Professional Documents
Culture Documents
ความเชื่ อว่า ตนเองเป็ นผูม้ ี ป ระสบการณ์ สู ง ส่ งเสริ ม ให้ค นกลุ่ ม นี้ มี ความเชื่ อมัน่ ในตนเองสู ง
ตามไปด้วย
4.รั กครอบครั ว
จากการที่ ค นกลุ่ มนี้ เกิ ดมาในครอบครัวใหญ่ ทาให้คนกลุ่ มนี้ เกิ ดและเติบ โตใน
ครอบครั วขนาดใหญ่ และมี ความรู้ สึกผูกพันกับการอยู่ร่วมกันกับผูค้ นจานวนมาก
5.ต้ อ งการให้ ตั วเองดู ดี
คนกลุ่ มนี้ มี ความพยายามในการดูแลตัวเอง และนิ ย มเข้าสังคมเพื่ อเพิ่มความรู้ สึก
ภูมิใ จและคุ ณค่าทางจิ ตใจให้ตนเอง
6.ใช้ ชีวิตเรี ยบง่ าย
คนกลุ่ มนี้ ช อบใช้ชีวิตที่ เรี ยบง่ ายไม่ซับซ้อน โดยจะชอบกิ จกรรมที่ ไม่ยุ่งยากหรื อ
ซับซ้อนเพื่ อลดเวลาและขั้นตอนต่า งๆ ลง
7.ทรงอิทธิพลทางความคิด
จากประสบการณ์ ใ นการดาเนิ นชี วิต ที่มากมาย ทาให้ใ นปั จจุบนั คนกลุ่ มนี้ กลายเป็ น
กลุ่ มคนที่ มี อิทธิ พลทางความคิ ดและอยู่เบื้ องหลังการตัดสิ นใจกระทาการณ์ ต่างๆ ของคน
Generation อื่ นอยู่เสมอ
ธนวรรณ ศิล นิ ติถาวร (อ้างใน “Baby boomers” ,2554: ออนไลน์) สรุ ปลักษณะเด่ นของ
คนรุ่ น Generation Baby Boomer ไว้ดังนี้
1) เป็ นบุคคลที่เกิดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
2) มีการศึกษาสู งขึ้น มีรายได้สูงขึ้นจากคนรุ่ นก่อนสงครามโลก
3) มีแนวคิดในการทางานทางานหนักเพื่อสร้างฐานะให้ดีข้ ึน
4)เป็ นผูด้ ูแลทุกคนในครอบครัว ไม่วา่ จะเป็ นพ่อ แม่ และลูก และลักษณะครอบครัวมักเป็ น
แบบครอบครัวขยาย
5) มีแนวคิดในการประท้วงต่อต้าน เนื่องจากมีความเป็ นตัวของตัวเอง และรักอิสรเสรี ภาพ
ของตนเอง
2) Generation X
Generation X มีชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า Extraordinary Generation มีที่มาจากการ
ตีพิมพ์ในหนังสื อของ เจน เดเวอร์ สันและชาล์ลส แฮมเบลตต์ เพื่อเจาะจงวัฒนธรรมเฉพาะ
ของคนกลุ่ มนี้ ที่ลึกซึ้ งเพียงแต่คาว่า teenager (จิรพร สุ เมธีประดิษฐ์,2554:ออนไลน์) เป็ นช่ วง
อายุข องประชากรกลุ่ ม หนึ่ ง ในสัง คมปั จจุบนั ที่ เกิ ดในช่ วงระหว่า งปี พ.ศ. 2508-2522 (ค.ศ.
