Professional Documents
Culture Documents
นิติกรปฏิบัติการ (เนื้อหา + แนวข้อสอบ) 2566
นิติกรปฏิบัติการ (เนื้อหา + แนวข้อสอบ) 2566
[2]
คำนำ
กรมสรรพากร (The Revenue Department) เป็นหน่วยงานหลักใน
การจัด เก็ บภาษี มีกฎหมายที่ใช้เป็นหลั กในการจัดเก็ บภาษี คือ ประมวลรัษฎากร และมี
พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวงการคลัง คำสั่งกรมสรรพากร ประกาศ
กรมสรรพากร ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งพบว่าจะมีการปรับปรุง กฎหมายที่ใช้ใน
การจัดเก็บภาษีอยู่เสมอๆ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ช่วงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปีที่ผ่าน
มา มีการจัดเก็บภาษี E-service อันถือเป็นการจัดเก็บภาษีนอ้ งใหม่ ด้วย
เมื่อกฎหมายมีมากประกอบกับมีการแก้ไข ปรับรุงอยู่เนื อง ๆ หากอ่านไม่
ตรงจุด อาจเสียเวลาและเกิด ความสับ สนได้ ผู้จัดทำจึงสรุป เนื้อหาและจุดเน้นที่น่าสนใจ
เพื่อให้เหมาะสมแก่การนำมาศึกษาเพื่อเตรียมตัวสอบกรมสรรพากรให้มากที่สุด
คู่มือเตรียมสอบกรมสรรพากรเล่มนี้ ประกอบด้วย เนือ้ หาที่ใช้ในการ
สอบ-แนวข้อสอบ (ที่เคยออกข้อสอบและการเก็งแนวข้อสอบ) รวมถึงจุดเน้นที่น่าสนใจ ซึ่ง
ได้ผ่านการคิดวิเคราะห์ โดยใช้ความรู้ที่มีอยู่อย่างสุดความสามารถจากประสบการณ์ ของ
ผูจ้ ัดทำเพื่อให้ทุกท่านได้ใช้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนีอ้ ย่างเต็มที่
“จงแข่งกับตัวเอง”
สำคัญที่สุดคือ ความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง
ความสำเร็จจะอยู่แค่เอื้อม
“ขอเป็นกำลังใจและขอให้ประสบความสำเร็จในการสอบครั้งนี้”
ไซอิ๋ ว
Update พฤษภาคม 2566
[3]
สารบัญ
หน้า
ส่วนที่ 1
1.1 ความรู้เกี่ยวกับกรมสรรพากร วิสัยทัศน์ พันธกิจ 4
โครงสร้าง อำนาจ หน้าที่ และภารกิจ
1.2 ความรู้เกี่ยวกับประมวลรัษฎากรและหลักภาษี 11
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา Personal income tax (PIT)
ภาษีเงินได้นิติบุคคล Corporate Income Tax (CIT)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม Value Added Tax (VAT)
ภาษีธุรกิจเฉพาะ Specific Business Tax (SBT)
อากรแสตมป์ stamp duty (SD)
ภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax)
1.3 ความรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ข่าวสารด้านเศรษฐกิจสังคม 152
และเทคโนโลยีของประเทศไทยและต่างประเทศในปัจจุบัน
1.4 ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) 160
1.5 ความรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ 173
1.6 กฎหมายและระเบียบที่ใช้ในการปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้อง 187
- วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง - ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
1.7 ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป 209
- หลักกฎหมายแพ่ง - หลักกฎหมายอาญา
ส่วนที่ 1
1.1 ความรู้เกี่ยวทั่วไปเกี่ยวกับกรมสรรพากร ภารกิจ วิสัยทัศน์
พันธกิจ กลยุทธ์ ค่านิยม แผนปฏิบัติราชการ โครงสร้างอำนาจหน้าที่ ภารกิจ
น่ ารู้ เกีย่ วกับกรมสรรพากร
1) พ.ศ.2416 รัชการที่ 5 ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อเก็บภาษีมารวมไว้
2) พ.ศ.2435 ยกฐานะหอรัษฎากรพิพัฒน์เป็น กระทรวงการคลังมหาสมบัติ
3) วันที่ 2 กันยายน 2458 เป็นวันเกิดกรมสรรพากรและเป็นวันที่จัดตั้งกรมสรรพากร ซึ่งตรงกับสมัย
ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชการที่ 6) (จุดเน้น)
ในปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้ าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า
กรมสรรพากรซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราตักเตือนเจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ในการตรวจเก็บภาษีอากร
กระทำการบัญชีและรวบรวมเงินผลประโยชน์แผ่นดิน จะรวมอยู่ในกระทรวงอันเสนาบดีมีห น้าที่
ปกครอง ยังไม่สู้เหมาะแก่ทางการ ควรมาขึ้นอยู่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ อันเสนาบดีมีหน้าที่ดำริ
และบัญชาการเงินอยู่แล้ว เพื่อจะได้จัด การตรวจตราและจัดการให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้ นฉะนั้นจึงได้
ทรงพระกรุ ณ าโปรดเกล้ า ฯให้ ย กกรมสรรพากรใน ซึ่ ง แต่ เดิ ม ขึ้ น อยู่ ในกระทรวงนครบาลและ
กรมสรรพากรนอกซึ่งเดิมขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยมาขึ้นอยู่ในบังคับบัญชากระทรวงพระคลังมหา
สมบัติและให้รวมเข้าเป็นกรมเดียวกันเรียกว่ากรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2458 ดังมี
พระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ดังนี้
ประกาศยกกรมสรรพากรนอกมาขึ้นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และรวมกับกรมสรรพากร
ในเปลี่ยนนามเป็นกรมสรรพากร
มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า “กรมสรรพากรซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราตักเตือน
เจ้ า พนั ก งานผู้ ป กครองท้ อ งที่ ในการตรวจตราเก็ บ ภาษี อ ากร กระทำการบั ญ ชี แ ละรวบรวมเงิ น
ประโยชน์แผ่นดินนั้น ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า หน้าที่การเช่นนี้จะรวมอยู่ในกระทรวงอันเสนาบดีมี
หน้าที่ปกครองยังไม่สู้เหมาะแก่ทางการ” จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกกรมสรรพากรใน ซึ่งแต่
เดิมขึ้นในกระทรวงนครบาลมาขึ้นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ อันเสนาบดี มีหน้าที่ดำริและบัญชา
ทางการเงินอยู่แล้ว เพื่อจะได้จัดการตรวจตราและจัด การให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น การก็ได้ดำเนินการ
มาโดยเรียบร้อย สมควรจะรวมสรรพากรนอกมาไว้ในกระทรวงเดียวกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกกรมสรรพากรนอกและข้าราชการในกรมสรรพากรนอกมาขึ้นอยู่ในบังคับ บัญชากระทรวงพระ
คลังมหาสมบัติ
อนึ่ง กรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอกแต่เดิมมาได้ขึ้นอยู่ต่างกระทรวงจึงแยกอยู่เป็น
สองกรม บัดนีไ้ ด้ยกมารวมอยู่ในกระทรวงเดียวกันแล้ว สมควรจะรวมเข้าเป็นกรมเดียวได้ จึงทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯให้รวมกรมสรรพากรนอกและกรมสรรพากรในเข้าเป็นกรมเดียวกัน ให้
เรียกว่า กรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ได้ประกาศเป็นต้นไป คือ วันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2458 (จุดเน้น)
NOTE รัชกาลที่ 6 รวมกรมสรรพากรนอกกับกรมสรรพากรในเป็ น กรมสรรพากร
ขึ้นกับกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ดังนั้น กรมสรรพากร ตั้งขึ้นในรัชการที่ 6 เมื่อ วันที่
2 กันยายน พ.ศ.2458 และวันที่ 2 กันยายน 2566 กรมสรรพากร มีอายุครบ 108 ปี
4) อธิบดีกรมสรรพากรคนแรก มิสเตอร์ เอฟ.เอช.ไยล์ (พ.ศ.2440 - 2472) เป็นชนชาติอังกฤษ
ชาวเมืองพลีมัธ หรือมหาอำมาตย์โท พระยาอินทรมนตรี ศรีจันทรกุมาร
[5]
1) วิสัยทัศน์ (Vision)
มีขึ้นเพื่อให้บุคลากรกรมสรรพากร ใช้เป็นเป้าหมายในการดำเนินงานเพื่อให้ไปใน
ทิศ ทางเดีย วกั น ซึ่ง วิสั ย ทั ศ น์ใหม่ เริ่ม ใช้ วัน ที่ 1 ตุ ล าคม พ.ศ. 2563) (จุ ด เน้ น ) ใช้ใน
ปีงบประมาณ 2564 – 2566 (รวม 3 ปี) โดยให้ความสำคัญกับการจัดเก็บภาษี ที่โปร่งใส
[6]
เป็น ธรรม โดยการใช้นวั ต กรรม เทคโนโลยี/ข้ อมู ล และการพั ฒ นาบุ คลากรให้ มีทั ก ษะที่
จำเป็นกับโลกยุคใหม่ เพื่อให้กรมสรรพากรเป็นกำลังสำคัญที่จะร่วมกับทุกภาคส่วนผลักดัน
ให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพทางการคลังที่แข็งแกร่ง สามารถแข่งขันในเวทีโลก รวมถึงการมี
ส่วนร่วมฟืน้ ฟูสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป วิสัยทัศน์มีขอ้ ความดังนี้
องค์กรชั้นนาที่จัดเก็บภาษีอย่างโปร่ งใสเป็ นธรรม
ด้วยนวัตกรรมและบุคลากรคุณภาพ เพื่อสร้ างเสถียรภาพทางการคลัง
“Leading Tax Agency driven by Integrity
Innovation and Competent Team to foster Fiscal Stability”
2) พันธกิจ (Mission)
คือ ความมุ่งหมายพื้นฐานขององค์กรหรือภาระงานในความรับผิดชอบ ซี่งกรมสรรพากร
อยู่ในสังกัดของกระทรวงการคลัง มีพันธกิจ ซึง่ ต้องดำเนินการให้บรรลุผล ดังนี้
1. จัดเก็บภาษีอากรให้ได้ตามประมาณการ
2. ยกระดับการให้บริการและสร้างความสมัครใจในการเสียภาษี
3. เสนอนโยบายทางภาษีอากรต่อกระทรวงการคลัง
เรียกพันธกิจโดยย่อว่า จัดเก็บภาษีตรงเป้า นโยบายตรงกลุ่ม บริการตรงใจ (จุดเน้น)
3) กลยุทธ์ (strategy)
กรมสรรพากร เป็นหน่วยงานอันดับ 1 ในการจัดเก็บภาษีของประเทศ และใน
ปีงบประมาณ 2566 อธิบดีกรมสรรพากร (นายลวรณ แสงสนิท) ได้นำนโยบาย “One RD” มาใช้
ในการทำงาน ประกอบด้วย “ONE TEAM” และ “ONE SEAMLESS TAX ECOSYSTEM”
“ONE TEAM” หมายความว่า ทีมสรรพากรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขับเคลื่อนด้วย Big
Data ทำงานแนวใหม่ มุ่งเน้นผลลัพธ์ ก้าวไปด้วยกัน
“ONE SEAMLESS TAX ECOSYSTEM” หมายความว่า กรมสรรพากรให้บริการแบบไร้
รอยต่อ ทำภาษีให้เป็นเรื่องง่าย ขับเคลื่อนด้วย 4 ทิศทาง (Theme) คือ
- REDEFINED TAX ECOSYSTEM : ทำภาษีให้เป็นเรื่องง่าย
- DATA DRIVEN TAXATION : ขับเคลื่อนการจัดเก็บภาษีดว้ ยข้อมูล
- NEW WAY OF WORK : ทำงานรูปแบบใหม่
- ADAPTIVE TO CHANGE : องค์กรสมรรถนะสูงทันการเปลี่ยนแปลง
[7]
ภาพ One RD
[8]
4) ค่านิยม (Value)
ค่านิยมกรมสรรพากร มีข้ นึ เพื่อให้บุคลากรกรมสรรพากรยึดถือปฏิบตั ิ เพื่อให้มีทศั นคติ
และพฤติกรรมในการทางาน นาไปสู่ ผลการปฏิบตั ิงานที่มีประสิ ทธิ ภาพและเป็ นแรงผลักดัน
ให้องค์กรมุ่งสู่ ความเป็ นมาตรฐานสากลอย่างยัง่ ยืน เรี ยกสั้น ๆ ว่า
I AM RD
เรา คือ สรรพากร
I = Integrity
มีจริ ยธรรมและจรรยาบรรณ ปฏิบตั ิหน้าที่ดว้ ยความซื่อสัตย์สุจริ ต
A = Accountability
มีความรับผิดชอบ ปฏิบตั ิหน้าที่ดว้ ยความมุ่งมัน่ ขยันหมัน่ เพียรและกระตือรื อร้น
M = Mastery
มีความเป็ นมืออาชีพ สั่งสมความรู ้และความเชี่ยวชาญในงานที่รับผิดชอบ
R = Respect and Responsiveness
การให้เกียติแก่ผูเ้ สี ยภาษีทุกระดับ เคารพสิ ทธิและหน้าที่และตอบสนองความคาดหวัง
หรื อความต้องการของผูเ้ สี ยภาษี
D = Development
พัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เพื่อเพิ่มประสิ ทธิภาพงานและบริ การผูเ้ สี ยภาษีให้พึงพอใจ
ที่ตั้งกรมสรรพากร
เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
อีเมล์กรมสรรพากร คือ e-mail.saraban@rd.go.th
ช่อง youtube คือ กรมสรรพากร ประเทศไทย
เป้าจัดเก็บภาษีปีงบประมาณ 2566 จำนวน 2,029,100 ล้านบาท
โครงสร้างการบริหารกรมสรรพากร
ผู้บริหาร
1.อธิบดี คือ นายลวรณ แสงสนิท เป็ นอธิบดีคนที่ 26 (เดือนพฤษภาคม 2565 -ปัจจุบนั )
2.ที่ปรึ กษา เป็ นตาแหน่งผูท้ รงคุณวุฒิ (มี 5 ตาแหน่ง) ประกอบด้วย
- ที่ปรึ กษาด้านประสิ ทธิภาพ คือ นายเกรี ยงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์
- ที่ปรึ กษาด้านพัฒนาฐานภาษี คือ นางสาววีณา ลิ่มสวัสดิ์
- ที่ปรึ กษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแลการสื่ อสาร คือ น.ส.ขนิษฐา สหเมธาพัฒน์
[9]
ได้รับมอบหมาย
(Note ชื่อเรียก สานักงานสรรพากรพืน้ ที่......... จะไม่ มีคาว่ า “จังหวัด” เช่ น
หากตัง้ อยู่จังหวัดภูเก็ต จะเรี ยกว่ า สานักงานสรรพากรพืน้ ที่ภูเก็ต (ไม่ มีคาว่ า จังหวัด) และเป็ นส่ วนราชการ
ส่ วนกลาง )
2.3 สานักงานสรรพากรพื้นที่สาขา มี 850 สาขา มีหน้าที่รับผิดชอบภายในท้องที่ ดังนี้
(1) รับชาระภาษีอากร คืนเงินภาษีอากร และปฏิบตั ิงานด้านกรรมวิธีอื่นๆ
(2) ตรวจสอบธุรกิจขนาดเล็กของผูม้ ีหน้าที่เสี ยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(3) สารวจและติดตามแหล่งภาษีอากรและผูม้ ีหน้าที่เสี ยภาษีอากร เพื่อให้มีการเสี ยภาษี
อากรที่ถูกต้องตามกฎหมาย
(4) ดาเนินการเกี่ยวกับการเร่ งรัดภาษีอากรค้าง
(5) ปฏิบตั ิงานด้านการเงินและการบัญชีสรรพากร
(6) ประชาสัมพันธ์และให้คาแนะนาเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร
(Note ชื่อเรียก สานักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขา.......จะไม่มีคาว่า “อาเภอ” เช่ น หากตั้งอยู่ ณ อาเภอ
กระนวน จังหวัดขอนแก่ น จะเรี ยกว่ า สานักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขากระนวน (ไม่ มีคาว่ า อาเภอ) และเป็ น
ส่ วนราชการ ส่ วนกลางไม่ ใช่ ส่วนภูมิภาค)
1.2 ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประมวลรัษฎากรและหลักภาษีอากร
ความหมายของประมวลรัษฎากร
ประมวลรัษฎากร มีรากศัพท์มาจากคาว่า ประมวล สมาสกับคาว่ า รัษฎากร
คาว่า “ประมวล” แปลว่า รวบรวม ในที่น้ ีหมายความถึง ประมวลกฎหมาย (Code)
ซึ่งรวบรวมกฎหมายลักษณะใกล้เคียงกันไว้ในกฎหมายฉบับเดียวกัน
คาว่า “รัษฎากร” มีรากศัพท์มาจากคาว่า “ราษฎร” สนธิ กับคาว่ า “อากร” รวมเป็ น
รัษฎากร แปลว่า ภาษีอากรทั้งหลายที่จัดเก็บจากราษฎรหรื อประชาชน
ดังนั้น “ประมวลรัษฎากร ” หมายความว่า ประมวลกฎหมายภาษีอากร บรรดาที่บญั ญัติ
จัดเก็บจากประชาชนหรื อราษฎรทั้งหลาย
เจตนารมณ์ในการตราประมวลรัษฎากร
ประมวลรัษฎากร ถูกบัญญัติข้ นึ โดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้
บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 โดยที่สภาผูแ้ ทนราษฎรลงมติวา่ สมควรตราประมวล
รัษฎากร เพื่อปรับปรุงการรัษฎากร ตามหลัก “ความเป็ นธรรมแก่ สังคม” (จุดเน้ น) ซึ่งตราไว้ เมื่อ
วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2481
Note “ หลักความเป็ นธรรมแก่สังคม ” เป็ นส่วนหนึ่งของลักษณะภาษีอากรที่ดี ซึ่ง
ลักษณะของภาษีอากรที่ดี ประกอบด้วย 7 หลัก คือ
- หลักความเป็ นธรรม - หลักความแน่ นอน
[12]
- หลักความสะดวก - หลักความยืดหยุ่น
- หลักอานวยรายได้ - หลักความเป็ นกลางทางเศรษฐกิจ
- หลักความประหยัด
วันที่บทบัญญัติแห่ งประมวลรัษฎากร ใช้ บังคับ และลาดับศักดิ์ของกฎหมายสรรพากร
ประมวลรัษฎากร เป็ นกฎหมายที่บญั ญัติต่อท้ายพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่ง
ประมวลรัษฎากร พ.ศ.2481 โดยมาตรา 3 โดยประมวลรัษฎากรมีผลใช้บงั คับตั้งแต่วนั ที่
1 เมษายน พ.ศ.2482 ยกเว้น เรื่ อง อากรแสตมป์ ให้ใช้ ตั้งแต่วนั ที่ 1 มิถุนายน 2482 เป็ นต้นไป
“ประมวลรั ษฎากร” มีลาดับศักดิ์เทียบเท่ า “พระราชบัญญัติ” จึงมีผลต่อการแก้ไข
เพิม่ เติมประมวลรัษฎากร ถ้าหากจะแก้ประมวลรัษฎากร จะต้องแก้ไขหรื อเพิ่มเติม ด้วยกฎหมายใน
ลาดับเดียวกันหรื อสู งกว่า คือ พระราชบัญญัติ หรื อ พระราชกาหนด เว้นแต่ ภาวะไม่ปกติ อาจมี
การแก้ไขเพิม่ เติม ด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ หรื อคณะปฏิรูปการปกครองแผ่ นดินหรื อคณะ
รักษาความสงบเรียบร้ อยแห่ งชาติ ซึ่งเป็ นกฎหมายที่เทียบเท่าพระราชบัญญัติหรื อพระราชกาหนด
นัน่ เอง และ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง ยังมี อานาจแต่ งตั้งเจ้ าพนักงานประเมินและ
เจ้าพนักงานอื่น (โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา) รวมถึง การออกกฎกระทรวง ด้ วย
ประมวลรัษฎากร มี 2 ลักษณะ รวม 322 มาตรา (ณ วันที่ 26 มี.ค.2566) แบ่ งย่ อย ได้ ดังนี้
ลักษณะ 1 ข้อความเบื้องต้น (มาตรา 1 มาตรา 4 ทศ รวม 30 มาตรา)
ลักษณะ 2 ภาษีอากรฝ่ ายสรรพากร มี 7 หมวด (รวม 292 มาตรา) ดังนี้
หมวด 1 บทเบ็ดเสร็ จทัว่ ไป (14 มาตรา)
หมวด 1 ทวิ คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร (7 มาตรา)
หมวด 2 วิธีการเกี่ยวแก่ภาษีอากรประเมิน
มาตรา 14 ความหมายภาษีอากรประเมิน”
มาตรา 15 หลักกฎหมายพิเศษใช้บงั คับก่อนหรื อยกเว้นกฎหมายทัว่ ไป
มาตรา 16 เจ้าพนักงานประเมิน
ส่วน 1 การยืน่ รายการและการเสี ยภาษี (16 มาตรา)
ส่วน 2 การอุทธรณ์ ( 7 มาตรา)
ส่วน 3 บทกาหนดโทษ (6 มาตรา)
หมวด 3 ภาษีเงินได้และบัญชีอตั ราภาษีเงินได้
ส่วน 1 ข้อความทัว่ ไป (2 มาตรา)
ส่ วน 2 การเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดา (39 มาตรา)
ส่วน 3 การเก็บภาษีจากบริ ษทั และห้างหุน้ ส่ วนนิติบุคคล (28 มาตรา)
บัญชีอตั ราภาษีเงินได้
หมวด 4 ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ส่วน 1 ข้อความทัว่ ไป (6 มาตรา)
ส่วน 2 ความรับผิดในการเสี ยภาษี (4 มาตรา)
[13]
ส่ วน 3 ฐานภาษี (8 มาตรา)
ส่ วน 4 อัตราภาษี (3 มาตรา)
ส่ วน 5 การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (4 มาตรา)
ส่ วน 6 ผูม้ ีหน้าที่เสี ยภาษีและการคานวณภาษี (19 มาตรา)
ส่ วน 7 การยืน่ แบบและการชาระภาษี (11 มาตรา)
ส่ วน 8 เครดิตภาษีและการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (5 มาตรา)
ส่ วน 9 การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (20 มาตรา)
ส่ วน 10 ใบกากับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ (15 มาตรา)
ส่ วน 11 การจัดทารายงานและการเก็บรักษารายงานและหลักฐานเอกสาร (4 มาตรา)
ส่ วน 12 อานาจเจ้าพนักงานประเมิน (7 มาตรา)
ส่ วน 13 เบี้ยปรับ - เงินเพิม่ (3 มาตรา)
ส่ วน 14 บทกาหนดโทษ (6 มาตรา)
หมวด 5 ภาษีธุรกิจเฉพาะ (22 มาตรา)
หมวด 6 อากรแสตมป์ และบัญชีอตั ราอากรแสตมป์
มาตรา 103 บทนิยามศัพท์เกี่ยวกับอากรแสตมป์
ส่ วน 1 การเสี ยอากร (12 มาตรา)
ส่ วน 2 เบ็ดเตล็ด (13 มาตรา)
ส่ วน 3 บทลงโทษ (7 มาตรา)
บัญชีอตั ราอากรแสตมป์
** สาหรับลักษณะ 3 ภาษีบารุ งท้องที่ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติภาษีบารุ งท้องที่ พ.ศ. 2508
➢ Note ประมวลรัษฎากร มาตราแรกและมาตราสุ ดท้ายกล่าวถึงเรื่ อง...? (จุดเน้ น-จาให้ ได้ )
มาตราแรก คือ มาตรา 1 บัญญัติวา่ กฎหมายนี้ให้เรี ยกว่า ประมวลรัษฎากร”
สรุ ป มาตรา 1 เป็ นชื่อของกฎหมาย
มาตราสุ ดท้าย คือ มาตรา 129 เป็ นเรื่ องบทลงโทษมีอากรแสตมป์ ไว้เพื่อเจตนาที่ไม่ดี ซึ่ ง
มีใจความว่า “โดยเจตนาทุจริ ต มีแสตมป์ ปลอม หรื อแสตมป์ ใช้แล้ว หรื อแสตมป์ ที่ประกาศเลิกใช้แล้ว
ต้ องระวางโทษปรับไม่ เกิน 5,000 บาท หรือจาคุกไม่ เกิน 3 ปี หรือทั้งจาทั้งปรับ (จุดเน้ น)
หากจะเรี ยงลาดับประมวลรัษฎากรตามลาดับศักดิ์ ประกอบด้วย (จุดเน้น-ออกข้อสอบบ่อย)
(1) ประมวลรัษฎากร
(2) พระราชกฤษฎีกา
(3) กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง และระเบียบกระทรวง
(4) คาวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
(5) คาสั่งกรมสรรพากร
(6) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
[14]
การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร
แบ่ งเป็ น
1.จัดเก็บตามประมวลรัษฎากร มี 4 ประเภท คือ
1) ภาษีเงินได้ แบ่งเป็น
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา Personal Income Tax (PIT)
เป็นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล Corporate Income Tax (CIT)
เป็นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม Value Added Tax (VAT)
เป็นภาษีตามหมวด 4 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
3) ภาษีธุรกิจเฉพาะ Specific Business Tax (SBT)
เป็นภาษีตามหมวด 5 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
4) อากรแสตมป์ Stamp Duty (SD)
เป็นค่าอากรจัดเก็บตามหมวด 6 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
(Note ภาษีตามข้ อ 1) – 3) เป็ นภาษีอากรประเมิน ส่ วนข้ อ 4) เป็ นการเก็บอากรไม่ ใช่ ภาษีอากรประเมิน)
2.จัดเก็บภาษีตามกฎหมายอื่น ไม่ใช่ ประมวลรัษฎากร (จุดเน้ น)
- ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 )
- ภาษีการรับมรดก (พระราชบัญญัติ ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558)
- รายได้อื่น ๆ
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักภาษีอากร
ภาษีอากร ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ ซึง่ กรมสรรพากร เป็นหน่วยงานหลักและ
เป็นหน่วยงานอันดับ 1 ที่จัดเก็บภาษีได้มากที่สุดของประเทศ หากเรียงลำดับหน่วยงานที่จัดเก็บ
ภาษีจากมากไปน้อย จะพบว่า
อันดับ 1 กรมสรรพากร
(จัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,ภาษีเงินได้นิติบุคคล,ภาษีมูลค่าเพิ่ม,ภาษีธุรกิจเฉพาะ,อากร
แสตมป์,ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม, ภาษีการรับมรดก)
อันดับ 2 กรมสรรพสามิต
(จัดเก็บภาษียาสูบ, ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน, ภาษีสุรา และค่าผลประโยชน์, ภาษีเบียร์,
ภาษีรถยนต์, รายได้อื่น เช่น ค่าธรรมเนียมไพ่, ภาษีแก้ว, ภาษีเครื่องหอมและเครื่องสำอาง, ภาษี
กิจการสนามกอล์ฟ, ภาษีรถจักรยานยนต์, ภาษีแบตเตอรี่,ภาษีเครื่องดื่ม
อันดับ 3 กรมศุลกากร
(จัดเก็บจากอากรขาเข้า, อากรขาออก, รายได้อื่น ๆ)
อันดับ 4 ส่วนราชการอื่น ๆ
อันดับ 5 รัฐพาณิชย์
[15]
ความหมายของภาษีอากร
ภาษีอากร คือ สิ่ งที่รัฐบาลบังคับเก็บจากราษฎร เพื่อใช้เป็ นประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ได้มี
สิ่ งตอบแทนโดยตรงแก่ผเู ้ สี ยภาษีอากร อีกความหมาย คือ เงินได้หรื อทรัพยากร ที่เคลื่ อนย้ายจาก
เอกชนไปสู่ รัฐบาล แต่ไม่รวมถึงการกูย้ ืมหรื อขายสิ นค้า หรื อให้บริ การในราคาทุนโดยรัฐบาล
ลักษณะของภาษีอากรที่ดี ตามแนวคิดของ Adam Smith (บิดาแห่งการภาษีอากร) มีดงั นี้
1. ต้องให้เกิดความเป็ นธรรมแก่ผเู ้ สี ยภาษี
2. ต้องกาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บให้รัดกุมและแน่นอน
3. ต้องอานวยความสะดวกให้แก่ผเู ้ สี ยภาษีมากที่สุด
4. ต้องถือหลักจัดเก็บในอัตราต่าแต่เก็บได้มากและทัว่ ถึง
การจำแนกประเภทของภาษีอากร
สามารถจาแนกได้หลายประเภท ขึ้นอยูก่ บั วัตถุประสงค์ในการจาแนก แต่ที่นิยมกันคือ
การจาแนกประเภทภาษี โดยพิจารณาจากการผลักภาระภาษี
การผลักภาระภาษี (TAX SHIFTING) หมายถึง การที่ ผูม้ ี หน้าที่ เสี ยภาษีตามที่ กฎหมาย
กาหนดถ่ายเทหรื อแบ่งภาระภาษีบางส่ วนหรื อทั้งหมดไปให้กบั บุคคลอื่น แบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ
1. ภาษีทางตรง หมายถึง ภาษีที่จดั เก็บจากฐานรายได้หรื อทรัพย์สินจากผูม้ ีรายได้หรื อ
เจ้าของทรัพย์สินนั้นโดยตรง เป็ นภาษีที่ผลักภาระได้ยาก เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีเงินได้
นิติบุคคล, ภาษีการรับมรดก
2. ภาษีทางอ้ อม หมายถึง ภาษีที่เก็บจากสิ นค้าหรื อบริ การในขั้นตอนการผลิต การจาหน่าย
หรื อการนาเข้า ซึ่งมีแนวคิดว่าเป็ นภาษีที่ผลักภาระภาษีไปยังผูอ้ ื่นได้ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษีธุรกิจ
เฉพาะ ,ภาษีสรรสามิต, ภาษีศุลกากร
วัตถุประสงค์ ในการเก็บภาษีอากร
1.เพื่อหารายได้
ใช้ในกิจการต่าง ๆ เพื่อส่ วนรวม เช่น การสร้างถนน การจ่ายด้านความมัน่ คง ด้านการศึกษา เป็ นต้น
2. เพื่อเป็ นเครื่ องมือส่ งเสริ มความเจริ ญเติบโตทางเศรษฐกิจ
เช่น การลดอัตราภาษีอากร เพื่อกระตุน้ การใช้จ่าย การยกเว้นการจัดเก็บภาษีของธุรกิจเอกชนที่
ได้รับการส่ งเสริ มการลงทุนจากสานักงานคณะกรรมการส่งเสริ มการลงทุน (BOI: Board of Investment)
3. เพื่อเป็ นเครื่ องมือในการควบคุมการบริ โภคของประชาชน
เช่น การเรี ยกเก็บภาษีจากสิ นค้าฟุ่ มเฟื อย ไม่จาเป็ นต่อการครองชีพ ให้มีราคาแพงขึ้น เพื่อป้ องกันมิ
ให้ประชาชนจับจ่ายเงินฟุ่ มเฟื อยจนเกินไป เป็ นต้น
4. เพื่อเป็ นเครื่ องมื อรักษาเสถียรภาพในทางเศรษฐกิจ เช่น กระตุน้ การจ้างงานในยามที่
เศรษฐกิจตกต่า, การป้องกันภาวะเงินเฟ้อด้วยมาตรการทางภาษี เป็ นต้น
5. เพื่อเป็ นเครื่ องมือในการกระจายรายได้แก่ประชาชน เป็ นการกระจายความมัง่ คัง่ ของ
กลุ่มคนร่ ารวยมาสู่ คนยากจน ซึ่งนับว่าเป็ นการลดช่องว่างระหว่างกลุ่มคนทั้ง 2 กลุ่ม
[16]
3. สิทธิ์ในการขอทุเลาการชำระภาษีอากร
การขอทุเลาการชำระภาษีอากร เกิดเนื่องจากว่า ในระหว่างอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษี
หรือรอคำพิพากษาของศาล จะไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการเสียภาษีอากร หากผู้เสียภาษีที่ได้รับหนังสือ
แจ้งการประเมินให้ชำระภาษี ก็ต้องชำระภาษีภายในกำหนดเวลาที่ได้แจ้งไว้ในหนังสือนั้นอยู่ แต่ผู้เสีย
ภาษีมีสิทธิยนื่ คำร้องขอทุเลาการชำระภาษีอากร โดยมีหลักประกันการชำระภาษีอากรด้วย
หลักทรัพย์หรือหลักประกัน เพื่อรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์หรือคำพิพากษาของศาล
4. สิทธิ์ในการของดหรือลดเบีย้ ปรับและเงินเพิ่มภาษีอากร
ผู้เสียภาษีที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีและชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนภายใน
กำหนดเวลาตามกฎหมาย หากมิได้ยื่นหรือชำระภาษีภายในกำหนดเวลา ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและ
เงินเพิ่มนอกเหนือจากเงินภาษีที่ต้องชำระอีกด้วย แต่ความผิดบางกรณี ก็มีเหตุให้ผเู้ สียภาษีของดหรือ
ลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มภาษี ได้ แต่ตอ้ งมีคำร้องเป็นหนังสือตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดไว้
5. สิทธิใ์ นการขอคัดเอกสารหรือขอสำเนาเอกสาร
ผูเ้ สียภาษี มีสิทธิขอคัดเอกสารหรือขอสำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษีของตนเองได้
เช่น ขอคัดสำเนาแบบแสดงรายการภาษีของตนเอง หรือใบเสร็จรับเงินค่าภาษีแต่ละประเภทที่เป็น
ของตนเอง เป็นต้น
ผู้เสียภาษีที่ต้องการคัดแบบฯ ที่ยื่นผ่ านอินเทอร์ เน็ต หากต้องการให้เจ้าหน้าที่รับรองความ
ถูกต้องของแบบฯ จะต้องดำเนินการ ดังนี้
ให้ยื่น "แบบการขอรับบริการข้อมูลสำเนาแบบแสดงรายการภาษี" ด้วยตนเองหรือมอบ
อำนาจให้ผอู้ นื่ กระทำการแทนก็ได้ ที่
1. ส่วนบริการยื่นแบบฯ และรับชำระภาษี สำนักบริหารการเสียภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์
อาคารกรมสรรพากร
2. สำนักงานสรรพากรพื้นที่ (จังหวัด) ตามภูมิลำเนา โดยให้บริการสำหรับแบบฯ ทุก
ประเภท
กรณีคัดแบบแสดงรายการภาษี โดยมีลายมือชื่อเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้องด้วย
จะต้องเสียค่าธรรมเนียม หน้าละ 6 บาท (มีค่าคัดแบบฯ ขนาดกระดาษ A4 ฉบับละ 1 บาท + ค่า
รับรองความถูกต้อง ฉบับละ 5 บาท) (จุดเน้น-เคยออกข้อสอบ ปี 2564)
ความรู้เกีย่ วกับภาษีอากรแต่ละประเภท
จะอธิบายภาษีตามหัวข้อต่อไปนี้
- ภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา PERSONAL INCOME TAX (PIT)
- ภาษีเงินได้ นิติบุคคล CORPORATE INCOME TAX (CIT)
- ภาษีมูลค่ าเพิม่ VALUE ADDED TAX (VAT)
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ SPECIFIC BUSINESS TAX (SBT)
- อากรแสตมป์ STAMP DUTY (SD)
- ภาษีการรับมรดก INHERITANCE TAX (IT)
ผลการจัดเก็บภาษีอากรของกรมสรรพากร เรี ยงตามลาดับจากมากไปหาน้อย คือ (จุดเน้ น)
อันดับ 1 ภาษีมูลค่าเพิ่ม
อันดับ 2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล
[21]
อันดับ 3 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
อันดับ 4 ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
อันดับ 5 ภาษีธุรกิจเฉพาะ
อันดับ 6 อากรแสตมป์
อันดับ 7 ภาษีการรับมรดก
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
PERSONAL INCOME TAX (PIT)
หลักการทั่วไป
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นภาษีที่จัดเก็บตามประมวลรัษฎากร เป็นภาษีทางตรง
(คือ ผูม้ ีเงินได้ไม่สามารถผลักภาระภาษีไปยังบุคคลอื่นได้ หรือผลักได้ยาก) เช่นเดียวกับ
ภาษีเงินได้นิตบิ ุคคล โดยถือหลักว่า ผูม้ ีเงินได้ไม่ว่าประเภทใด ชนิดใด หากมีเงินได้ต้องเสีย
ภาษีเงินได้ ส่วนเกณฑ์ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ เกณฑ์เงินสด (เน้น)
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีหลักการจัดเก็บจากเงินได้ทุกประเภท เว้นแต่จะได้รับ
ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งต้องมีกฎหมายกำหนดยกเว้นไว้ เงินได้ที่ต้องเสียภาษี กฎหมาย
กำหนดไว้ 8 ประเภท (ตามมาตรา 40) ซึ่งครอบคลุมเงินได้ทุกอย่าง
ผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย ต้องมีเงินได้จากแหล่งเงินได้ตามที่ก ฎหมาย
กำหนดซึ่ง มี 2 แหล่งคือแหล่งเงินได้ที่เกิดในประเทศและแหล่งเงินได้ที่เกิดนอกประเทศ
ส่วนการคำนวณภาษี มี 2 วิธี คือ การคำนวณจากเงินได้สุทธิ (เงินได้พึงประเมิน –
ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) และการคำนวณโดยวิธีคำนวณภาษีขั้นต่ำ (นำเงินได้พึงประเมิน
ประเภทที่ 2 -8 ตั้ งแต่ 120,000 บาท มาคู ณ อั ต ราร้อ ยละ 0.5) จากนั้ น นำ 2 วิธี นี้ ม า
เปรียบเทียบกัน (เราจะได้ศึกษาต่อไป)
(NOTE ในการบัน ทึกบั ญ ชีรายได้ห รือรายจ่ายนั้น หลักๆ จะมีเกณฑ์อ ยู่ 2 เกณฑ์ คือ
เกณฑ์เงินสดและเกณฑ์คงค้าง แต่สำหรับการรับรู้รายได้ในทางภาษีของกรมสรรพากร จะถือ
เกณฑ์เงินสดและเกณฑ์สิทธิ)
เกณฑ์เงินสด หมายถึง การบันทึกบัญชีเมื่อได้รับหรือจ่ายเงินสดจริง โดย
ไม่ได้คำนึงถึงว่าเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดรายได้หรือรายจ่ายจะอยู่ในปีใด
เกณฑ์สิทธิ์ เป็นคำศัพท์เกี่ยวกับเกณฑ์ก ารรับรู้รายได้และรายจ่ายเพื่อการ
คำนวณกำไรสุ ท ธิ ท างภาษีเงินได้นิ ติบุ คคลของกรมสรรพากร แต่ห ลัก การ คล้าย ๆกั บ
เกณฑ์คงค้างทางบัญชี คือ ไม่ว่ากิจการจะได้รับเงินหรือยังไม่ได้รับเงิน ก็จะต้องบันทึกเป็น
รายได้ของกิจการในปีท่เี กิดเหตุการณ์ท่ีก่อให้เกิดรายได้หรือรายจ่ายนั้น
ฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เรียกว่า เงินได้สุทธิ
วิธีการเสียภาษี คือ ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้วย
วิธีประเมินตนเองโดยนำเงินได้ตามปีปฏิทิน คือรายได้ที่เกิดตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม ถึง 31
[22]
(20) ยกเว้นเงินได้ให้แก่ผมู ้ ีเงินได้ที่มีอายุต้ งั แต่ 65 ปี บริ บูรณ์ในปี ภาษี และเป็ นผูอ้ ยูใ่ น
ประเทศไทย เฉพาะเงินได้ที่ได้รับส่ วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท และผูม้ ีเงินได้จะเลือกใช้สิทธิยกเว้น
เงินได้น้ ีจากเงินได้ประเภทเดียวหรื อหลายๆ ประเภทก็ได้
โดยหลักแล้ว การยกเว้น 190,000 บาทนี้ จะใช้สิทธิยกเว้นพร้อมกับการยืน ่ แบบ ภ.ง.ด.94 /
ภ.ง.ด.90/ภ.ง.ด.91 ตามแต่กรณี ดังนั้น ถ้าเป็ นการถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย จะไม่นาเงิน 190,000 บาทมา
หักออกจากเงินได้ก่อนแต่ประการใด แต่จะหักตามอัตราภาษีหกั ณ ที่จ่ายได้เลย
เน้ น (21) ยกเว้นเงินได้ให้แก่ ผูพ ้ ิการ ที่มีบตั รประจาตัวคนพิการและเป็ นผูอ้ ยู่ในประเทศ
ไทย โดยมีอายุไม่เกิน 65 ปี บริ บูรณ์ในปี ภาษี โดยยกเว้นไม่เกิน 190,000 บาท สาหรับปี ภาษี
(หากผูพ้ ิการ มีอายุต้ งั แต่ 65 ปี บริ บรู ณ์ ให้ใช้สิทธิ์ยกเว้น กรณี ผสู ้ ู งอายุตาม ข้อ 20 )
เน้ น (22) เงินได้จากการขายอสังหาริ มทรัพย์อน ั เป็ นมรดกหรื อสังหาริ มทรัพย์ที่ได้รับจาก
การให้โดยเสน่หา ที่ต้ งั อยูน่ อกเขตกรุ งเทพมหานคร เทศบาล สุ ขาภิบาล หรื อเมืองพัทยาหรื อการ
ปกครองท้องถิ่นอื่น เฉพาะเงินได้จากการขายในส่ วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท ตลอดปี ภาษีน้ นั
Note การขายอสังหาริ มทรัพย์ในเขตองค์การบริ หารส่ วนตาบล (อบต.) ก็ได้รับการ
ยกเว้นตามข้อนี้อยู่
เน้ น (23) เงินได้จากการโอนกรรมสิ ทธิ์หรื อสิ ทธิครอบครองในที่ดินโดยไม่มีค่าตอบแทน
ให้แก่วดั วัดบาดหลวงโรมันคาธอลิคหรื อมัสยิด เฉพาะการโอนที่ดินไม่เกิน 50 ไร่
เน้ น (24) ค่าชดเชยจากการถูกเลิกจ้าง
เป็ นการยกเว้นเงินได้ สาหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับ โดยการถูกเลิกจ้าง เช่น บอก
เลิกสัญญาจ้าง หรื อ ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็ นธรรม ตามกฎหมายว่าด้วยการคุม้ ครองแรงงานหรื อตาม
กฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ แต่ไม่ รวมค่ าชดเชยที่ได้ รับเพราะเหตุเกษียณอายุหรื อ
สิ้นสุ ดสั ญญาจ้ าง โดยยกเว้ นให้ เฉพาะค่ าชดเชย ส่ วนที่ไม่ เกินค่ าจ้ างหรื อเงินเดือนของการทางาน
300 วันสุ ดท้ ายแต่ ไม่ เกิน 300,000 บาท
ข้ อสั งเกตุ กรณี ที่นายจ้างไม่ได้เลิกจ้างลูกจ้าง แต่ลูกจ้างสมัครใจลาออกจากงานเอง โดย
นายจ้างจ่ายเงินให้จานวนหนึ่ ง กรณี ดงั กล่าวไม่ใช่การเลิกจ้างของนายจ้ าง ดังนั้น เงินที่ ได้รับจะ
ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อนี้
เน้ น (25) เงินได้ที่ได้รับจากส่ วนแบ่งของกาไรจากห้างหุน้ ส่ วนสามัญหรื อคณะบุคคลที่มิใช่
นิติบุคคล ที่ได้รับจาก
(ก) การให้เช่าอสังหาริ มทรัพย์ที่เป็ นกรรมสิ ทธิ์รวมอันได้มาโดยทางมรดก หรื อได้รับ
จากการให้โดยเสน่หา ซึ่งต้องเสี ยภาษีเงินได้
ตัวอย่างที่ 1 นาย ก กับ นาย ข รับมรดกเป็ นอาคารโกดัง จากแม่ซ่ ึงเสี ยชีวิต ปี 2565
รวมที่ดินและอาคาร จานวน 1 ไร่ ทั้งสองตกลงกันว่า จะให้ บริ ษทั ปันนา จากัด เช่าต่อ ดังนี้
นาย ก และ นาย ข ถือเป็ นการทาในนาม ห้างหุน้ ส่ วนสามัญแล้ว แต่เงินได้คา่ เช่าที่ได้รับ ได้รับ
ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ถา้ รับมรดกมาเป็ น รถแม็คโคร 1 คัน (รถแม็คโคร ถือเป็ น
สังหาริ มทรัพย์) หากมีรายได้ค่าเช่า จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
[32]
ตัวอย่าง
ปี 2565 นายสิ นสมุทร คนไทย อาศัยอยูท่ ี่ต่างประเทศ ทางานเป็ นนายหน้าซื้อขาย
น้ ามันดิบ ซึ่งการซื้อ-ขายดาเนิ นการในต่างประเทศ อีกทั้ง ผูซ้ ้ือ- ผูข้ าย ก็อยูต่ ่างประเทศ นายสิ น
สมุทร มีหน้าที่เป็ นผูต้ ิดต่อผูซ้ ้ื อ - ผูข้ าย ให้ทาการซื้อขายกัน โดยได้รับค่านายหน้าจากผูข้ าย
เงินค่านายหน้า เกิดจากหน้าที่งานที่ทาในต่างประเทศ เป็ นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2
หากนายสิ นสมุทร เดินทางไปไปมามาและอยูใ่ นไทยถึง 180 วัน และนาเงินค่านายหน้าที่ได้รับเข้า
มาในประเทศไทยในปี 2565 นายสิ นสมุทร ต้ องเสี ยภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาในประเทศไทย (แต่
ถ้า ตาม กม.ไทยมีการทาอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศที่นายสิ นสมุทรอยู่ ก็ต้องนาหลักเกณฑ์ มา
พิจารณาก่ อน ซึ่ งเป็ นไปตามข้ อตกลงของแต่ ละประเทศ แต่ ในชั้นการศึกษาเพื่อเตรี ยมสอบนี.้ .อยาก
ให้ จาหลักของแหล่ งเงินได้ ก่อน ซึ่ งออกข้ อสอบบ่ อย ๆ) (จุดเน้ น)
ตัวอย่าง
ข้อ 1 ปี ภาษี 2564 เมสซี่เจ เป็ นนักเตะอาชีพ ให้กบั คาวาซากิ ฟรอนตาเลในเจลีก มี
เงินเดือน เดือนละ 500,000 บาท รวมทั้งปี จานวน 6,000,000 บาท ในปี 2564 ได้กลับมา
ประเทศไทย รวมแล้ว 180 วันและได้นาเงินได้เข้ามาในไทย จานวน 3,000,000 บาท ที่เหลือฝาก
ไว้ที่ประเทศญี่ปุ่น เมสซี่เจ ต้องเสี ยภาษีในไทย หรื อไม่ อย่างไร
ตอบ เงินเดือนที่ได้รับ เป็ นเงินได้ที่รับจากหน้าที่งานที่ทาในต่างประเทศ เมื่อ เมสซี่เจ
นาเงินได้เข้ามาในประเทศไทย จานวน 3,000,000 บาท ในปี ภาษีที่เกิดเงินได้ ประกอบกับอยูใ่ น
ประเทศไทยถึง 180 วัน เมสซี่เจ ต้องนาเงินได้มาเสี ยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในไทย จานวน
3,000,000 บาท
ข้ อ 2 ปี 2562 เมสซี่เจ อยูใ่ นประเทศไทย 181 วัน นาเงินได้ที่เกิดจากการเตะบอล ในปี
2561 เข้ามาในเดือนธันวาคม 2562 จานวน 4,000,000 บาท เมสซี่เจ ต้องเสี ยภาษีในไทย สาหรับ
ปี ภาษี 2562 หรื อไม่ อย่างไร
ตอบ ในปี ภาษี 2562 เมสซี่เจไม่ตอ้ งนาเงินได้ จานวน 3,000,000 บาทมายืน่ แบบฯ
เพราะเป็ นงินได้ที่เกิดในปี 2561 แม้อยูใ่ นไทยถึง 180 วัน ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ เพราะ เงินได้ที่
นาเข้ามานั้น รับต่างปี ภาษีกนั
ข้ อ 3 ในปี 2562 เมสซี่เจ นาเงินได้ที่เกิดจากการเตะบอลที่ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาในไทย
จานวน 6,000,000 บาท และอยูใ่ นประเทศไทย ดังนี้
- เดือนมกราคม 30 วัน - เดือนเมษายน 30 วัน
- เดือนสิ งหาคม 30 วัน - เดือนธันวาคม อีก 31 วัน
เมสซี่เจ ต้องนาเงินได้จานวนดังกล่าวมาเสี ยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในไทยหรื อไม่ อย่างไร
ตอบ ไม่ตอ้ งนาเงินจานวน 6,000,000 บาท มายืน่ แบบเพื่อเสี ยภาษี แม้วา่ จะนาเงินได้ที่
เกิดขึ้นในปี 2562 เข้ามาในไทยเพราะเมสซี่เจ อยูใ่ นประเทศไทย ไม่ถึง 180 วัน
[37]
ข้อควรจำ
ในการเสียภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา หากเป็ นกรณีท่ปี ระเทศไทย มีการทาสัญญาว่าด้วย
การเก็บภาษีซอ้ นระหว่างกัน ต้องพิจารณาเรื่องการยกเว้นการเก็บภาษีซอ้ นด้วย ซึ่งหากเป็ นไป
ตามเงื่อนไขในอนุสญ ั ญาเพื่อเว้นการเก็บภาษีซอ้ นแล้ว เงินได้คนต่างชาติได้รบั อาจไม่ตอ้ งนามา
เสียภาษีเงินได้ให้แก่ประเทศไทย หรืออาจจะเสียภาษีในไทย แต่ได้รบั การลดอัตราภาษี
o อนุสญ ั ญาภาษีซอ้ นฉบับล่าสุด คือ ฉบับที่ 61 ประเทศไทยเป็ นคู่สญั ญากับ
ประเทศกัมพูชา มีผลบังคับใช้ วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็ นต้นไป+
ประเภทเงินได้พึงประเมิน
ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ได้แบ่ง เงินได้พงึ ประเมินตามลักษณะการได้มา
ออกเป็ น 8 ประเภท ดังนี ้
(1) เงินได้ประเภทที่ 1 ตามมาตรา 40(1) คือเงินได้จากการจ้างแรงงาน เป็ นหลัก ต้อง
เป็ นลักษณะของสัญญาที่ลกู จ้างตกลงจะทางานให้นายจ้าง โดย นายจ้างตกลงจะให้สินจ้าง
ตลอดเวลาที่ทางานให้ (ป.พ.พ. ม.575) ได้แก่
- เงินเดือน ค่าจ้าง เบีย้ เลีย้ ง โบนัส เบีย้ หวัด บาเหน็จ บานาญ
- เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รบั จากนายจ้าง
- เงินที่คานวณได้จากการได้อยู่บา้ น ซึ่งนายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่าหรือ
นายจ้างเช่าบ้านให้อยู่ฟรี (ซึ่งได้อธิบายไว้โดยละเอียดแล้วในเรื่องของเงินได้พึงประเมิน)
(2) เงินได้ประเภทที่ 2 ตามมาตรา 40(2) คือเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตาแหน่งงานที่
ทาหรือจากการรับทางานให้ เงินได้ประเภทนีเ้ กิดจากการปฏิบตั ิงาน โดยมุ่งผลสาเร็จของงาน หาก
ทางานไม่สาเร็จตามที่จา้ ง จะไม่ได้รบั ค่าตอบแทน (งานเสร็จ เงินมา)
เงินได้ประเภทนี ้ เป็ นลักษณะของการจ้างทาของ หมายถึง สัญญาที่ผรู้ บั จ้างตกลงจะรับ
ทางานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสาเร็จให้แก่ผวู้ ่าจ้างและผูว้ ่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อตอบแทนผลสาเร็จ
แห่งการนัน้ (ป.พ.พ. ม.587) เช่น
- ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด
- เงินอุดหนุนในงานที่ทา เบีย้ ประชุม บาเหน็จ โบนัส
- เงินค่าเช่าบ้านที่ได้เนื่องจากหน้าที่หรือตาแหน่งงานที่ทาหรือจากการรับทางานให้
- เงินที่คานวณได้จากมูลค่าของการได้อยูบ่ า้ น ที่ผจู้ ่ายเงินได้ให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า
- เงินที่ผจู้ ่ายเงินได้จ่ายชาระหนีใ้ ด ๆ ซึ่งผูม้ ีเงินได้มีหน้าที่ตอ้ งชาระ
- เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใด ๆ ที่ได้เนื่องจากหน้าที่หรือตาแหน่งงานที่ทา
หรือจากการรับทางานให้ ไม่ว่าจะเป็ นการประจาหรือชั่วคราว เช่น การเป็ นกรรมการหรือที่ปรึกษา
[38]
ตัวอย่าง
- นางสาวสายใจ เป็ นวิทยากร มีเงินได้จากการให้บริการฝึ กอบรมพนักงาน ให้กับบริษัทฯ
แห่งหนึ่ง เงินได้จากการเป็ นวิทยากร เป็ นเงินได้ตาม ม.40(2)
- บริษัท โลจิสติกส์ อันดามัน จากัด ว่าจ้าง นายดุ๊ก ให้ดแู ลและให้คาแนะนาในการขนถ่าย
สินค้า ณ ท่าเรือประเทศสิงคโปร์ ตลอดจนให้คาแนะนาในการบริหารการเดินเรือ ดังนี ้ เงินได้ท่ี
นายดุ๊กได้รบั (เป็ นค่าที่ปรึกษา)
- อ๊ะอาย รับแปลบทพูดภาพยนตร์
- วุน้ เส้น เป็ นกรรมการบริษัทผลิตเครื่องสาอาง ได้รบั เลือกตัง้ จากที่ประชุมผูถ้ ือหุน้
ได้รบั ค่าตอบแทนเป็ นเงินเบีย้ ประชุมตามที่ท่ีป ระชุมผูถ้ ือหุน้ กาหนด เงินเบีย้ ประชุมดังกล่าว ถื อ
เป็ นเงินได้จากตาแหน่งงานที่ทาหรือหน้าที่งานที่ทา
- มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เชิญ อาจารย์สายสุนีย ์ ไปสอนพิเศษนอกเวลาราชการ
ค่าตอบแทนที่ได้รบั เป็ นเงินได้จากการรับทางานให้
(3) เงิน ได้ ป ระเภทที่ 3 ตามมาตรา 40(3) คื อ เงินได้พึงประเมิ นในรู ป ของค่ า ลิข สิ ทธิ์
ค่าตอบแทนทรัพย์สินทางปั ญญาหรือค่า Goodwill หรือสิทธิอย่างอื่น หรือเงินที่ได้รบั เป็ นรายปี
โดยทางราชการจ่ายให้ (เช่น เงินปี พระบรมวงศานุวงศ์) หรือเงินที่ได้รบั ตามพินัยกรรม นิติกรรม
หรือคาพิพากษาของศาล ซึ่งกาหนดจ่ายเป็ นรายปี เช่น เงินได้จากงานเพลง งานเขียน ค่าสูตร
ลับอาหาร ,ค่าตอบแทนเครื่องหมายการค้า เป็ นต้น
(4) เงิน ได้ป ระเภทที่ 4 ตามมาตรา 40(4) เป็ นเงินได้จากการนาเงินไปลงทุนและได้
ผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่
(ก) ดอกเบีย้ พันธบัตร ดอกเบีย้ เงินฝาก ดอกเบีย้ หุน้ กู้ ดอกเบีย้ ตั๋วเงิน ดอกเบีย้ เงินกู้
ยืม ไม่ว่าจะมี หลักประกันหรือไม่ ดอกเบีย้ เงินกูย้ ืมที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตาม
กฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย หรือผลต่าง
ระหว่างราคาไถ่ถอน กับราคาจาหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนีท้ ่บี ริษัท หรือ
ห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลหรือนิติบคุ คลอื่นเป็ นผูอ้ อกและจาหน่ายครัง้ แรกในราคาต่ากว่าราคาไถ่ถอน
รวมถึงเงินได้ท่มี ีลกั ษณะเดียวกันกับดอกเบีย้ ผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนอื่น ๆ ทีไ่ ด้จาก
การให้กยู้ ืมหรือจากสิทธิเรียกร้องในหนีท้ ุกชนิดไม่ว่าจะมีหลักประกันหรือไม่ก็ตาม
(ข) เงินปั นผล หรือเงินส่วนแบ่งของกาไรหรือประโยชน์อ่ืนใดที่ได้จากบริษัทหรือ
ห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คล กองทุนรวม หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายไทยให้จดั ตัง้ ขึน้ โดยเฉพาะ
สาหรับให้กยู้ ืมเงิน
(ค) เงินโบนัส ที่จ่ายแก่ผถู้ ือหุน้ หรือผูเ้ ป็ นหุน้ ส่วนในบริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คล
(ง) เงินลดทุน ของบริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลเฉพาะส่วนที่จ่ายไม่เกินกว่ากาไร
และเงินที่กนั ไว้รวมกัน
[39]
เรี ยกว่า นาส่ วนที่ เป็ นกาไร มาเป็ นเงิ นได้ มาตรา 40(4)(ฌ) แห่ งประมวลรัษ ฎากร เพราะฉะนั้น
หากขาย จ่าย โอน ขาดทุนก็ไม่ตอ้ งเสี ยภาษี
- การค านวณต้ น ทุ น คริ ป โทเคอร์ เรนซี /โทเคนดิ จิ ท ั ล ประเภทเดี ย วกัน ให้ ใ ช้ วิ ธี ที่
มาตรฐานการบัญ ชี รับ รอง เช่ น วิ ธี เข้าก่ อ นออกก่ อ น (FIFO) หรื อ วิ ธี ต้น ทุ น ถัว เฉลี่ ย เคลื่ อ นที่
(Moving average cost) และให้คานวณ ต้นทุนแยกตามประเภทของเหรี ยญ
วิธีเข้าก่อนออกก่อน (The first-in first-out) หรื อ (FIFO) คือ การคานวณต้นทุนค
ริ ปโทเคอร์ เรนซี /โทเคนดิ จิทลั โดยอันที่ ซ้ื อ มาก่ อนจะขายออกไปก่ อนตามลาดับ ทารายการ ที่
เหลืออยู่ ณ วันสุ ดท้ายเป็ นอันที่ซ้ือมา ครั้งหลังสุ ด
วิธีตน้ ทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (The moving average cost) คือ การคานวณต้นทุนคริ ป
โทเคอร์เรนซี/ โทเคนดิจิทลั แต่ละประเภทจะกาหนดจากการถัวเฉลี่ยต้นทุนของคริ ปโทเคอร์เรนซี /
โทเคนดิจิทลั ประเภท เดียวกัน ณ วันต้นปี กับต้นทุนของคริ ปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทลั ที่ซ้ื อมาใน
ระหว่างปี ซึ่งคานวณทุกครั้งที่ ซื้อคริ ปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทลั
ผูม้ ีเงินได้สามารถเลือกวิธีคานวณต้นทุนใดก็ได้ เมื่อเลือกวิธีการคานวณต้นทุนวิธี
ใดแล้วต้องใช้วิธีน้ นั ตลอดปี ภาษี
ต้น ทุ น คือ ค่ าซื้ อ ต้น ทุ น เพื่ อ ให้ ได้ม าซึ่ งคริ ป โทเคอร์ เรนซี /โทเคนดิ จิ ท ัล และ
ต้นทุนการได้มาซึ่งเงินได้ เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อ ค่าธรรมเนียมการขาย และค่าโอน เป็ นต้น
การวัดมูลค่าคริ ปโทเคอร์ เรนซี /โทเคนดิจิทลั ทั้งการคานวณต้นทุนและรายได้ ให้
ใช้มูลค่า ณ เวลาที่ได้มา หรื อราคาถัวเฉลี่ยในวันที่ได้มา ซึ่ งเป็ นราคาอ้างอิงที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น
ราคาที่ ป ระกาศโดย Exchange ที่ จัด ท าขึ้ น ตามหลัก เกณฑ์ ข องส านัก งานคณะกรรมการก ากับ
หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็ นต้น
คำถาม - คำตอบ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล
คำถาม ใครมีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซี
คำตอบ ผู้มีเงินได้ ดังนี้
1. เงินได้จากการโอนหรือขายคริปโทเคอร์เรนซี เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
2. เงินได้จากการขายคริปโทเคอร์เรนซี ที่ได้จากการขุด
3. เงินได้จากผลตอบแทนใด ๆ จากการนำคริปโทเคอร์เรนซี ไปหาประโยชน์
คำถาม เงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซี มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
คำตอบ - เงินได้จากการขายคริปโทเคอร์เรนซี ที่ได้มาจากการขุดคริปโทเคอร์เรนซี นั้น ถือเป็นเงิน
ได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) โดยเงินได้ดังกล่าวสามารถนำไปหักค่าใช้จ่ายจริง
(ต้นทุนในการขุด) ได้
- กำไรจากการขายหรือการโอนคริปโทเคอร์เรนซี เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
(ราคาขาย - ต้นทุน) ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ฌ)
- ผลตอบแทนจากการนำคริปโทเคอร์เรนซีไปหาประโยชน์นั้น ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม
มาตรา 40 (8)
คำถาม การคำนวณต้นทุนของ คริปโทเคอร์เรนซี คำนวณอย่างไร
[41]
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีสิ่งทีต่ ้องรู้และเกี่ยวข้อง ดังนี้
ฐานภาษี (Tax Base) คือ จานวนเงินหรือมูลค่าของทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่าง
อื่นที่คานวณได้เป็ นเงิน ที่จะต้องนามาคานวณภาษีตามอัตราภาษีท่ีกฎหมายกาหนด
ฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ เงินได้สุทธิ หมายถึง จานวนเงินได้ท่ีจะต้อง
นามาคานวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา
เงินได้สุทธิ มาจากการนาเงินได้พึงประเมิน หัก ค่าใช้จ่าย (ตามที่กาหนด สาหรับ
เงินได้แต่ละประเภท) หัก ค่าลดหย่อน (ซึ่งเงินได้สทุ ธิ นี้ ใช้เฉพาะการคานวณภาษี ตามขัน้ ตอนที่ 1 เรา
จะได้ศกึ ษาต่อไป)
ถ้าเงินได้พึงประเมิน เป็ นเงินได้ ตาม มาตรา 40(2)-(8) และมีจานวน ตัง้ แต่ 120,000 บาท
ให้นาเงินได้พึงประเมินนั้น x อัตราภาษี ร้อยละ 0.5 ซึ่งเป็ นการคานวณภาษี ตามขั้นตอนที่ 2 (จะได้
ศึกษาต่อไป)
สามารถสรุปเป็นขั้นตอนได้ 2 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เงินได้พึงประเมิน - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ ……… (1)
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = ภาษี ........(2)
(จุดเน้น ) อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นอัตราก้าวหน้า มี 7 ขั้น
คือ ร้อยละ 5, 10,15,20,25,30,35)
[45]
* การนับจำนวนปีที่ถือครองให้ถือตามปีปฏิทิน
ตัวอย่าง
นายประชัญ จดทะเบียนโอนขายอสังหาริมทรัพย์ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 เป็ น
อสังหาริมทรัพย์ท่ีซอื ้ มา เมื่อ พ.ศ.2559 ถือครองมา 5 ปี (นับปี แรกที่ซอื ้ เข้าด้วย) โดยตกลงโอนใน
ราคา 2,800,000 บาท แต่ราคาประเมินทุนทรัพย์ ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม เป็ นเงิน
2,000,000 บาท
วิธีการคำนวณ (หากเลือกหัก คชจ.เป็นการเหมา) ดังนี้
1.
