You are on page 1of 514

บทที่ 01 : ลูกผู้ชายตัวจริง

อนุรักษ์เคยได้ยินมาว่าประเทศไทยมีสามฤดู คือ ร้อน ร้อนมาก ร้อนนรก


แตก

วันนี้อุณหภูมิตอนเที่ยงตรงอยู่ค่อนไปทางสองฤดูหลัง ขณะรีบเร่งลงจาก
รถเมล์ คลื่นความร้อนระอุฉาบบนถนนจนสัมผัสได้ ถ้ามีใครเผลอทำไข่ตก
แตกคงได้กินไข่ดาวภายในสามนาที ทว่าทันทีที่เขาผลักประตูบานกระจก
ของตึกสำนักงานขนาดใหญ่ ไอเย็นเฉียบกลับปะทะผิวกาย เปลี่ยน
อุณหภูมิแบบทะเลทรายซาฮาร่า ให้กลายเป็ นขั้วโลกใต้ได้อย่างน่า
อัศจรรย์
"สวัสดีครับ ไม่ทราบติดต่อธุระอะไรครับ"

กระทั่งพนักงานรักษาความปลอดภัยยังสวมเครื่องแบบสีกรมท่าแขนยาว
ติดกระดุมถึงคอ คล้ายอากาศร้อนด้านนอกไม่มีสิทธิกร่ำกรายเข้ามาหาก
ไม่ได้รับการอนุญาต

และอาจรวมถึงตัวเขาเอง...

อนุรักษ์รู้สึกได้ว่า ดวงตาของรปภ.วัยเกินสี่สิบกำลังสำรวจอย่างระแวด
ระวังปนความสงสัย ไล่ตั้งแต่ผมสีดำยาวระคอยุ่งเหยิงไม่เป็ นทรง ใบหน้า
ชื้นเหงื่อเม็ดโต รูปร่างผอมสูงของผู้ชายอายุยี่สิบเอ็ด และโลโก้ประจำซู
เปอร์มาร์เก็ตดังบนเสื้อยูนิฟอร์มพนักงานแคชเชียร์
เมื่อเทียบกับหนุ่มออฟฟิ ศใส่เชิ้ตเรียบกริบ กางเกงแสล็กกลีบโค้ง รองเท้า
หนังมันปลาบที่เดินสวนผ่านเข้าไป สภาพปอนๆ ของเขาคงกระเด้งโดด
ออกมาจนเห็นได้ชัด

เข้าใจดีว่าตนเองกำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่ไม่ใช่เวลามาพะวง

...เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน!

"ขอโทษครับ ห้องน้ำไปทางไหนครับ"
โพล่งออกไปทั้งอย่างนั้น ลุงยามชะงักขมวดคิ้วตึงเล็กน้อย คงนึกด่าอยู่ใน
ใจว่า นี่มันสำนักงานหรูหราใหญ่โต ไม่ใช่ปั๊ มน้ำมันจะได้มีส้วมสาธารณะ
ไว้ให้ใครเข้าออกก็ได้ แต่พอสังเกตเห็นมือที่พยายามปิ ดเป้ ากางเกง
ประกอบกับสีหน้าร้อนรนของเขา สายตาอีกฝ่ ายก็เปลี่ยนเป็ นเห็นใจปน
เวทนา แปลความหมายออกมาได้ว่า

...โธ่ น่าสงสาร ไอ้น้องนี่คงจะปวดหนักจนกลั้นไม่ไว้สินะ

"เดินเลยลิฟต์ไปทางซ้ายมือครับ"
อนุรักษ์รีบบอกขอบคุณ แม้ใจจริงอยากจะหยุดยืนอธิบายเป็ นเรียงความ
สองหน้ากระดาษเหลือเกินว่า ลุงครับเข้าใจผมผิดแล้ว!

ลูกผู้ชายแมนๆ อย่างไอ้รักษ์ จะปวดหนัก ปวดเบา ก็เดินเข้าห้องน้ำอย่าง


องอาจสง่าผ่าเผยไม่หวั่นแม้วันมามาก แต่ไอ้ที่เห็นท่าทางกระมิดกระ
เมี้ยน เดินหนีบขาเป็ นปู เพราะมันดันเกิดเหตุสุดวิสัย ซ้ำยังเป็ นเหตุที่
ทำให้อับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี

...ต้องขอเล่าย้อนความกลับไปเมื่อห้านาทีก่อน

เขากำลังนั่งอยู่บนรถเมล์ปรับอากาศ ฝ่ าถนนอันจอแจและรถติดเป็ นปกติ


ของกรุงเทพ ช่องแอร์เป่ าอยู่เหนือศีรษะเย็นสบายชวนให้เคลิ้มหลับ คิด
ถูกที่ตัดสินใจเพิ่มค่าโดยสาร เพื่อแลกกับการไม่ต้องทนเดินในสภาพ
อากาศร้อนจัดเสมือนอยู่ในกระทะทองแดง
สะลึมสะลือสัปหงกตั้งใจจะงีบระหว่างรอจนถึงจุดหมาย แต่กลางทาง
กลับมีคนทยอยขึ้นมาเรื่อยๆ ผู้โดยสารเริ่มเต็มขั้นรถ รายล่าสุดเป็ นเด็ก
น้อยน่าจะอยู่ชั้นอนุบาลจูงมือมากับคุณแม่

ในฐานะที่อนุรักษ์เป็ นสุภาพบุรุษที่ดี เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน เสียสละ


เก้าอี้ให้เด็กนั่ง คุณแม่ยังสาวเอ่ยขอบคุณเขา แล้วสะกิดให้น้องผู้หญิงผูก
ผมเปี ยพูดขอบคุณบ้าง หากเด็กน้อยกลับเอาแต่กระตุกชายเสื้อแม่ยิกๆ
ไม่หยุด ดวงตากลมโตใสแจ๋วจ้องมองบางสิ่งพลางพูดเจื้อยแจ้ว

"แม่ๆ กางเกงในโผล่!"
ทีแรกอนุรักษ์ไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นหมายถึงตัวเอง กระทั่งนิ้วเล็กๆ ชี้มายัง
เป้ ากางเกงแสล็กสีดำ ซึ่งอยู่ตรงสายตาของเด็กน้อยพอดี

คนรู้ตัวสะดุ้งโหยงเอามือกุมเป้ าทันควัน พร้อมๆ กับที่แม่ของเด็กร้องว๊าย!


รีบปิ ดตาลูกสาวเอาไว้ และเสียงนั้นเรียกความสนใจจากทุกคนบนรถให้
จ้องมาที่เขาเป็ นจุดเดียว

อนุรักษ์ลนลานดึงซิปรูดขึ้นมาปิ ด แต่นรกคงชังสวรรค์คงแกล้ง ตะเข็บซิป


ดันปริแตกโชว์รอยแยกให้เห็นกางเกงในสีขาวเด่นชัด เขาไม่ละความ
พยายามรูดซิปขึ้นลงหลายครั้ง ท่าทางชักมือขึ้นๆ ลงๆ แถวเป้ ากางเกงต่อ
หน้าเด็กผู้หญิงวัยอนุบาล เริ่มส่อแววอนาจารเข้าไปทุกที ผู้โดยสารต่าง
หันไปซุบซิบ ก่อนกระเป๋ ารถเมล์หนุ่มจะออกโรงตวาดด่าดังลั่น
"เฮ้ย! มึงทำอะไรวะ! กับเด็กตัวเล็กๆ มึงยังกล้า ไอ้โรคจิต!"

"ปะ..เปล่า ผมไม่ได้..."

อนุรักษ์ละล้ำละลักอธิบาย มือเผลอยกขึ้นปฏิเสธโดยอัตโนมัติ ทำให้สิ่งที่


พยายามปกปิ ด โผล่หน้าออกมาเยี่ยม

"นั่นไง! หลักฐานเห็นอยู่ทนโท่ ยังจะกล้าเถียง จับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้


คนอะไรวะหน้าตาก็ดีแต่เสือกเป็ นโรคจิต มึงไสหัวรถจากรถไปเลยนะ ไม่
งั้นกูจะแจ้งตำรวจ ไป๊ !"
ถูกตะคอกไล่ พอดีกับที่รถเมล์จอดเทียบป้ าย แม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็ นความเข้าใจ
ผิด แต่โดนจัดหนักขนาดนี้ เขาก็ไม่อยู่เสียเวลาแก้ตัว รีบเผ่นลงจากรถ
แล้วมุ่งหน้าหาห้องน้ำใกล้ที่สุด ซึ่งก็คือตึกบริษัทใหญ่โตที่เห็นอยู่ตรงหน้า

...ไม่ต้องพูดถึงความอับอายว่ามีมากแค่ไหน โดนกล่าวหาว่าเป็ นคนโรคจิต


ทั้งๆ ที่ตัวเองเสียสละเก้าอี้นั่งให้เด็ก เวรกรรมอะไรกันหนอทำให้เขาหยิบ
กางเกงตัวนี้ขึ้นมาใส่

ความจริงเขาเพิ่งถอยมันมาเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง ป้ าคนขายโฆษณาใหญ่
โตว่าเนื้อผ้าจากเกาหลี ใส่นิ่มสบาย ซักแล้วไม่มีหด เขาลังเลอยู่นาน หาก
มาใจอ่อนยวบ เพราะโดนคุณป้ าปากหวานชมว่าหล่อๆ อย่างเขาใส่ขึ้น
แถมลดราคาให้ด้วย

สุดท้ายคนหน้ามืดหลงคารมเลยตกเป็ นเหยื่อโดนเอาคืนเสียเจ็บแสบ!
อนุรักษ์รีบเร่งสาวเท้าไปยังห้องน้ำด้วยท่าทางมือกุมเป้ าเลียนแบบไมเคิล
แจ็กสัน ยิ่งเห็นสีหน้าแปลกๆ ของกลุ่มพนักงานหญิงหน้าตาน่ารักสามสี่
คนซึ่งเดินสวนมาก็ยิ่งอยากให้ธรณีสูบตัวเองหายลงไปกับพื้น ระยะทางที่
ลุงรปภ.บอกดูจะไกลเป็ นกิโลในความรู้สึก

และแล้วในที่สุดเขาก็มาถึงเส้นชัย

คนรีบร้อนผลักบานประตูแปะรูปสัญลักษณ์ผู้ชายเข้าไป ห้องน้ำในบริษัท
นี้สะอาดเรียบร้อย ตกแต่งด้วยสุขภัณฑ์หรูสีขาวตัดกับพื้นกระเบื้องสีดำ
คลาสสิกประหนึ่งห้องน้ำในโรงแรมไฮโซ มีคนใช้บริการบริเวณโถ
ปั สสาวะสองคน กำลังล้างมืออยู่อีกหนึ่ง
อนุรักษ์เผ่นเข้าห้องแรกสุดอย่างไม่สนใจจะเดินเฉียดใกล้โถ ปิ ดประตู
ลงกลอนดังปั ง ท่ามกลางสายตางงๆ ของคนอื่น ซึ่งคงสรุปออกมาเหมือน
กันว่า ผู้ชายคนนี้คงถูกข้าศึกบุกทะลวงจู่โจมประชิดใกล้แตกพ่าย

แต่โดนกล่าวหาว่ารีบวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำเพราะเหตุนั้น ยังดีกว่าโดนใส่
ความว่าเป็ นไอ้โรคจิตชอบโชว์

เขาลงมือถอดกางเกงเนื้อผ้าเกาหลีตัวต้นเหตุ สำรวจดูซิปซึ่งปริรอยแตก
พยายามรูดขึ้นหรือรูดลง แงะหัวซิปค่อยๆ ใส่กลับให้เป็ นปกติทีละด้าน
หากทั้งดึง กระชาก กระทุ้ง จนปวดนิ้ว ซิปก็ไม่ได้ประสานสามัคคี ยังคง
แยกทางราวกับโกรธกันแต่ชาติปางก่อน

...ซวยอะไรกันหนักกันหนา!
ขยี้ผมตัวเองด้วยความหัวเสีย ก่อนนั่งบนชักโครกอย่างหมดแรง

แล้วทีนี้เขาจะออกไปข้างนอกได้ยังไง หรือต้องเดินกุมเป้ าไปตลอดทาง มี


หวังคงถูกตำรวจจับข้อหาอนาจารจริงๆ แน่

หนทางออกมีเพียงต้องซ่อมซิปให้ได้เท่านั้น เอาแค่พอทนๆ ให้เขาขึ้น


รถเมล์ก่อน ถ้าเจอที่นั่งเมื่อไร ต่อให้มีเด็ก สตรี คนชรามายืนต่อหน้า
พลเมืองดีเด่นอย่างไอ้รักษ์ก็จะไม่ยอมเสียสละลุกให้เด็ดขาด
ตัดสินใจแน่วแน่ได้ก็เริ่มลงมือแก้ไขสถานการณ์ต่อทันที คราวนี้ลอง
กวาดตาทั่วห้องน้ำ เผื่อจะมีอุปกรณ์มาช่วยงัด ทว่าสายตาดันสะดุดเข้ากับ
บางสิ่งบนชั้นวางของซึ่งยื่นมาเหนือชักโครก

...ไม่ใช่สิ่งที่ช่วยให้ซ่อมซิปได้แน่ๆ แต่เป็ นสิ่งเกินความคาดหมายไปไกล

บนชั้นวางของปูกระเบื้องสีดำมันปลาบ 'สมาร์ทโฟนสีดำ' นอนนิ่งสนิท


กลมกลืนอยู่ อาจเพราะมัวพะวงกับกางเกงด้วย จึงไม่แปลกที่ไม่สังเกต
เห็นตั้งแต่แรก

แต่ตอนนี้เขาเห็นแล้ว จะให้ใจจืดใจดำมองข้ามก็คงเกินไปหน่อย แน่นอน


ว่าเขาไม่ได้คิดจะขโมย (ไม่อยากเพิ่มข้อหาต่อจากการอนาจารของตัวเอง
อีกกระทง) และถึงตอนนี้ตัวเองกำลังเจอวิกฤตหนักหน่วง สามัญสำนึก
ส่วนดีก็ร้องเตือนว่า เขาต้องเอาโทรศัพท์ไปคืนเจ้าของ...
...แล้วเจ้าของเป็ นใคร?

ก่อนหน้านี้เห็นคนใช้ห้องน้ำอยู่สามคน อาจเป็ นใครคนหนึ่งในนั้น จะว่า


ไปเขาขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำมาเกือบสิบนาทีแล้ว ถ้าคนลืมนึกขึ้นได้จริงๆ
ก็น่าจะมาเคาะประตูบอกเขา แต่นี่เสียงในห้องน้ำกลับเงียบสนิท

อนุรักษ์ลองปลดล็อกกลอนเปิ ดประตูแง้มๆ เพราะตัวเองยังไม่ได้ใส่


กางเกงให้เรียบร้อย เป็ นไปตามคาด

ภายในห้องน้ำหรูเหลือเขาเพียงคนเดียว...
กลับมานั่งพิจารณาของในมืออีกครั้ง สมาร์ทโฟนแบรนด์ดัง ไม่ใช่รุ่นใหม่
ล่าสุด น่าจะปล่อยออกมาเกือบสองปี แล้ว มองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้ใช้ค่อน
ข้างรักษาของ ตัวเคสและเครื่องไม่มีร่องรอยการขีดข่วน เทียบกับ
โทรศัพท์ของเขาซึ่งตกยุคไปสามชาติเศษ สภาพยับเยินทนทึกชนิดปาหัว
หมาไม่แตก ช่างต่างกันราวฟ้ ากับนรก

หากแม้จะมีเทคโนโลยีไฮเทคราคาหลายหมื่นอยู่ตรงหน้า คนโลโซกลับไม่
ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก อานิสงค์จากการมี 'ไอ้ทัต' เพื่อนสนิทเปิ ดร้านรับ
ซ่อมขายโทรศัพท์ เขาโดนมันเรียกใช้ให้ไปเฝ้ าร้านบ่อยๆ จึงมีบุญจับโทร
ศัพท์เทพๆ ทุกรุ่น และใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ จนคล่องแคล่ว
สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ โดยปกติแล้ว ผู้ใช้มักตั้งรหัสล็อกหน้าจอเอาไว้
ขืนไม่รู้รหัสกดเดาสุ่มมั่วๆ หน้าจอจะล็อกอัตโนมัติ ทำให้ไม่สามารถงาน
ใช้ได้อีกจนกว่าเวลาผ่านไปสามสิบนาที

ดังนั้น ถ้าล็อกหน้าจอก็จบ เขาคงต้องฝากให้รปภ.หรือประชาสัมพันธ์ช่วย


ตามหา ซึ่งก็คงเป็ นใครคนหนึ่งในพนักงานของบริษัทนี้ แต่ถ้าไม่ได้ล็อก
หน้าจอล่ะก็...

นิ้วดันไปไวกว่าความคิด รู้ตัวอีกทีเขาก็เผลอกดลงไปตรงปุ่มโฮม

หน้าจอสีดำสว่างวาบขึ้นมาทันที พื้นหลังเป็ นรูปเรียบๆ ที่ตั้งมากับตัว


เครื่อง บ่งบอกได้ว่าเจ้าของไม่ใส่ใจจะตกแต่งอะไรเพิ่มเติม
จากประสบการณ์ที่เคยเห็นเพื่อนซ่อมโทรศัพท์ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะตั้ง
หน้าจอเป็ นรูปตัวเองบ้าง รูปแฟนบ้าง หรือรูปอื่นๆ ตามรสนิยมความ
ชอบ

ในยุคสมัยนี้ สมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็สามารถบ่งบอกบุคลิกและตัว
ตนของเจ้าของ เราเก็บข้อมูลทุกอย่างลงไปในโทรศัพท์เครื่องเล็กๆ
ราวกับมันเป็ นไดอารี่ แถมเป็ นไดอารี่ที่พร้อมจะประกาศความลับให้ชาว
บ้านรู้อย่างง่ายดาย

ไอ้ทัตเคยเล่าว่า คนซ่อมโทรศัพท์มือถือสามารถดึงทุกๆ สิ่งออกมาได้เพียง


ไม่กี่คลิก ทั้งรูปภาพที่ถูกลบทิ้ง ข้อความแชท กล่องอีเมล์เข้าออก เว็บไซต์
ที่เคยเปิ ดดู หากมันไม่เคยเอามาแพร่งพรายเพราะถือจรรยาบรรณใน
วิชาชีพ แต่ถ้าเป็ นคนอื่นก็ไม่แน่ นิสัยของมนุษย์ช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่อง
ชาวบ้านอยู่แล้ว
...และตอนนี้เขาเองก็กำลังจะเป็ นหนึ่งในนั้น

แต่เดี๋ยวก่อน...เขาทำไปด้วยความหวังดีอยากจะช่วยตามหาเจ้าของ
โทรศัพท์ต่างหาก ไม่ได้คิดอยากล้วงข้อมูลความลับอะไรเลยสักนิด
สาบานก็ได้เอ้า!

อนุรักษ์ชูสามนิ้วตามสัญลักษณ์ลูกเสือสามัญแสดงความซื่อสัตย์ในใจ
ขณะที่นิ้วในความจริงเลื่อนสไลด์หน้าจอ ลุ้นกับภาพการเปลี่ยนแปลงที่
ปรากฏ
...ไม่ได้ล็อกไว้

แอพพลิเคชั่นต่างๆ ผุดเด้งขึ้นมาเรียงติดกัน บางอันก็คุ้นเคย บางอันก็ไม่


เคยเห็นมาก่อน ที่แปลกคือในนั้นไม่มีแอพพลิเคชั้นยอดนิยม ประเภทเฟ
ซบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ หรืออินสตราแกรม ตรงข้ามเขาดันเจอแอพธนาคาร
แอพเช็คราคาหุ้น และแอพเฉพาะของสำนักข่าวต่างประเทศ

อนุรักษ์เพิ่งเคยเห็นสมาร์ทโฟนที่จืดชืดไร้ชีวิตชีวาแบบนี้เป็ นครั้งแรก เกม


สักเกมยังไม่มีดาวน์โหลดลงไว้ สงสัยเจ้าของคงเป็ นคนบ้างานหน้าดำคร่ำ
เครียดไม่เข้าสังคม หรือไม่ก็เป็ นนักธุรกิจรุ่นลุงระดับพันล้านที่วันๆ ต้อง
ตรวจดูหุ้นกับโอนเงินเข้าออกในธนาคารเป็ นประจำแน่ๆ

ถ้ากดดูอัลบั้มรูปส่วนตัวก็อาจเห็นภาพเจ้าของเครื่องถ่ายเก็บเอาไว้ แต่เขา
ยั้งมือไม่ให้ทำ เห็นแบบนี้เขาก็มีจรรยาบรรณของคนที่มีเพื่อนเป็ นช่าง
ซ่อมโทรศัพท์เหมือนกัน และไม่ลืมจุดประสงค์หลักว่าตนเองต้องการ
อะไร

วิธีแก้ปั ญหาง่ายๆ เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็ นเจ้าของสมาร์ทโฟน คือให้กดไปยัง


เบอร์โทรล่าสุดที่มีการสนทนาด้วย เพื่อติดต่อขอให้อีกฝ่ ายเป็ นคนมารับ
โทรศัพท์คืน หรือแจ้งกับเจ้าของที่แท้จริง

อนุรักษ์ทำตามขั้นตอนทันที รายชื่อปรากฏยาวเป็ นแถวซึ่งตัวอักษรทุกตัว


ล้วนเป็ นภาษาอังกฤษ

...คงไม่ใช่ว่าเจ้าของเป็ นคนต่างชาติหรอกนะ ระดับภาษาอังกฤษของเข้า


อยู่ในเกณฑ์ Yes No OK Thank you แค่นั้น
แต่พอเพิ่งดูดีๆ บางคำก็คล้ายจะอ่านออก อย่างเช่นเบอร์โทรล่าสุดที่ระบุ
ว่าเพิ่งวางสายไปเมื่อชั่วโมงก่อน

'NAMTAN'

...น้ำตาล น่าจะเป็ นชื่อผู้หญิงสักคน เผลอๆ อาจเป็ นแฟนก็ได้

สรุปเองเออเองเสร็จสรรพ พร้อมกับกดโทรหา รอสัญญาณเพียงครู่เดียว


ปลายสายก็รับ
"ฮัลโหล"

"สะ..."

ยังไม่ทันที่เขาจะทักทายสวัสดี เสียงหวานแหลมเล็กก็สวนเข้ามาทันควัน

"บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องโทรหาน้ำตาลอีก!"

อนุรักษ์รีบยกเครื่องมือสื่อสารออกห่างหู ขมวดคิ้วงง
...อยู่ๆ ก็ถูกโมโหใส่ อย่าบอกนะว่าคุณเจ้าของเครื่องดันเพิ่งทะเลาะกับ
แฟนมา

"แต่..."

"หยุด! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น"

กำลังจะอ้าปาก คนคุยกลับไม่ยอมเปิ ดช่อง สาดกระสุนคำพูดใส่รัวๆ


ราวกับระบายความอัดอั้น
"น้ำตาลไม่อยากฟั งอะไรจากคุณอีกแล้ว! คุณไม่เคยทำตามที่รับปาก
น้ำตาลได้เลยสักอย่าง คุณลืมวันครบรอบของเรา ลืมวันเกิดน้ำตาล คนบ้า
งานอย่างคุณเคยเห็นน้ำตาลสำคัญบ้างไหม!"

...โอโห...อย่างน้อยเขาก็เดาถูกว่าเจ้าของเครื่องเป็ นคนบ้างานจริงๆ แต่ลืม


แม้กระทั่งวันเกิดแฟนตัวเองได้ลง คุณเธอจะปรี๊ดแตกก็คงไม่แปลกแล้ว

"หึ แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้น้ำตาลมีคนอื่นที่เขาดูแลน้ำตาลดีกว่าคุณแล้ว


ลองทายสิคะว่าใคร จำโรเบิร์ตได้ไหมคะ เพื่อนร่วมงานที่นิวยอร์กของคุณ
ไง ใช่ค่ะ น้ำตาลคบเขาซ้อนกับคุณมานานแล้ว ทีนี้ไม่ต้องติดต่อมาอีกนะ
คะ น้ำตาลจะบล็อกเบอร์คุณด้วย เชิญมีความสุขกับงานบ้าๆ ของคุณต่อ
ไปเถอะ ลาก่อนค่ะ คุณชาย!"
กระแทกใส่ส่งท้าย ก่อนสัญญาณจะถูกตัดทิ้ง

อ้าวเฮ้ย! ยังไม่ทันบอกเลยว่าเขาเก็บโทรศัพท์ได้ และที่สำคัญเขาไม่ใช่


แฟนเธอด้วย ถึงจะมาประชดสารภาพว่านอกใจตอนนี้เขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน
อาจรู้สึกผิดนิดหน่อย ตรงที่เผลอไปฟั งเรื่องส่วนตัวเข้า แต่ช่วยไม่ได้มัน
เป็ นกรณีฉุกเฉิน แถมอีกฝ่ ายยังออกงิ้วใส่ฉอดๆ ไม่ยอมให้เขาพูดครบ
ประโยคเลยด้วยซ้ำ

อนุรักษ์พยายามกดโทรออกเบอร์เดิมอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจชิงอธิบายก่อน
จะโดนแย่งพูด หากมีเพียงเสียงบริการฝากหมายเลขตอบรับ สงสัยคุณ
น้ำตาลเป็ นประเภทขู่จริง ทำจริง จัดการบล็อกเบอร์อดีตแฟนไปเรียบร้อย
แล้ว
นึกสงสัยว่าตัวเองไปสร้างความร้าวฉานเพิ่มรึเปล่า ถึงก่อนหน้านี้มันจะปริ
แตกอยู่แล้วก็ตาม ไอ้เขาไม่ได้ร่วมยินดีเป็ นพยานในการเลิกกันของคน
สองคนหรอกนะ แถมข้อมูลที่ได้มาเหมือนจะไม่มีประโยชน์เพิ่ม

'คุณชาย'

...เป็ นชื่อจริง หรือคำเรียกประชด

เดาจากอารมณ์ของฝ่ ายหญิงอาจหมิ่นเหม่ไปในทางข้อหลัง สรุปแล้วเขาก็


ยังไม่รู้ว่าเจ้าของเป็ นใครอยู่ดี
อนุรักษ์จึงสไลด์รายชื่อดูเบอร์โทรล่าสุดอีกครั้ง พยายามมองหาชื่อผู้ชาย
มากกว่าผู้หญิง (ใครจะรู้คุณชายอาจจะซ่อนกิ๊กเอาไว้อีกก็ได้) ในลำดับ
การโทรเมื่อสองชั่วโมงก่อนปรากฏตัวอักษร

'LEO'

...ชื่อเหมือนแบรนด์แอลกอฮอล์ยี่ห้อดัง แต่อาจจะเป็ นใครสักคนที่เป็ น


เพื่อนของคุณชายก็เป็ นได้

เขากดโทรออก ภาวนาในใจว่าชื่อฝรั่งจ๋าขนาดนี้ คนรับคงไม่ได้พ่นภาษา


อังกฤษใส่จนเขาไม่ทันบอกอะไรอีก หากความกังวลล่วงหน้ากลับหมดไป
หลังได้ยินภาษาไทยชัดเปรี้ยะ
"ไงคุณชาย บอกไว้ก่อนเปลี่ยนใจมาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ"

เสียงนุ่มระรื่นหูราวกับพระเอกทีมพากย์หนังพันธมิตร ทำเอาฟั งเพลินไม่


กล้าขัดเมื่อปลายสายยังคงพูดต่อ

"เฮ้ยล้อเล่น...เอ็งมาเหอะ งานไม่กร่อยอย่างที่คิดหรอก เชื่อดิ ทุกคนอยาก


เห็นเอ็งทั้งนั้น นานๆ ทีจะรวมตัวกันได้ครบนะเว้ย จะไม่ยอมมาหาเพื่อน
เลยเหรอวะ"
...เดาถูกอีกอย่างแล้ว เจ้าของเครื่องไม่ชอบเข้าสังคม เผลอๆ อาจไม่ค่อย
พูด เพราะทุกคนเล่นพูดแทนหมด และถ้าเขายังไม่สามารถหาช่องแทรก
เข้าบทสนทนาตอนนี้ คงไม่มีทางดึงเข้าประเด็นหลักแน่นอน

"ตกลงจะมาใช่ไหม จะได้บอกคนอื่น"

"เปล่าครับ คือ...ผมไม่ใช่เจ้าของเครื่อง"

ในที่สุดก็บอกออกไปได้เสียที เสียงพากย์พระเอกเงียบไปคล้ายชะงัก
เปลี่ยนเป็ นคำถามงงๆ
"อ้าว แล้วนั่นใครอ่ะครับ"

"ผมบังเอิญเก็บโทรศัพท์เครื่องนี้ได้จากในห้องน้ำครับ เลยอยากเอาไปคืน
เจ้าของ คุณช่วยติดต่อบอกเขาได้ไหมครับ"

พุ่งเข้าประเด็นหลักแบบไม่อ้อมค้อม หวังเต็มเปี่ ยมว่าเป็ นเพื่อนกันก็น่าจะ


มีช่องทางอื่นติดต่อได้รวดเร็ว แต่ผลลัพธ์กลายเป็ นตรงข้าม เมื่อคู่สนทนา
ทอนเสียงเป็ นเชิงลำบากใจ

"...ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่อาจจะช้าหน่อย ตอนนี้ผมอยู่บนเครื่องกำลัง


จะเทคออฟ คงต้องปิ ดสัญญาณโทรศัพท์ก่อน แอร์มองผมตาเขียวแล้ว"
...อะไรนะ?

กำลังจะถามซ้ำ แต่ได้ยินเสียงเรียกจากผู้หญิงแทรกขึ้นมาเบาๆ ‘คุณผู้


โดยสารคะ...’

"เดี๋ยวจะบอกให้ล่ะกัน แค่นี้นะ"

พี่พระเอกพูดรัวเร็วคล้ายพากย์หนังตอนกำลังรีบวิ่งไปช่วยนางเอก แล้ว
สายก็ตัดไปทั้งอย่างนั้น...
บอกตามตรง อนุรักษ์ชักจะเริ่มหงุดหงิดหน่อยๆ แล้ว

อุตส่าห์โทรไปตั้งสองสายยังช่วยตามหาเจ้าของมือไม่ได้อีก อยากจะ
แกล้งทำเป็ นลืมวางมือถือทิ้งไว้ตรงที่เก่า รอให้ป้ าแม่บ้านหรือใครสักคน
มาเก็บไปแทน ก็ไอ้เขาไม่ได้ว่างขนาดมานั่งอยู่ในห้องน้ำกดจิ้มโทรศัพท์ทั้ง
วัน นี่ละมือจากการซ่อมซิปกางเกงมาช่วยก็บุญเท่าไรแล้ว

แต่ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้ จะลองเสี่ยงโทรไปหาอีกสักคน ถ้ายังไม่ได้เรื่องอีก


คงต้องฝากให้ลุงรปภ. ทีหลัง

อนุรักษ์สไลด์ดูสมาร์ทโฟนสีดำเรียบหรูอีกครั้ง เขาไม่เลือกกดไปเบอร์โทร
ล่าสุด หากเปลี่ยนเป็ นกดสารบัญรายชื่อที่เม็มไว้แทนเพื่อมองหาใครคน
หนึ่ง
'DAD'

คิดว่าคนเป็ นพ่อน่าจะรู้อะไรๆ มากกว่า อย่างน้อยก็ถือเป็ นคนใน


ครอบครัวมีความใกล้ชิดเจ้าของที่สุดคงพอหาทางติดต่อได้แน่ๆ แต่หลัง
ได้ยินประโยคทักแรก เขานึกก็เสียใจที่คิดแบบนั้น

"แกดูจะรู้ตัวช้าไปนะว่าเรื่องที่พ่อแกพูดไว้เป็ นความจริง"

ถ้าสายเมื่อครู่เป็ นพระเอกหนังมาพูด สายนี้ก็คงเป็ นเจ้าสัวประธานบริษัท


ใหญ่ยักษ์พันล้าน น้ำเสียงจึงทรงอำนาจแฝงความเย็นชาเด็ดขาด จนคน
ฟั งต้องรีบอธิบายตะกุกตะกัก
"ขะ..ขอโทษครับ คือผมไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์ ผมบังเอิญเก็บเครื่องนี้ได้
จากในห้องน้ำครับ เลยกดโทรหาคุณจากในรายชื่อ เออ...ยังไงรบกวนคุณ
ช่วยติดต่อเขาได้ไหมครับ"

"งั้นหรอกหรือ ผมต้องขอโทษด้วยที่ลูกชายไม่ได้เรื่องของผมไปสร้างความ
ลำบากให้คุณ"

พอได้ยินว่าทักผิดคน ประโยคก็เปลี่ยนเป็ นทางการทันที โดยไม่ลดความ


น่ายำเกรงลงไปด้วย ทำเอาเขาเผลอเกร็งอัตโนมัติ
"ระ...เรื่องแค่นี้เอง ไม่ลำบากหรอกครับ"

"ไม่ใช่เรื่องแค่นี้! โทรศัพท์ของตัวเองยังไม่มีความรับผิดชอบรักษาไว้ได้
แล้วต่อไปจะจัดการเรื่องใหญ่ๆ ได้ยังไง!"

คำตำหนิไม่ได้ส่งถึงเขา แต่ก็เล่นเอาหน้าชา ไม่อยากนึกเลยถ้าเป้ าหมาย


ตัวจริงโดนเข้าไปจะเจ็บขนาดไหน ทว่าเรื่องบาดหมางภายในครอบครัวก็
ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา

"เออ ถ้างั้นคุณช่วย..." เตรียมลากเข้าจุดประสงค์เดิม เสียงทรงอำนาจก็


แทรกมาอีก
"เสียใจด้วยครับ ผมคงติดต่อเขาไม่ได้ ลูกชายไม่คุยกับผมมาเป็ นปี ๆ แล้ว"

ถึงจะเดาถูกว่าเจ้าของมือถือบ้างาน ไม่เข้าสังคม แต่เรื่องไม่ถูกกับ


ครอบครัวตัวเอง ...อันนี้เขาไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้

"งั้นไม่เป็ นไรครับ ไว้ผมจะหาทางอื่นเอง ขอบคุณมากนะครับ"

อนุรักษ์เลือกเป็ นฝ่ ายวางสายด้วยท่าทีเกรงใจ ทั้งที่ไม่จำเป็ นต้องทำอย่าง


นั้นเลย เพราะเขาอยู่ในฐานะคนช่วยเหลือ ไม่ได้เป็ นฝ่ ายเดือดร้อน หากมี
สักแห่งที่ไหนในใจทำให้เขารู้สึกแปลกๆ
เมื่อเช้า เขาคิดว่าวันนี้ชะตาชีวิตของตัวเองเฮงซวยแล้ว แต่ดูเหมือนจะมี
คนซวยบัดซบมากกว่า ...ซิปเป้ ากางเกงแตกเทียบไม่ได้เลยกับการทั้งถูก
แฟนบอกเลิก ไม่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วยังจะตัดขาดจากพ่อตัวเองอีก

กระนั้นจะโทษโชคชะตาอย่างเดียวก็คงไม่ถูก

...เขาไม่ได้เลือกให้ซิปเป้ ากางเกงแตก แต่เจ้าของมือถือเครื่องนี้เป็ นคน


'เลือก' ผลักไสทุกสิ่งทุกอย่างออกไปเอง

อนุรักษ์ถอนหายใจ วางสมาร์ทโฟนสีดำไว้บนแท่นวางของเหนือชักโครก
ให้กลืนไปเป็ นส่วนหนึ่งในห้องน้ำเหมือนเดิม ตอนนี้เขาชักอยากเห็นหน้า
ของ 'คุณชาย' ขึ้นมาจริงๆ ซะแล้ว ติดตรงที่ว่าเขาต้องสะสางปั ญหาของ
ตัวเองก่อน
กางเกงแสล็กยังคงวางพาดอยู่กับขา ต่อให้พยายามไป ลำพังเขาคงไม่มี
ทางซ่อมซิปที่แตกได้ แต่ถ้าลองดึงกางเกงให้เอวสูงขึ้นมาหน่อย ปลาย
เสื้ออาจยาวพอจะปิ ดตรงเป้ า แล้วค่อยไปซื้อเข็มกลัดจากร้านสะดวกซื้อ
แถวนี้มาติดเอาทีหลัง

เป็ นวิธีแก้ปั ญหาเฉพาะหน้าง่ายๆ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงนึกไม่ออก หรือคง


เพราะกำลังลนลาน พอตั้งสติด้วยการไปแก้ปั ญหาใหญ่โตน่าปวดหัวของ
คนอื่น เลยมองเห็นหนทางออกของตัวเอง

อนุรักษ์จึงจัดการลุกขึ้นสวมกางเกงให้เรียบร้อยอีกครั้ง แต่เพียงแค่สอดขา
เข้าไปหนึ่งขา เสียงบรรเลงเปี ยโน Cannon In D จากอุปกรณ์แสนไฮเทค
หนึ่งเดียวในห้องน้ำก็ดังลั่น
...มีสายเข้า

เขารีบเอี้ยวตัวเอื้อมไปหยิบสมาร์ทโฟน ขณะกางเกงคาตัวค้างครึ่งๆ
กลางๆ สภาพคงอุบาทว์น่าดู แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจ เพราะไม่แน่ว่าคนโทร
มาอาจเป็ นคนเดียวกับที่กำลังพยายามตามหา

"ฮัลโหล"

ไม่รู้ทำไมหลังจากพูดไปแล้ว ตัวเองถึงเผลอกลั้นหายใจ ระยะเวลาเพียง


ชั่วสามวินาทีราวกับผ่านไปสามชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ได้ยินประโยคเกริ่น
สั้นๆ
ตั้งแต่ได้สมาร์ทโฟนเครื่องนี้มา อนุรักษ์ลองคาดเดาบุคลิกของแต่ละคน
ผ่านทางน้ำเสียงมาตลอด

...เสียงหวานเล็กติดโทนแหลมของคุณน้ำตาล เสียงทุ้มนุ่มรื่นของเพื่อนชื่อ
ลีโอ หรือเสียงเต็มเปี่ ยมด้วยอำนาจของผู้เป็ นพ่อ

และล่าสุด... เสียงของคนที่ถูกแฟนทิ้ง ไม่เข้าสังคม ตัดขาดจากครอบครัว

เป็ นเสียงราบเรียบแทรกผ่านอากาศคล้ายมากระซิบอยู่ข้างหู
"...ของของผมขอคืนด้วยครับ"

บทที่ 02 :ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อย

...สวัสดีครับ คุณชาย

...สวัสดีครับ คุณชาย
อนุรักษ์ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรทักแบบนั้นออกไปดีไหม อารมณ์ตื่นเต้นดีใจ
หลังเจอเจ้าของโทรศัพท์ซึ่งเฝ้ าเพียรตามหามานาน ส่งผลให้เขาเงอะงะ
ทำอะไรไม่ถูก

“เออ...คือว่า...”

แต่เหมือนทุกครั้งที่เขายังไม่ทันเริ่มต้น ปลายสายกลับเป็ นฝ่ ายแย่งเปิ ด


ฉากบทสนทนาขึ้นมา ซ้ำเป็ นประโยคที่สร้างความนิ่งอึ้ง
"โทรศัพท์ของผมคุณจะเอาไปก็ได้ แต่ขอข้อมูลทั้งหมดในเครื่องของผม
คืน"

ถ้อยคำดูถูกปนการกล่าวหา ทำให้ความรู้สึกยินดีทั้งหมดสลายฉับพลัน

...พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง หรือไอ้คุณชายคิดว่าเขาเป็ นขโมย รู้บ้าง


ไหมว่าเขาอุตส่าห์เสียเวลาไล่ตามหาเจ้าของยากลำบากขนาดไหน

เผลอกำสมาร์ทโฟนในมือแน่นขึ้น ติ๊ต่างว่ามันเป็ นคอเจ้าของเครื่อง ขณะ


ตอบกลับโดยพยายามข่มความหงุดหงิดไว้
"ผมไม่คิดจะเอาโทรศัพท์ของคุณ บังเอิญเก็บได้ที่ห้องน้ำ ตั้งใจจะส่งคืนอยู่
แล้ว"

"ห้องน้ำที่ไหน"

"ชั้นหนึ่ง ตึกออฟฟิ ศอะไรสักอย่าง ผมไม่ทันได้ดูป้ าย"

"คุณไม่ใช่พนักงานในบริษัทนี้หรอกหรือ"

"เปล่า"
"แล้วคุณเข้ามาใช้ห้องน้ำในตึกนี้ได้ยังไง"

"ขอพี่รปภ.เข้ามา"

"แล้วทำไมโทรศัพท์ของผมถึงได้ไปอยู่ในห้องน้ำ"

"มันปวดฉี่เลยงอกขาเดินมาเข้าห้องน้ำเองมั้ง!"
กวนตีนออกไปอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ชายหนุ่มหมดความอดทนแล้ว โดนยิง
คำถามเหมือนตัวเองเป็ นนักโทษข้อหาอุกฉกรรจ์ ทั้งๆ ที่เขาเป็ นพลเมืองดี
ช่วยเหลือคนอื่นแท้ๆ ตอนเสียสละที่นั่งให้เด็กบนรถเมล์ก็ด้วย ทำไมใครๆ
ถึงชอบมองเขาในแง่ร้ายกันนัก

อาจเพราะความหงุดหงิดโมโหสามารถส่งผ่านไปตามสัญญาณ 3G จนคู่
สนทนาสัมผัสได้ จึงเลิกซักไซ้ แต่ยังคงออกคำสั่งด้วยเสียงราบเรียบ

"งั้นคุณช่วยเอาโทรศัพท์ฝากไว้ที่แผนกประชาสัมพันธ์ให้ผมทีก็แล้วกัน"

"ได้ครับ คุณชาย”
จงใจเน้นย้ำคำสุดท้าย รู้แล้วว่าทำไมถึงถูกเรียกแบบนั้น เพราะเจ้าตัวนิสัย
แย่ขนาดหนัก คนอุตส่าห์ช่วยเก็บโทรศัพท์ให้ คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี
แถมยังใช้เขาเหมือนเป็ นลูกน้อง วางตัวเหนือหัวคนอื่นขนาดนี้ มิน่าใคร
ต่อใครถึงโยนตำแหน่ง ‘คุณชาย’ ให้

...ทว่าอยู่ๆ ปลายสายก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

"คุณรู้ชื่อผมได้ยังไง"

อ้าว...ตกลงนั่นชื่อจริงเหรอ
อนุรักษ์นึกชมว่าช่างตั้งชื่อได้เหมาะสมกับนิสัย แต่ควรจะเพิ่มคำต่อท้าย
เป็ น ‘คุณชายช่างซัก’ ก็เล่นซักเขาประหนึ่งตำรวจสอบสวนผู้ร้าย รู้สึก
เหมือนตัวเองถูกจับใส่กุญแจมือ เอาไฟส่องหน้า จนต้องยอมเปิ ดปาก
สารภาพ

"ก็ผมต้องรู้ว่าเจ้าของเป็ นใคร เลยใช้เครื่องคุณโทรติดต่อคนอื่น"

"คุณดูข้อมูลในโทรศัพท์ของผม?"

น้ำเสียงโมโนโทนมาตลอดกลับเข้มขึ้นอย่างมีนัยยะ และอนุรักษ์ก็เดา
สาเหตุได้ว่าเพราะอะไร
"ผมแค่ดูรายชื่อคนโทรเข้าออก ไม่เสียมารยาทเปิ ดดูอย่างอื่นหรอก หรือ
ว่าคุณมีคลิปลับอะไรซ่อนไว้ กลัวผมเอาไปปล่อยรึไง"

แกล้งถามออกไป แต่ดันไร้เสียงตอบรับ ไม่รู้เข้าใจแล้ว หรือถูกจี้ได้ตรงจุด

...คนเราสมัยนี้ก็แปลก คิดว่าตั้งกล้องถ่ายเก็บไว้ดูเองคนเดียวคงไม่เป็ นไร


ทั้งที่ความจริงเทคโนโลยีไม่ได้มีระบบป้ องกันทรงประสิทธิภาพขนาดนั้น
เกิดบังเอิญเจอมือแฮคเก่งๆ หน่อย วันดีคืนดีเผลอหลุดไป อาจเห็นตัวเอง
โผล่เป็ นพระเอกหนังเอ็กซ์ว่อนอินเตอร์เน็ตได้ง่ายๆ
สงสัยคุณชายคงแอบถ่ายคลิปลับหวาบหวิวเก็บไว้เหมือนกัน ถึงได้ร้อนรน
กลัวเขาจะเห็น ...โธ่ ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้รักษ์น้อยมันชอบสไตล์สาวญี่ปุ่น
น่ารักตาโต จัดแสงจัดไฟ พร็อพมีพร้อม พวกแอบถ่ายกันเองแบบบ้านๆ
ไม่ทำให้ลูกชายเขาคึกคักแน่นอน

คนที่มัวแต่คิดเรื่องใต้สะดือนึกเยาะ หากสิ่งที่ได้ยินกลับผิดไปไกล

"ATM ส่งคุณมาใช่ไหม"

ตัวย่อภาษาอังกฤษส่งผลให้คิ้วขมวดกันอย่างมึนงง
...ตู้ ATM เกี่ยวอะไรด้วย ธนาคารจะส่งเขามาทำไม คุณชายนี่ชักเพี้ยนไป
กันใหญ่แล้ว

"หมายความว่าไง ก็บอกแล้วว่าผมแค่บังเอิญเก็บโทรศัพท์ได้ในห้องน้ำ"

เป็ นเด็กอนุบาลป่ านนี้เข้าใจไปนานแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้กลับเอ่ยถ้อยคำที่


ทำให้เขาเบิกตากว้าง

"คุณอาจโกหกก็ได้"
...เฮ้ย แบบนี้มันชักเกินไป กล้ามาล้ำเส้นหยามศักดิ์ศรี ไม่คิดจะขอบคุณ
ยังหาว่าโกหกอีก พูดความจริงหลายรอบแล้วไม่ฟั งก็เปล่าประโยชน์จะ
อธิบาย

"ผมว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว เดี๋ยวผมจะฝากโทรศัพท์ไว้ที่ประชาสัมพันธ์
คุณมาเอาคืนไปเองแล้วกัน”

ตัดบทเตรียมวางสายทำสิ่งที่ควรทำตั้งแต่แรก คิดเสียว่าฟาดเคราะห์
ทำคุณบูชาโทษ ไม่แน่ช่วงนี้ดาวศุกร์ในราศีเขาคงโคจรในช่วงขาลง เลย
ทำให้ชะตาชีวิตดิ่งลงเหว แต่เคราะห์เขาคงหนัก เจ้ากรรมนายเวรจึงยังไม่
เลิกจ้องตามล้างตามผลาญด้วยการออกคำสั่งอีกรอบ

"ไม่ต้องหรอก คุณมาคืนให้ผมด้วยตัวเองดีกว่า"
...ตกลงไอ้คุณชายมันคิดว่าเขาเป็ นทาสในเรือนเบี้ยรึไง!

โดนเข้าไปหนัก ไอ้ที่ทำใจเย็นก็เย็นไม่ไหว กำลังจะอ้าปากด่าสั่งสอนแทน


บุพการี แต่ต้องถูกขัดด้วยเสียงสะเทือนดังสนั่น

ปั ง!

อนุรักษ์สะดุ้ง มองประตูห้องน้ำที่เขาล็อกอยู่ถูกกระแทกอย่างแรง พร้อม


กับการบุกจู่โจม
“คนที่อยู่ข้างในออกมาเดี๋ยวนี้!”

จำได้ว่าเป็ นเสียงลุงรปภ. ที่ช่วยบอกทางไปห้องน้ำกับเขา เจ้าตัวกำลังส่ง


สัญญาณวิทยุสื่อสาร ’ว.2 พบเป้ าหมายแล้วเปลี่ยน’ ก่อนจะบ่นพึมพำ
กับตัวเอง

“แหม ไอ้เราอุตส่าห์เห็นใจนึกว่าท้องเสีย ที่ไหนได้ดันเป็ นหัวขโมยเสียนี่


ฮ่วย!”

...อ้าว เดี๋ยวก่อนครับลุง ผมไม่ได้บอกว่าท้องเสีย คุณลุงคิดไปเองต่างหาก


จะมาโทษผมไม่ได้นะ
แต่เถียงไปตอนนี้ก็คงไม่เป็ นผล เพราะคนสั่งการตัวจริงคือหัวหน้าใหญ่ซึ่ง
อยู่อีกฝั่ ง

“ไปถึงแล้วสินะ”

อนุรักษ์นึกเสียดายที่โทรศัพท์สมัยนี้ยังไม่พัฒนาเป็ นแบบสามมิติ เขาจะได้


เอื้อมมือผ่านเครื่องไปบีบคอคนคุย สิ่งที่ทำจึงได้แค่เค้นคำเตรียมด่า

"คุณนี่มัน...!"
ยังไม่ทันครบประโยคก็ต้องสะดุ้งอีกรอบ เมื่อประตูถูกกระแทกปั งๆ!

“คนร้ายอย่าคิดหนี! เราล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว จะยอมออกมามอบตัวเสียดีๆ


หรือจะให้พังประตูเข้าไป”

ลุงยามสวมวิญญาณมือปราบขู่ซ้ำ โดยไม่ตระหนักเลยว่าห้องน้ำเล็กเท่ารู
หนูจะให้มุดหนีไปทางไหน แต่ปฏิบัติการณ์สายฟ้ าแลบก็ยังดำเนินต่อ
รวดเร็ว เสียงลากเก้าอี้ครืดคราดดังจากหลังประตูทันที อนุรักษ์
ตาเหลือก ก้มลงมองสภาพตัวเองกางเกงใส่คาไว้ครึ่งๆ กลางๆ พยายาม
ตะโกนร้องห้าม

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งเข้ามา!”
เขารีบดึงขากางเกงอีกข้างขึ้นมาใส่ อารามร้อนรน สมาร์ทโฟนซึ่งหนีบ
แนบไว้กับหูพอขยับเปลี่ยนท่าก็ดันเผลอหลุดร่วง

“เฮ้ย!”

อุทานได้เพียงแค่นั้น แล้วทุกอย่างก็ถูกตัดเป็ นภาพสโลว์

โทรศัพท์ราคาหลายหมื่นลอยค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนวัตถุนั้นจะค่อยๆ
ร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วงช้าๆ ลงไปในชักโครกสีขาวกลางน้ำบ่อน้อยอย่าง
เหมาะเจาะ เกิดเสียงดังจ๋อม พร้อมกับเสียงหนึ่งในหัวของเขาสะท้อนก้อง
...ฉิบหาย

"หยุด! อย่าขยับ"

ในที่สุดมือปราบก็โผล่หน้ามาจากเหนือประตูพร้อมคำสั่ง อนุรักษ์รีบ
ยกมือกุมเป้ ากางเกงอัตโนมัติ จนคนเห็นเหตุการณ์ต้องย้ำ

“ยกมือขึ้น”
“ยกไม่ได้”

ทุกครั้งในฐานะพลเมืองดี เขามักจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แต่คราว


นี้ยังไงก็ขอปฏิเสธ ลุงยามจ้องคนขัดขืนตาเขียว เหลือบมองไปยังเป้ า
กางเกงด้วยท่าทางขยะแขยง

“หรือว่าซ่อนของไว้ตรงนั้น”

ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจที่ไอ้รักษ์น้อยลูกชายเขาไซต์ใหญ่ชวนเข้าใจผิด แต่
โดนข้อกล่าวหาพิลึกนี้ทำเอาต้องรีบส่ายหน้าพรืด
"ไม่ใช่! ซิปกางเกงผมมันแตก"

“แล้วโทรศัพท์อยู่ที่ไหน”

คนถูกถามอึกอัก สุดท้ายก็ยอมเบี่ยงกายหลบให้คนที่อยู่เหนือบานประตู
กวาดมองทั่วห้องน้ำ ก่อนจะหยุดลงเมื่อพบวัตถุผิดปกติตรงชักโครก

สายตาสองคู่สบมองกัน

ทุกอย่างนิ่งเงียบ
มีเพียงเสียงสัญญาณวิทยุดังแทรก

“วอ 1 เรียกวอ 2 เจอโทรศัพท์ไหม”

ลุงยามทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะกดวอล์กกี้ตอบกลับ

“เจอครับ แต่ว่า...”
...อนุรักษ์คล้ายจะได้ยินเสียงคุณชายลอยมาจากน้ำเบาๆ

ลิฟต์เปิ ดออกที่ชั้นสิบห้า

อนุรักษ์กุมมือประสานสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคอตก ซ้ายขวาถูกขนาบข้าง


ด้วยพนักงานรักษาความปลอดภัย ขาดแค่กุญแจล็อกมือกับโซ่ลามข้อเท้า
เขาก็จะไม่ต่างไปจากนักโทษกำลังถูกพาไปพิจารณาคดี

แต่ดีหน่อยตรงที่ศาลตัดสินแห่งนี้ตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น ให้ความรู้สึก
โปร่งโล่งสบาย อาจเพราะมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่น้อย แม้จะถูกแบ่งสัดส่วน
แยกชัดเจน หากก็ได้รับการจัดสรรพื้นที่กว้างขวาง มีทั้งมุมโซฟาพร้อมทีวี
มุมโต๊ะพูล มุมบาร์กาแฟ แตกต่างจากออฟฟิ ศอื่นที่วางโต๊ะเรียงติดกันเป็ น
พรืดจนอึดอัด

และไม่ใช่แค่นั้น พนักงานหนุ่มสาวยังแต่งตัวโฉบเฉี่ยวอินเทรนด์ สัมผัสได้


ถึงความเป็ นคนหัวสมัยใหม่ไฟแรง ทว่ามนุษย์ย่อมมีความอยากรู้อยาก
เห็นซ่อนอยู่ในทุกยุค หลายคนมือง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์และเอกสาร แต่
ก็ยังแอบชำเลืองตาขึ้นมองแขกพิเศษในชุดพนักงานแคชเชียร์ซูเปอร์
มาร์เก็ต ผู้ถูกรปภ.พาเดินไปถึงสุดทางซึ่งกั้นไว้เป็ นห้อง เจ้าหน้าที่เคาะ
ประตูตามมารยาท พอได้ยินคำอนุญาตก็ดันตัวเขาเข้าไป

อนุรักษ์เดาว่าภายในคงจะตกแต่งไฮโซไม่แพ้ด้านนอก แต่ผิดคาด ตรง


กลางห้องมีเพียงแค่โต๊ะทำงานไม้สีเข้มเรียบๆ วางอยู่ ตลอดแนวผนังเป็ น
ตู้หนังสือยาวจากพื้นจรดเพดาน ข้าวของจัดวางเป็ นระเบียบเรียบร้อย
แสงยามบ่ายสีนวลส่องจากหน้าต่างบานใหญ่ที่มีมู่ลี่กั้น ให้อารมณ์ห้อง
สมุดขลังๆ มากกว่าห้องทำงานในอาคารหรู
สิ่งที่โดดเด่นออกมาจากกองของเก่าคลาสสิกคือ แมคบุ๊คตั้งเป็ นสง่าบน
โต๊ะ และผู้ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงเก้าอี้บุหนัง ละสายตาจากเครื่อง
คอมพิวเตอร์ขึ้นมามองเขา

...นั่นเป็ นครั้งแรกที่อนุรักษ์ได้พบกับ ‘คุณชาย’

...และเป็ นครั้งที่สองที่เขาชมคนตั้งชื่อว่า ช่างตั้งได้สมกับนิสัย และยังเข้า


กันกับรูปร่างหน้าตา

เขาเชื่อมาตลอดว่า ‘สูท’ ไม่เหมาะที่จะใส่ในสภาพอากาศร้อนตับแล่บ


ของประเทศไทย มันดูดีเฉพาะบนร่างนายแบบในหน้านิตยสาร ในหนัง
ฝรั่งเจมส์บอนด์ หรือให้เจ้าบ่าวสวมถ่ายเวดดิ้ง แต่คนคนนี้กลับลบความ
เชื่อของเขาไปจนหมด

สูทสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว เทคไนด์ลายทางเส้นเล็ก ลงตัวเข้ากับรูปร่างสูง


โปร่งเสริมเสน่ห์ให้ใบหน้าคม ดวงตาเรียวโศกซึ้ง จมูกโด่ง ผิวพรรณขาว
สะอาด และผมสีเข้มหวีเสยจัดทรงเนี้ยบ ทั้งหมดแผ่กระจายรังสีออร่า
คนรวยออกมาเป็ นหย่อมๆ กระทั่งพนักงานแคชเชียร์ยาจกอย่างเขาถึงกับ
ตาพร่า

แม้มองภาพรวมคะเนอายุอยู่ที่ยี่สิบปลายๆ แต่ความจริงชายคนนี้คงอายุ
มากกว่านั้น เดาจากบารมีและตำแหน่งงานที่น่าจะสูง เพราะลุงยามเริ่ม
ต้นรายงานด้วยท่าทางนอบน้อม
"พอผมได้รับแจ้งจากคุณชาย ก็รีบบุกไปที่ห้องน้ำทันทีเลยครับ ในนั้นมี
ห้องล็อกประตูอยู่ห้องเดียว ผมเลยเอาเก้าอี้มาปี นขึ้นไป และก็เห็นไอ้
หนุ่มคนนี้กำลังจะซ่อนโทรศัพท์ของคุณชายใน..."

สายตามองไปยังเป้ ากางเกงของคนที่เอามือบังไว้โดยไม่ต้องแปลความ
หมาย

“แต่ผมจับได้ก่อน มันเลยคิดจะเอาโทรศัพท์ทิ้งลงชักโครกทำลายหลัก
ฐาน โชคดีที่ยังไม่ทันกดน้ำ ไม่งั้นป่ านนี้โทรศัพท์ของคุณชายได้ลงไปอยู่ใน
บ่อเกรอะแล้วล่ะครับ”

สมาร์ทโฟนสีดำถูกนำมาไว้บนโต๊ะ คุณชายไม่มีทีท่าจะจับ ไม่รู้กลัว


สกปรกเพราะได้ยินว่าตกส้วมมาแล้วรึเปล่า แม้ลุงยามจะพยายามชี้แจง
“ผมเช็ดสะอาดเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงครับ ยังไงคุณชายลองเปิ ดเครื่อง
เช็คดูก่อนก็ได้”

“...อย่าเปิ ดเครื่อง ถ้าไม่อยากให้มันพัง”

คำแนะนำจากนักโทษหนึ่งเดียว เรียกให้ทุกคนในห้องหันไปมอง

“โทรศัพท์มีความชื้น ขืนเปิ ดระบบจะช็อตทำให้ข้อมูลเสียหาย”


อนุรักษ์อธิบายตามประสบการณ์ที่เห็นเพื่อนซ่อมโทรศัพท์ลูกค้าช่วงวัน
สงกรานต์ เขาจัดการแก้ปั ญหาเบื้องต้นด้วยการปิ ดเครื่องไปก่อนแล้ว ที่
เหลือแค่เอาโทรศัพท์ไปแช่ถังข้าวสารสักสองสามวัน เพื่อให้ข้าวสารดูด
ความชื้น แต่ออฟฟิ ศหรูขนาดนี้จะไปหาถังข้าวสารจากไหน เขาเลยคิดจะ
ขอโทรศัพท์คุณชายไปซ่อมเอง เพราะการที่มันพังเปี ยกน้ำก็เป็ นความผิด
ของเขาจริงๆ แต่มีความจริงอีกหลายข้อซึ่งเขาต้องแก้ต่าง

"ซิปกางเกงผมแตก ผมไม่ได้จะซ่อนไว้ในนั้น แล้วที่ทำโทรศัพท์ตกน้ำก็


เป็ นแค่อุบัติเหตุ"

เขาพยายามปกป้ องสิทธิของตัวเอง กลับถูกโจทก์ค้านปั ดตก

“ช่ะ! ไอ้น้องยังมาจะแก้ตัวอีกเหรอ! คุณชายครับ ปากแข็งแบบนี้เอาฝาก


ขังไว้ที่สถานีตำรวจสักคืนสองคืนดีไหมครับ”
ลุงยามชักอินกับหน้าที่ ถ้าพกปื นคงเอาออกมาควงขู่โชว์ไปแล้ว ทว่า
อำนาจการตัดสินใจยังคงอยู่ที่ผู้บัญชาการใหญ่ ซึ่งเปิ ดปากพูดเป็ นครั้ง
แรกนับตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้อง

"ไม่เป็ นไรครับ ขอบคุณมาก ที่เหลือผมจัดการเอง"

แม้คนจับกุมจะยังคลางแคลงสงสัยในตัวหัวขโมยอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเป็ นคำ


สั่งก็จำต้องล่าถอยออกไป บานประตูถูกปิ ดลง ทุกสิ่งเงียบงันชั่วครู่ ก่อน
แทนทีด้วยคำถาม
"คุณมีจุดประสงค์อะไร"

ที่ผ่านมาได้ยินแค่เสียงเรียบๆ ของคุณชายทางโทรศัพท์มาตลอด พอ
เผชิญหน้ากันตัวต่อตัวจึงอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ยิ่งถูกจ้องมองโดยคนรูป
ร่างหน้าตาสมบูรณ์พร้อมราวกับติดสินบนพระเจ้ามาเกิดก็ยิ่งเผลอเกร็ง
ตอบตะกุกตะกัก

"เออ...คือแบบว่า..."

"อย่ามัวลีลา พูดกับผมมาตรงๆ ดีกว่า สรุปคุณได้อะไรไปบ้าง"


อนุรักษ์คิ้วกระตุก ถึงภายนอกจะดูดีแค่ไหน แต่ภายในก็ยังเป็ นคุณชายงี่
เง่ากวนประสาทเหมือนเดิม

ในเมื่อคุณชายอยากเล่นแบบนี้ใช่ไหม...ได้ เดี๋ยวไอ้รักษ์จัดให้!

