You are on page 1of 82

เหตุยกเว้ นโทษ

เหตุยกเว้ นโทษ หมายถึง การกระทานั้นกฎหมายบัญญัติว่าเป็ นความผิด


แต่ ผ้ กู ระทาไม่ ต้องรับโทษ ได้ แก่
๑. การกระทาด้ วยความจาเป็ น ตามมาตรา ๖๗
๒. การกระทาความผิดของเด็กอายุไม่ เกิน ๑๕ ปี ตามมาตรา ๗๓,๗๔
๓. การกระทาความผิดของคนวิกลจริต ตามมาตรา ๖๕
๔. การกระทาความผิดของผู้มึนเมา ตามมาตรา ๖๖
๕. การกระทาความผิดตามคาสั่ งที่มิชอบด้ วยกฎหมายของเจ้ าพนักงาน
ตามมาตรา ๗๐
๖. การกระทาผิดเกีย่ วกับทรัพย์ บางฐาน ระหว่ างสามี ภรรยา ตาม
มาตรา ๗๑
๑. การกระทาด้ วยความจาเป็ น
มาตรา ๖๗ บัญญัติวา่ “ผู้ใดกระทาด้วยความจาเป็ น
(๑) เพราะอยู่ในทีบ่ ังคับ หรื อภายใต้ อานาจซึ่งไม่ สามารถ
หลีกเลีย่ งหรื อขัดขืนได้ หรื อ
(๒) เพราะเพื่อให้ ตนเอง หรื อผู้อื่นพ้ นจากภยันตรายที่ใกล้ จะ
ถึงและไม่ สามารถหลีกเลีย่ งให้ พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้น
ตนมิได้ ก่อให้ เกิดขึน้ เพราะความผิดของตน
ถ้ าการกระทานั้นไม่ เกินสมควรแก่ เหตุ ผู้น้ันไม่ ต้องรับโทษ”
การกระทาด้ วยความจาเป็ น แบ่งออกได้เป็ น ๒
ประเภทคือ
(๑) กระทาด้ วยความจาเป็ นเพราะตกอยู่ในทีบ่ ังคับ หรื อ
ภายใต้ อานาจที่ไม่ สามารถขัดขืน หรื อหลีกเลีย่ งได้ ตามมาตรา
๖๗ (๑)
(๒) กระทาด้ วยความจาเป็ นเพื่อให้ ตนเอง หรื อผู้อื่นพ้ นจาก
ภยันตราย ตามมาตรา ๖๗ (๒)
๑.๑ จาเป็ นเพราะตกอยู่ในทีบ่ งั คับ หรื อภายใต้ อานาจ
ตามมาตรา ๖๗ (๑) มีหลักเกณฑ์ดงั ต่อไปนี้
(๑) อยูใ่ นที่บงั คับหรื อภายใต้อานาจ
(๒) ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรื อขัดขืนได้
(๓) ผูก้ ระทาจะต้องไม่ได้ก่อเหตุข้ ึนด้วยความผิดของตน
(๔) กระทาไปไม่เกินขอบเขต
• อธิบาย
(๑) อยู่ในที่บังคับหรื อภายใต้ อานาจ คือตัวผูก้ ระทาต้องถูก
บัง คับ ให้ก ระท าการหรื อ ไม่ ก ระท าการอย่า งใดอย่า งหนึ่ ง ซึ่ ง เป็ น
ความผิด เช่นถูกบังคับให้ทาร้ ายบุคคลอื่น หรื อบังคับให้บิดาหรื อ
มารดาไม่ให้ช่วยเหลือบุตรผูเ้ ยาว์เมื่อบุตรเกิดภยันตราย
ตัวผู้ ก ระท าด้ ว ยความจาเป็ นเมื่ อถู กบัง คับให้กระทาการใด
หรื อไม่กระทาการใดที่ผดิ กฎหมายตัวเขาเองนั้นจะต้องรู ้สานึ กในการ
กระทา ถ้าไม่รู้สานึ กในการกระทาแล้ว เช่นถูกสะกดจิตให้ไปทาร้าย
ผูอ้ ื่นจะไม่ใช่กระทาด้วยความจาเป็ น
ความยาเกรงหรื อการเกรงใจกันที่ไม่ใช่การถูกบังคับอ้างจาเป็ น
ไม่ได้
ตัวอย่ าง
นายแดงใช้ปืนขู่บงั คับให้นายดาใช้ไม้ตีหัวนายขาว โดยขู่ว่าถ้า
นายดาไม่ยอมทาตามที่ถูกขู่เข็ญตนจะยิงนายดาให้ตาย นายดาไม่มี
ทางขัดขืนหรื อหลีกเลี่ยงได้จึงจาเป็ นต้องใช้ไม้ตีหัวนายขาว นายขาว
หัวแตกถือว่ากรณี น้ ี นายดากระทาด้วยความจาเป็ น ตามมาตรา ๖๗(๑)
สรุ ป กรณี น้ ี นายด ามี ค วามผิ ด ฐานท าร้ ายนายขาวให้ไ ด้รั บ
อันตรายแก่ กาย ตามมาตรา ๒๙๕ แต่ไม่ ต้องรั บโทษเพราะอ้างเหตุ
กระทาด้วยความจาเป็ นเพราะตกอยู่ภายใต้อานาจที่ ไม่สามารถหลีก
เลียงหรื อขัดขืนได้ตามาตรา ๖๗ (๑)
(๒) ไม่ สามารถหลีกเลีย่ งขัดขืนได้
หมายถึง ผูก้ ระทาไม่มีทางเลือกอย่างอื่นได้ นอกจากกระทาตามที่
ถูกบังคับ แต่ถา้ มีทางเลือกอย่างอื่นได้แต่ไม่เลือก เช่นถูกคนแก่ใช้มีด
ขู่บงั คับให้เราทาร้ายผูอ้ ื่นเพียงเราใช้มือปั ดมีดจากมือคนแก่เราก็พน้ ภัย
ที่ถูกขู่เข็ญแล้ว แต่เราไปเลือกทาตามที่ถูกขู่เข็ญโดยไปทาร้ายผูอ้ ื่น
ตามที่ถูกขู่เข็ญ เราจะอ้างกระทาด้วยความจาเป็ นไม่ได้
การกระทาด้วยความจาเป็ น ผูก้ ระทาต้องมีเจตนากระทาต่อบุคคล
ที่สามโดยมีมูลเหตุจูงใจ เพราะตกอยูใ่ นที่บงั คับ หรื อภายใต้อานาจที่
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรื อขัดขืนได้
ตัวอย่ าง นายเอกใช้ปืนขู่บงั คับให้นายโททาร้ายนายตรี นายโท
รู ้ ว่าปื นกระบอกนั้นไม่ มีกระสุ นบรรจุ (เพราะว่าตนเองเป็ นคนเอา
กระสุ นออกจากปื นเอง) แต่นายเอกไม่รู้ นายโทคิดว่าจะทาร้ ายนาย
ตรี อยู่แล้วจึงใช้ไม้ตีหัวทาร้ายนายตรี นายโทจะอ้างเหตุกระทาด้วย
ความจาเป็ นไม่ได้ เนื่ องจากตนมิได้มีมูลเหตุจูงใจ เพราะตกอยู่ในที่
บังคับ หรื อภายใต้อานาจที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงขัดขืนได้
(๓) ผู้กระทาจะต้ องไม่ ได้ ก่อเหตุขน ึ้ ด้ วยความผิดของตน
ถ้าผูก้ ระทาเป็ นผูก้ ่อเหตุข้ ึนก่อนด้วยความผิดของตน เช่นไปทา
การยัว่ ยุให้ผอู ้ ื่นมาบังคับตนเพื่อให้ตนไปทาร้ายบุคคลที่สาม
ตัวอย่ าง นายแดงพูดจายัว่ ยุดูถูกนายดาว่าคนอย่างนายดาไม่มี
ปั ญญาที่จะมาข่มขู่ตนเพื่อให้ตนไปทาร้ายนายขาว นายดาโกรธจึง
เอาปื นจี้หวั นายแดงบังคับนายแดงให้เอาไม้ตีหวั นายขาวถ้าไม่ทาก็จะ
ฆ่านายแดง นายแดงไม่มีทางหลีกเลี่ยงจึงตีหวั นายขาว การที่นายแดง
ตีหวั นายขาว นายแดงอ้างเหตุกระทาด้วยความจาเป็ นไม่ได้เพราะว่า
