Professional Documents
Culture Documents
การบริหารงานวิชาการ
อาจารย์ ดร.ทัสนี วงศ์ ยนื
เค้ าโครงเนือ้ หา
ตอนที่ 4.1 ความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการบริ หารงานวิชาการ
4.1.1 ความหมาย ความสาคัญ และขอบข่ายการบริ หารงานวิชาการ
4.1.2 แนวคิด และหลักการบริ หารงานวิชาการ
4.1.3 กระบวนการและเทคนิคการบริ หารงานวิชาการตามแนวคิดการบริ หารโดยใช้สถานศึกษาเป็ นฐาน
และการบริ หารแบบมีส่วนร่ วม
4.1.4 สิ่ งที่ควรคานึงถึงในการบริ หารงานวิชาการ
ตอนที่ 4.2 กระบวนการบริ หารงานวิชาการ
4.2.1 การวางแผนการบริ หารงานวิชาการ
4.2.2 ยุทธศาสตร์ การนาแผนการบริ หารงานวิชาการสู่ การปฏิบตั ิ
4.2.3 การนิเทศ ติดตาม ประเมินผลการบริ หารงานวิชาการ
ตอนที่ 4.3 บทบาทผูบ้ ริ หารสถานศึกษาในการบริ หารงานวิชาการ
4.3.1 บทบาทการพัฒนาความเป็ นผูน้ าทางวิชาการ
4.3.2 บทบาทการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการบริ หารงานวิชาการ
4.3.3 บทบาทการพัฒนาสถานศึกษาด้านวิชาการ
แนวคิด
1. การบริ หารงานวิชาการเป็ นงานหลักของสถานศึกษามีขอบข่ายกว้างขวาง มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานทุกด้านของ
สถานศึกษา ทั้งทางตรงและทางอ้อม การทาความเข้าใจเพื่อสร้างจุดมุ่งหมายร่ วมกันของบุคลากรในสถานศึกษา จึง
เป็ นความสาคัญอันดับแรกของการบริ หารงานวิชาการ
2. การบริ หารงานวิชาการ ต้องตระหนักในความสาคัญและสาระของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2550 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรฐาน
2
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาหน่วยที่ 4 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. สรุ ปแนวคิดพื้นฐาน ขอบข่ายงานวิชาการ ความสาคัญ และสิ่ งที่ควรคานึงถึงในการบริ หารงานวิชาการใน
สถานศึกษาได้
2. อธิ บายกระบวนการบริ หารงานวิชาการในสถานศึกษา และบอกจุดอ่อนของการบริ หารงานวิชาการใน
สถานศึกษาของตนเองได้
3. วิเคราะห์สรุ ปบทบาทสาคัญของผูบ้ ริ หารสถานศึกษาในฐานะผูน้ าทางวิชาการได้
ตอนที่ 4.1
แนวคิดพืน้ ฐานเกีย่ วกับการบริหารงานวิชาการ
หัวเรื่อง
เรื่ องที่ 4.1.1 ความหมาย ความสาคัญ และขอบข่ายการบริ หารงานวิชาการ
เรื่ องที่ 4.1.2 แนวคิดและหลักการบริ หารงานวิชาการ
เรื่ องที่ 4.1.3 กระบวนการ และเทคนิคการบริ หารงานวิชาการตามแนวคิดการบริ หารโดยใช้สถานศึกษาเป็ นฐาน
และการบริ หารแบบมีส่วนร่ วม
เรื่ องที่ 4.1.4 สิ่ งที่ควรคานึงถึงในการบริ หารงานวิชาการ
3
แนวคิด
1. การบริ หารงานวิชาการเป็ นการบริ หารเป็ นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทุกชนิดในสถานศึกษาโดยเฉพาะเกี่ยวกับการ
ปรับปรุ งคุณภาพการเรี ยนการสอนให้ได้ผลดีและมีประสิ ทธิ ภาพ เกิดประโยชน์สูงสุ ดกับผูเ้ รี ยน
2. ขอบข่ายของงานวิชาการ ประกอบด้วยงานหลักสู ตร งานจัดการเรี ยนการสอน งานประเมินผลการเรี ยน งานการ
บริ หารการนิเทศภายในสถานศึกษา งานการพัฒนา บุคลากรทางวิชาการ งานการวิจยั และพัฒนา งานการบริ หาร
