Professional Documents
Culture Documents
Chapter 2
Chapter 2
เนื้ อหา
1. อุปสงค์
1.1 ความหมายและประเภทของอุปสงค์
1.2 ปจั จัยทีก่ าหนดอุปสงค์
1.3 ฟงั ก์ชนอุ
ั ่ ปสงค์
1.4 กฎของอุปสงค์
1.5 ตารางอุปสงค์
1.6 การเปลีย่ นแปลงปริมาณอุปสงค์
1.7 การเปลีย่ นแปลงเส้นอุปสงค์
1.8 อุปสงค์ส่วนบุคคลและอุปสงค์ของตลาด
1.9 อุปสงค์ต่อราคา อุปสงค์ต่อรายได้และอุปสงค์ไขว้
2. อุปทาน
2.1 ความหมายของอุปทาน
2.2 ปจั จัยกาหนดอุปทาน
2.3 ฟงั ก์ชนอุ
ั ่ ปทาน
2.4 กฎของอุปทาน
2.5 ตารางอุปทาน
2.6 การเปลีย่ นแปลงปริมาณอุปทาน
2.7 การเปลีย่ นแปลงเส้นอุปทาน
2.8 อุปทานของหน่วยผลิตและอุปทานของตลาด
3. ภาวะดุลยภาพ
3.1 ดุลยภาพของตลาด
3.2 การเปลีย่ นแปลงภาวะดุลยภาพ
EC 103 17
4. การนาวิธกี ารวิเคราะห์ดุลยภาพไปประยุกต์ใช้กรณีต่าง ๆ
4.1 นโยบายประกันราคาขัน้ ต่า
4.2 นโยบายประกันราคาขัน้ สูง
4.3 การเก็บภาษีและภาระภาษี
สาระสาคัญ
1. อุปสงค์ หมายถึง ความต้องการซือ้ สินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่ง ของ
ผูบ้ ริโภค ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง โดยมีอานาจซือ้ หรือมีความสามารถในการ
ตอบสนองความต้องการนัน้ ๆ
2. อุปสงค์อาจแบ่งออกเป็ นประเภทต่าง ๆ ได้ หลายประเภท เช่น อุปสงค์ท่เี กิดขึน้
จริง อุปสงค์ตามศักยภาพ อุปสงค์ทางตรง อุปสงค์สบื เนื่องอุปสงค์ส่วนบุคคล อุป
สงค์ของหน่วยธุรกิจ อุปสงค์ของตลาด เป็นต้น
3. อุปสงค์ทผ่ี บู้ ริโภคมีต่อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งจะถูกกาหนดโดยปจั จัยต่าง ๆ คือ
ราคาสินค้าชนิดนัน้ ราคาสินค้าชนิดอื่นทีเ่ กีย่ วข้อง รสนิยม รายได้ จานวน
ประชากรค่าใช้จา่ ยในการประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
4. การแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณความต้องการซือ้ สินค้ากับปจั จัยกาหนด
ความต้องการซือ้ อาจเขียนให้อยูใ่ นรูปฟงั ก์ชนั ่ สมการ ตารางหรือเส้นอุปสงค์กไ็ ด้
5. กฎของอุปสงค์กล่าวไว้ว่าราคาและปริมาณความต้องการซือ้ สินค้าจะมี
ความสัมพันธ์กนั ในทิศทางตรงกันข้าม
6. การเปลี่ยนแปลงปริมาณอุ ปสงค์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความต้อ งการซื้อ
สินค้าอันเนื่องมาจากการเปลีย่ นแปลงราคาสินค้าชนิดนัน้ ๆ โดยปจั จัยอื่นๆ ที่
กาหนดให้คงทีไ่ ม่ได้เปลีย่ นแปลงไปเป็นการเปลีย่ นแปลงบนเส้นอุปสงค์เส้นเดิม
7. การเปลีย่ นแปลงเส้นอุปสงค์ หมายถึง การเปลีย่ นแปลงความต้องการซือ้ สินค้า
โดยที่ราคาสินค้าไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ เป็ นการเปลี่ยนแปลงปจั จัยกาหนดความ
ต้องการซือ้ อื่น ๆ นอกเหนือจาก ราคาซึง่ มีผลทาให้เส้นอุปสงค์เปลีย่ นแปลงไปทัง้
เส้น โดยอาจเคลื่อนไปทางขวาหรือทางซ้ายของเส้นเดิม
8. การจาแนกอุปสงค์ตามปจั จัยทีก่ าหนด อาจแบ่งเป็ น 3 ประเภทใหญ่ คือ อุปสงค์
ต่ อ รายได้ หมายถึง ปริม าณสิน ค้ า ที่ม ีผู้ ต้ อ งการซื้อ ณ ระดับ ต่ า ง ๆ กัน
ของรายได้ โดยกาหนดให้ปจั จัยอื่น ๆ คงที่ กรณีสนิ ค้าปกติปริมาณซือ้ จะ
18 EC 103
เปลี่ย นแปลงไปในทิศ ทางเดีย วกัน กับ รายได้ แต่ ถ้า เป็ น สิน ค้า ด้อ ยคุ ณ ภาพ
ปริมาณซื้อ จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้ามกับรายได้อุปสงค์ต่อ ราคา
หมายถึง ปริมาณความต้องการซือ้ สินค้าในเวลาใดเวลาหนึ่ ง ณ ระดับ ราคาต่าง
ๆ กัน โดยกาหนดให้ปจั จัยอื่น ๆ คงที่ ความสัมพันธ์ของปริมาณซื้อและราคา
สินค้าจะเป็ นไปในทิศทางตรงกันข้ามตามกฎของอุปสงค์ อุปสงค์ไขว้ หมายถึง
ปริมาณสินค้าทีม่ ผี ู้ต้องการซื้อในขณะใดขณะหนึ่ง ณ ระดับต่าง ๆ กันของราคา
สินค้าอีกชนิดหนึ่งทีเ่ กีย่ วข้องกัน โดยกาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่ กรณีท่ี สินค้าสอง
ชนิดนี้เป็ นสินค้าที่ใช้ประกอบกันจะมีความสัมพันธ์กนั ในทิศทางตรงกันข้าม แต่
ถ้าเป็นสินค้าทีใ่ ช้ทดแทนกันจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน
9. อุปทาน หมายถึง ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้า ณ ระดับราคาใดราคา
หนึ่ง ในเวลาใด เวลาหนึ่ง โดยกาหนดในสิง่ อื่น ๆ คงที่
10. อุปทาน จะถูกกาหนดโดยปจั จัยต่าง ๆ เช่น ราคาสินค้าชนิดนัน้ ราคาปจั จัยการ
ผลิต ต้นทุนการ ผลิต ระดับเทคโนโลยี ตลอดจนสภาวะแวดล้อมทัวไป ่ เป็นต้น
11. กฎของอุปทาน กล่าวว่า ปริมาณความต้องการขายหรือผลิตสินค้า และราคา
สินค้ามีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน
