You are on page 1of 5

เศรษฐศาสตร์ กับ การตลาด เกี่ยวข้องกันอย่างไร? (Economics and Marketing?

)
ที่ มา : เว็บไซต์ กลุ่มงานดุลยภาพการเงิน การออม และการลงทุน

สำนักนโยบายการออมและการลงทุน

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

http://www.fpo.go.th/fseg/Index.php?body=./Source/ECO/ECOIndex.php&Language=Thai

บทนำ

             หากจะกล่าวถึงวิชาเศรษฐศาสตร์ ซึง่ เป็ นศาสตร์ ที่ศกึ ษาถึงความต้ องการของคนที่มีอยูอ่ ย่างไม่จ ำกัดเมื่อ


เทียบกับทรัพยากรอันจำกัดที่มีอยูบ่ นโลกแล้ วนัน้ ย่อมเป็ นไปไม่ได้ ที่จะไม่กล่าวถึง ความต้ องการ หรื อ อุปสงค์
(Demand)  เนื่องจากความรู้ความเข้ าใจในอุปสงค์ เป็ นพื ้นฐานในการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ ได้ เป็ นอย่างดี โดย
เฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ าเราเข้ าใจถึงความต้ องการของมนุษย์แล้ วนัน้ จะสามารถตอบปั ญหาพื ้นฐานทางด้ าน
เศรษฐศาสตร์ ที่วา่ จะผลิตอะไร? ผลิตอย่ างไร? และผลิตเพื่อใคร? (What? How? for Whom?) ได้ เพราะ
เมื่อได้ ศกึ ษาถึงความต้ องการของคนแล้ วจะสามารถเชื่อมโยงถึงการศึกษาเรื่ อง ทฤษฎีการบริ โภค ซึง่ ในทาง
เศรษฐศาสตร์ นนั ้ การบริโภคจะขึ ้นอยูก่ บั อรรถประโยชน์ หรื อ ความพอใจ (Utility) โดยอธิบายว่าการบริ โภคสินค้ า
ในแต่ละหน่วยจะทำให้ ความพอใจลดลง ซึง่ ความพอใจของแต่ละบุคคลก็จะแตกต่างกันไป ดังนันจึ ้ งต้ องศึกษาถึง
ความต้ องการของผู้บริโภคซึง่ มีอยูห่ ลากหลายรูปแบบด้ วยเช่นกัน ส่วน การตลาด นัน้ เป็ นศาสตร์ ที่ศกึ ษาถึง
กิจกรรมของบุคคลหรื อกลุม่ บุคคล เพื่อให้ เกิดการสนองความต้ องการของบุคคลเหล่านัน้ โดยผ่านกระบวนการ
แลกเปลี่ยน ซึง่ การตลาดนันเป็้ นหน้ าที่หนึง่ ในการบริ หารธุรกิจ ดังนันจะเห็
้ นได้ วา่ ทังเศรษฐศาสตร์
้ และการตลาด
นัน้ เป็ นการศึกษาถึงความต้ องการและการสนองความต้ องการของมนุษย์นนั่ เอง
ความต้ องการ (Needs, Wants, Demands)

             ความต้ องการของมนุษย์นนั ้ เริ่มมีมาตัง่ แต่เกิดจนกระทัง่ เสียชีวิต เช่น เด็กแรกเกิดต้ องการ นม อาหาร


ความรัก ความอบอุน่ จากแม่ จนเมื่อโตไปจนกระทัง่ เสียชีวิตไปแล้ วก็ยงั ต้ องการพิธีศพที่ใหญ่โต เป็ นต้ น ความ
ต้ องการของคนตอนที่ยงั มีชีวิตนันมี้ อยูห่ ลากหลาย และความต้ องการของแต่ละคนก็จะมีไม่เท่ากัน แตกต่างกันไป
เช่น ของสิ่งหนึง่ อาจเป็ นที่ต้องการของคนกลุม่ หนึง่ ในขณะที่ของสิ่งนันอาจไม่้ เป็ นที่ต้องการของคนอีกกลุม่ หนึง่
เลยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาเสพติด เป็ นต้ น ดังนันการที้ ่จะเข้ าใจถึงลักษณะความต้ องการของคนแต่ละคนนัน้ เป็ น
สิ่งที่นกั เศรษฐศาสตร์ และนักการตลาดสนใจ ซึง่ ความต้ องการสามารถแยกออกเป็ นประเภทได้ ดงั นี ้