3.2) จานวนเงินที่มีสิทธิหักลดหย่ อน
(1) ผูม้ ีเงินได้สามารถนาบุตรชอบด้วยกฎหมายของตน หรื อบุตรชอบด้วยกฎหมายของ
คู่สมรสมาหักได้ คนละ 30,000 บาท
(2) บุตรบุญธรรมของผูม้ ีเงินได้คนละ 30,000 บาทแต่รวมกันหักค่าลดหย่อน
ได้ไม่เกิน 3 คน
3.3) จานวนบุตรทีม่ ีสิทธิหักลดหย่อน
กรณี ผมู ้ ีเงินได้มีท้ งั บุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม ให้นาบุตรชอบด้วย
กฎหมายทั้งหมดมาหักก่อน แล้วจึงนาบุตรบุญธรรมมาหัก
เว้นแต่ มีบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีชีวิตอยู่รวมตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จะนาบุตร
บุญธรรมมาหักอีกไม่ได้ แต่ถา้ บุตรชอบด้วยกฎหมายมีไม่ถึง 3 คน สามารถนาบุตร บุญธรรมมา
หักได้ แต่เมื่อรวมกับบุตรชอบด้วยกฎหมายแล้วต้องไม่เกิน 3 คน
Note กรณีท่นี ำบุตรบุญธรรมมาหักลดหย่อนภาษี ให้ผมู้ เี งินได้ท่จี ด
ทะเบียนรับบุตรมีสทิ ธิ์หกั ลดหย่อนเท่านั้น หากเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรส แม้ผู้มีเงินได้
จะยินยอมให้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมก็ไม่มีสทิ ธินำบุตรบุญธรรมของคู่สมรสมาหัก
ลดหย่อนได้ เช่น สามีเป็นผู้มเี งินได้ แม้ภรรยา จะจดทะเบียนรับ ด.ช.จ้อน เป็นบุตรบุญธรรม
โดยสามีมีหนังสือแสดงความยินยอมด้วย แต่สามีไม่ได้จดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
สามี ไม่มสี ทิ ธิ นำบุตรบุญธรรมของภริยา มาหักลดหย่อนภาษีได้
3.4) การนับจานวนบุตร
ให้นบั เฉพาะบุตรที่มีชีวิตอยูต่ ามลาดับอายุ โดยนับรวมทั้งบุตรที่ไม่อยูใ่ นเกณฑ์ได้รับ
การลดหย่อนด้วย (บุตรฝาแฝดที่คลอดออกมาก่อนถือเป็ นบุตรที่มีอายุสูงกว่า)
3.5) ให้ หักลดหย่อนได้ ตลอดปี ภาษี ไม่ ว่ากรณีจะหักได้ น้ นั จะมีอยู่ตลอดปี ภาษี
หรื อไม่ เช่ น บุตรพึง่ เกิด ในเดือนธันวาคม แต่ก็สามารถนำบุตรมาหักลดหย่อนในปีภาษีนั้นได้
3.6) กรณีผ้ มู ีเงินได้มิได้ เป็ นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้ หักลดหย่อนได้ เฉพาะบุตร
ที่อยู่ในประเทศไทย
3.7) กรณีบตุ รบุญธรรม ต้องมีการจดทะเบียนรับรองบุตร ซึ่งผูใ้ ดจดทะเบียน
รับบุตรบุญธรรม ผูน้ ้ นั จะเป็ นผูม้ ีสิทธิหกั ลดหย่อน เริ่ มหักได้ต้ งั แต่ปีภาษีที่จดทะเบียนรับบุตร
บุญธรรม ส่วนบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายเดิมของบุตรคนนั้น ไม่สามารถหักลดหย่อนได้อีก
ตัวอย่าง
นาย บี เป็นบุตรพึ่งจบการศึกษา ปี 2565 (จบการศึกษาระหว่างปี ) ไม่ได้
ทำงาน บิดาเป็นผู้มเี งินได้ อยากทราบว่าในปีภาษี 2565 สามารถหักค่าลดหย่อนบุตรได้
หรือไม่
คำตอบ : หลักคือ การหักลดหย่อนบุตร สามารถหักได้ตลอดปีภาษี ไม่ว่า
[56]
60,000
Q3 : ปลายปี 2560 จ่ายค่าฝากครรภ์ จำนวน 35,000 บาท และจ่ายค่าคลอดบุตร
ปลายปี 2561 จำนวน 45,000 บาท สามารถใช้สิทธิลดหย่อนในปี 2561 ได้เท่าใด
A3 : ได้รับสิทธิเฉพาะค่าคลอดบุตร 45,000 บาท เนื่องจากสามารถใช้สิทธิยกเว้นได้เท่าที่จ่ายไป
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561
Q4 : กรณีการยกเว้นค่าคลอดบุตรชาวต่างชาติได้รับสิทธิด้วยหรือไม่
A4 : หากมารดาต่างชาตินั้น ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในไทย และบุตรมี
ถิ่น ที่อยู่ในประเทศไทย สามารถนำมาใช้สิทธิได้
Q5 : กรณีชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในไทย แต่อยู่ในไทยไม่ถึง 180 วัน จะหักค่าลดหย่อนค่าฝาก
ครรภ์และค่าคลอดบุตร และลดหย่อนบุตรคนที่ 2 เพิ่ม ได้หรือไม่
A 5: หากชาวต่างชาติ (มารดา) ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในไทย และบุตรมี
ถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย สามารถนำมาใช้สิทธิได้
Q6 : มีบุตรคนที่ 1 มาแล้วเกิดเมื่อปีภาษี 2557 และยังมีชีวติ อยู่ และได้ทำการฝากครรภ์เมื่อต้น
ปี 2561 คลอดบุตรปลายปี 2561 จ่ายเงินค่าฝากครรภ์และคลอดบุตรเอง และเป็นบุตร
แฝด 3 จะได้รับสิทธิลดหย่อนอย่างไร
A6 : กรณีบุตรคนที่ 1 เกิดปี 2557 และได้ทำการฝากครรภ์และคลอดบุตรแฝด 3 คน ในปี 2561
สามารถใช้สิทธิได้ ดังนี้
- บุตรคนที่ 1 - 4 หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท
- ใช้สิทธิหักลดหย่อนค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรของบุตรแฝด 3 ได้ 60,000 บาท
เพราะถือเป็นคราวเดียวกัน
- ใช้สิทธิหักค่าลดหย่อนบุตรแฝดคนที่ 2 - 4 ได้เพิ่มอีกคนละ 30,000 บาท
รวมหักลดหย่อนได้ทั้งสิน้ 270,000 บาท
ตัวอย่างการใช้สิทธิหักลดหย่อนบุตรคนที่ 2
Q1 : นาย A. กับนาง ก.มีบตุ รคนที่ 2 ร่วมกัน (บุตรเกิด เดือนมกราคม 2561) ต่อมาได้มี
การจดทะเบียนหย่าในเดือนมิถุนายน 2561 และนาย A. ได้จดทะเบียนสมรสใหม่กับ นาง ข. เมื่อ
เดือนธันวาคม 2561 (นาง ข. ไม่เคยมีบุตรมาก่อน) โดยต่างฝ่ายต่างมีเงินได้พงึ ประเมิน อยาก
ทราบว่า นาย A. และนาง ข. สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรคนที่ 2 ได้หรือไม่
A1 : เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ นาย A. ดังนั้น นาย A และนาง ข. จึงสามารถใช้
สิทธิลดหย่อนบุตรคนที่ 2 ได้เพิ่มอีก 30,000 บาท
Q2 : นาย A. กับนาง ข. มีบุตรคนที่ 2 ในปี 2561 และใช้สิทธิลดหย่อนบุตรคนที่ 2 ในปี
ภาษี 2561 แล้ว ต่อมาในปี 2562 มิได้มีบุตรเพิ่มแต่อย่างใด อยากทราบว่า ในปีภาษี 2562 ยัง
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรคนที่ 2 ได้เพิ่มอีกคนละ 30,000 บาทหรือไม่
A2 : ถือเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้น ในปีภาษี 2562
สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนบุตรคนที่ 2 ได้เพิ่มอีกคนละ 30,000 บาท
[59]
กว่า 180 วันหรื อทุพพลภาพมาไม่นอ้ ยกว่า 180 วัน และมีใบรับรองแพทย์ ที่ออกในปี ภาษีที่ขอ
ใช้สิทธิหกั ลดหย่อน
จุดเน้ น “กรณีการหักลดหย่อนการอุปการะเลี้ยงดูคนพิการและคนทุพพลภาพ”
ผูม้ ีเงินได้ หักค่าลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท ตามรายละเอียด ดังนี้
ข้อ 1. ผูม้ ีเงินได้ จะต้องมีความสัมพันธ์กบั กับคนพิการ หรื อคนทุพพลภาพ ดังนี้
(1) เป็ นบิดามารดาของผูม้ ีเงินได้
(2) เป็ นบิดามารดาของสามีหรื อภริ ยาของผูม้ ีเงินได้
(3) เป็ นสามีหรื อภริ ยาของผูม้ ีเงินได้
(4) เป็ นบุตรชอบด้วยกฎหมายหรื อบุตรบุญธรรมของผูม้ ีเงินได้
(5) เป็ นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรื อภริ ยาของผูม้ ีเงินได้
(6) เป็ นบุคคลอื่นที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กบั ผูม้ ีเงินได้ตาม (1) - (5) แต่ผมู ้ ีเงินได้
เป็ นผูอ้ ุปการะเลี้ยงดู ให้ผมู ้ ีเงินได้หกั ลดหย่อนได้อีก 1 คน
ข้อ 2. หลักเกณฑ์และองค์ประกอบการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ
(1) คนพิการต้องมีบตั รประจาตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริ ม
และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
(2) เป็ นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กบั ผูม้ ีเงินได้ตาม ข้อ 1
(3) ผูม้ ีเงินได้เป็ นผูอ้ ุปการะเลี้ยงดูและมีชื่อเป็ นผูด้ ูแลคนพิการในบัตรคนพิการ
(4) คนพิการมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาท ในปี ภาษีน้ นั ต้องไม่รวมเงิน
ได้ที่ได้รับยกเว้น (ตาม มาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร)
(5) คนพิการ ซึ่งมีเลขประจาตัวประชาชน 13 หลัก
(6) กรณี คนพิการมีผอู ้ ุปการะเลี้ยงดูหลายคน ผูม้ ีสิทธิหกั ลดหย่อน คือ คนที่มีชื่อ
เป็ นผู้ดูแลในบัตรประจาตัวคนพิการ
ข้อ 3 การรับรองและหลักฐานกรณีคนทุพพลภาพ
- หลักฐานที่แสดงว่าเป็ นคนทุพพลภาพคือ ใบรับรองแพทย์
- หนังสื อรับรองการเป็ นผูอ้ ุปการะเลี้ยงดูคนพิการ ที่รับรองว่าผูม้ ีเงินได้เป็ นผู ้
อุปการะเลี้ยงดู ซึ่งผูร้ ับรองต้องมีความสัมพันธ์กบั คนทุพพลภาพดังนี้
- สามี ภริ ยา
- บุตรชอบด้วยกฎหมาย บุตรบุญธรรม หรื อหลาน
- บิดามารดา
- พี่นอ้ งร่ วมบิดามารดาเดียวกัน หรื อร่ วมบิดาหรื อร่ วมมารดาเดียวกัน
- ปู่ ย่าตายาย
- ลุงป้าน้าอา
[61]
(1) ผู้ประกอบกิจการในราชอาณาจักรดังต่อไปนี้
(ก) ธนาคาร
(ข) บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจ เงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์
และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(ค) บริษัทประกันชีวิต
(ง) สหกรณ์
(จ) นายจ้างซึ่งมีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนที่จัดสรร ไว้เพื่อสวัสดิการแก่ลูกจ้าง
(ฉ) บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ตามกฎหมาย ว่าด้วยบรรษัทตลาดรอง
สินเชือ่ ที่อยู่อาศัย
(2) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาใน ระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตาม
กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์
(3) กองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่ จัดตั้งขึน้ ตามกฎหมายว่าด้วย
หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(4) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามกฎหมาย ว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
หลักฐานที่ต้องนำมาแสดงพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการ คือ ล.ย.02 (หนั งสื อ
รับรองดอกเบี้ยเงินกู้ยืม) ตามหลักเกณฑ์ดังนี้
• กรณีผมู้ ีเงินได้หลายคนร่วมกันกู้ยืม ให้หักลดหย่อน และ ยกเว้นภาษีได้ทุกคนโดยเฉลี่ย
ค่าลดหย่อนและยกเว้นภาษีตามส่วนจำนวนผู้มีเงินได้แต่รวมกันไม่เกินจำนวนที่จ่ายจริงและไม่เกิน
100,000 บาท
• กรณีสามีภริยาร่วมกันกู้ ยืมโดยสามีหรือภริยามีเงินได้ ฝ่ายเดียวให้ หักลดหย่อนและ
ยกเว้นภาษีสำหรับผูม้ ีเงินได้เต็มจำนวนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
• กรณีผู้มีเงินได้มสี ิทธิหักลดหย่อนและยกเว้นภาษี อยู่ก่อนแล้ว ต่อมาสมรสกัน ให้ต่าง
ฝ่ายต่างหักลดหย่อนและยกเว้นภาษีของตน ตามจำนวนทีจ่ ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้
ไม่ว่าความเป็นสามีภริยาจะได้มีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่
ตัวอย่าง
สามีภริยามีเงินได้ทงั้ 2 ฝ่าย และมีสิทธิหักลดหย่อนและยกเว้นภาษีอยู่กอ่ น ต่อมาสมรส
กัน สามีและภริยาหักลดหย่อนและยกเว้นภาษีได้ คนละ 100,000 บาท
• กรณีสามีภริยามีเงินได้ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างฝ่ายต่างกู้ยืมใน ระหว่างสมรสให้ตา่ งฝ่ายต่างหัก
ลดหย่อนและยกเว้นภาษี สำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมส่วนของตนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน
100,000 บาท ทั้งนีไ้ ม่ว่าความเป็นสามีภริยาจะได้มีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่ก็ตาม
• กรณี สามีภ ริย ามีเงิน ได้ทั้ง 2 ฝ่าย และร่วมกันกู้ยืม ให้ต่างฝ่ายต่างหักลดหย่อ นและ
ยกเว้นภาษีดอกเบี้ ยเงินกู้ยืมได้ก่ึงหนึ่งของจำนวนที่จ่ายจริง (คนละ ไม่เกิน 50,000 บาท เมื่ อ
รวมกันต้องไม่เกิน 100,000 บาท ไม่ว่าความเป็น สามีภริยาจะได้มีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่ก็ตาม
[66]
การหักค่าลดหย่อนเงินบริจาค
สามารถแบ่งเป็นกลุ่มเงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีเป็น 2 กลุม่ คือ กลุ่มที่บริจาคได้ลดหย่อนภาษี 2
เท่า และกลุ่มเงินบริจาคทีล่ ดหย่อนภาษีได้ตามที่จา่ ยจริง
กลุ่มลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของเงินที่บริจาคจริง
1. เงินบริจาคเพือ่ สนับสนุนการศึกษา
หักได้ : 2 เท่าของจำนวนทีจ่ ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและ
ค่าลดหย่อนอย่างอื่นก่อนหักลดหย่อนเงินบริจาค
เช่ น หากบริจาคเงิน ให้ส ถานศึ กษาที่กระทรวงศึ กษาธิการกำหนด 5,000 บาท ก็จ ะ
สามารถหักลดหย่อนได้ 2 เท่า คือ 10,000 บาท
เงื่อนไข : • ต้องเป็นสถานศึกษาที่ ศธ. กำหนด
• ต้องบริจาคและบันทึกข้อมูลผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น
2. เงินบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของรัฐ
หักได้ : 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่ เมื่อรวมกับเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา
แล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พงึ ประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ
เงื่อนไข :เป็นการบริจาคให้สถานพยาบาลของราชการ ไม่ว่าจะเป็น สถาบันการศึกษา
องค์การมหาชน หรือหน่วยงานต่าง ๆและมีหลักฐานใบเสร็จรับเงิน หรือมีการบันทึกข้อมูลบริจาค
ผ่านระบบ e-Donation
3. เงินบริจาคสนับสนุนการกีฬา
คือการบริจาคเงินให้แก่การกีฬาแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกีฬาจังหวัดสมาคม
กีฬาแห่งจังหวัดสมาคมกีฬา ที่ใช้คำว่า “แห่งประเทศไทย” หรือกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติท่ี
จัดตั้งขึน้ ตาม กฎหมายว่าด้วยการกีฬาแห่งประเทศไทยและกรมพลศึกษา
หักได้ : 2 เท่าของจำนวนที่จา่ ยจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา
แล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พงึ ประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ
เงื่อนไข : บริจาคเงินให้หน่วยงานด้านกีฬาที่สั งกัดสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยและมี
หลักฐานใบเสร็จรับเงิน หรือมีการบันทึกข้อมูลบริจาคผ่านระบบ e-Donation
4. เงินบริจาคเพื่อการพัฒนาสังคม
คือการบริจาคให้กับ
- เงินที่จ่ายให้กองทุนพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา
- เงินที่จ่ายให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดตั้งหรือสนับสนุนการดำเนินงาน
ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
- เงินที่จ่ายให้แก่โครงการฝึ กอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด
แก้ไข ฟื้นฟูและสงเคราะห์เด็กและ เยาวชนของสถานพินิจและคุม้ ครองเด็กและเยาวชน หรือศูนย์
ฝึกและ อบรมเด็กและเยาวชน ในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม
- เงินทีจ่ ่ายให้แก่กองทุนยุติธรรม
[71]
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เงินได้สุทธิ (บาท) อัตรภาษี (ร้อยละ)
0-150,000* ยกเว้นภาษี
150,001 - 300,000 5
300,001 - 500,000 10
500,001 - 750,000 15
750,001 - 1,000,000 20
1,000,001 - 2,000,000 25
2,000,001 - 5,000,000 30
ตัง้ แต่ 5,000,001 ขึ้นไป 35
หมายเหตุ พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 470 พ.ศ.2551 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สำหรับเงินได้สุทธิจากการคำนวณภาษีเงินได้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 150,000 บาท เริม่ ตัง้ แต่ 1 ม.ค.2551
(จุดเน้น) อัตราภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา มี 7 ขั้น คือ ร้อยละ 5, 10,15,20,25,30,35
เรียกว่า อัตราก้าวหน้า
ขัน้ ตอนที่ 2
กรณีทีต่ ้องคำนวณตามขัน้ ตอนที่ 2 ได้แก่ กรณีท่มี ีเงินได้พงึ ประเมิน (เฉพาะประเภท
ที่ 2 – 8 (ไม่รวมเงินได้พงึ ประเมินประเภทที่ 1) มีจำนวนรวมกันตั้งแต่ 120,000 บาท ให้คำนวณ
ในอัตราร้อยละ 0.5 ของเงินได้พึงประเมิน หากคำนวณแล้วมีภาษีไม่เกิน 5,000 บาท จะได้รับ
ยกเว้นภาษี ตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 480 พ.ศ.2552
วิธที ำ
ขั้นตอนที่ 1 คานวณภาษีตามวิธีท่ี 1
ภ.ง.ด. 91 แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้าง
แรงงานตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว
สถานที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
ผู้เสียภาษี สามารถยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี ได้ดังนี้
1. สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา
2. ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ผู้มีเงินได้(เฉพาะที่มีภูมิลำเนาในกรุงเทพมหานครเท่านั้น)
โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนพร้อมแนบเช็ค (ประเภท ข. ค. หรือ ง.) หรือ ใบธนาณัติตาม
จำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระทั้งจำนวน โดยส่งไป
ยัง “กองบริหารการคลังและรายได้ กรมสรรพากร อาคารกรมสรรพากรชั้น 6 เลขที่ 90 ซอย
พหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กทม. 10400 “
การยืน่ แบบทางไปรษณีย์ลงทะเบียน จะต้องยื่นแบบฯและชำระภาษีภายในวัน
สุดท้ายของกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการเท่านั้น โดยกรมสรรพากรจะถือเอาวันที่ลงทะเบียน
ไปรษณีย์เป็นวันรับแบบฯ และชำระภาษี และจะส่งใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ยื่นแบบฯ ทางไปรษณีย์
ลงทะเบียน
3. ทางอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ www.rd.go.th ในหัวข้อ e – Filing (เน้น) เมื่อยื่นแบบ
ทาง Internet ก็สามารถขอคัดแบบทางอินเทอร์เน็ตได้ โดยเข้าเว็บไซต์กรมสรรพากร
www.rd.go.th เลือก “ยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต” เลือก “บริการสมาชิก”
4. ทาง application ชื่อ “RD Smart Tax Application”(แบบที่สามารถยื่นได้คือ แบบ
ภ.ง.ด.90, ภ.ง.ด.91 , ภ.ง.ด.94 และ ภ.ง.ด.95) (จุดเน้น - เรื่องใหม่ ปี 2565)
5. ทางธนาคารพาณิชย์ไทย
วิธีการชำระภาษี เลือกวิธีการชำระได้ดังนี้
1. ชำระด้วยเงินสด
2.ชำระด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (ผู้ถือบัตรอิเล็กทรอนิกส์เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียม)
3.ชำระภาษีโดยใช้เช็คหรือดราฟท์ ซึ่ง เช็ค มี 4 ประเภท ได้แก่
1) เช็คธนาคารแห่งประเทศไทย (เช็คประเภท ก.)
2) เช็คที่มีธนาคารค้ำประกัน (เช็คประเภท ข.)
3) เช็คที่ธนาคารเซ็นสั่งจ่าย (เช็คประเภท ค.)
4) เช็คที่ผู้มีหน้าทีช่ ำระเงินภาษีอากรเป็นผู้เซ็นสัง่ จ่ายและใช้ชำระโดยตรง (เช็คประเภท ง.)
4. ชำระด้วยธนาณัติ
1) ผู้มีเงินได้ที่ยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร
2) ส่งธนาณัตเิ ท่ากับจำนวนเงินภาษีทตี่ ้องชำระไปพร้อมกับการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 หรือ
ภ.ง.ด.91 (ห้ามหักค่าธรรมเนียมในการส่งธนาณัติ) โดยสั่งจ่าย
การผ่อนชำระภาษี
ตามประมวลรัษฎากร โดยหลักได้กำหนดให้ผู้เสียภาษีทื่เสียภาษีประเภท ภาษีเงิน
บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิตบิ ุคคล สามารถผ่อนชำระภาษีได้ ภายใต้หลักเกณฑ์ คือ
[79]
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
Corporate Income Tax (CIT)
ภาษีเงินได้ นิติบุคคล เป็นภาษีทางตรง จัดเก็บตามในประมวลรั ษฎากร โดยหลัก
จัดเก็บจากกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการ หรือเนื่องจากการประกอบกิจการของ
บริ ษั ท หรื อ ห้ า งหุ้ น ส่ ว นนิ ติ บุ ค คลในแต่ ล ะรอบระยะเวลาบั ญ ชี (ตามปกติ มี 12 เดื อ น)
นอกจากวิธีการจัดเก็บตามหลัก การดังกล่าวแล้ว ยั งมีก ารจัดเก็บ ภาษี โดยวิธีอื่นอีก เช่น
เก็บจากยอดรายรับหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือเก็บจากค่าโดยสาร ค่าระวางฯ
ของกิจการขนส่งระหว่างประเทศหรือเก็บจากการจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศ เป็นต้น
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นติ ิบุคคล
นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามมาตรา 39
แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งสรุปได้ว่า ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่กิจการดังต่อไปนี้
(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตง้ั ขึ้นตามกฎหมายไทย ได้แก่
ก. บริษัท จำกัด
ข. บริษัทมหาชน จำกัด
ค. ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ง. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
จ. กองทุน รวมที่เป็น นิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ตามมาตรา 66 เป็ น ผู้ มี
หน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นับแต่วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
(อธิบาย กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคล จะเสียภาษีในกรณีที่กองทุนรวมนั้น ไปลงทุน
ในตราสารหนี้ กำหนดให้ กองทุนรวม ต้องเสียภาษีเฉพาะรายได้ตาม ม.40(ก) เท่านัน้ โดยจะถูก
หักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 เริ่มสำหรับกองทุนรวมที่ลงทุนตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค.2562)
(จุดเน้น)
(2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงิน
ได้นิติบุคคลในประเทศไทย ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
ก. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น เข้ามากระทำกิจการในประเทศไทย
(มาตรา 66 วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร)
ข. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทำกิจการในที่อื่นๆ รวมทั้งใน
ประเทศไทย (มาตรา 66 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร)
ค.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทำกิจการอื่นๆรวมทั้งในประเทศ
ไทยและกิจการที่กระทำนั้นเป็นกิจการขนส่งระหว่างประเทศ (มาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร)
[80]
ง. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย
แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
(มาตรา 70)
จ. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย
ตามมาตรา 76 วรรคสอง และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ได้จำหน่ายเงินกำไรหรือเงิน
ประเภทอื่นที่กันไว้จากกำไร หรือถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย (มาตรา 70 ทวิ
แห่งประมวลรัษฎากร)
ฉ.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น มิได้เข้ามาทำกิจการในประเทศไทย
โดยตรง หากแต่มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อ ในการประกอบกิจการในประเทศ
ไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย (มาตรา 76 ทวิ)
ช. กองทุน รวมที่เป็ น นิ ติบุ คคล ที่ตั้งขึ้น ตามกฎหมายของต่างประเทศ และประกอบ
กิจการในประเทศไทย ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติ
บุคคล นับแต่วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป (เน้น)
(อธิบาย ให้เสียภาษีในกรณีที่กองทุนรวมนั้น ไปลงทุนในตราสารหนี้ กำหนดให้ กองทุน
รวม ต้องเสียภาษีเฉพาะรายได้ตาม ม.40(ก) เท่านั้น โดยจะถูกหักภาษี ณ ทีจ่ ่าย ในอัตราร้อยละ
15 เริ่มสำหรับกองทุนรวมทีล่ งทุนตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค.2562 เป็นต้นไป)
(3) กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้า หรือหากำไร โดย
ก.รัฐบาลต่างประเทศ
ข. องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
ค.นิติบคุ คลอื่นที่ตงั้ ขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
(4) กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ได้แก่ กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหา
กำไร ระหว่างบุคคลดังต่อไปนี้คือ
ก. บริษัทกับบริษัท
ข. บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ค. ห้างหุ้นส่วนนิติบคุ คลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ง. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา
จ. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ฉ. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนสามัญ
ช. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับนิตบิ ุคคลอื่น
(5) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรี
ประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล
(6) นิติบุคคลอื่น ที่อธิบดีกรมสรรพากร กำหนดโดยอนุมัติรฐั มนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
➢ กระทรวง ทบวง กรม
➢ องค์การรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล เช่น การทางพิเศษแห่งประเทศไทย,การไฟฟ้าลวง
➢ วัด
➢ หอการค้าจังหวัด
➢ พรรคการเมือง
[81]
➢ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
➢ สหกรณ์
➢ สหภาพแรงงาน และสภาองค์การนายจ้าง - ลูกจ้าง ตาม ก.ม.แรงงาน
➢ มหาวิทยาลัยเอกชน โรงเรียนเอกชน (ในระบบ) ไม่รวมถึง โรงเรียนเอกชนนอกระบบ เช่น
รร.กวดวิชาต่าง ๆ
➢ มูลนิธิ สมาคม ที่ รมต.การคลัง ประกาศให้เป็นองค์การสาธารณกุศล
➢ นิติบุคคล บางประเภทที่เข้าลักษณะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบคุ คล ตามประมวลรัษฎากร แต่
ได้รับการยกเว้นตามบทบัญญัติของกฎหมายอื่น ๆ ได้แก่
(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ตามสัญญาว่าด้วยความ
ร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือทางเทคนิคระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ
(2) บริษัทจำกัดที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
(3) บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือ
กฎหมายต่าง ประเทศได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นติ ิบุคคลตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปโิ ตรเลียม
(4) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบคุ คลที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษี
ซ้อนกับประเทศไทย ตามเงื่อนไขที่กำหนดในอนุสัญญา
การคำนวณภาษีเงินได้นิตบิ ุคคล
ฐานการคำนวณภาษีเงินได้นิติบคุ คล โดยทั่วไป คือ กำไรสุทธิ แต่ก็มีกิจการบางประเภทหรือ
เงินได้บางประเภทที่ไม่สามารถคำนวณภาษีจากฐานกำไรสุทธิได้ ดังนั้น จึงต้องกำหนดฐานภาษีเงิน
ได้นิติบุคคล ออกเป็นประเภท เพื่อความเป็นธรรมและอุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษีเงินได้ นิติบุคคล
โดยแยกการคำนวณภาษีจากฐานภาษี ดังนี้
(1) การเสียภาษีเงินได้นติ ิบุคคล จาก : ฐานกำไรสุทธิ
(2) การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จาก : ฐานรายได้ก่อนหักรายจ่าย
(3) การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จาก : ฐานเงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
(4) การเสียภาษีเงินได้นติ ิบุคคลจาก:ฐานการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย
Note : ควรจำ
การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีอื่น นอกจาก 1 – 4 คือ
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนในต่างประเทศไม่สามารถคำนวณภาษีจากกำไร
สุทธิได้ อาจขอเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือยอดขาย
ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า ถ้ายอดรายรับในรอบ
ระยะเวลาบัญชีไม่ปรากฎ อาจประเมินโดยอาศัยเทียบเคียงกับยอดรายรับในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน
ขึ้นไป
(1) การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จาก : ฐานกำไรสุทธิ
ซึ่งผู้จัดทำจะได้อธิบาย ตามหัวข้อต่อไปนี้
1.1 ผูม้ ีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากกาไรสุทธิ
1.2 กาไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบคุ คล
- เงื่อนไขการคานวณกาไรสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ
- เงื่อนไขการคานวณกาไรสุทธิตามมาตรา 65 ตรี (รายจ่ายต้องห้าม)
1.3 อัตราภาษีและการคานวณภาษี
1.4 การยื่นแบบแสดงรายการและชาระภาษี
[82]
FLOWCHAT การคำนวณภาษีจากฐานกำไรสุทธิ
การคานวณรายได้เพื่อเสียภาษี
(1) มีเงื่อนไข คือ
-มาตรา 65 ประเภทรายได้ เกณฑ์รับรู ้รายได้ รายจ่าย ใช้เกณฑ์สิทธิ์ (จุดเน้น)
-มาตรา 65 ทวิ เงื่อนไขในการคานวณกาไร-ขาดทุน สุทธิ
-มาตรา 65 ตรี รายจ่ายต้องห้าม
(2) จานวนภาษีที่ตอ้ งชาระ = ฐานภาษี X อัตราภาษี
ในการเสียภาษีจากฐานกาไรสุทธิ สิ่งที่ตอ้ งคานึงถึง คือ รอบระยะเวลาบัญชี เพราะจะ
เป็ นตัวกาหนดว่า ถึงกาหนดเวลายื่นแบบเสียภาษีแล้วหรือยัง
บริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คล กาหนดเวลาการเสียภาษี เป็ นรอบระยะเวลาบัญชี ถ้า
นิติบคุ คลนัน้ ต้องเสียภาษี จากฐานกาไรสุทธิ และฐานรายรับก่อนหักรายจ่าย ต้องนาเรื่องรอบ
ระยะเวลาบัญชีมาพิจารณาด้วยเสมอ
รอบระยะเวลาบั ญ ชี ปกติ มี 12 เดื อ น เริ่ม นับ แต่ วัน ที่ จ ดทะเบี ย นนิ ติ บุ ค คล ซึ่งไม่
จาเป็ นต้องเป็ นวันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. ของทุกปี เสมอไป แต่ขอเปลี่ยนรอบระยะเวลาบัญชี เพื่อให้
ตรงกับวันที่ตามปี ปฏิทินได้ โดยขอต่ออธิบดีกรมสรรพากร
ทัง้ นี ้ ทัง้ นัน้ รอบระยะเวลาบัญชี อาจน้อยกว่า 12 เดือนก็ได้ คือกรณี (เน้น..สอบบ่อย)
นิติบคุ คล เริ่มตัง้ ใหม่
นิติบคุ คล จดทะเบียนเลิกกัน ถือวันที่จดทะเบียนเลิก เป็ นวันสุดท้ายของรอบ
ระยะเวลาบัญชี หากยังชาระบัญชีไม่เสร็จ ยังต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบคุ คลอยู่
นิติบคุ คล ควบเข้ากัน
ขอเปลี่ยนวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ขอต่ออธิบดีกรมสรรพากร
และรอบระยะเวลาบัญชี อาจมากกว่า 12 เดือนก็ได้ ซึ่งมีกรณีเดียวเท่านั้น คือ การ
ขยายรอบระยะเวลาบัญชี กรณีทนี่ ติ ิบคุ คล เลิกกิจการ และไม่สามารถยืน่ แบบแสดงรายการภาษี
เงินได้นิติบุคคลภายใน 150 วัน นับแต่วนั สุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญ ชี ยื่นคาร้องต่ออธิบดี
กรมสรรพากร ขอขยายออกไปอีก 30 วันนับแต่จดทะเบียนเลิก
1.1 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ
(1) บริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลที่ตงั้ ขึน้ ตามกฎหมายไทย
ก. บริษัท จากัด
ข. บริษัทมหาชน จากัด
ค. ห้างหุน้ ส่วน จากัด
ง. ห้างหุน้ ส่วนสามัญจดทะเบียน
[83]
การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีฐานกำไรสุทธิ
(1) แบบ ภ.ง.ด.51 ชื่อเต็ม คือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติ
บุคคล ตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร เป็ นการเสียภาษีเงินได้นิติบคุ คลจากประมาณการ
กาไรสุทธิ สาหรับครึง่ รอบระยะเวลาบัญชี กาหนดเวลายืน่ ฯ คือภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้าย
ของหกเดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี
(2) แบบ ภ.ง.ด.50 ชื่อเต็ม คือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติ
บุคคล ตามมาตรา 68 และมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร เป็ นการเสียภาษีเงินได้นติ บิ คุ คลจาก
กาไรสุทธิ เมือ่ สิน้ รอบระยะเวลาบัญชีกาหนดเวลายืน่ ฯ คือภายใน 150 วันนับแต่วนั สุดท้ายของ
รอบระยะเวลาบัญชี
ฐานภาษีสำหรับการให้บริการรับขนคนโดยสาร ซึ่งต้องนำไปรวมคำนวณเสียภาษีเงิน
ได้นิติบุคคลให้คำนวณจากมูลค่าของค่าโดยสารที่ได้รับหรือพึงได้รับสำหรับระยะทางจากต้นทาง
ถึงปลายทางตามที่ระบุในตั๋วโดยสาร รวมถึงค่าธรรมเนียมและผลประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บจาก
คนโดยสารอันเนื่องมาจากการให้บริการรับขนคนโดยสาร ไม่ว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
นั้นจะให้บริการรับขนเองทั้งหมดหรือให้ผู้ประกอบการอื่นรับขนส่งช่วงให้
(ข) กรณีรับขนของ รายได้เกิดจากค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่
เรียกเก็บไม่ว่าใน หรือนอกประเทศก่อนหักรายจ่ายใดๆเนื่องในการรับขนของออกจากประเทศ
ไทยนั้นให้คำนวณภาษีอัตราร้อยละ 3 ฐานภาษีสำหรับการให้บริการรับขนสินค้าซึ่งต้องนำไปรวม
คำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้คำนวณ จากมูลค่าของค่าระวางที่ได้รับหรือพึงได้รับ สำหรับ
ระยะทางจากต้นทางถึงปลายทางตามที่ระบุ ในแอร์เวย์บิล ในกรณีรับขนสินค้าโดยอากาศยาน
หรือสำหรับระยะทางถึงปลายทางตามที่ระบุในบิลออฟเลดิงในกรณีรับขน สินค้าโดยเรือทะเล
รวมถึงค่าธรรมเนียมและประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บจากผู้รับบริการอันเนื่อง มาจากการ ให้บริการ
รับขนสินค้า ไม่ว่าสายการบินหรือสายการเดินเรือนั้นจะให้บริการรับขนเองทั้งหมด หรือให้
ผู้ประกอบการอื่นรับขนส่งช่วงให้
(2) มูลนิธิหรือสมาคม ที่ประกอบกิจการ มีรายได้
มูลนิธิหรือสมาคมใดมิได้จดทะเบียนการจัดตั้งให้ถูกต้องตามกฎหมายก็จะมีฐานะเป็น
เพียงคณะบุคคล ซึ่งอาจจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่น บริษัทจัดตั้งสโมสรสำหรับ
พนักงานเพื่อดำเนินกิจกรรมฉันทนาการสำหรับพนักงาน หรือนักศึกษาจัดตั้งสโมสรหรือชมรม
ต่างๆ โดยไม่ได้ผูกพันกับนิติบุคคลใดโดย เฉพาะ ย่อมมีฐานะเป็นห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลที่
มิใช่นิติบุคคลซึ่งจะต้องเสียภาษีเงินได้อย่างบุคคลธรรมดาแม้ว่าจะไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าหรือ
เพื่อแบ่งปันกำไรก็ตามรายได้ของมูลนิธิหรือสมาคมที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลรายได้ที่มูลนิธิ
หรือสมาคมจะต้องเสียภาษีเงินได้รวมถึงรายได้ทุกอย่างไม่ว่าจะได้มาจากทางใดๆ เช่น รายได้จาก
การขายสินค้าและบริการ ดอกเบี้ย ค่าเช่า เงินปันผล ฯลฯ
รายได้ของมูลนิธิหรือสมาคมที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบคุ คล ได้แก่
(1) ค่าลงทะเบียนหรือค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิก
(2) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการรับบริจาค
(3) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รบั จากการให้โดยเสน่หา
นอกจากนี ้ ยังมีการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่มลู นิธิหรือสมาคม เฉพาะเงินได้จากกิจการ
โรงเรียนเอกชนซึ่งได้ ตัง้ ขึน้ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงเงินได้จากการขาย
ของการรับจ้างทาของ หรือการให้บริการอื่นใดที่ โรงเรียนเอกชนซึ่งเป็ นโรงเรียนประเภท
อาชีวศึกษาได้รบั จากผูซ้ ่งึ มิใช่นกั เรียน (มาตรา 5 นว แห่งพระราชกฤษฎีกา(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500)
มูลนิธิและสมาคมต้องเสียภาษีเงินได้นิติบคุ คลในอัตรา ดังนี ้
(1) เงินได้ประเภทที่ 8 เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การ
อุตสาหกรรมการขนส่ง หรือ การอื่นๆ เสียร้อยละ 2 ของรายได้ก่อนหักรายจ่าย
(2) เงินได้อ่นื ๆ นอกจาก (ก) เสียร้อยละ 10 ของรายได้ก่อนหักรายจ่าย
การคานวณภาษีเงินได้ของมูลนิธิ หรือสมาคม จะต้องคานวณตามรอบระยะเวลาบัญชีดว้ ย
[88]
การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี
(1) กิจการขนส่งระหว่างประเทศของบริษัทหรือนิติบคุ คลต่างประเทศ
จะต้องยื่นแบบภายใน 150 วัน นับแต่วนั สุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
กิจการนีม้ ิต้องยื่นเสียภาษีครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีแต่อย่างใด แต่ให้
แบบแสดงรายการที่ใช้ย่นื คือ ภ.ง.ด.52 (ยื่นรอบระยะเวลาบัญชี ละ 1 ครัง้ )
Note แบบ ภ.ง.ด.52 ชือ่ เต็มคือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติ
บุคคล เฉพาะกิจการขนส่งผ่านประเทศต่างๆ ตามมาตรา 67 แห่งประมวลรัษฎากร
(2) มูลนิธิและสมาคมที่ประกอบกิจการมีรายได้
ต้องยื่นแบบแสดงรายการและชาระภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วนั สุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
โดยใช้แบบแสดงรายการ คือ ภ.ง.ด. 55 (ยื่นรอบระยะเวลาบัญชีละ 1 ครัง้ )
Note แบบ ภ.ง.ด.55 ชือ่ เต็มคือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้มลู นิธิหรือสมาคม
ตามมาตรา 68 และมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร
(3) การเสียภาษีเงินได้นิตบิ ุคคลจาก : เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ม.70
การจัดเก็บภาษี ตามมาตรา 70 แหงประมวลรัษฎากร คือสําหรับบริษัทหรือหาง
หุ้นส่วนนิตบิ ุคคลท ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของตางประเทศที่มิไดประกอบกิจการในประเทศไทย
แตมีแหลงเงินไดที่เกิดขึน้ ในประเทศไทยและเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(2)(3)(4)(5)
หรือ (6) แหงประมวลรัษฎากร ที่จายจากหรือในประเทศไทย ไมวาบุคคลใดๆ จ่ายก็ตาม ยอม
มีหนาทีเ่ สียภาษีเงินได้นติ บิ ุคคลในประเทศ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นสวนนิตบิ ุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของ
ต่างประเทศ มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา
40(2)(3)(4)(5)หรือ (6) แหงประมวลรัษฎากร ที่จ่ายจากประเทศไทย
ผู้มีหน้าที่หักภาษีและนำส่งภาษี ได้แก่ ผู้ใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติ
บุคคลในรูปใด ๆ (รัฐบาล มูลนิธิ สมาคมฯ ) รวมทัง้ คณะบุคคล ถ้าเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน
ตามมาตราดังกล่าว ให้กับบริษัทหรือนิติบุคคลที่ตงั้ ขึน้ ตามกฎหมายต่างประเทศมิได้ประกอบ
กิจการในประเทศไทย ย่อมมีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่าย
เงินได้พงึ ประเมินตามมาตรา 40(2)(3)(4)(5) หรือ (6) คือ
(1) เงินได้พงึ ประเมินตามมาตรา 40(2) ได้แก่ เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือ ตาแหน่งงานที่
ทาหรือจากการรับ ทางานให้ (ค่าธรรมเนียมคา้ ประกันเงินกูย้ ืม ในทางปฏิบตั ิถือเป็ นเงินได้พงึ
ประเมินประเภทที่ 8)
(2) เงินได้พงึ ประเมินตามมาตรา 40(3) ได้แก่ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิ
อย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้มีลกั ษณะเป็ นเงินรายปี อนั ได้มาจากพินยั กรรม นิติกรรมอย่างอื่นหรือคา
พิพากษาของศาล
(3) เงินได้พงึ ประเมินตามมาตรา 40(4) ได้แก่เงินได้ท่เี ป็ น
[89]
(ก) ดอกเบีย้ พันธบัตร ดอกเบีย้ เงินฝาก ดอกเบีย้ หุน้ กู้ ดอกเบีย้ ตั๋วเงิน ดอกเบีย้ เงินกู้
ยืมไม่ว่าจะมีหลักประกันหรือไม่ก็ตามกรณีได้เงินได้ท่เี ป็ นดอกเบีย้ จากรัฐบาล หรือสถาบันการเงิน
ที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของ ประเทศไทยจัดตัง้ ขึน้ สาหรับให้กยู้ ืมเพื่อส่งเสริม เกษตรกรรม พาณิช
ยกรรมหรืออุตสาหกรรม ไม่ตอ้ งเสียภาษีฐานนี ้
(ข) เงินปั นผล เงินส่วนแบ่งของกาไรหรือประโยชน์อ่ืนใดที่ได้จากบริษัท หรือห้าง
หุน้ ส่วนนิติบคุ คลหรือกองทุนรวม
(ค) เงินโบนัสที่จ่ายแก่ผถู้ ือหุน้ หรือผูเ้ ป็ นหุน้ ส่วนในบริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คล
(ง) เงินลดทุนของบริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลเฉพาะส่วนที่จ่ายไม่เกินกว่ากาไรและ
เงินที่กนั ไว้รวมกัน
(จ) เงินเพิ่มทุนของบริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลซึ่งตัง้ จากกาไรที่ได้มาหรือเงินที่กนั
ไว้รวมกัน
(ฉ) ผลประโยชน์ท่ไี ด้จากการที่บริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลควบเข้ากัน หรือรับช่วง
กัน หรือเลิกกัน ซึ่งตีราคาเป็ นเงินได้เกินกว่าเงินทุน
(ช) ผลประโยชน์ท่ีได้จากการโอนการเป็ นหุน้ ส่วน โอนหน่วยลงทุน หรือโอนหุน้ หุน้ กู้
พันธบัตรหรือตั๋วเงิน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนีท้ ่บี ริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลหรือนิติบคุ คล
อื่นเป็ นผูอ้ อกรวมทัง้ เงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนให้แก่บริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลที่เป็ น
กองทุนรวม ทัง้ นีเ้ ฉพาะซึ่งตีราคาเป็ นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน”
( แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) พ.ศ. 2562 ให้ใช้บงั คับ ตัง้ แต่วนั ที่
20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็ นต้นไป )
(ซ) เงินส่วนแบ่งของกาไร หรือผลประโยชน์อ่ืนใดในลักษณะเดียวกันที่ได้จากการถือ
หรือครอบครองโทเคนดิจิทลั
(ฌ) ผลประโยชน์ท่ีได้รบั จากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทลั ทัง้ นี ้ เฉพาะซึ่ง
ตีราคาเป็ นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน (พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 ใช้บงั คับตัง้ แต่
วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 เป็ นต้นไป )
(4) เงินได้พงึ ประเมินตามมาตรา 40(5) ได้แก่ เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจาก
การให้เช่าทรัพย์สิน
(5) เงินได้พงึ ประเมินตามมาตรา 40(6) ได้แก่ เงินได้จากวิชาชีพอิสระ คือวิชากฎหมาย
วิธกี ารหักภาษีและอัตราที่ต้องหัก
(1) เงินได้พงึ ประเมินมาตรา 40(2)(3)(4)(5) และ (6) นอกจากเงินได้พงึ ประเมินตาม
มาตรา 40(4)(ข) ให้คานวณภาษีในอัตราร้อยละ 15
ตัวอย่าง ในวันที่ 1 มิถนุ ายน 2552 บริษัท ลายกนก จากัด จ่ายค่านายหน้าให้แก่บริษัท
A ซึ่งตัง้ ขึน้ ตามกฎหมายของต่างประเทศ มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย เป็ นเงิน 50,000
บาท บริษัท ลายกนก จากัด ต้องคานวณหักภาษี ดังนี ้
[90]
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จำหน่ายเงินกำไรไปต่างประเทศ จะต้องยื่นแบบแสดง
รายการและชำระภาษี ภายใน 7 วันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จำหน่ายเงินกำไร โดยแบบแสดง
รายการที่ใช้ยื่น ได้แก่ ภ.ง.ด. 54 (ยื่นทุกครั้งที่มีการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย ถ้าเก็บ
กำไรไว้ในประเทศไทยไม่ต้องเสียภาษีฐานนี)้
** แบบ ภ.ง.ด.54 ชื่อเต็มคือ แบบยื่นรายการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจำหน่ายเงินกำไร
ตามมาตรา 70 และตามมาตรา 70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
ตัวอย่างคำถาม บริษัท AAA จำกัด เป็นสาขาของบริษัทต่างประเทศ ตั้งขึ้นตาม ก.ม.
