You are on page 1of 10

RSU JET VOL.11, NO.

1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ ___________________________________ _ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _______

หลักการเบื้องตนการเขียนแผนภาพวัตถุอิสระ
(The Basic Concepts of Drawing Free Body Diagram)

สรรพบ ศิรินรานันตร
อาจารย ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดลอม วิทยาลัยวิศวกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต
Email: sirinaranun@yahoo.com

บทคัดยอ
การเขียนแผนภาพวัตถุอิสระเปนหัวใจสําคัญของการศึกษาทางดานกลศาสตร ทั้งกลศาสตรวิศวกรรม กลศาสตร
วัสดุ และการวิเคราะหโครงสราง การเขียนแผนภาพวัตถุอิสระใหมีความถูกตองตามหลักการ จึงเปนจุดเริ่มตนของการ
วิเคราะหปญหาและแกปญหาอยางถูกตองดวย หลักการเขียนแผนภาพวัตถุอิสระมีพื้นฐานของทฤษฎีคือ กฎขอที่สามของนิว
ตัน วาดวยความสัมพันธของแรงกิริยา (force of action) ยอมเทากับแรงปฏิกิริยา (force of reaction) จากพื้นฐานของกฎ
ดังกลาวแลว จะทําใหผูศึกษามีความเขาใจอยางถองแทและนําไปใชวิเคราะหปญหาตางๆ ไดอยางถูกตอง

คําสําคัญ : แผนภาพวัตถุอิสระ, กฎขอที่สามของนิวตัน

ABSTRACT
Drawing free body diagram is the important core of studying mechanics of engineering, mechanics of material
and structural analysis. The correct drawing in free body diagram is the first point of analysis and solving problems. Basic
of drawing free body diagram is the third rule of Newton’s Law. This rule is defining the relation between force of action
and force of reaction. Depending on this rule, It will make student understand clearly and analysis the problems correctly.

Keywords : free body diagram, the third Newton’s law

1. บทนํา เพื่อใหนักศึกษาทุกคนเขาใจพฤติกรรมของโครงสราง และ


การศึกษาในสาขาวิศวกรรมโยธามีสาขายอยหลาย มีพื้นฐานในการวิเคราะหขั้นตน และวิชากลศาสตรนี้จึงเปน
แขนง เชน สาขาวิศวกรรมโครงสราง สาขาวิศวกรรมปฐพี สวนสําคัญที่จะทําใหผูศึกษามีพื้นฐานที่ ดีในการเรียนวิชา
สาขาวิศวกรรมขนสงและจราจร สาขาวิศวกรรมแหลงน้ํ า วิ เ คราะห โ ครงสร า งชั้ น สู ง ต อ ไป โดยเฉพาะในสาขา
สาขาวิ ศ วกรรมสิ่ งแวดล อ ม นอกจากนี้ ยั งรวมถึ ง สาขา วิ ศ วกรรมโย ธา และวิ ศ ว กรรมเครื่ อ งกล และจา ก
วิศวกรรมไฟฟา สาขาวิศวเครื่องกล และสาขาอื่น ๆ ในสาย ประสบการณของผูเขียนที่ไดทําการสอนทั้งวิชากลศาสตร
งานวิ ศ วกรรม โดยแต ล ะสาขาเหล า นี้ จ ะต อ งมี วิ ชาหรื อ วิ ศ วกรรม รวมถึ งวิ ชากลศาสตร วั ส ดุ และวิ ชาวิ เ คราะห
เนื้ อ ห า เ กี่ ย วข อ งกั บ ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห โ คร งส ร า งเ ป น โครงสราง ในสาขาวิศวกรรมโยธา ทําใหมองเห็นปญหาที่
สวนประกอบสําคัญในการศึกษา โดยเฉพาะวิชากลศาสตร เกิดขึ้นกับผูศึกษา และไดคิดหาวิธีการหรือกระบวนการใน
วิศวกรรม [2,7] เปนวิชาพื้นฐานของการวิเคราะหโครงสราง การถ ายทอดความรูแ กนั กศึ กษา เพื่ อ ให นัก ศึก ษาเกิ ดองค

-21-
RSU JET VOL.11, NO.1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _______

ความรูในการวิเคราะหปญหา และสามารถนําองคความรูนี้ แรงกระจาย (Distributed Forces [5] หรือ Distributed Loads