            ความต้ องการระดับ Needs

            ความต้ องการของมนุษย์ในระดับนี ้นัน้ หมายถึง ความต้ องการความจำเป็ นขันพื ้ ้นฐานเพื่อการดำรงชีวิต


ของมนุษย์ เช่น ความต้ องการ อาหาร ที่อยูอ่ าศัย ยารักษาโรค เครื่ อวนุ่งห่ม เป็ นต้ น ซึง่ ถ้ ามนุษย์ขาดสิ่งที่จะมาส
นองความต้ องการระดับนี ้ การดำเนินชีวติ อาจสิ ้นสุดลง หรื อเป็ นไปได้ ด้วยความยากลำบาก ดังนัน้ มนุษย์ทกุ คน
จึงต้ องดิ ้นรนเพื่อตอบสนองความต้ องการระดับนี ้เพื่อให้ ชีวิตอยูร่ อด แต่เมื่อมนุษย์ได้ รับสิ่งที่มาสนองความต้ องการ
เหล่านี ้แล้ ว ก็อาจเกิดความต้ องการในระดับที่สงู ขึ ้นไปอีก ซึง่ เรี ยกว่าเป็ นความต้ องการระดับ Wants
            ความต้ องการระดับ Wants

            ความต้ องการของมนุษย์ในระดับนี ้นัน้ หมายถึง ความต้ องการความที่ไม่ใช่สิ่งจำเป็ นขันพื้ ้นฐานเพื่อการ


ดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่สิ่งที่จะมาสนองความต้ องการในระดับนี ้ จะมีลกั ษณะเฉพาะเจาะจงมากขึ ้น ซึง่ เป็ นความ
ต้ องการที่เป็ นการ อยากได้ มากกว่า จำเป็ น เช่น ชื่อเสียง เงินทอง บ้ าน รถ สิ่งของฟุ่ มเฟื อยต่างๆ เป็ นต้ น ซึง่ จริ งๆ
แล้ วถ้ ามนุษย์ขาดสิ่งที่จะมาสนองความต้ องการระดับนี ้ก็ไม่เป็ นไรดังนัน้ มนุษย์บางกลุม่ จึงต้ องดิ ้นรนเพื่อตอบ
สนองความต้ องการระดับนี ้ ทำให้ ความต้ องการในระดับนี ้เปลี่ยนแปลงได้ บอ่ ยตามปั จจัยทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อ
บุคคลแต่ละคน
            ความต้ องการระดับ อุปสงค์ Demands

            ความต้ องการในระดับนี ้นัน้ หมายถึง ความต้ องการอีกระดับหนึง่ ซึง่ นอกจากจะประกอบด้ วยความ


ต้ องการแล้ วยังต้ องมีอำนาจซื ้อหนุนหลัง และเจ้ าของความต้ องการนันมี ้ ความเต็มใจที่จะจ่ายเงิน หรื อกล่าวอีนยั
หนึง่ ก็คือ ความต้ องการซื ้อ นัน่ เอง ซึง่ ไม่ได้ หมายถึงความต้ องการในระดับ Wants แต่เป็ นความต้ องการที่มีอำนาจ
ซื ้อ (Purchasing Power) กำกับอยูด่ ้ วย กล่าวคือ ผู้บริ โภคจะต้ องมีเงินเพียงพอ และต้ องมีความเต็มใจ (Ability
and Willingness to pay) ที่จะจ่ายซื ้อสินค้ าและบริ การนันๆได้้ ด้วย ซึง่ ความต้ องการในระดับอุปสงค์นี ้ จะก่อให้
เกิดการซื ้อขายสินค้ ากันขึ ้นได้ และความต้ องการในระดับอุปสงค์นี ้ เป็ นความต้ องการที่ นักเศรษฐศาสตร์ และ
นักการตลาดสนใจ
ประเภทของ อุปสงค์ (Demands) กับ การตลาด

            ความต้ องการหรื ออุปสงค์ (Demand) มีความหมายเฉพาะในวิชาเศรษฐศาสตร์ ซึง่ อาจให้ คำจำกัดความ


