
ม
11-58 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ตั้งแต่วันท�ำสัญญาก็ได้ จึงเป็นการสมควรที่จะให้ผู้รับประกันภัยออกหลักฐานให้ผู้เอาประกันภัยยึดถือไว้
โดยให้มีรายละเอียดที่จ�ำเป็นต่างๆ อยู่โดยครบถ้วน
มส
หลักฐานอื่นๆ เช่นใบเสร็จรับเงินที่ผู้รับประกันภัยออกไว้ให้ผู้เอาประกันภัยเป็นหลักฐานว่า ได้
รับเงินเบีย้ ประกันภัยไปจากผูเ้ อาประกันภัยแล้ว ใบค�ำขอเอาประกันภัย และเอกสารอืน่ ใดก็ตามทีม่ ลี ายมือ
ชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือตัวแทนของฝ่ายนั้นอยู่ย่อมน�ำมาเป็นหลักฐานในการฟ้องคดีได้ทั้งสิ้น ซึ่งจะต้อง
พิจารณาข้อเท็จจริงประกอบเป็นกรณีๆ ไป ไม่ว่าหลักฐานที่มีอยู่ใช้ได้เพียงใดหรือไม่
อุทาหรณ์
ฎ. 2568/2520 ค�ำสนองรับประกันภัยที่แก้ไขค�ำเสนอ คนของผู้รับประกันภัยน�ำไปตกลงกับผู้เอา
ประกันภัยเป็นค�ำเสนอต่อหน้าขึน้ ใหม่ เกิดสัญญาเมือ่ ตกลงทันทีบนั ทึกปะหน้าของผูป้ ระกันภัยเป็นเอกสาร
ตาม ปพพ. มาตรา 867 ได้
ฎ. 60/2523 สารบัญประกันภัยที่โจทก์อ้างมีข้อความระบุถึงผู้รับประกันภัย ผู้เอาประกันภัย และ
ธ
รถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้เท่านั้น ไม่มีลายมือชื่อผู้รับประกันภัยหรือลายมือชื่อตัวแทนผู้รับประกันภัยแต่
อย่างใดโจทก์จึงอาศัยเอกสารดังกล่าวฟ้องร้องบังคับคดีเอาจากผู้รับประกันภัยไม่ได้
ฎ. 2661/2532 ใบเสร็จรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยมีลายมือชื่อผู้จัดการของจ�ำเลย และมีรายละเอียด
มส
ธ
มส
กิจกรรม 11.3.2
จงอธิบายเรื่องหลักฐานของสัญญาประกันภัย ตามมาตรา 867
แนวตอบกิจกรรม 11.3.2
หลักฐานของสัญญาประกันภัย มิใช่แบบของสัญญาประกันภัยที่กฎหมายกำ�หนดให้ทำ� จึงไม่
จำ�เป็นต้องมีขอ้ ความระบุอย่างชัดเจนว่ามีการตกลงประกันภัยกันอย่างไร แม้สญ ั ญาประกันภัยไม่มหี ลักฐาน
เป็นหนังสือก็มีผลเป็นสัญญาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และสัญญาประกันภัยนั้นก็ย่อมสมบูรณ์ได้ หาก
เพียงแต่จะฟ้องรัองบังคับคดีกนั ไม่ได้เท่านัน้ เอง การทีก่ ฎหมายประสงค์ให้สญ
ั ญาประกันภัยต้องมีหลักฐาน
เป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำ�คัญก็เพื่อความมั่นคงแน่นอนในการฟ้องร้องบังคับกัน
ธ
ตามสัญญาดังกล่าว
มส
เรื่องที่ 11.3.3
กรมธรรม์ประกันภัย
ม
กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารที่ผู้รับประกันภัยจัดท�ำขึ้นและส่งมอบให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดย
มีขอ้ ความต้องตามทีไ่ ด้ท�ำสัญญาประกันภัย ซึง่ มิใช่สญั ญาประกันภัยเนือ่ งจากสัญญาประกันภัยไม่จ�ำต้อง
ท�ำเป็นหนังสือ หากมีการตกลงกันระหว่างคู่กรณีโดยมีค�ำเสนอค�ำสนองถูกต้องตรงกันสัญญาประกันภัย
ก็เกิดขึ้นแล้ว และกรมธรรม์ประกันภัยก็มิใช่แบบของสัญญาประกันภัยด้วยดังได้กล่าวมาแล้วว่า ลักษณะ
ของสัญญาประกันภัยนั้นเป็นสัญญาที่ไม่ต้องท�ำตามแบบเพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็สามารถจะ
ฟ้องร้องบังคับคดีได้ และได้ก�ำหนดหน้าทีข่ องผูร้ บั ประกันทีจ่ ะต้องออกหลักฐานให้ผเู้ อาประกันภัยยึดถือไว้
สธ
ซึ่งเรียกชื่อหลักฐานนี้ว่า “กรมธรรม์ (policy) โดยได้ก�ำหนดไว้ด้วยว่ากรมธรรม์ประกันภัยต้องลงลายมือ
ชื่อของผู้รับประกันภัย และมีรายการตามที่ระบุไว้อีก 11 รายการ
ม
11-60 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
(3) ราคาแห่งมูลประกันภัย ถ้าหากได้ก�ำหนดกันไว้
(4) จ�ำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัย
มส
(5) จ�ำนวนเบี้ยประกันภัย และวิธีส่งเบี้ยประกันภัย
(6) ถ้าหากสัญญาประกันภัยมีก�ำหนดเวลา ต้องลงเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดไว้ด้วย
(7) ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับประกันภัย
(8) ชื่อหรือยี่ห้อของผู้เอาประกันภัย
(9) ชื่อของผู้รับประโยชน์ ถ้าจะพึงมี
(10) วันท�ำสัญญาประกันภัย
(11) สถานที่และวันที่ได้ท�ำกรมธรรม์ประกันภัย”
มีข้อสังเกตว่าการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยเพียงแต่ฝ่ายที่เสียหายมีหลักฐานเป็น
หนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบ ก็ฟ้องร้องได้แล้ว การที่กฎหมายก�ำหนดให้ผู้รับประกันภัยออก
ธ
กรมธรรม์ประกันภัยโดยได้ก�ำหนดให้มรี ายการต่างๆ ถึง 11 รายการนัน้ แม้วา่ ผูร้ บั ประกันไม่ออกกรมธรรม์
ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือออกกรมธรรม์ประกันภัยให้โดยมีข้อความไม่ครบตามที่กฎหมาย
มส
ก�ำหนดก็ไม่เป็นเหตุให้สัญญาประกันภัยเสียไปแต่ประการใด ถ้าผู้เอาประกันภัยมีหลักฐานเป็นหนังสือที่
แสดงว่าได้มีการท�ำสัญญาประกันภัยและมีลายมือชื่อของผู้รับประกันภัยแล้ว ผู้เอาประกันภัยก็ย่อมจะ
ฟ้องร้องให้ผู้รับประกันภัยให้รับผิดได้
การที่กฎหมายก�ำหนดเรื่องกรมธรรม์ประกันภัยและรายการในกรมธรรม์ประกันภัยไว้ก็เพื่อ
ก�ำหนดหน้าที่ของผู้รับประกันภัยในการจัดท�ำหลักฐานให้ผู้เอาประกันภัยยึดถือไว้ให้เรียบร้อยเท่านั้น
สัญญาประกันภัยบางชนิด เช่น สัญญาประกันชีวิตมีก�ำหนดระยะเวลายาวนาน อาจเป็น 15 ปี 20 ปี หรือ
ม
ตลอดชีวิตของผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอาจจะไม่ทราบข้อตกลงระหว่าง
ผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยก็ได้ จึงควรที่จะมีการก�ำหนดรายละเอียดต่างๆ ไว้ให้ชัดเจน
ในทางปฏิบตั ผิ รู้ บั ประกันภัย ซึง่ ได้แก่บริษทั ประกันภัยต่างๆ จะพิมพ์ขอ้ สัญญาซึง่ โดยทัว่ ไปเรียก
ว่าเงื่อนไขกรมธรรม์อยู่ในตัวกรมธรรม์ประกันภัยด้วย
ส�ำหรับในประเทศไทยก่อนที่บริษัทจะรับประกันภัยต้องท�ำแบบกรมธรรม์ประกันภัยไปขอรับ
ความเห็นชอบจากนายทะเบียน (Insurance Commissioner) ก่อน เมื่อได้รับความเห็นชอบในเรื่อง
แบบของตัวกรมธรรม์ เงื่อนไขของสัญญาและอัตราเบี้ยประกันภัยแล้วผู้รับประกันภัยจึงจะรับประกันภัย
สธ
ตามแบบที่ได้รับอนุญาตนั้นกับบุคคลทั่วไปได้
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-61
การที่กฎหมายมีข้อก�ำหนดเช่นนี้เพื่อมุ่งคุ้มครองประชาชนทั่วไปที่จะเอาประกันภัยไว้กับบริษัท
และควบคุมบริษทั ทีร่ บั ประกันภัยโดยให้บริษทั ก�ำหนดหลักฐานไว้ให้ถกู ต้องชัดเจน ก�ำหนดเงือ่ นไขไว้โดย
ชัดแจ้ง ไม่ใช่วา่ มีขอ้ ยกเว้นความรับผิดจนไม่ตอ้ งรับผิดเลย และให้มกี ารเก็บเบีย้ ประกันในอัตราทีเ่ หมาะสม
กับความคุม้ ครองให้แก่ผเู้ อาประกันภัยด้วยซึง่ ในทางปฏิบตั นิ นั้ บริษทั ผูร้ บั ประกันภัยจะจัดพิมพ์กรมธรรม์
ไว้เป็นครัง้ ละจ�ำนวนมากเป็นมาตรฐานของการรับประกันภัยแต่ละแบบไว้ เมือ่ มีผมู้ าขอเอาประกันภัยและ
ธ
บริษัทพิจารณารับแล้วก็เพียงแต่เติมข้อความลงในช่องที่เว้นว่างไว้เท่านั้น
ปัจจุบันนี้ได้มีความพยายามที่จะออก “กรมธรรม์มาตรฐาน” (Standard Policy) ในหลายๆ
มส