ตนเองได้มีส่วนก่อเหตุข้ ึนด้วย
๔. กระทาไปไม่ เกินขอบเขต
การกระทาด้วยความจาเป็ นตาม มาตรา ๖๗ (๑) จะต้องไม่เป็ น
(๑) การกระทาที่เกินสมควรแก่เหตุ
(๒) การกระทาที่เกินกว่ากรณี แห่งความจาเป็ น
การกระทาทีเ่ กินสมควรแก่ เหตุ คือการกระทาที่เกินวิถีทางที่
น้อยที่สุด หรื อเกินสัดส่ วนอย่างใดอย่างหนึ่งหรื อทั้งสองอย่าง
การกระทาที่เกินวิถีทางที่นอ้ ยที่สุด คือการกระทาที่เกินขั้นต่าที่
จาเป็ นต้องกระทาซึ่งมีหลักอย่างเดียวกับการป้องกัน
ในเรื่ องของ “สั ดส่ วน” จะใช้หลักอย่างเดี ยวกับป้ องกันมิได้
เพราะการกระทาด้วยความจาเป็ น ๆ การกระทาต่อบุคคลที่สามส่ วน
ป้ องกันเป็ นการกระทาต่อผูก้ ่อภัย สิ ทธิ ของผูก้ ระทาโดยจาเป็ นและ
ป้องกันจึงเหมือนกันไม่ได้
หลักการที่สาคัญ คือ ภัยที่ผกู้ ระทาด้วยความจาเป็ นกระทาต่อ
บุคคลที่สามต้องน้ อยกว่ าภัยที่ตนเองจะได้รับจากผูก้ ่อภัยกระทาต่อ
ตนเอง แต่ ถ ้า ภัย ที่ ต นเองกระท าต่ อ บุ ค คลที่ ส าม มากกว่ า หรื อ
เท่ ากับภัยที่ตนเองจะได้รับจากบุคคลอื่นถือว่าเป็ นการจาเป็ นเกิ น
กว่าเหตุ
• ตัวอย่ าง นายแดงใช้ปืนขู่บงั คับให้นายดาใช้ไม้ตีหวั นายขาว ถ้าไม่
ทาตนจะยิงนายดาให้ตาย นายดาไม่มีทางหลีกเลี่ยงจึงใช้ไม้ตีหวั นาย
ขาว นายดาผิดทาร้ายนายขาวตามมาตรา ๒๙๕ แต่อา้ งกระทาด้วย
ความจาเป็ นตาม มาตรา ๖๗(๑)ได้ถือว่าทาไปพอสมควรแก่เหตุ (ผิด
แต่ไม่ตอ้ งรับโทษ)(ภัยที่ตนเองกระทาต่อนายขาวน้อยกว่าภัยที่ตนเอง
จะได้รับจากนายแดง)
• แต่ถา้ นายแดงขู่บงั คับให้นายดายิงนายขาวให้ตาย ถ้าไม่ทาตนจะ
ยิงนายดาให้ตาย นายดาไม่มีทางหลีกเลี่ยงจึงยิงนายขาวตาย ถือว่า
นายดากระทาด้วยความจาเป็ นเกินสมควรแก่เหตุตาม มาตรา ๖๙(ภัย
ที่ตนเองจะได้รับจากแดงเท่ากับภัยที่ตนเองกระทาต่อขาว ถือว่า
กระทาด้วยความจาเป็ นเกินสมควรแก่เหตุ
ถ้าเป็ นกรณี ที่นายแดงขู่บงั คับนายดาว่าถ้านายดาไม่ใช้ปืนยิงนายขาว
ให้ตาย ตนก็จะใช้ไม้ตีทาร้ายนายดาให้ได้รับบาดเจ็บ นายดาจึงใช้ปืนยิง
นายขาวตายตามที่ถูกบังคับ ดังนี้ ถือว่าเป็ นการกระทาด้วยความจาเป็ น
เกินสมควรแก่เหตุเพราะภัยที่ตนเองจะได้รับน้อยกว่าภัยที่ตนเองไป
กระทาต่อนายขาว(บุคคลที่สาม)
การกระทาที่เกินกว่ ากรณีแห่ งความจาเป็ น หมายถึงการกระทา
โดยมีมูลเหตุจูงใจ เพราะอยูใ่ นที่บงั คับหรื อภายใต้อานาจที่ไม่สามารถ
หลีกเลี่ยงหรื อขัดขืนได้ แต่การบังคับยังอยู่ห่างไกล เช่น นายเอกเอา
ปื นจ่อศีรษะนายโทขู่ว่าจะยิงภายใน ๑ ชัว่ โมง ข้างหน้าหากนายโทไม่
ใช้ไม้ตีศีรษะนายตรี นายโทจึงรี บตีศีรษะนายตรี ทนั ที นายโทผิดทา
ร้ายร่ างกายนายตรี ตามมาตรา ๒๙๕ การกระทาของนายโทเป็ นการ
กระทาเกินกว่ากรณี เเห่งความจาเป็ น ตามมาตรา ๖๙
ตัวอย่ างคาพิพากษาฎีกา
ฎีกาที่ ๑๗๕๐/๒๕๑๔ จาเลยถูกคนร้ ายที่มีสมัค รพรรค
พวกมาก และมี อาวุธครบมื อขู่บงั คับให้เอาเรื อรั บส่ งคนร้ ายข้าม
ฟากไปทาการปล้นทรัพย์ ถือว่าจาเลยกระทาด้วยความจาเป็ นไม่
สามารถหลีกเลี่ยงหรื อขัดขืนได้ จาเลยไม่ตอ้ งรับโทษ(อ้างเหตุจา
เป็ นได้)
ข้อสังเกต การที่ จาเลยช่ วยเอาเรื อรั บส่ งคนร้ ายจาเลยผิดมาตรา
๑๘๙ ช่วยผูก้ ระทาผิดเพื่อไม่ให้ตอ้ งโทษ แต่ไม่ตอ้ งรับโทษสาหรับ
ความผิดนี้เพราะอ้างเหตุจาเป็ นตาม มาตรา ๖๗(๑)
ฎีกาที่ ๒๓๔๘/๒๕๒๕ จาเลยขับเรื อรับผูโ้ ดยสารไปยัง
ที่เกิดเหตุ โดยไม่ทราบว่าเป็ นคนร้ายจะไปฆ่าผูต้ าย หลังเกิดเหตุ
แล้วจาเลยยังต้องขับเรื อไปส่ งคนร้ ายด้วยความจาเป็ น เพราะอยู่
ภายใต้อานาจของคนร้ายซึ่ งจาเลยไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรื อขัดขืน
ได้ตาม ป.อาญามาตรา ๖๗ (๑) เมื่อส่ งคนร้ายแล้วก็ไปแจ้งความต่อ
ผูใ้ หญ่บา้ นทันที ดังนี้ จาเลยไม่ตอ้ งรับโทษ
๒. จำเป็ นเพื่อให้ พ้นจำกภยันตรำย ตำมมำตรำ ๖๗ (๒)
มีหลักเกณฑ์ดงั นี้
๒.๑ มีภยันตราย
๒.๒ ภยันตรายนั้นใกล้จะถึง
๒.๓ เป็ นภยันตรายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พน้ โดยวิธีีอื่นใดได้
๒.๔ ภยันตรายนั้นผูก้ ระทามิได้ก่อให้เกิดขึ้น เพราะความผิด
ของตน
๒.๕ ผูก้ ระทาได้กระทาไปเพื่อตนเองหรื อผูอ้ ื่นพ้นภยันตราย
๒.๖ กระทาไปไม่เกินขอบเขต
๒.๑ มีภยันตรำย ภยันตรายที่ผกู้ ระทาอ้างเหตุกระทาด้วย
ความจาเป็ น ตามมาตรา ๖๗ (๒) นั้นอาจเป็ นภยันตรายที่เกิดจาก
คน สัตว์ หรื อธีรรมชาติ
ตัวอย่ ำง นายหนึ่ งเดินเล่นอยู่ปากซอยถูกนายสองกับพวก
ซึ่ งเป็ นวัยรุ่ นไล่ทาร้าย นายหนึ่ งวิ่งหนี เข้าไปในซอยซึ่ งเป็ นซอย
ตันไม่มีทางออก นายหนึ่ งไม่มีทางไปต่อจึ งแหวกรั้วบ้านของ
นายสามแล้วเข้าไปหลบซ่ อนตัวอยู่ในบ้านของนายสาม การ
แหวกรั้วบ้านย่อมเป็ นความผิดฐานทาให้เสี ยทรัพย์ และการเข้า
ไปหลบซ่อนในบ้านย่อมเป็ นความผิดฐานบุกรุ ก แต่นายหนึ่ งอ้าง
เหตุกระทาด้วยความจาเป็ น ตามมาตรา ๖๗ (๒) ได้