ไปใชในการวิเคราะหโครงสรางชั้นสูงตอไป [2,4]) สวนนี้จะเปนสวนสําคัญทําใหผูศึกษาสามารถเขียน
วิชากลศาสตรวิศวกรรมสถิตศาสตร เปนพื้นฐาน สัญลักษณ หรือแผนภาพ หรือลูกศร ที่แสดงความหมายของ
ของคณะวิศวกรรมศาสตรทุกสาขา เพื่อใหเกิดประโยชน แรง ในแผนภาพวัต ถุอิ สระไดอ ยา งถู กต อง และเป นส ว น
สูงสุดในการศึกษา หรือการเรียนรูของนักศึกษาที่จะเปน สําคัญในขั้นตอนการวิเคราะหแผนภาพวัตถุอิสระตอไป
ทรัพยากรของประเทศตอไป ผูเขียนจึงไดนําเอาหลักการ 1) Force หมายถึง แรงที่กระทําตอวัตถุ หรือแรงที่
เบื้องตนที่เปนพื้นฐาน ที่จําเปนตองใชในการเขียนแผนภาพ กระทําต อโครงสรา ง โดยอาจทํา ใหวั ตถุห รือ โครงสร างมี
วัตถุอสิ ระ มาเปนสวนสนับสนุนใหกับผูศึกษาทุกคน ไดมี ลักษณะการเคลื่อนที่เชิงเสนตรง (Translation [6,7]) หรือไม
ความคิด รูจักคิด เกิดความเขาใจกระบวนการวิเคราะห อาจทําใหทําใหวัตถุหรือโครงสรางมีลักษณะการเคลื่อนที่
ปญหาโครงสรางขั้นพื้นฐาน และนําความรูเหลานี้ไปใช เชิงเสน ตรงก็ไ ด ตัวอยาง เชน แรงที่แสดงความหมายของ
ประโยชนในภายภาคหนาได เชน วิศวกรสาขาไฟฟาและ น้ํา หนัก ตั ววั ต ถุเ อง แรงที่ ทํา ใหร ถมีก ารเคลื่อ นที่เ ส นตรง
คอมพิวเตอร ที่ทําการออกแบบแผงวงจรไฟฟาหลักของ แรงที่แทนความหมายของการกระทําของวัตถุชิ้นอื่นตอตัว
เครื่องคอมพิวเตอร หรือเครื่องไฟฟาอิเล็กโทรนิคตาง ๆ วัตถุหรือตัวโครงสรางที่สนใจ หรือแรงที่แทนความหมาย
จะตองเขาใจพฤติกรรมของแรง ที่กระทําตอตัวแผงวงจร ของการเชื่อมตอของวัตถุชิ้นอื่นกับโครงสรางที่สนใจ เปน
และเขาใจจุดที่จะติดตั้งฐานรองรับ เพื่อใหการติดตั้งตัว ตน เพื่อความเขาใจที่สอดคลองไปในทางเดียวกันใหแรงที่
แผงวงจรมีความเหมาะสม มีความแข็งแรง ไมเกิดการ กระทํ า ต อ วัต ถุ (Force) หมายถึ ง แรงประเภทต า ง ๆ ทุ ก
เสียหายไดงาย เปนตน ประเภทที่ มี พ ฤติ ก รรมทํ า ให วั ต ถุ ห รื อ ตั ว โครงสร า งมี
ลั ก ษณะการเคลื่ อ นที่ เ ชิ งเส น ตรง ซึ่ ง ในส ว นใหญ มั ก จะ
2. หลักการเบื้องตนการเขียนแผนภาพวัตถุ หมายถึ ง แรงกระทํ าที่จุด หรือแรงเดี่ย ว(Point force หรื อ
อิสระ Concentrate force [3,5]) ดังตารางที่ 1
2) Load หมายถึง แรงกระทําจากภายนอกตอวัตถุ
การเขียนแผนภาพวัตถุอิสระของแตละปญหา เปน
หรือตัวโครงสราง หรือแรงกิริยา (Forces of Action [2,3]) ที่
กระบวนการเริ่มตนกอนเขาสูกระบวนการวิเคราะหปญหา
ไมใชแ รงโตต อบ หรื อแรงปฏิกิริย า (Forces of Reaction)
และแก ป ญหา ดั งนั้ น ผู ศึ ก ษาจะต อ งเข า ใจองค ป ระกอบ
แรงเหล านี้ ไ ด แ ก แรงกระทํ าที่ จุ ด แรงกระจายสม่ํ า เสมอ
สําคั ญ 3 สว น นี้ก อนจะเข าสู หลั กการเขี ยนแผนภาพวัต ถุ
รวมทั้งโมเมนต หรือแรงคูควบดวย ดังตารางที่ 1
อิสระ คือ สวนที่หนึ่งคําจํากัดความของแรง สวนที่สองแกน
3) Point force หรือ Concentrate force [3,5] คือ
อางอิงและมิติ และสวนที่สาม สภาวะขอบเขตของวัตถุหรือ
แรงกระทําที่จุด หรือแรงเดี่ยว หมายถึงแรงที่กระทําตอวัตถุ
ของโครงสราง ดังรายละเอียดจะกลาวตอไป
หรือโครงสรางที่จุดใด ๆ บนโครงสราง ซึ่งอาจหมายถึงแรง
กิ ริ ย าหรื อ แรงภายนอกหรื อ แรงภายในที่ ก ระทํ า ต อ วั ต ถุ
2.1 คําจํากัดความของแรง (Definition of Forces)
(force of action) หรือแรงปฏิกิริยาหรือแรงภายในที่โตตอบ
สวนนี้กลาวถึงนิยามของแรงประเภทตาง ๆ ไดแก
กับแรงภายนอก (force of reaction) โดยแรงประเภทนี้จ ะ
แรงกระทํา (Force [2,5]) หรือแรงที่ทําใหเคลื่อนที่เสนตรง
พยายามทําใหวัตถุหรือโครงสรางเกิดการเคลื่อนที่ในแนว
หรือน้ําหนักที่มากระทํา (Load) โมเมนต (Moment [3,4])
เสนตรง (Translation) ในแนวดิ่ง หรือ ในแนวนอน หรือใน
หรือ แรงที่ทําใหหมุน หรือ แรงคูควบ (Couple [3,5]) และ
แนวเฉียง ก็ได

-22-
RSU JET VOL.11, NO.1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _______

4) Moment คือ โมเมนต หมายถึง แรงที่ทําให ตารางที่ 1 ประเภทของแรงและรูปแผนภาพของแรง