เรื่อง ซึ่งส�ำหรับประเทศไทยขณะนี้มีกรมธรรม์มาตรฐานแล้ว เช่น กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยและกรมธรรม์
ประกันภัยรถยนต์ เป็นต้น กรมธรรม์มาตรฐานนี้เป็นกรมธรรม์ที่ทางราชการจัดท�ำขึ้นเพื่อให้บริษัทผู้รับ
ประกันภัยทุกบริษัทใช้ปฏิบัติเหมือนกันหมดเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งในสหรัฐอเมริกา มลรัฐ
นิวยอร์ก ได้ก�ำหนดกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยมาตรฐานไว้ตั้งแต่ ค.ศ. 1943
การที่มีกรมธรรม์มาตรฐานก็เพื่อประโยชน์ในเรื่องป้องกันการแข่งขันกันโดยไม่เป็นธรรม การตัด
ราคากันจนเป็นผลเสียต่อธุรกิจ ประชาชน และประเทศชาติ รายการในกรมธรรม์ประกันภัยมี 11 รายการ
ดังต่อไปนี้
1) วัตถุที่เอาประกันภัย กรณีประกันชีวิต (Life Insurance) ได้แก่ ชีวิตของผู้เอาประกันใน
กรณีที่เอาประกันชีวิตตนเอง และชีวิตของบุคคลที่ถูกเอาประกันในกรณีที่เป็นการเอาประกันชีวิตบุคคล
ธ
ที่ 3
กรณีประกันอย่างอื่นนอกจากประกันชีวิต (Non-life Insurance) วัตถุที่เอาประกันหมายถึงสิ่ง
มส
ธ
แห่งมูลประกันภัยและจ�ำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยเท่านั้น
ตัวอย่างที่ 2 บ้านหลังหนึ่งตีราคา 200,000 บาท เอาประกันไว้เพียง 100,000 บาท เช่นนี้ราคา
มส
แห่งมูลประกันภัยกับจ�ำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยแตกต่างกัน
กรณีตามตัวอย่างที่ 2 นี้ในทางประกันภัยเรียกว่า coinsurance กล่าวคือถือว่าผู้เอาประกันร่วม
รับประกันภัยตัวเองไว้ดว้ ยครึง่ หนึง่ กล่าวคือถ้าบ้านเกิดไฟไหม้ไปครึง่ หลังเสียหายเป็นเงินจ�ำนวน 100,000
บาท บริษัทประกันภัยคงจ่ายให้ผู้รับประกันภัยเพียง 100,000 บาท ส่วนอีก 100,000 บาท ถือว่าผู้เอา
ประกันภัยรับเสี่ยงภัยเอง
5) จ�ำนวนเบี้ยประกันภัย และวิธีส่งเบี้ยประกันภัย เบี้ยประกันภัยเป็นเงินซึ่งผู้เอาประกันภัยจะ
ต้องจ่ายให้แก่ผู้รับประกันภัยเป็นการตอบแทนในการที่ผู้รับประกันภัยรับเสี่ยงภัยให้ความคุ้มครองแก่
ผู้เอาประกันภัยในวันที่เอาประกันภัยกับวัตถุที่เอาประกันภัย การช�ำระเบี้ยประกันภัยอาจจะส่งใช้ครั้ง
เดียว เมื่อตกลงท�ำสัญญากันหรืออาจจะส่งเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน สามเดือน หกเดือน หรือรายปีก็ได้
ธ
แล้วแต่จะตกลงกันในแต่ละประเภทของการประกันภัย
วิธกี ารส่งเบีย้ ประกันภัย ผูร้ บั ประกันภัยอาจจะส่งคนน�ำใบเสร็จรับเงินไปเก็บถึงบ้านผูเ้ อาประกันภัย
มส
ธ
ปฏิบัติในการพิจารณารับประกันภัยของผู้รับประกันภัยประกอบ
11) สถานที่และวันที่ได้ท�ำกรมธรรม์ประกันภัย สถานที่ท�ำกรมธรรม์ หมายถึงสถานที่ที่ออก
มส
กรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยนั่นเอง อาจจะแตกต่างจากสถานที่ที่ตกลงท�ำสัญญาประกันภัยก็ได้
เนือ่ งจากการออกกรมธรรม์เป็นเพียงการทีผ่ รู้ บั ประกันภัยออกหลักฐานเป็นหนังสือทีเ่ รียกกรมธรรม์ประกันภัย
ให้ผู้เอาประกันภัยไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น
วันทีไ่ ด้ท�ำกรมธรรม์ประกันภัย คือ วันทีผ่ รู้ บั ประกันออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผเู้ อาประกันภัย
ซึ่งอาจจะเป็นวันเดียวกับวันที่ท�ำสัญญาประกันภัย หรือหลังจากวันที่ได้มีการตกลงท�ำสัญญาประกันภัย
แล้วก็ได้แต่จะเป็นก่อนวันที่ตกลงท�ำสัญญาประกันภัยนั้นไม่น่าจะมีได้ในการท�ำสัญญาประกันภัยนั้น โดย
ปกติผู้เอาประกันจะต้องยื่นค�ำขอเอาประกันต่อบริษัท ซึ่งถือว่าเป็นค�ำเสนอในการท�ำสัญญากับบริษัท
สัญญาประกันภัยยังไม่เกิดจนกว่าบริษัทจะตอบรับว่ายอมรับประกันภัยตามที่เสนอขอแล้ว เมื่อบริษัทได้
รับค�ำขอแล้วก็จะพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ จากใบค�ำขอ และหลักฐานอื่นประกอบ เช่น กรณีการประกัน
ธ
ชีวิตอาจมีรายงานการตรวจสุขภาพของแพทย์ประกอบ หรือกรณีประกันวินาศภัยอาจจะต้องมีการออก
ไปตรวจทรัพย์สินที่จะประกันภัยก่อนที่บริษัทจะรับประกันภัย เมื่อบริษัทตกลงรับประกันภัยแล้วสัญญา
มส
ประกันภัยจึงจะเกิดโดยสมบูรณ์ ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะถือเอาวันที่บริษัทออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้
เอาประกันภัย เป็นวันที่บริษัทตอบตกลงรับประกันภัย และสัญญาประกันภัยเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่นั้น
อุทาหรณ์
ฎ. 529/2513 กรมธรรม์ประกันภัยท�ำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษแนบส�ำเนากรมธรรม์ประกันภัยฉบับ
ภาษาอังกฤษ พร้อมด้วยค�ำแปลเป็นภาษาไทยมาพร้อมฟ้อง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง จ�ำเลยยื่น
ค�ำร้องขอยืดเวลาค�ำให้การ อ้างว่ากรมธรรม์ประกันภัยเป็นภาษาอังกฤษและโจทก์แปลติดมาท้ายฟ้องนั้น
ม
จ�ำเลยจ�ำต้องตรวจค�ำแปลกับต้นฉบับว่าแปลถูกต้องหรือไม่ ศาลอนุญาตเมื่อจ�ำเลยยื่นค�ำให้การ จ�ำเลย
มิได้ให้การต่อสู้ว่าค�ำแปลกรมธรรม์ประกันภัยเป็นภาษาไทยที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องนั้นไม่ถูกต้อง คดีจึง
ไม่มปี ระเด็นโต้เถียงกันว่าค�ำแปลกรมธรรม์ประกันภัยเป็นภาษาไทยทีโ่ จทก์แนบมาท้ายฟ้องนัน้ ไม่ถกู ต้อง
การที่วินิจฉัยว่ากรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความอย่างใดและมีความหมายเป็นประการใด ศาลจึงต้องยึดถือ
ค�ำแปลภาษาไทยดังปรากฏที่โจทก์แนบมาพร้อมฟ้อง
ฎ. 1462/2515 โจทก์ฟอ้ งว่า โจทก์รบั ประกันภัยรถยนต์ไว้ตามส�ำเนากรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้อง
จ�ำเลยให้การว่ารถยนต์คนั นีจ้ ะได้เอาประกันภัยไว้กบั โจทก์หรือไม่ จ�ำเลยไม่รบั รอง มีความหมายว่า จ�ำเลย
สธ
ไม่รับรองว่ามีการประกันภัยรถยนต์ แต่จ�ำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสาร
กรมธรรม์ประกันภัย
ม
11-64 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ฎ. 1006/2518 กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์มีข้อความยกเว้นความรับผิดชอบผู้รับประกันภัย ใน
กรณีที่ผู้ขับขี่รถยนต์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ถูกต้องตามกฎหมาย อันสามารถใช้ขับขี่ยานยนต์ที่เอาประกัน
ภัย ผูข้ บั รถมีแต่ใบอนุญาตขับขีร่ ถยนต์ตามพระราชบัญญัตริ ถยนต์ แต่ไม่มใี บอนุญาตตามพระราชบัญญัติ
การขนส่งทางบกฯ ผู้รับประกันไม่ต้องรับผิด
ฎ. 882/2523 กรมธรรม์ประกันภัยระบุไว้วา่ โจทก์มที อี่ ยูท่ แี่ ห่งหนึง่ และได้น�ำสถานทีห่ รือทรัพย์สนิ
ธ
ที่โจทก์อยู่นี้เองเอาประกันภัยไว้กับจ�ำเลย ต่อมาโจทก์แจ้งที่อยู่ของโจทก์ใหม่ ซึ่งจ�ำเลยก็ได้สลักหลังให้
แก่โจทก์แล้ว การสลักหลังดังกล่าวจะฟังว่าเป็นการแก้เฉพาะที่อยู่ของโจทก์อย่างเดียวย่อมไม่ได้ เพราะ
มส
สถานที่อยู่ของโจทก์ก็คือวัตถุที่โจทก์เอาประกันภัยไว้แต่เดิมนั้นเอง ทั้งที่อยู่ของโจทก์ผู้เอาประกันภัยจะ
มีการเปลี่ยนแปลงภายหลังหรือไม่ ก็ไม่ใช่ข้อสาระส�ำคัญที่จะต้องระบุในกรมธรรม์ประกันภัย ตาม ปพพ.
