You are on page 1of 1461

Volume 4 #239-315

ตอนที่ 239 นกประหลาด

“ผู้อาวุโสจางเซวียน...”
เห็นทั้งคู่กำลังจะจากไป หยวิ๋นเทากระวีกระวาด
เข้ามา
“เรากำลังจะไปยังดงอสูร จะไม่รบกวนการฝึกอสูร
ของคุณอีก ลาก่อน!”
จางเซวียนโบกมือ
พวกเขาเป็นคนแปลกหน้า เหตุผลที่จางเซวียนรีรอ
ก่อนหน้านี้ก็เพราะกลัวจะไปทำให้อีกฝ่ายเสียเรื่อง แต่
ตอนนี้เสือดำเกราะทองก็เชื่องแล้ว ไม่จำเป็นที่จางเซวียน
จะต้องอยู่ต่อ
“ฝึกอสูร....” หยวิ๋นเทาแทบปล่อยโฮ
มีเวลาจำกัดก่อนจะถึงการเข้าทดสอบเป็นนักฝึก
อสูร และการสะกดรอยตามเสือดำเกราะทองก็ใช้เวลา
ของเขาไปเกือบหมด ถ้าเขาอยากจะจับอสูรอีกสักตัว
หนึ่ง ก็จะต้องหามันให้เจอก่อน...และต่อให้หาเจอ ด้วย
ค่ า ยกลที่ ไ ม่ ไ ด้ เ รื่ อ งของเขา การเอาชี วิ ต รอดจึ ง เป็ น
ปัญหาใหญ่เรื่องฝึกอสูรให้เชื่องนั้นไม่ต้องพูดถึง
“ผู้อาวุโส ผมขอปรึกษาหน่อยได้ไหม?”
หยวิ๋ น เทากลั้ น ความห่ อ เหี่ ย วไว้ แ ละประสานมื อ
คารวะ
“ฮึ?” จางเซวียนมองเขา
“คุณจะช่วยบอกผมได้ไหมว่าการจัดเตรียมค่ายกล
ของผมมีปัญหาอย่างไร ทำไมถึงจับเจ้าเสือดำเกราะทอง
ไม่ได้?” หยวิ๋นเทาถาม
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่อยากรู้ นัยน์ตาทุกคู่ต่างจับจ้อง
ที่จางเซวียน แม้แต่เสิ่นปี้หรูก็นัยน์ตาเป็นประกายด้วย
ความอยากรู้เหมือนกัน
“เรื่องนั้นง่ายมาก!” จางเซวียนอธิบายอย่างไม่
ปิดบัง “ค่ายกลพันธนาการไม้เขียวนั้นสร้างขึ้นโดยใช้ผืน
ธงที่ทำจากไม้ลอเรล และต้องการธาตุไม้เพื่อคงอานุภาพ
ของค่ายกลนั้นไว้ ทำเลที่คุณเลือกเต็มไปด้วยต้นไม้และ
พุ่มไม้ ซึ่งก็เป็นสภาวะแบบที่ค่ายกลต้องการ จึงไม่มีข้อ
ผิดพลาดใดๆในการจัดเตรียมของคุณ แต่คุณละเลยราย
ละเอียดไป!”
“ผู้อาวุโส ได้โปรดให้ความกระจ่างด้วย!” หลังจาก
นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยวิ๋นเทาก็ยังไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิด
พลาด ในที่สุดก็ต้องถาม
“เทือกเขาที่เรายืนอยู่นี่แหละ!” จางเซวียนเงยหน้า
ขึ้นมองภูเขามากมายที่อยู่ไกลออกไป เขารู้สึกถึงความ
เป็นอิสระ
“เทือกเขา?”
หยวิ๋นเทายิ่งงงหนัก
เทือกเขานี้มีอะไรผิดปกติ?
ตอนที่เขาซื้อค่ายกลพันธนาการไม้เขียวมา เขาก็ได้
ทดลองจัดเตรียมมันมาครั้งหนึ่งแล้ว และไม่มีปัญหาอะไร
ต่อให้นักรบทงฉวนขั้นต้นก็ยังเอาชนะค่ายกลนี้ได้ยาก
“เทื อ กเขานี้ ท อดตั ว ยาวจากเหนื อ จรดใต้ มี
เขตแดนชัดเจนและเป็นพื้นที่ปิด กระแสลมที่ไหลเข้ามา
จะถูกกักเก็บไว้ เคลื่อนตัวออกไปไม่ได้ ต้นไม้ที่เติบโตใน
ดินที่ขาดแร่ธาตุจะมีสีออกเหลือง ส่วนสันเขามีสีออก
แดง...” จางเซวียนนั่งอยู่บนหลังของเสือดำเกราะทอง
เขาชี้ให้เห็นสิ่งที่อยู่รอบๆ “จากที่พูดมา คุณคงบอกได้ว่า
มีโลหะอยู่ใต้ภูเขา! ในบรรดาธาตุทั้ง 5 โลหะเป็นอริกับไม้
ดังนั้น ค่ายกลพันธนาการไม้เขียวจึงถูกรบกวนจากโลหะ
ที่อยู่ใต้ดิน แล้วมันจะแสดงอานุภาพเต็มที่ได้อย่างไร?”
“เอ่อ...”
หยวิ๋นเทาตัวสั่น
อาจารย์ของเขาเคยสอนครั้งหนึ่งว่าไม่ควรสนใจ
เฉพาะภูมิประเทศโดยรอบ แต่จะต้องพิจารณาความ
แข็งแกร่งของสภาพแวดล้อม อานุภาพของสรวงสวรรค์
และแม้แต่พละกำลังจากดวงดาวด้วย โดยจะต้องผสาน
ทุกสิ่งเข้ากับค่ายกลของตัวเอง
ในตอนนั้ น ถ้ อ ยคำพวกนี้ เ ป็ น เรื่ อ งน่ า หั ว เราะ
สำหรับเขา แต่มาตอนนี้ เขารู้แล้วว่า...ทั้งหมดเป็นความ
จริง!
การบอกทิศทางการทอดตัวของเทือกเขา รู้ได้ว่ามี
โลหะอยู่ในสันเขา และสรุปได้ว่ามันส่งผลกระทบต่อค่าย
กลพันธนาการไม้เขียว...
เขามีทักษะการหยั่งรู้ชนิดไหนกัน?
ขนาดผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลระดับ 3 ดาว ยังทำ
แบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ
แล้วตัวเขาเพิ่งจะโม้ต่อหน้าคนระดับนี้ไปหยกๆ ถึง
ขนาดถามด้วยว่าเขาเข้าใจค่ายกลหรือเปล่า...
ใบหน้าหยวิ๋นเทาร้อนผ่าวไปหมด
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ตะลึง เสิ่นปี้หรูที่นั่งอยู่บนเจ้า
เสือดำเกราะทองก็อ้าปากค้างและแทบลมจับ
พี่ชาย ก็เมื่อครู่นี้เอง คุณยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่าย
กลเลยไม่ใช่หรือ?
แค่ พ ริ บ ตาเดี ย ว ทำไมถึ ง พู ด เรื่ อ งโลหะที่ ฝั ง อยู่
สันเขา กระแสลม และนู่นนี่อีกมากมายขึ้นมาได้?
จะทำตัวน่าทึ่งอะไรนักหนา?
ช่ า งน่ า ขั น ที่ เ ธอเพิ่ ง คิ ด ว่ า จางเซวี ย นพู ด เรื่ อ งไร้
สาระ...
“ผู้ชายคนนี้...”
นึกถึงเรื่องเมื่อครู่ เสิ่นปี้หรูก็หมดปัญญา
สามัญสำนึกใช้กับผู้ชายคนนี้ไม่ได้ ถ้าเธอเอาแต่ยึด
ติดกับสามัญสำนึก ไม่นานคงได้ช็อกตาย
“เป็นอันว่าจบ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอไปก่อน!”
หลังจากอธิบายข้อบกพร่องของค่ายกลแล้ว จางเซ
วียนโบกมือและเตรียมตัวออกเดินทาง
“ผู้อาวุโส ในเมื่อไม่มีเวลาจะจับอสูรอีกตัวแล้ว ถ้า
ผมขอกลับไปดงอสูรพร้อมกับคุณ คุณจะสะดวกไหม?”
ในเมื่อการทดสอบก็เหลวไปแล้ว เขาก็ควรจะปล่อย
มันไป ใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ตรง
หน้าจะดีกว่า
นอกจากพละกำลัง การช่วยอสูรให้ฝ่าด่านวรยุทธ
ได้ รวมถึงความเข้าใจเรื่องค่ายกล ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า
ผู้อาวุโสจางเซวียนคนนี้เป็นคนมีความสามารถมาก หย
วิ๋นเทาคิดว่าผูกไมตรีกับเขาไว้น่าจะมีประโยชน์
“เสือดำเกราะทองนี่ว่องไวนะ ถ้าตามทันก็มา!”
แม้องค์ชายจะขี้คุยสักหน่อย แต่ก็เป็นคนเก่ง ทั้งยัง
เป็นผู้ช่วยนักฝึกอสูรด้วย หากได้คำชี้แนะของเขาก็น่าจะ
หาสัตว์ปีกพาหนะได้ง่ายขึ้น พวกเขาจะได้ไปถึงอาณา
จักรเทียนหวู่ได้รวดเร็วและราบรื่นกว่าเดิม
อีกอย่าง มีสองคนอยู่บนหลังเสือดำเกราะทองก็
หนักพอแล้ว คงบรรทุกใครไม่ได้อีก
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” เห็นเขาตอบตกลง หยวิ๋นเทา
ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไปได้!” จางเซวียนออกคำสั่งเจ้าเสือดำ และมันก็
พุ่งฉิว
สมัยที่ยังอยู่แค่พี่เชวี่ย เจ้าเสือดำเกราะทองก็มี
ความว่องไวอย่างน่าทึ่งอยู่แล้ว มาถึงตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไร
กั บ ม้ า ชั้ น ยอด ถึ ง ภู มิ ป ระเทศของป่ า เขาโดยรอบจะ
ขรุขระและมีสิ่งกีดขวางอยู่กลาดเกลื่อน แต่มันก็ไม่มีทีท่า
จะวิ่งช้าลงเลย
ตอนแรกหยวิ๋นเทากับบริวารก็ยังตามทัน แต่เมื่อ
เวลาผ่ า นไป พลั ง ปราณของพวกเขาเริ่ ม เหื อ ดแห้ ง
ความเร็วตก ทุกคนเริ่มหน้าซีด ต่างเหน็ดเหนื่อยจากการ
วิ่งตามจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
“พักก่อน!”
เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง เมื่อเห็นทุกคนเหนื่อยโฮก
จางเซวียนกับเสิ่นปี้หรูกระโดดลงจากหลังของเจ้าเสือดำ
ถ้าทั้งคู่เดินไปยังดงอสูร ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยทั้ง
วัน แต่ด้วยเจ้าเสือดำ พวกเขาจะไปถึงที่นั่นได้ในอีก 2
ชั่วโมง ทั้งคู่จึงไม่รีบร้อน
“ผู้อาวุโส!”
รู้ว่าอีกฝ่ายหยุดพักเพื่อพวกเขา หยวิ๋นเทาถอน
หายใจอย่างโล่งอก หลังจากได้พักครู่หนึ่งและเรียกพละ
กำลังกลับคืนมาได้เล็กน้อย เขาก็เข้าไปพูดกับจางเซวียน
ด้วยความเคารพ
“ในเมื่อผมจับเจ้าเสือดำเกราะทองตัวนี้ได้ นั่น
หมายถึงคุณต้องพลาดการเข้าทดสอบเป็นนักฝึกอสูรหรือ
เปล่า?”
จางเซวียนครุ่นคิดเรื่องนี้ตลอดทางที่มา หยวิ๋นเทา
กั บ บริ ว ารเพี ย รจั บ เสื อ ดำเกราะทองมาหลายวั น แล้ ว
เพียงเพื่อจะกลายเป็นส้มหล่นให้จางเซวียน ลำพังแค่ตัว
อสูรไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การทดสอบเข้าเป็นนักฝึกอสูรต่าง
หากที่เป็นเรื่อง ก็เพราะอย่างนี้ หยวิ๋นเทาจึงน่าจะสอบ
ตก
“เอ่อ...” หยวิ๋นเทาตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ถ้า
ไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสจับเจ้าเสือดำนี่ได้ล่ะก็ พวกเราคง
ตายกันหมดตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าเทียบกับชีวิต การสอบก็ไม่
ได้สำคัญเลย!”
จางเซวียนพยักหน้า
ถึงชายคนนี้จะหลงตัวเอง แต่เขาก็มีเหตุผล
เป็นไปไม่ได้เลยที่ค่ายกลพันธนาการไม้เขียวจะจับ
เจ้าเสือดำเกราะทองได้ ถ้าจางเซวียนไม่ได้ไปอยู่ตรงนั้น
ด้วยพละกำลังของหยวิ๋นเทาและบริวารขั้นพี่เชวี่ยของ
เขา ทุกคนจะต้องตายเรียบ การที่จางเซวียนฉกเสือดำมา
จากมือของพวกนั้นก็เท่ากับการช่วยชีวิต
“การทดสอบเพื่ อ ให้ ไ ด้ เ ป็ น นั ก ฝึ ก อสู ร จะต้ อ งทำ
อะไรบ้าง?”
หลังจากได้ขี่เสือดำ จางเซวียนก็เข้าใจถึงความ
สะดวกสบายของการมีสัตว์พาหนะ ถ้าเขาได้เป็นนักฝึก
อสู ร อย่ า งเป็ น ทางการ ต่ อ ไปก็ น่ า จะเดิ น ทางไกลได้
สะดวกกว่าเดิม
ถ้าหยวิ๋นเทาได้ยินความคิดนี้คงกระอักเลือดอีกรอบ
เพื่อจะเข้าทดสอบเป็นนักฝึกอสูร เขาใช้ชีวิตเคียง
ข้างเหล่าอสูรมาหลายปีเพื่อจะเรียนรู้จากพวกมัน แต่ถึง
อย่างนั้นก็ยังสอบไม่ผ่าน ขณะที่หมอนี่อยากสอบผ่านแค่
เพราะรู้สึกว่าการเดินมันเหนื่อย..
“อย่างแรก จะต้องเป็นผู้ช่วยนักฝึกอสูรให้ได้ก่อน
การทดสอบเข้าเป็นผู้ช่วยมี 2 ส่วน : สอบข้อเขียน และ
การสอบแยกแยะชนิดของอสูร เมื่อผ่านสองส่วนนี้แล้ว
ถึ ง จะมี คุ ณ สมบั ติ เ พี ย งพอที่ จ ะเข้ า สอบเป็ น นั ก ฝึ ก อสู ร
การสอบเป็นนักฝึกอสูรก็มี 2 ส่วนเหมือนกัน ส่วนแรกคือ
การทำให้อสูรยอมรับ และส่วนที่สอง จะต้องจับอสูรมา
ฝึกให้เชื่อง” หยวิ๋นเทาอธิบาย
“การทำให้อสูรยอมรับ?”
“ใช่ ผู้เข้าสอบจะถูกพาเข้าไปอยู่ในที่ได้ใกล้ชิดกับ
อสูร 5 ตัว ภายในสองชั่วโมง เขาจะต้องทำให้พวกมัน
ยอมรับและไม่โจมตีเขาให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็หมายความว่า
คนนั้นไม่มีความเข้าใจในตัวอสูรดีพอ ส่วนอสูรที่จะจับ
มาฝึกให้เชื่องนั้น มีข้อบังคับว่ามันจะต้องมีวรยุทธสูงกว่า
ผู้เข้าทดสอบด้วย”
หยวนเทาอธิบาย “เพราะหากอสูรอ่อนแอเกินไป ผู้
เข้าสอบก็อาจใช้พละกำลังบังคับให้มันยอมจำนน ซึ่งถ้า
เป็นแบบนั้น ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผู้เข้าสอบคนไหนที่มี
ทักษะเพียงพอจะได้เป็นนักฝึกอสูรจริงๆ”
จางซเวียนพยักหน้า
การทดสอบเข้ า เป็ น นั ก ฝึ ก อสู ร ก็ เ หมื อ นกั บ การ
ทดสอบเข้าเป็นนักปรุงยา
การจะได้เป็นผู้ช่วย จะต้องมีความรู้เรื่องทฤษฎี
อย่างเพียงพอ ส่วนการจะได้เป็นสมาชิกของสมาคม
อย่างเป็นทางการ ก็จะต้องมีทักษะการปฏิบัติที่ใช้การได้
ซึ่ ง สำหรั บ นั ก ปรุ ง ยา ก็ คื อ การหลอมยาขั้ น 1
สำหรับนักฝึกอสูร ก็คือการจับอสูรที่มีพละกำลังมากกว่า
ตัวเองมาฝึกให้เชื่อง
จึ ง ไม่ น่ า สงสั ย ว่ า ทำไมหยวิ๋ น เทาจึ ง เลื อ กจั บ เจ้ า
เสือดำเกราะทองตัวนี้ ด้วยวรยุทธติ่งลี่ขั้นสูงสุดของเขา
เสือดำมีวรยุทธสูงกว่าเขาหนึ่งขั้นเต็มๆ และตรงตามกฎ
ของการทดสอบที่กำหนดไว้ ถ้าเขาจับมันได้สำเร็จ ก็จะ
ผ่านการทดสอบ
“มี เ วลาให้ ค รึ่ ง เดื อ นสำหรั บ การจั บ อสู ร มาฝึ ก ให้
เชื่อง แค่ที่ผมตามหาเจ้าเสือดำเกราะทองตัวนี้ก็ปาเข้าไป
สิบกว่าวันแล้ว หาตัวใหม่ไม่ทันแล้วล่ะ อีกอย่าง เกิดไป
เจอไอ้ตัวที่มันดุกว่านี้ ผมคงตายเสียก่อน...”
หยวิ๋นเทาจึงตัดสินใจปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าตรง
หน้าที่ทำให้เขายังมีชีวิตรอด ครั้งต่อไปเขาอาจไม่โชคดี
แบบนี้ก็ได้
ดูเหมือนว่าในการทดสอบครั้งต่อไป เขาต้องเตรียม
ตัวให้ดีกว่านี้
ไม่อย่างนั้น เกิดต้องตายไปเสียก่อนที่จะได้เป็นนัก
ฝึกอสูรอย่างเป็นทางการ จะคร่ำครวญอะไรก็คงสายไป
แล้ว
เรื่องจริงก็คือ มีผู้ช่วยนักฝึกอสูรจำนวนมากมายที่
ต้องตายด้วยน้ำมือของอสูรระหว่างที่เข้าทดสอบ
“ดีแล้วล่ะที่คุณเต็มใจจะปล่อยให้มันผ่านไป ว่า
แต่...ถึงอย่างไรผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนกับเรื่องนี้ เอา
อย่างนี้ดีไหม: ถ้าคุณคิดจะจับอสูรอีกตัว ผมจะช่วย!”
จางเซวียนพูด
เขาสนใจอยากเห็ น ว่ า การจั บ อสู ร ที่ มี พ ละกำลั ง
มากกว่าตัวเองนั้นต้องทำอย่างไร
หลังจากภารกิจเสือดำ จางเซวียนรู้แล้วว่าการผูก
มิตรกับอสูรเป็นเรื่องยาก หากมันไม่เต็มใจจะยอมจำนน
ด้วยตัวเองล่ะก็ เรื่องฝึกให้เชื่องก็ไม่ต้องพูดถึง
ถึงจะไม่ได้นำไปใช้เพื่อการทดสอบเข้าเป็นนักฝึก
อสู ร แต่ ศิ ล ปะของการฝึ ก อสู ร ก็ น่ า จะเป็ น ประโยชน์
สำหรับการเดินทางของเขาในอนาคต
อีกอย่าง เขาคงไม่โชคดีถึงขนาดได้เจออสูรที่มีพละ
กำลังน้อยกว่าเขาและยอมจำนนง่ายดายขนาดนี้
ถ้าไปเจอไอ้ตัวที่แข็งแรง แล้วจะทำอย่างไรกัน?
เพราะอย่างนั้นจางเซวียนจึงอยากใช้โอกาสนี้รอดู
หยวิ๋นเทา จะได้ฉกทักษะของเขาด้วย
แน่นอนว่าจางเซวียนไม่ได้พูดออกมา ไม่อย่างนั้น
ภาพลักษณ์ของ ‘ผู้อาวุโส’ ที่เขาสร้างสมขึ้นมาด้วย
ความยากลำบากคงป่นปี้หมด
การปลอมตัวเป็นปรมาจารย์หยางทำให้เขาเข้าใจ
ว่า สถานภาพการเป็น ‘ผู้อาวุโส’ ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
มาก
แต่มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยง หากถูกเปิดโปงขึ้น
มา คงยับไม่เหลือซาก
“ผู้อาวุโส...จะช่วยผมหรือ?” ได้ยินแบบนั้น หยวิ๋น
เทาตื่นเต้นจนตัวสั่น
เขาเห็นพละกำลังของจางเซวียนมาแล้วกับตา ถ้า
จางเซวียนเต็มใจยื่นมือเข้าช่วย การจับอสูรขั้นพี่เชวี่ย
ต้องเป็นเรื่องไม่เกินมือแน่ ขอให้จับได้เถอะ เขามีวิธีของ
ตัวเองที่จะฝึกให้มันเชื่องได้
“ใช่!” จางเซวียนพยักหน้าด้วยมาดแบบผู้ทรงภูมิ
“เยี่ยมเลย! ถ้ามีผู้อาวุโสช่วย ผมทำสำเร็จแน่...”
หยวิ๋ น เทากำหมั ด แน่ น ตาแดงก่ ำ ด้ ว ยความ
กระตือรือร้น
“เย็นไว้ ผมจะช่วยคุณก็จริง แต่คุณก็ต้องหาอสูรที่
เหมาะสมให้เจอก่อนไหม?” จางเซวียนถาม
“อสูรที่เหมาะสม...”
หยวิ๋นเทาทำหน้าย่น
เขาใช้เวลาติดตามเจ้าเสือดำเกราะทองไปสิบกว่า
วันแล้ว ถึงอีกฝ่ายรับคำจะช่วย ก็ไม่มีประโยชน์เลยถ้า
เขาหาอสูรตัวใหม่ไม่ได้
“ท่าน ทรงลืมไอ้ตัวนั้นไปหรือเปล่า?”
บริวารคนหนึ่งเดินออกมา
“ฮึ?” หยวิ๋นเทางง
“ก็ไอ้ตัวที่มันมาป่วนเราทุกวันไง” บริวารตอบ
“ตัวนั้นน่ะหรือ?” หยวิ๋นเทามีสีหน้าอับอายเมื่อ
นึกออก
“ท่าน เราหาอสูรตัวอื่นไม่ทันแล้ว ถ้าท่านจับไอ้ตัว
นั้นมาฝึกให้เชื่องได้ ก็จะทรงผ่านการทดสอบ ตอนนี้การ
สอบให้ผ่านเป็นเรื่องสำคัญกว่า เราค่อยจับอสูรตัวอื่นมา
ฝึกให้เชื่องทีหลังก็ได้!” บริวารพยายามหว่านล้อม
“เอ่อ...” หยวิ๋นเทาลังเลก่อนจะหันไปทางจางเซ
วียน “ผู้อาวุโส อันที่จริงมันก็มีอสูรที่เหมาะสมอยู่ ผมคง
ต้องขอความช่วยเหลือเรื่องนี้”
“ฮึ?” จางเซวียนมองหยวิ๋นเทาอย่างสงสัย
“มันคือ...นกประหลาด!” หยวิ๋นเทาพูด
“สัตว์ปีกหรือ?”
หยวิ๋นเทาสำเร็จวรยุทธติ่งลี่ขั้นสูงสุด ดังนั้นเจ้าอสูร
ที่เขาต้องจับให้ได้ก็จะต้องมีวรยุทธเหนือกว่าเขา ก็แปล
ว่านกที่เขาพูดถึงน่าจะอยู่ในขั้นพี่เชวี่ย
สรุปก็คือหยวิ๋นเทากำลังขอให้เขาช่วยจับสัตว์ปีก
ดุร้ายตัวหนึ่ง
สัตว์ปีกดุร้ายทุกตัวที่จางเซวียนได้ผ่านตามาตลอด
แนวเทือกเขาเชียนหลัวต่างกรีดร้องอยู่บนท้องฟ้าที่สูงขึ้น
ไปหลายพันเมตร ต่อให้จางเซวียนอยากจะจับมัน ก็ไม่มี
ทางจับได้
“ก็ ไ ม่ เ ชิ ง เป็ น สั ต ว์ ปี ก ดุ ร้ า ยหรอก ตั ว มั น เล็ ก
เท่า...ฝ่ามือเท่านั้นเอง!” หยวิ๋นเทาหน้าแดงก่ำ
“ขนาดเท่าฝ่ามือ?” จางเซวียนผงะ
จากที่เสิ่นปี้หรูอธิบาย จางเซวียนรู้ว่าสัตว์ปีกดุร้าย
จะต้องมีเส้นรอบตัวยาวหลายจั้ง และปีกของมันก็จะต้อง
กว้างประมาณ 2-3 จั้ง ด้วยขนาดเท่านั้น มันถึงจะมี
ความแข็งแกร่งมากพอที่จะรับน้ำหนักมนุษย์ขณะบินอยู่
บนท้องฟ้าได้
นี่เล็กเท่าฝ่ามือ...เรียกว่าสัตว์ปีกดุร้ายยังไม่ได้เลย
ด้วยซ้ำ อย่างดีก็แค่นกขมิ้น
“ถึงจะตัวเล็ก แต่มันก็เป็นอสูร แถมความแข็งแกร่ง
ของมันยังเท่ากับพี่เชวี่ยขั้นต้นด้วย ดังนั้นวรยุทธของมัน
ก็ต้องสูงกว่าผมอยู่เล็กน้อย แค่รูปร่างของมันเท่านั้นเองที่
ไม่ เ หมาะสมกั บ การต่ อ สู้ มั น ก็ เ ลยสู้ ผ มไม่ ไ ด้ แต่ ว่ า
ความเร็วของมันก็ไม่ธรรมดานะ แถมยังไม่มีทางจับมันได้
เลย!” หยวิ๋นเทาอธิบายรายละเอียด
“ตัวเล็กแต่ว่องไว? ถึงคุณอยากจะจับมัน ก็หาตัว
มันไม่ได้ง่ายๆหรอก”
จางเซวียนขมวดคิ้ว
ขนาดอสูรตัวใหญ่อุ้ยอ้ายยังหาแทบไม่เจอ แล้ว
สัตว์ปีกตัวเท่าฝ่ามือที่มีความเร็วสูง ซึ่งซ่อนตัวอยู่ได้
ทุ ก หนทุ ก แห่ ง ในป่ า อั น กว้ า งใหญ่ นี้ จะไปหาเจอได้
อย่างไร!
แถมมันยังบินได้อย่างอิสระเสรี...จับยากกว่าเจ้า
เสือดำเกราะทองหลายเท่า
ได้ฟังแบบนั้น หยวิ๋นเทาออกจะเหนียมๆเล็กน้อย
“หาตัวยากก็จริง แต่สองสามวันมานี้มันมาป่วนเราตลอด
ถึงเราไม่ตามหามัน มันก็ตามหาเราเองแหละ”
“ป่วน?”
จางเซวียนงง เพราะเขาไม่เข้าใจอสูรดีเท่าไรนัก
เขารู้ว่ามันมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้มนุษย์เป็นบางครั้ง แต่ถ้า
มันรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ก็จะรีบหนีไปให้ไกลที่สุด แต่นี่มาป่วน
คนพวกนี้ทุกวี่ทุกวันทำไม?
“เอ่อ...ผมทำรังของมันพัง มันโมโห ก็เลยมาป่วน
เราทุกวัน” หยวิ๋นเทารีบอธิบาย
เมื่อรู้เรื่องแล้วจางเซวียนก็ได้แต่ส่ายหน้า ไม่รู้ว่า
ควรจะเห็นใจหยวิ๋นเทาหรือหัวเราะให้ลั่นดี
ดูเหมือนว่านกประหลาดตัวนี้จะชอบกินน้ำผึ้งป่าที่
อยู่ในหุบเขา หยวิ๋นเทาซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวบังเอิญไปเจอรัง
ของมันเข้า และเอาน้ำผึ้งที่มันเก็บไว้ไปจนหมด เจ้าตัว
จิ๋วนี่สะสมน้ำผึ้งมาหลายต่อหลายปีกว่าจะเก็บได้มาก
ขนาดนี้ พอรู้ว่ามีคนมาขโมยสมบัติล้ำค่าของมันไป มัน
จึงโมโหเดือดและไล่ตาม
แต่ด้วยขนาดเล็กจิ๋ว มันจึงทำอะไรหยวิ๋นเท่ากับ
บริวารไม่ได้ ในเมื่อเอาสมบัติกลับคืนไม่ได้ มันจึงสะกด
รอยตามทั้งกลุ่มไป พอถึงเวลาเดิมของทุกวัน มันก็จะตรง
เข้าป่วน
นี่เป็นวันที่ 8 แล้ว เมื่อดูเวลา ก็ใกล้กับเวลาที่มันจะ
มาเต็มที
“เจ้านี่ตื๊อมาก...” เมื่อรู้ข้อพิพาทระหว่างนกกับคน
แล้ว จางเซวียนหัวเราะหึๆ
“มันป่วนด้วยวิธีไหน?” เสิ่นปี้หรูถามอย่างอยากรู้
ในเมื่อมันเข้ามาป่วนเวลาเดิมทุกวัน มีนักรบพี่เชวี่
ยอยู่ตรงนี้ตั้งเท่าไร จะหาวิธีจับมันไม่ได้เชียวหรือ?
“เอ่อ...” หยวิ๋นเทาหน้าแดงเหมือนลูกแอปเปิ้ล เขา
ไอ “มันจงใจอึรดหัวผม...”
“ฮะ?”
จางเซวียนกับเสิ่นปี้หรูมองหน้ากัน แทบจะกลั้น
หัวเราะไม่ได้
ไม่รู้จะพูดอย่างไร นกนี่ประหลาดจริงๆ
“มันหาตัวผมเจอทุกครั้ง พออึรดผมเสร็จ มันก็จะ
บินหนีไปไกลสิบกว่าเมตรเพื่อยั่วโมโหเรา กว่าเราจะตาม
ทัน มันก็ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว มันทรมานเราแบบนี้ 2-4
ชั่วโมงทุกวัน...”
หยวิ๋ น เทาก็ จ นด้ ว ยเกล้ า กั บ พฤติ ก รรมของนก
ประหลาดตัวนี้
เขาแค่ขโมยน้ำผึ้งของมัน แต่มันทรมานเขาทุกวัน
จนแทบจะเป็นบ้า
ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะผ่านการทดสอบเป็นนักฝึก
อสูรล่ะก็ เขาจะไม่มีทางเปิดเผยเรื่องนี้กับจางเซวียนเด็ด
ขาด ก็มันน่าขายหน้าขนาดนี้
องค์ชายที่ 7 ของอาณาจักรฮ่านอู่ ต้องกลายเป็น
ส้ ว มให้ น กประหลาดตั ว หนึ่ ง บิ น มาใช้ ไ ด้ ทุ ก เวลาที่ มั น
ต้องการ...
แค่คิดก็แทบจะเสียสติแล้ว
“ทำไมไม่คืนน้ำผึ้งให้มันไป?” เสิ่นปี้หรูถาม
“สุดท้ายผมก็คืนมันไป แต่เจ้านั่น...ก็ยังรังควานผม
ทุกวัน! จะยิงธนูใส่มัน มันก็ว่องไวเกิน ผมก็เลยเตรียม
บางอย่างไว้เพื่อจัดการกับมันหลังจากที่จับเสือดำเกราะ
ทองได้แล้ว แต่ในเมื่อผมจับเสือดำไม่สำเร็จ ก็จะใช้ไอ้นก
นี่เข้าสอบแทน!”
มาถึงตรงนี้ หยวิ๋นเทาอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง “แต่...มันก็
ว่องไวเกิน ขนาดลูกธนูยังทำอะไรไม่ได้ จะจับมัน...ก็
คงจะยากไป ผู้อาวุโสคิดอะไรออกบ้างหรือไม่?”
“ผมยังไม่รู้จักหน้าตาหรือความเร็วของมันเลย มา
ถามตอนนี้ จะไปคิดอะไรออก?” จางเซวียนส่ายหน้า
หน้าตาไอ้นกนี่ก็ยังไม่เคยเห็น จะเอาแผนการที่ไหน
ไปจับมัน?
“อ้ อ นึ ก ออกแล้ ว ! เขาบอกว่ า ทุ ก ครั้ ง ที่ น ก
ประหลาดมาป่วน มันจะบินหนีไปไกลสิบกว่าเมตรเพื่อ
ยั่วโมโหใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นมันก็น่าจะไม่สูงจากพื้นมาก
คุณใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวของคุณพุ่งเข้าจับมันก็ได้นี่!”
เสิ่นปี้หรูนึกได้และหันไปมองจางเซวียน
เธอได้เห็นเทคนิคการเคลื่อนไหวของหวังหยิ่งมา
แล้ว ความเร็วของการเคลื่อนไหวนั้นเกือบเท่ากับโทรจิต
เลยทีเดียว ต่อให้นกนั่นว่องไวอย่างไร ก็ไม่น่าเป็นปัญหา
ใหญ่สำหรับอาจารย์จาง
“ได้ ผมจะลองคิดดู...”
จางเซวียนพยักหน้า
หลังจากที่สำเร็จวรยุทธขั้นทงฉวน ทั้งระยะทาง
และจำนวนครั้งที่เขาสามารถแสดงศิลปะการเคลื่อนไหว
เทียบฟ้าออกมาก็เพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้ ถ้าใช้พลังเต็มที่ เขาสามารถไปได้ไกล
20 เมตรในเวลาสิบอึดใจ แต่ตอนนี้ ด้วยระยะเวลาเท่า
กัน เขาไปได้ไกลถึง 40 เมตร
แถมเมื่อก่อน เขาก็ใช้เทคนิคนี้ได้เพียงครั้งเดียว มา
ตอนนี้สามารถใช้มันได้ถึงสองครั้ง
ที่ว่ามานี่คือฉบับเต็ม ถ้าใช้แบบเรียบง่ายอย่างที่
เขาถ่ายทอดให้หวังหยิ่ง ด้วยพลังปราณที่มีตอนนี้ จะใช้
มัน 20-30 ครั้งก็ยังได้
แต่ความเร็วก็จะลดลงมาก
สำหรับฉบับเต็ม จางเซวียนจะไปได้ไกล 40 เมตร
ในสิบอึดใจ ส่วนฉบับเรียบง่าย เขาจะไปได้แค่ 3 ถึง 4
เมตรเท่านั้น แต่ผลกระทบที่มีต่อร่างกายของเขาก็จะต่ำ
กว่ากันมาก นี่คือเหตุผลที่หวังหยิ่งสามารถใช้เทคนิคนี้ได้
ถึง 6 ครั้งในการดวลกับตู้เหลยก่อนที่เธอจะหมดแรง
ถึงอย่างไรเทคนิคนี้ก็น่าพรั่นพรึงอยู่ไม่น้อย
พุ่งฉิวไป 3 ถึง 4 เมตรในสิบอึดใจ คู่ต่อสู้ส่วนใหญ่
คงจอดไม่ทันแจว
เจ้านกนั่นคงเร็วเอาการอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็แค่พี่เช
วี่ย ไม่มีทางสู้กับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้
“คุณจะใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวหรือ? ผมกลัวว่า
มันจะยาก...”
ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ หยวิ๋นเทาส่ายหน้า
ขนาดเทคนิ ค การเคลื่ อ นไหวที่ ล้ ำ ลึ ก ที่ สุ ด ของ
อาณาจักรฮ่านอู่ (ย่างก้าวเต่าผงาดเวหา) ด้วยความเร็ว
สูงสุดของมัน ก็ยังเทียบกับนกประหลาดตัวนั้นไม่ได้
อีกอย่าง การจดจ่อของมนุษย์ย่อมมีข้อจำกัด ถ้าผู้
อาวุโสจางเซวียนจดจ่ออยู่กับการใช้พละกำลังเข้าโจมตี
ความเร็วก็น่าจะตก
ต่อให้เขามีเทคนิคการเคลื่อนไหวแบบไร้เทียมทาน
มันก็ยังยากที่จะตามนกประหลาดนั่นให้ทันอยู่ดี อีกอย่าง
ฝ่ายนั้นมาจากอาณาจักรเทียนเซวียน เขาจะรู้จักเทคนิค
การเคลื่อนไหวไร้เทียมทานแบบไหนกัน?
เท่าที่เขารู้ เทคนิคการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังที่สุด
ของอาณาจักรเทียนเซวียนคือเงามายาแห่งสวรรค์ 9 ขั้น
ซึ่งจัดว่าจืดไปเลยถ้าเทียบกับย่างก้าวเต่าผงาดเวหา
ในเมื่ อ เทคนิ ค อย่ า งหลั ง ยั ง เอาเจ้ า นกนั่ น ไว้ ไ ม่ ไ ด้
เทคนิคอย่างแรกก็คงไม่ต้องพูดถึง
ด้วยเหตุนี้ หยวิ๋นเทาจึงพูดต่อ “นกประหลาดตัว
นั้นขี้ระแวงมาก มันจะรักษาระยะห่างเสมอเพื่อจะได้มี
เวลาปรับเปลี่ยนทิศทาง ขนาดลูกธนูยังทำอะไรมันไม่ได้
การจับมันด้วยมือเปล่าคงไม่ต้องพูดถึง ผมคิดว่าเราน่า
จะวางกับดักมัน บางที...อาจจะพอมีโอกาส”
“เราเคยวางกับดักมันหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้
ผลเลย” บริวารคนหนึ่งรายงาน
ได้ฟังแบบนั้น หยวิ๋นเทาพยักหน้าอย่างจนปัญญา
“อันที่จริงเราเคยวางกับดักมันแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคย
ได้ผล นกประหลาดนั่นดูเหมือนจะรู้ล่วงหน้า ไม่ว่าเราจะ
ทำอะไร มันก็ไม่เคยหลงกลเลย...”
วิ้ววววววว!
เขายังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงลมหวีดหวิวดังขึ้นจาก
ข้างบน ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างส่งเสียงหวีดอยู่บน
ท้องฟ้า ตรงกับหัวของหยวิ๋นเทาพอดี
“มันอยู่นี่!”
หยวิ๋นเทาหน้าดำคร่ำเครียดเมื่อได้ยินเสียงลม เขารู้
แล้วว่านกประหลาดอยู่ที่นี่ ยังไม่ทันจะได้เงยหน้าหรือ
หลบ
ปุ้!
เขาขยับได้แค่สองสามก้าวเมื่อกลิ่นเหม็นตลบลอย
เข้าจมูก ทั้งร่างเปรอะไปด้วยจุดเล็กๆสีขาว
ถึงไม่ต้องมอง ก็รู้ว่าตัวเองเสร็จไอ้นกนั่นอีกแล้ว!
เจอกลิ่นเหม็นเข้า หยวิ๋นเทาแทบปล่อยโฮ เขาหัน
ไปมอง และเห็นว่าสิ่งที่ตกใส่ตรงจุดที่เขายืนก่อนหน้านี้
เป็นแค่หินก้อนหนึ่ง
เหมื อ นจะรู้ ว่ า หยวิ๋ น เทาจะต้ อ งหลบ นกนั่ น จึ ง
ปล่อยก้อนหินลงมาก่อนเพื่อทำให้เขาไขว้เขว
“ถึงกับมียุทธวิธีเลยหรือ?” จางเซวียนอึ้งกับสิ่งที่
เห็น
ตอนที่ฟังเรื่องราว ก็คิดว่านกประหลาดนี่คงแค่
อาฆาต ไม่คิดว่ามันจะฉลาดขนาดนี้
ช่างแตกต่างกับเจ้าเสือดำเกราะทองที่แสนจะมุทะลุ
เขาเงยหน้าดูและเห็นนกตัวจ้อยอยู่ตรงหน้า เหมือ
นที่หยวิ๋นเทาบอก มันใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงเล็กน้อย ทั้งตัว
เป็นสีดำและดูคล้ายอีกา มีรังสีคมปลาบเทียบเท่าขั้นพี่เช
วี่ย
อสูรมีรูปร่างแตกต่างกันหลายขนาด ในเมื่อมีตัว
ใหญ่มหึมาแบบเสือดำเกราะทอง ก็ต้องมีตัวเล็กเป็น
ธรรมดา
นกประหลาดดู ลิ ง โลดที่ โ จมตี ห ยวิ๋ น เทาได้ เ ต็ ม
เหนี่ยว “แคว่ก แคว่ก!” มันส่งเสียงก่อนจะบินไปไกล
กว่าสามสิบเมตร ดวงตาเหมือนลูกปัดของมันจับจ้องทุก
คนราวกับจะเย้ย
“ไอ้นกสารเลว...”
ถึงหยวิ๋นเทาจะขุ่นเคืองกับการกระทำของนก แต่
เขาท้อใจมากกว่า
ไอ้นกนี่มาก่อนที่พวกเขาจะทันได้วางแผน ก็แปล
ว่าวันนี้ต้องชวดอีก
ขณะเขากำลังสับสนว่าจะทำอย่างไรต่อ ก็มองเห็น
ทุกอย่างเบลอไปหมด ร่างหนึ่งแวบไปอยู่ตรงหน้าเจ้านก
ประหลาดนั่น และด้วยนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือ นกที่แสน
ปราดเปรียวก็ถูกมือของร่างนั้นจับไว้ก่อนที่มันจะทันได้
ตอบโต้
“นี่... เทคนิคการเคลื่อนไหว? เป็นไปได้อย่างไร
กัน?”
หยวิ๋นเทาตัวแข็ง
ตอนที่ 240 ดงอสูร

“เป็นไปได้อย่างไร?”
“เราตาฝาดหรือเปล่า?”
ทุกคนเอ็ดตะโรอยู่ในใจ
ถึงบริวารของหยวิ๋นเทาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่
พวกเขาก็ คิ ด เหมื อ นเจ้ า นาย เมื่ อ คิ ด ถึ ง เทคนิ ค การ
เคลื่อนไหวและความเร็วของพวกเขา ไม่น่าเป็นไปได้ที่
ใครสักคนจะจับเจ้านกประหลาดได้อยู่หมัด
ในฐานะบริวารขององค์ชาย พวกเขาได้เห็นนักรบ
ขั้นทงฉวนผู้ปราดเปรียวหลายต่อหลายคน แต่ภาพตรง
หน้าก็ยังทำให้พวกเขางงงันอยู่ดี
จางเซวี ย นเคลื่ อ นที่ ไ ด้ ไ กลถึ ง สิ บ กว่ า เมตรในชั่ ว
พริบตาเพื่อจับนกนั่น มัน...มันเร็วเกินไป!
มีเทคนิคการเคลื่อนไหวใดที่เร็วได้ขนาดนี้หรือ?
“หรื อ ว่ า ...เราประเมิ น เขาต่ ำ ไป จางเซวี ย น
เป็น...นักรบขั้นจงซรือหรือเปล่า?”
หลายคนตัวสั่นเมื่อคิดได้แบบนั้น
แม้อาณาจักรฮ่านอู่จะมีนักรบขั้นจงซรืออยู่หลาย
คน แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่านักรบเหล่านั้นเคลื่อนไหวได้เร็ว
แค่ไหน
มีข่าวลือว่า นักรบขั้นจงซรือ ในฐานะกองกำลังอัน
มั่นคงของอาณาจักร พวกเขามีความสามารถล้ำลึก และ
พละกำลังก็มหาศาลเกินกว่าใครจะจินตนาการได้
ในเมื่อชายหนุ่มคนนี้เอาชนะเสือดำเกราะทองได้
ด้วยมือเปล่า แถมยังจับเจ้านกประหลาดได้ด้วยการใช้
แค่ 2 นิ้ว ต่อให้พวกเขาทั้งก๊กเข้ารุมก็คงไม่มีทาง
ต้านทานได้ เป็นไปได้ไหมว่าเขาเป็นนักรบขั้นจงซรือ
จริงๆ?
ขั้นจงซรือ...นั่นคือระดับพละกำลังของบรรพบุรุษ
อาวุโสซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรขั้น 2 มากับมือ แต่คนที่
อยู่ตรงหน้าพวกเขา อายุยังไม่ถึงยี่สิบ...
เป็ น ไปได้ ไ หมว่ า เขาเป็ น ปรมาจารย์ รุ่ น หนุ่ ม จาก
ตระกูลอันทรงเกียรติสักตระกูลหนึ่งของอาณาจักรใหญ่?
ไม่ อ ย่ า งนั้ น เขาจะมี ว รยุ ท ธและเทคนิ ค การ
เคลื่อนไหวอันน่าทึ่งด้วยวัยเพียงเท่านี้ได้อย่างไร?
แต่ไม่ว่าความจริงคืออะไร ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ใช่คน
ที่พวกเขาควรจะหาเรื่อง
เหล่าบริวารต่างหวาดผวา ถึงกับไม่กล้าหายใจ
เสียงดัง เพราะกลัวจะทำให้เขาขุ่นเคือง
“เทียบกับหวังหยิ่งแล้ว...เขาเร็วกว่าเสียอีก!”
เสิ่นปี้หรูหน้าซีด
ถึ ง เธอจะเตรี ย มใจไว้ แ ล้ ว หลั ง จากที่ ไ ด้ เ ห็ น ความ
สามารถของหวั ง หยิ่ ง ในการประเมิ น อาจารย์ แต่
ความเร็วของจางเซวียนก็ยังทำให้เธออัศจรรย์ใจ
ถ้าเขาโจมตีเธอ เธอคงตายเสียก่อนที่จะได้ทันขยับ
ตัว
“แคว่ก...”
ขณะที่หยวิ๋นเทากับคนอื่นๆอึ้งตะลึงงัน นัยน์ตาของ
นกประหลาดก็เบิกโพลงด้วยความอัศจรรย์ใจ
มันวางแผนการทุกอย่างมาล่วงหน้า ไม่ว่าคนกลุ่มนี้
จะเข้าใกล้หรือใช้อาวุธโจมตีมัน มันก็หลบได้ทันท่วงที
เมื่อถึงเวลามันก็จะเข้าป่วนอีก แต่ทำไมจู่ๆชายคนนี้ถึง
โผล่มา?
ถ้ามันรู้ว่าจะมีใครสักคนในกลุ่มที่มีความเร็วน่าทึ่ง
ขนาดนี้ สามารถจับมันได้ก่อนที่มันจะทันได้โต้ตอบเสีย
อีก มันจะไม่เข้ามาป่วนเลย
“ก็ไม่ได้เร็วอะไรนักหนานี่!”
จางเซวียนส่ายหน้า ยังจับเจ้านกประหลาดไว้
ตอนที่หยวิ๋นเทาบอกว่าขนาดลูกธนูก็ยังจัดการมัน
ไม่ได้ และมันมีความเร็วเหลือเชื่อขนาดไหน จางเซวียนก็
คิดว่ามันคงจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจเอาการ เขาจึงใช้
เทคนิคการเคลื่อนไหวฉบับเต็ม
แต่มันเกิดบ้าอะไรกันล่ะ?
เจ้านกนี่ไม่เคลื่อนไหวเลย ทำเหมือนเป็นศพอย่าง
นั้นแหละ ถ้าจางเซวียนรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาก็จะใช้
ฉบับเรียบง่ายแทน!
ตอนนี้ เ ขาเจ็ บ ไปทั้ ง ตั ว จากแรงปะทะของการ
เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่อครู่ ถ้าไม่ใช่เพราะได้ฝึกวิชา
ร่างนวโลหะมา ความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดจะ
ต้องทำให้เขากระอักเลือดออกมาแน่
ถึงจางเซวียนจะไม่ได้พูดเสียงดังเท่าไร แต่ทุกคนที่
นี่ล้วนเป็นนักรบ พวกเขาจึงได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน ต่าง
ทำหน้าบูดหน้าเบี้ยว
เอ่อ... ไอ้นกประหลาดนี้ไม่ได้ช้านะ คุณต่างหากที่
เร็วเกิน นกมันยังไม่ทันจะได้ตอบโต้เสียด้วยซ้ำ...
จางเซวี ย นไม่ ใ ส่ ใ จอาการช็ อ กของทุ ก คน เขา
รวบรวมพลั ง ปราณและส่ ง มั น ให้ เ ข้ า ไปหมุ น เวี ย นใน
ร่างกายเพื่อผ่อนคลายอาการเจ็บปวด จากนั้นก็หันมา
เรียกหยวิ๋นเทา “มาฝึกมันสิ!”
“ได้!”
หยวิ๋นเทาวิ่งมาพร้อมกับเชือก เขามัดเจ้านกตัวนั้น
ให้มันบินหนีไม่ได้ นอกเสียจากจางเซวียนจะคลายปม
เท่านั้น
เห็นหยวิ๋นเทากำลังคิดหาวิธีจะฝึกมัน จางเซวียนก็
ตั้งใจดู แต่ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หมดความสนใจ
เพราะอันที่จริงมันไม่ได้ต่างอะไรจากการฝึกหมา
แมวเลย หยวิ๋นเทาเตรียมของน่าสนใจไว้หลายอย่างเพื่อ
ดึงดูดความสนใจของอสูรให้มันไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่อยู่ตรง
หน้าได้ จากนั้นก็พยายามทุกวิถีทางให้มันประทับใจและ
ไว้ใจเขา
“โดยทั่วไปจะใช้เวลา 3-4 วันกว่าที่อสูรจะเริ่ม
ผูกพันกับมนุษย์ ตอนนี้ท่านกำลังพยายามสร้างความคุ้น
เคยกับมันอยู่ เมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขามาถึงจุดหนึ่ง
ก็มีความเป็นไปได้ที่อสูรจะยอมจำนน เมื่อถึงตอนนั้น ทั้ง
คู่จะฝึกวรยุทธที่สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันและฟื้นฟู
พละกำลังของทั้งสองฝ่าย ด้วยวิธีนี้ กระบวนการฝึกให้
เชื่องก็จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์!”
เห็นจางเซวียนหมดความอดทน บริวารคนหนึ่งจึง
เดินมาอธิบายกระบวนการให้ฟัง
“3-4 วัน?”
“ใช่ นี่พูดถึงตัวที่ฝึกง่ายนะ ถ้าเป็นอสูรที่แข็งแกร่ง
กว่านี้ ต่อให้นักฝึกอสูรอย่างเป็นทางการก็ยังต้องใช้
ความพยายามอย่างหนัก ครั้งหนึ่ง นักฝึกอสูรหูฉวินชวิน
จากอาณาจักรฮ่านอู่ของเราต้องรับมือกับอสูรขั้นกึ่งจงซ
รื อ อยู่ ใ นบึ ง ถึ ง สามปี ก ว่ า จะทำให้ มั น เชื่ อ งได้ เขานำ
อาหารที่มันชอบไปให้มันทุกวัน เมื่อเวลาล่วงเลยไป
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็แนบแน่นขึ้น และในที่สุดมันก็
ยอมจำนนต่อเขา เรื่องนี้กลายเป็นตำนานของอาณาจักร
เรา”
บริวารคนนั้นพยักหน้า
“มัน...เป็นตำนาน?”
จางเซวียนแสนจะขัดใจ
นักฝึกอสูรคนนั้นคงว่างมาก ถึงใช้เวลาตั้ง 3 ปีใน
การฝึกอสูรตัวหนึ่ง จางเซวียนไม่มีความพยายามและไม่
อดทนพอที่จะใช้เวลานานขนาดนั้น
“จริงๆนะ อสูรก็มีศักดิ์ศรีของมัน ถ้าไม่ทำให้มัน
รู้สึกสนิทชิดเชื้อหรือมีของล่อใจ มันจะเต็มใจยอมจำนน
ได้อย่างไร?”
ความปรารถนาอย่ า งแรงกล้ า เปล่ ง ประกายใน
ดวงตาของเขา “ผมยอมใช้เวลาเป็นสิบปีเลย ถ้าจะ
เอาชนะใจอสูรขั้นกึ่งจงซรือได้สักตัว”
เห็นอีกฝ่ายตื่นเต้นร้อนรนขนาดนั้น จางเซวียนอึ้ง
ไป แต่ไม่ช้าเขาก็เข้าใจเหตุผล
ไม่ ใ ช่ ทุ ก คนที่ จ ะได้ ค รอบครองหอสมุ ด เที ย บฟ้ า
เหมือนตัวเขา คนเหล่านั้นจึงไม่สามารถยกระดับวรยุทธ
ได้อย่างง่ายดายเหมือนกินข้าวหรือดื่มน้ำอย่างที่เขาทำ
สำหรั บ คนส่ ว นมาก เมื่ อ ใช้ ค วามพยายามหยด
สุดท้ายไปแล้ว พวกเขาก็จะติดอยู่ที่วรยุทธขั้นนั้นไปชั่ว
ชีวิต ไม่สามารถฝ่าด่านได้ ได้แต่รอคอยให้ชีวิตค่อยๆ
ดำเนินไปจนถึงจุดจบ
เซินหง หลิวหลิง และคนอื่นๆ เป็นตัวอย่างที่ดี ถ้า
พวกเขาไม่ได้พบกับ
จางเซวียน ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝ่าด่านวร
ยุทธไปยังวรยุทธขั้นสูงกว่าเดิม
ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะต้องทุ่มเทความ
พยายามทุกวิถีทางเพื่อยกระดับวรยุทธของตัวเอง
จะว่าไป ถ้าฮ่องเต้เซินจุยฝึกอสูรให้เชื่องได้สักตัว
หนึ่ง ต่อให้เซินหงตายไป อาณาจักรเทียนเซวียนก็จะไม่
เสี่ยงต่อการล่มสลาย
เพราะไม่เพียงแต่อสูรจะสู้กับนักรบที่มีวรยุทธเหนือ
กว่ามันได้เท่านั้น แต่ช่วงชีวิตของมันก็ยังยืนยาวกว่า
มนุษย์มาก
แค่ ฝึ ก ให้ เ ชื่ อ งได้ สั ก ตั ว ความปลอดภั ย ของ
อาณาจักรก็จะยืนยาวไปเป็นศตวรรษ นับประสาอะไรกับ
สิบปี นักรบทุกคนพร้อมจะใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อสิ่งที่คุ้ม
ค่ากับความสำเร็จ
ยิ่งกว่านั้น ก็ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนจางเซวียน ที่มี
พละกำลังเหนือกว่าเจ้าเสือดำเกราะทองซึ่งเป็นที่ร่ำลือใน
เรื่องความแข็งแกร่ง เขาสามารถจัดการจนมันอยู่ใน
สภาพที่ตอบโต้ไม่ได้ แถมยังช่วยให้มันฝ่าด่านวรยุทธได้
ในเวลาเพียงครู่เดียว
“เขาจะใช้เวลาฝึกนกประหลาดนี่นานแค่ไหน?”
จางเซวียนครุ่นคิด และไม่สนใจจะดูกรรมวิธีของ
นักฝึกอสูรอีกต่อไป
“ผมไปถามให้!”
บริวารคนหนึ่งรีบวิ่งไป ครู่เดียวก็กลับมา “ผู้อาวุโส
จางเซวียน ท่านบอกว่าใช้เวลาประมาณ 2 วันก็น่าจะฝึก
ให้เริ่มเชื่องได้สำเร็จ! สำหรับการทดสอบเป็นนักฝึกอสูร
แค่ฝึกให้มันเริ่มเชื่องได้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นที่
ให้มันยอมจำนนอย่างสมบูรณ์”
“ฝึกให้มันเริ่มเชื่อง?”
“ก็หมายความว่าเจ้านกประหลาดนี่จะยังอยู่เคียง
ข้างท่าน ไม่บินหนีไปไหน แม้ว่าท่านจะไม่ได้มัดมันไว้”
บริวารคนนั้นอธิบาย
“ตั้งสองวัน? ได้แค่นี้เอง?” จางเซวียนส่ายหน้า
“ช้าเกิน”
ต้องใช้ทั้งความอุตสาหะพยายามอย่างหนัก ทั้ง
ทรัพยากร ทั้งเวลา เพื่อฝึกอสูรแค่ตัวเดียวให้เชื่อง การ
เช่ า จากดงอสู ร น่ า จะสบายกว่ า กั น มาก ดู เ หมื อ น
ว่า...วิชาการฝึกอสูรนี่ไม่คุ้มค่าที่จะเรียน
“ผมจะไปดู!”
จางเซวียนรีรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินไปหาหยวิ๋นเทา
กับนกประหลาด
“ท่าน!”
หลั ง จากที่ ค าดเดาว่ า ชายตรงหน้ า เขาน่ า จะเป็ น
นักรบขั้นจงซรือ หยวิ๋นเทาก็ยิ่งชื่นชมจางเซวียนมากกว่า
เดิม และไม่อาจจะเคารพมากไปกว่านี้ได้แล้ว
“ต้ อ งใช้ เ วลาสองวั น เชี ย วหรื อ เจ้ า นี่ ถึ ง จะเริ่ ม
เชื่อง?” จางเซวียนมองเขา
“ใช่!” หยวิ๋นเทามองนกประหลาดอย่างตื่นเต้น
“ผมใช้วิธีการสื่อสารแบบพิเศษสื่อสารกับมัน และตราบ
ใดที่มันยังอยู่ ผมจะให้น้ำผึ้งไม่อั้น ในที่สุดมันก็สัญญาว่า
จะลองอาศัยอยู่กับผม ยังมีเวลาอีก 2 วัน ตราบได้ที่ผม
ยังมีน้ำผึ้งให้มันอยู่ ผมก็น่าจะทำสำเร็จ!”
“แคว่ก!”
จางเซวียนหันไปมองเจ้านกนั่น เห็นมันยืดคอและ
เชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง ราวกับจะบอกว่าเขาไม่ควรค่า
พอที่จะมาอยู่ตรงหน้ามัน
“ไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้เร็วขึ้นหรือ?” จางเซวียนข
มวดคิ้วและตั้งคำถาม
“แคว่ก แคว่ก แคว่ก!” นกประหลาดโก่งคอ
หยวิ๋นเทามีสีหน้ากระอักกระอ่วน “มันบอกว่าท่าน
หยาบคายกับมันตอนที่จับตัวมัน และมันก็ยังโมโหอยู่ แค่
2 วันก็สั้นพอแล้ว ถ้าเราพยายามจะรวบหัวรวบหาง มัน
อาจจะยื้อไปเป็น 10 วันหรือเป็นเดือนก็ได้...”
“สั้นพอแล้ว?” เห็นเจ้านกประหลาดทำเชิดใส่ จาง
เซวียนส่ายหน้า “ผมไม่คิดแบบนั้นหรอก แค่สิบนาทีมันก็
น่าจะยอมแพ้”
“สิบนาที?” หยวิ๋นเทาผงะ จากนั้นก็ยิ้มละเหี่ย
“มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร...”
ทำให้อสูรขั้นพี่เชวี่ยเชื่องภายใน 10 นาที เป็นเรื่อง
ที่เป็นไปไม่ได้
นักฝึกอสูรที่เก่งกาจที่สุดของดงอสูรยังทำไม่ได้เลย
“ง่ายจะตาย!”
จางเซวียนส่ายหน้า เขายื่นมือออกไปและพูดว่า
“ส่งมันมาให้ผม”
“ได้!” หยวิ๋นเทาไม่รู้ว่าจางเซวียนคิดอะไร แต่ก็จับ
นกประหลาดส่งให้
จางเซวียนจับเจ้านกไว้และจ้องหน้ามัน
“ยอมแพ้เสียเดี๋ยวนี้ และยอมเป็นอสูรของเขา”
“แคว่ก!”
ได้ยินแบบนั้น นกประหลาดจ้องหน้าจางเซวียนอ
ย่างหงุดหงิดราวกับจะท้าทายคำพูดของเขา
ดูเหมือนมันอยากจะพูดว่า ถ้าจางเซวียนอยากให้
มันยอมเป็นอสูรของหยวิ๋นเทา เขาก็น่าจะปฏิบัติกับมันดี
กว่านี้
“เอาล่ะ แกไม่เต็มใจใช่ไหม งั้นก็ตายซะเถอะ!”
คร้านจะเสียเวลากับมัน จางเซวียนตบเปรี้ยง
นกประหลาดยังไม่ทันได้โต้ตอบ มันร่วงผล็อยลงกับ
พื้น
“ท่าน...” หยวิ๋นเทาอ้าปากค้างและแทบจะคลั่ง
ใครเขาฝึกอสูรกันแบบนี้?
ต่อให้ตอนนี้มันยอมจำนน ต่อไปมันก็เปลี่ยนใจได้
และจะสร้างปัญหามากมาย
คนอื่นๆก็เซ่อไป
คุณเรียกสิ่งนี้ว่าการฝึกให้เชื่องหรือ?
เหมือนจะฆ่ามันเสียมากกว่า?
“แคว่ก!”
เห็นได้ชัดว่าเจ้านกประหลาดนึกไม่ถึงว่าจางเซวียน
จะโหดร้ายถึงขนาดเกือบจะฆ่ามันด้วยการตบ ดวงตา
ของมันแดงก่ำ มันทรุดตัวลงหมอบเพราะยืนไม่อยู่ แต่ยัง
ไม่ทันจะลุกขึ้นได้ ขาข้างหนึ่งก็ลอยมาตรงหน้า
เหมือนลูกบอลยาง นกประหลาดกระเด็นโด่งไปไกล
มันกระอักเลือดออกมาถึงสองครั้ง
“ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย ยอมจำนนเสีย
แล้วฉันจะยกระดับวรยุทธและรักษาอาการบาดเจ็บให้แก
หรือไม่อย่างนั้นก็ตายซะ!”
จางเซวียนจ้องเจ้านกประหลาดอย่างเฉยเมย
“แคว่ก...”
เจ้านกกระเสือกกระสนจะลืมตา มันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะส่งเสียงออกมา
ได้ยินเสียงนั้น หยวิ๋นเทาถึงกับผงะ ใบหน้าของเขา
แดงก่ำ
“ท่าน...มัน มันยอมแล้ว...”
“มันยอมแล้ว?”
เหล่าบริวารของหยวิ๋นเทาและเสิ่นปี้หรูต่างมึนงง
จนลมแทบจับ
แบบนี้ก็ได้หรือ?
การฝึกอสูรมันง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
“ดีแล้วที่แกยอม ฉันนึกว่าแกจะดื้อด้านจนวินาที
สุดท้ายเสียอีก!”
จางเซวียนทนดูเจ้าอสูรตัวกระจ้อยร่อยปวกเปียก
ทำอวดเก่งแบบนี้ไม่ไหว ถ้ามันไม่อยากมีชีวิตอยู่ เขาก็จะ
ส่งมันไปตามวิถีทางของมัน ถึงอย่างไรเทือกเขาเชียน
หลัวก็ไม่ขาดแคลนอสูรหรอก
“ทำสัญญากันซะ!”
คร้ า นจะพู ด ให้ ม ากความ จางเซวี ย นจั บ นก
ประหลาดโยนให้หยวิ๋นเทา
เขาคว้าตัวมันไว้และทำสัญญากับมัน
“ดี ทีนี้ก็ส่งมาให้ผม!”
เมื่อเห็นทั้งคู่ทำสัญญากันเป็นมั่นเหมาะแล้ว จางเซ
วียนก็ทุบนกประหลาดจนสลบเหมือด จากนั้นก็แตะตัว
มัน แล้วให้หยวิ๋นเทาเป็นคนปลุก
จางเซวียนใช้นิ้วกระตุ้นไปทั่วร่างของมัน ปลายนิ้ว
ของเขาพลิ้วไหวราวกับลมพัด พลังปราณก็คมปลาบ
ราวกับดาบชั้นดี
คลื่นพลังปราณซึมซาบเข้าสู่ร่างของเจ้านกระลอก
แล้วระลอกเล่า ทำให้เกิดวิวัฒนาการ
กริ๊ก แกร๊ก!
ผ่านไป 12 อึดใจ เสียงกุกกักของกระดูกก็ดังขึ้น
เจ้านกที่ดูใกล้ตายตัวพองขึ้นมากและรังสีของมันก็เข้ม
ข้นขึ้นด้วย ครู่เดียวมันก็สำเร็จวรยุทธพี่เชวี่ยขั้นกลาง
เมื่อมีวรยุทธสูงขึ้น อาการบาดเจ็บก็หายสนิท
“แคว่ก?”
เมื่อรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของมัน
เจ้านกประหลาดจ้องหน้าจางเซวียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เหตุผลที่มันเก็บน้ำผึ้งจำนวนมากไว้ในรัง ไม่ใช่
เพราะความชอบเท่านั้น แต่เพื่อยกระดับวรยุทธของตัว
มันเองด้วย
การที่หยวิ๋นเทาขโมยน้ำผึ้งของมันไปก็เท่ากับกีดกัน
ไม่ให้มันยกระดับวรยุทธได้ เรื่องนั้นทำให้มันโมโหจนถึง
ขั้นยอมเสียเวลามาป่วนคนกลุ่มนี้ทุกวี่ทุกวัน
ตอนแรก มันตั้งใจว่าจะยอมทำสัญญาเฉพาะหน้า
ไปก่อน แล้วค่อยหาทางเอาคืนชายที่บังคับให้มันยอม
จำนน เพื่อจะได้ล้างมลทินของการถูกหยามหมิ่นครั้งนี้
แต่ชายที่ทำร้ายมันกลับช่วยยกระดับวรยุทธให้มันด้วย
การสัมผัสเพียงสองสามครั้ง
วรยุทธของมันแป้กอยู่ที่ระดับนี้มาหลายปีแล้ว แต่
กลับฝ่าด่านไปได้ในชั่วพริบตา...
เจ้ า นกประหลาดพลั น รู้ สึ ก ว่ า การยอมจำนนต่ อ
มนุษย์ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร...
เมื่อคิดได้แบบนั้น ความคิดที่จะยอมจำนนพอเป็น
พิธีก็กลายเป็นความจริงใจ มันโน้มตัวลงและคำนับด้วย
ความเคารพ ความหยิ่งผยองที่เคยมีก่อนหน้าหายวับไป
อย่างไร้ร่องรอย
“เอ่อ...”
อสู ร ไม่ อ าจเสแสร้ ง ได้ เ หมื อ นมนุ ษ ย์ เห็ น นก
ประหลาดมีทีท่าแบบนั้น ทุกคนถึงกับงงงัน
เวลาที่ใครต่อใครฝึกอสูรให้เชื่อง พวกเขาจะดูแล
ประคบประหงมมันอย่างดีที่สุดราวกับเป็นปู่ย่าตายาย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีโอกาสที่จะล้มเหลว แต่ด้วยการตบ
เปรี้ยงเข้าให้ ชายผู้นี้กลับทำให้มันศิโรราบด้วยความ
จริงใจได้ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเรื่องที่เกิดกับเสือดำ
เกราะทองเป็นแค่ความบังเอิญ แต่เมื่อเกิดซ้ำเป็นครั้งที่
สอง ก็ชัดเจนแล้วว่าจางเซวียนมีความสามารถเหนือ
ธรรมดาในการฝึกอสูร
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะเรียนรู้ได้เลย!”
“ขั้นแรก จัดการกับอสูรน่ะไม่ยาก แต่ขั้นที่สอง คือ
ช่วยให้มันฝ่าด่านวรยุทธและรักษาอาการบาดเจ็บให้มัน
เราจะทำแบบนั้นได้อย่างไร?”
“รับมาตรงๆเถอะ ถึงขั้นแรกนายก็ทำไม่ได้!”
“ทำไม? ก็แค่จัดการมันแบบไม่ต้องคิดอะไรมากก็
เท่านั้นเอง?”
“จัดการอสูร? มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นนะ! เวลาจะฝึก
อสูรให้เชื่อง นายต้องยั้งมือไว้เพื่อจะได้ไม่ฆ่ามัน แต่ถ้า
นายทำแบบนั้น ความน่าเกรงขามก็จะลดลงอีก เหตุผลที่
นกประหลาดยอมจำนนก็เพราะผู้อาวุโสจางเซวียนจะฆ่า
มันจริงๆถ้ามันไม่ยอม แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขามี
ความเร็วเหนือกว่ามัน ประกอบกับเจตนาสังหารของเขา
ที่แสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้เจ้านกนั่นเกิดความ
กลัว ไม่อย่างนั้น อสูรที่หยิ่งผยองขนาดนี้จะยอมจำนน
ง่ายๆหรือ?”
“ที่นายพูดมาก็มีเหตุผล...”
......
ถึงจางเซวียนจะทำให้นกประหลาดยอมจำนนได้
อย่างง่ายดาย แต่ทุกคนก็รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะ
ทำได้ อันที่จริง ต่อให้นักฝึกอสูรอย่างเป็นทางการก็คงไม่
สามารถเลียนแบบ
แค่การที่เขาทำลายความมั่นใจของเจ้านกนั่นด้วย
การสำแดงความเร็วที่เหนือกว่า ก็เพียงพอจะทำให้ผู้
เชี่ยวชาญทั้งหลายชะงักงันแล้ว
“มันยอมจำนนแล้วนี่ ไปกันเถอะ!”
จางเซวียนพูดแบบนั้นเพื่อจะได้รีบออกเดินทาง ก็
ในเมื่อเจ้านกประหลาดหมดฤทธิ์แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้อง
อยู่ที่นี่
“ได้!” หยวิ๋นเทาพยักหน้าอย่างชื่นมื่น
ตอนที่จางเซวียนจับเจ้าเสือดำเกราะทองได้ เขาคิด
ว่าการสอบครั้งนี้คงพังแล้ว ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะพลิก
สถานการณ์ให้ในชั่วพริบตา
เขามองจางเซวียนอย่างสำนึกบุญคุณ
จัดการธุระเรื่องการสอบเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแค่
เดินทางกลับไปยังดงอสูรเท่านั้น จางเซวียนนั่งบนหลัง
เจ้าเสือดำเกราะทองกับเสิ่นปี้หรู ส่วนหยวิ๋นเทากับคน
อื่นๆพยายามสุดตัวที่จะตามไปติดๆ แทบจะหมดลม
หายใจเฮือกสุดท้ายก็หลายครั้ง
น้ำตาไหลอาบแก้มหยวิ๋นเทาขณะที่เขาวิ่งไป
อีกฝ่ายนั่งเชิดอยู่บนหลังของอสูร ขณะที่เขาทำได้
แค่แบกไอ้นกงี่เง่านี่วิ่งตามไป โดยใช้พละกำลังทั้งหมดที่
มี
ทั้งๆที่จับอสูรได้เหมือนกัน ทำไมถึงเหลื่อมล้ำกัน
ขนาดนี้...
2 ชั่วโมงต่อมา หุบเขาใหญ่โตมโหฬารก็ปรากฏตรง
หน้า
“พลังจิตวิญญาณเข้มข้นมาก!”
เมื่อเข้าไป จางเซวียนรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิด
ปกติ
พลั ง จิ ต วิ ญ ญาณภายในหุ บ เขาเข้ ม ข้ น กว่ า ที่ อื่ น
เกือบ 2 เท่า รูขุมขนทั้งหมดในร่างของเขาซึมซับเอา
พลังจิตวิญญาณเข้าไปอย่างแช่มชื่น พลังจิตวิญญาณที่
เสียดสีกับร่างของเขาทำให้รู้สึกเหมือนกับแช่อยู่ในสาย
น้ำอุ่นๆ
เมื่ออยู่ที่นี่ นักรบจะสามารถฝึกฝนวรยุทธให้สูงขึ้น
ได้อย่างแน่นอน เมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกวรยุทธที่อื่น
“ดงอสูรได้วางค่ายกลเรียกวิญญาณไว้ในหุบเขา
เพื่ อ ที่ ด อกไม้ แ ละสมุ น ไพรแห่ ง สวรรค์ จ ะเติ บ โตได้ ดี
สภาพร่างกายของอสูรก็จะพัฒนาได้ดีด้วย เพิ่มโอกาสที่
พวกมันจะได้สำเร็จวรยุทธ!” เสิ่นปี้หรูพูด
ครั้งแรกที่มาที่นี่ เธอก็อัศจรรย์ใจเหมือนกัน
ด้ ว ยค่ า ยกลที่ ก ระจายตั ว กั น อยู่ ทั่ ว หุ บ เขา และ
พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นขึ้นเป็น 2 เท่า...การจัดวาง
อย่างอลังการขนาดนี้จะต้องมีราคาเท่าไร?
มี แ ต่ อ งค์ ก รมั่ ง คั่ ง อย่ า งดงอสู ร เท่ า นั้ น ที่ จ ะใช้ เ งิ น
ก้อนใหญ่ขนาดนี้ได้!
“จริงด้วย!” จางเซวียนพยักหน้า เขาสูดหายใจเข้า
เต็มปอดและรู้สึกได้ว่าทุกอณูในร่างกายมีชีวิตชีวาขึ้นมา
วรยุทธเจ็ดขั้นแรกคือ ขั้น 1 – จวีซี, ขั้น 2 – ตัน
เถียน, ขั้น 3 – เจิ้นซี่, ขั้น 4 – ผีกู่, ขั้น 5 – ติ่งลี่, ขั้น 6-
พี่เชวี่ย และขั้น 7 - ทงฉวน
ถ้าตัด 3 ขั้นแรกออกไป ในขั้น 4 – ผีกู่ ผู้ฝึกวรยุทธ
จะต้องใช้พลังปราณเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย ในขั้น 5 -
ติ่งลี่ ผู้ฝึกวรยุทธจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากพลัง
ปราณให้มากขึ้น รวมทั้งเพิ่มพละกำลังให้ตัวเองด้วย ใน
ขั้น 6 – พี่เชวี่ย จะเริ่มมีการเปิดจุดชีพจร และในขั้น 7 –
ทงฉวน ผู้ฝึกวรยุทธจะต้องกำจัดสิ่งกีดขวางในร่างกาย
เพื่อให้พลังปราณไหลเวียนได้ทั่วถึง
วรยุทธทั้ง 7 ขั้นนี้ไม่ต้องการพลังจิตวิญญาณมาก
นัก ดังนั้น จึงมีนักรบขั้นทงฉวนอยู่มากมายในสถานที่
อย่างอาณาจักรเทียนเซวียนที่มีพลังจิตวิญญาณริบร่อย
เต็มที
แต่หากมีพลังจิตวิญญาณไม่เพียงพอ การจะสำเร็จ
วรยุทธขั้นจงซรือก็เป็นเรื่องยาก
นักรบขั้นจงซรือจะต้องมีพละกำลังมหาศาลอยู่ใน
ตัว ถ้าปราศจากการสั่งสมพลังจิตวิญญาณที่มากพอ ก็
ไม่มีทางที่จะสำเร็จขั้นนั้นได้
ดูอย่างจางเซวียน ขนาดเขามีเคล็ดวิชาเทียบฟ้า ก็
ยังยากที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปได้ถ้าไม่มีพลังจิตวิญญาณ
มากพอ
ถ้ า วรยุ ท ธขั้ น จงซรื อ เป็ น มหาสมุ ท ร พลั ง จิ ต
วิญญาณของอาณาจักรเทียนเซวียนก็เหมือนกับน้ำที่ไหล
ที ล ะหยด ด้ ว ยอั ต รานี้ จะต้ อ งใช้ เ วลาสั่ ง สมหลาย
ทศวรรษกว่ า จะเติ ม ให้ เ ต็ ม มหาสมุ ท รได้ แต่ ถ้ า เขา
สามารถใช้สายน้ำจากแม่น้ำแทน ก็จะย่นระยะเวลาได้
มาก
แม้พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในอากาศจะเข้มข้นกว่าที่
อื่นแค่สองเท่า แต่ความเร็วในวรยุทธของเขากลับพุ่งขึ้น
ไปหลายเท่าทีเดียว
เมื่อมองไปรอบๆ ต้นไม้ที่นี่เขียวขจีและแน่นขนัด
กว่าที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด นกขมิ้นและอสูรบินกันให้ว่อน
ล้วนมีรูปร่างใหญ่โตกว่าพวกที่ตระเวนอยู่ด้านนอก
ถ้าใช้ตรรกะจากชีวิตเก่าของเขา ดงอสูรก็เหมือน
กับสนามบิน มันถูกสร้างขึ้นห่างไกลจากเมือง ทุกคนที่รีบ
ร้อนและต้องการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลก็จะต้องมาที่
นี่!
จางเซวียนมองอสูรมากมายที่บินว่อนอยู่ในอากาศ
และเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่า ทำไมดงอสูรจึงไม่อยู่ใน
เมืองหลวง แต่เมื่อเห็นอสูรเหล่านี้ก็เข้าใจเหตุผลทันที
พวกมันล้วนแต่มีขนาดมหึมาและดุร้าย ถ้าต้องไป
อยู่ในเมืองหลวง ประชากรที่แออัดคงจะต้องทำให้เกิด
การกระทบกระทั่งขึ้นมา ฮ่องเต้คงไม่อยากให้เกิดเรื่อง
แบบนี้แน่
“ดงอสูรอยู่ในนั้น เราเข้าไปกันเถอะ!”
เมื่อเดินลงมาตามทางเดินที่นำไปสู่หุบเขา ทั้งกลุ่มก็
เร่งฝีเท้า
ไม่นาน เมืองๆหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า
มีสิ่งปลูกสร้างงดงามทุกชนิด ฝูงชนคลาคล่ำอยู่บน
ถนน แม้ความอึกทึกครึกโครมของเมืองจะยังไม่เท่าเมือง
หลวงของอาณาจักรเทียนเซวียน แต่ก็เหนือกว่าตลาดขั้น
2
“นี่คือ...ดงอสูร?” จางเซวียนตาปริบๆ
เขาคิดว่าดงอสูรจะเหมือนกับสมาคมนักปรุงยา คือ
เป็นตึกขนาดกลางตั้งอยู่ใจกลางป่า แยกตัวจากโลก
ภายนอก ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเมืองงดงามรุ่งเรืองแบบนี้
“ตอนแรกเริ่ม มันเป็นแค่ห้องโถงห้องหนึ่ง แต่เมื่อ
เวลาผ่านไป พ่อค้าและบรรดาลูกหลานของนักฝึกอสูรก็
เริ่มตั้งรกรากที่นี่ สุดท้ายก็กลายเป็นเมืองอย่างที่เห็น”
หยวิ๋นเทาอธิบาย
จางเซวียนพยักหน้า
เทื อ กเขาเชี ย นหลั ว ทอดตั ว ยาวครอบคลุ ม หลาย
อาณาจักร มีผู้คนมากมายที่ต้องการซื้อหาอสูรเพื่อไป
อารักขาตระกูลของตัวเอง หรือใช้เป็นสัตว์ปีกพาหนะ
และด้ ว ยพลั ง จิ ต วิ ญ ญาณที่ เ ข้ ม ข้ น กว่ า ที่ อื่ น จึ ง เป็ น
ธรรมดาที่ดินแดนแห่งนี้จะเติบโต
ก็ เ ห มื อ น กั บ ส น า ม บิ น เ มื่ อ เ ว ล า ผ่ า น ไ ป
อุตสาหกรรมทุกชนิดก็เกิดขึ้นโดยรอบ ดึงดูดให้ผู้คนนับ
ไม่ถ้วนมาตั้งรกรากที่นี่
ไม่ ส งสั ย แล้ ว ว่ า ทำไมเสิ่ น ปี้ ห รู จึ ง มองเขาอย่ า ง
แปลกๆตอนที่ เ ขาถามว่ า ผู้ ค นที่ อ ยู่ ใ นดงอสู ร เอา
ทรัพยากรมาจากไหน
“เข้าไปในดงอสูรกันเถอะ!”
ตั้งแต่เข้ามาในเมือง จางเซวียนก็เหลียวซ้ายแล
ขวาไปตลอด แต่ก็ไม่พบสิ่งน่าสนใจ เขาจึงเรียกทุกคนให้
เดินเข้าไปในตึกสูงที่สุดซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง
ด้วยความสูงเสียดเมฆถึง 100 เมตร ดงอสูรคือตึก
สูงที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มันถูกทาสีไว้อย่างโดดเด่น มีรูป
ปั้นอสูรขนาดมหึมา 2 ตัวตั้งไว้ที่ทางเข้า พวกมันดู
ร้ายกาจและน่ายำเกรง เพิ่มความอลังการให้กับตึกมาก
ขึ้นอีก
ตรงหน้าพวกเขาคือป้ายยาว 12 เมตร ที่มีคำว่า
“ดงอสูร” เขียนไว้ด้วยสีแดง บอกได้ยากว่าใช้อะไรเขียน
แต่ดูน่าสะพรึงอยู่ไม่น้อย
“มันคือเลือดของอสูรขั้นสูง!”
หยวิ๋นเทาอธิบาย “อสูรบางชนิดเกิดมาแข็งแกร่ง
มาก ขนาดตายไปแล้วฤทธิ์เดชก็ยังอยู่ การใช้เลือดของ
มันเขียนตัวอักษรจะยังคงสร้างความพรั่นพรึงให้กับผู้
พบเห็น ทำให้พวกเขากลัวเกรงเกินกว่าจะสร้างปัญหาให้
กับที่นั่น”
“อือ!” จางเซวียนพยักหน้า
ต้ อ งบอกว่ า ดงอสู ร นั้ น มี ข นาดมหึ ม าและโอ่ อ่ า
อลังการจริงๆ ขนาดตัวเขายังอดพรั่นพรึงไม่ได้
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไป ก็เหมือนกับสมาคมนัก
ปรุงยา มีห้องนั่งเล่นปรากฏอยู่ตรงหน้า ฝูงชนเดินผ่านไป
มากันคลาคล่ำ ผู้เชี่ยวชาญอยู่กันเต็มไปหมด ชุลมุนไป
ทั่วบริเวณนั้น
“นั่น...พี่เชวี่ยขั้นสูงสุด? ทงฉวนขั้นกลาง? ทงฉวน
ขั้นสูงสุด...ก็มี?”
จางเซวียนมองไปรอบๆอย่างอัศจรรย์ใจ
ที่อาณาจักรเทียนเซวียน นักรบขั้นทงฉวนมีอยู่น้อย
มาก และได้รับการยกย่องอย่างสูง แต่ที่นี่ พวกเขาอยู่กัน
ทุกหนแห่งเหมือนกับกะหล่ำปลีในตลาด อันที่จริงขนาดผู้
อาวุ โ สที่ ดู ก ะโหลกกะลาก็ น่ า จะเป็ น นั ก รบทงฉวนขั้ น
สูงสุด
ส่ ว นนั ก รบขั้ น พี่ เ ชวี่ ย ที่ มี คุ ณ สมบั ติ เ พี ย งพอจะได้
เป็นหัวหน้าตระกูล หากมาอยู่ที่นี่ก็จะกลายเป็นกระจอก
ไป แค่กวาดสายตาไปรอบๆ จางเซวียนก็เห็นพวกเขาอยู่
เป็นกลุ่มใหญ่
ตอนที่ 241 จับนก

“เลิกเถียงกันเสียที ตั๋วสิบใบไปเมืองเสอเป่ยของ
อาณาจักรฮ่านอู่ขายหมดแล้ว ถ้าอยากจะไปที่นั่น ก็มา
ใหม่พรุ่งนี้!”
“เรายังมีที่ว่างสามที่ไปเมืองเจอเป่ยของอาณาจักร
อันหยวน มาให้ไว ก่อนที่จะไม่ทัน!”
“มีลูกสุนัขจิ้งจอกหางแดงขั้นทงฉวนขายที่นี่ ใคร
สนใจ อย่ารอช้า...”
.....
มีความอื้ออึงทุกรูปแบบจากฝูงชนตรงหน้า
“เทื อ กเขาเชี ย นหลั ว ทอดยาวครอบคลุ ม สิ บ
อาณาจักร อาณาจักรเป๋ยอู๋ อาณาจักรฮ่านอู่ อาณาจักร
เทียนเซวียน...ผู้คนจากทุกอาณาจักรเดินทางมาที่นี่เพื่อ
ค้าขายแลกเปลี่ยน ดงอสูรมีผู้คนจำนวนมากแวะเวียนมา
ทุกวัน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเดินทางไกล แต่ด้วยจำนวน
อสูรที่มีจำกัดเมื่อเทียบกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่ต้องการเดิน
ทาง จึงไม่อาจรองรับความต้องการได้ ทุกคนจึงต้องรอ
คิว บางคนรอตั้งสองสามอาทิตย์ก็ยังไม่ได้ไป!”
หยวิ๋นเทามองความพลุกพล่านพลางอธิบาย
“สองสามอาทิตย์ก็ยังไม่ได้ไป?” จางเซวียนชะงัก
เขาคิดไว้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่ดงอสูรจะจัดหาอสูร
ได้เพียงพอกับความต้องการ แต่นึกไม่ถึงว่าจะต้องรอคิว
กันขนาดนี้
ถ้าต้องรอสองสามอาทิตย์ ขี่เจ้าเสือดำเกราะทองไป
อาณาจักรเทียนหวู่น่าจะเร็วกว่า
“ผู้อาวุโส อย่ากังวลไปเลย!” เห็นสีหน้าของเขา
หยวิ๋นเทาหัวเราะหึๆ “พอผมสอบเสร็จ และได้เป็นนัก
ฝึกอสูรอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ผมก็จะสามารถเรียก
สัตว์ปีกพาหนะมาให้ผู้อาวุโสใช้งานได้ทันที ไม่ต้องรอคิว
เหมือนคนอื่นหรอก!”
ได้ฟังแบบนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทุกสาขาอาชีพก็มีสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกของตัว
เองทั้งนั้น
อย่างนักปรุงยาก็สามารถซื้อยาได้ก่อน และด้วย
ราคาที่ถูกกว่า
อาชีพนักฝึกอสูรก็ไม่ต่างกัน
คนอื่นต้องรอคิวและภาวนาขอให้ได้ไป แต่สำหรับ
นักฝึกอสูรอย่างเป็นทางการนั้นต่างออกไป พวกเขาได้รับ
อนุญาตให้ลัดคิวและเข้าถึงตัวอสูรได้โดยตรง ประหยัด
เวลาไปมาก
“ถ้าอย่างนั้น...คุณไปสอบเถอะ!”
ได้เห็นคิวยาวยืดกับตาตัวเอง จางเซวียนขนลุก
เขาหันขวับไปหาหยวิ๋นเทา
“อ๋อ สนามสอบอยู่ทางโน้น!” หยวิ๋นเทานำทางไป
ตลอดทางที่มา ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาต้องหลีกทาง
ให้ในทันทีเมื่อเห็นเจ้าเสือดำเกราะทองร่างสูงสง่าและ
ดุร้ายของจางเซวียน
แต่รังสีคมปลาบที่มันแผ่ออกมาหลังจากสำเร็จวร
ยุทธขั้นทงฉวนได้จางหายไปแล้ว ในตอนนี้ นอกจาก
ขนาดมหึมาของมัน ก็ไม่มีอะไรที่ต่างไปจากแต่ก่อน หาก
มองเผินๆ คนอื่นก็คงจะคิดว่ามันมีวรยุทธแค่ขั้นพี่เชวี่ย
แต่ถึงจะเป็นแค่อสูรขั้นพี่เชวี่ย ก็ไม่มีใครอยากข้อง
แวะด้วย ไม่ใช่เพราะพละกำลังของมัน แต่เป็นเพราะ
พวกเขาอยู่ในดงอสูร คนที่สามารถพาอสูรตัวมหึมาไป
ไหนมาไหนด้วยจะต้องเป็นคนวงใน อาจจะเป็นผู้ช่วย
หรือตัวนักฝึกอสูรเองก็ได้ และทั้งสองตำแหน่งนี้ก็ไม่ใช่
คนที่ใครควรจะไปหาเรื่อง
ดังนั้นพวกเขาจึงไปถึงดงอสูรได้อย่างรวดเร็วโดย
ไม่มีใครมาเกะกะ ไม่นานก็มาถึงห้องขนาดใหญ่ที่มีตัว
หนังสือ ‘การทดสอบเป็นนักฝึกอสูร’ แขวนไว้ข้างนอก
ถ้าจะเทียบกับห้องสอบของนักปรุงยา ห้องนี้กว้าง
ขวางกว่ามาก
“ยังพอมีเวลาก่อนที่การสอบจะเสร็จสิ้น ไปหาที่นั่ง
กันก่อนเถอะ”
แค่ คิ ด ว่ า เขากำลั ง จะได้ เ ป็ น นั ก ฝึ ก อสู ร ในเร็ ว ๆนี้
นั ย น์ ต าของหยวิ๋ น เทาก็ เ ป็ น ประกายด้ ว ยความตื่ น เต้ น
เขายิ้มอย่างชื่นมื่นและเดินเข้าไปในห้อง
“นั่นหยวิ๋นเทาหรือเปล่า? ทำไมกลับมาเร็วนัก?
ไม่ใช่เพราะนายถอดใจแล้วก็เลยกลับมาคนเดียวนะ?”
เสียงเยาะเย้ยเสียงหนึ่งดังขึ้นทันที
เขาหั น ขวั บ ไปมอง ก็ พ บชายหนุ่ ม คนหนึ่ ง ที่
ห้อมล้อมด้วยเหล่าบริวารกับพญาเสือร้ายขนาดมหึมาตัว
หนึ่ง
พญาเสือร้ายตัวนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเสือดำเกราะ
ทองมาก และรังสีที่มันแผ่ออกมาก็น่าพรั่นพรึงกว่า ดู
ราวกับว่ามันจะฉีกกระชากสวรรค์ออกเป็นชิ้นๆได้
แต่ระดับวรยุทธของมันอยู่แค่พี่เชวี่ยขั้นต้นเท่านั้น
“นี่คือองค์ชายที่ 6 แห่งอาณาจักรเป่ยเฉิน, จูจิ้น
หวง เขาหาเรื่ององค์ชายของเราเสมอ...”
เห็นจางเซวียนงง บริวารคนหนึ่งของหยวิ๋นเทาจึง
กระซิบบอก
“อาณาจักรเป่ยเฉิน?”
แผนที่และหนังสือเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ปรากฏขึ้นใน
หัวของจางเซวียน
อาณาจักรเป่ยเฉินเป็นอาณาจักรขั้น 2 เหมือนกับ
อาณาจักรฮ่านอู่ ทั้งสองอาณาจักรเป็นเพื่อนบ้านกัน
และมีข้อขัดแย้งกันมาตลอด จะบอกว่าเป็นคู่แข่งก็ว่าได้
เป็นธรรมดาที่เชื้อพระวงศ์ของแต่ละอาณาจักรจะมองอีก
ฝ่ายอย่างเป็นปฏิปักษ์
“อันที่จริง ที่ทั้งคู่ไม่ชอบหน้ากันน่ะ ไม่ใช่...เพราะ
ภูมิหลังของแต่ละอาณาจักรหรอก แต่...”
บริวารของหยวิ๋นเทายังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงฝีเท้า
ดังขึ้น คนอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“จิ้นหวง พูดแบบนั้นได้อย่างไรกัน? นายไม่เห็นเจ้า
เสือดำเกราะทองที่ตามหลังเขามาหรือ? ตัวมหึมาขนาด
นั้นน่ะ เขาต้องสอบผ่านแน่!” ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อคลุมสี
ขาวหัวเราะเบาๆ แต่แล้วก็ขมวดคิ้วและพูดต่อ “ว่า
แต่...ทำไมเจ้าเสือดำเกราะทองถึงดูไม่สนิทชิดเชื้อกับเขา
เลยล่ะ? หรือว่ามันไม่ใช่อสูรของเขา!”
ฟังแล้วก็เหมือนกับเขาจะมาช่วยกู้หน้าหยวิ๋นเทา
จากสถานการณ์กระอักกระอ่วน แต่ริมฝีปากของเขา
เหยียดขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“นี่คือองค์ชายที่ 9 ของอาณาจักรเฉียนหยวน, โจว
ชวน เขาก็ไม่ญาติดีกับองค์ชายของเราเหมือนกัน...”
บริวารของหยวิ๋นเทาอธิบายต่อ
อาณาจักรเฉียนหยวนเป็นอาณาจักรขั้น 2 เหมือน
กัน และอยู่ไม่ไกลจากดงอสูร มันอยู่อีกฟากหนึ่งของ
เทือกเขาเชียนหลัว คนละฝั่งกับอาณาจักรเทียนเซวียน
ใกล้กับอาณาจักรเทียนหวู่
“อ้อ ฉันก็เพิ่งรู้ตอนนายพูดขึ้นมานี่แหละ!”
จูจิ้นหวงมองดูเสือดำเกราะทองที่ดูจะสนิทชิดเชื้อ
กับชายหนุ่มนิรนามอีกคนแทนที่จะเป็นหยวิ๋นเทา เขาหัว
เราะหึๆ “หยวิ๋นเทา คงไม่ใช่ว่านายจับอสูรไม่สำเร็จ ก็
เลยยืมของคนอื่นมานะ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันขอแนะนำให้
นายระวังหน่อย ถ้าดงอสูรรู้เรื่องนี้ขึ้นมา นายจะถูกห้าม
ไม่ให้เข้าสอบตลอดชีวิต!”
ดงอสูรมีกฎเกณฑ์ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน ใครก็ตามที่
นำอสูรของคนอื่นมาใช้ในการสอบ หากตรวจพบ ผู้นั้น
จะถูกห้ามไม่ให้เข้าสอบเป็นนักฝึกอสูรตลอดชีวิต พูดอีก
อย่ า งก็ คื อ เขาจะไม่ มี วั น ได้ เ ป็ น นั ก ฝึ ก อสู ร อย่ า งเป็ น
ทางการแน่นอน
ในฐานะผู้ช่วยนักฝึกอสูร โจวชวนและจูจิ้นหวงมี
ทักษะการหยั่งรู้ที่เฉียบแหลมเช่นกัน มองปราดเดียวพวก
เขาก็บอกได้ว่าเสือดำเกราะทองตัวนี้เป็นของจางเซวียน
พูดให้ชัดก็คือไม่ใช่อสูรที่หยวิ๋นเทาเป็นผู้ฝึก
“ฮ่าฮ่า สอบตกเมื่อไหร่ ฉันจะรอดูว่าเขาจะสู้หน้า
โม่หยู่คุณเสิ่นอย่างไร!” โจวชวนพูด
“สู้หน้าหรือ? เขาควรจะหนีไปให้ไกลที่สุดมากกว่า
โม่หยู่คุณเสิ่นปราดเปรื่องสุดๆขนาดนั้น คนอย่างเขาไม่
คู่ควรกับเธอหรอก!” จูจิ้นหวงคำรามอย่างเลือดเย็น
“ฉันนะหรือไม่คู่ควร? พวกนายก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉัน
เลย หยุดทำตัวเองขายหน้าสักทีเถอะ ทำไมไม่สอบให้
ผ่านก่อนแล้วค่อยมาพล่าม?” เห็นทั้งคู่รวมหัวกันหาเรื่อง
เขา หยวิ๋นเทาสะบัดแขนเสื้ออย่างหงุดหงิด
“เอาอย่างนั้นเลย? มั่นอกมั่นใจเสียจริง เราจะดูว่า
เดี๋ยวนายจะร้องไห้ขี้มูกโป่งแค่ไหน ไม่ใช่แค่สอบผ่านนะ
ฉันจะรอดูว่านายได้เกรดอะไร!”
โจวชวนพูด
“ห่วงตัวเองเถอะ! อย่างนายน่ะ เกรด 3 ก็อาจจะไม่
ได้!” หยวิ๋นเทาพูด
“นาย...” โจวชวนหรี่ตา “หวังว่าสอบเสร็จแล้ว
นายจะยังมั่นใจแบบนี้อยู่นะ!”
“เออ!”
ทั้งสามจ้องหน้ากันอย่างเกลียดชัง ไม่มีใครยอมใคร
เมื่อฟังแล้วจางเซวียนก็เข้าใจสถานการณ์ทันที ที่
แข่งกันนี่ไม่ได้เกี่ยวกับอาณาจักรเลย แต่เป็นเพราะสุภาพ
สตรีที่ชื่อโม่หยู่
“โม่หยู่คุณเสิ่นเป็นอัจฉริยะผู้โด่งดังในหมู่ผู้ช่วยนัก
ฝึกอสูร เธอกำลังจะเข้าสอบเป็นนักฝึกอสูรพร้อมกับองค์
ชายพวกนี้ ด้วยความงดงามและความเก่งกาจ บรรดา
องค์ชายจากหลายอาณาจักรต่างลุ่มหลงในตัวเธอ พวก
เขาชิ ง ดี ชิ ง เด่ น กั น อย่ า งลั บ ๆอยู่ เ สมอ เพื่ อ หวั ง ทำ
คะแนน...”
บริวารคนหนึ่งของหยวิ๋นเท่าใช้พลังปราณส่งโทร
จิตหาจางเซวียน
เมื่อรู้เหตุผล จางเซวียนก็ได้แต่ส่ายหน้า
เป็นถึงองค์ชาย ถ้าสู้กันเพื่ออาณาจักรก็ว่าไปอย่าง
แต่นี่เพราะผู้หญิงคนเดียว
“โม่หยู่คุณเสิ่นมาแล้ว!”
“เร็วเข้า ดูเจ้าอสูรที่ตามเธอมาสิ...”
“เหลือเชื่อจริงๆ!”
......
ทั้งสามคนจ้องเป็นตาเดียวเมื่อเกิดความชุลมุนขึ้น
และร่างอ้อนแอ้นร่างหนึ่งนวยนาดเข้ามา
ที่ตามหลังเธอคือนกอินทรีร่างสูงตระหง่าน ด้วย
แผ่นหลังที่เป็นเหล็กและปีกสีทอง ดวงตาของมันคมกริบ
ราวกับสายฟ้า ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นมันต้องระวังระไวขึ้น
มาทันที
“อสูรขั้นทงฉวน?” จางเซวียนมีสีหน้าเคร่งเครียด
นกอินทรีตัวนี้สำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุด มัน
แข็งแกร่งกว่าเสือดำเกราะทองของเขามาก
จางเซวียนรู้สึกได้รางๆถึงลักษณะคล้ายพายุที่อยู่
ภายในรังสีของมัน เป็นไปได้ว่านกอินทรีตัวนี้จะมีความ
เร็วพอๆกับเจ้านกประหลาดที่เขาเพิ่งจับได้
“โม่หยู่คุณเสิ่น!”
เมื่อเห็นร่างนั้น ทั้งหยวิ๋นเทา จูจิ้นหวง และโจว
ชวนต่างก็ตาโต ทุกคนปรี่เข้าไปต้อนรับเธอ
“ตกลงแม่สาวคนนี้ก็คือโม่หยู่?”
เมื่อตรวจสอบนกอินทรีแล้ว จางเซวียนก็หันไป
จับตามองร่างบอบบางที่อยู่ตรงหน้า
เธอน่าจะมีอายุราว 23 หรือ 24 ปี สวมเสื้อคลุมสี
เขียวอ่อนที่ขับเรือนร่างอ้อนแอ้นของเธอให้โดดเด่นอย่าง
สมบูรณ์แบบ ผมมันขลับทิ้งตัวยาวถึงเอวบาง ผิวขาว
ผ่องเรียบเนียนทำให้เธองดงามอย่างหาตัวจับยาก
ในเรื่องความงาม โม่หยู่ไม่ได้เป็นรองเสิ่นปี้หรูเลย
และไม่ห่างจากจ้าวหย่าที่ปลุกสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์
ขึ้นมาได้แล้วสิบเปอร์เซ็นต์
ถึงจะงดงาม แต่มีท่าทีเย็นชามาก ไม่ว่าจะเป็นหย
วิ๋นเทาหรือคนอื่นๆ เธอก็เมินพวกเขาหมด
“สมกั บ เป็ น โม่ ห ยู่ คุ ณ เสิ่ น คุ ณ นี่ เ ก่ ง เหลื อ เชื่ อ
จริงๆ!” จูจิ้นหวงเดินยิ้มร่าเข้าไปหาเธอ “นกอินทรีสี
เขียวอ่อนขั้นทงฉวน คงมีแต่คุณคนเดียวที่จับมันได้ ผม
ขอชื่นชม!”
“ก็แน่ล่ะ ไม่ใช่แค่นกอินทรีสีเขียวอ่อนนะ อสูรตัว
ไหนก็พร้อมจะยอมจำนนให้โม่หยู่คุณเสิ่นทั้งนั้น!”
โจวชวนหัวเราะหึๆ
ทั้ ง คู่ วุ่ น วายกั บ การเยิ น ยอ แต่ โ ม่ ห ยู่ คุ ณ เสิ่ น แค่
ชำเลืองมองพวกเขาอย่างเฉยเมย เมื่อเห็นเสิ่นปี้หรู เธอก็
ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“เธอมาเข้าสอบเป็นนักฝึกอสูรหรือ? แล้วฮั่นฉงมา
ด้วยหรือเปล่า?”
น้ำเสียงของเธอกระตือรือร้น แต่ก็ฟังดูแปลกแยก
และห่างเหิน
“ไม่ได้มาหรอก ฉันมากับเพื่อนอีกคน” เสิ่นปี้หรูชี้
ไปที่จางเซวียน
โม่หยู่คุณเสิ่นมองจางเซวียนก่อนจะละสายตาไป
ราวกับว่าการมีอยู่ของเขาไม่มีความหมายอะไรเลย เธอ
เดินเข้าห้องโดยไม่พูดสักคำ
ถึงจะถูกเชิดใส่ แต่จูจิ้นหวงกับคนอื่นๆก็ดูไม่เป็น
ทุกข์เป็นร้อน พวกเขาตามเธอเข้าไปติดๆ
“คุณสองคนรู้จักกันหรือ?” จางเซวียนไม่ใส่ใจการ
เชิดใส่ของโม่หยู่คุณเสิ่น เขามองอาจารย์เสิ่นอย่างสงสัย
“ฉันพบเธอตอนที่มากับฮั่นฉงเมื่อคราวก่อน” เสิ่น
ปี้หรูพยักหน้า
“เธอเป็ น ผู้ ช่ ว ยนั ก ฝึ ก อสู ร ที่ เ ก่ ง กาจจริ ง ๆหรื อ ?”
จางเซวียนถาม
ต่ อ ให้ ส วยหรื อ เก่ ง กาจเรื่ อ งการฝึ ก สั ต ว์ อ ย่ า งไร
บรรดาองค์ ช ายของสามอาณาจั ก รใหญ่ ก็ ไ ม่ น่ า จะ
พะเน้าพะนอเธอขนาดนั้น
ทั้งอาณาจักรเป่ยเฉิน เฉียนหยวน หรือฮ่านอู่ ล้วน
แต่ เ ป็ น อาณาจั ก รขั้ น 2, จะต้ อ งมี นั ก ฝึ ก อสู ร อยู่ ใ น
อาณาจักรมากมาย ในเมื่อเธอเป็นแค่ผู้ช่วย ก็ไม่มีเหตุผล
ที่บรรดาองค์ชายจะต้องเอาอกเอาใจกันขนาดนั้น
ในอาณาจักรขั้น 2 ขนาดผู้ช่วยปรมาจารย์ยังไม่มี
ความสำคัญเลย
ยิ่ ง เป็ น อาณาจั ก รขั้ น สู ง ขึ้ น เท่ า ไร ราชวงศ์ ก็ มี
อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากขึ้นเท่านั้น ต่อให้เป็นสมาชิก
ขั้นสูงของสมาคม ก็ยังถูกเชื้อพระวงศ์เมินได้ง่ายๆ มีแต่
อาณาจั ก รเล็ ก ๆอย่ า งอาณาจั ก รเที ย นเซวี ย นเท่ า นั้ น ที่
ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อผู้ช่วยปรมาจารย์ด้วยความเคารพสูงสุด
“อันที่จริงเธอไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยนักฝึกอสูรหรอก
ฉันเคยได้ยินฮั่นฉงพูดครั้งหนึ่ง เธอยังเป็นองค์หญิงที่ 3
แห่งอาณาจักรเทียนหวู่ด้วย!” เสิ่นปี้หรูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อน
จะตอบออกมา
“องค์หญิงที่ 3 แห่งอาณาจักรเทียนหวู่?” ในที่สุด
จางเซวียนก็เข้าใจ
แบบนี้ค่อยเข้าทางหน่อย
อาณาจั ก รเที ย นหวู่ เ ป็ น อาณาจั ก รขั้ น 1 ที่ กุ ม
อำนาจหลักของทั้ง 12 อาณาจักร
ใ น ฐ า น ะ อ ง ค์ ห ญิ ง แ ห่ ง อ า ณ า จั ก ร เ ที ย น ห วู่
สถานภาพของโม่ ห ยู่ ย่ อ มสู ง ส่ ง กว่ า เชื้ อ พระวงศ์ ข อง
อาณาจักรที่เล็กกว่า ถ้าพวกเขาได้แต่งงานกับเธอ ใน
ฐานะคู่ครองขององค์ชาย พวกเขาก็จะได้ฐานอำนาจ
หนุนหลังในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ในอาณาจักรของ
ตัวเอง
ดูเหมือนทั้งจูจิ้นหวง โจวชวน และหยวิ๋นเทาจะคิด
แบบเดียวกัน
แต่การที่เธอเป็นถึงองค์หญิงไม่ได้ทำให้จางเซวียนรู้
สึกอะไรเลย
ในความคิดของเขา ทุกคนควรยืนหยัดด้วยตัวเอง
อำนาจที่ได้มาจากผู้อื่นล้วนแต่เป็นภาพมายา
ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้อง มีแค่สองสามคนอยู่ในนั้น
ตรงข้ามกับความวุ่นวายข้างนอกอย่างสิ้นเชิง
“นายว่าใครจะเป็นคนให้คะแนนพวกเรา?”
“คงจะเป็นหัวหน้า! ในฐานะนักฝึกอสูรระดับ 2
ดาว เขาเก่งกาจที่สุดแล้วในดงอสูรแห่งนี้ เขาน่าจะเป็น
คนให้คะแนน”
“จริงด้วย ฉันได้ยินมาว่าหัวหน้าให้คะแนนแบบ
เคี่ยวมาก จะลำบากหรือเปล่านะ”
“แต่องค์ชายของพวกเราก็จับอสูรได้แล้ว แถมผ่าน
เงื่อนไขอื่นๆแล้วด้วย คงไม่มีปัญหาในการเลื่อนขั้นเป็น
นักฝึกอสูรระดับ 1 ดาวหรอก”
.....
เมื่ อ เดิ น เข้ า มาในห้ อ ง จางเซวี ย นก็ ไ ด้ ยิ น เสี ย ง
ซุบซิบออกความเห็นกันอย่างตื่นเต้น
องค์ชายทั้งสามพาบริวารมาด้วยจำนวนหนึ่ง ใน
ขณะที่โม่หยู่คุณเสิ่นมาคนเดียว รังสีเย็นยะเยือกที่เธอแผ่
ออกมาทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“ฟังจากน้ำเสียงของเธอเมื่อครู่ เธอกับอาจารย์ฮั่น
มีเรื่องกันหรือเปล่า?”
เห็นองค์หญิงที่ 3 แห่งอาณาจักรเทียนหวู่ไม่พา
บริวารมา แถมยังมีทีท่าเย็นชาขนาดนั้น จางเซวียน
นึกถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับเสิ่นปี้หรูขึ้นมาได้ จึงเอ่ย
ถาม
“จะว่ามีเรื่องกันก็ไม่เชิงหรอก ในฐานะที่เป็นผู้ช่วย
นักฝึกอสูร อาจารย์ฮั่นต้องพักอยู่ที่ดงอสูรนี่ชั่วระยะเวลา
หนึ่ง ด้วยความที่ทั้งคู่เป็นคนสวย ก็เลยเปรียบเทียบ
กระทบกระทั่งกันอยู่บ่อยๆ ทำไปทำมาก็กลายเป็นคู่แข่ง
กันไป แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่นึกเลยว่าเธอจะเข้าสอบ
เป็นนักฝึกอสูรได้รวดเร็วขนาดนี้ เธอปราดเปรื่องจริงๆ”
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นปี้หรูประหลาดใจ
“ปราดเปรื่อง?” จางเซวียนงง
แค่เข้าทดสอบเป็นนักฝึกอสูร ก็เรียกว่าปราดเปรื่อง
แล้วหรือ?
“คุณคงไม่รู้สินะ องค์หญิงโม่หยู่เพิ่งเรียนการฝึก
อสูรได้แค่ปีเดียวเท่านั้น” เสิ่นปี้หรูพูด
“ปีเดียว? ถ้าอย่างนั้นเธอก็ปราดเปรื่องจริงๆ!” จาง
เซวียนพยักหน้า
ถึงจางเซวียนจะไม่เข้าใจเรื่องการฝึกอสูรมากนัก
แต่เขาก็เป็นนักปรุงยา ในเมื่อทั้งสองอาชีพจัดอยู่ในเก้า
สถานภาพระดับบนเหมือนกัน การฝึกอสูรก็น่าจะเป็น
อาชีพที่ยากอีกอาชีพหนึ่ง
การได้เป็นผู้ช่วย แถมยังได้เข้าสอบเป็นนักฝึกอสูร
ทั้งที่เพิ่งเรียนได้แค่ปีเดียว ก็จัดว่าเธอเป็นอัจฉริยะที่น่า
เกรงขามคนหนึ่ง
“ที่สำคัญ เธอเป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาวด้วยนะ
และคงจะได้เป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาวเร็วๆนี้! เท่านั้น
ยังไม่พอ ยังเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ด้วย ว่ากันว่าเหตุที่เธอ
มาเรียนการฝึกอสูรก็เพื่อฝึกฝนจิตใจให้มีความอดทนอด
กลั้น ถ้าสอบผ่านเมื่อไหร่ เธอก็จะไปเข้าทดสอบเป็น
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว ก่อนจะกลับอาณาจักร”
เสิ่นปี้หรูพูด
“นักปรุงยาระดับ 1 ดาว? ผู้ช่วยปรมาจารย์?”
จางเซวียนผงะ
ถึงเธอจะมีสถานภาพเหมือนเขา แต่จางเซวียนก็รู้
ว่าฝ่ายนั้นปราดเปรื่องกว่าเขามาก
จางเซวียนได้เป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาวก็เพราะ
โชคช่วย แถมยังต้องพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้า ด้วยทักษะ
การหลอมยาที่เขามีอยู่ตอนนี้ ก็ทำได้แค่ผสมตัวยาง่ายๆ
เท่านั้น ยังห่างไกลจากการหลอมยาเม็ดอยู่มาก
การใช้ความสามารถของตัวเองก้าวขึ้นเป็นนักปรุง
ยาระดับ 1 ดาวด้วยอายุเพียงเท่านี้ แถมยังเป็นผู้ช่วย
ปรมาจารย์อีก ไม่แปลกใจเลยที่ใครต่อใครยกให้เธอเป็น
อัจฉริยะ เธอคู่ควรกับคำนั้นจริงๆ
ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“เงียบหน่อย วันนี้ผมเป็นคนให้คะแนนพวกคุณ!”
เมื่อเห็นผู้อาวุโส ทุกคนถึงกับอึ้ง
“นักฝึกอสูรหง? ทำไมเขาถึงมาเป็นคนให้คะแนน
ล่ะ?” หยวิ๋นเทางง
“โดยปกติ หัวหน้าดงอสูรจะเป็นคนให้คะแนน อีก
อย่าง มีกฎระบุไว้ว่าผู้ให้คะแนนจะต้องเป็นนักฝึกอสูร
ระดับ 2 ดาว ถึงนักฝึกอสูรหงจะมีตำแหน่งใหญ่ แต่เขาก็
อยู่ในระดับหนึ่งดาวขั้นสูงสุดเท่านั้น ยังมีคุณสมบัติไม่
เพียงพอจะให้คะแนนนี่?”
เห็ น ทุ ก คนมี ห น้ า ตาสงสั ย นั ก ฝึ ก อสู ร หงพู ด
“หัวหน้าดงอสูรกับผู้อาวุโสคนอื่นๆมีภารกิจที่ต้องทำ วัน
นี้ผมจึงมาให้คะแนนแทน ผมจะทำตามทุกขั้นตอนอย่าง
เคร่งครัด จะไม่มีการรับสินบนหรือใช้เล่ห์กลใดๆทั้งสิ้น
พวกคุณไม่ต้องกังวลไป อีกอย่าง ผลึกบันทึกก็มีอยู่ ตราบ
ใดที่พวกคุณทำตามเงื่อนไขได้ครบ พวกคุณก็จะสอบ
ผ่านและได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของดงอสูร”
“ได้!”
ทุกคนพยักหน้ายินยอม
ไม่ว่าจะเป็นนักปรุงยาหรือนักฝึกอสูร การทดสอบ
ทุกครั้งจะต้องใช้ผลึกบันทึก เพื่อให้พร้อมต่อการตรวจ
สอบข้อผิดพลาดหรือสิ่งผิดปกติ
ด้วยเครื่องมือนี้ ไม่มีใครกล้าเล่นตุกติก
“ทุกคนในที่นี้คือผู้ช่วยนักฝึกอสูรที่ผ่านการทดสอบ
รอบแรกแล้ ว ผมเชื่ อ ว่ า พวกคุ ณ คงรู้ เ นื้ อ หาของการ
ทดสอบรอบสองและวิธีการของมันเป็นอย่างดี แต่เพื่อ
ประโยชน์ของทุกคน ผมจะพูดอีกครั้งหนึ่ง”
นักฝึกอสูรหงมองไปรอบๆ “การทดสอบคือพวก
คุณจะต้องจับอสูรที่มีพละกำลังเหนือกว่าคุณให้ได้ แม้ว่า
แค่ฝึกมันให้เริ่มเชื่องได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ระดับของ
เกรดที่ให้ก็จะแตกต่างกันออกไป”
“ยิ่งอสูรมีวรยุทธสูงกว่าคุณมากเท่าไหร่ และยิ่งมัน
ภักดีต่อคุณมากเท่าไหร่ เกรดก็จะสูงขึ้นเท่านั้น”
“มีอยู่ทั้งหมด 3 เกรด คือเกรด 1 เกรด 2 และเกรด
3 ยิ่งได้เกรดสูงขึ้นเท่าไร ผลสอบก็จะดีขึ้นเท่านั้น ผมคิด
ว่าคงไม่มีใครสงสัยคำพูดของผมนะ ใช่ไหม?”
“ใช่!” หยวิ๋นเทากับคนอื่นๆรีบพยักหน้า
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลย คนแรก, โจวชวน!”
นักฝึกอสูรหงมองไปที่โจวชวน
“ได้!” โจวชวนก้าวออกมา
“คุณจับตัวอะไรมาได้?” นักฝึกอสูรหงถาม
“เรียนนักฝึกอสูรหง ผมจับหมาป่าเขี้ยวได้! มันเป็น
อสูรพี่เชวี่ยขั้นต้น” โจวชวนผายมือไปด้านข้าง และ
บริวารของเขาก็นำหมาป่ายาว 3 เมตรออกมา
หมาป่าขนาดมหึมาตัวนั้นมีขนสีเทา เห็นเขี้ยวคม
ในปากของมันอย่างชัดเจน แค่เห็นลักษณะของมันก็รู้
แล้วว่ามันจะฉีกทึ้งอย่างดุดันแค่ไหนขณะออกล่าเหยื่อ
“อือ!”
นักฝึกอสูรหงพยักหน้าและหยิบลูกบอลคริสตัลลูก
หนึ่งออกมา
“นี่คือคริสตัลวัดใจ ใช้วัดความจงรักภักดีของอสูร
สำหรับขั้นตอนของการฝึกให้เริ่มเชื่อง ระดับความภักดี
จะอยู่ระหว่าง 15 ถึง 30 ถ้าตัวเลขสูงกว่านั้นก็จะได้เกรด
สูงขึ้นไปด้วย”
“คริสตัลวัดใจ?”
จางเซวียนพยักหน้าเมื่อเห็นวัตถุนั้น
ในการทำแบบทดสอบความประสงค์ที่ผ่านมา ก็มี
การใช้วัตถุนี้วัดระดับความไว้ใจของหลิวหยางเหมือนกัน
ดูเหมือนวัตถุนี้จะทำได้มากกว่าวัดระดับความไว้ใจ
ของมนุษย์ มันยังวัดความภักดีของอสูรได้ด้วย
แต่ เ มื่ อ พิ จ ารณาไปก็ เ ข้ า ใจได้ เพราะในเมื่ อ มั น
สามารถสร้ า งภาพมายาเสมื อ นจริ ง ขึ้ น ในหั ว ของผู้ ที่
สัมผัสมัน ระดับความจงรักภักดีหรือความไว้ใจที่แสดง
ขึ้นมาก็น่าจะถูกต้องแม่นยำ
ก็เหมือนกับการวัดระดับความไว้ใจ โจวชวนกรีด
เลือดของเขาหยดลงไปก่อนจะเริ่มสื่อสารกับอสูรของเขา
ไม่ น าน ตั ว เลขก็ ค่ อ ยๆลอยขึ้ น มาปรากฏบน
คริสตัล--- 20!
“ระดับความภักดีพุ่งขึ้นถึง 20 ภายในไม่ถึงครึ่ง
เดือน ถือว่าคุณผ่านขั้นตอนการฝึกให้เริ่มเชื่อง ไม่เลว,
ผมให้เกรด 2!”
นักฝึกอสูรหงลูบเคราเป็นเชิงยอมรับเมื่อเห็นตัวเลข
ภายในเวลาครึ่งเดือน ทั้งจับอสูรมาฝึกให้เชื่องและ
ยกระดับความภักดีของมันให้ขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ ก็ถือว่าเขา
มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นนักฝึกอสูรระดับ 1 ดาว
“องค์ชายเจ๋งไปเลย!”
“นานแล้วนะที่ไม่มีใครในดงอสูรได้เกรด 2!”
“เห็นด้วย น่าทึ่งสุดๆ!”
เมื่อได้ฟังคะแนน ก็เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่
สำหรับการทดสอบเป็นนักฝึกอสูร เกรด 3 จัดว่า
ผ่าน ส่วนคนที่ได้เกรด 2 จะถือว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่นัก
ฝึกอสูรหน้าใหม่
“เกรด 2, ไม่เลวเลย แต่ฉันไม่ยอมแพ้นายแน่!”
ไม่คิดว่าโจวชวนจะได้คะแนนดีขนาดนั้น จูจิ้นหวง
ถึงกับอึ้งไป แต่ไม่ช้าก็ยิ้มและก้าวออกมา
ไม่นานก็รู้ผล พญาเสือร้ายของเขามีระดับความ
ภักดีอยู่ที่ 20 เขาได้เกรด 2 เหมือนกัน
“ถึงตาโม่หยู่คุณเสิ่นแล้ว!”
“โม่หยู่คุณเสิ่นจับสัตว์ปีกดุร้ายมา ซึ่งจับยากกว่า
อสูรทั่วไปมาก แถมมันยังมีวรยุทธขั้นทงฉวน เธอต้องได้
คะแนนเพิ่มแน่!”
“เห็นด้วย เธอน่าจะได้คะแนนสูงกว่าเกรด 2”
“30 ปีมาแล้วนะที่ยังไม่มีใครได้เกรด 1 ในดงอสูร
เธอคิดว่าวันนี้จะมีการทำลายสถิติไหม?”
เห็นโม่หยู่คุณเสิ่นเดินออกมา ทุกสายตาจับจ้องที่
เธอทันที
การได้เกรด 1 ในการทดสอบเป็นนักฝึกอสูร ก็
เทียบเท่ากับการหลอมยาเม็ดได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบใน
การทดสอบเป็นนักปรุงยา
นักฝึกอสูรที่ได้คะแนนระดับนั้นจะเป็นที่โด่งดังในดง
อสูร เธอจะได้ใช้ทรัพยากรทุกชนิด
คงเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับโจวชวนและจูจิ้นหวง
ที่จะได้เกรด 2 แต่โม่หยู่คุณเสิ่นมีทักษะสูงส่งกว่าพวกเขา
มาก ทุกคนเฝ้ารอดูว่าวันนี้จะมีการบันทึกประวัติศาสตร์
หน้าใหม่หรือไม่
โม่หยู่คุณเสิ่นเดินออกมาอย่างสุขุม ไม่ใส่ใจความ
ชุลมุนรอบข้าง ด้วยการร้องเรียกหนึ่งครั้ง นกอินทรีสี
เขียวอ่อนตัวมหึมาก็บินมาช้าๆ
เธอทำตามขั้นตอนเดียวกับสองคนก่อนหน้า ไม่
นานตัวเลขก็ปรากฏ
ระดับความภักดี 40!
“เกรด 1! ได้เกรด 1 จริงๆ!”
เกิดเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ทั่วทั้งห้อง
ถึงทุกคนจะเดาไว้แล้วว่าโม่หยู่คุณเสิ่นน่าจะได้เกรด
1 แต่เมื่อมาถึงเข้าจริงๆก็ยังช็อกอยู่ดี
“เอ้า หยวิ๋นเทา ตานายแล้ว พวกเราได้เกรด 2
ส่วนโม่หยู่คุณเสิ่นได้เกรด 1 ก่อนหน้านี้นายคุยโวไว้เยอะ
แยะ ฉันคิดว่านายคงไม่ได้เกรด 3 หรอกนะ เพราะถ้า
เป็นตัวฉันได้เกรด 3 ล่ะก็ ฉันคงอับอายจนไม่มีหน้าจะไป
พบผู้คนแน่!”
เมื่อเห็นว่าถึงตาหยวิ๋นเทา จูจิ้นหวงเยาะเย้ย
“ฉันว่าพี่จูยกย่องเขามากไปแล้วล่ะ จะให้เกรด 3
เลยเหรอ...แค่สอบให้ผ่านก็จะไหวหรือเปล่า!” โจวชวน
คำรามอย่างเลือดเย็น
“ก็เสือดำเกราะทองไม่ใช่ของเขา แล้วไหนอสูรที่
เขาจับได้ล่ะ?”
“นั่นสิ ไม่เห็นเขาพาอสูรมาสักตัวเลย?”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ก็คือสอบตกนะ...”
ทั้งคู่คุยกันดังลั่น ทุกคำล้วนแต่ยั่วโมโห
ขนาดโม่หยู่คุณเสิ่นยังอดขมวดคิ้วไม่ได้
“เงียบ!”
นักฝึกอสูรหงโบกมือหยุดเสียงเซ็งแซ่ๆหล่านั้น เขา
หันไปมองหยวิ๋นเทาอย่างสงสัย “คุณจับตัวอะไรมา? ใช่
เสือดำเกราะทองตัวนั้นหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่หรอก ผู้อาวุโสจางเซวียนเป็นคนจับเสือตัว
นั้น...”
หยวิ๋นเทาเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน “ผม...จับ
นก!”
(นก--ในที่นี้เป็นการเล่นคำในภาษาจีน สามารถ
แปลได้อีกอย่างว่า ‘ถึงอย่างไรก็ได้จับสักอย่างละน่ะ’ มัน
เป็นการตอบแบบบอกปัดคำถามของอีกฝ่ายหนึ่ง)
ตอนที่ 242 สอบตก

จับนก?
เมื่อได้ยินคำนั้น ความอื้ออึงเซ็งแซ่ในห้องก็เงียบลง
ทันใด
ทุกคนอ้าปากค้างและหันไปมองหยวิ๋นเทา
นี่คุณกำลังจะเยาะหยันใครแถวนี้ หรือว่าจับอะไร
ไม่ได้สักตัว ก็เลยถอดใจ?
คงไม่ใช่เพราะพรั่นพรึงกับการเห็นคนก่อนหน้าได้
เกรด 1 และเกรด 2 หรอก
“จับนก? บ้าไปแล้ว ทำไมไม่บอกไปเลยล่ะว่าจับ
จอบจับเสียม กล้าพูดแบบนั้นกับคุณหงได้อย่างไรกัน ไร้
ยางอายจริงๆ!”
“คงไม่ใช่ไร้ยางอายแล้วล่ะ หัวสมองของเขาคงผิด
เพี้ยนไปมากกว่า ถ้าเขาฝึกนกให้เชื่อง ฉันก็ฝึกลูกบอลให้
เชื่องก็แล้วกัน!”
นิ่งอึ้งกันไปครู่หนึ่ง แล้วทั้งห้องก็หัวเราะลั่น
บ้าที่สุด
ตั้งแต่ก่อตั้งดงอสูรมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนจับอสูร
ไม่ได้สักตัว แต่กล้าประกาศอย่างภาคภูมิใจ ถือเป็นความ
หยาบคายที่ล้ำไปอีกขั้น
ถ้าไม่มีอะไรจะมาแสดง จะเสนอหน้ามาที่นี่ทำไม?
แถมยังบอกว่าจับนกได้...
นกบ้านแกสิ
จะบังอาจไปถึงไหน?
“ฮ่าฮ่า หยวิ๋นเทา นายนี่เจ๋งจริงๆ ไม่เคยทำให้ฉัน
ผิดหวังเลย...จับอะไรไม่ได้สักตัว แต่ยังประกาศออกมา
อย่างใจกล้าหน้าด้าน เจ๋งที่สุด!” จูจิ้นหวงหัวเราะท้องคัด
ท้องแข็ง
หมอนี่ปัญญาอ่อนหรือเปล่า?
ถ้าจับอะไรไม่ได้สักตัว อย่างมากที่สุดก็แค่สอบตก
แต่กลับบอกนักฝึกอสูรหงว่าจับนกได้...
เรียกว่ารนหาเรื่องเดือดร้อนไหม?
ถึงนักฝึกอสูรหงจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในดงอสูร แต่
ก็ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวด ไปพล่ามอะไรแบบนั้นใส่เขาก็
เท่ากับท้าทายอำนาจกันแบบเห็นๆ
“นายรนหาที่ตายจริงๆ...” โจวชวนหัวเราะ
เขาเคยคิดว่าหมอนี่เป็นคู่แข่ง มาถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่า
ประเมินค่าตัวเองต่ำไปที่คิดแบบนั้น
เขานึกกังวลอยู่ว่าหยวิ๋นเทาจะทำให้ทุกคนยำเกรง
ในความสามารถของเขา...ก็ทำให้ยำเกรงได้จริงๆ แต่
เป็นเรื่องการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
“อือ!”
โม่ ห ยู่ คุ ณ เสิ่ น ยื น เอามื อ ไพล่ ห ลั ง เงยหน้ า งาม
หมดจดของเธอขึ้นและพ่นลมพรืด
ต่อให้ครั้งนี้หยวิ๋นเทาจับอสูรมาไม่ได้ ครั้งต่อไปก็แค่
พยายามใหม่ แต่ด้วยนิสัยเป็นเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้ ถึงจะ
ปราดเปรื่องแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำให้ใครประทับใจได้
ขณะที่ทุกคนฮาลั่น นักฝึกอสูรหงโกรธจนแทบบ้า
เขากัดฟันขณะที่ผมเผ้าชี้โด่ชี้เด่ไปหมด “คุณพูดว่าอะไร
นะ?”
ในฐานะนักฝึกอสูรผู้โด่งดัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูก
ยั่วโมโหแบบนี้
นกบ้านแกสิ!
ก็เอามา ทำไมไม่เอาออกมาให้ฉันดู?
ถ้าไม่มีให้ดูล่ะก็ ฉันควรจะเตะแกให้กลิ้งเหมือน
ลูกบอล แล้วเฉดหัวแกไปดีไหม?
“ผมหมายถึง...ผมจับนกได้ มันเป็นนกประหลาด
ตัวหนึ่ง!”
หยวิ๋นเท่าเพิ่งรู้ตัวว่าพูดผิดอย่างจัง เขารีบอธิบาย
และผิวปากเรียก แล้วนกประหลาดตัวหนึ่งก็บินมา
ตั้งแต่พวกเขามาถึงดงอสูร เจ้านกนี่ก็บินว่อนอย่าง
สบายใจ ไม่มีใครรู้เสียด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่
อสูรส่วนมากมีขนาดยาว 3 ถึง 4 เมตร ถึงตัวเล็ก
ที่สุดก็มีรูปร่างพอๆกับมนุษย์ เนื่องจากนกประหลาดมี
ขนาดแค่ฝ่ามือ ถ้าไม่ดูให้ดี คนที่เห็นก็จะนึกว่าเป็นนก
ขมิ้นหรือนกป่าทั่วไป ไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นสัตว์ปีก
ดุร้าย
แต่ ต่ อ ให้ รู้ ว่ า มั น เป็ น สั ต ว์ ปี ก ดุ ร้ า ย ก็ ค งไม่ มี ใ คร
อยากเชื่อ
เพราะวัตถุประสงค์ของการจับสัตว์ดุร้ายมาฝึกให้
เชื่อง ก็เพื่อนำมันมาใช้ในการประลองหรืออารักขา ต่อ
ให้อสูรที่ไม่ได้เรื่องที่สุดก็ยังใช้เป็นพาหนะได้ แต่เจ้านก
ตัวกระจ้อยแค่นี้ จะเอาไปทำอะไร?
ถ้าจะพูดตามตรง ยังไม่พอยาไส้เสียด้วยซ้ำ
“นายเรียกเจ้านี่ว่าอสูรเหรอ?”
“แน่ ใ จนะว่ า ไม่ ไ ด้ ไ ปคว้ า มาจากกรงนกที่ ไ หนสั ก
แห่ง?”
“บ้าหรือไง? ฉันนึกว่านายล้อเล่น นี่จับนกมาจริงๆ!
แล้วเอามันไปทำอะไรได้ล่ะ ไว้เล่นด้วยหรือ?”
เห็นหยวิ๋นเทาจับนกมาจริงๆ ทั้งห้องถึงกับใบ้กิน
ก่อนจะฮาครืนอีกรอบ
ดูนกอินทรีสีเขียวอ่อนที่โม่หยู่คุณเสิ่นจับมาสิ มัน
เป็นนกที่สง่างามสมฐานะ! แต่ของนายนี่แสนจะงี่เง่า!
ลืมไปหรือเปล่าว่ามาทดสอบเป็นนักฝึกอสูร ถ้าใคร
จับพลัดจับผลูเข้ามา คงนึกว่านายกำลังเล่นปาหี่อยู่ใน
ตลาด
“นี่คืออสูรที่คุณจับมาได้หรือ?”
นักฝึกอสูรหงยังไม่มีทีท่าจะหายโกรธ เขามองนก
ประหลาดและถามด้วยสีหน้าเย็นชา
“ใช่แล้ว!” หยวิ๋นเทาตอบ
“ตามกฎของดงอสูร ในการทดสอบรอบสอง ผู้เข้า
สอบจะต้องจับอสูรที่มีพละกำลังเหนือกว่าตัวเองมาให้ได้
นกตัวกระจ้อยแค่นี้ ตบทีเดียวก็ตายแล้ว คุณเอามันมาที่
นี่เพื่ออะไร...คิดจะเล่นตลกกับผมใช่ไหม?”
นักฝึกอสูรหงพยายามระงับอารมณ์
“ผมไม่ได้เล่นตลกนะ!” ได้ยินน้ำเสียงเย็นเยือกของ
อีกฝ่าย หยวิ๋นเทาตะลีตะลานอธิบาย “นกประหลาดนี่ตัว
เล็กก็จริง แต่มันไม่ได้อ่อนแอ มันมีความเร็วขนาดที่
นักรบขั้นพี่เชวี่ยยังจับมันไม่ได้เลย มันต้องเป็นสัตว์ดุร้าย
ชนิดหนึ่ง...”
ปัง!
หยวิ๋นเทายังพูดไม่ทันจบ นักฝึกอสูรหงก็ตบโต๊ะปัง
และลุกพรวด เขาเลิกคิ้วมองและถึงกับมีอาการกระตุกที่
แก้ม
“บังอาจ! หยวิ๋นเทา คุณคิดว่าที่นี่คืออาณาจักรฮ่า
นอู่ของคุณหรือ? คิดว่านี่คือสถานที่ที่จะมาทำตัวเหลว
ไหลได้? การฝึกอสูรไม่ใช่เรื่องตลกนะ! คุณผ่านการ
ทดสอบรอบแรกด้วยคะแนนสูงลิ่ว ผมยังคิดอยู่ว่าการ
ทดสอบรอบสองคุณก็น่าจะทำได้ดี แต่...คุณกลับเลือกที่
จะทำตัวไม่ได้เรื่องแบบนี้!”
“คุณเป็นนักรบติ่งลี่ขั้นสูงสุด ถึงจะจับอสูรที่มีพละ
กำลังมากกว่าไม่ได้ แค่พี่เชวี่ยขั้นต้นก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา
แล้ว แต่นี่กลับเอานกตัวกระจ้อยมา แถมยังอวดอ้างว่า
มันมีความเร็วน่าทึ่งและต้องเป็นอสูรชนิดหนึ่ง คิดว่าผม
ตาบอดหรือ?”
“กล้าท้าทายกรรมการผู้ให้คะแนนกันซึ่งๆหน้า เอา
นกป่าไม่มีสกุลมาเข้าสอบ ใครสั่งใครสอนให้คุณบังอาจ
ได้ถึงขนาดนี้?”
นักฝึกอสูรหงใช้อำนาจสิทธิ์ขาดของเขาโบกมือไล่
หยวิ๋นเทาด้วยความเดือดดาล “ไปให้พ้น! คุณสอบตก
ถ้าอยากจะสอบอีกล่ะก็ ปีหน้าค่อยมาใหม่!”
“นักฝึกอสูรหง นกประหลาดตัวนี้เป็นอสูรที่มีวร
ยุทธขั้นพี่เชวี่ยจริงๆ ผมยังสู้มันไม่ได้เลย...”
นึกไม่ถึงว่านักฝึกอสูรหงจะปรี๊ดแตกจนถึงกับปรับ
เขาตก หยวิ๋นเทาหน้าซีด เขารีบอธิบาย
“ยังไม่จบอีกหรือ? หยวิ๋นเทา, นายไม่ได้ยินหรือไง?
นักฝึกอสูรหงไล่นายแล้ว เลิกทำทุเรศเสียที นายทำให้ชื่อ
เสียงของนักฝึกอสูรดีๆป่นปี้หมด!”
เห็นคู่แข่งของเขาสอบตก จูจิ้นหวงหัวเราะอย่าง
สะใจ เขาเดินเข้ามาและจ้องหน้าหยวิ๋นเทาอย่างดูถูก
“ทำไมนายไม่เลิกฝึกอสูรไปเสีย? มีทักษะต่ำเตี้ยแค่
นี้ นายเป็นนักฝึกอสูรไม่ได้หรอก ถ้านักฝึกอสูรหงให้นาย
ผ่าน จะมิกลายเป็นว่าแค่ซื้อนกในตลาดมา ทุกคนก็กลาย
เป็นนักฝึกอสูรได้อย่างนั้นหรือ?”
โจวเชียนเยาะเย้ยอยู่ข้างๆ
ในการสอบรอบแรก หยวิ๋นเทามีคะแนนเหนือกว่า
พวกเขา พวกเขายังคิดว่าถึงอย่างไรการสอบรอบสองหย
วิ๋นเทาก็คงยังทำได้ดีกว่า ไม่นึกเลยว่าหมอนั่นจะทำตัว
เองแบบนี้
แค่จับอสูรพี่เชวี่ยขั้นต้นแบบพื้นๆมาก็ได้แล้ว แต่
กลับเอานกป่าที่มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามันโผล่มาจาก
ไหน...
“นักฝึกอสูรหง...”
หยวิ๋นเทาหันไปมองผู้อาวุโส ไม่สนใจการเยาะเย้ย
ของสองคนนั้น
“ฉันพูดไม่ชัดเจนหรือ? ออกไป!” นักฝึกอสูรหงจ้อง
หน้าเขา
“ขอโอกาสผมอีกครั้งเถอะ คุณทดสอบมันดูก็ได้ นก
ประหลาดตัวนี้เป็นอสูรจริงๆ และวรยุทธของมันก็ไม่ได้
อ่อนแอ...”
หยวิ๋นเทาถึงกับหน้าตาตื่น นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะบาน
ปลายขนาดนี้
เขาเพิ่ ง รั บ ปากกั บ ผู้ อ าวุ โ สจางเซวี ย นว่ า จะช่ ว ย
เลือกอสูรตัวดีๆให้เมื่อเขาได้เป็นนักฝึกอสูร แล้ว ถ้าสอบ
ตกขึ้นมา จะเอาอะไรไปรักษาคำพูด
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สุด สำหรับเรื่องนี้เขา
ยังพอจะขอโทษได้
และจางเซวียนก็คงมีเมตตาพอที่จะไม่เอาเรื่อง
แต่ที่สำคัญกว่าคือ เขาได้สร้างเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา
แล้ว เมื่อกลับไปยังอาณาจักร บรรดาคู่แข่งจะต้องเอา
เรื่องนี้มาโจมตีเขา แล้วโอกาสในการชิงบัลลังก์ก็จะหลุด
ลอยไป
รวมทั้ ง โอกาสในการทำคะแนนกั บ โม่ ห ยู่ คุ ณ เสิ่ น
ด้วย จบกัน
“ผมไม่อยากพูดเป็นครั้งที่สามนะ ผมจะปล่อยให้
คุณเดินออกไปดีๆ ด้วยวิธีนี้ อย่างน้อยที่สุด คุณก็ยัง
รักษาเกียรติอันน้อยนิดของตัวเองไว้ได้!”
นักฝึกอสูรหงปฏิเสธที่จะฟังคำอธิบาย เขาโบกมือ
ไล่
ถ้าหยวิ๋นเทาไม่ได้เป็นองค์ชาย เขาคงตบสั่งสอน
แล้ว แทนที่จะมัวเสียเวลาพูดอย่างนี้
“ไปซะ! หยวิ๋นเทา ถ้ายังดื้อด้าน ฉันจะให้คนของ
ฉันจับนายโยนออกไป!” จูจิ้นหวงจ้องหน้าหยวิ๋นเทา
อย่างลิงโลด
นับจากวันนี้ไป หมอนี่ก็จะพ้นทาง และเขาก็จะเข้า
ใกล้โม่หยู่คุณเสิ่นได้อีกก้าวหนึ่ง
“รีบไปซะ ถ้ายังสร้างปัญหาไม่หยุด อย่าหาว่าฉัน
หยาบคายก็แล้วกัน”
โจวชวนเย้ย ด้วยสองมือไพล่หลัง เขามองหยวิ๋น
เทาอย่างเหยียดหยาม
“ผม...”
ทั้งโกรธทั้งอาย หยวิ๋นเทากำหมัดแน่น
เขาคิดว่าตัวเองจะต้องสอบผ่านอย่างง่ายดาย แต่
กลับลงเอยแบบนี้ หยวิ๋นเทากัดฟันกรอด เขาหันหลัง
กลับและเตรียมตัวจะออกไป แต่ในตอนนั้น ก็มีเสียงสุขุม
เยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หยวิ๋นเทา ในเมื่อนักฝึกอสูรของดงอสูรนี่งี่เง่าไร้ค่า
ไปเสียทุกคน ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องเข้าสอบหรอก!”
จากต้นเสียงนั้น จางเซวียนจ้องมองหยวิ๋นเทาด้วย
อาการสงบ
ตอนที่ 243 นกกระจอกสายฟ้าบรรพกาล

งี่เง่าไร้ค่า?
ทุกคนโมโหเดือดเมื่อได้ยิน
“เขาว่าอะไรนะ?”
“หมอนี่ใครกัน? รนหาที่ตายหรือ?”
“บังอาจดูถูกนักฝึกอสูร คงเบื่อหน่ายชีวิตเต็มที!”
เหตุผลที่ดงอสูรเจริญรุ่งเรืองก็เพราะบรรดานักฝึก
อสูร แต่ชายคนนี้บังอาจดูถูกนักฝึกอสูรทุกคนที่อยู่ที่นี่
สมองของเขาต้องไม่ปกติแน่!
เสิ่นปี้หรูตัวสั่นและดึงแขนเสื้อของชายหนุ่มที่อยู่
ตรงหน้าอย่างร้อนรน เธอแทบจะเป็นลมด้วยความตกใจ
นี่เราอยู่ที่ไหน?
ดงอสูรนะ!
ไปบอกว่าพวกเขางี่เง่าไร้ค่ากันหมดทุกคน จะหา
เรื่องเกินไปไหม?
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาแก้ตัวว่าเป็นความหุนหันพลัน
แล่น มันเป็นการยั่วโมโหชัดๆ!
เธอรู้มานานแล้วว่าอาจารย์จางออกจะบ้าบิ่น แต่ก็
ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้!
“คุณพูดว่าอะไรนะ?”
ตามคาด ใบหน้าของนักฝึกอสูรหงมีแดงก่ำราวกับ
เลือดจะพุ่งออกมา เขาหันไปทางหยวิ๋นเทาและตั้งคำถาม
“หยวิ๋นเทา คุณคิดแบบนั้นกับดงอสูรด้วยหรือเปล่า?”
จางเซวียนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนจากอาณาจักรฮ่า
นอู่ ทุกคนจึงคิดว่าเขาเป็นบริวารของหยวิ๋นเทา
“เอ่อ...” หยวิ๋นเทาหันไปมองจางเซวียน
ตอนที่เขาได้ยินจางเซวียนพูดแบบนั้น ก็แทบจะ
เสียสติเหมือนกัน
ถึงเขาจะสอบตกเพราะการตัดสินอย่างมีอคติของ
กรรมการ แต่ปีหน้าก็สอบใหม่ได้
แต่ตอนนี้ ถ้อยคำพวกนั้นได้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของ
ดงอสูรไปแล้ว คงไม่มีทางที่เขาจะได้เข้าสอบอีก
ถึงเขาจะได้อยู่ใกล้กับผู้อาวุโสจางเซวียนแค่ไม่นาน
แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนสุขุมและมีพลัง เขารับมือกับทุกสิ่ง
อย่างมีเหตุผลและพอเหมาะพอเจาะเสมอ แล้วทำไมถึง
โพล่งออกมาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้?
เขามองชายหนุ่มอย่างร้อนรน แต่ฝ่ายนั้นมองกลับ
มาอย่างเฉยเมย ราวกับไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือ?
หยวิ๋นเทาเบ้ปาก
นี่เขาบ้าบิ่นจริงๆหรือเขามั่นใจสุดขีดในพละกำลัง
ของตัวเอง?
ที่ดงอสูรนี้มีอสูรอยู่หลายพันตัว ตัวที่อ่อนแอที่สุดก็
ยังมีวรยุทธขั้นพี่เชวี่ย ต่อให้นักรบขั้นจงซรือก็เอาตัวไม่
รอดถ้ามาป่วนที่นี่!
ด้วยความปั่นป่วน เขาเดินไปหาจางเซวียนเพื่อจะ
หว่านล้อมให้เอ่ยคำขอโทษ แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มเผล่ เขา
ยืนเอาสองมือไพล่หลังและหันไปทางนักฝึกอสูรหง
“ละเลยกฎระเบียบ ไม่รู้จักอสูรที่อยู่ตรงหน้า แสดง
กิริยาตามอำเภอใจ ด่วนสรุปโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จ
จริง...ถ้าไม่เรียกว่างี่เง่าไร้ค่า แล้วจะเรียกว่าอะไร?”
เขาพูดเนิบๆ ไม่รู้สึกรู้สากับความเดือดดาลของนัก
ฝึกอสูรหง
“นั่นเขา...กำลังสั่งสอนนักฝึกอสูรหง?”
“หมอนี่เป็นใครกัน?”
“ขนาดหัวหน้าเฟิงยังไม่กล้าพูดแบบนี้เลย!”
ได้ ยิ น ชายหนุ่ ม ใช้ สุ้ ม เสี ย งเหมื อ นกั บ กำลั ง สอน
นักเรียน ทุกคนแทบจะบ้า
พวกเขาเห็นคนโอหังมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใคร
โอหังขนาดนี้
หมอนี่ต้องบ้าแน่ๆ!
แกคิดว่าแกเป็นใคร?
นักฝึกอสูรหงเป็นคนดังของดงอสูร การกล่าวหาว่า
เขาด่วนสรุปโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง...ยังไม่ต้องพูด
ถึงการให้ท้ายหยวิ๋นเทา แค่นี้ก็เป็นการดูหมิ่นอย่างร้าย
แรงแล้ว เพราะเขาแสดงความสงสัยในความเป็นมือ
อาชีพของอีกฝ่าย
“คุณบอกว่าผมละเลยกฎระเบียบ และไม่รู้จักอสูร
อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อถูกตำหนิต่อหน้าธารกำนัล นักฝึกอสูรหงรู้สึกว่า
เลือดในกายพลุ่งพล่านไปหมด
“ผม, หงเฟิง เป็นนักฝึกอสูรมา 37 ปี ฝึกอสูรมา
แล้ว 24 ตัว และสอนนักเรียน 118 คน มีสามคนในนั้นที่
ได้เป็นนักฝึกอสูร ถึงจะไม่อาจพูดได้ว่าผมมีความรู้อย่าง
ลึกซึ้งในเรื่องศิลปะการฝึกอสูร แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่จะพูด
พล่อยๆ คุณบอกว่าผมละเลยกฎระเบียบและไม่รู้จักอสูร
ที่อยู่ตรงหน้า?ได้! ถ้าวันนี้คุณไม่อธิบายให้กระจ่าง ไม่ว่า
คุณจะเป็นใคร อย่าหาว่าผมไม่ออมมือให้ก็แล้วกัน!”
แล้วนักฝึกอสูรหงผู้เดือดดาลก็รวบรวมพลังวรยุทธ
เขาเป็นนักรบทงฉวนขั้นสูงสุด อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จขั้น
กึ่งจงซรือ
แฮ่!
ในตอนนั้น อสูรตัวมหึมาก็ปรากฏกายเคียงข้างเขา
มันคือลิงยักษ์ตาแดง สูงราว 3 เมตร ทุกย่างก้าว
ของมันทำให้พื้นถึงกับสั่นสะเทือน
นักฝึกอสูรจะสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอสูรของเขา
เสมอ
ลิงยักษ์ตาแดงตัวนี้สำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุด
มันแผ่รังสีดุเดือดออกมา ความกดดันนั้นมีพลังมากกว่า
นักฝึกอสูรหงหลายเท่า
ได้เห็นแบบนั้น ทุกคนถึงกับหน้าซีด ต่างถอยกรูด
โดยไม่รู้ตัว
ถ้าทั้งคู่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ต่อให้เป็นนักรบ
ขั้นกึ่งจงซรือ พวกเขาก็จัดการได้!
“อะไรกัน? นี่คุณไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัว
เอง ถึงกับจะเอาเรื่องผมเลยหรือ?”
ท่ามกลางความกดดันหนักหน่วง จางเซวียนก็ยัง
สะบัดแขนเสื้ออย่างสบายใจและถามด้วยอาการสงบ
อีกฝ่ายแข็งแกร่งก็จริง แต่ตัวเขาก็สำเร็จวรยุทธ
ทงฉวนขั้นสูงสุดแล้วเหมือนกัน อีกอย่าง เขาก็มีเทคนิค
และกลเม็ดเด็ดพรายมากมาย ต่อให้ดาหน้าเข้ามาสิบคน
ก็ทำอะไรเขาไม่ได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
บรรยากาศในห้องเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ นัก
ฝึกอสูรหงกำลังจะออกตัวตอนที่มีเสียงตวาดก้อง จากนั้น
ชายสามคนก็เดินเข้ามา
“หัวหน้าเฟิง นักฝึกอสูรลู่ และนักฝึกอสูรหวัง ทุก
คนเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว!”
“ก็นักฝึกอสูรหงบอกว่าพวกเขาติดธุระ?”
“หมอนั่นท้าทายศักดิ์ศรีของดงอสูรขนาดนี้ ต่อให้มี
ธุระยุ่ง พวกเขาก็คงรีบมาทันทีที่รู้เรื่อง!”
“มันตายแน่ หยวิ๋นเทาก็เหมือนกัน!”
“แน่ล่ะ อาณาจักรฮ่านอู่เป็นแค่อาณาจักรขั้น 2 จะ
ต้านทานความเกรี้ยวกราดของดงอสูรได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นชายทั้งสาม ทุกคนออกความเห็นกันอื้ออึง
นักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวทั้งสามคนของดงอสูรมาถึง
แล้ว
จูจิ้นหวงและโจวชวนมองหยวิ๋นเทาอย่างสะใจ
ตอนที่หยวิ๋นเทากับจางเซวียนดูถูกนักฝึกอสูรหง ก็
ยังพอจะถือเป็นความขัดแย้งส่วนตัวได้ แต่เมื่อหัวหน้าดง
อสูรปรากฏตัวแล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องระหว่างดงอสูร
กับอาณาจักรฮ่านอู่ทันที เรื่องนี้ไม่มีทางจบง่ายๆ
โม่หยู่คุณเสิ่นทำอะไรไม่ได้นอกจากส่ายหน้า
เธอคิดว่าการที่หยวิ๋นเทานำนกมาเข้าสอบก็โง่เง่า
พอแล้ว แต่บริวารของเขายิ่งเซ่อหนักกว่า
เขาจงใจดูถูกนักฝึกอสูรหงขนาดนั้น อีกฝ่ายจะ
ปล่อยให้เรื่องผ่านไปได้อย่างไร?
ถ้ า เรื่ อ งนี้ บ านปลาย ฝ่ า ยที่ จ ะต้ อ งสู ญ เสี ย ก็ คื อ
อาณาจักรฮ่านอู่
แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของเธอก็ยังไม่แสดงอารมณ์
แม้แต่น้อย เธอมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สา
ทำท่าราวกับเทพธิดาผู้เฉยเมย
ชะตาชีวิตของหยวิ๋นเทาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ
และเธอก็ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายด้วย
“หัวหน้า นักฝึกอสูรลู่ นักฝึกอสูรหวัง!”
เมื่อเห็นชายทั้งสาม นักฝึกอสูรหงหยุดกึกเพื่อเอ่ย
ทักทาย แม้จะกำลังโมโหเดือด แต่เขาก็ใช้โอกาสนั้น
อธิบายสถานการณ์
“คุณพูดว่าหงเฟิงละเลยกฎระเบียบ และไม่รู้จัก
อสูรที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างนั้นหรือ?”
หัวหน้าเฟิงหันไปจ้องจางเซวียนด้วยสายตาคมกริบ
เขามีอายุประมาณ 60 ปี ด้วยรูปร่างสูงสง่า ทำให้
ทุกท่วงท่าดูมีอำนาจ
เขาเป็นนักรบขั้นจงซรือ!
นั ก ฝึ ก อสู ร ลู่ แ ละนั ก ฝึ ก อสู ร หวั ง ยื น เคี ย งข้ า งเขา
อย่างสงบ แต่พวกเขาก็ดูประหนึ่งภูผาที่ไม่อาจมีใคร
ทำให้หวั่นไหวได้
นักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวทั้งสามคนล้วนเป็นนักรบ
ขั้นจงซรือ!
ก็เป็นเพราะพวกเขาที่ทำให้ไม่มีใครกล้าล้ำเส้นใน
ดงอสูรแห่งนี้
“ใช่!” จางเซวียนพยักหน้า
“คุณรู้ไหมว่าคำพูดของคุณเป็นการตั้งคำถามต่อ
ความเป็นมืออาชีพของเขา สำหรับนักฝึกอสูร คำพูด
แบบนี้เท่ากับหยามหมิ่นชื่อเสียงอย่างร้ายแรง” หัวหน้า
เฟิงหรี่ตา
เหตุผลที่นักฝึกอสูรหงเดือดดาลก็เพราะชายหนุ่ม
แสดงความสงสัยในความสามารถด้านการฝึกอสูรของ
เขา ถ้านักฝึกอสูรไม่รู้จักอสูรที่อยู่ตรงหน้า เขาก็จะกลาย
เป็นตัวตลก
จางเซวียนไม่อธิบาย เขาเดินไปตรงกลางห้อง และ
จิ้มนิ้วลงไป นกประหลาดบนไหล่ของหยวิ๋นเทาโบยบิน
เมื่อเปรียบเทียบกับหยวิ๋นเทา เจ้านกประหลาดดูจะ
เชื่อฟังคำสั่งของจางเซวียนมากกว่า ถึงจางเซวียนจะเคย
ทำร้ายมัน แต่เขาก็เป็นคนยกระดับวรยุทธให้ เมื่อนก
ประหลาดมาอยู่ในมือของจางเซวียนแล้ว เขาก็ช้อน
สายตาขึ้นและส่งยิ้ม
“ผมอยากถามนั ก ฝึ ก อสู ร ทั้ ง สี่ ว่ า นกตั ว นี้ มี ชื่ อ ว่ า
อะไร”
“ชื่อ?”
เห็นจางเซวียนถามชื่อนกแทนที่จะตอบคำถามของ
หัวหน้าเฟิง ทุกสายตาก็หันมาจับจ้องนกทันที
นักฝึกอสูรหงหน้าดำคร่ำเครียด เขาพึมพำ "ถึงมัน
จะหายาก แต่ผมเคยอ่านเรื่องของนกชนิดนี้ในหนังสืออยู่
ครั้งหนึ่ง
ชื่อของมันคือ ‘นกกระดูก’ ที่ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะ
มันมีกระดูกงอกขึ้นมาบนแผ่นหลังเพื่อช่วยรับน้ำหนักตัว
ของมัน นกชนิดนี้มักถูกใช้ในงานรื่นเริงและไม่มีความ
สามารถในการต่อสู้ใดๆ ดังนั้น จึงไม่อาจจัดให้มันเป็น
อสูรได้ ทำไม? คุณกำลังจะบอกว่าผมพูดผิดอย่างนั้น
หรือ?"
“พอคุณพูดออกมา ผมก็ว่ามันตรงกับลักษณะของ
นกกระดูกอยู่นะ!”
นักฝึกอสูรลู่ลูบเคราและพูดต่อ “นกกระดูกอาศัย
อยู่ในป่าลึก เป็นที่รู้กันว่ามันจะส่งเสียงร้องเพลงตอน
กลางวัน เหมือนอย่างที่นักฝึกอสูรหงพูด นกชนิดนี้ใช้ใน
งานรื่นเริงเท่านั้น แม้จะหายากและล้ำค่า แต่ก็ไม่อาจจัด
ให้มันเป็นอสูรได้ มันไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะใช้ในการ
ทดสอบเป็นนักฝึกอสูร!”
ได้ยินทั้งสองคนพูดแบบนั้น จางเซวียนหัวเราะหึๆ
และหันไปทางหัวหน้าเฟิง
“หัวหน้าเฟิงมีความคิดเห็นอย่างไร?”
“ผมก็คิดว่ามันเป็นนกกระดูกเหมือนกัน เพราะมี
กระดูกงอกออกมาจากแผ่นหลังอย่างชัดเจน!” หัวหน้า
เฟิงพยักหน้าอย่างเห็นพ้องกับคำพูดของอีกสองคน
เมื่ อ ได้ ยิ น นั ก ฝึ ก อสู ร ทั้ ง สามคนได้ ข้ อ สรุ ป แบบ
เดียวกัน จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจ “ในเมื่อ
พวกพวกคุณลงความเห็นว่ามันคือนกกระดูก แล้วใคร
บอกผมได้บ้างว่านกกระดูกมีลักษณะเฉพาะอย่างไร?”
“นกกระดูกจะมีแผ่นหลังสีดำ จงอยปากสีแดง และ
กรงเล็บสีทอง บนแผ่นหลังของมันจะมีขนอยู่ 3 เส้น ที่
ทำให้เกิดเสียงดนตรีออกมาขณะที่มันกำลังบิน ดังนั้น
เสียงเพลงของมันจึงไม่ได้มาจากลำคอ แต่มาจากขนที่อยู่
บนแผ่นหลัง...”
นักฝึกอสูรทั้งสามยังไม่ทันได้ตอบ เสียงเยือกเย็น
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
โม่หยู่คุณเสิ่น
เธอพูดถึงลักษณะเฉพาะตัวของนกกระดูกตามที่มี
บันทึกไว้ในหนังสือ แต่ก่อนที่จะสาธยายจบ ก็หยุดพูด
เอาดื้อๆ ใบหน้างามหมดจดดูเคร่งขรึมไป มีความสับสน
อยู่ในดวงตาทั้งคู่
“คุณพูดถูก เสียงเพลงของนกกระดูกไม่ได้มาจาก
ลำคอของมัน แต่มาจากขนที่อยู่บนแผ่นหลัง ดังนั้นจึง
พูดได้ว่า ตราบใดที่มันยังบินอยู่ ก็จะต้องมีเสียงเพลง แต่
เมื่อครู่ที่มันบิน มีใครได้ยินเสียงบ้าง?”
จางเซวียนยิ้ม
“เอ่อ...” ทุกคนถึงกับผงะ
นกประหลาดตัวนี้บินไปมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่มี
ใครได้ยินเสียงอะไรเลย ถ้าไม่ได้เห็นมันกับตา ก็ไม่รู้ด้วย
ซ้ำว่ามันอยู่ที่นี่
ถ้าสิ่งที่โม่หยู่คุณเสิ่นพูดมานั้นถูกต้อง เป็นไปได้ไหม
ว่า...นกประหลาดตัวนี้ไม่ใช่นกกระดูก?
กรงเล็บของมันเป็นสีทอง แต่มีจุดสีแดงอยู่ตรง
กลาง บนหัวของมันก็มีมงกุฎด้วย ส่วนบนแผ่นหลัง มี
กระดูก 3 ชิ้นงอกออกมาแทนที่จะเป็นชิ้นเดียว และไม่มี
ขนที่ทำให้เกิดเสียงได้ ที่สำคัญ...มันตัวเบาและบินได้
รวดเร็วมาก!
ยิ่งอธิบายไป นักฝึกอสูรหงก็หน้าหมองคล้ำลงทุกที
เพราะตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าเจ้านกประหลาดมีบาง
อย่างที่แตกต่างจากนกกระดูกที่เขาพูดถึง
“ถ้าไม่ใช่นกกระดูก มันคือนกอะไร?”
เขาถาม
จางเซวียนเอามือไพล่หลังและยิ้มกว้าง
“มันเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ – นกกระจอกสายฟ้า
บรรพกาล!”
ตอนที่ 244 บทลงโทษ

“สัตว์ดึกดำบรรพ์?”
ทุกคนเปลี่ยนท่าทีทันใด
มีอสูรอยู่หลายชนิด และอสูรที่มีสายเลือดแข็งแกร่ง
ที่สุดก็คืออสูรดึกดำบรรพ์
ความแข็งแกร่งของสายเลือดจะเพิ่มขึ้นไปตามการ
เจริญเติบโตของมัน
ไม่มีนักฝึกอสูรคนไหนในโลกที่จะไม่ภาคภูมิใจหาก
จับอสูรดึกดำบรรพ์ได้ เพราะเมื่อวรยุทธของอสูรเพิ่มขึ้น
วรยุทธของเจ้าของก็จะเพิ่มขึ้นไปตามคำสัญญาที่ทั้งคู่มี
ต่อกัน
อีกอย่าง อสูรดึกดำบรรพ์ก็เหลือน้อยเต็มทีจนเกือบ
จะสู ญ พั น ธุ์ แ ล้ ว นั ก ฝึ ก อสู ร จำนวนนั บ ไม่ ถ้ ว นพากั น
ตระเวนไปทั่วหุบเขาต่างๆ และเสาะหาตำนาน รวมถึง
ประเพณีท้องถิ่นจากทั่วโลก แต่ก็ไม่สามารถแกะรอยของ
อสูรดึกดำบรรพ์ได้
แต่แล้วก็มีตัวหนึ่งมาปรากฏที่นี่ และผู้ที่จับมันได้
คือ...หยวิ๋นเทา?
“เป็นไปไม่ได้หรอก ต่อให้เจ้าตัวนี้ไม่ใช่นกกระดูก
แต่มันก็ไม่มีทางเป็นอสูรดึกดำบรรพ์ไปได้ พวกมันสูญ
พันธุ์ไปหมดแล้ว...”
นักฝึกอสูรหงเป็นคนแรกที่แย้งจางเซวียน
ถึ ง คนอื่ น จะไม่ พู ด อะไร แต่ พ วกเขาก็ คิ ด แบบ
เดียวกัน ทุกคนไม่อยากจะเชื่อว่านกประหลาดตัวนี้เป็น
อสูรดึกดำบรรพ์
“สายเลือดดึกดำบรรพ์ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ต่อให้
ยั ง หลงเหลื อ อยู่ ก็ น่ า จะเลื่ อ นชั้ น กลายเป็ น อสู ร แห่ ง
สวรรค์ มันจะเป็นอสูรธรรมดาสามัญอยู่ได้อย่างไร?”
จูจิ้นหวงบ่นพึม “ต่อให้คุณอยากเอาตัวรอด ก็ไม่
ควรจะพูดจาเลอะเทอะ”
“คุ ณ บอกว่ า เจ้ า นกประหลาดตั ว นี้ เ ป็ น อสู ร
ดึกดำบรรพ์? ตลกสิ้นดี! ถ้าอย่างนั้น พญาเสือร้ายของผม
ก็เป็นอสูรก่อนยุคดึกดำบรรพ์แล้วล่ะ!” โจวชวนเย้ย
อสู ร ก่ อ นยุ ค ดึ ก ดำบรรพ์ ย่ อ มน่ า ทึ่ ง กว่ า อสู ร
ดึกดำบรรพ์อยู่แล้ว และต้องหายากกว่าด้วย
ไม่ใช่แค่สองสามคนที่มีทีท่าแบบนี้ ขนาดหยวิ๋นเทา
ก็ยังเบ้ปาก เขารู้สึกเหมือนจะเป็นลม
มันเป็นแค่นกตะกละตัวหนึ่งที่มีใจอาฆาตพยาบาท
จะไปเกี่ยวข้องกับอสูรดึกดำบรรพ์ได้อย่างไร?
ทุกคนควรจะรู้ว่าที่นี่คือดงอสูร ถ้าคำพูดของจางเซ
วียนได้รับการพิสูจน์ว่าผิด เขาต้องตกที่นั่งลำบากแน่
“ฮ่าฮ่า!” จางเซวียนหัวเราะ “ถ้าผมพูดไม่ผิด ดง
อสูรจะต้องมีวิธีตรวจสอบสายเลือดใช่หรือไม่? คุณไม่เชื่อ
ผมก็ไม่เป็นไร ตรวจแป๊บเดียว เดี๋ยวเราก็จะได้รู้กัน”
ในเมื่อมันเป็นอสูรดึกดำบรรพ์ สายเลือดของมัน
ย่ อ มตกทอดกั น มาตั้ ง แต่ บ รรพกาล และมี พ ลั ง ที่ เ ป็ น
เอกลักษณ์ ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่จะทดสอบ
“เอ่อ...”
หัวหน้าเฟิง นักฝึกอสูรหง กับคนอื่นๆมองหน้ากัน
และพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
ถ้ า นกประหลาดตั ว นี้ เ ป็ น สายเลื อ ดดึ ก ดำบรรพ์
จริงๆ เรื่องนี้ก็จะเป็นปรากฏการณ์สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
อีกครั้งหนึ่งของดงอสูร
ดงอสูรสาขานี้ก่อตั้งมากว่าหนึ่งพันปีแล้ว แต่ยังไม่
เคยมีนักฝึกอสูรสักคนเดียวที่จับอสูรดึกดำบรรพ์ได้
“มีตำนานกล่าวไว้ว่า ในสมัยดึกดำบรรพ์ พลังจิต
วิญญาณในอากาศนั้นรุนแรงและดิบเถื่อน แตกต่างจาก
พลังจิตวิญญาณอันนุ่มนวลที่อยู่ในชั้นบรรยากาศเวลานี้
แม้ว่าด้วยสภาพแวดล้อมครั้งดึกดำบรรพ์จะทำให้ฝึกวร
ยุทธได้ง่ายกว่า แต่มันก็ทำให้เลือดของอสูรสะสมพลัง
ทำลายล้าง และเดือดพล่านราวกับน้ำเดือด ถ้านก
ประหลาดตัวนี้เป็นสายเลือดดึกดำบรรพ์จริงๆ อสูรตัวอื่น
จะไม่สามารถทนทานต่อพลังจากเลือดของมันแม้เพียง
หยดเดียวได้...”
หัวหน้าเฟิงพูด
สายเลือดของอสูรดึกดำบรรพ์นั้นบริสุทธิ์และมีฤทธิ์
แผดเผา มันแตกต่างจากอสูรในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
เลือดของอสูรดึกดำบรรพ์เพียงหยดเดียวสามารถทำให้
เลือดในร่างของอสูรทั่วไปเดือดพล่านทั้งตัว และแผดเผา
มันจนถึงตาย
ดั ง นั้ น จึ ง ไม่ ย ากเลยที่ จ ะตรวจสอบสายเลื อ ด
ดึกดำบรรพ์ของมัน
หลังจากสั่งการกับผู้ช่วยสองสามคำ ผู้ช่วยก็เดิน
ออกไป ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับอสูรตัวหนึ่ง
มันมีขนาดพอๆกับกระต่ายป่า และมีสีขาวทั้งตัว
หน้าตาเหมือนกับสัตว์ทดลองของสมาคมนักปรุงยา แต่
ใหญ่กว่าเล็กน้อย
นี่คือสัตว์ทดลองที่ดงอสูรใช้ทดสอบยาและอาหาร
ทุกชนิด
“นี่!”
จางเซวียนกดเบาๆ และได้เลือดมาหนึ่งหยดจาก
นกประหลาด สะบัดเพียงนิดเดียวมันก็ลอยไปหาหัวหน้า
เฟิง
หัวหน้าเฟิงรับมันไว้ เขาถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป
ก่อนจะหยดมันใส่ปากสัตว์ทดลอง
ซรื่ดดดดดดดด!
เหมื อ นกั บ น้ ำ ที่ ถู ก เทลงไปในหม้ อ น้ ำ มั น เดื อ ดๆ
เสียงซรื่ดดังก้องไปทั่วห้อง ไม่นานสัตว์ทดลองก็ตัวแดง
เถือก มันเกลือกกลิ้งทุรนทุรายด้วยความทรมาน จากนั้น
ก็ตาย
เห็นได้ชัดว่ามันถูกหยดเลือดที่มีพลังร้อนแรงแผด
เผาจนตาย
“เอ่อ...”
เห็นแบบนั้น หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆหรี่ตา
มีแต่สายเลือดดึกดำบรรพ์เท่านั้นที่มีพลังแบบนี้
เงียบกริบ!
ทั้งห้องเงียบสนิทเหมือนตาย
ต่อให้โง่เง่าขนาดไหนก็บอกได้ว่าชายหนุ่มพูดถูก
นกประหลาดหน้าตาเด๋อด๋าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นอสูร
ดึกดำบรรพ์จริงๆ
มันอาจจะตัวเล็ก แต่มีค่ามากกว่าอสูรที่โจวชวนกับ
จูจิ้นหวงจับมากว่าสิบเท่า เพราะสายเลือดดึกดำบรรพ์
ของมัน
ทั้ง 2 ตัวที่พูดมาไม่มีทางเทียบชั้นได้ เหมือนเปรียบ
เทียบเพชรกับฝุ่นดีๆนี่เอง
“นี่เราเพิ่งถากถางอสูรดึกดำบรรพ์ไปหรือ?”
จูจิ้นหวงและโจวชวนอ้าปากค้าง ทั้งคู่รู้สึกเหมือน
ถูกตบหน้า และอยากปล่อยโฮเต็มแก่
นั่นคืออสูรที่สามารถสร้างความสะท้านสะเทือนให้
กับดงอสูรได้ แต่พวกเขาถากถางมันราวกับมันไม่มีค่า
เลย...
อสูรดึกดำบรรพ์มาอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่รู้ไม่เห็น หน้า
ไม่อายขนาดไหนที่ยังเรียกตัวเองว่าเป็นนักฝึกอสูร?
ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ต่อให้ได้เป็นนักฝึกอสูร
อย่างเป็นทางการ ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ก็จะตามไปหลอก
หลอนในทุกที่ที่พวกเขาไป
ในขณะที่ ค นอื่ น ๆกำลั ง สนใจนกกระจอกสายฟ้ า
บรรพกาล นัยน์ตาของโม่หยู่คุณเสิ่นจับจ้องอยู่ที่ชาย
หนุ่ม สีหน้าของเธอเคร่งเครียด
ขนาดหัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆยังบอกตัวตนที่แท้จริง
ของเจ้านกนี่ไม่ได้ แต่ชายคนนี้ทำได้ อีกอย่าง ขนาดอยู่
ต่อหน้าสามนักรบจงซรืออผู้ยิ่งใหญ่ เขาก็ยังพูดจาได้
อย่างสุขุมและปราศจากความเกรงกลัว เขามาจากที่ไหน
กัน?
เป็นไปได้หรือที่อาณาจักรห่างไกลอย่างเทียนเซวี
ยนจะมีคนน่าทึ่งแบบนี้?
“นี่ผม...ตัดสินให้หยวิ๋นเทา ซึ่งจับอสูรดึกดำบรรพ์
มาได้...สอบตกจริงๆหรือ?”
นักฝึกอสูรหงหน้าซีด ในชั่วพริบตา เขาดูแก่กว่า
เดิมเป็นสิบปี
นี่มันอสูรดึกดำบรรพ์นะ! สิ่งที่นักฝึกอสูรจำนวนนับ
ไม่ถ้วนเฝ้าฝันถึง แต่ไม่เคยจับมันได้!"
ไม่เพียงแต่จะหายาก พวกมันยังปราดเปรื่องมาก
ด้วย จึงไม่ยอมจำนนให้ใครง่ายๆ ต่อให้มีทักษะระดับเขา
หากได้พบอสูรดึกดำบรรพ์สักตัว ก็ยังยากที่จะจับมันได้
สำเร็จ แต่ในขณะที่หยวิ๋นเทาจับได้ เขากลับปรับตกและ
สั่งให้หยวิ๋นเทาออกไป...
จางเซวียนไม่สนใจอาการตะลึงของคนอื่นๆ เขา
ก้าวออกมาและพูดต่อ
“นกกระจอกสายฟ้าบรรพกาลมีความสามารถใน
การซึมซับเอาสายฟ้าแลบมาใช้ปลุกสายเลือดของมัน
มันมีความเหมือนนกกระดูกในหลายเรื่องก็จริง แต่ก็ต่าง
กันหลายเรื่องด้วย นกกระดูกเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและเนื้อ
นัยน์ตาของมันจึงขุ่นมัว แต่นกกระจอกสายฟ้าบรรพกาล
มีดวงตาคมกริบที่พุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของผู้พบเห็น
แม้ความแตกต่างจะไม่ชัดเจนนัก แต่หากสังเกตให้ดีก็
มองเห็นได้”
“ต่อไปคือกรงเล็บ นอกจากจะมีจุดสีแดงที่กึ่งกลาง
กรงเล็บแล้ว กรงเล็บของนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาลก็
ยังแข็งแรงและคมกริบ สามารถฉีกอาวุธออกเป็นชิ้นๆได้
อย่างง่ายดาย ส่วนเนื้อหนังมนุษย์คงไม่ต้องพูดถึง นักฝึก
อสูรหงบอกว่ามันไม่มีความสามารถในการต่อสู้มากนัก
นั่นก็เป็นเพราะมันยังเด็กอยู่และไม่รู้จะใช้ความสามารถ
ของตัวเองอย่างไร ถ้ามันได้เรียนรู้เมื่อไหร่ ต่อให้นักรบ
ทงฉวนสองคน มันก็ฉีกเป็นชิ้นๆได้”
“ก็แน่นอนว่าทั้ง 2 ลักษณะนี้มองเห็นได้ไม่ชัดนัก
จึงยากสำหรับนักฝึกอสูรทั่วไปที่จะสังเกตเห็น”
จางเซวียนหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะชี้ไปที่หัวของนก
กระจอกสายฟ้าบรรพกาล “ความแตกต่างที่เห็นเด่นชัด
ที่สุดคือมงกุฎสีแดง แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็เป็น
สัญลักษณ์ของ ‘ความมีอำนาจ’ ด้วยมงกุฏนี้ ต่อให้คนที่
ไม่รู้เรื่องการฝึกอสูรเลยก็จะรู้ว่านกตัวนี้ไม่ธรรมดา และ
ไม่ใช่สัตว์ป่าสามัญแบบที่นกกระดูกจะมาเทียบชั้นได้! ก็
คิดดูว่าลักษณะโดดเด่นชัดเจนขนาดนี้ ยังมองไม่เห็น
แถมยังปรับหยวิ๋นเทาตก...”
มาถึงตรงนี้ จางเซวียนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“นักฝึกอสูรหง นี่คือวิธีประเมินอสูรของคุณหรือ?”
“เอ่อ...”
นักฝึกอสูรหงหน้าซีด เจอสายตาของจางเซวียน
เข้าไป เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากถอย
"อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจถึงขนาดปรับหยวิ๋นเทาตก
และไล่เขาออกไป?
จางเซวียนรุกต่ออย่างเหี้ยมโหด
ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!
เจอถ้อยคำทิ่มแทงบาดหูแบบนั้น นักฝึกอสูรหงก็ถึง
กับหมดสภาพ ต้องถอยอีกครั้งหนึ่ง
หอสมุดเทียบฟ้าได้ประมวลเรื่องของนกกระจอก
สายฟ้าบรรพกาลไว้ตั้งแต่ตอนที่จางเซวียนทุบมันสลบ
ด้วยรายละเอียดที่ระบุไว้ในหนังสือ เขาจึงรู้ข้อเท็จจริง
ทั้งหมด
ถ้ากรรมการประเมินหยวิ๋นเทาอย่างถูกต้อง เขาคง
ไม่ต้องทำแบบนี้
แต่ว่า...เมื่อจางเซวียนชี้ข้อบกพร่องให้เขา เขากลับ
เป็นเดือดเป็นแค้นไปใหญ่โต ถึงกับรวบรวมพลังปราณ
และเรียกอสูรของตัวเองออกมา ตั้งใจจะเอาเรื่องจางเซวี
ยนให้ได้!
ในเมื่อจางเซวียนก็เป็นนักรบทงฉวนขั้นสูงสุด เขา
จึงไม่จำเป็นต้องกลัวอีกฝ่าย แต่ถ้าวรยุทธของเขาต่ำกว่า
นี้ ก็มีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บรุนแรงได้เหมือนกัน
ก็ในเมื่ออีกฝ่ายทำกับเขาแบบนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่
จางเซวียนจะต้องใช้ไม้นวมกับเขา
“มันเป็นความโง่เง่าของผมเอง...”
นักฝึกอสูรหงหน้าตาหมองคล้ำ
อีกฝ่ายพูดได้ถูกต้องตรงเผง ต่อให้เขาอยากเถียง ก็
ไม่มีอะไรให้เถียงได้
“ในฐานะผู้ให้คะแนน คุณตัดสินหยวิ๋นเทาด้วย
อารมณ์ ไม่สามารถรักษาความเป็นกลางได้ สิ่งที่คุณทำ
ลงไปเกือบจะทำให้นักฝึกอสูรผู้เก่งกาจถึงขนาดสามารถ
จับอสูรดึกดำบรรพ์ได้ต้องถูกฝังจมดิน!”
จางเซวียนสะบัดแขนเสื้อ “นี่คือวิธีการของดงอสูร
หรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมพูดผิดหรือเปล่าที่บอกว่านักฝึก
อสูรล้วนแต่งี่เง่าไร้ค่า?”
“เอ่อ...”
เจอคำถามตอกหน้าเข้าไป นักฝึกอสูรหงถึงกับตัว
สั่น แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาโมโห
เดือดจนแทบจะระเบิดออกมา แต่เมื่อได้รู้ว่าตัวเองเกือบ
จะผลั ก ไสนั ก ฝึ ก อสู ร ผู้ เ ก่ ง กาจถึ ง ขนาดจั บ อสู ร
ดึกดำบรรพ์ได้ให้ออกไป เขาก็ได้แต่นิ่งและยอมรับคำติ
เตียนของจางเซวียน
วัตถุประสงค์ของการทดสอบก็เพื่อคัดเลือกคนรุ่น
ใหม่ให้มาที่ดงอสูร การผลักไสอัจฉริยะออกไปแบบนั้นก็
เท่ากับสร้างความเสียหายให้ดงอสูรทีเดียว
“ได้โปรดใจเย็นก่อน อสูรดึกดำบรรพ์มีจำนวนสปีชี
ส์นับไม่ถ้วน และข้อมูล 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ก็ได้เลือน
หายไปกับกาลเวลา ขนาดดงอสูรก็ยังไม่สามารถรวบรวม
รายการของพวกมันทั้งหมดได้ ก็เป็นธรรมดาที่จะต้อง
เกิดความผิดพลาด!”
หัวหน้าเฟิงเดินเข้ามายิ้มให้ “เอาอย่างนี้นะ ในเมื่อ
มันเป็นความผิดพลาดจากดงอสูรของเรา เราจะไม่ปัด
ความรับผิดชอบ เราจะให้โอกาสหยวิ๋นเทาเข้าสอบอีก
ครั้งหนึ่ง! ส่วนนักฝึกอสูรหง ด้วยความเบาปัญญาของ
เขา เขาจะถูกส่งไปยังป่าดงดิบเพื่อดูแลอสูร และจะออก
จากที่นั่นไม่ได้เป็นเวลา 3 ปี!”
เมื่อพูดจบ เขาหันไปมองนักฝึกอสูรหงและเอ่ยถาม
“นักฝึกอสูรหง คุณยอมรับบทลงโทษของคุณหรือไม่?”
“ผมยอมรับ!” นักฝึกอสูรหงก้มคำนับอย่างสิ้นหวัง
“ส่งนักฝึกอสูรหงเข้าป่าดงดิบตั้ง 3 ปีเพราะเรื่อง
แค่นี้? แถมออกมาไม่ได้ด้วย?”
“มันไม่...รุนแรงไปหน่อยหรือ?”
“ป่าดงดิบเป็นสถานที่เพาะพันธุ์อสูร ไม่ต่างอะไร
กับเล้าหมู ปกติก็มีแต่ผู้ช่วยที่ไปที่นั่น แต่นี่...นักฝึกอสูร
ระดับ 1 ดาวต้องไปอยู่ตั้ง 3 ปี เป็นบทลงโทษที่รุนแรง
จริงๆ!”
ได้ยินแบบนั้น ทุกคนถึงกับอึ้ง จากนั้นก็หันไปมอง
จางเซวียนอย่างยำเกรง
นั่นนักฝึกอสูรหงนะ! ถ้าไม่นับนักฝึกอสูรระดับ 2
ดาว เขาก็เป็นคนที่มีเกียรติที่สุดในดงอสูรแห่งนี้ แต่ด้วย
คำพูดไม่กี่คำ ชายหนุ่มคนนี้ก็เตะโด่งให้เขาต้องไปอยู่ใน
ป่าดงดิบเพื่อทำงานแบกหาม แถมยังออกมาไม่ได้ตั้ง 3 ปี
ทั้งความสามารถและวิธีการของเขาช่างน่ายำเกรงจริงๆ!
ขณะที่ ทุ ก คนจ้ อ งมองจางเซวี ย นอย่ า งพรั่ น พรึ ง
จางเซวียนก็แอบส่งโทรจิตหาเสิ่นปี้หรู
“เอ่อ... ไอ้ป่าดงดิบนี่เป็นอย่างไร? หมอนั่นถูก
ลงโทษรุนแรงไหม?”
“....” เสิ่นปี้หรูตาเบิกโพลงและหน้าตายู่ยี่ อยากจะ
เป็นบ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ตอนที่ 245 การท้าทายของโม่หยู่

เสิ่นปี้หรูยิ่งสับสนในตัวชายหนุ่มตรงหน้ามากกว่า
เดิม
ป่าดงดิบคือสถานที่พักพิงของบรรดาอสูร เป็นพื้นที่
รกรุงรังและเลอะเทอะเปรอะเปื้อน การให้อาหารอสูรก็
เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่ต้องไปเช็ดอึ อาบน้ำ แปรงขนให้
พวกมัน...สำหรับนักฝึกอสูรอย่างเป็นทางการที่ต้องไป
ตกอับอยู่ในสถานที่แบบนั้น ถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรง
มาก
นักฝึกอสูรทุกคน แม้จะเป็นเพียงผู้ช่วยก็รู้จักที่นั่นดี
แต่จางเซวียนถามเธอว่าที่นั่นเป็นสถานที่ชนิดไหน
และบทลงโทษนั้นจัดว่ารุนแรงหรือเปล่า...
นี่ล้อฉันเล่นใช่ไหม?
ถ้าคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกอสูรเลยก็เป็นเรื่อง
หนึ่ง แต่นี่ คุณจับได้ทั้งเสือดำเกราะทองและนกกระจอก
สายฟ้าบรรพกาล ทั้งยังยกระดับวรยุทธให้มันด้วย...แถม
ยังรู้วิธีแยกแยะอสูรดึกดำบรรพ์ ทั้งที่หัวหน้าเฟิงกับคน
อื่นๆก็ยังทำไม่ได้...
คุณรู้จักอสูรดึกดำบรรพ์ที่หายากถึงขนาดที่หัวหน้า
เฟิงก็ยังไม่รู้จัก แต่เรื่องพื้นๆแค่นี้กลับไม่รู้...
ถ้าเป็นคนอื่น เธอจะต้องคิดว่าเขาจงใจหาเรื่องมา
สานต่อบทสนทนากับเธอ เพื่อจะหาเรื่องทำคะแนน แต่
กลับจางเซวียน เสิ่นปี้หรูรู้ว่าชายคนนี้ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ!
เพราะว่า... ต่อให้เขาไม่พูดอะไรออกมา เธอก็ยิ่ง
กว่าเต็มใจจะหาเรื่องมาสนทนากับเขา!
“ป่าดงดิบคือ...”
พยายามข่มอาการหายใจหายคอไม่ออกที่รู้สึกเอา
ไว้ เสิ่นปี้หรูอธิบายเรื่องป่าดงดิบให้เขาฟัง และอดถาม
คำถามสุดท้ายไม่ได้ “นี่คุณไม่รู้เรื่องการฝึกอสูรเลยจริงๆ
หรือ?”
“ใช่!” จางเซวียนพยักหน้า
แม้จะมีเรื่องนักฝึกอสูรอยู่ในหอสมุดพระราชวัง แต่
ก็มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยและไม่ปะติดปะต่อ ไม่มีอะไรที่จะ
หยิบยกมาใช้ได้เลย เหตุผลที่จางเซวียนยกระดับวรยุทธ
ให้เสือดำเกราะทองและนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาลได้ก็
เพราะหอสมุดเทียบฟ้าและปราณบริสุทธิ์ของเขา...
เอาจริงๆ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกอสูรเลย
“จริงๆ!”
เห็นอีกฝ่ายยืนยันเป็นมั่นเหมาะ เสิ่นปี้หรูก็ไม่รู้จะ
พูดอะไร
ขนาดไม่รู้อะไรเลย คุณก็ยังจับอสูรได้ แถมยังทำให้
หัวหน้าเฟิงถึงกับลงโทษนักฝึกอสูรคนดัง และนักฝึกอสูร
อีก 4 คนต้องใบ้กิน...
แล้วถ้าคุณรู้เรื่องการฝึกอสูรขึ้นมา จะไม่คว่ำดง
อสูรทั้งดงเลยหรือ?
คุณบอกว่าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับค่ายกล แต่ก็มอง
เห็นข้อบกพร่องทั้งหมดของค่ายกลพันธนาการไม้เขียว
คุณบอกว่าไม่รู้อะไรเลยเรื่องการฝึกอสูร แต่ก็จับอสูรได้
แบบง่ า ยๆ...พี่ ช าย, จะช่ ว ยสอนหน่ อ ยได้ ไ หมว่ า ทำ
อย่างไรฉันถึงจะไม่รู้อะไรเลยได้เหมือนคุณ?
เสิ่นปี้หรูหายใจหายคอไม่ออก อยากกระอักเลือด
เต็มที ส่วนหยวิ๋นเทาก็ตื่นเต้นจนแทบจะคลั่ง
หลังจากที่ถูกนักฝึกอสูรหงตัดสิน เขาคิดว่าวันนี้คง
ต้องออกจากดงอสูรไปด้วยความผิดหวังเสียแล้ว แต่ผู้
อาวุโสจางเซวียนก็แก้ปัญหาให้เขาได้ด้วยคำพูดแค่สอง
สามคำ
ที่สำคัญกว่านั้น เจ้านกประหลาดตัวนี้เป็นอสูรดึก
ดำบรรพ์จริงๆ นกกระจอกสายฟ้าบรรพกาล!
ในฐานะผู้ช่วยนักฝึกอสูร เขารู้ดีว่าสายเลือดของ
อสูรดึกดำบรรพ์มีค่าขนาดไหน ถึงจะไม่เท่าเมืองทั้งเมือง
แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันเท่าไรนัก
ผู้อาวุโสจางเซวียนรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเจ้านก
ประหลาดตัวนี้ แต่ก็ยังให้โอกาสเขา ให้เขาได้จับมัน...
“เมื่อการสอบเสร็จสิ้น เราจะหาทางทำลายสัญญา
ให้ได้...”
หยวิ๋นเทาตัดสินใจ
ถึ ง การมี อ สู ร ดึ ก ดำบรรพ์ ไ ว้ ใ นครอบครองจะเป็ น
เรื่องยิ่งใหญ่ แต่ด้วยพละกำลังที่เขามีอยู่ตอนนี้ ไม่มีทาง
ที่เขาจะควบคุมหรือปกป้องมันได้เลย
อีกอย่าง เจ้านกดึกดำบรรพ์ตัวนี้ก็สนิทชิดเชื้อกับผู้
อาวุโสจางเซวียนมากกว่าเขา หลังการสอบเสร็จสิ้น เขา
จะทำลายสัญญาและอนุญาตให้มันไปอยู่กับเจ้าของที่แท้
จริง
ถ้าจางเซวียนรู้ความคิดนี้ คงได้แต่ยิ้มและส่ายหน้า
ก็ ถ้ า จะว่ า กั น ตามตรง เขาไม่ ไ ด้ ส นใจอสู ร
ดึกดำบรรพ์เลยสักนิด
ด้วยการมีเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและพลังปราณเทียบ
ฟ้าอยู่ในครอบครอง ประกอบกับระดับวรยุทธที่สูงขึ้น
แล้ว จางเซวียนสามารถจะชำระสายเลือดของอสูรตัว
ไหนก็ได้ที่เขาพอใจ ตราบใดที่มีเวลามากพอ เขาก็
สามารถเปลี่ ย นอสู ร ธรรมดาสามั ญ ให้ ก ลายเป็ น อสู ร
ดึกดำบรรพ์ได้!
ที่ ส ำคั ญ กว่ า นั้ น ถึ ง สายเลื อ ดของนกกระจอก
สายฟ้าบรรพกาลจะน่าทึ่งอย่างไร มันก็ตัวเล็ก ไม่เพียง
แต่จางเซวียนจะขี่มันไม่ได้ แต่มันยังจะเกาะไหล่เขาทั้ง
วันอีกด้วย ดังนั้น สำหรับจางเซวียน มันไม่มีค่ากับเขา
เลย
ถ้ามันเป็นสัตว์ปีกดุร้ายยุคก่อนดึกดำบรรพ์ จางเซวี
ยนคงจะชายตามองบ้าง แต่สำหรับเขา การจับอสูร
ดึกดำบรรพ์มาได้สักตัวหนึ่ง พามันไปทุกหนทุกแห่ง ฝึก
วรยุทธให้มัน ทำสัญญากับมัน และเรื่องจุกจิกจิปาถะอีก
มากมาย แค่คิดก็ปวดหัวหนัก...ไม่เอาดีกว่า
หัวหน้าเฟิงจัดการทดสอบเป็นพิเศษให้กับหยวิ๋น
เทา จางเซวียนรู้ว่าเจ้าอสูรดึกดำบรรพ์ตัวนี้ยอมจำนน
อย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงไม่มีข้อสงสัยเรื่องความภักดีของมัน
อีก เขาจึงขี้คร้านจะนั่งดู
เขายืดหลังตรงและกำลังครุ่นคิดเรื่องการเดินทาง
ไปอาณาจักรเทียนหวู่เพื่อตามหาห้องโถงแห่งยาพิษ ก็
พลันได้กลิ่นหอมอ่อนๆเตะจมูก เรือนร่างงดงามร่างหนึ่ง
ปรากฏตรงหน้าเขา ในดวงตาคู่นั้นมีความเย่อหยิ่งและ
การปฏิเสธที่จะยอมจำนน
“คุณรู้จักนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาลด้วย ช่าง
รอบรู้จริงๆ คุณต้องเป็นนักฝึกอสูรแน่!”
โม่หยู่ผู้เป็นอัจฉริยะ
ตอนที่เธอได้เกรด 1 เธอก็น่าจะเป็นคนเดียวที่ได้รับ
ความชื่นชมจากคนอื่นๆ แต่ชายหนุ่มคนนี้แย่งซีนความ
โดดเด่นของเธอไปหมด ทำให้เธออดสนใจเรื่องราวของ
เขาไม่ได้
ตั้งแต่เกิดมา ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ทั้งอาชีพหรือการ
ฝึกวรยุทธ เมื่อเธอจดจ่อมุ่งมั่นกับมันแล้วก็จะทำได้โดด
เด่นกว่าคนอื่นเสมอ เธอคิดว่าครั้งนี้ก็ต้องเหมือนกับทุก
ครั้งที่ผ่านมา เธอคงจะได้เป็นที่ 1 ในการทดสอบเข้าเป็น
นักฝึกอสูร แต่เท่าที่ดูตอนนี้คงจะเป็นไปไม่ได้
ถึงนกอินทรีสีเขียวอ่อนที่มีวรยุทธขั้นทงฉวนจะไม่
ได้อ่อนแอ แต่ก็ยังห่างไกลนักกับอสูรดึกดำบรรพ์
หลังจากได้ใช้เวลาหลายวันอยู่ใกล้หยวิ๋นเทา เธอรู้
ว่าไม่มีทางที่เขาจะเก่งกาจถึงขั้นจับอสูรดึกดำบรรพ์ได้
เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะมีผู้ช่วย และผู้ช่วยคนนั้นก็คงจะ
เป็นชายหนุ่มหน้าตาพื้นๆที่อยู่ตรงหน้าเธอ
“ผมไม่ได้เป็นนักฝึกอสูร!” จางเซวียนชำเลืองมอง
อีกฝ่ายและส่ายหน้า
“ไม่ได้เป็น? แล้วคุณรู้จักนกกระจอกสายฟ้าบรรพ
กาลได้อย่างไร? แถมยังจับเสือดำเกราะทองได้ด้วย ยังไม่
ต้องพูดถึงการที่คุณสนิทชิดเชื้อกับเจ้านกนั่นด้วยนะ?”
โม่หยู่ตาเขียวขึ้นมาแวบหนึ่ง
เธอเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ จึงเป็นธรรมดาที่จะมี
สายตาเฉียบแหลม เห็นกันชัดๆ ว่าเขาสนิทชิดเชื้อกับเจ้า
เสือดำเกราะทองและนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาล แทบ
ไม่อยากเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นนักฝึกอสูร
“อ๋อ นั่นอาจจะเป็นโชคดีของผม” จางเซวียนตอบ
ง่ายๆ
ถ้าเป็นคนอื่น คงพยายามสุดตัวที่จะพะเน้าพะนอ
เธอในฐานะองค์หญิงที่ 3 ผู้ปราดเปรื่องแห่งอาณาจักร
เทียนหวู่ แต่จางเซวียนแทบไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
“โชคดี?”
โม่หยู่ชะงัก
การฝึกอสูรคือการทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างความคุ้น
เคยกับอสูร ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล โชคดีหรือ...โชคดี
บ้าบออะไรกัน?
เวลาที่คนอื่นพูดกับเธอ พวกเขาจะพยายามทำตัว
รอบรู้แบบสุดขีด พูดจาเกินจริงมากมาย และสรรหาคำ
พูดสวยงามต่างๆนานาเพื่อทำให้เธอประทับใจ
แต่ชายหนุ่มคนนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมบอกอะไร
เธอเลย ยังไม่เต็มใจแม้แต่จะพยายามหาข้อแก้ตัวที่ฟัง
ขึ้น...
โชคดี... ถ้าแค่มีโชคดีก็ทำให้จับอสูรได้ แล้วใครจะ
ยอมมอบกายถวายชีวิตเพื่อให้ได้เป็นนักฝึกอสูรกันเล่า?
เธอคาบช้อนเงินช้อนทองออกมา ทุกคนพูดจากับ
เธอด้วยความเคารพ ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้
โม่หยู่ไม่พอใจ
เห็นองค์หญิงที่ 3 ผู้สูงส่งแห่งอาณาจักรเทียนหวู่ถึง
กับของขึ้นเพราะจางเซวียน เสิ่นปี้หรูได้แต่ส่ายหน้า
ครั้งแรกที่เธอพูดกับเขา เธอก็โมโหจนแทบคลั่ง
เหมือนกัน
ตอนนี้เริ่มชินแล้ว ก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แค่ช็อกสอง
สามครั้งและรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าทุกวันก็เท่านั้น อย่าง
น้อยที่สุด เธอก็พอจะรับฟังคำพูดของเขาได้
การคุยกับจางเซวียนโดยไม่รู้จักอารมณ์และบุคลิก
ของเขา ก็เท่ากับฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง
โม่หยู่คุณเสิ่นไม่รู้เรื่อง ‘อดีตอันรุ่งโรจน์’ ของจางเซ
วียน เธอสูดหายใจลึกๆสองสามครั้งเพื่อระงับอารมณ์
จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งผยอง
“ในเมื่อคุณไม่เต็มใจจะพูดถึง ฉันก็จะไม่บังคับ แต่
การทำให้อสูรเต็มใจยอมจำนนได้แบบนั้น คุณจะต้องมี
ความสามารถ! เอาอย่างนี้ไหม ทำไมเราไม่แข่งกัน? ถ้า
ฉันชนะ คุณจะต้องบอกฉันว่าคุณใช้วิธีไหนจับเจ้านก
กระจอกสายฟ้าบรรพกาล และเอาชนะใจมันได้อย่างไร!
ถ้าคุณชนะ ฉันจะมอบตราหยกเพื่อเข้าฟังการชี้แนะจาก
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวเจียงสู่ให้คุณ!”
“ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว เจียงสู่?”
“ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นปรมาจารย์ที่เก่งกาจที่สุดใน
อาณาจักรเทียนหวู่ คือระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด เขาเป็นผู้
ดูแลสภาปรมาจารย์ของอาณาจักรเทียนหวู่ด้วย ตรา
หยกของเขานั้นตีราคาเป็นตัวเงินไม่ได้ ถึงมันจะใช้ได้แค่
2 ชั่วโมงก็เถอะ!”
“ก็ของแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้เงินซื้อกันได้ ถ้าฉันได้
มันมานะ ฉันคงสำเร็จขั้นทงฉวนหรือสูงกว่านั้นไปแล้ว!”
“ถ้าจะใช้ตราหยกนี้เพื่อไต่ไปขั้นทงฉวน ก็เสียดาย
ของเปล่าๆ อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะใช้มันตอนกำลังจะก้าว
ขึ้ น ถึ ง ขั้ น กึ่ ง จงซรื อ ต้ อ งแบบนั้ น แหละถึ ง จะคู่ ค วร
หน่อย!”
.....
ผู้คนมากมายที่อยู่บริเวณนั้นต่างหันมาสนใจโม่หยู่
คุณเสิ่น เมื่อเห็นเธอเปิดฉากสนทนากับเขา ทุกคนก็ตั้งใจ
ฟังทันที พอได้ยินแบบนั้น ต่างก็ตื่นเต้นจนนัยน์ตาเป็น
ประกายและหายใจถี่กระชั้น
ถึงจะมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมง แต่ตราหยกเพื่อเข้ารับฟัง
การสอนจากปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวเป็นสิ่งที่ผู้คน
มากมายเฝ้าฝันถึง
มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้นั้นจะฝ่าขีดจำกัดของตัวเอง
เพื่อเข้าถึงวรยุทธขั้นสูงกว่าได้
ไม่มีใครยอมพลาดโอกาสจากข้อเสนอที่เย้ายวนใจ
ขนาดนี้
ทุกคนคิดว่าชายหนุ่มคนนั้นคงรีบตกลงทันที แต่
จางเซวียนกลับส่ายหน้าและตอบว่า “ผมไม่สน!”
หลั ง จากที่ ป ลอมตั ว เป็ น ปรมาจารย์ ม าระยะหนึ่ ง
และได้สนทนากับปรมาจารย์หลิวและคนอื่นๆ จางเซวีย
นรู้แล้วว่าตราหยกสำหรับเข้ารับฟังการชี้แนะคืออะไร
และมีไว้ทำอะไร
อีกอย่าง วรยุทธของเขาก็ขึ้นอยู่กับจำนวนหนังสือ
ในหอสมุดที่เขามี เขาไม่ต้องการคำชี้แนะจากคนอื่น
ต่อให้เป็นตราหยกของปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวหรือ
4 ดาว ก็ไม่เย้ายวนใจเขาเลยสักนิด
ถึงพวกเขาจะรอบรู้ขนาดไหน ก็จะมารอบรู้กว่าหอ
สมุดเทียบฟ้าได้อย่างไร?
ไม่ มี สิ่ ง ใดที่ จ ะถู ก ปกปิ ด จากสวรรค์ ไ ด้ ต่ อ ให้
ปรมาจารย์ระดับ 7 ดาวหรือ 8 ดาว ก็ยังมีค่าไม่เทียบ
เท่าหอสมุดเทียบฟ้า
“ไม่สนใจ? คุณคิดดีแล้วหรือ...”
ด้วยเดิมพันสูงขนาดนี้ โม่หยู่คิดว่าจางเซวียนจะ
ต้องรีบตอบรับ แต่เมื่อได้ยินคำตอบก็ถึงกับผงะ เธอกำลัง
จะอ้าปากพูด เมื่อคริสตัลวัดใจเรืองแสงขึ้นมา หยวิ๋นเทา
สอบเสร็จแล้ว ตัวเลขที่ลอยขึ้นมาบนผิวหน้าของคริสตัล
อย่างช้าๆคือ...
40!
“ฮะ? ระดับความภักดี 40? นี่มัน... การฝึกให้เชื่อง
ขั้นสูง?”
หัวหน้าเฟิงถึงกับผงะ เขาลุกพรวดและจ้องมอง
อย่างไม่เชื่อสายตา
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ทั้งห้องก็ชุลมุน ขนาดโม่หยู่ก็
ยังอึ้งไป
ลำดับขั้นของการฝึกอสูรนั้นสามารถแบ่งออกเป็น
การฝึกให้เริ่มเชื่อง การฝึกให้เชื่องขั้นสูง และการยอม
จำนนอย่างสมบูรณ์
สำหรับการฝึกให้เริ่มเชื่อง ระดับความภักดีของอสูร
จะอยู่ระหว่าง 15 ถึง 30 ในขั้นนี้ นักฝึกอสูรจะสามารถ
เรียกให้อสูรมาหาได้โดยง่าย และมันก็จะตามเขาต้อยๆ
เหมือนกับสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง
สำหรับการฝึกให้เชื่องขั้นสูง ระดับความภักดีของ
อสูรจะอยู่ระหว่าง 31 ถึง 45 ในขั้นนี้ นักฝึกอสูรกับอสูร
จะทำสัญญาต่อกัน ทั้งคู่จะสามารถใช้โทรจิตสื่อสารกัน
ได้
ส่ ว นขั้ น ที่ สู ง ขึ้ น ไปอี ก คื อ การยอมจำนนอย่ า ง
สมบูรณ์ ระดับความภักดีของอสูรจะอยู่ที่ 45 ขึ้นไป โดย
ปกติจะต้องใช้เวลาสร้างความคุ้นเคยหลายปีกว่าทั้งสอง
ฝ่ายจะมาถึงขั้นนี้ ทั้งคู่จะสามารถฝึกวรยุทธแบบเดียวกัน
และพัฒนาไปด้วยกันได้
สำหรับอสูรดึกดำบรรพ์ แค่ฝึกให้มันเริ่มเชื่องได้ก็
ถือว่าน่าทึ่งแล้ว แต่ระดับความภักดีของเจ้านกประหลาด
กลับขึ้นไปถึง 40 นั่นหมายความว่ามันมากกว่าการติด
ตามหยวิ๋นเทา แต่ทั้งคู่ได้ทำสัญญาต่อกันแล้ว!
ว่าแต่...มันเป็นไปได้อย่างไร?
“คุณ...ทำได้อย่างไรกัน?”
หัวหน้าเฟิงอดถามไม่ได้
“เอ่อ...” หยวิ๋นเทาอ้ำอึ้ง
“ผมเข้าใจว่าคุณคงไม่สะดวกใจที่จะบอก ไม่ต้อง
กังวลหรอก!” เห็นท่าทีของเขา หัวหน้าเฟิงก็รู้ว่ามันคง
เป็นความลับ เขาจึงรีบพูดเสริมไป
“ไม่ใช่อย่างนั้น อันที่จริง...” หยวิ๋นเทาเกาหัว “มัน
คือการลงแรงของผู้อาวุโสจางเซวียน เขาทุบเจ้านก
กระจอกดึกดำบรรพ์นั่น แล้วมันก็ยอมจำนนทันที...”
ตอนที่ 246 คุณจะเข้าสอบเป็นนักฝึกอสูรไหม?