"ผมได้ไปเยอะเลยครับ" เขาแสร้งยิ้มกว้าง ก่อนตั้งต้นสาธยายทุกอย่างที่รู้


มาแบบละเอียดยิบ

"ตอนนี้ คุณน้ำตาลทิ้งคุณไปหาโรเบิร์ตเพื่อนร่วมงานของคุณที่นิวยอร์ก
เขาสองคนคบซ้อนกันนานแล้ว และคุณน้ำตาลก็ไม่อยากคุยกับคุณอีก
เลยจัดการบล็อกเบอร์คุณไปเรียบร้อย ...ส่วนคุณลีโอ อยากให้คุณไปเที่ยว
ด้วยกัน เขาบอกว่าคุณนึกไปเองว่างานมันกร่อยไม่สนุก ทั้งที่นานๆ เพื่อน
จะมารวมตัวกันครบ ...และสุดท้าย พ่อของคุณเห็นว่าคุณไม่มีความรับผิด
ชอบ ต่อไปคงจัดการงานใหญ่ๆ ไม่ได้ และคุณควรจะฟั งคำที่ท่านเตือน
ตั้งแต่แรก"

ข้อมูลถูกเก็บมาวิเคราะห์เรียบเรียง ปิ ดท้ายด้วยการประเมินผล

"สรุป คุณบ้างาน ไม่เข้าสังคม ขาดความอบอุ่นในครอบครัว แถมยังเป็ น


โรคหวาดระแวงเกินเหตุ...ถูกต้องไหมครับ คุณชาย"

หลังจบการบรรยาย ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ และเป็ นความเงียบที่


อนุรักษ์รู้ดีว่า มันเหมือนคลื่นลมสงบก่อนพายุใหญ่จะเข้า
ภายนอกคุณชายยังมีสีหน้านิ่งเฉย แต่ภายในกำลังก่อตัวปั่ นป่ วนโหม
กระหน่ำรุนแรงราวกับสึนามิ เพราะเขาสังเกตเห็นปฏิกิริยาเมื่อได้ยินคำ
พูดถึงพ่อ ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์ราวกับจะแทงให้ทะลุ

ใช่...เขากำลังแหย่รังผึ้ง กระนั้นลึกๆ ก็ยังรู้สึกแอบสะใจ แต่ไม่ต้องห่วง


ไอ้รักษ์เป็ นลูกผู้ชายพอ กล้าท้าทายใครก็กล้ารับผลที่จะตามมา เขายืดตัว
ตรงเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดโดยไม่หวั่น รอให้คุณชาย
เรียกรปภ.มาโยนเขาออกไปนอกบริษัท หรือจับส่งตำรวจฝากขังสักคืน

หากเพชรฆาตยังไม่ทันสั่งประหาร เสียงเคาะประตูก็ดังเป็ นสัญญาณระฆัง


พักยก

“ขออนุญาตค่ะบอส คุณเฮง มาขอพบค่ะ”


สาวหมวยผมสั้นกรีดอายไลเนอร์เฉี่ยว เปิ ดประตูเข้ามาแจ้ง ซึ่งคุณชายก็
พยักหน้ารับ

“ให้เข้ามาได้เลยครับ” แล้วหันมาออกคำสั่ง “คุณอยู่ตรงนี้ ถ้าเป็ นคนจาก


ATM จะได้รู้”

อนุรักษ์กรอกตาด้วยความระอา สงสัยคุณชายเลื่อนการพิพากษา เปลี่ยน


ไปเบิกพยานชี้ตัวนักโทษแทน

และเพียงไม่นาน คุณเฮง พยานปากแรกก็ปรากฏตัว ความที่ได้ยินชื่อจีน


เลยนึกว่าจะได้เจอหนุ่มตี๋ ที่ไหนได้คุณพี่มาแบบแขกแนวอาหรับเต็มขั้น
ทั้งใบหน้าคมเข้มอย่างคนวัยสามสิบกลางๆ ดวงตาดุ ตัวสูงใหญ่หุ่นล้ำ
ซ่อนกล้ามแขนไว้ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวชนิดที่สาวๆ เห็นแล้วคงกรี๊ดอยากพุ่งตัว
เข้าไปซบ

"อ้าว...มีแขกอยู่ก่อนแล้วเหรอครับ"

น้ำเสียงทุ้มกังวานเอ่ยทักเมื่อเห็นอนุรักษ์ยืนอยู่ข้างๆ เขาเองก็เตรียมรอ
ฟั งคุณชายอธิบายเรื่องราว แล้วให้พยานยืนยันคนร้าย ทว่าคุณชายไม่
แม้แต่จะพูดถึง ซ้ำยังโกหกหน้าตาเฉย

"แค่คนช่วยหาแหล่งข้อมูลของกลุ่มตลาดเฉพาะน่ะครับ"
"กลุ่มตลาดเฉพาะ?"

หนุ่มใหญ่ทวนคำ มองอนุรักษ์ซึ่งขมวดคิ้วงงไม่แพ้กัน ก่อนเขาจะรู้สึกถึง


สายตาคมที่จับจ้องไปยังเป้ ากางเกงแหวกประตูหน้า คนโชว์ของรีบยกมือ
กุมเป้ าทันควัน แต่อีกฝ่ ายกลับพยักหน้าส่งเสียงงึมงำในลำคอเหมือน
บรรลุคำตอบ

"อ้อ เข้าใจแล้ว เอ๊ะ! หรือว่าผมมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า"

"ไม่ใช่ครับ! ซิปกางเกงผมมันแตก"
จำไม่ได้แล้วว่าพูดประโยคนี้เป็ นรอบที่เท่าไร เขาใช้ภาษาไทยถูกต้อง
ชัดเจน น่าจะง่ายต่อการเข้าใจ แต่ทำไมใครๆ ถึงได้แปลความหมายไป
คนละทาง เช่นเดียวคุณเฮงซึ่งเอื้อมมือมาตบบ่าปลอบเบาๆ

“เอาน่าๆ ทำงานกับคุณชายก็ต้องเหนื่อยหน่อย เขาต้องรู้ข้อมูลละเอียด


ทุกซอกทุกมุมไม่งั้นเดี๋ยวงานจะออกมาไม่เพอร์เฟค คุณชายถึงได้เป็ นมือ
หนึ่งของเอเจนซี่ไทเกอร์ไงครับ”

เป็ นคำชมแฝงกลิ่นอายประชดลอยคลุ้งจนอนุรักษ์ยังสัมผัสได้ สงสัยไม่ใช่


แค่เขา ไอ้นิสัยเสียๆ ของคุณชายคงแผลงฤทธิ์สร้างศัตรูไว้เยอะ กระทั่ง
กลายเป็ นคนระแวดระวังไม่ยอมไว้ใจใคร และคล้ายเจ้าตัวจะรู้ความจริง
ข้อนี้ดี จึงเบี่ยงบทสนทนาลากเข้าประเด็นหลัก
"ตกลงมีธุระอะไรหรือครับ"

คุณเฮงเลยละความสนใจจากอนุรักษ์เปลี่ยนเป็ นโหมดทำงานทันที

“ผมเอาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประชุมไปคราวที่แล้วมาให้ครับ”

ของบางสิ่งถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะ อนุรักษ์อยากยกมือขยี้ตาตัวเองซ้ำๆ
หลายรอบ เพราะกลัวจะมองภาพเพี้ยนไป แต่ให้ตะแคงซ้ายขวาดูยังไง
วัตถุเล็กๆ ก็ยังคงปรากฏชัดเจน ผลิตภัณฑ์ใหม่ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่ม
ชายหนุ่มสามคนคือ
...ลิปสติกแท่งสีชมพูแสนสดใสคาวาอี้

‘ไอ้รักษ์เอ้ย...โลกเรามันมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ’

คล้ายจะได้ยินเสียงยายลอยมาตามลม เป็ นคำพูดติดปากของยายเวลา


เห็นอะไรแปลกใหม่พัฒนาแตกต่างจากสมัยก่อน ตอนนี้เขากำลังพยัก
หน้าเห็นด้วยในใจ ดูจากแอพพลิเคชั่นต่างๆ ในสมาร์ทโฟนก็นึกว่าเจ้าของ
จะมีอาชีพเป็ นซีอีโอ เล่นหุ้น บริหารโรงแรมใหญ่ ใครจะไปคิดว่าผู้ชาย
มาดแมนหุ่นทรมานใจสาวสองคนจะมาขายลิปสติก!

อนุรักษ์ปลงโลกตามคำสอนของยาย ขณะมองคุณเฮงกล้ามล้ำถือลิปสติก
สุดหวานแหววพลางพูดเนื้องานต่อ
“คอนเซปต์ลิปมัน Baby Kiss คือ ‘อยากให้คนไทย มีริมฝี ปากสวย และ
กล้าที่จะยิ้มอย่างมั่นใจ’ แต่ผมคิดไม่ถึงว่าคุณชายจะตีความ เรื่องความ
กล้าเกี่ยวกับการแสดงออกทางเพศด้วย น่าสนใจดีนะครับ ผมชักอยาก
เห็นโฆษณาที่คุณทำแล้ว”

ข้อมูลด้านท้ายเบรกความคิดเตลิดเปิ งไปไกลให้ย้อนกลับมาประมวลผล
ทุกอย่างใหม่ ก่อนเขาจะถึงบางอ้อ

ที่แท้คุณชายไม่ได้ขายลิป แต่เป็ นเอเจนซี่ทำโฆษณาให้ลิปสติก มิน่าคุณ


เฮงถึงคิดว่าเขาเป็ นคนมาให้ข้อมูลเรื่องลิปในกลุ่มตลาดเฉพาะ เดี๋ยวนะ...
...กลุ่มตลาดเฉพาะ + ลิปสติก + กางเกงแหวกเป้ า

สมองเอาคำทั้งหมดมาเชื่อมรวมกัน ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็ นสัญลักษณ์แสดง


รสนิยมทางเพศ งั้นก่อนหน้านี้ที่คุณเฮงกลัวจะเข้ามาขัดจังหวะระหว่าง
เขากับคุณชาย คุณเฮงนึกว่าเขากับคุณชายเป็ น...เฮ้ย!

อนุรักษ์อยากจะส่งซิกให้คนโกหกแก้ไขความเข้าใจผิดใหม่ แต่นอกจากไม่
สนใจยังเลือกคุยงานต่อด้วยบรรยากาศคร่ำเคร่ง

“เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณจะไว้ใจไอเดียของผมมากแค่ไหน”
“ไม่ต้องห่วง ผมให้สิทธิคุณชายใส่ไอเดียเต็มที่อยู่แล้ว แต่หวังว่างานครั้งนี้
คงจะไม่ออกมาเหมือนโฆษณาน้ำยาปรับผ้านุ่มมอร์นิ่งอีกนะครับ”

...น้ำยาปรับผ้านุ่มมอร์นิ่ง

ชื่อสินค้าทำให้อนุรักษ์เผลอนึกภาพโฆษณาที่เขาติดตาและติดใจ

...เป็ นโฆษณาเรียบง่ายความยาวแค่สามสิบวินาที เล่าถึงแม่บ้านธรรมดา


คนหนึ่งกำลังเก็บผ้าที่ตากบนราวเอาไว้ในวันฟ้ าใส เธอสะบัดเสื้อยืดสีขาว
ซึ่งใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มมอร์นิ่งสูดกลิ่นหอมสะอาดของผ้าที่ตากแดดใหม่ๆ
ทันใดนั้นโทรศัพท์จากในบ้านก็ดัง แม่บ้านวิ่งเข้าไปรับ เป็ นเสียงสามีที่
ทำงานอู่ซ่อมรถโทรเข้ามา เธอบ่นเรื่องเสื้อซึ่งเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน
เครื่องกว่าจะซักสะอาด ขณะเดียวกันก็ลูบเสื้อยืดนั้นด้วยรอยยิ้ม เพราะรู้
ว่าสามีกำลังตั้งใจทำงานหนักเพื่อเธอและลูกในท้อง
ไม่มีเอฟเฟคดอกไม้ปลิวว่อน หรือการบรรยายสรรพคุณหอมติดทน
ยาวนานยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนโฆษณาน้ำยาปรับผ้านุ่มอื่นๆ แต่เขาคล้ายจะ
ได้กลิ่นละมุนกรุ่นไอแดดลอยออกมาจากทีวี ทั้งภาพโทนสีนุ่มๆ และเพลง
เพราะๆ พอได้ยินเป็ นต้องเผลอมองทุกครั้ง โดยเฉพาะประโยคปิ ดท้าย
โฆษณา

“มอร์นิ่ง ให้กลิ่นหอมโอบกอดคนที่คุณรัก”

เสียงพึมพำของเขาเรียกความสนใจของชายหนุ่มสองคนให้หันมามอง พอ
รู้ตัวว่าดันเผลอพูดแทรกขัดจังหวะ เลยยิ้มเก้อๆ
"เออ...ผมชอบโฆษณานั้นน่ะครับ"

คุณชายยังมีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนคุณเฮงส่งยิ้มตอบอย่างอ่อนใจ

“ถ้าเจ้าของผลิตภัณฑ์คิดเหมือนคุณก็คงดี”

อนุรักษ์ไม่ทันได้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ แม้คนดูในฐานะผู้บริโภคอย่าง
เขาจะชอบมากเท่าไร แต่เขาไม่ได้เป็ นคนจ่ายเงินจ้างให้ทำโฆษณา ดังนั้น
ลูกค้าที่เอเจนซี่ต้องแคร์จึงมีเพียงบุคคลเดียว ต่อให้งานอลังการมากแค่
ไหน ตราบใดที่คนจ้างบอกว่าห่วยก็คือจบ
หากคุณชายยังคงยืนกรานแบบไม่คิดจะเสียศักดิ์ศรี

"ผมทำโฆษณาชิ้นนั้นดีที่สุดแล้ว”

เพื่อนร่วมงานหันไปหาคนที่ปั ดความผิด พูดเตือนราวกับจะเน้นย้ำผล

"ถึงอย่างนั้นยอดขายของมอร์นิ่งก็ยังน้อยกว่าที่ ATM ทำให้ออร่า"

...ออร่า ชื่อน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เป็ นคู่แข่งกับมอร์นิ่งมาตลอด


จำได้ว่าโฆษณายี่ห้อนี้ ดึงตัวดาราสาวกำลังรุ่งคนหนึ่งมาสาธิตวิธีใช้น้ำยา
ปรับผ้านุ่มออร่า พร้อมกราฟฟิ คดอกไม้สีชมพูเต็มหน้าจอโทรทัศน์ บวก
สโลแกนทำนอง หอม สะอาด สดชื่น อะไรสักอย่าง

แต่เขามั่นใจว่าไม่ใช่เพราะโฆษณาที่ทำให้ยอดขายของมอร์นิ่งแพ้ มันมี
ปั จจัยสำคัญอื่นมากกว่านั้น

"...เพราะออร่าซื้อสองแถมหนึ่งต่างหาก แล้วยังตัดซองเปล่าส่งไปลุ้นโชค
ทองคำได้ด้วย"
คนโฆษณาทั้งคู่หันมาหาเขาทันทีอย่างคาดไม่ถึง

แหม...ลืมไปแล้วเหรอว่าเขาคือใคร ถึงไม่ใช่นักการตลาด แต่พนักงาน


แคชเชียร์ซูเปอร์ก็เป็ นผู้ใกล้ชิดกับคนซื้อมากที่สุด

เขาสังเกตเห็นลูกค้าที่เข้าคิวจ่ายเงิน ใครๆ ก็หยิบออร่ามาทั้งนั้น ขนาด


เขาเอง แม้จะชอบโฆษณามอร์นิ่งมากเท่าไร ในหอก็แอบมีออร่านอนกอง
อยู่สองถุงเหมือนกัน

"อีกอย่าง น้ำยาปรับผ้านุ่มมอร์นิ่งกลิ่นหอมไม่ติดทนเท่าออร่า โฆษณาดี


แค่ไหน แต่ผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์ไม่ดี ก็ไม่มีใครอยากซื้อ"
อนุรักษ์วิเคราะห์สวนกลับ แต่หมัดเล็กๆ ของเขาเทียบกับรุ่นเฮฟวี่เวท
นักการตลาดผู้ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนอย่างคุณเฮงก็คงคล้ายโดนมด
กัด ไม่สะดุ้งสะเทือนระคายเคือง ตรงข้ามยังรอจังหวะตอบโต้อย่างไม่
ทุกข์ร้อน

"ที่พูดมาก็ถูกครับ" ใบหน้าคมยังยิ้มให้เขาเหมือนเดิม ทว่าแววตานั้นไม่ได้


ยิ้มด้วย แล้วจึงปล่อยอัปเปอร์คัทด้วยประโยคย้อนถาม

"แต่...ลูกค้าจ้างให้เราทำโฆษณาก็เพื่อกระตุ้นยอดขาย ข้อนั้นสำคัญที่สุด
ไม่ใช่เหรอครับ"
อนุรักษ์แพ้น็อคเมื่อโดนข้อเท็จจริงกระทุ้งเอาจนจุก โซเซกลับไปพักที่มุม
แดงของตัวเอง แถมคุณชายพี่เลี้ยงก็ไม่คิดจะสนใจช่วยพัดวีดูแล ทั้งๆ ที่
เขาออกหน้าว่าอยู่ข้างเดียวกันนะโว้ย!

"เอาเถอะครับ ครั้งนี้ผมคงไม่ต้องห่วงมาก เพราะผมเชื่อมือคุณชายเต็ม


ร้อยอยู่แล้ว ที่สำคัญลิปสติกตัวนี้คุณภาพดี หวังว่าโฆษณาจะทำให้ยอด
ขายออกมา 'ดี' ไม่แพ้กันนะครับ"

หลังจากเล่นงานลูกกระจ็อกจนหุบปากเสียสนิท เจ้าตัวก็หันกลับไปหา
หัวหน้าใหญ่ แววตาหมีกริซซี่ล่าเหยื่อวาบขึ้นเพียงแวบเดียว ก่อนเปลี่ยน
กลับเป็ นหมีเท็ดดี้อ่อนโยนเหมือนเดิม

"งั้นวันนี้ผมขอตัวก่อน แล้ววันศุกร์จะนัดเรียกประชุมทีมอีกทีครับ"
คุณเฮงกล่าวทิ้งท้าย แล้วเดินออกไป เหลือแค่ชายหนุ่มสองคนในห้อง
ตามเดิม

"คุณไม่ใช่คนจาก ATM จริงๆ"

ตอนนี้อนุรักษ์เข้าใจแล้ว... ATM ไม่ใช่ตู้กดเงินธนาคาร แต่คงเป็ นเอเจนซี่


โฆษณาคู่แข่ง

คุณชายคงกลัวว่าเขาจะมาสืบความลับ ซึ่งไม่รู้ทำไมถึงมามั่นใจเอาป่ านนี้


ว่าเขาเป็ นแค่คนธรรมดาทั้งที่พูดย้ำจนน้ำลายแห้ง หรือเพราะเมื่อครู่เขา
บอกว่าชอบโฆษณาชิ้นที่คุณชายทำ พอชมเข้าหน่อยก็เปลี่ยนหน้ามือเป็ น
หลังมือ แต่อย่าคิดว่าปรับความเข้าใจแค่นี้ จะทำให้เขาลืมความปากเสีย
กวนประสาทที่เคยทำไว้

เขากำลังเตรียมร่ายมหาเทศน์กัณฑ์ชาติให้สาสมกับความแค้น

“แล้วก็..." ยังไม่ได้เริ่ม อีกฝ่ ายก็เอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงเหมือนเช่นครั้งแรก


ซึ่งเขาเคยได้ยินจากคนคนนี้ ...เสียงที่ราวกับคนพูดมากระซิบอยู่ข้างหูดึง
เขาให้สบดวงตาเรียวโศกคู่นั้น

"ขอบคุณที่เก็บโทรศัพท์มาคืนผม”
โดยพื้นฐาน อนุรักษ์เป็ นโกรธง่ายหายเร็วอยู่แล้ว พอเจอคำขอบคุณอย่าง
จริงใจ เลยยอมใจอ่อน ทำเป็ นลืมๆ ความบาดหมางก่อนหน้า

“ไม่เป็ นไรครับ เพราะผมเองก็ทำโทรศัพท์คุณเปี ยกน้ำ เดี๋ยวผมจะรับผิด


ชอบเอาไปซ่อมให้ แล้วค่อยมาคืนคุณทีหลัง”

“แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่ขโมยโทรศัพท์ไปเลย"

...มันมาอีกแล้ว ไอ้โรคหวาดระแวง
อุตส่าห์แผ่เมตตาระงับความโกรธ คุณชายกลับเหมือนมารมาผจญยั่ว
โมโหให้เขาสติแตก

"ถามจริง เมื่อไรคุณจะเลิกมองผมเป็ นขโมยสักที หรือเห็นสภาพผมมัน


ยากจนมากรึไง!"

ถึงจะเป็ นแค่พนักงานแคชเชียร์ซูเปอร์แต่งตัวปอนๆ รวมราคาข้าวของทั้ง


เนื้อทั้งตัวอาจถูกกว่าเสื้อสูทคุณชายสามเท่า แต่เขาก็ไม่เคยขอใครกิน
ทำงานแลกเงินมาแบบมีศักดิ์ศรี มาโดนย้ำไม่เลิกว่าเป็ นหัวขโมย เป็ นใคร
จะไม่ของขึ้นกันบ้าง

หากแม้เขาแปลงร่างเป็ นก็อซซิล่าพร้อมพ่นไฟ คุณชายก็ยังคงรักษา


อาการสงบปฏิเสธนิ่งๆ
"เปล่า แต่ในโทรศัพท์มีข้อมูลสำคัญสำหรับผมมาก”

อ้อ...เกือบลืมคลิปลับของคุณชายไปเสียสนิท

คนนึกได้ถอนหายใจหน่าย ล้วงลงไปในกระเป๋ ากางเกงเพื่อหยิบสิ่งหนึ่ง


ออกมา

“งั้นผมจะเอาเครื่องของผมแลกกับเครื่องของคุณไว้ก่อน”
โทรศัพท์รุ่นเก่าใช้ปุ่มกดไร้ระบบหน้าจอสัมผัสถูกวางไว้บนโต๊ะ ยิ่งมาเคียง
กันกับสมาร์ทโฟนสุดไฮเทคก็ยิ่งเห็นชัดถึงความแตกต่าง

แต่สำหรับอนุรักษ์ เขาไม่แคร์...

“ในนั้นมีเมสเสจสุดท้ายที่แม่ส่งให้ผมก่อนท่านจะเสีย เป็ นของสำคัญมาก


สำหรับผมเหมือนกัน”

...ผ่านมาเจ็ดปี แล้วข้อความนั้นยังอยู่ข้างในเครื่อง นับจากวันที่พ่อกับแม่


ออกไปหาป้ าที่ต่างจังหวัดตั้งแต่เช้า เขาควรจะตามไปด้วย แต่เมื่อคืนเขา
เล่นเกมดึก เลยอ้างว่าปวดหัวขอนอนอยู่บ้าน แม่จึงตามใจปล่อยให้เขา
นอนต่อ
ไม่รู้หลับไปนานเท่าไร พอตื่นก็เพิ่งเห็นว่ามือถือตัวเองแบตหมด และทันที
ที่ชาร์ตสัญญาณกลับมาใช้ได้ ริงโทนก็แผดเข้า ป้ าเป็ นคนแจ้งข่าวร้ายกับ
เขาว่ารถของพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุ

หัวสมองเขาว่างเปล่าหลังได้ฟั ง ระหว่างนั้นเสียงแจ้งเตือน SMS ซึ่งคง


ดีเลย์ส่งเข้ามาหลังเปิ ดเครื่องก็ดังแทรกขัด เขาละหูจากเสียงพูดปนสะอื้น
ของป้ า แล้วเปิ ดดูข้อความ

'แม่ซื้อโจ๊กมาให้อยู่ในครัว อย่าลืมกินยา'
แม่คงโทรหาเขาแล้วแต่ไม่ติด เลยส่งข้อความมาให้ โดยไม่รู้เลยว่านั่นจะ
เป็ นข้อความสุดท้าย

...ตั้งแต่นั้น เวลาที่รู้สึกท้อใจหรือเหนื่อยกับเรื่องอะไร เขามักจะเปิ ด


ข้อความนั้นดูบ่อยๆ และต่อให้เทคโนโลยีพัฒนาไปมากแค่ไหน เขาก็ไม่
เคยคิดจะเปลี่ยน ยังคงใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ เพราะมันสำคัญกับเขามาก
กว่าทุกๆ สิ่ง

ความจริงเขาไม่อยากรื้อฟื้ นอดีต แต่เหตุผลนี้คงมีน้ำหนักเพียงพอให้


คุณชายยอมรับ

"ตกลง" คนในชุดสูทหยิบเครื่องโทรมๆ ไป ส่วนเขาก็หยิบสมาร์ทโฟนสีดำ


ขึ้นมาบ้าง
...เป็ นอันว่าตอนนี้เขากับคุณชายต่างฝ่ ายต่างมีโทรศัพท์ของอีกคนเป็ นตัว
ประกัน

“ถ้าซ่อมเสร็จเมื่อไร ผมจะโทรมา”

คุณชายพยักหน้า สิ้นสุดสัญญาการเจรจาแลกเปลี่ยน ครั้นจบงานวุ่นวาย


ก็ดันนึกถึงงานอีกหนึ่งอย่างของตัวเองขึ้นมาได้ อนุรักษ์ก้มลงมองนาฬิกา
ข้อมือ ตัวเลขดิจิตอลบอกเวลา 13.30

...เฮ้ย! เขาเข้างานสาย!
พนักงานแคชเชียร์รีบหมุนตัวออกไปนอกห้อง แต่ดันถูกรั้ง

“เดี๋ยว”

บางสิ่งเป็ นแท่งโยนมาให้จนเกือบรับไม่ทัน ตอนแรกเขานึกว่าเป็ นแท่ง


ลิปสติกสีหวานที่เป็ นผลิตภัณฑ์ทดลองใหม่ พอดูของในมือดีๆ กลับกลาย
เป็ นแม็กเย็บกระดาษ

...แล้วคุณชายจะให้แม็กมาทำไม
เงยหน้ามองงงๆ กระทั่งคนส่งต้องเฉลยออกมาสองคำ

"กางเกง"

นอกจากจะลืมเวลาทำงานแล้ว ยังลืมว่าซิปตัวเองแตกอีก!

เขารีบยกมือกุมเป้ า ซึ่งคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะปล่อยให้คุณชาย


เห็นมาตลอดการพูดคุย กระนั้นคนอายก็ยังก้มหน้างุด อาการเก่งกล้าที่
ต่อร่อต่อเถียงสลายหายไปสิ้น เหลือเพียงเสียงงึมงำถาม
"เออ...ห้องน้ำไปทางไหนครับ"

...ถ้าหมุนเวลาย้อนกลับไปได้ อนุรักษ์สาบานว่า เขาจะไม่ซื้อกางเกงผ้า


เกาหลีใส่อีกเลยตลอดชีวิต!

บทที่ 03 : คุ้มค่าทุกนาที

“เจคิงส์ซูเปอร์ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าลูกค้ามีบัตรสมาชิกมั้ยครับ”

อนุรักษ์ในตำแหน่งพนักงานแคชเชียร์เอ่ยตามหน้าที่ แต่ของซึ่งยื่นมาตรง
หน้าแทนที่จะเป็ นบัตรแข็งสีฟ้ า กลับกลายเป็ นกระดาษเอสี่มีรูปวัดพร้อม
รายละเอียดตัวอักษรเต็มพรืดหนึ่งแผ่น
“อะไร” ขมวดคิ้วถามหนุ่มใส่แว่น ผมสั้นไถข้าง เจ้าของร่างสูงโย่ง ซึ่ง
ไหวไหล่ตอบด้วยน้ำเสียงติดทะเล้น

“ทัวร์ทำบุญเก้าวัดไง เห็นช่วงนี้มึงดวงตก น่าไปบริจาคโลงศพสักโลงสอง


โลก เผื่อจะได้ช่วยสะเดาะเคราะห์ได้”

ถ้าไม่ติดว่าคนพูดเป็ นลูกค้าผู้มีอุปการคุณ และเป็ นคนเดียวกับ 'ไอ้ทัต'


เพื่อนสนิท เขาคงจะได้บริจาคโลงให้มันเป็ นรายแรก แต่นึกอีกที ที่ไอ้ทัต
ว่ามาคงไม่ผิดเท่าไร

...สามวันมาแล้วนับจากเหตุการณ์ ซิปกางเกงแตก ถูกเข้าใจผิดว่าเป็ น


โรคจิต โดนป้ ายข้อหาหัวขโมย ทำโทรศัพท์ราคาหลายหมื่นตกส้วม ปิ ด
ท้ายด้วยการเจอคนกวนประสาทอย่างคุณชาย หลังจากเขาเล่าวีรกรรมที่
ได้ประสบพบเจอมา ไอ้ทัตดันหัวเราะกร๊ากขำจนปวดท้อง แต่มันก็ยัง
อุตส่าห์หวังดีเอาใบโบว์ชัวร์ตารางทัวร์เก้าวัดมาให้ คงเห็นใจความซวย
ของเพื่อน แถมปี นี้ยังเป็ นปี ชงอีก หรือเขาควรตระเวนทำบุญสร้างสิริ
มงคลให้ตัวเองจริง ๆ

อนุรักษ์จึงยินยอมรับแผ่นกระดาษเก็บไว้เป็ นตัวเลือก ก่อนหยิบขวดชา


เขียวรสน้ำผึ้งผสมมะนาวมาแสกนคิดเงิน พลางถามถึงธุระที่ฝากเอาไว้

“แล้วตกลงซ่อมได้มั้ย”

“มึงพูดกับใคร นี่ ‘ไอ้ทัตมือเทพ’ นะเว้ย ไม่มีอะไรที่ซ่อมไม่ได้”

ไอ้ทัตคุยฟุ้งโชว์พาว แต่เขารู้ดีว่ามันโม้สมราคา ถ้าไม่มีฝี มือจริง คงไม่ได้


เป็ นเจ้าของร้านรับซ่อมโทรศัพท์มือถือที่งานล้นตั้งแต่อายุยี่สิบ เขาเคยไป
ช่วยเฝ้ าร้านรับออเดอร์ลูกค้าบ่อย ๆ ก่อนจะเห็นใบเปิ ดรับพนักงาน
แคชเชียร์ในซูเปอร์ของห้างที่ไอ้ทัตเปิ ดร้านอยู่ เลยลาออกจากลูกน้อง
เพื่อนมาสมัครงาน
แรก ๆ ไอ้ทัตบ่นโอดครวญอ้อนวอนขอให้เขากลับมาแถมเงินเดือนให้ก้อน
โต แต่เขาเชื่อในหลักการว่าอย่าทำธุรกิจกับเพื่อน เพราะไอ้ทัตมันเป็ น
เจ้าของร้านอินดี้ วันไหนนึกจะเปิ ดก็เปิ ด ไม่มีอารมณ์ก็ปิ ดหายเงียบเป็ น
อาทิตย์ ยังดีที่ลูกค้าไว้ใจในเนื้องาน เพราะต่อให้โทรศัพท์พังพินาศขนาด
ไหนมันก็ซ่อมได้ ยกเว้นเรื่องเดียวที่มือขั้นเทพต้องยอม

"ซ่อมได้ทุกอย่างจริงเร้ออ...แล้วตอนดึก ๆ ใครวะชอบโทรมาร้องห่ม
ร้องไห้กับกูว่าถูกน้องส้มโอทิ้งเป็ นอาทิตย์ ๆ"

น่าเสียดายที่คนซ่อมได้ทุกอย่าง ดันซ่อมหัวใจตัวเองไม่ได้ เขาเลยต้องตื่น


มารับสายคนเพ้อเป็ นประจำ แต่ตอนนี้เขาแลกโทรศัพท์กับคุณชาย เลย
สั่งคนอดหักว่าห้ามโทรหาเด็ดขาด ขืนมันไปดีดกีตาร์เล่นเพลงลืมไม่เป็ น
ตอนตีสองให้คุณชายฟั ง มีหวังมือถือแสนสำคัญของเขาแหลกเป็ นจุญแน่

หากแทนทีคำแหย่ของเขาจะทำให้เพื่อนสลด ตรงข้ามไอ้หนุ่มแว่นอินดี้
กลับยิ้มกริ่มพูดลอย ๆ
"เรื่องนั้นมึงไม่ต้องห่วง ตอนนี้กูมีคนช่วยซ่อมแล้ว"

...เฮ้ยยย ข่าวล่ามาแรง! แค่ไม่ได้รับสายสามวัน มันดันไปหาคนซ่อมใหม่


มาดามใจได้แล้ว

"ใครวะ? มึงไปเจอสาวที่ไหน? กูรู้จักเปล่า?"

อนุรักษ์ยิงคำถามใส่รัว ๆ แต่ไอ้ทัตปิ ดปากทำเป็ นเงียบอมพะนำ ซ้ำยัง


พยักเพยิดมาทางด้านหลังเขา พร้อมกับเสียงหนึ่งดังขัดจังหวะ

"อะแฮ่ม!"
เขาสะดุ้งหันหลังไปหาเจ้าของเสียงทันควัน ผู้จัดการหญิงวัยเกือบห้าสิบ
หน้าตามีเค้าความใจดีเหมือนคุณครูอนุบาล รวมทั้งวิธีพูดก็เช่นเดียวกับ
กำลังสอนเด็ก ๆ

"ไปซักเรื่องส่วนตัวของลูกค้าแบบนั้นได้ยังไงจ๊ะน้องรักษ์ เกิดลูกค้าคอมเพ
ลน ขึ้นมาคราวนี้โทษไม่ใช่แค่เปลี่ยนกะธรรมดานะคะลูก"

ผู้จัดการมาตา หรือที่ใคร ๆ ก็เรียกว่า 'พี่ตา' ผู้ดูแลพนักงานทุกคน


เหมือนลูก โดยเฉพาะอนุรักษ์นับเป็ นลูกรัก มักโดนพี่ตาชมว่าตั้งใจเรียน
รู้ ขยันเอาการเอางาน แต่อาศัยแค่ความใจดี พี่ตาคงไม่สามารถคุมลูกน้อง
เกือบแปดสิบคนที่ทำงานในซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ได้อยู่หมัด เมื่อทำดีก็จะ
ได้รับคำชม แต่เมื่อไรที่นักเรียนออกนอกรู้นอกทาง ครูไหวใจร้ายก็จะ
ปรากฏตัว

อนุรักษ์เพิ่งโดนฤทธิ์ไม้เรียวไปหมาด ๆ จากคราวที่เขาเข้างานสาย เพราะ


ถูกกักตัวไว้ที่บริษัทคุณชาย แต่โชคดีเขาหาข้ออ้างว่าเป้ ากางเกงขาด
พร้อมกลบความอายโชว์หลักฐานให้เห็นตะเข็บซิปที่ถูกแม็กเกือบยี่สิบตัว
เย็บเป็ นแนวประหนึ่งแฟชั่นใหม่
พี่ตาจึงเห็นใจให้อภัย สั่งเกณฑ์ให้เขาไปช่วยยกของจัดสต็อกดึกดื่น แล้ว
แลกเวรกะเช้าแทนพี่แคชเชียร์ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งขอลาไปเฝ้ าลูกที่ป่ วยเป็ น
ไข้เลือดออก สรุปวันนั้นเขาได้นอนแค่สามชั่วโมง ก่อนรีบแหกตาตื่นมาให้
ทันทำงาน นับเป็ นการลงโทษสถานเบาในฐานะลูกรักแล้ว ไม่งั้นเขาคงถูก
จัดไปคุมสต็อกลงสินค้าเป็ นพัน ๆ อยู่หลังร้านแน่ ๆ

ฉะนั้นพอโดนตำหนิ อนุรักษ์จึงรีบกลับมาทำตัวเป็ นนักเรียนที่ดี พูด


ขอโทษลูกค้า พลางเร่งคิดเงินอย่างไว ไอ้ทัตเองก็ได้ยินเกียรติศัพท์ของพี่
ตาเลยไม่กล้าหือ แต่ก็ยังแอบกระซิบบอกขณะเขายื่นเงินทอนไปให้

“เครื่องเสร็จแล้ว ไว้มาเอาที่ร้าน”

"อืม ...ขอบคุณที่ใช้บริการ โอกาสหน้าเชิญที่เจคิงส์ซูเปอร์ใหม่นะครับ"


พยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับพูดประโยคปิ ดท้ายตามหน้าที่ แล้วหันไปตั้งใจ
ทำงานต่อ

...ช่วงสาย ๆ วันธรรมดาลูกค้ามักไม่เยอะนัก ส่วนใหญ่มักเป็ นแม่บ้านมา


จับจ่ายซื้อของบ้างประปราย รายล่าสุดที่เข็นรถมายังเคาท์เตอร์เขา เป็ น
หญิงยังสาวหุ่นบอบบาง มองอายุแล้วน่าจะไม่เกินยี่สิบห้า แต่ใบหน้าอ่อน
ใส แต่งแต้มเครื่องสำอางโบกมาแน่นแบบจัดเต็ม เหมาะจะเดินบนแคท
วอล์กมากกว่ามาเดินช็อปปิ้งในซูเปอร์ กลบความเยาว์วัยเสียมิด

อนุรักษ์ยังนึกเสียดายอยากเห็นน้องนางหน้าใส ๆ เพราะตรงสเป็ คตัวเอง


อยู่ไม่น้อย แต่พนักงานแคชเชียร์อย่างเขาไม่มีสิทธิแถมขนมจีบลูกค้า เลย
ต้องยกมือไหว้ต้อนรับ

"เจคิงส์ซูเปอร์ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าลูกค้ามีบัตรสมาชิกมั้ยครับ"

"ไม่มี!"
เสียงแหลมเล็กกระแทกใส่ห้วน ๆ ไม่รู้ว่าใครเผลอไปเหยียบเท้าคุณเธอ
เอาตอนไหน แต่ผู้หญิงมักอารมณ์อาร์ตตัวแม่เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว
อนุรักษ์จึงรีบก้มหน้าก้มต่อหยิบของมาแสกนคิดเงิน

...น้ำมะเขือเทศกล่องใหญ่ 2 กล่อง, โยเกิร์ตไขมัน 0% 1 แพ็ค, เยลลี่


ผสมกลูต้าไธโอนพร้อมดื่ม 2 ขวด, ยาชงระบาย 1 ห่อ

...แค่มองสินค้าก็เดาได้ถึงพฤติกรรมคนซื้อ

เหตุผลที่อนุรักษ์ชอบยืนทำหน้าที่พนักงานแคชเชียร์ ก็เพราะเขาชอบเล่น
เกมส์แก้เซ็งสนุก ๆ นี้ ผู้คนส่วนมากมักไม่รู้ตัวหรอกว่า พวกเขาได้แสดง
ลักษณะนิสัย และการใช้ชีวิตประจำวันผ่านทางสินค้าที่ตัวเองจับจ่ายซื้อ
ของ
...อาศัยอยู่คนเดียว หรืออยู่กับครอบครัว

...รักความสะอาดมาก ๆ หรือเลี้ยงแมวไว้ด้วย

...ชอบทำขนม หรือชอบกินอาหารคลีน

...กลิ่นแชมพูสระผมกับกลิ่นสบู่ประจำตัวเป็ นแบบไหน

พวกเขาต่างบอกเล่าชีวิตที่แตกต่างกันไปผ่านทางสายพานเลื่อนบนเคาท์
เตอร์แคชเชียร์ และอนุรักษ์ก็ชอบเอามาคิดวิเคราะห์เล่น ๆ เป็ นประจำ

อย่างลูกค้าผู้หญิงคนนี้ไม่ต้องเสียเวลาเดานาน ก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังลดน้ำ
หนักคุมอาหารอย่างหนักหน่วง ทั้ง ๆ ที่หุ่นผอมบางจนแทบปลิวอยู่แล้ว
เขาไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงวัดความสวยกันที่ตรงไหน

แน่นอนความสงสัยพวกนี้ย่อมไม่มีวันหลุดปากถาม อนุรักษ์ยังคงทำหน้าที่
แคชเชียร์อย่างดี นำของลำเลียงใส่ถุง แจ้งยอดรวมสินค้า รับและทอน
เงินแบบไม่มีผิดพลาด เอ่ยขอบคุณ ก่อนเตรียมตัวต้อนรับลูกค้ารายใหม่
ที่มาต่อคิว
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ยกมือไหว้ เสียงแหลมเล็กก็ดังทะลวงขึ้นมาอีก
รอบ

"เอาของวางใส่รถเข็นให้ด้วยสิ!"

คนสั่งปรายตาเคลือบมาสคาร่ามองไปยังถุงซูเปอร์สามถุงซึ่งวางอยู่ตรงที่
วางของ ปกติลูกค้าจะยกใส่รถเข็นเอง ไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานแคชเชียร์
แต่เพื่อบริการทุกระดับประทับใจ อนุรักษ์จึงส่งยิ้มรับคำอย่างนอบน้อม

"ได้ครับ"

แล้วจัดการนำบรรดาของกินลดน้ำหนักลงรถเข็น ขณะที่เจ้าหล่อนยืด
กอดอกมองแบบไม่คิดจะแตะ เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยก็เดินเข็นรถเชิดหน้า
จากไปโดยไร้คำขอบคุณ ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดหวังจะได้ยินอยู่แล้ว
ความจริงผู้ชายอายุเท่าเขา เรี่ยวแรงดีมักถูกเกณฑ์ไปลงสต็อกสินค้า
มากกว่ามาทำหน้าที่แคชเชียร์ เพราะการทำงานตรงนี้ต้องเผชิญหน้ากับ
ลูกค้าโดยตรง และต้องรองรับอารมณ์ลูกค้าทุกสถานการณ์ หากคน
ใจร้อน ไม่รักงานบริการจริง ๆ คงไม่ชอบใจ

ที่สำคัญ ยังต้องมีความรับผิดชอบสูง มีความละเอียดรอบคอบ เมื่อหมด


กะถึงเวลาปิ ดเครื่องเช็ค ยอดเงินจะต้องตรงกับบิล ถ้าเงินขาดก็ต้องจ่าย
ส่วนต่างออกเอง ถ้าเงินเกินจะงุบงิบไปไม่ได้ แต่ที่เขาอดทนทำงาน
เพราะรู้ว่ามันเป็ นประประสบการณ์ที่สำคัญ ซึ่งไม่สามารถหาเรียนได้จาก
ที่ไหน ทั้ง ๆ ที่ว่ากันตามตรง เขาไม่จำเป็ นต้องลำบากหางานพาร์ทไทม์
ทำด้วยซ้ำ

แม้อนุรักษ์จะเสียพ่อและแม่ไปด้วยอุบัติเหตุตอนมัธยมต้น แต่ป้ าก็คอย


ดูแลอย่างดี รักเขาเหมือนลูกชายคนหนึ่ง และเขาเองก็เคารพนับถือป้ า
มากเช่นกัน หลังเกิดเรื่องเขาย้ายไปอยู่บ้านป้ าที่ต่างจังหวัด และป้ าส่ง
เสียให้เรียนจนจบมัธยมปลาย กระทั่งเขาตัดสินใจมาเรียนมหาวิทยาลัยใน
กรุงเทพ
ทีแรกว่าจะอาศัยอยู่บ้านเดิมของพ่อกับแม่ แต่เนื่องจากบ้านหลังเก่าอยู่
ไกลจากที่เรียนค่อนข้างมากเกือบสุดปริมณฑล เขาเลยมาเช่าหออยู่ ว่าง
ๆ ก็กลับไปดูแลบ้านตัวเอง และถือโอกาสหางานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำ ด้วย
ความที่เขาไม่อยากรบกวนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของป้ าเพิ่มอีก เพราะป้ าเองก็มี
ลูกชายลูกสาวที่กำลังเรียนอยู่ไม่ต่างจากเขาเช่นกัน

ฉะนั้น ถ้าเป็ นไปได้ เขาก็อยากทำงานหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อออกมาใช้


ชีวิตอยู่ที่บ้านของพ่อกับแม่ที่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำ แม้จะไม่มีใครอยู่
ที่นั้นแล้วก็ตาม...

"เป็ นอะไรรึหนู ทำไมทำหน้าเศร้าเชียว อย่าไปถือสาคำพูดของคนอื่นเลย


นะ "

ลูกค้าหญิงวัยกลางคนที่ต่อคิวคิดเงินเอ่ยให้กำลังใจ สงสัยคงเข้าใจผิดว่า
เขากำลังเหนื่อยใจกับลูกค้าสาวเจ้าอารมณ์เมื่อกี๊ แต่อนุรักษ์ไม่อยากแก้ไข
อธิบาย เลยรับคำง่าย ๆ
"ขอบคุณครับ"

แล้วหันไปหยิบของแสกนคิดเงินต่อ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นสินค้าบน
สายพานเลื่อน

...น้ำยาปรับผ้านุ่มมอร์นิ่ง

ใบหน้าเฉยชาของคนในชุดสูทเนี้ยบกริบลอยขึ้นมา คนในมาดคุณชายสม
ชื่อที่ตอนนี้กำลังเก็บของสำคัญของเขาไว้ แม้เขาจะอยากเห็นข้อความ
ของแม่อีกครั้ง แต่ป่ านนี้ไม่รู้คุณชายเอาโทรศัพท์เขาไปตกระกำลำบาก
ที่ไหน

ได้แต่หวังว่าคุณชายคงไม่ทำมือถือตกน้ำไปแล้วหรอกนะ เพราะรุ่นนี้ก็พัง
แล้วพังเลย ต่อให้เทพแบบไอ้ทัตก็คงซ่อมไม่ได้แน่นอน ซึ่งถ้าเป็ นแบบนั้น
จริง ๆ เขาก็คงต้องทำใจ
...ดวงคนมันถึงคราวซวย ต่อให้ทัวร์ทำบุญเก้าสิบเก้าวัดก็คงจะไม่พอ

---------------------------------------------------------------------------------------
----------------

งานกะเช้าของพนักงานแคชเชียร์เลิกในเวลาสี่โมงเย็น แต่กว่าเขาจะเช็ค
เงิน ปิ ดเครื่อง เคลียร์อะไรต่อมีอะไร ก็เลยห้าโมงมาเล็กน้อยถึงได้ฤกษ์
เดินไปหาร้านซ่อมโทรศัพท์ของเพื่อน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากซูเปอร์มากนัก

พอเห็นเขาไอ้ทัตก็ละมือเล่นเกมบนเครื่อง PS Vista แล้วส่งสมาร์ทโฟนสี


ดำทั้งเครื่องและเคสมาให้ พร้อมบรรยายสรรพคุณ
"ข้อมูลครบ เหมือนใหม่ ไฉไลกว่าเดิม ร้านทัตเทพรับประกันคุณภาพ"

อนุรักษ์รับสมาร์ทโฟนมาเช็คสภาพ ความที่คุณชายรักษาของอย่างดี จึง


ทำให้ตัวเครื่องดูเหมือนใหม่อยู่แล้ว หน้าจอไม่ได้ล็อกไว้ แอพพลิเคชั่น
หลายอย่างปรากฏขึ้นมาอย่างที่เคยเห็น กระนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าข้อมูลเดิม
ในนี้มีอะไรบ้าง คงต้องให้เจ้าของตัวจริงเป็ นคนตรวจอีกที

"เออ ฟั งจากที่มึงเล่า กูก็นึกว่าเจ้าของเครื่องเป็ นตาแก่จู้จี้ แต่ไม่คิดว่า


หน้ายังเด็กขนาดนั้น ดูอายุพอ ๆ กับพวกเราเลยว่ะ"

"มึงชมไปหน่อยมั้ง หน้าคุณชายเด็กกว่าอายุจริง แต่มองผ่าน ๆ ยังไงก็


เฉียดสามสิบแล้ว เดี๋ยว...แล้วมึงไปเห็นหน้าเขาได้ยังไง"
ท้ายประโยคถึงเพิ่งเอะใจว่าเพื่อนเขาไม่เคยเจอคุณชายมาก่อน ไอ้ทัตใช้
นิ้วกระดกแว่นทำสีหน้าเหนือ ประมาณ 'มึงคิดว่ากูเป็ นใคร' พลางพยักเพ
ยิดไปยังไดอารี่เก็บข้อมูลเคลื่อนที่

"ก็เจ้าของบ้าถ่ายเซลฟี่ สุด ๆ มีแต่รูปตัวเองเต็มเครื่อง"

ถึงการแอบเปิ ดดูข้อมูลส่วนตัวของคนอื่นจะไม่ดี แต่ไอ้ทัตทำหน้าที่ซ่อม


โทรศัพท์มีสิทธิตรวจเช็คความเสียหายทุกซอกทุกมุมของเครื่องอยู่แล้ว
และต่อให้มันยึดจรรยาบรรณไม่เอาความลับของลูกค้ามาแพร่พราย
อย่างไรก็มีข้อยกเว้นเป็ นกรณีพิเศษ

...และกรณีพิเศษที่ว่าก็คือ ความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัว หรือภาษาชาว


บ้านเรียกกันว่า ส.ใส่เกือก!
ตัวเขาในฐานะเพื่อนสนิทก็มีนิสัยนี้ไม่ต่างกัน โดนกระตุ้นต่อมเผือกขนาด
นั้น ก็ต้องขอแอบลองดูหน่อย ...ไม่อยากจะเชื่อว่า บุคลิกหน้าตายอย่าง
คุณชายเนี่ยนะจะบ้าถ่ายเซลฟี่ ?

นิ้วกดสไลด์ตรงอัลบั้มรูปภาพโดยพลัน แล้วใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งก็อัด
แน่นอยู่เต็มเกือบสามร้อยภาพ ...มองคร่าว ๆ อายุของคนในรูปน่าจะพอ
ๆ กับเขาไม่เกินยี่สิบเอ็ดยี่สิบสอง รูปร่างหน้าตาปกติธรรมดาทั่วไป ชนิด
ว่าเดินสวนกันผ่าน ๆ อาจมีลืม หากสิ่งที่ทำให้ติดใจ คือรอยยิ้มกว้างที่
ปรากฏเกือบทุกรูป เป็ นรอยยิ้มสดใสที่ชวนให้คนมองยิ้มตาม

...กระนั้นคนคนนี้ก็ไม่ใช่คุณชาย

"เปล่า ไม่ใช่เจ้าของเครื่อง"

อนุรักษ์แก้ไขความเข้าใจผิด ไอ้ทัตตั้งสมมติฐานขึ้นมาทันควัน
"กิ๊กเหรอ"

"เฮ้ย! เขามีแฟนเป็ นผู้หญิง เออ...ถึงจะเลิกไปแล้วก็เถอะ"

นึกถึงคุณน้ำตาลที่เขาดันไปเป็ นพยานการถูกสลัดรักของคุณชายโดย
บังเอิญ ป่ านนี้คุณชายจะหาทางไปง้อคืนดีรึยัง หรือกำลังช้ำใจอยู่ หรือ
จะยังเฉย ๆ ทำตัวบ้างานต่อไป

"ถ้าไม่ใช่เกย์ แล้วจะเก็บรูปผู้ชายไว้เต็มเครื่องทำไมวะ"

ไอ้ทัตยังคงสงสัยไม่เลิก แต่ในเมื่อเขาไม่ใช่เทวดาจะไปประจักษ์แจ้งเห็น
จริงได้ยังไง ถามไปก็คล้ายคำถามโลกแตก ไม่มีใครตอบได้นอกจากเจ้าตัว
"กูก็ไม่รู้เหมือนกัน" ส่ายหน้าจนปั ญญา แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ ไอ้ทัตกลับรู้ลึก
ไปไกลกว่า

"เออเกือบลืมอีกเรื่อง วันนี้วันเกิดเจ้าของเครื่องนะ"

...นี่สกิลความเผือกมันพัฒนาขนาดล้วงข้อมูลไปยันวันเกิดเจ้าของเครื่อง
เลยเหรอ!

"อะไร มองเหมือนกูผิด ถึงอยากรู้กูก็ยั้ง ๆ ไว้บ้างโว้ย แต่ไอ้นี่มันเข้ามา


พอดีตอนกำลังเช็คเครื่องต่างหาก"

คนร้อนตัวรีบหยิบสมาร์ทโฟนจากมือเขาไปพิสูจน์หลักฐาน ด้วยการเปิ ด
ข้อความเข้าแล้วโชว์หน้าจอให้เห็น SMS สุขสันต์วันเกิดจากค่ายโทรศัพท์
พร้อมโปรโมชั่นใช้บริการค่าโทรฟรีหนึ่งวัน ก่อนส่งเครื่องกลับมา พลาง
แนะนำตามประสาช่างซ่อมมีจรรยาบรรณ (อันน้อยนิด)
"คราวหลังก็บอกให้เจ้าของสมัครแอพพวก Find My Phone ด้วยดิ เวลา
หายจะได้หาพิกัดเจอ"

"ขอบใจว่ะ"

"ค่าซ่อมขอแจ็กแดเนี่ยลสักขวดก็พอ"

อนุรักษ์เพิ่งตระหนักว่าเพื่อนกินมีจริงก็วันนี้ แค่ให้ซ่อมโทรศัพท์ตกน้ำมัน
ขูดรีดแพงกว่าซื้อเครื่องใหม่อีก แต่ไอ้ทัตรีบดักคอด้วยปรัชญาเดียวกับที่
เขายึดถือ

"ธุรกิจไม่มีคำว่าเพื่อน"
คนฟั งกำลังจะตอกกลับช่างซ่อมหน้าเลือด พอดีกับลูกค้าใหม่ เป็ นน้องผู้
หญิงในชุดนักเรียนมัธยมต้นเข้าร้านให้ติดฟิ ล์มกันรอย เขาจึงแกล้งคืน
ด้วยการสะกิดบอก

"น้อง ๆ ร้านนี้แพงนะ" แล้วเผ่นหนี ปล่อยให้ไอ้ทัตรีบแก้ตัวกับลูกค้า


พัลวัน

...หลังจากหย่อนระเบิดแล้ว อนุรักษ์จึงเดินออกมาหาที่เงียบ ๆ กดเบอร์


โทรศัพท์ของตัวเอง ภาวนาว่าคงจะไม่ได้ยินเสียงบริการฝากหมายเลขโทร
กลับ

เขาเพิ่งนึกขึ้นได้หลังจากแลกมือถือว่าลืมแถมสายชาร์ตแบตไปให้คุณชาย
ไปด้วย ถึงแม้โทรศัพท์ของเขาจะเป็ นรุ่นทนทาน ชาร์ตไฟหนึ่งครั้งใช้ได้
นานสามวัน และเขาก็เพิ่งจะให้ไอ้ทัตเปลี่ยนแบตใหม่ไปหมาด ๆ เมื่อต้นปี
แต่ใครจะรู้คุณชายอาจจะนึกรำคาญเลยทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แม้ค่อนข้างมั่นใจ
ว่า คงไม่มีใครโทรเข้ามากวนคุณชายให้วุ่นวาย อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มี
อาชีพเป็ นครีเอทีฟเอเจนซี่โฆษณา รายนั้นสมาร์ทโฟนพังไปคงทำงาน
ติดต่อธุระกันลำบาก
หากความกังวลใจหมดไป เมื่อสัญญาณโทรติดอย่างง่ายดาย เขารอให้อีก
ฝ่ ายรับ แต่ปลายสายกลับว่างเปล่ากระทั่งตัดไป พอลองอีกครั้ง ผลก็ยัง
เป็ นเช่นเดิม จวบจนรอบที่ห้า

...แม่งว่าแล้วไอ้คุณชายมันเอาโทรศัพท์เขาไปเป็ นลูกเมียน้อยไม่คิดจะดูดำ
ดูดีจริง ๆ ด้วย!

อนุรักษ์กระหน่ำโทรซ้ำอย่างหงุดหงิด เริ่มเข้าใจความรู้สึกที่ผู้หญิงโทรจิก
แฟนย้ำ ๆ เป็ นร้อยสาย แต่เขาตั้งใจว่าคราวนี้ถ้าไม่รับ จะไปหาคุณชายถึง
บริษัท ทว่าก่อนเสี้ยวสัญญาณสุดท้ายจะตัดไป ถ้อยคำที่รอคอยก็ดังขึ้นมา

"สวัสดีครับ"
เป็ นเสียงราบเรียบฟั งคุ้นหูเหมือนเช่นเคย เขารีบบอกธุระของตนเอง
รวดเร็ว

"โทรศัพท์คุณซ่อมเสร็จแล้วครับ ผมจะเอาไปให้คืนให้ คุณยังอยู่บริษัทใช่


มั้ย ถ้าผมถึงแล้วจะโทรไป คุณลงมารอที่ชั้นหนึ่งเลยนะครับ"

ที่ต้องนัดแนะกับคุณชายก่อน เพราะเขากลัวจะเผชิญหน้ากับพวกพี่
รปภ.ที่มีคดีเก่าติค้างกันอยู่ แม้จะเคลียร์เรื่องเข้าใจผิดกับคุณชายไปแล้วก็
จริง แต่เขาคงถูกขึ้นบัญชีดำแบล็กลิสต์บุคคลอันตรายเรียบร้อย ดังนั้นจึง
ต้องพยายามหาทางป้ องกันตัวเอาไว้ โดยใช้ตำแหน่งคุณชายเป็ นโล่

แต่คุณชายกลับหาทางออกให้เขาง่ายกว่านั้น...

"ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิ ต คุณอยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมไปหา"


แบบนี้ก็เข้าทาง เขาบอกชื่อเจคิงส์ซูเปอร์มาร์เก็ต คู่สนทนารับคำก่อนตัด
สัญญาณ

อนุรักษ์ถอนหายใจ มองสมาร์ทโฟนสีดำตัวปั ญหา พอคิดว่าใกล้จะจบ


เรื่องแล้วก็แอบโล่งใจ แต่เขาคงลืมไป...

...สิ่งของประจำตัวของใครก็มักจะบ่งบอกลักษณะนิสัยของคนนั้น

..

..

รอไม่เกินครึ่งชั่วโมง หมายเลขคุ้นตาก็โชว์ขึ้นมาบนหน้าจอ อนุรักษ์กดรับ


ไม่จำเป็ นต้องพูดฮัลโหล อีกฝ่ ายก็สวนทันควัน

"ผมถึงซูเปอร์แล้ว ไปรอที่หน้าประตู"
ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าคุณชายเป็ นนักโฆษณา เขาคงคิดว่าเจ้าตัวเป็ นทหาร
สังกัดกองพลไหนสักแห่ง ถึงติดนิสัยสั่งได้สั่งจริง ส่วนลูกกระจ๊อกอย่างไอ้
รักษ์น่ะเหรอ เทียบรัศมีคงเป็ นได้แค่ทหารเกณฑ์ ท่านนายพลสั่งอย่างไรก็
ต้องตะเบ๊ะ...รับทราบครับผม!