มาตรา 867
ฎ. 2634/2536 เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยก�ำหนดว่า การประกันภัยไม่คุ้มครองการขับขี่โดย
บุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใดๆ หรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกินกว่า 180 วัน หรือเคยได้
รับแต่ถกู ตัดสิทธิตามกฎหมายในการขับรถยนต์ในเวลาเกิดอุบตั เิ หตุ แต่การยกเว้นนีจ้ ะไม่น�ำมาใช้ในกรณี
ที่ความเสียหายต่อรถที่เกิดขึ้นมิใช่ความประมาทของผู้ขับขี่รถยนต์ที่เอาประกันภัยดังนี้ แม้จะปรากฏว่า
ในขณะเกิดเหตุรถยนต์ชนกัน ผู้ขับขี่รถที่เอาประกันภัยไม่มีหรือไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ก็ตาม
เมื่อจ�ำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับขี่ และฟ้องมิได้กล่าวไว้เช่นนั้น จ�ำเลยย่อม
ธ
ไม่อาจน�ำข้อยกเว้นดังกล่าวมาใช้ปัดความผิด
ฎ. 4830/2537 เงื่อนไขจ�ำกัดความรับผิดของผู้รับประกันภัย มีใจความว่าไม่ว่ากรณีใดๆ จะต้อง
มส
ไม่ถือว่าการประกันภัยนี้ขยายไปคุ้มครองการสูญเสีย การเสียหายหรือค่าใช้จ่ายอันมีต้นเหตุอย่างใกล้ชิด
จากความล่าช้านัน้ มีความหมายถึงความล่าช้าทีเ่ ป็นเหตุโดยตรงให้สนิ ค้าทีเ่ อาประกันภัยไว้เสียหายเท่านัน้
เมื่อปรากฏว่าเหตุที่สินค้าเอาประกันภัยเกิดความเสียหายเนื่องมาจากการระเบิดในห้องเครื่องยนต์ของ
เรือ หาใช่เกิดจากความล่าช้าในการขนส่งไม่ ผู้รับประกันภัยจึงไม่พ้นความรับผิด
ฎ. 1922/2550 โจทก์น�ำรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ มาประกันภัยไว้กับจ�ำเลย ในระหว่างอายุสัญญา
ประกันภัย ลูกจ้างของโจทก์ขบั รถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวโดยมีรถพ่วงอยูด่ ว้ ย ไปเกิดอุบตั เิ หตุชนการ์ดเลน
ม
คอสะพานเป็นเหตุให้การ์ดเลนคอสะพานและรถยนต์บรรทุกมีประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย ซึ่งตาม
สัญญาประกันภัยได้ก�ำหนดถึงการคุ้มครองความรับผิดไว้ในสัญญา แต่ก็ได้ก�ำหนดข้อยกเว้นรับผิดไว้
หลายประการ โดยมีสัญญาข้อหนึ่งไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้ลากจูงหรือผลักดัน เว้นแต่
รถที่ถูกลากจูงหรือถูกผลักดันได้ประกันภัยไว้กับบริษัท แสดงให้เห็นว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยจ�ำเลย
ไม่ประสงค์จะคุ้มครองถึงกรณีที่มีการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปลากจูงหรือผลักดัน อันท�ำให้เกิด
ความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งหากผู้เอาประกันภัยประสงค์จะให้คุ้มครองถึงส่วนที่ลากจูงก็จะต้องแจ้งความจ�ำนง
ให้ชัดเจนเพื่อผู้รับประกันภัยจะได้ก�ำหนดเบี้ยประกันให้พอเหมาะกับความเสี่ยงที่มากขึ้น การที่โจทก์น�ำ
สธ
รถทีเ่ อาประกันภัยไปลากจูงรถพ่วงอีกคันหนึง่ จึงเป็นการกระท�ำเข้าข้อยกเว้นความรับผิดของจ�ำเลย จ�ำเลย
จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-65
ธ
จะมีหรือไม่ก็ได้ เป็นต้น
มีปัญหาต่อไปว่าถ้ารายการที่จ�ำเป็นต้องมี เช่น วัตถุเช่นเอาประกันภัย จ�ำนวนเบี้ยประกัน หรือ
มส
เอกสารใดๆ เป็นต้น แต่รายการนั้นไม่มีในกรมธรรม์ประกันภัยผลจะเป็นประการใด
กรมธรรม์ประกันภัยนี้ กฎหมายก�ำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้รับประกันภัยที่จะต้องออกกรมธรรม์
ประกันภัยให้แก่ผเู้ อาประกันภัย โดยให้มรี ายการตามทีก่ �ำหนดไว้ ซึง่ แต่ละรายการก็มคี วามส�ำคัญทีเ่ กีย่ วกับ
ข้อตกลงในการท�ำสัญญาประกันภัย ถ้าหากผู้รับประกันภัยออกกรมธรรม์ประกันภัยที่รายการขาดตก
บกพร่องไป เท่ากับว่าผูร้ บั ประกันภัยไม่ได้ปฏิบตั หิ น้าทีต่ ามทีก่ ฎหมายก�ำหนดไว้โดยถูกต้อง ผูเ้ อาประกันภัย
อาจเรียกให้ผู้รับประกันภัยออกกรมธรรม์ประกันภัยที่มีรายการครบถ้วนถูกต้องให้ใหม่ได้
ดังที่กล่าวมาตอนต้นแล้วว่ากรมธรรม์ประกันภัยเป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับ
ประกันภัยให้ผู้เอาประกันภัยเก็บไว้เป็นหลักฐานนั้น แม้ว่ารายการจะขาดตกบกพร่องไป ตราบใดที่มี
ลายมือชื่อของผู้รับประกันภัย และมีข้อความแสดงให้เห็น หรือเป็นหลักฐานได้ว่า มีการท�ำสัญญาประกัน
ธ
ภัยระหว่างผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย ผู้เอาประกันภัยย่อมน�ำเอากรมธรรม์ประกันภัยนั้นมาเป็น
หลักฐานฟ้องร้องผู้รับประกันภัยได้ ไม่ว่ารายการในกรมธรรม์ประกันภัยนั้นจะขาดตกบกพร่องไปมาก
มส
กรมธรรม์ประกันภัยและใบค�ำขอเอาประกันภัยที่น�ำมาเป็นตัวอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจนี้
เป็นกรมธรรม์ประกันภัยทีใ่ ช้อยูใ่ นธุรกิจในปัจจุบนั ได้แก่ กรมธรรม์ประกันอัคคีภยั และกรมธรรม์ประกันภัย
รถยนต์ ซึง่ เป็นกรมธรรม์มาตรฐาน (Standard Policy) ทีบ่ ริษทั ผูร้ บั ประกันภัยทุกบริษทั ใช้อย่างเดียวกัน
หมด ส�ำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตยังไม่มีกรมธรรม์มาตรฐาน เนื่องจากการประกันชีวิตมีมากมายหลาย
ประเภท แต่ในขณะนี้ก็มีความพยายามที่จะมีเงื่อนไขมาตรฐานขึ้น กล่าวคือ หากกรมธรรม์ประกันชีวิต
ธ
ใดจะมีเงื่อนไขตามที่ได้มีการก�ำหนดมาตรฐานไว้ จะต้องใช้ข้อความหรือแบบตามเงื่อนไขมาตรฐานนั้น
เพื่อสะดวกในการเข้าใจและตีความและเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันเท่าที่จะท�ำได้
มส
ขอให้ดูตัวอย่างเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยชนิดต่างๆ ในภาคผนวก
กิจกรรม 11.3.3
จงบอกรายการที่ต้องมีในกรมธรรม์ประกันภัย ตาม ปพพ. มาตรา 867
แนวตอบกิจกรรม 11.3.3
กรมธรรม์ประกันภัยนอกจากจะต้องมีการลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัยแล้วต้องมีรายการ
ดังต่อไปนี้
ธ
(1) วัตถุที่เอาประกันภัย
(2) ภัยใดซึ่งผู้รับประกันภัยรับเสี่ยง
มส
บรรณานุกรม
ธ
บรรณการ.
จิตรา เพียรล้ำ�เลิศ. (2555). คำ�อธิบายกฎหมายว่าด้วยประกันภัย. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: สำ�นัก
พิมพ์นิติธรรม.
มส
พินิจ ทิพย์มณี. (2550). หลักกฎหมายประกันภัย. กรุงเทพมหานคร: สำ�นักพิมพ์วิญญูชน.
Harold E. Raynes. (1964). A History of British Insurance. 2nd ed. London: Pitman.
Macgillivray & Parkington. (1975). Insurance. 6th ed. London: Sweet & Maxwell.
Robert I Mehr and Emerson Cammauk. (1966). Principles of Insurance. 4th Ed. New York:
McGraw-Hill Higher Education.
W.A. Dinfdele. (1954). History of Accident Insurance in Great Britain. Brentford: Stone & Cox.
ธ
มส
ม
สธ
มส
ธ
มส
สธ ธ
ม ม
มส
ธ
ภาคผนวก
มส
สธ ธ
ม ม
ม
11-70 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-71
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
11-72 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-73
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
11-74 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-75
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
11-76 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-77
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
11-78 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-79
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
11-80 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-81
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
11-82 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-83
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
11-84 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
ลักษณะทั่วไปของสัญญาประกันภัย 11-85
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
11-86 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มส
ธ
มส
ม
สธ
ม
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย 12-1
หน่วยที่ 12
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
ธ
รองศาสตราจารย์ลาวัลย์ หอนพรัตน์
มส
ธ
มส
ม
ชื่อ รองศาสตราจารย์ลาวัลย์ หอนพรัตน์
วุฒิ น.บ. (เกียรตินิยม), น.ม.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สธ
Cert. International Law
ต�ำแหน่ง รองศาสตราจารย์ประจ�ำสาขาวิชานิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หน่วยที่ปรับปรุง หน่วยที่ 12
ม
12-2 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แผนการสอนประจ�ำหน่วย
ธ
หน่วยที่ 12 ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
ตอนที่
แนวคิด
มส
12.1 ความทั่วไปเกี่ยวกับส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
12.2 สาระส�ำคัญของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
1. ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ได้เอาประกันภัยไว้
2. การที่ผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียท�ำให้สัญญาประกันภัยต่างกับการพนันขันต่อ
3. ส่วนได้เสียในเหตุที่ผู้เอาประกันได้ประกันภัยไว้นั้นต้องมีอยู่ในขณะที่ทำ� สัญญา
ธ
ประกันภัยนั้น
วัตถุประสงค์
มส
กิจกรรมระหว่างเรียน
1.
2.
3.
4.
ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหน่วยที่ 12
ศึกษาเอกสารการสอนตอนที่ 12.1–12.2
ปฏิบัติกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน
ฟังซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
ม
5. ชมรายการวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
6. เข้ารับการสอนเสริม (ถ้ามี)
สธ
7. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียนหน่วยที่ 12
ม
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย 12-3
สื่อการสอน
1. เอกสารการสอน
2. แบบฝึกปฏิบัติ
3. ซีดีเสียงประจ�ำชุดวิชา
ธ
4. รายการสอนทางวิทยุโทรทัศน์ (ถ้ามี)
5. การสอนเสริม (ถ้ามี)
มส
การประเมินผล
1. ประเมินผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรื่อง
3. ประเมินผลจากการสอบไล่ประจ�ำภาคการศึกษา
เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
หน่วยที่ 12 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
ธ
มส
ม
สธ
ม
12-4 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 12.1
ความทั่วไปเกี่ยวกับส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 12.1 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
แนวคิด
มส
12.1.1
12.1.2
12.1.3
12.1.4
แนวคิดและความเป็นมาของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
เหตุผลส�ำคัญของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
ความหมายของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
ลักษณะของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยที่อาจเอาประกันภัยได้
1. บ ุคคลใดเมื่อไม่มีส่วนได้เสียย่อมไม่มีความเสี่ยงภัย จึงไม่มีความจ�ำเป็นที่จะต้องท�ำ
ประกันภัย
2. การที่กฎหมายก�ำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ได้เอาประกันภัยไว้
ธ
ก็เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีการพนันขันต่อ ป้องกันการท�ำลายชีวิตและทรัพย์สินเพื่อหวัง
เอาเงินประกันภัยและป้องกันความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ
มส
3. บุคคลใดถ้าจะมีส่วนได้หรือมีส่วนเสียกับการเกิดหรือไม่เกิดของเหตุการณ์ใดย่อมถือ
ได้ว่ามีส่วนได้เสียในเหตุการณ์นั้น
4. ส่วนได้เสียที่มีกฎหมายรับรองคุ้มครองและส่วนได้เสียตามความเป็นจริงย่อมเอา
ประกันภัยได้
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 12.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
เอาประกันภัยได้
2. อธิบายเหตุผลส�ำคัญของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยได้
3. อธิบายความหมายของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยได้
ม
1. อ ธิ บ ายแนวคิ ด และความเป็ น มาของหลั ก กฎหมายในเรื่ อ งส่ ว นได้ เ สี ย ในเหตุ ที่ ไ ด้
4. ระบุลักษณะของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยอันอาจเอาประกันภัยได้
สธ
ม
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย 12-5
เรื่องที่ 12.1.1
แนวคิดและความเป็นมาของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
ธ
ตามทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วในหน่วยที่ 11 ว่า การประกันภัยเกิดขึน้ จากความต้องการของบุคคลในสังคม
ทีต่ อ้ งการสร้างหลักประกันให้ความมัน่ คงและมัน่ ใจกับตนเองหรือบุคคลทีต่ นเกีย่ วข้องด้วย ไม่วา่ จะในความ
มส
สัมพันธ์ทางด้านการค้าหรือครอบครัวก็ตาม
ทั้ ง นี้ ดร.เอบราแฮม มาสโลว์ 1 (Dr. Abraham Maslow) แห่ ง มหาวิ ท ยาลั ย แบรนดี ส ์
สหรัฐอเมริกา (Brandeis University) ได้แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับซึง่ ความต้องการ
ของมนุษย์นจี้ ะเป็นมูลเหตุชกั จูงใจหรือเป็นแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมหรือการกระท�ำต่างๆ เพือ่ สนองความ
ต้องการของตน เมื่อสามารถสนองความต้องการในระดับหนึ่งได้แล้ว ก็จะมีความต้องการในระดับสูงขึ้น
ไปอีก โดยแบ่งระดับความต้องการออกเป็นดังนี้
ระดับที่ 1 ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological needs) เช่น ความต้องการในเรื่องที่
อยู่อาศัย อาหาร และยารักษาโรค เป็นต้น
ระดับที่ 2 ความต้องการทางด้านความปลอดภัย ความคุ้มครองต่อภยันตรายต่างๆ และความ
ธ
ต้องการความมั่นคง (Safety needs)
ระดับที่ 3 ความต้องการให้เป็นที่ยอมรับในสังคม (Social needs)
ระดับที่ 4 ความต้องการให้กับตน (Ego Needs) ความต้องการฐานะ (Status) และการยอมรับ
มส
จากคนอื่น (Recognition)
ระดับที่ 5 ความต้องการพึงพอใจในความส�ำเร็จของตนเอง (Self-fulfillment needs) ความ
ต้องการสร้างสรรค์ (Creative) และตระหนักถึงความสามารถในการพัฒนาของตนเอง
จากระดับความต้องการที่แบ่งออกเป็น 5 ระดับ จะพบว่าความปลอดภัยและความมั่นคงอยู่ใน
ระดับที่ 2 กล่าวคือ เมือ่ มนุษย์สามารถทีจ่ ะมีชวี ติ อยูไ่ ด้แล้ว ก็จะมีความต้องการในเรือ่ งความปลอดภัยและ
ม
ความมั่นคง ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคงของมนุษย์นี้เอง เป็นเหตุท�ำให้เกิดการประกัน
ภัยขึน้ ดังจะเห็นได้จากการประกันภัยแบบจีนในสมัยโบราณ ซึง่ มีการว่าจ้างให้มกี ารคุม้ กันทรัพย์สนิ เพือ่
ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อทรัพย์สินปลอดภัยก็จะเป็นหลักประกันในความมั่นคงของฐานะ
ของผู้ว่าจ้างนั่นเอง มีการเฉลี่ยความเสียหายกันโดยน�ำสินค้าของแต่ละแยกชนิดใส่ในเรือหลายๆ ล�ำ หาก
เรือที่บรรทุกสินค้าล�ำใดล�ำหนึ่งล่มจมลง ทรัพย์สินก็จะไม่เสียหายหรือสูญหายไปทั้งหมด อันเป็นเหตุให้
ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว การเฉลี่ยความเสียหายกันหรือกระจายความเสี่ยงกันดังกล่าว ก็เพื่อสนองความ
ต้องการในด้านความปลอดภัยของทรัพย์สิน ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อความมั่นคงในฐานะของบุคคลนั่นเอง
สธ
ธ
ประกัน ส�ำหรับผู้ที่ต้องเดินทางออกไป ภัยบางอย่างอยู่ในวิสัยที่สามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่
ทราบว่าจะเกิดขึน้ เมือ่ ใด ซึง่ ไม่มคี วามแน่นอน ดังนัน้ ผูท้ เี่ ดินทางออกไปค้าขายก็มคี วามเสีย่ งมากเช่นกัน
มส
ย่อมไม่เป็นการยุตธิ รรมส�ำหรับตัวเขา หากเกิดมีความเสียหายแก่สนิ ค้าทีเ่ ขาน�ำไปขายโดยปราศจากความ
ผิดของเขา ทัง้ ๆ ทีเ่ ขาได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว เป็นผลให้เขาต้องถูกยึดทรัพย์สนิ บุตร ภรรยา
และบริวารต่างๆ จึงได้เกิดมีขอ้ ตกลงต่างๆ ขึน้ ระหว่างฝ่ายผูท้ ลี่ งทุนและฝ่ายทีเ่ ป็นผูอ้ อกไปขายสินค้าเช่น
ว่า ถ้าผู้ที่ออกไปขายสินค้าและสินค้าสูญหาย เสียหาย หรือถูกโจรปล้นไป ผู้น�ำสินค้าไปขายไม่ต้องรับผิด
ถ้าเขาได้สาบานแถลงความจริงว่าเขาได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลทรัพย์สิน มิได้คดโกงในเรื่องสินค้า
หรือมีความผิดอื่นๆ เขาจะไม่ต้องรับผิดถูกยึดทรัพย์สิน บุตร ภรรยา และบริวาร เมื่อทั้งสองฝ่ายจ�ำเป็น
ต้องพึง่ พาอาศัยกัน จึงได้เกิดมีขอ้ ตกลงและเงือ่ นไขต่างๆ ซึง่ เป็นการประนีประนอมระหว่างทัง้ สองฝ่ายขึน้
โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ เพื่อเป็นหลักประกันและให้ความปลอดภัยกับทรัพย์สินของแต่ละฝ่าย
ซึ่งถือได้ว่ามีลักษณะเป็นการประกันภัย แม้ว่าจะมีวิธีการที่แตกต่างจากประกันภัยในสมัยปัจจุบันก็ตาม
ธ
ในสมัยกรีกมีการเดินเรือไปหาวัตถุดิบและขายสินค้าในที่ซึ่งไกลออกไป จึงเกิดมีสัญญาที่เรียกว่า
Bottomry หรือ Repondenlia ขึ้น ซึ่งสาระส�ำคัญของสัญญานี้ก็คือ เป็นสัญญากู้เงิน โดยมีเงื่อนไขการ
มส
ช�ำระเงินอยู่ที่ว่าเมื่อเริ่มเดินทางกลับมาถึงโดยปลอดภัย เจ้าของเรือก็จะน�ำสินค้าที่บรรทุกมาขายและเอา
เงินคืนให้กับผู้ให้กู้ 3 อัตราดอกเบี้ยที่คิดกันก็จะรวมเอาความเสี่ยงภัยเข้าไว้ด้วย4 จะเห็นได้ว่าทั้งในสมัย
บาบิโลเนียนและกรีก ผูเ้ ข้ามามีสว่ นในสัญญาซึง่ มีลกั ษณะคล้ายกับเป็นสัญญาประกันภัย คือผูท้ มี่ ผี ลประโยชน์
และมีส่วนได้เสียโดยตรงในความสัมพันธ์หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพวกนักลงทุนกับ
พวกนักขายในสมัยบาบิโลเนียน หรือผู้ให้กู้กับเจ้าของเรือในสมัยกรีกก็ตาม
กฎหมายประกันภัยทีไ่ ด้มกี ารบัญญัตใิ นระยะแรกๆ เช่น กฎหมายประกันภัยของเมืองบาเซโลน่า
ม
(Barcelona) แม้ จ ะไม่ มี บ ทบั ญ ญั ติ โ ดยตรงที่ ก� ำ หนดให้ ผู ้ เ อาประกั น จะต้ อ งมี ส ่ ว นได้ เ สี ย ในเหตุ ที่
เอาประกันภัยไว้ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาบทบัญญัติโดยทั่วไปแล้วจะพบว่าแนวความคิดเรื่องส่วนได้เสีย
ได้เกิดมีขึ้นแล้ว โดยก�ำหนดว่าในกรณีต่างๆ ผู้เอาประกันภัยอาจจะเอาประกันภัยได้เป็นจ�ำนวนเงิน
เอาประกันภัยเท่าใด ซึ่งจ�ำนวนเงินที่เอาประกันภัยนี้เป็นผลโดยตรงของการพิจารณาในเรื่องส่วนได้เสีย
สธ
2 Robert I Mehr and Emerson Cammac. Principles of Insurance. 4th Ed., 1966 p.883.
3 Harold E, Rayhes. A HISTORY of British INSURNCE. 1964, P.1.
4 Ibid, p.2.
ม
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย 12-7
ธ
เหตุทปี่ ระกันแม้เป็นทีแ่ น่ชดั ว่า คูส่ ญ
ั ญาประสงค์ทจี่ ะพนันขันต่อและมิได้เจตนาทีจ่ ะชดใช้คา่ สินไหมทดแทน
แก่ผู้เอาประกันภัยตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ดังได้มีค�ำพิพากษาของศาลหลายคดีที่ได้พิพากษา
มส
ตามกันมาเป็นบรรทัดฐาน8 อย่างไรก็ดี แม้กฎหมายจารีตประเพณี (common Law) จะมิได้ก�ำหนดให้
ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ก็ตาม แต่คู่กรณีอาจจะตกลงหรือมีข้อก�ำหนดเป็น
เงื่อนไขขึ้นมาในสัญญว่าผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียก็ย่อมต้องเป็นไปตามข้อตกลงนั้น9 กล่าวคือ
ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่สามารถพิสูจน์ส่วนได้เสียในผลเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ก็ไม่อาจจะเรียกให้มีการชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนได้
ต่อมาเพื่อแก้ข้อขัดข้องในเรื่องที่จะต้องพิจารณาถึงเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญา จึงได้เกิดมี
กรมธรรม์ทมี่ ขี อ้ ความแสดงเจตนาของคูส่ ญ ั ญาอย่างชัดเจนขึน้ เรียกว่า “P.P.I.” (Policy Proof of Interest)
ซึ่งกรมธรรม์ชนิดนี้ได้ช่วยแก้ปัญหาการที่จะต้องพิสูจน์จ�ำนวนค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ได้มีการท�ำ
ประกันภัยกันโดยสุจริต แต่อย่างไรก็ตาม กรมธรรม์ประเภทนี้ก็มีปัญหาอีกต่อมา กล่าวคือ ได้กลายเป็น
ธ
เครื่องมือของการพนันไปเพราะกรมธรรม์ชนิดนี้ไม่ได้เคร่งครัดกับหลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แต่เป็นการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามทีต่ กลงไว้โดยมิได้คำ� นึงถึงความเสียหายทีแ่ ท้จริงว่ามากน้อยเพียงไร
มส
เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นมากโดยเฉพาะในเรื่องการประกันภัยทางทะเล
ใน ค.ศ. 1745 ได้มพี ระราชบัญญัตใิ นเรือ่ งการประกันภัยทางทะเลออกมา คือ Marine Insurance
Act 1745 เพื่อห้ามกรมธรรม์อันมีลักษณะเป็นการพนันในเรื่องที่เกี่ยวกับการเดินเรือของอังกฤษ ซึ่งเป็น
กฎหมายฉบับแรกที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยโดยตรง
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวข้างต้นแล้ว การพนันเกี่ยวกับ
การประกันชีวิตและในเรื่องอื่นๆ ก็ยังสามารถจะกระท�ำได้ จนกระทั่งได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ
ม
ประกันชีวิต ค.ศ. 1774 (Life Assurance Act. 1774) ห้ามการกระท�ำประกันชีวิตโดยบุคคลที่มิได้มีส่วน
ได้เสียในชีวิตของผู้ที่ถูกเอาประกันภัย
5 Macgillivray & Parkington. Insurance Law. 6th Edition. London. Sweet & Maxwell 1975, p.5.
6 Ibid, p.6.
สธ
7 Ibid Mortin V. Sitwell (1960X I Show 156; Goddart 716, Garret (1962) 2 Vem. 269; Le Pypre V. Farr
(1716) 2 Vem. 716 Whittingham V. Thornburg (1690) 2 Vern. 206.