ได้ วา่ อุปสงค์สำหรับสินค้ า และบริการชนิดใดชนิดหนึง่ หมายถึงจำนวนต่างๆของสินค้ าและบริ การชนิดนันที ้ ่ผ้ ู
บริ โภคต้ องการซื ้อในระยะเวลาหนึง่ ณ ระดับราคาต่างๆกันของสินค้ าชนิดนัน้ หรื อ ณ ระดับรายได้ ตา่ งๆของผู้
บริ โภค ดังนัน้ ความต้ องการหรื ออุปสงค์จงึ เป็ นจุดเริ่ มต้ นของงานการตลาด และเศรษฐศาสตร์ มุง่ ที่จะวัดระดับ
ความต้ องการ (ระดับอุปสงค์) หรื อความหยืดหยุน่ ของอุปสงค์ ในขณะที่นกั การตลาดสนใจที่จะแยกประเภทของ
ความต้ องการ (อุปสงค์) โดยเห็นความสำคัญว่า ความต้ องการที่แฝงอยูใ่ นตัวคนอาจมีหลายประเภท และอาจ
เปลี่ยนแปลงได้ โดยใช้ เครื่ องมือทางการตลาด ซึง่ ทังหมดอาจแยกได้
้ เป็ นประเภทต่างๆ ดังนี ้

                        1) อุปสงค์ เป็ นลบ (Negative Demand)

                             หมายถึง ผู้บริโภคมีความสนใจสินค้ าเป็ นลบ เป็ นความต้ องการที่ไม่ใช่เพียงแต่ไม่มีความ


ต้ องการในสินค้ านันๆ ้ แต่ความต้ องการเป็ นลบหมายถึง ผู้บริ โภคยินยอมที่จะเสียเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการบริ โภค
สินค้ านัน้ ยกตัวอย่างเช่น คนทัว่ ไปกลัวการถูกฉีดยา ฉีดวัคซีน กลัวการไปหาหหมอฟั น หรื อ กลัวการบริ โภคอะไร
ก็ตามที่จะเกิดผลเสียต่อตนเอง จึงยอมจ่ายเงินเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการบริ โภคสินค้ าเหล่านัน้ เป็ นต้ น ดังนัน้ นักการ
ตลาดจะต้ องแยกแยะว่า เหตุใดตลาดจึงไม่นิยมสินค้ านัน้ และต้ องวางแผนการตลาดเพื่อเปลี่ยนแปลงความเชื่อ
หรื อทัศนคติของคนเหล่านัน้ โดยอาศัยวิธีทางการตลาด ซึง่ อาจอยูใ่ นรูปของการเปลี่ยนแปลงสินค้ า หรื อการส่ง
เสริ มการตลาด เช่น เปลี่ยนวัคซีนเป็ นแบบรับประทานแทนการฉีด หรื อชักชวนให้ คนไปตรวจฟั นจนเป็ นนิสยั
เป็ นต้ น

                        2) ไม่ มีอุปสงค์ (No Demand)

                              หมายถึง ผู้บริโภคหรื อกลุม่ ลูกค้ าเป้าหมาย ขาดความสนใจ ไม่สนใจในสินค้ า หรื อไม่เห็น
ความแตกต่างของสินค้ า ยกตัวอย่างเช่น เกษตรกรไม่สนใจวิธีการเพาะปลูกแบบใหม่ เพราะไม่ร้ ูวา่ ให้ ผลผลิตสูง
กว่าแบบเก่า และต้ นทุนลดลงกว่าเดิม หรื อ คนไข้ ป่วยด้ วยโรคปวดศรี ษะไม่ร้ ูวา่ มีการรักษาโรคปวดศรี ษะโดยใช้
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดังนันการตลาดต้
้ องพยายามหาทางที่จะแสดงผลประโยชน์ของสินค้ านัน้ ให้ สอดคล้ องกับ
ความต้ องการของกลุม่ เป้าหมาย โดยเน้ นการตลาดด้ านการสื่อสารไปยังกลุม่ เป้าหมายให้ เกิดความสนใจและ
ติดตามในรายละเอียด

                        3) อุปสงค์ แฝง (Latent Demand)

                             หมายถึง ความต้ องการของผู้บริ โภคกลุม่ หนึง่ ที่มีตอ่ สินค้ าชนิดหนึง่ แต่ไม่สามารถเข้ าถึงสินค้ า
หรื อบริ การบางอย่างนันได้ ้ ซึง่ มีผ้ บู ริโภคจำนวนมากที่ต้องการสินค้ าหรื อบริ การบางอย่างที่ไม่อาจตอบสนองได้
ด้ วยสินค้ าที่มีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น คนที่ไม่มีแฟนต้ องการบริ ษัทจัดหาคูท่ ี่ดี คนหัวล้ านต้ องการยาปลูกผมที่ให้ ผล
รวดเร็ ว หรื อคนที่เป็ นโรคเอดส์ต้องการหาหมอโดยไม่เปิ ดเผยข้ อมูล (คลีนิคนิรนาม) เป็ นต้ น ดังนัน้ งานของนักการ
ตลาดคือ หาทางผลิตสินค้ าใหม่เพื่อตอบสนองความต้ องการของผู้บริ โภค หรื อปรับปรุงแก้ ไขสินค้ าให้ เหมาะกับ
ความต้ องการและเผยแพร่ข้อมูลของสินค้ าด้ วยวิธีที่เหมาะสม