โครงการทางวิชาการอื่นๆ
3. ผูบ้ ริ หารสถานศึกษาต้องเป็ นผูน้ าทางวิชาการ การบริ หารงานวิชาการจะประสบผลสาเร็ จอย่างมีประสิ ทธิ ภาพได้
ขึ้นอยูก่ บั ความสามารถเฉพาะตน ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่รับผิดชอบ ความมุ่งมัน่ ที่จะพัฒนาตนเองให้มี
ความก้าวหน้าในสายวิชาชีพผูบ้ ริ หารและคุณลักษณะพื้นฐาน เช่น ความขยัน ความอดทน ความประหยัด ความ
ซื่อสัตย์ ความสามัคคี พร้อมที่จะทางานร่ วมกันเป็ นทีม เห็นกับประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เป็ น
ต้น
4. การบริ หารงานวิชาการในสถานศึกษา จะต้องสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ในเรื่ องของหลักการบริ หารแบบมีส่วนร่ วม การสร้างทีมงานที่มีประสิ ทธิภาพ
และการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของผูบ้ ริ หารสถานศึกษา
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 4.1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความหมาย ความสาคัญของการบริ หารงานวิชาการได้
2. ระบุขอบข่ายของการบริ หารงานวิชาการได้
3. ระบุคุณลักษณะความเป็ นผูน้ าทางวิชาการของผูบ้ ริ หารพร้อมยกกรณี ตวั อย่างที่เห็นชัดเจนได้
4. อธิบายกระบวนการและเทคนิคการบริ หารงานวิชาการ ตามแนวคิดการบริ หารโดยใช้สถานศึกษาเป็ นฐาน และ
การบริ หารแบบมีส่วนร่ วมได้
สถานศึกษา คือ แหล่งเรี ยนรู ้ที่สาคัญที่สุดของการจัดการศึกษา ซึ่ งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนตั้งแต่วยั 4–
22 ปี คือ ตั้งแต่ระดับอนุบาลศึกษา ไปจนถึงระดับอุดมศึกษา การศึกษาหรื อการเรี ยนรู ้ จึงมีความผูกพันกับสถานศึกษา เมื่อพูด
4
2. ความสาคัญของการบริหารงานวิชาการ
การบริ หารงานวิชาการมีความสาคัญดังต่อไปนี้
1. ทาให้ผบู้ ริ หารตระหนักเห็นความสาคัญของงานวิชาการซึ่งเป็ นงานหลักของสถานศึกษา เพราะความสาเร็ จของ
สถานศึกษาส่ วนหนึ่งขึ้นอยูก่ บั ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนของผูเ้ รี ยน
2. ทาให้ผบู ้ ริ หารและครู วางแผนพัฒนางานวิชาการอย่างเป็ นระบบและต่อเนื่ องเพื่อเสริ มสร้างผูเ้ รี ยนให้มีความรู ้
ความสามารถ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์
5
3.1 หลักการ
เป็ นหลักสู ตรการศึกษาเพื่อความเป็ นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรี ยนรู้ เป็ นเป้ าหมาย
สาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็ นไทยควบคู่กบั ความเป็ นสากล
เป็ นหลักสู ตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและมี
คุณภาพ
เป็ นหลักสู ตรการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจให้สังคมมีส่วนร่ วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้อง
กับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น
เป็ นหลักสู ตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุน่ ทั้งด้านสาระการเรี ยนรู ้ เวลา และการจัดการเรี ยนรู ้
เป็ นหลักสู ตรการศึกษาที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ
