You are on page 1of 42

A-Level ชีววิทยา

ชื่อ-สกุล

รายละเอียดการสอบ

1. ข้อสอบมีจาํ นวน 40 ข้อ (ปรนัย) ข้อละ 2 คะแนน รวม 80 คะแนน


2. ระยะเวลาสอบทั้งหมด 90 นาที
3. ข้อสอบบางข้อมีการบูรณาการระหว่างเนื้อหา
4. ขอบเขตเนื้อหาอ้างอิงตามชีววิทยาสสวท. หลักสูตร 2560

คะแนนที่ได้
แบบทดสอบปรนัย 5 ตัวเลือก จํานวน 40 ข้ อ ข้ อละ 2 คะแนน รวม 80 คะแนน เวลาการทดสอบ 90 นาที
1.ในปี 1980 นักวิทยาศาสตร์ สงั เกตกลุม่ สิง< มีชีวิต (Community) ในพื Jนที<เกาะแห่งหนึง< โดยได้ ทําการจดบันทึกข้ อมูลของเกาะแห่งนี Jไว้ วา่
เกาะสวยงาม นามว่า หนองผักชี เกาะแห่งนี 4 มี นานา สรรพสิ8 ง
อันได้แก่ หญ้าน้อย และฝูงลิ ง เหล่าตัวมิ งค์ สิ งโต เจ้าป่ าเอย

นอกจากนี Jนักวิทยาศาสตร์ ได้ มีการจดบันทึกจํานวนของสิง< มีชีวิตทังJ 4 ชนิดไว้ ดังนี J


หญ้ า 1,000 ต้ น/ตารางเมตร
ลิง 500 ตัว/ตารางเมตร
มิงค์ 700 ตัว/ตารางเมตร
สิงโต 200 ตัว/ตารางเมตร
เมื<อเวลาผ่านไป ในปี 2000 นักวิทยาศาสตร์ ได้ กลับมาศึกษากลุม่ สิง< มีชีวิตในเกาะแห่งนี JอีกครังJ พบว่ามีสงิ< มีชีวิตชนิดใหม่เกิดขึ Jน
กําหนดให้ ชื<อว่า A เมื<อพิจารณาห่วงโซ่อาหารในเกาะแห่งนี Jพบจํานวนสิง< มีชีวิตที<เปลีย< นแปลงไป และได้ เปรี ยบเทียบจํานวนสิง< มีชีวิต
2 ชนิด ในปี 1980 2000 และ หลังจากปี 2000 เป็ นต้ นไปแสดงดังกราฟ

หมายเหตุ: ปั จจุบนั นักวิทยาศาสตร์ สรุปได้ วา่ A สามารถกินอาหารได้ เพียงหนึง< ชนิดเท่านันในเกาะแห่


J งนี J
พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
1. ในปี 1990 พบว่าห่วงโซ่อาหารของสิง< มีชีวิตในเกาะแห่งนี J ลิง จัดเป็ น Trophic level ที< 2
2. ในปี 1995 พบว่าห่วงโซ่อาหารของสิง< มีชีวิตในเกาะแห่งนี J มิงค์ จัดเป็ น Primary consumer
3. หลังจากปี 2000 เป็ นต้ นไป พบว่าแนวโน้ มจํานวนประชากรลิง เป็ นเช่นเดียวกับมิงค์
4. ในปี 2000 ซึง< เป็ นการเข้ ามาของ A พบว่าเขาจะกินสิงโตเป็ นอาหาร

จากข้ อความดังกล่าว มีข้อถูกกี<ข้อ


1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
2.พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ยูโทรฟิ เคชัน (Eutrophication) เป็ นปรากฏการณ์ที<สาหร่ายและพืชนํ Jาเจริ ญเติบโตอย่างรวดเร็ ว ทําให้ คา่ DO ลดลง
และ BOD เพิ<มขึ Jน
B. แหล่งนํ Jาที<จดั ว่าเป็ นนํ Jาที<มีคณ
ุ ภาพดีจะมีคา่ DO สูง BOD ตํ<า
C. การใช้ สารฟลูออโรคาร์ บอนในอุตสาหกรรมทําให้ เกิดฝนกรด
D. แก๊ สเรื อนกระจกสามารถดูดซับรังสีความร้ อนได้ ซึง< จะทําให้ เกิดการทําลายชันJ Ozone

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
3.จากภาพด้ านล่าง คือข้ อมูลของไบโอม 2 แห่ง คือไบโอม A และ B โดยแสดงผลออกมาเป็ นกราฟเส้ นคืออุณหภูมิเฉลีย< รายเดือน
และกราฟแท่งแสดงปริ มาณนํ Jาฝนเฉลีย< รายเดือนของทังJ 2 สถานที<

ไบโอม A ไบโอม B

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ไม่พบไบโอมทังสองแหล่
J ง ในประเทศไทย
B. ไบโอม B เหมาะกับการทําเกษตรกรรมและปศุสตั ว์
C. พืชหลักในไบโอม A คือพืชจําพวกสน
D. พบพืชในกลุม่ Crassulacean Acid Metabolism (CAM) ในไบโอม B

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
4.จากกราฟแสดงอัตราการเติบโตของประชากรเม่นทะเล และขนาดประชากรเม่นทะเลในพื Jนที<เกาะแห่งหนึง< ณ.ช่วงเวลาหนึง<

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. จากกราฟแสดงการเจริ ญเติบโตของประชากรเม่นทะเลแบบเอกซ์โพเนนเชียล
B. หากขนาดประชากรเม่นทะเล 90 ตัว จะมีอตั ราการตายมากกว่าอัตราการเกิด
C. หากนําเม่นทะเลมาปล่อยในพื Jนที<บริ เวณนี Jอีก 20 ตัว จะทําให้ แครี อิงคาพาซิตีสงู ขึ Jน
D. หากประชากรเม่นทะเลมีขนาดประมาณ 40 ตัวพบว่าเป็ นช่วงที<มีอตั ราการเติบโตของประชากรเม่นทะเลสูงสุด

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
5.พิจารณาการเจริ ญเติบโตขันทุ
J ตยิ ภูมิของพืชดอก ดังนี J

A. Periderm คือชันของเนื
J Jอเยื<อทุตยิ ภูมิที<เกิดขึ Jนแทนเนื Jอเยื<อผิว (Epidermis) ประกอบด้ วย Cork, Cork cambium และ
Phelloderm
B. Bark คือกลุม่ เนื Jอเยื<อทุกชนิดที<อยูด่ ้ านนอก Vascular cambium ของพืชที<มีเนื Jอไม้
C. Annual ring เกิดจากการเจริ ญที<ไม่เท่ากันของ Secondary xylem ในฤดูแล้ งกับฤดูฝนของแต่ละปี
D. Sap wood คือเนื Jอไม้ สว่ นแข็งและสีคอ่ นข้ างคลํ Jา อยูบ่ ริ เวณแกนกลางของไม้ ต้นบางชนิด เนื Jอไม้ สว่ นนี Jหยุดทําหน้ าที<ลาํ เลียงนํ Jา
และแร่ธาตุ

จากข้ อความดังกล่าวข้ อใดไม่ถกู ต้ องเกี<ยวกับการเจริ ญของพืชดอก


1) A เท่านันJ
2) C เท่านันJ
3) D เท่านันJ
4) A และ B
5) C และ D
6.จากภาพแสดงโครงสร้ างรากจากพืชชนิดหนึง<

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ภายในลําต้ นของพืชชนิดนี Jสามารถเกิดการแบ่งเซลล์ของ Vascular cambium ได้
B. ภายในเนื Jอเยื<อชันJ b พบเนื Jอเยื<อถาวรหลายชนิด เช่น Parenchyma ซึง< เป็ นเซลล์ที<มีชีวิต ผนังเซลล์หนาบางไม่สมํ<าเสมอ
พบการสะสมของสารเพกทิน
C. เนื Jอเยื<อในชันJ e พบเฉพาะในรากเท่านันJ ดังนันชัJ นเนื
J Jอเยื<อชนิดนี Jจึงเป็ นตําแหน่งในการจําแนกราก และลําต้ นของพืช
D. ทุกเซลล์ที<เป็ นองค์ประกอบในชันเนื J Jอเยื<อ c และ d ประกอบด้ วยเซลล์ที<มีผนังเซลล์ขนปฐมภู
ัJ มิ (Primary cell wall)