“ทุบมัน?”
ทุกคนอึ้งตะลึง หัวหน้าเฟิงแทบลมจับ
นี่คืออสูรดึกดำบรรพ์ ทั่วทั้งเทือกเขาเชียนหลัวนี้
อาจจะไม่มีตัวที่สองแล้ว มันล้ำค่าขนาดนั้น ทุกคนพร้อม
จะพลีกายเพื่อเอาใจมัน แต่นี่...ทุบมันเหรอ?
อีกอย่าง ในการฝึกอสูร นักฝึกอสูรจะต้องสร้าง
ความรู้สึกที่ดีกับมัน การทำร้ายมันจะทำให้มันยอมจำนน
อย่างไม่เต็มใจ เมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาทุกรูปแบบก็จะ
ค่อยๆโผล่ขึ้นมา
แต่ . ..ถ้ า จางเซวี ย นใช้ วิ ธี ก ารรุ น แรงบั ง คั บ ให้ น ก
กระจอกสายฟ้าบรรพกาลยอมจำนนต่อหยวิ๋นเทาจริงๆ
แล้วทำไมระดับความภักดีของมันถึงอยู่ที่ 40?
มีคนที่ใช้กำลังบังคับให้อสูรยอมจำนนต่อพวกเขา
ได้จริง แต่ถึงจะทำสัญญากันแล้ว ระดับความภักดีของ
อสูรเหล่านั้นก็มากที่สุดได้แค่ 31
ระดับความภักดีที่ 40 นั้นหมายความว่าอสูรเต็มใจ
จะติดตามเจ้านายของมันจริงๆ ไม่มีความระแวงแคลงใจ
แม้แต่น้อย
“เป็นไปได้ไหมว่า...สำหรับอสูรดึกดำบรรพ์ ต้องใช้
วิธีการแบบนั้น?”
หัวหน้าเฟิง นักฝึกอสูรลู่ และนักฝึกอสูรหวังมอง
หน้ากันอย่างงุนงง
ในดงอสูร ไม่เคยมีใครจับอสูรดึกดำบรรพ์ได้มาก่อน
ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าควรใช้วิธีไหน แต่ถึงอย่างนั้นทุกคน
ก็คิดว่าการจับอสูรดึกดำบรรพ์ก็ควรจะใช้วิธีการเดียวกับ
อสูรทั่วไป คือดูแลมันด้วยความเอาใจใส่ สร้างความเป็น
มิตร ทำความคุ้นเคยกับมันก่อนจะพยายามจับมันให้
ได้...กุญแจของการฝึกพวกมันให้เชื่องคือความรุนแรง
จริงๆหรือ?
“เอ่ อ ... แล้ ว ผู้ อ าวุ โ สจางเซวี ย นที่ คุ ณ พู ด ถึ ง อยู่
ที่ไหน เราไปขอพบเขาได้หรือไม่?”
ขนาดใคร่ครวญแล้ว หัวหน้าเฟิงก็ยังไม่เข้าใจ เขา
จึงถามหยวิ๋นเทาถึงที่อยู่ของจางเซวียน
จากที่ได้ฟัง ผู้อาวุโสที่หยวิ๋นเทาพูดถึงคงจะเป็นนัก
ฝึกอสูรตัวฉกาจที่มีความรู้เรื่องอสูรดึกดำบรรพ์อย่างลึก
ซึ้ง
“ขอเข้าพบ? ไปทำไม? ผู้อาวุโสจางเซวียนอยู่นี่...”
ฟังหัวหน้าเฟิงพูด หยวิ๋นเทาก็งง พอหายงงเขาก็ชี้
ไปที่จางเซวียน
“เขาคือ...ผู้อาวุโสจางเซวียน?”
หั ว หน้ า เฟิ ง งุ น งงงอย่ า งหนั ก เขาคิ ด ว่ า ตั ว เอง
ตาฝาด
ในเมื่อหยวิ๋นเทาอายุ 27 ปีและเป็นถึงองค์ชายของ
อาณาจักรฮ่านอู่ การที่เขาเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสก็แปล
ว่าฝ่ายนั้นน่าจะมีอายุ 50 ถึง 60 ปีเป็นอย่างน้อย แต่
กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งพูดถึงนกกระจอกสายฟ้าดึก
บรรพกาล ซึ่งยังอายุไม่ถึง 20 เสียด้วยซ้ำ...
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสยังเด็กก็จริง แต่ความสามารถใน
การฝึกอสูรนั้นน่าทึ่งสุดๆ คุณเห็นเสือดำเกราะทองที่อยู่
ข้างตัวเขาไหม? มันเป็นอสูรที่เขาเพิ่งจับได้ นับจากตอน
ที่เขาเห็นมัน แค่10 นาทีผ่านไปก็เรียบร้อย”
หยวิ๋นเทากลัวว่าหัวหน้าเฟิงจะไม่เชื่อถือในตัวจาง
เซวียน เขารีบเพิ่มคำเยินยอจางเซวียนเข้าไป
“จั บ เสื อ ดำเกราะทองได้ อ ยู่ ห มั ด ...ภายใน 10
นาที?”
“นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า?”
“ถึงคุณอยากจะพูดพล่าม ก็ควรจะมีขอบเขตบ้าง
แค่การฝึกให้เริ่มเชื่องก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ถึง 5
วัน นี่มาบอกว่าเขาจับมันได้ภายใน 10 นาที?”
“ทำไมมันดูตลกขนาดนี้?”
....
หยวิ๋นเทาไม่ได้ออมเสียงเลย ทุกคนในห้องจึงได้ยิน
ที่เขาพูดอย่างชัดเจน ต่างมองหน้ากันอย่างจนปัญญา
ทั้งโม่หยู่ โจวชวน และคนอื่นๆ ต่อให้องครักษ์ของ
พวกเขาก็ยังรู้ว่าการจับอสูรนั้นยากเย็นแค่ไหน
เพราะจะต้องทำความเข้าใจสภาพร่างกาย นิสัย
ใจคอ ความชอบและไม่ชอบของมันก่อน...
เมื่อรู้จักมักคุ้นกับข้อมูลเหล่านั้นดีทุกด้านแล้ว จึง
จะวางแผนเพื่อจับอสูรตัวนั้นได้ และก็ต้องทำอย่างนุ่ม
นวล เพื่อไม่ให้อสูรเกิดความไม่พอใจ...และต่อให้เตรียม
การล่วงหน้าเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว การจับอสูรให้อยู่หมัด
ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายเดือน สิบนาที...นี่กำลัง
หลอกใครกัน?
ด้วยเวลาแค่ 10 นาที ขนาดลูกหมายังไม่ยอมตาม
คุณกลับบ้านเลย นับประสาอะไรกับอสูรขั้นพี่เชวี่ย
โม่หยู่คุณเสิ่นจ้องชายหนุ่มที่เพิ่งปฏิเสธเธออย่างไม่
เชื่อสายตา
ทำให้อสูรเชื่องได้ ใน 10 นาที?
ถ้ามันเป็นเรื่องจริง การที่เธอยื่นคำท้าเขาก็เท่ากับ
ฆ่าตัวตาย!
แค่นกอินทรีสีเขียวอ่อนตัวนี้ เธอยังต้องเตรียมการ
ล่วงหน้าถึง 2 เดือน และใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะทำให้มัน
เชื่องได้
“เขาจับเจ้าเสือดำเกราะทองในเวลาสั้นขนาดนั้นได้
อย่างไร? เขาใช้วิธีไหน? ใช้ตัวเมียมาดึงดูดใจหรือเปล่า?
หรือยั่วยุความตะกละของมัน? หรือใช้พลัง...หรือวิธีการ
เฉพาะอย่างอื่น?”
นักฝึกอสูรลู่อดตั้งคำถามไม่ได้ เขาร่ายยาวถึงวิธีฝึก
อสูรออกมามากกว่า 10 วิธี
“ไม่ใช่หรอก พวกนั้นเป็นวิธีการพื้นๆและใช้เวลา
นาน ผมคิดว่าเขาน่าจะใช้หลายวิธีการพร้อมๆกัน น่าจะ
เริ่มด้วยการดึงดูดความสนใจของเจ้าอสูรในระยะเวลา
อันสั้น ก่อนจะทลายเกราะป้องกันตัวของมันทีละน้อย
เพิ่ ม ความสนิ ท ชิ ด เชื้ อ ระหว่ า งตั ว เขากั บ มั น อย่ า ง
รวดเร็ว...”
หัวหน้าเฟิงพูด
“แต่ว่า มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่เขาจะใช้หลายวิธีกา
รพร้อมๆกันภายในเวลาแค่ 10 นาที ถ้าให้ผมเดา เขาน่า
จะใช้วิธีการเดียวที่มันทรงพลัง...” นักฝึกอสูรลู่ส่ายหน้า
ทั้งคู่อุทิศทั้งชีวิตให้กับศาสตร์ของการฝึกอสูร และ
ความรู้เรื่องการฝึกอสูรก็ซึมซาบเข้าไปในจิตวิญญาณ
ของพวกเขา เมื่อได้ยินว่ามีใครคนหนึ่งสามารถจัดการกับ
อสูรได้อยู่หมัดภายในระยะเวลาอันสั้นมาก คำถามแรก
ของพวกเขาก็คือ ฝ่ายนั้นใช้วิธีการใดถึงทำได้สำเร็จ
“แค่ก แค่ก หัวหน้าเฟิง นักฝึกอสูรลู่ ผู้อาวุโสจาง
เซวียน...ไม่ได้ใช้วิธีพวกนั้นเลย!”
เขาได้ยินการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของทั้งคู่ซับ
ซ้อนยิ่งขึ้นทุกที และทฤษฎีมากมายก็ถูกดึงเข้ามาสนับ
สนุนความเห็นของแต่ละคน หยวิ๋นเทาจึงอดเบรคไม่ได้
“เขาไม่ได้ใช้วิธีพวกนั้นเลยหรือ? เป็นไปได้ไหม
ว่า...เขาใช้วิธีการฝึกอสูรแบบใหม่?”
ทั้งคู่ตาโต
วิธีการฝึกอสูรแบบใหม่ ก็เหมือนกับการเกิดขึ้นของ
เทคนิคการหลอมยาแบบใหม่ มันจะก่อให้เกิดความสั่น
สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างยิ่งใหญ่ และผู้คิดค้นมันก็จะได้ฝาก
ชื่อของเขาไว้ในประวัติศาสตร์
ถ้ามีวิธีการที่ทำให้จับอสูรขั้นพี่เชวี่ยได้ภายใน 10
นาทีจริงๆ ก็จะถือเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ของการฝึกอสูร
“มันไม่ใช่วิธีใหม่หรอก แต่...” หยวิ๋นเทาเกาหัว ถึง
ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกงงงันกับมันอยู่ “ผู้อาวุโสจางจัดการ
เจ้าเสือดำเกราะทองเสียน่วม จากนั้น...มันก็ยอมจำนน
ต่อเขา!”
“ฮะ!”
“จัดการมันเสียน่วม?”
หัวหน้าเฟิงและคนอื่นๆงงงันถึงขั้นสุด
วิธีการของจางเซวียนในการใช้ความรุนแรงจัดการ
กับอสูรอาจใช้ได้กับอสูรบางสายพันธุ์ แต่ก่อนหน้านี้ก็
เคยมีคนพยายามจับเจ้าเสือดำเกราะทองมาแล้ว ซึ่งเป็น
ที่รู้กันว่าเสือดำพวกนี้มีนิสัยหยิ่งผยอง พวกมันแทบไม่ยุ่ง
กับตัวอื่น และวิธีที่ดีที่สุดในการจับมันให้อยู่หมัดก็คือนำ
ตัวเมียมาล่อ
แต่มันยอมจำนนหลังจากที่ถูกทำร้าย?
“ใช่แล้ว อันที่จริงผมตั้งใจจะจับเสือดำเกราะทอง
ตัวนี้มาใช้ในการสอบ แต่ผมประเมินพละกำลังของมันต่ำ
ไปและเกือบถูกฆ่า เป็นผู้อาวุโสจางเซวียนที่มาปรากฏตัว
และช่วยชีวิตพวกเราไว้ หลังจากที่เขาจัดการมันเสียน่วม
มั น ก็ ย อมจำนนต่ อ เขาอย่ า งสมบู ร ณ์ เป็ น ฝ่ า ยเริ่ ม ทำ
สัญญาด้วยความสมัครใจของมัน อันที่จริง ผู้อาวุโสไม่
อยากรับมันไว้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะผมหว่านล้อม เขา
คงฆ่ามันแล้ว”
หยวิ๋นเทาหวนระลึกถึงเหตุการณ์
“ยอมแพ้ ห ลั ง จากถู ก จั ด การเสี ย น่ ว ม? แถมยั ง
เป็นการยอมจำนนอย่างสมบูรณ์ และเป็นฝ่ายเริ่มทำ
สัญญาด้วยความสมัครใจของมัน?”
“เจ้าเสือดำเกราะทองเสนอตัวจะเป็นอสูรของเขา
แต่เขาไม่อยากรับมันไว้...”
“ถ้าเป็นคนอื่น คงรีบตะครุบส้มหล่นครั้งนี้เอาไว้
และดูแลมันราวกับเป็นพระราชาเพื่อจะได้รั้งตัวมันไว้ได้
แต่เขาแค่ทำร้ายมัน...”
.....
ได้ยินแบบนั้น ทุกคนผงะและแทบจะกระอักเลือด
ออกมา
โดยเฉพาะโจวชวนและจูจิ้นหวง พวกเขาตัวสั่น
และประหลาดใจจนแทบสลบ
ในการที่ พ วกเขาจะจั บ อสู ร สั ก ตั ว หนึ่ ง ทาง
อาณาจักรต้องจัดหากำลังคนมากมายมาให้ ทั้งยังต้อง
อาศัยโชคช่วยอย่างหนัก แต่ถึงขนาดนั้น พวกเขาก็ยัง
ทำได้แค่ฝึกมันให้เริ่มเชื่อง ซึ่งอสูรก็พร้อมจะจากเขาไป
ได้ทุกขณะ แต่ชายคนนี้แค่ทำร้ายมัน แล้วมันก็ยอม
จำนนต่อเขาทันที...
การฝึกอสูรมันง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
“การจับอสูรได้อยู่หมัดเพียงแค่ทำร้ายมัน แถมยัง
แยกแยะอสูรดึกดำบรรพ์ได้...ไม่ต้องสงสัยเลย เขาต้อง
เป็นอัจฉริยะนักฝึกอสูร!”
เมื่อหายตกใจแล้ว นัยน์ตาของนักฝึกอสูรลู่เป็น
ประกายอย่างตื่นเต้น
“ตกลงเขาเป็น...นักฝึกอสูรเรอะ?”
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นักฝึกอสูรหวังตั้งคำถาม
ก็ถ้าอีกฝ่ายสามารถจับอสูรได้ง่ายดายขนาดนี้ เขา
ก็ควรจะเป็นนักฝึกอสูร แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงไม่มี
ชื่อของเขาบันทึกไว้ที่ดงอสูรล่ะ?
“เขาไม่ได้เป็น ไม่เคยเข้าสอบเสียด้วยซ้ำ! เขาเป็น
แค่ มื อ สมั ค รเล่ น ที่ เ รี ย นรู้ ก ารฝึ ก อสู ร มานิ ด หน่ อ ยยาม
ว่าง!” หยวิ๋นเทาตอบ
ระหว่างทางที่มา หยวิ๋นเทาได้ตั้งคำถามไปแล้วว่าผู้
อาวุโสจางเซวียนเคยเข้าสอบเป็นนักฝึกอสูรมาก่อนหรือ
ไม่
ในโลกใบนี้มีคนปราดเปรื่องอยู่กลุ่มใหญ่ ที่แม้ไม่ได้
เข้าสอบ แต่ก็มีความสามารถอย่างน่าทึ่ง
“เขาไม่เคยเข้าสอบ? เยี่ยมเลย คุณช่วยผมถามเขา
หน่อยได้ไหมว่าเขาเต็มใจจะเป็นนักฝึกอสูรหรือเปล่า ถ้า
เขาเต็มใจ ผมจะจัดการทดสอบเป็นพิเศษให้!”
หัวหน้าเฟิงพูดอย่างลุกลี้ลุกลน
ด้ ว ยความสามารถและวิ ธี ก ารจั บ อสู ร อั น น่ า ทึ่ ง
ขนาดนี้ หากได้เป็นนักฝึกอสูรอย่างเป็นทางการ เขาจะ
ต้องเป็นดาวเด่นแน่ บางที...ดงอสูรสาขานี้อาจจะมีชื่อ
เสียงโด่งดังจากอิทธิพลของเขา ที่สำคัญไปกว่านั้น ถ้า
เขามี ค วามสามารถในการจั บ อสู ร ได้ อ ยู่ ห มั ด เพี ย งแค่
ทำร้ายมัน หากเข้าร่วมการแข่งขันใด ก็น่าจะชนะเลิศ
แน่ๆ!
แต่เพื่อให้แน่ใจ หัวหน้าเฟิงจะต้องจัดการทดสอบ
ขึ้นเป็นการส่วนตัว
“เข้าสอบเป็นนักฝึกอสูร? ผมจะถามให้...”
หยวิ๋นเทาพยักหน้า เขาเดินไปหาจางเซวียนและ
เอ่ยถาม “ผู้อาวุโส หัวหน้าเฟิงอยากรู้ว่าคุณเต็มใจจะเข้า
ทดสอบเป็นนักฝึกอสูรไหม เขาจะจัดการทดสอบเป็น
พิเศษให้คุณโดยเฉพาะ...”
“ลืมได้เลย...”
จางเซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบปฏิเสธ
เหตุผลที่เขาจับอสูรได้ก็เพราะหอสมุดเทียบฟ้า ถ้า
เขาต้องเข้าสอบ คนอื่นก็จะรู้ว่าเขามีความรู้ไม่มากพอ
อีกอย่าง มันไม่ใช่ศาสตร์ที่จางเซวียนสนใจ ถึงจะมี
ความรู้ไม่มากพอ แต่เขาก็สามารถหาได้จากหนังสือที่อยู่
ในดงอสูร แถมการทดสอบรอบสองจะต้องใช้เวลาอย่าง
น้อยครึ่งเดือน ยังไม่นับรวมการทดสอบอีกมากมายที่เขา
จะต้องผ่านไปให้ได้ก่อน
สำหรับตอนนี้ รังสีพิษในตัวเขาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่
“นี่เป็นโอกาสดีนะ หัวหน้าเฟิงจะจัดการทดสอบ
เป็นการส่วนตัวให้...”
หยวิ๋นเทาไม่คิดว่าจางเซวียนจะปฏิเสธข้อเสนอนี้
อย่างทันควัน เขาคิดว่ามันเป็นโอกาสดีเกินกว่าจะปล่อย
ให้ผ่านไป จึงพยายามหว่านล้อม
ถ้าจางเซวียนทำให้หัวหน้าเฟิงประทับใจได้ ทางดง
อสูรก็พร้อมจะพลีทรัพยากรทุกชนิดให้เพื่อดูแลเขา มัน
เป็นสิ่งที่นักฝึกอสูรทุกคนล้วนใฝ่ฝันถึง
“ผมมีภารกิจด่วนที่จะต้องทำ จึงต้องไปเร็วๆนี้ ใน
เมื่อคุณได้เป็นนักฝึกอสูรแล้ว ช่วยเลือกสัตว์ปีกพาหนะ
ให้ผมด้วย สำหรับผม จะเข้าสอบหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
หรอก” จางเซวียนตอบ
“เอ่อ...”
เมื่อชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าทดสอบ หยวิ๋น
เทาได้แต่ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “อันที่จริง สำหรับการ
ทดสอบเป็นนักฝึกอสูร คุณก็แค่ต้องหาอสูรที่เหมาะสมมา
ฝึกเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือนหรอก อีก
อย่าง ถ้าได้เป็นนักฝึกอสูรอย่างเป็นทางการ ไม่เพียงแต่
คุณจะสามารถเลือกสัตว์ปีกพาหนะได้ตามใจ แต่ยังไม่
ต้องจ่ายค่าโดยสารด้วย แถมยังเปลี่ยนสัตว์พาหนะได้
ตามความสะดวกที่ดงอสูรทุกสาขาได้ด้วยนะ...”
“ไม่ต้องจ่ายค่าโดยสาร?”
หยวิ๋นเทายังพูดไม่ทันจบ จางเซวียนผู้สงบเยือก
เย็นก่อนหน้านี้ก็โดดพรวดมายืนตรงหน้าเขาด้วยนัยน์ตา
เป็นประกาย
“ถูกต้อง นักฝึกอสูรอย่างเป็นทางการจะมีสิทธิ
พิเศษ ระดับ 1 ดาวคือได้รับการยกเว้นค่าโดยสาร
สำหรับอสูรที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นจงซรือ, ส่วนระดับ 2
ดาวคือได้รับการยกเว้นค่าโดยสารสำหรับอสูรที่มีวรยุทธ
ขั้นจงซรือ และก็ตามนั้น ยิ่งคุณเป็นนักฝึกอสูรระดับสูง
ขึ้นเท่าไหร่ สิทธิพิเศษก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย...”
หยวิ๋นเทาอธิบาย เมื่อพูดไปได้ครึ่งทาง จางเซวีย
นก็มองหน้าเขาอย่างเอาจริง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงมุ่ง
มั่น
“การยกเว้นค่าโดยสารหรืออะไรพวกนั้นน่ะมันเรื่อง
เล็ก คุณไม่ต้องพูดแล้ว! การทดสอบเป็นนักฝึกอสูรต้อง
ทำอะไรบ้าง...”
“ทำไมจะไม่ล่ะ...ผมจะลองสักตั้ง!”
ตอนที่ 247 ความลํ้าลึกของจิตวิญญาณ

มากกว่า 10?

“ฮะ?”
หยวิ๋นเทาตั้งรับการเปลี่ยนแปลงปุบปับไม่ทัน
ก็เพิ่งนั่งยันนอนยันไปเมื่อครู่ว่าจะไม่สอบ ทำไม
เปลี่ยนใจรวดเร็วขนาดนี้
พอเขาบอกว่ า มี ก ารยกเว้ น ค่ า โดยสารสั ต ว์ ปี ก
พาหนะให้ จางเซวียนก็เปลี่ยนทีท่าทันที...
หยวิ๋นเทาแทบจะสำลัก
ในความคิดของเขา ผู้อาวุโสจางเซวียน นักรบขั้น
จงซรือผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งไม่น่าจะสนใจทรัพย์สินเงิน
ทอง แต่พอได้ยินว่าจะได้รับการยกเว้นค่าโดยสาร ก็ตา
เป็นประกายเสียขนาดนั้น...แค่ก แค่ก, จะยึดติดกับวัตถุ
ไปหน่อยไหม?
“ถ้าอย่างนั้น...”
หยวิ๋นเทากลืนน้ำลายและกำลังจะพูดต่อเมื่อโม่หยู่
คุณเสิ่นเดินเข้ามา เธอเชิดหน้าอย่างทรนงและชำเลือง
มองจางเซวียนอย่างดูถูก
“ลองสักตั้ง? คุณคิดว่าการฝึกอสูรเป็นของเล่น
หรือ? เพิ่งจะจับอสูรได้แค่ 2 ตัวก็คิดว่ามันง่ายเสียแล้ว?
ให้ฉันบอกอะไรหน่อยนะ แค่อสูรที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลก
นี้ก็มีมากกว่า 1 หมื่นตัวแล้ว พวกมันมีนิสัย คุณสมบัติ
บุ ค ลิ ก ลั ก ษณะในแบบของตั ว มั น เอง และอื่ น ๆอี ก
มากมาย ถ้าไม่ใช้เวลาเป็นปีล่ะก็ ไม่มีทางที่คุณจะจำพวก
มันได้ทั้งหมดแน่!”
โม่หยู่ยังแค้นเคืองเรื่องที่เขาปฏิเสธคำท้าของเธอ
เมื่อได้ยินคำพูดโอหังขนาดนั้น จึงสวนทันควัน
ที่คุณพูดว่า ‘ลอง’ สักตั้งมันหมายความว่าอย่างไร?
นั ก ฝึ ก อสู ร เป็ น หนึ่ ง ในอาชี พ แถวหน้ า ของเก้ า
สถานภาพระดับบน ความยากเย็นในการจะได้เป็นนักฝึก
อสูรอย่างเป็นทางการไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าการเป็นนัก
ปรุงยาเลย
คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกหรือ?
เคยจับอสูรได้ 2 ตัว เพราะดวงดี ก็คิดว่าจะสอบ
ผ่านได้?
ก็ เ หมื อ นกั บ การที่ ใ ครสั ก คนหนึ่ ง อยากเป็ น หมอ
เพราะสามารถผสมยารักษาโรคได้โดยบังเอิญนั่นแหละ
ฝันไปเถอะ!
ทุกอาชีพมีความซับซ้อนและล้ำลึกในแบบของมัน
เอง เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเชี่ยวชาญอาชีพไหนภายในหนึ่ง
หรือสองวัน
โดยเฉพาะการฝึกอสูร คุณอาจใช้กำลังบังคับอสูรที่
อ่อนแอกว่าคุณได้ แต่ถ้ามันมีวรยุทธสูงกว่าล่ะ?
ถ้าบังอาจไปท้าทายมัน มันอาจเก็บคุณได้ในชั่ว
พริบตา
ทั้งๆที่แทบไม่รู้จักคุณสมบัติของอสูรเลย ยังบอกว่า
จะเข้าทดสอบ ถ้าไม่เรียกว่าโอหังแล้วจะเรียกว่าอะไร?
“โม่หยู่คุณเสิ่น อย่าไปโมโหคนโง่เง่าโอหังแบบนั้น
เลย เขาก็แค่รู้ชื่อนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาลและจับ
เสือดำเกราะทองได้เพราะโชคช่วย แล้วก็คิดว่าตัวเอง
เป็นศูนย์กลางของโลก ก็ในเมื่อเขาไม่รู้เรื่องการฝึกอสูร
เลยสักนิด เข้าสอบเมื่อไหร่ก็โชว์โง่ออกมาเองแหละ!”
จูจิ้นหวงกัดไม่ปล่อย
การฝึกอสูรเป็นศาสตร์อันล้ำลึก ต่อให้ปราดเปรื่อง
อย่างไร ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีกว่าจะเรียนรู้ขั้น
พื้นฐานได้ทั้งหมด
ชายคนนี้ยังไม่ได้เป็นผู้ช่วยอสูรเสียด้วยซ้ำ และเท่า
ที่ดูก็ยังไม่ได้ร่ำเรียนการฝึกอสูรมามากเท่าไร ด้วยทักษะ
กะล่อยกะหลิบแค่นี้ เขาคิดว่าจะสอบผ่านการเป็นนักฝึก
อสูรได้?
“ก็แค่อวดเก่ง นักฝึกอสูรจะต้องรู้มากกว่าแค่การ
ทำให้มันเชื่อง เขาต้องเข้าใจธรรมชาติของมันจากหัว
จรดเท้า ที่เขาทำได้ก็แค่ใช้กำลังบังคับให้มันยอมจำนน
แล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นนักฝึกอสูรไปแล้วเรียบร้อย ตลก
เป็นบ้า! ถ้าเป็นแบบนั้น ใครก็เป็นนักฝึกอสูรได้!”
โจวชวนเยาะหยัน
ทั้ ง คู่ จิ ก กั ด จางเซวี ย นไม่ ป ล่ อ ย ต่ า งมองว่ า ถึ ง
อย่างไรเขาก็ไม่มีทางสอบผ่าน และอีกอย่าง หมอนี่ก็เพิ่ง
จะทำให้โม่หยู่คุณเสิ่นขัดใจ การเอาคืนให้เธอตอนนี้ก็น่า
จะเพิ่มคะแนนพิศวาสให้พวกเขาได้
“ก็ในเมื่อผมแค่จับอสูรได้ 2 ตัวและไม่รู้อะไรเลย
แล้ว...โม่หยู่คุณเสิ่น ทำไมคุณถึงอยากแข่งกับผม แล้ว
ทำไมต้องอยากรู้ว่าผมใช้วิธีไหนเอาชนะใจนกกระจอก
สายฟ้าบรรพกาล?”
คร้านจะฟังจูจิ้นหวงกับโจวชวน จางเซวียนหันมา
พูดกับโม่หยู่อย่างไร้อารมณ์
“คุณ...”
โม่หยู่ชะงักและหน้าแดงก่ำ
ด้วยสถานภาพสูงส่งของเธอ ใครต่อใครที่พูดกับ
เธอต่างก็แสดงกิริยานอบน้อม ไม่มีสักคนที่บังอาจใช้ทีท่า
แบบนี้ ได้ยินที่จางเซวียนพูด เธอโมโหเดือดจนคำพูดทุก
คำจุกอยู่ในคอ
“ไอ้หนุ่ม รู้ไหมว่ากำลังพูดกับใคร? โอหังนัก...”
“รีบขอโทษเดี๋ยวนี้ การที่โม่หยู่คุณเสิ่นติติงก็เป็น
วาสนาของแกแล้ว บังอาจเถียง...”
เห็นชายหนุ่มบังอาจดูถูกเทพธิดาของเขา จูจิ้นหวง
กับโจชวนโมโหหนัก ทั้งคู่ตวาดทันควัน แต่ยังไม่ทันพูด
จบ โม่หยู่ก็แหวออกมา
“หุบปาก! ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าคุณเป็นใบ้หรอก!”
“คุณเสิ่น...” เจอระเบิดลงแบบนั้น ทั้งคู่ก็เงียบกริบ
นี่เอาคืนให้แท้ๆ กลับโดนแหว
ทั้งคู่จึงตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแก ฉันจะรอดูแกโชว์โง่ก็แล้ว
กัน!”
ยิ่งคิดยิ่งอยากปรี๊ด แต่ก็ไม่กล้าโมโหใส่เทพธิดาของ
เขา ทั้งคู่จึงหันไประบายความโกรธทั้งหมดใส่จางเซวียน
ยิ่งมองหมอนี่ก็ยิ่งรำคาญตา
จางเซวียนคร้านจะสนใจสามคนนั้น เขาเดินตาม
หยวิ๋นเทาไปหาหัวหน้าเฟิง
“หัวหน้าเฟิง ผู้อาวุโสจางเซวียนตกลงใจจะสอบ
เป็นนักฝึกอสูรแล้ว เอ่อ...แล้วการทดสอบจะเริ่มขึ้น
เมื่อไร?” หยวิ๋นเทาถามอย่างกระตือรือร้น
เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในตัวจางเซวียนคนนี้
คนอื่นต้องผ่านความลำบากยากเข็ญมากมายกว่า
จะจับอสูรได้สักตัว แต่เขาทำสำเร็จได้โดยโดยง่ายเพียง
แค่ทำร้ายมัน ยังไม่ต้องพูดถึงการยกระดับวรยุทธให้อสูร
พวกนั้น ต่อให้เป็นหัวหน้าเฟิง หยวิ๋นเทาก็ไม่เชื่อว่าเขา
จะทำได้
ในเมื่อเก่งกาจเสียขนาดนี้ จะสอบตกได้อย่างไร?
“เริ่มเลยก็ได้ ผมได้ยินมาว่าคุณไม่เคยเข้าสอบมา
ก่อน และยังไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ช่วยนักฝึกอสูร ถูกต้อง
ไหม?” หัวหน้าเฟิงมองจางเซวียน
“ใช่แล้ว!” จางเซวียนพยักหน้า
“แต่คุณก็จับอสูรขั้นพี่เชวี่ยได้และรู้จักนกกระจอก
สายฟ้าบรรพกาล นั่นแปลว่าคุณมีความรู้อย่างลึกซึ้งใน
เรื่ อ งการฝึ ก อสู ร ซึ่ ง ด้ ว ยเหตุ นั้ น ผมจะขอข้ า มการ
ทดสอบเป็นผู้ช่วยฝึกอสูรไปเลย”
หัวหน้าเฟิงพูด
วั ต ถุ ป ระสงค์ ห ลั ก ของการสอบเป็ น ผู้ ช่ ว ยก็ เ พื่ อ
ทดสอบความรู้พื้นฐานของผู้เข้าสอบที่มีต่ออาชีพนั้น ใน
เมื่อจางเซวียนรู้จักนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาลทั้งๆที่
คนอื่นไม่รู้จัก เขาก็น่าจะมีพื้นความรู้แน่นในเรื่องการฝึก
อสูร การให้เขาสอบเป็นผู้ช่วยจึงเป็นเรื่องรุงรังไปเปล่าๆ
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหัวหน้าเฟิงรู้ว่าที่จริงจางเซวียน
ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกอสูรเลย เขาคงไม่คิดแบบนี้แน่
“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยากที่จะวัดความเข้าใจเกี่ยว
กับอสูรของคุณได้หากไม่ได้ผ่านการทดสอบเป็นผู้ช่วย
ดังนั้นผมจึงจะยกเอาการทดสอบเป็นผู้ฝึกอสูรรอบแรก
ออกไป และเอาการทดสอบด้านทฤษฎีของผู้ช่วยเข้ามา
แทน”
การทดสอบเป็นผู้ช่วยนักฝึกอสูรประกอบด้วยการ
สอบทฤษฎี และการทดสอบการแยกแยะอสูร
ส่วนการทดสอบเป็นนักฝึกอสูรประกอบด้วยการ
ทดสอบความรู้เรื่องอสูร และการฝึกอสูรให้เชื่อง
ในเมื่อจางเซวียนรู้จักอสูรหายากอย่างนกกระจอก
สายฟ้าบรรพกาล ก็แปลว่าเขามีความรู้เรื่องอสูรหลาก
หลายสายพั น ธุ์ เ ป็ น อย่ า งดี ดั ง นั้ น การทดสอบการ
แยกแยะอสูรจึงเป็นการเสียเวลา และสำหรับคนที่จับอสูร
มาได้ ก็ไม่จำเป็นจะต้องทดสอบความรู้เรื่องอสูรอีกต่อไป
ดังนั้น หัวหน้าเฟิงจึงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ
ตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการทดสอบ
“การทดสอบในส่วนแรกจะเป็นการสอบทฤษฎี ซึ่ง
มาในรูปแบบของข้อเขียน เมื่อผ่านส่วนนี้แล้ว คุณจะ
ต้องจับอสูรที่มีพละกำลังมากกว่าตัวคุณให้ได้! ผมจะให้
คะแนนอย่างเที่ยงธรรม ซึ่งถ้าสอบผ่านทั้งสองส่วน คุณก็
จะได้เป็นนักฝึกอสูรระดับ 1 ดาว”
“ตกลง!”
จางเซวียนพยักหน้า
หยวิ๋นเทาเคยอธิบายเรื่องการทดสอบเป็นนักฝึก
อสูรให้เขาฟังแล้ว ซึ่งก็เหมือนกับที่หัวหน้าเฟิงพูด เขาไม่
ได้จงใจทำให้มันยากขึ้นสำหรับจางเซวียน
หัวหน้าเฟิงยิ้มเมื่อเห็นเขาตกลง “เอาล่ะ ผมจะไป
เตรียมการสอบข้อเขียน คุณจะสอบผ่านก็ต่อเมื่อตอบ
คำถามได้ถูกต้องทั้งหมด!”
“รอเดี๋ยว คุณมีหนังสือเรื่องการฝึกอสูรอยู่ที่นี่บ้าง
ไหม ขอผมพลิกดูหน่อย?”
จางเซวียนถาม
“คุณอยากจะพลิกดูหนังสือ?”
หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆมองหน้ากันอย่างงุนงง
เกิดอยากจะดูหนังสือขึ้นมาตอนนี้นี่นะ?
“หอสมุดที่อยู่ด้านโน้นมีหนังสือเกี่ยวกับการฝึกอสูร
อยู่มากมาย มีแต่ผู้ช่วยนักฝึกอสูรเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต
ให้เข้าไป แต่ผมจะอนุญาตให้คุณเข้าไปดูตอนนี้ได้เลยถ้า
อยากจะเข้า ว่าแต่..มาเปิดดูตอนนี้...”
หัวหน้าเฟิงสงสัยหนัก ถึงจะไม่ได้พูดออกมาจนจบ
แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร
ที่นี่มีหนังสือเกี่ยวกับการฝึกอสูรอย่างน้อยก็หลาย
แสนเล่ม มาพลิกดูมันตอนนี้จะช้าไปหน่อยไหม? ก็
เหมือนกับมองหาภรรยาเมื่อนึกอยากจะมีลูก วิธีการทำ
อะไรๆของคุณนี่มันเหลือเชื่อไปหมด!
“อ๋อ มันเป็นนิสัยของผม เวลาจะทำเรื่องสำคัญ ผม
มักจะรู้สึกกังวลเล็กน้อย และจะใช้การพลิกดูหนังสือเพื่อ
เป็นการปรับสภาวะจิต ต้องขอรบกวนหัวหน้าเฟิงเรื่องนี้
ด้วย!”
จางเซวียนตอบข้อสงสัยของเขาแบบง่ายๆ
เขาเคยใช้เหตุผลเดียวกันนี้ที่บ้านของปรมาจารย์ลู่
เฉิน ซึ่งก็ได้ผลไม่เลว มาวันนี้จึงตัดสินใจใช้มันอีกครั้ง
หนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้น...ได้เลย หอสมุดอยู่ด้านโน้น”
หัวหน้าเฟิงไม่สงสัยอีกต่อไป เขาชี้ไปที่ประตู
“ขอบคุณมาก!”
จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะสาวเท้าไปที่นั่น
เขาไม่มีทางสอบผ่านการเป็นนักฝึกอสูรได้เลยถ้าไม่
ได้อ่านหนังสือก่อน
ตอนนี้มีโอกาสได้เข้าหอสมุดแล้ว ตราบใดที่ถ่าย
โอนเนื้อหาจากหนังสือมาไว้ในหอสมุดเทียบฟ้าได้ทั้งหมด
ที่เหลือก็เป็นเรื่องกล้วยๆ
“ผู้ชายคนนี้...”
เห็นอาจารย์จางตกลงใจจะเข้าทดสอบเป็นนักฝึก
อสูร เสิ่นปี้หรูได้แต่กระพริบตาปริบๆ รู้สึกถึงเลือดที่เอ่อ
ขึ้นมาอยู่ในปากและอยากกระอักออกมาเต็มที
“จะกล้าหาญชาญชัยไปไหม?”
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อมั่นในตัวเขา แต่ว่าตลอดทางที่
ผ่านมา เขาปล่อยไก่ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่มีความรู้เรื่อง
การฝึกอสูรเลย และก็เพิ่งจะไม่กี่นาทีนี้เองที่เขาถามเธอ
ว่า ‘ป่าดงดิบ’ เป็นอย่างไร...
กระทั่งป่าดงดิบก็ยังไม่รู้จัก แต่กล้าเข้าทดสอบเป็น
นักฝึกอสูร?
ที่สำคัญกว่านั้น หัวหน้าเฟิงกำลังจะนำข้อสอบ
ทฤษฎีมาอยู่แล้ว แต่คุณเพิ่งจะเริ่มอ่าน?
นี่บ้าหรือดี?
“แต่ เ ดี๋ ย ว...ครั้ ง ล่ า สุ ด ที่ เ ขาอยู่ ใ นหอสมุ ด ของ
โรงเรียน เขาก็ยืนพลิกหนังสือเหมือนกัน เป็นไปได้ไหม
ว่า...”
เสิ่นปี้หรูหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ตอนที่ทั้งคู่อยู่ในหอ
สมุด
อาจารย์จางคนนี้ก็พลิกดูหนังสือไปเรื่อย เธอคิดว่า
เขาจงใจทำแบบนั้นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเธอ แต่
แล้วก็รู้ว่าคิดไปเอง ฝ่ายนั้นไม่ได้แค่พลิกหนังสือเรื่อย
เปื่อย แต่เขาจดจำเนื้อหาของหนังสือด้วย
แค่พลิกหนังสือก็จำเนื้อหาของมันได้...
เป็นไปได้ไหมว่าอาจารย์จางไม่รู้เรื่องการฝึกอสูร
เลยจริงๆ ที่ขอเข้าไปพลิกหนังสือก็เพื่อ...เรียนรู้?
“หรือว่า...จะเป็นแบบนี้? หลังจากที่ได้เป็นอาจารย์
โรงเรียนหงเทียนแล้ว เขาคงจะเข้าหอสมุดเพื่อไปพลิกดู
หนังสือบ่อยๆ แต่ขนาดปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวที่มีระบบ
ความจำแบบภาพถ่ า ย ก็ ยั ง ไม่ ส ามารถจดจำเนื้ อ หา
มากมายในระยะเวลาอันสั้นขนาดนั้นได้เลย!”
เมื่อรู้สึกว่าการคาดเดาของตัวเองใช้ไม่ได้ เสิ่นปี้หรู
ก็ผลักมันทิ้งไป
ว่ากันว่า ใครที่สำเร็จสภาวะหยั่งรู้ของสภาวะเงียบ
สงบดั่ ง หนองน้ ำ นิ่ ง จะมี ร ะดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต
วิญญาณที่ 10 หรือสูงกว่า และจะมีระบบความจำแบบ
ภาพถ่ายด้วย เมื่อพลิกดูหนังสือเล่มไหน ก็จะจดจำ
เนื้อหาของมันได้อย่างแม่นยำไปชั่วชีวิต
นี่คือเหตุผลที่ปรมาจารย์ผู้เก่งกาจมีทักษะในหลาก
หลายอาชีพและจดจำความรู้ได้ในปริมาณมหาศาล
ว่ า แต่ . ..สมมติ ว่ า อาจารย์ จ างมี ร ะดั บ ความล้ ำ ลึ ก
ของจิตวิญญาณสูงกว่า 10 การพลิกดูหนังสือหลายแสน
เล่ม...ก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนอยู่ดี!
“มันจะ... มันจะเป็นไปได้หรือ?”
เสิ่นปี้หรูสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวเมื่อเกิดความคิดนั้น
ขึ้นมา
ตอนที่ 248 เขากําลังวิ่ง

“เป็นไปไม่ได้หรอก...”
เสิ่นปี้หรูส่ายหน้าแรงๆกับความคิดนั้น
เธอเคยอ่านตำราโบราณที่มีเรื่องของเก้าสถานภาพ
ระดับบน นอกจากอาชีพที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างช่างตี
เหล็ก นักปรุงยา และผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกล ก็ยังมี
อาชีพลึกลับอีกอาชีพหนึ่ง นั่นคือโหร
โหรคื อ ทั ก ษะการทำนายโชคชะตา ด้ ว ยวิ ธี ก าร
พิเศษบางอย่าง พวกเขาสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่จะ
เกิดในอนาคตอันใกล้ได้ล่วงหน้า และเตรียมตัวรับมือกับ
มันได้
ถ้าจางเซวียนเป็นโหร ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะ
รู้คำถามล่วงหน้า และเปิดหาหนังสือเล่มที่เกี่ยวข้องเพื่อ
นำคำตอบที่ถูกต้องมาใช้ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็ไม่
จำเป็นต้องพลิกดูหนังสือทุกเล่มในหอสมุด
เป็นไปได้ไหมว่าอาจารย์จางจะมีความเชี่ยวชาญใน
อาชีพลึกลับนี้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็อธิบายได้
หมดว่าทำไมจางเซวียนจึงตอบคำถามของเธอเมื่อวันที่
อยู่ในหอสมุดได้
และก็อธิบายได้ว่า ทำไมเขาจึงรู้ว่าค่ายกลของหย
วิ๋นเทาไม่อาจใช้พันธนาการเจ้าเสือดำเกราะทอง ยิ่งคิดก็
ยิ่งเข้าทาง!
แต่ว่า...
อาชีพนี้มีอยู่แค่ในตำนาน จากสัดส่วนที่ระบุไว้ใน
หนังสือ ในบรรดานักรบหลายพันล้านคน ไม่มีโหรเลย
แม้แต่คนเดียว ด้วยความเป็นไปได้ที่แทบจะไม่มีเลยแบบ
นี้ จึงแทบไม่มีใครเคยเห็นโหรตัวเป็นๆเลยสักคน
ถ้าจางเซวียนมีความสามารถแบบนั้นจริง เขาก็ไม่
น่าจะปล่อยให้ตัวเองได้ 0 คะแนนในการสอบวัดคุณภาพ
อาจารย์ และคงไม่ ต้ อ งเดื อ ดร้ อ นกั บ เรื่ อ งที่ ต ามมา
มากมายหลังจากนั้น
อีกอย่าง การทำนายโชคชะตาคือการเห็นเหตุการณ์
ที่กำลังจะเกิดขึ้นล่วงหน้าอย่างคร่าวๆเท่านั้น ไม่สามารถ
ตอบคำถามเฉพาะทางอย่างการสอบหรือการเตรียมตัว
ล่วงหน้าเพื่อเข้าสอบ!
เสิ่นปี้หรูขมวดคิ้วและพยายามใคร่ครวญ เธอคิดว่า
ตัวเองรู้จักอาจารย์จางคนนี้ดีพอสมควร แต่เท่าที่ดู สิ่งที่
เธอเห็นน่าจะเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
หลังจากคิดวกไปวนมาอยู่นานและไม่ได้อะไรเลย
ความสงสัยใคร่รู้ในตัว
จางเซวียนก็เพิ่มมากขึ้นอีก
มาถึงตอนนี้ เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมฮั่นฉงจึงพูดว่า
ตัวเธอไม่ได้คู่ควรกับเขา ถึงเธอจะสวยและมีความปราด
เปรื่องไม่น้อย แต่จางเซวียนก็ไม่ใช่คนระดับเดียวกับเธอ
ขณะที่เสิ่นปี้หรูคิดไปเรื่อยเปื่อย จูจิ้นหวงกับโจว
ชวนก็มองตามจางเซวียน
“หมอนี่...บ้าหรือเปล่า? เพิ่งมาอ่านหนังสือตอนจะ
สอบ?”
“สมองของของมันต้องไม่ปกติแน่ มาเปิดดูหนังสือ
ตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร?”
ทั้งคู่พึมพำและชำเลืองมองโม่หยู่ เธอย่นหน้าผาก
จนเป็นร่องลึก ดูไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไร
กำลั ง คิ ด จะเดิ น ไปประจบประแจงอี ก รอบ แต่
เทพธิดาของเขาก็หันหลังกลับและเดินไปทางหอสมุด
“โม่หยู่คุณเสิ่น...” ทั้งคู่ตามไปติดๆ
“อยู่ตรงนั้นแหละ! ใครขืนตามมา ฉันจะหักขาซะ!”
โม่หยู่คำรามอย่างเลือดเย็น เธอหันขวับและมุ่งหน้า
ไปยังหอสมุด
“โว้ย! บ้าที่สุด!”
ได้ยินองค์หญิงโม่หยู่ออกปากไล่เพราะไอ้บ้าคนหนึ่ง
ที่เธอเพิ่งเจอ จูจิ้นหวงกับโจวชวนหน้าแดงก่ำด้วยความ
โกรธ
แต่ยังไม่ทันได้ระเบิดออกมา โม่หยู่คุณเสิ่นก็เดิน
กลับมาทางห้องสอบอีกครั้ง เธอบ่นพึมพำบางอย่างและ
มีสีหน้าประหลาด
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างงุนงง อยากรู้ว่าเธอพูดอะไร
แต่ก็กลัวจะทำให้ฝ่ายนั้นปรี๊ดขึ้นมาอีก จึงทำได้แค่ยืนอยู่
ที่เดิมและเกาหัวอย่างหงุดหงิด
หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็หมดความอดทน จูจิ้นหวง
เรียกองครักษ์คนหนึ่งเข้ามาและกระซิบข้างหู
องครักษ์คนนั้นเดินวนรอบห้องและไปหยุดยืนข้าง
หลังโม่หยู่ หลังจากฟังคำพูดของเธออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็
กลับมาด้วยสีหน้าประหลาดพอๆกัน
“องค์หญิงพูดอะไร?”
ทั้งคู่ถามอย่างองครักษ์อย่างกระวนกระวาย
“เอ่อ...องค์หญิงพูดอยู่แต่ว่า พลิกหนังสือ พลิก
หนังสือ พลิกหนังสือ...ส่วนคำอื่นๆ ผมจับความไม่ได้!”
องครักษ์เกาหัว
“พลิกหนังสือ?”
จูจิ้นหวงกับโจวชวนมองหน้ากัน ต่างเห็นความ
งงงันในสีหน้าของอีกฝ่าย และเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
พร้อมๆกัน...
หรือว่า...เทพธิดาของพวกเขาเสียสติไปแล้ว?
ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าแม่เทพธิดาของสองคนนั้น
กำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา ในตอนนั้น จางเซวียนกำลังทำ
อย่างที่โม่หยู่พึมพำไม่หยุด นั่นคือพลิกหนังสือ
เขาคิดว่าที่นี่น่าจะมีหนังสือเรื่องการฝึกอสูรอยู่ไม่กี่
หมื่นเล่ม แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปในหอสมุด ก็รู้ว่าที่คิดไว้นั้น
กระจอกมาก เมื่อดูจากความแน่นขนัดของหนังสือที่อยู่
รอบตัวแล้ว ทั้งหมดน่าจะมีไม่น้อยกว่าหลายแสนเล่ม
ถึ ง จะไม่ ใ หญ่ เ ท่ า หอสมุ ด พระราชวั ง ที่ อ าณาจั ก ร
เทียนเซวียน แต่ก็ไม่ห่างกันเท่าไรนัก
ถ้าเขาใช้วิธีการเดิม กว่าจะพลิกดูหนังสือได้หมด
คงต้องใช้เวลาหลายวัน
จางเซวี ย นคิ ด ว่ า การเข้ า สอบเป็ น นั ก ฝึ ก อสู ร เป็ น
เรื่องง่าย ซึ่งก็น่าจะทำสำเร็จได้โดยเร็ว แต่ถ้าเขาใช้เวลา
หลายวันพลิกดูหนังสือที่นี่ ต่อให้เขาไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน
หัวหน้าเฟิงและคนอื่นๆที่รออยู่ข้างนอกก็คงเป็นบ้า
เพราะโดยทั่วไป ผู้คนจะใช้เวลาปรับสภาวะจิตก่อน
การสอบอย่างมากก็ 4 ชั่วโมง ถ้าเขาใช้เวลาหลายวัน
และกลับออกไปด้วยดวงตาแดงก่ำ ทุกคนจะรู้เลยว่ามี
บางอย่างผิดปกติ
“แต่ถ้าเราไม่พลิกหนังสือพวกนี้ หอสมุดเทียบฟ้าก็
จะประมวลเนื้อหาออกมาไม่ได้ เกิดข้อสอบออกในเรื่องที่
เราพลาดไปล่ะ เราก็ต้องสอบตก...”
จางเซวียนขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็จะไม่ได้
รับการยกเว้นค่าโดยสารแบบที่นักฝึกอสูรคนอื่นๆเขาได้
กัน...”
ถึงจางเซวียนจะมีเงินมากกว่า 10 ล้านอยู่ในแหวน
เก็บสมบัติของเขา แต่เขาก็ยังใช้นิสัยกระเหม็ดกระแหม่
เหมื อ นเมื่ อ ครั้ ง ที่ เ ป็ น บรรณารั ก ษ์ ต๊ อ กต๋ อ ยในชี วิ ต เก่ า
เมื่อไรที่มีโอกาสประหยัดเงินได้ เขาก็จะคว้าไว้ก่อน
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องเงินแล้ว แต่มันคือหลักการ!
“หอสมุดเทียบฟ้าเปิดเผยข้อมูลและข้อบกพร่อง
ของสิ่ ง ที่ เ ราสั ม ผั ส ถ้ า เราสั ม ผั ส ชั้ น หนั ง สื อ พวกนี้
ล่ะ...เนื้อหาในหนังสือจะปรากฏขึ้นมาหรือเปล่า?”
ถ้าใช้ความเร็วปกติ ไม่มีทางที่เขาจะพลิกดูหนังสือ
มากมายขนาดนี้ได้หมดภายใน 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นจึง
ต้องหาวิธีอื่น หลังจากครุ่นคิดจนหน้าผากย่น จางเซวีย
นก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ด้วยการใช้ปลายนิ้วสัมผัส หนังสือก็ประมวลเรื่อง
ราวของวัตถุ ของผู้คนที่ไม่ได้สติ รวมทัง้ อสูรที่สลบไสล
ขึ้นมาได้
ในเมื่อหนังสือพวกนี้อยู่ในชั้น จะเป็นไปได้ไหมว่า
เนื้อหาทั้งหมดของมันจะมาปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้า
หากเขาสัมผัสชั้นหนังสือ?
“ต้องลอง!”
จางเซวียนเดินไปที่ชั้นหนังสือ แตะมัน แล้วตะโกน
ในใจ ‘ข้อบกพร่อง!’
ฟึ่บ!
หอสมุดสั่นสะเทือนและหนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น
เมื่อพลิกดู จางเซวียนถึงกับยืนโงนเงนและแทบจะกระอัก
เลือดออกมา
สิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือคือ : ชั้นหนังสือที่ 3 ของดง
อสูร, เทือกเขาเชียนหลัว, จัดทำโดยนายช่างขั้น 1, ใช้ไม้
การบูร, มีอายุ 37 ปี...
“ไม่เอาแบบนี้...”
เขาแทบปล่อยโฮ
ชัดเจนแล้วว่า ข้อมูลกับข้อบกพร่องจะปรากฏออก
มาเมื่อวัตถุมาอยู่ในมือเท่านั้น ไม่มีทางลัด
“เอ๊ะ? ก็ยังไม่ถูกนี่ ถ้าข้อมูลจะปรากฏก็ต่อเมื่อเรา
แตะวัตถุ อย่างนี้...ถ้าเราไม่พลิกหนังสือ แค่แตะพวกมัน
หอสมุดก็ต้องประมวลข้อมูลให้สิ ใช่ไหม?”
จางเซวียนเกิดความคิดใหม่
ระยะของการสัมผัสแตะต้องไม่ใช่ประเด็น ตราบใด
ที่จางเซวียนอยากรู้ข้อบกพร่องของวัตถุที่อยู่ตรงหน้า
หนังสือก็จะประมวลให้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ต่อให้เขาแตะ
มันเพียงผิวเผิน หนังสือก็น่าจะจัดการให้ได้
“ต้องลอง...”
จางเซวียนเดินไปที่หนังสือซึ่งกองเป็นตั้ง ใช้ปลาย
นิ้วไล้ผ่านพวกมัน และตะโกน ‘ข้อบกพร่อง’ ในใจ
ฟิ้วววว!
หอสมุดสั่นสะท้าน และหนังสือเล่มใหม่ก็ปรากฏขึ้น
มา เขายังคิดอยู่ว่าครั้งนี้จะเหลวอีกหรือไม่
“ใช้ได้หรือ?”
จางซเวียนหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น เขารีบ
พลิกดูหนังสือ และเห็นว่ามีเนื้อหาทั้งหมดบันทึกไว้พร้อม
กับข้อบกพร่องอย่างสมบูรณ์แบบ
“มันทำได้จริงๆ!”
แทบจะปล่อยโฮด้วยความดีใจ จางเซวียนทดลอง
ทำอีกหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามันได้ผล
การทำแบบนี้ เ ร็ ว กว่ า การพลิ ก หนั ง สื อ แบบเดิ ม
หลายร้อยเท่า
จางเซวียนสามารถพลิกหนังสือได้มากกว่าครั้งละ
สิบเล่ม แต่การหยิบมันออกมาและใส่มันกลับคืนเข้าไปใน
ชั้นเป็นเรื่องที่กินเวลามาก ตอนนี้เขาสามารถทำสำเนา
ของหนังสือพวกนั้นได้ด้วยการไล้นิ้วผ่านพวกมัน โดยไม่
ต้ อ งเลื่ อ นหนั ง สื อ ออกมาจากตำแหน่ ง เดิ ม ด้ ว ยวิ ธี นี้
หนังสือทั้งชั้นก็ถูกประมวลเข้าด้วยกันได้ภายในเวลาไม่
ถึง 1 นาที
แม้จะมีความเร็วขนาดนี้ แต่หนังสือที่แน่นขนัดอยู่
ในหอสมุดก็ทำให้จางเซวียนปวดหัว เขาไม่สามารถทำ
สำเนาหนังสือทุกเล่มได้ในรวดเดียว ดังนั้น เมื่อทำเสร็จ
ไปหลายๆชั้น ก็ต้องหยุดพักเสียครั้งหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เร็วกว่าเดิมหลายเท่า
ด้วยความเร็วตอนนี้ ประมาณ 2 ชั่วโมงก็น่าจะเก็บ
หนังสือที่นี่ได้เรียบ
“ลุย!”
จางเซวียนแสนจะลิงโลดที่หาวิธีการดีๆได้ เขาวิ่ง
ไปตามชั้นหนังสือขณะที่ไล้นิ้วไปบนหนังสือพวกนั้น เมื่อ
เสร็จไปแถวหนึ่ง เขาจะตรวจสอบหนังสือที่อยู่ในหอสมุด
เทียบฟ้าเพื่อดูว่าตกหล่นเล่มไหนไปหรือไม่ หากมีตกหล่น
ก็จะวิ่งกลับเพื่อเพิ่มหนังสือเล่มนั้นเข้าไป
ยิ่งเก็บเนื้อหาจากหนังสือได้มากขึ้น ความเข้าใจ
เรื่องการฝึกอสูรของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
....
“หัวหน้าเฟิง คุณเตรียมข้อสอบทฤษฎีเรียบร้อย
หรือยัง?” นักฝึกอสูรลู่และนักฝึกอสูรหวังอยู่ในห้อง เมื่อ
เห็นหัวหน้าเฟิงเดินเข้ามา ทั้งคู่หันไปถาม
“อือ!” หัวหน้าเฟิงพยักหน้า “คุณลักษณะของอสูร
หลายร้อยชนิดคือสิ่งที่อยู่ในข้อสอบชุดนี้ ผมไม่ได้ออมมือ
ให้เขาเลย ถ้าเขาตอบถูกทั้งหมด ก็ถือว่าความเชี่ยวชาญ
ในเรื่องอสูรของเขาน่าทึ่งจริงๆ”
“ในเมื่อเขารู้จักนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาล ก็
ย่อมมีความรู้เรื่องอสูรเป็นอย่างดี ผมคิดว่ามีโอกาสมาก
ทีเดียวที่เขาจะสอบผ่าน” นักฝึกอสูรลู่พูด
“จริงด้วย ดงอสูรของเรารั้งที่โหล่ในการแข่งขัน
เสมอ ก็เพราะทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ห่างไกล ทั้งยังขาดแคลน
คนเก่งๆ ถ้ามีอัจฉริยะสักคนอยู่ที่ดงอสูรของเราและ
เอาชนะการแข่งขันได้ เราจะต้องมีนักฝึกอสูรระดับ 3
ดาวสักคนแน่ๆ!”
นัยน์ตาของหัวหน้าเฟิงเป็นประกายด้วยความตื่น
เต้น
“นั่นก็ถูก แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนไป รอดูผลสอบก่อนดี
กว่า” นักฝึกอสูรหวังพูด
“เอาจริงๆนะ ผมคิดว่าหยวิ๋นเทายกยอเขาเกิน
ขนาดไป ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครจับอสูรขั้นพี่เชวี่ยได้ภายใน
เวลาไม่ถึง 10 นาที!”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น แต่ผมถามบริวารของหยวิ๋นเทา
แล้ว ทุกคนก็ตอบเหมือนกัน และดูไม่มีทีท่าว่าจะโกหก
เพราะฉะนั้นต่อให้เขาไม่น่าทึ่งเท่าที่หยวิ๋นเทาพูดออกมา
ก็คงไม่ห่างกันสักเท่าไร”
นักฝึกอสูรลู่ตอบ
“เอาเถอะ ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็เป็นโอกาส ถ้าเขา
ทำให้เราผิดหวัง เราก็แค่มองหาผู้สมัครคนต่อไป ว่า
แต่...จางเซวียนยังพลิกหนังสือในหอสมุดอยู่อีกหรือ?”
หั ว หน้ า เฟิ ง เพิ่ ง นึ ก ได้ ว่ า จางเซวี ย นยั ง ไม่ ก ลั บ มา
เขาขมวดคิ้ว
“เขายังไม่ออกมาเลย!” นักฝึกอสูรลู่พยักหน้า
“เสี่ยวจู ไปดูซิ!”
หัวหน้าเฟิงออกคำสั่ง
เสี่ยวจูคือผู้ช่วยที่กำลังเรียนรู้เรื่องการฝึกอสูรกับตัว
เขา เขารีบวิ่งไปหอสมุดตามคำสั่ง เพียงครู่เดียวก็กลับมา
ด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาอ้าปากจะพูด แล้วก็กลับปิดปาก
อีกครั้งอย่างลังเล
“ทำไมรึ? เขายังพลิกหนังสืออยู่หรือเปล่า?”
เห็นสีหน้าของผู้ช่วย หัวหน้าเฟิงขมวดคิ้วอย่าง
งุนงง ผู้ช่วยของเขาซึ่งปกติเป็นคนสุขุมเยือกเย็นกลับมี
อาการแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น?
“ไม่ใช่แบบนั้น...”
ด้วยอาการกระอักกระอ่วน เสี่ยวจูตอบ “ขะ-เขา
อยู่ในหอสมุด...กำลังวิ่ง!”
ตอนที่ 249 สอบปากเปล่า

“กำลังวิ่ง?”
“วิ่งในหอสมุด?”
หั ว หน้ า เฟิ ง กั บ คนอื่ น ๆถามซ้ ำ เพราะกลั ว ว่ า จะหู
ฝาด ต่างมองเสี่ยวจูด้วยสีหน้างุนงง
ถ้าบอกว่าเขากำลังพลิกดูหนังสือหรือนั่งสมาธิอยู่
ในหอสมุด ก็ยังจะพอรับได้ แต่นี่กำลังวิ่ง...
หัวหน้าเฟิงกระพริบตา “เธอตาฝาดหรือเปล่า?”
หอสมุดอัดแน่นไปด้วยชั้นหนังสือ วิ่งในนั้นไม่น่าจะ
สะดวกสักเท่าไร!
อีกอย่าง ในเมื่อเขาจับอสูรขั้นพี่เชวี่ยได้ วรยุทธ
ของเขาก็ต้องสูงเอาการอยู่ จะต้องวิ่งเร็วขนาดไหนถึงจะ
เป็นประโยชน์ต่อการฝึกวรยุทธ?
“เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นการฝึกอสูรอีกวิธีหนึ่ง? มัน
เกี่ยวกับการไล่จับอสูรหรือเปล่า?”
นักฝึกอสูรหวังถามอย่างสงสัย
“เอ่อ... เขาก็ไม่ได้วิ่งเร็วนัก ความเร็วเท่ากับคน
ธรรมดานี่แหละ แต่เขาพึมพำบางอย่างไปตลอดทาง อีก
อย่าง เขาก็อยู่ไกล ผมจึงจับความไม่ได้ว่าเขาพูดอะไร”
เสี่ยวจูพูดอย่างไม่สบายใจ
อันที่จริงเขาไม่ค่อยอยากพูดถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นมา
เพราะกลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นบ้า
เพราะการที่ใครสักคนหนึ่งซึ่งบอกว่าจะเข้าไปใน
หอสมุดเพื่อปรับสภาวะจิต แต่กลับวิ่งวุ่นไปทั่วขณะที่
พึมพำบางอย่างไปตลอดทาง คงไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไป
ได้
“วิ่งไป พึมพำไป?”
คราวนี้ นักฝึกอสูรทั้งสามถึงกับมึน
พวกเขาคิดกันจนหัวแทบแตก แต่ก็ยังไม่เข้าใจ
การวิ่งจะไปเกี่ยวอะไรกับการปรับสภาวะจิต!
ถ้าจะพูดกันตามตรง ความคิดแรกที่แวบเข้ามาเมื่อ
รู้ว่าจางเซวียนกำลังทำอะไรก็คือ...หมอนี่มาป่วน!
ถ้าเขาไม่ได้พยายามป่วน แล้วเพราะอะไร? มีใคร
ในโลกเขาปรับสภาวะจิตกันด้วยวิธีนี้บ้าง?
แถมยังเข้าไปทำในหอสมุด...
ห้องสอบก็ออกใหญ่โต คิดว่ามีพื้นที่ไม่พอให้วิ่ง
หรือ? อีกอย่าง ถ้าคิดว่ามันเล็กไป ก็ยังมีลานกิจกรรมที่
ยาวหลายกิโลเมตร ต่อให้ตีลังกาติดต่อกันครึ่งชั่วโมงก็ยัง
ไปได้ไม่สุด...
“ผมจะเข้ า ไปดู เ อง ในหอสมุ ด มี ต ำราล้ ำ ค่ า อยู่
มากมาย จะปล่อยให้เขาทำพวกมันเสียหายไม่ได้!”
หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง หัวหน้าเฟิงก็ตัดสินใจว่า
จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้
การที่อีกฝ่ายวิ่งวุ่นอยู่ในหอสมุด ก็แปลว่าสภาพจิต
ของเขาอาจไม่เข้าที่เข้าทางนัก เกิดปุบปับเขาทำหอสมุด
วายวอดขึ้นมา จะคร่ำครวญตอนนั้นก็คงสายเกินไป
เขาจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้!
หั ว หน้ า เฟิ ง ตรงดิ่ ง ไปยั ง ห้ อ งสมุ ด ด้ ว ยสี ห น้ า
เคร่งเครียด แต่ในตอนนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินสวนมา
ด้วยหน้าตาแสนจะเหนื่อยอ่อน
จางเซวียน
จางเซวียนตอนนี้แตกต่างจากจางเซวียนเมื่อ 1
ชั่วโมงก่อนอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นสภาวะจิตหรือสภาพ
ร่างกาย เขาดูเหนื่อยล้าแสนสาหัสราวกับเพิ่งจะผ่านการ
ขับเคี่ยวแบบหฤโหดมา และพลังงานที่มีอยู่ในร่างกายก็
ถูกใช้หมดไม่เหลือหรอ
“คุณสบายดีหรือเปล่า?”
หัวหน้าเฟิงตรงเข้าถาม
หลั ง จากทำการปรั บ สภาวะจิ ต ผู้ นั้ น ก็ จ ะเข้ า สู่
สภาวะที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่เจ้าหนุ่มคนนี้ดูเหมือนกับ
เพิ่งออกกำลังกายมาทั้งคืน แน่ใจนะว่าไปปรับสภาวะจิต
ไม่ใช่ใช้แรงงาน?
“อ๋อ ผมสบายดี ข้อสอบมาหรือยัง? เริ่มกันเถอะ!”
จางเซวียนโบกมืออย่างสบายๆ
แม้เขาจะเก็บเนื้อหาของหนังสือทุกเล่มในหอสมุด
เข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าได้อย่างรวดเร็วด้วยวิธีการใหม่ที่
เพิ่งค้นพบ แต่ด้วยปริมาณหนังสือมากมายในเวลาอันสั้น
ข้อมูลที่พุ่งเข้าสู่สมองของเขาจึงมากเกินไป ทำให้ออกจะ
เวียนหัวเล็กน้อย
ตอนนี้ จางเซวียนรู้สึกเหมือนไม่ได้นอนมาห้าวัน
เขาอ่อนล้าไปทั้งตัว
“เอ่อ... คุณจะเริ่มเลยไหม?”
เห็นอีกฝ่ายลืมตาไม่ขึ้น หัวหน้าเฟิงอดถามไม่ได้
“คุณแน่ใจนะ?”
“ผมแน่ใจ!”
จางเซวียนพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทางโน้นเลย ผลึกบันทึกเตรียม
พร้อมไว้แล้ว” หัวหน้าเฟิงพยักหน้า
ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบเข้าเป็นนักปรุงยาหรือนัก
ฝึกอสูร เพื่อความชอบธรรม ผลึกบันทึกจะถูกนำมาใช้
บันทึกกระบวนการทุกขั้นตอนไว้ ผู้ที่สงสัยในความเป็นก
ลางของการทดสอบก็สามารถตรวจสอบได้
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงใจกลางห้องซึ่งเป็นที่ตั้งของ
ผลึกบันทึก หัวหน้าเฟิงและนักฝึกอสูรอีก 2 คนทรุดตัว
ลงนั่ง เมื่อเห็นพวกเขานั่งลง ทุกคนก็รู้ว่ากำลังจะเกิด
อะไรขึ้น ต่างออกความเห็นกันเซ็งแซ่
“การทดสอบกำลังจะเริ่มแล้ว!”
“ใช่! เขาข้ามการทดสอบเป็นผู้ช่วยไปเป็นการ
ทดสอบเป็นนักฝึกอสูรเลย มีแต่อัจฉริยะแถวหน้าเท่านั้น
ถึงจะได้รับสิทธิพิเศษนี้ ขนาดโม่หยู่คุณเสิ่นยังไม่ได้เลย
อยากรู้นักว่าถ้าเขาสอบตก ยังจะกล้าอยู่ที่นี่หรือเปล่า!”
“เขาก็แค่จับอสูรได้ 2 ตัวเพราะโชคช่วย คุณคิดว่า
เขามีความสามารถจริงๆหรือ? ผมว่าเขาสอบตกแน่!”
“การทดสอบในส่ ว นแรกคื อ การประเมิ น ความรู้
เรื่องทฤษฎี ถ้าไม่ได้ร่ำเรียนมาหลายปีล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่
จะจดจำคุณลักษณะของอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกนี้
ได้ กว่าจะจำได้ทั้งหมด องค์ชายของเราต้องอ่านหนังสือ
หลายเล่มทุกวี่ทุกวัน แต่หมอนี่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบเลย ต่อ
ให้ร่ำเรียนตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ก็จะจำได้สักเท่าไหร่กัน?”
“เขาเรียกร้องความสนใจมากกว่า ฉันไม่คิดว่าเขา
จะทำได้จริงๆหรอก...”
.....
เมื่อเห็นจางเซวียนกำลังจะเข้าสอบ ทุกคนก็พากัน
มารุมล้อม มีสายตาเย้ยหยันอยู่หลายคู่
นานมาแล้วที่ไม่มีใครได้รับสิทธิยกเว้นการสอบเป็น
ผู้ช่วยและได้ข้ามไปสอบเป็นนักฝึกอสูรเลย ด้วยความ
อิจฉาริษยา คนส่วนใหญ่ภาวนาให้จางเซวียนสอบตก
โดยเฉพาะโจวชวนกับจูจิ้นหวง อันเนื่องมาจาก
ความสัมพันธ์ของพวกเขากับหยวิ๋นเทาและโม่หยู่ ทั้งคู่
ต่างจงเกลียดจงชังจางเซวียน และจะมีความสุขมากถ้า
เขาต้องอับอายขายหน้า
ถ้าจางเซวียนสอบทฤษฎีไม่ผ่าน การจะได้เป็นนัก
ฝึกอสูร...ก็เป็นได้แค่ความฝัน!
ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่นั้น โม่หยู่กลับสู่ความเป็นจริง
เธอมองชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา
แค่เห็นแวบเดียวก็ต้องเลิกคิ้ว
เกิดอะไรขึ้นกับเขา?
เมื่ อ ครู่ นี้ ยั ง พลิ ก หนั ง สื อ อย่ า งกระตื อ รื อ ร้ น อยู่
เลย...ทำไมตอนนี้ถึงดูหมดเรี่ยวแรง?
คนอื่นๆก็เห็นความผิดปกติของจางเซวียน เสิ่นปี้
หรูสบตากับหยวิ๋นเทา ทั้งคู่ย่นหน้าผากจนเป็นร่องลึก
“อาจารย์จาง คุณสบายดีหรือเปล่า?”
“ผมสบายดี!” จางเซวียนพยักหน้า “ก็แค่เหนื่อย
นิดหน่อย!”
การถ่ายโอนข้อมูลจากหนังสือจำนวนมหาศาลเข้า
สู่ ห อสมุ ด เที ย บฟ้ า ภายในเวลาไม่ ถึ ง สองชั่ ว โมงกิ น
เรี่ยวแรงของเขาไปมาก ไม่เพียงแต่เขาจะต้องจดจ่อ
สมาธิเพื่อให้ ‘ข้อบกพร่อง’ ปรากฏออกมาตลอดเวลา
แต่อาการสั่นกระตุกในหัวทุกครั้งที่หนังสือปรากฏขึ้นก็
ทำให้เขาเหนื่อยล้า คงจะประหลาดมากทีเดียวถ้าจางเซ
วียนยังสดชื่นอยู่ได้
สำหรับตอนนี้ จะยืนยังแทบไม่รอด
“ผู้อาวุโส ถ้าคุณรู้สึกไม่ค่อยสบาย เราพักสักนิด
ก่อน แล้วค่อยสอบวันพรุ่งนี้ดีไหม?” หยวิ๋นเทาถาม
ชายที่ อ ยู่ ต รงหน้ า เขาเป็ น ถึ ง นั ก รบขั้ น จงซรื อ ผู้
เก่งกาจ มีอะไรที่ทำให้เขาเหนื่อยอ่อนได้ขนาดนี้?
“สบายมาก...”
จางเซวี ย นรู้ ว่ า อี ก ฝ่ า ยแสดงความห่ ว งใยอย่ า ง
จริงใจ เขาตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ เมื่อเสียงเยาะหยัน
เสียงหนึ่งลอยมา
“ก็แค่เสแสร้ง ที่เข้าไปในหอสมุดน่ะ อันที่จริงคง
ตั้งใจไปหาหนังสือเรื่องการฝึกอสูรอ่าน พอรู้แล้วว่าการ
ทดสอบมันยากเย็นขนาดไหน ก็เลยตัดสินใจแกล้งทำเป็น
ไม่สบาย เพื่อจะได้ไม่ต้องสอบ!”
เสียงนั้นมาจากจูจิ้นหวง
มีแววเหยียดหยามอย่างชัดเจนอยู่ในดวงตาของ
เขา เหมือนเขาจะมองทะลุการบิดเบือนเสแสร้งของเจ้า
คนจอมปลอม
“แน่ น อนเลย! แค่ อ่ า นหนั ง สื อ สองสามเล่ ม จะ
เหนื่อยอ่อนขนาดนั้นได้อย่างไร ขออภัยสำหรับความโง่
เขลาของผมด้วย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องแบบ
นี้!”
โจวชวนได้โอกาสเอาคืนจางเซวียน
“เอ่อ...”
“ที่พวกเขาพูดมาก็ดูเป็นไปได้นะ”
“เขามั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกิน จนกระทั่งได้ไปพลิก
ดูหนังสือและรู้แล้วว่าศาสตร์ของการฝึกอสูรนั้นลึกซึ้ง
ขนาดไหน พอเกิดความกลัวขึ้นมา แต่ก็ไม่อยากทำให้ตัว
เองขายหน้า ก็เลยตัดสินใจกลับมาพร้อมกับข้อแก้ตัว”
“ต้องใช่แน่ๆ...”
ฝูงชนต่างเห็นด้วยกับคำพูดของสองคนนั้น เพราะ
ฟังดูมีเหตุผล
ก็ถ้าไม่ใช่แบบนั้น กับแค่การเข้าหอสมุดไปปรับ
สภาวะจิต ทำไมถึงกลับมาในสภาพราวกับเพิ่งเฉียดตาย?
เขาดูเหนื่อยอ่อนจนพร้อมจะทรุดได้ตลอดเวลา...
เป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนหนึ่งจะเหนื่อยอ่อนเพราะ
การอ่านหนังสือ ในเมื่ออธิบายสถานการณ์นี้ไม่ได้ ก็เหลือ
ความเป็นไปได้อยู่อย่างเดียว คือเขาแกล้งทำ
“ไม่จำเป็นหรอก เริ่มเลย!”
ได้ยินทั้งข้อสงสัยและความคิดเห็นต่างๆนานา จาง
เซวียนโบกมือ
“นี่คือข้อสอบที่ผมเพิ่งนำมา คุณมีเวลาทำหนึ่ง
ชั่วโมง และต้องได้คะแนนเต็มถึงจะสอบผ่าน เริ่มได้!”
เห็นเขายืนกรานว่ายังไหว หัวหน้าเฟิงจึงไม่พูด
อะไร เขายื่นข้อสอบปึกใหญ่ให้จางเซวียน
ก็เหมือนกับการสอบข้อเขียนเพื่อเป็นผู้ช่วยนักปรุง
ยา ข้อสอบปึกนั้นมีจำนวนหลายสิบหน้า คงจะใช้เวลา
นานกว่าจะตอบได้ครบทุกคำถาม ยังไม่รวมถึงการที่ต้อง
คิดให้รอบคอบก่อนจะเขียนลงไป เพื่อให้แน่ใจว่าได้คำ
ตอบที่ถูกต้อง
จางเซวียนก้มลงมองข้อสอบ และเห็นคำถามทุก
ชนิดที่เป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการฝึกอสูร คำถาม
เหล่านั้นครอบคลุมการฝึกอสูรทุกรูปแบบ และหากมี
ความรู้ไม่มากพอ ก็ไม่มีทางอ่านคำถามเข้าใจ
“เอาล่ะ เริ่มทำข้อสอบได้เลย!”
เห็ น จางเซวี ย นได้ รั บ ข้ อ สอบแล้ ว หั ว หน้ า เฟิ ง
ประกาศเริ่มต้นการทดสอบ
“ได้!” จางเซวียนวางข้อสอบลงบนโต๊ะและหยิบ
พู่กันขึ้นมา เขากำลังจะเริ่มเขียนคำตอบ เมื่อรู้สึกว่ามี
เสียงดังในหัว และมือสั่นจนควบคุมไม่ได้
การถ่ า ยโอนหนั ง สื อ เข้ า สู่ ห อสมุ ด เที ย บฟ้ า อย่ า ง
รวดเร็วส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเขา ด้วยวรยุทธที่
ถดถอย ไม่เพียงแต่พลังใจจะไม่เหลือ ร่างกายก็ทรุดหนัก
ด้วย
ถ้าจะให้ฟื้นตัว คงต้องพักอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
แต่เขาไม่มีเวลาทำแบบนั้น
หากพัก 1 ชั่วโมง ก็ไม่มีทางทำข้อสอบเสร็จ ถึงจะ
มีหอสมุดเทียบฟ้าคอยช่วยเหลือ ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี
ถ้าเขาตอบผิดแม้แต่ข้อเดียวก็จะสอบตก การสอบ
ตกและความอับอายขายหน้าก็ยังเป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา
เรื่ อ งใหญ่ ก ว่ า นั้ น คื อ เขาจะหมดโอกาสได้ สิ ท ธิ พิ เ ศษ
ยกเว้นค่าโดยสาร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่จางเซวียนยอมไม่ได้
“ดูสิ เขาเหนื่อยถึงขนาดจับพู่กันแทบไม่อยู่!”
“ฮ่าฮ่า, เธอเชื่อเหรอว่านักรบขั้นพี่เชวี่ยจะเหนื่อย
ถึงขนาดจับพู่กันไม่ไหว? ดราม่าชัดๆ!”
“ก็แหงล่ะ! คงเห็นคำถามแล้วก็รู้ตัวว่าทำไม่ได้ เลย
เลือกจะแกล้งทำเป็นไม่ไหว...เอาจริงๆนะ ฉันเกลียดคน
พรรค์นี้ที่สุดเลย!”
“ก็ใครจะไม่เกลียดล่ะ?”
เห็ น จางเซวี ย นมื อ สั่ น จนจั บ พู่ กั น ไม่ อ ยู่ ทุ ก คน
วิพากษ์วิจารณ์อย่างเลือดเย็น
หัวหน้าเฟิง นักฝึกอสูรลู่ และคนอื่นๆมองเขาอย่าง
สงสัย
มันจะเป็นไปได้หรือ?
สำหรับจางเซวียน แค่วิ่งวุ่นไปทั่วหอสมุดก็ไม่น่าจะ
เหนื่อยขนาดนี้!
“จางเซวียน ถ้าคุณไม่พร้อมจะทำข้อสอบ ผม
อนุญาตให้คุณพัก 1 วัน แล้วค่อยมาสอบใหม่พรุ่งนี้”
หลังจากที่เห็นแล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาอาการ
หนักเกินกว่าจะทำข้อสอบ หัวหน้าเฟิงก็ทนไม่ไหว
จางเซวียนถอนหายใจและวางพู่กันลงด้วยมือที่สั่น
เทา
อีกฝ่ายหนึ่งพูดถูก ต่อให้เขาพยายามเขียนลงไป
คำตอบก็ไม่น่าจะได้เรื่อง เพราะสภาพของเขาตอนนี้
ย่ำแย่เต็มที
อีกอย่าง ความเร็วของเขาก็ไม่เพียงพอด้วย เขา
คงจะเขียนได้แค่สองสามบรรทัดแล้วก็ต้องหยุดพัก ถ้า
ต้องทำแบบนั้นก็คงไม่มีทางทำข้อสอบเสร็จทันเวลา
ถ้าจางเซวียนอยากจะผ่านการทดสอบโดยไม่ต้อง
เสียเวลา 1 วันพักอยู่ที่นี่...ก็เหลือแค่ทางเลือกสุดท้าย!
เขาถอนหายใจและเงยหน้ามอง
“หัวหน้าเฟิง, นักฝึกอสูรทั้งสอง ผมไม่อยู่ในสภาพ
ที่จะจับพู่กันได้ ผมขอสอบปากเปล่าแทนได้หรือไม่?”
“สอบปากเปล่า?”
นักฝึกอสูรทั้งสามลุกพรวดอย่างประหลาดใจ
“คะ-คุณว่าอะไรนะ? คุณจะสอบภาคทฤษฎีด้วยวิธี
ที่ยากที่สุด...สอบปากเปล่าอะนะ?”
ตอนที่ 250 ขอยืมอสูรของคุณได้ไหม

การสอบปากเปล่าเป็นวิธีที่ยากที่สุดที่ใช้ในการสอบ
ทฤษฎี
แทนที่จะใช้พู่กันเขียนคำตอบ ผู้เข้าสอบจะต้องพูด
คำตอบนั้นออกมา
ในการเขี ย นคำตอบ ผู้ เ ข้ า สอบมี โ อกาสคิ ด
ใคร่ครวญถึงคำถามนานแค่ไหนก็ได้ หรือต่อให้เขียนผิดก็
ยังสามารถเปลี่ยนคำตอบได้ แต่การสอบปากเปล่าไม่ใช่
แบบนั้น
ผู้ เ ข้ า สอบจะไม่ มี เ วลาคิ ด หรื อ มี โ อกาสเปลี่ ย นคำ
ตอบของตัวเอง เมื่อการสอบเริ่มต้น เขาจะต้องตอบทุก
คำถามให้ได้อย่างถูกต้อง ถ้าหลุดคำตอบที่ผิดออกมา
แม้แต่คำเดียวก็หมายถึงการสอบตก
การสอบรูปแบบนี้เหมือนกับวิวาทะยาของสมาคม
นักปรุงยา เป็นวิธีการที่ใช้สำหรับปรมาจารย์ เพื่อจะได้
ลดระยะเวลาของการทดสอบ และในขณะเดียวกันก็
สามารถประเมินได้ว่าผู้เข้าสอบมีความรู้เรื่องการฝึกอสูร
ดีแค่ไหน โดยดูจากความเร็วของการพูดคำตอบออกมา
การสอบทฤษฎีแบบข้อเขียนจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง
ขณะที่การสอบปากเปล่าใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
แต่ ก ารสอบปากเปล่ า ก็ ย ากเย็ น กว่ า การสอบข้ อ
เขียนมาก เพราะผู้เข้าสอบจะต้องประมวลความรู้ได้
อย่างรวดเร็วก่อนที่จะตอบออกมา จึงไม่มีใครกล้าใช้วิธีนี้
และไม่จำเป็นจะต้องใช้ด้วย ดังนั้น ตลอดหนึ่งพันปีที่ดง
อสูรสาขานี้ก่อตั้งขึ้นมา จึงไม่มีใครเคยลิ้มลองความ
ท้าทายของมัน
ทั้งหัวหน้าเฟิงและคนอื่นๆไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มที่
พร้อมจะทรุดได้ทุกวินาทีคนนี้ จะเลือกการทดสอบเข้า
เป็นนักฝึกอสูรในรูปแบบที่ยากที่สุด!
“ใช่!”
จางเซวียนพยักหน้า
“คิดให้ดีนะ ในการสอบปากเปล่า คุณจะไม่มีเวลา
คิดหาคำตอบ และถ้าตอบผิดเมื่อไหร่ก็ปรับตกทันที...”
หัวหน้าเฟิงแนะ
“ผมเข้าใจ แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะถือพู่กันจริงๆ ก็
ใช้ได้แค่วิธีนี้แหละ!”
จางเซวียนพยักหน้า
“ถ้าคุณยืนยัน ก็ตามนั้น” เห็นความมุ่งมั่นใน
ดวงตาของจางเซวียน หัวหน้าเฟิงตัดสินใจจะทำตาม
ความต้องการของเขา เขาก้าวออกมา ถือกระดาษ
ข้อสอบไว้ในมือ และมองจางเซวียน
“บอกคุ ณ ลั ก ษณะของอสู ร เขี้ ย วเหล็ ก เกราะทอง
มา!”
“อสูรเขี้ยวเหล็กเกราะทองเป็นอสูรขั้นพี่เชวี่ย ทั่ว
ทั้งร่างของมันปกคลุมด้วยชั้นผิวหนังที่ทำจากทอง ทำให้
มีความสามารถในการป้องกันตัวดีเยี่ยม โดยปกติจะ
อาศัยอยู่ในหนองบึงหรือใกล้กับลำธารในหุบเขา กินหญ้า
ไผ่เขียวซึ่งขึ้นอยู่บริเวณนั้นเป็นอาหาร มันเป็นสัตว์ที่ออก
หากินตอนกลางคืน...ซึ่งศิษย์พี่หูเหยาได้กล่าวถึงมันไว้ใน
‘ยุทธวิธีฝึกอสูรให้เชื่อง’ รวมทั้งใน ‘สารานุกรมอสูร
เขี้ยวเหล็กเกราะทอง’ ซึ่งเขียนโดยนักฝึกอสูรไป่เจินด้วย
เขาบรรยายลั ก ษณะของอสู ร ไว้ แ ตกต่ า งจากศิ ษ ย์ พี่ หู
เหยาเล็กน้อย จากการค้นคว้าของเขา อสูรเขี้ยวเหล็ก
เกราะทองชอบอยู่ในที่เย็น มันจึงมักอาศัยอยู่ในบริเวณที่
มีร่มเงาซึ่งแสงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง...”
“เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ศิษย์พี่ผู้เก่งกาจหลายคนของดง
อสู ร ได้ ร วบรวมเอาทฤษฎี เ กี่ ย วกั บ บรรพบุ รุ ษ ของอสู ร
ทั้งหมดและการค้นคว้าอีกหลายปีนับจากนั้นเอาไว้ พวก
เขาได้รู้ว่าอสูรเขี้ยวเหล็กเกราะทองที่พูดถึงนั้นแบ่งออก
เป็น 3 สปีชีส์ คืออสูรเขี้ยวเหล็กหนองบึงซึ่งอาศัยอยู่ใน
บึง อสูรเขี้ยวเหล็กภูเขาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับลำธารที่ไหล
มาจากภูเขา และอสูรเขี้ยวเหล็กในเงามืดซึ่งอาศัยอยู่ใน
ภูมิประเทศที่มีอากาศเย็นกว่า”
“มีความแตกต่างอย่างเด่นชัดระหว่าง 3 สปีชีส์
อย่างแรกคือ หน้าผากของพวกมันมีความกว้างไม่เท่ากัน
และอย่างที่สอง โครงสร้างของหางก็แตกต่างกัน...ถ้า
พวกคุณอยากตรวจสอบคำตอบของผม สามารถไปเปิดดู
ใน ‘อรรถาธิบายเรื่องอสูรเขี้ยวเหล็กเกราะทอง’ ที่พวก
เขาเขียนไว้ มันอยู่บนชั้นหนังสือที่ 17 ด้านซ้ายมือในหอ
สมุด”
จางเซวียนตอบหน้านิ่ง
“คำตอบของเขา...ถูกต้องทั้งหมด!”
อสูรเขี้ยวเหล็กเกราะทองเป็นอสูรหายาก และการ
จำแนกสปีชีส์ของมันก็แสนจะสับสน ผู้เข้าสอบส่วนมาก
รู้เพียงลักษณะพื้นฐานของอสูรชนิดนี้ และกรรมการคุม
สอบก็มักจะตัดสินให้คำตอบของพวกเขาถูกต้อง แต่
สำหรับจางเซวียน ไม่เพียงแต่จะตอบได้ถูกต้องทั้งหมด
เขายังแนะนำหนังสืออีกหลายเล่มที่นักฝึกอสูรศิษย์พี่ได้
เขียนเอาไว้ด้วย...ถึงกับบอกตำแหน่งที่ตั้งของหนังสือ
พวกนั้นได้อีกต่างหาก...
บ้าแล้ว นี่เขาเป็นมนุษย์หรือเปล่า?
ฝู ง ชนต่ า งเบิ ก ตาโพลงอย่ า งตกตะลึ ง ทั้ ง ห้ อ ง
เงียบกริบ
“บอกคำจำกั ด ความคุ ณ ลั ก ษณะของลิ ง กระดู ก
เหล็กมา!”
“ลิงกระดูกเหล็กเป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังขนาด
มหึมาที่เหยียดตรง ความแข็งแกร่งเกือบทั้งหมดของลิง
กระดูกเหล็กมาจากกระดูกที่มีลักษณะพิเศษนี้ มันยังมี
เท้าขนาดใหญ่ซึ่งทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างว่องไว แต่ถึง
แม้จะเป็นลิง มันปีนต้นไม้ไม่ได้ โครงสร้างของมันทำให้ดู
เหมื อ นกั บ อสู ร ขนาดใหญ่ ก ว่ า ที่ มี ลั ก ษณะคล้ า ย
ลิง...คุณลักษณะเหล่านี้มีบันทึกไว้ใน ‘คำอธิบายเรื่อง
อสูรของจาซาน’ ศิษย์พี่จาซานเป็นนักฝึกอสูรผู้มีชื่อเสียง
โด่งดังของดงอสูรเมื่อ 140 ปีก่อน...”
ผู้ฟังยังไม่ทันได้ตั้งตัว หัวหน้าเฟิงก็ตั้งคำถามต่อไป
และชายหนุ่มก็ตอบโดยปราศจากความลังเล
ก็ตามนั้น เมื่อมีผู้ถามและมีผู้ตอบ การสอบปาก
เปล่าก็ดำเนินไปอย่างไวมาก คำถามส่วนใหญ่ ผู้ฟังยัง
ครุ่นคิดไม่เสร็จเลยว่าคำตอบนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่ก็มี
คำถามใหม่และคำตอบใหม่ออกมาแล้ว
ในสายตาของคนเหล่านั้น ชายหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึง
20 ปีคนนี้เหมือนกับเฉลยข้อสอบ เพราะไม่เพียงแต่จะ
ตอบได้ละเอียดเท่านั้น เขายังร่ายยาวถึงความเป็นไปได้
และทฤษฎีอีกมากมายที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสืออีกด้วย
ทุกคำตอบของเขาหาข้อบกพร่องไม่ได้แม้แต่ที่เดียว
“ถูกต้องทั้งหมด!”
“ถูกต้องทั้งหมด!”
“ถิ่นที่อยู่ของหนอนแม่น้ำ...ถูกต้อง!”
“เหตุผลที่แม่น้ำ 3 สายและนกนักปราชญ์ไม่มีอยู่
อีกต่อไป...ถูกต้อง!”
หัวหน้าเฟิงตั้งคำถามครั้งแล้วครั้งเล่า และคำตอบ
ที่เขาได้รับก็ทำให้ตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆจนหัวสมองของ
เขามึนงงไปหมด
ตอนแรก เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้คำตอบเฉพาะที่เขา
ถาม ถ้าเขาเพิ่มระดับความยากของคำถาม ฝ่ายนั้นคง
ตอบไม่ได้รวดเร็วแบบเดิม
แต่กลับกลายเป็นว่า...ถึงจางเซวียนจะดูเหมือนใกล้
ลมจับเต็มที แต่คำตอบของเขาก็พุ่งออกมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ
จนหัวหน้าเฟิงแทบรับไม่ทัน
ยิ่งกว่านั้น...
ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ทุกคำตอบของเขายังไร้ที่ติด้วย
ถ้าหัวหน้าเฟิงไม่เห็นกับตา เขาจะไม่มีทางเชื่อว่านี่
คือเรื่องจริง ในโลกนี้มีปีศาจด้วย!
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมจางเซวียนจึงรู้จักนกกระจอก
สายฟ้าบรรพกาล ในเรื่องความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอสูร ดู
เหมือนเขาจะเหนือกว่านักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวเสียอีก
“นี่มัน... เป็นไปไม่ได้!”
“คำถามพวกนี้มัน...ยากมาก!”
ขณะที่นักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวทั้งสามคนกำลัง
ตะลึงตะลาน โจวชวนกับจูจิ้นห่วงก็นั่งเซ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ตรงหน้า พวกเขามองเห็นความหวาดผวาในแววตาของ
กันและกัน
คำถามที่หัวหน้าเฟิงตั้งขึ้นนั้นยากเกินกว่าที่พวก
เขาจะตอบได้
ไม่ ใ ช่ ว่ า ความรู้ พื้ น ฐานเรื่ อ งอสู ร ของพวกเขายั ง
อ่ อ น แต่ ใ นหลายคำถามนั้ น คำจำกั ด ความของ
คุณลักษณะของอสูรมันเหมือนกันไปหมด หากพลาดแม้
เพียงนิดเดียว พวกเขาก็จะตอบผิด
ยกตัวอย่างหนอนแม่น้ำ ฟังดูเหมือนเป็นแมลงชนิด
หนึ่ง แต่อันที่จริงมันคืออสูรที่ทรงพลังมาก มันมีกระดูก
งอกออกมาจากผิวหนังและมีความแข็งแกร่งไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ เจ้าอสูรที่แสนดุดันจึงสามารถลอยตัวอยู่
บนพื้นผิวแม่น้ำได้ คนส่วนใหญ่มักนึกว่าอสูรชนิดนี้อาศัย
อยู่บนผิวน้ำ เนื่องจากมีคำว่า ‘แม่น้ำ’ แต่กลับตรงกัน
ข้าม ถิ่นที่อยู่ของมันคือภูเขา...
ทุกคำถามของหัวหน้าเฟิงนั้น ไม่มีคำถามไหนง่าย
ขนาดเป็นข้อเขียน พวกเขายังต้องใช้เวลาครุ่นคิดอยู่
นานกว่าจะเขียนคำตอบลงไป แต่จางเซวียนกลับตอบ
ออกมาได้ทันที เหมือนกับไม่ต้องใช้เวลาคิดเลย...
เขาทำได้อย่างไรกัน?
ขนาดโคตรอัจฉริยะอย่างโม่หยู่ก็ยังตอบคำถามไม่
ได้ทันควันแบบนี้!
นี่คือการแสดงออกของผู้ที่ซึมซับเอาความรู้ขั้นพื้น
ฐานทั้งหมดไว้ในกระดูกของเขาแล้ว
จู จิ้ น หวงกั บ โจวชวนตั ว สั่ น นี่ พ วกเขาเพิ่ ง จะ
ถากถางคนเก่งกาจขนาดนี้ว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยและทำตัว
เสแสร้ง?
ถ้าเปรียบเทียบกับจางเซวียน ความรู้ที่เขามีที่พวก
เขามีช่างน่าสมเพช
การสอบผ่านทฤษฎีด้วยปากเปล่าได้อย่างง่ายดาย
เหมือนกับการสอบข้อเขียน...ในฐานะที่ร่ำเรียนเรื่องการ
ฝึกอสูรมาแล้วหลายปี พวกเขารู้ว่ามันไม่ง่าย
เช่นเดียวกับการฝึกอสูร สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
เกิดขึ้นได้เสมอ ภายใต้สภาวะแบบนั้น ผู้ฝึกอสูรจะต้อง
สามารถพลิกแพลงสถานการณ์ และนำความรู้ที่ตัวเองมี
มาใช้ตัดสินใจเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด
ทุกวินาทีมีความหมาย หากพลาดแม้แต่เสี้ยววินาที
ก็มีโอกาสที่สถานการณ์จะเพิ่มความซับซ้อนและทำให้
กระบวนการฝึกอสูรยากขึ้นอีกหลายเท่า
นี่ คื อ เหตุ ผ ลที่ นั ก ฝึ ก อสู ร ผู้ ส อบผ่ า นทฤษฎี ไ ด้ ด้ ว ย
ปากเปล่าได้รับการยกย่องอย่างมาก
นั ก ฝึ ก อสู ร ทุ ก คนที่ ส อบปากเปล่ า ผ่ า นจะประสบ
ความสำเร็จอย่างน่าทึ่งเสมอ
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจางเซวียนเป็นแค่ตัวตลกที่
อยากสร้างชื่อให้ตัวเอง ไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่า นอกจาก
คำตอบของเขาจะถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ยังไม่ต้องใช้เวลา
คิดเลย...
นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้!
ขณะที่ทั้งคู่กำลังกลัวตัวสั่น เสิ่นปี้หรูถึงกับอ้าปาก
หวอ
ผู้ชายคนนี้ ที่เมื่อสองชั่วโมงก่อนยังไม่รู้ว่าป่าดงดิบ
คืออะไร ตอนนี้กลับพ่นทฤษฎีและข้อเท็จจริงออกมานับ
ไม่ถ้วน ราวกับว่าไม่มีอะไรสำคัญเลย ต่อให้เธอจะโง่เง่า
อย่างไร ก็รู้ว่ามีบางอย่างไม่ธรรมดา
“เขามี...ความสามารถแบบโหรจริงๆหรือ?”
ถ้าก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงข้อสงสัย มาถึงตอนนี้เธอ
ก็แน่ใจเต็มร้อย
เขาจะตอบคำถามได้รวดเร็วและถูกต้องทั้งหมดได้
อย่างไร ถ้าไม่รู้คำถามล่วงหน้า?
อีกด้านหนึ่ง โม่หยู่ย่นหน้าผาก แววตามีประกาย
สงสัยใคร่รู้ขณะที่ครุ่นคิด
“... จบแค่นี้แหละ หัวหน้าเฟิง นักฝึกอสูรลู่ นักฝึก
อสูรหวัง คำตอบของผมถูกต้องหรือเปล่า?”
จางเซวียนจบสิ้นการตอบคำถามและยิ้มให้พวกเขา
“คำตอบของคุณ...ถูกต้องทั้งหมด!”
ทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนที่หัวหน้าเฟิงจะพยักหน้า
จางเซวียนตอบคำถามในการทดสอบภาคทฤษฎีได้
ครบทุกข้อภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง แถมยังร่ายยาวถึง
ประวัติศาสตร์และที่มาของคำตอบเหล่านั้นให้ฟังด้วย
พวกเขาทำได้แค่ชื่นชมกับความละเอียดลออและ
แม่นยำของคำตอบเหล่านั้น
“ในเมื่อคุณตอบถูกทุกข้อ คุณก็ผ่านการทดสอบใน
ส่วนแรก!”
ใช้ เ วลาไม่ น าน หั ว หน้ า เฟิ ง ก็ ป ระกาศผลการ
ทดสอบ จากนั้นเขามองจางเซวียนและพูดต่อ “ในเมื่อ
คุณผ่านการทดสอบส่วนแรกแล้ว มาต่อส่วนที่สองเลย
คือการฝึกอสูรให้เชื่อง คุณมีเวลาครึ่งเดือน แค่ฝึกมันให้
เริ่มเชื่องได้ก็ถือว่าสอบผ่านแล้ว”
“ครึ่งเดือน? นานเกินไป...คุณมีอสูรที่ยังไม่เชื่องอยู่
ที่นี่บ้างไหม? ให้ผมฝึกมันได้หรือเปล่า?”
แม้จะมีอสูรอยู่นับไม่ถ้วนทั่วทั้งเทือกเขาเชียนหลัว
แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะหาสักตัวซึ่งเหมาะจะนำมาใช้ในการ
ทดสอบ ถ้าจางเซวียนต้องออกไปตามหา ก็แน่นอนว่าจะ
ต้องใช้เวลานาน ในเมื่อตอนนี้เขาอยู่ในดงอสูรแล้ว มันก็
น่าจะมีอสูรที่พอใช้การได้สักตัวหนึ่ง
เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็ลุกขึ้นยืน ระหว่างช่วงเวลา
ของการสอบปากเปล่า ร่างกายที่เหนื่อยอ่อนของเขาฟื้น
ตัวขึ้นเล็กน้อย
ถึงจะยังไม่อยู่ในสภาวะปกติ แต่ก็ดีกว่าเดิมมาก
“ให้คุณฝึกมันหรือ?”
ได้ยินแบบนั้น ทุกคนถึงกับใบ้กิน
“ตลกเป็นบ้า! อสูรทุกตัวเป็นของล้ำค่า จะยอมให้
คุณมาฝึกมันง่ายๆได้อย่างไร? อีกอย่าง มีแต่อสูรที่เชื่อง
แล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในดงอสูรได้ ถ้าปล่อยให้ตัวป่า
เถื่อนที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามา เกิดความวุ่นวายแตกตื่นแล้วใคร
จะรับผิดชอบ!”
ได้ ยิ น จางเซวี ย นปล่ อ ยคำพู ด ที่ แ สดงถึ ง ความ
อ่อนหัดออกมา โม่หยู่พึมพำอย่างเหยียดๆ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็...”
จางเซวียนส่ายหน้า ไม่คิดว่าการทดสอบเป็นนักฝึก
อสูรจะเรื่องเยอะขนาดนี้ แล้วเขาจะไปหาอสูรที่ยังไม่
เชื่องจากที่ไหน?
“อ้อ ดีเลย! ผมขอยืมนกอินทรีสีเขียวอ่อนของคุณ
มาฝึกได้ไหม?”
ความคิดหนึ่งวาบขึ้นมา เขาหันขวับไปถามโม่หยู่
ตอนที่ 251 วิธีฝึกอสูรด้วยการอัดให้น่วม

อสูรทุกตัวที่บรรดานักฝึกอสูรพาเข้ามาที่นี่ล้วนต้อง
ผ่านความอุตสาหะอย่างยิ่งยวดของพวกเขาในการฝึกมัน
ดังนั้นพวกมันจึงจัดเป็นสมบัติส่วนบุคคล
นักฝึกอสูรส่วนใหญ่ดูแลอสูรของตัวเองราวกับเป็น
ภรรยา คำขอของจางเซวียนที่ขอยืมอสูรมาฝึกจึงไม่ต่าง
กับการขอยืมภรรยาของใครสักคนมาอิงแอบแนบชิด ทุก
คนจ้องเขาราวกับเห็นคนปัญญาอ่อน
โม่หยู่เกือบจะปรี๊ดแตก
ขอยืมอสูรของฉันไปฝึกให้เชื่องนี่นะ?
เอาความคิดบ้าบอแบบนี้มาจากไหน?
การฝึกอสูรที่เพิ่งมาจากป่าจะเหมือนกับการฝึกอสูร
ที่ถูกฝึกให้เชื่องแล้วได้อย่างไร?
แม้เธอจะฝึกนกอินทรีสีเขียวอ่อนตัวนี้ได้แค่ขั้นที่มัน
เริ่มเชื่อง แต่เธอก็ได้อยู่ใกล้ชิดมันมาแล้ว 7-8 วัน และ
เข้าใจความต้องการอันซับซ้อนหลายอย่างของมัน ตลอด
วั นคืนที่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน ความผู กพั น อั น ล้ ำ ลึ ก และ
เหนียวแน่นก็ได้เกิดขึ้น
ระดับความภักดีของนกอินทรีสีเขียวอ่อนอยู่ที่ 30
แล้ว อีกนิดเดียวก็จะถึง 31 ซึ่งหมายถึงเธอจะสำเร็จการ
ฝึกให้เชื่องขั้นสูง
อีกอย่าง เจ้านกตัวนี้ก็หยิ่งผยองและไม่ชอบยุ่งเกี่ยว
กับมนุษย์ มันเป็นความบังเอิญหลายอย่างที่ทำให้เธอฝึก
มันได้
แต่ชายคนนี้ขอยืมมันจากเธอเอาดื้อๆ โดยบอกว่า
จะเอาไปฝึก
คุณคิดว่ามันตลกหรือ?
เธอแน่นหน้าอกจนอยากจะปรี๊ดแตก
โม่ ห ยู่ เ พิ่ ง จะประทั บ ใจในพื้ น ความรู้ ข องอี ก ฝ่ า ย
และคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกอสูร แต่แล้วเขาก็
ปล่อยคำพูดที่แสดงถึงความอ่อนหัดออกมา
ขอยืม? ยืมบ้ายืมบออะไร? นี่เป็นครั้งแรกที่ฉัน
ได้ยินว่ามีใครเขาขอยืมอสูรไปฝึก
ทำไมไม่ขอยืมเมียคนอื่นไปอยู่ด้วยเสียเลยล่ะคุณ?
โม่หยู่หรี่ตา กำลังจะตำหนิอีกฝ่ายถึงคำพูดพล่อยๆ
ของเขา จูจิ้นหวงก็เดินเข้ามากระซิบข้างหู
“คุณโม่ ผมว่าให้เขายืมนกอินทรีสีเขียวอ่อนไปฝึกก็
เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน!”
“คุณว่าอะไรนะ?”
เธอจ้องหน้าจูจิ้นหวงอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ดู
เหมือนว่าถ้าคำตอบของเขาทำให้เธอพอใจไม่ได้ล่ะก็ จะ
ต้องเกิดการปรี๊ดขึ้นแน่
“ก็คุณฝึกมันให้เชื่องได้แล้วนี่ ระดับความภักดีก็มี
ตั้ง 30 เขาไม่มีทางฝึกมันได้หรอก ในเมื่อหมอนี่ทำหยิ่ง
ผยองและกระหยิ่มยิ้มย่องขนาดนั้น คุณก็น่าจะให้เขา
ลองเสียหน่อย ล้มเหลวขึ้นมาเมื่อไหร่ รับรองหน้าแตก
หมอไม่รับเย็บ!”
จูจิ้นหวงคำราม
“จริงด้วย ขนาดนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด
อย่างหัวหน้าเฟิง ยังฝึกอสูรที่ถูกฝึกให้เชื่องแล้วไม่ได้เลย
นับประสาอะไรกับคนที่ไม่ใช่นักฝึกอสูร เขาก็เพ้อเจ้อ
โอ้อวดไปอย่างนั้น ผมว่าเราควรจะให้บทเรียนเขาเสีย
หน่อย!”
โจวชวนเสริม
“เอ่อ...”
สองคนนั้นพูดจาฟังขึ้น การฝึกอสูรที่ถูกฝึกให้เชื่อง
แล้วไม่น่าจะทำได้
ในเมื่อหมอนั่นมั่นอกมั่นใจเสียขนาดนั้น ปล่อยให้
ขายหน้าก็ดีเหมือนกัน
เมื่อคิดได้แบบนั้น เธอหันไปมองจางเซวียนอย่าง
เย็นชา “คุณอยากขอยืมนกอินทรีสีเขียวอ่อนของฉัน
หรือ? ก็เอาสิ ถ้าคุณฝึกมันได้ ฉันก็ให้ยืม”
“คุณพูดจริงหรือ?”
จางเซวียนก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะ
ยอมตกลงจริงๆ เขาหันไปมองหัวหน้าเฟิงและคนอื่นๆ
ด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “ถ้าผมฝึกนกอินทรีสีเขียวอ่อน
ตัวนี้ให้เชื่องได้ จะถือว่าสอบรอบ 2 ผ่านใช่ไหม?”
“เอ่อ...ใช่สิ ถือว่าผ่าน!”
หัวหน้าเฟิงพยักหน้าและมีสีหน้าประหลาด
ชายหนุ่ ม คนนี้ เ พิ่ ง แสดงให้ เ ห็ น จากการสอบปาก
เปล่าว่าเขามีความรู้มากมายในเรื่องการฝึกอสูร แล้ว
ทำไมจู่ๆถึงทำตัวเซอะซะอ่อนหัดขึ้นมาแบบนี้
ก็เห็นกันชัดๆว่าเจ้านกอินทรีสีเขียวอ่อนตัวนั้นสนิท
ชิดเชื้อกับโม่หยู่ และเธอก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่ามันจะยอม
จำนนต่อเธอ แต่เขาอยากจะฝึกมัน...จะไม่เรียกว่ารนหา
ที่หรอกหรือ?
เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า คุณควรจะออกไปหาอสูรที่
อยู่ในป่าสักตัวเสียดีกว่า
หลังจากได้พักครู่หนึ่ง จางเซวียนก็เริ่มฟื้นตัวจาก
ความบอบช้ำเพราะการถ่ายโอนข้อมูลในหนังสือพวกนั้น
เขาหัวเราะหึๆและเดินไปหานกอินทรี
“เจ้านกน้อย เจ้านายของแกให้ฉันยืมตัวแกแล้ว
รีบจำนนต่อฉันเดี๋ยวนี้!”
“แคว่ก!”
เจ้าอสูรขั้นทงฉวนดูเหมือนจะเข้าใจภาษามนุษย์
เมื่อได้ยินสิ่งที่จางเซวียนพูด มันแสดงอาการโมโหเดือด
ออกมา
นี่เป็นการยั่วโมโหกันอย่างร้ายแรง
คนอื่นเขามีแต่นำอาหารดีๆมาให้ ทั้งหาสิ่งที่มัน
ทำให้มันเพลิดเพลินและของล้ำค่านานาชนิดมาล่อเวลา
ที่อยากจะฝึกมัน แต่หมอนี่มามือเปล่า และที่สำคัญกว่า
นั้น...ไอ้การพูดแบบนี้แปลว่าอะไร?
ราวกับโชคชะตากำหนดมาให้มันต้องยอมจำนนต่อ
เขา...
พึ่บ!
เจ้านกอินทรีกางปีกขนาดมหึมาของมันและสะบัด
พึ่บอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะใช้ปีกนั้นตบจางเซวียน
เปรี้ยง
ฟิ้ว!
ลมพัดหวีดหวิวหนักหน่วง ปีกอันแข็งแกร่งที่มีขน
คมกริบนั้นแหวกอากาศราวกับเป็นมีดคมๆ เกิดเป็นเสียง
หวีดโหยหวน
นกตัวนี้เป็นอสูรขั้นทงฉวน และพละกำลังในการ
ต่อสู้ของมันก็แข็งแกร่งกว่านักรบทงฉวนทั่วไปมาก เกิด
ลมหวีดหวิวทุกที่ที่ปีกของมันสะบัดผ่าน ผู้ชมต่างหน้าซีด
และพากันถอยกรูด
ต่อให้เป็นนักรบพี่เชวี่ยก็ไม่อาจต้านทานคลื่นปะทะ
รุนแรงจากการเคลื่อนไหวของมันได้ ส่วนเรื่องจะเผชิญ
หน้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง
ฟิ้ว!
ทุกคนพร้อมใจกันถอยแล้ว แต่จางเซวียนก็ยังหน้า
นิ่ง ด้วยการเอียงตัวเล็กน้อย เขาก็ชิ่งหลบการโจมตีนั้น
ออกไปไกลกว่าเจ็ดแปดเมตร
ครืน!
เกิดรอยร้าวยาวสิบกว่าเมตรบนพื้นหินสีน้ำเงินหนา
หนักหลังจากที่ถูกปีกของมันกระแทก
พื้นหินสีน้ำเงินเป็นวัสดุที่ดงอสูรซื้อจากเมืองไป๋หยู
ด้วยราคาสูงลิ่ว ต่อให้นักรบพี่เชวี่ยขั้นสูงสุดก็แทบจะ
ต่อยมันให้เป็นรอยไม่ได้ แต่ด้วยการกวาดเบาๆของ
ปีกนกอินทรีสีเขียวอ่อน รอยร้าวขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น
“แข็งแกร่งจริงๆ...”
หยวิ๋นเทากับคนอื่นๆหน้าซีด
ถ้าเป็นพวกเขา แน่นอนว่าไม่มีทางหลบการโจมตี
ได้ทัน ดูท่าจะต้องตายคาที่
“ถ้าแกไม่หยุด อย่าหาว่าฉันไม่ออมมือให้ก็แล้ว
กัน!”
จางเซวียนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ตรงกันข้ามกับ
ความหวาดผวาของคนอื่นๆ
พึ่บ!
หลังจากได้ยินคำพูดและเห็นสีหน้าของจางเซวียน
นกอินทรีสีเขียวอ่อนเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม มันกางปีกโผ
ขึ้นไปกลางอากาศ และตบจางเซวียนด้วยกรงเล็บอัน
คมกริบของมัน
สองท่วงท่าอันทรงพลังที่สุดของนกอินทรีสีเขียว
อ่อนคือการกระพือปีกตบ และกรงเล็บเหล็กอันคมกริบ
กรงเล็บนั้นแข็งแกร่งกว่าปีก แรงโน้มถ่วงทำให้การ
เคลื่อนไหวของมันมีพลังหนักหน่วงกว่าเดิม ต่อให้นักรบ
กึ่งจงซรือก็ยังรับมือแทบไม่ไหว
“ไม่มีใครตายหรอกถ้าไม่รนหาที่ คุณไม่ควรจะ
โอหังเสียตั้งแต่แรก!”
“กล้าท้าทายนกอินทรีสีเขียวอ่อน ก็สมควรแล้ว!”
จูจิ้นหวง โจวชวน และคนอื่นๆเยาะหยันอย่าง
เลือดเย็น
ต่ อ ให้ อ งครั ก ษ์ ที่ แ ข็ ง แรงที่ สุ ด ของพวกเขาก็ ยั ง
รับมือกับการโจมตีของนกอินทรีตัวนี้ไม่ได้ พวกเขาไม่
เชื่อว่าชายหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบคนนี้จะเอาตัวรอด
“ถ้าถูกกรงเล็บนั่นตะปบเอาเมื่อไหร่ ต่อให้ไม่ตายก็
เลี้ยงไม่โต!”
“ด้ ว ยท่ ว งท่ า นี้ พละกำลั ง ของนกอิ น ทรี น่ า จะ
มากกว่า 500 ติ่ง ซึ่งเทียบเท่ากับนักรบกึ่งจงซรือ ที่ทำได้
คือหลบเท่านั้นแหละ!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มจะยั่วโมโหนกอินทรีได้
ขนาดนี้ ด้วยคำพูดแค่สองสามคำ เขาทำให้มันเดือดดาล
ทุกคนหวาดผวากับการใช้กรงเล็บเหล็กอันทรงพลังนั้น
มีนักฝึกอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องตายไประหว่าง
การฝึกอสูร
แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครถูกอสูรฆ่าตายในดงอสูร
แห่งนี้
ทุกคนคิดว่าจางเซวียนต้องชะตาขาดแน่ ก็ได้ยิน
เสียงเยือกเย็นของเขาดังขึ้น
“ในเมื่อพูดกันดีๆแล้วไม่ฟัง ก็ไม่มีทางอื่นนะ!”
เขากำหมัดแน่นและเผชิญหน้ากับกรงเล็บของอีก
ฝ่ายที่พุ่งเข้ามา
“ฮะ?”
ทุกคนตัวสั่น
กรงเล็บของนกอินทรีสีเขียวอ่อนนั้นทรงพลังถึงกับ
ฉีกกระชากเหล็กออกเป็นชิ้นๆได้ แต่เขาเผชิญหน้ากับ
มันด้วยกำปั้น
ตึ้ง!
ยังไม่ทันที่ใครจะหายสะพรึง กรงเล็บกับกำปั้นก็
ปะทะกัน
ทุกคนคิดว่าชายหนุ่มจะต้องแขนหักและมีบาดแผล
ฉกรรจ์ แต่เจ้านกอินทรีกลับกรีดร้องเสียงสั่นอย่างพรั่น
พรึงราวกับเพิ่งปะทะกับภูเขามหึมา มันควบคุมตัวเองไม่
ได้และร่วงลงมาจากกลางอากาศ
ตุ้บ!
มันตกตุ้บลงบนพื้น ทุกคนเห็นกรงเล็บที่หงิกงอของ
มันอย่างชัดเจน
“ฮะ?”
ทุกคนอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ
“คราวนี้แกยังจะโอหังอยู่ไหม?”
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะหายพรั่นพรึง จางเซวียนเดิน
ตรงเข้าใส่นกอินทรีสีเขียวอ่อนและเตะป้าบเข้าให้
ปึ้ก!
นกอินทรียังไม่ทันจะตั้งตัวได้ ก็ถูกเสยกระเด็นไปอีก
รอบ ร่างของมันกระแทกกับเสาหินในห้องนั้นอย่างแรง
จนมันกระตุกไม่หยุด
พละกำลังของการเตะครั้งนี้มากกว่า 600 ติ่ง ไม่ว่า
นกอินทรีจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่มีทางต้านทานได้
“กล้าหาเรื่องฉัน แกคงจะอยากตายสินะ!”
ดูเหมือนว่าเตะครั้งเดียวก็ยังไม่หายหงุดหงิด จางเซ
วียนตรงเข้าเตะมันอีกครั้งหนึ่ง
ปึ้ก!
เจ้านกอินทรีถูกเสยโด่งขึ้นไปอีกครั้ง ความโอหัง
ของมันหายวับไปไม่มีเหลือ ตอนนี้มันดูรุ่งริ่งกระเซอะ
กระเซิงเต็มที ถ้าไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของมันใน
ฐานะที่เป็นอสูรล่ะก็ มันคงจะตายเสียแล้ว
“หยุดนะ...”
โม่หยู่หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
นั่นมันอสูรของเธอ ถ้าจางเซวียนอัดไม่หยุดแบบนี้
ต่อให้ไม่ถึงตายมันก็ต้องพิการแน่
เธอจะปล่อยให้อสูรที่เธอฝึกมันมาด้วยความเหนื่อย
ยากตายแบบนี้ไม่ได้
“คุณโม่ อย่าตระหนกไปเลย นี่คือวิธีฝึกอสูรด้วย
การอัดให้น่วม!” หยวิ๋นเทารีบเดินมาบอก
“วิธีฝึกอสูรด้วยการอัดให้น่วม?”
“ผมตั้งชื่อให้มันเองแหละ ทุกครั้งที่ผู้อาวุโสฝึกอสูร
เขาจะต้องอัดมันก่อน ดูเหมือนคราวนี้เขาก็ทำอย่างนั้น!”
นัยน์ตาของหยวิ๋นเทาเป็นประกายอย่างชื่นชม
สมกับเป็นผู้อาวุโสจางเซวียน วิธีฝึกอสูรของเขาไม่
ธรรมดาจริงๆ!
นี่คืออสูรขั้นทงฉวนที่ฝึกยากที่สุดตัวหนึ่ง คนอื่นเขา
ต้องนำอาหารดีๆและของล้ำค่ามากมายมาเอาอกเอาใจ
แต่เขาตั้งหน้าตั้งตาอัดมันโดยปราศจากความปรานี
ถึงอย่างไรก็ต้องยกย่องในความกล้าหาญของเขา!
“เขาฝึกอสูรด้วยวิธีนี้ได้จริงๆหรือ? ฉันคิดว่ามีแต่
จะทำให้นกอินทรีโกรธแค้นเสียมากกว่า!”
โม่หยู่หรี่ตา
เธออ่านหนังสือแทบจะหมดทั้งหอสมุดแล้ว แต่ก็ไม่
เคยได้ยินว่ามีวิธีฝึกอสูรด้วยการอัดมันให้น่วม!
ทำแบบนั้นก็รังแต่จะทำให้มันโกรธเกลียดมากกว่า
เดิม แล้วจะฝึกมันให้เชื่องได้อย่างไร?
“นกอินทรีสีเขียวอ่อนเป็นหนึ่งในสัตว์ปีกดุร้ายที่
แข็งแกร่งที่สุด มันมีธรรมชาติของความเย่อหยิ่งและป่า
เถื่อน ทั้งยังภาคภูมิใจในตัวเองมาก ต่อให้มีใครอยากผูก
มิตรกับมัน มันก็มักเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะฉะนั้น ถ้าคิด
จะเอามันให้อยู่ด้วยการอัดจนน่วมล่ะก็ ไม่ต่างอะไรกับ
ฝันกลางวันดีๆนี่เอง...”
โม่หยู่คำรามพลางสะบัดแขนเสื้อ แต่ยังพูดไม่ทัน
จบก็ต้องตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาของเธอเบิกโพลงขณะที่
พึมพำ “ฮะ? นี่...นี่...มันเกิดอะไรขึ้น?”
ในตอนนั้ น นกอิ น ทรี สี เ ขี ย วอ่ อ นที่ แ สนดุ ร้ า ยก็
กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนได้ และใช้หัวของมันเคล้าเคลีย
กับตัวของจางเซวียน มันพะเน้าพะนอเขาราวกับสุนัขที่
จงรักภักดี
มันคือ... การยอมจำนนอย่างสมบูรณ์!
ตอนที่ 252 ทําไม่ได้?

มันเป็นนกที่หยิ่งผยองอย่างไม่มีอะไรเทียบ ในการ
จะฝึกให้มันเชื่อง โม่หยู่ต้องป่ายปีนขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อ
ฆ่างูร้ายขั้นพี่เชวี่ยมาให้มันกินเป็นอาหารมื้อเย็น นำหิมะ
มาละลายเป็นน้ำให้มันอาบ...
ต้องทำถึงขนาดนั้น เจ้านกนี่ถึงยอมตามเธอมาเข้า
สอบ ถ้าจะพูดกันตามตรง เธอก็ยังฝึกมันไม่สำเร็จ
แต่หลังจากถูกทำร้าย มันกลับก้มหัวในทันใด...
สิ่งที่ทำให้โม่หยู่แทบจะเป็นบ้าคือสีหน้าออดอ้อน
พะเน้าพะนอของมัน มันทำท่าราวกับกำลังพยายาม
ทำให้อีกฝ่ายพอใจ...นี่มันบ้าอะไรกัน?
โม่หยู่หายใจไม่ออกและครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที
มันเป็นอสูรของเธอ และเธอก็กำลังจะได้ทำสัญญา
กับมันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันนอนอยู่บนตักของจางเซวียน
และพยายามจะทำให้เขาพออกพอใจ เธอรู้สึกเจ็บปวด
ราวกับได้รับบาดแผลจากการถูกทำร้ายนั้นเสียเอง
ทั้งจูจิ้นหวงและโจวชวนที่เพิ่งจะมั่นอกมั่นใจสุดขีด
อยู่เมื่อครู่ก็มีทีท่าเหมือนกับถูกตบหน้า ทั้งคู่หน้าตาบูด
เบี้ยวอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ดูพร้อมจะปล่อย
โฮอยู่รอมร่อ
ยอมจำนนอย่างสมบูรณ์หลังจากถูกอัดน่วม?
เราตาฝาดหรือเปล่า?
“คุณทั้งสอง...”
ทั้งคู่ยังงงไม่เสร็จขณะที่โม่หยู่เข้ามาหาด้วยสีหน้า
เย็นชา เธอกัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงกรอด “คุณทั้งคู่เพิ่ง
จะบอกไม่ใช่หรือว่า...เขาไม่มีทางทำได้?”
“เอ่อ...”
จูจิ้นหวงกับโจวชวนถึงกับตัวสั่น
ทั้งคู่เป็นคนหว่านล้อมโม่หยู่ให้ยอมยกนกอินทรีสี
เขียวอ่อนให้จางเซวียนยืมไปฝึก ต่างมั่นใจว่าจะต้องได้
เห็นอีกฝ่ายอับอายขายหน้า ไม่นึกไม่ฝันเลยแม้แต่น้อยว่า
จะเกิดเรื่องแบบนี้
“คุณโม่ อย่าตระหนกไปเลย ผมคิดว่าเจ้านกอินทรี
คงยังรู้สึกปั่นป่วนอยู่หลังจากถูกทำร้าย ก็เลยแกล้งทำ
เป็นยอมจำนนไปก่อน ไม่นานมันก็เลิกเองแหละ...”
จูจิ้นหวงปากสั่นและลนลานอธิบาย
“จริ ง ด้ ว ย! จริ ง ที่ สุ ด เลย! อสู ร ระดั บ นี้ น่ ะ มี ส ติ
ปัญญาเฉลียวฉลาด มันจะต้องคิดแล้วว่าตัวเองสู้หมอนั่น
ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจทำเป็นยอมแพ้ไปก่อน มันคงกำลังหา
โอกาสเหมาะๆเพื่อเอาคืน...”
โจวชวนพูด
แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงคำรามของอีกฝ่าย
เขารีบหันไปมอง และเห็น
จางเซวียนกรีดเลือดหยดหนึ่งใส่ปากเจ้านกอินทรี
ทั้งคู่ทำสัญญากันแล้ว
ฟึ่บ!
เมื่อทำสัญญาเสร็จสิ้น เจ้านกอินทรีสีเขียวอ่อนก็
นอนหมอบตรงหน้าจางเซวียนอย่างสบายอารมณ์ มันซุก
ไซ้หัวเข้ากับเสื้อผ้าของเขาไม่หยุดหย่อน ราวกับแมวขี้
เกียจที่เพิ่งได้กินอาหารและอยากพะเน้าพะนอเจ้านาย
ของมันเสียเหลือเกิน
“คุณเรียกอาการแบบนี้ว่าการแสร้งยอมจำนนเพื่อ
หาโอกาสเอาคืนหรือ?”
โม่ยู่หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว
มีอสูรที่ไหนยอมทำสัญญาระหว่างที่แกล้งทำเป็น
จำนน?
อสูรที่เคืองแค้นตัวไหนกันถึงแสดงกิริยาแบบนี้?
โม่หยู่หายใจถี่กระชั้น เธอใกล้จะระเบิดความเกรี้ยว
กราดออกมาเต็มที
เธอไปฟังคำพูดของสองคนนั้น และยอมให้อีกฝ่าย
ยืมนกอินทรีสีเขียวอ่อนไปได้อย่างไร?
สายเกิ น ไปแล้ ว ที่ จ ะคร่ ำ ครวญ เพราะทั้ ง คู่ ท ำ
สัญญากันไปแล้ว
แต่ถึงจะโกรธเกรี้ยวแค่ไหน เธอก็ตกตะลึงด้วย
จางเซวียนทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน?
เธอเฝ้ า ดู วิ ธี ก ารฝึ ก ของเขาอย่ า งละเอี ย ดถี่ ถ้ ว น
ทั้งหมดที่เขาทำก็คือยั่วโมโหเจ้านกอินทรีก่อนจะทำร้าย
มัน จากนั้นก็กระซิบกระซาบบางคำก่อนจะตบเบาๆบน
ตัวมันสองสามจุด แล้วทีท่าของเจ้านกนั่นก็เปลี่ยนไปโดย
สิ้นเชิง ความโกรธเกรี้ยวของมันเปลี่ยนไปเป็นความ
ประหลาดใจและตื่นเต้น จากนั้นก็ยอมจำนนต่อเขาทันที!
จะเป็นไปได้ไหมว่า...
ต้องใช่แน่ๆ!
มันต้องเป็นอย่างที่เขาบอก!
ว่าแต่...ทีท่าของอสูรเปลี่ยนแปลงปุบปับแบบนี้ได้
อย่างไร?
เขาพูดอะไรออกไป เจ้านกอินทรีซึ่งกำลังเกรี้ยว
กราดและอยากจะฆ่าเขาเต็มแก่ถึงเปลี่ยนท่าทีได้ขนาด
นั้น?
“เป็นไงล่ะ ผมพูดจริง เห็นไหม? นี่คือทักษะของผู้
อาวุโสจางเซวียน, การฝึกอสูรด้วยการอัดให้น่วม ไม่ว่า
อสูรตัวไหนที่ถูกเขาจัดการ ก็พร้อมยอมจำนนทั้งนั้น!”
หยวิ๋นเทาหัวเราะอย่างสะใจ
ยังสงสัยเขาอยู่ไหม? ทีนี้ก็ดูเสียให้เต็มตา!
“นกอินทรีสีเขียวอ่อนยอมจำนนจริงๆหลังจากที่ถูก
ทำร้าย...”
“มันเป็นอสูรของคุณโม่นะ เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ผมก็ไม่เข้าใจ ก็ใช่ว่าเราไม่เคยใช้วิธีฝึกอสูรด้วย
การอัดมันให้น่วมมาก่อน แต่มันก็ล้มเหลวทุกครั้งนี่ แล้ว
เขาทำสำเร็จได้อย่างไร?”
....
ทุกคนต่างอึ้ง ทึ่ง เซ่อ
โดยเฉพาะกับนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวทั้งสามคน
พวกเขามึนงงไปหมด
ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีนักฝึกอสูรคนไหนพยายามจะฝึก
อสูรด้วยการทำร้ายมัน แต่ไม่เพียงจะล้มเหลวเท่านั้น ยัง
ทำให้พวกมันโกรธแค้นอีกด้วย อสูรที่ถูกฝึกให้เชื่องด้วย
วิธีนี้จะไม่ยอมกินอาหาร และอดตายไปในที่สุด
มีกรณีที่ล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ถึงพวกเขาเองก็เคย
ทดลองใช้วิธีการนี้เหมือนกัน
ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อคำ
พูดของหยวิ๋นเทา แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้โกหก!
แค่อัดเจ้านกอินทรีสีเขียวอ่อนจนน่วม มันก็ยอม
จำนนต่อเขาในทันที...
นี่ มั น ใช่ เ จ้ า นกตั ว เดิ ม ที่ ห ยิ่ ง ผยองและดุ ร้ า ยหรื อ
เปล่า?
ทำไมถึงทำตัวราวกับสุนัขที่ว่าง่าย เคล้าเคลียจาง
เซวียนอย่างหน้าไม่อายแบบนั้น?
พวกเขายังคงไม่เชื่อสายตาตัวเองตอนที่จางเซวียน
เดินเข้ามาตั้งคำถาม “หัวหน้าเฟิงกับนักฝึกอสูรทั้งสอง
ผมผ่านการทดสอบหรือยัง?”
“เอ่อ...” พอหายตะลึงแล้ว หัวหน้าเฟิงก็กระไอ
กระแอม “แค่ก แค่ก รอเดี๋ยว เราต้องวัดระดับความภักดี
ของมันก่อนที่จะตัดสินว่าคุณสอบผ่านหรือไม่!”
แม้เจ้านกอินทรีจะดูเหมือนเชื่องแล้ว แต่ก็ต้องมี
การตรวจสอบอย่างเป็นทางการ โดยเหตุผลแรก ก็เพื่อ
ให้มั่นใจในความถูกต้องและเป็นกลางของการทดสอบ
ส่วนเหตุผลที่สองก็คือ พวกเขาเองก็อยากรู้ว่าเจ้านก
อิ น ทรี สี เ ขี ย วอ่ อ นตั ว นี้ ย อมจำนนต่ อ จางเซวี ย นอย่ า ง
จริงใจหรือไม่
ถ้ามันไม่ได้ยอมจำนนจากก้นบึ้งของหัวใจ การขึ้นขี่
มันและโบยบินไปในอากาศถือว่าอันตรายมาก
“ถ้าอย่างนั้นก็วัดเลย!”
จางเซวียนตอบสบายๆ
เขามั่นใจในความภักดีที่เจ้านกอินทรีมีต่อเขา
เพราะอันที่จริง เจ้านกตัวนี้ไม่ได้ยอมจำนนให้เขา
เพียงเพราะเขาทำร้ายมัน
ตอนที่มันโจมตีเขา หนังสือได้ประมวลเรื่องราวของ
มันขึ้นมาในหัวของ
จางเซวียน เมื่อพลิกดูก็เข้าใจข้อบกพร่องทั้งหมด
ของเจ้านกตัวนี้
มองเผินๆจะดูเหมือนเขาทำร้ายมัน แต่อันที่จริง
เขาได้ถ่ายทอดพลังปราณบริสุทธิ์เข้าไปในร่างของมัน
เพื่อชำระสายเลือดของเจ้านกนั่นด้วย ในเมื่อใช้ทั้งพระ
เดชและพระคุณ ก็ยากที่มันจะไม่ยอมจำนนให้เขา
พลังปราณเทียบฟ้าของเขาเป็นเครื่องมือชำระสาย
เลือดของอสูรและยกระดับวรยุทธของมันได้อย่างไม่มี
อะไรเทียบ ไม่มีอสูรตัวไหนจะต้านทานต่อความเย้ายวน
ใจนี้ได้
ในเมื่อมันมีแค่ 2 ทางเลือก คือถูกจางเซวียนฆ่า
หรือยอมจำนนให้เขาและมีพละกำลังเพิ่มขึ้น ต่อให้โง่เง่า
อย่างไร มันก็รู้ว่าจะต้องเลือกทางไหน
เมื่อเปรียบเทียบกับการมีสายเลือดบริสุทธิ์และมี
พละกำลังเพิ่มขึ้น จะเป็นยาวิเศษหรือของปลอบประโลม
ใจอื่นใดก็ไม่มีความหมาย
วิ้ง!
นั ก ฝึ ก อสู ร ลู่ ห ยิ บ คริ ส ตั ล วั ด ใจออกมาและเริ่ ม
ทำการทดสอบนกอินทรีสีเขียวอ่อน
โจวชวนกั บ จู จิ้ น หวงลุ ก ขึ้ น ยื น และเดิ น ไปหาองค์
หญิงโม่หยู่
“คุณโม่ อย่ากังวลเลย ถึงเขาจะทำสัญญากับมัน
แล้วก็เถอะ ในเมื่อเจ้านกอินทรีถูกฝึกให้เชื่องด้วยการใช้
กำลังรุนแรง ระดับความภักดีของมันจะต้องต่ำมาก อย่าง
ดีก็คงได้แค่ 31 เท่านั้น!”
“ถ้าได้แค่ 31 ในเมื่อระดับความภักดีที่มันมีต่อคุณ
คือ 30 คุณต้องฝึกมันให้กลับมาเชื่องเหมือนเดิมได้แน่!”
ทั้งคู่ช่วยกันปลอบใจ
แม้การฝึกให้เชื่องขั้นสูงจะเป็นเทคนิคระดับสูงกว่า
การฝึกให้เริ่มเชื่อง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ระดับความภักดี
ที่ 31 ไม่ได้ต่างจาก 30 มากนัก ถ้าโม่หยู่นำอาหารอ
ร่อยๆมาทำให้มันพออกพอใจได้ เจ้านกอินทรีสีเขียวอ่อน
ก็น่าจะยังคงภักดีกับเธอ
เพราะคำพูดที่ว่าอสูรตัวหนึ่งจะมีเจ้านายเพียงคน
เดียวตลอดชั่วชีวิตของมัน เป็นแค่คำพูดที่เปรยกันลอยๆ
เท่านั้น
มีตำนานกล่าวไว้ว่า นักฝึกอสูรผู้ไร้เทียมทานบาง
คนสามารถฝึกอสูรที่คนอื่นฝึกให้เชื่องไว้แล้วได้ด้วยคำ
พูดแค่สองสามคำ ต่อให้มันทำสัญญากับเจ้าของคนเก่า
แล้วก็เถอะ
ซึ่งสิ่งที่จางเซวียนทำกับนกอินทรีสีเขียวอ่อนของโม่
หยู่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันมีความเป็นไปได้
เพราะลงมันเปลี่ยนใจได้หนหนึ่ง ก็เป็นไปได้ที่มันจะ
เปลี่ยนใจอีกครั้ง
“ดีที่สุดแค่ 31 ?”
ความโกรธเกรี้ยวของโม่หยู่ยังไม่ลดลง
“ก็ใช่น่ะสิ อสูรที่ถูกใช้กำลังบังคับจะภักดีได้แค่ไหน
กัน อันที่จริงไม่ต้องพูดก็ได้...”
จูจิ้นหวงเย้ยหยัน แต่ยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกเจ็บหนึบ
ที่แขน
"มีอะไร?
เมื่อหันมา ก็รู้ว่าเป็นโจวชวนที่บีบแขนของเขาแน่น
“ดูนั่น...”
โจวชวนถึงกับปากสั่น
เมื่อมองตาม ทุกถ้อยคำที่จูจิ้นหวงคิดจะพูดก็หาย
วับไป เขารู้สึกได้ถึงน้ำตาที่เอ่อท่วมจนแทบจะไหลออก
มา
มีตัวเลขปรากฏบนคริสตัลวัดใจ
ระดับความภักดีที่เจ้านกอินทรีสีเขียวอ่อนมีต่อจาง
เซวียน, 45!
การยอมจำนนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นขั้นสูงสุด...
เงียบกริบ
ทุกคนอ้าปากค้าง อันที่จริง ไม่ใช่แค่โจวชวนกับจู
จิ้นหวงที่คิดแบบนั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าระดับความภักดี
ของเจ้านกจะต้องต่ำ เพราะมันถูกใช้กำลังบังคับให้ยอม
จำนน...ไม่มีใครคาดคิดว่าตัวเลขจะออกมาที่ 45!
มันคือการยอมจำนนอย่างสมบูรณ์ ความภักดีขั้น
สุดที่อสูรตัวหนึ่งจะมีได้! มีนักฝึกอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนที่
ใช้ชีวิตกับอสูรของพวกเขาเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ยังไม่
อาจได้ รั บ ความภั ก ดี ถึ ง ขั้ น นั้ น แต่ จ างเซวี ย นกลั บ ได้
ตัวเลขนี้มา เพราะการทำร้ายมัน...
ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนโลกจะหมุนกลับ
“ตกลงผมสอบผ่านใช่ไหม?”
เห็ น ตั ว เลขบนคริ ส ตั ล วั ด ใจ จางเซวี ย นไม่ ไ ด้
ประหลาดใจเท่าไรนัก เขาหันไปมองหัวหน้าเฟิงและยิ้ม
“ในการสอบทฤษฎีรอบแรก คุณสอบปากเปล่าผ่าน
โดยไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย ส่วนในการสอบรอบสอง
คุณสามารถฝึกนกอินทรีสีเขียวอ่อนให้เชื่องได้ด้วยระดับ
ความภักดีที่ 45 ...” หัวหน้าเฟิงพยักหน้า “ผมขอ
ประกาศว่ า จางเซวี ย นได้ ส อบผ่ า นการเป็ น นั ก ฝึ ก อสู ร
และเขาเป็นนักฝึกอสูรระดับ 1 ดาวอย่างเป็นทางการ
แล้ว!”
จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อรู้ว่าตัวเองสอบ
ผ่าน
ด้วยสถานภาพนี้ เขาก็จะได้รับการยกเว้นไม่ต้อง
จ่ายค่าโดยสารในการใช้สัตว์ปีกพาหนะที่ขอยืมจากดง
อสูร...
“รอเดี๋ยว...”
เมื่อหัวหน้าเฟิงเสร็จสิ้นการประกาศผลการทดสอบ
ก็มีเสียงตวาดดังขึ้น
“มีอะไรหรือ นักฝึกอสูรโม่?” หัวหน้าเฟิงหันไปมอง
เธอ
คนที่ตวาดขึ้นมาคือโม่หยู่
เธอสอบผ่านแล้ว เขาจึงใช้คำนำหน้าเธอว่านักฝึก
อสูรเพื่อแสดงความเคารพ
“ฉันไม่เห็นด้วยกับผลการทดสอบ ฉันเชื่อว่าเขายัง
ทำตามเงื่อนไขของการทดสอบได้ไม่ครบ จึงมีคุณสมบัติ
ไม่เพียงพอที่จะเป็นนักฝึกอสูร!”
โม่หยู่ก้าวออกมาและพูดขึ้น
“ฮึ?” หัวหน้าเฟิงขมวดคิ้ว
“ในการทดสอบเป็นนักฝึกอสูร ผู้เข้าสอบจะต้องฝึก
อสูรที่มีพละกำลังมากกว่าตัวเอง ในเมื่อจางเซวียนยังไม่
ได้แสดงวรยุทธเลย และเมื่อดูจากการที่เขาเอาชนะนก
อินทรีสีเขียวอ่อนได้อย่างง่ายดาย ก็แปลว่าวรยุทธของ
เขาย่อมสูงกว่ามัน อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะสำเร็จทงฉวน
ขั้นสูงสุด!”
โม่หยู่พูดเสียงเย็นเยือก “ซึ่งก็หมายความว่า ถึงเขา
จะฝึกนกอินทรีสีเขียวอ่อนให้เชื่องได้ แต่ก็เป็นการฝึก
อสูรที่มีวรยุทธต่ำกว่า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ตรงตามเงื่อนไข
และเขาสอบไม่ผ่าน!”
“เอ่อ...”
ได้ยินแบบนั้น หัวหน้าเฟิงลังเล
เพราะสถานการณ์ก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ
มีเงื่อนไขว่าอสูรที่ถูกนำมาฝึกเพื่อใช้ในการทดสอบ
จะต้องมีวรยุทธสูงกว่าผู้เข้าสอบ ทั้งโจวชวน จูจิ้นหวง
และหยวิ๋นเทา ต่างทำตามเงื่อนไขนี้
ในการปะทะกันเมื่อครู่ จางเซวียนใช้แค่พละกำลังที่
เขามี จึงไม่มีใครรู้ว่า ระดับวรยุทธของเขาอยู่ที่เท่าไร แต่
เมื่อดูจากการที่เขาเอาชนะนกอินทรีสีเขียวอ่อนได้อย่าง
ง่ายดาย ก็น่าจะชัดเจนว่าวรยุทธของเขาย่อมเหนือกว่า
มัน...ถ้าใช้หลักการนี้ จางเซวียนก็ยังมีคุณสมบัติไม่ครบ
ถ้วนในการเป็นนักฝึกอสูร
“คุณกำลังจะบอกว่า...ผมมีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะ
เป็นนักฝึกอสูร เพราะเจ้าอสูรที่ผมฝึกมีวรยุทธต่ำกว่า
ผม?” จางเซวียนจ้องหน้าเธอ
“ใช่!” โม่หยู่พยักหน้า
ถึงเธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังแค่ไหน แต่ก็ไม่
คิดว่าเขาจะสำเร็จถึงขั้นกึ่งจงซรือ
“ได้...”
จางเซวี ย นพยั ก หน้ า และหั น ไปทางเจ้ า นกอิ น ทรี
เขาเอ่ย “เอาล่ะ ตาแกแล้ว!”
ฟึ่บ!
มาตามเสียงเรียก พลังหนักหน่วงระเบิดออกจาก
ร่างมหึมาของเจ้านกอินทรี
ตอนที่ 253 คุณเป็นปรมาจารย์ใช่ไหม?