เป็ นหลักสู ตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้ าหมาย
สามารถเทียบโอนผลการเรี ยนรู้ และประสบการณ์
3.2 จุดหมาย เพื่อให้เกิดกับผูเ้ รี ยนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มีคุณธรรม จริ ยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวนิ ยั และปฏิบตั ิตนตามหลักธรรม
ของพระพุทธศาสนาหรื อศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มีความรู ้อนั เป็ นสากลและมีความสามารถในการสื่ อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมี
ทักษะชีวติ
มีสุขภาพกายและสุ ขภาพจิตที่ดี มีสุขนิ สัยและรักการออกกาลังกาย
มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็ นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมัน่ ในวิถีชีวิตและการปกครองตาม
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริ ยท์ รงเป็ นประมุข
มีจิตสานึกในการอนุ รักษ์วฒั นธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุ รักษ์และพัฒนาสิ่ งแวดล้อม มีจิต
สาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่ งที่ดีงามในสังคม และอยูร่ ่ วมกันในสังคมอย่างมีความสุ ข
3..3 คุณภาพตามมาตรฐานการเรี ยนรู ้ ช่วยให้ผเู ้ รี ยนเกิดสมรรถนะสาคัญ ดังนี้
ความสามารถในการสื่ อสาร
ความสามารถในการคิด
ความสามารถในการแก้ปัญหา
ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ
24
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
3.4 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ในการฐานะเป็ นพลเมืองไทยและพลโลก
รักชาติ ศาสน์ กษัตริ ย ์
ซื่อสัตย์สุจริ ต
มีวนิ ยั
ใฝ่ เรี ยนรู้
อยูอ่ ย่างพอเพียง
มุ่งมัน่ ในการทางาน
รักความเป็ นไทย
มีจิตสาธารณะ
3.5 สาระการเรี ยนรู้ เพื่อพัฒนาผูเ้ รี ยนให้เกิดความสมดุล 8 กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้
ภาษาไทย
คณิ ตศาสตร์
วิทยาศาสตร์
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
สุ ขศึกษาและพลศึกษา
ศิลปะ
การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ภาษาต่างประเทศ
โดยสรุ ป หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีหลักการที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ มี
โครงสร้างยืดหยุน่ ทั้งด้านสาระการเรี ยนรู ้ เวลาและการจัดการเรี ยนรู ้ มุ่งพัฒนาผูเ้ รี ยนให้เป็ นคนดี มีปัญญา มีความสุ ข มี
ศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ บรรลุมาตรฐานการเรี ยนรู้ มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อให้สามารถอยูร่ ่ วมกับ
ผูอ้ ื่นในสังคมได้อย่างมีความสุ ข ในฐานะเป็ นพลเมืองไทยและพลโลก
อนึ่ง ขอบเขตของงานวิชาการจากแนวทางของหลักสู ตรจะครอบคลุมในเรื่ องต่อไปนี้ ได้แก่ เรื่ องความรู ้ ความ
เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับหลักสู ตรและการนาหลักสู ตรไปใช้ในสถานศึกษา การจัดการเรี ยนการสอนให้สอดคล้องกับหลักการ