อนุรักษ์จึงเดินออกไปด้านหน้าประตูกระจกอัตโนมัติ ซึ่งเป็ นทางเข้าออก


ของซูเปอร์ มีรถญี่ปุ่นสีดำคันหนึ่งกำลังหยุดให้คนเข็นรถเข็นบรรจุข้าว
ของที่เพิ่งช็อปปิ้งเสร็จได้เดินผ่าน ก่อนรถคันนั้นจะเคลื่อนตัวมาชะลอตรง
หน้า พร้อมกระจกที่ลดระดับลงให้เห็นหน้าคนขับ

“ขึ้นมา”

นึกแปลกใจว่า บุคลิกอย่างคุณชายน่าจะขับเบนซ์ หรือไม่ก็บีเอ็มดับบลิว


เปิ ดประทุน แต่นี่ดันเป็ นรถคันเล็กราคาไม่ถึงล้านที่เห็นได้ตามท้องถนน
ทั่วไป หากพอเปิ ดประตูเข้าไปนั่ง ถึงได้รู้ว่า ...คุณชายก็ยังคงเป็ นคุณชาย
วันยังค่ำ... เปล่งออร่าหล่อเนี้ยบในชุดสูทสีดำโก้หรูแบบไม่เกรงใจแดดใน
ประเทศไทย เล่นเอายูนิฟอร์มพนักงานแคชเชียร์ฟ้ าสดใสของเขาถึงกับ
หมอง

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเปรียบเทียบการแต่งกายระหว่างฐานะ
แต่มาเพื่อเจรจาธุรกิจ

"นี่ครับโทรศัพท์คุณซ่อมเสร็จเรียบร้อย ข้อมูลยังอยู่ครบ แต่เผื่อตกหล่น


จะลองเช็คดูก่อนก็ได้ครับ"

เขายื่นสมาร์ทโฟนสีดำให้ แต่คนรับไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ตั้งสมาธิอยู่


กับการหมุนพวงมาลัยรถ พลางพึมพำส่ง ๆ

"อืม เอาวางไว้ตรงคอนโซลนั่นแหละ"
...อะไรวะ ขมวดคิ้วกับคำพูดขอไปที ไหนบอกว่ามีข้อมูลสำคัญมาก
นักหนา ไอ้เขารึสู้อุตส่าห์ทะนุถนอมอย่างดี กลัวจะทำข้อมูลหายไปสัก
ไฟล์แล้วอาจจะโดนคุณชายสั่งฆ่าหมกป่ า แต่พอได้คืน นอกจากคุณชาย
จะไม่สนใจเช็ค ยังทำเหมือนเป็ นของไม่มีค่า ดูแล้วไม่คุ้มกับการเอามือถือ
ของเขาไปเป็ นตัวประกันแลกเลย

อนุรักษ์จำใจวางสมาร์ทโฟนตรงคอนโซลหน้ารถ เตรียมทวงโทรศัพท์ของ
ตัวเองบ้าง ตอนนี้เองที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นทางรอบ ๆ ...ทีแรกคิดว่าที่
คุณชายสั่งให้ขึ้นรถเพราะตั้งใจจะวนหาที่จอด แล้วค่อยมาเจรจาแลก
โทรศัพท์กัน แต่คนขับกลับหมุนพวงมาลัยขับออกไปนอกซูเปอร์มุ่งสู่ถนน
ใหญ่ จนผู้โดยสารต้องร้องถามตกใจ

“เดี๋ยวคุณจะพาผมไปไหน”

“ไปกินข้าว”
คำตอบที่ได้ยิน ทำเอาชะงัก ...เออเว้ย...วันนี้มาแปลก นึกยังไงถึงใจดีขึ้น
มา สงสัยคุณชายคงติดนิสัยตามประสานักธุรกิจ เวลาทำงานต้องมีสิน
น้ำใจตอบแทน แต่เขาแค่ต้องการแสดงความรับผิดชอบ ไม่ได้เรียกร้องผล
ประโยชน์สานต่อใด ๆ

“ซ่อมมือถือให้แค่นี้ ไม่ต้องถึงขนาดเลี้ยงข้าวหรอกครับ”

เขารีบบอกปฏิเสธตามประสาพลเมืองดีมีน้ำใจ คุณชายละสายตาจาก
ถนนเป็ นครั้งแรก มองคนนั่งข้าง ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบประจำตัว

“ใครจะเลี้ยง ผมแค่หิวเฉย ๆ”

เพล้ง!
...รู้สึกหน้าตัวเองร้าวเป็ นเสี่ยง ว่าแล้วปี ศาจนิสัยเสียอย่างคุณชาย อยู่ ๆ
จะเปลี่ยนไปมีวงแหวนเทวดาขึ้นบนหัวทันทีคงเป็ นไม่ได้

"งั้นคุณเอามือถือผมคืนมาก่อน แล้วจะอยากไปกินข้าวที่ไหนก็ไป"

อนุรักษ์วนกลับมาที่ธุระสำคัญ อยากรีบทำเรื่องให้จบ ๆ จะได้ไม่ต้องอยู่


นานให้โดนกวนประสาทอีก แต่การตัดสินใจของเขาคงช้าไป ...นับตั้งแต่
เปิ ดประตูขึ้นมานั่งบนรถคันนี้ เขาก็ตกเป็ นเบี้ยตัวน้อยในอาณาเขตของ
คุณชายผู้คุมกฏ ซึ่งแจงเหตุผลสั้น ๆ

"ผมขับรถอยู่ ถึงร้านแล้วจะคืนให้"

อ้อ...ได้ครับ เอาเลยครับคุณชาย ตามแต่ที่คุณชายสะดวกเลยครับ


คร้านจะออกปากเถียงคนบ้าอำนาจ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เต็มใจมา แต่จะให้เขา
กระโดดลงจากรถซึ่งกำลังเคลื่อนตัวแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วก็ใช่ที่ ในเมื่อ
หนีไปไหนไม่รอดแล้ว ก็ทำตัวเป็ นตุ๊กตาหน้ารถที่ดี ดึงเข็มขัดมาคาด นั่ง
นิ่งเรียบร้อย ตามองวิวข้างทางไปเรื่อย ขณะหูฟั งเสียงเปี ยโนเพราะ ๆ
คลาสสิคตามรสนิยมคุณชาย หากพอเพลงเล่นจบลง เขาถึงได้ยินเสียงดีเจ
พูด ทำให้เพิ่งรู้ว่าเมื่อครู่คุณชายไม่ได้เปิ ดแผ่นซีดี แต่เปิ ดคลื่นวิทยุฟั ง

...จะว่าไป เขาเองก็ชอบฟั งวิทยุเหมือนกัน มันสนุกตรงที่ไม่รู้ว่าเพลงไหน


จะถูกหยิบขึ้นมาเปิ ด ถ้าเป็ นเพลงโปรดก็จะแอบดีใจคล้ายตัวเองถูกหวย
แต่ถ้าไม่ใช่ก็ยังมีโอกาสได้ฟั งเพลงใหม่ ๆ เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ทำนองของ
เพลงเริ่มต้นเล่น

“จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็ นไทย มิเป็ นทาสใคร แหละมีน้ำใจล้นปริ่ม ทั่วโลก


กล่าวขานขนานนาม ให้ว่าสยามเมืองยิ้ม... "
เสียงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ทำเอาอนุรักษ์เกือบหน้าทิ่ม ไม่คิดว่าต่อจาก
เพลงเปี ยโนคลาสสิค ดีเจจะกล้าเปิ ดเพลงลูกทุ่ง ช่องวิทยุคลื่นไหนจับกลุ่ม
ผู้ฟั งได้หลากหลายขนาดนี้ แต่หลังจากเพลงจบท่อน เขาก็ได้รู้ว่าตัวเอง
เข้าใจผิด

"ยาสีฟั นสปาร์กไวท์ สนับสนุนให้คนไทยกล้าที่จะยิ้มอย่างมั่นใจ”

ชื่อผลิตภัณฑ์ถูกแทรกขึ้นมาตอนท้าย สรุปแล้วนี่คือโฆษณายาสีฟั นที่นำ


'เพลงสยามเมืองยิ้ม' มาเล่นกับการใช้ยาสีฟั นอวดรอยยิ้มของไทยให้ตรง
ตามชื่อฉายาประเทศที่ทั่วโลกรู้จัก นับเป็ นไอเดียน่าสนใจ แต่ไอ้คอนเซ
ปต์ 'ให้คนไทยกล้าที่จะยิ้มอย่างมั่นใจ' เขาคุ้น ๆ ว่าเหมือนเคยได้ยิน
ผลิตภัณฑ์ไหนสักชิ้นใช้มาก่อน

ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้เปลืองสมอง คำเฉลยก็ตามมาด้วยการเอื้อมมือดับ
วิทยุของคนขับรถ แม้หน้าตาจะยังนิ่งเฉย ทว่ารังสีมาคุกลับแผ่กระจาย
ออกมาเป็ นหย่อม ๆ คลุ้งไปทั่วรถจนอนุรักษ์ชักเริ่มทำตัวไม่ถูก ปกติถ้า
คุณชายเงียบธรรมดาไม่พ่นอะไรกวนประสาทออกมา เขาพอก็รับมือได้อยู่
แต่จู่ ๆ ตอนนี้ดันองค์ลง เป็ นใครจะไม่รู้สึกอึดอัดบ้าง แถมมองออกไป
นอกหน้าตาสภาพการจราจรด้านนอกก็อึดอัดไม่ต่างจากบรรยากาศด้าน
ใน

...หกโมงเย็น ได้เวลาเลิกงาน รถจากทั่วทุกสารทิศพร้อมใจมาประชุมกัน


บนถนนโดยมิได้นัดหมาย ทำให้การจราจรเคลื่อนตัวได้ทีละนิด เขาไม่รู้
ว่าคุณชายจะไปกินข้าวที่ไหน อยากจะชี้ว่ากินร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางตรงนี้
ก็ได้ แก้หิวเหมือน ๆ กัน แต่คนขับก็ยังมุ่งมั่นฝ่ าดงรถติดต่อไปโดยไม่
สนใจ ขืนเป็ นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มีหวังคงอึดอัดหายใจไม่ออกตาย หรือ
เขาควรเป็ นฝ่ ายทำลายความเงียบ พูดอะไรออกไปสักคำดีมั้ย

“เออ...วันนี้ผมเห็นมีคนซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มของมอร์นิ่งด้วยนะ”

เลือกชมไว้ก่อน เผื่อคุณชายใจอ่อน คราวที่แล้วจำได้ว่าพอเข้าหลุดปากว่า


ชอบโฆษณาที่คุณชายเป็ นคนทำปุ๊บ อีกฝ่ ายก็ยอมเชื่อใจว่าเขาไม่ใช่หัว
โขมยทันที แต่คราวนี้แผนกลับไม่ได้ผล เพราะนอกจากคุณชายจะไม่
ปริปาก ซ้ำยังส่งสายตาย้อนถามด้วยอารมณ์
'แล้วยังไง'

...ถึงจะมีลูกค้าซื้อมอร์นิ่ง คุณชายก็เป็ นคนทำโฆษณาไม่ใช่เจ้าของ คงไม่


ดีใจอยู่แล้ว อีกอย่างมันคงเป็ นแผลในใจด้วยที่ดันไปแพ้โฆษณาจากเอเจน
ซี่คู่แข่ง สรุปไอ้ที่เกริ่นไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิด เขาจึงรีบ
เปลี่ยนไปเลือกหัวข้อสนทนาใหม่

"แล้วคุณทำโฆษณาให้กับสินค้าตัวไหนอีกเหรอครับ”

ประเด็นนี้เขานึกสงสัยมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่อะไร เผื่อเคยดูมาก่อนจะได้หา


เรื่อยคุยง่าย ๆ และมันก็เป็ นความชอบส่วนตัวของเขาที่สนใจอยู่ก่อน

...บางคนอาจชอบดูละคร ชอบดูข่าว แต่นายอนุรักษ์ ...ชอบที่จะเลือกดู


โฆษณา
ชั่วเวลาแค่สามสิบวินาที ซึ่งต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์และต้องจบลงเดี๋ยวนั้น
เรื่องราวจึงถูกถ่ายทอดไม่ต่างอะไรจากหนังสั้น บ้างสร้างเนื้อหาให้ดราม่า
บ้างอาศัยเพลงให้คุ้นหู บ้างใช้มุกตลกให้คนหัวเราะได้ ขึ้นอยู่กับฝี มือนัก
ครีเอทีฟที่ต้องงัดเอากลยุทธ์เทคนิคต่าง ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจจาก
สายตาของผู้ชมจากสินค้าหลายร้อยหลายพันแบรนด์

...โฆษณามอร์นิ่งของคุณชายคือหนึ่งในเรื่องที่เกี่ยวสายตาเขา เขาเลย
อยากรู้ว่าคุณชายจะทำโฆษณาตัวอื่นได้ดึงดูดความสนใจอีกมั้ย

แต่คำตอบของคุณชายกลับปิ ดประตูตาย

“...ก็มีหลายอย่าง”
เคยได้ยินคำพูดที่ว่า 'นิสัยดาราที่แสดงออกเบื้องหน้ากับนิสัยเบื้องหลัง
ต่างกัน'

ตอนนี้นายอนุรักษ์เข้าใจแจ่มแจ้ง ถึงจะประทับใจฝี มือ แต่เจอท่าทางกวน


ประสาทแบบนี้เข้าไป ความประทับใจก็หดหาย ทุกทีเห็นคุณชายซักเขา
แต่พอถูกเขาซักบ้างดันประหยัดคำประหนึ่งกลัวดอกพิกุลจะร่วง หรือ
คุณชายจะเป็ นประเภทพวกชอบตั้งคำถาม ไม่ชอบตอบ ในเมื่อเจ้าตัวไม่
พูด เขาก็ขี้เกียจต่อกร อยากเงียบนักก็ตามใจ

คนนึกระอาหันหน้าหนีมองวิวข้างทางแทน หากอยู่ ๆ คนเงียบกลับเป็ น


ฝ่ ายพึมพำ

“รถ”

อนุรักษ์หันกลับมามองถนน นึกว่าจะมีอุบัติเหตุรถชนหรืออะไร แต่การ


จราจรรอบตัวก็ยังเคลื่อนตัวไปได้ปกติ เลยทำให้เขาคิดได้ถึงความ
หมายความ หรือคุณชายจะตอบคำถามที่ค้างไว้
“โฆษณารถแบรนด์อะไรครับ”

“คันนี้”

รถสัญชาติญี่ปุ่นคันเล็กที่กำลังนั่งอยู่เป็ นรุ่นที่ออกมาน่าจะเกือบสองปี แล้ว


ทำให้เขาจำโฆษณาไม่ได้ แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปดูของเก่าเผื่ออาจมี
คนลงไว้ในยูทูป ...คุณชายทำโฆษณาทั้งรถ น้ำยาปรับผ้านุ่ม แล้วล่าสุดยัง
มีลิปสติกอีก นับว่ารับงานหลากหลายเหมือนกัน ไม่เพียงแค่นั้นร่างสูงยัง
ขยายความเพิ่ม

“งานโฆษณาทีวีผมไม่ค่อยได้ทำ ส่วนใหญ่จะเป็ นปรินท์แอด”

“ปรินท์แอด?"
“พวกโฆษณาลงในนิตยสาร หนังสือพิมพ์”

อ้อ..เขาพยักหน้าเข้าใจ เกือบลืมไปว่าโฆษณาไม่ได้มีแค่ในโทรทัศน์ มีทั้ง


พิมพ์ในกระดาษ แขวนไว้บนป้ าย ออนไลน์ในอินเตอร์เน็ต ที่ไหนมีมีสื่อ ที่
นั้นย่อมมีโฆษณาแฝงติดตามตัวเราไปได้ตลอดทุกเมื่อ

“แล้วโฆษณาลิปสติกเป็ นแบบไหนเหรอครับ"

“สปอดวิทยุ”

อนุรักษ์นึกเสียดายความจริงเขาอยากเห็นมันเป็ นโฆษณาทีวีมากกว่า แต่ก็


อยากรู้ว่าคนอย่างคุณชายจะทำโฆษณาเครื่องสำอางผู้หญิงยังไง
“ไปถึงไหนแล้วครับ”

หลุดปากถามออกไปถึงรู้สึกตัวว่าชักละลาบละล้วง คุณชายคงไม่มีทางยก
เรื่องงานมาคุยกับคนนอก แต่ผิดคาด เมื่อคุณชายตอบกลับสั้น ๆ ขณะ
เปิ ดไฟเลี้ยว

“เพิ่งโดนขโมยไป”

อนุรักษ์นิ่งอึ้ง ชักจับเค้าลางถึงบางสิ่งได้ ...เหตุผลที่คุณชายปิ ดวิทยุหลัง


ได้ยินโฆษณายาสีฟั นสยามเมืองยิ้ม และแผ่รังสีมาคุออกมา หรือจะเป็ น
เพราะมีคนจากเอเจนซี่โฆษณา ATM คู่แข่งจ้องขโมยไอเดียเหมือนที่
คุณชายนึกระแวงแล้วกล่าวหาเขา
แต่โฆษณาผลิตภัณฑ์คนละอย่างจะกล้าลอกงานกันได้ด้วยเหรอ ทำเป็ น
เด็กประถมลอกการบ้านส่งครูไปได้ ที่สำคัญคอนเซปต์ 'กล้ายิ้มอย่าง
มั่นใจ' เขาว่ามันก็เหมาะกับยาสีฟั นมากกว่าลิปสติกจริง ๆ

ปริศนาเริ่มพันกันอีรุงตุงนัง แต่พนักงานแคชเชียร์ยังไม่ทันได้สวมบทนัก
สืบเชอร์ล็อกโฮมไขคดี รถญี่ปุ่นก็จอดตรงหน้าร้านอาหารในซอยเล็ก ๆ
อนุรักษ์ขมวดคิ้วเลี้ยวมองรอบด้านขณะที่คนขับดับเครื่อง

...เมื่อกี๊มัวแต่คุย เลยไม่ทันได้สังเกต คุณชายเอาเขามาปล่อยไว้ตรงนี้ แล้ว


เขาจะกลับยังไงวะ อย่างน้อยน่าจะมีน้ำใจส่งหน้าป้ ายป้ ายรถเมล์ก่อน
หรือเขาต้องนั่งแท็กซี่กลับ ยิ่งใกล้สิ้นเดือน เงินยังไม่ออก แล้วต้องมาเสีย
ให้เรื่องไม่เป็ นเรื่องอีก

แต่หลวมตัวมาถึงนี้ขั้นนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้ เขาถอนหายใจหน่าย ก่อน


ทวงถาม "แล้วมือถือผม..."
"ไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวผมเลี้ยง เป็ นค่าซ่อมโทรศัพท์" คุณชายเอ่ยขัด แล้ว
เปิ ดประตูรถออกไป ทิ้งให้คนฟั งกระพริบตาปริบ

อ้าว...สรุปที่เขาเข้าใจผิดตอนแรกเป็ นจริงเหรอ หรือคุณชายเห็นเขานึกไป


อย่างนั้น เลยเห็นใจพาเลี้ยงข้าว แต่ไม่ว่าจะเป็ นแบบไหน ตราบใดที่มือ
ถือยังไม่ได้คืน เขาจึงต้องเดินตามเข้าไป

ร้านอาหารเล็กแต่จัดแต่งค่อนข้างเรียบหรู เหมาะกับลูกค้าใส่ชุดสูทแบบ
คุณชาย ส่วนพนักงานแคชเชียร์อย่างเขาเหมือนคนรับใช้ตามถือของ
...ผู้ชายสองคนต่างสไตล์ มากินข้าวด้วยกันคงเป็ นภาพที่แปลกตา หาก
พนักงานต้อนรับไม่ได้มีสีหน้าสงสัย ยังคงยิ้มแย้มต้อนรับพาเขาสองคนไป
นั่งที่โต๊ะ พร้อมยื่นเมนูให้

รายการอาหารส่วนใหญ่ล้วนเป็ นเมนูตะวันตก ทั้งฟรัวการ์ สเต็กเซอร์ลอย


เป็ ดอบซอสส้ม ถึงอนุรักษ์จะมีคุณชายเป็ นสปอนเซอร์ แต่เขาไม่คิดจะ
อยากให้อีกฝ่ ายเลี้ยงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนเช็คบิลตั้งใจจะขอแชร์ด้วยซ้ำ
เขาจึงไล่สายตาดูเมนูที่คนกระเป๋ าตังค์ฟี บตอนสิ้นเดือนพอจ่ายไหว
“รับอะไรดีครับ”

“เอาสปาเกตตี้คาโบนาราครับ”

เลือกเมนูง่าย ๆ ที่ถือซะว่านาน ๆ กินที เพราะปกติเขาถูกปากกับของแซ่


บ ๆ ถึงเครื่องถึงรสมากกว่า พวกชีสนมเนยเนื้อสันแพง ๆ คงเหมาะกับบุ
คลิกไฮโซแบบคุณชาย แต่ผิดคาด เมื่อคนร่วมโต๊ะกลับสั่งตาม

“เพิ่มเป็ นสองที่ แล้วขอ BIN 389 ด้วยครับ” แต่คุณชายก็ยังเป็ นคุณชาย


รักษามาดด้วยการสั่งไวน์ บริกรพยักหน้าเอ่ยทวน

"รับไวน์ทั้งสองท่านนะครับ"
"ผมขอน้ำเปล่าดีกว่าครับ"

อนุรักษ์ปฏิเสธ อันที่จริงก็เคยลองดื่มไวน์อยู่ครั้งสองครั้ง แต่รู้สึกขืนคอ


แปลก ๆ สไตล์เขาถนัดกับเหล้าเบียร์มากกว่า

TRRRRRR!!

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดัง คุณชายล้วงสมาร์ทโฟนหยิบรับ ...ไม่ใช่เครื่องที่


เขาเพิ่งคืน เพราะมันยังนอนอยู่ที่คอนโซลหน้ารถอยู่เลย มิน่าคุณชายถึง
ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะมีสมาร์ทโฟนอีกเครื่อง แถมใหม่กว่าที่เขา
เอาไปซ่อมอีก คนรวยก็แบบนี้ อะไรพังก็หาสำรองง่าย ๆ ได้ทันที
“ครับ...ผมทราบแล้วครับ ...ไม่มีปั ญหาครับ ...ผมจะรีบจัดการให้เร็ว
ที่สุด”

บทสนทนานั้นคล้ายพูดกับเจ้านายหรือคนมีอำนาจมากกว่า แต่คุณชายยัง
คงรักษาน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีความอ้อนน้อมเหมือนเดิม

อนุรักษ์ไม่อยากเสียมารยาท เลยลุกออกมามาเข้าห้องน้ำ ระหว่างทาง


โซนเคาท์เตอร์ด้านใน เขาถึงเพิ่งสังเกตว่าร้านนี้มีตู้โชว์เค้ก และขนมหวาน
หน้าตาน่าทานวางอยู่รายชิ้น เห็นแล้วทำให้เขาฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นมา
ได้...

ครั้นกลับมาที่โต๊ะ คุยชายก็คุยโทรศัพท์จบแล้ว โดยมีบริกรกำลังรินไวน์


ด้วยท่าทางเชี่ยวชาญ แต่คุณชายทำเหมือนมันเป็ นเหล้าช็อต กระดกแก้ว
รวดเดียวหมด ถึงเขาไม่ถนัดดื่มไวน์ แต่รู้ว่าวิธีดื่มจริง ๆ ต้องค่อย ๆ
ละเลียดลิ้มรสชาติ การดื่มแบบคุณชายจึงมีเหตุผลเดียวคือ...ตั้งใจจะเมา
"อย่าดื่มเยอะ เดี๋ยวคุณต้องขับรถกลับ" มือที่ถือแก้วไวน์ชะงัก หลังได้ยิน
น้ำเสียงซีเรียสจากปากอนุรักษ์

...พ่อแม่เขาซึ่งเสียด้วยอุบัติเหตุคนเมาแล้วขับ ตอนดื่มน่ะสนุก แต่พอเมา


แล้วไม่รู้หรอกว่าผลของมันอาจไปกระทบใครอีกหลายคนมากขนาดไหน

โชคดีที่คำเตือนของเขาไปกระตุ้นต่อมศีลธรรมของคุณชายได้บ้าง ร่างสูง
จึงผ่อนการดื่มให้น้อยลง พอดีกับสปาเกตตี้มาเสิร์ฟ เขาสองคนก้มหน้า
ทานสปาเก็ตตี้เงียบ ๆ ไร้บทสนทนาใด ๆ เหมือนพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์สัก
อย่าง ...สปาเกตตี้คาโบนาราอร่อย ไม่เลี่ยนครีมมากอย่างที่คิด แต่เจอ
บรรยากาศแบบนี้อาหารรสเลิศแค่ไหนก็ดูชืดไปถนัด

บริกรเก็บจานออกไปหลังทานเสร็จ ก่อนเสริ์ฟของหวาน

“ดับเบิ้ลช็อกโกแล็ตเค้กครับ”
ขนมเค้กถูกวางลงตรงหน้าคุณชาย ซึ่งเลิกคิ้วเพราะตนเองไม่ได้สั่ง แต่
อนุรักษ์กลับชิ่งพูดก่อน

“คุณเลี้ยงข้าวผม ผมขอเลี้ยงเค้กคุณแทน แล้วก็เออ..." เขาอ้างเหตุผล


แรกที่พอให้คุณชายรับได้ แล้วจึงอ้อมแอ้มบอกจุดประสงค์หลักที่แท้จริง

"...สุขสันต์วันเกิดครับ...”

เป็ นคำอวยพรแบบคาดไม่ถึง สีหน้าเฉยชาของคุณชายจึงมีความ


ประหลาดใจเจืออยู่เล็ก ๆ

“รู้ได้ยังไง”
“SMS จากค่ายโทรศัพท์ของคุณ ผมไม่ได้แอบดูนะ มันขึ้นมาพอดี"

ประโยคหลังรีบออกตัวก่อน แม้จะแอบไขว้นิ้วไว้ในใจ ...ก็จริงที่เขาไม่ได้


แอบดูข้อความ เพราะไอ้ทัตเป็ นคนเปิ ดโชว์ให้เห็นเอง ทำให้เขานึกขึ้นได้
ตอนเห็นเค้ก

...คนที่ถูกแฟนทิ้ง เพื่อนไม่อยู่ ตัดขาดจากครอบครัว กินข้าวกับพนักงาน


แคชเชียร์เงียบ ๆ สองคนคงเงียบเหงาพิลึก วันพิเศษแบบนี้ ไหน ๆ ก็
สมควรฉลองอะไรเล็ก ๆ บ้าง ถึงเจ้าตัวจะไม่ใช่เด็ก ๆ และคงแก่กว่า
เขา...กี่ปี นะ?

"คุณอายุเท่าไรครับ"

“สามสิบสอง”
...แก่กว่าสิบเอ็ดปี แต่ไม่รู้ทำไมทั้งหน้าตาและนิสัยของถึงไม่ได้เหมาะกับ
คนอายุสามสิบเลย

คุณชายจิบไวน์จนพร่อง แล้วเป็ นฝ่ ายย้อนถามกลับบ้าง

“เธอยังเรียนอยู่รึเปล่า”

สรรพนามที่เรียกเขาเปลี่ยนไป อาจเพราะอีกฝ่ ายตระหนักได้เช่นกันถึง


ความห่างของอายุ หรือเพราะต้องการตอกย้ำว่าเขาควรจะทำตัวให้เคารพ
อาวุโสกว่าบ้าง แต่ที่ผ่านมาเขาก็มีมารยาทพอจะพูดสุภาพกับคุณชายทุก
คำ

“ปี สามครับ แต่ตอนนี้ปิ ดเทอมอยู่เลยมาทำงานพาร์ทไทม์”


“อืม”

คู่สนทนายกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอีกครั้ง ไม่คิดจะแตะต้องจานของหวาน

“เออ...ไม่กินเค้กสักหน่อยเหรอครับ หรือไม่ชอบขนม”

อนุรักษ์รู้ว่าตัวเองถือวิสาสะสั่งมาโดยไม่ถามก่อน ผู้ชายอายุเท่านี้อาจไม่
ชอบกินขนมกันแล้ว แต่วันเกิดมันต้องคู่กับเค้กสิ และเขาก็อุตส่าห์เลือก
เป็ นช็อกโกแล็ตที่ดูแล้วไม่น่าจะหวานมากมาให้ หรือเขาควรจะเปลี่ยน
เป็ นพวกชีสเค้กดี

หากคำตอบของคุณชายกลับผิดจากที่คิดไปไกล
“ถ้างั้นลองพูดให้ฉันอยากกินทีสิ”

อนุรักษ์เงยหน้าขึ้นถาม "คุณว่าอะไรนะ?"

“สมมติว่าฉันเป็ นเด็กที่ไม่ชอบกินผัก เค้กนี่ก็เหมือนผักขม ๆ ลองพูดให้


ฉันอยากกินหน่อย ทำได้มั้ย”

...พูดบ้าอะไรวะ! ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นด้วย ไอ้คุณชายนี่เริ่มกวน


ประสาทอีกแล้ว!

เขากำลังจะประชดว่า ถ้าไม่อยากกินก็บอกกันมาดี ๆ แต่สายตาเรียวที่


มองประเมินเหมือนกำลังท้าทาย กลับเปลี่ยนให้เขาพยักหน้ารับ

“ได้ครับ ผมมีเหตุผลสี่ข้อที่จะทำให้คุณอยากกินเค้ก”
อนุรักษ์ยกนิ้วชี้ขึ้น “หนึ่ง...วันนี้วันเกิดคุณ”

ตามมาด้วยอีกนิ้ว “สอง...ผมซึ่งไม่รู้จักคุณเลย โคตรไม่ประทับใจอะไรสัก


อย่างในตัวคุณ สั่งเค้กให้คุณกิน เพราะดันนึกขึ้นได้"

“สาม...แทนที่จะกินเค้กแบบรักษาน้ำใจอย่างคนปกติทั่วไป คุณกลับมา
ท้าผมให้พยายามหาทางโน้มน้าวให้คุณกินเค้กที่อุตส่าห์สั่งมาให้อีก”

“และสี่..." เขาสูดลมหายใจ ก่อนจบข้อสุดท้าย

“ลองสมมติว่า ถ้าคุณเป็ นผม ....ตอนนี้คุณคิดว่า ผมยังจะอยากเห็นคุณ


กินเค้กอยู่อีกมั้ย”
สิ้นการโน้มน้าวที่เหมือนหลอกด่าไปในตัว คุณชายยังคงไม่ขยับ เพียงแค่
เอ่ยถาม

“เธอชื่ออะไร”

“รักษ์”

คุยกันมาตั้งนาน เพิ่งนึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้บอกชื่อ คุณชายพยักหน้ารับรู้


ก่อนหันไปเรียกบริกรมาเช็คบิล โดยยังปล่อยจานของหวานไว้เช่นเดิม

“ตกลงจะไม่กินเค้กจริง ๆ ใช่มั้ยครับ งั้นเอามาให้ผม”


ถึงผลสรุปออกมาแล้วว่า 'เขาแพ้' แต่ก็ยังรู้สึกเสียดาย ยังไงเค้กนี้เขาเป็ น
คนออกเงินก็ขอกินเองดีกว่าทิ้งไว้ ทว่าคุณชายกลับแย้ง

“ฉันจะเก็บเอาไปกินที่บ้าน”

อ้าว...ยังไงวะ ตกลงเขาชนะ หรือแค่อยากรักษาน้ำใจ เห็นแบบนี้ไอ้รักษ์ก็


แฟร์พอที่จะเล่นในกติกา แต่คู่แข่งอาจไม่แน่

“เดี๋ยวไปถึงบ้าน คุณอาจเอาไปทิ้งก็ได้”

“งั้นตามฉันมาจะได้เห็นกับตา”

“ทำไมผมต้องไปกับคุณด้วย ไหนคุณลองพูดให้ผมอยากไปกับคุณบ้างได้
มั้ยครับ”
อนุรักษ์ใช้เกมเดียวกับที่อีกฝ่ ายเคยเล่น อยากรู้ว่าอย่างคุณชายจะมี
เหตุผลอะไรโน้มน้าวให้ไปได้ง่าย ๆ

แต่หลังจากนั้น...เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองพ่ายแพ้ต่อนักโฆษณามาก
ประสบการณ์หมดรูป ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวสั้น ๆ

“...เพราะมือถือเธออยู่กับฉัน...”

ทที่ 04 : อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้ามี...

อนุรักษ์กำลังถูกลักพาตัว!
...ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่า ‘โทรศัพท์มือถือของเขา’ ถูกลักพาตัว
มากกว่า โดยฝี มือของคนร้ายหน้าหยกที่ข่มขู่เอาของสำคัญเป็ นตัวประกัน
หลอกล่อพาเขามาถึงคอนโดหรู

คุณชายลงจากรถพร้อมหิ้วกล่องเค้กช็อกโกแล็ต (และไม่ลืมหยิบสมาร์ท
โฟนซึ่งถูกวางทิ้งส่งๆ ตรงหน้าคอนโซลรถ) ก่อนใช้บัตรผ่านเฉพาะแตะ
เปิ ดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นสิบเอ็ด ซึ่งทั้งชั้นมีห้องชุดอยู่เพียงหกห้อง แล้วแสกน
นิ้วกดรหัสห้องริมซ้ายสุด เดินนำแขกที่ถูกบังคับมาแบบไม่ตั้งใจ

ครั้นประตูเปิ ดออก อนุรักษ์จึงสามารถกวาดตาลอบสำรวจคร่าวๆ


พยายามไม่ให้ดูโจ่งแจ้งจนเกินไป
พื้นที่ด้านในมีขนาดค่อนขว้างกว้างราว 80 ตารางเมตร ประเมินราคา
ประกอบกับสถานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองคงเป็ นตัวเลขไม่ต่ำกว่าแปดหลัก
ทั้งยังจัดตกแต่งราวกับลอกแม็กกาซีนออกแบบบ้าน เฟอร์นิเจอร์แบบบิ
วด์อินคุมโทนสีน้ำตาลอบอุ่นคลาสสิกเข้ากันตั้งแต่โคมไฟ โซฟา หรือแม้
กระทั่งกรอบรูป มองเนี้ยบไปทุกตารางนิ้วเหมือนกับบุคลิกเจ้าของ

แต่สำหรับเขา ที่นี่ให้ความรู้สึกเย็นเหยียบคล้ายห้องชุดตัวอย่างมากกว่า
ห้องของคนอยู่อาศัยจริงๆ ยิ่งเมื่อคุณชายถอดรองเท้าหนังแบรนด์อิตาลี
แล้วก้มลงจัดวางเข้าคู่เป็ นระเบียบเรียบร้อย ก็ยิ่งเห็นความแตกต่าง ถ้า
เป็ นเขาพอถึงห้องตัวเองก็สลัดรองเท้าข้างซ้ายขวาไปคนละทางแล้ว
ความเป๊ ะที่ฝั งอยู่ในดีเอ็นเอของคุณชาย ทำให้ชาวบ้านเดินดินต้องรีบงัด
เอาพจนานุกรมสมบัติผู้ดีมาปฏิบัติตามอย่างเกร็งๆ ไปด้วย

ไม่เพียงแค่นั้น หลังย่างก้าวเข้าสู่พื้นที่ห้องนั่งเล่น กลับมีวัตถุบางอย่าง


เคลื่อนตัดหน้าจนเขาเผลอสะดุ้ง
“เฮ้ย!”

คนตกใจรีบชักเท้าถอยหลัง เสียงอุทานเรียกคุณชายหันมามอง ก่อนพบ


ตัวต้นเหตุบนพื้น

“อ้อ เจ้านี้คงถึงเวลาที่ตั้งไว้พอดี”

หุ่นยนต์ดูดฝุ่นทรงกลมแบนสีไทเทเนียมรุ่นใหม่ล่าสุดกำลังเคลื่อน
ทำความสะอาดไปรอบห้อง คุณชายหยิบรีโมทมากดป้ อนคำสั่ง และทันที
ที่เสียงสัญญาณดังปี๊ บเบาๆ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นก็ถอยกลับเข้าแท่นชาร์ตแบต
ซึ่งตั้งตรงมุมห้องเองโดยอัตโนมัติ ไม่ชนมุมโต๊ะหรือเก้าอี้ใดๆ ราวกับสัตว์
เลี้ยงแสนเชื่อง

“ว้าว สะดวกดีเหมือนกันนะครับ”

อนุรักษ์พูดชมสิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะ อยากจะได้มาไว้ใช้สักอันบ้าง แต่ห้อง


เขาทั้งแคบทั้งรก ไหนจะสนนราคาแพงไม่ใช่น้อย อุปกรณ์แบบนี้คงเหมาะ
กับคนประเภทงานรัดตัว ไม่มีเวลามาปั ดกวาดห้องทุกวัน ทว่าเหตุผลนั้น
ไม่ใช่ปั จจัยหลักของคุณชาย

“เมื่อเดือนที่แล้วฉันต้องทำโฆษณาสินค้าตัวนี้เลยซื้อมาทดลองใช้”
นักครีเอทีฟอธิบายเหมือนเห็นการทำความสะอาดเป็ นแค่ของแถมจาก
โปรเจคงาน พลางเปลี่ยนเรื่องเอ่ยเชิญแขก

“เธอไปนั่งรอตรงนั้นก่อน”

เจ้าบ้านชี้ไปยังโซฟาขนาดใหญ่หนังนิ่มสีเบจที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโทรทัศน์
ติดผนังจอยักษ์ ชวนน่านอนเอกเขนกพักผ่อนสบายๆ ถ้าไม่ใช่เพราะถัดไป
จากโซฟา จะมีโต๊ะทำงานไม้เนื้อเข้มให้บรรยากาศเคร่งขรึม พ่วงด้วยอุปก
รณ์คอมพิวเตอร์แม็คบุ๊ค เครื่องปริ้นเตอร์ กองหนังสือ และแฟ้ มเอกสาร
มากมายวางยึดพื้นที่ จนห้องนั่งเล่นมีสภาพคล้ายห้องทำงานกลายๆ

และคุณชายก็ทำตัวไม่แตกต่างจากพนักงาน
พอตอกบัตรออกจากออฟฟิ ศก็กลับมาตอกบัตรเข้าที่คอนโด ลงมือเปิ ด
เครื่องคอมพิวเตอร์ทันที คล้ายกับลืมไปแล้วว่าเชิญใครอีกคนมาด้วยจุด
ประสงค์อะไร

“...แล้วเค้กล่ะครับ”

อนุรักษ์ทวง มองกล่องเค้กซึ่งถูกวางไว้ข้างๆ โต๊ะ ที่ตามมาก็เพราะ


คุณชายรับปากไว้ว่าจะกินต่อหน้าให้เขาเห็น แต่นอกจากไม่สนใจแล้ว ยัง
อ้างเหตุผล
“ฉันขอทำงานก่อน”

นึกถึงคำพูดที่คุณน้ำตาลค่อนแคะว่า 'คุณชายบ้างาน' ถ้าพาสาวมาถึงห้อง


แล้วมัวแต่เปิ ดคอมทำงานอยู่แบบนี้ ก็ไม่แปลกที่จะถูกแฟนสลัดทิ้ง แต่เขา
ไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณชายหิ้วมา และไม่ได้มีเวลามากพอขนาดนั้น

“ตกลงคุณไม่ได้อยากกินเค้กจริงๆ ใช่ไหม งั้นทิ้งไปเลยก็ได้ครับ ไม่ต้องหา


ข้ออ้างหรอก ผมจะได้กลับ”

อนุรักษ์ลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องเค้กเตรียมจะทิ้งแทน ถึงเสียดาย แต่ถ้าคน


รับไม่เต็มใจอยากได้ ก็ไม่เห็นต้องหาประเด็นเลี่ยงเพื่อรักษาน้ำใจเขา หาก
คุณชายยังคงไม่ละมือจากคอมพิวเตอร์ ขณะพึมพำเสียงเรียบ
“รู้ไหมว่าการโฆษณาแตกต่างจากการขายของทั่วๆ ไปยังไง”

บทสนทนาไปคนละทิศ ถามอีกอย่างดันตอบอีกอย่าง แต่คุณชายไม่รอฟั ง


คำตอบหรือรอคำด่า ลุกขึ้นยืนแล้วดึงกล่องเค้กที่เขาถือไว้มาเปิ ด

"ถ้าอยากขายเค้กหนึ่งชิ้น... โดยทั่วๆ ไปคนขายจะบรรยายสรรพคุณของ


เค้กออกมาในแง่มุมดีที่สุด เช่นว่า ใช้วัตถุดิบอะไรทำ เนื้อเค้กนุ่มขนาด
ไหน พยายามพรีเซนต์ทุกอย่างเพื่อยัดเยียดให้คนซื้อ แต่โฆษณาไม่ได้ทำ
แบบนั้น เราไม่ได้บังคับใคร เราแค่สร้างแรงจูงใจโน้มน้าวให้คนคล้อยตาม
ให้เขาคิดด้วยตัวเองว่า...เขาจำเป็ นต้องซื้อเค้กชิ้นนั้น”
นอกจากประโยคสั่ง ก็เห็นจะมีประโยคสอนที่คุณชายพูดได้ยาวมากกว่า
ทุกครั้ง ฟั งไปคล้ายกำลังอยู่ในคาบเรียนวิชาว่าด้วยหลักการโฆษณา 101
โดยมีนักศึกษาอย่างอนุรักษ์แลกเชอร์ตามที่อาจารย์สอน

"...เรื่องกระตุ้นยอดขายเป็ นเรื่องเกี่ยวกับการตลาด แต่โฆษณาเป็ นศิลปะ


เราค้นหาวิธีแปลกใหม่มาดึงดูดความสนใจ เหมือนเวลาเกิดรถชนบนถนน
แล้วทุกคนต้องหันมามอง เราไม่เสียเวลายืดยาวอธิบายเรื่อง ...โฆษณาที่ดี
คนดูจะต้องเข้าใจทันทีที่ได้เห็น ต้องให้ติดหู ติดตา ติดปาก และกระจาย
ได้ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว”

มาถึงตรงนี้นักศึกษาก็ยกมือขึ้นถาม...

"งั้นที่ผมอธิบายเรื่องเค้กไปซะยาว แสดงว่าผมโน้มน้าวใจคุณไม่ได้ใช่ไหม
ครับ”
ตอนกินเค้ก คุณชายท้าให้เขาพูดแบบนั้น อาจเพราะต้องการทดสอบเขา
ในฐานะนักโฆษณา ซึ่งเขาดันทำตรงข้ามหลักการทั้งหมด คงไม่แปลกถ้า
จะปรับให้เขาสอบตก

"เธอรู้ไหม การโฆษณาให้ได้ผลมีเทคนิคหลายอย่าง" ดวงตาเรียวสบมอง


เขาเพียงชั่วครู่ "หนึ่งในนั้นคือ...การสร้างเรื่องราวให้กับผลิตภัณฑ์"

"หมายความว่า..."
อนุรักษ์หลุดพูดได้เพียงแค่นั้น เพราะมัวแต่นิ่งงันมองคุณชายหยิบส้อม
พลาสติกซึ่งอยู่ในกล่องขึ้นมาตัดเค้กดับเบิ้ลช็อกโกแล็ต และยกขึ้นให้เขา
เห็นชัดๆ พร้อมการยอมรับ

"เธอทำให้ฉันอยากกินเค้ก เพราะมันมีสตอรี่น่าสนใจ”

จบประโยค เค้กชิ้นเล็กเนื้อนุ่มก็ถูกส่งเข้าปากต่อหน้าเขาตามข้อตกลง
และไม่หยุดอยู่แค่คำแรก คำที่สอง สาม สี่ตามมาอย่างรวดเร็ว จวบจน
กระทั่งหมดเกลี้ยง ปิ ดท้ายด้วยถ้อยคำสั้นๆ

“อร่อย”
...น่าแปลกที่หัวใจของอนุรักษ์พองโตขึ้นมา แม้คุณชายจะชมเค้ก แต่เขา
รู้สึกดีเหมือนตัวเองได้รับคำชมไปด้วย

เหตุผลที่คุณชายบอกว่า 'สตอรี่น่าสนใจ' พอมานึกถึงที่มาที่ไปของเค้กชิ้น


นี้แล้ว ก็คงจะจริงตามนั้น

จุดเริ่มต้นจากความซวยเพราะซิปกางเกงแตก ดันนำไปสู่ความซวยอื่นๆ
อีกสารพัดเรียงต่อกันเหมือนโดมิโน พอถูกผลักล้มตัวหนึ่งก็กระทบล้มต่อ
เนื่องกันไปเรื่อยๆ เรื่องบ้าบอแบบนี้ ครั้งหนึ่งในชีวิต เขาไม่มีทางลืม
แน่นอน แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่มันควรจะจบลงเสียที

"งั้นผมขอมือถือของผมคืนด้วยครับ"
อนุรักษ์ยื่นมือมาตรงหน้า ซึ่งอีกฝ่ ายก็ยินยอมล้วงกระเป๋ ากางเกงหยิบมา
วางใส่มือให้แต่โดยดี ผิดตรงที่ว่ามันไม่ใช่โทรศัพท์ เป็ นของบางสิ่งซึ่งเขา
เคยเห็นมาแล้ว

...ลิปสติกแท่งสีชมพูสดใสคาวาอี้

“เอามาให้ผมทำไม”

จะว่าหยิบผิดก็ไม่น่าใช่ รูปลักษณ์ลิปสติกกับโทรศัพท์ต่างกันขนาดนี้ และ


เขาก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อคู่สนทนาออกคำสั่ง
“ลองทาแล้วบอกฉันว่าเธอรู้สึกยังไง”

...มันเรื่องบ้าอะไรอีกวะเนี่ย!

อารมณ์เหมือนถูกคนร้ายเรียกร้องค่าไถ่ยื่นเงื่อนไขการต่อรองเรื่อยๆ เรื่อง
ที่ทำท่าจะจบแบบแฮปปี้เอดดิ้งเลยลากยาวออกมาเป็ นไตรภาคไม่รู้จุดสิ้น
สุด จนต้องร้องโวยวายอย่างหมดความอดทน

“พูดอะไรบ้าๆ! ทำไมผมต้องทาด้วย...”
แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อฉุกใจนึกขึ้นมาได้ หรือที่คุณชายอธิบายหลักการ
โฆษณาไปมากมายให้เขาฟั งก็เพราะ...

“...อย่าบอกนะว่า คุณคิดโฆษณาลิปสติกไม่ออกเลยจะให้ผมช่วยคิด”

ใบหน้าคมคายยังคงเรียบเฉย เว้นแค่นัยน์ตาซึ่งมักนิ่งเย็นกลับเลี่ยงแสร้ง
มองเอกสารที่หยิบขึ้นมาเปิ ดอ่าน พลางกล่าวอ้าง

“ฉันแค่อยากรวบรวมข้อมูลความเห็นของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่ม”
ถ้าไอ้ผลิตภัณฑ์ที่ว่ามันเป็ นประเภทของกินหรือของใช้ในบ้าน เขาก็ยินดี
ทดลอง และเต็มใจแสดงความเห็นให้อยู่แล้ว แต่นี่ดันเป็ นลิปสติกสีชมพู
สุดหวานแหวว ผู้ชายมาดแมนแฮนซั่มที่ไหนมันจะไปยอม!

"เรื่องอะไรผมต้องทำ ถ้าคุณอยากรู้คุณไม่ใช้เองล่ะครับ”

“ฉันทดลองแล้ว”

"..."
อนุรักษ์กระพริบตาปริบ มองลิปสติกในมือ สลับกับดวงหน้าหล่อเหลา
ความรู้สึกตีกันระหว่างอยากหัวเราะกับทึ่งในความทุ่มเทให้งาน

เขาจำที่คุณเฮงเคยเปรยให้ฟั งว่า เวลาทำงานคุณชายต้อง 'รู้ลึก รู้ละเอียด'


...มานึกๆ ดูอาจเป็ นตามนั้น เพราะตัวอย่างคงไม่ใช่แค่ลิปสติก เขาเหลือบ
มองไปยังแท่นชาร์ตหุ่นยนต์ดูดฝุ่น แล้วไหนจะรถยนต์ที่เจ้าตัวอาจจะซื้อ
มาทดลองขับ เพื่อให้รู้ถึงผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริงก็เป็ นได้

"นี่เป็ นคอนเซปต์ลิปสติกที่ฉันเสนอในที่ประชุมวันนี้"

กระดาษเอสี่พิมพ์ข้อมูลชุดหนึ่งถูกยื่นมาให้ อนุรักษ์กวาดตามองราย
ละเอียดภาษาอังกฤษบ้างไทยบ้าง พร้อมตัวย่อศัพท์เทคนิคทำให้มีบาง
ส่วนที่เขาไม่เข้าใจ กระนั้นก็ยังพอจับใจความคร่าวๆ โดยเฉพาะคีย์เวิร์ด
สำคัญ
'ยิ้มสยาม'

'เพลงสยามเมืองยิ้ม พุ่มพวง ดวงจันทร์'

'Baby Kiss อยากให้ผู้หญิงไทยอวดริมฝี ปากสวยพร้อมกล้าที่จะยิ้มอย่าง


มั่นใจ'

...เหมือนกับโฆษณายาสีฟั นสปาร์กไวท์

“พรุ่งนี้ฉันต้องไปพรีเซนต์งานใหม่ให้บริษัทลูกค้า และต้องอธิบายว่าทำไม
คอนเซปต์เก่าถึงไปเหมือนโฆษณายาสีฟั นที่เพิ่งปล่อยมาได้โดยบังเอิญ"
"แล้วทำไมถึงได้เหมือนกันล่ะครับ"

"ฉันเองก็อยากรู้"

คุณชายพึมพำ บรรยากาศรอบตัวไม่ได้แผ่รังสีหงุดหงิดอึมครึมเหมือนครั้ง
อยู่ในรถ หากฉายแววเหน็ดเหนื่อยและเคร่งเครียดอย่างที่เขาเพิ่งเคยเห็น
เป็ นครั้งแรก

...ต่อให้เป็ นฮีโร่อุลตร้าแมนหรือมนุษย์ธรรมดา การแบกรับปั ญหาอยู่คน


เดียวย่อมเป็ นเรื่องหนักหนาสาหัสเสมอ แต่ถ้ามีใครสักคนมารวมหัวช่วย
กันแก้ บางทีเราอาจจะพบทางออกที่มองข้ามไป
ตอนนี้คุณชายคงกำลังเข้าตาจน และกำลังขอร้องให้ใครสักคนช่วย แม้วิธี
ขอร้องมันออกจะพิลึกไปสักนิด หนักไปทางบังคับขู่เข็ญมากกว่า แต่จะให้
เขาใจยักษ์ใจมารไม่ยอมช่วยเลย ก็คงเสียชื่อไอ้รักษ์ยอดพลเมืองดีไป
หน่อย สุดท้ายจึงถอนหายใจเอ่ยอย่างเสียไม่ได้

“ก็ได้ครับ ผมจะทดลองใช้ลิปให้ แต่คุณต้องเอาโทรศัพท์มาคืนผมก่อน”

พูดดักคอไว้ เพราะเขาจะไม่ยอมโง่ซ้ำซ้อนให้คนร้ายยกเรื่องเดิมๆ มาขู่อีก


แล้ว คุณชายเองก็คงรู้ว่าลูกไม้เก่าใช้ไม่ได้ผล จึงล้วงกระเป๋ ากางเกงอีกข้าง
นำอุปกรณ์สื่อสารเครื่องเก่าโทรมมายื่นให้เจ้าของโดยไม่บิดพริ้ว
...หมูยื่นมาแล้ว ต่อไปเขาก็ต้องยื่นแมวกลับไปบ้าง ตามข้อตกลงที่ต้อง
บอกผลการทดลองใช้ลิปสติก

ฝาปอก Baby Kiss ถูกเปิ ดออก เนื้อผลิตภัณฑ์ด้านในเป็ นสีชมพูอ่อนๆ


น่าจะเป็ นลิปมันประเภทเปลี่ยนสีริมฝี ปากที่กำลังฮิตในหมู่สาวๆ ซึ่ง
สำหรับนายอนุรักษ์ นักศึกษาเพศชายวัยยี่สิบเอ็ด ผู้ไม่เคยทาลิปมันมา
ก่อนในชีวิต ปกติถ้ารู้สึกปากแห้ง ก็อาศัยดื่มน้ำเยอะๆ ให้ชุ่มชื้นเอา จึงรู้
สึกเก้ๆ กังๆ กับของที่อยู่ในมือ

แต่สมัยนี้ผู้ชายหันมาสนใจดูแลหน้าตามากขึ้นไม่ต่างจากผู้หญิง
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของผู้ชายจึงมีเยอะ รวมทั้งลิปมันด้วย ดังนั้นคง
ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายอะไรถ้าเขาจะลองใช้ เผลอๆ ต่อไปอาจชอบขึ้นมา
ก็ได้ แม้จะแอบตะขิดตะขวงใจกับรูปลักษณ์หวานแหววไปบ้างก็ตาม
พอปลอบตัวเองให้ทำใจได้แล้ว เขาก็หมุนลิปให้เนื้อผลิตภัณฑ์สีชมพูขึ้นมา
แล้วยกขึ้นเตรียมทาริมฝี ปาก ทว่ากลับชะงัก เมื่อเห็นดวงตาของคนตรง
ข้ามมองเขม็ง

“ยะ..อย่าจ้องได้ไหมครับ มันแปลกๆ”

“ฉันต้องเก็บรายละเอียด”

...งั้นอัดวิดิโอไปด้วยเลยดีไหมครับคุณชาย
อยากจะแนะนำออกไป แต่ก็กลัวคนบ้ายุทำจริง เลยกลั้นใจหลับหูหลับตา
ทาๆ ไปให้จบเรื่อง

เนื้อลิปสติกให้สัมผัสชุ่มชื้น หนึบๆ มันวาว แถมมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้าย


จะเป็ นสตอเบอร์รี่ จนเขาเกือบเผลอเลียปากตัวเอง

“รู้สึกยังไง”

คุณชายเร่งสอบถามติดตามผล อนุรักษ์เม้มริมฝี ปากอีกครั้ง พยายาม


ค้นหาคำอธิบายให้ใกล้เคียงกับความรู้สึกตอนนี้
“เออก็...รู้สึกปากมันๆ เหมือนเพิ่งกินไก่ย่างเสร็จ”

เรียวคิ้วบนใบหน้าคมขมวดตึง ส่งเสียงบ่นระอา

"แบบนั้นจะเอาไปเป็ นคำโฆษณาได้ยังไงกัน ผู้หญิงคนไหนฟั งแล้วจะอยาก


ใช้"

เขารู้ว่าคำพูดตัวเองมันฟั งแล้วหมดมู้ด แต่จะโทษเขาอย่างเดียวก็ไม่ถูก

“แล้วทำไมคุณไม่ไปถามผู้หญิงแทนล่ะครับ น่าจะเป็ นกลุ่มเป้ าหมายของ


คุณมากกว่า”
“โฆษณาไม่ได้แค่ส่งผลต่อกลุ่มเป้ าโดยตรง แต่ต้องสื่อให้น่าสนใจกับคน
ทุกวัย”

คุณชายสวมวิญญาณอาจารย์สอนวิชาหลักการโฆษณาอีกครั้ง ทว่า
นักเรียนหัวขี้เลื้อยอย่างเขาจะไปรู้ลึกซึ้งอะไรกับเครื่องสำอางของผู้หญิง
อย่างวันนี้เขายังถูกลูกค้าสาวเชิดใส่ในซูเปอร์อยู่เลย ทั้งๆ ที่แต่งหน้าสวย
พริ้งเพรา แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้น่ามองเท่ากับการกระทำที่อยู่ข้างใน

“ผู้ชายอย่างผมไม่เข้าใจผู้หญิงหรอกครับ ถึงพวกเธอจะเสียเวลาแต่งหน้า
นานขนาดไหน แต่สำหรับผมหน้าใสๆ ก็ยังสวยกว่าอยู่ดี แล้วผมก็คิดว่าผู้
หญิงมีเสน่ห์ที่ข้างในใจไม่ใช่รูปร่างหน้าตา”
“...นั่นสิทำไมฉันถึงไม่เคยคิดมาก่อน”

คนโฆษณาหลุดพึมพำคล้ายจับไอเดียบางอย่างที่สว่างวาบขึ้นมาได้
กะทันหัน

“หรือว่าคุณจะใช้คอนเซปต์ 'ความสวยแท้จริงอยู่ที่จิตใจ' เหรอครับ”

อนุรักษ์ถามด้วยความตื่นเต้น ไม่คิดว่าคำพูดเรื่อยเปื่ อยของตัวเองจะมี


ประโยชน์ แต่คอนเซปต์นี้เป็ นคำคมอมตะที่เห็นได้ทุกยุคทุกสมัย ถ้าเอา
ไปดัดแปลงให้เข้ากับธีมลิปสติกก็น่าจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้แบรนด์ดูดี
ขึ้นด้วย
หากคนมากประสบการณ์กลับปั ดไอเดียนั้นทิ้งด้วยการบอกปฏิเสธ

“เปล่า แต่จะใช้คอนเซปต์ 'ลิปสติกในมุมมองของผู้ชาย'”

"หมายความว่ายังไงครับ ลิปสติกในมุมมองของผู้ชาย หรือคุณจะโฆษณา


ให้ผู้ชายทาลิป!”

โพล่งออกไปอย่างตระหนกปนอาการขนลุกวาบ เขาไม่เข้าใจความคิดของ
นักครีเอทีฟเลยสักนิด คำคมเท่ๆ บาดจิตดันไม่เลือก กลับมาเก็ตไอเดีย
อยากเห็นผู้ชายทาลิปสติกสีหวานซะงั้น แค่จินตนาการภาพตามก็สยอง
แล้ว แต่โชคดีที่คุณชายพูดขยายความ
“ไม่ได้ให้ทาโดยตรง แต่จะให้รับรู้ผ่านทางผู้หญิง”

คำอธิบายไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างเพิ่มเติม คนมึนงงยังคงแสดงสีหน้า
สงสัย

“ผ่านยังไงครับ”

...กว่าอนุรักษ์จะเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงลักษณะนิสัยการทำงานของคุณชายว่า
ต้อง 'รู้ลึก รู้ละเอียด และทดลองจนเห็นผลจริง' ก็สายเกินไป
เพราะคุณชายยกมือขึ้นเชยปลายคางของเขา ก่อนจะขยับตัวเขามาใกล้
ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยจึงไม่จำเป็ นต้องใช้ความพยายามมาก
เพียงแค่คุณชายโน้มตัวลงมา ริมฝี ปากเคลือบลิปมันของเขาก็ถูกประทับ
ด้วยริมฝี ปากอ่อนนุ่มของอีกคน

...เป็ นการรับรู้สัมผัสของลิปสติกผ่านทาง 'จูบ'

เพียงชั่วครู่ก็ละออก ทิ้งไว้แค่ไออุ่นจาง และความรู้สึกช็อค

เขาไม่รู้ว่าตัวเองยืนนิ่งอยู่นานเท่าไร แต่รู้อีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงราบเรียบ
ของคุณชายซึ่งกลับไปนั่งพิมพ์งานต่อเปรยถาม
"เธอจะกลับเลยไหม เดี๋ยวฉันออกค่าแท็กซี่ให้ ขอโทษด้วยตอนนี้ฉันต้อง
ทำงานต่อให้เสร็จคงไปส่งเธอไม่ได้"

"อ่ะ...เออ ไม่เป็ นไรครับ เดี๋ยวผมกลับรถเมล์เอง"

"ถ้าถึงแล้วโทรหาฉันด้วย"

คุณชายสั่งคล้ายคุณแม่ที่ห่วงลูกกลับบ้าน ก่อนปล่อยให้แขกออกมาจาก
ห้องเอง
อนุรักษ์ลงลิฟต์ เดินขึ้นรถเมล์กลับจนถึงหอ ไขกุญแจเข้าห้องตัวเอง
ตลอดเวลานั้นราวกับสมองถูกเครื่องเล่นกดปุ่มหยุดพอสเอาไว้ กระทั่งมา
นั่งแหมะลงบนเตียงแล้วนั่นแหละ...สติที่กระจัดกระจายจึงเริ่มเข้าทีเข้า
ทางอีกครั้ง

...ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยจูบ แต่ถูกผู้ชายที่รู้จักกันได้สี่วันจูบ ก็ต้องยอมรับจริงๆ


ว่า 'ไม่เคย'

ถ้าเป็ นคนอื่นอาจมีปฏิกิริยาต่อยคุณชายหน้าคว่ำไปแล้ว แต่ความตกใจ


ของเขาคงมีมากกว่าความโกรธจึงไม่ได้ทำอะไร อีกอย่างเขาก็เป็ นผู้ชาย
แค่ถูกจูบไม่ได้เสียหายหรือสึกหรอ กระนั้นเรื่องราวมากมายมันดันเกิดขึ้น
จนตั้งรับไม่ทัน พรุ่งนี้เป็ นวันหยุดพอดี หรือเขาควรเข้าวัดทำบุญปล่อย
นกปล่อยปลาเป็ นมงคลให้กับชีวิตตัวเองบ้างเหมือนที่ไอ้ทัตบอก
ตี๊ด! ตี๊ด!

เสียงข้อความโทรศัพท์ดังขัดความคิด เขาล้วงกระเป๋ า แต่ดันคว้าเจอแท่ง


ลิปสติก Baby Kiss ซึ่งสงสัยคงเผลอติดมือมาด้วย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึก
กระอักกระอ่วน ความหนึบหนับของกลิ่นสตอเบอร์รี่ยังคงค้างที่ริมฝี ปาก
ให้ตายก็คงไม่อยากเอามาใช้อีก จึงรีบยัดลิปสติกเก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียง
ก่อนหยิบโทรศัพท์ออกมากดเปิ ดเช็คข้อความเข้า แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

"บัญชี 2739462xxx มียอดโอนเงินเข้าจาก นาย ชัยพร รณสิ จำนวน


80,000.00 บาท"
...เลขที่บัญชีธนาคารไม่ใช่ของเขา แล้วข้อความมันส่งเข้ามาในเครื่องเขา
ได้ยังไง

ความสงสัยพุ่งเข้าปะทะ พร้อมๆ กับที่เริ่มเอะใจในความผิดปกติของมือ


ถือตัวเอง เมื่อเห็นหน้าจอปรากฏสัญญาณโทรศัพท์ต่างกันสองเครือข่าย

อนุรักษ์รีบกดปิ ดเครื่องทันที บังคับมือให้นิ่งขณะแกะฝาครอบด้านหลัง


ออก ตรงข้ามกับความรู้สึกข้างในที่อัดแน่นด้วยคลื่นอารมณ์หวาดหวั่น

โทรศัพท์ของเขาเป็ นรุ่นที่สามารถใส่ซิมโทรศัพท์ได้สองซิม เป็ นไปตาม


คาด...
ซิมหนึ่งเป็ นของเขา ส่วนอีกซิมหนึ่ง...ไม่ใช่

และมีเพียงคนเดียวที่สามารถเป็ นเจ้าของ

...ไอ้คุณชาย!

เขารีบค้นเบอร์ในรายชื่อโทรเข้าล่าสุด แล้วกดหาทันที เพียงอึดใจเดียว


ก็ได้ยินเสียงของคนที่เพิ่งแยกจากกัน ตั้งใจจะโวยวายด้วยความโกรธเต็ม
ที่ ถ้าไม่เพราะได้ยินเสียงถาม
"ถึงบ้านแล้วใช่ไหม"

เกือบลืมเรื่องที่อีกฝ่ ายสั่งว่า ถ้าถึงห้องแล้วให้โทรกลับมา แต่นั่นยิ่งทำให้


เขาเดานิสัยของคุณชายไม่ถูก

...เดี๋ยวก็ชวนไปกินข้าว เดี๋ยวก็กวนประสาทสั่งนู้นนี้ อยู่ๆ ก็ดันจูบ แล้วยัง


อุตส่าห์เป็ นห่วงกัน สุดท้ายกลับทิ้งของบางอย่างให้ดูต่างหน้าโดยพลการ

...ตกลงคุณชายจะเอายังไงกันแน่

อนุรักษ์พยายามทำใจให้เย็นลง ขณะเรียบเรียงคำถาม
"คุณทำอะไรกับโทรศัพท์ผมครับ ทำไมถึงมีอีกซิมหนึ่งอยู่ในเครื่อง"

"ฉันแค่ฝากเอาไว้"

...ฝากเอาไว้เนี่ยนะ? ได้ยินคำพูดราวกับเป็ นเหตุผลธรรมดาสามัญ แต่


อย่าหวังว่าเขาจะเออออตาม

"แต่มือถือผมไม่ใช่ที่รับฝากของของใคร พรุ่งนี้ผมจะเอาไปคืนคุณที่บริษัท"
"พรุ่งนี้ฉันติดประชุม"

"งั้นผมจะฝากไว้ที่ประชาสัมพันธ์ คุณมาเอาคืนไปเองแล้วกันครับ"

"ไม่ได้ นั่นเป็ นของสำคัญ เธอต้องเอามาคืนฉันเองกับมือ"

"ถ้าเป็ นของสำคัญขนาดนั้น แล้วคุณจะเอามาฝากไว้ที่ผมทำไม!"