๒.๒ ภยันตรายนั้นต้ องเป็ นภยันตรายนั้นใกล้ จะถึง
ตัวอย่ าง นายแดงและนายดามีที่นาอยู่ติดกันวันหนึ่ งมีฝน
ตกหนักน้ าได้ท่วมที่นาของนายแดง ในนานั้นมีขา้ วซึ่ งใกล้จะเก็บ
เกี่ ยวได้ถา้ ปล่อยให้น้ าท่วมต้นข้าวจะเสี ยหายทั้งหมด มี หนทาง
เดียวที่จะช่วยให้ตน้ ข้าวไม่เสี ยหายคือนายแดงต้องไปทาลายทานบ
กั้นน้ าในเขตที่นาของดาให้เป็ นทางระบายน้ า นายแดงจึงตัดสิ นใจ
ทาลายทานบกั้นน้ าของนายดาเสี ยหาย ถือว่านายแดงผิดทาให้เสี ย
ทรัพย์ของนายดา แต่ ไม่ ต้องรับโทษเพราะอ้ างเหตุกระทาโดยความ
จาเป็ นตามมาตรา ๖๗ (๒) ได้
หมายเหตุ แต่ถา้ ภยันตรายยังไม่ ใกล้ จะถึงผูก้ ระทาก็จะ
อ้างเหตุจาเป็ นไม่ได้ เช่น กรณี ตวั อย่างข้างต้นถ้านายแดงฟั ง
วิ ท ยุโ ฆษกประกาศว่ า พรุ่ ง นี้ จะมี พ ายุเ ข้า จะมี ฝ นตกหนักมาก
นายแดงกลัวว่าข้าวในนาของตนเองจะเสี ยหาย ตกตอนเย็นนาย
แดงได้ไปทุบทาลายทานบกั้นน้ าของนายดาเสี ยหาย (กรณี น้ ี ถือ
ว่าภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึง ) นายแดงต้องรับผิดฐานทาให้เสี ย
ทรั พย์ของนายดา ตามมาตรา ๓๕๘ อ้างเหตุกระทาด้วยความ
จาเป็ นไม่ได้
๒.๓ เป็ นภยันตรายที่ไม่ สามารถหลีกเลี่ยงให้ พ้ นโดยวิธี
อื่นใดได้
หมายถึงไม่มีวิธีอื่นใดแล้วที่ผกู ้ ระทาสามารถหลีกเลี่ยงภยันตราย
นั้นได้ แต่ถา้ มีวิธีที่จะหลีกเลี่ยงได้ ต้องหลีกเลี่ยงก่อน
ตัวอย่ าง กรณี ที่นายแดงถูกนายดากับพวกไล่ทาร้าย นายแดง
ได้วิ่งหนี เข้าไปในซอยแห่ งหนึ่ ง นายแดงเห็ นบ้านหลัง หนึ่ งจึ ง
ทาลายรั้วบ้านหลังนั้นแล้วเข้าไปหลบซ่อนทั้ง ๆ ที่ในซอยแห่ งนั้นมี
ทางหลบหนี ต่อไปได้ เพราะไม่เป็ นซอยตัน ถือว่าเป็ นภยันตรายที่
ตนเองสามารถหลีกเลี่ยงได้
๒.๔ ภยันตรายนั้นผู้กระทามิได้ ก่อให้ เกิดขึน้ เพราะ
ความผิดของตน
หมายถึง ผูท้ ี่กระทาความผิดด้วยความจาเป็ นจะต้องมิใช่เป็ นผูท้ ี่
ก่อหรื อเป็ นต้นเหตุข้ ึนก่อน หรื อมีส่วนในการกระทาความผิด
ตัวอย่ าง จากตัวอย่างที่ ได้กล่าวมาแล้วถ้านายแดงไปด่าแม่
นายดา หรื อทาร้ายนายดาก่อน นายดากับพวกจึงไล่ทาร้ายนายแดง
นายแดงจึ งวิ่งหนี เข้าไปในซอยแล้วเข้าไปหลบซ่ อนในบ้านของ
นายขาว การที่เข้าไปหลบซ่อนในบ้านของนายขาวนั้นนายแดงจะ
อ้างเหตุกระทาด้วยความจาเป็ นไม่ได้ เพราะเนื่องจากตนเองมีส่วน
ผิดมาก่อนเพราะตนไปด่าแม่หรื อทาร้ายนายดาก่อน
๒.๕ ผู้กระทาได้ กระทาไปเพื่อให้ ตนเองหรื อผู้อื่นพ้ น
จากภยันตราย
การกระทาด้วยความจาเป็ นตามมาตรา ๖๗ (๒) ผูก้ ระทามี
เจตนาพิ เ ศษเพื่ อ ให้ ต นเองหรื อ ผู ้อื่ น พ้น จากภยัน ตรายเช่ น จาก
ตัวอย่างข้างต้นการที่นายแดงทาลายรั้วบ้านนายขาวเพื่อเข้าไปหลบ
ซ่อนก็เพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตราย
ตั ว อย่ าง นายแดงกับ นายด านอนอยู่ห้อ งเดี ย วกัน นายแดง
ละเมอชักมีดขึ้นมาจะแทงนายดา นายดาเห็ นเข้าไม่รู้ว่าขณะนั้น
นายแดงกาลังละเมอ นายดาสาคัญผิดคิดว่านายแดงตั้งใจจะแทง
ตน ด้วยความไวของนายดา นายดาจึงใช้มีดพกของตนเองแทงนาย
แดงถึง
ต่ อ
แก่ความตาย กรณี น้ ี ถือว่านายดากระทาการป้ องกันโดยสาคัญผิด
ตามมาตรา ๒๘๘,๖๘,๖๒ แต่ถา้ ในขณะนั้นนายดารู ้ว่านายแดง
ละเมอแต่ตนเองไม่มีทางหลีกเลี่ยงให้พน้ จากภยันตรายจึงมีดแทง
นายแดงไป ๑ ที นายแดงถึงแก่ความตาย ถือว่าเป็ นการกระทาด้วย
ความจาเป็ น ตามมาตรา ๖๗ (๒) (เพราะแม้ว่าจะมีภยันตรายแต่
ภยันตรายนั้นมิใช่ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ
กฎหมาย )
๒.๖ กระทาไปไม่ เกินขอบเขต
การกระทาที่ไม่เกินขอบเขตคือ กระทาไปไม่เกินสมควรแก่
เหตุ และไม่เกินกว่ากรณี แห่งความจาเป็ น
- การกระทาด้วยความจาเป็ นเกินสมควรแก่เหตุ คือการกระทา
ที่เกินวิถีทางที่นอ้ ยที่สุด หรื อเกินสัดส่ วนอย่างหนึ่งอย่างใด
- การกระทาที่เกินวิถีทางที่น้อยที่สุดคือการกระทาที่เกินขั้นต่า
ที่จาเป็ นต้องกระทา
ตัวอย่ าง
นายมิ่งไปช่วยงานแต่งญาติของตนในขณะเดินเข้าไปในงาน
พบกับนายมากกับพวกซึ่ งเป็ นคู่อริ กนั มาก่อน นายมากกับพวก
ตรงเข้าทาร้ายนายมิ่ง นายมิ่งวิ่งหนี จะเข้าไปในห้องคู่บ่าวสาว มี
คนมาห้ามมิ ให้เข้า ไป นายมิ่ ง ได้ชักมี ด แทงคนที่ มาขวางได้รั บ
บาดเจ็บแล้ววิ่งเข้าไปซ่ อนตัวในห้อง ถือเป็ นการการกระทาด้วย
ความจาเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ ใกล้จะถึง แต่เป็ นการ
กระทาด้วยความจาเป็ นที่เกินสมควรแก่เหตุ เพราะกรณี น้ ีเพียงแต่
ผลักคนที่มาขวางให้พน้ ไปก็เพียงพอแล้ว
ฎีกาที่ ๗๓๔/๒๕๒๙ การขุดหลุมเป็ นทางระบายน้ าจาก
นาที่จาเลยทาลงคลองสาธารณะเพื่อไม่ให้น้ าท่วมต้นข้าวเมื่อฝน
จะตกมากเท่ านั้น เมื่ อฝนยังไม่ ตกน้ ายังไม่ ท่วมต้น ข้าวจึ งไม่ มี
ภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจาเลยจาเป็ นต้องกระทา ทั้งเมื่อฝนตก