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
7.นักวิทยาศาสตร์ ต้องการศึกษากลไกการคายนํ Jาของพืชชนิดหนึง< โดยใช้ กระดาษทดสอบความชื Jน (Moisture indicators) ซึง< จะเปลีย< น
จากสีขาวเป็ นสีนํ Jาเงินเมื<อได้ รับความชื Jน จากนันนํ
J าพืชชนิดนี Jไปเก็บไว้ ในห้ องสีเ< หลีย< มทึบ ติดตังเครื
J < องเป่ าลม เครื< องปรับอุณหภูมิ และ
แหล่งกําเนิดแสง ต่อมานักวิทยาศาสตร์ ได้ มีการจัดชุดการทดลองจํานวน 3 ชุด (ชุดการทดลองที< 1 - 3) แล้ วนําแต่ละชุดการทดลองไปวาง
ไว้ ในสภาพแวดล้ อมที<แตกต่างกันตามปั จจัยที<ต้องการศึกษา แต่ละชุดการทดลองประกอบด้ วย กลุม่ ควบคุมกับกลุม่ ทดลอง

ภาพที< 1 แสดงรูปแบบการออกแบบการทดลอง

ภาพที< 2 แสดงรูปแบบการติดกระดาษทดสอบความชื Jนไปยังบริ เวณใบของพืช


หมายเหตุ
• ใบพืชที<นํามาทดสอบในแต่ละกลุม่ การทดลองมีขนาดและอายุเท่ากัน
• แผ่นพลาสติกใสถูกปิ ดจนสนิท เพื<อป้องกันไม่ให้ ความชื Jนจากภายนอกเข้ ามารบกวนการทดลอง
• บริ เวณห้ องที<ทําการทดลองเป็ นห้ องปิ ดสนิทความเร็ วลมที<เกิดขึ Jน และอุณหภูมิที<เกิดขึ Jนภายในห้ องจะต้ องควบคุมจากอุปกรณ์ที<
ติดตังไว้
J ในห้ องเท่านันJ
• ปั จจัยอื<น ๆ นอกเหนือจากปั จจัยที<ต้องการศึกษา ถูกควบคุมให้ เหมือนกันในแต่ละชุดการทดลอง

สังเกตการเปลีย< นแปลงของสีกระดาษทดสอบความชื Jน โดยจับเวลาที<กระดาษเปลีย< นสีได้ ผลดังตาราง

ชุดการ ระยะเวลาที<กระดาษทดสอบความชื Jนเกิดสีนํ Jาเงิน (นาที)


ปั จจัยที<ศกึ ษา
ทดลองที< กลุม่ ทดลอง กลุม่ ควบคุม
1 ความเร็ วลม 12.5 5.0
2 อุณหภูมิ 5.0 7.0
3 ระยะห่างจากแหล่งกําเนิดแสง 2.0 3.5

จากผลการทดลอง พิจารณาข้ อความเปรี ยบเทียบสภาพแวดล้ อมที<ใช้ ในแต่ละชุดการทดลอง ต่อไปนี J


A. ชุดการทดลองที< • กลุม่ ทดลองมีความเร็ วลมมากกว่ากลุม่ ควบคุม
B. ชุดการทดลองที< • กลุม่ ทดลองมีอณ ุ หภูมิตํ<ากว่ากลุม่ ควบคุม
C. ชุดการทดลองที< ‘ กลุม่ ทดลองมีระยะห่างจากแหล่งกําเนิดแสงน้ อยกว่ากลุม่ ควบคุม
D. ความเข้ มข้ นของแสงที<สงู ขึ Jน จะทําให้ เซลล์คมุ (Guard cell) เต่งมากขึ Jน จึงเป็ นผลทําให้ เกิดการคายนํ Jาได้ ดี

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
8.จากภาพแสดงกระบวนการพัฒนาของถุงเอ็มบริ โอ (Embryo sac) ซึง< จัดเป็ นแกมีโทไฟต์เพศเมีย (Female gametophyte)

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. จํานวนชุดโครโมโซมของเซลล์ B เทียบได้ กบั Antipodal cell
B. กระบวนการแบ่งเซลล์ในขันตอน
J D เทียบได้ กบั การแบ่งเซลล์จาก Spermatogonia เป็ น Primary spermatocyte
C. กระบวนการ C เป็ นการแบ่งเซลล์ที<ทําให้ ชดุ โครโมโซมไม่ลดลง
D. พบเซลล์ A ได้ ในสนหางสิงห์

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
9.นักวิจยั ต้ องการศึกษากระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง และการลําเลียงอาหารของข้ าวโพด และข้ าวเจ้ า โดยได้ มีการทดลองให้ 16CO2
กับพืชทังสองชนิ
J ด จากนันได้
J มีการติดตามกัมมันตรังสีในส่วนต่าง ๆ ของพืช

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ภายในข้ าวโพดจะตรวจพบ16C ที< Bundle sheath cell ในขณะที<ไม่พบในข้ าวเจ้ า
B. ชนิดของสารที<ตรวจพบ 16C เป็ นลําดับแรกของข้ าวโพด และข้ าวเจ้ า ไม่ใช่สารชนิดเดียวกัน
C. เมื<อมีการสร้ างสารอินทรี ย์ขึ Jนในพืชทังสองชนิ
J ด เราสามารถตรวจพบ 16C ได้ ใน Sieve tube member
D. สารชนิดแรกที<ตรวจพบ 16C ภายในข้ าวเจ้ า คือ PGAL

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
10.นักเรี ยนศึกษาข้ อมูลของฮอร์ โมนพืช 4 ชนิด ที<มีคณุ สมบัตแิ ละหน้ าที<แตกต่างกัน ดังนี J
ฮอร์ โมน A ควบคุมการขยายขนาดของผลองุน่ ให้ มีขนาดใหญ่ขึ Jน
ฮอร์ โมน B เร่งการแตกตาข้ างของพืช นิยมนํามาใช้ ในการตัดแต่งกิ<ง เพื<อควบคุมทรงพุม่ ของไม้ ดอก ไม้ ประดับ
ฮอร์ โมน C ยับยังการเจริ
J ญของตาข้ าง มีแหล่งสร้ างหลักคือปลายยอด
ฮอร์ โมน D เกี<ยวข้ องกับการกระตุ้นการพักตัวของเมล็ด ตอบสนองต่อภาวะเครี ยดของพืช เช่นในพืชที<ขาดนํ Jา

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ผลจากการทํางานของฮอร์ โมน D คือทําให้ โพแทสเซียมไอออนสะสมในเซลล์คมุ เพิ<มขึ Jน
B. ฮอร์ โมน C ทํางานร่วมกับฮอร์ โมน B เพื<อกระตุ้นการแบ่งเซลล์ของแคมเบียม
C. ฮอร์ โมน A กระตุ้นการสร้ างเอนไซม์สาํ หรับย่อยแป้ง เพื<อใช้ เป็ นพลังงานในการงอกของเมล็ด
D. ฮอร์ โมน B ที<มีระดับที<สงู ขึ Jนสามารถยับยังฮอร์
J โมนที<เร่งการสุกของผลไม้ ได้

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
11.นักเรี ยนศึกษาการเบนเข้ าหาแสงของยอดโคลีออพไทล์ (Coleoptile) ของหญ้ าคานารี (Phalaris canariensi) โดยมีรูปแบบการทดลอง
ดังนี J

รายการวัสดอุอปุ กรณ์
1. ต้ นหญ้ าคานารี อายุ 3 วัน ความสูง 3 cm. จํานวน 4 ต้ น
2. วาสลีน
3. วาสลีนผสมสารสังเคราะห์ที<มีสว่ นผสมของออกซินความเข้ มข้ น —.1 %
4. อะลูมิเนียมฟอยล์

การออกแบบการทดลอง

ต้ นที< รูปแบบการทดลอง
1 ต้ นหญ้ าคานารี ปกติ
2 ตัดปลายโคลีออพไทล์ออกประมาณ 3 mm. และทาวาสลีนที<รอยตัด
3 ตัดปลายโคลีออพไทล์ออกประมาณ 3 mm. และทาวาสลีนผสมสารสังเคราะห์ที<มีสว่ นผสมของออกซินความ
เข้ มข้ น —.1 %
4 ใช้ อะลูมิเนียมฟอยล์ห้ มุ ส่วนปลายของโคลีออพไทล์

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. จากข้ อมูลดังกล่าวพบว่ามีต้นที<เบนเข้ าหาแสง 2 ต้ น
B. จากข้ อมูลดังกล่าวพบว่ามีต้นที<ไม่เบนเข้ าหาแสง 2 ต้ น
C. จากข้ อมูลดังกล่าวพบว่าต้ นที< 2 เบนเข้ าหาแสง
D. จากข้ อมูลดังกล่าวพบว่าต้ นที< 3 เบนเข้ าหาแสง