ประเทศอังกฤษ และมาประกอบกิจการในไทย ต่อมา เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 บริษัทฯ ส่ง
เงินกำไรไปให้ สนง.ใหญ่ ณ ประเทศเดนมาร์ก จำนวน 500,000 บาท บริษัทฯ ต้องหักภาษีนำส่ง
กรมสรรพากร อย่างไร
ตอบ ต้องเสียภาษี จำนวน 50,000 บาท (500,000 X 10% = 50,000 บาท)
นำส่งกรมสรรพากรด้วยแบบ ภ.ง.ด.54 ภายในวันที่ 7 ธันวาคม 2562 แต่วันที่ 7 ธันวาคม 2562
ตรงกับวันเสาร์ กฎหมายให้ชำระในวันที่เปิดทำการวันแรก ดังนั้น สามารถยื่นภายในวันทำการถัดไป
ซึ่งก็คือ วันจันทร์ คือตรงกับวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562 โดยไม่เสียเงินเพิ่มและค่าปรับ แต่อย่างใด
สถานที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
1 ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ย่นื ณ
(1) สานักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขาในท้องที่ท่สี านักงานใหญ่ตงั้ อยู่
(2) ธนาคารพาณิชย์ไทย และ สาขา ในเขตกรุงเทพมหานคร
2 ในเขตจังหวัดอื่น ให้ย่ืน ณ
(1) สานักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขาในท้องที่ท่ีสานักงานใหญ่
(2) สานักงานสาขาของธนาคารพาณิชย์ไทยในเขตอาเภอ
หมายเหตุ สามารถยื่นผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากรก็ได้
การยกเว้นภาษีอากรแก่บุคคลตามสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อน
การยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่รฐั บาลไทยได้ทำไว้หรือจะได้ทำกับรัฐบาลต่างประเทศ มี
วัตถุประสงค์ เพื่อลดภาระภาษีซ้ำซ้อนระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจากการ ดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ
และสนับสนุน ทั้งการค้าและการลงทุน เข้าสู่ประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
หลักการพืน้ ฐานของสัญญาว่าด้วยการเก็บภาษีซ้อนฯ
ชื่อสัญญา คือ สัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่รัฐบาลไทย ได้ทำไว้หรือจะได้ทำกับ
รัฐบาลต่างประเทศ หรือ Double Tax Agreements (DTAs) เป็นสนธิสญ ั ญาทางภาษีแบบทวิภาคี
(Bilateral Treaties) มีคู่สัญญา สองฝ่าย เป็นการลงนามระหว่างประเทศไทยและประเทศคู่สัญญา
วัตถุประสงค์ของสัญญาว่าด้วยการเก็บภาษีซ้อนฯ
1.1 บรรเทาหรือขจัดปัญหาการจัดเก็บภาษีซ้าซ้อนระหว่างประเทศ
1.2 ป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศ
ประเภทของภาษีภายใต้สัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนฯ
2.1 ให้ยกเว้นภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรใน สาหรับภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา
และภาษีเงินได้นิติบคุ คล
2.2 ให้ยกเว้นภาษีอากรตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
[92]
บุคคลผู้ได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้สัญญา ว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนฯ
ใช้บงั คับกับบุคคลที่มีถ่นิ ที่อยู่ในประเทศคู่สญ
ั ญารัฐหนึ่งหรือทัง้ สองรัฐ ในกรณีประเทศไทย
บุคคลธรรมดาผูอ้ ยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึง่ หรือหลายระยะเวลา แต่เมื่อรวมระยะเวลา
ทัง้ หมดถึง 180 วันในปี ภาษีหนึ่ง ตามนัย มาตรา 41 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ประการหนึ่ง
หรือบริษัทหรือ ห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลที่ตงั้ ขึน้ ตามกฎหมายของประเทศไทย อีกประการหนึ่ง ซึ่งถือ
ได้ว่าเป็ นผูม้ ีถ่นิ ที่อยู่ในประเทศไทย
ตัวอย่าง
บริษัท ก จากัด ตัง้ ขึน้ ตามกฎหมายของประเทศไทย จ่ายเงินประเภทลิขสิทธิ์ให้แก่สานักงานสาขา
ในประเทศสิงคโปร์ของบริษัท M จากัดที่จดทะเบียนจัดตัง้ ขึน้ ตามกฎหมายของประเทศ
สหรัฐอเมริกา กรณี ดังกล่าว เจ้าของเงินได้คือ บริษัท M จากัด ถือว่ามีถ่นิ ที่อยู่ในประเทศ
สหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ประเทศสิงคโปร์ท่ีมีสานักงานสาขาตัง้ อยู่ จึงต้อง นาบทบัญญัติแห่งสัญญาว่า
ด้วยการเก็บภาษีซอ้ นฯ ระหว่างประเทศไทย กับประเทศสหรัฐอเมริกามากล่าวอ้าง และมิใช่นา
บทบัญญัติแห่งสัญญาว่าด้วยการเก็บภาษีซอ้ นฯ ระหว่างประเทศไทยกับประเทศสิงคโปร์มา
พิจารณาแต่อย่างใด
การอ้างสิทธิบรรเทาภาระภาษีที่ซ้ำซ้อน
ผูเ้ สียภาษี ท่จี ะสามารถกล่าวอ้างสัญญาว่าด้วยการ เก็บภาษีซอ้ นฯ เพื่อรับสิทธิประโยชน์
ทางภาษีได้ เมื่อผูเ้ สียภาษีมีหน้าที่ตอ้ งเสียภาษีภายใต้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร หรือ
พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียมแล้วเท่านัน้ หากไม่ปรากฏว่า ผูเ้ สียภาษีรายนัน้ มีภาระภาษี
ตามกฎหมายภายในแต่อย่างใด กรณีนไี ้ ม่มีประเด็นพิจารณา
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
Withholding Tax (WHT)
การเสียภาษีโดยถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย หรือ Withholding Tax เป็นวิธีการจัดเก็บภาษีที่
ได้ผลดีทีส่ ดุ อีกวิธหี นึ่ง ซึ่งภาษีเงินได้ที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย ถือเป็นเครดิตของผู้เสียภาษี
วัตถุประสงค์ของการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
1 เพื่อบรรเทาภาระการเสียภาษีให้แก่ผรู้ บั เงินได้
2. เพื่อให้รฐั บาลมีรายได้เข้าคลังอย่างสม่าเสมอ
3. เพื่อลดแรงกดดันในการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร และลด
ภาระหน้าที่ในการตรวจสอบภาษีหรือการติดตามจัดเก็บภาษีในภายหลัง
หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายและผู้มีเงินได้
1. หน้าทีข่ องผู้มีหน้าทีห่ ัก ภาษี ณ ทีจ่ ่าย
1.1 ขอเลขประจาตัวผูเ้ สียภาษี
[93]
ถ้าการหารด้วยจานวนคราวที่จะต้องจ่ายตามความในวรรคก่อนไม่ลงตัว เหลือเศษเท่าใด
ให้เพิ่มเงินเท่าจานวนที่เหลือเศษนัน้ รวมเข้ากับเงินภาษีท่จี ะต้องหักไว้ครัง้ สุดท้ายในปี นัน้ เพื่อให้
ยอดเงินภาษีท่หี กั รวมทัง้ ปี เท่าจานวนภาษีท่จี ะต้องเสียทัง้ ปี
สรุป
1. เงินได้พึงประเมิน (ทั้งปี) เสมือนจ่ายเต็มทั้งปี มาจาก เงินได้ x จำนวนคราวทีจ่ ่าย (เช่น
ทำงานทั้งปี คำนวณได้ว่า เงินได้พึงประเมิน เช่น เงินเดือน x 12) เป็นต้น
2. หัก ค่าใช้จ่าย (50% ไม่เกิน 100,000 บาท)
3. หัก ค่าลดหย่อน ลงรายละเอียด ตาม (ล.ย.01 = แบบแจ้งรายการเพื่อการหักลดหย่อน)
4. เงินได้สุทธิ ( ยกเว้น 150,000 บาท)
5. คูณ อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ก้าวหน้า)
6. จำนวนภาษีที่ต้องชำระทั้งปี
7. หาร จำนวนคราวที่จ่าย เช่น ต่อปี ก็ หารด้วย 12
8.จำนวนภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ที่ต้องหักนำส่งกรมสรรพากร เป็นรายเดือน)
2 ) กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3 และ 4
มาตรา 50 ให้บคุ คล ห้างหุน้ ส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคล ผูจ้ ่ายเงินได้พงึ ประเมินตาม
มาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทกุ คราวที่จ่ายเงินได้พงึ ประเมินตามวิธีดงั ต่อไปนี ้
กรณีที่ 1 ให้หักตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่า
แห่งสิทธิ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น
กรณีที่ 2 ให้ หักภาษีเงินได้ ณ ทีจ่ ่ายในอัตราร้ อยละ 15 (มีสทิ ธิเลือกไม่ตอ้ งนาไปรวม
คานวณกับเงินได้อนื่ ก็ได้) มีดงั นี ้
(ก) ในกรณีเงินได้พงึ ประเมินตามมาตรา 40(3) และ (4) ที่จ่ายให้แก่ผรู้ บั ซึ่งมิได้เป็ นผูอ้ ยู่ใน
ประเทศไทย ให้คานวณหักในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้
(ข) ให้บคุ คล ห้างหุน้ ส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผูจ้ ่ายเงินได้พงึ ประเมินตาม
มาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทกุ คราวที่จ่ายเงินได้พงึ ประเมิน ดังนี ้
• ดอกเบีย้ เงินฝาก ดอกเบีย้ หุน้ กู้ ดอกเบีย้ ตั๋วเงินที่ได้จากบริษัท หรือห้าง หุน้ ส่วน
นิติบคุ คลอื่น ดอกเบีย้ เงินกูย้ ืมที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุน้ ส่วน นิติบคุ คล หรือนิติบคุ คลอื่น
• ผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจาหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดง สิทธิในหนี ้
ที่บริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบุคคล หรือนิติบคุ คลอื่นเป็ นผูอ้ อก
• ผลประโยชน์ท่ไี ด้จากการโอนพันธบัตร หุน้ กู้ หรือตั๋วเงิน หรือตราสาร แสดงสิทธิใน
หนีท้ ่บี ริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คลหรือนิติบคุ คลอื่นเป็ น ผูอ้ อก ทัง้ นี ้ เฉพาะที่ตีราคาเป็ นเงินได้
เกินกว่าที่ลงทุน
กรณีที่ 3 ให้หักภาษีเงินได้ ณ ทีจ่ ่ายในอัตราร้อยละ 10
•เฉพาะมาตรา 40 (4) (ข) เงินปั นผล เงินส่วนแบ่งของกาไรหรือ ประโยชน์อ่ืนใดที่ได้
จากบริษัท หรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คล กองทุนรวม หรือสถาบันการเงินที่มี กฎหมายโดยเฉพาะของ
ประเทศไทย หรือเงินส่วนแบ่งของกาไรที่อยู่ใน บังคับต้องถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายว่า
ด้วยภาษีเงินได้ ปิ โตรเลียม
• ภาษีหกั ณ ที่จ่ายข้างต้น ถือเป็ นเครดิตภาษีในการคานวณ ภ.ง.ด.90 เฉพาะผูม้ ี
เงินได้ท่มี ีภมู ิลาเนาในประเทศไทย หรือเป็ นผูอ้ ยู่ในประเทศไทย (ถึง 180 วัน) เท่านัน้
(Note - จุดเน้น) การหักภาษี ณ ที่จ่ายตามกรณีนี้ ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จา่ ยมีสิทธิเลือกไม่
ต้องนำรายได้ไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่นอีกก็ได้)
กรณีที่ 4 ไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ทีจ่ ่าย
เป็นกรณีทบี่ ุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรือห้าง หุ้นส่วนสามัญเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยแก่ผู้รับซึ่ง
เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เพราะตามกฎหมาย ผู้รับเงินมีหน้าทีย่ ื่นแบบแสดง
รายการเสียภาษีเงินเอง
3) กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 และ 6
มาตรา 50 ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา
40 หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้
[96]
6 ) กรณีการจ่ายเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8
เป็ นกรณีท่เี ป็ นเงินได้จากการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มี
ค่าตอบแทนให้แก่บตุ รชอบด้วยกฎหมายซึ่งไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม เฉพาะส่วนที่เกิน 20 ล้าน
ให้เสียภาษีรอ้ ยละ 5 ของเงินได้เฉพาะในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท
หลักการของการโอนอสังหาริมทรัพย์ คือ ปกติแล้ว ผูโ้ อน ต้องคานวณภาษีและหักภาษีตาม
ข้อ 5 เว้นแต่เป็ นการโอนให้แก่บตุ รชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่รวมบุตรบุญธรรม ให้ผโู้ อนเสียภาษี
[97]
2) กรณีผู้รับเงินได้ : เป็นนิติบุคคล
การหักภาษีเงินได้นติ บิ ุคคล ณ ที่จ่ายมีอยู่ 3 กรณี ดังนี้
1.ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีท่สี ว่ นราชการ (รัฐบาล ส่วนราชการ เทศบาล สุขาภิบาล หรือราชการส่วนท้องถิ่น)
จ่าย เงินได้ ให้แก่ บริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คล
➢ เน้ น ส่วนราชการที่จ่ายเงินหักภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1 ของยอดเงินได้พงึ ประเมินที่
จ่าย ซึ่งการจ่ายครัง้ หนึ่งถึง 500 บาท ต้องหัก ณ ที่จ่าย ถ้าไม่ถึงก็ไม่ตอ้ งหัก
2.ตามมาตรา 69 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
บริษัทหรือห้างหุน้ ส่วนนิติบคุ คล ขายอสังหาริมทรัพย์ ให้แก่ บุคคล ห้างหุน้ ส่วน บริษัท สมาคม
คณะบุคคล (สรุปว่า ใครก็ตามที่ซอื ้ อสังหาริมทรัพย์ จากนิติบคุ คล) ให้หกั ภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 1
ของยอดเงินได้พงึ ประเมินที่จ่าย ไม่ว่าจะจ่ายเงินเป็ นจานวนเงินเท่าใดก็ตาม
➢ การหักภาษี ณ ที่จ่าย จะหักเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์
3. ตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร
ให้ถือตามกรณีหกั ภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร
จุดเน้ นที่ 1 (เก็งข้ อสอบ)
➢ หัก 1 % สาหรับค่าขนส่ ง
โดยบริ ษทั หรื อนิติบุคคลที่ให้บริ การจะต้องขึ้นทะเบียนเป็ นผูใ้ ห้บริ การขนส่ง เช่น บริ การขนส่ง
สิ นค้าจากบริ ษทั โลจิสติกส์ เป็ นต้น
[99]
จุดเน้ นที่ 2
- กรณีสว่ นราชการ จ่ายเงินได้และหักภาษี ณ จ่าย จากผูม้ ีเงินได้ท่เี ป็ นนิติบุคคลฯ
ต้องจ่ายตัง้ แต่ 500 บาท หัก ร้อยละ 1 ใช้แบบ ภ.ง.ด.53 นาส่ง
- กรณีส่วนราชการ จ่ายเงินได้และหักภาษี ณ จ่าย จากผูม้ ีเงินได้ท่เี ป็ นบุคคล
ธรรมดาฯ ต้องจ่ายตัง้ แต่ 10,000 บาท หัก ร้อยละ 1 ใช้แบบ ภ.ง.ด.3 นาส่ง
- กรณีอ่นื ๆ เช่น ม. 3 เตรส , ท.ป.4/2528 ต้องจ่ายตัง้ แต่ 1,000 บาท จึงจะหัก
ภาษี ณ ที่ จ่าย ยกเว้น การหักภาษี ณ ที่จ่าย บางกรณี แม้ไม่ถึง 1,000 บาทก็ตอ้ งหักฯ เช่น
การจ่ายค่าโทรศัพท์ เหตุผล คือ เป็ นการจ่ายต่อเนื่อง เรื่อยๆ ไป จึงต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
➢ หัก 2% สาหรับค่าโฆษณา
เช่ น โฆษณาผ่ านทางโทรทัศน์ หรื อโฆษณาผ่ านสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เป็ นต้ น
➢ หัก 3% สาหรับจ้ างรับเหมา หรื อบริการต่างๆ เช่น การจ้างช่างภาพมาถ่ายรู ป การ
บริ การซอฟต์แวร์ การจ้าง blogger รี วิวสิ นค้า ก็เข้าข่ายนี้ เพราะถือเป็ นการให้บริ การ
➢ หัก 5% สาหรับค่าเช่ าอสังหาริมทรัพย์ อันนี้รวมถึง การเช่ ารถยนต์ รวมถึงค่าจ้ าง
นักแสดง และเงินรางวัลจากการแข่งขันหรือการชิงโชคต่ างๆ ด้วย
แต่ ถ้าเช่ารถยนต์พร้อมคนขับจะเสี ย 3% เพราะถือว่าเป็ นบริ การขับรถ
**กฎหมายใหม่เกีย่ วกับ**
การลดอัตราภาษีหกั ณ ที่จ่าย (e-Withholding Tax)
เพื่อส่งเสริ มและสนับสนุนให้ผปู ้ ระกอบการนาส่งภาษีผา่ นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้การจ่ ายเงิน
ได้พงึ ประเมินดังต่อไปนีท้ ี่ได้ จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.
2568 และผู้มีหน้ าที่นาส่ งภาษีได้ดาเนินการตามวิธีนาส่ งทางอินเทอร์ เน็ต หรื อ ผ่ านระบบ (e-
Withholding Tax) ให้ หัก ณ ที่จ่าย ร้ อยละ 1.0
[100]
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
Value Added Tax (VAT)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีทางอ้อม ที่เก็บจากการขายสินค้าและบริการ (ผู้ผลิตสินค้า
หรือผู้บริการหรือผู้นำเข้า)
“มูลค่าเพิ่ม” หมายถึง มูลค่าที่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการบวกเพิ่มในต้นทุนของสินค้าหรือ
บริการ เพื่อกำหนดเป็นราคาขายสินค้าหรือค่าบริการ หรือ มูลค่าเพิ่ม คือ รายได้จากการขาย
หักด้วยต้นทุนจากการซือ้ (มูลค่าเพิ่ม = ค่าแรง + กำไร = ผลได้ – ผลต่าง)
ภาษีขาย หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการ (ที่ต้องจดทะเบียนมูลค่าเพิ่ม) เรียก
เก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซือ้ สินค้าหรือผู้รับบริการ เมื่อมีการขายสินค้าหรือรับค่าบริการ
ภาษืซื้อ หมายถึง ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการ (ทีต่ อ้ งจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ได้จ่ายให้กับผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่เป็นผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อซื้อสินค้าหรือรับ
บริการ คลุมไปถึง ภาษีซือ้ ของสินค้าที่ซ้ือมาลงทุนด้วย เช่น เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ที่
ซือ้ มาใช้ในการผลิตหรือให้บริการ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้มีหน้าทีเ่ สียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่
1.ผู้ประกอบการ หมายถึง บุคคลซึ่งขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ ไม่ว่า
การกระทาดังกล่าวจะได้รบั ประโยชน์หรือได้รบั ค่าตอบแทนหรือไม่ และไม่ว่าจะได้จดทะเบีย น
ภาษีมลู ค่าเพิ่มแล้วหรือไม่
ผูป้ ระกอบการที่ตอ้ งเสียภาษีมลู ค่าเพิ่ม คือ
1) บุคคล ได้แก่ บุคคลธรรมดา คณะบุคคลที่มิใช่นิติบคุ คล หรือนิติบคุ คล
2) ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ
Note คานิยามที่น่าสนใจ
" ผูป้ ระกอบการ " หมายความว่า บุคคลซึ่งขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ
ไม่ว่าการกระทาดังกล่าวจะได้รบั ประโยชน์ หรือได้รบั ค่าตอบแทนหรือไม่ และไม่ว่าจะได้จด
[102]
ธารณกุศลภายในประเทศ ซึ่งไม่นำผลกำไรไปจ่ายในทางอื่น
(น) การขายสินค้าหรือการให้บริการตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
3. ผู้ประกอบการ ทีใ่ ห้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นใน
ราชอาณาจักร
4. ผู้ประกอบการทีอ่ ยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบกิจการขาย
สินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักร เป็ นครั้งคราว
แม้กิจการนี้จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อธิบดี อาจให้สิทธิจด
ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นการชั่วคราวได้ โดยมีหลักเกณฑ์ว่า จะต้องมีกำหนดเวลาในการประกอบ
กิจการในราชอาณาจักร เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี แต่ถ้าผู้ประกอบการนั้นเป็นนบริษัทหรือห้าง
หุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ซึ่งมิได้มี สนง.สาขาตั้งอยูถ่ าวรในไทย และเข้ามา
ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราวกับ กระทรวง ทบวง กรม
ราชการส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจ ตามโครงการเงินกู้/ช่วยเหลือจากต่างประเทศ ที่มีกำหนดเวลา
ประกอบการเกิน 3 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปี สามารถยื่นคำขอจดทะเบียนได้ ด้วยแบบ ภ.พ.01.2
(จุดเน้น)
แต่ถ้าเป็นการโอนกิจการทั้งหมด ให้แจ้งการโอนและแจ้งเลิกประกอบกิจการ ณ
สนง.สรรพากรที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ ก่อนวันโอนไม่น้อยกว่า 15 วัน
6.2 ผู้รับโอนกิจการ
หากเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนอยู่แล้ว ให้แจ้งการรับโอนกิจการ ณ สนง.
สรรพากรที่ผู้รับโอนได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนวันรับโอนกิจการ
หากผู้รับโอนไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้ผู้รับโอนกิจการยื่นคำขอจดทะเบียน
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ยื่น ภ.พ.01) ไม่นอ้ ยกว่า 15 วันก่อนวันรับโอนกิจการ
7) การควบกิจการเข้ากัน
ผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนซึ่งเป็นนิตบิ ุคคลใดประสงค์จะควบเข้ากัน ให้แจ้งเลิก
ประกอบกิจการและให้นิติบุคคลใหม่ท่คี วบเข้ากัน ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01)
ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนนิตบิ ุคคลใหม่
แบบแสดงรายการและกำหนดเวลายื่นแบบ
1) แบบ ภ.พ.30 เป็ นแบบแสดงรายการ สาหรับผูป้ ระกอบการจดทะเบียน
ที่ตอ้ งเสียภาษี โดยคานวณจากภาษีขายหักด้วยภาษีซอื ้
กาหนดเวลายื่นแบบ ภ.พ.30 ให้ย่นื เป็ นรายเดือนภาษีทกุ เดือน ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่
ก็ตาม ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากยื่นแบบทาง www.rd.go.th ให้ขยายออกไปอีก 8 วัน
2) แบบ ภ.พ.36 เป็ นแบบนาส่งภาษีมลู ค่าเพิ่ม ผูม้ ีหน้าที่ย่นื แบบ ภ.พ.36 ได้แก่
(1) ผู้จ่ายเงินซึ่งจ่ายเงินค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการให้แก่
(ก) ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งได้เข้ามาประกอบกิจการขายสินค้า
หรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราว
(ข) ผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นใน
ราชอาณาจักร
(2) ผู้รับโอนสินค้าหรือผู้รับโอนสิทธิในบริการที่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ 0 ได้แก่
การรับโอนสินค้าหรือรับโอนสิทธิในบริการที่ได้มีการขายหรือการให้บริการกับองค์การสหประชาชาติ
ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สถานเอกอัครราชทูต สถานทูต สถานกงสุลใหญ่สถานกงสุล
(3) ผู้ทอดตลาดซึ่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือส่วน
ราชการ ซึ่งขายทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ถูกยึดมาตามกฎหมายโดยวิธีอื่นนอกจาก
การขายทอดตลาด
3) แบบ ภ.พ.01 แบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
4) แบบ ภ.พ.02 แบบคำขอยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มรวมกัน
5) แบบ ภ.พ.04 แบบคำขอรับใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
6) แบบ ภ.พ.09 แบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
7) แบบ P.P.30.9 แบบยื่นภาษี สำหรับผู้ประกอบการที่เป็น e-Service (เน้น)
สถานที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
(ก) ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ย่นื ที่
- สานักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขา (เขต/อาเภอ) ในท้องที่ท่สี ถานประกอบการตัง้ อยู่
[116]
กำหนดเวลายื่นแบบ คือ
1. กรณีเป็ นผูจ้ ่ายเงินฯ ตาม (1) หรือเป็ นผูท้ อดตลาดฯ ตาม (3)ให้นาส่งเงินภาษี ภายใน
7 วัน นับแต่วนั สิน้ เดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้ผปู้ ระกอบการตาม (1) หรือขายทอดตลาดทรัพย์สิน
ของผูป้ ระกอบการจดทะเบียนตาม (3) แล้วแต่กรณี
2. กรณี เป็ น ผู้รับ โอนสิ น ค้า หรื อ เป็ น ผู้รับ โอนสิ ท ธิ ในบริก ารตาม (2)ให้น าส่ งเงิ น ภาษี
ภายใน 7 วั น นั บ แต่ วั น สิ ้น เดื อ นของเดื อ นที่ ค รบก าหนด 30 วั น ที่ ค วามรับ ผิ ด ในการเสี ย
ภาษีมลู ค่าเพิ่มเกิดขึน้
โทษของการไม่ปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม
(จุดเน้น ปี 2562 ออกข้อสอบเรือ่ งโทษ 2 ข้อ)
➢ โทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท เป็ นกรณีท่ผี ปู้ ระกอบการจดทะเบียน ไม่ดาเนินการ เช่น
(1) ไม่ย่ืนแบบแสดงรายการภาษี
(2) ไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนภาษีมูลค่าเพิม่
(3) ไม่คืนใบทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่ม
(4) ไม่แจ้งการย้ายสถานประกอบการ
(5) ออกใบกำกับภาษีเต็มรูปหรืออย่างย่อ ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ โดยมีสาระสำคัญไม่ครบถ้วน
(6) ไม่ออกใบแทนใบกากับภาษี ใบแทนใบเพิ่มหนี ้ หรือใบแทนใบลดหนี ้
(7) จงใจไม่เก็บรักษาใบกากับภาษี หรือสาเนาใบกากับภาษี
➢ ระวางโทษจาคุกไม่ เกิน 1 เดือน หรื อปรับไม่ เกิน 5,000 บาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ
(1) มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่ม แต่ไม่จดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่ม ตามมาตรา
85/1 มาตรา 85/13 วรรคสอง หรือมาตรา 85/14
(2) ผูป้ ระกอบการจดทะเบียนไม่จดั ทาใบกากับภาษีหรือสาเนาใบกากับภาษี หรือ
จัดทาแล้วไม่สง่ มอบให้ผูซ้ อื ้ หรือผูร้ บั บริการ
(3) ผูป้ ระกอบการที่จดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่มชั่วคราว ออกใบกากับภาษีท่ไี ม่
เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ ที่อธิบดีกาหนด
(4) ตัวแทนออกใบกากับภาษีในนามของผูป้ ระกอบการจดทะเบียน ไม่เป็ นไปตาม
หลักเกณฑ์ ที่อธิบดีกาหนด
[117]
ภาษี e-service
ภาษีธุรกิจเฉพาะ
Specific Business Tax ( SBT)
ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็ นภาษีอากรประเมิน และเป็ นภาษีทางอ้อม (Indirect Tax) จัดเก็บ
จากการบริโภคหรือการบริการเฉพาะอย่าง อยู่ในหมวด 5 แห่งประมวลรัษฎากร
(จุดเน้น) ทัง้ ภาษีมล
ู ค่าเพิ่ม และภาษีธุรกจเฉพาะ จัดเก็บแทนที่ภาษีการค้า (Business Tax)
ตัง้ แต่ วันที่ 1 มกราคม 2535
ฐานภาษี คือ จัดเก็บจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆ
รูปแบบของผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ผูป้ ระกอบกิจการที่ตอ้ งเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ คือผูป้ ระกอบกิจการในรูปของ
- บุคคลธรรมดา
- คณะบุคคลที่มิใช่นิติบคุ คล
- กองมรดก
- ห้างหุน้ ส่วนสามัญ
- กองทุน
- องค์การของรัฐบาล สหกรณ์ และองค์กรอื่นที่กฎหมายกาหนดให้เป็ นนิติบคุ คล
- หน่วยงาน/กิจการของเอกชนที่กระทาโดยบุคคลธรรมดาตัง้ แต่สองคนขึน้ ไปอันมิใช่นิติ
บุคคล ในกรณีผปู้ ระกอบกิจการอยู่นอกราชอาณาจักร ให้ผมู้ ีหน้าที่รบั ผิดชอบในการประกอบ
[119]
ภายหลัง
(ง) การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ โดยไม่มีค่าตอบแทน ให้แก่
บุตรชอบด้วยกฎหมายของตน แต่ไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม
(จ) การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ ทางมรดกให้แก่ทายาทโดย
ธรรมหรือผู้รับพินัยกรรมซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม
ทายาทโดยธรรม มี 6 ลำดับ (หมายถึงว่า การแบ่งทรัพย์มรดกให้กับทายาทโดย
ธรรมนั้น ต้องแบ่งตามลำดับชั้น ดังต่อไปนี้
1) ผู้สืบสันดาน คือ บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย, บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว
และบุตรบุญธรรม
2) บิดามารดา ในกรณีของบิดา เฉพาะบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นที่มสี ิทธิรบั มรดก
3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
4) พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดาเดียวกัน หรือ“พี่น้องต่างพ่อหรือต่าง แม่”
5) ปู่ ย่า ตา ยาย
6) ลุง ป้า น้า อา
สำหรับคู่สมรสนั้น มีสทิ ธิได้รับมรดก อยู่ในลำดับชั้นเดียวกันกับผู้สืบสันดาน
(ชั้นบุตร) เพียงแต่ไม่ได้กำหนดให้อยู่ในลำดับตามข้างต้นนี้
(ฉ) การโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ส่วนราชการหรือ
องค์การของรัฐบาลโดยไม่มีค่าตอบแทน
(ช) การแลกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์กับส่วนราชการ
หรือองค์การของรัฐบาลเฉพาะในกรณีที่ส่วนราชการหรือองค์การของรัฐบาลนั้นมิได้มีการจ่าย
ค่าตอบแทนเป็นอย่าง อื่น นอกจากอสังหาริมทรัพย์ที่แลกเปลี่ยนนัน้
หมายเหตุ ผูม้ ีเงินได้ท่ีได้รบั เงินได้พงึ ประเมินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ตาม (6)
ซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะไว้แล้วเมื่อถึงกาหนดยื่นรายการ
เสียภาษีเงินได้ ให้ได้รบั ยกเว้นไม่ตอ้ งนาเงินได้ดงั กล่าวมาคานวณเป็ นเงินได้พงึ ประเมิน ทัง้ นีเ้ พื่อ
เป็ นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา (พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 376 พ.ศ.2544)
(7) การขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในตลาด
หลักทรัพย์
(8) การประกอบกิจการอื่น ตามกาหนดโดยพระราชกฤษฎีกา เช่น
- กิจการซือ้ – ขายคืนหลักทรัพย์ ที่ได้รบั อนุญาตจากสานักงานคณะกรรมการ
กากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) หรือ กิจการซือ้ ขายคืนหลักทรัพย์ท่ที าขึน้ ระหว่าง
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินหรือนิติบคุ คลอื่น
- ธุรกิจแฟกเตอริ่ง
"ธุรกิจแฟ็ กเตอริง" หมายความว่า ธุรกิจที่ผขู้ ายสินค้าหรือผูใ้ ห้บริการตกลง
จะ โอนทรัพย์สินที่จะได้รบั จากการชาระหนีเ้ นื่องจากการขายสินค้าหรือการให้บริการระหว่างตน
กับลูกหนีข้ องตน ให้แก่ผปู้ ระกอบธุรกิจแฟ็ กเตอริง โดยผูป้ ระกอบธุรกิจแฟ็ กเตอริ่งตกลงจะให้
สินเชื่อ ซึ่งรวมถึงการให้กยู้ ืมและการทดรองจ่ายแก่ผขู้ ายสินค้าหรือผูใ้ ห้บริการและรับที่จะ
ดาเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี ้
[121]
การยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ
ผูป้ ระกอบกิจการที่มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะต้องยื่นคาขอจดทะเบียน
ภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามแบบคาขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ ภายใน 30 วันนับแต่วนั เริ่ม
ประกอบกิจการ (ออกข้อสอบบ่อย)
การจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะให้ผปู้ ระกอบกิจการยื่นคาขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ
ตาม แบบ ภ.ธ.01 ณ สถานที่ ดังต่อไปนี ้
(1) ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่
- สานักงานภาษีสรรพากรพืน้ ที่ ที่สถานประกอบการตัง้ อยู่
- สานักงานเขตท้องที่ท่สี ถานประกอบการตัง้ อยู่
(2) ในจังหวัดอื่นได้แก่
[124]
การคำนวณ
รายรับจากการขายที่ดิน 900,000 บาท
1) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (900,000 X ร้อยละ 3 ) = 27,000 บาท
2) ภาษีท้องถิ่น (ภท.รข.รว.) ร้อยละ 10 = 2,700 บาท
ต้องชำระ SBT = 29,700 บาท
คำอธิบาย ในการนำรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ ไปยื่นแบบฯ เพื่อชำระภาษี
จะใช้ราคาที่แตกต่างกัน
- สำหรับการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ให้ใช้ราคาทีส่ งู กว่าระหว่างราคาขายกับ
ราคาประเมินฯ ที่ใช้จดทะเบียนสิทธิและนิตกิ รรม
- สำหรับการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ใช้ราคาประเมินที่ใช้จดทะเบียน
สิทธิและนิตกิ รรมของกรมที่ดนิ เท่านัน้
แบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะ
การยื่นแบบเพื่อเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ใช้ แบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.40)
กำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการ
1. กรณีท่วั ไป ให้ผปู้ ระกอบกิจการยื่น ภ.ธ.40 พร้อมกับชาระภาษี(ถ้ามี) เป็ นรายเดือนทุกเดือน ไม่
ว่าจะมีรายรับในเดือนภาษีนนั้ หรือไม่ก็ตามภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ณ สานักงาน
[127]
หลักการโดยสรุปของอากรแสตมป์
จัดเก็บในลักษณะค่าธรรมเนียมในการกระทำตราสาร
ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็น
พยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ (มาตรา 118)
ตราสารซึ่งต้องให้เจ้าพนักงานรัฐบาลหรือเทศบาลตราสารซึ่งเจ้าพนักงานรัฐบาลหรือ
เทศบาลต้องลงนามหรือรับรู้ หรือลงบันทึกก็ดี ห้ามมิให้เจ้าพนักงานลงนามรับรู้ ยอมให้ทำ
หรือบันทึกไว้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้
และขีดฆ่าแล้ว
บทนิยาม (จุดเน้น.เคยออกข้อสอบ)
ตราสาร" หมายความว่า เอกสารที่ต้องเสียอากรตามหมวดนี้
"กระดาษ" หมายความตลอดถึงแผ่นหนังฟอก หรือสิ่งอื่นๆ ซึ่งใช้เขียนตราสาร
"แสตมป์" หมายความว่า แสตมป์ปิดทับหรือแสตมป์ดุนบนกระดาษ และแสตมป์ดุนบน
กระดาษนี้ ให้หมายความรวมถึงแสตมป์พิมพ์ทับบนกระดาษด้วย
"กระทำ" เมื่อใช้เกีย่ วกับตราสาร หมายความว่า การลงลายมือชื่อตามบทบัญญัติแห่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
"ปิดแสตมป์" หมายความว่า การปิดแสตมป์ทับกระดาษ หรือการมีแสตมป์ดุนบนกระดาษ
"ขีดฆ่า" หมายความว่า การกระทำเพื่อมิให้ใช้แสตมป์ได้อีก โดยในกรณีแสตมป์ปิดทับได้ลง
ลายมือชื่อหรือลงชือ่ ห้างร้านบนแสตมป์ หรือขีดเส้นคร่อมฆ่าแสตมป์ที่ปิดทับกระดาษและลง วัน
เดือน ปี ที่กระทำสิ่งเหล่านี้ด้วย
"ใบรับ" หมายความว่า
(ก) บันทึก หรือหนังสือใด ๆ ที่เป็นหลักฐานแสดงว่าได้รับ ได้รับฝาก หรือได้รับชำระเงิน
หรือตั๋วเงิน หรือ
(ข) บันทึก หรือหนังสือใด ๆ ทีเ่ ป็นหลักฐานแสดงว่าหนี้หรือสิทธิเรียกร้องได้ชำระหรือ
ปลดให้แล้ว
บันทึก หรือหนังสือที่กล่าวนั้นจะมีลายมือชื่อของบุคคลใด ๆ หรือไม่ ไม่สำคัญ
“คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร” คือตราสารซึ่งมีข้อความอย่างเดียวกันกับต้นฉบับหรือต้น
สัญญาและผู้กระทำตราสารได้ลงลายมือชื่อไว้ อย่างเดียวกับต้นฉบับ (เป็นตราสารลักษณะที่ 23)
การปิดแสตมป์บริบูรณ์
ตามประมวลรัษฎากร มี 3 วิธี คือ
1.แสตมป์ ปิ ดทับ คือ การได้เสียอากรโดยปิ ดแสตมป์ ทับกระดาษ ก่อนกระทาหรือในทันที
ที่ทาตราสารเป็ นราคาไม่นอ้ ยกว่าอากรทีต่ อ้ งเสีย และได้ขดี ฆ่าแสตมป์ นัน้ แล้ว
กาหนดลักษณะแสตมป์ ปิ ดทับ ดังนี ้
- เป็ นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 2 ซม. x 3 ซม. มีภาพ “พระอุเทนทราธิราชทรงพิณ” อยู่ในวงกลม
ส่วนบนมีอกั ษรว่า “อากรแสตมป์ ” ส่วนล่างแสดง ราคาอากรแสตมป์
- ชนิดราคา 1 บาท สีนา้ เงินอ่อน
- ชนิดราคา 2 บาท สีหมากสุก
- ชนิดราคา 5 บาท สีเขียว
[129]
(7) เลตเตอร์ออฟเครดิต
(8) ใบรับของ เฉพาะกิจการรับขนส่งทางอากาศที่กระทาโดยผูป้ ระกอบการที่เป็ น
นิติบคุ คลที่จดั ตัง้ ขึน้ ตามกฎหมายไทย
(9) คา้ ประกัน เฉพาะที่สถาบันการเงิน แต่ไม่รวมถึงบริษัทประกันภัยเป็ นคู่สญ ั ญา
(10) คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร ตามลักษณะแห่งตราสาร 23. แห่งบัญชีอตั รา
อากรแสตมป์ เฉพาะที่ตน้ ฉบับแห่งตราสารนัน้ ต้องชาระอากรแสตมป์ เป็ น ตัวเงินแทนการปิ ด
แสตมป์ อากร
(11) ใบรับสาหรับการขาย ขายฝาก ให้เช่าซือ้ หรือโอนกรรมสิทธิ์ ยานพาหนะ ทัง้ นี ้
เฉพาะยานพาหนะซึ่งมีการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยานพาหนะนัน้ ๆ เฉพาะที่นิติบคุ คล
เป็ นผูข้ าย และผูใ้ ห้เช่าซือ้ ยานพาหนะนัน้ ทัง้ นี ้ ไม่รวมถึงยานพาหนะที่ใช้แล้ว
(12) ใบรับสาหรับการขายเรือกาปั่น เรือที่มีระวางตัง้ แต่หกตันขึน้ ไป เรือกลไฟ หรือ
เรือยนต์ท่มี ีระวางตัง้ แต่หา้ ตันขึน้ ไป
วิธีเสียอากรเป็ นตัวเงิน ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกีย่ วกับอากรแสตมป์ (ฉบับที่ 37)
(1) สาหรับตราสารตาม(1)ตามลักษณะแห่งตราสาร 1แห่งบัญชีอตั ราอากรแสตมป์
(ก) กรณีเช่าที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือแพ มีค่าเช่าตัง้ แต่
1,000,000 บาทขึน้ ไป หรือรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือ
องค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นเป็ นผูเ้ ช่า ให้ผใู้ ห้เช่าชาระอากรเป็ นตัวเงินแทนการปิ ด
แสตมป์ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์ โดยต้องนาตราสารมาสลักหลังก่อนกระทา
ตราสาร หรือภายใน 15 วันนับแต่วนั ถัดจากวันกระทาตราสารนัน้ ”
(ข) กรณีเช่าอสังหาริมทรัพย์ เฉพาะที่ตอ้ งจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผรู้ บั
จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ให้ชาระอากร เป็ นตัวเงินต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ผรู้ บั จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนัน้ ๆ ก่อนหรือในวันที่มี การรับจด
ทะเบียนดังกล่าว และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดงั กล่าวนาเงินค่าอากรแสตมป์ ที่ได้รบั ชาระ
ไว้นนั้ ส่งเป็ นรายได้แผ่นดินตามระเบียบของทางราชการ
(2) สาหรับตราสารตาม(2)แห่งบัญชีอตั ราอากรแสตมป์
(ก) กรณีนิติบคุ คลเป็ นผูใ้ ห้เช่าซือ้ ทรัพย์สิน เฉพาะที่เป็ นอสังหาริมทรัพย์ และ
ยานพาหนะที่มีการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยานพาหนะนัน้ ๆ แต่ ไม่รวมถึง
ยานพาหนะใช้แล้ว ให้ชาระอากรเป็ นตัวเงินแทนการปิ ดแสตมป์
(ข) กรณีสถาบันการเงินหรือผูป้ ระกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกากับ
เป็ นผูใ้ ห้เช่าซือ้ ทรัพย์สิน ให้ชาระอากรเป็ นตัวเงินแทนการปิ ดแสตมป์ ”
(3) สาหรับตราสารตาม(3)แห่งบัญชีอตั ราอากรแสตมป์ ให้ผรู้ บั จ้างชาระอากร
เป็ นตัวเงิน แทนการปิ ดแสตมป์ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์ โดยต้องนาตรา
สารมาสลักหลังตาม ระเบียบของกรมสรรพากรก่อนกระทาตราสาร หรือภายใน 15 วันนับแต่
[131]
วันถัดจากวันกระทาตราสาร
(4) สาหรับตราสารตาม (4)แห่งบัญชีอตั ราอากรแสตมป์ ให้สถาบันการเงิน
หรือผูป้ ระกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกากับผูใ้ ห้กู้หรือตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชี
จากธนาคาร ชาระอากรเป็ นตัวเงินแทนการปิ ดแสตมป์ ”
(5)สาหรับตราสารตาม(5)แห่งบัญชีอตั ราอากรแสตมป์ ให้ผรู้ บั ประกันภัยชาระ
อากร เป็ นตัวเงินแทนการปิ ดแสตมป์
(6) สาหรับตราสารตาม(6)แห่งบัญชีอตั ราอากรแสตมป์ ให้สถาบันการเงิน
แต่ไม่รวมถึงบริษัทประกันภัย และธนาคารผูอ้ อกตั๋วชาระอากรเป็ นตัวเงินแทนการปิ ดแสตมป์
(7) สาหรับตราสารตาม(7)แห่งบัญชีอตั ราอากรแสตมป์
(ก) กรณีออกในประเทศไทย ให้ธนาคารผูอ้ อกตราสาร ชาระอากรเป็ นตัว
เงินแทนการปิ ดแสตมป์
(ข) กรณีออกในต่างประเทศ และให้ชาระเงินในประเทศไทย ให้ธนาคารที่
เป็ นผูท้ รงคนแรกในประเทศไทยชาระอากรเป็ นตัวเงินแทนการปิ ดแสตมป์
(8) สาหรับตราสารตาม(8) ให้ผอู้ อกใบรับ ชาระอากรเป็ นตัวเงินแทนการปิ ด
แสตมป์
(9) สาหรับตราสารตาม(9) ให้ผคู้ า้ ประกันชาระอากรเป็ น ตัวเงินแทนการปิ ด
แสตมป์ โดยชาระไว้ต่อสถาบันการเงิน แต่ไม่รวมถึงบริษัทประกันภัยที่ เป็ นคู่สญ ั ญา
(10) สาหรับตราสารตาม(10) ให้ค่สู ญ ั ญาหรือผูก้ ระทาตราสาร ชาระอากรเป็ น
ตัวเงินแทนการปิ ดแสตมป์ โดยให้ปฏิบตั ิเช่นเดียวกับต้นฉบับ
(11) สาหรับตราสารตาม(11) ให้นิติบคุ คลผูอ้ อกใบรับชาระ อากรเป็ นตัวเงิน
แทนการปิ ดแสตมป์ ก่อนหรือในวันที่มีการรับจดทะเบียนดังกล่าว
(12) สาหรับตราสารตาม(12) ให้ผอู้ อกใบรับชาระอากรเป็ นตัวเงิน
สาคัญ (จุดเน้น)
ปัจจุบัน สามารถยื่นเสียอากรทางอินเทอเน็ตเวบไซต์ของกรมสรรพากรได้
แล้ว โดยใช้แบบ อ.ส.9 “แบบคำขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์”
(เรียกย่อว่า “ตราสารอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง ตราสารแห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ที่จัดทำ
ข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ยื่นแบบ อ.ส.9
โดยช่องทาง WWW.rd.go.th หรือ API กรมสรรพากร
ควรจำให้ได้ ตราสารที่สามารถยื่นด้วยแบบ อ.ส.9 ปัจจุบันมี 23 ตราสาร
หมายเลขอ้างอิงตราสารอิเล็กทรอนิกส์ ตาม อ.ส. 9 หมายถึง ตัวเลขตัวอักษร หรืออักขระใดๆ
ที่สร้างขึ้นโดยระบบของผู้ทำตราสารเพื่อใช้อ้างอิงหรือระบุถึงตราสารอิเล็กทรอนิกส์ฉบับนั้นๆ โดย
ตราสารอิเล็กทรอนิกส์แต่ละฉบับต้องมีหมายเลขอ้างอิงตราสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ซ้ำกัน
รหัสรับรองการเสียอากรแสตมป์ ตาม อ.ส.9
[132]
รหัสรับรองการเสียอากรแสตมป์
หมายถึง รหัสที่กรมสรรพากรออกให้แก่ผมู้ ีหน้าที่เสียอากรเมื่อกรมสรรพากรได้รบั ชาระ
เงินค่าอากรแล้ว เพื่อใช้ในการตรวจสอบรายการข้อมูลสาคัญเกี่ยวกับตราสารอิเล็กทรอนิกส์
กาหนดเวลาการยื่นขอเสียอากร
ผูม้ ีหน้าที่เสียอากรต้องยื่นขอเสียอากรเป็ นตัวเงินผ่านระบบเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตและชาระเงินค่าอากรก่อนกระทาตราสารหรือภายใน 15 วัน นับแต่วนั ถัดจากวัน
กระทาตราสารโดยไม่เว้นวันหยุดราชการ กรณีวนั สุดท้ายของการยื่นขอเสียอากรเป็ นตัวเงินเป็ น
วันหยุดราชการ ให้ย่นื ได้ภายในวันที่เริ่มทาการใหม่ ต่อจากวันหยุดราชการนัน้
วิธีการขอเสียอากร อ.ส.9 ยื่นผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้ 2 ช่องทาง ได้แก่
1) ทางเว็บไซต์ (Web Site) ของกรมสรรพากร
2) Application Programming Interface (API) ของกรมสรรพากร
ควรจา 1) ผูท้ ่เี ข้าสูร่ ะบบ (Log in) ขอเสียอากรแสตมป์ เป็ นตัวเงินสาหรับตราสาร
อิเล็กทรอนิกส์ ต้องเป็ นคู่สญ ั ญาในการกระทาตราสาร (สัญญา) เท่านัน้ ซึ่งผูเ้ ข้าสูร่ ะบบ
กรมสรรพากร อาจจะมิใช่ผทู้ ่ีตอ้ งเสียอากรตามที่กาหนดในบัญชีอตั ราอากรแสตมป์ ก็ได้
แต่ใบเสร็จรับเงินจะออกในนามของผูท้ ่เี ข้าสูร่ ะบบ เช่น สัญญาจ้างทาของ ตามบัญชีอตั รา
อากรแสตมป์ ผูท้ ตี่ อ้ งเสียอากรคือผูร้ บั จ้าง แต่หากผูว้ ่าจ้างเป็ นผูเ้ ข้าสู่ระบบ ใบเสร็จรับเงินจะออก
ในนามของผูว้ ่าจ้าง
ตราสารอิเล็กทรอนิกส์จะถือว่าปิ ดแสตมป์ บริบรู ณ์ (อ.ส.9) เมื่อกรมสรรพากรได้ออก
ใบเสร็จรับเงินและรหัสรับรองการเสียอากรแสตมป์ แล้ว ซึ่งผูเ้ สียอากรสามารถนารหัสรับรองการ
เสียอากรแสตมป์ ไปใช้อา้ งอิงหรือผนวกกับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ได้
2) ปัจจุบนั ตราสารอิเล็กทรอนิกส์ เปิ ดให้บริการเฉพาะการขอเสียอากร ฉบับปกติ ภายใน
กาหนดเวลา ดังนัน้ หากต้องการขอเสียอากรแสตมป์ เป็ นตัวเงินสาหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์เกิน
กาหนดเวลา หรือ ยื่นแบบเพิม่ เติม ต้องยื่นด้วยแบบ อ.ส.4 ณ สานักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขา
เท่านัน้
ตราสารทีต่ ้องเสียอากรแสตมป์
ปัจจุบนั มี 28 ลักษณะตราสาร ตามบัญชีอตั ราอากรแสตมป์ ดังนี ้
จากแนวข้อสอบเดิม พบว่า ออกแน่ๆ อย่างน้อย 1 – 2 ข้อ เช่นเสียอากรเท่าใด หรือ
ผู้ที่ต้องเสียอากรคือใคร หรือ ใครที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ (ช่อง 2) (ช่อง 3) (ช่อง 4) คือใคร
[133]
ตราสาร 4. จ้างทำของ
เงินทุก 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท 1 บาท ผู้รับจ้าง ผู้รับจ้าง
แห่งสินจ้าง
กรณีที่มีสินจ้างตั้งแต่ 1,000,000 บาทขึ้นไป หรือ
[134]
ตราสาร 6. กรมธรรม์ประกันภัย
(ก) กรมธรรม์ประกันวินาศภัย 1 บาท ผู้รับประกันภัย ผู้รับประกันภัย
ทุก 250 บาท หรือเศษของ 250 บาท แห่งเบีย้
ประกันภัย “ “ “
(ข) กรมธรรม์ประกันชีวติ
ทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท แห่ง
จำนวนเงินที่เอาประกันภัย
**หากคำนวณแล้วเกิน 20 บาท ให้เสีย 20 บาท “ “ “
(ค) กรมธรรม์ประกันภัยอื่น ๆ
ทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท แห่ง
จำนวนเงินที่เอาประกันภัย “ “ “
(ง) กรมธรรม์เงินปี ทุก 2,000 บาท หรือเศษ
ของ 2,000 บาท แห่งต้นทุนเงินปีนั้น หรือถ้าไม่
[135]
กระทำการครัง้ เดียว
(ข) มอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคน 30 บาท ผู้มอบอำนาจ ผู้รับมอบอำนาจ
ร่วมกระทำการมากกว่าครัง้ เดียว
(ค) มอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครัง้ เดียว 30 บาท ผู้มอบอำนาจ ผู้รับมอบอำนาจ
โดยให้บุคคลหลายคนต่างคนต่างกระทำกิจการ
แยกกันได้ คิดตามรายตัวบุคคลที่รับมอบคนละ
หมายเหตุ
ถ้าผู้มอบอำนาจมีหลายคน แต่มไิ ด้เป็นผู้มี
อำนาจร่วมกันแล้วมอบอำนาจในตราสารฉบับ
เดียวกัน ต้องคิดตามรายตัวบุคคลผู้มอบคนหนึ่ง
เป็นเรื่องหนึ่ง ตามมาตรา 108
ยกเว้นไม่ต้องเสียอากร
(1) ใบแต่งทนายและใบมอบอำนาจซึ่ง
ทนายความให้แก่เสมียนของตน เพื่อเป็นตัวแทน
ดำเนินคดีในศาล
(2) ใบมอบอำนาจให้โอนหรือให้กระทำการใดๆ
เกี่ยวด้วยสัตว์พาหนะ ตามก.ม.ว่าด้วยสัตว์พาหนะ
(3) ใบมอบอำนาจให้รับเงินหรือสิ่งของแทน
[136]
(4) ใบมอบอำนาจซึ่งสหกรณ์เป็นผู้มอบและ
ใบมอบอำนาจตั้งสหกรณ์เป็นตัวแทนจัดการให้
สหกรณ์ได้รับสิทธิในอสังหาริมทรัพย์
ตราสาร 8. ใบมอบฉันทะ
สำหรับให้ลงมติในที่ประชุมของบริษัท
(ก) มอบฉันทะ สำหรับการประชุมครั้งเดียว 20 บาท ผู้มอบฉันทะ ผู้มอบฉันทะ
(ข) มอบฉันทะ สำหรับการประชุมมากกว่าครั้งเดียว 100 บาท ผู้มอบฉันทะ ผู้มอบฉันทะ
หมายเหตุ
ถ้าออกเป็นสำรับให้ปิดแสตมป์ตามอัตราทุกฉบับ
ตราสาร 11(1) ใบหุ้น/ใบหุ้นกู้/ใบรับรองหนีข้ อง 5 บาท (ทุกจำนวนเงิน ผู้ทรงตราสาร ผู้ทรงตราสาร
บริษัท สมาคม คณะบุคคลหรือองค์การใดๆ 100 บาท หรือเศษ)
ผู้ทรงคนแรก ผู้ทรงคนแรก
(ข) ออกในต่างประเทศและให้ชำระเงินใน 20 บาท
ในประไทย ในไทย
[137]
ประเทศไทย คราวละ
หมายเหตุ
ตราสารเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ออกใน
ประเทศไทย และให้ชำระเงินในต่างประเทศ ต้อง
ทำสำเนาเก็บไว้ในประเทศไทย ส่วนการเสียอากรให้
ปิดแสตมป์บริบรู ณ์เฉพาะในฉบับสำเนาดังกล่าวนั้น
ตราสาร 15 เช็ค สำหรับผู้เดินทาง
1. ออกในประเทศไทย ฉบับละ ฉบับละ 3 บาท ผู้ออกเช็ค ผู้ออกเช็ค
ยกเว้นไม่ต้องเสียอากร
(ก) ตัว๋ จำนำของโรงจำนำ
(ข) จำนำอันเกี่ยวกับกู้ยืม ซึ่งได้ปิดแสตมป์
บริบูรณ์แล้ว ตามข้อ 5
ตราสาร 19 ใบรับของคลังสินค้า 1 บาท นายคลังสินค้า นายคลังสินค้า
ตราสาร 20 คำสั่งให้ส่งมอบของ
[138]
ตราสาร 23 คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร
คือตราสารซึง่ มีข้อความอย่างเดียวกับต้นฉบับ
และผู้กระทำตราสารได้ลงลายมือชื่อไว้อย่าง
เดียวกับต้นฉบับ
(ก) ถ้าต้นฉบับเสียอากรไม่เกิน 5 บาท 1 บาท (1) ถ้าไม่มี คนเดียวกับผู้
คู่สัญญา คนที่ ขีดฆ่าต้นฉบับ
เสียอากร
สำหรับต้นฉบับ
เป็นผู้เสียอากร
(ข) ถ้าต้นฉบับเสียอากร เกิน 5 บาท 5 บาท (2) ถ้ามี
คู่สัญญา ให้
บุคคลอีกฝ่าย
เป็นผู้เสียอากร
หมายเหตุ
การเสียอากรแสตมป์สำหรับคู่ฉบับหรือคู่ฉีก
แห่งตราสาร ให้ปฏิบัตเิ ช่นเดียวกับต้นฉบับ
ยกเว้นไม่ตอ้ งเสียอากร
ถ้าฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นสหกรณ์
ตราสาร 24 หนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทฯ ที่ 200 บาท ผู้เริ่มก่อการ ผู้เริ่มก่อการ
ส่งต่อนายทะเบียน
ตราสาร 25 ข้อบังคับของบริษัทจำกัด ที่ส่งต่อ 200 บาท กรรมการ กรรมการ
นายทะเบียน
ตราสารที่ 26 ข้อบังคับใหม่ หรือสำเนาหนังสือ 50 บาท กรรมการ กรรมการ
[139]
บริคณห์สนธิหรือข้อบังคับของ บริษัทซึ่ง
เปลี่ยนแปลงใหม่
ตราสาร 27 หนังสือสัญญาห้างหุ้นส่วน
(ก) หนังสือสัญญาจัดตัง้ ห้างหุ้นส่วน 100 บาท ผู้เป็นหุน้ ส่วน ผู้เป็นปุ้นส่วน
(ข) หนังสือสัญญาที่แก้ไขสัญญาจัดตัง้ ห้าง 50 บาท
หุ้นส่วน
ตราสาร 28 ใบรับ
เฉพาะเหล่านี้เท่านั้นที่ต้องเสียอากร
(ก) ใบรับรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ใบรับตาม (ก)(ข) หรือ ผู้ออกใบรับ ผู้ออกใบรับ
(ข) ใบรับสำหรับการโอนหรือก่อตัง้ สิทธิใด ๆ (ค) ต้องมีจำนวนเงิน
เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ในเมื่อนิติกรรมที่เป็น ตั้งแต่ 200 บาท ขึน้
เหตุให้ออกใบรับนัน้ มีการจดทะเบียนตาม ไปโดยทุก 200 บาท
กฎหมาย หรือเศษ ต่ออากร 1
บาท
(ค) ใบรับสำหรับการขายฝาก ให้เช่าซือ้ หรือ
โอนกรมสิทธิ์ ยานพาหนะ (พาหนะที่มีทะเบียน)
ยกเว้นไม่ต้องเสียอากร
ใบรับ สำหรับ รายรับที่ตอ้ งเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ
ผู้มีหน้าที่เสียอากรแสตมป์
หลักเกณฑ์ของการเสียอากรแสตมป์ มีดงั นี ้
1.ผู้มีหน้าที่เสียอากรแสตมป์ คือบุคคลตามที่ระบุไว้ในช่องที่ 3 ของบัญชีอัตราอากรแสตมป์
เช่น ผู้ให้เช่าผู้โอน ผู้ให้กู้ ผู้รับประกันภัย ฯลฯ ส่วนผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ บุคคลที่ระบุไว้ใน
ช่องที่ 4
2. ถ้าตราสารทำขึ้นนอกประเทศ ให้เป็นหน้าที่ของผู้ทรงตราสารคนแรกในประเทศเป็น ผู้เสีย
อากรภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับตราสารนั้น
ถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามความข้างต้น ผู้ทรงคนใดคนหนึ่งต้องเสียอากร จากนั้นจึงยื่นตราสาร
เพื่อให้จ่ายเงิน รับรอง สลักหลัง โอนหรือถือเอาประโยชน์ได้
ผู้ทรงตราสารคนใด ได้ตราสารตามความข้างต้นไว้ในครอบครองก่อนพ้นกำหนด 30 วัน
นับแต่วันที่ได้รับตราสารนั้น จะเป็นผู้เสียอากรก็ได้โดยมีสิทธิไล่เบี้ยจากผู้ทรงคนก่อนๆ
3. ตั๋วเงินที่ยื่นให้ชำระเงิน มิได้ปดิ แสตมป์บริบูรณ์ ผู้รับตั๋วจะเสียอากรและใช้สิทธิไล่เบี้ยจาก
ผู้มีหน้าที่เสียอากร หรือหักค่าอากรจากเงินที่จะชำระก็ได้
4. ผู้มีหน้าที่เสียอากร ตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ อาจตกลงให้คู่กรณีอีกฝ่าย
หนึ่ง เป็นผู้เสียอากรแทนตนก็ได้ เว้นแต่กรณีตาม 2.การยกเว้นอากร
[140]
การขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารบางลักษณะ กำหนดเวลาไว้ดังนี้
1) การขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน ตามแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน ( อ.ส.4)
กฎหมายกำหนดให้ผู้เสียอากร มีสิทธิขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินได้ หากไม่เข้าลักษณะตามข้อ
2 และ ข้อ 3 สำหรับการขอเสียอากร โดยใช้แบบ อ.ส.4 ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1.ตราสารที่ 1 การเช่าที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือแพ
ที่มีค่าเช่าตั้งแต่ 1,000,000 บาท ขึ้นไป หรือรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือ
องค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น เป็นผู้เช่า ให้ผู้ให้เช่าชำระอากรเป็นตัวเงินต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่อากรแสตมป์ โดยนำตราสารมาสลักหลังก่อนกระทำตราสาร หรือภายใน 15 วันนับแต่
วันถัดจากวันกระทำตราสารนั้น
2.ตราสารที่ 4 สำหรับการจ้างทำของ
ที่มีสินจ้างตั้งแต่ 1,000,000 บาทขึ้นไป หรือรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล
หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ว่าจ้างและมีสินจ้างตั้งแต่ 200,000 บาทขึ้นไป ให้
ผู้รับจ้างชำระอากรเป็นตัวเงินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์ โดยนำตราสารมาสลักหลังก่อน
กระทำตราสาร หรือภายใน 15 วันนับแต่วันถัดจากวันกระทำตราสารนั้น
3. ตราสารที่ 28(ค) สำหรับใบรับสำหรับการขายเรือกำปั่น เรือที่มีระวางตั้งแต่ 6
ตันขึ้นไป เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป
ให้ผู้ออกใบรับชำระอากรเป็นตัวเงินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์ โดยต้องนำมาสลักหลัง
ก่อนกระทำตราสาร หรือภายใน 15 วันนับแต่วันถัดจากวันกระทำตราสารนั้น
4. ตราสารนอกจาก 1. 2.และ 3. ให้ยื่นก่อนกระทำหรือในทันทีที่ทำตราสาร
2) การขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารบางลักษณะ ตามแบบ อ.ส.4 ก
กฎหมายกำหนดให้ตราสารดังต่อไปนี้ มีสิทธิขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินได้ แต่ต้อง