มากและน้ าท่ วมต้นข้าวจาเลยก็สามารถใช้เครื่ องสู บน้ า สู บน้ า
ออกจากนาได้ การกระท าของจ าเลยหาใช่ ค วามจ าเป็ นตาม
กฎหมายไม่
ฎีกาที่ ๘๖๔๙/๒๕๔๙ แม้การที่จาเลยที่ ๒ ขับรถจักรยานยนต์
พาผูเ้ สี ยหายซึ่ งอายุไม่เกิน ๑๕ ปี และจาเลยที่ ๑ ไปยังที่เกิดเหตุ
เพื่อให้จาเลยที่ ๑ ข่มขืนกระทาชาเรา แล้วพาผูเ้ สี ยหายไปส่ งบ้าน
จะถื อ ได้ว่ า เป็ นการกระท าอัน เป็ นการช่ ว ยเหลื อ หรื อ ให้ ค วาม
สะดวกก่ อ นหรื อ ขณะจาเลยที่ ๑ กระทาความผิดตาม ป.อาญา
มาตรา ๒๗๗ วรรคสาม ประกอบมาตรา ๘๖ แล้วก็ตาม แต่
จ าเลยที่ ๒ กระท าไปเพราะถู ก จ าเลยที่ ๑ ใช้อ าวุ ธ มี ด จี้ ที่ ค อ
ผูเ้ สี ยหายเลยมาถึงคอจาเลยที่ ๒ จนผูเ้ สี ยหายเกิดความกลัวว่าจะ
ถูกทาร้ าย จึงร้ องบอกให้จาเลยที่ ๒ให้ขบั รถจักรยานยนต์ต่อไป
จนถึงที่เกิดเหตุซ่ ึงเป็ นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและจาเลยที่ ๒ไม่อาจ
ต่อ
หลีกเลี่ยงหรื อขัดขืนให้พน้ โดยวิธีอื่นใดได้ โดยจาเลยที่ ๒ มิได้
ก่อให้เกิด ขึ้นเพราะความผิดของตน การกระทาของจาเลยที่ ๒ จึง
เป็ นความผิดฐานสนับสนุ นด้วยความจาเป็ นพอสมควรแก่เหตุตาม
ป.อาญามาตรา ๒๗๗ วรรคสามประกอบมาตรา ๘๖ และมาตรา
๖๗ (๒) จาเลยที่ ๒ จึงไม่ตอ้ งรับโทษ
๒. การกระทาความผิดของเด็กอายุไม่ เกิน ๑๕ ปี ตาม มาตรา
๗๓, ๗๔
มาตรา ๗๓ บัญญัติว่า “เด็กอายุยังไม่ เกินสิ บสองปี กระทา
การอันกฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิดเด็กนั้นไม่ ต้องรั บโทษ
ให้ พนักงานสอบสวนส่ งตัวเด็กตามวรรคหนึ่ งให้ พนัก งาน
เจ้ าหน้ าที่ตามกฎหมายว่ าด้ วยการคุ้มครองเด็ก เพื่ อดาเนิ นการ
คุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมายว่ าด้ วยการนั้น”
หมายเหตุ
➢ การทีเ่ ด็กอายุไม่ เกิน ๑๒ ปี กระทาความผิดตามความใน
มาตรา ๗๓ นั้น หมายถึงในขณะที่เด็กกระทาความผิดนั้นเด็กต้ องรู้
สานึกในการกระทา มิใช่ เป็ นกรณีของเด็กไร้ เดียงสาซึ่ ง ไม่ รู้ สภาพ
สาระในการกระทา ถ้ าไม่ รู้ สานึกในการกระทาถือว่ าไม่ มีการกระทา
ก็ไม่ ต้องรับผิด
ตัวอย่ าง
➢ เด็กอายุ ๘ เดือนมือกาไม้ แหลม แล้ วแกว่ งมือไปมา
ไม้ ไปถูกตาเด็กที่นอนอยู่ใกล้ ตาบอด ถื อว่ าการแกว่ งมือไปมา
นั้นไม่ เป็ นการกระทาในทางกฎหมาย เพราะเด็กไม่ รู้ สานึกใน
การกระทา เด็กไม่ มคี วามผิด จึงมิใช่ กรณีตามมาตรา ๗๓
แต่ ถ้า
➢ เด็กชายแดงอายุ ๙ ปี โกรธเด็กชายขาวจึงเอามีด
แทงเด็กชายขาวเสี ยชี วิต ถื อว่ าเด็กชายแดงผิดฆ่ าเด็กชายขาว
ตายโดยเจตนา ตามมาตรา ๒๘๘ แต่ ไม่ ต้องรั บโทษเพราะเป็ น
การกระทาผิดของเด็กอายุไม่ เกิน ๑๒ ปี (เด็กชายแดงรู้ สานึกใน
การกระทาแล้ ว แต่ มีเหตุที่ไม่ ต้องรับโทษเพราะมีอายุไม่ เกิน ๑๒
ปี ตามมาตรา ๗๓)
มาตรา ๗๔
มาตรา ๗๔ บัญญัติว่า “เด็กอายุกว่ าสิ บสองปี แต่ ยัง
ไม่ เกินสิ บห้ าปี กระทาการอันกฎหมายบัญญัติเป็ นความผิด
เด็กนั้นไม่ ต้องรั บโทษ แต่ ให้ ศาลมีอานาจที่จะดาเนินการ
ดังต่ อไปนี”้

(ดูรายละเอียดจากมาตรา ๗๔)
ตัวอย่ าง
➢ เด็กชายดาอายุ ๑๓ ปี แอบเข้ าไปลักทรัพย์ ในบ้ าน
ของนายขาว เด็กชายดามีความผิดฐานลัก ทรั พ ย์ ต ามมาตรา
๓๓๕ (๘) ลักทรั พย์ ในเคหสถาน แต่ เด็กชายดาไม่ ต้องรั บ โทษ
ตาม มาตรา ๗๔ แต่ ศาลอาจดาเนินการใช้ วิธีดาเนินการต่ าง ๆ
ตามมาตรา ๗๔ ได้
๓. การกระทาความผิดของคนวิกลจริต
มาตรา ๖๕ วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทาความผิด
ในขณะไม่ สามารถรู้ ผิดชอบ หรื อไม่ สามารถบังคับ ตนเองได้
เพราะมีจิตบกพร่ อง โรคจิตหรื อจิตฟั่ นเฟื อน ผู้น้ั นไม่ ต้องรั บ
โทษสาหรับความผิดนั้น”
➢ ผู้ที่ได้ รับยกเว้ นโทษ เพราะวิกลจริ ต ตามมาตรา ๖๕ ต้ องเข้ า
หลักเกณฑ์ ดังนี้
๑. มีการกระทา
๒. ได้กระทาการอันกฎหมายบัญญัติวา่ เป็ นความผิด
๓. ในขณะ
ก. ไม่สามารถรู ้ผิดชอบหรื อ
ข. ไม่สามารถบังคับตนเองได้
๔. เพราะมี
ก. จิตบกพร่ อง
ข. โรคจิตหรื อ
ค. จิตฟั่ นเฟื อน
อธิบาย
๑. มีการกระทา หมายถึง การกระทาตามมาตรา ๕๙ คือ
ผูก้ ระทาต้องรู ้สึกนึ กในการกระทา คือ รู ้สภาพและสาระสาคัญ
ของการกระทาของตน เช่น รู ้ ว่ากาลังยิงคนอื่น กาลังลักทรัพย์
ผูอ้ ื่น แต่ถา้ ผูก้ ระทาไม่รู้สภาพ และสาระสาคัญของการกระทา
ของตนเช่นยิงคนคิดว่ายิงต้นไม้ ฟั นคอเด็กคิ ดว่าฟั นต้นกล้วย
บีบคอคนคิดว่าบีบมะนาว เช่นนี้ คงต้องถือว่าไม่มีการกระทา
อธิบาย
๒. ได้ ก ระท าการอั น กฎหมายบั ญ ญั ติ ว่ า เป็ นความผิ ด
หมายถึ ง การกระท าครบองค์ ป ระกอบภายนอก และ
องค์ประกอบภายในของความผิด และผลของการกระทานั้น
สัมพันธ์กบั การกระทา (ตามโครงสร้ างข้อ ๑.) ครบถ้วน และ
การกระทาไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดตามโครงสร้างข้อ ๒.