1965-1979) คนกลุ่ มนี้ เป็ นกลุ่ มคนที่ เกิ ดในช่ วงที่ผ่านความลาบากมาแล้ว มีการต่ อสู้ดิ้นรนที่
น้อยกว่า เนื่ องจากสภาวะเศรษฐกิ จเข้าสู่ ภาวะปกติ คนกลุ่ มนี้ มี ความเชื่ อมัน่ ในตนเอง มี อิส ระ
ทางความคิ ด เนื่ องจากในยุคนี้ เป็ นยุคของการแสวงหาอิส รภาพทางความคิดและการดาเนิ น
ชี วิตแนวใหม่ (นิ เวศน์ ธรรมะ, 2553 : ออนไลน์) ซึ่ ง มีลกั ษณะเด่ นร่ วมกันคื อ
ธนวรรณ ศิ ล นิ ติถ าวร (อ้างใน “Generation X” ,2554: ออนไลน์) ให้ขอ้ เสนอว่า กลุ่ ม
Generation X มี ล กั ษณะเด่ น คื อ ใช้ชีวิตอยูก่ บั การอาศัยอยูก่ บั พ่อ แม่ ถึงอายุประมาณ 30 ปี หรื อ
จนกระทัง่ แต่งงาน เพราะมีความเชื่ อว่าว่าพ่อแม่จะเป็ นคนจ่ายเงินในสิ่ งที่จาเป็ นให้พวกเขา และไม่
รี บร้อนในการมีครอบครัวเป็ นของตนเอง จึงแต่งงานช้า ส่ วนในด้านการทางานบุคคลในกลุ่มนี้ถือ
เป็ นกลุ่มที่มีความตั้งใจและความทะเยอทะยาน เนื่องจากเกิดมาในยุคสมัยที่มีการแข่งขันสู ง แต่จาก
การเป็ นคนที่รักอิสระจึงมีความสามารถในการจัดสรรเวลาทางานและเวลาพักผ่อนอย่างเท่าเทียม
กัน มีแนวคิดในการรับการเปลี่ ยนแปลงได้ เนื่ องด้วยในช่วงนี้ เริ่ มมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี เช่ น
คอมพิ ว เตอร์ แต่ ค นกลุ่ ม นี้ ก็ มี ค วามสามารถในการแบ่ ง แยกความส าคัญ ได้เ ป็ นอย่ า งดี ท าให้
เทคโนโลยีที่เข้ามามักถูกใช้ในการทางานและสร้างความสะดวกในการทางานมากกว่าใช้เพื่อสร้าง
ความบันเทิงส่ วนตัวเท่านั้น
เมื่ อจะทาอะไรคนกลุ่ มนี้ จะคิดในเชิ ง บวกและคิ ดในแง่ ดีว่าทุก อย่า งเป็ นไปได้และจะ
ประสบความสาเร็ จ เนื่ องจากประสบการณ์ ก ารทางานน้อย
9.มีความคิด ริ เริ่ มสร้ างสรรค์
เป็ นผลมาจากการเลี้ ย งดู ของพ่อและแม่สมัย ใหม่ทาให้มีความกล้าคิด กล้าทาและ
มัน่ ใจในตนเอง หากมี ค วามคิ ดสร้ างสรรค์ใ หม่ก็ พร้ อมเปิ ดเผยให้ท ราบและอยากทาให้เกิ ดขึ้ น
จริ ง และไม่ยึดติ ดในกรอบเดิ มๆ
10.มั่นใจในตนเองสู ง
ซึ่ งเป็ นไปในลักษณะที่ รู้สึก ดี กบั ตนเอง ไม่ไ ด้เปรี ย บเทีย บกับผูอ้ ื่นและถ้า คนกลุ่ มนี้
เชื่ อว่าทาอะไรได้ จะพร้ อมพูดออกมาโดยไม่มีค วามประหม่า หรื อวิตกกังวล
11.มีความจงรั กภักดีกับองค์ กรต่า
คนกลุ่ มนี้ มองตัวงานไม่ใช่ องค์ก ร เวลาที่ ต่อรองเรื่ องงานพร้ อมจะทางานในตาแหน่ ง
ที่ สูงกว่าที่ องค์ก รเสนอมาให้และมององค์กรเป็ นสะพานเชื่ อมเขาไปสู่ เป้ าหมายทางอาชี พ
ที่ ต้ งั ไว้ ซึ่ งส่ ง ผลต่ ออัตราการลาออกที่สูง
ธนวรรณ ศิ ล นิ ติถ าวร (อ้างใน “Generation Y” ,2554: ออนไลน์) ให้ขอ้ เสนอว่า กลุ่ ม