บึ้ม!
ในตอนนั้น ร่างของนกอินทรีสีเขียวอ่อนดูเหมือน
ลูกระเบิดที่พร้อมจะระเบิดออกได้ทุกขณะ มีเสียงดัง
เหมือนสายน้ำพุ่งทะลักออกจากตัวมัน จุดชีพจรมากมาย
ในร่างของมันสั่นสะท้านราวกับมีพลังงานมหาศาลพุ่งเข้า
ใส่
วิ้ง! วิ้ง!
เสียงจากภายในตัวมันดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างสูงสาม
เมตรของมันขยายใหญ่ขึ้นทันใด พร้อมกับขนที่ชี้ตั้งไปทั้ง
ตัว
“นั่นคือ...วิวัฒนาการของสายเลือด? มันกำลังจะ
ฝ่าด่านวรยุทธหรือเปล่า?”
หัวหน้าเฟิงหรี่ตา
นักฝึกอสูรลู่และนักฝึกอสูรหวังก็คิดแบบเดียวกัน
พวกเขากำหมัดแน่น ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
“วิวัฒนาการของสายเลือด? มันคืออะไร?”
มีเสียงตั้งคำถามด้วยความสงสัย
ไม่ใช่ทุกคนในห้องที่จะเป็นนักฝึกอสูร อย่างองค
รักษ์ของหยวิ๋นเทา จูจิ้นหวง และโจวชวน พวกเขาไม่มี
ความรู้เรื่องการฝึกอสูรเลย
"ความแข็ ง แกร่ ง ของอสู ร ถู ก กำหนดโดยหลาย
ปัจจัย ซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัยที่พบเห็นได้มากที่สุด อย่างแรก
คืออายุ ร่างกายของอสูรจะเจริญเติบโตไปตามอายุ และ
จะมีพละกำลังสูงสุดเมื่อโตเต็มวัย นี่คือปัจจัยทั่วไปที่
กำหนดความแข็งแกร่งของอสูร อย่างที่สองคือสายเลือด
ยิ่งอสูรมีสายเลือดที่ทรงพลังเท่าไร ความแข็งแกร่งของ
มันก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ถึงจะโตเต็มวัยแล้ว หากมันมี
สายเลือดที่ทรงพลังมากพอ ก็ยังสามารถฝ่าด่านวรยุทธ
ขึ้นไปอีกได้ ปัจจัยที่สามคือเทคนิคการฝึกวรยุทธ
อสูรบางสายพันธุ์ที่มีความเฉลียวฉลาดสามารถฝึก
วรยุทธไปพร้อมๆกับเจ้านายของมัน และพัฒนาวรยุทธ
ของมันไปพร้อมกับเขาได้"
ผู้ รู้ ค นหนึ่ ง ตอบคำถามด้ ว ยเสี ย งกระซิ บ กระซาบ
“อันที่จริงแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่อสูรจะพัฒนา
สายเลือดด้วยตัวมันเอง แต่ก็มีบางครั้งที่การกินสมุนไพร
บางชนิด หรือการได้รับประสบการณ์น่าทึ่งบางอย่าง ก็
อาจทำให้ มั น ฝ่ า ขี ด จำกั ด ของตั ว เองและผลั ก ดั น
วิวัฒนาการสายเลือดของมันให้ไปถึงขั้นที่สูงกว่าได้!”
“เมื่อเกิดวิวัฒนาการของสายเลือด วรยุทธของมัน
จะก้ า วข้ า มขี ด จำกั ด เดิ ม และขยั บ ไปยั ง ขั้ น ที่ สู ง กว่ า
วิวัฒนาการในลักษณะนี้เทียบได้กับการกลายพันธุ์และ
เกิดขึ้นได้น้อยมาก คิดดูสิว่าเจ้านกอินทรีสีเขียวอ่อนตัวนี้
โชคดีถึงขนาดได้รับโอกาสนั้น มันโชคดีจริงๆ...”
“ด้วยวิวัฒนาการทางสายเลือด วรยุทธของมันจะ
พุ่งพรวด เจ้านกนี่จะสำเร็จถึงขั้นกึ่งจงซรือหรือเปล่า
นะ?”
“ถ้ามันสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือ ก็หมายความว่า
จางเซวียนได้ฝึกอสูรที่มีวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือ และทำได้
ตามเงื่อนไขของการทดสอบ ซึ่งก็หมายความว่าเขาสอบ
ผ่าน!”
เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ทุกคนก็ถึงบางอ้อ
“ไม่...มันเป็นไปไม่ได้...”
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหลังจากที่เธอได้ตั้งข้อ
สงสัยกับคุณสมบัติของจางเซวียนไป โม่หยู่หน้าแดง เธอ
รู้สึกว่าตัวเองใกล้เสียสติเต็มที
นกอินทรีสีเขียวอ่อนตัวนี้เป็นอสูรของเธอ ซึ่งเธอได้
สืบเสาะภูมิหลังของมันมาอย่างดี มันโตเต็มวัยแล้ว และ
ไม่ ไ ด้ กิ น สมุ น ไพรล้ ำ ค่ า ใดที่ จ ะสามารถกระตุ้ น ให้ เ กิ ด
วิวัฒนาการของสายเลือดได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่
จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
หลังจากที่ถูกจางเซวียนทำร้าย ไม่เพียงแต่วรยุทธ
จะสูงขึ้น สายเลือดของมันยังมีวิวัฒนาการด้วย...
คุณต้องเล่นตลกกับฉันแน่!
ถ้าฉันรู้ว่าสายเลือดของมันกำลังจะมีวิวัฒนาการ
ฉันจะไม่มีวันให้คุณได้มีโอกาสแตะต้องมันเลย!
อสูรที่สำเร็จขั้นกึ่งจงซรือ...เมื่อถูกฝึกให้เชื่องแล้ว ผู้
ฝึกจะสามารถฝึกวรยุทธไปพร้อมๆกับมันได้ ซึ่งการมีมัน
อยู่เคียงข้างจะทำให้เธอมีโอกาสสำเร็จขั้นกึ่งจงซรือได้
ง่ายขึ้น
แต่เธอก็เสียโอกาสนี้ไปง่ายๆ!
โม่หยู่แน่นหน้าอกและรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า
“คุณโม่ เป็นไปได้ไหมว่าการที่เขาทำร้ายเจ้านก
อินทรีเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้มันเกิดวิวัฒนาการของสายเลือด
ขึ้นมา ซึ่งส่งผลให้มันยกระดับวรยุทธได้” จูจิ้นหวงถาม
“เป็นไปไม่ได้หรอก!” โม่หยู่ยังไม่ทันได้ตอบ โจว
ชวนก็ส่ายหน้า “โดยปกติวิวัฒนาการของสายเลือดจะ
ถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้โดยการกินสมุนไพรล้ำค่า หรือการ
ได้รับเลือดจากอสูรที่ทรงพลังซึ่งมีฤทธิ์ทำให้สายเลือด
ของมันบริสุทธิ์ แค่ถูกทำร้าย จะฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างไร
กัน?”
การจะเกิ ด วิ วั ฒ นาการของสายเลื อ ดขึ้ น ได้ ต้ อ ง
อาศัยโชคช่วยเป็นอย่างมาก ต่อให้อสูรได้กินสมุนไพร
ล้ำค่าหรือได้รับหยดเลือดของอสูรที่ทรงพลังแล้ว ของ
เหล่านั้นก็ยังต้องเข้ากันได้ดีกับตัวมันด้วย ซึ่งอัตราส่วน
ของความสำเร็จนั้นต่ำกว่า 1 ใน 10000 ตัว
ส่วนแนวคิดเรื่องการเกิดวิวัฒนาการของสายเลือด
จากการถูกทำร้าย...เป็นเรื่องไร้สาระ!
“โจวชวนพูดถูก ต่อให้เขาเก่งกาจอย่างไรก็ไม่มีทาง
จะชำระสายเลื อ ดของนกอิ น ทรี สี เ ขี ย วอ่ อ นให้ บ ริ สุ ท ธิ์
และกระตุ้นให้เกิดวิวัฒนาการของสายเลือดได้ด้วยการ
ทำร้ายมัน สมมติฐานเดียวก็คือ...เจ้านกนั่นได้กินของ
พิเศษบางอย่างเข้าไปก่อนที่จะมาที่นี่ และมันเพิ่งมาออก
ฤทธิ์...”
โม่อยู่พยักหน้าอย่างเห็นพ้องกับคำพูดของโจวชวน
“ถ้าฉันคิดไม่ผิด มันน่าจะเป็นดอกวิญญาณพิศวงที่ฉันให้
มันกินก่อนจะมาที่นี่ ฉันได้ยินว่ามันเป็นน้ำทิพย์สำหรับ
นกอินทรีพันธุ์นี้ จึงซื้อมันมาในราคาสูงลิ่วเพื่อใช้ฝึกมัน
โดยเฉพาะ...”
เมื่อนึกถึงราคาของดอกวิญญาณพิศวง โม่หยู่ก็
เจ็บใจนัก เธอกำลังกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง ก็พอดีหย
วิ๋นเทาเดินเข้ามาพร้อมกับพึมพำบางอย่าง
“สมกับเป็นผู้อาวุโสจางเซวียน อสูรตัวไหนก็ตามที่
ถูกเขาอัดน่วมจะมีวิวัฒนาการของสายเลือด ทั้งเสือดำ
เกราะทองและนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาล...เรานึกว่า
เป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่นี่เจ้านกอินทรีสีเขียวอ่อนก็ฝ่าด่า
นวรยุทธได้เหมือนกัน!”
“คุณพูดว่าอะไรนะ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น โม่หยู่ก็กลืนถ้อยคำที่กำลังจะพูด
ลงไป เธอจ้องหยวิ๋นเทาด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง
“อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอก ผมก็แค่ประทับใจผู้อาวุโส
จางเซวียน คุณเห็นเจ้าเสือดำเกราะทองของเขาไหม มัน
เคยเป็นอสูรขั้นพี่เชวี่ยมาก่อน แต่ตอนนี้ก็สำเร็จขั้นทงฉ
วนแล้ว ส่วนเจ้านกกระจอกสายฟ้าบรรพกาลนั่น เดิมมี
วรยุทธแค่พี่เชวี่ยขั้นต้น แต่ตอนนี้ก็สำเร็จพี่เชวี่ยขั้น
กลางแล้ว...ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะการทำร้ายของผู้อาวุโส
จางทั้งนั้น”
หยวิ๋นเทาตอบอย่างจริงจัง
“หลังจากที่ทำร้ายพวกมันแล้ว ไม่เพียงแต่อสูรจะ
ยอมจำนน แต่เขายังกระตุ้นให้มันมีวิวัฒนาการของสาย
เลือดด้วย?”
ทั้งโม่หยู่ จูจิ้นหวง โจวชวน และคนอื่นๆต่างแทบ
คลั่ง
ทำไม...คำพูดของหยวิ๋นเทาจึงฟังดูเหลือเชื่อขนาด
นี้?
โดยเฉพาะโม่หยู่ เพิ่งจะเมื่อครู่นี้เองที่เธอยืนยันว่า
มั น น่ า จะเป็ น เพราะดอกวิ ญ ญาณพิ ศ วงที่ ท ำให้ เ จ้ า นก
อินทรีฝ่าด่านวรยุทธได้ พอได้ยินคำพูดของหยวิ๋นเทาก็
รู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้า
เธอเป็นใครกัน?
เป็นอัจฉริยะผู้น่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นทั่วทั้งดงอสูรหรือ
อาณาจักรเทียนหวู่ เธอก็เป็นที่หนึ่งเสมอ
การที่ได้เกรด 1 ในการทดสอบครั้งนี้ก็ทำให้เธอฉาย
แววโดดเด่นกว่าทุกคน แต่ขณะที่เธอกำลังปลาบปลื้มกับ
ชัยชนะ ชายคนนี้ก็มาคว้าอสูรของเธอไปฝึก ทำร้ายมัน
จนหมดสภาพ แล้วช่วยมันให้ฝ่าด่านวรยุทธไปได้...
แน่ ใ จนะว่ า ที่ คุ ณ มาที่ นี่ ไ ม่ ใ ช่ เ พื่ อ มาหยามเกี ย รติ
ฉัน?
เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้น แล้วทำไมต้องหักหน้าฉันไป
เสียทุกเรื่อง...
ท่ามกลางความตกตะลึงจนแทบจะคลั่งของทุกคน
ในที่สุดรังสีที่แผดกล้าและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆของเจ้านก
อินทรีก็หยุดนิ่ง
มาถึงตอนนี้มันมีขนาดใหญ่กว่าเดิม สูงถึง 4 เมตร
ทั้งยังแผ่รังสีอันเข้มข้นและทรงพลังกว่าเดิมออกมาด้วย
ดูเหมือนว่าถ้ามันใช้กรงเล็บตะกุยเบาๆเพียงครั้งเดียว
พื้นหินสีน้ำเงินนั้นก็คงจะร้าว
กึ่งจงซรือ!
ในที่สุดเจ้านกก็สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือ!
“ตกลง...ผมสอบผ่านหรือยัง?”
จางเซวียนยิ้มกริ่ม
“คุณสอบผ่าน!”
นักฝึกอสูรทั้งสามพยักหน้า
ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่าผ่าน แล้วจะเป็นแบบไหน?
อีกอย่าง พวกเขาก็สงสัยกันสุดขีด
นักฝึกอสูรทั้งสามไม่รู้แน่ชัดว่าจางเซวียนทำอะไร
แต่ในฐานะนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว พวกเขาบอกได้ว่า
วิวัฒนาการของสายเลือดในตัวนกอินทรีสีเขียวอ่อนเป็น
ผลงานของจางเซวียน
ความสามารถในการกระตุ้นให้อสูรมีวิวัฒนาการ
ของสายเลือดขึ้นมา...
ถ้าเขาสามารถทำสิ่งนี้ได้กับอสูรทุกตัว จะต้องเกิด
การสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นครั้งใหญ่ในดงอสูรเป็นแน่
เมื่อมาถึงตรงนี้ หัวหน้าเฟิงเก็บความสงสัยไม่ได้อีก
ต่อไป เขาประสานมือและเอ่ยถาม “นักฝึกอสูรจาง ผมมี
เรื่องอยากถาม...”
“ผมรู้ว่าคุณจะถามอะไร คุณสงสัยว่าทำไมจู่ๆเจ้า
นกนี่ถึงมีวิวัฒนาการของสายเลือดขึ้นมาใช่ไหม?”
จางเซวียนมองหน้าเขา
“ใช่!” หัวหน้าเฟิงตอบรับ
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ คนอื่นๆก็พากันหัน
ขวับมาฟัง
หลังจากที่อัดเจ้านกอินทรีสีเขียวอ่อนจนหมดสภาพ
แล้ว ไม่เพียงแต่มันจะยอมจำนน แต่ยังมีวิวัฒนาการของ
สายเลือดอีกด้วย ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นกับตา จะไม่มีทาง
เชื่อว่ามันเป็นไปได้
ทุกคนอยากรู้แทบตายว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ง่ายมาก ผมใช้เลือดของนกกระจอกสายฟ้าบรรพ
กาลล่อใจให้มันยอมจำนน เมื่อผมหยดเลือดใส่ปากมัน
เลือดนั้นก็เข้าไปกระตุ้นให้เกิดวิวัฒนาการของสายเลือด”
จางเซวียนตอบ
การกระตุ้นให้อสูรเกิดวิวัฒนาการของสายเลือดนั้น
ไม่ใช่ภารกิจที่ง่าย ซึ่งหากมีใครรู้ว่าพลังปราณของจางเซ
วียนสามารถกระตุ้นให้เกิดวิวัฒนาการนั้นได้ จะต้องมี
ปัญหาตามมามากมายแน่
เขาจึงยกความดีนั้นให้กับเจ้านกกระจอกสายฟ้า
บรรพกาล
แต่ก็เคยมีกรณีของอสูรที่ได้รับเลือดของอสูรซึ่งทรง
พลังเข้าไปและมันก็ฝ่าด่านวรยุทธได้ นกกระจอกสายฟ้า
บรรพกาลเป็นอสูรดึกดำบรรพ์ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ ถึง
เจ้านกอินทรีจะมีขนาดตัวมหึมา แต่ก็จัดเป็นสัตว์ปีก
เหมื อ นกั น จึ ง มี ค วามเป็ น ไปได้ ที่ ส ายเลื อ ดของนก
กระจอกจะเข้ากันได้ดีกับนกอินทรี...
แต่อย่างไรก็ดี ถ้าใครอยากทดลองทำแบบนี้ จางเซ
วียนก็จะไม่รับผิดชอบหากอสูรของเขาต้องตาย
ถึงนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาลก็เป็นอสูรของหย
วิ๋นเทา ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น จางเซวียนก็ไม่ต้องรับผิด
ชอบอยู่ดี
ในเมื่ อ เจ้ า หนุ่ ม นั่ น ได้ อ สู ร ดึ ก ดำบรรพ์ จ ากเขาไป
ฟรีๆ อย่างน้อยก็ควรจะตอบแทนสักหน่อยด้วยการเป็น
แพะรับบาปให้เขา!
“มันเป็นแบบนี้นี่เอง!”
เมื่อได้ฟังคำอธิบาย หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆสบตา
กันและต่างก็พยักหน้า
ก็เป็นคำอธิบายที่ฟังขึ้น
อีกอย่าง ถ้าจะบอกว่ามันฝ่าด่านวรยุทธได้เพราะ
การถูกทำร้าย ดูอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“เป็ น เพราะเจ้ า นกกระจอกสายฟ้ า บรรพกาล
นี่เอง...”
เมื่อได้ฟังคำอธิบาย โม่หยู่ก็เข้าใจ แต่ในขณะ
เดียวกันก็เสียใจอย่างสุดซึ้ง
ถ้ า เธอรู้ ว่ า นกกระจอกสายฟ้ า บรรพกาลจะช่ ว ย
กระตุ้นให้เจ้านกอินทรีเกิดวิวัฒนาการของสายเลือดขึ้น
มา เธอจะพยายามหาทางใกล้ชิดกับจางเซวียนและหย
วิ๋นเทามากกว่านี้ มันน่าจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้
เธอสำเร็จการฝึกให้เชื่องขั้นสูง
แต่ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรแล้ว...
อสูรของเธอก็ถูกคนอื่นคว้าไปฝึกจนเชื่อง ระดับ
ความภักดีของมันมีถึง 45 ต่อให้เขาพูดว่า ‘ขอยืม’ ก็ดู
จะเป็นไปไม่ได้แล้วที่เขาจะคืนมัน
“ทั้งรู้จักนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาล และเรื่อ
งอื่นๆอีกมากมาย เป็นไปได้ไหมว่า...”
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ โม่หยู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อน
จะเดินไปหาจางเซวียน
“บ้าเอ๊ย!”
เห็นสีหน้าสับสนแปรปรวนของโม่หยู่ และการที่เธอ
เดินไปหาจางเซวียน ทั้งโจวชวนและจูจิ้นหวงกำหมัด
แน่น
คราวนี้พวกเขาแพ้หมอนั่นอย่างราบคาบ แถมป่วย
การจะพูดว่าโม่หยู่น่าจะสนใจในตัวหมอนั่นอีกต่างหาก
“เราได้ยินว่าหมอนี่มาจากอาณาจักรเทียนเซวียน
และไม่ได้มีใครหนุนหลัง ถ้าเรื่องมันเป็นแบบนี้...”
จูจิ้นหวงหันมาอาฆาตจางเซวียน
หยวิ๋นเทาเป็นถึงองค์ชายของอาณาจักร พวกเขา
จึงไม่กล้าทำอะไรเกินเลย แต่สำหรับจางเซวียนนั้นต่าง
ออกไป เขาเป็นแค่คนต๊อกต๋อยที่ไม่มีใครหนุนหลัง จะ
เป็นหรือตายก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
พวกเขาอาจสู้จางเซวียนไม่ได้ แต่ในฐานะองค์ชาย
ของอาณาจักร การรวบรวมบริวารเก่งๆมาจัดการหมอ
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ได้สิ!”
โจวชวนคำรามลอดไรฟัน
วันนี้พวกเขาถูกหมอนี่หยามหน้าจนหมดสภาพ ถ้า
ไม่ได้เอาคืนคงไม่มีทางอยู่เป็นสุขแน่
กล้าหาเรื่องสององค์ชายทั้งที่ตัวเองไม่มีใครหนุน
หลัง รนหาที่ตายแท้ๆ!
ขณะที่ 2 คู่หูกำลังปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการกับ
จางเซวียนอย่างไร โม่หยู่ก็ไปอยู่ตรงหน้าจางเซวียนแล้ว
เธอเอ่ยถามถึงสิ่งที่ตัวเองสงสัยด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
“เลือดของนกกระจอกสายฟ้าบรรพกาลน่าจะเป็น
แค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น มันจะต้องมีเหตุผลอื่นที่สำคัญกว่า
ซึ่งอยู่เบื้องหลังการฝ่าด่านวรยุทธของมัน ถ้าฉันพูดไม่ผิด
คุณเป็นปรมาจารย์ใช่ไหม?”
“ปรมาจารย์?”
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่หยู่ ทั้งโจวชวนกับจูจิ้นหวงที่
เพิ่งจะหารือกันว่าจะฆ่า
จางเซวียนอย่างไรก็ตัวสั่นเทิ้ม ทั้งคู่ควบคุมตัวเอง
ไม่ได้จนถึงกับต้องครางออกมา
มี ไ อ้ งั่ ง 2 คน กำลั ง หมายมั่ น ปั้ น มื อ จะฆ่ า
ปรมาจารย์...โอหังนัก!
บ้าที่สุด ก็ไหนว่าเขาไม่มีใครหนุนหลังอย่างไรเล่า?
แต่สิ่งที่หนุนหลังเขานั้นยิ่งใหญ่กว่าสวรรค์เสียอีก...
ตอนที่ 254 อสูรป่วยหนัก

เหล่ า ปรมาจารย์ จ ะได้ รั บ การปกป้ อ งโดยสมาคม


อาจารย์ แ ละสภาปรมาจารย์ ต่ อ ให้ พ วกเขาทำการ
ฆาตกรรมปรมาจารย์ได้สักคนหนึ่ง หากถูกจับได้ก็จะต้อง
ถูกกดดันอย่างหนัก
ด้วยอำนาจและเกียรติยศของปรมาจารย์ ไม่ว่าจะ
เป็นผู้เชี่ยวชาญคนใดหรือกลุ่มอำนาจไหนก็ไม่มีทางเลือก
นอกจากจะต้ อ งเข้ า ข้ า งสมาคมอาจารย์ แ ละสภา
ปรมาจารย์เท่านั้น ต่อให้เป็นอาณาจักรขั้น 1 อย่าง
อาณาจักรเทียนหวู่ ภายในเวลาไม่นานก็จะต้องล่มสลาย
นับประสาอะไรกับอาณาจักรขั้น 2 ของพวกเขา
พู ด ได้ เ ลยว่ า ถ้ า พวกเขาพยายามจะทำการ
ฆาตกรรมปรมาจารย์สักคนหนึ่ง หากถูกจับได้ ไม่เพียง
แต่ตัวเองจะต้องตายตกตามไป แต่อาณาจักรของพวก
เขาก็จะล่มสลายด้วย
นั่นคือความน่าพรั่นพรึงของเหล่าปรมาจารย์!
อาชีพอันดับ 1 ของโลกใบนี้ไม่อาจถูกหยามเกียรติ
ได้!
ต่อให้เป็นฮ่องเต้หรือผู้นำอื่นใด ไม่ว่าจะมีอำนาจ
หรือทรงอิทธิพลแค่ไหน ด้วยวาจาสิทธิ์เพียงคำเดียวจาก
สภาปรมาจารย์ อาณาจักรนั้นก็ถึงกาลล่มสลายได้
ว่ากันว่า ครั้งหนึ่งฮ่องเต้ของอาณาจักรทรงเกียรติ
เคยหยอกล้อปรมาจารย์สาวสวยคนหนึ่ง ทำให้เธอขุ่น
เคืองใจมาก เธอไม่ได้ใช้อำนาจของสภาปรมาจารย์เสีย
ด้วยซ้ำ แค่จัดการสอนขึ้นมา 7 วันรวด ก็ดึงดูดผู้
เชี่ยวชาญได้นับไม่ถ้วน และด้วยการออกคำสั่งแค่ครั้ง
เดียว คนเหล่านั้นก็ช่วยกันจับฮ่องเต้ทั้งเป็นๆและนำตัว
ไปทรมานจนถึงตาย
ทั้งๆที่ในอาณาจักรนั้นก็มีผู้อาวุโสซึ่งมีอำนาจล้น
เหลืออยู่คนหนึ่ง ซึ่งเขาสามารถออกปากยับยั้งได้ แต่ก็ไม่
กล้าพอจะทำแบบนั้น
หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ก็ยังมีผู้อื่นเข้ารับตำแหน่ง
แทนได้ แต่หากอาณาจักรถึงกาลล่มสลาย ก็จะไม่เหลือ
อะไรเลย
บอกได้ยากว่าปรมาจารย์คนหนึ่งจะมีลูกศิษย์สัก
เท่าไร เพราะเพียงแค่ชี้แนะคำเดียว ก็ถือว่าเป็นกึ่ง
อาจารย์ ข องคนๆนั้ น แล้ ว ดั ง นั้ น เหล่ า ปรมาจารย์ จึ ง
เหมือนกับรวงผึ้ง หากมีใครไปยั่วยุพวกเขา หมอนั่นก็
คงจะถึงขั้นพิการเสียก่อนที่จะทันได้ทำอะไร
การฆ่าปรมาจารย์ 1 คน...ถ้าจะพูดกันตามตรง ก็
เท่ากับรนหาที่ตาย
จูจิ้นหวงกับโจวชวนตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ทั้งคู่
รีบปัดความคิดนั้นทิ้งทันที
“ปรมาจารย์?” นึกไม่ถึงว่าโม่หยู่จะคิดได้ขนาดนั้น
จางเซวียนส่ายหน้า
“ผมไม่ได้เป็นปรมาจารย์หรอก!”
ถึงเขาจะเป็นที่ยอมรับของทั้ง 3 ปรมาจารย์ แต่ก็
เรียกได้ว่าเป็นแค่หนึ่งในผู้ช่วยปรมาจารย์ที่ออกจะน่าทึ่ง
สักหน่อยก็เท่านั้น ในเมื่อเขายังไม่ได้สอบผ่านการเป็น
ปรมาจารย์ จึงไม่อาจเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์ได้
“คุณไม่ได้เป็นปรมาจารย์?” โม่หยู่ชะงัก
เธอคิดว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายมีความรู้มากมายขนาดนี้
ก็เพราะเขาเป็นปรมาจารย์ แต่เมื่อรู้ว่าไม่ใช่...
“เขาไม่ได้เป็นปรมาจารย์หรอกหรือ? เยี่ยมเลย...”
“ในเมื่อไม่ได้เป็นปรมาจารย์ ก็จัดการได้!”
เมื่ อ ได้ ยิ น จางเซวี ย นยอมรั บ ว่ า ตั ว เขาไม่ ใ ช่
ปรมาจารย์ โจวชวนและจูจิ้นหวงที่เพิ่งจะประสาทกินอยู่
เมื่อครู่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เจตนาสังหารของพวก
เขาพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
แต่แล้วเสียงของเสิ่นปี้หรูก็ดังขึ้น “ถึงอาจารย์จาง
จะไม่ ไ ด้ เ ป็ น ปรมาจารย์ แต่ เ ขาก็ เ ป็ น ศิ ษ ย์ พี่ ข อง
ปรมาจารย์หลิวและปรมาจารย์จวงแห่งอาณาจักรเป๋ยอู๋
รวมทั้งปรมาจารย์เจิงแห่งอาณาจักรฮ่านอู่ด้วย!”
“เป็นศิษย์พี่ของ 3 ปรมาจารย์?”
ทั้งคู่มองหน้ากัน คราวนี้ปล่อยโฮออกมาจริงๆ
ในฐานะองค์ชายของอาณาจักรขั้น 2 พวกเขารู้จัก
ชื่อเสียงของทั้ง 3 ปรมาจารย์ดี ทั้งสามได้รับการยกย่อง
ให้เป็นหนึ่งในชนชั้นนำของอาณาจักรขั้น 2 แม้แต่คน
กระจอกงอกง่อยที่สุดก็ยังรู้จักพวกเขา
และจางเซวียนเป็นศิษย์พี่ของสามคนนั้น...
ต่อให้เขาไม่ได้เป็นปรมาจารย์ ตำแหน่งของเขาก็
สูงส่งกว่าปรมาจารย์เสียอีก!
โชคดีเหลือหลายที่พวกเขายังไม่ทันได้ขยับตัว ไม่
อย่างนั้น คนที่ต้องตายก็คงจะเป็นตัวเขาเอง...
....
“ฉันรู้จักปรมาจารย์หลิวแห่งอาณาจักรเป๋ยอู๋ และ
เคยพบเขาครั้งหนึ่งในชั้นเรียนของปรมาจารย์ระดับ 2
ดาว, เจียงสู่ ถ้าคุณเป็นศิษย์พี่ของเขา ก็หมายความ
ว่า...”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสิ่นปี้หรู โม่หยู่พลันนึกบาง
อย่างขึ้นได้ เธอหรี่ตา
ในเมื่ อ เขาเป็ น ศิ ษ ย์ พี่ ข องปรมาจารย์ ห ลิ ว ก็
หมายความว่า ทั้งคู่มีอาจารย์คนเดียวกัน การที่ใครสัก
คนสามารถทำให้ปรมาจารย์เต็มใจเรียกเขาว่าอาจารย์ได้
อย่างน้อยคนๆนั้นก็ต้องเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว
หรือมากกว่า
ซึ่ ง จ า ง เ ซ วี ย น ก็ ต้ อ ง เ ป็ น ศิ ษ ย์ ส า ย ต ร ง ข อ ง
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวหรือมากกว่าคนนั้น
เขามีสถานภาพสูงกว่าเธอซึ่งเป็นถึงองค์หญิงของ
อาณาจักรเทียนหวู่เสียอีก
อีกอย่าง การได้เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ผู้
น่าทึ่งคนนั้น แปลว่า
จางเซวียนจะต้องมีศักยภาพสูงมาก อนาคตของ
เขาคงจะไปได้ไกลกว่าเธอ
ถึงเธอจะเป็นผู้ช่วยของปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว
เจียงสู่ แต่เธอก็ไม่ใช่ศิษย์สายตรงของเขา
เมื่อระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ โม่หยู่มองชายหนุ่มตรง
หน้าอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มีความชื่นชมอยู่ในแววตาของ
เธอ
.....
“แปลว่าคุณเป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์คน
หนึ่ง ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมคุณถึงมีความรู้เรื่องการฝึกอสูร
เป็นอย่างดี!”
เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุกันแล้ว หัวหน้าเฟิงกับคน
อื่นๆต่างพยักหน้า
พวกเขากำลังจะถามจางเซวียนเรื่องวิธีการฝึกอสูร
ด้วยการอัดมันให้น่วม และอยากจะเรียนรู้จากเขา แต่
เมื่อรู้สถานภาพที่แท้จริงของจางเซวียนแล้ว พวกเขาก็
สลัดความคิดนั้นทิ้งไป
ถึงการฝึกอสูรจะเป็นอาชีพหนึ่งในเก้าสถานะระดับ
บน แต่ก็ยังห่างไกลนักกับปรมาจารย์ซึ่งถือเป็นสุดยอด
สำหรับวิธีการฝึกอสูรด้วยการอัดมันให้น่วม จางเซ
วียนก็น่าจะได้มาจากปรมาจารย์คนนั้น ถ้าปรมาจารย์คน
ดั ง กล่ า วรู้ ว่ า พวกเขาพยายามจะขอเรี ย นทั ก ษะนี้ จ าก
ศิษย์สายตรงของเขา พวกเขาก็อาจจะเดือดร้อน
ด้วยเหตุนี้ การผูกมิตรกับจางเซวียนไว้ก็น่าจะเป็น
วิธีที่ฉลาดกว่า
“นี่คือตราสัญลักษณ์นักฝึกอสูรระดับ 1 ดาวของ
คุณ!”
เมื่อรู้ ‘สถานภาพ’ ของจางเซวียนแล้ว นักฝึกอสูร
ทั้งสามก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน พวกเขารีบนำ
ตราสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการเป็นนักฝึกอสูรมายื่นให้จาง
เซวียน
เมื่อรับตราสัญลักษณ์มาแล้ว จางเซวียนก็เก็บมันไว้
ในแหวนเก็บสมบัติของเขา ก่อนจะเอ่ยถาม “ผมอยากไป
สันเขาบัวแดง และต้องการสัตว์ปีกพาหนะตัวหนึ่ง ผม
ต้องทำอย่างไรบ้าง?”
ถึงเขาจะได้เป็นนักฝึกอสูรและมีข้อมูลเรื่องการฝึก
อสูรมากมายอยู่ในหัว แต่จางเซวียนก็ไม่เคยขี่สัตว์ปีก
ดุร้ายเป็นพาหนะมาก่อน มันคงจะมีความแตกต่างอยู่พอ
สมควรระหว่างทฤษฎีในหนังสือกับสถานการณ์จริง ดัง
นั้นเขาจึงอยากได้ข้อมูลสักหน่อย
“สันเขาบัวแดง?”
หัวหน้าเฟิงลูบเคราขณะคิดคำนวณ “อาณาจักร
เทียนหวู่อยู่ห่างจากที่นี่หลายหมื่นกิโลเมตร ถ้าคุณขี่เจ้า
นกอิ น ทรี สี เ ขี ย วอ่ อ นที่ คุ ณ เพิ่ ง ฝึ ก ไป น่ า จะใช้ เ วลา
ประมาณครึ่งเดือน!”
“ครึ่งเดือน?”
จางเซวียนผงะ
เขาคิดว่าในเมื่อเจ้านกอินทรีสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่ง
จงซรือแล้ว ก็น่าจะใช้เวลาเดินทางแค่ 2-3 วัน ไม่นึกว่า
จะยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือน
“ถูกต้อง เจ้านกนี่เพิ่งสำเร็จวรยุทธ พละกำลังของ
มันยังไม่คงที่ มันจึงเดินทางได้ไกลที่สุดแค่ 4000 ถึง
5000 กิโลเมตรต่อวัน อีกอย่าง มันต้องหยุดพักบ่อยๆ
บิ น ทั้ ง คื น ไม่ ไ หว ดั ง นั้ น ระยะเวลาครึ่ ง เดื อ นจึ ง เป็ น
ความเร็วที่ดีที่สุดเท่าที่มันทำได้!” หัวหน้าเฟิงพูด
จางเซวียนพยักหน้า
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเจ้านกอินทรีสีเขียวอ่อนนี่บินได้เร็ว
แค่ไหน แต่เนื่องจากมันเพิ่งสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือ
จึงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะปลดปล่อยพลังได้เต็มขั้น
มันต้องใช้เวลาปรับสภาพวรยุทธและปรับตัวให้เข้า
กับพละกำลังใหม่ก่อน ดังนั้นระยะเวลาประมาณครึ่ง
เดือนจึงพอเข้าใจได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็นึกถึงเรื่องที่
ฮั่นฉงเคยบอกไว้ เขาจึงตั้งคำถามอีก
“ผมเคยได้ยินว่าที่ดงอสูรนี่มีพาหนะสายฟ้าซึ่งเดิน
ทางได้รวดเร็วมาก ระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตรนั้นใช้
เวลาแค่สองสามวัน ขอถามหน่อยว่ามันเป็นเรื่องจริง
หรือไม่?”
“เรามีพาหนะสายฟ้าซึ่งเป็นอสูรขั้นจงซรือ พวก
มันได้รับชื่อเล่นว่า ‘สายฟ้า’ อันเนื่องมาจากความเร็วขั้น
สุดในการขนส่งมนุษย์ แต่ว่า...” หัวหน้าเฟิงอ้ำอึ้งอยู่ครู่
หนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ที่ดงอสูรนี่ เรามีพาหนะสายฟ้า
อยู่แค่ 2 ตัวเท่านั้น ซึ่งตัวหนึ่งอยู่ระหว่างทางไปอาณา
จักรเฉียนเชว่ ส่วนอีกตัวหนึ่ง...”
เมื่อมาถึงตรงนี้ เขาส่ายหน้า นักฝึกอสูรอีก 2 คนก็
ดูจะหมดเรี่ยวหมดแรง เมื่อต้องพูดถึงเรื่องนั้น
“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนยังไม่เข้าใจเมื่อเห็น
สีหน้าประหลาดของพวกเขา
“พาหนะสายฟ้าอีกตัวหนึ่งกำลังป่วยหนัก วันนี้มัน
ถึงกับยืนไม่ขึ้น อย่าว่าแต่จะบินเลย เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า
นี้ ตัวผม นักฝึกอสูรลู่ และนักฝึกอสูรหวังก็ได้ไปตรวจดู
อาการของมันเพื่อหาหนทางรักษาที่พอจะทำได้ นั่นคือ
เหตุผลที่พวกเราไม่ได้มาเป็นกรรมการสอบ และให้นักฝึก
อสูรหงมาทำหน้าที่แทน!”
หัวหน้าเฟิงพูด
“ป่วยหนัก?” จางเซวียนพลันนึกได้ถึงที่นักฝึกอสูร
หงพูดว่าหัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆติดภารกิจสำคัญ พวก
เขาจึงมาเป็นกรรมการสอบไม่ได้
ซึ่งในตอนนั้น เขายังสงสัยอยู่ว่าจะมีอะไรสำคัญไป
กว่าการทดสอบเป็นนักฝึกอสูร เพิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องนี้นี่เอง
อสูรขั้นจงซรือถือเป็นไพ่ใบสำคัญของดงอสูร ใน
เมื่อมันป่วยหนักถึงกับยืนไม่ได้ ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขา
จะต้องปั่นป่วน
“มันป่วยเป็นอะไร?” จางเซวียนถาม
อันที่จริง อาการป่วยของอสูรไม่ได้สำคัญกับเขา
เลย... ที่จางเซวียนอยากรู้จริงๆก็คือ เขาจะประหยัด
เวลาไปได้แค่ไหนหากได้ขี่พาหนะสายฟ้าตัวนั้น
เมื่อได้ยินคำถาม หัวหน้าเฟิงก็ส่ายหน้า “ก็เพราะ
เราไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรนี่แหละ เราถึงทำอะไรไม่ได้เลย!”
“พวกเราสามคนใช้วิธีการวินิจฉัยอสูรหมดทุกวิธี
แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร!” นักฝึกอสูรลู่ยิ้มเจื่อนๆ
ในเมื่อพวกเขาบอกไม่ได้ว่ามันป่วยเป็นอะไร ก็เป็น
ธรรมดาที่จะไม่รู้วิธีรักษา
“ไม่มีทางแก้ไขอื่นเลยหรือ?” โม่หยู่อดถามไม่ได้
ในฐานะนักฝึกอสูร เธอเป็นห่วงเป็นใยอาการป่วย
ของมันขึ้นมาทันทีเมื่อได้รู้เรื่อง
“เราได้ส่งคนไปยังอาณาจักรเป๋ยอู๋เพื่อเชิญ ‘บรม
ครูชิงหยาง’ มาที่นี่ บางทีเขาอาจจะวินิจฉัยสาเหตุของ
อาการป่วยได้” นักฝึกอสูรหวังพูด
“บรมครูชิงหยาง? นักฝึกอสูรหวังกำลังพูดถึงนาย
แพทย์ระดับ 2 ดาวคนเดียวของอาณาจักรเป๋ยอู๋อย่างนั้น
หรือ?” เสิ่นปี้หรูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว ถึงนักฝึกอสูรอย่างพวกเราจะมีวิธีวินิจฉัย
และรู้วิธีการรักษาอาการป่วยของอสูร แต่เราก็ยังห่าง
ไกลกับนายแพทย์ตัวจริงมากมายนัก ผมส่งคนไปเชิญเขา
แล้ว เขาน่าจะมาถึงเร็วๆนี้แหละ” นักฝึกอสูรหวังยิ้ม
แม้บรรดานักฝึกอสูรจะมีวิธีรักษาอาการป่วยของ
อสูรในแบบของตัวเอง แต่การรักษาเหล่านั้นก็ทำได้แค่
อาการทั่วๆไป
ถ้าเป็นอาการป่วยซับซ้อนอย่างที่พาหนะสายฟ้า
กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ พวกเขาก็จนปัญญา ทางเดียวที่
ทำได้คือขอความช่วยเหลือจากนายแพทย์ระดับบรมครู
เท่านั้น
อาณาจักรเป๋ยอู๋อยู่ไม่ไกลจากดงอสูรเท่าไรนัก ถ้าขี่
สัตว์ปีกพาหนะไปก็ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง
เพราะพวกเขาต้องรอการมาถึงของบรมครูชิงหยาง
ทั้งสามจึงตัดสินใจกลับมาเข้าร่วมการทดสอบนักฝึกอสูร
ก่อน และลงเอยด้วยการได้เห็นข้อพิพาทระหว่างจางเซวี
ยนกับนักฝึกอสูรหง
นั ก ฝึ ก อสู ร หวั ง ดู จ ะมั่ น อกมั่ น ใจสุ ด ๆในตั ว นาย
แพทย์ที่ชื่อชิงหยางผู้นั้น เขาหันมายิ้มให้จางเซวียน “ถ้า
มันหายป่วยเมื่อไร เราก็ให้คุณยืมมันใช้เดินทางไปสันเขา
บัวแดงได้ แต่ค่าโดยสารของสัตว์พาหนะขั้นจงซรือนั้น
แพงมาก คุณต้องเตรียมตัวไว้ด้วย”
“ราคาสักเท่าไร?”
จางเซวียนถาม
“ตามเรตราคาของดงอสูร การเดินทางไปยังอาณา
จักรเทียนหวู่ที่อยู่ห่างไกลโดยสัตว์พาหนะขั้นจงซรือจะ
ต้องใช้ลิ่มเลือดอสูรอย่างน้อย 20 ลิ่ม แต่ในเมื่อนักฝึก
อสูรจางเป็นหนึ่งในสมาชิกของเรา เราจึงให้ส่วนลดคุณ
20 เปอร์เซ็นต์ คุณจะต้องใช้ลิ่มเลือดอสูรเพียง 16 ลิ่ม
เท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบเป็นอัตราแลกเปลี่ยนทั่วไปที่ใช้กันใน
อาณาจักร ก็ตกราว 8 ล้านเหรียญทอง!”
“8 ล้านเหรียญทอง?”
จางเซวียนถึงกับตาเหลือก
กว่าจะหาเงินได้ขนาดนั้น เขาต้องปลอมตัวและ
ทำงานหนักแทบปางตาย ถ้าต้องใช้เงินมากขนาดนี้เพื่อ
เดินทางเพียงเที่ยวเดียว...ก็ไม่ต่างอะไรกับปล้นกันกลาง
วันแสกๆ!
“ไม่มีทางอื่นแล้ว อสูรขั้นจงซรือจะต้องมีนักฝึก
อสูรระดับ 2 ดาวเป็นผู้ควบคุม อีกอย่างคุณก็โดยสารมัน
ไปเป็นการส่วนตัวด้วย นี่คือราคาต่ำที่สุดที่เราให้คุณได้”
นักฝึกอสูรหวังยิ้มเจื่อนๆ
ถึงพาหนะสายฟ้าขั้นจงซรือจะถูกฝึกให้เชื่องแล้ว
แต่ ก็ เ ป็ น ไปไม่ ไ ด้ ที่ จ ะขี่ มั น ไปโดยไม่ มี ผู้ เ ชี่ ย วชาญคอย
ควบคุม ดังนั้นจึงต้องมีนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวร่วมทาง
ไปด้วย
ผู้ที่ได้เป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวจะต้องมีวรยุทธ
อยู่ในขั้นจงซรือเป็นอย่างต่ำ
พู ด ให้ ชั ด ก็ คื อ ในการเดิ น ทางเที่ ย วหนึ่ ง ผู้
เชี่ยวชาญขั้นจงซรือกับอสูรขั้นจงซรือจะต้องไปด้วยกัน
แล้วราคาค่าโดยสารจะต่ำได้อย่างไร?
นั ก รบขั้ น จงซรื อ นั้ น ถื อ ได้ ว่ า เป็ น เสาหลั ก ที่ ค้ ำ จุ น
ความมั่นคงของอาณาจักรขั้น 2 เลยทีเดียว
8 ล้านเหรียญนั้นไม่มากเกินไปเลยกับการที่มีคน
ระดับนี้เดินทางไปด้วย แต่จางเซวียนก็ยังรู้สึกว่าราคานี้
ยากจะรับได้
“ก็ คุ ณ บอกว่ า นั ก ฝึ ก อสู ร สามารถโดยสารสั ต ว์
พาหนะได้ฟรีไม่ใช่หรือ?”
จางเซวียนถามและข่มความผิดหวังไว้
เหตุผลเดียวที่เขาเข้าทดสอบเป็นนักฝึกอสูร ก็เพ
ราะหยวิ๋นเทาบอกว่าเขาจะขี่พวกมันได้ฟรี แต่กลายเป็น
ว่าต้องจ่าย 8 ล้าน...แค่คิดก็หงุดหงิดแล้ว
“นักฝึกอสูรระดับ 1 ดาวจะได้สิทธิ์โดยสารสัตว์
พาหนะฟรีเฉพาะตัวที่มีวรยุทธต่ำกว่าจงซรือเท่านั้น ถ้า
อยากจะได้สิทธิ์โดยสารสัตว์พาหนะขั้นจงซรือฟรี ก็จะ
ต้องเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว!” เห็นจางเซวียนไม่รู้
เรื่องรู้ราว หัวหน้าเฟิงอธิบาย
“นักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวจะได้ขี่พาหนะสายฟ้า
ฟรี?”
จางเซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น
การทดสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวจะต้องทำอะไร
บ้าง? ผมจะลองสอบ!”
ตอนที่ 255 บรมครูชิงหยาง

ลองสอบ?
หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆถึงกับหน้าตาบูดเบี้ยว
ในบรรดาผู้เข้าสอบจำนวนนับไม่ถ้วนที่เคยมาสอบ
ในดงอสูรแห่งนี้ นี่เป็นเหตุผลพิสดารที่สุดที่พวกเขาเคย
ได้ยิน
ผู้คนส่วนใหญ่เข้าทดสอบเป็นนักฝึกอสูรก็เพราะ
พวกเขามี ค วามสามารถและพละกำลั ง เพี ย งพอที่ จ ะ
สำเร็จเงื่อนไขพื้นฐาน และพวกเขาก็คาดหวังจะได้รับ
การรับรอง แต่ชายคนนี้ต้องการเข้าสอบเพราะแค่อยาก
โดยสารพาหนะสายฟ้าฟรี...
เป็นถึงศิษย์พี่ของปรมาจารย์ ด้วยความสามารถ
ขนาดนั้น ถ้าลงแรงเสียหน่อย ก็หาเงินแค่ไม่กี่ล้านได้
สบาย แต่ลงทุนทำถึงขนาดนี้แค่เพราะเงิน...เกียรติยศ
ศักดิ์ศรีของคุณอยู่ที่ไหน? แล้วสถานภาพของคุณล่ะ?
ยิ่งกว่านั้น การทดสอบที่เขาอยากจะลองคือการ
สอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว กว่าพันปีที่ดงอสูรก่อตั้ง
ขึ้นมาในเทือกเขาเชียนหลัว มีนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวอยู่
ไม่ถึงสิบคน
ลองสอบ... แกพูดเหมือนกับมันเป็นเรื่องง่ายอย่าง
การกินข้าวดื่มน้ำ และไม่มีอะไรที่ต้องหวาดกลัวหรือ
กังวลเลย
รู้ไหมว่าการทดสอบมันยากแค่ไหน?
แล้วรู้หรือไม่ว่าคนเก่งอย่างนักฝึกอสูรหงสอบตกมา
แล้วถึง 7 ครั้ง?
พูดง่ายๆก็คือ คุณประเมินวิชาชีพนี้ต่ำไปหน่อย
หรือเปล่า?
โม่หยู่หายใจหอบ แทบจะระเบิดความเดือดดาล
ออกมา
ด้ ว ยการเป็ น หนึ่ ง ในอั จ ฉริ ย ะแถวหน้ า ของอาณา
จักรเทียนหวู่ เธอใช้เวลาเพียง 1 ปีในการก้าวขึ้นเป็นนัก
ฝึกอสูรระดับ 1 ดาว ซึ่งโม่หยู่คิดว่าทุกคนที่นี่จะต้อง
ชื่นชมเธอ แต่ก็กลับต้องมาเจอชายคนนี้
เธอใช้ทั้งทรัพยากร สิ่งล่อใจ และการพะเน้าพะนอ
ไปมากมายกว่าจะฝึกนกอินทรีสีเขียวอ่อนให้เริ่มเชื่องได้
แต่แค่ทุบตีมัน เจ้านกนั่นก็หันไปยอมจำนนอย่างสมบูรณ์
ต่อเขา...แล้วหมอนั่นได้เป็นนักฝึกอสูรระดับ 1 ดาวแล้วก็
ยังไม่พอใจ ยังอยากจะสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว
ให้ได้ในทันที...
ถ้าจางเซวียนมีพื้นความรู้แน่น และอยากจะสอบ 2
ขั้นในรวดเดียวเพื่อทำให้ใครต่อใครทึ่งก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่
ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจไว้ล่วงหน้าเลย แค่รู้ว่าจะได้
โดยสารพาหนะสายฟ้าฟรีเท่านั้นที่ทำให้เขามีความคิด
แบบนี้
คนอื่นเขาเหนื่อยกันสายตัวแทบขาดเพื่อจะได้เป็น
นักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว แต่คุณทำราวกับมันเป็นการเดิน
เล่นในสวน ทำไมจะต้องบั่นทอนกำลังใจกันขนาดนี้ คุณ
มัน...
“การทดสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวจะต้อง...”
หัวหน้าเฟิงข่มอาการแน่นหน้าอกไว้ เขากำลังจะ
อธิบาย เมื่อผู้อาวุโสคนหนึ่งกระวีกระวาดเข้ามาด้วย
สีหน้าร้อนรน
“หัวหน้า หัวหน้า! บรมครูชิงหยางมาถึงแล้ว!”
“มาถึงแล้ว?”
นักฝึกอสูรทั้งสามตาโต พวกเขารีบเดินออกไปโดย
ไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเดินไปได้สองสามก้าว จู่ๆหัวหน้าเฟิงก็หยุด
และหันมา “ในเมื่อพวกคุณเป็นนักฝึกอสูรอย่างเป็น
ทางการแล้ ว คุ ณ ก็ มี คุ ณ สมบั ติ เ พี ย งพอที่ จ ะเข้ า ร่ ว ม
สังเกตการณ์ นี่เป็นโอกาสดีที่คุณจะได้เห็นว่านายแพทย์
ระดับบรมครูทำการรักษาอสูรขั้นจงซรืออย่างไร จะได้ดู
ไว้เป็นความรู้!”
“ได้!”
โม่หยู่ จูจิ้นหวง กับคนอื่นๆต่างพยักหน้าและเดิน
ตามไป
“ผู้อาวุโส ไปดูด้วยกันเถอะ โอกาสที่จะได้เห็นการ
รักษาอสูรใกล้ๆนั้นหายาก เราอาจได้เรียนรู้อะไรจากมัน
บ้างก็ได้”
เห็นคนอื่นๆเดินไป หยวิ๋นเทารีบเดินไปหาจางเซ
วียน
“ได้!”
จางเซวียนพยักหน้า
เขารอคอยที่จะได้ขี่พาหนะสายฟ้ามาตลอด ถ้า
รักษามันหาย เขาก็จะได้ประหยัดเวลาและความเหนื่อย
ยากในการเดินทางไปยังสันเขาบัวแดง
เมื่อเดินตามฝูงชนไป ไม่ช้าก็มาถึงลานขนาดยักษ์
มันกว้างใหญ่มาก และโครงสร้างของมันก็ใหญ่กว่า
ที่พักทั่วไปหลายเท่า ให้ความรู้สึกเหมือนกับเข้ามาใน
เมืองของยักษ์
ม้านั่งหินที่อยู่ในลานแห่งนี้ก็มีขนาดราว 7-8 เมตร
ถ้าไม่ดูให้ดีก็จะคิดว่ามันคือเวที ทางเดินที่ปูด้วยหินก็
กว้างใหญ่มาก น่าจะตกราวสิบกว่าเมตร มีสระน้ำอยู่ตรง
กลางลาน สถานที่นั้นโอ่อ่าราวกับพระราชวัง
“นี่ คื อ ที่ พั ก ที่ ส ร้ า งขึ้ น เป็ น พิ เ ศษให้ กั บ อสู ร เขี้ ย ว
เหล็กเหินฟ้า มีผู้ช่วยนักฝึกอสูรถึง 7 คนผลัดกันดูแล
อำนวยความสะดวกให้มันที่นี่...”
เมื่อเห็นจางเซวียนหน้าเหวอ หยวิ๋นเทาส่งโทรจิต
อธิบาย “อสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าก็คืออสูรขั้นจงซรือที่
กำลังป่วย”
“ที่พักที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับอสูร?”
จางเซวียนถึงกับเซ่อไป
จะต้องหรูหรากันขนาดนี้?
ไม่ว่าจะเป็นความกว้างใหญ่หรือความโอ่อ่าของ
โครงสร้าง จัดว่าเทียบเท่ากับพระราชวังแห่งอาณาจักร
เทียนเซวียนได้เลย เมื่อแรกเห็น จางเซวียนคิดว่าเป็น
ที่พักของบุคคลสำคัญ เพิ่งรู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษ
สำหรับอสูรแค่ตัวเดียว...
แถมยังมีผู้ช่วยนักฝึกอสูรถึง 7 คนผลัดกันดูแล
สิทธิพิเศษพวกนี้ดูจะเหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญทั่วๆไปเสียอีก
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมค่าโดยสารไปอาณาจักรเทียน
หวู่เพียงเที่ยวเดียวถึงมีค่ากว่า 8 ล้านเหรียญ ถ้าไม่ตั้ง
ราคาแพงขนาดนั้น คงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการ
ดูแลมัน
“บรมครูชิงหยาง พวกเราต้องขอรบกวนคุณ...”
จางเซวียนกำลังรำพึงว่าความเป็นอยู่ของอสูรตัวนี้
ดีกว่ามนุษย์เสียอีก ตอนที่ได้ยินหัวหน้าเฟิงพูดขึ้นอย่าง
ตื่นเต้น
เมื่อมองตาม จางเซวียนเห็นผู้อาวุโสร่างสูงในเสื้อ
คลุมสีเขียวยืนอยู่ไม่ห่างนัก เขายืนเอาสองมือไพล่หลัง มี
รังสีอันทรงพลังซึ่งแผ่ออกมาข่มขวัญคนแปลกหน้า เมื่อ
ดูจากรูปลักษณ์ เขาน่าจะมีอายุ 50 กว่าปี และด้วย
สีหน้าที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ จึงยากที่จะรู้ได้ว่าเขาคิด
อะไรอยู่
นี่คือบรมครูชิงหยางผู้เป็นตำนาน!
ก็เป็นธรรมดาที่ผู้สำเร็จระดับ 1 ดาวของทุกสาขา
อาชีพจะได้รับคำนำหน้าชื่อว่า ‘ปรมาจารย์’ ในขณะที่ผู้
สำเร็จระดับ 2 ดาว จะได้รับการขนานนามว่า ‘บรมครู’
บรมครูชิงหยางซึ่งเป็นนายแพทย์ระดับ 2 ดาว
ย่อมเก่งกาจกว่าปรมาจารย์หยวนหยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
“เอาล่ะ อสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอยู่ที่ไหน? พาผมไป
หามัน!”
เมื่ อ พยั ก หน้ า รั บ คำทั ก ทายของหั ว หน้ า เฟิ ง แล้ ว
บรมครูชิงหยางก็ตรงเข้าเรื่องทันที
“ทางนี้เลย!”
หัวหน้าเฟิงนำทางไป
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงสวนหลังบ้าน อสูรขนาด
มหึมาตัวหนึ่งนอนอยู่บนแท่นหินใหญ่ นัยน์ตาของมันปิด
สนิท แทบจะบอกไม่ได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เจ้ า อสู ร ตั ว นี้ มี บ างอย่ า งคล้ า ยคลึ ง กั บ นกอิ น ทรี สี
เขียวอ่อน แต่มันมีขนาดใหญ่กว่ามาก ด้วยความกว้าง
กว่า 12 เมตร มันดูเหมือนภูเขาย่อมๆเมื่อมองจากระยะ
ไกล
“สลบ?”
มองปราดเดียวจางเซวียนก็รู้ว่าเจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้
อยู่ในอาการโคม่า
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆถึงตื่น
ตระหนกและรี บ แจ้ น มาเมื่ อ รู้ ว่ า บรมครู ชิ ง หยางมาถึ ง
เพราะเจ้าอสูรเหินฟ้าตัวนี้ก็อาการหนักจริงๆ
“บรมครูชิงหยาง มันป่วยมาสามวันแล้ว ตอนแรก
ก็เริ่มจากไม่ยอมกินอาหาร แต่อาการของมันดูไม่หนัก
หนาอะไร พวกเราก็เลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่เมื่อเช้านี้
มันสลบไปกะทันหัน เราได้พยายามสองสามวิธีแล้วที่จะ
ปลุกมันให้รู้สึกตัว แต่ก็ไม่ได้ผล...”
หัวหน้าเฟิงอธิบาย
“อือ!”
บรมครูชิงหยางพยักหน้าและก้าวออกมา เขาเดิน
วนรอบเจ้าอสูรเหินฟ้า ยิ่งเดินก็ยิ่งหน้าดำคร่ำเครียด
“บอกผมมาว่าซิว่ามันกินอะไรบ้าง!”
หัวหน้าเฟิงร้องเรียก และผู้ช่วยนักฝึกอสูรคนหนึ่งที่
เป็นเวรเฝ้าเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าก็เดินมาก้มคำนับด้วย
ความเคารพ
“เมื่อ 10 วันก่อน เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าเริ่มไม่
อยากอาหาร มั น ดู ตื่ น เต้ น ลุ ก ลี้ ลุ ก ลนเล็ ก น้ อ ย แต่
เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงอันแห้งแล้งและมีโอกาส
ที่มันจะสะสมความร้อนภายในร่างกายได้ง่าย เราจึงให้
มันกินน้ำชุบวิญญาณเพื่อช่วยให้มันสงบลง และอาการ
ของมันก็ดีขึ้น”
“แต่ ก็ ยั ง มี บ างอย่ า งผิ ด ปกติ มั น จะออกมาเดิ น
ท่อมๆรอบที่พักในเวลากลางคืน และแหงนหน้าหอนเป็น
ระยะ โดยเฉพาะสองสามวันที่ผ่านมา ในคืนพระจันทร์
เต็มดวงมันจะวิ่งวุ่นเพ่นพ่าน ไม่หลับไม่นอน ราวกับ
กำลังมองหาที่ระบายพลังงานอันไร้ขีดจำกัดของมัน!”
และเมื่อตื่นขึ้นมา มันก็ไม่ยอมกินอาหาร ไม่มีอะไร
ดึงดูดความสนใจของมันได้เลย จนกระทั่งวันนี้ มันถึงกับ
สลบไป"
“มันกินอาหารน้อยลงทุกวัน และนอกจากโจ๊กกับ
เนื้อสัตว์แล้ว มันก็ไม่ยอมกินอย่างอื่นอีกเลย อ้อ เรายังให้
มันกินยาระบายความร้อน 2 เม็ดเมื่อวานนี้ แต่ดูเหมือน
จะไม่ได้ผล กลับแย่ลงอีก”
ผู้ ช่ ว ยนั ก ฝึ ก อสู ร รายงานสภาวะเบื้ อ งต้ น ของเจ้ า
เขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอย่างรวดเร็ว
จากนั้นบรมครูชิงหยางก็พยักหน้าและโบกมือ “คุณ
ไปได้!”
“ได้!” ผู้ช่วยคนนั้นไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาหันหลัง
และเดินจากไป
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
หัวหน้าเฟิงถาม
“รอเดี๋ยว!”
บรมครูชิงหยางไม่อธิบายอะไร เขาเดินวนรอบตัว
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอีกครั้ง ในระหว่างนั้นก็ดึงขนมัน
และเปิดเปลือกตาของมันดู หน้าผากของเขาย่นเป็นร่อง
ลึก และดูเหมือนเขากำลังพยายามประเมินสถานการณ์
.....
“นายแพทย์ก็รักษาอสูรได้หรือ?”
เห็นบรมครูชิงหยางกำลังครุ่นคิดหนัก จางเซวียน
ถาม
“บรมครูชิงหยางเป็นนายแพทย์ที่เก่งกาจที่สุดใน
อาณาจักเป๋ยอู๋ ว่ากันว่าเขาสำเร็จระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด
และอีกขั้นเดียวก็จะได้เป็นบรมครูระดับ 3 ดาวแล้ว มี
อาการเจ็บป่วยหลายต่อหลายครั้งในดงอสูรที่เขาเป็นผู้
รักษา!”
หยวิ๋นเทากระซิบกระซาบตอบ
“หลักการพื้นฐานของอาการเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็น
สำหรับมนุษย์หรืออสูรก็ไม่ต่างกัน ในเมื่อเขารักษามนุษย์
ได้ ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องรักษาอสูรได้ อีกอย่าง เขาเป็น
ถึงนายแพทย์ แม้จะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่ถ้า
ไม่เก่ง จะถูกจัดให้เป็นอาชีพแถวหน้าในเก้าสถานะระดับ
บนได้อย่างไร?”
โม่หยู่พูดแทรกขึ้นมาเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปรมาจารย์คืออาชีพหมายเลข 1
ของเก้าสถานะระดับบน ส่วนอาชีพอื่นๆที่เหลือนั้นมี
อันดับที่คลุมเครือและไม่มีมาตรฐานของการจัดอันดับที่
ชัดเจน ดังนั้น นักปรุงยา นายแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน
ค่ายกล และนักฝึกอสูรจึงล้วนแต่เป็นที่ยอมรับว่าอยู่ใน
แถวหน้า และพวกเขาก็ได้รับความเคารพอย่างมาก
ถ้าเปรียบเทียบกับผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลและนัก
ฝึกอสูร นายแพทย์จัดว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีทักษะด้านการ
ต่อสู้เลย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใกล้
เคียงกัน เพราะพวกเขามีความสามารถมากกว่าแค่การ
รักษามนุษย์
“คุณเก่งเรื่องการฝึกอสูรไม่ใช่หรือ? ฉันนึกว่าคุณรู้
ไปหมดทุกเรื่องเสียอีก ทำไมถึงไม่รู้อะไรเรื่องการรักษา
โรคเลย?”
เห็นจางเซวียนทำท่าสับสน โม่หยู่เชิดหน้าอย่าง
เยาะหยัน
ก็ไหนว่าไร้เทียมทาน ฝึกอสูรให้เชื่องได้เพียงแค่
ทุบตีมัน?
แต่กลับไม่รู้อะไรเรื่องการรักษาโรคเลย ที่จริงก็ไม่
น่าจะทำตัวโอหังเสียขนาดนั้น มาตอนนี้ก็ขายหน้าแล้
วน่ะสิ?
“เอ่อ...” ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จางเซวียนยิ้ม
เจื่อนๆ
ที่ อ าณาจั ก รเที ย นเซวี ย นมี ห นั ง สื อ เกี่ ย วกั บ การ
รักษาโรคอยู่น้อยมาก และนายแพทย์คนเดียวที่เขารู้จักก็
คือปรมาจารย์หยวนหยู่ แต่ทั้งคู่ก็สนทนากันในเรื่องการ
วาดภาพเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับ
นายแพทย์และวิธีการรักษาโรค
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่านายแพทย์ก็รักษาอาการ
ป่วยของอสูรได้เหมือนกัน
“คุณโม่ไม่ได้เป็นแค่นักฝึกอสูรระดับ 1 ดาว, นัก
ปรุงยาระดับ 1 ดาว และผู้ช่วยปรมาจารย์เท่านั้นนะ เธอ
ยังเป็นผู้ช่วยนายแพทย์ด้วย!” หยวิ๋นเทากระซิบกับจาง
เซวียน ความชื่นชมที่เขามีให้เธอเปล่งประกายอยู่ใน
ดวงตา
“ผู้ช่วยนายแพทย์?” จางเซวียนถึงกับผงะ
ถึงโม่หยู่คนนี้จะเย่อหยิ่งเหลือร้าย แต่เธอก็มีความ
สามารถจริงๆ
ด้วยอายุเพียงเท่านี้ แต่มีความเชี่ยวชาญในหลาก
หลายอาชีพ ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่จางเซวียนได้เจอ
เธอน่าจะเป็นคนที่ปราดเปรื่องที่สุด
“มี ค วามแตกต่ า งที่ เ หลื่ อ มซ้ อ นกั น อยู่ บ างจุ ด
ระหว่างนายแพทย์กับนักปรุงยา ฉันก็แค่ไปเรียนเพิ่มเล็ก
น้อยเท่านั้น สำหรับฉัน มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย! หลัง
จากเสร็จสิ้นเรื่องนี้ ฉันก็จะกลับไปที่อาณาจักรเทียนหวู่
เพื่อสอบเป็นนายแพทย์!” โม่หยู่หัวเราะเบาๆ
อาชีพที่ดูล้ำลึกน่าทึ่งในสายตาของคนอื่น สำหรับ
โม่หยู่ มันง่ายเหมือนกับเล่นขายของ
ความเป็นอัจฉริยะของเธอทำให้เธออยู่เหนือผู้อื่น
เสมอ แต่สำหรับที่นี่ เธอถูกจางเซวียนคนนี้หยามหน้า
ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการ
รักษาโรคเลย เธอจึงตัดสินใจจะตอกย้ำเรื่องนี้เพื่อเรียก
ความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมา
โม่หยู่คิดว่าเมื่อพูดแบบนั้นออกไปแล้วอีกฝ่ายคงจะ
ต้องยกย่องชื่นชมเธอ แต่เมื่อเธอหันไปมองเขา เขาก็
หายตัวไปเสียแล้ว
“ไอ้บ้าเอ๊ย!”
โม่หยู่กระทืบเท้า หน้าแดงก่ำด้วยความโมโห
.....
“คุณวินิจฉัยอะไรได้บ้างไหม?” เห็นรอยย่นลึกบน
หน้าผากของบรมครูชิงหยาง หัวหน้าเฟิงถามซ้ำ
“อือ ผมพอจะวิเคราะห์อาการคร่าวๆได้แล้ว พอจะ
รู้ว่าอาการของมันน่าจะมาจาก...”
บรมครู ชิ ง หยางพยั ก หน้ า เมื่ อ พู ด ไปได้ แ ค่ ค รึ่ ง
ประโยค เขาก็ชักสีหน้าและตวาดทันที “นั่นคุณทำ
อะไร?”
ทุกคนมองตาม และเห็นชายหนุ่มนิรนามไปยืนป๋อ
ตรงหน้ า เจ้ า เขี้ ย วเหล็ ก เหิ น ฟ้ า เรี ย บร้ อ ย และยื่ น มื อ
ไป...แตะหัวของมัน
........
ความร้อนภายในคือแนวคิดเรื่องการรักษาโรคตาม
แบบพื้นบ้านของจีน มันเชื่อมโยงกับความรู้สึกไม่สบาย
ตัว และอาการอื่นๆอีกหลายอย่าง
ตอนที่ 256 ผมพูดว่าคุณเป็นหมองี่เง่า

“เอ่อ...”
ทุกคนถึงกับไปไม่เป็นเมื่อเห็นการกระทำของชาย
หนุ่ม
จะบังอาจเกินไปไหม!
ไม่เห็นหรือว่าบรมครูชิงหยางกำลังวินิจฉัยอาการ
ของเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอยู่
จะแหลมเข้ามาเพื่อ?
ยิ่งกว่านั้น...มันคืออสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า อสูรที่มีวร
ยุทธถึงขั้นจงซรือ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงในครอบครัวของคุณ
แตะมันแบบนั้น...ทำเหมือนกับมันเป็นสุนัขในบ้าน นี่คุณ
มาจากที่ไหนกัน?
“ผมก็ อ ยากรู้ เ หมื อ นกั น ว่ า เจ้ า เขี้ ย วเหล็ ก ตั ว นี้ ไ ม่
สบายเพราะอะไร”
เห็นความสงสัยในดวงตาของทุกคน ชายหนุ่มหัน
มายิ้ม
“เฮ่อ!”
ได้ยินคำพูดของเขา โม่หยู่บ่นพึม
เธอจำเขาได้ตั้งแต่ตอนที่หันมา เขาคือคนที่หยาม
หน้าเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า จางเซวียน
รู้แล้วว่าหายไปไหน! ดอดไปแตะตัวเจ้าอสูรเขี้ยว
เหล็กนี่เอง
หัวหน้าเฟิงเชิญพวกเรามาดูว่าบรมครูชิงหยางจะ
รักษาเจ้าอสูรอย่างไร เรามาเพื่อเรียนรู้ จึงสมควรจะอยู่
ในที่ทางของตัวเองและศึกษากระบวนการอย่างเงียบๆ
ไม่ใช่เข้าไปวุ่นวายกับการวินิจฉัยโรคของอีกฝ่าย...
เป็นบ้าอะไรถึงจะต้องไปแตะตัวมัน!
อยากถูกตำหนิหรือ?
ก็ตามคาด เมื่อเธอคิดขึ้นมาได้ บรมครูชิงหยางก็
หน้าหงิกและหรี่ตา
“บังอาจ!”
เขาสะบัดแขนเสื้อ หันขวับไปทางหัวหน้าเฟิงและ
จิกเต็มเหนี่ยว “คนที่ดงอสูรเขาทำตัวกันแบบนี้หรือ? ไม่
เคยมีระเบียบกันเลยใช่ไหม? ดูซิ...นั่นเขารู้ตัวหรือเปล่า
ว่ากำลังทำอะไร? เที่ยวแตะสุ่มสี่สุ่มห้าทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
จะอวดดีอะไรขนาดนี้!”
“ท่านบรมครู ได้โปรดใจเย็นก่อน เขาไม่ได้ตั้งใจ
เขาแค่เป็นห่วงเจ้าเขี้ยวเหล็ก...”
คิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะผลีผลามไปแตะตัวเจ้าอสูร
แบบนั้น หัวหน้าเฟิงรีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ทำงานด้วยกันมาไม่รู้กี่ปีแล้ว คุณควรจะรู้ว่าผม
ต้องการความเงียบระหว่างการรักษา!”
บรมครูชิงหยางพูดขัดขึ้นอย่างถือตัว
“ผมรู้ แต่...”
“ก็ดีแล้วที่คุณรู้ ไม่มี ‘แต่’ นะ เห็นแก่ที่เราเป็น
เพื่อนกันมาหลายปี ผมจะไม่เอาเรื่อง แต่อันที่จริง นี่ไม่ใช่
สถานที่ที่คนกะโหลกกะลาควรจะเข้ามา ผมกำลังรักษา
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอยู่ ไล่พวกเขาออกไปให้หมด” เมื่อ
พูดจบ บรมครูชิงหยางโบกมืออย่างวางมาด
ก็เขาเป็นใครกัน?
เขาเป็นถึงบรมครูที่ได้รับความเคารพยกย่องสูงสุด
ในอาณาจักรเป๋ยอู๋ ขณะที่เขากำลังวินิจฉัยอาการอยู่ เจ้า
นั่นก็โผล่พรวดขึ้นมาและเสนอหน้าบอกว่าตัวเองก็อยาก
รู้เหมือนกัน คุณรู้เรื่องการรักษาโรคด้วยหรือ? แล้วรู้ไหม
ว่าต้องทำอะไร?
“ได้โปรดใจเย็นก่อนเถอะ บรมครูชิงหยาง เด็กสอง
สามคนนี้เป็นนักฝึกอสูรที่เพิ่งสอบผ่านวันนี้เอง เหตุผลที่
ผมพาพวกเขามาก็ เ พราะอยากให้ พ วกเขาเห็ น
กระบวนการรักษา พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณขุ่น
เคืองเลย!” หัวหน้าเฟิงพูด
“จริงด้วย นักฝึกอสูรจางก็แค่แตะเจ้าเขี้ยวเหล็ก
เพราะความอยากรู้ ผมขอรับประกันว่ามันจะไม่เกิดขึ้น
อีก!”
นักฝึกอสูรลู่เดินเข้ามาหว่านล้อมอีกคนหนึ่ง
“อือ ถ้าคุณรับประกัน ผมก็จะไม่เอาเรื่อง แต่หวัง
ว่าต่อไปดงอสูรจะมีระเบียบมากกว่านี้ ผมต้องการความ
เงี ย บสงั ด ระหว่ า งการรั ก ษา ไม่ ใ ช่ ทุ ก คนที่ จ ะเข้ า มา
สังเกตการณ์ได้ เพราะวิธีการรักษาของผมก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุก
คนจะเข้าใจ ถ้ามีไอ้หน้าโง่ที่ไหนเข้ามาปั่นป่วนวุ่นวาย
กับกระบวนการรักษาและทำให้ระยะเวลาในการรักษา
ต้องเนิ่นช้าออกไป พวกคุณรับผิดชอบได้ไหม?”
บรมครูชิงหยางคำรามขณะที่มองหน้าทีละคน ดู
เขามีอำนาจอย่างที่ใครก็ไม่อาจปริปากโต้แย้งได้
“ได้ ได้สิ!” หัวหน้าเฟิงรีบพยักหน้า
ตำแหน่งของนักฝึกอสูรกับนายแพทย์นั้นเท่าเทียม
กัน แต่เนื่องจากเขาเป็นคนร้องขอให้อีกฝ่ายมา จึงไม่มี
ทางเลือกนอกจากยอมอ่อนข้อให้
นี่คือคนเดียวที่สามารถรักษาเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า
ได้ ดังนั้น ต่อให้นายแพทย์คนนี้จะปากกล้าแค่ไหน เขาก็
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทน
“อือ!”
ได้เห็นทีท่าอ่อนข้อของอีกฝ่าย บรมครูชิงหยาง
ตัดสินใจจะไม่เอาเรื่อง เขาหันไปมองเจ้าเขี้ยวเหล็กที่
สลบไสลอยู่อีกครั้งหนึ่ง
“เมื่อครู่คุณบอกว่ามองเห็นปัญหาแล้ว มีหนทาง
รักษาอาการป่วยของมันหรือไม่?” หัวหน้าเฟิงถามอย่าง
กระวนกระวาย
“จากการวินิจฉัยเบื้องต้นของผม ผมยืนยันสาเหตุ
ของอาการป่วยได้” บรมครูชิงหยางพูดอย่างวางภูมิ
ทุกคนถึงกับตาโต
สมกับเป็นบรมครู เขาระบุสาเหตุของปัญหาได้
อย่างรวดเร็วนัก
นักฝึกอสูรทั้งระดับ 2 ดาว และ 1 ดาวไม่รู้กี่คนต่าง
เฝ้าสังเกตอาการของเจ้าเขี้ยวเหล็กมา 2 วันเต็มๆแล้ว
แต่ก็บอกอะไรไม่ได้
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของทุกคน บรมครูชิง
หยางพยักหน้าอย่างพอใจ เขาพูดอย่างสุขุม “จาก
อาการของเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าที่มักจะดุเดือดร้อนรนใน
ตอนกลางคืน มีความร้อนภายในอยู่เต็มเปี่ยม และมักส่ง
เสียงหอนต่อสวรรค์ ผมสงสัยว่า...มันคงอยากมีคู่!”
“อยากมีคู่?”
“ถูกต้อง อสูรก็มีความต้องการทางเพศเหมือนกัน
และความต้องการทางเพศของพวกมันจะเพิ่มสูงขึ้นใน
ฤดูใบไม้ร่วง สูงขึ้นจนถึงระดับที่พวกมันควบคุมตัวเอง
แทบไม่ได้ จากที่ผมเห็น ตัวของมันอุ่น และมันต้องการที่
ที่จะระบายความหงุดหงิด เมื่อไม่อาจหาที่ระบายออกได้
มันจึงงุ่นง่านมากขึ้นทุกที เมื่อเวลาผ่านไป ความร้อน
ภายในที่สะสมอยู่ในร่างกายก็ลามไปถึงอวัยวะภายใน
ต่างๆ ทำให้มันอยู่ในอาการโคม่า”
บรมครูชิงหยางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดูเรืองรองไป
ด้วยรัศมีแห่งความปราดเปรื่อง
“พวกเราก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ว่า...เมื่อดู
จากอายุของเจ้าเขี้ยวเหล็กแล้ว มันยังไม่น่าจะไปถึงจุด
นั้น...” หัวหน้าเฟิงถามอย่างสงสัย
“ใช้มาตรฐานของมนุษย์มาวัดอสูรไม่ได้หรอก ถ้า
ร่างกายของมันทำงานได้เต็มที่เมื่อไหร่ มันก็จะมีความ
ต้องการทางเพศ ซึ่งอาการก็คือนอนไม่หลับ แหงนหน้า
หอน อาการพวกนี้ก็เป็นสัญญาณของความอยากมีคู่
เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเข้าใจผิด!” บรมครูชิงหยางหันไป
มองฝู ง ชนที่ อ ยู่ ร อบๆ นั ย น์ ต าของเขามี ป ระกาย
ประหลาดที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความกดดัน “ทำไม?
พวกคุณสงสัยการวินิจฉัยของผมหรือ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แค่...” หัวหน้าเฟิงส่ายหน้า ไม่
อยากต่อความเรื่องนี้ เขามองบรมครูชิงหยางอย่างกังวล
ใจอีกรอบ “แล้ว...มีทางรักษาไหม?”
“ถึงจะดูซับซ้อน แต่ถ้ารู้สาเหตุแล้วก็รักษาไม่ยาก
ในเมื่อมันอยากมีคู่ เราก็หาคู่ให้มันสิ!” บรมครูชิงหยาง
ยิ้ม
“หาคู่?”
หัวหน้าเฟิงมีสีหน้าขมขื่น
นักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวคนอื่นๆต่างก็ส่ายหน้า
“ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากหาคู่ให้มัน แต่อสูรเขี้ยวเหล็ก
เหินฟ้าเป็นสปีชีส์หายาก แทบจะไม่มีทางหาตัวเมียที่
มีอายุไล่เลี่ยกับมันได้เลย!”
สัตว์ปีกดุร้ายอย่างเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าที่มีวรยุทธ
ถึงขั้นจงซรือก่อนจะโตเต็มวัยนั้นหายากมาก ต่อให้ควาน
หาทั่ ว ทั้ ง หุ บ เขาเชี ย นหลั ว อั น กว้ า งใหญ่ ก็ ไ ม่ น่ า จะมี
มากกว่า 2 ตัว
ที่สำคัญกว่านั้น มันยังบินได้เร็วมาก ต่อให้เจอสัก
ตัวก็เถอะ แล้วจะจับมันมาฝึกให้เชื่องได้อย่างไร?
เหตุผลที่เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอยู่ในดงอสูรก็เพราะ
พวกเขาเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็ก ถึงกับสร้างที่พักเป็นพิเศษ
ให้และส่งผู้ช่วยนักฝึกอสูรมาคอยดูแล นั่นคือเหตุผลหลัก
ที่มันเลือกจะอยู่ที่นี่ ถ้าจะพูดกันตามตรง จนถึงวันนี้ก็ยัง
ไม่มีใครฝึกมันได้ และมันก็ยังไม่ยอมทำสัญญากับใครทั้ง
นั้น
ไม่ใช่พวกเขาไม่อยากทำ แต่ทำไม่ได้ต่างหาก!
เจ้าเขี้ยวเหล็กทำตัวหยิ่งผยองกับมนุษย์มาก การ
ฝึกมันให้เชื่องจึงเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ถ้ามันเชื่องมันก็
จะสื่อสารกับเจ้านายของมันได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น
นักฝึกอสูรก็จะรู้ว่ามีอะไรผิดปกติ และรักษาได้ด้วย
ตัวเอง คงไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยการไปเชิญบรม
ครูชิงหยางมาวินิจฉัย
ขนาดเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็ก พวกเขาก็ยังฝึกมันให้
เชื่องไม่ได้ แล้วจะไปหาคู่ให้มันได้อย่างไร?
จะว่าไปก็เป็นทางเลือกที่ไม่เข้าท่าเลย!
“ไม่มีทางหาคู่ให้มันได้หรือ?”
“ใช่!” หัวหน้าเฟิงพยักหน้า “บรมครูชิงหยาง ได้
โปรดหาทางเลือกอื่นเถอะ ผมพร้อมจะทำทุกอย่างถ้าเจ้า
เขี้ยวเหล็กจะปลอดภัย!”
“มันก็มีทางอยู่นะ และก็แก้ปัญหาได้ด้วย แต่
ว่า...มันออกจะยุ่งยากอยู่สักหน่อย” บรมครูชิงหยางลังเล
อยู่ครู่หนึ่ง
“ในเมื่อมีทาง คุณเร่งมือรักษามันเถอะ” หัวหน้าเฟิ
งกับคนอื่นๆนัยน์ตาเบิกโพลงขณะที่ตะลีตะลานพูด
“ได้!” เขาเอามือไพล่หลังและพยักหน้า “ในเมื่อ
ไม่มีทางหาคู่ให้มัน ก็เหลืออีกทางเดียวที่จะระงับความ
หงุดหงิดของมันได้ นั่นคือ...การทำหมัน! ถ้าการผ่าตัด
ประสบความสำเร็จ มันก็จะไม่ต้องทุกข์ร้อนกับปัญหา
แบบนี้อีกเลย มันจะทำงานให้กับดงอสูรได้อย่างเต็มที่”
“ทำหมัน?”
หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆถึงกับอึ้งไป
“การทำหมันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้จิตใจของมัน
สงบลงได้ อย่างน้อยที่สุดมันก็จะไม่ต้องหงุดหงิดและรุ่ม
ร้อนเกินขนาดอยู่ทุกวัน และสถานการณ์แบบนั้นก็จะไม่
เกิดขึ้นอีก” บรมครูชิงหยางหันไปตั้งคำถามกับหัวหน้า
เฟิง “ที่ดงอสูรนี่ก็มีอสูรหลายตัวไม่ใช่หรือที่ถูกทำหมัน
เพื่อตัดปัญหา?”
“เอ่อ...” หัวหน้าเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยัก
หน้า
มีอสูรอยู่มากมายในดงอสูรแห่งนี้ที่ถูกทำหมันตั้งแต่
เกิด ด้วยวิธีนี้ ความสนใจของมันจะไม่วอกแวกไปเรื่อง
อื่น ทั้งยังจะเชื่อฟังเจ้านายของมันมากขึ้นด้วย
“เอาล่ะ นี่คือคำวินิจฉัยของผม คุณลองคิดดูก่อน
ก็ได้ แต่ถ้าอยากจะทำตามนั้น ก็ควรตัดสินใจให้เร็ว
หน่อย เห็นๆกันอยู่ว่าเจ้านี่ไม่น่าจะทนได้นานนัก ถ้าคุณ
ไม่รีบหาทางแก้ปัญหา ผมกลัวว่ามันจะอยู่ไม่รอดถึงพรุ่ง
นี้!”
บรมครูชิงหยางหยุดพูด และยืนกดดันรอการตัดสิน
ใจของอีกฝ่าย
“เราต้องทำแบบนั้นจริงๆหรือ?”
หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆมองหน้ากันอย่างลำบากใจ
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอยู่กับพวกเขามาตั้งแต่เล็ก
ต่างใกล้ชิดกันมาหลายปีจนบรรดานักฝึกอสูรคิดว่ามัน
เป็นลูกเป็นหลาน ถ้าจะต้องทำหมัน...พวกเขาไม่อาจ
บังคับตัวเองให้ทำแบบนั้นได้
อีกอย่าง ถึงจะมีอสูรจำนวนมากที่ถูกทำหมันไป
แล้ว แต่ในดงอสูรแห่งนี้ก็ยังมีอีกหลายตัวที่ต้องตาย
ระหว่างการผ่าตัด
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้ากำลังป่วยหนัก และตอนนี้ก็
เข้าขั้นโคม่า การจับมันผ่าตัดทั้งที่มีสภาพร่างกายอ่อนแอ
แบบนี้ถือว่าเสี่ยงต่อชีวิตของมันมาก
แถมอสูรขั้นจงซรือยังมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ถ้า
มันเกิดขัดใจขึ้นมา ก็เป็นไปได้ว่ามันอาจจะหนีไปจากดง
อสูรตลอดกาล ที่แย่กว่านั้นคือมันอาจเจ็บแค้นถึงขั้น
พยายามกลับมาเอาคืนด้วย ซึ่งนั่นจะทำให้ดงอสูรต้อง
ระส่ำระสายอย่างหนัก
ใช่ว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนั้น มีดงอสูรที่อื่นที่
เคยตัดสินใจทำหมันอสูรขั้นกึ่งจงซรือ ซึ่งทำให้มันขุ่น
เคืองมาก ไม่ใช่แค่มันจะหนีไปเท่านั้น แต่มันยังเห็นดง
อสูรเป็นปฏิปักษ์ และกลับมาสร้างความปั่นป่วนทุกครั้งที่
มีโอกาส
สุดท้าย ทางดงอสูรก็ต้องหาผู้เชี่ยวชาญมาสังหาร
มัน
เล่ากันว่า หลังจากที่ฆ่ามันแล้ว เจ้านายของมันก็ยัง
ร้องไห้ถึง 3 วัน 3 คืน ด้วยความเสียใจเกินขนาด ทำให้
เขาสูญเสียพลังปราณและตายในอีกสองสามวันต่อมา
ก็เหมือนกับมนุษย์ อสูรควรจะได้รับการเคารพเช่น
กัน
การจับมันทำหมันโดยไม่บอกไม่กล่าวถือเป็นการ
หยามหมิ่นกันอย่างรุนแรง
“บรมครูชิงหยาง มีทางเลือกอื่นอีกไหม? สิ่งนี้...มัน
ไม่ง่ายเลย!”
หัวหน้าเฟิงถามหลังจากอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
“นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าคุณไม่เต็มใจจะ
ทำ ก็ลืมเสียเถอะ ผมทั้งวินิจฉัยอาการและบอกวิธีการ
รักษาให้แล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะทำหรือไม่ แต่
ถ้าต่อไปเกิดปัญหาอื่นขึ้นอีก ก็อย่าได้คิดจะไปตามหาผม
อีกเลย!” บรมครูชิงหยางฮึดฮัด
เขาบอกทั้งสาเหตุของปัญหาและวิธีการรักษาแล้ว
แต่อีกฝ่ายก็ตั้งคำถามอยู่นั่น ตกลงจะไม่เชื่อถือความ
สามารถของเขาในฐานะบรมครูเลยหรือ?
ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย หัวหน้าเฟิงถึงกับกัดฟัน
และตัดสินใจจะทำตามวิธีการของเขา แต่ยังไม่ทันจะได้
พูดอะไร ก็มีน้ำเสียงเฉื่อยเนือยเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ที่ผ่านมา ผมเคยได้ยินว่าหมองี่เง่าสามารถฆ่า
คนไข้ของตัวเองได้ ตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่
น่าเชื่อเลยว่าจะได้เห็นคนหนึ่งต่อหน้าต่อตา...”
“คุณพูดอะไรนะ?”
บรมครูชิงหยางโมโหเดือด เขาหันขวับมาทันที
และเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนมองเขาด้วยสีหน้าสุขุมเยือก
เย็นท่ามกลางฝูงชน
คือชายหนุ่มคนเดียวกับที่ย่องไปแตะเจ้าเขี้ยวเหล็ก
เมื่อครู่ก่อนหน้า
“ผมพูดว่าคุณเป็นหมองี่เง่า! ถ้าไม่เข้าใจว่าผม
กำลังพูดอะไรล่ะก็...”
จางเซวี ย นพู ด ต่ อ ด้ ว ยสี ห น้ า เอาจริ ง “มั น ก็
หมายความว่า คุณคือไอ้หน้าโง่ที่มีทักษะการรักษาโรค
แสนจะต่ำเตี้ย ขนาดไม่รู้สาเหตุของอาการป่วย ก็ยังกล้า
สุ่มสี่สุ่มห้าวินิจฉัยโดยคิดเอาเองทั้งนั้น!”
ตอนที่ 257 คุณจะเป็นอะไรอื่นได้ถ้าไม่ใช่หมองี่

เง่า

“เขาพูดว่าบรมครูชิงหยางเป็นหมองี่เง่า?”
“ว่าเขาเป็นไอ้หน้าโง่ที่มีทักษะการรักษาโรคแสนจะ
ต่ำเตี้ย?”
ทุกคนผงะ
แม้แต่โม่หยู่ซึ่งไม่ชอบขี้หน้าจางเซวียนก็ยังผงะ
การพูดว่าบรมครูชิงหยางเป็นหมองี่เง่า ก็เท่ากับ
ดูถูกความเชี่ยวชาญในวิชาชีพของฝ่ายนั้น และเรื่องนี้
ไม่มีทางไกล่เกลี่ยได้เลย
แล้วมันเรื่องอะไรที่คนไม่รู้เรื่องการแพทย์เลยอย่าง
คุณจะต้องปากเก่งถึงขนาดนั้น?
ถึงการทำหมันอสูรจะไม่ใช่เรื่องปกตินัก แต่ก็ใช่ว่า
ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วถ้าไม่ทำหมัน จะมีวิธีไหนรักษา
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าได้?
“นักฝึกอสูรจาง...”
คิดไม่ถึงว่าเขาจะดูถูกบรมครูชิงหยางได้ขนาดนั้น
หัวหน้าเฟิงถึงกับเครียด เขาพยายามจะขอโทษขอโพย
อีกฝ่าย “บรมครูชิงหยาง อย่ากริ้วโกรธไปเลย เขาไม่ได้
ตั้งใจ...”
“หุบปาก!”
บรมครูชิงหยางตวาดกร้าว ดูเหมือนสิงโตที่กำลัง
เกรี้ ย วกราด เขาจ้ อ งเขม็ ง ที่ ช ายหนุ่ ม ตรงหน้ า และ
ประกาศด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ผม, ชิงหยาง, ได้ฝึกฝน
ศาสตร์แห่งการรักษาโรคมากว่า 39 ปี ผมช่วยชีวิตคนมา
นับไม่ถ้วน ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยของผู้คนอีก
มากมาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโดนหยามเกียรติขนาดนี้ ไอ้
หนุ่ม, ไม่ว่าแกจะเป็นนักฝึกอสูรหรือเป็นใคร และจะมี
ใครหนุนหลังแกอยู่ก็ตาม ถ้าแกไม่อธิบายออกมาให้ชัดๆ
แล้วล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่ปรานีก็แล้วกัน!”
บึ้ม!
เมื่อเขาพูดจบ รังสีอันทรงพลังก็ระเบิดออกมาจาก
ตัวเขา มันพุ่งสูงเฉียดสวรรค์ทีเดียว ทั้งพลังและแรง
ปะทะที่ พุ่ ง ออกมาทำให้ ห ยวิ๋ น เทากั บ คนอื่ น ๆต้ อ งถอย
กรูด
บรมครูชิงหยางเป็นนักรบขั้นจงซรือ!
ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด ความเฉลียวฉลาดก็เป็น
ปัจจัยหนึ่ง แต่ผู้นั้นยังต้องมีวรยุทธที่เหมาะสมกับอาชีพ
ของตัวเองด้วย ทุกคนที่สำเร็จระดับ 2 ดาวในทุกสาขา
อาชีพ ส่วนใหญ่จะเป็นนักรบขั้นจงซรือ นี่คือเหตุผลที่ผู้
สำเร็จระดับ 2 ดาวได้รับการขนานนามว่าบรมครู มัน
ไม่ ใ ช่ แ ค่ ก ารแสดงความเคารพต่ อ ความเชี่ ย วชาญใน
วิชาชีพของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความ
เคารพต่อระดับวรยุทธและพละกำลังของเขาด้วย
ในฐานะนายแพทย์ผู้เก่งกาจที่สุดในอาณาจักรเป๋ยอู๋
ชิงหยางไม่เคยถูกหยามเกียรติขณะทำการรักษามาก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะความเจนโลกของเขาล่ะก็ เขาคงเตะจาง
เซวียนกระเด็นไปแล้ว
“เหตุผลที่คุณไม่เคยถูกหยาม ก็เพราะคุณยังไม่เคย
เจอผมต่างหาก ถ้าคุณเจอผมเสียก่อนหน้านี้ ก็คงถูก
หยามไปนานแล้ว!”
เห็นอีกฝ่ายโกรธเกรี้ยวขนาดนั้น จางเซวียนก็ยัง
มองเขาอย่างทองไม่รู้ร้อน
บรมครูชิงหยางขมวดคิ้ว “แกคิดว่าฉันไม่กล้าฆ่า
แกสินะ?”
“ฆ่าผม? คุณน่ะมองไม่ออกเลยว่าเจ้าเขี้ยวเหล็ก
เหินฟ้าป่วยเป็นอะไร แต่ก็ยังวินิจฉัยแบบไม่มีต้นสาย
ปลายเหตุออกมาได้ ถ้าเกิดต้องรักษามันตามที่คุณพูดล่ะ
ก็ ไม่เพียงแต่เจ้าเขี้ยวเหล็กจะไม่ปลอดภัย มันคงจะตาย
ตอนนั้นเลยล่ะ นี่คือการวินิจฉัยของคุณหรือ? แล้วคุณจะ
เป็นอะไรอื่นได้ถ้าไม่ใช่หมองี่เง่า? แถมคุณยังอยากจะฆ่า
ผมอีก... นอกจากจะทำผิดพลาดอย่างมหันต์แล้ว ยังไม่
ยอมให้ใครพูดถึงมันด้วย จะหน้าด้านอะไรขนาดนี้?”
จางเซวียนเลิกคิ้ว
“แก...”
ได้ยินแบบนั้น บรมครูชิงหยางแทบคลั่งจนอยากจะ
กระอักเลือดออกมา
หลังจากที่สำแดงพละกำลังของนักรบขั้นจงซรือ
ออกมาแล้ว เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะปากคอสั่นขอโทษขอ
โพยเขา แต่กลายเป็นว่าไม่เพียงจางเซวียนจะไม่เลิก
ตำหนิ ยังถึงกับว่าเขาเป็นคนหน้าด้านด้วย...
บรมครูผู้ทรงเกียรติถูกเด็กหนุ่มตำหนิอย่างแรงต่อ
ธารกำนัล เขาเสียศักดิ์ศรีจนแทบจะเป็นบ้า
“รู้สึกเสื่อมเสียศักดิ์ศรีใช่ไหม? ได้ ผมจะอธิบายให้
ฟัง!”
บรมครู ชิ ง หยางกำลั ง จะระเบิ ด ความโกรธเกรี้ ย ว
ออกมา ชายหนุ่มก็เข้าไปยืนตรงหน้าเจ้าเขี้ยวเหล็กเหิน
ฟ้า
“วิธีที่แม่นยำที่สุดในการตัดสินอายุของอสูรเขี้ยว
เหล็กเหินฟ้าคือการดูฟันของมัน ฟันของตัวที่โตเต็มวัย
จะยาวประมาณ 3 สือกับ 3 คุ่น ผมเชื่อว่านักฝึกอสูรทุก
คนรู้เรื่องนี้ คงไม่ต้องอธิบายเพิ่ม!”
(3 สือกับ 3 คุ่น เท่ากับประมาณ 1.1 เมตร)
จางเซวียนชี้ไปที่เจ้าเขี้ยวเหล็กและพูดต่อ “แต่ฟัน
ของเจ้าตัวนี้ยาวแค่ 2 สือ 7 คุ่นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ายัง
ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่ามันจะโตเต็มวัย ถ้าผมคิดไม่
ผิด มันน่าจะมีอายุราว 17 ปี เมื่อคำนวณจากช่วงชีวิต
ของอสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าที่อยู่ประมาณ 200 ปีแล้ว เจ้า
ตัวนี้ก็ยังเด็กอยู่ ผมขอถามหน่อย อสูรที่อยู่ในวัยก่อน
เจริญพันธุ์จะมีความต้องการทางเพศด้วยหรือ?”
(2 สือ 7 คุ่น เท่ากับประมาณ 90 เซนติเมตร)
ตอนแรก หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆคิดว่าจางเซวียน
ตั้งใจป่วน แต่เมื่อฟังที่เขาพูดก็ต้องชะงักไป
คนนอกอาจไม่รู้ว่าเจ้าเขี้ยวเหล็กอายุเท่าไร แต่พวก
เขารู้เรื่องนี้ดี เพราะมันอาศัยอยู่กับพวกเขาที่ดงอสูร
ตั้งแต่เล็ก จนถึงวันนี้ก็ประมาณ 17 ปีแล้ว จางเซวีย
นพูดได้ถูกเผง
ถ้าไม่รู้มาก่อน จะไม่มีใครคำนวณได้เลยว่าเจ้าเด็ก
ร่างมหึมาตัวนี้มีอายุแค่ 17 ปีเท่านั้น
สำหรับอสูรที่มีช่วงชีวิตถึง 200 ปี เจ้าเขี้ยวเหล็กก็
ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ที่อายุ 7-8 ปี
“ก็มันเป็นอสูร...” บรมครูชิงหยางพึมพำ แต่เขายัง
พูดไม่ทันจบ จางเซวียนก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“อย่ามาบอกผมว่าเพราะสภาพร่างกายของอสูรกับ
ของมนุษย์ไม่เหมือนกัน ก็เลยมีพัฒนาการต่างกัน ถ้าเจ้า
ตัวนี้ทุกข์ทรมานกับความต้องการทางเพศที่มีมากเกินไป
และอยากมีคู่จริงๆล่ะก็ อาการของมันก็จะมีแค่ความรู้สึก
ไม่สบายตัว อารมณ์หงุดหงิด และความรุ่มร้อนภายในที่
มีมากเกินไปก็เท่านั้น ความต้องการทางเพศทำให้อยู่ใน
ภาวะโคม่า... บรมครูชิงหยาง ที่คุณวินิจฉัยออกมาแบ
บนี้ น่ ะ เป็ น เพราะ...คุ ณ มี ป ระสบการณ์ ต รงแบบนั้ น
หรือ?”
จางเซวียนถาม
“จริงด้วย!”
“ต่อให้มันหน้ามืดตามัวขนาดไหน ก็น่าจะมีแค่
อาการไม่สบายตัวเท่านั้น ผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครถึงกับ
เข้าขั้นโคม่าเพราะความอยากใกล้ชิดผู้หญิง!”
ทุกคนชะงักกับคำพูดของจางเซวียน เมื่อพบว่าคำ
อธิบายของเขามีเหตุผลก็พากันพึมพำอย่างเห็นพ้อง
ไม่ว่าจะเป็นอสูรหรือมนุษย์ เมื่อโตเต็มวัย ความ
ต้องการของร่างกายก็จะผลักดันให้อยากมีคู่เป็นธรรมดา
แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ยินว่าจะมีใครสักคนที่ถึงกับเข้าขั้น
โคม่าเพราะหาแฟนไม่ได้
มันไม่สมเหตุสมผลเลย!
“ฮื่อ!”
บรมครู ชิ ง หยางหน้ า แดงก่ ำ ด้ ว ยความหงุ ด หงิ ด
อยากจะเถียงจางเซวียน แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร เขาสะบัด
แขนเสื้ อ และคำราม “ในเมื่ อ คุ ณ บอกว่ า ไม่ ใ ช่ ค วาม
ต้องการทางเพศ แล้วคุณคิดว่าอะไรที่ทำให้มันร้อนรน
แบบนั้น แล้วทำไมในคืนพระจันทร์เต็มดวง มันถึงต้องวิ่ง
พล่านไปมาราวกับจะหาที่ระบายพลังงานของมัน?”
“ไอ้ อ าการร้ อ นรนและมี พ ลั ง งานเกิ น ขนาดตอน
กลางคืนนี่หมายถึงการมองหาคู่หรือ? เหตุผลคืออะไร?”
จางเซวียนส่ายหน้า “ถ้านั่นคือเหตุผล แล้วทำไมมันถึง
ไม่อยากกินอาหาร และไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจของ
มันได้เลยล่ะ?”
บรมครูชิงหยางถึงกับอึ้ง
ต่อให้มันกำลังมองหาคู่ ถึงจะเป็นอสูรที่พูดไม่ได้
แต่ก็มีอีกตั้งหลายวิธีที่มันจะแสดงออกมาให้มนุษย์เข้าใจ
การที่มันปฏิเสธอาหารและไม่สนใจอะไรเลยเป็นเรื่องที่
อธิบายไม่ได้
“จากที่ผู้ช่วยบอก เรารู้ว่าเมื่อ 10 วันก่อนเจ้าเขี้ยว
เหล็กไม่ยอมกินอาหาร เมื่อวันคืนผ่านไป อาการของมันก็
แย่ลงเรื่อยๆ และเช้านี้มันก็ทนไม่ไหวจนถึงกับสลบไป ถ้า
มันกำลังมองหาคู่จริงๆล่ะก็ มันคงบินหนีไปแล้ว ที่ดง
อสูรนี่ไม่ได้ล่ามโซ่มันไว้เสียหน่อย!”
ฝูงชนต่างพยักหน้า
ดงอสูรพยายามพะเน้าพะนอเจ้าเขี้ยวเหล็กทุกวิถี
ทางที่ทำได้ แล้วพวกเขาจะล่ามมันได้อย่างไร?
ถ้ามันร่ำร้องอยากมีคู่จริงๆ มันก็บินออกไปหาด้วย
ตัวเองได้ ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องทรมานสังขารอยู่ใน
สวนจนถึงกับต้องสลบเหมือด
เมื่อฟังการวิเคราะห์ของจางเซวียน ทุกคนก็เริ่ม
สงสัยในการวินิจฉัยของบรมครูชิงหยาง ต่างหันไปมอง
เขาด้วยสีหน้าประหลาด
“ถ้าอย่างนั้น...คุณคิดว่าคืออะไร?”
บรมครูชิงหยางถึงกับหน้าซีด เขาเพิ่งรู้ตัวว่าได้
ละเลยรายละเอียดไปหลายเรื่อง และมาถึงตอนนี้ความ
โกรธเกรี้ยวก็หมดสิ้นไปแล้ว เขาแทบจะยืนไม่อยู่
“ในเมื่ อ มั น ไม่ ไ ด้ ก ำลั ง มองหาคู่ คำตอบก็ ง่ า ย
มาก...อสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอาจกำลังป่วยหนักจริงๆ
หรือไม่ก็กำลังเผชิญกับปัญหาอื่น!” จางเซวียนสำรวจ
ใบหน้าของฝูงชน “ทุกคนช่วยดูที่กรงเล็บของมันด้วย!”
“กรงเล็บของมันต่างจากกรงเล็บของอสูรประเภท
นกอิ น ทรี โดยจะมี ชั้ น ผิ ว หนั ง ที่ ห นากว่ า ปกคลุ ม อยู่
ลักษณะคล้ายกับเท้าของมนุษย์ ในสภาวะปกติ กรงเล็บ
จะมีสีทองอมเขียว แต่ตอนนี้ สามารถมองเห็นเส้นเลือดที่
อยู่ใต้ชั้นผิวหนังได้ชัดเจน”
ทุกคนหันไปมองกรงเล็บของเจ้าเขี้ยวเหล็ก เมื่อดู
ใกล้ๆ ก็เห็นว่ามีเส้นเลือดอยู่จริงๆ เส้นเลือดนั้นมีขนาด
เล็กมาก เทียบได้กับเส้นเลือดฝอยในร่างกายของมนุษย์
ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะมองข้ามไปได้ง่าย
“อสูรส่วนมากจะมีกระหม่อม ซึ่งเจ้าตัวนี้ก็ไม่ใช่ข้อ
ยกเว้น ในสภาวะปกติ ผิวหนังบริเวณกระหม่อมจะมีสี
แดงเรื่อๆ แต่ตอนนี้มันซีดมาก ถึงไม่เด่นชัดนัก แต่ก็ยัง
มองเห็นได้”
จางเซวียนพูด
ทุกคนรีบมอง มันเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ
“แล้วมันป่วยเป็นอะไร?”
การที่จางเซวียนสามารถชี้ให้เห็นหลายอาการที่ไม่
โดดเด่นของเจ้าเขี้ยวเหล็กได้ ทำให้ฝูงชนเริ่มจะเชื่อคำ
วินิจฉัยของเขา หัวหน้าเฟิงถึงกับอดใจไม่ไหว ต้องถาม
ออกมา
“ดูแล้วมันไม่น่าใช่อาการป่วย อันที่จริง ผมต้อง
แสดงความยินดีกับหัวหน้าเฟิงมากกว่า”
จางเซวียนยิ้ม
“แสดงความยินดี? คุณจะแสดงความยินดีกับผม
ทำไม?”
หัวหน้าเฟิงชะงัก
อสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้ายังอยู่ในภาวะโคม่า ยังไม่รู้จะ
เป็นหรือตาย ในเมื่อคุณรู้สาเหตุ คุณก็ควรจะรู้วิธีแก้ไข
ด้วย ไอ้การแสดงความยินดีนี่ควรจะทำหลังจากที่เจ้า
เขี้ยวเหล็กฟื้นตัวจากภาวะโคม่าแล้วต่างหาก จะมาพูด
อะไรกันตอนนี้เล่า?
“ถ้าผมคิดไม่ผิด เจ้าเขี้ยวเหล็กกำลังมีวิวัฒนาการ
ของสายเลือด!” จางเซวียนพูด
“วิ วั ฒ นาการของสายเลื อ ด? จะ...จะเป็ น ไปได้
อย่างไร?”
หัวหน้าเฟิงอึ้งไป คนที่ฟังอยู่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่จางเซวีย
นพูดไม่น่าเป็นไปได้
การที่อสูรมีวิวัฒนาการของสายเลือดก็เทียบเท่ากับ
การกลายพันธุ์ มันพบได้น้อยมาก อีกอย่าง ถ้าปราศจาก
การกระตุ้น ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
การกระตุ้นนั้นอาจเป็นการได้รับเลือดบริสุทธิ์ หรือ
การกินสมุนไพรล้ำค่าเข้าไป
ซึ่งเจ้าเขี้ยวเหล็กก็ไม่ได้ทำทั้ง 2 อย่าง
อีกอย่าง วิวัฒนาการของสายเลือดก็ไม่น่าจะเป็น
สาเหตุให้เจ้าเขี้ยวเหล็กต้องอยู่ในภาวะโคม่า และดูป่วย
หนักจนหมดสภาพขนาดนี้
เห็นสายตาไม่เชื่อของทุกคน จางเซวียนหัวเราะหึๆ
และหันไปทางหัวหน้าเฟิง “เมื่อครึ่งเดือนก่อน เจ้าเขี้ยว
เหล็กเหินฟ้าตัวนี้ได้เดินทางไปยังสถานที่ที่มีปราณหยิน
เข้มข้นหรือเปล่า?”
“เอ่อ... เมื่อครึ่งเดือนก่อน มันพาผู้โดยสารไปส่งที่
หุบเขาพายุหยิน!” คนตอบคือนักฝึกอสูรหวัง
เขาเป็นคนคุมมันไปที่นั่นเอง จึงจดจำรายละเอียด
ได้ดี
“หุบเขาพายุหยินเป็นสถานที่ที่มีปราณหยินเข้มข้น
ซึ่งพลังอันเข้มข้นนี้ทำให้มีผลไม้ที่เรียกว่า ‘ลูกพายุหยิน’
เติบโตขึ้นที่นั่น มันมีคุณสมบัติในการยกระดับวรยุทธให้
กับผู้ที่มีสภาพร่างกายสอดคล้องกับพลังหยิน ถ้าผมพูด
ไม่ผิด ผู้โดยสารคนนั้นคงจะมอบผลไม้ชนิดนี้ให้เป็นค่า
โดยสาร!” จางเซวียนพูด
“ใช่!” นักฝึกอสูรหวังพยักหน้า
ผู้ โ ดยสารอาจจ่ า ยค่ า โดยสารสั ต ว์ พ าหนะเป็ น
เหรียญทองหรือสมุนไพรหายากก็ได้
ลูกพายุหยินเป็นสินค้าที่รู้จักกันแพร่หลายและมีค่า
มาก ในท้องตลาดก็แทบจะหาไม่ได้ ต่อให้มีเงินก็ไม่แน่ว่า
จะซื้อได้หรือเปล่า ดังนั้นนักฝึกอสูรหวังจึงรับมันไว้แทน
ค่าโดยสาร
“ต้นเหตุก็คือลูกพายุหยินนี่แหละ!”
จางเซวียนยิ้ม “ทุกคนคงรู้ว่าเจ้าเขี้ยวเหล็กเป็น
ตัวผู้ มันจึงมีพลังหยางอยู่ในร่างกายอย่างล้นเหลือ ดัง
นั้น เมื่อกินลูกพายุหยินเข้าไป พลังหยินกับหยางจึงตีกัน
ซึ่งอย่างแย่ที่สุดก็แค่ทำให้มันมีอาการไม่สบายตัว แต่
ด้วยรูปร่างอันใหญ่โตของมัน จึงต้องใช้เวลาสักระยะกว่า
ทุกอย่างจะเข้าที่ แต่ประเด็นอยู่ตรงนี้ คุณให้มันกินน้ำชุบ
วิญญาณ”
“น้ำชุบวิญญาณมีฤทธิ์ช่วยสงบใจ ลดความตื่นเต้น
ร้อนรน และเรียกพลังจิตวิญญาณให้กลับคืนมา ซึ่งส่วน
ผสมหลักของมันคือหญ้าชูกำลัง”
“มันเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นกลางซึ่งช่วยในการ
ทำสมาธิ ถ้าจะว่ากันตามหลักเหตุผล ต่อให้กินมากแค่
ไหนก็ไม่ส่งผลเท่าไรนัก แต่มันเป็นเรื่องขึ้นมาเพราะ
คุ ณ สมบั ติ ข องสมุ น ไพรนี้ เ ข้ า ไปตี กั บ ธรรมชาติ ข องลู ก
พายุหยิน เมื่อมันทำปฏิกิริยากัน พลังหยินที่อยู่ในลูกพายุ
หยินก็เพิ่มความเข้มข้นขึ้นอีกมากกว่า 3 เท่า สิ่งที่เกิดขึ้น
เป็ น ปฏิ กิ ริ ย าในแบบเดี ย วกั บ ที่ ใ ช้ ใ นการปรุ ง ยาปลด
ปล่อยพลังหยาง มันมีฤทธิ์รุนแรงในการปลุกพลังหยางที่
อยู่ในร่างกายให้ตื่นขึ้นมา”
จางเซวียนพูดต่อ “เมื่อพลังหยางที่อยู่ในร่างของ
เจ้าเขี้ยวเหล็กถูกกระตุ้น มันจึงมีพลังงานเหลือเฟือและ
นอนไม่หลับในตอนกลางคืน คล้ายอาการหมกมุ่นกับ
ความต้องการทางเพศ!”
“ถ้าเรื่องมีอยู่แค่นั้น เมื่อพลังหยินกับหยางในตัว
ของมันปรับระดับให้สมดุลกันได้ ปัญหาก็จบ แต่เรื่อง
ของเรื่องก็คือหัวหน้าเฟิงให้คนป้อนยาระบายความร้อน
ให้มันถึง 2 เม็ด”
จางเซวียนส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ "ยาระบาย
ความร้อนมีส่วนผสมของหญ้าขั้วโลก ซึ่งหญ้าขั้วโลกจะ
มีฤทธิ์กำจัดความรุ่มร้อนของพลังหยางออกจากร่างกาย
พลั ง หยางที่ ถู ก กระตุ้ น ไว้ แ ล้ ว ในตั ว ของเจ้ า เขี้ ย ว
เหล็กจึงได้รับผลกระทบ เมื่อมันกินยานี้เข้าไปรวดเดียว
2 เม็ด ก็ไม่ต่างอะไรกับการโยนก้อนน้ำแข็งเข้าไปในกอง
ไฟที่กำลังลุกโพลง เมื่อความร้อนจัดและเย็นจัดปะทะกัน
ในตัวมัน แค่นี้ก็โชคดีเหลือหลายแล้วที่มันไม่ตายไปเสีย
ตั้งแต่ตอนนั้น!"
ถ้าจะพูดกันตามตรง เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าก็แสนจะ
น่าสงสาร อันที่จริงมันสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายของ
มั น ไ ด้ ห า ก ไ ด้ พั ก สั ก ส อ ง ส า ม วั น แ ต่ ด้ ว ย ก า ร
ประคบประหงมเอาใจใส่ของคนรอบตัวต่างหากที่ทำให้
มันแทบจะตายจริงๆ
สรุปก็คือ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นการรักษามัน กลับ
เป็นการฆ่ามันเสียมากกว่า!
หัวหน้าเฟิงกับนักฝึกอสูรคนอื่นๆถึงกับหน้าหมอง
ไป
พวกเขาไม่นึกเลยว่าอาการป่วยของเจ้าเขี้ยวเหล็ก
เหินฟ้ามาจากการที่พวกเขา...ให้มันกินยาผิด!
"ลองนึกทบทวนดู หลังจากที่กินยาแล้ว อาการของ
เจ้าเขี้ยวเหล็กก็ค่อยๆแย่ลงใช่ไหม? จางเซวียนถาม
“ใช่...” เมื่อนึกถึงคำพูดของผู้ช่วยนักฝึกอสูร ทุก
คนก็ได้แต่พยักหน้า
มันเป็นไปตามนั้นจริงๆ
ไม่มีใครคิดว่าการให้มันกินยาทั่วๆไปจะก่อให้เกิด
ผลข้างเคียงร้ายแรงขนาดนี้
“ในเวลานี้ พลังหยางกับพลังหยินในร่างกายของ
มันยังปะทะกันอยู่ ถ้าคุณจับมันทำหมัน พลังหยางก็จะ
เหือดแห้งไป และพลังหยินก็จะเพิ่มปริมาณขึ้นจนล้น ไม่
ถึงสองชั่วโมงหรอก มันหมดลมหายใจแน่!”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จางเซวียนหันไปมองบรมครูชิง
หยาง “นั่นคือเหตุผลที่ผมพูดว่าคุณเป็นหมองี่เง่า ถ้า
ทำการรักษาตามที่คุณบอกล่ะก็ ไม่เพียงแต่เจ้าเขี้ยว
เหล็กจะไม่ปลอดภัย แต่ตอนนี้มันคงเป็นศพไปแล้ว”
บรมครูชิงหยางถึงกับตัวเย็น ในฐานะนายแพทย์
ระดับ 2 ดาว เขามีความรู้อย่างลึกซึ้งในเรื่องการรักษา
โรค แต่ข้อสรุปของอีกฝ่ายก็สมเหตุสมผลและมีข้อเท็จ
จริ ง รองรั บ จนเขาไม่ อ าจหาข้ อ บกพร่ อ งได้ ทุ ก อย่ า ง
ชัดเจนราวกับอีกฝ่ายได้เห็นทุกเหตุการณ์ด้วยตาของตัว
เอง และเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากชื่นชมในความ
สามารถของฝ่ายนั้น ถึงเขาจะอยากพูดอะไรที่เป็นการโต้
แย้งเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตัวเองบ้าง แต่ก็ไม่รู้จะพูด
อะไร
“แล้ ว วิ วั ฒ นาการของสายเลื อ ดที่ คุ ณ เพิ่ ง พู ด ถึ ง
ล่ะ?”
เกรงว่าบรมครูชิงหยางจะตกที่นั่งลำบาก หัวหน้า
เฟิงรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อแก้ไขสถานการณ์
“เมื่ อ พลั ง หยางในร่ า งกายถู ก กระตุ้ น ก็ จ ะเกิ ด
วิวัฒนาการของสายเลือดขึ้นมา ซึ่งหากไม่สามารถปรับ
ระดับของพลังหยินกับหยางให้สมดุลได้ มันก็จะตาย พูด
ให้ง่ายคือ หากเจ้าเขี้ยวเหล็กเอาชีวิตรอดจากความ
ทรมานครั้งนี้ได้ ระดับวรยุทธของมันจะต้องเพิ่มสูงขึ้น
อย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็รอความตายได้
เลย”
“แล้ว...มีทางช่วยมันหรือไม่?” หัวหน้าเฟิงถาม
อย่างกังวล
“แน่นอนว่ามี แต่...ผมต้องการความช่วยเหลือจาก
นักปรุงยา” จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“คุณโม่เป็นนักปรุงยา เธอช่วยคุณได้” หยวิ๋นเทา
รีบบอก
ทุกคนหันขวับไปหาโม่หยู่
“ฉันเต็มใจช่วย แล้วต้องทำอะไรบ้าง?” โม่หยู่เอา
สองมือไพล่หลังอย่างมั่นใจ
ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าผู้ชายคนนี้ แต่เธอก็อยากช่วย
ชีวิตเจ้าเขี้ยวเหล็ก
อีกอย่าง ถึงเธอจะน้อยหน้าเขามาตลอด แต่ครั้งนี้ก็
เป็นโอกาสให้เธอได้แสดงความสามารถในฐานะนักปรุง
ยา และลบล้างความอับอายที่ผ่านๆมาได้
คุณเป็นทั้งนักฝึกอสูร ศิษย์พี่ของสามปรมาจารย์
และนายแพทย์ผู้เก่งกาจไม่ใช่หรือ?
สำหรับเรื่องพวกนั้น ฉันอาจเทียบกับคุณไม่ได้ แต่
อย่างน้อยที่สุด ฉันก็ปรุงยาเป็น!
อย่างน้อยที่สุด ฉันก็เป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาว!
ดังนั้น เธอจึงก้าวออกมาจากฝูงชนอย่างมั่นใจและ
ถามอี ก ฝ่ า ยว่ า ต้ อ งทำอะไรบ้ า ง แต่ ก ลั บ ต้ อ งเจอการ
ขมวดคิ้วและตั้งคำถาม
“คุณ...คุณปรุงยาเป็นไหม?”
“คุณ...”
โม่หยู่ชะงัก ได้ยินแบบนั้นก็แทบจะปรี๊ดแตก
จะพูดอะไรดีๆบ้างไม่ได้หรือ?
ฉันเป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาวนะ ฉันต้องปรุงยา
เป็นอยู่แล้ว!
มี ใ ครที่ ไ หนได้ เ ป็ น นั ก ปรุ ง ยาทั้ ง ๆที่ ป รุ ง ยาไม่ เ ป็ น
บ้าง?
ถึงเธอจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้พูดอะไรดีๆไม่เป็นเลย แต่ก็
ไม่คิดว่าจะน่าเกลียดน่าชังถึงขนาดนี้
โม่หยู่กัดฟันกรอด เธอหายใจถี่กระชั้นจนหน้าอก
กระเพื่อม “คุณเคยเห็นนักปรุงยาที่ปรุงยาไม่เป็นด้วย
หรือ?”
“เคย...” จางเซวียนพยักหน้า “ผมแค่กลัวว่าคุณ
จะผ่ า นการทดสอบเป็ น นั ก ปรุ ง ยาโดยผ่ า นวิ ว าทะยา
เท่านั้นแหละ ถ้าเป็นแบบนั้น คุณก็อาจจะปรุงยาไม่
เป็น...”
“วิวาทะยา? มีแต่คนที่มีความเชี่ยวชาญอย่างสูงใน
เรื่องยาเท่านั้นถึงจะผ่านการทดสอบแบบนั้นได้!”
มี ค วามชื่ น ชมอย่ า งท่ ว มท้ น ในดวงตาของโม่ ห ยู่
“ศิ ษ ย์ พี่ ทุ ก คนที่ ผ่ า นวิ ว าทะยาล้ ว นแต่ มี ค วามปราด
เปรื่องอย่างน่าทึ่ง แล้วคุณจะมาบอกว่าพวกเขาปรุงยา
ไม่เป็นหรือ? ตลกเป็นบ้า! ถ้าคุณไปพูดจาแบบนี้ใน
สมาคมนักปรุงยา คุณถูกตีตายแน่...”
ยังไม่ทันพูดจบ ชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้าเธอก็หยิบ
ตราสัญลักษณ์ของนักปรุงยาออกมาติดบนเสื้อของเขา
อย่างเงียบๆ เขาเกาหัวขณะที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ผมคือศิษย์พี่ชนิดที่คุณกำลังพูดถึงนั่นแหละ และ
ผมก็ปรุงยาไม่เป็น...”
ตอนที่ 258 คําชี้แนะเรื่องการปรุงยา

ครั้งนี้โม่หยู่สะอื้นออกมาจริงๆ
ทั้งตราสัญลักษณ์ของนักปรุงยา ทั้งพูดว่าคุณผ่าน
การทดสอบด้วยวิวาทะยา...
นี่เรากำลังสู้กับใครอยู่?
คุณจะปล่อยให้ฉันมีโอกาสแสดงความสามารถสัก
นิดไม่ได้หรือ?
“วิวาทะยา? มันคืออะไร?”
“มันคือการทดสอบที่ผู้เข้าสอบเป็นคนยื่นคำท้าต่อ
นักปรุงยาอย่างเป็นทางการจำนวน 10 คน และต้องทำ
ทุกวิถีทางให้พวกเขายอมแพ้ ฉันรู้มาว่าการสอบวิธีนี้
โหดหินมาก และคนที่ประสบความสำเร็จก็มีไม่ถึง 1%”
“การทดสอบที่มีอัตราผู้ประสบความสำเร็จไม่ถึง
1%?”
.....
นักฝึกอสูรส่วนมากที่อยู่ตรงนี้ไม่มีความรู้เรื่องการ
เป็นนักปรุงยา เมื่อได้ยินคำอธิบายจึงพากันงงงัน
จะต้องเก่งกาจน่าทึ่งขนาดไหนถึงจะสามารถบีบให้
นักปรุงยาถึง 10 คนยอมแพ้ได้?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หยวิ๋นเทาคิดเสมอว่าตัวเขา
เป็นอัจฉริยะ แต่เมื่อผ่านมาหลายเหตุการณ์ ในที่สุดเขาก็
เข้าใจว่าความปราดเปรื่องของเขาเทียบกับผู้อาวุโส
จางเซวียนคนนี้ไม่ได้เลย
ทั้ ง ค่ า ยกล การฝึ ก อสู ร ทั ก ษะการรั ก ษาโรค
ปรมาจารย์ การปรุงยา...
พี่ชาย ในโลกนี้มีอะไรบ้างที่คุณไม่เก่ง
ผมจะได้ไปเรียนรู้มันเสียตอนนี้...
ลืมซะเถอะ ผมคิดว่าไม่ถามคุณจะดีกว่า ทุกครั้งที่
ถามอะไรขึ้นมาสักเรื่อง คุณก็เอาแต่บอกว่าไม่รู้เรื่องเลย
ผมคงปัญญาอ่อนแน่ถ้าถือเอาคำพูดของคุณเป็นจริงเป็น
จัง ดูทรงที่ผ่านๆมาแล้ว กลัวว่าขืนพูดมากไปจะโดนตบ
เปรี้ยงจนลุกไม่ขึ้น...
อีกอย่าง เมื่อเห็นคุณโม่...
ขนาดหยวิ๋นเทาก็ยังอดสงสารโม่หยู่ไม่ได้ ถ้าจะว่า
กันตามตรง ผู้ชายคนนี้คือปีศาจ พวกเราอย่าเอาตัวเอง
ไปเปรียบเทียบกับเขาจะดีกว่า
“ในเมื่อคุณบอกว่าปรุงยาเป็น คุณก็คงจะมีหม้อต้ม
ยาหรืออะไรทำนองนั้นอยู่กับตัวใช่ไหม?”
จางเซวียนไม่ใส่ใจอาการช็อกของคนอื่นๆ เขาหัน
ไปทางโม่หยู่
“ใช่สิ!”
โม่หยู่คำรามลอดไรฟัน เธอข่มความโมโหเดือดเอา
ไว้
“ดี!” จางเซวียนพยักหน้า เขาหันไปทางบรรดานัก
ฝึกอสูรและพูดว่า “หัวหน้าเฟิง ผมต้องการสมุนไพรที่มี
ฤทธิ์เป็นยาตามนี้นะ หญ้าตะวันรอนอายุ 30 ปี 1 ต้น,
หญ้าเปลวแดดอายุ 15 ปีจำนวน 1 ตำลึง...”
ในอึดใจเดียว เขาก็ร่ายยาวถึงรายชื่อสมุนไพรที่
ต้องการใช้ออกมาเป็นตับ
เมื่อได้ยินรายชื่อสมุนไพรเหล่านั้น โม่หยู่ถึงกับอึ้งไป
เธอหรี่ตาและเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “คุณ...คงไม่ใช่ว่า
คุณต้องการให้ฉันหลอม...ยาเม็ดตะวันรอนนะ?”
“ใช่เลย!” จางเซวียนพยักหน้าราวกับมันเป็นเรื่อง
ธรรมดาสามัญที่สุด
“คุณล้อเล่นหรือเปล่า? ยาเม็ดตะวันรอนเป็นยา
เกรด 2 แต่ฉันเป็นแค่นักปรุงยาระดับ 1 ดาวเท่านั้น จะ
ทำได้อย่างไรกัน?”
โม่หยู่ตัวสั่นและแทบลมจับ
หมอนี่ต้องเพี้ยนแน่ๆ?
ด้วยสมุนไพรที่มีฤทธิ์หยางถึง 9 อย่าง ยาเม็ดตะวัน
รอนจึงมีพลังหยางเต็มเปี่ยม มันเป็นยาเกรด 2 ที่แม้แต่
นักปรุงยาระดับ 3 ดาวก็ยังหลอมให้สำเร็จได้ยาก แต่จาง
เซวียนกำลังพยายามจะให้นักปรุงยาระดับ 1 ดาวอย่าง
เธอหลอมมัน...
แน่ใจนะว่าไม่ได้เข้าใจอะไรผิด?
“วางใจเถอะ ผมจะชี้แนะคุณเอง แค่คุณรู้จักวิธีใช้
หม้อต้มยาและควบคุมอุณหภูมิของเปลวไฟเป็นก็พอแล้ว
มันง่ายมาก บอกเลย!”
จางเซวียนพูดอย่างสุขุม
“ใช้หม้อต้มยา? ควบคุมอุณหภูมิของเปลวไฟ? ง่าย
มาก?”
โม่หยู่ภาวนาให้ตัวเองไม่ได้ยินคำอธิบายของเขา
เพราะเมื่อได้ยินแล้ว เธอรู้สึกเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของ
ความมีเหตุผลของเธอกำลังจะขาด
พี่ชาย คุณเป็นนักปรุงยาจริงๆหรือเปล่า?
ขนาดผู้ช่วยก็ยังมีความรู้พื้นฐานพวกนี้ ถ้าการปรุง
ยามันง่ายแบบนั้น ทุกคนก็คงเป็นบรมครูด้านการปรุงยา
กันหมดแล้ว!
การปรุ ง ยาไม่ ใ ช่ ก ระบวนการพื้ น ๆแบบหนึ่ ง บวก
หนึ่งเป็นสอง ที่สำคัญกว่านั้นคือผู้หลอมจะต้องควบคุม
ทั้งอุณหภูมิและระยะเวลาที่ใช้ในการปรุงยาให้ได้ถูกต้อง
เป๊ะๆ เธอเพิ่งจะได้เป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาวในปีนี้เอง
และหากเป็นยาเกรด 1 ในระดับที่ยากขึ้นมาหน่อย เธอก็
ยังหลอมไม่ได้ แต่จางเซวียนกำลังพยายามจะให้เธอปรุง
ยาเกรด 2...
อีกอย่าง การปรุงยาเป็นกระบวนการที่ผู้หลอมจะ
ต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด เพื่อให้ตัดสินใจได้ว่าขั้นตอน
ต่อไปจะต้องทำอย่างไร หากไม่ได้เข้ามาหลอมด้วยตัว
เอง...เขาจะชี้แนะเธอแบบไหนกัน?
หมอนี่เอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน?
“เอาเถอะ ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ ผมหาผู้
ช่วยคนอื่นก็ได้ ในดงอสูรนี่หานักปรุงยาระดับ 1 ดาว
คงจะยากหน่อย แต่คงจะพอมีผู้ช่วยนักปรุงยาอยู่สักสอง
สามคน!” เห็นเธอไม่พอใจ จางเซวียนขมวดคิ้ว
แม่สาวคนนี้คงมีอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ดังใจ แล้วเป็น
อะไรนักหนาถึงจะต้องออกอาการกับทุกเรื่องที่เราพูด?
ก็บอกแล้วว่าจะชี้แนะให้ ก็พ่นอะไรไร้สาระอยู่นั่น
ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ เราหาคนอื่นก็ได้
“ไม่ต้องหรอก ฉันทำเอง!”
เห็นสายตาวางท่าของอีกฝ่าย โม่หยู่รู้สึกเหมือน
หัวใจของเธอถูกแมวนับหมื่นตัวข่วนยับ สุดจะทนทาน
อีกต่อไปกับการถูกหยามศักดิ์ศรี เธอจึงกัดฟันตอบรับ
ภารกิจนั้น
เธอเป็นอัจฉริยะแถวหน้าในทุกสาขาวิชา เหนือกว่า
ใครๆทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหวู่ นึกไม่ถึงว่าจะถูกไอ้บ้าน
นอกจากดินแดนไกลปืนเที่ยงหยามหน้าเอาแบบนี้
บ้าที่สุด!
ได้สิ อยากทำตัวเหนือชั้นนักใช่ไหม? แล้วจะรอดูว่า
คุณจะทำอย่างไรตอนที่ฉันปรุงยาเกรด 2 ไม่สำเร็จ!
“อือ ทำตามขั้นตอนของผมอย่างเคร่งครัดก็แล้วกัน
ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้นะ” กลัวว่าอีกฝ่ายจะ
สร้างปัญหาขึ้นมาอีก จางเซวียนย้ำ
“ไม่ต้องห่วงน่ะ!”
โม่หยู่ตอบอย่างดื้อรั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี!”
จางเซวียนพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก
รู้ว่าเรื่องนี้เป็นภารกิจเร่งด่วน หัวหน้าเฟิงจึงไม่
ชักช้า ไม่นาน สมุนไพรทั้งหมดที่จางเซวียนต้องการก็มา
อยู่ตรงหน้า
แม้ที่นี่จะไม่ใช่สมาคมนักปรุงยา แต่พวกอสูรก็ชอบ
กินสมุนไพร ทางดงอสูรจึงมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่พอ
สมควร
“เริ่มกันเถอะ!”
เมื่อสมุนไพรมาถึง จางเซวียนก็ตรวจสอบอย่าง
ถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันแก่พอที่จะใช้ปรุงยา เมื่อ
ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เขาพยักหน้าอย่างพอใจ
ในบรรดาอาชีพทั้งหมด สิ่งที่จางเซวียนคุ้นเคยด้วย
มากที่สุดก็คือการปรุงยา เพราะนอกจากการทดสอบเป็น
นักปรุงยาจะเป็นการทดสอบแรกที่เขาได้เข้าร่วมแล้ว ที่
สำคัญกว่านั้นก็คือ ด้วยอานุภาพของหนังสือสีทอง เขา
ได้ซึมซับเอาความรู้จากหนังสือที่เขาพลิกดูในสมาคมนัก
ปรุงยาเข้าสู่สมองของตัวเองไปแล้ว
ในเรื่องความรู้พื้นฐาน ต่อให้นักปรุงยาระดับ 2
ดาวหรือ 3 ดาวก็ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้
“อือ!”
ถึงจะยังอึดอัดขัดใจอยู่ แต่โม่หยู่ก็ไม่ยอมเสียเวลา
ด้วยการสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง หม้อต้มยาขนาดใหญ่ก็
ปรากฏอยู่ตรงหน้า เธอจุดไฟและอุ่นหม้อต้มยาทันที
ท่วงท่าลื่นไหลของเธอแสดงถึงพื้นความรู้แน่นหนาของ
การเป็นนักปรุงยา
ถึงโม่หยู่จะมั่นใจเต็มร้อยว่าตัวเองไม่มีทางปรุงยา
เกรด 2 ได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายแน่ใจขนาดนั้น เธอจึงตัดสิน
ใจจะลองดู อีกอย่าง หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ค่อย
เยาะเย้ยเขาตอนนั้นก็ยังไม่สาย
“ไม่เลว!”
เห็นท่วงท่าลื่นไหลของเธอ จางเซวียนพยักหน้า
สมกับที่เป็นอัจฉริยะจากอาณาจักรเทียนหวู่ ถึงโม่ห
ยู่จะยังเด็กและแทบจะไม่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวเอาเสียเลย แต่
ทักษะการปรุงยาของเธอก็ดีกว่าไป๋หมิง เฉินเสี่ยว และ
คนอื่นๆอีกมาก
จางเซวียนเดินไปที่หม้อต้มยาและแตะมัน
จากนั้นก็ยืนนิ่ง ไม่พูดสักคำ
“คุณคิดว่า...เขาจะทำสำเร็จไหม?”
เมื่อเห็นทั้งคู่ นักฝึกอสูรลู่ก็อดกังวลไม่ได้
“ผมก็ ไ ม่ รู้ แต่ ถ้ า มี ใ ครบอกคุ ณ ว่ า มี ค นๆหนึ่ ง
สามารถฝึกอสูรให้เชื่องได้ด้วยการอัดมันให้น่วม และได้
ระดับความภักดีถึง 45 คุณจะเชื่อไหมล่ะ?” หัวหน้าเฟิง
ถามอย่างขมขื่น
“เอ่อ...ผมก็คงไม่เชื่อหรอก” นักฝึกอสูรลู่ตอบอ้ำอึ้ง
ถ้ า มี ใ ครมาเล่ า ให้ ฟั ง ก่ อ นที่ เ ขาจะได้ เ ห็ น เรื่ อ งน่ า
อัศจรรย์ในวันนี้กับตา เขาคงจัดการเจ้านั่นถึงตายแน่
ฝึกอสูรให้เชื่องได้ด้วยการอัดมันให้น่วม แถมเจ้าตัว
นั้นยังมีระดับความภักดีถึง 45...มันน่าขำไหมล่ะ?
แต่หลังจากที่ได้เห็นกับตาในวันนี้ ก็ไม่มีทางที่เขา
จะปฏิเสธได้ ถึงอยากจะปฏิเสธก็เถอะ
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนตัวสร้างปาฏิหาริย์
ใช้ทุกการกระทำของตัวเองเปลี่ยนแปลงความเข้าใจที่ทุก
คนมีต่อโลกไปเสียหมด
“ครั้งหนึ่ง ผมมีโอกาสได้เห็นปรมาจารย์ระดับ 3
ดาว ให้คำชี้แนะผู้ช่วยนักปรุงยาในอาณาจักรอันทรง
เกียรติ ภารกิจนั้นสร้างความอัศจรรย์ใจให้กับทุกคนที่ได้
เห็น ไม่นึกเลยว่าจะได้มีโอกาสเห็นเรื่องแบบนั้นด้วยตา
ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง!”
นัยน์ตาของนักฝึกอสูรหวังเป็นประกายขณะที่เขา
พึมพำกับตัวเอง
“ผมก็รู้เรื่องนั้นเหมือนกัน แต่การปรุงยาในวันนั้น
เป็นแค่ยาเกรด 1 ส่วนยาที่นักฝึกอสูรจางกำลังจะชี้แนะ
ให้องค์หญิงโม่หยู่หลอมในวันนี้เป็นยาเกรด 2 ขั้นสูงสุด
มันยากกว่ากัน 1 ขั้นเต็มๆเลย”
“จริงด้วย ยาเกรดสูงขึ้นก็มีความยากในการหลอม
เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก ถ้านักปรุงยาระดับ 1 ดาวขั้นต้นคิด
จะปรุงยาเกรด 2 ขั้นสูงสุดแล้วล่ะก็ ต้องมีโลกตะลึงกัน
บ้างแหละ!”
หัวหน้าเฟิงกับนักฝึกอสูรลู่พยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
“ดูนั่น การปรุงยากำลังจะเริ่มแล้ว!”
ฟู่ ฟู่!
เปลวไฟใต้หม้อต้มยาโบกสะบัดอย่างโกรธเกรี้ยว ดู
ราวกับผีเสื้อปราดเปรียวที่กำลังบินตอมมวลดอกไม้ มือ
เรียวงามของโม่หยู่เคลื่อนไหวอย่างว่องไวอยู่เหนือหม้อ
ต้มยา มันรวดเร็วจนเห็นภาพติดตาอยู่ชั่วขณะ
“ใส่ใบคุดสุเขียวลงไป, หลังจากนั้น 7 อึดใจ ใส่
หญ้าเคราขาว, อีก 14 อึดใจต่อมา ใช้กระบวนท่าพัน
ภาพมายาฝ่ า มื อ เมฆสะท้ า นเพื่ อ ใส่ ห ญ้ า ตะวั น รอนลง
ไป...”
จางเซวียนยืนมือไพล่หลัง น้ำเสียงของเขาสงบและ
เรียบลื่น ไม่มีความลังเลหรือการหยุดชะงักแม้แต่น้อย
แม้จะเป็นที่รู้กันว่าการปรุงยาเม็ดตะวันรอนจะต้อง
ใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์หยางถึง 9 ชนิด แต่ก็ยังมีสมุนไพรอื่น
อีกหลายชนิดที่ต้องใส่ลงไปเพื่อเป็นตัวประสาน
เพราะไม่อย่างนั้น ก็คงจะเป็นปาฏิหาริย์ทีเดียวหาก
มีสมุนไพรที่มีฤทธิ์หยางมากมายขนาดนั้นอยู่ในหม้อ แล้ว
หม้อไม่ระเบิดไปเสียก่อน
“ฮึ?”
ในตอนแรก โม่หยู่ไม่คิดว่าการทำตามขั้นตอนที่อีก
ฝ่ายชี้แนะจะทำให้เธอปรุงยาเกรด 2 ขั้นสูงสุดได้สำเร็จ
แต่ เ มื่ อ สมุ น ไพรเริ่ ม เป็ น รู ป เป็ น ร่ า งอยู่ ใ นหม้ อ ความ
รั ง เกี ย จเหยี ย ดหยามในใจของเธอก็ ส ลายไปที ล ะน้ อ ย
สีหน้าของเธอเคร่งเครียดกว่าเดิม และอดที่จะอัศจรรย์ใจ
ในความสามารถของจางเซวียนไม่ได้
เธอเคยเห็นสูตรการปรุงยาเม็ดตะวันรอนมาแล้ว
สมุนไพร 9 ชนิดที่ใช้นั้นเหมือนกับระเบิด 9 ลูก ถึงจะมี
สมุนไพรชนิดอื่นมาเป็นตัวประสาน แต่ถ้าผู้หลอมไม่
สามารถควบคุมระยะเวลาได้อย่างแม่นยำก็จะเกิดการ
ระเบิดขึ้นทันที มีนักปรุงยาระดับ 2 ดาวหลายคนที่ปรุง
ยาชนิดนี้ไม่สำเร็จเพียงเพราะเหลื่อมเวลาไปแค่เล็กน้อย
เธอปรุงยามาได้เกินครึ่งทางแล้ว ใส่สมุนไพรที่มี
ฤทธิ์หยางไปแล้วถึง 5 ชนิด แต่หม้อต้มยาก็ยังทำงานได้
เป็นปกติ ไม่มีสัญญาณของปัญหาใดๆ
พู ด ได้ ว่ า ลำดั บ ขั้ น และระยะเวลาของการใส่
สมุนไพรนั้นถูกต้องสมบูรณ์แบบ
ว่าแต่...มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!
ทุกคนควรจะรู้ว่า ทั้งความแตกต่างของระดับวร
ยุทธ พลังปราณ หม้อต้มยาที่ใช้ และเชื้อเพลิงล้วนส่งผล
ให้กระบวนการปรุงยามีความแตกต่างกันมาก ดังนั้น ใน
ระหว่างการปรุงยา ผู้หลอมจึงต้องทำทุกขั้นตอนอย่างต่อ
เนื่องโดยไม่มีการหยุดพัก
อันที่จริง ต่อให้เป็นคนๆเดียวกันที่มีสภาวะจิตต่าง
กัน หากต้องปรุงยาชนิดเดียวกัน 2 ครั้ง ก็ไม่อาจใช้
ลำดับของการใส่สมุนไพรที่เหมือนเดิมได้!
สำหรับสูตรยาที่ซับซ้อนขนาดนี้ เมื่อทำตามขั้น
ตอนของจางเซวี ย นแล้ ว ก็ ไ ม่ มี ปั ญ หาแม้ แ ต่ น้ อ ย นั่ น
หมายความว่าคำชี้แนะของเขาไม่มีข้อผิดพลาดเลย แล้ว
โม่หยู่จะไม่อัศจรรย์ใจได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น...อีกฝ่ายรู้ระดับของเทคนิคการปรุงยา
และมาตรฐานในการปรุงยาของเธอได้อย่างไร? คำชี้แนะ
ของเขาทุ ก ข้ อ ไม่ มี ข้ อ ไหนเลยที่ เ หนื อ ไปกว่ า ความ
สามารถในการปรุงยาที่เธอมีอยู่!
เธอแน่ใจว่าไม่เคยปรุงยาต่อหน้าเขามาก่อน แต่
ว่า...เขารู้ลึกทุกรายละเอียดของเธอได้อย่างไร?
“อย่าวอกแวก!”
โม่หยู่กำลังใจลอยเมื่อเสียงตวาดลั่นดังเข้าหู เธอ
เพิ่งรู้ตัวว่าการเบนความสนใจไปเพียงชั่วครู่ได้ทำให้เธอ
ใส่สมุนไพรเข้าไปเร็วกว่าที่อีกฝ่ายสั่งไว้ถึงครึ่งอึดใจ
ฟู่!
ในตอนนั้นเอง พลังหยางในหม้อต้มยาก็เริ่มพลุ่ง
พล่าน ส่วนผสมที่อยู่นิ่งมาตลอดดูจะลุกโชนขึ้นทันที
หม้อใบนั้นสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“โอ๊ย ไม่นะ หม้อจะระเบิดแล้ว!”
มีเสียงร้องดังมาจากฝูงชน ทุกคนหน้าซีด
ตอนที่ 259 หม้อต้มยาระเบิด

“หม้อต้มยาระเบิด?”
หัวหน้าเฟิงและคนอื่นๆกำหมัดแน่น
หม้อต้มยาระเบิดเป็นเหตุการณ์น่าสะพรึงที่สุดที่นัก
ปรุงยาคนหนึ่งอาจจะต้องเผชิญระหว่างการปรุงยา โดย
มากมักเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของนักปรุงยาในการ
ควบคุมพลังงานที่อยู่ในสมุนไพร ทำให้กระบวนการ
หลอมเกิดความดุเดือดพลุ่งพล่านขึ้นจนควบคุมไม่ได้
เมื่อเกิดการระเบิดขึ้น ทั้งสมุนไพรที่อยู่ภายในและ
ตัวหม้อต้มยาก็จะเสียหาย นักปรุงยาเองก็อาจได้รับบาด
เจ็บจากแรงระเบิดด้วย
ยิ่งเป็นยาเกรดสูงขึ้น พลังงานที่บรรจุอยู่ภายในก็จะ
มีมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดการระเบิดระหว่างกระบวนการ
ปรุงยาก็ยิ่งสูงขึ้นอีก
ถ้าโม่หยู่เป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาวและสำเร็จวร
ยุทธขั้นจงซรือ ด้วยความแข็งแกร่งและความสามารถใน
การควบคุมพลังงานของสมุนไพร เธอก็อาจจะระงับ
ความพลุ่งพล่านที่มีอยู่ในหม้อต้มยาได้ แต่ตอนนี้ หม้อทั้ง
ใบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและดูเหมือนจะระเบิดปลิวได้
ทุกขณะ เห็นได้ชัดว่าสายไปแล้วที่จะยับยั้งการระเบิด
“มันจะล้มเหลวหรือเปล่า?” หัวหน้าเฟิงมีสีหน้าไม่
ดี
เขารู้ว่ายาเม็ดตะวันรอนมีความสำคัญต่อเจ้าอสูร
เขี้ยวเหล็กเหินฟ้าแค่ไหน ถ้าปรุงยานี้ได้สำเร็จและนำไป
ให้มันกิน พลังหยางในตัวมันก็จะเพิ่มขึ้น และมีโอกาส
มากขึ้นที่มันจะมีวิวัฒนาการของสายเลือดและยกระดับ
วรยุทธของตัวมันให้สูงขึ้นอีก
แต่ ใ นอี ก ด้ า นหนึ่ ง ถ้ า การปรุ ง ยาครั้ ง นี้ ล้ ม เหลว
โอกาสที่เจ้าเขี้ยวเหล็กจะฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปได้ก็จะมีน้อย
ลงอีก ถ้ามันทำไม่ได้ โอกาสที่จะฟื้นคืนสติก็แทบไม่มี คง
ทำได้แค่นอนรอความตายเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ ตอนที่นักฝึกอสูรจางให้คำชี้แนะกับโม่ห
ยู่ในการปรุงยา เขาก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้
เมื่อเห็นหม้อยาที่กำลังสั่นสะท้าน ก็รู้ว่าคงหมดหวังเสีย
แล้ว
หม้อต้มยาคงจะต้องระเบิดแน่ และยาเม็ดที่อยู่ใน
นั้นก็จะเสียหายทั้งหมด
มันคือความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
“จบกัน...”
ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ หยวิ๋นเทา
หน้าซีด
ถึงเขาจะพบกับจางเซวียนได้ไม่นาน แต่รอยยิ้มมั่น
อกมั่นใจและความสามารถในการทำสิ่งที่แสนจะเหลือ
เชื่อของจางเซวียนได้สร้างความประทับใจอย่างล้ำลึกให้
กับเขา
ผู้อาวุโสจางเซวียนซึ่งเก่งกาจราวกับเทวดาจะปรุง
ยาครั้งนี้พลาดหรือ?
“ก็ใครใช้ให้อวดเก่งขนาดนั้นล่ะ? สมน้ำหน้า!”
ตรงกันข้ามกับสีหน้าเคร่งเครียดของคนอื่น โจว
ชวนกับจูจิ้นหวงสบตากันและเย้ยหยันอย่างสะใจ
ก็เพิ่งโม้อยู่หยกๆไม่ใช่หรือว่า ด้วยคำชี้แนะของตัว
เอง จะไม่มีอะไรผิดพลาด...
พิโธ่!
เดี๋ ย วพอหม้ อ ระเบิ ด ฉั น จะรอดู ว่ า แกจะแก้ ตั ว
อย่างไร
นอกจากจะขี้โม้ ยังทำตัวเหมือนกับรู้ไปหมดทุก
เรื่อง คอยดูแล้วกันว่าพวกฉันจะทับถมแกได้ขนาดไหน!
.....
จางเซวียนขมวดคิ้ว ไม่รับรู้ถึงความคุกรุ่นที่เริ่มก่อ
ตัว
โม่หยู่คนนี้ช่างไว้ใจไม่ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าหน้าสิ่ว
หน้าขวานแบบนี้ยังมีแก่ใจจะวอกแวก
น่าสงสัยจริงว่าเป็นนักปรุงยาได้อย่างไร
ถึงจะใส่สมุนไพรเร็วไปแค่ครึ่งอึดใจ แต่ครึ่งอึดใจ
นั้นก็มากพอจะทำลายความสมดุลที่เขาพยายามรักษาไว้
ด้วยความยากลำบากสุดแสน
มันทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างกันมาก
นักปรุงยาที่เหนือชั้นมากๆจะสามารถใช้พละกำลัง
ของตั ว เองระงั บ ความรุ น แรงของปฏิ กิ ริ ย าระหว่ า ง
สมุนไพรแต่ละชนิดได้ แต่โม่หยู่เป็นแค่นักปรุงยาระดับ 1
ดาว ยังมีพละกำลังและความสามารถไม่เพียงพอจะทำ
แบบนั้น จางเซวียนจึงต้องควบคุมระดับความสมดุลของ
สมุนไพรแต่ละชนิดที่ใช้ในการปรุงยาให้ดี แต่ถึงอย่างนั้น
ความผิ ด พลาดก็ ยั ง เกิ ด ขึ้ น จนได้ ถ้ า เขาไม่ แ ก้ ไ ข
สถานการณ์โดยเร็ว ทุกสิ่งที่ทำมาต้องสูญเปล่าแน่
“เย็นไว้ อย่าตกใจ อย่าถอย!”
เห็นหม้อต้มยาจวนเจียนจะระเบิด โม่หยู่พยายาม
ถอยโดยสัญชาตญาณ แต่
จางเซวียนก็ตวาดเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จะยอมให้โม่หยู่ถอยตอนนี้ไม่ได้ ถ้าถอยเมื่อไหร่
สมุนไพรทั้งหมดที่อยู่ในหม้อก็จะเดือดพล่านจนคุมไม่อยู่
และจะต้องระเบิดแน่นอน
“ฉัน...”
โม่หยู่หน้าแดง
“ทำไม? คุณกลัวหรือ? ถ้าผมรู้เสียก่อน ก็จะไม่ขอ
ความช่วยเหลือจากคุณเลย นี่ถ้าหาผู้ช่วยนักปรุงยาคน
อื่นเสียตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้!” จางเซวียน
คำรามอย่างหงุดหงิด
“คุณ...” โม่หยู่ปรี๊ดแตก
เธอเป็นคนที่ชื่นชอบการแข่งขันและแสนจะภาค
ภูมิใจในตัวเอง นั่นคือเหตุผลที่เธอเข้าสอบในหลากหลาย
วิ ช าชี พ และล้ ว นแต่ ป ระสบความสำเร็ จ กลายเป็ น
อัจฉริยะในสายตาของใครต่อใคร
ตอนแรกที่โม่หยู่เห็นหม้อต้มยาจวนเจียนจะระเบิด
เธอลังเลว่าจะดำเนินการปรุงยาต่อดีหรือไม่ แต่เมื่อได้ยิน
อีกฝ่ายพูดว่าการขอให้เธอมาช่วยปรุงยาให้เขานั้นถือ
เป็นความผิดพลาด และต่อให้เป็นผู้ช่วยนักปรุงยาก็คง
ทำได้ดีกว่าเธอ โม่หยู่ก็ถึงกับปรี๊ดแตก
ถ้าเธอถอยตอนนี้ หมอนี่จะหัวเราะเยาะเธอขนาด
ไหนกัน?
โม่หยู่กัดฟันและพยายามปรับอารมณ์ให้เข้าที่ “เรา
จะทำอย่างไรต่อ?”
เห็นการยั่วโมโหของตัวเองใช้ได้ผล จางเซวียนสั่ง
การต่อ “โยนใบตะวันขาวกับเถาแดดร่มลงไปพร้อมกัน!”
“ใส่หมดเลย?”
โม่หยู่ถึงกับผงะ แค่นี้พลังงานก็พลุ่งพล่านพอแล้ว
ถ้าเธอโยนสมุนไพรฤทธิ์หยางที่เหลือลงไปทั้งหมด จะไม่
ทำให้หม้อระเบิดรุนแรงกว่าเดิมหรือ?
ใครที่ไหนในโลกเขาปรุงยากันแบบนี้เล่า...
ด้ ว ยสถานการณ์ ต อนนี้ อย่ า งแย่ ที่ สุ ด ก็ แ ค่ ห ม้ อ
ระเบิด แต่ถ้าเธอใส่สมุนไพรอีก 2 ชนิดเข้าไป ไม่เพียงแต่
หม้อจะระเบิดเท่านั้น แต่แรงปะทะและความร้อนจาก
ภายในจะทำให้เธอบาดเจ็บสาหัสด้วย!
หรือว่าหมอนี่คิดจะเอาคืน...
“เร็วเข้า!” จางเซวียนเลิกคิ้ว
“ได้!”
ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตวาดใส่ โม่หยู่ถึงกับหน้าเครียด
เธอกัดฟันและตัดสินใจ
เอาวะ ตายเป็นตาย!
ถึงอย่างไรก็ดีกว่าให้หมอนั่นเยาะเย้ย!
เมื่อตัดสินใจได้ เธอสะบัดข้อมือและโยนสมุนไพร
ฤทธิ์หยางอีก 2 ชนิดที่เหลือลงไปในหม้อ
บึ้ม!
อย่างที่เธอคาดไว้ เมื่อสมุนไพร 2 ชนิดนั้นถูกโยน
ลงไป หม้อทั้งใบก็สั่นสะท้านรุนแรงขึ้นอีก
ถ้าก่อนหน้านี้มันดูจวนเจียนจะระเบิด ตอนนี้ทุกคน
ก็แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันต้องระเบิดแน่
เพราะหม้ อ ใบนั้ น ดู ใ กล้ จ ะถึ ง ขี ด สุ ด แห่ ง ความ
ทนทานของมันแล้ว เริ่มมีรอยร้าวปรากฏบนผนังหม้อ
“ทุกคน ถอย...”
ด้วยความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ หัวหน้าเฟิงแผ่
พลังปราณออกมา และสร้างปราการป้องกันตัวไว้ตรง
หน้า
ทุ ก คนต่ า งถอยกั น จ้ า ละหวั่ น เพราะรู้ ดี ว่ า หม้ อ
ระเบิดนั้นอันตรายแค่ไหน
ทุกคนยืนในท่าเตรียมพร้อม ราวกับพร้อมรับมือ
ข้าศึก
ครืน ครืน!
รอยร้าวนั้นขยายใหญ่ขึ้นอีก และรังสีที่แผ่ออกมาก็
เข้มข้นขึ้นทุกที ดูเหมือนว่าหม้อใบนั้นจะรับแรงกดดันไม่
ได้อีกต่อไป
“ใส่หญ้าคางคกเขียวกับดอกเมอเทิลดิบเข้าไป...”
จางเซวียนสั่งการโดยไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
โม่หยู่รู้ว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะฟังคำพูด
ของอี ก ฝ่ า ย จึ ง รี บ คว้ า เอาสมุ น ไพรที่ มี ฤ ทธิ์ เ ป็ น ตั ว
ประสานที่จางเซวียนพูดถึงใส่ลงไป
ตอนนี้ สมุนไพรทั้งหมดที่ต้องใช้ในการปรุงยาเม็ด
ตะวันรอนถูกใส่ลงไปในหม้อต้มยาแล้ว
การเพิ่มสมุนไพรลงไปยิ่งทำให้หม้อสั่นสะท้านหนัก
กว่าเดิม ความร้อนที่พุ่งออกมาทำให้อากาศเป็นเปลว
ระยิบ ถึงตอนนี้ ทุกคนปาดเหงื่อโดยไม่รู้ตัว ความกังวล
เข้าเกาะกุมหัวใจของพวกเขา
“เร่งความร้อนของไฟขึ้นอีก 1 เท่า!” จางเซวียนสั่ง
“เร่งความร้อนของไฟ?”
โม่หยู่กำหมัดแน่น
หม้อใบนั้นจวนเจียนจะระเบิดอยู่แล้ว จางเซวียน
ยังสั่งให้เร่งความร้อนของไฟขึ้นอีก นี่มันเท่ากับเติมเชื้อ
ฟืนให้กับกองไฟดีๆนี่เอง!
แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ต้องเดินหน้า
อย่าได้แคร์ เธอส่งพลังปราณอันดุเดือดจากฝ่ามือเข้าสู่
กองไฟ
ฟึ่บ ฟู่!
เมื่อถูกกระตุ้นจากพลังปราณของโม่หยู่ เปลวไฟก็
ร้อนแรงขึ้นอีก 1 เท่า มันลามเลียไปทั่วทั้งหม้อ
ฟู่ ฟู่ ฟู่!
ปฏิกิริยาดุเดือดจากสมุนไพรทำให้หม้อใบนั้นถึงขีด
สุดแห่งความทนทานของมันแล้ว มันจะทนความร้อนที่
พุ่งพรวดขนาดนี้ได้อย่างไร เกิดเสียงร้าวดังขึ้นเป็นชุด
และรอยร้าวย่อมๆก็ปรากฏบนผิวหม้อทั่วทั้งใบ...
“มันระเบิดแล้ว!”
ใครคนหนึ่งอุทานออกมา จากนั้น หม้อที่ร้าวทั้งใบก็
หมดกำลังต้านทาน
บึ้ม! มันระเบิดอย่างรุนแรง
คลื่นความร้อนรุนแรงพุ่งออกมาโดยรอบ ชิ้นส่วน
ของหม้อใบนั้นปลิวว่อนไปทุกทิศทาง
“หมดกัน...”
โม่ ห ยู่ ซึ่ ง กำลั ง ส่ ง พลั ง ปราณเข้ า ไปในหม้ อ นึ ก ไม่
ถึงว่าจะเกิดการระเบิดขึ้นตอนนั้น เธอไม่ทันระวังตัว
และไม่มีแม้เวลาจะตอบโต้ตอนที่แรงปะทะอันหนักหน่วง
พุ่งเข้าใส่เธอ
แรงอัดจากภายในหม้อทำให้หม้อแตกเป็นเสี่ยงๆ
ถ้าโดนกระแทกจังๆเข้าสักครั้ง ถึงเธอจะมีวรยุทธแก่กล้า
แต่คงบาดเจ็บสาหัสแน่
“ตาย คราวนี้เราคงตายแหงแก๋ เพราะหมอนั่น...”
โม่หยู่ตัวสั่น รู้ดีว่าถึงอย่างไรก็หลบไม่พ้น เธอ
รวบรวมพลังปราณเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
ตึ้ง!
เธอคิดว่าคราวนี้คงเจ็บหนักแน่ แต่ทันใดนั้น ก็มี
ร่างหนึ่งเข้ามาขวาง
บึ้ม บึ้ม บึ้ม!
เกิดการระเบิดต่อเนื่องอย่างดุเดือด แต่ร่างที่อยู่ตรง
หน้าเธอไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ราวกับเป็นภูเขาที่ย้าย
ไปไหนไม่ได้ เขารับแรงปะทะไว้ทั้งหมด
“จางเซวียน...”
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าร่างนั้นคือคนที่เธอเกลียดขี้หน้า
มาตลอด
ตอนที่เกิดระเบิด เขาพุ่งเข้ามาเอาตัวเป็นเกราะ
กำบังเธอไว้จากแรงปะทะ...
ดวงตาของเธอแดงเรื่อ
แม้เขาจะปากเสีย แต่ลึกๆแล้วก็มีจิตใจดี
ส่ ว นจู จิ้ น หวง โจวชวน และหยวิ๋ น เทาที่ ป่ า ว
ประกาศนักหนาว่าจะทำทุกอย่างให้เธอ แต่ในเวลาหน้า
สิ่วหน้าขวานแบบนี้ พวกเขาก็แค่ดูอยู่ห่างๆ เป็นผู้ชาย
ปากเสียคนนี้ต่างหากที่เข้ามาปกป้อง
ตึ้ง!
ไม่นานก็ฝุ่นตลบ หม้อต้มยาใบใหญ่แหลกสลายเป็น
ชิ้นเล็กชิ้นน้อย เถ้าถ่านที่อยู่ภายในร่วงเรี่ยราดลงบนพื้น
จางเซวียนยังคงยืนอยู่หน้าหม้อต้มยา เอาตัวเป็น
เกราะกำบังโม่หยู่ไว้จากแรงระเบิดหนักหน่วงนั้น สารรูป
ของเขากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และใบหน้าก็
มอมแมมราวกับถ่าน
“คุณยังไหวหรือเปล่า?” หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆเดิน
เข้ามา
“ผมโอเค!” จางเซวียนยิ้ม
เพราะการได้ฝึกวิชาร่างนวโลหะและมีพลังปราณ
เทียบฟ้าอยู่ในครอบครอง ความสามารถในการป้องกัน
ตัวของเขาจึงเหนือชั้นกว่าเหล็กเสียอีก ขณะที่การระเบิด
เป็นไปอย่างหนักหน่วง เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
“คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เราคงหลอมมันไม่ได้แล้วล่ะ
ผมได้ส่งคนไปอาณาจักรเป่ยฉู่เพื่อขอใช้บริการจากนัก
ปรุงยาหวังชิ่งแล้ว” หัวหน้าเฟิงปลอบ
หวังชิ่งคือประธานสมาคมนักปรุงยาแห่งอาณาจักร
เป่ยฉู่ เขาเป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด
โดยปกติแล้ว การขอใช้บริการของท่านประธาน
หวังชิ่งเป็นเรื่องยากมาก แต่หัวหน้าเฟิงมีสายสัมพันธ์อัน
ดีกับตัวเขา และทั้งคู่ก็มีสถานภาพเท่าเทียมกัน จึงไม่ใช่
เรื่องยากที่จะขอความช่วยเหลือ
“ไม่ต้องหรอก...”
จางเซวียนส่ายหน้า กำลังขยับจะอธิบาย จูจิ้นหวง
กับโจวชวนก็รี่เข้ามาพยุงโม่หยู่ให้ลุกขึ้น ทั้งคู่มีสีหน้าเป็น
ห่วงเป็นใย
“คุณโม่ คุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า...”
เห็นทั้งคู่รี่เข้ามา โม่หยู่มีสีหน้าผิดหวัง เธอรีบส่าย
หน้าปฏิเสธ
จางเซวียนรับแรงปะทะจากการระเบิดของหม้อเข้า
ไปเต็มๆ เพราะเขาเอาตัวเข้าบังเธอไว้ เธอจึงไม่ได้รับ
บาดเจ็บใดๆ แค่ตกใจเท่านั้น
“ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของหมอนั่น! พูดราวกับตัว
เองเก่งกาจเสียเต็มประดา แล้วดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น? ไม่
เพียงแต่หม้อจะระเบิด คุณโม่ยังเกือบจะได้รับบาดเจ็บ
คุณแน่ใจหรือว่าจะรับผิดชอบไหวถ้าเธอเป็นอะไรไป?”
“การปรุงยาไม่ใช่เล่นขายของ ไม่ใช่ใครจะชี้แนะให้
ใครกันง่ายๆ นึกว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไร?
ขนาดปรมาจารย์ ยั ง ไม่ ก ล้ า อวดอ้ า งเลยว่ า จะสามารถ
ชี้แนะให้นักปรุงยาระดับ 1 ดาวปรุงยาเกรด 2 ได้ ควรจะ
เจียมกะลาหัวเสียบ้าง!”
เห็นเทพธิดาของพวกเขาไม่พูดอะไร ทั้งคู่ยิ่งมัน
ปาก พากันตำหนิจางเซวียนไม่หยุดหย่อน
“หุบปากได้แล้ว!”
โม่หยู่ผิดหวังกับการกระทำของทั้งคู่อยู่แล้ว ยิ่งมา
แย่งกันเอาหน้าแบบนี้ ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม เธอจึงตวาด
ไล่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณโม่...”
ทั้งคู่กำลังพูดเข้าข้างเธอ ไม่คิดเลยว่าจะทำให้โมโห
หนักขึ้นอีก พวกเขากำลังขยับจะอธิบายเมื่อเห็นเทพธิดา
ของพวกเขาเดินไปหาจางเซวียนด้วยสีหน้าขอโทษขอ
โพย “เป็ น ความผิ ด ของฉั น เองที่ ท ำให้ ก ารปรุ ง ยาไม่
สำเร็จ ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากทำอีกครั้ง ครั้งนี้ฉันสัญญา
ว่าจะไม่วอกแวกอีก!”
“ไม่ต้องคิดมาก!” จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ขอบคุณที่เข้ามาเป็นเกราะกำบังแรงปะทะจาก
หม้อระเบิดให้ฉัน ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนปฏิบัติต่อฉันแบบ
นี้มาก่อนเลย ฉันเข้าใจเจตนาของคุณ...” เห็นทีท่าสบาย
อารมณ์ของอีกฝ่าย โม่หยู่ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นอีก
“แค่ก แค่ก, เดี๋ยว! คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ผมไม่ได้
ปกป้องคุณจากแรงปะทะของหม้อระเบิดนะ!”
จางเซวียนส่ายหน้าและยื่นมือออกมา มียาสองสาม
เม็ดอยู่ในฝ่ามือของเขา “ผมแค่ไปเก็บยาเม็ดที่เพิ่งหลอม
เสร็จใหม่ๆพวกนี้น่ะ!”
ตอนที่ 260 กึ่งจื้อจุน

“ยาเม็ดที่เพิ่งหลอมเสร็จใหม่ๆ?”
โม่ ห ยู่ ถึ ง กั บ ผงะ เธอปากคอสั่ น และเอ่ ย ถาม
“ตกลง...การปรุงยาประสบความสำเร็จหรือ?”
เนื่องจากหม้อต้มยาระเบิด ทุกคนจึงคิดว่าการปรุง
ยาครั้งนี้ล้มเหลวไปแล้ว แต่ยาเม็ดกลมที่จางเซวียนถือ
อยู่ในมือได้แผ่รังสีของพลังหยางอันเข้มข้นออกมา แล้ว
จะเป็นยาอะไรไปได้นอกจากยาเม็ดตะวันรอน?
“สำเร็จ?”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินโม่หยู่อุทาน ทุกคนหันขวับมามองยาเม็ด
ที่อยู่ในมือของจางเซวียน และเมื่อได้เห็นก็อึ้งกันถ้วนทั่ว
มันเกิดอะไรขึ้น?
ไม่น่าเชื่อว่ายาเม็ดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ!
จูจิ้นหวงกับโจวชวนหายใจหายคอไม่ออก รู้สึก
เหมือนโดนตบหน้า
พวกเขาเพิ่งตำหนิอีกฝ่ายว่าทำอะไรเกินตัว แต่แค่
พริบตาเดียวเขาก็โชว์ยาพวกนี้ออกมา...
ขนาดหม้อยังระเบิดว่อนเป็นเสี่ยงๆ แล้วไอ้ยานี่มา
จากไหน?
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นกันอยู่โต้งๆว่ายานี้เป็นมันขลับ
และยังแผ่ความร้อนออกมา ซึ่งก็เท่ากับประกาศก้องว่า
พวกมันเพิ่งออกมาจากหม้อต้มยาใหม่ๆ พวกเขาจะต้อง
สงสัยว่าจางเซวียนจัดเตรียมยาพวกนี้ไว้ล่วงหน้าเพื่อ
ให้การแสดงสมจริง
“ก็หม้อระเบิดไปแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วยาของคุณ...”
จูจิ้นหวงถามปากคอสั่น
ทุกคนในห้องหันขวับมาฟัง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่อยู่
ตรงหน้าเหมือนกัน
“ก็ ใ ครบอกล่ ะ ว่ า ถ้ า หม้ อ ระเบิ ด แล้ ว จะปรุ ง ยาไม่
สำเร็จ?” จางเซวียนเลิกคิ้ว
ทุกคนมึนตึ้บ
เป็นที่รู้กันว่าถ้าหม้อระเบิด ก็แปลว่ากระบวนการ
ปรุงยาครั้งนั้นล้มเหลว แต่ชายหนุ่มคนนี้ฉีกทุกตำรา ถึง
หม้อจะระเบิดวายวอดไปแล้ว แต่ยาเม็ดก็ยังอยู่ในสภาพ
ครบถ้วนสมบูรณ์ นี่มันบ้าอะไรกัน?
“มันเกิดอะไรขึ้น?” หัวหน้าเฟิงอดถามไม่ได้
ในฐานะหั ว หน้ า ดงอสู ร เขาพบเจอเรื่ อ งแปลก
ประหลาดมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่อง
แบบนี้
“หม้ อ ต้ ม ยาทำหน้ า ที่ เ ป็ น สื่ อ กลางในการปรุ ง ยา
เท่านั้น ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปรุงยาคือเปลวไฟ
และสมุนไพร”
เห็นทุกคนทำตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ จางเซวีย
นอธิบาย
“ในตอนแรก เป็นเพราะว่าคุณโม่ใส่สมุนไพรลงไป
ผิดเวลา คุณสมบัติทางยาของสมุนไพรที่อยู่ในหม้อจึง
ปะทะกัน ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรง แต่ถึงอย่างนั้น ใน
วินาทีสุดท้ายก่อนที่หม้อจะระเบิด ความร้อนที่พุ่งสูง
ทำให้การปรุงยาเป็นผลสำเร็จ”
ถ้าโม่หยู่ทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด เธอก็
จะปรุงยาเม็ดตะวันรอนได้สำเร็จโดยไม่มีเรื่องขัดข้องใดๆ
แต่เพราะเธอวอกแวกในช่วงที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี
จึงเกิดเป็นความผิดพลาด
แต่ถึงอย่างนั้น ตราบใดที่เธอยังยืนยันจะปรุงยาต่อ
หอสมุดเทียบฟ้าก็ยังคงป้อนข้อมูลใหม่ให้เสมอ ดังนั้นเขา
จึงเลือกที่จะไม่ทิ้งมันกลางคัน
โดยสั่ ง การให้ เ ธอปรุ ง ยาต่ อ ไปและพยายามหลี ก
เลี่ยงทุกความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นให้ได้ ด้วยเหตุนี้
แม้หม้อต้มยาจะระเบิดไปในที่สุด แต่ก็ปรุงยาเม็ดได้
สำเร็จในวินาทีสุดท้าย
“ยาเม็ดก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างพร้อมๆกับการระเบิด
หรือ?”
“เอ่อ...”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างแสนจะทึ่ง เมื่อได้ฟังคำ
อธิบายแล้ว สถานการณ์ดูจะเหลือเชื่อกว่าเดิมเสียอีก
คุณรู้ได้อย่างไรว่ายาเม็ดก่อตัวเรียบร้อยแล้วในเมื่อ
มันอยู่ในหม้อ?
อีกอย่าง ทำให้มันก่อตัวขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับ
การระเบิด ต้องเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรขนาดไหนกันถึง
จะทำแบบนั้นได้?
ตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาแค่เก่งกาจเรื่องการฝึกอสูร
เขาก็แสดงความรู้เรื่องการรักษาโรคออกมา ตอนที่ทุกคน
คิดว่าความรู้เรื่องการรักษาโรคคงจะเป็นความสามารถ
ขั้นสุดของเขาแล้ว เขาก็วิ่งหนีไปและป่าวประกาศว่าตัว
เองเป็นนักปรุงยา...
เอาเถอะ พวกเราก็จะยอมรับว่าคุณเป็นนักปรุงยา
ถึงจะหายาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่เก่งกาจในหลากหลาย
อาชีพ แต่ถึงอย่างไร...คุณก็ไม่รู้เรื่องการปรุงยาหรอก
ก็ตามนั้น พวกเราก็จะเข้าใจ
แต่แล้ว...ขนาดปรุงยาด้วยตัวเองไม่ได้ คุณก็ยัง
สามารถชี้แนะให้นักปรุงยาระดับ 1 ดาวปรุงยาเกรด 2
ได้สำเร็จ แถมยาเม็ดนั้นยังก่อตัวขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับ
การระเบิด...นี่มันเหลือเชื่อ!
ผู้ ค นมั ก พู ด กั น ว่ า อั จ ฉริ ย ะเป็ น คนประหลาด
เอ่อ...แต่คุณจะประหลาดเกินไปหน่อยไหม!
คุณทำตัวเหนือความคาดหมายของพวกเราตลอด
เวลา ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด!
“ถึงหม้อต้มยาจะระเบิด แต่เพราะยาเม็ดพวกนี้อยู่
ในหม้อ มันจึงรอดพ้นจากแรงปะทะไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ถ้า
ผมไม่รีบพุ่งเข้าไปเก็บมันไว้ แรงปะทะจากการระเบิดจะ
ต้องทำให้พวกมันบี้แบนกลายเป็นผงแป้ง ดังนั้น ผมจึง
รี บ เข้ า ไปคว้ า ยาเม็ ด พวกนี้ ไ ว้ ไ ด้ ใ นช่ ว งเวลาที่ เ กิ ด การ
ระเบิดพอดี โชคดีที่ผมคว้าได้ทัน!”
จางเซวียนอธิบาย จากนั้นเขาหันไปทางโม่หยู่และ
มองเธอด้วยสายตาจริงจัง เขาพูดว่า “เหตุผลที่ผมพุ่ง
เข้าไปก็เพื่อคว้ายาพวกนี้ไว้ เพราะคุณเป็นนักปรุงยา
เมื่อยาเม็ดก่อตัวขึ้น พวกมันจะต้องพุ่งเข้าหาคุณอยู่แล้ว
ดังนั้นการยืนขวางหน้าคุณจึงเป็นทำเลเหมาะสมที่สุดที่
จะคว้ามัน ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้คิดจะช่วยชีวิต
คุณ...”
“เอ่อ...”
เห็นอีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาอธิบาย โม่หยู่ถึงกับหน้าตา
บูดเบี้ยว ความโกรธที่พุ่งขึ้นมาทำให้เธอตัวสั่นและแทบ
จะปรี๊ดออกมา
ตอนที่เธอเห็นเขาพุ่งเข้าปกป้องเธออย่างไม่สนใจ
ความปลอดภัยของตัวเอง เธอซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออก
แต่ตอนนี้ ด้วยคำพูดของจางเซวียน ความรู้สึกดีที่เธอมี
ให้เขาหายวับไปไม่เหลือหรอ
บ้าที่สุด!
คุณจะพูดอะไรดีๆบ้างได้ไหม?
ความบังเอิญทำให้คุณเอาชนะใจสาวสวยได้ ต่อให้
มันไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของคุณ คุณก็น่าจะรับๆไว้ แต่
จางเซวี ย นรี บ ร้ อ นปฏิ เ สธราวกั บ กลั ว ชื่ อ เสี ย งจะด่ า ง
พร้อย...
ถึงอย่างไรฉันก็เป็นสาวงามแถวหน้า แถมยังเป็น
องค์หญิงของอาณาจักรขั้น 1 นะยะ
ลนลานปฏิเสธขนาดนั้น...หมายความว่าไง?
จะบอกว่าฉันไม่คู่ควรกับคุณ? หรือคุณรู้สึกว่าฉันน่า
รังเกียจ?
โม่หยู่กับฟันกรอดด้วยความโมโห ถ้าเธอไม่รู้มา
ก่อนว่าตัวเองสู้เขาไม่ได้ คงเข้าไปฉะสั่งสอนแล้ว
โม่หยู่สูดหายใจลึก 2-3 ครั้งและข่มความโกรธไว้
เธอพูดเสียงลอดไรฟัน “ฉันเป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักร
เทียนหวู่ และจะไม่ขอเป็นหนี้บุญคุณใคร ถึงอย่างไรคุณก็
ช่วยชีวิตฉันไว้ คุณอยากได้อะไร บอกฉันมาเลย!”
“หมายความว่า...ผมจะได้รับสิ่งตอบแทนจากการ
ช่วยชีวิตคุณหรือ?”
จางเซวียนชะงัก
“ใช่สิ!” โม่หยู่แหว
“เยี่ยมเลย!”
จางเซวียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อันที่จริง เป็น
เพราะผมรู้ว่าคุณตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ผมจึงรีบ
พุ่งเข้าไปโดยไม่ได้ใส่ใจความปลอดภัยของตัวเอง ส่วน
ยาเม็ด...เป็นเป้าหมายรอง การช่วยชีวิตคุณสำคัญที่สุด
สำหรับผม ดูสิ ผมถึงกับยอมบาดเจ็บแทนคุณด้วย ถ้าจะ
พูดกันตรงๆ ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าคุณจะจ่ายให้ผม
สัก 10 ล้าน หรือไม่อย่างนั้น ยาเม็ดสำหรับรักษาแผลสัก
หน่อยก็จะดี...”
“....” โม่หยู่
“....” หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆ
เห็นคนหน้าด้านหน้าทนมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใคร
หน้าด้านขนาดนี้
โม่หยู่โมโหเดือดจนแทบจะหยุดหายใจ
หลังจากผ่านความยุ่งยากมามากมาย ทั้งที่เป็นถึง
องค์หญิงของอาณาจักรใหญ่ สุดท้าย ในสายตาของอีก
ฝ่าย เธอก็มีค่าไม่ต่างจากเงินทอง...
“เราจะทำอย่างไรกับยาที่เพิ่งหลอมเสร็จ ป้อนให้
เจ้าเขี้ยวเหล็กกินเลยได้ไหม?”
หัวหน้าเฟิงขัดขึ้น เห็นโม่หยู่พร้อมจะปล่อยโฮอยู่
รอมร่อ เขารีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่
ชวนให้ลำบากใจ
เกรงว่าถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป องค์หญิงแห่ง
อาณาจักรขั้น 1 จะต้องปรี๊ดแตกจนตายแน่
“อ้อ เอายานั้นไปละลายน้ำ แล้วใช้พลังปราณป้อน
ให้เจ้าเขี้ยวเหล็กกิน”
จางเซวียนยื่นยาเม็ดตะวันรอนเม็ดหนึ่งให้เขา แล้ว
เก็บอีก 2 เม็ดที่เหลือไว้ในแหวนเก็บสมบัติ
“ได้!”
หัวหน้าเฟิงทำตามคำแนะนำของจางเซวียน เขา
เอายาเม็ดนั้นไปละลายน้ำ แล้วป้อนให้อสูรเขี้ยวเหล็ก
เหินฟ้าที่กำลังสลบไสล
ครืนนนนน!
เมื่ อ สารละลายตั ว ยาเข้ า ไปในร่ า งของเจ้ า เขี้ ย ว
เหล็กเหินฟ้า ก็เกิดเสียงครั่นครื้นคำรามเหมือนกับสายฟ้า
ฟาด ร่างของมันเริ่มแผ่คลื่นความร้อนออกมา เหมือน
หม้อน้ำมันที่ถูกตั้งไฟ
ป๊อก ปึ้ก ปั้ก!
ไม่ช้าก็มีเสียงกรอบแกรบของกระดูกดังลั่น ร่าง
มหึมาของเจ้าเขี้ยวเหล็กเริ่มขยายออกอีกครั้ง เหมือน
ภูเขาขนาดมหึมาที่ไม่มีใครโค่นได้
ฮู้วววววว!
เจ้ า อสู ร ร่ า งยั ก ษ์ ลื ม ตาขึ้ น ทั น ใดและหอนยาว
โหยหวน หมู่เมฆถึงกับสะท้านสะเทือน เสียงของมันสนั่น
หวั่นไหวไปทั้งหุบเขา
เห็นอากัปกิริยาข่มขวัญของมัน ทุกคนเงียบกริบ
และตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว
“นี่มัน...กึ่งจื้อจุน?”
“ระดั บ วรยุ ท ธของมั น พรวดจากจงซรื อ ไปกึ่ ง จื้ อ
จุน?”
หัวหน้าเฟิงปากสั่นด้วยความตื่นเต้น ขณะที่นักฝึก
อสูรลู่กับคนอื่นๆนัยน์ตาเบิกโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
สายตา
พวกเขารู้ว่าอสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าจะมีพละกำลัง
แข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากผ่านวิวัฒนาการของสายเลือด
ไปแล้ว
แต่ก็ไม่คิดว่าจะผ่านขั้นจงซรือไปได้ทั้งขั้นจนถึงกึ่ง
จื้อจุน!
วรยุ ท ธขั้ น จื้ อ จุ น เป็ น วรยุ ท ธขั้ น สู ง สุ ด ของนั ก รบ
พละกำลังของนักรบขั้นจื้อจุนจะมากกว่านักรบขั้นจงซ
รือถึง 4 เท่า นักรบขั้นจื้อจุนทุกคนจะถือเป็นสุดยอด
นักรบ
เจ้าเขี้ยวเหล็กสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจื้อจุน แม้มันจะ
ยังไม่เป็นสุดยอด แต่ก็ถือว่าไม่ห่างไกลกันนัก
ในอาณาจักรขั้น 1 เทียนหวู่ ผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ถือ
เป็นไพ่ไม้ตายของอาณาจักรเลยทีเดียว
ด้วยการมีอสูรอันทรงพลังสุดๆอยู่ในเทือกเขาเชียน
หลั ว ตำแหน่ ง ของดงอสู ร สาขานี้ จ ะต้ อ งสู ง ขึ้ น อย่ า ง
พรวดพราดแน่
“เขาพูดถูก...”
บรมครูชิงหยางถึงกับหน้าซีด เขาถอยกรูดไปสอง
สามก้าว
ก่อนหน้านี้ ถึงคำพูดของอีกฝ่ายจะฟังดูมีเหตุผล
แต่เขาก็ยังแคลงใจอยู่ มาตอนนี้ เมื่อได้เห็นทุกอย่างกับ
ตา ก็รู้ว่าไม่มีคำตอบไหนจะชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้ว
ข้อสรุปของจางเซวียนถูกต้องทุกอย่าง เจ้าอสูร
เขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอยู่ในอาการโคม่าเพราะการปะทะกัน
ของพลังในตัวมัน ถ้าคนพวกนี้รักษามันตามวิธีการที่เขา
บอก แทนที่จะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นกึ่งจื้อจุน เจ้า
อสูรทรงพลังตัวนี้คงจะตายไปแล้ว
ในฐานะนายแพทย์ระดับ 2 ดาว เขารักษาผู้คนมา
แล้วนับไม่ถ้วน ไม่เคยคิดว่าจะทำผิดมหันต์เพราะอสูร
เพียงตัวเดียว ในพริบตานั้น เขาดูแก่กว่าเดิมไปเป็น 10
ปี รังสีอันโดดเด่นที่แผดกล้าออกมาเมื่อแรกมาถึง จาง
หายไปไม่มีเหลือ
“เด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ แต่มองปราดเดียวก็
เห็ น สาเหตุ อ าการป่ ว ยของเจ้ า เขี้ ย วเหล็ ก ได้ แถมยั ง
ชี้แนะนักปรุงยาระดับ 1 ดาวให้ล้อมยาเกรด 2 ขั้นสูงสุด
ได้ด้วย...”
บรมครูชิงหยางถึงกับปากสั่นขณะที่หันไปมองจาง
เซวียน
ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าช่างเหลือ
เชื่อ
อย่าว่าแต่ตัวเขาเลย ต่อให้เป็นปรมาจารย์หลิวผู้
เลื่องลือแห่งอาณาจักรเป๋ยอู๋ก็ทำไม่ได้ขนาดนี้
ตราบใดที่เขายังไม่ตาย ไม่นานก็จะต้องมีชื่อเสียง
เป็นที่เลื่องลือและคงจะดังกึกก้องไปทั่วโลกแน่
“พ่อหนุ่ม คุณชื่ออะไร?”
เขาเดินออกไปและเอ่ยถามจางเซวียน
“ชื่อผม?” จางเซวียนมองเขา “นายกะโหลก
กะลา!”
“นายกะโหลกกะลา?”
บรมครูชิงหยางถึงกับตัวแข็ง
ก่อนหน้านี้ ตอนที่อีกฝ่ายเข้าไปแตะตัวเจ้าเขี้ยว
เหล็กเหินฟ้า เขาออกปากปรามาสว่าเป็น ‘คนกะโหลก
กะลา’ และบอกหัวหน้าเฟิงให้ไล่ออกไป ไม่นึกเลยว่าอีก
ฝ่ายจะใช้คำนั้นมาย้อนเขา
ดงอสูรตั้งใจเชิญเขามาเพื่อรักษาเจ้าเขี้ยวเหล็กเหิน
ฟ้า แต่นอกจากเขาจะทำไม่สำเร็จแล้ว ยังเกือบจะฆ่ามัน
ด้วย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มคนที่เขา
กล่าวหาว่าเป็นคนกะโหลกกะลาจะรักษาอาการป่วยของ
มันได้ เขายังช่วยให้มันฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จได้ถึงขั้นถึง
จื้อจุนด้วย...
บรมครูชิงหยางรู้สึกหน้าตาร้อนผ่าวไปหมด ไม่อาจ
จะอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เขาเอ่ย “หัวหน้าเฟิง นักฝึกอสูรลู่ นัก
ฝึกอสูรหวัง ผมต้องขอตัวก่อน!”
เมื่อพูดแล้วก็ออกจากดงอสูรไปทันที แม้แต่อสูรที่
เขาโดยสารมันมาก็ไม่ได้แยแส
ครั้งนี้เขาทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าโดยแท้จริง
ไม่มีแก่ใจจะอยู่ต่อได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว
“เอ่อ...”
เมื่ อ เห็ น แล้ ว ว่ า จางเซวี ย นทำให้ ค นระดั บ บรมครู
ต้องหน้าแตกยับกลับไป ทุกคนอ้าปากค้าง
ชายหนุ่ ม คนนี้ ดู เ หมื อ นทำตั ว สบายๆและออกจะ
ร่าเริง แต่ถ้ามีใครมาเหยียบหัวแม่เท้าเข้าให้ เขาก็จะ
กลายร่างเป็นปีศาจร้ายทันที
พวกเขาจะไม่สงสัยเลยถ้ามีใครบอกว่าจางเซวียน
เคยเชือดคอใครสักคนด้วยคำพูดของเขามาแล้ว!
“นักฝึกอสูรลู่ ไปส่งบรมครูชิงหยางที!” หัวหน้าเฟิง
นึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะตอบแบบนั้น เขาได้แต่ส่ายหน้า
และยิ้มเจื่อนๆ แล้วสั่งการกับนักฝึกอสูรลู่
ถึงอย่างไรจางเซวียนก็ยังเด็ก แถมยังเก่งกาจด้วย
ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะเอาเรื่องหากมีใครมาดูถูก
“ขอรับ” นักฝึกอสูรลู่รีบออกไป
แม้บรมครูชิงหยางจะวินิจฉัยอาการของเจ้าเขี้ยว
เหล็กผิดพลาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เก่ง อีก
อย่าง เขาเชี่ยวชาญการรักษามนุษย์มากกว่าอสูร และที่
สำคัญที่สุด มีนายแพทย์คนไหนรับประกันได้บ้างว่าการ
วินิจฉัยของตัวเองถูกต้องแม่นยำทุกครั้ง?
ต่อให้เป็นนายแพทย์ระดับ 9 ดาว ก็ยังทำแบบนั้น
ไม่ได้
มีอาการป่วยที่แปลกประหลาดอยู่มากมายในโลกนี้
ใครจะกล้ายืนยันได้ว่าพวกเขาพบเห็นอาการป่วยมาแล้ว
ทุกรูปแบบ และสามารถรักษาได้ทุกโรค
ฟิ้ววววว!
หลังจากนักฝึกอสูรลู่ออกไปไม่นาน รังสีของอสูร
เขี้ยวเหล็กเหินฟ้าก็พุ่งจนถึงขีดสุดของมัน และสุดท้ายก็
หยุดนิ่ง มันหันหัวขนาดมหึมาไปรอบๆ สายตาจับจ้องอยู่
ที่จางเซวียน จากนั้นก็คำรามแล้วเดินตรงไปหาเขา ก้ม
หัวให้ แล้วใช้หัวถูไถกับตัวเขา
“นี่มัน...การยอมจำนนโดยสมัครใจ?”
ถึงเจ้าเขี้ยวเหล็กจะโตขึ้นมาในดงอสูร แต่มันก็ไม่
เคยจำนนให้ใครมาก่อน
แต่ในตอนนี้ มันเป็นฝ่ายยอมจำนนให้จางเซวียน
ลูกตาของนักฝึกอสูรทุกคนที่ได้เห็นแทบปะทุออกจากเบ้า
พวกเขารู้สึกเหมือนจะเป็นลม
โดยเฉพาะกับหัวหน้าเฟิง เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว
และแทบจะปล่อยโฮออกมา
เขากำลั ง คิ ด ว่ า ดงอสู ร แห่ ง นี้ จ ะต้ อ งเจริ ญ รุ่ ง เรื อ ง
ก้าวหน้าเพราะมีอสูรขั้นกึ่งจื้อจุนคอยหนุนหลัง
แต่ตอนนี้ เจ้าอสูรตัวนั้นเลือกที่จะยอมจำนนให้คน
อื่นเสียแล้ว และเมื่อมันจากไปพร้อมกับเจ้านายของ
มัน...ที่นี่ก็จะไม่มีอสูรคอยหนุนหลังอีก แล้วดงอสูรจะ
เจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร?
“แกตั้งใจยอมจำนนต่อฉันหรือ?”
จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจเจตนาของเจ้า
เขี้ยวเหล็ก
เป็นไปได้ว่า มันรู้ว่าจางเซวียนคือผู้ช่วยชีวิตมัน
และตัดสินใจจะยอมรับ
จางเซวียนเป็นเจ้านายเพราะสำนึกในบุญคุณ
“ได้สิ!”
ก่อนหน้านี้ จางเซวียนเพิ่งจะไม่พอใจกับความเร็ว
ของนกอินทรีสีเขียวอ่อน แต่เจ้าเขี้ยวเหล็กมีวรยุทธถึง
ขั้นกึ่งจื้อจุน ความเร็วของมันจะต้องสมกับความคาด
หวังของเขาแน่
ด้วยการดีดนิ้ว 1 ครั้ง เลือดหยดหนึ่งก็พุ่งเข้าไปใน
ปากของเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า
ความตั้ ง ใจของอี ก ฝ่ า ยที่ จ ะยอมจำนนต่ อ เขาก็
สำเร็จลุล่วงในทันใด
มันเป็นอย่างที่จางเซวียนคาดไว้ เจ้าเขี้ยวเหล็กรู้ว่า
มีใครบางคนเกือบจะจับมันทำหมัน และเป็นจางเซวียนที่
ช่วยชีวิตมันไว้ได้ แถมยังทำให้มันฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วย
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงเลือกที่จะยอมจำนนต่อเขา
เมื่อเลือกเจ้านายแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้น มันก็
สามารถสื่อสารกับเขาได้ อย่างน้อยที่สุด ในอนาคต มันก็
จะไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายอีก
“อือ!”
เมื่อรู้แบบนี้ จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ
ในการเดินทางมาดงอสูรครั้งนี้ เขาฝึกอสูรให้เชื่อง
ได้ถึง 3 ตัว แถมยังได้เป็นนักฝึกอสูรระดับ 1 ดาว นี่ถือ
เป็นกำไรมหาศาลสำหรับจางเซวียน
“เอาล่ะ หัวหน้าเฟิง การสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ
2 ดาวเขาทำกันอย่างไร? ผมถามคำถามนี้กับคุณครั้ง
หนึ่งแล้ว คุณเพิ่งตอบไปได้แค่ครึ่งเดียว แล้วมันก็...”
จางเซวียนถามทันทีที่นึกได้
ก่ อ นหน้ า นี้ ตอนที่ เ ขาตั้ ง คำถามว่ า การฝึ ก การ
ทดสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวเขาทำกันอย่างไร
บรมครูชิงหยางก็มาถึง ด้วยเรื่องเร่งด่วนในมือ หัวหน้า
เฟิงจึงรีบออกไป แล้วทุกอย่างก็จบลงดื้อๆแบบนั้น แต่ใน
เมื่อตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว หัวหน้าเฟิงก็มีเวลาว่าง
จางเซวียนจึงได้โอกาสไขข้อสงสัยของตัวเอง เพื่อจะ
ตัดสินใจว่าเขาควรจะเข้าสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2
ดาวหรือไม่
ถึงเขาจะได้เป็นเจ้านายของเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า
แล้ว แต่ก็จะเป็นการสูญเปล่าถ้าเขาปล่อยให้โอกาสที่จะ
ได้เข้าทดสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวหลุดลอยไป
มันคงจะต้องมีสักครั้งที่เขาอยากจะขอยืมพาหนะสายฟ้า
ขั้นจงซรือจากดงอสูรสาขาอื่น
“สำหรั บ การทดสอบเป็ น นั ก ฝึ ก อสู ร ระดั บ 2
ดาว...”
หั ว หน้ า เฟิ ง ส่ า ยหน้ า “คุ ณ ไม่ จ ำเป็ น ต้ อ งสอบ
หรอก!”
“ผมไม่จำเป็นต้องสอบ?”
“ใช่ เพราะว่า...คุณผ่านการทดสอบ! คุณเป็นนักฝึก
อสูรระดับ 2 ดาวแล้ว!”
หัวหน้าเฟิงยิ้มเจื่อนๆ
ตอนที่ 261 การแข่งขันฝึกอสูร