อธิบาย
๓. ในขณะ
ก. ไม่ สามารถรู้ ผดิ ชอบ
ข. ไม่ สามารถบังคับตนเองได้
➢ ไม่ สามารถรู้ ผิดชอบ หมายถึง ไม่ สามารถรู้ ได้ ว่าการ
กระทานั้ นผิดศี ลธรรม กล่ าวคื อ ไม่ อาจแยกได้ ว่าสิ่ งใดถู กต้ องตาม
หลักศีลธรรมหรื อผิดศีลธรรม
ตัวอย่ าง แดงวิกลจริ ตจึงใช้ มีดฟั นคอเด็กโดยที่แดงไม่ ร้ ู ว่าการ
กระท านั้ น ผิ ด ศี ล ธรรม แต่ คิ ด ว่ า กระท าในสิ่ ง ที่ ถู ก ต้ อ งแล้ ว เช่ น
เพราะเกิดจิตฟั่นเฟื อนได้ ยินเสี ยงสั่ งจากเทพเจ้ าว่ าหากฆ่ าเด็กแล้ วจะ
ทาให้ โลกมนุษย์ รอดพ้นจากภัยพิบัติ
อธิบาย
➢ ไม่ สามารถบังคับตนเองได้ หมายถึง แม้ ผู้กระทารู้ ดี
ว่ าการกระทาของตนเป็ นการผิดศีลธรรม แต่ ตนก็จาต้ อ งกระทา
การนั้น เพราะไม่ อาจบังคับตนเองได้
ตัวอย่ าง แดงเอามีดฟันคอเด็กโดยที่แดงรู้ ดีว่าการกระทา
เช่ นนั้นเป็ นสิ่ งผิดศีลธรรม แต่ ตนจาต้ องกระทาการนั้น เพราะ
ไม่ อาจบังคับตนเองได้
ข้ อสั งเกต
คาว่ า “ในขณะ” หมายถึงว่ า ต้ องวิกลจริ ต ในขณะ
กระทาความผิด
ในขณะกระท าความผิ ด หมายถึ ง ในขณะลงมื อ
กระทาความผิด เป็ นต้ นไป
อธิบาย
๔. เพราะมี
ก. จิตบกร่ อง
ข. โรคจิต
ค. จิตฟั่นเฟื อน
➢จิตบกร่ อง ได้ แก่ ผู้มีสมองไม่ เติบโตตามวัย หรื อบกพร่ อง
มาแต่ กาเนิด เช่ น ผู้ที่ป่วยเป็ นโรคปัญญาอ่ อน (ฎีกาที่ ๓๑๐๖/๒๕๓๕)
➢ โรคจิต คือ ความบกพร่ องแห่ งจิตที่เกิดจากโรค
➢ จิตฟั่นเฟื อน ได้ แก่ ผู้ที่มีความหลงผิด ประสาทหลอน และ
แปรผิด เช่ นมีอาการประสาทหลอน หวาดระแวงกลัวคนจะมาทาร้ าย
ผลของการกระทาความผิดโดยวิกลจริต
๑. กฎหมายยกเว้ นโทษ
๒. ศาลอาจใช้ วิธีการเพื่อความปลอดภัยตามมาตรา ๘๔
ซึ่ งบัญญัติว่า “ถ้ าศาลเห็นว่ าการปล่ อยตัวผู้ที่จิตบกพร่ อง โรค
จิต หรื อจิตฟั่ นเฟื อนซึ่ งไม่ ต้องรั บโทษหรื อได้ รั บการลดโทษ
ตามมาตรา ๖๕ จะเป็ นการไม่ ปลอดภัยแก่ ประชาชน ศาลจะสั่ ง
ให้ ส่งไปคุมตัวไว้ ในสถานพยาบาลก็ได้ และคาสั่ งนี้ศาลจะเพิก
ถอนเสี ยเมื่อใดก็ได้ ”
๔. การกระทาความผิดของผู้มนึ เมา
มาตรา ๖๖ บัญญัติว่า “ความมึนเมาเพราะเสพย์สุราหรือ
สิ่งเมาอย่างอื่นจะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัว ตามมาตรา ๖๕ ไม่ได้ เว้นแต่
ความมึนเมานั้นจะได้เกิดโดยผู้เสพย์ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะทาให้มึนเมา หรือ
ได้ เ สพย์ โ ดยถู ก ขื น ใจให้ เ สพย์ และได้ ก ระท าความผิ ด ในขณะไม่
สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ ผู้กระทาความผิดจึง
จะได้รับยกเว้นโทษสาหรับความผิดนั้น”
➢ ผู้ที่จะได้ รับการยกเว้ นโทษเพราะความมึนเมาตามมาตรา
๖๖ จะต้ องเข้ าหลักเกณฑ์ ดังนี้
๑. มีการกระทา
๒. ได้ กระทาการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็ นความผิด
๓. ในขณะ
ก. ไม่ สามารถรู้ ผดิ ชอบ หรื อ
ข. ไม่ สามารถบังคับตนเองได้
๔. เพราะความมึนเมา
๕. ความมึนเมาเกิดโดย
ก. ผู้เสพย์ ไม่ ร้ ู ว่าสิ่ งนั้นทาให้ มึนเมา หรื อ
ข. ผู้เสพย์ ถูกขืนใจให้ เสพย์
อธิบาย
๑. มี ก ารกระท า หมายถึ ง การกระท าตามมาตรา ๕๙
เช่นเดียวกับวิกลจริ ต คือผูก้ ระทายังคงรู ้สานึ กในการกระทาอยู่
แต่ถา้ หากไม่มีการกระทา (ผูก้ ระทาไม่รู้สานึ ก) เช่น เมามายจน
ไม่รู้สภาพหรื อสาระสาคัญในการกระทาของตน ก็ไม่ใช่ กรณี
ของมาตรา ๖๖
แต่ถา้ จงใจกินเหล้าให้เมามายโดยคิดว่าเมามาก ๆ แล้วไป
กระทาความผิดจะได้ไม่ผดิ เพราะถือว่ามีการกระทา ตั้งแต่ขณะ
เริ่ มกินเหล้า
อธิบาย
๒. ได้ กระทาการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็ นความผิ ด คื อ
การกระท าครบองค์ป ระกอบภายนอก องค์ป ระกอบภายใน
(ตามโครงสร้างข้อ ๑.) และการกระทานั้นไม่มีกฎหมายยกเว้น
ความผิด (ตามโครงสร้างข้อ ๒.) เช่น แดงถูกหลอกให้ดื่มสุ รา
แดงเกิดความมึนเมาได้หยิบเอาสร้อยคอของดาไปโดยแดงคิดว่า
สร้อยนั้นเป็ นของแดงเอง แดงไม่ผิดลักทรัพย์ เพราะแดงไม่มี
เจตนาโดยผลของมาตรา ๕๙ วรรคสาม กรณี จึงไม่ ใช่ มาตรา
๖๖
อธิบาย
๓. ในขณะ
ก. ไม่ สามารถรู้ ผดิ ชอบ หรื อ
ข. ไม่ สามารถบงคับตนเอง
➢ ไม่ สามารถรู้ ผิดชอบ คือ ไม่ ร้ ู ว่าการกระทา
ของตนนั้นเป็ นสิ่ งผิดศีลธรรม เช่ นไม่ ร้ ู ว่าการลักทรัพย์ ผ้ อู ื่นเป็ นบาป
➢ไม่ สามารถบังคับตนเอง คือ รู้ ว่าการกระทา
ของตนเป็ นผิดศี ลธรรมเช่ นเดียวกับคนทั่ว ๆ ไป แต่ ว่าไม่ ส ามารถ
บังคับตนเองได้ เช่ น รู้ ว่าการลักทรัพย์ ผ้ อู ื่นเป็ นสิ่ งไม่ ถูกต้ อง เป็ นบาป
แต่ เพราะความมึนเมาจึงเกิดความคิดคะนองไม่ อาจหักห้ ามใจตนเอง
ได้
อธิบาย
๔. เพราะความมึนเมา
คื อ การกระท าความผิ ด ในขณะไม่ ส ามารถรู ้ ผิ ด
ชอบ หรื อไม่สามารถบังคับตนเองได้น้ นั เกิดเพราะความมึนเมา
๕. ความมึนเมาเกิดโดย
ก. ผูเ้ สพไม่รู้วา่ สิ่ งนั้นจะทาให้มึนเมา
ข. ผูเ้ สพถูกขืนใจให้เสพ
➢ การเสพ คือ การนาเข้าสู่ ร่างกายด้วยวิธีใดก็ได้ เช่น
ทางปาก จมูก หรื ออวัยวะอื่นใด เช่น ฉี ดเข้าสู่ ร่างกาย
➢ ความไม่ รู้ อาจเกิดเพราะความสาคัญผิดในสภาพ
และคุณลักษณะของวัตถุที่เสพ ไม่รู้ว่าสิ่ งนั้นจะทาให้เกิดผลแก่
ร่ างกายอย่างใด
ความสาคัญผิดอาจเกิดเพราะผูอ้ ื่นทาให้สาคัญผิด เช่น ผูอ้ ื่น
หลอกว่าเป็ นยารักษาโรค แต่ความจริ งเป็ นเหล้า
➢ ถูกขืนใจให้ เสพ คือ ถูกบังคับให้เสพ แต่จะต้อง
มิ ใ ช่ แ ต่ เ พี ย งการขอร้ อ งหรื อ คะยั้น คะยอให้ เ สพเพราะเสี ย กัน
ไม่ได้เท่านั้น
อธิบาย
๔. การกระท าความผิ ด ตามค าสั่ ง ที่ มิ ช อบด้ วย
กฎหมายของเจ้ าพนักงาน ตามมาตรา ๗๐
มาตรา ๗๐ บัญญัตวิ ่ า “ผูใ้ ดกระทาตามคาสั่งของ
เจ้าพนักงาน แม้คาสั่งนั้นจะมิชอบด้วยกฎหมาย ถ้าผูก้ ระทามี