Generation Y มี ล กั ษณะเด่ น คื อ เป็ นกลุ่ มที่มี ความฉลาด และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ ว
เนื่องด้วยเป็ นกลุ่มคนที่ใช้เทคโนโลยีเป็ นเครื่ องมือในการทาสิ่ งต่างๆ ทาให้ทราบว่าจะค้นหาข้อมูล
ได้จากที่ใด เวลาไหนและทาได้อย่างรวดเร็ ว รวมไปถึ งยังทาให้คนกลุ่ มนี้ มีความสามารถในการ
ทางานหลายด้านที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่ อสารและยังสามารถทางานหลายๆอย่างได้ในเวลาเดียวกัน
ลักษณะงานที่คนกลุ่มนี้ตอ้ งการ คืองานที่มีความท้าทาย และต้องสามารถเลือกวิธีการทางานได้ดว้ ย
ตนเอง รวมไปถึ งองค์กรที่คนกลุ่มนี้สนใจต้องเป็ นองค์กรที่เปิ ดกว้างในการแสดงความคิดเห็น อีก
ทั้งคนกลุ่มนี้ยงั ต้องการงานที่สามารถเลือกเวลาทางานตามความสะดวกของตนเอง หรื อทางานจาก
สถานที่อื่นได้ เช่ น ที่บา้ น หรื อนอกสถานที่ทางาน โดยยึดผลงานตามกาหนดเวลา ซึ่ งแสดงให้
เห็ นว่าหากองค์กรนั้นๆมีระเบียบวินยั ที่เคร่ งครัดมากเกิ นไป เช่น ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือระหว่าง
ทางาน ห้ามใช้คอมพิวเตอร์ ในเรื่ องส่ วนตัว คนกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะลาออกโดยไม่รอสมัครงานใหม่
เนื่ องจากมีความเชื่ อว่าหากทางานที่ไม่ชอบหรื อทาแล้วไม่สบายใจ ก็ไม่มีเหตุผลที่ตอ้ งทนทางาน
ต่อไป
งานวิจัยทีเ่ กี่ยวข้ อง
บริษัท โนเลจสตอร์ ม คอนซัลติง้ จากัด ( อ้างใน เสาวคนธ์, 2550 : 35-39) ทาการวิจยั ใน
เรื่ อง การทาความเข้าใจปัจจัยที่ดึงดูดและรักษา Generation Y ในองค์กร โดยศึกษาในกลุ่มนักศึกษา
มหาวิทยาลัย 6 แห่ง ของประเทศไทย โดยมีกลุ่มตัวอย่างจานวน 1,000 คน พบว่าปัจจัยสาคัญที่
ดึงดูดในการสมัครงานในองค์กร ประกอบด้วยงานที่ชอบ งานที่ทา้ ทายและประเภทธุรกิจ ,ปัจจัยที่
ทาให้มีความสุ ขในการทางานคือค่าตอบแทนที่ดี งานที่ทา้ ทาย สวัสดิการที่ดี และอยากทางานใน
องค์กรที่มีวฒั นธรรมองค์กรที่เน้นเรื่ องความสัมพันธ์ในการทางานและการทางานเป็ นทีม มากกว่า
มุ่งเน้นที่ความเป็ นมืออาชีพและผลลัพธ์ในการทางาน ซึ่ งแสดงให้เห็นว่าคนในกลุ่ม Generation Y
ไม่ชอบงานที่ง่ายๆ ซ้ าซากแต่ชอบงานที่ทา้ ทายและมีค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับงานที่ได้รับ รวม
ไปถึงความต้องการวัฒนธรรมองค์กรที่เป็ นแบบครอบครัวมากกว่าความสัมพันธ์แบบปัจเจกชน
พงษ์ ชั ยชนะวิจิตรและคณะ (อ้างใน กรณี ศึกษา Baby Boom ต้องรู้ลึก Lifestyle, 2552 :
ออนไลน์) นักศึกษา มหาบัณฑิตสาขาการตลาด ได้ทาการศึกษาในเรื่ อง การใช้ชีวิตหรื อ lifestyle