สุดท้ายก็ลืมตัวขึ้นเสียงด้วยความโมโห เพราะทนกับการยั่วประสาทไม่
ไหว แต่คุณชายกลับยกเหตุผลไม่คาดฝั น
"เพราะเธอเคยดูแลของสำคัญของฉันได้ดีชิ้นหนึ่งแล้ว"

...เป็ นอีกครั้งที่เดาการกระทำของคุณชายไม่ได้

ใช้เรื่องที่เขารับผิดชอบดูแลสมาร์ทโฟนมาเป็ นข้อตัดสินให้รับฝากของ
สำคัญเอาไว้ ฟั งแล้วเหมือนคำชม แต่เขาไม่จำเป็ นต้องทำซ้ำเพื่อให้ได้รับ
การเยินยออีก กำลังจะทักท้วง ปลายสายดันแทรกเอ่ยรายละเอียด
รวดเร็ว
"ตอนเที่ยงฉันพอมีเวลา เธอบอกคนในบริษัทว่ามาพบฉันก็พอ แล้วอย่า
เอาซิมออกจากเครื่องจนกว่าจะมาคืนฉัน"

สั่งจบก็กดตัดสัญญาณไปทันที และแน่นอนเมื่อเขาโทรกลับไปอีกครั้ง
คุณชายก็ปิ ดเครื่องไปเรียบร้อย หมดโอกาสให้คนโดนบังคับอ้อมๆ ปฏิเสธ

อนุรักษ์ล้มตัวนอนบนเตียงอย่างหมดแรง นึกถึงปั ญหาอันอลหม่านไม่จบ


ไม่สิ้นของตัวเอง ถ้ามีใครเอาเรื่องเขาไปทำโฆษณา

เชื่อเถอะ...รับรอบว่าคงได้ 'สตอรี่น่าสนใจ' อย่างแน่นอน

บทที่ 05 : นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต
“สวัสดีครับ ไม่ทราบติดต่อธุระอะไรครับ”

พนักงานรักษาความปลอดภัยวัยสี่สิบค้อมกายสอบถามอย่างสุภาพ
นอบน้อม โดยไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่าบุคคลที่เข้ามาเยือนบริษัท จะเป็ น
คนเดียวกับที่โดนกล่าวหาว่าเป็ นหัวขโมยเมื่ออาทิตย์ก่อน

ครั้นจะให้โทษความผิดว่าพี่รปภ.หลง ๆ ลืม ๆ คงไม่ได้ เพราะพนักงาน


แคชเชียร์ปอน ๆ ในคราวนั้นช่างแตกต่างกับหนุ่มนักศึกษา หุ่นสูง หน้าตา
มาดแมนใสกิ๊ง สวมแว่นกรอบดำ แถมเซ็ทผมสไตล์บอยแบนด์เกาหลีคนนี้
อย่างลิบลับ

“ผมเอาของมาให้คุณชายครับ”
อนุรักษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็ นการเป็ นงาน พยายามทำบุคลิกให้ดูเคร่งขรึม
และน่าเชื่อถือ แม้จะแอบถอนหายใจโล่งอกที่ผ่านด่านแรกมาได้อย่าง
แนบเนียบ

...ก็ไม่ใช่ว่าเขานึกคึกอยากแต่งตัวประชันความเนี้ยบกับคุณชายหรือ
อะไร แต่ขืนเกิดมาด้วยสภาพไอ้หนุ่มซิปเป้ ากางเกงแตก คงได้โดนพี่ยาม
จับโยนออกไปก่อนที่จะบอกธุระของตนเอง สุดท้ายเลยพยายามค้นตู้หา
เสื้อผ้าที่ดูเป็ นทางการ ซึ่งก็หนีไม่พ้นชุดนักศึกษา เมื่อบวกแว่นทรงเหลี่ยม
เลนส์ไร้ค่าสายตา กับการจัดแต่งทรงผมดี ๆ อีกหน่อย เขาก็อัพระดับ
กลายเป็ นเด็กเรียนไม่มีพิษภัย จนพี่รปภ. รีบผายมือนำเขาไปที่
ประชาสัมพันธ์ทันที

พอแจ้งเรื่องขอเข้าพบ สาวประชาสัมพันธ์คนสวยจึงบอกให้รอสักครู่
แล้วดำเนินการติดต่อให้ ใช้เวลาไม่นานคนนัดก็มาหา หากแทนทีจะเป็ น
คุณชาย กลับกลายเป็ นคนอื่นเสียแทน
“สวัสดีค่ะ คุณรักษ์ ดิฉันพิมพิศา เป็ นผู้ช่วยของคุณชายค่ะ”

สาวหมวยกรีดอายไลเนอร์เฉี่ยว ซึ่งอนุรักษ์จำที่เธอเรียกคุณชายได้ว่า
‘บอส’ หล่อนยกมือไหว้ทักทาย จนเขาต้องรีบยกมือไหว้บอกสวัสดีกลับ
เพราะอายุอีกฝ่ ายน่าจะมากกว่าเขาอยู่เกือบห้าหกปี กระนั้นเจ้าตัวก็ยังคง
พูดด้วยประโยคเป็ นทางการ

“ดิฉันต้องขอประธานโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ ตอนนี้คุณชายติดประชุมอยู่


รบกวนรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะนำทางคุณรักษ์ไปที่ห้องพักรับรอง”

“ขอบคุณครับ เออ...คือพี่ไม่ต้องพูดสุภาพกับผมก็ได้ครับ มันเกร็ง ๆ ”

แม้บุคลิกของคุณผู้ช่วยจะเปรี้ยวมั่น แต่แววตาเรียวนั้นดูเป็ นมิตร ทำให้


อนุรักษ์กล้าที่จะใช้คำพูดลดระยะความเหินห่าง
“แล้วก็เรียกผมว่ารักษ์เฉย ๆ ก็พอครับพี่พิมพิศา”

เอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มผูกมิตร ด้วยความที่เขาทำงานในซุปเปอร์มาร์เก็ตกับ
คนหลากหลายวัย การทำความรู้จักด้วยวิธีเรียกนับพี่นับน้องแบบนี้ ถือ
เป็ นการสร้างความสนิทสนมอย่างรวดเร็ว และก็ไม่ผิดจากที่หวัง เมื่อคู่
สนทนาส่งรอยยิ้มกลับ

“งั้นเรียกพี่ว่า พี่พิมก็ได้ค่ะ น้องรักษ์”

“โอเคครับ พี่พิม”

“แล้วนี่น้องรักษ์จะมาฝึ กงานกับคุณชายเหรอคะ แหม...ดีเลย มีเด็กหล่อ


ๆ มาให้ออฟฟิ ตเจริญหูเจริญตาบ้าง”
บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นทันตา ซ้ำสาวหมวยยังเริ่มชวนคุยด้วยน้ำเสียง
เชิงหยอกเย้าซึ่งน่าจะเป็ นนิสัยแท้จริงของตนเอง ระหว่างเดินนำเขาไปยัง
ลิฟต์ อาจเพราะเห็นว่าใส่ชุดนักศึกษาเลยทำให้เข้าใจผิดจนต้องรีบ
ปฏิเสธ

“เปล่าครับพี่ ผมแค่เอาของมาให้คุณชายเฉย ๆ”

“อ้าว...เสียดายจัง ตอนนี้ออฟฟิ ตกำลังวุ่นสุด ๆ พี่นี่แทบจะสำเร็จวิชา


แยกร่างอยู่แล้ว”

หญิงสาวบ่นด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ทำเอาเขาแอบเห็นใจอยู่เล็ก ๆ
พนักงานคนอื่นเดินสวนออกมาจากลิฟต์ เพื่อแยกย้ายกันไปกินข้าวใน
เวลาพักเที่ยง ส่วนพี่พิมยังต้องอยู่รับรองแขก กระทั่งคุณชายเองก็ติด
ประชุมต่อเนื่องไม่เลิก
“ทำงานโฆษณายุ่งขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“อืม...มันก็เป็ นช่วง ๆ แล้วแต่ตำแหน่งนะ ตัวพี่เป็ น Copywriter ...น้อง


รักษ์รู้จักมั้ย? คนที่คิดคำโฆษณาสวย ๆ ให้แบรนด์น่ะ ถ้าช่วงไหนมีงานที่
ต้องใช้ภาษาเยอะ ๆ ก็จะหนักหน่อย ...แต่ถ้าเป็ นตำแหน่ง Art Director
อันนี้งานเขาเป็ นประเภทกราฟฟิ คแต่งภาพโฆษณา ซึ่งมันต้องใช้เวลา ถ้า
เจอลูกค้าเร่ง ๆ บางทีไม่ได้นอนติดต่อกันสองสามคืนกันก็มี ...แต่ส่วน
ใหญ่พวกเราทำงานกันเป็ นทีม มีอะไรก็เลยพอช่วยกันได้”

พี่พิมอธิบายศัพท์เฉพาะพร้อมรายละเอียดงานให้คนนอกวงการเข้าใจได้
ง่าย ๆ แต่ขาดตำแหน่งสำคัญไปอีกหนึ่ง

“แล้วคุณชายล่ะครับ”

“อ๋อ...รายนั้นน่ะเป็ น Creative Director พูดง่าย ๆ ก็ใหญ่ที่สุดในสาย


งานนี้ เป็ นหัวหน้าคุมทีมก็อปปี้กับฝ่ ายอาร์ตอีกทีหนึ่ง แต่บอสเค้าไม่ค่อย
ยอมนำทีมเท่าไร ส่วนใหญ่จะเหมางานทำเองคนเดียวหมด อย่างว่าล่ะ
นะ...เก่งขนาดจบโทจากฮาร์วาร์ดมาได้ แถมมีรางวัลพ่วงยาวเป็ นหางว่าว
อีก เป็ นใครจะไม่หยิ่งในฝี มือตัวเอง อุ๊ย...นี่พี่ชมเขานะจ๊ะ ไม่ได้ว่า...”

คนช่างเมาท์รีบแก้ไขความเข้าใจผิด อาจเพราะกลัวถูกกล่าวหาว่านินทา
เจ้านายตัวเอง แต่อนุรักษ์กลับพยักหน้าเข้าใจ

“ไม่เป็ นไรครับพี่ ผมพอรู้นิสัยหยิ่ง ๆ ของคุณชายอยู่”

ขนาดไม่ได้ทำงานร่วมกัน เขายังโดนมาเยอะเจ็บมาเยอะ แล้วคนที่เป็ นลูก


น้องใต้อาณัติโดยตรง จะไม่ตั้งแง่หมั่นไส้กับนิสัยกวนประสาทของคุณชาย
ยังไงไหว ทว่าพี่พิมก็ยังคงยืนยัน

“เปล่า ๆ บอสไม่ได้หยิ่งเลยนะ...ถึงบุคลิกจะดูเป็ นแบบนั้นก็เถอะ แต่จริง


ๆ บอสขยันตั้งใจทำงานตลอด ถ้าลูกทีมทำอะไรพลาด บอสก็จะเป็ นคน
รับผิดชอบคนเดียวทั้งหมด ...อย่างตอนนี้ก็กำลังมีปั ญหาอยู่กับโฆษณาตัว
หนึ่ง พี่เองเป็ นหนึ่งในทีมช่วยคิด ต้องเข้าไปฟั งลูกค้าคอมเพลน แต่บอส
ดันบอกให้พี่อยู่รอรับน้องรักษ์ไม่ต้องเข้าประชุมด้วย”

อนุรักษ์นึกแปลกใจกับอีกมุมหนึ่งของคุณชาย ยิ่งรู้จักก็ยิ่งเดาบุคลิกไม่ได้
ขึ้นเรื่อย ๆ ว่าคุณชายเป็ นคนยังไงกันแน่ แต่เรื่องนั้นเก็บไว้คิดทีหลัง
เพราะเขาติดใจกับเรื่องโฆษณาที่มีปั ญหา ...หรือจะเป็ นลิปสติกที่คุณชาย
บอกว่าโดนขโมยไอเดียไป?

อยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ แต่ลิฟต์ส่งเสียงถึงชั้นที่ต้องลงพอดี พอ
ประตูเปิ ดออก เขาถึงเห็นว่านี่ไม่ใช่ชั้นออฟฟิ ตสุดโมเดิร์นของคุณชาย แต่
เป็ นชั้นที่จัดตกแต่งอย่างมีระดับคล้ายโรงแรม พื้นที่ถูกกั้นไว้เป็ นห้อง ๆ มี
โต๊ะประดับแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่วางตรงหน้าโถงทางเข้า ตัด
บรรยากาศเคร่งขรึมเป็ นทางการ

“น้องรักษ์ นั่งรอห้องนี้ก่อนนะคะ ห้องประชุมอยู่ถัดไป เดี๋ยวคุณชาย


ประชุมเสร็จจะมาพบค่ะ”
พี่พิมนำเขาไปถึงห้องรับรองขนาดเล็ก ซึ่งมีโต๊ะและโซฟาสีเข้มจัดวางเข้า
ชุดกัน เขานึกอยากจะชวนคนคุยสนุกเล่าเรื่องงานโฆษณาต่อ แต่ดันมี
สัญญาณเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนของสาวหมวย แค่ฟั งผ่าน ๆ ก็น่าจะ
เป็ นธุระด่วนจากน้ำเสียงร้อนรน หลังวางสายก็อปปี้ไรเตอร์คิวแน่นจึงแจ้ง
ข่าวร้ายด้วยสีหน้าอ่อนแรง

"ขอโทษด้วยนะ พอดีมีเคสด่วนจากโรงพิมพ์เข้ามา พี่ต้องขอไปเช็คงานกับ


อาร์ตก่อน น้องรักษ์อยู่รอคนเดียวได้ใช่มั้ย"

"ไม่เป็ นไรพี่ ผมโตแล้วอยู่คนเดียวได้ครับ" เขาแกล้งแหย่

"แหนะ ไม่ต้องล้อเลยนะ เดี๋ยวจับเป็ นลูกมือช่วยงานให้เข็ด" คนที่ทำท่า


ห่อเหี่ยวจึงกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ก่อนเอ่ยขอตัว "งั้นพี่ไปก่อนนะ"
"เดี๋ยวครับพี่พิม!" สาวหมวยที่กำลังเปิ ดประตูห้องหันมาเมื่อถูกรั้ง
อนุรักษ์อึกอักแต่ก็ตัดสินใจถาม

"เออ...ห้องน้ำไปทางไหนครับ"

...เปล่า...เขาไม่ได้ติดใจห้องน้ำในบริษัทนี้ แต่ที่ต้องวอแวเข้าออกบ่อย ๆ
ก็เพราะเมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ มัวแต่คิดเรื่องซิมโทรศัพท์กับเจ้าของ
ที่ฝากเอาไว้ เช้ามาเลยมีสภาพสะโหลสะเหลเหมือนซอมบี้ กลัวจะรับมื้อ
กับคุณชายไม่ไหว ก่อนมาเขาจึงจัดการซัดกาแฟดำของอาแปะหน้าปาก
ซอยสูตรเข้มข้นพิเศษ จนตาสว่างพร้อมรบ และตอนนี้กาแฟก็กำลังออก
ฤทธิ์

อนุรักษ์เดินออกมาตามทางที่พี่พิมบอก หลังแยกกับอีกฝ่ ายที่ขึ้นลิฟต์ไป


ยังออฟฟิ ตทำงาน ภายในห้องน้ำปูกระเบื้องสีดำตัดกับสุขภัณฑ์สีขาวที่เขา
เคยเห็นมาแล้ว มีผู้ใช้บริการอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ตรง
อ่างล้างมือ เขาเลี่ยงเดินไปโถปั สสาวะจัดการธุระของตน ระหว่างได้ยิน
เสียงถอนหายใจยาว
“เฮ้อ...ผู้หญิงนี่เข้าใจยากเนอะ”

คนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์จบบ่นพึมพำลอย ๆ เรียกความสนใจจากอนุรักษ์ให้
หันมอง ...ชายหนุ่มอายุไม่น่าจะห่างจากเขาเท่าไร ไว้หนวดเคราสไตล์
เซอร์ ๆ ดูไม่ค่อยเข้ากับเสื้อเชิ้ตสีขาวแบบพนักงานบริษัท กำลังแสดง
สีหน้ายุ่งยากใจ สงสัยสายที่เพิ่งวางคงทะเลาะกับแฟนมา เลยอึดอัดอยาก
ระบายเต็มที

“ไอ้เราบอกว่าอยากได้แบบนี้ แต่เขาก็งอแงจะเอาแบบนู้น ไม่ยอมแพ้สัก


ที กล่อมตั้งนานไม่รู้ทำยังไงถึงจะเข้าใจ”

สถานการณ์ทำนองนี้มีแค่มนุษย์เพศผู้เท่านั้นที่จะรู้ซึ้งถึงความอาร์ตตัวแม่
อนุรักษ์ไหวไหล่ปลอบตามประสาผู้ชายด้วยกัน
“ก็เป็ นธรรมดาของผู้หญิงล่ะครับ ไม่งั้นจะมีคนพูดเหรอว่า...มันผู้ใดเข้าใจ
ผู้หญิง มันผู้นั้นไม่เข้าใจอะไรเลย...”

“เออ ก็จริง” หนุ่มหน้าหนวดพยักหน้าเห็นด้วย

“แต่ผมว่าก็มีนะ เรื่องที่ผู้หญิงยอมเข้าใจอะไรง่าย ๆ”

“เรื่องอะไร”

“ก็ตอนโดนชมว่า ‘สวย’ ไง คุณเธอเข้าใจง่ายขึ้นมาทันที”

คนฟั งหัวเราะฮาครืนกับมุกที่เขาปล่อย แล้วตั้งประเด็นชวนคุย


“นี่คิดว่าผู้หญิงสวยสุดตอนไหน”

“อืม...พูดยาก ถ้าทั่ว ๆ ไปก็คงตอบว่าตอนยิ้ม แต่เพื่อนผมมันเคยบอกว่า


ตอนแฟนมันโกรธ น่ารักที่สุด”

เขายกเคสตัวอย่างจากไอ้ทัตเพื่อนสนิท มันเล่นเพ้อถึงน้องส้มโอแทบไม่
เว้นวัน ไม่ว่าน้องจะผิดนัด มาสาย วีนแตกขนาดไหน ไอ้ทัตก็ยังเห็นดีเห็น
งามไปหมด ขนาดโดนน้องส้มโอทิ้งไปมีคนใหม่ มันก็ไม่คิดจะเลิกรักเลิก
หลง ...โชคดีที่ล่าสุดไอ้ทัตได้คนมาดามใจ เขาก็ได้แต่หวังว่า คราวนี้มันจะ
เจอผู้หญิงที่นิสัยน่ารักและไม่คิดจะทำร้ายหัวใจมันอีก

...และอาจเพราะนึกเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงเผลอคิดถึงคำพูดโฆษณากับ
คุณชาย

“แต่ยังไงผมก็เชื่อว่าความสวยที่แท้จริงอยู่ข้างในใจมากกว่าหน้าตานะ”
คนฟั งเลิกคิ้ว ทำหน้าอี๋ วิจารณ์สั้น ๆ “น้ำเน่าว่ะ”

“เฮ้ย! คลาสสิกจะตาย”

อนุรักษ์โต้กลับ แต่อีกฝ่ ายแค่หัวเราะขำ แล้วเดินออกไป เป็ นครั้งที่สองที่


คำคมสุดเท่ห์ของเขาถูกเมิน ...หรือคุณชายจะเล็งเห็นตั้งแต่แรกว่า คอนเซ
ปต์โฆษณานี้มันไม่เข้าท่าเพราะน้ำเน่าจริง ๆ เลยโดนตัดทิ้ง แล้วเปลี่ยน
ไปเลือกอย่างอื่นแทน

...อยู่ ๆ อาการกระอักกระอ่วนก็กำเริบ เมื่อนึกได้ว่า 'อย่างอื่น' ในวิธีที่


คุณชายใช้คืออะไร
คนร้อน ๆ หนาว ๆ รีบสะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่าน จัดการทำธุระให้เสร็จ
เรียบร้อย แล้วจึงเดินออกมาด้านนอก ตั้งใจจะกลับไปนั่งรอในห้องเหมือน
เดิม หากก็นึกเบื่อห้องว่าง ๆ ที่ไม่มีอะไร ถ้าเป็ นคนอื่นคงได้งัดเอาสมาร์ท
โฟนมานั่งเล่นเกมฆ่าเวลาไปแล้ว แต่โทรศัพท์ของเขาไม่มีเกมอะไรเล่นแก้
เซ็งนอกจากเกมงู เขาจึงเปลี่ยนทิศทาง อยากจะกลับไปดูแจกันดอกไม้ใบ
ยักษ์สวย ๆ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโถงลิฟต์อีกสักรอบ

ทว่าเพียงแค่เดินผ่านห้องแรก บานประตูก็ถูกเปิ ดผลัวะออกมา พร้อมกับ


ชายในชุดสูทสีดำเหมือนหลุดมาจากหนังเรื่อง Men in Black ทั้งยังมอง
เขาเหมือนเจอเอเลี่ยนต่างดาวแปลงกายมาในคราบนักศึกษาเต็มยศ

“เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ฉันบอกให้พิมพาเธอไปรอที่ห้องรับรองไม่ใช่
หรือ”

คุณชายถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ดวงตานั้นเจือแววแปลกใจระคน
ตำหนิ จนอนุรักษ์ต้องรีบแก้ตัว
"ผมแค่เดินออกมาเข้าห้องน้ำเฉย ๆ" เขาตอบพลางเสมองไปยังประตูด้าน
หลัง "แล้วนี่คุณประชุมเสร็จแล้วเหรอครับ”

“ยังไม่เรียบร้อยเท่าไร เธอกลับไปรอในห้องก่อน”

คุณชายออกคำสั่ง แต่ยังไม่ทันได้ปฏิบัติตาม บานประตูก็ถูกเปิ ดอีกครั้ง


พร้อมด้วยเสียงอื้ออึง

"เดี๋ยวก่อนสิครับคุณดุจดาว"

"ยังไงดิฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้ใช้คอนเซปต์นี้"
คุณป้ าร่างอวบในชุดผ้าไหมไทยสีม่วงเข้มตีกระบังลมโป่ ง ทั้งน้ำเสียงและ
กิริยาให้มาดคุณหญิงในละครไทยหลังข่าว เดินหน้าเชิดนำออกมาพร้อม
เลขาสาว โดยมีคุณเฮง ชายร่างใหญ่นักการตลาดตามรั้ง ไม่สนใจมอง
คุณชายหรือตัวเขาที่ยืนหลบอยู่ข้าง ๆ พยายามเกลี่ยกล่อมคนที่กำลัง
หงุดหงิดเต็มความสามารถ

"แต่คอนเซปต์นี้มีข้อดีหลายข้อที่เราอยากให้ทางคุณพิจารณานะครับ"

“นั้นสิครับ ผมว่าไอเดียใหม่ที่เสนอมาก็น่าสนใจดีออกครับ"

เสียงสนับสนุนจากบุคคลที่สามตามมาจากในห้อง แล้วอนุรักษ์ก็นิ่งงันเมื่อ
พบว่า ใครคนนั้นคือผู้ชายที่เขาเพิ่งพบในห้องน้ำ

"ที่ว่าน่าสนใจ เพราะคุณทิมพยายามคัดค้านคอนเซปต์ 'อยากให้ผู้หญิง


ไทยกล้ายิ้มอย่างมั่นใจ' ของดิฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้วมิใช่หรือคะ"
คุณดุจดาวเอ่ยค่อนแคะ แต่ก็ยังใช้คำพูดสุภาพทั้ง ๆ ที่อายุห่างจากคนพูด
อยู่มาก แสดงว่าคุณทิมน่าจะมีตำแหน่งใหญ่โตไม่เบา หากผู้ชายหน้า
หนวดที่ขายลิปสติกกลับอธิบายด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน

"ผมไม่ได้คัดค้านครับ แต่แค่ไม่อยากทิ้งมุมมองใหม่ ๆ ...คิดดูสิครับ...ที่เอ


เจนซี่ไทเกอร์เสนอให้เปลี่ยนเป็ นคอนเซปต์ 'จูบ' ก็น่าจะเข้าชื่อกับลิปสติก
'Baby Kiss' ด้วย ...แล้วยังให้ใช้เสียงผู้ชายเป็ นคนบรรยายบอกถึงสัมผัส
ของลิปสติกผ่านการจูบจากผู้หญิงอีก... ผมยังทึ่งเลยว่าคิดได้ยังไง
...โฆษณาในสปอดวิทยุได้ยินแค่เสียง ไม่เห็นภาพมาช่วยกระตุ้น ...แต่ถ้า
ใช้แผนการนี้ มันจะต้องดึงดูดความสนใจของคนฟั งได้แน่ ๆ”

ในที่สุดอนุรักษ์ก็รู้แล้วว่า เมื่อคืนคุณชายจูบเขาไปทำไม

...ที่แท้คุณชายต้องการดึงเอาประสบการณ์ที่ได้สัมผัสลิปสติกจากริม
ฝี ปาก แล้วเอามาปรับใช้กับการโฆษณาได้ออกมาเป็ นกลยุทธ์สร้างสรรค์
สุด ๆ ถ้าไม่ติดว่าเขาโดนเป็ นหนูทดลองด้วย ก็อยากจะชมอยู่หรอกว่า
คุณพี่ท่านเก่ง แต่ไอเดียสุดครีเอทนี้กลับมีอีกหนึ่งคนที่ไม่เห็นด้วย

"จะให้โฆษณาด้วยเรื่องบัดสีแบบนี้ผ่านทางวิทยุไม่มีทางเด็ดขาดค่ะ!”

เจ้าคุณป้ าหวีดร้อง คนอายุห้าสิบคงมองว่าเรื่องจูบเป็ นเรื่องน่าอาย


อนาจาร ตรงข้ามกับพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ยุคนี้ที่ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ
จนเห็นเป็ นเรื่องปกติ

“ทำไมล่ะครับ คุณดุจดาวอยากให้ผู้หญิงไทยกล้าที่อวดริมฝี ปากอย่าง


มั่นใจไม่ใช่เหรอครับ เรื่องจูบก็เป็ นการกล้าที่จะแสดงความรักเหมือนกัน
นะครับ”

คุณทิมพยายามแย้งโดยอาศัยคำพูดเก่าที่อีกฝ่ ายใช้มาโต้กลับเนียน ๆ
กระนั้นคุณดุจดาวก็ยังยืนกรานเสียงแข็ง
“ยังไงดิฉันก็รับไม่ได้! คอนเซปต์ตั้งแต่แรกที่ดิฉันคิดไว้ก็ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่
เพราะไปก็อปปี้งานของคนอื่นมา เลยต้องเสียเวลาคิดกันใหม่”

...ก็อปปี้?

อนุรักษ์สะดุดใจในคำกล่าวหานั้น ...จริงอยู่ที่โฆษณายาสีฟั นออกมาก่อน


จะโดนหาว่าก็อปปี้ก็ไม่แปลก แต่เขาคิดว่าคนอย่างคุณชายคงไม่ทำ ซ้ำ
เจ้าตัวยังเคยพูดกับเขาว่าไอเดียนั้นถูกขโมยไป

ทว่าคุณชายไม่เอ่ยแก้ตัวใด ๆ เป็ นคุณเฮงที่ออกหน้ามารับแทน

“ต้องขอประทานโทษเป็ นอย่างสูงครับ”
หนุ่มใหญ่ก้มศีรษะ คุณป้ ายังเชิดหน้าคอแข็งไม่เสียเวลาปรายตามอง
ปล่อยให้ผู้บริหารอีกคนรีบไกล่เกลี่ย

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับคุณเฮง มันมีโอกาสที่ไอเดียซ้ำกันได้ครับ”

“แต่ซ้ำกันทุกระเบียดนิ้วแบบนี้ดิฉันเพิ่งเคยเจอ”

ถ้อยความเหน็บแหนมดังลอย ๆ บ่งบอกว่าคนพูดนั้นกัดไม่ปล่อย ซึ่งคน


ทำหน้าที่ Account Director แม้จะถูกตำหนิเพียงไรก็ต้องประสานความ
สัมพันธ์กับลูกค้าเอาไว้

“เป็ นความผิดของทางเราเองครับ ถ้าคุณดุจดาวไม่พอใจกับคอนเซปต์ใน


วันนี้ ทางเราพร้อมจะเสนอคอนเซปต์มาให้ใหม่ครับ”
“ไม่ต้องลำบากทางคุณหรอกค่ะ ดิฉันจะว่าจ้างเอเจนซี่อื่น...”

“แต่ผมวางใจเอเจนซี่ไทเกอร์"

หนุ่มหน้าหนวดรีบแทรกการปฏิเสธอย่างไม่ใยดีนั้น แล้วหันมาหาคุณชาย
ที่ยืนอยู่ไม่ไกล

"ในเมื่อสองคอนเซปต์ที่คิดมายังใช้ไม่ได้ ผมเลยมีไอเดียคอนเซปต์ใหม่
อยากให้คุณทำ”

“คอนเซปต์อะไรครับ”

คุณชายถาม แต่คู่สนทนากลับมองมาทางอนุรักษ์แล้วขยิบตา ก่อนเอ่ย


คอนเซปต์ใหม่
“ความสวยของผู้หญิงที่แท้จริงอยู่ข้างในใจไม่ใช่รูปร่างหน้าตาภายนอก”

...อ้าว...ไหนว่าน้ำเน่าไงวะ!

อนุรักษ์อยากจะโวยวาย แต่ก็ต้องปิ ดปากเงียบไว้ เมื่อคุณเฮงรีบพยักหน้า


เห็นด้วย

“เป็ นคอนเซปต์ที่ดีมากครับ ผมว่ามันจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้แบรนด์


ลิปสติก Baby Kiss ในเชิงบวกได้ด้วย”
“แต่เราขายเครื่องสำอาง ถ้าไม่ให้ผู้หญิงสนใจความสวยที่หน้าตาแล้ว
ลิปสติกเราจะขายออกได้ยังไง”

คุณดุจดาวยังคงคัดค้าน แถมตีได้ตรงจุดตายไม่พลาดเป้ า

...เป็ นความจริงตามกฏอุปสงค์อุปทาน ถ้าไม่มีคนอยากสวยเครื่องสำอางก็


ขายไม่ได้ คอนเซปต์นี้จึงไม่ต่างจากคอนเซปต์โลกสวยช่างฝั น

“แล้วถ้าเพิ่มเงื่อนไขว่า เงินที่ได้จากการขายลิปสติกส่วนหนึ่งจะนำไป
บริจาคให้เด็กที่มีปั ญหาเป็ นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ล่ะครับ แบบนี้อาจ
ช่วยกระตุ้นยอดขายให้ได้มากขึ้น”

ทุกคนหันไปมองเจ้าของเสียงราบเรียบ สมกับเป็ นนักครีเอทีฟที่พลิก


วิกฤตเป็ นโอกาสนำเสนอได้รวดเร็วน่าทึ่ง
“แต่บริษัทเราค้าขาย ไม่ได้ทำการกุศล ลิปสติกแท่งหนึ่งรู้มั้ยต้นทุน
เท่าไร”

คนในชุดผ้าไหมฮึดอัด ไม่ยอมคล้อยตามง่าย ๆ จนคุณเฮงต้องรีบมาเสริม


ทัพ ลดแลกแจกแถมฮาร์ดเซลล์

“ถ้าอย่างนั้นทางเราจะรับเงินค่าโฆษณาแค่ 30% ครับ ส่วนต่างอีก 70%


ที่เหลือคุณดุจดาวสามารถนำไปเป็ นทุนในการบริจาคได้ ที่สำคัญ..." ผ่อน
เสียงกระซิบอย่างมีเล่ห์นัยตามประสานักการตลาด "...ยอดเงินบริจาค
สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วยนะครับ”

“โอโห...แบบนี้ก็ถือว่าวินวินทั้งคู่พอดีเลยนะครับ”

คุณทิมปรบมือชมเปราะ ข้อเสนอที่มีแต่ได้กับได้เริ่มทำให้ไม้แข็งเริ่มโน้ม
เอียง กระนั้นก็ไม่เพียงพอจะล้มลง
“ดิฉันยังไม่ตกลงเรื่องนี้ ต้องกลับไปแจ้งท่านประธานให้พิจารณาก่อน”

เป็ นข้ออ้างที่ไว้ตัว แต่ทุกคนรู้ดีถ้าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป เอเจนซี่ไท


เกอร์คงไม่มีทางได้งานชิ้นนี้อีก คุณทิมจึงส่งเสียงกระแอมไอ รีบเข้ากู้
สถานการณ์สุดท้าย

“เมื่อกี๊ผมโทรศัพท์คุยกับแม่ ท่านว่าให้คุณดุจดาวตัดสินใจได้เลยครับ
เพราะคุณมีประสบการณ์มาก ผมยังมือใหม่ไม่รู้ประสีประสา ตอนผมสิบ
ขวบ คุณดุจดาวก็เป็ นหนึ่งในบอร์ดบริหารแล้ว ผมยังจำได้เลยนะครับว่า
คุณทั้งสวยทั้งเก่ง ถึงผ่านมายี่สิบปี แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนเลยสักนิดครับ"

อนุรักษ์หายใจสะดุดกับคนที่นำคำพูดของเขามาใช้อีกครั้ง
...ผู้หญิงเข้าใจอะไรยาก แต่พอโดนชมว่าสวยก็เข้าใจง่ายทันที

ตอนคุยในห้องน้ำผ่าน ๆ เขาคิดว่าอีกฝ่ ายแค่หัวเราะเล่นกับมุกที่พูดออก


มา ที่ไหนได้กลับเก็บนำมาปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์รอบตัวอย่างลื่น
ไหลสุด ๆ เห็นมาดเซอร์ ๆ แต่ภายใต้นั้นเป็ นนักบริหารที่ประมาทไม่ได้
เลยสักนิด เพราะในที่สุดคุณดุจดาวก็ยอมจำนนตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว

“ตกลง พรุ่งนี้ฉันจะมาฟั งคอนเซปต์ใหม่ แต่คราวนี้หวังว่าคงไม่เกิดปั ญหา


อีกนะ”

ใบหน้ายังคงเชิดเช่นเดิม เว้นแต่ดวงตาที่เหลือบมองไปทางคุณเฮง ซึ่งรีบ


ยืนยัน

“แน่นอนครับ ทางเราจะทำโฆษณาออกมาอย่างดีที่สุด”
เมื่อข้อเสนอผ่านการอนุมัติ คู่ค้าก็เดินออกไปทางลิฟท์พร้อมเลขาทันที
เหลือแค่หนุ่มหน้าหนวดที่หันกลับมาพูดกับคุณชาย

"แล้วผมจะรอดูงานของคุณนะครับ"

ก่อนจะยิ้มให้กับอนุรักษ์ เอื้อมมือตบบ่า ก้มลงกระซิบเบา ๆ

"ขอบใจนะ" แล้วจึงหมุนตัวตามคุณดุจดาวออกไป โดยมีคุณเฮงยืนรอส่ง


ตรงโถงด้านหน้า

..

..
..

..

หากเรื่องยังไม่จบสุขสมหวังราบรื่นตามที่คิด เพราะทันทีที่แขกลงลิฟต์ไป
หมดแล้ว ชายหนุ่มนักการตลาดผู้สุภาพนอบน้อมกับลูกค้าเมื่อครู่ก็แปร
เปลี่ยนไปเป็ นคนละคน

“คุณรู้มั้ยว่าครั้งนี้ทางเราเสียหายมากเท่าไร”

น้ำเสียงนั้นเยียบเย็น แม้กระทั่งอนุรักษ์ฟั งแล้วยังขนลุกวาบ แต่คุณชายก็


ยังคงเป็ นคุณชาย ถึงจะถูกตำหนิจากลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานก็ยังคงยืน
นิ่ง เอ่ยถ้อยคำด้วยโทนราบเรียบเหมือนเดิม

“ขอโทษด้วยครับ”
“กี่ครั้งแล้วที่ผมได้ยินคำนี้ หรือต้องให้ไทเกอร์ล่มจมไปต่อหน้ารึไงคุณถึง
จะเลิกพูด”

“คุณก็รู้ว่าผมไม่มีทางทำแบบนั้น”

“งูเห่ามันก็แว้งมากัดเจ้าของที่เลี้ยงมันได้เหมือนกัน”

คำเปรียบเปรยที่อนุรักษ์ไม่เข้าใจ กลับส่งผลต่อคุณชายโดยตรง ถึงจะไม่


ตอบโต้ แต่เขาสังเกตเห็นมือที่พ้นเสื้อสูทกระตุก ขณะที่คุณเฮงยังคง
วางยาพิษด้วยคำถาม

“...แล้วคนที่อยากขายบริษัทนี้ให้กับ ATM มากที่สุดอาจเป็ นคุณเองก็ได้


ไม่ใช่หรือครับ คุณชาย?”
...คนที่อยากขายบริษัทนี้ให้กับ ATM?

อนุรักษ์คลางแคลงใจกับสิ่งที่ได้ยิน หวนคิดถึงยอดเงินโอนเข้าจำนวน
80,000 บาทในซิมโทรศัพท์ของคุณชายเมื่อวาน ...หรือคุณชายก็อปปี้ไอ
เดียโฆษณาจริง ๆ เพราะอยากให้เอเจนซี่ไทเกอร์มีปั ญหา แต่เท่าที่เห็น
วันนี้คุณชายก็ยังคงพยายามปกป้ องและหาทางช่วยกู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่างเต็มที่่

...ตกลงมันยังไงกันแน่?

อาจไม่ใช่เขาคนเดียวที่ไม่เข้าใจ เพราะคุณเฮงเองก็หาคำตอบไม่ได้
“คุณจะเล่นเกมอะไรอยู่ผมไม่รู้หรอกนะ แต่ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดอีกเด็ด
ขาด”

เอ่ยจบ ร่างสูงใหญ่ก็กดลิฟต์ลงไป ตอนนี้จากสามเหลือสอง หาก


บรรยากาศก็ไม่ได้เป็ นไปในทางที่ดีขึ้น เหมือนโดนลมพายุพัดกระหน่ำ
เข้าใส่หลายระลอก จนไม่ทันได้ฟื้ นตัว ทีแรกอนุรักษ์ก็มาด้วยแรงอารมณ์
คิดจะโวยวายเรื่องซิมโทรศัพท์ใส่คุณชายเต็มที่ แต่ประเมินจาก
สถานการณ์แล้ว หรือเขาไม่ควรจะหยิบยกประเด็นมาซ้ำเติมตอนนี้

“เออ...พักเที่ยงแล้ว ไม่ลงไปทานข้าวเหรอครับ”

เขาเลี่ยงเกริ่นด้วยเรื่องอื่น แต่คุณชายกลับเป็ นฝ่ ายเริ่มพูดขึ้นมา

“คอนเซปต์ความสวยที่แท้จริงอยู่ข้างใน เธอเป็ นคนพูดกับคุณทิมใช่รึ


เปล่า”
“ใช่ครับ เอ้ย! ไม่ใช่ครับ คือผมไม่รู้ว่าเขาเป็ นเจ้าของทำลิปสติก เราคุยกัน
เรื่อยเปื่ อย แล้วเขาก็ถามผมว่าผู้หญิงสวยสุดตอนไหน ผมนึกถึงเรื่องที่ผม
คุยกับคุณเมื่อวานก็เลยตอบไปแบบนั้น”

รีบอธิบายเร็วปรือ ทั้ง ๆ ที่ในใจแอบหวาด ๆ ...พี่พิมเคยว่าไว้ว่าบอสของ


ตนหยิ่งในฝี มือตัวเอง แล้วดันมาถูกไอเดียมือสมัครเล่นของเขาชิ่งตัดหน้า
แบบนี้ ไม่แน่คุณชายอาจจะไม่พอใจอยู่ก็ได้ แต่คุณชายกลับทำแค่เพียง
พึมพำ

"...ดีแล้วที่เป็ นเธอ"

อนุรักษ์รีบหันมองอีกฝ่ ายด้วยความงง

"คุณไม่โกรธเหรอครับ"
"ทำไมฉันต้องโกรธ"

"ก็เหมือนผมไปแย่งงานคุณมา"

"คอนเซปต์นั้นเธอเป็ นคนคิด แล้วลูกค้าก็พอใจในไอเดียของเธอ ฉันควร


จะชมเธอมากกว่า และคนที่แย่งงานฉันไปจริง ๆ ก็เป็ นคนอื่น"

"คนอื่น?"

"มีคนจาก ATM พยายามทำลายเอเจนซี่ไทเกอร์ และป้ ายความผิดมาที่


ฉัน"
เรื่องการชิงอำนาจระหว่างบริษัท อนุรักษ์คิดว่ามีอยู่เฉพาะในหนังในละคร
แต่ขึ้นชื่อว่า 'โลกของธุรกิจ' อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ และการใช้เล่ห์เหลี่ยม
เข้าห่ำหั่น จำต้องมีคนเป็ นเหยื่อรับเคราะห์

ทว่า...เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเหยื่อตัวนี้ไม่ได้อยู่ในคราบหมาป่ าสวมหนัง
แกะ

"ทำไมถึงต้องเป็ นคุณที่โดนป้ ายความผิดล่ะครับ"

"เธอเองก็รู้ว่ามีคนไม่ชอบใจฉันมากขนาดไหน"

ก็จริงที่ลักษณะนิสัยหยิ่ง ๆ ของคุณชายอาจจะสร้างศัตรูไว้เยอะ แต่คนดี


ๆ ทั่วไปที่ไหนจะขยันหาเรื่องใส่ตัวให้กลายเป็ นเป้ า ถ้าไม่ใช่เพราะมีความ
เบื้องหน้าเบื้องหลังเก็บซ่อนไว้ อีกอย่างเขายอมรับว่าคำพูดของคุณเฮง
เรื่องที่คุณชายอยากขายไทเกอร์ให้กับ ATM ยังคงติดอยู่ในใจ รวมทั้งเขา
ยังมีบางสิ่งที่ทำให้ไม่หมดข้อสงสัย
"แล้วที่ธนาคารแจ้งยอดเงินโอนเข้าบัญชีในเบอร์นี้แปดหมื่นบาท
หมายความว่ายังไงครับ"

ทั้ง ๆ ที่เงินแปดหมื่นนั้น อาจเป็ นเงินจากการเล่นหุ้นของคุณชาย ...เงิน


จากการขายของมือสอง ...หรือเงินที่มีคนยืมคุณชายไว้แล้วเอามาคืน
...แต่ลึก ๆ เซ้นท์เขามันบอกว่าจำนวนเงินนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่าง
กับเรื่องซับซ้อนที่เกิดขึ้น และโชคดีความมั่นใจของเขาถูกต้อง เพราะ
คุณชายซึ่งมีท่าทางนิ่งเฉย ตลอดเวลาที่คุย กลับเปลี่ยนสีหน้าดุขึ้นมาฉับ
พลัน

"ทำไมเธอไม่รีบบอก! แล้วโอนมาตั้งแต่เมื่อไร"

...เอ้า! ก็เขาไม่ใช่คอลเซ็นเตอร์ต้องโทรแจ้งนี่เว้ย
อนุรักษ์อยากจะเถียง แต่พอเห็นแววตาซีเรียส จึงต้องรีบลนลานล้วง
โทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ ากางเกงขึ้นมาเปิ ดข้อความอ่าน

"มีแจ้งโอนเงินเข้าจากคุณชัยพร เวลาสามทุ่มสี่สิบเจ็ดนาที"

คุณชายรับอุปกรณ์สื่อสารรุ่นเก๋าที่เขาส่งเพื่อให้เช็คตรวจสอบดูอีกที
ความเคร่งเครียดนั้นยังไม่คลายลง

"ที่คุณบอกว่าซิมนี้เป็ นของสำคัญ หรือจะเป็ นเพราะข้อความนี้เหรอครับ?"

อนุรักษ์เอ่ยคาดเดาอีกครั้ง คู่สนทนายื่นมือถือส่งกลับคืน เริ่มต้นอธิบาย

"ซิมนั่น...ฉันสมัครรับข้อความการแจ้งยอดโอนเงินจากธนาคาร มันเป็ น
หลักฐานรับสินบนจากคนในเอเจนซี่ ATM ฉันไม่รู้ว่าเป็ นใคร ...เพราะชื่อ
ที่ใช้เปิ ดบัญชีไม่มีอยู่ในรายชื่อคนในบริษัท แต่ฉันมั่นใจว่าต้องเป็ นคนที่
ทำงานร่วมกับฉัน... เขาเคลื่อนไหวน้อยมาก และใช้แค่บัตรเอทีเอ็มในการ
กดถอนเงินเท่านั้น....ฉันต้องรู้เวลาที่แม่นยำในช่วงถอนและโอนเงินใน
บัญชี เพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวของทุกคน แต่ฉันเก็บซิมไว้กับตัวไม่
ได้ โทรศัพท์ฉันเคยถูกขโมยมาแล้วครั้งหนึ่ง และมันก็ไปอยู่ในห้องน้ำ"

คล้ายจิกซอว์แต่ละชิ้นเริ่มประกอบกันเป็ นรูปเป็ นร่าง ปมปริศนาค่อย ๆ


คลายออก ...เหตุผลที่คุณชายหวาดระแวงสงสัยไม่ไว้ใจใคร ก็เพราะมีศัตรู
ในเงามืดอยู่รอบกายจนขยับเขยื้อนไม่ได้นี่เอง

"ดังนั้น ระหว่างที่ฉันกำลังสืบหาคนใช้บัตร ฉันต้องการให้เธอเก็บหลักฐาน


นั้นไว้ และโทรแจ้งฉันทันทีที่ได้รับข้อความ"

จะให้รับฝากไว้ก็ไม่เสียหายหรอก แต่เขากลัวการใช้โทรศัพท์สองซิมจะส่ง
ผลกระทบต่อเครื่องรุ่นดึกดำบรรพ์ของตนเอง แถมเขาไม่ใช่ลูกน้องของ
คุณชาย ถึงจะเห็นใจในสถานการณ์ แต่ไม่มีความจำเป็ นใด ๆ ต้องตกลง
"ผมคงไม่..."

"ฉันมีค่าจ้างให้"

คุณชายเปิ ดกระเป๋ าเงินหนังสีดำ หยิบเช็คใบหนึ่งออกมายื่นให้ จำนวน


ตัวเลขบนกระดาษระบุชัดเป็ นจำนวนเงินหนึ่งแสนบาท มากกว่าเงินเก็บ
ของเขาตั้งเกือบสองเท่า

"นี่แค่ครึ่งแรก ...จบงานแล้วฉันจะให้อีกครึ่งที่เหลือ"

ข้อเสนอที่ถูกยื่นมาเปลี่ยนความเห็นใจให้หายวัยกลายเป็ นอาการโกรธ
เคืองทันที
“คุณอย่าดูถูกผมเกินไป เงินซื้อผมไม่ได้”

เขาเอ่ยเสียงแข็ง ถึงจะเป็ นพนักงานแคชเชียร์แต่ก็มีศักดิ์ศรี ไม่เหมือน


พวกนักธุรกิจรวย ๆ เอะอะก็ใช้เงินฟาด

“แล้วอะไรที่ซื้อเธอได้”

“เสียใจด้วยครับที่ไม่มี”

อนุรักษ์เปิ ดฝาหลังโทรศัพท์ ถอดซิมแปลกปลอมออก แล้ววางไว้ตรงโต๊ะ


ที่มีแจกันดอกไม้ใบยักษ์ ก่อนจะกดปุ่มลิฟต์ลง

“...รักษ์ เธอฟั งฉันก่อน”


...เสียงนั้นอีกแล้ว เสียงที่มีอิทธิพลกับเขาเหมือนมากระซิบข้างหู

แต่เขารู้สึกว่าต่างจากที่แล้วมา ...มันไม่ได้เป็ นเสียงราบเรียบ หากเจือด้วย


อารมณ์วอนขอ แม้พยายามสั่งตัวเองว่าอย่าไปสนใจ แต่เขากลับเผลอ
หยุดฟั งอย่างห้ามไม่ได้

“ตั้งแต่เด็กพ่อฉันเอาแต่ทำงาน ไม่เคยสนใจครอบครัว แล้วยังแอบมีบ้าน


เล็กบ้านน้อย แม่พยายามอดทนและคอยประคับประคองครอบครัวมา
ตลอด แต่ก็ไม่สามารถยื้อได้ ในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายหนีความทุกข์
ไป ฉันทะเลาะกับพ่ออย่างหนัก แล้วตัดขาดกับเขา ระหว่างนั้นเจ้าของเอ
เจนซี่ไทเกอร์ได้มาช่วยเหลือฉันไว้ ท่านมีพระคุณกับฉันมาก จนเหมือน
พ่อแท้ ๆ ของฉัน ฉันไม่อยากทำให้ท่านผิดหวัง”
คุณชายถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตด้วยท่าทีเหมือนกำลังเล่าเรื่องของคนอื่น
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ็บปวดจนชาชิน ก็เพราะมีเจตนาแอบแฝงตามนิสัยนัก
โฆษณา ซึ่งเขารู้ดีว่าคืออะไร

“คุณจะสร้างสตอรี่ให้ผมสนใจเหรอครับ”

“เปล่า แต่ที่ฉันเล่า เพราะฉันรู้ว่าเธอเป็ นคนดี”

“ผมไม่ได้เป็ นคนดีขนาดนั้น ที่ผมตกลงช่วยใครก็เพราะเต็มใจทำ แต่ถ้า


ผมไม่อยากทำ ต่อให้คุณแต่งเรื่องเศร้ามาอีกเป็ นร้อยผมก็ไม่มีวันยอม
ช่วย"

"เรื่องนี้เป็ นเรื่องจริง เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่า


ซิมนั้นสำคัญกับฉันมากแค่ไหน”
ติ๊ง!

เสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกับประตูเปิ ดออก มีกลุ่ม


พนักงานออฟฟิ ตสามสี่คนโดยสารอยู่... อนุรักษ์ควรจะก้าวเท้าเข้าไปเป็ น
หนึ่งในนั้น ...แต่กลับหยุดนิ่งไม่ยอมขยับ กระทั่งพี่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้แผง
ปุ่มกดลิฟต์ต้องถาม

"จะลงมั้ยคะ?"

"ขอโทษด้วยครับ ลงไปก่อนเลยครับ"

คนด้านในมองงง ๆ คงนึกด่าว่าถ้าไม่ลงจะกดลิฟต์เล่นทำไม ไอ้เขาก็


อยากจะด่าตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกทางนี้ ...ทางที่ต่อไปต้องเจอ
ปั ญหาหนักตามมาอีกแน่ ๆ แต่ก็ยังหันกลับมาเผชิญหน้ากับคุณชายตรง
ๆ อีกครั้ง
“คุณคิดว่าจะรู้ชื่อคนใช้บัตรได้เร็วที่สุดเมื่อไร”

“ฉันไม่แน่ใจ แต่ทุกครั้งที่ฉันรับงานใหม่ บัญชีนี้อาจมีความเคลื่อนไหว”

“ผมให้เวลาคุณหนึ่งเดือน”

“เธอคิดว่าหลังจากเกิดเรื่องลิปสติก เอเจนซี่จะไว้ใจปล่อยให้ฉันรับงาน
โฆษณาต่อไปได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ...ฉันขอเวลาสามเดือน”

“ไม่ได้! อีกสองเดือนผมก็จะเปิ ดเรียนแล้ว ไม่ว่างมารับจ็อบเพิ่ม คุณก็


ขยันเสนอตัวรับทุกงานสิครับ บริษัทจ้างคุณมาทำงานก็ต้องป้ อนงานให้
คุณทำอยู่แล้ว เขาไม่ปล่อยให้คุณนั่งกินเงินเดือนฟรี ๆ หรอกมั้ง”
“งั้นสองเดือน...ฉันจะพยายามหาชื่อเจ้าของบัญชีให้เจอ ระหว่างนั้นเธอ
จะช่วยรับฝากซิมให้ฉันได้ใช่ไหม”

ประโยคหลังนั้นไม่ได้เป็ นการออกคำสั่งหรือยัดเยียด ...เขาตระหนักได้อีก


ครั้งว่าคุณชายเป็ นนักโฆษณาที่เก่งกาจขนาดไหนก็ตอนนี้ ...หลักการ
โฆษณาที่ดีไม่ใช่การบังคับ แต่ต้องโน้มน้าวให้ลูกค้าอยากยื่นมือเข้าไปซื้อ

...และอนุรักษ์ก็สมัครใจเอื้อมมือหยิบซิมบนโต๊ะ มาใส่ไว้ในโทรศัพท์
เหมือนเดิมด้วยตัวเอง

“ถ้ามี SMS โอนเงินเข้ามาอีก ผมจะโทรไปแจ้งคุณก็แล้วกันครับ”


“ขอบใจมาก”

คุณชายยังคงตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย ส่วนคนฟั งได้แต่


ถอนหายใจเหนื่อย ไม่ได้รู้สึกยินดีกับคำขอบคุณนั้นเลย ทั้งยังไม่แน่ใจว่า
ทำไมถึงยอมตัดสินใจช่วยคุณชาย

...เพราะเขาเป็ นคนดี

...เพราะเห็นใจในเรื่องราวชีวิตแสนระทมของคุณชาย

...เพราะเหตุผลตรงไปตรงมา ที่ทำให้เขาเริ่มเข้าใจถึงตัวตนของคุณชาย
จริง ๆ เป็ นครั้งแรก

...หรือเพราะคุณชายจะซื้อใจเขาได้สำเร็จ ตั้งแต่ที่เรียกชื่อเขาแล้ว
บทที่ 06 : ทุกหยดซ่า

....บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวสาร โจ๊กคัพ ปลากระป๋ อง หอยลายทอด


กระป๋ อง

ถ้ามองผ่าน ๆ หลายคนคงนึกว่า นี่เป็ นของยังชีพเอาไปบริจาคช่วยเหลือผู้


ประสบภัยน้ำท่วมที่ไหน แต่สำหรับพนักงานแคชเชียร์อย่างนายอนุรักษ์
เห็นปราดเดียวก็วิเคราะห์ได้ทันทีว่าสิ่งเหล่านี้คืออาหารสำคัญของเหล่า
บรรดา 'เด็กหอ'

...ไม่ใช่ว่าอนุรักษ์มีจิตสัมผัสรู้ลึกซึ้งรวดเร็วขนาดนั้น แต่ส่วนหนึ่งเพราะ
คนซื้อเป็ นกลุ่มผู้หญิงสามสี่คนวัยนักศึกษาไล่เลี่ยกับเขา ซึ่งน่าจะเป็ นรูม
เมทกัน เดาจากการที่พอบอกยอดเงินสินค้าทั้งหมด ทุกคนก็นับนิ้วบวก
ลบคูณหารไล่เก็บเงินมารวมให้ลงตัว แล้วส่งแบงค์กับเหรียญเป็ นยอดพอ
ดีเป๊ ะมาให้ แต่ระหว่างที่เขากำลังกดสลิปใบเสร็จ หนึ่งในนั้นกลับเอ่ยรั้ง

"อ่ะ เดี๋ยว ๆ เพิ่มนี่อีกอันด้วยค่ะ"

ลิปสติกแท่งสีชมพูถูกวางบนสายพานแคชเชียร์ พาให้เพื่อนสาวพูดล้อ

"ต๊ายยแม่คุณ! เงินไม่พอกิน ยังจะห่วงสวยอีกนะยะ"

"ก็ปากฉันแห้งพอดีอ่ะ แล้วแกดูสิลิปแท่งละยี่สิบเก้าบาท ถูกจะตาย แถม


ซื้อไปเหมือนทำบุญด้วย เผื่อตายไปชาติหน้าฉันจะได้มีปากฉ่ำ ๆ เหมือน
แอนเจลิน่า โจลี่ มีสามีหล่อแบบแบรด พิตต์"
"กล้าพูดนะแก ไหนเอามาดูบ้างดิ อุ๊ย...ลิปแบบเปลี่ยนสีด้วยเหรอ มีตั้ง
หลายสี สีนี่สวยป่ ะแก..."

ทุกคนหันไปรุมชั้นวางของตั้งอยู่ใกล้ ๆ เคาท์เตอร์แคชเชียร์ ซึ่งเป็ นกล


ยุทธ์ุดักลูกค้าด่านสุดท้ายระหว่างรอเข้าคิวคิดเงิน บนชั้นนั้นจึงมีของ
จำพวกลูกอม หมากฝรั่ง ถ่านไฟฉาย ...รวมไปถึง 'ลิปสติก Baby Kiss'
สินค้าตัวใหม่ล่าสุดที่อนุรักษ์เพิ่งนำของจากสโตร์ไปเรียงเมื่อวาน พร้อม
ด้วยแผ่นป้ ายโฆษณา

ลิปบัตเตอร์ Baby Kiss หนึ่งแท่ง คือหนึ่งการเติมเต็มรอยยิ้มของผู้พิการ


ปากแหว่งเพดานโหว่

...เพราะความสวยแท้จริง ไม่ได้เห็นแค่ด้วยตา แต่รับรู้ได้ด้วยใจ...


เป็ นข้อความเชิญชวนเจือด้วยกลิ่นอายของความเมตตาโอบอ้อมอารี แต่
ใครจะรู้เบื้องหลังของคอนเซปต์โฆษณาตัวนี้ผ่านการฟาดฟั นมาอย่างดุ
เดือดเลือดพล่านขนาดไหน

บางคนอาจสงสัยว่ากับไอ้แค่ลิปสติก ทำไมต้องวางแผนคิดคอนเซปต์ใหญ่
โตให้วุ่นวายด้วย อนุรักษ์ก็เคยตั้งคำถามเช่นเดียวกัน หากพอพิจารณา
อย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาถึงเข้าใจ

ลิปมันที่ผลิตออกมาวางจำหน่ายในท้องตลาดนั้นมีหลากหลายแบรนด์
และทุกยี่ห้ออาจให้ผลลัพธ์ในด้านความนุ่มชุ่มชื้นกับริมฝี ปากเหมือน ๆ
กันไปหมด ...เมื่อตัวเลือกมากเช่นนี้ ความต้องการให้ลูกค้าเจาะจงซื้อ
ผลิตภัณฑ์เฉพาะของบริษัทตนเอง จึงจำต้องมีการใส่ 'คอนเซ
ปต์' ...เปรียบไปก็คล้ายการสวมเสื้อผ้าให้กับผลิตภัณฑ์ ยิ่งเสื้อผ้าที่ใส่สวย
เท่าไรก็จะยิ่งช่วยทำให้ Baby Kiss โดดเด่น แตกต่าง เป็ นที่จดจำมากกว่า
ยี่ห้ออื่น
...นี่คือเวทย์มนตร์ของการตลาดและโฆษณา

และวันนี้อนุรักษ์ก็ค้นพบผู้โดนร่ายมนตร์ใส่อีกสี่ราย เมื่อลิปสติกสี่แท่งถูก
วางบนสายพานเลื่อน เขาหยิบของขึ้นมาแสกนบาร์โค้ดเงียบ ๆ ตาม
หน้าที่แคชเชียร์ ตรงข้ามกับความรู้สึกตื่นเต้นดีใจลึก ๆ ข้างใน จนแทบ
กลั้นยิ้มไม่ไหว

...ก็จะว่าไป เขาก็ถือเป็ นส่วนหนึ่งที่ร่วมเสกคาถาสร้างโฆษณานี้อ้อม ๆ


เหมือนกัน

ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์หลังเหตุการณ์ในบริษัทเอเจนซี่ไทเกอร์ ถึงตัวเขาจะ
ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร หากก็ไม่สามารถห้ามความอยากรู้อยากเห็นใน
ชะตากรรมของลิปสติก พอว่าง ๆ เลยมักเผลอเปิ ดวิทยุหมุนหาคลื่นส
ปอดโฆษณาฟั ง แต่กลับไม่มีโฆษณาลิปสติกหลุดเข้าหู พาลให้นึกว่าคอน
เซปต์นี้ล่มไปแล้ว
กระทั่งเมื่อวานที่เขาช่วยจัดเรียงสต็อกสินค้า เขาจึงพบกล่องสินค้าของ
Baby Kiss ที่มีการรีแพ็คเก็ตใหม่ โดยนำสติกเกอร์ข้อความจากคอนเซปต์
นี้ใส่แปะเพิ่ม ซ้ำพี่ตายังบอกให้เขานำป้ ายโฆษณาสั่งทำพิเศษมาติดไว้ตรง
ชั้นวางผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าเห็นชัด ๆ อีก

...นั่นแหละ อนุรักษ์ถึงเพิ่งรู้...ไม่ใช่แค่สปอดวิทยุ แต่คอนเซปต์ 'ความสวย


แท้จริงอยู่ที่ใจ' ได้ขยายกลายเป็ นแคมเปญชูโรงหลักของ Baby Kiss ไป
แล้ว

แม้คุณทิมจะนำคำพูดเขาไปใช้แบบจับพลัดจับผลู แต่พอได้เห็นไอเดียของ
ตัวเองเป็ นรูปร่างก็ทำเอาอดยิ้มปลื้มไม่ได้

...แล้วคนที่ทำโฆษณาบ่อย ๆ จะรู้สึกแบบนี้เหมือนกันมั้ย?
ใบหน้าเฉยชาไม่ยินดียินร้ายของคุณชายแทรกผ่านเข้ามาในความคิด ...ไม่
ต้องเสียเวลาวิเคราะห์ก็รู้ รายนั้นต่อให้โดนชมมากแค่ไหนก็คงหน้าแข็ง
เป็ นรูปปั้น จะให้ส่งยิ้มออกมาน่ะเหรอ รอให้หิมะตกในประเทศไทยคง
ง่ายกว่า ...เสียดายหน้าตาดีขนาดนั้น ถ้าขยันยิ้มสักหน่อยสาว ๆ คงพากัน
เข้าคิวเป็ นทิวแถว ผิดกับเขากว่าจะหาแฟนได้สักคนแสนลำบากยากเย็น
เลยยังครองความโสดจนป่ านนี้ ทั้ง ๆ ที่ อยากตะโกนบอกฟ้ าเหลือเกินว่า

...'ความหล่อแท้จริง มันก็อยู่ที่ใจ' เหมือนกันนะเว้ย!

ปึ ก!

เสียงตะกร้าวางของบนเคาท์เตอร์แคชเชียร์หยุดอาการตัดพ้อ อนุรักษ์รีบ
หันไปมุ่งมั่นบริการลูกค้ารายใหม่ พนมมือไหว้อ่อนน้อมตาม
ขนบธรรมเนียมไทย ส่งยิ้มต้อนรับ โดยพยายามใส่หัวใจหล่อ ๆ ลงไปเต็ม
ร้อย
"เจคิงซ์ซูเปอร์ สวัสดีครับ"

ก่อนจะเหลือบมองของภายในตระกร้าสีฟ้ า ซึ่งเต็มไปด้วยผงปรุงรสน้ำซุป
สำเร็จทั้งแบบซองและแบบก้อน เดาจากปริมาณก็เผลอวิเคราะห์ลูกค้า
ตามนิสัย ...ถ้าไม่เปิ ดร้านขายอาหาร ก็ต้องขายก๋วยเตี๋ยวแน่ ๆ แต่คนกิน
คงซดไปผมร่วงไป เพราะพี่ท่านเล่นใส่ชูรสเยอะขนาดนี้ ...เอ้ยย เกือบลืม
วิจารณ์มากไม่ได้ ต้องใจหล่อไว้ก่อน

เขาจึงรีบเปลี่ยนไปถามด้วยความสุภาพ

"ไม่ทราบว่ามีบัตรสมาชิกมั้ยครับ"

"ไม่มีครับ"
น้ำเสียงราบเรียบแสนคุ้นหู อนุรักษ์คิดว่าเป็ นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อเห็นเสื้อ
สูทเนื้อดี ใบหน้าหล่อคม ผมหวีเสยจัดทรงเนี้ยบ และนัยน์ตาเรียวโศกไม่
แสดงความรู้สึก องค์รวมทั้งหมดประกอบออกมาได้เป็ นคนเดียว

"คุณชายมาทำอะไรที่นี่ครับ!"