                        4) อุปสงค์ ถดถอย (Falling Demand)

                             หมายถึง ความต้ องการในสินค้ าและบริ การต่างๆนันลดลง


้ ซึง่ เป็ นปั ญหาที่ธุรกิจหลายๆแห่ง
ต้ องประสบกับอุปสงค์ของสินค้ าบางตัวหรื อหลายตัวลดต่ำลง เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึง่ ยกตัวอย่างเช่น สินค้ า
บางตัวเมื่อมีการออกสูต่ ลาดใหม่ๆ ก็จะมีความต้ องการสูง หรื อเป็ นไปตามแฟชัน่ แต่ระยะเวลาต่อมาคนเริ่ มลด
ความนิยมลงไป หรื อ ในปั จจุบนั นี ้คนเริ่มเข้ าวัดน้ อยลง จำนวนนักเรี ยนที่สมัครเข้ าเรี ยนในโรงเรี ยนลดน้ อยลง
เป็ นต้ น ดังนัน้ นักการตลาดต้ องวิเคราะห์ถึงสาเหตุแห่งความต้ องการที่ลดลงนัน้ และปรับปรุงแก้ ไขในลักษณะหา
ตลาดเป้าหมายใหม่ หรื อเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสินค้ า หรื อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ ดีขึ ้นกว่าเดิม

                        5) อุปสงค์ ไม่ สม่ำเสมอ (Irregular Demand)

                             หมายถึง ความต้ องการของผู้บริ โภคที่เปลี่ยนไปตามวันเวลา ทำให้ มีธุรกิจหลายอย่างที่ประสบ


กับปั ญหาอุปสงค์มีขนาดไม่สม่ำเสมอนี ้ ซึง่ ความต้ องการส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปตามเวลา เช่น วัน ชัว่ โมง หรื อ
ฤดูกาล ก่อให้ เกิดปั ญหารการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น ร้ านขายอาหารจะขายอาหารได้ มากในช่วง
เวลาตอนเที่ยง หรื อตอนเย็น การจราจรจะติดขัดในช่วงเวลาเร่งด่วน ที่พกั ชายทะเลจะมีคนมาจองมากในช่วงฤดู
ร้ อน หรื อวันสุดสัปดาห์ วันหยุดเทศการต่างๆ เป็ นต้ น ดังนันนั ้ กการตลาดจะต้ องหาทางเปลี่ยนแปลงขนาดของ
อุปสงค์ตามเวลาให้ มีความสม่ำเสมอมากขึ ้น โดยใช้ เครื่ องมือทางการตลาดที่เหมาะสม โดยอาจใช้ การส่งเสริ มการ
ขาย การประชาสัมพันธ์ เช่นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีคำขวัญที่วา่ "เที่ยวไทยไปได้ ทกุ เดือน" เป็ นต้ น

                        6) อุปสงค์ เต็ม (Full Demand)

                             หมายถึง ความต้ องการในสินค้ าและบริ การของผู้บริ โภคนัน้ เท่ากับกำลังการผลิตของธุรกิจ


พอดี ซึง่ เป็ นสิ่งที่นกั เศรษฐศาสตร์ และนักการตลาดต้ องการ หรื อเรี ยกอีกอย่างหนึง่ ว่าเป็ นดุลยภาพของทังผู้ ้ ผลิต
และผู้บริ โภค ดังนัน้ นักการตลาดจะต้ องหาทางรักษาระดับของอุปสงค์นี ้ให้ คงอยูต่ ลอดไป เนื่องจากอุปสงค์จะ
เปลี่ยนแปลงไปตามภาวะต่างๆ เช่น รสนิยมของผู้บริ โภค รายได้ หรื อ ภาวะการแข่งขัน เป็ นต้ น การรักษาระดับ
อุปสงค์นี ้อาจอยูใ่ นรูปของการรักษาคุณภาพของสินค้ าและบริ การ หรื อ ปรับปรุงสินค้ าและบริ การนันให้ ้ ทนั กับการ
เปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ ้น