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
12.จากการศึกษาหมูเ่ ลือด และการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมของครอบครัวหนึง< พบว่าสามีภรรยาคูห่ นึง< มีหมูเ่ ลือด B และสายตาปกติ
ทังคู
J ่ ลูกชายคนแรกของพ่อแม่คนู่ ี Jมีหมูเ่ ลือด O และตาบอดสี

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. โอกาสที<ลกู คนถัดไปของพ่อแม่คนู่ ี J จะเป็ นโรคตาบอดสีคือ 25%
B. โอกาสที<ลกู คนถัดไปของพ่อแม่คนู่ ี J จะเป็ นเพศหญิงและเป็ นโรคตาบอดสีคือ 25%
C. โอกาสที<ลกู คนถัดไปของพ่อแม่คนู่ ี J จะเป็ นเพศชายและมีหมูเ่ ลือด B คือ 3/4
D. โอกาสที<ลกู คนถัดไปของพ่อแม่คนู่ ี J จะมีหมูเ่ ลือด B คือ 3/4

จากข้ อความดังกล่าว ข้ อใดผิด


1) A เท่านันJ
2) B เท่านันJ
3) A และ B
4) B และ C
5) C และ D
13.จากการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของโรคชนิดหนึง< ในครอบครัวหนึง< เป็ นดังนี J

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ตัวอย่างโรคทางพันธุกรรมที<มีการถ่ายทอดแบบดังภาพคือ โรค Thalassemia และ โรค Hemophilia
B. การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมดังภาพ พบว่า เพศชายและเพศหญิงมีโอกาสในการเกิดโรคเท่ากัน
C. การที<คนที< III-2 เป็ นโรค พบว่าแอลลีลที<ก่อโรค ได้ รับมาจากคนที< II-1 และ II-2
D. คนที< III-5 และ III-6 ไม่เป็ นพาหะของโรค

จากข้ อความดังกล่าว ข้ อใดถูก


1) A และ B
2) B และ C
3) C และ D
4) A B และ D
5) B C และ D
14.นักวิทยาศาสตร์ ศกึ ษาโครงสร้ างและคุณสมบัตทิ างโมเลกุลของแอนติบอดี (Antibody) โดยพบว่าประกอบด้ วยสายพอลิเพปไทด์
4 โมเลกุล คือ เส้ นหนัก (heavy chain) 2 โมเลกุล และเส้ นเบา (light chain) 2 โมเลกุล โดยเปรี ยบเทียบจากขนาดนํ Jาหนักโมเลกุล
ซึง< แสดงโครงสร้ างดังภาพ 1 และ 2

ภาพ 1 แสดงโครงสร้ างภายนอกของ Antibody ภาพ 2 แสดงโครงสร้ างของสายพอลิเพปไทด์ที<เป็ นองค์ประกอบของ Antibody

และจากการทดสอบคุณสมบัตทิ างโมเลกุลพบว่า
Heavy chain เป็ น Polypeptide ที<ประกอบด้ วยกรดอะมิโน 120 ลําดับ
Light chain เป็ น Polypeptide ที<ประกอบด้ วยกรดอะมิโน 130 ลําดับ

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. Antibody มีจํานวน codon ทังหมดเท่
J ากับ 500
B. Antibody มีจํานวน Peptide bond ทังหมดเท่
J ากับ 496 พันธะ
C. จํานวน DNA แม่แบบที<สงั เคราะห์ Antibody มีจํานวน 1,512 เบสเป็ นอย่างน้ อย
จากข้ อความดังกล่าวข้ อใดผิด
1) A เท่านันJ
2) B เท่านันJ
3) C เท่านันJ
4) A และ B
5) A และ C
15.จากภาพแสดงเอนไซม์และองค์ประกอบที<เกี<ยวข้ องการจําลองดีเอ็นเอ (DNA replication)

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. เอนไซม์ A ทําหน้ าที<สลายพันธะไฮโรเจนระหว่างคูเ่ บส ทําให้ พอลินิวคลีไทด์ 2 สายแยกออกจากกัน
B. หน้ าที<ของเอนไซม์ D คือการสร้ างพันธะ Phosphodiester เพื<อเชื<อม 5’ phosphate ของสายสันหนึ
J ง< กับ 3’ OH ของอีกสายสันJ
C. ในกระบวนการจําลองดีเอ็นเอในหลอดทดลอง สามารถใช้ เอนไซม์ C ที<ใช้ ในกระบวนการ DNA replication ได้
D. ทิศทางการสร้ าง DNA โมเลกุล B คือทิศทางเดียวกับทิศทางการคลายเกลียวของ DNA โมเลกุลเดิม

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
16.กําหนดให้ รหัสพันธุกรรม เป็ นดังนี J

ถ้ าลําดับนิวคลีโอไทด์ของดีเอ็นแม่แบบสายหนึง< แสดงดังด้ านล่าง โดยกําหนดให้ 1 - 3 แสดงตําแหน่งที<จะเกิดมิวเทชัน เป็ นดังนี J

เมื<อเกิดกระบวนการถอดรหัส จะได้ mRNA ที<จะเข้ าสูก่ ระบวนการแปลรหัส และแปลงออกมาเป็ นสายพอลิเพปไทด์

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. หากเบสในตําแหน่งที< 3 ถูกแทนที<ด้วยเบส C จะทําให้ สายพอลิเพปไทด์ที<ได้ มีขนาดสันลงJ
B. หากเบสในตําแหน่งที< 2 ถูกแทนที<ด้วยเบส T จะทําให้ ได้ รหัสหยุด ส่งผลให้ สายพอลิเพปไทด์สนลง
ัJ
C. หากไม่เกิดมิวเทชัน จะได้ สายพอลิเพปไทด์ที<ประกอบด้ วยพันธะเพปไทด์ 5 พันธะ
D. หากเพิ<ม 1 นิวคลีโอไทด์หลังตําแหน่ง 1 จะทําให้ เกิดเฟรมชิฟท์มิวเทชัน และได้ พอลิเพปไทด์ที<ประกอบด้ วยกรดอะมิโน
5 หน่วย

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
17.นักวิทยาศาสตร์ สร้ างสิง< มีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม โดยได้ มีการเชื<อมยีน X ที<สามารถสร้ างสารทําให้ แบคทีเรี ยเรื องแสงในที<มืด
มีความยาว 300 คูเ่ บส เข้ าไปในพลาสมิด pBR322 ซึง< มีความยาว 4,360 คูเ่ บส โดยโครงสร้ างพลาสมิดเป็ นดังภาพ

หมายเหตุ กําหนดให้ tetR คือยีนที<ทําให้ ต้านทานยาปฏิชีวนะ Tetracycline


ampR คือยีนที<ทําให้ ต้านทานยาปฏิชีวนะ Ampicillin
PstI, EcoRI, HindIII, BamHI, XmaIII, PvuII คือตําแหน่งตัดจําเพาะของเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ

นักวิทยาศาสตร์ ได้ ทดลองใส่ยีน X เข้ าไปในพลาสมิดที<มีตําแหน่งตัดจําเพาะของเอนไซม์ PstI หลังจากนันJ ได้ มีการถ่ายพลาสมิดเข้ าสู่
เซลล์แบคทีเรี ยแล้ วนําไปเลี Jยงบนอาหารวุ้น 2 จาน คือจานที<มียาปฏิชีวนะ Ampicillin และจานที<มียาปฏิชีวนะ Tetracycline
ต่อมาพบแบคทีเรี ยที<เจริ ญบนอาหารดังกล่าว จึงนําไปสกัดพลาสมิด พบพลาสมิดที<แตกต่างกัน 2 แบบ แล้ วนํามาตรวจสอบด้ วยวิธี
เจลอิเล็กโทรฟอรี ซสิ ได้ ผลดังภาพ

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. Plasmid ที<มีการแทรกยีน X คือ Plasmid 2
B. Plasmid 1 ไม่สามารถต้ านยาปฏิชีวนะ Ampicillin ได้
C. Plasmid 2 มีตําแหน่งตัดจําเพาะของเอนไซม์ EcoRI 1 ตําแหน่ง
จากข้ อความดังกล่าวมีข้อใดถูก
1) A เท่านันJ
2) B เท่านันJ
3) C เท่านันJ
4) A และ B
5) B และ C

18.จากการสํารวจลักษณะสีของต้ นไม้ ในบริ เวณพื Jนที<เกาะแห่งหนึง< พบว่ามีจํานวนต้ นไม้ ทงหมดัJ 10,000 ต้ น ซึง< เป็ นต้ นไม้ สเี หลือง
8,800 ต้ น และมีต้นสีเขียว 1,200 ต้ น โดยประชากรต้ นไม้ แห่งนี Jพบว่ามีความถี<จีโนไทป์ ที<ควบคุมลักษณะสีต้นไม้ แบบเฮเทอโรไซกัสเท่ากับ
0.36