“ผ่านการทดสอบ? จางเซวียนงงกับคำตอบของ
เขา” ผมได้สอบ...ตั้งแต่เมื่อไรกัน?"
ก่อนหน้านี้ หัวหน้าเฟิงยังไม่ทันได้อธิบายเรื่องการ
สอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวให้เขาฟัง เรื่องเร่งด่วน
ของเจ้าเขี้ยวเหล็กสายฟ้าก็เข้ามาเสียก่อน ในเมื่อจางเซ
วียนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการทดสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2
ดาวเขาทำกันอย่างไร แล้วอยู่ดีๆ...เกิดสอบผ่านขึ้นมา
เสียอย่างนั้น?
“การทดสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวง่ายกว่า
ระดับ 1 ดาวมาก ผู้เข้าสอบแค่ต้องฝึกอสูรขั้นจงซรือให้
เชื่องเท่านั้น...ในเมื่อเจ้าเขี้ยวเหล็กสายฟ้ายอมจำนนต่อ
คุณแล้ว ก็แปลว่าคุณทำได้ตามเงื่อนไข!” นักฝึกอสูรลู่
พูด
“ฮะ? ง่ายอย่างนั้นเลย?” จางเซวียนงง
เขาต้องเหนื่อยยากกับการสอบปากเปล่า กว่าจะ
ผ่านการทดสอบเป็นนักฝึกอสูรระดับ 1 ดาวได้ ไม่คิด
ว่าการสอบระดับ 2 ดาวจะง่ายดายขนาดนี้
ได้ยินเขาพูด ทุกคนก็ใบ้กิน
อสูรทุกตัวที่สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือต่างก็มีความ
หยิ่งผยองในตัวเองและจะไม่ยอมจำนนต่อมนุษย์ง่ายๆ
เห็นได้ชัดจากเจ้าเขี้ยวเหล็กสายฟ้าที่ไม่เคยยอมจำนนให้
ใคร ทั้งที่หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆดูแลมันมานานกว่า 10
ปี
จางเซวียนได้ช่วยชีวิตของมันไว้ในภาวะที่มันกำลัง
ย่ำแย่ มันจึงสำนึกในบุญคุณของเขาและยอมจำนนทันที
มิฉะนั้น หากเป็นสภาวะปกติ ก็ไม่มีทางที่ใครจะทำให้
อสูรขั้นจงซรือเชื่องได้ง่ายๆแบบนั้น
“นักฝึกอสูรจาง ผมเกรงว่าตราสัญลักษณ์นักฝึก
อสูรระดับ 2 ดาวของคุณคงจะยังไม่เรียบร้อยภายในวันนี้
อย่างเร็วที่สุด พรุ่งนี้ผมถึงจะส่งมันให้คุณได้ ทำไมคืนนี้
คุ ณ ไม่ พั ก ที่ นี่ เ สี ย ก่ อ น ผมยั ง มี บ างเรื่ อ งที่ อ ยากแลก
เปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณ!”
หัวหน้าเฟิงยิ้ม
“เอ่อ...” จางเซวียนลังเล
“เจ้าเขี้ยวเหล็กสายฟ้าน่ะสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจื้อจุน
แล้ว ความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นอีกมาก ถึงสันเขาบัวแดง
จะอยู่ไกล แต่คุณน่าจะไปถึงที่นั่นได้ภายใน 2 วัน อีก
อย่าง นี่ก็เริ่มมืดแล้ว คุณพักที่นี่สักคืนก็น่าจะดี”
หัวหน้าเฟิงหว่านล้อม
“ก็ได้!”
จางเซวียนเงยหน้า และได้เห็นว่าระหว่างที่เขา
กำลั ง วุ่ น วายกั บ ภารกิ จ อยู่ ท้ อ งฟ้ า ได้ เ ริ่ ม มื ด แถม
พระอาทิตย์ยังใกล้ตกแล้วด้วย เขาจึงพยักหน้า
“เอาล่ะ นักฝึกอสูรจาง เชิญทางนี้”
เห็นอีกฝ่ายตกลง หัวหน้าเฟิงให้ยินดีปรีดา เขา
กระวีกระวาดเชื้อเชิญ
“ไปกันเถอะ!” จางเซวียนพยักหน้าและเดินตาม
เขาไป
เมื่อความอึกทึกอลหม่านได้จบลงแล้ว ฝูงชนก็พา
กันแยกย้าย
.....
“นายกำลังจะบอกว่า...ไม่ใช่แค่นักฝึกอสูรจางจะ
รักษาเจ้าเขี้ยวเหล็กสายฟ้าได้เท่านั้น แต่เขายังฝึกมันให้
เชื่องได้ด้วย?”
“เขารักษามันหาย ทั้งๆที่ระดับบรมครูชิงหยางก็ยัง
ไม่มีปัญญา?”
“นายต้องล้อฉันเล่นแน่ ใช่ไหม?”
“อสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจื้อจุน?”
ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งดงอสูรอย่างรวดเร็ว เมื่อได้
รู้ข่าว ปฏิกิริยาแรกของทุกคนคืออาการไม่อยากเชื่อ เสิ่น
ปี้หรูที่รออยู่ข้างนอกรู้สึกว่าตัวเองเซ่อแบบหมดสภาพ
เธอรู้ว่าอาจารย์จางมักสร้างความสั่นสะเทือนในทุก
ที่ที่เขาไป แต่ไม่คิดว่าจะอลหม่านครึกโครมได้ขนาดนี้
สามารถวินิจฉัยอาการป่วยที่แม้แต่บรมครูชิงหยาง
ยังดูไม่ออก หมอนี่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา
โรคตั้งแต่เมื่อไหร่?
แถมยังทำให้อสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้ายอมจำนน และ
ได้เป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว...
“สงสั ย จริ ง ว่ า ถ้ า เราบอกฮั่ น ฉง เธอจะเชื่ อ หรื อ
เปล่า...”
หลังจากถามย้ำกับหยวิ๋นเทาอีก 2 ครั้งเพื่อความ
แน่ใจ รอยยิ้มขมขื่นก็ปรากฏบนใบหน้าของเสิ่นปี้หรู
เพื่อนรักของเธอ, ฮั่นฉง ได้ใช้ความพยายามอย่าง
หนักกว่าจะได้เป็นผู้ช่วยนักฝึกอสูร ผ่านมาก็หลายปีแล้ว
ฮั่นฉงก็ยังไม่สามารถก้าวผ่านขั้นสุดท้ายเพื่อให้ได้เป็นนัก
ฝึกอสูรอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ชายคนนี้สอบผ่าน ทั้งๆที่
ความตั้งใจของเขาคือแค่อยากขอยืมพาหนะสายฟ้าจาก
ดงอสูรเท่านั้น...
ไม่เพียงแต่จะได้เป็นนักฝึกอสูรอย่างเป็นทางการ
ยังไปได้ถึงระดับ 2 ดาวอีกต่างหาก...ที่หนักกว่านั้น ยัง
คว้าสมบัติล้ำค่าของดงอสูรไปครอบครองด้วย...
ถ้าเล่าเรื่องนี้ให้ฮั่นฉงฟัง เธอต้องคลั่งแน่
.....
ในฐานะนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว จางเซวียนได้รับ
สิทธิพิเศษมากมาย อย่างแรกคือได้รับที่พักในดงอสูร เขา
รู้ว่าเสิ่นปี้หรูไม่มีที่พัก จางเซวียนจึงให้เธอเข้าไปพักที่นั่น
ก่อน ส่วนตัวเขาตามหัวหน้าเฟิงไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งมี
ขนาดใหญ่
“นักฝึกอสูรจางมีความสามารถโดดเด่นจริงๆ แถม
ยังเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ด้วย สิ่งนี้น่าจะมีประโยชน์กับ
คุณ!”
หลังจากทั้งคู่นั่งลง หัวหน้าเฟิงก็ยิ้มและยื่นของสิ่ง
หนึ่งให้จางเซวียน
เมื่อรับมาแล้ว จางเซวียนก้มลงมอง แล้วก็ต้อง
ประหลาดใจ
“หยกแห่งการรู้แจ้ง!?”
หยกแห่งการรู้แจ้งคือสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองจ้าวเฟิงผู้
เป็นบิดาของจ้าวหย่ามอบให้เขาตอนที่อยู่ในอาณาจักร
เทียนเซวียน มันมีประโยชน์ในการช่วยยกระดับความล้ำ
ลึกของจิตวิญญาณ
“ใช่แล้ว!” หัวหน้าเฟิงพยักหน้า
จางเซวียนจ้องเขาอย่างฉงน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมืองไป๋หยูขุดแร่หยกได้
จำนวนมหาศาล แต่ก็มีหยกแห่งการหยั่งรู้เพียงชิ้นเดียว
แสดงให้เห็นถึงความหายากและล้ำค่าของมัน แต่หัวหน้า
เฟิงคนนี้มอบให้เขาแบบง่ายๆ...
“ผมได้มันมาโดยบังเอิญ ในฐานะนักฝึกอสูร มัน
ไม่ มี ป ระโยชน์ อ ะไรกั บ ผมเลย แต่ คุ ณ เป็ น ผู้ ช่ ว ย
ปรมาจารย์ และสุดท้ายก็คงต้องเข้าสอบเป็นปรมาจารย์
ถึงอย่างไรคุณก็คงจะได้ใช้มันเพื่อช่วยยกระดับความล้ำ
ลึกของจิตวิญญาณ แทนที่จะปล่อยให้มันถูกฝุ่นจับอยู่ใน
คลังสมบัติของผม ผมมอบให้คุณน่าจะดีกว่า”
เห็นจางเซวียนฉงน หัวหน้าเฟิงอธิบาย
จางเซวียนพยักหน้า กำลังจะอ้าปากพูด นักฝึกอสูร
ลู่ก็ฉีกยิ้ม “ผมรู้ว่านักฝึกอสูรจางสำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้น
สูงสุดแล้ว และอีกนิดเดียวก็จะถึงขั้นกึ่งจงซรือ ผมมี
หนังสือเกี่ยวกับเทคนิคการฝึกวรยุทธอยู่จำนวนหนึ่งที่ผม
เคยใช้ จึงอยากมอบให้คุณ ถึงคุณจะมีอาจารย์ผู้เก่งกาจ
อยู่แล้วและคงไม่ขาดแคลนของพวกนี้ แต่ก็ได้โปรดรับ
มันไว้เป็นสัญลักษณ์แทนความจริงใจของผม”
เมื่อพูดจบ เขาก็ยื่นหนังสือสองสามเล่มให้จางเซ
วียน
จางเซวียนรับมาพลิกดู มันคือเทคนิคการฝึกวรยุทธ
ขั้นกึ่งจงซรือจริงๆ
“ผมไม่ได้ร่ำรวยอย่างสองคนนั้น และไม่มีสมบัติ
ล้ำค่ามากมายนัก ที่ผมมีคือดาบเล่มนี้ ผู้ประดิษฐ์มันคือ
บรมครูด้านการตีเหล็กฉิงเหยียนจื่อแห่งอาณาจักรเทียน
หวู่ ผมขอมอบมันให้คุณ!”
นักฝึกอสูรหวังยิ้มและลูบเคราขณะที่ยื่นดาบให้จาง
เซวียน
“เดี๋ยวก่อน...”
เห็นผู้อาวุโสทั้ง 3 มอบของกันให้วุ่น จางเซวียนรีบ
หยุดพวกเขาไว้
โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี
เขาไม่คิดว่าชื่อเสียงของตัวเองจะเลื่องลือขนาดที่
นักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวจะต้องมอบของขวัญล้ำค่าให้ทั้ง
ที่เพิ่งจะพบหน้ากัน
“ถ้าพวกคุณมีอะไรอยู่ในใจ บอกผมมาเถอะ!”
“สมกับที่เป็นนักฝึกอสูรจาง คุณช่างตรงไปตรงมา
นัก!” หัวหน้าเฟิงสบตากับอีก 2 คนก่อนจะพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นผมจะเข้าเรื่องเลย มีบางอย่างที่พวกเรา
อยากขอความช่วยเหลือจากคุณ”
“คุณอยากให้ผมช่วย?” จางเซวียนชะงัก
ตอนนี้จางเซวียนได้เป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว แต่
ทั้งสามคนก็เป็นเหมือนกัน แถมยังทำหน้าที่ผู้นำดงอสูร
มาหลายต่อหลายปี เส้นสนกลในของพวกเขาต้องเหนือ
ชั้นกว่าจางเซวียนแน่ จางเซวียนนึกไม่ออกว่ามีอะไรที่จะ
ต้องให้เขาช่วย
หรือว่า...
“วิธีฝึกอสูรด้วยการอัดมันให้น่วมน่ะ อาจารย์ของ
ผมเป็นคนคิดค้นขึ้นมา เขากำชับผมไว้ว่าห้ามถ่ายทอด
ให้ใคร ดังนั้น...”
หลังจากที่ถ่ายโอนเนื้อหาจากหนังสือทั้งหมดที่อยู่
ในหอสมุดของดงอสูรมาแล้ว จางเซวียนเข้าใจดีว่าทำไม
ทุกคนถึงตกตะลึงกับวิธีฝึกอสูรด้วยการอัดมันให้น่วมของ
เขา
เป็ น เพราะพลั ง ปราณเที ย บฟ้ า อั น บริ สุ ท ธิ์ และ
ความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้าที่ชี้ข้อบกพร่องของ
อสูรให้เขาเข้าใจ เขาจึงฝึกมันให้เชื่องได้โดยง่าย ต่อให้
เขาอยากถ่ายทอดให้นักฝึกอสูรทั้งสาม พวกนั้นก็ไม่มีทาง
ลอกเลียนแบบวิธีการของเขาได้เลย อีกอย่าง ก็เสี่ยงต่อ
การที่เคล็ดวิชาเทียบฟ้าจะถูกเปิดเผยด้วย
ชัดเจนว่าที่ผู้อาวุโสทั้งสามพากันมอบของขวัญให้
เขาก็เพราะมีเรื่องอยากขอร้อง แต่จางเซวียนก็ไม่มีทาง
สอนวิธีฝึกอสูรด้วยการอัดมันให้น่วมให้กับทั้งสามคนได้
การพูดดักคอไว้ก่อนจึงน่าจะดีที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด สถานภาพของอาจารย์ได้รับ
ความเคารพอย่างสูงในโลกใบนี้ คำพูดของอาจารย์ถือ
เป็นเด็ดขาดกับบรรดาลูกศิษย์ของเขา ถ้าอาจารย์ของ
จางเซวียนกำชับไม่ให้เขาถ่ายทอดวิชานี้ให้ใคร เขาก็จะ
ต้องไม่ถ่ายทอดมัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม
เมื่อพูดแบบนั้นออกไปแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสามก็คงจะไม่
เซ้าซี้เรื่องนี้อีก และมันก็จะเป็นทางออกที่ดี
“เอ่อ นักฝึกอสูรทุกคนมีเคล็ดลับของตัวเอง ถ้าคุณ
ไม่เต็มใจจะถ่ายทอดมัน พวกเราก็จะไม่ถาม อันที่จริง
จุดประสงค์ของพวกเราไม่ใช่เรื่องนี้”
หัวหน้าเฟิงส่ายหน้า
ก็เหมือนกับการที่นักปรุงยาส่วนใหญ่มีเทคนิคการ
ปรุงยาของตัวเอง นักฝึกอสูรส่วนมากก็มีวิธีการฝึกอสูร
ในแบบของตัวเองเหมือนกัน ด้วยการฝึกวรยุทธและ
บุคลิกที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน พวกเขาจึงมีวิธีการฝึก
อสูรเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป ต่อให้ได้เรียนวิธีการของ
อี ก ฝ่ า ย ก็ รั บ ประกั น ไม่ ไ ด้ ว่ า จะสามารถทำได้ ส ำเร็ จ
เหมือนต้นแบบ
ในเมื่อความเป็นไปได้ก็มีน้อย แถมยังอาจจะขัดใจ
กันด้วย ไม่แตะต้องหัวข้อนี้จะดีกว่า
“ไม่ ใ ช่ แ บบนั้ น หรื อ ?” จางเซวี ย นงง “หรื อ
ว่า...พวกคุณทั้งสามมีโรคร้ายที่รักษาไม่หายและอยากให้
ผมช่ ว ยรั ก ษา? คุ ณ มี อ าการเดี ย วกั บ เจ้ า เขี้ ย วเหล็ ก
สายฟ้า กินไม่ได้นอนไม่หลับ? ถ้ามันแย่ขนาดนั้น คุณจะ
ทดลองวิธีการของบรมครูชิงหยางก็ได้...”
“แค่ก แค่ก!”
ได้ฟังแบบนั้น หัวหน้าเฟิงและคนอื่นๆถึงกับสำลัก
รู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกายท่อนล่างเลยทีเดียว
นี่คุณคิดบ้าอะไรอยู่?
พวกเราแค่ขอความช่วยเหลือ! ถ้าปล่อยให้คุณทำ
แบบนั้น คงได้กลายเป็นขันทีแน่...
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้!” กลัวว่าถ้าปล่อยให้จางเซวี
ยนเพ้อเจ้อไปเรื่อย เกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเขาคงป่นปี้
ไม่มีเหลือ หัวหน้าเฟิงรีบขัด “ก็เหมือนกับสมาคมนักปรุง
ยานั่นแหละ ดงอสูรก็มีอยู่หลายสาขา ในเมื่อคุณเป็นนัก
ฝึกอสูรอย่างเป็นทางการแล้ว ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไร
มาก”
“อือ!” จางเซวียนพยักหน้า
หลังจากได้อ่านหนังสือในหอสมุด จางเซวียนก็มี
ความเข้าใจเรื่องดงอสูรมากขึ้น
ดงอสูรไม่ได้มีที่เดียว มันมีสาขามากมายแบบเดียว
กับที่หุบเขาเชียนหลัวนี้กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วโลก
“ดงอสูรของเราเป็นสาขาระดับอาณาจักรขั้น 2
เราอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของดงอสูรแห่งอาณาจักร
ชวนหยวน”
ดงอสูรแต่ละสาขาก็มีขั้นแตกต่างกันไป
ดงอสู ร แห่ ง หุ บ เขาเชี ย นหลั ว จะติ ด ต่ อ ค้ า ขายกั บ
อาณาจักรขั้น 2 จำนวนสิบกว่าอาณาจักรที่อยู่โดยรอบ
มันได้ชื่อว่าเป็นสาขาที่อยู่ในขั้นต่ำสุด
ซึ่ ง อาณาจั ก รชวนหยวนเป็ น อาณาจั ก รอั น ทรง
เกียรติที่อยู่ใกล้กับดงอสูรแห่งนี้มากที่สุด
ลำดับขั้นของอาณาจักรแบ่งออกได้เป็น อาณาจักร
อันทรงเกียรติ อาณาจักรขั้น 1 อาณาจักรขั้น 2 และ
อาณาจักรไร้ขั้น (ซึ่งหมายความว่าไม่มีปรมาจารย์คอย
ดูแล อาณาจักรนั้นจึงมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะได้รับ
การจัดอันดับ)
อาณาจักรเทียนเซวียนเป็นอาณาจักรไร้ขั้น ส่วน
อาณาจักรเป๋ยอู๋ที่มีปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวช่วยบริหาร
อาณาจักร ถือเป็นอาณาจักรขั้น 2
อาณาจักรเทียนหวู่ ซึ่งมีปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว
ถือเป็นอาณาจักรขั้น 1
ส่วนอาณาจักรซวนหยวนมีปรมาจารย์ระดับ 3
ดาว จึ ง ได้ รั บ การจั ด อั น ดั บ ให้ เ ป็ น อาณาจั ก รอั น ทรง
เกียรติ ในฐานะอาณาจักรอันทรงเกียรติ จะได้รับสิทธิ์ใน
การสร้างระบบขนส่งขนาดใหญ่เพื่อค้าขายแลกเปลี่ยน
กับอาณาจักรอื่นได้ เมื่อมีฐานะเป็นศูนย์กลางการค้าขาย
แลกเปลี่ยนแล้ว อำนาจของอาณาจักรนั้นก็จะพุ่งพรวด
อย่างต่อเนื่อง
“อาณาจักรชวนหยวนจัดการแข่งขันฝึกอสูรทุก 5
ปี และจะเชิญนักฝึกอสูรรุ่นใหม่จากดงอสูรทุกสาขาที่อยู่
ในเครือเข้าร่วมแข่งขัน”
หัวหน้าเฟิงอธิบาย
“ในเมื่อคุณเป็นนักฝึกอสูรของดงอสูรแห่งหุบเขา
เชียนหลัว จึงถือว่าคุณเป็นสมาชิกของเราคนหนึ่ง ผม
หวังว่าคุณจะเข้าร่วมการแข่งขันในนามของดงอสูรของ
เรา”
“การแข่งขันฝึกอสูร?”
“ถูกต้อง การแข่งขันฝึกอสูรครั้งนี้จะนำพาให้นักฝึก
อสูรผู้เก่งกาจจำนวนมากมายจากอาณาจักรโดยรอบมา
รวมตัวกัน ถ้าคุณสามารถแสดงทักษะอันโดดเด่นออกมา
และคว้าชัยชนะมาได้ คุณก็จะได้รับการยกย่องอย่างสูง
จากดงอสู ร ทรั พ ยากรทุ ก ชนิ ด จะไหลมาเทมาเพื่ อ
ประโยชน์ของคุณ และชื่อเสียงของดงอสูรสาขาเราก็จะ
เป็นที่เลื่องลือ”
เมื่อพูดจบ หัวหน้าเฟิงก็มองหน้าจางเซวียนอย่าง
คาดหวัง
“เอ่อ...”
จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าทั้งสามจะขอความช่วยเหลือ
เรื่องนี้ เขามองหัวหน้าเฟิงแล้วถาม “การแข่งขันจะมีขึ้น
เมื่อไร?”
ถ้าจะแข่งกันเร็วๆนี้ เขาก็จะปฏิเสธทันที
เรื่องสำคัญของเขาเวลานี้คือการรบกับรังสีพิษที่
ตกค้างอยู่ในร่างกาย และการเข้ารับการทดสอบเป็น
ปรมาจารย์
เหตุผลเดียวที่เขาสอบเป็นนักฝึกอสูรก็เพราะอยาก
ใช้พาหนะสายฟ้าฟรีเท่านั้น
“อีกครึ่งปีนับจากนี้ ที่เมืองหลวงของอาณาจักร
ชวนหยวน” หัวหน้าเฟิงตอบ
“อีกครึ่งปี? เอ่อ...ผมขอดูก่อนก็แล้วกันว่าถึงตอน
นั้นจะมีเวลาหรือเปล่า!”
จางเซวียนไม่อยากรับคำเดี๋ยวนั้น เพราะไม่อยากให้
สัญญาที่ตัวเองอาจทำไม่ได้
“คุณอายุเพียงเท่านี้ แต่ก็ได้เป็นนักฝึกอสูรระดับ 2
ดาวแล้ว แถมยังมีทักษะการรักษาโรคและเป็นผู้ช่วย
ปรมาจารย์ด้วย ถ้าคุณเข้าร่วมการแข่งขันล่ะก็ จะต้องมี
อันดับที่น่าพอใจแน่!”
เห็นจางเซวียนไม่ยอมเออออห่อหมกกับคำพูดของ
เขา หัวหน้าเฟิงตัดสินใจโยนไพ่ไม้ตาย “อีกอย่าง ถ้าคุณ
ชนะการแข่งขัน คุณจะได้รับรางวัลมหาศาลทีเดียว!”
“รางวัลน่ะไม่สำคัญหรอก ผมยังไม่รู้ว่าถึงตอนนั้น
ผมจะว่างหรือเปล่า”
จางเซวียนส่ายหน้า
ถูกปฏิเสธขนาดนั้น หัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆก็ได้แต่
ผิดหวัง แต่พวกเขากล้ำกลืนความชอกช้ำอยู่ได้ไม่นาน
เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น
“เอ่อ ว่าแต่...รางวัลคืออะไร?”
ตอนที่ 262 ชี้แนะโม่หยู่

“ของรางวัลในการแข่งขันแต่ละครั้งจะแตกต่างกัน
ไป แต่มันมีเยอะแยะไปหมด และที่สำคัญกว่านั้นคือ ถ้า
ทางดงอสูรให้การรับรอง คุณจะมีโอกาสได้ศึกษาใน
อาณาจักรขั้นสูงกว่าด้วย”
ได้ฟังคำถามของเขา หัวหน้าเฟิงรีบอธิบาย
“อันที่จริง ของรางวัลที่ผู้ชนะคนก่อนได้คือตรา
หยกสำหรับเข้ารับคำชี้แนะจากปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว
และเคล็ดวิชาการฝึกอสูรสายน้ำเชี่ยวกราก”
“คุณเรียกแบบนี้ว่าเยอะแยะหรือ?” จางเซวียนใบ้
กิน
เขาคิดว่าผู้ชนะคงได้รับของรางวัลล้ำค่ามากมาย
แต่กลับกลายเป็นตราหยกสำหรับเข้ารั บ คำชี้ แ นะจาก
ปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว และเคล็ดวิชาฝึกอสูร...สำหรับ
เขา มันไม่มีค่าเลย
“ถ้าผมชนะการแข่งขัน แต่ไม่อยากได้ของรางวัล
พวกนั้น จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม?” จางเซวียนถาม
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากได้อะไร!” หัวหน้าเฟิงมอง
เขาอย่างงุนงง
แม้แต่ตัวเขา ตราหยกสำหรับเข้ารับคำชี้แนะจาก
ปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวก็ยังถือเป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้
แต่เจ้าหนุ่มคนนี้ยังไม่พอใจ? ยังอยากได้อะไรที่มีค่ากว่านี้
อีก?
“ผมจะขอเปลี่ยนเป็นหนังสือเทคนิคการฝึกวรยุทธ
สักสองสามเล่มแทนได้ไหม?” จางเซวียนถาม
“หนังสือเทคนิคการฝึกวรยุทธ? สองสามเล่ม?” นัก
ฝึ ก อสู ร ทั้ ง สามมี เ ครื่ อ งหมายคำถามอั น เบ้ อ เร่ อ อยู่ บ น
ใบหน้า
คุ ณ คิ ด ว่ า ห นั ง สื อ เ ท ค นิ ค ก า ร ฝึ ก ว ร ยุ ท ธ มี
กลาดเกลื่อนเหมือนกะหล่ำปลีในตลาดหรือ? อยากได้ที
เดียว...สองสามเล่ม?
จางเซวียนพยักหน้า “ใช่ หนังสือเทคนิคการฝึกวร
ยุทธขั้นจงซรือ ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี อันที่จริง ถ้าเป็นไปได้
ผมอยากได้หนึ่งพันเล่ม”
“หนึ่งพันเล่ม?”
ทุกคนถึงกับทรุด
พวกเขาคิดว่า ‘สองสามเล่ม’ ของจางเซวียนคง
หมายถึ ง สิ บ กว่ า เล่ ม หรื อ ประมาณนั้ น แต่ นี่ อ ยากได้
หนังสือหนึ่งพันเล่ม...คุณคิดจะปล้นสมบัติของดงอสูรให้
หมดหรือ?
“คุณอยากได้เทคนิคการฝึกวรยุทธขั้นไหนล่ะ?” หัว
หน้าเฟิงถามเพราะไม่รู้จะพูดอะไร
มีเทคนิคการฝึกวรยุทธอยู่หลายขั้น ยิ่งขั้นสูงขึ้นก็
จะยิ่งมีค่ามาก จะหาหนังสือเทคนิคการฝึกวรยุทธขั้นสูง
ให้ได้สักเล่มก็ยากพอแล้ว หนึ่งพันเล่มยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“อ๋อ ผมไม่เจาะจงขั้นหรอก ขั้นไหนก็ได้ทั้งนั้น ที่
ผมต้องการคือปริมาณ ผมอยากได้หนังสือเทคนิคการฝึก
วรยุทธขั้นจงซรือเยอะๆ”
“เอ่อ...”
ทุกคนชะงัก
ถ้าจางเซวียนไม่เจาะจงขั้น หนังสือเทคนิคการฝึก
วรยุ ท ธก็ มี ร าคาถู ก มาก ในอาณาจั ก รขั้ น 1 และ
อาณาจักรขั้น 2 หนังสือวรยุทธขั้นจงซรือก็ยังจัดว่ามีค่า
แต่สำหรับอาณาจักรอันทรงเกียรติแล้ว พวกมันมีราคา
ไม่สูงเลย
ตราบใดที่มีเงินก็ซื้อได้ง่ายๆ...แต่เจ้าหนุ่มคนนี้คิด
จะแลกตราหยกสำหรับเข้ารับฟังคำชี้แนะจากปรมาจารย์
ระดับ 3 ดาวกับหนังสือพวกนี้น่ะหรือ?
เสียของจริงๆ!
แม้แต่ในอาณาจักรอันทรงเกียรติ ปรมาจารย์ระดับ
3 ดาวก็ยังถือเป็นบุคคลชั้นยอด การได้ฟังคำชี้แนะของ
พวกเขาเป็นสิ่งที่นักรบจำนวนนับไม่ถ้วนต่างใฝ่ฝันถึง แต่
จางเซวียนกลับอยากจะแลกสิ่งนี้กับหนังสือเทคนิคการ
ฝึกวรยุทธที่แสนจะไร้ค่า
ทำไมเขาถึงเก็บเปลือกหอยไว้แล้วโยนไข่มุกที่อยู่
ข้างในทิ้งไป?
ก็น่าจะรู้อยู่ว่านักรบคนหนึ่งสามารถใช้เทคนิคการ
ฝึกวรยุทธได้เทคนิคเดียว ถ้าอยากจะเปลี่ยนเทคนิคการ
ฝึกวรยุทธของตัวเอง ก็ต้องเริ่มต้นล้มลุกคลุกคลานกัน
ใหม่
ถ้าจางเซวียนอยากได้เทคนิคการฝึกวรยุทธอันทรง
พลัง พวกเขาก็ยังเข้าใจ แต่ไม่เจาะจงคุณภาพแบบนี้...ก็
มีแต่จะทำให้วรยุทธของตัวเองเสียหายเท่านั้น!
เมื่อตรึกตรองดูแล้ว นักฝึกอสูรทั้งสามก็ได้แต่จ้อง
จางเซวียนด้วยสายตาแปลกๆ ความต้องการของนักฝึก
อสูรจาง...ช่างพิสดารเหลือเกิน!
“ถ้าคุณไม่เจาะจงขั้นล่ะก็ สิ่งที่คุณต้องการนั้นไม่
ยากเลย พวกเขาคงจะหาให้ได้แน่... แต่คุณจะต้อง
เอาชนะการแข่งขันฝึกอสูรให้ได้ก่อน”
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หัวหน้าเฟิงก็พยัก
หน้า
เคยมีผู้ชนะที่ขอเปลี่ยนรางวัลของการแข่งขันฝึก
อสูรเป็นอย่างอื่นอยู่เหมือนกัน ตราบใดที่มีมูลค่าใกล้
เคี ย งกั น และอยู่ ใ นขอบเขตที่ พ วกเขาจะทำได้ เพื่ อ
เอาชนะใจของนักฝึกอสูรผู้ปราดเปรื่อง ทางดงอสูรก็จะ
ไม่ปฏิเสธ
“ได้ ผมตกลงกับคำขอของพวกคุณ!” จางเซวียน
ตอบ
ยิ่งเขามีวรยุทธสูงขึ้น การรวบรวมหนังสือเทคนิค
การฝึกวรยุทธก็ยิ่งยากเย็นกว่าเดิม อีกไม่นานเขาก็จะ
ต้องเดินทางไปยังอาณาจักรอันทรงเกียรติ และด้วยการ
มีดงอสูรหนุนหลัง นั่นก็ถือว่าดีที่สุด
“เยี่ยมเลย! ถ้าอย่างนั้น อีกครึ่งปีนับจากนี้ เราพบ
กันที่เมืองหลวงของอาณาจักรชวนหยวน!”
ได้ยินจางเซวียนตอบตกลง นักฝึกอสูรทั้งสามตาโต
และกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น
ดงอสูรแห่งหุบเขาเชียนหลัวของพวกเขารั้งที่โหล่
ในการแข่งขันมาตลอด แต่ตอนนี้มีนักฝึกอสูรผู้เก่งกาจ
มาร่วมวงแล้ว พวกเขาจะต้องทำให้ดงอสูรที่อื่นๆยำเกรง
แน่
หลั ง จากแก้ ปั ญ หาเรื่ อ งการแข่ ง ขั น ฝึ ก อสู ร ลุ ล่ ว ง
พวกเขาก็สนทนากันต่ออีกครู่ใหญ่ ถึงจะเรียกว่าเป็นการ
สนทนา แต่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของนักฝึกอสูรทั้งสามก็
คืออยากล้วงข้อมูลจากจางเซวียน เมื่อล้วงอะไรไม่ได้ ทั้ง
สามจึงตัดสินใจจะปล่อยผ่านไป
เพราะเมื่อไรก็ตามที่การสนทนามาถึงจุดที่กำลังจะ
เข้าด้ายเข้าเข็ม เจ้าหนุ่มคนนี้ก็จะตีหน้าเซ่อ ไม่หือไม่อือ
ขึ้นมาทันที พวกเขาแสนจะหงุดหงิดกับทีท่าแบบนั้น แต่
ก็ทำอะไรไม่ได้
ในเมื่อคุณบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกเราก็จะ
ปล่อยผ่านไป
แต่ ใ นฐานะศิ ษ ย์ พี่ ข องปรมาจารย์ แ ละผู้ ช่ ว ย
ปรมาจารย์ อย่ า งน้ อ ยคุ ณ ก็ ต้ อ งรู้ ว่ า การทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์เขาทำกันอย่างไร ถูกไหม? หรืออย่างน้อย
ที่สุด คุณก็ควรจะรู้ว่าการยกระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณต้องทำอย่างไร ใช่ไหมล่ะ?
ในท้ายที่สุด...ก็กลายเป็นว่าเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย
เอาเถอะ เราจะทน!
เมื่อดูจากความเก่งกาจของคุณในวิธีการรักษาโรค
อย่างน้อยคุณก็ต้องมีความรู้เรื่องการแพทย์พื้นฐาน...จะ
บอกว่าไม่รู้อะไรเลยได้อย่างไร!
เราก็จะทนอีกเหมือนกัน!
คุณเป็นถึงนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว จะไม่รู้วิธีขี่
พาหนะสัตว์ปีกและไม่รู้จักดงอสูรสาขาอื่นๆได้อย่างไร...
แต่ก็เอาเถอะ สมมุติว่าเราทนได้ แล้วตอนที่คุณ
ถามเราว่าป่าดงดิบใหญ่แค่ไหน มีผู้ช่วยนักฝึกอสูรอยู่ที่
นั่นกี่คน และนักฝึกอสูรคนหนึ่งมีผู้ช่วยได้กี่คน...
ทำแบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า!
ถ้าไม่อยากบอกอะไรพวกเราเลย ก็แค่พูดว่าไม่
เต็มใจบอก
ทำโง่เซ่อไปเสียทุกเรื่องแบบนี้...
สนุกมากหรือ?
ก่อนหน้านี้ ตอนที่คุณฝึกอสูรให้เชื่อง รักษาเจ้า
เขี้ยวเหล็กเหินฟ้า ปรุงยา และตบหน้าทุกคน ก็ดูเหมือน
กับว่าไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ แต่มาตอนนี้กลับตีหน้าเซ่อ
ทำทีเหมือนคนโง่ ถ้าใครมาเห็นคุณสภาพนี้อาจจะนึกว่า
สติปัญญาไม่ปกติเสียด้วยซ้ำ...
หลังจากสนทนากันได้อีกไม่นาน นักฝึกอสูรทั้งสาม
ก็ทนจางเซวียนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขารีบอำลา
“อ้าว อย่าเพิ่งไป...ผมยังมีอีกหลายเรื่องอยากคุย
กับพวกคุณ!” จางเซวียนพยายามรั้งพวกเขาไว้
ฟึ่บ!
ทั้งสามสำแดงพลังวรยุทธ ร่างของพวกเขาเริ่มพร่า
เลือนและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
ใครอยากจะคุยกับเขาก็เชิญตามสบาย พวกเรายัง
ไม่อยากตายเพราะความโมโห...
“แต่ถึงจะคุยกันแป๊บเดียว เราก็ได้เรียนรู้หลาย
อย่าง”
จางเซวี ย นลุ ก ขึ้ น ยื น ไม่ ไ ด้ รู้ เ ลยว่ า ทั้ ง สามคิ ด
อย่างไร
ถึงหัวหน้าเฟิงกับคนอื่นๆจะเป็นแค่นักฝึกอสูร แต่
พวกเขาก็มีอำนาจและรู้ความเป็นไปของอาณาจักรโดย
รอบเป็นอย่างดี ทั้งยังมีความรู้กว้างขวางในหลากหลาย
อาชีพ คำพูดของพวกเขาทำให้จางเซวียนมีมุมมองกว้าง
ขึ้นอีกมาก
แม้โลกแห่งนี้จะไม่ทันสมัยเท่ากับโลกที่เขาอยู่ก่อน
จะทะลุมิติมา แต่ความรู้ที่เขาได้รับซึ่งเพิ่มขึ้นตามวัน
เวลาที่ผ่านไปนั้น มีความล้ำลึกกว่าความรู้ในโลกใบเก่า
ของเขามาก
จางเซวียนเพิ่งทะลุมิติมาได้เพียง 20 วันเท่านั้น
และเพิ่งจะปรับระบบความคิดของตัวเองให้เข้ากับโลกใบ
นี้ได้ ดังนั้น เขาจึงยังไม่เข้าใจอยู่หลายเรื่อง การได้พูดคุย
กับผู้คร่ำหวอดในวงการเหล่านี้ช่วยเปิดวิสัยทัศน์ของเขา
ได้มาก
หลั ง จากเดิ น ทางมาหลายวั น ประกอบกั บ ทุ ก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดงอสูรแห่งนี้ จางเซวียนออกจะ
เหนื่อยล้า เขามุ่งหน้าไปยังที่พักของตัวเองโดยมีผู้ช่วย
นักฝึกอสูรคนหนึ่งนำทางไป
เมื่อมาถึงที่พัก เขาเห็นร่างสวยสง่าประหนึ่งภาพ
วาดร่างหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า
“โม่หยู่?”
จางเซวียนถึงกับผงะ
ไม่ ใ ช่ ใ ครอื่ น คื อ อั จ ฉริ ย ะผู้ ปี น เกลี ย วกั บ เขามา
ตลอดวัน องค์หญิงที่สามแห่งอาณาจักรเทียนหวู่, โม่หยู่
“นั ก ฝึ ก อสู ร จาง!” เมื่ อ เห็ น จางเซวี ย น โม่ ห ยู่
กระวีกระวาดเดินมาทักทาย
“คุณรอผมอยู่หรือ?” จางเซวียนถามอย่างสงสัย
ตอนที่เขาเสร็จสิ้นการรักษาเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า
ดวงอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว จากนั้นเขายังสนทนากับนักฝึก
อสูรทั้งสามอีกกว่า 4 ชั่วโมง ถ้ากะคร่าวๆ ตอนนี้ก็น่าจะ
ปาเข้าไปสี่ทุ่ม ป่านนี้แล้ว เธอมารออยู่หน้าประตูทำไม?
“ใช่ มีบางเรื่องที่ฉันคิดจนหัวแทบแตกแล้วก็ยังไม่
เข้าใจ จึงตั้งใจมาถามคุณโดยเฉพาะ” โม่หยู่กัดฟัน
“เหรอ?”
“ตอนที่หม้อกำลังจะระเบิด คุณแน่ใจได้อย่างไรว่า
ยาจับตัวเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในหม้อแล้ว?”
โม่หยู่จ้องจางเซวียน
คิดให้ตาย เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าเขารู้ได้อย่างไร
ในฐานะนักปรุงยา เธอรู้ดีว่ากว่ายาเม็ดหนึ่งจะจับ
ตัวเป็นรูปเป็นร่างนั้นยากแค่ไหน ผิดพลาดไปเพียงเสี้ยว
วินาทีก็เปลี่ยนความสำเร็จให้กลายเป็นความล้มเหลวได้
มันจะต้องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่ยาเม็ดหนึ่งจะจับตัว
เป็นรูปเป็นร่างได้พอดีกับวินาทีที่หม้อระเบิด ถึงโม่หยู่จะ
เห็นทุกอย่างกับตาของตัวเอง ก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อ
มันดูเกินจริงไปมาก
“โชคช่วยน่ะ!” จางเซวียนตอบง่ายๆ
ด้วยการมีหอสมุดเทียบฟ้าควบคุมสถานการณ์อยู่
ตลอด จางเซวียนจึงรู้เวลาที่หม้อจะระเบิดและเวลาที่ยา
จะจับตัวเป็นรูปร่าง แต่เขาก็ไม่อาจเปิดเผยความจริงได้
ทำได้แค่แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
“โชคช่วยหรือ?” โม่หยู่ส่ายหน้า “ในการปรุงยาน่ะ
ไม่มีโชคช่วยหรอก จะเป็นพระคุณมากเลยถ้านักฝึกอสูร
จางจะให้ความกระจ่างกับฉัน”
ด้วยความเป็นอัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขา
อาชีพ โม่หยู่มีความใฝ่รู้อย่างแรงกล้า
ในตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อพยายาม
รำลึกถึงเหตุการณ์ก็ต้องประหลาดใจ เพราะคิดได้ว่า
ความเข้ า ใจเรื่ อ งสมุ น ไพรและความสามารถในการ
ควบคุมเปลวไฟของอีกฝ่ายนั้นเหนือกว่าอาจารย์ของเธอ
เสียอีก!
อาจารย์ของเธอเป็นถึงบรมครูด้านการปรุงยาระดับ
2 ดาวขั้นสูงสุด ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหวู่นั้นไม่มีใคร
เทียบได้
แต่ชายหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบกลับเก่งกว่าอาจารย์
ผู้สูงส่งของเธอ...มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
เธอคิดเอาเองว่าจางเซวียนคงใช้ลูกเล่นบางอย่าง
แต่ เ มื่ อ พยายามครุ่ น คิ ด ถึ ง ความเป็ น ไปได้ ต่ า งๆ
นานา ก็รู้ว่าไม่มีอะไรจะอธิบายการกระทำของเขาได้เลย
เธอจึงตัดสินใจมาที่นี่ โดยหวังว่าอาจได้ความกระจ่าง
“คุณอยากเรียนรู้จากผมหรือ?”
ตอนแรก จางเซวียนคิดว่าอีกฝ่ายคงจะกลับไปหลัง
จากการพูดคุยที่ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่เธอกลับจ้องหน้าเขา
อย่างเอาจริง
“ใช่ ฉันอยากเรียนรู้จากคุณ”
“ได้!”
จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจกับทีท่าของอีกฝ่าย
เธอเต็มใจจะก้มหัวลงเพื่อไขว่คว้าหาความกระจ่างโดยไม่
นำศักดิ์ศรีขององค์หญิงเข้ามาข้องเกี่ยว ด้วยความถ่อม
ตัวและความใฝ่รู้แบบนี้ ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเธอถึงมี
ความเชี่ยวชาญในหลายสาขาอาชีพ
“ในเมื่อคุณอยากเรียนรู้ ผมก็จะบอกคุณ!”
กับคนที่อยากเรียนด้วยใจจริง จางเซวียนก็ไม่คิดจะ
ปิดบังความรู้ของเขา เขาเอาสองมือไพล่หลัง และพูดขึ้น
ว่า
“การปรุ ง ยาคื อ ศิ ล ปะของการหลอมสมุ น ไพรที่ มี
ฤทธิ์เป็นยาหลายชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อให้คุณสมบัติทาง
ยาของมั น ออกฤทธิ์ ไ ด้ ดี ขึ้ น แต่ ก็ มี อ ยู่ ห ลายปั จ จั ย ที่ ผู้
หลอมจะต้องคำนึงถึง”
“ถ้าผมพูดไม่ผิด หม้อต้มยาใบที่ระเบิดนั้นถูกหลอม
ขึ้นจากโลหะเยือกแข็งที่มาจากภูเขาโลหะเยือกแข็งทาง
ตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรเทียนหวู่ ในการหลอม
นั้นมีหลายกระบวนการ ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ
ทั้งหมดก็ต้องใช้เวลาถึง 49 วัน แม้ผู้หลอมจะไม่ใช่ช่างตี
เหล็กอย่างเป็นทางการ แต่เขาก็เป็นนายช่างขั้น 5 ผู้มีชื่อ
เสียง หลังจากผ่านขั้นตอนมากมาย หม้อใบนี้ก็มีความ
ทนทานอย่างหาตัวจับยาก แต่ว่า...”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปอย่าง
ฉับพลัน “คุณใช้หม้อใบนี้ปรุงยามาแล้ว 18 ครั้ง และมี
ถึง 7 ครั้งที่มีสัญญาณว่าหม้อจะระเบิด แม้จะมีการใช้
พลังงานมหาศาลระงับการระเบิดของมันไว้ได้ แต่แรงดัน
ก็ได้ทำให้หม้อเสียหาย มีรอยร้าวจำนวนมากอยู่ภายใน
หม้อ ซึ่งถ้าเป็นเพียงเท่านั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าผม
พูดไม่ผิด เมื่อครึ่งเดือนก่อน คุณปรุงยาหัวใจยะเยือกโดย
ใช้หม้อใบนี้ รอยร้าวที่เกิดจากความเย็นที่หลงเหลืออยู่ได้
ปะทะกับความร้อนจากการปรุงยาเม็ดตะวันรอน ทำให้
หม้อเสียหายอย่างหนัก”
“ผู้หลอมควรจะใช้พลังปราณของตัวเองสมานหม้อ
เอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย แต่คุณไม่ได้ทำ
อย่างนั้น ทำให้เกิดปัญหาขึ้นหลายอย่างกับหม้อ ต่อให้
คราวนี้มันไม่ระเบิด ก็คงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก!”
“จบเรื่องหม้อไปแล้ว ก็มาพูดถึงสภาพแวดล้อมใน
การปรุงยา มันเป็นเวลาเย็นของฤดูใบไม้ร่วง บรรยากาศ
แวดล้อมจึงออกจะหนาวอยู่สักหน่อย ตอนที่คุณเริ่มต้น
ปรุงยา คุณไม่ได้อุ่นหม้อให้ได้อุณหภูมิพอเหมาะก่อนที่จะ
เร่งระดับความร้อน เพราะคุณใจเร็ว อยากจะแสดงความ
เชี่ยวชาญในการควบคุมเปลวไฟของตัวเองออกมา ถึง
มันจะดูลุกโชนดีอยู่ แต่ก็เท่ากับทำลายหม้อต้มยาของตัว
เอง...”
มาถึงตรงนี้ จางเซวียนเงยหน้าและยิ้มแฉ่ง “คุณโม่
ที่ผมพูดมานั้น...จริงไหม?”
โม่หยู่ตัวสั่นและอ้าปากค้าง
ตอนที่ 263 มุ่งหน้าสู่ห้องโถงแห่งยาพิษ

หม้อต้มยาใบนี้เป็นของขวัญที่โม่หยู่ได้จากอาจารย์
ของเธอเมื่อครั้งที่สอบผ่านการเป็นนักปรุงยาระดับ 1
ดาว เมื่อนึกย้อนไป เธอได้ใช้มันทำการปรุงยา 18 ครั้ง
และมีสัญญาณว่าหม้อจะระเบิดถึง 7 ครั้ง ในแต่ละครั้ง
อาจารย์ของเธอได้ช่วยระงับพลังงานร้อนแรงที่แผดเผา
อยู่ภายในไว้ได้
และเมื่อเดือนก่อน เธอก็ได้ปรุงยาหัวใจยะเยือก
คำพูดของอีกฝ่ายถูกต้องทั้งหมด
แค่มองหม้อต้มยาของเธอ ก็บอกได้ถึงขนาดนี้?
น่าอัศจรรย์!
โม่หยู่สั่นไปทั้งตัวและไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง มัน
เหมือนกับฝันไป
“แต่ ก็ แ น่ น อนว่ า ทั้ ง หมดนี้ เ ป็ น แค่ พื้ น ฐานเท่ า นั้ น
มันบอกได้ว่าหม้อจะระเบิด แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะระบุได้
ว่ามันจะระเบิดเมื่อไร ระเบิดรุนแรงแค่ไหน และจะระเบิด
นานเท่าไร”
เห็นอีกฝ่ายยังอึ้งอยู่ จางเซวียนพูดต่อ
“เพื่อให้แน่ใจ ปริมาณสมุนไพรแต่ละชนิดที่ใช้จึง
ต้องได้ระดับของมันจริงๆ ส่วนผสมหลักของยาเม็ดตะวัน
รอนคือสมุนไพรที่มีฤทธิ์หยาง 9 ชนิด ด้วยการรักษา
ความสมดุลอันละเอียดอ่อนระหว่างสมุนไพรทั้ง 9 ชนิดนี้
ไว้ให้คงที่เท่านั้นจึงจะป้องกันการปะทะกันของพลังงาน
ได้ เมื่อไรก็ตามที่เสียสมดุล การควบคุมสถานการณ์จะ
ทำได้ยากมาก ไม่ต่างอะไรกับการจุดระเบิด”
“ตอนแรกๆที่คุณยังใส่สมุนไพรลงไปตามคำสั่งของ
ผมอย่างเคร่งครัด มันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในขั้นตอนที่
17 คุณใส่หญ้ารากแก้วลงไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็นถึงครึ่ง
อึดใจ”
“ไม้เปลวแดดที่ใส่ลงไปในขั้นตอนที่ 11 กับดอก
ทานตะวันสีทองที่ใส่ลงไปในขั้นตอนที่ 14 ได้ทำปฏิกิริยา
กัน ด้วยสภาวะของหม้อในตอนนั้น มันต้องการเวลา 12
อึดใจและ 7 อึดใจตามลำดับ เพื่อให้ส่วนผสมหลอมเข้า
ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือระยะเวลาที่เหมาะสมใน
การใส่สมุนไพรตัวต่อไป!”
“เมื่อคุณใส่หญ้ารากแก้วลงไปในตอนที่สมุนไพรทั้ง
2 ตัวนั้นยังหลอมไม่เข้ากันดี ฤทธิ์หยางของสมุนไพรทั้งคู่
ยังทำปฏิกิริยากันไม่เสร็จ จึงเท่ากับการจุดระเบิด เกิด
คลื่นพลังงานรุนแรงขึ้นมา ความแรงของคลื่นนั้นยังไม่
มากพอจะทำให้เม็ดยาแตก แต่มันเร่งให้กระบวนการจบ
เร็วกว่าเดิม ซึ่งหลังจากนั้น ตอนที่ผมให้คุณโยนส่วนผสม
ที่เหลือทั้งหมดลงไปและเพิ่มความแรงของเปลวไฟ นั่น
คือการจบกระบวนการ เช่นเดียวกับความทนทานของ
หม้อที่ถึงขีดสุดของมัน”
“จากการคำนวณของผม ผมเชื่อว่ามีความเป็นไป
ได้ที่หม้อจะยังทนไหวจนถึงเวลาที่เม็ดยาก่อตัวเป็นรูป
เป็นร่าง ผมจึงตัดสินใจให้คุณปรุงยาต่อไป” มาถึงตรงนี้
จางเซวียนหยุดและมองโม่หยู่นิ่ง “คุณมีคำถามอีกไหม?”
“ฉัน...เอ่อ ไม่มีแล้ว!”
โม่หยู่ยังไม่หายช็อก
เธอคิดว่าอีกฝ่ายต้องมีเคล็ดลับบางอย่างที่ทำให้
คำนวณสถานการณ์ของการปรุงยาได้อย่างแม่นยำ แต่
มาถึงตอนนี้ก็รู้แล้วว่า ต่อให้เขามีเคล็ดลับนั้นจริงๆ เท่าที่
ฟังมา ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะเรียนรู้ได้เลย
เรื่องนี้มีตัวแปรสำคัญมากเกินกว่าที่เธอจะเข้าใจ
ทั้งอุปกรณ์ ตัวสมุนไพร เทคนิคการปรุงยา สภาพ
แวดล้อม และแม้แต่สภาวะจิตใจระหว่างการปรุงยา เธอ
ต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดหากจะคิดคำนวณ ผิด
พลาดเพียงจุดเดียวก็หมายถึงคำตอบที่จะผิดไปทั้งหมด
เมื่อครู่นี้เอง เธอยังคิดอยู่ว่าจะต้องเรียนรู้เรื่องการ
ปรุงยาให้มากและไวเพื่อให้ตามอีกฝ่ายทัน แต่ตอนนี้ก็
ชัดเจนแล้วว่าเธอกับเขาต่างกันมากเสียจนไม่มีทางเทียบ
ชั้นกันได้
ไม่ ส งสั ย เลยว่ า ทำไมเขาจึ ง สอบผ่ า นโดยการ
ประลองวิวาทะยา ลำพังแค่ความเข้าใจในเรื่องการปรุง
ยาของเขาก็มากพอจะทำให้เธอท้อใจแล้ว
“ถ้าคุณไม่มีคำถามแล้ว ผมขอตัว!”
เมื่อเห็นว่าความพยายามอย่างหนักของตัวเองพอ
จะทำให้โม่หยู่หายสับสนได้บ้าง จางเซวียนถอนใจอย่าง
โล่งอก
อันที่จริงเขาก็บอกอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะหอสมุด
เทียบฟ้าล่ะก็ นับประสาอะไรกับตัวเขา ต่อให้เป็นนักปรุง
ยาระดับ 5 ดาวก็ไม่อาจวิเคราะห์ช่วงเวลาที่เม็ดยาจะก่อ
ตั ว และหม้ อ ยาจะระเบิ ด ได้ ด้ ว ยรายละเอี ย ดปลี ก ย่ อ ย
เพียงเท่านั้น
อย่างน้อยที่สุด คงจะต้องเป็นนักปรุงยาระดับ 6
ดาวถึงจะทำแบบนั้นได้
“นักฝึกอสูรจาง รอเดี๋ยว...”
เห็นอีกฝ่ายกำลังจะเข้าที่พัก โม่หยู่รีบตะโกน
“ฉันได้ยินว่าคุณกำลังจะไปอาณาจักรเทียนหวู่?”
“คุณรู้ได้อย่างไร?”
เมื่อถามออกไป ก็คิดได้ว่าหยวิ๋นเทาคงเป็นคนบอก
แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะปิดบังความจริงเรื่องนี้อยู่แล้ว
ดังนั้นจางเซวียนจึงพยักหน้า “ผมจะไปสันเขาบัวแดง”
“สันเขาบัวแดงอยู่ไกลมาก และแทบไม่เคยมีใครไป
ที่นั่นเลย หรือว่าคุณกำลังตามหา...ห้องโถงแห่งยาพิษ?”
โม่หยู่ถาม
หุบเขาเชียนหลัวนั้นเขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยอสูร
แต่ในทางตรงกันข้าม สันเขาบัวแดงดูเหมือนจะถูกเปลว
ไฟร้อนแรงแผดเผาจนราพณาสูร จึงไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น
เลย ไม่มีนักรบคนไหนอยากไปที่นั่น
ตำนานกล่าวไว้ว่า มีห้องโถงแห่งยาพิษซ่อนตัวลึก
เข้าไปในสันเขา กูรูยาพิษที่อยู่ที่นั่นได้วางยาพิษร้ายแรง
ไว้โดยรอบ ใครที่เดินลึกเข้าไปในสันเขาบัวแดงจะต้อง
โดนยาพิษนั้นทำร้ายถึงตายในเวลาไม่นาน
ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ เพราะผู้ที่
มุ่งหน้าไปตามหาห้องโถงแห่งยาพิษไม่เคยมีใครได้กลับ
มา เมื่อเวลาล่วงเลยไป มันก็กลายเป็นทำเลต้องห้ามที่
ไม่มีใครกล้าเข้าไปสำรวจ
สันเขาบัวแดงจึงกลายเป็นพื้นที่กันดารที่ทุกคนหลีก
เลี่ยง
เหตุผลเดียวที่จางเซวียนอยากไปที่นั่นก็เพราะห้อง
โถงแห่งยาพิษ
“คุณรู้จักห้องโถงแห่งยาพิษ?” จางเซวียนตาโต
เขารู้เรื่องห้องโถงแห่งยาพิษที่อยู่ในสันเขาบัวแดง
จากปรมาจารย์หลิวและคนอื่นๆ ซึ่งพวกเขาก็ไม่แน่ใจว่า
มันมีอยู่จริงหรือไม่ เมื่อได้ยินจากโม่หยู่อีกครั้งจึงตื่นเต้น
ขึ้นมาทันที
“ว่ากันว่ามีห้องโถงแห่งยาพิษอยู่ในสันเขาบัวแดง
แต่ก็...ไม่มีใครรู้ที่ตั้งจริงๆของมัน!” โม่หยู่ส่ายหน้า
“แค่มีอยู่จริงก็พอแล้ว ผมต้องหามันเจอจนได้ล่ะ
น่ะ!” จางเซวียนหัวเราะหึๆ
ตราบใดที่มีห้องโถงแห่งยาพิษอยู่ในสันเขานั้นจริง
การควานหามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
อย่างแย่ที่สุด จางเซวียนก็แค่ใช้แผนที่ของหอสมุด
เทียบฟ้าหาตำแหน่งที่แท้จริงของมัน ด้วยความสามารถ
ของหอสมุดเทียบฟ้าในการแยกแยะผิดถูก ต่อให้เขายัง
ระบุตำแหน่งที่ชัดเจนไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็คงไม่ไปผิด
ทาง
ซึ่งทำเลที่ปราศจากข้อบกพร่องก็จะต้องเป็นทำเลที่
ใช่
“พูดก็พูดเถอะ สันเขาบัวแดงน่ะทอดตัวยาวหลาย
พันกิโลเมตร ถ้าคุณจะต้องค้นหาทุกตารางนิ้วล่ะก็ คงจะ
เหนื่อยตายเสียก่อน อีกอย่าง บริเวณรอบๆห้องโถงแห่ง
ยาพิษยังมียาพิษร้ายแรงแทรกซึมอยู่ด้วย ต่อให้คุณหา
ตำแหน่งที่ชัดเจนได้ ถ้าไม่มีใครสักคนนำทาง ก็ไม่มีทาง
เข้าไปได้หรอก”
โม่หยู่หยุดพูดไปครู่หนึ่ง และจ้องจางเซวียนด้วย
ดวงตางดงามของเธอ
“ถ้าคุณอยากไปห้องโถงแห่งยาพิษ ฉันช่วยคุณได้”
“ฮะ?” จางเซวียนผงะ “คุณรู้ทางที่จะเข้าไปใน
ห้องโถงแห่งยาพิษหรือ?”
“ฉันไม่รู้ทางหรอก แต่รู้จักใครคนหนึ่งที่รู้” โม่หยู่
หัวเราะอย่างมีเลศนัย
“อ้อ?” จางเซวียนตาโต
เขานึกไม่ถึงว่าโม่หยู่จะมีสายสัมพันธ์แบบนั้น ถ้า
เธอพาเขาไปได้จริงๆก็น่าจะตัดปัญหาได้มาก
“ถ้าคุณสอนฉันเรื่องการปรุงยา ฉันก็จะพาคุณไป
หาเขา ว่าไง?” โม่หยู่จ้องจางเซวียนอย่างเอาจริง
“ตกลง!” จางเซวียนพยักหน้า
“แล้วเราจะไปกันเมื่อไหร่?”
“พรุ่งนี้เช้าเลย คุณมีสัตว์ปีกพาหนะไหม?” จางเซ
วียนมองหน้าเธอ
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจื้อจุนแล้ว
และมีความเร็วในระดับที่น่าอัศจรรย์ ถ้าสัตว์ปีกพาหนะ
ของเธอตามไม่ทัน เธอก็จะถ่วงเขาให้ช้าลง
“คุณ!”
ได้ยินคำถามของอีกฝ่าย โม่หยู่กะพริบตาถี่ เธอ
หายใจกระชั้นและกัดฟันกรอดลั่นจนเขาได้ยิน
นี่คุณตั้งใจแล่เนื้อเอาเกลือทาใช่ไหม?
“อ้อ...”
เมื่อเห็นสีหน้าของเธอ จางเซวียนเพิ่งนึกได้ว่าเธอ
เคยมีสัตว์ปีกพาหนะอยู่ตัวหนึ่ง แต่...มันทรยศเธอเพื่อมา
หาเขา!
“เอาเถอะ แล้วถ้าขี่เจ้าเขี้ยวเหล็กไปกับผมล่ะ?”
เจ้ า เขี้ ย วเหล็ ก เหิ น ฟ้ า นั้ น ตั ว ใหญ่ ม หึ ม า รั บ ผู้
โดยสารทีละ 7-8 คนได้สบาย
“อือ!”
โม่หยู่ค่อยมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อได้ฟัง แต่ก็ดีได้ไม่นาน
“เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าเป็นอสูรของผมนะ ถ้าคุณ
อยากขี่มันคุณก็ต้องจ่ายค่าโดยสาร ตอนที่มันยังมีวรยุทธ
แค่ขั้นจงซรือ การเดินทางไปอาณาจักรเทียนหวู่ ต้องใช้
ลิ่มเลือดอสูรถึง 20 ลิ่ม แต่ตอนนี้วรยุทธของมันขึ้นไปถึง
กึ่งจื้อจุนแล้ว ความเร็วก็เพิ่มขึ้นอีกมาก...ผมจะคิดคุณ 2
เท่า ลิ่มเลือดอสูร 40 ลิ่มก็แล้วกัน”
จางเซวียนพูดเมื่อคิดคำนวณดีแล้ว
“พรุ่งนี้เอาค่าโดยสารมาจ่ายล่วงหน้าด้วยนะ อย่า
ผิดสัญญาล่ะ!”
มีข้อมูลเกี่ยวกับลิ่มเลือดอสูรอยู่ในหนังสือที่อยู่ใน
หอสมุดของดงอสูร
เช่นเดียวกับหน่วยเหรียญทอง มันเป็นอัตราแลก
เปลี่ยนที่ใช้กันทั่วไปภายในดงอสูร ลิ่มเลือดอสูรนั้นมี
ประโยชน์อย่างมากในการกระตุ้นให้อสูรมีวิวัฒนาการ
ของสายเลือด
ขณะที่ นั ก รบซึ ม ซั บ เอาพลั ง จิ ต วิ ญ ญาณจากชั้ น
บรรยากาศ อสูรก็อาศัยการกินลิ่มเลือดอสูรเข้าไป
“....”
โม่หยู่ถึงกับสะดุด
ตัวเองก็เชี่ยวชาญตั้งไม่รู้กี่อาชีพ ทำไมจะต้องหิว
เงินขนาดนี้?
“อือ!”
รู้ตัวว่าถ้ายังพูดกับหมอนี่อีก เลือดในกายเธอต้อง
เดือดพล่านแน่ โม่หยู่จึงตัดสินใจเดินออกมาก่อนที่จะ
โมโหจนขาดใจตาย
แต่ออกมาได้แค่ไม่กี่ก้าว เสียงพึมพำของฝ่ายนั้นก็
แว่วอยู่ข้างหลัง
“คนสมัยนี้นี่ช่างกระไร ขนาดบอกว่าสำนึกในบุญ
คุ ณ ข อ ง เ ร า พ อ เ ร า พู ด เ รื่ อ ง เ งิ น เ ข้ า ห น่ อ ย ก็
เงีย บกริบ...ตอนนี้ถึงกับคิดจะโดยสารเจ้ า อสู ร ของเรา
ฟรีๆ...ถ้าไม่มีเงินก็ควรจะบอกเสียก่อน มาทำให้เราคาด
หวังไปเปล่าๆปลี้ๆ นี่ขนาดเป็นองค์หญิงนะ องค์หญิง
ไม่มีเงินจ่ายหรือ?”
“คุณ...จางเซวียน พูดให้ดีๆนะ! ใครไม่มีเงินจ่าย?”
โม่หยู่หันขวับมาเพราะอดรนทนไม่ไหว กำลังจะได้
ฉะกับจางเซวียนแล้ว แต่หมอนั่นก็ส่ายหน้า และเดิน
ถอนหายใจเข้าที่พักไป
“โอ๊ย! บ้าที่สุด! แกมันงก แกมันหน้าด้าน จางเซ
วียน กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”
เห็นเขาผลุบหายเข้าไปในบ้านพัก โม่หยู่จ้องบ้าน
หลังนั้นอย่างเคียดแค้นก่อนจะกระทืบเท้ากลับไป
โมโหเสียขนาดนี้ คืนนี้คงนอนไม่หลับแน่
จางเซวี ย นเหน็ ด เหนื่ อ ยเสี ย จนตรงเข้ า นอนทั น ที
หลังจากที่เข้าไปในบ้าน
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างผาสุก
เช้าวันรุ่งขึ้น ตราสัญลักษณ์นักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว
ก็ถูกส่งมา
เมื่อเก็บตราสัญลักษณ์ไว้ในแหวนเก็บสมบัติแล้ว
จางเซวียนก็จัดการธุระที่เหลือ
เสิ่นปี้หรูตั้งใจว่าเมื่อพาจางเซวียนมาถึงดงอสูรแล้ว
ก็จะกลับอาณาจักรเทียนเซวียน เขาจึงคิดจะให้นกอินทรี
สีเขียวอ่อนพาเธอกลับไป แต่เธอยืนกรานปฏิเสธ เขาจึง
ให้เจ้าเสือดำเกราะทองไปแทน
เมื่อมีทั้งนกอินทรีสีเขียวอ่อนและเจ้าเขี้ยวเหล็กเหิน
ฟ้าอยู่กับตัว เจ้าเสือดำเกราะทองก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับ
เขา ให้มันช่วยเสิ่นปี้หรูน่าจะดีกว่า
อย่างน้อยที่สุด เมื่อไปถึงอาณาจักรเทียนเซวียน ก็
คงไม่มีใครกล้าระรานเธอ
จางเซวี ย นคิ ด ว่ า นี่ เ ป็ น วิ ธี ที่ ดี ใ นการตอบแทนอี ก
ฝ่ายสำหรับความห่วงใย และการที่เธอเป็นธุระให้เขา
ตลอดการเดินทาง
เมื่อจัดการธุระเรื่องเสิ่นปี้หรูเสร็จสิ้น จางเซวียนก็
เข้าไปยังลานบ้านที่เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าอาศัยอยู่ ใน
ตอนนั้นเอง เขาเพิ่งเห็นว่ามีสิ่งปลูกสร้างหน้าตาคล้ายกับ
ห้องๆหนึ่งอยู่บนหลังของมัน สิ่งนั้นทำจากโลหะและ
เชื่อมกับร่างของเจ้าเขี้ยวเหล็กโดยตรง ดังนั้น ต่อให้
ระหว่างการเดินทางจะมีลมพัดแรงแค่ไหน มันก็จะไม่สั่น
ผู้โดยสารที่ใช้บริการสัตว์ปีกพาหนะส่วนใหญ่ไม่ได้
มี ว รยุ ท ธสู ง ส่ ง นั ก พวกเขาจึ ง เสี่ ย งต่ อ การร่ ว งลงไป
ระหว่างการเดินทางด้วยความเร็วสูง ดังนั้น ทางดงอสูร
จึงเตรียมห้องโดยสารไว้บนตัวสัตว์พาหนะเพื่อป้องกัน
ปัญหาดังกล่าว
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้ามีขนาดตัวมหึมา ห้องโดยสาร
ที่อยู่บนหลังของมันจึงมีความกว้างราว 6-7 เมตร มีทั้ง
โต๊ะ เก้าอี้ และเตียงอยู่ในนั้น ผู้โดยสารจะไม่รู้สึกว่ากำลัง
เหาะอยู่กลางอากาศเลย
นับประสาอะไรกับคนสองคน ขนาดเจ้านกอินทรีสี
เขียวอ่อนเข้าไปอยู่ข้างในแล้ว ก็ยังไม่แออัดเลยสักนิด
“ลาก่อน!”
จางเซวียนอำลาหัวหน้าเฟิงและคนอื่นๆ ก่อนจะ
เข้าไปในห้องโดยสาร
ฟึ่บ!
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้ากระพือปีกอันทรงพลังของมัน
แล้วสองคนกับสองอสูรก็ทะยานขึ้นฟ้าไป
จางเซวียนจ้องมองดงอสูรและหุบเขาเชียนหลัวที่
เล็กลงทุกทีๆ เขายิ้ม
ห้องโถงแห่งยาพิษ พี่มาแล้ว
ตอนที่ 264 ศิลปะการปลอมตัวเทียบฟ้า

เมฆขาวลอยละล่อง ลมพัดหวีดหวิว
ร่างมหึมาของอสูรเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าทะยานแหวก
ชั้นบรรยากาศไป เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอันแกร่งกล้าของวร
ยุทธขั้นกึ่งจื้อจุน อสูรตัวอื่นๆพากันหลีกทางให้ด้วยความ
หวาดกลัว
ในห้องโดยสารที่อยู่บนหลังของเจ้าเขี้ยวเหล็ก จาง
เซวียนกับโม่หยู่นั่งตรงข้ามกัน
“มีอสูรสัตว์ปีกอยู่มากมาย ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นเจ้า
เขี้ยวเหล็กเหินฟ้าล่ะก็ ถึงเราจะไม่มีปัญหาเรื่องความ
ปลอดภัย แต่ก็คงต้องเจอพวกมันระรานบ้าง”
โม่หยู่พูดขณะที่มองไปยังท้องฟ้าไร้ขอบเขตที่อยู่
นอกหน้าต่าง
จางเซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
บรรดาหนังสือในหอสมุดทำให้เขาเข้าใจเรื่องนี้มาก
ขึ้น
ท้องฟ้าอาจดูสงบสุขราวกับสรวงสวรรค์ แต่ใน
ความเป็นจริง มันก็ไม่ต่างจากโลกเบื้องล่าง สุดท้ายผู้
อ่อนแอก็ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแรงกว่า
ถ้าอสูรที่ใครสักคนโดยสารมาไม่แข็งแกร่งพอ ก็มี
โอกาสที่มันจะตกเป็นเป้าและถูกอสูรตัวอื่นโจมตี
นี่คือเหตุผลที่ราคาค่าโดยสารสูงขึ้นไปตามระดับวร
ยุทธของสัตว์พาหนะ
ความปลอดภัยก็สำคัญพอๆกับความเร็ว
“ถ้าจะหาห้องโถงแห่งยาพิษ เราต้องมุ่งหน้าไป
เมืองบัวแดงก่อน!”
หลังจากได้พักผ่อนทั้งคืน โม่หยู่ก็ระงับความโกรธข
องเธอได้ กลับมาเป็นองค์หญิงผู้เย็นชาและหยิ่งผยอง
เหมือนเดิม
“เมืองบัวแดง?”
“ใช่ มันเป็นเมืองโบราณที่อยู่ตีนสันเขาบัวแดง เรา
จะต้องผ่านเมืองไปก่อนถึงจะเข้าไปในสันเขาได้ คนรู้จัก
ที่ฉันเคยพูดถึงอาศัยอยู่ในเมืองนั้นแหละ” โม่หยู่พยัก
หน้า
“เขาเป็นกูรูยาพิษ?” จางเซวียนถาม
“เปล่า เขาเป็นเจ้าแห่งสมุนไพร!”
“เจ้าแห่งสมุนไพร?” จางเซวียนงง
ความต้องการสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยานั้นมีมากอยู่
เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการปรุงยาหรือการรักษาโรค เจ้า
แห่งสมุนไพรคือคนที่มีสายสัมพันธ์พิเศษกับผู้ปลูก ผู้ซื้อ
และผู้ขายสมุนไพรเหล่านั้น
“ก็ในเมื่อห้องโถงแห่งยาพิษมีชื่อเสียงที่แสนจะดู
ร้ายกาจ แล้วเจ้าแห่งสมุนไพรไปเกี่ยวอะไรด้วย?”
“มันเป็นความลับของอาณาจักรนะ ฉันก็แค่ได้ยินที่
เขาพูดๆกัน”
โม่หยู่ขมวดคิ้วและอธิบายต่อ “ห้องโถงแห่งยาพิษ
ซ่ อ นตั ว ลึ ก อยู่ ใ นภู เ ขา ทุ ก ๆปี จ ะมี ผู้ ค นนั บ ไม่ ถ้ ว น
พยายามสำรวจภูเขาโดยหวังว่าจะได้เรียนรู้วิถีแห่งยาพิษ
แต่ส่วนมากก็ลงเอยด้วยการตายเพราะยาพิษเหล่านั้น ร่ำ
ลือกันว่าวิธีเดียวที่จะค้นหาห้องโถงแห่งยาพิษเจอ คือ
ผ่านทางเจ้าแห่งสมุนไพร เหตุผลก็คือทางห้องโถงแห่งยา
พิ ษ ต้ อ งการพ่ อ ค้ า คนกลางเพื่ อ ที่ พ วกเขาจะได้ ซื้ อ
สมุ น ไพรจำนวนมากสำหรั บ การผลิ ต ยาพิ ษ และขาย
ด้วย... ซึ่งพ่อค้าคนกลางเหล่านั้นก็คือเจ้าแห่งสมุนไพร!
ในเมืองบัวแดงมีเจ้าแห่งสมุนไพรทั้งหมด 13 คน และคน
ที่ฉันกำลังจะพาคุณไปเจอคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาคน
เหล่านั้น เขาก็คือ... เซียนสมุนไพร”
"เซียนสมุนไพรควบคุมเส้นทางการไหลเวียนของ
สมุนไพรทั้งหมดในเมืองบัวแดง ถ้าจะมีใครสักคนที่มีสาย
สัมพันธ์กับห้องโถงแห่งยาพิษล่ะก็
มันต้องเป็นเขา แต่ว่า..."
โม่หยู่อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ฉันได้ยินมา
ว่าเซียนสมุนไพรคนนี้อายุมากแล้ว และใช้ชีวิตแบบ
ตัดขาดจากโลกภายนอก เราอาจจะไม่มีทางได้พบเขา
และให้เขาพาเราไปห้องโถงแห่งยาพิษได้”
“ไม่มีทางได้พบ? ก็คุณบอกเองว่าคุณจะพาผมไป
ห้องโถงแห่งยาพิษ...” จางเซวียนใบ้กิน
แม่สาวคนนี้บอกว่าจะพาเราไปห้องโถงแห่งยาพิษ
แต่แล้วก็มาพูดว่าอาจจะไม่มีทางได้พบเซียนสมุนไพร
และอาจจะไม่มีทางให้เขาพาเราไปที่นั่นด้วย นี่ช่วยเหลือ
แบบไหนกัน?
“ฉันบอกแค่ว่าจะพาคุณไปหาคนๆนั้น ส่วนคุณจะ
ได้พบเขาหรือไม่ จะโน้มน้าวใจเขาได้หรือเปล่า นั่นไม่ใช่
ธุระของฉันแล้ว!”
โม่หยู่พูดอย่างสะใจ
ชอบยั่วโมโหฉันนักใช่ไหม?
คอยดูฉันเอาคืนบ้าง!
“อ้อ เป็นแบบนี้เอง!”
เมื่อย้อนตรึกตรอง ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด เธอแค่
บอกว่าจะพาเขาไปหาคนที่รู้ทางไปห้องโถงแห่งยาพิษ
ไม่ได้บอกสักคำว่าจะพาเขาไปห้องโถงแห่งยาพิษ
จางเซวียนรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ เขาชี้แนะเรื่องการ
ปรุ ง ยาให้ ฝ่ า ยนั้ น เพี ย งเพื่ อ จะได้ รั บ ข้ อ มู ล คลุ ม เครื อ
เป็นการตอบแทน
ที่ผ่านมาเขาเป็นฝ่ายตบตาคนอื่นมาตลอด ไม่น่า
เชื่อว่าเจ้าหล่อนจะทำได้ดีกว่าเขาเสียอีก
แต่จางเซวียนก็ไม่ได้เดือดร้อนใจเท่าไหร่นัก เพราะ
เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ อย่างน้อยเขาก็พอจะได้
ไอเดียคร่าวๆว่าควรจะเริ่มต้นจากตรงไหน
“ฮึ?”
โม่หยู่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะเต้นผางกับคำพูดของเธอ
แต่สุดท้ายเขากลับพูดออกมาแค่ ‘อ้อ เป็นแบบนี้เอง’
แล้วก็เงียบไป เมื่อแอบมองเขาก็เห็นแต่สีหน้าผ่อนคลาย
ราวกับไม่ได้กังวลใจอะไรเลย
“คุณไม่กลัวบ้างหรือว่าอีกฝ่ายเขาจะไม่ยอมให้คุณ
เข้าพบ?” ผ่านไปครู่หนึ่ง โม่หยู่ก็เก็บความอยากรู้ไว้ไม่ได้
เราเพิ่งบอกไปหยกๆว่าเซียนสมุนไพรอายุมากแล้ว
และไม่ยอมพบปะใคร หมอนี่จะไม่เดือดร้อนใจสักหน่อย
หรือ?
“แน่นอนว่าผมกลัว!” จางเซวียนตอบ
“แล้ ว คุ ณ ...” โม่ ห ยู่ ก ะพริ บ ตาอย่ า งฉงน คุ ณ
หน้าตาแบบนี้เวลาที่กลัวหรือ? มองแล้วไม่รู้สักนิดว่ากลัว
“แต่กลัวไปก็ไม่ช่วยอะไร แทนที่จะมัวเสียเวลา ผม
ควรจะคิดเรื่องที่ว่าเมื่อไหร่คุณจะจ่ายเงินให้ผม...”
มาถึงตรงนี้ จางเซวียนจ้องเธออย่างสงสัย “หรือว่า
สถานภาพองค์หญิงของคุณนี่เป็นของปลอม เพราะไม่
อย่างนั้น ทำไมคุณถึงยากจนนัก? ค่าโดยสารก็ไม่จ่าย ยัง
จะหน้าหนามาขี่อสูรของผมอีก?”
“....”
ร่างอ้อนแอ้นของโม่หยู่ถึงกับซวนเซ
เธอเพิ่งจะคิดว่าในที่สุดก็เอาคืนจางเซวียนได้หน
หนึ่งแล้ว และคงจะได้สะใจกับสีหน้าฉุนเฉียวของเขา แต่
กลับตรงกันข้าม เขาไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกอะไรสักนิด แถม
เมื่อพูดออกมา ก็ยั่วโมโหเธอได้อีก
เรารู้แล้วว่าหมอนี่ไม่มีทางพูดอะไรดีๆได้...
ดูเหมือนว่าต่อไปเราไม่ควรจะพูดกับเขาอีก ไม่
อย่างนั้น อีกไม่นานคงต้องขาดใจตายเพราะคำพูดของ
เขาแน่...
“อือ!”
โม่หยู่กัดฟันกรอด แต่ไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอทำ
หน้ามุ่ยและตัดสินใจเมินจางเซวียน
“เฮ้อ ขนาดติดหนี้ผมอยู่ คุณก็ยังไม่ยอมให้ผมพูด
เรื่องเงิน ทำไมคนสมัยนี้หน้าหนากันจัง?”
จางเซวียนยืดตัวตรงและพึมพำ
“คุณ...”
เธอนึกเสียใจที่ตามหมอนี่มาเมืองบัวแดง
ทุ ก คนที่ ไ ด้ เ ห็ น ความงามของเธอก็ ล้ ว นแต่
ระมัดระวังคำพูดและกิริยา กลัวจะทำให้เธอขุ่นเคือง แต่
หมอนี่ดูตั้งใจพูดจายั่วโมโหเธอทุกคำ ทำอย่างกับว่าจะ
ไม่มีทางเป็นสุขได้จนกว่าจะได้ทำให้เธอเป็นโรคหัวใจ
มีผู้ชายแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?
โม่หยู่คิดว่าภายในระยะเวลา 2 วันของการเดินทาง
ครั้งนี้ เธอคงต้องขาดใจตายเพราะความโมโหแน่ แต่ผิด
คาด หมอนั่นไม่สนใจเธอเลย เขานั่งเงียบอยู่มุมห้อง และ
ดูเหมือนจะ...เข้าภวังค์
“เขาคิดอะไรอยู่?”
ตอนแรก โม่หยู่คิดว่าอีกฝ่ายคงจงใจทำแบบนี้เพื่อ
ยั่วโมโหเธออีก แต่เขานิ่งอยู่อย่างนั้นตลอดวัน และ
ดวงตาก็แดงก่ำด้วยความอ่อนล้า โม่หยู่ถึงกับงง เพราะรู้
ว่าเขาคงไม่มีทางลงทุนลงแรงถึงขนาดนั้นเพียงเพื่อจะ
แกล้งเธอแน่
ถ้าจะพูดถึงการยั่วโมโหคนอื่น หมอนี่ก็ฆ่าคนด้วย
คำพูดของเขาได้
ในเรื่องความปราดเปรื่อง ต่อให้เธอซึ่งเป็นอัจฉริยะ
ผู้เลื่องลือก็ไม่อาจเทียบกับเขา
ในเรื่องสมาธิ เขาก็มุ่งมั่นไม่หวั่นไหว เขาคิดอะไร
อยู่?
โม่หยู่จ้องชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอ รู้ตัวแล้วว่ายิ่ง
รู้จักเขามากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าใจเขาน้อยลงเท่านั้น
จางเซวียนไม่รู้เรื่องรู้ราวกับความสับสนของอีกฝ่าย
เขากำลังจมอยู่ในหอสมุดเทียบฟ้า ดื่มด่ำกับการอ่าน
หนังสือในนั้น
ถึงเขาจะจดจ่อสมาธิทั้งหมดอยู่กับหอสมุด แต่เมื่อ
มองจากภายนอกก็จะดูเหมือนกำลังเข้าภวังค์
เพียงแค่นึกถึงแว่บเดียว จางเซวียนก็สามารถเข้า
ถึงหนังสือที่เขาถ่ายโอนมาไว้ในหอสมุดได้ แต่ในเมื่อมัน
ถูกเก็บไว้ในหอสมุด ความรู้พวกนั้นจึงยังไม่ได้เป็นของ
เขาจริงๆ เขายังไม่อาจหยิบมันมาใช้ได้อย่างอิสระในทุก
สถานการณ์
จางเซวียนเพิ่งทะลุมิติมายังโลกใบนี้ได้แค่ 20 วัน
แต่ก็รู้แล้วว่าไม่อาจวางใจพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าอย่าง
เดียวได้ ถ้าเขาอยากจะเป็นปรมาจารย์ตัวจริง เขาจะต้อง
อ่านหนังสือและเรียนรู้ให้มากกว่านี้ ความรู้ที่มากพอ
เท่านั้นถึงจะทำให้เขาก้าวหน้ากว่าเดิมได้
แม้ว่าหนังสือสีทองจะมีความสามารถในการซึมซับ
เอาเนื้อหาจากหนังสือทั้งหมดในหอสมุดมาเป็นความรู้
ของเขาเอง แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันจะมาเมื่อไร ในเมื่อจาง
เซวียนยังไม่มีเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือ
ที่จะนำมาใช้ยกระดับ
วรยุทธของเขา และตอนนี้เขามีเวลาว่าง จึงควรที่
จะอ่านหนังสือและหาความรู้ให้มากขึ้น บางทีต่อไปมัน
อาจจะมีประโยชน์
“ฮึ? มีหนังสือเกี่ยวกับการปลอมตัวอยู่ในหอสมุด
พระราชวังแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนเยอะแยะไปหมด”
จางเซวีย นพลิกดูห นังสือจำนวนนับ ไม่ ถ้ ว นที่ เ ขา
สะสมมาจากหอสมุดพระราชวัง แต่แล้วก็หยุดกึกอยู่ที่ชั้น
หนังสือชั้นหนึ่ง
มีหนังสือมากกว่าหนึ่งพันเล่มอัดแน่นอยู่ในนั้น ทุก
เล่มเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์และการ
ปลอมตัว
“เราได้ยินมาว่าฮ่องเต้เซินจุยเคยเดินทางรอบโลก
อยู่ครั้งหนึ่งสมัยยังหนุ่ม คงจะสะสมหนังสือพวกนี้มา
ตั้งแต่ตอนนั้น? อีกอย่าง ในฐานะฮ่องเต้ จะต้องมีคน
มากมายหมายปองชีวิต ถ้าปลอมตัวได้ก็จะปลอดภัย
กว่า”
จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
เป็นที่เล่าลือกันว่า ฮ่องเต้เซินจุยเคยเดินทางรอบ
โลกสมั ย ยั ง หนุ่ ม เพื่ อ ฝึ ก ฝนตั ว เองและเปิ ด โลกทั ศ น์ ใ ห้
กว้างไกล ซึ่งถ้าไปไหนมาไหนด้วยตัวตนที่แท้จริง ก็คงจะ
ถูกศัตรูฆ่าตายไปนานแล้ว
เพราะราชบัลลังก์ก็ช่างเย้ายวนใจนัก
ขนาดพี่น้องร่วมสายเลือดยังฆ่าแกงกันเองได้เพียง
เพราะตำแหน่งเดียว
ตอนที่ฮ่องเต้เซินจุยเดินทางรอบโลก วรยุทธของ
เขาก็น่าจะยังไม่แก่กล้าเท่าไร คงจะสะสมหนังสือเรื่อง
การปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์และการปลอมตัวเหล่านี้ไว้เพื่อ
ประโยชน์ของตัวเอง
“ในเมื่อมีหนังสืออยู่เยอะแยะ เราสร้างเคล็ดลับ
เทียบฟ้าขึ้นมาดีกว่า!”
เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็เริ่มเรียบเรียงเนื้อหาจาก
หนังสือหนึ่งพันเล่มนั้น ไม่นานพวกมันก็หลอมรวมเข้า
ด้วยกันกลายเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม
“ใช้ได้นี่!”
นัยน์ตาของเขาเป็นประกายวาบด้วยความยินดี
“ศิลปะการปลอมตัวนั้นขึ้นอยู่กับเจตจำนง การ
ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ด้วยยาเม็ดและการแปลงเสียงถือ
เป็นการปลอมตัวแบบง่ายที่สุด สำหรับการปลอมตัวที่แท้
จริง ผู้ปลอมตัวจะต้องควบคุมกล้ามเนื้อทุกมัดได้อย่าง
สมบูรณ์...”
หนั ง สื อ เล่ ม นั้ น อั ด แน่ น ไปด้ ว ยความรู้ เ รื่ อ งการ
ปลอมตัว หลังจากพลิกดูได้สองสามหน้า จางเซวียนก็
ทำได้แค่ยิ้มแหยๆ
ไม่ แ ปลกใจเลยว่ า ทำไมหลิ ว หลิ ง กั บ คนอื่ น ๆถึ ง
จับผิดได้เมื่อครั้งที่เขาปลอมตัวเป็นหยางชวน หลังจาก
อ่านหนังสือแล้ว จางเซวียนถึงรู้ว่าการปลอมตัวของเขา
ง่อยหงิกขนาดไหน
เป็ น เพราะในอาณาจั ก รเที ย นเซวี ย นไม่ มี ผู้
เชี่ยวชาญที่เก่งกาจพอ จึงไม่มีใครสงสัยการปลอมตัว
ของเขา ไม่อย่างนั้น ต่อให้ไม่ใช่อาณาจักรเทียนหวู่ แค่
อาณาจักรขั้น 2 ทั่วไปก็เถอะ จางเซวียนต้องถูกเปิดโปง
แน่
เขาอ่านจบทั้งเล่มอย่างรวดเร็ว
“ถึงจะเป็นแค่หลักการปลอมตัวขั้นพื้นฐาน แต่ก็
ตบตาคนทั่วไปได้!”
แม้ ว่ า หนั ง สื อ ที่ อ ยู่ ใ นอาณาจั ก รเที ย นเซวี ย นจะ
ครอบคลุมแค่หลักการพื้นฐานของการปลอมตัว แต่หาก
ฝึกจนเชี่ยวชาญ จางเซวียนก็จะสามารถปรับเปลี่ยนรูป
ลักษณ์ได้ถึงขนาดที่ปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆก็แทบดูไม่
ออก
“หลักการของวิธีการปลอมตัวคือการควบคุมกล้าม
เนื้อเพื่อปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเอง แทบจะไม่มีใคร
สามารถฝึกฝนเทคนิคนี้เพราะการควบคุมกล้ามเนื้อทุก
มัดในร่างกายเป็นเรื่องที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับ
เรา มันไม่ใช่แบบนั้น เพราะหลังจากได้ฝึกวิชาร่าง
นวโลหะแล้ว กล้ามเนื้อทุกมัดในตัวเราก็ยืดหยุ่นมากพอ
จนเราสามารถควบคุมมันได้ดังใจ”
จางเซวียนยิ้มอย่างสบายใจ
แค่อ่านศิลปะการปลอมตัวเทียบฟ้า จางเซวียนก็ได้
ทักษะและความเชี่ยวชาญมากกว่าเดิม
ตอนนี้ ต่อให้ไม่มียาเม็ดที่ใช้ในการปลอมตัว จางเซ
วียนก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาได้อย่างง่ายดายโดย
ไม่มีใครจับผิดได้
ด้วยความสามารถนี้ หากเขาสู้ใครไม่ได้ ก็ยังหลบ
เลี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเอง
ซึ่งก็หมายความว่าจางเซวียนมีวิธีเอาตัวรอดเพิ่ม
ขึ้นอีกวิธีหนึ่ง
“ถึงแล้ว!”
เขากำลังจะทดสอบเทคนิคการปลอมตัวที่ได้มา ก็
พอดีได้ยินเสียงโม่หยู่
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จางเซวียนเห็นภูเขา
ขนาดมหึมาปรากฏตรงหน้า
สันเขานั้นทอดตัวยาวหลายพันกิโลเมตร ปราศจาก
ความเขียวชอุ่มโดยสิ้นเชิง พื้นผิวสีแดงของมันปกคลุม
ไปด้วยทรายและหิน
“นี่คือสันเขาบัวแดง?”
ภูมิประเทศสูงๆต่ำๆครอบคลุมพื้นที่สุดลูกหูลูกตา
มองไม่เห็นว่าไปสิ้นสุดที่ไหน ดูเหมือนกับมีดอกบัวสีแดง
จำนวนมหาศาลปกคลุมไปทั่วพื้นผิว
ไม่ ส งสั ย เลยว่ า ทำไมโม่ ห ยู่ ถึ ง พู ด ว่ า การหา
ตำแหน่ ง ที่ ตั้ ง ของห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ นั้ น ไม่ มี ท างทำได้
หากใช้วิธีงมหาอย่างเซอะซะ ด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล
ของสันเขา แทบจะไม่มีทางควานหาห้องโถงแห่งยาพิษที่
จงใจซุกซ่อนตัวอยู่ได้เลย
“ถูกแล้ว ที่เห็นตรงนั้นคือเมืองบัวแดง!” โม่หยู่ชี้มือ
ไป
เมื่ อ มองตามนิ้ ว ของเธอ จางเซวี ย นก็ เ ห็ น เมื อ ง
หน้ า ตาโบราณเมื อ งหนึ่ ง ทอดตั ว สงบนิ่ ง อยู่ ภ ายใต้
แสงแดดเรืองรองยามเช้า
ตอนที่ 265 คฤหาสน์เซียนสมุนไพร

ไม่เหมือนกับเมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเซวียน
เมืองนี้ก่อสร้างด้วยอิฐสีแดง ดูโบร่ำโบราณและเข้ากันดี
กับสันเขาบัวแดงที่ทอดตัวอยู่ มันมีขนาดเล็กกว่ามาก
และเทียบไม่ได้เลยกับดงอสูร
“เมืองบัวแดงมีอายุเก่าแก่กว่าอาณาจักรเทียนหวู่
เสี ย อี ก ว่ า กั น ว่ า น่ า จะมากกว่ า สามพั น ปี มั น เป็ น
ศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสมุนไพรของอีกสิบกว่า
อาณาจักรที่อยู่รอบอาณาจักรเทียนหวู่ แต่ว่า...ก็ด้วย
อิทธิพลของห้องโถงแห่งยาพิษ ทำให้ไม่มีใครอยากอยู่ที่นี่
นานนัก มันจึงกลายเป็นเมืองไม่พึงประสงค์ และในตอน
นี้ เทียบกับเมืองกระจอกๆทั่วไปก็ยังไม่ได้”
โม่หยู่อธิบาย
เมืองบัวแดงขึ้นกับอาณาจักรเทียนหวู่ และในฐานะ
ที่เป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรเทียนหวู่ โม่หยู่จึงมีความรู้
เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
“เจ้าเขี้ยวเหล็กกับเจ้านกอินทรีนี่เตะตาเกินไป ถ้า
เราพามันไปด้วย คงเท่ากับหาเรื่องใส่ตัว เดินเข้าไปน่าจะ
ดีที่สุด”
แม้ เ มื อ งบั ว แดงจะเป็ น เพี ย งเมื อ งเล็ ก ๆที่ อ ยู่ ช าย
ขอบ แต่ก็เป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสมุนไพร
และยาพิษที่สำคัญ ดังนั้นจึงมีผู้เชี่ยวชาญจากอาณาจักร
โดยรอบเดินทางเข้าออกประตูเมืองอยู่ตลอดเวลา ด้วย
ขนาดใหญ่โตของนกอินทรีสีเขียวอ่อนกับเจ้าเขี้ยวเหล็ก
เหินฟ้า การเข้าไปแบบนั้นมีแต่จะทำให้พวกเขาเป็นที่
สะดุดตาไปเปล่าๆ
ในเชิงพละกำลัง คงแทบไม่มีใครโค่นเจ้าอสูรที่มีวร
ยุทธขั้นกึ่งจื้อจุนได้ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะมีกูรูยาพิษซ่อนตัว
ปะปนอยู่กับผู้คนในเมือง การรนหาที่แบบนั้นจึงรังแต่จะ
เป็นอันตราย ถึงจางเซวียนกับโม่หยู่จะไม่กลัวการโจมตี
ซึ่งๆหน้า แต่ก็ยากที่พวกเขาจะป้องกันตัวเองจากการ
ลอบทำร้ายโดยใช้ยาพิษ
“ตามนั้น!” จางเซวียนตอบ เขาพาเจ้าเขี้ยวเหล็ก
ไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไป และสั่งเสียทั้ง 2
ตัวไม่ให้เพ่นพ่านไปไหนไกลนัก ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่เมือง
บัวแดงกับโม่หยู่
เมื่อเดินอยู่บนถนนในเมืองโบราณที่มีสิ่งปลูกสร้าง
แบบโบราณอยู่รายรอบ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อน
อดีต
ถึงจะเป็นเมืองเล็ก แต่ก็มีผู้คนอยู่คลาคล่ำ ตลอด
สองข้างถนนเต็มไปด้วยพ่อค้าที่มีสมุนไพรกองโตวางตรง
หน้า มีหลายชนิดที่แทบจะหาไม่ได้ในตลาดอื่น
“หญ้าโลกแตก จั๊กจั่นโปร่ง ด้ายไหมห้าพิษ...”
เมื่อชำเลืองมองสมุนไพร จางเซวียนก็ต้องขมวดคิ้ว
สมุนไพรเหล่านี้มีพิษร้ายอยู่ภายใน พวกมันแทบจะ
ไม่ถูกใช้ในการรักษาโรคและการปรุงยาเลย นี่เป็นครั้ง
แรกที่เขาได้เห็นว่ามีขายในปริมาณมากขนาดนี้
“ต้องมีกูรูยาพิษอยู่ที่นี่แน่!”
มี แ ต่ กู รู ย าพิ ษ เท่ า นั้ น ที่ จ ะตุ น ของแบบนี้ ไ ว้ ที ล ะ
มากๆ สำหรับนักปรุงยาทั่วไปและนายแพทย์นั้นไม่มี
ความจำเป็นต้องตุนของแบบนี้เลย
“มีกูรูยาพิษอยู่ที่นี่ก็จริง แต่คุณไม่รู้หรอกว่าเป็นคน
ไหน ถ้าเขาไม่มาผสมยาพิษให้เห็นต่อหน้า” โม่หยู่พูด
จางเซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ไม่เหมือนกับปรมาจารย์ ทักษะของกูรูยาพิษไม่ได้
ขึ้นอยู่กับระดับวรยุทธ บางครั้ง เด็กน้อยที่ดูไร้พิษสงหรือ
แม่ เ ฒ่ า สั ก คนก็ อ าจมี ค วามสามารถในการผสมยาพิ ษ
ระดับที่นักรบขั้นจงซรือยังสู้ไม่ไหว
นั่นคือเหตุผลที่ชี้ตัวกูรูยาพิษได้ยาก ต่อให้มีใครสัก
คนที่มีวรยุทธสูงส่งมาซื้อสมุนไพรมีพิษ ก็ไม่จำเป็นว่าเขา
จะต้ อ งเป็ น ผู้ เ ชี่ ย วชาญ ในขณะที่ ห ญิ ง สาวบอบบาง
ธรรมดาสามัญคนหนึ่งอาจเป็นฆาตกรตัวฉกาจก็ได้
“ถ้ า คุ ณ อยากจะหากู รู ย าพิ ษ สั ก คน ก็ ม าขาย
สมุนไพรที่นี่สิ อยู่สัก 3-5 ปีก็คงได้พบสักคนแน่” โม่หยู่
พูด “มีผู้คนมากมายนะที่อยากแก้แค้นแต่ไม่สามารถยก
ระดับวรยุทธของตัวเองได้ พวกเขาก็มารอคอยอยู่ที่นี่
เผื่ อ จะได้ มี โ อกาสเป็ น ศิ ษ ย์ ข องกู รู ย าพิ ษ สั ก คน แต่
ว่า...คนที่ทำได้แบบนั้นก็มีน้อยเหลือเกิน”
“3-5 ปี?” จางเซวียนส่ายหน้า
นานขนาดนั้น เราคงตายเสียก่อน...ทำไมไม่เอามีด
จ้วงกันเสียตอนนี้ให้จบๆไปเลยนะ?
หอสมุดเทียบฟ้าสามารถเปิดเผยอาชีพของบุคคล
ได้ แต่เงื่อนไขก็คือคนนั้นต้องแสดงวรยุทธเสียก่อน หรือ
ไม่ก็ต้องสลบไป...ถ้าจางเซวียนลุกขึ้นมาต่อยใครให้สลบ
ตรงนี้ จะต้องเกิดปัญหาไม่จบสิ้นแน่
ใครต่อใครจะพากันคิดว่าเขาเป็นคนบ้า และเฉดหัว
เขาออกไป
“ไปตามหาเซียนสมุนไพรก่อนเถอะ!” จางเซวีย
นพูด
“เอาจริงๆนะ ร่องรอยเดียวที่เรามีตอนนี้ก็คือเซียน
สมุนไพร ว่าแต่...คุณไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมทุกคนถึง
เลือกจะมาขายสมุนไพรที่นี่ ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าเซียนสมุนไพรรู้
ที่ตั้งของห้องโถงแห่งยาพิษและคุ้นเคยกับกูรูยาพิษพวก
นั้นเป็นอย่างดี?”
โม่หยู่จ้องหน้าจางเซวียน
“เอ่อ...”
“เซียนสมุนไพรไม่ใช่คนที่ใครจะได้พบง่ายๆ!” โม่ห
ยู่ส่ายหน้า
“ต่อให้เป็นแบบนั้น เราก็ต้องลองสักตั้ง”
จางเซวียนก็รู้ว่ามันไม่ง่าย แต่เมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว
ลองสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร บางทีอีกฝ่ายอาจจะ
ยอมพบเขาก็ได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้เลย! แต่ฉันบอกไว้ก่อนนะ เซียน
สมุนไพรไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ใครไปทำตัวเกะกะใส่เขา
ถึงวรยุทธของคุณจะไม่ใช่ขี้ไก่ แต่เจียมเนื้อเจียมตัวไว้จะ
ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะตายไม่รู้ตัว!” โม่หยู่แนะนำ
“วางใจเถอะ ผมไม่ใช่คนใจเร็วแบบนั้น!” จางเซวีย
นพยักหน้า
“งั้นก็ตามฉันมา!” เห็นอีกฝ่ายรับคำ โม่หยู่พาเขา
ไป
ดู เ ธอคุ้ น เคยกั บ ถนนหนทางแถวนี้ เ ป็ น อย่ า งดี
เหมือนกับเคยมาที่นี่มาก่อน อีกประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมา
คฤหาสน์หลังใหญ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
มันสร้างขึ้นด้วยอิฐสีแดง หลังคาสีเขียวมรกต มีทั้ง
ต้นไม้เขียวชอุ่มและลำธารงดงาม คฤหาสน์หลังนี้มีการ
ตกแต่งแบบสมัยใหม่บางอย่างที่ทำให้ดูผิดที่ผิดทางใน
เมืองที่ดูโบร่ำโบราณแบบนี้ องครักษ์หลายคนยืนจังก้า
อยู่หน้าประตู แผ่รังสีทรงพลังอันแสนจะน่าทึ่งออกมา
“ทงฉวน?”
แค่ชำเลืองมอง จางเซวียนก็หน้าเครียด
ขนาดองครักษ์หน้าประตูยังเป็นนักรบทงฉวนขั้น
ต้นกันทุกคน
ที่อาณาจักรเทียนเซวียน ใครที่มีวรยุทธระดับนี้
เหยียบย่างไปไหนก็สะท้านสะเทือนไปหมด แต่ที่นี่พวก
เขาเป็นแค่องครักษ์
“นี่คือคฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร!” โม่หยู่ใช้โทร
จิตบอกจางเซวียน
ถึงเธอไม่อธิบายเขาก็รู้ ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ก็
เห็ น ชายหนุ่ ม คนหนึ่ ง เดิ น ไปที่ ห น้ า ประตู พร้ อ มกั บ ผู้
ติดตามอีก 2 คนที่ถือสมุดแนะนำตัวไว้
“ผมคือชิงหยู่ องค์ชายแห่งอาณาจักรไป๋ลี่ มาขอ
เข้าพบเซียนสมุนไพร”
อาณาจักรไป๋ลี่เป็นอาณาจักรขั้น 2 ที่มีสถานภาพ
ทัดเทียมกับอาณาจักรเป๋ยอู๋ มันกว้างใหญ่กว่าและมี
อำนาจมากกว่าอาณาจักรเทียนเซวียนมาก
“ผมเสียใจด้วย นายท่านกำชับพวกเราให้ปฏิเสธ
แขกทุกคน” องครักษ์พูดอย่างเฉยเมยและขวางทางไว้
“บั ง อาจ! เจ้ า นายของเราเป็ น ถึ ง องค์ ช ายแห่ ง
อาณาจักรขั้น 2 พวกแกกล้าขวางทางเขาได้อย่างไร?”
หนึ่งในผู้ติดตามตวาดก้อง เขาก้าวออกมาและคำราม
“ออกไปให้พ้นทางเดี๋ยวนี้!”
“ที่เมืองบัวแดงนี่ นายท่านของเรามีอำนาจสูงสุด
ต่อให้ฮ่องเต้เสด็จมา เราก็จะให้เขากลับไป นับประสา
อะไรกับองค์ชายแห่งอาณาจักรขั้น 2! กลับไปเถอะ ไม่
อย่างนั้น อย่าหาว่าเราหยาบคายก็แล้วกัน”
องครักษ์หรี่ตา พรึ่บเดียวทุกคนก็ชูดาบในท่าเตรียม
พร้อม
“แกรนหาที่ตายเสียแล้ว!”
ได้ยินคำพูดนั้น ผู้ติดตามก็โมโหเดือด เขาพุ่งออก
มาและใช้ฝ่ามือฟาดเข้าใส่ลำคอขององครักษ์คนนั้น เกิด
ลมแรงพัดหวือโดยรอบ
“ทงฉวนขั้นกลาง?”
ผู้ติดตามคนนั้นเป็นถึงนักรบทงฉวนขั้นกลาง! ไม่
แปลกใจเลยว่าทำไมอวดดีขนาดนั้น
ฟึ่บ!
นักรบทงฉวนขั้นกลางจะมีพละกำลังประมาณ 200
ติ่ง ก่อนที่มือของเขาจะถึงตัวองครักษ์ อากาศที่อัดแน่น
เพราะการเคลื่อนไหวของเขาก็เสียดสีกันจนเกิดเสียงหวีด
หวิว
“แกคิดจะบุกเข้าไปในคฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร
หรือ?”
องครักษ์ถอยไปก้าวหนึ่ง
“ก็ถ้าฉันจะบุกเข้าไป แล้วไงล่ะ?”
ผู้ติดตามขององค์ชายชิงหยู่คำรามกร้าว ไม่เพียง
แต่จะไม่ถอย เขายังเพิ่มพละกำลังเข้าไปในฝ่ามือให้มาก
ขึ้นอีก
“ถ้าเอาแบบนั้น ก็...ตายซะเถอะ!”
เห็ น อี ก ฝ่ า ยมี ที ท่ า ดุ ดั น ขึ้ น องครั ก ษ์ ค ำรามและ
สะบัดข้อมือ
ฟิ้ว!
หมอกขาวปกคลุมตัวผู้ติดตามเอาไว้ทันที
“แก...”
เขายังไม่ทันได้ขยับตัว หมอกขาวก็เข้าปะทะกับ
ผิวหนัง ทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน ไม่นานฟองสีขาวก็ไหล
ออกจากปาก ผู้ติดตามคนนั้นทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น
และตาเหลือก จากนั้นก็ถึงจุดจบ
“เฮ้ย?”
ชิงหยู่และผู้ติดตามอีกคนที่เหลือถึงกับตะลึง พวก
เขาถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว
ผู้ ติ ด ตามคนที่ พุ่ ง เข้ า โจมตี มี พ ละกำลั ง แข็ ง แกร่ ง
กว่าเขาทั้งสองมาก แต่ก็ตายโดยที่ยังไม่ทันจะได้แตะต้อง
อีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ ยาพิษที่พวกเขาใช้ช่างร้ายกาจนัก
“ไปให้พ้น!”
หลังจากสังหารผู้ติดตามไปแล้วคนหนึ่ง องครักษ์ก็
โบกมือไล่พวกเขา
คราวนี้ชิงหยู่กับผู้ติดตามของเขาไม่กล้าพูดอะไรอีก
ทั้งคู่ลนลานแบกศพกลับไป
“เอ่อ...”
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใน 2-3 อึดใจ เมื่อเห็น
เหตุการณ์แล้ว จางเซวียนถึงกับหน้าเครียด
อีกฝ่ายเป็นองค์ชายแห่งอาณาจักรขั้น 2 แต่เจ้า
องครักษ์ก็วางยาผู้ติดตามของเขาอย่างไม่ลังเล
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่จางเซวียนนึกไม่ถึง
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมโม่หยู่ถึงจริงจังกับเรื่องนี้มาก
เซียนสมุนไพรคนนี้ใจคอโหดเหี้ยมจริงๆ
“ถึ ง มี ส มุ ด แนะนำตั ว ของคุ ณ เราก็ เ ข้ า ไปไม่ ไ ด้
หรือ?” จางเซวียนถามหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ถึงอย่างไรโม่หยู่ก็เป็นถึงองค์หญิงแห่งอาณาจักร
เทียนหวู่ ย่อมมีเกียรติมากกว่าองค์ชายแห่งอาณาจักรขั้น
2 อยู่แล้ว
“ก็ใช่” รู้ว่าจางเซวียนกำลังคิดอะไร โม่หยู่ส่ายหน้า
“เมืองบัวแดงขึ้นกับอาณาจักรเทียนหวู่ก็จริง แต่ก็เป็นแค่
ในนามเท่านั้น อันที่จริงมันเป็นพื้นที่เสรี ต่อให้เป็นองค์
ชาย ถ้ามาเป็นการส่วนตัวก็ไม่สามารถจะก้าวก่ายกับ
เรื่องของที่นี่ได้ นับประสาอะไรกับฉันที่เป็นแค่องค์หญิง
คุณก็เห็นกับตาแล้วไม่ใช่หรือ? ขนาดผู้ติดตามถูกฆ่าต่อ
หน้าต่อตา องค์ชายคนนั้นยังไม่กล้าปริปากสักคำ”
“ถ้าอย่างนั้น...ลอบเข้าไปได้ไหม?”
“ลอบเข้าไป? ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่! เซียน
สมุนไพรน่ะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในเมืองนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย
ว่าเขาจะต้องมีการป้องกันแบบเหนือชั้นหลายอย่าง ถ้า
ใครก็ลอบเข้าไปในนั้นได้ง่ายๆ คฤหาสน์ของเขาก็คงจะมี
ใครต่อใครเข้าไปยุ่มย่ามเต็มไปหมด...”
โม่หยู่พูด
“ก็จริง...” จางเซวียนพยักหน้า
ในเมื่อเซียนสมุนไพรคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในเมือง
บัวแดงอันดุเดือดแห่งนี้ ถ้าใครก็ลอบเข้าไปในคฤหาสน์
ของเขาได้ง่ายๆ กว่าจะถึงวันนี้ เขาคงจะตายไปแล้วเป็น
ร้อยๆครั้ง
“อีกคนแล้วที่รนหาที่ตาย!”
“คุณคิดว่าจะเข้าไปในคฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร
ได้ง่ายๆแบบนั้น?”
“ว่ากันว่า มีคนแค่ 3 จำพวกเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต
ให้เข้าไป คือเจ้าแห่งสมุนไพร กูรูยาพิษ และผู้ที่มี
จดหมายเชิญ ถ้าไม่ใช่แบบนั้นล่ะก็ อย่ามาเสนอหน้าแถว
นี้จะดีกว่า อาจจะตายไม่รู้ตัว!”
“ใช่เลย!”
.....
เห็นองค์ชายแห่งอาณาจักรขั้น 2 เปิดหนีไปแบบ
นั้น ก็มีเสียงออกความเห็นเซ็งแซ่อยู่โดยรอบ
“จดหมายเชิญ? ลุงหมายความว่าใครที่มีจดหมาย
เชิญก็เข้าไปได้อย่างนั้นหรือ?”
ได้ยินเสียงเซ็งแซ่พวกนั้น จางเซวียนตาโต เขาเดิน
ไปหาคนที่จับกลุ่มคุยกันและยื่นเงินให้
“ใช่สิ!” ตาเฒ่ารีบคว้าเงินไป ยิ้มแฉ่งและพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น จะได้จดหมายเชิญมาด้วยวิธีไหน
ล่ะ?” จางเซวียนถาม
“อันนี้ผมก็ไม่รู้...” ตาเฒ่าส่ายหน้า แต่เหมือนจะ
นึกบางอย่างขึ้นได้จึงรีบเสริม “อ้อ แต่มีคนจำพวกหนึ่ง
นะที่เข้าไปในนั้นได้พร้อมกับจดหมายเชิญ”
“ฮะ?” จางเซวียนกับโม่หยู่อยากรู้เต็มที
“ก็เซียนสมุนไพรน่ะแก่แล้ว แถมยังไม่ค่อยสบาย
สองสามวันมานี้เขาก็เลยเชิญนายแพทย์มา และนาย
แพทย์ ทุ ก คนที่ มี ต ราสั ญ ลั ก ษณ์ น ายแพทย์ อ ยู่ ใ นมื อ ก็
เข้าไปในคฤหาสน์ได้” ตาเฒ่าบอก
“นายแพทย์?” จางเซวียนมองตาเฒ่า “ที่นี่มี
สมาคมนายแพทย์?”
อาชีพนายแพทย์ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆอีกมากที่มี
องค์กรรองรับ ซึ่งองค์กรนี้ก็คือสมาคมนายแพทย์นั่นเอง
ด้วยความไกลปืนเที่ยงของอาณาจักรเทียนเซวียน
จึงไม่มีสมาคมนายแพทย์อยู่ที่นั่น แต่ถ้ามีสมาคมนาย
แพทย์อยู่ที่เมืองบัวแดง จางเซวียนก็อาจจะไปลองสอบ
เป็นนายแพทย์ดู
“ที่ นี่ จ ะไปมี ส มาคมนายแพทย์ ไ ด้ อ ย่ า งไร นาย
แพทย์ทุกคนที่มาน่ะ ก็แค่แวะมาซื้อสมุนไพรเท่านั้น!”
เขาชี้มือไปข้างหน้าและพูดต่อ “ดูนั่น คนนั้นน่ะท่าทาง
จะเป็นนายแพทย์!”
จางเซวียนมองตามทันที และเห็นชายวัยกลางคนผู้
หนึ่งกำลังจะเดินเข้าประตู
“ผมคือเนี่ยหยวน นายแพทย์ระดับ 2 ดาวจาก
อาณาจักรเป่ยเฉิน เซียนสมุนไพรเชิญผมมา”
เมื่อพูดจบก็ยื่นตราสัญลักษณ์ให้องครักษ์คนหนึ่งดู
“นายแพทย์เนี่ยหยวน เชิญทางนี้!”
เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ องครักษ์ก็รีบก้มคำนับและ
เปิดทางให้เขา
“ขอบคุณ!”
นายแพทย์เนี่ยหยวนเดินเข้าไปในคฤหาสน์
ตอนที่ 266 นายแพทย์ไป๋ชาน

“แจ่ม ผมก็ทำแบบนั้นได้!”
เห็นนายแพทย์คนนั้นเดินเข้าไปอย่างสะดวกโยธิน
หลังจากแสดงตราสัญลักษณ์นายแพทย์ จางเซวียนเกิด
ความคิดหนึ่งขึ้นมา
“ไปกันเถอะ!”
เขาก้าวยาวๆกลับไปยังถนนที่จากมาโดยไม่รีรอ
“คุณคิดจะไปสอบเป็นนายแพทย์หรือ? ฉันก็จะ
สอบเหมือนกัน เราไปด้วยกันก็ได้ ที่อาณาจักรเทียนหวู่มี
สมาคมนายแพทย์ จากที่นี่ไปน่าจะราวๆ 5-6 วัน มันไม่
เสียเวลาเท่าไหร่หรอก”
โม่หยู่ถามขณะที่ตามเขาไปติดๆ
ผู้ ที่ จ ะเข้ า ไปในคฤหาสน์ ข องเซี ย นสมุ น ไพรได้ จ ะ
ต้องเป็นเจ้าแห่งสมุนไพร กูรูยาพิษ หรือได้รับจดหมาย
เชิญ ซึ่งก็ล้วนแต่ยากเกินไปทั้งนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดของ
จางเซวียนคือหาตราสัญลักษณ์นายแพทย์มาให้ได้
โม่หยู่เป็นผู้ช่วยนายแพทย์ และเธอตั้งใจจะเข้า
สอบเป็นนายแพทย์หลังจากที่ได้เป็นนักฝึกอสูรอย่างเป็น
ทางการแล้ว การได้เห็นจางเซวียนรักษาเจ้าเขี้ยวเหล็ก
เหินฟ้าทำให้เธอมีความเข้าใจในวิชาชีพนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม
และเมื่อประกอบกับความรู้ที่เธอสั่งสมมาตลอดหลายปีที่
ผ่านมา การจะผ่านการทดสอบและได้เป็นนายแพทย์
อย่างเป็นทางการก็ไม่น่าจะยาก ขอให้ไปถึงสมาคมนาย
แพทย์เสียก่อนเถอะ
“5-6 วัน?” จางเซวียนส่ายหน้า “ไม่ต้องทำแบบ
นั้นหรอก ผมมีความคิดอื่น!”
ถ้าเขาใช้เวลาห้าหกวันไปไขว่คว้าตราสัญลักษณ์
นายแพทย์อยู่ในอาณาจักรเทียนหวู่ ทางนี้อาจจะเกิด
เหตุการณ์พลิกผันอะไรขึ้นก็ได้ ถ้าเกิดมีนายแพทย์คน
ไหนมารักษาเซียนสมุนไพรให้หายป่วยได้ในระหว่างที่
เขาไม่อยู่ล่ะ?
ถ้าเกิดเซียนสมุนไพรตายไปเสียก่อนที่เขาจะกลับ
มา? ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เท่ากับเขาพยายามไขว่คว้าตรา
สัญลักษณ์นายแพทย์โดยเหนื่อยเปล่า
“ถ้ า อย่ า งนั้ น คุ ณ จะทำวิ ธี ไ หนล่ ะ ? จะรวบรวม
สมุ น ไพรให้ ไ ด้ ม ากๆเพื่ อ ให้ ตั ว เองกลายเป็ น เจ้ า แห่ ง
สมุนไพรอย่างนั้นหรือ? มันยากไปกว่าเดิมเสียอีก แถมจะ
ถูกเจ้าแห่งสมุนไพรคนอื่นข่มเหงเอาด้วย...”
โม่หยู่งงงันกับความคิดของจางเซวียน
หลั ง จากได้ เ ห็ น ความชุ ล มุ น สั้ น ๆที่ ห น้ า คฤหาสน์
ของเซี ย นสมุ น ไพร เขาก็ น่ า จะเข้ า ใจแล้ ว ว่ า เจ้ า ของ
คฤหาสน์ไม่ยอมให้ใครเข้าพบทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่คน 4
จำพวกที่ว่ามา แถมจางเซวียนก็ไม่รู้ว่าห้องโถงแห่งยา
พิษอยู่ที่ไหน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปลอมตัวเป็นกูรูยา
พิษ และถ้าเขามีจดหมายเชิญ เขาก็คงไม่ต้องมาถามเธอ
ดังนั้นทางเลือกเดียวที่จางเซวียนมีก็คือทำให้ตัวเองกลาย
เป็นเจ้าแห่งสมุนไพร แต่มันก็ยิ่งยากไปกว่าการไขว่คว้า
ตราสัญลักษณ์นายแพทย์เสียอีก
ถึงเมืองบัวแดงจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสาม
พันปี แต่ก็มีเจ้าแห่งสมุนไพรอยู่เพียง 13 คนเท่านั้น
พวกเขามีฐานที่มั่นและกระจายอำนาจระหว่างกันอย่าง
มั่ น คงเหนี ย วแน่ น ถ้ า จางเซวี ย นบุ่ ม บ่ า มเข้ า ไปใน
อุตสาหกรรมนี้ ก็มีแต่จะถูกเอาชีวิต
จางเซวียนยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่ยอมตอบคำถาม
ของอีกฝ่าย หลังจากเดินวนอยู่พักหนึ่ง เขาก็หยุดเอา
ดื้อๆ
โม่หยู่มองตาม บริเวณนั้นเป็นตลาดค้าขายแลก
เปลี่ยนสมุนไพรราคาแพง มันไม่จอแจเท่ากับถนนสายที่
พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่ มีคนกำลังเลือกซื้อสมุนไพรแค่สอง
สามคนเท่านั้น
“บังอาจ! เห็นผมเป็นไอ้หน้าโง่หรือ? กล้าเอาของ
ห่วยแตกมาขาย นี่คิดว่าเจอหมูตัวใหม่แล้ว ก็ไม่อยาก
ค้าขายกับผมแล้วใช่ไหม?”
เมื่อเดินเลาะไปตามตลาด ก็ได้ยินเสียงตวาดดังอยู่
ไม่ไกล
เสี ย งนั้ น มาจากชายวั ย กลางคนอายุ สี่ สิ บ กว่ า ปี ที่
สวมเสื้ อ คลุ ม สี เ ขี ย วอ่ อ น บนหน้ า อกของเขามี ต รา
สัญลักษณ์นายแพทย์ที่เป็นประกายอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
“นายแพทย์ไป๋ชาน!”
“คุณรู้จักเขาด้วย?” จางเซวียนมองโม่หยู่
“ใช่ เขาเป็นนายแพทย์ระดับ 1 ดาวของอาณาจักร
เทียนหวู่ ทั้งละโมบโลภมากและชอบเอาเปรียบคนอื่น
เอาเป็นว่าหาดีไม่ได้เลยนั่นแหละ ไม่นึกเลยว่าจะเจอเขา
ที่นี่” โม่หยู่พึมพำ
“ยิ่งชื่อเสียงเน่า ผมยิ่งทำงานง่ายขึ้นอีกเยอะ!”
จางเซวียนยิ้ม “ไปดูกัน!”
“นายแพทย์ไป๋ ต่อให้ผมโกงได้ ผมก็โกงคุณไม่ได้
หรอก นี่มันหญ้าไผ่เขียวชั้นดีที่สุดของผมจริงๆ!”
เมื่ อ เดิ น เข้ า ไป จางเซวี ย นก็ ไ ด้ ยิ น การต่ อ รอง
ระหว่างนายแพทย์ไป๋ชานกับพ่อค้า “เอาอย่างนี้ไหม
แทนที่ จ ะเป็ น ห้ า พั น ผมจะคิ ด คุ ณ แค่ ต้ น ละสามพั น
เหรียญทองเท่านั้น สิบต้นก็แค่สามหมื่น นี่เป็นราคาต่ำ
ที่สุดที่ผมให้คุณได้...”
“สามหมื่นรึ? สองหมื่นห้าสิ แล้วผมจะเหมาหมด!”
นายแพทย์ไป๋ชานฮึดฮัด
“ถ้าได้แค่สองหมื่นห้า ผมขาดทุนแน่...” พ่อค้าส่าย
หน้า
ทั้งคู่ยังต่อรองกันไม่เสร็จตอนที่จางเซวียนพุ่งเข้าไป
ด้วยสีหน้าตื่นเต้น “นายแพทย์ไป๋ บังเอิญอะไรอย่างนี้!
ไม่นึกเลยว่าคุณก็อยู่ที่นี่!”
“คุณคือ...”
นายแพทย์ไป๋ถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นคนแปลกหน้า
“ผมคือแฟนคลับของคุณ ผมได้ยินชื่อเสียงของคุณ
มานานแล้วและอยากรู้จักคุณมาตลอด แต่ก็ไม่สบโอกาส
สักที วาสนาคงนำพาให้เราได้พบกันในวันนี้เป็นแน่”
จางเซวียนพูด “พี่ชาย ช่วยห่อหญ้าไผ่เขียวสิบต้นนี้ให้
ผมที นี่เงินสามหมื่น!”
จางเซวียนยื่นเงินสามหมื่นให้พ่อค้า
“ได้สิ!”
พ่อค้าคว้าเงินหมับและรีบห่อสมุนไพรให้ทันที
“นายแพทย์ไป๋ นี่ของคุณ!” จางเซวียนมอบห่อ
สมุนไพรให้เขา
“เอ่อ...” นายแพทย์ไป๋ชะงัก ถึงคำพูดของเขาจะยัง
แสดงอาการขัดเขิน แต่สองมือก็คว้าของขวัญมาแล้ว
เรียบร้อย “ผมจะรับของมีค่าจากคุณได้อย่างไรในเมื่อเรา
เพิ่งพบกันครั้งแรก...”
“คุณเป็นไอดอลของผม ผมดีใจที่ได้ซื้อสมุนไพรให้
คุณ”
จางเซวียนยิ้ม
หมอนี่คิดบ้าอะไรอยู่?
โม่หยู่ที่ตามหลังจางเซวียนมาถึงกับงง เป็นไปได้
อย่างไรที่ไอ้หมอขี้งกนี่ยอมจ่ายเงินถึงสามหมื่นเพื่อซื้อ
สมุนไพรให้คนอื่น?
ก็หมอนี่แสนจะหน้าเงินถึงขนาดทวงเงินเราทุกวี่ทุก
วัน มันเรื่องอะไรถึงเกิดใจกว้างขึ้นมาตอนนี้?
“หรือว่า...เขาคิดจะให้นายแพทย์ไป๋พาเราเข้าไปใน
คฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร?”
โม่หยู่พลันคิดขึ้นได้
ก็ในเมื่อจางเซวียนมาพะเน้าพะนอนายแพทย์ไป๋
แทนที่จะเข้าสอบ เขาก็น่าจะมีเจตนาแบบนั้น
แต่จางเซวียนไม่ได้รู้จักนิสัยของนายแพทย์ไป๋ชาน
คนนี้เลย ตอนอยู่ในอาณาจักรเทียนหวู่ เธอได้ยินข่าวลือ
เกี่ยวกับเขามามากมาย
ทั้งตะกละ ละโมบโลภมาก แถมไร้ความสามารถ
น้ ำ หน้ า อย่ า งเขาคงไม่ อ ยากจะเข้ า ไปในคฤหาสน์ ข อง
เซียนสมุนไพรหรอก
เพราะที่นั่นเป็นสถานที่อันตราย ถ้าเขาทะเล่อทะล่า
เข้าไปทั้งๆที่มีความสามารถไม่มากพอ จะไม่เท่ากับรนหา
ที่ตายหรือ?
“คิดว่าดีแล้วก็ทำไป!”
โม่หยู่ยังคงสงสัยว่าจางเซวียนคิดอะไรตอนที่นาย
แพทย์ไป๋ชานเก็บสมุนไพรเรียบร้อย
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ซื้อสมุนไพรให้กับไอ
ดอลของผม!” จางเซวียนหัวเราะ “นายแพทย์ไป๋พอมี
เวลาว่างไหม ในเมื่อเราพบกันแล้ว ผมอยากขอเลี้ยง
เครื่องดื่มคุณสักหน่อย เพื่อเป็นการแสดงความชื่นชมที่
ผมมีต่อคุณ”
“เอ่อ...” นายแพทย์ไป๋อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
เจ้ า หนุ่ ม คนนี้ โ ผล่ พ รวดมาจากไหนก็ ไ ม่ รู้ ซื้ อ
สมุนไพรให้เขา แถมยังเชิญเขาไปดื่ม ถึงนายแพทย์ไป๋
ชานจะโลภมาก แต่ก็ยังอดสงสัยเจตนาของอีกฝ่ายไม่ได้
“อ้อ ดูเหมือนคุณจะลังเลเพราะคุณไม่รู้จักผม!”
เหมือนเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ จางเซวียนยิ้ม
เขาเดินไปหาโม่หยู่และพูดว่า “คุณคงรู้จักเธอ เธอเป็น
เพื่อนผมเอง มีเธออยู่ด้วย คุณคงไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว”
“องค์หญิงโม่หยู่?”
นายแพทย์ไป๋ชานอึ้งไปเมื่อเห็นโม่หยู่
ถึงเธอจะเป็นแค่ผู้ช่วยนายแพทย์ แต่ก็เป็นถึงองค์
หญิงที่ 3 ของอาณาจักร สถานภาพของเธอเหนือกว่า
นายแพทย์ระดับ 1 ดาวอย่างเขา
โม่หยู่ไม่คิดว่าจางเซวียนจะเอาชื่อเธอไปใช้ แต่ถึง
อย่างนั้นก็พยักหน้าและเออออห่อหมกไป
“อ้อ คุณเป็นเพื่อนกับองค์หญิง ให้ผมเป็นฝ่ายเลี้ยง
คุณดีกว่า...”
เห็นชายหนุ่มเป็นเพื่อนกับองค์หญิง และทั้งคู่ก็
เหมือนจะสนิทสนมกันดี นายแพทย์ไป๋ชานจึงไม่กล้า
วางท่ามากมาย เขารีบตอบรับคำเชิญด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ไม่ ส ำคั ญ หรอกว่ า ใครจะเป็ น คนเลี้ ย ง ในเมื่ อ
วาสนาชักนำให้เรามาเจอกันแล้ว เราก็ควรจะได้ดื่มด้วย
กัน ไปกันเถอะ!”
จางเซวียนเดินยิ้มนำทางไป ทั้งสามเดินออกจาก
ตลาดและมาอยู่บนถนนเปลี่ยวสายหนึ่ง
“ทำไมเรามาที่นี่ล่ะ? ผมรู้จักโรงเตี๊ยมที่มีไวน์ชั้น
ยอด...”
เมื่อมาถึงตรอก นายแพทย์ไป๋ชานเริ่มไหวตัว แต่
เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าองค์หญิงก็มาด้วย และไม่น่าจะมี
อะไรเกิดขึ้นกับเขาได้ เขาจึงเดินตามจางเซวียนไป
“เรื่องไวน์น่ะไว้ทีหลังก็ได้ แต่ตอนนี้ผมมีบางเรื่องที่
อยากขอหารือกับนายแพทย์ไป๋สักหน่อย” จางเซวียนหัน
กลับมา
“อ้อ ขอผมทราบหน่อยได้ไหมว่าเรื่องอะไร?” นาย
แพทย์ไป๋ถามงงๆ
“คื อ อย่ า งนี้ ผมอยากขอยื ม ตราสั ญ ลั ก ษณ์ น าย
แพทย์ ข องคุ ณ สั ก พั ก หนึ่ ง คุ ณ พอจะใจดี ใ ห้ ผ มยื ม ได้
ไหม?” จางเซวียนถาม
“ตราสัญลักษณ์?” นายแพทย์ไป๋ผงะ “ผมจะให้
คุณยืมได้อย่างไร! ตราสัญลักษณ์เป็นเครื่องแสดงถึง
สถานภาพนายแพทย์ ข องผม ให้ ยื ม กั น ไม่ ไ ด้ ง่ า ยๆ
หรอก...”
ยังพูดไม่ทันจบ ทุกอย่างตรงหน้าก็ดับวูบไป หมัด
หนึ่งพุ่งใส่หน้าเขาอย่างจัง
ปั้ก!
เสียงต่อยนั้นดังมาก นายแพทย์ไป๋ชานสลบเหมือด
กองอยู่กับพื้น
“ในเมื่อขอยืมดีๆแล้วก็น่าจะให้ จะไม่ต้องโดนต่อย
แบบนี้!”
จางเซวี ย นเอื้ อ มมื อ ไปหยิ บ ตราสั ญ ลั ก ษณ์ น าย
แพทย์จากตัวของอีกฝ่าย
“คุณ...คุณทำอะไรน่ะ?”
ตอนแรก โม่หยู่คิดว่าจางเซวียนคงจะให้นายแพทย์
ไป๋ชานพาพวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร
แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม เขาต่อยนายแพทย์ไป๋หมัด
เดียวสลบ โม่หยู่ถึงกับเซ่อไป
“อ๋อ ก็ไม่มีอะไรมากนี่ ผมแค่ยืมตราสัญลักษณ์ของ
เขา!” จางเซวียนอธิบาย
“ยืม?” โม่หยู่แทบคลั่ง “นี่มันเท่ากับขโมยตรา
สัญลักษณ์ของนายแพทย์เลยนะ! จะต้องมีปัญหาใหญ่
ตามมาแน่ถ้าเขารายงานเรื่องนี้ต่อสมาคมนายแพทย์ตอน
ที่เขากลับไป...”
ทุกอาชีพมีสมาคมของตัวเองปกป้องอยู่ ถ้าเขา
รายงานต่ อ สมาคมนายแพทย์ ว่ า คุ ณ หลอกลวงเขา
อย่างไร ต่อยเขาสลบ แถมขโมยตราสัญลักษณ์ของเขา
ไปด้วย คุณจะต้องเจอปัญหาหนักแน่
นี่มันสะเพร่าเกินไปแล้ว!
“ปัญหา? ปัญหาชนิดไหนล่ะ? เขาไม่รู้จักผมสัก
หน่อย ผมยังไม่ได้บอกชื่อผมเสียด้วยซ้ำ!” จางเซวียน
ตอบอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่รู้จักคุณ...” ได้ยินคำพูดนั้น โม่หยู่แทบกระอัก
เลือด “เขาไม่รู้จักคุณ แต่เขารู้จักฉัน!”
“นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของผมนี่ ถึงอย่างไรคุณก็เป็น
องค์หญิง เรื่องแค่นี้คุณแก้ไขได้ง่ายนิดเดียว ถ้ามันจะ
บานปลายขนาดนั้นน่ะนะ...”
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วผมจะคำนวณ
ค่าใช้จ่ายที่คุณค้างผมอยู่อีกทีนะ เพราะว่าผมจ่ายไปตั้ง
3 หมื่นเหรียญทองเพื่อซื้อสมุนไพรให้เขา ซึ่งอันที่จริง ก็
ถือว่าผมชดเชยให้เขาแล้ว...”
“คุณ...”
โม่หยู่ถึงกับเซ รู้สึกว่าตัวเองใกล้คลั่งเต็มที
บ้าไปแล้ว!
จะต้องหน้าด้านขนาดนี้เลยหรือ?
เขาไม่รู้จักคุณ แล้วคุณก็ดึงฉันเข้าไปสมรู้ร่วมคิด
เสียอย่างนั้น ถ้าเขาหาตัวคุณไม่ได้ เขาก็จะตามหาฉัน!
แถมยังมาพูดเรื่องเงินอีก
ราคาค่าโดยสารเจ้าอสูรนี่จะต้องเท่าไหร่กัน
คุ ณ ขโมยตราสั ญ ลั ก ษณ์ น ายแพทย์ ข องคนอื่ น มา
ดื้อๆ แล้วหวังให้ฉันแก้ไขเรื่องที่จะตามมา ชื่อเสียงของ
ฉันในฐานะองค์หญิง...
“วางตราสัญลักษณ์ลงเลย หาทางอื่น... เฮ้ย! คุณ
ทำอะไร?”
เธอกำลังพยายามจะหยุดจางเซวียน แต่ฝ่ายนั้นก็
ทำให้เธอสะพรึงได้อีกครั้ง
หมอนั่นลงนั่งยองๆและถอดเสื้อผ้าของนายแพทย์
ไป๋ชาน
แค่ขโมยตราสัญลักษณ์ยังไม่พอหรือ? เอาเสื้อผ้า
ของเขามาใส่ด้วย...
ที่เธอกังวลมากกว่าก็คือ ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้สมรู้
ร่วมคิดกับเขาไปแล้ว...
โม่หยู่รู้สึกเหมือนจะลมจับได้ทุกขณะ
“เตรียมตัวซะ เราจะไปคฤหาสน์เซียนสมุนไพร!”
จางเซวียนคร้านจะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย เขา
ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองออก แล้วสวมเสื้อผ้าของ
นายแพทย์ไป๋ชานเข้าไป
“เราจะไปคฤหาสน์เซียนสมุนไพรด้วยสภาพนี้น่ะ
หรือ? ถึงนายแพทย์ไป๋ชานจะไม่ได้โด่งดังนักหนา แต่ก็
มีชื่อของเขาอยู่บนตราสัญลักษณ์ ถ้าเกิดนายแพทย์คน
อื่นอยู่ที่นั่นด้วย เราถูกเปิดโปงแน่...”
โม่หยู่ยังสงสัยว่าจางเซวียนคิดอะไร ลงท้ายก็คือ
เขาตั้ ง ใจจะปลอมตั ว เป็ น นายแพทย์ ไ ป๋ ช านเพื่ อ ลอบ
เข้าไปในคฤหาสน์
ถ้ า เป็ น อาชี พ อื่ น เรื่ อ งนี้ อ าจพอทำได้ แต่ ต รา
สัญลักษณ์นายแพทย์มีชื่อของเจ้าของสลักไว้ด้วย และ
วงการนายแพทย์ ข องอาณาจั ก รเที ย นหวู่ ก็ ไ ม่ ไ ด้ ก ว้ า ง
ขวางนัก จางเซวียนจึงมีโอกาสถูกเปิดโปงสูงมาก
“เปิดโปงอะไร?”
โม่หยู่ยังไม่ทันพูดจบ จางเซวียนก็สวมเสื้อผ้าเสร็จ
และหันมามองหน้าเธอ
เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม โม่หยู่ถึงกับตะลึง เธอ
ตัวสั่นเทิ้มและนัยน์ตาเบิกโพลง
“นายแพทย์ไป๋ชาน...ไม่ ไม่ใช่สิ นี่มัน...ความ
สามารถในการปลอมตัว? เป็นไปได้อย่างไรกัน...”
ตอนที่ 267 พ่อบ้านลู่

ที่เธอเห็นคือจางเซวียนปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปจน
เหมือนกับนายแพทย์ไป๋ชานที่นอนแผ่อยู่บนพื้น ถ้าโม่หยู่
ไม่ได้เห็นตอนที่จางเซวียนใส่เสื้อผ้าของอีกฝ่าย เธอจะ
ต้องคิดว่านายแพทย์ไป๋มีน้องชายฝาแฝด
โม่หยู่เคยได้ยินเรื่องการปลอมตัวจากคนอื่นมาก่อน
แต่ตอนนั้นเธอเชื่อว่ามันเป็นแค่การใช้กลวิธีบางอย่าง
เพื่ อ ล่ อ ลวงการมองเห็ น เท่ า นั้ น ตราบใดที่ จ้ อ งอย่ า ง
ละเอียดถี่ถ้วนพอ ก็จะต้องมองออกว่าปลอมตัว แต่ภาพ
ที่อยู่ตรงหน้าทำลายความเข้าใจที่เธอมีอยู่เก่าก่อนอย่าง
สิ้นเชิง
ในพริบตาเดียว จางเซวียนก็กลับกลายเป็นอีกคน
หนึ่ง แถมเธอยังหาความแตกต่างระหว่างจางเซวียนที่
ปลอมตัวมากับนายแพทย์ไป๋ชานตัวจริงไม่ได้เลย... หมอ
นี่ทำได้อย่างไร?
หรือเขาจะเป็น...นักปลอมตัวผู้เชี่ยวชาญ?
ตำนานกล่าวไว้ว่า อาชีพนักปลอมตัวเป็นอาชีพไร้
เทียมทานอาชีพหนึ่งของเก้าสถานะระดับกลาง แม้ไม่มี
วรยุทธสูงส่งก็สามารถปลอมตัวเป็นใครก็ได้ มันเป็นวิธี
การที่ดีที่สุดในการหลบหนีจากเรื่องยุ่งยาก
แต่ อ าชี พ นี้ ก็ ห ายสาบสู ญ ไปจากบั น ทึ ก ทาง
ประวัติศาสตร์นานแล้ว ไม่มีใครเคยพบเห็นนักปลอมตัว
มานานแสนนาน โม่หยู่ก็แค่ได้ฟังจากบทสนทนาของผู้
เฒ่าผู้แก่เท่านั้น เธอคิดมาตลอดว่ามันเป็นแค่ตำนาน นึก
ไม่ถึงว่า...จะเป็นเรื่องจริง!
นายแพทย์ นักฝึกอสูร นักปรุงยา ปรมาจารย์...
เธอคิดว่าความสามารถของเขาคงสุดเพียงเท่านี้
แต่เขายังเป็นนักปลอมตัวด้วย!
ต่อให้ทุ่มเทเรียนรู้ทั้งชีวิตกับอาชีพเพียงอาชีพเดียว
คนธรรมดาบางคนยังไม่อาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในอาชีพนั้น
ได้ แต่ผู้ชายคนนี้ทำได้ทุกอย่าง...
ครอบครั ว ของคุ ณ ทำอาชี พ อะไร? ทำไมคุ ณ ถึ ง
เก่งกาจได้ไม่รู้กี่อาชีพทั้งที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ?
โลกนี้มีปีศาจชนิดนี้ด้วยหรือ?
ยิ่งกว่านั้น ถ้าหมอนี่เป็นแค่ปีศาจอัจฉริยะ ก็ยังไม่
เท่าไหร่ แต่ความปราดเปรื่องนี้ช่างเข้ากันดีกับนิสัยแสน
ประหลาดของเขา!
ตอนแรกเธอคิดว่าผู้ชายคนนี้ก็แค่ปากเสีย ไม่นึกไม่
ฝันเลยว่าการกระทำของเขา... ยิ่งชั่วร้ายกว่า!
ที่ดงอสูร เขาขโมยอสูรที่เธอฝึกมันให้เชื่องด้วย
ความยากลำบากไปเป็นของตัวเอง เธอคิดว่านั่นก็เลว
ร้ายที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้แล้ว แต่มาครั้งนี้ เขาถึง
กับต่อยนายแพทย์ไป๋หมัดเดียวสลบและลากเธอเข้าไป
เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
ฉันก็แค่เสนอตัวเข้าช่วยเหลือคุณ บอกมาสิว่าฉัน
ไปขัดใจคุณตอนไหน?
ด้วยประวัติด่างพร้อยแบบนี้ ต่อไปฉันจะเข้าสอบ
เป็นนายแพทย์ได้อย่างไรกัน?
คิดแบบนี้แล้ว โม่หยู่ก็แทบจะเป็นบ้า
“ไปกันเถอะ!”
จางเซวียนไม่สนใจจะทะเลาะกับโม่หยู่ เมื่อเตรียม
ตัวเสร็จแล้ว เขาก็จ้ำพรวดๆไปยังคฤหาสน์ของเซียน
สมุนไพรทันที
ศิลปะการปลอมตัวเทียบฟ้าทำให้เขาปรับเปลี่ยน
กล้ามเนื้อทุกมัดและกระดูกทุกชิ้นในร่างของเขาได้ดังใจ
ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกับนายแพทย์ไป๋
ชานทุกกระเบียด แม้แต่เสียงก็ยังเหมือนกันด้วย แทบจะ
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครรู้ว่าเขาเป็นตัวปลอม
เหตุผลที่เขาเลือกปลอมตัวแทนที่จะเข้าสอบ ก็
เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลกับสมาคมนายแพทย์
อีกอย่าง ด้วยสถานภาพของโม่หยู่ที่เป็นถึงองค์
หญิง คงจะตลกไม่ใช่น้อยถ้าเธอไม่สามารถแก้ปัญหา
เล็กๆแบบนั้นได้
เหตุผลที่เขาปลอมตัวก็เพราะอยากเข้าพบเซียน
สมุนไพร และถามถึงที่ตั้งของห้องโถงแห่งยาพิษ เขาไม่
ได้คิดจะทำอาชญากรรมร้ายแรงใด และจะไม่มีความเสีย
หายใดๆเกิดขึ้นแน่นอน
“ไอ้บ้าเอ๊ย...”
เห็นอีกฝ่ายจ้ำออกจากตรอก โม่หยู่กัดฟันและตาม
ไปติดๆ
ตอนนี้เขาดึงเธอลงมาร่วมหัวจมท้าย สายไปแล้วที่
จะหันหลังกลับ เธอทำได้แค่ตามน้ำไปเท่านั้น
“ไอ้การเอาตราสัญลักษณ์มาน่ะง่าย แต่การรักษา
เซียนสมุนไพรนี่สิ ฉันจะคอยดูว่านายจะทำอย่างไรตอนที่
นายใบ้กิน!”
มีนายแพทย์อยู่ 2 แบบ คือแบบที่เชี่ยวชาญการ
รักษามนุษย์ กับแบบที่เชี่ยวชาญการรักษาอสูร ในเมื่อ
หมอนี่รักษาเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าได้อย่างง่ายดาย เขาก็
น่าจะอยู่ในแบบหลัง ถ้าเป็นการรักษามนุษย์แล้วล่ะก็
เขาคงสำแดงความเก่งกาจออกมาได้ไม่เท่าเดิม
ถ้าคุณรักษาเซียนสมุนไพรไม่ได้ล่ะก็ จะไปพบเขา
เพื่ออะไร?
ทั้งคู่เดินไปตามถนน ไม่นานก็มาถึงคฤหาสน์ของ
เซียนสมุนไพรอีกครั้ง
ยั ง มี อ งครั ก ษ์ ยื น คุ ม ที่ ป ระตู ท างเข้ า เหมื อ นเดิ ม
เพราะเป็นที่รู้กันถ้วนทั่วว่า เจ้าของบ้านไม่ยินดีรับแขก
คนไหนทั้งสิ้น ดังนั้น แม้จะมีฝูงชนอยู่ด้านนอกกันคลา
คล่ำ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยื่นสมุดแนะนำตัว
เมื่อจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้ว จางเซวียนก็พยายาม
เลียนแบบท่าเดินของนายแพทย์ไป๋ชาน แล้วเดินอย่าง
เนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปยังประตูคฤหาสน์
“ดูสิ มีคนรนหาที่ตายอีกคนหนึ่งแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า วันนี้มีคนอวดเก่งถูกตีตายไปสองสามคน
แล้ว หมอนี่ยังใจกล้าบ้าบิ่นเข้ามาอีก!”
“มาดูอะไรสนุกๆกัน พนันได้เลยว่าเขาต้องตายไม่รู้
ตัว!”
เห็นจางเซวียนเดินเข้าไป ผู้คนแถวนั้นพากันซุบซิบ
ถึงหายนะที่ใกล้เข้ามา
มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่อยากขอเข้าพบเซียนสมุนไพร
แต่คนเหล่านั้นก็ล้วนแต่ต้องล่าถอยกลับไปหมด นี่เดิน
อย่างสบายอารมณ์เข้าไปแบบนี้ จะเป็นอะไรได้ถ้าไม่ใช่
รนหาที่ตาย?
“หยุด!” องครักษ์คนหนึ่งเลิกคิ้วและเข้าสกัดจางเซ
วียนกับโม่หยู่ไว้
“ผมเป็ น นายแพทย์ ” จางเซวี ย นแสดงตรา
สัญลักษณ์
“นายแพทย์?” องครักษ์มองตราสัญลักษณ์ก่อนจะ
ส่ายหน้า “ผมเสียใจด้วย แต่ทางคฤหาสน์อนุญาตให้
เข้าไปเฉพาะนายแพทย์ระดับ 2 ดาวขึ้นไปเท่านั้น!”
“2 ดาวขึ้นไป?” จางเซวียนแทบกระอักเลือด
ตอนที่ได้ยินตาเฒ่าคนนั้นพูดว่านายแพทย์เข้าไป
ข้างในได้ จางเซวียนก็พุ่งไปเสาะหาตราสัญลักษณ์ทันที
ไม่คิดเลยว่าจะยังมีเงื่อนไขอื่นอีก
แต่ว่า...ต่อให้เขามีเวลาก็เถอะ แล้วเขาจะไปหาตรา
สัญลักษณ์นายแพทย์ระดับ 2 ดาวที่ไหนได้?
นายแพทย์ระดับ 1 ดาวส่วนมากมีวรยุทธอยู่ในขั้น
พี่เชวี่ยและทงฉวน ซึ่งจางเซวียนก็ยังรับมือกับพวกเขา
ได้ แต่นายแพทย์ระดับ 2 ดาวล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญขั้น
จงซรือทั้งนั้น ต่อให้เขาตั้งใจไปฉกตราสัญลักษณ์มา ก็
ไม่มีทางทำสำเร็จ!
“กรุณากลับไป!” องครักษ์คนหนึ่งก้าวออกมาและ
บอกให้พวกเขากลับ
ได้ยินทั้งคำพูดและเห็นทีท่าของอีกฝ่ายแล้ว โม่หยู่ก็
รู้ว่าไม่มีหวัง เธอกำลังจะหันหลังกลับ แต่จางเซวียนยืน
เอาสองมือไพล่หลังและเลิกคิ้ว
“บังอาจนัก!”
ด้วยทีท่าสง่างาม เขาตวาดก้อง “ผม, ไป๋ชาน นาย
แพทย์ระดับ 1 ดาว, แต่ใครบอกกันล่ะว่านายแพทย์
ระดับ 1 ดาวรักษาโรคร้ายไม่หาย?”
โม่หยู่รู้สึกหน้ามืดตาลาย
ที่คุณพูดมาก็ถูก นายแพทย์ระดับ 1 ดาวก็รักษา
โรคร้ายได้...แต่ขนาดไอ้ 1 ดาวของคุณมันก็ยังปลอม
แล้วเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหนถึงพูดได้ขนาดนั้น?
จะเพ้อไปหน่อยไหม!
ไม่เห็นหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ติดตามขององค์ชาย
นั่น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ คุณตายคาที่แน่...
โม่หยู่ใจเต้นรัวด้วยความกังวล เธอเสียใจเหลือเกิน
ที่ตามหมอนั่นมาที่นี่
“ก็จริงอยู่ว่านายแพทย์ระดับ 1 ดาวก็รักษาโรคร้าย
ได้ แต่...”
องครักษ์นึกไม่ถึงว่านายแพทย์ระดับ 1 ดาว จะ
พู ด จามั่ น อกมั่ น ใจขนาดนั้ น เขากำลั ง มึ น งงกั บ
สถานการณ์ที่จู่ๆก็พลิกผัน เมื่อขยับจะพูดต่อ ชายวัย
กลางคนที่ยืนตรงหน้าก็ตั้งคำถาม "แล้วนายแพทย์ระดับ
2 ดาวกับ 3 ดาวที่เข้าไปแล้วน่ะ รักษาอาการของเจ้า
นายคุณได้หรือเปล่า?
“เอ่อ...”
องครักษ์ผงะ
มีนายแพทย์ระดับ 2 ดาวและ 3 ดาวอยู่สองสาม
คนที่เข้ามาแล้วก็กลับไป จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีสักคน
เดียวที่อธิบายอาการป่วยของนายท่านได้ ป่วยการจะพูด
ถึงการรักษา
“ตราสัญลักษณ์น่ะไม่ได้แสดงถึงความสามารถใน
การรักษาโรคหรอกนะ คุณแน่ใจหรือว่าจะรับผิดชอบไหว
ถ้าเป็นต้นเหตุให้การรักษานายท่านของคุณต้องล่าช้า
ออกไป?”
เขาเลิกคิ้วและตวาดกร้าว “เร็วเข้า อย่าขวางทาง
เรา!”
“เอ่อ...”
เหล่ า องครั ก ษ์ ต่ า งมองหน้ า กั น ไม่ รู้ จ ะตั ด สิ น ใจ
อย่างไร
ก็ จ ริ ง อยู่ ว่ า ยิ่ ง เป็ น นายแพทย์ ร ะดั บ สู ง ขึ้ น ก็ ยิ่ ง มี
ความสามารถมากขึ้น แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญอยู่จำนวนหนึ่งที่
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการจัดอันดับของสมาคมนายแพทย์
ถ้าชายผู้นี้มีความเก่งกาจจริงๆ และพวกเขาไป
ขวางทางไว้ คงไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่จะรับมือกับความ
เกรี้ยวกราดของนายท่านได้
แต่พ่อบ้านก็กำชับไว้ว่าต้องเป็นนายแพทย์ระดับ 2
ดาวขึ้นไปเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ พวกเขาจึงไม่รู้จะทำ
อย่างไร
“มีอะไรกัน?”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ชายวัยกลางคนเดินออกมา
“พ่อบ้านลู่!” เมื่อเห็นชายผู้นั้น เหล่าองครักษ์ก้ม
คำนับทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” ชายผู้นั้นเห็นจางเซวียนกับโม่หยู่
ยืนอยู่ไม่ห่างจากประตูทางเข้าคฤหาสน์นัก และเหล่า
องครักษ์ก็กำลังสกัดไว้ รอยย่นบางๆปรากฏขึ้นบนหน้า
ผากของพ่อบ้านลู่ทันที
“นี่คือนายแพทย์ไป๋ชาน เขาเป็นนายแพทย์ระดับ 1
ดาว...” องครักษ์คนหนึ่งรีบอธิบาย
“นายแพทย์ระดับ 1 ดาว? ไล่เขาออกไป!” พ่อบ้าน
ลู่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
ในฐานะพ่อบ้านของเซียนสมุนไพร เขาได้พบนาย
แพทย์ทั้งระดับ 2 ดาวและ 3 ดาวมานักต่อนัก จึงไม่
สนใจผู้ที่เป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1 ดาว
“แต่เขาบอกว่า...พวกเราจะรับผิดชอบไหวไหมถ้า
ทำให้การรักษาโรคร้ายของนายท่านต้องล่าช้าออกไป ดู
เขามั่นอกมั่นใจว่าจะรักษาอาการป่วยของนายท่านได้...”
องครักษ์คนหนึ่งพูดอย่างลังเล
“อวดดี!” พ่อบ้านลู่คำรามและหันกลับไปมองจาง
เซวียนด้วยสายตาดูถูก
“คุณแน่ใจหรือว่ารักษาอาการป่วยของนายท่านได้
ขนาดนายแพทย์ระดับ 2 ดาวกับ 3 ดาวยังไม่กล้าพูด
แบบนั้นเลย เอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหนกัน?”
องครั ก ษ์ พ วกนี้ อ าจไม่ รู้ เ รื่ อ งอาการป่ ว ยของนาย
ท่านมากนัก แต่ในฐานะพ่อบ้านของคฤหาสน์ เขารู้เรื่อง
นั้นดี นายแพทย์ระดับ 3 ดาวหลายคนยังวินิจฉัยสาเหตุ
ของอาการป่วยไม่ได้เลย แล้วแค่ระดับ 1 ดาวจะไปทำ
อะไร
“ผมจะเอาความมั่นใจมาจากไหนก็ไม่ใช่กงการของ
คุณ! ถ้าคุณไม่เชื่อผม เราพนันกันก็ได้!”
จางเซวียนมองหน้าเขา
พ่อบ้านลู่จ้องกลับด้วยสายตาเหยียดหยาม “คุณจะ
เอาอะไรมาพนัน?”
“แค่หมัดเดียวของคุณ ผมก็บอกอาการป่วยของ
คุณได้!” จางเซวียนพูด ยังเอาสองมือไพล่หลังเหมือน
เดิม
“พูดจาเพ้อเจ้ออะไร? พ่อบ้านลู่ทั้งหนุ่มทั้งแข็งแรง
จะมีอาการป่วยชนิดไหนกัน?”
“ดูก็รู้ว่าหมอนี่เพ้อเจ้อ ผมเจอนายแพทย์ระดับ 3
ดาวมาแล้วหลายคน ทุกคนวินิจฉัยอาการของโรคด้วย
การตรวจร่างกายของคนไข้ทั้งนั้น ไม่เคยได้ยินว่ามีใคร
วินิจฉัยอาการของใครได้ด้วยการดูหมัดของเขา”
“ก็แค่ไอ้ขี้โม้ ไล่เขาไป!” เหล่าองครักษ์คำรามอย่าง
ดุเดือดพร้อมเพรียงกัน
โม่หยู่ที่ยืนอยู่ข้างจางเซวียนรู้สึกหน้าตาร้อนผ่าวไป
หมด เธออยากจะขุดหลุมแล้วมุดหายเข้าไปในนั้นเต็มที
นายแพทย์ที่ไหนก็วินิจฉัยโรคด้วยการตรวจร่างกาย
และตั้งคำถามกับคนไข้ทั้งนั้น ไม่เคยได้ยินว่าใครวินิจฉัย
โรคด้วยการดูหมัดของเขา...คุณนึกว่านี่เป็นการแสดง
ละครสัตว์หรือ?
ตอนแรก โม่หยู่คิดว่าจางเซวียนมีความเข้าใจอย่าง
ลึกซึ้งในวิธีการรักษาโรค เพราะเขาสามารถรักษาอาการ
ของเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้าได้ แต่ลงท้าย...
นี่คุณแน่ใจนะว่ามารักษาคน ไม่ใช่อสูร?
เพราะอสูรพูดไม่ได้ นายแพทย์ผู้รักษาจึงต้องทำให้
มันเคลื่อนไหวเพื่อจะได้สังเกตสาเหตุของอาการป่วย นี่
คุณจะบอกให้พ่อบ้านลู่ทำแบบเดียวกัน คิดว่าเขาเป็น
อสูรหรือ?
อีกอย่าง คนที่ป่วยคือเซียนสมุนไพรต่างหาก มัน
เรื่องอะไรถึงต้องมาวินิจฉัยพ่อบ้าน...
“คุณ...”
พ่อบ้านลู่คุ้นเคยใกล้ชิดกับนายแพทย์มาพอสมควร
จึงรู้ว่าวิธีการนี้ใช้กับอสูรเท่านั้น หน้าตาของเขาแดงก่ำ
ไปหมด กำลังจะเอาเรื่องอีกฝ่าย ก็เห็นเงาพร่ามัวผ่านไป
และหมัดหนึ่งพุ่งเข้าใส่เขา
“บังอาจ!”
นายแพทย์ระดับ 1 ดาว กล้าต่อยเขาหน้าประตู
คฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร! พ่อบ้านลู่โกรธจนแทบจะ
ระเบิด เขายื่นมือออกไปสกัดกั้นหมัดของอีกฝ่าย
“แกมันรนหาที่ตาย!”
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”
เหล่าองครักษ์นึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะกล้าทำแบบ
นั้น พวกเขาชูอาวุธในท่าเตรียมพร้อม เจตนาสังหารอัน
เข้มข้นแผ่ซ่านออกไปในอากาศ มีบางคนถึงกับถือยาพิษ
ไว้ในมือ พร้อมจะขว้างออกไปได้ทุกเมื่อ
ก่อนที่ฝ่ามือของพ่อบ้านลู่จะปะทะกับหมัดของอีก
ฝ่าย นายแพทย์ผู้โจมตีเขาก็ถอยกลับไปทันควัน เขายื่น
เอาสองมือไพล่หลังด้วยสีหน้าสุขุมเหมือนเดิม ราวกับไม่
เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“พวกเธอ จัดการเขาซะ!”
พ่อบ้านลู่คำราม
เมื อ งบั ว แดงเป็ น อาณาเขตของเซี ย นสมุ น ไพร
เกียรติยศของเขาจะถูกลบหลู่ไม่ได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็น
ใคร ต่อให้เป็นนายแพทย์ระดับ 1 ดาวหรือ 2 ดาว หรือ
แม้แต่เป็นองค์ชายของอาณาจักรไหน ถ้ามาสร้างปัญหา
ที่คฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร โทษคือตายสถานเดียว!
“จัดการผม?”
จางเซวียนส่ายหน้า เขาจ้องชายวัยกลางคนที่ยืน
ตรงหน้าและพูดว่า “ถ้าคุณคิดว่าอดทนกับอาการหายใจ
หอบถี่ตอนกลางคืนที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้ล่ะก็ ผมไปเสียเดี๋ยว
นี้ก็ได้!”
“คุณว่าอะไรนะ?”
พ่อบ้านลู่ตัวแข็งไปกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาหน้า
ซีดเหมือนกระดาษ
ตอนที่ 268 เหยียบลานบ้าน

นับตั้งแต่ประสบปัญหาในการฝึกวรยุทธเมื่อ 3 ปี
ก่อน เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการหายใจหอบถี่ตอน
กลางคืนมาตลอด รู้สึกเหมือนมีใครมาบีบคอ ทรมานจน
แทบจะขาดใจ
เขาปรึกษานายแพทย์มาหลายคนแล้ว ขนาดนาย
แพทย์ระดับ 2 ดาวหรือ 3 ดาวก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ พวก
เขาให้ยามาหลายขนาน แต่ไม่มียาไหนใช้ได้ผลเลย
เขาเคยคิดว่าตัวเองคงต้องทุกข์ทนกับอาการป่วยนี้
ไปชั่วชีวิต แต่นายแพทย์ระดับ 1 ดาวที่ดูแสนจะธรรมดา
คนนี้กลับระบุอาการของเขาได้ในพริบตาเดียว
เป็นไปได้ไหมว่าที่จริงเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ถึงจะ
เป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1 ดาวก็เถอะ?
“ผมขอทราบชื่อคุณได้ไหม?”
พ่อบ้านลู่หยุดองครักษ์ที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายไว้
เขาพยายามข่มความตกตะลึงและก้มคำนับอย่างสุภาพ
“ไป๋ชานแห่งอาณาจักรเทียนหวู่!”
จางเซวียนตอบอย่างทองไม่รู้ร้อน
“ตกลงคุณก็คือนายแพทย์ไป๋ชาน! ผมขอเชิญคุณ
เข้าไปคุยกันด้านใน”
พ่ อ บ้ า นลู่ ไ ม่ อ ยากให้ ค นทั้ ง เมื อ งล่ ว งรู้ ถึ ง อาการ
หายใจหอบถี่ของเขา
“ได้เลย!” จางเซวียนพยักหน้า
“เอ่อ...”
เห็นภาพตรงหน้า นัยน์ตาคู่สวยของโม่หยู่แทบปะทุ
ออกจากเบ้า
ต่อให้เธอสมองช้าแค่ไหน ก็เห็นกันชัดๆว่าการ
วินิจฉัยอาการของจางเซวียนย่อมถูกต้อง ไม่อย่างนั้น จะ
มี เ หตุ ผ ลอะไรที่ ท ำให้ พ่ อ บ้ า นลู่ เ ปลี่ ย นท่ า ที ไ ด้ ทั น ควั น
ขนาดนั้น
ไม่ต้องตั้งคำถาม ไม่ต้องตรวจร่างกาย แค่สังเกต
การออกหมั ด ของเขาก็ บ อกได้ แ ล้ ว ว่ า อี ก ฝ่ า ยป่ ว ยเป็ น
อะไร...
ไม่ น่ า เชื่ อ ว่ า วิ ธี ก ารวิ นิ จ ฉั ย โรคของอสู ร จะใช้ กั บ
มนุษย์ได้เหมือนกัน...
ทำไมเรื่องราวมันเหลือเชื่อขนาดนี้?
บางคนอาจจะสงสัยว่านายแพทย์วัยกลางคนผู้นี้
คงจะรู้อาการป่วยของพ่อบ้านลู่มาก่อนแล้ว จึงใช้มันเป็น
เครื่องมือเพื่อให้ได้เข้าไปในคฤหาสน์ แต่โม่หยู่รู้ว่าจางเซ
วียนไม่รู้จักแม้แต่เซียนสมุนไพร จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้
เรื่องอาการป่วยของพ่อบ้านคนนี้
ความเป็ น ไปได้ ข้ อ เดี ย วก็ คื อ จางเซวี ย นวิ นิ จ ฉั ย
อาการของโรคได้จริงๆ
การใช้กำลังเข้าฝึกอสูรให้เชื่อง การชี้แนะให้เธอ
ปรุงยาเกรด 2 ขั้นสูงสุดได้ การวินิจฉัยอาการป่วยของ
ผู้ ค นผ่ า นการออกหมั ด ของเขา...เธอรู้ ม านานแล้ ว ว่ า
ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา แต่นี่มันออกจะ...เทพไปหน่อย
ไหม?
“เราต้องไปดู”
โม่ ห ยู่ ต กตะลึ ง ไปครู่ ห นึ่ ง กว่ า จะรู้ ตั ว ว่ า ทั้ ง คู่ เ ดิ น
เข้าไปในคฤหาสน์แล้ว เธอรีบวิ่งตามไป
พ่อบ้านลู่ออกคำสั่งไว้ เหล่าองครักษ์จึงไม่กล้าเข้า
ขวางทาง
“ถึ ง เราจะไม่ รู้ ว่ า หมอนั่ น ใช้ ห มั ด เดี ย ววิ นิ จ ฉั ย
อาการของพ่อบ้านลู่ถูกต้องได้อย่างไร แต่มันก็จะไม่ช่วย
อะไรเลยถ้าเขารักษามันไม่ได้!”
โม่หยู่คิด
เมืองบัวแดงเป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยน
สมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสิบกว่าอาณาจักรโดยรอบ
มี น ายแพทย์ จ ำนวนนั บ ไม่ ถ้ ว นเดิ น ทางเข้ า ออก
ตลอดเวลา ด้วยตำแหน่งอันสูงส่งของเซียนสมุนไพร ถ้า
พ่อบ้านลู่มีอาการป่วย เป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีนายแพทย์
คนไหนรักษาได้เลย?
ขนาดนายแพทย์ระดับ 2 ดาวและ 3 ดาวก็ยังรักษา
ไม่ได้ มันออกจะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อยที่จางเซวียนรักษา
ได้
โม่ ห ยู่ ม องไปรอบๆขณะที่ เ ดิ น เข้ า ไปในลานบ้ า น
เธอกำลั ง คิ ด อยู่ ว่ า จะทำอย่ า งไรถ้ า จางเซวี ย นรั ก ษา
อาการป่วยของพ่อบ้านลู่ไม่ได้ ก็พอดีเห็นทั้งคู่ซึ่งเข้ามา
ในคฤหาสน์ก่อนหน้าเธอ
แค่มองปราดเดียว โม่หยู่ก็ถอยกรูด แทบจะร่วงลง
ไปกองกับพื้น
ตอนนี้ พ่ อ บ้ า นลู่ ก ำลั ง ยื น สงบเสงี่ ย มด้ ว ยความ
เคารพอยู่ตรงหน้าจางเซวียน ราวกับเด็กนักเรียนที่อยู่ต่อ
หน้าครู นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมและสำนึก
บุญคุณ
“เฮ้ย...”
โม่หยู่ขยี้ตา กลัวว่าจะตาฝาด
เธอแทบจะตามหลังทั้งคู่มาติดๆ และเมื่อครู่นี้เอง
พ่อบ้านลู่ก็ยังโมโหอยู่ มันเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เขาเปลี่ยน
ท่าทีได้ขนาดนั้น?
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไม่มีใครนอนแผ่อยู่บนพื้น เธอจะ
ต้องสงสัยว่าหมอนั่นต่อยพ่อบ้านลู่สลบและปลอมตัวเป็น
เขา
ด้วยเหตุนี้ โม่หยู่จึงเดินเข้าไป กะจะถามจางเซวียน
ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ตอนนั้นเอง จางเซวียนก็โบกมือและ
พู ด อย่ า งไม่ ส บอารมณ์ “เอาล่ ะ พาผมไปหาเซี ย น
สมุนไพรได้แล้ว!”
โม่หยู่ถอยกรูดอีกรอบหนึ่ง
ไม่สบอารมณ์?
เป็นบ้าอะไรมาทำท่าไม่สบอารมณ์เอาตอนนี้?
นี่ มั น คฤหาสน์ ข องเซี ย นสมุ น ไพร! ทำท่ า ไม่ ส บ
อารมณ์ใส่พ่อบ้านของเขา อยากตายหรือ?
โม่หยู่คิดว่าพ่อบ้านลู่จะต้องไม่พอใจกับท่าทีของ
จางเซวียน แต่กลับตรงกันข้าม ฝ่ายนั้นก้มคำนับอย่าง
สุภาพ ราวกับกำลังคำนับบุพการีของตัวเอง “เชิญทางนี้
เลย ผมจะพาคุณไปหาเซียนสมุนไพรเดี๋ยวนี้!”
โม่หยู่ซวนเซ เวียนหัวขึ้นมาทันที
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา?
ต่อให้เขาระบุอาการป่วยของคุณได้ คุณก็ไม่จำเป็น
ต้องนอบน้อมขนาดนี้!
การระบุอาการป่วยกับการรักษามันเป็นคนละเรื่อง!
นอบน้อมกันเสียขนาดนี้ทั้งที่เขายังไม่ทันได้รักษาคุณเลย
กระดูกสันหลังเป็นอะไรไป?
สถานการณ์ตรงหน้าแปลกประหลาดเกินกว่าโม่หยู่
จะรั บ ได้ เธอเดิ น ไปยื น ข้ า งจางเซวี ย นและใช้ โ ทรจิ ต
สื่อสารกับเขาทันที
“นี่มันบ้าอะไร? ทำไมพ่อบ้านลู่ถึง...”
“อ๋อ ผมแก้ปัญหาให้เขาแล้ว!”
จางเซวียนใช้โทรจิตตอบ
“กะ-แก้ปัญหา?” โม่หยู่ตัวแข็ง เวียนหัวขึ้นมาอีก
รอบ
แค่นาทีเดียว หมอนี่แก้ปัญหาให้อีกฝ่ายได้
นี่คุณล้อฉันเล่นใช่ไหม?
“เขาไม่ได้ป่วยจริงๆหรอก แค่ถูกวางยาพิษเท่านั้น
ผมช่วยให้เขาขับพิษออกมาได้ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะ
ต้องสำนึกในบุญคุณ” เห็นอีกฝ่ายสงสัย จางเซวียนจึง
อธิบาย
เหตุผลที่พ่อบ้านลู่ต้องทุกข์ทรมานกับอาการหายใจ
หอบถี่ตอนกลางคืนนั้น ไม่ใช่เพราะความผิดพลาดในการ
ฝึกวรยุทธ แต่เป็นเพราะมีใครบางคนลอบวางยาพิษเขา
ยาพิษนั้นแปลกประหลาดมาก ขนาดนายแพทย์ระดับ 3
ดาว ก็ยังระบุไม่ได้ เรื่องรักษายิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่สำหรับจางเซวียนนั้นแตกต่างออกไป การได้
ครอบครองพลั ง ปราณเที ย บฟ้ า อั น บริ สุ ท ธิ์ ท ำให้ เ ขา
สามารถขั บ รั ง สี พิ ษ ออกจากร่ า งของพ่ อ บ้ า นได้ อ ย่ า ง
ง่ายดาย แค่สองสามอึดใจก็เกินพอ
“ยาพิษ? ขับพิษออก?”
ถึงจางเซวียนจะใช้น้ำเสียงราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย
เสียเต็มประดา โม่หยู่ก็แทบจะบ้า
การขับพิษออกนั้นยากยิ่งกว่าการรักษาโรคเสียอีก!
กูรูยาพิษบางคนยังทำไม่ได้ขนาดนั้นเลย
อีกอย่าง มีแต่กูรูยาพิษอย่างเป็นทางการที่เข้าใจ
คุณสมบัติของยาพิษเป็นอย่างดีเท่านั้น จึงจะสามารถขับ
รังสีพิษออกจากร่างกายมนุษย์ได้ ว่าแต่...ห้องโถงแห่งยา
พิษอยู่ที่ไหน คุณก็ยังไม่รู้เลย?
แล้วไปเรียนวิธีขับพิษมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ตอนแรกโม่หยู่ตั้งใจว่า เมื่อส่งจางเซวียนที่นี่แล้วก็
จะกลับอาณาจักรเทียนหวู่ แต่ตอนนี้ ความอยากรู้อยาก
เห็นที่เธอมีในตัวผู้ชายคนนี้เพิ่มมากขึ้นทุกที เธอชักอยาก
ติดตามเขา เพราะอยากเห็นกับตาว่าหมอนี่จะทำอะไรให้
กลายเป็นตำนานอันเหลือเชื่ออีก
.....
จางเซวียนแอบสำรวจพื้นที่โดยรอบขณะที่เดินตาม
พ่อบ้านลู่ไป
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมองค์หญิงถึงพูดว่าไม่มีทางลอบ
เข้ามาได้ เมื่อเห็นสภาพภายในบริเวณคฤหาสน์แล้ว จาง
เซวียนก็รู้ว่าเธอพูดจริง
นอกจากแผนผังอันซับซ้อน คฤหาสน์หลังนี้ยังมี
องครักษ์อยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่มีวรยุทธขั้นพี่เชวี่ย
ส่วนระดับหัวหน้าบางคน ก็เป็นถึงนักรบทงฉวนขั้นสูงสุด
ไม่ใช่แค่นั้น จางเซวียนยังเห็นธงที่ใช้ในค่ายกลปัก
อยู่หลายผืน และมีค่ายกลอยู่ทุกมุมของลานบ้าน ถ้ามีผู้
บุกรุกเข้ามาโดยไม่รู้ตำแหน่งของค่ายกลพวกนั้น และ
เหยียบมันเข้าไป ก็แน่นอนว่าจะต้องติดกับ
องครักษ์กับค่ายกลพวกนี้ยังเป็นสิ่งที่มองเผินๆก็
เห็นได้ แต่ด้วยสายสัมพันธ์ระหว่างเซียนสมุนไพรกับห้อง
โถงแห่งยาพิษ จะเป็นไปได้อย่างไรที่การป้องกันภัยของ
คฤหาสน์จะไม่รวมเอายาพิษร้ายแรงไว้ด้วย?
ดังนั้น ต่อให้จางเซวียนมีวรยุทธสูงส่งแค่ไหน ก็
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะลอบเข้ามาในคฤหาสน์หลัง
นี้ได้
ด้วยการมีพ่อบ้านนำทาง ทั้งคู่จึงไม่เจออุปสรรค
ใดๆ ไม่นานก็มาถึงห้องโถงใหญ่
เมื่อเดินเข้าไป ก็เห็นชายวัยกลางคนและผู้อาวุโส
จำนวน 10 คนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เรียงกันไว้ด้านข้าง ทุกคน
มีตราสัญลักษณ์ติดอยู่ที่หน้าอก
มองไปแล้วจางเซวียนก็ต้องประหลาดใจ ทุกคน
ล้วนแต่เป็นนายแพทย์ระดับ 2 ดาว และมีถึง 3 คนที่เป็น
นายแพทย์ระดับ 3 ดาว
ต่อให้เป็นอาณาจักรขั้น 1 นายแพทย์ระดับ 3 ดาว
ก็ยังถือเป็นชนชั้นสูงสุดของอาณาจักร แต่กลับมีอยู่ถึง 3
คนมารวมกันที่นี่ แสดงว่าเซียนสมุนไพรจะต้องมีอิทธิพล
มากจริงๆ
“พ่อบ้านลู่ ผมคิดว่ามีแต่นายแพทย์ระดับ 2 ดาว
ขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา แล้วคุณพานาย
แพทย์ระดับ 1 ดาวมาทำไม?”
เมื่อเห็นจางเซวียน นายแพทย์ระดับ 3 ดาวคนหนึ่ง
ขมวดคิ้ว
“นี่มันนายแพทย์ไป๋ชานไม่ใช่หรือ? ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณ
ควรจะอยู่ ออกไปซะ!”
นายแพทย์อีกคนหนึ่งรู้จักตัวตนที่จางเซวียนปลอม
ตัวมา เขาคำราม
“นายแพทย์มู่หง นายแพทย์เฉินเฟิง ถึงนายแพทย์
ไป๋ชานจะเป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1 ดาว แต่ความ
เชี่ยวชาญในการรักษาโรคของเขาไม่ธรรมดา ผมจึงเชิญ
เข้ามา” เห็นสายตาเหยียดหยามของทั้งคู่ พ่อบ้านลู่รีบ
อธิบาย
“คุณพูดว่าความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคของเขา
ไม่ธรรมดา? พ่อบ้านลู่ คุณล้อเล่นกระมัง?”
คนที่จำจางเซวียนได้คือนายแพทย์เฉินเฟิง เขาพ่น
ลมอย่างเหยียดๆ “ผมรู้จักเขามาเกินยี่สิบปีแล้ว คุณคิด
ว่าผมไม่รู้มาตรฐานของเขาหรือ?”
ถึงนายแพทย์ไป๋ชานจะเป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1
ดาว แต่ด้วยความตะกละตะกรามและนิสัยละโมบของ
เขา เขาได้ทำเรื่องหลายอย่างจนตัวเองกลายเป็นบุคคล
ชื่อเสียในสมาคมนายแพทย์แห่งอาณาจักรเทียนหวู่ เขา
เกือบจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตการเป็นนายแพทย์อยู่ครั้ง
หนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะโชคดีอย่างร้ายกาจที่บังเอิญเข้ามาใน
ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น ตราสัญลักษณ์ของนาย
แพทย์ระดับ 1 ดาวบนหน้าอกของเขาคงจะกระเด็นไป
เสียนานแล้ว
แต่พ่อบ้านลู่มาบอกว่าความเชี่ยวชาญในการรักษา
โรคของเขาไม่ธรรมดา...ถึงกับเชื้อเชิญให้เขาเข้ามา...
“พ่อบ้านลู่ คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ!”
“ผมก็รู้จักเขาเหมือนกัน เขาแทบจะมีคุณสมบัติไม่
เพียงพอจะได้เป็นนายแพทย์ระดับ 1 ดาวเสียด้วยซ้ำ
แล้ ว ความเชี่ ย วชาญในการรั ก ษาโรคของเขาจะไม่
ธรรมดาได้อย่างไรกัน?”
“อย่าหลงลมปากของเขาหน่อยเลย...”
มีอยู่สองสามคนในกลุ่มที่เคยได้ยินชื่อเสียของนาย
แพทย์ไป๋ชานหรือรู้จักเขาเป็นการส่วนตัว ทุกคนล้วนแต่
แสดงอาการดูถูก
ถึงจะเป็นนายแพทย์ระดับ 1 ดาว แต่เขาไม่มีความ
สามารถที่แท้จริงในการรักษาโรคเลย ถึงขนาดไม่กล้า
รักษาใคร และทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการค้าขายสมุนไพร
เพียงอย่างเดียว แล้วหมอนี่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไป
ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“เอ่อ...”
ได้ยินทุกคนพูดแบบนั้น พ่อบ้านลู่ก็อึ้งไป อันที่จริง
เขานึกไม่ถึงเลยว่านายแพทย์ผู้ไร้เทียมทานที่รักษาอาการ
ป่วยให้เขาได้ง่ายดายจะมีชื่อเสียงย่ำแย่ได้ขนาดนั้น
เขากำลั ง จะออกตั ว ให้ น ายแพทย์ ไ ป๋ ช าน นาย
แพทย์ระดับ 3 ดาวคนหนึ่งก็ขัดขึ้น
“เอาเถอะ ใครจะไปสนว่าเป็นว่าเป็นนายแพทย์
ระดับ 1 ดาวหรือ 2 ดาว ถ้าทำอะไรไม่ได้เรื่องได้ราวออก
มาล่ะก็ คงจะต้องอับอายกลับไปเอง อย่ามัวเปลือง
น้ำลายเลย วัตถุประสงค์ของเราในการมาที่นี่คือเพื่อ
รักษาเซียนสมุนไพร พ่อบ้านลู่ ในเมื่อพวกเรามารวมตัว
กันพร้อมแล้ว คุณจะให้พวกเราพบเจ้านายของคุณได้
หรือยัง?”
“ได้ ผมจะเชิญนายท่านมาให้พวกคุณตรวจอาการ
เดี๋ยวนี้!”
เห็นฝูงชนไม่เอาเรื่องเอาราวแล้ว พ่อบ้านลู่จึงจัดที่
ให้จางเซวียนนั่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ
ตอนที่ 269 ผมจะลองดู