หน้าที่หรื อเชื่อโดยสุ จริ ตว่ามีหน้าที่ตอ้ งปฏิบตั ิตามผูน้ ้ นั ไม่ ต้อง
รั บ โทษ เว้ น แต่ จ ะรู ้ ว่ า ค าสั่ ง นั้ นเป็ นค าสั่ ง ซึ่ งมิ ช อบด้ ว ย
กฎหมาย”
➢ การกระทาตามคาสั่ งที่มิชอบด้ วยกฎหมายของเจ้ า
พนักงาน ผู้กระทาได้ รับยกเว้ นโทษต่ อเมื่อเข้ าลักษณะดังต่ อไปนี้
๑. กระทาความผิดตามคาสัง่ ของเจ้าพนักงาน
๒. คาสัง่ นั้นมิชอบด้วยกฎหมาย
๓. ผูก้ ระทาไม่รู้วา่ คาสัง่ นั้นมิชอบด้วยกฎหมาย
๔. ผูก้ ระทามีหน้าที่ตอ้ งปฏิบตั ิตาม หรื อ ไม่มีหน้าที่
ต้องปฏิบตั ิตามแต่เชื่อโดยสุ จริ ตว่ามีหน้าที่ที่ตอ้ งปฏิบตั ิตาม
อธิบาย
๑. การกระทาความผิดตามคาสั่ งของเจ้ าพนักงาน
กฎหมายยกเว้ นโทษ เพราะกรณี ที่เป็ นคาสัง่ ของเจ้า
พนักงานเท่านั้น มิได้ยกเว้นตลอดถึงคาสั่งของผูอ้ ื่นเช่ น สามี
บิดา มารดา ผูป้ กครอง
➢ คาสั่ ง คือ คาบงการให้กระทาหรื อไม่กระทา
อย่างใดอย่างหนึ่ ง ถ้าไม่ กระทาตามย่อมได้ชื่อว่าขัดขื น เช่ น
หมายจับก็ถือว่าเป็ นคาสัง่ ให้จบั นัน่ เอง
อธิบาย
๒. คาสั่ งนั้นมิชอบด้ วยกฎหมาย เช่น การออกหมายจับที่
ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่น ผูก้ ากับการสั่งให้ตารวจจับนายแดง
โดยแจ้งด้วยวาจาว่าศาลได้ออกหมายจับนายแดงผูต้ อ้ งหาแล้ว
การที่เจ้าหน้าที่ตารวจเชื่ อว่ามีการออกหมายจับจริ งแล้วได้ทา
การจับ นายแดง แต่ ค วามจริ งปรากฏว่า ศาลไม่ ได้มีก ารออก
หมายจับนายแดงแต่อย่างใด
๓. ผู้กระทาไม่ รู้ ว่าคาสั่ งนั้นมิชอบด้ วยกฎหมาย
หากผู ้ก ระท ารู ้ แ ล้ว ว่ า รู ้ อ ยู่ แ ล้ว ว่ า ค าสั่ง นั้ นมิ ช อบด้ว ย
กฎหมาย แต่ยงั ขืนปฏิบตั ิตามก็จะอ้าง มาตรา ๗๐ เพื่อยกเว้น
โทษมิได้
อธิบาย
๔. ก. ผู้กระทามีหน้ าทีต่ ้ องปฏิบัตติ าม
คือ มีหน้าที่ตอ้ งปฏิบตั ิตามคาสั่ง ซึ่ งถ้าตนไม่ปฏิบตั ิตาม
แล้วย่อมมีความผิด
ข. ผู้กระทาไม่ มีหน้ าที่ปฏิบัติตาม แต่เชื่ อโดยสุ จริ ตว่ามี
หน้าที่ตอ้ งปฏิบตั ิตาม
ฎีกาที่ ๑๖๐๑/๒๕๐๙ จาเลยเข้าใจว่าคาสั่งของร้อยตารวจ
เอก ส. ผูท้ าการแทนผูก้ ากับการที่สั่งให้จาเลยไปจับกุมโจทก์
นั้นเป็ นคาสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้วิทยุสั่งจับมิได้มีขอ้ ความ
แสดงว่าได้ออกหมายจับแล้ว กรณี กต็ อ้ งด้วยประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๗๐ จาเลยไม่ตอ้ งรับโทษ
การกระทาผิดเกีย่ วกับทรัพย์ บางฐาน ระหว่ างสามี ภรรยา
มาตรา ๗๑ ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๓๔ ถึงมาตรา ๓๓๖ วรรค
แรก และมาตรา ๓๔๑ ถึงมาตรา ๓๖๔ นั้น ถ้าเป็นการกระทาที่สามีกระทาต่อภริยา หรือ
ภริยากระทาต่อสามี ผู้กระทาไม่ต้องรับโทษ
ความผิ ด ดั ง ระบุ ม านี้ ถ้ า เป็ น การกระท าที่ ผู้ บุ พ การี ก ระท าต่ อ ผู้ สื บ สั น ดาน
ผู้สืบสันดานกระทาต่อผู้บุพการี หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทาต่อกัน แม้
กฎหมายมิได้บัญญั ติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้
และนอกจากนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดนั้นเพียงใดก็
ได้
เหตุลดโทษ
กระทาโดยบันดาลโทสะ
มาตรา ๗๒ บัญญัติว่า “ ผู้ใดบันดาลโทสะ
โดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึง
กระทาต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่า
ที่กฎหมายกาหนดไว้ สาหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ”
หลักเกณฑ์ ของกำรกระทำโดยบันดำลโทสะ
๑. ผูก้ ระทาถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอนั ไม่เป็ นธรรม
๒. การข่มเหงนั้นเป็ นเหตุให้ผกู ้ ระทาบันดาลโทสะ
๓. ผูก้ ระทาได้กระทาความผิดต่อผูข้ ่มเหงในขณะนั้น
อธิบาย
๑. ผู้กระทาผิดนั้นต้องถูกข่ มเหงอย่างร้ ายแรงด้วยเหตุอนั ไม่ เป็ นธรรม
➢ การข่มเหงโดยไม่เป็ นธรรมส่ วนใหญ่จะเน้นเรื่ องการกระทาที่
ผิดกฎหมายแต่การกระทาบางอย่างแม้ไม่ผดิ กฎหมายแต่กถ็ ือว่าเป็ น
การข่มเหงอย่างร้ายแรงได้
ฎีกาที่ ๒๔๙/๒๕๑๕ จาเลยเห็นผูต้ ายกาลังชาเราภรรยาจาเลย
ในห้องนอน แม้ภรรยาจาเลยจะเป็ นภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่กอ็ ยูก่ ินกันมา ๑๓ ปี และเกิดบุตรด้วยกัน ๖ คน จาเลยย่อมมี
ความรักและหวงแหน การที่จาเลยใช้มีดพับเล็กที่หามาได้ในทันที
แทงผู ้ ตาย ๒ ทีและแทงภรรยา ๑ที ถือว่าจาเลยกระทาความผิดโดย
บันดาลโทสะ
• ฎีกาที่ ๒๓๗๓/๒๕๔๔ จ าเลยและหญิ งมิ ได้เป็ นภริ ยากันตาม
กฎหมาย แต่จาเลยได้อุปการะเลี้ยงดูหญิงเยี่ยงภริ ยาซึ่ งผูเ้ สี ยหาย
ก็รู้ แต่ผเู ้ สี ยหายยังลักลอบหลับนอนร่ วมประเวณี กบั หญิง การที่
จาเลยยิงผูเ้ สี ยหาย ในขณะดังกล่าวเป็ นการกระทาโดยบันดาล
โทสะ
การข่ มเหงอย่ างร้ ายแรงด้วยเหตุอนั ไม่เป็ นธรรมนั้นอาจกระทา
โดยใช้คาพูดหรื อทางวาจาก็ได้ เช่น
ตัวอย่ าง นายแดงด่านายดาว่าแม่ของนายดาเคยเป็ นหญิงโสเภณี มา
ก่อน นายดาทนไม่ไหวจึงทาร้ายนายแดงนายดาอ้างเหตุบนั ดาลโทสะ
ได้
การข่มเหงอาจเป็ นการกระทาโดยใช้กริ ยาอาการต่างๆเช่นทา
ร้าย ใช้เท้าลูบหัว ปั สสาวะรด
ตัวอย่ าง นายเอกและนายโทเป็ นศัตรู กนั มาก่อน นายเอกพบนายโท
นายเอกใช้ไม้ตีหวั นายโทแตกแล้ววิ่งหนีไป นายโทรู ้สึกโกรธมากวิ่งไล่
ตามไปแล้วใช้มีดแทงนายเอกตายถือว่านายโทกระทาโดยบันดาลโทสะ
ผู้ก่อเหตุขนึ้ ก่ อนอ้ างกระทาโดยบันดาลโทสะไม่ ได้
เช่น นายแดงด่าแม่นายดาก่อน นายดาจึงเอามีดฟันปากนายแดง
ได้รับบาดเจ็บ นายแดงโกรธมากที่นายดาเอามีดฟันปากตน นาย
แดงจึงใช้ปืนยิงนายดาตาย นายแดงผิดฆ่าคนตายโดยเจตนา จะอ้าง
ว่าเป็ นการกระทาโดยบันดาลโทสะตามมาตรา ๗๒ไม่ได้