กําหนดให้ แอลลีล A ควบคุมลักษณะต้ นไม้ สเี หลือง ซึง< เป็ นลักษณะเด่นที<เป็ นการควบคุมแบบเด่นสมบูรณ์ตอ่ ลักษณะด้ อย
แอลลีล a ควบคุมลักษณะต้ นไม้ สเี ขียว ซึง< เป็ นลักษณะด้ อย
ประชากรต้ นไม้ ในเกาะแห่งนี J มีการผสมพันธุ์แบบสุม่ ไม่มีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ความถี<ของแอลลีลเด่น เท่ากับ 0.7
B. จํานวนประชากรต้ นไม้ สีเหลืองพันธุ์แท้ เท่ากับ 3,600 ต้ น
C. ในอีก 100 ปี ถดั มา หากประชากรต้ นไม้ ในพื Jนที<เกาะแห่งนี Jอยูภ่ ายใต้ สมดุลฮาร์ ดี-ไวน์เบิร์ก มีจํานวนประชากรต้ นไม้ ทงหมด
ัJ
50,000 ต้ น พบว่าจะมีจํานวนต้ นไม้ ที<มีลกั ษณะด้ อย เท่ากับ 4,500 ต้ น

จากข้ อความดังกล่าว ข้ อใดถูก


1) A เท่านันJ
2) B เท่านันJ
3) A และ B
4) A และ C
5) B และ C
19.นักเรี ยนได้ ศกึ ษาสิง< มีชีวิต 5 สปี ชีส์ คือสปี ชีส์ A – E โดยข้ อมูลของสิง< มีชีวิตทุกกลุม่ แสดงดังนี J

ตารางแสดงข้ อมูลทางอนุกรมวิธานของสิง< มีชีวิตสปี ชีส์ A

คิงดอม ไฟลัม คลาส ออเดอร์ แฟมิลี จีนสั สปี ชีส์


สปี ชีส์ A Animalia Chordata Mammalia Carnivora Felidae Felis Felis catus

ภาพแสดงแผนภูมิวิวฒ
ั นาการชาติพนั ธุ์ที<แสดงการจัดกลุม่ ชนิดของพืช โดยสิง< มีชีวิตสปี ชีส์ B แสดงดังภาพ

ถ้ าทราบว่าสิง< มีชีวิตสปี ชีส์ C อยูใ่ นออเดอร์ Carnivora


สิง< มีชีวิตสปี ชีส์ D อยูใ่ นแฟมิลี Felidae
สิง< มีชีวิตสปี ชีส์ E มีเส้ นใบเพียง 1 ใบ และสร้ างสปอร์ แบบเดียวกับสิง< มีชีวิตสปี ชีส์ B

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. สิง< มีชีวิตสปี ชีส์ C อยูใ่ นคลาส Mammalia
B. สิง< มีชีวิตสปี ชีส์ A C และ D อยูใ่ นแฟมิลเี ดียวกัน
C. สิง< มีชีวิตสปี ชีส์ B ไม่พบไซเล็มและโฟลเอ็ม
D. ตัวอย่างสิง< มีชีวิตสปี ชีส์ E เช่น สามร้ อยยอด สร้ อยนางกรอง ช้ องนางคลี<

จากข้ อความดังกล่าว ข้ อใดถูก


1) A และ C
2) B และ D
3) A B และ C
4) A C และ D
5) B C และ D
20.นักเรี ยนได้ เข้ าแข่งขันรายการแฟนพันธุ์แท้ ในหัวข้ อ “อาณาจักรสัตว์ (Kingdom animalia)” ซึง< หัวข้ อที<นกั เรี ยนได้ เล่นคือด่านคุณสมบัติ
กล่าวคือ จะมีคณ ุ สมบัตขิ องสิง< มีชีวิตมาให้ นกั เรี ยนวิเคราะห์ 10 ข้ อ และให้ นกั เรี ยนเลือกตอบว่าสิง< มีชีวิตชนิดใดมีคณ
ุ สมบัตทิ งั J 10 ข้ อ
และถูกต้ องที<สดุ โดยคุณสมบัตทิ ง10 ั J ข้ อ แสดงดังภาพ

หมายเหตุ กําหนดให้ สงิ< มีชีวิตนี Jชื<อว่า X

ภายหลังจากที<นกั เรี ยนได้ เปิ ดป้ายคุณสมบัตทิ งั J 10 ป้าย จึงได้ มีการวิเคราะห์ข้อมูลทังหมด


J และได้ ข้อสรุปเบื Jองต้ น 5 ข้ อว่า
A. X ไม่ใช่จระเข้ ตุ๊กแก คางคก โลมา และเป็ ด
B. X น่าจะเป็ นสิง< มีชีวิตที<มีหวั ใจสีห< ้ องสมบูรณ์
C. X อาจจะเป็ นสัตว์เลือดอุน่
D. X ไม่ใช่แลมป์ เพรย์ แฮกฟิ ช เหาฉลาม วาฬ และโลมา 100%
E. ของเสียชนิดไนโตรเจน (N-waste) ที<ถกู ขับจาก X ไม่นา่ จะเป็ นยูเรี ย

จากข้ อสรุปเบื Jองต้ นทังJ 5 ข้ อ มีข้อสรุปที<สอดคล้ องกับคุณสมบัตขิ อง X กี<ข้อ


1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) 5 ข้ อ
21.พิจารณาโครงสร้ าง และอวัยวะที<ทํางานในระบบร่างกายต่าง ๆ ของสัตว์แต่ละชนิดดังนี J

A. หนอนตัวกลม มีชนิดของทางเดินอาหารแบบเดียวกับหนอนตัวแบน
B. หอยมีชนิดของระบบหมุนเวียนเลือดแบบเดียวกับปู ในขณะที<หอยงวงช้ างมีชนิดของระบบหมุนเวียนเลือดแตกต่างจากกุ้ง
C. วิวฒ
ั นาการโครงสร้ างระบบประสาทของพยาธิตวั ตืดตํ<าที<สดุ เมื<อเปรี ยบเทียบกับระบบประสาทของสิง< มีชีวิตชนิดอื<นใน
อาณาจักรสัตว์
D. ดาวทะเล หอย และไส้ เดือนดิน เคลือ< นที<โดยไม่อาศัยการทํางานแบบ Antagonism
E. การขับถ่ายของเสียจากแมลง พบว่าของเสียที<เกิดขึ Jนจะถูกขับออกผ่านทาง Malpighian tubule ได้ โดยตรง

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ถูกทุกข้ อ
22.นักวิทยาศาสตร์ ได้ มีการศึกษาเชื Jอก่อโรค (Infectious agent) 4 ชนิด คือ เชื Jอ A B C และ D โดยการนํามาทําให้ บริ สทุ ธิ¦ (Pure culture)
และตรวจวิเคราะห์คณ ุ สมบัตทิ งทางกายภาพ
ัJ และคุณสมบัตทิ างโมเลกุลอย่างละเอียด เพื<อนําข้ อมูลที<ได้ มาพัฒนายาในการใช้ รักษา
ผู้ป่วยที<ได้ รับเชื Jอเหล่านี J ซึง< สรุปข้ อมูลของเชื Jอก่อโรคทังJ 4 ชนิด ได้ ทงหมด
ัJ 10 ข้ อดังนี J

ข้ อ 1 เชื Jอ A และ C มีขนาดเล็กกว่าเชื Jอ B และ D


ข้ อ 2 เมื<อตรวจสอบสารพันธุกรรมของเชื JอทังJ 4 ชนิดพบว่าสัดส่วนเบส A+C/G+T ของเชื Jอ C แตกต่างจากพวก
ข้ อ 3 ไม่พบนิวเคลียสในเชื Jอ D เช่นเดียวกับเชื Jอ A และ C ซึง< แตกต่างจากเชื Jอ B
ข้ อ 4 เมื<อตรวจสอบส่วนประกอบของเซลล์ พบโครงสร้ างที<มีลกั ษณะเป็ น Lipid bilayers ภายในเซลล์ของเชื Jอ B
ข้ อ 5 เชื Jอ D ไม่จําเป็ นต้ องใช้ เซลล์เจ้ าบ้ านในการเพิ<มจํานวน เช่นเดียวกับเชื Jอ B
ข้ อ 6 เชื Jอ A ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ ด้วยกล้ องจุลทรรศน์แบบใช้ แสง เช่นเดียวกับเชื Jอ C
ข้ อ 7 เชื JอทังJ 4 ชนิด ไม่มีการเจริ ญของไซโกต และ ไม่พบกลุม่ ของเซลล์ที<ทําหน้ าที<ร่วมกัน
ข้ อ 8 กลไกการเพิ<มจํานวนของเชื Jอ C ใกล้ เคียงกับเชื Jอ ที<มี Helper T-cell เป็ นเซลล์เจ้ าบ้ าน
ข้ อ 9 เมื<อตรวจสอบส่วนประกอบของเซลล์ ไม่พบผนังเซลล์ในเชื Jอ A B และ C
ข้ อ 10 เชื Jอ D มี Peptidoglycan เป็ นองค์ประกอบของผนังเซลล์