12. การเปลี่ยนแปลงปริม าณอุ ป ทาน หมายถึง สภาวะที่ป ริม าณเสนอขายสิ น ค้า
เปลีย่ นแปลงไปอันเนื่องมาจากราคาสินค้าชนิดนัน้ เปลีย่ นไป โดยปจั จัยกาหนด
อุปทาน ตัวอื่นคงที่ เป็นการเปลีย่ นแปลงภายในเส้นอุปทานเส้นเดิม
13. การเปลี่ย นแปลงเส้น อุ ป ทาน หมายถึง สภาวะที่ค วามต้ อ งการขายสิน ค้า
เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากปจั จัยอื่นนอกจากราคาเปลี่ยนแปลง มีผลทาให้
เส้นอุปทานเลื่อนไปทัง้ เส้น อาจเลื่อนไปทางซ้ายหรือทางขวาของเส้นเดิม
14. ดุล ยภาพของตลาด หมายถึง สภาพสมดุล ที่เ กิ ดขึ้น ณ ระดับราคาที่ผู้ซ้อื และ
ผูข้ ายตกลงซือ้ ขายกันแล้วปริมาณเสนอซือ้ เท่ากับปริมาณเสนอขายพอดี
15. เมื่อระดับราคาสินค้าสูงกว่าราคาดุลยภาพ จะเกิดปญั หาสินค้าล้นตลาดหรือเกิด
อุปทานส่ วนเกินถ้าปล่ อยให้กลไกตลาดทางานอย่างเต็มที่ในที่สุ ดผู้ผ ลิต จะลด
ราคาลงจนอุปทานส่วนเกินค่อย ๆ ปรับลดลง ในทีส่ ุดอุปทานส่วนเกินจะหายไป
และเข้าสู่ดุลยภาพอีกครัง้ หนึ่ง ในทานองตรงกัน ข้ามถ้าระดับราคาสินค้าต่ ากว่า
ราคาดุลยภาพ จะเกิดปญั หาสินค้าขาดตลาด หรือ อุปสงค์ส่วนเกิน ถ้าปล่อยให้
EC 103 19
กลไกตลาดทางานเต็มทีใ่ นที่สุดผู้บริโภคบางส่วนจะยอมซื้อสินค้ าในราคาที่แพง
ขึน้ อุปสงค์ส่วนเกินจะค่อย ๆ ลดลง จนเข้าสู่ดุลยภาพอีกครัง้ หนึ่ง
16. ดุลยภาพของตลาดอาจเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเส้นอุปสงค์ หรือ เส้นอุปทานหรือทัง้
สองเส้นเปลีย่ นแปลงไป
17. เราสามารถนาความรู้ในเรื่องดุ ลยภาพของตลาดไปพิจารณาเรื่องต่างๆ ได้เช่น
นโยบายกาหนดราคาขัน้ ต่า นโยบายกาหนดราคาขัน้ สูง ภาระภาษี เป็นต้น
จุดประสงค์
เมือ่ นักศึกษาอ่านบทที่ 2 จบแล้ว นักศึกษาสามารถอธิบายประเด็นต่าง ๆ ต่อไปนี้
ได้
1. อธิบายความหมายของอุปสงค์ประเภทต่างๆ
2. อธิบายปจั จัยกาหนดอุปสงค์
3. อธิบาย กฎ ของอุปสงค์
4. อธิบายการเปลีย่ นแปลงปริมาณอุปสงค์ และการเปลีย่ นแปลงเส้นอุปสงค์
5. อธิบายความหมายของอุปทานประเภทต่าง ๆ
6. อธิบายปจั จัยกาหนดอุปทาน
7. อธิบายกฎของอุปทาน
8. อธิบายการเปลีย่ นแปลงปริมาณอุปทานและการเปลีย่ นแปลงเส้นอุปทาน
9. อธิบายการทางานของกลไกตลาดเพื่อเข้าสู่ภาวะดุลยภาพ
10. อธิบายนโยบายประกันราคาขัน้ สูง นโยบายประกันราคาขัน้ ต่าและภาระภาษี
ในบทนี้จะได้กล่าวถึงความหมายของอุปสงค์และอุปทานชนิดต่างๆปจั จัยสาคัญที่
เป็ นตัวกาหนดอุปสงค์และอุปทาน กฎของอุปสงค์และอุปทาน การเปลี่ยนแปลงอุป สงค์และ
อุปทาน ดุลยภาพของตลาด ตลอดจนการนาวิธกี ารวิเคราะห์ดุลยภาพไปประยุกต์ใช้ในกรณี
ต่างๆเพื่อเป็นความรูพ้ น้ื ฐานสาหรับการวิเคราะห์ในบทต่อๆไป
20 EC 103
2.1 อุปสงค์ (Demand)
2.1.1 ความหมาย
อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่ง
ของผูบ้ ริโภค ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง โดยมีอานาจซือ้ หรือมีความสามารถในการตอบสนองความ
ต้องการนัน้ ๆ
2.1.2 ประเภท
เราสามารถกล่าวถึงอุปสงค์ประเภทต่าง ๆ ได้ดงั นี้
1) อุปสงค์ที่เกิ ดขึ้นจริ ง (Effective demand) หมายถึง ความต้องการซือ้
สินค้าทีเ่ กิดขึน้ จริง ๆ อันเนื่องจากปจั จัยต่อไปนี้
1. ความเต็มใจทีจ่ ะซือ้ (Willingness to buy)
2. ความสามารถทีจ่ ะซือ้ (Ability topay)
3. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
2) อุปสงค์ศ กั ยภาพ (Potential demand) หมายถึง ความต้อ งการซื้อ
สินค้าที่เป็ นไปตามศักยภาพหรือความสามารถในการซื้อ คือการที่มอี านาจซือ้ แต่ยงั ไม่ซอ้ื ใน
ขณะนี้
3) อุปสงค์ทางตรง (Direct demand) หมายถึง ความต้องการซือ้ สินค้าขัน้
สุดท้าย (Final product) ของผูบ้ ริโภค เช่น อุปสงค์ในขนม อุปสงค์ทม่ี ตี ่อเสือ้ ผ้าสาเร็จรูป เป็ น
ต้น
4) อุปสงค์สืบเนื่ อง (Derived demand) หมายถึง ความต้องการซือ้ วัตถุดบิ
ไปผลิตสินค้าที่ผู้บริโภคมีความต้องการ เช่น เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการซื้อขนม ทาให้
ผู้ผลิตขนมมีความต้องการซื้อไข่ไก่ น้ าตาลทราย เพื่อไปทาขนมขาย ความต้องการ ไข่ไก่
และน้าตาลทรายจึงจัดเป็น อุปสงค์สบื เนื่อง มิใช่อุปสงค์ทางตรงทีผ่ บู้ ริโภคมีต่อขนม
5) อุปสงค์ส่วนบุคคล (Individual demand) เป็ นความต้องการซื้อสินค้า
ชนิดใดชนิดหนึ่งของผูบ้ ริโภคแต่ละคน ณ ระดับราคาใดราคาหนึ่ง เช่นถ้าขณะนัน้ เสือ้ เชิรต์ รา
คาตัว ละ 300 บาท นาย ก.ต้อ งการซื้อ จานวน 2 ตัว นาย ข. ต้อ งการซื้อ 1 ตัว นาย ค.
