Professional Documents
Culture Documents
อุทิศ ศิริวรรณ, 2536 - เปรตในพระไตรปิฎก
อุทิศ ศิริวรรณ, 2536 - เปรตในพระไตรปิฎก
วิท ยานิพ นธ์น ี้เ ป็น ส่ว นหนึ่ง ของการศึก ษาตามหลัก สูต รปริญ ญ าอัก ษรศาสตรมหาบัณ ฑ ิต
ภาควิช าภาษาตะวัน ออก
บัณ ฑ ิต วิท ยาลัย จุฬ าลงกรณ ์ม ห าวิท ยาลัย
พ.ศ. ' ๒ ๖
ISBN 974-582-338-4
ลิข สิฑ ธึ๋ข องบัณ ฑิต วิท ยาลัย จุฬ าลงกรณ ์ม ห าวิท ยาลัย
01913 ’
i ไ ' า ไ . ' ม ’ใ า ไ
THE PETA IN BUDDHIST CANONICAL TEXTS
Graduate School
Chulalongkorn University
1993
ISBN 974-582-338-4
หัว ข้อ วิท ยานิพ นธ์ เปรตในพระไตรปิฎ ก
โดย พระมหา อุท ิศ ดีร ิว รรณ
ภาควิช า ภาษาตะวัน ออก
อาจารย์ท ี่ป รึก ษา รองศาส ตราจารย์ ดร. ศักดิ’ศรี แย้ม นัด ดา
ผู้ช ่ว ยศาส ตราจารย์ ฐานิส ร์ ชาครัต พงศ์
บ ัณ ฑ ิต วิท ยาลัย จุฬ าลงกรณ ์ม ห าวิท ยาลัย อนุม ัต ิใ ห้น ับ วิท ยานิพ นธ์ฉ บับ นี้
เป็น ส่ว นหนึ่ง ของการสืก ษาตามหลัก สูต รปริญ ญามหาบัณ ฑิต
ว ั/ โ i ประธานกรรมการ
; ■
(ศ าส■ต ราจารยวิ
■ ■ ■ ■ ■ ■ t
ส ุท ธ บุษ ยกุล ) r
'] ............
............ (fÿfypV?.. . กรรมการ
(รองศาสตราจารย์ ดร. ศัก ดิ'ศรี แย้ม นัด ดา)
.................... < = พ ' . กรรมการ
(ผู้ช ่ว ยศาส ต ราจารย์ฐ าน ิส ร์ ชาครัต พงศ์)
..................? y ะ โ . . . .< 7 ^ 7 1 ^ ^ กรรมการ
(ผู้ช ่ว ยศาส ตราจารย์ ดร. ปราณี ฬาพ.านิ'ช)
□ ร ิ. . . กรรมการ
(อ าจารย์ ดร. ประพจ่'น อัศ ววิร ุฬ หการ)
1 . I l เ i
/
ภ า ค ว ิช า ว ิ™ ^ ™ . อ. ก .. . . . . ล า ย ม ิอ ช อ น ิส ิต . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . :jrrrr^....
ส า ข า ว ิช า ....ภาษา!ทลิ-ลันสกอุ»ว. ล า ย ม ิอ ช อ อ า จ า ร ย ์' แ ป ร ก พ า น
ป ก า ร ศ ก ษ ใ .2535........................ ล า ย ม ิอ ช อ อ า จ า ร ย ์ท ี่ป ร ก พ า ร ่ว ม Ç r ^ ร ึ. . . . . ^ ว ิ. ',
# # c 410807 : MAJOR PALI AND SANSKRIT
KEY WORD: THE PETA / BUDDHIST / CANONICAL TEXTS
PHRAMAHA UTIT SIRIVUN ะ THE PETA IN BUDDHIST CANONICAL TEXTS. THESIS ADVISOR ะ
ASSO. PROF. SAKSRI YAMNADDA, P h.D ., ASSIST. PROF. THANIT CHAXARATAPONGSE
83 pp. ISBN 974-582-338-4
It is the purpose of the present thesis to study the meaning of Prêta in its
development in the Theravada Buddhist Canon, its Commentaries and the influence of the
The research reveals that Prêta has two meanings : a dead man and a man who is
gone to the Preta-realm, an existence where the dead reaps the result of their bad deeds,
This Preta-realm is one of the five realms of beings in their cycle of rebirths,
namely, the realm of gods, of man, of prêta, of animals and of hell denizens.
the denizen of the Preta-realm. As a result, the Prêta in sub-commentaries and in Thai
deformed appearance.
This Prêta belief has direct influence on Thai beliefs and customs, as seen in
the funeral ceremony, in the layman's offering to the Buddhist Order, the monks' acceptance
of charity, water-throwing ceremony (Mesasamkranti), and Thai Sarada Festival, for instance.
generosity and the close ties existing within Thai families. It also refects the close
relation between Buddhist Order and Thai laymen from a longtime past.
/ v /
ภาค'วิชา. J?.ไ1,.]!’^ 3.?ท..... ลายมือ ชื่อ นิส ิต .j f e z ? ... .............. J ...........
สาขาวิช า ฟ ้ ไ ! . ร ? ลายมือ ชือ อาจารย์ท ปรึก ษา.......
ป ีก า ร ส ืก ษ า ............... ลายมือ ชื่อ อาจารย์ท ี่ป รึก ษาร่ว ม..c=^ - ' ...y .! ‘ร .วิ:;zzrrT
กิต ติก รรมประกาศ
บฑที่
๑. บทนำ.............................................................................................................................................. ๑
ความเป็น มาของปัญ หา.................................................................................................. ๑
วัต ถุป ระสงคํใ นการวิจ ัย .................................................................................................. ๑
ขอบเขตของการวิจ ัย ........................................................................................................ ๒
วิธ ีด ำเน ิน การวิจ ัย ............................................................................................................. ๒
ประโยชน้ท ี่ค าดว่า จะได้ร ับ จากการวิจ ัย ...................................................................... ๒
๒. ความหมายของคำว่า เปรตในพระไตรปิฎ ก อรรถกถา ฎีก า
และวรรณกรรมพุท ธศาสนาที่ร จนาในประเทศไทย........................................................ ๓
วิเ คราะห ์ค วามห มายตามรูป ศัพ ท ์............................................................................... ๓
วิเ คราะห์ค วามหมายของคำว่า เปรตที่ป รากฎในพระไตรปิฎ ก อรรถกถา ฎีก า
และวรรณกรรมพุท ธศาสนาที่ร จนาในประเทศไทย................................................ ๕
ก. พระไตรปิฎ ก..................................................................................................... ๕
ข. อรรถกถา........................................................................................................... ๗
ค. ฎ ีก า..................................................................................................................... ๘
ซ
หนา
ง. วรรณกรรมพุท ธศาสนาที่ร จนาในประเทศไทย...................................... ๑๒
๓. แนวความคิด และความเชื่อ เรื่อ งเปรตในพระไตรปิฎ ก และอรรถกถา......................... ๑๘
ความเป็น มาของแนวความคิด เรื่อ งเปรต.................................................................. ๑๘
ก. แนวคิด ว่า “ เปรต” คือ คนตายผู้ล ่ว งลับ จากโลกนี๋ไ ป.......................... ๑๘
ข. แนวคิด ว่า “ เปรต” คือ คนตายผู้ล ่ว งลับ จากโลกนี้
ไปเกิด ในเปรตวิส ัย .......................................................................................... ๒๐
๑. แนวคิด เรื่อ งโลกหน้า ............................................................................... ๒๕'
๒. แนวคิด ทางคืล ธรรม............................................................................... ๒๖
๓. แนวคิด เรื่อ งทำบุญ ถวายทานแก่พ ระสงฆ์
เพื่อ อุท ิศ ผลบุญ ไปให้แ ก,ผู้ล ่ว งลับ ......................................................... ๒๘
ความเชื่อ เรื่อ งเปรต.................................................................................................................. ๓๐
ก. ความเชื่อ ว่า “ เปรต” คือ ผู้ต ายไปเกิด ในโลกหน้า ที่เรีย กว่า
“ เปรตวิส ัย ”........................................................................................................ ๓๑
ข. ความเชื่อ ว่า “ เปรต” คือ ผู้ร ับ ผลกรรมชั่ว อัน เกิด จาก
ประพฤติผ ิด คืล ธรรม..................................................................................... ๓๓
ค. ความเชื่อ ว่า “ เปรต” คือ ผู้ท ี่ม นุษ ย์พ ึง ทำทาน ล่ง ไปให้. ...................... ๓๖
สาเหตุท ี,เกิด เป็น เปรต.............................................................................................................. ๔๐
ก. บ าป ท างก าย..................................................................................................... ๔๗
ข. บ าป ท างวาจา..................................................................................................... ๔๑
ค. บาปทางใจ........................................................................................................... ๔๒
๔. อิท ธิพ ล และความเชื่อ เรื่อ งเปรตที่ม ีต ่อ พิธ ีก รรม และประเพณีไ ทย.......................... ๔๖
พิธ ีท ำบุญ อุท ิศ ส่ว นกุศ ลให้ผ ู้ด าย.................................................................................. ๔๗
คติน ิย มว่า ด้ว ยการกรวดน ํ้า ............................................................................................ ๖๐
ฌ
หน้า
พิธ ีอ นุโ มทนา..................................................................................................................... ๖๕
ประเพณีส งกรานต์........................................................................................................... ๖๗
ประเพณีส ารทไทย........................................................................................................... ๖ ๙
๕. สรุป และข้อ เสนอแนะ........................................................................................................... ๗๓
สรุป .................................................................................................. ๗๓
ข้อ เสนอแนะ.................................................................................................................... ๗๔
รายก ารอ้า งอิง .......................................................................................................................... ๗๔
ประว้ต ผู้เขีย น............................................................................................................................. ๘๓
ความเป็นมาของปัญหา
ว ัต ถ ุป ร ะ ส ง ค ํใ น ก า ร ว ิจ ัย
๑. เพื่อสืกษาความหมายของคำว่าเปรตในแด,ละยุค ตั้งแต่ความหมายแรกที่
๒
ปรากฏในพระไตรปิฎกตลอดจนถึงความหมายที่ปรากฏในคัมภีร์อื่น ๆ และวรรณกรรม
พุทธศาสนาที่รจนาในประเทศไทย เพื่อจะได้เข้าใจความแตกต่างหรือคล้ายคลึงของคำว่า
เปรตในสมัยต่าง ๆ อย่างแจ่มชัด
๒. เพื่อศึกษาแนวความคิด และความเชื่อเรื่องเปรตที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
และอรรถกถาเถรวาท
รา. เพื่อศึกษาอิทธิพลและความเชื่อเรื่องเปรตที่มีต่อพิธีกรรมและประเพณีไทย
ขอบเขตของการวิจัย
วิธีดำเนินการวิจัย
๑. รวบรวมข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิ และทุติยภูมิใหได้ครบถ้วนตามที่ด้องการ
๒. นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาสาระในการนำไปวิจัย
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย
ผลจากการศึกษาจะทำให้!ด้ความผู้หม่ที่ชัดเจนในเรื่องความหมาย แนวความคิด
และอิทธิพลความเชื่อเรื่องเปรตที,ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ซึ่งจะเป็นประโยชน์
อย่างยิ่งแก,ผู้สนใจพระพุทธศาสนา พิธีกรรม และประเพณีไทย
Gfl
บทที่ ๒
วิเคราะห์ความหมายตามรปศัพท์
การอธิบายภาษา แด่เป็นการแปลมุ่งอธิบายข้อธรรมะเพื่อให็ได้ความหมายตรงกับเบื้อหา
ที่ด้องการ ที่เรียกว่า สัฑฑนยะเทียม (Pseudo-etymological Analysis)
ก. พระ'1ตรู่ปีกก