ของคนในกลุ่ม Baby Boom ในประเทศไทย ด้วยการเก็บข้อมูลจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
ที่มีการดาเนิ นกิ จกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนยุคนี้ พบว่าคนกลุ่มนี้ แบ่งออกเป็ น 3 กลุ่ม คือ Best
เป็ น Baby Boom ที่มีช่วงอายุ 45-50 ปี ชอบความล้ าสมัย ก้าวทันเทคโนโลยี ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ
เทคโนโลยีอยูเ่ สมอ ให้ความสาคัญในการดูแลสุ ขภาพ กลุ่มที่ 2 คือ Bright มีอายุต้ งั แต่ 49-57 ปี
รู ปแบบและทัศนคติที่โดดเด่นที่สุดของคนในกลุ่มนี้ คือ การดูแลสุ ขภาพทั้งทางกายและทางใจ โดย
วิถีของธรรมชาติ เช่น การปฏิบตั ิธรรมตามสถานปฏิบตั ิธรรม ออกกาลังกายตามแหล่งธรรมชาติ
นิยมอาหารชีวจิต ทานวิตามินหรื ออาหารเสริ มเพื่อเสริ มสร้างสุ ขภาพ เวลาว่างกิจกรรมหลักคือการ
ดูทีวี อ่านนิตยสาร หรื อพบปะกับกลุ่มเพื่อนสนิทเป็ นกลุ่มเล็กๆ และกลุ่มสุ ดท้ายคือกลุ่ม Basic อายุ
ระหว่าง 55-63 ปี และส่ วนใหญ่จะเกษียณแล้ว กิจกรรมหลักคือการดูทีวี อ่านนิตยสารมากกว่ากลุ่ม
Bright และ Best ให้ความสนใจกับสิ นค้าที่ใช้งานง่าย ไม่ซบั ซ้อน มองเห็นง่าย เช่นโทรศัพท์มือถือ
ที่มีปุ่มกดขนาดใหญ่หน้าจอกว้างเพื่อให้เห็นตัวเลขได้ชดั เจนขึ้น ซึ่ งสิ่ งที่คน้ พบคือกลุ่มสิ นค้าที่แต่
ละประเภทสนใจเพื่อสร้างหรื อวางแผนทางการตลาดขององค์กร
รั ช ฎา อสิ ส นธิ สกุล (2549) ศึกษาในเรื่ อง “ความคาดหวังต่ อการทางาน” พบว่า
คน Generation Y ต้องการลักษณะงานที่ส ร้ างสรรค์และท้า ทาย เหมาะสมกับความสามารถ
มี โอกาสก้า วหน้าในการทางาน และมีสัมพันธภาพที่ ดีกบั เพื่อนร่ วมงานและเจ้านาย พวก
เขายึดหลักความสบายใจในการทางานสาคัญกว่า รายได้หรื อตาแหน่ ง งาน นอกจากนี้
Generation Y ยังต้องการทางานที่ พวกเขาได้มีส่ วนร่ วมในการตัดสิ นใจ ได้แสดงความ
คิ ดเห็ นอย่า งอิ สระ มี ค่ าจ้างและสวัส ดิ การที่เหมาะสม และมีค วามยืดหยุ่นในการทางานทั้งใน
18
1) ความหมายของผู้นาและภาวะผู้นา
ความหมายของผู้นา
กิติ ตยัคคานนท์ (2530 : 12) กล่าวว่า ผูน้ า คือ บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งหรื อได้รับการยก
ย่องให้เป็ นหัวหน้า และเป็ นผูต้ ดั สิ นใจเนื่องจากมีความสามารถในการปกครองบังคับบัญชาและจะ
พาผู ้ ใต้บงั คับบัญชาหรื อหมู่ชนไปในทางที่ดีหรื อทางชัว่
เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ (2536 : 8) กล่าวว่า ผูน้ า คือ บุคคลที่ได้รับมอบหมาย ซึ่ งอาจโดยการ
เลือกตั้งหรื อแต่งตั้ง และเป็ นที่ยอมรับของสมาชิกให้มีอิทธิ พลและบทบาทเหนือกลุ่ม สามารถที่จะ