วัตถุ เกิด การเคลื่ อนที่แบบหมุ น (Rotation [6,7]) เชิงแนว
วงกลม โดยจะหมายถึงแรงกิริยา หรือแรงปฏิกิริยาก็ไดสวน
ใหญมีความหมายไดสองแบบคือ แรงดัด (Bending Moment
[8]) และแรงบิ ด (Torsional Moment [8]) แตบ างป ญหา
สามารถแทนความหมายเปน แรงคูควบ (Couple) ก็ได
5) Couple คือ แรงคูควบ หมายถึง แรงเดี่ยว 2 แรง
ที่มีขนาดเทากัน แตมีทิศทางตรงกันขาม ซึ่งกระทําพรอมกัน
บนวั ต ถุ ห รื อ ตั ว โครงสร า ง และมี พ ฤติ ก รรมทํ า ให วั ต ถุ มี
ลักษณะการเคลื่อนที่แบบหมุน (Rotation) ซึ่งสามารถแทน เป นมิ ติ เดี ย วก็ ได เพื่ อ ที่ผู วิเ คราะหจ ะได ตั้งแกนอา งอิงให
ความหมายเปนโมเมนต (Moment) ก็ได โดยแรงคูควบ จะ สัมพันธกับปญหาดังกลาว และเปนแนวทางเริ่มตนในการ
เปนแรงกิริยา หรือแรงปฏิกิริยา ก็ได แตในปญหา สวนใหญ แกปญหานั้น ๆ และยังเป นแนวทางในการเขียนแผนภาพ
มักจะพบเห็นเปนแรงกิริยา มากกวาแรงปฏิกิริยา วัตถุอิสระอีกประการดวย ดั งนั้นการตั้งแกนอางอิงจึงเป น
6) Distributed force คือ แรงกระจาย หมายถึง แรง สวนสําคัญของการเขียนแผนภาพวัตถุอิสระ
ที่กระทําตอวัตถุหรือตัวโครงสราง หลาย ๆ จุดอยางตอเนื่อง
จนเกิดเปนกลุมแรง เชน แรงกระจายเชิงเสนตรง หรือแรง
กระจายตอความยาว แรงกระจายเชิงพื้นที่หรือแรงกระจาย
ตอพื้น ที่ และแรงกระจายเชิ งปริมาตรหรือ แรงกระจายต อ
ปริ มาตร เป น ต น โดยแรงกระจายเหล า นี้ อ าจจะกระจาย
สม่ําเสมอหรือไมสม่ําเสมอหรือเปนรูปทรงเรขาคณิต แรง
กระจายอาจเปนแรงกิริยาหรือแรงปฏิกิริยาก็ได แตในปญหา
ขั้นพื้นฐาน มักจะพบแรงกระจายเปนแรงกิริยามากกวา
ความหมายของแรงไม อ าจเข า ใจโดยคํ า อธิ บ าย
เพียงอยางเดียวจําเปนจะตองเขาใจรูปภาพหรือสัญลักษณที่
ใชแทนความหมายของแรงดวย ดังตารางที่ 1 ซึ่งมักจะพบ
เห็นแรงเหลานี้ในปญหาตาง ๆ และแรงที่ใชแทนแรงกิริยา
(Action Force) หรือแรงปฏิกิริยา (Reaction force)ในการ รูปที่ 1 แกนอางอิง
เขียนแผนภาพวัตถุอิสระ สวนใหญมักจะเปนแรงเดี่ยวและ การตั้ ง แกนอ า งอิ ง อาจจะเขี ย นก อ นการเขี ย น
โมเมนต สว นแรงกระจายมักจะพบเห็ นเปนแรงกิริ ยาเป น แผนภาพวัต ถุอิสระ หรื อเขีย นหลังจากการเขี ยนแผนภาพ
สวนใหญ วั ต ถุ อิ ส ระก็ ไ ด แต ใ นทางปฏิ บั ติ ขั้ น แรกจะต อ งตั้ ง แกน
2.2 แกนอางอิงและมิติ (Reference Axis and Dimension) อางอิงหลักเสียกอน เพื่อใหแกนอางอิงหลักนี้ เปนจุดเริ่มตน
ในการพิจารณาปญหานั้น ตองทราบกอนวาปญหา ในการเขี ย น และทํ า ให งา ย สะดวก และรวดเร็ ว ต อ การ
นั้นอยูใน 2 มิติ หรือ 3 มิติ ดังรูปที่ 1 [1] หรือบางกรณีอาจ วิเคราะหปญหาตอไปดวย การตั้งแกนอางอิงหลักยังจะสื่อ

-23-
RSU JET VOL.11, NO.1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _______

ใหผูเรียน หรือผูศึกษา มีความเขาใจไปแนวทิศทางเดียวกัน เปนได แตถาหากใชโปรแกรมวิเคราะหโครงสรางที่ทํางาน