ต้องการซือ้ 5 ตัว ความต้องการซือ้ เสือ้ เชิรต์ ของนาย ก. หรือนาย ข. หรือนาย ค. เรียกอุป
สงค์ของผูบ้ ริโภคแต่ละรายหรือ อุปสงค์ส่วนบุคคล
EC 103 21
6) อุปสงค์ของตลาด (Market demand) เป็ นความต้องการซือ้ สินค้าชนิด
ใดชนิดหนึ่งของผูบ้ ริโภคในตลาดรวมกัน ณ ระดับราคาใดราคาหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เสื้อเชิร์
ตตัวละ 300 บาท ถ้าทัง้ ตลาดมีผซู้ อ้ื เพียง 3 ราย คือ นาย ก. นาย ข. และนาย ค. ดังนัน้ อุป
สงค์ของตลาดเสือ้ เชิรต์ ในขณะนัน้ คือ 2+1+5=8 ตัว
7) อุปสงค์ที่มีต่อหน่ วยธุรกิ จ (Firm demand) เป็ นความต้องการซือ้ สินค้า
ในตลาดที่ผลิตโดยบริษทั ใดบริษทั หนึ่ง ตัวอย่างเช่น อุปสงค์ของเสื้อเชิร์ตในตลาดจานวน
800 ตัว เป็ นอุปสงค์ทม่ี ตี ่อเสือ้ ของบริษทั A จานวน 200 ตัว บริษทั B จานวน 500 ตัวและ
บริษทั C จานวน 100 ตัว เป็นต้น
2.1.3 ปัจจัยที่กาหนดอุปสงค์
อุปสงค์ท่ผี ู้บริโภคมีต่อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง จะถูกกาหนดโดยปจั จัยต่ างๆ
ได้แก่
1. ราคาสินค้าชนิดนัน้
2. ราคาสินค้าชนิดอื่นทีเ่ กีย่ วข้อง
3. รสนิยม
4. รายได้
5. จานวนประชากร
6. การโฆษณาประชาสัมพันธ์
7. อื่น ๆ
2.1.4 ฟังก์ชนอุ
ั ่ ปสงค์ (Demand function)
หมายถึง สมการทีแ่ สดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณความต้องการซือ้ สินค้า
และบริการ กับปจั จัยต่าง ๆ ทีก่ าหนดความต้องการซือ้
อุปสงค์ทม่ี ตี ่อสินค้าA = f (ราคาสินค้า A, ราคาสินค้าB, รสนิยม, รายได้,
จานวนประชากร, ค่าใช้จา่ ยในการโฆษณาประชาสัมพันธ์)
DA = f (PA , PB, T , Y , Pop , Ad )
ปจั จัยทีก่ าหนดความต้องการซือ้ สินค้าAในทีน่ ้คี อื ราคาสินค้า A ราคา สินค้า
B รสนิยม รายได้ จานวนประชากร และค่าใช้จา่ ยในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การนาปจั จัย
ทีเ่ กี่ยวข้องเหล่านี้ทุกตัวมาพิจารณาพร้อม ๆ กันนัน้ การศึกษาจะต้องเป็ นไปในรูปของการ
22 EC 103
วิเคราะห์ทุกส่วน (General analysis) ซึ่งเป็ นเรื่องทีค่ ่อนข้างยุ่งยากมากสาหรับการศึกษาใน
ระดับนี้ โดยทัวไปในขั
่ น้ นี้จะเป็ นการวิเคราะห์เฉพาะส่ วน (Partial analysis) เท่านัน้ เช่น
การศึก ษาความสัม พัน ธ์ ข องความต้ อ งการซื้อ สิน ค้ า กับ ป จั จัย ใดป จั จัย หนึ่ ง ทีล ะตัว โดย
กาหนดให้ปจั จัยอื่น ๆ คงที่ ในกรณีทเ่ี ป็ นความสัมพันธ์ของปริมาณความต้องการซือ้ กับราคา
สินค้าชนิดนัน้ เรียก อุปสงค์ต่อราคา ถ้าเป็ นความสัมพันธ์ของปริมาณความต้องการซื้อกับ
รายได้ เรียก อุปสงค์ต่อรายได้ ถ้าเป็ นความสัมพันธ์ของปริมาณความต้องการซื้อกับราคา
สินค้าชนิดอื่นทีเ่ กีย่ วข้อง เรียก อุปสงค์ไขว้
ฟงั ก์ชนอุ
ั ่ ปสงค์ต่อราคา DA = f(PA)
ฟงั ก์ชนอุ
ั ่ ปสงค์ต่อรายได้ DA = f(Y)
ฟงั ก์ชนอุ
ั ่ ปสงค์ไขว้ DA = f(PB)
2.1.5 กฎของอุปสงค์ (Law of demand)
กฏของอุปสงค์ หมายถึงกฏที่ว่าด้วยระบบความสัมพันธ์ระหว่ างราคาสินค้า
กับปริมาณความต้องการซือ้ สินค้านัน้ ซึ่งกฏนี้กล่าวไว้ว่า “ราคาและปริมาณความต้องการซื้อ
สินค้าจะมีความสัมพันธ์ก ันในทิศ ทางตรงกันข้าม” คือ เมื่อ ราคาสินค้าสูงขึ้นปริมาณความ
ต้องการซื้อจะลดต่ าลง และในทางตรงกันข้าม เมื่อราคาสินค้าลดลง ปริมาณความต้องการ
ซือ้ สินค้าจะเพิม่ สูงขึน้ ทัง้ นี้เพราะเมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงไปจะก่อให้เกิ ดผลสองประการ
คือ ผลทางรายได้ (Income effect) กล่าวคือเมื่อราคาสินค้าสูงขึน้ แม้ว่ารายได้ทเ่ี ป็ นตัวเงินไม่
เปลีย่ นแปลงไป แต่รายได้ทแ่ี ท้จริงลดลง ทาให้ผบู้ ริโภคซือ้ สินค้าน้อยลง หรือเมื่อราคาสินค้า
ลดลงย่อมมีผลให้รายได้ทแ่ี ท้จริงสูงขึน้ ผูบ้ ริโภคจะซือ้ สินค้ามากขึน้ ผลอีกประการก็คอื ผล
จากการทดแทนกัน กล่าวคือ เมือ่ ราคาสินค้าชนิดนัน้ สูงขึน้ จะทาให้ผบู้ ริโภคหันไปซือ้ สินค้า
อื่นทีร่ าคาไม่สูงมากนักแต่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ทาให้ปริมาณการซือ้ สินค้าชนิดนัน้ ลดลง
ในทานองตรงกันข้ามเมือ่ ราคาสินค้าลดลง ผูท้ เ่ี คยใช้สนิ ค้าอื่นทีส่ ามารถทดแทนกันได้ จะหัน
มาซือ้ สินค้าทีร่ าคาลดลง ทาให้ปริมาณการซือ้ สูงขึน้