8 Ibid, p.6 Lucena V. Crawfurd (1802).
9 Raoul Colinvaux. The Law of Insurance. 4th Ed.m 1979, p.38.
ม
12-8 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ออกมาบังคับในเรื่องการประกันภัย ตัวเรือ สิ่งของ และสินค้า โดยห้ามมิให้มีการออกกรมธรรม์เว้นว่างไว้
จะต้องมีการระบุชื่อของผู้เอาประกันภัยและรายละเอียดอื่นๆ Marine Insurance Act 1788 ได้บังคับ
มส
ให้ระบุเพียงชื่อผู้เอาประกันภัยเท่านั้น และ Marine Insurance Act 1906 เป็นการรวบรวมและแก้ไข
กฎหมายในเรือ่ งทีเ่ กีย่ วกับการประกันภัยทางทะเลทัง้ หมด และประการส�ำคัญคือกฎหมายฉบับนี้ (Marine
Insurance Act 1906) ยังได้บัญญัติถึงค�ำจ�ำกัดความของค�ำว่า ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยไว้ด้วย10
ปัจจุบนั ประเทศอังกฤษมีกฎหมายทีบ่ ญ
ในสัญญาประกันภัยดังต่อไปนี้ คือ
ั ญัตใิ ห้ผเู้ อาประกันภัยต้องมีสว่ นได้เสียในเหตุทปี่ ระกันภัย
ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เดิมก็ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายเรื่องส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
อย่างไรก็ตามศาลอเมริกันวางหลักว่า กรณีสัญญาประกันชีวิตหากผู้เอาประกันชีวิตมิได้มีส่วนได้เสียใน
ชีวติ ของผูถ้ กู เอาประกันชีวติ ถือว่าเป็นการพนันจึงไม่มผี ลบังคับ ส่วนสัญญาประกันวินาศภัย ศาลอเมริกนั
วางหลักว่าผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ต่อมามลรัฐต่างๆ จึงได้บัญญัติ
กฎหมายรับรองหลักการดังกล่าว11
ส�ำหรับกฎหมายของประเทศไทย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 3 ได้บญ ั ญัตถิ งึ ลักษณะ
ม
ประกันภัยไว้ โดยประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2467 และได้มีการปรับปรุงแก้ไขยกเลิก
บรรพ 3 เดิม และให้ใช้บรรพ 3 ใหม่ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2471 และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
1 เมษายน 2472 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยมาตรา 863 บัญญัติว่า “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอา
ประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”
ปพพ. มาตรา 863 นี้ บัญญัติอยู่ในหมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไปของลักษณะที่ 20 ประกันภัย จึง
ย่อมใช้บังคับกับการประกันภัยทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นการประกันวินาศภัยหรือประกันชีวิต
สธ
10 บัญญัติอยู่ใน Section 5
11 ไชยยศ เหมะรัชตะ ค�ำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย พิมพ์ครั้งที่ 6 กรุงเทพมหานคร
ส�ำนักพิมพ์นิติธรรม พ.ศ. 2556 น.52.
ม
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย 12-9
ธ
กิจกรรม 12.1.1
กฎหมายไทยมีบทบัญญัติรับรองแนวคิดเรื่องส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยไว้อย่างไร
มส
แนวตอบกิจกรรม 12.1.1
หลักกฎหมายไทยได้มีบทบัญญัติรับรองแนวคิดในเรื่องส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยไว้ ปรากฏ
ตาม ปพพ. มาตรา 863 กล่าวคือ ผูเ้ อาประกันภัยจะต้องมีสว่ นได้เสียในเหตุทเี่ อาประกันภัย มิฉะนัน้ สัญญา
ประกันภัยดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญา
เรื่องที่ 12.1.2
ธ
เหตุผลส�ำคัญของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
มส
เหตุผลส�ำคัญของหลักส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
หลักกฎหมายในเรื่องส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยก�ำหนดให้ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสีย
ในเหตุที่เอาประกันภัย ก็เนื่องมาจากเหตุผลส�ำคัญซึ่งศาสตราจารย์ คีตัน (Professor Keeton)12 ได้สรุป
ไว้ 3 ประการ คือ ประการแรก เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้การประกันภัยมีลักษณะเป็นการพนันขันต่อ ประการที่
ม
สอง เพื่อป้องกันการท�ำลายทรัพย์สินหรือชีวิตเพื่อหวังเอาเงินประกันภัย และประการที่สาม เพื่อป้องกัน
ความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ
1. เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้การประกันภัยมีลักษณะเป็นการพนันขันต่อ ทัง้ นี้ เนือ่ งจากสัญญาประกัน
ภัยมีลักษณะเป็นสัญญาที่อาศัยเหตุการณ์ในอนาคต (Aleatory Contract) กล่าวคือ การช�ำระหนี้ตาม
สัญญาขึ้นอยู่กับเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดในอนาคตที่ไม่แน่นอน เช่น สัญญาประกันอัคคีภัย ซึ่งผู้เอา
ประกันภัยได้จ่ายเงินเบี้ยประกันภัยไปแล้ว ต่อมาหากไม่มีอัคคีภัยเกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยดังกล่าวก็จะไม่
ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างใด แต่หากเกิดเหตุวินาศภัยคืออัคคีภัยตามที่ได้มีการตกลงกันไว้จึงจะ
สธ
ได้รบั การชดใช้คา่ เสียหาย ซึง่ โดยปกติแล้วเบีย้ ประกันภัยจะมีจำ� นวนน้อยมากเมือ่ เทียบกับจ�ำนวนเงินซึง่ เอา
ธ
เพื่อหวังได้รับประโยชน์จากเงินเอาประกันภัย ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นภัยต่อ
ศีลธรรม (Moral Hazard)
มส
3. เพื่อป้องกันความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เนื่องจากการประกันภัยมีหลักการที่ส�ำคัญ
ประการหนึง่ คือ การกระจายความเสีย่ งภัย กล่าวคือ การประกันภัยเป็นการระบบหรือกลไกทีม่ วี ตั ถุประสงค์
เพือ่ ชดใช้ความเสียหายหรือบรรเทาผลร้ายอันอาจเกิดขึน้ แก่ผเู้ อาประกันภัยด้วยวิธกี ารกระจายความเสีย่ ง
ภัยหรือแบ่งเฉลี่ยความเสียหายนั้นในระหว่างผู้เอาประกันภัยทั้งหลายซึ่งเป็นผู้เสี่ยงภัยด้วยกัน โดยเงินที่
น�ำมาบรรเทาผลร้ายนี้ก็ได้มาจากเงินเบี้ยประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยแต่ละรายได้จ่ายให้แก่ผู้รับประกัน
ภัยไว้ ดังนัน้ ถ้ายอมให้ผทู้ ไี่ ม่มสี ว่ นได้เสียเข้าท�ำสัญญาประกันภัยได้แล้ว ย่อมไม่เป็นไปตามหลักการหรือ
วัตถุประสงค์ของการประกันภัยดังกล่าวซึ่งนับเป็นการสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ
ธ
กิจกรรม 12.1.2
จงอธิบายเหตุผลส�ำคัญของหลักส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยมาโดยสังเขป
มส
แนวตอบกิจกรรม 12.1.2
เหตุผลส�ำคัญของหลักส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย ซึ่งก�ำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้ใน
เหตุที่ประกันภัยมิฉะนั้นสัญญาประกันภัยย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญานั้น ก็เพื่อป้องกันมิให้สัญญาประกันภัย
กลายเป็นการพนันขันต่อซึง่ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเป็นภัยต่อศีลธรรม และเพือ่ ป้องกัน
ไม่ให้มกี ารท�ำลายทรัพย์สนิ หรือชีวติ กันเพือ่ หวังให้ได้รบั เงินประกันภัย ตลอดจนเพือ่ มิให้เกิดความสูญเปล่า
ของระบบหรือกลไกการประกันภัยอันเป็นความสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ ม
สธ
ม
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย 12-11
เรื่องที่ 12.1.3
ความหมายของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
ธ
ค�ำว่า “ส่วนได้เสีย” ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีบญ ั ญัตไิ ว้ในหลายมาตรา เช่น มาตรา
48, 61 และ 172 เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนได้เสียในเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับลักษณะประกันภัย ส�ำหรับกฎหมาย
มส
ลักษณะประกันภัยได้มีบทบัญญัติในมาตรา 863 เพียงมาตราเดียว ซึ่งบัญญัติถึง “ส่วนได้เสียในเหตุที่
ประกันภัย” แต่ก็มิได้ให้ค�ำจ�ำกัดความไว้แต่อย่างใด จึงควรพิจารณาว่ามีความหมายเพียงใด
ลอร์ด แบล็คเบริ์น (Lord Blackburn) ผู้พิพากษาศาลของอังกฤษได้ให้คำ� จ�ำกัดความ “ผู้มีส่วน
ได้เสียในทรัพย์สนิ อันอาจเอาประกันภัยได้” ว่า คือ ผูท้ จี่ ะได้ประโยชน์จากการทีท่ รัพย์สนิ นัน้ คงสภาพเดิม
อยู่ หรือจะได้รับความเสียหายจากการที่ทรัพย์สินนั้นท�ำลายไป13
ดังนัน้ “ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย” จึงอาจหมายความถึง กรณีทมี่ เี หตุการณ์อย่างหนึง่ อย่างใด
เกิดขึ้นแล้ว ผู้มีส่วนได้รับประโยชน์หรือมีส่วนเสียหายในเหตุการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะ
เอาประกันภัยในเหตุการณ์นั้นได้
ค�ำว่า “ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย” นี้ ในหลักกฎหมายของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาใช้ค�ำว่า
ธ
“Insurable Interest” แต่ตาม ปพพ. มาตรา 863 ในตัวบทเป็นภาษาอังกฤษนั้นใช้คำ� ว่า “Interest in
the event insured against” ส�ำหรับค�ำว่า “Insurable Interest” นั้น ตรงกับค�ำว่า “มูลประกันภัย” ใน
ปพพ. ซึ่งปรากฏอยู่ในมาตราอื่นๆ ในกฎหมายลักษณะเดียวกันนี้ เช่น มาตรา 867 (3), 873, 874 และ
มส
กิจกรรม 12.1.3
จงอธิบายความหมายของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
แนวตอบกิจกรรม 12.1.3
ธ
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย หมายถึง กรณีที่มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นแล้ว ผู้มีส่วน
ได้รับประโยชน์หรือมีส่วนเสียหายในเหตุการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันภัยใน
มส
เหตุการณ์นั้นได้
เรื่องที่ 12.1.4
ลักษณะของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยที่อาจเอาประกันภัยได้
ธ
ก็มสี ว่ นได้เสียในชีวติ ของบิดา และบิดาก็ยอ่ มมีสว่ นได้เสียในชีวติ ของบุตรผูเ้ ยาว์นนั้ เพราะมีความสัมพันธ์
กันตามความเป็นจริง
มส
กฎหมายไทยไม่มีบทบัญญัติในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ปพพ. มาตรา 863 เพียงแต่บัญญัติให้
ผูเ้ อาประกันภัยต้องมีสว่ นได้เสียในเหตุทปี่ ระกันภัยไว้เท่านัน้ มิได้บญ
ั ญัตวิ า่ จะต้องมีสว่ นได้เสียทีเ่ ป็นสิทธิ
ตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอาจจะตีความได้ว่า กฎหมายมิได้ห้ามการเอาประกันภัยในกรณีที่มีส่วนได้เสียที่
ไม่ใช่สิทธิตามกฎหมาย ถ้าผู้เอาประกันภัยสามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นส่วนได้เสียที่เป็นสิทธิตามกฎหมาย (de jure) หรือตามความเป็นจริง (de facto) ก็ตาม
สัญญาประกันภัยย่อมมีผลผูกพันคูส่ ญ ั ญา เพราะเจตนารมณ์ของเรือ่ งทีก่ ฎหมายบัญญัตใิ ห้ผเู้ อาประกันภัย
ต้องมีสว่ นได้เสียก็เพือ่ ไม่ให้เอาสัญญาประกันภัยเป็นเครือ่ งมือในการพนันขันต่อแสวงหาก�ำไร หรือมีเจตนา
ทุจริต ท�ำลายทรัพย์สิน หรือท�ำลายชีวิตผู้อื่นเพื่อหวังที่จะได้เงินที่เอาประกันภัยไว้ อีกประการหนึ่งเมื่อ
กฎหมายไม่ได้ให้ค�ำจ�ำกัดความไว้ย่อมต้องตีความตามความหมายที่ใช้โดยทั่วไป ดังนั้น ถ้าผู้เอาประกัน
ธ
ภัยมีสว่ นได้เสียในเหตุทปี่ ระกันตามความจริงแล้ว ย่อมทีจ่ ะเอาประกันภัยได้ ซึง่ ศาลอเมริกนั ส่วนใหญ่กไ็ ด้
มีแนวค�ำพิพากษาไว้ในแนวดังกล่าวนี้มาแล้ว โดยศาลอเมริกันจะพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นส�ำคัญว่า ผู้เอา
มส
ประกันภัยมีส่วนได้เสียหรือไม่
กรณีที่มีส่วนได้เสียตามความเป็นจริง ย่อมไม่ถือว่าเป็นการขัดหรือแตกต่างกับหลักกฎหมายที่
บัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 863 นี้ แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายดังกล่าว ถ้าเป็น
กรณีที่ไม่มีส่วนได้เสีย จึงจะถือว่าเป็นการขัดหรือแตกต่างกับหลักกฎหมายดังกล่าว
ศาลอเมริกนั ยอมรับส่วนได้เสียทัง้ ทีเ่ ป็นสิทธิตามกฎหมาย และส่วนได้เสียตามความเป็นจริง15 ซึง่
แม้ว่าไม่ใช่สิทธิตามกฎหมายก็อาจจะเอาประกันภัยได้16 โดยได้ถือหลักว่า บุคคลย่อมมีส่วนได้เสียใน
ม
ทรัพย์สินที่อาจจะเอาประกันภัยได้ ถ้าเป็นความจริงแล้ว เขาจะได้รับประโยชน์ ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงอยู่
และจะเสียประโยชน์ ถ้าทรัพย์สินนั้นถูกท�ำลายไป แม้ว่าเขาจะไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกร้องค่า
เสียหายใดก็ตาม17
สธ
15American Ins. Co., V. Batenan, 1971, 186 S.E. 2d 547, 125 Ga. App. 189.