และจุดหมายของหลักสู ตรและการพัฒนาคุณภาพการเรี ยนการสอน กิจกรรมนักเรี ยนและการบริ หารกิจกรรมนักเรี ยนให้
25
ตอนที่ 4.2
กระบวนการบริหารงานวิชาการ
หัวเรื่อง
เรื่ องที่ 4.2.1 การวางแผนการบริ หารงานวิชาการ
เรื่ องที่ 4.2.2 ยุทธศาสตร์ การนาแผนการบริ หารงานวิชาการสู่ การปฏิบตั ิ
เรื่ องที่ 4.2.3 การนิเทศ ติดตาม ประเมินผลการบริ หารงานวิชาการ
แนวคิด
1. การวางแผนการบริ หารงานวิชาการ เป็ นกิจกรรมหลักอันดับแรกที่มีความสาคัญอย่างยิ่ง ต่อการจัดการสถานศึกษา
เพื่อให้บุคลากรทุกคนในสถานศึกษามีเป้ าหมายและทิศทาง การทางานด้านวิชาการร่ วมกัน เข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบ การจัด
กิจกรรมการเรี ยนรู ้ของตน และสามารถทางานร่ วมกับเพื่อนครู คนอื่นได้โดยไม่เกิดความขัดแย้ง ช่วยลดความไม่พอใจและ
ความท้อแท้ที่เกิดขึ้นจากการทางาน โดยขาดทิศทางและเป้ าหมายที่ชดั เจน และต้องวางแผนให้ครอบคลุมขอบข่ายการ
บริ หารงานวิชาการทั้งหมด
2. ประเด็นสาคัญที่ผบู้ ริ หารสถานศึกษาจะต้องคานึงถึงในการวางแผนการบริ หารงานวิชาการ คือ การวางแผนให้
ครอบคลุมงานวิชาการ ตามขอบข่ายการบริ หารงานวิชาการทั้งหมด ได้แก่ การบริ หารหลักสู ตร การบริ หารการเรี ยนการสอน
การบริ หารการนิเทศภายใน การบริ หารการประเมินผลการเรี ยนการสอน การบริ หารระบบข้อมูลและสารสนเทศทางวิชาการ
การบริ หารการพัฒนาบุคลากร การบริ หารการวิจยั และพัฒนา การบริ หารโครงการทางวิชาการอื่น ๆ และการบริ หารการ
ประเมินผลด้านวิชาการของสถานศึกษา
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 4.2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความสาคัญของการวางแผนการบริ หารงานวิชาการในสถานศึกษาได้
2. ระบุประเด็นสาคัญของการวางแผนการบริ หารงานวิชาการในสถานศึกษาพร้อมอธิ บายรายละเอียดได้
3. อธิบายกระบวนการบริ หารงานวิชาการในสถานศึกษาได้
4. ระบุข้ นั ตอนของระบบการประเมินผลการบริ หารงานวิชาการในสถานศึกษาได้
การประเมินสภาพแวดล้อม ทั้งสภาพเศรษฐกิจ
การประเมินก่อน สังคมเป็ นการประเมินความต้องการ และความ
การดาเนินงาน การประเมินบริ บท จาเป็ นว่าต้องมีงานนั้นหรื อไม่ ตลอดจนปั ญหา
และอุปสรรคต่างๆ เพื่อกาหนดโครงการ
การตรวจสอบความพร้อมด้านทรัพยากรทั้งด้าน
ปริ มาณ และคุณภาพ และระบบบริ หารจัดการ และ
การประเมินปั จจัย วิธีการ เพื่อกาหนดทางเลือกที่เหมาะสมที่จะบรรลุ
วัตถุประสงค์เพื่อการเตรี ยมและเขียนโครงการ/งาน
การประเมินเพื่อเปรี ยบเทียบผลผลิตที่เกิดขึ้นกับ
การประเมินเมื่อสิ้ นสุ ด การประเมินผลผลิต วัตถุประสงค์ ความต้องการ หรื อเป้ าหมายที่
การดาเนินงาน กาหนดไว้ รวมทั้งการประเมินผลกระทบ และ
ผลลัพธ์ของนโยบาย/แผนงาน/โครงการ
การประเมินโครงการตามกระบวนการของสตัฟเฟิ ลบีม หรื อที่เรี ยกว่า CIPP Model นี้ มีลกั ษณะเป็ นการวิเคราะห์
ระบบเพื่อการตัดสิ นใจของผูบ้ ริ หารสถานศึกษาว่า ควรดาเนิ นโครงการนั้นต่อไปหรื อไม่ จะมีการปรับปรุ งแก้ไขเพื่อให้
เหมาะสมอย่างไร หรื อควรล้มเลิกโครงการนั้น หากผลสัมฤทธิ์ ไม่ได้ตามเป้ าหมาย และเกิดผลกระทบในทางลบที่ชดั เจน