พ่อบ้านลู่ออกไปได้ไม่นาน ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ถูกพา
เข้ามา
เขาดูแก่กว่าเซินหงมาก ผิวพรรณมีแต่รอยย่นและ
ตกกระ นอนหายใจรวยรินอยู่บนเก้าอี้นอนและดูพร้อม
จะตายได้ทุกขณะ
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมทางคฤหาสน์จึงเข้มงวดถึงขั้น
ปฏิเสธแขกทุกคนยกเว้นนายแพทย์ ก็ด้วยสภาพของ
เซียนสมุนไพรตอนนี้ เขาน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
“พวกคุณคือนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของ
สมาคมนายแพทย์ ผมขอวิงวอนให้พวกคุณช่วยชีวิตนาย
ท่านด้วย!”
พ่อบ้านลู่โค้งคำนับให้กับฝูงชน
“ช่วยบอกอาการของเซียนสมุนไพรอย่างละเอียด
ด้วย!” นายแพทย์ระดับ 3 ดาวคนที่ขัดขึ้นเมื่อครู่เป็นคน
พูด
“ได้!” รู้ว่าบรรดานายแพทย์ต้องการข้อมูลการ
รักษาของผู้ป่วย พ่อบ้านลู่จึงตอบอย่างไม่ลังเล “นาย
ท่านมีสุขภาพแข็งแรงมาก จนกระทั่งโรคร้ายเข้าจู่โจม
อย่างเฉียบพลันเมื่อครึ่งเดือนก่อน เขาหมดความอยาก
อาหาร และสภาพร่างกายก็ทรุดโทรมลงอย่างต่อเนื่องทุก
วันจนกระทั่งพูดไม่ได้ ส่วนสาเหตุนั้น พวกเราก็ไม่รู้ เรารู้
แต่ว่าสภาพร่างกายของนายท่านทรุดลงทุกขณะ และยา
ทุกขนานที่กินเข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“ป่วยเฉียบพลัน? เป็นไปได้ไหมว่าเขาถูกวางยา?”
นายแพทย์คนหนึ่งถาม
โดยปกติ หากใครสักคนล้มป่วยโดยไม่มีสัญญาณ
ล่วงหน้า ก็เป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับยาพิษ
“เราคิ ด ถึ ง ความเป็ น ไปได้ เ รื่ อ งนั้ น อยู่ เ หมื อ นกั น
และได้ใช้วิธีการตรวจสอบเฉพาะทางแล้ว แต่ไม่มีร่อง
รอยของยาพิษเลย”
เซียนสมุนไพรพำนักอยู่ในเมืองบัวแดงมาหลายปี
แถมยังมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับห้องโถงแห่งยาพิษด้วย
การตรวจสอบว่าเขาถูกวางยาหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องยาก
และในเมื่ อ พวกเขายื น ยั น ว่ า นายท่ า นไม่ ไ ด้ ถู ก
วางยา มันจึงไม่น่าเป็นสาเหตุ
“ขอผมดูหน่อย!”
นายแพทย์ระดับ 3 ดาวเข้าตรวจร่างกายของเซียน
สมุนไพร ครู่ต่อมา หน้าผากของเขาก็ย่นเป็นร่องลึก
“ริมฝีปากซีด หายใจไม่สม่ำเสมอ ผิวหนังหย่อน
ยาน ตกกระเป็นจุดลึก นัยน์ตาไร้ชีวิตชีวา...” เมื่อตรวจ
ร่างกายแล้ว นายแพทย์ก็ส่ายหน้า “ทั้งหมดนี่เป็น
สัญญาณว่าช่วงชีวิตของเขาใกล้ถึงจุดจบแล้ว!”
ช่วงชีวิตของคนๆหนึ่งถูกกำหนดโดยโชคชะตา ถ้า
ผู้นั้นใกล้ถึงจุดจบของช่วงชีวิตตัวเอง ก็ไม่มีทางที่นาย
แพทย์คนไหนจะช่วยเหลือได้ ต่อให้เก่งกาจอย่างไรก็ตาม
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะยกระดับวรยุทธของตัวเองให้
สูงขึ้นได้
“ชื่อเซียนสมุนไพรนั้นเป็นที่รู้จักกันทั่วไป แต่อันที่
จริงแล้ว มันเป็นสมญานามที่ตกทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น นาย
ท่านเพิ่งได้รับสมญานี้มา 2-3 ปีเท่านั้นเอง และเขาก็
มีอายุแค่สี่สิบกว่าๆเท่านั้น” พ่อบ้านลู่อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะพูดออกมา
ชื่อเซียนสมุนไพรแห่งเมืองบัวแดงนั้นไม่ได้เจาะจง
ถึงใครคนใดคนหนึ่ง มันเป็นสมญานามที่ใช้เรียกขาน
อย่างเคารพยกย่อง ซึ่งส่งต่อกันได้ ผู้ที่ได้เป็นเซียน
สมุนไพรนั้นจะกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในเมืองบัวแดง
“อายุ 40 กว่าๆ?”
ฝูงชนถึงกับผงะ แม้แต่จางเซวียนก็ประหลาดใจ
ถ้ า พ่ อ บ้ า นลู่ บ อกว่ า นายท่ า นของเขามี อ ายุ 90
กว่าๆก็จะไม่มีใครสงสัยเลย แต่นี่เขาอายุแค่ 40 กว่าๆ...
ในช่วงอายุ 40 ปี นักรบขั้นจงซรือจะมีพละกำลัง
สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง จิตวิญญาณ พลังงาน
หรือ ความมีชีวิตชีวา ทุกอย่างจะพุ่งขึ้นถึงขั้นสุด ไม่น่า
เป็นไปได้เลยที่ช่วงชีวิตของเขาจะจบลงที่อายุเท่านี้
“เขาได้กินยาฟื้นฟูพละกำลังหรือเปล่า?”
นายแพทย์ระดับ 3 ดาวถามหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่
หนึ่ง
ยาฟื้นฟูพละกำลังจะช่วยให้สภาพร่างกายที่ถดถอย
ฟื้นคืนความแข็งแกร่งได้อีกครั้ง มันใช้ได้ผลแม้แต่กับผู้ที่
ใกล้ถึงจุดจบของช่วงชีวิต
“กินแล้ว แต่...ไม่ได้ผล!” พ่อบ้านลู่ส่ายหน้า
“ขนาดยาฟื้นฟูพละกำลังก็ยังไม่ได้ผล?”
ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่นายแพทย์ระดับ 3 ดาวที่ขมวดคิ้ว
นายแพทย์คนอื่นๆที่เหลือก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
ยาฟื้นฟูพละกำลังเป็นยาเกรด 2 และใช้ได้ผลดี
เยี่ยมกับนักรบขั้นจงซรือ
การที่ มั น ใช้ ไ ม่ ไ ด้ ผ ลย่ อ มหมายความว่ า สภาพ
ร่างกายของเซียนสมุนไพรนั้นทรุดโทรมจนถึงขั้นที่ไม่อาจ
จินตนาการได้
“ผมมีเคล็ดวิชาฝังเข็มที่สามารถกระตุ้นจุดชีพจร
และฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้ ผมจะลองดู!”
เมื่อพูดแล้ว นายแพทย์มู่หงก็ลุกขึ้นยืน
“ผมได้ยินมาว่าการฝังเข็มของนายแพทย์มู่หงนั้น
ยอดเยี่ยมนัก มันน่าจะใช้ได้ผล” ฝูงชนต่างพยักหน้า
โดยไม่มีการรีรอ เขาหยิบเข็มเงินออกมาและปักมัน
ลงไปบนจุดชีพจรของร่างที่นอนอยู่
เพียงครู่เดียว นายแพทย์มู่หงก็ส่ายหน้าและเดิน
กลับมา
เคล็ดวิชาฝังเข็มของเขาเป็นที่ร่ำลือ แต่ใช้การไม่ได้
เลยกับเซียนสมุนไพร
“ผมมีสูตรยาวิเศษ ผมขอลอง...”
อีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืน
ก็ตามนั้น บรรดานายแพทย์ต่างพยายามใช้ความ
สามารถพิเศษของตัวเองระหว่างที่หารือกันถึงสภาวะ
ร่างกายของเซียนสมุนไพร ทั้งวิธีการและทฤษฎีอันหลาก
หลายที่พวกเขาหยิบยกมาทำให้โม่หยู่ตื่นเต้น
ทุกคนที่นำเสนอต่างเป็นบรมครูผู้เก่งกาจเป็นเลิศ
ในอาณาจักรของพวกเขา และแม้แต่คนที่ด้อยที่สุดในที่นี้
ก็ยังเก่งกว่าบรมครูชิงหยาง ในฐานะที่เป็นแค่ผู้ช่วยนาย
แพทย์ เธอยังไม่เคยมีประสบการณ์การได้เห็นผู้สูงส่งทั้ง
หลายมารวมตัวกันแบบนี้ โม่หยู่ได้ประโยชน์มากมาย
จากบทสนทนาของพวกเขา และความรู้ในเรื่องการ
รักษาโรคของเธอก็ล้ำลึกขึ้นอีกมาก
“เอ่อ...”
เธอข่ ม ความตื่ น เต้ น ไว้ แ ละหั น ไปมองจางเซวี ย น
แว่บเดียวที่ได้เห็นก็ต้องเซ็ง
โม่หยู่นึกว่าหมอนั่นคงจะรู้สึกเหมือนเธอ คือดื่มด่ำ
กับทฤษฎีอันลึกซึ้งที่ถูกหยิบยกมาพูดกัน แต่เขากลับนั่ง
นิ่งหน้าเซ่ออยู่อย่างนั้น
เธอคุ้นเคยกับสีหน้าแบบนี้ดี มันคือความสับสนของ
มือใหม่ที่ไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
คุณไม่เข้าใจที่พวกเขาพูดกันหรือ?
จะเป็นไปได้อย่างไร?
ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอส่งโทรจิตไปหา
เขา “จางเซวียน ฉันไม่เข้าใจ ‘วิธีการรักษาแบบล้ำลึก’
ที่นายแพทย์มู่หงพูดถึง มันหมายความว่าอย่างไร?”
จางเซวี ย นชะงั ก กั บ คำถามแบบปั จ จุ บั น ทั น ด่ ว น
ของเธอ เขายังไม่ได้พลิกดูหนังสือด้านการแพทย์มากนัก
แล้วจะรู้จักทฤษฎีกับคำศัพท์พวกนี้ได้อย่างไร?
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ผมก็ไม่รู้
ผมไม่เคยได้ยินชื่อมันเหมือนกัน”
โม่หยู่มึนตึ้บ
วิธีการรักษาแบบล้ำลึก คือการวินิจฉัยโรคด้วยการ
สมมติ ใ ห้ ส ถานการณ์ เ ลวร้ า ยที่ สุ ด เพื่ อ หาสาเหตุ ข อง
อาการป่วย ไม่ต้องถึงระดับนายแพทย์หรอก แค่ผู้ช่วย
นายแพทย์ก็รู้จักแล้ว แต่หมอนี่บอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อ
มัน...
“แล้ว...การวินิจฉัยด้วยการสังเกต?”
เธอถามอีก
“ผมก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน!” จางเซวียนส่ายหน้า
ที่อาณาจักรเทียนเซวียนมีนายแพทย์ระดับ 1 ดาว
อยู่เพียงคนเดียว คือปรมาจารย์หยวนหยู่ จางเซวียนไม่
เคยสนทนากับเขาเรื่องการรักษาโรค จึงไม่ใช่เรื่องผิดที่
เขาไม่รู้จักทฤษฎีการแพทย์แม้แต่นิดเดียว
โม่หยู่หน้าตาบิดเบี้ยว
การวิ นิ จ ฉั ย ด้ ว ยการสั ง เกตคื อ ขั้ น ตอนพื้ น ฐานใน
การระบุอาการป่วยด้วยการสังเกตคนไข้ มันคือหนึ่งใน
หัวข้อที่ผู้เข้าสอบเป็นผู้ช่วยนายแพทย์จะต้องทำได้ และ
เป็นไปไม่ได้เลยที่นายแพทย์คนไหนจะไม่รู้จักมัน แล้ว
ทำไมหมอนี่ถึงบอกว่าไม่เคยได้ยิน...
เรื่องพื้นฐานขนาดนี้ก็ยังไม่รู้ แต่กล้าทำตัวเป็นนาย
แพทย์ที่จะมารักษาเซียนสมุนไพร...
พี่ชาย นี่คุณเบื่อชีวิตเต็มทีแล้วใช่ไหม?
โม่หยู่รู้สึกแน่นหน้าอกและสับสนในเวลาเดียวกัน
จางเซวี ย นไม่ รู้ อ ะไรเกี่ ย วกั บ การรั ก ษาโรคเลย
แม้แต่ขั้นพื้นฐานก็ไม่รู้...แล้วเขาวินิจฉัยอาการป่วยของ
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้ากับพ่อบ้านลู่ แถมยังรักษาพวกเขา
จนหายได้อย่างไร?
ขณะที่โม่หยู่กำลังคิดวกวน จางเซวียนก็มองเซียน
สมุนไพรอย่างหมดปัญญา
หอสมุดเทียบฟ้าสามารถประมวลหนังสือออกมาได้
เมื่อผู้นั้นแสดงวรยุทธหรือสลบไป ถึงเซียนสมุนไพรจะ
พูดไม่ได้ แต่เขายังรู้ตัวอยู่
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับตอนเซินหงเลย
ถ้าจางเซวียนขอให้เขาแสดงวรยุทธ...เขาก็คงตายเสีย
ก่อนที่จะกำหมัดได้
แล้วถ้าจางเซวียนทำแบบเดียวกับที่เคยทำกับเซิน
หง คือตบเซียนสลบ เขาก็คงถูกสับเละก่อนที่จะได้ทัน
อ่านเนื้อหาที่หอสมุดประมวลให้เสียด้วยซ้ำ
ถึงห้องนั่งเล่นแห่งนี้จะดูสงบเงียบ แต่มีผู้เชี่ยวชาญ
มากมายซุ่มอยู่ ถ้าเขาคิดจะทำอะไรเซียนสักกระผีก คน
พวกนี้ก็จะพุ่งเข้ามาทันที
“เราต้ อ งหาทางทำให้ เ ซี ย นสมุ น ไพรสลบอย่ า ง
ลับๆ...”
จางเซวียนถูหว่างคิ้วและพยายามคิดหาคำแก้ตัว
“ผมเสียใจจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นอาการ
แบบนี้ และผมช่วยอะไรไม่ได้เลย!”
“จริงด้วย พ่อบ้านลู่ พวกเราทำทุกวิถีทางแล้ว เรา
เสียใจ”
“ทักษะของผมยังอ่อนหัดนัก...”
โม่ ห ยู่ กั บ จางเซวี ย นยั ง ครุ่ น คิ ด หนั ก ตอนที่ น าย
แพทย์ มู่ ห งกั บ คนอื่ น ๆยื น ขึ้ น และส่ า ยหน้ า ด้ ว ยความ
อับอาย
สุดท้ายพวกเขาก็บอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นอะไร
อย่าว่าแต่จะรักษาเลย
“เอ่อ...”
เห็นสีหน้าของพวกเขา พ่อบ้านลู่ก็ได้แต่ผิดหวัง
ตั้งแต่นายท่านล้มป่วย มีนายแพทย์มากมายที่เข้า
มาแล้วก็กลับไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำตอบแบบนี้
“ถึงพวกคุณจะรักษานายท่านไม่ได้ แต่พวกเราก็
สำนึกในบุญคุณ ทางคฤหาสน์จะไม่ปล่อยให้พวกคุณเดิน
ทางมาเสียเปล่า...”
พ่ อ บ้ า นลู่ ส่ า ยหน้ า และกำลั ง จะพู ด ต่ อ เมื่ อ นาย
แพทย์เฉินเฟิงมองจางเซวียนด้วยสายตาเหยียดหยาม
“พ่อบ้านลู่ พวกเราได้พยายามวินิจฉัยอาการของ
เซียนสมุนไพร และต่างก็หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
กันทุกคน แต่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด นายแพทย์ไป๋ชานคนนี้ที่
คุณเชิญเข้ามากลับนั่งนิ่งตลอด เป็นเพราะเขาดูถูกพวก
เรา คิดว่าพวกเราไม่คู่ควรกับคำพูดของเขา? หรือเป็น
เพราะว่าเขามีความคิดอยู่ในใจและไม่อยากจะหารือกับ
พวกเรา?”
ได้ยินคำพูดของนายแพทย์เฉินเฟิง ทุกคนถึงกับ
ชะงัก และก็นึกได้ว่านายแพทย์ไป๋ชานคนนี้ไม่ได้พูดเลย
สักคำตลอดระยะเวลาการวินิจฉัย ทำราวกับเป็นคนใบ้
“เขานั่งอยู่กับที่ตลอดเลย!”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ไม่พูดเลยสักคำด้วย!”
“ก็เป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1 ดาว คงจะแปลกอยู่
หรอกถ้าเขาสามารถหารือกับพวกเราได้”
“คงเป็นเพราะรู้ตัวว่าทักษะของตัวเองยังอ่อนด้อย
จึงเลือกที่จะเงียบ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องขายหน้าเพราะ
คำพูดของตัวเอง”
เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1 ดาว
ทุกคนมีสายตาดูถูก
นายแพทย์ระดับ 1 ดาวอาจจะได้รับความเคารพ
ยกย่องในที่อื่น แต่ไม่ใช่ที่นี่
ขนาดนายแพทย์ระดับ 3 ดาวยังวิเคราะห์อาการ
ป่วยไม่ได้เลย แล้วนายแพทย์ระดับ 1 ดาวจะรู้เรื่อง
อะไร?
ถือว่าเขาฉลาดที่เลือกปิดปากเงียบ
“มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นสิ ในเมื่อพ่อบ้านลู่เชิญ
เขามาเป็นพิเศษ แถมยังยกย่องความสามารถด้านการ
รักษาโรคของเขาด้วย จะมาอมพะนำอยู่ได้อย่างไร?”
นายแพทย์เฉินเฟิงยิ้มเยาะจางเซวียน
เขารู้มาตรฐานของนายแพทย์ไป๋ชานคนนี้ดี
เขาริษยาที่พ่อบ้านลู่เชิญไป๋ชานมาเป็นการเฉพาะ
แถมยังยกย่องต่อหน้าธารกำนัลด้วย มันเป็นสิ่งที่ตัวเขา
ไม่เคยได้รับมาก่อน ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสจะทำให้หมอ
นั่นอับอายได้ ขืนปล่อยให้หลุดมือไปก็เสียดายเปล่า
“เอ่อ...”
พ่ อ บ้ า นลู่ อ้ ำ อึ้ ง อยู่ ค รู่ ห นึ่ ง ก่ อ นจะหั น ไปหาจางเซ
วียน “นายแพทย์ไป๋ชาน...”
ก็เพราะนายแพทย์ไป๋คนนี้ระบุอาการป่วยของเขา
ได้ ใ นชั่ ว พริ บ ตา พ่ อ บ้ า นลู่ จึ ง มั่ น อกมั่ น ใจในความ
สามารถของเขา แต่เมื่อเข้ามาแล้ว อีกฝ่ายกลับไม่พูด
อะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นทำให้เขาฉงน
จางเซวียนเพิ่งกลับมาสู่ความเป็นจริงเมื่อได้ยินพ่อ
บ้านลู่เรียก เขาถามด้วยสีหน้างงงัน “มีอะไร?”
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้!”
พ่อบ้านลู่กระแอม อับอายกับความจริงที่ว่าอีกฝ่าย
นั่งเหวอในขณะที่คนอื่นๆตรวจดูอาการของนายท่าน เขา
อธิบาย “นายแพทย์คนอื่นๆไม่สามารถระบุสาเหตุอาการ
ป่วยของนายท่านได้ และทุกคนอยากฟังความคิดเห็น
ของคุณ”
“ระบุสาเหตุของอาการป่วยไม่ได้?”
จางเซวียนยืนขึ้น เขาชำเลืองมองฝูงชนก่อนจะส่าย
หน้า
“ในเมื่อพวกเขาทำไม่ได้ ผมจะลองดู!”
ตอนที่ 270 ศาสตร์ลับของจางเซวียน

“เลวทราม!”
“แกพูดว่าใครทำไม่ได้?”
“เป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1 ดาว...วาจาโอหังนัก!”
ฝูงนายแพทย์เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด
แกหมายความอย่างไรที่พูดว่า เมื่อพวกเราทำไม่ได้
แกก็จะลองดู...นี่หมายความว่าแกเก่งกาจกว่าพวกเรา
อย่างนั้นหรือ?
เป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1 ดาว มั่นใจอะไรเสีย
ขนาดนั้น?
“อวดดีนัก ไป๋ชาน แค่ 2-3 วันนี่เก่งกาจขึ้นมาแล้ว
หรือ!”
แม้แต่นายแพทย์เฉินเฟิงก็นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูด
แบบนั้นออกมา เขาหรี่ตามองจางเซวียนอย่างโกรธจัด
“เจ้ า หนุ่ ม โง่ เ ง่ า กล้ า พู ด จาอวดเก่ ง แบบนั้ น ได้
อย่างไร แล้วฉันจะรอดูว่าแกจะทำได้แค่ไหน!” นาย
แพทย์มู่หงสะบัดแขนเสื้ออย่างหงุดหงิด
ขนาดนายแพทย์ระดับ 2 ดาวกับ 3 ดาว ยังระบุ
สาเหตุ ข องอาการป่ ว ยและรั ก ษาไม่ ไ ด้ เ ลย แล้ ว นาย
แพทย์ระดับ 1 ดาวอย่างแกจะโอ้อวดหาอะไร?
“ลองดู? คนอย่างแกมีปัญญาเข้าใจด้วยหรือว่ามัน
เกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
“หมอนี่...”
โม่หยู่กลอกตา
ขนาดนายแพทย์ระดับ 3 ดาว ยังวินิจฉัยอาการ
ของเซียนสมุนไพรไม่ได้ แต่คุณซึ่งไม่รู้จักแม้กระทั่งวิธี
การรักษาแบบล้ำลึกและการวินิจฉัยด้วยการสังเกต ยัง
กล้าประกาศว่าจะลองดู แถมลบหลู่คนอื่นเขาเสียหมด...
นี่ไม่กลัวตายหรือ?
เอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกัน?
จางเซวียนไม่สนใจทุกสายตาขุ่นเคืองสงสัย เขา
เดินไปหาเซียน
ตอนที่มองจากระยะไกลก็ยังไม่รู้สึก แต่เมื่อเดิน
เข้าไปใกล้ จางเซวียนก็รู้ได้ว่าอาการของเซียนสมุนไพร
นั้นวิกฤตจริงๆ เนื้อหนังของเขาห้อยย้อยหย่อนยาน ผิว
แห้งกร้านอย่างไม่น่าเชื่อ สัญญาณชีวิตในดวงตาก็วริบ
หรี่ ราวกับพร้อมจะดับลงได้ทุกวินาที
เขาเดินวนรอบๆ สัมผัสและตรวจร่างกายของอีก
ฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน...
ก็ตามคาด...
จางเซวียนบอกอะไรไม่ได้เลย!
“นายแพทย์ไป๋ คุณเห็นอะไรบ้าง?”
เห็นอีกฝ่ายรุ่นคิดอย่างหนัก พ่อบ้านลู่อดถามไม่ได้
คนอื่นๆก็สนใจเหมือนกัน
ในเมื่อพูดจาโอหังนัก พวกเขาก็อยากรู้ว่าจะทำได้
อย่างปากว่าหรือเปล่า
“เอ่อ... ผมรู้สึกได้สองสามอย่าง แต่ว่า...ก็ยังไม่
แน่ใจเท่าไร!”
ขืนจางเซวียนตอบไปว่าเขาไม่รู้อะไรเลย มีหวังถูก
ฆ่าตายแน่ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงตอบแบบนั้น
ออกไป
“คุณรู้สึกได้สองสามอย่างจริงๆหรือ?” พ่อบ้านลู่
ตื่นเต้นเมื่อได้ฟังคำตอบ
ก็นายแพทย์คนนี้ มองหน้าเขาแค่แว่บเดียวก็บอก
ได้ ว่ า เขาต้ อ งทุ ก ข์ ท รมานกั บ อาการหายใจหอบถี่ ต อน
กลางคืน ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่เขาอาจจะรู้ในสิ่งที่คนอื่น
ไม่รู้
“โอ๊ย สร้างภาพ!”
“อยากรู้นักว่าแกจะเห็นอะไร?”
นายแพทย์คนอื่นๆแสดงกิริยาหยามเหยียดคำพูด
ของเขา
ก า ร ต ร ว จ อ า ก า ร ผู้ ป่ ว ย นั้ น มี ขั้ น ต อ น แ ล ะ
กระบวนการเฉพาะของมัน แต่เท่าที่หมอนี่ทำคือเดินวน
รอบๆ สิ่งสำคัญที่ต้องทำก็ไม่ได้ทำสักนิด แล้วยังกล้าอวด
อ้างว่ารู้สึกได้สองสามอย่าง...
ฝันไปหรือเปล่า?
โม้ให้สบายใจเถอะ แล้วมาดูกันว่าแกทำอะไรได้
บ้าง!
“อย่าเพิ่งวู่วาม ถึงผมจะวิเคราะห์ปัญหาได้คร่าวๆ
แล้ว แต่ก็ต้องตรวจดูให้แน่ใจก่อนจะเริ่มการรักษา!”
จางเซวียนไม่แยแสสายตาดูถูกที่พุ่งเข้าใส่ เขาส่าย
หน้าและหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “ผมมีศาสตร์ลับที่ทำให้ผม
วิเคราะห์สาเหตุของอาการป่วยได้อย่างง่ายดาย แต่
ว่า...”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง และทำหน้าลังเล
“แต่ว่าอะไร?”
ได้ยินว่าอีกฝ่ายมีศาสตร์ลับที่ทำให้วิเคราะห์สาเหตุ
ของอาการป่วยได้ พ่อบ้านลู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ขนาด
เซียนสมุนไพรที่นอนแซ่วเป็นศพก็ยังกลอกตาไปมาด้วย
ความอยากรู้
ปัญหาใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเผชิญอยู่ไม่ใช่เรื่องการ
รักษา ที่หนักกว่าคือ...ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาการป่วยคือ
อะไร ถ้าพวกเขาระบุอาการป่วยและสาเหตุของมันได้ ก็
น่าจะหาข้อมูลเรื่องวิธีการรักษาในหนังสือได้ไม่ยากนัก
“แต่ว่า...เซียนสมุนไพรอาจต้องทรมานสักหน่อย!”
จางเซวียนพูดเนิบๆ
“ตราบใดที่คุณวิเคราะห์อาการป่วยได้ ทรมานสัก
หน่อยก็ไม่ใช่ปัญหาเลย นายแพทย์ไป๋ บอกมาเถอะว่าเรา
ต้องทำอะไรบ้าง!”
พ่อบ้านลู่มองจางเซวียนด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
เมื่อเปรียบเทียบกับความตาย ทรมานบ้างจะเป็น
อะไรไป
“ไม่ต้องเตรียมการอะไรเลย ในเมื่อคุณพูดแบบนั้น
ผมก็จะแสดงศาสตร์ลับของผมเดี๋ยวนี้!” จางเซวียนพู
ดอย่างเอาจริง
“อือ!”
พ่อบ้านลู่พยักหน้า จากนั้นก็ถามอย่างสงสัย “คุณ
บอกว่าจะใช้ศาสตร์ลับ คุณต้องการให้พวกเราออกไป...”
ก็ตามชื่อของมัน ศาสตร์ลับน่าจะเป็นเรื่องเฉพาะ
บุคคล จางเซวียนอาจไม่สะดวกใจที่จะแสดงศาสตร์ลับ
ของเขาต่อหน้านายแพทย์จำนวนมาก
แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นนายแพทย์ไป๋ชานเงื้อมือ
ขึ้น แล้วตบเปรี้ยงเซียนสมุนไพรเข้าให้
ปั้ก!
เสียงตบนั้นดังลั่น ฝ่ามือของเขากระทบท้ายทอย
ของเซียนอย่างจัง ฝ่ายนั้นยังไม่ทันได้หือได้อือ ทุกอย่างก็
ดับวูบลง เขามองอย่างแทบไม่เชื่อสายตา ก่อนจะ...สลบ
ไป
“คุณทำอะไร...”
นึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า อี ก ฝ่ า ยจะตบนายท่ า นสลบแทนที่ จ ะ
แสดงศาสตร์ลับของเขาออกมา พ่อบ้านลู่โกรธจัด เขา
กำลังจะพุ่งเข้าใส่เมื่อเห็นฝ่ายนั้นสัมผัสตัวเซียนและปรบ
มือ “เอาล่ะ ผมแสดงศาสตร์ลับของผมเรียบร้อยแล้ว...”
“คุณแสดง...เรียบร้อยแล้ว?”
ฝูงชนต่างผงะและแทบลมจับ
น้องชาย นี่ล้อเล่นใช่ไหม!
คุณจะบอกว่า...ศาสตร์ลับของคุณคือการตบเซียน
สลบอย่างนั้นหรือ?
ศาสตร์ลับบ้านแกน่ะสิ! แบบนี้หมามันก็ทำได้...คิดดู
สิว่า ฉันถึงกับคิดจะเลี่ยงออกไปเพื่อให้แกแสดงศาสตร์
ลับได้อย่างเต็มที่...
อีกด้านหนึ่ง ร่างอ้อนแอ้นของโม่หยู่สั่นสะท้านด้วย
ความกลัวสุดขีด เธอแทบจะล้มพับลงกับพื้น
ตอนที่จางเซวียนประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจ เธอคิด
ว่าเขาอาจมีความคิดดีๆอยู่ในหัวที่ทำให้ระบุอาการป่วย
ได้จริงๆ ไม่นึกว่าจะเป็นแบบนี้...
ตบเซียนสมุนไพรเปรี้ยงเดียวสลบ ถ้าจางเซวียนหา
ข้อแก้ตัวดีๆไม่ได้ล่ะก็ ทั้งคู่คงต้องตายคาที่
“นายท่าน...”
พ่อบ้านลู่พุ่งเข้าไปนวดเฟ้นเจ้านาย ต้องใช้ความ
พยายามอย่างหนักกว่าฝ่ายนั้นจะได้สติขึ้นมา เขาจึงได้
ถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นก็หันมาทางจางเซวียน ระงับความโมโห
เดือดจนอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆเอาไว้ “นายแพทย์ไป๋
คุณ...”
พูดกันตามตรง ถ้าฝ่ายนั้นไม่ได้รักษาพิษร้ายในตัว
เขามาก่อนล่ะก็ เขาคงสั่งให้องครักษ์สังหารไปแล้ว
ร่างกายของนายท่านอ่อนแอมาก ตบจนสลบแบบ
นั้น...แทบไม่ต่างอะไรเลยกับการฆ่าเขา
“ศาสตร์ลับของผมนั้นต้องทำให้คนไข้สลบเสียก่อน
จึงจะแสดงออกมาได้ ผมไม่มีทางเลือกอื่น ต้องขอ
รบกวนให้คุณเข้าใจด้วย”
จางเซวียนคิดข้อแก้ตัวล่วงหน้าไว้แล้ว
“มีศาสตร์ลับแบบนั้นด้วยหรือ?”
“คนไข้ต้องสลบจึงจะวินิจฉัยได้?”
ฝูงชนมองหน้ากัน รู้สึกว่าเรื่องนี้ยากเกินกว่าจะ
เข้าใจ
เป็ น ไปได้ ห รื อ ว่ า มี ทั ก ษะแปลกประหลาดแบบนี้
ด้วย?
นายแพทย์ระดับ 3 ดาวต่างก็สบตากัน และเห็นแต่
ความสับสนในดวงตาของแต่ละคน
พวกเขาอ่านหนังสือที่สมาคมนายแพทย์มาแล้วนับ
ไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีการวินิจฉัยที่ต้องทำให้
คนไข้สลบ มันขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานในการรักษา
โรคอย่างสิ้นเชิง
“เป็นแบบนี้เอง...”
พ่อบ้านลู่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามี แต่นายแพทย์คนนี้ก็ได้
วินิจฉัยอาการป่วยของเขาผ่านการออกหมัดมาแล้ว ซึ่งก็
ผิดธรรมดาเหมือนกัน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงตั้ง
คำถาม “ขอผมทราบได้ไหมว่า นายแพทย์ไป๋รู้หรือยังว่า
อาการป่วยคืออะไร และนายท่านต้องทุกข์ทรมานเพราะ
อะไร?”
เมื่อได้ยินคำถาม ทุกคนหันขวับมาจ้องจางเซวียน
อยากรู้ว่าเจ้าขี้โม้คนนี้จะพูดอะไรออกมา
“ผมระบุอาการป่วยได้!”
จางเซวียนพยักหน้า หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขา
ถอนหายใจ “มันเป็นเวรกรรม!”
“คุณว่าอะไรนะ?”
พ่อบ้านลู่อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตวาดก้อง “บังอาจ!”
เสียงชักดาบดังก้องไปทั่ว และองครักษ์จำนวนนับ
ไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาทันที
ตอนที่ 271 สัญญาหนอนกู้

เหล่าองครักษ์ต้องกัดฟันอดกลั้นกับการที่อีกฝ่าย
ตบเซียนสมุนไพรสลบ เพราะเขาอ้างว่ามันคือศาสตร์ลับ
แต่ ห มอนั่ น ก็ จ าบจ้ ว งถึ ง ขั้ น ประกาศว่ า เซี ย น
สมุนไพรกำลังชดใช้เวรกรรม นั่นถือเป็นการหยามเกียรติ
กันอย่างร้ายแรง แล้วพวกเขาจะนิ่งเฉยได้อย่างไร
“แกกล้าดีอย่างไร!”
“รนหาที่ตายแล้ว!”
บรรดาองครักษ์จ้องจางเซวียนอย่างโกรธแค้น ดาบ
ในมือของพวกเขาเปล่งประกายวาววับ หากได้รับคำสั่ง
เมื่อไร พวกเขาก็จะสับเจ้าโอหังนี่ให้เละทันที
“หมอนี่ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ”
“ผมรู้จักไป๋ชานมานานแล้ว ถึงนิสัยของเขาจะไม่
ได้เรื่องอย่างไร แต่สติสตังก็ปกติดี ทำไมถึงเกิด...บ้าบอ
ขึ้นมาปุบปับแบบนี้?”
ตอนแรกทุกคนคิดว่าจางเซวียนคงจะมาพร้อมกับ
ทฤษฎีใหม่ๆอันน่าทึ่ง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นาย
แพทย์เหล่านั้นก็แทบกระอักเลือด ทุกคนจ้องจางเซวีย
นอย่างอึ้งตะลึงราวกับเห็นปีศาจ
ไม่ว่าใครที่เคยเหยียบย่างเข้ามาในเมืองบัวแดงต่าง
ก็รู้ซึ้งถึงอำนาจของเซียนสมุนไพร
ในดินแดนแห่งนี้ เขามีอำนาจไม่ต่างจากฮ่องเต้
ขนาดองค์ ช ายแห่ ง อาณาจั ก รเที ย นหวู่ ที่ แ วะมา
เยี่ยมเยียนก็ยังต้องก้มหัวให้เขาอย่างไม่มีทางเลือก การที่
จางเซวียนตบเขาสลบถือเป็นการหยามเกียรติกันอย่าง
ร้ายแรง แถมยังกำเริบหนักขึ้นอีกด้วยการพูดว่าเขากำลัง
‘ชดใช้เวรกรรม’...
นี่คุณเบื่อหน่ายชีวิตขนาดหนัก หรือคิดว่าเซียน
สมุนไพรเป็นคนมีนิสัยเป็นกันเองอย่างนั้นหรือ?
นายแพทย์เฉินเฟิงมองจางเซวียนราวกับเห็นคน
ปัญญาอ่อน
หรือว่าหมอนี่...ถูกสัตว์ร้ายสักตัวหนึ่งเตะหัวเขาให้?
ไม่ อ ย่ า งนั้ น จะพู ด จาโง่ บ รมขนาดนั้ น ออกมาได้
อย่างไร?
“ตาย...คราวนี้เราตายจริงๆ...”
โม่หยู่ตบหน้าผาก แทบจะปล่อยโฮออกมาเดี๋ยวนั้น
เรื่องที่ตบเซียนสมุนไพรสลบ จางเซวียนยังพอ
แก้ตัวได้ว่าเป็นการแสดงศาสตร์ลับ แต่สิ่งที่เขาพูดออก
มาหลั ง จากนั้ น ถื อ เป็ น การลบหลู่ อี ก ฝ่ า ยอย่ า งร้ า ยแรง
ไม่มีทางหันหลังกลับได้
ถ้านายอยากตาย ก็ตายไปคนเดียวสิ มาลากฉันไป
ด้วยทำไม...
ฉันมาที่นี่ก็เพื่อหาความรู้และประสบการณ์ในโลก
กว้างเท่านั้น ฉันไปทำอะไรใคร ถึงต้องมารับผิดชอบเรื่อง
แบบนี้...
แต่ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็มาด้วยกัน ต่อให้หมอนี่
อยากจะฆ่าตัวตาย ฉันก็ปล่อยเขาไว้ไม่ได้!
ถึงจะแทบหายใจหายคอไม่ออก แต่โม่หยู่ก็กัดฟัน
และส่งโทรจิตหาจางเซวียน “จางเซวียน เรียกเจ้าเขี้ยว
เหล็กเหินฟ้ามาเดี๋ยวนี้เลย ฉันมีแผ่นค่ายกลที่พ่อทิ้งไว้ให้
มันพอจะยื้อเวลาได้สักหน่อย เร็วเข้าเถอะ บางทีเราอาจ
ยังมีโอกาส”
พวกเขาอยู่ลึกเข้ามาในฐานที่ตั้งของอีกฝ่ายก็จริง
แต่ ด้ ว ยวรยุ ท ธขั้ น กึ่ ง จื้ อ จุ น ของเจ้ า เขี้ ย วเหล็ ก เหิ น ฟ้ า
และความสามารถในการบินของมัน ก็มีโอกาสอยู่มากที่
ทั้งคู่จะหลบหนีได้สำเร็จ
ปัญหาก็คือพวกเขาจะเอาชีวิตให้รอดจนถึงตอนที่
เจ้าเขี้ยวเหล็กมาได้อย่างไร
โม่หยู่กำแหวนเก็บสมบัติของเธอไว้แน่นและสอด
ส่ายสายตาไปรอบๆอย่างระวังระไว หากมีใครรุกเข้ามา
เมื่อไหร่ เธอจะขว้างค่ายกลออกไปทันที
ในฐานะองค์หญิงของอาณาจักร โม่หยู่ซุกกลเม็ด
การเอาตัวรอดไว้มากมาย
แผ่นค่ายกลคืออุปกรณ์ช่วยชีวิตที่มีค่ายกลหลาก
หลายรูปแบบถูกฝังไว้ ต่อให้ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน
ค่ายกล ก็กระตุ้นให้มันทำงานได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่
ถ่ายทอดพลังปราณเข้าไปเท่านั้น
ถึงมันจะทำงานได้ไม่เต็มกำลังเท่าค่ายกลของจริง
แต่ก็พกพาสะดวกและใช้งานได้ทันที ทำให้เป็นเครื่องมือ
ที่เหมาะกับการใช้เอาตัวรอด
แผ่นค่ายกลนี้มีราคาแพง และต้องใช้ครั้งเดียวทิ้ง
จึงมีแต่คนระดับเดียวกับโม่หยู่เท่านั้นที่หามาใช้ได้
“จะเรียกมันมาทำไม? ไม่ต้องกังวลหรอก!”
เห็นสีหน้าเดือดร้อนใจของอีกฝ่าย จางเซวียนยิ้ม
“คุณ...”
เห็ น หมอนั่ น ยั ง เต๊ ะ ท่ า ทั้ ง ที่ อ ยู่ ใ นสถานการณ์ ล่ อ
แหลมอย่างหนัก โม่หยู่ถึงกับปรี๊ด “คุณลบหลู่เซียน
สมุนไพรนะ ถ้าเราไม่รีบเผ่นตอนนี้ล่ะก็ ตายคาที่แน่ๆ!”
“ลบหลู่ ? ” ผมแค่ อ ธิ บ ายอาการป่ ว ยให้ เ ขาฟั ง
เท่านั้นเอง ผมไปลบหลู่ใครกัน? “จางเซวียนโบกมือ
อย่างไม่ยี่หระราวกับจะยืนยันให้เธอมั่นใจ” ไม่ต้องกังวล
เลย อยู่เฉยๆแล้วก็รอไป!"
“อธิบายอาการป่วย?”
โม่หยู่แทบจะบ้า
ไอ้การพูดหยาบคายใส่คนอื่นด้วยการประกาศว่า
เขากำลั ง ชดใช้ เ วรกรรมนี่ น ะที่ เ รี ย กว่ า อธิ บ ายอาการ
ป่วย?
ฉันเป็นผู้ช่วยนายแพทย์มาก็นานแล้ว ยังไม่เคย
ได้ยินเรื่องแบบนี้
อยู่เฉยๆแล้วก็รอไป? ฉันต้องบ้าแน่ถ้าให้อยู่เฉยๆ
แล้วก็รอในสถานการณ์แบบนี้!
โม่หยู่โมโหเดือด แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะเหวี่ยง เธอ
มองไปรอบๆและวิเคราะห์หาทางหนีทีไล่
ถ้ารู้ว่าไอ้หมอนี่จะไว้ใจไม่ได้ขนาดนี้ จะไม่มีทางมา
ร่วมหัวจมท้ายกับเขาเลย
“นายแพทย์ ไ ป๋ ช าน ผมตั้ ง ใจเชิ ญ คุ ณ ให้ เ ข้ า มา
รักษานายท่าน ในเมื่อคุณพูดจาให้เราเสื่อมเสียขนาดนี้
ถ้าไม่มีคำอธิบายที่ฟังขึ้นล่ะก็ อย่าหวังจะได้ออกไปจาก
คฤหาสน์แห่งนี้เลย!”
พ่อบ้านลู่ไม่สนใจความตกตะลึงของทุกคน เขา
สะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธจัดและจ้องหน้าจางเซวียน
ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเคยแก้ปัญหาให้เขามาก่อน
เขาคงใช้ดาบจัดการให้สิ้นซากไปแล้วก่อนที่หมอนั่นจะมี
โอกาสอธิบาย
“อย่าวู่วามไปเลย ผมจะอธิบายทุกอย่าง แต่ว่า...มี
คนอยู่เยอะแยะ คุณแน่ใจหรือว่าอยากให้ผมพูด” จางเซ
วียนไม่รู้สึกรู้สากับการข่มขู่นั้น เขายังคงยิ้มรับอย่าง
สบายใจ
“เลิกวางท่าเสียที ต่อให้สิ่งที่แกพูดจะน่าทึ่งแค่ไหน
แกก็ต้องตายอยู่ดี!”
“กล้าหยามศักดิ์ศรีของเซียนสมุนไพร มันสมควร
ตาย!”
“พ่อบ้านลู่ มัวเสียเวลากับมันทำไม สั่งมาคำเดียว
แล้วพวกเราจะสับไอ้คนที่บังอาจหยามหมิ่นนายท่านให้
เละ!”
....
เห็นอีกฝ่ายยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บรรดาาองครักษ์
ต่างตวาดกร้าวและไม่ปกปิดเจตนาสังหารที่มีต่อจางเซวี
ยนอีกต่อไป
ทุ ก คนล้ ว นเป็ น นั ก รบขั้ น ทงฉวน เมื่ อ พวกเขา
จำนวนหลายสิบคนสำแดงวรยุทธออกมาพร้อมๆกัน คน
อื่ น ๆที่ อ ยู่ ใ นห้ อ งก็ ถึ ง กั บ หายใจหอบด้ ว ยแรงกดดั น อั น
หนักหน่วงนั้น และถึงกับมีเหงื่อซึมที่ฝ่ามือ
ขนาดนายแพทย์หลายคนที่มีวรยุทธขั้นจงซรือก็ยัง
หน้าซีด พวกเขาล่าถอยไปโดยอัตโนมัติเพราะไม่อาจ
ต้านทานพลังนั้นได้
ถึงนักรบขั้นจงซรือจะแข็งแกร่งกว่าขั้นทงฉวนมาก
แต่องครักษ์เหล่านั้นมีกันหลายคน และหลอมรวมพลัง
เข้าเป็นทีมอันแข็งแกร่ง ทั้งยังมีอาวุธร้ายที่ต่อให้นักรบ
ขั้นจงซรือก็ยังรับมือได้ยาก
“พอแล้ว!”
เห็นองครักษ์กำลังจะเข้าจู่โจมจางเซวียน พ่อบ้านลู่
โบกมือและคำราม “ช้าก่อน!”
จากนั้นเขาหันไปพูดกับจางเซวียน “นายแพทย์ไป๋
องครักษ์เหล่านี้ล้วนแต่ภักดีกับนายท่าน คำพูดของคุณ
ทำให้พวกเขาไม่พอใจ ถ้าคุณไม่อธิบายล่ะก็ ต่อให้ผมก็
หยุดพวกเขาไม่ได้”
น้ำเสียงของเขาคุกคาม
ถ้าจางเซวียนหาเหตุผลดีๆไม่ได้ พวกนั้นเอาตาย
แน่
“ผมพร้อมอธิบาย แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับ
ผมรู้สึกว่าไม่ควรจะพูดออกมาต่อหน้าคนหมู่มาก!”
ถึงชีวิตจะห้อยต่องแต่งอยู่ปากเหว จางเซวียนก็ยัง
ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักนิด เขาเดินไปหาเซียนสมุนไพร
และพูดหน้านิ่ง “เอาอย่างนี้ ผมจะพูด 3 คำ ถ้าคุณเห็น
ว่าการวินิจฉัยของผมฟังขึ้น เราก็หารือกันต่อ แต่ถ้าไม่ ก็
แค่ฆ่าผมซะ!”
หลังจากได้ฟังเขาพูดกับเซียนสมุนไพร พ่อบ้านลู่ก็
พยักหน้า “ดี!”
“ถ้างั้นก็!”
จางเซวียนยิ้ม “3 คำของผมง่ายมาก...สัญญา
หนอนกู้!”
“สัญญาหนอนกู้? มันคืออะไร?”
พ่อบ้านลู่กำลังสงสัยในคำประหลาดที่จางเซวียนพ่
นออกมา และกำลังคิดว่าจะสับหมอนี่ให้เละเลยดีหรือไม่
ก็พอดีกับที่เซียนสมุนไพรมีสีหน้าตกตะลึงสุดขีด นัยน์ตา
ที่ฝ้าฟางและไร้ชีวิตชีวาของเขาเป็นประกายร้อนรนขึ้น
มาทันที
“ให้...ให้...คนอื่นออกไป...”
เขารวบรวมกำลังและกระเสือกกระสนเปล่งเสียง
แหบพร่าออกมา
“เฮ้ย...”
เห็นไป๋ชานใช้คำพูดเพียง 3 คำ ทำให้เซียน
สมุนไพรที่กำลังร่อแร่กระเสือกกระสนพูดออกมาได้ ทุก
คนหันขวับไปมองเขาราวกับเห็นปีศาจ
ตอนแรก พวกเขาคิดว่าหมอนี่ต้องตายแน่ ไม่นึกว่า
จะมีเรื่องหักมุมแบบนี้
หรือว่า...3 คำนั้นเป็นเวทมนตร์บางอย่าง?
“นายท่าน!”
เห็นนายท่านพูดได้ พ่อบ้านลู่ปรี่เข้าไปทันที และใน
วินาทีนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆ
“ผมขออภัยด้วย แต่การวินิจฉัยโรคได้สิ้นสุดลง
แล้ว ผมขอเชิญพวกคุณทุกคนให้กลับไป! คนของผมจะ
นำค่าเสียเวลาไปให้พวกคุณในภายหลัง”
จากนั้นเขาก็ได้แต่จ้องจางเซวียน
อาการของเซียนสมุนไพรเพียบหนักถึงขั้นพูดไม่ได้
ก็จริง แต่พ่อบ้านลู่รับใช้เขามาหลายต่อหลายปี จนเรียก
ว่ามองตาก็รู้ใจ
สิ่งที่นายท่านต้องการนั้นง่ายมาก
ทำอย่างที่นายแพทย์ไป๋บอก! เขาเป็นคนเดียวที่
ช่วยได้!
คนอวดดีที่เอาแต่พ่นเรื่องไร้สาระจะช่วยชีวิตนาย
ท่านได้จริงๆหรือ?
หรือจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูด...ว่านายท่านกำลัง
ชดใช้เวรกรรม?
“ได้สิ!”
“เซียนสมุนไพรและพ่อบ้านลู่ ถ้าอย่างนั้นพวกเรา
ขอตัว!”
เห็นพ่อบ้านลู่เชิญให้กลับ ถึงพวกเขาจะยังสับสน
อยู่ แต่ก็หันหลังกลับออกมาโดยไม่ลังเล แต่ถึงอย่างนั้น
ก่อนจะเดินจากห้องนั่งเล่น ทุกคนก็ยังอดมองนายแพทย์
ไป๋ชานอย่างงุนงงไม่ได้
แค่ 3 คำ หมอนั่นก็ทำให้เซียนสมุนไพรไล่พวกเขา
ออกมา หรือสิ่งที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริง?
แต่ว่า...เราก็ไม่รู้จักอาการป่วยที่มีชื่อว่า ‘สัญญา
หนอนกู้’...
“พวกเธอก็ออกไปได้!”
พ่อบ้านลู่ไม่สนใจว่าใครจะสับสนอย่างไร เขาสั่ง
องครักษ์ให้ออกจากห้องไปเช่นกัน
“ขอรับ!”
รู้ว่าเป็นความประสงค์ของนายท่าน พวกเขาตอบ
รับและออกจากห้องนั่งเล่นไปทันที
เห็นทุกคนไปกันหมด โม่หยู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่
สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะอยู่
ไม่ว่าหมอนั่นจะผิดหรือถูก หรือจะถูกสับและตอน
ไหน ในเมื่อเธอมากับเขา ทิ้งเขาไว้คนเดียวคงไม่ดีแน่
แม้ อ งค์ ห ญิ ง ผู้ แ สนจะเย่ อ หยิ่ ง คนนี้ จ ะพู ด จาไม่
ไพเราะเสนาะหูเท่าไรนัก แต่เธอก็เป็นเพื่อนร่วมทางที่
ไว้ใจได้ จางเซวียนแอบพยักหน้ารับการตัดสินใจของเธอ
ไม่ช้าก็เหลือแต่พวกเขาที่อยู่ในห้อง
“นายแพทย์ไป๋ชาน ทุกคนไปกันหมดแล้ว คุณจะ
อธิบายได้หรือยัง?”
รู้ว่าโม่หยู่มากับนายแพทย์ไป๋ พ่อบ้านลู่จึงหันมา
โค้งคำนับให้จางเซวียนด้วยความเคารพ
“อือ!” จางเซวียนพยักหน้า “อันที่จริง ครั้งแรกที่
ผมได้เห็นเซียนสมุนไพร ผมก็พอมองสถานการณ์ออก
คร่าวๆ แต่หลังจากที่ใช้ศาสตร์ลับของผมแล้ว ก็แน่ใจได้
ว่า...”
เขาพูดต่อด้วยสีหน้าหดหู่ “เซียนสมุนไพรไม่ได้ป่วย
หรือถูกวางยา แต่เขาได้รับผลกระทบจากบางอย่างที่
เรียกว่า ‘สัญญาหนอนกู้’ สิ่งนี้ถูกฝังลงไปในตัวเขาเมื่อ
เขาทำสัญญากับใครคนหนึ่ง และเมื่อคนผู้นั้นตายไป
ด้วยฤทธิ์เดชของคำสัญญาหนอนกู้ เขาก็น่าจะต้องตาย
ตกตามไปเหมือนกัน!”
“สัญญาหนอนกู้...มันคืออะไร?” พ่อบ้านลู่ยังคงไม่
เข้าใจ
ถึงเขาจะได้พบปะใกล้ชิดกับนายแพทย์และอยู่กับ
ยาสมุนไพรทุกวัน แต่ก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้
นายท่านของเขาต้องรู้ดีแน่ว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร
แต่ก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะพูดออกมาได้ ถึงพ่อบ้านลู่จะใช้
ภาษากายง่ายๆสื่อสารกับเขาได้ แต่เรื่องซับซ้อนขนาดนี้
ก็คงพูดกันไม่รู้เรื่อง
“สัญญาหนอนกู้คือการทำสัญญากับคนๆหนึ่งเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งความเชื่อใจของฝ่ายนั้น มันเป็นวิถีทางเฉพาะ
ของกูรูยาพิษ พูดง่ายๆก็คือ มันเหมือนกับสัญญาความ
เป็ น ความตายระหว่ า งนั ก ฝึ ก อสู ร กั บ อสู ร ของพวกเขา
เมื่อสัญญาถูกทำขึ้นแล้ว ก็เท่ากับยอมจำนนที่จะเป็น
บริ ว ารของอี ก ฝ่ า ยโดยสมั ค รใจ หากเจ้ า นายตายไป
บริวารก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน จะต้องตายตกตามไป
ในไม่ช้า”
"โดยทั่วไป กูรูยาพิษใช้สิ่งนี้ควบคุมบริวารของพวก
เขา เมื่อทำสัญญากันแล้ว บริวารเหล่านั้นจะไม่อาจลิขิต
ความเป็นความตายของตัวเองได้อีกต่อไป
หากขัดขืนคำสั่งของเจ้านาย ก็จะต้องทุกข์ทรมาน
กับความเจ็บปวดจากการถูกสัตว์ร้ายแทะกินหัวใจของ
เขา!"
จางเซวียนอธิบายช้าๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มันมี...ของแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?”
พ่อบ้านลู่ประหลาดใจมาก เขาแทบจะไม่เชื่อในสิ่ง
ที่ได้ฟัง
ถ้าจางเซวียนไม่พูดขึ้นมา เขาจะไม่มีทางเชื่อเลยว่า
ของแบบนี้มีอยู่จริง
นัยน์ตาของโม่หยู่ก็แทบปะทุออกจากเบ้า
เธอไม่เคยได้ยินเรื่องสัญญาหนอนกู้ แต่รู้ดีว่าการทำ
สัญญาความเป็นความตายคืออะไร
ด้วยอานุภาพของสัญญาชนิดนี้ เมื่อไรที่เจ้านาย
ตาย ต่อให้อสูรตัวนั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ต้องถึงวาระ
สุดท้ายเหมือนกัน
จากที่จางเซวียนอธิบาย ดูเหมือนว่าสัญญาหนอนกู้
จะมี อ านุ ภ าพมากกว่ า นั้ น ถ้ า นั่ น เป็ น เรื่ อ งจริ ง ก็
หมายความว่ามนุษย์สามารถถูกควบคุมและฝึกให้อยู่ใน
โอวาทได้เหมือนกับอสูรอย่างนั้นหรือ?
ช่างเป็นความคิดที่น่ากลัวเหลือเกิน!
“เป็นไปได้ไหมว่า...สัญญาหนอนกู้นี้จะเกี่ยวข้องกับ
อาการของนายท่าน?”
พ่อบ้านลู่เพิ่งหายตะลึง แต่ใบหน้ายังคงซีดเผือด
“ไม่ใช่แค่เกี่ยวข้อง แต่มันคือสาเหตุเลยล่ะ!”
จางเซวียนมองเซียนสมุนไพรและส่ายหน้าอย่าง
สังเวช
"ในฐานะที่เป็นเซียนสมุนไพรและผู้กุมอำนาจของ
เมืองบัวแดง เขายังเลือกที่จะยอมเป็นบริวารของใครคน
หนึ่ง
และเต็มใจให้คนผู้นั้นฝังพิษหนอนกู้อันร้ายกาจนี้
เข้าไปในร่างของเขา ถ้าไม่เรียกว่าเป็นการชดใช้เวรกรรม
ของตัวเอง แล้วจะเรียกว่าอะไร?"
ขนาดฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเทียนหวู่ยังไม่กล้ามีปาก
เสียงกับเซียนสมุนไพรแห่งเมืองบัวแดง นายแพทย์ระดับ
3 ดาวก็ยังต้องก้มหัวให้ ตำแหน่งของเขาสูงส่งกว่าใครๆ
มีเกียรติยศมากขนาดนี้ แต่ก็ยังเต็มใจทำสัญญาหนอนกู้
เพื่อเป็นทาสรับใช้ของใครคนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่การรนหาที่
ตาย แล้วจะเรียกว่าอะไรได้?
เขาทำร้ายตัวเองอย่างที่ไม่อาจโทษใครได้เลย
เมื่ อ ได้ ฟั ง คำพู ด เหล่ า นั้ น ใบหน้ า แห้ ง เหี่ ย วของ
เซียนสมุนไพรกลับแดงขึ้นมาเล็กน้อย ความเสียใจเอ่อ
ท่วมนัยน์ตาของเขา
“นายแพทย์ไป๋ โปรดช่วยชีวิตนายท่านด้วย!”
สุดท้ายก็ได้รู้ว่านายท่านต้องทุกข์ทรมานจากอะไร
พ่อบ้านลู่สั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาเข่าอ่อนและทรุดฮวบลง
ไปกองอยู่กับพื้น
เขาต้องทนดูนายท่านอาการทรุดลงทุกวันโดยที่ไม่
อาจบอกสาเหตุได้ มันทำให้เขาท้อแท้ใจอย่างหนัก แต่ใน
ฐานะผู้มีอำนาจเป็นอันดับ 2 ของคฤหาสน์ ทำให้ไม่อาจ
ถอดใจได้ หากมีความหวังปรากฏตรงหน้า ต่อให้น้อยนิด
ขนาดไหนก็ต้องคว้าไว้
ด้วยการเติบโตขึ้นมาในคฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร
ทำให้เขาจงรักภักดีกับเซียนสมุนไพรอย่างถึงที่สุด
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ หากนายท่านต้องตาย เจ้า
แห่ ง สมุ น ไพรคนอื่ น ๆก็ จ ะฉวยโอกาสนี้ เ ข้ า รุ ก ราน
คฤหาสน์ และคฤหาสน์ของเซียนสมุนไพรก็ต้องถึงกาล
ล่มสลายในที่สุด ในฐานะพ่อบ้าน เขาจะต้องเดือดร้อน
กับความระส่ำระสายนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ และคงมีชีวิตอยู่
ได้ไม่นาน
ไม่ว่าจะเป็นเพราะความจงรักภักดีที่เขามีต่อเซียน
สมุนไพรหรือเพื่อชีวิตของตัวเอง เขาก็ไม่อาจยอมให้เรื่อง
นี้เกิดขึ้นกับเซียนสมุนไพรได้
ในเมื่อนายแพทย์ไป๋มองเห็นอาการ และรู้กระทั่ง
สาเหตุที่ทำให้นายท่านต้องทุกข์ทรมาน เขาก็น่าจะมี
หนทางแก้ไขเรื่องนี้
“ลุกขึ้นก่อนเถอะ!” จางเซวียนตรงเข้าพยุงพ่อบ้าน
เขาส่ายหน้าและพูดว่า “เมื่อทำสัญญานี้แล้ว หนอนกู้ก็
จะตรงเข้าสู่กระแสเลือดของคนๆนั้น การแก้ปัญหาเป็น
เรื่องยากมาก!”
เมื่อทำสัญญานี้แล้ว หนอนกู้ก็จะดำดิ่งเข้าสู่อวัยวะ
ภายในและไหลไปตามกระแสเลือด การระบุตำแหน่งและ
สังหารมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ถ้านายแพทย์ไป๋รักษานายท่านได้ ทางคฤหาสน์
เซียนสมุนไพรพร้อมจะทำตามความต้องการของคุณทุก
อย่าง...” พ่อบ้านลู่ขบกรามแน่น
“ในการช่วยชีวิตเขา ผมจะต้องหาตำแหน่งของ
หนอนกู้ และกำจัดหรือฆ่ามันให้ได้!”
จางเซวียนอธิบาย
“แต่ว่า...หนอนกู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ และไหลไปตาม
กระแสเลือด เมื่อไรก็ตามที่มันรู้ตัวว่ามีอันตราย มันจะ
หนีทันที แล้วผมจะจับมันได้อย่างไร?”
เหตุ ผ ลหลั ก ที่ เ ซี ย นสมุ น ไพรต้ อ งทุ ก ข์ ท รมานก็
เพราะมีหนอนกู้อาศัยอยู่ในร่างกาย การแก้ปัญหาก็ดู
เหมือนจะง่าย แค่กำจัดหรือฆ่ามันก็จบเรื่องแล้ว แต่การ
ทำตามนั้นแสนจะยากเย็น
มันอาศัยอยู่ในกระแสเลือด มองก็ไม่เห็น สัมผัสก็ไม่
ได้ แถมยังเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและรู้วิธีหลบเลี่ยง
อันตราย แล้วจะกำจัดหรือทำลายมันได้อย่างไร?
กว่าจะฆ่าหนอนกู้ได้ คนๆนั้นคงจะตายเสียก่อน
“ในเมื่อนายแพทย์ไป๋รู้ว่านายท่านต้องทุกข์ทรมาน
เพราะอะไร คุณก็ต้องแก้ไขได้ ผมขอวิงวอนให้ช่วยชีวิต
นายท่านด้วย!”
พ่อบ้านลู่คุกเข่าลงอีกครั้ง
นายแพทย์จำนวนมากมายที่มาตรวจอาการนาย
ท่าน ยังบอกไม่ได้แม้กระทั่งสาเหตุของอาการป่วย นาย
แพทย์ไป๋ชานจึงเป็นความหวังเดียวของเขา
“ผมช่วยชีวิตเขาได้ แต่...มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง!”
จางเซวียนตอบหลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่
การควานหาตัวหนอนกู้เป็นเรื่องโหดหินสำหรับคน
อื่น แต่กับจางเซวียนนั้นไม่เหมือนกัน ด้วยการครอบ
ครองหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนสามารถระบุตำแหน่ง
ของหนอนกู้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น การรักษาเซียน
สมุนไพรจึงยังคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สำหรับเขา
“นายแพทย์ไป๋ บอกเงื่อนไขของคุณมาเลย!”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่ารักษาได้ พ่อบ้านลู่กำหมัดแน่น
อย่างตื่นเต้น
“ผมต้องการไปห้องโถงแห่งยาพิษ หวังว่าจะมีใคร
สั ก คนหนึ่ ง พาผมไปที่ นั่ น ได้ ห ลั ง จากที่ ผ มรั ก ษาเซี ย น
สมุนไพรแล้ว!”
จางเซวียนมองหน้าพ่อบ้าน
“เอ่อ...”
พ่ อ บ้ า นลู่ นึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า อี ก ฝ่ า ยจะมี เ งื่ อ นไขแบบนั้ น
“ตอนนี้ทางห้องโถงแห่งยาพิษไม่รับแขกเลย โดยเฉพาะ
นายแพทย์ เกรงว่าถ้าคุณไปที่นั่น จะเป็นอันตรายมาก!”
กู รู ย าพิ ษ กั บ นายแพทย์ ถื อ เป็ น อาชี พ ที่ เ ป็ น คู่ ต รง
ข้ามกันมาอย่างยาวนาน ในเมื่อคุณเป็นนายแพทย์ แต่
กลับอยากไปห้องโถงแห่งยาพิษ จะไม่รนหาที่ตายไป
หน่อยหรือ?
“ถ้าไปตอนนี้ ผมจะเป็นอันตราย? คุณหมายความ
ว่าอย่างไร?”
เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดเป็นนัยๆ จางเซวียนจ้องเขา
อย่างสงสัย
พ่อบ้านลู่ชำเลืองมองนายท่านของเขา และรู้สึกได้
ว่าฝ่ายนั้นไม่อยากให้เขาพูดอะไรมาก จึงได้แต่กัดฟัน
ตอบ “มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นที่นั่น และตอนนี้มัน
ปิดตายจากคนนอก ห้องโถงแห่งยาพิษปฏิเสธแขกทุกคน
ขนาดนายท่านยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่นั่นเลย หาก
ไปตอนนี้ จะถือเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาด!”
“ความขัดแย้งภายใน?”
“ใช่!” พ่อบ้านลู่ตอบ “แต่ว่า ถ้านายแพทย์ไป๋
อยากไปที่นั่นจริงๆ ภายใน 1 ปีนี้ ความขัดแย้งก็น่าจะ
สิ้นสุด ถึงตอนนั้นคงจะปลอดภัยกว่ากันมาก...”
“1 ปี? นานเกิ๊น!”
จางเซวียนส่ายหน้า
เหตุผลที่เขาเลือกปลอมตัวเป็นนายแพทย์ไป๋ชาน
แทนที่จะไปอาณาจักรเทียนหวู่เพื่อเข้ารับการทดสอบ
เป็นนายแพทย์ ก็เพื่อจะได้ไปห้องโถงแห่งยาพิษและแก้
ปัญหาเรื่องรังสีพิษที่ตกค้างในตัวของเขาอย่างเร็วที่สุด
แค่เดือนเดียวก็ยังไม่อยากจะรอแล้ว จะให้รอเป็นปีได้
อย่างไร?
ตลกเป็นบ้า!
“แค่คุณพาผมไปถึงหน้าประตูห้องโถงแห่งยาพิษ
เท่านั้นแหละ ที่เหลือผมดูแลตัวเองได้ ถ้าคุณสัญญาจะ
ทำตามเงื่อนไขของผม ผมก็จะช่วยชีวิตนายท่านของคุณ
เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็ ลืมซะเถอะ!”
จางเซวียนพูดเนิบๆ
“แต่ ก็ อ ย่ า งว่ า นะ ผมยั ง สงสั ย อยู่ ว่ า ใน 13
อาณาจักรโดยรอบนี้ จะมีใครช่วยชีวิตนายท่านของคุณ
ได้หรือเปล่า!”
เห็นอีกฝ่ายยืนกรานแบบนั้น พ่อบ้านลู่พยายามจะ
ขอความเห็นนายท่าน เมื่อเห็นเขากะพริบตา ก็หันกลับ
มาหาจางเซวียน
“ตกลง นายท่านยินยอมแล้ว!”
“ได้!”
จางเซวียนพยักหน้า “จับตัวเขาให้นอนราบลงไป
ผมจะเริ่มรักษาเดี๋ยวนี้!”
“ได้!”
เพราะที่นี่คือคฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร พ่อบ้านลู่
จึงไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรไม่เข้าท่า เขาจัดให้นาย
ท่านนอนราบลงบนเก้าอี้นอน
เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะกำจัดสัญญาหนอนกู้ออก
จากร่างของเขา ใบหน้าแห้งเหี่ยวของเซียนสมุนไพรฉาย
ความวิตกกังวลออกมา
พ่ อ บ้ า นลู่ กั บ โม่ ห ยู่ อ าจไม่ เ คยได้ ยิ น เรื่ อ งสั ญ ญา
หนอนกู้ แต่ผู้ที่ฝังสิ่งนี้เข้าไปในตัวเขารู้ดีว่าไม่มีทางรักษา
แต่ชายคนนี้ประกาศว่าตัวเองรักษาได้ ต่อให้เขายัง
ไม่เชื่อคำพูดนั้นเท่าไร แต่ก็อยากจะลองดูสักตั้ง
ฟึ่บ!
เมื่ อ ตกลงใจจะรั ก ษาแล้ ว จางเซวี ย นก็ ไ ม่ รี ร อ
สะบัดข้อมือเพียงครั้งเดียว กล่องใบหนึ่งที่บรรจุเข็มเงิน
เอาไว้ก็มาอยู่ในมือเขา
จากนั้น เขาก็จมดิ่งเข้าไปในหอสมุดเพื่อพลิกดูหน้า
หนังสือที่มีข้อบกพร่องระบุไว้ (ซึ่งทำให้เขารู้ตำแหน่ง
ของสัญญาหนอนกู้)
เขารวบรวมพลังปราณและปักเข็มเงินลงไปยังจุด
สุดท้ายที่หนอนกู้ฝังตัวอยู่
เข็ ม เงิ น ที่ ไ ด้ รั บ การถ่ า ยทอดพลั ง ปราณเที ย บฟ้ า
เข้าไปจะสามารถปลิดชีวิตหนอนกู้ได้อย่างง่ายดายถ้า
โดนตัวมันจังๆ
“ฮึ?”
เมื่อปักเข็มลงไปแล้ว จางเซวียนก็ถ่ายทอดพลัง
ปราณเข้าไปรอบๆจุดนั้นด้วย แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าหนอนกู้
หายตัวไปแล้ว ก็ถึงกับเครียด
“ไอ้หนอนนั่นหนีไปได้...”
เขาเสี ย เวลาไประหว่ า งอ่ า นเนื้ อ หาที่ ห นั ง สื อ
ประมวลไว้ให้ หนอนกู้ที่อยู่ในตัวเซียนสมุนไพรไม่ได้อยู่
ในตำแหน่งที่หนังสือระบุไว้อีกต่อไป
ดูเหมือนว่าจะต้องมีการอัพเดทตำแหน่งของหนอน
กันใหม่
จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเซียน
สมุนไพรอย่างเหนียมๆ
“เซียนสมุนไพร ผมเสียใจด้วย แต่ว่า...คุณสลบอีก
สักที จะสะดวกไหม?”
......
หนอนกู้คือสิ่งมีพิษที่ใช้กับมนต์ดำและพิธีกรรมทาง
ไสยศาสตร์ของจีนตอนใต้ มีวิธีการเตรียมหนอนชนิดนี้อยู่
หลายวิธี แต่วิธีดั้งเดิมที่ใช้กันคือการนำเจ้าตัวนี้จำนว
นมากๆมาไว้รวมกันในโหลใบหนึ่ง แล้วปล่อยให้มันสู้
กันเอง
ตอนที่ 272 ผมเข้าใจ

“คุณถามเขาหรือว่าจะสะดวกไหม...ถ้าเขาจะต้อง
สลบไปอีกรอบ?”
พ่อบ้านลู่กับโม่หยู่ถึงกับหน้าตาบูดเบี้ยว
เซียนสมุนไพรส่ายหัวดิก
ไม่มีใครอยากสลบแน่ จะให้ตอบออกไปได้อย่างไร
ว่าสะดวกใจที่จะสลบ?
แค่ได้ยิน เซียนสมุนไพรก็ต้องส่ายหน้าแล้ว เป็น
เพราะสภาพร่างกายที่ง่อยเปลี้ยของเขาต่างหากที่ทำให้
ต้องจำยอม
“นายแพทย์ไป๋ชาน เอ่อ...”
เห็นแววตาขัดขืนของนายท่าน พ่อบ้านลู่รีบเบรก
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็
เหมือนจะได้ข้อสรุป “โอ๊ยลืมซะเถอะ ถามไปก็ไม่ได้อะไร
ผมทำเองแหละดีที่สุด!”
จากนั้นก็เงื้อมือ
ผัวะ!
เซียนสมุนไพรสลบไปอีกรอบ ทั้งๆที่น้ำตายังคลอ
ตบเซียนสมุนไพรสลบไปแล้ว จางเซวียนเพิ่งรู้สึก
ว่าพ่อบ้านลู่ยังพูดไม่จบ และกำลังมองเขาอย่างสงสัย
“มีอะไรเหรอ?”
“ผม...เอ่อ...ไม่มีหรอก!”
พ่อบ้านลู่ฝืนยิ้ม
เขาตั้งใจจะหยุดอีกฝ่ายไว้เพื่อดูว่าพอมีหนทางอื่นที่
จะรักษานายท่านโดยไม่ต้องทำให้เขาสลบหรือไม่ แต่ใน
เมื่อนายท่านก็วูบไปแล้ว พูดไปก็ไร้ประโยชน์
“เอาล่ะ ผมจะรักษาต่อนะ!”
เมื่อเซียนสมุนไพรสลบ หนังสือในหัวของจางเซวีย
นก็กระตุกอีกครั้ง และอัพเดทตำแหน่งของหนอนกู้
เมื่อแน่ใจตำแหน่งที่อยู่ของมันแล้ว จางเซวียนก็ปัก
เข็มเงินลงไปในร่างของอีกฝ่าย
“เฮ้ย? พลาด...”
จางเซวียนใช้พลังปราณตรวจสอบดู ก็รู้ว่าหนอนกู้
หนีไปได้อีกครั้ง
“ดูเหมือนการฆ่าไอ้หนอนนี่จะยากกว่าที่เราคิด!”
เขามีสีหน้าเคร่งเครียด
เขาคิ ด ว่ า ด้ ว ยการมี ห อสมุ ด เที ย บฟ้ า คอยระบุ
ตำแหน่งให้ การฆ่าหนอนไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก แต่เท่าที่
ดู เขาคงจะประเมินพวกมันต่ำไป
แม้การเหลื่อมเวลาระหว่างการพลิกหน้าหนังสือใน
หอสมุดกับการปักเข็มลงไป จะสั้นมาก แต่ก็เกินพอ
สำหรับหนอนกู้ที่จะหนีไปจากตำแหน่งเดิม
จางเซวียนแตะตัวราชาสมุนไพรอีกครั้ง และฝังเข็ม
ลงไปอีก
ฉึก ฉึก ฉึก!
ด้ ว ยการโจมตี ห ลายครั้ ง จากเข็ ม เงิ น หนอนกู้ ดู
เหมือนจะรู้ตัวว่ามันตกอยู่ในอันตราย มันรีบหนีไปตาม
กระแสเลือดของฝ่ายนั้นอย่างรวดเร็ว
“ระบบไหลเวี ย นเลื อ ดของร่ า งกายมนุ ษ ย์ นั้ น ซั บ
ซ้อนมาก และยังมีเส้นเลือดฝอยอีกนับไม่ถ้วนกระจายไป
ทั่วร่าง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ต่อให้วิ่งไล่จับกันทั้งวันก็ไม่
สำเร็จ เราจะต้องหาทางต้อนให้มันจนมุมเสียก่อน ถึงจะ
ฆ่ามันได้!”
หลังจากที่ฝังเข็มลงไปอย่างรวดเร็วอีก 2-3 เล่ม
จางเซวียนก็รู้ได้ว่าหนอนตัวนั้นเคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ
แถมยังสะเปะสะปะจนจับทางไม่ได้ ความยุ่งยากนี้ทำให้
หน้าผากของเขาย่นเป็นร่องลึก
“มันตายหรือยังนะ...”
หลังจากปักเข็มลงไปต่อเนื่องกัน 12 เล่ม ในที่สุด
เขาก็ ต้ อ นมั น ให้ จ นมุ ม ได้ ขณะที่ ก ำลั ง จะปั ก เข็ ม เล่ ม
สุดท้าย ก็มีเสียงอ่อนระโหยโรยแรงดังขึ้น เมื่อหันไปมอง
ก็เห็นว่าราชาสมุนไพรฟื้นขึ้นมา
การที่เขารู้สึกตัวในตอนนั้นทำให้หอสมุดเทียบฟ้า
ไม่สามารถอัพเดทตำแหน่งของหนอนกู้ได้
รู้ว่าไม่มีเวลาจะเสียแล้ว จางเซวียนไม่พูดให้มาก
ความ เขาเงื้อมือและ ‘ผัวะ’ ทันที ฝ่ายนั้นสลบไปอีกรอบ
“แย่แล้ว! ไอ้บ้านั่นหนีไปได้อีก...”
ตอนที่หนังสือใช้เวลาอัพเดท หนอนกู้ก็หนีไปได้
จางเซวียนถึงกับเครียด
การที่เซียนสมุนไพรรู้สึกตัวขึ้นมาทำให้เลือดของ
เขาไหลเวียนเร็วขึ้น หนอนกู้จึงหนีจากวงล้อมของจางเซ
วียนไปได้
“บ้าเอ๊ย!”
นึกไม่ถึงว่าหนอนกู้จะฉลาดขนาดนี้ จางเซวียนเลิก
คิ้วและหันไปทางพ่อบ้านลู่
“มานี่หน่อย นายท่านของคุณฟื้นเมื่อไหร่ จัดการ
ให้เขาสลบนะ...”
เซียนสมุนไพรเป็นนักรบจงซรือขั้นสูงสุด ถึงจะถูก
หนอนกู้ทรมานจนใกล้ตาย แต่กลไกการป้องกันตัวจาก
พลังปราณในร่างของเขายังทำงานอยู่ ทำให้เขาฟื้นจาก
การสลบได้เร็ว
ซึ่งในการตบเขาสลบ จางเซวียนก็ไม่ได้ออกแรง
มากเกินไป เพื่อไม่ให้อาการของเซียนสมุนไพรที่ร่อแร่อยู่
แล้วต้องแย่ลงอีก
แต่เพื่อป้องกันไม่ให้หนอนกู้หนีไปได้อีกครั้งหากเขา
รู้สึกตัวขึ้นมา เตรียมตัวไว้ก่อนจึงดีที่สุด
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจยืมมือพ่อบ้านลู่ ด้วยการมี
ใครคนหนึ่งคอยตบให้เซียนสมุนไพรสลบ จางเซวียนก็จะ
สามารถจดจ่อกับการฆ่าหนอนได้อย่างเต็มที่
“นายท่านฟื้นเมื่อไหร่ จัดการให้สลบ...”
พ่อบ้านลู่ตัวสั่นและแทบจะปล่อยโฮออกมา
ชายตรงหน้าคือนายท่านของเขา ถ้าเขาทำแบบนั้น
ลงไป ไม่อยากจะนึกเลยว่าชะตากรรมชนิดไหนที่จะรอ
เขาอยู่หากนายท่านเอาเรื่องขึ้นมา
“ผมขอปฏิเสธได้ไหม...”
“อย่าทำผมเสียเวลา ให้ไวเลย!”
เห็นอีกฝ่ายทำยึกยัก จางเซวียนขมวดคิ้ว “ถ้าไม่
อยากช่วยชีวิตนายท่านของคุณล่ะก็ จะไม่ทำก็ตามใจ!”
“เอ่อ...”
ถึ ง อย่ า งไรพ่ อ บ้ า นลู่ ก็ รู้ ว่ า การช่ ว ยชี วิ ต เซี ย น
สมุนไพรเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เขาจึงเดินเข้ามาและเงื้อมือ
เตรียมไว้
ขณะที่หัวใจแทบจะวาย โม่หยู่ก็พูดขึ้น "ปกตินาย
แพทย์มักจะใช้ผงตรึงวิญญาณเพื่อทำให้คนไข้สลบ สูด
แค่ อึ ด ใจเดี ย วก็ ส ลบไปได้ น าน แถมไม่ ต้ อ งเจ็ บ ตั ว
ด้วย...มันจะใช้ได้ไหม?
“ผงตรึงวิญญาณ? มีของแบบนั้นด้วยเหรอ? ได้สิ
ใช้ได้!”
เป้าหมายของเขาคือการทำให้อีกฝ่ายสลบ จะด้วย
ยาหรือด้วยการใช้กำลังก็ได้ทั้งนั้น
“ผงตรึงวิญญาณก็ใช้ได้?”
คำตอบของจางเซวียนทำให้พ่อบ้านลู่กับโม่หยู่ถึง
กับน้ำตาไหลพราก
ผงตรึ ง วิ ญ ญาณเป็ น ยาขั้ น พื้ น ฐานที่ น ายแพทย์
ทั่วไปใช้กัน แม้แต่กับคนไข้ที่ปอดแหกที่สุดก็ใช้ได้ ไม่มี
นายแพทย์คนไหนที่ไม่รู้จักมัน และพวกเขาก็มักจะพกยา
นี้ติดตัวไปทุกที่
แต่หมอนี่ไม่รู้จัก...
บ้าไปแล้ว!
ถ้าไม่ใช่เพราะความเก่งกาจอันสุดแสนจะน่าทึ่งที่
เขากำลังแสดงอยู่ล่ะก็ คงจะต้องสงสัยแล้วว่าเป็นนาย
แพทย์จริงๆหรือเปล่า!
ไม่อย่างนั้น เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมไม่รู้?
ถ้าจางเซวียนใช้ผงนี้เสียก่อนหน้า เซียนสมุนไพรก็
คงไม่ต้องโดนตบกะโหลกถี่ขนาดนั้น ขืนปล่อยให้เป็น
แบบนี้ต่อไป ต่อให้เขารักษาหาย ก็เป็นไปได้ว่าเซียน
สมุนไพรจะต้องกลายเป็นคนบ้องตื้น เพราะหัวถูกกระทบ
กระเทือนบ่อยครั้งเกิน...
“เรามียานั้นอยู่ ผมจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้แหละ...”
ก ลั ว ว่ า น า ย ท่ า น จ ะ ถู ก ต บ อี ก พ่ อ บ้ า น ลู่
กระวีกระวาดออกไป
เซียนสมุนไพรต้องใช้ชีวิตอยู่กับยาสมุนไพร ซึ่งก็
คงจะแปลกหากพวกเขาไม่มีสมุนไพรขั้นพื้นฐานตุนไว้
ไม่ช้าพ่อบ้านลู่ก็นำผงตรึงวิญญาณหลายถุงกลับมา
จางเซวียนหยิบถุงใบหนึ่งไปจ่อไว้ที่ปลายจมูกของ
เซียนสมุนไพร ไม่นานยานั้นก็ทำให้เขาหลับลึก และดูท่า
จะไม่ฟื้นคืนสติได้เร็วนัก
“แหม มีของดีขนาดนี้ก็ไม่บอก น่าจะเอาออกมาใช้
เสียแต่แรก!”
จางเซวียนมองหน้าพ่อบ้านลู่เมื่อเห็นว่ายานั้นได้ผล
น่าทึ่ง
“เอ่อ...”
พ่อบ้านลู่ถึงกับเหวอ
ในฐานะนายแพทย์ ถ้าคุณถือเครื่องมือผ่าตัดเข้าไป
ในห้องผ่าตัด ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะต้องเข้าใจว่าคุณ
ชำนาญในการใช้มัน ใครจะไปคิดล่ะว่า...คุณไม่รู้เสียด้วย
ซ้ำว่ามีดผ่าตัดหน้าตาเป็นอย่างไร...
โม่หยู่มองพ่อบ้านลู่อย่างเห็นใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ
เคยชินกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของจางเซวียนแล้ว
เธอจะต้องคิดว่าเขาจงใจทำแน่
ผงตรึงวิญญาณทำให้เซียนสมุนไพรหลับลึก จางเซ
วียนจึงดำเนินการรักษาต่อไป เขาใช้มือข้างหนึ่งสัมผัส
ร่างของเซียนสมุนไพรไว้ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งฝังเข็มลง
ไปอย่างรวดเร็ว เพื่อต้อนให้หนอนกู้ที่อยู่ในกระแสเลือด
เข้าไปจนมุม
ครั้งนี้เขาทำสำเร็จ หนอนกู้หนีไปไหนไม่ได้
“ลุย!”
กระดิกนิ้วนิดเดียว เข็มเงินก็ถูกปักลงไปในร่างของ
เซียนสมุนไพร
ฉึกกกกก!
หนอนกู้กระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ในกระแสเลือด
ของเขา
“ตายซะ!”
กระดิกนิ้วอีกครั้ง พลังปราณบริสุทธิ์ก็พุ่งเข้าไปใน
ร่างของอีกฝ่ายผ่านทางเข็มเงิน หนอนกู้กระเสือกกระสน
ฟาดงวงฟาดงาได้อีกครู่เดียวก็แน่นิ่งไป
ก็เหมือนกับสารพิษตกค้างอื่นๆ พลังปราณเทียบ
ฟ้ า ที่ บ ริ สุ ท ธิ์ ร าวกั บ น้ ำ สะอาดคื อ คู่ ป รั บ ตั ว ฉกาจของ
หนอนกู้ เมื่อโดนเข้าไปจังๆ เจ้าสิ่งมีชีวิตที่แสนจะทน
ทายาดนั้นก็ถูกบดขยี้และตายทันที
“ออกมา!”
จางเซวียนใส่แรงดันเข้าไปในกระแสเลือดของอีก
ฝ่าย แล้วตามด้วยพลังปราณอีกระลอกหนึ่ง จากนั้นทั้ง
เข็มเงินและหนอนกู้ก็กระเด็นออกมาพร้อมๆกัน
ตึ้ง! ทั้งคู่กองแหมะอยู่บนพื้น
“เจ้านี่หรือที่เรียกว่าสัญญาหนอนกู้?”
พ่อบ้านลู่กับโม่หยู่รีบเข้ามาดู
หนอนกู้ที่อยู่บนพื้นมีขนาดตัวพอๆกับหิ่งห้อย มี
อักษรโบราณจารึกไว้บนลำตัวสีเขียวเข้มของมัน มันน่า
ขยะแขยงขนาดที่ทำให้ผู้พบเห็นเย็นเยือกไปถึงกระดูกสัน
หลัง
“เฮ่อ!”
จางเซวียนถอนหายใจเฮือก
ปัญหาหลักที่จู่โจมร่างกายของเซียนสมุนไพรคือ
หนอนกู้ ตั ว นี้ ในเมื่ อ มั น ออกมาจากร่ า งของเขาแล้ ว
อาการบอบช้ำก็คงจะฟื้นตัวได้ในเวลาไม่นานนัก
หลังจากเอาถุงที่บรรจุผงตรึงวิญญาณไว้ออกจาก
ปลายจมูกของเซียนสมุนไพรได้ไม่นาน เขาก็ค่อยๆรู้สึก
ตัว
“นายท่าน...”
พ่อบ้านลู่ปรี่เข้ามา
“ผมต้อง...ต้องสลบไปอีกไหม?”
หลังจากฟื้นขึ้นมา เซียนสมุนไพรมองหน้าจางเซวี
ยนและถึงกับปากสั่น
เขาแสนจะเข็ดเขี้ยวกับการถูกตบสลบซ้ำแล้วซ้ำ
เล่า
กลัวเหลือเกินว่าเมื่อฟื้นขึ้นมา จะมีมือเงื้อง่ารออยู่
“ไม่ต้องแล้ว หนอนกู้ถูกฆ่าตายแล้ว!”
พ่อบ้านลู่ชี้ไปที่หนอนบนพื้น
“ตายแล้ว?”
เซียนสมุนไพรถึงกับผงะ เขามองซากหนอนกู้บน
พื้น หน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่ต้องทุกข์ทรมานกับสัญญาหนอนกู้ ความ
เป็นความตายของเขาดูจะไม่ใช่สิ่งที่เขาควบคุมได้อีกต่อ
ไป เหตุผลที่สัญญาหนอนกู้ถูกนำมาใช้เรียกความไว้ใจ
จากอีกฝ่ายก็เพราะแม้แต่กูรูยาพิษที่เก่งกาจที่สุดก็ยังไม่
สามารถรักษาได้ แต่นายแพทย์ที่อยู่ตรงหน้าเขาฆ่ามันได้
อย่างง่ายดาย ขนาดเขาได้เห็นเต็มสองตาก็ยังแทบไม่
อยากเชื่อ
“นายแพทย์ไป๋ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม!”
เซียนสมุนไพรลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาวและทรุดตัวลง
คุกเข่ากับพื้น
ตอนแรก เขาคิดว่าคงเป็นโชคชะตาของเขาที่ต้อง
ตายเพราะสัญญาหนอนกู้ ไม่นึกไม่ฝันว่าชายที่ยืนตรง
หน้าจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้!
เพื่อให้หายทุกข์ทรมาน อย่าว่าแต่สามครั้งเลย ต่อ
ให้ต้องถูกตบสลบอีกเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ก็คุ้มค่าที่จะทน
“นายท่าน นาย...นายท่าน...”
เห็นเซีย นสมุน ไพรลุก ขึ้นมาและคุก เข่า อยู่ กั บพื้ น
พ่อบ้านลู่ถึงกับลนลาน
นายท่านของเขาขยับตัวไม่ได้และพูดไม่ได้มาระยะ
หนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้ถึงกับลุกขึ้นยืนและคุกเข่าได้ด้วยตัว
เอง แสดงให้เห็นว่าร่างกายของเขากำลังฟื้นตัว
“เมื่อหนอนกู้ในตัวผมตายไป พละกำลังก็ค่อยๆ
กลับคืนมา แต่ความบอบช้ำภายในที่มันทิ้งไว้ยังไม่หายดี
นายแพทย์ไป๋ ผมขอวิงวอนให้คุณช่วยรักษา...”
เซี ย นสมุ น ไพรปั ด พ่ อ บ้ า นลู่ ไ ม่ ใ ห้ ช่ ว ยพยุ ง เขา
คุกเข่าต่อหน้าจางเซวียน
ตอนที่ 273 มันเกิดอะไรขึ้น

ถึงความตายของหนอนกู้จะขจัดต้นตอของปัญหา
ออกไปได้ แต่เจ้าหนอนนั่นก็ยังทิ้งความเสียหายไว้ใน
ร่างกายของเขา มันดูดกลืนพลังงานและจิตวิญญาณของ
เขาออกไปจนเกือบจะแห้งเหือด เขายังต้องการความ
ช่วยเหลือจากนายแพทย์คนนี้ ให้ช่วยฟื้นฟูร่างกายที่
บอบช้ำและเรียกพละกำลังของเขากลับคืนมา
ไม่อย่างนั้น ด้วยการมีสารรูปแบบคนอายุ 90 ทั้งๆ
ที่อายุยังไม่ถึง 50 ปี ก็แน่นอนว่าเขาน่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่
นาน
“คุณต้องการให้ผมแก้ปัญหา?”
หลังจากอ่านเนื้อหาในหอสมุดเทียบฟ้าอย่างครบ
ถ้วน จางเซวียนถึงกับขมวดคิ้ว
การได้รับความทุกข์ทรมานจากสัญญาหนอนกู้มา
หลายวันทำให้ร่างกายของเขาบอบช้ำอย่างรุนแรง ถ้า
ไม่ใช่เพราะสมุนไพรล้ำค่านานาชนิดที่เขาครอบครองอยู่
ในฐานะที่เป็นเซียนสมุนไพรล่ะก็ เขาไม่มีทางอยู่รอดมา
ได้จนถึงวันนี้
สภาพร่างกายและจิตใจที่ร่อแร่ของเขาจะค่อยๆฟื้น
คื น ได้ ก็ ด้ ว ยการกิ น ยาบำรุ ง กำลั ง หลายชนิ ด เป็ น ระยะ
เวลานาน แต่ว่า...กับจางเซวียนนั้นต่างออกไป
พลังปราณเทียบฟ้าอันบริสุทธิ์ไม่เพียงแต่จะนำพละ
กำลังขั้นสุดกลับคืนมาให้เขาได้เท่านั้น แต่ยังช่วยรักษา
ระบบไหลเวียนเลือดที่เสียหายได้ด้วย เพียงแค่ถ่ายทอด
มันเข้าไปในเส้นเลือด
แต่ว่า...พลังปราณเทียบฟ้านั้นบริสุทธิ์มาก และ
ก่อนหน้านี้ ตอนที่จางเซวียนทำการรักษาให้ เขาก็สลบ
อยู่ เมื่อตื่นขึ้นมา พลังปราณเทียบฟ้าก็หลอมเข้าเป็น
หนึ่งเดียวกับพลังปราณในร่างของเขาแล้ว ทำให้จางเซวี
ยนหาความผิดปกติไม่เจอ
ดังนั้น ถ้าจางเซวียนต้องรักษาเขาตอนนี้ อีกฝ่าย
ย่อมจะรู้ว่าเขามีพลังปราณบริสุทธิ์ ซึ่งจะนำปัญหาอันไม่
พึงประสงค์มาให้
เขาจึงไม่อยากเสี่ยง
“ผมรักษาได้ แต่ว่า...”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็พูดขึ้นมา
แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นเซียนสมุนไพรจ้องหน้าเขา
ด้วยสายตามุ่งมั่นขั้นสุด
“นายแพทย์ไป๋ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ผมเข้าใจ!”
จากนั้นก็เงื้อมือขึ้นตบหัวตัวเอง
ผัวะ!
เซียนสมุนไพรร่วงลงไปสลบเหมือดอยู่กับพื้น
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตบหัวตัวเองสลบทั้งที่เขายัง
พูดไม่ทันจบ จางเซวียนถึงกับใบ้กิน
“แค่ก แค่ก, ผมหมายถึง...ผมแก้ปัญหาให้คุณได้
แต่คุณต้องเพิ่มค่าเหนื่อยให้ผม คุณเล่นสลบไปแบบนี้
แล้วเราจะคุยกันอย่างไร?”
เงื่ อ นไขของจางเซวี ย นในการทำลายสั ญ ญาณ
หนอนกู้คือให้เซียนสมุนไพรพาเขาไปยังห้องโถงแห่งยา
พิษ ซึ่งจางเซวียนก็ทำตามข้อตกลงไปแล้ว แต่ฝ่ายนั้นยัง
ขอร้องให้เขารักษาร่างกายที่บอบช้ำให้อีก อันนี้ถือเป็น
อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่อยากจะเสียพลังปราณของตัว
เองไปเปล่าๆ
แต่ยังไม่ทันจะได้เจรจา อีกฝ่ายก็สลบไปเสียก่อน
ถึงอย่างไรผมก็เป็นนายแพทย์ คุณจะช่วยเคารพผม
สักหน่อยไม่ได้หรือ?
เห็นจางเซวียนบ่นพึมพำกับตัวเอง พ่อบ้านลู่รีบเข้า
มาหาและกระแอมกลบเกลื่อน “นายท่านอยากให้คุณ
รักษาเขาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้านายแพทย์ไป๋ต้องการ
อะไร บอกผมได้เลย ผมจะทำให้ดีที่สุด!”
“ค่อยเข้าท่าหน่อย!”
จางเซวียนพยักหน้า “เอาอย่างนี้ คุณขายผงตรึง
วิญญาณนี่ด้วยใช่ไหม เพราะฉะนั้นคุณก็น่าจะมีตุนไว้
บ้าง เตรียมให้ผมสัก 3 ชุด...ไม่สิ, 10 ชุดก็แล้วกัน”
ถ้าเขามีสิ่งนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทำให้ใครสลบ
อีก
ในเมื่อรู้จักมันแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องอยากได้
เพิ่ม แล้วเขาจะไปขูดเอาจากใคร ถ้าไม่ใช่มหาเศรษฐีที่
อยู่ตรงหน้า?
“ผงตรึงวิญญาณ 10 ชุด?”
พ่อบ้านลู่ทำตาปริบๆ
“ก็ใช่น่ะสิ อย่าบอกผมนะว่าคฤหาสน์ของเซียน
สมุนไพรหายาแค่นี้ให้ไม่ได้?” จางเซวียนขมวดคิ้วและ
กำลังสงสัยว่าเขาอาจจะร้องขอมากไปจนอีกฝ่ายหาให้ไม่
ได้
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น...” พ่อบ้านลู่ดูงงงันกับคำร้องขอ
และทำหน้าเหมือนคนท้องผูก “คือยานี้ไม่ได้แพงเลย...”
ผงตรึงวิญญาณเป็นยาขั้นพื้นฐานที่สุดที่นายแพทย์
ใช้กัน ชุดหนึ่งตกไม่กี่ร้อยเหรียญทอง สิบชุดก็แค่ไม่กี่พัน
เหรียญเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าเงินแค่นี้จะช่วยชีวิตนายท่าน
ได้
นี่ คุ ณ ตี ร าคาชี วิ ต ของเซี ย นสมุ น ไพรถู ก ไปหน่ อ ย
ไหม?
“ไม่แพงหรือ?”
จางเซวียนผงะ เขาหันขวับไปหาโม่หยู่และเห็นเธอ
พยักหน้าอย่างจนปัญญา จึงได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน
“ถ้าอย่างนั้น คุณมีหนังสือวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือและขั้น
จงซรืออยู่ที่นี่ไหม จะวรยุทธระดับไหนก็ไม่สำคัญ ที่ผม
ต้องการคือปริมาณ ถ้าคุณหาให้ผมได้สักพันเล่ม ผมก็จะ
ตกลงรับมันเป็นค่าเหนื่อย”
จางเซวียนสำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุดแล้ว เพื่อ
ให้ฝ่าด่านไปต่อได้ เขาจำเป็นต้องรวบรวมหนังสือวรยุทธ
ขั้นสูงขึ้นไปให้ได้มากๆ
อาณาจักรเทียนเซวียนนั้นล้าหลังเกินไป และใน
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดก็สำเร็จวร
ยุทธทงฉวนขั้นสูงสุดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ที่นั่นจึงมีหนังสือ
วรยุทธขั้นกึ่งจงซรืออยู่แค่หยิบมือ แต่เมืองบัวแดงเป็น
อาณาจักรขั้น 1 ทั้งยังเป็นศูนย์กลางค้าขายแลกเปลี่ยน
สมุนไพร จึงมีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะรวบรวมหนังสือ
วรยุทธจำนวนมากให้เขาได้
“หนังสือวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือและจงซรือ? มากกว่า
หนึ่งพันเล่ม?”
นึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า นายแพทย์ ไ ป๋ จ ะร้ อ งขออะไรแปลก
ประหลาดแบบนั้น พ่อบ้านลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ
ตอบ “คฤหาสน์เซียนสมุนไพรของเราควบคุมการซื้อขาย
แลกเปลี่ยนสมุนไพรทั้งในอาณาจักรเทียนหวู่และ 12
อาณาจักรโดยรอบ มีนักรบมากมายที่มีเงินไม่พอจ่ายค่า
สมุนไพร พวกเขาจึงเอาหนังสือวรยุทธมาแลกเปลี่ยน”
“ด้วยเหตุนี้ เราจึงรวบรวมหนังสือวรยุทธขั้นกึ่ง
จงซรือไว้ได้หลายร้อยเล่มตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วย
ศักยภาพของคฤหาสน์เซียนสมุนไพร มากกว่าหนึ่งพัน
เล่มเราก็คงหาได้โดยใช้เวลาไม่นาน ส่วนหนังสือวรยุทธ
ขั้นจงซรือนั้น ถ้าคุณไม่ระบุระดับขั้นของมัน แค่ไม่กี่ร้อย
เล่มก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะอย่างนั้น จะรวบรวมให้ได้
มากกว่าหนึ่งพันเล่มก็คงไม่ยากเย็นอะไร”
“ตกลงตามนั้น!”
ได้ยินว่าอีกฝ่ายสามารถรวบรวมหนังสือวรยุทธขั้น
กึ่งจงซรือได้มากกว่าหนึ่งพันเล่ม และขั้นจงซรือได้หลาย
ร้อยเล่ม จางเซวียนถึงกับตาโต เขารีบพยักหน้าอย่างพอ
อกพอใจ
สมกั บ ที่ เ ป็ น เมื อ งสำคั ญ ของอาณาจั ก รเที ย นหวู่
ทรัพยากรที่หมุนเวียนกันอยู่ในเมืองนี้แค่เมืองเดียวก็เป็น
อะไรที่ทั้งอาณาจักรเทียนเซวียนไม่อาจเทียบชั้นได้
ถ้ามีหนังสือวรยุทธมากพอ จางเซวียนก็จะสำเร็จ
วรยุทธขั้นกึ่งจงซรือหรือแม้แต่จงซรือได้โดยไม่เหนื่อย
ยาก แล้วเขาก็จะมีศักยภาพเพียงพอที่จะปกป้องตัวเอง
เมื่อไปถึงห้องโถงแห่งยาพิษ
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณไปเตรียมการ ผมจะรักษา
นายท่านของคุณเดี๋ยวนี้!”
เมื่อพอใจกับค่าเหนื่อย จางเซวียนก็สั่งการกับพ่อ
บ้านลู่ ก่อนที่ตัวเขาจะจับแขนของเซียนสมุนไพรไว้ แล้ว
ถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าไป
สาเหตุแท้จริงที่ทำให้เซียนสมุนไพรดูไร้ชีวิตชีวา
และหมดเรี่ยวแรง ก็เพราะสภาพร่างกายของเขามีจุดที่
ถูกปิดกั้นไว้ ทำให้พลังปราณไหลเวียนได้ไม่สะดวก หาก
จางเซวียนส่งพลังปราณเข้าไปชะล้างจุดที่ถูกปิดกั้นเอา
ไว้ พลังปราณขั้นจงซรืออันเข้มข้นและทรงพลังในตัว
ของอีกฝ่ายก็จะไหลเวียนได้ดังเดิม ทำให้พลังงานและจิต
วิญญาณของเขาฟื้นคืนมา
บึ้ม!
พลังปราณบริสุทธ์พุ่งเข้าชะล้างจุดที่ถูกปิดกั้นไว้
ความเสียหายที่สัญญาหนอนกู้ทิ้งไว้ก็หายวับไปอย่างสิ้น
เชิง ราวกับหิมะที่ต้องแสงแดด
ผิ ว พรรณที่ เ หี่ ย วแห้ ง และหย่ อ นยานของเซี ย น
สมุนไพรกลับฟื้นคืนความยืดหยุ่นและมีชีวิตชีวา ในพริบ
ตาเดียว เขาดูอ่อนวัยกว่าเดิมไปหลายสิบปี
โม่หยู่ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ได้แต่กระพริบตาถี่ๆอย่างไม่
อยากจะเชื่อ
เธอคิดว่าการรักษาของจางเซวียนก็คงจะเหมือน
กับนายแพทย์ทั่วไป คือต้องใช้สมุนไพรหลายชนิด และ
รักษากันยาวนานหลายเดือน นึกไม่ถึงว่าแค่จับข้อมือไว้
เซียนสมุนไพรก็ฟื้นตัวได้ทันที
นายแพทย์เขาทำแบบนี้กันได้จริงๆหรือ?
ทำไมเราไม่เคยรู้มาก่อน?
ความเข้าใจทั้งหมดที่เธอเคยมี ดูเหมือนจะถูกเขี่ย
ทิ้งไปทีละเรื่อง
“เรียบร้อย!”
ไม่นาน พลังปราณเทียบฟ้าก็ไหลเวียนไปทั่วร่าง
ของเซียนสมุนไพร ชะล้างจุดที่ถูกปิดกั้นไปได้หมดสิ้น
จางเซวียนยืนขึ้นและถอนหายใจยาว
มันง่ายกว่าที่เขาคิดไว้มาก
เซียนสมุนไพรที่ได้รับการเยียวยาความบอบช้ำแล้ว
ค่อยๆฟื้นจากการหลับไหลทีละน้อย เขารู้สึกได้ถึงความ
นุ่ ม และยื ด หยุ่ น ของผิ ว หนั ง รวมทั้ ง พละกำลั ง อั น
แข็งแกร่งที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่ถึงจะตื่นเต้นประทับใจ
แค่ไหน ก็ยังไม่เท่าโม่หยู่
เพราะนายแพทย์ที่อยู่ตรงหน้าได้ช่วยเขาให้พ้นจาก
สัญญาหนอนกู้ สิ่งน่าสะพรึงที่นายแพทย์และกูรูยาพิษ
นับไม่ถ้วนไม่อาจรับมือกับมัน ดังนั้นก็คงจะแปลกหาก
เขาทำเรื่องง่ายๆอย่างการรักษาความบอบช้ำไม่ได้
“นายแพทย์ไป๋ชาน ขอได้โปรดรับความสำนึกบุญ
คุณจากผมด้วย!”
ใบหน้าของเซียนสมุนไพรแดงก่ำขณะที่ทรุดตัวลง
คุกเข่าอีกครั้ง
ถ้าไม่ใช่เพราะนายแพทย์คนนี้ เขาคงตายไปแล้ว
ความสำนึกในบุญคุณของเขาไม่ใช่สิ่งที่จะตีราคา
เป็นตัวเงินได้
“ก็แค่ทำตามข้อตกลงน่ะ! พูดก็พูดเถอะ ผมอยากรู้
นั ก ว่ า ทำไมคนระดั บ คุ ณ ถึ ง ยอมทำสั ญ ญาหนอนกู้ แ ละ
ยอมให้ตัวเองถูกบงการแบบนั้น”
จางเซวียนโบกมือแบบไม่ใส่ใจ ก่อนจะมองหน้า
เซียนสมุนไพรอย่างสงสัย
โม่หยู่ก็สงสัยเหมือนกัน
สถานภาพและอิ ท ธิ พ ลของเซี ย นสมุ น ไพรนั้ น ยิ่ ง
ใหญ่ขนาดที่แม้แต่เชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรเทียนหวู่ยัง
ไม่กล้าแตะต้อง แล้วทำไมคนระดับนั้นถึงเลือกที่จะทำ
สัญญาหนอนกู้ เรื่องนี้เกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้
“เฮ่อ เรื่องมันยาว ถ้าพวกคุณรู้ว่าผมทำสัญญากับ
ใครล่ะก็ คุณจะไม่คิดอะไรแบบนั้นเลย!”
เห็นแววตาสงสัยของทั้งคู่ เซียนสมุนไพรได้แต่ยิ้ม
อย่างขมขื่น
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนช่วยชีวิตเขา เขาจึงไม่คิด
ว่าการพูดต่อหน้าฝ่ายนั้นจะเป็นเรื่องเสียหาย และตั้งใจ
จะไม่ปกปิดอะไรทั้งสิ้น
“คนที่ผมทำสัญญาด้วยคือ...หัวหน้าห้องโถงแห่ง
ยาพิษ!”
“หัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษ?”
“ใช่!” เซียนสมุนไพรพยักหน้า เขาอธิบายต่อด้วย
สีหน้าอันยากจะเข้าใจ “ตำแหน่งเซียนสมุนไพรดูเหมือน
เป็นบุคคลทรงอำนาจและน่าเกรงขามจนไม่มีใครในเมือง
บั ว แดงกล้ า แตะต้ อ ง แต่ เ รื่ อ งจริ ง ก็ คื อ เราเป็ น เพี ย ง
กระบอกเสียงของห้องโถงแห่งยาพิษเท่านั้น! และไม่ใช่
ผมแค่คนเดียว เซียนสมุนไพรทุกชั่วคนก็ได้ทำสัญญากับ
หัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษ และเป็นหุ่นเชิดให้พวกเขา
เช่นกัน”
“ทุกชั่วคน?”
ทั้ ง จางเซวี ย นและโม่ ห ยู่ ต่ า งตกตะลึ ง แต่ เ มื่ อ
พิจารณาแล้วก็รู้สึกว่ามันเข้าทางอยู่
เพราะเมืองบัวแดงเป็นทางผ่านไปยังห้องโถงแห่ง
ยาพิษ จึงยากที่จะเชื่อว่าห้องโถงแห่งยาพิษไม่ได้วางฐาน
อำนาจเอาไว้ในเมืองนี้ หากไม่มีการสนับสนุนจากห้อง
โถงแห่ ง ยาพิ ษ เซี ย นสมุ น ไพรทุ ก ชั่ ว คนจะสามารถ
ควบคุ ม ตลาดค้ า ขายสมุ น ไพรอั น ใหญ่ โ ตและทำกำไร
มหาศาลแบบนี้ได้อย่างไร? แถมยังกล้าสังหารองค์ชาย
และองค์หญิงของหลายอาณาจักรโดยปราศจากความ
กลัวเกรงด้วย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะการสนับสนุนของห้องโถงแห่ง
ยาพิษ ที่ทำให้เมืองบัวแดงมีอำนาจ
ไม่อย่างนั้น เมืองโบร่ำโบราณที่ทรุดโทรมแบบนี้จะ
ยืนหยัดท้าทายอาณาจักรเรืองอำนาจอย่างเทียนหวู่ได้
หรือ?
แถมอาณาจักรเทียนหวู่ยังมีปรมาจารย์ระดับ 2
ดาวคอยหนุนหลัง
ด้วยการชี้แนะของปรมาจารย์ระดับนั้น แม้จะพูดไม่
ได้ว่าพลเมืองทุกคนในอาณาจักรเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ระ
ดับวรยุทธโดยเฉลี่ยในเมืองนั้นย่อมต้องสูงกว่าอาณาจักร
อย่างเทียนเซวียนแน่นอน กองทัพก็จะต้องทรงพลังถึง
ขนาดที่พลิกมหาสมุทรและทลายภูเขาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะ
มีห้องโถงแห่งยาพิษหนุนหลัง เมืองหัวเดียวกระเทียมลีบ
อย่างเมืองบัวแดงจะรอดพ้นจากการยึดครองของอาณา
จักรเทียนหวู่ได้อย่างไร?
ไม่อย่างนั้นก็คงล่มสลายไปเสียนานแล้ว
“เหตุผลเดียวที่ทำให้สัญญาหนอนกู้ออกฤทธิ์ ก็คือ
ผู้ทำสัญญาได้ตายไป หรือว่า...”
เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็มองหน้าเซียนสมุนไพร
“ใช่!” เซียนสมุนไพรพยักหน้า “หัวหน้าตายแล้ว!”
“ที่พ่อบ้านลู่บอกว่ามีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นใน
ห้องโถงแห่งยาพิษนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก และพวกเขาก็
ปฏิเสธแขกทุกคนจริงๆ หัวหน้าตายไปปุบปับโดยไม่ได้
ระบุตัวผู้สืบทอดไว้ และตัวเลือกทั้งสามคนต่างก็แย่งชิง
อำนาจกันจนเกิดเป็นความโกลาหลขึ้นมา ขนาดผมยัง
พยายามออกห่างจากห้องโถงแห่งยาพิษเลย ไม่อย่างนั้น
อาจจะตายไม่รู้ตัว”
เซียนสมุนไพรยิ้มอย่างขมขื่น “สำหรับพวกเขา ผม
ก็แค่ไอ้หุ่นเชิดตัวหนึ่ง ตราบใดที่ห้องโถงแห่งยาพิษยังอยู่
พวกเขาจะหาเซียนสมุนไพรคนใหม่เมื่อไรก็ได้”
ถึงไม่อยากจะยอมรับ แต่จางเซวียนก็รู้ว่านั่นเป็น
เรื่องจริง
ด้วยความแข็งแกร่งของห้องโถงแห่งยาพิษ การ
แต่งตั้งใครสักคนเป็นเซียนสมุนไพรย่อมง่ายดายเหมือน
เดินเข้าไปในสวนสักแห่ง
การที่เซียนสมุนไพรผู้ทรงเกียรติและเรืองอำนาจ
ต้องกลายเป็นหุ่นเชิดต๊อกต๋อยแบบนี้ ถ้าไม่ได้ฟังจากปาก
เจ้าตัวก็คงไม่เชื่อ
เซียนสมุนไพรมองจางเซวียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“นายแพทย์ไป๋ชาน คุณช่วยชีวิตผม ผมก็จะตอบแทน
ด้วยการพาคุณไปห้องโถงแห่งยาพิษ แต่ว่าในเวลานี้ มี
ตัวเลือกถึง 3 คนที่กำลังแย่งชิงตำแหน่งกัน และที่นั่นก็
เต็มไปด้วยอันตราย ความตายอาจมาเยือนแขกได้ทุกคน
ถ้าคุณยังพอมีเวลา ผมอยากให้คุณพักที่คฤหาสน์ของผม
ก่อน แล้วผมจะช่วยหาลู่ทางให้ ถ้าเราไปที่นั่นหลังจากที่
มีการแต่งตั้งหัวหน้าแล้วก็จะปลอดภัยจากอันตรายพวก
นั้น”
การต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษ
ก็ไม่ต่างจากเหล่าองค์ชายทำศึกแย่งชิงบัลลังก์ มันเต็มไป
ด้วยการล่อลวงและความตาย
ถ้ า คนนอกเร่ อ ร่ า เข้ า ไป ไม่ เ พี ย งจะตกเป็ น ตั ว
ประกัน แต่ยังแถมตายไม่รู้ตัวด้วย
ก็ไม่ผิดถ้าจะพูดว่า ห้องโถงแห่งยาพิษในเวลานี้
อันตรายและเข้าขั้นวิกฤตที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการแต่งตั้งหัวหน้าอย่างเป็น
ทางการแล้ว สถานการณ์ก็จะคลี่คลาย และที่นั่นก็จะ
ปลอดภัยกว่าตอนนี้มาก
“ผมรอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอก!”
ถึ ง จางเซวี ย นจะรู้ ว่ า คำพู ด ของเซี ย นสมุ น ไพรมี
เหตุผล แต่เขาก็รอนานขนาดนั้นไม่ได้
ตอนนี้รังสีพิษในตัวเขาถูกพลังปราณเทียบฟ้ากดไว้
แต่ใครจะรับประกันได้ว่ามันจะออกฤทธิ์ขึ้นมาเมื่อไหร่
ถ้าแค่สามสี่วัน เขาก็รอได้ แต่ถ้าต้องรอปีหรือสองปี
ก็นานเกินไป
“ก็เอาเถอะ ถ้านายแพทย์ไป๋มีธุระร้อนจริงๆ ก็ยังมี
ทางอื่น”
เห็นผู้มีพระคุณของเขารีบร้อนอยากไปห้องโถงแห่ง
ยาพิษ เซียนสมุนไพรคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ผู้
สืบทอดอย่างเป็นทางการ 3 คนของหัวหน้าคนเก่าต่าง
ก็ได้รับการสนับสนุนจากคนกลุ่มหนึ่งในห้องโถงแห่งยา
พิษ ทั้งสามมีอิทธิพลพอๆกัน ซึ่งภายใต้สถานการณ์ปกติ
จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ชนะโดยไม่ยืดเยื้อไปเป็นปีหรือ
2 ปี แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่”
“บอกผมมาสิ!” จางเซวียนตาโต
เซียนสมุนไพรพูดต่อ “ก็เหมือนกับสมาคมนักปรุง
ยาและสมาคมช่ า งตี เ หล็ ก ห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ ก็ มี ทั้ ง
สำนักงานใหญ่และสาขาย่อยมากมาย ห้องโถงแห่งยา
พิ ษ ที่ สั น เขาบั ว แดงนี้ ถื อ เป็ น หนึ่ ง ในสาขาย่ อ ยจำนวน
มากมายนั้น!”
จางเซวียนพยักหน้า
หลังจากอ่านหนังสือหลากหลายประเภท จางเซวีย
นก็รู้ว่าอาณาจักรเทียนหวู่และอาณาจักรโดยรอบอื่นๆ
นั้นรวมตัวกันอยู่เหมือนโลกเล็กๆใบหนึ่ง
ถึงห้องโถงแห่งยาพิษที่สันเขาบัวแดงจะมีชื่อเสียง
แต่ชื่อเสียงของมันก็จำกัดอยู่แค่พื้นที่โดยรอบอาณาจักร
เทียนหวู่เท่านั้น สาขาอื่นที่มีชื่อเสียงมากกว่านี้สามารถ
พบได้ในอาณาจักรขั้นสูงขึ้นไปอีก
“เท่าที่ผมรู้ หัวหน้าคนเก่าตายลงปุบปับโดยยัง
ไม่ทันได้วางตัวผู้สืบทอด ดังนั้นบรรดาผู้อาวุโสที่นั่นจึง
รายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักงานใหญ่ หากสำนักงานใหญ่
ตัดสินใจจะยื่นมือเข้ามาจัดการ ก็จะส่งผู้แทนมาเพื่อไกล่
เกลี่ยความยุ่งยากและตัดสินใจเลือกหัวหน้าคนใหม่ ถ้า
เป็นอย่างนั้น กระบวนการทั้งหมดก็จะจบลงโดยเร็ว”
เซียนสมุนไพรบอก
“อ้อ มีเรื่องแบบนี้ด้วย?” จางเซวียนตาโต
ทุกสาขาจะต้องทำตามการตัดสินใจของสำนักงาน
ใหญ่
ไม่ว่าสถานการณ์หลังการตายของหัวหน้าคนก่อน
จะยุ่งยากแค่ไหน ผู้แทนจากสำนักงานใหญ่ก็สามารถ
คลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว
“ถ้าเป็นแบบนั้น นานแค่ไหนกว่าทางห้องโถงแห่ง
ยาพิ ษ สำนั ก งานใหญ่ จ ะส่ ง ผู้ แ ทนมา แล้ ว จะใช้ เ วลา
คลี่คลายความขัดแย้งนานเท่าไหร่ เคยมีตัวอย่างหรือ
เปล่า?”
จางเซวียนอดถามไม่ได้
“ในประวั ติ ศ าสตร์ ข องห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ ก็ มี
ตัวอย่างอยู่ แต่ว่า...”
เซี ย นสมุ น ไพรลั ง เลอยู่ ค รู่ ห นึ่ ง ก่ อ นจะยิ้ ม เจื่ อ นๆ
“ครั้งนี้ผมก็ยืนยันไม่ได้ เพราะถึงแม้ห้องโถงแห่งยาพิษที่
สันเขาบัวแดงจะดูเหมือนมีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่สำหรับ
สำนักงานใหญ่ มันก็เป็นแค่สาขาบ้านนอกที่ไม่น่าสนใจ
อะไร ถ้าผู้แทนถูกส่งมาจริง ความขัดแย้งก็จะคลี่คลายได้
ภายในครึ่งเดือน แต่ถ้าสำนักงานใหญ่มองว่าเป็นการสิ้น
เปลืองบุคลากรและตัดสินใจไม่ส่งใครมา ก็คงปีสองปีกว่า
จะจบ!”
ถึงผู้แทนจะคลี่คลายปัญหาได้อย่างง่ายดาย แต่
ห้องโถงแห่งยาพิษสาขาสันเขาบัวแดงก็เป็นแค่สาขาย่อย
ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร มีโอกาสที่ทางสำนักงานใหญ่ จะ
ไม่เสียแรงเข้ามายุ่งเกี่ยว จึงไม่แปลกถ้าพวกเขาจะไม่ส่ง
ใครมา
ในอดีตก็เคยมีกรณีแบบนี้มาแล้ว
ดั ง นั้ น จึ ง ยากที่ จ ะคาดเดาการตั ด สิ น ใจของ
สำนักงานใหญ่
ขนาดเซียนสมุนไพรก็ยังระบุไม่ได้ว่าความขัดแย้ง
ภายในครั้งนี้จะจบลงเมื่อไร
“ถ้าเป็นแบบนั้น ผมยิ่งรอไม่ได้!”
ได้ฟังอีกฝ่ายอธิบาย จางเซวียนยิ่งท้อแท้หนัก
เขาต้องการรวบรวมหนังสือเกี่ยวกับยาพิษให้มาก
ที่สุด เพื่อหาวิธีแก้ไขรังสีพิษที่ซุกซ่อนอยู่ในตัว เขาไม่
อาจรอคอยข่าวที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ได้
“ทางที่ดีที่สุดก็คือรอ แต่ถ้านายแพทย์ไป๋ตั้งใจจะไป
ที่ นั่ น ให้ ไ ด้ ผมก็ จ ะพาไป แต่ . ..ผมรั บ ประกั น ความ
ปลอดภัยให้คุณไม่ได้นะ”
เซียนสมุนไพรอ้ำอึ้งก่อนจะพูดออกมา
“ขอผมไตร่ตรองสักครู่เถอะ!”
จุดประสงค์ของจางเซวียนในการมุ่งหน้าไปห้องโถง
แห่งยาพิษก็เพื่อหนังสือ ตราบใดที่เขาไม่เข้าไปก้าวก่าย
การแย่ ง ชิ ง ตำแหน่ ง หั ว หน้ า เขาก็ น่ า จะรอดพ้ น จาก
อันตราย
แต่ ก็ แ น่ น อนว่ า เขาไม่ รู้ อ ะไรเกี่ ย วกั บ ผู้ เ ชี่ ย วชาญ
แห่งยาพิษมากนัก จึงไม่อาจมั่นใจได้
คงต้องตามน้ำไป
“คุณรวบรวมหนังสือให้ผมเสร็จเมื่อไหร่ เราไปที่
นั่นกัน!”
จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ
กว่าเขาจะมาถึงเมืองบัวแดงได้นั้นไม่ง่ายเลย และ
เขาก็ไม่อาจรอคอยความขัดแย้งที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้ได้ ดัง
นั้นจางเซวียนจึงตัดสินใจจะเลียบเคียงเข้าไป และดูว่าจะ
ต้องทำอะไรบ้าง
แต่ก่อนอื่น ต้องยกระดับวรยุทธของตัวเองให้ได้
หากเขาสำเร็จวรยุทธจงซรือขั้นสูงสุดเมื่อไหร่ ด้วย
การมีหอสมุดเทียบฟ้าและพลังปราณเทียบฟ้าอันบริสุทธิ์
เขาก็จะมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นกึ่งจื้อจุน ต่อให้
ผู้คนในห้องโถงแห่งยาพิษอยากสังหารเขา ก็คงทำได้ไม่
ง่ายนัก
“รวบรวมหนังสือ?” เซียนสมุนไพรถามอย่างสงสัย
ตอนที่จางเซวียนเจรจากับพ่อบ้านลู่ เขาเพิ่งตบหัว
ตัวเองสลบไป จึงไม่รู้เรื่องนี้
“คืออย่างนี้...” จางเซวียนอธิบาย
“อ้อ นายแพทย์ไป๋ต้องการหนังสือพวกนั้น ไม่ยาก
เลย ผมจะหาให้ ภายใน 3 วันเราจะรวบรวมหนังสือวร
ยุทธทั้งขั้นกึ่งจงซรือและจงซรือทั้งหมดที่มีอยู่ในเมืองบัว
แดงมาให้ได้!”
เมื่อรู้ว่านายแพทย์ไป๋ชานต้องการหนังสือเหล่านั้น
เป็นค่าเหนื่อย เซียนสมุนไพรชะงักไป แต่แล้วก็ยิ้มออก
มาได้ ดวงตาของเขาฉายความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
เขาจัดการทุกอย่างในเมืองบัวแดงมาหลายปีแล้ว
และมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ถึงหนังสือเหล่านั้นจะเป็น
ของมีค่า แต่ถ้าเขาออกปากด้วยตัวเองก็ย่อมเป็นเรื่อง
ง่าย
“เยี่ยมเลย ผมขอฝากคุณเป็นธุระให้ก็แล้วกัน!”
ได้ยินว่าเรื่องนั้นจะถูกจัดการให้เสร็จสิ้นได้ภายใน
3 วัน จางเซวียนพยักหน้าและถอนหายใจอย่างโล่งอก
“นายแพทย์ไป๋ ได้โปรดพักอยู่กับเราที่นี่ไปพลางๆ
ก่อน ผมจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้”
เซียนสมุนไพรลุกขึ้นยืน เรียกองครักษ์คนหนึ่งให้มา
จัดการเรื่องที่พักให้กับทั้งคู่ก่อนจะรีบร้อนออกไป
ถ้าเป็นเรื่องที่ผู้มีพระคุณของเขาเรียกร้อง เขาไม่
กล้ารีรอเด็ดขาด
“พวกเราพักที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน!”
จางเซวียนรู้ว่ารีบร้อนไปก็ไม่ได้อะไร เขากับโม่หยู่
จึงตัดสินใจจะพักรอที่คฤหาสน์
....
“คุณคิดว่าการวินิจฉัยของหมอนั่นถูกต้องไหม?”
นอกคฤหาสน์ของเซียนสมุนไพร นายแพทย์หลาย
คนที่ออกมาก่อนหน้านี้ยังคงจับกลุ่มกัน ทุกคนมีรอยย่น
ลึกบนหน้าผาก
ตั้งแต่ออกจากคฤหาสน์มา พวกเขาก็เฝ้าดูอยู่ข้าง
นอก พร้อมกับถกเถียงกันเรื่องนายแพทย์ไป๋
ทั้งนายแพทย์ระดับ 2 ดาวและ 3 ดาวที่มีชื่อเสียง
เลื่องลือต่างถูกนายแพทย์ระดับ 1 ดาว ที่ไม่มีความโดด
เด่นอะไรกลบรัศมีเอาได้ พวกเขาแทบจะไม่อยากเชื่อ
“พวกคุณคิดว่าแค่นายแพทย์ระดับ 1 ดาวจะ
วินิจฉัยอาการของเซียนสมุนไพรได้ถูกต้องจริงๆหรือ?
ตลกเป็นบ้า! เขาก็แค่พ่นอะไรไร้สาระเท่านั้น!”
“ไม่น่าใช่นะ คำพูดของเขาทำให้เซียนสมุนไพร
ออกอาการมากทีเดียว เซียนสมุนไพรจะร้อนรนทำไมถ้า
คำพูดของหมอนั่นไม่ถูกต้อง?”
“เอ้า สมมุติว่าเขาพูดถูก แล้วไอ้สัญญาหนอนกู้บ้า
บอนั่นมันคืออะไร? ทำไมพวกเราถึงไม่เคยได้ยิน?”
ยิ่งหารือกันก็ยิ่งสับสน
ถ้าหมอนั่นแค่พ่นอะไรงี่เง่า คงเป็นไปไม่ได้ที่เซียน
สมุนไพรจะออกอาการหนักหน่วงขนาดนั้น ถึงกับไล่พวก
เขาออกมา
แล้ ว ถ้ า เขาพู ด จริ ง สั ญ ญาหนอนกู้ มั น คื อ อะไร?
ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยได้ยิน?
มีอาการป่วยแบบนั้นอยู่ในโลกด้วยหรือ?
แล้วนายแพทย์ระดับ 1 ดาวรู้ในสิ่งที่พวกเราไม่รู้ได้
อย่างไรกัน?
“ผมรู้จักไป๋ชานมาหลายปีแล้ว ไม่เห็นว่าเขาจะมี
ความสามารถขนาดนั้นเลย!”
นายแพทย์เฉินเฟิงแทบหายใจหายคอไม่ออก เขา
เป็นคนที่คุ้นเคยกับนายแพทย์ไป๋ชานมากที่สุด แถมยัง
คอยล้อเลียนและเยาะเย้ยฝ่ายนั้นเสมอ นึกไม่ถึงว่าหมอ
นั่นจะเอาชนะได้อย่างราบคาบและตบหน้าเขาอย่างจัง
“อย่ามัวถกเถียงกันอยู่เลย ไม่ช้าเราก็ได้คำตอบ
แล้ว!”
“ถ้าเขาวินิจฉัยอาการของเซียนสมุนไพรได้ถูกต้อง
จริงๆ ก็จะต้องเดินออกมาอย่างปกติธรรมดา ไม่อย่างนั้น
โชคชะตาที่ ร อคอยเขาอยู่ ก็ มี แ ต่ จ ะต้ อ งเป็ น ศพเท่ า นั้ น
แหละ!”
มู่หงกับนายแพทย์ระดับ 3 ดาวคนอื่นๆพูดขัดการ
ถกเถียงนั้น
“ก็จริง!”
ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
เจ้าคนหยิ่งผยองคนนั้นล้ำเส้นของตัวเองไปแล้ว ถึง
กับตบเซียนสมุนไพรเปรี้ยงเดียวสลบ ถ้าเขารักษาได้ก็
เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้ารักษาไม่ได้ ก็มีหวังตายสถานเดียว
รู้แบบนั้นแล้ว คนที่เหลือก็ตัดสินใจจะไม่ทำเรื่องให้
วุ่ น วาย ถ้ า หมอนั่ น เดิ น ลอยชายออกมาก็ แ ปลว่ า เขา
วิ นิ จ ฉั ย ได้ ต รงจุ ด แต่ ถ้ า ถู ก หามออกมาล่ ะ ก็ นั่ น
หมายความว่าเขาได้แต่พ่นอะไรไร้สาระ และได้จ่ายค่า
ชดเชยความโอหังของตัวเองแล้ว
“ไม่เห็นต้องคิดเลย หมอนั่นต้องถูกหามออกมา
แหงๆ...”
นายแพทย์เฉินเฟิงกัดฟันกรอด ยังพูดไม่ทันจบ
‘แอ๊ด’ ประตูคฤหาสน์ก็เปิดออก
“ดูสิ มีคนออกมา...”
เมื่อได้ยินเสียงแอ๊ด นายแพทย์ทุกคนก็หันขวับไป
มองประตู แค่แว่บเดียว นัยน์ตาของพวกเขาก็เบิกโพลง
และแทบลมจับ
คนที่เดินออกมาคือผู้อาวุโสคนหนึ่ง มีพ่อบ้านลู่ตาม
มาต้อยๆอย่างภักดี
“นั่น...เซียนสมุนไพรใช่ไหม?”
เห็นกันจะๆแล้ว นายแพทย์ทุกคนต่างกลืนน้ำลาย
เอื๊อกอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาตรวจร่างกายของอีกฝ่ายอยู่เป็นครู่ใหญ่ มี
หรือจะจำไม่ได้!
ตอนที่ 274 กึ่งจงซรือ

ถึงเขาจะดูอ่อนวัยลงมาก แต่มีพ่อบ้านลู่ตามมา
ต้อยๆแบบนั้น จะเป็นใครไปได้?
ก็เมื่อครู่นี้เอง เขายังนอนแบ็บอยู่บนเก้าอี้นอนและ
อยู่ในสภาพใกล้ตาย...แค่ไม่ถึง 20 นาทีต่อมา ก็กลับลุก
ขึ้นมาเดินปร๋อ ท่วงท่าของเขาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และดู
อ่อนวัยกว่าเดิมหลายสิบปี...
นี่ใครบอกได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
ถึงหมอนั่นจะวินิจฉัยได้ตรงจุด แต่เป็นไปได้หรือที่
จะรักษาหายรวดเร็วขนาดนี้?
บ้าแล้ว เราต้องตาฝาดแน่!
“เฮ้ย...”
นายแพทย์ เ ฉิ น เฟิ ง ซวนเซและแทบกระอั ก เลื อ ด
ออกมา
เขาเพิ่งจะพูดว่าหมอนั่นต้องถูกหามออกมาแน่ แต่
กลับกลายเป็นว่า...เซียนสมุนไพรเดินออกมาด้วยสองขา
ของตัวเอง
นี่ใครบอกได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
“นายแพทย์ทั้งหลาย พวกคุณยังอยู่ที่นี่หรือ?”
เห็นฝูงชนยังไม่สลายตัว เซียนสมุนไพรเดินยิ้มร่า
เข้ามา
“เซียนสมุนไพร เอ่อ...”
นายแพทย์มู่หงนิ่งอยู่ไม่ได้ เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้า
งงงัน
“นายแพทย์ ไ ป๋ ช านรั ก ษาอาการป่ ว ยให้ ผ มแล้ ว
ทักษะการรักษาโรคของเขาช่างน่าทึ่งนัก!”
มีความนับถือเปล่งประกายอยู่ในดวงตาของเซียน
สมุนไพร เขาประสานมือแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ผมยังมีธุระ
ที่ต้องทำ จะไม่ขอรบกวนพวกคุณแล้ว ลาก่อน!”
จากนั้นก็เดินไปอย่างสบายใจ
“ตกลง เป็นนายแพทย์ไป๋ชานจริงๆหรือที่รักษาเขา
ได้?”
“ภายในไม่ถึง 20 นาที เขาเปลี่ยนจากคนที่ดู
เหมือนอายุ 90 มาเป็น 50 ปี?”
ถึงจะคาดเดาไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่เห็นเซียนสมุนไพร
แต่พวกเขาก็ยังอดหัวหมุนไม่ได้เมื่อได้ฟังคำยืนยันจาก
ปากเจ้าตัว
มีนายแพทย์อยู่ตั้งหลายคน และทุกคนก็ใช้เวลาไม่
น้อยไปกับการตรวจร่างกายของอีกฝ่าย ถึงอย่างนั้นก็ยัง
ระบุอะไรไม่ได้เลย แต่นายแพทย์ไป๋ชานกลับรักษาเขาได้
ในระยะเวลาอันสั้น...แค่นี้ก็เห็นแล้วว่ามาตรฐานต่างกัน
มาก
เขาเป็นนายแพทย์ระดับ 1 ดาวจริงๆหรือ?
“ดูเหมือน...พวกเราจะประเมินเขาผิดไปแล้ว นาย
แพทย์ไป๋ชานคนนั้นคงไม่ได้เป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1
ดาวแน่!”
หลังจากเงียบกันไปครู่ใหญ่ นายแพทย์ระดับ 3
ดาวคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา
ตราสัญลักษณ์ไม่ได้บ่งบอกความสามารถของคนๆ
หนึ่งเสมอไป
“จริงด้วย นายแพทย์ระดับ 1 ดาวไม่มีทางรักษา
เซียนสมุนไพรได้ง่ายๆแบบนั้น ด้วยทักษะของเขา อย่าง
น้อยก็คงเป็นระดับ 4 ดาว!” นายแพทย์ระดับ 3 ดาวคน
หนึ่งออกความเห็น
ถึงเขาจะไม่อยากยอมรับ แต่นายแพทย์มู่หงก็พยัก
หน้าอย่างเห็นด้วย
“นายแพทย์ระดับ 4 ดาว...เขาออกมาเมื่อไหร่ ผม
จะแสดงความเคารพ และขอแก้ตัวในความโอหังที่ได้
แสดงออกไป”
“ผมก็เหมือนกัน ผมมีเรื่องอยากปรึกษาเขาด้วย...”
เมื่อได้ยินนายแพทย์ระดับ 3 ดาวหารือกัน คนที่
เหลือต่างก็อึ้งไป
ตอนอยู่ในคฤหาสน์ พวกเขาพากันเย้ยหยันนาย
แพทย์ไป๋อย่างมันปาก
เมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าเขาน่าจะเป็นถึงนายแพทย์ระดับ
4 ดาว ก็เริ่มจะตระหนก
“บ้าเอ๊ย อย่าให้ฉันเจอแกนะ ฉันเอาตายแน่...”
เมื่อทุกคนตัดสินใจได้ เสียงก่นด่าอย่างหงุดหงิดก็ดัง
มาจากหน้าคฤหาสน์ เมื่อหันไป พวกเขาก็เห็นชายคน
หนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ซึ่งแม้อากาศหนาวขนาดนี้ก็
ยังไม่ยอมใส่เสื้อคลุม เขากำลังชูกำปั้นอย่างโกรธแค้น
“นายแพทย์ไป๋ชาน?”
เมื่อเห็นกันจะๆ นายแพทย์ทุกคนอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อน
จะนัยน์ตาเป็นประกายและตรงเข้าไปหา
นายแพทย์ไป๋ผู้น่าสงสารเพิ่งจะฟื้นคืนสติ และรู้ตัว
ว่ า ตราสั ญ ลั ก ษณ์ น ายแพทย์ กั บ เสื้ อ คลุ ม ของเขา
อันตรธานไป เขาโวยวายอย่างโกรธเกรี้ยวและกำลังจะ
ตามหาตัวการ ก็พอดีเห็นนายแพทย์ระดับ 2 ดาวและ 3
ดาวกลุ่มหนึ่งรี่เข้ามาหาเขา ราวกับได้เจอไอดอลใน
ดวงใจ
ช่างน่าพรั่นพรึงนัก เขายืนรากงอกและถึงกับตัว
อ่อนปวกเปียก...
ปกติคนพวกนี้ก็มีแต่ดูถูกและไม่เคยสนใจตัวตนของ
เรา แล้วเป็นบ้าอะไรถึงพากันมาโค้งคำนับอย่างกับเจอ
ศิษย์พี่
มีใครบอกได้บ้างว่า...
มันเกิดอะไรขึ้น?
“นายแพทย์เฉินเฟิง นี่...มันเกิดอะไรขึ้น?”
ครู่หนึ่งกว่านายแพทย์ไป๋ชานจะตั้งตัวติด เมื่อเห็น
ใบหน้าที่คุ้นเคย เขารีบถาม
“นายแพทย์ไป๋ ผมมันหูหนวกตาบอดที่ไม่เคยรู้
ความยิ่งใหญ่ของคุณ ไม่นึกเลยว่าแค่สองสามปี ทักษะ
การรักษาโรคของคุณจะพุ่งพรวดจนน่าอัศจรรย์ ผมหวัง
ว่าคุณจะให้อภัยที่ผมเคยว่าร้ายคุณ!”
นายแพทย์เฉินเฟิงประสานมือคารวะด้วยใบหน้า
แดงก่ำ
เครื่องหมายคำถามนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในหัวของนาย
แพทย์ไป๋ชาน
เมื่อเช้าเจ้าคนพวกนี้กินอะไรผิดสำแดงหรือเปล่า?
เราแค่เป็นลมไป แล้วพวกนี้เป็นอะไรถึงเปลี่ยนท่าที
กันไปหมด?
หลังจากสงสัยอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดนายแพทย์ไป๋ผู้
สับสนก็เข้าใจสถานการณ์ ไอ้คนที่ขโมยตราสัญลักษณ์ดู
เหมือนจะเข้าไปรักษาเซียนสมุนไพรโดยใช้ตัวตนของเขา
นอกจากต่อยเขาสลบ หมอนั่นไม่ได้เอาเงินทองหรือ
ข้าวของอะไรของเขาไปเลย อันที่จริง ยังถึงกับซื้อ
สมุนไพรมูลค่ากว่าสามหมื่นเหรียญทองให้ด้วย...ทั้งหมด
นี้ เพื่อรักษาคนๆหนึ่งเท่านั้นหรือ?
ทำไมมันดูน่าสงสัยนัก?
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องดีๆแบบนี้อยู่ในโลก?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราต้องหาตรอกอีกสักตรอก
เพื่อเข้าไปตระเวนในนั้นหรือเปล่า?
หรือว่าควรจะอ้อนวอนให้สวรรค์เมตตาและส่งหัว
ขโมยแบบหมอนั่นมาให้อีกสัก 2-3 คน...
.....
จางเซวียนไม่รู้เรื่องรู้ราวกับคำขอของนายแพทย์ไป๋
เขาอยู่ ใ นคฤหาสน์ ข องเซี ย นสมุ น ไพรตลอด 3 วั น
นอกจากอ่านหนังสือในหอสมุดเทียบฟ้าแล้ว เขาก็ใช้
เวลาส่วนใหญ่ชี้แนะและฝึกปรือโม่หยู่
มันเป็นเรื่องที่เขาสัญญากับเธอไว้ เมื่อเขาได้รับ
ความช่วยเหลือจากเซียนสมุนไพรแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะ
ต้องรักษาสัญญา
หลังจาก 2-3 วันที่ได้รับคำชี้แนะจากจางเซวียน โม่
หยู่แสนจะประทับใจในความสามารถของชายที่อ่อนวัย
กว่าเธอเสียอีก อาจารย์ของเธอเป็นถึงนักปรุงยาผู้โด่งดัง
แห่งอาณาจักรเทียนหวู่ แต่ในเชิงการถ่ายทอดความรู้
และความสามารถในการชี้ข้อบกพร่องนั้นยังห่างไกลจาก
จางเซวียนมาก
ผ่านไปแค่ 3 วัน ทักษะการหลอมยาของเธอก็ไปได้
ไกลโข ถึงตอนนี้โม่หยู่สามารถหลอมยาเกรด 2 ได้ด้วย
ตัวเองแล้ว
การหลอมยาเกรด 2 ได้ ก็ ห มายความว่ า เธอ
สามารถไปสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาวได้แล้ว การ
พุ่งพรวดมาถึงขนาดนี้ได้ภายใน 3 วัน เป็นสิ่งที่จนถึง
ตอนนี้โม่หยู่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
โดยทั่วไป หากไม่ได้ฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาอย่าง
น้อย 5 ถึง 6 ปี ก็ไม่มีทางก้าวขึ้นจากนักปรุงยาระดับ 1
ดาวไปเป็นระดับ 2 ดาวได้เลย
“นายแพทย์ไป๋ เรารวบรวมหนังสือทั้งหมดที่คุณ
ต้องการได้แล้ว!”
ในเช้าวันที่ 4 ขณะที่จางเซวียนกำลังสอนโม่หยู่
ตามปกติ เซียนสมุนไพรก็เดินเข้ามา
“ไปดูกันเถอะ!”
จางเซวียนลุกขึ้นยืน
เขาพักอยู่ที่คฤหาสน์นี้เข้าวันที่ 3 แล้ว และดีใจที่
อีกฝ่ายไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“เชิญทางนี้เลย!”
เซียนสมุนไพรเดินนำไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องขนาด
ใหญ่ มีหนังสืออัดแน่นเรียงรายเต็มห้อง เมื่อมองดูคร่าวๆ
ก็เห็นว่าเป็นหนังสือวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือและจงซรือจริงๆ
“ผมขอดูสักหน่อย พวกคุณออกไปก่อนได้เลย!”
รู้อยู่แก่ใจว่าวิธีอ่านหนังสือของตัวเองออกจะผิด
ธรรมชาติ จางเซวียนจึงโบกมือให้สองคนนั้นกลับไป
“ได้สิ!”
ขณะที่เซียนสมุนไพรกับพ่อบ้านลู่ก้าวออกจากห้อง
พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจ้ำอย่างเร่งร้อนอยู่ข้างใน ดู
เหมือนใครสักคนกำลังวิ่งอยู่ในนั้น
ก็เขาขอให้เรารวบรวมหนังสือพวกนี้มาเพื่อจะได้
อ่านไม่ใช่หรือ?
แล้วนี่มาวิ่ง?
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างงงงัน
“นายแพทย์ ไ ป๋ เ ป็ น ผู้ เ ชี่ ย วชาญที่ เ หนื อ กว่ า คน
ธรรมดา ก็ ไ ม่ แ ปลกหรอกถ้ า เขาจะมี วิ ธี ท ำอะไรๆไม่
เหมือนคนอื่น น่าจะดีที่สุดถ้าพวกเรา...ไม่เข้าไปยุ่ง!”
เซี ย นสมุ น ไพรได้ แ ต่ ส่ า ยหน้ า และอดใจไม่ เ ข้ า ไป
แอบดู
นายแพทย์ ค นอื่ น ๆจะต้ อ งสั ง เกตอาการและตั้ ง
คำถามมากมายกับคนไข้ เพื่อจะวินิจฉัยโรคให้ชัดเจน แต่
นายแพทย์คนนี้ใช้การตบคนไข้ให้สลบ!
นายแพทย์คนอื่นๆต้องการยาสมุนไพรและเงินทอง
เป็นค่ารักษา แต่นายแพทย์คนนี้ต้องการหนังสือวรยุทธ
โดยไม่ระบุระดับขั้น
‘คนตะกละมักท้องอืด’ นี่คือหลักการที่ทุกคนรู้กัน
ดั ง นั้ น นั ก รบจึ ง มั ก ฝึ ก ฝนเทคนิ ค การฝึ ก วรยุ ท ธเพี ย ง
เทคนิ ค เดี ย ว พวกเขาจึ ง ไม่ เ ข้ า ใจว่ า จางเซวี ย นจะ
ต้องการหนังสือจำนวนมากขนาดนั้นไปทำไม
ผ่านมาแล้ว 3 วัน คำถามนี้ก็ยังติดอยู่ในใจของ
พวกเขา ทั้งคู่พยายามหาเหตุผลมาเป็นสิบๆข้อ แต่ก็ไม่มี
ข้อไหนดูจะเข้าท่าเลย
พวกเขาคิดว่าหากจะคาดเดาเจตนาของอีกฝ่าย ก็
คงต้องเฝ้าดูพฤติกรรมของเขา แต่ทั้งหมดที่ได้มาคือเสียง
วิ่ง...
ในเมื่ อ อุ ต ส่ า ห์ ข นหนั ง สื อ เยอะแยะมาถึ ง นี่ แ ล้ ว
อย่างน้อยนายแพทย์ไป๋ก็ควรจะพลิกดูและเรียนรู้มันเสีย
หน่อย!
แต่นี่กลับวิ่งอยู่ในห้อง...
ก็ รู้ อ ยู่ ห รอกว่ า คนเก่ ง ๆชอบทำอะไรแปลก
ประหลาดไม่ เ หมื อ นใคร แต่ นี่ . ..ออกจะประหลาดไป
หน่อยไหม?
“นายท่าน เราจะทำอย่างไรต่อ?”
ทั้งคู่ยืนอยู่นอกห้องอีกนาน แต่นอกจากเสียงฝีเท้า
ที่กำลังวิ่งแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นเลย สุดท้ายพ่อบ้านลู่ก็
ทนไม่ไหว เขาเอ่ยถาม “พวกเรา...ควรจะวิ่งกับเขาด้วย
ไหม?”
“ไม่ต้องหรอก รออยู่ตรงนี้ก็พอ เสร็จเมื่อไหร่เขาก็
ออกมาเอง!”
เซียนสมุนไพรได้แต่ส่ายหน้า กำลังจะพูดต่อ ก็พอดี
‘แอ๊ด!’ ประตูเปิดออก และนายแพทย์ไป๋เดินออกมา
“เอ่อ...นายแพทย์ไป๋ หนังสือพวกนั้นมีปัญหาอะไร
หรือเปล่า?”
เห็นอีกฝ่ายเดินออกมา เซียนสมุนไพรประหลาดใจ
มาก เขาไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลย
จางเซวียนเจาะจงว่าตัวเขาต้องการหนังสือเทคนิ
ควรยุทธพวกนี้ เซียนสมุนไพรจึงคิดว่าอย่างน้อยเขา
คงจะฝังตัวอยู่ในนั้นสักวันสองวัน แล้วทำไมถึงออกมา
จากห้อง...หลังจากที่วิ่งอยู่ในนั้นได้แค่ครู่เดียว?
เวลาสั้นขนาดนั้น เขาคงอ่านหนังสือได้ไม่มากกว่า
หยิบมือหรอก ใช่ไหม?
“ผมอ่านจบหมดแล้ว!”
จางเซวียนพยักหน้า
“หนังสือพวกนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ผมอาจจะ
หาให้ใหม่ได้...ฮะ? คุณว่าอะไรนะ? คุณอ่านจะ-จะ-จบ
หมดแล้ว?”
ทั้งเซียนสมุนไพรและพ่อบ้านลู่ถึงกับซวนเซ ทั้งคู่
แทบกระอักเลือดออกมา
กว่าจะรวบรวมหนังสือได้มากกว่าหนึ่งพันเล่ม พวก
เราเหนื่อยยากแทบจะล้มประดาตาย แต่คุณเข้าไปดูแค่
สองสามนาที...และมาบอกว่าอ่านจบหมดแล้วนี่นะ?
ที่เราได้ยินคือคุณวิ่งอยู่ในห้อง ไปอ่านมันตอนไหน
กัน?
“ใช่ หนังสือพวกนี้มีประโยชน์กับผมมาก ต้องขอ
ขอบคุณ!”
ตอนที่ 275 เหยียบห้องโถงแห่งยาพิษ

จางเซวียนพยักหน้า ไม่สนใจอาการตะลึงพรึงเพริด
ของทั้งคู่
ในห้องนั้นมีหนังสือแค่พันกว่าเล่ม จางเซวียนใช้
เวลาแป๊บเดียวก็สัมผัสพวกมันได้ทั้งหมดแล้ว แต่ที่ใช้
เวลานานกว่าปกติก็เพราะเขามัววุ่นกับการฝ่าด่านวร
ยุทธให้ไปถึงขั้นกึ่งจงซรือ ซึ่งต้องใช้เวลาสักหน่อย ไม่
อย่างนั้นเขาคงจะ ‘อ่าน’ จบทั้งหมดตั้งแต่ก่อนสองคน
นั้นจะพ้นประตูเสียอีก
ในจำนวนหนังสือทั้งหมดที่เซียนสมุนไพรรวบรวม
มาจะเป็ น ขั้ น กึ่ ง จงซรื อ เสี ย ส่ ว นใหญ่ จางเซวี ย นจึ ง
สามารถประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์ขึ้นมา
และฝึกฝนตามได้ทันที
วรยุทธขั้นกึ่งจงซรือเป็นเพียงขั้นตอนเปลี่ยนผ่าน
ไปสู่การสำเร็จขั้นจงซรือ ด้วยเทคนิคการฝึกวรยุทธที่
เหมาะสม จางเซวียนสามารถผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว แค่
สองสามนาทีเขาก็สำเร็จขั้นกึ่งจงซรือและเพิ่มพลังให้วร
ยุทธของตัวเองได้
อีกอย่าง เซียนสมุนไพรรวบรวมหนังสือวรยุทธขั้น
จงซรือมาได้เพียง 7-8 ร้อยเล่มเท่านั้น จึงยังขาดอยู่นิด
หน่ อ ยสำหรั บ การประมวลเคล็ ด วิ ช าเที ย บฟ้ า แบบ
สมบูรณ์ เขาจึงหยุดการฝ่าด่านไว้แค่กึ่งจงซรือก่อน
เมื่อสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือ พละกำลังของเขาก็
พุ่งพรวด ความแข็งแกร่งของจางเซวียนทะลุ 1000 ติ่ง
จนไปหยุดอยู่ที่ 1500
นักรบจงซรือขั้นต้นจะมีพละกำลัง 1000 ติ่ง ขั้น
กลางอยู่ที่ 2000 ติ่ง ขั้นสูงที่ 3000 ติ่ง และ 4000 ติ่งที่
ขั้นสูงสุด
ด้วยพละกำลัง 1500 ติ่ง ความแข็งแกร่งของจาง
เซวียนก็เหนือกว่านักรบจงซรือขั้นต้นแล้ว ทั้งที่มีวรยุทธ
แค่กึ่งจงซรือเท่านั้น
อีกอย่าง คนทั่วไปต้องใช้เวลาหลายปีหรือถึงกับ
เป็นทศวรรษกว่าจะสำเร็จขั้นกึ่งจงซรือได้ แต่สำหรับเขา
แค่สองสามนาทีก็เรียบร้อย!
โชคดีเหลือหลายที่พลังปราณเทียบฟ้านั้นบริสุทธิ์
มากจนทำให้ไม่มีใครมองเห็นระดับวรยุทธของเขา ไม่
อย่างนั้น ถ้าเซียนสมุนไพรรู้ว่าจางเซวียนยกระดับวร
ยุทธของตัวเองได้อย่างพรวดพราดในเวลาแค่สองสาม
นาทีที่อยู่ในห้อง เขาคงทรุดแน่
เพราะในสมัยที่เซียนสมุนไพรจะฝ่าด่านวรยุทธให้
ไปถึงขั้นกึ่งจงซรือ ตัวเขาต้องกินยาสมุนไพรไปไม่รู้เท่า
ไหร่ ถ้าจะตีราคาเป็นตัวเงินล่ะก็ ซื้อเมืองทั้งเมืองแล้วก็
น่าจะยังเหลือ
เขาใช้ทรัพยากรไปมากมายในการฝ่าด่านวรยุทธ
ขณะที่ ‘นายแพทย์ไป๋’ ทำได้สำเร็จด้วยการวิ่งไปทั่วห้อง
แค่พักเดียว...
ต่อให้อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ถ้ามาอยู่ต่อหน้า
จางเซวียน ก็คงต้องหน้าม้านไป
ข่มความอยากทึ้งหัวตัวเองไว้ เซียนสมุนไพรถาม
“นายแพทย์ไป๋ แล้ว...เราจะทำอย่างไรต่อ? คุณยังตั้งใจ
จะไปห้องโถงแห่งยาพิษอยู่หรือเปล่า?”
“ผมไปแน่!”
จางเซวียนยิ้ม “และไม่ใช่แค่นั้นนะ เราจะเดินเข้า
ประตูที่นั่นอย่างสง่าผ่าเผยด้วย!”
“สง่าผ่าเผย?”
“ถูกต้อง!” จางเซวียนพยักหน้า “ก็คุณบอกไม่ใช่
หรือว่าทางสำนักงานใหญ่รู้เรื่องการตายของหัวหน้าคน
เก่าแล้ว?”
“ก็ตามนั้นแหละ! แต่ก็บอกได้ยากว่าทางสำนักงาน
ใหญ่จะส่งผู้แทนมาหรือเปล่า ถ้าส่งมา เรื่องยุ่งๆก็คงจะ
จบได้ เ ร็ ว และนั่ น จะทำให้ เ รารอดพ้ น จากอั น ตราย”
เซียนสมุนไพรพูด “แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น...ก็คงจะยุ่งยาก
เอาการ”
“ผมมีแผน! แทนที่จะนั่งรอผู้แทนซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมา
หรือเปล่า ทำไมเรา...ไม่เป็นผู้แทนเสียเองล่ะ!”
จางเซวียนพูด
“เป็นผู้แทน?” เซียนสมุนไพรถึงกับงง
“ก็ง่ายนิดเดียว คุณพาผมไปห้องโถงแห่งยาพิษ
และประกาศว่าผมคือผู้แทน! ก็ในเมื่อคนที่นั่นไม่มีใคร
เคยเห็นผู้แทนมาก่อน ผมว่าพวกเขาจับไม่ได้หรอกว่าผม
เป็นตัวปลอม”
ตลอด 3 วันที่ผ่านมา จางเซวียนครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่
ตลอด แทนที่จะนั่งรออยู่ที่นี่ เขาควรจะได้ลงมือทำอะไร
บ้าง
ก็ในเมื่อมีความขัดแย้งภายในปะทุขึ้นที่ห้องโถงแห่ง
ยาพิษ และการเข้าไปในนั้นก็เป็นอันตราย ทำไมเขาไม่ตั้ง
ตั ว ขึ้ น เป็ น ผู้ แ ทนเพื่ อ ไประงั บ ความขั ด แย้ ง นั้ น เสี ย เลย
ล่ะ...เพราะไม่ว่าคนพวกนั้นจะต้องการตำแหน่งหัวหน้า
มากแค่ไหน ก็คงไม่กล้ายื่นมือเข้ามายุ่มย่ามกับผู้แทนจาก
สำนักงานใหญ่แน่
ที่เจ๋งที่สุดก็คือ พวกนั้นไม่รู้ว่าทางสำนักงานใหญ่จะ
ส่งใครมา!
เพราะฉะนั้น ทำไมไม่ปลอมตัวเป็นผู้แทนเสียเลย?
อี ก อย่ า ง จุ ด ประสงค์ ห ลั ก ของเขาก็ แ ค่ เ ข้ า ไปดู
หนังสือเท่านั้น เมื่อถ่ายโอนหนังสือในหอสมุดได้ครบแล้ว
เขาก็จะออกมาทันที ต่อให้หลังจากนั้นมีใครสักคนรู้ว่า
เขาเป็นตัวปลอม เขาก็เปิดหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ก่อนหน้านี้ยังปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ได้ แค่ผู้แทน
จากห้องโถงแห่งยาพิษสำนักงานใหญ่ ย่อมไม่ใช่ปัญหา
“คุณจะปลอมตัว...เป็นผู้แทนหรือ?”
เซียนสมุนไพรถึงกับหน้าซีดตัวสั่นด้วยความกลัว
พี่ชาย, ผมแก่แล้ว แถมหัวใจก็อ่อนแอ...แน่ใจนะว่า
ไม่ได้ล้อเล่น?
การปลอมตัวเป็นผู้แทนไม่ใช่เรื่องตลก หากมีใคร
จับได้ คงได้ตายคาที่กันทั้งคู่!
“เอาล่ะ! เตรียมตัวเถอะ เราจะไปกันเดี๋ยวนี้ คุณ
สัญญากับผมแล้วนี่ว่าจะพาผมไปห้องโถงแห่งยาพิษ คง
ไม่กลับคำหรอกนะ ใช่ไหม?”
จางเซวี ย นจ้ อ งหน้ า เซี ย นสมุ น ไพรและขมวดคิ้ ว
“ถ้าคุณกลัว แค่พาผมไปส่งที่ห้องโถงแห่งยาพิษก็พอ ไม่
ต้องตามเข้าไปก็ได้!”
“เอ่อ...”
ปัญหาของการไปห้องโถงแห่งยาพิษไม่ใช่เรื่องกลัว
หรือไม่กลัว
เพราะถ้าคุณปลอมตัวเป็นผู้แทนแล้วถูกจับได้ ตาย
กี่พันครั้งก็ยังไม่สาสมกับความผิด!
ผมเพิ่งจะดึงตัวเองออกจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้
แต่ตอนนี้คุณก็คิดจะให้ผม กระโดดลงไปในหุบเขาแห่ง
เปลวเพลิงเสียอีกแล้ว...
ถ้ารู้มาก่อนว่าคุณตั้งใจจะทำแบบนี้ ผมจะไม่มีวัน
ยอมตกลงกับเงื่อนไขของคุณเลย
นี่ก็สายไปแล้วใช่ไหมที่จะคืนคำ?
เซียนสมุนไพรหน้าตาบูดเบี้ยวและถึงกับปล่อยโฮ
ออกมา
ฟิ้ววววววววว ฟิ้ววววววว!
ลมที่พัดกรรโชกในสันเขาบัวแดงให้ความรู้สึกบาด
ลึกราวกับมีดที่จ้วงแทงลงมา ทิวทัศน์ที่เป็นสีแดงไปหมด
ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกแสบตาและอ่อนล้าขึ้นมาทันที
สักพักหนึ่ง ก็จะมีหนอนตัวขนาดเท่าเล็บมือปรากฏ
ให้เห็นตามทางเป็นระยะ ตัวของมันเปียกและมีกลิ่น
เหม็นเน่า แค่เห็นก็ทำให้ขยะแขยงแล้ว
"นี่ คื อ หนอนชื้ น แฉะ มี เ ฉพาะที่ สั น เขาบั ว แดง
เท่านั้น มันกินสมุนไพรเป็นอาหาร และเป็นศัตรูตัวฉกาจ
ของการปลูกสมุนไพร แต่ซากศพของเจ้าตัวประหลาดนี่
กลับเป็นแหล่งสารอาหารชั้นยอด สมุนไพรที่ปลูกโดยใช้
ซากของหนอนชื้นแฉะเป็นปุ๋ยจะมีพลังจิตวิญญาณใน
ระดับสูง และมีความเป็นมันเงาสวยงาม
มี พื ช อยู่ ห ลายชนิ ด ที่ ป ลู ก ที่ นี่ ไ ม่ ขึ้ น แต่ ส ามารถ
เติบโตงอกงามได้ด้วยปุ๋ยที่ทำจากหนอนชนิดนี้ นี่คือ
เหตุ ผ ลหลั ก ที่ ท ำให้ เ มื อ งบั ว แดงกลายเป็ น ศู น ย์ ก ลาง
ค้ า ขายแลกเปลี่ ย นสมุ น ไพรที่ ใ หญ่ ที่ สุ ด ในสิ บ สาม
อาณาจักรโดยรอบ!"
ลึกเข้าไปในสันเขาบัวแดง จะเห็นร่างสองร่างเดิน
ตะคุ่มๆอยู่ เมื่อเห็นหนอนคืบคลานอยู่ตรงหน้า หนึ่งใน
นั้นก็อธิบายขึ้นมา
“ไม่สงสัยแล้ว ผมเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าทำไมเมือง
บัวแดงซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารและดูไม่เหมาะสม
กับการปลูกสมุนไพร ถึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขาย
แลกเปลี่ยนสมุนไพรขึ้นมาได้”
อีกคนหนึ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เมื่อเดินต่อไป
เขาเงยหน้ า ขึ้ น และเห็ น ชั้ น ของเมฆหมอกบดบั ง แสง
อาทิตย์ไว้ จึงเอ่ยถาม “นี่คือหมอกพิษที่คุณพูดถึงหรือ
เปล่า?”
ทั้งคู่คือจางเซวียนกับเซียนสมุนไพร ซึ่งออกจาก
เมืองบัวแดงและมุ่งหน้าไปยังห้องโถงแห่งยาพิษ
เพราะห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ กำลั ง อยู่ ใ นภาวะ
ระส่ำระสายและเต็มไปด้วยอันตราย จางเซวียนจึงไม่พา
โม่หยู่ไปด้วย เขาส่งเธอกลับไปยังเมืองหลวงของอาณา
จักรเทียนหวู่
เซี ย นสมุ น ไพรคิ ด กลั บ ไปกลั บ มาอยู่ น านก่ อ นจะ
ตัดสินใจพาจางเซวียนไปห้องโถงแห่งยาพิษ
เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้มีพระคุณของเขา และเขาก็ตก
ปากรับคำขอของฝ่ายนั้นไปแล้ว หากจะคืนคำพูดคงไม่ดี
แน่
พวกเขาออกเดินทางมาแล้ว 5 วัน
"ใช่แล้ว! มีภูเขาไฟขนาดใหญ่อยู่ในสันเขาบัวแดง
ทำให้พื้นผิวถูกแผดเผาจนไหม้เกรียม บริเวณนี้จึงไม่มีพืช
สีเขียวใดๆ และหินทุกก้อนก็กลายเป็นสีแดงก่ำ ภายใต้
คลื่นความร้อนนั้นมีหมอกพิษหนาหลายร้อยเมตร
ซึ่งลอยสูงขึ้นจากพื้นดินหลายสิบเมตรครอบคลุม
พื้นที่อยู่ ทำให้ไม่มีใครขี่สัตว์ปีกพาหนะผ่านบริเวณนี้ได้
แถมลงจอดก็ไม่ได้ด้วย ต่อให้เป็นสัตว์ร้ายที่มีวรยุทธขั้น
จงซรือ หากได้สัมผัสกับหมอกพิษ เมื่อหมอกพิษ
ซึมเข้าสู่ทวารทั้ง 7 ก็จะตายทันที!"
เซียนสมุนไพรอธิบาย
“ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่จะเข้ามาจึงต้องเดินมาเท่านั้น นั่น
คือเหตุผลที่ทำให้ห้องโถงแห่งยาพิษยังอยู่รอดปลอดภัย
ในสันเขาบัวแดง พ้นจากการรุกรานของคนนอก”
ห้องโถงแห่งยาพิษผลิตยาพิษไว้เพื่อจำหน่าย และ
ด้วยธุรกิจอันไม่ค่อยจะเป็นมงคล จึงเป็นธรรมดาที่จะ
ทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกไม่ดี ถึงจะได้รับการสนับสนุนจาก
สำนักงานใหญ่อันทรงอิทธิพล แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้อยู่
มาได้หลายสหัสวรรษก็คือตำแหน่งที่ตั้งอันลึกลับซับซ้อน
และหมอกพิษอันร้ายกาจ
แทบจะไม่มีโอกาสที่ใครจะค้นพบตำแหน่งที่ตั้งของ
ห้องโถงแห่งยาพิษซึ่งอยู่ท่ามกลางสันเขาอันกว้างใหญ่นี้
ได้เลย แต่ถึงจะเจอ ก็ขี่สัตว์ปีกพาหนะเข้ามาไม่ได้ จึง
ไม่มีใครเข้ามาคุกคาม
“น่าประทับใจมาก” จางเซวียนพยักหน้า
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมจึงไม่มีใครหาห้องโถงแห่งยา
พิษเจอ จนหลายคนถึงกับคิดว่ามันอาจไม่มีอยู่จริง ด้วย
หมอกพิษหนาหนักที่ปกคลุมอยู่ ต่อให้รู้ว่ามันมีอยู่จริง ก็
คงมีคนไม่ถึงหยิบมือที่หามันเจอ
ยิ่งไปกว่านั้น ในบางจุดหมอกพิษก็คล้อยต่ำลงมา
เรี่ยผิวดิน ถ้าไม่ใช่เพราะเซียนสมุนไพรรู้จักทางเป็นอย่าง
ดี ทั้งคู่ก็คงจะเดินหลงเข้าไปในหมอก และถูกพิษทำร้าย
ถึงตาย
พูดได้เลยว่า ถ้าไม่มีคนรู้จริงสักคนพาไป ก็ไม่มีทาง
หาห้องโถงแห่งยาพิษเจอ
จางเซวียนรู้มาว่า ผู้คนส่วนใหญ่ที่พยายามเสาะหา
หนทางเข้าไปห้องโถงแห่งยาพิษด้วยตัวเองมักลงเอยด้วย
ความตาย ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วก็น่าจะไม่ได้เป็นแค่ข่าว
ลือ
โชคดีที่โม่หยู่พาเขามาหาเซียนสมุนไพรเสียก่อน
เขาจึงไม่ได้หาทางเข้าไปที่นั่นด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้น ต่อ
ให้พลังปราณเทียบฟ้าจะช่วยให้เขาขับอากาศพิษบาง
ส่วนที่หายใจเข้าไปออกมาได้ แต่ถ้ามีมากเกินไปก็ยังเป็น
ปัญหาใหญ่อยู่ดี
“เราอยู่ไกลจากห้องโถงแห่งยาพิษแค่ไหน?”
เมื่อมองไปไกลๆก็เห็นสันเขาทอดตัวยาวสุดลูกหูลูก
ตา ไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งมีชีวิตให้เห็นเลย จางเซวีย
นอดถามไม่ได้
เราเดินทางกันมาตั้ง 5 วันแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววจะ
ถึงที่หมายเลย ห้องโถงแห่งยาพิษมันไม่อยู่ไกลไปหน่อย
หรือ?
“เดี๋ ย วก็ ถึ ง แล้ ว มั น อยู่ ต รงหน้ า นี่ เ อง!” เซี ย น
สมุนไพรชี้มือไป
“อยู่ตรงหน้า?” จางเซวียนงง
นอกจากหินสองสามก้อนที่อยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง
ก็ไม่มีอะไรให้เห็นเลย แล้วห้องโถงแห่งยาพิษจะมาซ่อน
ตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
“ตามผมมา!”
เซียนสมุนไพรหัวเราะหึๆและนำทางไป หลังจาก
เดินวนรอบหินก้อนมหึมาและลงไปตามทางลาด ก็เห็น
หุบเขาหนึ่งปรากฏตรงหน้า
เมื่อก้มลงมอง จางเซวียนก็ถึงกับอัศจรรย์ใจ
เมืองใหญ่เมืองหนึ่งทอดตัวอยู่ในหุบเขานั้น
มี สิ่ ง ปลู ก สร้ า งเรี ย งรายอยู่ ต ามพื้ น ผิ ว อั น ลาดชั น
ส่ ว นใหญ่ ส ร้ า งขึ้ น ตามแบบโบร่ ำ โบราณเหมื อ นกั บ ที่
ปรากฏในเมืองบัวแดง มองแว่บเดียวก็รู้ว่าตึกเหล่านั้น
ยืนหยัดมานานจนแทบจะบอกอายุไม่ได้
“นี่คือห้องโถงแห่งยาพิษ?”
ห้องโถงแห่งยาพิษไม่มีอะไรด้อยกว่าดงสัตว์ร้ายเลย
ตึกสีเขียวสดใสที่อยู่ในหุบเขาสีแดงดูเหมือนกับทิวทัศน์
อันงดงามที่ปรากฏในภาพวาด
“ว่ากันว่าตอนที่จะก่อสร้างห้องโถงแห่งยาพิษ ผู้ก่อ
ตั้งเมืองได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลมาจัดเตรียมค่าย
กลโดยวางสันเขาแห่งนี้ไว้เป็นแกนกลาง ถ้าไม่ได้เดินมา
ตามเส้นทางที่วางไว้เฉพาะล่ะก็ จะไม่มีทางได้เห็นเมืองนี้
เลย ต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้ามันก็เถอะ”
เซียนสมุนไพรอธิบาย
จางเซวียนพยักหน้า
ก็คงเป็นไปตามนั้น
ที่ เ ขาเห็ น ก่ อ นหน้ า นี้ มี แ ค่ ภู เ ขาสู ง ตระหง่ า นที่
ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา แต่หลังจากเดินวนรอบหินก้อน
ใหญ่และลงมาตามทางลาด เมืองขนาดมหึมาก็พลัน
ปรากฏขึ้นตรงหน้า เมืองโอ่อ่าขนาดนี้มาซ่อนตัวอยู่ใน
พื้นที่โล่งๆได้ ต่อให้มีใครบอกว่าไม่มีค่ายกลซุกซ่อนอยู่
เขาก็ไม่มีทางเชื่อ
“นายแพทย์ไป๋ ห้องโถงแห่งยาพิษอยู่ตรงหน้าเรา
แล้ว แต่คุณคิดจะเข้าไปดุ่ยๆแบบนี้น่ะหรือ?”
เซียนสมุนไพรตั้งคำถามอีกครั้ง
เมื่อรู้เจตนาของอีกฝ่าย จางเซวียนก็ประสาทกิน
ขึ้นมา
ถ้าจะพูดกันตามตรง ไม่มีใครเคยเห็นผู้แทนจาก
ห้องโถงแห่งยาพิษสำนักงานใหญ่ก็จริง แต่...ความตาย
เท่านั้นที่รออยู่หากพวกเขาถูกจับได้
“อ้อใช่ ผมเป็นนายแพทย์ อาจมีใครสักคนจำผมได้
คงต้องเปลี่ยนแปลงกันสักหน่อย!”
จางเซวียนยังอยู่ในคราบของนายแพทย์ไป๋ชาน
มีกูรูยาพิษหลายคนจากห้องโถงแห่งยาพิษที่เดิน
ทางเข้าออกสันเขาอยู่บ่อยๆ จึงมีโอกาสที่ใครสักคนอาจ
จำเขาได้ เขาจึงตัดสินใจจะปลอดภัยไว้ก่อน
ครื่ด! ด้วยการใช้ศิลปะการปลอมตัว กล้ามเนื้อถูก
มัดและกระดูกทุกชิ้นในร่างของเขาส่งเสียงครืดคราด ครู่
เดียว หน้าตาและความสูงของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้น
เชิง เมื่อมองดูอีกครั้ง จางเซวียนก็กลายเป็นชายวัยกลาง
คนอายุประมาณ 40 ปี
เขายังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีเขียวอมเทาที่เตรียมไว้
ล่วงหน้าอีกด้วย
ตอนนี้จางเซวียนได้แปลงร่างเป็นคนใหม่โดยสิ้นเชิง
ไม่มีอะไรเหมือนกับนายแพทย์ไป๋ชานหรือตัวตนที่แท้จริง
ของเขาเลย อย่าว่าแต่เซียนสมุนไพร ต่อให้
จ้าวหย่ากับเด็กคนอื่นๆมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคืออาจารย์ของพวกเขา
การปลอมตัวให้เหมือนใครสักคนเป็นเรื่องยาก แต่
การเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ไม่เคยปรากฎตัวที่ไหนมา
ก่อนนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก
“นี่มัน...ศิลปะการปลอมตัว?”
เซียนสมุนไพรตัวสั่น
เขานึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะมีความสามารถชนิดนี้
ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนายแพทย์ไป๋ถึงกล้า
ปลอมตัวเป็นผู้แทน ก็เพราะเขามีทักษะแบบนี้นี่เอง
ว่าแต่...เมื่อไรที่คุณถอดคราบนี้ออก ก็คงไม่มีใครจำ
คุณได้ แล้วผมล่ะ?
ผมเป็นเซียนสมุนไพรแห่งเมืองบัวแดงนะ! ผมอาจ
จะหนีไปได้ แต่จะให้ละทิ้งอาณาจักรที่สร้างมากับมือ
หรือ?
ทันทีที่พวกเขาจับได้ว่าผมพาผู้แทนตัวปลอมมาที่นี่
ต่อให้ตอนนี้ผมหนีรอดไปได้ ถึงอย่างไรก็ต้องถูกจับแน่
คงถูกสับเละเป็นชิ้นๆแล้วเอาไปทำซอสเนื้อ!
ตอนแรก ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเสี่ยงพอๆกัน แต่กลับ
กลายเป็นว่า ‘ผู้ร่วมก่ออาชญากรรม’ กับเขาตั้งใจปกปิด
ตัวตนที่แท้จริง ต่อให้ทางห้องโถงแห่งยาพิษพยายามจะ
เอาเรื่อง ก็คงไม่มีทางหาตัวนายแพทย์ไป๋เจอ
ซึ่งหมายความว่าเขาคือคนที่จะต้องรับเคราะห์แทน
เมื่อคิดได้ เซียนสมุนไพรถึงกับหน้าบูดหน้าเบี้ยว
ด้วยความกลัดกลุ้ม
“ไม่ต้องห่วงหรอก พอไปถึงห้องโถงแห่งยาพิษ คุณ
ก็บอกพวกนั้นเลยว่าผมเป็นคนมาตามหาคุณ มาอ้างตัว
ว่าเป็นผู้แทนจากสำนักงานใหญ่ และบอกให้คุณพาผม
มา ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมด ส่วน
เรื่องสัญญาหนอนกู้ที่อยู่ในตัวคุณ คุณก็บอกไปว่าผมเป็น
คนรักษาให้ เพื่อเป็นค่าชดเชยกับการที่คุณยอมพาผมมา
ที่นี่”
จางเซวียนพูดเพราะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
“เอ่อ...”
เซียนสมุนไพรหน้าแดงก่ำ
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเตรียมข้อแก้ตัวไว้ให้แล้ว เขา
ประเมินฝ่ายนั้นผิดไปจริงๆ!
แถมข้อแก้ตัวที่ให้มาก็หาที่ติไม่ได้เลย
ในเมื่อเขาไม่ใช่คนในห้องโถงแห่งยาพิษ ก็เป็น
ธรรมดาที่ จ ะไม่ รู้ ว่ า ใครเป็ น ผู้ แ ทน ซึ่ ง อั น ที่ จ ริ ง ถ้ า
บุคลากรที่นั่นต่างก็หูหนวกตาบอดจนไม่รู้ว่าไหนผู้แทน
ตัวจริงหรือตัวปลอม ก็คงยากที่พวกนั้นจะป้ายความผิด
ให้เขา
อีกอย่าง ถึงเรื่องการทำสัญญาหนอนกู้ระหว่าง
เซียนสมุนไพรกับหัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษจะเป็นความ
ลับสุดยอด
แต่ผู้มีอิทธิพลระดับสูงของห้องโถงแห่งยาพิษก็รู้
เรื่องนี้ ในเมื่อหัวหน้าคนเก่าตายไปแล้ว แต่ตัวเขายังมี
ชีวิตอยู่ แถมเดินเหินได้ ก็ย่อมจะทำให้พวกนั้นสงสัย
อย่างหนักถ้าเขาไม่มีเหตุผลดีๆไปอธิบายให้ฟัง
ด้วยคำพูดแค่สองสามคำ ก็สามารถขจัดปัญหาที่
เขาจะต้องเผชิญได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ทำให้ใครสงสัย
และไม่สร้างความเสียหายใดๆด้วย มันเป็นข้อแก้ตัวที่
สมบูรณ์แบบ
แต่ว่า...
“ถ้าผมทำแบบนั้น พวกเขาก็จะหันมาสงสัยคุณ...”
เซียนสมุนไพรลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “แล้ว
นายแพทย์ไป๋รู้เรื่องราวเกี่ยวกับกูรูยาพิษมากแค่ไหน?”
ถ้ า เซี ย นสมุ น ไพรพู ด ตามที่ น ายแพทย์ ไ ป๋ แ นะนำ
เขาก็ จ ะพ้ น จากเรื่ อ งยุ่ ง ยากทุ ก อย่ า ง แต่ เ รื่ อ งนี้ อ าจ
เป็นการผลักให้อีกฝ่ายต้องตกอยู่ในอันตรายหนักหน่วง
กว่าเดิม
บุคลากรของห้องโถงแห่งยาพิษจะต้องพยายามทุก
วิถีทางเพื่อพิสูจน์ตัวตนของเขา ถ้าจางเซวียนมีความรู้
เรื่องกูรูยาพิษอย่างลึกซึ้งก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากการ
ปลอมตัวของเขามีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็มีความ
เป็นไปได้สูงที่เขาจะเดือดร้อน
“ผมเพิ่งรู้จักอาชีพนี้เมื่อครึ่งเดือนก่อนนี่เอง!” จาง
เซวียนตอบ
“คุณเพิ่งรู้จักมัน...ได้ครึ่งเดือน?”
เซียนสมุนไพรตาเหลือกและแทบกระอักเลือดออก
มา
พี่ชาย เอาจริงๆสิ?
เมื่อครึ่งเดือนก่อน คุณยังไม่รู้เลยว่ากูรูยาพิษคือ
อะไร แต่กล้าปลอมตัวเป็นผู้แทนของห้องโถงแห่งยาพิษ
สำนักงานใหญ่...
“จริงๆ!”
“คุณไม่มีตราสัญลักษณ์กูรูยาพิษ หรือตรายืนยันตัว
ตนจากสำนักงานใหญ่ ในเมื่อคิดจะปลอมตัวเป็นผู้แทน
ถ้าจะทำให้ฝ่ายนั้นเชื่อใจ คุณจะต้องแสดงเทคนิคและ
ความรู้เรื่องยาพิษออกมาให้ได้ แต่ถ้าคุณไม่รู้อะไรเลย...”
เห็ น เห็ น อี ก ฝ่ า ยพยั ก หน้ า รั บ แบบง่ า ยๆ เซี ย น
สมุนไพรถึงกับแน่นหน้าอก
ต้องมีตรายืนยันตัวตน หรือตราสัญลักษณ์กูรูยาพิษ
นั่นแหละ ใครๆเขาถึงจะเชื่อ
แต่ในเมื่อไม่มี ถ้าแสดงทักษะอันพิสดารเหนือชั้น
ออกมาได้ ก็พอมีทางที่จะหว่านล้อมพวกนั้น...
แต่ คุ ณ เพิ่ ง รู้ จั ก อาชี พ กู รู ย าพิ ษ มาได้ แ ค่ ค รึ่ ง เดื อ น
ทั้งๆที่ยังไม่รู้อะไรเลย แต่กลับอาจหาญกล้าปลอมตัวเป็น
ผู้แทน คุณกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้นจริงๆ หรือไม่รู้ตัวว่าจะ
ต้องเสี่ยงกับอะไรบ้าง?
นี่ไม่ใช่การเล่นขายของ ถ้าอีกฝ่ายจับได้ว่าคุณ
ปลอมตัวมา คุณตายคาที่แน่ๆ!
“ไม่ใช่ปัญหาหรอกนะ ผมแก้ไขสถานการณ์ได้!”
รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลเรื่องอะไร จางเซวียนโบกมือ
อย่างไม่ยี่หระ
“เอาเถอะ อุตส่าห์มาจนถึงนี่ ก็ไม่มีอะไรจะต้อง
คิดมากแล้วล่ะ ไปกันเถอะ!”
ถึงจางเซวียนจะไม่รู้เรื่องราวของกูรูยาพิษมากนัก
แต่เขามีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครอง ปลอมตัวเป็น
ปรมาจารย์ก็ทำมาแล้ว จะปลอมตัวเป็นกูรูยาพิษอีกสัก
ครั้งก็แทบไม่ใช่เรื่องท้าทายเลย
“....”
เห็นสีหน้าทองไม่รู้ร้อนของอีกฝ่าย เซียนสมุนไพร
รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งในตัวเขาแหลกสลาย ความมั่นใจที่
เพิ่งมีหายวับไปอย่างไม่เหลือซาก
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชายผู้นี้ถึงยังมั่นอกมั่นใจ
อยู่ได้
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว และไม่มีทาง
เลือกอื่น ทั้งหมดที่ทำได้ตอนนี้คือไปต่อ
ทั้งคู่เดินลงไปตามเส้นทางที่ตรงไปยังหุบเขา ไม่
นานก็มาถึงเมือง
“ใครบังอาจบุกรุกห้องโถงแห่งยาพิษ?”
ยังไม่ทันจะได้เข้าประตูเมืองก็มีเสียงตวาดก้อง ชาย
วัยกลางคนในเสื้อคลุมสีดำกลุ่มหนึ่งกรูออกมา ทุกคน
จ้องจางเซวียนกับเซียนสมุนไพรด้วยสายตาเลือดเย็น
ราวกับนกอินทรีจับจ้องเหยื่อของมัน
“กูรูยาพิษโจว กูรูยาพิษหลิว และทุกๆท่าน นี่ผม
เอง!”
เซียนสมุนไพรก้าวออกมาและพูดอย่างร้อนรน
“อ้อ? เซียนสมุนไพร? ทำไมถึงไม่อยู่ที่เมืองบัวแดง
ล่ะ มาทำอะไรที่นี่?” ชายวัยกลางคนที่รู้จักกันในชื่อกูรูยา
พิษโจวถามพร้อมกับหรี่ตา
“ในสถานการณ์แบบนี้ มีแต่คนอยากจะอยู่ให้ห่าง
แต่คุณถึงกับมาที่นี่ด้วยตัวเอง เบือ่ ชีวิตนักหรืออย่างไร?”
กูรูยาพิษหลิวพึมพำ
ด้วยความระส่ำระสายที่เกิดขึ้นในห้องโถงแห่งยา
พิษ สำหรับเขา ทุกคนที่ก้าวเข้ามาที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับ
การรนหาที่ตาย
ชายทั้ง 2 คนคุ้นเคยกับเซียนสมุนไพร ทั้งยังเคยได้
รับของมีค่าบางอย่างจากเซียนสมุนไพรด้วย ทั้งคู่จึง
โอภาปราศรัยดิบดี
“ผมมาหารองหัวหน้าทั้งสาม...”
รู้ ว่ า อี ก ฝ่ า ยมี เ จตนาดี เซี ย นสมุ น ไพรกำลั ง จะ
อธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาฟัง ขณะเดียวกันกับที่กูรู
ยาพิษคนหนึ่งเดินเข้าไปหาจางเซวียน
“แล้วนี่ใครกัน? คุณไม่รู้หรือว่าผู้ที่พาคนนอกเข้า
มาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะต้องถูกลงโทษ?”
เจตนาสังหารเปล่งประกายวาบอยู่ในสายตาของกูรู
ยาพิษที่จ้องมองจางเซวียน “เจ้าคนนอก เป็นเกียรติของ
คุณแล้วล่ะที่ได้ตายด้วยยาพิษที่ผมสร้างขึ้นมา! โทษโชค
ชะตาของตัวเองก็แล้วกัน ถ้าคุณจะต้องทำแบบนั้นล่ะก็”
“รอเดี๋ยว เขาคือ...”
เห็ น อี ก ฝ่ า ยกำลั ง จะเปิ ด ฉาก เซี ย นสมุ น ไพร
ตระหนกขึ้นมาทันที เขากำลังจะพูดว่าจางเซวียนคือผู้
แทนที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมา ก็พอดีเห็น ‘นายแพทย์
ไป๋’ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเงื้อขาขึ้นและเตะกูรูยาพิษเข้าอย่าง
จัง
ปั้ก!
กูรูยาพิษที่ตั้งใจจะฆ่าจางเซวียนยังไม่ทันจะได้ตั้ง
ตัว ก็ถูกเตะเสยกระเด็นไปอัดกับกำแพงเมืองอย่างแรง
จนลำคอหักงอเป็นมุมผิดธรรมชาติ และหมดลมหายใจ
ไป
“เฮ้ย?”
“ไอ้ชั่ว!”
นึกไม่ถึงว่าผู้มาเยือนจะเอาเรื่องขนาดนี้ กูรูยาพิษ
โจว กูรูยาพิษหลิว และคนอื่นๆโมโหเดือดขึ้นมาทันที
เจตนาสังหารของพวกเขาแผดเผาออกมาขณะที่เข้าล้อม
ทั้งคู่
“เราเสร็จแน่...”
เพราะไม่ มี มี ทั้ ง ตราสั ญ ลั ก ษณ์ ห รื อ ความรู้ ที่ จ ะ
พิสูจน์ว่าตัวเองเป็นกูรูยาพิษ เซียนสมุนไพรจึงคิดว่าจะดี
ที่สุดหากนายแพทย์ไป๋จะเก็บเนื้อเก็บตัวและค่อยๆเรียก
ความเชื่อใจจากพวกเขาทีละน้อย
นึกไม่ถึงว่าเขาจะฆ่ากูรูยาพิษไปทั้งคนตั้งแต่นาที
แรกที่เหยียบย่างเข้ามา...
พี่ชาย คุณรีบร้อนอยากไปปรโลกมากนักหรือ?
เซียนสมุนไพรตัวสั่นและลุกลี้ลุกลน กลั้นน้ำตาที่
เอ่อท่วมขึ้นมาไว้ไม่ได้
บ้าแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งมีเพื่อนร่วมทีมที่เก่งกาจราวกับ
เทพเจ้า
ขณะที่เรามี...มือระเบิดพลีชีพ!
(footnote: ทวารทั้งเจ็ด : หมายถึง 2 ตา, 2 หู, 2
รูจมูก และ 1 ปาก)
ตอนที่ 276 เหรียญตราหัวใจยาพิษทองคํา