2.1.6 ตารางอุปสงค์ (Demand schedule)
ตารางอุปสงค์ คือ ตารางทีแ่ สดงความสัมพันธ์ระหว่างราคากับปริมาณความ
ต้องการซือ้ สินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยกาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่ ดังแสดง
ในตาราง 2.1 เมือ่ สินค้ามีราคาชิน้ ละ 10 บาท ความต้องการซือ้ หรืออุปสงค์ทม่ี ตี ่อสินค้าจะ
EC 103 23
เท่ากับ 40 ชิน้ แต่เมื่อราคาสินค้าสูงขึน้ เป็ นชิน้ ละ 20 30 และ 40 บาท จะมีผลทาให้
ความต้องการซือ้ สินค้าลดลงเป็น 30 ชิน้ 20 ชิน้ และ 10 ชิน้ ตามลาดับซึง่ เป็ นไปตามกฏของ
อุปสงค์
ราคา ความต้องการซื้อ
10 40
20 30
30 20
40 10
P1 A
P2 B
D
0 Q
Q1 Q2
รูป 2.1 เส้ นอุปสงค์
24 EC 103
2.1.8 การเปลี่ยนแปลงปริ มาณอุปสงค์ (Change in quantity demand)
การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อหรือการเปลี่ยนแปลงปริมาณอุป
สงค์ หมายถึง การเปลีย่ นแปลงความต้องการซือ้ อันเนื่องมาจากการเปลีย่ นแปลงราคาสินค้า
นัน้ ๆ เป็นการเปลีย่ นแปลงบนเส้นอุปสงค์เส้นเดียวกัน ดังจะเห็นในรูป 2.2 เดิมอุปสงค์ของ
สินค้าอยู่ท่จี ุด A คือ ณ ระดับราคา O P1 ความต้องการซื้อสินค้าจะเท่ากับ OQ1 แต่เมื่อ
ราคาสินค้าลดลงเป็ น OP2 ความต้องการซื้อสินค้าจะเพิม่ ขึน้ เป็ น OQ2 ทาให้อุปสงค์เปลีย่ น
จากจุด A มาเป็ นจุด B ซึ่งเป็ นการเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้ออันเนื่องมาจาก
ราคาสินค้าเปลีย่ นแปลงไป โดยทีป่ จั จัยอื่น ๆ ที่เรากาหนดให้คงทีม่ ไิ ด้เปลีย่ นแปลงไป เป็ น
การเปลีย่ นแปลงบนเส้นอุปสงค์เส้นเดิม
A
P1
B
P2
D
0 Q1 Q2 Q
รูป 2.2 การเปลี่ยนแปลงปริ มาณอุปสงค์
EC 103 25
P
D2
D1
P1 A A1
B B1
P2
0 Q
QA QB QA1 QB1
26 EC 103
2.1.10 ปัจจัยที่ทาให้เส้นอุปสงค์เปลี่ยนแปลง
จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าเส้นอุ ปสงค์จะเปลี่ยนแปลง เมื่อปจั จัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่
ราคาซึ่งเคยก าหนดให้ค งที่เ กิดเปลี่ยนแปลงไป เช่ น ราคาสิ น ค้าอื่นที่เ กี่ยวข้อ ง รายได้
รสนิยม จานวนประชากร ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ เราสามารถอธิบาย
ลักษณะการเปลีย่ นแปลงได้ดงั นี้
1) ราคาสิ นค้าอื่นที่เกี่ยวข้อง เมือ่ ราคาสินค้าชนิดอื่นทีเ่ กี่ยวข้องกับสินค้าที่
เรากาลังพิจารณาอยูเ่ กิดเปลีย่ นแปลงไป ย่อมมีผลทาให้ปริมาณความต้องการซือ้ สินค้าชนิดที่
ก าลัง พิจารณาอยู่น้ี เ ปลี่ยนแปลงไปด้ว ย แม้ว่ าราคาของสิน ค้าชนิ ดที่ก าลังพิจ ารณามิไ ด้
เปลีย่ นแปลงไป อุปสงค์ของสินค้าจะเปลีย่ นไปในทางเพิม่ ขึน้ หรือลดลงขึน้ อยู่กบั ลักษณะของ
สินค้าทีเ่ กีย่ วข้องนัน้ ว่าเป็นสินค้าทีส่ ามารถใช้ทดแทนกันได้หรือเป็นสินค้าทีใ่ ช้ประกอบกัน
(1) สิ นค้ าทดแทนกัน (Substitution goods) ถ้ากาหนดให้สงิ่ อื่นๆ
คงที่ เมือ่ ราคาสินค้าชนิดหนึ่งเปลีย่ นแปลงไป ย่อมมีผลให้ความต้องการซือ้ สินค้าทีส่ ามารถใช้
ทดแทนกันได้เปลีย่ นแปลงไปด้วย เช่น เมือ่ ราคาเนื้อไก่ (PB )สูงขึน้ จาก กฏของอุปสงค์ย่อม
ทาให้ความต้องการซือ้ เนื้อไก่ (QB)ลดลง แต่เนื่องจากเนื้อไก่และเนื้อหมูสามารถใช้ทดแทนกัน
ได้ ดังนัน้ เมื่ออุปสงค์ในเนื้อไก่ลดลงย่อมมีผลทาให้ปริมาณความต้องการซื้อเนื้อหมู (QA)
เพิม่ ขึ้นเส้นอุปสงค์ของเนื้อหมูเลื่อนไปทางขวา ในทานองตรงกันข้ามเมื่อราคาเนื้อไก่ (PB )
ลดลง ย่อมมีผลทาให้ความต้องการซื้อเนื้อหมู (QA) ลดลงด้วยทาให้เส้นอุปสงค์ของเนื้อหมู
เลื่อนไปทางซ้าย
PB QB QA
PB QB QA
EC 103 27
ลดต่าลง ย่อมมีผลให้ปริมาณความต้องการซือ้ ลูกเทนนิส (QA) เพิม่ สูงขึน้ ด้วยเส้นอุปสงค์ของ
ลูกเทนนิสจึงเลื่อนไปทางขวา
PB QB QA
PB QB QA
Y QA
Y QA
Y QA
Y QA
28 EC 103
3) รสนิ ยม การเปลี่ย นแปลงรสนิ ย มย่อ มมีผ ลกระทบต่ อ ปริม าณความ
ต้องการซือ้ สินค้า ถ้ากาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่ เมือ่ ประชาชนมีรสนิยมในการบริโภคสินค้าชนิด
ใดชนิ ด หนึ่ ง ย่อ มท าให้ป ริม าณความต้ อ งการสิน ค้า ชนิ ด นี้ สูง ขึ้น (เส้น อุ ป สงค์เ ลื่อ นไป
ทางขวา) แม้ว่าราคาสินค้าชนิดนัน้ มิได้เปลีย่ นแปลงไปเลย ในทานองตรงกันข้าม เมื่อผูบ้ ริโภค