ดังรูปที่ 2 บนเครื่องคอมพิวเตอร ก็จะไมเห็นความแตกตางกันนี้
y

z x

รูปที่ 2 แกนอางอิงหลัก
รูปที่ 3 การตั้งแกนอางอิงในลักษณะตาง ๆ
การวิเคราะหโครงสราง สวนใหญจะจําลองปญหา
เปน 2 มิติและจะใช แกนอางเพียง 2 แกนเปนแกนอางอิ ง การตั้ งแกนอ า งอิ ง ในทางวิ ศ วกรรมจะใช แ กน
สําหรับการแกปญหา แตในความเปนจริงมีการนําแกนที่ 3 อ า งอิ ง สื่ อ ความหมายดั ง ต อ ไปนี้ ไ ด แ ก แรงที่ ก ระทํ า
มาใชในการพิจารณาดวยแตจะไมกลาวถึงโดยตรง เนื่องจาก ระยะทาง ลักษณะการเคลื่อนที่ (เชน ความเร็ว ความเรง เปน
แกนที่ 3 ใช แ ทนทิ ศ ของการหมุ น หรื อ ทิ ศ ของโมเมนต ตน) และ โดยแกนอางอิงที่ตั้งขึ้นมาจะตองมีความหมายของ
นั้นเอง (ดูรูปที่ 1a หรือรูปที่ 2 ประกอบ) แกนอางอิงนั้ น สิ่งเหลานั้นประกอบอยูดังแสดงในรูปที่ 4 [1] เชน
สว นมากนั ก วิ เคราะหมัก จะอิงกั บ กฎมื อ ขวา โดยตั้ งแกน การตั้ งแกนอา งอิ งดั งรู ปที่ 4a ก็เ พื่อ สื่อ สารให ผู
อางอิ งแกนที่ 1 อยูใ นแนวนอนมีทิศ ที่เปน บวกพุงไปทาง ศึกษาเขาใจลักษณะของโครงสรางเชิงระยะทาง การตั้งแกน
ขวามือ และแกนที่ 2 ซึ่งตั้งฉากกับแกนที่ 1 อยูในแนวดิ่ ง อางอิงดังรูปที่ 4b ก็เพื่อสื่อสารใหเขาใจการอางอิงเชิงการ
และมี ทิศ ที่เ ปน บวก พุงขึ้น ด านบน และแกนที่ 3 อยู บ น เคลื่อนที่ และการอางอิงดังรูปที่ 4c ก็เพื่อสื่อสารใหเขาใจ
ระนาบอางอิงโดยมีทิศ ที่เปนบวกพุงออกจากระนาบอางอิง การอางอิงเชิงแรง ดังตัวอยาง เชน แกนอางอิงในแนวแกนที่
และตั้งฉากกับระนาบอางอิง หรือมีทิศเปนบวกพุงออกจาก 1 ดังรูปที่ 1a อาจหมายถึงแกนอางอิงเชิงระยะทาง ดังรูปที่
กระดาษ หรือ มีทิศหมุนทวนเข็มนาฬิกาเป นทิศที่เปนบวก 4a โดยมีค วามหมายว า วั ตถุ หรื อโครงสร า ง หรื อ จุด ใด ๆ
กฎมื อ ขวาเป น กฎยอดนิ ย มในการตั้ งแกนอ า งอิ ง และยั ง บนวั ตถุ มีร ะยะทางจากจุด ใดจุ ด หนึ่งบนตั ว วั ตถุ ล ากตาม
จํ า เป น ต อ การวิ เ คราะห ป ญหาเชิ งพี ชคณิ ต แต ไ ม มีค วาม แนวนอนไปยังจุดอื่น ๆ ที่สนใจโดยมีระยะทางแนวเสนตรง
จําเปนตอการแกปญหาเชิงเรขาคณิต หรือระยะกระจัด หรือระยะขจัด (Displacement : ∆) เกิดขึ้น
การตั้งแกนอางอิงจะตองตั้งแกนทั้ง 3 ใหตั้งฉาก ระหว างจุ ด 2 จุดดั งกลา ว โดยการอ างอิ งนี้จะสัมพั นธกั บ
กัน และจะตั้งแกนอางอิงกี่ครั้งก็ได ซึ่งแตละครั้งจะไมเกี่ยว การตั้งแกนอางอิงที่ใชแทนการเคลื่อนที่ของวัตถุ ดังรูปที่ 4b
โยงกันโดยตรง แตจะเหมาะสําหรับการแกปญหาในแตละ ซึ่ ง วั ต ถุ ห รื อ ตั ว โครงสร า งมี ลั ก ษณะเคลื่ อ นที่ เ ป น แนว
ประเด็นที่แตกตางกันออกไป ดังรูปที่ 3 การตั้งแกนอางอิง เสนตรงในแนวนอน (Translation) และยังสัมพันธกับแรง
แบบใดที่ เหมาะสมนั้ นจะต องขึ้น กับ การวิเ คราะหป ญหา ที่มากระทํ า ในแนวดั งกล า วดั งรู ป ที่ 4c ซึ่ งความหมายทั้ ง
ของวัตถุหรือโครงสรางนั้นดวย ถาหากตั้งแกนอางอิงไว ดี สามที่กลาวมาจะสัมพันธกับการตั้งแกนอางอิงสําหรับ 2 มิติ
จะทํ าให แก ป ญหาได เ ร็ว หรื อ ทํา ใหเ ข าใจพฤติ กรรมของ ดังรูป ที่ 1a เสมอ ดังนั้ นการตั้งแกนอางอิงขึ้ นมา ก็เ พื่อสื่ อ
ปญหาไดชัดเจนยิ่งขึ้น และบางครั้งการตั้งแกนอางอิงที่ไมดี ความหมายหลายๆ ความหมายภายในระบบอ า งอิ ง อั น
ก็อาจทําใหเสียเวลามากขึ้น หรืออาจทําใหสับสนมากขึ้นก็ เดียวกัน และสามารถใชร วมกั นได การสื่ อความหมายอี ก

-24-
RSU JET VOL.11, NO.1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _______

อย า งที่ มี ค วามสั ม พั น ธ ดั ง รู ป ที่ 4 คื อ แกนอ า งอิ ง ใน ความสัมพันธซึ่งกันและกันในขั้นตอนการวิเคราะหปญหา


แนวแกนที่ 3 ซึ่ งหมายถึ ง มุ ม (angle) หรื อ ระยะเชิ งมุ ม คือ ถาไมมีแรงมากระทําตอโครงสราง ก็ไมมีการเคลื่อนที่
(rotational displacement : θ) ที่จุดใดจุดหนึ่งของโครงสราง เกิดขึ้น หรือถามีแรงกระทําตอโครงสราง โครงสรางอาจมี
เกิดบิดตัวไป หรือหมุนไปจากแนวเดิม หรือจุดนั้นเกิดการ การเคลื่ อ นที่ ห รื อ ไม มี ก ารเคลื่ อ นที่ ก็ ไ ด ขึ้ น อยู กั บ ว า
หมุ น (rotation) อั นเนื่ องมาจากโมเมนต (moment) ที่ มา โครงสรางนั้นมีฐานรองรับเพียงพอหรือไม และฐานรองรับ
กระทําตามแกนอางอิงแกนที่ 3 ก็มีห ลายประเภท แต ล ะประเภทก็ ป องกั น การเคลื่ อ นที่ ที่
เหมื อ นกั น บ า งไม เ หมื อ นกั น บ า ง ดั งนั้ น แกนอ า งอิ ง จึ ง
ตั้งขึ้นเพื่อเปนแนวทางการเขียนแผนภาพวัตถุอิสระและเปน
le
ang แนวทางสํา หรับ การวิ เ คราะหป ญหาไปพร อม ๆ กัน โดย
สวนใหญจะใชอธิบายทั้งโครงสราง หรือใชอธิบายสําหรับ
ชิ้นสวนใด ๆ บนโครงสราง หรือใชอธิบายสําหรับจุดสําคัญ
เพียงบางจุดบนโครงสรางนั้นก็ได

2.3 สภาวะขอบเขตของวัต ถุ (Boundary Conditions of


n

Body)
atio
Ro t

วั ต ถุ ห รื อ โครงสร า งใด ๆ จะมี ส ภาพสภาวะ


ขอบเขต (Boundary conditions [8]) หรือลักษณะโครงสราง
หรื อ พฤติ ก รรมของโครงสร า งบางจุ ด ที่ ย อมให มี ก าร
เคลื่อนที่ และบางจุดไมยอมใหมีการเคลื่อนที่ อาจอยูภายใน
วัตถุ หรือบริเวณรอบวัตถุ โดยจุดเหลานี้จะหมายถึงรอยตอ
ที่จุดใด ๆ ระหวางวัตถุกับวัตถุ หรือรอยตอระหวางวัตถุกับ
t
men
Mo