ดังนั้น ภาระงานสาคัญของการบริ หารงานวิชาการในสถานศึกษาของผูบ้ ริ หารสถานศึกษา คือ การกาหนดนโยบาย
การดาเนิ นการด้านวิชาการ การชี้แจงทาความเข้าใจร่ วมกันในนโยบายกับผูส้ อนและผูเ้ กี่ยวข้องทุกฝ่ ายทุกคน การชี้ แนะ การ
อานวยความสะดวกด้านงบประมาณ ด้านบุคลากร การนิเทศ การติดตาม และการประเมินผลงาน เพื่อสรุ ปรายงานประจาปี
ภาระงานต่างๆ เหล่านี้ จะต้องดาเนินการตามลาดับอย่างต่อเนื่ อง
ตอนที่ 4.3
บทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารงานวิชาการ
หัวเรื่อง
เรื่ องที่ 4.3.1 บทบาทการพัฒนาความเป็ นผูน้ าทางวิชาการ
เรื่ องที่ 4.3.2 บทบาทการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการบริ หารงานวิชาการ
เรื่ องที่ 4.3.3 บทบาทการพัฒนาสถานศึกษาด้านวิชาการ
แนวคิด
1. บทบาทการพัฒนาความเป็ นผูน้ าทางวิชาการ เป็ นบทบาทสาคัญที่ผบู้ ริ หารสถานศึกษาต้องฝึ กฝนและพัฒนาความรู้
ความสามารถอย่างต่อเนื่ องตลอดเวลา ด้วยการศึกษาเพิม่ เติมจากสถาบันการศึกษา ศึกษาจากผูเ้ ชี่ยวชาญ หรื อศึกษาด้วย
ตนเอง เพื่อพัฒนาองค์ความรู ้แห่งวิชาชีพ สมรรถนะในการปฏิบตั ิงานและการบ่มเพาะคุณธรรม จริ ยธรรมที่ส่งเสริ มให้มี
ความคิดดี เฉี ยบแหลม มีความเป็ นคนดี รวมทั้งการปฏิบตั ิตนเป็ นแบบอย่างในการเรี ยนรู ้ตลอดชีวติ เป็ นตัวอย่างที่ดีแก่
ผูร้ ่ วมงาน
2. ผูบ้ ริ หารสถานศึกษาในฐานะของผูน้ าทางวิชาการที่แท้จริ ง ต้องมีวสิ ัยทัศน์ มีทศั นะกว้างไกล มีความสามารถที่จะ
ทาให้ผรู ้ ่ วมงานยอมรับความคิดในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการศึกษาในการบริ หารงานวิชาการและยินดี ร่วม
ปฏิบตั ิงานด้วย
38
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 4.3 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. บอกความสาคัญของความเป็ นผูน้ าทางวิชาการของผูบ้ ริ หารสถานศึกษาได้
2. ยกตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการบริ หารงานวิชาการได้
3. วางแผนการพัฒนาสถานศึกษาด้านวิชาการได้
ทรัสตี (Trusty: 1986 อ้างถึงใน รุ จิ ภู่สาระ และจันทรานี สงวนนาม 2545: 30-32) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของ
ผูบ้ ริ หารสถานศึกษาในฐานะที่เป็ นผูน้ าทางวิชาการไว้ 17 ประการ ตามที่ปรากฏรายละเอียดในเรื่ องที่ 4.1.2 ซึ่ งสรุ ปให้เห็นว่า
ผูบ้ ริ หารสถานศึกษามีบทบาทหน้าที่ในการส่ งเสริ มและสร้างความเชื่ อมัน่ ให้เพื่อนครู ในสถานศึกษาปฏิบตั ิหน้าที่ดา้ น
วิชาการไปในทิศทางที่ถูกต้องตามเป้ าหมาย ด้วยการร่ วมวางแผนและสนับสนุนเพื่อนครู ให้ปฏิบตั ิงานวิชาการเต็มความ
สามารถซึ่ งหมายความว่าผูบ้ ริ หารสถานศึกษาต้องมีภาวะผูน้ าทางวิชาการ คือ มีความสามารถนาบุคคลในสถานศึกษาให้
ร่ วมมือปฏิบตั ิงานจนบรรลุเป้ าหมายของสถานศึกษาอย่างมีประสิ ทธิภาพ ด้วยความเข้าใจ และมีความสุ ข
บทบาทการพัฒนาความเป็ นผูน้ าทางวิชาการ เป็ นบทบาทสาคัญที่ผบู้ ริ หารสถานศึกษาต้องฝึ กฝนและพัฒนาความรู้