มีรสนิยมในการบริโภคสินค้าชนิดนัน้ น้อยลงย่อมมีผลให้ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าชนิด
นัน้ ลดลงด้วย (เส้นอุปสงค์เลื่อนไปทางซ้าย)
T QA
T QA
4) จานวนประชากร เมื่อประชากรมีจานวนที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมมีผลต่อ
การเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการซื้อสินค้าด้วย กล่าวคือ ถ้ากาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่
เมื่อจานวนประชากรเพิม่ ขึน้ ความต้องการซือ้ สินค้าย่อมเพิม่ สูงตามไปด้วย (เส้นอุปสงค์เลื่อน
ไปทางขวา) ในทางตรงกันข้ามเมื่อ จานวนประชากรลดต่ าลงย่อมมีผลให้ความต้องการซื้อ
สินค้าลดต่าลงไปด้วย (เส้นอุปสงค์เลื่อนไปทางซ้าย)
Pop QA
Pop QA
5) ค่ า ใช้ จ่ า ยในการโฆษณา เมื่อ ผู้ผ ลิต หรือ ผู้ข ายมีก ารใช้จ่า ยเพื่อ การ
โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภค รูจ้ กั สินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งมากขึ้น ย่อมมีผลให้ปริมาณ
ความต้องการซือ้ สินค้าชนิดนัน้ ๆ เพิม่ สูงขึน้ (เส้นอุปสงค์เลื่อนไปทางขวา) ในทางตรงกันข้าม
ถ้าผู้ขายลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลง ย่อมมีผลให้ความต้องการซื้อสินค้าชนิดนัน้ ๆ ลดต่ าลง
ด้วย (เส้นอุปสงค์เลื่อนไปทางซ้าย)
Ad QA
Ad QA
EC 103 29
2.1.11 อุปสงค์ส่วนบุคคลและอุปสงค์ตลาด (Individual Demand and
Market Demand)
อุปสงค์ส่วนบุคคล หมายถึง ความต้องการซือ้ สินค้าหรือบริการชนิด
ใดชนิดหนึ่งของผูบ้ ริโภคคนใดคนหนึ่ง ณ ระดับราคาใดราคาหนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่ง ส่วน
อุปสงค์ของตลาด หมายถึง ความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคทุกคนรวมกัน ณ ระดับ
ราคาใดราคาหนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่ง ถ้าสมมติว่าในตลาดมีผบู้ ริโภคเพียง 2 คน คือ นาย
ก. และนาย ข. เราสามารถหาอุ ปสงค์ข องตลาดได้โดยการรวมปริม าณการบริโภคของ
ผูบ้ ริโภคทุกคนรวมกัน ณ ระดับราคาต่าง ๆ กัน ดังแสดงในตาราง 2.2
2.1.12 อุปสงค์ต่อรายได้และอุปสงค์ไขว้
อุปสงค์ท่ไี ด้กล่าวมาข้างต้น เรียกได้ว่าเป็ นอุ ปสงค์ต่อ ราคา (Price
demand) ซึง่ เป็ นปริมาณสินค้าที่ผบู้ ริโภคต้องการซือ้ ในเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคา ต่าง
ๆ กัน โดยกาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่ ความสัมพันธ์ของปริมาณซือ้ และราคาจะเป็ นไปในทิศทาง
ตรงกันข้ามตามกฏของอุปสงค์ นอกจากอุปสงค์ต่อราคาแล้ว เรายังสามารถศึกษาอุปสงค์ต่อ
รายได้ และอุปสงค์ไขว้หรืออุปสงค์ต่อราคาสินค้าชนิดอื่นได้ดงั นี้
1) อุปสงค์ต่อรายได้ (Income demand)
อุปสงค์ต่อรายได้ หมายถึงปริมาณสินค้าที่มผี ู้ต้องการซื้อ ณ ระดับ
ต่าง ๆ กันของรายได้ โดยกาหนดให้สงิ่ อื่นๆ คงที่ เราอาจเขียนความสัมพันธ์ในรูปฟงั ก์ชนั ่
อุปสงค์ต่อรายได้ ดังนี้
30 EC 103
QA = f (Y)
QA = ปริมาณความต้องการซือ้ สินค้า A
Y = รายได้
ความสัมพันธ์ของปริมาณความต้องการซือ้ สินค้ากับรายได้จะมีลกั ษณะ
อย่างไร จะขึน้ อยูก่ บั ชนิดของสินค้านัน้ ๆ
(1) สิ นค้าปกติ (Normal goods) ในกรณีทส่ี นิ ค้าทีเ่ รากาลังพิจารณา
เป็ นสินค้าปกติ ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณความต้องการซือ้ สินค้าและรายได้จะเป็ นไปใน
ทิศทางเดียวกัน ถ้ากาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่ กล่าวคือ เมื่อรายได้สูงขึน้ ความต้องการซือ้ จะ
เพิม่ สูงขึน้ ด้วย ในทางตรงกันข้าม เมื่อรายได้ต่ าลง ปริมาณความต้องการซื้อก็จะลดต่ าลง
ด้วย เส้นอุปสงค์จะมีลกั ษณะเป็ นเส้นทีล่ าดขึน้ จากซ้ายไปทางขวามีค่าความชันเป็ นบวก ดัง
จะเห็นจากรูป 2.4 เมื่อรายได้อยู่ท่ี OY1 ความต้องการซือ้ เท่ากับ OQ1 เมื่อรายได้สูงขึน้ เป็ น
OY2 ความต้องการซือ้ สินค้าชนิดนี้จะเพิม่ ขึน้ เป็น OQ2
รายได้
D
Y2
Y1
O Q1 Q2
ปริมาณสินค้า
EC 103 31
เป็น OY2 ผูบ้ ริโภคจะหันไปบริโภคสินค้าอื่น จึงทาให้ความต้องการซือ้ สินค้าชนิดนี้ลดลงเหลือ
OQ2 ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าด้อยคุณภาพกับรายได้จะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม
รายได้
Y2
Y1
D
O ปริมาณสินค้า
Q2 Q1
32 EC 103
สินค้าทีใ่ ช้ประกอบกันจะเป็นไปได้ในทิศทางตรงกันข้ามกัน กล่าวคือ เมื่อราคาไม้เทนนิสสูงขึน้
ความต้องการซือ้ ไม้เทนนิสจะลดลงทาให้ความต้องการซือ้ ลูกเทนนิสลดลงไปด้วย เส้นอุปสงค์
ไขว้จะมีลกั ษณะเป็ นเส้นทีล่ าดลงมาจากซ้ายไปขวา มีค่าความชันเป็ นลบ ดังจะเห็นได้จาก
รูป 2.6 คือเมื่อราคาสินค้า B สูงขึน้ จาก PB1 เป็ น PB2 ความต้องการซื้อสินค้า A จะลดลง
จาก QA1 เป็น QA2
PB
PB2
PB1
DA
O QA
QA2 QA1
EC 103 33
PB DA
PB1
PB2
QA2 QA1 QA
2.2.1 ความหมาย
อุปทานหมายถึง ปริมาณ ความต้องการเสนอขายสินค้า ณ ระดับราคาใด
ราคาหนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยกาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่
2.2.2 ปัจจัยกาหนดอุปทาน
อุปทานหรือปริมาณการเสนอขายของผู้ขายหรือผู้ผลิต จะถูกกาหนด
โดยปจั จัยต่าง ๆ ดังนี้
1. ราคาสินค้าชนิดนัน้ (PA)
2. ราคาปจั จัยการผลิต (PB)
3. ต้นทุนการผลิต (C)
4. เทคโนโลยี (T)
5. ปจั จัยอื่น ๆ เช่น ธรรมชาติ (W)
2.2.3 ฟังก์ชนอุั ่ ปทาน (Supply function)
ฟงั ก์ชนอุ
ั ่ ปทาน แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของความต้องการเสนอ
ขายสินค้าและบริการกับปจั จัยทีก่ าหนดปริมาณความต้องการเสนอขาย เราสามารถเขียนใน
รูปแบบทางคณิตศาสตร์ได้ ดังนี้
SA = f ( PA , PB , C , T , W )
34 EC 103
ถ้าก าหนดให้ปจั จัยต่ าง ๆ ที่เ ป็ นตัว ก าหนดปริมาณเสนอขายคงที่
ทัง้ หมดยกเว้นราคาของสินค้า A เราจะได้สมการใหม่ คือ
SA = f ( PA )
จากสมการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณ
เสนอขายโดยกาหนดให้ปจั จัยอื่น ๆ คงที่
2.2.4 กฎของอุปทาน (Law of Supply)
กฏของอุปทานเป็ นกฏที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้า
กับปริมาณการเสนอขายสินค้า กฏนี้จะกล่าวว่า ปริมาณความต้องการขายสินค้าและราคา
สินค้ามีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ เมื่อกาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่ ถ้าราคา
สินค้าสูงขึ้น ปริมาณการเสนอขายจะเพิ่มขึ้น และในทางตรงกันข้าม เมื่อ ราคาสินค้าลดลง
ปริมาณการเสนอขายก็จะลดลงไปด้วย
2.2.5 ตารางอุปทาน (Supply Schedule)
ตารางอุ ป ทาน เป็ น ตารางที่แสดงความสัมพันธ์ของราคาสิน ค้า และ
ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้า เมื่อกาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่ ตารางอุปทานนี้จะบอกให้
เราทราบว่า ณ ระดับราคาต่าง ๆ กันในขณะใดขณะหนึ่ง ปริมาณความต้องการเสนอขาย
สินค้าจะเป็ นอย่างไร ดังแสดงให้เห็นในตาราง 2.3 เมื่อราคาสินค้าสูงขึน้ จากชิน้ ละ 2 บาท
เป็ น 4, 6, 8 และ 10 บาท จะทาให้ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้านัน้ เพิม่ สูงขึน้ จาก
20 ชิน้ เป็น 25, 30, 35, และ 40 ชิน้ ตามลาดับ โดยกาหนดให้ปจั จัยอื่น ๆ คงที่ ซึง่
เป็นไปตามกฏของอุปทาน
EC 103 35
2.2.6 เส้นอุปทาน (Supply Curve)
เส้นอุปทาน หมายถึง เส้นทีแ่ สดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้าและ
ปริมาณความต้องการขาย ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง โดยกาหนดให้สงิ่ อื่น ๆ คงที่ จากตาราง 2.3
ข้างต้น เราสามารถนามาเขียนเส้นอุปทานได้ดงั รูป 2.8 จะเห็นได้ว่าเส้นอุปทานมีลกั ษณะเป็ น
เส้นทอดขึ้นจากซ้ายไปขวา แสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าและปริมาณความต้องการเสนอขาย
สินค้ามีความสัมพันธ์กนั ในทิศทางเดียวกัน คือเมื่อราคาสินค้า A สูงขึน้ ความต้องการเสนอ
ขายสินค้า A สูงขึน้ ด้วย ซึง่ เป็นไปตามกฏของอุปทาน
PA
SA
P2
P1
0 QA
Q1 Q2
36 EC 103
เส้นเดิม เป็นการเปลีย่ นแปลงปริมาณการเสนอขายอันเนื่องมาจากราคาสินค้าเปลีย่ นไป โดย
ทีป่ จั จัยกาหนดอื่น ๆ คงที่
P S
P2 B
P1
A
O Q1 Q2 Q
EC 103 37
P
S1 S2
P2 B B1
P1 A
A1
O Q1 Q2 Q4 Q
Q3
T S
T S
38 EC 103
PF S
PF S
C S
C S
W S
W S
EC 103 39
ตาราง 2.4 อุปทานของหน่ วยผลิ ตและอุปทานของตลาด
อุปทานของ
ราคา อุปทานของ ก. อุปทานของ ข. อุปทานของ ค.