ฐานรองรั บ หรื อ รอยต อ ของตั ว วั ต ถุ เ อง เป น ต น สํ า หรั บ


สภาวะขอบเขตที่ย อมใหมีก ารเคลื่อ นที่ จะมีลั ก ษณะของ
การเคลื่อนที่อยูสองแบบใหญ คือ สภาวะขอบเขตที่ยอมให
มีก ารเคลื่ อ นที่ ใ นแนวเสน ตรง (Translation) และสภาวะ
รูปที่ 4 ความหมายของแกนอางอิง
ขอบเขตที่ยอมใหเคลื่อนที่แบบหมุน (Rotation)
การพิจารณาวาจุดใดจะตองนํามาพิจารณาสภาวะ
การตั้งแกนอ างอิงเพื่อการวิ เคราะหปญหามั กจะ
ขอบเขตนั้น จุดนั้นตองเปนจุดที่สําคัญตอการแกปญหา โดย
อางอิงเปนตัวอักษร x,y,z แทนที่จะเปน 1,2,3 ตามลําดับ ดัง
จุดตอบริเวณฐานรองรับจะเปนจุดแรกในการพิจารณา สวน
รูปที่ 2 ซึ่ งสื่อความหมายตรงกับรูป ที่ 1a และรูป ที่ 4 และ
จุดตอระหวางวัตถุหรือตัวโครงสรางจะเปนจุดในลําดับถัด
แทนความหมายของแกนอางอิงหลัก ตามกฎมือขวา
ไปของการพิจารณา สภาวะขอบเขตของพฤติกรรมของจุด
จากการที่ แ กนอ า งอิ ง ใช สื่ อ ความหมายของ
เหลานี้จะใชลักษณะการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตอเชื่อมมาเปน
ระยะทาง การเคลื่อนที่ และแรงที่กระทํา ผูศึกษาควรเขาใจ
หลักเกณฑสําคัญสําหรับการพิจารณาเปนคุณลักษณะของ
ได ว า ระยะทาง การเคลื่ อ นที่ และแรงที่ กระทํ า จะต อ งมี
ขอบเขตในแต ล ะป ญหา ในที่ นี้ จ ะแสดงลั ก ษณะสภาวะ

-25-
RSU JET VOL.11, NO.1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _______