ถึงแม้ว่าเรื่องราวของ “เปรด” จะมีปรากฏในพระไตรปิฎกหลายแห่ง แด่เมื่อ
ทำการตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดแล้ว ได้พบว่า ความหมายของคำว่า “เปรต” มี ๒
ความหมาย
ความหมายที่หนึ่ง คำว่า “เปรต” หมายถึง คนตายผู้ล่วงลับจากโลกนี๋ใป
ความหมายที่สอง หมายถึง คนตายผู้ล่วงลับจากโลกนี๋ไปเกิดในคติด่าง ๆ ตามความ
เชื่อทางพุทธศาสนา แด่ส่วนใหญ่แล้วจะไปเกิดในเปรตวิสัยทั้งสิ้น
ความหมายของคำว่า “เปรต” ที่หมายถึงคนตายนั้น พบในพระไตรปิฎก
หลายแห่ง ดังจะเห็นได้จากข้อความต่อไปนี้ “อฑฺฑสา โข ภิกฺขเว วิปสฺสี กุมาโร เปตํ
กาลกตํ ทีสฺวา สารถึ อามนฺเตสิ กึ ปนายํ สมฺม สารกิ กาลกโต นามาติ” (สุยามรฎรสุส
เตปิฎกํ เล่มที่ ๑๐, ๒๕'๒๕: ๒๙) แปลว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมารได้ทอด
พระเนตรคนตายไปแล้ว ได้ตรัสเรียกนายสารถีมารับสั่งถามว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือ
เรียกว่าคนตาย” (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่มที่ ๑๐, ๒๕'๓๐: ๒๙)
ค. ภีก า
ฎีก าคือ หนัง สือ อธิบ ายพระไตรปิฎ กหรือ อรรถกถาให้เ ข้า ใจชัด เจนยิ่ง ขึ้น เพราะ
หลัก ฐานชั้น อรรถกถาเองยัง มีค ำห ลายคำที่อ ธิบ าย “พระไดรปีฎ ก” ไม่ช ัด เจน หรือ ยากที่
จะเข้า ,ไจ จึง เกิด มีว รรณ คดีบ าลีท ี่เ รีย กว่า “ฎ ีก า” เพ ื่อ อธิบ ายความ “พระไตรปิฎ ก” และ
“ อรรถกถา” ยุค ของฎีก าประมาณ กัน ว่า เริ่ม ด้น ราวพุท ธศตวรรษที่ ๑๗
ใน ยุค ฎ ีก าน ี้ ความหมายของคำว่า “ เปรด” ที่ห มายถึง คนดาย มีก ารดี
ความวิพ ากษ์ว ิจ ารณ ์น ้อ ยมาก จากการคืก ษาข้อ มูล ในวรรณคดีบ าลีช ั้น ฎีก าทั้ง หมดได้พ บ
หลัก ฐานเพีย ง ๒ แห่ง เท่า นั้น ดัง ข้อ ความว่า “ เปตาติ วิค ตชีว ิต า มดา [บทว่า เปตา แปลว่า
ผู้!รัช ีว ิต คือ ผู้ต าย]” (สํย ุต ฺต ฎีก า ปรมภาค ๒๕๓๖: ๑๖๘) และข้อ ความว่า “ เปตาดี
เปจฺจ ภาว0 คตา. เต ปน ยสฺม า อิธ กดกาลกิร ิย า กาเลน กตชีว ิต ุจ ฺเฉทา โหนฺต ิ ดสุม า
วุตฺต’ กาลกดา วุจ ฺจ นฺด ีต ิ มตาติ อดโถ [เหล่า สัต ว์ผ ู้! ปเกิด ในโลกหน้า ชื่อ ว่า เปรต อนึ่ง
เพ ราะเห ตุท ี่พ วกเขาเป็น ผู้ถ ึง แก,กรรมแล้ว คือ เลีย ชีว ิต ตามระยะเวลา เพราะฉะนั้น พระ
อรรถกถาจารย์จ ึง กล่า วคำว่า กาลกตา วุจ ฺจ นติ แปลว่า ตายแล้ว .]” (องฺค ุต ฺด รฎีก า
ท ุต ิย ภ าค ๒๕๓๖: ๔ ๙๑) จากข้อ ความที่อ ้า งมานี้ จะเห็น ได้ว ่า ความหมายของคำว่า
“ เปต” ที่แ ปลว่า คนตาย น ำมาตีค วามเพ ีย ง ๒ ครั้ง เท่า นั้น
ส่ว นความหมายของคำว่า “ เปรต” ที่ห มายถึง ผู้ต ายไปเกิด ในแดนเปรต มี
หลัก ฐานแสดงให้เ ห็น ว่า ใน ยุค ฎ ีก าน ี้ ความคิด และความเชื่อ ว่า เป รตคือ ชีว ิต ให ม่ห ลัง
ความตายผู้อ ยูใ นแดนที่เ รีย กว่า “ เปรตวิส ัย ” อัน เป็น แดน พ ิเ ศษแตกต่า งจากมน ุษ ย์ ได้
รับ การยอมรับ กัน โดยกว้า งขวาง ดัง จะเห็น ได้จ ากคำอธิบ ายในชั้น ฎีก าที่อ ธิบ ายว่า “ เปรต”
หมายถึง ผู้ท ี่ถ ือ กำเนิด เกิด เป็น เปรต ด้ง ข้อ ความว่า “ เปจุจ ภวํ คตาติ เปตูป ปตฺด ีว เสน
นิพ ฺพ ตฺต ึ อุป คตา [สองบทว่า เปจฺจ ภวํ คตา แปลว่า ผู้เ ข้า ถึง ความบัง เกิด คือ เกิด เป็น
เปรต]” (องฺค ุด ฺด รฎีก า ตติย ภาค, ๒๕๓๖: ๕๒๕) จะเห็น ว่า ท่า นได้อ ธิบ ายว่า การเกิด
ในโลกหน้า นั้น หมายความว่า ตายไปเกิด เป็น เปรต นอกจากนี้แ ล้ว ยัง พบการอธิบ ายคำ
“ เปรต” ไว้ว ่า หมายถึง เปรตผู้ม ีฤ ฑธี๋ม าก แสดงให้เห็น ว่า คำว่า “ เปรต” เริ่ม เป็น ที่เข้า ใจ
กัน ว่า ห มายถึง อมน ุษ ย์จ ำพ วกห น ึ่ง ท ี่ม ีภ พ ภูม ิแ ตกต่า งจากมน ุษ ย์ ดัง ข้อ ความว่า “ เปตาติ
เปตมหิท ฺธ ิก า [เปรตผู้ม ีฤ ทธึ๋ม ากทั้ง หลาย ชื่อ ว่า เปตะ]” (ปาถิก วคฺค ฎีก า, ๒๕๓๖: ๓๖๒)
จากท ี่ก ล่า วมาท ั้ง ห มดน ี้ แสดงให้เห็น ชัด เจนว่า ความห มายของคำว่า “ เปรต”
เท่า ที่ป รากฏในพระไตรปิฎ ก ในระยะแรกมีค วามหมาย ๒ ความห มาย คือ เปรต หมายถึง
คนดาย และ หมายถึง คนตายผู้! ปเกิด ในเปรตวิส ัย ต่อ มาในยุค อรรถกถาราวพุท ธศตวรรษที่
๑๐ ความหมายของคำว่า เปรตก็ย ัง คงมี ๒ ความหมายเซ่น กัน และในยุค สุด ท้า ยคือ ยุค
ฎีก าราวพุท ธศตวรรษที, ๑๗ ความหมายของคำว่า “ เปรต” ก็ม ีป รากฏเพีย ง ๒ ความ
๑๐
หรือ เปตวัต ถุ อาจมิใ ซ่ เปรตที่ไ ปเกิด ในเปรตวิส ัย ทั้ง หมด ข้อ นี้เราอาจสัน นิษ ฐานได้ว ่า
เป็น การกล่า วถึง เรื่อ งของเปรตที่พ บเห็น โดยมาก ด้ง จะเห็น ได้จ ากเปรตบางประเภทที่ไ ม่
ใช่เ ปรตในเปรตวิส ัย เสมอไป ทั้ง ที,ปรากฎใน วิน ิต วัต ถุใ น มห าวิภ ัง ค์ และเปตวัต ถุ เช่น
เรื่อ งพระเห็น คนตายจึง พิจ ารณ าหยิบ เอาผ้า บนเรือ นร่า งคนดายเป็น ผ้า บัง สุก ุล แต่ร ่า งนั้น
ยัง ม ีเ ป รตส ิง อยู่ด ้ว ยความ เส ีย ดายผ้า มัน จึง ขอร้อ งพระไมไห้เอาผ้า ไป แต่พ ระเห็น ว่า ร่า ง
นั้น เป็น ซากศพคนตายแล้ว จึง ไม่ค ืน ให้ ร่า งเปรตนั้น จึง ลุก ขึ้น วิ่ง ไล่พ ระตามไปจนถึง วิห าร
เรื่อ งนี้ป รากฎในวิน ิต วัต ถุใ นมหาวิภ ัง ค์ จะเห็น ว่า เปรตตนนี้น ่า จะเป็น “ ผ ี” มากกว่า เป็น
คนตายธรรมดา หรือ เปรตในเปรตวิส ัย หรือ อย่า งเช่น เวม'านิก เปรต เปรตที่เ ป็น เทวดา
และเปรตในร่า งเดีย วกัน ซึ่ง ก็ม ีป รากฎในเปดวัต ถุ นี่ก ็ม ิใ ช่เปรตในเปรตวิส ัย เลยทีเ ดีย ว
ตัง นั้น ผูว ิจ ัย จึง เห็น ว่า ความหมายของคำว่า เปรตในระยะแรกที่ป รากฏใบพระ
ไตรปิฎ กนั้น หมายถึง คนตายผู้ล ่ว งสับ จากโลกไปแล้ว ต่อ ม าความห มายจึง เป ลี่ย น เป ็น
คนตายผู้! ปเกิด ในคติต ่า ง ๆ ซึ่ง อาจจะเป็น มนุษ ย์ เทวดา ดิร ัจ ฉาน เปรต หรือ นรก แต่
เรื่อ งของเปรตที่ต ายไปเกิด ในเปรตวิส ัย นั้น มีม ากกว่า ไปเกิด ในกำเนิด อื่น ๆ พระธรรมลัง
คาห กาจารย์ท ่า น จึง จัด เรื่อ งของเป รตขึ้น เป ็น ตอน สำคัญ ตอน ห น ึ่ง เรีย กว่า เปตวัต ถุ ซึ่ง
แสดงให้เห็น เรื่อ งของเปรตทั้ง หมด
สำหรับ ความหมายว่า เปรตหมายถึง ผู้ด ายไปเกิด ในเปรตวิส ัย นี้ ผู้ว ิจ ัย เห็น 'ว่า
คงเป็น การมุ่ง แสดงให้เห็น ความ สำค ัญ ของพระสง ฆ8ในการเป็น เนี้อ นา บ ุญ ที่คนทำบ ุญ ทำทาน
แล้ว สามารถนำผลนั้น ไปให้แ ก'เปรตได้ ในตอนนี้ผ ูว ิจ ัย เห็น ว่า ความหมายดั้ง เติม แท้จ ริง
ของเปรตนั้น ควรมีเ พีย งประการเดีย วคือ คนผู้ล ่ว งสัน ไปแล้ว ส่ว นความหมายว่า คนล่ว ง
สับ ไปเกิด ในเปรตวิส ัย เป็น ความห มายที่พ ระธรรมลัง คาห กาจารย์แ ละพ ระอรรถกถาจารย์
น ำม าอ ธ ิบ าย ข ย าย ค ว าม เพ ื่อ ผ ล ท างธ ร ร ม ะ แล ะเพ ื่อ ส ะท ้อ น ให ้เ ห ็น ถึง ก ฎเก ณ ฑ ์ท าง
คืล ธรรมในการสั่ง สอนประชาชนให้เ ห็น ถึง ผลดีผ ลชั่ว ของกรรมโดยยกตัว อย่า งของผู้ท ำ
กรรมชั่ว ต่า ง ๆ แล้ว จะต้อ งตายไป เกิด เป ็น เป รตจน ท ำให ้เ กิด ภาพ พ จน ์ว ่า เปรต คือ
อมนุษ ย์ห รือ ผีจ ำพวกหนึ่ง ที่น ่า เกลีย ดน่า กลัว น่า ขยะแขยงมีค วามเป็น อยู่อ ด ๆ อยาก ๆ
หิว โหยเร่ร ่อ นไม,มีท ี่อ ยู่แ น่น อน นอกจากนี้ผ ูว ิจ ัย ยัง เห ็น ว่า การท ี่ค วามห มายของคำว่า
เปรดหมายถึง ผีน ั้น น่า จะเกิด จากอิท ธิพ ลของเรื่อ งเปรตในวิน ิต วัต ถุใ นมหาวิภ ัง ค์ส ัก ขณสัง ยุต ต์
และเปตวัต ถุใ นพระไตรปิฎ กที่ส ่ง ผลถึง วรรณคดีบ าลีร ุ่น หลัง ทั้ง อรรถกถา และฎีก า จึงทำ
ให้ค วามหมายของคำว่า เปรดที่ห มายถึง ผีเ ป็น ที่เ ข้า ใจกัน โดยกว้า งขวาง และรับ รู้ก ัน ทั้ว
ไปมากกว่า จะเข้า ใจว่า “ เปรต” ห มายถึง คน ดายเท ่า น ั้น แต่ถ ึง กระนั้น ขอให้ท ราบว่า
ความหมายของคำว่า “ เปรต” ที่ป รากฏในพระไตรปิฎ กนั้น อาจแบ่ง ออกเป็น ได้๒ ความหมาย
คือ ห มายถึง คนดาย และ หมายถึง คนตายผู้เ,ปเกิด ในเปรตวิส ัย
ข้อ ท ี่บ ่า วิเ คราะห ์อ ีก ป ระการห น ึ่ง คือ ค วาม ห ม ายข อ งค ำว่า “ เปรต” ที่
ปรากฏในวิน ีต วัต ถุใ นมหาวิภ ัง ค์ สัก ขณสัง ยุด ด์ และเปตวัต ถุน ั้น มีอ ิท ธิพ ลต่อ วรรณ คดี
บาลีใ นรุ่น หลัง มาก ทั้ง ในยุค อรรถกถา ฎีก า หรือ แม้ก ระทั้ง วรรณคดีร ่ว มสมัย อรรถกถา
เช่น มิล ิน ทปัญ หา ก็ย ัง มีก ารอธิบ ายความหมายของคำ “ เปรต” ในทำนองเดีย วกับ เปต
วัต ถุ แสดงให้เห็น ว่า ความหมายของ “ เปรต” ที่ห มายถึง ผู้ต ายไปเกิด ในเปรตวิส ัย นั้น
เป็น สิง ที่ไ ด้ร ับ การยอมรับ ในสมัย พุท ธกาลแล้ว ประเด็น ปัญ หาที่เ กิด แนวคิด และความ
เชื่อ ว่า เปรตคือ คนตายไปเกิด ในเปรตวิส ัย นั้น ผูว ิจ ัย จะคืก ษาวิเคราะห์I นบฑที่ ๓
. . .ผู้ท ี่โ ดยปกติไ ม่ช อบให้ท านตามสติต ามกำลัง มีใ จริษ ยา ตระหนี่ ย่อ ม
บัง เกิด เป็น เปรต (๒) เพราะถูก ความโลภครอบงำจิต เสวยความทุก ข์เป็น อัน
มาก จึง เป็น ผู้พ ่า ยแพ้เ กิด เป็น เปรตในที่ส ุด («ท) คนทั้ง หลายที่ค ำนึง ถึง
ท รัพ ย์ท ั้ง ห ล าย ย่อ มไปล่ค วามไร้ท รัพ ย์ใ นทุก สภาพ ทั้ง ในตอนต้น ตอน
กลางและตอนปลาย ทำไมเขาแสวงหาแด่ท รัพ ย์ (๔) ผู้ถ ูก การกระทำของ
ตนขวางทั้น เพ ีย รพ ยายามอยู่เ พ ื่อ น ํ้า และอาห าร รอนแรมไปดามที่ด ่า ง ๆ
เขาเรีย กว่า เปรต (๔)
(ปริท ัศ น์ ศรีร ัต นาลัย , ผู้แ ปล, ๒๔๒๓)
ประเทศไทยแล้ว ส่ว นใหญ ่ท ่า นจะนำมาใช้เ พีย งความหมายเดีย วเท่า นั้น ด้ง จะเห็น ได้จ าก
คำอธิบ ายเกี่ย วกับ “ เปรต” ในวรรณกรรมสมัย อยุธ ยาคือ คัม ภีร ์โ ลกสัณ ฐานโชตรณคัณ ฐี
มีช ้อ ความเกี่ย วกับ “ เปรต” ด้ง นี้ว ่า “ .. .ตณ;หาย มจฺเฉเรน โทเสน เปจฺจ โลเก เปตา ภวนฺต ิ
เต จ เปตา หีน ปุณ ฺเณน หีน โภคา โหน.ติ” (อ้างถึงในทองคำ สุธ รรม, ๒๕ฅฅ) แปลว่า
“ . . . เปรตทั้ง หลายย่อ มมีใ นโลกหน้า เพราะตัณ หา ความตระหนี่แ ละโทสะ และเปรต
เหล่า นั้น เป็น ผู้ล ิ้น โภคทรัพ ย์เพราะลิ้น บุญ ” (ทองคำ สุธ รรม, ผู้แ ปล, ๒๕๓รา) แสดงให้
เห็น ว่า เปรตในโลกหน้า ตามความหมายของท่า นผู้ป ระพัน ธ์เกิด จากสาเหตุส ำคัญ ๓ ประการ
คือ ตัณ หา ความตระหนี่ และโทสะ กิเลสทั้ง ๓ อย่า งนี้เป็น สาเหตุท ี่ท ำให้ต ายไปเกิด ใน
เปรตวิส ัย ซึ่ง จะได้ก ล่าวต่อ ไปช้างหน้า หากเราพิจ ารณาวรรณคดIฑยในสมัย อยุธ ยา เช่น ขุนช้าง
ขุน แผน จะพบว่า มีก ารพรรณ นาถึง เปรตไว้เ หมือ นกัน ด้ง ข้อ ความในเสภาเรื่อ งขุน ช้า ง
ขุน แผนว่า
ทุว าทส เปตกุล านิ แลตระกูล เปรตนั้น มี ๑๒ ตระกูล คือ วัน ตาสาเปรต
ตระกูล ๑ กุณ ปขาทกเปรตตระกูล ๑ คูถ ขาทกเปรตตระกูล ๑ อัค คิช าลมุข -
เปรตตระกูล ๑ สูจ ิม ุข เปรตตระกูล ๑ ตัณ หาชิต าเปรตตระกูล ๑ น ิช ฌ ามก-
เปรตตระกูล ๑ สัต ลัง คเปรตตระกูล ๑ ปัพ พด้ง คเปรตตระกูล ๑ อชครัง ค-
เปรตตระกูล ๑ เวมานิก เปรตตระกูล ๑ มหิท ธิก เปรตตระกูล ๑ เป็น ๑๒
ตระกูล ฉะนี้
วัน ตาสาเปรตนั้น อสิว ิร ู,ป า มีร ูป อ้น ชั่ว วิก ลวิป ริต ยิ่ง นัก ปิป าสา อยากป ้า
อยู่เ ป็น นิจ มิ’ไ ด้ก ิน นาเลย ซึ่ง อยู่ก ับ น ั้า ก็ม ิอ าจกิน ได้. . .
(พระยาธรรมปรีช า, ๒๕๒๑)
จ าก ท ี่ย ก ม าน ี้จ ะ เห ็น ได ้ว ่า ท ่า น อ ธ ิบ าย เร ื่อ ง เป ร ต ด าม ล ัก ษ ณ ะ ท ี่ป ร าก ฏ ใน เป ต ว ัต ถ ุ
ค ว า ม เช ื่อ ว ่า เป ร ต ห ม า ย ถ ึง ค น ผ ู้ด า ย ไ ป เก ิด ใ น เป ร ต ว ิส ัย น ี้ ม ีอ ิท ธ ิพ ล ถ ึง ว ร ร ณ ก ร ร ม ย ุค
ป ัจ จ ุบ ัน เช ่น ก ัน ย ก ต ัว อ ย ่า ง เช ่น ใน ภ ูม ิว ิล า ส ิน ีม ีค ำ อ ธ ิบ า ย ต ่อ ไ ป น ี้ว ่า
01913.1
เหล่า สัต ว์ท ี่ไ ปอุบ ัต ิเกิด ในโลกเปรตนี้แ ล้ว ถึง แม้จ ะมีค วามท ุก ข์น ้อ ยกว่า สัต ว์
นรกทั้ง ห ลายก็จ ริง ถึง กระนั้น ก็ย ัง นับ ได้ว ่า เป็น ผู้ห ่า งไกลจากความสุข อยู่
เป็น อัน มาก เพราะฉะนั้น โลกเปรตนี้ จึง มีช ื่อ ว่า เปดติว ิส ยภูม ิ = โลกที่อ ยู่ข อง