“เรียกรองหัวหน้ากับผู้อาวุโสของคุณออกมาพบ
ผม!”
แม้จะอยู่ในวงล้อมของกูรูยาพิษ จางเซวียนก็ไม่
เดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย ทำราวกับไม่รู้ว่ามีอะไรเกิด
ขึ้น เขาเชิดหน้า เอาสองมือไพล่หลัง และจ้องคนกลุ่มนั้น
ด้วยสายตาเย็นเยือก
“ต้องการพบรองหัวหน้ากับผู้อาวุโสของเราหรือ?
แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร!”
หมอนี่กล้าเรียกร้องจะพบรองหัวหน้าและผู้อาวุโส
ของห้องโถงแห่งยาพิษทั้งๆที่เพิ่งฆ่าเพื่อนร่วมงานของ
พวกเขาไปทั้งคน! ช่างไม่กลัวเกรงอะไรเสียเลย กูรูยาพิษ
โจวโมโหเดือดและคำรามกร้าว “แกกล้าฆ่าคนของห้อง
โถงแห่งยาพิษ สมควรตาย...”
เขาคำรามอย่างเลือดเย็นและตัดสินใจว่าจะต้องสั่ง
สอนบทเรียนให้กับเจ้าโอหังคนนี้ แต่พริบตาถัดมา เขาก็
มองเห็นทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด
ฟึ่บ!
แค่วูบเดียว มือข้างหนึ่งก็คว้าคอของกูรูยาพิษโจว
ไว้ และเขาห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ
“กะ-แก...” กูรูยาพิษโจวตัวสั่นด้วยความหวาด
กลัว ชายวัยกลางคนผู้นั้นอยู่ห่างจากเขากว่า 10 เมตร
แต่กลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้ในชั่วพริบตา
ใบหน้าของเขาซีดลงทุกขณะ เขาคำรามเสียงลอด
ไรฟัน “ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นแกจะไม่ได้กลับ
ออกไปตัวเป็นๆแน่...”
“ที่นี่คือห้องโถงแห่งยาพิษ ไม่ใช่ที่ที่แกจะมาทำตัว
โอหัง!”
กู รู ย าพิ ษ หลิ ว กั บ คนอื่ น ๆนึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า ชายผู้ ม ากั บ
เซียนสมุนไพรจะทำกิริยาจาบจ้วงถึงกับโจมตีพวกเขา
ทันทีที่เกิดการปะทะคารม พวกเขาโมโหเดือดจนต้อง
คำรามอย่างเคียดแค้น
ถึงห้องโถงแห่งยาพิษจะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล แต่
มันก็สร้างความยำเกรงให้กับผู้มีอำนาจจำนวนมากมาย
นับไม่ถ้วน แต่กับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่พรวดพราด
เข้ามาและสังหารคนของพวกเขา...อะไรทำให้หมอนี่กล้า
บ้าบิ่นได้ขนาดนั้น?
จางเซวียนไม่สนใจเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
ของคนที่เหลือ เขายังบีบคอกูรูยาพิษโจวไว้แน่น และ
ทันใดนั้น เขาก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งตบกูรูเข้าให้
เพียะ เพียะ เพียะ เพียะ!
เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น 4 ครั้งติดต่อกัน ใบหน้าของ
กูรูยาพิษโจวบวมฉึ่งขึ้นมาทันที เลือดสดๆไหลซึมจากมุม
ปาก ฟันหลายซี่กระเด็นร่วงลงพื้น
“นี่คือบทลงโทษสำหรับความโอหังของแก!”
จางเซวียนตบเสร็จก็โยนร่างของอีกฝ่ายลงพื้นอย่าง
ไม่แยแส จากนั้นก็เอาสองมือไพล่หลังอีกครั้ง เขายืน
ตระหง่านด้วยรังสีของผู้มีอำนาจเหนือกว่า “ผมหมด
ความอดทนแล้วนะ อย่าทำให้ผมต้องโมโหอีก ผมไม่
อยากจะเสี ย เวลามาทำลายสาขาอั น แสนจะไร้ ค่ า ของ
พวกคุณ!”
“ทำลายสาขาอันแสนจะไร้ค่า...”
เซียนสมุนไพรมองเห็นทุกอย่างมืดตื้อไปหมด
ทำลายสาขานี้...
นายแพทย์ไป๋ คุณรู้หรือเปล่าว่าในห้องโถงแห่งยา
พิษมีนักรบขั้นจงซรืออยู่กี่คน?
ลำพังพละกำลังของเรา 2 คนน่ะ...คงถูกตีตายเสีย
ก่อนที่จะทันได้พบผู้อาวุโสเสียด้วยซ้ำ ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่
วางยาเราเสียก่อนนะ...
ถึงเซียนสมุนไพรจะหายใจหายคอแทบไม่ออก แต่
เขาก็เข้าใจเจตนาของนายแพทย์ไป๋เป็นอย่างดี
ในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจจะสวมบทบาทของผู้แทนจาก
สำนักงานใหญ่ ก็ต้องวางท่าแบบนั้นเป็นธรรมดา
ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานใหญ่จะปล่อยให้กูรูยาพิษ
ของสาขาเล็กๆเหยียบย่ำเอาได้อย่างไร ถ้าเขาไม่ข่มขวัญ
เสียตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปจะพูดอย่างไรก็คงไม่มีใครเชื่อ
แต่ว่า...จะทำให้คนพวกนี้หวาดกลัวได้อย่างไร?
จะต้องทำให้ทุกคนในห้องโถงแห่งยาพิษรู้เสียก่อน
ว่า...ผู้แทนจากสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่!
ด้วยวิธีนี้ ก็ยังพอจะยืนหยัดอยู่ได้ แต่ถ้าหลุดอะไร
ออกมาสักหน่อยล่ะก็ ได้ตายศพไม่สวยแน่
เซียนสมุนไพรถึงกับขาสั่นด้วยความหวาดกลัว
ในฐานะผู้กุมอำนาจของเมืองบัวแดง แน่นอนว่า
เขาไม่ใช่ไก่อ่อนสำหรับเรื่องแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อ
นึกภาพว่าห้องโถงแห่งยาพิษรับมือกับศัตรูของพวกเขา
อย่างไร ก็ถึงกับเย็นวาบไปตลอดทั้งสันหลัง เขาไม่อาจ
ควบคุมตัวเองให้สงบได้
“คุณ...”
ได้ยินแบบนั้น ต่อให้กูรูยาพิษหลิวกับคนอื่นๆจะโง่
เง่าอย่างไร ก็ชัดเจนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาย่อมไม่
ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจหาญวางท่าหยิ่งผยองใน
ห้องโถงแห่งยาพิษได้แบบนี้ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขา
ก็เอ่ยถาม “ขอผมทราบหน่อยได้ไหมว่า...ผมควรจะเรียก
คุณว่าอย่างไร?”
จางเซวียนยืนนิ่งและปิดปากเงียบ ราวกับจะบอก
ว่าคนพวกนี้ไม่คู่ควรที่เขาจะพูดด้วย
เห็นนายแพทย์ไป๋วางท่าแบบนั้น เซียนสมุนไพร
ทำได้แค่รวบรวมความกล้า เขาก้าวออกมา สูดหายใจลึก
เท่าที่จะทำได้ ก่อนจะพูดว่า “เอ่อ...นี่คือ...ผู้แทนที่ทาง
สำนักงานใหญ่ส่งมา!”
“ผู้แทน?”
กูรูยาพิษหลิวกับคนอื่นๆถึงกับหน้าเครียด
พวกเขารู้ ว่ า บรรดาผู้ อ าวุ โ สได้ ร้ อ งขอผู้ แ ทนจาก
ทางสำนักงานใหญ่เพื่อให้มาระงับความขัดแย้งภายใน
แต่ไม่คิดว่าทางสำนักงานใหญ่จะส่งคนมาจริงๆ!
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงวางท่าขนาดนั้น ถึง
กับโจมตีพวกเขาอย่างปุบปับโดยไม่นึกถึงผลที่จะตามมา
ถ้าเขาเป็นผู้แทนจากสำนักงานใหญ่จริงๆ เขาก็มี
อำนาจเพียงพอที่จะทำแบบนั้น
“ถ้าคุณเป็นผู้แทน...คุณมีเหรียญตราหัวใจยาพิษ
ทองคำจากสำนักงานใหญ่มาด้วยหรือเปล่า?”
กูรูยาพิษหลิวก้าวออกมา และพยายามปรับลม
หายใจของตัวเองให้เป็นปกติ
เหรี ย ญตราหั ว ใจยาพิ ษ ทองคำเป็ น ตราที่ ท าง
สำนั ก งานใหญ่ ใ ช้ ร ะบุ ตั ว ตนของผู้ แ ทน มี เ พี ย งสิ่ ง นี้
เท่านั้นที่จะบอกได้ว่าใครคือผู้แทนตัวจริง มันแสดงถึง
อำนาจสิทธิ์ขาดที่ผู้แทนได้รับจากทางสำนักงานใหญ่ ซึ่ง
จะว่าไปก็เหมือนกับดาบอาญาสิทธิ์
เมื่อได้ยินคำถามนั้น เซียนสมุนไพรถึงกับกำหมัด
แน่น
ก็นายแพทย์ไป๋คนนี้เป็นตัวปลอม จะไปมีเหรียญ
ตราหัวใจยาพิษทองคำได้อย่างไร!
และถ้าไม่มีออกมาให้ดู อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางเชื่อ...
เซียนสมุนไพรพยายามคิดหาข้อแก้ตัวต่างๆนานา
อย่างเช่นทำหายระหว่างทาง หรือลืมเอามา แต่ทั้งหมดก็
ล้วนฟังไม่ขึ้น
ผู้แทนของห้องโถงแห่งยาพิษสำนักงานใหญ่จะทำ
เหรียญตราหัวใจยาพิษทองคำหายได้อย่างไร? เทียบได้
กับการที่ทูตคนหนึ่งทำดาบอาญาสิทธิ์หายเลยทีเดียว ซึ่ง
นั่นก็เท่ากับความตาย!
ต่อให้โง่เง่าแค่ไหน เรื่องแบบนี้ก็เหลือเชื่อเกินไป!
เซี ย นสมุ น ไพรหั น ไปมองนายแพทย์ ไ ป๋ อ ย่ า งเป็ น
ห่วง อยากรู้ว่าเขาจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร แต่สิ่งที่เขา
เห็นคือนายแพทย์ไป๋หรี่ตาจ้องมองฝูงชน และแผ่รังสี
คุกคามออกมาชนิดที่ทำให้คนพวกนั้นแทบหยุดหายใจ
“พวกคุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”
จางเซวียนคำรามเสียงขุ่นและออกคำสั่งอย่างวาง
อำนาจ “เรียกรองหัวหน้ากับผู้อาวุโสมาพบผม!”
“ผม...”
ใบหน้าของกูรูยาพิษหลิวแดงก่ำด้วยความโกรธ
ตั้งแต่เขาได้เป็นกูรูยาพิษ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่
ผู้คนให้ความเคารพและยำเกรงมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่
มีคนมาตำหนิเขาซึ่งๆหน้า
แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้ว่า ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้แทนตัวจริง
อย่างน้อยก็ต้องเป็นกูรูยาพิษระดับ 4 ดาว ต่อหน้าคน
ระดับนั้น เขาก็ไม่มีความหมายใดๆเลย
“มีอะไรกัน?”
กู รู ย าพิ ษ หลิ ว กำลั ง คิ ด วกไปวนมาว่ า จะรายงาน
เรื่องนี้ให้รองหัวหน้าและคนอื่นๆรู้ดีหรือไม่ เสียงเย็น
เยียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น จากนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ก้าว
ยาวๆเข้ามา
“ผู้เฒ่านิลเนตร...”
เมื่ อ เห็ น ผู้ อ าวุ โ ส กู รู ย าพิ ษ หลิ ว รี บ ประสานมื อ
คารวะทันที
ผู้ที่เข้ามาคือผู้อาวุโสที่ 4 ของห้องโถงแห่งยาพิษ,
ผู้เฒ่านิลเนตร
นัยน์ตาของผู้อาวุโสที่ 4 เป็นสีดำสนิท ไม่มีตาขาว
เหมือนมนุษย์ทั่วไป เมื่อมองไกลๆเขาจึงดูเหมือนปีศาจ
ร้ายอันน่าสะพรึง
มีเรื่องเล่าว่า เขาพลาดพลั้งทำยาพิษเข้าตาระหว่าง
การผสมยาพิษครั้งหนึ่ง ทำให้มีสภาพอย่างที่เห็น นับแต่
บัดนั้น เขาก็ได้รับการขนานนามตามดวงตาสีดำสนิท
ของเขา และชื่อที่ใช้มาแต่ดั้งเดิมก็ค่อยๆถูกลืมเลือนไป
เป็นที่รู้กันทั่วทั้งห้องโถงแห่งยาพิษว่าผู้เฒ่านิลเนตร
คนนี้มีบทลงโทษที่เฉียบขาด แถมยังเป็นกูรูยาพิษที่ไร้
ความเมตตาที่สุดคนหนึ่ง
โดยปกติ เมื่อพวกเขาเห็นผู้อาวุโสคนนี้ ก็มีแต่จะ
หวาดกลัวและอยากวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ตอนนี้ทุกคนต่างรู้สึกว่ามีคนหนุนหลัง พวกเขาพากัน
ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เรียนผู้เฒ่านิลเนตร เซียนสมุนไพรนำ...ผู้อาวุโส
คนนี้ ม า เขาอ้ า งว่ า ตั ว เขาเป็ น ผู้ แ ทนจากสำนั ก งาน
ใหญ่...”
กูรูยาพิษหลิวก้าวออกมาและอธิบาย
“ผู้แทน?”
ผู้เฒ่านิลเนตรขมวดคิ้วและจ้องชายวัยกลางคนที่
อยู่ตรงหน้า
รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจับจ้องเขาอยู่ จางเซวียนทำเป็น
ไม่รู้ไม่ชี้และมองตรงไปข้างหน้าอย่างเฉยเมย
“ผู้แทนที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมาจะมีทั้งสายแดง
ขาว ทอง และเขียว...ขอผมทราบหน่อยได้ไหมว่าคุณอยู่
สายไหน?”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผู้เฒ่านิลเนตรก็ประสาน
มือคารวะ
ในฐานะผู้อาวุโส เขารู้ดีว่าผู้แทนมีอำนาจอย่างไร
ดังนั้นจึงไม่กล้าทำตัวก้าวร้าวอย่างกูรูยาพิษโจวและคน
อื่นๆ
เขาปรับท่าทีของตัวเอง
“แดง ขาว ทอง และเขียว? ผู้แทนก็มีต่างสายกัน
ด้วยหรือ?”
บรรลัยล่ะสิ! เซียนสมุนไพรใจหายวาบ
เขารู้ว่าห้องโถงแห่งยาพิษสำนักงานใหญ่สามารถ
ส่งผู้แทนมาที่สาขาย่อยได้ แต่ไม่รู้เลยว่าผู้แทนก็มีสาย
ต่างกันด้วย เพราะฉะนั้น นายแพทย์ไป๋ก็ต้องไม่รู้เรื่องนี้
แน่
อันที่จริง ก็เป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นกับดักที่ผู้อาวุโส
ทั้ง 6 เตรียมไว้ ถ้านายแพทย์ไป๋ตอบคำถามนี้ไม่ได้ อีก
ฝ่ายย่อมแน่ใจว่าเขาเป็นตัวปลอม และคงถูกสังหารทันที
เซี ย นสมุ น ไพรหั น ไปมองนายแพทย์ ไ ป๋ อ ย่ า ง
ประสาทกินอีกครั้ง เขารู้ดีว่าการปลอมตัวเป็นผู้แทนเป็น
เรื่องยาก แต่นึกไม่ถึงว่าจะปั่นประสาทขนาดนี้
ถ้าเขาใจเสาะกว่านี้สักหน่อย คงกลัวจนตาเหลือก
ตาปลิ้นไปแล้ว
“คุณคือรองหัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษสาขานี้หรือ
เปล่า?”
จางเซวียนไม่สนใจทั้งอาการประสาทกินของเซียน
สมุนไพรและคำถามของอีกฝ่าย เขาตั้งคำถามกลับ
“ผม...ไม่ใช่!” ผู้เฒ่านิลเนตรผงะไป “ผมเป็นแค่ผู้
อาวุโสที่ 4...”
“ก็ในเมื่อไม่ใช่ แล้วใครอนุญาตให้คุณมาพล่าม
เลอะเทอะอยู่ตรงนี้?” จางเซวียนหน้าเครียด
“เอ่อ...”
ผู้เฒ่านิลเนตรถึงกับไปไม่เป็น
“ผู้ แ ทนคนก่ อ นคงใจดี เ กิ น ไปสิ น ะ พวกคุ ณ ถึ ง
เหลาะแหละกันแบบนี้ นี่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะ
ตั้งคำถามเกี่ยวกับธุระของสำนักงานใหญ่หรือ?”
จางเซวี ย นสะบั ด แขนเสื้ อ และมี สี ห น้ า เย็ น เยี ย บ
“กล้าดีอย่างไร กูรูยาพิษของสาขากระจอกงอกง่อยถึงมา
ตั้งคำถามกับผม! ใครอนุญาตให้คุณทำแบบนั้น!”
“เอ่อ...”
ผู้เฒ่านิลเนตรหายใจถี่ ดูเหมือนจะมีพายุก่อตัวขึ้น
ในดวงตาสีดำสนิทของเขา แต่ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็
ปรับท่าทีได้และตอบว่า “ผมไม่บังอาจหรอก ผมจะเรียก
รองหัวหน้าและผู้อาวุโสสูงสุดมาต้อนรับผู้แทนเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นเขาก็เดินออกไป
เห็นผู้อาวุโสที่ 4 ผู้แสนจะเย็นชาถูกตวาดต่อหน้า
ธารกำนัล และต้องกลับออกไปโดยไม่กล้าเถียงสักแอะ
ทั้งกูรูยาพิษโจว กูรูยาพิษหลิว และคนอื่นๆถึงกับตัวสั่น
พวกเขาหันมามองจางเซวียนอีกครั้งด้วยแววตา
ยำเกรง
“เฮ่อ!”
รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของคนพวกนั้น จาง
เซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากประสบการณ์ในการปลอมตัวเป็นปรมาจารย์
เขารู้ว่ากุญแจของการโน้มน้าวใจคนอื่นคือการทำตัวให้มี
อำนาจเข้าไว้!
อีกครู่หนึ่งให้หลัง ตอนที่กูรูยาพิษหลิวกับคนอื่นๆ
แทบจะเป็นบ้าเพราะความกดดัน อีกสองสามร่างก็เดิน
เข้ามา
พวกเขาคือรองหัวหน้าทั้งสาม ผู้อาวุโสสูงสุด และ
บุคลากรระดับสูงอีก 2-3 คนของห้องโถงแห่งยาพิษ
หัวหน้าคนเก่ามีลูกศิษย์สายตรงอยู่ 3 คน ซึ่งก็คือ
รองหัวหน้าทั้ง 3 นั่นเอง
พวกเขาล้วนเป็นกูรูยาพิษระดับ 2 ดาวและนักรบ
จงซรือขั้นสูงสุด
รองหัวหน้าทั้งสามได้กุมอำนาจส่วนหนึ่งของห้อง
โถงยาพิ ษ มานานหลายปี แ ล้ ว และแต่ ล ะคนก็ มี ผู้
สนับสนุนอยู่กลุ่มหนึ่ง มาถึงตอนนี้ก็พูดได้ว่าทุกคนมีภาษี
พอๆกัน
นี่ เ ป็ น เหตุ ผ ลที่ ท ำให้ ก ารต่ อ สู้ แ ย่ ง ชิ ง ตำแหน่ ง
หัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษมีทีท่าจะยืดเยื้อยาวนาน
“ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้มาต้อนรับผู้แทน!”
ชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมสีเขียวก้าวออกมา
มองปราดเดียว จางเซวียนก็รู้ว่านั่นคือรองหัวหน้า
คนที่ 1, เหลี่ยวฉวิน!
ถึ ง เซี ย นสมุ น ไพรจะไม่ รู้ เ รื่ อ งของผู้ แ ทนจาก
สำนักงานใหญ่มากนัก แต่เขารู้จักรองหัวหน้าห้องโถง
แห่งยาพิษทั้งสามคน และระหว่างทางที่มา เขาได้
พรรณนาบุคลิกลักษณะของแต่ละคนให้จางเซวียนฟัง
อย่างละเอียด
เหลี่ยวฉวินเป็นกูรูยาพิษระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด
และมีโอกาสจะได้เป็นระดับ 3 ดาวในอนาคตอันใกล้ ถึง
จะดูมีทีท่าสุภาพ แต่รอยยิ้มของเขาซ่อนความเชือดเฉือน
ไว้ภายใน
เป็นไปได้ทีเดียวที่เขาจะยิ้มให้คุณ และจ้วงแทงคุณ
ข้างหลังทันทีที่คุณหันไป
หมาป่าที่คลุมร่างด้วยหนังแกะ
ชายวัยกลางคนอีก 2 คนที่ยืนข้างเหลี่ยวฉวินต่างก็
ก้าวออกมาและโค้งคำนับ “รองหัวหน้าห้องโถงแห่งยา
พิ ษ สาขาสั น เขาบั ว แดง เหยาชิ ง (เก๋ อ เสี่ ย ว)คารวะผู้
แทน!”
จางเซวียนพยักหน้าเล็กน้อยรับการคารวะของพวก
เขา
“ผมควรจะเรี ย กคุ ณ ว่ า อย่ า งไร? ถ้ า ไม่ เ ป็ น การ
รบกวน คุณช่วยแสดงเหรียญตราหัวใจยาพิษสีทองของ
คุณให้ผมดูหน่อยได้ไหม? ไม่ใช่เพราะว่าผมสงสัยตัวตน
ของคุณหรอก แต่มันเป็นกฎของทางสำนักงานใหญ่ ผู้
แทนจะต้องแสดงเหรียญตราเพื่อยืนยันตัวตนของเขา
ก่อนที่เราจะอนุญาตให้คุณเข้าไป!”
รองหัวหน้าทั้งสามคนและกลุ่มผู้อาวุโสเดินมาหา
จางเซวียน รองหัวหน้าคนที่ 1, เหลี่ยวฉวินยิ้มอย่าง
สุภาพขณะที่เอ่ยถาม
“คุณอยากเห็นเหรียญตราหัวใจยาพิษทองคำของ
ผมหรือ? ผมไม่รังเกียจที่จะแสดงหรอก!”
จางเซวียนมองเขาอย่างเฉยเมย ด้วยน้ำเสียงที่เย็น
เยียบและสุขุมถึงขั้นสุด เขาพึมพำ “แต่ว่า...”
“คุณคู่ควรหรือเปล่า?”
(Footnote: ดาบอาญาสิทธิ์... ในประเทศจีนเรียก
กันว่าซางฟางเปาเจียน ในสมัยโบราณ ผู้ที่ได้ถือดาบนี้
คือผู้แทนขององค์ฮ่องเต้)
ตอนที่ 277 โผล่มาอีกคน

เซี ย นสมุ น ไพรกำลั ง สงสั ย ว่ า นายแพทย์ ไ ป๋ จ ะแก้


สถานการณ์ระหว่างตัวเขากับรองหัวหน้าทั้ง 3 และผู้
อาวุโสอีกทั้งกลุ่มได้อย่างไร ก็พอดีได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบ
คำถาม ถึงตอนนั้น ตัวเขาก็เห็นอนาคตอันวายวอดอยู่
รำไร
เหรี ย ญตราหั ว ใจยาพิ ษ สี ท องนั้ น เป็ น หลั ก ฐาน
ยืนยันตัวตนของผู้แทน ก็เป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายจะต้องขอ
ดู ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรกับคำพูดของพวกเขาเลย
แต่กลับไปถามว่าพวกเขาคู่ควรหรือเปล่า...
หัวหน้าคนเก่าก็ตายไปแล้ว ตอนนี้รองหัวหน้าทั้ง 3
และผู้อาวุโสกลุ่มนั้นก็เป็นบุคลากรขั้นสูงของห้องโถงแห่ง
ยาพิษ ถ้าพวกเขาไม่คู่ควร แล้วใครจะคู่ควร?
ถึงผู้แทนจะมีตำแหน่งสูงส่งแค่ไหน ก็ต้องเพลาๆ
ความเย่อหยิ่งไว้บ้าง ทำกร่างแบบนั้น...มีหวังถูกเอาตาย
แน่
“ผู้แทนคงล้อพวกเราเล่นกระมัง!”
ตามที่เซียนสมุนไพรคาด รองหัวหน้ายิ้มสู้คำพูด
ของจางเซวียน “ผมเป็นรองหัวหน้าคนที่ 1 ของสาขา
สันเขาบัวแดง ในเมื่อหัวหน้าไม่อยู่แล้ว ผมก็มีตำแหน่ง
สูงสุดที่นี่ ซึ่งตามปกติผมย่อมคู่ควร!”
“ผมรู้ ว่ า หั ว หน้ า ของพวกคุ ณ ตายไปแล้ ว และ
เหตุ ผ ลที่ ผ มมาที่ นี่ ก็ เ พื่ อ ตั ด สิ น ใจเลื อ กหั ว หน้ า คนใหม่
แล้วทำไมผมถึงจะต้องลดตัวลงไป?”
“ก่อนจะมีการตัดสินเลือกหัวหน้าคนใหม่ พวกคุณ
ก็มีสถานภาพเท่าเทียมกัน ถ้าคุณคิดว่าคุณคู่ควรล่ะก็
อย่าพูดแต่ปาก...พิสูจน์ให้ผมเห็นสิ ด้วยความเชี่ยวชาญ
และความเข้าใจในเรื่องยาพิษของคุณ”
จางเซวียนสะบัดแขนเสื้อและจ้องทั้งกลุ่มอย่างวาง
อำนาจ “ที่ห้องโถงแห่งยาพิษของเราต้องการคือกูรูยา
พิษผู้เก่งกาจสามารถ ไม่ใช่คนโง่เง่าไร้ประโยชน์ฝูงหนึ่ง!”
“ความเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ?” เหลี่ยวฉวินถึงกับ
ผงะ “ผู้แทนจะทดสอบพวกเรา?”
“ถูกต้อง ผมไม่อยากสิ้นเปลืองเวลาและลมหายใจ
ไปกับพวกคุณ คุณค่าของกูรูยาพิษควรจะถูกตัดสินจาก
ยาพิษที่พวกคุณผสมออกมา พวกคุณทุกคนจะต้องผสม
ยาพิษชนิดหนึ่ง ซึ่งผมจะเฝ้าสังเกตอยู่ห่างๆ ใครที่
สามารถผสมยาพิษในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน หรือ
พูดถึงทฤษฎีที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนขึ้นมาได้ ก็จะคู่ควร
กับการได้เห็นเหรียญตราหัวใจยาพิษทองคำ และได้เป็น
หัวหน้าคนต่อไป!”
จางเซวียนมองฝูงชนด้วยสายตาเฉยเมย “ไม่อย่าง
นั้ น แทนที่ จ ะต้ อ งแขวนทั้ ง สาขาไว้ กั บ คนโง่ เ ง่ า ไร้
ประโยชน์ ผมก็ควรจะทำลายมันด้วยมือของตัวเองเสียดี
กว่า!”
“เอ่อ...”
เมื่ อ ได้ ยิ น ถ้ อ ยคำที่ แ สนจะทะลุ ท ะลวงจากผู้ แ ทน
ทั้งกลุ่มต่างมองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด
ที่ผ่านมา ตราบใดที่พวกเขาดูแลผู้แทนอย่างดี ผู้
แทนก็จะทำตามความต้องการของพวกเขา
แต่เท่าที่ดู วิธีเดิมๆน่าจะใช้ไม่ได้กับผู้แทนคนนี้
แค่มาถึงก็วางอำนาจเสียแล้ว แถมยังประกาศว่า
ตำแหน่งหัวหน้าจะต้องได้มาจากความสามารถเท่านั้น
ไม่มีทางเป็นสิ่งอื่นไปได้
และใครที่มีความสามารถไม่พอก็ควรจะหยุดพล่าม
.....
“สมกับเป็นคนที่กำจัดสัญญาหนอนกู้ให้เราจริงๆ
เจ๋งโคตร!”
เมื่อเห็นว่านายแพทย์ไป๋แก้ไขสถานการณ์วิกฤตได้
ด้วยคำพูดแค่สองสามคำ เซียนสมุนไพรถอนหายใจเฮือก
ใหญ่อย่างโล่งอก และประทับใจกับความเก่งกาจของอีก
ฝ่ายแบบสุดๆ
นายแพทย์ไป๋คนนี้ไม่ได้เก่งแค่การรักษาโรค แต่ยัง
เข้าใจความคิดของมนุษย์อย่างลึกซึ้งด้วย
เพราะรู้ ดี ว่ า รองหั ว หน้ า ทั้ ง สามกำลั ง แย่ ง ชิ ง
ตำแหน่งหัวหน้าคนต่อไปอยู่ เขาจึงใช้มันเป็นเดิมพัน
อย่างชาญฉลาด
พวกนั้ น ฟาดฟั น ยื้ อ แย่ ง ตำแหน่ ง กั น มานานแล้ ว
และไม่มีใครพร้อมจะยอมใคร เมื่อตอนนี้มีทูตเข้ามาแก้ไข
ความขัดแย้ง ทุกคนจึงมุ่งมั่นจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้
เพื่อให้ตัวเองเหนือกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ
ถึงพวกนั้นจะยังสงสัยตัวตนของเขา แต่ก็ไม่อยู่ใน
ฐานะที่จะไปพิสูจน์ได้ หากใครยังดันทุรัง ก็หมายความ
ว่า...ตัวผู้แทนเป็นคนไร้ความสามารถ และไม่อาจจัดตั้ง
หัวหน้าได้!
แค่คำเดียว ก็เหมือนกับการยิงธนูเข้าใส่รองหัวหน้า
สามคนนั้น และผลักดันให้พวกเขาออกมาต่อสู้กัน
ช่างน่าทึ่งจริงๆ!
แต่ว่า...
ถ้าจะทดสอบทั้งสามคนนั้น คุณก็ต้องมีความรู้เรื่อง
ยาพิษเป็นอย่างดีด้วย ในเมื่อคุณบอกว่าเมื่อครึ่งเดือน
ก่อน คุณยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากูรูยาพิษคืออะไร แล้วจะไป
ทดสอบพวกนั้นได้อย่างไรกัน?
ถ้าคุณไม่รู้จักยาพิษที่รองหัวหน้าทั้งสามผสมออก
มา ก็จะเห็นกันโต้งๆเลยว่าคุณเป็นตัวปลอม ไม่ต้องขอดู
เหรียญตราหัวใจยาพิษสีทองเลยก็ได้!
เมื่อคิดแบบนั้น หน้าตาของเซียนสมุนไพรก็ขมขื่น
หนักไปอีก
เขารู้สึกได้ว่าชีวิตของตัวเองแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ผิดพลาดเพียงนิดเดียว ก็คงตกลงมาตายหยังเขียด
....
เมื่อจัดการเรื่องราวเรียบร้อย รองหัวหน้าทั้งสามก็
นำทางทั้งคู่เข้าไปยังตึกที่โอ่อ่าที่สุดในเมือง
“ผู้แทน ได้โปรดไขข้อข้องใจให้พวกเราด้วยว่าคุณ
จะทดสอบอย่างไร!”
รองหัวหน้าเหลี่ยวตั้งคำถามทันทีที่ทุกคนนั่งลงแล้ว
“ง่ายมาก การทดสอบของผมจะมี 2 ขั้น ขั้นแรก
พวกคุณจะต้องแสดงความสามารถด้วยการผสมยาพิษที่
คุณเชี่ยวชาญ ในขั้นนี้ ใครที่ผสมยาพิษในเกรดสูงที่สุดก็
จะเป็นผู้ชนะ ส่วนขั้นที่ 2 พวกคุณจะต้องผสมยาพิษที่
คุณคิดค้นขึ้นเอง ใครที่คิดค้นยาพิษได้ร้ายกาจและซับ
ซ้อนที่สุดจนถึงขั้นที่ผมยังระบุไม่ได้ ก็จะได้เป็นผู้ชนะ!”
จางเซวียนพูดอย่างสุขุม
เมื่อได้ฟังรายละเอียด รองหัวหน้าทั้งสามต่างพยัก
หน้าอย่างพร้อมเพรียง
ก็เหมือนกับนักปรุงยา เกรดของยาพิษที่กูรูยาพิษ
ผสมออกมาจะบ่งบอกระดับของเขา และในขณะเดียวกัน
ยิ่งผสมยาพิษได้น่าทึ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็มีโอกาสจะได้เป็น
กูรูยาพิษในระดับที่สูงขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น การทดสอบขั้นแรกจึงเน้นที่ความสามารถ
ในขณะที่การทดสอบขั้นที่ 2 เน้นความปราดเปรื่อง หาก
ใครทำได้โดดเด่นทั้ง 2 ขั้น เมื่อได้เป็นหัวหน้าห้องโถง
แห่งยาพิษคนใหม่ ก็จะไม่มีใครคัดค้านได้เลย
“เอาล่ ะ ผมจะให้ เ วลาพวกคุ ณ เตรี ย มตั ว 4
ชั่วโมง!”
จางเซวียนโบกมือให้พวกเขาไป จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
“หอสมุดของพวกคุณอยู่ที่ไหน? ผมได้รับคำสั่งจากทาง
สำนักงานใหญ่ให้ค้นหาหนังสือบางเล่ม”
“ค้นหาหนังสือบางเล่ม?”
ทุกคนงง แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นคำสั่งของสำนักงาน
ใหญ่ก็พากันลังเล และตัดสินใจว่าไม่ถามจะดีกว่า
“ผู้แทน หอสมุดอยู่ด้านโน้น ผมจะให้คนของผม
นำทางคุณไป!” เหลี่ยวฉวินรีบพูด
“ไม่ต้อง ผมเดินไปเองได้ พวกคุณไปเตรียมตัว
สำหรับการทดสอบเถอะ ตำแหน่งหัวหน้านั้นคือเสาหลัก
และผมหวังว่าพวกคุณจะแสดงความเก่งกาจออกมาให้
ผมพอใจได้ เพื่อผมจะได้รายงานให้ทางสำนักงานใหญ่
รู้!”
จางเซวียนพูดโดยเอามือไพล่หลังไว้
“ได้เลย!”
เหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆพยักหน้า
จางเซวียนมุ่งหน้าไปหอสมุดโดยไม่สนใจใคร
ห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ สาขาสั น เขาบั ว แดงก่ อ ตั้ ง มา
หลายสหัสวรรษแล้ว และมีหนังสือมากมาย จำนวน
หนังสือที่นี่ไม่น้อยไปกว่าที่ดงอสูรเลย
เมื่ อ เข้ า ไปในหอสมุ ด จางเซวี ย นก็ เ ห็ น หนั ง สื อ
ปริ ม าณมหาศาลจั ด เรี ย งอยู่ บ นชั้ น หนั ง สื อ อย่ า งเป็ น
ระเบียบ มองไปสุดลูกหูลูกตาก็ยังไม่เห็นว่าห้องนี้ไปสิ้น
สุดที่ไหน
มีทั้งม้วนเยื่อไผ่ ม้วนกระดาษที่มีเชือกมัดไว้ และ
แม้กระทั่งภาพพิมพ์บนกระเบื้องเคลือบและกระดูกสัตว์
แกะสลัก
ด้วยตำแหน่งที่ตั้งอันปลอดภัยของห้องโถงแห่งยา
พิษ มันจึงไม่ต้องเผชิญกับสงคราม ทำให้หนังสือทั้งหมด
ยังอยู่ในสภาพดี
“ไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะเข้ามาได้สบาย...”
เมื่อดูแล้วว่าไม่มีใครตามมา จางเซวียนถอนหายใจ
อย่างโล่งอก
จุดประสงค์เดียวของเขาในการเข้ามายังห้องโถง
แห่งยาพิษก็เพื่อพลิกดูหนังสือเหล่านี้ เขานึกว่าระหว่าง
ทางคงต้องพบเจอปัญหาและอุปสรรคมากมาย ไม่คิดเลย
ว่าจะเข้ามาได้ง่ายๆ
แต่จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก ถึงคนพวกนั้น
จะยังสงสัยความเป็นผู้แทนของเขา แต่ก็ไม่กล้าท้าทาย
อย่างออกนอกหน้า
เพราะหากจางเซวียนเกิดเป็นผู้แทนตัวจริงขึ้นมา
นั่นหมายความว่าเขารับมอบอำนาจมาจากสำนักงาน
ใหญ่ ทั้ ง สาขาอาจพั ง พิ น าศได้ เ ลยถ้ า พวกนั้ น ทำให้
ตัวแทนโมโห
แต่ในอีกแง่หนึ่ง ถ้าเขาเป็นตัวปลอม กว่าพวกนั้น
จะรู้ เขาก็คงเผ่นแน่บไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่มที างที่จะ
ตามทัน
“อย่าไปคิดเรื่องพวกนั้นเลย เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้
คือการอ่านหนังสือและแก้ไขรังสีพิษในตัวเรา!”
แม้รังสีพิษในตัวเขาจะถูกพลังปราณเทียบฟ้ากดไว้
แต่จางเซวียนก็รู้ว่าไม่นานมันต้องออกฤทธิ์ และถ้าเกิด
แบบนั้นขึ้นเมื่อไหร่ ชีวิตของเขาก็ย่อมตกอยู่ในอันตราย
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ เขาคงไม่เอา
ชีวิตเข้าเสี่ยงกับการบุกห้องโถงแห่งยาพิษแน่
ในเมื่อตอนนี้เขาอยู่ในหอสมุดของห้องโถงแห่งยา
พิษแล้ว เรื่องสำคัญที่สุดคือการทำเวลา
ตอนนี้รองหัวหน้าทั้งสามอาจยำเกรงเขาอยู่ แต่ใคร
จะไปแน่ใจได้ว่าพวกนั้นจะไม่เกิดไหวตัวทันขึ้นมา และ
กลับมาเอาเรื่องเขา
มีหนังสือจำนวนมหาศาลอยู่ที่นี่ แต่ด้วย ‘เทคนิค
การพลิกหนังสือแบบด่วนพิเศษ’ ของจางเซวียน เขาก็
สามารถถ่ายโอนข้อมูลทั้งหมดของพวกมันเข้าสู่หอสมุด
เทียบฟ้าได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมง
“ได้เวลาแล้ว!”
จางเซวียนถอนหายใจยาวและรวบรวมสมาธิ เขา
แตะหนังสือแถวแรกบนชั้นหนังสือชั้นแรก และเริ่มวิ่ง
......
“รองหัวหน้า คุณคิดว่าผู้แทน...เป็นตัวจริงหรือ
เปล่า?”
เหลี่ยวฉวินนั่งอยู่บนบัลลังก์โอ่อ่าที่อยู่ด้านหลังห้อง
และที่ยืนตรงหน้าเขาคือผู้เฒ่านิลเนตรซึ่งมีสีหน้ากังวลใจ
เป็นที่รู้กันทั่วว่าผู้เฒ่านิลเนตรไม่เข้าใครออกใคร
แต่ ไ ม่ มี ใ ครรู้ เ ลยว่ า อั น ที่ จ ริ ง เขาเป็ น บริ ว ารของรอง
หัวหน้าเหลี่ยวฉวิน
“ถ้ายังไม่ได้เห็นเหรียญตราหัวใจยาพิษทองคำ ต่อ
ให้ตัวผมก็ยืนยันไม่ได้!”
เหลี่ยวฉวินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ว่าแต่...ถึง
ห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ จะเก็ บ ตั ว เงี ย บมาตลอดระยะเวลา
หลายปี แต่ชื่อของมันก็ยังสร้างความหวาดกลัวให้กับ
ผู้คนได้ ผมยังสงสัยอยู่ว่าจะมีใครที่กล้าเข้ามารนหาที่
ตายถึงที่นี่!”
“ก็จริง...” ผู้เฒ่านิลเนตรพยักหน้า
ถึงห้องโถงแห่งยาพิษจะแยกตัวมาอยู่โดดเดี่ยว แต่
ก็ไม่ได้หมายความว่าใครหน้าไหนก็ข้ามหน้าข้ามตาพวก
เขาได้ ปลอมตัวเป็นผู้แทนหรือ...นั่นเท่ากับรนหาที่ตาย
ชัดๆ!
“อีกอย่าง การที่ใครสักคนจะลงมือทำอะไรก็ย่อมมี
เหตุผล ถ้าเขาปลอมตัวมา ก็แปลว่าที่นี่จะต้องมีของบาง
อย่างที่ควรค่าแก่การเสี่ยงชีวิต...” เหลี่ยวฉวินพูดต่อ
“นอกจากยาพิษแล้ว ที่นี่ไม่มีของมีค่าอย่างอื่นเลย ผมยัง
สงสัยว่าจะมีใครยอมเสี่ยงชีวิตเข้ามา!”
คนที่ทำแบบนั้นจะต้องมีวัตถุประสงค์แอบแฝง
ทั้งหมดที่ห้องโถงแห่งยาพิษมีก็คือยาพิษ และสิ่งมี
ค่าที่สุดที่พวกเขามีอยู่ในครอบครองก็คือสมุนไพร ใครที่
บังอาจปลอมตัวมา หากถูกจับได้ก็จะต้องตายในชั่วพริบ
ตา นึกไม่ออกว่าจะมีใครยอมเสี่ยงชีวิตถึงขนาดนั้นเพราะ
เรื่องแค่นี้!
ใครกันที่จะยอมเอาตัวเข้าแลกกับสมุนไพรซึ่งใช้เงิน
ซื้อหามาได้
ถ้าเขารู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาที่นี่เพียงเพราะหนังสือ...คง
กระอักเลือดออกมาและเสียสติไปแน่
อย่างน้อย ยาพิษก็มีมูลค่าซื้อขาย...แต่อ่านหนังสือ
พวกนั้น มันมีประโยชน์อะไร?
อี ก อย่ า ง จางเซวี ย นก็ ก ำลั ง วิ่ ง แทนที่ จ ะพลิ ก ดู
หนังสือพวกนั้น
“รองหัวหน้า คุณลืมเรื่องนั้น...ไปหรือเปล่า?” ผู้
เฒ่านิลเนตรอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“คุณหมายถึงเจ้าสิ่งที่อยู่ใต้ภูเขาไฟ?”
เหลี่ยวฉวินมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ใช่!” ผู้เฒ่านิลเนตรพยักหน้า “เหตุผลหลักที่ห้อง
โถงแห่งยาพิษสาขาสันเขาบัวแดงของเราต้องมาตั้งอยู่ใน
พื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารขนาดนี้ ก็เพราะเจ้าสิ่งนั้น
เป็นไปได้หรือไม่ว่าข่าวการเติบโตของมันได้รั่วไหลออก
ไป และทำให้หัวหน้าคนเก่าต้องตาย?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก!”
ได้ฟังแล้ว เหลี่ยวฉวินก็นิ่งไม่ไหวอีกต่อไป “เรียก
เซียนสมุนไพรเข้ามา ผมอยากถามอะไรเขาหน่อย!”
“ขอรับ!” ผู้เฒ่านิลเนตรเดินออกไป ครู่หนึ่ง เซียน
สมุนไพรก็ถูกนำตัวเข้ามา
“เซียนสมุนไพรคารวะรองหัวหน้าเหลี่ยวฉวินและผู้
เฒ่านิลเนตร!” เซียนสมุนไพรประสานมือคารวะ
“บอกผมมาซิว่าคุณพบกับผู้แทนได้อย่างไร? และ
อีกอย่าง ถ้าผมพูดไม่ผิด คุณน่าจะตายไปแล้ว ทำไมถึง
ยังมีชีวิตอยู่?”
เหลี่ยวฉวินหรี่ตา
“ด้วยอานุภาพของสัญญาหนอนกู้ ผมควรจะตาย
ไปแล้วจริงๆ แต่เป็นผู้แทนที่ช่วยชีวิตผมไว้ และจากนั้น
เขาก็บอกให้ผมพาเขามาที่นี่ ส่วนเรื่องอื่นๆที่นอกเหนือ
จากนี้...ผมไม่รู้!”
เซียนสมุนไพรลนลานพรั่งพรูคำพูดตามที่ได้ตกลง
กับนายแพทย์ไป๋ไว้ก่อนหน้า
“คุณไม่รู้เรื่องอื่นเลยจริงๆหรือ?” รองหัวหน้าเหลี่
ยวฉวิ น คำราม “รู้ ใ ช่ ไ หมว่ า ผลของการโกหกผมคื อ
อะไร?”
“ผมรู้!” เซียนสมุนไพรทรุดฮวบลงคุกเข่ากับพื้น
ด้วยความหวาดกลัว
“คำพูดของผมไม่มีอะไรเป็นความเท็จเลยแม้แต่
น้อย รองหัวหน้าก็รู้ดีว่าผมเป็นแค่หุ่นเชิดและกระบอก
เสียงของห้องโถงแห่งยาพิษ เพราะผู้อาวุโสคนนั้นบอกว่า
เขาเป็นผู้แทน ผมจึงไม่กล้ายับยั้งเขาไว้ และเท่าที่ผมทำ
ก็คือพาเขามาที่นี่ ผมไม่รู้เรื่องอื่นเลยจริงๆ!”
“อือ! ออกไปได้!”
หลังจากถามอีกสองสามคำถาม เหลี่ยวฉวินก็รู้ว่า
เขาไม่อาจเค้นอะไรจากปากเซียนสมุนไพรได้อีก
“ขอรับ!”
ราวกับถูกฮ่องเต้ไล่ เซียนสมุนไพรลนลานออกจาก
ห้องนั้นทันที
“ขนาดอาจารย์ของเรายังกำจัดสัญญาหนอนกู้ไม่
ได้ ถ้ามันหลอมรวมเข้ากับกระแสเลือดแล้ว แต่เขารักษา
ได้โดยไม่ทิ้งความบอบช้ำไว้เลย อย่างน้อยๆ คนนั้นก็ต้อง
เป็นกูรูยาพิษระดับ 4 ดาว!”
หลังจากเซียนสมุนไพรออกไปจากห้อง เหลี่ยวฉวิน
ก็เคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างพยายามวิเคราะห์เรื่องราว “มีแต่ที่
สำนักงานใหญ่เท่านั้นที่มีกูรูยาพิษระดับ 4 ดาว!”
ขนาดกูรูยาพิษที่เก่งกาจที่สุดในสาขาสันเขาบัวแดง
ก็เป็นแค่ระดับ 3 ดาวเท่านั้น
มีแต่สำนักงานใหญ่ที่เดียวที่จะมีกูรูยาพิษระดับ 4
ดาวอยู่
ในเมื่อเป็นแบบนั้น ผู้แทนคนนี้ก็น่าจะเป็นตัวจริง
“แต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็ปลอดภัยไว้ก่อน ผู้เฒ่า
นิลเนตร คุณช่วยไปที่หอสมุดเพื่อดูว่าผู้แทนกำลังมองหา
หนังสือประเภทไหน และดูด้วยว่าเขากำลังทำอะไร!”
เหลี่ยวฉวินสั่งการหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ขอรับ!”
ผู้เฒ่านิลเนตรรับคำและออกจากห้องไป
2 ชั่วโมงต่อมา เขาก็กลับมาที่ห้องเดิม สีหน้าของ
เขาบ่งบอกถึงความประหลาดใจและมึนงง
“มีอะไร? เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นหรือเปล่า? เขาหา
หนังสือที่ต้องการเจอไหม?”
เห็นสีหน้าของผู้เฒ่า เหลี่ยวฉวินอยากรู้จนต้องตั้ง
คำถาม
“ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก...และดูเหมือนเขาไม่ได้
กำลังมองหาหนังสือด้วย!”
ผู้เฒ่านิลเนตรส่ายหน้าแรงๆเมื่อนึกถึงภาพที่ได้เห็น
เขาเห็นผู้แทนที่แสนจะมึนตึงคนนั้นวิ่งวนไปทั่วหอ
สมุดราวกับคนบ้า ถึงฝ่ายนั้นจะบอกว่าเขากำลังมองหา
หนังสือ แต่กลับไม่ได้ดึงหนังสือออกมาสักเล่ม
เขาพบเจออะไรแปลกประหลาดมามากมายตลอด
ทั้งชีวิต แต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจกับสิ่งที่เพิ่งเห็นได้
ถ้าเขาไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้แทนล่ะก็ คงต้องคิด
ว่าหมอนั่นเป็นคนบ้า
“ไม่มีอะไรผิดปกติก็ดีแล้ว!”
เหลี่ยวฉวินถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่าทางผู้แทน
คนนี้จะเป็นตัวจริง ไม่ต้องไปสงสัยตัวตนของเขาแล้วล่ะ
เอาสมองมาขบคิดดีกว่าว่าจะผสมยาพิษชนิดไหนเพื่อให้
เขายอมรับ!”
ผู้เฒ่านิลเนตรพยักหน้า กำลังจะอ้าปากพูด กูรูยา
พิษหลิวที่ดูยุ่งยากใจก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง
“รองหัวหน้า...”
“มีอะไร?” เหลี่ยวฉวินขมวดคิ้ว
“มีคนอยู่ข้างนอก เขาขอพบคุณกับรองหัวหน้าอีก
2 คน...เขาอ้างว่าเขาเป็น...ผู้แทน!”
กูรูยาพิษหลิวละล่ำละลักด้วยความกังวล
“ผู้แทน?”
เหลี่ยวฉวินกับผู้เฒ่านิลเนตรมองหน้ากัน นัยน์ตา
เบิกโพลงด้วยความระแวง
ก็ผู้แทนอยู่ที่นี่แล้วไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไม...ถึงโผล่มาอีกคน?
ตอนที่ 278 คราวนี้เราตายแหงแก๋

เซียนสมุนไพรนั่งปาดเหงื่ออยู่ในห้องโถง
ไม่ ใ ช่ เ หลี่ ย วฉวิ น คนเดี ย วที่ ตั้ ง คำถาม ทั้ ง รอง
หัวหน้าคนที่ 2 และ 3 ก็ส่งคนมาสอบสวนเขาเหมือนกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะเตี๊ยมกันไว้ดิบดีล่ะก็ เจอเหตุการณ์แบบนี้
เขาคงเป็นบ้าแน่
มันกดดันกันมากเกินไป!
เขาเป็นแค่กระบอกเสียงเท่านั้น ไอ้การโชว์กร่าง
เมื่ออยู่ข้างนอกก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การโกหกบรรดากูรูยา
พิษที่นี่...มันเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึง
ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายได้ช่วยชีวิตเขาไว้ และทาง
ห้องโถงแห่งยาพิษก็ไม่เคยเห็นหัวเขาเลย เขาคงไม่ขอยุ่ง
เกี่ยวกับเรื่องนี้แน่...
แต่ตอนนี้ก็ไม่เหลือที่ทางไว้ให้ถอยแล้ว
นายแพทย์ไป๋ถูกเปิดโปงเมื่อไหร่ เขาก็คงตายตก
ตามไปในตอนนั้น
รองหัวหน้าทั้งสามจะต้องวางยาทุกคนที่รู้ว่าพวก
เขาถูกนายแพทย์คนหนึ่งตบตา และรู้ว่าพวกเขางี่เง่าจน
แยกแยะผู้แทนตัวจริงตัวปลอมไม่ได้
ถ้ า เรื่ อ งอั น แสนจะน่ า อั บ อายนี้ แ พร่ ส ะพั ด ออกไป
พวกเขาจะเอาศักดิ์ศรีที่ไหนไปควบคุมสั่งการบริวารและ
แย่งชิงตำแหน่งหัวหน้า
คงมีอีกหลายคนที่ต้องถูกสังหารเพื่อระบายความ
แค้นของพวกเขา
ถ้าเซียนสมุนไพรยังอยากมีชีวิตอยู่ เขาก็จะต้อง
หว่านล้อมให้ทุกคนเชื่อว่านายแพทย์ไป๋เป็นผู้แทนตัวจริง
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะไม่กล้ายื่นมือเข้าไปยุ่มย่าม
และเท่าที่เห็น ก็เหมือนว่าจะได้ผลดี
อย่างน้อยที่สุด แม้รองหัวหน้าทั้งสามจะยังสงสัยอยู่
แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามออกหน้าออกตา
“สงสัยจริงว่านายแพทย์ไป๋ต้องการอะไรจากห้อง
โถงแห่งยาพิษ เขาควรจะรีบไปหาเสียให้เสร็จๆ พวกเรา
จะได้รีบออกไป...”
เมื่อนึกถึงนายแพทย์ไป๋ เซียนสมุนไพรก็ได้แต่ส่าย
หน้า
อีกฝ่ายไม่ได้บอกเขาว่าทำไมถึงต้องเสี่ยงชีวิตมา
ห้องโถงแห่งยาพิษ แต่เซียนสมุนไพรก็คิดเอาเองว่าคงจะ
มีสมบัติล้ำค่าหรือบางอย่างที่เขาต้องการ ซึ่งถ้าเป็นแบบ
นั้น เขาก็ควรจะรีบไปค้นหา...แล้วมันเรื่องอะไรถึงมัวไป
วิ่งอยู่ในหอสมุด?
หนังสือที่อยู่ในนั้นก็มีแต่เรื่องเกี่ยวกับกูรูยาพิษ ใน
เมื่อกูรูยาพิษทุกคนสามารถเข้านอกออกในที่นั่น ก็เป็นไป
ไม่ได้ที่จะมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ข้างใน
หรือว่าเขาเสี่ยงชีวิตมาที่นี่...เพียงเพื่อหนังสือ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เรื่องนี้ก็บ้าบอสิ้นดี!
“ช่างมันเถอะ เขาก็น่าจะรู้อยู่ว่ามีอันตราย คงไม่
อยู่ที่นี่นานนักหรอก...”
แค่เซียนสมุนไพรคิดขึ้นมาแว่บเดียว ก็เกิดความ
ชุลมุนอยู่ข้างนอก บรรดากูรูยาพิษต่างมุ่งหน้าไปยังประตู
ทางเข้า
ที่นี่ปิดตายจากคนนอกมาหลายต่อหลายปี และ
เหล่ากูรูยาพิษก็อยู่ในที่ทางของตัวเอง จัดการแต่ธุระของ
ตัวเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ซึ่งก็แทบจะไม่เคยมีความ
เคลื่อนไหวใหญ่ๆภายในเมืองเลย แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น?
“กูรูยาพิษฮั่น มีอะไรกัน?”
เซียนสมุนไพรลุกขึ้นยืนและดึงตัวกูรูยาพิษที่ยืนอยู่
ข้างๆมาถาม
“คุณไม่รู้หรือ? เขาพูดกันว่ามีใครอีกคนหนึ่งมาอ้าง
ตั ว ว่ า เป็ น ผู้ แ ทน แถมยั ง บอกว่ า ทุ ก คนที่ นี่ ค วรจะไป
ต้อนรับเขา!” กูรูยาพิษฮั่นพูด
ก็ในเมื่อนายแพทย์ไป๋เป็นตัวปลอม แสดงว่า...นั่น
คือตัวจริง?
ถ้าเขาเป็นตัวจริงล่ะก็ พวกเราเดือดร้อนแน่!
ไม่อยากจะเชื่อว่าโชคชะตาจะเล่นตลกถึงขนาดให้
พวกเขาได้เจอกับตัวจริงภายใต้สถานการณ์แบบนี้ และที่
เลวร้ายหนักไปกว่าเดิม ก็คือพวกเขาต้องติดแหง็กอยู่ที่
นี่...
เซียนสมุนไพรรู้สึกหน้ามืดตาลายไปหมด
“นั่นแหละ ไปดูกันเถอะ น้อยครั้งเหลือเกินที่ทาง
สำนักงานใหญ่จะส่งใครมา แล้วเกิดอะไรขึ้นถึงส่งมาที
เดียว 2 คน?” กูรูยาพิษฮั่นก็งง ขณะที่พูดก็เหน็บเซียน
สมุนไพรไปที่ประตูทางเข้า
“เอ่อ...”
เซียนสมุนไพรถึงกับแข้งขาสั่น เขาส่ายหน้าอย่าง
ร้อนรนและตอบว่า “ผม...ผมขอไม่ไปนะ!”
พวกเขาเพิ่งจะย่างเท้าเข้ามา ผู้แทนตัวจริงก็มา
ปรากฏตัวเสียแล้ว สวรรค์ต้องล้อเล่นกับเราแน่!
“ไปกันเถอะ!”
กูรูยาพิษฮั่นเหน็บเซียนสมุนไพรไปด้วย ไม่สนใจ
การปฏิเสธของเขา ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงประตูทางเข้า
ตอนที่มาถึง ปากทางก็คลาคล่ำไปด้วยกูรูยาพิษ
จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว รองหัวหน้าทั้งสามและผู้อาวุโส
ทุกคนยืนอยู่แถวหน้า
มี 2 ร่างยืนอยู่ตรงหน้าคนเหล่านั้น
“พ่อบ้านลู่?”
มองแว่บเดียว เซียนสมุนไพรก็จำหนึ่งในสองคนนั้น
ได้
คือพ่อบ้านลู่จากคฤหาสน์ของเขาเอง
เขาเคยพาพ่อบ้านลู่มาที่นี่ครั้งหนึ่ง แต่ฝ่ายนั้นแค่
รอที่หน้าประตูทางเข้า ไม่น่าเชื่อว่าจะยังจำทางได้
เขาคงเป็นคนนำทาง เพราะไม่อย่างนั้นก็ยากที่ผู้
แทนจะหาห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ ซึ่ ง ซ่ อ นตั ว อยู่ ท่ า มกลาง
หุบเขาเจอ
เมื่อรู้ที่มาที่ไปแล้ว เซียนสมุนไพรก็มองอีกคนที่ยืน
อยู่ข้างๆ
เป็นชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมสีแดงเข้ม เขายืน
เชิดหน้าและเอามือไพล่หลังไว้ สีหน้าของเขาแปลก
ประหลาดจนดูไม่ออกว่ายิ้มหรือบึ้ง
“นั่นคือ...ตราสัญลักษณ์...กูรูยาพิษระดับ 3 ดาว?”
เซียนสมุนไพรจับจ้องเสื้อคลุมของอีกฝ่าย และถึง
กับหน้าตาบูดเบี้ยว
มีตราสัญลักษณ์กูรูยาพิษห้อยอยู่ที่อกเสื้อของฝ่าย
นั้น ดาว 3 ดวงเปล่งประกายวาววับ
แม้แต่หัวหน้าคนเก่า ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจ
ที่สุดของห้องโถงแห่งยาพิษ ก็เป็นแค่กูรูยาพิษระดับ 3
ดาวขั้นต้นเท่านั้น เมื่อเขาตายไป ตำแหน่งสูงสุดก็ถูก
ครอบครองโดยรองหัวหน้าเหลี่ยวฉวิน กูรูยาพิษระดับ 2
ดาวขั้นสูงสุด แต่ผู้มาเยือนเป็นถึงกูรูยาพิษระดับ 3
ดาว...
ตอนแรก เซียนสมุนไพรสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจเป็นตัว
ปลอม แต่เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ของเขา ความหวังอัน
น้อยนิดนั้นก็แหลกสลายไป
ต่อให้เขาไม่ใช่ผู้แทน แต่ด้วยสถานะกูรูยาพิษระดับ
3 ดาว ก็ไม่มีใครในห้องโถงยาพิษแห่งนี้จะกล้าหาเรื่อง
เขาแล้ว เพราะทั้งสาขานี้อาจพังพินาศด้วยยาพิษของ
เขาในชั่วพริบตา และทุกคนก็จะตายไม่รู้ตัว
ผู้ที่ได้เป็นกูรูยาพิษระดับ 3 ดาว อย่างน้อยก็ต้อง
สำเร็จวรยุทธขั้นจื้อจุน ต่อให้ไม่ใช้ยาพิษ แค่พลิกฝ่ามือ
ก็ทำลายห้องโถงแห่งยาพิษให้ราบคาบได้
“เอ่อ...”
เหลี่ยวฉวินไม่คิดว่าจะมีผู้แทนอีกคนมาปรากฏตัว
แถมเป็นถึงกูรูยาพิษระดับ 3 ดาว เขาปรับท่าทีให้สุภาพ
ทันใด โดยประสานมือคารวะและกล่าวคำทักทาย “ขอ
ผมทราบหน่อยได้ไหมว่าจะเรียกคุณว่าอย่างไร และถ้าไม่
เป็นการรบกวน คุณช่วยแสดงเหรียญตราหัวใจยาพิษ
ทองคำให้ผมดูหน่อยได้ไหม? ไม่ใช่ว่าผมสงสัยตัวตนของ
คุณนะ แต่มันเป็นกฎของทางสำนักงานใหญ่ ผู้แทนจะ
ต้องแสดงเหรียญตราเพื่อยืนยันตัวตนของเขา ก่อนที่ทาง
เราจะอนุญาตให้เข้าไปได้!”
เขาใช้คำพูดเดียวกับที่พูดกับจางเซวียนเมื่อแรกมา
ถึง
ผู้แทนไม่ตอบ เขาสะบัดข้อมือ และเหรียญตรา
หัวใจยาพิษทองคำก็มาอยู่ในฝ่ามือของเขา เขายื่นมันให้
ดูแบบง่ายๆ
เหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆรีบคว้ามันมาพิจารณาอย่าง
รวดเร็ว มองแค่ปราดเดียว พวกเขาก็ต้องหรี่ตา และได้
ข้อสรุปเดียวกัน
“มันเป็นของจริง!”
เหรียญตราหัวใจยาพิษทองคำเป็นสิ่งที่มีแต่ผู้แทน
เท่านั้นถึงจะได้ครอบครอง และมันแสดงถึงการได้รับ
มอบอำนาจจากห้องโถงแห่งยาพิษสำนักงานใหญ่ มันมี
รังสีอันเข้มข้นซึ่งเป็นเอกลักษณ์อยู่ภายใน ทำให้ผู้ที่ได้
พบเห็นรู้ทันทีว่ามันมีความพิเศษ แม้จะไม่เคยเห็นมา
ก่อน
“เขาคือกูรูยาพิษระดับ 3 ดาว และมีเหรียญตรา
หัวใจยาพิษทองคำด้วย...ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีทางที่
เขาจะเป็นตัวปลอม ถ้าอย่างนั้น คนก่อนหน้า...”
บรรลัยล่ะสิ! เมื่อได้เห็นเหรียญตรายืนยัน เหลี่ยวฉ
วินกับคนอื่นๆใจหายวูบ
ถ้าคนนี้เป็นตัวจริง คนก่อนหน้าก็ต้องเป็นตัวปลอม!
ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงไม่ยอมแสดงเหรียญตราออก
มา?
“ทำไม มีปัญหาอะไรหรือ?”
เห็ น ฝู ง ชนถึ ง กั บ หน้ า ถอดสี ผู้ แ ทนมี สี ห น้ า
เคร่งเครียด ถึงจะไม่มีความโกรธอยู่ในน้ำเสียงของเขา
แต่ทุกคำพูดก็บ่งบอกถึงอำนาจเต็มเปี่ยม
“ไม่ใช่อย่างนั้น...”
เหลี่ยวฉวินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบาย “มีผู้
แทนอีกคนหนึ่งมาถึงก่อนหน้าคุณ นั่นคือเหตุผลที่เมื่อเรา
รู้ว่าคุณมา เราจึงประหลาดใจมาก!”
“ฮะ?”
ผู้แทนขมวดคิ้ว “ทางสำนักงานใหญ่ส่งผมมาคน
เดียว เพื่อให้คัดสรรหัวหน้าคนใหม่ รวมถึงมารับเจ้าสิ่ง
นั้นด้วย ซึ่งตอนนี้ก็คงจะแก่จัดแล้ว พวกเขาไม่ได้ส่งใคร
มาอีก มีผู้แทนมาถึงก่อนหน้าผมอย่างนั้นหรือ? คุณ
หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“มันเป็นอย่างนี้ เมื่อสองชั่วโมงก่อน มีชายคนหนึ่ง
มาอ้างตัวว่าเขาเป็นผู้แทน และตอนนี้เขากำลังอ่าน
หนังสือในหอสมุด!”
เหลี่ยวฉวินอธิบาย
“เขาอ้างตัวว่าเป็นผู้แทน แล้วมีเหรียญตราหัวใจ
ยาพิษทองคำหรือเปล่า?”
ผู้แทนเลิกคิ้ว
“เอ่อ...” เหลี่ยวฉวินอ้ำอึ้ง “เขาไม่ได้แสดงเหรียญ
ตราให้พวกเราดู!”
“บังอาจ!” ผู้แทนสะบัดแขนเสื้อ รังสีอันแสนจะ
ทรงพลังเปล่งประกายถึงสวรรค์ “เขาจะเป็นผู้แทนได้
อย่างไรถ้าไม่มีเหรียญตราหัวใจยาพิษทองคำ? พาผมไป
หาเขาเดี๋ยวนี้ อยากจะเห็นหน้าไอ้คนที่บังอาจปลอมตัว
เป็นผู้แทนจากสำนักงานใหญ่!”
“ขอรับ! ผู้แทน ทางนี้เลย!”
เหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆรีบพาเขาเข้าไปยังใจกลาง
ห้องโถงแห่งยาพิษ
เมื่อเห็นพวกนั้นไปกันหมด เซียนสมุนไพรถึงกับเข่า
อ่อน เหมือนถูกดูดพลังงานในร่างออกไปจนเกลี้ยง
“นายท่าน...”
เห็นสภาพของนายท่าน พ่อบ้านลู่รีบเข้ามาพยุง
“เกิดอะไรขึ้น...”
เซียนสมุนไพรส่งโทรจิตถามพ่อบ้าน
“หนึ่ ง วั น หลั ง จากที่ คุ ณ กั บ นายแพทย์ ไ ป๋ อ อกไป
ชายคนนั้นก็มาปรากฏตัว และสั่งให้พาเขาไปห้องโถง
แห่งยาพิษ ผมไม่มีทางเลือก จึงต้องพาเขามา ผม
พยายามเร่งฝีเท้าตลอดเวลาเพื่อจะตามให้ทันคุณ แต่...ก็
มาช้าไป!”
พ่อบ้านลู่ก็แทบปล่อยโฮ
มีอยู่ 4 คนที่รู้ว่านายแพทย์ไป๋ปลอมตัวเป็นผู้แทน
ก็คือเซียนสมุนไพร พ่อบ้านลู่ ตัวนายแพทย์ไป๋เอง และ
โม่หยู่
โม่หยู่กลับอาณาจักรเทียนหวู่ไปแล้ว ก็เหลือกันอยู่
แค่ 3 คน
ชายผู้นั้นยืนยันตัวตนของเขา พ่อบ้านลู่จึงไม่อยู่ใน
ฐานะที่จะปฏิเสธ และในเมื่อเซียนสมุนไพรไม่อยู่ เขาจึง
ต้องพาฝ่ายนั้นมาที่นี่ ตอนแรก เขาตั้งใจจะตามเซียน
สมุนไพรกับนายแพทย์ไป๋ให้ทัน เพื่อบอกสองคนนั้นว่าไม่
จำเป็นต้องปลอมตัวเป็นผู้แทนแล้ว แต่...ถึงจะเร่งฝีเท้า
มาตลอดทางก็ยังตามทั้งคู่ไม่ทัน
“คราวนี้...พวกเราตายแหงแก๋!”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของพ่อบ้านลู่ เซียนสมุนไพรก็
หน้าตาบูดเบี้ยว รู้สึกได้ถึงเลือดที่คั่งอยู่ในอกและพร้อม
จะกระอักออกมาได้ทุกขณะ
ถ้าพ่อบ้านลู่กับผู้แทนมาถึงช้ากว่านี้สักหน่อย นาย
แพทย์ไป๋ก็อาจจะได้สิ่งที่เขาต้องการ และออกจากห้อง
โถงแห่งยาพิษไปก่อน ถึงต่อไปจะถูกจับได้ว่าปลอมตัวมา
แต่เมื่อเขาสลัดคราบที่ปลอมตัวออกแล้ว ก็ไม่มีอะไร
ที่ทางนี้จะเอาเรื่องเขาได้
และถ้าพ่อบ้านลู่กับผู้แทนมาเร็วกว่านี้อีกหน่อย ก็
อาจจะตามพวกเขาทัน ถ้าพวกเขารู้ว่าผู้แทนกำลังมาที่
ห้องโถงแห่งยาพิษ ก็คงจะไม่ปลอมตัวเป็นเขา คงจะแค่
เดินทางตามผู้แทนมาเท่านั้น
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นคือ นายแพทย์ไป๋ได้อ้างตัวเป็นผู้
แทน และอีกฝ่ายก็เชื่อเขาไปแล้ว แล้วจู่ๆ ผู้แทนตัวจริง
ก็ปรากฏตัว...
ก็เหมือนกับมีสาวสวยคนหนึ่งมานอนเปลือยร่างอยู่
ข้างคุณ ต่อให้คุณยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรเธอเลย คนทั้ง
โลกก็คงไม่มีใครเชื่อ!
ถูกจับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ คำอธิบายอะไรก็
ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น!
เขาก็รู้อยู่ว่าการปลอมตัวเป็นผู้แทนเป็นความคิดที่
ไม่เข้าท่า...
แต่ไม่คิดว่าจะเลยเถิดได้ขนาดนี้!
ตอนที่ 279 ศิษย์ลุง

ดูเหมือนว่าชีวิตที่เขาเพิ่งจะทวงคืนมาได้ด้วยความ
ยากลำบากแสนสาหัสกำลังจะถูกริบไปอีกแล้ว...
“นายท่าน แล้วที่นี้เราจะทำอย่างไร?” พ่อบ้านลู่ก็
คิดแบบเดียวกัน สีหน้าของเขาหวั่นวิตก
“ผมก็ไม่รู้...” เซียนสมุนไพรส่ายหน้า “ดูเหมือนเรา
จะทำได้แค่รอคอยความตายเท่านั้นแหละ...”
เขาหันไปมองรอบๆ กูรูยาพิษจำนวนนับไม่ถ้วน
จับตามองอยู่ ไม่มีทางหนีได้เลย เขาทำได้แค่เดินตามฝูง
ชนเข้าไป
“ดูเหมือนว่า...นายแพทย์ไป๋จะยังไม่รู้ว่าผู้แทนตัว
จริงมา!”
เดินไปได้สองสามก้าว เซียนสมุนไพรพลันนึกบาง
อย่างขึ้นได้ เขาถึงกับหน้าถอดสี
ถ้าอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ล่วงหน้า อย่างน้อยเขาก็พอจะคิด
หาข้อแก้ตัวได้ แต่ในเมื่อมัวไปงมโข่งอยู่แบบนั้น เรื่อง
แดงขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็คงถูกองครักษ์จับตัวทันที...
แต่ว่า...ทั้งรองหัวหน้ากับบรรดาผู้อาวุโสก็เดินอยู่
ข้างหน้าเขา แถมผู้แทนก็อยู่ด้วย สายไปแล้วจริงๆ ที่จะ
บอกนายแพทย์ไป๋ให้รู้ตัว
เขายังคิดวกวนวุ่นวายอยู่ตอนที่ทั้งกลุ่มมาถึงห้อง
โถงใหญ่
“ผู้เฒ่านิลเนตร เชิญผู้แทนคนนั้นออกมา!”
เมื่อนั่งลงแล้ว เหลี่ยวฉวินโบกมือและสั่งการ
“ขอรับ!”
ผู้เฒ่านิลเนตรรีบเดินไปยังหอสมุด
กว่า 2 ชั่วโมงแล้วตั้งแต่จางเซวียนมาถึง และเขา
ก็ได้อ่านหนังสือทุกเล่มในหอสมุดจนเสร็จสิ้น เมื่อเห็นอีก
ฝ่ายมาเชิญออกไป จางเซวียนก็ตามมาโดยไม่ทักท้วง
อะไร
“ทำไมล่ะ? พวกคุณเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือ ถ้า
เรียบร้อยแล้ว เราเริ่มกันเลยก็ได้!”
เมื่อมาถึงห้องโถง จางเซวียนเอามือไพล่หลังและ
มองเหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆด้วยสีหน้าเฉยเมย
“คุณใช่ไหมที่อ้างตัวว่าเป็นผู้แทน?”
เหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆยังไม่ทันได้พูดอะไร ผู้แทนก็
ลุกพรวดและหรี่ตาจ้องจางเซวียน
“คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน?”
จางเซวียนเลิกคิ้ว เขาใช้น้ำเสียงวางอำนาจอย่างที่
ไม่มีใครแตะต้องได้ และพูดอย่างเฉียบขาด
“ผมอนุญาตให้คุณพูดหรือยัง?”
“ฉิบหายแล้ว!”
เซี ย นสมุ น ไพรกระอั ก เลื อ ดออกมา “เราตาย
แหงแก๋...”
เมื่อพ่อบ้านลู่รู้ว่าชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าคือ
นายแพทย์ไป๋ที่ปลอมตัวมา เขาถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก และ
แทบจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่สวมอยู่ด้วยความขัดใจ...
ต่อให้คุณไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้แทน อย่างน้อยก็น่าจะ
เห็นตราสัญลักษณ์กูรูยาพิษที่อยู่บนอกเสื้อของเขา!
ที่นี่ไม่มีกูรูยาพิษระดับ 3 ดาวสักหน่อย เขาจะมา
จากไหนได้ถ้าไม่ใช่สำนักงานใหญ่?
ถ้าคุณใส่ใจกว่านี้สักนิด ก็จะเห็นรายละเอียดพวก
นี้...
ถึงกับกล้าพูด “คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? ผมอนุญาต
ให้คุณพูดหรือยัง?”
โว้ยยยยยยยยยย!
ก่ อ นจะพ่ น คำพวกนั้ น ออกมา อย่ า งน้ อ ยก็ ค วร
เตรียมข้อแก้ตัวดีๆไว้ด้วย นี่ดูถูกเขาต่อหน้าธารกำนัลไป
แล้ว จะเอาที่ไหนมาไกล่เกลี่ยได้!
ถึงเขาจะรู้จักฝ่ายนั้นมาแค่ 2-3 วัน แต่นายแพทย์
ไป๋ก็เป็นคนมีเหตุผลและน่าประทับใจ มันเรื่องอะไรที่
อยู่ๆก็เกิดสะเพร่างี่เง่าขึ้นมา?
สิ่งที่คุณทำรังแต่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้ แถม
นายท่านกับตัวผมก็ต้องถูกลากลงไปในหายนะครั้งนี้ด้วย!
คู่หูนายบ่าวแทบจะเป็นบ้า เหลี่ยวฉวินและคนอื่นๆ
ก็ไปไม่เป็น
พวกเขาเคยเจอคนโอหังมาก็มาก แต่นี่เป็นครั้งแรก
ที่ได้เจอคนโอหังขนาดนี้!
ตัวเองปลอมตัวมาแต่กล้าพูดกับผู้แทนตัวจริงแบบ
นั้น แค่คำว่า “กล้าหาญ” ก็คงไม่เพียงพอจะบรรยาย
คงต้องเรียกว่า...รนหาที่ตาย!
ไม่ใช่แค่รนหาที่ตายเฉยๆ แต่รนหาที่ตายด้วยวิธี
เลวร้ายที่สุดด้วย
“แกรับกรรมเถอะ!”
“ครั้งนี้พวกเราไม่ต้องทำอะไรเลย ผู้แทนจะลุย
เอง!”
รองหัวหน้าอีก 2 คนมีสีหน้าพึงพอใจ
แค่คิดว่าคนที่ปลอมตัวมาสามารถทำให้พวกเขา
หวาดกลัวได้ เท่านี้ก็น่าอายพอแล้ว ถ้าทำได้ พวกเขา
อยากจะฉีกเนื้อหมอนั่นเป็นชิ้นๆและหักกระดูกให้แหลก
ละเอียดหมดทุกท่อน เพื่อให้สมกับที่บังอาจมาหยาม
เกียรติ
แต่เท่าที่ดู ตอนนี้พวกเขาคงไม่ต้องทำอะไรแล้ว
“คุณว่าอะไรนะ?”
ตามคาด ผู้แทนโมโหเดือดขึ้นมาทันที รังสีอันทรง
พลังระเบิดออกจากตัวเขาและพุ่งสูงไปทะลุฟ้า มันแผ่
ความกดดันออกมาอย่างหนักหน่วงจนฝูงชนหายใจหาย
คอไม่ออก
จื้อจุน!
อย่างที่พวกเขาคาดเดาไว้ ผู้แทนเป็นนักรบขั้นจื้อ
จุน!
ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ ผู้สำเร็จวรยุทธขั้น 9 - จื้อ
จุน คือผู้มีอำนาจสูงสุด ด้วยพละกำลังกว่า 10000 ติ่ง
พวกเขาสามารถทำลายปราสาทให้พังพินาศ สูบน้ำใน
มหาสมุทรให้เหือดแห้ง และระเบิดภูเขาให้ราบเป็นหน้า
กลองได้
หากเขาระเบิดความเดือดดาลขึ้นมาเมื่อไร ทั้งพื้น
โลกและฟ้าสวรรค์จะต้องร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมานภาย
ใต้พละกำลังนั้น พลังปราณบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาถาโถม
เข้าใส่ฝูงชนราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก ทุกคนหมดปัญญา
จะทำอะไร
เหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆถอยกรูดอย่างไม่รู้ตัว เพราะ
กลัวจะถูกพละกำลังมหาศาลนั้นเล่นงานเอา
เซียนสมุนไพรก็หน้าซีด
สิ่งที่เกิดขึ้นมันน่าพรั่นพรึงเกินไป
ต่อให้เป็นนักรบจงซรือขั้นสูงสุด หากต้องเผชิญ
หน้ากับผู้แทน ก็คงต้องถอยอย่างไม่มีทางสู้
พวกเขาคิดว่าผู้แทนตัวปลอมคงจะถูกรังสีคุกคาม
นั้นบีบบังคับให้ยอมแพ้ แต่จางเซวียนกลับขมวดคิ้ว
อย่างไม่พอใจ
“บังอาจ!”
จางเซวียนสะบัดแขนเสื้อและตวาดอย่างไม่พอใจ
“อันธพาลอย่างคุณกล้าแตะต้องผมได้อย่างไร! ใครสั่ง
ใครสอนให้ทำแบบนั้น?”
“เฮ้ย...”
เซียนสมุนไพรตัวสั่น
ไม่พอใจ นี่คุณไม่พอใจบ้าบออะไร!
แถมยังเรียกเขาว่าอันธพาล...
พี่ชาย กินดีมีหัวใจเสือมาจากไหน?
ตัวตนของคุณก็ถูกเปิดโปงแล้ว ขืนดันทุรังแบบนี้
อีกฝ่ายเล่นถึงตายแน่...
ถึงเซียนสมุนไพรจะบอกระดับพละกำลังที่แท้จริง
ของนายแพทย์ไป๋ไม่ได้ แต่หลังจากได้ใกล้ชิดกับเขาสอง
สามวัน ก็กะได้คร่าวๆว่าน่าจะอยู่ประมาณขั้นจงซรือ ถึง
อย่างไรก็ไม่เกินจงซรือขั้นสูงสุดไปได้
ขนาดผม เจอแบบผู้แทนเข้าก็ต้องถอย แล้วคุณ
เป็นบ้าอะไรถึงต้องทำกร่างขนาดนั้น?
.....
“ดี! นึกไม่ถึงว่าตัวปลอมจะกล้าพูดกับผมแบบนี้
น่าประทับใจจริงๆ ในเมื่อไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ให้ผม
ได้ทำให้คุณสมปรารถนาเถอะ!”
เขาคิดว่ารังสีคุกคามของตัวเองคงจะทำให้เจ้าตัว
ปลอมยอมแพ้ แต่กลับตรงกันข้าม ฝ่ายนั้นยังว่าเขาเป็น
อันธพาลด้วย ผู้แทนโมโหเดือดจนแทบจะละทิ้งความ
รู้สึกผิดชอบชั่วดีเสียตอนนั้น เจตนาสังหารส่องประกาย
วาบอยู่ในดวงตาของเขา
ทางสำนักงานใหญ่ส่งเขามาที่นี่เพียงคนเดียว ชาย
ที่ยืนตรงหน้าเขาจึงเป็นตัวปลอม!
เป็นแค่ตัวปลอม แต่กล้าตวาดเขา สมองของหมอ
นั่นจะต้องผิดเพี้ยนไปแน่ หรือไม่ก็บ้าดีเดือด!
ด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ผู้แทนพุ่งเข้าใส่จางเซวียนรา
วกับสายฟ้าฟาด เขากางมือออก พละกำลังหนักหน่วง
ระเบิดออกจากฝ่ามือของเขาและพุ่งเข้าใส่จางเซวียน!
พละกำลังของนักรบขั้นจื้อจุนคือ 10000 ติ่ง มัน
ไม่ใช่อะไรที่นักรบขั้นจงซรือจะต้านทานได้ พลังที่ผู้แทน
ส่งออกไปถาโถมเข้าใส่จางเซวียนราวกับคลื่นยักษ์ ทำให้
เขาหลบไปไหนไม่ได้ ด้วยความแข็งแกร่งขนาดนั้น แม้
ภูเขาขนาดย่อมก็อาจแหลกเป็นผุยผง!
ระดับวรยุทธที่ไม่สูงพอทำให้จางเซวียนหายใจหาย
คอไม่ออก ภายใต้สภาวะแบบนี้ การสำแดงเทคนิควร
ยุทธเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
แม้พลังปราณเทียบฟ้าอันบริสุทธิ์จะทำให้จางเซวี
ยนไม่ทรมานกับแรงกดดันนั้นมากนัก แต่เขาก็เป็นแค่
นักรบขั้นกึ่งจงซรือ ช่องว่างระหว่างตัวเขากับนักรบจื้อ
จุนยังห่างกันมาก
ถึงจางเซวียนจะสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธ
เหนือกว่าได้ แต่ก็จำกัดอยู่แค่จงซรือขั้นต้นเท่านั้น ถ้า
เป็นนักรบขั้นจื้อจุน เขาก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน มากที่สุดที่
ทำได้คือเอาตัวให้รอดจากการโจมตีของอีกฝ่ายโดยการ
ใช้ศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้า
จางเซวียนถึงกับอกสั่นขวัญแขวนเมื่อรู้สึกถึงแรง
กดดันหนักหน่วงที่ปะทะร่างของเขา เขาพยายามรักษา
สีหน้าเฉยเมยภายนอกเอาไว้ แต่ในใจกำลังตื่นตระหนก
เขารู้ ว่ า อี ก ฝ่ า ยเป็ น ผู้ แ ทนตั ว จริ ง แต่ ถ้ า เล่ น กั น
ขนาดนี้คงหนีความตายไม่พ้น
คุณจะโอหังไปหน่อยไหม?
ผมจะโอหังให้เหนือกว่าคุณเสียอีก
นี่คือวิธีเดียวที่จางเซวียนใช้ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว
หมอนั่นจะต้องสะพรึงที่กล้ายื่นมือมาแตะต้องเขา
อีกฝ่ายก็ไม่หลงกลเขาเลย แต่กลับโจมตีซึ่งๆหน้า
แทน ทำให้จางเซวียนตกที่นั่งลำบาก
“ข้อบกพร่อง!”
ถึงเขาจะใช้ศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้าหลบเลี่ยง
ได้ แต่ใช้ได้แค่ครั้งสองครั้งก็หมดแรงแล้ว และหลังจาก
นั้นก็คงเละเป็นโจ๊ก จางเซวียนจึงรีบเบนความสนใจไปที่
หอสมุดเทียบฟ้า
หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
เมื่อดูเนื้อหาแล้ว จางเซวียนพยายามสงบใจ เขา
ทบทวนศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้าอีกครั้งเพื่อหลบ
เลี่ยงการโจมตี และด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น เขาพูดเสียง
เย็นเยียบ
“กู้มู่ คุณกล้าแตะต้องผม อยากตายมากใช่ไหม?”
ฟึ่บ!
“คุณ...”
ได้ ยิ น แบบนั้ น ผู้ แ ทนมาดนิ่ ง ก็ ถึ ง กั บ ผงะ เขา
กระชากฝ่ามือกลับและตั้งคำถามอย่างประหลาดใจ “คุณ
เป็นใคร? ทำไมถึงรู้จักชื่อของผม?”
หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากสำนักงานใหญ่ เขาก็รีบ
เดินทางมาที่นี่ และตลอดการเดินทางเขาก็ไม่เคยบอกชื่อ
ของตัวเองกับใครเลย
ก่อนหน้าจะได้รับคำสั่ง เขาแยกตัวไปปลีกวิเวกเพื่อ
ฝึกฝนวรยุทธ นอกจากอาจารย์และเพื่อนๆแล้ว แทบ
ไม่มีใครรู้ชื่อของเขาเลย ถ้าจะว่ากันด้วยเหตุผล ก็เป็นไป
ไม่ได้ที่จะมีใครในพื้นที่ห่างไกลแห่งนี้รู้จักภูมิหลังของเขา
ดังนั้น เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองจากปากของชายตรงหน้า
เขาจึงอดตะลึงไม่ได้
แต่ถึงจะชักฝ่ามือกลับแล้ว เขาก็ยังหน่วงพลังไว้
ถ้าอีกฝ่ายพล่ามอะไรงี่เง่าออกมา พลังนัน้ ก็จะระเบิดเข้า
ใส่ร่างของเขาทันที
เห็นอีกฝ่ายหยุดกึก จางเซวียนก็รู้ว่ามีแต้มต่อแล้ว
เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากรู้อยากเห็น และไม่ว่า
ผู้ชายคนหนึ่งจะดุดันได้แค่ไหน หากได้ยินคนแปลกหน้า
เรียกชื่อของตัวเองออกมาก็ย่อมจะสงสัยทั้งนั้น ด้วย
ข้อมูลที่ได้จากหนังสือที่หอสมุดประมวลให้ จางเซวียนก็
มั่นใจว่าจะสามารถโน้มน้าวใจอีกฝ่ายไม่ให้เกรี้ยวกราด
ขึ้นอีกได้
ต่อหน้าฝ่ายนั้น จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังและ
ยืดตัวตระหง่านราวกับหอก ดูเหมือนเขาไม่สะดุ้งสะเทือน
กับความเดือดดาลและรังสีคุกคามของฝ่ายนั้นเลย
“ที่สาขาแห่งอาณาจักรชวนหยวนอันทรงเกียรติ
คุณคือคนที่ 14 ที่ผ่านการทดสอบเป็นกูรูยาพิษระดับ 3
ดาว และคุณใช้เวลาอีกเพียง 5 ปีนับจากนั้นในการก้าว
ขึ้นเป็นกูรูยาพิษระดับ 3 ดาวขั้นสูงสุด คุณจึงได้ชื่อว่า
เป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีถึงจะมีสักคนหนึ่ง!”
“คุ ณ มี ค วามชื่ น ชอบหลงใหลในยาพิ ษ ตั้ ง แต่ จ ำ
ความได้ และผ่านการทดสอบ ได้เป็นผู้ช่วยกูรูยาพิษ
ตั้งแต่อายุ 14 ปี ‘ผงร้อนรุ่ม’ ที่คุณผสมขึ้นมาได้สังหาร
ข้าศึกของคุณไปถึง 314 คนในการสู้รบ ,เมื่ออายุ 17 ปี
คุณคิดค้น ‘ฝุ่นกระชากวิญญาณ’ และใช้สิ่งนั้นฆ่านักรบ
จงซรือขั้นต้น ,เมื่ออายุ 26 ปี คุณผ่านการทดสอบเป็นกูรู
ยาพิษระดับ 2 ดาว และ ‘น้ำหอมสลายกระดูก’ ที่คุณ
ผสมก็ทำให้คุณคร่าชีวิตอสูรจงซรือขั้นสูงสุดได้สำเร็จ...”
ตอนที่ 280 โชว์เก๋า

“อายุ 35 ปีคุณได้เป็นศิษย์ของกูรูยาพิษร้อยตำรับ,
จินชงไห่ ส่วนปีนี้คุณอายุ 45 และความเก่งกล้าเรื่องยา
พิ ษ ของคุ ณ ก็ ไ ม่ มี ผู้ ใ ดในห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ สาขาชวน
หยวนจะเทียบได้ ครั้งนี้ ทางสำนักงานใหญ่ส่งคุณมาที่นี่
ในฐานะผู้แทนและให้คุณฝึกไว้ เพื่อจะได้กลับไปเป็น
หัวหน้าสาขาชวนหยวนคนต่อไป!”
“ผมสงสัยว่า...” จางเซวียนหยุดไปครู่หนึ่ง เขาหัว
เราะหึๆและมองหน้าผู้แทน “ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี่...จริง
ไหม?”
“คุณเป็นใคร?”
กู้มู่ถึงกับหรี่ตา
นอกจากญาติสนิทของเขา ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง
พวกนี้ โดยเฉพาะคำสั่งที่ได้รับจากสำนักงานใหญ่ แต่
ชายผู้นี้รู้ดีราวกับมันอยู่ในกำมือของเขาเอง...
เขาเป็นใครกันแน่?
กู้มู่นึกไม่ออกเลยว่าเคยรู้จักคนรูปร่างหน้าตาแบบนี้
พูดง่ายๆก็คือเขาไม่รู้จักชายที่อยู่ตรงหน้า แต่ทำไม
อีกฝ่ายถึงรู้รายละเอียดของเขาดีขนาดนั้น?
จางเซวียนหัวเราะหึๆ ไม่แยแสกับคำถามของกู้มู่
“เพื่อจะให้ได้เป็นกูรูยาพิษระดับ 4 ดาว คุณไปไกล
ถึงขั้นใช้ตัวเองเป็นหนูทดลองยาพิษ คนอื่นๆต่างประทับ
ใจที่คุณทุ่มเทให้กับความหลงไหลที่มีต่อยาพิษจนถึงกับ
ไม่เสียดายชีวิต แต่เรื่องจริงก็คือคุณปรารถนาจะแก้แค้น
ให้ภรรยาที่ตายไปแล้ว!”
“คู่ต่อสู้ของคุณ...เป็นกูรูยาพิษระดับ 4 ดาว ความ
เก่งกาจในการใช้ยาพิษของเขาเหนือกว่าคุณ ถ้าคุณยังไม่
ได้อยู่ในระดับเดียวกับเขาล่ะก็ ไม่มีทางฆ่าเขาได้!”
“คุณ...คุณ!”
กู้มู่หรี่ตา หน้าซีดเผือดราวกับเห็นผี
อีกฝ่ายพูดถูกต้องทุกอย่าง
ที่ผ่านมา เขาทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธและใช้ทุกสิ่งที่มี
เพื่อคิดค้นยาพิษขนานใหม่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการแก้แค้น
แต่ทุกสิ่งที่ว่ามาล้วนเป็นความลับที่เขาซ่อนไว้ใน
ส่วนลึกของหัวใจ ไม่เคยบอกใครทั้งนั้น และไม่กล้าบอก
ด้วย
เพราะกูรูยาพิษทุกคนเป็นกลไกสำคัญของห้องโถง
แห่งยาพิษ ถ้าพวกนั้นรู้ว่าเขาตั้งใจจะฆ่ากูรูยาพิษระดับ
4 ดาว จะต้องมีใครสักคนมาหยุดยั้งเขาไว้แน่
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นความลับสุดยอด แต่มันกลับ
ออกจากปากของคนแปลกหน้า จะไม่ให้เขาทั้งอัศจรรย์
และพรั่นพรึงได้อย่างไร?
“ระดับวรยุทธในปัจจุบันของคุณคือจื้อจุนขั้นสูงสุด
เพื่อจะให้ได้เป็นกูรูยาพิษระดับ 4 ดาว คุณจำเป็นต้องฝ่า
ด่านวรยุทธไปอีก ดังนั้นคุณจึงกินหญ้างูเขียวเข้าไป และ
ใช้มันกับจุดชีพจรเสิ่นเหมินเพื่อเพิ่มพละกำลัง พร้อมกัน
นั้น คุณยังใช้ผงกร่อนกระดูกกับจุดชีพจรเสิ่นฮุนเพื่อเพิ่ม
ความล้ำลึกของจิตวิญญาณด้วย ด้วยสองสิ่งนี้ แม้ว่า
พละกำลังและความล้ำลึกของจิตวิญญาณจะเพิ่มขึ้น แต่
มันกัดกร่อนชีวิตของคุณจากภายใน ถ้าผมพูดไม่ผิด คุณ
ใกล้จะจบชีวิตเต็มที และพร้อมจะตายเมื่อไรก็ได้ แม้
กระทั่งตอนนี้!”
จางเซวียนเดินวนรอบตัวอีกฝ่ายและถอนหายใจ
ตอนที่ผู้แทนโจมตีเขา ฝ่ายนั้นก็ได้แสดงวรยุทธ
ออกมา ดั ง นั้ น หนั ง สื อ จึ ง ประมวลเรื่ อ งราวและข้ อ
บกพร่องเอาไว้ทั้งหมด จางเซวียนถึงกับตะลึงเมื่อเห็นว่า
เขามีข้อบกพร่องมากกว่าร้อยข้อ!
ในสายตาคนนอก เขาดูเหมือนคนที่มีอนาคตไกล
เป็นกูรูยาพิษระดับ 3 ดาวขั้นสูงสุดที่กำลังจะได้เป็น
หัวหน้าคนใหม่ของห้องโถงแห่งยาพิษสาขาชวนหยวน
แต่อันที่จริง ร่างกายของเขามาถึงขีดจำกัดของมันแล้ว
เขาพร้อมจะตายได้ทุกขณะ
ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ เขาไม่น่าจะมีชีวิตรอดไป
ได้เกิน 3 ปี
ตึง ตะลึง ตึง ตึง!
กู้มู่หน้าซีดเผือดและถอยกรูด
อีกฝ่ายพูดถูกต้องทั้งหมด เขาเอาชีวิตตัวเองเข้า
แลกกับพละกำลัง เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ชั่วชีวิตนี้ก็
ไม่มีทางได้เป็นกูรูยาพิษระดับ 4 ดาว และถ้าไปไม่ได้ถึง
ระดับนั้น เขาจะแก้แค้นได้อย่างไร?
ถ้าแก้แค้นให้เธอไม่ได้ คงไม่อาจไปสู้หน้าเธอใน
ปรโลก
“คุณเป็นใครกันแน่?”
กู้มู่กำหมัดแน่นและจ้องจางเซวียนอย่างถมึงทึง
รู้ภูมิหลังของเขาอย่างละเอียดลออ แถมยังไม่เกรง
กลัวการโจมตีของเขาด้วย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเป็น
ศิษย์พี่สักคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จักในสาขาชวนหยวน
“ผมเป็นใคร...”
จางเซวียนเงยหน้า ทอดสายตาไปไกลแสนไกล “ก็
แน่ล่ะว่าคุณย่อมไม่รู้ว่าผมคือใคร นั่นก็เพราะ...ขนาด
อาจารย์ของคุณยังเรียกผมว่า...”
“ศิษย์ลุง!”
......
ผู้ที่เข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ของคุณก่อนหน้าที่คุณ
จะตามมา คุณก็จะรู้จักเขาในนามของศิษย์พี่
(เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเป็นศิษย์สายตรง เพราะศิษย์
สายตรงจะมีสถานภาพเหนือกว่าลูกศิษย์ทั่วไปอยู่แล้ว
อย่างในกรณีของปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆ)
ส่วนศิษย์พี่ของอาจารย์ของคุณ คุณก็จะรู้จักเขาใน
นามของศิษย์ลุง
“ศิษย์ลุงของอาจารย์ของคุณ?”
“ศิษย์ปู่ของผู้แทน?”
เซียนสมุนไพรกับพ่อบ้านลู่มองหน้ากัน แทบจะทึ้ง
เคราให้โกร๋น
คุณคือนายแพทย์ไป๋ไม่ใช่หรือ?
ก็ คุ ณ ไม่ รู้ สั ก หน่ อ ยว่ า ผู้ แ ทนจะโผล่ ม าหรื อ เปล่ า
และถ้าเขาโผล่มา จะมาตอนไหน?
คุณเป็นตัวปลอมไม่ใช่หรือ?
แล้ ว นี่ . ..กลายเป็ น ศิ ษ ย์ ปู่ ข องผู้ แ ทนไปตั้ ง แต่ เ มื่ อ
ไหร่?
บ้าแล้ว!
ที่ ห นั ก กว่ า นั้ น ...ผู้ แ ทนก็ ยิ่ ง กว่ า โดนนะจั ง งั ง ดู
เหมือนเขาจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีศิษย์ปู่!
คุณจะแกล้งทำเป็นศิษย์พี่ ศิษย์น้อง คนคุ้นเคย
หรือแม้แต่เพื่อนของเขาก็ได้... มันเรื่องอะไรถึงต้องเล่น
ใหญ่ขนาดนั้น...
พี่ชาย นี่คุณแน่ใจใช่ไหมว่ารู้วิธีจะไปต่อ!
ถ้าพวกเขาอยู่ในสภาพเดียวกับจางเซวียน คงไม่
กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องพวกนั้น
ทั้งคู่รู้สึกได้ถึงเลือดที่เอ่อขึ้นมาอยู่ในคอ พร้อมจะ
กระอักได้ตลอดเวลา
เหลี่ยวฉวิน รองหัวหน้าอีก 2 คน และบรรดาผู้
อาวุโสต่างมองหน้ากันอย่างจนปัญญา
พวกเขาคิ ด ว่ า เจ้ า คนจอมปลอมคงถู ก ผู้ แ ทนตบ
เปรี้ยงเดียวตาย หรืออย่างเบาะๆก็พิการ ไม่นึกไม่ฝันว่า
ทั้งคู่จะเป็นคนรู้จักกัน และ...ดูเหมือนจะเป็นสายเดียวกัน
เสียด้วย
คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกใช่ไหม?
“อาจารย์ ข องผมเรี ย กคุ ณ ว่ า ศิ ษ ย์ ลุ ง อย่ า งนั้ น
หรือ?” กู้มู่ถึงกับผงะ อึดอัดจนแทบหายใจหายคอไม่ออก
ตอนแรก เขาคิดว่าฝ่ายนั้นอาจเป็นเพื่อนร่วมงาน
ในสาขาเดียวกันที่เขาไม่เคยรู้จัก ไม่นึกไม่ฝันว่า...จะมี
ความเกี่ยวข้องกันแบบนี้!
เขาติดตามอาจารย์มาหลายต่อหลายปี แต่ก็ไม่เคย
รู้ว่าตัวเองมีศิษย์ปู่
แต่ถ้าฝ่ายนั้นโกหก แล้วจะมารู้ทุกเรื่องของเขาได้
อย่างไร? แถมที่พูดมาก็ถูกต้องทั้งหมดด้วย
ลำพังความสามารถของอีกฝ่ายในตอนนี้ ก็เหนือ
กว่าที่อาจารย์จะทำได้แล้ว
“นั่ น เป็ น แค่ ก ารเรี ย กตามลำดั บ อาวุ โ สของเรา
เท่านั้น ผมเร่ร่อนไปเรื่อย แล้วก็มักจะไปพำนักอยู่นอก
สถานที่ ดังนั้น อาจารย์ของคุณจึงไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามีผม
อยู่!” จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ยี่หระ วางท่าแบบผู้
เชี่ยวชาญอย่างเต็มเหนี่ยว
ถ้าไม่อยากให้ฝ่ายนั้นมาแตะต้อง เขาก็ควรจะมีตัว
ตนที่น่าเชื่อถือมากพอ
อีกอย่าง แค่คนที่เรียนบทเรียนเดียวกัน ก็สามารถ
เรียกขานกันเป็นศิษย์พี่หรือศิษย์น้องได้แล้ว ในเมื่อจาง
เซวียนปลอมตัวเป็นใครคนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องแค่
ห่างๆกับเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปหาหลักฐานมาบอก
ปัดการกล่าวอ้างของจางเซวียนได้
แถมเขาจะวิ่งแจ้นกลับไปหาอาจารย์ตอนนี้เพื่อถาม
อาจารย์ว่ามีศิษย์ลุงหรือเปล่า ก็ทำไม่ได้อีกนั่นแหละ
และท้ายที่สุด จางเซวียนก็บอกไปแล้วว่าขนาด
อาจารย์ของเขาก็ยังไม่รู้ว่ามีผมอยู่ ดังนั้น ต่อให้พยายาม
สืบเสาะตัวตนแค่ไหน ก็ไม่มีทางได้อะไรขึ้นมาแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม คำพูดเพียงเท่านั้นไม่เพียงพอจะ
เสริมความน่าเชื่อถือให้กับจางเซวียนได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ
การแก้ ไ ขปั ญ หาให้ เป็ น ทางเดี ย วที่ จ ะทำให้ อี ก ฝ่ า ย
ศรัทธาในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยม
ดังนั้น จางเซวียนจึงตัดสินใจตรงเข้าประเด็น เขา
มองหน้ากู้มู่ ยิ้มให้และพูดว่า “อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย
วาสนานำพาให้เรามาพบกันที่นี่แล้ว ผมขอถามคุณสักคำ
คุณอยากแก้ปัญหาของตัวเองไหม?”
“ปัญหาของผม...มีทางแก้...ด้วยหรือ?”
ตอนแรก กู้มู่ก็ยังสงสัยตัวตนของบุคคลตรงหน้า
แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเรื่องการแก้ปัญหา ใบหน้าของ
เขาก็แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
ถ้าเลือกที่จะมีชีวิตต่อไปได้ ใครเล่าจะอยากตาย?
และเขาก็กำลังแบกรับความทุกข์ใหญ่หลวง
ภรรยาของเขาถูกกูรูยาพิษระดับ 4 ดาวคนหนึ่ง
สังหาร นับจากนั้นมา เขาต้องเก็บกลั้นความเจ็บปวด
และเคียดแค้นไว้ภายใน เขาพยายามจดจ่อสมาธิทั้งหมด
และพลังงานทั้งหมดไปกับการฝึกฝนวรยุทธ โดยหวังว่า
จะทวงคืนความยุติธรรมให้ภรรยาได้
อีกนิดเดียวเขาก็จะฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว และเริ่มมี
ความหวังเรื่องการแก้แค้น แต่แล้วก็มาพบว่า วิธีการที่
เขาใช้ในการยกระดับวรยุทธได้ดูดกลืนพลังชีวิตของเขา
ไปจนแห้งเหือด ก็อย่างที่อีกฝ่ายพูด เขาคงมีชีวิตอยู่ได้
อีกไม่นาน
จะตายก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก!
แต่เขาอยากฉีกเนื้อไอ้หมอนั่นเป็นชิ้นๆให้ได้ก่อนจะ
ตาย
“คุณใช้ยาพิษเพื่อให้ยกระดับวรยุทธได้พรวดพราด
ทำให้สูญเสียพลังชีวิตไป ถ้าเป็นคนอื่น เจอสภาพแบบ
คุณเข้าไป เขาคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่เรื่องนี้จัดว่าขี้ปะติ๋ว
สำหรับผม!” จางเซวียนพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน
พลังปราณเทียบฟ้าของเขาสามารถฟื้นฟูได้แม้แต่
ร่างกายที่บอบช้ำจากสัญญาหนอนกู้ นับประสาอะไรกับ
กู้มู่ที่ยังมีพละกำลังสมบูรณ์
“ศิษย์ปู่ ผมขอวิงวอน ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย!”
หลังจากลังเลอยู่คู่หนึ่ง กู้มู่ก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น
สายตาของเขาเปี่ยมความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว “ถ้าคุณรักษา
ให้ผมหาย จนผมสามารถไปสังหารศัตรูของผมได้ ผมก็
พร้อมจะรับใช้คุณไปชั่วชีวิต!”
หลังจากที่ภรรยาของเขาตายไป เขาก็คิดวนเวียน
อยู่ ต ลอดว่ า อยากจะตายตามเธอ เหตุ ผ ลเดี ย วที่ ยั ง
กระเสือกกระสนจะมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ก็เพราะอยากแก้
แค้น
เขาไม่แน่ใจในภูมิหลังของบุคคลที่อยู่ตรงหน้า แต่
ในเมื่อคนๆนี้มองเห็นปัญหาที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่
ปัญหาที่แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ยังไม่รู้ บางทีเขาอาจจะ
ช่วยแก้ไขได้!
ถ้ า ปั ญ หานี้ ถู ก ขจั ด ออกไป กู้ มู่ มั่ น ใจว่ า สิ่ ง ที่ เ ขา
พากเพียรฝึกฝนและสะสมมานานเป็นแรมปีจะทำให้เขา
ฝ่าด่านขั้นสุดท้ายไปได้ และไปถึงระดับที่เขาใฝ่ฝันไว้
นี่ถือเป็นโอกาส ถ้าเขาทำสำเร็จก็มีหวังที่จะได้แก้
แค้น
แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งหลอกเขา ก็แน่นอนว่าเขาจะต้อง
ลากเอาหมอนั่ น ให้ ย่ อ ยยั บ อั บ จนไปพร้ อ มกั บ เขาด้ ว ย
เพราะถึงอย่างไรตัวเขาก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ไม่มี
อะไรที่จะต้องกลัว
“เฮ้ย...”
เห็นกู้มู่ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น ลูกตาของทุกคน
แทบปะทุ
ผู้แทนจากสำนักงานใหญ่ผู้แสนจะหยิ่งผยอง, กูรูยา
พิษระดับ 3 ดาวขั้นสูงสุด, ผู้สำเร็จวรยุทธจื้อจุนขั้น
สูงสุด กำลังคุกเข่าต่อหน้าตัวปลอม...
เอาจริงๆสิ?
ทุกคนช็อก โดยเฉพาะเซียนสมุนไพร
เพราะเซียนสมุนไพรรู้จักตัวตนที่แท้จริงของ ‘ตัว
ปลอม’ คนนี้ดี เขาไม่ใช่ศิษย์ปู่ของผู้แทนอย่างที่กล่าว
อ้าง จะใกล้เคียงสักนิดก็ยังไม่ใช่
แต่ด้วยคำพูดแค่สองสามคำ อีกฝ่ายก็ทรุดตัวลง
คุกเข่าต่อหน้าเขาอย่างเต็มใจ...
นายแพทย์ไป๋ คุณนี่เจ๋งโคตร ผมยกนิ้วให้เลย!
ถ้าตัวเขาถูกใครสักคนเปิดโปงตัวตนที่แท้จริง คง
ทำได้แค่แข้งขาสั่นและคุกเข่าร้องขอชีวิตด้วยความพรั่น
พรึง
สุดท้าย ก็มีคนคุกเข่าจริงๆ แต่คนที่คุกเข่ากลับเป็น
ตัวจริง...
ขนาดเห็นเต็มสองตาตัวเอง เซียนสมุนไพรก็ยังอด
คิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นแค่ฝัน
ก็หักมุมกันรวดเร็วเสียขนาดนี้ บอกเลยว่าตั้งรับ
ไม่ทัน
แต่เมื่อหายตะลึงแล้ว ก็พอเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่าย
ทำแบบนั้น
นึกถึงตัวเขาเองเมื่อสองสามวันก่อน ถ้ามีใครสักคน
มาบอกว่าสามารถรักษาความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับจาก
สัญญาหนอนกู้ได้ อย่าว่าแต่ศิษย์ลุงเลย จะให้เรียกศิษย์ปู่
ศิษย์ตาก็ได้หมด
มีแต่ในสภาวะใกล้ตายเท่านั้นที่คนๆหนึ่งจะเข้าใจ
ว่าชีวิตมีค่าแค่ไหน ในโมงยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความ
ตาย เกียรติยศและศักดิ์ศรีไม่มีความหมายอะไรเลย
“ผมช่วยคุณได้ แต่ต้องขอแจ้งกฎของผมให้คุณ
เข้าใจแจ่มแจ้งก่อน!”
จางเซวียนหันกลับมาหาเซียนสมุนไพร “เซียน
สมุนไพร ช่วยบอกกฎของผมให้กู้มู่ฟังด้วย!”
จางเซวียนสำเร็จวรยุทธแค่กึ่งจงซรือเท่านั้น หาก
ต้องรักษากู้มู่ขณะที่เขารู้สึกตัวอยู่ ฝ่ายนั้นย่อมจะรู้ถึง
ความผิ ด ปกติ ซึ่ ง นั่ น จะทำลายภาพลั ก ษณ์ ข องผู้
เชี่ยวชาญที่เขาเหน็ดเหนื่อยแทบล้มประดาตายในการ
สร้างมันขึ้นมา
ในท้ายที่สุด การทำให้อีกฝ่ายสลบไประหว่างการ
รักษาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ด้วยวิธีนี้ เขาสามารถจะปิดบังระดับวรยุทธที่แท้
จริงของตัวเองไว้ได้ รวมถึงความพิเศษของพลังปราณ
เทียบฟ้าด้วย
แต่ว่า ถ้าเขาพูดเรื่องนี้ออกมาด้วยตัวเอง ผู้คนจะ
พากันสงสัยถึงเจตนาของเขา จึงเป็นการดีกว่าถ้าจะให้
เซียนสมุนไพรพูดแทน
เซียนสมุนไพรเป็นคนฉลาด จึงเข้าใจเจตนาของ
จางเซวียนในทันที เขาก้าวออกมาและอธิบาย “ทุกครั้งที่
ศิษย์พี่ไป๋จะรักษาใคร เขาต้องการให้คนไข้สลบไปเสีย
ก่อน!”
“สลบ?”
กู้มู่ขมวดคิ้ว
การถูกทำให้สลบไปหมายความว่าเขาจะต้องฝาก
ชีวิตของตัวเองไว้ในมือคนอื่น จะไม่มีทางได้หือได้อือกับ
สิ่งที่อีกฝ่ายทำเลย
ขณะที่อีกฝ่ายรู้ภูมิหลังของเขาเป็นอย่างดี แต่เขา
ยังไม่ไว้ใจและยังสงสัยตัวตนของฝ่ายนั้นอยู่
“อย่าห่วงไปเลย นี่เป็นกฎพื้นฐานของศิษย์พี่ไป๋
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขารักษาผมให้หายทุกข์ทรมานจาก
สัญญาหนอนกู้ เขาก็จัดการให้ผมสลบเหมือนกัน!” เห็น
ความลังเลในดวงตาของอีกฝ่าย เซียนสมุนไพรพยายาม
หว่านล้อม
“รักษาคุณให้หายทุกข์ทรมานจากสัญญาหนอนกู้?
คุณหมายความว่า เขาจัดการกับสัญญาหนอนกู้ที่คุณ
ต้องทุกข์ทรมานอยู่ได้อย่างนั้นหรือ?”
กู้มู่ผงะ แทบไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
เหลี่ ย วฉวิ น กั บ คนอื่ น ๆอาจไม่ เ ข้ า ใจถึ ง ความ
ร้ายกาจของสัญญาหนอนกู้ดีนัก เพราะพวกเขาเป็นแค่กู
รูยาพิษระดับ 2 ดาว แต่สำหรับกูรูยาพิษระดับ 3 ดาวที่
ได้เผชิญหน้ากับกูรูยาพิษผู้ไร้เทียมทานมานับไม่ถ้วน กู้มู่
รู้ดีว่าสัญญาหนอนกู้นั้นน่าสะพรึงแค่ไหน
เล่ า กั น ว่ า เคยมี ค นที่ ต้ อ งทุ ก ข์ ท รมานจากสั ญ ญา
หนอนกู้ ซึ่งแม้แต่กูรูยาพิษระดับ 5 ดาวก็ช่วยชีวิตเขาไม่
ได้
แต่ศิษย์ปู่คนนี้สามารถแก้ปัญหาที่แม้แต่กูรูยาพิษ
ระดับ 5 ดาวยังเอาไม่อยู่ เป็นไปได้ไหมว่าเขาอยู่ในระดับ
เหนือกว่านั้นอีก?
“ถู ก แล้ ว เมื่ อ สองสามวั น ก่ อ นผมเกื อ บจะตาย
เพราะสัญญาหนอนกู้ เป็นศิษย์พี่ไป๋คนนี้ที่ช่วยชีวิตผม
ไว้!” เซียนสมุนไพรพูด
“ผมยืนยันเรื่องนั้นได้ หัวหน้าคนเก่าเป็นคนฝัง
สัญญาหนอนกู้เข้าไปในตัวเขาเอง” เหลี่ยวฉวินและคน
อื่นๆยืนยันคำพูดของเซียนสมุนไพร
“ปลดเปลื้องสัญญาหนอนกู้ได้?”
กู้มู่กำหมัดแน่น เขาหันมาสังเกตเซียนสมุนไพร
อย่างถี่ถ้วน และรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติในตัวเขา
ในฐานะกูรูยาพิษระดับ 3 ดาวขั้นสูงสุด เขามอง
เห็นร่องรอยว่าครั้งหนึ่งสัญญาหนอนกู้เคยถูกฝังเข้าไปใน
ร่างนี้ และสร้างความปั่นป่วนให้เจ้าของร่างอย่างมาก
เมื่อแน่ใจแล้ว กู้มู่หน้าแดงก่ำด้วยความร้อนรน ถ้า
‘ศิษย์ปู่’ คนนี้รักษาได้แม้กระทั่งสัญญาหนอนกู้ ก็น่าจะ
รักษาเขาได้เหมือนกัน!
แต่เขาก็ยังกังวลเรื่องที่จะต้องถูกตบให้สลบ
“ผมรู้ว่าคุณกังวลอะไร การยอมให้ตัวเองถูกใคร
ทำให้สลบก็หมายความว่าคุณฝากชีวิตไว้ในมือเขา และ
ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย คุณก็คงจะตายไม่รู้ตัว คงไม่มีใคร
ตัดสินใจในเรื่องแบบนั้นได้ง่ายนัก!”
จางเซวียนเห็นความลังเลของเขา “โดยปกติ ผมจะ
วางมือทันทีถ้ามีใครระแวงผม แต่ในเมื่อคุณเป็นศิษย์น้อง
ผมก็ขอบอกแค่ว่า...ถ้าผมอยากจะฆ่าคุณ คงไม่ต้องยุ่ง
ยากขนาดนั้น!”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ จางเซวียนกระทืบเท้า
ฟิ้ววววว!
ยังไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไร เขาก็ลอยไปไกลกว่า
60 เมตร ในพริบตาต่อมา ร่างของเขาที่มองเห็นอยู่ไกลๆ
ก็พร่าเลือน แล้วจางเซวียนก็กลับมาอยู่ตรงจุดเดิมอีก
ครั้งหนึ่ง ราวกับไม่ได้ไปไหนเลย
“เร็วเหลือเชื่ออะไรขนาดนั้น!”
“นักรบจื้อจุนขั้นสูงสุดยังทำไม่ได้เลย!”
“หรื อ ว่ า ...เขาสำเร็ จ วรยุ ท ธเหนื อ กว่ า ขั้ น จื้ อ จุ น
แล้ว?”
....
ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ต่างพากันหรี่ตาด้วย
ความหวาดกลัว
พวกเขาล้วนแต่เป็นนักรบขั้นจงซรือ แต่ก็ไม่มีใคร
เคยเห็นความเร็วระดับนี้
คนที่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเหลือเชื่อขนาดนี้จะมี
วรยุทธอ่อนด้อยได้อย่างไร โชคดีเหลือหลายที่พวกเขาไม่
เข้าไปหาเรื่อง ไม่อย่างนั้น เกิดเขาโมโหขึ้นมา คงจะพัง
ห้องโถงแห่งยาพิษสาขานี้เสียราบคาบ
เซียนสมุนไพรก็หน้าซีด
เขาคิดมาตลอดว่าวรยุทธของเขาคงใกล้เคียงกับ
นายแพทย์ไป๋คนนี้ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะห่างไกลกันมาก
นัก
ด้วยความเร็วระดับนั้น ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร
หัวก็คงหลุดจากบ่าเสียก่อน
กู้มู่ก็กำหมัดแน่น
ต่อให้ความเร็วสูงสุดของเขา ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับที่
อีกฝ่ายแสดงออกมาเมื่อครู่
และเท่าที่สังเกตสีหน้าของฝ่ายนั้น พลังที่เขาใช้ไปก็
ยังห่างไกลกับพลังขั้นสุดของเขามากมายนัก
พูดได้ว่า...
วรยุ ท ธของศิ ษ ย์ ปู่ ค นนี้ น่ า จะเหนื อ กว่ า ขั้ น จื้ อ จุ น
คงจะขึ้นไปอีกระดับเลยทีเดียว
“ดูท่าจะได้ผล!”
เห็นทุกคนตะลึงพรึงเพริด จางเซวียนถอนหายใจ
อย่างโล่งอก
ด้วยการสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือ ทั้งความเร็ว
และระยะทางที่ เ ขาสามารถทำได้ ใ นการใช้ ศิ ล ปะการ
เคลื่อนไหวเทียบฟ้า 1 ครั้งก็เพิ่มขึ้นด้วย
การเคลื่อนไหวนี้ดูสุดแสนจะน่าทึ่งเพราะความเร็ว
อย่างเหนือชั้นของมัน แต่ด้วยสภาพความอึดของจางเซวี
ยนในเวลานี้ เคลื่อนไหวแบบนี้แค่ 2 ครั้งก็สุดขีดจำกัด
ของเขาแล้ว อีกอย่าง ตัวเขาเองก็ไม่สามารถตอบสนอง
ต่อความเร็วระดับนี้ได้ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะใช้
มันทำร้ายหรือฆ่าใคร
มันเป็นเทคนิคการหลบหนีที่แสนจะน่าทึ่งก็จริง แต่
ไม่มีประโยชน์ในการโจมตีเลยแม้แต่น้อย
แต่แน่นอนว่าจางเซวียนเพิ่งค้นพบประโยชน์อีกข้อ
หนึ่งของมัน...ไว้โชว์เก๋า
เขาข่มความเจ็บปวดรวดร้าวทั่วทั้งตัวเอาไว้ และ
ถ่ า ยทอดพลั ง ปราณเข้ า ไปเยี ย วยากล้ า มเนื้ อ ที่ ฉี ก ขาด
พวกนั้นอย่างเงียบๆ มองจากภายนอก จางเซวียนยังยืน
ตระหง่านอยู่กับที่ ด้วยสองมือไพล่หลัง ท่วงท่าประหนึ่งผู้
เชี่ยวชาญที่ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะลบหลู่ได้ เขามองกู้มู่
อย่างสุขุม และน้ำเสียงก็ยังราบเรียบปราศจากอารมณ์
ใดๆ
“ผมยังสงสัยอยู่ว่า ด้วยพละกำลังของผม มันอาจ
จะฆ่าคุณ...”
“...ได้สบายเหมือนกับฆ่าไก่กระมัง?”
เงียบกริบ
สรรพสิ่งโดยรอบล้วนปราศจากเสียง
กู้มู่หน้าซีดเผือด
เขาเห็นความเร็วของ ‘ศิษย์ลุง’ แล้ว และรู้ตัวว่า
ถ้าอีกฝ่ายใช้ความเร็วระดับนั้นเข้าโจมตี เขาก็คงตายคา
ที่
เหมือนกับที่พูดว่า...ฆ่าเขาก็คงไม่ยากไปกว่าฆ่าไก่
ตัวหนึ่ง!
เมื่ อ หวนนึ ก ว่ า เขาเพิ่ ง จะพยายามทำร้ า ยผู้
เชี่ยวชาญระดับนั้น เหงื่อเย็นๆก็ไหลท่วมตัว
โชคดีที่อีกฝ่ายรู้จักเขา และมีความเป็นเครือญาติ
ในระดับหนึ่งระหว่างทั้งคู่ ไม่อย่างนั้น ต่อให้เขาเป็นถึงผู้
แทนจากสำนักงานใหญ่ พริบตาเดียวก็คงกลายเป็นศพ
ศิ ษ ย์ ปู่ เ ป็ น ผู้ เ ชี่ ย วชาญในระดั บ ที่ เ หนื อ ขึ้ น ไปอี ก
ขนาดกู้มู่ยั่วยุเขาในตอนแรก เขายังไม่พยายามจะตอบโต้
เลย แล้วคนแบบนั้นจะล่อลวงเขาเพื่อเอาชีวิตอย่างนั้น
หรือ ทำไปก็มีแต่จะเสื่อมเสียเปล่าๆ
“ศิษย์ปู่ ผมโอหังนัก ได้โปรดให้อภัยด้วย!”
เมื่อเข้าใจความจริงทั้งหมดแล้ว กู้มู่ก้มคำนับด้วย
อาการขออภัย
ถ้าฆ่าเขามันง่ายดายเหมือนกับฆ่าไก่ หากศิษย์ปู่
อยากฆ่าเขา ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเลย
“ผมกำลังตระเวนโลกกว้าง ผ่านมายังเมืองบัวแดง
โดยบังเอิญ และได้รู้ข่าวว่าเซียนสมุนไพรกำลังทุกข์
ทรมานจากสัญญาหนอนกู้ ดังนั้นผมจึงช่วยชีวิตเขาไว้
แล้ ว ก็ ไ ด้ รู้ จ ากเขาว่ า เกิ ด ความขั ด แย้ ง เรื่ อ งการแย่ ง ชิ ง
ตำแหน่งหัวหน้าในห้องโถงแห่งยาพิษสาขานี้ ผมกลัวว่า
จะต้องเห็นกูรูยาพิษรุ่นหลังฆ่าแกงกันเองด้วยเรื่องเล็ก
น้อย ผมจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง!”
จางเซวียนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ความเมตตา
ปรานีฉายชัดอยู่ในดวงตาของเขา
“เอ่อ...”
ได้ฟังเหตุผลที่อีกฝ่ายแวะมา เหลี่ยวฉวินกับคน
อื่นๆรู้สึกอับอาย
คิดดูสิว่าพวกเขาเชื่อว่าชายผู้นี้เป็นคนจอมปลอมที่
เข้ามาเพื่อหวังของมีค่าบางอย่าง...แค่หวนนึกถึงก็น่า
สมเพชแล้ว
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงพูดเรื่องการทดสอบทันที
ที่มาถึง และประกาศว่ากูรูยาพิษที่มีผลงานโดดเด่นที่สุด
เท่านั้นที่จะได้เป็นหัวหน้า เพราะด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะ
สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและปัญหาต่างๆได้
กู้มู่ก็เพิ่งถึงบางอ้อ เขาสงสัยมาตลอดว่าทำไมศิษย์
ปู่ต้องปลอมตัวเป็นผู้แทน แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็น
เพราะว่ า เขาไม่ อ ยากเห็ น กู รู ย าพิ ษ รุ่ น หลั ง ต้ อ งฆ่ า แกง
กันเอง
เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุและความจริงกันแล้ว กู้มู่ก็
อดที่จะประทับใจในตัวอีกฝ่ายไม่ได้ มีแต่กูรูยาพิษตัวจริง
ที่รักอาชีพนี้อย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะมีคุณธรรมสูงส่ง
ขนาดนี้
“เอาล่ะ ในเมื่อผู้แทนตัวจริงอยู่ที่นี่แล้ว ผมก็ไม่
จำเป็นต้องอยู่ต่อ ขอตัวก็แล้วกัน!”
จางเซวียนส่ายหน้า เขาหันหลังกลับและเดินออก
จากห้องโถงแห่งยาพิษ
เหตุผลที่ทุกคนยอมรับคำพูดของเขาอย่างง่ายดาย
ก็เพราะยังคงยำเกรงในศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้าอยู่
แต่ถ้าอยู่นานไป พวกนั้นก็อาจมองเห็นช่องโหว่ในคำพูด
ของเขาได้
อีกอย่าง จางเซวียนมาที่นี่ก็เพื่อมาพลิกดูหนังสือ
ในเมื่อเขาบรรลุเป้าหมายแรกแล้ว ผู้แทนตัวจริงก็มาแล้ว
ขืนอยู่ต่อก็มีแต่จะเปิดโอกาสให้คนอื่นจับไต๋ได้ เพราะ
ฉะนั้น ออกไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
เมื่อออกไปจนพ้นระยะของหมอกพิษแล้ว เขาก็จะ
สามารถเรียกเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้ามาได้ และออกจากที่นี่
ไปโดยสวัสดิภาพ
“ศิษย์ปู่ ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย...”
เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะผละไปโดยไม่พูดถึงอาการป่วย
ของเขาเลย กู้มู่ถึงกับหน้าซีด เขารู้ดีว่าความระแวงของ
เขาทำให้ฝ่ายนั้นขุ่นเคือง จึงรีบเดินเข้ามาและทรุดตัวลง
คุกเข่ากับพื้น
ผู้เชี่ยวชาญทุกคนมีศักดิ์ศรีของตัวเอง
ตั้งแต่แรกที่มาถึง กู้มู่วางตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา
โจมตีเขา และแม้อีกฝ่ายเสนอตัวจะช่วยเหลือด้วยความ
หวังดีแล้ว เขาก็ยังระแวงเจตนาของฝ่ายนั้น ก็ไม่แปลกที่
เขาจะไม่พอใจ
แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่สั่งสอนกู้มู่เข้าให้
ตอนที่ 281 เมล็ดบัวแดงเดือด

“สำหรับผม ถ้าจะรักษาใคร คนไข้จะต้องสลบเสีย


ก่อน ผมเข้าใจดีว่าคุณกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัว
เอง และไม่ตำหนิคุณเลยที่ไม่เชื่อผม!” จางเซวียนส่าย
หน้า
ฟังน้ำเสียงก็รู้ว่าอีกฝ่ายโมโหอย่างแน่นอน แถมยัง
ไม่คิดจะช่วยเขาเลยด้วย กู้มู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะ
กัดฟันและส่งโทรจิตหาเขา “ศิษย์ปู่ อย่าเพิ่งไป! ที่
สำนั ก งานใหญ่ ส่ ง ผมมาคั ด สรรหั ว หน้ า คนใหม่ แ ละ
คลี่คลายสถานการณ์ที่นี่น่ะเป็นแค่เรื่องบังหน้า เรื่องจริง
ก็คือเมล็ดบัวแดงเดือดที่สาขานี้แก่จัดแล้ว!”
“เมล็ดบัวแดงเดือด?”
“ใช่แล้ว เมล็ดบัวแดงเดือดอยู่ลึกลงไปใต้ภูเขาไฟ
มันดูดซึมเอาแร่ธาตุใต้พื้นผิวโลกเป็นอาหาร ถ้านักรบคน
ไหนได้ได้กินมันเข้าไป โอกาสที่เขาจะฝ่าคอขวดขั้นจื้อจุน
ไปได้ก็จะสูงขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์! ก็เพราะผมติดอยู่ที่คอ
ขวดนี่แหละ ผมจึงถือโอกาสรับภารกิจนี้”
กู้มู่บอกทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง
“ผมรู้ดีว่า ด้วยพละกำลังของศิษย์ปู่ ของสิ่งนี้ไม่มี
ประโยชน์เลย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะเป็นประโยชน์
กับลูกศิษย์ของคุณ ถ้าพวกเขาได้กินเข้าไป”
“มันเพิ่มโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธขั้นจื้อจุนได้ถึง
20 เปอร์เซ็นต์หรือ?”
จางเซวียนประหลาดใจมาก
การฝ่าด่านวรยุทธนั้นขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความ
ศรั ท ธา การฝึ ก ฝนที่ เ พี ย รสะสมมา และเทคนิ ค วร
ยุทธ...ยาเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น และสมุนไพรส่วน
มากก็ให้ผลในการช่วยยกระดับวรยุทธได้ไม่มากนัก
แต่เมล็ดบัวแดงเดือดเพิ่มโอกาสในการฝ่าด่านวร
ยุทธขั้นจื้อจุนได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าจางเซวียนไม่ได้ยิน
เรื่องนี้จากตัวนักรบจื้อจุนเองล่ะก็ เขาคงไม่คิดว่ามันเป็น
เรื่องจริง
ถึง 20 เปอร์เซ็นต์จะดูเหมือนไม่มาก แต่แค่นี้ก็
สามารถสร้างความอัศจรรย์ให้กับนักรบได้แล้ว คงจะมี
นักรบมากมายยอมฆ่าแกงกันเพื่อให้ได้เมล็ดนี้มา
การสำเร็จวรยุทธจื้อจุนขั้นสูงสุดถือเป็นสุดยอดของ
นักรบ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ปลายทาง ในโลกอันกว้างใหญ่ที่
อยู่ไกลออกไป ยังมีนักรบอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่มีวร
ยุทธสูงกว่านี้
ในเมื่อเมล็ดบัวแดงเดือดสามารถเพิ่มโอกาสในการ
ฝ่าด่านวรยุทธได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ มันย่อมจัดเป็นของ
ล้ำค่า
จางเซวียนไม่คิดว่าจะมีของมีค่าขนาดนี้อยู่ในห้อง
โถงแห่งยาพิษ
“ได้ บอกความต้องการของคุณมา!”
รู้ว่าอีกฝ่ายใช้เรื่องนี้มากระตุ้นความสนใจของเขา
จางเซวียนจึงหันมามองกู้มู่อีกครั้ง
“ผมแค่หวังว่าศิษย์ปู่จะช่วยรักษาสภาพร่างกายอัน
บอบช้ำของผม ส่วนเรื่องเมล็ดบัวแดงเดือด ผมต้องการ
แค่เมล็ดเดียวสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของผมเท่านั้น ที่
เหลือผมมอบให้ศิษย์ปู่ทั้งหมด!”
กู้มู่พูด
เขารู้ดีว่าด้วยสภาพร่างกายที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถึงจะได้
กินเมล็ดบัวแดงเดือดก็ไม่มีทางที่จะฝ่าด่านวรยุทธได้ ใน
เมื่อเป็นแบบนั้น สู้แลกเมล็ดบัวที่เหลือกับการรักษาตัว
จะดีกว่า
อีกอย่าง ถึงมันจะเป็นของดี แต่ก็ใช่ว่าจะได้มา
ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นหัวหน้าคนเก่าคงไม่ตายไปปุบปับแบบ
นั้น
คนอื่นๆคงจะไม่รู้สาเหตุการตายของหัวหน้าห้อง
โถงแห่งยาพิษคนเก่า แต่กู้มู่รู้ดี ทางสาขาได้ส่งรายงาน
การเสียชีวิตของหัวหน้าไป และเขาก็ได้อ่านรายละเอียด
ของมันโดยบังเอิญ
ที่ ร่ ำ ลื อ กั น ว่ า เขาตายเพราะอาการป่ ว ยนั้ น ไม่ ใ ช่
เรื่องจริง อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะเมล็ดบัวแดงเดือดได้
สุกเต็มที่ และระหว่างที่เข้าไปเก็บมัน หัวหน้าก็ถูกเปลว
ไฟปฐพีแผดเผาจนเสียชีวิตไป
ขนาดนักรบขั้นจื้อจุนยังถูกเปลวไฟเผาเป็นตอตะโก
ก็เป็นธรรมดาที่กู้มู่จะอยากได้ความช่วยเหลือจากศิษย์ปู่
ในการเก็บเมล็ดบัวนั้น
หลังจากใคร่ครวญแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะบอก
เรื่องนี้ให้อีกฝ่ายรู้ และทำข้อตกลงกัน
กู้มู่รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงจะตั้งใจรักษาเขาเป็นแน่หากได้รู้
เรื่องนั้น
“ได้สิ!” จางเซวียนพยักหน้า
อันที่จริงเขาก็ตั้งใจจะรักษากู้มู่อยู่แล้ว มาตอนนี้ยิ่ง
มีของล่อใจเข้าไปอีก ก็ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องคว่ำข้อ
เสนอนั้น
“แล้ว...เราจะเริ่มเมื่อไหร่?”
เห็นอีกฝ่ายตอบตกลง กู้มู่ให้ดีใจนัก
“มีอะไรที่ต้องจัดเตรียมหรือเปล่า?”
“ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งนั้น เริ่มตอนนี้ได้เลย!”
จางเซวียนโบกมือ
ยิ่งยื้อเวลาไปก็มีโอกาสที่สถานการณ์จะพลิกผันได้
มากขึ้นเท่านั้น ทำให้เสร็จสิ้นไปเสียจะดีที่สุดกับเขา
“ตามนั้น!” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายพร้อมจะรักษาตอนนี้ กู้
มู่ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ “ผมขอฝากตัวกับศิษย์ปู่ด้วย!”
จากนั้นเขาก็เงื้อมือ
ผัวะ!
เมื่อตบหัวตัวเองเรียบร้อย ร่างของเขาก็ชวนเซและ
ทรุดฮวบลงกับพื้น
เห็นอีกฝ่ายตบหัวตัวเองสลบ จางเซวียนก้มลงมอง
ผงตรึงวิญญาณที่อยู่ในมือ ในเมื่อไม่ต้องใช้แล้ว ก็ทำได้
แค่เก็บมันเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติเหมือนเดิม
“เราตั้งใจจะใช้ผงนี้ ไม่นึกเลยว่าคุณจะสะเพร่ากว่า
เซียนสมุนไพรเสียอีก...”
ผงตรึงวิญญาณที่สามารถทำให้ผู้คนสลบไสลได้นั้น
มีประโยชน์มากกับ ‘วิธีการรักษาแบบพิเศษ’ ของเขา
ก่อนที่จะออกมา จางเซวียนได้ร้องขอสิ่งนี้จากเซียน
สมุนไพร
ผงตรึงวิญญาณมีราคาไม่แพง และเซียนสมุนไพรก็
พร้อมจะทำตามความต้องการของจางเซวียนอยู่แล้ว ดัง
นั้นเขาจึงให้มาถึง 20 ชุด
เขาตั้งใจจะทดสอบฤทธิ์ของผงนี้ แต่เพิ่งหยิบออก
มา ฝ่ายนั้นก็ตบตัวเองสลบไปเสียก่อน
จะเร็วไปไหน!
แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็สลบไป
แล้ว สิ่งนี้ช่วยประหยัดแรงของจางเซวียนได้มาก
เขาเดินเข้าไปหากู้มู่ที่สลบเหมือด จางเซวียนสะบัด
ข้อมือ และเข็มเงินสองสามเล่มก็ปรากฏในฝ่ามือของเขา
รายละเอียดเรื่องสภาพร่างกายของกู้มู่ปรากฏขึ้น
หมดแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาโจมตีก่อนหน้านี้ จางเซวียนจึง
ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอีก
ด้วยการกระดิกนิ้ว เข็มเงินก็ปักลงไปในร่างของกู้มู่
ท่วงท่าของจางเซวียนนุ่มนวลและลื่นไหลราวกับผีเสื้อ
สภาพร่ า งกายของกู้ มู่ นั้ น ต่ า งจากเซี ย นสมุ น ไพร
มาก ร่างกายของเซียนสมุนไพรถูกสัญญาหนอนกู้ทำลาย
จนบอบช้ำ ทำให้สุขภาพของเขาทรุดโทรม ขณะที่กู้มู่ใช้
ยาพิษเกินขนาดเพื่อกระตุ้นจุดชีพจรของเขาให้มีการเพิ่ม
ระดับวรยุทธ ด้วยเหตุนั้นยาพิษจึงซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย
ของเขา และเข้าไปทำลายการทำงานของอวัยวะภายใน
เซี ย นสมุ น ไพรต้ อ งการการฟื้ น ฟู จ ากพลั ง ปราณ
เทียบฟ้า ส่วนกู้มู่ จางเซวียนต้องหาจุดที่พิษเข้าไปสะสม
อยู่ให้ได้ แล้วส่งพลังปราณเทียบฟ้าเข้าไปชะล้างพิษนั้น
ออกจากร่างกาย
ซึ่งอันที่จริง การรักษากู้มู่นั้นง่ายกว่ารักษาเซียน
สมุนไพรมาก
ฟิ้ววววววว!
พลังปราณเทียบฟ้าถูกส่งผ่านเข็มเงินเข้าไปยังจุดที่
ยาพิษสะสมอยู่ ไม่ช้าก็มีเสียงเหมือนน้ำไหลดังมาจากร่าง
ของกู้มู่ จากนั้น น้ำสีดำมืดก็ไหลออกจากนิ้วมือและนิ้ว
เท้าของเขา
“นี่คือยาพิษที่ซ่อนอยู่ในตัวหรือ?”
“มันถูกขับออกมาได้แบบนี้เลย?”
เหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆถึงกับตาโต และไม่อยากจะ
เชื่อในสิ่งที่เห็น
เพราะพวกเขาอยู่กับยาพิษทุกวี่วัน จึงรู้ดีว่าการขับ
พิษออกจากร่างกายนั้นยากเย็นแค่ไหน
รังสีพิษบางชนิด เมื่อซึมซาบเข้าไปในร่างกายแล้ว
จะไม่มีทางขับออกมาได้เลย ไม่ว่าจะกินสมุนไพรล้ำค่าแค่
ไหน หรือนานเท่าไรก็ตาม
นั่นคือเหตุผลที่กูรูยาพิษมักมีอายุสั้น แม้ว่าจะเป็นที่
ยำเกรงของคนทั่วไป อยู่ได้ 50 ถึง 60 ปีก็ถือว่ายาวนาน
แล้วสำหรับพวกเขา
แม้ ผ ลกระทบเหล่ า นั้ น มองเผิ น ๆจะเห็ น ได้ ไ ม่
ชัดเจน แต่ก็มีปัญหาอยู่ภายในตัวของพวกเขามากมาย
พิษร้ายที่พวกเขาต้องสัมผัสใกล้ชิดได้ซึมซาบเข้าไปใน
ร่างกายและออกฤทธิ์จากภายใน
พวกเขาคิดว่าคงไม่มีทางรักษา นึกไม่ถึงเลยว่าศิษย์
พี่ที่อยู่ตรงหน้าจะแก้ไขความบอบช้ำนี้ได้ง่ายๆ
ถ้าเขาขับพิษที่อยู่ในร่างของผู้แทนได้ง่ายดายขนาด
นั้น ก็หมายความว่า เขาย่อมรักษาพวกเราได้เหมือนกัน
ใช่ไหม?
เมื่ อ คิ ด ได้ แ บบนั้ น ก็ พ ากั น มองจางเซวี ย นด้ ว ย
นัยน์ตาเป็นประกาย
จางเซวียนไม่รับรู้ว่าฝูงชนมีปฏิกิริยาอย่างไร เขา
จมดิ่งกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า เข็มเงินแต่ละเล่มถูกปักลงไป
อย่างเหมาะเหม็งตรงจุดที่รังสีพิษซ่อนอยู่ เมื่อเวลาผ่าน
ไประยะหนึ่งเขาก็ขยับมือ และเข็มเงินทั้งหมดก็ลอยกลับ
มาหาเขา
จากนั้น จางเซวียนก็ผายมือเป็นเชิงอวดผลงาน
กู้มู่ค่อยๆฟื้นคืนสติขึ้นมา
“เอ่อ...”
เมื่อลืมตา ก็รู้สึกได้ทันทีถึงความเปลี่ยนแปลงใน
ร่างกาย
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ร่างกายของเขายังได้รับผลกระ
ทบจากรังสีพิษ เขารู้สึกเหมือนมีตุ้มน้ำหนักขนาดใหญ่
ถ่วงร่างของเขาไว้ ทุกย่างก้าวและทุกท่วงท่าทำได้อย่าง
ยากลำบาก แต่มาตอนนี้ เมื่อตุ้มถ่วงนั้นถูกกำจัดไปแล้ว
เขารู้สึกตัวเบาเหมือนขนนก
ถึงยังไม่ต้องใช้พลังปราณตรวจสอบสภาวะของตัว
เอง ก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายดึงเขาออกมาจากประตูนรกแล้ว
“ศิษย์ปู่ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม!”
แล้วกู้มู่ก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่
เพราะความหวาดกลัวในพละกำลังของอีกฝ่าย แต่มา
จากความเคารพสู ง สุ ด ในความสามารถและความ
เอื้อเฟื้อของเขา
จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “อาการของคุณ
หนักกว่าที่ผมคิดไว้ ต้องรักษาถึง 3 ครั้ง ปัญหาทั้งหมด
จึงจะได้รับการแก้ไข เพราะฉะนั้น ยังไม่ต้องขอบคุณผม
ตอนนี้หรอก ไว้พูดตอนที่คุณหายดีแล้วก็ยังไม่สาย!”
จางเซวียนยังไม่ได้รับเมล็ดบัวแดงเดือดและก็ยังไม่
พ้นอันตราย เขาจึงตัดสินใจหาแต้มต่อให้ตัวเองด้วยการ
กั๊กไว้ ยังไม่รักษาฝ่ายนั้นให้หายสนิทในครั้งเดียว เผื่อไว้
ในกรณีที่เขาจะกลับคำพูดขึ้นมา
“ได้!”
กู้มู่รู้ว่าสภาพร่างกายของเขาฟื้นจากสภาวะที่ย่ำแย่
ที่สุดแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าการรักษาคงจะต้องใช้เวลา
หลายเดือน แต่กลับผิดความคาดหมาย อีกฝ่ายพูดว่า
รักษาแค่ 3 ครั้งก็พอ เขาจึงได้แต่ทึ่งกับความสามารถ
ของ ‘ศิษย์ปู่’ อีกครั้งหนึ่ง
“ในระยะนี้ สภาพร่างกายของคุณจะยังไม่แสดง
ปัญหาอะไรออกมา ผมจึงขอทำการรักษาอีกสองครั้งใน
ภายหลัง ส่วนเรื่องเมล็ดบัวแดงเดือด ขอฝากคุณเป็นธุระ
ให้ด้วย อีกอย่าง คุณก็เป็นผู้แทน เพราะฉะนั้นผมจะไม่
ยุ่งกับเรื่องนี้!”
ทั้ ง พระเดชและพระคุ ณ จะต้ อ งถู ก เลื อ กมาใช้ ใ น
เวลาที่เหมาะสม จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด จางเซวียนรู้
ว่ากู้มู่ประทับใจในตัวเขามาก จึงไม่ห่วงแล้วว่าจะถูกฝ่าย
นั้นโจมตีอีก เมื่อพูดจบเขาก็เดินไปนั่งที่ตำแหน่งกึ่งกลาง
ห้อง
กู้ มู่ พ ยั ก หน้ า ก่ อ นจะหั น ไปทางเหลี่ ย วฉวิ น กั บ คน
อื่นๆ “นอกจากรองหัวหน้าและบรรดาผู้อาวุโส พวกคุณ
ที่เหลือออกไปได้!”
“ขอรับ!”
ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของผู้แทน ไม่นานก็เหลือ
แต่ผู้อาวุโส 4 คนกับรองหัวหน้าทั้งสามอยู่ในห้อง
“ผมมาที่นี่เพื่อจัดการ 2 เรื่อง!”
กู้มู่มองไปรอบๆและสะบัดแขนเสื้อ
ถึงเขาจะทำตัวเป็นศิษย์น้องที่ว่านอนสอนง่ายต่อ
หน้าจางเซวียน แต่เรื่องจริงก็คือเขาเป็นนักรบจื้อจุนขั้น
สูงสุดและกูรูยาพิษระดับ 3 ดาวขั้นสูงสุด การทำลาย
สาขานี้ให้พังพินาศเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับเขา
ด้วยพละกำลังนี้ทำให้เขามีอำนาจที่ยากจะหาใคร
เทียบ และไม่มีใครกล้าพูดถึงเขาลับหลัง
“ผู้แทน ได้โปรดพูดออกมาเถอะ!”
เหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆคำนับ
“อย่างแรก ผมจะเลือกหัวหน้าคนใหม่ และอย่างที่
สอง ผมมาที่นี่เพื่อเก็บเมล็ดบัวแดงเดือด ซึ่งตอนนี้น่าจะ
แก่จัดแล้ว!” กู้มู่พูด
“เมล็ดบัวแดงเดือด...”
ตอนที่ 282 ศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้า

เหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆตัวสั่นและหน้าซีดเผือด
“บั ว แดงเดื อ ดเติ บ โตอยู่ ใ นพื้ น ที่ ที่ มี เ ปลวไฟปฐพี
แผดเผา มันอาศัยพิษร้ายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงตัวมัน ทั้ง
ดอกและใบก็ล้วนมีพิษรุนแรงถึงตาย และเป็นส่วนผสม
ชั้นยอดของการผสมยาพิษ แต่ถึงแม้จะมีพิษร้ายแรงถึง
ตายแทรกซึมอยู่ในทุกส่วนของบัวนี้ รวมทั้งบริเวณที่อยู่
โดยรอบของมั น ด้ ว ย แต่ เ มล็ ด ของมั น กลั บ บริ สุ ท ธิ์
ปราศจากการปนเปื้อนใดๆ ในทางตรงกันข้าม ยังมี
คุ ณ สมบั ติ ไ ร้ เ ที ย มทานในการช่ ว ยให้ นั ก รบฝ่ า ด่ า นผ่ า
นขั้นจื้อจุนไปได้ เหตุผลที่ห้องโถงแห่งยาพิษสาขาสันเขา
บัวแดงตั้งมาได้หลายพันปีแล้วก็เพราะมีสิทธิ์ขาดในบัว
นี้”
กูมู่พูดต่อด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ “ตอนนี้เมล็ดบัว
นั้นแก่จัดแล้ว ผมจะนำเมล็ดของมันไป ทิ้งดอกกับใบ
ของมันไว้ที่นี่ คิดว่าพวกคุณคงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“เอ่อ...ไม่มีปัญหา!”
เหลี่ยวฉวินกับคนอื่นๆยิ้มเจื่อนๆขณะที่พยักหน้า
ก็ตัวแทนพูดออกมาขนาดนี้แล้ว แถม ‘ศิษย์ปู่’ ก็
นั่งมองอยู่ข้างๆ ต่อให้มีปัญหา ก็ไม่กล้าพูดออกมาหรอก!
“ดีแล้ว อีกนานไหมกว่าเมล็ดบัวจะแก่จัด?”
เห็นอีกฝ่ายไม่ขัดข้อง กู้มู่พยักหน้าอย่างพอใจก่อน
จะถามต่อ
เขาเลือกมาเวลานี้เพราะกะแล้วว่าเมล็ดบัวคงแก่
จัดพอดี แต่ถึงอย่างนั้น วันเวลาที่เหมาะสมจริงๆก็ยัง
ต้องเลื่อนไป
“เรียนผู้แทน อีกสิบวันมันถึงจะแก่จัด”
เหลี่ยวฉวินตอบ
“สิบวัน? เยี่ยมเลย เตรียมห้องที่ดีที่สุดของที่นี่ให้
ศิษย์ปู่ของผมด้วย ในสิบวันนี้ ผมจะเลือกหัวหน้าคน
ใหม่!” กู้มู่พูด
“ขอรับ!”
ทุกคนพยักหน้ารับคำสั่งของผู้แทน
เมื่อรู้แล้วว่าต้องใช้เวลาอีกสิบวันกว่าเมล็ดบัวแดง
เดือดจะแก่จัด จางเซวียนจึงตัดสินใจใช้เวลานี้เรียบเรียง
ข้อมูลที่เพิ่งถ่ายโอนมาจากหอสมุด เพื่อวิเคราะห์รังสีพิษ
ที่อยู่ในตัวเขาเอง
ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่ได้รักษาอีกฝ่ายให้หายขาด ดัง
นั้น ถึงกู้มู่จะเกิดจับพลัดจับผลูมองเห็นช่องโหว่ในคำพูด
ของเขาขึ้นมา และสรุปว่าศิษย์ปู่คนนี้เป็นตัวปลอม ก็ไม่
น่าจะมีปัญญาทำอะไรเขาได้
เพราะจางเซวี ย นได้ ส ำแดงวรยุ ท ธและความ
สามารถในแบบที่แม้แต่กูรูยาพิษระดับ 5 ดาวยังทำไม่ได้
กู้มู่จึงไม่น่าจะกล้าเปิดศึกกับเขาเหมือนกัน
......
จางเซวียนไม่สนใจเรื่องการเลือกหัวหน้าคนใหม่
เขานั่งอยู่เงียบๆในห้อง โดยกำชับให้เซียนสมุนไพรกับ
พ่อบ้านลู่เฝ้าประตูไว้ เขาวิเคราะห์เนื้อหาจากหนังสือที่
รวบรวมมาได้ และจดจ่ออยู่กับมันด้วยประสิทธิภาพ
สูงสุด
“แจ่ม!”
จางเซวียนพึมพำ หนังสือเกี่ยวกับยาพิษจำนวนนับ
ไม่ถ้วนที่อยู่บนชั้นได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และเกิด
เป็นเคล็ดวิชาเล่มหนา 1 เล่ม
รู้ว่านี่คือศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้าที่เขาตั้งใจประมวล
มันขึ้นมา จางเซวียนพุ่งสมาธิไปจดจ่อกับมันและตั้งต้น
อ่านโดยไม่รีรอ
“ยาพิษคือยาชนิดหนึ่ง ทำได้ทั้งคร่าชีวิตและช่วย
ชีวิต...”
ที่เขียนไว้ในหน้าแรกคืออารัมภบทเกี่ยวกับยาพิษ
ศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้าเล่มนี้ประมวลขึ้นจากหนังสือ
เกี่ยวกับยาพิษที่อยู่ที่นี่ ซึ่งมีเนื้อหาละเอียดกว่า ลึกซึ้ง
กว่า และอยู่ในระดับขั้นที่สูงกว่าหนังสือในอาณาจักร
เทียนเซวียน ความเข้าใจเรื่องยาพิษของจางเซวียนล้ำ
ลึกขึ้นเรื่อยๆเมื่ออ่านจบไปแต่ละหน้า
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ จางเซวียนก็
ลืมตา ความสับสนที่เคยปรากฏในดวงตาของเขาถูก
แทนที่ด้วยความเข้าใจแจ่มชัด
“ไม่นึกเลยว่าศาสตร์ของยาพิษจะมีเนื้อหามากมาย
และล้ำลึกเหมือนกัน!”
เมื่อทบทวนสิ่งที่เขาเพิ่งเรียนรู้ไปเมื่อครู่ จางเซวีย
นก็ถึงกับอึ้ง
ไม่แปลกใจเลยที่กูรูยาพิษเป็นที่หวาดกลัวของผู้คน
มากมาย ในด้านความซับซ้อน ก็ไม่เป็นรองนักปรุงยา
ช่างตีเหล็ก และอาชีพอื่นๆใน 9 สถานะระดับบน ส่วน
เรื่องความสามารถในการโจมตี ก็แน่นอนว่าเหนือกว่า
พวกนั้น
ยกตัวอย่าง ด้วยระดับวรยุทธที่เป็นอยู่ของจางเซ
วียน เขาไม่อาจเทียบชั้นกับนักรบจงซรือขั้นกลางได้ แต่
ถ้าเขาใช้ยาพิษ ฆ่านักรบจงซรือขั้นสูงสุดก็ยังไหว!
หรือต่อให้นักรบขั้นจื้อจุนก็เถอะ!
แต่ก็ใช่ว่ายาพิษจะทำได้ทุกอย่าง ถ้าปราศจากระ
ดับวรยุทธที่สูงพอ ผู้นั้นก็ไม่อาจปกปิดเจตนาสังหารที่อยู่
ในตัวได้ ความพยายามในการจะวางยาพิษคนอื่นก็จะ
ต้องถูกเปิดเผยออกมาให้เห็น ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ก็คงจะ
ถูกฆ่าเสียก่อนที่จะทันได้ทำอะไร
อีกอย่าง ก็ยังมียาพิษไร้เทียมทานบางชนิดที่ต้องใช้
หยดเลือดและพลังปราณของกูรูยาพิษเพื่อกระตุ้นให้มัน
ออกฤทธิ์
ถ้ามอบยาพิษร้ายแรงให้กับคนที่ไม่ใช่กูรูยาพิษหรือ
มีระดับวรยุทธไม่สูงพอ พวกเขาก็ไม่อาจใช้ประโยชน์จาก
มันได้ และอาจจะถูกมันคร่าชีวิตเอาเสียด้วยซ้ำ
ก็เหมือนกับที่ทุกคนรู้จักลูกระเบิด แต่ถ้าไม่มีความรู้
และพละกำลังมากพอ ก็ไม่มีทางควบคุมมันได้ ต่อให้ได้
มันมาสักลูกก็ไม่อาจใช้มันทำร้ายใคร และการถือมันไว้ยัง
อาจทำให้ตัวเองเป็นอันตรายด้วย
ยาพิษร้ายแรงก็เหมือนกับอาวุธอันทรงพลัง ถ้า
ปราศจากความเชี่ยวชาญและพละกำลังที่มากพอ ยังไม่
ต้องพูดถึงว่าอยู่ใกล้มัน ต่อให้อยู่ห่างออกไปหลายร้อย
เมตร หรือแม้แต่หลายพันเมตร ก็ยังมีโอกาสถูกพิษนั้น
ทำร้ายถึงตาย!
มันเป็นเครื่องมือที่อันตรายอย่างไม่มีอะไรเทียบ!
ตอนแรก จางเซวียนคิดว่าถ้าเขาผสมยาพิษร้าย
แรงขึ้นได้ ก็คงไม่ต้องกลัวใครแม้แต่นักรบจื้อจุนขั้นสูงสุด
แต่เท่าที่ดู ก็ดูเหมือนเขาจะคิดมากไป
“ในเมื่อเราไม่คิดจะใช้ยาพิษทำร้ายใคร ด้วยความ
รู้นี้ เราก็ใช้มันหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกใครทำร้ายได้เหมือน
กัน!”
ความแข็งแกร่งของกูรูยาพิษทำให้จางเซวียนเกิด
ความหวาดระแวง
ในขณะที่เขาไม่คิดจะใช้ยาพิษฆ่าใคร เขาก็ต้อง
ระวัง ไม่เปิดโอกาสให้ใครใช้ยาพิษฆ่าเขาได้
ก็เหมือนกับรังสีพิษที่อยู่ในตัวเขาเวลานี้ ถ้าเขา
ระมัดระวังตัวกับกูรูยาพิษทุกคนเสียแต่แรก ก็คงจะไม่
ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างที่เป็นอยู่
“เท่าที่ดูจากหนังสือ ขั้นสูงสุดที่กูรูยาพิษคนหนึ่งจะ
ไปถึงได้คือการสร้างกายพิษ ซึ่งเราน่าจะฝึกฝนมันได้
แน่ๆ!”
จางเซวียนยิ้ม
ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ การจะเป็นกูรูยาพิษได้ต้อง
อาศัยความปราดเปรื่องอย่างมาก
กูรูยาพิษที่เก่งกาจจะมีสภาวะกายพิษแต่กำเนิด ซึ่ง
กายพิษที่มีมาแต่กำเนิดนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้เขามีความ
ไวต่อยาพิษอย่างน่าทึ่ง แต่ยังทำให้ทนทานต่อมันได้มาก
เป็นพิเศษด้วย พูดให้ง่ายก็คือ ถ้ากูรูยาพิษคนไหนมี
สภาวะกายพิษแต่กำเนิด ต่อให้ถูกกูรูยาพิษคนอื่นวางยา
ก็จะไม่ได้รับผลกระทบหรือความบอบช้ำใดๆเลย ไม่ต่าง
จากกินอาหารปกติธรรมดา
ยิ่งกว่านั้น ว่ากันว่าใครที่มีสภาวะกายพิษแต่กำเนิด
หากกินยาพิษเข้าไป ก็จะสามารถซึมซับพลังงานที่อยู่ใน
ยาพิษนั้น แล้วนำไปใช้ยกระดับวรยุทธของตัวเองได้
แต่ก็แน่นอนว่าสภาวะนี้พบได้น้อยมาก ในกูรูยาพิษ
จำนวน 1 พันล้านคน ก็อาจจะไม่มีแม้สักคนเดียว
ก็เหมือนกับสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์ของจ้าวหย่า
มันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่
จางเซวียนจะฝึกฝนสภาวะกายพิษแต่กำเนิดได้ แต่เคล็ด
วิชามากมายนับไม่ถ้วนที่มาจากหนังสือในห้องโถงแห่ง
ยาพิษก็ได้ถูกประมวลเข้าด้วยกันเป็นศาสตร์ยาพิษเทียบ
ฟ้าแล้ว
ถ้าเขาฝึกฝนตามเทคนิคที่ถูกประมวลขึ้นนี้ ถึงจะไม่
อาจไปถึงขั้นของสภาวะกายพิษแต่กำเนิดได้ แต่ก็จะ
สามารถเพิ่มภูมิต้านทานต่อยาพิษให้กับตัวเองได้มาก สิ่ง
นี้มีประสิทธิภาพมากกว่าเทคนิคพิเศษที่กูรูยาพิษใช้กัน
เพื่อปรับสภาพร่างกายให้ทนทานต่อยาพิษได้มากกว่า
เดิม
“ต้องลองสักตั้ง!”
จางเซวียนเปิดหนังสือโดยไม่รีรอ
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ จางเซวียนระบายลมหายใจ
ขุ่นมัวและลุกพรวด
กระดูกทุกชิ้นในร่างของเขาส่งเสียงก๊อกแก๊กครืด
คราดเหมือนถั่วทอด และรังสีของเขาก็เปล่งประกายออก
มาทันที
“ถึงจะยังห่างไกลนักถ้าเทียบกับสภาวะกายพิษแต่
กำเนิด แต่มันก็ทำให้เรามีภูมิต้านทานต่อยาพิษทั่วไป
สภาวะของเราตอนนี้ ยาพิษที่ปรุงโดยกูรูยาพิษระดับ 3
ดาวก็ยังทำอะไรเราไม่ได้!”
เห็นความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย จางเซวียนยิ้ม
ร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้
ชั ด หลั ง จากฝึ ก ฝนศาสตร์ ย าพิ ษ เที ย บฟ้ า และภู มิ
ต้านทานต่อยาพิษก็เพิ่มขึ้นด้วย
ถึงจะไม่ใช่สภาวะกายพิษแต่กำเนิด แต่เขาก็มีภูมิ
ต้านทานสมบูรณ์แบบต่อยาพิษที่ผสมโดยกูรูยาพิษระดับ
3 ดาวลงมา
“ที่ เ จ๋ ง กว่ า นั้ น ...หลั ง จากเราฝึ ก ฝนศาสตร์ ย าพิ ษ
เทียบฟ้าแล้ว เมื่อทำการรักษาผู้คนหรือถ่ายทอดพลัง
ปราณให้เขาเพื่อช่วยในการฝ่าด่านวรยุทธ พลังปราณ
เทียบฟ้าของเราสามารถเปลี่ยนเป็นพิษร้ายกาจได้อย่าง
ฉับพลัน สามารถฆ่าศัตรูได้ในพริบตา!”
นอกจากร่างกายแล้ว การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่
ที่สุดที่เขาได้จากการฝึกฝนศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้าก็คือ
พลังปราณ
ความบริสุทธิ์ของพลังปราณเทียบฟ้าทำให้มันเป็น
เครื่องมืออันยอดเยี่ยมไร้เทียมทานในการรักษาอาการ
บาดเจ็บ การฟื้นฟูความแข็งแกร่ง การเพิ่มพูนพละกำลัง
รวมถึงการฝ่าด่านวรยุทธ...
และหลั ง จากที่ ฝึ ก ฝนศาสตร์ ย าพิ ษ เที ย บฟ้ า แล้ ว
ตอนนี้จางเซวียนสามารถเปลี่ยนพลังปราณเทียบฟ้าของ
เขาให้กลายเป็นพิษรุนแรงถึงตายที่ไม่อาจต้านทานได้
เพียงแค่คิดแว่บเดียว หากมันได้ซึมเข้าสู่กระแสเลือดของ
ใคร ต่อให้เป็นนักรบจื้อจุนก็ต้องจบเห่
ด้วยความใสเหมือนน้ำพุ มันสามารถซึมซาบเข้าสู่
ร่องรูไหนๆหรือจุดชีพจรใดๆภายในร่างกายมนุษย์ก็ได้
ต่อให้รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ถ้าไม่มีพลังปราณที่บริสุทธิ์พอก็
ไม่มีทางขับมันออกได้
ก็ไม่ต่างกับมะเร็งระยะสุดท้าย ต่อให้รู้สาเหตุและ
วิธีแก้ ก็ไม่มีทางรักษาหาย
สมกับที่เป็นพลังปราณเทียบฟ้า ความเป็นความ
ตายเกิดขึ้นได้ในชั่ววูบเดียว
จางเซวียนเองก็ไม่รู้ว่ามันจะมีพลังมากมายขนาดนี้
“ตอนนี้เราฝึกฝนกายพิษสำเร็จแล้ว ต้องตรวจสอบ
รังสีพิษเสียหน่อย!”
หลั ง จากฝึ ก ฝนศาสตร์ ย าพิ ษ เที ย บฟ้ า สำเร็ จ แล้ ว
จางเซวียนก็ถอนหายใจยาว เขาหันไปสนใจรังสีพิษที่
ซ่อนอยู่ในตัวอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขามีความรู้เรื่องยาพิษน้อยมาก ดังนั้น
จึงบอกไม่ได้ว่าพิษที่ซ่อนอยู่ในตัวคืออะไร แต่ตอนนี้
ความรู้ของเขาเทียบเท่ากับกูรูยาพิษระดับ 3 ดาวแล้ว
ขนาดกู้มู่ก็ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้ ในที่สุดเขาก็เก่งพอที่
จะขุดหาต้นตอของรังสีพิษและหาวิธีกำจัดมัน
หลังจากเข้าสู่สภาวะเงียบสงบดังหนองน้ำนิ่งแล้ว
สมองของเขาก็เริ่มทำงานเร็วขึ้น
“รังสีพิษนี้อาจซ่อนอยู่ในกระแสเลือด และหลบ
เลี่ยงจากพลังปราณเทียบฟ้าของเรา...”
ขณะที่กำลังตรวจสอบรังสีพิษในตัว หนังสือเกี่ยว
กับยาพิษเล่มแล้วเล่มเล่าก็ปรากฏขึ้นในสมอง ความ
รู้มากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่าเข้ามา
โลกนี้มียาพิษมากกว่า 1 ล้านชนิด และทุกชนิดก็มี
วิธีผสมแตกต่างกัน วิธีการรักษาก็แตกต่างกัน ความผิด
พลาดเพียงนิดเดียวอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างออก
ไปอย่างใหญ่หลวง
ด้วยเหตุนี้จางเซวียนจึงไม่ตื่นตระหนก เขาใช้เวลา
ซึมซับหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนในหอสมุดอย่างช้าๆ
“ยาพิษวิญญาณเขียว ไม่ใช่! ยาพิษเงาปีศาจ ก็
ไม่ใช่เหมือนกัน! พิษงู ก็ดูท่าจะไม่ใช่...”
จางเซวียนเปรียบเทียบยาพิษโดยอาศัยการเทียบสี
และลักษณะของมันตามที่มีระบุไว้ในหนังสือ หลังจาก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็หยุดกึก หน้าซีดเผือด สายตาเต็มไป
ด้วยความงงงันและไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันคือสิ่งนี้ มัน...มันเป็นไป
ได้อย่างไร?”
(Footnote: เทคนิคการฝึกวรยุทธเทียบฟ้าถูก
สร้างขึ้นพร้อมๆกับศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้า ขณะที่หนังสือ
มีชื่อว่าศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้า เทคนิคการฝึกวรยุทธก็จัด
ว่ า เป็ น ศาสตร์ ย าพิ ษ เที ย บฟ้ า เหมื อ นกั น การฝึ ก ฝน
ศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้าจะทำให้คุณมีกายพิษ)
ตอนที่ 283 อสูรลาวา

มันคือ..ครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด!
เป็นพิษที่มีมาแต่กำเนิดชนิดหนึ่ง!
เมื่อรู้ชนิดของพิษที่อยู่ในตัวแล้ว จางเซวียนก็แทบ
บ้า
ครรภ์เป็นพิษคือการที่พิษร้ายส่งผลต่อทารกที่อยู่ใน
ครรภ์ พิษนั้นจะหลอมรวมเข้ากับกระแสเลือดและจิต
วิญญาณ ทำให้ไม่มีทางรักษา
จ้าวหย่ามีสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์แต่กำเนิด ซึ่ง
หลังจากที่ปลุกสภาวะพิเศษนั้นขึ้นแล้ว ก็ทำให้เธอมีพละ
กำลังเพิ่มขึ้น รวมทั้งความงดงามราวกับราชินี ส่วน
หยวนเทามีสายเลือดฮ่องเต้แต่กำเนิด หลังจากที่ปลุก
สภาวะนั้นแล้วก็ทำให้เขามีทักษะการป้องกันตัวแบบไร้
เทียมทาน กลายเป็นโล่มนุษย์ชั้นดี...
จางเซวียนนึกอิจฉาพวกเขามาตลอด มาตอนนี้ก็
เพิ่งได้รู้ว่าตัวเองก็มีสภาวะพิเศษแต่กำเนิดเหมือนกัน แต่
ว่า...
ในเมื่อเป็นสภาวะพิเศษแต่กำเนิดเหมือนกัน แล้ว
ทำไมถึงแตกต่างกันขนาดนี้?
สภาวะพิเศษของคนอื่นทำให้ระดับวรยุทธของพวก
เขาสูงขึ้น แต่สภาวะพิเศษของเขากลับบั่นทอนชีวิตของ
เขาแทน...
“สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดคือพิษพิเศษชนิด
หนึ่งที่ถูกฝังเข้าไปในร่างกายของมารดาที่กำลังตั้งครรภ์
มันหลอมรวมเข้ากับทารกในครรภ์ก่อนที่จะคลอดออกมา
ทำให้ทารกสูญเสียพลังชีวิตไป ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก
พิษนี้มักมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 30 ปี สภาวะนี้ได้ชื่อว่าเป็น
สภาวะของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร...และไม่มีทาง
รักษา”
จางเซวียนปล่อยโฮ
คนอื่นเขามีสภาวะพิเศษแต่กำเนิดแบบที่ทำให้มี
พละกำลังล้นเหลือ แต่เรามีสภาวะพิเศษแบบที่ทำให้ต้อง
ตายก่อนวัยอันควร...
ตายก่อนวัยอันควรเหรอ...บ้าบอ!
จะเล่นงานกันหนักกว่านี้ได้อีกไหม?
ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงอายุสามสิบ ก็หมายความ
ว่าเราเหลือเวลาอีกแค่สิบปีน่ะสิ แทบจะต้องนับวันนับ
คืนแล้ว...
จางเซวียนข่มความหดหู่ไว้ เขาค้นหาหนังสือในหอ
สมุดเทียบฟ้าและพบหนังสือ 7-8 เล่มที่มีคำอธิบายเรื่อง
สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด แต่...คำอธิบายพวกนั้นก็
ตรงกันกับรังสีพิษที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
นั่นหมายความว่าจางเซวียนรับพิษชนิดนี้มาเต็มๆ
อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ว่า...
“การฝั ง พิ ษ ชนิ ด นี้ เ ข้ า ไปในตั ว แม่ แ ละทำให้ มั น
ถ่ายทอดไปสู่ลูกของเธอได้โดยที่ไม่มีใครรู้ อย่างน้อยผู้นั้น
ก็จะต้องเป็นกูรูยาพิษระดับ 7 ดาว แต่เราเป็นแค่เด็ก
กำพร้า ไม่เห็นจำเป็นที่ใครจะต้องยุ่งยากขนาดนั้นเลย...”
หลังจากที่แน่ใจถึงชนิดของพิษในตัวเขาแล้ว จาง
เซวียนก็ครุ่นคิดและเริ่มสงสัยบางอย่าง
จากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับยาพิษที่มีอยู่มากมาย
ในห้องโถงแห่งยาพิษ
จางเซวียนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการใช้ยาพิษ
ซึ่งการที่ใครสักคนจะฝังสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด
เข้าสู่ร่างของคนๆหนึ่งโดยที่ไม่มีใครรู้ได้นั้น กูรูยาพิษคน
นั้นจะต้องเป็นถึงระดับ 7 ดาวขึ้นไป
อาจจะ 8 หรือ 9 ดาวด้วยซ้ำ
กูรูยาพิษระดับนั้นย่อมมีวรยุทธไร้เทียมทานอยู่แล้ว
มันเรื่องอะไรถึงต้องลงทุนลงแรงขนาดนั้นกับเด็กกำพร้า
อย่างเขา?
เจ้าของร่างคนเก่าเป็นแค่คนต๊อกต๋อยที่อาศัยอยู่ใน
อาณาจักรไกลปืนเที่ยงอย่างเทียนเซวียน เป็นเด็กกำพร้า
ที่แทบจะไม่มีเงินประทังชีวิต ไม่มีอะไรในตัวเขาที่โดด
เด่นเลย ยกเว้นระดับวรยุทธในช่วงก่อนที่เขาจะอายุ 18
ปี แต่หลังจากนั้น เขาก็หล่นฮวบ แถมยังมีชื่อเสียงว่า
เป็นอาจารย์ที่ห่วยที่สุดตลอดประวัติศาสตร์ที่มีมาของ
โรงเรียนหงเทียน
แล้ ว คนแบบเขาจะควรค่ า พอกั บ การที่ กู รู ย าพิ ษ
ระดับสุดยอดขนาดนั้นจะต้องมาสนใจ...มันไม่เหลือเชื่อ
ไปหน่อยหรือ?
“พิษชนิดนี้จะหลอมรวมเข้ากับร่างของผู้นั้น ใน
สภาวะปกติ เขาจะไม่รู้สึกเลยว่ามีมันอยู่จนกระทั่งตายไป
นี่เป็นเพราะพลังปราณเทียบฟ้าที่เราฝึกฝนอยู่นั้นบริสุทธิ์
มากเสียจนทำให้มันต้องเปิดเผยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มี
ทางรู้เลย...”
จางเซวียนรู้สึกอับจนหนทาง
ครั้งแรกที่เขารู้ว่ามีพิษนี้อยู่ในตัว เขานึกไปว่าคงมี
ใครสักคนวางแผนจะฆ่าเขา และเจ้าของร่างคนเก่าก็อาจ
ถูกคนผู้นั้นฆ่า แต่เท่าที่ดูแล้ว เขาคงจะคิดมากไป
พิษนี้ติดตัวเขามาแต่กำเนิด และมันซ่อนอยู่ลึกเสีย
จนกูรูยาพิษระดับ 9 ดาวก็ยังมองไม่เห็น มันเป็นการ
ฆาตกรรมที่แยบยลที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะต่อให้จางเซวียนตายไป ก็ไม่มีทางที่ใครจะ
ชี้ตัวฆาตกรได้เลย และอันที่จริง ต่อให้เขาเป็นกูรูยาพิษ
ก็แทบไม่มีทางที่จะรู้สึกได้เลยว่ามีรังสีพิษอยู่ในตัว เป็น
เพราะพลังปราณเทียบฟ้าที่เขาฝึกฝนมานั้นบริสุทธิ์มาก
จนมันไหลเวียนไปได้ทั่วทั้งกระแสเลือด จึงไม่มีสิ่งแปลก
ปลอมใดที่จะถูกซุกซ่อนไว้ได้ พิษนี้จึงถูกบีบให้ออกมา
จากที่ซ่อนของมัน
แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นแล้ว จางเซวียนก็ยังทำอะไรไม่
ได้ มันถูกฝังไว้ตั้งแต่เขาอยู่ในครรภ์ และตัวมันก็เฉลียว
ฉลาดขนาดที่พลังปราณเทียบฟ้ายังเข้าไปกำจัดมันไม่ได้
แถมยังเติบโตและมีพลังมากขึ้นตามวันเวลาที่ผ่าน
ไป จางเซวียนคงจะต้องตายก่อนอายุสามสิบแน่
บ้าชะมัด!
นี่มันบ้าอะไรกัน! คนอื่นเขาได้รับนิ้วทองคำ ได้มี
พละกำลังและอำนาจ แต่เขากลับได้ระเบิดเวลามาแทน
แถมยังรัดแน่นชนิดที่กะว่าต้องเอาให้ตาย
เป็นไปได้ว่าพิษนี้อาจมีส่วนในการตายของเจ้าของ
ร่างคนเก่า ด้วยการบีบคั้นอย่างหนักหน่วงและเจตนาที่
จะเอาชีวิตของเขา รังสีพิษนี้ได้ออกฤทธิ์ก่อนเวลา และ
ดูดกลืนจิตวิญญาณของเขาไป แต่จางเซวียนทะลุมิติมา
เสียก่อนที่พิษนั้นจะทำลายร่างได้ทั้งหมด
การที่จู่ๆจางเซวียนคนเก่าก็หล่นฮวบจากการเป็น
อัจฉริยะ แถมระดับวรยุทธก็แป้ก ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับ
รังสีพิษนี้
ก่อนที่จะสำเร็จวรยุทธเจิ้นซี่ขั้นสูงสุด เจ้าของร่าง
คนเก่ามีระดับวรยุทธที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงกับได้ชื่อ
ว่าเป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักคนหนึ่ง แต่แล้วเขาก็กลับ
แป้กอยู่หลายปีโดยไม่อาจสำเร็จขั้นผีกู่ ที่เป็นแบบนี้น่า
จะเป็นเพราะรังสีพิษได้ซึมซาบไปทั่วร่างกาย และส่งผลก
ระทบอย่างรุนแรงต่อพลังปราณของเขา
หากไม่ ไ ด้ มี พ ลั ง ปราณที่ บ ริ สุ ท ธิ์ อ ย่ า งพลั ง ปราณ
เทียบฟ้า จางเซวียนก็ไม่มีทางจะข่มรังสีพิษนี้ไว้ และ
สำเร็จวรยุทธขั้นสูงขึ้นได้เลย ด้วยพลังปราณอันขุ่นคลั่ก
ของเจ้าของร่างคนเก่า ไม่มีทางที่เขาจะสำเร็จขั้นผีกู่ได้
“พิษร้ายทุกชนิดย่อมมีทางรักษา ห้องโถงแห่งยา
พิษสาขานี้อาจจะอยู่ในขั้นต่ำไป บางทีเราควรจะหาวิธี
แก้จากหนังสือในสาขาที่อยู่ขั้นสูงกว่านี้...”
ถึงจางเซวียนจะท้อแท้กับสภาวะของตัวเอง แต่เขา
ก็ไม่ถอดใจ
หลังจากที่ฝึกฝนศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้าแล้ว เขาก็มี
ความเข้าใจเรื่องยาพิษเพิ่มขึ้นมาก
ทุกสาเหตุนำไปสู่ผลลัพธ์ ดังนั้น ในโลกนี้จึงไม่มีโรค
ร้ายชนิดใดที่ไม่มีทางรักษา แม้ว่าหนังสือที่จางเซวียน
ประมวลขึ้นมาจะบอกว่าไม่มีทางแก้ไขพิษชนิดนั้นก็ตาม
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีทางรักษาจริงๆ เขา
อาจจะหาวิธีได้จากห้องโถงแห่งยาพิษที่มีระดับขั้นสูงกว่า
นี้
“ภาวะครรภ์เป็นพิษนี้จะไม่ออกฤทธิ์จนกว่าเราจะ
อายุสามสิบ นั่นก็หมายความว่าเราจะต้องหาวิธีรักษาให้
ได้ภายในสิบปีนี้!”
ราวกั บ ดาบสั้ น อั น คมกริ บ สภาวะเงี ย บสงบดั่ ง
หนองน้ ำ นิ่ ง ได้ ฟ าดฟั น เอาความคิ ด ร้ า ยๆออกไปจาก
สมองของจางเซวียนจนหมด เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาเพิ่งทะลุมิติมาได้แค่เดือนกว่าๆ แต่ก็สามารถยก
ระดับวรยุทธของตัวเองจากเจิ้นซี่ขั้นสูงสุดมาถึงกึ่งจงซ
รือได้ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าอีกสิบปีนี้เขาจะไปได้ไกล
ขนาดไหน ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น ก็คงหาวิธีรักษาได้แล้ว
ไม่จำเป็นจะต้องตื่นตระหนกเลย
แต่ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ทำให้เขาหนักใจมากมายแล้ว
แต่ก็ยังมีเรื่องคาใจอยู่
เพราะมีบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามทฤษฎี ทำให้จาง
เซวียนมีโอกาสได้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเขาก็ไม่
อยากตายเพราะเหตุผลงี่เง่า
“เรียกกู้มู่มา!”
จางเซวี ย นลุ ก ขึ้ น ยื น และสั่ ง การไปกั บ เซี ย น
สมุนไพรและพ่อบ้านลู่ที่เฝ้าประตูห้องอยู่
“ศิษย์ปู่ คุณเรียกผมหรือ?”
ไม่นานกู้มู่ก็เดินเข้ามา
“นั่งลงสิ” จางเซวียนชี้มือ “เหตุผลที่ผมเรียกคุณ
มาก็เพราะมีบางเรื่องที่อยากถาม”
กู้มู่นั่งลงทันที “ศิษย์ปู่ ได้โปรดพูดมาเถอะ!”
ในช่วงสองสามวันนี้ จางเซวียนได้หาเวลาทำการ
รักษาครั้งที่ 2 ให้กับกู้มู่ ซึ่งหลังจากการรักษา กู้มู่ก็รู้สึก
ว่าตัวเองกระชุ่มกระชวยขึ้น เหมือนกับได้ย้อนเวลาไป
เมื่อสิบปีที่แล้วที่พละกำลังของเขายังแข็งแกร่งถึงขีดสุด
พลังงานล้นหลามได้ไหลบ่าเข้าสู่ตัวเขา
หลังจากที่ได้รักษามาแล้ว 2 ครั้ง เขาก็รู้ว่าศิษย์ปู่
คนนี้มีวิธีการที่แสนจะน่าทึ่งราวกับสวรรค์ประทาน เขา
ประทับใจมาก และไม่กล้าสงสัยหรือระแวงแคลงใจใดๆ
ในตัวเขาอีก
“คุณเคยได้ยินเรื่องสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด
ไหม?” จางเซวียนถาม
กู้มู่มาจากห้องโถงแห่งยาพิษสาขาอาณาจักรชวน
หยวน และได้อ่านเคล็ดวิชาอันล้ำลึกมาแล้วมากมาย
เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้ในสิ่งที่จางเซวียนไม่รู้
“สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด?”
กู้มู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถาม “ผมเคย
ได้ยินชื่อพิษชนิดนี้ มันเป็นพิษร้ายแรงถึงตายที่ถูกฝัง
เข้าไปในร่างของผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ พิษนั้นจะหลอม
รวมเข้ากับตัวทารกตลอดระยะเวลาที่ทารกนั้นเติบโตขึ้น
ซึ่งไม่มีทางรักษา!”
“ไม่มีทางรักษา?”
“ใช่!” กู้มู่พยักหน้า แต่ก็เหมือนกับเพิ่งนึกอะไรได้
กะทันหัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ว่า...”
“แต่อะไร?” จางเซวียนจ้องเขาอย่างตั้งใจ
“ผมเคยได้ยินเรื่องเล่า แต่ยืนยันไม่ได้ว่ามันจริง
หรือเปล่า!”
กู้มู่ลังเลอีกครู่ใหญ่ก่อนจะพูดต่อ “ว่ากันว่ามีชายผู้
ยิ่งใหญ่อยู่คนหนึ่ง, ปรมาจารย์เซียนขง เขาได้รับผลกระ
ทบจากสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดเหมือนกัน แต่เขา
มีอายุยืนถึง 10000 ปีกว่าจะเสียชีวิต”
เป็ น ที่ รู้ กั น ว่ า ปรมาจารย์ เ ซี ย นขงคื อ ปรมาจารย์
หมายเลขหนึ่ ง ของโลกใบนี้ เขาคื อ ผู้ ก่ อ ตั้ ง สภา
ปรมาจารย์ เป็นที่เคารพยกย่องของผู้คนมากมายทั่วโลก
ไม่มีปรมาจารย์หรือผู้ช่วยปรมาจารย์คนไหนที่ไม่รู้จักเขา
“อ้อ?”
จางเซวียนเคยได้ยินหวงหวี่พูดถึงอยู่ครั้งหนึ่ง และ
ตัวเขาก็รู้สึกเคารพบุคคลในตำนานผู้นี้เหมือนกัน
แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเซียนผู้นี้จะได้รับผลกระทบจาก
สภาวะครรภ์เป็นพิษ และมีสภาพเดียวกับเขา
ในเมื่อเขาเอาชนะมันได้ ก็แปลว่าพิษนี้ต้องมีทาง
รักษา
“แต่มันก็เป็นแค่ตำนานเล่าขานกันมา ถ้าใครอยาก
รู้เรื่องราวของปรมาจารย์เซียนขงเพิ่มเติม ก็จะต้องไปที่
สภาปรมาจารย์ กูรูยาพิษอย่างพวกเราก็รู้จักเขาจากที่
เล่าต่อกันมาเท่านั้น...ว่าแต่ ทำไมศิษย์ปู่ถึงถามเรื่องนี้?”
กู้มู่ถามอย่างสงสัย
“ผมก็ถามไปอย่างนั้นแหละ!”
จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ และตัดสินใจทันที
ว่าเมื่อจัดการทุกอย่างที่นี่เรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องไปสภา
ปรมาจารย์ให้ได้
อัตชีวประวัตินั้นเรียบเรียงขึ้นจากชีวิตของบุคคลผู้
โดดเด่นในแต่ละสาขาอาชีพ และจะต้องถูกเก็บรักษาไว้
ในสมาคมนั้น เพื่อที่คนรุ่นหลังจะได้เรียนรู้และใช้เป็น
แบบอย่าง
ในเมื่ อ ปรมาจารย์ เ ซี ย นขงเป็ น ผู้ ก่ อ ตั้ ง สภา
ปรมาจารย์ เรื่องราวของเขาก็น่าจะถูกเก็บไว้ที่นั่น
ถ้ า เขาได้ รั บ ผลกระทบจากสภาวะครรภ์ เ ป็ น พิ ษ
จริงๆ และมีชีวิตยืนยาวได้ขนาดนั้น ก็แปลว่าเขาต้องมี
วิธีถอนพิษ
ในเมื่อเคยมีคนทำได้สำเร็จ จางเซวียนก็ไม่ควรจะ
ตระหนกให้มากไป
“สถานการณ์ ที่ ห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ เป็ น อย่ า งไร
บ้าง?”
เมื่อวางแผนแล้ว เขาก็ตัดสินใจจะไม่คิดให้ยืดเยื้อ
“หลังจากผ่านการทดสอบมาหลายรอบ ผมเลือก
หัวหน้าคนใหม่ได้แล้ว ก็คือรองหัวหน้าเหลี่ยวฉวิน! ส่วน
เมล็ดบัวแดงเดือดก็ใกล้จะแก่จัดแล้ว พรุ่งนี้ก็เก็บได้”
กู้มู่ตอบ
“พรุ่งนี้? เยี่ยมเลย!” จางเซวียนตาโต
เขาได้รับความรู้ที่ต้องการแล้ว และรู้แล้วว่าพิษร้าย
ในตัวเขาคืออะไร ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ต่อ
ยิ่งออกไปได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
เมื่อกู้มู่ออกไปแล้ว จางเซวียนก็ค้นหาหนังสือในหอ
สมุดเทียบฟ้าเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทบทวนวร
ยุทธของเขาให้แม่นยำ
แม้ที่เมืองบัวแดงจะมีหนังสือวรยุทธขั้นจงซรือไม่
มากพอที่จะเรียบเรียงเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้า แต่ก็พอมี
ข้อมูลเป็นแนวทางให้จางเซวียนฝึกฝนวรยุทธขั้นต่อไป
ได้
หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง จางเซวียนก็รู้สึกได้
ว่าพลังปราณขั้นกึ่งจงซรือในตัวเขาแข็งแกร่งและมีพลัง
มากขึ้น อีกก้าวเดียวเขาก็จะสำเร็จขั้นจงซรือแล้ว
แม้ว่าหอสมุดเทียบฟ้าจะมีความสามารถในการชี้
ข้อบกพร่องของวัตถุและสิ่งมีชีวิต แต่จางเซวียนก็ยังต้อง
สะสมความรู้พื้นฐานให้แน่นหนาก่อนจะก้าวไปยังวรยุทธ
ขั้นที่สูงกว่าเดิม ดังนั้น เขาจึงหาความรู้เพิ่มเติมทุกครั้งที่
มีเวลา ในช่วงเวลาแค่สิบวันนี้ ความรู้ของเขาก็เพิ่มสูง
ขึ้นกว่าสองเท่า ความเข้าใจในเรื่องการฝึกอสูรและเรื่อง
ยาพิษล้ำลึกกว่าเดิมมาก สำหรับตอนนี้ ถึงจะไม่มีหอสมุด
เทียบฟ้าคอยช่วยเหลือ ก็เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้รอบรู้คน
หนึ่ง
เขาทบทวนเพลงหมัดเทียบฟ้า ศิลปะการใช้ขา
เทียบฟ้า และเพลงหอกเทียบฟ้าอีกอย่างละรอบ
ทั ก ษะเหล่ า นี้ ล้ ว นแต่ อ ยู่ ใ นขั้ น พื้ น ฐาน แต่ มั น
สามารถดึงเอาความแข็งแกร่งของผู้ฝึกออกมาได้อย่าง
สมบูรณ์แบบ ทักษะพวกนี้เพิ่มความสามารถในการโจมตี
ให้กับจางเซวียน ทำให้เขาสามารถรับมือกับนักรบจงซ
รือขั้นกลาง หรือแม้แต่สังหารก็ยังได้
แต่ก็แน่นอนว่าถ้าจางเซวียนใช้ความสามารถของ
หอสมุ ด เที ย บฟ้ า ในการชี้ ข้ อ บกพร่ อ ง และผนวกเอา
ศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้าเข้าไปด้วย ต่อให้เป็นนักรบ
จงซรือขั้นสูงสุด เขาก็สังหารได้
ไม่ เ คยมี ป รากฏมาก่ อ นว่ า นั ก รบขั้ น กึ่ ง จงซรื อ
สามารถเอาชนะนักรบจงซรือขั้นสูงสุดได้ในการปะทะ
ซึ่งๆหน้า แม้แต่อัจฉริยะที่เก่งกาจที่สุดในสภาปรมาจารย์
ก็ยังทำไม่ได้
“ศิษย์ปู่ เมล็ดบัวแดงเดือดแก่จัดแล้ว!”
จางเซวียนใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธจนล่วงเข้าวันใหม่
กู้มู่มาเคาะประตู
“ได้!”
เขาพยักหน้าและลุกขึ้นยืน
เขารอมาแล้ ว ถึ ง สิ บ วั น สำหรั บ เจ้ า สิ่ ง ล้ ำ ค่ า ที่
สามารถเพิ่มโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธขั้นจื้อจุนได้ถึง
20 เปอร์เซ็นต์...และในที่สุดมันก็แก่พอจะเก็บได้แล้ว!
“สันเขาบัวแดงเป็นภูเขาไฟขนาดมหึมา และห้อง
โถงแห่งยาพิษของเราก็อยู่ที่ปากปล่อง เมื่อสมัยที่มีการ
ก่อสร้าง มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลมาวางค่ายกล
ไว้ เพื่อปิดปากปล่องภูเขาไฟ และใช้เปลวไฟปฐพีนั้น
หล่อเลี้ยงเมล็ดบัวแดงเดือด”
แม้ว่าเหลี่ยวฉวินจะได้เป็นหัวหน้าคนใหม่แล้ว เขา
ก็ยังไม่กล้าหือกับกู้มู่และจางเซวียน เขาอธิบายเรื่องราว
ให้ทั้งคู่ฟังอย่างนอบน้อมระหว่างทางที่ไป
“ผู้แทน ศิษย์ปู่ ทางนี้เลย!”
เหลี่ยวฉวินเรียกจางเซวียนตามอย่างกู้มู่
ไม่นานทั้งสามก็มาถึงแท่นหินแท่นหนึ่ง
“ปากปล่องภูเขาไฟซ่อนอยู่ข้างล่าง!”
เหลี่ยวฉวินชี้มือไป
จางเซวียนก้มลงมอง
แท่นหินขนาดมหึมาที่มีรัศมีกว่า 100 เมตรทอดตัว
อยู่ตรงหน้า เมื่อมองจากที่ไกลๆ มันดูเก่าแก่มาก เหมือน
ซากปรักหักพังมากกว่าจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟ
จางเซวียนถึงกับงง แต่เมื่อได้ฟังที่มาที่ไปของสาขา
แล้วก็รู้ว่าคงจะมีค่ายกลอยู่ตรงนี้ จึงปิดปากเงียบ
เหลี่ยวฉวินเดินไปยังแท่นหินนั้น เขาสะบัดมือครั้ง
หนึ่ง หยิบตราสัญลักษณ์หัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษออก
มา และวางมันลงตรงกลางแท่นหิน
ฟิ้วววววว!
โลกหมุนติ้ว และภาพตรงหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนไป
ทันที
มีขั้นบันไดที่ยาวสุดลูกหูลูกตาทอดตัวลงไป
“ทางนี้!”
เหลี่ยวฉวินนำทาง หลังจากที่เดินลงบันไดไปได้
เกือบ 2 ชั่วโมง พระราชวังใต้ดินขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรง
หน้า
ศูนย์กลางพระราชวังคือปากปล่องขนาดมหึมาของ
ภูเขาไฟ มีเปลวไฟร้อนแรงแผดเผาและคลื่นความร้อน
ลามเลียออกมา เป็นที่น่าพรั่นพรึงของผู้พบเห็น
จางเซวียนหน้าเครียดเมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่ง
ออกมาจากภายใน
พวกเขายังไปไม่ถึงปากปล่องเลย แต่อากาศบริเวณ
นี้ก็ร้อนรุ่มพอที่จะทำให้นักรบขั้นพี่เชวี่ยหมดสภาพได้
แล้ว
“ผู้แทน ศิษย์ปู่ นั่นคือบัวแดงเดือด!”
เมื่อเข้าใกล้ปากปล่องภูเขาไฟ เหลี่ยวฉวินชี้ให้ทั้งคู่
ดู
ที่ใจกลางภูเขาไฟ มีบัวแดงเดือดลอยอยู่ท่ามกลาง
ลาวาร้อนระอุ ที่อยู่บนนั้นคือฝักบัวที่เต็มไปด้วยเมล็ดนับ
ไม่ถ้วน ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
“สวยอะไรอย่างนี้!”
จางเซวียนตาโต
บัวแดงเดือดที่อยู่ตรงหน้าสูงประมาณ 2-3 เมตร
ผิวหน้าของมันเป็นสีแดงเพลิง ให้ความรู้สึกเหมือนเปลว
ไฟที่กำลังพวยพุ่ง
พวกเขาอยู่ห่างจากบัวนั้นหลายร้อยเมตร แต่ก็รู้สึก
ได้ถึงคลื่นความร้อนที่แผดเผาผิวหนังอยู่ ยังไม่ต้องพูดถึง
จางเซวียน ต่อให้เป็นนักรบจื้อจุนก็ยังแทบจะทนไม่ได้
“เราจะเก็บมันได้อย่างไร?” จางเซวียนถาม
ไม่เพียงแต่จะทนคลื่นความร้อนแทบไม่ได้ ปัญหา
หลักคือมันลอยอยู่บนลาวา และอยู่ห่างจากฝั่งไปหลาย
ร้อยเมตร แล้วจะเก็บอย่างไร?
ให้ย่ำลาวาไปหรือ?
ถึงจะมีวิชาร่างนวโลหะ จางเซวียนคงมอดไหม้เป็น
เถ้าถ่านแน่ถ้าเหยียบลงไป
ส่วนคนอื่นก็ไม่ต้องพูดถึง
“ผมก็ไม่รู้ อาจารย์ของผมถูกเผาวอดเป็นเถ้าถ่าน
ตอนที่พยายามจะเก็บเมล็ดบัว หลังจากที่เห็นแล้วว่ามัน
ใกล้จะแก่จัด...” เหลี่ยวฉวินส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ
ความตายอย่างปุบปับของหัวหน้าคนเก่าก็สืบเนื่อง
มาจากการที่เขาพยายามจะเก็บเมล็ดบัวแดงเดือด
“เมล็ดบัวแดงเดือดจะแก่จัดทุกๆ 100 ปี และทุก
ครั้งก็จะต้องมีใครสักคนทำได้สำเร็จ ทางสำนักงานใหญ่
ได้รับสิ่งนี้เป็นบรรณาการจากพวกคุณเสมอ แล้วทำไม
ครั้งนี้หัวหน้าคนเก่าถึงทำไม่ได้?”
กู้มู่ถามอย่างสงสัย
ห้องโถงแห่งยาพิษสาขานี้ได้ดูแลรักษาบัวแดงเดือด
มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทุ่มเท
สมุนไพรสารพัดในการฟูมฟักมัน เพียงเพื่อจะปล่อยให้
ตกไปอยู่ในมือคนอื่น
อีกอย่าง ทางนี้ก็ได้ส่งเมล็ดบัวจำนวนหนึ่งไปให้
ทางสำนักงานใหญ่ทุกศตวรรษ ก็แปลว่าพวกเขาต้องมี
วิธีเก็บมัน
“เรามีวิธี แต่เราใช้มันไม่ได้อีกแล้ว ดูนั่นสิ!”
เหลี่ยวฉวินยิ้มเจื่อนๆ เขาหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมา
และขว้างมันไปที่บัวแดงเดือด
เขาเป็ น นั ก รบจงซรื อ ขั้ น สู ง สุ ด ด้ ว ยพลั ง ปราณ
ระดั บ นั้ น หิ น ก็ พุ่ ง หวื อ แหวกอากาศไปราวกั บ จะฉี ก
อากาศออกเป็น 2 ส่วน
"คุณทำอะไรน่ะ...?
เห็นอีกฝ่ายขว้างหินไปที่บัวแดงเดือดอย่างสุดแรง
เกิด กู้มู่ถึงกับหน้าตึง
เมล็ดบัวแดงเดือดแก่จัดแล้ว ถ้าโดนแรงกระแทก
ขนาดนั้นก็คงจะหล่นลงไปในลาวา และถ้าหล่นลงไปก็
ไม่มีทางจะหาเจอ
“ผู้แทน คุณดูเอาเถอะ!” เหลี่ยวฉวินพูด
ขณะที่พวกเขากำลังพูดกัน ก็ดูเหมือนหินก้อนนั้น
กำลังจะพุ่งเข้าชนบัวแดงเดือด แต่แล้วลาวาที่อยู่ๆรอบก็
สั่นสะท้านอย่างรุนแรง และทันใดนั้น สิ่งมีชีวิตประหลาด
ชนิดหนึ่งก็โผล่พรวดขึ้นมา มันอ้าปากและกลืนหินก้อน
นั้นลงไป
เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมีรูปร่างคล้ายงู และยาว
หลายสิบเมตร มีชั้นผิวหนังหนาเตอะสีแดงสดใส มัน
แหวกว่ายอย่างสบายใจอยู่ในลาวา เกิดเป็นภาพที่แสน
ประหลาด
“นั่นตัวอะไร?”
กู้มู่นึกไม่ถึงว่าจะมีสัตว์หน้าตาประหลาดมาแหวก
ว่ายอยู่ในลาวาที่กำลังเดือดปุดๆแบบนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่
หนึ่งแล้วก็ต้องหรี่ตา “นี่มันใช่อสูรลาวาที่คุณเพิ่งรายงาน
ไปที่สำนักงานใหญ่หรือเปล่า?”
เมื่อเห็นเจ้าสัตว์ตัวนั้น เขาพลันนึกได้ถึงเนื้อหาใน
รายงานที่ทางสาขาสันเขาบัวแดงเพิ่งส่งไปยังสำนักงาน
ใหญ่
ในรายงานไม่ เ พี ย งแต่ จ ะพู ด ถึ ง ความตายอย่ า ง
กะทันหันของหัวหน้าคนเก่า แต่ยังพูดถึงสัตว์ประหลาดที่
อาศัยอยู่ในลาวาบริเวณโดยรอบบัวแดงเดือด ซึ่งพวก
เขาตั้งชื่อมันว่าอสูรลาวา
เขาคิดว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างเหลวไหลที่อีกฝ่ายหยิบ
มาเป็นข้ออ้าง เพื่อจะตุกติกไม่ส่งเมล็ดบัวแดงเดือดให้ ไม่
เคยคิดสักนิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
“ใช่ นี่คืออสูรลาวา ชั้นผิวหนังหนาเตอะของมัน
ทำให้มันทนความร้อนสูงได้ มันจึงอาศัยอยู่ในลาวาได้
อย่างสบาย ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับนักรบจื้อ
จุนขั้นสูงสุดทีเดียว...” เหลี่ยวฉวินยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่อยากจะเชื่อว่ามีตัวอะไรแบบนี้อยู่ในโลกด้วย!”
ไม่ใช่กู้มู่คนเดียวที่ตะลึง จางเซวียนก็มึนงงกับสิ่งที่
เห็นเหมือนกัน
อุ ณ หภู มิ ข องลาวาน่ า จะตกราว 2000 องศา
เซลเซียส ถ้าไม่ได้เห็นกับตา จะนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะ
มีสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่ไหนที่สามารถอยู่รอดในสภาพ
แบบนี้ได้
“จู่ๆมันก็โผล่มา และตลอดสองสามปีมานี้ มันก็
ปกป้องบัวแดงเดือดราวกับจงอางหวงไข่ ใครที่พยายาม
จะเข้าไปจะต้องถูกมันเล่นงาน!”
เหลี่ยวฉวินอธิบาย
“ถ้าเราอยู่บนฝั่งก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตรงนั้นเป็น
ลาวา...แถมมันยังสำเร็จวรยุทธจื้อจุนขั้นสูงสุดด้วย พูด
ตรงๆก็คือเราทำอะไรไม่ได้เลย!”
“เอ่อ...”
กู้มู่ถึงกับหน้าเครียด
ถึงเขาจะสำเร็จจื้อจุนขั้นสูงสุดเหมือนกัน แต่ถ้า
ต้องสู้กับเจ้าตัวยักษ์นี่ท่ามกลางลาวา...ถึงอย่างไรก็คง
ต้องเป็นศพอยู่ตรงนั้น
“ยาพิษก็เอาไม่อยู่หรือ?” จางเซวียนอดถามไม่ได้
ห้องโถงแห่งยาพิษย่อมเชี่ยวชาญในการใช้ยาพิษ
พวกเขาก็น่าจะใช้ยาพิษฆ่ามันได้
“ขนาดเปลวไฟปฐพีที่ร้อนแทบเดือด อสูรลาวายัง
ไม่กลัวเลย แล้วยาพิษทั่วไปจะใช้ได้ผลได้อย่างไร...” เห
ลี่ยวฉวินตอบ
ลาวานี้มีอุณหภูมิสูงถึง 2000 องศาเซลเซียส ยา
พิษส่วนมากก็คงมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปหมดก่อนที่จะถึง
ลาวาเสียด้วยซ้ำ แทบไม่มีทางจะใช้ยาพิษได้เลย
“เราลองมาหมดแล้วทุกวิธี ยกเว้น...หาตัวนักฝึก
อสูรมาปราบมัน ถ้าจะพูดตามตรง...ก็ดูเหมือนจะไม่มี
ทางอื่นแล้ว!” เหลี่ยวฉวินส่ายหน้า “อีกอย่าง สิ่งนี้เป็น
ความลับสุดยอดของเรา และห้องโถงแห่งยาพิษก็ไม่ข้อง
แวะกับผู้คนอาชีพอื่น การเชิญนักฝึกอสูรมาสักคนย่อม
ทำให้เราต้องเผชิญปัญหาโดยไม่จำเป็น!”
ห้องโถงแห่งยาพิษไม่มีสายสัมพันธ์กับอาชีพอื่นๆ
เลย ถึงกับเป็นปฏิปักษ์กับบางอาชีพเสียด้วยซ้ำ
การเชิญผู้คนจากอาชีพอื่นมาที่นี่ย่อมหมายถึงการ
เปิดเผยแหล่งกบดาน และนั่นอาจนำหายนะมาให้ ซึ่งถ้า
เป็นอย่างนั้น ระยะเวลาหลายร้อยปีที่พวกเขาอุตส่าห์
ปลีกตัวมาอยู่ที่สันเขาบัวแดงก็จะสูญเปล่า
“เข้าใจแล้ว...”
กู้มู่ส่ายหน้าเมื่อเข้าใจความจริงทั้งหมด
ทั้งยาพิษและการใช้กำลังก็ไม่ได้ผล จะเชิญนักฝึก
อสูรมาก็ไม่ได้...มันเป็นปัญหาใหญ่จริงๆว่าพวกเขาจะ
เก็บเมล็ดบัวแดงเดือดได้อย่างไร
“นักฝึกอสูรจะจัดการเจ้าตัวนั้นได้ใช่ไหม?”
ได้ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ จางเซวียนลังเลอยู่ครู่
หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“บางที...ผมจะขอลองสักตั้ง!”
(footnote: นิ้วทองคำ หมายถึงพรสวรรค์หรือ
ความสามารถที่ใครสักคนได้รับจากการทะลุมิติมายังอีก
โลกหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น การที่จางเซวียนมีหอสมุดเทียบ
ฟ้าก็เรียกได้ว่าเป็นนิ้วทองคำ ปรมาจารย์เซียนขง ก็คือ
ขงจื๊อ เขาคือนักปราชญ์ผู้เป็นเจ้าของแนวคิดที่ต่อมาเป็น
ที่รู้จักกันในชื่อลัทธิขงจื๊อ และเป็นที่รู้กันอย่างไม่เป็น
ทางการว่าเขาคืออาจารย์คนแรก)
ตอนที่ 284 ลงไปข้างล่าง แล้วอัดมัน