โพล่งออกไปอย่างตระหนก แววตานิ่งเฉยของคุณชายจึงเริ่มแสดงความ
รู้สึกนิด ๆ แปลความหมายออกมาว่า เขาช่างถามอะไรแสนโง่เง่า

"ซื้อของ"

...ถูกครับ มาซูเปอร์ก็ต้องมาซื้อของ แต่ไอ้ที่เขาอยากรู้คือ ทำไมคนอย่าง


คุณชายถึงได้ออกมาซื้อของตอนสองทุ่มกว่าด้วยชุดสูทเต็มยศ และที่
สำคัญสินค้าในตระกร้ามันก็ไม่ได้เข้ากับบุคลิกคนซื้อจนเขาวิเคราะห์เดา
ผิดไปคนละทิศ
"คุณจะซื้อพวกนี้ไปทำไมตั้งเยอะแยะครับ"

ปกติเจคิงส์ซูเปอร์มีนโยบายสอนให้พนักงานแคชเชียร์ทำงานเหมือนหุ่น
ยนต์ ...ไม่ใช่ในแง่ไม่ดี แต่หมายถึง ...ไม่ว่าลูกค้าจะหยิบจับซื้ออะไรก็ห้าม
แสดงอาการออกมาให้เห็น เพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดอาการเคอะเขินหรือ
กระอักกระอวนใจ ...ผู้ชายซื้อผ้าอนามัย ...ผู้หญิงซื้อถุงยาง อนุรักษ์ก็ทำ
หน้าที่คิดเงินหยิบใส่ถุงเป็ นเรื่องปกติ แม้จะแอบวิเคราะห์นิสัยคนซื้อเล่น
ๆ แต่เขาไม่เสียมารยาทสอดรู้สอดเห็นจุดประสงค์ในการซื้อของของลูกค้า

แต่ครั้งนี้คงต้องขอแหกกฏ เพราะความสงสัยมันท่วมท้น แต่คำตอบที่ได้


รับดันเรียบง่ายกว่าที่คิด

"ฉันต้องทำปรินท์แอดผงซุปต้มยำ"
เกือบลืมไป...คนที่จะซื้อของในตระกร้านี้ได้ นอกจากพ่อครัว ก็คงมีแต่
เป็ นนักครีเอทีฟโฆษณาที่ต้อง 'รู้ลึก รู้ละเอียด ทดลองใช้จริง' เท่านั้น
คุณชายจึงลงทุนมาซื้อสินค้าเพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง ซึ่งเขาคงไม่
แปลกใจเท่าไรถ้ามีแค่ผงซุปต้มยำเพียงอย่างเดียว

"ทำโฆษณาผงซุปต้มยำ แล้วซุปก้อนแกงกะหรี่เกี่ยวอะไรด้วยล่ะครับ"

อนุรักษ์หยิบเครื่องปรุงสัญชาติญี่ปุ่นออกมาจากกองผงซุปนับสิบ ทั้งผงซุป
กระดูกหมู ซุปก้อนไก่ ผงปรุงต้มแซ่บ ต้มข่า สารพัดยี่ห้อ แตกต่างกันทุก
รส แต่คุณชายทำให้มันเกี่ยวโยงกันได้ด้วยประเด็นสำคัญ

"ฉันต้องเข้าใจในผลิตภัณฑ์ถ่องแท้ เพื่อเอามาเปรียบเทียบ ถึงจะทำ


โฆษณาออกมาได้ดี"

เป็ นคำอธิบายที่แสนทุ่มเทให้กับงาน จนน่าเรียกร้องให้เอเจนซี่ไทเกอร์


มอบโล่ตำแหน่งพนักงานดีเด่นประจำทศวรรษให้
"แต่กินเยอะขนาดนี้จะไม่เป็ นไรเหรอครับ"

ถามเพราะรู้ว่าส่วนประกอบของพวกซุปก้อนปรุงสำเร็จล้วนใส่ผงชูรสลง
ไปทั้งนั้น ทานมาก ๆ ก็เป็ นอันตรายกับร่างกายของตัวเอง ถ้าคุณชายห่วง
สุขภาพสักนิดคงเข้าใจ ทว่านอกจากจะไม่สน ยังย้อนความกลับ

"อาหารทุกวันนี้ที่เธอกินก็ใส่ของพวกนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ"

อนุรักษ์คิ้วกระตุก นึกถึงสินค้าของกลุ่มเด็กหอรายล่าสุด ...บะหมี่กึ่ง


สำเร็จรูป โจ๊กคัพ ปลากระป๋ อง ...จริงอยู่ว่าเขาพึ่งพาพวกมันบ่อย ๆ โดย
เฉพาะช่วงใกล้สิ้นเดือน เพราะไม่มีปั ญญาไปหาซื้อพวกผักปลาออร์แกนิค
สดจากธรรมชาติ กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีสิทธิเลือก
"ผมไม่ได้กินแต่ของสำเร็จรูปอย่างเดียวนะครับ ถึงงบจะน้อย ผมก็ยัง
เลือกของมีประโยชน์ แต่ถ้าคุณอยากกินทั้งหมดนี้แล้วเป็ นไตวายก็เชิญ
เลยครับ"

โต้กลับไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด คุณชายขยับปากคล้ายจะตอบอะไรบาง
อย่าง แต่กลายเป็ นเสียงหนึ่งดังขึ้นแทน

"อะแฮ่ม!"

เสียงกระแอมไอจากด้านหลังแบบนี้ พนักงานในเจคิงซ์ซูเปอร์คุ้นเคยเป็ น
อย่างดี โดยเฉพาะอนุรักษ์ที่โดนเดจาวูมาแล้วสองรอบ

"น้องรักษ์ไปแช่งลูกค้าแบบนั้นได้ยังไงคะ พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าลูกค้า
คอมเพลนมาจะเกิดอะไรขึ้น"
พี่ตา ผู้จัดการซูเปอร์เอ่ยเตือนด้วยใบหน้านุ่มนวลใจดีของผู้หญิงวัยห้าสิบ
แต่ด้านหลังดันเป็ นภาพลวงตาของคุณครูถือไม้เรียว พร้อมลงโทษเด็ก
เกเรออกนอกลู่นอกทาง พาให้คนแหกกฏเสียวหลังวาบ รีบก้มศีรษะขอ
ขมาต่อผู้มีอุปการคุณทันที

"ต้องขอประทานโทษด้วยครับที่พูดจาลามปามไม่สุภาพ"

"ไม่เป็ นไร ฉันไม่ถือ"

น้ำเสียงราบเรียบยังคงเป็ นเช่นเดิม แต่ที่เพิ่มเติม...คือการยกมุมปากเป็ น


รอยยิ้มน้อย ๆ คล้ายกำลังขำ

อนุรักษ์เห็นมันเพียงแค่เสี้ยววินาทีเมื่อเงยหน้าขึ้นมา แทบไม่แน่ใจจนนึก
ว่าตาฝาดไปเอง หากก็ต้องเลิกสงสัย เพราะถูกพี่ตาเร่ง
"รีบคิดเงินสิจ๊ะน้องรักษ์ อย่าให้ลูกค้ารอนาน"

พนักงานแคชเชียร์จึงกลับไปทำหน้าที่สแกนบาร์โค้ทสินค้าอย่างไว แจ้ง
ยอดบิล พร้อมรับธนบัตรสีเทาจากคุณชาย และทอนเงินโดยไม่มีการผิด
พลาด

"ขอบคุณที่ใช้บริการ โอกาสหน้าเชิญที่เจคิงส์ซูเปอร์ใหม่นะครับ"

พวกเขาสองคนกลับไปอยู่ในสถานะผู้ให้กับผู้ใช้บริการเหมือนเดิม
คุณชายหิ้วถุงซูเปอร์มาร์เก็ตเดินจากไป ส่วนอนุรักษ์ก็ต้องต้อนรับลูกค้า
รายใหม่ที่เข้ามาพอดี

ทว่า...บางสิ่งยังคงติดอยู่ในใจของใครบางคนไม่หาย
สงสัยวันนี้หิมะคงตกในประเทศไทยแน่ ๆ เพราะแม้จะเป็ นช่วงเวลาสั้น ๆ
ที่ใบหน้านิ่งเฉยนั้นแปรเปลี่ยน อนุรักษ์ก็รู้ซึ้งปนความเจ็บใจหน่อย ๆ ว่า...

...เขาไม่อาจงัดเอาความหล่อที่แท้จริงจากข้างใน มาสู้กับรอยยิ้มเดียวของ
คุณชายได้เลย

---------------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------

หิมะไม่ตก แต่ฝนดันตก
อนุรักษ์เลิกงานตอนใกล้ห้าทุ่มในสภาพเอวแทบเคล็ด เพราะโดนพี่ตา
เรียกใช้ให้ไปยกลังสินค้าหนัก ๆ ประเภทผงซักฟอกสูตรห้ากิโล กระสอบ
ข้าวสารหอมมะลิ แกลลอนน้ำยาถูพื้นขนาดสามลิตร มาจัดเรียงเข้าชั้น
ถือเป็ นการทำโทษที่แสดงกิริยาไม่สุภาพต่อหน้าลูกค้า

นึกเคืองตัวต้นเหตุที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องวุ่นวาย แต่จะโทษว่าอากาศ
เปลี่ยนเพราะอิทธิพลของคุณชายก็คงไม่ถูก

หมดช่วงหน้าร้อน เริ่มมีคำเตือนเรื่องมรสุมได้ยินบ้าง แต่ทำไมไม่รอให้เขา


กลับบ้านก่อนค่อยตก ลงเม็ดหนักเหมือนฟ้ ารั่วขนาดนี้ จะรอฝนซาก็ไม่
ได้เพราะกลัวรถเมล์หมด เขาตัดสินใจลัดเลาะตามมุมหลังคาไปยังป้ าย
รถเมล์ตรงหน้าซูเปอร์ กระนั้นก็ยังแอบโดนฝนจนหายใจฟึ ดฟั ดหน่อย ๆ
เป็ นธรรมดาเวลาร่างกายเขาเจออากาศเปลี่ยน ภาวนาให้รถเมล์มาเร็ว ๆ
จะได้รีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไม่ให้เป็ นหวัด
ตี๊ด ติ๊ด!

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ ากางเกงสั่นเบา ๆ เป็ นเสียงข้อความเข้า อนุรักษ์


รีบหยิบขึ้นมากดเปิ ดอ่าน สัญญาณจากสองเครือข่ายซึ่งอยู่ในเครื่อง
ทำให้ทราบได้ว่า SMS นี้ถูกส่งมาจากซิมไหน นับจากคราวที่เขารับฝากซิ
มเอาไว้จากคุณชาย ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกเลยเป็ นอาทิตย์ จวบจน
กระทั่งวันนี้...

อนุรักษ์ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลง ด้วยการกดโทรหาคุณชาย และพอ


ปลายสายรับ เขาก็แจ้งเรื่องทันที

"มีข้อความกดถอนเงินจำนวนสามหมื่นบาท เวลาสี่ทุ่มห้าสิบสามครับ"

"งั้นรึ เข้าใจแล้ว"
เพราะไม่เห็นหน้า จึงไม่อาจเดาได้ว่าคุณชายจะกระตือรือร้นกับข่าวนี้รึ
เปล่า ครั้นจะเอ่ยปากถามซ่อกแซกเรื่องคุณชายสืบหาสปายของ ATM ไป
ถึงไหนแล้วก็ไม่กล้า เพราะเพิ่งโดนบทลงโทษฐานสอดรู้สอดเห็นจากพี่ตา
ไปหมาด ๆ ในเมื่อหมดธุระ เขาเลยเลือกขอวางสาย

"ถ้างั้น แค่นี้นะครับ สวัส..."

แต่ยังไม่ทันจะจบประโยค รถแท็กซี่คันหนึ่งก็แล่นโฉบเข้ามาอย่างเร็ว พา
ให้น้ำซึ่งเอ่อท่วมถนนเพราะฝนตกกระเซ็นขึ้นมาถึงขอบฟุตบาท ทำเอา
เขากระโดดหลบเกือบไม่ทัน

"เฮ้ยย! ขับดี ๆ สิพี่!"


แท็กซี่ตีนผีซิ่งดริฟห่างไปไกล คงไม่มีทางได้ยินเสียงสบถด่า แต่คนใน
โทรศัพท์ที่เขาถืออยู่กลับได้ยินชัดเจน

"ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน"

"อ้อ...ผมเพิ่งเลิกงาน กำลังรอรถเมล์อยู่ตรงหน้าซูเปอร์ครับ เมื่อกี๊มีแท็กซี่


ขับซิ่งด้วย ฝนกำลังตก ถนนลื่น ไม่ระวังไปชนใครขึ้นมาจะทำยังไง"

ด้วยความที่เสียพ่อแม่ด้วยอุบัติเหตุทำให้เขาอ่อนไหวเป็ นพิเศษกับเรื่อง
การใช้รถใช้ถนน ที่บ่นไปก็หวังว่าคุณชายจะเห็นพ้อง ทว่าอีกฝ่ ายกลับเอ่ย
ในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด

"เธออย่าเพิ่งกลับ เดี๋ยวฉันจะไปหา"
"คุณจะมาทำไมครับ" ขมวดคิ้วงง ดึกดื่นใกล้ห้าทุ่มเขาเองก็อยากกลับหอ
ไปนอนพัก แต่คุณชายดันอ้างเหตุผล

"ฉันอยากจะเช็คข้อความ"

"เดี๋ยวผมส่งซ้ำไปให้คุณก็ได้"

ระบบโทรศัพท์ยุคนี้พัฒนาแล้ว จะก็อปปี้ข้อความกดแค่ปุ่มเดียวก็ส่งไปได้
ไม่จำเป็ นต้องเสียเวลามาดูให้เห็นกับตาจากเครื่องของเขา หากใครบาง
คนเลือกเมินทำเรื่องง่ายให้กลายเป็ นยาก

"รออยู่ตรงนั้น"
คุณชายออกคำสั่ง แล้วตัดสายทิ้ง ถือเป็ นการบังคับอ้อม ๆ และอนุรักษ์รู้
ดีว่าเปล่าประโยชน์ที่จะเถียง เขาจึงจำต้องปล่อยให้รถเมล์สายที่รอ ซึ่ง
หยุดจอดเทียบป้ ายเมื่อครู่แล่นผ่านไปต่อหน้า

...ไม่เกินสิบห้านาที ฝนเริ่มซาลงไปเล็กน้อย รถญี่ปุ่นสีดำคันเล็กก็เคลื่อน


มาหยุดใกล้ ๆ เขาเปิ ดประตูขึ้นไปนั่ง โดยไม่ต้องให้คนขับลดกระจกมา
สั่งซ้ำสอง

คุณชายยังใส่สูทเต็มยศเหมือนที่เขาเห็นในซูเปอร์ คล้ายเจ้าตัวยังไม่ได้
กลับบ้าน แน่นอนเขาไม่แปลกใจเลยสักนิด ต่อให้อยู่บริษัทดึก ๆ หรืออยู่
ที่คอนโดคุณชายก็ยังหอบงานไปทำอยู่ดี ทีแรกเขานึกว่าคุณชายจะขับ
ต่อไปเรื่อย ๆ แต่รถวิ่งต่อไปไม่ไกล คุณชายก็เปิ ดไฟเลี้ยวจอดแนบ แล้ว
หันมาหาผู้โดยสาร

"ขอโทรศัพท์ของเธอหน่อย"
อนุรักษ์จึงส่งมือถือเครื่องเก่าโทรมของตัวเองไปให้ คุณชายรับไปเปิ ดอ่าน
ข้อความ แววตาเคร่งเครียดตั้งใจพิจารณาไม่ได้ทิ้งขว้างส่ง ๆ เช่นเดียวกับ
คราวที่แล้ว

เขาไม่ห้ามหรอก ถ้าคุณชายอยากจะจ้องโทรศัพท์ให้ข้อความมันซึมลงไป
ถึงแก่นสมอง แต่จะขอบคุณมากถ้าทำอะไรสักอย่างกับอุณหภูมิในรถ
คุณชายเล่นเปิ ดแอร์เย็นฉ่ำประหนึ่งสืบสายเลือดเดียวกับเอสกิโม คนใส่
สูทสองชั้นอาจไม่หนาว แต่เขาที่มีเพียงเสื้อยูนิฟอร์มแคชเชียร์ซ้ำยังโดน
ฝนมาก่อน นั่งนาน ๆ ก็ชักจะเกิดอาการสั่น ๆ ครั่นจมูก

"ฮัชชิ่ว!"

สุดท้ายก็เผลอจาม โชคดีที่ไม่มีน้ำมูกไหลย้อยออกมาให้น่ารังเกียจ หาก


โชคร้ายที่ระบบหายใจของเขาสะดุดเปลี่ยนเป็ นอาการสะอึกต่อเนื่องไม่
หยุด
“ดื่มมั้ย”

คุณชายส่งแก้วกาแฟมาให้ด้วยความสงสารหรือรำคาญไม่อาจทราบ แต่
อนุรักษ์ก็รีบรับน้ำใจ

"ขะ..อึก..ขอบคุณ..อึก..ครับ"

วิธีแก้สะอึกที่ได้ผลสำหรับเขาคือการกลั้นหายใจ แล้วดื่มน้ำตามลงไป
เขาจึงเอามือบีบจมูก ก้มลงดูดน้ำผ่านหลอดรวดเดียว แต่ทันทีที่รสชาติ
ผ่านลิ้น... คนดื่มก็แทบจะคายสวนของที่อยู่ในปากออกพรวด! ยังดีที่ยั้งไว้
ได้จึงแค่สำลักไอค่อกแค่ก อาการสะอึกหายไปฉับพลัน ไม่ใช่เพราะการดื่ม
น้ำช่วย แต่เพราะความตกใจ

“นี่อะไรครับเนี่ย!”
อนุรักษ์มองแก้วกาแฟปิ ดฝาครอบทึบสีน้ำตาลในมือ แก้วแนวนี้มักจะใส่
เครื่องดื่มจำพวกมอคค่า ลาเต้ คาปูชิโน่ แต่ของที่อยู่ด้านในไม่ได้ใกล้เคียง
ซ้ำยังสยดสยองเมื่อคุณชายเฉลย

“ผงซุปรสต้มยำ เธอชิมแล้วไม่รู้หรือ สงสัยยี่ห้อนี้รสอ่อนเกินไป”

ถึงเขาจะเอามือบีบจมูกทำให้ไม่ได้กลิ่น ลิ้นก็ยังจำรสเปรี้ยว เค็ม หวาน


เผ็ดได้ดี และปริมาณที่เพิ่งชิมก็เป็ นอัตราส่วนที่ผสมมาไม่ใช่น้อย ๆ ด้วย

“รสอ่อนตรงไหน เข้มจนผมสำลักขนาดนี้ แล้วใครเขามาละลายน้ำดูดกิน


กันดื้อ ๆ มันต้องใส่เครื่องลงไปต้มด้วย"

“ถ้าใส่อย่างอื่นก็จะไม่รู้รสแท้จริงของซุปน่ะสิ”
“แต่มันจะไปอร่อยได้ยังไง”

“ถ้าเธอไม่ชอบรสนี้ ฉันมีรสอื่นอีก ชิมแล้วบอกฉันด้วยว่าเธอคิดยังไง”

คุณชายหันไปมองทางเบาะหลังของรถ ซึ่งมีแก้ว กระติกน้ำร้อน และถุงซู


เปอร์มาร์เก็ตเจคิงส์ ภายในเต็มไปด้วยสารพัดผงซุปที่ดูเหมือนจะถูกแกะ
กินไปแล้วบางส่วน

...อัจฉริยะกับความบ้าห่างกันแค่เส้นบาง ๆ ...อนุรักษ์สงสัยว่า คุณชายคง


ข้ามขั้นไปอยู่อีกฝากเรียบร้อยแล้ว

ก็จะมีคนปกติธรรมดาที่ไหนชงน้ำซุปเหมือนชงกาแฟ แล้วพกติดตัวมา
ด้วย แถมยังสั่งให้เขาชิมอีก หรือความจริงที่เรียกเขามา จุดประสงค์ไม่ใช่
เพราะอยากดูข้อความทางโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว
“คุณจะใช้ผมเป็ นหนูทดลองอีกแล้วเหรอครับ”

“ฉันแค่อยากได้ข้อมูลจากผู้บริโภคเพิ่ม”

คนโดนคาดคั้นหาข้ออ้างเดิม ๆ ฟั งแล้วก็ต้องถอนหายใจ

...กี่ครั้งที่คุณชายชอบใช้วิธีบีบบังคับกันอ้อม ๆ ไอ้นิสัยเสีย ๆ ติดตัว


ทำนองนี้คงไม่มีทางแก้หาย ...เขาว่ากันว่าไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก แต่
ถ้าไม่ลองค่อย ๆ ดัดไม้แก่ที่แข็งแทบกลายเป็ นหินของคุณชายดู สักวันคง
ถูกใครหมั่นไส้ถีบโครมให้หักพังลงมา

"ผมจะยอมช่วยก็ได้ครับ แต่คุณต้องพูดขอร้องผมดี ๆ ก่อน"


เขาลองยื่นเงื่อนไขโดยไม่ลืมดักคอนักโฆษณา "แล้วห้ามใช้วิธีโน้มน้าว
ด้วย ต้องพูดกันตรง ๆ"

แต่แทนทีจะรับฟั งข้อเสนอ ดันถูกอีกฝ่ ายพึมพำระอา

"...เล่นอะไรเป็ นเด็ก"

โดนคนอายุมากกว่าบ่นใส่แบบนี้ ก็ขยำความหวังดีต่าง ๆ โยนทิ้งถังขยะ


ได้เลย

"งั้นช่างเถอะ ถ้าเรื่องพื้นฐานเด็ก ๆ แค่นี้คุณยังทำไม่ได้ ผมขอโทรศัพท์คืน


ด้วยครับ"
อนุรักษ์ยื่นมือไปคว้าอุปกรณ์สื่อสารเครื่องเก่าของตนเอง แต่คุณชายรีบ
ยกมันออกห่างไปยังอีกฝั่ งของรถ

"เอาโทรศัพท์ผมคืนมา"

โวยวายใส่คนที่ชูมือขึ้นสูงเหมือนแกล้ง ...ตอนนี้ใครกันแน่ที่กำลังเล่นเป็ น
เด็ก นึกหงุดหงิดในใจว่า พลาดอีกแล้ว เขาไม่น่าปล่อยมือถือตัวเองไปให้
ผู้ร้ายชอบจับตัวประกันนี่เลย

อนุรักษ์พยายามโน้มตัวไปใกล้อีกฝั่ ง เขาไม่ใช่คนตัวเล็ก รถญี่ปุ่นแคบ ๆ


เพียงแค่ขยับไม่กี่ครั้งก็แทบจะเอื้อมมือแตะกระจกฝากคนขับได้ ดังนั้นใช้
เวลาไม่นาน ในที่สุดเขาจึงสามารถคว้าโทรศัพท์จากมือคุณชาย ซึ่งเจ้าตัว
ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี หากสภาพองศาร่างกายเขาตอนนี้ แทบจะเบียดชิด
กับคนในเสื้อสูท ใบหูอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ รวมทั้งน้ำเสียงราบ
เรียบแสนคุ้นเคยกระซิบเป็ นถ้อยคำ
"...รักษ์ ฉันขอร้อง"

ตลอดมาพอได้ยินทำนองเสียงนี้ อนุรักษ์จะรู้สึกได้ว่ามวลอากาศรอบกาย
นั้นสั่นไหว นำพาคำพูดทุกพยางค์พุ่งปะทะใส่หู แต่เมื่อคุณชายกระซิบ
ผ่านหูโดยตรงจริง ๆ แล้ว เขาจึงเพิ่งรู้...

...ไม่ใช่แค่อากาศโดยรอบสั่นสะท้อน หากมันคล้ายถูกดูดให้หายวับ
กระทั่งเขาไม่สามารถหายใจ

"พอใจรึยัง"

อนุรักษ์ดึงสติกลับมาอีกครั้งหลังได้ยินคำถาม เขารีบขยับตัวออกห่างมา
นั่งฝั่ งตนเองในท่าปกติ พลางพยกหัวเงอะ ๆ งะ ๆ
"อ่ะ...เออ...ครับ"

"งั้นลองชิมดูอีกที"

คุณชายยื่นแก้วบรรจุน้ำละลายผงปรุงรสต้มยำมาให้ แต่ไม่มีทางที่เขาจะ
รับยาพิษมาดื่มเป็ นครั้งที่สอง

"ไม่ครับ" ปฎิเสธชัดเจนโต้ง ๆ จนคู่สัญญาต้องร้องเรียน

"แต่เธอบอกว่าจะช่วย"

"ผมไม่ได้จะช่วยชิม แต่ผมจะช่วยให้ข้อมูล"
"ข้อมูลแบบไหน"

อนุรักษ์ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะยกยิ้ม

"อย่างคุณชาย ผมจะจัดให้แบบซุปเปอร์สเปเชี่ยลเลยครับ"

บทที่ 07 : เป็ นมากกว่าความอร่อย

...อนุรักษ์เป็ นลูกผู้ชายรักษาคำพูดเสมอ
ในเมื่อสัญญากับคุณชายไว้ว่าจะให้ข้อมูลแบบ 'ซุปเปอร์สเปเชี่ยล' เขาก็
จัดให้ตรงตามตัวอักษร

"นี่อะไร"

คำถามเสียงโมโนโทนจากคนในชุดสูทซึ่งนั่งตรงข้ามเขาเอ่ยขึ้น หลังมอง
ชามร้อน ๆ สองใบบนโต๊ะ

"ก็ 'ซุปเปอร์สเปเชี่ยล' ไงครับ หรือถ้าแปลเป็ นไทย เขาเรียกว่า...ต้มยำตีน


ไก่แบบพิเศษ "

อนุรักษ์อธิบายขณะใช้ช้อนคนน้ำซุปสีเข้มด้วยส่วนประกอบของ พริกแห้ง
เครื่องต้มยำ และขาไก่ขาวอวบที่ใส่เยอะจนเต็มชาม เพราะเขาสั่งมาใน
ราคาพิเศษ 80 บาท แล้วยังสั่งเพิ่มข้าวสวยสองจานแถมให้ด้วย
"เจ้านี้ผมกินประจำตอนเลิกกะดึก เขาเปิ ดขายช่วงห้าทุ่มถึงตีสาม ขอบอก
เลยน้ำซุปเด็ดมาก แล้วไม่รู้เขาต้มตีนไก่ยังไงถึงเปื่ อยสุด ๆ ตอนดูดเนื้อ
เนี่ยนะ หูยย...ไม่ต้องออกแรง แทบละลายในปาก ...คุณลองชิมดูสิ อร่อย
นะ"

จบการบรรยายราวกับเซลล์ชวนชิม อนุรักษ์ก็ไม่รอช้ารีบตักน้ำต้มยำร้อน
ๆ ซัดโฮกเข้าไปหนึ่งคำ ฝนหยุดตกไปแล้ว ทิ้งลมหนาวตอนกลางคืนให้พัด
มาเย็น ๆ พอได้อะไรอุ่นกระเพาะสักหน่อยจึงรู้สึกสบายตัว คล้ายได้ยา
ฟื้ นกำลังที่เหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน

กลิ่นหอมเครื่องเทศอ่อน ๆ กระตุ้นความอยากอาหาร บวกกับรส


กลมกล่อม เปรี้ยว เค็ม และเผ็ดจี้ดถึงใจ ทำให้หยุดไม่ได้ที่จะเผลอตักเข้า
ปากเรื่อย ๆ โดยเฉพาะขาไก่เนื้อเปื่ อยซึมซับน้ำซุป ซึ่งต้องใช้มือตัวเอง
หยิบดูดจนกระดูกร่อน ทานพร้อมข้าวเปล่าอร่อยเหาะแทบลืมโลก
เขาเพลิดเพลินกับการแทะขาไก่อย่างเมามันหมดไปเกือบครึ่งชาม จึงเพิ่ง
สังเกตเห็นว่าคนร่วมโต๊ะยังไม่ได้เริ่มแม้แต่จะขยับช้อน

"อ้าว ไม่กินล่ะครับ เดี๋ยวก็หายร้อนหรอก"

คุณชายนั่งนิ่งเฉยชากับคำเตือน เพียงแค่ปรายตามองอนุเสาวรีย์กอง
กระดูกไก่ย่อม ๆ บนกระดาษทิชชู่ของเขา แล้วตอบสั้น ๆ

"ฉันกินไม่เป็ น"

อนุรักษ์เลิกคิ้ว ...กินไม่เป็ น? มันจะยากตรงไหนก็แค่ใส่ปากเคี้ยว ทีผงซุป


ต้มยำผสมน้ำรสชาติพิสดารขนาดนั้น คุณชายยังกินเข้าไปได้เลย นี่
อุตส่าห์จัดเครื่องมาเต็มครบรสต้มยำไทยแท้ ๆ ดันไม่ยอมแตะ
...หรือบางทีคุณชายอาจจะคุ้นเคยแต่กับพวกอาหารฝรั่ง?

อย่างคราวที่แล้วก็พาเขาไปทานร้านหรู ๆ เมนูตะวันตกทั้งนั้น ...เทียบกับ


ครั้งนี้ ร้านอาหารตั้งอยู่ในตึกแถวเก่าโทรมคูหาเดียว โต๊ะเก้าอี้เป็ น
พลาสติกมีลูกค้าจับจองอยู่ไม่เกินสามที่ ข้างผนังตกแต่งด้วยโปสเตอร์
โฆษณาน้ำอัดลมสีซีดจาง พรีเซนเตอร์ดาราวัยรุ่นยุค 90 ในรูปปั จจุบัน
ท้องลูกสองไปแล้ว โดยรวมเป็ นร้านสไตล์ลูกทุ่งข้างทาง ไม่มีแม้กระทั่ง
ป้ ายชื่อ หรืออะไรโดดเด่นเป็ นพิเศษ

อนุรักษ์เชื่อว่าของที่ดูหรูหราไฮโซสุดในร้าน ...ก็คงเป็ นคนที่นั่งตรงข้ามกับ


เขาเนี่ยแหละ

ผู้ชายมาดดีใส่สูทเต็มยศมานั่งอยู่ในร้านต้มซุปเปอร์ตอนห้าทุุ่มคงเป็ นภาพ
หายาก ไม่แปลกถ้าจะตกเป็ นเป้ าสายตาใครต่อใคร และบทสนทนาของ
พวกเขาสองคนคงลอยเข้าหูโต๊ะข้าง ๆ จนต้องหันมาร่วมวงคุยด้วย
"น้องชาย ต้มซุปเปอร์ร้านนี้ของดีเลยนะ ลุงลองชิมมาหลายร้านแล้ว
ที่ไหนก็สู้ที่นี่ไม่ได้ มันบ่แซ่บ ต้องกลับมาตายรังทู๊กที!"

คุณลุงผมบางหุ่นอวบในเครื่องแบบคนขับแท็กซี่ สำเนียงเจือเหน่อแบบคน
อีสานพูดเชียร์สนับสนุน อนุรักษ์สังเกตเห็นบนโต๊ะนั้น มีจานข้าวเปล่าว่าง
ๆ กับต้มยำสองชามที่น้ำซุปแทบหมดเกลี้ยงถ้วย บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงชอบ
จริง ๆ ตามคำอ้าง

หากแทนทีคนฟั งเริ่มมีปฏิกิริยาคล้อยตาม คุณชายใช้ช้อนตักขาไก่ขึ้นมา


พิจารณา โดยไม่ปกปิ ดอาการคลางแคลงใจ

"ของแบบนี้ยังมีคนเอามากินได้ด้วยหรือ"

...อย่าว่าแต่ตีนไก่เลย ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผู้อยู่บนห่วงโซ่ชั้นบนสุดของอาหาร
ต่อให้เป็ นตีนหมี ม้าน้ำ สมองลิง แมงกระจั๊ว ก็สรรหามากินได้ทั้งนั้น
...ขาไก่ถือเป็ นวัตถุดิบเบสิค ไม่ใช่ของประหลาดพิลึกอะไร ถึงรูปร่างของ
มันจะน่าเกลียดไม่ชวนมอง ความจริงกลับซ่อนความอร่อยไว้อัดแน่น คน
ที่ทานเฉพาะเนื้อปี ก เนื้อน่อง มาตลอดอาจไม่เข้าใจ แต่คุณชายก็ไม่มี
สิทธิมาดูถูกรสนิยมความชอบของคนอื่น

อนุรักษ์เตรียมจะสั่งสอนสวนกลับ ทว่ายังไม่ทันเริ่ม ใครบางคนดันเป็ น


ฝ่ ายแย่งลงมือแทนด้วยแรงอารมณ์มากกว่าสองเท่า

"ที่นี่เป็ นร้านต้มซุปเปอร์ ใครกินไม่เป็ นก็ออกไป อย่ามานั่งเกะกะลูกค้าคน


อื่น!!"

เสียงดังจากหน้าร้านซึ่งวางหม้อต้มขาไก่ร้อน ๆ คนถือกระบวยตักน้ำซุป
คือเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกินสิบแปด ความสูงตามวัยกำลังโตจึงยังอยู่ที่ร้อย
หกสิบ แต่ดวงตาคู่นั้นแกร่งกล้าคมกริบ ไร้ความเกรงกลัว ซ้ำยังฉาบแววดุ
จ้องมองมายังโต๊ะเขาด้วยท่าทางหาเรื่อง
เขาคิดอยู่แล้วว่า สักวันคำพูดแสนกวนประสาทไม่รักษาน้ำใจของคุณชาย
คงได้ไปจุดระเบิดต่อมโมโหของใครเข้า แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็ นในร้านขาย
ต้มซุปเปอร์เจ้าประจำที่ชอบ ขืนมาทะเลาะกันตรงนี้ เขาคงไม่มีโอกาส
เหยียบร้านอีกแน่

อนุรักษ์พยายามหาทางไกล่เกลี่ย แต่เป็ นอีกครั้งที่เขาโดนชิ่งตัดหน้า

"ปลื้ม! ไปพูดแบบนั้นได้ยังไงกันลูก"

หญิงชราร่างผอมบางเดินลงบันไดมาจากด้านหลังร้าน นักเลงโตเมื่อครู่รีบ
วางมาดโหด ๆ ทิ้งลงทันที กลายสถานะเป็ นหลานชายผู้พูดด้วยความเป็ น
ห่วง

"ยายออกมาทำไม ไปพักเถอะ ปลื้มทำคนเดียวได้"


"ขืนยายปล่อยให้ปลื้มทำคนเดียว ลูกค้าคงหนีหมดร้านพอดี"

"แต่ยายยังไม่ค่อยหาย"

"ยายดีขึ้นเยอะแล้ว พรุ่งนี้ปลื้มก็ต้องไปเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอ แล้วมีงาน


ต้องส่งครูรึเปล่า ทำเสร็จหมดรึยัง"

"เรียนช่างศิลป์ งานไม่เยอะหรอกยาย"

"อย่าโกหกยายนะปลื้ม ยายบอกแล้วว่าหน้าที่ของปลื้มคือเรียน ไม่ต้อง


ห่วงเรื่องอื่น"

"แต่..."
"กลับไปทำหน้าที่ของเราให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาช่วยยาย"

...พอโดนดุเข้าหนัก ๆ ก็ต้องยอมพ่ายแพ้ เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนเดิน


ขึ้นบันไดไปชั้นสอง ปล่อยให้ร้านกลับมาอยู่ในดูแลของ 'ยายแม้น' เจ้าของ
ตัวจริงที่อนุรักษ์คุ้นเคย

ใบหน้าร่วงโรยตามวัยขึ้นเลขหก แต่ดวงตาฉายแววเอื้ออารีอยู่เสมอ
...เหตุผลอีกอย่างที่เขาชอบมากินต้มซุปเปอร์ร้านนี้บ่อย ๆ ก็เพราะความ
ใจดีของคุณยาย ...ชอบตักข้าวเยอะ ๆ บ้าง ...ตักขาไก่แถมให้เป็ นพิเศษ
กับลูกค้าประจำบ้าง และหลายครั้งเขายังเห็นยายแม้นตักต้มซุปเปอร์ใส่
ถุงให้คนไร้บ้านแต่งตัวซ่อมซ่อเอาไปกินฟรี ๆ ด้วย

วันนี้เขาเองก็แปลกใจที่ไม่เห็นหญิงชราอยู่หน้าร้าน แต่ครั้นสังเกตสีหน้า
ค่อนข้างซีดเซียวกว่าปกติ และฟั งจากบทสทนาเมื่อครู่จึงพอเดาสาเหตุได้
ว่าคงเกี่ยวข้องกับสุขภาพ หากยายแม้นก็ยังไม่ยอมละทิ้งหน้าที่บริการ
ลูกค้า เดินตรงมายังโต๊ะของพวกเขา

"ต้องขอโทษด้วยนะที่หลานชายยายพูดไม่ดีแบบนั้น"

"ผมต่างหากครับที่ต้องขอโทษ" คุณชายเป็ นฝ่ ายออกรับแทน "ผมพูดให้


เขาเข้าใจผิดเอง จริง ๆ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ผมไม่เคยทานมาก่อน
เลยแปลกใจที่เอาขาไก่มาทำต้มยำได้ด้วย"

อนุรักษ์หันมองอย่างแปลกใจ ตอนตักขาไก่ขึ้นมาดู เขานึกว่าคุณชาย


รังเกียจ ที่แท้คุณชายแค่กำลังสงสัยอยู่หรอกหรือ แต่สีหน้านิ่ง ๆ ตลอด
ศกแบบนั้นใครจะไปเดาออกว่ากำลังคิดอะไร

"ถ้าไม่เคยทาน งั้นลองชิมดูก่อนสิ ชอบไม่ชอบไม่เป็ นไร"


ยายแม้นคะยั้นคะยอ คราวนี้คุณชายจึงหยิบช้อนขึ้นมาเริ่มตักน้ำซุปอีก
ครั้ง ชิมคำแรกแล้วก็นิ่ง ก่อนตักคำที่สองโดยติดขาไก่มาด้วย ....อนุรักษ์
หวังจะเห็นภาพคุณชายแทะตีนไก่เป็ นบุญตา แต่คนเนี้ยบยังคงรักษามาด
ผู้ดี ใช้แค่ช้อนส้อมจัดการอย่างคล่องแคล่ว เนื้อขาไก่ก็หลุดจากกระดูกได้
ง่าย ๆ แล้วจึงส่งเข้าปาก ท่ามกลางสายตาลุ้นของคนที่ถามความเห็นอยู่
ข้าง ๆ

"เป็ นยังไงบ้างจ๊ะ"

"หอมสมุนไพร เปรี้ยวนำ เค็มตาม แล้วหวานติดปลายลิ้นจากน้ำซุป


กระดูก ขาไก่ต้มได้เนื่อเปื่ อยนุ่มกำลังดี ส่วนความเผ็ดสำหรับผมอาจเข้ม
ข้นไป แต่โดยรวมแล้วอร่อยมาก ๆ ครับ"

เพียงลิ้มรสสองคำ คุณชายก็สามารถสวมวิญญาณยอดเชฟมิชลินสามดาว
วิจารณ์ตรงไปตรงมาเป็ นฉาก ๆ ไม่ใช่เจาะจงพูดเอาใจเจ้าของร้าน แต่แค่
นี้ก็ทำให้แม่ครัวยิ้มหน้าบาน
"จริงเหรอจ๊ะ เฮ้อ...ได้ยินแล้วยายก็โล่งใจ สมัยนี้น่ะไม่ค่อยมีใครชอบต้ม
ซุปเปอร์กันเท่าไรแล้ว เด็กรุ่นใหม่ ๆ เขาก็ไปอยู่ที่โน้นกันหมด"

...ที่โน้น มองจากร้านตรงนี้ก็ยังเห็นป้ ายโลโก้เด่นชัด

ร้านฟาร์ดฟู้ดขายไก่ทอดแฮมเบอร์เกอร์แฟร์ไชน์เจ้าดัง เปิ ดตลอด 24


ชั่วโมง ตั้งดักอยู่หน้าปากซอย ฝั่ งตรงข้ามเป็ นเซเว่น ฉะนั้น แม้จะใกล้
เที่ยงคืน ถนนในตรอกเล็ก ๆ นี้จึงค่อนข้างสว่างไม่เงียบร้าง ส่วนหนึ่งอาจ
เพราะบริเวณนี้เป็ นแหล่งหอพักนักศึกษา อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่เขาเรียน
ช่วงดึก ๆ เด็กมหาลัยเลยเลือกฝากท้องที่ร้านฟาร์ดฟู้ด มากกว่าร้านต้ม
ซุปเปอร์เฉิ่มเชย ไม่โมเดิร์น ทำให้ร้านไม่สามารถเรียกลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น
เข้ามาได้

ทว่าวันนี้ลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามากลับเป็ นหนึ่งในกลุ่มประเภทนั้น...
เสียงรถมอเตอร์ไซต์ดังกระหึ่มก่อนหยุดลงตรงหน้าร้าน พร้อมกับแก๊งเด็ก
อายุสิบเจ็ดสิบแปดสไตล์แว๊นบอยสี่คนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ คุณยายรีบละ
จากพวกเขาไปทำหน้าที่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนสั่ง

"เอาต้มซุปเปอร์สี่ชาม แล้วขอเหล้ากับโซดาด้วย"

"ที่นี่ไม่ขายเหล้าจ้ะ"

"งั้นเบียร์ก็ได้"

"เบียร์ก็ไม่มีจ้ะ"

"อะไรวะ! เปิ ดร้านอาหารแล้วไม่ขายเหล้าได้ยังไง"


ไอ้หนุ่มผมทองไถข้างโวยวายเสียงดัง เพื่อนที่มาด้วยกันกวาดตามองรอบ
ร้านด้วยสายตาดูถูก

"นั่นดิ มิหน่าร้านถึงเงียบ ๆ ดูไม่ค่อยมีคนกิน"

"เออ งั้นป้ าไปซื้อเหล้ามาให้หน่อย เซเว่นอยู่ตรงนี้เองไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวแถม


ทิปให้ด้วย"

คนที่ท่าทางเป็ นลูกพี่ใหญ่สุดและดูรวยสุดควักแบงค์พันออกมาโบก แต่


ยายแม้นก็ยังยืนกราน

"ไม่ได้หรอก ยายให้เข้ามาดื่มในร้านไม่ได้จริง ๆ แล้วพวกเธอก็ยังเด็กอยู่


ด้วย"
"ป้ าอย่าเรื่องมากได้ป่ ะ รู้ไหมผมลูกใคร รีบ ๆ ไปทำตามที่บอกซะ ถ้าไม่
อยากให้ร้านของป้ ามันเงียบถาวร"

ได้ยินคำพูดจาไม่เคารพกับผู้สูงอายุ อนุรักษ์ชักทนฟั งต่อไปไม่ไหว ต่อม


เลือดพลเมืองดีมันเดือดพล่าน แต่เขาก็ออกตัวช้าไปตลอด

"น่าสงสารว่ะ! ตัวเองเป็ นลูกใครยังจำไม่ได้ ถึงมาเที่ยวถามคนอื่นไปทั่ว!!"

เจ้าของประโยคหยุดอยู่ตรงบันได คงเพราะได้ยินเสียงเอะอะเลยลงมา
กลุ่มเด็กแว๊นหันไปเขม่นมอง ผู้เป็ นยายจึงรีบเข้าไปเอ็ดหลานชายอีกครั้ง

"ปลื้ม! ยายบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พูดแบบนั้น"
แต่คราวนี้คนฟั งไม่สนใจ เพราะมัวแต่จ้องไปยังนักเลงกลุ่มใหญ่ซึ่งยังคง
เอ่ยวาจาถากถาง

"อ้อ...มึงเป็ นหลานของอีป้ านี่เหรอ กวนตีนไม่แพ้กันเลยนะ สงสัยอยากจะ


ลองดีทั้งคู่"

"ก็เอาสิวะ นึกว่ากูกลัวเหรอ มึงเข้ามาเลย!"

ตะโกนพลางถลกแขนเสื้อเตรียมปรี่เข้าไปตามคำท้า อนุรักษ์ที่อยู่ใกล้ ๆ
ต้องรีบลุกมาดึงไหล่ขวางไว้

"ใจเย็น ๆ ก่อนน้อง"
ถึงเขาจะอยากสั่งสอนไอ้เด็กกลุ่มนั้นเหมือนกัน แต่การใช้กำลังชกต่อย
ไม่ใช่วิธีแก้ปั ญหา ที่สำคัญเขาสังเกตเห็นคนที่เป็ นหัวหน้าแก๊งล้วงกระเป๋ า
กางเกงกำบางสิ่งเอาไว้ ไม่แน่อาจเป็ นอาวุธพวกมีดคัตเตอร์หรือปื นก็ได้
ขืนเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้เรื่องเลวร้ายลงกว่าเดิม แต่คนอารมณ์ร้อน
กลับพยายามขืนตัวออก

"ปล่อยนะโว้ย อย่ามาห้าม!"

ประมาทว่าตัวเล็กกว่า แต่แรงดันเยอะจนสะบัดมือเขาหลุดง่าย ๆ ก่อนพุ่ง


ตรงดิ่งไปยังเป้ าหมาย ฝ่ ายนั้นลุกขึ้นยืนทั้งโต๊ะเตรียมพร้อมออกศึก เหลือ
อีกไม่กี่ก้าวก็จะเข้าปะทะ ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงราบเรียบหยุดเอาไว้

"ที่นี่เป็ นร้านต้มซุปเปอร์ ใครคิดจะมีเรื่องก็เชิญออกไปข้างนอก อย่า


รบกวนลูกค้าคนอื่น"
เจ้าของประโยคที่โดนย้อนรอยชะงักเท้า ฉุกใจคิดถึงสิ่งที่ตัวเองเคยเตือน
ใครบางคนด้วยเหตุผลทำนองเดียวกัน ปลื้มหันกลับมามองคุณชาย และ
เลยมามองโต๊ะข้าง ๆ ของลุงคนขับแท็กซี่ ซึ่งตอนนี้ขยับลงไปหลบข้างโต๊ะ
เพราะกลัวโดนลูกหลง ก่อนจะหยุดสายตาที่ยายแม้น...คนผู้ให้ความ
สำคัญกับร้านนี้มากที่สุด

สติเริ่มกลับเข้ามาหลังจากถูกแรงอารมณ์พัดพาไป ปลื้มตัดสินใจหันหลัง
ให้แก๊งค์เด็กแว๊นจึงถูกทั้งกลุ่มสบถโห่ไล่

"โธ่เว้ย! แม่งไม่แน่จริงนี่หว่า"

"คนที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาทานก็เชิญด้วย"

...อนุรักษ์เพิ่งรู้ข้อดีของการใส่สูทมานั่งกินต้มซุปเปอร์ก็คราวนี้ เพราะมัน
ช่วยขับบารมีคนสวมให้แผ่รังสีมีอำนาจโดยไม่จำเป็ นต้องอ้าปากถามว่า
...รู้ไหมกูลูกใคร? ถ้าที่นี่เป็ นประเทศญี่ปุ่น คุณชายคงให้ภาพลักษณ์คล้าย
ยากูซ่ามาเฟี ย พวกนักเลงกระจอกพอโดนบรรยากาศกดดันจากใบหน้านิ่ง
และนัยน์ตาเยียบเย็นเข้าข่มก็เกรงกันไปหมด

"กะ...กูก็ไม่อยากมาแดกร้านโทรม ๆ นี้ให้เสียปากหรอก ที่เข้ามาเพราะ


นึกว่าจะมีเหล้ากิน แต่ถ้าไม่มีพวกกูไปกินร้านนู้นก็ได้!"

เจอคนแน่จริงมวยคนละรุ่นเข้าไป กลุ่มเด็กแว๊นก็ยอมถอย ขึ้นขี่มอเตอร์


ไซต์ออกไปยังร้านฟาร์ตฟู้ดที่เปิ ดอยู่ไม่ไกลแทน

...บรรยากาศในร้านกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ลุงคนขับแท็กซี่ลุกขึ้นมานั่ง
เก้าอี้เหมือนเดิมหลังสถานการณ์คลี่คลาย ทำให้ยายแม้นต้องเอ่ยเกรงใจ

"ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะที่ทำให้ตกใจ"
"บ่เป็ นหยังครับ เออ...ว่าแต่แล้วทำไมร้านนี้ถึงไม่ขายเหล้าล่ะครับ"

ต้นเหตุหลักของปั ญหาย่อมไม่แปลกที่จะถูกสงสัย ยายแม้นทอดสายตาไป


ไกลพลางอธิบาย

"...ลูกยายเสียไปเพราะเหล้าน่ะ ยายเลยไม่อยากขายให้ใครดื่ม"

ปลื้มเองก็เบี่ยงสายตาก้มหน้ามองลงพื้น ...กับคนที่เสียพ่อแม่ไปเช่น
เดียวกัน อนุรักษ์เข้าใจความหวั่นไหวในแววตานั้นดี

"พอไม่ขายเหล้า ลูกค้าก็เลยไม่ค่อยเข้าร้าน ยายอายุก็มากแล้วชักเริ่ม


ทำไมไหวเปิ ด ๆ ปิ ด ๆ บ้าง ไม่รู้ว่าร้านนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน"
หญิงชราถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน ถึงใจจะสู้แต่สภาพแวดล้อมไม่อำนวยก็
ยากจะหาหนทางไปต่อ แม้หลานชายจะยังคงยืนกราน

"ปลื้มบอกยายแล้วว่าจะช่วย ยังไงร้านนี้ก็ต้องอยู่"

"แต่ปลื้มอยากเป็ นจิตรกรไม่ใช่เหรอลูก ไปทำตามความฝั นของปลื้มเถอะ


ยายจะอยู่ส่งปลื้มเรียนเอง"

ความรักอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็ นยายพาให้คนฟั งสะท้อนใจ ลุงแท็กซี่แอบปาด


น้ำตาเบา ๆ อนุรักษ์เองก็นึกถึงป้ าที่คอยส่งเสียเลี้ยงเขามา ทั้ง ๆ ที่การ
ศึกษาของคนคนหนึ่งจำเป็ นต้องใช้ทุนค่อนข้างมาก และผู้เรียนก็
ตระหนักถึงความจริงข้อนี้

"แต่ร้านขายไม่ดี ยายจะเอาเงินมาจากไหน"
"...แล้วถ้าผมมีวิธีทำให้ร้านกลับมาขายดีได้ล่ะครับ"

..

..

ทุกคนหันมองชายในชุดสูทที่เปรยแทรกเปิ ดตัวขึ้นมา ราวกับพระเอกใน


ฉากแก้วิกฤตช่วยกู้โลกในหนัง

"วิธีอะไร"

เด็กหนุ่มถามเสียงห้วนสั้น แม้จะถูกอีกฝ่ ายช่วยไว้ตอนเกิดเรื่องทะเลาะ


แต่เพราะความประทับใจแรกพบเข้าขั้นติดลบจึงไม่อาจญาติดีได้ทันที
กระนั้นคุณชายก็ยังคงแจงหลักการ คล้ายกำลังประชุมวิเคราะห์ตลาดกับ
ผู้บริหารใหญ่
"จุดอ่อนของร้านนี้ อยู่ตรงที่สภาพแวดล้อมโดยรวมของตัวร้านไม่สามารถ
ดึงดูดความสนใจของลูกค้าวัยรุ่น ซึ่งเป็ นกลุ่มเป้ าหมายหลักในย่านนี้ได้
...วิธีแก้ปั ญหาคือต้องปรับปรุงสภาพของร้านใหม่ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ
ให้เพียงพอจะเรียกกลุ่มเป้ าหมายหลัก"

“แต่เราไม่มีเงินไปปรับตกแต่งร้านหรอกนะ” ปลื้มแย้ง

ตึกคูหาเดียวโทรม ๆ ถ้าจะรีโนเวทกันคงใช้งบพอ ๆ กับสร้างบ้านใหม่ แต่


นักครีเอทีฟหาหนทางแก้ไว้ให้พร้อม

“ไม่ต้องห่วง ขอแค่ร้อยเดียวก็พอ”
...เงินแค่หนึ่งร้อยบาทเนี่ยนะ? ซื้อสีสักแกลลอนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้ว
จะเอาไปตกแต่งร้านยังไง?

มองจากสีหน้าแล้ว ทุกคนคงคิดสงสัยเหมือน ๆ กัน หากยังไม่มีใครทันได้


ตั้งคำถาม คุณชายก็หยิบปากกับกระดาษบนโต๊ะไว้สำหรับจดเมนู แล้ว
เขียนรายละเอียดยื่นส่งให้พร้อมแบงค์ร้อยหนึ่งใบ

“เธอไปเซเว่นซื้อของตามรายการนี้มา อันแรกเอาคละสีกัน ส่วนอันที่สอง


เอามาแผงเดียวก็พอ"

อนุรักษ์กลายสภาพเป็ นลูกน้องเบอร์หนึ่ง ส่วนลูกน้องเบอร์สองคุณชาย


จัดการมอบตำแหน่งให้อีกคน

"เธอเรียนศิลป์ มาคงมีกระดาษวาดรูปใบใหญ่ ๆ ใช่ไหม ฉันจะขอใช้


หน่อย"
ปลื้มพยักหน้าบอกว่ามีอยู่ข้างบน คุณชายจึงสั่งให้เอาลงมาพร้อมอุปกรณ์
วาดภาพ แล้วเร่งให้คนซึ่งยังคงยืนงงอยู่ให้ออกไปซื้อของ ทั้ง ๆ ที่เขา
อยากรู้ว่าคุณชายจะเอากระดาษมาทำไม แล้วไหนจะพวกนี้อีก

อนุรักษ์ก้มอ่านลายมือภาษาอังกฤษเป็ นระเบียบบนกระดาษ...

1. Post-it

2. Paracetamol

...ดูยังไงก็ไม่น่ามีความเกี่ยวข้องกัน ...คุณชายจะเอาโพสอิทมาทำ
อะไร? ...แล้วยาพาราเอามากินแก้ปวดหัวให้ยายแม้นทำใจเหรอ?
ข้อสงสัยมากมายผุดขึ้นในสมอง แม้จะยังหาคำตอบไม่ได้ แต่เขาก็จัดการ
ซื้อของมาตามคำสั่ง และพอกลับมาถึงร้าน เขาก็เห็นทุกคนกำลังรุม
กระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งกางอยู่บนโต๊ะว่าง ๆ โดยมีปลื้มกำลังใช้ถ่านสีดำลาก
เส้นตวัดเป็ นครั้งสุดท้าย พร้อมคำชมที่นาน ๆ จะหลุดจากปากคุณชาย

“อืม ใช้ได้ ทำงานได้เร็วดี เสร็จแล้วเอาไปติดที่ผนังฝั่ งนั้น”

คุณชายชี้ไปยังกำแพงที่มีภาพโปสเตอร์โฆษณาน้ำอัดลมสีซีดจางติดอยู่
ปลื้มจึงปี นเก้าอี้ขึ้นไปใช้เทปกาวแปะทับโปสเตอร์เก่า ๆ กระดาษสีขาว
แผ่นใหญ่จึงคลี่ออกให้เห็นชัด

...ภายในนั้นไม่ใช่รูปวาด แต่เป็ นตัวอักษร เขียนด้วยลายมือศิลป์ แนวอาร์ต


สวยเป็ นข้อความ

‘ดึกดื่นป่ านนี้ ทำไมยังมากินต้มซุปเปอร์?’


“มีคำถามแล้ว ก็ต้องมีคำตอบ”

คุณชายเดินเข้ามาหาคนที่ถือถุงเซเว่น ล้วงเอาโพสอิทและปากกายื่นให้

“ไหนเธอลองเขียนคำตอบให้หน่อย”

อนุรักษ์เริ่มเข้าใจสิ่งที่คุณชายกำลังจะทำ เขาจัดการเขียนข้อความบทโพ
สอิทสีชมพูสดใบแรกสุด

'เพราะต้มซุปเปอร์ร้านนี้อร่อยมาก'
ก่อนดึงโพสอิทแปะลงไปตรงกำแพงใต้กระดาษวาดรูป ลุงคนขับแท็กซี่ผู้
เฝ้ าดูเรื่องอยู่ตั้งแต่ต้น พอเห็นเขาทำก็รีบร้องสนใจ

“โอโหเว้ย! เข้าท่า ๆ ไหนเอามาให้ลุงเขียนบ้าง”

เขาส่งโพสอิทสีเหลืองไปให้ลุงเขียนขยุกขยิก แล้วแปะลงไปบนกำแพงบ้าง

'มาเติมพลังไปรับผู้โดยสารต่อ แท็กซี่ลุงวิทย์ ไกลใกล้ส่งทุกที่ แอร์เย็นฉ่ำ


เต็มใจบริการ 08x-xxxx-xxx'

“เดี๋ยว ๆ ลุง ข้างหลังมันโฆษณาตัวเองแล้ว”

อนุรักษ์ทักท้วงคนฉวยโอกาส ซึ่งเกาต้นคำแก้เก้อพึมพำ “แหม...ก็นิด


หน่อยเอง”
แต่พอมองกำแพงร้านตอนนี้ ...ไม่น่าเชื่อว่าอาศัยโพสอิทชมพูและเหลือง
เพียงสองแผ่น จะช่วยให้ผนังจืดชืดซีดโทรมเริ่มมีสีสันขึ้นมา และยิ่งหาก
ใช้ปริมาณมาก มันก็จะกลายเป็ นวอล์เปเปอร์ใหม่โดยไม่จำเป็ นลงทุนหนัก
ซ้ำยังสามารถเปลี่ยนเข้าออกได้ทุกเมื่อ เหตุผลที่คุณชายสั่งให้ซื้อโพสอิท
แบบคละสี คงเพราะวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว

เขาเคยเห็นในร้านกาแฟแนวที่เด็กวัยรุ่นนิยม มักจะนำโพสอิทมาแปะเพิ่ม
ความสดใสฮิปส์เตอร์ให้กับร้าน บ้างก็เป็ นรูปวาดหัวใจน่ารัก ๆ หรือให้
ลูกค้าเขียนข้อความทิ้งเอาไว้

...แต่กับร้านต้มซุปเปอร์คุณชายเลือกจะตั้งคำถามแทน ซ้ำยังเป็ นคำถาม


น่าสนใจ ชวนให้อ่านเรื่องราวของคนที่เขียนตอบ นับเป็ นการสร้างจุดเด่น
ให้กับร้านด้วยวิธีง่าย ๆ สมกับที่นักครีเอทีฟโฆษณาเคยพูดไว้

"แต่แค่นี้มันจะพอช่วยให้ร้านขายดีขึ้นเหรอ"
กระนั้นหลานชายเจ้าของร้านก็ยังอดไม่ได้ที่จะกังวล กลยุทธ์นี้อาจดู
สร้างสรรค์ แต่ไม่รับประกันว่าจะมีลูกค้าเข้าร้านเพิ่มมากขึ้น

"ใช่ มันยังไม่พอ เพราะนี่แค่ขั้นตอนแรก" คุณชายยอมรับ แล้วอธิบาย


หลักการต่อ

"ขั้นตอนต่อไป เมื่อสร้างแรงดึงดูดที่น่าสนใจของร้านได้แล้ว ก็ต้อง


กระจายให้กลุ่มเป้ าหมายรู้ ส่วนใหญ่มักจะใช้การบอกแบบปากต่อปาก
แต่มันมีวิธีเร็วกว่าที่จะทำให้เสียงของเราขยายไปไกล นั่นก็คือ..."