ความสามารถอย่างต่อเนื่ องตลอดเวลา ด้วยการศึกษาเพิม่ เติมจากสถาบันการศึกษา ศึกษาจากผูเ้ ชี่ยวชาญหรื อศึกษาด้วยตนเอง
เพื่อพัฒนาองค์ความรู ้แห่งวิชาชีพ สมรรถนะในการปฏิบตั ิงานและการบ่มเพาะคุณธรรม จริ ยธรรม ที่ส่งเสริ มให้มีความคิดดี
เฉี ยบแหลม มีความเป็ นคนดี (ด้านส่ วนตัว ครอบครัว สังคม) รวมทั้งการปฏิบตั ิตนเป็ นแบบอย่างในการเรี ยนรู ้ตลอดชีวติ
เป็ นตัวอย่างที่ดีแก่ผรู ้ ่ วมงานโดยปฏิบตั ิให้เป็ นกิจนิสัย จนเกิดเป็ นลักษณะนิสัยที่ดีและพร้อมที่จะสร้างบรรยากาศภายใน
สถานศึกษาให้เป็ นแหล่งพัฒนาการเรี ยนรู ้ของครู นักเรี ยน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้ต่อไป
ทั้งนี้ ผูบ้ ริ หารสถานศึกษาอาจแสดงภาวะผูน้ าทางวิชาการด้วยการกาหนดยุทธศาสตร์ การพัฒนาผูป้ ระกอบวิชาชีพ
ทางการศึกษา (ครู ) โดยยึดระบบการพัฒนาอย่างต่อเนื่ อง ซึ่ งผูบ้ ริ หารสถานศึกษาสามารถจะเลือกใช้ยทุ ธวิธี หรื อแนว
39
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่ งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 9 กาหนดให้การ
จัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยดึ หลักการกระจายอานาจไปสู่ เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และ
องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ให้ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา และให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน
องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และ
สถาบันสังคมอื่นๆ มีส่วนร่ วมในการจัดการศึกษา จึงเป็ นผลให้สถานศึกษาทุกแห่งต้องดูแลรับผิดชอบการบริ หารจัดการ
สถานศึกษาด้วยตนเองมากขึ้น มีอานาจในการตัดสิ นใจเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรและแก้ปัญหาในการบริ หารจัดการได้เต็ม
ตามศักยภาพ สถานศึกษาต้องแสดงความรับผิดชอบในผลของการปฏิบตั ิงานต่อสาธารณชนในเขตพื้นที่บริ การของ
สถานศึกษา
ผูบ้ ริ หารสถานศึกษาในฐานะผูน้ าทางวิชาการต้องมีความรู้ ความสามารถ และมีความมุ่งมัน่ ที่จะพัฒนาสถานศึกษา
ด้วยการพัฒนาทั้งระบบ ให้เป็ นองค์กรเรี ยนรู ้อยูต่ ลอดเวลา ใช้ระบบบริ หารสถานศึกษาแบบยึดผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ และ
กระจายอานาจให้ประชาชนทุกภาคส่ วนมีส่วนร่ วมในการจัดการสถานศึกษา
องค์กรที่มีลกั ษณะขององค์กรเรี ยนรู ้ตามแนวคิดของ ปี เตอร์ เอ็ม เซ็งเก้ (Peter M. Zenge) คือ องค์กรที่บุคลากร
ภายในองค์กรมีคุณลักษณะ 5 ประการ ดังนี้
1) มีการคิดที่เป็ นระบบ คิดบ่อยๆ จนเป็ นนิสัย มีลกั ษณะการคิดที่เป็ นสัญลักษณ์เฉพาะตัว และมีพฤติกรรมที่เป็ นไป
ตามวิธีคิด
2) ไม่ติดยึด ยึดมัน่ ถือมัน่ และมีอคติ
3) มีความฝัน ความต้องการ มีแรงบันดาลใจ กล้าคิด กล้าแสดงออก และมีความสนุกที่จะสานฝันให้เป็ นจริ ง
4) มีการเรี ยนรู้เป็ นทีม ด้วยความสามัคคี
5) สร้างสรรค์ผลงานที่เป็ นสาระเป็ นประโยชน์ตรงตามยุทธศาสตร์ขององค์กร ตรงตามความฝันหรื อวิสัยทัศน์
(vision) ที่กาหนดไว้ร่วมกัน
43
บรรณานุกรม