ขอบเขตที่ พบเห็น บ อยและใช ทั่ วไปในปญหา 2 มิ ติ ส ว น ตาง ๆ ของแขนกลที่มีนอต (Bolt) หรือสลัก (Pin) หรือหมุด
ปญหา 3 มิติ สามารถนําหลักเกณฑนี้ไปใชไดเชนกัน ในที่นี้ ย้ํา (Rivet) หนึ่งตัวสอดผานรูที่เจาะเอาไวระหวางชิ้นสวน
จะอธิ บ ายเพี ย ง 3 คุ ณ ลั ก ษณะพื้ น ฐานที่ พ บเห็ น บ อ ยใน ทั้งสองของโครงสราง เปนตน คุณลักษณะที่จุดตอแบบยึด
ป ญ หาต า ง ๆ ได แ ก ลั ก ษณะยึ ด แน น ลั ก ษณะยึ ด หมุ น หมุนนี้ เสมือนวาไมมีแรงปฏิกิริยาภายในประเภทโมเมนต
ลักษณะลอหมุน (Moment) ต านการหมุน ณ จุดนั้ น หรือที่ จุด ดังกลาวมีค า
ก. ลักษณะยึดแนน (Fixed) หรือ การจับยึดแนน ของโมเมนตเปนศูนย (M=0)หรือที่จุดดังกลาวมีมุม (Angle :
หมายถึง ลักษณะของการยึดแนนสนิทระหวางชิ้นสวนของ θ, θ) เกิดขึ้น นอกจากนี้คุณลั กษณะของการยึดหมุน ยังไม
โครงสรางที่จุดนั้น โดยไมยอมใหเกิดการเคลื่อนที่ประเภท ยอมให ชิ้น ส ว นของวั ต ถุ ห รื อ โครงสร า งด า นใด ๆ มี ก าร
ใด ๆ เลย ณ จุ ดนั้ น ไม วา จะเป นการเคลื่อ นที่ เชิ งเสน ตรง เคลื่อนที่ในแนวเสนตรง (Translation) หรืออาจกลาวไดวา
หรื อการเคลื่ อนที่แ บบหมุน ของวั ต ถุที่ ตอ อยู บ ริเ วณนั้น ๆ จุดนี้มีสภาวะขอบเขต (Boundary Condition) เกิดขึ้นจํานวน
โดยจะพบเห็น ได ในงานกอ สรา งทั่ วไป เชน การเชื่อ มต อ สองสภาวะขอบเขต (∆1 = 0 และ ∆2 = 0) ในสองทิศทางใด
ระหว า งโครงสร า งด ว ยการเชื่ อ ม การฝ งเสาลงไปในดิ น ใดที่ตั้งฉากกัน หรือไมเกิดการเคลื่อนที่ในแนวเสนตรงใด ๆ
หรือ การหลอ เสากับฐานรากที่ อยูใ ตดิน เป นตน แต จุดที่ มี สองทิ ศทางที่ตั้งฉากซึ่งกัน และกัน อาจเปนแนวนอนและ
ลักษณะยึดแนน นี้อาจหมายถึงจุดใด ๆ ก็ได บนเนื้อวัตถุ ที่ แนวดิ่งก็ได หรือไมใชแนวนอนและแนวดิ่งก็ได ลักษณะยึด
ไมใชรอยตอ จุดที่มีลักษณะยึดแนนแบบนี้ ในปญหา 2 มิติ หมุนหรือจุดหมุน จะมีจํานวนการลักษณะการเคลื่อนที่เพียง
จะมี จํ า นวนการลั ก ษณะการเคลื่อ นที่ ห รือ จํ า นวนสมการ หนึ่งแบบ (C = 1) คือการหมุน หรือมีจํานวนสมการสมดุลที่
สมดุล ที่เกิ นมาเทา กับศู นย (Number of Movement or เกินมาจํานวนหนึ่งสมการ ในอีกมุมมองหนึ่งจะพบวาจุด
Equilibrium Equation : C) หรืออาจกลาวไดวาจุดนี้มสี ภาวะ ดังกลาวมีจํานวนแรงปฏิกิริยาภายในสองตัว (r = 2) คือ แรง
ขอบเขต (Boundary Condition) ที่ ชัด เจน กล า วคื อ มี ก าร ปฏิกิริยาในแนวนอน (R1) แรงปฏิกิริยาในแนวดิ่ง (R2) โดย
เคลื่อนในแนวนอนเทากับศูนย (Horizontal Displacement, ทั้ งสองตั ว เป น แรงประเภทแรงเดี่ ย ว ที่ พ ยายามต า นการ
∆1 = 0) มี ก ารเคลื่ อ นที่ ใ นแนวดิ่ ง เท า กั บ ศู น ย (Vertical เคลื่ อ นที่ ใ นแนวเส น ตรงสองทิ ศ ทางที่ ตั้ ง ฉากกั น ที่ จุ ด
Displacement, ∆2 = 0) และมีมุมหมุนเทากับศูนย (Rotation, ดังกลาว หรือหมายถึงแรงปฏิกิริยาภายในสองตัวที่ตั้งฉาก
θ = 0) แต ใ นอี ก มุ ม มองจะพบว า จุ ด นี้ จ ะมี จํ า นวนแรง กันและไมอยูทั้งแนวนอนและแนวดิ่ง และยังกลาวไดวาที่
ปฏิกิริยา (Number of Reaction Force : r) หรือจํานวนตัวไม จุดนี้มีจํานวนตัวไมทราบคาถึงสองตัวเชนกัน
ทราบค า (Unknown) ถึ งสามตัว (r = 3) เชน กัน คื อ แรง ค. ลักษณะลอหมุน (Roller) คือ ลักษณะเปนลูก
ปฏิกิริยาในแนวนอน (R1) แรงปฏิกิริยาในแนวดิ่ง (R2) และ ลอเลื่อนได โดยยอมใหชิ้นสวนของโครงสรางดานใดดาน
โมเมนตต า น (M3) ซึ่ งทั้งหมดนี้จ ะสั มพัน ธ ต ามแนวแกน หนึ่งที่ตออยูที่จุดดังกลาว สามารถหมุนรอบลูกลอได และ
อางอิงใน 2 มิติเสมอ ยังยอมใหชิ้นสวนของโครงสรางดานใดดานหนึ่งสามารถ
ข. ลักษณะยึดหมุน (Hinge) หรือ การจับยึดแบบ เคลื่ อ นที่ใ นแนวเส น ตรงได ห นึ่ งทิ ศ ทางตามแนวลู ก ล อ ที่
หมุ น ได คื อ ลั ก ษณะของวั ต ถุ ที่ ต อ บริ เ วณจุ ด ยึ ด สามารถ เลื่อนได แตในอีกทิศทางที่ตั้งฉากกันนั้นจะไมยอมใหมีการ
เคลื่อนที่แบบหมุนรอบไดบริเวณจุดดังกลาว หรือชิ้นสวนที่ เคลื่อนที่ในแนวเสนตรงได สรุปไดวาจุดใดที่มีลักษณะเปน
ตอกันบริเวณจุดยึดแบบหมุนระหวางสามารถหมุนไปมาได ลู ก ล อ ยอมให ห มุ น ได จะมี จํ า นวนลั ก ษณะการเคลื่ อ นที่
เพียงอยางเดียวและเรี ยกจุด ดังกล าววา “จุดหมุน” (Hinge) ทั้ ง หมดสองแบบหรื อ จํ า นวนสมการสมดุ ล ที่ เ กิ น มา 2
โดยจะพบเห็นในโครงสรางทั่วไป เชน การงอไดของขอตอ สมการ (คา C เทากับ 2) ในอีกมุมมองจะพบวาจุดดังกลาวมี

-26-
RSU JET VOL.11, NO.1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _______

จํานวนแรงปฏิกิริยาเพียงหนึ่งตัว (r = 1) หรือจํานวนตัวไม ในที่ นี้ สามารถนํ า หลั ก การจากคุ ณ ลั ก ษณะข า งต น ไป


ทราบค า เพี ย งหนึ่ งตั ว โดยแรงนี้ เ ป น แรงเดี่ ย วที่ ต า นการ ประยุ ก ต ใ ช ไ ด และจากคุ ณ ลั ก ษณะดั ง กล า วนี้ ส ามารถ
เคลื่อนที่ในทิศทางตั้งฉากกับทิศที่เลื่อนได ในตารางที่ 2 ได นํามาใชเขียนแผนภาพวัตถุอิสระ ตามหลักการของกฎขอที่
นําเสนอตัวอยางลอหมุนเลื่อนในแนวนอน ซึ่งแรงปฏิกิริยา สามของนิวตันได โดยหัวใจสําคัญของกฎขอที่สามของนิว
ที่ตานไมใหลอเคลื่อนที่จะอยูในตั้งฉากกับแนวลอเลื่อน ก็ ตันคือ การแยกวัตถุหรือชิ้นสวนออกจากกัน ณ จุดที่สนใจ
คือแรงปฏิกิริยาในแนวดิ่ง (R2) นั้นเอง แตในบางปญหา ลอ โดยเริ่ มจากจุ ด บริ เวณฐานรองรั บ (ฐานรองรั บ หมายถึ ง
หมุนที่เลื่ อนไดอาจเคลื่อ นที่ในแนวเฉียง ดั้งนั้นการหาทิ ศ บริเวณรูปรางที่เปรียบเสมือนพื้น หรือผนัง รองรับวัตถุ หรือ
ของแรงปฏิ กิ ริ ย าจะต อ งหาทิ ศ ที่ ตั้ งฉากกั บ ทิ ศ ที่ เ ลื่ อ นได โครงสรางที่รองรับวัตถุ) ซึ่งไดสรุปไวดังตารางที่ 3 สวนจุด
หรือหาทิศที่ตั้งฉากกับพื้น ไมใชอยูในแนวดิ่งหรือแนวตั้ง ที่จะนํา มาพิ จารณาเป นลํา ดับ ตอ ไป ก็คื อ จุ ดที่ เปน บริ เวณ
ตารางที่ 2 [1] ไดสรุปคุณลักษณะสภาวะขอบเขต รอยตอ แบบสลัก หรือที่เรีย กวา จุดหมุน ซึ่งจุดในลําดับ นี้
ทั้งสามดังกลาวขางตน สวนคุณลักษณะอื่น ๆ ที่ไมไดกลาว มักจะใชในปญหาที่มีความซับซอน