จูงใจ ชักนา หรื อชี้นาให้สมาชิกของกลุ่มรวมพลังเพื่อปฏิบตั ิภารกิจต่าง ๆ ของกลุ่มให้สาเร็ จ
กวี วงศ์ พุฒ (2535: 14-15) ได้สรุ ปแนวคิดเกี่ยวกับผูน้ าไว้ 5 ประการ คือ
(1) ผูน้ า หมายถึง ผูซ้ ่ ึ งเป็ นศูน ย์กลางหรื อจุดรวมของกิ จกรรมภายในกลุ่ ม เปรี ยบเสมือน
แกนของกลุ่ม เป็ นผูม้ ีโอกาสติดต่อสื่ อสารกับผูอ้ ื่นมากกว่าทุกคนในกลุ่ม มีอิทธิ พลต่อการ ตัดสิ นใจ
ของกลุ่มสู ง
20
(2) ผูน้ า หมายถึ ง บุคคลซึ่ งนากลุ่มหรื อพากลุ่มไปสู่ วตั ถุประสงค์หรื อสู่ จุดหมายที่วางไว้
แม้แต่เพียงชี้แนะให้กลุ่มไปสู่ จุดหมายปลายทางก็ถือว่าเป็ นผูน้ าทั้งนี้รวมถึงผูน้ าที่นากลุ่มออกนอกลู่
นอกทางด้วย
(3) ผูน้ าหมายถึ ง บุ ค คลซึ่ ง สมาชิ กส่ วนใหญ่คดั เลื อกหรื อยกให้เขาเป็ นผูน้ าของกลุ่ มซึ่ ง
เป็ นไปโดยอาศัยลักษณะทางสังคมมิติของบุคคลเป็ นฐาน และสามารถแสดงพฤติกรรมของผูน้ าได้
(4) ผูน้ าหมายถึ งบุคคลซึ่ งมีคุณสมบัติเฉพาะบางอย่างคือสามารถสอดแทรกอิทธิ พลบาง
ประการอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มได้มากที่สุด
(5) ผูน้ า หมายถึ ง บุคคลผูซ้ ่ ึ งสามารถนากลุ่มไปในทางที่ตอ้ งการ เป็ นบุคคลที่มีส่วนร่ วม
และเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการแสดงบทบาทหรื อพฤติกรรมความเป็ นผูน้ า
บุญทัน ดอกไธสง (2535:266) ได้สรุ ปเกี่ยวกับผูน้ าไว้วา่ ผูน้ า (Leader) หมายถึง
(1) ผูม้ ีอิทธิ พล มีศิลปะ มีอิทธิพลต่อกลุ่มชน เพื่อให้พวกเขามีความตั้งใจที่จะปฏิบตั ิงานให้
บรรลุเป้ าหมายตามต้องการ
(2) เป็ นผูน้ าและแนะนา เพราะผูน้ าต้องคอยช่ วยเหลื อกลุ่มให้บรรลุ เป้ าหมายสู งสุ ดตาม
ความสามารถ
(3) ผูน้ าไม่เพียงแต่ยืนอยูเ่ บื้องหลังกลุ่มที่คอยแต่วางแผนและผลักดัน แต่ผนู้ าจะต้องยืนอยู่
ข้างหน้ากลุ่ม และนากลุ่มปฏิบตั ิงานให้บรรลุเป้ าหมาย
ความหมายของภาวะผู้นา
การให้คานิ ยามภาวะผูน้ าของนักวิชาการมีความแตกต่างหลากหลายตามความคิดเห็นและ
การนาไปใช้ ดังนี้
Stogdill (อ้างใน เมทิ นี จิตรอ่อนน้อม, 2542 : 12) กล่ าวว่า ภาวะผูน้ า หมายถึ ง
กระบวนการใช้อิทธิ พลต่อกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่มเพื่อการตั้งเป้ าหมายและการบรรลุเป้ าหมาย
Yukl (อ้างใน เมทินี จิตรอ่อนน้อม, 2542 : 12) กล่าวว่า ภาวะผูน้ า หมายถึง กระบวนการ
ใช้อิทธิ พลโน้มน้าวที่มีผลต่อการตัดสิ นใจของกลุ่มหรื อวัตถุประสงค์ ขององค์การหรื อกระบวนการ
ใช้อิทธิพล กระบวนการกระตุน้ พฤติกรรมการทางานเพื่อบรรลุวตั ถุประสงค์ กระบวนการโน้มน้าว
หรื อใช้อิทธิ พลต่อกลุ่ม และกระบวนการรักษาสภาพกลุ่มและวัฒนธรรมของกลุ่ม