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. เชื Jอ A มีชนิดของสารพันธุกรรมเช่นเดียวกับเชื Jอ B ดังนันสามารถสรุ
J ปได้ วา่ เชื Jอทังสองชนิ
J ดจัดอยูใ่ นกลุม่ โพรทิสต์
B. เชื Jอ C เป็ นไวรัส เนื<องจากไม่สามารถสังเกตเห็นได้ ด้วยกล้ องจุลทรรศน์แบบใช้ แสง และไม่สามารถเพิ<มจํานวนได้ ด้วยตนเอง
C. เชื Jอ D เป็ นเซลล์โปรคาริ โอตในกลุม่ เดียวกับสาหร่ายสีเขียวแกมนํ Jาเงิน และสาหร่ายไฟ
D. เชื Jอ B เป็ นเซลล์ยคู าริ โอต เนื<องจากมีสารพันธุกรรมบรรจุอยูใ่ นนิวเคลียส และไม่จําเป็ นต้ องใช้ เซลล์เจ้ าบ้ านในการเพิ<มจํานวน

จากข้ อความดังกล่าวข้ อใดถูก


1) A และ B
2) B และ C
3) B และ D
4) B C และ D
5) A C และ D
23.Cytoskeleton เป็ นโครงสร้ างภายในเซลล์ ประกอบด้ วยเส้ นใยโปรตีนที<ประสานกันเป็ นร่างแห แทรกตัวอยูภ่ ายใน cytoplasm ทํา
หน้ าที<เป็ นโครงร่างภายในเพื<อรักษารูปทรงของเซลล์ และทําให้ เกิดการเคลือ< นไหวภายใน cytoplasm และการเคลือ< นที<ของเซลล์บางชนิด

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ชนิดของ Cytoskeleton ที<ทําหน้ าที<เป็ นองค์ประกอบของ Cilia และ Centriole เป็ นชนิดเดียวกัน
B. ชนิดของ Cytoskeleton ที<ทําหน้ าที<ในการไหลเวียนของไซโทพลาสซึมภายในเซลล์พืช และเกี<ยวกับการหดตัวของกล้ ามเนื Jอเป็ น
ชนิดเดียวกัน
C. ชนิดของ Cytoskeleton ที<ทําหน้ าที<ในการลําเลียง Vesicle ภายในเซลล์และการเคลือ< นที<ของอะมีบาเป็ นชนิดเดียวกัน

จากข้ อความดังกล่าว ข้ อใดผิด


1) A เท่านันJ
2) B เท่านันJ
3) C เท่านันJ
4) A และ B
5) B และ C
24.นักเรี ยนต้ องการศึกษาการลําเลียงสาร A ว่ามีรูปแบบการลําเลียงอย่างไร โดยมีข้อมูลเบื Jองต้ นว่าในการลําเลียงสาร A จะเป็ นต้ องใช้
โปรตีนในการลําเลียง (Transport protein) นักเรี ยนจึงทําการเตรี ยมหลอดทดลอง 3 หลอด และกําหนดองค์ประกอบให้ แตกต่างกัน คือ

หลอดทดลองที< 1 ใช้ เวสิเคิลที<เยื<อหุ้มไม่มีโปรตีนลําเลียง


หลอดทดลองที< 2 - 3 ใช้ เวสิเคิลที<เยื<อหุ้มมีโปรตีนลําเลียง
ได้ ผลการลําเลียงสาร A ดังตาราง

หลอดทดลองที< ความเข้ มข้ นของสารละลายเริ< มต้ น การลําเลียงสาร A


ภายนอกเวสิเคิล ภายในเวสิเคิล
1 [สาร A] = 5 mM [สาร A] = 0 mM ไม่พบ
2 [สาร A] = 3 mM [สาร A] = 5 mM ไม่พบ
3 [สาร A] = 3 mM [สาร A] = 5 mM พบการลําเลียงเข้ าภายในเวสิเคิล
[ATP] = 0 mM [ATP] = 5 mM

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. รูปแบบการลําเลียงสาร A ไม่จําเป็ นต้ องใช้ พลังงาน
B. การลําเลียงสาร A จัดเป็ นการลําเลียงแบบ Active transport
C. การลําเลียงสาร A จัดเป็ นการลําเลียงแบบ Facilitated diffusion
D. สาร A มีรูปแบบการลําเลียงเช่นเดียวกับการแลกเปลีย< นแก๊ สออกซิเจนบริ เวณถุงลมปอด

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) ไม่มีข้อถูก
2) 1 ข้ อ
3) 2 ข้ อ
4) 3 ข้ อ
5) 4 ข้ อ
25.นักวิทยาศาสตร์ ต้องการศึกษากลไกการย่อยอาหารของมนุษย์ โดยทดลองผสมสารต่าง ๆ และจําลองหลอดทดลองให้ สอดคล้ องกับ
ตําแหน่งของต่าง ๆ ร่างกาย ได้ แก่ ช่องปาก กระเพาะอาหาร และลําไส้ เล็ก จากนันนํ
J าสารในหลอดมาทดสอบด้ วยสารละลาย Benedict’s

หลอดที< สาร 1 สาร 2 ปรับสภาพแวดล้ อมในหลอดทดลองให้ เหมือนกับ


1 อะไมเลส แป้ง กระเพาะอาหาร
2 อะไมเลส เซลลูโลส ช่องปาก
3 อะไมเลส กลูโคส ช่องปาก
4 ทริ ปซิน แป้ง ลําไส้ เล็ก
5 มอลเทส มอลโทส ลําไส้ เล็ก

หลอดทดลองใดจะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ
1) หลอดที< 1 และ 2 เท่านันJ
2) หลอดที< 2 และ 5 เท่านันJ
3) หลอดที< 1 และ 3 เท่านันJ
4) หลอดที< 3 และ 5 เท่านันJ
5) หลอดที< 4 และ 5 เท่านันJ
26.กําหนดให้ A – G เป็ นระยะต่าง ๆ ที<เกิดขึ Jนในกระบวนการแบ่งเซลล์
A. มีการแยกของฮอมอโลกัสโครโมโซมออกจากกัน
B. เส้ นใยสปิ นเดิลยึดเกาะกับไคนีโทคอร์ บนโครโมโซม
C. โครมาทินขดตัวสันลงและหนาขึ
J Jน เกิดการไขว้ กนั ของนอนซิสเตอร์ โครมาทิด
D. เกิดการแยกกันของซิสเตอร์ โครมาทิด
E. เส้ นใยสปิ นเดิลยึดเกาะกับไคนีโทคอร์ บนฮอมอโลกัสโครโมโซม ทําให้ โครโมโซมเรี ยงกันเป็ นคู่ ๆ ตามแนวกลาง
F. เยื<อหุ้มเซลล์คอดเข้ าหากัน เกิดจากการทํางานของ Cytoskeleton ทําให้ ได้ เซลล์ลกู ทังหมด
J 4 เซลล์
G. มีการนําเวสิเคิลที<สร้ างจากกอลจิบอดี มาคัน< กลางเซลล์จากนันมีJ การสร้ างสารเซลซูโลสสะสมที<แผ่นกันเซลล์
J ได้ เซลล์ลกู ทังหมด
J
4 เซลล์

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
1. จํานวนชุดโครโมโซมในระยะ B และ E เป็ น 2n (เซลล์ดพิ ลอยด์)
2. โครมาทินในระยะ D มีการขดตัวสันลงและหนาขึ
J Jน เมื<อเทียบกับ โครมาทินในระยะ F
3. หากศึกษาการแบ่งเซลล์ของเซลล์อสุจิของสุนขั พบว่าสามารถเรี ยงลําดับระยะในการแบ่งเซลล์ได้ ดงั นี J
CàBàAàEàDàF
4. ชนิดของ Cytoskeleton ในระยะ F ของการแบ่งเซลล์ เป็ นชนิดเดียวกันกับ Cytoskeleton ที<เป็ นโครงสร้ างของเส้ นใยสปิ นเดิล
จากข้ อความดังกล่าว ข้ อใดถูก
1) 1 เท่านันJ
2) 2 เท่านันJ
3) 1 และ 2
4) 2 และ 3
5) 3 และ 4
27.จากภาพแสดงโครงสร้ างของเซลล์ยีสต์ในสารละลายกลูโคส