สัต ว์ผ ู้ห ่า งไกลจากความสุข
(พระธรรมธีร ราชมหามุน ี, ๒๕๓๕)
จากข้อ ความข้า งด้น แสดงให้เ ห ็น ว่า ความหมายของ “ เปรต” ในความเข้า ใจ
ของคนไทย เป็น ที่ย อมรับ กัน โดยกว้า งขวางว่า เปรต หมายถึง คนตายผู้I ปเกิด ในเปรตวิส ัย
จะเห็น ได้ว ่า เมื่อ เอ่ย คำ “ เปรต” แล้ว คนไทยจะนึก ถึง ภาพของผีท ี่ร ูป ร่า งสูง เก้ง ก้า งน่า
เกลีย ดน ่า กลัว คอยาว ปากเท่า รูเ ข็ม ท้อ งป่อ ง กินอะไรไม่ได้ บ้า งก็น ึก ถึง สภาพของผีท ี่
เที่ย วเร่ร ่อ นขอส่ว นบุญ ให้ช ่ว ยทำบุญ ทำทานส่ง ไปให้ นอกจากนี้แ ล้ว ในภาษาไทยเรายัง
มีก ารนำเอาลัก ษณะไม,ดีข องเปรตมาเปรีย บเทีย บก้น คน ยกตัว อย่า งเช่น เมื่อ เห็น ใครมี
รูป ร่า งสูง มากก็ม ัก เปรีย บว่า “ สูง เหมือ นเปรต” หรือ เห็น ใครผอมโซมีแ ด่ห นัง ทุ้ม กระดูก ก็
เปรีย บว่า “ ผอมเหมือ นเปรต” หรือ “ อดอยากเห มือ นเปรด” เห็น ใครตะกละกิน มูม มาม
ก็ว ่า “ กิน เหมือ นเปรต” ล้า ร้อ งกรี้ด ๆ หรือ วิด ๆ เป็น เสีย งแหลมก็ว ่า “ร้อ งเหมือ นเปรต”
เวลาทำบุญ ทำทาน เช่น พลี เขามัก แบ่ง ส่ว นบุญ อุท ิศ ไปให้เปรต เพราะฉะนั้น ล้า ใครมาร
บกวนขอแบ่ง สิง ที่เราได้ม าโดยที่ด นไม,มีส ่ว นที่จ ะได้ก ็พ ูด ว่า “ เหมือ นเปรตขอแบ่ง ส่ว นบุญ ”
ซึ่ง คาที่ใ ซในภาษาไทยนี้ ล้ว นเป็น คำที่ห มายถึง คนตายผู้I ปเกิด ในเปรตวิส ัย ทั้ง สิน
อีก สาเหตุห นึ่ง ก็ค ือ การอธิบ ายความหมายเพื่อ ใชในการอบรมสั่ง สอนคืล ธรรม
เนื่อ งจากคำสอนทางพุท ธศาสนาเน้น การสอนคนให ้เ ป็น คนดี จึง ต ้อ งม ีก ารยก ต ัว อ ย่า ง
ของผู้ท ำชั่ว แล้ว ได้ช ั่ว เพื่อ ให้ผ ู้ฟ ัง เกิด ความสลดหดหู่ห ัว ใจละอายเกรงกลัว ต่อ บาป ความ
หมายของ “ เปรด” ที'หมายถึง คนตายไปเกิด ในเปรตวิส ัย สามารถนำมาเป็น หลัก อ้า งให้
เห็น โทษของการทำบาปได้ช ัด เจน และสาเหตุส ุด ท้า ยคือ ความหมายของคำ “ เปรต” นี้
ใกล้เ คีย งก้น ความหมายของผีส างที่บ รรพบุร ุษ ไทยนับ ถือ ก้น มาข้า นาน จึง มีก าร'ประยุก ต์
เรื่อ งเปรตให้เป็น ไปในแนวเดีย วกับ ผีท ี่ค นไทยเคารพกราบไหว้ด ้ง จะเห็น ได้จ ากคำว่า “ ผีเ ปรต”
ซึ่ง เรานำมาใช้ค ู่ก ้น ในภาษาไทย
ส่ว นความหมายของคำว่า “ เปรด” ที่ห มายถึง คนตายนั้น เป็น ที่น ่า สัง เกต
ว่า วรรณกรรมพุท ธศาสนาในประเทศไทยแทบจะไม่ก ล่า วถึง เลยหรือ กล่า วถึง ก็เพีย งเล็ก น้อ ย
ทั้ง นี้ผ ู้ว ิจ ัย เห็น ว่า เป็น เพ ราะไม1มีแ นวคิด หรือ ความเชื่อ ที่แ ฝงเร้น อยู่ใ นล้อ ยคำ หรือ อาจ
เป็น เพราะว่า ความหมายในทำนองนี๋ไ ม่ม ีอ ิท ธิพ ลต่อ วรรณ คดีร ุ่น หลัง เหมือ นอรรถกถาฎีก า
ดัง น ั้น วรรณ คดีพ ุท ธศาสน าของไทยซึ่ง รับ อิท ธิพ ลจากวรรณ คดีด ัง ที่ก ล่า วมาน ี้อ ยู่ม ากจึง
ไม่น ำมาอธิบ ายไว้
จาก ท ี่ก ล ่า วม าน ี้ ผู้ว ิจ ัย เห็น ควรสรุป ว่า วรรณ กรรมพุท ธศาสนาที่ร จนาใน
ประเทศไทย รับ เอาความหมายคำ “ เปรต” ที่ห มายถึง คนตายไปเกิด ในเปรตวิส ัย มาใช้
ม าก ก ว่า ค วาม ห ม ายท ี่ห ม ายถ ึง คนตาย ฑั้ง นี้เพราะอิท ธิพ ลความเชื่อ เรื่อ งเปรตในชั้น
อรรถกถาได้อ ธิบ ายความพระไตรปิฎ กตอนว่า ด้ว ยวิน ีต วัต ถุใ นมหาวิภ ัง ค์ สัก ขณ สัง ยุต ต์
และเปตวัต ถุ จนกระทั่ง “ เปรต” เป็น ที่ท ราบภัน ดีว ่า มีร ูป ร่า งลัก ษณ ะน่า เกลีย ดน่า กลัว
รวมทั้ง การอธิบ ายความหมายเพื่อ นำไปใชในการสั่ง สอนคืล ธรรมให้ค นในสัง คมอยู่ก ัน ได้
ด้ว ยความสงบสุข และประการสุด ท้า ยคือ การประยุก ต์ค วามหมาย “ เปรต” ให้เช้า กับ เรื่อ ง
“ ผี” ซึ่ง คนไทยนับ ถือ อยู่ก ่อ นหน้า นั้น แล้ว
เมื่อ เราทราบความหมายของคำ “ เปรต” ตั้ง แต่ท ี,ปรากฎในพระไตรปิฎ ก
อรรถกถา ฎ ีก า ตลอดจน ถึง ความห มายที่ป รากฎใน วรรณ คดีพ ุท ธศาสน าที่ร จน าใน
ประเทศไทยอย่า งชัด เจนแล้ว ผู้ว ิจ ัย จะได้ก ล่า วถึง แนวความคิด และความเชื่อ เรื่อ งเปรต
ในพระไตรปิฎ ก และอรรถกถาต่อ ไป
lï
บทที่ ๓
ในบฑที่ ๒ เราได้ท ราบว่า คำว่า “ เปรต” มี ๒ ความห มาย กล่า วคือ หมายถึง
ค น ผู้ล ่ว งลับ ไปล่โ ลกหน้า และคนผู้ถ ึง ฐานะห่า งไกลจากความสุข ข้อ น ี้ เป็น ประเด็น
สำคัญ น่า สนใจค้น คว้า ตรวจสอบหลัก ฐานในชั้น พระไตรปิฎ ก และอรรถกถา เพ ื่อ จะ
คืก ษาดูว ่า มีแ นวคิด และความเชื่อ ต่า ง ๆ เกี่ย วกับ ความห มายท ั้ง ๒ ประการนี้ม ากน้อ ย
เพีย งใด อัน จะเป็น ประโยชน์อ ย่า งยิ่ง สำหรับ การคืก ษาเรื่อ งเปรตนี๋โ ดยตรง
ความเป ็น มาของแน วความคิด เรื่อ งเป รตน ี้เ มื่อ พ ิจ ารณ าห ลัก ฐาน ท ี่ป รากฎใน
พระไตรปิฎ กและอรรถกถาโดยละเอีย ดแล้ว ข้อ มูล ชื้1 ห้เห็น ว่า มีแ นวคิด เรื่อ ง “ เปรต” ที่
เป็น ประเด็น สำคัญ ปรากฎอยู่ ๒ แนว คือ ๑. แนวคิด ว่า “ เปรต” คือ คนตายผู้ล ่ว งลับ
จากโลกนี๋ใ ป ไอ. แนวคิด ว่า “ เปรต” คือ คนตายผู้ล ่ว งลับ จากโลกนี๋ใ ปเกิด ในเปรตวิส ัย ทั้ง
๒ ประเด็น นี้ มีป ระเด็น สำคัญ ที่น ่า สนใจยิ่ง ด้ง ผู้ว ิจ ัย จะได้ก ล่า วถึง รายละเอีย ดต่อ ไปตาม
ลำดับ
การตายป ระเภท น ี้ ไม่ร ะบุแ น่ช ัด ว่า ดายแล้ว จะไปเกิด เป็น อะไร ดัง จะเห็น ได้
จากข้อ ความว่า “ กดมา จ ภิก ฺข เว เป ตเส ยฺย า เยภ ุย ฺเ ยน ภิก ฺข เว เปตา อุต ุต านา เสนุต
อย’ วุจ ฺจ ติ ภิก ฺข เว เป ด เส ยยา” (สุย ามรฎรสุส เต'ปิฎก’ เล่ม ที่ ๒๑, ๒6าอ ๕: ฅ ฅ ๑) แปลว่า
“ ดูก ่อ นภิก ษุท ั้ง หลาย ก็เปตไสยาเป็น ไฉน คนตายโดยมากนอนหงาย นี้เราเรีย กว่า เปตไสยา”
(พระไตรปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๑, ๒๔๓๐: ๓๓๔) นอกจากนี้แ ล้ว ใน “ ติโ รกุฑ ฑกัณ ฑ์”
หรือ “ ติโ รกุฑ ฑสูต ร” ซึ่ง ถือ ว่า เป็น แนวคิด สำคัญ เกี่ย วกับ “ เรื่อ งเปรต” ก็ย ัง ปรากฎ
หลัก ฐานแสดงให้เห็น ว่า “ เปรต” ห มายถึง คน ตาย จะร้อ งไห้เศร้า โศกเสีย ใจบ่น เพ้อ ครื่า
ครวญ ฟ ูม ฟ ายไป ก็แ ค่น ั้น ไม่ม ีผ ลกระท บ ถึง คน ตายเลยดัง ข้อ ความว่า “ ...น หิ รุณ ฺณ ํ วา
โสโก วา ยา วฌ ฺณ า ปริเทวนา น ตํ เปตานมตุถ าย เอวํ ติฎ รนฺต ิ ณาดโย. .
(สุย ามรฎรสุส เตปิฎ กํ เล่ม ที่ ๒๕, ๒๕๒๕: ๑๐)
ในส่ว นของอรรถกถานั้น แนวคิด เรื่อ ง “ เปรต” ที่ห มายถึง คนตายส่ว นใหญ่
จะเน้น การอธิบ าย “ ความ ห ม าย” ตามรูป ศัพ ท์เ ท่า นั้น เข่น คำว่า “ เปรต” หมายถึง คน
ผู้ล ่ว งลับ ไปจากโลกนี้ ดัง ข้อ ความในชาดกัฎ ฐกถาเล่ม ๗ ว่า “ เปเตติ อมฺพ ปกฺก ํ อลภิต ุว า
ปรโลก* คเต มเดติ อตฺโถ [บทว่า เปเต ได้แ ก่ [ครั้น เมื่อ เรา] ไม่ไ ด้ผ ลมะม่ว งสุก จึง ไปส่
โลกหน้า ห ม ายความ ว่า ตายแล้ว ]” (พระพุท ธ'โฆสา'จารย์, ๒๕๓๕ข) และข้อ ความใน
ลัท ธัม มัป ปิช โชติก าว่า “ เปตนฺต ิ อิโต ปรโลก0 คตํ [บทว่า เปตํ แปลว่า คนผู้จ ากโลก
นี๋ใ ปส่โ ลกหน้า ]” (พระอุป เสนะ, ๒๕๓๔) จากตัว อย่า งที่ย กมาแสดงนี้จ ะเห็บ ว่า พระ
อรรถกถาจารย‘ไม่อ ธิบ ายเรื่อ ง “ เปรต” ในแนวคิด ที่ว ่า คนตาย ไวโดยละเอีย ดเลย
จากท ี่ก ล่า วม าน ี้ อาจวิเ คราะห็ไ ด้ว ่า เป็น เพราะภาษาของผู้ค นในสมัย นั้น
ใช้ค ำว่า “ เป ต” ในความห มายว่า “ คน ดาย” ซึ่ง ถ้า หากกล่า วว่า “ เปต” แล้ว คนจะเข้า ใจ
ตรงกัน ว่า หมายถึง “ คน ดาย” คงจะเข่น เดีย วกับ ในสมัย นี้ เม ื่อ เอ ่ย ค ำว่า “ ต าย ” แล้ว ยัง
มีค ำพูด อื่น ๆ ที่ห มายถึง “ ด าย ” เหมือ นกัน เข่น คำว่า “ เสีย ชีว ิต ” “ สิ้นใจ” “ หมดลม”
ฯลฯ ผู้ว ิจ ัย เห็น 'ว่า แนวคิด ว่า “ เปรต” หมายถึง “ คน ต าย” นี้เป็น เรื่อ งที่ผ ู้ค นในสมัย นั้น
คิด ตรงกัน เพราะการใช้ภ าษาสื่อ ความหมายเหมือ นกัน อีก ประเด็น หนึ่ง อาจเป็น ไปได้ว ่า
คำว่า “ เปต” ได้ต ายไปจากภาษาดั้ง เดิม ซึ่ง การตายของคำ “ ฟ ต ” อาจไม่ไ ด้เกิด ขึ้น ใน
ส ม ัย พ ุท ธ ก าล น ่า จะเป ็น ช ่ว งห ล ัง พ ุท ธก าล การที, ก ล่า วเข ่น น ี้เ พ ราะพ ระไต รป ิฎ ก ม ี
วิว ัฒ น าการมาดามลำดับ จากเติม บัน ทึก ใน ระบบ “ มุข ปาฐะ” ท ่อ งป ากเป ล่า ดั้ง แต่ส มัย
พระพุท ธเจ้า ปริน ิพ พานได้แ ล้ว ประมาณ ๗ วัน ระบบนี้ค งอยู่ป ระมาณ ๕๐๐ ปี ต่อ มา
ราวพุท ธศตรวรรษที่ ๕ ได้เปลี่ย นแปลงเป็น “จารึก ด้ว ยตัว อัก ษร” มีห ลัก ฐานที่แ สดงให้
เห็น ว่า ใบพระไตรปิฎ กเองก็ไ ด้ม ีก ารดีค วาม “ เปรต” ปรากฎอยู่แ ล้ว ด้ง จะเห็น ได้จ ากข้อ
ความต่อ ไปนี้ว ่า . .เปตา วุจ ฺจ นฺต ิ มตา ก าล ก ต า.. .” (สุย ามรฎรสุส เตปิฎ ก0 เล่ม ที่ ๒๙,
๒๕๒๕: ๑๕๒) แปลว่า “ชนผู้ต าย คือ ทำกาละแล้ว เรีย กว่า ผู้จ ากไปแล้ว ” (พระไตร
ปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๙, ๒๕๓๐: ๑๕๗) ข้อ ความด้ง กล่า วนี้แ สดงให้เ ห็น ว่า แม้
กระทั่ง ในตัว พระไตรปิฎ กเองยัง มีก ารดีค วาม “ ฟ ต ” ให้เ ข้า ใจว่า หมายถึง “ คน ต าย” หรือ
“ คนผู้ท ์า กาละเสีย ชีว ิต ลง”
๒๐
ม ากม ายห ลายข้อ ประเด็น ที,น่า สนใจคือ ถามเปรีย บเทีย บระหว่า ง “ คติ” ต่า ง ๆ โดยพระ
สารีบ ุต รเริ่ม ถามเปรีย บเทีย บระหว่า งนรกกับ กำเนิด ดิร ัจ ฉานว่า อะไรดีก ว่า พ ราห มถท ด้
ตอบตามความเข้า ใจของตนว่า แดนเปรตดีก ว่า กำเนิด ดิร ัจ ฉาน พระสารีบ ุต รจึง ถามต่อ
ไปว่า ระหว่า งแดนเปรตกับ มนุษ ย์ อะไรจะดีก ว่า พ ราหมณ !ดัด อบว่า มนุษ ย์ด ีก ว่า แดน
เปรต พระสารีบ ุต รมิไ ดัค ัด ค้า นพราหมณ ์จ ึง ถามเรื่อ งคติต ่า ง ๆ ต่อ ไปเรื่อ ย ๆ ดัง ข้อ ความ
ว่า . .ด, ก มณฺณ สิ ธนญชานิ กตมํ เสยโย ดิร จฺฉ านโยนิ วา ปิต ุด ิวิส 'โย วาติ ฯ
ติร จฺฉ านโยนิย า โภ สารีป ุต ุต ปิต ุด ิว ิส โย เสยโยติ ฯ ต ํก ึ มณฺณ สิ ธนณซานิ กตมํ เสยโย
ปิต ุต ิว ิส ่โ ย วา มนุส ฺส า วาติ ฯ ปิต ุต วิส ยา โภ สารีป ุต ุต มนุส ฺส า เสยโยติ ฯ . .
(สุย ามรฎรสุส เตปิฎ กํ เล่ม ที่ ๑๓, ๒ ๕ ๒๕: ๖๓๗)
จากหลัก ฐานข้า งดัน นี้ แสดงให้เห็น ว่า แนวความคิด เรื่อ ง “ เปรต” ในฐานะที่
เป็น ผู้! ปเกิด ในเปรตวิส ัย เป็น เรื่อ งที่ผ ู้ค นคิด กัน อยู่แ ล้ว แต่ย ัง ไม่แ น่ใ จว่า สิง ที่ค ิด นั้น จะ
พิส ูจ น่ไ ดัห รือ ไม่ ข้อ นี้พ ึง เห็น ได้จ ากพระพุท ธเจ้า เอง แม้จ ะทรงยอมรับ แนวคิด ว่า เปรต
คือ ผู้ต ายไปเกิด ในเปรตวิส ัย แต่พ ระองค์ก ็ท รงนิ่ง มิไ ดัต รัส พระดำรัส ใด ๆ เกี่ย วกับ เปรต
แม้เ มื่อ จะตรัส เกี่ย วกับ เรื่อ ง “เปรต” ก็ต รัส ด้ว ยทรงระมัด ระวัง ยิ่ง โดยทรงอธิบ ายว่า ที่
ไม่ท รงพยากรณ์เพราะทรงเกรงว่า คนที่ไ ม่เชื่อ ฟัง จะไม่ไ ด้ป ระโยชน์อ ะไร ดัง ข้อ ความต่อ ไปนี้ว ่า
อถโข ภควา ภิก ฺข ู อามนฺเ ตสิ จกขภูต า วต ภิก ฺข เว สาวกา วิห รนฺต ิ
ณ าณ ภ ูต า วต ภิก ฺข เว สาวกา วิห รนฺด ิ ยตุร หิ นาม สาวโก เอวรูป ณสุส ติ
วา ฑกฺข ติ วา สกฺขึ วา กรีส ุส ติ ปุพ ฺเ พ ว เม โส ภิก ฺข เว สตุโด ทิฎ โร
อโหสิ อปิจ าหํ น พ ุย ากาส ึ อหณ ฺเจดํ พ ุย าก เรยฺย ํ ปเร จ เม น สทฺท เหยฺย ุ
เย เม น สฑฺฑ เหยฺย ุ เตสนฺด ํ อสุส ทีฆ รตุด ํ อหิต าย ฑุก ฺข าย. . .
(สุย ามรฎรสุส เตปิฎ กํ เล่ม ที่ ๑, ๒ ๕๒๕': ๒ ๑๑-๒ ๑๒ )
แปลว่า
ครั้ง นั้น พระผู้ม ีพ ระภาคเจ้า รับ สั่ง กะภิก ษุท ั้ง หลายว่า ดูก ่อ นภิก ษุท ั้ง หลาย
สาวกทั้ง หลายย่อ มเป็น ผู้ม ีจ ัก ษุอ ยู่ ย่อ มเป็น ผู้ม ีญ าณ อยู่ เพราะสาวกได้ร ู้! ดัเห็น
หรือ ได้ท ำสัต ว์เซ่น นี๋ใ ห้เป็น พยานแล้ว ดูก ่อ นภิก ษุท ั้ง หลาย เมื่อ กาลก่อ นเรา
ก็ได้เห็น สัต ว์'นั้น แต่เ ราไม่ไ ด้พ ยากรณ ์ ถ้า เราพยากรณ ์ส ัต ว์น ั้น และคนอื่น ไม่
เชื่อ เรา ข้อ นั้น ก็จ ะพึง เป็น ไปเพื่อ ไม่เป็น ประโยชน์เกื้อ กูล เพื่อ ทุก ข์ แก,เขาเหล่า
บ ั้น ส ิน ก าล น าน .. .
(พระไตรปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๑, ๒๕๓๐: ๕๖๔)
จากข้อ ความข้า งด้น น ี้ จะเห็น ว่า พระพุท ธเจ้า ทรงยอมรับ แนวคิด เรื่อ งเปรต
โดยตรัส ยืน ยัน ว่า “ เปรต” นี้ม ีอ ยู่จ ริง นอกจากนี้แ ล้ว เราจะเห็น ว่า พระองค์ต รัส ถึง แนว
คิด เกี่ย วกับ เรื่อ ง “ เปรต” ในทำนองนี้อ ีก หลายครั้ง เฉพาะที่ส ำคัญ คือ “ เปรต” ที่ป รากฎใน
“ ติ'โรกุฑ ฑกัณ ฑ์” หรือ “ ติโ รกุฑ ฑสูต ร” พระองคิไ ด้ต รัส ถึง “ เปรต” ที่ม าบ้า นเรือ นของ
ตนเองแล้ว พากัน ยืน นอกฝาเรือ น ทาง ๔ แยก ทาง ๓ แยก ประตูเรือ นเพื่อ จะขอส่ว น
บุญ ส่ว นกุศ ลให้ญ าติพ ี่น ้อ งช่ว ยทำทานล่ง ไปให้ เมื่อ ญ าติ ๆ ช่ว ยกัน ทำบุญ ทำทานให้
แล้ว ก็จ ะพากัน อนุโ มทนารับ ส่ว นบุญ ด้ง ข้อ ความว่า
ราชา ทาน0 ฑตฺว า กตฺถ นุ โข ภควา วิห เรยฺย าติ ภควโตวิห ารฎราน เมว
จิน ฺเ ตสิ, น ต0 ทาน0 กสฺส จิ อุท ฺท ิส ิ. ตถา ตํ ฑานํ อลภนุต า เปตา ฉิน ุน าสา
หุต ฺว า รตฺติย0 รณโณ นิเวสเน อติว ิย ภึสนก0 วิส ฺส รมก0สุ. ราชา ภยสบ ุต าส
ลัว ค0 อาปชฺช ิต ฺว า วิภ าต าย รดฺต ิย า ภควโต อาโรเจสิ เอวรูป ๋ สทฺฑ ํ อสฺโสสี,
กึ นุ โข เม ภนุ»ต ภวิส ฺส ตี” ติ. ภควา มา ภ ายิ มหาราช น เต กิณ ฺจ ิ
ปาปก0 ภวิส ฺส ติ, อปิจ โข สนุต ิ เต ป ุร าณ ณ าตกา เปเตสุ อุป ฺป นุน า
เต เอก0 พุฑ ฺธ นุต รํ ตเมว ปจฺจ าสึส นุด า ‘พุฑ ฺธ สฺส ทาน0 ฑตฺว า อมหาก0
อุท ฺท ิส ิส ฺส ตี’ติ วิจ รนุต า ตยา หิยฺ'โย ทาน0 ทตฺว า น อุฑ ฺท ิส ิต ตฺต า ฉิบ ุน าสา
หุต ฺว า ดถารูป ๋ วิส ฺส รมก0สู” ติ อาห. [พระราชาทรงถวายทานแล้ว ทรงดำริ
ถึง แต่ส ถานที่พ ระผู้ม ีพ ระภาคเจ้า จะประทับ เท่า นั้น ว่า พระผู้ม ีพ ระภาคเจ้า จะ
พึง ประทับ ที่ไ หนตีห นอ จึงไม,ทรงอุท ิศ ทานนั้น ให้ใ คร ฯ เปรตทั้ง หลายเมื่อ ไม,
ได้ผ ลทานนั้น สิ้น หวัง จึง พากัน ส่ง เสีย งร้อ งน่า กลัว เหลือ เกิน ใกล้ว ัง หลวงยาม
ราตรี ฯ พ ระราชาทรงตกพ ระทัย กลัว เมื่อ ฟ ้า ส างจึง กราบ ท ูล ให ้พ ระผู้ม ี
พ ร ะ ภ าค เจ ้า ท ร งท ร าบ ว ่า ไ ด ้ท ร งส ด ับ เส ีย งเช ่น น ั้น จัก ม ีอ ะ ไรเก ิด ข ี้น แ ก ,
หม่อ มฉัน หรือ ไม่ห นอ ฯ พระผู้ม ีพ ระภาคเจ้า ตรัส ว่า อย่า ทรงกลัว ขอถวาย
พระพร ไม่ม ีอ ะไรที่น ่า กลัว เกิด แก,พระองค์ แต่ท ว่า พระองค์ท รงมีญ าติแ ต่ช าติ
ปางก่อ นที่เ กิด เป็น เปรต พวกเขารอคอยพระองค์ต ลอด ๑ พุท ธัน ดร หวัง ว่า
พ ระเจ้า พ ิม พ ิส ารครั้น ท รงถวายท าน แด,พระพ ุท ธเจ้า แล้ว จัก อุท ิศ ส่ว น บ ุญ ให ้
พ วกเรา แต่แ ล้ว ก็ส ิ้น ห วัง เพ ราะเมื่อ วาน น ี้พ ระองค์ถ วายท าน เส ร็จ แล้ว มิไ ดั
ทรงอุท ิศ ส่ว นบุญ ให้เลย จึง พากัน ส่ง เสีย งร้อ งน่า สะพรึง กลัว ]”
(พระธัม มปาละ, ๒๕๓๙ข)
ข้อ ความดัง กล่า วนี้พ ระอรรถกถาจารย์แ ต่ง ขึ้น เพื่อ อธิบ ายคาถา “ ติโ รกุฑ ฑกัณ ฑ์,,
น อกจากน ี้ย ัง มีเ รื่อ งเป รดอื่น ๆ เซ่น คนที'ตายไปเกิด ในนรกไหม้อ ยู่ใ นนรกนั้น ตลอด
พุท ธัน ดรหนึ่ง เมื่อ พ้น จากนรกนั้น จึง มาบัง เกิด เป็น เปรตผู้ม ีค วามหิว กระหายตลอดเวลา
เพ ราะเศษกรรมที่ย ัง เหลือ อยู่ ณ บริเวณเชิง เขาคิช ฌกูฏ เปรตตนนี้ม ีร ่า งกายเป็น ทอง แด่
ปากเหมือ นสุก ร ดัง ข้อ ความว่า
. . .โส กาลํ กตฺว า นิร เย นิพ ฺพ ตฺโ ต เอกํ พุท ฺธ นฺต รํ ดตฺถ ปจฺจ ิต ฺว า ตโต
จวิด วา อิม สฺม ี พุฑ ฺธ ุป ุ'ปาเท ราชคหสมีเป คิช ฺฌ กูฏ ปพฺพ ตปาเท ตสฺเลว
กมฺม สฺส วิป ากาวเสเสน ขุป ุป ีป าสาภิภ ูโ ต เปโต ทุต ุ,วา นิพ ฺพ ดฺต ิ ตสฺส กาโย
สุว ณฺณ วณฺโ ณ อโหสิ, มุข0 สูก รมุข สทีส ํ
(พระธัม มปาละ, ๒(£'๓ราข)
นอกจากนี้ย ัง มีเรื่อ งของเปรตที่ม ีร ่า งกายเป็น ทอง แด่ม ีห นอนไต่ย ั้ว เยี้ย เจาะกิน ปาก
ดัง ข้อ ความว่า “ เปสุณ ิโ ก ภิทข เอก0 พุฑ ฺธ นฺด รํ นิร เย ปจิต ฺว า ธิม สฺม ี พุท ธ'ปุป าเท
ราชคหสฺส อวิท ูเร ปูต ิม ุข เปโต หุต ฺว า นิพ ฺพ ตุต ิ,, (พระธัม มปาละ, ๒(£'๓๓ข) ฯลฯ
เรื่อ งราวของเปรตในทำนองนี้ มีป รากฎในหนัง สือ “อรรถกถาขุฑ ฑกนิก าย ปรมัต ถทีป นี
ต อ น พ รรณ น าค วาม เป ต วัต ถ ุ” ห ล ายเร ื่อ งด ้ว ยก ัน ผ ู้ส น ใจพ ึง ค ้น คว้า เพ ื่ม เติม ได้จ าก
หนัง ลือ เล่ม นี้ จากตัว อย่า งที่น ำมากล่า วไว่โ ดยย่อ ข้า งดัน นี้แ สดงให้เห็น ว่า ในชั้น อรรถกถา
มีแ นวคิด เรื่อ ง “ เปรต” หมายถึง คนตายผู้! ปเกิด ในเปรตวิส ัย ปรากฏอยู่อ ย่า งเห็น ได้ซ ัด
จากท ี่ก ล่า วมาท ั้ง ห มดน ี้ สรุป ได้ว ่า แนวคิด เรื่อ ง “ เปรต,, ในพระไตรปิฎ ก
และอรรถกถา มี ๒ แนวคิด คือ
๑. แนวคิด ว่า “ เปรต” คือ คนตายผู้ล ่ว งสับ จากโลกนี๋ไ ป
๒. แนวคิด ว่า “ เปรต” คือ คนตายผู้ล ่ว งสับ จากโลกนี๋ใ ปเกิด ในเปรตวิส ัย
เกี่ย วกับ แน วคิด ท ั้ง ๒ นี้ ผูว ิจ ัย เห็น ว่า มีป ระเด็น ด่า ง ๆที่ค วรกล่า วถึง ดัง ต่อ ไปนี้
ป ร ะ เด ็น ท ี่น ่า ส น ใจ ป ร ะ ก าร แ ร ก ค ือ ค ว าม ส ัม พ ัน ธ ์ก ัน ร ะ ห ว ่า ง แ น ว ค ิด ท ั้ง ๒ ว ่า
ม ีค ว า ม เก ี่ย ว ข ้อ ง ส ัม พ ัน ธ ์ก ัน ม า ก ห ร ือ น ้อ ย เพ ีย ง ใด เม ื่อ น ำ ข ้อ ม ูล ใน พ ร ะ ไ ต ร ป ิฎ ก แ ล ะ
อ ร ร ถ ก ถ า ม า ส ืก ษ า ว ิเ ค ร า ะ ห ์ด ูแ ล ้ว จ ะ พ บ ว ่า ม ีแ น ว ค ิด ย ่อ ย ๆ แ ท ร ก อ ย ู่ ๓ ป ร ะ เด ็น ค ือ
๑. แนวคิด เรื่อ งโลกหน้า
๒. แนวคิด ทางคิล ธรรม
(ท. แนวคิด เรื่อ งทำบุญ ถวายทานแก่พ ระสงฆ์เพื่อ อุท ิศ ผลบุญ ไปให้แ ก่ผ ู้ล ่ว งลับ
รายละเอีย ดปลีก ย่อ ยของประเด็น ทั้ง ๓ นี้ ผูว ิจ ัย เห ็น ว่า มีค วามสำคัญ อย่า งยิ่ง
ต่อ แนวคิด เรื่อ งเปรตในพระไตรปิฎ กและอรรถกถา ดัง จะได้ก ล่า วต่อ ไปตามสำดับ
ในทางพุท ธศาสนาถือ ว่า คนเราจะต้อ งเวีย นว่า ยตายเกิด อยู่ใ นลัง สารวัฎ เรื่อ ยไป
จนกว่า จะลุถ ึง พระนิพ พาน “ คติ ๔” คือ การเวีย นว่า ยตายเกิด ไปตามคติต ่า ง ๆ อัน ได้แ ก่
นรก กำเนิด ดิร ัจ ฉาน เปรตวิส ัย มน ุษ ย์ และเทวดา แนวคิด นี้ถ ือ ว่า “ แดนเปรต” เป็น โลก
หน้า กล่า วคือ สถานที่อ ย่า งหนึ่ง ที่ม นุษ ย์จ ะต้อ งไป ดัง ข้อ ความต่อ ไปนี้ว ่า “ . . .ปญ'จ โข
อิม า สารีป ุต ฺต คติโย กดมา ปณฺจ นิรโย ติร จฺฉ าน'โยนิ ปิต ุต ิว ีส โย มนุส ฺส า เทวา ฯ
(สุย ามรฎรสุส เต'ปิฎก’ เล่ม ที่ ๑๒, ๒ ๕๒๕: ๑๔๘) แปลว่า “ ดูก ่อ นสารีบ ุต ร คติ ๕
ประการเหล่า นี้แ ล ๕ ประการเป็น ไฉน คือ นรก กำเนิด ติร ัจ ฉาน เปรตวิส ัย ม น ุษ ย์ เท วดา”
(พระไตรปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๑๒, ๒๔๓๐: ๑๓๙) และข้อ ความว่า “ปณ ฺจ ิม า ภิก ฺข เว
คติโย ฯ กดมา ปณฺจ นิรโย ติร จฺฉ านโยนิ ปิต ุต ิว ีส โย มนุส ุส า เทวา ฯ อิม า โข ภิก ฺข เว
ปณฺจ คติโย ฯ อิม าสํ โข ภิก ฺข เว ปณฺจ นฺน ํ คดีน ํ ปหานาย อิเม จตุต าโร สติป ฎรานา
ภาเวต พ ุพ าต ิ ฯ” (สุย ามรฎรสุส เตปิฏ กํ เล่ม ที่ ๒๓, ๒๔๒๔: ๔ ๘ ๐-๔ ๘ ๑) แปลว่า
“ ดูก ่อ นภิก ษุท ั้ง หลาย คติ ๔ ประการ ๔ เป็นไฉน คือ นรก ๑ กำเนิด สัต ว์ต ิร ัจ ฉาน ๑
เปรตวิส ัย ๑ มน ุษ ย์ ๑ เทวดา ๑ ดูก ่อ นภิก ษุท ั้ง หลาย คติ ๔ ประการนี้แ ล ดูก ่อ นภิก ษุ
ทั้ง หลาย เธอทั้ง หลายพึง เจริญ สติป ิฎ ฐาน ๔ นี้ เพื่อ ละคติ ๔ ประการนี้แ ล” (พระไตรปิฎ ก
ภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๓, ๒๔๓๐: ๔๒๔)
ค ต ิ๔ นี้บ างทีท ่า นก็เ รีย กว่า “ภพ ๔” ดัง ข้อ ความว่า “ . . . เนรยิก านํ นิรโย ภวนํ
ติร จฺฉ านโยนิก าน่ ติร จฺฉ านโยนิ ภวน่ ปิต ุต ิว ิส ยิก านํ ปิต ุต ิว ิส โย ภวนํ มบุส ุส านํ
มบุสุสโลโก ภวนํ เทวาน่ เทวโลโก ภวน่ ฯ” (สุย ามรฎรสฺส เตปิฎ กํ เล่ม ที่ ๒ ๙, ๒๔๒๔:
๑๔ ๙) แปลว่า “ . . .นรก เป็น ภพของพวกสัต ว์ท ี่เกิด ในนรก กำเนิด ติร ัจ ฉาน เป็น ภพ
ของพวกสัต ว์ท ี่เกิด ในกำเนิด ดิร ัจ ฉาน เปรตวิส ัย เป็น ภพของพวกสัต ว์ท ี่เกิด ในเปรตวิส ัย
มนุษ ยโลก เป็น ภพของพวกมนุษ ย์ เทวโลกเป็น ภพของพวกเทวดา” (พระไตรปิฎ กภาษา
ไทย เล่ม ท '๒๙, ๒<£'๓๐: ๑๖๕)
จากข้อ ความข้า งต้น นี้ จะเห็น ว่า มีก ารจัด “ แดนเปรด” เป็น ภพที่ส ัต ว์จ ะ
ต้อ งเวีย นว่า ยตายเกิด เรื่อ ยไป แนวคิด เรื่อ ง “ คติ ๕” นี้ มีส ่ว นสำคัญ ในการเกิด แนวคิด ว่า
“ เปรต” คือ คนตายไปเกิด ในปรโลกที่เรีย กว่า แดนเปรตวิส ัย และยัง มีส ่ว นสัม พัน ธ์ก ับ เรื่อ ง
“จัก รวาลวิท ยา” ในวรรณคดีบ าลีย ุค ต่อ มา ดัง จะเห็น ไต้จ ากวรรณคดีบ าลีแ นว “โลกศาสตร์”
ทั้ง ปวง เช่น จัก กวาฬฑีป นี โลกบัญ ญัต ิ โลกัป ปทีป กสาร โลกสัณ ฐานโชตรณคัณ ฐี ฯลฯ
วรรณ คดีด ัง กล่า วมาน ี้ ล้ว นได้ร ับ อิท ธิพ ลแนวคิด เรื่อ ง “ คติ ๕" ทั้ง นั้น
แนวคิด นี้ถ ือ ว่า ผู้ท ี่ต ายไปเกิด ในเปรตวิส ัย นั้น สาเหตุเกิด จากประพฤติผ ิด คืล ธรรม
กล่า วคือ ทำบาปที่เป็น เหตุใ ห้ผ ู้อ ื่น ได้ร ับ ความเดือ ดร้อ น อาทิเช่น ทำลายทรัพ ย์ล ีน ล่ว น
รวม สั่ง สมเงิน ทองโดยมีช อบธรรม พ ูด เท็จ ห รือ พ ูด ล่อ เสีย ดว่า ร้า ยผู้อ ื่น เห็น แก,ตัวไม่
ยอมเลีย สละแบ ่ง บ ัน ช่ว ยเห ลือ ส่ว น รวม ดัง จะเห็น ได้จ ากเรื่อ งราวของเปรตที่ป รากฎใน
“ มห าวิภ ัง ค์” “ สัก ขณ สัง ยุต ค์” และ “ เป ตวัด กุ” ล้ว นเป็น เรื่อ งของเปรตที่ป ระพฤติผ ิด
คืล ธรรมตั้ง แต่ส มัย ยัง มีช ีว ิต อยูใ นโลกมนุษ ย์ท ั้ง สิ้น เช่น เรื่อ งของหญิง ๔ นางขณะที่ย ัง มี
ชีว ิต อยู่ไ ด้พ ากัน รวบรวมทรัพ ย์ส ิน เงิน ทองโดยผิด ทำนองคลองธรรม เมื่อ ตายลงจึง ไปเกิด
เป็น เปรต ด้ง ข้อ ความว่า “ มย0 โภเค สํห ริม ฺห สเมน วิส เมน จ เต อณ ฺเ ณ ปริภ ุณ ฺช นฺต ิ
มย* ทุก ฺข สฺส ภาคิน ีต ิ ฯ” (สุย ามรฎรสุส เตปิฎ ก0 เล่ม ที่ ๒๖, ๒๕๒๕: ๒๕๗) แปลว่า
“ [ในเวลาราตรี หญิง เปรต ๔ คน ถูก ทุก ข์ค รอบงำ จึง พากัน ร้อ งไห้ร ำพัน ด้ว ยเลีย งด้ง น่า
กลัว ว่า ] พวกเรารวบรวมโภคทรัพ ย์I วิโ ดยชอบธรรมบ้า ง โดยไม,ชอบธรรมบ้า ง แต่ค น
อื่น ๆ พากัน ใช้ส อยโภคทรัพ ย์เหล่า นั้น ส่ว นพวกเรากลับ มีส ่ว นแห่ง ทุก ข์” (พระไตรปิฎ ก
ภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๖, ๒๕๓๐: ๒๔๖) หรือ เรื่อ งของคนผู้ท ำลายทรัพ ย์ส ิน ส่ว นรวม
สาธารณ สมบัต ิ เมื่อ ดายลงก็ไ ปเกิด เป็น เปรตเช่น กัน ด้ง ข้อ ความว่า
[เปรตนั้น ตอบว่า ]
. . .[ด้ว ยคำว่า ] ผลแห่ง ทานไม่ม ี ผลแห่ง การสำรวม จัก มีแ ด่ท ี่ไ หน ได้
ทำลายสระนั้า บ่อ นั้า ที่เ ขาขุด ไว้ สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน ั้า และ
สะพานในที่เดิน สำบากที่เขาปลูก สร้า งให้พ ิน าศ ข้า พเจ้า นั้น ไม่ไ ด้ท ำความดีไ ว้เลย
ทำแด่ค วามชั่ว ไว้ จุต ิจ ากชาติน ั้น แล้ว เข้า ถึง ปิต ติว ิส ัย เพีย บพร้อ มไปด้ว ย
ความหิว กระหายตลอด ๔๕ ปี ตั้ง แต่ต ายแล้ว ข้า พเจ้า ยัง ไม่ไ ด้ก ิน ข้า วและ
น ั้า เลยแม้แ ด่น ้อ ย. . .
(พระไตรปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๖, ๒๔๓๐: ๑๘๑)
จากข้อ ความข้า งด้น น ี้ จะเหิน ว่า ชีว ิต ของเปรตนั้น คือ ชีว ิต ที,ต้อ งเสวยผล
กรรมชั่ว ที่เ คยกระทำไว้เ มื่อ สมัย ที่เ กิด เป็น มนุษ ย์ แดนของเปรต จึง เป็น สถานที่เ สวยผล
กรรมชั่ว แนวคิด ด้ง กล่า วมานี้เป็น เรื่อ งของ “ ศีล ธรรม” หรือ กฎแห่ง กรรมข้อ ที่ว ่า “ทำ
ชั่วได้ชั่ว” จัด เป็น ประเด็น สำคัญ อย่า งหนึ่ง ที่ม ีล ่ว นสัม พัน ธ์ก ับ แนวคิด ว่า “ เปรต” หมายถึง
คนตายไปเกิด ในเปรตวิส ัย
แนวคิด ว่า เปรตหมายถึง โลกหน้า และแนวคิด ทางศีล ธรรม ทั้ง ๒ ประเด็น นี้
มีส ่ว นทำให้เ กิด แนวคิด เรื่อ งทำบุญ ถวายทานแก,พระสงฆ์เพื่อ อุท ิศ ผลบุญ ไปให้แ ก,ผู้ล ่ว งสับ
อัน เป็น อีก แนวคิด สำคัญ อีก แนวคิด หนึ่ง ที่ม ีส ่ว นเกี่ย วข้อ งกับ แนวคิด เรื่อ งเปรดในพระไตรปิฎ ก
และอรรถกถา ดัง จะได้ก ล่า วต่อ ไปตามสำคับ
๓. แนวคิด เรื่อ งทาบณถวายทานแก่พ ระสงฆ์เ พื่อ อุท ิศ ผลบุณ
ไป1ให้แก,ผล,ว งลับ
แนวคิด นี้ถ ือ ว่า การทำบุญ ถวายทานแก่พ ระสงฆ์ จะมีผ ลทำให้ผ ู้ล ่ว งลับ จาก
โลกนี๋ไ ปได้ร ับ ผลบุญ มาก โดยเฉพาะอย่า งยิ่ง “ เปรต” จะได้ร ับ ผลบุญ โดยตรง ดังจะ
เห็น ได้จ ากคาถาใน “ ติ'โรกุฑ ฑกัณ ฑ์” ที่ก ล่า วถึง ทัก ษิณ าทานที่ท ายกจัด เตรีย มไว้ถ วาย
พระสงฆ์ซ ึ่ง สำเร็จ ประโยชน์แ ก1ผู้ล ่ว ง ลับ ไปแล้ว นั้น โดยพลัน ชั่ว กาลนาน ได้พ ากัน แสดง
ออกถึง กิจ ที่ค วรท ำเพ ื่อ ญ าติก ารบ ูช าผู้ล ่ว ง ลับ ไปแล้ว ที่ท ่า นทั้ง หลายพากัน ทำมีผ ลอย่า งยิ่ง
ได้เ พิ่ม กำลัง พระภิก ษุท ั้ง หลาย อีก ทั้ง ได้ส ั่ง สมบุญ ไว่ไ ม่น ้อ ย ดัง ข้อ ความว่า
ก็ท ัก ษิณ าทาน น ี้แ ลที่ต ั้ง ใจถวายไว้ด ีแ ล้ว ใน สงฆ ์ย ่อ มสำเร็จ ประโยชน ์เ กื้อ กูล
แก,เปรตนั้น โดยฉับ พลัน ตลอดกาลนาน
ท่า นได้แ สดงญาติธ รรมให้ป รากฏ ได้ท ำการบูช าที่ย ิ่ง ใหญ่แ ก่ห มู่ญ าติท ี่ล ่ว งลับ
ไปแล้ว และได้เ พิ่ม กำลัง ให้แ ก่พ ระภิก ษุท ั้ง หลาย ชื่อ ว่า เป็น ผู้ข วนขวายบุญ
มิใ ช่น ้อ ยเลย
(พระไตรปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๕, ๒๕๓๐: ๑๑)
นอกจากนี้ย ัง มีข ้อ ความที่ก ล่า วเปรีย บเทีย บพระอรหัน ต์เ ป็น เหมือ นเนื้อ นาบุญ
ผู้ถ วายทาน เปรีย บด้ว ยชาวน า ทานที่จ ัด ถวายเปรีย บเหมือ นพืช ผลทานเกิด ขึ้น เพราะ
การถวายไท ยธรรมของท ายก และพระอรหัน ต์เ ป็น ผู้ร ับ พืช คือ ทานที่ห ว่า นลงในบา
ย่อ มเกิด ผลแก่เ ปรตและทายก เปรตทั้ง หลายได้บ ริโ ภคผลทานนั้น ท ายกก็เ จริญ ด้ว ยบ ุญ
ด้ง ข้อ ความว่า
พระอรหัน ต์ท ั้ง หลายเปรีย บด้ว ยนา ท ายกทั้ง ห ลายเปรีย บด้ว ยชาวน า
ไท ยธรรม เป รีย บ ด ้ว ยพ ืช ผล ท าน ย่อ ม เก ิด จาก ก ารบ ริจ าค ไท ยธรรม ข อ ง
ทายกและปฎิค คาหก
พืช ที่บ ุค คลหว่า นลงในนานั้น ย่อ มเกิด ผลแก'เปรตทั้ง หลายและทายกทั้ง หลาย
เปรตทั้ง หลายย่อ มบริโ ภคผลนั้น ท ายกย่อ มเจริญ ด้ว ยบ ุญ . . .
(พระไตรปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๖, ๒๕รา๐: ๑๕๑)
แนวคิด ทั้ง ๓ น ี้ เป็น เหตุใ ห้แ นวคิด ว่า เปรตหมายถึง คนตายไปเกิด ในเปรตวิส ัย มีค วาม
สำคัญ กว่า แนวคิด ว่า เปรตหมายถึง คนตายผู้ล ่ว งสับ ไปสู้โ ลกหน้า ทั้ง นี้เพราะถ้า ไม่ม ีแ นวคิด ทั้ง
ฅ น ี้ เรื่อ งของ “ เปรต” ก็จ ะเป็น เรื่อ งของคนผู้ล ่ว งสับ ตายจากไปสู้โ ลกหน้า เท่า นั้น แต่ท ี่
“โลกหน้า ” ปรากฎชัด เจนจนกลายเป็น “ เปรตวิส ัย ” หรือ “ เปรตโลก” สถานที่อ ยู่ข อง
“ เปรต” ผู้ท ่า กรรมชั่ว ประพฤติท ุจ ริต ผิด คิล ธรรมที่ม นุษ ย์จ ะต้อ งท่า บุญ อุท ิศ ผลทานไปให้
เพราะไต้ร ับ อิท ธิพ ลของแนวคิด ทั้ง ฅ นี้
สรุป แล้ว แนวคิด แรก กล่า วคือ เปรตวิส ัย เป็น โลกหน้า สถานที่ส ัต ว์ผ ู้ท ำกรรม
ชั่ว จะต้อ งไปเกิด แนวคิด สอง กล่า วคือ เปรตหมายถึง ผู้ป ระพฤติผ ิด คืล ธรรมต้อ งใช้ช ีว ิต
อยู่อ ย่า งสำบากอดอยากห ิว โห ย ทั้ง ๒ แนวคิด นี้ม ีผ ลทำให้เกิด แนวคิด สุด ท้า ย กล่า วคือ
การถวายทาบแก'พระสงฆ์เพื่อ อุท ิศ ผลทานไปให้แ ก่ผ ู้ล ่ว งสับ
ทั้ง ต แนวคิด นี้ผ ู้ว ิจ ัย เห็น ว่า เป็น สาเหตุส ำคัญ ที่ท ำให้แ นวคิด ว่า “ เปรต” หมายถึง
คนตายผู้ล ่ว งสับ ไปเกิด ในเปรตวิส ัย เป็น ที่น ่า สนใจมากกว่า แนวคิด ว่า “ เปรต” ห มายถึง
คนตายผู้ล ่ว งสัน จากโลกนี๋ไ ป ดัง จะเห็น ไต้จ ากเมื่อ เกิด แนวคิด ว่า เปรตหมายถึง คนตายผู้
ล ่ว งส ับ ไป เก ิด ใน เป รต วิส ัย แล้ว ไ ด ้เ ก ิด ค ว าม เช ื่อ ว ่า เป ร ต ว ิส ัย เป ็น โ ล ก ห น ้า ท ี, ส ัต ว ์ผ ู้
ประพ ฤติผ ิด คืล ธรรมเมื่อ ตายลงจะต้อ งไป เกิด และมน ุษ ย์จ ะต้อ งท ำบ ุญ ถวายท าน แก1พระ
สงฆ์เพื่อ อุท ิศ ผลบุญ ล่ง ไปให้แ ก,เปรตเมื่อ เราท ราบ ความเป ็น มาของแน วคิด เรื่อ งเป รตตาม
สำดับ แล้ว ต่อ ไปผู้ว ิจ ัย จะขอกล่า วถึง ความเชื่อ เรื่อ งเปรต และผลที่เกิด จากความเชื่อ เรื่อ งเปรต
ความเชื่อ เรื่อ งเปรตในพระไตรปิฎ ก และอรรถกถา ผูว ิจ ัย เห็น ว่า มีป ระเด็น สำคัญ
๓ ประเด็น คือ
๑. ความเชื่อ ว่า เปรต คือ ผู้ต ายไปเกิด ในโลกหน้า ที่เ รีย กว่า “ เปรตวิส ัย ”
ไอ. ความเชื่อ ว่า เปรต คือ ผู้ร ับ ผลกรรมชั่ว อัน เกิด จากประพฤติผ ิด คืล ธรรม
๓. ความเชื่อ ว่า เปรต คือ ผู้ท ี่ม นุษ ย์พ ึง ทำทานอุท ิศ ส่ง ไปให้
ทั้ง ๓ ประเด็น นี้ มีร ายละเอีย ดปลีก ย่อ ยที่น ่า สนใจสืก ษาดัง ต่อ ไปนี้
ก. ความเชื่อ ว่า “ เปรต” คือ ผ้ต ายไปเกิด ในโลกหน้า ที่เรีย กว่า “ เปรตวิส ัย ”
ความเชื่อ ว่า “ เปรต” คือ ผู้ต ายไปเกิด ในโลกหน้า ที่เ รีย กว่า “ เป รตวิส ัย ”
ความเชื่อ ดัง กล่า วนี้ส ะท้อ นให้เห็น ว่า “ เปรตวิส ัย ” เป็น โลกหน้า ที่ส ัต ว์จ ะต้อ งไปเกิด หลัง
จากเลีย ชีว ิต ลง มีห ลัก ฐานปรากฎในพระไตรปิฎ กดัง จะเห็น ได้จ ากข้อ ความว่า
อิธาห0 สารีป ุต ฺต เอกจฺจ ํ ปุค ฺค สํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจ ฺจ ชานามี ตถ ายํ
ปุค ฺค โล ปฎิป นฺโน ตถา จ อิร ิย ติ ตณฺจ มคฺค ํ สมารูโ ฬฺห ยถา กายสฺส
เภท า ปรม.มรถท ปิต ฺต ิว ิส ยํ อุป ปซฺช ีส ฺส ติต ิ ตเมนํ ปสฺส ามิ อปเรน สมเยน
ทิพ .เพน จก.ขุนา วิส ุท ฺเธน อติก ฺก นฺต มานุส เกน กายสฺส เภท า ปรม.มรณา
ปิต ุต ิว ิส ย0 อุป ปนฺน ่ ทุก .ขพหุล า เวทนา เวทิย มาน่. . .
(สุย ามรฎรสุส เตปิฏ กํ เล่ม ที่ ๑ไอ, ๒๕๒๕: ๑๕๑)
แปลว่า
เดิน ทางไปถึง ถ้า หากทำกรรมชั่ว อัน เป็น สาเหตุใ ห้ต ายไปเกิด เป็น เปรตซึ่ง จะได้ก ล่า วถึง ใน
ตอนต่อ ไป
จากที่ก ล่า วมานี้แ สดงให้เห็น ว่า ความเชื่อ เรื่อ ง “ เปรตวิส ัย ” ในชั้น อรรถกถานั้น
หมายถึง โลกหน้า อย่า งหนึ่ง อัน เป็น ที่อ ยู่ข องอมนุษ ย์ผ ู้อ ดอยากหิว โหย จนต้อ งมาร้อ งขอ
แบ่ง ส่ว น บุญ จากมน ุษ ย์ แสดงให้เ ห็น ว่า ในชั้น อรรถกถาได้ย อมรับ กัน ว่า “ เปรดวิส ัย ”
เป็น สถานที่อ ยู่ข องผู้ร ับ ผลกรรมชั่ว อัน เกิด จากประพฤติผ ิด คืล ธรรม
ด้งนั้น ผู้ว ิจ ัย 'จะ'โด้ค ืก ษาความเชื่อ เรื่อ งเปรต ในประเด็น ที่ว ่า เปรต คือ ผู้ร ัน
ผลกรรมชั่ว อัน เกิด จากประพฤติผ ิด คืล ธรรมต่อ ไปตามลำดับ เพื่อ ความเข้า ใจความเชื่อ
เรื่อ งเปรตอย่า งแจ่ม ชัด
ข. ความเชื่อ ว่า “ เปรต” คือ ผู้ร ับ ผลกรรมชั่ว อัน เกิด จากประพฤติผ ิด คืล ธรรม
ความเชื่อ เซ่น นี้ เกิด จากแนวความคิด ที่ว ่า เปรตโลก เป็น สถานที่เ สวยผล
กรรมของคนทำชั่ว ต่า ง ๆ ในพระไตรปิฎ กตอนเปตวัต ถุม ีเ รื่อ งราวของเปรตผู้เ สวยผล
กรรมช ั่ว ป รากฎ อยู่ห ลายเรื่อ ง ยกตัว อย่า งเซ่น นางน้น ฑ าที่ต ายไปเกิด เป็น เปรตเพราะ
เป็น คน ดุร ้า ยห ยาบ คาย ไม่เคารพเชื่อ ฟัง ใคร เมื่อ ตายลงจึง ไปเกิด ในเปรตโลก ด้งข้อ
ความว่า
[น้น ทเสนถามว่า ]
ท ่า น ท ำ ก ร ร ม ช ั่ว อ ะ ไ ร ไ ว ้ด ้ว ย ก าย วาจ า ใจ เพ ร าะ ว ิบ าก แ ห ่ง ก ร ร ม อ ะ ไ ร
ท่า นจึง ไปจากโลกนี้ส ่เปต!ลก
[นางเปรตนั้น ตอบว่า ]
เมื่อ ก่อ นฉัน เป็น หญ ิง ดุร ้า ย ห ยาบ คาย ไม,เคารพท่า น พูด คำชั่ว หยาบกะท่า น
จึง ไปจากโลกนี้ล ่เ ปดโลก.. .
(พระไตรปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๖, ๒๕ฅ ๐: ๑๗๕)
ข้อ ความดัง กล่า วนี้ช ี๋ใ ห้เ ห็น ว่า คนตายไปเกิด เป็น เปรตนั้น เป็น เพราะได้ท ่า
กรรม ช ั่ว เอาไว้แ ต ่เ ม ื่อ ค รั้ง เป ็น ม น ุษ ย์ ดัง น ั้น จึง ต้อ งไปเกิด เป็น เปรตเพื่อ รับ ผลกรรมนั้น
ความเชื่อ ในทำนองนี้ มีป รากฎอยู่ห ลายแห่ง ดังเช่น เรื่อ งที่อ ุบ าสกคนหนึ่ง ไปพบนาง
เปรตเสริน ีน างสารภาพว่า สมัย เป็น มนุษ ย์ม ีค วามตระหนี่ไ ม,เคยทำบุญ เมื่อ ตายลงอดอยาก
หิว โหยจึง ออกปากขอร้อ งให้อ ุบ าสกช่ว ยไปแจ้ง ข่า วให้ม ารดาช่ว ยทำบุญ อุท ิศ ส่ว นกุศ ลมาให้
ดัง ข้อ ความว่า “ สาธูต ิ โส ตสฺส า ปฎิส ุณ ิต ฺว าคนฺต ฺว าน หตฺถ ิน ีป ุร ํ ตสฺส า อโวจ มาดรํ
ธีต า จ เต มยา ทิฎ รา ทุค ฺค ตา ยมโลกิก า ปาปกมุม ' กรีต ุ'วาน เปตโลก่ อิโต
คตา. . .” (สุย ามรฎรสุส เตปิฎ ก0 เล่ม ที่ ๒๖, ๒๕๒๕: ๒๑๗) แปลว่า “ อุบ าสกนั้น รับ
คำของนางเปรตเสรีน ีแ ส้ว กลับ ไปล่ห ัต กิน ีน คร บอกแก่ม ารดาของนางว่า ข้า พเจ้า เห็น
นางเสรีน ีธ ิด าของท่า น เขาตกทุก ข์เกิด ในยมโลก เพราะได้ท ำกรรมชั่ว ไว้ จึง'ไป'จากโลกนี้ล ่
เปดโลก” (พระไตรปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๖, ๒๕๒๕: ๒๑๒)
นอกจากนี้แ ล้ว ในส่ว นของอรรถกถานั้น ความเชื่อ ว่า “ เปรต” คือ ผู้ไ ปเกิด
ในแดนเปรตเพื่อ รับ ผลกรรมชั่ว ปรากฎให้เห็น เด่น ซัด หลายเรื่อ ง เช่น อรรถกถาธรรมบท
มีเ รื่อ งของเปรดที่ม ีร ่า งเป็น งูแ ต่ห ัว เป็น คนลำตัว ยาวถึง ๒๕ โยชน์* ไฟลุก ไหม้ท ่ว มตัว ตั้ง
แต่ห ัว จรดหาง มีเ รื่อ งเล่า ส รุป ความได้ว ่า เคยท ุบ ท ำลายข้า วของเผาบ รรณ ศาลาส ถาน ท ี่
บ ำเพ ็ญ ภาวน าของพ ระป ัจ เจกพ ุท ธเจ้า จึง ถูก คน รุม ป ระชาท ัณ ฑ ์ค รั้น เส ีย ชีว ิต ก็ไ ป เกิด ใน
นรกอเวจีเ มื่อ วิบ ากกรรมเบาบางลงจึง มาเกิด เป็น เปรตร่า งงูเ ชิง เขาคิช ฌ กูฏ ดัง ข้อ ความว่า
“โส อวีจ ิม หิ นิพ ฺพ ตุต ิต ุว า ยาว ายํ ปรวิ โยชนมตุต ํ อุส ุส นฺน า ดาว นิร เย ปจิต วา
๔ รา๗ )
ปก.กาวเสเสน คิช ฺฌ กูเ ฎ อหิเปโต ทุต ฺ,ว า นิพ ฺพ ตฺต ิ [ชายคนนั้น บัง เกิด ในอเวจีน รก ไหม้
ใน นรกจนแผ่น ดิน ห นาขึ้น ราวโยชน์ห นึ่ง จึง บัง เกิด เป็น เปรตงูเ ซิง เขาคิช ฌ กูฏ เพราะวิบ าก
กรรมที่ย ัง เหลือ อยู่] ” (พระพุท ธโฆสาจารย์ ๒๕๓๒ก) และอีก เรื่อ งคือ เรื่อ ง เปรตกาลิ้น ยาว
๕ โยชน์ คืร ษะใหญ่ถ ึง ๙ โยชน์ ร่า งกายสูง ถึง ๒๕ โยชน์ มีเรื่อ งเล่า ประกอบด้ว ยสรุป
ค วาม ได ้ว ่า อ ด ีต ช าต ิเ ค ยข โม ยอ าห ารท ี,ประชาชนนำไปถวายพ ระสงฆ ์ส าวกพ ระกัส สป
สัม มาส้ม พ ุท ธเจ้า ด้ง นั้น เมื่อ ตายลงจึง ไปเกิด เป็น เปรตที,เซิง เขาคิช ฌกูฏ เพื่อ ชดใช้ผ ลกรรม
ด้ง ข้อ ความว่า “ อถสฺส ฝโด อาจิก ฺข นฺโ ต อหํ ภนฺเ ต โมคฺค ล.ลาน กสฺส ปสฺส มเหสิโบ
สง.ฆสฺส าภิห ฏํ ภตฺต ํ อาหเรสึ ยถิจ ฺฉ กนฺด ิ คาถํ วต.วา อาห. . . [ลำดับ นั้น เปรตได้
กราบเรีย นให้ท ่า นพระมหาโมคคัล ลานะนั้น ทราบว่า ช้า แต่ท ่า นโมคคัล ลานะ กระผมเคย
กลืน กิน ภัต ตาหารที่เ ขานำไปเจาะจงถวายสงฆ ์ข องพระกัส สปสัม มาส้ม พุท ธเจ้า จนสมใจ
อยากด้ง นี้แ ล้ว ได้เล่า ต่อ ไปว่า . . .” (พระพุท ธโฆสาจารย์, ๒๕๓๒ก) ความเชื่อ ว่า คนตาย
ไปเกิด เป็น เปรตเพื่อ ชดใช้ก รรมนี้ มีป รากฏในอรรถกถาหลายแห่ง เช่น อรรถกถาธรรมบท
อรรถกถาเปตวัต ถุ
จากข้อ ความด้ง กล่า วมาน ี้ แสดงให้เห็น ว่า “ เปรตวิส ัย ” เป็น สถานที่เ สวยผล
กรรมชั่ว อย่า งเบาที่ส ุด ของสัต ว์ผ ู้ท ำบาป หลัก ฐานในพระไตรปิฎ กและอรรถกถาได้แ สดง
ให้เ ห็น ว่า คนที บาปเมื่อ เสวยกรรมในนรกเสร็จ สิ้น แล้ว พอกรรมเบาบางลงจะเลื่อ นชั้น
'ท ำ
ขึ้น มาเกิด ในเปรตวิส ัย เสีย ก่อ น (ดูว ิท ยานิพ นธ์เ ล่ม นี้ หน้า ๓๔) และคำถามเปรีย บเทีย บ
ระหว่า ง เปรตวิส ัย กับ กำเนิด ดิร ัจ ฉาน (ดูว ิท ยานิพ นธ์เ ล่ม นี้ หน้า ๒๑) จากหลัก ฐานด้ง
กล่า วม าน ี้ แสดงให้เห็น ว่า “ เปรตวิส ัย ” มีค วามสัม พัน ธ์! กส้ช ิด มนุษ ย์ม ากกว่า ทุค ติอ ื่น ๆ
โดยเฉพาะในประเด็น เรื่อ ง “ ผลท าน ” เราจะเห็น ว่า ทานที,มนุษ ย์ใ ห้จ ากโลกนี้จ ะถึง แก1
เปรตเท่า นั้น (ดูว ิท ยานิพ นธ์เ ล่ม นี้ หน้า ๒๙) ด้ง ได้ก ล่า วมาแล้ว ว่า “ท ุค ติ” นั้น มี ๓ อย่า ง
คือ
๑. นรก
๒. กำเนิด สัต ว์ต ิร ัจ ฉาน
๓. เปรตวิส ัย
๑. ม น ุษ ย์
๒. เทวดา
ถ้า นำข้อ มูล ดัง กล่า วนี้ม าเขีย นเป็น แผนภูม ิ “ เปรตวิส ัย ” จะอยู่ต รงกลางระหว่า ง
“ท ุค ติ” กับ “ สุค ติ”
๑. เทวดา
๒. มน ุษ ย์ (สุค ติ ๒)
๓. เปรตวิส ัย (ทุค ติ ๓)
จากแผนภูม ิข ้า งต้น นี้ จะเห็น ว่า “ เปรตวิส ัย ” เป็น ทุค ติอ ย่า งหนึ่ง ที่ผ ู้ป ระพฤติ
ผิด คืล ธรรมเมื่อ ตายลงจะต้อ งไปเกิด เพื่อ ชดใช้ก รรม ความเชื่อ ดัง กล่า วนี้ส ะท้อ นให้เห็น ว่า
“ เปรตวิส ัย ” เป็น แดนเสวยผลบาปของผู้ฑ ำชั่ว ที่ใ ห็โ ทษเบากว่า ทุค ติอ ื่น ๆ อีก ๒ ทุค ติ คือ
กำเนิด ติร ัจ ฉาน และนรก เป็น ที่น ่า สัง เกตว่า “ เปรตวิส ัย ” อยู่ต รงกลางระหว่า ง “ สุค ติ” กับ
“ท ุค ติ” ฉะนั้น จึง มีผ ลทำให้เกิด ความเชื่อ ในประเด็น สุด ท้า ยกล่า วคือ เชื่อ ว่า เปรต เป็น ผู้'ที่
มนุษ ย์พ ึง ทำทานอุท ิศ ล่ง ไปให้ ซึ่ง ผูว ิจ ัย จะไต้ก ล่า วถึง รายละเอีย ดต่อ ไปดามลำดับ
ความเชื่อ ว่า เปรต คือ ผู้ท ี่ม นุษ ย์พ ึง ทำทานส่ง ไปให้ เป็น ความเชื่อ ที่ม ีผ ลสืบ
เนื่อ งมาจากความเชื่อ ๒ ประการดัง กล่า วมาแล้ว จากการคืก ษาข้อ มูล ในพระไตรปิฎ ก
และอรรถกถาแล้ว ไต้พ บความเชื่อ การทำทานอุท ิศ ผลบุญ ให้แ ก่เ ปรตปรากฎอยู่ห ลายแห่ง
ดัง จะเห็น ไต้จ ากเรื่อ งสัง สารโมจกเปรตซึ่ง เป็น เรื่อ งของสตรีผ ู้ต ายไปเกิด เป็น เปรตแล้ว มา
ปรากฎกายขอร้อ งให้พ ระสารีบ ุต รช่ว ยทำทานแก'พระสงฆ์แ ล้ว อุท ิศ ผลบุญ ส่ง ไปให้ ซึ่ง
พระสารีบ ุต รกิร ับ คำและช่ว ยทำทานถวายข้า วนํ้า ผ้า แก่พ ระสงฆ ์ เมื่อ ท่า นอุท ิศ ส่ว นกุศ ล
ไปให้แ ล้ว เปรตได้ร ับ ผลบุญ ก็ห ลุด พ้น จากทุก ข์ท ัน ที ด้ง ข้อ ความว่า
[นางเปรตนั้น ตอบว่า ]
ข้า แด่พ ระผู้เ ป็น เจ้า ดิฉ ัน มีจ ิต เลื่อ มใสจะขอไหว้ฟ าน ข้า แด่ท ่า นผู้แ กล้ว กล้า
มีอ าน ุภ าพ มาก ขอท่า นจงอนุเ คราะห์แ ก่ด ิฉ ัน เถิด ขอท่า นจงให้ท านอย่า ง
ใดอย่า งหนึ่ง แล้ว จงอุท ิศ กุศ ลมาให้ด ิฉ ัน บ้า ง ขอท่า นจงเปลื้อ งดิฉ ัน จากทุค ติ
ด้ว ยเถิด
ท่า นพระสารีบ ุต รผู้ม ีใ จอนุเ คราะห์ รับ คำนางเปรตนั้น แล้ว จึง ถวายข้า วคำหนึ่ง
ผ้า ประมาณ เท่า ฝ่า มือ ผืน หนึ่ง และนํ้า ดื่ม ข้น หนึ่ง แก่ภ ิก ษุท ั้ง หลายแล้ว อุท ิศ
ส่ว นบุญ ไปให้น างเปรตนั้น พอท่า นพ ระสารีบ ุต รเถระอุท ิศ ส่ว นบุญ ไปให ้
ข้า วนั้า และเครื่อ งนุ่ง ห่ม ก็บ ัง เกิด ขึ้น ทัน ที นี้เป็น ผลแห่ง ทัก ษิณ า. . .
(พระไตรปิฎ กภาษาไทย เล่ม ที่ ๒๖, ๒๕๓๐: ๑๖๗)
ในส่ว นของอรรถกถานั้น ความเชื่อ เรื่อ งการทำบุญ ให้ท านเพื่อ อุท ิศ ให้แ ก่เปรตนั้น
มีป รากฏเป็น เรื่อ งเป็น ราวชัด เจนกว่า ในพระไตรปิฎ ก ดัง จะเห็น ได้จ ากอรรถกถาเรื่อ งเขต
ตูป มเปรตในเปตวัต ถุ ม ีก ารน ำเอาคาถา “ เขดฺต ูป มา อรหนุโ ต” เป็น ด้น จากพระไตรปิฎ ก
มาแต่ง พรรณ นาความแสดงให้เ ห็น ผลของการทำบุญ ให้ท านแก,พระสงฆ์ผ ู้เ ป็น เนื้อ นาบุญ
แล้ว เปรตจะได้บ ริโ ภคผลทานนั้น ด้ง ข้อ ความว่า “ ตดฺถ ต0 เปตา ปริภ ุณ ฺช นุต ิ ท ายเกน
เปเต อุท ฺท ิส ฺส ทาเน ทิน ุเน ยถาวุต ฺต เขตฺต กสิพ ีช สมปตฺต ิย า อนุโ มทนาย จ ย0 เปตาน0
อุป กปฺป ติ, ต0 ทานผล0 เปตา ปริภ ุณ ฺซ นุต ิ [บรรดาบทเหล่า นั้น บ าท ค าถาว่า ต0 เปตา
ปริภ ุฌ ฺช นุต ิ ความว่า เมื่อ ทายกถวายทานอุท ิศ ให้เ ปรตแล้ว เปรตทั้ง หลายย่อ มได้บ ริโ ภค
ผลท าน ท ี่ส ำเร็จ แก,เป รตเพ ราะส มบ ัต ิค ือ น าการไถน าและพ ืช ตามท ี่ก ล่า วแล้ว และการ
อนุโ มทนา]” (พระธมมปาละ, ๒๕๓๙ข)
อีก เรื่อ งคือ เรื่อ งนางบัน ฑาที่ต ายไปเกิด เป็น เปรตแล้ว สามีท ำทานล่ง ไปให้จ ึง ได้
รับ ผลบุญ ดัง ข้อ ความว่า “ อหํ นนุท า นบุท ิเสน ภริย า เต ปุเร อหุ0 ปาปกมุม 0 กริต ฺว าน
เปตโลก0 อิโต คตา ดว ทิน ุเนน ทาเนน โมฑามิ อกุโ ตภยา จิร ํ ชีว คหปติ สห สพฺเพหิ
ณ าติภ ิ. . .” (พระธัม มปาละ, ๒๕'ฅฅข) และยัง มีเ รื่อ งราวเกี่ย วกับ การทำบุญ ให้ท านแก่
เปรตปรากฎอยู่ห ลายเรื่อ งในอรรถกถาเปตวัต ถุ ข้อ นี้แ สดงให้เห็น ว่า ความเชื่อ “ การทำ
บุญ ให้ท านแก่เปรต” เป็น ผลสืบ เนื่อ งมาจากความเชื่อ ๒ ประการดัง ได้ก ล่า วมาแล้ว ใน
ประเด็น นี้ ผู้ว ิจ ัย เห็น 'ว่า ความเชื่อ ประเด็น นี้เ กิด ขึ้น เพราะสาเหตุส ำคัญ ๒ ประการ
ประการแรก การรับ เอาคติค วามเชื่อ เรื่อ งการทำบุญ อุท ิศ ให้ผ ู้ล ่ว งลับ ซึ่ง เป็น
ความเชื่อ ของพ ราห มณ ์ม าดัด แป ลงให ้เ ข้า กับ คติท างพ ุท ธโดยเน ้น เรื่อ งการถวายท าน แก,
พระสงฆ์โ ดยยกพระสงฆ์ข ึ้น เป็น เนื้อ นาบุญ ที่ย อดเยี่ย มไม่ม ีน าบุญ อื่น ยิ่ง ไปกว่า
ประการที่ส อง ความสัม พัน ธ์ร ะหว่า งพระกับ ชาวบ้า น การทำทานอุท ิศ
ส่ว นกุศ ลให้แ ก่เปรต นอกจากจะเป็น ผลดีแ ก,ผู้ล ่ว งลับ ไปแล้ว ยัง เป็น ผลดีแ ก,พระสงฆ์ผ ู้
ยัง มีช ีว ิต อยู่ ดัง เป็น ที่ท ราบกัน โดยทั่ว ไปว่า พระสงฆ์ค ือ ผู้ส ละเรือ นออกมาบวชโดยไม่ท ำ
งานอื่น ใด ท่า นเหล่า นื้จ ะยัง ชีพ อยู่ไ ม่ไ ด้ หากไม่ม ีค นถวายสิ่ง ของที่จ ำเป็น แก่ส งฆ์ เราจะ
เห็น ว่า ในการถวายทานตามที่ป รากฏในหลัก ฐานที่ย กมาอ้า งอิง จะมีส ิ่ง ของสำคัญ ต อย่า ง
คือ ข้า ว บา และผ้า ปรากฏอยู่เ สมอ แต่ถ ึง กระนั้น การกล่า วถึง ความเชื่อ เรื่อ งเปรตเพีย ง
๒ อย่า งนื้ก ็ย ัง ไม่อ าจสรุป ภาพที่ช ัด เจนของความเชื่อ เรื่อ งเปรด จึง สมควรทราบความ
เชื่อ เรื่อ งเปรตประการที่ ๓ ต่อไป
จาก ท ี่ก ล่า วมาทั่ง หมด ผูว ิจ ัย เห็น ควรสรุป ว่า ความเชื่อ เรื่อ งเปรต มี ฅ
ประการ
ประการแรก เชื่อ ว่า เปรตวิส ัย คือ โลกหน้า ที่ค นจะต้อ งไปถึง ทั่ง นื้เ พราะอิท ธิ
พลของแนวคิด เรื่อ งคติ ๕
ประการที่ส อง เชื่อ ว่า เปรต คือ ผู้เสวยผลกรรมชั่ว ในเปรตโลก ทั่ง นื้เพราะ
ประพฤติผ ิด คืล ธรรมอัน ดีง ามของมนุษ ย์
และป ระการสุด ท ้า ย เชื่อ ว่า เปรต คือ ผู้ท ี,เสวยผลกรรมชั่ว ในเปรตโลกที่
มนุษ ย์พ ึง ทำทานอุท ิศ ผลบุญ ส่ง ไป ใ ห ้ ทั่ง นี้ เป็น ผล ส ืบ เนื่อ งมาจากความเชื่อ ไอ ประการ
ขางตน
ความเชื่อ ทั่ง ฅ ประการนี้ ได้ส ะท้อ นให้แ นวคิด ว่า “ เปรด” หมายถึง คน ตาย
ไปเกิด ในเปรตวิส ัย ปรากฏชัด เจนกว่า แนวคิด ว่า “ เปรต” หมายถึง คนตายผู้ล ่ว งลับ ไปสู่
โลกหน้า ดังนั้น จึง ส่ง ผลให้ว รรณกรรมเกี่ย ว ก ับ เรื่อ งเปรตในระยะหลัง อธิบ ายเรื่อ ง
เปรตในแนวคิด ว่า เปรตหมายถึง คนตายไปเกิด ในเปรตวิส ัย ม าก ก ว่า จะอธิบ ายตาม แน ว
คิด ว่า เป รตห มายถึง คน ตายผู้ล ่ว ง ลับ ไปสู่โ ลกหน้า และมีผ ลให้เกิด พิธ ีก รรม และประเพณี
ต่า ง ๆ เกี่ย วกับ เปรต ดัง จะได้ก ล่า วถึง ต่อ ไปใน บ ฑ ท ี่ ๔
เมื่อ เราทราบความเชื่อ เรื่อ งเปรตในพระไตรปิฎ กโดย ล ำ ด ับ แล้ว ประเด็น ที่
น่า คืก ษาต่อ ไปคือ สาเหตุท ี่เ กิด เป็น เปรต
สาเหตุที่เกิดเป็นเปรต
แปลว่า
พระผู้ม ีพ ระภาคเจ้าตรัสด้งนี้ว่า
กถณฺจ จุนฺฑ ติวิธํ กาเยน อโสเจยฺยํ โหติ อิธ จุนฺฑ เอกจฺโจ ปาณาติปาตี
โหติ ลุทฺโธ โลหิตปาณี หตปหเต นิวิฎโร อฑยาปนฺโน ปาณภูเตสุ
อทินฺนาทายี โหติ ยนฺตํ ปรสฺส ปรวิตฺตูปกรณํ คามคตํ วา อรฌฺณคตํ วา
อทินฺน0 เถยฺยสงขาตํ อาทาตา โหติ กาเมสุ มิจฺฉาจารี โหติ ยา ตา
มาตุรกฺขิตา ปีตุรกฺขิตา ภาตุรกฺขิตา ภคินิรกฺขิตา ณาติรกฺขิตา ธมม-รก|ขิตา
สสามิกา สปริทณฺฑา อนุตมโส มาลาคุณปริกฺขิตาปี ตถารูปาสุ จาริตฺดํ
อาปชฺชิตา โหติ เอวํ จุนุท ติวิธํ กาเยน อโสเจยฺยํ โหด ฯ
กถณฺจ จุนุฑ จตุพพิธํ วาจาย อโสเจยฺยํ โหติ อิธ จุนุท เอกจฺโจ มุสาวาที
โหติ สภคฺคโด วา ปริสคฺคโต วา ณาติมชฺฌคฺคโด วา ปูคมชฺฌคฺคโต วา
ราชกุลมชฺฌคฺคโต วา อภินีโต สกฺขึ ปุฎโร เอหิ โภ ปริส ยํ ซานาสิ ตํ
วเทหีติ โส อชานํ วา อาห ชานามีติ ชานํ วา อาห น ชานามีติ อปสฺส0
วา อาห ปสฺสามีติ ปสฺสํ วา อาห น ปสฺสามีติ อิติ อตฺตเหตุ วา ปรเหตุ
วา อามิสกิณฺจิกฺขเหตุ วา สมป'ซานมุสา ภาสิตา โหติ ปีสุณวาโจ โหติ อิโต
สุตฺวา อมุตฺร อก.ขาตา อีเมสํ เภทาย อมุตร วา สุดุ'วา อีเมสํ อกขาตา
อมูสํ ๓ทาย อีติ สมคฺคานํ วา เภดฺตา ภินุนาน0 วา อนุปฺปทาตา วคฺคาราโม
วคฺครโต วคฺคนนุทิ วคฺคกรณึ วาจ0 ภาสิตา โหติ ผรุสวาโจ โหติ ยา สา
วาจา อณุฑกา กกุกสา ปรกภูกา ปราภิสชฺซนี โก!Îสาม'นุ'ตา อสมาธิ-
ส*วตฺตนิกา ดถารูปี วาจํ ภาสิดา โหติ สมผปฺปลาปี โหติ อกาลวาที อภูตวาที
อนตฺถวาที อธมฺมวาที อวินยวาที อนิธานวตึ วาจํ ภาสิดา โหดิ อกาเลน
อนปเฑสํ อปริยนุต'วสี อนตฺถสณุหิต0 เอว0โข จุน:ท จตุพพิธํ วาจาย อโสเจยฺย0
โหติ ฯ
กถฌฺจ จุน:ท ติวิธํ มนสา อโสเจยฺยํ โหติ อิธ จุนฺฑ เอกจุ!จ อภิชฺฌาลุ
โหติ ยนุต0 ปรสฺส ปรวิตฺตูปกรถ] ต0 อภิซฺฌิตา โหติ อโห วต ย0 ปรสส
ด0 มม อสุสาติ พฺยาปนุนจิตฺโต โหติ ปทุฎรมนสงฺกปฺโป อิเม สตฺตา หณฺณนุตุ
วา ภิชฺชนุตุ วา อุจฺฉิซฺชนุตุ วา วินสุสบุตุ วา มา วา อเหสุนุติ มิจฺฉาทีฎริโก
โหติ วิปริตฺตฑสุสโน นตฺถิ ทีนุนํ นตฺถิ ยิฎรํ นตฺถิ หุต0 นตฺถิ สุกตทุกุกตาน0
กมฺมาน0 ผล0 วิปาโก นตฺถิ อย0 โลโกนตฺถิ ปโรโลโก นตฺถิมาตา นตฺถิ ปิตา
นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา นตฺถิ โลเก สมณพฺราหุมณา สมฺมคฺคตา
สมมาปฎิปนุนา เย อิมณฺจ โลก0 ปรณจุ โลก0 สย0 อภิณุณา สจฺฉิกตฺวา
ปเวเทนุตีติ เอว0 โข จุบุฑ ติวิธํ มนสา อโสเจยฺย0 โหติ ฯ อิเม โข จุบุฑ
ฑส อกุสลกมฺมปถา...