ตารางที่ 2 คุณลักษณะของสภาวะขอบเขต

-27-
RSU JET VOL.11, NO.1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______ ______________________________ _____________________________________ ______________________________________ _______

2.4 หลักการเบื้องตนการเขียนแผนภาพวัตถุอิสระ 2) ตั้งแกนอางอิงหลัก


จากองคประกอบสําคัญสามสวน และโดยเฉพาะ 3) พิจารณาจุดตอที่เปนฐานรองรับแตละจุด
คุณลักษณะสภาวะขอบเขตแบบตางๆ ที่ไดกลาวมาแลวขาง 4) แยกฐานรองรับออกจากวัตถุที่แตละจุด
ตน สามารถนํามาตั้งเปนหลักการเบื้องตนสําหรับการเขียน 5) พิจารณาแรงปฏิกิริยาและแรงกิริยาตามสภาวะ
แผนภาพวัตถุอิสระ ไดทั้งหมด 3 หลักการใหญ ๆ คือ ขอบเขตของวัตถุและฐานรองรับ โดยใชกฎขอที่
1) แกนอางอิง สามของนิวตัน
2) สภาวะขอบเขต 6) กําหนดชื่อหรือสัญลักษณแทนความหมายของ
3) กฎขอที่สามของนิวตัน แรงปฏิกิริยาและแรงกิริยา
แตเพื่อใหหลักการมีประสิทธิภาพจึงนําเสนอเปน เพื่อใหเกิดจินตนาการและเห็นภาพของขั้นตอน
ขั้นตอนตางๆ สําหรับการปฏิบัติได 6 ขั้นตอนที่สําคัญดังนี้ ตางๆ ของหลักการเบื้องตนการเขียนแผนภาพวัตถุอิสระ จึง
1) เขียนวัตถุหรือโครงสรางใหเหมือนเดิม ไดนําเสนอดังตัวอยางตอไปนี้

ตารางที่ 3 การแยกวัตถุตามคุณลักษณะของสภาวะขอบเขต
คุณลักษณะของเงื่อนไขหรือขอบเขต แรงปฏิกิริยาและแรงกิริยาตามกฏขอที่ 3 ของนิวตัน

Fixed M M
Welding
3

ลักษณะ R R
3

1
1

ยึดแนน RM R
or
2
2

(Fixed)
3
M
R R
3

or or 1
1

R 2
R 2

Hinge
ลักษณะ R 1
R 1

ยึดหมุน or R 2
R 2

(Hinge) or R
or 1
R 1

R 2
R 2

Roller R 2

ลักษณะ Hinge a
ลอหมุน R
or R 2

(Roller)
2

or b TFM or
R 2

2 a
Remark or
แกนอางอิงที่ใชในตารางนี้เปนดังรูปนี้ 3 R 2 R
1
2

-28-
RSU JET VOL.11, NO.1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______ ______________________________ _____________________________________ ______________________________________ _______

ตัวอยาง โครงสรางมีฐานรองรับลักษณะยึดแนน ลักษณะยึด แผนภาพวัตถุ ฐานรองรับที่จุด A ฐานรองรับที่จุด B และ


หมุนและลักษณะลอเลื่อน (รูปที่ 5) ฐานรองรับที่จุด D รายละเอียด แสดงดังรูปที่ 7

รูปที่ 5 โครงสรางที่มีฐานรองรับลักษณะยึดแนน
ลักษณะยึดหมุนและฐานรับแบบลอหมุน
รูปที่ 7 แผนภาพวัตถุที่มีการแยกฐานรองรับออกจากวัตถุ
วิธีทํา 1) เขียนวัตถุหรือโครงสรางใหเหมือนเดิม
รายละเอียดแสดงดังรูปที่ 5
2) ตั้งแกนอางอิงหลัก
ในที่นี้ จะใช จุด A เป นจุดเริ่มต นในการตั้ งแกน
อางอิงหลัก ดังรูปที่ 6 แตสามารถตั้งที่จุดใด ๆ ภายในหรือ
ภายนอกรูปก็ได
รูปที่ 8 แผนภาพวัตถุที่มีการเขียนแรงปฏิกิริยาและแรงกิริยา
5) พิจารณาแรงปฏิกิริยาและแรงกิริยาตามสภาวะ
ขอบเขตของวัตถุและฐานรองรับ โดยใชกฎขอ ที่
สามของนิวตัน
โดยจุด A มีลักษณะยึดแนน เขียนแรงปฏิกิริยา 3
รูปที่ 6 โครงสรางที่มีแกนอางอิง xy
ตัวบนวัตถุและเขียนแรงกิริยา 3 ตัวบนฐานรองรับในทิศตรง
ข า มกั บ แรงปฏิ กิ ริ ย า ตามสภาวะขอบเขตของจุ ด A ใน
3) พิจารณาจุดตอที่เปนฐานรองรับ
ทํ า นองเดี ย วกั น จุ ด B มี ลั ก ษณะยึ ด หมุ น และจุ ด D มี
จากรู ป ที่ 5 หรื อ รู ป ที่ 6 มี จุ ด ที่ เ ป น ฐานรองรั บ ลักษณะลอหมุน ก็ทําการเขียนแรงปฏิกิริยาบนตัววัตถุ และ
ทั้งหมด 3 จุดคื อ จุด A ลั กษณะยึ ดแนน จุด B ลั กษณะยึ ด แรงกิริยาบนฐานรองรับที่แยกออกไป ตามลักษณะของแต
หมุน และจุด D ลักษณะลอหมุน ละฐานรองรับ ดังแสดงในรูปที่ 8
4) แยกฐานรองรับออกจากวัตถุ สําหรับทิศที่เขียนขึ้นมาที่จุดใดๆ ของแรงปฏิกิริยา
ทํา การแยกฐานรองรั บ ตามจุด ในขอ 3 ออกจาก นั้น จะเขียนในทิศทางใด ๆ ก็ได เชน แรงในแนวดิ่งเขียนพุง
วั ต ถุ เปรี ย บเสมื อ นการลบฐานรองรั บ ทิ้ งไป และเขี ย น ขึ้นหรือพุงลงก็ได แรงในแนวนอนเขียนพุงไปทางขวาหรือ
ฐานรองรับใหอยูใกลกับจุดที่ฐานรองรับนั้น ๆ เคยเขียนอยู พุ งไปทางซ า ยก็ ไ ด เพราะในเบื้ อ งต น เป น การสมมติ ทิ ศ
โดยขั้ น ตอนนี้ จ ะเป น วั ต ถุ 4 วั ต ถุ แ ยกออกจากกั น คื อ ขึ้นมากอน ผูศึกษายังไมทราบทิศทางที่แนนอน แตเมื่อทํา