เธียรชั ย เอี่ยมวรเมธ (2536 : 821-822) กล่าวว่า ภาวะผูน้ า หมายถึง การนา เจ้าหน้าที่ฝ่าย
นา หรื อความสามารถในการนา
ประสาน หอมพูลและทิพวรรณ หอมพูล (2540 : 83) ภาวะผูน้ า หมายถึง กระบวนการที่
ผูน้ าใช้อิทธิพลหรื ออานาจที่ตนมีอยูใ่ นการซักนาหรื อโน้มน้าวให้ผใู้ ต้บงั คับบัญชาภายในองค์การ
21
2.3 แนวคิดอุปนิสัย 7 ประการเพือ่ พัฒนาสู่ ผ้มู ีประสิ ทธิผลสู งของ Stephen R. Covey
การวัดความเป็ นผูน้ า หรื อแนวโน้มความเป็ นผูน้ าในทางจิตวิทยามีมากมายหลากหลาย
แนวคิด (อ้างใน เศกสิ น, 2553 : power point) ไม่วา่ จะเป็ นแนวคิดของ Edward de Bono ที่เขียน
เรื่ องการคิด 6 แบบหรื อหมวก 6 ใบที่แต่ละคนใส่ แล้วคิดตามหมวกของตน ซึ่ งเป็ นการแบ่งลักษณะ
ของบุคคลตามสี ของหมวกที่เลือกสวมใส่ หรื อแนวคิดของ Michael J. Gelb ที่เขียนหนังสื อเรื่ อง
How to Think like Leonardo D. Vinci เพื่อศึกษาวิธีคิดของ D. Vinci ซึ่ งมีวตั ถุประสงค์เพื่อทาการ
พิสูจน์ว่าคนเก่ งไม่ใช่ เป็ นผลของกรรมพันธุ์ ไม่เกี่ ยวกับสถานที่ศึกษาแต่เกิ ดจากการเรี ยนรู้ และ
ความพากเพียร โดย Michael J. Gelb มีการให้ความหมายของคนเก่งว่าเป็ นบุคคลที่มีความมุ่งมัน่ ที่
จะประสพผลสาเร็ จ รู ้ จกั ตัวตนของตนเอง สามารถปรับอารมณ์และปรับจนเข้ากับเหตุการณ์มน่ั ใจ
ในตนเอง มองโลกในแง่ดี กระตือรื อร้น รักษาสัญญา สร้างสรรค์ ยินดีพบคนแปลกหน้า คงเส้นคง
วาในการทางาน มีแรงบันดาลใจ และใช้ชีวิตของตนเองได้ ซึ่ งบ่งบอกถึงการเป็ นผูน้ าหรื อผูบ้ ริ หาร
ที่ดีในอนาคต และแนวคิดของ Stephen R. Covey ที่เขียนหนังสื อเรื่ อง “7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ ผมู้ ี
ประสิ ทธิ ผลสู ง ” (The 7 Habits of Highly Effectively People) โดย ได้ให้ความเห็นจากการวิจยั
30
อุปนิสัยที่ 2 เริ่ มต้ นด้ วยจุดมุ่งหมายในใจ (Begin with the end in mind) คือ การทาสอง
ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นในจิตใจ และครั้งที่สอง คือการทาให้ส่ิ งที่เราคิดเป็ นจริ ง แต่การที่เราจะทุ่มแค่
แรงใจอย่างเดียวก็ไม่สามารถเกิดประสิ ทธิผลได้ ขึ้นอยูก่ บั ว่าเราใช้ความพยายามไปในสิ่ งที่ถูกต้อง
หรื อไม่ และต้องมีศูนย์รวมในตนเองและเป็ นการที่เราดาเนินชีวติ และตัดสิ นใจได้จากฐานความ
ชัดเจนในเป้ าหมายชีวิตของเรา สามารถปฏิเสธอย่างไม่รู้สึกผิดหากสิ่ งนั้นไม่ตรงวัตถุประสงค์หลัก
ของเรา
อุปนิสัยที่ 2 นี้มีพ้นื ฐานอยูบ่ นหลักการของ "ความเป็ นผูน้ า" ซึ่ งต่างจากการเป็ น "ผูจ้ ดั การ"
"การจัดการ" เหมื อ นความสามารถในการไต่ บ ันไดแห่ ง ความส าเร็ จ ได้อย่า งรวดเร็ ว และมี