                        7) อุปสงค์ ล้น (Overfull Demand)

                              หมายถึง ความต้ องการในสินค้ าและบริ การของผู้บริ โภค บางชนิดนันมี


้ มากเกินกว่ากำลังการ
ผลิตของธุรกิจ และเป็ นอยูต่ ลอดเวลา ซึง่ นักการตลาดควรหาทางลดอุปสงค์เหล่านี ้ลงอย่างชัว่ คราวหรื อเป็ นการ
ถาวร ซึง่ งานการตลาดในทำนองนี ้อาจจะทำได้ ไม่ยากนัก ยกตัวอย่างเช่น การขึ ้นราคาสินค้ าหรื อบริ การให้ มีราคา
ที่สงู ขึ ้น การลดการส่งเสริมการจำหน่าย แต่ควรที่จะเลือกลดอุปสงค์ของตลาดที่ทำกำไรน้ อย แต่อย่างไรก็ตาม
การลดอุปสงค์ไม่ใช่การทำลายอุปสงค์ แต่เป็ นการทำให้ ระดับของอุปสงค์นนมี ั ้ ขนาดที่พอเหมาะกับธุรกิจที่จะให้
บริ การได้ เท่านัน้

                        8) อุปสงค์ ไม่ พงึ ปรารถนา (Unwholesome Demand)

                              หมายถึง ความต้ องการสินค้ าและบริ การของผู้บริ โภคกลุม่ หนึง่ ซึง่ มีความต้ องการในสินค้ าที่
ไม่พงึ ปรารถนาของสังคมส่วนรวม ดังนันหากธุ ้ รกิจใดรับผิดชอบอยู่ จะไม่ได้ รับการอนุญาตให้ สง่ เสริ มการบริ โภค
ยกตัวอย่างเช่น บุหรี่ อาวุธ เป็ นต้ น ดังนันจึ ้ งเป็ นหน้ าที่ของนักการตลาดที่ควรจะส่งเสริ มให้ ผ้ บู ริ โภคลด หรื อยกเลิก
การบริ โภคสินค้ าเหล่านี ้ โดยการใช้ เครื่ องมือทางการตลาดต่างๆ เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์กระจายข่าว
ไปยังกลุม่ ผู้บริ โภค ในขณะเดียวกันก็ควรหาทางขยายธุกิจไปยังกิจการที่ไม่มีปัญหาหรื อส่งเสริ มสังคมในทางที่ดี
ขึ ้น
ความสำคัญของเศรษฐศาสตร์ และการตลาดต่ อระบบเศรษฐกิจ

                  เศรษฐศาสตร์ และการตลาด มีสว่ นสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ในภาพรวมของระบบ