ตลาด
2 10 0 5 15
3 15 10 20 45
4 20 20 30 70
5 25 30 40 95
6 30 40 50 120
40 EC 103
P D S
PE E
S D
O QE Q
EC 103 41
P S
P1 A B
PE E
D
O QE Q
ถ้าปล่อยให้กลไกราคาทางานอย่างเต็มที่ เมื่อเกิดอุปทานส่วนเกินหรืออุป
สงค์ส่ ว นขาด จะทาให้ผู้ผ ลิต บางรายยอมลดราคาสินค้าลง เมื่อ ราคาสินค้าลดลงก็ทาให้
ผู้บริโภคบางคนยอมซื้อสินค้าเพิม่ ขึ้น อุปทานส่วนเกินก็จะค่อย ๆ ปรับลดลง จนในที่สุ ด
อุปทานส่วนเกินจะหายไป ปริมาณเสนอขายเท่ากับปริมาณเสนอซือ้ หรืออยู่ในภาวะดุลยภาพ
พอดี
2.3.3 อุปสงค์ส่วนเกิ น (Excess demand) หรืออุปทานส่วนขาด (Supply-
shortage)
ในกรณีท่รี ะดับราคาอยู่ต่ ากว่ าราคาดุล ยภาพ ทาให้ปริมาณเสนอซื้อ และ
ปริมาณเสนอขายทีไ่ ม่เท่ากัน ดังเช่น ตัวอย่างในรูป 2.13 เส้นอุปสงค์และอุปทานตัดกันทีจ่ ุด
E ราคาดุลยภาพคือ OPE ปริมาณดุลยภาพคือ OQE ณ ระดับ OP2 ปริมาณเสนอซือ้ คือ
P2F ปริมาณเสนอขายคือ P2C ความต้องการซือ้ มีมากกว่าความต้องการขายเท่ากับ CF
ดังนัน้ CF คือ อุปสงค์ส่วนเกินหรืออุปทานส่วนขาด
42 EC 103
P
S
PE E
P2
C F
D
O QE Q
EC 103 43
P S
D1
D E1
PE1
PE D2 E
E2 D1
PE2
S D
D2
QE2 QE Q
QE1
รูป 2.14 การเปลีย่ นแปลงของดุลยภาพอันเนื อ่ งมาจากการเปลีย่ นแปลงเส้นอุปสงค์
44 EC 103
P S2
S
D
PE2
E2 S1
PE E
PE1 S2 E1
S
S1 D
O QE2 QE QE1 Q
EC 103 45
P
D
D1 S
S1
PE E
PE1 E1
S D
S1 D1
O QE QE1 Q
การศึก ษาเรื่อ งดุ ล ยภาพที่ไ ด้ก ล่ า วไปในข้า งต้ น แล้ว นั น้ สามารถน ามา
ประยุกต์ใช้วเิ คราะห์นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลทีไ่ ด้เข้าแทรกแซงการทางานของกลไกราคา
โดยมีวตั ถุประสงค์ท่จี ะช่วยเหลือบุคคลกลุ่มต่าง ๆ เช่น เกษตรกร แรงงาน ผู้บริโภค ฯลฯ
เป็ นต้น นโยบายที่รฐั บาลใช้แทรกแซงกลไกราคาตลาดได้แก่ นโยบายการกาหนดราคาขัน้
46 EC 103
ต่า เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มผูใ้ ช้แรงงานซึง่ ไม่มอี านาจต่อรองในเรื่องราคาสินค้า
เกษตรและค่าจ้างแรงงาน นโยบายการกาหนดราคาขัน้ สูงเพื่อป้องกันมิให้ผบู้ ริโภคเดือดร้อน
จากการซือ้ สินค้าทีจ่ าเป็นในราคาทีส่ งู และนโยบายการเก็บภาษีสนิ ค้าเพื่อพิจารณาภาระภาษี
ว่ามีผลต่อผูข้ ายหรือผูซ้ อ้ื มากน้อยเพียงไร
EC 103 47
อุปสงค์ให้สงู ขึน้ หรือใช้ทงั ้ สองมาตรการควบคู่กนั ไป สาหรับมาตรการในการลดอุปทานอาจ
ทาได้ในระยะยาวโดยการจากัดพืน้ ทีเ่ พาะปลูกพืชทีม่ อี ุปทานส่วนเกินของเกษตรกรให้น้อยลง
และส่งเสริมการผลิตพืชผลประเภท อื่น ๆ แทน แต่ในระยะสัน้ การลดอุปทานไม่อาจทาได้
เนื่อ งจากสินค้าเกษตรต้อ งใช้เ วลาผลิต ที่ยาวนาน ผลผลิต กาลังออกสู่ต ลาดจึงไม่อ าจลด
อุปทานได้ ดังนัน้ รัฐบาลจึงต้องใช้วธิ กี ารเพิม่ อุปสงค์ให้สูงขึ้น โดยการช่วยหาตลาดทัง้ ใน
ประเทศและต่ า งประเทศ หรือ รัฐ บาลรับ ซื้อ ผลผลิต ส่ ว นเกิน เสีย เอง โดยการน าเงิน
งบประมาณส่วนหนึ่งไปรับซือ้ อุปทานส่วนเกินทัง้ หมด คือ จานวน Q1 Q2 ในราคา OP1 หรือ
อาจให้เงินอุดหนุ นต่อหน่ วย คือถ้าจะขายสินค้าหมดจานวน OQ2 ผู้ซ้อื จะยอมซื้อในราคา
หน่ วยละ OP2 แต่รฐั บาลตัง้ ราคาประกันไว้หน่ วยละ OP1 ดังนัน้ รัฐบาลจะต้องช่วยอุดหนุ น
ให้แก่เกษตรกรอีกหน่วยละ P2 P1 การดาเนินนโยบายนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียม
กันในสังคมนันเอง
่
2) การกาหนดอัตราค่ าจ้ างขั้นต่า
นโยบายการกาหนดอัตราค่าจ้างขัน้ ต่ า เป็ นนโยบายทีใ่ ช้กนั โดยทัวไปเพื
่ ่อ
ช่ว ยเหลือ แรงงานที่มอี านาจต่ อ รองค่ อ นข้างต่ า ประเทศไทยจะก าหนดค่ าจ้า งขัน้ ต่ าโดย
คณะกรรมการทีป่ ระกอบไปด้วย ตัวแทนนายจ้าง ตัวแทนลูกจ้าง นักวิชาการ และรัฐบาล
P
S
P1 E1
PE E
D1
P2
O Q1 QE Q2 Q
48 EC 103
จากรูป 2.18 เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานของแรงงานตัดกันทีจ่ ุดดุลยภาพ