สำหรับตราสารตามข้อ 9(1) 9(2) 11(1) 12 13 15 ดังต่อไปนี้
ตราสารที่ 9(1) ตั๋วแลกเงินหรือตราสารที่ใช้อย่างตั๋วแลกเงิน
ตราสารที่ 9(2) ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตราสารที่ใช้อย่างตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตราสารที่ 11(1) ใบหุ้นหรือ ใบหุ้นกู้ฯ
ตราสารที่ 12 เช็คหรือหนังสือคำสั่งใด ๆ ซึ่งใช้แทนเช็ค
ตราสารที่ 13 ใบรับฝากเงินประเภทเงินฝากประจำของธนาคาร โดยมีดอกเบี้ย
ตราสารที่ 15 เช็ค สำหรับผู้เดินทาง
3) การขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารบางลักษณะ ตามแบบ อ.ส.4 ข
กฎหมายกำหนดให้ตราสารดังต่อไปนี้ มีสิทธิขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินได้ แต่ต้อง
สำหรับตราสารตามข้อ 3. 5. 6. 14. 16. 17. 23. และ 28.(ค) แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ดังนี้
ตราสารที่ 3 เช่าซื้อทรัพย์สิน
ตราสารที่ 5 กู้ยืมเงินหรือการตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร
ตราสารที่ 6 กรมธรรม์ประกันภัย
ตราสารที่ 14 เลตเตอร์ออฟเครดิต
ตราสารที่ 16 ใบรับของ
ตราสารที่ 17 ค้ำประกัน
ตราสารที่ 23 คู่ฉบับหรือคู่ฉีกตราสาร
[141]
สถานที่ยื่นแบบ
ให้ผทู้ ่ตี อ้ งเสียอากรหรือผูท้ ่รี บั ชาระเงินค่าอากร ขอชาระค่าอากรต่อเจ้าพนักงาน ณ สานักงาน
สรรพากรพืน้ ที่สาขาในเขตท้องที่ท่ีสานักงานตัง้ อยู่หรือสานักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขาในเขตท้องที่
ที่มีการกระทาตราสารที่ตอ้ งเสียอากรนัน้ หรือสา นักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขาในเขตท้องที่อ่ืน
การชำระอากร
1. ชำระด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (โดยผู้ถือบัตรเครดิตเท่านั้นเป็น ผู้ชำระ
ค่าธรรมเนียม) ณ สำ นักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ทุกสาขา ยกเว้น บางสาขาเท่านั้น ซึ่ง
ปัจจุบนั มี 10 สาขา แต่ไม่ขอกล่าว เพราะ ทีผ่ ่านมาไม่เคยออกข้อสอบว่าสาขาใด ที่รับบัตรไมได้
2. ชำระเป็นบัตรภาษี การชำระด้วยบัตรภาษี มีเงื่อนไขดังนี้
2.1 ต้องเป็นบัตรระบุชื่อผู้ที่ต้องเสียอากรหรือผู้ที่รับชำระเงินค่าอากรจาก
ผู้ที่ต้องเสียอากร
2.2 ห้ามใช้บัตรภาษีที่มีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนอากรที่ต้องชำระ เว้นแต่
ผู้ที่ต้องเสียอากรหรือผู้ที่รับชำระเงินค่าอากรจากผู้ที่ต้องเสียอากร (ผู้มีชื่อในบัตรภาษี) ยอมสละ
สิทธิ์ ในจำนวนเงินส่วนที่เกินนั้น โดยผู้ที่ต้องเสียอากรหรือผู้ที่รับชำระเงินค่าอากรจากผู้ที่ต้องเสีย
อากรได้บันทึกและลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานในแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน
3. ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
ที่น่าสนใจคือ การชำระอากรเป็นตัวเงินแทนการปิดอากรแสตมป์สำหรับตราสาร 28. (ข) แห่ง
บัญชีอัตราอากรแสตมป์ ในกรณีขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ในการบังคับคดีของเจ้าพนักงาน
บังคับคดี กรมบังคับคดี ให้ชำระค่าอากรแสตมป์เป็นตัวเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันที่ได้ขาย
ทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้น และให้เจ้าพนักงานดังกล่าวนำเงินค่าอากรแสตมป์ที่ได้รับชำระส่ง
สรรพากร พื้นที่สาขาในเขตท้องที่เดือนละ 2 งวด คือ
(ก) งวดแรก ค่าอากรที่ได้รับเป็นตัวเงินตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 15 ของเดือน ให้นำส่ง
ภายในวันที่ 30 ของเดือนเดียวกัน
[142]
การยกเว้นอากรแสตมป์
มีการยกเว้นตามกฎหมาย หลายประเภท ดังนี ้
1. ยกเว้นอากรตามประมวลรัษฎากร
(1) ตราสารที่ระบุยกเว้นในบัญชีอตั ราอากรแสตมป์ เช่น ตราสารกูย้ ืมเงิน ให้
ยกเว้นไม่ตอ้ งเสียอากร สาหรับการกูย้ ืมซึ่งสมาชิกกูย้ ืมจากสหกรณ์ ตราสารใบรับ ให้ยกเว้น
สาหรับจานวนเงินที่ผรู้ บั ต้องเสียภาษีมลู ค่าเพิ่ม หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ ฯลฯ
(2) ยกเว้น ถ้าฝ่ ายที่ตอ้ งเสียอากรเป็ น (จุดเน้น)
- รัฐบาล
- เจ้าพนักงานผูก้ ระทางานของรัฐบาลโดยหน้าที่
- บุคคลผูก้ ระทาการในนามของรัฐบาล
- องค์บริหารราชการส่วนท้องถิ่น
- สภากาชาดไทย
- วัดวาอาราม
- องค์การศาสนาใดๆ ในราชอาณาจักร ซึ่งเป็ นนิติบคุ คล
แต่ขอ้ ยกเว้นไม่ตอ้ งเสียอากรนี ้ มิให้ใช้แก่องค์การของรัฐบาลที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียน
เพื่อประกอบการพาณิชย์ ซึ่งองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นเป็ นผูจ้ ดั ทา
2. ยกเว้นตามพระราชกฤษฎีกา ยกเว้นอากรให้แก่
- ธนาคารแห่งประเทศไทย
- ธนาคารอาคารสงเคราะห์
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
- ผูป้ ระกอบการขนส่งเฉพาะการรับเงินที่เป็ นค่ารับขนส่งคนโดยสาร
- บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
- การเคหะแห่งชาติ
- ผูค้ า้ ประกัน เฉพาะการคา้ ประกันหนีเ้ นื่องแต่การที่ ธ.ก.ส.ให้กยู้ ืมหรือให้ยืม
- ผูอ้ อกใบรับ เฉพาะการรับเงินที่ ธ.ก.ส.ให้กยู้ ืมหรือให้ยืม
- ผูโ้ อน เฉพาะโอนหลักทรัพย์จดทะเบียน หรือหลักทรัพย์รบั อนุญาตที่ตลาด
หลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย เป็ นนายทะเบียนสาหรับการโอนหลักทรัพย์นนั้
- ผูท้ ่ตี อ้ งเสียอากร สาหรับตราสารทีต่ อ้ งเสียค่าอากรแสตมป์ ไม่ถึง 1 บาท หรือ
เฉพาะเศษของบาท
[143]
ความรับผิด กรณีไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์และการไม่ออกใบรับ
1. ความรับผิดทางแพ่ง มีกรณีดังต่อไปนี้
1.1 ตราสารใดมิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ แต่ผู้ยื่นๆ ตราสารขอเสียอากรเอง ผู้มี
หน้าที่เสียอากร หรือผู้ทรงตราสาร/ผู้ถือเอาประโยชน์ สามารถ ยื่นตราสารต่อ
เจ้าหน้าที่ เพื่อขอเสียอากรได้ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับตราสารแล้ว ให้อนุมัติให้
เสียอากร ดังนี้
ถ้าตราสารที่มไิ ด้ปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นตราสารที่กระทำขึน้ ในประเทศไทย
และยื่นเสียอากรภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ตอ้ งปิดแสตมป์บริบูรณ์ เจ้าพนักงาน รับ
แบบได้เลย ไม่ตอ้ งเสียเงินเพิ่มอากร
1.2 กรณีเป็นอย่างอื่น ให้เสียอากรและให้เรียกเก็บ เงินเพิ่มอากร ดังนี้
(ก) ถ้าปรากฏต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าตราสารมิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์
เป็นเวลา ไม่พ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ให้เรียกเก็บเงินเพิ่ม
อากรเป็น 2 เท่าจำนวน อากรหรือเป็นเงิน 4 บาท แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
(ข) ถ้าปรากฎต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่า ตราสารมิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์
เป็นเวลาพ้น กำหนด 90 วัน นับแต่วันต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้วให้เรียกเก็บเงินเพิ่ม
อากรเป็น 5 เท่าจำนวน อากรหรือเป็นเงิน 10 บาทแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
1.3 กรณีพนักงานเจ้าหน้าที่หรือนายตรวจทำการตรวจพบ กล่าวคือเมื่อมีเหตุ
สมควรพนักงาน เจ้าหน้าที่หรือนายตรวจมีอำนาจเข้าไปในสถานการค้าหรือสถานที่ที่
เกี่ยวข้องระหว่าง พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของสถานการค้า
หรือสถานที่นนั้ เพื่อทำการตรวจสอบตราสารว่าได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ตาม ที่กำหนด
ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์หรือไม่ หรือทำการตรวจสอบเพื่อทราบว่าได้ออกใบรับ
หรือทำหรือ เก็บต้นขั้วสำเนาใบรับ หรือทำหรือเก็บบันทึกตามที่กำหนดไว้ในหมวด
อากรแสตมป์ หรือไม่กับมีอำนาจ เรียกและยึดตราสาร หรือเอกสารและออก
หมายเรียกตัวผู้มีหน้าที่เสียอากร ผู้ทรงตราสารหรือผู้ถือเอาประโยชน์แห่ง ตราสาร
และพยานหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาไต่สวน โดยการกล่าวหาแจ้งความของบุคคล
ใด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพนักงานรัฐบาลหรือมิใช่ก็ดี ถ้าปรากฎว่า
(1) มิได้มีการออกใบรับในกรณีที่ต้องออกใบรับตามข้อ 2 ให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่มีอำนาจเรียกเก็บ เงินอากรจนครบ และเงินเพิ่มอากรอีกเป็นจำนวน 6 เท่า
ของเงินอากรหรือเป็นเงิน 25 บาท แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
(2) ตราสารมิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ โดย
(ก) มิได้ปิดแสตมป์เลย ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเรียกเก็บเงิน
อากรจนครบและเงินเพิ่มอากรอีกเป็นจำนวน 6 เท่า ของเงินอากรที่ตอ้ งเสียหรือเป็น
เงิน 25 บาท แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
[145]
ภาษีการรับมรดก
INHERITANCE TAX (IT)
ตามพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ.2558 ใช้บงั คับเมื่อพ้นกาหนด 180 วันนับแต่
วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 5 สิ งหาคม 2558
Note ภาษีการรับมรดก จัดเก็บตาม พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ.2558 ไม่ได้จดั เก็บ
ตามประมวลรัษฎากร
ความหมายของภาษีการรั บมรดก
ภาษีการรับมรดก เป็ นภาษีที่เก็บจากมูลค่ามรดกที่ ทายาทแต่ละคนได้รับจากกองมรดก
โดยที่ผรู ้ ับมรดกเป็ นผูม้ ี หน้าที่เสี ยภาษี และมักจะมีการกาหนดค่าลดหย่อนและอัตราภาษีที่เป็ น
ประโยชน์กบั ผูร้ ับมรดกที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิ ดกับผูต้ าย ทาให้ผูร้ ับมรดกที่มีความใกล้ชิดกับ
ผูต้ ายมีภาระภาษีที่น้อยกว่าผูร้ ับมรดกแต่ละคนมากกว่า เพราะรับภาระภาษีตามสัดส่ วนมูลค่า
ของมรดกที่ตนได้รับ
ภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) เกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกตาย ผูร้ ับมรดกจากเจ้ามรดก
แต่ละรายได้รับมรดกสุทธิมาในคราวเดียวหรื อหลายคราว รวมกันแล้วมีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้าน
บาท มีหน้าที่ตอ้ งเสี ยภาษีตามที่กฎหมายกาหนด
กองมรดกของผูต้ าย ย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยสิ ทธิตามกฎหมาย หรื อโดยพินยั กรรม
1. ทายาทโดยสิ ทธิตามกฎหมาย ได้แก่ ผูส้ ื บสันดาน บิดามารดา พี่นอ้ งร่ วมบิดามารดา
เดียวกัน พี่นอ้ งร่ วมบิดาหรื อร่ วมมารดาเดียวกัน ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ตามลาดับที่กฎหมาย
กาหนด
2. ทายาทโดยพินยั กรรม ได้แก่ ผูร้ ับพินยั กรรม
ผู้มีหน้าทีเ่ สียภาษีการรับมรดก
ผูม้ ีหน้าที่เสี ยภาษีการรับมรดก ได้แก่ ผูไ้ ด้รับมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละราย ไม่วา่ จะได้
รับมาในคราวเดียว หรื อหลายคราว ถ้ามรดกที่ได้รับมาจากเจ้ามรดกแต่ละรายรวมกันมีมูลค่า
ของทรัพย์สินทั้งสิ้ นที่ได้รับเป็ นมรดกหักด้วยภาระหนี้สินอันตกทอดมาจากการรับมรดกเกิน
100 ล้านบาท ต้ องเสียภาษีเฉพาะส่ วนที่เกิน 100 ล้ านบาท สาหรับผูร้ ับมรดก มีดงั นี้
1. บุคคลธรรมดา ได้แก่ บุคคลดังต่อไปนี ้
(1) บุคคลผูม้ ีสญ ั ชาติไทย
(2) บุคคลธรรมดาผูม้ ิได้มีสญ ั ชาติไทย แต่มีถ่นิ ที่อยู่ในราชอาณาจักรตาม ก.ม.ว่าด้วยคน
เข้าเมือง
[147]
▪ คนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทางที่ได้รบั การตรวจลงตราประเภทคนอยู่
ชั่วคราว(Non – immigrant Visa) และอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็ นรายปี มาแล้ว โดยมีเวลา
การพานัก ไม่นอ้ ยกว่า 3 ปี ยื่นคาขอเป็ นผูม้ ีถ่นิ ที่อยู่ในราชอาณาจักรได้
(3)บุคคลธรรมดาผูม้ ิได้มีสญ ั ชาติไทย แต่ได้รบั มรดกอันเป็ นทรัพย์สินที่อยู่ใน
ประเทศไทย ในขณะที่เจ้ามรดกตาย
ควรจาให้ได้ ตามข้อ (1) (2) ให้เสียภาษีการรับมรดกจากทรัพย์สินทัง้ ที่อยู่ในประเทศ
ไทยและนอกประเทศ ส่วนข้อ (3) ให้เสียภาษีจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยเท่านัน้
นิติบคุ คลก็มีสิทธิรบั มรดก เมื่อ นิติบคุ คลต้องจดทะเบียนในประเทศไทยหรือจัดตัง้ ขึน้ ตาม
กฎหมายไทย หรือ ในนิติบคุ คลนัน้ มีผมู้ ีสญ ั ชาติไทย ถือหุน้ เกินกว่า 50 % ของทุนที่จดทะเบียน
(ต้องชาระแล้วในขณะมีสิทธิรบั มรดกหรือในนิติบคุ คลนัน้ มีผมู้ ีสญ ั ชาติไทยเป็ นผูม้ ีอานาจบริหาร
กิจการเกินกึ่งหนึ่ง)
2. นิติบุคคลทีม่ ีสัญชาติไทย ได้แก่ นิติบคุ คลที่ถือว่าเป็ นบุคคลมี่มีสญ ั ชาติไทยตาม
พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 ดังต่อไปนี ้
(1) เป็ นนิติบคุ คลที่จดทะเบียนในประเทศไทย หรือ
(2) นิติบุคคลที่จดั ตัง้ ขึน้ ตามกฎหมายในประเทศไทย หรือ
(3) เป็ นนิติบคุ คลที่ผมู้ ีสญ ั ชาติไทย ถือหุน้ เกินร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนที่ชาระแล้ว
ในขณะมีสิทธิได้รบั มรดก หรือ
(4) เป็ นนิติบคุ คลที่ผมู้ ีสญ ั ชาติไทย เป็ นผูม้ ีอานาจบริหารกิจการเกินกึ่งหนึ่งของคณะ
บุคคลซึ่งมีอานาจบริหารกิจการทัง้ หมด
Note จุดเน้น ควรจา
นิติบคุ คลตาม (1) – (4) ให้เสียภาษีการรับมรดกจากมรดกที่ได้รบั เป็ นทรัพย์สินทัง้ ที่อยู่
ในประเทศไทย และนอกประเทศ
3. กรณีผู้ทไี่ ด้รับมรดกเป็ นนิติบุคคลทีม่ ิได้ถอื ว่าเป็ นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยตาม 2.
แต่ได้รบั มรดกอันเป็ นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยให้เสียภาษีจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย
ภาษีมรดก ไม่ใช้บังคับแก่ กรณีดังนี้
- มรดกทีค่ สู่ มรสของเจ้ามรดก ได้รับมาจากเจ้ามรดก
- บุคคลผู้ได้รับมรดกที่เจ้ามรดกแสดงเจตนาหรือเห็นได้ว่ามีความประสงค์ให้ใช้มรดกนั้นเพื่อ
ประโยชน์ในกิจการศาสนา กิจการศึกษาหรือกิจการสาธารณประโยชน์ ฯลฯ
ทรัพย์สินทีต่ ้องเสียภาษีการรับมรดก มีดงั ต่อไปนี ้
1. อสังหาริมทรัพย์
2. หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
3. เงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลกั ษณะอย่างเดียวกันซึ่งอยู่ในประเทศไทย ที่เจ้ามรดกมี
สิทธิเรียกถอนคืนหรือสิทธิเรียกร้องจากสถาบันการเงินหรือบุคคลที่ได้รบั เงินนัน้ ไว้
[148]
4. ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน
5. ทรัพย์สินทางการเงินที่กาหนดเพิ่มขึน้ โดยพระราชกฤษฎีกา
การยกเว้นภาษีการรับมรดก
การยกเว้นภาษีการรับมรดกตามประเภทหรือรายชื่อที่กำหนดในกฎกระทรวง มีดังนี้
1) บุคคลผู้ที่ได้รับมรดกที่เจ้ามรดกแสดงเจตนา หรือเห็นได้ว่ามีความประสงค์ให้ใช้
มรดกนั้นเพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา กิจการศึกษา หรือกิจการสาธารณประโยชน์
2)หน่วยงานของรัฐ และนิติบุคคลที่มวี ัตถุประสงค์เพื่อกิจการศาสนา กิจการศึกษา
หรือกิจการสาธารณประโยชน์
3) บุคคล หรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีต่อองค์การ
สหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามสัญญา หรือตามหลักถ้อยที
ถ้อยปฏิบัติต่อกันกับนานาประเทศ
ฐานภาษี
การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินให้ถือราคาตามราคาหรือมูลค่าอันพึงมีในวันที่ได้รับทรัพย์สินนั้น
เป็นมรดก
1) กรณีทั่วไป ฐานภาษีการรับมรดก (Tax base) คือ มูลค่าของทรัพย์สินที่ผู้รับมรดกได้รับจาก
กองมรดก กล่าวคื อ มรดกพึงประเมิน หักด้วยภาระหนี้สิ นอันตกทอดมาจากมรดกนั้น เหลื อ
เท่าใดเป็นทรัพย์มรดกสุทธิที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก ดังนี้
มรดกสุทธิ = มรดกพึงประเมิน – (ภาระหนี้สิน)
2 ) กรณีท่มี รดกเป็ นอสังหาริมทรัพย์
ฐานภาษี คือ ราคาตามการประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียน
สิทธิและนิติกรรม - หักด้วย ภาระที่ถกู รอนสิทธิ
3) กรณีท่มี รดก เป็ นหลักทรัพย์ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ฐานภาษี คือ ราคาของหลักทรัพย์นนั้ ในเวลาสิน้ สุดเวลาทาการของ กลต.
อัตราภาษี (มี 2 อัตรา) คือ
1) อัตราทั่วไป คือให้ผมู้ หี น้าที่เสียภาษี คานวณและเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10 ของ
มูลค่ามรดกในส่วนที่ตอ้ งเสียภาษี คือ (ส่วนที่เกิน 100 ล้าน )
2) อัตราพิเศษ คือ ผูไ้ ด้รบั มรดกเป็ นบุพการี หรือผูส้ ืบสันดาน ให้เสียในอัตราร้อยละ 5
วิธกี ารคำนวณภาษี
มูลค่ามรดกที่ได้รับทั้งสิ้น XXX,XXX,XXX.–
หัก ภาระหนี้สนิ อันตกทอดมาจากการรับมรดก XXX,XXX,XXX.–
หัก มูลค่ามรดกที่ไม่ต้องเสียภาษี 100,000,000.–
มูลค่ามรดกที่ต้องเสียภาษี XXX,XXX,XXX.–
[149]
การยื่นแบบและการชำระภาษีการรับมรดก
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดก ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีการรับมรดก (ภ.ม.60) และ
ชำระภาษีภายใน 150 วันนับแต่วันที่ได้รับมรดกที่เป็นเหตุให้มีหน้าทีเ่ สียภาษี โดยให้พิมพ์จาก
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากร และสามารถยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี
ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาแห่งใดแห่งหนึ่งหรือ ณ สถานที่อื่นใดตามที่อธิบดีกำหนด
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตายก่อนครบกำหนดเวลายื่นแบบ โดยยังมิได้ยื่นแบบแสดง
รายการภาษี ให้ผู้จัดการมรดกของผู้นั้นมีหน้าที่ยื่นแบบและชำระภาษี พร้อมทั้งเงินเพิ่มร้อยละ
1.50 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ แทนผู้ตายภายใน 150 วันนับแต่วันที่
ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ สำหรับเงินเพิม่ ให้คำนวณตั้งแต่วันที่ครบ
กำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการจนถึงวันที่ชำระภาษีครบถ้วน
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตายเมื่อครบกำหนดเวลา โดยยังมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
ให้ผู้จัดการมรดกของผู้นั้นมีหน้าที่ยื่นแบบและชำระภาษี พร้อมทั้งเงินเพิ่มร้อยละ 1.50 ต่อเดือน
หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ แทนผู้ตายภายใน 150 วันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็น
ผู้จัดการมรดก โดยเสียเบี้ยปรับ 1 เท่า ของเงินภาษีที่ต้องชำระ สำหรับเงินเพิ่มให้คำนวณตั้งแต่
วันที่ครบกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการจนถึงวันที่ชำระภาษีครบถ้วน
ในกรณียื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีภายหลังกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ชำระภาษี
พร้อมทั้งเงินเพิ่มร้อยละ 1.50 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ โดยเสียเบี้ยปรับ
2 เท่า ของเงินภาษีที่ต้องชำระ สำหรับเงินเพิ่มให้คำนวณตั้งแต่วันที่ครบกำหนดเวลายื่นแบบแสดง
รายการจนถึงวันที่ชำระภาษีครบถ้วน
การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกมาดำเนินการแทนผู้มีหน้าที่เสียภาษี ให้กระทำภายใน 180 วัน
หากไม่มีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกมาดำเนินการแทน ให้ทายาทซึ่งมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายมี
หน้าที่ยื่นแบบและชำระภาษี ภายใน 150 วันนับแต่วันทีพ่ ้นกำหนดเวลา 180 วัน ในกรณีที่มี
ทายาทหลายคน ให้ทายาทตกลงมอบให้ทายาทคนหนึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี ถ้าไม่อาจตกลงกัน
ได้ ให้ทายาทคนใดคนหนึ่งยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อแต่งตั้งผู้จัดการมรดกต่อไป
[150]
การผ่อนชำระภาษีการรับมรดก
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีย่ืนคำร้องขอผ่อนชำระ พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษี
ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ณ สำนักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขาแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือ ณ
สถานที่อ่นื ใดตามที่อธิบดีกำหนด
การผ่อนชำระภาษี มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1. การขอผ่อนชำระภาษีภายใน 2 ปี จะได้รบั ยกเว้นเงินเพิ่มทั้งหมด
2. การผ่อนชำระที่เกิน 2 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี ให้เสียเงินเพิ่มร้อยละ 0.50 ต่อเดือน
3. การผ่อนชำระภาษี สามารถผ่อนชำระภาษีให้เสร็จสิ้นก่อนกำหนดเวลาที่ขอ
ผ่อนชำระภาษีได้
4. หากผู้ผ่อนชำระภาษี ผิดนัดชำระภาษีงวดใดงวดหนึ่ง ให้ผู้ผ่อนชำระภาษีหมด
สิทธิการผ่อนชำระภาษีและต้องชำระภาษีที่คา้ งอยู่ทงั้ จำนวนพร้อมเงินเพิ่ม
การขอคืนเงินภาษีการรับมรดก
ในกรณีผู้ที่ย่นื แบบแสดงรายการภาษีได้ชำระภาษีโดยไม่มีหน้าที่ต้องเสีย หรือได้ชำระ
ไว้เกินกว่าที่ตอ้ งเสีย สามารถขอคืนภาษีมรดกได้ โดยใช้คำรองขอคืนเงินภาษีอากร (ค.10) เป็น
แบบคำร้องขอคืน และต้องยื่นภายใน 5 ปีนบั แต่วันชำระภาษีทั้งหมดต่อเจ้าหน้าทีข่ อง
สำนักงานสรรพากรพืน้ ที่สาขาแห่งใดแห่งหนึ่ง
กรมสรรพากรจะพิจารณาคืนเงินภาษี พร้อมกับหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีอากร (ค.20)
ตามทีอ่ ยูท่ ี่ระบุในคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร (ค.10) และในการขอรับเงินคืนภาษีไม่มีสิทธิเรียก
ดอกเบี้ยจากเงินภาษีที่คนื
การอุทธรณ์ภาษีการรับมรดก
ผู้มหี น้าที่เสียภาษีหากไม่เห็นด้วยกับผลการประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมิน มีสิทธิ
อุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการอุท ธรณ์ ได้ ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการ
ประเมินภาษี โดยยื่นแบบคำอุทธรณ์ (ภ.ม.6) โดยให้พิมพ์จากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของ
กรมสรรพากร และสามารถยื่นแบบคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ ณ สถานที่แห่งใด
แห่งหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1. สำนักอุทธรณ์ภาษี กรมสรรพากร
2. สำนักงานสรรพากรภาคแห่งใดแห่งหนึ่ง
3. สำนักงานสรรพากรพืน้ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
คณะกรรมการอุทธรณ์ต้องพิจารณาอุทธรณ์ ให้ แล้วเสร็จ ภายใน 180 วัน นับ แต่วันที่
ได้ รั บ อุ ท ธรณ์ (อาจขยายได้ แ ต่ ไม่ เกิ น 90 วั น ) โดยจั ด ทำคำวิ นิ จ ฉั ย แจ้ ง ผลการพิ จ ารณา
อุทธรณ์ให้ผู้อุทธรณ์ทราบเป็นหนังสือ ภายใน 15 วันนั บแต่วันที่มีคำวินิจฉัย แต่หากผู้อุทธรณ์
ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ ให้มีสิ ทธิฟ้องต่อศาลภาษีอากร ภายใน
180 วันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์
[151]
บทกำหนดโทษ
1. บุคคลธรรมดา
(1) หากไม่ย่ืนแบบแสดงรายการภาษี (ภ.ม.60) โดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษ
ปรับไม่เกิน 500,000 บาท
(2) หากไม่ป ฏิบั ติตามหมายเรียกหรือคำสั่งของเจ้าพนั ก งานประเมิน หรือไม่ย อมตอบ
คำถามของเจ้าพนัก งานประเมิ น หรือของประธานคณะกรรมการอุท ธรณ์ ต้อ งระวางโทษ
จำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(3) หากทำลาย ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือ โอนไปซึ่งทรัพ ย์สินที่ ถูก ยึด หรืออายัด ให้แ ก่
บุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 400,000 บาท
(4) หากจงใจยื่นข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ
หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดงเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี หรือให้ ความเท็ จ โดยเจตนา
ละเลย โดยฉ้อโกงหรือใช้อุบาย โดยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยง
การเสียภาษี หรือแนะนำหรือสนับสนุนให้บุคคลอื่นกระทำการดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทัง้ จำทั้งปรับ
2. นิติบุคคล
หากผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล ให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือผู้แทนของนิติ
บุคคล ต้องรับโทษ โดยถือว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดของนิตบิ ุคคลนั้น
[152]
หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลงและมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอเหมาะสม
มิตคิ วามยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ
หมุดหมายที่ 11 ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มิติปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ
หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูงมุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต
หมุดหมายที่ 13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ประชาชน
3.ความรู้เกี่ยวกับกระทรวงการคลัง
วิสัยทัศน์ (Vision) ของกระทรวงการคลัง คือ
“เสาหลักทางการคลังและเศรษฐกิจ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
พันธกิจ (Missions) ของกระทรวงการคลัง มีดังนี้
1. เสนอแนะนโยบายการคลังและเศรษฐกิจ
2. บริหารการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ
3. บริหารการเงินแผ่นดิน
4. บริหารจัดการทรัพย์สินภาครัฐ
ภารกิจของกระทรวงการคลังตามกฎหมาย (Duties and responsibilities ) มี 3 กลุ่มดังนี้
1) กลุ่มภารกิจด้านทรัพย์สิน
2) กลุ่มภารกิจด้านรายได้
3) กลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน
4. “Metaverse” หรือ “จักรวาลนฤมิต”
เป็นการนำคำว่า Meta รวมกับ Verse ได้ความหมายว่าเป็น “จักรวาลนฤมิต” ตามราชบัณฑิตย
สภา ปรากฏครั้งแรกในนิยายแนวไซไฟ เรื่อง Snow Crash แต่งโดยนีล สตีเฟนสัน ในปี 1992 ซึง่
โลก Metaverse ในหนังสือของนีลเป็นโลกเสมือนจริง 3 มิติ ที่ผู้คนสามารถปฏิสัมพันธ์กันได้ใน
รูปแบบของอวตาร (Avatar)
Metaverse เป็นการผสานเทคโนโลยีแห่งโลกเสมือน ที่สร้างสิ่งแวดล้อมของโลกจริง ๆ
และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้คนเข้ามามีปฏิสัมพันธ์และทำกิจกรรมร่วมกัน ผ่านตัวตนที่เป็น
อวตาร (Avatar) ในรูปแบบกราฟิก 3 มิติ แทนเราในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้รู้สึกเหมือนชีวิต
จริงมากกว่าโซเชียลมีเดียที่ใช้ในปัจจุบัน
Metaverse เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอะไรบ้าง
[154]
6.อุตสาหกรรมเป้าหมาย
อุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ อุตสาหกรรมทีจ่ ะได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษในพื้นที่
ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC) ปัจจุบันมีทั้งหมด 10 อุตสาหกรรม ประกอบด้วย
- อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S - Curve) มี 5 อุตสาหกรรม
- อุตสาหกรรมอนาคต (New S - Curve) มี 5 อุตสาหกรรม
7. เขตเศรษฐกิจจําเพาะ (จุดเน้น)
เขตเศรษฐกิจจำเพาะ ( exclusive economic zone; EEZ) ตามอนุสัญญา
สหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล หมายถึง เขตที่มีความกว้างไม่เกิน 200 ไมล์ทะเลวัดจากเส้น
ฐานซึ่งใช้วัด ความกว้างของทะเลอาณาเขต อาจรวมถึงน่านน้ำอาณาเขตและไหล่ทวีปที่เลยเขต
จำกัด 200 ไมล์ทะเล ด้วย
เป็ น พื้ น ที่ ท ะเลซึ่ งรั ฐ ชายฝั่ ง มี สิ ท ธิ พิ เศษเหนื อ เขตดั ง กล่ า วในการสำรวจ แสวงหา
ประโยชน์ มีการใช้ทรัพยากรทางทะเล รวมถึงอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งที่มีชีวิต
และไม่มีชีวิต
8. เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (จุดเน้น)
ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส จังหวัด ปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่
อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอ สะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล
9.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) หรือ EEC
รัฐบาลไทยได้จัดตั้งเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor หรือ
EEC ขึ้นโดยมีการตราพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ซึ่งมีผลใช้บังคับ
ตั้งแต่ วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นมา
** เขตพัฒนาพิเศษครอบคลุมพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง
โดยมีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเป็นหน่วยงานหลัก
ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าว
[156]
กฎหมายบังคับใช้อย่างไร
กฎหมายมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 กันยายน 2564 ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศแก่
ผู้ใช้ที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนี้
1. จะมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี และมีหน้าที่ยื่นจดทะเบียน
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
[159]
2. เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 จากยอดขายโดยไม่ให้นำภาษีซื้อมาหัก
3. ต้องนำส่ง ภ.พ. 36
4.ทำธุรกรรมภาษี e-Service ผ่านระบบ VES หรือ VAT for Electronic Service
18. ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 65 กำหนดให้รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็น
เป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักธรรมาภิบาล
เป็นยุทธศาสตร์ชาติ ฉบับแรกของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
➢ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้แ ต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านต่าง ๆ
รวม 6 คณะ
➢ ยุทธศาสตร์ มีวิสัยทัศน์ประเทศไทย คือ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่ งคั่ง ยั่งยืน เป็น
ประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หรือเป็นคติ
พจน์ประจำชาติว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
➢ เป้าหมายการพัฒนาประเทศ คือ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจ
พั ฒ นาอย่ างต่ อเนื่ อ ง สั งคมเป็ น ธรรม ฐานทรัพ ยากรธรรมชาติ ยั่ งยืน ” โดยยกระดั บ
ศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ พัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี
เก่ ง และมี คุ ณ ภาพ สร้า งโอกาส และความเสมอภาคทางสั งคม สร้ า งการเติ บ โตบน
คุณภาพชีวิตที่เป็ นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมี ภ าครัฐของประชาชนเพื่อประชาชนและ
ประโยชน์ส่วนรวม
➢ ยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน ประกอบด้วย
1. ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง
2. ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
3. ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
4. ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
5. ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
6. ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
ซึง่ มีการประเมินผลการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติทงั้ 6 ด้าน ประกอบด้วย
1. ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยและสังคมไทย
2. ขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้
3. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
4. ความเท่าเทียมและความเสมอภาคของสังคม
5. ความหลากหลายทางชีวภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนของ
ทรัพยากรธรรมชาติ
6. ประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการเข้าถึงการให้บริการของภาครัฐ
[160]
Note
“กฎหมายนี้ ไม่ได้สร้างภาระในการเก็บและใช้ขอ้ มูล แต่ตอ้ งการให้มีการเก็บรวบรวม ใช้ และ
เปิ ดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม ปลอดภัย โดยคานึงถึงสิ ทธิความเป็ นส่วนตัวของบุคคล
เพื่อให้ ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด”
จุดเน้ น การเก็บรวบรวม ใช้ หรื อเปิ ดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์ส่วนตัว หรื อกิจกรรม
ในครอบครัว ไม่ตอ้ งปฏิบตั ิตามกฎหมายนี้ เพราะได้รับการยกเว้น เช่น แผนผังครอบครัว การ
ถ่ายภาพบุคคลในครอบครัว การติดกล้องวงจรปิ ดในบริ เวณบ้าน
กฎหมายฉบับนี้ รับรองและยืนยันสิ ทธิความเป็ นส่ วนตัวของข้อมูลส่ วนบุคคลของ
ประชาชนโดยคุม้ ครองประชาชนในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจากการกระทาที่ไม่ชอบด้วย
กฎหมาย เช่น กรณีที่เกิดเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึง กาหนดหน้าที่ให้กบั องค์กร
ที่มีการเก็บรวบรวม ใช้ หรื อเปิ ดเผยข้อมูลส่วนบุคคล จะต้องมีฐานะทางกฎหมาย คือ ต้อง
สามารถอ้างได้วา่ องค์กรของตนมีสิทธินาข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ และต้องใช้ขอ้ มูลให้นอ้ ยที่สุด
ต้องมีวตั ถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมายและใช้ขอ้ มูลเพียงเท่าที่จาเป็ น และที่สาคัญคือ ต้องมี
“ความโปร่ งใส” ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ตอ้ งคานึงถึง “ความเป็ นธรรม” ต่อ
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย
พระราชบัญญัตินไี้ ม่ใช้ บังคับแก่
(1) การเก็บรวบรวม ใช้ หรื อเปิ ดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่เก็บรวบรวมข้อมูล
ส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรื อเพื่อกิจกรรมในครอบครัวของบุคคลนั้นเท่านั้น
(2) การดาเนินการของหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการรักษาความมัน่ คงของรัฐ ซึ่ง
รวมถึง ความมัน่ คงทางการคลังของรัฐ หรื อการรักษาความปลอดภัยของประชาชน รวมทั้ง
หน้าที่เกี่ยวกับ การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน นิติวิทยาศาสตร์ หรื อการรักษาความ
มัน่ คงปลอดภัยไซเบอร์
(3) บุคคลหรื อนิติบุคคลซึ่งใช้หรื อเปิ ดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ทาการเก็บรวบรวมไว้
เฉพาะ เพื่อกิจการสื่ อมวลชน งานศิลปกรรม หรื องานวรรณกรรมอันเป็ นไปตามจริ ยธรรมแห่ง
การประกอบวิชาชีพ หรื อเป็ นประโยชน์สาธารณะเท่านั้น
(4) สภาผูแ้ ทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา รวมถึงคณะกรรมาธิการที่แต่งตั้งโดยสภา
ดังกล่าว ซึ่งเก็บรวบรวม ใช้ หรื อเปิ ดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในการพิจารณาตามหน้าที่และอานาจ
ของสภาผูแ้ ทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา หรื อคณะกรรมาธิการ แล้วแต่กรณี
(5) การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลและการดาเนินงานของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการ
พิจารณาคดี การบังคับคดี และการวางทรัพย์ รวมทั้งการดาเนินงานตามกระบวนการยุติธรรม
ทางอาญา
(6) การดาเนินการกับข้อมูลของบริ ษทั ข้อมูลเครดิตและสมาชิกตามกฎหมายว่าด้วย
การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต
[162]
- จัดให้มีมาตรการรักษาความมัน่ คงปลอดภัยของข้อมูล
- ป้องกันมิให้ผอู ้ ื่นใช้หรื อเปิ ดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ
- แจ้งเหตุการณ์ละเมิดให้ สํานักงานคุม้ ครองข้อมูลส่วนบุคคลทราบภายใน 72
ชัว่ โมงนับแต่ทราบเหตุ (จุดเน้ น)
- แต่งตั้งเจ้าหน้าที่คมุ ้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล (Data Protection Officer : DPO) เพื่อ
ตรวจสอบการทางานของตน เป็ นต้น (จุดเน้ น)
3) ผู้ประมวลผลข้ อมูลส่ วนบุคคล (Data Processor - DP)
คือ บุคคลหรื อนิติบุคคล ซึ่งเก็บรวบรวม ใช้ หรื อเปิ ดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคาสั่งของผู ้
ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
ผู้ประมวลผลข้อมูลส่ วนบุคคล ได้แก่ บริ ษทั ห้างหุน้ ส่ วนทั้งเป็ นนิติบุคคลและไม่เป็ นนิติ
บุคคล และผูป้ ระกอบธุรกิจฟรี แลนซ์ที่รับจ้าง หรื อให้บริ การแก่ผคู ้ วบคุมข้อมูลส่ วนบุคคล ทา
กิจกรรมที่มีการเก็บรวบรวม ใช้ หรื อเปิ ดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บริ การ cloud service
ผูป้ ระมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) จะดาเนินงานตามคาสั่งที่ได้รับจาก
ผูค้ วบคุมข้อมูลส่ วนบุคคลเท่านั้น เว้นแต่คาํ สั่งนั้นขัดต่อกฎหมาย หรื อบทบัญญัติ ในการ
คุม้ ครองข้อมูลส่วนบุคคล
ตัวอย่าง ธุรกิจร้านค้าอาจจ้างบริ ษทั อื่น ให้จดั การข้อมูลสั่งซื้อสิ นค้าหรื อดูแล Page ของ
ร้าน ซึ่งต้องมีการเก็บรวบรวมและใช้ขอ้ มูลส่วนบุคคลของลูกค้า
ข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่ประชาชนจะสามารถแสดง
ความคิดเห็นและใช้สทิ ธิทางการเมืองได้โดยถูกต้องกับความจริง แต่มขี ้อยกเว้นไม่ต้อง
เปิดเผยที่แจ้งชัดและจำกัดเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่หากเปิดเผยแล้วจะเกิดความเสียหายต่อ
ประเทศชาติหรือต่อประโยชนทีส่ ําคัญของเอกชน เพื่อพัฒนาระบบประชาธิปไตยใหมั่นคง
และให้ประชาชนมโอกาสรู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตน เพื่อรักษาประโยชน์ของตนงกับคุ้มครอง
สิทธิส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารของราชการ
3.ข้อมูลข่าวสารของราชการ
"ข้อมูลข่าวสาร" หมายความว่า สิ่งที่สื่อความหมายให้รู้เรื่องราวข้อเท็จจริง
ข้อมูลหรือสิ่งใด ๆ ไม่ว่าการสื่อความหมายนั้น จะทำได้โดยสภาพของสิ่งนัน้ เองหรือโดย
ผ่านวิธีการใด ๆ และไม่ว่าจะได้จัดทำไว้ในรูปของเอกสาร แฟ้ม รายงาน หนังสือแผนผัง
แผนที่ภาพวาด ภาพถ่าย ฟิล์ม การบันทึกภาพหรือเสียง การบันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์
หรือวิธีอื่นใดที่ทำให้ส่งิ ที่บันทึกไว้ปรากฏได้
"ข้อมูลข่าวสารของราชการ" หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความ
ครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการ
ดำเนินงานของรัฐหรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเอกชน ซึ่งได้จัดลักษณะของข้อมูลข่าวสารของ
ราชการไว้ ดังนี้
3.1 ข้อมูลข่าวสารที่ต้องเปิดเผยเป็นการทั่วไป
ประกอบด้วย
3.1.1 ข้อมูลข่าวสารที่ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา มีดังนี้
(1) โครงสร้างและการจัดองคกรในการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐนั้น
(2) สรุปอำนาจหน้าที่ที่สำคัญและวิธีการดำเนินงาน
(3) สถานที่ตดิ ต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสาร หรือคำแนะนำในการติดต่อกับ
หน่วยงานของรัฐ
(4) กฎ มติคณะรัฐมนตรี ข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือเวียน ระเบียบแบบแผน
นโยบาย หรือการตีความเฉพาะที่จัดให้มีข้นึ โดยมีสภาพอย่างกฎเพื่อให้มีผลเป็นการทั่วไป
ต่อเอกชนที่เกี่ยวข้อง
(5) ข้อมูลข่าวสารอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด
ข้อมูลข่าวสารใดที่ได้มกี ารจัดพิมพ์เพื่อให้แพร่หลายตามจำนวน
พอสมควรแล้ว ถ้ามีการลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาโดยอ้างอิงถึงสิ่งพิมพ์ นั้นก็ให้ถือว่า
เป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว
[175]
3.1.2 ข้อมูลข่าวสารที่หน่วยงานของรัฐต้องจัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้
ชนิดของข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐต้องจัดไว้ให้
ประชาชนเข้าตรวจดูได้เป็นข้อมูลข่าวสารที่มีความสำคัญ รองลงมาจากข้อมูลข่าวสารของ
ราชการประเภทที่ตอ้ งลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา เพราะเป็นข้อมูลที่ถูกกำหนดว่า
ประชาชนควรได้รู้ กฎหมาย จึงกำหนดหน้าที่ให้หน่วยงานของรัฐจัดรวบรวมไว้ให้ประชาชน
เข้าตรวจดูเมื่อใดก็ได้ ได้แก่ข้อมูลดังต่อไปนี้
(1) ผลการพิจารณาหรือคำวินจิ ฉัยที่มผี ลโดยตรงต่อเอกชน รวมทั้ง
ความเห็นแย้งและคำสั่งที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาวินจิ ฉัยดังกล่าว
(2) นโยบาย หรือการตีความที่ไม่เข้าข่ายต้องลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา
ตามมาตรา 7(4) อันได้แก่ กฎ มติคณะรัฐมนตรี ข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือเวียน ระเบียบ
แบบแผน นโยบาย หรือการตีความเฉพาะทีจ่ ัดให้มขี ึ้นโดยมีสภาพอย่างกฎ เพื่อให้มีผลเป็น
การทั่วไปต่อเอกชนที่เกี่ยวข้อง
(3)แผนงาน โครงการและงบประมาณรายจ่ายประจำปี ของปีที่กำลัง
ดำเนินการ
(4) คู่มือหรือคำสั่งเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมี
ผลกระทบถึงสิทธิหน้าที่ของเอกชน
(5) ข้อมูลข่าวสารที่ได้มกี ารจัดพิมพ์ เพื่อให้แพร่หลายตามจำนวน
พอสมควร ซึ่งการลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาได้มกี ารอ้างอิงถึง
(6) สัญญาสัมปทาน สัญญาที่มลี ักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือ
สัญญาร่วมทุนกับเอกชนในการจัดทำบริการสาธารณะ
(7) มติคณะรัฐมนตรี หรือมติคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยกฎหมาย หรือโดย
มติคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้ระบุรายชื่อรายงานทาง วิชาการรายงานข้อเท็จจริงหรือข้อมูล
ข่าวสารที่นำมาใช้ในการพิจารณาไว้ดว้ ย
(8) ข้อมูลข่าวสารอื่นที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการกำหนด
ตัวอย่างข้อมูลข่าวสาร ที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการกำหนดให้
มีไว้ให้ประชาชนตรวจดู เช่น
-ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับงานวิจัยที่ใช้เงินงบประมาณที่หน่วยงานของรัฐได้
ทำการศึกษาวิจัย หรือมีอยู่ในความครอบครองดูแล ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน
[176]
-ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลการพิจารณาการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ
โดยให้หน่วยงานของรัฐจัดทำสรุปผลการดำเนินการจัดซือ้ จัดจ้างของหน่วยงานของรัฐเป็น
รายเดือนทก ๆ เดือน ให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่จัดซือ้ หรือจัดจ้าง วงเงินที่จะซือ้ หรือ
จ้าง ราคากลาง วิธีซอื้ หรือจ้าง รายชื่อผู้เสนอราคาและราคาที่เสนอผู้ได้รับการคัดเลือก
และราคาที่ตกลงซือ้ หรือจ้าง เหตุผลที่คัดเลือกโดยสรุป และเลขที่และวันที่ของสัญญาหรือ
ข้อตกลงในการซื้อหรือการจ้าง กรณีเดือนใดไม่มกี ารจัดซือ้ หรือจัดจ้างหรือมีการยกเลิก
โครงการหรือสัญญาหรือข้อตกลงในการซือ้ หรือจ้าง ให้รายงานไว้ดว้ ย
- ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เช่น รายงานและข้อมูลข่าวสาร
เกี่ยวกับการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ในแต่ละขั้นตอนการคำเนิน
การรามทั้งรายงานการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในส่วนที่เกี่ยวข้อง
- ประกาศประกวดราคาและประกาศสอบราคำของหน่วยงานของรัฐที่หัวหน้าส่วน
ราชการลงนามแล้ว
- ข้อมูลข่าวสารตามเกณฑ์มาตรฐานความโปร่งใสและตัวชี้วัดความโปร่งใสของ
หน่วยงานของรัฐ เช่น หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รจัดหาพัสดุ ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่
เกี่ยวข้องกับการจัดหาพัสดุ ทั้งที่เป็น กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา
พัสดุ เช่น ระเบียบพัสดุมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง (เช่น กฎหมายวาด้วย
การกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา) แผนการจัดหาพัสดุ รายงานการขอซือ้ ขอจ้าง
เอกสารสอบราคาและเอกสารประกวดราคา และหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินผลใน
แต่ละโครงการหรือรายการ เป็นต้น
-หน่วยงานของรัฐซึ่งจัดทำ จัดให้มี หรือครอบครองดูแลข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับที่
สาธารณประโยชน์ประเภทที่ดนิ สาธารณประโยชน์ จัดให้มีขอ้ มูลข่าวสารสำหรับการสืบค้น
อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
(ก) ทะเบียนที่ดนิ สาธารณประโยชน์
(ข) หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง
(ค) เอกสารแสดงพิกัดและตำแหน่งที่ตงั้ ของที่ดินสาธารณประโยชน์
(ง) เอกสารอื่นตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการกำหนด เป็นต้น
หลักเกณฑ์และวิธีการจัดให้ตรวจดู มีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) ต้องมีสถานที่เฉพาะเพื่อที่ประชาชนจะทำการตรวจดูและศึกษาข้อมูล
ข่าวสารได้โดยสะดวก ตามกำลังบุคลากรและงบประมาณ
(2) ต้องจัดให้มีดรรชนีที่มรี ายละเอียดเพียงพอให้ประชาชนสามารถตรวจดูเอง
ได้โดยสะดวก
(3) ข้อมูลข่าวสารที่จัดให้ตรวจดูประชาชนต้องสามารถตรวจดูเองได้โดยสะดวก
(4) ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าจำเป็นต้องมีระเบียบการรักษา ความเป็น
[177]
จะขอขยายเวลาในการจัดหาให้หรือจะจัดทำสำเนาให้ในสภาพอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อมิให้
เกิดความเสียหายแก่ข้อมูลข่าวสารนั้นก็ได้ นอกจากนี้ ข้อมูลข่าวสารของราชการที่
หน่วยงานของรัฐจัดหาให้ต้องเป็นข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่แล้ว ในสภาพที่พร้อมจะให้ได้ มิใช่
ต้องไปจัดทำวิเคราะห์ จำแนกรวบรวมหรือจัดให้มีข้นึ ใหม่ เว้นแต่เป็นการแปรสภาพ
เป็นเอกสารจากข้อมูลข่าวสารที่บันทึกไว้ในระบบการบันทึกภาพหรือเสียง ระบบ
คอมพิวเตอร์หรือระบบอื่นใด แต่ถ้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่ากรณีที่ขอนัน้ ไม่ใช้การแสวงหา
ผลประโยชน์ทางการค้า และเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพสำหรับผูน้ ั้น หรือ
เป็นเรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่สาธารณะหน่วยงานของรัฐจะจัดหาข้อมูลข่าวสารนั้นให้ก็ได้
หากเป็นการสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามปกติของหน่วยงานของรัฐนัน้ อยู่แล้ว
3.1.4 ข้อมูลข่าวสารที่คัดเลือกไว้ให้ประชาชนศึกษาค้นคว้า
โดยหลักแล้วข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะเก็บรักษา
หรือมีอายุครบกำหนดเวลาต้องส่งข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา 26 วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติขอ้ มูลข่าวสารของราชการนับแต่วันที่เสร็จสิ้นการจัดให้มขี ้อมูลข่าวสาร
นั้น หน่วยงานของรัฐต้องส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร หรือ
หน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา เพื่อเลือกไว้ให้ประชาชนศึกษา
ค้นคว้า
กำหนดเวลาที่ต้องส่งมอบข้อมูลข่าวสารของราชการให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติกรม
ศิลปากร แยกประเภทได้ดังนี้
(1) ข้อมูลข่าวสารของราชการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบัน
พระมหากษัตริย์ เมื่อครบ 75 ปี นับแต่วันที่เสร็จสิ้นการจัดให้มีขอ้ มูลข่าวสาร
(2) ข้อมูลข่าวสารของราชการดังต่อไปนี้ เมื่อครบ 20 ปี นับแต่วันที่เสร็จสิ้น
การจัดให้มีข้อมูลข่าวสาร
(2.1) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ
(2.2) การเปิดเผยจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือ
ไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการฟ้องคดี การป้องกัน การปราบปราม
การทดสอบ การตรวจสอบหรือการรู้แหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสารหรือไม่ก็ตาม
(2.3) ความเห็น หรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการ
เรื่องหนึ่งเรื่องใด ไม่รวมถึงรายงานทาง วิชาการรายงานข้อเท็จจริงหรือข้อมูลข่าวสารที่
นำมาใช้ในการทำความเห็น หรือคำนะนำภายในดังกล่าว
(2.4) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวติ หรือความปลอดภัยของ บุคคล
หนึ่งบุคคลใด
(2.5) รายงานการแพทย์หรือข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลซึ่งการเปิดเผยจะเป็น
[179]
การรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควร
(2.6) ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีกฎหมายุค้มครองมิให้เปิดเผยข้อมูล
ข่าวสารตาม (2.1) - (2.6) เป็นข้อมูลข่าวสารที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมี
ดุลพินิจที่จะให้เปิดเผย หรือไม่ก็ได้กำหนดเวลา 75 ปี และ20 ปี ตามที่กล่าวไว้ (1)และ (2)
ซึ่งขยายออกไปได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(ก) หน่วยงานของรัฐเห็นว่ายังจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารของ
ราชการไว้เองเพื่อประโยชน์ในการใช้สอย โดยต้องจัดเก็บและจัดให้ประชาชนได้ศกึ ษา
ค้นคว้าตามที่จะตกลงกับหอจดหมายแห่งชาติ กรมศิลปากร
(ข) หน่วยงานของรัฐเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารของราชการนั้น ยังไม่ควร
เปิดเผยโดยมีคำสั่งขยายเวลากำกับไว้เป็นการเฉพาะราย คำสั่งการขยายเวลานั้นให้กำหนด
ระยะเวลาไว้ดว้ ยแต่จะกำหนดเกินคราวละ 5 ปี ไม่ได้
3.2 ขอบเขตของการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ
หลักการสำคัญของพระราชบัญญัติขอ้ มูลข่าวสารของราชการฯ ประการหนึ่ง
คือ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” ดังนัน้ โดยหลักแล้วหน่วยงานของรัฐจึง
มีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของตน หาก
หน่วยงานของรัฐประสงค์จะปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนได้รับทราบ
หน่วยงานของรัฐจะต้องให้เหตุผล และเหตุผลดังกล่าว ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่
กฎหมายกำหนด โดยข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในหลักเกณฑ์ไม่ตอ้ งเปิดเผยมี 2 กรณี คือ
1) ข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยไม่ได้โดยเด็ดขาด ได้แก่ ข้อมูลข่าวสารของราชการที่อาจ
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
2) ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ภายใต้ดุลพินจิ ของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่
จะมีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยก่ได้ โดยคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ
ประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน ซึ่งได้แก่ข้อมูลข่าวสาร
ของราชการที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
2.1 ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ ได้แก่
(1) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ
(2) การเปิดเผยจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพหรือ
ไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการฟ้องคดี การป้องกัน การปราบปราม
การทดสอบ การตรวจสอบหรือการรู้แหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสารหรือไม่ก็ตาม
(3) ความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานรัฐในการดำเนินการเรื่องหนึ่ง
เรื่องใด แต่ไม่รวมถึงรายงานทางวิชาการ รายงานข้อเท็จจริงหรือข้อมูลข่าวสารที่นำมาใช้ใน
การทำความเห็น หรือคำแนะนำภายในดังกล่าว
[180]
เป็นกรรมการ ให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ข้าราชการของสำนักงานปลัด
สำนักนายกรัฐมนตรี 1 คนเป็นเลขานุการและอีก 2 คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
7.2 คณะกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) สอดส่องดูแลและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่
ของรัฐและหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติน้ี
(2) ให้คำปรกษาแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินีต้ ามที่ได้รับคำขอ
(3) เสนอแนะในการตราพระราชกฤษฎีกาและการออกกฎกระทรวงหรือ
ระเบียบของคณะรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติน้ี
(4) พิจารณาและให้ความเห็นเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 13
(5) จัดทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติน้เี สนอคณะรัฐมนตรี
เป็นครั้งคร่าวตามความเหมาะสม แต่อย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง
(6) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
7.3 กรรมการผูท้ รงคุณวุฒิ มีวาระอยู่ในตำแหน่งคร่าวละ 3 ปีนับแต่วันที่ได้รับ
แต่งตั้งผูท้ ี่พ้นจากตำแหน่งแล้วอาจได้รับแต่งตัง้ ใหม่ได้
7.4 กรรมการผูท้ รงคุณวุฒินอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ยังพ้นตำแหน่งเมื่อ
(1) ตาย
(2) ลาออก
(3) คณะรัฐมนตรีให้ออกเพราะมีความประพฤติเสื่อมเสีย บกพร่องหรือ
ไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถ
(4) เป็นบุคคลล้มละลาย
(5) เป็นคนไร้ความสามารถหรือค้นเสมือนไร้ความสามารถ
(6) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษ
ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
7.5 ให้คณะกรรมการมอำนาจเรียกให้บุคคลใดมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งวัตถุเอกสาร
หรือพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาได้
7.6 ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐ ปฏิเสธว่าไม่มขี ้อมูลข่าวสารตามที่มีคำขอ ถ้าผูม้ ี
คำขอไม่เชื่อว่าเป็นความจริงและร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ให้คณะกรรมการตรวจสอบ
ข้อมูลข่าวสารของราชการที่เกี่ยวข้องและแจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้รอ้ งเรียนทราบ
หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ตอ้ งย่นย่อมให้คณะกรรมการเข้าตรวจสอบข้อมูล
ข่าวสารทีอ่ ยู่ในความครอบครองของตนได้ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้หรือไม่ก็
ตาม ส่วนระยะเวลาการพิจารณาของคณะกรรมการ ต้องให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่
วันที่ได้รับคำร้องเรียน ให้ขยายเวลาออกไปได้แต่ต้องแสดงเหตุผลและรวม
[186]
เวลาทั้งหมดต้องไม่เกิน 60 วัน
8.คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
8.1 ให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ ตามความ
เหมาะสมซึ่งคณะรัฐมนตรี์ แต่งตั้งตามข้อเสนอของคณะกรรมการซึ่งคณะกรรมการม
อำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 14 หรือ
มาตรา 15 หรือคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้านตามมาตรา 17 และคำสั่งไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือ
ลบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามมาตรา 25
การแต่งตัง้ คณะกรรมการวินจิ ฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ให้แต่งตั้งตามสาขา
ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของข้อมูลข่าวสารของราชการเช่น ความมั่นคงของประเทศ
เศรษฐกิจ และการคลังของประเทศ หรือการบังคับใช้กฎหมาย
8.2 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารคณะหนึ่ง ๆ ประกอบด้วย
บุคคลตามความจำเป็นแต่ต้องไม่นอ้ ยกว่า 3 คนและให้ข้าราชการที่คณะกรรมการแต่งตั้ง
ปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ
** กรณีพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐแห่งใด ห้าม
กรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ทีม่ าจากหน่วยงานของรัฐแห่งนั้น เข้าร่วม
พิจารณา
8.3 ให้คณะกรรมการพิจารณาส่งคำอุทธรณ์ให้คณะกรรมการวินิจฉัยการ
เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร โดยคำนึงถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของคณะกรรมการวินจิ ฉัย
การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแต่ละสาขา ภายใน 7 วันนับแต่วันที่คณะกรรมการได้รับคำ
อุทธรณ์ ซีง่ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินจิ ฉัย เป็นที่สุด
8.4 อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการวินจิ ฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแต่ละ
สาขา วิธีพิจารณาและวินิจฉัย ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด โดยประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษา
9.บทกำหนดโทษ
9.1 คณะกรรมการมอำนาจเรียกให้บุคคลใดมาให้ถ้อยคำหรือส่งวัตถุเอกสารหรือ
พยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาเรื่องร้องเรียนได้ หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ
คณะกรรมการที่สั่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
9.2 ผู้ใดฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดหรือเงื่อนไขที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกำหนด
ตามมาตรา 20 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ (มาตรา 41)
[187]
1.6 กฎหมายและระเบียบที่ใช้ในการปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้อง
- วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง - ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
ความรู้เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
สาระสำคัญของกฎหมายมีดังนี้ คือ
1. เป็นกฎหมายมาตรฐานกลาง โดยเป็นการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการพิจารณาจัดทำ
คำสั่งทางปกครอง หากการพิจารณาทางปกครองเรื่องใดมีมาตรฐานในการประกันสิทธิและ
เสรีภาพต่ำกว่ากฎหมายนี้ จะต้องใช้กระบวนการตามกฎหมายนี้แทน
2. กำหนดขั้นตอนวิธีการการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง
3. กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการในการเพิกถอนและการขอให้พิจารณาคำสั่งทางปกครองใหม่
4. กำหนดกระบวนการการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครอง
ขอบเขตการบังคับใช้
พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ใช้บังคับในฐานะที่เป็น
กฎหมายมาตรฐาน กลาง ในกรณีที่เรื่องทางปกครองเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้กำหนดกระบวนการ
หรือขัน้ ตอนไว้เป็นการเฉพาะ และใช้ กับหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการเรื่องในทางปกครอง
โดยเฉพาะกระบวนการที่จะนำไปสู่การมี“คำสั่งทาง ปกครอง”
ดังนั้น ผู้ที่จะต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับนี้ก็คือ “เจ้าหน้าที่”ของหน่วยงานของ
รัฐที่มีอำนาจ ในการทำคำสั่งทางปกครองนั่นเอง
(มาตรา 4 เจ้าหน้าที่ หมายความว่า บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบคุ คลซึ่งใช้ อำนาจหรือได้รับมอบให้
ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง)
คำสั่งทางปกครอง
“คําสั่งทางปกครอง” (ม.5) หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของ “เจ้าหน้าที่”
ที่มผี ลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือ
มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น
การสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรองและการรับจดทะเบียน แต่ไม่
หมายความรวมถึงการออกกฎ” และการอื่นที่กําหนดในกฎกระทรวง
ซึ่งสาระสําคัญของ “คําสั่งทางปกครอง” มีดังนี้
(1) เป็นการกระทําโดยเจ้าหน้าที่
(2) เป็นการใช้อํานาจทางปกครองตามกฎหมาย
(3) เป็นการกระทําที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล หรือมีผลกระทบต่อ
สถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล
(4) เป็นการกระทําที่มุ่งใช้บังคับแก่กรณีใด หรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
(5) เป็นการกระทําที่มีผลภายนอกโดยตรง
“กฎ” (ม.5) หมายความว่า พระราชกฤษฎีกากฎกระทรวง ประกาศกระทรวงข้อบัญญัติ
ท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ และบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทัว่ ไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้
บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
ตัวอย่าง กรณีที่เคยมีคําวินิจฉัยว่า “เป็นคําสั่งทางปกครอง”
เช่น การที่กรมบัญชีกลางคํานวณบํานาญของข้าราชการ เป็นการใช้อํานาจตามกฎหมาย
ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพสิทธิของข้าราชการจึง “เป็นคําสั่งทางปกครอง” (คําสั่งศาลปกครอง
สูงสุดที่ 12/2546)
[188]
ตัวอย่างกรณีที่เคยมีคําวินิจฉัยว่า “ไม่เป็นคําสั่งทางปกครอง”
เช่น คําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย เป็นเพียงขั้นตอนการดําเนินการภายใน
ของเจ้าหน้าที่เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ในการที่ผู้มีอํานาจ จะวินิจฉัยหรือออกคําสั่งตามความเห็น หรือ
มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีคําสั่งดังกล่าวจึง “ไม่เป็นคำสั่งทาง
ปกครอง” (คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 117/2546)
การดําเนินการของเจ้าหน้าที่ (ซึ่งมีการออกกฎกระทรวง) กําหนดให้ “เป็นคําสั่งทาง
ปกครอง”
➢ การดําเนินการเกี่ยวกับการจัดหาหรือให้สิทธิประโยชน์ ในกรณีดังต่อไปนี้
- การสั่งรับหรือไม่รับคําเสนอขายรับจ้างแลกเปลี่ยน ให้เช่าซื้อเช่า หรือให้สิทธิประโยชน์
- การอนุมัติสั่งซื้อจ้างแลกเปลี่ยน เช่าขายให้เช่า หรือให้สิทธิประโยชน์
- การสั่งยกเลิกกระบวนการพิจารณาคําเสนอ หรือการดําเนินการอื่นใดในลักษณะ
เดียวกัน
- การสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงาน
➢ การให้หรือไม่ให้ทุนการศึกษา
“เจ้าหน้าที่ผู้ออกคําสั่งทางปกครอง”จะต้องเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ในเรื่องนั้น (รวมถึง
ได้รับมอบอํานาจ) (ม.12) และดํารงอยู่ในทางกฎหมายในเวลาที่ออกคําสั่งนั้น และการออก“คําสั่ง
ทางปกครอง” ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการดําเนินงานตามที่กําหนดไว้ในกฎหมาย
➢ กรณีที่ผู้ออกคําสั่งเป็นผู้ดํารงตําแหน่ง (เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดอธิบดีฯ) ต้อง
ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ที่มีอํานาจหน้าที่ออกคําสั่งในเรื่องนั้นและต้องเป็นกลางในเรื่องที่จะ
ออกคําสั่ง
➢ กรณีผู้ออกคําสั่งเป็นคณะกรรมการ ซึ่งมีอํานาจดําเนินการพิจารณาทางปกครอง
ต้องครบองค์ประกอบของการเป็นคณะกรรมการครบองค์ประชุม มีการประชุม และต้องเป็นกลาง
“ต้องเป็นกลาง” หมายถึงต้องไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคู่กรณีและต้องไม่มีพฤติการณ์
อื่นที่ชวนให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้ว่าจะไม่เป็นกลาง ถ้าหากมีกรณีเคลือบแคลงสงสัยว่าจะ
ไม่เป็นกลางจะต้องถอนตัวจากการพิจารณา หรืออาจถูกคู่กรณีคัดค้านได้
คู่กรณี
“คู่กรณี” (ม.5) หมายความว่า ผู้ยื่นคําขอ หรือผู้คัดค้านคําขอ ผู้อยู่ในบังคับหรือจะอยู่ใน
บังคับของ “คําสั่งทางปกครอง” และผู้ซึ่งได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองเนื่องจาก
สิทธิของผู้นั้นจะถูกกระทบกระเทือนจากผลของ “คําสั่งทางปกครอง”
บุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรือนิติบุคคล อาจเป็นคู่กรณีในการพิจารณาทางปกครองได้
ตามขอบเขตที่สิทธิของตนถูกกระทบกระเทือนหรืออาจถูกกระทบกระเทือนโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ผู้มีความสามารถกระทำการในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง (ม.22) จะต้องเป็น
(๑) ผู้ซึ่งบรรลุนิติภาวะ
(๒)ผู้ซึ่งมีบทกฎหมายเฉพาะกำหนดให้มีความสามารถกระทำการในเรื่องที่กำหนด
ได้ แม้ผู้นั้นจะยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือความสามารถถูกจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์
(๓) ผู้แทนหรือตัวแทน นิติบุคคลหรือคณะบุคคลตามมาตรา ๒๑
[189]
(๔) ผู้ซึ่งมีประกาศของนายกรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายในราช
กิจจานุเบกษา กำหนดให้มีความสามารถกระทำการในเรื่องที่กำหนดได้ แม้ผู้นั้นจะยังไม่บรรลุนิติ
ภาวะหรือความสามารถถูกจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สิทธิของคู่กรณี
1.มีสิทธินำทนายความหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครอง
ในการพิจารณาทางปกครองที่คู่กรณีต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหน้าที่ คู่กรณีมีสิทธินำ
ทนายความหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครองได้
การใดที่ทนายความหรือที่ปรึกษาได้ทำลงต่อหน้าคู่กรณีให้ถือว่าเป็นการกระทำของ
คู่กรณี เว้นแต่คู่กรณีจะได้คัดค้านเสียแต่ในขณะนั้น
2. มีสิทธิแต่งตั้งให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะกระทำการอย่างใดแทนตนใน
กระบวนการพิจารณาทางปกครอง คู่กรณีสามารถแต่งตั้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะ
กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่กำหนดแทนตนในกระบวนการพิจารณาทางปกครองใด ๆ
ได้ โดยแต่งตั้งเป็นหนังสือการแต่งตั้งให้กระทำการแทนไม่ถือว่าสิ้นสุดลงเพราะความตายของ
คู่กรณีหรือการที่ความสามารถหรือความเป็นผู้แทนของคู่กรณีเปลี่ยนแปลงไป เว้นแต่ผู้สืบสิทธิ
ตามกฎหมายของคู่กรณีหรือคู่กรณีจะถอนการแต่งตั้งดังกล่าว
3. สิทธิ์ที่จะให้เจ้าหน้าที่ ดำเนินกระบวนพิจารณาทางปกครอง เฉพาะเรื่อง
ทีค่ ู่กรณีนั้น มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องทำการนั้นด้วยตนเอง
ผู้หนึ่งผู้ใดหรือจะกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ
(2) มีผลทําให้ระยะเวลาที่กฎหมายหรือกฎ กําหนดไว้ในการทําคําสั่งทางปกครองต้อง
ล่าช้าออกไป
(3) เป็นข้อเท็จจริงที่คู่กรณีนั้นเองได้ให้ไว้ในคําขอคําให้การ หรือคําแถลง
(4) โดยสภาพเห็นได้ชัดในตัวว่าการให้โอกาสดังกล่าวไม่อาจกระทําได้
(5) เป็นมาตรการบังคับทางปกครอง
(6) กรณีอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2540) ออกตาม
ความในพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ) ได้แก่ การบรรจุการแต่งตั้งการ เลื่อนขั้นเงินเดือน
การสั่งพักงาน หรือสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อน หรือการให้พ้นจากตําแหน่ง การแจ้งผลการ
สอบ หรือการวัดผลความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นต้น
การพิจารณา
ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองให้เจ้าหน้าที่แจ้งสิทธิและหน้าที่ให้คู่กรณี
ทราบตามความจำเป็นแก่กรณี
เมื่อมีผู้ย่ืนคำขอเพื่อให้เจ้าหน้าที่มีคำสั่งทางปกครอง เจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอ
ต้องดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของคำขอและความครบถ้วนของเอกสาร บรรดาที่มี
กฎหมายหรือกฎกำหนดให้ต้องยื่นมาพร้อมกับคำขอ
หากคำขอไม่ถูกต้อง ให้แนะนำให้ผู้ยื่นคำขอดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้อง
และหากมีเอกสารใดไม่ครบถ้วนให้แจ้งให้ผู้ย่ืนคำขอทราบทันทีหรือภายในไม่เกิน 7 วันนับแต่
วันที่ได้รับคำขอ
ผู้ยื่นคำขอต้องดำเนินการแก้ไขหรือส่งเอกสารเพิ่มเติมต่อเจ้าหน้าที่ภายในเวลาที่
เจ้าหน้าที่กำหนดหรือภายในเวลาที่เจ้าหน้าที่อนุญาตให้ขยายออกไป เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว
แล้ว หากผู้ยื่นคำขอไม่แก้ไขหรือส่งเอกสารเพิ่มเติมให้ครบถ้วน ให้ถือว่าผู้ยื่นคำขอไม่ประสงค์ที่จะ
ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามคำขอต่อไป ให้เจ้าหน้าที่ส่งเอกสารคืนให้ผู้ยื่นคำขอพร้อมทั้งแจ้งสิทธิ
ในการอุทธรณ์ให้ผู้ยื่นคำขอทราบ และบันทึกการดำเนินการดังกล่าวไว้
การพิจารณาทางปกครอง เจ้าหน้าที่อาจตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตามความ
เหมาะสมในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องผูกพันอยู่กับคำขอหรือพยานหลักฐานของคู่กรณี
เจ้าหน้าที่ต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ตนเห็นว่าจำเป็นแก่การพิสูจน์
ข้อเท็จจริง ในการนี้ ให้รวมถึงการดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) แสวงหาพยานหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง
(2) รับฟังพยานหลักฐาน คำชี้แจง หรือความเห็นของคู่กรณีหรือของพยานบุคคล
หรือพยานผู้เชี่ยวชาญที่คู่กรณีกล่าวอ้าง เว้นแต่เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่จำเป็น
ฟุ่มเฟือยหรือเพื่อประวิงเวลา
(3) ขอข้อเท็จจริงหรือความเห็นจากคู่กรณี พยานบุคคล หรือพยานผู้เชี่ยวชาญ
(4) ขอให้ผู้ครอบครองเอกสารส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(5) ออกไปตรวจสถานที่
คู่กรณีต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง และมีหน้าที่แจ้ง
พยานหลักฐานที่ตนทราบแก่เจ้าหน้าที่
หากมีพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญที่เจ้าหน้าที่เรียกมาให้ถ้อยคำหรือทำความเห็น
มีสิทธิได้รับค่าป่วยการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
[191]
คำสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี
ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้
คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดง
พยานหลักฐานของตน
กฎหมายกำหนดถึงการกรณีที่เจ้าหน้าที่จะไม่ให้โอกาสคู่กรณีก็ได้ หากเข้ากรณี
ดังต่อไปนี้
1) ห้ามให้โอกาสเด็ดขาด คือ การให้โอกาสดังกล่าว จะก่อให้เกิดผลเสียหาย
อย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ
2) ห้ามให้โอกาสหากเข้ากรณีดังต่อไปนี้ แต่เจ้าหน้าที่ อาจจะพิจารณา
เห็นสมควรปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้ คือ
(1) เมื่อมีความจำเป็นรีบด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหาย
อย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือจะกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ
(2) เมื่อจะมีผลทำให้ระยะเวลาที่กฎหมายหรือกฎกำหนดไว้ในการทำคำสั่งทาง
ปกครองต้องล่าช้าออกไป
(3) เมื่อเป็นข้อเท็จจริงที่คู่กรณีนั้นเองได้ให้ไว้ในคำขอ คำให้การหรือคำแถลง
(4) เมื่อโดยสภาพเห็นได้ชัดในตัวว่าการให้โอกาสดังกล่าวไม่อาจกระทำได้
(5) เมื่อเป็นมาตรการบังคับทางปกครอง
(6) กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
สิ ทธิของคู่กรณี ในการพิจารณาทางปกครอง
มีสิทธิขอตรวจดูเอกสารที่จำเป็นต้องรู้เพื่อการโต้แย้งหรือชี้แจงหรือป้องกันสิทธิ
ของตนได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ทำคำสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น คู่กรณีไม่มีสิทธิขอตรวจดูเอกสารอันเป็น
ต้นร่างคำวินิจฉัย แต่ถ้าเป็นกรณีที่ต้องรักษาไว้เป็นความลับ เจ้าหน้าที่อาจไม่อนุญาตให้ตรวจดู
เอกสารหรือพยานหลักฐานได้
รูปแบบของคำสั่งทางปกครอง
รูปแบบของคำสั่งทางปกครอง ทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้
1. หนังสือ คำสั่งทางปกครองที่ทำเป็นหนังสือ จะต้องให้เหตุผลของการออกคำสั่งด้วย
โดยกฎหมายได้กำหนดสาระสำคัญ ตาม มาตรา 36 และ มาตรา 37
“มาตรา ๓๖ คาสั่งทางปกครองที่ทาเป็ นหนังสื ออย่างน้อยต้องระบุ วัน เดือน และปี ที่ทา
คาสั่ง ชื่อและตาแหน่งของเจ้าหน้าที่ผทู ้ าคาสั่ง พร้อมทั้งมีลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ผทู ้ าคาสั่งนั้น”
“มาตรา ๓๗ คาสั่งทางปกครองที่ทาเป็ นหนังสื อและการยืนยันคาสั่งทางปกครองเป็ น
หนังสื อต้องจัดให้มีเหตุผลไว้ดว้ ย และเหตุผลนั้นอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
(๑) ข้อเท็จจริ งอันเป็ นสาระสาคัญ
(๒) ข้อกฎหมายที่อา้ งอิง
(๓) ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ
นายกรัฐมนตรี หรื อผูซ้ ่ ึงนายกรัฐมนตรี มอบหมาย อาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา
กาหนดให้คาสัง่ ทางปกครองกรณี หนึ่งกรณี ใดต้องระบุเหตุผลไว้ในคาสัง่ นั้นเองหรื อใน
เอกสารแนบท้ายคาสั่งนั้นก็ได้
[192]
การทบทวนคําสั่งโดยเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจทบทวนคําสั่ง ได้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้ออกคําสั่ง หรือผู้บังคับบัญชาของ
เจ้าหน้าที่ผู้ออกคําสั่ง หากพบว่าคําสั่งทางปกครองนั้นออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย สามารถเพิก
ถอนได้ทั้งนี้ไม่ว่าจะพ้นขั้นตอนการอุทธรณ์หรือโต้แย้งมาแล้วหรือไม่ก็ตาม
การขอให้พิจารณาใหม่
คู่กรณี มีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายใน 90 วัน (นับแต่ได้รู้ถึงเหตุซึ่งอาจขอให้มีการ
พิจารณาใหม่ได้) แม้พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว โดยขอให้พิจารณาใหม่ได้ในกรณี
(1) มีพยานหลักฐานใหม่
(2) คู่กรณีที่แท้จริงมิได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองหรือได้เข้ามาแต่ถูกตัด
โอกาส โดยไม่เป็นธรรม
(3) เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจที่จะทำคำสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(4) คำสั่งทางปกครองที่ออก โดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใด ซึ่งต่อมาข้อเท็จจริง
และข้อกฎหมายนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณี
การแจ้งวิธีการอุทธรณ์หรือโต้แย้งคาสั่งทางปกครอง (ม.40)
คำสั่งทางปกครองที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปได้ ให้ระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง
การยื่นคำอุทธรณ์หรือคำโต้แย้ง และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งดังกล่าวไว้ด้วย
ถ้ามิได้ดําเนินการระบุวิธีการอุทธรณ์หรือโต้แย้งคําสั่งทางปกครองไว้ ให้ระยะเวลาสําหรับ
การอุทธรณ์หรือการโต้แย้ง เริ่มนับใหม่ ตั้งแต่วันทีไ่ ด้รับแจ้งวิธีการอุทธรณ์หรือโต้แย้งคําสั่งนั้น
แต่ถ้าไม่มีการแจ้งใหม่และระยะเวลาดังกล่าวมีระยะเวลาสั้นกว่า 1 ปีให้ขยายเป็น 1 ปี (นับ
แต่วันที่ได้รับคําสั่งทางปกครอง)
การอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองและกำหนดเวลาการยื่นอุทธรณ์
การอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง คือ เป็นการทบทวนการตัดสินใจทางปกครอง
หลักคือ ถ้าคำสั่งทางปกครองเป็นของคณะกรรมการต่าง ๆ ไม่ว่าจะจัดตั้งขึ้นตาม
กฎหมายหรือไม่ ให้คู่กรณีมีสิทธิโต้แย้งต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามกฎหมายว่าด้วย
คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับ
แจ้งคำสั่งนั้น แต่ถ้าคณะกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท สิทธิการอุทธรณ์
และกำหนดเวลาอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามที่บัญญัติในกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา
แต่ถ้าคำสั่งทางปกครอง ไม่ได้เป็นของคณะกรรมการข้างต้น และคำสั่งทาง
ปกครองไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรี และไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้
เป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง โดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครอง
ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว
Note การอุทธรณ์ไม่เป็ นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคาสั่งทางปกครอง เว้นแต่จะมีการสั่ง
ให้ทเุ ลาการบังคับ
รูปแบบของอุทธรณ์
กฎหมายกำหนดให้ คำอุทธรณ์ต้อง ทำเป็นหนังสือ โดยระบุข้อโต้แย้ง ข้อเท็จจริงหรือข้อ
กฎหมายที่อ้างประกอบด้วย
[195]
การพิจารณาอุทธรณ์
เจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครอง จะต้องพิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
นับตั้งแต่วันได้รับอุทธรณ์ (ม.45)
เจ้าหน้าที่ สามารถพิจารณาทบทวนได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย หรือในแง่
ความเหมาะสมก็ได้ โดยอาจพิจารณาไปในทางเพิ่มภาระหรือเพิ่มเงื่อนไขก็ได้
หากเจ้าหน้าที่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์อาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ ภายในกำหนดเวลา
ดังกล่าว
ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ ให้ส่งเรื่องให้ผู้มีอำนาจพิจารณาคำ
อุทธรณ์พิจารณาต่อไป โดยต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากไม่เสร็จทันตามกำหนด
ระยะเวลาสามารถขยายระยะเวลา พิจารณาอุทธรณ์ได้อีกไม่เกิน 30 วัน
การเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง
การเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง เป็นการทำให้คำสั่งทางปกครองที่มีผลใช้บังคับอยู่ให้สิ้น
ผลในทางกฎหมาย
การเพิกถอนคำสั่งโดยเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งเอง กระทำได้ดังนี้
1) เจ้าหน้าที่ที่ทำคำสั่งเห็นสมควรเพิกถอนเอง
2) เจ้าหน้าที่ที่เพิกถอนเพราะคู่กรณีร้องขออันเป็นเรื่องพิจารณาใหม่
การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองทีช่ อบด้วยกฎหมาย (ม.53) แยกได้ดังนี้
1.คำสั่งทางปกครองทีช่ อบด้วยกฎหมายซึง่ ไม่ให้ประโยชน์แก่ผู้รับคำสั่งทางปกครอง
อาจถูกเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนโดยให้มีผลตั้งแต่ขณะที่เพิกถอนหรือมีผลในอนาคต
ไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กำหนดได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่คงต้องทำคำสั่งทางปกครองที่มีเนื้อหา
ทำนองเดียวกันนั้นอีก หรือเป็นกรณีที่การเพิกถอนไม่อาจกระทำได้เพราะเหตุอื่น ทั้งนี้ ให้
คำนึงถึงประโยชน์ของบุคคลภายนอกประกอบด้วย
2.คำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งให้ประโยชน์แก่ผู้รับคำสั่งทางปกครอง
อาจถูกเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนโดยให้มีผลตั้งแต่ขณะที่เพิกถอน หรือมีผลในอนาคต
ไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กำหนดได้เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(1) มีกฎหมายกำหนดให้เพิกถอนได้หรือมีข้อสงวนสิทธิให้เพิกถอนได้ใน
คำสั่งทางปกครองนั้นเอง
(2) คำสั่งทางปกครองนั้นมีข้อกำหนดให้ผู้รับประโยชน์ต้องปฏิบัติ แต่ไม่มีการ
ปฏิบัติภายในเวลาที่กำหนด
(3)ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหากมีข้อเท็จจริงและพฤติการณ์
เช่นนี้ในขณะทำคำสั่งทางปกครองแล้วเจ้าหน้าที่คงจะไม่ทำคำสั่งทางปกครองนั้น และหากไม่เพิก
ถอนจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะได้
(4) บทกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหากมีบทกฎหมายเช่นนี้ในขณะทำคำสั่งทาง
ปกครองแล้วเจ้าหน้าที่คงจะไม่ทำคำสั่งทางปกครองนั้น แต่การเพิกถอนในกรณีนี้ให้กระทำได้
เท่าที่ผู้รับประโยชน์ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือยังไม่ได้รับประโยชน์ตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว
และหากไม่เพิกถอนจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะได้
(5) อาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะหรือต่อ
ประชาชนอันจำเป็นต้องป้องกันหรือขจัดเหตุดังกล่าว
[196]
(2)คู่กรณีที่แท้จริงมิได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองหรือได้เข้ามา
ในกระบวนการพิจารณาครั้งก่อนแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมใน
กระบวนการพิจารณาทางปกครอง
(3) เจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจที่จะทำคำสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น
(4)ถ้าคำสั่งทางปกครองได้ออกโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใดและ
ต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่
คู่กรณี
การยื่นคำขอตามข้อ (1) (2) หรือ (3) ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคู่กรณีไม่อาจทราบ
ถึงเหตุนั้นในการพิจารณาครั้งที่แล้วมาก่อนโดยไม่ใช่ความผิดของผู้นั้น
การยื่นคำขอให้ พิจารณาใหม่ต้องกระทำภายใน 90 วันนับแต่ผู้น้ันได้รู้ถึงเหตุ
ซึ่งอาจขอให้พิจารณาใหม่ได้
การบังคับทางปกครอง
เพื่อให้คู่กรณีปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงได้มีการ
กำหนดมาตรการบังคับขึ้นในกรณีที่ผู้รับคำสั่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครอง โดยกำหนดให้
เจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองอาจใช้มาตรการบังคับเพื่อให้มีการปฏิบัติตามคำสั่ง
วิธีที่ 1 บังคับโดยหน่วยงานของรัฐเอง
วิธีที่ 2 บังคับโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี
วิธีที่ 1 บังคับโดยหน่วยงานของรัฐเอง
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่มีคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงิน ถ้าถึงกำหนดแล้วไม่มีการ
ชำระโดยถูกต้องครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครอง เตือนโดยทำเป็นหนังสือ ให้ชำระ
ภายในระยะเวลาที่กำหนดแต่ต้องไม่น้อยกว่า 7 วัน ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามคำเตือน เจ้าหน้าที่มี
อำนาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้นั้นและขายทอดตลาดเพื่อ
ชำระเงินให้ครบถ้วนได้
Note ในการดำเนินการยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน ถือเป็นใช้มาตรการบังคับทาง
ปกครอง ต้องมีการแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับทางปกครอง
กำหนดเวลาการยึด การอายัด
เจ้าพนักงานบังคับทางปกครอง ต้องยึด หรืออายัดทรัพย์สิน ภายใน 10 ปีนับแต่คำสั่งให้
ชำระเงินเป็นที่สุด
หากหน่วยงานของรัฐออกคำสั่งให้ชำระเงินได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินแล้ว แต่ยังไม่ได้รับ
ชำระเงินครบถ้วน และล่วงพ้น 10 ปีแล้ว จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมอีกมิได้ เว้นแต่ การ
ขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น ซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัดไว้เพื่อชำระเงิน
ค่าธรรมเนียม ค่าตอบแทน หรือค่าใช้จ่ายอื่นในการบังคับทางปกครอง ให้กระทำได้แม้พ้น 10 ปี
แล้ว
คำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็นที่สุด ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ไม่มีการอุทธรณ์คำสั่งต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองภายในระยะเวลาอุทธรณ์
(2)เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ และไม่มีการฟ้อง
คดีต่อศาลภายในระยะเวลาการฟ้องคดี
(3)ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษายกฟ้องหรือเพิกถอนคำสั่งบางส่วนและคดีถึงที่สุด
แล้ว
อำนาจของเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่ง (ม.63/10)
เพื่อประโยชน์ในการบังคับทางปกครอง ให้เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งใช้มาตรการ
บังคับทางปกครองมีอำนาจ
(1) มีหนังสือสอบถามสถาบันการเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์เครดิตยูเนียน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรมที่ดิน กรมการขนส่งทางบก กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือ
หน่วยงานอื่นของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมทรัพย์สินที่มีทะเบียน เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับ
ของมาตรการบังคับทางปกครอง
(2) มีหนังสือขอให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่นผู้มีอำนาจ
หน้าที่ตามกฎหมาย ระงับการจดทะเบียนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน
ของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองไว้เป็นการชั่วคราวเท่าที่จำเป็นเนื่องจากมี
เหตุขัดข้องที่ทำให้ไม่อาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินได้ทันที และเมื่อเหตุขัดข้องสิ้นสุดลงให้แจ้งยกเลิก
หนังสือดังกล่าว ทั้งนี้ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการระงับการจดทะเบียนหรือแก้ไข
เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
หน่วยงานตาม (1) ที่ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งไม่เป็นความผิดตาม
กฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ
กฎหมายอื่น
[199]
ผู้ไม่ปฏิบัติตามหนังสือของเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งใช้มาตรการบังคับทางปกครอง
โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
อำนาจการสืบทรัพย์ (ม.63/11)
ในการสืบหาทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครอง หน่วยงานของรัฐที่ออก
คำสั่งให้ชำระเงิน สามารถขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดหรือหน่วยงานอื่นดำเนินการสืบหา
ทรัพย์สินแทนได้ โดยให้หน่วยงานดังกล่าวมีอำนาจ ตามมาตรา 63/10 ด้วย
การให้เอกชนสืบหาทรัพย์สินแทน
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงิน ไม่มีเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการสืบหา
ทรัพย์สิน และหากจำนวนเงินที่ต้องชำระตามมาตรการบังคับทางปกครองนั้น มีมูลค่าตั้งแต่
2,000,000 บาทขึ้นไปหรือตามมูลค่าที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยกฎกระทรวง หน่วยงานของรัฐอาจ
มอบหมายให้เอกชนสืบหาทรัพย์สินแทนได้
เอกชนที่สืบทรัพย์และพบทรัพย์สิน มีสิทธิ์รับค่าตอบแทนไม่เกินร้อยละ 2.5 จากเงินหรือ
ทรัพย์สินที่ได้มาจากการยึด อายัด หรือขายทอดตลาด แต่จำนวนเงินค่าตอบแทนสูงสุด ต้องไม่
เกิน 1,000,000 บาทต่อจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น หรือตามจำนวน
ที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยกฎกระทรวง
Note หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเอกชนที่สืบหาทรัพย์สิน การกำหนดค่าตอบแทน และวิธีการจ่าย
ค่าตอบแทน ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการยึด การอายัด และการขายทอดตลาดทรัพย์สิน (ม.63/12)
ปกติแล้ว ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง เว้นแต่ กรณีที่
กฎกระทรวงไม่ได้กำหนดเรื่องใดไว้ ให้นำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมา
ใช้บังคับโดยอนุโลม โดยให้ถือว่า
(1) เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หมายถึง หน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงิน
(2) ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หมายถึง ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทาง
ปกครอง
(3) อำนาจของศาลในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดี เป็นอำนาจของหัวหน้า
หน่วยงานของรัฐ ทั้งนีต้ ามที่กำหนดในกฎกระทรวง
(4) เจ้าพนักงานบังคับคดี หมายถึง เจ้าพนักงานบังคับทางปกครอง
การโต้แย้งหรือการใช้สิทธิทางศาล
เกี่ยวกับการยึด การอายัด และการขายทอดตลาดทรัพย์สิน (ม.63/13)
การโต้แย้งหรือการใช้สิทธิทางศาลเกี่ยวกับการยึด การอายัด และการขายทอดตลาด
ทรัพย์สิน กระทำโดยผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครอง รวมทั้งบุคคลภายนอกผู้มีส่วน
ได้เสียเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัด ให้เสนอต่อศาล ดังต่อไปนี้
(1) ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
ศาลเยาวชนและครอบครัว หรือศาลชำนัญพิเศษอื่น แล้วแต่กรณี ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจในการ
พิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับคำสั่งที่มีการบังคับทางปกครองนั้น
(2) ศาลปกครอง สำหรับกรณีอื่นที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับ (1)
Note กรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่น ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องอื่นใด
ของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครอง เพื่อนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา ให้
หน่วยงานของรัฐ (ที่ออกคำสั่งให้ชำระเงิน) มีสิทธิขอเข้าเฉลี่ยได้เช่นเดียวกับเจ้าหนี้ตามคำ
พิพากษา (ม.63/14)
[200]
วิธีที่ 2 บังคับโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี
กรณีที่มีการบังคับให้ชำระเงินและคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็น
ที่สุดแล้ว ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐ จะบังคับทางปกครองไปแล้วแต่ได้เงินไม่ครบหรือยังไม่ได้บังคับ
ทางปกครอง ก็ตาม หน่วยงานของรัฐ สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดี
ดำเนินการบังคับให้ชำระเงินแทน ได้ ซึง่ กฎหมายกำหนดว่าให้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลภายใน
10 ปีนับแต่วันที่คำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็นที่สุด
Note หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
• เขตอำนาจศาล ที่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด หรือทำคำสั่งในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการ
บังคับคดี และเป็นศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดี คือ
1) ศาลที่ผู้อยู่ในบังคับ มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือ
2) ศาลที่ทรัพย์สินที่จะถูกบังคับทางปกครองนั้นตั้งอยู่ในเขตศาล
และต้องปรากฏว่า ไม่เคยยื่นคำขอในเรื่องดังกล่าวต่อศาลอื่นมาก่อน
ศาลที่รับคำขอ อาจเป็นศาลจังหวัด ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี หรือ
ศาลแพ่งอื่นในกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี
กรณีคำขอซึ่งอาจยื่นต่อศาลได้มากกว่าหนึ่งศาล ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของผู้อยู่
ในบังคับ หรือเพราะที่ตั้งของทรัพย์สินที่ถูกบังคับทางปกครองก็ดี หรือเพราะมีผู้อยู่ในบังคับของ
มาตรการบังคับทางปกครองหลายคนในมูลหนี้ที่เกี่ยวข้องกันก็ดี จะยื่นคำขอต่อศาลใดศาลหนึ่งก็
ได้
• เมื่อศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว การบังคับคดี จะดำเนินการตามกระบวนการบังคับ
คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ถ้าศาลเห็นว่าคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็นที่สุ ดแล้ว ศาลจะออกหมาย
บังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและแจ้งให้เจ้า พนักงานบังคับคดีทราบเพื่อดำเนินการต่อไป
โดยถือว่าหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และให้ถือว่าผู้อยู่
ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเข้าสู่กระบวนการบังคับ
คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
การงดบังคับคดี
แม้ว่าศาลจะรับคำขอไว้แล้ว แต่กฎหมายได้กำหนดกรณีที่ผู้อยู่ในบังคับของคำสั่ง
ทางปกครอง สามารถขอให้ศาลงดการพิจารณาไว้ก่อนได้ (ตาม ม.63/16) ดังนี้
ผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครอง ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีอำนาจในการออกหมายบังคับ
คดี เพื่อขอให้สั่งงดการบังคับคดีไว้ก่อน หากศาลพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งให้งดการบังคับคดี
ศาลจะส่งคำสั่งไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ และเจ้าพนักงานบังคับคดี จะงดการบังคับคดีไว้
ภายในระยะเวลาหรือเงื่อนไขตามที่ศาลกำหนด รวมทั้งส่งคำบอกกล่าวงดการบังคับคดีให้
หน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินและบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียทราบโดยไม่ชักช้า
หลักเกณฑ์ท่ขี อให้ศาลงดการพิจารณาไว้ก่อน
1.มีการขอให้พิจารณาคำสั่งทางปกครองที่เป็นที่สุดแล้วนั้นใหม่ หรือ
2.มีการฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิจารณาเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครองที่เป็นที่สุดแล้วใหม่ หรือ
3. มีการขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่และหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงิน หรือ
[201]
ศาลมีคำสั่งให้รับคำขอหรือได้ รับคำฟ้องไว้พิจารณา
ถ้าหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงิน ยื่นคำร้องว่าอาจได้รับความเสียหายและมี
พยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงการบังคับคดี ศาลมี
อำนาจสั่งให้ผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครองวางเงินหรือหาประกันตามที่ศาลเห็นสมควร
ภายในระยะเวลาที่ศาลจะกำหนด เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่หน่วยงานของรัฐ
สำหรับความเสียหายที่อาจได้รับเนื่องจากเหตุเนิ่นช้าในการบังคับคดี อันเกิดจากการยื่นคำร้องนั้น
หรือกำหนดวิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองอย่างใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้ ถ้าผู้อยู่ในบังคับของ
คำสั่งทางปกครองไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลสั่งให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป
เพิกถอนการบังคับคดี
การเพิกถอนการบังคับคดี จะทำได้ต้องมีคำสั่งให้ทบทวนคำสั่งทางปกครองที่
เป็นที่สุดนั้นใหม่ ซึ่งผู้ที่จะทบทวนคำสั่งได้ คือ
1. หน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงิน หรือ
2.ศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครองที่
กำหนดให้ชำระเงิน
เมื่อมีคำสั่งให้ทบทวนคำสั่งทางปกครองที่เป็นที่สุดนั้นใหม่ ให้หน่วยงานของรัฐ
ที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินยื่นคำร้องต่อศาลที่มีอำนาจออกหมายบังคับคดี เพื่อเพิกถอนการบังคับคดี
ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
ในกรณีที่ศาลเห็นว่าเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับสู่ฐานะเดิม หรือเมื่อศาล
เห็นว่าไม่จำเป็ นที่จ ะบังคับ ให้เป็น ไปตามหมายบังคับ คดีต่อ ไป เพื่อ ประโยชน์แ ก่คู่ค วามหรือ
บุคคลภายนอก ให้ศาลมีอำนาจสั่งอย่างใด ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควร และแจ้งให้เจ้าพนักงาน
บังคับคดีทราบ
อำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดี ( นำ ม.63/10 มาใช้)
เพื่อประโยชน์ในการบังคับทางปกครอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดี มีอำนาจ
(1) มีหนังสือสอบถามสถาบันการเงิน สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์เครดิตยูเนียน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรมที่ดิน กรมการขนส่งทางบก กรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือ
หน่วยงานอื่นของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมทรัพย์สินที่มีทะเบียน เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของ
มาตรการบังคับทางปกครอง
(2) มีหนังสือขอให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่นผู้มีอำนาจ
หน้าที่ตามกฎหมาย ระงับการจดทะเบียนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน
ของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองไว้เป็นการชั่วคราวเท่าที่จำเป็นเนื่องจากมี
เหตุขัดข้องที่ทำให้ไม่อาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินได้ทันที และเมื่อเหตุขัดข้องสิ้นสุดลงให้แจ้งยกเลิก
หนังสือดังกล่าว ทั้งนี้ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการระงับการจดทะเบียนหรือแก้ไข
เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
หน่วยงานตาม (1) ที่ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ธุรกิจสถาบันการเงิน กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกฎหมายอื่น
ผู้ไม่ปฏิบัติตามหนังสือของเจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งใช้มาตรการบังคับทางปกครอง
โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
[202]
การสืบทรัพย์
หน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงิน ต้องเป็นผู้ดำเนินการสืบทรัพย์ และแจ้ง
ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดี
ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินภายใน 10 ปีนับแต่วันที่คำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงิน
เป็นที่สุด (มิให้นำระยะเวลาระหว่างการงดการบังคับคดีตามคำสั่งศาล มารวมในระยะเวลา 10 ปี)
เรื่องการสืบทรัพย์ เพื่อประโยชน์ในการบังคับคดี ให้นำความในมาตรา 63/11 มาใช้บังคับ
กับการสืบหาทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองด้วย นั่นก็คือ
ในการสืบหาทรัพย์สินของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครอง สามารถขอให้
สำนักงานอัยการสูงสุดหรือหน่วยงานอื่นดำเนินการสืบหาทรัพย์สินแทนได้ โดยให้หน่วยงาน
ดังกล่าวมีอำนาจ ตามมาตรา 63/10 ด้วย รวมถึงการให้เอกชนสืบหาทรัพย์สินแทน
การให้เอกชนสืบหาทรัพย์สินแทน ยังคงเป็นกรณีทหี่ น่วยงานของรัฐ ที่ออกคำสั่ง
ให้ชำระเงิน ไม่มีเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการสืบหาทรัพย์สิน และจำนวนเงินที่ต้องชำระตาม
มาตรการบังคับทางปกครองนั้น มีมูลค่าตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไปหรือตามมูลค่าที่กำหนด
เพิ่มขึ้นโดยกฎกระทรวง หน่วยงานของรัฐ อาจมอบหมายให้เอกชนสืบหาทรัพย์สินแทนได้
เอกชนที่สืบทรัพย์และพบทรัพย์สิน มีสิทธิ์รับค่าตอบแทนไม่เกินร้อยละ 2.5 จาก
เงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการยึด อายัด หรือขายทอดตลาด แต่จำนวนเงินค่าตอบแทนสูงสุด
ต้องไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำสั่งทางปกครองในเรื่องนั้น หรือตาม
จำนวนที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยกฎกระทรวง
Note หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเอกชนที่สืบหาทรัพย์สิน การกำหนดค่าตอบแทน และ
วิธีการจ่ายค่าตอบแทน ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
จุดเน้น ผู้เขียน ให้ความสำคัญกับเนื้อหาในส่วนนี้ เนื่องจากเป็นส่วนที่โยงเรื่องของ ป.วิแพ่ง
ในส่วนของการบังคับคดี ด้วย (เนื่องจากหลายหน่วยงาน ..เน้นไปที่การโยงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกัน
แล้ว ป.วิปกครอง จะเชื่อมโดยงกับ ป.วิแพ่ง ในส่วนของการบังคดี)
2.การบังคับตามคำสั่งทางปกครองให้กระทำหรือละเว้นกระทำ
เช่น สั่งให้ยุติการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย สั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำทางสาธารณะ
คำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้กระทำหรือละเว้นกระทำ ถ้าผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทาง
ปกครองฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม เจ้าหน้าที่อาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองอย่างหนึ่งอย่างใด
ดังต่อไปนี้
(1) ให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการด้วยตนเองหรือมอบหมายให้บุคคลอื่นกระทำการแทน
โดยผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครองจะต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายและเงินเพิ่มรายวันในอัตราร้อยละ
25 ต่อปีของค่าใช้จ่ายดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่นั้นสังกัด
(2) ให้ชำระค่าปรับบังคับการตามจำนวนที่สมควรแก่เหตุ แต่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน
แต่ก่อนที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามข้างต้น เจ้าหน้าที่ต้องมีคำเตือนเป็น
หนังสือให้กระทำหรือละเว้นกระทำตามคำสั่งทางปกครองภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสมควร
แก่กรณี
ซึ่งคำเตือนเป็นหนังสือ จะกำหนดไปพร้อมกับคำสั่งทางปกครองก็ได้
คำเตือนเป็นหนังสือ อย่างน้อยต้องระบุ
(1) มาตรการบังคับทางปกครอง ที่จะใช้ให้ชัดแจ้ง แต่จะกำหนดมากกว่า 1 มาตรการใน
คราวเดียวกันไม่ได้
[203]
ความรู้เกี่ยวกับความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
เหตุผลในการตรากฎหมาย พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.