ผู้ทสี่ มัครใจวิวาทก็ไม่ สามารถอ้ างเหตุกระทาโดยบันดาล
โทสะได้
จากตัวอย่างข้างต้นถ้าทั้งแดงและดาสมัครใจทะเละวิวาทกัน
ทั้งสองฝ่ ายจะอ้างเหตุกระทาโดยบันดาลโทสะมิได้
• เหตุอนั ไม่ เป็ นธรรมนั้น “ต้ องร้ ายแรง”
การข่มเหงด้วยเหตุอนั ไม่เป็ นธรรมต้องร้ายแรง จึงจะอ้างบันดาล
โทสะได้ หากไม่ร้ายแรงก็จะอ้างไม่ได้
หลักในการวินิจฉัยว่ามีการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอนั ไม่เป็ น
ธรรมหรื อไม่ตอ้ งเปรี ยบเทียบกับความรู้ สึกของคนธรรมดาทัว่ ไปซึ่ง
สมมติข้ ึนในฐานะอย่างเดียวกับผูก้ ระทาผิด จะวินิจฉัยจากความรู ้สึก
ของผูก้ ระทาผิดเองไม่ได้
• ฎีกาที่ ๑๙๑๙๐/๒๕๕๔ กรณี จะเป็ นการกระทาความผิดโดยบันดาล
โทสะต้องเป็ นเรื่ องที่ผกู ้ ระทาผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอนั ไม่
เป็ นธรรม โดยพิจารณาเปรี ยบเทียบกับความรู ้สึกของคนธรรมดาหรื อ
วิ ญ ญู ช นทั่ว ไปที่ อ ยู่ใ นวิ สั ย และพฤติ ก ารณ์ อ ย่า งเดี ย วกับ ผูก้ ระท า
ความผิด เมื่อข้อเท็จจริ งได้ความว่าก่อนเกิดเหตุ ผูต้ ายกับจาเลย มีเรื่ อง
ทะเลาะกันประจาจนโต้เถี ยงกัน จึ งเป็ นเรื่ องสามี ภริ ยามี ปากเสี ยง
ทะเลาะกันตามปกติ การที่ขณะเกิดเหตุ จาเลยสอบถามและตักเตือน
เรื่ องที่ผตู ้ ายออกไปเที่ยวบ้านในเวลากลางคืน แม้คาพูด ของผูต้ ายบาง
ถ้อยคาจะมีความหมายทานองว่าผูต้ ายอยูก่ บั จาเลยไม่มีความสุ ข ผูต้ าย
จึงไปหาความสุ ขด้วยการนอนกับคนอื่นก็ตาม
แต่ขอ้ เท็จจริ งไม่ปรากฏว่า ผูต้ ายไปหลับนอนกับชายอื่นทานองชูส้ าว
ดังที่พดู จริ ง จึงเป็ นเพียงการพูดเพื่อประชดประชันจาเลยเท่ านั้น ยัง
ไม่ถึงขนาดที่วา่ เป็ นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอนั ไม่เป็ นธรรม
การกระทาของจาเลยจึงไม่ใช่การกระทาผิดโดยบันดาลโทสะตาม
ป.อ. มาตรา ๗๒
❖ ถ้ามีผู้กระทาต่อบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรา อาจถือว่าเป็นการ
ข่มเหงต่อผู้กระทาผิดด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมได้ เช่น
➢ ยิงบิดาถือว่าข่มเหงบุตร(ฎีกาที่ ๕๑๘/๒๕๐๐)
➢ บุตรถูกทาร้ายถือว่าข่มเหงบิดาได้(ฎีกาที่ ๒๔๑/๒๕๗๘)
➢ พี่ถูกทาร้ายถือว่าข่มเหงน้องได้(ฎีกาที่ ๑๕๗๗/๒๔๙๗)
➢ น้าถูกทาร้ายถือว่าหลานถูกข่มเหง(ฎีกาที่ ๗๓๙/๒๔๘๒)
➢ พ่อตาถูกถีบถือว่าข่มเหงลูกเขย(ฎีกาที่ ๑๔๔๖/๒๔๙๘)
➢ ทาอนาจารภริยาถือว่าข่มเหงสามี แต่ไม่ถือว่าข่มเหงเพื่อนสามี(ฎีกา
ที๘่ ๖๓/๒๕๐๒)
❖ การข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม อาจเป็นการ
กระทาโดย ใช้วาจา กริยาอาการ และอาจกระทาต่อหน้า ได้เห็นด้วย
ตา ได้ยินด้วยหู
• ตัวอย่ างคาพิพากษาฎีกาที่ถือว่ าเป็ นการข่ มเหงอย่ างร้ ายแรงด้ วย
เหตุอนั ไม่ เป็ นธรรม
ฎีกาที่ ๑๗๑๓/๒๕๑๑ จาเลยมีครรภ์กบั ผูเ้ สี ยหายไปขอให้
ผูเ้ สี ยหายไปสู่ ขอ ผูเ้ สี ยหายกลับพูดว่า “มึงยอมให้ กูเล่ นมึงทาไม”
จาเลยจึงทาร้ายผูเ้ สี ยหาย ดังนี้ถือว่าจาเลยทาไปโดยถูกข่มเหงอย่าง
ร้ายแรงด้วยเหตุอนั ไม่เป็ นธรรมตาม ป.อ.มาตรา ๗๒
ฎีกาที่ ๓๓๑๕/๒๕๒๒ ผูต้ ายเมาสุ ราเอาเท้าพาดหัวจาเลยลูบเล่น
จาเลยจึงทาร้ายผูต้ าย เป็ นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๐ แต่อา้ ง
บันดาลโทสะได้
• ฎีกาที่ ๗๔๒๘/๒๕๕๗ เหตุที่จาเลยใช้อาวุธปื นยิงผูต้ าย สื บเนื่องจาก
ผูต้ ายด่าจาเลย ซึ่งการที่ผตู ้ ายด่าจาเลยว่า อีลูกกะหรี่น้ นั ย่อมมีความเป็ นที่
เข้าใจของคนปกติทวั่ ไปว่าเป็ นการกล่าวหามารดาจาเลยว่าเป็ นคนสา
ส่ อนทางเพศ ทั้งนี้ไม่วา่ ผูต้ ายจะด่าจาเลยด้วยถ้อยคาดังกล่าวซ้ าหลายครั้ง
หรื อไม่ ย่ อมทาให้ คนธรรมดาและวิญญูชนทั่วไปที่อยู่ในภาวะ วิสัย และ
พฤติการณ์ ปกติรวมทั้งจาเลยรู ้สึกโกรธแค้น จึงเป็ นการข่ มเหงจาเลย
อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอนั ไม่เป็ นธรรม แม้เมื่อผูต้ ายด่าจาเลยด้วยถ้อยคา
ดังกล่าวแล้ว จาเลยจะเดินไปที่รถและพูดกับ อ.ในทานองว่าขับรถให้
หน่อย แล้วจาเลยจึงใช้อาวุธปื นยิงผูต้ ายก็ตาม แต่กเ็ ป็ นการใช้อาวุธปื น
ยิงผูต้ ายไปในระยะเวลาต่ อเนื่ องกระชั้นชิดในขณะที่โทสะของจาเลยยัง
รุ นแรงอยู่ ย่อมเป็ นการกระทาต่อผูข้ ่มเหงในขณะนั้น การที่จาเลยใช้
อาวุธปื นยิงผูต้ าย จึงเป็ นการกระทาโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ.มาตรา
๗๒(ผิดฆ่าคนตายโดยเจตนา ตามมาตรา ๒๘๘ แต่อา้ งบันดาลโทสะได้)
๒. การถูกข่ มเหงนั้นเป็ นเหตุให้ ผู้กระทาบันดาลโทสะ
การข่มเหงนั้นต้องเป็ นเหตุให้ผกู ้ ระทาบันดาลโทสะ กล่าวคือ
เกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาและขาดการใช้เหตุผลควบคุมสติดงั เช่น
ปกติธรรมดา
๓. ผู้กระทากระทาความผิดต่ อผู้ทขี่ ่ มเหงในขณะนั้น
➢ ตัวผูก้ ระทานั้นต้องกระทาต่ อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
ในขณะนั้นมิได้หมายความว่าต้องเป็ นขณะเดียวกันกับการข่ม
เหงและบันดาลโทสะ การกระทาความผิดต่อผูข้ ่มเหงในระยะเวลา
ต่อเนื่องกระชั้นชิดในขณะที่ยงั มีโทสะรุ นแรงอยูก่ น็ บั ว่าเพียงพอ
แล้ว
❖ ผู้ตายล้ มจอหนัง และทาร้ ายน้ องจาเลย เสร็จแล้ วก็มาทาร้ ายจาเลยจนตกน้า
จาเลย จึงกลับไปบ้ านห่ าง ๓๐๐ เมตร เอามีดมาทาร้ ายผู้ตายจนตาย
➢ ผู้ตายชาเราภริยาจาเลย จาเลยทราบแต่ ไม่ ได้ แสดงอาการโกรธหรื อจะทาร้ าย
ผู้ตาย แต่ อย่ างใด ต่ อมาอีก ๓ ชม. ได้ ออกไปหาปลากับผู้ตาย และใช้ อาวุธมีด
ฟัน ผู้ตาย อ้ างบันดาลโทสะไม่ ได้ เพราะมิได้ กระทาต่ อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