เศรษฐกิจซึง่ ประกอบด้ วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การผลิต การกระจายสินค้ าและการบริ โภค ดังนันการตลาดมี ้ บทบาท
สำคัญในแง่ของการกระจายสินค้ า โดยทำให้ ผ้ บู ริ โภคได้ รับอรรถประโยชน์สงู ขึ ้นในแง่ของผลิตภัณฑ์ สถานที่
จำหน่าย เวลา และขนาดของสินค้ าที่จำหน่าย นักเศรษฐศาสตร์ และนักการตลาดพยายามที่จะทำความเข้ าใจ
ค้ นหา วิจยั เกี่ยวกับความของการและพฤติกรรมของผู้บริ โภค เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงสินค้ า ทำให้ ผ้ บู ริ โภคมี
ความพอใจมากขึ ้นกว่าเดิม และการแข่งขันในเชิงการตลาดนันทำให้ ้ ผ้ บู ริ โภคได้ บริ โภคสินค้ าที่ถกู ลงและคุณภาพ
ดีขึ ้น และนอกจากจะช่วยให้ ระบบเศรษฐกิจเจริ ญก้ าวหน้ าแล้ วนัน้ กิจกรรมทางการตลาดยังเป็ นการสร้ างงาน
จำนวนมากให้ เกิดขึ ้นในกลุม่ ประชากรของประเทศ และช่วยลดปั ญหาการว่างงานที่จะทำให้ ระบบเศรษฐกิจชะงัก
งันอีกด้ วย
                  ในส่วนของความหมายในแง่ที่เป็ นศาสตร์ นนั ้ เศรษฐศาสตร์ และการตลาด เป็ นศาสตร์ ที่ศกึ ษาถึง
พฤติกรรมของมนุษย์ในทางเศรษฐกิจ โดยเศรษฐศาสตร์ ได้ ให้ ความคิดพื ้นฐานแก่การตลาดในหลายเรื่ อง เช่น เรื่ อง
ของความต้ องการของคนที่มีอยูอ่ ย่างไม่จำกัด เมื่อเทียบกับทรัพยากรที่มีอยูใ่ นโลก ปั ญหาพื ้นฐานทางเศรษฐกิจที่
ว่า จะผลิตอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพื่อใคร ซึง่ ความคิดนี ้นักการตลาดได้ นำมาเป็ นข้ อคิดในการผลิตสินค้ า
เพียงแต่เรี ยงลำดับความคิดใหม่วา่ จะผลิตสินค้ าเพื่อใคร และใครเป็ นผู้บริ โภค แล้ วจึงผลิตสินค้ าให้ สอดคล้ องกับ
ความต้ องการของผู้บริโภค ส่วนในด้ านเศรษฐศาสตร์ นนได้ ั ้ อธิบายการบริ โภคทังในด้้ านจุลภาค และมหภาค ใน
ระดับเศรษฐศาสตร์ จลุ ภาคนัน้ การบริโภคจะขึ ้นอยูก่ บั อรรถประโยชน์ หรื อความพอใจ โดยการบริ โภคสินค้ าเพิ่ม
ขึ ้นแต่ละหน่วยจะทำให้ ความพอใจลดลง ส่วนอีกแนวคิดหนึง่ คือ ความพอใจไม่สามารถวัดออกมาเป็ นหน่วยได้
แต่ผ้ บู ริ โภคก็สามารถแสวงหาความพอใจสูงสุดได้ จากการบริ โภคภายใต้ งบประมาณที่มีจำกัดอยูจ่ ำนวนหนึง่ ถ้ า
รายได้ เพิ่มหรื อราคาสินค้ าลดลง ผู้บริโภคก็จะได้ รับความพอใจมากขึ ้น ส่วนแนวคิดในระดับมหภาค การบริ โภค
ของประเทศจะแปรไปในทางเดียวกับรายได้ ประชาชาติ แนวคิดดังกล่าวให้ ประโยชน์แก่การตลาดคือ ทราบว่าการ
บริ โภคของคนจะแปรเปลี่ยนไปตามรายได้ ราคาสินค้ า และลักษณะสินค้ า เป็ นต้ น นอกจากนี ้ เศรษฐศาสตร์ ยงั ให้
แนวคิดเกี่ยวกับการคาดคะเนอุปสงค์ ทังในปั ้ จจุบนั และอนาคต เพื่อช่วยให้ ผ้ ผู ลิตตัดสินใจว่า การลงทุนหรื อการ
ขยายกิจการนันคุ ้ ้ มค่าเพียงใดหรื อไม่ ลักษณะของตลาดมีผ้ ขู ายกี่คน สภาพของการแข่งขันเป็ นอย่างไร

                  นอกจากนี ้ เศรษฐศาสตร์ ยงั ให้ แนวคิดเกี่ยวกับการคาดคะเนอุปสงค์ ทังในปั ้ จจุบนั และอนาคต เพื่อ


ช่วยให้ ผ้ ผู ลิตตัดสินใจว่า การลงทุนหรื อการขยายกิจการนันคุ ้ ้ มค่าเพียงใดหรื อไม่ ลักษณะของตลาดมีผ้ ขู ายกี่คน
สภาพของการแข่งขันเป็ นอย่างไร อำนาจในการกำหนดราคา หรื อปริ มาณขายมีมากน้ อยเพียงใด การคำนวณ
ต้ นทุนเพื่อตังราคาขาย
้ หรื อการขยายกิจการโดยดูจาก ต้ นทุนส่วนเพิ่ม และรายรับส่วนเพิ่ม ซึง่ แนวความคิด
ทังหมดนี
้ ้ทำให้ นกั การตลาดได้ ความคิดพื ้นฐาน เพื่อวางแผนและตัดสินใจในการตลาดต่อไป

ที่ มา : เว็บไซต์ กลุ่มงานดุลยภาพการเงิน การออม และการลงทุน

สำนักนโยบายการออมและการลงทุน

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

http://www.fpo.go.th/fseg/Index.php?body=./Source/ECO/ECOIndex.php&Language=Thai

You might also like