2539 คือ เจ้าหน้าที่ปฏิบตั ิหน้าที่ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตนเอง เมื่อเกิดความเสี ยหาย หาก นา
ป.พ.พ.มาบังคับ อาจไม่เหมาะสม เพราะบางกรณี เจ้าหน้าที่ที่อาจกระทาโดยไม่ต้ งั ใจหรื อ
ผิดพลาดเล็กน้อย และหลักลูกหนี้ร่วม ทาให้ตอ้ งรับผิดในการกระทาของเจ้าหน้าที่อื่นด้วย
เจ้าหน้าที่จะไม่กล้าตัดสิ นใจเพราะเกรงต้องรับผิด บัน่ ทอนขวัญกาลังใจ พระราชบัญญัติฯนี้ จึง
คุม้ ครอง จนท. ที่ปฏิบตั ิหน้าที่สุจริ ต และใช้ความระมัดระวังตามสมควร
พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กาหนดให้หน่วยงาน
ของรัฐ ต้องรับผลของการละเมิดจากการปฏิบตั ิงานตามหน้าที่ของข้าราชการ, พนักงาน ,ลูกจ้าง
จะฟ้องร้อง เรี ยกค่าเสี ยหายจากข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ไม่ได้ ต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐ
เว้ นแต่ การกระทาของข้ าราชการ พนักงาน ลูกจ้ าง เป็ นการจงใจกระทา เพือ่ การเฉพาะตัว หรือจงใจให้
เกิดความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ ออย่ างร้ ายแรง เท่ านั้น
คาว่า “ละเมิด” เป็ นการละเมิดตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งบัญญัติวา่ "ผู้ใดจงใจหรื อประมาทเลินเล่ อทาต่ อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้ เขาเสียหายถึง
แก่ ชีวิตก็ดี แก่ ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรี ภาพก็ดี ทรั พย์สินหรื อสิ ทธิ อย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่ านว่ า
ผู้นั้น ทาละเมิดจาต้ องใช้ ค่าสิ นไหมทดแทนเพื่อการนั้น"
[204]
แยกองค์ประกอบได้ดงั นี้
(1) มีการกระทา หมายถึง การเคลื่อนไหวร่ างกายโดยรู ้สานึกในการ เคลื่อนไหวนั้น
และอยูใ่ นบังคับของจิตใจผูก้ ระทา และรวมถึงการงดเว้นการกระทาที่ตนมี หน้าที่ตามกฎหมาย
ที่ตอ้ งกระทา และการงดเว้นนั้นเป็ นเหตุให้เกิดความเสี ยหายขึ้น
(2) โดยจงใจหรื อประมาทเลินเล่อ
- โดยจงใจ หมายถึง รู ้สานึกถึงผลหรื อความเสี ยหายจากการกระทาของตน
- โดยประมาทเลินเล่อ หมายถึง เป็ นการกระทาโดยปราศจากความ ระมัดระวัง ซึ่ง
บุคคลในภาวะเช่นนั้นจาต้องมี โดยต้องเปรี ยบเทียบกับบุคคลที่ตอ้ งมีความ ระมัดระวังตาม
พฤติการณ์ และตามฐานะในสังคมเช่นเดียวกับผูก้ ระทาความเสี ยหาย
(3) โดยผิดกฎหมาย เป็ นการกระทาโดยไม่มีอานาจหรื อไม่มีสิทธิหรื อ โดยมิชอบด้วย
กฎหมาย (unlawful) และรวมความถึงการใช้อานาจที่มีอยูเ่ กินส่วนหรื อใช้ อานาจตามกฎหมาย
เพื่อกลัน่ แกล้งผูอ้ ื่น
(4) เกิดความเสี ยหายแก่บุคคลอื่น
- ความเสี ยหายนั้นจะเป็ นความเสี ยหายที่เกิดแก่ชีวิต ร่ างกาย อนามัย เสรี ภาพ ทรัพย์สิน
หรื อสิ ทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ แต่ตอ้ งเป็ นความเสี ยหายที่แน่นอน ไม่วา่ จะเกิดขึ้นแล้วใน
ปัจจุบนั หรื อจะเกิดขึ้นในอนาคตก็จะต้องเป็ นความเสี ยหายที่จะเกิดขึ้น อย่างแน่นอน
- ความเสี ยหายจะต้องเกิดจากผลโดยตรงของผูก้ ระทาด้วย
ภาพรวมของกฎหมาย
ม. 4 ความหมาย (เจ้าหน้าที่ และ หน่วยงานของรัฐ) จุดเน้ น
ม. 5 การกระทาละเมิดต่อบุคคลภายนอกอันเกิดจากการปฏิบตั ิหน้าที่ จุดเน้ น
ม. 6 การกระทาละเมิดต่อบุคคลภายนอกที่ไม่เกิดจากการปฏิบตั ิหน้าที่ จุดเน้ น
ม. 7 หน่วยงานเจ้าหน้าที่ มีสิทธิขอให้ ศาลเรี ยกอีกฝ่ ายหนึ่งเข้ามาในคดีได้
ม. 8 สิ ทธิไล่เบี้ยของหน่วยงาน (จงใจ หรื อประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง) จุดเน้ น
ม. 9 อายุความใช้สิทธิไล่เบี้ย จุดเน้ น
ม. 10 การกระทาละเมิดต่อหน่วยงานที่เกิด/ไม่ใด้เกิด จากการปฏิบตั ิหน้าที่ จุดเน้ น
ม. 11 ผูเ้ สี ยหายเรี ยกให้หน่วยงานพิจารณาชดใช้ค่าเสี ยหาย (ต้องออกใบรับให้)
ม. 12 หน่วยงานออกคาสั่งเรี ยกให้เจ้าหน้าที่ชาระเงินค่าสิ นไหมทดแทน จุดเน้ น
ม. 13 ให้ ครม.มีอานาจออกระเบียบให้เจ้าหน้าที่รับผิดผ่อนชาระ
ม. 14 จัดตั้ง "ศาลปกครอง" ให้สิทธิร้องทุกข์ ครท. ถือเป็ นสิ ทธิฟ้องคดี
บทนิยามศัพท์ที่น่าสนใจ คือ
เจ้าหน้าที่” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่นไม่ว่า
จะเป็นการแต่งตัง้ ในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใดบรรดาซึ่งได้รับแต่งตั้งหรือถูกสั่งให้ปฏิบัติงาน
ให้แก่หน่วยงานของรัฐ
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
[205]
แผนผังสรุป
1.7 ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป
- หลักกฎหมายแพ่ง - หลักกฎหมายอาญา
หลักกฎหมายทั่วไป
มนุษย์จำเป็นต้องมีกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน เพื่อให้สังคม เกิดความเป็น
ระเบียบเรียบร้อยและสงบสุขมนุษย์เป็นสัตว์สังคม โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ไม่สามารถที่จะ
ดำรงชีวิตอยู่คนเดียวได้ จึงต้องรวมกันอยู่เป็นหมู่เป็นพวก การที่มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นจำนวน
มาก จำเป็นที่ต้องมีการติดต่อกัน เพื่อแลกเปลี่ยนปัจจัยในการดำรงชีวิต บางครั้งมนุษย์ก็มีความ
ต้องการที่จะทำอะไร ๆ ตามใจตนเองบ้าง ซึ่งการกระทำนั้นอาจเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ จนเกิด
ความขัดแย้งวุ่นวายขึ้นมาได้ มนุษย์จึงต้องสร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติ
ของสมาชิกในสังคม เพื่อให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยสงบสุข กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่า
บรรทัดฐานทางสังคม (Social Norms) ประกอบด้วย
1. วิถีชาวบ้าน (Folkways) เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่อยู่ในรูปของประเพณีนิยม
ที่สมาชิกในสังคมปฏิบัติสืบต่อกันมา ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกติฉินนินทาว่าร้าย เช่น การแต่ง
กาย กิริยามารยาททางสังคมในโอกาสต่าง ๆ เป็นต้น
2. จารีต (Mores) เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่ยึดหลักความดีความชั่ว กฎเกณฑ์
ทางศาสนา เป็นเรื่องของความรู้สึกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก หากใครละเมิดฝ่าฝืนจะได้รับการต่อต้าน
จากสมาชิกในสังคมอย่างจริงจัง อาจถูกกีดกันออกจากสังคม หรือไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย เช่น
การลักเล็กขโมยน้อย การเนรคุณบิดามารดา หรือผู้มีพระคุณ เป็นต้น
[210]
การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของคณะรัฐมนตรีโดยข้อเสนอแนะของ
ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เพื่อก่อให้รัฐสภาพิจารณาได้ต่อเมื่อมีมติ
คณะรัฐมนตรีแล้วและร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องดำเนินการตาม
หลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2560
3) พระราชบัญญัติ คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของ
รัฐสภา เนื้อหาของพระราชบัญญัตินั้น จะกำหนดเนื้อหาในเรื่องใดก็ได้ แต่ต้องไม่ขัดหรือ แย้งกับ
บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญทั่วไป เนื้อหาของพระราชบัญญัติ จะมี
ลักษณะกำหนดกฎเกณฑ์เป็นการทัว่ ไปในการก่อตั้ง เปลี่ยนแปลง กำหนดขอบเขตแห่งสิทธิและ
หน้าที่ของบุคคล ตลอดจนจำกัดสิทธิเสรีภาพ ของบุคคลได้ตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้
สำหรับกระบวนการในการตราพระราชบัญญัตินั้น การเสนอร่างพระราชบัญญัติของผู้มี
สิทธิเลือกตั้ง ไม่น้อยกว่า 10,000 คนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวง
ชนชาวไทย หรือหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดย
เข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่กำหนดไว้
4) พระราชกำหนด ให้กระทําได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรี เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มี
ความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีสามารถตราพระราชกำหนดเองได้
ภายใต้เงื่อนไขสําคัญที่รัฐธรรมนูญบัญญัติเช่น ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความ
ปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ
ป้องปัดภัยพิบัติ สาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่น
พระราชบัญญัติก็ได
5) พระราชกฤษฎีกา เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดย
อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด เพื่อใช้ในการบริหารราชการ
แผ่นดิน โดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี มีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวล
กฎหมาย และพระราชกำหนด
การตราพระราชกฤษฎีกา รัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องจะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดนั้นๆ เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา
โดยร่างพระราชกฤษฎีกานั้น จะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดที่
เกี่ยวข้อง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จะต้องนำร่างพระราชกฤษฎีกา ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
พระมหากษัตริย์เพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกานั้นๆ นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราช
โองการ จากนั้นจึงนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา บังคับใช้ต่อไป
6) กฎกระทรวง เป็นบทบัญญัติที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงออก โดยอาศัยอำนาจตาม
พระราชบัญญัติ หรือบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีฐานะเท่าพระราชบัญญัติ เป็นต้นว่า ประมวล
กฎหมาย พระราชกำหนด, เดิมเรียกว่า กฎเสนาบดี
การออกกฎกระทรวง จะต้องไม่ขัดต่อบทกฎหมายใดๆ โดยศาลมีอำนาจในการพิจารณา
กฎกระทรวงว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ หากขัดต่อกฎหมาย ก็ไม่สามารถใช้บังคับได้[แก้]การตรา
กฎกระทรวง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ผู้รักษาอำนาจตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด ซึ่งให้
อำนาจรัฐมนตรีกระทรวงนั้นๆ ออกกฎกระทรวงจะเป็นผู้เสนอร่างกฎกระทรวงต่อคณะรัฐมนตรี
[213]
ตัวอย่างสัญญา
สัญญาซื้อ - ขาย คือ สัญญาที่ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์ สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตก
ลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย (การโอนกรรมสิทธิ์ หมายถึง การโอนความเป็น เจ้าของ
ในทรัพย์สิน ที่ซื้อขายนั้นไปให้แก่ผู้ซื้อ ผู้ซื้อเมื่อ ได้เป็นเจ้าของก็สามารถที่จะใช้ ได้รับประโยชน์
หรือจะขายต่อไปอย่างไรก็ได้)
สัญญาขายฝาก เป็นสัญญาซื้อขายซึ่งสิทธิแห่งความเป็นเจ้าของ ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ
โดยผู้ซื้อตกลงในขณะทำสัญญาว่า ผู้ขายมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ภายในกำหนดเวลาเท่าใด แต่
ต้องไม่เกินเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น ขายที่ดินโดยมีข้อตกลงว่า ถ้าผู้ขายต้องการซื้อคืน ผู้ซื้อ
จะยอมขายคืนเช่นนี้ ถือว่าเป็นข้อตกลงให้ไถ่คืนได้
การเช่าทรัพย์ คือสัญญาที่มีบุคคลอยู่สองฝ่าย ฝ่ายแรกคือผู้ให้เช่า ฝ่ายที่สองคือผู้เช่า ทั้ง
สองฝ่ายต่างก็มีหนี้ ที่จะต้องชำระให้แก่กันและกัน โดยฝ่ายผู้ให้เช่ามีหนี้ที่จะต้องให้ผู้เช่าได้ใช้หรือ
ได้รับประโยชน์ในทรัพย์ที่เช่า ส่วนฝ่ายผู้เช่าก็มีหนี้ ที่จะต้องชำระค่าเช่าเป็นการตอบแทน
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของ ฝ่ายที่จะต้องรับผิดตามสัญญา
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นานเกินกว่า 3 ปี หรือมีกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าต้อง
นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
- ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้เช่าในสภาพที่ซ่อมแซม ดีแล้ว
- ผู้เช่าต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่า เหมือนทรัพย์สินของตนเอง และยอม ให้ผู้ให้เช่าตรวจตรา
ทรัพย์สินเป็นครั้งคราว และไม่ดัดแปลงหรือต่อ เติมทรัพย์สิน ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้ให้
เช่า
- ผู้เช่าต้องส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า ให้แห่ผู้ให้เช่าในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว เมื่อสัญญาเช่านั้น
สิ้นสุดลง
สัญญาเช่าซื้อ คือ สัญญาที่เจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินของตนออกให้ผู้อื่นเช่า เพื่อใช้
สอยหรือเพื่อให้ได้รับประโยชน์ และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์นั้น หรือจะให้ทรัพย์สินที่เช่าตกเป็น
สิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ เมื่อได้ใช้เงินจนครบตามที่ตกลงไว้โดยการชำระเป็นงวดๆ จนครบตามข้อตกลง
สัญญาเช่าซื้อมิใช่สัญญาซื้อขายผ่อนส่ง แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันเรื่องชำระราคา
เป็นงวด ๆ ก็ตาม เพราะการซื้อขายผ่อนส่งนั้นกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินเป็น ของผู้ซื้อทันทีขณะทำ
สัญญาไม่ต้องรอให้ชำระราคาครบแต่ประการใด ส่วนเรื่องสัญญาเช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าบอกเลิกสัญญา
บรรดาเงินที่ได้ชำระแล้ว ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้า
ครอบครองทรัพย์สินที่เช่าได้
สัญญากู้ยืมเงิน เป็นสัญญาอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่า "ผู้กู้" มี
ความ ต้องการจะใช้เงิน แต่ตนเองมีเงินไม่พอ หรือไม่ มี เงินไปขอกู้ยืมจากบุคคลอีกคนหนึ่ง
เรียกว่า "ผู้ให้กู้" และผู้กู้ตกลงจะใช้คืน ภายในกําหนดเวลาใดเวลาหนึ่ง การกู้ยืมจะมีผล สมบูรณ์ก็
ต่อเมื่อ มีการส่ง มอบเงินที่ยืมให้แก่ผู้ที่ให้ยืมในการกู้ยืมนี้ ผู้ให้กู้จะคิดดอกเบี้ย หรือไม่ก็ได้
- ตามกฎหมายก็วางหลักเอาไว้ว่า “การกู้ยืมเงินกันกว่า 2,000 บาท ขึ้ นไปนั้น จะต้องมี
หลักฐานในการกู้ยืมเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อของคนยืมเป็นสําคัญ จึงจะ
ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้”
- ดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงิน กฎหมาย ได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดที่ ผู้ให้กู้สามารถเรียก
[219]
ผลแห่งหนี้
ที่น่าสนใจ จะเป็นเรื่องบุริมสิทธิ
มาตรา ๒๕๑ ผู้ทรงบุริมสิทธิย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในการที่จะ
ได้รับชำระหนี้อันค้างชำระแก่ตน จากทรัพย์สินนั้นก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ โดยนัยดังบัญญัติไว้ใน
ประมวลกฎหมายนี้ หรือบทกฎหมายอื่น
มาตรา ๒๕๒ บทบัญญัติแห่งมาตรา ๒๔๔ นั้น ท่านให้ใช้บังคับตลอดถึงบุริมสิทธิด้วย
ตามแต่กรณี
1. บุริมสิทธิสามัญ
มาตรา ๒๕๓ ถ้าหนี้มีอยู่เป็นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่งอย่างใดดังจะกล่าว
ต่อไปนี้ บุคคลผู้นั้นย่อมมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ คือ
(๑) ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน
(๒) ค่าปลงศพ
(๓) ค่าภาษีอากร และเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้แก่ลูกหนี้ซึ่งเป็น
นายจ้าง
(๔) ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็นประจำวัน
มาตรา ๒๕๔ บุริมสิทธิในมูลค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกันนั้นใช้สำหรับเอา
ค่าใช้จ่ายอันได้เสียไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้หมดทุกคนร่วมกัน เกี่ยวด้วยการรักษา การชำระ
บัญชี หรือการเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้
ถ้าค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้หมดทุกคนไซร้ บุริมสิทธิย่อมจะ
ใช้ได้แต่เฉพาะต่อเจ้าหนี้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการนั้น
มาตรา ๒๕๕ บุริมสิทธิในมูลค่าปลงศพนั้น ใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายในการปลงศพตาม
ควรแก่ฐานานุรูปของลูกหนี้
มาตรา ๒๕๖ บุริมสิทธิในมูลค่าภาษีอากรนั้น ใช้สำหรับเอาบรรดาค่าภาษีอากรใน
ที่ดิน ทรัพย์สิน หรือค่าภาษีอากรอย่างอื่นที่ลูกหนี้ยังค้างชำระอยู่ในปีปัจจุบันและก่อนนั้นขึ้นไปอีก
ปีหนึ่ง
มาตรา ๒๕๗๒ บุริมสิทธิในเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้แก่ลูกหนี้ซึ่ง
เป็นนายจ้างนั้น ให้ใช้สำหรับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด
ค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ และเงินอื่นใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้ นับถอยหลัง
ขึ้นไปสี่เดือน แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งแสนบาทต่อลูกจ้างคนหนึ่ง
มาตรา ๒๕๘ บุริมสิทธิในมูลค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็นประจำวันนั้นใช้
สำหรับเอาค่าเครื่องอุปโภคบริโภค ซึ่งยังค้างชำระอยู่นับถอยหลังขึ้นไปหกเดือน เช่น ค่าอาหาร
เครื่องดื่ม โคมไฟ ฟืน ถ่าน อันจำเป็นเพือ่ การทรงชีพของลูกหนี้ และบุคคลในสกุลซึ่งอยู่กับลูกหนี้
และซึ่งลูกหนี้จำต้องอุปการะกับทั้งคนใช้ของลูกหนี้ด้วย
[221]
2. บุริมสิทธิพิเศษ
(ก) บุริมสิทธิเหนือสังหาริมทรัพย์
มาตรา ๒๕๙ ถ้าหนี้มีอยู่เป็นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่งอย่างใดดังจะกล่าว
ต่อไปนี้ บุคคลผู้นั้นย่อมมีบุริมสิทธิเหนือสังหาริมทรัพย์เฉพาะอย่างของลูกหนี้ คือ
(๑) เช่าอสังหาริมทรัพย์
(๒) พักอาศัยในโรงแรม
(๓) รับขนคนโดยสาร หรือของ
(๔) รักษาสังหาริมทรัพย์
(๕) ซื้อขายสังหาริมทรัพย์
(๖) ค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์ หรือปุ๋ย
(๗) ค่าแรงงานกสิกรรม หรืออุตสาหกรรม
(ข) บุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์
มาตรา ๒๗๓ ถ้าหนี้มีอยู่เป็นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่งอย่างใดดังจะกล่าว
ต่อไปนี้ บุคคลผู้นั้นย่อมมีบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์เฉพาะอย่างของลูกหนี้ คือ
(๑) รักษาอสังหาริมทรัพย์
(๒) จ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์
(๓) ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
3. ลำดับแห่งบุริมสิทธิ
มาตรา ๒๗๗ เมื่อมีบุริมสิทธิสามัญหลายรายแย้งกัน ท่านให้ถือว่าบุริมสิทธิทั้งหลาย
นั้นมีลำดับที่จะให้ผลก่อนหลัง ดังที่ได้เรียงลำดับไว้ในมาตรา ๒๕๓
เมื่อมีบุริมสิทธิสามัญแย้งกับบุริมสิทธิพิเศษ ท่านว่าบุริมสิทธิพิเศษย่อมอยู่ในลำดับ
ก่อน แต่บุริมสิทธิในมูลค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ร่วมกันนั้นย่อมอยู่ในลำดับก่อนในฐานที่จะใช้สิทธิ
นั้นต่อเจ้าหนี้ผู้ได้รับประโยชน์จากการนั้นหมดทุกคนด้วยกัน
มาตรา ๒๗๘ เมื่อมีบุริมสิทธิแย้งกันหลายรายเหนือสังหาริมทรัพย์อันหนึ่งอัน
เดียวกัน ท่านให้ถือลำดับก่อนหลังดังที่เรียงไว้ต่อไปนี้ คือ
(๑) บุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ พักอาศัยในโรงแรมและรับขน
(๒) บุริมสิทธิในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามีบุคคลหลายคนเป็นผู้รักษา ท่านว่าผู้ที่
รักษาภายหลังอยู่ในลำดับก่อนผู้ที่ได้รักษามาก่อน
(๓) บุริมสิทธิในมูลซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์ หรือปุ๋ย และ
ค่าแรงงานกสิกรรมและอุตสาหกรรม
ถ้าบุคคลผู้ใดมีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับเป็นที่หนึ่ง และรู้อยู่ในขณะที่ตนได้ประโยชน์แห่ง
หนี้มานั้น ว่ายังมีบุคคลอื่นซึ่งมีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับที่สองหรือที่สามไซร้ ท่านห้ามมิให้บุคคลผู้นั้น
ใช้สิทธิในการที่ตนอยู่ในลำดับก่อนนั้นต่อบุคคลอื่นเช่นว่ามา และท่านห้ามมิให้ใช้สิทธินี้ต่อผู้ที่ได้
รักษาทรัพย์ไว้ เพื่อประโยชน์แก่บุคคลผู้มีบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่งนั้นเองด้วย
ในส่วนดอกผล ท่านให้บุคคลผู้ได้ทำการงานกสิกรรมอยู่ในลำดับที่หนึ่ง ผู้ส่งเมล็ดพันธุ์
ไม้พันธุ์ หรือปุ๋ย อยู่ในลำดับที่สอง และให้ผู้เช่าที่ดินอยู่ในลำดับที่สาม
มาตรา ๒๗๙ เมื่อมีบุริมสิทธิพิเศษแย้งกันหลายรายเหนืออสังหาริมทรัพย์อันหนึ่งอัน
เดียวกัน ท่านให้ถือลำดับก่อนหลังดังที่ได้เรียงลำดับไว้ในมาตรา ๒๗๓
[222]
ถ้าได้ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้นสืบต่อกันไปอีกไซร้ ลำดับก่อนหลังในระหว่างผู้ขาย
ด้วยกันนั้น ท่านให้เป็นไปตามลำดับที่ได้ซื้อขายก่อนและหลัง
มาตรา ๒๘๐ เมื่อบุคคลหลายคนมีบุริมสิทธิในลำดับเสมอกันเหนือทรัพย์อันหนึ่งอัน
เดียวกัน ท่านให้ต่างคนต่างได้รับชำระหนี้เฉลี่ยตามส่วนมากน้อยแห่งจำนวนที่ตนเป็นเจ้าหนี้
- ทรัพย์ที่อาจเคลื่อนจากที่แห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่งได้
ทรัพย์ที่อาจเคลื่อนจากที่แห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่งได้ ซึ่งหมายถึงทรัพย์ที่ขนเคลื่อนย้ายไปได้โดยไม่
เสียรูปทรงหรือรูปลักษณ์ของตัวทรัพย์นั้น เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย รถยนต์ โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น แต่
ที่ดิน บ้านเรือน แม้จะขุดรื้อไปได้ตามก็ตาม แต่สิ่งที่ขุดรื้อไปนั้น หาใช่ดินหรือบ้านเรือนไม่ เป็น
เพียงดิน แผ่นไม้ แผ่นสังกะสี แผ่นกระเบื้องเท่านั้น ที่ดินและบ้านเรือนจึงจะอ้างว่าเป็น
สังหาริมทรัพย์ เพราะอาจขนเคลื่อนได้ จึงไม่ถูกต้อง แต่ร้านแผงลอยอาจขนเคลื่อนย้ายได้โดยไม่
เสียรูปทรงจึงเป็นสังหาริมทรัพย์ ตู้โทรศัพท์สาธารณะหรือป้อมยามตำรวจที่ยกเคลื่อนย้ายได้ ก็
เป็นสังหาริมทรัพย์
- กำลังแรงแห่งธรรมชาติ
กำลังแรงแห่งธรรมชาติที่จะถือว่าเป็นสังหาริมทรัพย์นี้จะต้องอาจถือเอาได้และอาจมีราคาได้ด้วย
กำลังแรงแห่งธรรมชาติได้แก่ พลังน้ำตก พลังไอน้ำ แก๊ส เป็นต้น
- สิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์
สิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์ สิทธิที่เกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์นี้ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับ
กรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์ อย่างสิทธิที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งไม่เป็นอสังหาริมทรัพย์สิทธิ
ใดๆที่เกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์ย่อมเป็นสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น เช่น กรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองใน
สังหาริมทรัพย์ บุริมสิทธิพิเศษชนิดที่เป็นบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ จำนำ สิทธิในหุ้นส่วน
สิทธิยึดหน่วง ลิขสิทธิ์และสิทธิในเครื่องหมายการค้า เป็นต้น
3. ทรัพย์แบ่งได้
ทรัพย์ที่แบ่งได้ หมายถึง ทรัพย์ที่อาจแยกออกจากกันเป็นส่วนได้ ส่วนที่แยกออกมายังคงมี
รูปร่างมีสภาพสมบูรณ์เป็นทรัพย์เดิมอยู่ เช่น ข้าวสาร น้ำตาล น้ำเปล่า น้ำมันพืช ผงซักฟอก เงิน
เป็นต้น
4. ทรัพย์แบ่งไม่ได้
ทรัพย์แบ่งไม่ได้ หมายถึง ทรัพย์ที่จะแยกออกจากันไม่ได้นอกจากเปลี่ยนแปลงภาวะของ
ทรัพย์ ซึ่งถ้าแบ่งออกแล้วสิ่งเหล่านี้คงจะไม่คงสภาพเป็นตัวทรัพย์อยู่อย่างเดิม เช่น บ้าน ตึก
อาคาร เสื้อผ้า นาฬิกา เป็นต้น และทรัพย์ที่ไม่อาจแบ่งสภาพได้โดยอำนาจตามกฎหมาย เช่น หุ้น
ของบริษัทจำกัด ทรัพย์ส่วนควบหรือสิทธิจำนอง เป็นต้น
5. ทรัพย์นอกพาณิชย์
ทรัพย์นอกพาณิชย์ หมายความว่า ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้และทรัพย์ที่โอนแก่กันมิได้
โดยชอบด้วยกฎหมาย ทรัพย์นอกพาณิชย์มีความหมาย 2 ประการ คือ
1. ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้
2. ทรัพย์ที่โอนแก่กันไม่ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
ทรัพย์นอกพาณิชย์ที่กฎหมายห้ามโอน มี 2 ประการ คือ
1. ต้องเป็นการห้ามโอนโดยกฎหมายบัญญัติไว้
2. ลักษณะของการห้ามโอนจะต้องเป็นการห้ามโอนโดยถาวร
ข้อสังเกต
(1) สิทธิที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์จะสละหรือโอนไม่ได้
(2) ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลางเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์
ดอกผล
ดอกผล มีอยู่ 2 ชนิด คือ
[224]
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ที่น่าสนใจคือ
ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
หมวดนี้ได้แก้ไขอัตราโทษ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๑๔๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบัง
ทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้อง
ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา ๑๔๘ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ
เพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวาง
โทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
หรือประหารชีวิต
มาตรา ๑๔๙ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด
หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง
หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือ
มิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่
หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต
มาตรา ๑๕๐ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งโดย
เห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้ง
เป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต
และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา ๑๕๑ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้
อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์
นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่
แสนบาท
มาตรา ๑๕๒ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสีย
เพือ่ ประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๑๕๓ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จ่ายทรัพย์ จ่ายทรัพย์นั้นเกินกว่าที่ควรจ่าย
เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สอง
หมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๑๕๔ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่หรือแสดงว่าตนมีหน้าที่เรียกเก็บหรือ
ตรวจสอบภาษีอากร ค่าธรรมเนียม หรือเงินอื่นใด โดยทุจริตเรียกเก็บหรือละเว้นไม่เรียกเก็บภาษี
อากร ค่าธรรมเนียมหรือเงินนั้น หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสีย
ภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมนั้นมิต้องเสีย หรือเสียน้อยไปกว่าที่จะต้องเสีย ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา ๑๕๕ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่กำหนดราคาทรัพย์สินหรือสินค้าใด ๆ เพื่อ
เรียกเก็บภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย โดยทุจริตกำหนดราคาทรัพย์สินหรือสินค้านั้น
เพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมนั้นมิต้องเสียหรือเสียน้อยไปกว่าที่จะต้องเสีย ต้อง
ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสน
บาท
[229]
13. นายอนันต์ มีเงินเดือนจากบริษัท ซัมแวร์ จากัด ทัง้ ปี จานวน 490,000 บาท เงินประจา
ตาแหน่งจานวน 35,000 บาท รับโบนัส จานวน 50,000 บาท ได้อยู่บา้ น ซึ่งบริษัทฯจัดหา ให้พกั
ฟรี นายอนันต์ ได้รบั ประโยชน์ซ่งึ อาจคานวณเป็ นเงิน จานวนเท่าใด
ก. 105,000 บาท ข. 115,000 บาท
ค. 125,000 บาท ง. 135,000 บาท
อธิบาย อธิบาย เงินเดือน+เงินเพิม่ พิเศษ (เช่น เงินประจาตาแหน่ง) ( ไม่รวมโบนัส) x 20%
ค. นาเฉพาะเงินสดไปยื่นเสียภาษีเพราะของรางวัลไม่ใช่เงินได้พงึ ประเมิน
ง. ไม่ตอ้ งเสียภาษี เพราะเงินสดและของรางวัลดังกล่าวเป็ นเงินได้ของบิดา
ก. สามีและภรรยามีเงินได้ประเภทใดก็ได้ ทั้งคู่มีสิทธิแยกยื่นภาษีหรือรวมยื่นภาษี
ข. สามีมีเงินได้ประเภทเงินเดือนประจํา 40 (1)
ค. ภรรยามีเงินได้ประเภทเงินเดือนประจํา 40 (1)
ง. สามีและภรรยาทั้ง 2 ฝ่าย มีเงินได้เฉพาะเงินเดือน 40 (1)
54) ข้อใดต่อไปนี ้ คือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดาครี่งปี
ก. ภ.ง.ด.91 ข. ภ.ง.ด.94
ค. ภ.ง.ด.90 ง. ภ.ง.ด.93
55) แบบแสดงรายการภาษีเงินได้หกั ณ ที่จ่าย คือข้อใด
ก. ภ.ง.ด.91 ข. ภ.ง.ด.94
ค. ภ.ง.ด.92 ง. ภ.ง.ด.3
56) แบบ ภ.ง.ด.91 มีช่อื เต็มว่าอย่างไร
ก. แบบแสดงรายการภาษี เงินได้บคุ คลธรรมดา สาหรับผูม้ เี งินได้กรณีท่วั ไป
ข.แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา สาหรับใช้ย่ืนก่อนถึงกาหนดเวลายื่นแบบ
แสดงรายการภาษี
ค.แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา สาหรับผูม้ ีเงินได้จากการจ้างแรงงาน
ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากรประเภทเดียว
ง.แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา สาหรับคนต่างด้าวผูม้ ีเงินได้จากการจ้าง
แรงงาน
57) แบบ ภ.ง.ด. 93 มีช่อื เต็มว่าอย่างไร
ก.แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา สาหรับใช้ย่ืนก่อนถึงกาหนดเวลายื่นแบบ
แสดงรายการภาษี
ข.แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา สาหรับผูม้ ีเงินได้กรณีท่วั ไป
ค.แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา สาหรับผูม้ ีเงินได้จากการจ้างแรงงาน
ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว
ง.แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา สาหรับคนต่างด้าวผูม้ ีเงินได้จากการจ้าง
แรงงาน
58) ณเดช ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ต้องเสียภาษีหรือไม่
ก. ต้องเสียภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา เนื่องจากได้รบั เงิน
ข. ต้องเสียภาษีมลู ค่าเพิ่ม ไม่ตอ้ งเสียภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา
ค. ไม่ตอ้ งเสียภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา เนื่องจากได้รบั ยกเว้น
ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก
ในการประกวดหรือแข่งขัน หรือสินบนรางวัลที่ทางราชการจ่ายให้เพื่อประโยชน์ในการปราบปราม
การกระทำความผิด (ได้รั้บยกเว้นภาษี โดยไม่ต้องนำไปรวมในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดา)
อธิบาย ถ้ามี 2 ฐานะ ทั้งผูส้ ูงอายุ และคนพิการ ก.ม.ให้ยกเว้น 190,000 บาท ในฐานะผู้สูงอายุ
78) นายเอกพล มีเงินได้สทุ ธิ 1,990,890 บาท ใช้อตั ราภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดาใด ในการ
คานวณภาษี
ก. ร้อยละ 15 ข. ร้อยละ 20
ค. ร้อยละ 25 ง. ร้อยละ 30
79) นายเอกชัยมีเงินได้และมีภรรยาผูไ้ ม่มีเงินได้ จ่ายเงินทาประกันชีวิตอายุกรมธรรม์ 15 ปี
ให้แก่ตนเองและภริยา จ่ายเงินค่ากรมธรรม์คนละ 15,000 บาทต่อปี นายเอกชัยนาเงินค่าประกัน
ชีวิตมาหักลดหย่อนได้หรือไม่ อย่างไร
ก. หักได้เฉพาะนายเอกชัย จานวน 10,000 บาท
ข. หักได้ทงั้ ของนายเอกชัยและภริยา จานวน 30,000 บาท
ค. หักไม่ได้ทงั้ สองคนเพราะถือเป็ นการทาประกันชีวิตร่วมกัน
ง. หักของนายเอกชัยได้ 15,000 บาท ภรรยา 10,000 บาท
[245]
80) นายบอย ส่งฝาโออิชิ ไปชิงโชค เป็ นผูโ้ ชคดีได้รบั รถเบนซ์มาราคา 3,500,000 บาท
แต่นายบอย ขายรถเบนซ์ไปในราคา 3,000,000 บาท นายบอย จะต้องยื่นแบบเสียภาษี
เงินได้บคุ คลธรรมดา อย่างไร
ก. นามูลค่ารถเบนซ์ มาเสียภาษี จานวน 3,000,000 บาท
ข. นามูลค่ารถเบนซ์ มาเสียภาษี จานวน 3,500,000 บาท
ค. ไม่เสียภาษี เพราะถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้ว
ง. ไม่ตอ้ งเสียภาษีแต่อย่างใด เพราะเป็ นรางวัลจากการชิงโชค ไม่ใช่เงินได้พึงประเมิน
81) ผูท้ ่มี ี “รายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ” ในความหมายของกรมสรรพากรหมายถึงเงินได้
ไม่เกิน
ก. 30,000 บาท ข. 50,000 บาท
ค. 100,000 บาท ง. 150,000 บาท
82) การขอเลขประจาตัวผูเ้ สียภาษี บคุ คลธรรมดามีการออกเลขประจาตัวอย่างไร
ก. ใช้เลขบัตรประจาตัวประชาชน แทนได้ โดยไม่ตอ้ งขอมีเลขใหม่กบั กรมสรรพากร
ข. ใช้เลขบัตรประจาตัวประชาชน หรือบัตรราชการ
ค. ใช้เลขบัตรประจาตัวประชาชน บัตรราชการ หรือบัตรประกันสังคม
ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก
83) ผูใ้ ดไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา
ก. คนไทยที่ยงั ไม่บรรลุนิติภาวะ ข. ห้างหุน้ ส่วนสามัญ
ค. คนที่มีรายได้ไม่ถึง 150,000 บาทต่อปี ง. ห้างหุน้ ส่วนสามัญนิติบคุ คล
84) ค่าลดหย่อนเบีย้ ประกันสุขภาพบิดามารดาได้รบั การยกเว้นเท่าใด
ก. 15,000 บาท ข. 30,000 บาท
ค. 50,000 บาท ง. 100,000 บาท
85. น.ส.อรทัย เป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือนเดือนละ 40,000 บาท และยังมี
รายได้จากการเปิดคลีนิควันเสาร์ –อาทิตย์ โดยมีเงินได้รวมทั้งปี 850,000 บาท อยากทราบว่า
อรทัย มีเงินได้พึงประเมินประเภทใด
ก. ประเภทที่ 6 ข. ประเภทที่ 1 กับประเภทที่ 6
ค. ประเภทที่ 1 กับประเภทที่ 2 ง. ประเภทที่ 2 กับประเภทที่ 6
86. นายสังข์ทอง บริจาคที่ดินให้วัดเพื่อสร้างโบสถ์ จะนํามูลค่าของที่ดินมาหักลดหย่อน
โนการ คํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้หรือไม่
ก. ไม่ได้ เพราะไม่ ได้บริจาคเป็นเงินสด ข. ได้ ตามราคาตลาดที่ควรขายได้
ค. ได้ ตามราคาทุนที่ซื้อมา ง. ได้ มูลค่าตามที่วัดออกใบอนุโมทนาบัตร
ค. www.revenue.go.th ง. http://rdserver.rd.go.th
88) ผูใ้ ดไม่มีหน้าที่ขอเลขประจาตัวผูเ้ สียภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา
ก. ผูถ้ ึงแก่ความตายระหว่างปี ภาษี
ข. กองมรดกที่ยงั ไม่ได้แบ่ง
ค. มูลนิธิสมาคมที่เป็ นองค์การหรือสาธารณกุศล
ง. หน่วยงานของราชการผูจ้ ่ายเงินได้
89) เงินได้จากการส่งไปรษณียท์ ายผลชิงโชคต่างๆ เป็ นเงินได้ประเภทใด
ก. ประเภทที่ 2 ข. ประเภทที่ 4
ค. ประเภทที่ 7 ง. ประเภทที่ 8
90) เงินที่ได้จากการขายที่ดิน โดยมุ่งกาไร ถือเป็ นเงินได้ประเภทใด
ก. ประเภทที่ 2 ข. ประเภทที่ 4
ค. ประเภทที่ 7 ง. ประเภทที่ 8
91. เงินที่ประธานองค์การบริหารส่วนตําบลได้รับเท่ากันทุกเดือน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทใด
ก. 40 (1) ข. ได้รับยกเว้นภาษี
ค. ไม่มีข้อใดถูก ง. 40 (2)
เฉลยแนวข้อสอบภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา
ข้ อ คาตอบ ข้ อ คาตอบ ข้ อ คาตอบ ข้ อ คาตอบ
1 ข 26 ก 51 ก 76 ง
2 ก 27 ง 52 ง 77 ก
3 ก 28 ง 53 ก 78 ค
4 ข 29 ง 54 ข 79 ง
5 ก 30 ข 55 ง 80 ข
6 ง 31 ค 56 ค 81 ก
7 ง 32 ก 57 ก 82 ก
8 ข 33 ก 58 ค 83 ง
9 ค 34 ข 59 ง 84 ก
10 ข 35 ค 60 ง 85 ข
11 ค 36 ก 61 ค 86 ก
12 ข 37 ค 62 ง 87 ก
13 ก 38 ข 63 ง 88 ก
14 ข 39 ง 64 ค 89 ง
15 ง 40 ค 65 ค 90 ง
16 ก 41 ข 66 ง 91 ง
17 ง 42 ง 67 ง 92 ค
18 ก 43 ข 68 ค 93 ก
19 ข 44 ง 69 ง 94 ก
20 ง 45 ง 70 ง 95 ข
21 ง 46 ก 71 ก 96 ค
22 ก 47 ง 72 ง 97 ค
23 ค 48 ง 73 ง 98 ง
24 ง 49 ข 74 ค 99 ก
25 ก 50 ค 75 ก 100 ข
[249]
แนวข้อสอบความรู้เกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล
1. มูลนิธิสมาคม ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบคุ คล ประจาปี โดยใช้แบบใด
ก. ภ.ง.ด.50 ข. แบบ ภ.ง.ด. 53
ค. แบบ ภ.ง.ด. 54 ง. แบบ ภ.ง.ด. 55
2. ข้อใดต่อไปนี ้ ไม่มหี น้าที่ เสียภาษีเงินได้นิติบคุ คล
ก. รัฐบาลต่างประเทศ ดาเนินการเป็ นทางการค้าหรือหากาไร
ข. บริษัท ที่เป็ นผูป้ ระกอบการและได้รบั การส่งเสริมการลงทุน
ค.มูลนิธิ หรือสมาคม ประกอบกิจการและมีรายได้จากการประกอบกิจการ
ง.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับรอบระยะเวลาบัญชีของนิติบคุ คล
ก.บริษัท ก เลิกกิจการ แต่ไม่สามารถยื่นรายการและเสียภาษีภายใน 150 วันนับแต่วนั
สุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี จึงยื่นคาขอต่อ อธิบดีกรมสรรพากร ขอขยายรอบ
ระยะเวลาบัญชีออกไปเกิน 12 เดือนได้
ข. บริษัท ก เลิกกิจการไม่สามารถขอขยายรอบระยะเวลาบัญชีเกินกว่า 12 เดือน ได้
ค. หจก.สมร จดทะเบียนเป็ นนิติบคุ คลวันที่ 25 ก.ค. รอบระยะเวลาบัญชี เริ่มวันที่
1 ม.ค. ปี หน้า
ง. ถูกทุกข้อ
4. มูลนิธิ สมาคม ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีคานวณภาษีอย่างไร
ก. กาไรสุทธิ ข. รายได้ก่อนหักรายจ่าย
ข. เงินได้สทุ ธิ ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก
5. การตรวจสอบและรับรองบัญชี กระทาโดยใคร
ก.TA ข.CPA
ค. ไม่มีขอ้ ถูก ง.ถูกทัง้ ข้อ ก และข
6. แบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบคุ คลสิน้ ปี (ภ.ง.ด.50) ยื่นภายในวันที่เท่าใด
ก. ยื่นภายใน 120 วันนับแต่วนั สุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ข. ยื่นภายใน 130 วันนับแต่วนั สุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ค. ยื่นภายใน 140 วันนับแต่วนั สุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ง. ยื่นภายใน 150 วันนับแต่วนั สุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
7. เงินปั นผลที่บคุ คลธรรมดาได้รบั จากบริษัทที่ได้รบั การส่งเสริมการลงทุน
ก.จะต้องนามารวมคานวณเป็ นเงินได้ และได้รบั การเครดิตภาษี
ข.ไม่ตอ้ งนามารวมคานวณเป็ นเงินได้และไม่ตอ้ งหักภาษี ณ ที่จ่าย
ค.นามารวมคานวณเป็ นเงินได้โดยได้รบั การเครดิตภาษี หรือไม่นามารวมคานวณเงินได้ก็ได้
ง.ถูกทุกข้อ
[250]
ข.รายได้กอ่ นหักรายจ่าย
ค. เงินได้ท่จี ่ายจากหรือในประเทศไทย
ง. การจาหน่ายกาไรออกไปนอกประเทศ
16. บริษัทต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย ได้รบั เงินค่าลิขสิทธิ์จาก
บริษัทไทย ต้องเสียภาษี เงินได้นิติบคุ คลจากฐานภาษี ใด
ก. กาไรสุทธิ
ข.รายได้กอ่ นหักรายจ่าย
ค. เงินได้ท่จี ่ายจากหรือในประเทศไทย
ง. การจาหน่ายกาไรออกไปนอกประเทศ
17. สมาคมที่ตงั้ ขึน้ ตามกฎหมายของต่างประเทศและประกอบกิจการมีรายได้ ต้องเสียภาษี
เงินได้นิติบคุ คลจากฐานภาษีใด
ก. กาไรสุทธิ
ข.รายได้กอ่ นหักรายจ่าย
ค. เงินได้ท่จี ่ายจากหรือในประเทศไทย
ง. การจาหน่ายกาไรออกไปนอกประเทศ
18. บริษัท จานรรจา จากัด (ไม่ได้จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ได้ลงทุนกับ
กิจการร่วมค้าไฮเวย์ก่อสร้าง รวม 3 เดือนพอดี ได้รบั เงินส่วนแบ่งกาไร จากการลงทุน
3,000,000 บาท บริษัทฯ จะต้องนาส่วนแบ่งกาไร ไปรวมยื่นแบบแสดงรายการภาษีจานวนเท่าใด
ก. 3,000,000 บาท ข. 1,500,000 บาท
ค ได้รบั ยกเว้นทัง้ จานวน ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก
อธิบาย นิติบุคคล (ไทย) ไม่ได้จดทะเบียนกับ กลต. ได้รับ เงินปันผล หรือ ส่วน
แบ่งกำไร จากนิติบุคคล (ไทย ) ให้ได้รับยกเว้นเงินปันผล หรือ ส่วนแบ่งกำไร ครึ่งหนึ่ง
ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ ซึ่งก็คือ ต้องถือหุ้นหรือลงทุน ถึง 3 เดือนขึน้ ไป (ถ้าเลิกถือหุ้น ก่อน
3 เดือนหรือโอนออกไปก่อน 3 หมดสิทธิ์ ต้องนำเงินทีไ่ ด้ไปรวมยื่นแบบแสดงรายการเพื่อ
เสียภาษี)
19. บริษัท ก ไก่ จากัด (ไม่ได้จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ได้ลงทุนโดยการ
ถือหุน้ บริษัท สยาม จากัด คิดเป็ นร้อยละ 25 ของหุน้ ทัง้ หมดที่มีสิทธิออกเสียง (ส่วน บริษัท สยาม
จากัด) ไม่ได้ถือหุน้ ในบริษัท ก ไก่ จากัด เลย รวม 3 เดือนพอดี และได้รบั เงินปั นผล 3,000,000
บาท บริษัท ก. ไก่ จะต้องนาเงินปั นผล ไปรวมยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 จานวนเท่าใด
ก. 3,000,000 บาท ข. 1,500,000 บาท
ค ได้รบั ยกเว้นทัง้ จานวน ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก
อธิบาย นิตบิ ุคคล (ไทย) ไม่จดทะเบียนกับ กลต. ได้รับ เงินปันผล จากนิตบิ ุคคล
(ไทย ) ให้ได้รับยกเว้นเงินปันผล หรือ ส่วนแบ่งกำไร ทั้งจำนวน ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ
[252]
อธิบายอัตราภาษี กรณีลดอัตราภาษี
1) กรณีเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม
(2) ให้คำนวณภาษีในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ
2) กรณีเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้าย
ของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการใน
รอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกิน 30 ล้านบาท ต่อเนื่องกัน (SME) ให้คำนวณภาษี ในอัตรา ดังนี้
กำไรสุทธิไม่เกิน 300,000 บาท ยกเว้นภาษี
กำไรสุทธิเกิน 300,000 บาท ไม่เกิน 3,000,000 อัตราภาษี 15%
กำไรสุทธิเกิน 3,000,000 บาท ขึ้นไป อัตราภาษี 20%
ง. เกณฑ์ใดก็ได้ แต่เลือกเกณฑ์ใดต้องใช้เกณฑ์นั้นตลอด
เฉลยแนวข้อสอบภาษีเงินได้นิติบุคคล
แนวข้อสอบภาษีมูลค่าเพิ่ม
1. อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ยังไม่รวมภาษีท้องถิ่น) คือ อัตราร้อยละเท่าใด
ก. ร้อยละ 7 ข. ร้อยละ 10
ค. ร้อยละ 6.3 ง. ร้อยละ 15
2. ข้อใดอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมลู ค่าเพิ่ม
ก. การรับประกันวินาศภัย
ข. การประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเงินทุนตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจหลักทรัพย์ หรือ
ธุรกิจเงินทุน
ค. การประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยประกันชีวิต
ง. การรับจานาตามกฎหมายว่าด้วยโรงรับจานา
3. ข้อใดต่อไปนี ้ ต้องจดทะเบียนเป็ นผูป้ ระกอบการภาษีมลู ค่าเพิ่ม
ก. ประกอบกิจการขายไข่ไก่ จากฟาร์ม รายได้ทงั้ ปี 1,850,000 บาท
ข. ประกอบกิจการขายวัสดุกอ่ สร้างหน้าบ้าน รายได้ทงั้ ปี 1,800,001 บาท
ค. ประกอบกิจการขายปุ๋ ย ยาปราบศัตรูพืช รายได้ทงั้ ปี 3,090,000 บาท
ง. ประกอบกิจการขายหนังสือตาราเรียนพร้อมแผ่นซีดี รายได้ทงั้ ปี 2,499,000 บาท
4. ภาษีมลู ค่าเพิ่ม ชาระภาษีจากข้อใด
ก. ยอดขาย – ยอดซือ้ ข. ภาษีขาย- ภาษีซือ้
ค. ทัง้ ก และข ถูก ง. ทัง้ ก และ ข ผิด
5. แบบใดต่อไปนี ้ ใช้ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมลู ค่าเพิ่ม
ก. แบบ ภ.ง.ด.3 ข. แบบ ภ.ง.ด.52
ข. แบบ ภ.ธ.40 ง. แบบ ภ.พ.30
6. หากนายริว จะขอเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในใบทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่มจะต้องยื่นแบบใดต่อ
กรมสรรพากร
ก. แบบ ภ.พ.01 ข. แบบ ภ.พ.02
ค. แบบ ภ.พ.01.1 ง. แบบ ภ.พ.09
7. ประเภทของใบกากับภาษีคือข้อใด
ก. ใบกากับภาษีเต็มรู ป ข. ใบกากับภาษีอย่างย่อ
ค. ใบเพิ่ม ใบลดหนี ้ ง. ถูกทุกข้อ
8. นายภูตะวัน มีเงินได้จากกิจการขนส่งภายในประเทศ จานวน 2,000,000 มีเงินได้
เกิน 1.8 ล้าน วันที่ 30 มิ.ย. 2562 ต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมลู ค่าเพิ่มหรือไม่
ก. ต้องจดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่ม ภายใน 30 วันนับแต่วนั ที่เงินได้ถึง 1.8 ล้านบาท
และเสียภาษีมลู ค่าเพิ่มจากส่วนเกิน จานวน 200,000 บาท
ข. ต้องจดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่ม ภายใน 30 วันนับแต่วนั ที่เงินได้เกิน 1.8 ล้านบาท
[258]
ข. แบบคาขอยื่นแบบแสดงรายการภาษีมลู ค่าเพิ่มรวมกัน
ค. แบบคาขอจดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่มชั่วคราว
ง. แบบคาขอนาส่งภาษีมลู ค่าเพิ่ม
34. ภาษีซอื ้ หมายความว่าอย่างไร
ก. ภาษีมลู ค่าเพิ่มที่ผปู้ ระกอบการเรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผูซ้ อื ้ สินค้า เมื่อขาย
สินค้าหรือ เรียกเก็บจากผูร้ บั บริการเมื่อรับชาระค่าบริการ
ข. ภาษีมลู ค่าเพิ่ม ที่ผปู้ ระกอบการได้จ่ายให้กบั ผูข้ ายสินค้าหรือผูใ้ ห้บริการที่เป็ น
ผูป้ ระกอบการจดทะเบียนเมื่อซือ้ สินค้าหรือชาระค่าบริการเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของตน
ค. ไม่แน่ใจ
ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก
35. แบบนาส่งภาษีมลู ค่าเพิ่ม ตามประมวลรัษฎากร
ก. ภ.พ.30.2 ข. ภ.พ.30.3
ค. ภ.พ.36 ง. ภ.พ.30
36. ข้อใดหมายถึง แบบแสดงรายการภาษีมลู ค่าเพิ่ม ตามประมวลรัษฎากร
ก. ภ.พ.30.2 ข. ภ.พ.30.3
ค. ภ.พ.36 ง. ภ.พ.30
37. อัตราภาษีมลู ค่าเพิ่ม ในปั จจุบนั มีกี่อตั รา
ก. 1 อัตรา คือ ร้อยละ 7
ข. 2 อัตรา คือ คือ ร้อยละ 7 และ ร้อยละ 0
ค. 3 อัตรา คือ คือ ร้อยละ 7 , ร้อยละ 0 และ ร้อยละ 6.3
ง. 4 อัตรา คือ คือ ร้อยละ 7 , ร้อยละ 0 , ร้อยละ 6.3 และ ร้อยละ 3.3
38. ผูป้ ระกอบการส่งออกสินค้า ต้องชาระภาษีในอัตราใด
ก. ไม่ตอ้ งชาระภาษี ข. ร้อยละ 7
ค. ร้อยละ 0 ง. ร้อยละ 3.3
39. คาขอรับใบแทนภาษีมลู ค่าเพิ่ม คือ แบบใด
ก. ภ.พ.30.2 ข. ภ.พ.04
ค. ภ.พ.36 ง. ภ.พ.30
40. ข้อใดกล่าวถูกต้อง เกี่ยวกับภาษีมลู ค่าเพิ่ม
ก. Value Added Tax
ข. เรียกโดยย่อว่า VAT
ค. เป็ นการเก็บภาษีจากการขายสินค้า หรือการให้บริการในแต่ละขัน้ ตอนการผลิตและจาหน่าย
สินค้า หรือบริการทัง้ ที่ผลิตภายในประเทศและนาเข้าจากต่างประเทศ
ง. ถูกทุกข้อ
[263]
อธิบาย
ภ.พ.01 แบบคาขอจดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร
ภ.พ.01.1 แบบคาขอแจ้งขอใช้สิทธิ์เพื่อขอจดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่ม
ภ.พ.01.2 แบบคาขอจดทะเบียนภาษีมลู ค่าเพิ่มเป็ นการชั่วคราว
ภ.พ.02 แบบคาขอยื่นแบบแสดงรายการภาษีมลู ค่าเพิ่มรวมกัน
อธิบาย
ภ.พ.06 แบบคาขออนุมตั ิใช้เครื่องบันทึกการเก็บเงินเพื่อออกใบกากับภาษี
เฉลยแนวข้อสอบความรู้ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ข้อ คำตอบ ข้อ คำตอบ ข้อ คำตอบ ข้อ คำตอบ
1 ค 16 ง 31 ข 46 ก
2 ก 17 ง 32 ก 47 ง
3 ข 18 ง 33 ก 48 ข
4 ข 19 ข 34 ข 49 ง
5 ง 20 ก 35 ค 50 ง
6 ง 21 ง 36 ง 51 ข
7 ง 22 ข 37 ข 52 ง
8 ค 23 ง 38 ค 53 ก
9 ค 24 ข 39 ข 54 ก
10 ค 25 ง 40 ง 55 ง
11 ง 26 ค 41 ข 56 ค
12 ค 27 ก 42 ก 57 ค
13 ก 28 ก 43 ค 58 ค
14 ง 29 ก 44 ก 59 ง
15 ง 30 ง 45 ก 60 ข
[268]
แนวข้อสอบ
ความรู้เกี่ยวกับอากรแสตมป์, ภาษีการรับมรดก, ภาษีธุรกิจเฉพาะ
1. กรณีใดต่อไปนี้ ไม่ต้องติดอากรแสตมป์
ก. สัญญาจ้างทำของ
ข. ข.หนังสือมอบอำนาจ
ค ใบรับรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล
ง. เช่าซื้อนา เพื่อไว้ทำนา
2. สัญญาจ้างทำของที่องค์การรัฐบาล หรือส่วนราชการเป็นผู้ว่าจ้างต้องมีขั้นต่ำเท่าใด ที่ ก.ม.