"การโพสลงอินเตอร์เน็ต"
อนุรักษ์แทรกเข้ามาระหว่างประโยคนั้น ดวงตาเรียวหันมาสบเขาก่อน
พยักหน้า

"ถูกต้อง"

ไม่ใช่เรื่องยากเย็นที่อนุรักษ์จะเดาได้ ...ในยุคสมัยนี้ถ้าใครอยากจะป่ าว
ประกาศเรื่องใด ๆ เพียงแค่โพสลงในอินเตอร์เน็ต มันก็จะกลายเป็ นโทร
โข่งกระจายเสียงออกไปได้ดังที่สุด เมื่อผู้คนเป็ นล้านใช้ชีวิตอยู่บนโลก
ออนไลน์ การโฆษณาย่อมไม่พลาดช่องทาง อาศัยวิธีต่าง ๆ เพื่อสร้าง
กระแสดึงความสนใจของลูกค้า

...และหนึ่งในวิธีเบสิคนั้น เป็ นวิธีที่ถูกนำใช้เป็ นประจำ หากได้ผลมากที่สุด

"ผมขอซุปเปอร์เพิ่มอีกชามหนึ่งได้ไหมครับ"
คุณชายเอ่ยกับยายแม้นซึ่งรีบกุลีกุจอไปทำให้ ก่อนจะล้วงสมาร์ทโฟนขึ้น
มาส่งให้อนุรักษ์

"เธอที่เป็ นลูกค้าประจำคงเหมาะกว่า รู้ใช่ไหมว่าต้องยังไง"

เขารับโทรศัพท์ซึ่งเป็ นเครื่องเดียวกับที่ตนทำตกน้ำแล้วซ่อมคืนให้คุณชาย
...สมาร์ทโฟนสีดำสนิท ความละเอียดกล้องขนาดแปดล้านพิกเซล ชัดเจน
พอจะเก็บภาพต้มซุปเปอร์ร้อน ๆ ควันฉุยที่คุณยายนำมาเสิร์ฟ เพื่อนำไป
เขียนรีวิว ซึ่งถือเป็ นวิธีเบสิคของการโฆษณา

...การรีวิว คือการแสดงความเห็นต่อร้านค้าหรือสินค้าเพื่อแชร์ให้คนอื่น
รับรู้ เราสามารถวิจารณ์ได้ทั้งข้อดีข้อเสียอย่างตรงไปตรงมา แต่เพื่อการ
โฆษณาแล้ว ส่วนใหญ่มักจะจงใจชม โดยพยายามหลีกเลี่ยงการตำหนิ
ทว่า...อนุรักษ์ตั้งใจเขียนถึงร้านต้มซุปเปอร์จากประสบการณ์จริง ๆ ของ
ตนเองด้วยความเป็ นกลาง เพราะตัวอักษรมีน้ำเสียง ถ้าอวยมากเกินไป
คนอ่านจะจับได้และจะกลายเป็ นผลร้ายต่อร้าน เขาจึงเลือกใช้คำอย่าง
ระมัดระวัง เสร็จแล้วโพสลงเว็บไซต์ที่มีคนเข้ามากที่สุดแต่มีอัตราการแชร์
สูง ก่อนส่งมือถือให้คุณชายตรวจสอบ

"เรียบร้อยแล้วครับ เออ...ผมถือวิสาสะตั้งชื่อร้านด้วยคงไม่เป็ นไรนะครับ"

คุณชายรับมากวาดตาอ่านคร่าว ๆ พยักหน้าไม่พูดอะไร ก่อนส่งต่อให้


ปลื้มนำไปอ่านออกเสียงให้คนอื่นได้ยิน

" 'ร้านซุปเปอร์แม้น (SuperMan)' ...ต้มยำขาไก่สูตรยายแม้น อร่อยรส


เด็ดแบบซุปเปอร์สเปเชี่ยล!"
"โอโห! ชื่อร้านโครตเท่ ผมชอบชื่อนี้"

ปลื้มเงยหน้าจากสมาร์ทโฟนขึ้นมาชม เมื่อเห็นหัวข้อกระทู้รีวิวที่เขาตั้ง
และใส่รายละเอียดอื่น ๆ พร้อมรูปภาพ หนึ่งในนั้นมีรูปป้ ายคำถามกับ
กระดาษโพสอิทที่เพิ่งนำมาติดสด ๆ ร้อน โดยไม่ลืมบอกสถานที่ตั้งของ
ร้านต้มซุปเปอร์ไว้ชัดเจน

"ที่เหลือก็แค่รอเวลา ขอแค่รักษามาตรฐานรสชาติไว้ได้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง"

คุณชายกล่าวปิ ดท้าย แต่คนที่ส่งโทรศัพท์คืนกลับมาก็ยังไม่วางใจ

"แล้วมันจะได้ผลจริง ๆ เหรอ"
"ถ้าใจร้อน อีกสามวันผมจะกลับเช็คดูมาใหม่ ถ้าถึงตอนนั้นยอดขายเพิ่ม
ขึ้นกว่าเดิม ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมครับ"

คำถามนี้คุณชายหันไปหายายแม้นที่ยอมรับเงื่อนไข

"อุตส่าห์ช่วยร้านยายตั้งมากขนาดนี้ พ่อหนุ่มจะขออะไรก็บอกยายมา
เถอะจ้ะ"

"...ผมอยากรู้สูตรน้ำซุปต้มยำ"

จริงอยู่ที่อนุรักษ์เป็ นคนพาคุณชายมาหาข้อมูลทำโฆษณาผงน้ำซุปต้มยำ
แต่เขาไม่คิดว่าคุณชายจะกล้ามาขอสูตรกันดื้อ ๆ ไม่แปลกเลยที่จะถูก
โวยวาย
"ทำไมต้องบอก หรือว่าที่ทำมาเป็ นช่วย เพราะคิดจะแอบขโมยสูตรไป
ขาย!"

ปลื้มกลับมาแสดงสีหน้าระแวงอีกครั้ง คุณชายจึงแจกแจงความจริง

"ผมเป็ นครีเอทีฟ กำลังทำโฆษณาผงซุปต้มยำสำเร็จรูป เลยอยากหาไอ


เดียข้อมูลเพิ่ม"

"อ้อ ทำงานโฆษณาทีวีกันนี่เอง มิน่าล่ะถึงได้หน้าดี แต่งตัวดีกันทั้งคู่"

ยายแม้นคงเข้าใจผิดว่า คนทำโฆษณาเป็ นประเภทเดียวกับดาราในวงการ


บันเทิง ร่างสูงที่ใส่สูทแบรนด์อิตาลีเต็มยศน่ะอาจจะใกล้เคียง แต่อนุรักษ์
ซึ่งสวมเสื้อพนักงานแคชเชียร์ธรรมด๊าธรรมดามองยังไงก็ห่างไกลจาก
นิยามดูดี แต่คุณชายไม่เปิ ดช่องให้เขาแก้ต่าง รีบลากเข้าประเด็นหลัก
"รับรองว่าผมไม่เอาสูตรน้ำซุปไปขายที่ไหน จะตกลงรึเปล่าครับ"

ไม่ต้องรอถึงสามวัน ยายแม้นผู้ขึ้นชื่อเรื่องความใจดีคงบอกสูตรพวกเขา
ตั้งแต่วันนี้แล้ว แต่เมื่อยังมีหลานชายยืนอยู่ด้วย ปลื้มจึงออกหน้ารับ
เงื่อนไขแทน

"ก็ได้ ถ้าสามวันหลังจากนี้ยอดขายเพิ่มขึ้น ผมจะยอมบอกสูตรน้ำซุปให้


คุณรู้"

ข้อเสนอทางธุรกิจเป็ นอันเสร็จสิ้น ยายแม้นจึงรีบออกมาคลายบรรยากาศ


เคร่งเครียด ให้กลับมาเป็ นร้านต้มซุปเปอร์ตามเดิม

"เอาล่ะ ๆ ปลื้มกลับไปทำการบ้านได้แล้วลูก คุณ ๆ เขาจะได้ทานกันต่อ


...ดูสิต้มต้มซุปเปอร์ชืดหมดแล้ว เดี๋ยวยายยกออกมาให้ใหม่นะ"
อนุรักษ์รีบห้ามเจ้าของร้านใจอารีไว้ ไอ้ที่มีอยู่บนโต๊ะก็สามชามแล้ว ตัว
เขาทานได้ครึ่งหนึ่ง แต่คุณชายเพิ่งซดน้ำซุปแค่คำเดียว พวกเขาสองคนจึง
กลับไปนั่งกินกันต่อ

...ทว่าเหมือนจะมีบางอย่างถูกลืม กระทั่งอนุรักษ์เหลือบไปเห็นถุงเซเว่นบ
นโต๊ะ

"แล้วยาพาราซื้อมาทำไมเหรอครับ"

นึกขึ้นได้ถึงของที่ฝากซื้ออีกหนึ่งอย่างตามรายการ คุณชายยังไม่ละมือ
จากการใช้ส้อมร่อนกระดูกขาไก่ ขณะตอบสั้น ๆ

"ให้เธอ"
"ให้ผม?"

"เธอตากฝนมาไม่ใช่เหรอ กินยาซะเดี๋ยวจะเป็ นหวัด"

อนุรักษ์นิ่งงัน ไม่คาดคิดกับคำตอบของคุณชาย และยิ่งนึกไม่ถึงเมื่อ


ดวงตาเรียวคู่นั้นสบมองเขาพร้อมคำถาม

"รักษ์...เธอสนใจมาทำงานกับฉันไหม"

บทที่ 08 : ผลิตจากวัตถุดิบหลักจากธรรมชาติ
"ผมกลับแล้วนะครับพี่ สวัสดีครับ"

อนุรักษ์ยกมือไหว้ลากลุ่มพี่ ๆ ผู้ร่วมงานในเจคิงส์ซุปเปอร์ หลังเสร็จจาก


การลงสต็อกสินค้ามาพร้อมกัน โชคดีวันนี้มีของเข้าไม่เยอะ ทำให้
พนักงานกะดึกตอกบัตรออกสี่ทุ่มตรงตามเวลา

โดยปกติแล้วถ้าเลิกงานเร็ว อนุรักษ์จะรีบจับรถเมล์ตรงดิ่งกลับหอ อาบน้ำ


อาบท่า เปิ ดเบียร์สักกระป๋ อง แล้วคุ้ยหาหนังแผ่นที่ยืมมาจากไอ้ทัต ...เขา
ชอบหนังแนวแอคชั่น ไม่ว่าจะเป็ นหนังแอคชั่นฮอลลิวู้ดถือปื นสู้กันใน
สนามรบ หรือหนังแอคชั่นญี่ปุ่นสู้กัน(ตัวเปล่าๆ)บนเตียง ซึ่งก็จะเลือกดู
สลับ ๆ กันตามวาระความเด็ดที่เพื่อนการันตี

หากคราวนี้ราชรถคันที่เขาเลือกขึ้นหน้าป้ ายประจำทาง ไม่ใช่รถคันใหญ่


สองประตูห้าสิบที่นั่งเหมือนเช่นทุกที แต่เป็ นรถญี่ปุ่นสีดำคันเล็ก โดยมี
คนขับกิตติมศักดิ์ดำรงตำแหน่งเป็ นเจ้านายคนใหม่ของเขา
"สวัสดีครับ บอส"

อนุรักษ์รักษามารยาทตามขนบธรรมเนียมไทยด้วยการไปลามาไหว้ แม้ที่
ผ่านมาเวลาพบคุณชายเขาจะไม่เคยทักทายอีกฝ่ ายดี ๆ ทว่าตอนนี้สถานะ
เปลี่ยน ยังไงลูกน้องก็ต้องเลือกทำตัวสุภาพอ่อนน้อมเอาไว้ก่อน แต่
ท่าทางของเขาดันไปขัดใจผู้บังคับบัญชา

"เรียกฉันเหมือนเดิมก็ได้"

คุณชายเอ่ยเสียงเรียบ ขณะเขาพยายามแย้ง

"แต่ผมเป็ นแค่เด็กฝึ กงานนะครับ"

"งั้นเธอก็ยิ่งต้องทำตามคำสั่งของหัวหน้า"
...ถึงสถานะเปลี่ยน แต่นิสัยชอบออกคำสั่งของคุณชายไม่เคยเปลี่ยน มิ
หนำซ้ำยังมีสิทธิอันชอบธรรมที่เขาต้องปฏิบัติตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

"ครับ คุณชาย"

สุดท้ายก็ต้องรับคำแกน ๆ หน้ากากลูกน้องแสนดีถูกถอดออกด้วยความ
เซ็ง ...ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะสร้างบรรยากาศเป็ นการเป็ นงานแท้ ๆ กลับล้ม
เหลวตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม

อนุรักษ์ถอนหายใจหน่าย นึกย้อนทบทวนตัวเองว่าตัดสินใจถูกหรือผิด
จากคำถามเมื่อครั้งนั้น
...เธอสนใจมาทำงานกับฉันมั้ย?

"ไม่ครับ"

จำได้ว่าตอบปฏิเสธรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

"ผมมีงานประจำที่ซุปเปอร์อยู่แล้ว และก็ไม่คิดจะลาออกด้วย"

อนุรักษ์ชอบการเป็ นพนักงานแคชเชียร์ แม้เงินเดือนจะน้อยและงานจะ


หนัก แต่เขาสนุกที่ได้สังเกตผู้คน ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ หากคุณชายยังคง
พยายามชักแม่น้ำทั้งร้อยสายมาโน้มน้าว
"...งานนี้จะไม่กระทบงานหลักของเธอ เพราะฉันจะให้เธอเป็ นนักศึกษา
ฝึ กงานของบริษัท ทำเฉพาะโปรเจคคล้ายพาร์ทไทม์ ตำแหน่งที่เธอจะได้
รับคือ ...ครีเอทีฟของเอเจนซี่ไทเกอร์"

คนฟั งเลิกคิ้ว "มีตำแหน่งครีเอทีฟแยกเฉพาะด้วยเหรอครับ? ผมนึกว่ามี


แค่ ก็อปปี้ไรเตอร์ กับ อาร์ตไดเร็กเตอร์'"

ตอนพี่พิมอธิบายสายงานโฆษณา เขาเข้าใจว่า 'Creative' เป็ นคำเรียก


รวม ๆ ของกลุ่มคนทำงานทั้งสองประเภท เพราะคุณชายซึ่งเป็ นหัวหน้า
ใหญ่ก็ยังใช้ตำแหน่ง 'Creative Director' แต่ความจริงแล้วมันมีราย
ละเอียดซับซ้อนกว่านั้น

"ครีเอทีฟเป็ นตำแหน่งพิเศษเฉพาะ ทำหน้าที่นำเสนอความคิดสร้างสรรค์


ให้ไกลกว่าตัวอักษรและภาพ ...ไม่ใช่แค่สร้างความแปลกใหม่ในโฆษณา
แต่ต้องคำนึงถึงการเชื่อมโยงทุกอย่างรอบด้านให้สมดุล เอเจนซี่ไทเกอร์
ระบุตำแหน่งพนักงานตามความสามารถ ...ที่ผ่านมาฉันยังไม่เคยพบใคร
เหมาะสมพอจะได้รับตำแหน่งนี้"
ฟั งแล้วหัวใจรู้สึกพองโต ถ้อยคำเหล่านั้นคล้ายบอกแฝงนัยว่าเขาเป็ นผู้
ผ่านการคัดเลือกจากคนหลายร้อยหลายพัน ทำเอาคนโดนชมอดเผลอยิ้ม
กว้างไม่ได้ แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็ นหุบปากสนิท เมื่อได้ยินประโยคต่อมา
จากคุณชาย

"...สำหรับเธอ ฉันก็ไม่คาดหวังว่าเธอจะทำได้ดีถึงขนาดนั้น แต่เหตุผลที่


ให้ตำแหน่งครีเอทีฟ เพื่อเธอจะได้มีข้ออ้างไม่ต้องเข้าบริษัททุกวัน เพราะ
หน้าที่หลัก ๆ ของเธอ แค่ช่วยงานต่าง ๆ ที่ฉันมอบหมายก็พอ"

...หัวใจที่พองโตเหมือนลูกโป่ งถูกเข็มเจาะให้ลมรั่วหดฟี บเหี่ยวลงทันที

อนุรักษ์ยอมรับว่าเขาไม่ได้เก่งกาจพอจะช่วยงานโฆษณา แถมยังไม่มี
ประสบการณ์ แต่ไอ้หน้าที่ให้ช่วยงานต่าง ๆ ของคุณชายขอบข่ายมัน
กว้าง แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากจ้างให้เขาไปเป็ นเจเนรัลเบ๊ชัด ๆ
"ถ้าคุณต้องการคนช่วยงานจิปาถะ จ้างเลขาไม่ง่ายกว่าเหรอครับ แล้วอีก
อย่างผมทำงานกะดึก เข้าบ่ายโมงเลิกสี่ทุ่มจะเอาเวลาที่ไปช่วยคุณ"

"เธอค่อยมาช่วยฉันหลังจากนั้นก็ได้ ฉันบอกแล้วว่าจะไม่ให้กระทบงาน
หลักของเธอ"

"แล้วเวลาพักผ่อนของผมล่ะครับ!?"

เขาไม่ใช่เครื่องจักรบ้าพลังหอบเอางานไปทำทุกที่แบบคุณชาย พนักงาน
แคชเชียร์ได้หยุดหนึ่งวันต่อสัปดาห์ถือว่าน้อยแล้ว ขืนหาอะไรใส่หัวเพิ่ม
อีกคงได้ตายพอดี แต่คุณชายแก้ปั ญหาง่าย ๆ ตามสไตล์คนรวย

"ฉันจะมีสวัสดิการให้ตามหลัง เธอจะได้รับเงินเดือนเท่ากับพนักงานใน
ตำแหน่งจริง และมีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทุกกรณี"
"คุณก็รู้ว่าเงินซื้อผมไม่ได้"

ข้อเสนอถูกปฏิเสธด้วยการย้ำเตือนคำที่เคยพูดไว้ กระนั้นคุณชายก็ยังเอ่ย
ราวกับมั่นใจว่าเขาจะยอมตกลง

"ฉันรู้ แต่ฉันแค่กำลังแจกแจงรายละเอียดพื้นฐานของพนักงานให้ฟั ง"

"อะไรทำให้คุณคิดว่าผมจะรับงานนี้?"

"...ตั้งแต่ที่ฉันเห็นเธอคิดเงินเจ้านี่"
ชายในชุดสูทล้วงกระเป๋ าหยิบวัตถุหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ อนุรักษ์หายใจ
สะดุดทันทีที่เห็นมัน

...ลิปสติก Baby Kiss

ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อพบว่าไอเดียของตนเองเป็ นรูปเป็ นร่างย้อนคืนมาอีก


ครั้ง แม้จะพยายามรักษาสีหน้าเก็บซ่อนอาการปลื้มใจมากแค่ไหน แต่
กลับถูกคุณชายซึ่งต่อแถวอยู่หลังลูกค้ากลุ่มนั้นมองออกอย่างง่ายดาย

...ไม่ต่างจากตอนนี้ สายตาของคุณชายก็คล้ายจะอ่านทะลุว่าเขาคิดอะไร

...คุณชายรู้ว่าเขาชอบความท้าทาย

...คุณชายรู้ว่าเขาสนุกกับการคิดโฆษณา
...และคุณชายรู้ว่าเขาอยากเห็นเวทย์มนต์ของมันอีกครั้ง

อนุรักษ์ก้มหน้านิ่ง มองต้มซุปเปอร์ในชามที่เขาเพิ่งรีวิวลงอินเตอร์เน็ตไป
ล่าสุด ก่อนจะยอมเปิ ดปากด้วยความพ่ายแพ้

"...จะให้เริ่มงานเมื่อไรครับ"

...และสามวันให้หลัง นายอนุรักษ์ก็กลายเป็ นนักศึกษาฝึ กงานตำแหน่ง


ครีเอทีฟของเอเจนซี่ไทเกอร์ โดยรับงานแรกเป็ นการไปตรวจสอบร้านต้ม
ซุปเปอร์ยายแม้นที่คุณชายยื่นเงื่อนไขเอาไว้
รถญี่ปุ่นคันเล็กจอดแนบกับฟุตบาทก่อนถึงตัวร้านเล็กน้อย บรรยากาศ
โดยรอบถูกโอบล้อมด้วยแสงไฟจากป้ ายร้านอาหารฟาสด์ฟู้ดและเซเว่น
เปิ ดบริการ 24 ชั่วโมง สถานที่เดียวซึ่งดูเหมือนจุดอับของซอย ยังคงเป็ น
ตึกแถวเก่าโทรม ที่ตั้งของร้านซุปเปอร์

อาจเป็ นเพราะพวกเขามาตอนสี่ทุ่มครึ่ง ยังไม่ถึงเวลาร้านเปิ ด จึงไม่


แปลกที่ยังไม่มีลูกค้าคนไหนเข้า แต่ลึก ๆ อนุรักษ์ก็ยังแอบหวังจะเห็น
ภาพคนมายืนรอเข้าคิวแน่น เพราะเขาอุตส่าห์ช่วยโฆษณากันเต็มที่ หาก
มองสภาพโดยรวมแล้วกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หรือเวลาสามวันที่
คุณชายรับปากไว้จะน้อยเกินไป?

ความกังวลใจเริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิด ขณะเดินเข้าไปใกล้ร้านเรื่อย ๆ ทว่า


ข้อสันนิษฐานของเขาผิดถนัด เมื่อพบความเปลี่ยนแปลงแรกโดดเด่นอยู่
เหนือกรอบประตูเหล็กเลื่อน

'Superman ซุปเปอร์แม้น' ตัวอักษรสีน้ำมันสดใสเด่นชัด บนป้ ายไม้สี


ขาวขนาดสามคูณสามเมตร ข้าง ๆ ยังมีโลโก้ภาพการ์ตูนยายแม้นใส่ผ้า
คลุมสีแดง ในมือถือกระบวยตักน้ำซุปเป็ นอาวุธ ราวกับเป็ นฮีโร่คนใหม่ขอ
งมาร์เวล

"โห ไม่คิดว่าจะเอามาตั้งชื่อร้านจริง ๆ ด้วย แถมทำป้ ายซะสวยเลย"

อนุรักษ์เอ่ยชมเจ้าของไอเดีย นึกทึ่งว่าอีกฝ่ ายไม่ได้เป็ นผู้นั่งรอรับความ


ช่วยเหลือเฉย ๆ แต่กระตือรือร้นหาทางพัฒนาร้านด้วยตนเอง

"ขอโทษนะจ๊ะ อีกครึ่งชั่วโมงร้านถึงจะเปิ ด"

ยายแม้นคงได้ยินเสียงเขาพูดอยู่หน้าร้าน จึงโผล่หน้าออกมาจากประตู
เลื่อนซึ่งเปิ ดเพียงครึ่งบาน ครั้นเห็นลูกค้าคุ้นตาสองคนก็เปลี่ยนเป็ นคำทัก
ด้วยความยินดี
"อ้าว...พวกหนุ่ม ๆ นี่เอง เข้ามาก่อนเลยจ้ะ ปลื้มกำลังรออยู่พอดี เดี๋ยว
ยายไปตามให้ ...ปลื้ม ปลื้มเอ้ย พวกพี่ ๆ เขามากันแล้ว"

หญิงชราเชิญชวน ก่อนหันไปตะโกนเรียกหลานชายจากหลังร้าน อนุรักษ์


จึงเดินผ่านประตูเหล็กเปิ ดเข้าไป ...กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากหม้อซุปเปอร์ซึ่ง
ตั้งอยู่หน้าร้านลอยปะทะต้อนรับเขาเป็ นอันดับแรก แต่สิ่งที่ดึงดูด
ประสาทสัมผัส ไม่ได้มีเพียงแค่จมูกเท่านั้น สายตาของเขาหยุดตรงความ
เปลี่ยนแปลงอย่างที่สองบนผนังซีดจาง

...โพสอิทสารพัดสีนับจำนวนเกือบห้าสิบใบ ได้กลายเป็ นวอล์เปเปอร์ใหม่


อยู่ใต้กระดาษคำถาม

'ดึกดื่นป่ านนี้ ทำไมยังมากินต้มซุปเปอร์?'

และคำตอบมากมายจากลูกค้าซึ่งแวะเวียนเข้ามา ก็ถูกบอกเล่าอย่างมี
สีสันไม่ต่างกัน
'ต้มซุปเปอร์ร้านนี้เด็ดสุดในสามโลก'

'Superman ยังต้องยอม ซุปเปอร์แม้น'

'วันนี้รู้สึกเปรี้ยวตีน เลยอยากโดนตีน'

'พาแฟนมาเดทครับ'

'แฮงค์มาซัดโฮกไปทีกูตื่นเลย'

'ฉลอง! เด็กหงส์ชนะผีแดง!'

'ยายแม้นใจดี ชอบแถมให้เยอะ อิ่มประหยัดไปอีกมื้อ'

'น้องปลื้มน่ารัก อยากเป็ นหลานสะใภ้ยายแม้นค่ะ'


'หลานเขยก็ได้ครับ'

...เออ...ไอ้หลัง ๆ มันชักยังไง ๆ อยู่นะ

คนยืนอ่านนึกตะหงิดใจ เพราะ 'น้องปลื้ม' ในภาพติดตาเขา คือเด็ก


นักเรียนช่างศิลป์ ผมไถเกรียน ท่าทางใจนักเลงโตเกินตัว แต่พอเขาได้ยิน
เสียงตึงตังจากด้านหลังร้านและหันไปมอง กลับพบเด็กชายที่ส่งรอยยิ้ม
กว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลงข้างแก้มเล็ก ๆ ประกายตาสดใสไม่มีเค้าความดุ
ห่าม ทั้งยังเปลี่ยนท่าทีตีซี้สนิทสนม เรียกพวกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"สุดยอดเลยพี่! ผมไม่คิดว่ามันจะได้ผลขนาดนี้"

แล้วคำพูดมากมายก็ทะลักทลาย ประหนึ่งเจ้าตัวอัดอั้นเก็บความดีใจเอา
ไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
"พี่รู้ป่ ะ ถัดจากวันนั้นคนก็เข้าร้านโคตรเยอะ เขาบอกว่าตามมาจากใน
เน็ต เมื่อวานผมขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่ตีหนึ่ง วันนี้เลยต้องไปซื้อขาไก่เพิ่ม
จากเดิมอีกตั้งสี่กิโล ...เนี่ยผมกำลังต้มน้ำซุปหม้อสองอยู่พอดี พี่อยากรู้
สูตรใช่มั้ย ...มาเลย ๆ เดี๋ยวผมจะบอกให้หมด ไม่มีกั๊กแน่ ๆ"

คงเป็ นเพราะปลื้มคิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมด โดเบอร์แมนร้ายที่


สู้กับเด็กแว๊นวันนั้น จึงกลายเป็ นชิวาวาน้อยแสนเป็ นมิตรน่าเอ็นดู
...เปรียบแบบนี้อาจเกินไปหน่อย แต่เขาเห็นภาพลวงตาของหางเล็ก ๆ
กระดิกเริงร่าเป็ นสัญญาณของความไว้เนื้อเชื่อใจ หายระแวดระวังพวก
เขาทั้งสองคน ถึงขนาดเดินนำไปยังด้านหลังร้านซึ่งเป็ นห้องครัวหลัก

พื้นที่ค่อนข้างคับแคบ เนื่องจากถูกขนาบข้างตู้เย็น เตาแก๊ส และโต๊ะตัว


ใหญ่ไว้วางเครื่องปรุง กระนั้นอุปกรณ์ทำอาหารทุกอย่างก็จัดเก็บเป็ น
ระเบียบสะอาดสะอ้านสมกับเป็ นร้านอาหาร
ปลื้มยกหม้อสแตนเลสใบใหญ่สภาพผ่านประวัติโชกโชนมาตั้งบนเตา
ภายในนั้นมีขาไก่ขาวอวบ ตัดเล็บ ล้างสะอาดใส่เอาไว้ประมาณสองกิโล

"จริง ๆ สูตรนี้ก็ไม่มีอะไรยากหรอก เริ่มจากใส่พวกขิง ข่า ตะไคร้ ใบ


มะกรูด รากผักชีลงไปต้มพร้อมตีนไก่"

พ่อครัวพูดอธิบาย แล้วจึงเริ่มมีดหั่นขิงเป็ นแผ่นอย่างคล่องแคล่ว ก่อนหัน


ซ้ายหันขวาหาของบางอย่าง

"พี่ช่วยหยิบข่าตรงนั้นให้ผมหน่อยได้มั้ย"

ปลื้มพยักเพยิดหน้ามาทางคุณชาย ซึ่งยืนอยู่ใกล้โต๊ะมีถุงใส่พวกผักชี ใบ
มะกรูด และเครื่องสมุนไพรอื่น ๆ วางไว้หลายใบ ร่างสูงจึงล้วงไปหยิบ
ของจากถุงด้านขวา แต่อนุรักษ์รีบแย้ง
"ไม่ใช่ครับคุณชาย นั่นมันขิง ข่าอยู่ทางซ้ายครับ"

ไม่แปลกถ้าจะมีคนเข้าใจผิด เพราะลักษณะของขิงและข่าเป็ นแง่งคล้าย


กัน แต่ทั้งกลิ่น รวมถึงรสชาติแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่ใช่คนทำอาหาร
บ่อยอาจไม่คุ้น ...แรก ๆ เขาเองก็เป็ นหนึ่งในนั้น ทว่าด้วยอานิสงค์ของ
การเป็ นพนักงานซุปเปอร์ มีบางคราวที่โดนจับไปทำแผนกสต็อกอาหาร
ต้องแพ็คของสด ชั่งกิโล แล้วแปะป้ ายราคา ...จากผู้ชายที่คุ้ยเคยกับพวก
อาหารกึ่งสำเร็จรูป ตอนนี้เลยสามารถแยกออกได้ว่าปลาตัวไหนสดไม่สด

"ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ"

เขาพูดอาสาเป็ นลูกมือ จะให้ยืนมองอยู่เฉย ๆ ก็กระไรอยู่ ไหน ๆ มีสอง


คนช่วยกันน่าจะทำเสร็จเร็วกว่า ส่วนคุณชาย...รายนั้นไม่จำเป็ นต้องคาด
หวัง ปล่อยให้ยืนสังเกตการณ์เฉย ๆ น่ะดีแล้ว
ปลื้มก็คงเดาความสามารถในงานครัวของผู้ชายสองคนได้ จึงรีบส่งส่งอีโต้
มาให้เขาทุบบุตะไคร้โดยไม่คัดค้าน เพียงไม่นานสมุนไพรไทยหลายอย่าง
จึงลงไปอยู่ในหม้อจนครบ

"ที่นี่ก็ใส่เกลือทะเล แล้วเพิ่มน้ำตาลกรวดตัดรสหน่อย เติมน้ำซุปจากโครง


กระดูกไก่ให้ท่วม ...ตอนเริ่มเดือดมันจะมีฟองก็ต้องไล่ช้อนทิ้ง ต้มซุปเปอร์
จะได้ไม่ขุ่น ...แล้วก็ตั้งไฟกลางแบบนี้ไปสักชั่วโมงหนึ่ง"

แต่พวกเขาไม่ต้องรอถึงหนึ่งชั่วโมง เพราะมีหม้อที่ทำเสร็จไว้เรียบร้อย
ขบวนทัพจึงย้ายไปด้านหน้าร้านจัดการต้มซุปเปอร์ต่อโดยไม่มีการ
ขาดตอน

"พอได้ที่เราจะช้อนเอาเครื่องต้มยำเก่าออก ใส่น้ำปลา ซอสปรุงรสลงไป


เพิ่มกลิ่นหอม แล้วค่อยเติมพวกสมุนไพรลงไปใหม่ สีมันจะได้สวย ๆ
...และถ้าลูกค้าสั่ง เราจะตักแยกใส่ถ้วยปรุงชามต่อชาม"
ปลื้มใช้ตะบวยตักน้ำซุปต้มยำพร้อมขาไก่เนื้อนุ่มชิ้นโตลงชาม ปรุงน้ำปลา
น้ำมะนาว พริกขี้หนูตำหยาบ ๆปริมาณพอเหมาะให้ได้รสกลมกล่อม ปิ ด
ท้ายด้วยการโรยผักชีฝรั่ง ผักชีไทย เป็ นอันครบเครื่อง

"เสร็จแล้วครับ ...ต้มซุปเปอร์ขาไก่สูตรยายแม้น"

ต้มซุปเปอร์ร้อน ๆ ควันฉุยน่าทานพร้อมเสิร์ฟ ยั่วกระเพาะคนมองให้


เผลอกลืนน้ำลายเอื้อก วิธีทำและวัตถุดิบไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน ถ้า
ทอนส่วนผสมหน่อย ก็สามารถทำกินได้เองที่บ้านง่าย ๆ

"แล้วหม้อนั้นล่ะ"

คุณชายชี้ไปยังหม้อสแตเลสตั้งไฟอุ่น ๆ อีกใบซึ่งบรรจุน้ำซุปสีน้าตาลเข้ม
ส่งกลิ่นหอมนวล
"อ๋อ...นั่นสูตรต้มเค็ม วิธีทำก็คล้ายกัน แต่เปลี่ยนจากเครื่องสมุนไพร เป็ น
เครื่องยาจีน แล้วก็เติมซีอิ๋วหวานกับเหล้าจีนลงไปแทน"

ไม่พูดเปล่า เชฟมือทองยังตักต้มซุปเปอร์อีกสูตรใส่ถ้วยให้ลูกค้าลองชิม
ด้วย ซึ่งก็ไม่ผิดหวังกับรสชาติ

"เคล็ดลับต้มซุปเปอร์ให้อร่อยน่ะ ต้องใช้วัตถุดิบสดคัดคุณภาพเน้น ๆ มัน


จะได้ถึงเครื่องถึงรส ถ้าใช้พวกผงปรุงรสสำเร็จจะไปอร่อยสู้ของจริงได้ยัง
ไง ...จริงมั้ยครับยาย?"

ผู้เป็ นหลานชายหันไปถามเจ้าของสูตร แต่ยายแม้นกลับโบกไม้โบกมือ

"ยายน่ะไม่มีเคล็ดลับอะไรหรอก รู้แค่ว่าต้มยำต้องครบรส เปรี้ยว เค็ม เผ็ด


หวาน ถ้าขาดไปรสใดรสหนึ่งก็ไม่ใช่ต้มยำ อ๋อ...แล้วที่สำคัญต้องใส่ใจลงไป
ด้วย"
ถ้อยความฟั งดูนามธรรม แต่เห็นผลได้ชัดเจน เมื่อคุณยายเอ่ยเตือน

"ปลื้ม หม้อนู้นน้ำเริ่มเดือดแล้วนะ"

"เฮ้ย! แย่แล้ว"

คนลืมอุทาน รีบวิ่งกลับไปดูหม้อหลังร้าน เพื่อช้อนฟองออกไม่ให้น้ำซุปขุ่น

"เห็นมั้ย ถ้าไม่ใส่ใจในอาหารที่ทำ มันก็จะออกมาไม่ได้ดีตามที่เรา


ต้องการ"
รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ซ่อนอยู่ในวัตถุดิบ ตลอดจนการปรุง คือ
ตัวแปรสำคัญทำให้อาหารอร่อย ยายแม้นจึงสามารถรักษารสชาติเอาไว้
ได้ ด้วยความพิถีพิถันซึมซับจากประสบการณ์อันยาวนาน

"...แล้วไม่ใช่แค่เรื่องอาหารนะ เรื่องอื่น ๆ ในชีวิตก็เหมือนกัน พวกเธอ


ยังหนุ่มยังแน่นต้องใส่ใจคนที่อยู่รอบข้างให้มาก ๆ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้
ทำ"

สายตาอารีนั้นแฝงความเศร้าเจือไว้ คล้ายกำลังหวนนึกถึงความทรงจำเก่า
ๆ อนุรักษ์เดาว่าอาจเกี่ยวกับลูกของยายแม้นที่จากไป เพราะเขาเองก็
คิดถึงพ่อแม่เสมอว่ายามมีชีวิตอยู่ เขาน่าจะทำดีกับพวกท่านให้มากกว่านี้

ก็อก! ก็อก!
เสียงจากเคาะประตูเหล็ก เรียกความสนใจให้ทุกคนด้านในหันไปมองกลุ่ม
ผู้หญิงวัยนักศึกษาหน้าตาน่ารักสามคนยืนอยู่หน้าร้านด้วยท่าทางลังเล

"ขอโทษนะคะ ร้านเปิ ดหรือยังคะ"

นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาห้าทุ่มพอดี เจ้าของร้านจึงตระเตรียมทำหน้าที่

"อ้อ เปิ ดแล้วจ้ะ เข้ามานั่งได้เลย"

อนุรักษ์รีบช่วยคุณยายเลื่อนประตูเหล็กพับอีกข้างที่เหลือต้อนรับลูกค้า
ตามนิสัยพลเมืองดี (และแอบโชว์แมนไปในตัว) แต่กลุ่มสาว ๆ ดันไปให้
ความสนใจกับกำแพงร้านมากกว่า

"นี่ไงแก! ป้ ายที่โพสลงเน็ต"
พวกเธอเลือกนั่งโต๊ะใกล้ ๆ กับโพสอิท หนึ่งในนั้นรีบหยิบกระดาษมาส่ง
ให้สาวผมยาว ตาโต ท่าทางสวยเด่นสุดในกลุ่ม

"แกเขียนลงไปเลย มากินซุปเปอร์ เพราะอกหัก"

คำหยอกพาให้ทั้งกลุ่มหัวเราะกันคิกคัก ยิ่งได้ยินผู้หญิงสวย ๆ พูดว่าโสด


ไม่แปลกที่ผู้ชายทั้งหลายจะหูผึง รวมทั้งคุณชายซึ่งยังคงมองสาว ๆ กลุ่ม
นั้นไม่ละสายตา จนเขาต้องสะกิดเตือนหัวหน้า

"คุณชายครับ ผมรู้ว่าสาว ๆ กลุ่มนั้นสวย แต่ไม่ต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้ มัน


เสียมารยาทนะครับ"

ทว่าคุณชายยังไม่เลิกมอง ซ้ำยังตั้งคำถามแบบไม่มีที่มาที่ไป
"เธอคิดว่าผงซุปต้มยำทำอาหารได้กี่เมนู"

อนุรักษ์ขมวดคิ้วงงกับท่าทางประหลาดของคุณชาย แต่ก็ยังพูดตอบ

"ถ้าเอาไปดัดแปลงดี ๆ ก็คงได้เยอะอยู่มั้งครับ"

ต้มยำกุ้งเป็ นเมนูที่รู้จักกันไปทั่วโลก อาหารไทยเริ่มเข้าสู่ตลาดสากล


ทำให้ให้เห็นพ่อครัวแม่ครัวคิดสูตรอาหารฟิ วชั่วผสมผสานกันจนได้เมนู
ใหม่ ๆ

"แล้วเธอคิดว่าสามารถเปรียบช่วงหนึ่งของชีวิตเป็ นรสชาติได้มั้ย"
คุณชายยิงคำถามแปลก ๆ อีกครั้ง หากคราวนี้ไม่อยู่รอฟั ง เจ้าตัวกลับเดิน
ตรงไปหาลูกค้าโต๊ะแรกของร้าน

"ขอโทษนะครับ"

"มีอะไรเหรอคะ"

สาวน้อยตาโตถามเสียงหวาน เมื่อเห็นผู้ชายใส่สูทหน้าตาดีเข้ามาทัก แต่


คุณชายสนใจเพียงของที่อยู่ในมือ

"ขอผมดูโพสอิทนั่นหน่อยได้มั้ยครับ"

ฝ่ ายถูกถามนิ่งอึ้ง พยายามเอามือปิ ดโพสอิทที่เขียนคล้ายไม่อยากให้เห็น


จนเพื่อนต้องรีบยุ
"เอาให้เขาดูไปสิแก"

"ตะ..แต่ว่า..." เธอยังคงอิดออด กระทั่งเพื่อนต้องดึงโพสอิทส่งไปให้คน


รอแทน คุณชายรับไปอ่าน แล้วพยักหน้าให้อนุรักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้เข้ามา
ด้วย

เขาคิดว่ามันเป็ นเรื่องเสียมารยาทเล็ก ๆ แต่กลุ่มสาว ๆ ส่งเสียงวี๊ดว๊าย


โดยเฉพาะคนเขียนเอามือปิ ดหน้าแดงด้วยความเขินอาย ทำให้เขาชัก
อยากรู้ เลยหยิบโพสอิทสีฟ้ าจากมือคุณชายมาอ่านเหตุผลที่ทำไมถึงมา
กินซุปเปอร์ตอนดึก

'อกหัก เพิ่งรู้ว่าเดือนคณะที่แอบชอบมีแฟนเป็ นพี่ว้ากผู้ชาย แต่จริง ๆ ก็


แอบอิจฉาเพราะเขาสองคนเหมาะกันดี >///<'
อนุรักษ์ทวนข้อความซ้ำอีกรอบเพื่อไม่ให้เข้าใจพลาด ก่อนกระพริบตา
ปริบเงยหน้ามองสาวน้องผู้โชคร้าย (หรือโชคดี?) ด้วยความสับสน

"เธอลองเปรียบสิว่ามันเป็ นรสอะไร"

คุณชายคงต้องการยกเคสตัวอย่างให้เขาทำ จึงมาขอโพสอิทนี้ไปเป็ นโจทย์


ซึ่งเป็ นโจทย์ที่สร้างความปั่ นป่ วนให้สมองสะดุด เผลอตอบตะกุกตะกัก

"อ่ะ...เออ...คงเปรี้ยวมั้งครับ"

"ทำไม?"
"เพราะสถานการณ์นี้จะขมก็ไม่เชิง จะหวานก็ไม่ใช่ ผมคิดว่าความอิจฉา
คงอยู่กึ่งกลางระหว่างรสเปรี้ยวจี๊ดนิด ๆ"

อนุรักษ์ยกเหตุผลมั่ว ๆ ที่อ้างอิงจากความรู้สึกเอาเองล้วน ๆ แต่หลัง


คุณชายพิจารณาตาม กลับพยักหน้าเห็นด้วย พลางออกคำสั่ง

"ถ้านี่เป็ นรสเปรี้ยว ต้มยำมีสี่รส เธอลองเลือกอีกสามรสที่เหลือจากในนี้ได้


มั้ย"

กำแพงผนังร้านเต็มไปด้วยเรื่องราวคล้ายศูนย์รวมสารพัดรสชาติชีวิต เขา
กวาดตาอ่านโพสอิทมากมายอีกครั้ง แล้วจึงค่อย ๆ ดึงออกมาทีละใบ

'ฉลอง! เด็กหงส์ชนะผีแดง!'
'ยายแม้นใจดี ชอบแถมให้เยอะ อิ่มประหยัดไปอีกมื้อ''

'พาแฟนมาเดทครับ'

...เผ็ด เค็ม หวาน ไล่ลำดับตามความรู้สึก

พอจับโพสอิทมาเรียงกันเป็ นรสชาติต้มยำ เขาก็ชักเริ่มเข้าใจวัตถุประสงค์

"คุณชายจะใช้เรื่องพวกนี้โฆษณาผงซุปต้มยำเหรอครับ"

"แค่ในเชิงสัญลักษณ์ แต่ที่ฉันต้องการจริง ๆ คือสูตรอาหารสี่สูตรที่เน้น


รสชาติต่างกันไปตามสถานการณ์ เพราะถ้าใส่วิธีการทำอาหารที่ใช้ผงซุป
ต้มยำลงไปด้วย ลูกค้าก็จะสามารถนำไปใช้จริงได้"
เมื่อพูดถึงการโฆษณาแบบปริ้นแอด ส่วนใหญ่จะเน้นที่ความคิดสร้างสรรค์
แปลกใหม่ โดยเล่นกับภาพและข้อความ เพื่อดึงดูดสายตาคนอ่านทันทีที่
เห็น ...แต่ปริ้นแอดอาหารมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก ถ้าไม่ซูมภาพกุ้งตัวโต ๆ
หรือน้ำซุปเข้มข้นแทบได้กลิ่นต้มยำลอยมาจากกระดาษ ก็จะไม่สามารถ
กระตุ้นความสนใจของคนอ่านได้

...กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ปริ้นแอดอาหารจะไม่มีช่องว่างในการใส่
ความคิดสร้างสรรค์ได้เลย

การผูกเรื่องราวลงไปในผลิตภัณฑ์จะช่วยทำให้คนจดจำ และสร้างน้ำหนัก
ให้โฆษณา อีกทั้งการนำสูตรอาหารใหม่ ๆ มาใส่ ยังช่วยเพิ่มทางเลือกให้
กับผู้บริโภคอีกด้วย

"...ข้อสำคัญคือสูตรอาหารที่เลือกมาต้องทำได้ง่ายและอร่อย"
คุณชายย้ำ ซึ่งอนุรักษ์ก็เห็นด้วยในใจ หนังสือสอนทำอาหารมักจะบอก
ปริมาณสัดส่วนเป็ นช้อนโต๊ะละเอียดถี่ยิบ ถ้าเผยแพร่ปริ้นแอดที่มีสูตรใช้
ผงซุปต้มยำออกไปก็ต้องระบุวิธีทำไม่ให้พลาด

"แล้วจะหาสูตรมาจากไหนครับ"

กับคนที่แยกขิงและข่าไม่ออก บ่งบอกชัดถึงความสามารถว่า 'ถนัดกิน'


มากกว่า 'ถนัดทำ' คงไม่สามารถเนรมิตเมนูอาหารขึ้นมาง่าย ๆ แต่เขาลืม
ไปเสียสนิทว่าคุณชายเพิ่งมีตัวช่วยล่าสุด

"นั่นเป็ นงานของเธอ"

"งานของผม?"
"เธอต้องเลือกอาหารมาสี่อย่าง แล้วมาทำให้ฉันทาน"

อนุรักษ์เบิกตากว้าง หลังได้ยินโจทย์ราวกับศึกแข่งชิงแชมป์ ยอดกุ๊ก นี่เห็น


เขาเป็ นเชฟกระทะเหล็กรึไง!?

"แต่คุณชายถามสูตรจากพ่อครัวเก่ง ๆ ก็ได้นี่ครับ ทำไมต้องเป็ นผมด้วย"

"แล้วพ่อครัวเก่ง ๆ ที่ไหนจะใช้ผงปรุงรสต้มยำ กลุ่มเป้ าหมายคือคน


ธรรมดาทั่วไปอย่างเธอนั่นแหละ"

เหตุผลจี้ตรงประเด็นเล่นเอาแย้งไม่ออก หากเขาก็พยายามควานหาข้อ
อ้าง

"แต่ผม..."
"เธอเป็ นครีเอทีฟของเอเจนซี่ไทเกอร์ มีหน้าที่อะไรจำไม่ได้แล้วหรือ"

ประโยคย้อนนั้นคล้ายถูกต่อยด้วยหมัดอัปเปอร์คัท อนุรักษ์นิ่งงัน จำขึ้นใจ


ชัดเจนว่า หน้าที่ครีเอทีฟของเขามีเพียงอย่างเดียวคือ

...ทำตามคำสั่งของคุณชาย

"ครับ บอส"

แม้ลึก ๆ จะอยากกระโดดเตะหัวหน้าคนใหม่เพียงไร แต่ก็ต้องหยิบ


หน้ากากลูกน้องแสนดีมาสวม แล้วยอมรับชะตากรรม ที่ไหนสักแห่งใน
ความรู้สึกย้อนถามตัวเองอีกครั้งว่า
...เขาตัดสินใจถูกหรือผิดกันแน่ที่มารับงานนี้?

บทที่ 09 : เพราะเราใส่ใจ

13.00 น. คือเวลาที่พนักงานแคชเชียร์กะดึกของเจคิงส์ซูเปอร์เริ่มทำงาน

อนุรักษ์รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัดด้วยการมาตรงเวลาเสมอ (ยกเว้น
ตอนเกิดเรื่องซิปเป้ ากางเกงแตก ซึ่งเป็ นเหตุการณ์เดียวที่เขาเข้างานเข้า
สาย) ทุกครั้งพอเริ่มต้นก้าวเท้าเข้าประตูซูเปอร์ เขาจะพยายามสั่งตัวเอง
ให้กระตือรือร้น ตั้งใจทำหน้าที่ให้คุ้มเงินเดือน
วันนี้ก็เช่นกัน เขาหยุดยืนหน้าสถานที่ทำงานอันคุ้นเคย แต่ด้วยสภาพ
จิตใจห่อเหี่ยว อันเนื่องมาจากเหตุผลสองประการ

หนึ่ง...วันนี้เป็ นวันหยุดของเขา

สอง...แทนทีเขาจะได้นอนพักสบายๆ อยู่หอ กลับต้องรับจ็อบพาเจ้านาย


ออกมาช็อปปิ้ง!

"เรียบร้อยรึเปล่า"
คุณชายยังคงใส่สูทเนี้ยบสมมาดนักธุรกิจ เพราะต้องไปประชุมบริษัทช่วง
เช้า จึงนัดเขาให้มาเจอกันที่เจคิงส์ซูเปอร์ตอนบ่าย เพื่อรายงานสูตร
อาหารสี่อย่างซึ่งใช้ผงปรุงรสต้มยำ โดยให้เวลาเขาคิด...ครึ่งวันถ้วน!

นึกย้อนไปก็เจ็บใจความพาซื่อของตนเอง

หลังออกจากร้านซูเปอร์ยายแม้น คุณชายเอ่ยทันทีว่า 'พรุ่งนี้เลิกงานแล้ว


ให้โทรมา' แต่เขาดันเผลอตอบไปว่า 'พรุ่งนี้ผมหยุด' ...คำสั่งจากให้โทรหา
จึงเปลี่ยนเป็ นนัดพบตัวต่อตัว แม้เขาจะพยายามขอเลื่อนต่อเวลา แต่
คุณชายยกเหตุผลว่าลูกค้าเร่งส่งปริ้นแอดแล้ว เด็กฝึ กงานตำแหน่ง
ครีเอทีฟจึงหมดโอกาสเถียง

ถึงจะรู้สึกอยุติธรรมจนน่าฟ้ องกรมแรงงานเพียงไร ก็จำต้องรับผิดชอบ


ตามหน้าที่ อนุรักษ์พยายามสะกดจิตตัวเองให้กระตือรือร้นเหมือนตอน
เป็ นพนักงานแคชเชียร์ ก่อนจะยื่นกระดาษสี่แผ่นส่งให้คุณชาย แล้วพรี
เซนต์ราวกับร่ายวิทยานิพนธ์

"...จากหัวข้อที่ต้องใช้ผงซุปต้มยำ ผมพยายามคัดเอาเมนูที่สื่อรสชาติออก
มาใกล้เคียงกับอารมณ์ในโพสอิทมากที่สุด

เริ่มจาก 'เปรี้ยว...ต้มซุปเปอร์' ผมดัดแปลงจากสูตรของยายแม้น ส่วน


เหตุผลที่เข้ากับสถานการณ์ผมอธิบายไปแล้วเมื่อวาน

ถัดมา 'เผ็ด...ต้มยำทะเลผัดแห้ง' เมนูนี้อาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่เป็ นการนำ


ต้มยำที่เป็ นน้ำ มาผัดให้มีความเข้มข้นเผ็ดร้อนมากขึ้น ทานเป็ นกับแกล้ม
เหล้าเวลาเชียร์บอลกับก๊วนเพื่อนได้พอดี

ต่อไปรส 'เค็ม...ต้มยำปลากระป๋ อง' ถึงในปลากระป๋ องมีมะเขือเทศปนอยู่


แต่จริงๆ แล้วปลากระป๋ องใส่โซเดียมค่อนข้างมาก และราคายังเหมาะกับ
คนกระเป๋ าแห้งช่วงใกล้สิ้นเดือนที่จะต้องงกเค็มประหยัดอดออมมากกว่า
ปกติ
สุดท้าย 'หวาน...ข้าวไข่ข้นซอสต้มยำ' เมนูนี้ไม่ได้หวานโดด แต่รสจะนุ่ม
นวล ความเข้มข้นอ่อนกว่าต้มยำทั่วๆ ไป เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานดี หรือ
เอาไว้ให้คู่รักทานตอนเดทก็กำลังเหมาะครับ"

รายละเอียดของวัตถุดิบ วิธีการทำ และรูปภาพประกอบ มีพร้อมครบ


ถ้วน เสมือนว่าได้อาจารย์ยิ่งศักดิ์มาจับมือเขาเขียนสูตรอาหาร แต่ถึงไม่ใช่
ก็ใกล้เคียง เพราะคนให้สูตรเขา คืออาจารย์ผู้มีพระคุณคนเดียวกันของ
เด็กนักเรียนทั่วโลกชื่อ 'คุณครูกูเกิ้ล'

เพียงคลิกเดียว ข้อมูลต้มยำก็ปรากฏขึ้นกว่าหนึ่งล้านรายการ สมเป็ น


อาหารประจำชาติไทยที่ดังไกลไปทั่วโลก ทั้งยังมีการนำมาดัดแปลงเป็ น
เมนูใหม่ๆ อีกหลากหลาย
เขาเลือกจานที่ดูแล้วไม่น่าจะยุ่งยากพิสดาร ทีเหลือก็จัดการสร้างเหตุผล
แถนิดแถหน่อยให้พอเข้ากับสถานการณ์ในโพสอิท เพื่อให้คุณชายยอมรับ
และก็เป็ นไปตามหวัง เมื่อคนตรวจส่งกระดาษคืนให้พร้อมคำสั่ง

"เดี๋ยวเธอไปซื้อวัตถุดิบตามรายการนี้มาให้ครบแล้วกัน"

เหตุผลหนึ่งที่คุณชายนัดให้เขาเจอที่เจคิงส์ซูเปอร์ ก็เพราะต้องการซื้อของ
แล้วให้เขากลับไปทดลองทำที่คอนโดตนเองเลย อนุรักษ์ผู้รับหน้าที่เป็ นอี
แจ๋วชั่วคราว จึงเดินนำคุณชายผ่านประตูเข้าไปจ่ายตลาดตามระเบียบ

ภายในเจคิงส์ซูเปอร์มีโซนอาหารค่อนข้างใหญ่พอสมควร ประกอบด้วย
แผนกเบเกอรี่ แผนกผักผลไม้ แผนกเนื้อ แผนกอาหารทะเล แผนก
กับข้าวปรุงสำเร็จทำวันต่อวัน แล้วยังมีตู้บรรจุอาหารแช่แข็ง และอื่นๆ
อีกมากมายให้แม่บ้านยุคใหม่เลือกสรรได้ตามความพอใจ โดยไม่ต้องรีบ
ตื่นแต่เช้า ทนเหนื่อย ทนร้อนไปซื้อของในตลาดสด เพราะเราคัดวัตถุดิบ
คุณภาพมาให้เรียบร้อยแล้ว

...กระนั้น อนุรักษ์กลับเข็นรถใส่ของตรงไปยังแผนกอาหารแช่แข็งเป็ น
อันดับแรก

เจคิงส์ซูเปอร์มีของคุณภาพสดๆ น่ะใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปรุง


มันได้ ขืนซื้อกุ้งหอยปูปลาก็ต้องเสียเวลามาปอกเปลือก ล้างหั่น เลาะก้าง
กันอีก ลูกผู้ชายหัดใช้มีดอย่างเขากว่าจะทำเสร็จมื้อกลางวันอาจกลาย
เป็ นมื้อเย็น สู้ไปใช้อาหารทะเลแช่งแข็งที่แกะเนื้อพร้อมทานเลยดีกว่า
สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเปลืองพลังงาน

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเครื่องสมุนไพร ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกสด ก็ไม่


ต้องยากลำบากซื้อแยก เพราะเจคิงส์ซูเปอร์จัดเครื่องต้มยำแพ็คสำเร็จรูป
ไว้ให้พร้อม เขาแค่ซื้อส่วนประกอบอื่นๆ เพิ่ม จำพวกเห็ดฟาง มะนาว น้ำ
พริกเผา นมจืด ไข่ไก่ ปลากระป๋ อง ยกเว้นผงปรุงรสต้มยำพระเอกของ
งาน เนื่องจากคุณชายบอกว่าบริษัทแบ่งสินค้าส่วนหนึ่งมาให้ทดลองอยู่ที่
คอนโดแล้ว

เพียงเท่านี้ภารกิจเลือกวัตถุดิบก็เสร็จสมบูรณ์ โดยใช้เวลาแค่สิบห้านาที

อนุรักษ์มองหาเคาท์เตอร์แคชเชียร์ว่างๆ ท่ามกลางคิวคนแน่น ...ถ้าเขา


ทำงานอยู่แล้วเห็นสินค้าที่ตนซื้อมา คงเดาพฤติกรรมลูกค้าได้ไม่ยากเลย
ว่า เมนูมื้อเย็นของบ้านนี้ต้องเป็ นต้มยำแน่ๆ แถมยังเป็ นระดับปาร์ตี้ต้มยำ
หม้อใหญ่ เพราะเล่นจัดชุดเครื่องสมุนไพรมาตั้งสี่แพ็ค

ระหว่างนึกขำกับตัวเองในใจ สายตาดันไปสะดุดเข้ากับป้ ายโปรโมชั่นลด


ราคาซื้อสองแถมหนึ่งของแชมพูยี่ห้อที่เขาใช้ เมื่อวานตอนเรียงสินค้าใน
สต็อกไม่เห็นมี สงสัยเพิ่งเอามาจัดเข้าชั้นตอนเช้า แชมพูที่หอเขากำลัง
หมดอยู่พอดีด้วย

"มีอะไร" คุณชายคงเห็นว่าเขาหยุดเข็นรถเลยหันมาถาม

"แชมพูที่ผมใช้น่ะครับ พรุ่งนี้ว่าจะมาซื้อ แต่ไม่รู้จะเหลือพอรึเปล่า"

สินค้าโปรโมชั่นมักมีจำนวนจำกัด ความจริงจะบอกให้เพื่อนพนักงานกั๊ก
เผื่อไว้ก็ได้ แต่วันนี้เขามาในฐานะลูกค้าธรรมดา ไม่อยากใช้สิทธิพิเศษ
อะไร แถมยังเกรงใจเจ้านายตนเองเพราะถือว่าเขายังอยู่ในเวลางาน
อนุรักษ์จึงเตรียมเลื่อนรถเข็นผ่าน แต่คนข้างตัวกลับหยิบแชมพูสามขวด
ใส่แทน

"คุณใช้แชมพูยี่ห้อนี้เหมือนกันเหรอครับ"

คิดไม่ถึงว่าคนมาดเนี้ยบจะมีนิสัยแม่บ้านชอบของแถม

"ฉันซื้อให้เธอเป็ นสวัสดิการพนักงาน"
...เดี๋ยวก่อน สวัสดิการพนักงาน มันคือพวกค่าประกันสังคม ค่ารักษา
พยาบาลทำนองนี้ไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นรู้เลยว่าเอเจนซี่ไทเกอร์จะครอบคลุม
ออกเงินให้กระทั่งค่าแชมพูสระผมของลูกน้องด้วย

เขากำลังจะทักท้วง แต่กลายเป็ นว่าถูกทักตัดหน้า

"แล้วขาไก่ล่ะ"

คุณชายสังเกตเห็นความผิดปกติในรถเข็น คนซื้อรีบก้มลงตรวจวัตถุดิบ
แล้วก็ต้องสะดุ้ง
"เฮ้ยเกือบลืม! รอแป๊ บนึงนะครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้"

นึกตำหนิความสะเพร่าของตัวเอง ...ต้มซุปเปอร์ขาดขาไก่จะเรียกต้ม
ซุปเปอร์ได้ยังไง เขามัวคิดแค่ว่าเลือกของง่ายๆ จะได้เสร็จเร็วๆ ทำให้
เผอเรอไม่ละเอียดรอบคอบ

อนุรักษ์ทิ้งรถเข็นพุ่งตรงไปยังแผนกขายเนื้อทันที โดยปล่อยให้เจ้านายยืน
เฝ้ า

---------------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------
ร่างสูงมองลูกน้องใต้อาณัติที่เร่งสาวเท้าจนแทบจะวิ่งจากไปอย่างรีบร้อน
แล้วถอนหายใจเบาๆ

สำหรับคนทั่วไปปฏิกิริยาเช่นนี้อาจบ่งบอกความระอา แต่สำหรับคนมัก
สวมหน้ากากน้ำแข็งเป็ นประจำแล้ว เขาไม่ได้เหนื่อยหน่ายหรือตำหนิเด็ก
หนุ่มเลย

ตรงข้าม เหตุผลแท้จริงที่ทำให้เผลอระบายความอ่อนใจของตัวเองผ่าน
อากาศ คือแชมพูสามขวดในตะกร้ารถเข็นต่างหาก
...สวัสดิการพนักงาน ข้ออ้างแสนไม่เข้าท่า ทว่าเขาดันเลือกหยิบยกมาพูด
หลังเห็นอีกฝ่ ายจับจ้องขวดแชมพูอยู่อย่างไม่วางตา จนอดรู้สึกเอ็นดูขึ้นมา
อย่างเสียไม่ได้

และไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคิดเช่นนี้

คราวเมื่อยืนต่อแถวในซูเปอร์ เขาลอบสังเกตพนักงานแคชเชียร์หยิบ
ลิปสติก Baby Kiss สี่แท่งแสกนคิดเงินด้วยท่าทางกระตือรือร้นมากกว่า
ปกติ แล้วพอนักศึกษากลุ่มนั้นลับตาไป ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็เผยรอยยิ้ม
กว้างที่ดูออกว่ากำลังดีใจขนาดไหน

เขาทิ้งความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นผลจากการโฆษณาไปนานแล้ว เหลือแค่
เพียงว่ามันเป็ นหน้าที่ ซึ่งต้องรับผิดชอบทำให้ดี เขาทำงานราวเครื่องจักร
ประกอบกับบุคลิกที่แทบไม่ปฏิสัมพันธ์ต่อผู้คนรอบข้าง ทุกวันจึงแห้งแล้ง
เหมือนทะเลทรายขาดน้ำ

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้อนาทรร้อนใจ หากครั้นพบเด็กหนุ่มที่อ่อนกว่าสิบปี
ซ้ำยังเต็มเปี่ ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาก็คล้ายได้ฝนโปรยพร่างพรมให้ต้น
หญ้าพอชุ่มชื่น

...หรือนี่จะเป็ นความแตกต่างด้านอายุ คล้ายพวกตาเฒ่าหัวงูที่ชอบให้มี


เด็กสาวๆ คลอเคลียอยู่ข้างๆ กัน?