(สุยามรฎรสุส เตปิฎก0 เล่มที่ ๒๔, ๒๔๒๔: ๒๘๔-๒๘๖)
แปลว่า
[พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า]
แปลว่า
ข้อความด้งกล่าวนี้ สัมพันธ์กับข้อความที่พระพุทธเจ้าเองได้ตรัสอธิบายไว้
สรุปใจความได้ว่า เพราะอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ อย่างมาร่วมกัน จึงปรากฏนรก กำเนิด
ติรัจฉาน และแดนเปรต ดังข้อความว่า “.. .อิเมสํ ปน จุน/ท ทสนฺน0อกุสลานํ กมฺมปถานํ
สมนฺนาคมนเหตุ นิรโย ปณฺณายติ ติรจฺฉานโยนิ ปณฺณายติ ปิตุติวิสโย ปณฺณายติ ยา
วา ปนณฺณาปิ กาจิ ทุคฺคติ โหติ” (สุยามรฎรสุส เตปิฎกํ เล่มที่ ๒๔, ๒๒๒๒: ๒๘๗)
แปลว่า “. . .ดูก่อนจุนทะ ก็เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้
นรกจึงปรากฏ กำเนิดดิรัจฉานจึงปรากฎ เปรตวิสัยจึงปรากฎ หรือว่าทุคดิอย่างใดอย่าง
หนึ่งแม้อื่นจึงมี” (พระไดรปิฎกภาษาไทย เล่มที่ ๒๔, ๒๔๓๐: ๓๒๙)
จากข้อมูลข้างด้น เราอาจวิเคราะห์สาเหตุที่เกิดเป็นเปรตได้ ๓ ประเด็น
๑. บาปทางกาย
๒. บาปทางวาจา
๓. บาปทางใจ
การวิเคราะห์ประเด็นทั้ง ๓ นี้ ผูวิจัยจะไข้แหล่งข้อมูลในพระไตรปิฎก ๒
แห่งคือ “มหาวิภังค์” และ “เปตวัตถุ” การที่ผูวิจัยไม่นำข้อมูลจาก “สักขณสังยุตต์” มา
ไข้วิจัยเพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลเกี่ยวกับเปรตในมหาวิภังค์ และสักขณสังยุตด้
เป็นข้อมูลเดียวกัน ต่างกันตรงที่รูปแบบในการนำเสนอเท่านั้น
ก. บาปทางกาย
นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีเรืองพระโมคคัลลานะพบเปรตชิ้นเนี้อลอยฟ้าซึ่ง
พระพุทธเจ้าก็ตรัสพยากรณ์ว่า เปรตตนนี้เคยเกิดเป็นคนฆ่านก ด้งข้อความว่า “. . .เอโส
ภิกฺขเว สตฺโต อิมสุมึเยว ราชคเห สากุณ์โก อโหสิ. . .” (สุยามรฎรสุส เตปิฎก0 เล่มที่
๑, ๒๔๒๔: ๒๑๓)
อีกแหล่งข้อมูลคือ เปตวัตถุ จากการคืกษาข้อมูลแล้วสรุปประเด็นได้ว่า ใน
เปตวัตถุนั้น มีเรื่องของคนตายไปเกิดเป็นเปรตเพราะบาปทางกายน้อยมาก ด้งจะเห็นได้
จากเนื้อหาของเปตวัตถุซีงแบ่งออกเป็นวรรคใหญ่ ๆ ถึง ๔ วรรค คือ อุรควรรค อุพพรั-
วรรค จูฬวรรค และมหาวรรค มีเรื่องของเปรตรวมสันทั้งสิ้น ๔๑ เรื่อง มากกว่าเรื่อง
เปรตในมหาวิภังค์ถึง ๓๐ เรื่อง แต่กลับมีเรื่องราวของคนผู้ตายไปเกิดเป็นเปรตเพราะท่า
บาปทางกายน้อยมากไม่ถึง ๑๐ เรื่อง เช่น เรื่องเปรตพรานเนื้อ ๒ เรื่อง ซึ่งสรุปความได้
ว่าสาเหตุที่เกิดเป็นเปรตเพราะเคยเป็นพรานล่าเนื้อ ด้งข้อความว่า
นรนารัปุรก.ขโต ยุวา
รชนีเย กามคุเณหิ โสภสิ
ทิวสํ อนุโภสิ การณ0
ก อกาสิ ปุริมาย ชาติยาติ ฯ
[พระนารทเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า]
[เปรตนั้นตอบว่า]
แปลว่า
[พระนารทเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า]
[เปรตนี้นตอบว่า]
ค. บาปทางใจ
ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญของการไปเกิดเป็นเปรต ผู้วิจัยคืกษาข้อมูลโดย
ละเอียดแล้วได้พบว่า สาเหตุที,คนตายไปเกิดเป็นเปรตนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการทำ
บาปทางใจทั้งสิน ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไปตามลำดับ เพื่อความชัดเจนถึง
สาเหตุของการไปเกิดเป็นเปรตเพราะทำบาปทางใจ
บาปทางใจที่เห็นไต้ชัดเจนคือ “ความตระหนี่” เรื่องราวของเปรตซึ่งปรากฎ
ในเปตวัตถุทั้งหมดมีประเด็นสำคัญร่วมกันอย่างหนึ่งที่บอกให้ผู้อ่านทราบว่า ผู้ที่มีความ
ตระหนี่หวงแหนทรัพย์สิน ไม่มีนํ้าใจ คือผู้ที่ดายไปเกิดเป็นเปรตทั้งนั้น และความ
ตระหนี่นี้เองที่ทำให้เกิดการทำบาปอื่น ๆ เซ่น ตำหนิติเตียนคนทำบุญทำทาน ไม่เชื่อ
เรื่องผลแห่งการให้ทานว่าจะมีผลแก'ผู้อื่น และยังรวมไปถึงการไม่เชื่อกฎแห่งกรรมใน
ประเด็นที่ว่า “ทำดีไต้ดี ทำชั่วไต้ชั่ว”
บ าป ท าง ใจ ฅ อ ย ่า ง ค ือ โล ภ ะ โล ภ อ ย า ก ไ ด ไ ม ่ส ิ้น ส ุด โท ส ะ ค ว า ม อ า ฆ า ต
พ ย า บ า ท แ ล ะ โม ห ะ ค ว า ม ห ล ง ผ ิด เช ื่อ ว ่า ท ำ ท า น แ ล ้ว ท า น ไ ม ่ม ีผ ล เป ็น ต ้น ป ร ะ เด ็น ท ั้ง ๓
ล ้ว น เป ็น ส า เห ต ุส ำ ค ัญ ท ี่ต า ย ไ ป เก ิด เป ็น เป ร ต ด ้ว ย ก ัน ท ั้ง ส ิ้น ห า ก พ ิจ า ร ณ า บ า ป ท า ง ใจ ท ั้ง ๓
นีแ้ ล ้ว จะเห็นว่า โลภะ และโมหะ คือสาเหตุโดยตรงที่ทำให้ดายไปเกิดเป็นเปรต
การที่กล่าวเซ่นนี้เพราะโทสะเป็นสาเหตุให้เสวยผลกรรมใน “นรก” ต ่อ เ ม ื่อ
วิบากกรรมเบาบางลงจึงเลื่อนชั้นขึ้นไปเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมที่ยังเหลือ ใ น ข ณ ะ ท ี่
“ โ ล ภ ะ ” ความอยากไดไ ม ่สิ้นสุดจนเกิดความตระหนี่ และ “โมหะ” ความหลงผ ิด ไ ม ่เ ช ื่อ
ก็ไม่ยอมทำเพราะมีความตระหนี่หวงแหนทร้พย์สมยัดเมื่อตายลงจึงไปเกิดเป็นเปรตอดอยาก
หิวโหย ดังข้อความว่า
อิทธิพลความเชื่อเรื่องเปรตที่มีต่อพิธีกรรม และประเพณีไทย
ประเพณีสำคัญของไทย แต่ส่วนใหญ่จะประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างคนรุ่นเก่าก่อนเท่านั้น
น้อยรายที่จะทราบถึงสาเหตุที่ต้องประกอบพิธีกรรม และประเพณี อนึ่ง พิธีกรรม แ ล ะ
ประเพณีด่าง ๆ นั้น บางอย่างมีความเชื่อเรื่องเปรตแทรกอยู่กิมี บางอย่างเป็นเรื่อง
ของงานสนุกสนานรื่นเริงเพียงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับเรื่องเปรตก็มี เฉพาะในประเด็นที่
ความเชื่อเรื่องเปรตมีอิทธิพลเกี่ยวข้องอยู่ด้วย มีสาระสำคัญน่าสนใจศึกษาอย่างยิ่ง
ดังนั้น ในที่นี้ผู้วิจัยจะศึกษาเฉพาะในส่วนที่ความเชื่อเรื่องเปรตมีส่วนสัมพันธ์
เกี่ยวข้องเท่านั้น เพื่อจะได้ทราบถึงความเชื่อที่แทรกอยู่ในพิธีกรรม และประเพณีนั้น ๆ
ประเด็นที่ศึกษาเหล่านี้ จะทำให้ยอมรับ และเข้าใจพิธีกรรม และประเพณีต่าง ๆ ของ
ไทยได้ดีข ึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องเปรต สาเหตุที่
บรรพบุรุษยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาโดยมีวัตถุประสงค์อย่างเด่นชัด เนื่องจากว่าความ
เชื่อเรื่องเปรตมีส่วนสัมพันธ์กับพิธีกรรม และประเพณีไทยหลายอย่าง ด้งนั้น ผู้วิจัยจะ
เ ล ือ ก ศึกษาบางประเด็นเท่านั้น ในส่วนของพิธีกรรม ได้แก่ พิธีท่าบุญอุทิศส่วนกุศลใ ห ้ผู้
พระพุทธศาสนาให้ท่านมีพละกำลังทำงานเผยแผ่สั่งสอนพระพุทธศาสนาต่อไปโดยไม่
ต้องเหน็ดเหนื่อยในการประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงชีพ
อาศัยเหตุผลดังกล่าวมานี้ เมื่อมีพิธีกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้วายช น ม ์แล้ว
จึงนิยมจัดให้มีพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายรวมอยู่ด้วยเสมอ ดังจะเห็นไต้ว่าหลังจาก
จัดการเกี่ยวกับศพเสร็จเรียบร้อย ต่อจากนั่นจึงม ีพ ิธ ีท ำ บุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ ว ัน อ ัน
เ ป ็น ที่เช้าใจตรงกันว่า เพื่อเป็นการแผ่ส่วนกุศลไปให้แก,ผู้ตาย
บางครั้งก็จัดให้มีการทำบุญตรงกับวันครบรอบปีของผู้ดายเป็นประจำฑกปี
ถ้าหากไม่มีทำบุญครบรอบวันดาย ก็อาจมีพิธีทำบุญกระดูกในวันสงกรานต์เป็นด้น หรือ
วันอื่น ๆ ตามความสะดวกของญาติมิตร ทั้งนี้ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว สุดแท้แต่ความ
สะดวกของผู้ประสงค์จะทำบุญ การทำบุญอุทิศให้ผู้ดายนี้ มีหลายวิธีด้วยกับ เช่น
การนิมนต์พระสวดมนต์เย็นฉันเช้า หรือเทศน์แล้วบังสุกุลเท่าอายุผู้ดาย หรือที่นิยมกัน
มากในปัจจุบัน คือ การทำสังฆทาน ถวายทานแก่พระสงฆ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปให้
โดยจัดเตรียมของที่จำเป็นถวายแก่พระสงฆ์ เช่น ข้าว โท ผ้าสบง หรือไตรจีวรสุดแท้แต่
กำลังทรัพย์ และจิตศรัทธา นำไปถวายพระตามวัดใดวัดหนึ่งโดยไม่ตั้งจิตถวายจำเพาะ
เจาะจงเป็นพิเศษ
พิธีถวายสังฆทานนี้ เชื่อกันว่าผู้วายชนม์จะได้รันผลบุญกุศลม า ก ก ว ่า ถ ว า ย
เจ า ะ จ ง แ ก ' พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ทั้งนี้ ผู้วิจัยเห็นว่าน่าจะมีสาเหดุเนื่องม า จ า ก ค ว า ม ที่
ค น ส ่ว น ใ ห ญ ่ยังยึดติด “ตัวบุคคล” เลื่อมใสศรัทธาใครแล้วก็ยึดมั่นอยู่เฉพาะผ ู้น ั้บ ผู้เดียว
เ ป ร ีย บ เทียบกับสงฆ์ส่วนใหญ่ที่ไม,มีผู้หนึ่งผู้ใดเลื่อมใสศรัทธาโดยเฉพาะ เลี้ยงชีพอยูด ่ ้ว ย
บ ิณ ฑ บ า ต เพียงอย่างเดียวจึงมีความเป็นอยู่ป็ดเคืองเพราะช้อนี้พระพุทธเจ้าจึงต ร ัส ไว้เ ส ม อ ว ่า
ก า ร ท ำ ท า น ถวายพระสงฆ์โดยไม่จำเพาะเจาะจง ได้รับบุญญานิสงส์มาก
คตินิยมว่าด้วยการกรวดนํ้า
หากจะผิดก็คือผิดจารีตประเพณีแบบแผนที่ท่านผู้รู้เก่าก่อนประพฤติปฎิปัตสืบทอดกับมา
และอาจทำให้คิดได้ว่า ไม,เต็มใจทำทาน แด่ถ้าหากว่ากรวดนํ้าแล้วจะแสดงให้เห็นว่ามี
ความตั้งใจเสียสละทานนั้น ซึ่งย่อมมีอานิสงส์ผลบุญมาก อีกประการหนึ่ง ในเวลาถวาย
ทาน ถ้าได้กรวดนา คนอื่นจะตำหนิติเตียนไม่ได้ว่าไม่เต็มใจทำทาน ถ้าจะมีคนตำหนิ ก็
จะไม่ได้อาหารพอเลี้ยงตัวรอดทุกภพทุกชาติเหมือนซัมพุกะ* เพราะฉะนั้น การกรวดนั้า
จึงเป็นข้อกำหนดอย่างหนึ่งของการให้ทาน ด้งข้อความว่า “ทานกาเล อุทกปาดน่ นาม
จตุพพิธํ ทกฺข้โณฑกํ อุฑฺทิสฺโสทกํ ปฎรโนฑกํ สก/ขิโณฑกนฺติ” (สมเด็จพระวันรัตน,
๒<£'๒๑)
จากที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่า คตินิยมเรื่องการกรวดนั้า มีอิทธิพลความเชื่อ
เรื่องเปรตแทรกอยู่ด้วย ด้งนั้น ในเวลาทำบุญกุศลด่าง ๆ ชาวไทยจึงนิยมกรวดนั้าเสมอ
บอกจากนี้แล้ว ยังมีเรื่องของการ “แผ่ส่วนบุญกุศล” ไป'ให้ผู้ที่เ'ราตั้งใจ ทั้งนี้ เกิดจาก
ความเชื่อการทำบุญทางพุทธศาสนาที่เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ”**
*'ซัมพุกะ พระอรหันต์รูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล อดีตชาติเคยเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดมี
เศรษฐีคนหนึ่งอุปถัมภ์ต่อมาเศรษฐีคนนั้นเกิดศรัทธาเลื่อมใสพระรูปหนึ่งที่มาขอพักอยู่ด้วย
เพราะความริษยาข้มพุกะจึงด่าพระรูปนั้นด้วยคำพูดหยาบคายเช่น กินขี้ยังตีกว่ากินข้าว
ในเรือนของเศรษฐี เปลือยกายเดินย ัง ตีกว่าน ุ่ง ห่มผ้าในเรือนของเศรษฐี เนื่องจากพระที่
มาขอพักอยู่ด้วยเป็นพระอรหันต์ข้มพุกะจึงได้รับบาปมากพอมรณภาพก็ไปเกิดในนรกอเวจี
เมื่อกรรมเบาบางลง ในชาติสุดท้ายได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เขารับประทานอาหารอื่นไม,
ได้นอกจากอุจจาระเท่านั้น เปลือยกายหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อว่ากินลมเป็นอาหาร คน
ใน ๒ แควันใหญ่สมัยพุทธกาลคือ อ ัง คะ และมคธ เคารพนับถือมาก สุดท้ายพระพุทธเจ้า
ทรงแสดงฤฑธิ้เทศน่โปรดจนได้เป็นพระอรหันต์ สรุปความจากเรื่อง ข้มพุกาชีวก ใน
ธัมมปท้ฎฐกถา ภาค รา หน้า ๑๔๓-๑๕รา [ผูวิจัย]
**บุญกิริยาวัตถุ สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ, เรื่องที่จัดเป็นการทำบุญ, ทางทำความดี,
หมวด ๓ คือ ๑. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้ ๒. คืลมัย ทำบุญด้วยการรักษาคืลและ
ประพฤติตี ๓. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา; หมวด ๑๐ คือ ๑. ทานมัย ๒. คืลมัย
๓. ภาวนามัย ๔. อปจายนมัย ด้วยการประพฤติอ่อนน้อม ๔. เวยยาวัจจมัย ด้วยการ
ช่วยขวนขวายรับใช้๖. ปดติทานมัย ด้วยการเฉลี่ยส่วนความตีให้ผู้อื่น ๗. ปัดตานุโมทนาท้ย
ด้วยความยินดีศวามดีของผู้อื่น ๘. ธัมมัสสวนมัย ด้วยการฟังธรรม ๑๐. ทิฎรุชุกัมม์
ด้วยการทำความเห็นให้ตรง (พระราชวรมุนิ, ๒๔๒๗: ๑๓๘)
การแผ่ส่วนบุญ จัดเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง เรียกว่า “ปัตติทาน” ซึ่งนิยม
ทำพร้อมกับการอนุโมทนาส่วนบุญ ที่เรียกว่า “ปัดตานุโมทนา” ทั้ง ๒ อย่างนี้จัดเป ็น
ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อเรื่องเปรต ดังจะเห็นได้จากข้อความที่ปรากฏใ น
มังคสัตถทีปนิสรุปความ'ได้'ง่า ฉะนั้นกุลบุตรเมื่อจะสั่งสมการทำบุญที่ชื่อว่าปัตติทาน และ
จะให้เกิดการทำบุญที่ชื่อว่าปัดดานุโมทนาแก่คนอื่น ๆ จึงสมควรทำทานอุทิคIั ห ้ผ ู้ส ่วงล ับ
หรือมิฉะนั้นหลังจากทำบุญบางอย่างตามปกติแล้วสมควรแผ่ส่วนบุญให้คนอื่น ๆ ดังข้อ
ความว่า
(พระสิริมังคลาจารย์, ๒๕'๒๘)
แปลว่า
ประเพณีสงกรานต์
ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีของไทยอย่างหนึ่งที,มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า
ความเชื่อเรื่องเปรตมีส่วนสัมพันธ์อยู่ด้วย ด้งจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป
ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีที่ขาวไทยจัดกันเป็นประจำ ปัจจุบันรัฐบาล
ได้ประกาศให้วันที่ ๑๒-๑๓-๑๔ เดือนเมษายนของทุกปี เป็นวันหยุดเนื่องในเทศกาล
สงกรานต์
ว ัน สงกรานต์นี้ ถือกันว่าเป็นวันปีใหม่ของไทยมาแต่โบราณกาล ฉ ะ น ั้น จึงมี
เ ป ็น การสร้างกุศลอย่างหนึ่งให้เกิดมีแก่ตนเองและอุทิศกุศลผลบุญให้ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ
การทำบุญตักบาตรนี้ นิยมเตรียมการไว้ล่วงหน้า พอรุ่งเช้าก็พากันน้า
อาหารไปตักบาตรถวายพระภิกษุที่ศาลาวัด ซึ่งทางวัดจัดให้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทำบุญ
ในวันดังกล่าวนี้ นิยมก่อพระทราย ขนทรายเช้าวัด อันเกิดจากคติความเชื่อว่าก้อนกรวด
ก้อนทรายในวัดเป็นสมปดของสงฆ์อย่างหนึ่ง อาจติดฝ่าเท้าหรือรองเท้าของผู้เข้าวัดทำ
บุญขณะเดินกลับบ้าน เมื่อเสียชีวิตแล้วจะไปเกิดเป็นเปรตเพราะถือว่าเป็นการลักของ
สงฆ์โดยไม่เจตนา ดังนั้นจึงมีประเพณีขนทรายเข้าวัดที่ยึดถือปฏิบัติสืบมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากพิธีกรรมดังกล่าวแล้ว ยังมีประเพณีบังสุกุลอิฐญาติผู้!หญ1 เพื่อ
อุทิศส่วนกุศลส่งไปให้ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เสฐียรโกเศศ (๒๕๑๕) ได้
อธิบายไว้ว่า
นอกจากปล่อยนกปล่อยปลาในวันสงกรานต์ ยังมีประเพณีบังสุกุลอิฐ
ญาติผู้ใหญ่ การบังสุกุลนั้นทำแต่ครั้งเดียว จะทำในวันสงกรานต์วันไหน
แ ล ้ว แต่จะสมัครและนัดหมายกัน โดยมากมักทำในวันสรงนั้าพระ หรือไ ม ่ก็
ประเพณีสารทไทย
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ความเชื่อเรื่องเปรตมีผลเกิดขึ้นแก,ประเพณี
ไทยอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า “ประเพณีสารทไทย” โดยตรง เกี่ยวกับประเพณีนี้มีราย
ละเอียดประเด็นสำคัญที่น่าสนใจดีกษาตังนี้
มีหลักฐานปรากฏแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อเรื่องเปรตมีสํวนเกี่ยวข้องกับ
ประเพณีสารทไทยมาเป็นเวลาข้านานแล้ว จะเห็นว่าในเดือน ๑๐ ไทย ประมาณเดือน
กันยายนหรือตุลาคม ทั่วทุกภาคของประเทศได้จัด “ประเพณีสารทไทย” กันเป็นประจำ
ทุกปี ในประเพณีตังกล่าว มีการทำบ ุญ อุทิศส่วนกุศลให้แก' “เปรต” ผู้ล่วงลับไปเกิดใน
เปรตวิสัย ปรากฎเป็นหลักฐานชัดเจน ตังข้อความว่า
ประเพณีทำบุญวันสารท คือประเพณีทำบุญอุทิศให้แก'เปดชนผู้ที่ล่วงลับ
ไปแล้ว นับเป็นประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวภาคใต้ที่นับถือพระพุทธ
ศาสนา ซึ่งไต้กระทำกันมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันนี้ การกระทำนั้น
นิยมทำกัน ๒ ครั้ง คือครั้งแรกกำหนดเอาวันแรม ๑ คา เดือน ๑๐ เป็นวันรับ
และวันแรม ๑๕ ค์า เดือน ๑๐ เป็นวันส่ง
ประเพณีทำบุญวันสารทของชาวภาคใต้นั้น โดยมุ่งหมายก็เพี่อจัดทำบุญ
อุทิศผลส่งไปให้แก'เปตชนทั้งหลายผู้ล่วงลับไปแล้ว ท่านเหล่านั้นจะไป
ส่สุคติหรือทุคติ ขึ้นอยู่กับผลบุญกรรมของแต่ละท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้ท
ตายไปแล้วจำพวกที่ทำกรรมดีก็ไต้เสวยสุข ผู้ที่ทำกรรม'ไม่ดีก็'ไต้เสวยทุกข์...
จากข้อความด้งกล่าวมา จะเห็นว่า ท่านผู้รู้ท ุก ท่านอธิบ ายเกี่ยวกับ
“ประเพณีสารทไทย” ไว้เหมือนกันว่า มืจุดประสงค์เดียวกัน คือท่าบุญอุทิศส่วนกุศลให้
แก,ญาติผู้ล่วงลับไปเกิดเป็นเปรตในเปรตโลก ข้อนี้แสดงว่า ความเชื่อเรื่องเปรตมีส่วน
สัมพันธ์กับ “ประเพณีสารทไทย” จนท่าให้เกิดมีความเชื่อเรื่องการท่าบุญอุทิศผลทาบ
ให้แก,เปรตแทรกอยู่ในประเพณีดังกล่าวอย่างเด่นชัด
ดังนั้น ผู้วิจัย เห็นควรสรุปว่า อิทธิพลความเชื่อเรื่องเปรตมีผลต่อประเพณี
สารทไทยจนท่าให้เกิดมีพิธีท่าบุญอุทิศส่วนกุศลล่งไปให้แก'เปรตปรากฎอยูในประเพณี
ดังกล่าวมาตามลำดับ
จากที,กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่า อิทธิพลความเชื่อเรื่องเปรตมีล่วนเกี่ยวข้อง
กับพิธีกรรม ประเพณี คตินิยมด่าง ๆ ของไทยไม่น้อย ที่เป็นเซ่นนี้ ผู้วิจัยเห็นควร
สรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
๑. ความเชื่อเรื่องเปรต สะท้อนให้เห็นถึงคุณธรรมข้อ “กดัญณู” จะเห็นว่า
พิธีกรรม ประเพณี คตินิยมด่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเปรตนั้น เป็นเรื่องของการตอบแทนบุญ
คุณทั้งสิบ
๒. ความเชื่อเรื่องเปรต สะท้อนให้เห็นถึง “ความเกรงกลัวบาป” อย่างเด่นชัด
การท่าบุญให้ทาบเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อเรื่องโลกหน้า การเวียนว่ายดายเกิด
การที่คนท่าบุญให้ทานในพิธีกรรม และประเพณีต่าง ๆ เพราะมีความเชื่อเรื่องโลกหน้า แฝงอยู่
และกลัวว่าจะต้องตายไปเกิดเป็นเปรตชดใช้ผลกรรมชั่ว
รา. ความเชื่อเรื่องเปรต สะท้อนให้เห็นถึง “ผลแห่งการบูชา” จะเห็นว่ามีการ
นำไทยธรรมมาถวายแก,พระสงฆ์เพื่ออุทิศผลบุญไปให้แก,เปรต ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า การ
บูชาท่าบุญแก,พระสงฆ์มีผลานิสงส์มาก ดังนั้น ความเชื่อว่าพระสงฆ์คือผู้ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบจึงเป็นเหตุลํ0คัญให้ถวายทานท่าบุญแก,พระสงฆ์ เพื่อผู้ล่วงลับไปจะได้รับผล
บุญโดยเร็วพลัน
๔. ความเชื่อเรื่องเปรต สะท้อนให้เห็นถึง “นี้าใจ” เราจะเห็นว่า การที่คน
ไทยส่วนใหญ่มีนี้าใจช่วยเหลือเอื้อเพิอเผื่อแผ่เพราะหวังอยู่ว่าผลแห่งความมีนี้าใจ จะท่า
ให็ไม่ตกทุกขํใดัยาก และเปรตที่ล่วงลับไปแล้วที่เชื่อกันว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรประเภทหนึ่ง
กิจะไม่มาหลอกหลอนรบกวนสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายด้วยว่าได้รับผลบุญที่อุทิศให้แล้ว
๕. ความเชื่อ เรื่อ งเปรต สะท้อ นให้เห็น “ สายสัม พัน ธ์’’ ระหว่า งวงศาคณ าญ าติ
และวัด กับ บ้า น จะเห็น ว่า พิธ ีก รรม ประเพณี คติน ิย มต่า ง ๆ ที่เกิด ขึ้น นั้น มีผ ลทำให้
“ ความสัม พัน ธ์” ระหว่า งญาติ และวัด กับ บ้า นแน่น แฟ้น ยิ่ง ขึ้น เช่น ลูก ก็ค ิด ถึง พ ่อ แม่ผ ู้
ล่ว งสับ จึง ไปวัด ทำบุญ เพื่อ อุท ิศ ส่ว นกุศ ลส่ง ไปให้ พระสงฆ์ก ็ไ ด้อ าศัย จตุป ัจ จัย ไทยธรรม
ที่ช าวบ้า นนำมาถวายไปใช่ใ นการเผยแผ่พ ระธรรมคำสอนเพื่อ สอนให้ค นในสัง คมเป็น คน
ดีม ีน ั้า ใจเสีย สละไม,ลืม ญ าติพ ี่น ้อ งผู้ม ีพ ระคุณ
๖. ความเชื่อ เรื่อ งเปรด สะท้อ นให้เห็น “ สัน ติส ุข ” ในสัง คม จะเห็น ว่า การ
อยู่ร ่ว มกัน ในสัง คมใหญ่ ๆ อาจมีป ัญ ห ากระท บ กระท ั่ง เกิด ขึ้น จากการพ ูด จา ความ
อิจ ฉาริษ ยาหวงแหนตระหนี่ เอารัด เอาเปรีย บโดยไม่ช อบธรรม แต่ค วามเชื่อ เรื่อ งเปรด
สามารถทำให้ส ัง คมสงบสุข ร่ม เย็น ได้ พิธ ีก รรม คติน ิย ม ประเพณีต ่า ง ๆ ที่เ กี่ย วกับ
ค ว าม เช ื่อ ด ัง ก ล ่า ว ล้ว น ท ำให ้ค น ใน ส ัง คมห ัน มาร่ว มมือ ช่ว ยเห ลือ กัน จริง ใจ เห ็น แก่
ประโยชน์ส ่ว นรวม มากกว่า ประโยชน์ส ่ว นตน เช่น ร่ว มกัน จัด งานศพ พิธ ีท ำบุญ ถวาย
สัง ฆทาน หรือ อย่า งประเพณีส ำคัญ มีป ระเพณีส ารทไทยเป็น ด้น เพื่อ อุท ิศ ผลบุญ ส่ง ไปให้
เปรดชน
จากท ี่ก ล่า วม าน ี้ จะเห็น ว่า ความเชื่อ เรื่อ งเปรต มีส ่ว นสัม พัน ธ์เ กี่ย วข้อ งกับ
วิถ ีช ีว ิต ของคนไทย ตั้ง แต่พ ิธ ีก รรม ประเพณีไ ทย จนถึง พฤติก รรม ความคิด การแสดง
ออกดามลำดับ ด้งนั้น ความเชื่อ เรื่อ งเปรต จึง มีค วามสำคัญ ประการหนึ่ง ในฐานะที่
เชื่อ มความสัม พัน ธ์ร ะหว่า งบุค คลในครอบครัว สัง คม ศาสนา ประเทศชาติ และมีผ ลให้
คนในสัง คมช่ว ยเหลือ เกื้อ กูล อยู่ร ่ว มกัน ได้อ ย่า งสงบสุข
y
— 7 ท
บฑที่ ๕
จาก ก ารคืก ษ าเรื่อ งน ี้ไ ด้ผ ลก ารวิจ ัย ว่า ความห มายของคำว่า “ เปรต” ตาม
รูป ศัพ ท์ม ีส ่ว นประกอบสำคัญ ฅ ส่วน คือ ป -อ ิธ าต ุ- ต ใน การอธิบ ายความห มายของ
คำด้ง กล่า วมีค ำธิบ าย ๒ นัย คือ เปรต หมายถึง คนผู้ล ่ว งสับ ไปล่โ ลกหน้า และคนผู้
ถึง ฐานะห่า งไกลจากความสุข หรือ พ้น ไปจากความสุข
ความหมายของคำ “ เปรต” ในพระไตรปิฎ กมี ๒ ความห มาย กล่า วคือ
ห มายถึง คบผู้ล ่ว งสับ ไปล่โ ลกหน้า ที,เรีย กว่า คนดาย และคนผู้ล วงสับ ไปล่โ ลกหน้า ที่
เรีย กว่า เปรตวิส ัย หรือ เปรตโลก
ต่อ มาในชั้น อรรถกถาพระอรรถกถาจารย์ล ่ว นใหญ่ไ ด้อ ธิบ ายความหมายของคำ
“ เปรต” ไว้ว ่า หมายถึง คนผู้ต ายไปเกิด ในเปรตวิส ัย โดยใช้แ หล่ง ข้อ มูล จากพระไตรปิฎ ก
ตอนว่า ด้ว ยวิน ีต วัต ถุใ นมหาวิภ ัง ค์ ลัก ฃณ ลัง ยุต ต์ และเปตวัต ถุ ในการอธิบ าย มีผ ลให้
ความ ห ม ายของคำว่า “ เปรต” ในชั้น ฎีก า และวรรณกรรมพุท ธศาสนาที่ร จนาในประเทศไทย
หมายถึง คบตายไปเกิด ในเปรตวิส ัย มีค วามสำคัญ กว่า ความหมายว่า “ คน ดาย” เปรตที่
ปรากฎในวรรณกรรมของไทย จึง มีร ูป ร่า งน่า กลัว อดอยากหิว โหย ผอม ปากเท่า รูเ ข็ม ฯลฯ
นอกจากนี้แ ล้ว ยัง ได้ข ้อ สรุป ที,ชัด เจนว่า “ เปรตวิส ัย ” เป็น ๑ ในคติ ๕ แดน
ไปห ลัง ความตายของผู้เ วีย น ว่า ยตายเกิด คติด ้ง กล่า วแบ่ง ออกเป็น ไอ ฝ่า ย ฝ่า ยเส วยผล
กรรมดีเ รีย กว่า “ ส ุค ต ิ” มีเ ทวดา และมนุษ ย์ ฝ่า ยเสวยผลกรรมชั้ว เรีย กว่า “ท ุค ต ิ” มี
เปรตวิส ัย กำเนิด ติร ัจ ฉาน และนรก เปรตวิส ัย นี้เ ป็น ทุค ติท ี่ม ีส ถานภาพดีก ว่า กำเนิด ดิร ัจ ฉาน
และนรก จัด อยู่ต รงกึ่ง กลางระหว่า ง สุค ติ และ ท ุค ต ิ สัต ว์ผ ู้ต ายไปเกิด ในเปรตวิส ัย สามารถ
รับ ส่ว นบุญ กุศ ลที่ม นุษ ย์อ ุท ิศ ผลล่ง ไปใหิไ ด้ ส่ว นสัต ว์ผ ู้! ปเกิด ในทุค ติน อกนี้ ไม่ส ามารถ
รับ กุศ ลผลท าน จากมน ุษ ย์
แนวความคิด และความเชื่อ เรื่อ งเปรตมี ๒ ลัก ษณะ คือ ห มายถึง คนผู้ล ่ว ง
สับ ไปสัโ ลกหน้า ที่เรีย กว่า คนตาย พวกหนึ่ง และหมายถึง คนผู้ล ่ว งลับ 'โปลัโ ลกหน้า ที่
เรีย กว่า เปรตวิส ัย หรือ เปรตโลก อีก พวกหนึ่ง
ประการสุด ท้า ยก็ค ือ อิท ธิพ ลความเชื่อ เรื่อ งเปรต มีผ ลต่อ พิธ ีก รรม คติน ิย ม
และประเพณีไ ทยต่า ง ๆ ของชาวไทย เซ่น พิธ ีศ พ พิธ ีถ วายสัง ฆทาน พิธ ีอ นุโ มทนา
การกรวดนา ประเพณีส งกรานต์ และประเพณีส ารทไทย ผลของพิธ ีก รรม และประเพณี
ดัง กล่า วล่ง เสริม ให้ ความกดัญ ณ ู ความละอายเกรงกลัว ต่อ บ าป ความมีน าใจ ความ
สัม พัน ธ์ผ ูก พ ัน ระห ว่า งวงศาคณ าญ าติ และวัด กับ บ้า น รวมทั้ง สัน ติส ุข ของผู้ค นในสัง คม
ปรากฎอย่า งเด่น ชัด
ข้อ เสนอแนะ
ควรมีก ารวิจ ัย อิท ธิพ ลความเชื่อ เรื่อ งวิม านในวิม านวัต ถุใ นประเด็น ที่เ กี่ย วกับ
การทำบุญ กุศ ลของชาวไทยอัน สะท้อ นให้เห็น ถึง ผลของการทำตีไ ด้ด ีห รือ คืก ษาเปรีย บเทีย บ
ระหว่า งเปตวัต ถุก ับ วิม านวัต ถุเ พื่อ ทราบแนวคิด และความเชื่อ ในเรื่อ งทั้ง ไอ อย่า งแจ่ม ชัด
รายการอางอง
ภาษาไทย