ประสิ ทธิผล แต่ "ความเป็ นผูน้ า" เหมือนกับการพิจารณาว่าบันไดอันไหนพิงอยูบ่ นกาแพงที่ถูกต้อง
บ่อยครั้ งที่ เราทางานหนัก เพื่ อไต่ บ นั ไดแห่ ง ความส าเร็ จแต่ ก ลับ พบว่า บันไดนั้นพิง ผิดที่ วิธี ที่ มี
ประสิ ท ธิ ผ ลมากที่ สุ ด ในการเริ่ ม ต้น ด้วยจุ ดมุ่ ง หมายในใจก็ คื อ การสร้ า งค าปฏิ ญ ญาส่ วนตัว
(Personal Mission Statement) โดยต้องเริ่ มต้นที่ "ศูนย์รวม" ของขอบเขตที่สามารถทาได้เสี ยก่อน
"ศูนย์รวม" มีหลายแบบ เช่น "ศูนย์รวม" อยูท่ ี่คู่ครอง ครอบครัว เงิน ที่ทางาน การเป็ นเจ้าของ ความ
ยินดีและความพอใจ มิตรหรื อศัตรู วัด และตนเอง เป็ นต้น "ศูนย์รวม" นี้ จะเป็ นแหล่งกาหนดปั จจัย
สนับสนุนชีวิต 4 ประการ ได้แก่ ความมัน่ คงในจิตใจ (Security), เครื่ องนาทาง (Guidance), ปั ญญา
(Wisdom), และอานาจ (Power) ปั จจัยทั้ง 4 นี้ตอ้ งอาศัยซึ่ งกันและกันจึงจะให้ประโยชน์สูงสุ ด ความ
มัน่ คงในจิตใจและเครื่ องนาทางที่ชดั เจนนามาซึ่ งปั ญญาและปั ญญาเป็ นตัวจุดประกายให้มีการใช้
อานาจผลกระทบในด้านบวกที่จะเกิดกับชีวติ เราขึ้นอยูก่ บั ชนิดของ "ศูนย์รวม" ที่เราเป็ นอยู่ ซึ่ งนิสัย
ที่ควรปฏิบตั ิอย่างสม่าเสมอเพื่อให้กลายเป็ นผูท้ ี่เริ่ มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ คือ
- ทางานด้วยหลักการ มิ ใช่ มุ่งเอาใจตัว การบริ หารโดยหลักการคือการมีความเชื่ อมัน่ ว่า
อะไรเป็ นสิ่ งที่ถูกหรื อผิด
- ยืดหยุน่ ในเรื่ องที่ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ยดึ มัน่ ในความถูกต้อง (Integrity)
34
1. Urgent (เร่ งด่วน) Important (สาคัญ) 2. Unurgent (ไม่เร่ งด่วน) Important (สาคัญ)
เช่น วิกฤตการณ์ การแก้ปัญหางานเฉพาะหน้า เช่น การวางแผน การพักผ่อนหย่อนใจ การวางแผน
3.Urgent (เร่ งด่วน) Unimportant (ไม่สาคัญ) 4. Unurgent (ไม่เร่ งด่วน) Unimportant(ไม่สาคัญ)
เช่น การรับโทรศัพท์ รายงาน ปิ ดประชุม เช่น การดูละครโทรทัศน์ กิจกรรมเสี ยเวลาต่าง ๆ
รู ปภาพที่ 2.3.2 แสดงตารางกาหนดกิจกรรมการบริ หารเวลา (ที่มา สงกรานต์และคณะ, 2539: 153)
ร่ างกาย
การออกกาลังกาย โภชนาการ
และการจัดการกับความเครี ยดในจิตใจ
สติปัญญา สั งคมและอารมณ์
การอ่านหนังสื อ การมองไปข้างหน้า การบริ การ การแบ่ งปั น
ความรู้สึก
การวางแผน และการเขียน การรวมพลังและความมัน่ คงในจิตใจ
ที่แท้จริ ง
จิตวิญญาณ
การเห็นคุณค่าและรักษาคามัน่ สัญญา
การศึกษาและการทาสมาธิ
รู ปภาพที่ 2.3.3 แสดงกระบวนการการพัฒนาตนเอง (ที่มา สงกรานต์และคณะ, 2539: 390)