➢ การกระทาโดยบันดาลโทสะต้ องกระทาต่ อผู้ข่มเหงหากกระทาต่ อบุคคลอื่นจะ
อ้ างบันดาลโทสะไม่ ได้
เช่ น ตัวพ่อข่มเหง เรา เราไปทาร้ ายลูกเขาตอบแทนนั้นอ้างบันดาลโทสะไม่ ได้
แต่ หากถ้ าพ่ อข่ มเหงเราแล้ วลูกเขายืนพัวพันอยู่บริเวณนั้นเป็ นลักษณะสนับสนุน
ให้ พ่อฮึกเหิม เราก็ทาร้ ายลูกถือว่ าเราอ้ างบันดาลโทสะได้
❑ การกระทาโดยบันดาลโทสะต้ องเป็ นการกระทาโดยเจตนา อาจจะเป็ นเจตนา
ประสงค์ ต่อผล หรื อย่ อมเล็งเห็นผล และมีเจตนาพิเศษ เพราะถูกข่ มเหงอย่ าง
ร้ ายแรงด้ วยเหตุอนั ไม่ เป็ นธรรม
❖ การกระทาโดยบันดาลโทสะปกติได้ แก่ การทาร้ าย หรื อฆ่ าผู้ข่มเหงแต่ การ
บันดาลโทสะ อาจเป็ นลักษณะทาลายทรัพย์เพื่อเอาคืนก็เป็ นได้
➢ การบันดาลโทสะนั้น อาจมีการร่ วมกระทาความผิดอันเข้ าลักษณะเป็ น
ตัวการตาม ม. ๘๓ ได้ เช่ น แดงข่ มเหงดา ซึ่งเป็ นพ่ อของขาวและเหลือง ขาว
และเหลือง สมคบกันเพื่อทาร้ ายแดงขณะเกิดโทสะ
❖ การกระทาโดยบันดาลโทสะต่ อผู้ข่มเหง แม้ พลาดไปถูกบุคคลที่ ๓ ก็ถือว่ า
อ้ าง เหตุบันดาลโทสะได้
ตัวอย่ ำงคำพิพำกษำฎีกำ
กำรกระทำโดยบันดำลโทสะ
ฎีกำที่ ๓๓๑๕/๒๕๒๒ ผูต้ ายเมาสุ ราเอาเท้าพาดหัวจาเลยลูบ
เล่น จาเลยโกรธีจึงทาร้ายผูต้ ายเป็ นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา ๒๙๐
แต่ อ้างเหตุกระทาโดยบันดาลโทสะได้
ฎีกำที่ ๕๗๓๖/๒๕๓๙ ผูต้ ายหาเรื่ องจาเลยและชี้หน้าด่าแม่
จาเลย ถื อว่าจาเลยถู กข่ ม เหงอย่างร้ ายแรงด้ว ยเหตุ อนั ไม่ เป็ นธีรรม
จาเลยใช้ อาวุธีปื นยิงผูต้ ายในขณะนั้นจึงเป็ นการกระทาโดยบันดาล
โทสะ
ฎีกำที่ ๑๗๕๖/๒๕๓๙ ขณะที่จาเลยกับพวกและผูต้ ายกับพวก
ดู ภ าพยนตร์ ใ นงานศพ ผู ้ต ายกับ พวกใช้ ข วดสุ ร าขว้า งปาจอ
ภาพยนตร์ และล้มจอ ระหว่างผูต้ ายกับพวกเดินกลับบ้านได้ร่วมกัน
ทาร้ ายน้องชายจาเลยจนตกลงในคูน้ า เมื่อมาพบจาเลยกับเด็กเดิ น
สวนทางมาก็ได้ร่วมกันทาร้ ายจาเลยฝ่ ายเดี ยวจนตกลงไปในคู น้ า
จาเลยวิ่งกลับบ้านซึ่ งอยูห่ ่ างไปประมาณ ๓๐๐ เมตร เอามีดมาต่อสู ้
กับพวกผูต้ าย แม้ไม่ได้กระทาลงในทันทีหรื อ ณ ที่ถูกข่มเหง แต่อยู่
ในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกัน ถือว่ ำจำเลยกระทำผิดด้ วยเหตุบันดำล
โทสะโดยถูกข่ มเหงอย่ ำงร้ ำยแรงด้ วยเหตุอนั ไม่ เป็ นธรรม
ฎีกาที่ ๓๘๖/๒๕๔๖ ก่อ นเกิดเหตุชายได้พูดจาดูถูกหญิง
ก่อนในลักษณะที่หญิงเหมือนของเล่นได้แล้วจะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ และ
เป็นหญิงใจง่ายหลอกกินเงินได้ เมื่อหญิงโกรธใช้รองเท้าตบหน้าชาย
ชายกลับตามไปทาร้ายหญิงอีกจนหญิงทนไม่ได้ จึงเดินไปที่ห้องพักนา
มี ด ปอกผลไม้ ย าวประมาณ ๑ ฟุ ต ครึ่ ง กลั บ มาใช้ ป าดคอผู้ ต าย ซึ่ ง
เหตุการณ์ตั้งแต่ชายพูดจาดูถูกหญิงแล้วหญิงกลับไปบ้านนามีดมาปาด
คอชายจนถึ ง แก่ ค วามตายนั้ น เป็ น ระยะเวลาที่ สื บ เนื่ อ งเชื่ อ มโยง
ติดต่อกันมาโดยตลอดในขณะนั้นเอง และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่
ขาดตอนเนื่องจากห้องพักของหญิงกับที่เกิดเหตุห่างกันไม่มากนัก
ต่อ
เมื่อไม่ปรากฏว่าหญิงมีพฤติการณ์ตระเตรียมการณ์ หรือวางแผนฆ่า
ชายมาก่อน การกระทาของหญิงจึงไม่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดย
ไตร่ตรองไว้ก่อน คงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะเท่านั้น
(ผิดมาตรา ๒๘๘ อ้างบันดาลโทสะได้)
ฎีก าที่ ๗๑/๒๕๓๐ เมื่ อ ผูเ้ สี ย หายกับ ภริ ย าเดิ น ผ่า นมา จ าเลยด่ า
ผูเ้ สี ยหายด้วยด้วยถ้อยคาที่หยาบคายว่า อ้ายเหี้ ย อ้ายสัตว์ ผูเ้ สี ยหายและ
ภริ ยาก็ด่าตอบ จาเลยโกรธใช้มีดดาบฟั นทาร้ ายผูเ้ สี ยหาย ถือว่าจาเลย
เป็ นฝ่ ายก่อเหตุข้ ึนก่อนและตั้งใจมาหาเรื่ องกับผูเ้ สี ยหาย และจะอ้างว่า
กระทาโดยบันดาลโทสะไม่ได้
ฎี กาที่ ๕๓๗๑/๒๕๔๒ จาเลยถ่ายปั สสาวะข้างรถยนต์ของผูอ้ ื่น
ปั สสาวะย่อมถูกรถยนต์บา้ งถือเป็ นความประพฤติที่ไม่สมควรถือว่าก่อ
เรื่ องขึ้นก่อน เมื่อถูกต่อว่าหรื อตบท้ายทอย หากโต้ตอบกลับไปจะอ้าง
ป้องกันหรื อบันดาลโทสะไม่ได้
ฎีกาที่ ๒๙๓๒/๒๕๖๑ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จาเลยที่ ๑ ให้การ
ในชั้นสอบสวนว่าก่อนที่จาเลยที่ ๑ จะลงมือรัดคอผู้ตายครั้งแรก ผู้ตายด่า
จาเลยที่ ๑ ว่า “ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ หลอกกูมารออีกแล้ว หลอกกูทาเหี้ยอะไร”
ซึ่งคาด่าของผู้ตายนี้ เกิดจากการกระทาของจาเลยที่ ๑ เองที่หลอกผู้ตาย
มายังที่เกิดเหตุ และการที่จาเลยที่ ๑ รัดคอผู้ตายครั้งที่ ๒ แม้ผู้ตายจะด่า
จาเลยที่ ๑ ด้วยถ้อยคารุนแรงว่า “ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ พ่อมึงตาย ไอ้เลว ไอ้ชั่ว”
ก็มีสาเหตุจากจาเลยที่ ๑ รัดคอครั้งที่ ๑ และเอาสร้อยคอทองคา ๑ เส้นกับ
แหวนทองคา ๒ วงของผู้ตายไป จึงเป็นเรื่องที่จาเลยที่ ๑ เป็นผู้ก่อเหตุขึ้น
ก่อนทั้งสิ้น เมื่อผู้ตายด่าตอบโต้การกระทาของจาเลยที่ ๑ มาเช่นนี้ จึงไม่
อาจถือเป็นเหตุว่า ผู้ตายข่มเหงจาเลยที่ ๑ อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็น
ธรรม กรณีนี้ไม่ถือว่า จาเลยที่ ๑ กระทาโดยบันดาลโทสะ
ผลของการกระทาโดยบันดาลโทสะ
๑. การกระทานั้นเป็ นความผิด ผูก้ ระทาต้องรับโทษ แต่รับโทษน้ อย
กว่ าทีก่ ฎหมายกาหนดไว้ เพียงใดก็ได้
๒. กระทาโดยบันดาลโทสะเป็ นเหตุให้รอการลงโทษได้

๓. บันดาลโทสะเป็ นเพียงเหตุลดโทษ ดังนั้นจะเป็ นการ


กระทาโดยบันดาลโทสะเกินสมควรแก่เหตุไม่มี กรณี ต่าง
จากป้องกันหรื อจาเป็ นเพราะการป้องกันเหตุยกเว้นความผิด
แต่จาเป็ น เป็ นเหตุยกเว้นโทษ

You might also like