กำหนดว่าต้องชำระเป็นตัวเงินแทนการปิดแสตมป์อากรเท่านั้น
ก. ตั้งแต่ 100,000 บาท ข. ตั้งแต่ 150,000 บาท
ค. ตั้งแต่ 200,000 บาท ง. ตัง้ แต่ 250,000 บาท
3. กรณีมอบอำนาจให้ คน 2 คน กระทำการแทน มากกว่าครั้งเดียว โดยต่างคน
ต่างกระทำกิจการแยกกันได้ ต้องติดอากรแสตมป์ในใบมอบอำนาจ อย่างไร
ก. 10 บาท ข. 30 บาท
ค. 60 บาท ง. 40 บาท
4. สัญญาค้ำประกัน กรณีมิได้จำกัดจำนวนไว้ เสียอากรแสตมป์เท่าใด
ก. 5 บาท ข. 10 บาท
ค 30 บาท ง. 100 บาท
5. ผู้ถูกเรียกเก็บเงินอากร เพิกเฉย หรือปฏิเสธ ไม่ยอมเสียอากร ต้องระวางโทษเท่าใด
ก. ปรับไม่เกิน 100 บาท ข. ปรับไม่เกิน 500 บาท
ค ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ง. ปรับไม่เกิน 2,000 บาท
อธิบาย
มาตรา 124 ผู้ใดมีหน้าที่เสียอากร หรือขีดฆ่าแสตมป์ เพิกเฉยหรือปฏิเสธไม่เสียอากร
หรือไม่ขีดฆ่าแสตมป์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
6. อากรแสตมป์ จัดเก็บจากตราสารกี่ลักษณะ
ก. 25 ลักษณะ ข. 26 ลักษณะ
ค 27 ลักษณะ ง. 28 ลักษณะ
7. ตราสารทำขึ้นนอกประเทศ ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
ข. ผู้ทรงในต่างประเทศ เป็นผู้เสียอากร
ค ผู้ทำตราสารในต่างประเทศเป็นผู้เสียอากร
ง. ผู้ทรงตราสารในไทยคนแรก เป็นผู้เสียอากรแสตมป์
8. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่วิธีการเสียอากรแสตมป์
ก. การเสียอากรโดยปิดแสตมป์ทับ
ข. การเสียอากรโดยใช้กระดาษมีแสตมป์ดุน
ค. การเสียอากรเป็นตัวเงิน
ง. การเสียอากรโดยผ่อนชำระ
[269]
อธิบาย
"ปิดแสตมป์บริบูรณ์" หมายความว่า
(1) ในกรณีแสตมป์ปิดทับ คือการได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ทับกระดาษ ก่อนกระทำหรือในทันที
ที่ทำตราสารเป็นราคาไม่น้อยกว่าอากรที่ต้องเสีย และได้ขีดฆ่าแสตมป์นั้นแล้ว หรือ
(2) ในกรณีแสตมป์ดุน คือการได้เสียอากรโดยใช้กระดาษมีแสตมป์ดุนเป็นราคาไม่น้อยกว่าอากรที่
ต้องเสียและขีดฆ่าแล้ว หรือโดยยื่นตราสารให้พนักงานเจ้าหน้าทีป่ ระทับแสตมป์ดุน และชำระเงินเป็น
จำนวนไม่น้อยกว่าอากรที่ต้องเสียและขีดฆ่าแล้ว หรือ
(3) ในกรณีชำระเป็นตัวเงิน คือการได้เสียอากรเป็นตัวเงิน เป็นราคาไม่น้อยกว่าอากรที่ต้องเสีย
9. การขอคืนอากรแสตมป์ ต้องขอคืนภายในระยะเวลาเท่าใด
ก. ภายใน 6 เดือนนับแต่วนั ที่เสียอากร ข. ภายใน 3 ปีนับแต่วันเสียอากร
ค ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่เสียอากร ง ภายใน 1 ปีนับแต่วันเสียอากร
อธิบาย
มาตรา 122 ผู้ใดได้เสียค่าอากรหรือค่าเพิ่มอากรเกินไปไม่น้อยกว่า 2 บาท สำหรับตราสาร
ลักษณะเดียว ให้ทำคำร้องเป็นหนังสือยื่นต่อพนักงานภายในเวลา 6 เดือน นับแต่วันเสีย
อากรหรือค่าเพิม่ อากร
อธิบาย
(โดยหลักคือ ถ้าชำระภาษีธรุ กิจเฉพาะ จะไม่มีการชำระอากรแสตมป์ ดังนั้น หากกรม
ที่ดินเรียกเก็บทั้งสองอย่าง ต้องขอคืนอากรแสตมป์ เพราะเป็นการชำระโดยไม่มีหน้าที่ชำระ)
อากรแสตมป์ มีโทษอย่างไร
ก. ระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ข. ระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
ค ระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท ง. ระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาท
14. ข้อใด คือข้อเสียของตราสาร ที่ไม่ได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์
ก. จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้
ข จะใช้สำเนาตราสาร เป็นพยานหลักฐาน ในคดีแพ่งไม่ได้
ค จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก สำเนาตราสาร เป็นพยานหลักฐานในคดีอาญาไม่ได้
ง ถูกทั้งข้อ ก และ ข
15. การทำตราสาร เป็นฐานการเสียภาษีประเภทใด
ก.ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ข. อากรแสตมป์
ค. ภาษีการค้า
ง. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
16. ผูใ้ ดมีอำนาจอนุมัติให้ใช้หรือยกเลิกแสตมป์โดยกำหนดให้นำมาแลกเปลี่ยนกับแสตมป์ที่
ใช้ได้
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ข. อธิบดีกรมสรพากร
ค. คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
ง. นายกรัฐมนตรี
17. ตราสารลักษณะที่ 1 แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ คืออะไร
ก. เช่าที่ดนิ โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือแพ
ข. เช่าซื้อทรัพย์สิน
ค. กู้ยืมเงิน หรือการตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร
ง. จ้างทำของ
18. ตราสารลักษณะที่ 28 แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ คืออะไร
ก. ใบมอบอำนาจ
ข. ใบมอบฉันทะ
ค. จำนำ
ง.ใบรับสำหรับการโอนหรือก่อตัง้ สิทธิใด ๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ในเมื่อนิตกิ รรมที่เป็น
เหตุให้ออกใบรับนั้นมีการจดทะเบียนตามกฎหมาย
19. ตราสารลักษณะที่ 23.”คูฉ่ บับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร” คือ ตราสารซึ่งมีข้อความอย่างเดียวกัน
กับ ต้นฉบับ หรือต้นสัญญาและผู้กระทำตราสารได้ลงลายมือชื่อไว้ อย่างเดียวกับต้นฉบับ ข้อใดกล่าว
ถูกต้องเกี่ยวกับการเสียอากรแสตมป์
ก. ถ้าต้นฉบับเสียอากรไม่เกิน 5 บาท คู่ฉบับเสียอากร 1 บาท
ข. ถ้าต้นฉบับเสียอากร เกิน 5 บาท คู่ฉบับเสียอากร 5 บาท
ค. ถ้าฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นสหกรณ์ ยกเว้นไม่ต้องเสียอากร
ง. ถูกทุกข้อ
20. ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ต้องเสียอากรแสตมป์
ก. เช่าทรัพย์สิน ทำ ไร่ นา สวน
ข. เช่าซื้อทรัพย์สินทำ ไร่ นา สวน
ค. ใบรับ สำหรับเงินที่ผู้รับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะ
[271]
ง. ถูกทุกข้อ
21. ประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้อากรแสตมป์มีจำนวนเท่าใด ไม่ตอ้ งเสียอากร
ก. 1 บาท ข. 1.50 บาท
ค. 2 บาท ง. 2.50 บาท
22. “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” เป็นตราสารลำดับที่เท่าใดแห่งบัญชีตราสารอากรแสตมป์
ก. ตราสารที่ 9 ข. ตราสารที่ 10
ค. ตราสารที่ 11 ง. ตราสารที่ 12
23. ตัว๋ สัญญาใช้เงินหรือตั๋วแลกเงิน เสียค่าอากรฉบับละกี่บาท
ก. ฉบับละ 3 บาท ข. ฉบับละ 5 บาท
ค. ฉบับละ 10 บาท ง. ฉบับละ 6 บาท
24. บริษัท นำเข้าหนัง จำกัด ได้เช่าที่ดิน จาก นายอำนวย เพื่อจัดทำโกดังเก็บสินค้าและวัตถุดิบ มี
ระยะเวลาเช่า 3 ปี จำนวน 305,500 บาท ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการชำระอากรแสตมป์
ก. ต้นฉบับ 304 บาท คู่ฉบับ 5บาท ข. ต้นฉบับ 305 บาท คู่ฉบับ 5บาท
ค. ต้นฉบับ 306 บาท คู่ฉบับ 5บาท ง. ต้นฉบับ 307 บาท คู่ฉบับ 5บาท
ใช้ตอบคำถามข้อ 26-27
บริษัทดำเนินกิจการให้กู้ยืมเงิน โดยผู้กู้ยืมต้องเอารถยนต์มาค้ำประกัน และให้โอนกรรมสิทธิ์เป็นของ
บริษัทผู้ให้กู้ยืมผ่อนชำระคืนโดยมีทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยในแต่ละงวดเท่าๆ กัน เมื่อครบ
จำนวนต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผกู้ ู้
26.กรณีดังกล่าวบริษัทต้องเสียภาษีอะไรบ้าง
ก. ภาษีมูลค่าเพิ่ม ข.อากรแสตมป์
ค. ถูกทั้งข้อ ก และ ข ง. ธุรกิจเฉพาะ
27.กรณีดังกล่าว บริษัทฯ ต้องเสียภาษีจากยอดใด
ก. ภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อถึงกำหนด
ชำระราคาตามงวด ที่ถึงกำหนดชำระแต่ละงวด
[272]
28. ตราสารที่ต้องเสียอากรได้ทําขึ้นนอกประเทศให้เป็นหน้าที่ของผู้ทรงตราสารคนแรกในประเทศ
ไทย ต้องเสียอากร โดยปิดแสตมป์ครบจํานวนอากรและขีดฆ่าภายในกี่วัน
ก. 10 วัน ข. 14 วัน
ค. 60 วัน ง. 30 วัน
29. ข้อต่อไปนี้ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นภาษีอากรประเมิน
ข. ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีอากรประเมิน
ค. ภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นภาษีอากรประเมิน
ง. อากรแสตมป์เป็นภาษีอากรประเมิน
30. สัญญาเช่ารถยนต์บรรทุก 100,000 บาท จะต้องเสียอากรแสตมป์เท่าใด
ก. 1,000 บาท
ข. 1,500 บาท
ค. 2,000 บาท
ง. ไม่เสียอากรแสตมป์แต่อย่างใด
[273]
59. นายวิทย์ รับมรดก จากคุณตา ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2560 ยกหุ้นให้ จำนวน 120
ล้านบาท โดยได้ทยอยให้หุ้นดังกล่าวดังนี้ ปี 2560 มูลค่า 50 ล้านบาท ปี 2561 ได้รับหุ้นดังกล่าว
อีก 40 ล้านบาท และรับหุ้นงวดสุดท้ายในวันที่ 15 มีนาคม 2562 อีกจำนวน 30 ล้านบาท อยาก
ทราบว่า ในปี 2562 ต้องชำระภาษีหรือไม่ อย่างไร
ก. ไม่ต้องเสีย เพราะรับเพียง 30 ล้านบาท
[278]
อธิบาย
การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นสถานที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญที่ผู้ขายมีชื่ออยู่ในทะเบียน
ราษฎรเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ กการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็น
สถานที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญ
อธิบาย
[281]
– ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ใช้ราคาประเมินที่ใช้การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดิน
เสมอ
- ภาษีธรุ กิจเฉพาะ มาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น รายรับที่ใช้เป็นฐานภาษีในการ
คำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะต้องใช้ราคาที่ได้รับ หรือราคาตามหนังสือสัญญาขายที่ดิน หรือราคาประเมิน
ทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็น
ราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอน แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
81. ภาษีธุรกิจเฉพาะใช้แทนภาษีใด
ก. ภาษีการค้า ข. ภาษีบำรุงเทศบาล
ค. ภาษีบำรุงท้องที่ ง. ภาษีจังกอบ
82.ภาษีธุรกิจเพาะ บังคับใช้พร้อมกันกับภาษีประเภทใด
ก. ภาษีการค้า ข. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ค. ภาษีเงินได้นิติบุคคล ง. ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
83. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับภาษีธุรกิจเฉพาะ
ก. เป็นภาษีทางอ้อม เก็บจากฐานการบริโภค
ข. คำนวณจากรายรับหรือพึงได้รับจากกิจการเฉพาะอย่างที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
ค. หากกิจการใดเข้าข่ายชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ จะไม่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มอีก
ง. ถูกทุกข้อ
[282]
ก. ฐานรายรับก่อนหักรายจ่าย / อัตราภาษีร้อยละ 3
ข. ฐานดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ/ อัตราภาษีร้อยละ 3
ค.ฐานดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ/ อัตราภาษีร้อยละ 2.5
ง.ฐานรายรับก่อนหักรายจ่าย / อัตราภาษีร้อยละ 2.5
96.ธุรกิจการซื้อและขายคืนหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจาก กลต. ต้อง เสียภาษีธุรกิจเฉพาะจาก
ฐานใด และอัตราภาษีเท่าใด
ก. กำไรก่อนหักรายจ่ายใด ๆ รวมถึงดอกเบี้ยและเงินปันผลที่ได้จากหลักทรัพย์ /
อัตราภาษีร้อยละ 3
ข. กำไรก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ไม่รวม ดอกเบี้ยและเงินปันผลที่ได้จากหลักทรัพย์ /
อัตราภาษีร้อยละ 2.5
ค.กำไรก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ไม่รวมดอกเบี้ยและเงินปันผลที่ได้จากหลักทรัพย์ /
อัตราภาษีร้อยละ 3
ง.กำไรก่อนหักรายจ่ายใด ๆ รวม ดอกเบี้ยและเงินปันผลที่ได้จากหลักทรัพย์ /
อัตราภาษีร้อยละ 2.5
97.ในการคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะ ต้องมีภาษีท้องถิ่น (ภ.ท. ร.ข. หรือ รว. ด้วย) อยากทราบว่า
ภาษีท้องถิ่นดังกล่าว ต้องชำระในอัตราใดและจากยอดคำนวณใด
ก. ร้อยละ 5 ของภาษีธุรกิจเฉพาะ ทีค่ ำนวณได้
ข. ร้อยละ 10 ของภาษีธุรกิจเฉพาะที่คำนวณได้
ค. ร้อยละ 0.5 ของภาษีที่ธุรกิจเฉพาะที่คำนวณได้
ง. ร้อยละ 0.1 ของภาษีที่ธุรกิจเฉพาะที่คำนวณได้
98. บริษัท อาคารสรรสร้าง จำกัด ประกอบกิจการรับจัดสรรที่ดินขาย ในเดือน ธันวาคม 2562 มี
รายรับจากการขายที่ดิน (ก่อนหักรายจ่าย) จำนวน 8,100,000 บาท แต่ราคาประเมินที่ใช้ในการจด
ทะเบียนสิทธิฯ ของกรมที่ดิน ราคา 5,000,000 บาท ภาษีธุรกิจเฉพาะที่ต้องชำระคือ....
ก. 243,000 บาท ข. 267,300 บาท
ค. 24,300 บาท ง. 25,700 บาท
99. จากข้อ 98 ภาษีท้องถิ่น มีจำนวนเท่าใด
ก. 243,000 บาท ข. 267,300 บาท
ค. 24,300 บาท ง. 25,700 บาท
อธิบาย SBT จากการขายอสังหาริมทรัพย์ฯ ใช้ราคาเปรียบเทียบระหว่างราคาขาย(ราคาตลาดที่ซื้อ
ขายกันจริง ) กับ ราคาประเมินทุนทรัพย์ฯ ราคาใดใช้ราคานั้น
ดังนี้ จึงใช้ราคา 8,100,000 บาท
-ภาษีธุรกิจเฉพาะ 243,000
-ภาษีท้องถิ่น (ร้อยละ 10 ของ SBT) 24,300
รวมภาษีที่ต้องชำระ 267,300
อธิบาย
กรณีใบทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ ผูป้ ระกอบ
กิจการจะต้องยื่นคำขอรับใบแทนใบทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามแบบ ภ.ธ.04 ณ หน่วยจด
ทะเบียน ที่ได้จดทะเบียนฯ ไว้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบถึงการสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุด
ในกรณีใบทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะชำรุด จะต้องแนบใบทะเบียนภาษีธรุ กิจเฉพาะ ที่ ชำรุด
มาพร้อมกับแบบ ภ.ธ.04
แบบคำขอต่าง ๆ
- ภ.ธ.01 แบบคำขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ
- ภ.ธ.02 แบบคำขอยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะรวมกัน
- ภ.ธ.02.1 แบบคำขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงการยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะรวมกัน
- ภ.ธ.04 แบบคำขอรับใบแทนทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ
- ภ.ธ.09 แบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ
112.ผู้ประกอบกิจการที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ต้องเก็บและรักษารายงานพร้อมทั้งเอกสาร
ประกอบ การลงรายงานเป็นเวลาไม่น้อยกว่ากี่ปีนับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
ก. 3 ปี ข. 4 ปี
ค. 5 ปี ง. 6 ปี
113.ผู้ประกอบกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งได้รับเงิน จากการกระทำกิจการ
หากรวมเงินที่ได้รับชำระแต่ละครั้ง จำนวนเท่าใด ที่ ก.ม.กำหนดให้ ต้องออกใบรับให้แก่ ผู้จ่ายเงิน
ก. เกิน 100 บาท ข. เกิน 200 บาท
ค. เกิน 500 บาท ง. เกิน 1,000 บาท
114. ผู้มีสิทธิขอคืนภาษีธุรกิจเฉพาะ คือข้อใด
ก. นาย ก ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะไว้เกิน
ข. นาย ข ชำระภาษีธรุ กิจเฉพาะไว้ซ้ำจำนวน
ค. นายค ไม่มีหน้าทีชำระภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ ชำระภาษีไว้โดยหลงผิด
ง. ถูกทุกข้อ
ข. Line ID : @rd1161
ค. RD Call Center 1161
ง. ข้อ ก และ ข ถูกต้อง
15. e-Taxinfo คือ อะไร
ก. บริการส่งข้อมูลข่าวสารจากกรมสรรพากร ส่งตรงทาง e-mail
ข. บริการส่งข้อมูลข่าวสารจากกรมสรรพากร ส่งตรงทาง line
ค. บริการส่งข้อมูลข่าวสารจากกรมสรรพากร ส่งตรงทาง Facebook
ง. บริการส่งข้อมูลข่าวสารจากกรมสรรพากร โดยส่งได้ทกุ ทาง ตามแต่สมาชิกลือก
16. ข้อใดต่อไปนี ้ คือโทษทางอาญาของประมวลรัษฎากร
ก. ค่าปรับ ข. เงินเพิ่ม
ค. เบีย้ ปรับ ง. ถูกทุกข้อ
17. ใบอนุญาตเป็ นสานักงานบัญชีตวั แทน มีอายุใบอนุญาตกี่ปี
ก. อายุ 6 เดือนนับแต่วนั ที่ได้รบั อนุญาต
ข. อายุ 1 ปี นบั แต่วนั ที่ได้รบั อนุญาต
ค.อายุ 2 ปี นบั แต่วนั ที่ได้รบั อนุญาต
ง. อายุ 5 ปี นบั แต่วนั ที่ได้รบั อนุญาต
18. ข้อใดคือค่านิยมกรมสรรพากร
ก. I = Integrily มีจริยธรรมและจรรยาบรรณ
ข A = Accountabilities มีความรับผิดชอบ
ค. M = Mastely มีความเป็ นมืออาชีพ
ง. R = Respect and Responsiveness ให้เกียรติและสนองต่อลูกค้า
19. ใครมีอานาจสั่งยึด อายัด ทรัพย์สิน กรณีผเู้ สียภาษีไม่ชาระภาษีตามประมวลรัษฎากร
ก. สรรพากรพืน้ ที่ ข. สรรพากรภาค
ค. อธิบดีกรมสรรพากร ง. ผูอ้ านวยการกองกฎหมาย กรมสรรพากร
20 ประมวลรัษฎากรตราขึน้ เพื่อปรับปรุงการรัษฎากร ตามหลักการใด
ก. ตามหลักความเป็ นธรรมแก่สงั คม
ข. ตามหลักอานวยรายได้
ค. ตามหลักความแน่นอน
ง. ตามหลักความสะดวก
21. ประมวลรัษฎากร เริ่มใช้เมื่อใด
ก. 1 เมษายน 2484 ข. 1 เมษายน 2483
ค. 1 เมษายน 2482 ง. 1 เมษายน 2481
22. ข้อใดคือลักษณะของภาษีอากรที่ดี
[292]
ค. ให้ไปอุทธรณ์ต่ออัยการจังหวัดก่อน
ง. ต้องอุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อน
40. ข้อใดต่อไปนี ้ ไม่ใช่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ สาหรับท้องที่ต่างจังหวัด
ก. ผูว้ ่าราชการจังหวัดหรือผูแ้ ทน ข. สรรพากรภาคหรือผูแ้ ทน
ค อัยการจังหวัดหรือผูแ้ ทน ง. ผูก้ ากับสถานีตารวจภูธรจังหวัด
ค. สรรพากรภาค ง. เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรทุกคน
45. การขอใบแทนใบเสร็จที่เจ้าพนักงานได้ออกให้ไปแล้วเสียค่าธรรมเนียม อย่างไร
ก. ฉบับละ 1 บาท ข. ฉบับละ 75 สตางค์
ค. ฉบับละ 50 สตางค์ ง. ฉบับละ 35 สตางค์
46. กรณีเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีแล้ว กฎหมายกาหนดให้ผมู้ ีหน้าที่เสียภาษี ต้อง
ชาระภาษีนนั้ ภายในกี่วนั
ก. 30 วัน นับแต่วนั ได้รบั แจ้งการประเมิน
ข. 45 วัน นับแต่วนั ได้รบั แจ้งการประเมิน
ค. 60 วัน นับแต่วนั ได้รบั แจ้งการประเมิน
ง. 90 วัน นับแต่วนั ได้รบั แจ้งการประเมิน
47. กรณีท่เี จ้าพนักงานประเมินมีเหตุอนั ควรเชื่อว่าผูใ้ ดแสดงรายการตามแบบที่ย่ืนไม่ถกู ต้อง
ตามความจริง เจ้าพนักงานมีอานาจใดบ้าง
ก. ออกหมายเรียกผูย้ ่ืนรายการมาไต่สวน
ข. ออกหมายเรียกพยานนาบัญชีเอกสาร/หลักฐานอื่นมาแสดง
ค. ออกหมายเรียกสั่งให้ผยู้ ่นื รายการนาบัญชีเอกสาร/หลักฐานอื่นมาแสดงได้
ง.ถูกทุกข้อ
48. กรณีท่เี จ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกผูย้ ่นื รายการมาไต่สวนหรือนาบัญชีเอกสาร/
หลักฐานอื่นมาแสดง ต้องให้เวลาผูย้ ่นื รายการหรือพยานอย่างไรบ้าง
ก. ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่นอ้ ยกว่า 30 วันนับแต่วนั ส่งหมาย
ข. ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่นอ้ ยกว่า 15 วันนับแต่วนั ส่งหมาย
ค. ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่นอ้ ยกว่า 7 วันนับแต่วนั ส่งหมาย
ง. ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่นอ้ ยกว่า 3 วันนับแต่วนั ส่งหมาย
49. เมื่อเจ้าพนักงานประเมินเงินภาษีอากรตามที่รูเ้ ห็นว่าถูกต้อง เนื่องจากผูเ้ สียภาษีไม่ปฏิบตั ิตาม
คาสั่ง/ไม่ยอมตอบคาถามเมื่อซักถามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เมื่อเจ้าพนักงานแจ้งจานวนภาษีท่ี
ต้องจ่ายไปยังผูเ้ สียภาษีแล้ว ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก.ห้ามมิให้อทุ ธรณ์การประเมิน
ข. ต้องเสียเบีย้ ปรับ 1 เท่าของจานวนเงินภาษี
ค. ฟ้องคดีต่อศาล
ง. ถูกทัง้ ข้อ ก และ ข
50. การขอคืนภาษีอากรและภาษีท่ถี กู หักไว้ ณ ที่จ่าย และนาส่งแล้วเป็ นจานวนเงินเกินกว่าที่ควร
ต้องเสียภาษี หรือที่ไม่มีหน้าที่ตอ้ งเสีย ผูเ้ สียภาษี ทาอย่างไรได้บา้ ง
ก. ยื่นคาร้องขอคืนภายในสามปี นับแต่วนั สุดท้ายแห่งกาหนดเวลายื่นรายการภาษี
[296]
แนวการตอบ..
โครงการ ช้อปดีมีคืน ปี 2566 เริ่มซือ้ สินค้า -บริการ ได้ตงั้ แต่วนั ที่ 1 ม.ค.- 15 ก.พ.2566
และนาไปลดหย่อนภาษีได้สงู สุด 40,000 บาท (แยกเป็ น ออกใบกากับภาษีเต็มรูปแบบกระดาษ/
อิเล็กทรอนิกส์ และใบเสร็จรับเงิน รวมกัน จะได้ 30,000 บาท และ จากผูท้ ่ีออกใบกากับภาษีแบบ
อิเล็กทรอนิกส์ จะได้เพิ่มอีก 10,000 บาท)
แนวการตอบ (จุดเน้น)
กรณีใบกากับภาษีมีท้ งั รายการสิ นค้าและบริ การที่เสี ยภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่เสี ย
ภาษีมูลค่าเพิ่ม จะหัก ลดหย่อนดังนี้
สามารถนามาหักลดหย่อนได้เฉพาะค่าซื้อสิ นค้าและค่าบริ การที่เสี ยภาษีมูลค่าเพิ่ม เว้น
แต่สินค้าหรื อ บริ การดังต่อไปนี้สามารถนามาหักลดหย่อนได้ แม้จ่ายให้แก่ผมู ้ ิใช่ผปู ้ ระกอบการ
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
1) หนังสื อ
2) หนังสื อที่อยูใ่ นรู ปของข้อมูลอิเล็กทรอนิ กส์ผา่ นระบบอินเทอร์เน็ต (e-Book)
3) สิ นค้าหนึ่งตาบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP) ซึ่งเป็ นสิ นค้าที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการ
พัฒนาชุมชนแล้ว
เลือกประเภทแบบ
ง. E-FILING Login บริ การสมาชิก คัดแบบที่ยนื่ ผ่านอินเทอร์เน็ต
เลือกประเภทแบบ
61. นางเอมม่า ต้องการคัดแบบแสดงรายการภาษีท่ยี ่นื ผ่านระบบ internet หากนางเอมม่า
download แบบฯ ผ่านระบบฯ (โดยไม่ตอ้ งให้เจ้าหน้าที่รบั รองเอกสาร) ต้องเสีย
ค่าธรรมเนียมอย่างไร
ก. ไม่มีค่าใช่จ่าย ข. ค่าธรรมเนียมแผ่นละ 6 บาท
ค. ค่าธรรมเนียมแผ่นละ 3 บาท ง. ค่าธรรมเนียม แผ่นละ 50 สตางค์
62. นายณรงค์เดช ได้ขอคัดแบบแสดงรายการภาษีท่ยี ่นื ผ่านระบบ internet หากต้องการแบบฯ
ที่เจ้าหน้าที่รบั รอง ต้องเสียค่าธรรมเนียมอย่างไร
ก. ไม่มีค่าใช่จ่าย ข. ค่าธรรมเนียมแผ่นละ 6 บาท
ค. ค่าธรรมเนียมแผ่นละ 3 บาท ง. ค่าธรรมเนียม แผ่นละ 50 สตางค์
63. นางศรีรติ า้ ยื่นคาขอคัดแบบแสดงรายการภาษีท่ยี ่นื ผ่านระบบ internet ใช้คาขอใด
ก. ภ.อ.01 ข. ภ.ธ.01
ค. ภ.พ.01 ง. ภ.พ.01.1
64. การยื่นคาขอคัดแบบแสดงรายการภาษีท่ยี ่นื ผ่าน internet ทาง E – FILING เริ่มตัง้ แต่วนั ใด
ก. 1 มกราคม 2563 ข. 1 กุมภาพันธ์ 2563
ค. 1 มีนาคม 2563 ง. 1 เมษายน 2563
65. ธนาคารตามข้อใด ไม่ได้เป็ นรัฐวิสาหกิจ ที่สงั กัดกระทรวงการคลัง
ก. ธนาคารแห่งประเทศไทย ข. ธนาคารออมสิน
ค. ธนาคารกรุงไทย ง. ธนาคารอาคารสงเคราะห์
66. ข้อใดเป็ นภาษีท่กี รมสรรพากรมีหน้าที่จดั เก็บ ตามประมวลรัษฎากร
ก. ภาษีเงินได้ ภาษีมลู ค่าเพิ่ม ภาษีธรุ กิจเฉพาะ อากรแสตมป์
ข. ภาษีเงินได้ ภาษีมลู ค่าเพิ่ม ภาษีโรงเรือน อากรแสตมป์
ค. ภาษีเงินได้ ภาษีมลู ค่าเพิ่ม ภาษีนา้ มัน อากรแสตมป์
ง. ภาษี เงินได้ ภาษีมลู ค่าเพิ่ม ภาษีท่ดี ิน อากรแสตมป์
67. ข้อใดคือ Capital Expenditure
ก.เงินเดือนค้าจ้าง ข. เครื่องจักร
ค. ค่าไฟฟ้าประปา ง. กระดาษชาระ
อธิบาย
Capital Expenditures คือ รายจ่ายเพื่อการได้มาของสินทรัพย์ที่จะนำมาใช้ในการ
ดำเนินการเพื่อหารายได้ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสินทรัพย์ถาวรที่มีรูปร่างเช่น ที่อิน อาคาร เครื่องจักร
เครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น และสินทรัพย์ถาวรที่ไม่มีรูปร่างเช่น ค่าลิขสิทธิ์ ค่าสัมปทาน เป็นต้น
[300]
อธิบาย
อธิบดีกรมสรรพากร (นายลวรณ แสงสนิท) ได้นำนโยบาย “One RD” มาใช้ในการ
ทำงาน ประกอบด้วย “ONE TEAM” และ “ONE SEAMLESS TAX ECOSYSTEM”
อธิบาย เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการนำส่งภาษีผ่านระบบ
อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินดังต่อไปนี้ที่ได้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.
2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 และผู้มหี น้าที่นำส่งภาษีได้ดำเนินการตามวิธีนำส่ง
ผ่านระบบ e-Withholding Tax) คงเหลืออัตราภาษี ร้อยละ 1.0
ง.ถูกทุกข้อ
79. กรมสรรพากรใน เดิมสังกัดกระทรวงใด
ก. กระทรวงนครบาล
ข. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
ค.กระทรวงมหาดไทย
ง.กระทรวงการต่างประเทศ
80. อธิบดีกรมสรรพากร คนปั จจุบนั คือใคร
ก. นายลวรณ แสงสนิท
ข. ดร.เอกนิติ นิติทณ ั ฑ์ประภาศ
ค. นายมงคล ขนาดนิด
ง. นายปิ่ นสาย สุรสั วดี
81. หากต้องการรับข่าวสารผ่าน Line ของ กรมสรรพากรต้องทาอย่างไร
ก. Line@ ภายใต้ช่อื RD Intelligence Center
ข. Line@ ภายใต้ช่อื RD Intelligence 1161
ค. Line@ ภายใต้ช่อื rdintelligence
ง. Line@ ภายใต้ช่อื @rdintelligence
82. หากต้องการดาวน์โหลดแบบฟอร์ม ที่ใช้ในการชาระภาษี ต้องเข้าเวปไซต์กรมสรรพากร
ในหัวข้อใด
ก. บริการอิเล็กทรอนิกส์ ข. E – Filing
ค. อ้างอิง ง. บริการถามตอบ
83. กรมสรรพากร จัดเก็บภาษี ใดมากที่สดุ
ก. ภาษีมลู ค่าเพิ่ม ข. ภาษีเงินได้นิติบคุ คล
ค. ภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา ง. ภาษี ธุรกิจเพาะ
84. ข้อใดต่อไปนี ้ เป็ นภาษีทางตรง
ก. ภาษีเงินได้นิติบคุ คล ข. ภาษีมลู ค่าเพิ่ม
ค. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ง.อากรแสตมป์
85. ข้อใดต่อไปนี ้ คือ ภาษีทางอ้อม
ก. ภาษีเงินได้นิติบคุ คล ข. ภาษีมลู ค่าเพิ่ม
ค. ภาษีเงินได้บคุ คลธรมดา ง.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
86. ประมวลรัษฎากร เป็ นกฎหมายเทียบเท่ากับข้อใด
ก. พระราชกฤษฎีกา ข. กฎกระทรวง
ค. ประกาศกระทรวง ง. พระราชบัญญัติ
[303]
ค) อธิบดีกรมบัญชีกลาง ง) อธิบดีกรมสรรพากร
อธิบาย
- คณะกรรมการวินจิ ฉัยภาษีอากรประกอบด้วย
- ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ
- อธิบดีกรมสรรพากร
- อธิบดีกรมศุลกากร
- อธิบดีกรมสรรพสามิต
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
- เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
- ผู้ทรงคุณวุฒิอีกจำนวน 3 คนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
เฉลยแนวข้อสอบประมวลรัษฎากรและเรื่องเกี่ยวกับกรมสรรพากร
ข้อ คำตอบ ข้อ คำตอบ ข้อ คำตอบ ข้อ คำตอบ
1 ข 26 ค 51 ก 76 ก
2 ค 27 ก 52 ข 77 ข
3 ค 28 ข 53 ข 78 ง
4 ค 29 ข 54 ค 79 ก
5 ก 30 ก 55 ข 80 ก
6 ก 31 ง 56 ข 81 ข
7 ง 32 ข 57 ง 82 ก
8 ก 33 ก 58 ข 83 ก
9 ง 34 ก 59 ก 84 ก
10 ข 35 ง 60 ก 85 ข
11 ก 36 ค 61 ก 86 ง
12 ก 37 ข 62 ข 87 ก
13 ค 38 ก 63 ก 88 ง
14 ง 39 ง 64 ง 89 ก
15 ก 40 ง 65 ก 90 ง
16 ก 41 ก 66 ก 91 ข
17 ค 42 ง 67 ข 92 ง
18 ง 43 ก 68 ก 93 ก
19 ค 44 ข 69 ค 94 ง
20 ก 45 ค 70 ค 95 ค
21 ค 46 ก 71 ง 96 ข
22 ง 47 ง 72 ก 97 ง
23 ง 48 ค 73 ก 98 ข
24 ข 49 ง 74 ข 99 ค
25 ค 50 ก 75 ก 100 ง
[307]
แนวข้อสอบ
ความรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ข่าวสารด้านเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี
ของประเทศไทยและต่างประเทศในปัจจุบัน
ค. ด้านสิ่งแวดล้อม ง.ถูกทุกข้อ
11) ใคร คือ ผู้จัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ
ก. ธนาคารโลก ข.ธนาคารแห่งประเทศสหรัฐฯ
ค. ธนาคารแห่งประเทศไทย ง. ไม่มีข้อใดถูก
12) ผู้ประกอบการต่างประเทศที่ต้องเสียภาษี e-Service จะต้องยื่นแบบอะไร
ก. ภ.พ.30 ข. ภ.พ.30.2
ค. P.P.30.9 ง. ภ.พ.30.9
13) ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยในการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาล วิเคราะห์ข้อมูล
ที่นำไปสู่การพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจ อยากทราบว่า ข้อใดคือ ปัญญาประดิษฐ์ ดังกล่าว
ก. AI (artificial intelligence) ข. AT (artificial intelligence)
ค. AL (artificial intelligence) ง. AC (artificial intelligence)
14) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 เริ่มตั้งแต่ปีใดถึงปีใด
ก. ปี 2565-2570 ข. ปี 2566-2570
ค. ปี 2565-2572 ง. ปี 2565-2573
15) เขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือ EEZ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร
ก. exclusave economic zone ข. exclusive economic zone
ค.excluseve economic zone ง.exclusove economic zone
16) เขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือ EEZ เกิดขึ้นภายใต้อนุสัญญาใด
ก.ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล
ข.ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม
ค.อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ
ง.อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
17) ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือ EEZ
ก.หมายถึง เขตที่มีความกว้างไม่เกิน 200 ไมล์ทะเลวัดจากเส้นฐานซึ่งใช้วัด ความกว้าง
ของทะเลอาณาเขต อาจรวมถึงน่านน้ำอาณาเขตและไหล่ทวีปที่เลยเขตจำกัด 200 ไมล์ทะเล ด้วย
ข. เป็ น พื้น ที่ทะเลซึ่งรัฐ ชายฝั่ ง มีสิ ทธิพิ เศษเหนือเขตดังกล่ าวในการสำรวจ ,แสวงหา
ประโยชน์หรือใช้ทรัพยากรทางทะเล รวมถึงอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งทีม่ ีชีวิตและ
ไม่มีชีวิต
ค. ถูกทั้งข้อ ก และ ข
ง. ไม่มีข้อใดถูก
18) ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่จังหวัดที่อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ
ก. จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา
ข.จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพานาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย
ค.กระบี่ จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดสตูล
ง. ทุกข้อ เป็นจังหวัดที่อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจหมด
19) “สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล” เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร
ก. ดีป้า ข. ดีย่า
ค. ดีด้า ง. ดีบ้า
20) “สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทลั ” สังกัดกระทรวงใด
[309]
ก. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ข.กระทรวงการคลัง
ค. กระทรวงมหาดไทย
ง. กระทรวงการต่างประเทศ
21) กระทรวงใด มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจไทยก้าว
ทันและสามารถแข่งขันได้ในโลกการค้ายุคใหม่ ซึ่งจะเป็นช่วยเปลี่ยนประเทศไทยสู่ยุค 4.0
หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
ก. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ข.กระทรวงการคลัง
ค. กระทรวงมหาดไทย
ง. กระทรวงการต่างประเทศ
22) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs)
ถูกกำหนดโดยหน่วยงานใด
ก.องค์การยูเนสโก
ข.องค์การอาหารและยา
ค. องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ
ง.องค์การสหประชาชาติ
23) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) เริ่มตั้งแต่
เมื่อใดถึงเมื่อใด
ก. ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2558 ถึงเดือนสิงหาคมปี 2553
ข. ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2558 ถึงเดือนสิงหาคมปี 2563
ค. ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2558 ถึงเดือนสิงหาคมปี 2573
ง. ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2558 ถึงเดือนสิงหาคมปี 2583
24. หลักนิติธรรม หมายถึงอะไร
ก.การปฏิบัติตามกฎหมาย ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม ยุติธรรม
ข. การยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง
ค.การให้โอกาสให้บุคคลอื่น
ง.การตระหนักในสิทธิและหน้าที่
25. ประชุมสุดยอดอาเซียนในปี 2565 จะจัดขึ้นที่ประเทศใด
ก. ประเทศไทย ข. ประเทศเวียดนาม
ค. ประเทศกัมพูชา ง. ประเทศมาเลเซีย
26. โรค COVID-19 เกิดจากเชื้อไวรัสใด
ก. เชื้อไวรัส ข.เชื้อแบคทีเรีย
ค. เชื้อรา ง. เชื้อราชนิดพิเศษ
27. ภาษีใหม่ล่าสุดที่กรมสรรพากรจัดเก็บคือภาษีประเภทใด
ก. ภาษีการรับมรดก ข. ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
ค. ภาษี e-Service (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) ง. ภาษีอากรแสตมป์
[310]
ก. หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนระบบ หรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์
ข. สร้างขึ้นมาเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการเข้าร่วมลงทุน
ค.กำหนดสิทธิในการได้มาซึง่ สินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง
ง. ถูกทุกข้อ
อธิบาย
“โทเคนดิ จิ ทั ล ” หมายความว่ า หน่ ว ยข้อ มู ล อิ เล็ ก ทรอนิ ก ส์ ซึ่ ง ถู ก สร้า งขึ้ น บนระบบ หรือ
เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพือ่
1. กำหนดสิทธิของบุคคลในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการใด ๆ
2. กำหนดสิท ธิในการได้ม าซึ่งสิน ค้าหรือบริการหรือสิท ธิอื่น ใดที่เฉพาะเจาะจง ทั้ งนี้ ตามที่
กำหนดในข้ อ ตกลงระหว่ า งผู้ อ อกและผู้ ถื อ และให้ ห มายความรวมถึ ง หน่ ว ยแสดงสิ ท ธิ อื่ น ตามที่
คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด
อธิบ าย การจัด เก็บภาษี มูลค่า เพิ่ ม กรณี การ ให้ บ ริการทางอิ เล็ กทรอนิ กส์จ ากต่างประเทศ
(กฎหมาย e–Service) จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ครอบคลุม ผู้ให้บริการดิจิทัลข้ามชาติ ที่มี รายได้
จากผู้ใช้บริการในประเทศไทยเกิน 1.8 ล้านบาท/ปี
ผู้ ใ ห้ บ ริ ก ารดิ จิ ทั ล ข้ า มชาติ ที่ ให้ บ ริ ก าร Download ภาพยนตร์ เพลง เกม ให้ บ ริ ก าร
Streaming ให้ บริการจองโรงแรม ที่พัก การเดินทาง และพื้นที่ โฆษณา สื่อโฆษณา เช่น Facebook
Netflix Disney Line Youtube Google Airbnb Apple Tiktok Agoda เป็นต้น
[312]
VES หรือ VAT for Electronic Service เป็ นระบบที่กรมสรรพากรได้จั ดทํ าขึ้น เพื่ ออํานวย
ความสะดวกให้กับธุรกิจไอทีข้ามชาติที่ ให้บริการ e-Service จากต่างประเทศ ซึ่งต้องมาจดทะเบียน
ภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร ให้สามารถทํา ธุรกรรมภาษีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ทั้งหมด ตั้งแต่การ
จดทะเบียน การยื่นแบบ การชําระภาษี การจัดทําเอกสาร การรับเอกสาร และการส่งเอกสาร ได้อย่าง
สะดวก รวดเร็ว
ผู้ป ระกอบการ e-Sevice ต้องจดทะเบียนกับระบบ VES ที่ www.rd.go.th โดยสามารถยื่น
แบบ และชําระภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบVES ภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไป
อธิบาย
การคำนวณต้นทุนคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัลประเภทเดียวกัน ให้ใช้วิธีที่มาตรฐาน
การบั ญ ชี รั บ รอง เช่ น วิ ธี เข้ าก่ อ นออกก่ อ น (FIFO) หรือ วิ ธี ต้ น ทุ น ถั ว เฉลี่ ย เคลื่ อ นที่ (Moving
average cost) และให้คำนวณต้นทุนแยกตามประเภทของเหรียญ
วิธี เข้าก่อนออกก่อ น The first-in first-out (FIFO) คือ การคำนวณต้ นทุ น คริ ป โท
เคอร์ เรนซี/โทเคนดิจิ ทั ล โดยคริ ป โทเคอร์ เรนซี/โทเคนดิจิทั ล ที่ ซื้อมาก่อนจะขายออกไปก่อ น
ตามลำดับ จึงเป็นผลให้รายการ คริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัลที่เหลืออยู่ ณ วันสุดท้ายเป็นคริป
โทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัลที่ซื้อมา ครั้งหลังสุด
วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ The moving average cost คือ การคำนวณต้นทุนคริป
โทเคอร์เรนซี/ โทเคนดิจิทัล แต่ละประเภทจะกำหนดจากการถัวเฉลี่ยต้นทุนของคริปโทเคอร์เรน
ซี/โทเคนดิจิทัลประเภท เดียวกัน ณ วันต้นปีกับต้นทุนของคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัลที่ซื้อมา
ในระหว่างปีซึ่งคำนวณทุกครั้งที่ ซื้อคริปโทเคอร์เรนซี/โทเคนดิจิทัล
43) ใครมีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซี
ก. เงินได้จากการโอนหรือขายคริปโทเคอร์เรนซี เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
ข. เงินได้จากการขายคริปโทเคอร์เรนซี ที่ได้จากการขุด
ค. เงินได้จากผลตอบแทนใด ๆ จากการน าคริปโทเคอร์เรนซี ไปหาประโยชน์
ง. ถูกทุกข้อ
44) เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ Eastern Economic Corridor ชื่อย่อคืออะไร
ก. ECC ข. BBC
ค. EER ง. EEC
45) รัฐบาลไทยได้จัดตั้งเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor หรือ
EEC ขึน้ โดยกฎหมายใด
ก.พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2560
ข.พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561
ค.พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2562
[313]
ก.โดยคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา
ข.วุฒิสภา
ค. สภาผู้แทนราษฎร
ง. คณะกรรมการกฤษฎีกา
54) สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก จํานวนกี่คน
ก. 305 คน ข. 400 คน
ค. 500 คน ง. 550 คน
55) วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนกี่คน
ก. 205 คน ข. 100 คน
ค. 200 คน ง. 250 คน
56) ผู้ที่จะสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต้องมีอายุเท่าใด
ก.อายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปีในวันสมัครรับเลือก
ข.อายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีในวันสมัครรับเลือก
ค.อายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีในวันสมัครรับเลือก
ง.อายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีในวันสมัครรับเลือก
57) คณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มีกี่คน
ก. 35 คน ข. 40 คน
ค. 45 คน ง. 50 คน
58) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ประกาศให้ โรค COVID-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรง อันดับ
ที่ เท่าใดของไทย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558
ก. อันดับที่ 12 ข. อันดับที่ 13
ค. อันดับที่ 14 ง. อันดับที่ 15
59. ระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งมี ลักษณะเป็นเครือข่ายใยแมงมุ ม ที่เก็บ
สถิติการทำธุรกรรมทางการเงิน และสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ โดยไม่มีตัวกลาง หมายถึงข้อใด
ก. Blockchain ข. AI
ค. สมาร์ทโฟน ง. 5 G
60. เทคโนโลยีเสมือนจริง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไร
ก. “เทคโนโลยี ER” ข. “เทคโนโลยี AR”
ค. “เทคโนโลยี RR” ง. “เทคโนโลยี PR”
[315]
แนวข้อสอบ
ความรู้ เกีย่ วกับ พ.ร.บ.ข้ อมูลข่าวสารของราชการ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้ อมูลส่ วนบุคคล
ค.รับคำขอและเป็นธุระจัดหาให้
ง. แนะนำให้ไปยืน่ คำขอต่อหน่วยงานนัน้ ๆ
7.ข้อใดคือเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ก.เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสกว้างขวางในการได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการ
ต่างๆ ของรัฐ เพือ่ ที่ประชาชนจะสามารถแสดงความคิดเห็นและใช้สิทธิทางการเมืองได้โดย
ถูกต้องกับความเป็นจริง รวมทั้งมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
ข.เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐไม่ต้อง
เปิดเผยหรือ ไม่อาจเปิดเผยเพือ่ ให้ชัดเจนต่อการปฏิบตั ิ โดยจำกัดเฉพาะข้อมูลข่าวสารทีห่ าก
เปิดเผยแล้วจะ เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติหรือต่อประโยชน์ที่สำคัญของเอกชน
ค.เพื่อคุ้มครองการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคลที่
อยู่ในความครอบครองของของหน่วยงานของรัฐ
ง.ถูกทุกข้อ
8. ข้อมูลข่าวสารของราชการที่ไม่ควรเปิดเผยหน่วยงานรัฐต้องดำเนินการตามข้อใด
ก. แจ้งให้ประชาชนได้ทราบ
ข. ประกาศห้ามในราชกิจจานุเบกษา
ค.ลบหรือตัดทอนข้อมูลข่าวสารนั้น
ง.ทำคำสั่งมิให้เปิดเผย
9. ข้อมูลข่าวสารใด หน่วยงานราชการเปิดเผยไม่ได้
ก. ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ข.รายงานบทบาทการแพทย์ของบุคคลใดๆ
ค.ข้อมูลเกี่ยวกับราชการทางทหาร
ง.ข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
10.ข้อมูลที่หน่วยงานรัฐจะเปิดเผยแต่กระทบต่อบุคคลอื่นๆ ต้องแจ้งให้บุคคลนั้นเสนอคัดค้าน
มิให้เปิดเผยในเวลาตามข้อใด
ก.ภายใน 15 วัน นับแต่วันรับแจ้ง ข. ไม่นอ้ ยกว่า 15 วัน นับแต่วนั รับแจ้ง
ค.ภายใน 30 วัน นับแต่วนั รับแจ้ง ง.ไม่น้อยกว่า 30 วัน นับแต่วนั รับแจ้ง
11. การดำเนินการตามข้อ 10 หากหน่วยงานรับยังไม่ประสงค์จะเปิดเผยและมีคำสั่งมิให้รับฟังคำ
คัดค้านบุคคลนั้นจะอุทธรณ์เพื่อมิให้เปิดเผยข้อมูลต่อได้ภายใน 15 วัน
ก.เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบ
ข.คณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร
ค. คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
ง.นายกรัฐมนตรี
12. เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐได้เปิดเผยข้อมูลโดยดำเนินการถูกต้องตามระเบียบโดยอำนาจสมควรแก่เหตุ
และเพื่อประโยชน์อันสำคัญเกี่ยวกับสาธารณะหากเข้าข่ายต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ข้อใด
กล่าวถูกต้องที่สุด
[318]
13. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. บุคคลตัวแทนบุคคลมีสิทธิได้รู้ถึงข้อมูลข่าวสารของบุคคลนั้น
ข. ให้จัดทำคำขอดูขอ้ มูลหรือสำเนาข้อมูลนั้นได้
ค. หน่วยงานต้องให้ตรวจดู ให้สำเนาได้ เว้นแต่ข้อมูลที่มใิ ห้เปิดเผย
ง.ถูกทุกข้อ
14. ข้อมูลข่าวสารทีห่ น่วยงานของรัฐประสงค์จะเก็บรักษา หรือมีอายุครบเก็บ จะต้องเก็บรักษา
หรือจัดให้ประชาชนได้ศึกษาที่หน่วยงานใด
ก.สำนักงานทะเบียนกลาง สำนักนายกรัฐมนตรี
ข.หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
ค.สำนักงานทะเบียนกลางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ง.ให้หน่วยงานรัฐนัน้ ๆ ทำลายตามระเบียบงานสารบรรณ
15. ข้อมูลทีอ่ าจก่อให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ มีอายุการเก็บรักษากี่ปี
ก. 20 ปี ข. 25 ปี
ค. 35 ปี ง. 75 ปี
16. ข้อมูลที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผยหากมีอายุการเก็บครบ 20 ปี แต่หน่วยงานรัฐเห็นว่ายังไม่ควร
เปิดเผยต้องขอขยายเวลาส่งเก็บรักษา โดยขยายเวลาไม่เกินคราวละกี่ปี
ก. 1 ปี ข. 5 ปี
ค. 7 ปี ง. 10 ปี
17. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร
ก. คณะกรรมการมีทั้งหมด 23 คน โดยตำแหน่ง 14 คน ผูท้ รงคุณวุฒิ 9 คน
ข.คณะกรรมการมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี แต่งตั้งอีกก็ได้แต่ไม่เกิน 2 วาระ
ค.การวินิจฉัยชีข้ าดของคณะกรรมการ ถือเสียงข้างมาก
ง.คณะกรรมการพิจารณาคำร้องเรียนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากจำเป็นขยายเวลา
อีก ไม่เกิน 30 วัน
18. ผูใ้ ดไม่ได้เป็นคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.)
ก. ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ข. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ค. ปลัดกระทรวงยุตธิ รรม ง. ถูกทุกข้อ
19. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับคณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารฯ
ก. มีจำนวน 5 คณะแต่งตัง้ โดย ครม. ตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเสนอ
ข. คณะกรรมการแต่ละคณะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน
ค. เลขานุการ, ผู้ช่วยเลขานุการแต่ละคณะแต่งตัง้ จากข้าราชการประจำ
ง. การพิจารณาเกีย่ วข้องกับหน่วยงานใดกรรมการที่แต่งตัง้ จากหน่วยงานรับข้อมูลไป
[319]
พิจารณา
20. เมือ่ คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารได้รับข้ออุทธรณ์จากผู้ขอ ต้องส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัย
ข้อมูลสาขานั้นๆ ภายในกี่วัน นับตัง้ แต่คณะกรรมการได้รับคำอุทธรณ์
ก. 5 วัน ข. 7 วัน
ค. 10 วัน ง. 15 วัน
21.ข้อใดถือเป็นข้อมูลข่าวสาร
ก. หนังสือ ข. การบันทึกภาพหรือเสียง
ค. แผนผัง ง. ถูกทุกข้อ
22. ข้อใดต่อไปนีค้ อื ข้อมูลข่าวสารของราชการ
ก. ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของเอกชน
ข. ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ
ค.ข้อมูลข่าวสารทีอ่ ยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของเอกชน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล
ข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐหรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเอกชน
ง. ข้อมูลข่าวสารที่อยูใ่ นความครอบครองหรือควบคุมดูแลของเอกชน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล
ข่าวสาร เกีย่ วกับการดำเนินงานของรัฐหรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเอกชน
23.ข้อใดไม่ใช่หน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
ก. ราชการส่วนภูมิภาค
ข. ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา
ค. ราชการส่วนท้องถิ่น
ง ศาลเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดี
24.ข้อใดถือเป็นข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล
ก.ประวัติสุขภาพ ข.ประวัติอาชญากรรม
ค.สิ่งเฉพาะตัวของผู้ท่ถี งึ แก่กรรม ง. ถูกทุกข้อ
25. ข้อใดคือคนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติขอ้ มูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
ก. บุคคลธรรมดาที่มีสญ ั ชาติไทยแต่ไม่มีถิ่นทีอ่ ยูใ่ นประเทศไทย
ข.บุคคลธรรมดาทีไ่ ม่มสี ัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
ค.บุคคลธรรมดาที่ไม่มสี ัญชาติไทยและไม่มีถิ่นทีอ่ ยู่ในประเทศไทย
ง.บุคคลธรรมดาที่มสี ัญชาติไทยและมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
26. ข้อใดต่อไปนี้เป็นคนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติขอ้ มูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
ก.สมาคมทีม่ ีสมาชิกเกินกึ่งหนึ่งเป็นคนต่างด้าว
ข.สมาคมหรือมูลนิธิท่มี ีวตั ถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของคนต่างด้าว
ค.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่มีทนุ เกินกึ่งหนึง่ เป็นของคนต่างด้าว
ง.ถูกทุกข้อ
27. ผู้ดำรงตำแหน่งใดเป็นผู้รกั ษาการตามพระราชบัญญัตขิ ้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540
ก.นายกรัฐมนตรี ข.รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงมหาดไทย
[320]
ค.อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ง.ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
28.สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการสังกัดส่วนราชการใด
ก.สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ข.สำนักนายกรัฐมนตรี
ค.กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ง.ไม่ได้สังกัดส่วนราชการใดเพราะเป็น
29. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
ก.ประสานงานกับเอกชน
ข.ปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานธุรการให้แก่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
ค.ให้คำปรึกษาแก่เอกชน
ง.ปฏิบตั งิ านเกี่ยวกับงานวิชาการคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
30.ข้อมูลข่าวสารตามข้อใดทีไ่ ม่ต้องลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา
ก.โครงสร้างและการจัดองค์กรในการดำเนินงาน
ข.แผนงาน โครงการ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีของปีที่กำลังดำเนินการ
ค.สถานที่ตดิ ต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารหรือคำแนะนำในการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ
ง.สรุปอำนาจหน้าที่ที่สำคัญและวิธีการดำเนินงาน
31. ข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดู ยกเว้นข้อใด
ก.สัญญาสัมปทาน
ข.ผลการพิจารณาหรือคำวินจิ ฉัยที่มีผลโดยตรงต่อเอกชน
ค.มติคณะรัฐมนตรี
ง.แผนงาน โครงการ และงบประมาณรายจ่ายในปีทด่ี ำเนินการ
32. ข้อใดเป็นสิทธิของบุคคลไม่ว่าจะมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตามกับข้อมูลข่าวสารนั้น
ก.ขอสำเนา ข.ขอสำเนาทีม่ ีคำรับรองถูกต้อง
ค.เข้าตรวจดู ง.ถูกทุกข้อ
33. ผูใ้ ดเห็นว่าหน่วยงานของรัฐไม่จัดพิมพ์ข้อมูลลงในราชกิจจานุเบกษาหรือเห็นว่าตนไม่ได้รับ
ความสะดวกโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้มีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการตามข้อใด
ก.คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
ข.คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
ค.คณะกรรมการอุทธรณ์การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
ง.ถูกทุกข้อ
34. ผู้ใดเห็นว่าหน่วยงานของรัฐไม่จัดพิมพ์ข้อมูลลงในราชกิจจานุเบกษาหรือเห็นว่าตนไม่ได้รับ
ความสะดวกโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้มีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการตามข้อ 15
คณะกรรมการต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในกี่วนั
ก.15 วัน ข.30 วัน
ค.45 วัน ง.60 วัน
35. คณะพิจารณาเรื่องร้องเรียนในกรณีท่มี ีเหตุจำเป็นให้ขยายเวลาออกไปได้รวมแล้วไม่เกินกี่วัน
ก.15 วัน ข.30 วัน
[321]
42. ถ้าหน่วยงานของรัฐไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลผู้นั้นมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ภายในกี่วัน
ก. 15 วัน ข.30 วัน
ค. 45 วัน ง. 60 วัน
43.ข้อมูลข่าวสารตามข้อใดต่อไปนี้ที่กรมสรรพากร สามารถจัดเก็บไว้เพื่อการบริหารการจัดเก็บ
ภาษีได้
ก. ชื่อ ชือ่ สกุล ชื่อผู้ประกอบการ ชื่อสถานประกอบการ
ข. วันเดือนปีเกิด วันเดือนปีทจ่ี ดทะเบียนภาษี
ค. เลขประจำตัวประชาชน
ง. ถูกทุกข้อ
44.นายอดุลย์ เป็นผูม้ ีรายได้ และยืน่ เสียภาษีตอ่ กรมสรรพากร แล้ว ต้องการขอข้อมูลเกี่ยวกับ
จำนวนเงินได้พงึ ประเมินของปีภาษีก่อนหน้า อยากทราบว่านายอดุลย์ สามารถขอรับ
ข้อมูลดังกล่าว ได้ท่ีใด
ก. กองกฎหมาย กรมสรรพากร
ข. ส่วนวางแผน สำนักงานสรรพากรภาค
ค. ส่วนกรรมวิธีและคืนภาษี สำนักงานสรรพากรพื้นที่
ง. งานบริหารงานทั่วไป สำนักงานสรรพากรพืน้ ทีส่ าขา
45. นางสิรดา ไปขอคัดเอกสารการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(แบบ ภ.ง.ด.90) เนื่องจากจะลงสมัครเป็น นายกเทศบาล ณ สนง.สรรพากรพื้นทีส่ ระบุรี
(ได้รับเป็นกระดาษ A4) อยากทราบว่า นางสิรดา ต้องเสียค่าธรรมเนียม อย่างไร
ก. หน้าละ 1 บาทและให้คารับรองถูกต้องคำรับรองละ 5 บาท
ข. หน้าละ 1.50 บาทและให้คารับรองถูกต้องคำรับรองละ 5 บาท
ค. หน้าละ 2 บาทและให้คำรับรองถูกต้องคำรับรองละ 5 บาท
ง. หน้าละ 3 บาทและให้คำรับรองถูกต้องคำรับรองละ 5 บาท
46. นายปกรณ์ ต้องการคัดค้นสำเนาภาพ แบบ ภ.ง.ด.50 ทีย่ ื่นทาง Internet ของ
กรมสรรพากร จะต้องชำระค่าธรรมเนียมคัดค้นแบบแสดงรายการภาษี อย่างไร
ก. กรณีรับรองสำเนาถูกต้อง คิดค่าธรรมเนียม 6 บาท/ฉบับ
ข.กรณีไม่ต้องรับรองสำเนาถูกต้อง คิดค่าธรรมเนียม 1 บาท/ฉบับ
ค. ทั้งกรณีรับรองสำเนาถูกต้อง และไม่รับรองสำเนา คิดค่าธรรมเนียม 5 บาท/ฉบับ
ง. ถูก ทัง้ ข้อ ก และ ข
47. ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่หลักการและแนวคิดของการตราพระราชบัญญัติขอ้ มูลข่าวสารของ
ราชการ พ.ศ. 2540
ก. ให้ประชาชนมีโอกาสรับรู้ขอ้ มูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐ
ข. รับรองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ
ค. ข้อมูลข่าวสารทุกชนิด สามารถเปิดเผยได้เสมอ
ง. ข้อมูลข่าวสารของราชการทัง้ หมด หรือส่วนใหญ่ สามารถเปิดเผยได้
[323]
48. ข้อใดไม่ใช่ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล
ก. เสียงที่บันทึกไว้ขณะคุยโทรศัพท์ ของ นายประเมิน
ข. ฐานะการเงินของ นางสาวภาษี
ค. วุฒิการศึกษา ของ นายประชัน
ง. ผลงานวิจัย ทีป่ รากฏอยู่ตาม เว็บไซต์ของไทยลิส
ก. 1 ปี นับแต่วนั ที่ผเู ้ สี ยหายรู ้ถึงความเสี ยหายและรู ้ตวั ผูก้ ระทาความผิดหรื อ 10 ปี นับแต่วนั ที่มี
การละเมิดข้อมูลส่ วนบุคคล
ข. 2 ปี นับแต่วนั ที่ผเู ้ สี ยหายรู ้ถึงความเสี ยหายและรู ้ตวั ผูก้ ระทาความผิดหรื อ 10 ปี นับแต่วนั ที่มี
การละเมิดข้อมูลส่ วนบุคคล
ค. 3 ปี นับแต่วนั ที่ผเู ้ สี ยหายรู ้ถึงความเสี ยหายและรู ้ตวั ผูก้ ระทาความผิดหรื อ 10 ปี นับแต่วนั ที่มี
การละเมิดข้อมูลส่ วนบุคคล
ง. 4 ปี นับแต่วนั ที่ผเู ้ สี ยหายรู ้ถึงความเสี ยหายและรู ้ตวั ผูก้ ระทาความผิดหรื อ 10 ปี นับแต่วนั ที่มี
การละเมิดข้อมูลส่ วนบุคคล
20.โทษทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีอตั ราโทษปรับ
ทางปกครองสู งสุ ดตามข้อใด
ก. ไม่เกิน 1 ล้านบาท ข. ไม่เกิน 3 ล้านบาท
ค. ไม่เกิน 5 ล้านบาท ง. ไม่เกิน 10 ล้านบาท
21.ผูใ้ ดมีอาํ นาจพิจารณาเรื่ องร้องเรี ยนตามพระราชบัญญัติคมุ้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล พ.ศ. 2562
ก. คณะกรรมการคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล ข. คณะกรรมการผูเ้ ชี่ยวชาญ
ค. พนักงานเจ้าหน้าที่ ง. รมต.ว่าการกระทรวงดิจิทลั เพื่อเศรษฐกิจและสังคม
22.ผูใ้ ดมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับข้อมูลส่ วนบุคคล
ก. คณะกรรมการคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล ข. คณะกรรมการผูเ้ ชี่ยวชาญ
ค. พนักงานเจ้าหน้าที่ ง. รมต.ว่าการกระทรวงดิจิทลั เพื่อเศรษฐกิจและสังคม
23.ผูใ้ ดมีอาํ นาจแต่งตั้งคณะกรรมการผูเ้ ชี่ยวชาญ ตามแต่ละกรณี
ก. คณะกรรมการคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล ข. คณะกรรมการผูเ้ ชี่ยวชาญ
ค. พนักงานเจ้าหน้าที่ ง. รมต.ว่าการกระทรวงดิจิทลั เพื่อเศรษฐกิจและสังคม
24.ผูใ้ ดมีอาํ นาจสั่งลงโทษปรับทางปกครอง
ก. คณะกรรมการคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล ข. คณะกรรมการผูเ้ ชี่ยวชาญ
ค. พนักงานเจ้าหน้าที่ ง. รมต.ว่าการกระทรวงดิจิทลั เพื่อเศรษฐกิจและสังคม
25.ผูใ้ ดมีอาํ นาจสั่งให้บุคคลใดส่ งเอกสารหรื อข้อมูลเกี่ยวกับการคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล
ก. คณะกรรมการคุม้ ครองข้อมูลส่ วนบุคคล ข. คณะกรรมการผูเ้ ชี่ยวชาญ
ค. พนักงานเจ้าหน้าที่ ง. รมต.ว่าการกระทรวงดิจิทลั เพื่อเศรษฐกิจและสังคม
26. ผูค้ วบคุมข้อมูลส่ วนบุคคลที่ใช้หรื อเปิ ดเผยข้อมูลส่ วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจาก
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งน่าจะทําให้ผอู ้ ื่นเกิดความเสี ยหาย ต้องระวางโทษทางอาญาตามข้อใด
ก. จําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรื อปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรื อทั้งจําทั้งปรับ
ข. จําคุกไม่เกิน 1 ปี หรื อปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรื อทั้งจําทั้งปรับ
ค. จําคุกไม่เกิน 2 ปี หรื อปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรื อทั้งจําทั้งปรับ
ง. จําคุกไม่เกิน 2 ปี หรื อปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรื อทั้งจําทั้งปรับ
27.จากข้อ 26 หากเป็ นการกระทําเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
[329]
ง. แก้ไขให้ถูกต้อง สมบูรณ์
32. เมื่อผูค้ วบคุมข้อมูลส่ วนบุคคลได้รับคําขอการเพิกถอนจากเจ้าของข้อมูลแล้ว ต้องทําอย่างไร
ก. แจ้งให้ทราบผลกระทบจากการถอนความยินยอม
ข. หยุดประมวลผล
ค. ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ง. ถูกข้อ ก และ ข.