เรียวคิ้วเริ่มขมวดมุ่น เมื่อตระหนักว่าตนชักฟุ้งซ่านเกินขอบเขตอย่างที่เคย
เป็ นปกติ ก่อนจะเหลียวมองรอบกาย ส่งเสียงทักกลุ่มหญิงสายวัยเกือบสี่
สิบซึ่งเข็นรถเดินผ่านมา
“ขอโทษนะครับ”

เหล่าแม่บ้านพากันหยุดชะงัก แทบจะตาพร่ากับเทพบุตรรูป
งามในชุดสูทเสมือนท่านประธานหนุ่มแวะรอชวนเธอไปแล่นรถจากัวร์
ทานมื้อค่ำพร้อมจิบไวน์บนรูฟท็อปบาร์โรงแรมหรู

แม้เด็กรุ่นใหม่จะไฟแรงก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถลอกเลียนเสน่ห์
แบบผู้ใหญ่ที่ยิ่งอายุมาก ก็ยิ่งมากประสบการณ์กว่าได้เลย
---------------------------------------------------------------------------------------
-----------------------------------

แผนกขายเนื้อสดของเจคิงส์ซูเปอร์ เต็มไปด้วยทุกส่วนของ วัว หมู และไก่


มีทั้งที่แพ็คแช่เย็นไว้เรียบร้อยแล้ว และมีบริการให้ลูกค้าสามารถเลือกคีบ
เนื้อเอาเองปริมาณตามใจชอบ โดยพนักงานจะช่วยนำไปชั่งกิโล แปะป้ าย
ราคาให้พร้อม

อนุรักษ์หยุดตรงชั้นวางเนื้อไก่อวบๆ แล้วร้องบอกกับพนักงานหญิงร่าง
ท้วมใส่ผ้ากันเปื้ อนและหมวกคลุมผม

"พี่อ้อย ขอขาไก่ครึ่งกิโลครับ"
เจ้าของชื่อหันมอง พอเห็นว่าเป็ นใครก็ยิ้มกว้าง

...พี่อ้อยสาวเหนืออายุยี่สิบปลายๆ เคยทำงานเป็ นพนักงานแคชเชียร์กะ


เช้า ซึ่งเขาเคยแลกเวรกัน เพราะคำสั่งลงโทษของพี่ตาเมื่อคราวที่พี่อ้อย
ลาไปเฝ้ าลูกชายป่ วยเป็ นไข้เลือดออกในโรงพยาบาล หลังจากลูกหายดี พี่
อ้อยจึงเปลี่ยนมาทำแผนกเนื้อสัตว์แทน ทำให้เขาไม่ค่อยได้เจอกันเหมือน
เก่า แต่ครั้นพบหน้าก็ยังทักทายอย่างสนิทสนม

"อ้าว น้องรักษ์ วันนี้เวรหยุดไม่ใช่เหรอ"


"พอดีผมมาซื้อของนิดหน่อยอ่ะครับ"

"แหม ซื้อขาไก่ยังต้องลงทุนมาซื้อถึงที่นี่เชียว ไอ้พี่ก็นึกว่าเรามาดูแม่แก้ว


มณีซะอีก"

"ใครครับแม่แก้วมณี"

"ก็ดาราที่เล่นเรื่องบ่วงบุพเพไง ตอนนี้ดังจะตาย เขาจะโปรโมทสินค้าอะไร


สักอย่างเนี่ยแหละ พี่ยังอยากไปดูเลย เขาว่าตัวจริงส๊วยสวย ผิวดี๊ดี!"
อนุรักษ์ไม่เคยติดตามละครไทย ช่วงเวลาที่ออนแอร์ตรงกับจังหวะเข้างาน
ทำให้เขาไม่ค่อยสนใจวงการบันเทิงสักเท่าไร แต่ละครนี้อาจจะสนุกจริง
เพราะพี่อ้อยส่งขาไก่แพ็คใส่ถุงเรียบร้อยมาให้ ระหว่างเล่าเรื่องเมามันด้วย
ความอิน

"นี่จะบอกให้ ดาราคนนี้เขาเล่นร้ายมากเลยนะ นังแก้วมณีรังแกแม่บุษบา


ซะพี่อยากเขาไปตบ อีตาท่านขุนภิรมย์ก็โง่โง๊! เห็นๆ อยู่ว่านังแก้วมัน
โกหกก็ยังจะไปเชื่ออีก โอยยย! คนเค้าก็รู้กันหมดทั้งประเทศแล้ว..."

"อะแฮ่ม!"

...เสียงที่คุณก็รู้ว่าใคร
คนโม้เงียบกริบเรียบรีบก้มหน้าขยันคีบจัดเรียงไก่ทันควัน ส่วนอนุรักษ์แม้
ไม่อยากหันไปมองแต่ก็ต้องยกมือไหว้พี่ตา ผู้จัดการซูเปอร์ ซึ่งถามเขา
พร้อมรอยยิ้มแฝงความเฮี้ยบ

"น้องรักษ์มาช่วยพี่อ้อยทำโอทีวันหยุดเหรอลูก"

"ปะ...เปล่าครับ ผมแค่มาซื้อขาไก่เฉยๆ"

เขารีบชูถุงหลักฐานประกอบว่าไม่ได้ชวนพี่อ้อยคุยในเวลางาน พอเห็นดัง
นั้นพี่ตาจึงเปลี่ยนท่าทีอ่อนลง
"อ้าวเหรอจ๊ะ...งั้นพี่รบกวนขอแรงน้องรักษ์มาช่วยยกป้ ายสแตนดี้ไปตรง
เวทีได้ไหม พนักงานคนอื่นยุ่งกันหมด นี่งานก็ใกล้จะเริ่มแล้ว พี่ต้องไปดู
ไฟกับเช็คซาวน์เสียงก่อน"

ใครๆ ก็บอกว่าอนุรักษ์เป็ นลูกรักของพี่ตา แต่พี่ตาคงใช้หลักการ 'รักวัวให้


ผูกรักลูกให้ตี' เขาจึงมักโดนอีกฝ่ ายเรียกใช้งานบ่อยๆ อยู่เสมอ และ
แน่นอนถ้ามันเหลือบ่าฝ่ าแรงเกินไป พ่อยอดชายพลเมืองดีก็เต็มใจบริการ
ฉะนั้น แม้วันนี้จะไม่ใช่วันทำงาน เขาก็รับปากช่วย

ป้ ายสแตนดี้เพิ่งเอามาลงจึงยังอยู่ด้านหลังโกดังสต็อกสินค้าของซูเปอร์ ซึ่ง
สามารถทะลุจากห้องใกล้ๆ กับแผนกเนื้อสัตว์ได้เลย อนุรักษ์ตั้งใจรีบไป
เอา เพราะชักกังวลที่ปล่อยคุณชายให้รอนาน แล้วเขาก็พบแผ่นบอร์ดตัด
ขนาดเท่าคนจริง ประหนึ่งว่าดาราหญิงมายืนอยู่ตรงหน้า
...แม่แก้วมณี เป็ นผู้หญิงสวยเปรี้ยว หน้าไทยดวงตาเรียวคม หุ่นสะท้าน
บาดใจ ในมือถือขวดครีมทาผิวแบรนด์ยอดนิยม สกรีนข้อความโฆษณา
ประเภทขาวกระจ่างสว่างใส

เขารีบยกสแตนดี้น้ำหนักเบาพอถือคนเดียวไหว กำลังจะเร่งเดินไปยังเวที
หากบางสิ่งที่ดังมาจากบริเวณประตูโกดัง ซึ่งเปิ ดอยู่ติดถนนด้านหลังซู
เปอร์เพื่อให้รถจอดส่งของทำให้สองขาหยุดชะงัก

"...คุณยังมีธุระอะไรอีก ทุกอย่างก็เป็ นไปตามที่ตกลงแล้วไงคะ"


เสียงหวานเล็กๆ คุ้นหูอย่างน่าประหลาดราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ตามมาด้วยเสียงทุ้มที่คุ้นเคยยิ่งกว่า

"แต่คุณเล่นหนักเกินไป ทำแบบนี้ผมจะเสียหายไปด้วย"

"อย่าพูดเหมือนฉันเป็ นคนผิดคนเดียวสิ คุณเองก็มีส่วนร่วมด้วยไม่ใช่เหรอ


คะ คุณเฮง"

ชื่อนั้นเรียกความสนใจของเขา มันจะอาจฟั งดูโหล แต่ผู้ชายหน้าคมแขก


หุ่นหมีที่ใช้ชื่อจีนนี้รับรองมีไม่กี่คน
ส่วนคู่สนทนาก็ถอดแบบจากสแตนดี้ที่เขากำลังหิ้วอยู่ ...แม่แก้วมณีตัวจริง
ผิวสวยสมเป็ นพรีเซนเตอร์ครีมทาผิว ชุดสีแดงเลือดนกโชว์ส่วนเว้าโค้งขับ
ออร่าดาราให้ผ่องเปล่งประกาย ทว่าใบหน้างามกลับขมวดคิ้วบึ้งตึง ยกมือ
กอดอกด้วยท่าทางหงุดหงิด

อนุรักษ์อยู่ในมุมอับถูกชั้นวางของบังไว้พอดี หากจุดที่เขายืนทำให้เห็นทั้ง
สองคนจากถนนด้านหลังซูเปอร์ได้ชัดเจน รวมทั้งสีหน้าเคร่งเครียดของ
หัวหน้าฝ่ ายดูแลลูกค้าเอเจนซี่ไทเกอร์

"ผมทำแบบนั้น เพราะผมมีเหตุผลของผม"

"ฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกัน หึ! ใจจริงคุณก็ไม่ต่างฉันหรอก ฉันน่ะแค่


แก้แค้นอะไรเล็กๆ น้อยๆ แต่คุณคอยหาโอกาสจ้องแทงข้างหลัง เหยียบ
หัวเขาเพื่อไปให้สูงกว่า จะแสร้งเป็ นพ่อพระตอนนี้ก็สายไปแล้วค่ะ อีก
อย่างมันก็สาสมกับสิ่งที่เขาทำกับเราสองคนแล้วนี่คะ!"

เขาชักเชื่อที่พี่อ้อยพูดชมว่าแม่แก้วมณีเล่นบทตัวร้ายได้ดี เพราะตอนนี้
ดวงตาคู่สวยและน้ำเสียงหวานแหลมเปลี่ยนเป็ นวาวโรจน์คุกรุ่นด้วยเพลิง
อารมณ์ จนคนแอบมองถึงกับขนลุก

คุณเฮงคล้ายจะโต้ตอบอะไรบางอย่าง แต่สัญญาณเรียกเข้าจากสมาร์ท
โฟนในมือดาราคิวทองดังขัดขึ้น ปลายสายน่าจะโทรมาตาม เพราะหญิง
สาวรีบแยกออกห่างจากคุณเฮงทันทีที่เห็น

"ฉันต้องไปทำงานแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ"
แม่แก้วมณีเดินกลับไปทางด้านหน้าซูเปอร์ ส่วนคุณเฮงถอนหายใจหน่าย
กับผลการเจรจาธุรกิจที่ล้มเหลว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบ้างเพื่อกดโทร
ออกแล้วรายงาน

"ผมเองครับ เธอไม่ยอมเปลี่ยนใจ ท่านยังจะให้รอ หรือจะให้ผมเตรียมเค้ก


ส่งไปให้เขาเลยไหมครับ..."

อนุรักษ์ไม่รู้บทสนทนาต่อจากนั้น เพราะถูกเสียงบ่นจากพนักงานซูเปอร์
ด้วยกันดึงความสนใจ

"อ้าว ป้ ายสแตนดี้อยู่ไหนวะ วางไว้แถวนี้นี่หว่า"


...เผลอลืมงานตัวเองเสียสนิท!

"อยู่นี่ครับพี่"

เขารีบยกป้ ายให้คนมาตาม ซึ่งอาสาเอาไปหน้าเวทีแทน แล้วหิ้วขาไก่วิ่ง


กลับไปหาคุณชายทันที

...ขอโทษครับ ผู้จัดการเขาช่วยให้ไปยกของ ผมเลยมาช้า


คิดคำแก้ตัวไว้พร้อม ด้วยกลัวจะถูกดุที่ปล่อยให้ยืนรออยู่คนเดียว แต่ภาพ
ที่เห็นกลายเป็ นคุณชายยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าแม่บ้าน
มิหนำซ้ำยังพูดคุยอย่างสุภาพ

"ขอบคุณนะครับที่ช่วยเฝ้ ารถเข็นให้"

“อูยยย ไม่เป็ นไรหรอกค่า แหม...ตอนแรกพี่ก็นึกว่าเป็ นเจ้าของซูเปอร์มา


ตรวจงานเสียอีก แต่จะว่าไปผู้ชายทำขนมนี่หายากนะคะ เปิ ดร้านที่ไหนไว้
จะแวะไปชิม”

คุณน้าย่างสามสิบปลายๆ เอ่ยพร้อมสายตาวิบวับ
อนุรักษ์ชักงงในสถานการณ์ ...คุณชายเนี่ยนะเปิ ดร้านทำขนม อะไรที่
ทำให้เข้าใจผิดไปได้ขนาดนั้น และเขาก็ร้องอ้อในใจเมื่อเห็นของแปลก
ปลอมที่เพิ่มขึ้นใหม่ในตะกร้ารถเข็น

"นี่เอามาทำไมเหรอครับ"

ยกตราชั่งสีแดงขนาดเล็กสำหรับเบเกอรี่ขึ้นมาถาม หลังกลุ่มแม่บ้านถอน
ตัวออกไป คุณชายตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"ไว้ชั่งปริมาณของจะได้ทำตามสูตรถูกต้อง"
...นั่นไง คนตรงเผงเป็ นไม้บรรทัดจะมีฟี ลโรแมนติกทำขนมมุ้งมิ้งได้ยังไง
และของที่งอกมาในตะกร้า ยังมีถ้วยตวง ช้อนตวง ให้พร้อมสรรพ ดูท่า
งานนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด

อนุรักษ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับชะตากรรมตนเอง ก่อนเข็นรถไปจ่าย
เงิน หอบหิ้วถุงใส่ของ แล้วขึ้นรถคุณชายไปแปลงร่างเป็ นพ่อครัวที่คอนโด

ห้องชุดของคุณชายยังคงคอนเซปต์ห้องตัวอย่างสมบูรณ์แบบไว้ไม่เปลี่ยน
กระทั่งการตกแต่งครัวก็คล้ายงัดเอาเฟอร์นิเจอร์บิวอินทั้งหมดมาจากอิ
เกีย

อนุรักษ์ลงมือทำอาหาร โดยเริ่มต้นจากส่วนที่ง่ายที่สุด นั่นคือ...หุงข้าว


"คุณเก็บข้าวสารไว้ที่ไหนครับ"

หันไปถามเจ้าของห้อง มือที่กำลังปลดเนคไทชะงัก สบตามองคล้ายเพิ่ง


นึกขึ้นได้ และเขาก็แปลความหมายออก

"อย่าบอกนะครับว่าไม่มี"

ไม่ใช่แค่ข้าวสาร ทั้งน้ำปลา น้ำตาล น้ำมันพืช ก็ไม่เห็นมีวางอยู่ ภายใน


ห้องครัวสะอาดเรียบร้อยนี้ ส่วนที่ถูกใช้งานบ่อยสุดคงเป็ นเครื่องชงกาแฟ
รุ่นไฮเทคที่มีกลิ่นเอสเปรสโซ่จางๆ
"ปกติไม่ได้ทำกับข้าวทานเองเหรอครับ"

"ส่วนใหญ่จะทานที่ร้านอาหารเลย"

...ได้คำตอบสมเป็ นคุณชายดี เขาน่าจะคำนึงถึงเรื่องนี้ตอนซื้อของในซู


เปอร์ แต่ใครมันจะไปเชื่อว่าต้องซื้อเครื่องปรุงพื้นฐานใหม่หมด ดีที่
คุณชายยังมีหม้อกับกระทะเทฟล่อนติดไว้ ไม่งั้นเขาคงยอมแพ้เลิกทำแน่
แต่ไหนๆ มาถึงขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องกัดฟั นสู้ต่อ

"ข้างคอนโด ผมเห็นมีเซเว่นอยู่ เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อของที่ขาดมาให้แล้ว


กันครับ"
"ไม่ต้องเดี๋ยวฉันไปเอง เธออยากได้อะไรก็จดมา"

คุณชายอาสา ไม่รู้เพราะเกิดใจดี หรือเพราะรู้สึกผิดที่คอนโดมีของไม่


พร้อม ทว่าเขาเป็ นลูกน้องจะใช้เจ้านายตัวเองก็คงไม่งาม

"ไม่เป็ นไรครับ ผมไปได้"

"คอนโดนี้ต้องใช้บัตรสแกน คุมเข้มเรื่องคนเข้าออก ถ้ายามมาถามมันจะ


ยุ่งยาก"
ประโยคนั้นเหมือนผู้พูดรำคาญปั ญหาจุกจิกตามหลัง แต่แปลกที่ฟั งแล้วดู
แล้วแอบแข็งทื่ออย่างไรพิกล

อนุรักษ์จึงหากระดาษมาจดบรรดาเครื่องปรุงทั้งหลาย โดยให้ซื้อเป็ นขวด


ไซต์เล็ก ส่วนข้าวก็ใช้แบบแช่เย็นหุงสำเร็จมาเลย เขาย้ำทุกอย่างสองรอบ
เพื่อให้คนไม่เคยแตะงานครัวเข้าใจ ตอนนี้ความรู้สึกจากตำแหน่งเบ๊เลย
กลายสภาพเป็ นแม่สั่งลูกให้ไปซื้อของแทน

หลังคุณชายออกจากห้องไป เขาเอาสูตรมากางตรวจเช็ควิธีทำอีกครั้ง
แกะแพ็คกุ้ง ปลาหมึก ปลาแช่แข็ง และหั่นเครื่องสมุนไพรทั้งหลาย ตวง
วัดด้วยเครื่องชั่งที่เพิ่งถอยมาสดๆ ร้อนๆ แยกแบ่งใส่ถ้วยเล็กๆ เอาไว้
คล้ายเวลาออกรายการทำอาหาร ทุกอย่างเตรียมพร้อมขาดแค่ส่วน
ประกอบสำคัญอีกหนึ่ง
เขากวาดตามองหา 'ผงซุปต้มยำ' ที่บริษัทให้คุณชายเอาไว้ ก่อนจะพบลัง
ปริศนาวางอยู่ใกล้ห้องเล็กห้องหนึ่งซึ่งมีประตูเปิ ดแง้มไว้ ยี่ห้อผลิตภัณฑ์
ผงปรุงรสชื่อดังสกรีนข้างกล่อง เดาได้ไม่ยากว่ามีอะไรอยู่ในนั้น โฆษณา
ปริ้นแอดตัวเดียว แต่นักครีเอทีฟที่ต้อง 'รู้ลึก รู้ละเอียด ทดลองใช้จริง' ก็
ยังไม่ทิ้งนิสัยทุ่มเท

...ทั้งน่าปวดหัวและน่าชื่นชมไปด้วยขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่าคนในเอเจนซี่ไท
เกอร์จะเห็นความพยายามของคุณชายบ้างไหม

นึกถึงตรงนี้บทสนทนาที่บังเอิญไปได้ยินก็ย้อนกลับมาในความทรงจำอีก
ครั้ง...
ความสัมพันธ์ของคุณเฮงกับแม่แก้วมณีจะเกี่ยวข้องกันยังไงเขาไม่อาจ
ทราบ หากที่แน่ๆ ทั้งสองมีเป้ าหมายเดียวกันคือต้องการทำลายใครสักคน
...หวังว่าคงไม่ใช่คนชอบสร้างศัตรูไว้เยอะอย่างคุณชายหรอกนะ แต่
คุณชายจะกล้าไปมีเรื่องกับดาราหญิงขวัญใจประชาชนได้เลยเหรอ ...หรือ
เขาอาจแค่คิดมากเกินไป?

อนุรักษ์ไล่จินตนาการเพ้อเจ้อของตัวเอง แล้วหันกลับมาตั้งสติกับสิ่งที่ต้อง
ทำต่อ เขาหยิบซองเครื่องปรุงต้มยำมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะจะบังเอิญ
เหลือบเห็นของบางอย่างผ่านรอยแง้มประตู

แม้ตระหนักดีว่าตนเสียมารยาท แต่ก็ห้ามความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
และในเมื่อตอนนี้เจ้าของห้องไม่อยู่ เขาเลยถือโอกาสแอบผลักบานประตู
เข้าไป
ด้านในเป็ นห้องที่เรียกว่า ‘ห้องเก็บของ’ อย่างแท้จริง เพราะเต็มไปด้วย
ลังกระดาษบรรจุข้าวของสารพัดวางกองเป็ นระเบียบอยู่มากมาย ทั้งหมด
ล้วนติดยี่ห้อแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ นรองเท้า โทรทัศน์ บะหมี่กึ่ง
สำเร็จรูป น้ำยาเช็ดกระจกดูเผินๆ เหมือนอยู่ในคลังโกดังสินค้าซูเปอร์
มาร์เก็ต

ถ้าเป็ นคนธรรมดาคงคิดว่าคุณชายเป็ นพวกบ้าสมบัติ แต่เซ้นส์ของเขา


บอกว่า นี่ต้องเป็ นบรรดาสินค้าที่นักครีเอทีฟรับทำโฆษณา แล้วซื้อมาไว้
เพื่อทดลองใช้อย่างแน่นอน

กระนั้น สิ่งที่โดดเด่นออกมาจากกองข้าวของทดลอง กลับเป็ นลังใบหนึ่ง


ซึ่งมีวัตถุสะท้อนแสงวาวจนสะดุดตาเขา
ลังกระดาษใกล้ประตูบรรจุโล่แก้วรางวัลหกเจ็ดใบวางกองสุม
อยู่อย่างไม่ใส่ใจ ทุกใบล้วนสลักตัวอักษรเป็ นภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาไทย
บ้าง ทำให้เขาสามารถอ่านชื่อเจ้าของผลงานชนะเลิศการสร้างสรรค์
โฆษณาระดับประเทศได้ชัดเจน

'ชาย พรรณสินทรัพย์ไพศาล'

...เจอนามสกุลเข้าไปก็กินขาด ครอบครัวของคุณชายคงมีฐานะร่ำรวยอยู่
ก่อนแล้ว น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์กลับเปราะบางไม่แน่นหนาเท่า
ปริมาณทรัพย์สิน

ด้านในลึกสุดของกล่อง มีกรอบรูปใบหนึ่งคว่ำอยู่ ฝุ่นจับเกาะค่อนข้าง


หนาอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีในห้องสะอาดขนาดนี้ คงเป็ นเพราะเจ้าของ
จงใจเลี่ยงจึงไม่ได้แตะต้องมานาน แล้วพอเงยกรอบรูปขึ้นมาก็ทำเอาเขา
ถึงกับนิ่งค้าง

ในภาพ...คุณชายกำลังถือโล่รางวัล ใบหน้าที่ปกติมักนิ่งเฉยกลับส่งยิ้ม
จางๆ ยืนอยู่ข้างใครอีกคนซึ่งอนุรักษ์จำได้ไม่ลืม

...ผู้ชายเจ้าของรอยยิ้มกว้างในสมาร์ทโฟน

เกิดความสงสัยระคนแปลกใจ แต่พอเขาได้ยินเสียงกุกกักจากประตูด้าน
หน้า ก็ต้องรีบเผ่นออกนอกห้องเก็บของ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คุณชายกลับมาพร้อมวัตถุดิบครบทุกอย่าง คราวนี้พ่อครัวจึงได้เวลาแสดง
ฝี มือ

เมนูแรกเริ่มด้วยต้มซุปเปอร์ เพราะต้องอาศัยเวลาต้มทิ้งไว้สักระยะเพื่อ
ทำให้ขาไก่เปื่ อย หลังจากนั้นก็ใช้ไมโครเวฟทำต้มยำปลากระป๋ องแบบ
ง่ายๆ ส่วนกระทะอีกใบ เขาเตรียมผัดต้มยำทะเลแห้ง คุณชายมาช่วยเปิ ด
เครื่องดูดควัน ไม่ให้เมนูเดือดส่งกลิ่นพริกฉุน พอผัดเสร็จก็เตรียมทำซอส
ต้มยำไว้ราดข้าวไข่ข้น

แค่สี่เมนูทำคนเดียวก็หัวหมุนแล้ว ไหนจะยุ่งยากตรงต้องกะปริมาณพอดี
เป๊ ะๆ ไม่ให้พลาดอีก หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม ในที่สุดจานอาหาร
ทั้งหมดจึงพร้อมเสิร์ฟ
"ต้มซุปเปอร์ ต้มยำทะเลผัดแห้ง ต้มยำปลากระป๋ อง ข้าวไข่ข้นซอสต้มยำ
เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ"

อนุรักษ์ปาดเหงื่อ กว่าจะทำครบก็เล่นเอาหมดแรงแถมยังกังวลเล็กๆ เขา


ทำตามสูตรที่ลอกมาจากกูเกิ้ลก็จริง หากไม่ชัวร์ในเรื่องรสชาติ เลยส่งช้อน
ให้คุณชายพิสูจน์

"ลองชิมดูสิครับว่าใช้ได้ไหม"

"เดี๋ยวฉันต้องถ่ายรูปก่อน"
แน่นอนคุณชายไม่ได้งัดเอาสมาร์ทโฟนมาถ่ายรูปโพสลงอินตราแกรม แต่
กลับถือกล้อง DSLR ตัวใหญ่ออกมา แล้วกดชัตเตอร์อย่างคล่องแคล่ว
คงจะเอาไปเป็ นภาพอ้างอิงทำโฆษณาทีหลัง ครั้นได้รูปจนพอใจก็ถึงเวลา
ที่รอคอย

คุณชายตักต้มซุปเปอร์ขึ้นชิมเป็ นอันดับแรก

"เป็ นยังไงบ้างครับ"

"ก็ดี"
คอมเมนต์สั้นๆ ไม่เหมือนคราวที่ชิมต้มซุปเปอร์ยายแม้น อนุรักษ์ใจเสีย
แต่พอเขาตักชิมดูบ้างก็เข้าใจความหมาย

"รสชาติเหมือนขาดอะไรสักอย่าง ไม่กลมกล่อมเหมือนต้มซุปเปอร์ของ
ยายแม้นเลยนะครับ"

เขาลองทานเมนูอื่นๆ ผลลัพธ์ก็ไม่ต่าง อาจเพราะใช้ผงปรุงรสต้มยำ รส


พื้นฐานจึงไปทางเดียวกันหมด ไม่ใช่ถึงกับทานไม่ได้ ถ้าไอ้ทัตเพื่อนเขามา
กินคงเอ่ยปากชม แต่หลังจากได้ลิ้มรสของดีไปแล้ว อะไรที่นำไปเปรียบ
เทียบเลยดูด้อยลง

"เฮ้อ...คงเหมือนที่ปลื้มว่า ยังไงของเลียนแบบมันก็สู้ของจริงไม่ได้"
อุตส่าห์ลงทุนลงแรงทำตามสูตรก็ยังไม่ได้เรื่อง หรือฝี มือของเขามันห่วย
เอง
"เธอทำอร่อยแล้ว"

"ไม่ต้องฝื นชมหรอกครับ"

"อาหารที่ใส่ใจลงไปมันถึงอร่อย เธอพยายามมากแสดงว่าเธอใส่ใจลงไป
ด้วย"

คุณชายตอบง่ายๆ แล้วจัดการยกช้อนขึ้นตักอาหารทานอีกครั้ง
คนที่ปากหนักเอ่ยอย่างจริงใจเช่นนี้ ความรู้สึกห่อเหี่ยวในคราวแรก คล้าย
ถูกเต็มตื้นขึ้นมาเล็กน้อย เขาเองก็ท้องร้องตั้งแต่ตอนทำ จึงลงมือทานด้วย

ผู้ชายสองคนจัดการสี่จานได้เรียบวุธไม่มีเหลือ อนุรักษ์อาสาล้างจานรวม
ทั้งหม้อกระทะ ส่วนคุณชายหันไปยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงาน พอ
เขาออกจากห้องครัวก็ถูกเรียก

"มาดูนี่สิ"

คุณชายถอดเมมกล้องต่อเข้าเครื่อง โหลดเอารูปภาพอาหารที่เพิ่งถ่ายไป
เมื่อครู่ มาจัดวางใส่กราฟฟิ คคู่กับข้อความในโพสอิท พร้อมทั้งเติมราย
ละเอียดของวัตถุดิบและวิธีการปรุง จัดวางตัวอักษร สีสัน สเปซพื้นที่
อย่างเหมาะเจาะ จนเขาต้องชม
"สวยดีนะครับ ถ้าเห็นแบบนี้ในหนังสือผมก็คงหยุดอ่านเหมือนกัน"

"อืม อาจต้องใส่รูปคนลงไปเพิ่มน้ำหนักของเหตุการณ์ให้เข้าใจง่ายๆ แล้ว


ก็ต้องเน้นรูปผลิตภัณฑ์ด้วย ...เธอช่วยหยิบซองผงปรุงรสในกล่องให้หน่อย
ได้ไหม"

คนเข้าโหมดทำงานจริงจังออกคำสั่ง เบ๊กิตติมศักดิ์จึงต้องทำตามอย่างว่า
ง่าย อนุรักษ์เดินไปยังหน้าห้องเก็บของที่ซึ่งมีบางสิ่งหลบซ่อนอยู่หลัง
ประตู และมันไปกระตุ้นต่อมความสงสัยจนทำให้เผลอหลุดปากถาม
"คุณชายมีพี่น้องบ้างรึเปล่าครับ"

ประโยคเดียวส่งผลให้ทุกอย่างหยุดชะงัก คุณชายเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเรียว


สบมองเขานิ่ง

"ถามทำไม"

น้ำเสียงราบเรียบนั้นเย็นเยือกกว่าปกติสามระดับ บ่งบอกชัดถึงการไป
แตะถูกในสิ่งที่ไม่ควร

"ถ้าไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็ นไรครับ ขอโทษที่ผมก้าวก่ายเอง"


อนุรักษ์ตระหนักได้ว่าชักล้ำเส้นเกินไป เขายังไม่สนิทกับคุณชายเกินกว่า
ตำแหน่งเจ้านายลูกน้อง จึงรีบนำซองผงปรุงรสไปวางไว้บนโต๊ะ หากขณะ
ที่ถอยห่างออกมาเขาก็ได้คำตอบ

"ฉันมีน้องชายคนหนึ่ง"

"แล้วตอนนี้เขา..."

"เสียไปแล้ว"
อ้าปากจะถามต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ รู้ดีว่าเหตุการณ์แบบนี้ใครๆ ก็ไม่
อยากย้อนความทรงจำนึกถึง เพราะตนเองเคยเจอมาก่อน

บรรยากาศคล้ายเงียบเชียบลงไปถนัด กระทั่งได้ยินเสียงปี๊ บดังเบาๆ จาก


หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ซึ่งเริ่มเคลื่อนออกจากแท่นชาร์ตตามเวลาซึ่งตั้งเซ็ทไว้เพื่อ
ทำหน้าที่ของมัน ส่วนฝ่ ายเด็กฝึ กงานก็หมดหน้าที่ของตัวเองแล้วเช่นกัน

เขาเลือกเดินไปหน้าประตู อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์ เพราะจากนี้ขึ้นอยู่กับ


ฝี มือนักโฆษณาล้วนๆ

"งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ"
"เดี๋ยวฉันจะไปส่ง"

"ผมกลับเองได้ครับ งานคุณเร่งไม่ใช่เหรอ"

อนุรักษ์ปฏิเสธความหวังดี กระนั้นก็ยังคงมีคำสั่งตามมาเหมือนเช่นเคย

"ถ้าถึงหอแล้วโทรมาบอกฉันด้วย"
"ผมยี่สิบเอ็ด ไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ นี่เพิ่งบ่ายสามโมงเอง ฟ้ ายังไม่ทันมืด
เลย ไม่ต้องกลัวผีที่ไหนมาหลอกผมหรอก มีแต่ผมที่ไปหลอกเขา"

เขาแกล้งยิงมุก แต่คุณชายไม่ขำ

"...ฉันจะรอโทรศัพท์"

คำย้ำสั้นๆ นั้นราวกับเป็ นคำประกาศิต ต้องปฏิบัติตามอย่างเลี่ยงไม่ได้


อนุรักษ์หันหลัง เปิ ดประตู แล้วลงลิฟต์ออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าคอนโด
ปกติถ้านั่งรถเมล์ถึงหอคงใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง

เขากะเวลาตามนั้น แล้วจึงหยิบโทรศัพท์รายงานผู้ปกครอง

"ผมถึงหอแล้วครับ"

"อืม เธอลืมแชมพูไว้"

...เฮ้ย! จริงด้วย ค่าสวัสดิการของคุณชายสามขวด เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับ


ต้มยำเลยลืมสนิท
"พรุ่งนี้เธอเลิกงานเมื่อไร โทรหาฉัน จะเอาไปให้"

"ขอบคุณมากครับ ขอโทษด้วยครับที่รบกวน"

เอ่ยเกรงใจเจ้านาย อีกฝ่ ายเงียบไปจนเขานึกว่าจะวางสาย แต่อยู่ๆ ก็เรียก


ชื่อ

"รักษ์..."
"ครับ?"

"...เปล่าไม่มีอะไร ฉันต้องทำงานต่อแล้ว แค่นี้นะ"

แล้วสายก็ถูกตัดไปดื้อๆ

อนุรักษ์มองโทรศัพท์ด้วยความมึนงง นึกว่าคุณชายจะรู้เรื่องโกหกที่เขายัง
ไม่ยอมกลับหอ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่
พอเริ่มคุยกับคุณชายบ่อยๆ เขาก็ชักจะจับทางได้ ความจริงแล้วมันมีอะไร
อีกมากมายซ่อนอยู่ภายใต้น้ำเสียงราบเรียบนั่น

...เรื่องที่คุณชายไม่ยอมเล่า

...เรื่องที่เขาไม่กล้าถาม

แต่ในฐานะเจ้านายและลูกน้อง เขาคงไม่มีสิทธิไปซักไซ้อะไร ถึงแม้ในใจ


เขาอยากจะรู้คำตอบแค่เพียงเรื่องเดียว

...น้องชายที่เสียไปของคุณชาย อายุเท่าเขาใช่รึเปล่า
---------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------

บนห้องชุดคอนโด ชายหนุ่มยกลังผงปรุงรสต้มยำเข้าไปไว้ในห้องขนาด
เล็ก ซึ่งมีหลายสิ่งฝั งอยู่ในนั้นรวมทั้งความทรงจำ

โล่รางวัลมากมายที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความภาคภูมิใจให้กับเขา แต่มาตอน
นี้มันเป็ นได้แค่เพียงเครื่องตอกย้ำความกลวงเปล่า จนเขาต้องเก็บมันลง
ในกล่อง เพราะไม่อาจทำใจเห็นได้
โดยเฉพาะกรอบรูปใบหนึ่ง

รอยยิ้มกว้างของคนยืนเคียงข้างยังคงกระจ่างชัด คล้ายเพิ่งแล่นชัตเตอร์
ขึ้นเมื่อวานทั้งที่ผ่านไปนานถึงสองปี และเหตุการณ์นั้นได้กลายมาเป็ นจุด
เปลี่ยนในชีวิตของเขา

เพราะปกป้ องไม่ได้จึงสูญเสีย

แต่โชคชะตาคงเล่นตลก ส่งใครบางคนมาให้เขาค้นพบว่าตนเองกำลังวน
กลับมาอยู่ที่เก่า
ชายหนุ่มเหลือบเห็นถุงแชมพูที่ใช้เป็ นข้ออ้างสวัสดิการซื้อให้ ไหนจะยัง
คำสั่งต้องโทรรายงานทุกครั้งหลังกลับถึงบ้าน แล้วยังประโยคที่เผลอเรียก
ชื่อรักษ์ค้างไว้ ซึ่งไม่ได้มีอะไรอื่นมากกว่าอยากย้ำให้แน่ใจว่าเจ้าตัวยัง
ปลอดภัย

...ทั้งหมดนี้ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตสิทธิของความห่วงใยระหว่างเจ้านายกับ
ลูกน้องรึเปล่า?

กรอบรูปถูกพลิกคว่ำลงในกล่องอีกครั้ง บางทีเขาอาจจะต้องกลับไป
ครุ่นคิดเรื่องนี้ดูให้ดี กระนั้นมีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจชัดเจน
...ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม
อีก

บทที่ 10 : Keep Walking

"เส้นปลาต้มยำพิเศษสองครับ"

ตอนสั่งอาเฮียร้านก๋วยเตี๋ยวไป อนุรักษ์ก็ยังคิดว่าตัวเองพิลึก

ทั้งที่เมื่อวานจัดเมนูต้มยำไปสี่จาน เที่ยงวันต่อมาก็ยังจะอุตส่าห์ร้องหา
...ไม่ใช่เพราะใจเขามัวพะวงกับโฆษณาผงปรุงรส แต่สาเหตุหลักเพราะ
ร้านก๋วยเตี๋ยวในซอยข้างเจคิงส์ซูเปอร์ขึ้นชื่อเรื่องต้มยำอร่อย เขาเลย
ชอบมาใช้บริการเติมพลังก่อนเข้าทำงานประจำ

ส่วนสาเหตุรอง เพราะร้านนี้เป็ นสถานที่นัดพบกับใครบางคน

"ไงมึง"

อนุรักษ์ทักเพื่อนสนิทที่กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือพิมพ์กีฬา แต่เปล่า
หรอก...เขารู้ว่าจริงๆ มันกำลังคร่ำเคร่งอ่านเรื่องย่อละครหลังข่าว ไอ้ที่
ต้องแสร้งทำเป็ นเก๊ก แค่อยากจะรักษามาดเด็กติสท์เจ้าของร้าน 'ทัตเทพ'
ต่างหาก
ไอ้ทัตเคยอ้างว่ามันเอาไว้อ่านเล่นขำๆ แก้เบื่อ แต่ระดับความขำๆ ของมัน
จริงจังพอๆ กับแม่บ้านแฟนพันธุ์แท้ละครไทย หลังจากเขานั่งร่วมโต๊ะ อีก
ฝ่ ายจึงแค่ส่งเสียงทัก โดยไม่ละสายตาจากตัวหนังสือ

"รอแป๊ บ เหลืออีกสองย่อหน้า มึงแม่งมาช้า มิกเซอร์กูหมดไปสองขวด


แล้ว"

ขวดน้ำเก๊กฮวยเปล่าๆ วางไว้เป็ นหลักฐานประกอบวงเหล้าสมมติ

แม้พวกเขาจะทำงานที่เดียวกัน หากกลับหาจังหวะคุยกันได้น้อยมาก
เพราะเริ่มงานคนละเวลา ออกคนละเวลา ...เพื่อนคนอื่นอาจท่องราตรี
เข้าผับสังสรรค์ดึกดื่น แต่พวกเขาเปลี่ยนมานัดกินก๋วยเตี๋ยวตอนเที่ยงแทน
ทว่าเนื้อหาที่คุยก็ไม่ต่างจากบทสนทนายามเมื่อเหล้าเข้าปาก ...ถ้าไม่บ่น
เรื่องงาน ก็ต้องระบายเรื่องรัก

อนุรักษ์จึงเอ่ยตรงเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม

"มึงไปเจออะไรมาวะถึงโทรเรียกให้กูมาหาเนี่ย ไหนมึงบอกว่าเจอคนซ่อม
ใจได้แล้วไง หรือโดนทิ้งเขาแล้ว"

"ของกูยังโอเคดีเว้ย รักกันหวานชื่น แต่กูมีเรื่องจะถามมึง"

"เรื่องอะไร"
ก๋วยเตี๋ยวถูกนำมาเสิร์ฟ พร้อมๆ กับไอ้ทัตวางหนังสือพิมพ์ในมือลง ขยับ
แว่นเปลี่ยนไปถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

"รักษ์ มึงตอบกูมาตามตรงนะ ตอนนี้มึงเดือดร้อนเรื่องเงินรึเปล่า"

เขาเลิกคิ้วงง ใช้ตะเกียบชี้ชามตรงหน้า "ถ้าเดือดร้อนแล้วกูจะสั่งเส้นปลา


พิเศษมาสองชามทำไมวะ"
เส้นปลาคือเมนูแพงสุดของร้าน ยิ่งแบบพิเศษราคารวมจึงมหาโหดปาไป
เกือบสองร้อย ปกติเขาไม่ค่อยสั่งเบิ้ล แต่เงินเดือนเพิ่งออก เลยตั้งใจจัด
เต็มกับของโปรดให้หายอยาก

พอฟั งคำชี้แจงคนกังวลจึงมีท่าทีผ่อนคลายลง "เออ ถ้างั้นกูค่อยโล่งใจ


หน่อย"

"ทำไมมึงถึงคิดว่ากูร้อนเงิน"

เขาลงมือทานมื้อเที่ยง ระหว่างย้อนถามคนห่วงสวัสดิภาพกระเป๋ าตังค์


ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมันเคยขูดรีดค่าซ่อมโทรศัพท์จากเขาแพงๆ แต่ความจริง
ไอ้ทัตก็แค่แกล้งพูดไปงั้น เพราะมันไม่เคยเอาเงินเขาเลยสักบาท
...'ธุรกิจไม่มีคำว่าเพื่อน' ฉะนั้นหากเลือกจะรักษา 'เพื่อน' เงินจึงไม่ใช่
ประเด็นสำคัญมากไปกว่าน้ำใจและความห่วงใย พวกเขาสองคนยึดหลัก
การนี้มาตลอดหกปี เต็ม

แต่ดูเหมือนความเป็ นเพื่อนอาจสิ้นสุดลงวันนี้ เมื่อได้ยินคำตอบจากไอ้ทัต

"กูนึกว่ามึงไปเป็ นเด็กเสี่ย"

เส้นปลาแทบสำลักออกจากจมูก อนุรักษ์เบิกตาโตกับคำกล่าวหา
"กูเนี่ยนะเป็ นเด็กเสี่ย!"

"ก็เมื่อวานกูเห็นมึงเดินกับเสี่ยที่ใส่สูท"

เสี่ยที่ใส่สูทมาเดินซูเปอร์คงมีเพียงคนเดียว ด้วยมาดและท่าทางผู้ดีเปล่ง
ออร่า ไม่แปลกที่ไอ้ทัตจะเข้าใจผิด แต่อย่างน้อย มันควรมองว่าเขาเป็ น
คนรับใช้ มากกว่าเป็ นคู่ขาไม่ใช่รึไงวะ!

"นั่นเจ้านายกูเอง มึงจำคุณชายที่กูทำมือถือเขาตกน้ำได้ไหม"
อนุรักษ์แก้ไขคำอธิบายใหม่ ทัตพยักหน้า

"อ้อ จำได้ แล้วเขาไปเป็ นเจ้านายมึงตั้งแต่เมื่อไร ไหนตอนแรกมึงบอกว่า


คุณชายกวนประสาท เป็ นโรคหวาดระแวงไง"

คนเผชิญเหตุการณ์พลิกกลับตาลปั ตรถอนหายใจ "เฮ้อ...เรื่องมันยาว..."

แล้วเขาก็เริ่มต้นเล่าเรื่อง ตั้งแต่ตอนที่คุณชายฝากซิมโทรศัพท์ ไปจนถึง


สปายซึ่งแฝงตัวมาในเอเจนซี่ไทเกอร์ แล้วจบท้ายตรงที่เขาถูกจ้างเป็ นเด็ก
ฝึ กงานตำแหน่งครีเอทีฟ ไอ้ทัตพิจารณาทุกอย่างเงียบๆ ก่อนออกความ
เห็น
"ฟั งจากที่มึงเล่า กูว่ามันทะแม่งๆ ว่ะ"

"ทะแม่งตรงไหน"

"ซิมโทรศัพท์นั่นอ่ะ ปกติต้องให้เจ้าของบัญชีมายืนยันเท่านั้น ถึงจะ


สามารถผูกเบอร์เข้ากับบัญชีธนาคารได้ แล้วคุณชายไปสมัครรับข้อความ
บัญชีเงินใต้โต๊ะเอเจนซี่คู่แข่งมาได้ยังไง ...มึงไม่สงสัยเลยเหรอ"

...ไม่เลย เขาไม่เคยใช้บริการรับข้อความจากธนาคารจะไปรู้กระบวนการ
สมัครได้ยังไง ตอนนั้นเขามัวแต่โกรธที่คุณชายยัดเยียดซิมมาให้ จึงไม่ทัน
เอะใจอะไร
"กูรู้แค่ว่าเจ้าของบัญชีไม่ใช่คนในเอเจนซี่ไทเกอร์ หรือคุณชายจะมีสายอยู่
ใน ATM ด้วยเหมือนกัน"

อนุรักษ์ลองตั้งข้อสังเกต ถ้ามีคนในเอเจนซี่ ATM คอยช่วยก็คงไม่ยากจะ


หาเจ้าของบัญชี แต่สมมติฐานอ่อนเหตุผลของเขากลับถูกปั ดทิ้งง่ายๆ

"ถ้ามีสายจริง แล้วทำไมเขาต้องฝากซิมไว้กับมึงด้วยล่ะ"

"เออ...ก็คุณชายระแวงกลัวคนในบริษัทจะรู้ กูเป็ นคนนอกเขาก็เลยไว้ใจ


มั้ง"
"แต่ตอนนี้คุณชายกำลังดึงมึงให้มาทำงานกับเขานะ ถ้าอยากเก็บความลับ
เรื่องซิมให้พ้นจากคนในบริษัทก็ไม่เห็นจำเป็ นต้องจ้างมึง"

"ก็...ก็กูไม่ค่อยได้เข้าบริษัทไง กูแค่ช่วยงานจิปาถะกับโทรรายงานเวลามี
ข้อความจากธนาคารเข้า คุณชายจะได้เช็คว่าพนักงานอยู่ที่ไหน ทำอะไร"

"แล้วถ้าเกิดข้อความเข้าตอนโทรศัพท์ไม่อยู่กับตัวมึงจะทำยังไง ...อย่าง
ตอนนั้นที่มึงบอกว่ามีคนโอนเงินออกช่วงเกือบห้าทุ่ม คุณชายเขาจะแยก
ร่างเป็ นสตอล์กเกอร์ตามดูลูกน้องทุกคนได้เหรอวะ"

"เออ...คือ เรื่องนั้น...."
"ยิ่งเดี๋ยวนี้มันมีอินเตอร์เน็ตแล้วนะเว้ย ถ้าอยากรู้ประวัติโอนเงินเข้าออกก็
เช็คผ่านแอพธนาคารเอาเองดิ ...ถึงมือถือจะเคยถูกขโมยไป แต่แอพ
ธนาคารมีความปลอดภัยสูง ต้องกรอก Username กับ Password ให้ถูก
ต้อง แล้วถ้าไม่ใช้งาน ระบบก็จะ Log out อัตโนมัติในเวลาสิบห้านาที
ไม่ใช่ว่าใครจะแฮคข้อมูลไปดูได้ง่ายๆ หรอก ...มึงว่าจริงไหม"

...หมดคำค้าน

อนุรักษ์รู้สึกตัวเองเป็ นทนายยืนอยู่ในชั้นศาลพิจารณาคดีความ และกำลัง


โดนผู้พิพากษาจี้ประเด็นของผู้ต้องหาที่เขาพยายามปกป้ อง ราวกับใช้
ค้อนตอกกระแทกซ้ำๆ ตรงจุดซึ่งเขาพยายามเลือกเมินมัน หากตอนนี้ทุก
สิ่งกำลังปริแตกออกช้าๆ หูอื้ออึ้งได้ยินเพียงเสียงคำประกาศตัดสินดังขึ้น
ชัดเจน
"สรุปก็คือ ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากซับซ้อนขนาดนั้น ยกเว้น
แค่ว่า..."

ทัตหยุดตรงท้ายประโยค มองปฏิกิริยาเพื่อนผู้เอาแต่ก้มหน้าจับจ้องชาม
เส้นปลาต้มยำ คล้ายจะหลบเลี่ยงผลที่ออกมาเป็ นคำตอบเดียว

"คุณชายเขาจงใจเข้าหามึงตั้งแต่แรก"

ไม่ใช่ไม่เคยสงสัย ยิ่งพักหลัง บ่อยครั้งเลยที่อนุรักษ์ตั้งคำถามกับตัวเองว่า


เพราะอะไรคุณชายถึงต้องวุ่นวายกับตนนัก ชอบมาบังคับให้ทำนู้นทำนี้ มี
ท่าทีเหมือนจะไม่ใส่ใจ แต่จริงๆ ก็คอยดูแลห่างๆ คอยสอนงานโฆษณาให้
แสดงความห่วงใยคล้ายเห็นเขาเป็ น...เด็กเล็กๆ

"เขาอาจจะแค่ถูกชะตากับกูมั้ง คงเห็นว่ากูเป็ นเหมือน...น้องชายคนหนึ่ง"

ภาพเจ้าของรอยยิ้มกว้างนั้นกระจ่างชัดอีกครั้ง

ถ้าคุณชายยังคงเก็บรูปน้องชายที่เสียไปไว้ในสมาร์ทโฟน เหมือนที่เขาเก็บ
ข้อความจากแม่ไว้ในโทรศัพท์ คุณชายก็มีจุดอ่อนไม่ต่างจากเขา

...ยึดติดกับสิ่งของและความทรงจำที่ไม่มีวันคืนกลับมา
ด้วยเหตุผลเดียวกัน อาจทำให้คุณชายนึกสงสารหรือเห็นใจเขา เลย
พยายามสร้างข้ออ้างต่างๆ เพื่อหวังจะหาโอกาสชดเชยแทนน้องชายที่เสีย
ไป

ทว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยรักษาแผลในใจให้กับคุณชายได้จริงๆ น่ะหรือ

เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังปลุกอนุรักษ์ที่จมจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง เขา
ลนลานรีบล้วงกระเป๋ ากางเกงหยิบมือถือเก่าโทรมขึ้นมา เบอร์แปลกตาที่
ไม่ได้เม็มรายชื่อไว้ปรากฏบนหน้าจอ ที่สำคัญสายซึ่งโทรเข้าเครื่องไม่ได้
มาจากซิมของเขา
“สวัสดีครับ”

เขากดรับ แต่ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับจนต้องพูดย้ำอีกรอบ

“สวัสดีครับ...ฮัลโหล...ได้ยินไหม?”

แล้วอยู่ๆ ปลายสายก็ถูกตัดไปทั้งอย่างนั้น เขาขมวดคิ้วมอง


มือถือตนเองงงๆ จนไอ้ทัตต้องถาม

“อะไรมึง?”
“คงโทรมาผิดมั้ง”

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดในเมื่อหมายเลขโทรศัพท์มีเป็ น
หลายล้านเบอร์ อาจมีคนกดผิดโทรเข้าซิมที่คุณชายฝากไว้ก็เป็ นได้
กระนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ส่งเข้ามาถูกเบอร์อย่างไม่พลาด

ตี๊ด! ตี๊ด!

เสียงเตือนข้อความดังตามขึ้นมา และเพียงแค่เขาเห็นชื่อผู้ส่งก็ใจหายวาบ
"กูขอไปโทรศัพท์แป็ บ"

รีบลุกออกไปนอกร้านด้วยความกังวล เพราะรู้ดีว่า SMS แจ้งเตือนเงินเข้า


จากธนาคารนี้ มันคือรางวัลหลังเสร็จภารกิจขัดขวางงานจากคุณชาย
และตอนนี้อีกฝ่ ายกำลังรับงานโฆษณาผงปรุงรสต้มยำอยู่เพียงงานเดียว
ฉะนั้นทันทีที่โทรติด เขาจึงรีบร้อนแจ้งข่าวร้าย

"คุณชายครับ มีเงินโอนเข้ามาแปดหมื่นบาทครับ"
"อืม"

คำตอบสั้นๆ ไม่ส่อแววตระหนกตกใจ คล้ายยอมรับชะตากรรมโดยดี ยิ่ง


ทำให้ความกลัวเพิ่มขึ้นสูง อนุรักษ์ภาวนาขอให้ไม่เป็ นไปอย่างที่คิดเมื่อเขา
กลั้นใจถาม

"แล้วเรื่องโฆษณาเป็ นยังไงบ้างครับ"

"เธอพยายามดีแล้ว แต่มันเป็ นความผิดฉันเอง"

"หมายความยังไงครับ!? หรือว่าเขาไม่ชอบไอเดียที่เสนอไป"
"เปล่า ไอเดียได้รับคำชม แต่บริษัทลูกค้าจะเปลี่ยนไปใช้พรีเซนเตอร์แทน"

"แล้วเอเจนซี่ไทเกอร์ยังได้ทำงานนี้อยู่รึเปล่าครับ"

“...”

"คุณชายครับ?"
"...เราถูกยกเลิก เพราะพรีเซนเตอร์คนนั้นเซ็นสัญญาจ้างกับ ATM ไว้ก่อน
แล้ว"

อนุรักษ์นิ่งงัน เข้าใจความรู้สึกของการถูกศัตรูที่มองไม่เห็นเชือดคอนิ่มๆ
โดยไร้หนทางต่อสู้

"คืนนี้ฉันจะเอาแชมพูไปให้ ไว้เธอค่อยโทรมาอีกทีหลังเลิกงาน"

คุณชายตัดบทแล้ววางสายไป ปล่อยให้สมองเขายังคงชากับความพ่ายแพ้
...โฆษณาผงปรุงรสต้มยำที่อุตส่าห์ทุ่มเทคิดดันถูกปฏิเสธ เขาจะไม่มี
โอกาสเห็นสูตรต้มซุปเปอร์ของยายแม้นตีพิมพ์เผยแพร่ให้คนอื่นอีกแล้ว

ก้าวที่เดินกลับไปยังโต๊ะเดิมนั้นช่างหว่างโหวง ไอ้ทัตกำลังเปิ ดอ่านเรื่องย่อ


ละครฆ่าเวลาอีกครั้ง เขาทรุดตัวนั่งฝั่ งตรงข้าม แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็น
ภาพนางแบบในชุดว่ายน้ำบนหน้าหนังสือพิมพ์

"คนนี้ใช่แม่แก้วมณีรึเปล่า"

เขาชี้ไปที่รูปขนาดครึ่งตัวของดาราหุ่นดีในบิกินี่สีดำสุดเซ็กซี่ ไอ้ทัตเลิกคิ้ว
แปลกใจ
"หือ? เด็กไม่ติดละครอย่างมึงรู้จักด้วย"

"เปล่า กูจำมาจากพี่อ้อยเห็นเขาเรียกแบบนั้น เมื่อวานก็บ่นว่าอยากเจอ


ตัวจริง"

"เออกูก็ไปมา แต่แม่งคนเยอะโคตร กูเลยได้เซลฟี่ กับเขาแค่รูปเดียวเองวะ


แต่ก็มีรูปเดี่ยวๆ ที่พอใช้ได้นะ ...มึงจะดูไหม น้ำตาลตัวจริงโคตรสวย"

คนโม้เตรียมล้วงโทรศัพท์ออกมาโชว์ แต่เขาสะดุดใจกับชื่อที่ลอยผ่าน
"ไอ้ทัต เมื่อกี๊มึงเรียกชื่อแม่แก้วมณีว่าอะไรนะ"

"น้ำตาลไง 'น้ำตาล อลิสสา' นี่อย่าบอกนะว่ามึงไม่รู้จักเขา ...โหยย ตอนนี้


ดังจะตาย เสียดายข่าวเพิ่งออกว่าโดนฝรั่งคาบไป"

อัพเดทข่าวก็อซซิปพลางสไลด์เปิ ดรูปถ่ายคู่หวังให้เพื่อนอิจฉา แต่


นอกจากอนุรักษ์จะไม่สนใจ ยังรีบหยิบหนังสือพิมพ์มาเปิ ดอ่านคอลัมน์ ใต้
กรอบรูปดาราสาวกับหนุ่มผมทองตาน้ำข้าวมีตัวอักษรพิมพ์พาดหัวใหญ่

'นางร้ายดาวรุ่ง 'น้ำตาล อลิสสา' เปิ ดตัวหวานใจนักธุรกิจหนุ่มอเมริกัน 'โร


เบิร์ต ไซม่อน' เผยปิ๊ งรักกันที่นิวยอร์กแฟชั่นวีค'
จิกซอว์แต่ละส่วนถูกนำมาใส่เข้ากันลงล็อก เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว

...ทั้งเสียงหวานแหลมซึ่งเคยได้ยินผ่านโทรศัพท์ คำพูดโกรธเคืองคล้ายมี
อดีตแย่ๆ ร่วมกันมาก่อน และที่คุณชายบอกว่าการพลาดโฆษณาผงปรุง
รสต้มยำเป็ นความผิดของตนเอง

พอคำนวณสมการทุกอย่างก็ชี้เป้ าออกมาเป็ นคำตอบ

...น้ำตาล คือ แฟนเก่าของคุณชาย และต้องการแก้แค้นเอาคืน เพราะไม่


เคยได้รับความเอาใจใส่คนผู้มัวแต่บ้างาน จึงตกลงเป็ นพรีเซนเตอร์ร่วมกับ
เอเจนซี่ ATM เพื่อตัดหน้าคว้าโฆษณาผงปรุงรสต้มยำไป
"แล้วเป็ นไง เมื่อกี๊โทรรายงานคุณชายใช่ป่ ะ เขาว่าไงบ้าง"

ไอ้ทัตเองก็เดาสาเหตุที่เขารีบร้อนลุกไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเขาก็ตอบตาม
ความจริง

"เพิ่งโดน ATM แย่งโฆษณาตัวล่าสุดไป แม่งใช้วิธีลอบกัดกันชัดๆ คืนนี้กูมี


นัดกับคุณชายว่าจะไปถามรายละเอียดให้รู้เรื่อง!"

ความเศร้าแปรเปลี่ยนเป็ นอารมณ์ไม่พอใจคุกกรุ่น เขาชักอยากมีส่วนร่วม


สืบหาข้อมูลหนอนบ่อนไส้ในเอเจนซี่ไทเกอร์ด้วยอีกคน ในหัวเริ่มได้ยินธีม
เพลงหนังสายลับ Mission Impossible ลอยมาให้ฮึกเหิม
"กูว่าแล้ววว...ตามพล็อตอมตะเป๊ ะๆ" ไอ้ทัตผสมโรงตบโต๊ะเอ่ยเสียงดัง
"พอพระเอกถูกตัวโกงทำร้าย..."

"ตัวละครสุดฉลาดก็จะมาช่วย"

"...ต้องได้เวลานางเอกไปปลอบใจ"

แล้วไหงมันออกมาเป็ นหนังรักน้ำเน่ายุงชุมได้วะ!
อนุรักษ์รีบโวยวายเถียง "มึงก็จินตนาการไปเรื่อย อย่างกูอ่ะเป็ นได้แค่
น้องชะ...ไม่ๆ หมายถึงแค่ลูกน้องพระเอกไปช่วยคุณชายตามจับคนร้าย"

ช่วงท้ายรีบแก้ไขคำที่เผลอลืมตัวเรียก แฟนคลับละครหลิ่วตามองเพื่อนฝั่ ง
ตรงข้าม

"อ้าวเหรอ ก็กูเห็นว่านางเอกส่วนใหญ่รู้ทั้งรู้ว่าพระเอกเขาหลอก แต่ยอม


เต็มใจให้หลอกทั้งนั้น"

"กูไม่ได้ยอมโดนหลอกเว้ย! ...กูแค่ยังไม่รู้ความจริง"
ข้ออ้างที่ยกมา ไม่แน่ใจว่าตอบตนเองหรือคนอื่น

เขาเลี่ยงบทสนทนาต่อด้วยการหยิบตะเกียบคีบเส้นปลาต้มยำกินอีกครั้ง
รสชาติของน้ำซุปดูอ่อนกว่าเคย เมื่อเทียบกับความเข้มข้นในปริศนาที่
กำลังเผชิญ

...ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องบัญชีธนาคารกับซิมโทรศัพท์ เรื่องคุณน้ำตาลเป็ นพรี


เซนเตอร์โฆษณา หรือแม้กระทั่งเรื่องเจ้าของรอยยิ้มในสมาร์ทโฟน
ทั้งหมดยังเป็ นเพียงสมมติฐาน

..