16 Aetna Ins. Co., V. King, (1972) 265. So. 2d 716.
17 Liverpool and London and Globe V. Bolling. 10 S.E. 2d 578 (Va., 1940): Womble V. (Mass, 1941)
Dubuque Fire and Marine, 37 N.E. 2d 263.
ม
12-14 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
ความหวังนั้นต้องมีเหตุผล มีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์พิเศษอันใดมาขัดขวางทุกอย่าง
ย่อมด�ำเนินไปได้ตามปกติ ความหวังนัน้ จะเป็นความจริง เช่น การเอาประกันภัยผลก�ำไรทีจ่ ะได้จากกิจการ
มส
ในกรณีเช่นนี้ กิจการนั้นจะต้องมีอยู่แล้ว และกิจการนั้นถ้าด�ำเนินไปตามปกติจะต้องมีก�ำไร เช่น บริษัท
เคยได้ก�ำไรมาทุกปี และภัยที่เอาประกันภัยไว้นั้นจะต้องระบุไว้ให้ชัดเจน เช่น อัคคีภัย เป็นต้น ในกรณี
เช่นนี้หากมีวินาศภัยกรณีไฟไหม้โรงงานท�ำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ ผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหม
ทดแทนให้ ไม่ใช่ว่าจะเอาประกันภัยก�ำไรในกรณีที่ไม่ได้กำ� ไร โดยไม่คำ� นึงว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด ตาม
ตัวอย่างดังกล่าวข้างต้นเป็นการประกันอัคคีภัย ถ้าบริษัทไม่ได้ก�ำไรเนื่องจากคนงานสไตรค์ย่อมไม่ได้รับ
ความคุ้มครอง แต่ถ้าเอาประกันภัยไว้ในเหตุคนงานสไตรค์ แต่บริษัทไม่ได้ก�ำไรเนื่องจากขาดวัตถุดิบโดย
คนงานไม่ได้สไตรค์แต่ประการใดก็เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไม่ได้เช่นกัน
ตามกฎหมายไทย ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้ในเรื่องนี้อย่างชัดเจน และยังไม่มีคำ� พิพากษาของ
ศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐาน แต่ถ้าพิจารณา ปพพ. มาตรา 863 นี้แล้ว ก็เห็นว่าน่าจะตีความหมายได้ว่า ถ้า
ธ
เป็นความหวังในอนาคตที่แน่นอน มีเหตุผล มีพฤติการณ์ประกอบ แสดงให้เห็นว่าความหวังนั้นถ้าไม่มี
เหตุการณ์พิเศษขึ้นมาแล้ว ย่อมจะเป็นความจริงขึ้นมา น่าจะถือได้ว่า ผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียตาม
มส
กิจกรรม 12.1.4
จงอธิบายถึงส่วนได้เสียอันอาจเอาประกันภัยได้
แนวตอบกิจกรรม 12.1.4
ธ
การพิจารณาว่า อย่างไรเป็นส่วนได้เสียอันอาจเอาประกันภัยได้นั้น เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
แล้วว่าทั้งในสัญญาประกันวินาศภัยและสัญญาประกันชีวิต หากผู้ใดมีส่วนได้เสียที่มีกฎหมายรับรองและ
มส
คุ้มครอง เช่น สิทธิในตัวทรัพย์สิน (Property Right) สิทธิตามสัญญา (Contract Right) หรือความรับ
ผิดตามกฎหมาย (Legal Liability) ผูน้ นั้ ย่อมเอาประกันภัยในสิง่ ทีต่ นมีสว่ นได้เสียนัน้ ได้ ส่วนความคาดหวัง
ในอนาคตนัน้ ตามกฎหมายไทยไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้ในเรื่องนี้อย่างชัดเจน และยังไม่มีค�ำพิพากษา
ของศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐาน แต่ถ้าพิจารณา ปพพ. มาตรา 863 นี้แล้ว ก็เห็นว่าน่าจะตีความหมายได้ว่า
ถ้าเป็นความหวังในอนาคตที่แน่นอน มีเหตุผล มีพฤติการณ์ประกอบ แสดงให้เห็นว่าความหวังนั้นถ้าไม่มี
เหตุการณ์พิเศษขึ้นมาแล้ว ย่อมจะเป็นความจริงขึ้นมา น่าจะถือได้ว่า ผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียตาม
มาตรา 863 และอาจจะตีความได้วา่ กฎหมายมิได้หา้ มการเอาประกันภัยในกรณีทมี่ สี ว่ นได้เสียทีไ่ ม่ใช่สทิ ธิ
ตามกฎหมาย ถ้าผูเ้ อาประกันภัยสามารถทีจ่ ะพิสจู น์ได้วา่ มีสว่ นได้เสียในเหตุทปี่ ระกันภัยแล้ว ไม่วา่ จะเป็น
ส่วนได้เสียที่เป็นสิทธิตามกฎหมาย (de jure) หรือตามความเป็นจริง (de facto) ก็ตาม
ธ
มส
ม
สธ
ม
12-16 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ตอนที่ 12.2
สาระส�ำคัญของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 12.2 แล้วจึงศึกษารายละเอียดต่อไป
ธ
หัวเรื่อง
มส
12.2.1 บุคคล และเวลาที่ต้องมีส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
12.2.2 ราคาของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
12.2.3 ส่วนได้เสียในสัญญาประกันวินาศภัย
12.2.4 ส่วนได้เสียในสัญญาประกันชีวิต
12.2.5 ผลของการท�ำสัญญาประกันภัยโดยไม่มีส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
แนวคิด
1. ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยในขณะท�ำสัญญาประกันภัย
2. กฎหมายไม่ได้บังคับให้ระบุราคาของส่วนได้เสียไว้ในสัญญาประกันภัย แต่ถ้าคู่สัญญา
ธ
ประกันภัยได้กำ� หนดกันไว้ ก็ต้องให้ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยด้วย
3. สัญญาประกันวินาศภัย เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่ง
มส
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 12.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาเรื่องบุคคล และเวลาที่ต้องมีส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
2. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาเรื่องราคาของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยได้
ธ
3. อธิบายและวินิจฉัยเรื่องส่วนได้เสียในสัญญาประกันวินาศภัยได้
4. อธิบายและวินิจฉัยเรื่องส่วนได้เสียในสัญญาประกันชีวิตได้
มส
5. อธิบายและวินิจฉัยปัญหาผลของการท�ำสัญญาประกันภัยโดยไม่มีส่วนได้เสียในเหตุ
ประกันภัยได้
ธ
มส
ม
สธ
ม
12-18 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 12.2.1
บุคคล และเวลาที่ต้องมีส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
ธ
1. บุคคลที่มีส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
ปพพ. มาตรา 863 บัญญัติว่า “อันสัญญาประกันภัยนั้นถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุ
มส
ที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”
จากบทบัญญัติดังกล่าวบังคับให้ “ผู้เอาประกันภัย” จะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยไว้
ไม่ว่าจะเป็นกรณีสัญญาประกันวินาศภัยหรือสัญญาประกันชีวิต
ปัญหาคือ ในบางกรณีอาจมีการท�ำสัญญาประกันชีวิตตนเอง โดยมีบุคคลอื่นซึ่งไม่มีส่วนได้เสีย
ในชีวิตของผู้นั้นเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันภัยและเป็นผู้รับประโยชน์ จึงอาจมีปัญหาที่ต้องพิจารณาในเบื้องต้น
ว่า ผูใ้ ดเป็นผูเ้ อาประกันภัยทีแ่ ท้จริง20 ซึง่ จะต้องเป็นผูม้ สี ว่ นได้เสียในเหตุประกันภัยนัน้ ตาม ปพพ. มาตรา
863
อุทาหรณ์
ฎ. 1366/2509 สัญญาประกันชีวิตระบุ อ. เป็นผู้เอาประกันชีวิต โดยมี ส. เป็นผู้รับประโยชน์ ข้อ
ธ
เท็จจริงฟังได้ว่า อ. ยากจนไม่มีเงิน ไม่ใช่ญาติกับ ส. ส.จัดให้ อ. เอาประกันชีวิตโดย ส. เป็นผู้เสียเบี้ย
ประกันภัยและรับประโยชน์ ดังนี้ ส. เป็นผูเ้ อาประกันชีวติ อ. โดยไม่มสี ว่ นได้เสียในเหตุประกันภัย สัญญา
มส
ธ
1.2 บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย พอจ�ำแนกเป็นตัวอย่างได้ ดังนี้
1.2.1 บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในฐานะเจ้าของ (ownership)
มส กรณีประกันวินาศภัย บุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไม่ว่าจะเป็นเจ้าของ
คนเดียว เจ้าของร่วมกับผูอ้ นื่ เจ้าของสินค้าทีอ่ ยูใ่ นระหว่างขนส่ง หรือเจ้าของทรัพย์สนิ ทีอ่ ยูใ่ นระหว่างผ่อน
ช�ำระก็ตาม ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากวินาศภัยหากมีขึ้นแก่ทรัพย์สินนั้น ดังนั้น เจ้าของ
ทรัพย์สินหรือผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุประกันวินาศภัย
อุทาหรณ์
ฎ. 807/2533 โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์คันที่เอาประกันภัยในขณะที่
ท�ำสัญญาประกันภัย โจทก์จึงไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าว กรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์กับ
จ�ำเลยไม่ผูกพันคู่กรณี ตาม ปพพ. มาตรา 863
กรณีประกันชีวิต บุคคลผูเ้ ป็นเจ้าของชีวติ ตนเองในกรณีประกันชีวติ ตนเองย่อมเป็นผูม้ สี ว่ น
ธ
ได้เสียในเหตุประกันชีวิต ส�ำหรับในกรณีประกันชีวิตบุคคลอื่น ผู้เอาประกันชีวิตต้องมีส่วนได้เสียในชีวิต
ของบุคคลที่ตนเอาประกันไว้ด้วย ซึ่งอาจจะเป็นความสัมพันธ์ทางครอบครัว เนื่องจากเป็นญาติร่วมสาย
มส
โลหิต เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย บิดา มารดา ผู้สืบสันดาน ซึ่งมีการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน หรือเนื่องจาก