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทั้งกู้มู่และเหลี่ยวฉวินถึงกับ
ตาโต “ศิษย์ปู่ตั้งใจจะปราบมันหรือ?”
บุคคลตรงหน้าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดแสนจะ
น่าทึ่ง ซึ่งมีวรยุทธเหนือกว่าขั้นจื้อจุนเสียอีก ไม่ว่าไอ้ตัว
ยักษ์ที่อยู่ในลาวาจะแน่แค่ไหน ถ้าเขาลุยเองก็คงฆ่ามันได้
ไม่ยาก
“มันก็แค่อสูรตัวนิดเดียว ไม่คู่ควรจะเป็นคู่ต่อสู้ของ
ผมหรอก!”
จางเซวียนส่ายหน้า แถมเพิ่มสีหน้าเซ็งเป็ดเข้าไป
ด้วย แต่ในใจกำลังกระอักเลือด
ให้เราปราบมัน?
จะบ้าหรือไง!
นี่มันอสูรขั้นจื้อจุน! ต่อให้เจอกันบนพื้นดิน เราก็คง
เปิดแน่บไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะให้มาปราบ
มันที่นี่...
ถ้าเข้าไปใกล้กว่านี้อีกหน่อย เราคงเป็นอาหารโอชะ
ของมันแน่
“แล้ว...”
ทั้งคู่ก็งง
“ไม่ง่ายนะที่อสูรจะสำเร็จวรยุทธจื้อจุนขั้นสูงสุด
จะฆ่ามันก็น่าเสียดาย!”
จางเซวี ย นส่ า ยหน้ า สี ห น้ า เปี่ ย มความเมตตา
ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“กู้มู่ ในเมื่อคุณเป็นศิษย์น้องของผม ผมจะให้
โอกาสคุณปราบเจ้าตัวนี้ให้เชื่อง! ถ้ามันกลายเป็นอสูร
ของคุณเมื่อไหร่ การเก็บเมล็ดบัวแดงเดือดก็จะเป็นเรื่อง
ง่าย!”
“ผม...ปราบมันให้เชื่อง?”
กู้มู่ยังสงสัยว่าจางเซวียนคิดอะไร แต่เมื่อได้ยินคำ
พูดนั้นก็ถึงกับซวนเซและแทบลมจับ
ขนาดอยู่บนพื้นดิน ก็ยังแทบจะเอาไอ้ตัวนี้ไม่อยู่ ให้
ไปสู้กับมันในลาวาก็เท่ากับรนหาที่ตาย!
ถ้าจะให้เขาเป็นคนฝึกอสูรตัวนี้...แค่ไม่กลายเป็นตัว
ที่ต้องเชื่องเสียเองก็ถือว่าบุญโขแล้ว!
“ศิษย์ปู่ ผมไม่รู้เรื่องการฝึกอสูรเลย...” กู้มู่หน้าแดง
ก่ำและส่ายหัวดิก
เขาอุทิศตัวให้กับวิถีแห่งยาพิษมาตลอด ถึงจะเคย
ได้ยินเรื่องการฝึกอสูรมาบ้าง แต่มันก็เป็นของใหม่ที่เขา
ไม่คุ้นเคยสักนิด
จะให้ปราบไอ้ตัวเบ้อเร่อที่มีวรยุทธขั้นเดียวกันกับ
เขา...
ไม่ดีกว่า เรายังอยากมีชีวิตอยู่
“ไม่ต้องกังวลหรอก ผมชี้แนะคุณได้!” จางเซวียน
เลิกคิ้วและถามเสียงแข็ง
“คุณไม่เชื่อในตัวศิษย์ปู่ของคุณหรือ?”
“ผมไม่บังอาจ...” กู้มู่ตัวสั่นและรีบคำนับ แต่แล้วก็
เก็บความอยากรู้ไว้ไม่ได้ เขาถาม “ศิษย์ปู่...หรือว่าคุณก็
เชี่ยวชาญการฝึกอสูรด้วย?”
ถึงศิษย์ปู่คนนี้จะดูไม่แก่กว่าเขามากนัก แต่ความ
เชี่ยวชาญเรื่องยาพิษก็ล้ำหน้าเขาไปไกล ความเข้าใจใน
เรื่องการรักษาโรคก็ดูจะไม่ธรรมดา จะเป็นไปได้ไหมว่า
เขาเชี่ยวชาญการฝึกอสูรด้วย?
ถ้ า เป็ น อย่ า งนั้ น จริ ง ก็ ต้ อ งจั ด ว่ า เป็ น บุ ค คลใน
ตำนาน ว่าแต่...ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อศิษย์ปู่มาก่อน
เลย?
“ผมก็พอรู้บ้าง!”
จางเซวียนพยักหน้า เอาสองมือไพล่หลังและเดินไป
ยังปากปล่องภูเขาไฟ เจ้าอสูรลาวากำลังแหวกว่ายอยู่ใน
ลาวาบริเวณรอบๆบัวแดงเดือด ดูเหมือนกับงูยักษ์ ถ้าจะ
เก็บเมล็ดบัว ก็ไม่มีทางจะเข้าไปใกล้โดยที่ไม่ทำให้มัน
รู้ตัวได้เลย
จางเซวียนหันกลับมาจ้องหน้ากู้มู่ “นี่เป็นอสูรจื้อ
จุนขั้นสูงสุด ผู้คนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันที่จะได้ฝึกมันให้เชื่อง
โอกาสดีมาถึงแล้ว คุณยังไม่เต็มใจจะคว้ามันไว้อีกหรือ?”
“เอ่อ...” เห็นหน้าตาเอาจริงของอีกฝ่าย กู้มู่ถึงกับ
ลังเล จากนั้นเขาถามด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ผม...จะฝึกมันให้เชื่องได้จริงๆหรือ?”
ถ้าปราบอสูรที่มีวรยุทธขั้นเดียวกันให้เชื่องได้ ก็
หมายความว่าพละกำลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า แค่
คิดก็เย้ายวนใจแล้ว
อีกอย่าง ถ้าได้กินเมล็ดบัวแดงเดือด ก็มีความเป็น
ไปได้ที่เขาจะสามารถฝ่าด่านวรยุทธขั้นจื้อจุน เมื่อถึง
เวลานั้น ทั้งพละกำลังของมนุษย์และอสูรก็จะรวมกันเป็น
หนึ่งเดียว และเขาก็จะมีโอกาสดีกว่าเดิมในการแก้แค้น
ว่าแต่...ทักษะการฝึกอสูรนี่ มีแต่นักฝึกอสูรเท่านั้น
ไม่ใช่หรือที่ทำได้?
ชี้แนะผม?
ต่อให้คุณชี้แนะผม ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะกลายเป็น
นักสืบอสูรได้ในชั่วพริบตา และปราบไอ้งูยักษ์ตัวเบ้อเร่อ
นี้ได้!
“ถ้าคุณทำตามคำสั่งของผมอย่างเคร่งครัด การ
ปราบมันไม่ใช่เรื่องยากเลย!”
รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหวั่นไหวกับข้อเสนออันเย้ายวนใจ
จางเซวียนสะบัดแขนเสื้อและพูดอย่างเฉยเมย “ทาง
เลือกก็เป็นของคุณ ถ้าคุณไม่เต็มใจจะทำ ก็ช่างมันเถอะ
เจ้าตัวนี้เป็นแค่อสูรขั้นจื้อจุน ผมฆ่ามันได้สบายอยู่แล้ว
แต่ว่า...ถ้าคุณพลาดโอกาสครั้งนี้ มันจะไม่มีครั้งที่สอง
นะ”
“เอ่อ...”
กู้ มู่ ท ำตาปริ บ ๆด้ ว ยความสงสั ย และลั ง เล แต่
สุดท้ายเขาก็กัดฟันและพยักหน้า “ตกลง, ศิษย์ปู่ แล้วผม
ต้องทำอะไรบ้าง...ต้องเตรียมอะไรไหม?”
มันก็เป็นโอกาสดีสำหรับเขาจริงๆ เพราะไม่เพียง
แต่เจ้าตัวนี้จะมีวรยุทธทัดเทียมกับเขาเท่านั้น แต่มันยัง
ไม่เกรงกลัวยาพิษใดๆด้วย หากเขาทำสำเร็จ ตำแหน่ง
ของเขาที่สาขาชวนหยวนจะต้องพุ่งพรวดแน่
ถึงกู้มู่จะไม่เคยฝึกอสูรให้เชื่องมาก่อน แต่เขาก็เคย
เห็นคนอื่นฝึก จึงรู้ว่านักฝึกอสูรจะต้องเตรียมการหลาย
อย่างล่วงหน้าเพื่อดึงดูดความสนใจของอสูร และเอาชนะ
ใจมันให้ได้
เขาต้องหาทางสร้างความผูกพันล้ำลึกกับมัน และ
ค่อยๆเพิ่มความสนิทชิดเชื้อเข้าไป ก่อนที่มันจะยอม
จำนนต่อเขา
“ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งนั้น และไม่มีเวลาแล้วด้วย!”
จางเซวียนส่ายหน้า “ในเมื่อไอ้ตัวนี้เวียนอยู่รอบบัว
แดงเดือดไม่หยุดไม่หย่อน ก็แปลว่ามันต้องชื่นชอบอย่าง
มาก ไม่ว่าเราจะเตรียมอะไรสักแค่ไหนก็ไม่มีทางดึงดูดใจ
มันได้เท่าบัวหรอก อีกอย่าง เมล็ดบัวแดงเดือดก็แก่จัด
และพร้อมให้เราเก็บแล้ว ถ้ามัวแต่เตรียมตัว กว่าจะ
เตรียมเสร็จ มันอาจจะกินเมล็ดบัวหมดแล้วก็ได้”
“แล้ว...” กู้มู่งงงัน
ก็ถ้าไม่เตรียมอะไรให้อสูรลาวาเลย แล้วจะดึงดูด
ความสนใจของมันได้อย่างไร?
แล้วเสียงของ ‘ศิษย์ปู่’ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ง่ายมาก คุณโดดลงไปข้างล่าง แล้วอัดมันเลย
จากนั้นผมจะบอกเองว่าต้องทำอย่างไรให้มันเชื่อง!”
“อัดมัน?”
กู้มู่ถึงกับหน้าเขียว
คนอื่นเขามีแต่คิดหาวิธีเอาชนะใจอสูร แต่ศิษย์ปู่
บอกให้เราโจมตีมัน...
แล้วทำแบบนั้น ไอ้ตัวยักษ์นี่ไม่โมโหหรือ? ถ้ามัน
ก้าวร้าวใส่เราขึ้นมา จะมีทางไหนไปฝึกให้มันเชื่อง?
อีกอย่าง...ถ้าเราลงไป เป็นไปได้ว่าจะไม่มีโอกาสได้
ขึ้นมา...
คุณแน่ใจนะว่าส่งผมลงไปฝึกอสูร ไม่ใช่ลงไปให้มัน
งาบ?
จางเซวี ย นรู้ ว่ า อี ก ฝ่ า ยกำลั ง ลั ง เล เขาจึ ง สำทั บ
“อย่ากังวลเลยน่ะ ผมอยู่ทั้งคน ไอ้ตัวนั้นฆ่าคุณไม่ได้
ง่ายๆหรอก”
“ได้!” กู้มู่ขบกรามแน่น
นั่นก็จริง ศิษย์ปู่มีวรยุทธเหนือกว่าขั้นจื้อจุนเสียอีก
แถมยังไร้เทียมทาน เขาอยู่ตรงนี้ด้วยทั้งคน แค่อสูรลาวา
เราจะปราบไม่ได้เชียวหรือ?
ก็แน่นอนว่าถ้ากู้มู่ความจริงว่าศิษย์ปู่คนนี้มีวรยุทธ
แค่กึ่งจงซรือ ซึ่งตัวเขาเองก็สามารถสังหารได้ง่ายๆ...เขา
คงถึงกับบ่อน้ำตาแตกแน่
เมื่อตัดสินใจแล้ว กู้มู่สูดหายใจลึกและสะบัดข้อมือ
พริบตาต่อมา หอกเล่มหนึ่งก็ปรากฏในมือของเขา เขา
ถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป และใช้มันกรีดพื้นหลายๆครั้ง
ติดต่อกัน พื้นหินแกรนิตอันแข็งแกร่งก็แยกออกเป็นชิ้นๆ
ทันที
มีแผ่นหินอยู่ราว 70-80 แผ่น แต่ละแผ่นเป็นรูป
สี่เหลี่ยมกว้างประมาณ 1 สือ
เขาจับแผ่นพวกนั้นมาเรียงซ้อนกันเป็นตั้ง และวาง
ไว้ตรงหน้าเหลี่ยวฉวิน
“หัวหน้าเหลี่ยว รบกวนช่วยสร้างทางเดินให้ผม
ด้วย!”
“ได้!” เหลี่ยวฉวินพยักหน้า
ต่ อ ให้ นั ก รบจื้ อ จุ น ขั้ น สู ง สุ ด ก็ สู้ กั บ อสู ร ลาวา
ท่ามกลางลาวาเดือดๆไม่ได้ เขาจึงต้องสร้างทางเดินขึ้น
มา
เมื่ อ โยนแผ่ น หิ น พวกนี้ ล งไปในลาวา กู้ มู่ ก็ จ ะ
สามารถเคลื่อนที่โดยใช้แผ่นหินนี้ได้
มีแต่นักรบขั้นจื้อจุนเท่านั้นที่ทำได้แบบนี้ นักรบขั้น
จงซรือจะไม่สามารถทนคลื่นความร้อนขนาดนั้นได้ ส่วน
เรื่องจะย่ำบนลาวายิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ศิษย์ปู่...ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเตรียมการแล้ว กู้มู่ก็สูดหายใจลึก
จางเซวียนโบกมืออย่างสบายๆเป็นการตอบรับ
เมื่อเห็นศิษย์ปู่ตอบรับ กู้มู่รวบรวมพลังปราณจนถึง
ขีดสุด เขาขว้างแผ่นแกรนิตออกไปหนึ่งแผ่นด้วยการ
สะบัดข้อมือครั้งเดียว มันตกลงไปลอยอยู่บนผิวลาวา
จากนั้นก็กระโจนลงไปยืนบนแผ่นหินนั้นทันที แค่กระทืบ
เท้าเบาๆเขาก็จะสามารถดันตัวเองขึ้นมาข้างบนอีกครั้ง
ได้
นักรบจื้อจุนส่วนมากจะมีวิชาตัวเบาที่ทำให้ย่ำไป
บนผิวน้ำได้ ดังนั้นการย่ำบนลาวาก็ไม่ใช่ปัญหา
ฟึ่บ!
เห็นกู้มู่กระโจนลงไป เหลี่ยวฉวินรีบกะระยะการ
เคลื่อนที่ของเขา และขว้างแผ่นหินลงไปอีกแผ่น
ราวกับแมลงปอที่กระโจนบนผิวน้ำ เขาย่ำลงไปบน
แผ่นแกรนิตแผ่นหนึ่ง แล้วกระโจนขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้น
ก็ลงไปยังอีกแผ่น ด้วยวิธีนี้ก็สามารถเข้าถึงตัวอสูรลาวา
ได้อย่างรวดเร็ว
“ลุย!”
เมื่อถ่ายทอดพละกำลังทั้งหมดเข้าไปในหอกแล้ว กู้
มู่คำราม และแทงหอกพรวดเข้าไปที่ตัวอสูรลาวา
ในเมื่อเผชิญหน้ากับมันแล้วก็ต้องทุ่มสุดตัว ไม่
อย่างนั้นคนที่ตายก็จะต้องเป็นเขา
แฮ่....
อสูรลาวาโมโหเดือดเมื่อเห็นผู้บุกรุก มันคำรามลั่น
และฟาดหางอันเทอะทะของมันอย่างแรง
ซึ่มมมม!
ลาวากระฉอกเพราะพละกำลังมหาศาลนั้น
กู้มู่ยังไม่ทันจะเข้าถึงตัวอสูร ก็รู้สึกถึงคลื่นความ
ร้อนมหาศาลที่พุ่งมาปะทะ เขารีบตวัดข้อมือเพื่อใช้หอก
ป้องกันตัว
ตึ้ง!
หางอันเทอะทะฟาดเข้าที่หอกของเขา กู้มู่กระเด็น
ไปราวกับเป็นลูกบอลยาง
ตูม!
หลังจากกะคร่าวๆถึงจุดที่อีกฝ่ายจะร่วงลงมา เหลี่
ยวฉวินก็รีบขว้างแผ่นหินไปอีกแผ่นเพื่อให้กู้มู่ได้ยืน
แม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยทำงานร่วมกัน แต่ในฐานะนัก
รบจงซรือขั้นสูงสุด การขว้างแผ่นหินง่ายๆแค่นี้ย่อมไม่
เหลือบ่ากว่าแรง
“ศิษย์ปู่ ผมต้องทำไงต่อ!”
นึกไม่ถึงว่าไอ้ตัวบ้านี่จะเก่งกาจขนาดนั้น ถึงกับใช้
หางฟาดเขาทีเดียวกระเด็น กู้มู่ถามอย่างตื่นตระหนก
“ขอเวลาเดี๋ยว ผมยังไม่ได้คิดเลย คุณสู้กับมันไป
พลางๆก่อน...” จางเซวียนโบกมือ
“ยังไม่ได้คิดเลย? ให้สู้กับมันไปพลางๆ?”
กู้มู่แทบจะร่วงลงไปในลาวา
ศิษย์ปู่คนนี้ช่างไว้ใจไม่ได้เลย!
ก็เมื่อครู่นี้เอง คุณเพิ่งยืนยันว่าจะช่วยชี้แนะในการ
ปราบไอ้ตัวนี้ ผมก็เลยลงไป นี่เริ่มสู้กันแล้ว กลับมาบอก
ว่ายังไม่ได้คิด...
มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ?
ฟึ่บ!
ขณะที่กู้มู่กำลังท้อใจ อสูรลาวาที่โมโหเดือดก็พุ่ง
เข้าใส่เขา ฟันที่คมกริบของมันใกล้จะฝังเข้าไปในตัวเขา
เต็มที
การโจมตีนั้นรวดเร็วมากจนกู้มู่ไม่มีโอกาสหลบ เขา
จึงทำได้แค่ใช้หอกเข้าปะทะกับมัน
ชิ้ง!
หอกกระแทกเข้ากับฟันคมกริบของอสูรลาวา กู้มู่
รู้สึกชาที่มือและกระเด็นไปอีกครั้ง
ลาวาลอยละล่ อ งอยู่ ใ ต้ ร่ า งของกู้ มู่ แม้ เ ขาจะ
เคลื่อนที่ได้โดยใช้แผ่นหินแกรนิตเหล่านั้น แต่เมื่อไม่มีพื้น
ดินที่มั่นคงพอมาเป็นฐานรองรับ พละกำลังที่เขาสามารถ
จะแสดงออกมาก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ ตอนนี้เขาแสดง
พละกำลังได้แค่ 60 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของพละกำลัง
ที่แท้จริงเท่านั้น
อยู่ในสภาพง่อยเปลี้ยแบบนี้ ไม่มีทางรับมือกับการ
โจมตีของอสูรลาวาที่กำลังบ้าคลั่งได้เลย
ศิษย์ปู่ คุณพร้อมหรือยัง?
กว่าจะตั้งตัวได้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก
เขามองจางเซวียนเพื่อจะเร่ง แต่เท่าที่เห็นคือฝ่ายนั้นยืน
นิ่งอึ้งและมีสีหน้าว่างเปล่า ราวกับเขากำลังฝันกลางวัน
กู้มู่หนาวเยือกจับขั้วหัวใจ และคราวนี้ปล่อยโฮออก
มาจริงๆ
ถ้าเขารู้ว่าศิษย์ปู่เป็นคนเหลาะแหละแบบนี้ เขาจะ
ไม่มีวันลงมาเลย
ตอนนี้ไอ้ตัวบ้านั่นตามเขาแจ ไม่มีทางหนีรอดได้
ถึงจะอยากไปแค่ไหนก็เถอะ นี่จะต้องมาพบจุดจบตรงนี้
จริงๆหรือ?
“ช่างมันเถอะ เราต้องไปต่อ!”
เมื่อรู้ว่าหนีไม่ได้ กู้มู่กัดฟันและชูหอกขึ้น พลัง
ปราณพวยพุ่งออกจากร่างของเขาราวกับพายุ เขาพุ่ง
หอกเข้าใส่อสูรลาวาทันที
ตึ้ง!
เมื่อหอกกับอสูรปะทะกัน กู้มู่ก็กระเด็นไปไกลกว่า
สิบเมตรอีกครั้งหนึ่ง
โชคดีที่เหลี่ยวฉวินกะเวลาและจุดที่เขาจะร่วงลงมา
ได้พอดิบพอดีทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นก็คงตกลงไปในลาวา
และมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปเสียนานแล้ว
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ!
หลั ง จากเจอแรงปะทะจากอสู ร ลาวาอี ก สองสาม
ครั้ง กู้มู่ก็ใกล้จะทรุดเต็มที แต่ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็แว่ว
เข้าหู
“เอาล่ะ ฟังผมให้ดีนะ!”
เมื่อหันไป ก็เห็นศิษย์ปู่มองมาที่เขาด้วยสีหน้าสงบ
นิ่ง
ตอนที่ 285 สภาปรมาจารย์ พี่มาแล้ว!

“ฮื่อ!”
เมื่อเห็นกู้มู่เบนความสนใจไปหาจางเซวียน อสูร
ลาวาก็พุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง มันส่งพลังแผดเผาที่แทบจะ
ฉีกทึ้งเขาให้ขาดออกจากกัน
กู้มู่สูดหายใจลึกและเตรียมตัวเผชิญหน้ากับมันอีก
ครั้งด้วยหอกในมือ แต่ในตอนนั้น เสียงของศิษย์ปู่ก็ดังขึ้น
“อย่าตอบโต้การโจมตีของมัน เก็บหอกของคุณไว้
ในแหวนเก็บสมบัติเลย!”
“อย่าตอบโต้การโจมตีของมัน?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น กู้มู่มองอย่างร้อนรนไปที่อสูร
ลาวาที่กำลังพุ่งใส่เขา เขาเกือบจะทรงตัวไว้ไม่ได้แล้ว
ถ้าไม่ให้ตอบโต้การโจมตีของมัน เขาจะไม่ถูกฆ่า
เสียตรงนี้หรือ?
“เร็วเข้า!” เสียงนั้นเร่งอีกขณะที่เขากำลังลังเล
“ได้!”
ถึงจะสงสัย แต่ก็ไม่คิดว่าศิษย์ปู่จะต้องยอมลำบาก
ขนาดนี้เพื่อฆ่าเขา กู้มู่จึงเก็บหอกไว้ในแหวนเก็บสมบัติ
และปราศจากเครื่องป้องกันตัวอย่างสิ้นเชิง
“ยื่นหัวเข้าไปหามัน!”
เก็บหอกเสร็จ คำสั่งต่อไปก็มา
กู้มู่ขาสั่นและแทบจะร่วงจากแผ่นหินแกรนิตลงไป
ในกระแสลาวา
ที่บอกให้เก็บหอกและไม่ให้ตอบโต้การโจมตีของมัน
ผมก็ยังรับได้ ถึงจะไม่เต็มใจก็เถอะ แต่มันเรื่องอะไรผมจึง
ต้องยื่นหัวไปหามันด้วย?
ศิษย์ปู่ นี่คุณรีบร้อนอยากเห็นผมตายขนาดนั้นเลย?
อสูรลาวามันกำลังโมโหขนาดนี้ ถ้าผมยื่นหัวออกไป
มันไม่งับผมหัวหลุดเสียเดี๋ยวนั้นหรอกหรือ?
นี่มันไม่ใช่การฝึกอสูรแล้ว มันบูชายัญชัดๆ...
“อย่าร่ำไร เร็วๆเข้า!”
เสียงนั้นเร่งอีก
ทั้งคู่สื่อสารกันผ่านโทรจิต ถึงจะตอบโต้กันหลายคำ
แต่เวลาก็ผ่านไปแค่สองอึดใจเท่านั้น ตอนนี้ อสูรลาวาที่
กำลังเกรี้ยวกราดอยู่ห่างจากกู้มู่แค่สามเมตร และอาจงับ
เขาเมื่อไหร่ก็ได้ สายไปแล้วที่จะทำอย่างอื่น
“เอาวะ ลองก็ลอง!”
รู้อยู่แก่ใจว่าศิษย์ปู่สามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
ตอนที่เขาสลบไป กู้มู่จึงบอกตัวเองว่าไม่มีความจำเป็น
เลยที่อีกฝ่ายจะต้องใช้ไอ้ตัวเบ้อเร่อนี่เป็นเครื่องมือฆ่าเขา
กู้มู่กัดฟัน และยื่นหัวเข้าไปหาปากของอสูรลาวาที่กำลัง
อ้ากว้าง
“เฮ้ย...”
ทั้งคู่ใช้โทรจิตสื่อสารกัน เหลี่ยวฉวินจึงไม่รู้เรื่องรู้
ราวด้ ว ย เมื่ อ เห็ น ผู้ แ ทนพยายามจะยื่ น หั ว เข้ า ไปใน
ปากของอสูรลาวา เขาก็พรั่นพรึงสุดขีด ทั้งตัวสั่นเทิ้ม
อย่างรุนแรงและแทบจะสลบ
คนอื่นเขาหาสมบัติล้ำค่าและของสวยงามมาดึงดูด
ความสนใจของอสูร เพื่อจะได้กำราบมันได้ นี่เป็นครั้ง
แรกที่เขาได้เห็นการเสนอหัวของตัวเอง...
คนที่มีวรยุทธสูงกว่าจื้อจุนน่าจะมีสมองมากกว่าที่
จะเอาหัวไปให้อสูรลาวามันงับ!
ถ้าผู้แทนถูกฆ่าตายที่นี่ เขาคงหมดหวังที่จะได้ครอง
ตำแหน่งหัวหน้าห้องโถงแห่งยาพิษ เพราะทางสำนักงาน
ใหญ่จะต้องเรียกตัวเขาไปทันที และคงสอบสวนเป็น
เดือนหรือ 2 เดือน ก่อนจะตัดสินปลิดชีวิตเขาด้วยยาพิษ
เขาหันขวับไปมอง ‘ศิษย์ปู่’ แต่เห็นฝ่ายนั้นจ้อง
มองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่มีความ
วิตกกังวลแม้แต่น้อยในดวงตาของเขา
“ศิษย์ปู่...” เหลี่ยวฉวินทำได้แค่ตะโกนเรียกอีกฝ่าย
ให้ทำอะไรสักอย่าง แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อ ก็เห็นฝ่ายนั้นชี้
มือไปข้างหน้า
เขารีบมองตาม และได้เห็นภาพที่ทำให้ลูกตาแทบ
ปะทุ
หัวของกู้มู่อยู่ในปากของอสูรลาวาแล้ว และถ้าเจ้า
นั่นปิดปาก เขาก็ต้องตายทันที แต่ว่า...ในวินาทีเสี่ยงเป็น
เสี่ยงตายแบบนี้ ไม่เพียงแต่เจ้างูนั่นจะไม่งับปากลงมา
มันยังหันหลังกลับและหนีไปด้วย
ก็เมื่อครู่ มันยังตั้งใจจะฉีกกู้มู่เป็นชิ้นๆอยู่เลยไม่ใช่
หรือ แล้วมันเรื่องอะไรถึงหนีไปเมื่ออีกฝ่ายถวายหัวให้?
นี่...นี่มันอะไรกัน?
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่งงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น กู้มู่ก็ตะลึง
เขาเตรียมตัวตายเรียบร้อยแล้ว และไม่เคยคิดว่าจะ
เกิดเหตุการณ์แบบนี้
“เอ้า อย่ามัวเซ่ออยู่ รีบตามมันไป คว้าหางมันไว้ให้
ได้!”
กู้มู่กำลังพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ ตอนที่
เสียงของศิษย์ปู่แว่วมาอีก
มาถึงตอนนี้ เขามั่นใจในคำพูดของอีกฝ่ายเต็มร้อย
กู้มู่กระทืบเท้ากับแผ่นหินแกรนิต และโผไปข้างหน้า
ราวกับเป็นนกนางแอ่น พริบตาเดียวเขาก็ตามเจ้างูนั่น
ทัน
เขาใช้แขนรัดหางของอสูรลาวาไว้แน่น
แฮ่!
เมื่อถูกรัดหางไว้ อสูรลาวาก็ตื่นตระหนก มันเริ่ม
ดิ้นรนจนสุดกำลังจนลาวากระฉอกไปโดยรอบ ทำให้
เสื้อผ้าของกู้มู่เป็นรูแล้วรูเล่า
“ผมต้องทำอย่างไรต่อ?”
รู้สึกได้ว่าพลังปราณของเขาไม่สามารถต้านทาน
ความร้อนของลาวาได้อีกแล้ว กู้มู่ถามอย่างร้อนรน
“จับหางมันไว้ให้แน่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”
จางเซวียนตอบ
“ได้!”
กู้ มู่ ใ ช้ ทั้ ง สองแขนสองขารั ด หางของอสู ร ลาวาไว้
อย่างบ้าดีเดือด ไม่ว่าเจ้านั่นจะต่อสู้ดิ้นรนแค่ไหน เขาก็
จะไม่ปล่อยมันไป ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว นอกจาก
รวบรวมพลังปราณให้เข้มข้นขึ้นอีก เพื่อต้านทานความ
ร้อนที่อยู่โดยรอบ
อสูรลาวาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวที่ถูกรัดหางไว้ มัน
พยายามสุดขีดที่จะสลัดกู้มู่ออกไปให้ได้ แต่แล้วการ
เคลื่อนไหวของมันก็ค่อยๆช้าลง และไม่ถึง 1 นาที ร่าง
ของมันก็อ่อนปวกเปียกราวกับงูตาย
“เฮ่อ...”
เห็นอสูรลาวาอ่อนปวกเปียกไป กู้มู่ถอนหายใจ
อย่างโล่งอก เขาคิดว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว และสิ่งที่อยู่
ตรงหน้าก็แสนจะเหลือเชื่อ
เขารู้สึกได้ถึงความดุร้ายของอสูรลาวาตอนที่เผชิญ
หน้ากับมันเมื่อครู่ ถ้ามันทำได้ มันคงฉีกเขาเป็นชิ้นๆไป
แล้ว แต่พอเขายื่นหัวเข้าไปหามัน มันกลับไม่ยอมงับ
แถมยังหันหลังหนีไปเสียอีก แล้วยังการรัดหางนั่น ทำไม
การรัดหางจึงให้ผลแบบนี้?
“ดี ทีนี้เอาตัวมันขึ้นฝั่ง!”
กู้มู่ยังสงสัยอยู่ ตอนที่เสียงศิษย์ปู่แว่วมาอีก
“ได้!”
เขาจับหางของอสูรลาวาที่แน่นิ่งเอาไว้ จากนั้นก็
รวบรวมพลังปราณและลากมันกลับขึ้นฝั่ง
ไม่ช้า หนึ่งคนกับหนึ่งตัวก็มาอยู่บนพื้นหินแกรนิต
จางเซวียนเดินไปหาอสูรลาวาทันทีที่มันอยู่บนฝั่ง
สะบัดข้อมือครั้งเดียว เข็มเงินสองสามเล่มก็มาปรากฏใน
มือของเขา และเขาก็ปักมันเข้าไปในตัวอสูรลาวา
“บอกมันให้ยอมจำนนต่อคุณ ถ้ามันตกลง ผมจะ
ช่วยมันฝ่าด่านวรยุทธ ถ้าไม่ตกลง ก็ตายซะ!”
จากนั้นจางเซวียนก็นั่งมองอย่างเงียบๆ
กู้มู่เดินไปหาอสูรลาวา และพูดตามที่จางเซวียนบ
อก ครู่ต่อมา หัวขนาดมหึมาของมันก็ดุนเขาเบาๆ แสดง
อาการยอมจำนน
มีการทำสัญญากันอย่างรวดเร็ว และกู้มู่ก็ปราบ
อสูรลาวาตัวนี้ให้เชื่องได้สำเร็จ
เหลี่ยวฉวินถึงกับเซ่อไป เขาได้แต่นั่งมองอย่าง
ตะลึง
เคยเห็นคนปราบอสูรมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใคร
ทำได้รวดเร็วขนาดนี้
นี่มันอสูรจื้อจุนขั้นสูงสุด! แต่กลับยอมจำนนต่อ
มนุษย์อย่างง่ายๆ มันง่ายไปไหม?
ถ้าการฝึกอสูรมันง่ายขนาดนี้ ผมก็คงเป็นนักฝึก
อสูรได้เหมือนกันน่ะสิ?
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดแบบนั้น กู้มู่ก็รู้สึกราวกับอยู่
ในความฝัน
ถ้าไม่ใช่เพราะหัวขนาดมหึมาของอสูรลาวาที่ดุน
เขาอยู่เรื่อยๆล่ะก็ เขาคงสงสัยว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือ
เปล่า
“ศิษย์ปู่...” รู้แล้วว่าผู้สร้างปาฏิหาริย์คือศิษย์ปู่คน
นี้ ทั้งคู่หันขวับไปมองเขา
“อสูรลาวาตัวนี้อาศัยอยู่ในลาวา มันไม่มีเพื่อนและ
ไม่มีคู่ มันไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับสิ่งมีชีวิตอื่นใดมาก่อน ดัง
นั้นจึงมีนิสัยหวาดระแวง และกลัวการที่จะต้องเข้าใกล้
สิ่งที่มันไม่รู้จัก!”
รู้ว่าทั้งสองคนมีคำถาม จางเซวียนอธิบาย
ขนาดคนก็ยังเพี้ยนไปได้ถ้าต้องอยู่โดดเดี่ยวนานๆ
นับประสาอะไรกับอสูร
อสูรจื้อจุนขั้นสูงสุดมีความเฉลียวฉลาดไม่น้อยไป
กว่ามนุษย์ มันอยู่ลึกลงไปใต้ภูเขาไฟ และไม่เคยเห็นสิ่งมี
ชีวิตหน้าไหนมาก่อน ดังนั้น มันจึงเต็มไปด้วยความอยาก
รู้อยากเห็นและความกลัวกู้มู่
“ตอนที่คุณใช้กำลังเข้าปะทะและพยายามจะฆ่ามัน
มันก็ตอบโต้ตามสัญชาตญาณ เพราะที่จริงอสูรลาวาตัวนี้
ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้เลย แค่อาศัยความได้เปรียบที่
อยู่ในบ้านของมัน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่คุณจะ
เอาชนะมันได้!”
จางเซวียนพูดต่อ
กู้มู่พยักหน้า
ในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เขาทำได้แค่ตอบโต้และปัดป้อง
การโจมตี จ ากอี ก ฝ่ า ยเท่ า นั้ น เขาไม่ ไ ด้ เ ป็ น คู่ ต่ อ สู้ ที่
ทัดเทียมกับมันเลย
ถ้าขืนยังปะทะกันแบบนั้นต่อไป เขาคงตายแน่
“แม้ว่าการเก็บหอกและยื่นหัวของคุณเข้าไปหามัน
จะดูเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ แต่มันทำให้อสูรลาวาที่ขี้
ระแวงเกิดความสงสัยในพฤติกรรมของคุณ และนั่นทำให้
มันรู้สึกกลัว ก็เพราะ...การกระทำแบบนั้นมันไม่มีเหตุผล
เลย!”
จางเซวียนยิ้ม “อีกอย่าง อสูรลาวามีจุดอ่อนอยู่ที่
ปากของมัน เมื่อมันเห็นคุณทำอะไรไม่มีเหตุผลแบบนั้น
มันก็เริ่มสงสัยว่าคุณอาจจะรู้จุดอ่อนของมัน และกำลัง
ยั่วยุมันอยู่ มันเลยเลือกที่จะหนีไป”
“เป็นแบบนี้เอง!”
เมื่อได้ฟังคำอธิบาย กู้มู่และเหลี่ยวฉวินก็ถึงบางอ้อ
กู้มู่โล่งใจที่เขาฟังศิษย์ปู่สียแต่แรก เพราะถ้าขืน
ปะทะกับอสูรลาวาต่อไป ป่านนี้เขาคงเป็นศพไปแล้ว
“แล้วทำไม...การรัดหางของมันไว้ถึงทำให้มันอ่อน
ปวกเปียกและหมดหนทางสู้?”
“อสูรต้องหายใจหรือเปล่า?” จางเซวียนมองหน้า
เขา
“มันต้องหายใจอยู่แล้ว...” กู้มู่ประหลาดใจกับ
คำถาม เขาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบพยักหน้า
ก็เหมือนกับมนุษย์ อสูรก็ต้องการอากาศเพื่อการอยู่
รอดเหมือนกัน
“อสูรลาวาอาศัยอยู่ในลาวาก็จริง แต่ตอนแรกที่เรา
มาถึง เราไม่เห็นมันเลย คุณไม่คิดว่ามันแปลกหรือ?”
คำพูดของจางเซวียนทำให้กู้มู่ชะงักไป
เหตุผลที่ปลาหายใจในน้ำได้ก็เพราะมันมีเหงือกที่
สามารถกรองน้ ำ และดู ด ซึ ม เอาออกซิ เ จนที่ อ ยู่ ภ ายใน
เข้าไป ส่วนลาวานั้นอันที่จริงคือหินแกรนิตหลอมละลาย
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีออกซิเจนอยู่ในลาวาหนาหนักพวก
นั้น ตอนที่ทั้งสามมาถึง พวกเขามองไม่เห็นหัวของอสูร
ลาวาเลย พอเหลี่ยวฉวินขว้างหินลงไปที่บัวแดงเดือด
มันถึงได้ออกมา
หรือว่า...ไอ้ตัวนี้ไม่ต้องการอากาศหายใจ?
แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้!
ไม่ เ คยได้ ยิ น ว่ า มี อ สู ร ชนิ ด ไหนอยู่ ไ ด้ โ ดยไม่ ต้ อ ง
หายใจ
“อวัยวะสำหรับหายใจของอสูรลาวา ซึ่งก็น่าจะ
หมายถึงจมูกนั้นไม่ได้อยู่บนหัวของมัน แต่อยู่ที่...หาง!”
จางเซวียนอธิบาย
“อยู่ที่หาง?”
ทั้งคู่หันขวับไปมองอสูรลาวา และเห็นรอยแยกสอง
แถวบนหางของมันอย่างชัดเจน
“ตามปกติ เจ้านี่จะซ่อนตัวอยู่ในลาวา และชูแต่
หางขึ้นมาเพื่อหายใจเท่านั้น ซึ่งหางของมันมีสีเดียวกับ
ลาวา ทำให้พวกเรามองไม่เห็นมันตอนที่ไปถึง!”
จางเซวียนยิ้ม “เหตุผลที่ผมบอกให้คุณรัดหางของ
มันไว้ให้แน่นก็เพื่อขัดขวางการหายใจของมัน ในขณะที่
นักรบสามารถอยู่ได้โดยอาศัยพลังปราณ แต่อสูรทำไม่ได้
แบบนั้น แถมมันยังกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ในลาวา
เดือดๆ ทำให้พละกำลังของมันลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ก็
เป็นธรรมดาที่มันจะสูญเสียความสามารถในการต่อสู้!
ผมเองก็ไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่ต้น แค่สรุปเอาระหว่างที่
เห็นคุณสู้กับมัน”
“ผมเข้าใจแล้ว!”
ในที่สุดกู้มู่ก็เข้าใจสถานการณ์และเหตุผลที่ศิษย์ปู่
ของเขาไม่ยอมพูดอะไรในตอนแรก ฝ่ายนั้นไม่ได้เห็นเขา
เป็นของเล่น แค่กำลังสังเกตลักษณะของอสูรลาวาเพื่อ
วางแผนให้มันยอมจำนนก็เท่านั้น
น่าหัวเราะเหลือเกินที่เขาเข้าใจเจตนาของศิษย์ปู่
ผิดไป...น่าขายหน้าด้วย
เมื่อรู้ความจริงพวกนี้ ความเคารพยำเกรงที่กู้มู่มีต่อ
ศิษย์ปู่ของเขาก็พุ่งถึงขีดสุด
เขาสามารถสรุ ป ลั ก ษณะเฉพาะตั ว และนิ สั ย ของ
อสูรลาวาตัวนี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ทั้งยังบอกวิธี
การฝึกมันให้เชื่องได้อีกด้วย ต่อให้นักฝึกอสูรระดับ 4
ดาวก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้!
และยิ่งไปกว่านั้น เข็มเงินที่เขาปักลงไปในร่างของ
อสูรลาวา จะต้องเข้าไปสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของมันแน่
ไม่อย่างนั้น การทำให้มันยอมจำนนคงไม่ออกมาราบรื่น
อย่างที่เป็นอยู่
“ตอนนี้อสูรลาวาก็เชื่องแล้ว คุณเก็บเมล็ดบัวได้
แล้วล่ะ!”
เมื่ออธิบายจบ จางเซวียนก็โบกมือ
“ได้เลย!”
กู้มู่พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก เขากระโจนลงไปใน
ลาวาอีกครั้ง และโผไปหาบัวแดงเดือดอย่างรวดเร็ว
อันที่จริง เมื่อเห็นกู้มู่ปราบอสูรลาวาให้เชื่องได้
สำเร็จ จางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเหมือนกัน
ก็เหมือนกับมนุษย์ หอสมุดเทียบฟ้าจะประมวล
หนังสือเกี่ยวกับอสูรออกมาก็ต่อเมื่อมันเข้าตะลุมบอน
เหตุ ผ ลที่ เ ขาปล่ อ ยให้ กู้ มู่ เ ผชิ ญ หน้ า กั บ มั น ก็ เ พราะ
หนังสือจะได้ประมวลข้อบกพร่องออกมา
ถ้ารู้ข้อบกพร่องของมันแล้ว ที่เหลือก็ง่าย
เมื่ อ ไม่ มี อ สู ร ลาวาเป็ น อุ ป สรรค ไม่ น านกู้ มู่ ก็ น ำ
ฝักบัวกลับมา มีเมล็ดบัวสีทอง 9 เมล็ดอยู่ในนั้น ส่งกลิ่น
หอมอบอวลแบบที่ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย
“ศิษย์ปู่ นี่คือเมล็ดบัวแดงเดือด...”
กู้ มู่ ว างเมล็ ด บั ว ลงในกล่ อ งหยกอย่ า งระมั ด ระวั ง
และยื่นให้จางเซวียน
จางเซวียนรับกล่องมา เขาหยิบเมล็ดบัวออกมา 2
เมล็ดและส่งให้กู้มู่ “1 เมล็ดของคุณ และอีก 1 เมล็ด
สำหรับอสูรลาวาตัวนี้!”
พวกเขาได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่ากู้มู่จะเอาเมล็ด
บัวแดงเดือดไปเมล็ดเดียวเท่านั้น และมอบที่เหลือให้จาง
เซวียน
ในเมื่ออสูรลาวาตัวนี้สำเร็จวรยุทธจื้อจุนขั้นสูงสุด
แล้ว จางเซวียนจึงตัดสินใจจะให้มันอีกเมล็ดหนึ่ง
อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะผู้แทนคนนี้บอกเขา จางเซ
วียนก็จะไม่มีทางรู้ว่ามีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ในห้องโถงแห่ง
ยาพิษสาขานี้ แล้วเขาก็คงจะพลาดมันไป
“ขอบคุณศิษย์ปู่!”
กู้มู่พูดอย่างตื่นเต้น
“เอาล่ะ ผมจะทิ้งไว้ให้ที่นี่ 1 เมล็ด ใครที่สำเร็จวร
ยุทธจื้อจุนขั้นสูงสุดได้เป็นคนแรก ก็จะได้กินมัน!”
จางเซวียนหยิบเมล็ดบัวออกมาอีกหนึ่งเมล็ดและส่ง
ให้เหลี่ยวฉวิน
ฝ่ายนั้นรับไว้อย่างซาบซึ้งในบุญคุณ
ถึงเมล็ดบัวแดงเดือดจะเป็นของล้ำค่า แต่มันไม่ได้มี
ประโยชน์กับจางเซวียนมากนัก
ตราบใดที่เขาหาหนังสือวรยุทธได้มากพอ การฝ่า
ด่านไปยังจื้อจุนขั้นสูงสุดก็ไม่ใช่ปัญหาเลย และสภาวะคอ
ขวดแบบที่คนอื่นๆเขาต้องเผชิญก็จะไม่เกิดขึ้นกับเขา
ด้วย
ในเมื่อมันไม่ได้มีประโยชน์กับเขามากนัก และเขา
ก็ ไ ด้ มั น มาจากห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ สาขาสั น เขาบั ว แดง
จางเซวียนจึงคิดว่าคงจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่หากเขาจะเอา
ไปทั้งหมด
เมื่อแจกจ่ายเมล็ดบัวไปแล้ว 3 เมล็ด จางเซวียนก็
เก็บที่เหลืออีก 6 เมล็ดไว้ในแหวนเก็บสมบัติ
“ถ้าเสร็จธุระที่นี่แล้ว ผมคงต้องไปเสียที!”
จางเซวี ย นบรรลุ เ ป้ า หมายเบื้ อ งต้ น ในการพลิ ก
หนังสือในห้องโถงแห่งยาพิษแล้ว แถมยังได้เมล็ดบัวแดง
เดือดมาด้วย หลังจากที่ทำการรักษาครั้งสุดท้ายให้กู้มู่
เรียบร้อย เขาก็อำลา
“ศิษย์ปู่...ถ้าต่อไปผมอยากพบคุณอีก ผมจะไปหา
คุณได้ที่ไหน?”
แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องจากไปหลังจาก
ที่เก็บเมล็ดบัวแดงเดือดแล้ว แต่กู้มู่ก็ยังไม่เต็มใจจะแยก
จากเขา
ถึงจะรู้จักกันแค่สองสามวัน แต่ฝ่ายนั้นก็ได้รักษา
อาการบอบช้ำให้ แถมยังช่วยให้เขาปราบสัตว์ร้ายที่มีวร
ยุทธจื้อจุนขั้นสูงสุดได้สำเร็จด้วย บุญคุณที่ฝ่ายนั้นมีต่อ
เขานั้น ยากเหลือเกินที่จะทดแทนได้
ถึงกู้มู่จะเริ่มเดาได้รางๆแล้วว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ใช่
ศิษย์ปู่อย่างที่เขาอวดอ้าง แต่นั่นก็ไม่อาจลดทอนความ
เคารพที่กู้มู่มีต่อเขาได้เลย
“โลกใบนี้คือบ้านของผม ถ้าเรามีวาสนาต่อกัน ถึง
อย่างไรก็จะต้องได้พบกันอีก” จางเซวียนส่ายหน้า
ในเมื่อเขาใช้ตัวตนปลอม ถ้าไม่พบกันอีกเลยก็น่า
จะดีที่สุด
“ศิษย์ปู่ นี่คือตราสัญลักษณ์ของผม ผมรู้ว่ามันไม่มี
ประโยชน์สำหรับคุณ แต่ถ้าคุณมีลูกหลานหรือลูกศิษย์ที่
กำลังมีปัญหา คุณสามารถให้พวกเขาถือตรานี้ไปที่ห้อง
โถงแห่งยาพิษสาขาอาณาจักรชวนหยวนเพื่อตามหาผม
ได้ ถ้าอยู่ในขอบเขตที่ผมทำได้ ผมจะช่วยเต็มที่!”
เขาสะบัดข้อมือ หยิบตราหยกชิ้นหนึ่งออกมาและ
ยื่นมันให้จางเซวียน
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณ!”
รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจแสดงความสำนึกในบุญคุณ จางเซ
วียนจึงไม่ปฏิเสธ เขารับตราหยกมาและเก็บมันไว้ใน
แหวนเก็บสมบัติ
“ลาก่อน!”
เมื่อพูดทุกอย่างที่ควรจะพูดแล้ว จางเซวียนก็ก้าว
ยาวๆออกจากห้องโถงแห่งยาพิษ
เขาจำเส้นทางตอนที่มากับเซียนสมุนไพรได้ ครั้งนี้
ถึงแม้ไม่มีใครนำทาง เขาก็ออกไปได้ไม่ยาก
5 วันต่อมา จางเซวียนก็ออกมาพ้นเขตสันเขาบัว
แดง
เขาตะโกนด้วยเสียงทุ้มลึก หลังจากนั้นครู่เดียว เจ้า
เขี้ยวเหล็กเหินฟ้าก็มาปรากฏตัวตรงหน้า
เขากระโดดขึ้นไปบนหลังของมัน เจ้าเขี้ยวเหล็ก
กระพือปีก และทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของอาณา
จักรเทียนหวู่
สภาปรมาจารย์ พี่มาแล้ว!
อาณาจักรเทียนหวู่อันกว้างใหญ่ครอบคลุมพื้นที่
หลายหมื่นตารางกิโลเมตร เนื่องจากมีปรมาจารย์ระดับ
2 ดาวคอยดูแล ที่นี่จึงจัดเป็นอาณาจักรขั้น 1
เทียนเซวียน เป๋ยอู๋ ฮ่านอู่ เป่ยเฉิน เฉียนหยวน อัน
หยวน ไป๋ ลี่ . ..เนื่ อ งจากอาณาจั ก รเที ย นหวู่ ตั้ ง อยู่ ต รง
กึ่งกลางและมี 12 อาณาจักรรายรอบ อาณาจักรเทียน
หวู่จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนและการ
ฝึกวรยุทธในพื้นที่นั้น เป็นดินแดนแห่งมนตร์ขลังที่ผู้คน
นับไม่ถ้วนใฝ่ฝันจะเดินทางมา
องค์ ห ญิ ง โม่ ห ยู่ จ ากไปพร้ อ มกั บ นกอิ น ทรี สี เ ขี ย ว
อ่อนนานแล้ว ดังนั้นจางเซวียนจึงเป็นคนเดียวที่มากับ
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า เขาใช้เวลาศึกษาหาความรู้จากหอ
สมุดเทียบฟ้าเพิ่มเติมเพื่อฆ่าเวลา รวมทั้งทบทวนวรยุทธ
และประเมินสภาวะปัจจุบันของตัวเองไปพร้อมๆกัน
“ยิ่งเรามีวรยุทธสูงขึ้นเท่าไหร่ วิชาร่างนวโลหะก็
สำคัญน้อยลงเท่านั้น...”
ตอนที่จางเซวียนสำเร็จวรยุทธขั้นทงฉวน วิชาร่าง
นวโลหะทำให้เขาปราบนักรบที่มีวรยุทธขั้นเดียวกันได้
อย่ า งง่ า ยดาย แต่ เ มื่ อ สำเร็ จ ขั้ น กึ่ ง จงซรื อ แล้ ว
ประสิทธิภาพของมันก็ลดลง ยิ่งเมื่อเขาสำเร็จขั้นจงซรือ
ศักยภาพของมันก็จะยิ่งลดลงไปอีก
จนในที่สุดก็จะต้องไปถึงจุดที่มันไร้ประโยชน์
ดูเหมือนว่าเขาต้องหาเทคนิคการฝึกวรยุทธสำหรับ
ร่างกายเพิ่มเติม เพื่อการฝึกฝนในระดับที่สูงกว่าเดิม
ส่วนเพลงหมัดเทียบฟ้า ศิลปะการใช้ขาเทียบฟ้า
และศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้า...ถึงพวกนี้จะเป็นการ
เคลื่อนไหวแบบง่ายๆ แต่มันก็มีพละกำลังอันน่าทึ่ง เท่าที่
ดูแล้ว กว่าเขาจะสำเร็จขั้นจื้อจุน ก็คงยังฝึกเทคนิคพวก
นี้ได้ไม่ครบถ้วน ดังนั้นจางเซวียนจึงยังไม่จำเป็นต้องรีบ
หาหนังสือใหม่
“เมื่อไปถึงอาณาจักรเทียนหวู่ เราจะรีบเข้าสอบ
เป็นปรมาจารย์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเมื่อได้
เป็นปรมาจารย์แล้วเท่านั้น ที่เราจะมีสิทธิ์เข้าไปในสภา
ปรมาจารย์และค้นหาข้อมูลของปรมาจารย์เซียนขง...”
ระหว่างทางที่มา เขาได้บันทึกเรื่องของปรมาจารย์
เซียนขงตามที่กู้มู่บอกลงในกระดาษแผ่นหนึ่ง และใช้หอ
สมุดเทียบฟ้ายืนยันความถูกต้อง ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น เป็น
เรื่องจริงที่ปรมาจารย์เซียนขงได้รับผลกระทบจากสภาวะ
ครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดเหมือนกับเขา แต่สามารถรักษา
พิษนั้นได้ในเวลาต่อมา
จึงพูดได้ว่า สภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดไม่ใช่สิ่ง
ที่ไร้วิธีรักษา แต่เป็นเพราะมาตรฐานของตัวเขาเองใน
ตอนนี้ที่ยังสูงไม่ถึงขั้นจะหาวิธีรักษาที่ถูกต้องได้
เมื่อได้ข้อสรุป จางเซวียนก็มั่นใจขึ้น แต่ในขณะ
เดียวกันก็ยังสงสัย ก็ในเมื่อเจ้าของร่างคนเก่าเป็นแค่เด็ก
กำพร้า แล้วมันเรื่องอะไรที่กูรูยาพิษระดับ 8 ดาวหรือ 9
ดาวจะต้องมาวางยาเขา?
เป็นไปได้ไหมว่าที่จริงเขาอาจจะมีภูมิหลังอันน่าทึ่ง
และมาจากครอบครัวผู้ทรงอิทธิพล?
ถึงจางเซวียนจะยังสงสัย แต่ก็ตัดสินใจว่าตอนนี้จะ
ไม่คิดอะไรให้มากนัก ถ้าไม่คิดถึงความจริงที่ว่าเจ้าของ
บ้านคนเก่าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้ง
ตั ว เขาในฐานะผู้ ท ะลุ มิ ติ ม า ก็ ไ ม่ ค่ อ ยสบายใจ
เหมือนกันหากจู่ๆจะมีใครมาอ้างตัวว่าเป็นพ่อแม่หรือ
ญาติสักคนหนึ่งของเขา
แทนที่จะมัวหดหู่ ไม่สนใจเสียเลยน่าจะฉลาดกว่า
เพราะถึงอย่างไร ด้วยการมีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ใน
มือ จางเซวียนก็มีแต่จะเติบโตและแข็งแกร่งกว่าเดิม โลก
นี้กว้างใหญ่นัก และไม่มีที่ไหนที่เขาจะไปไม่ได้
หลังจากเดินทางไปอีก 2 วัน ขณะที่พระอาทิตย์
กำลังจะตก เมืองโอ่อ่าเมืองหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตาของ
จางเซวียน ภายใต้แสงสีส้มเรืองรองของอาทิตย์อัสดง
ภาพเมืองที่เห็นนั้นเหมือนกับสันเขากว้างใหญ่ที่ทอดตัว
ไปตามเส้นขอบฟ้า
เมืองนี้ใหญ่โตกว่าเมืองหลวงของอาณาจักรเทียน
เซวียนหลายสิบเท่า สิ่งปลูกสร้างล้วนแต่หรูหรางดงาม มี
กำแพงเมืองโบราณสูงหลายสิบเมตรตั้งโดดเด่นเป็นสง่า
เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่
เมื่อมองลงไปจากกลางอากาศ บรรดาถนนหนทาง
ในเมืองต่างเชื่อมโยงถึงกัน และคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่
เดินไปมา มีพาหนะทุกประเภทและฝูงม้าเดินทางเข้า
ออกตัวเมือง ดูราวกับภาพวาดที่มีชีวิตชีวา
ในฐานะศูนย์กลางการค้าขายของ 13 อาณาจักร
เมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนหวู่มีความโอ่อ่าสง่างาม
มาก เมืองไหนๆที่จางเซวียนเคยเห็นมาก็เทียบไม่ได้เลย
“ลงจอดกันเถอะ!”
รู้ดีว่าเมืองใหญ่ขนาดนี้ย่อมมีข้อจำกัดสำหรับอสูร
พาหนะขนาดมหึมาอย่างเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า จางเซวี
ยนจึงตัดสินใจจะไม่ทำอะไรที่เป็นการเอิกเกริก เขาจึง
ร่อนลงจอดที่ภูเขาซึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก เพื่อให้
เจ้าเขี้ยวเหล็กได้นั่งนอนอย่างเป็นอิสระ ก่อนที่ตัวเขาจะ
มุ่งหน้าเข้าเมือง
“รอเดี๋ยว!คุณต้องจ่ายค่าผ่านประตูเพื่อเข้าเมือง!”
เขากำลังจะเดินเข้าประตูเมือง เมื่อองครักษ์กลุ่ม
หนึ่งเข้ามาสกัดไว้
“ค่าผ่านประตู?”
เมื่อมองไปรอบๆตัว จางเซวียนจึงรู้ว่าผู้มาเยือนทุก
คนต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าเข้าเมือง ถ้าไม่มีข้อ
กำหนดแบบนี้ ประชากรของเมืองหลวงแห่งอาณาจักร
เที ย นหวู่ ค งจะต้ อ งเดื อ ดร้ อ นกั บ จำนวนผู้ ค นที่ เ พิ่ ม ขึ้ น
อย่างควบคุมไม่ได้ และอาจจะเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงขั้นที่
สมาชิ ก ราชวงศ์ เ ที ย นหวู่ ค วบคุ ม สถานการณ์ ไ ม่ ไ ด้ เ สี ย
ด้วยซ้ำ
“ถู ก แล้ ว ! นอกจากปรมาจารย์ ห รื อ ผู้ ช่ ว ย
ปรมาจารย์ ทุกคนต้องจ่ายค่าผ่านประตู!”
องครักษ์พูด
ปรมาจารย์คือผู้ค้ำจุนโลกใบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมี
สถานภาพทางสังคมที่สูงส่ง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะได้รับ
สิทธิพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งที่อาชีพอื่นๆไม่มีโอกาสได้รับ
“พอเถอะ พวกคุณจะเปลืองน้ำลายอยู่ทำไม? อายุ
แค่นี้จะเป็นปรมาจารย์หรือผู้ช่วยปรมาจารย์ได้อย่างไร
กัน?”
“เออใช่ เร็วๆเข้า คนเยอะแยะรอคิวอยู่!”
เห็นชายหนุ่มทำให้พวกเขาเสียเวลา องครักษ์สอง
คนก็หมดความอดทน ผู้คนมากมายที่กำลังรอคอยจะเข้า
เมืองต่างก็เร่งพวกเขา
นี่ยืนเต๊ะหาอะไร?
เมืองนี้ตั้งมาหลายพันปีแล้ว เป็นที่รู้กันว่าทุกคนที่
จะเข้าเมืองต้องจ่ายค่าผ่านประตู แต่เรื่องง่ายๆแค่นี้คุณก็
ยังไม่รู้ มาจากหลังเขาหรือไง?
“ต้องจ่ายเท่าไหร่?”
จางเซวียนถาม ไม่แยแสกับสายตาหงุดหงิดเหล่า
นั้น
“100 เหรียญทอง!” องครักษ์ตอบ
“100?” จางเซวียนประหลาดใจมาก
ขนาดอาจารย์ดาวเด่นของโรงเรียนหงเทียน ยังได้
รับเงินเดือนแค่ 2000 เหรียญเท่านั้น ค่าผ่านประตู 100
เหรียญทองช่างแพงหูฉี่
“ก็ใช่น่ะสิ!”
ตอนที่ 286 เมืองหลวงของอาณาจักรเทียนหวู่

เห็นสีหน้าตะลึงของอีกฝ่าย ก็รู้แล้วว่าหมอนี่คงไม่
เคยเห็นโลกกว้างเลย บรรดาองครักษ์พากันจ้องมองเขา
อย่างสมเพช
เงินแค่ 100 เหรียญทองก็ทำเป็นเรื่องใหญ่โต หมอ
นี่คงถังแตกสุดๆ
“ผมไม่มีเงิน...”
จางเซวียนส่ายหน้า
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น บรรดาองครักษ์ก็ทำสีหน้าแบบ
‘กูว่าแล้ว’ พวกเขาตวาดก้อง “ถ้าแกไม่มีเงินก็อย่ามา
ทำให้เราเสียเวลา! ถ้าคิดจะเข้าเมืองไปด้วยสภาพแบบนี้
ล่ะก็ แกคงฝันไป...”
แต่พวกเขายังพูดไม่ทันจบ ไอ้หนุ่มเซ่อซ่าที่อยู่ตรง
หน้ า ก็ ถื อ ตราสั ญ ลั ก ษณ์ อั น หนึ่ ง ไว้ ใ นมื อ และมองหน้ า
พวกเขาอย่างร้อนรน “แต่ด้วยสิ่งนี้ ผมไม่ต้องจ่ายเงินใช่
ไหม...”
“จะเอาอะไรมาก็ไม่ช่วยหรอก...ฮะ? ตราสัญลักษณ์
ผู้ช่วยปรมาจารย์...”
พูดไปได้ครึ่งประโยค องครักษ์ก็เห็นตราสัญลักษณ์
ในมือของอีกฝ่าย เขาสั่นไปทั้งตัวด้วยความตกตะลึง ทุก
คำที่คิดจะพูดชะงักอยู่ในปาก และแทบจะปล่อยโฮออก
มา
“คุณเป็น...ผู้ช่วยปรมาจารย์?”
องครักษ์ทุกคนที่ตำหนิเขาเมื่อครู่ต่างก็หน้าซีดเมื่อ
เห็นตราสัญลักษณ์
พวกเขาคิดว่าหมอนี่เป็นแค่คนเซ่อซ่าที่มาจากบ้าน
นอก ไม่นึกเลยว่าจะเป็นผู้มีความสามารถไร้เทียมทาน
น้องชาย ก็ถ้าคุณเป็นถึงผู้ช่วยปรมาจารย์ ก็น่าจะ
เดินเข้าไปเลย มันเรื่องอะไรที่จะต้องมาถามเราเรื่องค่า
ผ่านประตู? นี่ตั้งใจจะทำให้พวกเราเดือดร้อนใช่ไหม...
“เชิญเข้าไปเลย...”
องครักษ์พากันข่มอาการหายใจหายคอไม่ออกไว้
และเปิดทางให้เขาทันที...
ถ้าเชื้อพระวงศ์รู้ว่าพวกเขาสร้างปัญหาให้ผู้ช่วย
ปรมาจารย์ล่ะก็ หัวต้องหลุดจากบ่าแน่
เมื่อเห็นว่าตราสัญลักษณ์ที่ปรมาจารย์หลิวกับคน
อื่นๆให้มาทำให้เขาเข้าเมืองได้อย่างสบาย จางเซวียนพ
ยักหน้าอย่างพอใจ “ไม่นึกเลยว่าไอ้ของเล่นชิ้นนี้ก็มี
ประโยชน์เหมือนกัน ประหยัดไปได้ตั้ง 100 เหรียญ
ทอง...”
“....” องครักษ์
เคยเห็นคนขี้เหนียวมาก็มาก แต่ไม่เคยเจอใครโคตร
งกขนาดนี้
เป็นถึงผู้ช่วยปรมาจารย์ ไปที่ไหนก็มีแต่คนเคารพ
ยกย่อง แต่มาดีอกดีใจกะอีแค่ประหยัดเงินได้ 100
เหรียญทอง...
ทำตัวแบบนี้ มันไม่ลบหลู่สถานภาพอันแสนจะมี
เกียรติของคุณไปหน่อยหรือ?
จางเซวียนไม่แยแสองครักษ์พวกนั้น เขาเดินเข้า
เมืองไปอย่างสบายใจ
ถึงเขาจะมีเงิน 10 ล้านเหรียญทองอยู่ในแหวนเก็บ
สมบัติ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาความถี่ถ้วนเอาไว้ อีก
อย่าง เงินที่ประหยัดได้ก็เป็นเงินที่เขาหามา ส่วนคนอื่น
จะคิดอย่างไรนั้น...
มันใช่เรื่องของเราเสียที่ไหนกัน!
ถนนหนทางในเมืองนั้นกว้างขวาง มีร้านรวงตั้งอยู่
ทั่ ว ไป บรรดาพ่ อ ค้ า ต่ า งตะโกนเรี ย กลู ก ค้ า อย่ า ง
กระตือรือร้น แสงอาทิตย์อัสดงที่ยังเหลืออยู่สาดกระทบ
บรรดาตึกสูงตระหง่าน ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น
“สมกั บ ที่ เ ป็ น เมื อ งหลวงแห่ ง อาณาจั ก รเที ย นหวู่
สินค้าที่พ่อค้าขายกันอยู่ทั่วๆไปยังมีคุณภาพดีกว่าที่มีใน
อาณาจักรเทียนเซวียนเสียอีก”
จางเซวียนเดินไปตามถนนและมองดูสินค้ามากมาย
ที่ขายอยู่ในร้าน เขาอดรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่ได้
ตัวเขาตอนนี้เหมือนกับคุณย่าหลิวที่ก้าวเข้าไปใน
สวนอันงดงาม ตื่นตาตื่นใจไปเสียทุกเรื่องกับทุกอย่างที่
อยู่รอบตัว
แม้ว่าของส่วนใหญ่ที่มีอยู่ที่นี่จะเป็นสิ่งที่เขาได้อ่าน
เรื่องราวของมันในหนังสือมาแล้ว แต่การได้เห็นกับตาก็
ทำให้รู้สึกแตกต่างออกไป
“คุณก็เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์เหมือนกันหรือ?”
จางเซวียนกำลังชมวิวรอบตัวตอนที่เสียงหนึ่งดังขึ้น
ด้านหลัง เมื่อหันกลับไป ก็เห็นสาวน้อยอายุประมาณ 20
ปีกำลังจ้องเขาอย่างฉงน
เธอสวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อน แม้จะงดงามไม่เท่า
เสิ้นปี้หรูกับคนอื่นๆ แต่ก็มีใบหน้าหมดจดน่ามอง
ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่แต่งตัวแบบบอดี้การ์ดเป๊ะยืนอยู่
ข้ า งเธอ รั ง สี ที่ เ ขาแผ่ อ อกมานั้ น ล้ ำ ลึ ก มี แ สงเปล่ ง
ประกายวาบอยู่ในดวงตาของเขาเป็นระยะ
เขาเป็นนักรบขั้นจงซรือ!
จ้างนักรบขั้นจงซรือเป็นบอดี้การ์ดได้ สาวน้อยคน
นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่
“ใช่!”
จางเซวียนตอบง่ายๆ เป็นไปได้ว่าสองคนนี้อาจจะ
เห็นตราสัญลักษณ์ผู้ช่วยปรมาจารย์ตอนที่เขาเข้าเมือง
จึงตามมาเพื่อซักถาม
“ฉันก็เหมือนกัน!”
สาวน้อยคนนั้นหัวเราะ และยื่นตราสัญลักษณ์ให้ดู
ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์เหมือนกัน
“เอาจริงๆสิ!” จางเซวียนประทับใจมาก
ที่อาณาจักรเทียนเซวียน ขนาดคนเด่นๆอย่างลู่ฉ
วินยังไม่อาจเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ได้ แต่สาวน้อยที่เขา
บังเอิญพบกลางถนนกลับเป็นหนึ่งในนั้น ความเหลื่อมล้ำ
ระหว่างสองอาณาจักรช่างมากมายเสียเหลือเกิน
สาวน้อยพออกพอใจกับปฏิกิริยาของจางเซวียน
ทำให้ มี ท่ า ที ที่ ดี ก ว่ า เดิ ม มาก “อาจารย์ ข องฉั น คื อ
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว, เฉิงชวน ขอทราบได้ไหมว่าคุณ
เป็นศิษย์ของใคร?”
“อาจารย์ของผมไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง ผมคิดว่า
คุณไม่น่าจะเคยได้ยินชื่อเขา!” จางเซวียนส่ายหน้า
เรื่องจริงก็คือเขาไม่มีอาจารย์ และตรานี้ปรมาจารย์
หลิวกับคนอื่นๆก็ให้มา ดังนั้นจางเซวียนจึงทำได้แค่ตอบ
เลี่ยงไป
เห็นอีกฝ่ายไม่เต็มใจจะเปิดเผย สาวน้อยก็ไม่เซ้าซี้
เธอมองเขาอย่างข้องใจและตั้งคำถาม "คุณเข้าเมืองมา
เวลานี้...หรือว่าคุณก็มาเข้าร่วมการ ‘ปุจฉา-วิสัชนา’
เหมือนกัน?
“ปุจฉา-วิสัชนา?” จางเซวียนงง
“มันคืออะไร?”
“คุณไม่รู้จักหรือ?” สาวน้อยจ้องหน้าจางเซวียนรา
วกับเขาเป็นสัตว์ประหลาด
“การปุ จ ฉา-วิ สั ช นาเป็ น การทดสอบรอบสุ ด ท้ า ย
ของการสอบเป็นปรมาจารย์ ผู้ที่ผ่านการปุจฉา-วิสัชนา
เท่านั้นถึงจะได้เป็นปรมาจารย์ตัวจริง คุณก็เป็นผู้ช่วย
ปรมาจารย์เหมือนกัน ทำไมถึงไม่รู้จัก?”
จางเซวียนยังมึนอยู่
เขาได้รับตราสัญลักษณ์ผู้ช่วยปรมาจารย์มาจาก
การปลอมตัวเป็นศิษย์สายตรงของ ‘ปรมาจารย์หยาง’
ดั ง นั้ น จึ ง ไม่ มี ใ ครอธิ บ ายกระบวนการทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ให้เขาฟัง ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์หลิวกับคน
อื่ น ๆก็ แ ค่ พู ด ให้ ฟั ง คร่ า วๆถึ ง คุ ณ สมบั ติ ข องผู้ ที่ จ ะเข้ า
ทดสอบ แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียด ดังนั้นจางเซวียนจึง
ไม่รู้เรื่องการปุจฉา-วิสัชนา
“ก็นั่นแหละ” สาวน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดู
เหมือนจะเพิ่งนึกอะไรได้ จึงพูดต่อ “ฉันเข้าใจแล้ว คุณ
คงเพิ่งได้เป็นผู้ช่วยไม่นานใช่ไหม ถ้าพึ่งถ้าเป็นผู้ช่วย
ใหม่ๆล่ะก็ อีกนานกว่าจะได้สอบเป็นปรมาจารย์ ก็เป็น
ธรรมดาที่อาจารย์ของคุณจะยังไม่ได้อธิบายเรื่องการสอบ
ให้ฟัง!”
จางเซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เขาได้เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ตั้งแต่ทะลุมิติมายังไม่
ถึ ง 2 เดื อ น แถมในอาณาจั ก รเที ย นเซวี ย นก็ ไ ม่ มี
ปรมาจารย์สักคน หนังสือเกี่ยวกับปรมาจารย์สักเล่มก็
ไม่มี ก็คงจะแปลกถ้าจางเซวียนจะรู้รายละเอียดของ
กระบวนการทดสอบ
“ในเมื่อคุณเพิ่งได้เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ ก็ไม่ต้อง
กังวลไป ศึกษาเล่าเรียนให้หนักเข้าไว้ ไม่เกินสิบปีคุณก็
คงจะผ่านการทดสอบและนำความภาคภูมิใจมาให้วงศ์
ตระกูลของคุณ!”
เมื่ อ รู้ ว่ า เขาเพิ่ ง ได้ เ ป็ น ผู้ ช่ ว ยปรมาจารย์ ไ ม่ น าน
ท่าทีของสาวน้อยก็เป็นมิตรกว่าเดิม “อีกอย่าง เราจะ
คาดหวังให้ตัวเราปราดเปรื่องอย่างองค์หญิงโม่หยู่ที่สอบ
ผ่านการเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่อายุ 22 ไม่ได้หรอก!”
เมื่อพูดถึงองค์หญิงโม่หยู่ สายตาของเธอเปี่ยมไป
ด้วยความนับถือ
(คุณย่าหลิวก้าวเข้าไปในสวนอันงดงาม
อ้างอิงมาจากความฝันในหอแดง ซึ่งก็เทียบได้กับอ
ลิซในดินแดนมหัศจรรย์)
“องค์หญิงโม่หยู่สอบผ่านการเป็นปรมาจารย์?”
จางเซวียนถามอย่างสงสัย ก็ตอนที่พวกเขาอยู่เมือง
บัวแดง เธอยังเป็นแค่ผู้ช่วยปรมาจารย์ไม่ใช่หรือ?
เขาไปอยู่ที่ห้องโถงแห่งยาพิษแค่ 20 วันเท่านั้น
หรือว่าทันทีที่โม่หยู่กลับถึงอาณาจักรเทียนหวู่ เธอก็เข้า
รับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ทันที และสอบผ่าน?
“องค์หญิงโม่หยู่คือหนึ่งในอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงที่สุด
ของอาณาจักรเทียนหวู่ เธอเพิ่งกลับจากการฝึกวิชาเมื่อ
ครึ่งเดือนก่อน และเมื่อกลับมา ก็สอบผ่านเป็นนักปรุงยา
ระดับ 2 ดาว ก่อนจะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ แค่อึดใจ
เดี ย วเธอก็ ผ่ า นการทดสอบไม่ รู้ กี่ อ ย่ า ง เหลื อ แค่ ก าร
ปุจฉา-วิสัชนาพรุ่งนี้เท่านั้น ถ้าผ่านวันพรุ่งนี้ไปได้ เธอก็
จะได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว!”
นัยน์ตาของสาวน้อยเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“คนเดียวที่ทำได้แบบเธอ คือได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 1
ดาวตั้งแต่อายุ 22 ก็คืออัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของอาณา
จักรเทียนหวู่, โม่หงอี!”
“โม่หงอี?”
ขนาดเป็นทั้งนักปรุงยาระดับ 2 ดาว, นักฝึกสัตว์
ร้ายระดับ 1 ดาว, ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว และผู้ช่วย
นายแพทย์ตั้งแต่อายุ 22 เธอยังไม่ใช่อัจฉริยะหมายเลข
หนึ่งอีกหรือ?
“คุณไม่รู้จักเขา?”
เห็นหน้าตาสับสนของอีกฝ่าย สาวน้อยถึงกับใบ้กิน
ถ้าเธอไม่ได้เห็นตราสัญลักษณ์ผู้ช่วยปรมาจารย์กับ
ตา จะต้องคิดว่าเขาเป็นตัวปลอมแน่
ไอ้การที่คุณไม่รู้รายละเอียดของการทดสอบเป็น
ปรมาจารย์และปุจฉา-วิสัชนานั่นก็เรื่องหนึ่ง...
แต่ถึงกับไม่รู้จักโม่หงอี... คุณโผล่มาจากมุมไหน
ของโลกกันนี่?
“เขาดังมากเลยหรือ?” จางเซวียนถาม
ได้ฟังแบบนั้น สาวน้อยก็ถึงกับพูดไม่ออก “หรือ
ว่า...คุณเพิ่งมาอาณาจักรเทียนหวู่เป็นครั้งแรก?”
“ใช่!” จางเซวียนพยักหน้า
“อือ!”
เห็นอีกฝ่ายยอมรับหน้าตาเฉย จะหาความขัดเขิน
สักนิดก็ไม่มี สาวน้อยถึงกับกลอกตา
คนอื่ น เขามี แ ต่ จ ะอั บ อายและรู้ สึ ก ต่ ำ ต้ อ ยที่ ถู ก ตั้ ง
คำถามแบบนี้ แต่หมอนี่กลับตอบอย่างใจกล้าหน้าด้าน
ทำเหมือนกับว่าการที่เพิ่งมาอาณาจักรเทียนหวู่เป็น
ครั้งแรกช่างเป็นภารกิจที่น่าภูมิใจเสียเต็มที...
น่าสงสัยจริงว่าเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน
“ในเมื่อคุณไม่รู้จักเขา ฉันเล่าให้ฟังก็แล้วกัน!” สาว
น้อยอธิบาย
“โม่หงอีมีชื่อเสียงในฐานะอัจฉริยะหมายเลข 1
ข อ ง อ า ณ า จั ก ร เ ที ย น ห วู่ ต ล อ ด ร ะ ย ะ เ ว ล า ข อ ง
ประวัติศาสตร์หลายพันปี เขาโด่งดังไปทั่ว 13 อาณาจักร
โดยรอบ แม้จะอายุแค่ 26 ปี แต่ก็เป็นทั้งปรมาจารย์
ระดับ 1 ดาวขั้นสูงสุด, นักปรุงยาระดับ 2 ดาว, ผู้
เชี่ยวชาญด้านค่ายกลระดับ 2 ดาว และช่างตีเหล็กระดับ
2 ดาวด้วย!”
จางเซวียนถึงกับตาโตด้วยความตะลึง
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวขั้นสูงสุด, นักปรุงยาระดับ
2 ดาว, ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลระดับ 2 ดาว และช่างตี
เหล็กระดับ 2 ดาว...
อายุแค่ 26 ปี แต่เป็นถึง 4 อาชีพในเก้าสถานะ
ระดับบน!
เท่าที่ดู เขาเหนือชั้นกว่าลู่ฉวินซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง
ในอาณาจักรเทียนเซวียนอยู่มาก ถึงโม่หยู่ก็ยังเทียบชั้น
กับเขาไม่ได้
เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเปลี่ยนไป สาวน้อยพยักหน้า
อย่างพอใจก่อนจะเล่าต่อ “ไม่ใช่แค่นั้นนะ วรยุทธของ
อัจฉริยะโม่ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ยังโดดเด่นมากด้วย เมื่อ 3 ปี
ก่อนเขาสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ และสามารถปราบนัก
รบจงซรือขั้นกลาง, นายพลเถี่ยซูได้ หลังจากนั้น ด้วย
หอกเล่มเดียว เขาสังหารนักรบฝ่ายเหนือถึง 5 คนที่เข้า
ยึดครองดินแดนทางเหนือของเรา! นักรบทั้ง 5 คนนั้นก็
สำเร็จขั้นจงซรือนะ สามคนในห้าคนนั้นยังเป็นนักรบจงซ
รือขั้นกลางด้วย! เขาสังหารทั้ง 5 คน ได้ในรวดเดียว ฉัน
จะไม่เชื่อเลยถ้าไม่ได้ฟังเรื่องนี้จากคนที่ไว้ใจได้!”
“เมื่อต้นปีนี้ เขาสำเร็จวรยุทธจงซรือขั้นสูง และ
หลังจากนั้นไม่นาน ที่ยอดเขาน้ำพุสวรรค์ เขาประลอง
กับปรมาจารย์หงหลัวซึ่งเป็นนักรบจงซรือขั้นสูงสุด และ
เอาชนะเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างการปะทะ เขาก็
ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จไปได้ถึงจงซรือขั้นสูงสุด ขนาด
ฮ่ อ งเต้ ยั ง ยกย่ อ งให้ เ ขาเป็ น อั จ ฉริ ย ะที่ ห นึ่ ง พั น ปี ถึ ง จะ
ปรากฏตัวสักคนหนึ่ง และความสำเร็จของเขาในอนาคต
ก็คงจะไม่มีที่สิ้นสุด!”
ตอนที่ 287 สมาคมจิตรกร

“สำเร็จวรยุทธจงซรือขั้นสูงสุดตั้งแต่อายุ 26 ?
แถมยังสู้กับผู้ที่มีวรยุทธสูงกว่าตัวเองได้?” จางเซวียนอัศ
จรรย์ใจมาก
ไม่ แ ปลกใจเลยที่ เ ขาจะได้ ชื่ อ ว่ า เป็ น อั จ ฉริ ย ะ
หมายเลข 1 ในรอบพันปี โม่หงอีคนนี้น่าเกรงขามจริงๆ
ถ้าเปรียบเทียบกับโม่หงอี บรรดาคนที่ได้ชื่อว่า
‘อัจฉริยะ’ ที่เขาเคยเห็นมา ก็เปรียบได้เหมือนหิ่งห้อยกับ
ดวงอาทิตย์ คือกระจ้อยร่อยเกินกว่าจะพูดถึง
“ก็ในเมื่อเขาแซ่โม่ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง
ของอาณาจักรเทียนหวู่หรือเปล่า?”
จางเซวียนถามเพราะเพิ่งนึกได้
องค์หญิงโม่หยู่ก็แซ่โม่ ซึ่งหมายความว่าเชื้อพระ
วงศ์ของอาณาจักรเทียนหวู่จะต้องใช้แซ่นี้ แล้วโม่หงอี
เป็นเชื้อพระวงค์คนหนึ่งด้วยหรือเปล่า?
“ใช่!” สาวน้อยพยักหน้า “เขาเป็นลูกขององค์ชาย
คนหนึ่งที่ไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้เท่าไรนัก แม้ว่า
จะเป็นพี่ชายขององค์หญิงโม่หยู่ตามลำดับอาวุโส แต่
สถานภาพของเขาด้อยกว่าเธอมาก ว่าแต่...ด้วยความ
เก่งกาจขนาดนั้น ก็ไม่มีใครกล้าประมาทเขาหรอก!”
“อือ!” จางเซวียนเห็นด้วย
ในโลกใบนี้ แม้ชาติกำเนิดจะเป็นตัวกำหนดความ
สูงส่งของคน แต่ตราบใดที่ทุ่มเทและเอาจริง ก็จะต้องได้
รับการเคารพยกย่อง
โม่หงอีคือตัวอย่าง แม้เขาจะไม่ใช่สายตรงของราช
บัลลังก์ แต่ด้วยเกียรติยศที่เขามีในตอนนี้ ถ้าเกิดเขา
ต้องการบัลลังก์ขึ้นมาจริงๆ องค์ชายคนอื่นก็คงสู้ไม่ได้
เมื่อความสามารถของใครสักคนพุ่งสูงถึงระดับที่
เหนือธรรมดา การสร้างภาพและเสียงซุบซิบนินทาต่างๆ
จะไม่ต่างอะไรกับการเล่นขายของ กลายเป็นเรื่องน่า
หัวเราะไปทันที
เห็นอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิด สาวน้อยพูดต่อ “แต่ถึง
เขาจะน่าทึ่งขนาดนั้น ฉันก็ยังยกย่ององค์หญิงโม่หยู่
มากกว่าอยู่ดี เพราะเธอไม่ใช่แค่สวย แต่ยังปราดเปรื่อง
ด้วย ฉันอยากเป็นเหมือนเธอ สุภาพ ถ่อมตัว และสนใจ
ใฝ่หาความรู้ ฉันจะตั้งอกตั้งใจและจริงจังกับการสร้างชื่อ
เสียงด้วยความสามารถของตัวเอง ให้เหมือนกับเธอให้
ได้!”
“สุภาพ ถ่อมตัว และสนใจใฝ่หาความรู้?”
จางเซวียนก็อยู่กับองค์หญิงโม่หยู่คนนี้มาตั้งหลาย
วัน ทำไมเขาไม่เห็นรู้สึกว่าเธอมีอะไรแบบนี้เลย?
จางเซวี ย นส่ า ยหน้ า และไม่ อ ยากสนใจเรื่ อ งนี้ อี ก
เขานึกได้ถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ จึงถามว่า
“แล้วปุจฉา-วิสัชนาที่คุณพูดถึงน่ะ...นอกจากองค์หญิงโม่
หยู่แล้ว มีใครเข้าร่วมอีก?”
ได้ยินคำถามนั้น แม่สาวน้อยก็กลอกตาอีกครั้ง
“นี่ คุ ณ คิ ด ว่ า ปรมาจารย์ มี ดื่ น ดาษกลาดเกลื่ อ น
เหมือนกะหล่ำปลีในตลาด พร้อมเสมอเมื่อคุณต้องการ
อย่างนั้นหรือ? บางปี ไม่มีผู้สอบผ่านเป็นปรมาจารย์สัก
คนเสียด้วยซ้ำ! ฉันตั้งใจเดินทางจากเมืองฉวนไห่มาที่นี่
เพื่อมาชมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งปรมาจารย์ของ
องค์หญิงโดยเฉพาะ คุณคิดว่าจะมีคนอื่นอีกหรือไง?”
“เมืองฉวนไห่?” หนังสือปรากฏขึ้นในหัวของจางเซ
วียน และในนั้นมีแผนที่ของอาณาจักรเทียนหวู่
ถ้ า จะเปรี ย บเที ย บให้ เ มื อ งหลวงของอาณาจั ก ร
เทียนหวู่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเซวียน เมือง
ฉวนไห่ก็จะเทียบเท่ากับเมืองไป๋หยู
ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอาณาจักรเทียนเซ
วียน ในเมื่อแม่สาวช่างพูดคนนี้มีบอดี้การ์ดเป็นนักรบขั้น
จงซรือ สถานภาพของเธอก็น่าจะไม่ธรรมดา
แต่นั่นก็พอจะคาดเดาได้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ใคร
สักคนจะได้เป็นปรมาจารย์ หากไม่มีเส้นสายมากพอที่จะ
เสาะหาอาจารย์ดีๆมาชี้แนะ
หลังจากคุยกันอีกสองสามประโยค จางเซวียนก็ได้รู้
ว่ า เธอชื่ อ หลิ ง เซี ย วเซี ย ว และเพิ่ ง ได้ เ ป็ น ผู้ ช่ ว ย
ปรมาจารย์มาไม่ถึงปี
เหตุ ผ ลที่ เ ธอคุ ย จ้ อ กั บ เขาก็ เ พราะทั้ ง คู่ เ ป็ น ผู้ ช่ ว ย
ปรมาจารย์เหมือนกัน และเธอคิดว่าพวกเขาควรจะรู้จัก
กันไว้
“การปุจฉา-วิสัชนาจะมีขึ้นวันพรุ่งนี้ตอนบ่ายที่สภา
ปรมาจารย์ ถ้ า คุ ณ อยากจะเข้ า รั บ การทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ ก็ควรจะไปดู ฉันขอตัวก่อนก็แล้วกัน ลาก่อน
นะ!”
หลังจากคุยกันอีกสักพัก หลิงเซียวเซียวก็รู้ว่าผู้ช่วย
ปรมาจารย์ที่ชื่อจางเซวียนคนนี้ดูจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการ
สอบเป็นปรมาจารย์เอาเสียเลย เธอจึงหมดความสนใจที่
จะคุยกับเขา
ในความเห็นของเธอ คงอีกหลายสิบปีกว่าเขาจะรู้
เรื่องรู้ราวมากพอที่จะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ เธอกับเขา
ห่างชั้นกันมาก
“เราหาอะไรกินก่อนดีกว่า แล้วค่อยหาที่พัก”
จางเซวียนบิดขี้เกียจเมื่อร่ำลากันแล้ว
เขาได้รู้ตำแหน่งที่ตั้งของสภาปรมาจารย์ แต่ตอนนี้
ก็เย็นมากแล้ว หลังจากที่แทบไม่ได้กินอะไรมาตลอด 7
วันที่อยู่บนหลังของเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า จางเซวียนก็
หิวมาก
เสร็จสรรพจากมื้อเย็น เขากำลังจะไปหาที่พัก ก็
พอดีเห็นตึกใหญ่มหึมาอยู่ตรงหน้า บนป้ายที่แขวนไว้
เหนือทางเข้า มีสองคำที่ดูทรงพลังและชวนให้ดื่มด่ำ
ราวกับมันพร้อมจะพุ่งทะยานออกจากป้ายมาได้ทุกขณะ
“สมาคมจิตกร?”
เมื่อเห็นว่าป้ายนั้นเขียนว่าอะไร จางเซวียนก็ตาโต
จิตรกรก็เหมือนกับนักปรุงยา คือเป็นอาชีพหนึ่งใน
เก้าสถานะระดับบน ซึ่งย่อมมีสมาคมไว้คอยดูแลกิจการ
ของตัวเอง แต่อาณาจักรเทียนเซวียนนั้นมีขนาดเล็กและ
อยู่ห่างไกลเกินไป จึงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะจัดตั้ง
สาขาของตัวเอง
จางเซวียนไม่คิดว่าจะได้เจอสมาคมจิตรกรที่เมือง
หลวงของอาณาจักรเทียนหวู่นี้
“เราต้องไปดูเสียหน่อย!”
ในบรรดาทักษะหลายต่อหลายอย่างที่จางเซวียนมี
นอกจากการหลอมยาและการฝึกอสูรแล้ว อีกอย่างหนึ่ง
ที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดก็คือการวาดภาพ ซึ่งเขาทำได้แม้แต่
การวาดภาพขั้น 5 ในเมื่อได้มาถึงสมาคมแล้ว ก็เป็น
โอกาสดีที่เขาจะเข้ารับการทดสอบเพื่อให้ได้เป็นจิตรกร
อย่างเป็นทางการ
เพราะเขามีแค่ตราสัญลักษณ์นักฝึกอสูรระดับ 2
ดาว และตราสัญลักษณ์นักปรุงยาระดับ 1 ดาวเท่านั้น
ซึ่งดูกระจอกเต็มที
ในส่วนของกูรูยาพิษ แม้ว่าความเชี่ยวชาญเรื่องยา
พิษของเขาจะเทียบเท่าระดับ 2 ดาวแล้ว แต่เขาได้
ปลอมตัวเป็น ‘ศิษย์ปู่’ ของผู้แทน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขา
จะเข้ารับการทดสอบเป็นกูรูยาพิษ ก็เป็นธรรมดาที่จางเซ
วียนย่อมไม่คิดจะไขว่คว้าตราสัญลักษณ์นั้น
แต่ต่อให้เขามีมันอยู่กับตัว ก็รู้อยู่แล้วว่าอาชีพอื่นๆ
มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกูรูยาพิษแค่ไหน ถึงจะมีมันอยู่
จางเซวียนก็ไม่กล้าหยิบออกมาเหมือนกัน
เขาคิ ด วนเวี ย นอยู่ ข ณะที่ ก้ า วเข้ า ไปในสมาคม
จิตรกร
ก็สมกับเป็นสมาคมจิตกร ห้องโถงขนาดมหึมาได้รับ
การตกแต่งอย่างมีศิลปะ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเหมือนตัว
เองก้าวเข้าไปในภาพวาด
จางเซวี ย นเดิ น เข้ า ไปช้ า ๆ รู้ สึ ก เหมื อ นเดิ น อยู่
ท่ามกลางหนังสือมากมาย ความอบอุ่นและสบายใจ
อย่างที่พรรณนาไม่ได้โอบล้อมตัวเขา
ที่แขวนอยู่บนผนังรอบตัวคืองานศิลปะทุกประเภท
และทุกชิ้นล้วนแต่เหมือนจริงอย่างน่าทึ่ง พวกมันเป็น
ภาพวาดขั้น 1, การพรรณนาเสมือนจริง
ผู้เป็นจิตรกรจะต้องวาดภาพสี่ขั้นแรกให้สำเร็จเสีย
ก่อน คือ การพรรณนาเสมือนจริง, ผืนผ้าใบแห่งจิต
วิญญาณ, การถ่ายทอดเจตนารมณ์ และประหนึ่งหยุดลม
หายใจ
ซึ่งแค่ภาพวาดขั้น 1 คนส่วนมากก็ต้องใช้ความ
อุตสาหะหลายต่อหลายปีกว่าจะวาดออกมาได้
หากไม่ มี ป ระสบการณ์ แ ละความเข้ า ใจที่ ม ากพอ
การพรรณนาให้ออกมาสมจริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ผู้ที่จะวาดได้ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นผู้ช่วยจิตรกร
“คุณชาย ขอผมทราบหน่อยได้ไหมว่าคุณกำลังมอง
หาภาพวาดแบบไหน? ผมจะพาคุณไปชม”
ขณะที่ จ างเซวี ย นกำลั ง เดิ น ดู ภ าพวาดอย่ า งช้ า ๆ
พนักงานต้อนรับในชุดเสื้อคลุมสีเขียวคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
หาเขาอย่างนอบน้อม
“ภาพวาดพวกนี้มีไว้ขายหรือ?”
จางเซวียนชี้ภาพวาดที่แขวนเรียงรายอยู่บนผนัง
“ใช่ แ ล้ ว คุ ณ ชายไม่ ไ ด้ ม าที่ นี่ เ พื่ อ ซื้ อ ภาพวาด
หรือ?” พนักงานต้อนรับคนนั้นพยักหน้า
ถ้าสมาคมจิตรกรไม่ขายภาพวาด แล้วคนซื้อจะไป
ซื้อที่ไหน?
“อ้อ...” เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็รู้สึกขายหน้าที่ถาม
แบบนั้นออกไป ก็เหมือนกับการที่สมาคมนักปรุงยาขาย
ยานั่นแหละ งี่เง่าเสียจริงที่คิดไปว่าสมาคมจิตรกรไม่ได้
ขายภาพวาด
เขาพยักหน้าและถามต่อ “พวกนี้เป็นภาพวาดขั้น
1 ทั้งนั้น มีภาพวาดขั้นสูงกว่านี้ไหม?”
“กรุณาตามผมขึ้นไปชั้นบนเลย! ที่สมาคมของเรา
ภาพวาดที่แขวนอยู่ชั้นล่างจะเป็นภาพวาดขั้น 1 แทบ
ทั้งหมด ส่วนที่ชั้นสอง ก็จะเป็นภาพวาดขั้น 2 และเรียง
ตามลำดับไป คุณชายสนใจจะซื้อภาพวาดขั้นไหน ผมจะ
ได้พาคุณไปเดี๋ยวนี้!” พนักงานต้อนรับถึงกับตาโต
ยิ่งเป็นภาพวาดขั้นสูงขึ้น ก็ยิ่งมีราคาแพงขึ้นไปด้วย
ตัวเขาที่เป็นพนักงานต้อนรับจะได้รับส่วนแบ่งตามราคา
ภาพวาดที่ขายไป ยิ่งจางเซวียนซื้อภาพราคาแพงเท่าไหร่
เขาก็จะได้ส่วนแบ่งมากขึ้นเท่านั้น
“แล้วมี...”
เขากำลังจะถามว่ามีภาพวาดขั้น 5 ให้ชมหรือไม่ ก็
พอดีเห็นฝูงชนพุ่งเข้ามา
“เร็วๆเข้า คุณชายจี้โม่ออกมาแล้ว!”
“เขาผ่านการทดสอบเป็นจิตรกรระดับ 1 ดาวแล้ว
หรือ?”
“ใช่สิ! การสอบเพิ่งเสร็จสิ้น และเพื่อเป็นการ
ขอบคุณผู้สนับสนุน เขาจึงตั้งใจจะสาธิตการวาดภาพต่อ
สาธารณชนและเปิดให้มีการประมูล!”
“สาธิตการวาดภาพต่อสาธารณชน? เยี่ยมเลย! ฉัน
ต้องได้ภาพวาดของเขาแน่...”
ฝูงชนต่างเม้าท์มอยกันเซ็งแซ่
ส่วนมากเป็นหญิงสาวแรกรุ่น และเมื่อเดินเข้าไป
ใกล้ๆ จางเซวียนก็เห็นชายวัยกลางคน 2-3 คน ซึ่งเมื่อดู
จากเสื้อผ้าที่สวมอยู่ พวกเขาน่าจะร่ำรวยมาก
“คุณชายจี้โม่, ภาพวาด?”
จางเซวียนมองคนพวกนั้นอย่างสงสัย
“จี้โม่เป็นนายน้อยของตระกูลจี้ ถึงจะยังเป็นวัยรุ่น
แต่ก็ได้เป็นจิตรกรอย่างเป็นทางการของสมาคมแล้ว...”
เมื่อพูดถึงคุณชายจี้โม่ พนักงานต้อนรับคนนั้นก็หน้าแดง
ด้วยความตื่นเต้น “คุณชาย ถ้าคุณอยากจะซื้อภาพวาด
คุณควรจะเข้าชมการสาธิตวาดภาพนะ ถ้าคุณได้ซื้อภาพ
วาดของนายน้อยจี้ล่ะก็ การมาครั้งนี้ของคุณจะไม่เสีย
เที่ยวเลย”
ตอนที่ 288 คุณชายจี้โม่

“อย่างนั้นหรือ? งั้นก็ไปดูกัน!”
ในเมื่ อ จางเซวี ย นมี เ วลา เขาจึ ง ตั ด สิ น ใจจะใช้
โอกาสนี้ เ รี ย นรู้ ว่ า การทดสอบเป็ น จิ ต รกรนั้ น ทำกั น
อย่างไร ดังนั้นเขาจึงเดินตามพนักงานต้อนรับในเสื้อคลุม
สีเขียวเข้าไปยังกลุ่มฝูงชน
ตรงหน้าเขา ที่โต๊ะสีเขียวเข้มตัวหนึ่งซึ่งตั้งพิงผนัง
ชายหนุ่มอายุประมาณ 18-19 ปีที่สวมชุดขาวกำลังนั่ง
อยู่บนเก้าอี้ไม้ นัยน์ตาของเขาปิดสนิท
“คุณชายจี้โม่ ฉันรักคุณ! ฉันอยากมีลูกกับคุณ!”
“หน้าด้านอะไรอย่างนี้นะเธอ? คุณชายเป็นของฉัน!
ใครแหลมเข้ า มาล่ ะ ก็ ฉั น จะทึ้ ง เสื้ อ ผ้ า ของมั น เสี ย ให้
หมด!”
“คุณผู้หญิง สาวสวยที่อยู่ตรงนู้นน่ะตั้งใจจะแย่งกับ
คุณ ไปทึ้งเสื้อผ้าของเธอเลย พวกเราจะเชียร์คุณอยู่ตรง
นี้!”
“....”
ขนาดนัยน์ตาของคุณชายจี้โม่ยังคงปิดสนิท แต่สาว
น้อยสาวใหญ่มากมายที่อยู่บริเวณนั้นก็แทบจะคลั่ง
“คุณชายจี้โม่อาจจะยังหนุ่ม แต่เขาก็สุภาพอ่อน
โยนมากกับผู้หญิง แถมยังหล่อละลายใจด้วย จะเรียกว่า
เป็นสามีแห่งชาติก็ว่าได้!” พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสี
เขียวกระซิบกระซาบ
จางเซวียนพยักหน้าและหันไปมองคุณชายจี้โม่ ผิว
พรรณของเขาผุดผ่องและเรียบเนียน ใบหน้าหมดจดมี
ชีวิตชีวา ถึงนัยน์ตาจะยังปิดสนิท แต่ริมฝีปากของเขาก็
เชิดน้อยๆราวกับกำลังยิ้ม เห็นแล้วก็พอเข้าใจว่าทำไม
เขาถึงเป็นชายในฝันของสาวๆมากมาย
ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง ชาติตระกูลดี แถมยังหล่อหมดจด
ขนาดนี้ ไม่แปลกเลยที่ผู้หญิงจะคลั่งไคล้
“แล้ว...เขากำลังทำอะไร?”
เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งและหลับตา ไม่สนใจความอึกทึก
คึกโครมรอบข้าง จางเซวียนจึงตั้งคำถาม
“คุณชายจี้โม่กำลังจะวาดภาพ เขากำลังทำให้
สมองสงบลงและปรับสภาวะจิต!” ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสี
เขียวตอบ
“ปรับสภาวะจิต? ที่นี่น่ะนะ?” จางเซวียนงง
มั น ก็ แ ค่ ก ารวาดภาพ ถ้ า เป็ น จางเซวี ย น เขา
สามารถคว้าพู่กันและลงมือได้ทันที...จำเป็นจะต้องปรับ
สภาวะจิตกันด้วยหรือ?
อีกอย่าง ต่อให้เขาอยากปรับสภาวะจิตจริงๆ ก็ควร
จะไปหาที่ ที่ มั น สงบเงี ย บกว่ า นี้ ที่ นี่ มี ผู้ ค นกรี๊ ด กร๊ า ด
วุ่นวายอยู่รอบข้าง มันเรื่องอะไรถึงคิดว่าตัวเองจะปรับ
สภาวะจิตได้?
“คุณชายจี้โม่น่ะมีพรสวรรค์อันสุดแสนจะน่าทึ่ง ได้
เป็นจิตรกรมือฉกาจตั้งแต่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบ ทุกอย่างที่
คุณชายทำล้วนมีวัตถุประสงค์ลึกซึ้งทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่
พวกบ้านนอกอย่างคุณจะเข้าใจหรอก!”
พนักงานต้อนรับยังไม่ทันได้ตอบ ผู้หญิงคนหนึ่งก็
หันขวับมาจ้องจางเซวียนอย่างไม่พอใจ
“แล้วเจ้าเซ่อซ่าคนนี้มาจากไหน? ไปห่างๆเลย
อย่ามาทำให้ภาพวาดของคุณชายจี้โม่ต้องแปดเปื้อน!”
อีกหนึ่งสาวเหวี่ยงใส่
พรึ่บ!
ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหันมาจ้องจางเซวียนด้วย
สายตารังเกียจ
“เฮ้ย?”
นึกไม่ถึงว่าแค่สงสัยนิดเดียวก็โดนเหวี่ยงได้ขนาดนี้
จางเซวียนถึงกับใบ้กิน
“พลเมื อ งของอาณาจั ก รเที ย นหวู่ จ ำนวนมากให้
ความสนใจเรื่องการวาดภาพ จิตรกรที่นี่จึงมีสถานภาพ
สูงส่ง คุณชายจี้โม่ก็เป็นหนึ่งในจิตรกรที่เก่งกาจที่สุดใน
รุ่นเดียวกัน และมีผู้ชื่นชอบผลงานมากมาย เพราะฉะนั้น
คุณอย่าพูดอะไรตรงนี้เลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น บรรดา
แฟนคลับที่มอบกายถวายชีวิตให้เขาอาจจะเหยียบคุณ
จมดินได้!”
พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวกระซิบกับจางเซ
วียนและยิ้มเจื่อนๆ
จางเซวี ย นพยั ก หน้ า กำลั ง จะอ้ า ปากพู ด อี ก
คุณชายจี้โม่ก็ลืมตาและลุกขึ้นยืน
“ดูสิ คุณชายจี้โม่กำลังจะเริ่มวาดภาพแล้ว!”
“อยากรู้จังว่าคุณชายจะวาดภาพขั้นไหน!”
“ต้องให้พูดด้วยหรือ? คุณชายเป็นถึงจิตรกรอย่าง
เป็นทางการแล้ว ผลงานของเขา อย่างน้อยๆก็ต้องขั้น
2!”
.....
เมื่อเห็นคุณชายจี้โม่ขยับตัว พวกผู้หญิงที่ถลึงตาใส่
จางเซวียนอยู่ก็รีบหันกลับไปทันที นัยน์ตาของพวกเธอ
เป็นประกายวิบวับด้วยความคลั่งไคล้
สี่ขั้นแรกของภาพวาดก็คือ การพรรณนาเสมือน
จริง ผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณ การถ่ายทอดเจตนารมณ์
และประหนึ่งหยุดลมหายใจ
ก็เหมือนกับลู่เฉินและหยวนหยู่ จิตรกรอย่างเป็น
ทางการ หรือที่เรียกว่าปรมาจารย์จิตรกรจะสามารถวาด
ภาพขั้น 2 หรือขั้น 3 ได้อย่างง่ายดาย ส่วนภาพนั้นจะไป
ถึงขั้นประหนึ่งหยุดลมหายใจหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข
และโชคชะตาในเวลานั้น
“ผม, จี้โม่, จะแสดงทักษะอันอ่อนด้อยของผมล่ะ
นะ!”
จี้โม่ยืนอยู่อยู่หน้าโต๊ะตัวนั้น เขาสะบัดข้อมือ และ
พัดแบบจีนก็ปรากฏอยู่ในมือของเขา เขาพัดให้ตัวเอง
เบาๆ เส้นผมสีดำสนิทและเสื้อคลุมสีขาวปลิวไปตามแรง
ลมอ่อนๆนั้น “เมื่อผมวาดภาพเสร็จก็จะประกาศขาย
ทันที และจะไม่เก็บเงินที่ได้เอาไว้แม้แต่แดงเดียว แต่จะ
ใช้มันสร้างหอจิตรกรรม ผมจะเชิญผู้ช่วยจิตรกรมาให้
ความรู้ เพื่อเพิ่มพูนความเข้าใจและความรักในศิลปะการ
วาดภาพ!”
“สมกั บ เป็ น คุ ณ ชายจี้ โ ม่ ไม่ ยึ ด ติ ด กั บ เงิ น ทอง
ของนอกกายเลย...”
“นี่ แ หละคื อ ปรมาจารย์ จิ ต รกร ฉั น ประทั บ ใจ
จริงๆ!”
....
เมื่อเขาพูดจบ ฝูงชนก็อลหม่านกันอีกรอบ สาวๆ
หลายคนถึงกับกรีดร้องด้วยความคลั่งไคล้
“หมอนี่รู้วิธีเอาชนะใจคน!” จางเซวียนส่ายหน้า
คุณชายจี้โม่คนนี้อาจจะยังเด็ก แต่ก็มีทักษะแบบ
นักการเมือง เขารู้ดีว่าจะดึงดูดความสนใจของผู้คนได้
อย่างไร
ทำแบบนี้ก็เหมือนกับในชีวิตเก่าของเขา ที่บรรดา
เซเล็บจัดการประมูลเพื่อการกุศลขึ้นมา ถ้าจะพูดกันตาม
ตรง มันก็เป็นแค่ลูกเล่นอย่างหนึ่งเท่านั้น
ถ้าเขาอยากจะสร้างหอจิตรกรรมและเพิ่มพูนความ
รักความเข้าใจในศิลปะการวาดภาพให้กับผู้คนจริงๆ ทำ
แบบเงียบๆก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเล่นเอิกเกริกกันขนาดนี้
อีกอย่าง นี่มันก็ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แถมยังเป็นกลาง
ค่ ำ กลางคื น อี ก หมอนี่ ถึ ง กั บ ยอมหนาวเพี ย งเพื่ อ จะ
โปรโมทตัวเอง
“เงียบเถอะ!”
คุณชายจี้โม่บอกให้บรรดาแฟนๆเงียบเสียง และพูด
ด้วยทีท่างามสง่า “ผมไม่อยากจะทำให้ทุกคนเสียเวลา ก็
จะขอเริ่มวาดภาพตอนนี้เลย หวังว่าทุกคนจะช่วยอยู่ใน
ความสงบขณะที่ผมกำลังทำงานนะ”
เมื่ อ ได้ ยิ น แบบนั้ น ฝู ง ชนที่ ก ำลั ง กรี๊ ด กร๊ า ดก็
เงียบกริบในทันที คุณชายยิ้มน้อยๆ เขาสะบัดแขนเสื้อ
และหยิบพู่กันขึ้นมา
หลังจากเปิดกระดาษฉูอันที่อยู่บนโต๊ะแล้ว จี้โม่ก็ใช้
มือซ้ายขยับโต๊ะให้เข้าที่ และด้วยพลังปราณของเขา
หมึกหยดหนึ่งก็กระเซ็นขึ้นมาจากแท่นหมึก และเกาะอยู่
ที่ปลายพู่กัน จากนั้น ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม
ของมือขวา พู่กันก็จรดลงบนกระดาษ
พู่กันของเขาวาดลวดลายบนกระดาษแผ่นนั้นอย่าง
นุ่มนวลอ่อนช้อย เกิดเป็นภาพสะดุดตา
ฟิ้ววววว!
พู่กันที่ร่ายรำอยู่บนกระดาษ ดูเหมือนปลาที่แหวก
ว่ายอย่างอิสระอยู่ในสระน้ำ เมื่อเวลาผ่านไป ภาพวาด
นั้นก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
มันคือภาพภูเขาและลำธาร
บนภูเขาสูงตระหง่านนั้น มีทั้งป่าทึบและโขดหินที่ดู
ลึกลับ ผู้ที่เฝ้ามองแทบจะได้ยินเสียงสายน้ำที่ไหลเซาะ
โขดหินเหล่านั้น ใบไม้ต่างเริงระบำไปกับสายลมอ่อนๆ ที่
โชยมาสัมผัสมัน
“นี่เป็นภาพวาดขั้น 2!”
มองปราดเดียว จางเซวียนก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ
ด้วยอาการยอมรับ
ศิลปะการวาดภาพเทียบฟ้าที่จางเซวียนได้ประมวล
ขึ้นมาจากหนังสือที่บ้านของปรมาจารย์ลู่เฉินทำให้เขามี
ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องการวาดภาพ ต่อให้
ไม่มีหอสมุดเทียบฟ้า เขาก็ยังสามารถประเมินภาพนี้ได้
ด้วยมาตรฐานเดียวกัน
ภาพลำธารและภู เ ขานี้ มี ร ายละเอี ย ดที่ ท ำให้ ผู้
พบเห็นรู้สึกเหมือนกับว่ามีภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
จริงๆ มันให้สัมผัสพิเศษที่สร้างความแปลกประหลาด
แต่ทำให้ผู้พบเห็นเกิดสุนทรียภาพอย่างล้ำลึก ซึ่งก็เป็น
เครื่องพิสูจน์ว่ามันอยู่ในขั้นผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณ
แม้ว่าเนื้อหาของมันจะโดดเด่น แต่ทั้งภูเขาและ
ลำธารยังขาดแนวคิดทางศิลปะ และการเข้าถึงจิตใจของ
ผู้คน พูดในอีกแง่หนึ่งก็คือมันยังไปไม่ถึงขั้นการถ่ายทอด
เจตนารมณ์
“น่าเสียดาย ถ้าเขาไม่มัวแต่วุ่นวายกับการโอ้อวด
ความสามารถ และหันไปฝึกฝนการวาดภาพอย่างสุขุม
เยือกเย็นและค่อยเป็นค่อยไปแทน ภาพวาดของเขาจะ
ต้องเข้าถึงระดับการถ่ายทอดเจตนารมณ์แน่!” จางเซวี
ยนถอนหายใจ
แม้ว่าคุณชายจะเป็นคนขี้อวด แต่พื้นฐานด้านการ
วาดภาพของเขาก็ถือว่าไม่ธรรมดา ถ้าจะใช้เหตุผลพูด
กันก็คือ เมื่อไรก็ตามที่เขาสามารถวาดภาพด้วยจิตใจที่
สงบสุขุมได้ การวาดภาพขั้น 3 ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
เพราะท่วงท่าที่มุ่งแสดงความอ่อนช้อยนุ่มนวลและ
โอ้อวดเกินไปทำให้เขาละเลยหัวใจของการวาดภาพ ดัง
นั้น ภาพนี้จึงไปได้แค่ขั้นผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณขั้น
สูงสุด ห่างจากขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์แค่ก้าวเดียว
ถึงจางเซวียนจะรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าเสียดาย แต่เขาก็
ไม่ได้พูดออกมา
เขามาที่ นี่ เ พื่ อ ดู ว่ า การทดสอบเป็ น ปรมาจารย์
จิตรกรทำกันอย่างไรเท่านั้น และไม่ได้อยากเข้าไปข้อง
แวะกับคุณชายคนนี้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน
อีกอย่าง เขาก็เพิ่งถูกฝูงชนจิกเหวี่ยงไปเพียงเพราะ
แสดงความสงสัยในการกระทำของจี้โม่ ดังนั้นจึงไม่อยาก
จะยุ่งเกี่ยวกับแม่ผู้หญิงพวกนั้นอีก
ไม่ช้า ภาพวาดนั้นก็เสร็จสมบูรณ์
คุณชายจี้โม่โยนพู่กันลงไปในที่เก็บพู่กัน และแขวน
ภาพนั้นไว้บนผนัง
“นี่เป็นภาพวาดในระดับผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณ
ขั้นสูงสุด มีชื่อว่า ‘ลมโชยภูผาและสายธาร’ การประมูล
จะเริ่มต้นตอนนี้เลย โดยราคาเริ่มต้นคือ 1 ล้านเหรียญ
ทอง และการเพิ่มราคาทุกครั้งจะต้องมีมูลค่าหนึ่งแสน
เหรียญทองเป็นอย่างน้อย”
แล้วคุณชายก็ส่งยิ้มละลายใจพร้อมกับโบกมือให้
แฟนๆ ซึ่งก็ทำคะแนนได้อีกโข “ผู้ที่ประมูลภาพวาดนี้ได้
จะได้ร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นกับผมโดยไม่เสียค่าใช้
จ่ายด้วย!”
“กินข้าวเย็นกับคุณชาย? ภาพนี้เป็นของฉัน!”
“อย่ามาแย่งฉันนะ ฉันให้ 1 ล้าน 1 แสนเหรียญ!”
“เธอจะซื้อภาพวาดของคุณชายด้วยราคาแค่ 1
ล้าน 1 แสนเหรียญนี่นะเหรอ? เลิกตลกได้แล้ว! ล้านสาม
แสน!”
“ฉันให้สองล้าน!”
....
เมื่อได้ยินบริการเสริมที่มาพร้อมกับภาพวาด สาวๆ
ก็ถึงกับตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ต่างยื้อแย่งแข่งขันกัน
จนราคาพุ่งพรวด
“สองล้านสี่แสน?”
เห็นราคาพุ่งไปแตะ 2 ล้านในชั่วพริบตา จางเซวี
ยนถึงกับงง
เขาขายภาพวาดขั้น 5 ที่วาดเองกับมือให้ลู่เฉิน
หวงหวี่ และคนอื่นๆในราคาแค่ภาพละ 2 ล้าน แต่ภาพ
วาดขั้น 2 หน้าตาพื้นๆนี่มีราคามากกว่านั้นอีก...
แบบนี้ก็ได้เหรอ!
“แล้ว...ถ้าเป็นภาพวาดขั้น 5 การรังสรรค์จิต
วิญญาณล่ะ ราคาเท่าไหร่?”
ถึ ง จะเซ็ ง เป็ ด แต่ จ างเซวี ย นก็ อ ดถามพนั ก งาน
ต้อนรับที่ยืนข้างเขาไม่ได้
“ภาพวาดขั้น 5? นั่นคงเป็นสมบัติล้ำค่าที่บรมครู
จิตรกรระดับ 2 ดาวทิ้งไว้ให้ เพราะใช่ว่าจิตรกรคนไหน
จะวาดภาพขั้น 5 ออกมาเมื่อไรก็ได้ที่เขาต้องการ มัน
แขวนไว้กับเงื่อนไขและโชคชะตา...ภาพวาดขั้นนั้นจะ
เป็นสมบัติล้ำค่าของสมาคมจิตรกรของเรา และพูดได้
อย่างเดียวว่า...ประเมินค่ามิได้!” พนักงานต้อนรับในเสื้อ
คลุมสีเขียวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถาม
“ประเมินค่ามิได้?” จางเซวียนถึงกับทรุด
“ใช่! ถ้าจะต้องเสนอราคาล่ะก็ ราคาเริ่มต้นจะต้อง
ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านเหรียญทอง ส่วนจะพุ่งสูงขึ้นไปแค่ไหน
ผมก็ตอบไม่ได้ แต่เมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา มีการจัดการ
ประมูลภาพวาดขั้น 5 ขึ้นที่นี่ และราคาเคาะก็คือ 34
ล้านเหรียญทอง” พนักงานต้อนรับตอบ
จางเซวียนหน้าตาบูดเบี้ยวและอยากจะปล่อยโฮ
เต็มที
34 ล้านสำหรับภาพวาดเพียงภาพเดียว แต่เขาขาย
ถึง 4 ภาพไปในราคาแค่ภาพละ 2 ล้าน...ทำไมโลกถึง
โหดร้ายกับเขาขนาดนี้?
“สมาคมจิตรกรเพิ่งก่อตั้งขึ้นในเมืองหลวงได้ไม่ถึง
30 ปี และเมื่อตั้งขึ้นมาแล้ว ราคาของภาพวาดจึงพุ่งสูง
ขึ้น ถ้าเป็นเมื่อ 30 ปีก่อน ตอนที่ยังไม่มีใครให้คุณค่ากับ
ภาพวาดมากนั ก ราคาภาพวาดขั้ น 5 ก็ น่ า จะตก
ประมาณ 1 หรือ 2 ล้าน” พนักงานต้อนรับพูด “เพราะ
ถ้าราคาสูงกว่านั้น ก็ไม่มีใครยอมจ่าย!”
“1 หรือ 2 ล้าน เมื่อ 30 ปีที่แล้ว?”
จางเซวียนถามย้ำ
“ใช่แล้ว!” พนักงานต้อนรับพยักหน้า
หลังจากได้ยินคำยืนยันของอีกฝ่าย จางเซวียนก็
รู้สึกดีขึ้น ความเจ็บปวดหัวใจค่อยบรรเทาลง
อาณาจักรเทียนเซวียนนั้นอยู่ไกลปืนเที่ยงและไม่มี
สมาคมจิตรกร จึงดูเหมือนว่าข้อมูลที่หวงหวี่รายงานเขา
น่าจะเป็นราคาเมื่อ 30 ปีก่อน...และ 2 ล้านก็ถือว่าเป็น
เงินมากโขสำหรับราคาภาพวาดขั้น 5 ในสมัยนั้น
“คุณชายอยากซื้อภาพวาดขั้น 5 หรือ?” พนักงาน
ต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวมองหน้าเขา “มีแต่ประธาน
สมาคมของเราเท่านั้นที่สามารถวาดภาพขั้นนั้นได้ แต่
เขาก็ออกเดินทางแสวงหาแรงบันดาลใจได้กว่าครึ่งเดือน
แล้ว และยังไม่กลับมา...”
“ผมก็ถามไปอย่างนั้นเอง...”
จางเซวียนข่มความรำคาญใจไว้และส่ายหน้า
“แล้ว...”
พนักงานต้อนรับยังจ้องหน้าจางเซวียนอยู่ “แล้ว
ทำไมคุณชายถึงไม่ซื้อภาพ ‘ลมโชยภูผาและสายธาร’
ของคุณชายจี้โม่ล่ะ มันเป็นถึงภาพวาดขั้น 2 แถมยังเป็น
ผลงานของคุณชายจี้โม่ด้วย ต่อไปมูลค่าของมันต้องพุ่ง
พรวดแน่ๆ!”
“ลืมได้เลย!” จางเซวียนส่ายหน้า “ผมไม่ได้มาที่นี่
เพื่อซื้อภาพวาด...อีกอย่าง มันก็เป็นแค่ภาพวาดขั้น 2
ผมไม่สนใจหรอก!”
“แค่ภาพวาดขั้น 2? โอหังนัก!”
พนักงานต้อนรับยังไม่ทันได้ตอบ ก็มีเสียงคำรามดัง
ขึ้น เมื่อจางเซวียนเงยหน้า ก็เห็นคุณชายจี้โม่กำลังจ้อง
หน้าเขาอย่างเย็นชา
“เฮ้ย?”
ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเขาพูด เพราะก็อุตส่าห์พูด
เบาๆแล้ว จางเซวียนจึงตอบอย่างขัดเขิน “ขออภัยด้วย
ผมก็พูดไปอย่างนั้นเอง ได้โปรดอย่าขุ่นเคืองกับคำพูด
ของผมเลย!”
ภาพวาดทุกภาพล้วนถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยความ
เหนื่อยยาก การพูดจาแบบนั้นต่อหน้าจิตรกรย่อมเป็น
เรื่องไม่เหมาะสม
“ฮะ คุณคิดว่าแค่ขอโทษแล้วก็หายกันอย่างนั้น
หรือ?”
คุณชายจี้โม่สะบัดแขนเสื้อและเลิกคิ้ว “ไอ้การ
ขัดจังหวะการประมูลและดูถูกภาพวาดของผมนี่น่ะ คุณ
กำลังดูถูกอาชีพจิตรกรและตัวจิตรกรทุกคนนะ!”
“แล้ว...คุณจะให้ผมทำอย่างไร?”
จางเซวียนก็แค่พูดเรื่อยเปื่อย และได้ขอโทษกับคำ
พูดที่ไม่เหมาะสมของเขาแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมจบ ถึง
กับบอกว่าเขาดูถูกทั้งอาชีพจิตรกรและตัวของฝ่ายนั้น
จางเซวียนก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ง่ายนิดเดียว ซื้อภาพวาดของผมในราคา 5 ล้าน
เหรียญทอง!”
คุณชายเอาสองมือไพล่หลังและมองหน้าจางเซวีย
นอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่เก็บเงินนั้นไว้แม้แต่
แดงเดียว จะบริจาคทั้งหมดให้กับการสร้างหอจิตรกรรม
เพื่อเป็นการชดเชยให้กับความผิดพลาดของคุณ!”
“5 ล้านเหรียญทอง?”
จางเซวียนผงะ
เขาก็แค่แวะมาดูและออกความเห็นไปอย่างนั้น แต่
อีกฝ่ายกลับบีบบังคับให้เขาทำข้อตกลง จะบ้าหรือเปล่า!
มีผู้คนมากมายก่ายกองที่พร้อมจะพลีกายถวายเป็น
เครื่องบูชายัญให้คุณ ทำไมไม่บอกให้พวกนั้นซื้อเล่า...
“ทำไม? คุณไม่เต็มใจจะซื้อหรือ?”
คุณชายเย้ยหยันอย่างเลือดเย็น เขาโบกมืออย่างไม่
ยี่หระและพูดว่า “คุณจะปฏิเสธก็ได้ แต่ต้องขอโทษผม
เดี๋ยวนี้ และสาบานว่าจะไม่เหยียบย่างเข้ามาที่สมาคม
จิตรกรอีก สมาคมจิตรกรของเราไม่ต้อนรับคนอย่าง
คุณ!”
“ไม่ให้เหยียบย่างเข้ามาในสมาคมอีก?” จางเซวียน
ถึงกับใบ้กิน
ความอ่อนโยนไม่อาจนำมาซึ่งความอ่อนโยนเสมอ
ไป คนบางคนก็พร้อมจะเอาเปรียบคุณ
มันเป็นแค่การออกความเห็นแบบเรื่อยเปื่อย และ
เขาก็ขอโทษแล้ว มันเรื่องอะไรที่ไอ้หมอนี่ถึงไม่ยอมจบ
เสียที
“ผมขอโทษก็ได้ และไอ้การไม่ให้เข้ามาเหยียบ
สมาคมจิตรกรอีกก็ไม่ใช่ปัญหา ให้ซื้อภาพของคุณใน
ราคา 5 ล้าน ก็ได้อีกนั่นแหละ แต่ว่า...ภาพของคุณน่ะ
น่าจะคู่ควรกับราคานั้นให้ได้เสียก่อน!”
จางเซวียนส่ายหน้า “คุณคิดว่าไอ้ของเล่นพรรค์นั้น
ที่แม้แต่ผู้ช่วยจิตรกรก็วาดได้น่ะ มันคู่ควรกับราคาขนาด
นั้นแล้วหรือ?”
(footnote: กระดาษฉูอัน -> กระดาษคุณภาพสูง
ชนิดหนึ่ง)
ตอนที่ 289 ใช้อสูรวาดภาพ

หลังจากที่จางเซวียนเกิดเรื่องกับสาวๆแถวนั้น ฝูง
ชนก็พากันขยับออกห่าง ทำให้เขากับพนักงานต้อนรับ
กลายเป็นจุดเด่นอย่างช่วยไม่ได้
ขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการประมูล ทั้งคู่กลับ
คุยกันเรื่องอื่นอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ซึ่งเมื่อเห็นแบบนั้น
คุณชายจี้โม่ก็รู้สึกขัดใจและเหมือนกับถูกลบหลู่ เขาจึง
ตั้งใจฟังบทสนทนาของสองคนนั้น และได้รู้ว่าจางเซวีย
นกำลังติเตียนงานของเขา แล้วจะทนอยู่ได้อย่างไร? ดัง
นั้นเขาจึงตวาดขึ้นมา
ทั้งคู่ช่างท้าทายเกียรติยศและอำนาจของเขาเสีย
จริง
เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะรีบขอโทษขอโพยทันทีที่ถูก
ตั้งคำถามแบบนั้น แต่กลับตรงกันข้าม หมอนั่นยังกล้า
พูดถ้อยคำแบบนั้นออกมา
ของเล่นที่ผู้ช่วยจิตรกรคนไหนก็วาดได้...
เขาหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห
“คุณพูดว่าอะไรนะ?”
เขากำหมัดแน่นแล้วปล่อยพลังออกมาอย่างรุนแรง
ทำให้อากาศบริเวณนั้นเกิดเสียงหวีดหวิว เขาเป็นนักรบ
ขั้นพี่เชวี่ย!
การสำเร็จวรยุทธขั้นพี่เชวี่ยตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20
ปี ก็หมายความว่าคุณชายจี้โม่คนนี้มีความปราดเปรื่อง
ในการฝึกวรยุทธไม่น้อยไปกว่าความหลงใหลในการวาด
ภาพ
พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวนึกไม่ถึงว่าจาง
เซวียนจะพูดแบบนั้น เขาถึงกับหน้าซีด
เพราะนอกจากตระกูลจี้จะเป็นหนึ่งในสามตระกูล
ใหญ่ของเมืองนี้ คุณชายจี้ยังเป็นปรมาจารย์จิตรกรระดับ
1 ดาวที่มีความสามารถสุดแสนจะน่าทึ่ง ไปทำให้เขา
โมโหแบบนั้น...ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ?
การทำให้ฝ่ายนั้นโมโหแล้วต้องมีเรื่องกันก็ยังไม่ใช่
ปัญหาใหญ่ ที่เป็นเรื่องก็คือจางเซวียนจะไม่อาจเหยียบ
ย่างเข้ามาที่สมาคมจิตรกรได้อีก ซึ่งก็หมายความว่า เขา
จะไม่สามารถซื้อภาพวาดภาพไหนได้เลย ไม่ว่าจะเสนอ
จำนวนเงินสูงแค่ไหนก็ตาม
“คุณชาย ใจเย็นเถอะ จะดีที่สุดถ้า...คุณยอม
ขอโทษและเลิกแล้วต่อกันเสีย...”
เขากระตุกชายเสื้อของชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆโดยไม่รู้
ตัวและส่งโทรจิตไปหาฝ่ายนั้น
จากนั้น ชายหนุ่มที่ยืนข้างเขาก็พยักหน้าและพูดว่า
“ได้ มันเป็นความผิดของผมเองที่พูดว่าแม้แต่ผู้ช่วย
จิตรกรก็วาดภาพแบบนั้นได้!”
“ค่อยยังชั่ว...”
ได้ยินจางเซวียนยอมรับผิด พนักงานต้อนรับถอน
หายใจอย่างโล่งอก แต่เมื่อได้ยินอีกครึ่งประโยคที่เหลือก็
ถึงกับตาเหลือกและแทบลมจับ
“...เพราะนั่ น เป็ น การดู ถู ก ผู้ ช่ ว ยจิ ต รกร ด้ ว ย
มาตรฐานของภาพนี้น่ะ แม้แต่อสูรสั่วๆก็ยังวาดได้ดีกว่า
นั้นเลย คุณบอกว่า 5 ล้านเหรียญหรือ? 5 เหรียญผมก็ยัง
ไม่ซื้อ!” จางเซวียนพูด
เขาไม่ได้คิดจะสร้างปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
ใครหน้าไหนจะมาหาเรื่องเขาได้
คิดจะเอาเปรียบผมหรือ? ตลกละ!
ผมไม่คิดจะเอาเรื่องคุณก็ดีเท่าไหร่แล้ว
ตอนที่อีกฝ่ายกำลังวาดอยู่ จางเซวียนไม่ได้ใช้หอ
สมุ ด เที ย บฟ้ า แค่ ส ายตาของเขาเองก็ ม องเห็ น ข้ อ
บกพร่อง 7-8 ข้อแล้ว ภาพวาดพื้นๆแบบนี้ ต่อให้อีกฝ่าย
ให้เขาฟรีเขาก็ยังไม่อยากได้ จะให้ซื้อหรือ...คุณต้องล้อ
ผมเล่นแน่ๆ!
อสูร? 5 เหรียญ?
จางเซวียนพูดคำพวกนั้นออกมาหน้าตาเฉย แต่ฝูง
ชนที่ได้ยินถึงกับลิ้นพันกัน พวกเขาจ้องจางเซวียนรา
วกับเห็นสัตว์ประหลาด
ดูถูกภาพเขียนถึงถิ่นของสมาคมจิตรกร หมอนี่กิน
ดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน?
“คุณ...”
คุณชายจี้โม่โมโหจนแทบกระอักเลือด
อสูรสั่วๆก็ยังทำได้ดีกว่าเขา...ต่อให้ 5 เหรียญก็ไม่
ซื้อ...
หมอนั่นสงสัยความสามารถของเขาชัดๆ!
“เอาล่ะ เจ้าตัวตลกนี่ไม่มีอะไรให้ดูเท่าไหร่ ไปชม
ภาพวาดอื่นกันเถอะ!”
จางเซวียนไม่แยแสจี้โม่ที่กำลังโมโห เขาหันหลัง
กลับหน้าตาเฉย และเตรียมตัวเดินจากไป
เพราะจางเซวียนเพิ่งมาถึงอาณาจักรเทียนหวู่ และ
ยังไม่มีตำแหน่งแห่งหนอะไรในเมืองหลวงแห่งนี้เลย เขา
เป็นแค่คนที่ตั้งใจมาเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์
เท่านั้น จึงควรจะอยู่ในที่ทางของตัวเอง
ถ้าอีกฝ่ายบังอาจพูดกับเขาแบบนี้หลังจากที่เขาได้
เป็นปรมาจารย์แล้ว เขาคงจัดการหมอนั่นถึงตายทันที
แทนที่จะมัวเสียเวลาอยู่!
มันเป็นอำนาจและพลังที่มีแต่ปรมาจารย์เท่านั้นจะ
ทำได้
ปรมาจารย์จะต้องไม่ถูกลบหลู่ ใครที่บังอาจทำแบบ
นั้นจะต้องตาย!
หมอนั่นเป็นแค่จิตรกรขี้โม้ แต่ก็กล้าบังคับให้เขาซื้อ
ภาพเขียน แค่นั้นจางเซวียนก็อ่อนข้อให้มากแล้ว เขาแค่
วิจารณ์ภาพนั้นไม่กี่คำเอง
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!” เห็นอีกฝ่ายหยามเกียรติเขา
แล้วสะบัดก้นหนี คุณชายจี้โม่โมโหเดือดและแทบจะ
ระเบิดออกมา
แต่ถึงจะโมโหแค่ไหน เขาก็ยังไม่สูญเสียความมี
เหตุผลของตัวเอง จี้โม่สูดหายใจลึก เขาข่มความโมโหไว้
และจ้องจางเซวียนอย่างเย็นชา
“พูดจาเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น คุณคงมั่นใจใน
ความรู้เรื่องการวาดภาพของตัวเองล่ะสิ กล้าประชันกับ
ผมไหม?”
“ประชัน?”
“ใช่! เราเริ่มวาดพร้อมๆกัน และหลังจากที่วาด
เสร็จก็หาใครสักคนมาประเมินภาพของเรา ใครที่วาด
ภาพได้เหนือกว่าและภาพอยู่ในขั้นสูงกว่าก็ชนะไป คน
แพ้จะต้องคุกเข่าขอโทษ และสาบานว่าจะไม่เหยียบย่าง
เข้ามาที่สมาคมจิตรกรอีก...”
คุณชายจี้โม่ส่งสายตาโหดเหี้ยม “ว่าไงล่ะ กล้า
รับคำท้าไหม?”
“เริ่มวาดพร้อมๆกัน? หาใครสักคนมาประเมินภาพ
ของเรา? คุณแน่ใจนะ?”
เห็นอีกฝ่ายมั่นใจขนาดนั้น จางเซวียนส่ายหน้า
ที่ต้องประชันกันนั้นเขาไม่ได้เดือดร้อนเลย เพราะ
วั น นี้ จ างเซวี ย นก็ ไ ม่ มี อ ะไรที่ ต้ อ งทำนอกจากเดิ น ชม
สมาคมจิตรกร และเท่าที่ดู หมอนี่คงไม่ยอมจบง่ายๆถ้า
เขาปฏิเสธคำท้า
“ทำไม? ไม่กล้าประชันกับผมหรือ?” คุณชายจี้โม่
เยาะเย้ย
“ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แค่...” จางเซวียนเอามือไพล่หลัง
และมองเขาด้วยสีหน้าจนใจ “ผมแค่กลัวว่า...คุณจะต้อง
เสียน้ำตา!”
ฮะ!
ทุกคนทรุด ทั้งห้องเงียบกริบ
จากนั้นฝูงชนก็ระเบิดความอลหม่าน
“หมอนั่นเพ้อเจ้ออะไรออกมา?”
“คุณชายจี้โม่เป็นปรมาจารย์จิตรกรนะ คนไม่มี
หั ว นอนปลายเท้ า อย่ า งคุ ณ กล้ า พู ด จาโอหั ง แบบนั้ น ได้
อย่างไร!”
“ประชั น กั บ เขาเลย ให้ รู้ เ สี ย บ้ า งว่ า ปรมาจารย์
จิตรกรแน่ขนาดไหน!”
.....
สาวๆพากั น เท้ า สะเอวและจ้ อ งหน้ า จางเซวี ย นอ
ย่างโกรธแค้น ทุกคนอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
พวกเราเห็นคนโอหังมาก็มาก แต่ไม่เคยเจอใคร
โอหังและปากเสียเท่าหมอนี่ กล้าพูดได้อย่างไรว่าคุณชาย
จี้โม่จะเสียน้ำตา?
รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?
คุณชายเป็นคนแรกของอาณาจักรเทียนหวู่ที่สอบ
ผ่านและได้เป็นปรมาจารย์จิตรกรตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ
มีความสามารถในการวาดภาพอย่างไร้เทียมทาน...
กลัวเขาจะเสียน้ำตา?
นี่คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?
ประธานสมาคมจิตรกรอย่างนั้นหรือ?
“คุณ...”
คุณชายจี้โม่ซวนเซ แทบกระอักเลือดออกมา
หมอนั่นปากกล้าเกินไปแล้ว!
เขารู้ตัวว่าถ้าขืนทะเลาะไป คงต้องโมโหจนขาดใจ
ตายแน่ จี้โม่จึงโบกมือและพูดว่า “อย่ามัวเสียเวลาเลย
ให้ภาพมันบอกดีกว่า!”
จากนั้น ราวกับกลัวว่าจางเซวียนจะหนีไป เขารีบ
หันกลับไปสั่งการกับพนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ทันที
พนักงานคนนั้นเดินออกไป และไม่นานก็กลับมา
พร้อมกับผู้อาวุโสอีก 2 คน
“นี่คือรองประธานเฉิงกับรองประธานอู๋ ทั้งคู่เป็น
บรมครูจิตรกรระดับ 2 ดาว การตัดสินคงไม่มีปัญหาอะไร
แน่ ใช่ไหม?”
ได้ยินว่าทั้งคู่เป็นถึงรองประธาน จางเซวียนก็หันมา
สนใจทันที
ทั้งสองคนน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับปรมาจารย์
ลู่เฉิน และมีเคราขาวราวหิมะ ซึ่งคงจะหมายถึงเดือนปีที่
หมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพ ทั้งคู่ดูสุภาพเรียบร้อยและมี
บุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์
“ผมไม่มีปัญหา!”
จะเป็นใครมาตัดสินก็ไม่สำคัญสำหรับจางเซวียน
เลย เขาจึงพยักหน้าเพื่อแสดงการยอมรับ
“คุ ณ สองคนตั้ ง ใจจะประชั น กั น ใช่ ไ หม?” รอง
ประธานเฉิงก้าวออกมา เขาตั้งคำถามและขมวดคิ้ว
พนักงานต้อนรับได้อธิบายข้อพิพาทระหว่างทั้งคู่ให้
พวกเขาฟังแล้วระหว่างทางที่เดินมา จู่ๆชายหนุ่มที่ไม่มี
หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งก็โผล่มาและพูดจาโอหังใส่จี้โม่
จึงเกิดเป็นข้อพิพาทระหว่างทั้งคู่...รองประธานทั้งสองให้
อยากรู้นักว่า เจ้าหนุ่มคนนั้นจะมั่นอกมั่นใจได้สักแค่ไหน
“ใช่!” คุณชายจี้โม่คำนับ
“ขอผมทราบได้ ไ หมว่ า คุ ณ เรี ย นการวาดภาพกั บ
ใคร?”
รองประธานเฉิงหันไปทางจางเซวียนและตั้งคำถาม
“ผมคุ้นเคยกับปรมาจารย์และบรมครูจิตรกรของ
ทั้ง 13 อาณาจักรโดยรอบ ควจะต้องรู้จักอาจารย์ของ
คุณแน่!”
“ผมก็แค่สนใจการวาดภาพเท่านั้น ไม่มีอาจารย์
หรอก!” จางเซวียนตอบ
เพราะความเข้าใจเรื่องการวาดภาพของเขามาจาก
หนังสือ จึงเป็นเรื่องจริงที่ว่าเขาไม่มีอาจารย์
“สนใจ? ไม่มีอาจารย์?”
รองประธานเฉิ ง กั บ รองประธานอู๋ ส บตากั น อย่ า ง
งุนงง
แม้ว่าการวาดภาพจะรั้งอันดับท้ายสุดในเก้าสถานะ
ระดับบน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ทักษะที่แท้จริงได้
โดยปราศจากการชี้แนะจากอาจารย์
อีกฝ่ายกล้าประชันกับปรมาจารย์จิตรกรระดับ 1
ดาว แค่เพราะตัวเองมีความสนใจในการวาดภาพ
เขารู้หรือเปล่าว่าปรมาจารย์จิตรกรมีความเก่งกาจ
แค่ไหน หรือความโอหังมันบดบังความมีเหตุผลของเขา
เสียหมด?
“การวาดภาพเป็นศิลปะที่งดงาม การประชันขัน
แข่งจะเป็นการทำลายความงดงามนั้นให้เสียไป ถ้าพวก
คุ ณ มี ค วามขั ด แย้ ง กั น ก็ ค วรจะปรั บ ความเข้ า ใจกั น
เป็นการส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องใช้การประชันเข้ามาแก้
ปัญหา!”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง รองประธานอู๋ก็พยายาม
หว่านล้อมทั้งคู่
การวาดภาพเป็นกิจกรรมที่งดงามอ่อนโยน หากนำ
มันมาใช้เพื่อการแข่งขัน ก็ย่อมไม่เหมาะสมกับผู้เป็น
จิตรกร
“ผมขอวิงวอนบรมครูทั้งสองว่าอย่าได้หว่านล้อม
พวกเราอีกเลย นักวิชาการจะรู้ไส้รู้พุงกันก็ด้วยงานเขียน
ซึ่งผมเชื่อว่าพวกเราก็ต้องเชิดชูเกียรติยศของเราในฐานะ
จิตรกรเหมือนกัน ชายผู้นี้กล้าดูถูกการวาดภาพ ถ้าวันนี้
ไม่ได้ประชันกับเขา ผมนอนไม่หลับแน่!”
จางเซวียนยังไม่ทันได้พูดอะไร คุณชายจี้โม่ก็แย่ง
พูดเสียหมด
หมอนี่บังอาจพูดว่า ต่อให้ผู้ช่วยจิตรกรและอสูรก็
ยังทำได้ดีกว่าเขา ถ้าวันนี้ไม่ได้สั่งสอนบทเรียนกันเสีย
หน่อยล่ะก็ ชื่อเสียงของเขาคงตกต่ำแน่ ต่อไปจะมีหน้าไป
พบใครได้
“เอ่อ...” เห็นจี้โม่ยืนกราน รองประธานทั้งสองจึง
หันไปทางจางเซวียน และเห็นเขาพยักหน้าแบบสบายๆ
“ถ้าเขาอยากประชัน ก็ตามนั้น!”
“งั้นเริ่มเลย!”
เห็นทั้งสองฝ่ายเต็มใจเข้าร่วมการแข่งขัน และดูท่า
จะไม่มีทางหว่านล้อมให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดได้ รอง
ประธานทั้งสองคนจึงได้แต่เออออ “ในเมื่อคุณทั้งคู่ตัดสิน
ใจจะประชันกัน พวกเราก็จะตัดสินให้ หลักเกณฑ์นั้นง่าย
มาก เรามีเวลาให้ 2 ชั่วโมง และใครที่วาดภาพในขั้นสูง
กว่าได้ ก็จะเป็นผู้ชนะ ถ้าทั้งสองภาพอยู่ในขั้นเดียวกัน ผู้
ที่ใช้เวลาน้อยที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะ”
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดีกว่าหรือแย่กว่าในศิลปะ เพราะ
ทุกคนมีรสนิยมและความสนใจที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึง
ไม่มีทางตัดสินได้ว่างานศิลปะชิ้นไหน ‘เหนือกว่า’ หรือ
‘ด้อยกว่า’
แต่ในเมื่อภาพวาดมีขั้นที่แตกต่างกันไป พวกเขาก็
สามารถใช้ขั้นเป็นเครื่องมือประเมินทักษะการวาดภาพ
ได้อย่างเป็นรูปธรรม
“เริ่มได้!”
เมื่อมีกฎเกณฑ์แล้ว และทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีข้อขัด
ข้องใดๆ ผู้ช่วยจิตรกรสองสามคนจึงนำโต๊ะ 2 ตัว พร้อม
กับพู่กัน แท่นหมึก และกระดาษเข้ามา
“ไม่มีการกำหนดหัวข้อ พวกคุณวาดได้ตามใจ!”
รองประธานอู๋พูด เมื่อเห็นทั้งคู่เข้าประจำที่แล้ว
“ได้!”
คุณชายจี้โม่พยักหน้า
ในเมื่อไม่มีข้อกำหนด เขาก็ควรจะเลือกวาดสิ่งที่
ถนัดที่สุด
ภูเขาและลำธารที่เขาเพิ่งวาดไปนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขา
ถนัด ถ้าเขาได้วาดตามความถนัดล่ะก็ ภาพวาดของเขา
จะต้องไปได้ถึงขั้น 3
เขาเพิ่งได้เป็นจิตรกรระดับ 1 ดาว และกำลังมอง
หาโอกาสที่จะเพิ่มชื่อเสียงให้กับตัวเอง ก็พอดีกับที่หมอนี่
โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ สำนวนที่ว่า ‘ยื่นหมอนให้กับคน
อยากงีบ’ นั้นเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะเจาะ จาง
เซวียนปรากฏตัวได้ตรงเวลาจริงๆ!
ไม่อย่างนั้น จี้โม่ก็ไม่อาจจะสร้างกระแสได้
“เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีอะไรขัดข้อง พวกคุณเริ่มได้!”
เมื่อทั้งคู่ไม่ขัดข้องกับกฎเกณฑ์ รองประธานอู๋จึง
โบกมือเป็นสัญญาณให้ทั้งคู่เริ่มต้นวาด
“ได้เลย!”
คุณชายจี้โม่คำราม เขาคว้าพู่กันและจุ่มมันลงไปใน
หมึก จากนั้นก็เริ่มต้นวาดอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ เพื่อให้ชัยชนะของเขาลือลั่นขึ้นอีก เขาตั้งใจ
ใช้เทคนิคที่โดดเด่นบาดตา ซึ่งเรียกเสียงเชียร์จากฝูงชน
ได้อย่างท่วมท้น
“พวกเธอคิดว่าคุณชายจี้โม่จะชนะไหม?”
“แน่อยู่แล้ว! คุณชายน่ะเป็นจิตรกรที่เก่งกาจที่สุด
ในรุ่นเดียวกัน ขนาดประธานสมาคมยังพูดเลยว่า มี
ความเป็นไปได้สูงที่คุณชายจะเข้ารับตำแหน่งแทนที่เขา
ในอนาคต แล้วเธอคิดว่าคุณชายจะแพ้ไอ้บ้านนอกเซ่อ
ซ่านั่นหรือ?”
“จริงด้วย...”
“อะไรกัน? คุณชายจี้เริ่มต้นวาดแล้ว เจ้าเซ่อซ่านั่น
ยังยืนเฉยอยู่ คงไม่ใช่ว่าเก่งแต่ปากและวาดอะไรไม่เป็น
เลยนะ?”
“อาจจะใช่ก็ได้นะเธอ...ดูสิ ยืนนิ่งเสียขนาดนั้น...”
เมื่อละลานตาไปกับฝีแปรงอันอ่อนช้อยลื่นไหลของ
คุณชายจี้โม่แล้ว ทุกคนก็ซุบซิบกันอย่างตื่นเต้น และตอน
นั้นเองที่พวกเขาเพิ่งเห็นว่า ชายหนุ่มผู้เป็นคู่แข่ง กำลัง
ยืนนิ่งเฉย และมีสีหน้าแบบคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“มีอะไรหรือเปล่า? คุณมีปัญหาอะไรที่ไม่อยาก
อธิบายหรือ? พูดออกมาเถอะ”
เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพนั้น รองประธานอู๋ถาม
“อ๋อ คืออย่างนี้...”
จางเซวียนเกาหัวอย่างขัดเขิน “ผมกำลังคิดว่า ถ้า
ผมแค่วาดแบบธรรมดาๆ แล้วเอาชนะได้ ก็เท่ากับผม
กลั่นแกล้งเขา ในเมื่อผมพูดไปแล้วว่าต่อให้อสูรก็ยังวาด
ภาพได้ดีกว่าเขา ถ้าผมจะ...ที่นี่มีอสูรไหม? ผมขอยืมสัก
ตัว? หลังจากมันวาดภาพเสร็จแล้วผมจะส่งมันคืนพวก
คุณทันที!”
“ฮะ?”
“เขาคิดจะใช้อสูร...ประชันกับคุณชายจี้โม่?”
“บ้าไปแล้ว นี่ฉันหูฝาดหรือเปล่า!”
ทุกคนถึงกับเซ่อไป ต่างพากันจ้องมองจางเซวีย
นราวกับเขาเป็นคนบ้า
ถึงอสูรจะมีความเฉลียวฉลาด แต่ก็เทียบกับมนุษย์
ไม่ได้เลย ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่อสูรจะมีความสามารถ
ในการวาดภาพ
เอาอสู ร มาประชั น กั บ ปรมาจารย์ จิ ต รกรในการ
แข่งขันวาดภาพ...
จะเป็นไปได้อย่างไร!
คุณต้องล้อเล่นแน่!
ถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่ได้เห็นด้วยสองตาและ
ไม่ได้ยินกับหู คงคิดว่าหมอนี่เสียสติ
อันที่จริง ถึงจะเห็นเต็มสองตาและได้ยินเต็มสองหู
ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเขาปกติหรือเปล่า
ขณะที่ทุกคนกำลังช็อก คุณชายจี้โม่ก็ถึงกับตัวสั่น
เทิ้ม ภาพของอสูรเป็นหมื่นตัววนเวียนอยู่ในหัวของเขา
จนเขาแทบจะขว้างพู่กันใส่หน้าจางเซวียน
หาอสูรมาประชันกับเรา?
บ้าไปแล้ว นี่คุณหมายความว่าผมไม่คู่ควรพอจะ
เป็นคู่ต่อสู้ของคุณอย่างนั้นสิ?
เขาคิดว่าจะเอาคืนหมอนั่นทันทีที่ผลการประชัน
ออกมา นี่...การวาดภาพเพิ่งจะเริ่ม แต่การดูถูกจากหมอ
นั่นก็แผดเผาใจเสียแล้ว
ถ้าหมอนั่นเอาชนะได้ด้วยการใช้อสูรจริงๆ จะไม่
หมายความว่าเรานี่แย่กว่าอสูรหรือ?
หรือต่อให้เราชนะ ก็จะกลายเป็นว่าเราก็แค่ดีกว่า
อสูร...
โธ่เว้ย!
คุณชายจี้โม่รู้สึกถึงเลือดที่เอ่อขึ้นมาอยู่ในปาก เขา
แทบจะคลั่ง
“แค่ก แค่ก, ถึงอสูรจะมีความเฉลียวฉลาด แต่พวก
มันก็วาดภาพไม่ได้หรอก คุณ...แน่ใจหรือ?” รองประธาน
อู๋ก็ประหลาดใจกับคำขอของชายหนุ่ม เขาอดถามย้ำไม่
ได้
เขาเคยเห็นแต่ผู้คนร้องขอระยะเวลาที่ยาวนานกว่า
เดิ ม กระดาษและหมึ ก ที่ มี คุ ณ ภาพดี ก ว่ า เดิ ม ...ซึ่ ง ใน
บรรดาคำขอมากมายเหล่านั้น ไม่เคยมีใครขออสูร!
แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลก
“ใช่ ผมแน่ใจ!”
จางเซวียนพยักหน้าด้วยท่าทางเอาจริง
เขาวาดภาพขั้น 5 ได้อย่างง่ายดาย ถ้าเข้ารับการ
ทดสอบเป็นจิตรกรล่ะก็ ถึงจะไม่ได้ 3 ดาว ก็ต้องได้ 2
ดาวขั้นสูงสุดเป็นอย่างน้อย
ด้วยความสามารถขนาดนั้น ถ้าเขาไปแข่งกับชาย
หนุ่มผู้เพิ่งจะผ่านการทดสอบเป็นจิตรกรระดับ 1 ดาว ก็
จะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย
ต่อให้เขาชนะ ก็ไม่สมศักดิ์ศรีเลย!
แต่ถึงจางเซวียนจะยืนยันคำขอไปแล้ว อีกฝ่ายก็ยัง
ไม่ขยับเขยื้อน จางเซวียนจึงถามว่า “หรือว่า...ที่นี่ไม่มี
อสูร? หรือการหาอสูรสักตัวเป็นคำขอที่ยากเกินไป?”
อีกอย่าง ที่นี่คือสมาคมจิตรกร ไม่ใช่ดงอสูร หรือ
ว่าการหาอสูรสักตัวในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนหวู่
เป็นเรื่องยาก?
“ยาก...”
ทุกคนผงะ
นั่นไม่ใช่ประเด็นเลย!
ประเด็นคือ...อสูรจะวาดภาพได้อย่างไร?
“โอหังนัก!”
ขณะที่รองประธานอู๋จนปัญญา รองประธานเฉิงก็
หน้าตึงและสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว
เขาหมกมุ่นกับการวาดภาพมาหลายทศวรรษ และ
ตอนนี้ก็ซาบซึ้งถึงความยากของศิลปะนี้เป็นอย่างดี คุณ
คิดจะดูถูกปรมาจารย์จิตรกรคนหนึ่งด้วยการใช้อสูรหรือ?
นั่นเป็นความคิดที่โอหังเสียเหลือเกิน
ตอนแรก เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่ความขัดแย้งเล็ก
น้อยระหว่างเด็ก 2 คน แต่กลายเป็นว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ช่าง
จองหองนัก
“ทำไมไม่...เอ่อ...ให้ผมออกไปหาได้ไหม? ผมรู้จักที่
แถวๆนี้ที่มีอสูร...”
เมื่ อ รู้ สึ ก ได้ ถึ ง ความกระอั ก กระอ่ ว นไม่ จ บสิ้ น
พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ
พูดขึ้นมา
“ไปเอามาเลย!”
จางเซวียนพูด
“ได้!”
เขารีบออกไปทันที และไม่นานก็วิ่งกลับมาพร้อม
กับกอดอสูรไว้ตัวหนึ่ง
แทนที่จะเป็นอสูร ควรจะเรียกมันว่าสัตว์ที่ไม่ใช่
สัตว์เลี้ยงจะดีกว่า มันดูเหมือนกับหมาแมวที่อยู่ในบ้าน
และไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย หน้าตาของมันยัง
ดูงงงวยเด๋อด๋า เพราะไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกพาตัวมาที่นี่
ทันทีที่ได้รับอสูร จางเซวียนก็รีบมองดูมัน ถึงจะไม่
พอใจเท่าไรนัก แต่การประชันก็เริ่มต้นไปนานแล้ว และ
ไม่มีเวลาที่เขาจะมาจู้จี้
“ได้เวลาทดลองความสามารถของกูรูยาพิษแล้ว!”
จางเซวียนกอดอสูรไว้และใช้ความคิด
การที่เขากล้าท้าคู่ต่อสู้แบบนั้น และถึงกับประกาศ
ว่าจะใช้อสูรวาดภาพ นั่นไม่ใช่เพราะเขาเย่อหยิ่งถือดี
อะไร แต่เป็นเพราะเขามีไม้ตายซ่อนไว้ต่างหาก
ถึงอสูรจะถูกฝึกให้เชื่องแล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่มัน
จะทำตามคำสั่งของเจ้านายทุกกระเบียดนิ้ว ถ้าอยากจะ
วาดภาพที่สูงกว่าขั้น 2 เขาก็ไม่ควรจะฝากความหวังไว้
กับสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม
เขาจะต้ อ งควบคุ ม กระบวนการวาดภาพให้ ไ ด้
ทั้งหมด
ในฐานะนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว ยังเป็นไปไม่ได้ที่
เขาจะควบคุมพฤติกรรมของอสูรได้ทั้งหมด แต่หลังจาก
การเดินทางไปเยือนห้องโถงแห่งยาพิษ สถานการณ์ก็
เปลี่ยนไป
หลั ง จากสิ บ วั น ที่ ไ ด้ ศึ ก ษาหาความรู้ อ ยู่ ที่ นั่ น ไม่
เพียงแต่จางเซวียนจะฝึกฝนกายพิษได้สำเร็จ แต่ความ
เชี่ยวชาญเรื่องยาพิษของเขาก็กระโดดขึ้นไปเทียบเท่ากูรู
ยาพิษระดับ 2 ดาว
ยิ่งกว่านั้น เขายังใช้ประโยชน์จากพลังปราณเทียบ
ฟ้าได้เพิ่มขึ้นอีกอย่าง คือสามารถใช้มันเป็นน้ำทิพย์ก็ได้
และแค่คิดแว่บเดียว ก็เปลี่ยนมันเป็นยาพิษที่รุนแรงถึง
ตายได้เหมือนกัน
พลังปราณเทียบฟ้ากลายเป็นเครื่องมือชั้นยอดที่
ทำให้เขาสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของอสูรได้ดังใจ
จางเซวียนยื่นมือออกไปและถ่ายทอดพลังปราณ
เข้าสู่ร่างของอสูรที่เขากอดไว้ จากนั้นก็กระจายพลัง
ปราณไปยังจุดชีพจรทั่วทั้งร่างของมันทันที
“เริ่มได้!”
เมื่อเตรียมการเรียบร้อย เขาก็จับอสูรลงไปกลิ้งใน
หมึก ก่อนจะโยนมันลงไปบนกระดาษฉูอันแผ่นใหญ่
“เขาจะใช้อสูรวาดจริงๆหรือ?”
“อยากเห็นนักว่าภาพจะออกมาเป็นแบบไหน?”
“ฉันเคยเห็นเจ้าตัวนี้มาก่อนแล้ว มันไม่ได้ฉลาดเลย
สักนิด มันจะวาดภาพชนิดไหนกัน?”
.....
เมื่อเห็นว่าจางเซวียนเอาจริง และเขาจุ่มอสูรลงไป
ในหมึกก่อนจะให้มันทำงานบนกระดาษฉูอัน ฝูงชนต่างก็
วิจารณ์กันเซ็งแซ่
ใช้อสูรวาดภาพ...
แล้วคิดจะเอาชนะปรมาจารย์จิตรกร?
น้องชาย นี่ฝันกลางวันอยู่หรือแค่ล้อเล่น?
“อวดดี!”
รองประธานเฉิงหน้าตึง
การวาดภาพเป็นอาชีพที่งดงามและน่ายกย่อง ไอ้
การจับอสูรจุ่มหมึกแล้วนำมาวาดภาพนี่ช่างเป็นการดูถูก
กันอย่างร้ายกาจ
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเฉดหัวเจ้าหนุ่มนี่ออกไปทันที
ที่การประชันสิ้นสุด
เขาไม่อาจยอมให้ศิลปะการวาดภาพถูกลบหลู่แบบ
นั้นได้
รองประธานเฉิงกำลังงุ่นง่านและจ้องจางเซวียนอ
ย่างไม่พอใจตอนที่ได้ยินเสียงของรองประธานอู๋แว่วเข้าหู
“ไม่ธรรมดานะ คุณดูสิ!”
“อะไรไม่ธรรมดา?” เขาหันไปมองหน้าเพื่อนเก่า
และเห็นฝ่ายนั้นจ้องมองภาพวาดของจางเซวียนอย่าง
งงงัน
รองประธานเฉิงขมวดคิ้วและหันไปมองเหมือนกัน
แค่แว่บเดียวเขาก็ถึงกับจังงัง
“มัน...เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
อสู ร ที่ อ ยู่ บ นกระดาษฉู อั น หั น รี หั น ขวางอยู่ ชั่ ว ครู่
ก่อนจะเริ่มเดินทอดน่องบนกระดาษแผ่นนั้น แต่ละย่าง
ก้าวของมันทิ้งรูปดอกพลัมเอาไว้
ดอกพลัมพวกนั้นไม่มีรูปแบบที่แน่นอน แต่มันร้อย
รั ด กั น และดู ร าวกั บ เกาะเกี่ ย วอยู่ บ นเถาที่ ไ ม่ มี รู ป ร่ า ง
ชัดเจน
อสูรที่ไม่ได้มีความเฉลียวฉลาดอะไรควรจะสะบัด
หมึ ก กระเด็ น ไปทั่ ว และวิ่ ง หนี ไ ปทั น ที ที่ เ ป็ น อิ ส ระไม่ ใ ช่
หรือ? ทำไมถึงสามารถเดินทอดน่องอยู่บนกระดาษโดย
ไม่มีการย้ำคิดย้ำทำเแม้แต่น้อย?
“มันเป็นเทคนิคการฝึกอสูรรูปแบบหนึ่ง!” เสียง
ของรองประธานอู๋แว่วเข้าหูอีก
“ถูกต้อง!”
ได้ยินคำพูดของเพื่อนเก่า รองประธานเฉิงก็เข้าใจ
นอกจากอสูรจะไม่วิ่งหนี มันยังเดินเป็นแถวเป็น
แนวบนแผ่นกระดาษด้วย แสดงให้เห็นว่ามันกำลังฟังคำ
สั่งของใครสักคน และการที่ทำให้อสูรเชื่อฟังคำสั่งได้
ทันทีขนาดนี้...จะต้องเป็นเทคนิคการฝึกอสูรขั้นสุดยอด!
หรือว่า...เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นนักฝึกอสูรด้วย?
“แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้เขามีความสามารถในการฝึก
อสูร แล้วอย่างไรล่ะ? ไม่ว่าฝีเท้าเหล่านั้นจะเนี้ยบแค่ไหน
มันก็ไม่ใช่การวาดภาพ และเท่าที่ดู ก็ไม่มีทางเข้าถึงขั้น
การพรรณนาสมจริงได้เสียด้วยซ้ำ ส่วนขั้นผืนผ้าใบแห่ง
จิตวิญญาณก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
รองประธานเฉิงประหลาดใจมาก แต่ก็ส่ายหน้า
แม้ ว่ า การพรรณนาสมจริ ง จะเป็ น แค่ ขั้ น แรกของ
การวาดภาพ แต่ผู้ช่วยจิตรกรและผู้หลงใหลการวาดภาพ
นับไม่ถ้วนก็ไม่อาจเข้าถึงมันได้แม้จะใช้เวลาหลายปี และ
บางครั้งต้องใช้เวลาถึงหลายทศวรรษกว่าจะทำได้สำเร็จ
ถึงเจ้าหนุ่มคนนี้จะควบคุมอสูรได้โดยใช้เทคนิคการ
ฝึกอสูร แล้วไงต่อ?
อสูรก็เป็นอสูรอยู่ดี ไม่มีทางที่มันจะทุ่มเทอารมณ์
หรือแนวคิดทางศิลปะใดๆให้กับการวาดภาพ ก็เหมือน
การเชิดหุ่นตัวหนึ่ง ถึงอย่างไรมันก็ใส่จิตวิญญาณเข้าไป
ในงานนั้นไม่ได้!
“คุณพูดถูก!” รองประธานอู๋พยักหน้า เขาก็อยากรู้
เหมือนกันว่าเจ้าหนุ่มนั่นกำลังคิดอะไร
ขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิดว่าจางเซวียนจะวาด
ภาพชนิดไหนออกมา จู่ๆเจ้าอสูรที่กำลังเดินย่ำบนกระ
ดาษฉูอันก็ร่วงลงมา และหมึกบนตัวมันก็ทำให้พื้นที่ส่วน
หนึ่งของกระดาษกลายเป็นสีดำ
“ดูเหมือนพวกเราจะคิดมากไป...”
ตอนแรก ดอกพลัมที่อสูรวาดขึ้นด้วยการย่ำต๊อก
ของมันนั้นดูดีมาก ดูเป็นภาพวาดที่เข้าทีชิ้นหนึ่งทีเดียว
ถึงรองประธานเฉิงจะไม่คิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะใช้อสูรทำ
อะไรได้ แต่ภาพนั้นก็งดงามแบบเห็นๆ แต่ว่า...การที่อสูร
ร่วงลงมาทำให้ทั้งภาพเสียหายหมด
พูดอีกทีก็คือ...ภาพดอกพลัมกลายเป็นขยะไปแล้ว
“จริงๆนะ อสูรจะวาดภาพได้อย่างไรกัน?” รอง
ประธานเฉิงพึมพำ
“คุณพูดถูก!” รองประธานอู๋เห็นด้วย
ทั้งคู่ส่ายหน้า ตัดสินใจจะไม่มองจางเซวียนอีก และ
หันมาสนใจคุณชายจี้โม่แทน
ก็สมราคาอัจฉริยะ ถึงเขาจะเพิ่งเดือดดาลอยู่เมื่อครู่
แต่ก็ไม่ปล่อยให้อารมณ์เหล่านั้นมาขัดขวางการวาดภาพ
ด้วยฝีแปรงอันว่องไว ภาพนั้นก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
มันคือดอกพีโอนี่ที่ยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลาง
มวลหมู่ดอกไม้ มีลักษณะอันทรงพลังในแบบที่ทำให้
ดอกไม้ชนิดอื่นๆดูจืดไปเมื่อเปรียบเทียบกับมัน ดูราวกับ
ผู้กุมอำนาจ
“ราชาของดอกไม้คือดอกพีโอนี่ และภาพวาดของ
เขาก็ ไ ด้ ดึ ง เอาธรรมชาติ ข องความสุ ภ าพอ่ อ นโยนและ
ความเชื่อมั่นในตัวเองของดอกพีโอนี่ออกมา ซึ่งทำให้
ดอกไม้ที่อยู่รายรอบต้องก้มหัวให้ด้วยความนับถือ เมื่อ
ภาพนี้ ว าดเสร็ จ มั น จะอยู่ ใ นขั้ น 3 การถ่ า ยทอด
เจตนารมณ์อย่างแน่นอน!”
รองประธานเฉิงตาโต
“ใช่แล้ว จี้โม่คนนี้เป็นคนหนุ่มที่เก่งกาจจริงๆ ถ้า
เราฟูมฟักดูแลเขาให้ดี จะต้องมีจิตรกรผู้เป็นตำนานเกิด
ขึ้นในสมาคมของเราแน่!”
รองประธานอู๋พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ในฐานะจิตรกรระดับ 2 ดาว พวกเขามีความรู้เรื่อง
การวาดภาพเป็นอย่างดี ถึงภาพของคุณชายจี้โม่จะยัง
วาดไม่เสร็จ แต่เพียงแค่โครงร่างของมันก็บอกอะไรได้
หนึ่งหรือสองอย่างแล้ว
ภาพนี้ อ ยู่ ใ นขั้ น สู ง กว่ า ภาพวาดลมโชยภู เ ขาและ
สายธารอย่างไม่ต้องสงสัย แนวคิดทางศิลปะที่อยู่เบื้อง
หลังภาพวาดก็อยู่ในระดับสูงกว่าด้วย ถึงจะยังไม่มีความ
โดดเด่นอะไรออกมา แต่ก็แน่นอนว่าจะต้องไปถึงขั้นการ
ถ่ายทอดเจตนารมณ์แน่
แม้ว่าภาพวาดที่อยู่ในขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์
จะยังคงจัดเป็นแบบพื้นฐานอยู่ แต่การที่จิตรกรระดับ 1
ดาวสามารถวาดภาพถึ ง ขั้ น 3 ได้ ก็ แ สดงให้ เ ห็ น ว่ า
คุณชายจี้โม่มีความปราดเปรื่องจริงๆ
“ดูสิ ภาพของคุณชายใกล้จะเสร็จแล้ว...”
“เป็นดอกพีโอนี่ที่สวยงามอะไรอย่างนั้น ฉันชอบ
ภาพนี้!”
“งดงามมาก...”
....
รองประธานทั้ ง สองยั ง คงพู ด คุ ย กั น อยู่ ต อนที่
คุณชายจี้โม่ใกล้จะจบงาน พู่กันของเขาโลดแล่นอยู่บน
กระดาษฉูอัน และนกพีโอนี่ที่งดงามน่าหลงใหลตัวหนึ่งก็
ปรากฏแก่สายตาของทุกคน
ฟึ่บ!
จากนั้น ด้วยการกระตุกมือเล็กน้อย ฝีแปรงสุดท้าย
ก็เสร็จสิ้น
ฟู่!
วินาทีที่ภาพวาดเสร็จสมบูรณ์ กลิ่นหอมหวลของ
มวลหมู่ดอกไม้ก็ลอยเตะจมูกของทุกคน ราวกับพวกเขา
เข้าไปอยู่ในสวนบุปผชาติ ดอกพีโอนี่ดอกหนึ่งตั้งเด่นเป็น
สง่าอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์ โดดเด่นกว่าทุกสิ่งที่
อยู่รายรอบ
“นี่เป็นภาพวาดขั้น 3!”
“มันเข้าถึงขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์ เหลือเชื่อ
จริงๆ!”
“ก็บอกแล้วไง คุณชายจี้โม่จะแพ้ได้อย่างไรกัน...”
....
ฝูงชนส่วนมากที่ออกันอยู่ที่นี่ต่างเดินทางมาเพราะ
ต้องการซื้อภาพวาด หรือไม่ก็เป็นแฟนคลับของจี้โม่ ดัง
นั้นพวกเขาจึงพอมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการวาดภาพ
อยู่บ้าง ถ้าจี้โม่กำลังวาดอยู่ ก็อาจยังบอกไม่ได้ว่าภาพนั้น
จะอยู่ในขั้นไหน แต่พวกเขาจะบอกขั้นของภาพวาดที่
เสร็จสมบูรณ์แล้วได้ทันที
ต่อให้เป็นจิตรกรระดับ 1 ดาว ก็ยังไม่อาจวาดภาพ
ที่เข้าถึงขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์ได้ทุกครั้ง
ส่วนการสาธิตการวาดภาพในที่สาธารณะหรือการ
ประชัน ยิ่งแทบจะหาไม่เจอเข้าไปใหญ่
“ผมวาดเสร็จแล้ว!”
จี้โม่โยนพู่กันทิ้งไป เขาพยักหน้าให้กับภาพวาดที่
เสร็จสมบูรณ์แล้วด้วยความพอใจ
วิ ธี ที่ ดี ที่ สุ ด ในการเอาชนะใจสาวๆก็ คื อ การวาด
ดอกไม้ ดอกพีโอนี่เป็นราชาของดอกไม้ เขาจึงใช้ความ
อุตสาหะอย่างมากในการฝึกฝนวาดมัน เขาไม่อาจแน่ใจ
ได้ว่าภาพวาดอื่นๆของเขาจะเข้าถึงขั้น 3 หรือไม่ แต่
สำหรับภาพนี้ เขาได้ฝึกวาดมาแล้วมากกว่าพันครั้ง และ
เมื่อวาดมัน เก้าในสิบครั้งก็จะเข้าถึงขั้นการถ่ายทอด
เจตนารมณ์
ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง มันเข้าถึงขั้น 3 อย่าง
ที่ตั้งใจไว้
ขนาดจิตรกรระดับ 1 ดาวที่ทุ่มเทให้กับการวาด
ภาพมากว่าทศวรรษก็ยังวาดภาพที่เข้าถึงขั้น 3 ได้ยาก
สำหรับตัวเขาที่วาดภาพขั้นนี้ได้อย่างง่ายดายแม้ว่าจะยัง
เป็นแค่จิตรกรระดับ 1 ดาว ไม่ว่าผลงานของอีกฝ่ายจะ
เป็นอย่างไร ก็ถือว่าเป้าหมายของเขาในการสร้างชื่อ
เสียงให้กับตัวเองก็ลุล่วงแล้ว
“วางท่าจองหองนัก มาดูกันว่าคุณจะวาดอะไรได้!”
จี้โม่คำรามฟึดฟัด เขาวางมือจากภาพวาดและหัน
ไปมองจางเซวียน
ตอนนี้ เจ้าอสูรนั่นได้กระโดดออกจากกระดาษฉูอัน
แล้ว
เพราะตัวมันชุ่มโชกด้วยหมึก ภาพวาดของเดิมที่
มีดอกพลัมปรากฏขึ้นจากฝีเท้าของมันก็กลับเปื้อนหมึก
อย่างหนักจากการที่มันร่วงลงมา จนถึงตอนนี้หมึกก็ยังไม่
แห้ง และทั้งภาพก็เป็นประกายวาวไปด้วยหมึกนั้น
ลำพังแค่รอยเปื้อนที่เกิดจากการร่วงของมันก็แย่
แล้ว แต่เพราะอสูรตัวนั้นมีขนปุกปุยด้วย จึงเกิดเป็น
ความเสียหายอย่างหนัก
“นี่คือการใช้อสูรวาดภาพอย่างที่คุณพูดถึงหรือ?
ตลกอะไรอย่างนี้!”
คุณชายจี้โม่หัวเราะจนแทบจะกรามค้าง
เขาคิดว่าก็ในเมื่อหมอนั่นวางท่าเสียขนาดนั้น ก็
คงจะสามารถใช้ อ สู ร วาดภาพที่ น่ า ประทั บ ใจขึ้ น มาได้
จริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือ...
คุณเรียกไอ้พรรค์นี้ว่าภาพวาดหรือ?
สะบัดหมึกใส่กระดาษแบบมั่วๆยังดูดีกว่านี้อีก!
“นั่นวาดบ้าบออะไรลงไปน่ะ? แถมยังกล้าประชัน
กับคุณชายจี้ น่าสมเพชจริงๆ!”
“ถ้าคุณเรียกไอ้แบบนี้ว่าภาพวาด ฉันก็เป็นจิตรกร
ได้!”
“เจ้าโง่ เดี๋ยวได้อายกว่านี้แน่!”
ได้ยินเสียงหัวเราะของจี้โม่ ฝูงชนก็หันไปมองจางเซ
วียนเป็นตาเดียว พวกเขาล้วนมีสีหน้าสมเพช
ทำหมึกหกแบบมั่วๆก็เรียกว่าภาพวาดได้หรือ?
ตลกเป็นบ้า!
“คุณวาดภาพ...เสร็จหรือยัง?”
รองประธานอู๋ยกมือเป็นเชิงให้คนดูเงียบเสียง เขา
หันไปมองจางเซวียน
“อ๋อ ใกล้เสร็จแล้ว...”
จางเซวียนถอนหายใจเฮือก
ถ้าใครสังเกตเขาดีๆ ก็จะต้องเห็นว่าตอนนี้เขาตัว
สั่นและหน้าซีดไปหมด
หลังจากที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับยาพิษทั้งหมดในห้อง
โถงแห่งยาพิษแล้ว จางเซวียนก็ได้ความสามารถเพิ่มมา
อีกอย่าง คือการเปลี่ยนพลังปราณเทียบฟ้าให้กลายเป็น
น้ำทิพย์หรือยาพิษก็ได้ เพียงแค่คิดแว่บเดียวเท่านั้น
เขาควบคุ ม เจ้ า อสู ร ตั ว นั้ น อย่ า งเงี ย บๆผ่ า นพลั ง
ปราณที่ถ่ายทอดเข้าไปในตัวมัน ทำให้มันเดินย่ำบน
กระดาษได้ ต ามแบบที่ เ ขาต้ อ งการ แม้ จ ะผ่ า นไปแค่
ประมาณ 10 นาที แต่ ก็ ม ากพอที่ จ ะทำให้ เ ขา
เหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า
“ดูเหมือนวรยุทธของเราจะยังอ่อนด้อยเกินไป...”
จางเซวียนพึมพำ เขาสูดหายใจลึกและเริ่มรวบรวม
พลังปราณให้เข้าไปฟื้นฟูร่างกายอีกครั้ง
เขาได้เปลี่ยนพลังปราณที่ถ่ายทอดเข้าไปในตัวอสูร
นั่นให้กลายเป็นยาพิษหรือน้ำทิพย์เพื่อกระตุ้นจุดชีพจร
ของมัน และทำให้เจ้าตัวนั้นทำตามที่เขาสั่ง แม้จะดู
เหมื อ นง่ า ย แต่ มั น ต้ อ งการระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต
วิญญาณที่สูงมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะจางเซวียนมีระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณอยู่ที่ 5.0 จะไม่มีทางทำแบบนี้ได้เลย
และที่สำคัญกว่านั้น เจ้านี่เป็นอสูรขั้นต่ำมาก ทำให้
ควบคุมยาก ถ้ามันแข็งแกร่งกว่านี้อีกสักหน่อยล่ะก็ ด้วย
ระดับวรยุทธเท่าที่จางเซวียนมีอยู่ เขาก็คงควบคุมมันไม่
ได้
“ใกล้เสร็จ?” รองประธานอู๋มีสีหน้าผิดหวัง
เขากำลั ง อยากรู้ ว่ า เจ้ า หนุ่ ม คนนี้ จ ะรั ง สรรค์ ภ าพ
วาดได้น่าทึ่งขนาดไหน ไม่อยากจะคิดเลยว่าสุดท้ายก็ได้
เท่านี้...
“เอาล่ะ ในเมื่อภาพวาดของจี้โม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว
และอีกภาพหนึ่งก็ใกล้เสร็จเต็มที มาฟังผลการตัดสินเลย
ก็แล้วกัน!”
รองประธานเฉิงพูด
“ได้เลย!”
รองประธานอู๋พยักหน้า เขาชี้ไปที่ภาพวาดของจี้โม่
และพูดว่า “ภาพวาดดอกพีโอนี่ของจิตรกรจี้ได้สร้างแรง
กระเพื่อมให้กับพลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบ ทั้งยังมี
แนวคิดทางศิลปะอันล้ำลึก เห็นได้ชัดว่ามันเข้าถึงขั้น 3,
การถ่ายทอดเจตนารมณ์”
จากนั้น เขาหันไปทางภาพของจางเซวียนและพูด
ว่า “ส่วนภาพนี้ ผมไม่เข้าใจความหมายของมัน ในความ
เห็นของผม...มันไม่มีอะไรเลย...”
รองประธานอู๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดต่อ “ดังนั้น
คำตัดสินของผมก็คือ...จิตรกรจี้เป็นผู้ชนะ!”
“ผมมีความเห็นเหมือนกับรองประธานอู๋”
รองประธานเฉิงพยักหน้า
“ผมชนะ...”
เมื่อได้ยินผลการตัดสิน คุณชายจี้โม่หันไปทางจาง
เซวียนและเยาะเย้ย “ผลการตัดสินก็ออกมาแล้ว คุณ
พร้อมจะคุกเข่าและไสหัวตัวเองออกไปได้หรือยัง หรือ
อยากจะให้ ผ มหั ก แข้ ง ขาของคุ ณ แล้ ว โยนออกไปนอก
สมาคมจิตรกร?”
ก่อนการประชัน ทั้งคู่ได้ตกลงกันว่าผู้แพ้จะต้อง
คุกเข่าขอโทษอีกฝ่าย และออกจากสมาคมจิตรกรไปโดย
ไม่เหยียบย่างเข้ามาอีก
ตอนนี้จางเซวียนก็แพ้แล้ว ตัวเขาจะปล่อยผ่าน
เรื่องนี้ไปได้อย่างไร?
“เอ่อ...”
เห็นสีหน้าดุดันของจี้โม่ขณะกำลังกดดันจางเซวียน
รองประธานทั้งสองมองหน้ากัน ตอนแรกทั้งคู่ตั้งใจว่าจะ
เข้าไปประสานรอยร้าวให้ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้า
และตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่ง
ก็เจ้าหนุ่มต่างถิ่นคนนี้กล้าลบหลู่ศิลปะการวาดภาพ
ด้วยการใช้อสูรมาวาดภาพแทนตัวเอง ซึ่งพวกเขาก็คิด
ว่าเจ้าหนุ่มนั่นได้รับบทเรียนสาสมแล้ว อีกอย่าง คงจะไม่
เหมาะนักถ้าใครสักคนจะลบหลู่สมาคมจิตรกรได้โดยไม่
ต้องรับผลอะไรเลย?
“อ้าว? พวกคุณตัดสินแบบนั้นหรือ?”
หลังจากได้พักครู่หนึ่ง จางเซวียนก็เรียกพละกำลัง
กลับคืนมาได้ เมื่อได้ยินถ้อยคำลิงโลดของจี้โม่ เขาก็เงย
หน้า
“ทำไม? หรือคุณจะไม่ยอมรับคำตัดสินของรอง
ประธานทั้งสองคน?”
จี้โม่ฮึดฮัด
“รองประธานทั้งสองน่ะเป็นถึงจิตรกรระดับ 2 ดาว
และผมก็เชื่อสายตาของเขาในเรื่องการวาดภาพ แต่
ว่า...ผมแค่บอกว่าภาพของผมใกล้เสร็จ ไม่ได้บอกว่า
เสร็จแล้วเสียหน่อย...”
จางเซวียนส่ายหน้า
“นี่จะบอกว่ายังวาดไม่เสร็จ? แล้วจะทำไงต่อ คิด
จะจับพู่กันวาดต่อหรือไง?”
คุณชายจี้โม่ผงะ
“ก็ในเมื่อผมบอกว่านี่เป็นการใช้อสูรวาดภาพ ก็
เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่ใช้พู่กัน แต่ภาพนี้ยังขาดขั้นตอน
สุดท้าย...”
จางเซวียนยิ้ม
“ขั้นตอนสุดท้าย?”
ฝูงชนพากันงงงัน
ก็ภาพที่คุณใช้ให้อสูรวาดนี่ดูไม่ได้เลย คิดว่าเพิ่มขั้น
ตอนสุดท้ายลงไปแล้วมันจะช่วยอะไรได้?
สุดท้ายผลลัพธ์มันจะเปลี่ยนแปลงได้หรือ?
“ฉันว่าเขาแค่ไม่อยากจะยอมแพ้!”
“ยังโม้ไม่หยุดทั้งที่ตัวเองแพ้แล้ว มีคนแบบนี้อยู่ใน
โลกด้วยหรือ?”
“หน้าด้าน!”
ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์และมองจางเซวียนอ
ย่างรังเกียจ
มันเรื่องอะไรถึงต้องวางท่าไม่หยุดไม่หย่อนแบบนี้?
จะพังอยู่รอมร่อแล้ว ยังมัวสร้างภาพอยู่อีก?
รองประธานทั้งสองก็งงงัน
มันเป็นแค่หมึกที่ทับถมกันอยู่บนแผ่นกระดาษ ถ้า
ไม่ใช้พู่กัน จะมีทางเปลี่ยนมันให้กลายเป็นภาพวาดได้
ด้วยหรือ?
“คุ ณ บอกว่ า ภาพนี้ ยั ง ขาดอี ก หนึ่ ง ขั้ น ถึ ง จะเสร็ จ
สมบูรณ์ งั้นก็ทำซะ แล้วมาดูกันว่าคุณจะพูดอะไรได้อีก!”
จี้โม่หัวเราะอย่างสะใจ
“งั้นผมจะเริ่มล่ะนะ!”
จางเซวียนไม่แยแสกับเสียงเซ็งแซ่โดยรอบ เขาเดิน
ไปที่ภาพวาด หยิบมุมกระดาษฉูอันขึ้นมาแล้วเขย่าเบาๆ
ฟิ้ววววว!
น้ำหมึกบนผิวภาพวาดไหลลงมา และกระจายตัว
ไปทั่วทั้งภาพ
“เอ้า ผมเสร็จขั้นตอนสุดท้ายแล้ว!”
จางเซวียนวางกระดาษฉูอันไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม
เขายิ้ม
“เสร็จแล้ว?”
ทุกคนผงะ พวกเขาคิดว่าขั้นตอนสุดท้ายของเจ้า
หนุ่มคนนี้คงจะเป็นอะไรสักอย่างที่น่าทึ่ง แต่กลับเป็นแค่
การเขย่าเบาๆ ต่างคนต่างเซ่อไป
“เฮ้ย รอเดี๋ยว ไม่ใช่แบบนั้นนะ...ดูสิ!”
ขณะที่กำลังสงสัยว่าหมอนี่จะเอาอย่างไร ก็มีใคร
คนหนึ่งในหมู่ฝูงชนตะโกนขึ้นมา
เมื่อได้ยินเสียงนั้น รองประธานเฉิงและรองประธาน
อู๋รีบหันไปมองกระดาษฉูอัน พวกเขาหน้าซีดตัวสั่นขึ้นมา
ทันใด และนัยน์ตาก็เบิกโพลง
อีกครู่หนึ่งก็มีคำพูดหลุดออกจากปาก
“มัน...มันเป็นไปได้อย่างไร?”
ตอนที่ 290 เสมอกัน?