..
คุณชาย

อนุรักษ์กดปุ่มโทรออกในรายชื่อนี้ทันทีที่หลังเลิกงาน

ไม่รู้ทำไมระยะเวลาทำงานวันนี้ดูยาวนานกว่าปกติ หรืออาจเป็ นเพราะ


เขามัวเหลือบมองนาฬิกาบ่อยๆ จนพี่ตาสังเกตเห็นท่าทางกระวนกระวาย
ถึงกับถามว่ามีธุระสำคัญอะไรรึเปล่า พนักงานแคชเชียร์ดีเด่นเลยพยายาม
ดึงสติกลับมาตั้งใจทำงาน ภาวนาให้เข็มนาฬิกาเร่งเดินไวๆ

พอตอกบัตรออกปุ๊บ เขาก็ทำตัวเป็ นแฟนโทรจิก ไม่เกินสิบห้านาที รถ


ญี่ปุ่นคันเล็กก็มาจอดรออยู่หน้าป้ ายรถเมล์
อนุรักษ์เปิ ดประตูเข้าไป ยกมือไหว้คุณชายราวกับผู้ปกครองมารับ
นักเรียนกลับบ้าน

"แชมพูอยู่หลังรถ เดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอที่หอ บอกทางมาด้วยแล้วกัน"

คนขับหมุนพวงมาลัยให้รถเคลื่อนไปบนถนนอีกครั้ง ...สี่ทุ่มครึ่งน่าจะเป็ น
เวลาพักผ่อน แต่คุณชายก็ยังอุตส่าห์ขับรถเอาแชมพูมาให้แถมยังจะไปส่ง
เขาอีก ...นึกเกรงใจ แต่ก็ต้องข่มเรื่องมารยาทเอาไว้ เพราะก่อนหน้านี้เขา
ตัดสินใจว่าจะไม่อ้อมค้อมอีกแล้ว

"คุณชายครับ"
เกริ่นเรียกเจ้านายตัวเองที่ยังคงไม่ละสายตาจากถนน หากท่าทีบางอย่าง
ทำให้รู้ว่ากำลังรอฟั งเขาพูด อนุรักษ์สูดลมหายใจลึก เอ่ยสิ่งที่สงสัยมา
ตลอดทั้งวัน

"พรีเซนเตอร์โฆษณาที่ผูกสัญญากับ ATM คนนั้นคือใครครับ"

มือซึ่งจับพวงมาลัยขยับเข้าหากันเล็กน้อย พร้อมการตอบตัดบทสั้นๆ

"เธอไม่จำเป็ นต้องรู้"
"แต่ผมเป็ นครีเอทีฟช่วยคิดโฆษณานะครับ ผมมีสิทธิที่จะรู้"

“แล้วสิทธิในการเป็ นหัวหน้าของเธออยู่ที่ฉันรึเปล่า"

ประโยคย้อนเล่นเอาแทบจุก ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผล เห็นทีคงต้องใช้ไม้แข็ง

"พรีเซนเตอร์โฆษณาคนนั้น...ใช่คุณน้ำตาลแฟนเก่าของคุณรึเปล่าครับ"
คำถามตีแสกหน้าตรงๆ ทำให้ดวงตาเรียวหันมาสบมองเขาเป็ นครั้งแรก

"เธอได้ยินมาจากไหน"

อนุรักษ์จึงเล่าเรื่องที่เมื่อวานบังเอิญเจอคุณน้ำตาลคุยกับคุณเฮงด้วยท่าที
ลับๆ ล่อๆ และปิ ดท้ายด้วยการตั้งข้อสงสัย

"ผมว่าคุณเฮงอาจเป็ นคนทรยศคุณอยู่ก็ได้"

ยอดนักสืบคาดหวังให้คุณชายตื่นเต้นไปกับการค้นพบคนร้ายของเขา ทว่า
เจ้าตัวดันแย้งด้วยท่าทางเคร่งเครียด
"แต่เธอไม่มีหลักฐาน จะกล่าวหาลอยๆ ไม่ได้"

...มันก็จริง ผู้ร้ายส่วนใหญ่มักอ้างเหตุผลนี้ไว้เป็ นคาถาป้ องกันตัวกันทั้งนั้น

"งั้นคุณหาหลักฐานไปถึงไหนแล้วครับ"

"ยังไม่คืบหน้าเท่าไร ฉันไม่ได้แค่อยากรู้ว่าเขาเป็ นใคร แต่ฉันอยากรู้ด้วยว่า


เขาทำไปเพราะอะไร"
"แล้วคุณจะปล่อยให้เขาทำลายคุณต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้เหรอครับ"

แค่เขาพลาดงานโฆษณาเดียวที่ทุ่มเทแรงใจแรงกายก็เจ็บใจแทบตาย แต่
คุณชายยังเลือกยืนเป็ นเป้ านิ่งให้คนมายิงซ้ำๆ แล้วแล้วยังยึดกับแผนการ
เดิมๆ

“ขอมือถือเธอให้ฉันดูหน่อย”

อนุรักษ์ยกมือถือของตนเองไปให้อย่างว่าง่าย หากเขาก็ยังหวนคิดถึงบท
สนทนาที่ได้คุยกับไอ้ทัต เรื่องช่องโหว่งต่างๆ ที่คุณชายฝากซิมไว้กับเขา
“อาศัยแค่ซิมนั้นเป็ นหลักฐานอย่างเดียวจะพอเหรอครับ ผมว่าเรามาลอง
คิดหาทางอื่นดีไหม เผื่อจะจับสปายได้เร็วขึ้น”

เขาพยายามเสนอตัวเข้าไปช่วย แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็ นการผลักไสให้ออก


ห่าง

“ไม่ต้อง เธอไม่เข้าใจ”

ใช่...เขาไม่เข้าใจ เพราะคุณชายไม่ยอมบอกอะไรเขาเลย...
มีหลายเรื่องมากมายที่เขาสงสัย แต่ที่ผ่านมาเขาแกล้งทำเป็ นมองไม่เห็น
เพราะคิดว่าถ้าคุณชายอยากจะพูดก็คงพูดออกมาเอง แต่ความอดทนคน
เรามีจำกัด การทำงานร่วมกันต้องอาศัยความเชื่อใจ หากความเชื่อมั่นนั้น
สั่นคลอน

...เขาอยากรู้ว่าคุณชายจะรู้สึกแบบเดียวกับเขาตอนนี้รึเปล่า

"คุณรู้ไหม เมื่อวานตอนที่ผมโทรบอกคุณว่าถึงหอแล้ว ความจริงผมยังนั่ง


อยู่หน้าคอนโดคุณอยู่เลย พอวางสายจากคุณ ผมก็ไปดูหนังอีกสองเรื่อง
ควบ กว่าจะกลับหอตั้งเกือบสี่ทุ่ม"

คุณชายละสายตาจากโทรศัพท์ขึ้นมามองเขาทันควัน ด้วยท่าทางตกใจ
มากกว่าจะโกรธ
"อะไรนะ!? ทำไมเธอทำแบบนั้น"

"ก็ไม่ต่างจากคุณที่เก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียวหรอกครับ ...ถ้าผมไม่บอก
คุณก็ยังคิดว่าผมเป็ นเด็กดีรีบกลับหอตามคำสั่งคุณใช่ไหมครับ"

"เธอนี่มัน..." ราวกับสรรหาคำมาโต้ตอบไม่ได้คงรู้แล้วว่าโดนจงใจเอาคืน
แต่เขาแสร้งทำเป็ นชี้ไปยังตึกแถวใกล้สี่แยก

"เดี๋ยวรบกวนช่วยจอดรถตรงเซเว่นข้างหน้าด้วยครับ"
คุณชายไม่เอ่ยถามเหตุผล พอไฟเปลี่ยนเป็ นสีเขียวก็จอดรถแนบริม
ฟุตบาทตามคำขอ อนุรักษ์หายเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ไม่นานก็หิ้วถุงใส่
กระป๋ องเบียร์กลับขึ้นมา ก่อนเปิ ดฝาดื่มอึกๆ โดยไม่คิดจะเกรงใจเจ้าของ
รถที่นั่งข้างๆ อีกต่อไป

เขาไม่ได้ตั้งใจเมา แค่อยากให้แอลกฮอลล์ไปละลายความกลัว เพราะเรื่อง


ที่เขาตัดสินใจเล่าต่อจากนี้ ...มันเจ็บปวดทุกครั้งที่ย้อนความทรงจำกลับ
ไป

"...ตอนพ่อแม่ผมเสีย คุณเชื่อไหมว่าผมไม่ร้องไห้เลย"

ในที่สุดหลังกระดกเบียร์ไปค่อนกระป๋ อง อนุรักษ์ก็เริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมด
ดังม้วนฟิ ลม์กรอกกลับ
...หลังอุบัติเหตุ ทุกอย่างผ่านพ้นไปรวดเร็ว งานศพถูกจัดขึ้น ญาติๆ รวม
ตัวกัน ป้ ารับเป็ นผู้ปกครองดูแลเขา ทำให้เขาต้องขนข้าวของย้ายไปต่าง
จังหวัด รวมทั้งจัดการเอกสารย้ายโรงเรียน มีเรื่องหลายเรื่องประดัง
ประเดเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาเสียใจ

อนุรักษ์ที่อายุสิบห้ารู้เพียงแค่ว่า เขาต้องไม่ทำตัวมีปั ญหา เพราะไม่อยาก


ให้ป้ ารับภาระหนักกว่านี้ เขาไม่เรียกร้องเอาแต่ใจ พูดจาน้อยลง ทาน
อาหารน้อยลง ขังตัวเองไว้กับโทรศัพท์ที่มีข้อความสุดท้ายของแม่ ทุกคืน
ภาพในฝั นซ้ำๆ เขาได้ย้อนเวลากลับไปมองอุบัติเหตุครั้งนั้น และกล่าว
โทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เอาตัวเขาไปแทนพ่อและแม่
น้ำหนักเขาหายไปหลายกิโล ร่างกายผอมแห้งจนป้ าต้องพาไปโรง
พยาบาลเพราะนึกว่าเขาป่ วย หลังจากนั้นเขาจึงรู้ว่าตนเองป่ วยจริงๆ
...ด้วยโรคซึมเศร้าระยะเริ่มต้น

เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟั ง เพื่อนสนิทอย่างไอ้ทัตเขาก็แค่บอกเรื่อง
อุบัติเหตุ แต่ไม่เคยรู้ว่าเขาป่ วยเป็ นโรคซึมเศร้าหวุดหวิดใกล้จะฆ่าตัวตาย
เขาปรึกษาจิตแพทย์และทานยาอยู่เกือบปี อาการจึงดีขึ้นเรื่อยๆ

ยกเว้นเพียงอาการเดียวที่ยังไม่หายขาด ...คือการเก็บโทรศัพท์เครื่อง
สำคัญไว้ไม่ห่างกาย เพื่อเป็ นเครื่องย้ำเตือนความเศร้าที่กลายเป็ นแผลลึก
ในใจ

อนุรักษ์กระดกเบียร์อีกครั้ง ก่อนเฉลยความลับอีกเรื่องให้คนซึ่งนั่งเงียบ
ฟั งเขามาตลอด
"ตอนที่ผมเอาสมาร์ทโฟนคุณไปซ่อม ผมขอโทษที่เสียมารยาทเปิ ดดูอัลบั้ม
รูปของคุณ แต่ทั้งอัลบั้มผมเห็นมีรูปถ่ายแค่คนคนเดียว ...คนนั้นใช่น้อง
ชายคุณรึเปล่าครับ"

เขาไม่คาดหวังว่าคุณชายจะตอบ เผลอๆ อาจโดนดุใส่เพราะดันไปเปิ ด


ข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต และที่สำคัญ เรื่องพวกนี้เป็ นเรื่อง
ละเอียดอ่อน ...ที่เขาตัดสินใจเล่าออกมา แค่ต้องการให้เห็นว่า เขาเองก็
เคยเก็บปั ญหามากมายเอาไว้กับตนเองเพียงลำพัง คิดว่าจะแบกรับทุกสิ่ง
ทุกอย่างไหว แต่สุดท้ายมันกลับย้อนมาทำร้ายตัวเขาเอง

คุณชายทอดสายตามองไปยังกระจกหน้า แสงไฟถนนกระทบใบหน้าคม
ซึ่งยังนิ่งเฉย ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"สองปี ก่อน น้องชายฉันมาหา ฉันควรจะไปส่งเขา แต่ฉันมัวยุ่งอยู่กับ
โฆษณารถ เขาเลยขอกลับเอง ระหว่างทางแท็กซี่คันนั้นประสบอุบัติเหตุ"

เป็ นการอธิบายเรื่องที่สั้นกว่าเขามาก แต่ได้ใจความครบถ้วน และแม้ท่าที


ของคุณชายไม่เปลี่ยน หากเขาสังเกตเห็นนัยน์ตาเรียวสะท้อนแสงไฟสั่น
ไหว คล้ายยังคงติดอยู่กับความผิดกล่าวโทษตัวเองที่เป็ นสาเหตุทำให้คน
สำคัญต้องจากไป

"ที่คุณเข้าหาผม เพราะคุณเห็นผมเหมือนน้องชายคุณใช่ไหมครับ"

ตัดสินใจถามสิ่งที่อยากรู้มานาน แต่คุณชายกลับส่ายหน้า
"เธอไม่เหมือนน้องชายฉันเลย น้องฉันเป็ นเด็กซื่อๆ ฉันบอกอะไรก็จะยอม
ทำตาม แต่เธอน่ะมันดื้อ หัวรั้น ชอบเอาชนะ"

คำเปรียบเทียบเหมือนเขาเป็ นเด็กนิสัยเกเรฟั งเอาฉุน ทว่าพิจารณาจาก


วีรกรรมแสนแสบวันนี้ก็คงเป็ นจริงตามนั้น

"แต่...เธอทำให้ฉันนึกถึงน้องชายตัวเอง เวลาฉันอยู่กับเขา ฉันจะคิดไอเดีย


ดีๆ ได้เสมอ เหมือนตอนที่ฉันอยู่กับเธอ...ฉันสบายใจ"
คุณชายน่ะเหรออยู่กับเขาแล้วสบายใจ เห็นมีแต่ทำหน้านิ่งๆ เดาอารมณ์
ไม่ค่อยถูก เช่นเดียวกับตอนนี้ที่อีกฝ่ ายทำตัวเป็ นผู้ปกครองเคร่งระเบียบ
ดึงกระป๋ องเบียร์จากมือเขาไปใส่ไว้ในช่องว่างแก้วข้างฝั่ งตนเอง

"เธอไม่ควรกินเยอะมากขนาดนั้น ดึกป่ านนี้กลับกันได้แล้ว"

เป็ นอันปิ ดฉากการสนทนาย้อนความหลัง

อนุรักษ์นั่งเงียบให้คุณชายออกรถไปยังจุดหมายเดิมอีกครั้ง ไม่เกินสิบนาที
ก็มาถึงหอพักโดยสวัสดิภาพ
เขาลงจากรถพร้อมคนขับซึ่งออกมาเปิ ดประตูท้ายหยิบถุงเจคิงส์ซูปเปอร์
ที่มีแชมพูสามขวด รวมทั้งถุงใส่กล่องขนมสีชมพูลายวินเทจรูปดอกไม้น่า
รัก แบบไม่เหมาะกับบุคลิกของผู้ที่ยื่นส่งมาให้

“อะไรน่ะครับ”

“ฉันซื้อมาฝาก”

เขารับมาเปิ ดกล่องออกดู คัพเค้กหกชิ้น สีสันตกแต่งหวานไม่แพ้เนื้อขนม


เป็ นของฝากช่างอยู่คนละขั้วกับการกระดกเบียร์แบบฮาร์ดคอร์ไปเมื่อครู่
ทั้งที่เขาเพิ่งแสดงออกว่าเป็ นผู้บรรลุนิติภาวะเสียขนาดนั้น แต่คุณชายยัง
คงติดมองภาพลักษณ์เขาเป็ นเด็กน้อยไม่หาย
ตรงข้าม...ถ้าเป็ นบทบาทเรื่องงาน กลับวางใจสั่งการเขาต่อเนื่องทันที

"พรุ่งนี้ช่วยแวะมาบริษัทด้วยนะ เธอต้องเซ็นเอกสารรับรองฝึ กงานเป็ น


ครีเอทีฟ ฉันแจ้งฝ่ ายบุคคลไว้แล้ว เตรียมแค่บัตรนักศึกษามาก็พอ"

"จะรับผมเข้าตำแหน่งนี้จริงๆ เหรอครับ ไหนคุณบอกว่าผมมีความ


สามารถไม่พอ"

ก็ใช่ที่เขาสนใจงานโฆษณาและอยากได้ประสบการณ์ แต่การใช้ตำแหน่ง
ครีเอทีฟบังหน้าเจเนรัลเบ๊ก็สร้างความลำบากใจให้ไม่น้อย เกิดโดน
สัมภาษณ์ หรือมีใครถามถึงเนื้องานเบื้องลึกขึ้นมาจะทำยังไง
ชั่วขณะนั้นเอง เขารู้สึกถึงสัมผัสของมือที่ลูบศีรษะเบาๆ

"ตำแหน่งของเธอให้ใครมาแทนที่ไม่ได้...อย่าคิดมาก"

...คุณชายทำเหมือนเขาเป็ นเด็กอีกแล้ว แต่แปลกตรงคราวนี้เขาไม่ได้


หงุดหงิดหรือโกรธเคืองใดๆ เลย

หลังเอ่ยจบอีกฝ่ ายก็ขึ้นรถขับออกไปโดยมีอนุรักษ์ยืนส่ง ก่อนเขาจะเดิน


กลับห้องตนเองบ้าง เปิ ดประตู วางข้าวของลงบนโต๊ะ แล้วเปิ ดกล่องคัพ
เค้ก หยิบขึ้นมากัดชิมลงไปคำหนึ่ง
สมกับที่คุณชายเป็ นนักโฆษณา จริงอยู่ว่าคำหว่านล้อมย่อมไม่มีประโยชน์
หากผู้ซื้อใจแข็งมากพอ เขามีสิทธิจะถอยห่างจากคุณชายได้ทุกเมื่อ และ
ถึงจะรู้ความจริงไปบางส่วนก็ยังเหลือข้อสงสัยอีกมากมาย

ทว่า...แค่เพียงความหวานของขนมชิ้นเดียว มันกลับสามารถโน้มน้าวให้
เขายอมรับ

ถ้าจะถูกหลอก...ตอนนี้เขาก็จะขอยอมโดนหลอกอยู่ในฐานะ ‘ลูกน้องชื่อ
อนุรักษ์’ เคียงข้างพระเอกต่อไปอีกสักระยะก็แล้วกัน
---------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------

ร่างสูงในชุดสูทก้าวผ่านโถงทางเดินของคอนโดตกแต่งด้วยโคมไฟแชนเดอ
เลียโอ่อ่าหรูหรา ห้องชุดแต่ละห้องถูกวางตำแหน่งไว้ห่างกันค่อนข้างมาก
เหมาะสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ชอบความเป็ นปั จเจก เฟอร์นิเจอร์สวยงาม
ราคาแพงจึงมีไว้เพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศเงียบงันไร้ความเป็ นมิตร

มือขวายกกดแสกนรหัสประตูห้องตนเอง ส่วนมืออีกข้างถือกระป๋ องเบียร์


ซึ่งเหลือปริมาณอยู่ไม่มาก ครั้นถอดรองเท้าก้าวเข้าไปด้านใน หุ่นยนต์ดูด
ฝุ่นก็เคลื่อนมาหยุดอยู่ใกล้ๆ พอดี

“ออกมารับฉันหรือ”
พึมพำกับเครื่องทำความสะอาดเหมือนสัตว์เลี้ยงเฝ้ ารอคอยเจ้าของอย่าง
ซื่อสัตย์ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว เพื่อจัดการทิ้งกระป๋ องเบียร์ลงถังขยะ
แต่เสียงเพลงอิเล็กทรอนิคป็ อบดันดังแทรกขึ้นจากสมาร์ทโฟนสีขาว ซึ่ง
เขาแยกไว้สำหรับติดต่องาน รวมถึงบุคคลสำคัญโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อเห็น
ชื่อปรากฏบนหน้าจอ เขาจึงรีบวางกระป๋ องเบียร์บนเคาท์เตอร์ครัว กดรับ
พร้อมกรอกเสียงสุภาพ

“ครับท่าน”

“งานชิ้นล่าสุดมีปั ญหาอีกแล้วรึ”
น้ำเสียงทอนไม่เชิงตำหนิ เป็ นการถามไถ่ด้วยความเป็ นห่วงเสียมากกว่า
หากชายหนุ่มรู้ดีว่าข้อผิดพลาดหลักๆ เกิดขึ้นเพราะมีเขาเป็ นต้นเหตุ

“ต้องขอโทษด้วยครับ ผมรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”

“น่าแปลกนะ โฆษณาลิปสติกคราวที่แล้วเธอจัดการแก้ปั ญหาได้เร็ว แต่


คราวนี้แค่เพราะใช้ดาราเป็ นพรีเซนเตอร์ เธอกลับไม่มีแผนรับมือดึงลูกค้า
เราคืนมาเชียวหรือ”

ดีที่เป็ นการคุยโดยไม่เห็นหน้า มิเช่นนั้นอาการกระตุกมือเข้าหาโทรศัพท์


เพียงเล็กน้อยของเขาอาจทำให้ข้อสงสัยลอยๆ เพิ่มน้ำหนักขึ้นราวกับถูก
ล้วงความลับในใจ
...แผนน่ะมีวางไว้พร้อมแล้ว

ไม่ใช่เรื่องยากที่นักครีเอทีฟจะสามารถนำเสนอบริษัทลูกค้าว่าการใช้พรี
เซนเตอร์ก่อให้เกิดผลเสียอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะวิธีจ้างดาราซึ่งเป็ นกระ
แสดังและรับงานโฆษณาหลายชิ้นในเวลาพร้อมๆ กัน

ข้อแรก ผู้บริโภคจะเกิดความเบื่อหน่าย เพราะพบเห็นหน้าดาราคนเดิม


บ่อยครั้ง
ต่อมาอาจสร้างความสับสนในภาพลักษณ์ เนื่องด้วยพรีเซนเตอร์ที่พ่วง
โฆษณาหลายแบรนด์เกินไป ย่อมมีสินค้าที่ไม่สอดคล้องกับบุคลิกได้
ทั้งหมด ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ กลายเป็ นทัศนคติเชิงลบ

รวมถึงในแง่การลงทุน ค่าตัวผูกสัญญากับดาราซูเปอร์สตาร์ระยะยาวก็ไม่
คุ้มค่าเงินที่สูญเสีย

...กรณีโฆษณาผงปรุงรสต้มยำและ ‘น้ำตาล’ เข้าข่ายหลักการนี้ทั้งหมด

แต่สาเหตุหลักที่เขายอมถอนตัวง่ายๆ ไม่ใช่เพราะเขาอยากจะไถ่โทษให้
กับผู้หญิงซึ่งตั้งสถานะเอาเองว่าเป็ น ‘แฟน’ ทั้งที่ไม่มีเรื่องเกินเลยใดๆ
เขาเจอน้ำตาลในงานอีเวนท์โฆษณาที่เคยรับทำโปรเจคเมื่อ
สามเดือนก่อน หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเธอเอาเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของเขามา
จากไหน แต่น้ำตาลเพียรตามเฝ้ าถึงที่ทำงาน จนทั้งบริษัทลือกันเองว่าเธอ
เป็ นแฟนเขา คำแก้ต่างเปล่าประโยชน์ เมื่อน้ำตาลยิ่งทำให้ข่าวลือหนักข้อ
ด้วยการบินไปนิวยอร์กพร้อมกับเขาซึ่งต้องไปดีลงานโฆษณาสินค้า แต่นั่น
เป็ นเรื่องดีที่ทำให้เธอพบหนุ่มคนใหม่ จนยอมปล่อยมือเลิกรา ทว่าก็ไม่
วายผูกใจเจ็บเอาคืนภายหลัง

...การมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมักนำไปสู่เรื่องน่าปวดหัว

ด้วยหน้าตาและฐานะ เขาต้องรับมือกับผู้หญิงมากมายที่เข้ามาหาตั้งแต่
สมัยเรียนจวบจนทำงาน แต่เขาไม่เคยคิดอยากจะผูกพันธะใดๆ เพราะ
สบายใจที่ได้ทำงานมากกว่าไปคอยทุ่มเทดูแลเอาใจใคร มีไม่กี่คนที่
สามารถทำให้เขาละจากงานมาได้ ซ้ำล่าสุดยังเป็ นผู้ชายอายุน้อยกว่าเกิน
สิบปี
“เอาเถอะ...อะไรพลาดไปแล้วก็ให้แล้วไป ฉันรู้ว่าช่วงนี้เธอคงเจอเรื่อง
หนักสักหน่อย ฉันก็ไม่อยากสร้างความกดดันให้เธอมาก แต่งานถัดไปมี
คนฝากฝั งมา...หวังว่าเธอคงจะเข้าใจนะ”

คำสั่งอ้อมๆ เพียงพอให้ทราบความหมายแฝงนัย ก่อนสายจะถูกตัดไป

ดวงตาเลื่อนมองกระป๋ องเบียร์บนเคาท์เตอร์ครัว นึกถึงคำพูดแบบเด็กๆ ที่


โมโหแทนเขา

‘แล้วคุณจะปล่อยให้เขาทำลายคุณต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้เหรอครับ’
รู้สึกดีที่อีกฝ่ ายเป็ นเดือดเป็ นร้อน หากใจหนึ่งก็อดห่วงไม่ได้

ถึงแม้รักษ์จะเป็ นเด็กฉลาดพอจะคิดวิเคราะห์ แต่มักชอบใจอ่อนทำตาม


ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ขนาดยอมเปิ ดปากเล่าอดีตอันเจ็บปวดที่สูญ
เสียพ่อแม่ เพื่อช่วยเยียวยาบาดแผลในใจให้เขาที่เสียน้องชายไป

...ตอนเขาแอบซ่อนซิมโทรศัพท์ไว้ในเครื่องก็เช่นเดียวกัน

มันง่ายมากหากเจ้าของจะถอดทิ้ง แล้วแสร้งทำเป็ นไม่เห็น แต่รักษ์กลับ


นำมาคืน และยังเต็มใจช่วยในเรื่องที่เขาร้องขอ โดยไม่หวังผลตอบแทน
ใดๆ เลย
ความเป็ นธรรมชาติตรงไปตรงมานี้เอง เป็ นเหตุผลที่ทำให้เขาอยู่ด้วยแล้ว
สบายใจ ขณะเดียวกันก็ต้องคอยจับตาดูเด็กจอมดื้อรั้น เพราะในเกม
ธุรกิจอันเต็มไปด้วยคมเขี้ยวเล่ห์เหลี่ยมกลโกง ถ้าไม่ระวังให้ดีก็อาจถูกกัด
เป็ นแผลใหญ่

...เหมือนหมากตานี้ซึ่งเขาเดินเกมถอย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขากำลัง
เสียเปรียบ

ชายหนุ่มเปิ ดถังขยะในครัว ข้างในมีกล่องขนมสีชมพูนอนนิ่งอย่างว่าง


เปล่า มันทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องในอดีต เป็ นภาพทับซ้อนของกล่องเค้ก
ลวดลายวินเทจดอกไม้เล็กๆ เหมือนกันกับของที่เขาเพิ่งให้ใครบางคนไป
เพียงแต่สิ่งที่บรรจุก่อนหน้านี้ไม่ใช่คัปเค้ก แต่มันคือธนบัตรสีเทาจำนวน
มากพอจะซื้อคัปเค้กได้เป็ นร้อยๆ ชิ้น มือใหญ่ทิ้งกระป๋ องเบียร์ตามลงไป
ขณะนั้นเองที่โทรศัพท์อีกเครึ่องหนึ่งดังขึ้น เบอร์โทรสาธารณะไม่คุ้นตา
แต่เขากดรับรอให้ปลายสายพูด

ความเงียบทิ้งตัวอยู่นานราวกับวัดใจ กระทั่งสัญญาณถูกตัดไป เช่นเดียว


กับที่เคยขึ้นกับรักษ์มาก่อน

ชายหนุ่มจ้องมองจดจำตัวเลขเบอร์โทรศัพท์นั้น เรื่องนี้เขาคงไม่อาจรับมือ
ได้เพียงคนเดียวอีกแล้ว

ร่างสูงรีบต่อสายไปยังเบอร์หนึ่ง เอ่ยประโยคขึ้นทันทีหลังได้ยินเสียงกดรับ
“ผมมีเงื่อนไขมาเสนอ คิดว่าเราน่าจะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ าย...”

วงการโฆษณาไม่มีมิตรหรือศัตรูถาวร ถ้าอยากจะชนะ บางครั้งก็ต้องเล่น


บท ‘ผู้ร้าย’ ให้เป็ น

..

..
ฝั่ งห้องนอนเล็กเงียบสนิทไปแล้ว ส่วนคนด้านนอกหยิบรีโมทขึ้นมากดให้
หุ่นยนต์ดูดฝุ่นกลับเข้าแท่นชาร์ต มันทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ไม่มีสีหน้า
บึ้งตึง รอยยิ้มแสนกวน หรือท่าทีตอบสนองในประโยคส่งเข้านอน

“ราตรีสวัสดิ์”

ร่างสูงพึมพำกับเครื่องทำความสะอาด เสียงราบเรียบนั้นหลุดออกจาก
ปากอย่างง่ายดาย ทั้งที่เมื่อครู่จำต้องแสร้งเฉไฉไปเรื่องอื่น

...ในบางสถานการณ์กับคนบางคน ถ้อยคำก็ช่างเอ่ยออกมาได้อ้อมค้อม
และยากเย็น
ที่สำคัญเขาเพิ่งตระหนักว่า เขาไม่ได้แค่ปล่อยให้รักษ์เข้ามาในคอนโดส่วน
ตัว แต่ยังปล่อยให้รุกล้ำเข้ามาในใจอีกด้วย

เหลือบดวงตามองแท่นชาร์ตวัตถุทรงกลมอีกครั้ง นึกถึงสัมผัสซึ่งยังไม่
คลายความอุ่น

ต่อให้เล่าอะไรไป หุ่นยนต์ก็ไร้การตอบสนองคืนมา ตรงข้ามกับมนุษย์ที่


คอยถามไถ่ห่วงใย ถึงจะเป็ นบทสนทนาสัพเพเหระ แต่นานเท่าไรแล้วที่
หัวใจไม่ได้ผ่อนคลายลง ราวกับเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะแน่นในใจ ถูกความอุ่น
ของมือคู่นั้นช่วยทำให้ละลายไปทีละน้อย
กระนั้น เมื่อนึกสถานะและแผนการที่วางไว้ เขาก็จำต้องห้ามความ
เผลอไผลของตนเอง แม้ลึกๆ จะสังหรณ์ใจว่ามันคงเป็ นไปได้ยากเต็มทน
ตราบใดที่เขายังคงปล่อยให้เด็กหนุ่มผู้เริ่มมีอิทธิพลต่อความรู้สึกคอยวน
เวียนอยู่ใกล้ตัว

---------------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------

ตีสามสี่สิบห้า ใครเป็ นคนบอกว่าจะตื่นตอนนั้น


คนกำลังสะลึมสะลือเพราะเพิ่งถูกเขย่าตัวปลุก ขนาดลืมตามาสติยัง
เบลอๆ แต่พอคุณชายชี้ไปยังนาฬิกาข้างผนังบอกเวลา 04.20 ความทรง
จำทั้งหมดก็ไหลย้อนกลับเข้าร่าง

อนุรักษ์สะดุ้งตกใจ รีบคว้าเสื้อผ้าพุ่งตัวไปห้องน้ำ นึกตำหนิตัวเองที่พลาด


ท่าเป็ นไปตามข้อกล่าวหาจริงๆ เขาคิดหาข้อแก้ตัวระหว่างล้างหน้าแปรง
ฟั น ว่าควรโทษโทรศัพท์รุ่นเก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพในการปลุก หรือโทษ
เตียงนอนที่ดันนุ่มสบายจนเผลอนอนเพลินดี

แต่คุณชายไม่ได้เยาะเย้ยถากถาง เมื่อคนตื่นสายออกมาจากห้อง กลิ่น


กาแฟหอมกรุ่นก็ลอยต้อนรับเป็ นคำอรุณสวัสดิ์ทักทาย

"ทานซะ จะได้มีอะไรรองท้อง ไม่งั้นเธอจะไม่มีแรงวิ่ง"


กล้วยหอมหนึ่งลูกถูกยื่นมาให้ ส่วนคุณชายละเลียดจิบเอสเปรสโซ่เบาๆ
ช่างเป็ นภาพลักษณ์การกินอาหารเช้าที่ต่างกันลิบลับระหว่างไฮโซกับ
ยาจก

"แล้วคุณดื่มแค่กาแฟอย่างเดียวไม่ปวดท้องเหรอครับ"

"ฉันชินแล้ว"

ร่างสูงสวมเสื้อยืดสีขาวสกรีนโลโก้แบรนด์ถุงเท้าเช่นเดียวกับเขา ทรงผมที่
ไม่ได้ถูกจัดให้เนี้ยบปรกหน้าผากลงมา ส่งผลให้ใบหน้าดูเด็กกว่าเดิมเล็ก
น้อย แต่ถึงอย่างไรร่างกายของคนอายุสามสิบสองที่มีแค่กาแฟ จะให้วิ่ง
หกกิโลไหวได้ยังไง ถ้าเกิดล้มไปกลางทางก็อย่ามาขอร้องให้เขาช่วยแล้ว
กัน

อนุรักษ์กัดกล้วยไปพลางคิดอย่างหงุดหงิด

พวกเขาสองคนได้ฤกษ์ออกจากคอนโดในช่วงเวลาใกล้ตีห้า อาจเพราะ
เป็ นวันอาทิตย์ ถนนช่วงเช้าจึงไม่ค่อยมีรถให้เห็น แต่พอไปถึงจุดนัดพบ
คนกลับเนื่องแน่นจนแทบหาที่จอดไม่ได้ สมเป็ นงานใหญ่ที่โปรโมทติด
โปสเตอร์หน้าร้านสะดวกซื้อ ทำให้เรียกความสนใจจากลูกค้าได้มาก

คุณชายพาเขาแทรกผ่านคนไปยังจุดลงทะเบียนเพื่อรับป้ ายผ้าเบอร์เลข
โดยแบ่งประเภทเป็ นผู้เข้าร่วมงานมินิมาราธอนห้าร้อยคน และประเภท
ฟั นรันอีกห้าร้อยคน
ครั้นตีห้าครึ่งก็เข้าสู่ช่วงพิธีเปิ ดงาน ตามมาด้วยการออกกำลังแอโรบิคนิด
หน่อย เพื่ออบอุ่นร่างกายให้เตรียมพร้อม อนุรักษ์ยืดแข้งยืดขาไปสองสาม
ท่าเรียกเลือดลม ป้ องกันการบาดเจ็บระหว่างวิ่ง

แล้วสัญญาณรวมตัวนักกีฬาก็เริ่มต้น ครึ่งแรกให้ผู้เข้าร่วมมินิมาราธอน
ออกสตาร์ทก่อน หลังจากนั้นสิบห้านาทีผู้เข้าร่วมวิ่งฟั นรันจึงลงสนาม

เขายืนอยู่ค่อนไปทางด้านหน้า รอบตัวมีคนหลากหลายวัย ไล่ตั้งแต่เด็ก


ประถมไปยันอากงอาม่า ...เห็นแบบนี้จะให้คนหนุ่มๆ อย่างเขาวิ่งแพ้ได้ยัง
ไง
เสียงแตรลมเป่ าปลุกความฮึกเหิม อนุรักษ์ออกตัววิ่งไปพร้อมคุณชายด้วย
ความมุ่งมั่นเต็มที่ ใช้เวลาเพียงหกนาทีก็ผ่านกิโลแรกมาอย่างไม่ยากเย็น
ถ้าวิ่งด้วยสปี ดนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เกินสี่สิบนาทีก็น่าจะถึงเส้นชัย และอาจเป็ น
หนึ่งในร้อยคนแรกที่ได้เหรียญตามคาดหวัง แต่คุณชายซึ่งวิ่งคู่อยู่ข้างๆ
พยายามเอ่ยเตือน

"เธอวิ่งเร็วเกินไป ถ้าไม่ผ่อนให้ช้าลงกว่านี้ เธอจะหมดแรงก่อนถึงเส้นชัย"

"โอยย ไม่เป็ นไรหรอกครับ ผมบอกแล้วว่าผมแข็งแรง เนี่ยเหงื่อผมยังไม่


ออกเลย"

ข้อดีของการออกกำลังตอนเช้า คือการได้สูดอากาศเย็นสบายบริสุทธิ์
สดชื่น แสงอาทิตย์เริ่มจับเส้นขอบฟ้ าบนถนนเรียบทางรถไฟเกิดเป็ นภาพ
วิวสวย ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจ เขารู้สึกตนเองฟอร์มดีมากกว่าเคย
คราวนี้จะพิสูจน์ให้คนที่ชอบสบประมาทรู้กันชัดๆ ไปเลยว่าเขายิ่งกว่า
โอเค

"...งั้นก็ตามใจ"

การตัดบทเรียบๆ ไม่ต่างจากให้ทึกทักเอาว่ามันเป็ นคำอนุญาต

อนุรักษ์จึงถือโอกาสวิ่งตามใจตัวเองไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ทำไมเพียงแค่ผ่าน
ไปอีกกิโลครึ่ง เหงื่อเขาก็เริ่มไหลหยดเป็ นน้ำตก ดวงอาทิตย์พ้นมาเกือบ
ครึ่งดวงแล้ว เมฆที่เคยบังแสงค่อยๆ หายไปจนเหลือแต่ไอร้อน ได้ยินเสียง
ถามจากคนข้างตัวเป็ นระยะ
"ไหวรึเปล่า"

"วะ...ไหวครับ สะ..สบายๆ"

คนหอบฝื นยิ้ม ชักรู้ว่าความเร็วเริ่มตก เขาปลอบใจตัวเองว่าเป็ นธรรมดาที่


ร่างกายออกอาการล้า แล้วพยายามออกแรงวิ่งต่อไป ผ่านหลักสามกิโลมา
เหลืออีกแค่ครึ่งทาง แต่....ทำไมมันไกลจังวะ

"รักษ์ เธอไม่เป็ นไรแน่นะ ถ้าไม่ไหวก็พักก่อน"


"ยะ...ยัง...แฮ่ก...ยัง...วะ...ไหว...ครับ

ตอบกะท่อนกะแท่นแทบไม่เป็ นประโยค ขาอ่อนยวบเหมือนเยลลี่วิ่งไป


พาลจะล้ม กิโลเมตรที่สี่มีซุ้มให้บริการน้ำอยู่ เขารีบถลาไปหาประหนึ่งเจอ
โอเอซิสกลางทะเลทราย แต่คุณชายดึงแก้วไปจากมือ แล้วราดน้ำลงบน
หัวเขาทันที

"เฮ้ย! เย็น"

อนุรักษ์สะดุ้งตกใจ คุณชายยกน้ำอีกแก้วให้เขาพร้อมออกคำสั่ง
"เอานี่ จิบแค่สองอึกพอ"

คนเหนื่อยทำตามอย่างว่าง่าย พอได้น้ำชุ่มศีรษะช่วยลดความร้อน
ประกอบกับน้ำที่เติมลงสู่ร่างกายก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนปลาที่ได้ว่ายกลับ
ลงทะเล หายใจสะดวก และฟื้ นคืนพลังอีกครั้ง

"ดีขึ้นใช่ไหม"

"ครับ"
พยักหน้ามองคนถามที่มีเพียงเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ตรงข้ามกับเขาซึ่ง
หอบปางตาย

"ทะ...ทำไมคุณดูไม่เป็ นอะไรเลย"

"ฉันวิ่งที่ฟิ สเนตคอนโดอาทิตย์ละสี่วัน วันละหนึ่งชั่วโมง ก่อนไปทำงาน


ประจำอยู่แล้ว"

...ถ้าคุณพี่จะฟิ ตหุ่นหนักขนาดนั้นแล้วทำไมไม่บอกเขาตั้งแต่แรก!
ปกติอีกฝ่ ายใส่เสื้อสูทตลอด พอสวมเสื้อยืดถึงเห็นว่าต้นแขนมีกล้ามเนื้อ
สวยพอเหมาะ ส่วนหน้าท้องก็คงมีซิกแพ็คเป็ นลอนอยู่แน่ๆ มิน่าเจ้าตัวถึง
คอยพะวงกลัวเขาจะไม่ไหว

หากลองสังเกตคนอื่นๆ จะเด็กประถมหรืออากงต่างก็วิ่งแซงเขาไปข้าง
หน้าอย่างสบายๆ คมมีดคำพูดของคุณชายจู่โจมเสียบแทงใจซ้ำ เขาไม่น่า
ออกตัวแรงโม้มากเลย ใครจะไปนึกว่ามาราธอนมันหนักกว่าที่คิด

"คุณวิ่งนำผมไปก่อนเลยก็ได้ครับ ไว้ค่อยไปเจอกันที่เส้นชัย"

บอกออกไปด้วยความที่ไม่อยากให้เห็นสภาพน่าสมเพชของตนเอง แต่
คุณชายยืนกรานสั้นๆ
"...ฉันจะเข้าพร้อมกับเธอ"

ฟั งดูซาบซึ้ง ถ้าไม่ใช่ประโยคถัดมาปลิดแรงเขาให้เหือดหาย

"เพราะถ้าปล่อยเธอไว้คนเดียว ฉันคงต้องไปตามหาเธอที่รถพยาบาลแทน
มันจะยุ่งยาก"

ยังใช้คำเชือดเฉือนเหมือนเดิมจนต้องประท้วง
"โห อย่าดูถูก นี่ผมยังไม่ได้ใช้พลังแฝงที่ซ่อนไว้เลยนะ"

"พลังแฝงแบบไหน"

"ก็อย่างเวลาตกใจมากๆ คนที่บ้านไฟไหม้ เขาจะใช้พลังแฝงแบกโอ่ง ยกตู้


ออกมาได้เลย"

"แต่ต้องให้ตกใจก่อนถึงจะมีแรงไม่ใช่เหรอ"

"เออ...ก็น่าจะเป็ นอย่างนั้น"
พูดไปแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ แล้วตอนนี้เขาจะเอาอะไรมาแกล้งตกใจหลอกตัว
เองให้มีแรงกัน แต่คุณชายดันชะลอฝี เท้าพร้อมเรียกรั้ง

"รักษ์ เธอหยุดก่อน"

คนวิ่งเหยาะๆ หยุดตามคำสั่งด้วยความสงสัย แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อ


ร่างสูงย่อตัวลงมาตรงหน้าเขา พร้อมกับผูกเชือกรองเท้าที่หลุดให้

"เฮ้ย! คุณชาย เดี๋ยวผมผูกเองครับ!"


"ร่างกายเธอกำลังเผาผลาญออกซิเจน ถ้าก้มลงมาเร็วๆ เดี๋ยวหน้ามืด"

ไม่ทันขาดคำ คนแข้งขาอ่อนแรงก็ทรุดฮวบนั่งล้มพับกองกับพื้น

"เห็นไหมฉันบอกแล้ว"

เปล่า...เขาไม่ได้ล้มเพราะหน้ามืด แต่เพราะตกใจที่คนอย่างคุณชายก้มลง
มาผูกเชือกรองเท้าเขาต่างหาก ไม่เพียงแค่นั้นอีกฝ่ ายยังส่งแขนมาให้

"ไปต่อเถอะ เหลืออีกแค่กิโลเดียว"
ใบหน้าคมย้อนแสงอาทิตย์เป็ นเงาลางๆ มันเบลอจนเขาคิดว่าตัวเองตาฝา
ดรึเปล่าที่เห็นริมฝี ปากตรงหน้าคลี่ยิ้ม คล้ายดั่งมนต์สะกดให้เขาเอื้อมไป
จับมือฉุดตัวเองลุกขึ้น แล้วออกวิ่งอีกครั้ง

ในที่สุด หลังผ่านพ้นไปหนึ่งชั่งโมงเต็ม อนุรักษ์ก็วิ่งเข้าเส้นชัยในลำดับคน


ที่เกือบสี่ร้อย หมดสิทธิ์ได้เหรียญ แต่ตอนนี้เขาเลิกสนใจไปแล้ว เพราะ
สำหรับเขามันคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ความรู้สึกเต็มตื้นเอ่อล้น เพลงวีอาร์
แชมเปี้ยนกู้ร้องดังขึ้นในใจ

หกกิโลเมตร เหนื่อยยากแทบรากเลือด กระนั้นก็อุตส่าห์ฝ่ าฟั นมันมาจน


สำเร็จ
เคยได้ยินว่าการวิ่งมาราธอนสามารถเปลี่ยนชีวิตคน ตัวเขาที่สัมผัสแค่
เพียงเศษเสี้ยวเดียวก็ยังเผลอประทับใจ แต่ถ้าถามว่าให้วิ่งอีกไหม คงส่าย
หัวดิก ตอนนี้อยากล้มตัวนอนเต็มแก่ ทว่าคุณชายยังดึงแขนเขาให้วิ่งต่อ
ไปอีกระยะ เพื่อให้ร่างกายคูลดาวน์ ปิ ดท้ายด้วยการเหยียดกล้ามเนื้อจะ
ได้ไม่เกิดอาการบาดเจ็บภายหลัง

อนุรักษ์ทำทุกอย่างด้วยความกระปลกกระเปลี้ย ก่อนมานั่งหมดแรงสิ้น
สภาพ พลังงานกล้วยสลายหายไปตั้งแต่สองกิโลเมตรแรกแล้ว ที่เหลือวิ่ง
ด้วยแรงอึด ส่วนกิโลเมตรสุดท้ายวิ่งด้วยแรงกระตุ้นเพราะตกใจ

...มีคนมาดดีระดับคุณชายก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าให้เป็ นใครจะไม่ช็อค
บ้าง เขาไม่รู้เหตุผลว่าเป็ นเพราะผีสุภาพบุรุษเข้าสิง หรือเพราะแค่
ต้องการแกล้งเขาที่พูดถึงพลังแฝงออกไปรึเปล่า ซึ่งถ้าคุณชายจงใจแบบ
นั้น ขอบอกว่ามันได้ผลดี แต่ถ้าหากไม่ใช่...
"น้ำ"

น้ำแช่เย็นเจี๊ยบถูกยื่นมาให้จากคู่กรณีในห้วงความคิด คนเหงื่อโทรมหยุด
ฟุ้งซ่าน รีบรับไปเปิ ดฝากระดกอั่กๆ ระหว่างได้ยินเสียงถาม

"ขาเป็ นไงบ้าง"

"แค่ล้าๆ ครับ"
"ให้ฉันดูหน่อย"

การดูของคุณชายคือการใช้นิ้วจิ้มลงไปตรงน่องแรงๆ เล่นเอาคนเจ็บสะดุ้ง
ร้องโอย!

"พรุ่งนี้มันจะปวดมาก ถ้าเป็ นไปได้ขอลาหยุดแล้วนอนพักซะ"

"ไม่เป็ นไรครับ ผมก็จะได้ทดลองแผ่นบรรเทาอาการปวดเมื่อยด้วยพอดี


เลยไง"
นี่เป็ นจุดประสงค์ที่เขาตัดสินใจร่วมวิ่งตั้งแต่แรก แทนทีเจ้านายจะชื่นชม
นัยน์ตาเรียวกลับดุขึง

"อย่าเห็นเป็ นเรื่องเล่นๆ โฆษณาไม่ได้วัดกันที่ผลของผลิตภัณฑ์อย่างเดียว


ถึงเธอจะทดลองจนรู้ประสิทธิภาพทุกอย่าง แต่ถ้าหาวิธีบอกเล่าให้คนอื่น
สนใจไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์"

นักโฆษณาสวมวิญญาณสอนลูกศิษย์มือใหม่อีกครั้ง ย้ำท้ายด้วยการขีด
เส้นใต้ใจความหลัก

"ข้อสำคัญ เธอต้องคิดเสมอว่า ไม่ใช่เธอคนเดียวที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์นี้


แต่ต้องทำให้คนอื่นอยากจะใช้มันด้วย"
...ให้คนอื่นอยากจะใช้

ถ้อยคำนั้นกระตุ้นสมองให้นึกถึงบางอย่าง เขากวาดตามองไปรอบๆ

ผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งมาราธอน แม้สีหน้าอ่อนล้า แต่ฉาบแฝง


ด้วยความสุขจากการเอาชนะขีดความสามารถตนเองมาได้

"คุณชายรู้ไหมครับ ตอนวิ่งมีอยู่แวบหนึ่งที่ผมคิดว่า ...นี่กูบ้ารึเปล่าวะ จะ


มาทรมานร่างกายตัวเองทำไม"
อนุรักษ์ย้อนความจำไปยังห้วงเวลาแห่งความลำบาก "...เหนื่อยก็เหนื่อย
ร้อนก็ร้อน ขนาดผมวิ่งแค่หกกิโลยังหอบแทบตาย แล้วพวกที่วิ่งเป็ นสิบ
กิโลจะขนาดไหน แต่พอผ่านเข้าเส้นชัย ผมถึงเพิ่งเข้าใจ ...ถึงจะเมื่อยก็
จริง เหนื่อยก็จริง แต่ถ้าไม่ลองพยายามสู้ก็คงไม่รู้ว่าตัวเองทำได้"

คนอื่นๆ ก็อาจไม่ต่างไปจากเขา ในจังหวะที่เหยียบเข้าเส้นชัย คงสัมผัส


ความรู้สึกได้ในแบบเดียวกัน

"...และเมื่อไรที่ล้า ถ้าได้แปะแผ่นบรรเทาอาการปวดก็คงพร้อมลุกขึ้นลุย
ต่อ ผมคิดว่าจุดนี้ก็ไม่ต่างไปจากชีวิตคนเลยนะครับ"
เขายกข้อเปรียบเทียบ โดยเอาแผ่นปิ ดประคบมาเชื่อมโยงกับ
ประสบการณ์ของตนเอง คุณชายนิ่งคิดตามก่อนนำคำพูดมาเรียบเรียงอีก
ครั้ง

"เธอจะบอกว่า เธอต้องการสร้างภาพลักษณ์ของแผ่นบรรเทาอาการปวด
ให้เป็ นเหมือนตัวช่วยสนับสนุนคนที่พยายามฝ่ าฟั นไปจนถึงเป้ าหมายของ
ตนเองน่ะหรือ"

สมกับเป็ นครีเอทีฟมากประสบการณ์จับคอนเซปต์หลักตีความได้แจ่มแจ้ง
อนุรักษ์รีบพยักหน้า

"ใช่ครับ ที่มาวิ่งวันนี้ผมเหมือนได้เปิ ดโลกกว้างไปด้วย คนอื่นก็คงมีเรื่องที่


พวกเขาอยากทำ อยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ถ้าจะทำโฆษณาก็น่าจับประเด็น
นี้มาปรับใช้ได้นะครับ"
พูดเสริมไอเดียด้วยความตื่นเต้น คุณชายลูบปลายคางเกลี้ยงเกลาไร้หนวด
เคราคล้ายกำลังพิจารณา

"แล้วเธอคิดสตอรี่บอร์ดเป็ นแบบไหน"

"สตอรี่บอร์ด?"

"หมายถึงภาพโฆษณาที่เธออยากจะเห็น"
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ ายามเช้า จินตนาการว่ามันเป็ นคลิปวิดีโอโฆษณา
บนอินเตอร์เน็ต แล้วกดปุ่มเริ่มเล่น

"มีคนยืนอยู่ในสนามวิ่งมาราธอน แล้วพอสัญญาณออกสตาร์ทดัง ทุกคนก็


วิ่งไปทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ออกไปปี นภูเขาเที่ยว ออกไปลองเล่นกีฬา ลงมือ
สร้างธุรกิจใหม่ๆ ...ภาพตัดมาที่เหงื่อพวกเขาหยด ร่างกายปวดเมื่อย แต่
พวกเขาไม่ท้อ แปะแผ่นบรรเทาอาการแก้ปวด แล้วพยายามต่อจนสำเร็จ
...เสียงขึ้นปิ ดท้ายเท่ๆ ว่า 'ชีวิตคือการวิ่งไปหาเส้นชัยของตัวเอง'..."

แล้วภาพหน้าจอโฆษณาก็ดับลง คนลุกขึ้นปรบมือซาบซึ้งดังกระหึ่ม น้ำตา


หน่วงคลอเบ้า เออ...ไอ้หลังๆ เขาเพ้อไปหน่อย หากแค่นั้นก็เพียงพอให้
เจ้านายยอมรับ
"อืม น่าสนใจ ฉันจะลองเอาที่เข้าประชุมดู แต่ฉันยังกังวลว่ามันจะนำ
เสนอประสิทธิภาพของสินค้าได้ชัดเจนมากพอรึเปล่า"

คนทดลองใช้แผ่นประคบแล้วรู้สึกเฉยๆ อาจมองว่าโฆษณาที่พรรณนาดู
เกินจริงไปบ้าง แต่เขายังไม่เคย ผลลัพธ์ที่มีอาจแตกต่างกัน

"แล้วคุณชายเอาแผ่นปิ ดประคบมาด้วยรึเปล่าครับ"

ฝ่ ายถูกถามล้วงกระเป๋ ากางเกง สิ่งที่หยิบขึ้นมาเป็ นคูลเจลยาทาคลาย


กล้ามเนื้อหลอดเล็ก
"เธอใช้อันนี้ทาจะลดอาการอักเสบได้เร็วกว่า"

"แต่ผมตั้งใจวิ่งเพราะจะได้ใช้แผ่นปิ ดประคบนะครับ" อนุรักษ์ทักท้วง

"ฉันทดลองใช้แล้วเมื่อวาน เธอไม่จำเป็ นต้องทำซ้ำหรอก"

"อ้าว งั้นผมจะเสียเวลามาวิ่งทำไม"

"ฉันเห็นเธอทุ่มเทเลยไม่อยากขัด"
"แบบนี้ก็เหมือนตั้งใจแกล้งกันนี่ครับ ตอนผูกเชือกรองเท้าก็ด้วย คุณแค่
อยากแกล้งให้ผมตกใจเล่นๆ เหมือนกันใช่ไหม"

คาดคั้นกับความสงสัยที่อยากรู้ คุณชายชะงัก ย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่


เหมือนจะตึงขึ้นเล็กน้อย

"เธอคิดอย่างนั้นเหรอ"

"แล้วจะให้ผมคิดยังไง"
"...งั้นก็ตามใจ"

เอ่ยจบก่อนลุกขึ้นเดินห่างออกไป ปล่อยอนุรักษ์ให้มองตามแผ่นหลังของ
ผู้ชายอายุสามสิบสองที่คล้ายกำลังงอน

...ก็เพราะไม่อยากคิดตามใจตัวเองไงถึงได้ถาม

สิ่งที่คุณชายคอยทำให้ เขาดูออกว่าเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ยิ่งคุณชาย


ดีกับเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งวางตัวลำบาก โดยเฉพาะในฐานะเจ้านายลูก
น้องด้วยแล้ว
เขาไม่แน่ใจว่าคุณชายจะรู้ตัวรึเปล่าว่า ถ้าพิจารณาจากสายตาบุคคล
ภายนอก เส้นขอบเขตนี้มันชักจะแกว่งไปมาเกินพอดีขึ้นทุกที บาง
สถานการณ์เขาเลยอยากให้คุณชายสื่อสารออกมาให้ชัดเจน มิเช่นนั้นอาจ
ทำให้คนอื่นแปลเจตนาของการกระทำผิดพลาดไปเองก็ได้

"รักษ์มัวทำอะไรอยู่ กลับได้แล้ว"

เสียงออกคำสั่งดังตามมา อนุรักษ์ถอนหายใจยาว ลุกขึ้นเดินไปหาด้วย


แข้งขาอ่อนแรง พร้อมมติตัดสินตามใจตัวเอง

...ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เขาจะขอตีความว่า คุณชายทำทั้งหมดเพราะแค่อยาก
แกล้งกวนประสาทเขาตามประสา 'เด็กโข่งขี้เหงา' ไปก่อนก็แล้วกัน
---------------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------

หลังกลับขึ้นรถญี่ปุ่น พอมีแอร์เย็นๆ เป่ าสักพักก็ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย


ได้บ้าง ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวที่ถูกกระตุ้น คือน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่ง
เริ่มทำงานจนท้องร้องโครกคราก

ระหว่างทางไปคอนโด คนขับจึงหมุนพวงมาลัยแวะจอดใกล้ตลาดเช้า
“ไปกินข้าวกันก่อน”

คุณชายเดินนำลัดเลาะเข้าซอยเต็มไปด้วยแผงขายของสด ผักผลไม้ รวม


ทั้งข้าวแกงใส่ถุง

แปดโมงยี่สิบไม่นับว่าเช้านัก แต่ตลาดก็ยังไม่ถึงกับวาย อาจเพราะเป็ นวัน


อาทิตย์บรรยากาศจึงแฝงความสบายไม่เร่งรีบมาก

ด้วยเหตุนี้พอพวกเขาหยุดลงตรงหน้าร้านขายโจ๊กเลยยังมีที่นั่งเหลืออยู่
บ้าง
“ใส่ไข่รึเปล่า”

ร่างสูงผู้เป็ นคนพามาเอ่ยถาม อนุรักษ์พยักหน้าอัตโนมัติ

“โจ๊กหมูสองชาม ใส่ไข่ด้วยครับ”

คุณชายหันไปสั่งกับอาเฮียคนขายด้วยท่าทีเป็ นธรรมชาติเหมือนคุ้นเคย
ไม่เกินสามนาที โจ๊กร้อนๆ ก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ ข้าวสีขาวนวล ตัดกับ
สีต้นหอม พริกไทย ขิงซอย และปาท่องโก๋ตัวเล็กเป็ นเครื่องเคียง

อนุรักษ์เจาะไข่ลวกซึ่งยังไม่สุกดีตักคนขึ้นมาชิมพร้อมโจ๊ก รสอุ่นซ่านเต็ม
ไปด้วยความอร่อยช่วยเติมพลังที่หายไปจากการวิ่งมาราธอนได้ชะงัด
ไม่ทันไรก็พบว่าช้อนตัวเองตักโจ๊กด้วยความเร็วหมดไปเกินครึ่งชาม มา
หยุดอีกทีก็ตอนเห็นจานใส่ปาท่องโก๋ตัวเล็กวางไว้ตรงหน้า

“ฉันสั่งมาให้เพิ่ม”

ความที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตากิน เลยไม่รู้ตัวว่าผู้นั่งร่วมโต๊ะคอยสังเกตมอง
อยู่ แถมยังตาไวดูออกว่าของโปรดเขาคืออะไร
“ขอบคุณครับ”

“เธอชอบก็ดีแล้ว”

แม้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบประจำตัว บางสิ่งกลับแปลกไปจากเดิม อาจ


เพราะคุณชายไม่ได้สวมสูท ทรงผมบางส่วนชี้ออกไร้ความเนี้ยบ นัก
ครีเอทีฟโปรไฟล์ระดับหัวแถวเลยกลายเป็ นคนธรรมดาเข้าถึงง่าย จนชัก
จะสงสัยว่าภาพลักษณ์แบบไหนคือตัวจริง
เขาละมือจากการกินโจ๊ก เกริ่นเริ่มบทสนทนา “ปกติวันหยุดคุณทำอะไร
เหรอครับ”

คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อยคล้ายทวนหาคำตอบ แต่คงพบแค่กิจวัตรเดียว
ของตนเอง

“คิดงาน”

ฟั งแล้วละเหี่ยใจแทนหัวหน้าจอมขยัน หากคงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับ
อาชีพครีเอทีฟที่จะมีงานค้างอยู่ในหัวตลอดเวลา ต่อให้ยืน เดิน นั่ง ก็ต้อง
แก้โจทย์โปรเจคของลูกค้าให้ได้ เป็ นงานที่ไม่สิ้นเปลืองแรงกาย แต่ต้องใช้
สมองอย่างหนัก
“เธอล่ะ?” ถึงคราวตนเองถูกย้อนถาม

“เออ...ผมก็คงนอนล่ะมั้งครับ”

หลุดปากออกไปแล้ว เพิ่งรู้ตัวว่ากิจวัตรของเขาช่างสิ้นคิดไร้ประโยชน์
มากกว่าของคุณชายเสียอีก แต่อีกฝ่ ายดันพยักหน้าเห็นด้วย

“ก็เหมาะกับเด็กวัยอย่างเธอดี”
เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อน เขาไม่ใช่เด็กอนุบาลที่ต้องพักนอนกลางวันนะ ตอนเรียน
ปั่ นงานโมเดลส่งอาจารย์ก็ยังเคยโต้รุ่งสองคืนติดเหมือนกัน ถึงเขาจะอายุ
ห่างจากคุณชายสิบเอ็ดปี ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องถูกจับมาเป็ นประเด็นเปรียบ
เทียบ ศักดิ์ศรีเขามี คงถึงเวลาต้องเคลียร์กันให้ชัดๆ

“ไม่เห็นเกี่ยวตรงไหนเลยครับ จะเด็กหรือผู้ใหญ่ยังไงก็ต้องพักบ้าง ขืนบ้า


งานตลอดร่างกายจะแย่เอา ...แล้วอีกอย่างคุณก็ควรเลิกมองผมเป็ นเด็ก
ซะที เดี๋ยวนี้มีหลายเรื่องที่เขาไม่เอาอายุมาเป็ นเกณฑ์ตัดสินกันแล้ว”

อนุรักษ์อธิบายร่ายยาว หวังจะเปลี่ยนมุมมองของคนเกิดก่อน หากเจ้าตัว


แค่หยิบปาท่องโก๋มาใส่ชามโจ๊กตนเองราวกับฟั งเขาพอผ่านๆ ยังดีหน่อย
ตรงที่กระตุ้นถามให้ยกตัวอย่าง

“เรื่องไหนบ้างล่ะ”
“เออ...ก็อย่างเช่นเรื่อง...”

เขารีบคว้านหาข้อมูลสนับสนุนกะทันหัน แล้วสายตาก็บังเอิญไปจับตรง
คุณตาคุณยายคู่หนึ่งกำลังนั่งกินโจ๊กอยู่โต๊ะข้างๆ กัน

“ความรักไงครับ ...ถ้าคนเรารักกัน จะอายุห่างเท่าไรก็ไม่เป็ นอุปสรรค


...แค่ได้อยู่ด้วยกัน ได้ดูแลกันแล้วมีความสุขก็พอ”

เขาใช้ตัวอย่างคลาสสิก ซึ่งพิสูจน์หลักฐานได้ชัดเจนที่สุด
แทนที่จะโน้มน้าวคนฟั งได้ กลับยังโดนพูดปรามาส
“แต่เด็กอายุเท่าเธอจะดูแลฉันได้จริงเหรอ”

ถูกสบประมาทไม่เลิกก็ทำเอาหมดความอดทน เผลอทุบโต๊ะปึ ง! พูดโพล่ง


ยืนกรานหนักแน่น

“ผมดูแลคุณได้แน่อยู่แล้ว! เมื่อกี๊ก็เป็ นห่วงถึงบอกให้คุณพักบ้างไงล่ะ


ครับ!”

เสียงดังนั้นเรียกสายตาจากโต๊ะคู่ชายหญิงชราข้างๆ และทำให้อนุรักษ์
ได้สติ
...เป็ นอีกครั้งที่เขาเผลอหลุดปากไปแล้วจึงเพิ่งรู้ตัว หากคราวนี้มันมา
พร้อมกับความรู้สึกบางอย่าง

ทั้งที่เขาแค่ตั้งใจจะตอกกลับคุณชาย แต่กลายเป็ นถูกหลอกล่อให้ใช้


ประโยคแสดงความห่วงใยออกไปโต้งๆ แล้วสิ่งที่พูดตอนอยู่ในภาวะ
อารมณ์โกรธ ก็มักจะเกิดจากแรงขับซึ่งซ่อนอยู่เบื้องลึกข้างในจริงๆ

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว”

ตอนนี้คุณชายไม่ได้ให้ความสนใจกับชามโจ๊ก ดวงตาสบมองเขาตรงๆ ซ้ำ


ยังทอประกายพาให้หัวใจเขาวูบไหวแปลกๆ จนต้องหยุดบทสนทนา
ทั้งหมด แล้วรีบหันไปหยิบช้อนตักโจ๊กกินต่อโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย
กระทั่งพวกเขาสองคนจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย

“เก็บเงินด้วยครับ”

อนุรักษ์ล้วงกระเป๋ าตังค์ขึ้นมาเพื่อจะจ่ายส่วนของตน แต่กลับถูกคุณชาย


ชิงยื่นเงินให้เด็กเสิร์ฟเสียก่อน

“ฉันออกเอง”
“ไม่ครับ ผมจะหารด้วย”

สุดท้าย ประเด็นเรื่องอายุก็ยังไม่เห็นจะเข้าใจอย่างปากว่าอยู่ดี เขาเองก็มี


ศักดิ์ศรี ไม่อยากโดนมองเป็ นเด็กต้องมาให้ผู้ใหญ่คอยออกเงินเลี้ยงตลอด

“ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่เด็ก”

คุณชายคงพอจับอารมณ์เริ่มหงุดหงิดได้จึงเปรยตัดหน้าก่อน
เขาจะทันได้ท้วง ทว่าก็ยังใช้ประโยคโน้มน้าวตามรูปแบบนักโฆษณา
“...แต่คนเป็ นผู้ใหญ่จริงเขาไม่มาคิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้หรอกนะ”

นอกจากเหตุผลที่อนุรักษ์เถียงไม่ออก รอยยิ้มมุมปากจากผู้ชายอายุ
สามสิบสอง ก็หยุดสมองเขาให้แล่นตามไปด้วย หลงเหลืออยู่เพียงความ
คิดเดียว

...เขาขอเปลี่ยนใจใหม่ คุณชายแกล้งกวนประสาทเขาไม่ใช่เพราะเป็ น
‘เด็กโข่งขี้เหงา’ แต่เป็ น ‘ผู้ใหญ่แสนเจ้าเล่ห์’ ต่างหาก!

และแน่นอนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถไขข้อข้องใจได้

You might also like