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ในภาวะที<เซลล์เกิดกระบวนการหมักจะพบการสร้ างกรดแลกติกที<บริ เวณ ข.
B. ในภาวะที<มีออกซิเจนไม่เพียงพอ จะเกิดการสลายสารอาหารบริ เวณ ข.
C. บริ เวณ จ. พบโปรตีนประเภทต่าง ๆ ที<ทําหน้ าที<เป็ นตัวรับและส่งอิเล็กตรอนในการสร้ าง ATP
D. บริ เวณ ฉ. พบการสะสมโปรตอน (H+) มากขณะที<มีการหายใจแบบใช้ ออกซิเจน

จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
28.Protein X จัดเป็ นนวัตกรรมทางอาหารที<สาํ คัญในปั จจุบนั เนื<องจากโครงสร้ างทางโมเลกุลของสารตัวนี J จัดเป็ นโปรตีนทังหมด
J
(Pure protein) ซึง< ประกอบจากกรดอะมิโนทังหมด
J 1,000 ตัว ช่วยเสริ มสร้ างการทํางานของร่างกายได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

นักวิจยั ต้ องการศึกษาการดูดซึมสารอาหารที<เกิดขึ Jนจาก Protein X โดยให้ ผ้ เู ข้ าร่วมโครงการได้ รับประทานโปรตีน X และติดตามการย่อย


และการดูดซึมของอาหารชนิดนี J โดยแสดงดังกราฟ

หมายเหตุ กําหนดให้ แกน X คือเวลา และแกน Y คือขนาดสายพอลิเพปไทด์โดยนับที<จํานวนกรดอะมิโนที<ตรวจวัดได้


พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. จากกราฟมีการย่อยทางเคมีของ Protein X ขึ Jน จึงทําให้ ขนาดของสายพอลิเพปไทด์เล็กลงเมื<อเวลาผ่านไป
B. ตําแหน่ง A เกิดภายในช่องปาก (Oral cavity) เนื<องจากยังไม่เกิดการย่อยเชิงเคมี
C. ตําแหน่ง B เกิดการทํางานของเอนไซม์ Carboxypeptidase
D. ตําแหน่ง B มีการดูดซึมสารอาหารที<ได้ จากการย่อย Protein X เข้ าสูห่ ลอดนํ Jาเหลือง

จากข้ อความดังกล่าว มีข้อมูลที<มีโอกาสเป็ นไปได้ จํานวนกี<ข้อ


1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อมูลที<เป็ นไปได้
29.นักเรี ยนออกแบบการทดลองเพื<อทดสอบการทํางานของระบบหายใจมนุษย์ โดยได้ สร้ างกล่องวิเศษหนึง< ขึ Jนมาให้ มีคณ ุ สมบัตเิ ฉพาะ
ดังนี J
• เป็ นกล่องที<ขนาดทังสี
J ด< ้ านมีความยาวเท่ากันสามารถบรรจุอากาศได้ ในสภาวะปกติ 100 หน่วย
• เป็ นกล่องที<มีลกั ษณะปิ ด กล่าวคือ อากาศจะเข้ ามาได้ ทางช่องว่างกลมเท่านันJ
• เป็ นกล่องที<สามารถให้ พลังงานเข้ าไปด้ านได้ โดยการเติมกระแสไฟฟ้า (หากไม่ต้องการพลังงาน ไม่ต้องเติมกระแสไฟฟ้า)
• เป็ นกล่องที<ได้ ออกแบบโครงสร้ างเฉพาะให้ มีการทํางานที<ใกล้ เคียงกับกล้ ามเนื Jอของมนุษย์ คือสามารถหดตัว คลายตัวได้ ได้ แก่
กะบังลม กล้ ามเนื Jอยึดกระดูกซี<โครงแถบใน กล้ ามเนื Jอยึดกระดูกซี<โครงแถบนอก กล้ ามเนื Jอคอ กล้ ามเนื Jอหน้ าท้ อง
• เป็ นกล่องที<สามารถเกิดการเปลีย< นแปลงของปริ มาตรและความดันได้ อตั โนมัตเิ มื<อเกิดการทํางานของโครงสร้ างคล้ ายกล้ ามเนื Jอ

ภาพแสดงโครงสร้ างต้ นแบบของกล่องวิเศษ โดยไม่แสดงองค์ประกอบเฉพาะของกล้ ามเนื Jอภายในกล่อง

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. หากต้ องการนําอากาศให้ เข้ าไปในกล่อง 80 หน่วย จะต้ องทําให้ ปริ มาตรในกล่องเพิ<มขึ Jนด้ วยการทําให้ โครงสร้ างกะบังลมหดตัว
และกล้ ามเนื Jอยึดกระดูกซี<โครงแถบนอกคลายตัว
B. หากต้ องการนําอากาศให้ เข้ าไปในกล่อง 160 หน่วย จะต้ องทําให้ ปริ มาตรในกล่องเพิ<มขึ Jนด้ วยการทําให้ โครงสร้ าง 2 ชนิดหดตัว
คือกะบังลม และกล้ ามเนื Jอยึดกระดูกซึโ< ครงแถบนอก
C. เดิมมีอากาศภายในกล่อง 70 หน่วย หากต้ องการนําอากาศออก จะต้ องใช้ กระแสไฟฟ้าช่วย

จากข้ อความดังกล่าว ข้ อใดผิด


1) A เท่านันJ
2) B เท่านันJ
3) C เท่านันJ
4) A และ B
5) A B และ C
30.จากภาพแสดงหลอดเลือดฝอยที<ล้อมรอบเนื Jอเยื<อร่างกาย ซึง< มีทิศทางการไหลของเลือดตามลูกศรดังภาพ

หมายเหตุ กําหนดให้ A – E แสดงตําแหน่งต่าง ๆ ของการแลกเปลีย< นแก๊ ส


A. เมื<อเปรี ยบเทียบความดันย่อยของ O2 พบว่าตําแหน่ง A มีคา่ สูงสุด
B. เมื<อเปรี ยบเทียบความดันย่อยของ CO2 พบว่าตําแหน่ง E มีคา่ สูงสุด
C. ตําแหน่ง E มีความดันย่อยของ O2 มากกว่าตําแหน่ง A
D. ลําดับทิศทางการแพร่ของ CO2 คือ AàBàCàDàE

จากข้ อความดังกล่าว มีข้อถูกกี<ข้อ


1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
31.จากภาพแสดงโครงสร้ างหัวใจ และหลอดเลือดของสัตว์เลี Jยงลูกด้ วยนํ Jานมชนิดหนึง<

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. หลอดเลือดหมายเลข 2 มีความดันสูงกว่าหลอดเลือดหมายเลข 4
B. เมื<อหัวใจห้ องล่างบีบตัว เลือดที<มี CO2 ตํ<า จะถูกส่งไปยังปอดเพื<อแลกเปลีย< นแก๊ สผ่านทางหลอดเลือดหมายเลข 1
C. เมื<อหัวใจห้ องล่างบีบตัว เลือดที<มี O2 สูง จะถูกส่งไปทัว< ร่างกายผ่านทางหลอดเลือดหมายเลข 2
D. เลือดที<มี O2 สูงจากปอดจะถูกส่งเข้ ามายังหัวใจห้ อง Left atrium ผ่านทางหลอดเลือดหมายเลข 4
จากข้ อความดังกล่าว มีข้อถูกกี<ข้อ
1) ไม่มีข้อถูก
2) 1 ข้ อ
3) 2 ข้ อ
4) 3 ข้ อ
5) 4 ข้ อ
32.Flow cytometry เป็ นเทคโนโลยีที<ใช้ วดั และวิเคราะห์ลกั ษณะทางกายภาพของเซลล์ เช่น ขนาดของเซลล์ ความซับซ้ อนของ
องค์ประกอบภายในเซลล์ ตรวจสอบโปรตีนหรื อสารต่างๆที<อยูภ่ ายในเซลล์หรื อบนผิวเซลล์ โดยอาศัยหลักการกระเจิงของแสงเลเซอร์ และ
การเปล่งแสงของโมเลกุลที<เกิดจากการกระตุ้นของแสงเลเซอร์ หลังจากกระทบกับเซลล์หรื ออนุภาคหนึง< ๆ ที<แขวนลอยอยูใ่ นระบบของเหลว

โดยผลการทดลองที<ได้ จะบันทึกออกมาเป็ น 2 ค่า คือ FSC (Forward scatter) ซึง< แปรผันตรงกับขนาดของเซลล์ และ SSC (Side scatter)
ซึง< แปรผันตรงกับความซับซ้ อนภายในเซลล์