สังคม เศรษฐกิ จและการเมื อง รวมทั้ง เทคโนโลยีที่ก้า วหน้าจึงทาให้คนกลุ่ มนี้ มีบุ คลิ กลักษณะ
ที่ กล้าแสดงออกและกล้าที่ จะคิ ด ซึ่ ง มี ป ระโยชน์ก ับองค์การอย่างมาก เพราะถื อ เป็ นปั จจัย
ด้า นบวกที่ ช่ วยให้การเปลี่ ย นแปลงเกิ ดขึ้ นในองค์การง่ ายและราบรื่ นขึ้ น โดยเฉพาะในภาวะ
ที่องค์การจาเป็ นต้องปรั บ ตัวอยู่ตลอดเวลาตามสถานการณ์ การแข่ งขันของตลาดและ
พฤติ ก รรมของผูบ้ ริ โภคที่ เปลี่ ยนแปลงไป ทาให้ องค์การต้องการคนกลุ่ มนี้ เป็ นรุ่ นต่ อไปใน
การสร้ างการเปลี่ ยนแปลงขององค์ก ารให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทั้ง ภายนอก และภายใน
องค์การ
ซึ่ งหากผลการศึ กษาระบุ ว่า กลุ่ มประชากรตัวอย่างมีบุ ค ลิ กลักษณะของทุก Generation
รวมอยู่ใ นกลุ่ มคนยุคปั จจุ บ นั จริ ง ผูบ้ ริ หารองค์ก รหรื อผูน้ าขององค์ก รก็จะสามารถระบุกลุ่ ม
คนรุ่ นต่ อไปขององค์ก รได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้ น กล่ าวคื อ หากพบว่า คนที่มีบุ คลิ กลัก ษณะของคน
กลุ่ มหนึ่ งๆ มี แนวโน้มของการเป็ นผูน้ าที่มีป ระสิ ทธิ ผลมากกว่า ก็สามารถนาคนกลุ่ มดัง กล่ าว
มาพัฒนาได้เลย โดยไม่ ต้องใช้วิธีการอื่ นๆที่ เสี ย เวลา เช่ น การเปรี ยบเทีย บผลงานตาม
ระยะเวลาที่ กาหนด หรื อการพิจารณาความประพฤติของพนักงานที่ต้องใช้เวลาในการ
คัดเลื อกเป็ นเวลานาน
แบบ Grid พบว่า ผูน้ าแบบ Team Manager คือบริ หารงานโดยให้ค วามสาคัญกับ ทีม งาน โดย
ยึดเป้ าหมายผลประโยชน์ ขององค์กรเป็ นหลัก ส่ งผลต่อแรงจูงใจและความพึงพอใจในงาน
ซึ่ ง จากแนวคิ ด ทฤษฎี แ ละงานวิจ ยั ที่เ กี่ ย วข้อ งทั้ง หมดทาให้ผูศ้ ึก ษากาหนดกรอบใน
การวิจยั ดังนี้
สมมติฐานหลัก : นัก ศึ ก ษาสายสัง คมศาสตร์ มหาวิท ยาลัย เชี ย งใหม่ที่มี บุคลิ ก ลัก ษณะ
ของ Generation ที่ แตกต่างกันมี ความสัมพันธ์กบั ระดับ อุปนิ สัยของผูน้ าที่มี ประสิ ทธิ ผล
Generation Theory
1.Baby boomer อุปนิสัยของผู้นำทีม่ ีประสิ ทธิผล
2.Generation X ตำมแนวคิดของ Stephen R. Covey
3.Generation Y 1. ต้องเป็ นฝ่ ายเริ่ มต้นทาก่อนหรื อ
Proactive
>> ตัวชี้วดั 2. เริ่ มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ
- ความเชื่อ 3. ทาตามลาดับความสาคัญ
- ลักษณะนิสัย 4. คิดแบบชนะ/ชนะหรื อ win/win
- ลักษณะองค์กร 5. เข้าใจคนอื่นก่อนที่จะให้คนอื่น
- ความจงรักภักดี เข้าใจเรา
- สังคม 6. ประสานพลัง
- การยอมรับการเปลี่ยนแปลง 7. ลับเลื่อยให้คม
- การวางแผน
- ผลตอบแทน
- ความสัมพันธ์ระหว่างงานและ
เรื่ องส่ วนตัว
ซึ่งกระบวนการในการศึกษา ประกอบด้วย
48