33. ผูค้ วบคุมข้อมูลส่ วนบุคคลที่ไม่แจ้งผลกระทบจากการถอนความยินยอม มีโทษตามข้อใด
ก.โทษปรับทางปกครองไม่เกิน 1 ล้านบาท
ข. โทษปรับทางปกครองไม่เกิน 3 ล้านบาท
ค. โทษปรับทางปกครองไม่เกิน 5 ล้านบาท
ง. โทษปรับทางปกครองไม่เกิน 5 แสนบาท
34. เจ้าของข้อมูลส่ วนบุคคลได้รับความคุม้ ครองสิ ทธิ ในเรื่ องใดโดยไม่ตอ้ งมีการร้องขอ
ก. สิ ทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่ วนบุคคล
ข. สิ ทธิ ในการลบข้อมูลส่ วนบุคคล
ค. สิ ทธิ ได้รับแจ้งการเก็บรวบรวมข้อมูลส่ วนบุคคล
ง. สิ ทธิหา้ มมิให้ประมวลผลข้อมูลส่ วนบุคคล
35. ผูค้ วบคุมข้อมูลส่ วนบุคคลที่ไม่ปฏิบตั ิตามกฎหมายเกี่ยวกับการแจ้งรายละเอียดการเก็บ
รวบรวมข้อมูลส่ วนบุคคล มีโทษในข้อใด
ก. โทษปรับทางปกครองไม่เกิน 1 ล้านบาท
ข. โทษปรับทางปกครองไม่เกิน 3 ล้านบาท
ค. โทษปรับทางปกครองไม่เกิน 5 ล้านบาท
ง. โทษปรับทางปกครองไม่เกิน 5 แสนบาท
36. สิ ทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่ วนบุคคล ยกเว้นเรื่ องใด
ก. ขอเข้าถึงข้อมูลส่ วนบุคคลเกี่ยวกับตน
ข. ขอรับสําเนาข้อมูลส่ วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน
ค. ขอให้ส่งข้อมูลไปยังผูค้ วบคุมข้อมูลส่ วนบุคคลอื่น
ง. ขอให้เปิ ดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลที่ไม่ได้ให้ความยินยอม
37. หากเจ้าของข้อมูลส่ วนบุคคล ขอเข้าถึงข้อมูลส่ วนบุคคล ผูค้ วบคุมข้อมูลส่ วนบุคคลต้องทํา
อย่างไร
ก. ต้องปฏิบตั ิตามคําขอ
ข. ปฏิเสธ เยอเมื่อกฎหมายบัญญัติไว้หรื อตามคาสั่งศาล
ค. ปฏิเสธคาขอหากจะเกิดความเสี ยหายต่อบุคคลอื่น
ง. ถูกทุกข้อ
38. หากเจ้าของข้อมูลส่ วนบุคคล ขอให้เปิ ดเผยถึงการได้มาของข้อมูลที่ตนไม่ได้ให้ความยินยอม
[331]
Note
นายประมาณ ไม่ได้มีส่วนร่ วมในการกระทาละเมิดและเป็ นผูท้ ี่ได้รับความเสี ยหายจาก
การกระทาละเมิดของ นายสมัคร นายประมาณ จึงเป็ นผูเ้ สี ยหาย มีสิทธิเรี ยกร้องให้หน่วยงานที่
นายสมัครสังกัด ชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนจากการถูกกระทาละเมิดโดยเจ้าหน้าที่ ได้
กรณี นายสมัคร ต้องพิจารณาว่า ขับรถโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรื อไม่ ขับรถ
ถูกกฎจราจรหรื อไม่ ถ้าเป็ นการกระทาที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง นายสมัคร ต้อง
รับผิดชอบในเรื่ องค่าเสี ยหายด้วย
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซ่ ึงไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่า
กระทรวงการคลังเป็ นหน่วยงานของรัฐที่ตอ้ งรับผิดตามวรรคหนึ่ง
Note
ตาม ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบตั ิเกี่ยวกับความรับผิดทาง
ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ข้อ 8
“เมื่อเกิดความเสี ยหายแก่หน่วยงานของรัฐแห่งใด และหัวหน้าหน่วยงานของรัฐแห่ง
นั้นมีเหตุอนั ควรเชื่อว่าเกิดจากการกระทาของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้น ให้หวั หน้า
หน่วยงานของรัฐดังกล่าวแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริ งความรับผิดทางละเมิดขึ้นคณะ
หนึ่งโดยไม่ชกั ช้า เพื่อพิจารณาเสนอความเห็นเกี่ยวกับผูต้ อ้ งรับผิดและจานวนค่าสิ นไหม
ทดแทนที่ผนู ้ ้ นั ต้องชดใช้
คณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง ให้มีจานวนไม่เกินห้าคน โดยแต่งตั้งจากเจ้าหน้าที่ของ
หน่วยงานของรัฐแห่งนั้นหรื อหน่วยงานของรัฐอื่นตามที่เห็นสมควร”
[339]
12) " นายสาเริ ง พนักงานขับรถของกรมสรรพากร ได้ รับคาสั่งให้ ขับรถพาเจ้ าหน้ าที่ออกเร่ งรั ด
ขณะขับรถ นายสาเริ ง ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกาหนด และขับรถประมาทหวาดเสียวจน
ชนรถจักรยานยนต์ ของนางยาใจที่ขับมาตามทางปกติ ทาให้ รถจักรยานยนต์ ของนางยาใจ ได้ รับ
ความเสียหาย " ดังนี้ นางยาใจ ฟ้องใครให้รับผิดชดใช้ค่าเสี ยหายได้
ก. กรมสรรพากร ข. นายสาเริ ง
ค. กรมสรรพากรและ นายสาเริ ง ง. กระทรวงการคลัง
13) " นายประมาณ พนักงานขับรถของ อบต.แห่ งหนึ่ง ได้ รับคาสั่งให้ ขับรถพาเจ้ าหน้ าที่ไปจ่ าย
เบีย้ ผู้สูงอายุ ขณะขับรถ นายประมาณ ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกาหนด และขับรถประมาท
หวาดเสียวจนชนรถจักรยานยนต์ ของนางชมพู่ ที่ขับมาตามทางปกติ ทาให้ รถจักรยานยนต์ ของ
นางชมพู่ ได้ รับความเสียหาย " ดังนี้ ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุด
ก. นางชมพู่ ต้องฟ้องเรี ยกค่าเสี ยหาย จาก นายประมาณคนดียวเท่านั้น
ข. นางชมพู่ ต้องฟ้องเรี ยกค่าเสี ยหายจาก อบต.เท่านั้น
ค. นางชมพู่ ต้องฟ้องเรี ยกค่าเสี ยหายจาก อบต.และ นายประมาณ เพราะเป็ นประมาท
ร่ วมกัน
ง. นางชมพู่ ต้องฟ้องเรี ยกค่าเสี ยหายจาก อบต.เท่านั้น แต่ อบต. สามารถไล่เบี้ยเอาจาก
นายประมาณ ได้
Note
มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐ ต้องรับผิดต่อผูเ้ สี ยหายในผลแห่งละเมิด ที่เจ้าหน้าที่ของตนได้
กระทาในการปฏิบตั ิหน้าที่ในกรณี น้ ี ผูเ้ สี ยหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าว ได้โดยตรง แต่จะ
ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
[340]
Note
มาตรา ๗ ในคดีที่ผเู ้ สี ยหายฟ้องหน่วยงานของรัฐ ถ้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่า เป็ นเรื่ องที่
เจ้าหน้าที่ตอ้ งรับผิด หรื อต้องร่ วมรับผิด หรื อในคดีที่ผเู ้ สี ยหายฟ้องเจ้าหน้าที่ ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นว่า
เป็ นเรื่ องที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิด หรื อต้องร่ วมรับผิด หน่วยงานของรัฐ หรื อเจ้าหน้าที่
ดังกล่าว มีสิทธิขอให้ศาลที่พิจารณาคดีน้ นั อยู่ เรี ยกเจ้าหน้าที่ หรื อหน่วยงานของรัฐ แล้วแต่กรณี
เข้ามาเป็ นคู่ความในคดี
ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุที่หน่วยงานของรัฐหรื อเจ้าหน้าที่ ที่ถูกฟ้องมิใช่ผตู ้ อ้ ง
รับผิด ให้ขยายอายุความฟ้องร้องผูท้ ี่ตอ้ งรับผิด ซึ่งมิได้ถูกเรี ยกเข้ามาในคดี ออกไปถึง ๖ เดือน
นับแต่วนั ที่คาพิพากษานั้นถึงที่สุด
18) ข้อใดกล่าวได้ถูกต้อง
[342]
Note
ข้อ ก. ไม่ถูกต้อง กล่าวคือ ถ้าไม่ได้ทาในขณะปฎิบตั ิหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็ตอ้ งรับผิดชอบในการ
กระทาของตน ตาม มาตรา 6 ที่กล่าวว่า
"ถ้าการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าที่ มิใช่การกระทาในการปฏิบตั ิหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตอ้ งรับผิด ในการนั้น
เป็ นการเฉพาะตัว ในกรณี น้ ี ผูเ้ สี ยหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้ "
ข้อ ค. ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าเป็ นกรณี ที่ เจ้าหน้าที่กระทาตามหน้าที่ ไม่ได้กระทาด้วยความจงใจ
หรื อ ประมาท เลินเล่อ อย่างร้ายแรง ซึ่งถ้าเป็ นในลักษณะนี้ หน่วยงานของรัฐจะฟ้องไล่เบี้ยเอาจาก
เจ้าหน้าที่ไม่ได้
มาตรา 8 ในกรณี ที่หน่วยงานของรัฐ ต้องรับผิดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนแก่ผเู ้ สี ยหาย เพื่อการละเมิดของ
เจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของรัฐ มีสิทธิเรี ยกให้เจ้าหน้าที่ ผูท้ าละเมิด ชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนดังกล่าว
แก่หน่วยงานของ รัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทาการนั้นไปด้วยความจงใจ หรื อประมาทเลินเล่ออย่าง
ร้ายแรง
ข้อ ง. ไม่ถูกต้อง เพราะ มาตรา 8 ของพระราชบัญญัติน้ ี กาหนดไม่ให้นาหลักเรื่ องลูกหนี้ร่วม
มาใช้บงั คับ
มาตรา 8 ในกรณี ที่การละเมิด เกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นาหลักเรื่ องลูกหนี้ร่วม มาใช้บงั คับ และ
เจ้าหน้าที่ แต่ละคน ต้องรับผิดใช้ค่าสิ นไหมทดแทน เฉพาะส่ วนของตนเท่านั้น
Note
มาตรา 9 ถ้าหน่วยงานของรัฐหรื อเจ้าหน้าที่ได้ใช้ค่าสิ นไหมทดแทนแก่ผเู ้ สี ยหาย สิ ทธิ
ที่จะเรี ยกให้อีกฝ่ ายหนึ่งชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนแก่ตนให้มีกาหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วนั ที่
หน่วยงานของรัฐหรื อเจ้าหน้าที่ได้ใช้ค่าสิ นไหมทดแทนนั้นแก่ผเู ้ สี ยหาย
Note
มาตรา 11 ในกรณี ที่ผเู ้ สี ยหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดตาม ม. 5 ผูเ้ สี ยหายจะยืน่ คาขอต่อ
หน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสิ นไหมทดแทนสาหรับความเสี ยหายที่เกิดแก่ตนก็ได้
ในการนี้ หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคาขอให้ไว้เป็ นหลักฐานและพิจารณาคาขอ นั้นโดยไม่ชกั ช้า
เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคาสั่งเช่นใดแล้วหากผูเ้ สี ยหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงานของ
รัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ ต่อคณะกรรมการวินิจฉั ยร้ องทุกข์ ตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา
ได้ ภายใน 90 วันนับแต่ วันที่ตนได้ รับแจ้ งผลการวินิจฉั ย
Note ปั จจุบัน สิ ทธิ ร้องทุกข์ เปลี่ยนไปเป็ นให้ เป็ นสิ ทธิ ฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ข้อสอบเกี่ยวกับกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
1. ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สดุ เกี่ยวกับวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ิราชการ
ทางปกครอง
ก ปฏิบตั ิตามที่ขอ้ กาหนด ในพระราชบัญญัตินีเ้ ท่านัน้
ข. ถ้ากฎหมายใดกาหนดวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง เรื่องใดไว้โดยเฉพาะแล้ว ก็ไม่
จาต้องใช้กฎหมายนี ้
ค. วิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง ให้เป็ นไปตามที่กาหนดในพระราชบัญญัตินี ้ เว้นแต่
ในกรณีท่กี ฎหมายใดกาหนดวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครองเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ
และ มีหลักเกณฑ์ท่ีประกันความเป็ นธรรม หรือมีมาตรฐานในการปฏิบตั ิราชการ
ไม่ต่ากว่าหลักเกณฑ์ท่ีกาหนด ในพระราชบัญญัตินี ้
ง. ถูกทุกข้อ
2) พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มิให้ใช้บงั คับกับกรณีใด
ก. องค์กรที่ใช้อานาจตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ
ข. การพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ และการสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการ
กฤษฎีกา
[348]
ค. การดาเนินงานเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ
ง. ถูกทุกข้อ
3 “วิธีปฏิบตั ริ าชการทางปกครอง” หมายความว่าอย่างไร
ก. การเตรียมการและการดาเนินการของรัฐสภา เพื่อจัดให้มีกฎหมายรวมถึงการ
ดาเนินการใด ๆ ในทางปกครอง ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ.
2539
ข. การเตรียมการและการดาเนินการ ของรัฐบาล เพื่อจัดให้มีคาสั่งทางปกครอง รวมถึง
การดาเนินการใด ๆ ในทางพิจารณา ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ.
2539
ค. การเตรียมการและการดาเนินการ ของเจ้าหน้าที่ เพื่อจัดให้มีคาสั่งทางปกครองหรือกฎ
รวมถึงการดาเนินการใด ๆ ในทางปกครอง ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ิราชการทาง
ปกครอง พ.ศ.2539
ง. การเตรียมการและการดาเนินการ ของคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดให้มีกฎหมายรวมถึงการ
ดาเนินการใด ๆ ในทางปกครอง ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ.
2539
4. คานิยามใดต่อไปนี ้ กล่าวไม่ถูกต้อง
ก.“การพิจารณาทางปกครอง” หมายความว่า การเตรียมการและการดาเนินการของ
เจ้าหน้าที่ เพื่อจัดให้มีคาสั่งทางปกครอง
ข.“คาสั่งทางปกครอง” หมายความว่า การใช้อานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ ที่มีผล
เป็ นการสร้างนิติสมั พันธ์ขนึ ้ ระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมี
ผลกระทบต่อสถานภาพ ของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็ นการถาวร หรือชั่วคราว เช่น
การสั่งการ การอนุญาต การอนุมตั ิ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน
รวมถึงการออกกฎ
ค.“กฎ” หมายความว่า พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติ
ท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ หรือบทบัญญัติอ่นื ที่มีผลบังคับเป็ นการทั่วไป โดยไม่ม่งุ หมายให้ใช้
บังคับแก่กรณีใด หรือบุคคลใดเป็ นการเฉพาะ
ง.“คณะกรรมการวินจิ ฉัยข้อพิพาท” หมายความว่า คณะกรรมการที่จดั ตัง้ ขึน้ ตาม
กฎหมาย ที่มีการจัดองค์กร และวิธีพิจารณา สาหรับการวินิจฉัย ชีข้ าด สิทธิและหน้าที่ ตาม
กฎหมาย
5. เจ้าหน้าทีใ่ ดต่อไปนี ้ ไม่สามารถทาการพิจารณาทางปกครองได้
ก. เป็ นลูกพี่ลกู น้องนับได้เพียงภายในสามชัน้
ข.เป็ นญาติเกี่ยวพันทางแต่งงานนับได้เพียงสองชัน้
[349]
ค.เคยเป็ นตัวแทนของคู่กรณี
ง.ถูกทุกข้อ
6.ข้อใดต่อไปนีก้ ล่าวไม่ถกู ต้อง เกี่ยวกับผูท้ ่ีสามารถกระทาการใด ๆ ในกระบวนการพิจารณา
ทางปกครองตามมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
ก. ผูซ้ ่งึ บรรลุนิติภาวะเท่านัน้ ที่สามารถกระทาการในกระบวนพิจารณาทางปกครองได้
ข. ผูซ้ ่งึ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือความสามารถถูกจากัดตาม ปพพ.แต่มีบทกฎหมาย
เฉพาะกาหนดให้มีความสามารถกระทาการในเรื่องที่กาหนดได้
ค. นิติบุคคลหรือคณะบุคคลตามมาตรา 21 โดยผูแ้ ทนหรือตัวแทน แล้วแต่กรณี
ง. ผูซ้ ่งึ ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือ ความสามารถถูกจากัด ตาม ปพพ. แต่นายกรัฐมนตรี
มอบหมาย ในราชกิจจานุเบกษา ให้มีความสามารถกระทาการ ในเรื่องที่กาหนดได้
7.ในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง คู่กรณีจะมีหนังสือแต่งตัง้ ให้ บุคคล กระทาการอย่าง
ใด แทนตนได้หรือไม่
ก.ได้ โดยแต่งตัง้ ด้วยวาจาและแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ ในครัง้ แรกที่ไปพบเจ้าพนักงาน
ข. ได้ โดยแต่งตัง้ ได้ทงั้ วาจาหรือหนังสือ แต่ตอ้ งแต่งตัง้ บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะ
ค. ได้ โดยทาเป็ นหนังสือแต่งตัง้ ให้บคุ คล ซึ่งบรรลุนิติภาวะกระทาการ อย่างหนึ่งอย่าง
ใดตามที่กาหนดแทนตน
ง. ไม่สามารถกระทาได้ เพราะกระบวนการพิจารณาทางปกครอง เป็ นเรื่องของการ
เฉพาะตัวโดยแท้ ไม่สามารถมอบหรือแต่งตัง้ ผูใ้ ดแทนได้
8. เมื่อคู่กรณีตายลง ผลของการแต่งตัง้ บุคคลให้เป็ นผูก้ ระทาการแทนในกระบวนพิจารณาทาง
ปกครอง สิน้ ลงด้วยหรือไม่ อย่างไร
ก. การแต่งตัง้ ให้กระทาการแทนไม่ถือว่าสิน้ สุดลง เพราะความตายของคู่กรณี เว้นแต่
ผูส้ ืบสิทธิของคู่กรณีถอนการแต่งตัง้
ข. การแต่งตัง้ ให้กระทาการแทนสิน้ สุดลงทันที
ค. การแต่งตัง้ ให้กระทาการแทนไม่ถือว่าสิน้ สุดลง จนกว่าคู่กรณีตายครบ 100 วัน
ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก
9. การตัง้ ตัวแทนร่วมในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง กระทาเมื่อมีผูย้ ่นื คาขอให้มีคาสั่ง
ทางปกครองในเรื่องเดียวกัน ต้องมีผลู้ งชื่อร่วมกัน กี่คน
ก. 50 ขึน้ ไป
ข. เกิน 50 คนขึน้ ไป
ค. เกิน 51 คนขึน้ ไป
ง. 52 คนขึน้ ไป
10. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับตัวแทนร่วม ในกระบวนพิจารณาทางปกครอง
[350]
ก. หนังสือเท่านัน้
ข.วาจา หรือหนังสือ มีความหมายหรือไม่มีความหมาย ก็ถือเป็ นคาสั่งทางปกครอง
ค. ทาเป็ นสัญลักษณ์เท่านัน้ แต่ตอ้ งสื่อความหมายชัดเจนเข้าใจได้
ง.ทาเป็ นหนังสือ หรือวาจา หรือโดยการสือ่ ความหมายในรู ปแบบอืน่ ก็ได้ แต่ตอ้ งมี
ข้อความ หรือความหมายที่ชดั เจน เพียงพอที่จะเข้าใจได้
16.การยืนยันคาสั่งทางปกครองเป็ นหนังสือ ถ้าผูร้ บั คาสั่งร้องขอ เจ้าหน้าที่ผอู้ อกคาสั่งต้อง
กระทาภายในกี่วนั นับแต่วนั ที่มีคาสั่งทางปกครอง
ก. 3 วัน ข. 5 วัน
ค. 7 วัน ง. 9 วัน
17. คาสั่งทางปกครอง ที่ทาเป็ นหนังสือ อย่างน้อยต้องระบุอะไรต่อไปนี ้
ก. ต้องระบุ วัน เดือน และปี ที่ทาคาสั่ง
ข. ชื่อและตาแหน่ง ของเจ้าหน้าที่ผทู้ าคาสั่ง
ค. ลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ ผูท้ าคาสั่งนัน้
ง. ถูกทุกข้อ
18. การระบุเหตุผลในคาสั่งทางปกครอง ทีท่ าเป็ นหนังสือ และการยืนยันคาสั่งทางปกครอง
เป็ นหนังสือ ตามมาตรา ๓๗ แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบตั ริ าชการทางปกครอง ต้องจัดให้มีเหตุผลไว้
ด้วย ข้อใดต่อไปนี ้ ไม่ใช่เหตุผลที่กฎหมายบังคับให้ตอ้ งระบุในคาสั่งทางปกครองดังกล่าว
ก. ข้อเท็จจริงอันเป็ นสาระสาคัญ
ข. ข้อกฎหมายที่อา้ งอิง
ค. ข้อพิจารณา และข้อสนับสนุนในการใช้ดลุ พินิจ
ง.ข้อโต้แย้งของคู่กรณี
19. กรณีใด ที่ไม่ตอ้ งระบุเหตุผล ในคาสั่งทางปกครอง ที่ทาเป็ นหนังสือ และการยืนยันคาสั่ง
ทางปกครอง เป็ นหนังสือ
ก. เป็ นกรณีท่มี ีผลตรงตามคาขอ และไม่กระทบสิทธิและหน้าที่ของบุคคลอื่น
ข.เหตุผลนัน้ เป็ นที่รูก้ นั อยู่แล้ว
ค. เป็ นกรณีท่ีตอ้ งรักษาไว้เป็ นความลับ
ง. ถูกทุกข้อ
20. การออกคาสั่งทางปกครอง เจ้าหน้าที่สามารถกาหนดเงื่อนไขใดได้บา้ ง
ก. การกาหนดให้สิทธิ หรือภาระหน้าที่เริ่มมีผล หรือสิน้ ผล ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
ข.การกาหนดให้การเริ่มมีผล หรือสิน้ ผลของสิทธิ หรือภาระหน้าที่ ต้องขึน้ อยู่กบั
เหตุการณ์ ในอนาคตที่ไม่แน่นอน
ค. การกาหนดให้ผไู้ ด้รบั ประโยชน์ ต้องกระทา หรืองดเว้นกระทา หรือต้องมีภาระหน้าที่
[352]
หรือยอมรับภาระหน้าที่ หรือความรับผิดชอบบางประการ
ง.ถูกทุกข้อ
21. การออกคาสั่งทางปกครองเป็ นหนังสือ หากไม่มีกฎหมาย กาหนดระยะเวลาในการออก
คาสั่งในเรื่องนัน้ ไว้ เจ้าหน้าที่ตอ้ งออกคาสั่งฯ ให้แล้วเสร็จภายในกี่วนั นับแต่วนั ที่เจ้าหน้าที่
ได้รบั คาขอ และเอกสารถูกต้องครบถ้วน
ก. 25 วัน ข. 30 วัน
ค. 45 วัน ง. 60 วัน
22. ข้อใดกล่าวไม่ถกู ต้อง เกี่ยวกับคาสั่งทางปกครอง ที่อาจอุทธรณ์ หรือโต้แย้งต่อไปได้
ก. ให้ระบุกรณีท่อี าจอุทธรณ์ หรือโต้แย้ง
ข. ให้ระบุการยื่นคาอุทธรณ์หรือคาโต้แย้ง
ค. ให้ระบุอานาจการพิจารณาอุทธรณ์ของเจ้าหน้าที่
ง.ให้ระบุระยะเวลาสาหรับการอุทธรณ์ หรือการโต้แย้ง
23.คาสั่งทางปกครอง ที่อาจอุทธรณ์ หรือโต้แย้งต่อไปได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุกรณีตามที่
กฎหมายกาหนดแล้ว การนับระยะเวลาอุทธรณ์ จะเป็ นอย่างไร
ก. ให้ เริ่มนับใหม่ ตัง้ แต่วนั ที่ได้รบั แจ้งหลักเกณฑ์
ข. ถ้าไม่มีการแจ้งใหม่ และระยะเวลาดังกล่าว มีระยะเวลาสัน้ กว่าหนึ่งปี ให้ขยายเป็ น
หนึ่งปี นบั แต่วนั ที่ได้รบั คาสั่งทางปกครอง
ค. ข้อ ก และ ข ถูก
ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก
24.คาสั่งทางปกครอง ที่ตอ้ งจัดให้มีเหตุผลตามมาตรา ๓๗ วรรคหนึ่ง หากออกคาสั่งโดยไม่ได้
จัดเหตุผลไว้ คาสั่งทางปกครองจะสมบูรณ์หรือไม่
ก.ไม่สมบูรณ์ แม้จะแก้ไขโดยระบุเหตุผลในภายหลังก็ไม่ทาให้สมบูรณ์ได้เพราะฝ่ าฝื น
กฎหมายแต่แรก
ข.ไม่สมบูรณ์ เพราะ เพราะทาผิดเงื่อนไขที่กฎหมายกาหนด
ค.สมบูรณ์ ถ้าได้มีการจัดให้มีเหตุผลดังกล่าว ในภายหลัง โดยกระทาก่อนสิน้ สุด
กระบวนการพิจารณาอุทธรณ์ หรือตามกฎหมายเฉพาะว่าด้วยการนัน้
ง. สมบูรณ์ เพราะไม่ใช่สาระสาคัญที่กฎหมายกาหนดให้ตอ้ งดาเนินการโดยเคร่งครัด
ถ้าเป็ นกรณีท่ีไม่ตอ้ งมีการอุทธรณ์ดงั กล่าว ก็ตอ้ งก่อนมีการนาคาสั่งทางปกครอง
ไปสูก่ ารพิจารณา ของผูม้ ีอานาจพิจารณาวินิจฉัย
25. คาสั่งทางปกครองให้มีผลใช้ยนั ต่อบุคคล เมือ่ ใด
ก. ตัง้ แต่ขณะที่ผนู้ นั้ ได้รบั แจ้งคาสั่ง
ข. มีผล ภายใน 7 วันหลังจาก ได้รบั คาสั่ง
[353]
ทอดตลาด
ข. ฟ้องล้มละลายได้เลย หากเข้าหลักเกณฑ์
ค. ฟ้องศาลที่เกี่ยวข้อง
ง. ร้องทุกข์ ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์
32.การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองเพราะบทกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป ซึง่ หากมีบทกฎหมายเช่นนี้
ในขณะทำคำสั่งทางปกครองแล้วเจ้าหน้าที่คงจะไม่ทำคำสั่งทางปกครองนั้น ผู้ได้รับประโยชน์
ต้องร้องขอค่าทดแทนภายในกี่วันนับแต่ได้รับแจ้งให้ทราบถึงการเพิกถอนนั้น
ก. 150 วัน ข. 160 วัน
ค. 180 วัน ง. 360 วัน
33.การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการให้เงิน สามารถเพิกถอนได้กรณี
ใด
ก. มิได้ปฏิบัติหรือปฏิบัติล่าช้าในอันที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคำสั่ง
ทางปกครอง
ข. ผู้ได้รับประโยชน์มิได้ปฏิบัติหรือปฏิบัติล่าช้าในอันที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไข
ของคำสั่งทางปกครอง
ค. ถูกทั้งข้อ ก และ ข
ง. ไม่แจ้งผลการดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่
34.กรณีตามข้อใดทีผ่ ู้รับคำสั่งทางปกครองจะอ้างความเชื่อโดยสุจริตไม่ได้
ก.นายสนอง แสดงข้อความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคำสั่งทางปกครอง
ข.นายอำนาจ ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน แต่ไม่ใช่ข้อมูลที่นำมาพิจารณาทางปกครอง
ค.นายอำนวย ไม่รู้ว่าคำสั่งทางปกครองนั้น เกิดจากความไม่ชอบในกฎหมายในขณะได้รับ
คำสั่งทางปกครอง
ง.ถูกทุกข้อ
35.ความเชื่อโดยสุจริต จะได้รับความคุ้มครอง เมื่อใด
ก. เมื่อผู้รับคำสั่งทางปกครองได้ใช้ประโยชน์ อันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง
ข.เมื่อผู้รับคำสั่งทางปกครอง ได้ดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินไปแล้วโดยไม่ อาจแก้ไข
เปลี่ยนแปลงได้หรือการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหายเกินควรแก่กรณี
ค. เมื่อผู้รับคำสั่งทางปกครอง ได้ดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินไปแล้วโดยไม่ อาจ
เปลี่ยนแปลงได้ เพราะจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหายเกินควรแก่กรณี
ง.ถูกทุกข้อ
36. กรณีใด ที่เจ้าหน้าที่อาจแก้ไขคำสั่งทางปกครองที่พ้นกำหนดอุทธรณ์ได้
ก. มีพยานหลักฐานใหม่ แต่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในการพิจารณา
ข.คู่กรณีที่แท้จริง ไม่ได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง
ค. มีข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ไม่ใช่สาระสำคัญ
ง. ถูกทุกข้อ
45.ผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครอง สามารถยื่นคำร้องต่อศาลที่มีอำนาจในการออกหมาย
บังคับคดี เพื่อขอให้สั่งงดการบังคับคดีไว้ก่อน ได้ในกรณีใด
ก.มีการขอให้พิจารณาคำสั่งทางปกครองที่เป็นที่สุดแล้วนั้นใหม่
ข. ฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิจารณาเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครองที่เป็นที่สุดแล้วนั้นใหม่
ค. มีการขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ และ ศาลมีคำสั่งให้ รับคำฟ้องไว้พิจารณา
ง. ถูกทุกข้อ
46.การเพิกถอนการบังคับคดี ทำได้เมื่อใด
ก.มีคำสั่งให้ทบทวนคำสั่งทางปกครองที่เป็นที่สุดนั้นใหม่
ข. ฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิจารณาเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครองที่เป็นที่สุดแล้วนั้นใหม่
ค. มีการขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ และ ศาลมีคำสั่งให้ รับคำฟ้องไว้พิจารณา
ง.มีการขอให้พิจารณาคำสั่งทางปกครองที่เป็นที่สุดแล้วนั้นใหม่
47. ผู้ที่จะทบทวนคำสั่งเพื่อให้มีการเพิกถอนการบังคับคดี คือผู้ใด
ก. หน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงิ น
ข.ศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้
ชำระเงิน
ค. ผู้อยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครอง
ง. ถูกเฉพาะข้อ ก และ ข
[357]
เฉลยแนวข้อสอบความรู้ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
ข้ อ คาตอบ ข้ อ คาตอบ ข้ อ คาตอบ ข้ อ คาตอบ ข้ อ คาตอบ
1 ค 11 ง 21 ข 31 ก 41 ก
2 ง 12 ง 22 ค 32 ค 42 ง
3 ค 13 ก 23 ค 33 ค 43 ข
4 ข 14 ง 24 ค 34 ก 44 ข
5 ง 15 ง 25 ก 35 ง 45 ง
6 ก 16 ค 26 ข 36 ข 46 ค
7 ค 17 ง 27 ค 37 ค 47 ง
8 ก 18 ง 28 ข 38 ง 48 ง
9 ข 19 ง 29 ก 39 ง 49 ง
10 ค 20 ง 30 ข 40 ก 50 ค
[358]
ค. 10 ปี ง. 20 ปี
16) ความผิดต่อแผ่นดิน หมายถึงความผิด ตามข้อใด
ก.ความผิดที่มีผลกระทบต่อผูท้ ี่ถูกกระทาแล้วยังมีผลกระทบต่อสังคมด้วย
ข.ความผิดที่มีผลกระทบต่อผูท้ ี่ถูกกระทา แต่ไม่มีผลกระทบต่อสังคมโดยตรง
ค. ความผิดที่รัฐก็ไม่จาต้องเข้าไปดาเนิ นคดีกบั ผูก้ ระทาความผิด
ง.ความผิดที่ตอ้ งมีกฎหมายกาหนดไว้โดยชัดแจ้ง จึงจะสามารถลงโทษได้
17) นายอานาจ เป็ นเจ้าพนักงานสรรพสามิตชานาญงานมีหน้าที่รับชาระภาษี แต่ไม่เรี ยกเก็บภาษี
จากนางนิยม ซึ่งเปิ ดร้านขายสุ รา เพราะเป็ นน้าของตน อย่างนี้ นายอานาจ มีความผิดหรื อไม่
ก. ไม่มีความผิดเพราะ กรมสรรพสามิต ยังไม่ได้เรี ยกตรวจสอบภาษี
ข. ผิด เพราะรู ้อยูแ่ ล้ว ว่า นางนิยมประกอบกิจการที่ตอ้ งเสี ยภาษี แต่ละเว้นไม่เก็บภาษี
ถือว่า ละเว้นการปฏิบตั ิหน้าที่
ค.ไม่ผิด เพราะถือว่าจานวนภาษีจากการขายสุรา มีจานวนไม่มาก
ง. ผิด เพราะนายอานาจ ไม่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีให้ไปตรวจสอบภาษี
Note
มาตรา ๑๕๔ ผูใ้ ดเป็ นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่หรื อแสดงว่าตนมีหน้าที่เรี ยกเก็บหรื อ
ตรวจสอบภาษีอากร ค่าธรรมเนียม หรื อเงินอื่นใด โดยทุจริ ตเรี ยกเก็บหรื อละเว้นไม่เรี ยกเก็บ
ภาษีอากร ค่าธรรมเนียมหรื อเงินนั้น หรื อกระทาการหรื อไม่กระทาการอย่างใด เพื่อให้ผมู ้ ีหน้าที่
เสี ยภาษีอากรหรื อค่าธรรมเนี ยมนั้นมิตอ้ งเสี ย หรื อเสี ยน้อยไปกว่าที่จะต้องเสี ย ต้องระวางโทษ
จาคุกตั้งแต่หา้ ปี ถึงยีส่ ิ บปี หรื อจาคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่ แสนบาท
18) ข้อใดหมายถึง “เอกสาร” ตามประมวลกฎหมายอาญา
ก. กระดาษหรื อวัตถุอื่นใดซึ่งได้ทาให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษรเท่านั้น โดยวิธี
พิมพ์ถ่ายภาพหรื อวิธีอื่นอันเป็ นหลักฐานแห่งความหมายนั้น
ข.กระดาษ ซึ่งได้ทาให้ปรากฎความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข ผังหรื อแผนแบบอย่าง
อื่น โดยวิธีพิมพ์ถ่ายภาพหรื อวิธีอื่นอันเป็ นหลักฐานแห่งความหมายนั้น
ค.วัตถุอื่นใดซึ่งได้ทาให้ปรากฎความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข ผังหรื อแผนแบบอย่าง
อื่น โดยวิธีพิมพ์ถ่ายภาพหรื อวิธีอื่นอันเป็ นหลักฐานแห่งความหมายนั้น
ง.ถูกเฉพาะข้อ ข และ ค
Note
[361]
21) ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้องที่สุด
ก. เมื่อไม่มีกฎหมายที่ยกขึ้นปรับแก่คดีได้ ให้วินิจฉัยคดีน้ นั ตามจารี ตประเพณี แห่ง
ท้องถิ่น
ข. เมื่อไม่มีกฎหมายที่ยกขึ้นปรับแก่คดีได้ ให้วินิจฉัยคดีน้ นั ตามจารี ตประเพณี แห่ง
ท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารี ตประเพณี แห่งท้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียง
อย่างยิง่
ค. เมื่อไม่มีกฎหมายที่ยกขึ้นปรับแก่คดีได้ ให้วินิจฉัยคดีน้ นั ตามจารี ตประเพณี แห่ง
ท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารี ตประเพณี แห่งท้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียง
อย่างยิง่ และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทัว่ ไป
ง. ในกรณี ไม่มีกฎหมายมาปรับใช้แก่คดีได้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจในการรับฟัง
พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่คู่ความนามาสื บได้
[362]
35) คนที่มีเหตุบกพร่ อง (กายพิการ) จิตฟั่ นเฟื อน ประพฤติสุลุ่ยสุ ร่าย ติดสุ รายาเมา) ไม่สามารถ
จัดการงานของตนได้ คือบุคคลใด
ก.คนไร้ความสามารถ ข.คนเสมือนไร้ความสามารถ
ค.คนวิกลจริ ต ง.คนทุพพลภาพ
36) การยืน่ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของคนเสมือนไร้ความสามารถ กาหนดให้ใครเป็ น
ผูด้ าเนินการแทน
ก. ผูแ้ ทนโดยชอบธรรม ข. ผูพ้ ิทกั ษ์
ค.ผูอ้ นุบาล ง. ทนายความ
37) สิ ทธิ ได้มาโดยทางใดบ้าง
ก.โดยนิติกรรม ข. นิติเหตุ
[366]
Note
มาตรา ๑๙๓/๓๐ อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรื อกฎหมายอื่นมิได้บญั ญัติไว้
โดยเฉพาะ ให้มีกาหนดสิ บปี
มาตรา ๑๙๓/๓๑ สิ ทธิเรี ยกร้องของรัฐที่จะเรี ยกเอาค่าภาษีอากรให้มีกาหนด อายุความ
สิ บปี ส่วนสิ ทธิเรี ยกร้องของรัฐที่จะเรี ยกเอาหนี้ อย่างอื่นให้บงั คับตามบทบัญญัติในลักษณะนี้
[367]
ส่วนที่ 3 เจาะจุดเน้นที่น่าสนใจของกรมสรรพากร
ข้อ 1 พ่อค้า-แม่คา้ ออนไลน์ ที่เป็ นบุคคลธรรมดาและต้องการ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
สามารถใช้ที่อยูใ่ นอาคารชุดหรื อคอนโดมิเนียมขอจดทะเบียน VAT ผ่านระบบออนไลน์ได้แล้ว
ตั้งแต่วนั ที่ 1 ธันวาคม 2565 เป็ นต้นไป
คุณสมบัติสาหรับพ่อค้ า-แม่ค้าออนไลน์ ที่ต้องการ ใช้ คอนโด
"จด VAT" หรื อ จดภาษีมูลค่ าเพิม่
-บุคคลธรรมดา สัญชาติไทย
-อาศัยในอาคารชุด/คอนโดมิเนี ยม
-จดทะเบียนพาณิ ชย์อิเล็กทรอนิ กส์กรมพัฒนาธุ รกิจการค้า
-มีสถานประกอบการอยู่ในอาคารชุดเพี ยงแห่งเดียวเท่านั้น
ข้อ 2 การยืนยันตัวตน ด้ วยแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
กรมสรรพากร และ ธนาคารกรุ งไทย (KTB) ร่ วมลงนามในบันทึกข้อตกลง โครงการ
ยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเข้าใช้งานระบบบริ การอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร
ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋ าตัง"
เป็ นการนาบริ การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋ าตัง" ผ่าน
กระบวนการการยืนยันตัวตนก่อนเข้าถึงบริ การทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่กรมสรรพากร ได้
จัดเตรี ยมไว้ให้กบั ผูเ้ สี ยภาษี ได้แก่
•บริ การยืน่ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผ่านอินเทอร์เน็ต (e-Filing)
•ระบบตรวจสอบข้อมูลทางภาษี (My Tax Account)
•ระบบภาษีหกั ณ ที่จ่าย (e-Withholding Tax)
•ระบบตรวจสอบเงินบริ จาค (e-Donation)
•ระบบยืน่ แบบแสดงรายการและชาระภาษีผา่ นแอปพลิเคชัน (RD Smart TAX)
•ระบบรับชาระอากรแสตมป์ เป็ นตัวเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Stamp Duty)
ข้ อ 3 กรมสรรพากร กับภาคเอกชน ในการให้บริ การ Open API สาหรับการให้บริ การยื่น
แบบแสดงรายการภาษิ เงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.91 คื อ ยื่นเงินได้ ตาม มาตรา 40 (1) เพียง
ประเภทเดียว ) ผ่านช่องออนไลน์ สาหรับ ภ.ง.ด.91 ผ่าน RD Smart Tax Application ซึ่งสามารถ
ใช้งานได้ Smartphone และ Tablet
ข้อ 4 กรมสรรพากร ยกเลิกการใช้สาเนาบัตรประชาชน เมื่อ 31 สิ งหาคม 2561
ข้อ 5 ระบบe-Tax Invoice & e-Receipt เป็ นระบบการจัดทาใบกากับภาษี และใบรับใน
รู ปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามรู ปแบบที่กรมสรรพากรกาหนด และส่งมอบหลักฐานให้ผซู ้ ้ือสิ นค้า
พร้อมนาส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร และผูข้ ายสามารถเก็บรักษาข้อมูล ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่
สะดวกและ ปลอดภัย
e-Tax Invoice คือ ใบกากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์
[369]
ข้อ 12 สโลแกน หรื อ คาขวัญกรมสรรพากร คือ กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ ประชาชน
ข้อ 13 กรมสรรพากร ครบรอบ 108 ปี ณ วันที่ 2 กันยายน 2566
ข้อ 14 Chat bot กรมสรรพากร คือ น้องอารี (เมื่อมีปัญหาสอบถาม ) ไม่ได้เขียน
(น้องอารี ย)์ ไม่มี ย การันต์
ข้อ 15 ผลการจัดเก็บของกรมสรรพากร เรี ยงจากมากไปหาน้อย คือ
อันดับ 1 ภาษีมูลค่าเพิ่ม
อันดับ 2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล
อันดับ 3 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
อันดับ 4 ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
อันดับ 5 ภาษีธุรกิจเฉพาะ
อันดับ 6 อากรแสตมป์
อันดับ 7 รายได้อื่น
อันดับ 8 ภาษีการรับมรดก
ข้ อ 16 กรมสรรพากรจะคืนเงินภาษีผ่านระบบโอนเงินแบบพร้อมเพย์ เพื่อความสะดวกใน
การรับเงินคืนภาษีสามารถลงทะเบี ยนกับธนาคารในราชอาณาจักรทุกแห่ งที่ให้บริ การด้วยเลข
ประจาตัว ประชาชน เท่านั้น
ข้ อ 18 e-tax info คือ บริ การสารสรรพากร เป็ นบริ การส่ งข้อมูลข่าวสารจากกรมสรรพากร
เช่น กฎหมาย ระเบียบปฏิบตั ิ ตลอดจนข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาษีสรรพากร ส่ งถึงสมาชิก
ทางอีเมล์ สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยผูท้ ี่สามารถสมัครเป็ นสมาชิกได้คือ หน่วยงานราชการ
นิสิต นักศึกษา บุคคลทัว่ ไป องค์การธุรกิจ
ข้อ 19 การชาระอากรเป็ นตัวเงินสาหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์
เป็ นการชาระอากรเป็ นตัวเงินผ่านระบบเครื อข่ายอินเทอร์ เน็ตสาหรับตราสารอิ เล็กทรอนิ กส์
ประเด็นสาคัญ คือ
ตราสารอิเล็กทรอนิกส์ หมายความว่า ตราสารแห่งบัญชีอตั ราอากรแสตมป์ ที่จดั ทา
ข้อความขึ้นเป็ นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
ประเภทตราสารอิเล็ก ทรอนิ กส์ ที่ ต้องชาระอากรเป็ นตัวเงิน (ชาระโดยยื่น อส.9) โดย
ปัจจุบนั มีตราสารที่สามารถยืน่ แบบผ่าน เวบไซต์ของกรมพากร รวม 23 ตราสาร ดังนี้
(1) เช่าที่ดิน โรงเรื อน สิ่ งปลูกสร้างอย่างอื่น หรื อแพ ตามลักษณะแห่งตราสาร 1
(2) โอนใบหุ้น ใบหุน้ กู้ พันธบัตร และใบรับรองหนี้ ซึ่งบริ ษทั สมาคม คณะบุคคล หรื อ
องค์การใด ๆ เป็ นผูอ้ อก ตามลักษณะแห่งตราสาร 2
( 3 ) เช่าซื้อทรัพย์สิน ตามลักษณะแห่งตราสาร 3.
( 4 ) จ้างทาของ ตามลักษณะแห่งตราสาร 4.
( 5 ) กูย้ มื เงินหรื อการตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร ตามลักษณะแห่งตราสาร 5.
[371]
(2) ไม่เป็ นสิ นค้าที่ตอ้ งห้ามนาออกนอกราชอาณาจักร อาวุธปื น วัตถุระเบิด หรื อสิ นค้าที่มี
ลักษณะทานองเดียวกัน อัญมณี ที่ยงั ไม่ได้ประกอบขึ้นเป็ นตัวเรื อนหรื อของรู ปพรรณ
กรณีเป็ นสิ นค้าที่สามารถบริ โภคได้ในราชอาณาจักร สิ นค้าดังกล่าวต้องได้รับการบรรจุ
หีบห่อและปิ ดผนึก (Seal) ที่มีสัญลักษณ์ของผูป้ ระกอบการจดทะเบียนในลักษณะมัน่ คง และให้
มีขอ้ ความ No Consumption made whilst in Thailand ลงบนหีบห่อซึ่งเห็นได้ชดั เจน
(3) เป็ นสิ นค้าที่ซ้ื อจากผูป้ ระกอบการจดทะเบียนที่ได้รับอนุมตั ิจากอธิบดีกรมสรรพากร
ให้เป็ นผูม้ ีสิทธิจดั ทาคาร้องขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม สาหรับนักท่องเที่ยว (ภ.พ.10) และมูลค่า
การซื้อสิ นค้า ต้องมีจานวนไม่นอ้ ยกว่า 2,000 บาท โดยซื้อจากสถานประกอบการแห่งละจานวน
ไม่นอ้ ยกว่า 2,000 บาทต่อวัน
(4) เป็ นสิ น ค้าที่ ต้องน าออกไปนอกราชอาณาจัก รภายใน 14 วัน นับ แต่วนั ที่ ผูเ้ ดิ นทาง
ออกไปนอกราชอาณาจัก รมี ห นั ง สื อ แต่ ง ตั้งตัวแทนแต่ ไ ม่ เกิ น 60 วัน นับ แต่ วนั ที่ ผูเ้ ดิ น ทาง
ออกไป นอกราชอาณาจักร
ข้อ 5 ผูเ้ ดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรที่มีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรี ยกเก็บไว้แล้ว
ซึ่งมีมูลค่าการซื้อสิ นค้าทั้งหมดตั้ง 5,000 บาทขึ้นไป
ข้อ 6 กรณี สินค้าที่ปรากฏข้อความ Item No.... must also be presented to Revenue Officer
ในคาร้อง เป็ นสิ นค้าประเภทอัญมณี ที่ประกอบขึ้นเป็ นตัวเรื อนหรื อของรู ปพรรณ ทองรู ปพรรณ
นาฬิกา แว่นตา ปากกา โทรศัพท์แบบพกพา หรื อสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์แบบพกพา กระเป๋ า
ถือ (ไม่รวมถึงกระเป๋ าเดินทาง) เข็มขัด ที่มีมูลค่าการซื้ อสิ นค้าแต่ละชิ้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป
หรื อ สิ น ค้า ที่ ส ามารถน าติ ด ตัวไปพร้ อ มกับ การเดิ น ทาง ที่ มี มู ล ค่ า การซื้ อสิ น ค้าต่ อ ชิ้ น ตั้งแต่
50,000 บาทขึ้นไป ผูเ้ ดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรต้องแสดงสิ นค้า ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงาน
สรรพากร ณ จุ ดบริ ก ารคื น ภาษี มู ล ค่ าเพิ่ ม ที่ ต้ งั อยู่ภายหลัง ผ่านพิ ธี ก ารตรวจคนเข้าเมื อง เพื่ อ
ประทับรับรองการมีสินค้าลงในคาร้องขอคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม สาหรับนักท่องเที่ยว (ภ.พ.10)
ข้อ 29 กรมสรรพากรยกระดับการให้บริ การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นกั ท่องเที่ยว ด้วย
เทคโนโลยี Blockchain
กรมสรรพากรร่ วมมือกับ 8 หน่วยงานภาครัฐภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ซึ่ง
ประกอบด้วย กรมบัญชี กลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต ส านักงานบริ ห ารหนี้ สาธารณะ
ส านัก งานเศรษฐกิ จ การคลัง กรมธนารั ก ษ์ ส านัก งานปลัด กระทรวงการคลัง ส านัก งาน
คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และธนาคารกรุ งไทย จากัด (มหาชน) ได้ร่วมลงนามบันทึก
ข้อ ตกลงความร่ ว มมื อ การด าเนิ น งานโครงการใช้ เทคโนโลยีบ ล็อ กเชน (Blockchain) เพื่ อ
ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสถาปั ตยกรรมเพื่อรองรับภารกิจของหน่วยงานภาครัฐ เมื่อวันศุกร์ ที่
27 กันยายน 2562
ข้อ 30 กิจการข้ามชาติ TRANSFER PRICING
[375]
ราชอาณาจักร ตั้งแต่วนั ที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ตามจานวนที่จ่ายจริ ง แต่
ไม่เกิน 40,000 บาท
ผูใ้ ช้สิทธิประโยชน์มาตรการ “ช้อปดีมีคืน ปี 2566” คือ บุคคลธรรมดาเท่ านั้น ไม่ รวม
ห้ างหุ้นส่ วนสามัญหรื อคณะบุคคลที่มิใช่ นิติบุคคล