นักเรี ยนได้ ทําการศึกษารูปร่าง ขนาด และองค์ประกอบภายในเซลล์ 3 ชนิด ที<เกี<ยวข้ องกับระบบภูมิค้ มุ กัน โดยบันทึกข้ อมูลไว้ ดงั แสดง
ในตาราง

ขนาดของเซลล์ (um.) การมีแกรนูล การมีนิวเคลียส ลักษณะนิวเคลียส การมีออร์ แกแนล


เซลล์ A 75 มี (เยอะมาก) มี หลายพู มี
เซลล์ B 30 ไม่มี มี หนึง< พู มี
เซลล์ C 10 ไม่มี ไม่มี - ไม่มี

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. เซลล์ A มีคา่ FSC และ SSC มากที<สดุ เมื<อเปรี ยบเทียบกับเซลล์ B และ C
B. เซลล์ C มีคา่ SSC มากกว่าเซลล์ B แต่น้อยกว่าเซลล์ A
C. เซลล์ B มีคา่ SSC น้ อยกว่าเซลล์ A แต่มากกว่าเซลล์ C
D. เซลล์ C มีคา่ FSC เท่ากับเซลล์ A แต่น้อยกว่าเซลล์ B

จากข้ อความดังกล่าว ข้ อใดถูก


1) A และ B
2) A และ C
3) B และ C
4) C และ D
5) A และ D
33.จากภาพแสดงโครงสร้ างของหน่วยไต และโครงสร้ างอวัยวะภายในระบบขับถ่ายของมนุษย์

ภาพ 1 แสดงโครงสร้ างของหน่วยไต ภาพ 2 แสดงโครงสร้ างของระบบขับถ่าย

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. หากเปรี ยบเทียบองค์ประกอบของสารในตําแหน่ง c (ภาพ 2) และ E (ภาพ 1) พบว่าปริ มาณของเสียในตําแหน่ง E มากกว่า c
B. หากตรวจสอบของเหลวของชายสุขภาพดี ไม่มีประวัตโิ รคประจําตัว พบว่าปริ มาณกลูโคสในตําแหน่ง B (ภาพ 1) มากกว่า b
(ภาพ 2)
C. ของเหลวที<ผา่ นการกรอง พบว่ากลูโคสมีความเข้ มข้ นสูงสุดที<ตําแหน่ง B (ภาพ 1)
D. หากตรวจสอบของเหลวคนที<ไม่มีประวัตโิ รคประจําตัว ไม่ควรพบกรดอะมิโนที<ตําแหน่ง c (ภาพ 2)

จากข้ อความดังกล่าว มีข้อถูกกี<ข้อ


1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
34. Protein X และ Protein Y จัดเป็ นอาหารเสริ มที<นิยมนํามาใช้ ในผู้ป่วยที<มีอาการเบื<ออาหาร (Loss of Appetite) เนื<องจากมีงานวิจยั ทังJ
ในสัตว์ทดลองและในมนุษย์วา่ โปรตีนทังสองชนิ
J ดมีประสิทธิภาพที<ดีในการช่วยเพิ<มการรับประทานอาหารของผู้ป่วยกลุม่ นี J

อย่างไรก็ตามถึงแม้ วา่ ผลที<เกิดขึ Jนจากการได้ รับโปรตีนสองชนิดจะไม่แตกต่างกัน แต่ในส่วนของกลไกการออกฤทธิ¦ (Mechanism of


action) ของโปรตีนทังสองชนิ
J J ความแตกต่างกัน นักวิจยั จึงศึกษาฤทธิ¦ของ Protein X และ Protein Y โดยได้ นําหนูทดลองสายพันธุ์
ดนันมี
ปกติ (group A) / หนูทดลองที<มีอาการเบื<ออาหาร และไม่มีโปรตีนทังสองชนิ J ด (group B) จากนันให้
J ได้ รับ Protein X ชนิดเดียว
(group C) และกลุม่ ที<ได้ รับทังJ Protein X และ Y (group D) จากนันเปรี
J ยบเทียบค่าศักย์ไฟฟ้าเยื<อหุ้มเซลล์ (membrane potential) ของ
เซลล์ประสาทของศูนย์หิว (AgRP+ neuron) ในสมองส่วน hypothalamus และวัดปริ มาณอาหารที<หนูกิน ได้ ผลดังตาราง

กลุ่มทดลอง ค่ าศักย์ ไฟฟ้ าเยืEอหุ้มเซลล์ (membrane potential) ของ ปริมาณอาหารทีEกนิ (กรั มต่ อวัน)
เซลล์ ประสาทของศูนย์ หวิ (AgRP+ neuron) (mV)
Group A - 40.8 3.51
Group B - 40.7 2.01
Group C - 45.5 2.56
Group D - 40.2 3.52

จงพิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. หากเลือกโปรตีนได้ หนึง< ชนิด Protein X มีประสิทธิภาพมากกว่า Protein Y ในการใช้ กบั ผู้ป่วยเบื<ออาหาร
B. Protein X มีกลไกการทํางานใกล้ เคียงกับสารสือ< ประสาท GABA
C. Protein Y มีกลไกการทํางานใกล้ เคียงกับสารสือ< ประสาท Acetylcholine
D. การได้ รับ Protein Y เพียงชนิดเดียว มีโอกาสทําให้ เซลล์ประสาทเกิด Repolarization มากกว่าการได้ รับ Protein X เพียงชนิด
เดียว
จากข้ อความดังกล่าวมีข้อถูกกี<ข้อ
1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
35.Autonomic nervous system หรื อ ระบบประสาทอัตโนมัติ คือระบบประสาทที<ไม่ถกู ควบคุมภายใต้ จิตใจมีหน้ าที<ในการรักษาสมดุล
ของสภาวะภายในร่างกาย ซึง< มีผลต่อหลายอวัยวะและเนื Jอเยื<อ เช่น อวัยวะภายใน กล้ ามเนื Jอเรี ยบ ต่อมต่าง ๆ ในร่างกาย โดยแบ่ง
ออกเป็ นสองระบบย่อย คือ ระบบประสาทซิมพาเทติก และระบบประสาทพาราซิมพาเทติก จากภาพแสดงวงจรประสาทส่วนหนึง< ของ
ระบบประสาททังสองระบบ
J

ภาพ 1 ระบบประสาท A โดยแสดงส่วนหนึง< ของเซลล์ประสาทก่อนปมประสาท

ภาพ 2 ระบบประสาท B โดยแสดงส่วนหนึง< ของเซลล์ประสาทหลังปมประสาท

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ผลจากการทํางานของระบบประสาท B คือทําให้ นํ Jาลายมีการหลัง< เอนไซม์มาก
B. ผลจากการทํางานของประบบประสาท A คือทําให้ เกิดการกระตุ้นการสังเคราะห์ไกลโคเจน
C. ปมประสาทอัตโนวัติ (Autonomic ganglion) ของระบบประสาท B อยูใ่ กล้ กบั ระบบประสาทส่วนกลางมากกว่า
ปมประสาทอัตโนวัตขิ องระบบประสาท A
D. ผลจากการทํางานของระบบประสาท A คือช่วยกระตุ้นการขับเหงื<อ ลดการสร้ างเอนไซม์ ลดการเคลือ< นไหวแบบเพอริ สตัลซิส
และทําให้ เกิดการคลายตัวของกล้ ามเนื Jอยึดเลนส์ตาเมื<อมองวัตถุระยะใกล้

จากข้ อความดังกล่าว มีข้อผิดกี<ข้อ


1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก
36.จากภาพแสดงโครงสร้ างทางกายวิภาคศาสตร์ ของตา (Eye)

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. ตําแหน่ง A พบเซลล์รับแสงหลัก 2 ชนิดคือเซลล์รูปแท่ง ซึง< ไวต่อแสง และเซลล์รูปกรวย ซึง< ไม่ไวต่อแสง
B. เมื<อมองภาพใกล้ ตําแหน่ง C จะตึง
C. เมื<อมองภาพไกล ตําแหน่ง B จะมีรูปร่างแบนบาง
D. เมื<อมองภาพใกล้ ตําแหน่ง D จะคลายตัว

จากข้ อความดังกล่าว มีข้อถูกกี<ข้อ


1) 1 ข้ อ
2) 2 ข้ อ
3) 3 ข้ อ
4) 4 ข้ อ
5) ไม่มีข้อถูก

37.จากสถานการณ์ตอ่ ไปนี J

นาย A อดอาหาร 12 ชัว< โมง ก่อนไปวิ<งกลางแจ้ งในวันถัดมา ขณะวิ<งนาย A เสียเหงื<อมาก ต้ องดื<มนํ Jาเป็ นระยะ