การเป็นสามีภริยา หรือความสัมพันธ์ทางธุรกิจ เนือ่ งจากเป็นหุน้ ส่วนในการท�ำกิจการร่วมกัน หากหุน้ ส่วน
นั้นเสียชีวิตไปแล้วจะท�ำให้กิจการได้รับความเสียหาย
1.2.2 บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในฐานะเจ้าหนี้ (creditors)
กรณีประกันวินาศภัย บุคคลผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่งมีหลักประกัน อันได้แก่ เจ้าหนี้ผู้รับจ�ำนอง
เจ้าหนีผ้ รู้ บั จ�ำน�ำ หากทรัพย์สนิ ทีจ่ ำ� นองหรือจ�ำน�ำซึง่ เป็นหลักประกันในการช�ำระหนีข้ องลูกหนีน้ นั้ เกิดความ
ม
เสียหาย บุคคลผู้เป็นเจ้าหนี้ดังกล่าวย่อมต้องได้รับความเสียหาย เนื่องจากการไม่สามารถบังคับช�ำระหนี้
เอาจากทรัพย์สนิ ทีจ่ ำ� นองหรือจ�ำน�ำนัน้ ได้ ดังนัน้ จึงเป็นเจ้าหนีท้ มี่ สี ว่ นได้เสียในทรัพย์สนิ ทีเ่ ป็นประกันการ
ช�ำระหนี้ของลูกหนี้นั้น ย่อมมีสิทธิเอาประกันวินาศภัยในทรัพย์สินดังกล่าวได้ ส่วนทรัพย์สินอื่นนอกจาก
ทรัพย์สินที่เป็นประกันดังกล่าวแล้ว บุคคลผู้เป็นเจ้าหนี้นั้นหามีส่วนได้เสียไม่ เว้นแต่เป็นเจ้าหนี้ตาม
ค�ำพิพากษาซึ่งขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้แล้วเอาประกันทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ยึดไว้นั้น
กรณีประกันชีวิต บุคคลผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่งไม่มีหลักประกัน เช่น ไม่ใช่เจ้าหนี้ผู้รับจ�ำนอง ไม่ใช่
เจ้าหนี้ผู้รับจ�ำน�ำ หากลูกหนี้ถึงแก่ความตาย บุคคลผู้เป็นเจ้าหนี้ดังกล่าวย่อมอาจได้รับความเสียหาย
สธ
เนือ่ งจากการช�ำระหนีน้ นั้ ได้ ดังนัน้ จึงเป็นเจ้าหนีท้ มี่ สี ว่ นได้เสียในชีวติ ของลูกหนีน้ นั้ ย่อมมีสทิ ธิเอาประกัน
ม
12-20 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
ธ
มีหน้าทีต่ อ้ งชดใช้คา่ เสียหายให้แก่ผเู้ อาประกันภัยเมือ่ ทรัพย์สนิ ทีเ่ อาประกันภัยเสียหาย ดังนัน้ ผูร้ บั ประกัน
วินาศภัยจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ จึงมีสิทธิเอาทรัพย์สินดังกล่าวไปประกัน
มส
วินาศภัยต่อได้ หรือผู้รับจ้างท�ำของเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่รับจ้างท�ำ เป็นต้น
อุทาหรณ์
ฎ. 37/2534 โจทก์เป็นผูช้ ว่ ยผูจ้ ัดการห้าง ได้รบั มอบรถยนต์จากห้างไว้ใช้โดยโจทก์มหี น้าที่
ดูแลรับผิดชอบตลอดจนการซ่อมแซม โจทก์จงึ เป็นผูม้ สี ว่ นได้เสียในรถยนต์คนั ดังกล่าวอยูใ่ นฐานะทีจ่ ะเอา
ประกันภัยได้
กรณีประกันชีวิต ซึง่ ความรับผิดตามกฎหมายนัน้ เป็นความรับผิดต่อชีวติ ซึง่ จะเกิดขึน้ ตาม
บทบัญญัติของกฎหมาย และบุคคลที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะเอาประกันภัยชีวิต
นั้นได้ เช่น นายจ้างต้องรับผิดต่อชีวิตของลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างได้รับอันตรายจากการปฏิบัติหน้าที่ตาม
กฎหมาย จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในชีวิตของลูกจ้าง เป็นต้น
ธ
2. เวลาที่ต้องมีส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
มส
21 จิตติ ติงศภัทย
ธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2545 น.27.
ม
ภัยแล้วย่อมหมายถึง ในขณะที่ผู้รับประกันภัยตกลงเข้ารับความเสี่ยงภัยตามที่ผู้เอาประกันภัยมีค�ำเสนอ
ไปยังผู้รับประกันภัยนั้น
ิ .์ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์วา่ ด้วยประกันภัย. พิมพ์ครัง้ ที่ 12 กรุงเทพมหานคร: ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย
อุทาหรณ์
ฎ. 807/2533 โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์คันที่เอาประกันภัยในขณะที่ท�ำ
สัญญาประกันภัย โจทก็จงึ ไม่มสี ว่ นได้เสียในรถยนต์คนั ดังกล่าว กรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์กบั จ�ำเลย
ไม่ผูกพันคู่กรณีตาม ปพพ. มาตรา 863
ฎ. 5120/2538 แม้ระหว่างเกิดเหตุ ช. จะโอนกรรมสิทธิ์รถแท็กซี่เพื่อเข้าร่วมกิจการกับสหกรณ์
ธ
ส. แล้ว แต่ขณะท�ำสัญญาประกันภัย ช. ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถแท็กซี่คันดังกล่าวอยู่ จึงเป็นผู้มี
ส่วนได้เสียมีสทิ ธิทจี่ ะท�ำสัญญาประกันภัย เมือ่ สัญญาประกันภัยมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์ในฐานะ
มส
ผู้รับประกันภัยซึ่งใช้ค่าสินไหมทดแทนไปย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยได้
ฎ. 864/2538 จ. ท�ำสัญญาเช่าซือ้ รถยนต์คนั ทีเ่ อาประกันภัยไว้กบั โจทก์หลังจากท�ำสัญญาประกันภัย
ถือได้ว่า จ. ผู้เอาประกันภัยยังมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ขณะที่โจทก์รับประกันภัย ดังนั้น
สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์และ จ. จึงไม่ผูกพันคู่สัญญา ตาม ปพพ. มาตรา 863 แม้โจทก์จะได้ชดใช้
ค่าเสียหายแทน จ. ก็ไม่ได้รับช่วงสิทธิตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอ�ำนาจฟ้อง
ฎ. 4728/2540 โจทก์ท�ำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาท ซึ่งเอาประกันภัยไว้แก่จ�ำเลยหลังจากท�ำ
สัญญาประกันภัย ดังนี้ ย่อมถือว่าโจทก์ผเู้ อาประกันภัยมิได้มสี ว่ นได้เสียในเหตุประกันภัยไว้ในขณะทีจ่ ำ� เลย
รับประกันภัย สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์และจ�ำเลยจึงไม่ผูกพันคู่สัญญา ตาม ปพพ. มาตรา 863
ข้อสังเกต คือ ต่อมาศาลฎีกาได้วินิจฉัยท�ำนองว่า แม้สัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าซื้อช่วงจะระบุ
ธ
วันเริ่มต้นของสัญญาหลังวันเริ่มต้นของสัญญาประกันภัย แต่การตีความวันท�ำสัญญาประกันภัยย่อม
เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญายิ่งกว่าถ้อยค�ำส�ำนวนหรือตัวอักษรตาม ปพพ. มาตรา 171 และ
มส
ศาลวินิจฉัยว่า ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยขณะท�ำสัญญาประกันภัยแล้ว
ดังปรากฏตามฎีกาต่อไปนี้
อุทาหรณ์
ฎ. 6886/2542 การตีความสัญญาเช่าซื้อและสัญญาประกันภัยไม่อาจตีความตามถ้อยค�ำส�ำนวน
หรือตัวอักษรตามสัญญาดังกล่าวได้ แต่ต้องตีความการแสดงเจตนาท�ำสัญญานั้นโดยเพ่งเล็งถึงเจตนาอัน
แท้จริงของคู่สัญญาทุกฝ่าย ดังที่บัญญัติไว้ใน ปพพ. มาตรา 171 เป็นส�ำคัญ เมื่อเจตนาอันแท้จริงของคู่
ม
สัญญา บริษัทจ�ำเลยผู้รับประกันภัยเจตนาเข้ารับเสี่ยงภัยในรถยนต์ที่เอาประกันภัยโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็น
รถยนต์ของบริษัท ย. ผู้ให้เช่าซื้อ จึงเป็นเรื่องที่บริษัทจ�ำเลยเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้เช่าซื้อและมีส่วนได้เสียใน
เหตุที่เอาประกันภัยขณะท�ำสัญญา จึงเข้าท�ำสัญญาด้วย ทั้งโจทก์เองก็คงเชื่อเช่นนั้น เมื่อโจทก์ผู้เช่าซื้อ
ประสงค์จะผูกพันตามสัญญาประกันภัยจ�ำเลยเองก็เจตนาจะเข้ารับเสีย่ งภัยตามสัญญาประกันภัย และบริษทั
ผู้ให้เช่าซื้อก็ประสงค์จะได้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ วัตถุประสงค์
แห่งสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยย่อมมุ่งประสงค์ไปที่การประกันภัยรถยนต์คันที่โจทก์เป็น
ผู้เช่าซื้อตลอดระยะเวลาที่เช่าซื้อเป็นส�ำคัญยิ่งกว่าวันเริ่มต้นแห่งสัญญาประกันภัยที่พิมพ์เป็นตัวอักษรไว้
สธ
ในกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท
ม
12-22 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
แม้หนังสือสัญญาเช่าซื้อจะระบุวันเริ่มต้นแห่งสัญญาเช่าซื้อหลังวันเริ่มต้นแห่งสัญญาประกันภัย
เป็นเวลา 9 วัน ก็เป็นช่วงเวลาที่เหลื่อมกันเพียงเล็กน้อย การตีความวันท�ำสัญญาประกันภัยดังกล่าวย่อม
ต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญายิ่งกว่าถ้อยค�ำส�ำนวนหรือตัวอักษรดังกล่าวมาแล้ว จึงต้อง
ตีความว่า สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยได้กระท�ำขึ้น ณ วันแรกที่โจทก์มีฐานะเป็นผู้เช่าซื้อ
รถยนต์คันที่โจทก์เอาประกันภัยไว้แก่จ�ำเลย ซึ่งสอดคล้องกับหลักการตีความสัญญาในกรณีที่มีข้อสงสัย
ธ
ตามมาตรา 11 ที่ให้ตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายที่จะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้น
ด้วย กรณีถอื ได้วา่ โจทก์ผเู้ อาประกันภัยเป็นผูม้ สี ว่ นได้เสียในเหตุทปี่ ระกันภัยขณะท�ำสัญญาประกันภัยกับ
มส
จ�ำเลยแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าบริษัท ย. ผู้ให้เช่าซื้อได้แสดงเจตนาเข้ารับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย
ดังกล่าว โจทก์ผเู้ อาประกันภัยจึงยังคงเป็นผูม้ สี ว่ นได้เสียและมีสทิ ธิได้รบั ชดใช้คา่ สินไหมทดแทนตามสัญญา
ประกันภัยจากจ�ำเลยผูร้ บั ประกันภัยเมือ่ เกิดวินาศภัยขึน้ ตามสัญญา โจทก์ยอ่ มมีอำ� นาจฟ้องเรียกค่าสินไหม
ทดแทนจากจ�ำเลยได้
ฎ. 10421/2551 บริษัท ม. เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท อ. แล้วบริษัท ม. ให้ พ. เช่าซื้อช่วง โดย
พ. น�ำรถไปประกันภัยไว้กับโจทก์ มีบริษัท ม. เป็นผู้รับประโยชน์ แม้สัญญาเช่าซื้อช่วงจะระบุวันเริ่มต้น
ของสัญญาหลังวันเริ่มต้นของสัญญาประกันภัย การตีความวันท�ำสัญญาประกันภัยย่อมเพ่งเล็งถึงเจตนา
อันแท้จริงของคู่สัญญายิ่งกว่าถ้อยค�ำส�ำนวนหรือตัวอักษร ตาม ปพพ. มาตรา 171 ถือว่า พ. ผู้เอาประกัน
ภัยเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยขณะท�ำสัญญาประกันภัยกับโจทก์แล้ว เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อหาย
ธ
ไปในบริเวณลานจอดรถของโรงแรมของจ�ำเลย และโจทก์ในฐานะผูร้ บั ประกันภัยได้จา่ ยค่าสินไหมทดแทน
แก่บริษทั ม. ผูร้ บั ประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยแล้วย่อมได้รบั ช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
มส
พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่บริษัท ม. จากจ�ำเลยได้
ปัญหาที่ควรพิจารณา คือ
1) ในขณะทีผ่ เู้ อาประกันภัยมีคำ� เสนอไปยังผูร้ บั ประกันภัยนัน้ ผูเ้ อาประกันภัยยังมีสว่ นได้เสียใน
เหตุที่จะเอาประกันภัยอยู่ แต่ก่อนที่จะเกิดสัญญาประกันภัย กล่าวคือ ก่อนที่ผู้รับประกันภัยจะตกลงรับ
ประกันภัยเข้ารับความเสี่ยงภัยตามผู้เอาประกันภัยเสนอมานั้น ส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัยได้หมดไป
เช่นนี้ ผลของสัญญาจะเป็นประการใด
ม
อุทาหรณ์ เมือ่ วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2550 พิศทุ ธิเ์ ขียนใบค�ำขอเอาประกันภัยบ้านของตน โดยขอ
ให้บริษัทประกันภัยรับประกันภัยบ้านในราคา 100,000 บาท ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2550 พิศุทธิ์ได้ขาย
บ้านของตนให้กบั นาํ้ ผึง้ ไปโดยมีการโอนกรรมสิทธิก์ นั ถูกต้อง บริษทั ประกันภัยพิจารณาและตกลงรับประกันภัย
บ้านของ ก. ในวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2550 เช่นนี้ จะเห็นได้ว่าในขณะเกิดสัญญาประกันภัยนั้น พิศุทธิ์
ไม่มีส่วนได้เสียในบ้านหลังที่เอาประกันภัยอีกต่อไป สัญญาประกันภัยนี้ย่อมไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา
ส่วนผลจากสัญญาประกันภัยทีไ่ ม่ผกู พันคูส่ ญ ั ญาเป็นเช่นไรนัน้ โปรดดูรายละเอียดในเรือ่ งที่ 12.2.5
2) ในขณะทีผ่ เู้ อาประกันภัยมีคำ� เสนอไปยังผูร้ บั ประกันภัยนัน้ ผูเ้ อาประกันภัยยังไม่มสี ว่ นได้เสีย
สธ
ในเหตุทจี่ ะเอาประกันภัยตลอดไปจนถึงเกิดสัญญาประกันภัย แต่ตอ่ มาภายหลังจากการท�ำสัญญาประกันภัย
แล้วผู้เอาประกันภัยได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยขึ้นมา เช่นนี้ สัญญาประกันภัยดังกล่าวก็ย่อม
ไม่มีผลผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าในภายหลังผู้เอาประกันภัยจะมีฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุ
ม
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย 12-23
ธ
อายุสัญญาประกันภัย เช่นนี้ สัญญาประกันภัยดังกล่าวก็ยังคงมีผลสมบูรณ์ผูกพันคู่สัญญาต่อไป แม้ว่า
ส่วนได้เสียในเหตุทเี่ อาประกันภัยจะได้หมดไปหลังจากท�ำสัญญาประกันภัยแล้วก็ตาม และไม่ทำ� ให้สญ ั ญา
มส
ประกันภัยนัน้ กลายเป็นการพนันขันต่อไปแต่อย่างใด เพียงแต่สทิ ธิและหน้าทีข่ องผูเ้ อาประกันภัยและผูร้ บั
ประกันภัยต้องเปลี่ยนแปลงไปตามแต่กรณีเท่านั้น เช่น กรณีเกิดวินาศภัยขึ้น ผู้เอาประกันภัยซึ่งไม่มีส่วน
ได้เสียในเหตุทเี่ อาประกันวินาศภัยแล้วย่อมไม่มสี ทิ ธิได้รบั ค่าสินไหมทดแทน หรือผูเ้ อาประกันภัยไม่มสี ทิ ธิ
เรียกเบี้ยประกันภัยที่ได้ชำ� ระไปแล้วคืน
กิจกรรม 12.2.1
ส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยจะต้องมีในเวลาใด
ธ
แนวตอบกิจกรรม 12.2.1
ตาม ปพพ. มาตรา 863 บัญญัติว่า ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยเท่านั้น
มส
ไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าจะต้องมีส่วนได้เสียในเวลาใด แต่เมื่อพิเคราะห์บทบัญญัติดังกล่าวแล้วก็เป็นที่
ยอมรับตรงกันว่าส่วนได้เสียในเหตุประกันภัยนั้นจะต้องมีในขณะท�ำสัญญาประกันภัย
ม
สธ
ม
12-24 กฎหมายพาณิชย์ 2 : ยืม ฝากทรัพย์ ตัวแทน ประกันภัย
เรื่องที่ 12.2.2
ราคาของส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย
ธ
ปพพ. มาตรา 867 ได้บัญญัติกล่าวถึงข้อความที่จะต้องมีในกรมธรรม์ประกันภัย โดยได้กำ� หนด
ถึง “ราคาแห่งมูลประกันภัยถ้าหากได้กำ� หนดกันไว้” ซึง่ ราคาแห่งมูลประกันภัยนีก้ ค็ อื ราคาของส่วนได้เสีย
มส
นั่นเอง ซึ่ง ปพพ. มาตรา 867 ไม่ได้ก�ำหนดว่าจะต้องมี แต่ถ้ามีการก�ำหนดกันไว้ ก็จะต้องให้มีปรากฏ
ในกรมธรรม์ประกันภัยด้วย
กฎหมายไม่ได้ก�ำหนดหรือบังคับให้ต้องตกลงกันถึงราคาของส่วนได้เสีย ซึ่งก็แล้วแต่คู่สัญญาจะ
ตกลงว่าจะมีหรือไม่นนั้ เนือ่ งจากสัญญาประกันภัยโดยเฉพาะสัญญาประกันวินาศภัยเป็นสัญญาเพือ่ ชดใช้
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนั้น เมื่อเกิดภัยขึ้นแล้วมีความเสียหายเท่าใด ก็จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามจ�ำนวน
ที่ตีราคาค่าเสียหาย
การที่คู่สัญญาก�ำหนดราคาแห่งมูลประกันภัยไว้ ก็เพื่อความสะดวกในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
เมื่อเกิดภัยตามสัญญาและเพื่อป้องกันความยุ่งยากหรือข้อโต้เถียงในเรื่องการตีราคาค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
กรมธรรม์ที่มีการก�ำหนดราคาแห่งมูลประกันภัยกันไว้นี้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Valued Policy23 ซึ่ง
ธ
Valued Policy นิยมใช้กันมากในการประกันภัยทางทะเล ซึ่งโดยปกติแล้วในการประกันภัยการขนส่ง
สินค้าทางทะเล ราคาแห่งมูลประกันภัยจะก�ำหนดไว้สงู กว่าราคาแห่งวัตถุทเี่ อาประกันภัยในขณะทีท่ ำ� สัญญา
กล่าวคือ เป็นผลรวมระหว่างราคาวัตถุทเี่ อาประกันภัยบวกด้วยค่าระวางการขนส่ง ค่าเบีย้ ประกันภัย และ
มส
อื่นๆ อีก ซึ่งโดยทั่วไปจะเท่ากับ 110 % ของราคา C&F (Cost and Freight) คือ ราคาค่าสินค้าบวกกับ
ค่าขนส่ง
การประกันภัยบางชนิด จ�ำเป็นจะต้องมีการตกลงราคาแห่งมูลประกันภัยไว้เพราะวัตถุทเี่ อาประกันภัย
นัน้ อาจเป็นของหายาก เช่น วัตถุโบราณ หรือภาพเขียนต่างๆ หรือบางครัง้ วัตถุทเี่ อาประกันภัยไม่มมี ลู ค่า
ในตัวของมันเอง แต่จะมีผลเสียหายมากถ้าวัตถุนนั้ ถูกท�ำลายหรือสูญหายไป เช่น การเอาประกันภัยเอกสาร
ในกรณีที่มีการตกลงกันในเรื่องราคาแห่งมูลประกันภัยไว้ การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนย่อมเป็น
ไปตามจ�ำนวนที่ตกลงกันไว้ ซึ่งมีในกรมธรรม์ประกันภัยบางประเภท เช่น การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล
(Personal Accident) เป็นต้น ในกรมธรรม์ประเภทนี้จะก�ำหนดจ�ำนวนเงินที่จะชดใช้สำ� หรับการสูญเสีย
อวัยวะไว้แน่นอน เช่น การสูญเสียแขนขาหรือดวงตา ซึง่ อวัยวะต่างๆ ของคนเรานัน้ ไม่อาจจะตีราคาได้วา่
เป็นเท่าไร จึงเป็นการสะดวกและจ�ำเป็นที่จะต้องมีการก�ำหนดจ�ำนวนเงินกันไว้ตั้งแต่ในขณะท�ำสัญญา
ธ
ประกันภัย ในกรณีเช่นนี้ ผู้รับประกันภัยจะต้องจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนตามที่ตกลงไว้ โดยไม่สามารถ
จะพิสูจน์ราคาของส่วนได้เสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น แม้จะน้อยกว่าตามที่ตกลงกันไว้มากก็ตาม
มส
กรณีทจี่ ะพิสจู น์ได้จะเป็นเรือ่ งของการประกันภัยทรัพย์สนิ โดยปกติแล้วผูร้ บั ประกันภัยก็ยอ่ มจะต้องผูกพัน
ตามข้อตกลงเช่นกัน แต่กฎหมายยอมให้พิสูจน์แก้ไขได้เฉพาะกรณีที่ราคาแห่งมูลประกันภัยตามที่ตกลง
กันไว้สูงกว่าตามความเป็นจริงมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดมาจากเจตนาทุจริตหรือความผิดพลาดในการให้
ข้อมูลของฝ่ายผู้เอาประกันภัย
ในกรณีที่เกิดความเสียหายเพียงบางส่วน (Partial Loss) การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องเป็น
ไปตามหลักการโดยทั่วไปที่ว่า ผู้รับประกันภัยจะชดใช้ให้ตามความเสียหาย