คือจุด E ค่าจ้างและปริมาณการจ้าง ณ จุดดุลยภาพคือ OW1 และ O L1 ถ้ารัฐบาลเห็นว่า
อัตราค่าจ้างทีเ่ กิดขึน้ โดยกลไกตลาดนี้เป็ นอัตราทีต่ ่ าเกินไปสาหรับภาวะค่าครองชีพในปจั จุบนั
รัฐ บาลโดยคณะกรรมการก าหนดอัต ราค่ า จ้า ง ก าหนดให้ค่ า จ้า งขัน้ ต่ า อยู่ท่ีร ะดับ OW2
ณ ระดับค่าจ้าง OW2 นายจ้างต้องการจ้างแรงงานจานวน OL2 ขณะที่มแี รงงานต้องการ
ทางานถึง OL3 ทาให้เกิดการว่างงานขึน้ จานวน L2L3 ดังนัน้ หลังจากการกาหนดอัตราค่าจ้าง
ขัน้ ต่ าแล้ว รัฐบาลจะต้องมีมาตรการแก้ไขปญั หาการว่างงานทีจ่ ะเกิดขึน้ อาจโดยการหางาน
ทัง้ ในประเทศและต่ า งประเทศไว้ร องรับ คือ พยายามเพิ่มอุ ปสงค์ข องแรงงาน ให้เ ท่ ากับ
อุปทานของแรงงาน ณ ระดับค่าจ้างขัน้ ต่ าพอดี หรือพยายามจัดการฝึ กอบรมแรงงานให้ม ี
ความรู้ ความชานาญมากขึ้น เพื่อเปลี่ยนสถานภาพไปเป็ นแรงงานอีกระดับหนึ่ง ทาให้
อุปทานของแรงงานในระดับนี้ลดลงเส้นอุปทานเคลื่อนไปตัดกับเส้นอุปสงค์ทอ่ี ตั ราค่าจ้างขัน้ ต่ า
ทาให้สามารถแก้ไขปญั หาการว่างงานได้
อัตราค่ าจ้ าง
S1
S
W2
W1 E
D
1
D
จานวนแรงงาน
O L2 L1 L3
รูป 2.18 การกาหนดค่าจ้างขัน้ ต ่า
EC 103 49
2.4.2 นโยบายกาหนดราคาขัน้ สูง (Maximum price policy)
นโยบายก าหนดราคาขัน้ สูงมัก ใช้ใ นกรณีของสินค้า ที่ผู้บ ริโภคทุ กระดับ
รายได้จาเป็นต้องซือ้ เช่น นมผงสาหรับทารก น้าตาลทราย น้ามันเบนซิน ฯลฯ เป็นต้น
จากรูป 2.19 เส้นอุปสงค์และอุปทานของสินค้าตัดกันทีจ่ ุด E ราคาและ
ปริมาณดุลยภาพคือ OP และ OQ ถ้ารัฐบาลเห็นว่าราคาดุลยภาพดังกล่าวเป็ นราคาที่
ค่อนข้างสูงมากสาหรับผูบ้ ริโภคทัวไป
่ รัฐบาลอาจประกาศกาหนดราคาขัน้ สูงทีร่ ะดับ OP1 ณ
ระดับราคาขัน้ สูง OP1 จะมีผูเ้ สนอซือ้ จานวน OQ2 ขณะทีม่ ผี เู้ สนอขายเพียง OQ1ทาให้เกิด
อุปสงค์ส่วนเกินขึน้ จานวน Q1Q2 ผลทีต่ ามมาคือ
ราคา
P E S1
P1
D
O ปริ มาณ
Q1 Q Q2
50 EC 103
(3) เกิดการลักลอบขายสินค้าหลังร้าน ระหว่างผูข้ ายกับผูซ้ อ้ื ทีม่ กี าลังทรัพย์
ค่อนข้างสูง นันคื
่ อเกิดตลาดมืด (Black Market) โดยราคาซือ้ ขายจะสูงกว่าราคาขัน้ สูงทีร่ ฐั บาล
กาหนด
ดัง นั ้น เพื่อ ให้ น โยบายการก าหนดราคาขัน้ สู ง สามารถด าเนิ น ต่ อ ไปได้
รัฐบาลจึงมักใช้นโยบายอื่นควบคู่กนั ไป เช่น นาเข้าสินค้า ประเภทนี้เพื่อเพิม่ อุปทานสินค้า
ทาให้อุปสงค์ส่วนเกินหมดไป หรือ นโยบายการปนั ส่วนเพื่อกระจายสินค้าทีม่ อี ยู่น้อยให้กบั
่ ง โดยวิธแี จกคูปอง ซึ่งเป็ นวิธกี ารแก้ปญั หาระยะสัน้ ในระยะยาวแล้ว
ผู้บริโภคอย่างทัวถึ
จะต้องพยายามเพิม่ อุปทานในประเทศให้มากขึน้
EC 103 51
ราคา S1
P1 E1 S
P B E
S1 A
D
S
O ปริ มาณ
Q1 Q
52 EC 103
P
D
D1 B S
P A E
P1 E1
D
D1
O Q1 Q Q
EC 103 53
คาถามท้ายบท
จงเลือกคาตอบที่ถกู ต้องที่สดุ เพียงคาตอบเดียว
1. ปจั จัยกาหนดอุปสงค์ คือข้อใด
1. ราคาปจั จัยการผลิต
2. ราคาสินค้าชนิดนัน้
3. ระดับเทคโนโลยีการผลิต
4. ต้นทุนการผลิต
5. สภาพแวดล้อมทัวไป ่
2. ปจั จัยกาหนดอุปทาน คือข้อใด
1. ราคาสินค้าทีเ่ กีย่ วข้อง
2. ราคาสินค้าชนิดนัน้
3. รายได้
4. ค่านิยม
5. ค่าใช้จา่ ยในการโฆษณา
3. เมือ่ รายได้ของนายแดงสูงขึน้ เขาบริโภคสินค้า A มากขึน้ A เป็นสินค้าประเภทใด
1. สินค้าฟุ่มเฟือย
2. สินค้าจาเป็น
3. สินค้าปกติ
4. สินค้าด้อยคุณภาพ
5. สินค้าทีใ่ ช้ทดแทนกัน
4. เมือ่ ราคาสินค้าอยู่ ในระดับทีส่ งู กว่าราคาดุลยภาพจะเกิดเหตุการณ์ใดขึน้
1. ผูบ้ ริโภคมีความพอใจลดลง
2. สินค้าขาดตลาด
3. สินค้าล้นตลาด
4. ภาวะดุลยภาพ
5. อุปสงค์ส่วนเกิน
54 EC 103
5. กรณีทร่ี าคาสินค้า X สูงขึน้ แล้วมีผลทาให้ความต้องการซื้อสินค้า Y ลดลง ท่านคิดว่าสินค้า
X และ Y
มีความสัมพันธ์กนั อย่างไร
1. สินค้าปกติ
2. สินค้าด้อยคุณภาพ
3. สินค้าทีใ่ ช้ประกอบกัน
4. สินค้าทีใ่ ช้ทดแทนกัน
5. ไม่มคี วามสัมพันธ์กนั เลย
EC 103 55
เฉลยคาถามท้ ายบท
ลักษณะคาถามคาตอบในบทที่ 2
56 EC 103