-29-
RSU JET VOL.11, NO.1, 2008 บทความวิชาการ
_______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ ______________________________________ _____________________________________ ______________________ _______________________________________________________ ______________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _____________________________________ _______

การวิ เ คราะห ป ญ หาเสร็ จ สิ้ น แล ว ผู ศึ ก ษาจะเข า ใจทิ ศ ที่ แรงปฏิกิริยาและแรงกิริยาตามลักษณะสภาวะขอบเขตอยาง
ถู ก ต อ งของแรงปฏิ กิ ริ ย านั้ น เองว า เป น ทิ ศ เดี ย วกั น กั บ ที่ มีขั้นตอน หรือมีระเบียบวิธีคิดเปนขั้นเปนตอนอยางมีลําดับ
สมมติ หรื อทิศตรงกันขามกับ ทิศที่สมมติเอาไว โดยดูจาก จะทําใหมีความกระจางในการเขียนแผนภาพวัตถุอิสระ และ
เครื่องหมายบวกหรือเครื่องหมายลบตามลําดับ นําไปประยุกตใชในปญหาที่มีความสลับซับซอนไดอยางมี
6) กําหนดชื่อหรือสัญลักษณแทนความหมายของ ประสิทธิภาพ
แรงปฏิกิริยาและแรงกิริยา
4. เอกสารอางอิง
โดยแรงปฏิกิ ริย าและแรงกิริ ย าจะใชชื่อ เดี ยวกั น 1. ประเสริฐ รุจิโรจนอําไพ, “โปรแกรมชวยสอนวิชากล
เพราะมีขนาดเทากัน และแตละจุดจะตองมีชื่อไมซ้ํากับจุด ศาสตรวิศวกรรมสถิตศาสตรในเรื่องการเขียนแผน
อื่น เพราะทําใหมีความหมายกํากวมได ดังนั้นในที่นี้จะใช ภาพวัตถุอิสระ”, คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
สัญลักษณอักษรอาร (R) แทนความหมายของแรงปฏิกิริยา มหาวิทยาลัยรังสิต, 2544.
และสั ญ ลั ก ษณ ตั ว เลขห อ ยหลั ง ตั ว อั ก ษรอาร แ ทนแรง 2. Ferdinand P. Beer, E. Russell Johnston Jr., “Vector
ปฏิ กิ ริ ยาตั ว ที่ 1 จนถึ งแรงปฏิ กิ ริย าตั วที่ 6 ของป ญหา ดั ง Mechanics for Engineers: Statics”, 3rd ed., McGraw-
แสดงในรูปที่ 9 Hill, Ryerson, 1998.
3. R.C. Hibbeler, “Engineering Mechanics: Statics”, 9th
ed., Prentice-Hall International, 2001.
4. Andrew Pytel, Jaan Kiusalaas, “Engineering
Mechanics: Statics”, SI ed., HarperCollins College,
1996.
5. J.L. Meriam, L.G. Kraige, “Engineering Mechanics:
Statics”, 4th ed., John Wiley & Sons, 1997.
รูปที่ 9 แผนภาพวัตถุอิสระและแผนภาพของฐานรองรับ
6. R.C. Hibbeler, “Engineering Mechanics: Dynamics”,
8th ed., Prentice-Hall International, 1998.
จากรูป ที่ 9 แผนภาพที่อยูภ ายในวงกลมหมายถึ ง
7. Ferdinand P. Beer, E. Russell Johnston Jr., “Vector
แผนภาพวัต ถุ อิส ระ โดยแผนภาพวัต ถุอิ สระจะมีลั กษณะ
Mechanics for Engineers: Dynamics”, 6rd ed.,
เหมือนลอยอยูในอากาศ โดยไมมีวัตถุใดหรือฐานรองรับใด
McGraw-Hill, 1996.
มาเหนี่ยวรั้งไมใหมีการขยับหรือเคลื่อนยายได
8. R.C. Hibbeler, “Mechanics of Materials”, 4th ed.,
Prentice-Hall International, 2000.
3. บทสรุป
การเขียนแผนภาพวัตถุอิสระใหมีความถูกตองใน
เบื้องตนนั้น หลักสําคัญคือ ตองเขาใจระบบแกนอางอิง การ
.....
เขาใจพฤติกรรมของการเคลื่อนที่ และสภาวะขอบเขตของ
วัตถุโดยเฉพาะรอยตอระหวางวัตถุกับฐานรองรับ พรอมกับ
สามารถนําความหมายของกฎขอทีส่ ามของนิวตัน มาเขียน

-30-

You might also like