จากสถานการณ์ดงั กล่าวไม่จําเป็ นต้ องพึง< การทํางานของฮอร์ โมนชนิดใด


1) Insulin
2) Glucagon
3) ADH
4) Epinephrine
5) Cortisol
38.การทําหมันชาย (Vasectomy) เป็ นวิธีคมุ กําเนิดในเพศชาย โดยการตัดท่อนําอสุจิเพื<อไม่ให้ มีการลําเลียงอสุจิจากแหล่งสร้ างมายัง
แหล่งหลัง< และทําให้ นํ Jาอสุจิ (Semen) ที<หลัง< ออกมาไม่มีตวั อสุจิเหลืออยูจ่ งึ ไม่ทําให้ เกิดการปฏิสนธิ/ตังครรภ์
J

หากแพทย์ทา่ นหนึง< ได้ ทําการตรวจคนไข้ เพศชาย 5 คน คือนาย A B C D และ E ตามลําดับ โดยได้ มีการเก็บ Semen มาแยกส่วนประกอบ
ตามตําแหน่งของระบบสืบพันธุ์เพศชาย และทําการเจาะเลือดเพื<อวัดระดับฮอร์ โมนที<เกี<ยวข้ องกับเพศชาย ได้ แก่ฮอร์ โมน LH (Luteinizing
hormone) FSH (Follicle stimulating hormone) และ Testosterone ได้ ข้อมูลดังตารางที< 1 และ 2

ตารางที< 1 แสดงข้ อมูลจากการแยกองค์ประกอบของนํ Jาอสุจิตามตําแหน่งต่าง ๆ ของระบบสืบพันธุ์เพศชาย

Epididymis Prostate gland Seminal vesicle Cowper’s gland Seminiferous tubule


A Positive Positive Positive Positive Negative
B Negative Positive Positive Positive Negative
C Positive Positive Negative Positive Positive
D Negative Positive Positive Positive Negative
E Negative Positive Positive Positive Negative

ตารางที< 2 แสดงข้ อมูลจากการเจาะเลือดเพื<อวัดระดับฮอร์ โมนที<เกี<ยวข้ องกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย ซึง< แสดงหน้ าที<ของฮอร์ โมน 3 ชนิด

ระดับฮอร์ โมนที<สงู ขึ Jนในช่วงระยะประจําเดือน ระดับของฮอร์ โมนที<สร้ างจาก ระดับของฮอร์ โมนที<เกี<ยวข้ องกับ


(Menstrual phase) ในเพศหญิง Interstitial cell ในเพศชาย กระบวนการตกไข่ในเพศหญิง
A Negative Negative Positive
B Positive Positive Positive
C Negative Negative Positive
D Negative Negative Positive
E Positive Positive Positive

หมายเหตุ
กําหนดให้ Positive คือตรวจพบองค์ประกอบชนิดนันJ
Negative คือไม่สามารถตรวจพบองค์ประกอบชนิดนันJ
Epididymis คือ องค์ประกอบที<ตรวจพบได้ จากนํ Jาอสุจิที<สามารถพบได้ ที< Epididymis
Seminiferous tubule คือ องค์ประกอบที<ตรวจพบได้ จากนํ Jาอสุจิที<สามารถพบได้ ที< Seminiferous tubule
Prostate gland คือ องค์ประกอบที<ตรวจพบได้ จากนํ Jาอสุจิที<มีแหล่งสร้ างจาก Prostate gland
Cowper’s gland คือ องค์ประกอบที<ตรวจพบได้ จากนํ Jาอสุจิที<มีแหล่งสร้ างจาก Cowper’s gland
Seminal vesicle คือ องค์ประกอบที<ตรวจพบได้ จากนํ Jาอสุจิที<มีแหล่งสร้ างจาก Seminal vesicle
จากข้ อมูลการตรวจระดับองค์ประกอบของสารในนํ Jาอสุจิ และระดับฮอร์ โมนที<เกี<ยวข้ องกับระบบสืบพันธุ์เพศชาย แพทย์สามารถสรุป
เบื Jองต้ นได้ วา่ จากคนไข้ ทงั J 5 คน (นาย A - E) มีบคุ คลที<มีประวัตกิ ารทําหมันชาย

หากนักเรี ยนเป็ นแพทย์ทา่ นนี Jจะสรุปว่ามีคนไข้ ที<มีประวัตกิ ารทําหมันชาย มาแล้ วกี<คน


1) 1 คน
2) 2 คน
3) 3 คน
4) 4 คน
5) 5 คน

39.จากภาพ แสดงโครงสร้ างพิเศษที<ทําหน้ าที<หอ่ หุ้มตัวอ่อนของไก่ (Extraembryonic membrane)

พิจารณาข้ อความต่อไปนี J
A. โครงสร้ างดังกล่าวสามารถพบได้ ใน เต่า ห่าน ค้ างคาว และซาลาแมนเดอร์
B. โครงสร้ าง D ทําหน้ าที<เก็บของเสีย (N-waste) ประเภทเดียวกันกับที<พบใน นก แมลง และสัตว์เลื Jอยคลาน
C. สิง< มีชีวิตที<มีโครงสร้ าง B ทุกชนิดจะมีหวั ใจ 4 ห้ องสมบูรณ์ ยกเว้ นสัตว์เลื Jอยคลานทังหมด
J

จากข้ อความดังกล่าว ข้ อใดผิด


1) A เท่านันJ
2) B เท่านันJ
3) A และ B
4) B และ C
5) A และ C
40.นักเรี ยนศึกษาความสามารถในการตอบสนองต่อเครื< องไล่สนุ ขั (Ultrasonic Dog Chaser) ของสุนขั 2 ตัว ซึง< ตัวที<หนึง< ชื<อ A คือสุนขั ที<
นํามาเลี Jยงไว้ แล้ วประมาณ 4 ปี ที<ได้ ยินเสียงเครื< องไล่สนุ ขั เป็ นประจํา ส่วนอีกตัวเป็ นสุนขั ที<ชื<อ B นํามาเลี Jยงได้ 2 วัน ซึง< ยังไม่เคยได้ ยิน
เสียงเครื< องไล่สนุ ขั โดยมีรูปแบบการทดลองดังนี J

• นําสุนขั ตัวที<หนึง< และสองมาอาศัยอยูใ่ นห้ องสีเ< หลีย< มด้ านเท่ากันทังสี


J ด< ้ าน และปิ ดประตูหน้ าต่างสนิท โดยวางสุนขั ไว้ ที<ตําแหน่ง
ติดตังเครื
J < องไล่สนุ ขั
• เปิ ดเครื< องไล่สนุ ขั มุมขวามือของห้ อง จํานวน 10 ครังJ
• บันทึกระยะเวลาที<สนุ ขั จะวิ<งจากมุมขวาของห้ อง ไปยังมุมซ้ าย
แสดงรูปแบบการทดลองดังภาพ

แสดงผลการทดลองดังตาราง

ครังJ ที< 1 ครังJ ที< 2 ครังJ ที< 3 ครังJ ที< 4 ครังJ ที< 5 ครังJ ที< 6 ครังJ ที< 7 ครังJ ที< 8 ครังJ ที< 9 ครังJ ที< 10
สุนขั A N/A N/A 57 N/A N/A 59 N/A N/A N/A N/A
สุนขั B 5 6 4 9 12 18 27 30 42 N/A

หมายเหตุ
กําหนดให้ หน่วยระยะเวลาที<จดบันทึกเป็ นหน่วย วินาที
N/A หมายถึงไม่สามารถบันทึกได้ เนื<องจากไม่มีพฤติกรรมตอบสนองที<แน่ชดั หรื อใช้ เวลาในการวิ<งมายังมุมซ้ ายมากกว่า 1 นาที

จากข้ อมูล การตอบสนองต่อเครื< องไล่สนุ ขั จัดเป็ นพฤติกรรมแบบใด


1) การฝังใจ
2) แฮบิชเู อชัน
3) การใช้ เหตุผล
4) การเชื<อมโยงแบบการมีเงื<อนไข
5) การเชื<อมโยงแบบลองผิดลองถูก
เฉลย BIOMOCK67

ข้ อ เฉลย ข้ อ เฉลย
1 2 21 1
2 2 22 3
3 2 23 3
4 2 24 2
5 3 25 4
6 3 26 2
7 2 27 2
8 2 28 3
9 3 29 5
10 2 30 2
11 3 31 4
12 4 32 2
13 2 33 3
14 1 34 3
15 2 35 3
16 1 36 2
17 5 37 1
18 4 38 2
19 4 39 5
20 4 40 2

You might also like