ด้วยการเขย่าเบาๆของจางเซวียน หมึกที่อยู่บน
กระดาษฉูอันก็ไหลลงมา รอยเท้ามากมายที่อสูรทิ้งไว้ถูก
เชื่อมเข้าด้วยกันด้วยรอยเปื้อนสีดำ เกิดเป็นภาพวาด
ดอกพลัมที่ดูเด็ดเดี่ยวทรนง
บริเวณที่หมึกไหลผ่านเกิดเป็นกิ่งไม้สีดำ ซึ่งมีดอก
พลัมบานอยู่ประปราย เมื่อมองจากระยะไกลจะดูอ้างว้าง
หดหู่ ผู้ที่ได้เห็นภาพจะรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูกสัน
หลัง ราวกับฤดูหนาวอันขมขื่นได้มาเยือน
ตรงจุดที่อสูรร่วงลงมาเกิดเป็นหินวาววับสองก้อน
ส่วนร่องรอยจากขนปุกปุยของมันเกิดเป็นความลดหลั่น
เหลื่อมซ้อนบนพื้นผิวของหินสองก้อนนั้น
มีดอกพลัมเบ่งบานอยู่ในรอยแยกของก้อนหิน มัน
ยืนต้นตระหง่านอยู่ในความหนาวเยือก คุณชายจี้โม่ได้ใช้
ทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์เพื่อขับให้เห็นความงดงามของดอก
พีโอนี่ แต่สำหรับภาพนี้ ดอกพลัมที่ผลิบานไม่ได้มีดอกไม้
อื่นใดมาขนาบข้าง ทำให้ผู้ที่ได้เห็นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึง
ความเด็ดเดี่ยวทรนง เพราะไม่มีสิ่งใดกล้าเทียบเทียมกับ
มัน ราวกับทุกสิ่งล้วนแต่หวาดกลัวที่จะยืนเคียงข้างดอก
พลัมนั้น
ถึงจะไม่ได้จงใจทำให้มันโดดเด่น แต่มันก็มีรัศมีที่
เปล่งประกายเหนือกว่าดอกไม้อื่นๆ
เมื่อเห็นดอกพลัมนั้น ก็แทบจะมองเห็นจิตรกรผู้
วาดยืนโดดเดี่ยวที่สุดขอบโลกราวกับจะท้าทาย ต่อให้
พวกนั้นเมินผม ต่อให้ใครๆไม่เข้าใจผม แล้วผมสนใจ
ที่ไหน? ทั้งหมดที่ผมปรารถนาก็คือการได้ยืนยืดอกอย่าง
ทรนงและเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น!
“ฉัน...ทำไมฉันถึงร้องไห้?”
“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่โดด
เดี่ยว แต่เขาก็ก้าวต่อไปอย่างกล้าหาญทรนง ไม่คิดจะ
ถอยแม้แต่ก้าวเดียว!”
“นี่มัน...ภาพวาดขั้น 3 การถ่ายทอดเจตนารมณ์?”
“ต้องใช่แน่ๆ ไม่อย่างนั้น มองแค่แว่บเดียว เราคง
ไม่รู้สึกกับมันได้ขนาดนี้...”
....
สรรพสิ่งเงียบกริบ
ในวินาทีนั้น อารมณ์ความรู้สึกของผู้คนมากมายได้
รั บ อิ ท ธิ พ ลจากความโดดเดี่ ย วอ้ า งว้ า งในภาพวาด
ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ
ภาพวาดที่มีแนวคิดทางศิลปะชั้นสูงอยู่เบื้องหลังจะ
มีอิทธิพลต่อสภาวะจิตใจของผู้พบเห็น ซึ่งก็ชัดเจนว่า
ภาพนี้เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่ทำได้แบบนั้น
“ภาพที่ใช้อสูรวาด...ไปได้ถึงขั้น 3 การถ่ายทอด
เจตนารมณ์?”
เห็นฝูงชนสะเทือนใจไปกับความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
อั น งดงามของดอกพลั ม ที่ ผ ลิ บ านในฤดู ห นาว รอง
ประธานเฉิงถึงกับปากคอสั่น
ในเมื่อคนทั่วไปยังบอกขั้นของภาพวาดได้ เขาก็
ย่อมทำได้อย่างรวดเร็วเหมือนกัน แค่เขย่าเบาๆ ฝ่ายนั้น
ก็สามารถเปลี่ยนภาพที่ไม่ได้เรื่องให้กลายเป็นผลงานชิ้น
เอกได้ ไม่เพียงแต่ภาพนั้นจะท่วมท้นไปด้วยจิตวิญญาณ
แต่แนวคิดทางศิลปะก็ยังโดดเด่นยิ่งนัก
ขนาดพวกเขาซึ่งเป็นถึงจิตรกรระดับ 2 ดาว ก็ยัง
ต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานหากจะวาดภาพให้ได้ระดับนั้น
แต่อสูรตัวหนึ่งกลับวาดได้โดยการย่ำเท้าไม่กี่ก้าว
กลิ้งเกลือกไปมา แถมด้วยการเขย่า...
ถึงมันจะเกิดต่อหน้าต่อตา เขาก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าฝัน
ไปหรือเปล่า
มันเหลือเชื่อจริงๆ
“หัวใจของภาพวาดก็คือการเขย่าในขั้นสุดท้าย!”
รองประธานอู๋ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออก
มา “จะเหลือหมึกอยู่บนกระดาษฉูอันเท่าไร ควรจะเขย่า
แบบไหน และควรใช้แรงมากแค่ไหน ผู้วาดจะต้องนำทุก
สิ่งมาพิจารณาเพื่อกำหนดทิศทางการไหลของหมึกให้
เกิ ด เป็ น รู ป ต้ น ไม้ ขึ้ น มา และทำภาพวาดนั้ น ให้ เ สร็ จ
สมบูรณ์ ซึ่งผู้วาดจะต้องจดจำรายละเอียดให้ได้ครบถ้วน
ก่อนที่จะเริ่มวาด เพราะผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็หมาย
ถึงพัง!”
“ดูแล้วก็เหมือนง่าย แต่อันที่จริงมันเป็นกระบวน
ท่าที่ล้ำลึกมาก ถ้าใช้หมึกและกระดาษต่างชนิดออกไป
ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะแตกต่างกันด้วย การทำให้ได้ภาพแบบ
นั้นออกมาด้วยการเขย่าเพียงเบาๆ ความสามารถในการ
หยั่งรู้และความเชี่ยวชาญในการวาดภาพของเขา...ต่อให้
ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้...”
แม้ ว่ า เขาจะไม่ เ ต็ ม ใจยอมรั บ เท่ า ไรนั ก แต่ ร อง
ประธานเฉิงก็พยักหน้า
ก่อนหน้านี้ มีแค่อสูรที่เป็นตัววาดภาพ เจ้าหนุ่มคน
นั้นไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนสำคัญที่สุดของภาพวาดอยู่ที่
การเขย่าในขั้นสุดท้าย ก็เหมือนกับการเติมลูกตาให้กับ
ภาพวาดมังกร ถ้าผิดพลาดนิดเดียว ผลที่ได้ก็จะต่างออก
ไปอย่างสิ้นเชิง
ถ้าไม่ใช่เพราะจางเซวียนสามารถควบคุมการเขย่า
ขั้นสุดท้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภาพวาดขั้น 3 ภาพนี้จะ
ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
คิดดูสิว่าเขาค้นพบระดับพละกำลังที่ต้องใช้และวิธี
เขย่าหมึกในภาพวาดได้...
นั่นหมายความว่าเขาสามารถควบคุมภาพวาดได้
อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เขารู้อยู่แล้วว่าผลงานจะออกมา
เป็นอย่างไร และไปได้ถึงขั้นไหน
ซึ่ ง สิ่ ง นี้ ต้ อ งการความเข้ า ใจในเรื่ อ งการวาดภาพ
อย่างลึกซึ้ง ต้องลงลึกได้แม้รายละเอียดเพียงเล็กน้อย ซึ่ง
แม้แต่ประธานสมาคมของพวกเขา จิตรกรระดับ 3 ดาว
ก็ยังทำไม่ได้แบบนั้น
“นี่มัน...เป็นไปไม่ได้...”
เมื่อได้เห็นดอกพลัมผลิบานหลังการเขย่า คุณชายจี้
โม่ผู้ซึ่งรอคอยที่จะสะใจกับการโชว์โง่ของจางเซวียนก็ถึง
กับตัวสั่นและถอยกรูดด้วยความตกตะลึง เขาหน้าซีด
เผือดและดูราวกับจะเสียสติ
ก็หมอนั่นเพิ่งจุ่มอสูรลงไปในหมึกแบบมั่วๆ จากนั้น
ก็โยนมันใส่กระดาษฉูอัน แล้วเกิดเป็นภาพวาดขั้น 3 ขึ้น
มาได้อย่างไร...
ภาพวาดขั้น 3 มันวาดง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
กัน?
เขาฝึกฝนหนักปางตายจนแทบจะกระอักเลือดออก
มากว่ า จะได้ ภ าพวาดระดั บ นั้ น แต่ ห มอนั่ น ทำแบบ
ง่ายๆ...
คงไม่ใช่ว่าสติปัญญาของเราด้อยกว่าอสูรหรอกนะ?
พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวซึ่งเป็นผู้พาจาง
เซวียนเข้ามาก็ถึงกับทึ้งหูตัวเอง ถ้าไม่กลัวว่าจะเป็นการ
แสดงกิริยาไม่เหมาะสม เขาคงจะระเบิดไปแล้ว
ในฐานะพนักงานต้อนรับของสมาคมจิตรกร เขามี
รายได้แค่ไม่กี่พันเหรียญต่อเดือน อย่างดีที่สุดก็หนึ่งหมื่น
เหรียญ แต่อีกฝ่ายวาดภาพที่มีมูลค่าหลายล้านเหรียญได้
โดยแค่จับอสูรเขวี้ยงใส่กระดาษ...
บ้าไปแล้ว!
แล้วเขาจะทำงานหนักทำไมกัน! แค่จับอสูรมาสัก
ตัวแล้วใช้มันวาดภาพให้ เขามิกลายเป็นเศรษฐีหรือ?
ผู้ช่วยจิตรกรหลายคนที่ยกโต๊ะมาให้ก่อนหน้านี้ต่าง
ก็น้ำตาคลอ
พวกเขาต่างใช้เวลามากกว่าทศวรรษหมกมุ่นกับ
การวาดภาพ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำได้ดีที่สุดแค่เข้าขั้นการ
พรรณนาสมจริง ส่วนขั้นผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณและ
การถ่ายทอดเจตนารมณ์นั้นอยู่เกินเอื้อม แค่จะนึกถึงก็ยัง
ไม่กล้า
แต่อสูรตัวหนึ่งกลับวาดภาพได้ดีกว่าพวกเขาเสีย
อีก ก็แปลว่าความอุตสาหะตลอดหลายปีที่ผ่านมา...ไร้
ประโยชน์
ไม่บ้าไปเสียตอนนี้เลยก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“รองประธานทั้งสอง ตกลงผมชนะหรือแพ้?” เห็น
ภาพวาดเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่กะไว้ จางเซวียนหันมายิ้ม
กับทั้งคู่
ก็เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสทั้งสองคิด หัวใจของภาพวาด
คือการเขย่าในขั้นสุดท้าย
เพราะต่อให้เขาควบคุมอสูรตัวนั้นได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ก็ไม่มีทางจะรังสรรค์ภาพวาดขั้น 3 ขึ้นได้
ในการจะเปลี่ยนกระดาษที่เปื้อนหมึกเลอะเทอะให้
กลายเป็ น ภาพวาดที่ ส มบู ร ณ์ แ บบด้ ว ยการเขย่ า ขั้ น
สุดท้าย เขาต้องใช้ประโยชน์จากหอสมุดเทียบฟ้าเพื่อ
หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั้งหมด
ในเมื่อไม่มีข้อผิดพลาดใดๆในการเคลื่อนไหวของ
เขา ภาพวาดจึงออกมาสมบูรณ์แบบ
ทั้ ง เวลา พละกำลั ง ที่ ใ ช้ วิ ธี เ ขย่ า การจั บ
กระดาษ...ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ ผิดนิดเดียว
ก็จะทำให้เสียไปทั้งภาพ
โชคดีเหลือเกินที่เขาทำสำเร็จ
“เอ่อ...”
รองประธานทั้งสองคนมองหน้ากัน
“ภาพวาดดอกพลั ม ผลิ บ านในฤดู ห นาวของคุ ณ
และภาพดอกพีโอนี่ของจิตรกรจี้ต่างก็เป็นภาพวาดขั้น 3
เหมือนกัน ถึงจะมีสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็
อยู่ ใ นขั้ น เดี ย วกั น ดั ง นั้ น ผมขอประกาศว่ า ...” รอง
ประธานเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประกาศ “...เสมอ
กัน!”
“เสมอกัน?”
จางเซวียนส่ายหน้า ถึงจะเดาสถานการณ์ได้ก็ตาม
ในเชิงของคุณภาพ ภาพวาดของเขามีมาตรฐานสูง
กว่าภาพดอกพีโอนี่ของคุณชายจี้อย่างเห็นได้ชัด แต่
ว่าการประชันของพวกเขามีเดิมพัน และอีกฝ่ายก็เป็น
ถึงว่าที่ผู้นำของสมาคมจิตรกรในอนาคต ถ้าเขาต้อง
กลายเป็นผู้แพ้ จะไม่กลายเป็นว่าต้องมาคุกเข่าขอโทษ
และยอมทิ้งสมาคมไปอย่างนั้นหรือ?
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็จะเสียคนมีความสามารถ
ไปเปล่าๆ
การประกาศว่าทั้งคู่เสมอกันจะสามารถหลีกเลี่ยง
ความขุ่นเคืองระหว่างสองฝ่ายได้ และเป็นข้อสรุปที่
สวยงามที่สุด
แต่ ก็ แ น่ น อนว่ า คุ ณ ชายจี้ ค นนี้ ก็ ดู ไ ม่ รื่ น เริ ง ชื่ น มื่ น
เหมือนเมื่อก่อนหน้า เพราะถึงผลการตัดสินจะออกมา
เสมอ แต่มันก็เป็นเพราะอสูรตัวหนึ่ง ซึ่งถ้าจะพูดอีกที ก็
แปลว่าเขาไม่ได้ดีไปกว่าอสูร...ไม่ว่าจะไปไหน ผู้คนก็คง
พากันซุบซิบเรื่องนี้
แต่ถึงอย่างนั้น จางเซวียนก็ไม่รู้สึกอะไรกับความ
เดือดร้อนของเขา เพราะหมอนั่นก็ทำตัวเอง
“เสมอ? ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเสมอ!”
“นั่นก็ดีที่สุดแล้ว...”
“ก็จริงนะ จะดีงามที่สุดถ้าจะไม่ทำให้สัมพันธภาพ
อันดีระหว่างจิตรกรรุ่นหลังต้องเสียไป...”
....
เมื่อได้ยินคำตัดสิน ฝูงชนก็วิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่
“นั่นเป็นเรื่องดี เพราะคุณทั้งคู่ก็เป็นจิตรกรอัจฉริยะ
คุณควรจะลองปรับความเข้าใจกัน...”
หลังประกาศผลการตัดสิน รองประธานเฉิงยิ้มและ
พยายามจะประสานความขัดแย้ง แต่คุณชายจี้โม่สูด
หายใจลึกและก้าวออกมา “รองประธาน ได้โปรดรอสัก
ครู่!”
ฝูงชนต่างหันขวับมามองเขา
“ทุกคนคงได้เห็นภาพวาดแล้ว หัวใจของมันคือการ
เขย่าขั้นสุดท้าย ซึ่งถ้าไม่มีการเขย่านั้น อย่าว่าแต่จะเข้า
ขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์เลย จะเป็นการพรรณนา
สมจริงก็ยังไม่ได้!”
คุณชายจี้โม่หันไปทางจางเซวียนและเย้ยหยัน
“ซึ่งก็แปลว่า ภาพวาดของเขาเกิดจากการลงแรง
ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับอสูร เพราะทั้งคู่ร่วมมือกันจึง
สามารถเทียบชั้นกับมาตรฐานของผมได้ แล้วนั่นจะเรียก
ว่าเขาเสมอกับผมได้อย่างไร?”
ทุกคนชะงัก
ก็ เ ห็ น กั น อยู่ ว่ า การใช้ อ สู ร วาดภาพมี แ ต่ จ ะทำให้
ภาพเละเทะ และการรั ง สรรค์ ภ าพวาดที่ เ ข้ า ขั้ น การ
ถ่ายทอดเจตนารมณ์ได้ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ก็เป็น
เพราะความเชี่ยวชาญในการวาดภาพอย่างเหนือชั้นของ
อีกฝ่าย
ฝูงชนต่างไม่เข้าใจดีนัก แต่ในเมื่อคุณชายกล้าพูด
ออกมา ก็หมายความว่าเขายอมโยนศักดิ์ศรีทั้งหมดทิ้งไป
เพื่อการประชันครั้งนี้
แต่ถึงอย่างนั้น คำพูดของเขาก็ยังมีความจริงอยู่
เพราะภาพนี้ เ กิ ด จากการร่ ว มมื อ กั น ระหว่ า งจางเซวี ย
นกับอสูรตัวนั้นจริงๆ
ก็ในเมื่อมันเป็นการแข่งขันระหว่างจางเซวียนกับจี้
โม่ ซึ่งควรจะเป็นการประชันวาดภาพตัวต่อตัว ไม่ควรมี
ใครได้รับอนุญาตให้แตะต้องภาพวาดนั้น แม้แต่การ
ชี้แนะคำเดียวก็เป็นการไม่สมควร
ภาพดอกพลัมผลิบานที่เกิดจากการย่ำเท้าของอสูร
และกิ่งไม้ที่เกิดจากการเขย่าของจางเซวียน ทั้งสองส่วน
ประกอบกันขึ้นเป็นผลงานศิลปะ ซึ่งถ้าขาดฝ่ายใดฝ่าย
หนึ่งไป ภาพก็ไม่มีทางเสร็จสมบูรณ์
ในเมื่อเป็นการประชันแบบสองต่อหนึ่ง ก็ดูจะ...ไม่
ยุติธรรมจริงๆ
“อ้อ ถ้างั้นคุณก็หมายความว่า...”
ถึงอีกฝ่ายจะหน้าด้านขนาดหนัก แต่จางเซวียนก็ไม่
โมโห เขาหันไปจ้องหน้าจี้โม่
“ง่ายๆเลยก็คือ ผมชนะการประชันครั้งนี้ ในเมื่อ
คุณได้มาตรฐานเดียวกับผมเพราะการร่วมมือกัน ทักษะ
ของคุณก็ย่อมจะด้อยกว่า!” คุณชายจี้โม่ยิ้มอย่างสะใจ
“จิตรกรจี้ เสมอกันมันก็ไม่ได้แย่นะ...”
ไม่ คิ ด ว่ า อี ก ฝ่ า ยจะไม่ มี น้ ำ ใจนั ก กี ฬ าถึ ง ขนาดนั้ น
รองประธานอู๋รู้สึกผิดหวัง
ก็อสูรจะวาดภาพเป็นได้อย่างไร?
เห็นๆกันอยู่ว่าทั้งหมดเป็นเพราะความสามารถของ
อีกฝ่ายที่ทำให้ภาพออกมาได้แบบนั้น
ถึงจะพูดได้ว่าภาพนี้เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง
มนุษย์กับอสูร แต่ก็เป็นเพราะความเชี่ยวชาญอันน่าทึ่ง
ในการวาดภาพของเจ้าหนุ่มคนนั้นที่ทำให้ภาพขึ้นไปได้
ถึงขั้น 3, พวกเราก็หาทางออกให้คุณแบบสวยๆแล้วด้วย
การประกาศให้เสมอกัน มันเรื่องอะไรถึงยังไม่พอใจ?
รองประธานเฉิงก็อึดอัดกับการกระทำของจี้โม่ เขา
กำลังจะอ้าปากพูด ก็พอดีจางเซวียนโบกมือและส่งรอย
ยิ้มลึกลับ “คำพูดของคุณชายก็มีเหตุผล ในเมื่อคุณเชื่อ
ว่ามันเป็นการร่วมมือกันระหว่างผมกับอสูร ผมก็จะให้
มันเป็นไปตามนั้น แต่ในเมื่อคุณไม่เห็นว่าเราควรจะเสมอ
กัน ผมก็อยากจะถามว่า...ต้องเป็นสถานการณ์ไหนที่คุณ
จะเต็มใจยอมแพ้?”
“จะให้ผมยอมแพ้?”
จี้โม่ยิ้มเย้ย “ผมเป็นคนแฟร์ๆนะ ผมจะไม่ใช้การ
รวมหั ว กั น ของพวกคุ ณ มาเป็ น เหตุ ผ ลเพื่ อ ประกาศ
ชัยชนะของผมหรอก ถ้าภาพวาดของคุณก้าวไปถึงขั้น 4,
ประหนึ่งหยุดลมหายใจได้ ผมก็จะยอมแพ้ทันที แต่ว่า ก็
น่าเสียดาย...ที่มันไปไม่ถึง! ในเมื่อพวกคุณรวมหัวกันแล้ว
ยั ง ทำได้ เ ท่ า กั บ ผม จะให้ ผ มคิ ด ว่ า เราเสมอกั น ได้
อย่างไร!”
“คุณพูดจามีเหตุผล ผมเถียงไม่ได้เลย!” จางเซวียน
ไม่เดือดร้อนกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาส่ายหน้ายิ้มๆ
“ในเมื่อไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ก็ยอมแพ้ซะ...”
นัยน์ตาของจี้โม่เป็นประกาย เขากำลังจะพูดต่อ
ชายหนุ่ ม ที่ อ ยู่ ต รงหน้ า ก็ ยิ้ ม และมองเขาอย่ า งสมเพช
“คุณแน่ใจหรือว่า...ภาพวาดนี้จะอยู่แค่ขั้น 3?”
“คุณหมายความว่าอย่างไร?”
จี้โม่มองกระดาษฉูอันบนโต๊ะ เมื่อครู่นี้เองที่ภาพ
วาดนี้เพิ่งเสร็จสมบูรณ์ หมึกก็เพิ่งจะแห้ง มันดูโดดเด่นก็
จริง แต่ก็เห็นกันชัดๆว่าเป็นแค่ภาพวาดขั้น 3 เขาจึง
เยาะเย้ยต่อ “เลิกวางท่าเสียทีเถอะ ถ้าคิดจะยอมแพ้ก็
เร็วๆหน่อย ต่อให้พล่ามทั้งวัน ก็ไม่มีทางที่ภาพนั้นจะไป
ถึงขั้น 4 ได้หรอก...”
“อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้...”
จางเซวียนหันมาและพูดว่า “รองประธานอู๋ ผม
ต้องขอรบกวนคุณสักเรื่อง!”
“พูดมาเลย!” รองประธานอู๋พยักหน้า
“ผมอยากรู้ว่า ที่สมาคมนี้มีคบเพลิงไหม ขอผมยืม
สักอัน?” จางเซวียนถาม
ที่สมาคมจิตรกรใช้ไข่มุกกระจ่างราตรีเป็นแหล่งให้
ความสว่างภายใน รังสีของมันสุกสว่างเหมือนท้องฟ้า
ยามเช้า
ถึงแม้จะสว่าง แต่ก็ให้ความอบอุ่นไม่เพียงพอ อีก
อย่าง ตอนนี้เป็นกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และตรงนี้ก็ออก
จะหนาว แต่เพราะทุกคนเป็นนักรบจึงไม่มีใครเดือดร้อน
“เรามี!”
รองประธานอู๋ ม องชายหนุ่ ม ตรงหน้ า อย่ า งสงสั ย
ก่อนจะโบกมือ ผู้ช่วยจิตรกรคนหนึ่งเดินออกไปจากห้อง
และไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับคบเพลิงในมือ
“ช่วยเอามันไปอังกับภาพวาดหน่อย!” แทนที่จะรับ
คบเพลิงมา จางเซวียนสั่งผู้ช่วยคนนั้น
“ได้สิ!”
ผู้ช่วยชำเลืองมองรองประธานอู๋ เมื่อเห็นเขาพยัก
หน้า จึงเดินไปที่ภาพวาดดอกพลัมผลิบานในฤดูหนาว
ด้วยความร้อนจากไฟ หมึกชุ่มๆก็เริ่มจับตัวเป็น
ก้อน
วิ้ง!
ความอุ่ น จากคบเพลิ ง ทำให้ ห มึ ก เริ่ ม มี ก าร
เปลี่ยนแปลง และภาพวาดก็เปลี่ยนไป
เกิดรอยสีขาวที่บริเวณสี่มุมของดอกตูมๆที่วาดด้วย
หมึกสีดำ ราวกับดอกนั้นกำลังจะเริ่มผลิบาน และในตอน
นั้นฝูงชนต่างก็ได้กลิ่นหอมของดอกพลัมอบอวลอยู่ใน
อากาศ
พั่บ พั่บ!
ผีเสื้อสองสามตัวบินจากที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาในห้อง
และมาเกาะอยู่ที่ภาพวาด ราวกับถูกกลิ่นหอมของดอกไม้
ดึงดูดให้เข้ามา จากนั้นก็อ้อยอิ่งกับผิวของภาพวาดอยู่
นาน
“นี่มัน...ประหนึ่งหยุดลมหายใจ?”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
ทุกคนตัวสั่นและรู้สึกเหมือนจะเสียสติ
ก่อนที่หมึกจะแห้ง ก็เห็นๆกันอยู่ว่าเป็นแค่ภาพวาด
ขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์ แต่พอแห้งแล้วกลับกลาย
เป็นภาพวาดขั้น 4 ไปได้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?
ซึ่งถ้าภาพนี้ยังไปไม่ถึงขั้นประหนึ่งหยุดลมหายใจ
ผีเสื้อคงไม่มาเกาะ? แล้วมันจะได้กลิ่นหอมของดอกพลัม
ที่อบอวลอยู่ในอากาศได้อย่างไรกัน?
ตึง ตะลึง ตึง ตึง!
คุณชายจี้โม่หน้าซีดเผือดและถอยกรูด
เขาเพิ่งจะประกาศไปว่าจะยอมแพ้ทันทีถ้าภาพวาด
ของอีกฝ่ายอยู่ในขั้น 4 ไม่นึกไม่ฝันว่าแค่ใช้คบเพลิงมา
อังให้หมึกแห้ง...
เอาจริงๆสิ?
เขามองภาพนั้นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หนเพื่อให้แน่ใจ
ซึ่งก็แน่ใจแล้วว่ามันอยู่ในขั้นการถ่ายทอดเจตนารมณ์
แล้วแค่ความร้อนจากคบเพลิงจะทำให้ภาพขยับสูงขึ้นไป
อีกหนึ่งขั้นได้อย่างไรกัน?
“ไม่จริง...คุณขี้โกง!”
เขาส่ายหน้าอย่างแรง และไม่อาจทำใจให้เชื่อสิ่งที่
อยู่ตรงหน้าได้ จี้โม่คำรามอย่างบ้าคลั่ง
“ขี้โกง?”
จางเซวียนส่ายหน้า เขามองไปรอบๆ และสุดท้ายก็
มาหยุดที่รองประธานเฉิง
“รองประธาน คุณบอกได้ไหมว่าเพราะอะไร?”
“ผมก็พอมองเห็นอย่างสองอย่างนะ แต่ก็ไม่แน่ใจ
ว่าจะถูกหรือเปล่า!”
รองประธานเฉิ ง พู ด ถึ ง การคาดเดาของเขาด้ ว ย
สีหน้าจริงจัง “อสูรที่คุณเพิ่งใช้วาดภาพเป็นที่รู้จักกันใน
ชื่ออสูรเขียวร่าเริง มันชอบทำรังในโคลนตม ส่วนหมึกที่
เราใช้นั้นทำจากหินหมึกดำ และโคลนก็มีสารบางอย่างที่
ทำปฏิกิริยากับหินหมึกดำ เมื่อมีความร้อนจากคบไฟเข้า
มา สีของหมึกจึงอ่อนลง”
“เจ้าอสูรเขียวร่าเริงที่ถูกพามาที่นี่น่าจะเพิ่งถูกจับ
ได้ จึงยังมีร่องรอยของโคลนอยู่บนตัวมัน โคลนนั้นได้เข้า
ผสมกับหมึกที่ทำจากหินหมึกดำ และเมื่อโดนความร้อน
จึงส่งผลทันที ทำให้เกิดภาพที่เหมือนกับดอกไม้บาน ดัง
นั้น...ภาพวาดนี้จึงขยับขึ้นอีกหนึ่งขั้น!”
“การจะทำแบบนี้ได้ ต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่าง
ลึกซึ้งในเรื่องการฝึกอสูร รวมถึงคุณสมบัติของวัตถุชนิด
ต่างๆด้วย คุณ...”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ รองประธานเฉิงมองหน้าจางเซ
วียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าช่างเหมือนมีเวทมนตร์ ภาพ
วาดขั้น 3 กลายเป็นภาพวาดขั้น 4 ได้เพียงใช้ความร้อน
จากคบเพลิง แต่ก็แน่นอนว่าต้องเป็นการผสมผสานกัน
ของความรู้หลากหลายด้าน จึงจะเกิดผลแบบนั้นได้
แต่อันที่จริง ถึงไม่มีความร้อนจากคบเพลิง ภาพ
วาดนี้ก็จะเลื่อนไปเป็นขั้นประหนึ่งหยุดลมหายใจได้ด้วย
ตัวมันเองเข้าสักวัน
การจะทำแบบนี้ได้ ผู้นั้นจะต้องมีความเข้าใจอย่าง
ล้ำลึกในเรื่องการฝึกอสูร รวมทั้งคุณสมบัติของวัตถุที่
เกี่ยวข้อง และเรื่องอื่นๆอีกมาก ทุกอย่างจะต้องรวมเข้า
ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ชายหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึง 20 คน
นี้เป็นผู้ที่ทำได้สำเร็จ
บ้าไปแล้ว!
โลกนี้เป็นบ้า หรือเราเป็นบ้าเสียเอง?
ตอนที่ 291 ภาพวาดขั้น 5, จัดไป

“แบบนี้ก็ได้เหรอ?”
“รู้ทั้งองค์ประกอบของหมึกและโคลนที่ติดตัวอสูร
มาก่อนล่วงหน้า เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”
เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ฝูงชนต่างตาโตอย่างไม่อยาก
จะเชื่อ มันช่างเป็นเรื่องบ้าบอที่สุดเท่าที่พวกเขาเคย
ได้ยิน
ใช้อสูรที่เพิ่งจับได้จากที่ไหนก็ไม่รู้มาวาดภาพ แล้ว
สามารถรังสรรค์ภาพวาดขั้นประหนึ่งหยุดลมหายใจขึ้น
ได้ มีแต่จิตรกรระดับ 2 ดาวเท่านั้นที่ทำได้แบบนี้...น้อง
ชาย นี่มันทะลุฟ้าสะเทือนสวรรค์แล้ว!
“รองประธานเฉิ ง ช่ า งมี ส ายตาหยั่ ง รู้ ที่ ย อดเยี่ ย ม
นัก!”
เมื่ อ ได้ ยิ น อี ก ฝ่ า ยแจกแจงเหตุ ผ ล จางเซวี ย นก็
ชมเชย
ถึงคำพูดของเขาจะยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วนนัก แต่ก็
ตรงประเด็น
ขณะที่เขาพูดถึงโคลนที่ติดตัวอสูรเขียวร่าเริงได้ถูก
ต้อง แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมการเปลี่ยนแปลง
จึงเกิดได้อย่างเหมาะเจาะที่แต่ละมุมของดอกพลัม
ซึ่งแน่นอนว่านั่นมาจากการควบคุมของเขา
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอธิบายแบบนั้น เขาก็ไม่อยากขัด
“คุณบอกว่าหากภาพนี้เข้าขั้น 4 คุณจะยอมแพ้ ยัง
มีอะไรจะพูดอีกไหม?”
จางเซวียนมองคุณชายจี้โม่ด้วยสายตาคมกริบ
"เอ่อ...
จี้โม่ขาสั่นและทรุดฮวบลงกับพื้น หน้าซีดขาวราว
กระดาษ
ตอนแรก เขามั่นใจในชนะในชัยชนะของตัวเอง
และเชื่อว่าไม่มีอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ไม่เคยคิด
ฝันว่าอีกฝ่ายจะซ่อนไม้ตายไว้ในภาพวาดของเขา
แค่อังด้วยคบเพลิง ภาพวาดก็เลื่อนสูงขึ้นอีก 1
ขั้น...
เขารู้สึกราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจ และแทบจะ
ปล่อยโฮออกมา
ในเวลานี้ ทั้งหมดที่เขารู้สึกคือความเสียใจ มีผู้คน
อยู่ตั้งเท่าไหร่ ทำไมเขาจึงเลือกทำให้ชายผู้นี้ขุ่นเคือง อีก
อย่าง ถ้าเขาจะยอมรับคำตัดสินให้เสมอกันก็ย่อมได้ แต่
กลับเขี่ยความโชคดีนั้นทิ้งไป...และลงท้ายด้วยการขุด
หลุมศพให้ตัวเอง
ด้วยความเสียใจสุดขีด เขาหันไปทางรองประธาน
เฉิง
ตอนแรก รองประธานเฉิ ง ตั้ ง ใจจะเมิ น อาการ
วิงวอนของเขา แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็
ถอนหายใจและถามว่า “น้องชาย ผมควรเรียกคุณว่า
อย่างไร?”
“จางเซวียน!”
“น้องจางเซวียน ทั้งคุณและจิตรกรจี้คือเสาหลักที่
จะค้ำจุนสมาคมของเราต่อไปในอนาคต เพื่อเห็นแก่ผม
คุณจะ...ยกเลิกเดิมพันนั้นได้ไหม?” รองประธานเฉิงถาม
จี้โม่รนหาที่ตายเอง รองประธานเฉิงก็ได้เข้าข้างเขา
ด้วยการประกาศผลการแข่งขันให้ออกมาเสมอแล้ว แต่
เจ้านั่นก็ยังไม่พอใจและทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา
ตอนนี้ อีกฝ่ายยกระดับภาพวาดได้จนถึงขั้น 4 โดย
แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ดังนั้น ทางเลือกเดียวของจี้โม่ก็
คือยอมแพ้
เพียงแต่ว่า...ถ้าเขายอมแพ้ ก็ต้องทำตามเดิมพันที่
สัญญากันไว้ ซึ่งเป็นเดิมพันที่หนักหนาสาหัสถึงขั้นต้อง
ละทิ้งความสามารถของเขาและสมาคมไป
“ยกเลิกเดิมพัน? ผมเสียใจด้วยนะ แต่ผมไม่มีนิสัย
แบบที่จะไม่ตอบโต้หากใครสักคนมาปีนป่ายข้ามหัวผม!”
จางเซวี ย นโบกมื อ อย่ า งไม่ ยี่ ห ระ เขาประกาศ
“คุกเข่าและยอมรับความพ่ายแพ้ของคุณซะ แล้วก็ไสหัว
ออกจากสมาคมจิตรกรไป อย่าได้กลับมาอีก!”
ถ้าฝ่ายนั้นหาเรื่องเขาแค่ครั้งสองครั้ง จางเซวียนก็
จะไม่มัวเสียเวลาแก้แค้น แต่ในเมื่อหมอนั่นเลือกที่จะล้ำ
เส้นครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จะมาหาว่าเขาโหดร้ายไม่ได้
“เอ่อ...”
ได้ยินคำนั้น รองประธานเฉิงกับรองประธานอู๋สบตา
กัน ทั้งคู่ส่ายหน้าและไม่พูดอะไร
ในเมื่อจี้โม่เป็นฝ่ายแพ้ ก็ควรจะทำตามนั้น แต่หาก
เรื่องแพร่สะพัดออกไปว่าสมาคมจิตรกรขับไล่คนของตัว
เอง เกียรติยศของสมาคมที่สั่งสมมาย่อมป่นปี้
เห็นจางเซวียนไม่เต็มใจจะยกเลิกเดิมพันแม้ว่ารอง
ประธานจะอุตส่าห์ขอให้เห็นแก่เขา จี้โม่ก็หน้าตึง “ได้
ผมจะขอโทษคุณ!”
จากนั้น เขาคุกเข่าลงกับพื้น และจ้องหน้าจางเซวี
ยนด้วยความอาฆาตล้ำลึกราวกับอีกฝ่ายฆ่าพ่อเขาตาย
จี้โม่กระชากเสียง “เป็นความผิดของผมเองที่ทำให้คุณ
ขุ่นเคือง ผมต้องขอโทษด้วย!”
“ไสหัวไป!”
เห็นกันชัดๆว่าคำขอโทษนั้นไม่มีความจริงใจสักนิด
แต่จางเซวียนก็ไม่เดือดร้อน ในสายตาของเขา หมอนี่ไม่
ต่างอะไรกับแมลงน่ารำคาญตัวหนึ่ง
“ไสหัวไป?”
จี้โม่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจ เขาคำรามเยาะๆ “ได้
ผมแพ้ก็จริง แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์จะห้ามไม่ให้ผมเข้าสมาคม
หรอกนะ ต่อให้วันนี้ผมออกไป พรุ่งนี้ก็กลับมาใหม่ได้ ผม
เป็นจิตรกรอย่างเป็นทางการของสมาคมนี้ คุณคิดว่าไอ้
เดิมพันแค่นั้นจะกีดกันผมได้หรือ? ฝันไปเถอะ!”
“เฮ้ย...”
ได้ยินคำเย้ยหยันของจี้โม่ ฝูงชนต่างพากันดูถูก
ดูแคลนเขา แต่ก็อดเห็นจริงตามคำพูดนั้นไม่ได้
ต่ อ ให้ จี้ โ ม่ จ ะบ้ อ ท่ า และทำตั ว ไม่ เ หมาะไม่ ค วร
อย่างไร แต่เขาก็ผ่านการทดสอบและได้เป็นจิตรกรอย่าง
เป็นทางการแล้ว เดิมพันนั้นอาจทำให้เขาจากไปได้ชั่ว
ครั้งชั่วคราว แต่ก็ไม่มีทางกำจัดเขาให้พ้นจากสมาคมได้
อยู่ดี
“เดิมพันก็กีดกันคุณไม่ได้?” จางเซวียนลูบคาง
อย่างใช้ความคิด
“ก็แหงล่ะ! ถ้าคุณไม่มาปักหลักนอนหน้าสมาคมทุก
วัน ผมก็กลับมาได้อยู่ดี ไม่ต้องสงสัยเลย ถึงคราวนี้ผม
แพ้ แต่คุณก็ไม่ชนะเหมือนกัน!”
คุณชายจี้โม่ทำสีหน้าสะใจแบบ ‘แล้วอย่างแกจะทำ
อะไรได้’
ที่เขาพูดมาก็ถูก ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางมาปักหลัก
นอนหน้าสมาคมได้ จางเซวียนออกไปเมื่อไหร่ ฝ่ายนั้นก็
ดอดเข้ามาได้ทันที
อีกอย่าง มันก็เป็นแค่เดิมพันปากเปล่า ไม่ใช่การทำ
สัญญาอย่างจริงจัง ถ้าผมไม่เต็มใจจะทำตาม น้ำหน้า
อย่างคุณจะทำอะไรได้?
“ผมไม่มาปักหลักนอนที่นี่หรอก ก็ถ้าคุณเข้ามา
ตอนที่ผมไม่อยู่ ผมก็จะดูแย่ไปเสียเปล่าๆ!”
คนที่โยนศักดิ์ศรีเกียรติยศของตัวเองทิ้งไปหมดแล้ว
ย่อมรู้สึกว่าไม่มีใครหน้าไหนจะเอาชนะเขาได้ ตอนแรก
จางเซวียนคิดว่าหมอนี่น่าจะรักษาเกียรติยศและรักษา
หน้าของตัวเองยิ่งกว่าอะไร โดยดูจากการที่เขาเอาชนะ
ใจสาวๆได้มากมาย
แต่ในเมื่อกลับกลายเป็นหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้
จางเซวียนก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เรื่องนี้ช่าง
วุ่นวายเสียจริง...แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ วิธีจัดการแบบง่ายๆ
ก็มีอยู่!”
“วิธีจัดการแบบง่ายๆ? มีแต่จิตรกรระดับ 3 ดาว
ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถแบนใครออกจากสมาคมได้ คุณ
คิดว่าจะแบนผมได้หรือ? ฝันไปเถอะ...”
จี้โม่เยาะเย้ยอย่างสะใจ
มีแต่จิตรกรระดับ 3 ดาวขึ้นไปเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขับ
ใครออกจากสมาคมได้อย่างถาวร ในความคิดของจี้โม่
ต่อให้ทักษะการวาดภาพของจางเซวียนจะน่าทึ่งแค่ไหน
อย่างมากก็เป็นได้แค่จิตรกรระดับ 2 ดาว
ในเมื่อคุณไม่ใช่จิตรกรระดับ 3 ดาว แล้วจะมาแบน
ผมได้อย่างไร?
“จิตรกรระดับ 3 ดาวถึงจะแบนได้?” จางเซวียน
คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ผมจะสอบ
เป็นจิตรกรระดับ 3 ดาวก่อน!”
“สอบเป็นจิตรกรระดับ 3 ดาว?”
“นั่นละเมอหรือเปล่า? พูดออกมาได้ว่าจะสอบเป็น
จิตรกรระดับ 3 ดาว?”
“เขาคงล้ อ เล่ น แน่ ! ถึ ง ฉั น จะยอมรั บ ว่ า ความ
สามารถในการรังสรรค์ภาพวาดขั้น 4 ของเขาก็ไร้เทียม
ทานจริงๆ แต่ก็ยังห่างไกลจากการเป็นจิตรกรระดับ 3
ดาวมากนะ!”
ฝูงชนพากันตะลึงจนแทบลมจับกับคำพูดของจาง
เซวียน
ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหวู่ มีแต่ประธานสมาคม
เท่านั้นที่เป็นจิตรกรระดับ 3 ดาว ก็เห็นกันอยู่ว่าไม่ใช่
เรื่องง่าย แค่คุณคิดว่าอยากเป็น ก็จะสอบผ่านได้อย่าง
นั้นหรือ?
จองหองเสียขนาดนี้ ไม่กลัวสวรรค์จะลงทัณฑ์บ้าง
หรืออย่างไร?
ขนาดรองประธานทั้งสองก็ได้แต่ส่ายหน้า
เด็กหนุ่มสมัยนี้หลงตัวเองกันเสียจริง ช่างไม่รู้เลย
ว่ายังมีโลกกว้างที่พวกเขายังไม่ได้รู้ได้เห็นอีกมาก
ถึงจะเป็นแค่ระดับ 2 ดาวกับ 3 ดาว แต่ช่องว่าง
ของทั้งสองระดับก็ต่างกันราวกับสวรรค์กับโลกมนุษย์ ไม่
อย่างนั้น พวกเขาคงไม่แป้กอยู่ที่ระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด
มานานขนาดนี้
และไม่ใช่แค่พวกเขาทั้งสอง สมาคมจิตรกรแห่ง
อาณาจักรเทียนหวู่ยังมีจิตรกรอีกหลายสิบคน แต่ก็มี
ระดับ 3 ดาวแค่คนเดียวเท่านั้น ความเหลื่อมล้ำระหว่าง
จิตรกรระดับ 2 ดาวกับ 3 ดาวจึงไม่ใช่สิ่งที่ใครสักคนจะ
หยั่งถึงได้ง่ายๆ
แต่พูดออกมาดื้อๆว่าจะเข้าสอบ...
เจ้าโง่นั่นช่างบ้าบิ่นเสียเหลือเกิน!
“โอ๊ย ฮ่าฮ่า! นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่ผมได้ยินใน
วันนี้!” คุณชายจี้โม่เย้ยหยัน “แค่วาดภาพขั้น 4 ได้ ก็
อย่าหลงตัวเองนักเลย คุณยังห่างไกลจากการเป็นจิตรกร
ระดับ 3 ดาวมากนัก!”
จางเซวียนไม่แยแสการพล่ามของจี้โม่ เขาเดินไป
หารองประธานทั้งสอง และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม
อย่างไม่มีขัดเขิน
“อันที่จริง ผมมาที่นี่ก็เพื่อตั้งใจเข้ารับการทดสอบ
เป็นจิตรกรอยู่แล้ว เอ่อ...ขอถามหน่อยว่าการทดสอบเข้า
เป็นผู้ช่วยจิตรกร เขาทำกันอย่างไร?”
ฮะ!
ทุกคนถึงกับทรุด
บ้าไปแล้วหรือไง! ก็คุณเพิ่งพล่ามอยู่หยกๆว่าจะ
สอบเป็นจิตรกรระดับ 3 ดาว นี่กลับมาถามว่าสอบเป็นผู้
ช่วยเขาทำกันอย่างไร...
น้องชาย ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา!
การที่คุณวาดภาพขั้น 4 ได้ ก็แปลว่าอย่างน้อย
ทักษะของคุณก็ต้องเทียบเท่ากับจิตรกรระดับ 2 ดาวแล้ว
เป็นไปได้หรือที่คุณจะไม่รู้ว่าการทดสอบเป็นผู้ช่วยเขาทำ
กันอย่างไร?
“การทดสอบเป็นผู้ช่วยทำอย่างไร? คุณ...คงไม่ใช่
ว่าคุณยังไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ช่วยจิตรกรหรอกนะ?”
เมื่อนึกขึ้นได้ตะหงิดๆ รองประธานอู๋ก็ได้แต่ถาม
“แค่ก แค่ก, ถูกแล้ว ผมยังไม่ได้สอบเป็นผู้ช่วยเลย
เหตุผลที่มาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อจะสอบนี่แหละ...”
จางเซวียนพยักหน้าราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
ที่สุดที่คนทั่วไปเขาทำกัน
เฮ้ย!
ทุกคนตาแทบปะทุ
ยังไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ช่วย แต่กล้าท้าจิตรกรอย่างเป็น
ทางการ แถมยังพนันกับเขาด้วย...นี่จะบ้าบิ่นไปไหม?
แต่ว่า...การที่คุณสามารถใช้อสูรวาดภาพขั้น 4 ได้
ทั้ ง ที่ ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น แม้ แ ต่ ผู้ ช่ ว ยจิ ต รกร...ทั ก ษะและ
ประสบการณ์ของคุณก็ย่อมต้องสูงส่งกว่าพวกเราแน่!
แน่ใจหรือว่าไม่ได้โกหก?
แถมคุ ณ ยั ง พู ด ถึ ง การทดสอบราวกั บ ไม่ ใ ช่ เ รื่ อ ง
สำคัญเลย...
คนอื่นๆเขามีแต่พยายามกันสายตัวแทบขาดเพื่อให้
สอบผ่าน แต่ฟังจากน้ำเสียงของคุณแล้ว เหมือนกับว่า
อยู่ว่างๆก็เลยมาเข้าสอบ...
ได้! สบายใจก็ทำไป
ก็ดูเหมือนคุณเจ๋งพอที่จะทำแบบนั้น!
รองประธานอู๋พยายามข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เอาไว้ แล้วอธิบายเรื่องการทดสอบ
“การทดสอบเป็ น จิ ต รกรนั้ น จั ด ว่ า ไม่ ซั บ ซ้ อ นเมื่ อ
เทียบกับอาชีพอื่น ไม่จำเป็นต้องสอบทีละขั้น ตราบใดที่
ผู้นั้นสามารถรังสรรค์ภาพวาดที่พิสูจน์ได้ว่าทักษะของ
เขาเข้าถึงระดับที่กำหนดไว้ ก็จะสอบผ่าน ยกตัวอย่าง
เช่น ผู้ที่รังสรรค์ภาพวาดขั้น 1-การพรรณนาเสมือนจริง
ขึ้นได้ ก็จะได้เป็นผู้ช่วยจิตรกร ผู้ที่รังสรรค์ภาพวาดขั้น
2-ผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณได้ ก็จะได้เป็นจิตรกรระดับ 1
ดาว ส่วนการที่คุณรังสรรค์ภาพวาดขั้น 4 ได้ ก็แปลว่า
คุณเทียบเท่ากับจิตรกรระดับ 2 ดาวแล้ว”
“ฮะ? ง่ายอย่างนั้นเลย?”
นึกไม่ถึงว่าการทดสอบเป็นจิตรกรจะง่ายกว่าอาชีพ
อื่นมาก จางเซวียนถึงกับตาโต “ถ้าอย่างนั้น จิตรกร
ระดับ 3 ดาวต้องทำอะไรบ้าง?”
“ผู้ที่จะเข้าทดสอบเป็นจิตรกรระดับ 3 ดาวจะต้อง
วาดภาพขั้น 5-การรังสรรค์จิตวิญญาณได้ ภาพวาดขั้น 4
กับขั้น 5 มีความแตกต่างกันมาก ซึ่งในสมาคมของเรา ก็
มีแต่ประธานสมาคมเท่านั้นที่อยู่ในขั้นนี้!”
เห็นอีกฝ่ายยังยื้อไม่เลิก รองประธานอู๋พยายาม
หว่านล้อม “การที่คุณวาดภาพขั้น 4 ได้ด้วยอายุเพียง
เท่านี้ ก็ถือว่ามีความปราดเปรื่องเป็นเลิศแล้ว แถมคุณยัง
ไม่เคยเข้ารับการฝึกฝนจากผู้เชี่ยวชาญจริงๆด้วย ถ้าคุณ
หมั่นศึกษาหาความรู้ภายใต้การชี้แนะของอาจารย์ดีๆสัก
คน ภายในไม่เกิน 10 ปีคุณจะต้องวาดภาพได้ถึงขั้น 5
และผ่านการทดสอบเป็นจิตรกรระดับ 3 ดาวแน่ ไม่ต้อง
ห่วงเลย!”
ช่องว่างระหว่างภาพวาดขั้น 4 กับขั้น 5 นั้นต่างกัน
มาก เทียบเท่ากับความเหลื่อมล้ำระหว่างวรยุทธขั้นทงฉ
วนกับจงซรือเลยทีเดียว
แม้ภาพวาดดอกพลัมผลิบานในฤดูหนาวของจางเซ
วียนจะอยู่ในขั้น 4 แต่ก็ดูเหมือนว่าจะได้มาเพราะโชค
ช่วย
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางเข้าถึงขั้น 4 ได้
มันยังห่างไกลจากภาพวาดขั้น 5 อยู่มาก คิดจะวิ่ง
ทั้งที่ยังเดินไม่เป็น...จะรีบร้อนไปหน่อยไหม!
“รองประธานอู๋พูดถูก คุณวาดภาพขั้น 4 ได้ด้วย
อายุเพียงเท่านี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความปราดเปรื่อง
เป็นเลิศ ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ที่สมาคมนี้ คุณคือ
จิตรกรที่ปราดเปรื่องที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ส่วนการจะ
ทดสอบเป็นจิตรกรระดับ 3 ดาวนั้น น่าจะดีกว่าถ้า
คุณ...”
รองประธานเฉิงรีบเสริม แต่พูดไปได้แค่ครึ่งประโยค
ก็เห็นชายหนุ่มเดินผ่านหน้าเขาไป แล้วไปหยุดยืนหน้า
ภาพวาดดอกพลัมผลิบานในฤดูหนาว!
จู่ๆเขาก็ไปเอาน้ำอ่างหนึ่งมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เขา
ดื่มมันเข้าไป แล้วพ่นพรวดลงบนกระดาษฉูอัน
ฟึ่บ!
หยดน้ำเหล่านั้นกระเซ็นลงไปบนภาพวาด เกิดเป็น
จุดสีเทาตรงบริเวณที่เคยเป็นสีขาว ดูราวกับหิมะตกลง
มาจากฟากฟ้า ทันใดนั้นก็เกิดเป็นภาพวาดดอกพลัมที่ผลิ
บานอย่างงดงามท่ามกลางหิมะ สดสวยราวกับจะเย้ยฟ้า
ท้าสวรรค์
วิ้ง!
พลั ง จิ ต วิ ญ ญาณที่ อ ยู่ โ ดยรอบต่ า งรวมตั ว กั น อยู่
รอบๆภาพวาด และดอกพลัมเหล่านั้นก็ผุดขึ้นมาจาก
หน้ากระดาษฉูอัน มันพยายามป่ายปีนขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
ราวกับจะท้าทายสรวงสวรรค์และโชคชะตาของมัน
“ผมทำให้แล้ว!” จางเซวียนวางอ่างลงบนโต๊ะและ
ปรบมือ จากนั้นก็หันไปทางรองประธานทั้งสอง เขาชี้นิ้ว
ไปที่ภาพวาด
“ภาพวาดขั้น 5...”
“จัดไป!”
ตอนที่ 292 จ้าวหย่ากับคนอื่นๆมาถึง

“ดอกพลัมที่ผลิบานในฤดูหนาวใช้พลังจิตวิญญาณ
ที่อยู่โดยรอบเพื่อการเจริญเติบโต นี่มัน...ภาพวาดขั้น
5 ?”
“แค่พ่นน้ำใส่ก็กลายเป็นภาพวาดขั้น 5 มันจะเกิน
ไปไหม?”
ทุกคนหน้าตาเหยเกด้วยความตะลึง และถึงกับเซ่อ
ไป
แค่จับอสูรมาวิ่งมากลิ้งบนกระดาษ ภาพวาดซึ่ง
ควรจะเละเทะ ก็กลับกลายเป็นภาพวาดขั้น 3 ได้ด้วย
การเขย่าเบาๆ
เท่านั้นยังไม่จบ แค่เอาคบเพลิงมาอัง ภาพวาดก็
เลื่อนระดับขึ้นเป็นขั้น 4
จากนั้น ด้วยการพ่นน้ำใส่ ก็เกิดเป็นหิมะที่ทำให้
กลายเป็นภาพวาดขั้น 5...
บ้าไปแล้ว! นี่คุณเป็นจิตรกรหรือนักเล่นปาหี่?
ภาพวาดขั้น 5 นั้นเป็นสิ่งที่มีแต่จิตรกรระดับ 3
ดาวจะรังสรรค์ได้ แต่คุณทำได้ด้วยการใช้อสูร...
นี่มันบ้าบออะไรกัน?
ทุกคนหันขวับไปมองจางเซวียนอีกครั้ง และอด
สงสัยไม่ได้ว่าเขาอาจไม่ใช่มนุษย์
เมื่อครู่นี้ พวกเขายังคิดว่าจางเซวียนเป็นแค่คน
จองหอง ขี้โม้ และไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่มาตอนนี้ก็รู้แล้วว่า
ตัวเองคิดผิดแค่ไหน แท้ที่จริงเขาคือบรมครูผู้ครอบครอง
ทักษะอันเหนือชั้นกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้
ภาพวาดที่ดูเหมือนจะเละเทะกลับกลายเป็นภาพ
วาดขั้น 5!
มันเหมือนกับเวทมนตร์เสียจนทำให้ฝูงชนทั้งอึ้งทั้ง
งงงัน
“เอ่อ...เอ่อ...”
รองประธานทั้งคู่ถึงกับปากสั่นด้วยความอัศจรรย์ใจ
มั น เหลื อ เชื่ อ เกิ น ไปเด็ ก หนุ่ ม ที่ ยั ง อายุ ไ ม่ ถึ ง 20
สามารถวาดภาพขั้น 5...ต่อให้เป็นที่สำนักงานใหญ่ เขาก็
คงถูกจัดให้เป็นอัจฉริยะแถวหน้า!
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคนอื่นๆ แม้ว่าจะเป็นถึง
จิตรกรระดับ 3 ดาว ก็ยังต้องรวบรวมสมาธิและเตรียม
การไม่รู้กี่อย่างต่อกี่อย่างเพื่อปรับสภาวะจิต ก่อนที่จะ
สามารถรังสรรค์ภาพวาดขั้น 5 ขึ้นได้ แต่เจ้าหนุ่มคนนี้
ทำได้สำเร็จแค่ใช้การพ่นน้ำลงไป...
การวาดภาพขั้น 5 มันง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
กัน?
นี่เราท้าทายกับคนที่วาดภาพขั้น 5 ได้จริงๆหรือ?
คุณชายจี้โม่หน้าซีด แทบจะเอาหัวโขกเสาให้ตาย
ไปเดี๋ยวนั้น
หลังจากเขาจิกกัดอีกฝ่าย ฝ่ายนั้นก็ควักอสูรออกมา
ท้าทายความสามารถของเขา
หลังจากเยาะเย้ยภาพวาดของอีกฝ่าย ฝ่ายนั้นก็ยก
ระดับภาพวาดให้ไปถึงขั้น 3 ทันทีด้วยการเขย่า
หลังจากพูดว่า ภาพวาดของอีกฝ่ายสำเร็จขึ้นได้
จากการรวมหัวกัน ซึ่งผลลัพธ์ไม่ควรจะออกมาเสมอ
ฝ่ายนั้นก็จัดการให้ภาพวาดขึ้นไปขั้น 4
และตอนนี้ ภาพวาดก็กลายเป็นขั้น 5 ไปเรียบร้อย.
คุณมาที่นี่เพื่อจงใจตบหน้าผมใช่ไหม?
ถ้าผมรู้ว่าคุณเป็นถึงบรมครูที่วาดภาพขั้น 5ได้ ต่อ
ให้งี่เง่าโง่งมแค่ไหน ผมก็จะไม่กล้าหาเรื่องคุณเด็ดขาด!
ตอนนี้ ความพยายามที่จะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองก็
ทำให้ผมจบเห่และกลายเป็นตัวตลก ยังไม่ต้องพูดถึง
สาวๆพวกนั้น ผมจะเอาหน้าที่ไหนไปเดินถนนได้...
“ตรวจสอบให้แน่ใจเลยว่ามันเป็นภาพวาดขั้น 5!”
จางเซวียนหันไปทางรองประธานทั้งสอง ไม่สนใจ
ความตกตะลึงของฝูงชน
“ไม่ต้องตรวจหรอก มันเป็นภาพวาดขั้น 5 อย่าง
แน่นอน!”
รองประธานทั้งสองยังตะลึงอยู่
ภาพวาดขั้น 5 จะสามารถดูดซับพลังจิตวิญญาณ
เพื่อทำให้เนื้อหาของมันกลายเป็นรูปธรรมขึ้นมา ถึงจะ
ยังไม่มีสติปัญญาอยู่ในตัว แต่พวกมันก็สามารถก้าวออก
จากภาพวาด และมีมิติของตัวเองอย่างน่าขนลุก การจะ
แยกแยะได้ว่าภาพไหนเป็นภาพขั้น 5 นั้นไม่จำเป็นต้อง
ใช้ความเข้าใจอย่างล้ำลึกในเรื่องการวาดภาพเลย ขอแค่
ตาไม่บอดก็รู้แล้ว...
ทั้งคู่เป็นถึงรองประธานสมาคมจิตรกร และเป็น
จิตรกรระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าภาพ
ไหนเป็นภาพวาดขั้น 5!
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็มีสิทธิ์ได้รับตราสัญลักษณ์จิตรกร
ระดับ 3 ดาวแล้วใช่ไหม?” จางเซวียนตาโต
“เอ่อ...”
รองประธานอู๋พยายามข่มความร้อนรนและใจสั่นไว้
เขาลั ง เลอยู่ ค รู่ ห นึ่ ง ก่ อ นจะพู ด ว่ า “ถ้ า จะพู ด กั น ตาม
เหตุผล คุณก็เป็นจิตรกรระดับ 3 ดาวแล้ว แต่ว่าประธาน
สมาคมของเราก็เป็นแค่จิตรกรระดับ 3 ดาว และตอนนี้ก็
ไม่ อ ยู่ . ..พวกเราจึ ง ไม่ มี คุ ณ สมบั ติ เ พี ย งพอที่ จ ะมอบ
ตำแหน่งนั้นให้คุณ!”
“คุณไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ?”
“บรมครูจาง อย่าเพิ่งตระหนกไป...” รองประธานอู๋
รีบโบกมือให้เขาใจเย็น
เขาเปลี่ยนวิธีเรียกจางเซวียนจาก ‘น้องชาย’ เป็น
‘บรมครู’
ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถวาดภาพขั้น 5 ได้ ก็แสดงให้
เห็นแล้วว่ามีทักษะเหนือกว่าพวกเขามาก ถึงพวกเขาจะ
มีอายุมากกว่าหลายสิบปี แต่ก็ไม่กล้าล้ำเส้นด้วยการ
เรียกจางเซวียนว่า ‘น้องชาย’
มันจะดูเป็นการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงและกาลเทศะอย่าง
มากหากทำแบบนั้น
“พวกเราจะต้องส่งภาพวาดของคุณไปที่สำนักงาน
ใหญ่ เพื่อให้มีการตรวจสอบและทำการรับรองก่อน จาก
นั้นตราสัญลักษณ์ถึงจะถูกส่งมา” รองประธานอู๋เสริม
“ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน!”
“10 วัน?”
“ใช่ ถึงเราจะมอบตราสัญลักษณ์จิตรกรระดับ 3
ดาวให้คุณไม่ได้ แต่ระหว่างนี้ เราจะมอบตราระดับ 2
ดาวให้คุณไปก่อน!”
รองประธานอู๋พูด และผู้ช่วยจิตรกรคนหนึ่งก็รับคำ
สั่ ง แล้ ว เดิ น ออกไป ไม่ ช้ า ก็ ก ลั บ มาพร้ อ มกั บ ตรา
สัญลักษณ์จิตรกรระดับ 2 ดาวที่ส่องแสงวาววับ
ตราสัญลักษณ์จิตรกรระดับ 2 ดาว! ซึ่งบ่งบอก
สถานภาพของการเป็นจิตรกรระดับ 2 ดาว
“เยี่ยม!” จางเซวียนดีใจมาก
เขานึกไม่ถึงว่าการทดสอบเป็นจิตรกรจะง่ายดาย
ขนาดนี้ แค่วาดภาพชิ้นหนึ่งก็ได้ตำแหน่งมาอย่างง่ายๆ
ไม่ เ หมื อ นกั บ อาชี พ อื่ น ที่ ต้ อ งฝ่ า ฟั น การทดสอบยุ่ ง ยาก
มากมาย กว่าจะยืนยันทักษะของตัวเองได้
“ในเมื่อบรมครูจางวาดภาพขั้น 5 ได้สำเร็จ ถึงคุณ
จะยังไม่ได้ตราสัญลักษณ์มา แต่คุณก็มีสิทธิ์และอำนาจ
ตามขอบเขตของจิตรกรระดับ 3 ดาวแล้ว!”
รองประธานเฉิงขัดขึ้น
“ผมมีอำนาจของจิตรกรระดับ 3 ดาวแล้วจริงๆ
หรือ? ถ้าอย่างนั้น จากการที่จิตรกรจี้โม่คนนี้หาเรื่องผม
ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมขอประกาศตรงนี้เลยว่า เขาถูกขับ
ออกจากสมาคมจิตรกรเป็นการถาวรแล้ว!”
จางเซวียนหันไปทางฝูงชนขณะที่พูด
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น คุณชายจี้โม่ก็ถึงกับหน้าซีด
เผือดและทรุดฮวบลงกับพื้น
อีกฝ่ายได้เป็นจิตรกรระดับ 3 ดาวแล้ว และมี
อำนาจครบถ้วนสมบูรณ์ที่จะทำแบบนั้น เมื่อเกิดการแบน
ขึ้น สมาคมจิตรกรทุกสาขาจะได้รับคำสั่งนี้ และเขาจะไม่
อาจเข้าไปในสมาคมจิตรกรสาขาใดๆได้อีกเลย
หากมีความพยายามฝ่าฝืนคำสั่งแบน ก็จะเท่ากับ
ท้าทายสมาคมจิตรกร ซึ่งผู้ท้าทายก็อาจต้องตายในเดี๋ยว
นั้น
จี้โม่แค่คิดจะใช้เจ้าเซ่อซ่าที่มาจากบ้านนอกคนนี้
เป็นก้อนหินรองฝ่าเท้า เพื่อไต่เต้าไปสู่การมีชื่อเสียง ไม่
นึกไม่ฝันเลยว่าจะถูกตอกกลับเข้าอย่างจังจนถึงกับไปไม่
เป็น...
“จิตรกรจี้ คุณไปได้แล้ว!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของจางเซวียน รองประธานอู๋ได้แต่
ส่ายหน้า และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไล่อีกฝ่ายออกไป
แม้เขาจะคิดว่ามันออกจะโหดร้ายไปสักหน่อย แต่ก็
เป็ น ความจริ ง ที่ ไ ม่ อ าจโต้ แ ย้ ง ได้ ว่ า จี้ โ ม่ แ พ้ ก ารประชั น
แถมยังสูญเสียเดิมพันด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่อาจพูดอะไรได้
มากกว่านี้
อีกอย่าง เมื่อจางเซวียนปรากฏตัวแล้ว ความปราด
เปรื่องของคุณชายจี้โม่ก็ไม่มีความหมายใดๆ
ไม่ จ ำเป็ น ต้ อ งเสี ย เวลาคิ ด เลยว่ า พวกเขาควรจะ
สนับสนุนใคร
“ได้!”
ถึงจะไม่เต็มใจ แต่คุณชายจี้โม่ก็รู้ว่าการแบนได้เป็น
ผลแล้ว และถ้าเขายังไม่สามารถพัฒนาทักษะของตัวเอง
ให้เหนือกว่าอีกฝ่ายได้ เขาจะไม่มีทางถอดถอนการแบน
นี้ได้เลย
ฟึ่บ!
เขาลุกขึ้นยืน หันหลังกลับแล้วเดินออกจากสมาคม
ไปทันที
ขืนอยู่ต่อก็มีแต่จะขายหน้า!
“โว้ยยย! บ้าเอ๊ย!”
เมื่อออกมาพ้นสมาคม เขาแหงนหน้าคำรามอย่าง
เกรี้ยวกราดกับท้องฟ้า เจตนาสังหารฉายชัดอยู่ในดวงตา
ของเขา “แกกล้าดูถูกฉันขนาดนี้ อย่าคิดเลยว่าจะรอดไป
ได้! เฮ้ย แก!”
“ขอรับนายน้อย!”
ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในเงามืด
“สืบประวัติของมัน หาให้ได้ว่ามันเป็นใคร และถ้า
มีโอกาส...ฆ่ามันซะ!”
จี้โม่เหวี่ยงแขนอย่างวางมาด
สำหรับตัวเขาซึ่งเป็นถึงนายน้อยของหนึ่งในสาม
ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง การถูกใครสักคนหนึ่งหยาม
หน้าต่อหน้าธารกำนัลเป็นสิ่งที่สร้างความขุ่นเคืองอย่าง
สุดจะพรรณนาให้กับเขา
“ขอรับ!”
เงานั้ น พยั ก หน้ า พริ บ ตาเดี ย วก็ ก ลื น หายไปกั บ
ความมืดอีกครั้งหนึ่ง
...
“หอสมุดของคุณอยู่ที่ไหน?”
หลังจากได้สถานภาพจิตรกรอย่างเป็นทางการแล้ว
จางเซวียนก็ยังไม่ออกไป เขาถามหาที่ตั้งของหอสมุด
แทน
หนังสือทั้งหมดที่เขาได้อ่านในบ้านของปรมาจารย์
ลู่ เ ฉิ น นั้ น ครอบคลุ ม แค่ ห ลั ก การพื้ น ฐาน ซึ่ ง เพี ย งพอ
สำหรับการรังสรรค์ภาพวาดขั้นต้นเท่านั้น จางเซวียนจึง
อยากได้หนังสือที่มีเนื้อหาอยู่ในขั้นสูงกว่าเดิม
ในเมื่อเขาก็ได้เป็นจิตรกรอย่างเป็นทางการ และมา
ถึงที่สมาคมจิตรกรแล้ว ถ้าได้ดูหนังสือและหาวิธีการ
พัฒนาตัวเองได้ก็จะเป็นการดีมาก
“บรมครูจาง เชิญทางนี้!”
รองประธานอู๋นำทางไป
ไม่ช้าก็มาถึงห้องขนาดใหญ่มหึมา
“นี่คือหอสมุดของเรา” รองประธานอู๋ชี้เข้าไปข้าง
ใน
จางเซวียนพยักหน้า “ผมอยากดูหนังสือสักหน่อย
ช่วยดูอย่าให้ใครมารบกวนด้วย!”
จากนั้ น ก็ เ ดิ น ทอดน่ อ งเข้ า ไปข้ า งในพร้ อ มกั บ เอา
สองมือไพล่หลัง
หนั ง สื อ ที่ ส มาคมจิ ต รกรมี จ ำนวนมากกว่ า ที่ บ้ า น
ของปรมาจารย์ ลู่ เ ฉิ น มากนั ก มี ทั้ ง หนั ง สื อ จำนวน
มหาศาลและงานศิลปะทุกประเภทอยู่ภายในห้องขนาด
มหึมานั้น เมื่อเห็นว่ารองประธานอู๋และคนอื่นๆไม่ได้ตาม
เข้ามา จางเซวียนก็สูดหายใจลึก แตะนิ้วลงบนหนังสือ
แถวแรก และเริ่มงานทันที
หนังสือเล่มต่อเล่มถูกถ่ายทอดเข้าสู่หอสมุดเทียบ
ฟ้าอย่างรวดเร็ว
.....
ขณะที่จางเซวียนกำลังถ่ายโอนหนังสือในหอสมุด
ของสมาคมจิตรกร อสูรพาหนะขนาดยักษ์ตัวหนึ่งก็ร่อน
ลงจอดนอกเขตอาณาจักรเทียนหวู่ ผู้คนจำนวนหนึ่ง
กระโดดลงจากหลังของมัน
“ถ้าอย่างนั้น ที่นี่ก็คืออาณาจักรเทียนหวู่ใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งจ้องกำแพงเมืองสูงตระหง่าน นัยน์ตา
เป็นประกายวาววับด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้ว!”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นลูบเคราและหัว
เราะหึๆ
“พวกเราต้องนั่งเกี้ยวไปถึงอาณาจักรเป๋ยอู๋ และ
ขอยืมอสูรพาหนะจากเชื้อพระวงศ์ที่นั่นเพื่อใช้เดินทาง
มายังอาณาจักรเทียนหวู่ ต่อให้แทบไม่หยุดพัก ก็ยังต้อง
ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะถึงที่นี่ อาณาจักรเทียนหวู่นั้น
กว้างใหญ่จริงๆ!”
สาวน้อยคนหนึ่งในกลุ่มนั้นคลี่ยิ้ม แสงนวลจากดวง
จันทร์และหมู่ดาวเพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้างดงามนั้น เธอ
กะพริบตาและถามว่า “พวกเธอคิดว่าอาจารย์น่าจะมา
ถึงหรือยัง?”
“ฉั น ได้ ยิ น จากอาจารย์ เ สิ่ น ว่ า อาจารย์ จ างจะมุ่ ง
หน้าไปสันเขาบัวแดงทันทีที่ออกจากดงอสูร เขามีบาง
อย่างที่ต้องไปทำที่นั่น ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าเขาจะมาถึง
อาณาจักรเทียนหวู่หรือยัง แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ถึง
อย่างไรเขาก็ต้องมาเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ที่นี่
พวกเราแค่รอเขาอยู่ที่นี่ก็พอ!”
สาวน้อยอีกคนหนึ่งพูดขึ้น
ตรงกันข้ามกับแม่สาวขี้อายเมื่อครู่ สาวน้อยคนนี้
แผ่รังสีอันองอาจออกมา ใบหน้าของเธอหมดจดงดงาม
อย่างไม่น่าเชื่อ ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด
“อย่ามัวเสียเวลาตรงนี้เลย เข้าเมืองกันดีกว่า!”
ผู้อาวุโสพูดขัดขึ้น "ผมขอเตือนพวกคุณล่วงหน้า
อาณาจักรเทียนหวู่เป็นอาณาจักรขั้น
1, ไม่เหมือนกับอาณาจักรเทียนเซวียน พวกคุณ
ต้องระมัดระวังพฤติกรรมไม่ให้ไประคายผู้มีอิทธิพลหน้า
ไหนเข้า ถึงผมจะใช้กลไกของสภาปรมาจารย์แก้ปัญหา
ให้ได้ แต่มันก็จะยังยุ่งยากมาก เพราะฉะนั้นจะดีที่สุดถ้า
สงบเสงี่ยมเจียมตัวเข้าไว้!"
“ได้!” สองสามคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
เห็นทั้งกลุ่มตอบรับคำพูดของเขา ผู้อาวุโสพยัก
หน้า “ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว พวกเราเข้าเมืองและหาที่พัก
กันดีกว่า พรุ่งนี้เช้าผมจะติดต่อสภาปรมาจารย์เพื่อตรวจ
สอบว่าศิษย์พี่จางมาถึงหรือยัง ก่อนที่ศิษย์พี่จางจะมาถึง
พวกคุณจะต้องฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้น 5-ติ่งลี่ให้ได้ ไม่
อย่างนั้นผมคงต้องอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าเขา”
“ปรมาาจารย์หลิว วางใจได้เลย!”
ได้ยินคำกำชับนั้น ทั้งกลุ่มพยักหน้าทันที
ถ้าจางเซวียนอยู่ตรงนี้ ก็จะรู้ทันทีว่าคนเหล่านี้คือ
ลูกศิษย์ทั้ง 5 ของเขา ซึ่งมาพร้อมกับปรมาจารย์หลิว ลู่ฉ
วิน หวงหวี่ และซุนฉาง
ตอนที่จางเซวียนออกจากโรงเรียนหงเทียนไปดง
อสูร ทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าไปอาณาจักรเป๋ยอู๋
ด้วยการนั่งเกี้ยว ต้องใช้เวลามากกว่า 10 วันกว่า
จะไปถึงที่หมาย
จากนั้นปรมาจารย์หลิวก็ขอยืมอสูรพาหนะจากเชื้อ
พระวงศ์ แ ห่ ง อาณาจั ก รเป๋ ย อู๋ ด้ ว ยเหตุ นี้ พ วกเขาจึ ง
ทำความเร็วได้
แต่อสูรตัวนี้ก็ไม่อาจเทียบได้กับเจ้าเขี้ยวเหล็กเหิน
ฟ้าของจางเซวียน มันมีวรยุทธแค่ขั้นทงฉวนเท่านั้น
พวกเขาจึงต้องใช้เวลามากกว่า 12 วันกว่าจะมาถึงที่นี่
รวมแล้วก็เดือนกว่าๆ กว่าที่ทั้งกลุ่มจะมาถึงเมือง
หลวงของอาณาจั ก รเที ย นหวู่ ในช่ ว งระยะเวลาอั น
ยาวนานนี้ ระดับวรยุทธของจ้าวหย่ากับพวกก็ก้าวหน้า
ขึ้นมาก
เมื่อมีเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับดัดแปลงอันยอดเยี่ยม
ที่ จ างเซวี ย นทิ้ ง ไว้ ใ ห้ ประกอบกั บ การชี้ แ นะของ
ปรมาจารย์ ห ลิ ว การที่ พ วกเขาจะก้ า วหน้ า ได้ อ ย่ า ง
พรวดพราดก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
หลังจากที่ปลุกสภาวะพิเศษได้แล้ว วรยุทธของจ้าว
หย่ า ก็ พุ่ ง ขึ้ น ไปถึ ง ติ่ ง ลี่ ขั้ น สู ง สุ ด ตอนนี้ มี แ สงเรื อ งๆ
ปรากฏขึ้นที่ร่างกายของเธอ 2 จุด ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยัน
ว่าเธอเปิดจุดชีพจรไปได้ 2 จุดและกลายเป็นนักรบขั้น
6-พี่เชวี่ยแล้ว
ส่วนเจิ้งหยางกับคนอื่นๆก็ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
เหมือนกัน พวกเขาสำเร็จวรยุทธผีกู่ขั้นสูงสุดแล้ว อีก
ก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ขั้น 5-ติ่งลี่
ผู้ที่มีวรยุทธล้าหลังที่สุดคือหยวนเทา แต่ถึงอย่าง
นั้นก็ยังสำเร็จวรยุทธผีกู่ขั้นกลาง แต่ที่เจ๋งกว่านั้นคือ
ความสามารถในการตั้งรับและทักษะการป้องกันตัวของ
เขายิ่งเหนือชั้นกว่าเดิมมาก ถึงขนาดที่การโจมตีของจ้าว
หย่าทำให้เขารู้สึกแค่เจ็บๆคันๆเท่านั้น และต่อให้นักรบพี่
เชวี่ยขั้นสูงสุดก็ยังฝ่าด่านการตั้งรับของเขาไม่ได้ หยวน
เทากลายเป็นโล่มนุษย์ชั้นเยี่ยม
ส่วนลู่ฉวิน ในฐานะผู้ช่วยของปรมาจารย์หลิว ก็
พั ฒ นาวรยุ ท ธไปได้ ม ากภายใต้ ก ารชี้ แ นะของฝ่ า ยนั้ น
เพียงหนึ่งเดือนเขาก็สำเร็จวรยุทธขั้น 7- ทงฉวนขั้น
สูงสุด
หวงหวี่ก็ฝ่าด่านวรยุทธจากติ่งลี่ขั้นสูงสุดไปเป็นพี่
เชวี่ยได้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่พัฒนาตัวเองได้
มากที่สุดก็คือปรมาจารย์หลิว
ข้อชี้แนะที่ปรมาจารย์หยางมอบให้เขาไว้เมื่อครั้งยัง
อยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียน ทำให้เขาเอาชนะอุปสรรคที่
ขัดขวางเขามาตลอดระยะเวลาหลายปีได้ และสุดท้าย
ปรมาจารย์หลิวก็สำเร็จวรยุทธขั้น 8-จงซรือ
ตอนนี้เขามีพลังงานอยู่ในร่างอย่างเหลือเฟือ
“เอาล่ะ เข้าไปเถอะ!”
เมื่อจ่ายค่าผ่านประตูแล้ว ทั้งกลุ่มก็เข้าเมืองไป
จ้าวหย่าและพรรคพวกต่างตื่นเต้นตาโตไปกับความ
พลุกพล่านของเมืองใหญ่
“เราจะพักที่นี่!”
เมื่อเดินไปตามถนน พวกเขาก็มองเห็นโรงเตี๊ยม
แห่งหนึ่งอยู่ไกลๆ ปรมาจารย์หลิวเดินนำไปและจัดการ
ให้ทั้งกลุ่มเข้าพักที่นั่น
“ปรมาจารย์หลิว ตามทางที่เราเดินมา ผมเห็น
สมาคมจิตรกรอยู่ใกล้ๆนี่เอง ผมอยากจะ...ทดลองเข้า
สอบเป็นผู้ช่วยจิตรกร!”
เมื่อคิดหน้าคิดหลังดีแล้ว ลู่ฉวินก็มองปรมาจารย์
หลิวอย่างคาดหวัง
“ถึ ง อย่ า งไรคุ ณ ก็ จ ะต้ อ งมี อ าชี พ รองรั บ เพื่ อ ให้ มี
คุณสมบัติเพียงพอในการเข้าทดสอบเป็นปรมาจารย์ใน
อนาคตอยู่แล้ว ไปสอบเถอะ!”
ปรมาจารย์หลิวโบกมืออย่างสบายใจ
“ขอรั บ !” ลู่ ฉ วิ น พยั ก หน้ า แล้ ว เดิ น ออกจาก
โรงเตี๊ยมไป
ตอนที่ 293 เขาชื่อจางเซวียน

เฮ้อ!
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกและนวดหว่างคิ้ว
ถึงจะมีหนังสืออยู่มากมายในหอสมุดของสมาคม
จิตรกร แต่สำหรับจางเซวียน ก็แค่วิ่งนานขึ้นอีกหน่อย
เท่านั้น ไม่ถึงชั่วโมง เขาก็ถ่ายโอนข้อมูลจากหนังสือทุก
เล่มเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าได้
“ถึงเราจะวาดภาพขั้น 5 ได้ แต่ความเข้าใจใน
วิชาชีพก็ยังมีน้อยมาก ในเมื่อตอนนี้มีหนังสือทั้งหมดไว้
เพิ่มพูนความรู้แล้ว ในที่สุดเราก็จะได้สมฐานะจิตรกร
ระดับ 3 ดาวเสียที!”
จางเซวียนมองหนังสือที่เรียงกันเป็นแถวเป็นแนว
ในหอสมุดเทียบฟ้า จากนั้นก็ยืดหลังอย่างเกียจคร้าน
แม้เขาจะสามารถวาดภาพขั้น 5 ได้ด้วยเทคนิคที่
รวบรวมจากหนังสือของปรมาจารย์ลู่เฉิน แต่เขาก็ไม่รู้
ประวัติศาสตร์พื้นฐานของการวาดภาพมากนัก ไม่ว่าจะ
เป็นสไตล์การวาดภาพในแบบต่างๆ สำนักที่เปิดสอน
และอื่นๆ
ยกตั ว อย่ า งต้ ว นหยู่ เขามี ค วามสามารถถึ ง ขั้ น
สำแดงเทคนิคการต่อสู้เพื่อป้องกันตัวขั้นสูงอย่างวิชาหก
ชีพจรหอกสวรรค์ได้ ซึ่งทำให้เขาปราบมู่หรงฟู่ผู้ทรงพลัง
ได้สำเร็จ แต่ความรู้พื้นฐานของเขาอ่อนมาก และไม่รู้จัก
เทคนิคการต่อสู้อื่นใดอีกเลย ถ้าเขาต้องเผชิญหน้ากับ
นักเลงโตเป็นกลุ่ม ก็คงสู้ไม่ได้
จางเซวียนก็อยู่ในสภาพเดียวกัน เขาวาดภาพขั้น 5
ได้อย่างสบาย แต่หากใครสักคนขอให้เขาวาดภาพขั้น 1-
การพรรณนาเสมือนจริง ก็แทบจะทำไม่ได้
แต่ด้วยหนังสือจากหอสมุดของสมาคมจิตรกร ทุก
อย่างก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
เมื่อไรที่จางเซวียนอ่านหนังสือพวกนั้นหมด ความรู้
ของเขาก็จะเหนือชั้นกว่าจิตรกรระดับ 3 ดาว อาจจะถึง
ขั้น 4 ดาวเสียด้วยซ้ำ
“แต่ว่า...เราก็มีหนังสือในหอสมุดเทียบฟ้านับไม่
ถ้วนแล้ว ทั้งจากหอสมุดพระราชวังแห่งอาณาจักรเทียน
เซวี ย น ดงอสู ร ห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ และสมาคม
จิตรกร...รวมกันก็ตกหลายสิบล้านเล่ม ถ้าเราต้องอ่านที
ละเล่ม อีกกี่ปีกี่ชาติถึงจะอ่านจบ?”
เมื่อรวบรวมหนังสือได้ อาการกลืนไม่เข้าคายไม่
ออกก็ตามมา ทำให้จางเซวียนถึงกับปวดหัว
เขารวบรวมหนั ง สื อ ไว้ ไ ด้ ห ลายสิ บ ล้ า นเล่ ม แล้ ว
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียน และแม้ว่าจะ
พยายามอ่านมันทุกครั้งที่มีเวลา แถมยังอ่านได้เร็วสุดๆ
แต่มากที่สุดก็ได้แค่ 1-2 พันเล่มต่อวัน...ถ้าเปรียบเทียบ
กั บ หนั ง สื อ จำนวนหลายสิ บ ล้ า นเล่ ม ที่ ร วบรวมเอาไว้
หนังสือทั้งหมดที่เขาอ่านได้ต่อวันก็เป็นแค่น้ำหยดหนึ่งใน
มหาสมุทรเท่านั้น
และยิ่งเขาเรียนรู้ลึกลงไปในแต่ละอาชีพมากขึ้นเท่า
ไหร่ จำนวนหนังสือที่เขาควรจะอ่านก็ยิ่งเพิ่มขึ้น หากไม่
ใช้ความอุตสาหะอย่างหนักยาวนานหลายปี ก็ไม่มีทางที่
เขาจะเปลี่ยนความรู้ทั้งหมดในหอสมุดเทียบฟ้าให้มาเป็น
ของตัวเองได้
“แค่เรามีหน้าหนังสือสีทอง...”
จางเซวียนคิด
หน้าหนังสือสีทองเป็นอีกอย่างหนึ่งที่หอสมุดเทียบ
ฟ้าสร้างขึ้น
มั น สามารถซึ ม ซั บ เอาความรู้ ทั้ ง หมดในหอสมุ ด
เทียบฟ้าเข้าสู่สมองของเขา ถ้าเขามีหน้าหนังสือสีทอง ก็
จะสามารถจดจำความรู้ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้อง
มาเหนื่อยยากพลิกอ่านทีละเล่ม
“เราคิดว่าหน้าหนังสือสีทองน่าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมี
ใครสักคนสำนึกในบุญคุณของเรา แต่คิดๆดูแล้วก็น่าจะ
ไม่ใช่ ตอนที่เราปลอมตัวเป็นปรมาจารย์หยาง ก็มีคน
มากมายสำนึกในบุญคุณของเรา แต่หน้าหนังสือสีทองก็
ไม่เห็นปรากฏเลย แปลว่าจะต้องมีอะไรมากกว่านั้น!”
จางเซวียนนึกถึงหน้าหนังสือสีทองที่อยู่ในหอสมุด
เทียบฟ้าและพยายามรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขาไม่รู้เลยว่าหน้าหนังสือสีทองเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ
ไหร่ แต่มันเกิดขึ้นครั้งที่ 2 ตอนที่จ้าวหย่ากับพรรคพวก
เอ่ยปากท้าลู่ฉวินในเวทีประลอง เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีให้
เขา
ซึ่งในครั้งนั้น มันคือความกตัญญูและจริงใจอย่าง
สูงสุดระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์
หรือว่า...มีแต่ความกตัญญูอย่างยิ่งใหญ่ที่ลูกศิษย์มี
ต่ออาจารย์เท่านั้นถึงจะทำให้หน้าหนังสือสีทองปรากฏ
ขึ้นได้
ในฐานะปรมาจารย์หยาง ผู้คนส่วนใหญ่ที่เขาช่วย
เหลือต่างก็รู้สึกกลัวเกรงเขามากกว่าจะกตัญญูแบบนั้น
“เราต้องลอง!”
เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็ตาโต
ขณะที่คนอื่นคงเห็นว่าการพิสูจน์เรื่องนี้ทำได้ยาก
แต่จางเซวียนมีเคล็ดลับ
เขาแค่ควานหาหนังสือว่างๆจากแหวนเก็บสมบัติ
มาเล่มหนึ่ง และเขียนข้อสันนิษฐานลงไปในหนังสือเล่ม
นั้นก่อนจะสัมผัสมัน
วิ้ง!
ด้ ว ยอาการกระตุ ก หนั ง สื อ อี ก เล่ ม หนึ่ ง ที่ เ หมื อ
นกันเป๊ะก็ปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า
จางเซวียนรีบพลิกอ่าน
“ด้ ว ยความกตั ญ ญู สู ง สุ ด ระหว่ า งลู ก ศิ ษ ย์ กั บ
อาจารย์เท่านั้น ถึงจะทำให้หน้าหนังสือสีทองปรากฏขึ้น
ได้...ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ!”
เมื่อเห็นผลการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานแล้ว จางเซวีย
นก็ตื่นเต้น ถ้าเขารู้ว่าหน้าหนังสือสีทองจะเกิดขึ้นได้ด้วย
วิธีนี้ เขาจะไม่ยอมเสียเวลาและลงทุนเหนื่อยยากกับ
ทั้งหมดที่ผ่านมาเลย เขาพยายามอย่างหนักแล้ว แต่ก็
อ่านหนังสือได้แค่หยิบมือเดียวจากหนังสือเป็นล้านๆเล่ม
“ดูเหมือนเราจะต้องหาลูกศิษย์อีกสัก 2-3 คนและ
ทำให้พวกเขา...แสดงความกตัญญูต่อเราให้ได้!”
จางเซวียนยิ้มอย่างหมายมั่น
เมื่อไรก็ตามที่หน้าหนังสือสีทองเกิดขึ้น ความรู้ใน
หอสมุดเทียบฟ้าก็จะเปลี่ยนเป็นความรู้ของตัวเขาเองได้
อย่างง่ายดาย
เพราะสิ่งที่เขายังขาดอยู่ตอนนี้คือการสะสมความรู้
ด้วยการมีความรู้มากพอเท่านั้นที่จะทำให้เขาระบุ
ข้อบกพร่องและแก้ปัญหาต่างๆได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหอ
สมุดเทียบฟ้า
“สงสัยจริงว่าจ้าวหย่ากับคนอื่นๆมาถึงหรือยัง ดู
เหมื อ นว่ า หนทางเดี ย วของเราก็ คื อ ต้ อ งไปที่ ส ภา
ปรมาจารย์ในวันพรุ่งนี้ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังพอมีเวลา ก็
น่าจะไปส่องดูเสียหน่อย เผื่อจะมีใครให้เราชี้แนะได้บ้าง
บางทีอาจจะหาลูกศิษย์ได้สักคน...”
คิดได้แบบนั้น จางเซวียนก็ก้าวออกจากหอสมุด
ของสมาคมจิตรกร
ตอนที่ ก ำลั ง จะออกจากหอสมุ ด ก็ พ บกั บ รอง
ประธานทั้งสองอีกครั้ง เมื่อสนทนากันสั้นๆแล้ว เขาก็
ออกจากสมาคมจิ ต รกรและกลั บ มาอยู่ บ นถนนอี ก ครั้ ง
หนึ่ง
เวลาไม่คอยท่า จึงเป็นการดีกว่าถ้าจางเซวียนจะ
หาวิธีทำให้หน้าหนังสือสีทองเกิดขึ้นได้
เมื่อเขาออกจากสมาคมจิตรกร ชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง
ก็เดินเข้าไปจากคนละทิศทาง
เขาคือลู่ฉวิน ซึ่งเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงแห่งอาณา
จักรเทียนหวู่
โรงเตี๊ ย มเที ย นหวู่ ที่ พ วกเขาพั ก อยู่ นั้ น ห่ า งจาก
สมาคมจิตรกรแค่ 200-300 เมตร เขารีบตรงมาที่นี่ทันที
ที่หารือกับปรมาจารย์หลิวแล้ว
“ในการเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ ผู้เข้าสอบจะต้องมี
อาชีพรองรับ เราได้เรียนรู้การวาดภาพจากพ่อมาตั้งแต่
เล็ก และวาดภาพขั้นการพรรณนาเสมือนจริงได้นานแล้ว
ก็ น่ า จะเข้ า สอบเป็ น ผู้ ช่ ว ยจิ ต รกรก่ อ นที่ จ ะหาทางเป็ น
จิตรกรอย่างเป็นทางการให้ได้ต่อไป!”
ลู่ฉวินถึงกับตื่นเต้นเมื่อได้เห็นอักษรวิจิตรอลังการที่
อยู่ตรงประตูทางเข้าสมาคมจิตรกร
ด้วยทักษะที่เขามีอยู่ตอนนี้ การจะได้เป็นจิตรกร
อย่างเป็นทางการยังคงเป็นเรื่องยาก แต่หากเป็นแค่ผู้
ช่วยจิตรกรก็ยังไม่ท้าทายเท่าไรนัก
เมื่อย่างเท้าเข้าไปในสมาคม ก็เห็นภาพวาดภาพ
แล้วภาพเล่าแขวนอยู่บนผนัง มีทั้งภูเขา ลำธาร นกขมิ้น
ป่า น้ำพุ และแสงอาทิตย์สาดส่อง...เขาถึงกับอัศจรรย์ใจ
เพราะทุกภาพล้วนแต่อยู่ในขั้น 1-การพรรณนาเสมือน
จริงทั้งสิ้น มองแค่ปราดเดียว ลู่ฉวินก็บอกได้ว่าจิตรกรผู้
รังสรรค์ภาพวาดเหล่านั้นมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง
การวาดภาพไม่ด้อยกว่าเขาเลย
“สมกับที่เป็นสมาคมจิตรกร น่าประทับใจมาก...”
ลู่ฉวินชื่นชมด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
เพราะสมาคมจิตรกรสาขานี้เพิ่งก่อตั้งขึ้นไม่นาน
แม้แต่ปรมาจารย์ลู่เฉินก็ยังไม่เคยแวะมา จึงเป็นธรรมดา
ที่ลู่ฉวินจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เขาไม่คาดคิดว่าเพียง
แค่เข้ามาก็จะได้เห็นภาพวาดอันน่าทึ่งมากมายขนาดนี้
จึงแสนจะประทับใจกับสิ่งที่ได้เห็น
“คุณชาย ขอผมทราบหน่อยได้ไหมว่าคุณกำลังมอง
หาภาพวาดแบบไหน ผมจะได้พาคุณไปชม!”
พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวคนที่เคยต้อนรับ
จางเซวียนเดินเข้ามาหาเขาด้วยทีท่านอบน้อม
“ผมไม่ได้มาซื้อภาพวาด...แต่จะมาเข้าสอบเป็นผู้
ช่วยจิตรกร ไม่ทราบว่าการทดสอบจะจัดขึ้นที่ไหน?” ลู่ฉ
วินยิ้ม
“คุณมาเข้าสอบเป็นผู้ช่วยจิตรกรหรือ?”
พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวถึงกับผงะ
โดยปกติแล้ว หลายๆเดือนถึงจะมีผู้เข้าสอบโผล่มา
สักคนหนึ่ง แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันเดียวถึงมา
เป็นโขยง?
พอเสร็จสิ้นการสอบของคุณชายจี้โม่ บรมครูจางก็
ปรากฏตัว เมื่อบรมครูจางออกไป ชายหนุ่มคนนี้ก็มาเข้า
สอบเป็นผู้ช่วยจิตรกรอีก...
ช่างเป็นวันที่น่าตื่นเต้นเสียจริงๆ!
“เชิญทางนี้เลย!”
ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจะยังทำให้เขางงงันอยู่ แต่เขาก็ไม่
กล้าปล่อยให้ลู่ฉวินรอ
เพราะเขาเป็นแค่พนักงานต้อนรับของสมาคม ใน
ขณะที่ผู้ช่วยจิตรกรคือบุคคลที่มีโอกาสจะได้กลายเป็น
จิตรกรอย่างเป็นทางการในอนาคต สถานภาพของพวก
เขาต่างกันมากนัก
“ได้!” ลู่ฉวินตามเขาไป
“น่าทึ่งมาก นี่มันภาพวาดขั้น 5 จริงๆนี่!”
“ถูกแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะวาดภาพขั้น 5 ได้
ในการทดสอบครั้งแรก แถมยังอายุไม่ถึง 20 ปีด้วย เขา
เป็นอัจฉริยะ!”
“ขนาดคุณชายจี้โม่ยังพ่ายแพ้ให้กับเขา และต้อง
ถูกขับออกจากสมาคมไป ความปราดเปรื่องของเขาช่าง
น่าทึ่งนัก!”
“ฉันยังมึนตึ้บกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่เลย มันเป็นการ
ประชันที่น่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น!”
“ไม่นึกเลยว่าอสูรตัวหนึ่งก็วาดภาพได้ แทบไม่
อยากจะนึกถึง...”
....
ระหว่างทางที่ลู่ฉวินเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงแลก
เปลี่ยนความคิดเห็นดังเซ็งแซ่มาจากทุกทิศทาง
แม้ว่าฝูงชนที่เข้ามุงดูการประชันเมื่อ 1 ชั่วโมงก่อน
จะมีแฟนคลับของคุณชายจี้โม่ปะปนอยู่มาก แต่ก็มีขุนน้ำ
ขุนนางและคนใหญ่โตอีกหลายคนที่หลงใหลในการวาด
ภาพเข้าร่วมด้วย
เป็นครั้งแรกที่บรมครูจางปรากฏตัวขึ้นที่นี่ และเขา
ทำให้ทั้งสมาคมถึงกับทึ่ง
“พวกเขาพูดกันว่ามีคนวาดภาพขั้น 5 ได้ตั้งแต่เข้า
สอบครั้งแรกหรือ เรื่องมันเป็นอย่างไร?”
ด้วยเสียงเซ็งแซ่รอบข้างที่ออกรสขึ้นทุกที ทำให้ลู่ฉ
วินเก็บความอยากรู้ไว้ไม่ได้ เขาเอ่ยถามพนักงานต้อนรับ
ในเสื้อคลุมสีเขียว
“อ๋อ พวกเขาคุยกันเรื่องการประชันที่เพิ่งจบไปเมื่อ
ครู่ก่อนน่ะ!” นัยน์ตาของพนักงานต้อนรับเป็นประกาย
ด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำถาม
เพราะไม่เพียงแต่เขาจะได้เห็นการประชันทุกขั้น
ตอนอย่างใกล้ชิด แต่ยังเป็นผู้ที่ได้ต้อนรับบรมครูอีกด้วย
ซึ่งเขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
“การประชัน?”
“ถูกแล้ว มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง...” พนักงาน
ต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวหวนรำลึกถึงเหตุการณ์เพื่อจะ
ถ่ายทอดให้ลู่ฉวินฟัง
“คุณพูดว่าบรมครูจุ่มอสูรลงในหมึก แล้วปล่อยให้
มันเดินย่ำบนกระดาษฉูอัน และหลังจากนั้น แค่เขย่าก็
เปลี่ยนภาพวาดให้กลายเป็นภาพวาดขั้น 3 ได้?”
ลู่ฉวินเบิ่งตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เขาร่ำเรียนการวาดภาพกับพ่อมาตั้งแต่เล็ก รู้ดี
ว่าการวาดภาพขั้น 3 นั้นยากเย็นแค่ไหน
ขนาดพ่อของเขายังไม่อาจยืนยันได้เลยว่าทุกภาพที่
วาดออกมาจะเข้าถึงขั้น 3 แต่บรมครูผู้นี้วาดภาพขั้น 3
ได้ด้วยการจับอสูรมาเดินเล่นและเขย่าเบาๆ...
มันจะเหลือเชื่อไปหน่อยไหม?
แต่เรื่องช็อกก็ยังไม่จบ
"เอาคบเพลิงมาอังที่ภาพ...แล้วภาพก็เปลี่ยนเป็น
ขั้น 4?
“พ่นน้ำลงไปพรวดเดียว ภาพวาดก็กลายเป็นผล
งานชิ้นเอกขั้น 5?”
ยิ่งได้ยินก็ยิ่งรับไม่ได้ แทบจะบ้าคลั่งขึ้นมาทีเดียว
ทำไมมันดูเพ้อเจ้อขนาดนี้?
ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ความสามารถในการควบคุม
ภาพวาดของบรมครูผู้นั้นก็น่าสะพรึงอย่างยิ่ง!
“ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง! ผมเป็นคนต้อนรับบรมครู
ด้วยตัวเอง และได้เห็นกระบวนการประชันทุกขั้นตอน
ผมพูดไม่ผิดแน่!”
เห็ น ความไม่ อ ยากจะเชื่ อ ในสายตาของอี ก ฝ่ า ย
พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวยืดอกยืนยัน
“น่าทึ่งมาก ถ้าผมได้เป็นลูกศิษย์ของบรมครูระดับ
นั้น ความเชี่ยวชาญในการวาดภาพของผมต้องพุ่งพรวด
แน่ การจะได้เป็นจิตรกรอย่างเป็นทางการคงใช้เวลาไม่
นานหรอก!”
เห็นอีกฝ่ายมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น ลู่ฉวินเกิดความ
คิดหนึ่งขึ้นมา และแทบจะทนรอไม่ไหว
คุณสมบัติข้อหนึ่งในการจะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์
ก็ คื อ ต้ อ งได้ เ ป็ น สมาชิ ก อย่ า งเป็ น ทางการของวิ ช าชี พ
หนึ่งๆ
ถึงลู่ฉวินจะร่ำเรียนเรื่องการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก
แต่เขาก็รู้ดีว่าภาพวาดขั้น 1-การพรรณนาเสมือน
จริง กับขั้น 2-ผืนผ้าใบแห่งจิตวิญญาณนั้นแตกต่างกัน
มาก หากเขาร่ำเรียนด้วยตัวเอง คงต้องใช้เวลาเป็น
ทศวรรษกว่าจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นได้
แต่ถ้า...ได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ผู้ปราดเปรื่อง
สักคน กระบวนการนั้นก็จะสั้นลงมาก
เขาไม่ รู้ จั ก บรมครู ค นไหนเลย แต่ ผู้ ที่ พ นั ก งาน
ต้อนรับกำลังพูดถึงนั้นทำให้เขารู้สึกทึ่งมาก
การยกระดับภาพวาดได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะ
ภาพวาดขั้น 5 ก็แปลว่าความเข้าใจในเรื่องการวาดภาพ
ของบรมครูคนนั้นจะต้องล้ำลึกเกินกว่าจะจินตนาการได้
ถ้าเขาได้เป็นศิษย์ของบรมครูระดับนั้น เขาคงจะ
สามารถไขข้อข้องใจทั้งหมดที่มีอยู่ได้ทันที และเส้นทาง
ของการเป็นจิตรกรก็คงจะราบรื่นกว่าเดิมมาก
“บรมครูท่านนั้นชื่ออะไร? คุณรู้ไหมว่าเขาพักอยู่
ที่ไหน? แล้วเขารับลูกศิษย์หรือไม่?”
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ลู่ฉวินก็อดถามไม่ได้ ใบหน้าของ
เขาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
“บรมครูท่านนั้น...ถ้าผมพูดไม่ผิด เขาชื่อ...จางเซ
วียน!” พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวครุ่นคิดอยู่ครู่
หนึ่งก่อนจะตอบ
“จางเซวียน?”
ลู่ฉวินตาโตทันที
....
ต้วนหยู่ : เป็นกึ่งเทพเจ้ากึ่งซาตาน
เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องความสามารถในการสำแดง
ศิลปะการต่อสู้หกชีพจรหอกสวรรค์ เขาได้ร่ำเรียนเทคนิค
นี้โดยบังเอิญ แต่ด้วยความรู้พื้นฐานอันอ่อนด้อย เขาจึง
ไม่อาจสำแดงเทคนิคนี้ได้ทุกครั้งที่ต้องการ ก่อเกิดเป็น
ความบกพร่องรุนแรง เขาตั้งใจจะปราบศัตรูผู้ทรงพลัง
อย่างมู่หรงฟู่ แต่ก็พ่ายแพ้อยู่บ่อยครั้ง เพราะพื้นฐานวร
ยุทธและบุคลิกลักษณะที่อ่อนแอกว่า
ตอนที่ 294 ลอบโจมตี

เป็นไปได้ไหมว่าเขาคือ...ท่านอาจาง?
ลู่ฉวินซวนเซ และอยากกระอักเลือดเต็มที
นับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ของเขาที่อาณาจักรเทียนเซ
วียน เขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานตลอดมา เมื่อมาถึงอาณา
จักรเทียนหวู่ ลู่ฉวินคิดว่าอย่างน้อยที่สุดก็ได้เดินออกมา
จากเงาของอีกฝ่าย และจะได้สร้างชื่อเป็นของตัวเอง
เสียที แต่เมื่อมาถึงก็ต้องเจอความทุกข์ทรมานอีกระลอก
หนึ่ง
คุณเป็นศัตรูคู่อาฆาตของผมหรือ?
มันเรื่องอะไรถึงต้องตามไปหลอกหลอนทุกที่ที่ผมไป
อย่างกับวิญญาณอาฆาต แถมยังแย่งซีนเสียหมด...
ลู่ฉวินข่มความท้อแท้ไว้และเอ่ยถาม “บรมครูจาง
คนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร?”
“เขาสู ง พอๆกั บ ผม ตั ว ผอม ผิ ว พรรณขาว
หมดจด...” พนักงานต้อนรับในเสื้อคลุมสีเขียวครุ่นคิดอยู่
ครู่หนึ่ง ก่อนจะบรรยายลักษณะของจางเซวียนให้ฟัง
ยังไม่ต้องฟังจนจบ ลู่ฉวินก็รู้แล้วว่านั่นต้องเป็นจาง
เซวียน
“เลิกคิดเถอะ เราเคยชินกับความทรมานนี้เสีย
แล้ว...”
เมื่อแน่ใจแล้วว่านั่นคือบุคคลที่เขากำลังนึกถึง แม้ลู่
ฉวินจะรู้สึกแย่อย่างไร แต่เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เพราะปีศาจตนนี้ไม่ใช่แค่ทำตัวเหลือเชื่อเท่านั้น ลูก
ศิ ษ ย์ ข องเขาก็ น่ า ทึ่ ง และเหลื อ เชื่ อ พอๆกั น การต้ อ ง
ประลองกับเด็กพวกนั้นมีแต่จะทำให้เขาโมโหและอายุสั้น
ลู่ฉวินครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง และตัดสินใจว่าคงต้อง
ยอมรับโชคชะตา
ในตอนแรกที่ได้ยินเรื่องราวอันเป็นตำนานของบรม
ครูคนนี้ เขานึกว่ามีปีศาจร้ายอีกตนหนึ่งที่เหมือนกับจาง
เซวียนปรากฏขึ้นในอาณาจักรเทียนหวู่ แต่เมื่อรู้แล้วว่า
เป็นคนเดียวกัน อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจาง
เซวียนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาด อีกอย่าง ถ้าเกิดทุกคน
พากันเหมือนเขาขึ้นมา ลู่ฉวินคงไม่เหลือที่ยืนแน่
“เราจะเข้าทดสอบเป็นผู้ช่วยจิตรกรก่อน เมื่อสอบ
ผ่านแล้วก็จะแจ้งให้อาจารย์ เจิ้งหยาง และคนอื่นๆรู้
พวกเขาคงจะต้องดีใจกับข่าวของเรา!”
เมื่อปรับสภาพจิตใจแล้ว ลู่ฉวินก็ตัดสินใจจะไม่จม
ดิ่งอยู่กับเรื่องนั้นอีก เขาตามพนักงานต้อนรับในเสื้อคลุม
สีเขียวเข้าไปยังห้องสอบ
.....
จางเซวียนไม่รู้ว่าลู่ฉวินเข้ามาที่สมาคมจิตรกรหลัง
จากที่เขาออกไป ตอนนี้เขากำลังเดินทอดน่องอย่างสบาย
ไปตามถนน
เพื่ อ จะให้ ห น้ า หนั ง สื อ สี ท องปรากฏขึ้ น เขาจะ
ต้องหาลูกศิษย์และทำให้คนเหล่านั้นเกิดความกตัญญูต่อ
เขาให้ได้
แต่ว่าจางเซวียนจะไปหาลูกศิษย์มาจากไหน?
เขาไม่อาจคว้าใครก็ไม่รู้ที่ผ่านไปมา และออกคำสั่ง
ให้คนเหล่านั้นยอมรับเขาเป็นอาจารย์ได้ ขืนทำแบบนั้นก็
คงถูกตีตายเสียก่อน
“โรงเรียนเทียนหวู่!”
จางเซวียนตาโตขึ้นมาทันใด
ขื น เขาคว้ า ตั ว ผู้ ค นที่ ผ่ า นไปมาแบบมั่ ว ซั่ ว และ
ขอร้องให้มาเป็นศิษย์ของเขา ก็คงถูกซ้อมจนน่วมตาย
เสียก่อน แต่...ถ้าเป็นในโรงเรียน สถานการณ์ย่อมแตก
ต่างไป
เหตุ ผ ลที่ นั ก เรี ย นเข้ า มาในโรงเรี ย นก็ เ พื่ อ เแสวง
หาความรู้ และพวกเขาก็จะให้ความไว้วางใจอาจารย์โดย
ปราศจากเงื่อนไข
การที่จางเซวียนจะปลอมตัวเป็นอาจารย์นั้นไม่ยาก
เลย และตราบใดที่เขาหาลูกศิษย์ได้สักคน การจะทำให้
เด็กคนนั้นรู้สึกกตัญญูต่อเขาก็ไม่ยากเหมือนกัน
อีกอย่าง เขารู้ตั้งแต่เมื่อแรกมาถึงแล้วว่า โรงเรียน
ที่ดีที่สุดในอาณาจักรเทียนหวู่ก็ตั้งอยู่ในเมืองหลวงนี่เอง
“ไม่เลว เราควรจะไปที่นั่น!”
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จางเซวียนก็คิดจะถามทางไป
โรงเรียนเทียนหวู่กับคนที่ผ่านไปมา แต่ตอนนั้นเองที่เขา
รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จางเซวียนเลิกคิ้ว
“มีคนตามเรามา!”
เขาเป็นนักรบขั้นกึ่งจงซรือแล้ว ถึงแม้ไม่ใช้หอสมุด
เทียบฟ้า ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาก้าวร้าวในตัวผู้อื่น ถึงฝูงชน
จะอยู่กันคลาคล่ำ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความประสงค์ร้ายที่
ลอยอยู่ในอากาศ
แม้ว่าเจตนานี้จะถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิดจนนักรบ
จงซรือคนอื่นก็แทบจะไม่รู้สึก แต่สำหรับจางเซวียนที่มี
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 5.0 เขาสัมผัสถึงมัน
ได้อย่างง่ายดาย
“หรือว่าจะเป็นคุณชายจี้โม่?”
เขาเพิ่งมาถึงอาณาจักรเทียนหวู่ และยังไม่รู้จักใคร
เลยสักคน ศัตรูคนเดียวที่เขาสร้างไว้ก็คือจี้โม่ ซึ่งก็เพิ่งจะ
สั่งสอนบทเรียนกันไปหยกๆ ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะส่งคนมา
ตามเขาเร็วขนาดนี้
เขาชำเลื อ งมองไปรอบๆด้ ว ยวิ สั ย ทั ศ น์ แ บบรอบ
ด้านของตัวเอง
พวกนั้นมีกันทั้งหมด 5 คน ทุกคนล้วนเป็นนักรบ
ขั้น 7-ทงฉวน และ 2 ใน 5 คนก็เป็นนักรบทงฉวนขั้น
สูงสุด
ดูเหมือนคุณชายจะไม่รู้ระดับวรยุทธของเขา จึงคิด
ว่าแค่ส่ง 2-3 คนนี้มาก็ฉะกับเขาได้แล้ว
อีกอย่าง อาชีพจิตรกรนั้นแตกต่างกับอาชีพอื่นๆใน
เก้าสถานะระดับบน
เงื่อนไขแรกของการสอบเข้าเป็นนักฝึกอสูรและนัก
ปรุงยาระดับ 2 ดาวก็คือ ต้องสำเร็จวรยุทธขั้น 8-จงซรือ
หากจะสอบระดับ 3 ดาว ก็ต้องสำเร็จวรยุทธขั้น 9-จื้อ
จุนเสียก่อน
แต่ระดับวรยุทธไม่มีความสำคัญต่อการเป็นจิตรกร
อย่างเป็นทางการเลย ไม่ว่าจะเป็นนักรบขั้นทงฉวนหรือ
พี่เชวี่ย ตราบใดที่สามารถวาดภาพขั้น 5 ได้ ก็มีสิทธิ์จะ
ได้เป็นจิตรกรระดับ 3 ดาว
แต่จะว่าไป ผู้ที่สามารถวาดภาพขั้น 5 ได้ก็มักจะ
เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในชีวิตมากมาย และส่วนใหญ่ก็
อายุล่วงเข้า 70 หรือ 80 ปีแล้ว ด้วยเงินทองมหาศาลที่
พวกเขาหาได้จากการวาดภาพ พวกเขาจึงไม่ขาดแคลน
ทรัพยากร แม้จะยังไม่สำเร็จถึงขั้นจื้อจุน แต่อย่างน้อยก็
สำเร็จจงซรือขั้นสูงสุด ดังนั้น หากมองในภาพรวม ความ
แตกต่างระหว่างจิตรกรกับอาชีพอื่นๆก็มีไม่มากนัก
การที่คนประหลาดอย่างจางเซวียนปรากฏขึ้นมา
เป็นเรื่องที่พบได้ยากมาก ด้วยการวาดภาพขั้น 5 ได้
ตั้งแต่ยังอายุไม่ถึง 20 ปี เขาได้ฉีกทุกตำราและทุกข้อ
สันนิษฐานอย่างป่นปี้
ตอนที่อยู่ในสมาคมจิตรกร เขาไม่ได้แสดงพละ
กำลังออกมา และพลังปราณเทียบฟ้าก็ช่วยปกปิดระดับ
วรยุทธเอาไว้ จึงไม่มีใครล่วงรู้ว่าเขามีระดับวรยุทธแค่
ไหน แต่ด้วยอายุของเขา ก็ทำให้ใครๆคิดว่าไม่น่าจะเกิน
ขั้น 6-พี่เชวี่ย ดังนั้นคุณชายจี้โม่จึงคิดว่านักรบแค่สอง
สามคนก็เกินพอแล้วที่จะสั่งสอนบทเรียนให้เขา
“แถวนี้มีคนพลุกพล่านเกินไป เราหาที่เงียบๆ ไว้
เล่นสนุกกับเจ้าพวกนี้ดีกว่า!” จางเซวียนหัวเราะหึๆ
ตั้งแต่เขาทะลุมิติมา ถึงจะได้พยายามยกระดับวร
ยุทธของตัวเองมาตลอด แต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทดลอง
ใช้มันเท่าไร และตอนนี้ก็คันไม้คันมืออยากหาคู่ต่อสู้เต็มที
ในเมื่ อ เจ้ า พวกนี้ ตั้ ง ใจมาสร้ า งปั ญ หา ก็ น่ า จะใช้ เ ป็ น
เครื่องทดสอบเทคนิคของเขาเสียหน่อย
จางเซวียนแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัว และเหลียวซ้ายแล
ขวาเพื่อหาที่เปลี่ยว ซึ่งก็ต้องหงุดหงิดเมื่อพบว่าอาณา
จักรเทียนหวู่นั้นเจริญรุ่งเรืองเกินไป แถมพระอาทิตย์ก็
เพิ่งตกได้ไม่นาน ถนนยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน เขาจึงหา
ทำเลเหมาะๆไม่ได้
“งั้นต้องออกไปนอกเมือง!”
อีกอย่าง ตอนนี้เขาก็อยู่ชานเมืองและไม่ไกลจาก
ประตูเมืองมากนัก จางเซวียนจึงจ้ำพรวดๆออกไป
“หมอนั่นจะออกจากเมืองทำไม?”
กลุ่มผู้ติดตามมองจางเซวียนที่กำลังก้าวออกจาก
ประตูเมืองอย่างงงงัน
ในเมืองนั้นมีผู้คนอยู่มากเกินไป หากเกิดการปะทะ
ขึ้น ก็เป็นไปได้ว่าจะบานปลาย พวกเขากำลังคิดอยู่ว่าจะ
ชักจูงให้หมอนี่เข้าไปที่เปลี่ยวๆได้อย่างไร ก็พอดีเขาเดิน
ออกจากเมืองไปเสียก่อน
เขาแกล้งทำหรือเปล่า!
“โอ๊ย ใครจะสน! ก็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง อย่าบอกนะ
ว่านายกลัวเขา?”
“ก็จริง ต่อให้หมอนั่นฝึกวรยุทธตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
อย่างเก่งที่สุดก็ได้แค่ทงฉวน ไม่มีทางที่พวกเราจะแพ้!”
ชายฉกรรจ์สองสามคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะ
พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
ถึงแม้สภาพแวดล้อมและทรัพยากรสำหรับการฝึก
วรยุทธที่มีอยู่ในอาณาจักรเทียนหวู่จะดีกว่าในอาณาจักร
เทียนเซวียนมาก แต่สำหรับที่นี่ นักรบขั้นทงฉวนก็ยังจัด
ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ในเมื่อไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่มีผู้เชี่ยวชาญถึงห้าคนที่ถูก
ส่งมาจัดการเด็กหนุ่มไม่มีหัวนอนปลายเท้าแค่คนเดียว ก็
ไม่แปลกที่พวกเขาจะมั่นอกมั่นใจมาก
“ฉันจะย้ำพวกนายอีกครั้งหนึ่ง นายน้อยสั่งไม่ให้
พวกเราฆ่าเจ้าหนุ่มคนนั้น เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็น
จิตรกรระดับ 3 ดาว เกิดมันตายไป ทางสมาคมจิตรกร
สำนักงานใหญ่ก็จะต้องเข้ามาสอดส่องเรื่องราว และนั่น
จะทำให้นายน้อยต้องเดือดร้อน ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือ
ทำให้มันอับอายเท่านั้น ฉันหวังว่าพวกนายจะรู้ว่าควรทำ
อะไร!”
นักรบขั้นทงฉวนคนหนึ่งที่ดูจะเป็นหัวหน้ากระซิบ
กระซาบกำชับคนอื่นๆ
“วางใจได้เลย พวกเรารู้ว่าต้องทำอะไร!”
คนที่เหลือพร้อมใจกันพยักหน้า
ด้วยสถานภาพจิตรกรระดับ 3 ดาว ทางสมาคม
จิตรกรสำนักงานใหญ่ย่อมจะต้องส่งคนมาสืบหาข้อเท็จ
จริงหากเขาหายตัวไป
แม้ว่าตระกูลจี้จะเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของ
เมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนหวู่ แต่พวกเขาก็ไม่มีทาง
ต้านทานแรงกดดันจากสมาคมจิตรกรได้
ดังนั้นคุณชายจี้โม่จึงกำชับไม่ให้พวกเขาฆ่าจางเซ
วียน ที่ต้องทำก็คือให้เขาอับอายและรู้ซึ้งถึงความหมาย
ของคำว่าตายทั้งเป็น
....
พวกเขาสะกดรอยตามจางเซวียนไปติดๆ เมื่อออก
จากเมืองได้ไม่นานก็มาถึงป่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง
“ระวังตัวด้วย ฉันว่าไอ้หมอนั่นคงรู้ตัวแล้วว่าพวก
เราตามมา มันคงจงใจพาพวกเรามาที่นี่...”
หัวหน้ากระซิบกระซาบ
“แล้วจะกลัวอะไร? พวกเราก็อยากให้เป็นแบบนั้น
อยู่แล้วนี่ ถ้าอยู่ตรงนี้ก็สั่งสอนมันได้เต็มที่!”
คนที่เหลือพูดอย่างย่ามใจ
เท่าที่พวกเขารู้สึกก็คือจางเซวียนรนหาที่ตาย
ในเมื่อรู้อยู่ว่ามีคนสะกดรอยตามมา ก็ยังกล้าออก
มาที่เปลี่ยว ก็เห็นๆแล้วว่ามันคงอยากตายเต็มที
ฟึ่บ!
ทุกคนชักอาวุธออกมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม 2-3
คนผลุบหายเข้าป่าไป
พวกเขากำลังนึกสงสัยว่าหมอนั่นอาจอำพรางตัว
เอง และกำลังรอคอยพวกเขาอย่างเงียบๆ แต่ทันใดนั้นก็
เห็นจางเซวียนนอนอ้าซ่าอยู่บนกิ่งไม้ และยิ้มแฉ่งให้พวก
เขา
“จี้โม่ส่งพวกแกมาที่นี่หรือ?”
ในเมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ที่นี่ จางเซวียนจึงไม่จำเป็นต้อง
อ้อมค้อม สำหรับเขา เจ้าพวกนี้ก็เป็นแค่แมลงวันตัวกระ
จ้อยร่อยสองสามตัว
“จัดการเลย!”
นึกไม่ถึงว่าไอ้หนุ่มนี่จะกล้าเผชิญหน้ากับพวกเขา
หัวหน้ากลุ่มคำรามอย่างเลือดเย็นและออกคำสั่ง
“ฉันเอง!”
นักรบทงฉวนขั้นกลางซึ่งมีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดใน
กลุ่มหัวเราะหึๆ เขากระทืบเท้าและพุ่งทะยานเข้าใส่จาง
เซวียนด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ฟิ้วววว!
หมอนั่นลอยตัวอยู่กลางอากาศ พลังปราณอันเข้ม
ข้นที่เขาแผ่ออกมาทำให้หมู่มวลดอกไม้และสัตว์ป่าที่อยู่
บริ เ วณนั้ น ต้ อ งน้ อ มคำนั บ ให้ พลั ง ปราณนั้ น ส่ ง เสี ย ง
กึกก้องไปโดยรอบ
“เทคนิคนี้ก็ไม่เลวนะ ดูจากรังสีที่แผ่ออกมาและ
พละกำลังในการกระโดดของจางชิง หมอนั่นดูเหมือน
ใกล้สำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุดแล้วล่ะ!”
หัวหน้าพยักหน้าและตวาดกำชับ “ควบคุมพละ
กำลังของนายด้วย อย่าฆ่าเขา...”
“ไม่ต้องห่วง ผมรู้ว่ากำลังทำอะไร...”
จางชิงตอบ เขากำลังคิดอยู่ว่าจะออกหมัดแรงแค่
ไหน ก่อนที่จะเห็นทุกอย่างพร่ามัวไปหมด
เพียะ!
เขาถูกตบหน้าอย่างแรง ความเจ็บปวดแสนสาหัส
เข้าปะทะสองแก้ม ก่อนที่จางชิงจะทันได้ตอบโต้ ทั้งร่างก็
ถูกจับบิดราวกับโดนัทที่บิดเป็นเกลียว จางชิงกระเด็นไป
หลายสิบเมตร เขาไอและกระอักเลือดออกมา เห็นฟัน
เปื้อนเลือด 2-3 ซี่ร่วงอยู่บนพื้น
“เฮ้ย?”
“อะไรกัน?”
ตอนแรก พวกเขาคิดว่าจางชิงคงจะยำหมอนั่นเสีย
อยู่หมัด แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม เขาถูกตบทีเดียว
กระเด็น ภาพนั้นทำให้หัวหน้าและสมาชิกที่เหลืออีก 3
คน ถึงกับอึ้งด้วยความประหลาดใจ
“โอ๊ะ เสียใจด้วย ผมฝึกวรยุทธด้วยตัวเองมาตลอด
และยังไม่เคยสู้กับใครจริงๆสักที ก็เลยตบแรงไปหน่อย!”
จางเซวียนเกาหัว
ตั้งแต่เขาทะลุมิติมายังโลกใบนี้ก็ไม่เคยสู้กับใครเลย
จึงกะไม่ถูกว่าควรจะตบแรงแค่ไหน เขาคิดว่านั่นเป็นแค่
การตบเบาๆ อย่างมากหมอนั่นก็แค่เจ็บนิดหน่อย แต่เมื่อ
เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพร่อแร่ จางเซวียนก็ได้แต่ขอโทษ
อย่างขัดเขิน
“ไอ้หมอนี่ไม่ใช่ขี้ไก่อย่างที่เราคิดเสียแล้ว พวกเรา,
เต็มเหนี่ยวเลย!”
เห็นจางเซวียนจัดการได้อย่างง่ายดาย หัวหน้าถึง
กับหน้าซีดทันใด
ตอนแรกก็คิดว่านายน้อยทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่อง
ใหญ่ ด้วยการส่งพวกเขามาตั้งไม่รู้กี่คนเพื่อจัดการกับ
หมอนี่เพียงคนเดียว แต่พวกเขาก็ทำตาม เพราะเห็นว่า
เป็นภารกิจขี้ปะติ๋ว
แต่เมื่อได้เห็นสถานการณ์กับตาแล้วก็รู้ว่า...ไม่ง่าย
อย่างที่คิดเลย
ไอ้หมอนั่นต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเขาแน่
สำเร็จวรยุทธที่เหนือกว่าทงฉวนขั้นสูงสุดตั้งแต่ยัง
อายุไม่ถึง 20 หรือ?
คงจะมีแต่อัจฉริยะหมายเลข 1 อย่างโม่หงอีเท่านั้น
ที่เทียบชั้นกับเขาได้!
บรรลัยสิ!
อีกฝ่ายก็ไม่ได้โง่ มองปราดเดียวพวกเขาก็รู้แล้วว่า
ไอ้หนุ่มนั่นแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ ทุกคนถือหอกกระชับ
มื อ และเข้ า รุ ม ล้ อ มจางเซวี ย น แต่ ล ะคนมี สี ห น้ า
เคร่งเครียด
ใน 4 คนนั้น มี 2 คนสำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูง
และอีก 2 คนสำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุด ด้วยความ
แข็งแกร่งของทั้ง 4 ที่รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว ก็เกิดเป็น
พละกำลังมหาศาลที่ทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นหนักอึ้ง
ขึ้นมาทันใด
“ลุย!”
เมื่อรู้แล้วว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่ง หัวหน้าก็สั่งการให้
ทุกคนพุ่งเข้าใส่ทันทีโดยไม่ลังเล เพื่อจะชิงเปิดฉากก่อน
พรึ่บ!
อาวุธทั้ง 4 ชิ้นทิ่มพรวดออกไปพร้อมๆกัน
คนทั้งสี่ล้วนเป็นองครักษ์ของตระกูลจี้ และอยู่ด้วย
กันมากว่า 5 ปีแล้ว จึงทำงานเข้าขากันได้ดี พวกเขา
รวบรวมพลังปราณและพุ่งเข้าปะทะด้วยความเร็วอันน่า
ทึ่ง หอกทั้งสี่มีเป้าหมายอยู่ที่ส่วนหัว ส่วนกลางลำตัว
และส่วนล่างของจางเซวียน รวมทั้งปัดป้องทางหนีทีไล่
อื่นๆที่เป็นไปได้
ด้วยการร่วมมือกันอย่างเข้าขา ประกอบกับเทคนิ
ควรยุทธอันทรงพลัง ก็ไม่ง่ายที่นักรบขั้นกึ่งจงซรือจะเอา
อยู่
แต่จางเซวียนไม่ใช่นักรบกึ่งจงซรือธรรมดา เขา
เป็นอัจฉริยะที่ยากจะหาใครเทียบได้
ทั้งสี่คนคิดว่าอย่างน้อยหมอนั่นก็น่าจะเจ็บตัวสัก
แผล แต่วินาทีที่ยื่นหอกออกไป ก็รู้สึกถึงความว่างเปล่า
ในมือ
เมื่อก้มลงมอง ก็รู้ว่าการโจมตีอย่างดุดันนั้นเปล่า
ประโยชน์ หอกในมือของพวกเขาอันตรธานไปอยู่ในมือ
ของอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“เฮ้ย?”
ทั้งกลุ่มถึงกับตระหนกและตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว
โว้ยยยย!
นี่มันสะพรึงเกินไปแล้ว!
ฉกหอกของพวกเขาไปได้ด้วยมือเปล่า มันไม่ใช่แค่
ระดับวรยุทธที่แตกต่างแล้ว
แต่อีกฝ่ายจะต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีในเทคนิ
ควรยุทธ พละกำลัง การเคลื่อนไหวของพวกเขา รวมถึง
ตำแหน่งของหอกที่จะพุ่งไปด้วย จึงจะทำแบบนี้ได้
เพราะหากผิดพลาดเพียงนิดเดียวย่อมหมายถึงการ
สูญเสียนิ้วมือ!
ขนาดนักรบจงซรือขั้นสูงสุด...ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลย!
พวกเขาคิดว่าการสั่งสอนหมอนี่น่าจะเป็นเรื่องก
ล้วยๆ แต่กลับกลายเป็นต้องเผชิญหน้ากับ...เสือร้ายที่
ดุดัน!
“ถอย!”
หัวหน้าหรี่ตา รู้ตัวว่าขืนอยู่ต่อคงไม่รอดแน่ หลัง
จากตะโกนสั่งการแล้ว เขาก็หันหลังกลับเพื่อจะวิ่งหนีใน
ทันที
อีก 3 คนก็พากันเปิดแน่บโดยไม่ลังเล
พวกเขาไม่มีทางเลือก จำต้องทิ้งจางชิงที่ถูกจางเซ
วียนตบจนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“ยั ง ไม่ ทั น ได้ ท ำอะไรเลย พวกแกจะรี บ ร้ อ นไป
ไหน?”
ยังไม่ทันจะได้แลกหมัดกันสักหน่อย พวกนี้ก็เปิดแน่
บไปหมด จางเซวียนร้องเรียก
วู้!
ก่อนที่ทั้ง 4 จะทันได้ทำอะไร ก็มองเห็นทุกอย่างดำ
มืดไปหมด ร่างมหึมาร่างหนึ่งร่อนลงมาจากท้องฟ้า
ตึ้ง!
ราวกับพวกเขากระแทกเข้ากับภูเขาขนาดย่อมๆ
ทั้งสี่กลิ้งหลุนๆไปเหมือนเป็นลูกบอลยาง ภาพตรงหน้า
พร่าเลือนไปหมด พวกเขากระอักเลือดออกมา
“นี่มัน...อสูรขั้นกึ่งจื้อจุน...”
ทั้ง 4 ใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะทำให้ตัวเอง
หายมึน แต่เมื่อชำเลืองมองร่างเบ้อเร่อเท่อตรงหน้า ก็
แทบจะเสียสติไป
ไม่นึกเลยว่ามันคือ...
อสูรขั้นกึ่งจื้อจุน!
มีแต่บรรพบุรุษโบร่ำโบราณของอาณาจักรเทียนหวู่
เท่านั้นที่จะมีพละกำลังถึงขั้นกึ่งจื้อจุน เจ้าอสูรตัวนี้คง
เป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่มีในอาณาจักรเทียนหวู่!
แล้วหมอนั่นเป็นเจ้าของอสูรตัวนี้...
นี่พวกเขามาหาเรื่องปีศาจร้ายชนิดไหนกัน?
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้ากำลังเดินท่อมๆอยู่ในป่า
เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกของจางเซวียน มันจึงรีบมา
ในสายตาของมัน เจ้าสองสามคนนี้กะจ้อยร่อย
เหมือนมด หากมันไม่ออมแรงไว้ คนพวกนี้คงเละไปแล้ว
หลังจากที่ชนทั้ง 4 คนกระเด็นไป ก่อนที่มันจะร่อน
ลงจอด ร่างมหึมาของเจ้าเขี้ยวเหล็กก็สั่นสะท้านอีกครั้ง
มันพุ่งเข้ามาและใช้ปีกตบพวกนั้น
เสียงตบกึกก้องสี่ครั้งดังต่อเนื่องกันไปทั่วทั้งป่าที่
เงียบสนิท ทั้ง 4 ร่วงลงไปกองที่พื้น เลือดสดๆพุ่งออก
จากปาก แรงปะทะทำให้กระดูกหักเกือบทั้งร่าง
เจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้ามีวรยุทธขั้นกึ่งจื้อจุน และใน
เมื่อเป็นอสูร ก็ย่อมมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่านักรบที่มีวร
ยุทธขั้นเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย แค่กวาดเบาๆสอง
สามที กระดูกกระเดี้ยวและพลังปราณของเจ้าพวกนั้นก็
แทบไม่เหลือหรอ ต่อให้รักษาหายก็ต้องพิการไปชั่วชีวิต
“ฉันก็บอกแกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ออมแรงหน่อย?
ฉันยังมีคำถามต้องถามเจ้าพวกนั้น แล้วจะถามได้อย่างไร
ในเมื่อแกจัดการเสียขนาดนั้นแล้ว?” เห็นเจ้าเขี้ยวเหล็ก
อัด 4 คนนั้นถึงขั้นพิการ จางเซวียนขมวดคิ้ว
คงจะดี ก ว่ า ถ้ า พวกเขาไม่ ไ ด้ ยิ น คำพู ด ของจางเซ
วียน เพราะเมื่อได้ยิน ทั้ง 4 ก็ถึงกับกระเสือกกระสน
น้ำตาทะลักออกจากนัยน์ตาของพวกเขา
น้องชาย มันเรื่องอะไรถึงหน้าด้านไปตำหนิเจ้าอสูร
นั่น ก็แกเองที่เป็นคนอัด
จางชิง และหมอนั่นก็เละกว่าพวกเราเสียอีก จนถึง
ตอนนี้ยังกระอักเลือดไม่หยุด และหน้าตาก็ถูกตบเสียยับ
เยินไปหมด ต่อให้แม่มันก็คงจำสารรูปลูกตัวเองตอนนี้ไม่
ได้!
ถ้าไม่รีบรักษา การสูญเสียวรยุทธไปยังเป็นเรื่องเล็ก
เผลอๆอาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้เสียด้วยซ้ำ
ตั ว เองก็ อั ด เขาเสี ย ยั บ เยิ น กล้ า ต่ อ ว่ า คนอื่ น ได้
อย่างไร?
โว้ยยยยย!
ใครบอกเราว่ามันเป็นภารกิจขี้ปะติ๋ววะ!
นายน้อย มาที่นี่เถอะ! พวกเราสัญญาว่าจะไม่อัด
คุณถึงตาย...
ตอนที่ 295 เรียกผมว่าอาจารย์

“พูดมา! จี้โม่ส่งพวกแกมาใช่ไหม?”
หลังจากตำหนิเจ้าเขี้ยวเหล็กแล้ว จางเซวียนก็หัน
มาทางหัวหน้ากลุ่ม
ถึงตอนแรกพวกนั้นจะขัดขืน แต่เมื่อถูกจางเซวีย
นบังคับให้กินยาพิษ ก็รู้ทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่
จิตรกรและนักรบธรรมดา แต่ยังเป็นกูรูยาพิษด้วย!
เมื่อนึกถึงเรื่องราวของกูรูยาพิษที่เคยได้ยินมา ฟาง
เส้นสุดท้ายของการปกปิดข้อมูลก็ถึงกับขาดผึง พวกเขา
สารภาพหมดเปลือก
“คุณชายจี้โม่สั่งไม่ให้พวกแกฆ่าฉัน แต่ให้จับฉันแก้
ผ้า แขวนฉันไว้กับต้นไม้ แล้วใช้ผลึกบันทึกเก็บข้อมูลไว้
ใช่ไหม?”
เมื่อรู้ความคิดของอีกฝ่าย จางเซวียนถึงกับใบ้กิน
แต่ เ มื่ อ คิ ด ดี ๆ ก็ เ ข้ า ใจว่ า ทำไมอี ก ฝ่ า ยถึ ง อยากทำ
แบบนั้น
ในเมื่อจางเซวียนเป็นถึงจิตรกรระดับ 3 ดาว ถ้า
เขามีเรื่องให้ต้องอับอาย ก็ย่อมจะต้องเก็บตัวเงียบ เพื่อ
ไม่ให้ตัวเองต้องขายหน้า
แต่ถ้าเขาถูกฆ่า ทางสมาคมจิตรกรจะต้องมาสืบ
สาวราวเรื่อง และในเมื่อเขาเพิ่งมีปากเสียงกับจี้โม่ ฝ่าย
หลังก็ย่อมจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ ซึ่งนั่นจะ
ทำให้จี้โม่เสี่ยงต่อการถูกสมาคมจิตรกรลงโทษ
ถ้าเขาเป็นแค่จิตรกรระดับ 1 หรือ 2 ดาว ทาง
สำนั ก งานใหญ่ ค งไม่ เ สี ย เวลาเข้ า มายุ่ ง เกี่ ย ว แต่ ถ้ า
อัจฉริยะผู้ได้เป็นจิตรกรระดับ 3 ดาวตั้งแต่ยังอายุไม่ถึง
ยี่สิบถูกฆ่าตาย ทางนั้นอาจเดือดดาลจนถึงขั้นทำลาย
ตระกูลจี้ทั้งตระกูลได้
แต่ถ้าพวกเขาทำให้จางเซวียนต้องอับอายขายหน้า
ด้วยการใช้ผลึกบันทึกจดจำพฤติกรรมน่าอับอายของเขา
ไว้ จี้โม่ก็จะมีอาวุธเอาไว้ข่มขู่เขา
ต่อให้จางเซวียนรู้ว่าใครเป็นตัวการ แต่เพื่อไม่ให้
ภาพเหล่านั้นถูกเผยแพร่ออกไป เขาก็ย่อมไม่กล้าเผชิญ
หน้ากับตระกูลจี้
พูดได้ว่า แม้คุณชายจี้โม่จะดูเป็นคนใจร้อน แต่เขา
ก็วางแผนอย่างดีโดยคำนึงถึงผลที่จะตามมา
แต่ก็น่าเสียดายที่เขาประเมินระดับวรยุทธของจาง
เซวียนต่ำไป ทำให้คนทั้ง 5 ต้องมาหมอบกระแตใน
สภาพแสนจะน่าสังเวช
เมื่ อ รู้ ค วามตั้ ง ใจของอี ก ฝ่ า ยแล้ ว จางเซวี ย นก็
ชำเลืองมองคนทั้ง 5 และเตะเข้าให้อีกคนละป้าบ
“ยาพิษที่ฉันให้พวกแกกินเข้าไปจะออกฤทธิ์ภายใน
5 วัน มันจะทำลายอวัยวะภายในทั้งหมดและทำให้แก
ต้องตายอย่างทรมาน เว้นเสียแต่ว่าพวกแกจะทำตามนี้
จับคุณชายจี้โม่แก้ผ้า แขวนเขาไว้กับต้นไม้ และใช้ผลึก
บันทึกบันทึกภาพเอาไว้ แล้วฉันจะตอบแทนด้วยการให้
ยาถอนพิษ อย่าได้คิดฝันว่าจะไปหากูรูยาพิษที่ไหนมา
รักษาได้ เพราะยาพิษที่ฉันใส่เข้าไปในตัวพวกแกเป็นสูตร
ที่ฉันคิดค้นขึ้นเอง ต่อให้กูรูยาพิษระดับ 3 ดาวก็ช่วยไม่
ได้!”
ตาต่อตา
ก็แกอยากทำให้ฉันอับอายนักไม่ใช่หรือ?
ได้เลย ฉันจะส่งลูกน้องของแกกลับไปเอาคืน รอดูก็
แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ยาพิษสูตรลับที่จางเซวียนใช้นั้น อันที่จริงคือพลัง
ปราณเทียบฟ้า จึงไม่มีใครสามารถถอนพิษได้ยกเว้นตัว
เขา แค่คิดแว่บเดียว จางเซวียนก็สามารถเปลี่ยนพลัง
ปราณให้กลายเป็นยาพิษที่ซึมซาบเข้าไปสู่จุดชีพจรของ
พวกเขา ทำให้ถึงตายได้ทันที
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกหก
“ได้ ได้เลย!”
เมื่อรู้ว่ายาพิษถูกฝังเข้าไปในตัวแล้ว พวกนั้นก็ปาก
สั่นด้วยความกลัว
กูรูยาพิษเป็นบุคคลที่มีแต่ผู้เกรงขาม กรรมวิธีของ
พวกเขาล้วนแต่น่าสะพรึง การทำให้กูรูยาพิษคนไหน
ก็ตามขุ่นเคืองย่อมหมายถึงจุดจบ
ถ้าเพียงแต่รู้สักหน่อยว่าบุคคลที่นายน้อยส่งพวก
เขามาฉะสั่ ง สอนจะน่ า พรั่ น พรึ ง ขนาดนี้ พวกเขาคง
ปฏิเสธและเปิดหนีไปจากเมืองทันที จะไม่มีวันรนหาที่
ตายแบบนี้เลย
“ไสหัวไป!”
เมื่อสั่งการเรียบร้อย จางเซวียนก็ไล่พวกนั้นกลับไป
“ขอรับ!”
ทั้ง 5 คนเข้าพยุงกันและกัน และลนลานออกจาก
ป่า
เมื่อกลับมาถึงเขตเมือง ต่างคนก็มองหน้ากันอย่าง
ลังเล
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ?”
จางชิ ง ที่ ไ ด้ รั บ บาดเจ็ บ มากที่ สุ ด เอ่ ย ถามคนอื่ น ๆ
ด้วยเสียงอ่อนระโหย
“เราจะทำอะไรได้ล่ะ? ก็ต้องทำตามที่เขาสั่ง อย่าง
เลวร้ายที่สุด...ก็แค่ออกจากอาณาจักรเทียนหวู่ไปโดยไม่
กลับมาอีก!” หัวหน้ากัดฟัน
ทุกคนทำงานให้กับตระกูลจี้ก็เพื่อเงินและทรัพยากร
เท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ชีวิตของพวกเขาถูกคุกคาม ก็เห็นๆ
กันอยู่ว่าอะไรสำคัญที่สุด
อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะความอาฆาตของคุณชายจี้
โม่ เขาก็คงไม่พยายามหาเรื่องคนเก่งกาจแบบนี้ ซึ่งทำให้
พวกเขาต้องลงเอยด้วยการตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช
ตอนนี้ ทุกคนพากันเกลียดนายน้อยเข้ากระดูกดำ
“เราควรปรึกษาหารือกันให้ดี เพื่อดูว่าจะปฏิบัติ
ภารกิจนี้ให้สำเร็จได้อย่างไรภายใน 5 วัน...”
เมื่อตัดสินใจแล้ว ทั้ง 5 ก็ตกลงสาบานเป็นพี่น้อง
กัน ก่อนจะกระย่องกระแย่งไปหาที่พักเพื่อรักษาอาการ
บาดเจ็บ
.....
จางเซวียนไม่แยแสเจ้าคนร่อแร่ทั้ง 5 เมื่อเขาใกล้
ถึงตัวเมืองของอาณาจักรเทียนหวู่ ก็ได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่
ในหุบเขาที่อยู่ไม่ห่างออกไปเท่าไร ดูเหมือนจะมีการต่อสู้
กันอยู่
“เราควรจะไปดูเสียหน่อย!”
จางเซวียนขึ้นขี่หลังเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า เจ้าเขี้ยว
เหล็กพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้เกิดลมกรรโชกแรง
และภายใต้ความมืดมิดนั้น มันพุ่งไปยังเป้าหมายโดยไม่
ทำให้เกิดสรรพเสียงใดๆ
.....
โรงเตี๊ยมเทียนหวู่
“คุณพูดว่า...อาจารย์เพิ่งเข้าทดสอบเป็นจิตรกร
เมื่อครู่นี้เองหรือ?”
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจ้องหน้าลู่ฉวิน ทุกคนหน้าแดง
ก่ำด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาคิ ด ว่ า คงอี ก สั ก พั ก กว่ า อาจารย์ จ ะมาถึ ง
อาณาจักรเทียนหวู่ ไม่นึกเลยว่าจะมาถึงก่อนเสียอีก
“ผมได้ยินจากเจ้าหน้าที่ของสมาคมจิตรกรว่ามีคน
ชื่อจางเซวียนสอบผ่านและได้เป็นจิตรกรระดับ 3 ดาว
แต่ส่วนเขาจะเป็น...ท่านอาหรือเปล่านั้น ผมก็ไม่แน่ใจ!”
ลู่ฉวินพูด
หลังจากที่สอบผ่านและได้เป็นผู้ช่วยจิตรกร เขาก็
รีบกลับมาที่โรงเตี๊ยมเพื่อแจ้งข่าวให้ทุกคนรู้
“ต้องเป็นเขาแน่! จะมีคนสองคนที่ใช้ชื่อเดียวกัน
ปรากฏตัวในเวลาเดียวกัน แถมยังวาดภาพขั้น 5 ได้
เหมือนกัน ก็คงบังเอิญไปหน่อย?” หวงหวี่พูด
เธอได้เห็นจางเซวียนวาดภาพมากับตา ไม่เพียงแต่
ทักษะของเขาจะไร้เทียมทาน แต่ความเร็วก็ยังสุดยอด
เธอไม่รู้สึกเลยว่าการที่เขาใช้อสูรวาดภาพขั้น 5 ได้จะ
เป็นเรื่องเหลือเชื่อ
“ในเมื่ออาจารย์เพิ่งเข้าทดสอบไม่ถึงสองชั่วโมงนี้
เอง เขาก็ น่ า จะยั ง อยู่ แ ถวๆนี้ ล องไปตามหากั น เถอะ
บางทีอาจจะเจอก็ได้!”
“เห็นด้วย เราก็อยากไปตามหาอาจารย์เหมือน
กัน!”
เมื่อรู้ว่าอาจารย์น่าจะอยู่แถวๆนี้ จ้าวหย่ากับคน
อื่นๆก็นั่งไม่ติด
“เอาล่ะ ไปตระเวนดูพื้นที่แถวนี้ แล้วอีก 2 ชั่วโมง
กลับมาเจอกัน!”
ปรมาจารย์หลิวเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดี และ
คิดว่าจะยับยั้งไว้ก็คงเป็นเรื่องยาก จึงสั่งการไป
“ได้เลย!”
ไม่มีใครอยู่นิ่งได้อีกต่อไป เด็กๆทุกคนรีบออกไป
หลังจากได้ยินคำสั่งของผู้อาวุโส
......
วิ้ว วิ้ว วิ้ว!
พลั ง ปราณล่ อ งลอยอยู่ ใ นอากาศ ส่ ง คลื่ น ความ
กดดันออกมาแผดเผาพื้นที่โดยรอบ
หนึ่งมนุษย์กับหนึ่งอสูรกำลังโรมรันกัน
“นักรบขั้นจงซรือสู้กับอสูรขั้นจงซรือ?”
จางเซวียนยืนอยู่บนหลังของเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า
และมองการต่อสู้จากด้านบนด้วยความอัศจรรย์ใจ
นักรบจงซรือขั้นสูงสุดกำลังสู้กับอสูรที่มีวรยุทธจงซ
รือขั้นสูง ที่เรียกว่าเสือแดงเพลิง
เสือแดงเพลิงมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเสือดำ
เกราะทองที่จางเซวียนเคยฝึกให้เชื่องมาก่อนหน้า มันไม่
เพียงแต่จะมีขนปุกปุยและหนังหนา แต่ยังมีพละกำลัง
มหาศาลอยู่ในตัวด้วย
ซึ่งเจ้าเสือแดงเพลิงตัวนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่า
เสือดำเกราะทองอย่างเห็นๆ ทุกการเตะและตะปบของ
มันแทบจะฉีกอากาศให้แหวกเป็น 2 ส่วน
ด้ ว ยพละกำลั ง ทำลายล้ า งทั้ ง จากมนุ ษ ย์ แ ละอสู ร
ต้นไม้บริเวณนั้นถึงกับฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ส่วนบรรดาก้อน
หินก็แตกเป็นเสี่ยงๆ แม้เจ้าเสือแดงเพลิงจะมีวรยุทธแค่
จงซรือขั้นสูง แต่ความได้เปรียบด้านรูปร่างก็ทำให้มันสู้
กับนักรบที่มีวรยุทธสูงกว่าได้ นักรบจงซรือขั้นสูงสุดมี
กรรมวิธีที่เหนือชั้นกว่ามันหลายเท่าก็จริง แต่ก็ไม่อาจ
ทะลายเกราะการป้องกันตัวของเจ้าเสือแดงเพลิงได้ ใน
ชั่วระยะเวลาไม่นาน ทั้งคู่ผลัดกันรุกและรับอยู่หลายครั้ง
แต่ก็ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำหรือได้เปรียบใคร
ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!
หลังจากปะทะกันอีก 2-3 ครั้ง และเห็นแล้วว่าศึก
ครั้งนี้ไม่อาจรู้ดำรู้แดงกันได้ เจ้าเสือแดงเพลิงก็ส่ายหาง
อันใหญ่โตของมัน หันหลังกลับ แล้วเดินจากไป
เมื่อเห็นว่ามันกำลังจะลับสายตา นักรบจงซรือขั้น
สูงสุดคนนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่เขากำลังจะ
จากไป ก็ต้องหรี่ตาในทันใดและเงยหน้าขึ้นมองเจ้าเขี้ยว
เหล็กเหินฟ้าที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
มันดึกมากแล้ว แต่เจ้าตัวนี้ก็บินต่ำและมองเห็นได้
ด้วยตาเปล่า ก่อนหน้านี้เขามัวแต่สนใจการรบรากับเจ้า
เสือแดงเพลิง จนไม่รู้สึกถึงการปรากฏตัวของมัน
แต่เมื่อตอนนี้การสู้รบสิ้นสุดแล้ว หากยังมองไม่เห็น
เจ้าตัวเบ้อเร่อพลังมหาศาลที่ลอยอยู่เรี่ยดินแบบนี้ ก็คง
ต้องไปกระโดดตึกตาย
“ขอผมทราบหน่อยได้ไหมว่าผู้อาวุโสคือใคร? และ
ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ต้อนรับท่าน!”
นักรบผู้นั้นรีบประสานมือคารวะ
ในเมื่ออีกฝ่ายถึงกับฝึกอสูรขั้นกึ่งจื้อจุนให้เชื่องได้ ก็
แปลว่าฝ่ายนั้นต้องเป็นนักรบขั้นจื้อจุน แม้ตัวเขาเองจะ
สำเร็จวรยุทธจงซรือขั้นสูงสุดแล้ว แต่ก็ไม่กล้าทำกิริยาไม่
เหมาะสมกับฝ่ายนั้น
“ผู้อาวุโส?”
เมื่อการสู้รบสิ้นสุดลง จางเซวียนก็กำลังจะจากไป
ซึ่งพอดีกับที่นักรบเบื้องล่างรู้ตัวว่าเขามองอยู่ เมื่อได้ยิน
คำพูดนั้น จางเซวียนก็พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
“ใช่เลย เรากำลังมองหาลูกศิษย์ที่จะมาแสดงความ
กตัญญูต่อเราอยู่พอดี ในเมื่อชายคนนี้คิดว่าเราเป็นผู้
อาวุโส ก็ควรจะใช้โอกาสนี้ตบตาเขาเสียหน่อย บางทีมัน
อาจจะได้ผล!”
จางเซวียนกำลังงุ่นง่านกับความคิดที่ว่าจะไปหาลูก
ศิษย์ได้จากที่ไหน ก็พอดีกับที่ชายผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมา
เขาจึงตัดสินใจจะทดลองเสียหน่อย
“แต่คิดอีกที สภาพตอนนี้คงดูเด็กไป ถ้าได้เห็นหน้า
เรา เขาต้องสงสัยในความสามารถของเราแน่...เราควร
เป็นปรมาจารย์หยางจะดีกว่า!”
จากนั้น ด้วยความสามารถในการปลอมตัวของเขา
จางเซวียนก็จัดแจงกับกระดูกและกล้ามเนื้อทุกส่วนของ
ตัวเองให้กลายเป็น ‘หยางชวน’
อีกอย่าง เขาอยู่บนเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า และมันก็
ดึกมากแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายเห็นตัวเขาก็คงเห็นไม่ชัด
วู้!
เมื่อออกคำสั่ง เจ้าเขี้ยวเหล็กก็ค่อยๆร่อนลงจอด
เมื่อลงมาถึงพื้นแล้ว จางเซวียนก็ได้เห็นว่านักรบ
จงซรือขั้นสูงสุดคนนี้เป็นชายวัยกลางคนท่าทางมุ่งมั่นที่
อยู่ในชุดรัดกุม
ด้ ว ยประสบการณ์ เ ก่ า ก่ อ นจากการปลอมตั ว เป็ น
หยางชวน จางเซวียนจึงทำได้เนียนกว่าเดิม เขายืน
ตระหง่านอยู่บนเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า สองมือไพล่หลังไว้
และพูดด้วยสีหน้าท่าทางสุขุม “ไม่ต้องกังวลหรอก ผม
แค่ผ่านมาและเห็นคุณกำลังรบรากับเจ้าเสือแดงเพลิง จึง
หยุดดู คุณกำลังพยายามจะฝึกมันหรือ?”
มีวิธีการฝึกอสูรอยู่หลายวิธี การปะเหลาะพวกมันก็
ถือเป็นวิธีหนึ่ง ส่วนการรบรากับมันก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง
ถึงอสูรกับมนุษย์จะสู้กันอย่างดุเดือด แต่หากทั้งคู่
เอาจริง ก็คงจะเลือดตกยางออกกันไปนานแล้ว และใน
เมื่อนักรบวัยกลางคนผู้นี้ปล่อยให้เจ้าเสือแดงเพลิงจากไป
อย่างอิสระ ก็เป็นไปได้ว่าเขากำลังพยายามจะฝึกมัน
แต่เท่าที่ดูจากการสู้รบ ทั้งคู่ดูเหมือนจะรู้ไส้รู้พุง
เทคนิคของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จึงน่าจะไม่ใช่การสู้รบครั้ง
แรก
“ผู้อาวุโสพูดถูกแล้ว ผมตั้งใจจะฝึกมัน”
ชายวัยกลางคนประสานมือตอบ
เขาพยายามจะตรวจสอบอีกฝ่าย แต่ก็รู้สึกได้ว่าไม่
อาจจั บ สั ญ ญาณใดๆที่ เ กี่ ย วกั บ วรยุ ท ธของเขาได้ เ ลย
ด้วยความสามารถขนาดนี้ พลังปราณของอีกฝ่ายจะต้อง
บริสุทธิ์กว่าเขามาก หรือไม่...วรยุทธของอีกฝ่ายก็ต้อง
เหนือกว่าเขา!
และเมื่อดูจากการที่เขาเป็นเจ้าของอสูรเขี้ยวเหล็ก
เหินฟ้าขั้นกึ่งจื้อจุน แถมยังไม่อาจตรวจสอบวรยุทธของ
เขาด้วย ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ อย่างน้อยๆก็ต้อง
เป็นนักรบจื้อจุนขั้นสูงสุด!
เมื่ อ ได้ ข้ อ สรุ ป แล้ ว ชายวั ย กลางคนยิ่ ง มี ที ท่ า
นอบน้อมมากกว่าเดิม
“เสือแดงเพลิงเป็นราชาแห่งป่า และการฝึกมันให้
เชื่องก็ไม่ง่าย แค่สู้รบกับมัน 2-3 ครั้ง ยังทำอะไรไม่ได้
หรอก!” จางเซวียนพูดเรื่อยๆ
ถึงเขาจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของอสูรหายากอย่าง
เจ้าอสูรลาวา แต่ในฐานะที่เป็นนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว
เขาย่อมพอจะรู้เรื่องราวของเจ้าเสือแดงเพลิงอยู่บ้าง
เสือแดงเพลิงเป็นราชาของป่า เมื่อโตเต็มวัยจะมี
พละกำลังในระดับเดียวกับนักรบจงซรือขั้นสูงสุด ในเมื่อ
เจ้าตัวนี้มีวรยุทธแค่จงซรือขั้นสูง ก็แปลว่ามันยังไม่โต
เต็มวัย
แต่ ด้ ว ยความเป็ น อสู ร ที่ มี พ ละกำลั ง แข็ ง แกร่ ง มา
ตั้งแต่เกิด จึงยากที่มันจะยอมจำนนให้ใคร โอกาสที่จะฝึก
มันให้เชื่องด้วยการสู้รบกับมันแค่สองสามครั้งจึงเป็นไป
ได้น้อยมาก
“ผมก็เข้าใจเรื่องนั้นดี แต่...มันอดไม่ได้จริงๆ!”
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างขมขื่น
เขารู้ดีว่าการจะฝึกเจ้าเสือแดงเพลิงให้เชื่องเป็น
เรื่องที่ยากเกินไป แต่เมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับ
หากฝึกมันได้ ก็ไม่อาจห้ามใจได้สักที
“ผมสามารถถ่ายทอดวิธีฝึกมันให้คุณได้!” จางเซวี
ยนพูด
“ผู้อาวุโสเต็มใจจะสอนผม?”
ชายวัยกลางคนกำลังกำลังรู้สึกท้อแท้กับเรื่องนี้ ใน
ขณะที่อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา เขาหรี่ตาและใบหน้าแดงเรื่อ
ด้วยความตื่นเต้น “ผู้อาวุโส ขอผมทราบหน่อยได้ไหมว่า
คุณอยากให้ผมช่วยอะไร? ถ้ามันอยู่ในขอบเขตที่ผมทำได้
ผมจะไม่บ่นแม้แต่คำเดียว!”
ด้วยรู้ดีว่าของฟรีไม่มีในโลก ถึงชายผู้นี้จะรู้สึกว่า
ความคิดนั้นเย้ายวนใจมาก แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ตัวเอง
เข้าตะครุบมันโดยไม่ใช้เหตุผล
“ผมไม่มีอะไรที่ต้องการให้คุณช่วยเหลือหรอก และ
ด้วยระดับวรยุทธของคุณ คุณก็คงไม่ยอมให้ผมหลอกใช้
แน่ เพียงแต่ว่า...ผมไม่อาจปล่อยให้เทคนิคของผมหาย
สาบสูญไปได้ ในเมื่อวาสนานำพาให้เราได้พบกันแล้ว
ผมก็ จ ะสอนวิ ธี ก ารนั้ น ให้ คุ ณ แต่ คุ ณ ต้ อ งเรี ย กผมว่ า
อาจารย์!”
จางเซวียนมองหน้าอีกฝ่าย
“เรียกคุณว่าอาจารย์?” นักรบวัยกลางคนกำลัง
นึกถึงข้อเรียกร้องต่างๆนานาที่อีกฝ่ายน่าจะยกขึ้นมา แต่
จางเซวียนกลับทำให้เขาประหลาดใจ เขาถึงกับเซ่อไป
พักหนึ่งทีเดียว
ตอนที่ 296 ศิษย์เจียงสู่

เขาเคยได้ ยิ น เรื่ อ งที่ นั ก รบเก่ ง ๆทำร้ า ยกั น เองจน


บาดเจ็บเพียงเพราะความไม่ลงรอยเล็กน้อย รวมทั้ง
นั ก รบบางคนที่ ท ำลายขนบธรรมเนี ย มวิ ถี ป ฏิ บั ติ แ บบ
เดิมๆ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้เชี่ยวชาญคนไหนตระเวนไป
ทั่ว และเที่ยวรับคนแปลกหน้าที่ผ่านไปมาเป็นศิษย์
ชายวัยกลางคนกระพริบตาปริบๆ
การที่ ตั ว ขาสำเร็ จ วรยุ ท ธจงซรื อ ขั้ น สู ง สุ ด ก็ เ ป็ น
เครื่องยืนยันถึงความปราดเปรื่อง แต่ก็รู้ตัวว่ายังห่างไกล
จากการเป็นอัจฉริยะตัวจริงมากนัก
เขาไม่ได้เป็นอัจฉริยะ แต่อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอจะรับ
เขาเป็นศิษย์โดยแทบไม่ได้ใคร่ครวญเลย...
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“ถูกแล้ว! คุณกำลังสงสัยว่าทำไมผมถึงอยากรับคุณ
เป็นศิษย์ใช่ไหม?”
จางเซวียนโบกมืออย่างสบายใจ นัยน์ตาของเขา
ฉายความสงบเย็ น และความมุ่ ง มั่ น ล้ ำ ลึ ก เขาพู ด ว่ า
“ความปราดเปรื่องของคุณจัดว่าเป็นเลิศ และวรยุทธ
ของคุณก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้อง
ทำให้คุณคิดไปเอง จริงไหม?”
“เอ่อ...”
อีกฝ่ายรู้หมดว่าเขาคิดอะไร นักรบวัยกลางคนยิ้ม
อย่างกระอักกระอ่วน
"ผมเฝ้ามองคุณสู้กับเสือแดงเพลิง คุณใช้ ‘เทคนิค
การเคลื่อนไหวสายธารเขียวขจี’ กับ ‘เพลงหมัดหงเห
ยียน’ เนื่องจากมันไม่ใช่ส่วนผสมที่ลงตัวนัก คุณจึงไม่
สามารถสำแดงพลังของทักษะเหล่านี้ออกมาได้เต็มที่
ถ้าผมพูดไม่ผิด เพลงหมัดหงเหยียนที่คุณฝึกฝนนั้น
ยังไม่สมบูรณ์!"
จางเซวียนพูดแบบผู้รู้แจ้งเห็นจริง
“ผู้อาวุโส...คุณรู้ได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนถึง
กับหน้าถอดสีด้วยความตกใจ
เทคนิคการเคลื่อนไหวสายธารเขียวขจีเป็นเทคนิคที่
มีชื่อเสียงโด่งดังของอาณาจักรเทียนหวู่ จึงไม่แปลกที่อีก
ฝ่ายจะรู้จัก แต่เพลงหมัดหงเหยียนนั้นเป็นเทคนิคลับ
เฉพาะของเขา ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่เขาเดินทางท่องเที่ยว
ไป เขาได้ไปสะดุดเข้ากับหลุมฝังศพของนักรบขั้นจื้อจุน
คนหนึ่งในหุบเขา และได้พบเคล็ดวิชาเพลงหมัดหงเหยี
ยนเข้าโดยบังเอิญ
เพลงหมัดนั้นคิดค้นขึ้นโดยผู้อาวุโสคนหนึ่งชื่อหงเห
ยียน เทคนิคดังกล่าวทำให้ผู้ใช้สามารถแผ่พลังอันหนัก
หน่วงออกมา ซึ่งพลังนั้นมีประสิทธิภาพถึงขนาดทลาย
เกราะการป้องกันตัวอันแสนจะแข็งแกร่งของอสูรได้
แม้ ว่ า เคล็ ด วิ ช าที่ เ ขาค้ น พบในหลุ ม ฝั ง ศพจะไม่
สมบูรณ์ แต่เมื่อฝึกฝนมาได้หลายปี นักรบวัยกลางคนก็
เชี่ยวชาญเพลงหมัดนั้น และได้ใช้มันเป็นท่าไม้ตายมา
ตลอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ระหว่างที่สู้กับเสือ
แดงเพลิง เขาได้สำแดงเทคนิคนี้ออกมาด้วยเจตนาที่จะ
ปัดฝุ่นทักษะของตัวเอง ไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสคนนี้จะรู้จัก
มันได้ด้วยการมองแค่แว่บเดียว
จางเซวียนไม่ตอบคำถามของเขา กลับพูดต่อด้วย
สีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ “เพลงหมัดหงเหยียนจะ
เน้นการใช้พละกำลังในการเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วง
ถ้าคุณฝึกฝนเฉพาะเทคนิคนี้ ถึงจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็จะ
ไม่มีผลข้างเคียงมากนัก แต่ในเมื่อคุณฝึกวรยุทธเพลง
หมัด 3 คุ่นไปพร้อมๆกัน ซึ่งหลักการของเพลงหมัด 3
คุ่นก็คือการระเบิดพละกำลังออกมาในระยะ 3 คุ่น
แนวคิดเรื่องการเคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงกับการระเบิด
พละกำลังจึงขัดแย้งกัน ถ้าผมพูดไม่ผิด คุณน่าจะมี
อาการป่วยเรื้อรังบางอย่าง!”
“เอ่อ...”
ชายวัยกลางคนถึงกับตัวสั่นด้วยความอัศจรรย์ใจ
เขาลนลานประสานมื อ คารวะด้ ว ยความนั บ ถื อ “ผู้
อาวุโส...คุณพูดถูก!”
เทคนิคแรกที่เขาได้ฝึกฝนก็คือเพลงหมัด 3 คุ่น
หลังจากนั้น เมื่อเขาได้พบกับเพลงหมัดหงเหยียน
ก็รู้ว่าทั้งสองเทคนิคมีโอกาสที่จะขัดแย้งกัน แต่ในเมื่อ
รู้จักมันแล้ว ก็ไม่อยากจะปล่อยให้เพลงหมัดอันทรงพลัง
แบบนั้นหลุดมือไป เขาจึงเลือกที่จะฝึกฝนมัน เขาคิดว่า
ด้วยระดับวรยุทธที่ตัวเองมี ก็น่าจะแก้ไขอาการเจ็บป่วย
ที่จะเกิดขึ้นได้โดยง่าย
แต่กลายเป็นว่า ยิ่งฝึกฝนเทคนิคนั้นมากขึ้นเท่าไร
ร่างกายก็ยิ่งบอบช้ำหนักกว่าเดิม
โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีนี้ เขารู้สึกได้ว่าความ
แข็งแกร่งลดลงกว่าเดิมอย่างฮวบฮาบ นั่นคือเหตุผลที่
เขาอยากฝึกเจ้าเสือแดงเพลิงตัวนั้นให้เชื่อง เพราะหาก
เกิดอะไรขึ้นกับเขา ก็ยังอุ่นใจได้ว่าครอบครัวจะปลอดภัย
“เป็นถึงปรมาจารย์ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเทคนิคเพลง
หมัดทั้งสองนั้นจะต้องขัดแย้งกัน ก็ยังดันทุรังฝึกมันต่อ
และทำร้ายร่างกายของตัวเอง ช่างโง่เง่าเสียจริง” จางเซ
วียนพูดน้ำเสียงเฉียบขาด
“ผู้อาวุโส...คุณรู้ว่าผมเป็นปรมาจารย์?” เขาจ้อง
หน้าจางเซวียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ตอนที่รบรากับเจ้าเสือแดงเพลิง เขาใช้ทั้งเพลง
หมัดหงเหยียนและเพลงหมัด 3 คุ่น ซึ่งการที่อีกฝ่ายบอก
ได้ก็ยังไม่น่าประหลาดใจเกินไป แต่เขาไม่ได้ใส่เสื้อคลุม
ปรมาจารย์ และไม่ได้ติดตราสัญลักษณ์ด้วย แล้วผู้อาวุโส
คนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นปรมาจารย์?
เขาไม่ ไ ด้ พู ด อะไรที่ เ ป็ น การบอกใบ้ ถึ ง สถานภาพ
ของตัวเองเลย!
"ตอนที่ คุ ณ สู้ กั บ เจ้ า เสื อ แดงเพลิ ง คุ ณ สามารถ
ทำนายและหลีกเลี่ยงการโจมตีที่หนักหน่วงถึงตายของ
อีกฝ่ายได้ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะมาจากการรบรากันหลาย
ครั้ง ซึ่งส่งผลเป็นความคุ้นเคยในเทคนิคของแต่ละฝ่าย
แต่เรื่องจริงก็คือ การที่คุณรู้จุดอ่อนของเจ้าเสือแดง
เพลิ ง และตอบโต้ ไ ด้ อ ย่ า งตรงจุ ด ทุ ก ครั้ ง นั่ น เองที่ เ ป็ น
เครื่องพิสูจน์ว่าคุณคือปรมาจารย์!" จางเซวียนตอบ
ปรมาจารย์คือผู้ที่ได้ครอบครองสภาวะหยั่งรู้ ซึ่ง
ทำให้ พ วกเขามองเห็ น ข้ อ บกพร่ อ งและจุ ด อ่ อ นของ
เทคนิคการฝึกวรยุทธต่างๆ ก็เพราะความสามารถในการ
ระบุปัญหาและสาเหตุของปัญหานี่เองที่ทำให้พวกเขา
สามารถชี้แนะลูกศิษย์ให้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ปรมาจารย์เป็นผู้แข็งแกร่ง
ที่สุดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธขั้นเดียวกัน
ในการสู้รบเมื่อครู่ ไม่เพียงแต่นักรบวัยกลางคนผู้นี้
จะสามารถจัดสรรการรุกและรับของเขาได้อย่างลงตัว
แต่ยังสามารถควบคุมสภาวะจิตให้สงบเยือกเย็นอยู่ได้ทั้ง
ที่ ก ำลั ง เผชิ ญ หน้ า กั บ อสู ร อั น แสนดุ ร้ า ยป่ า เถื่ อ น ทุ ก
ท่วงท่าของเขาล้วนเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจ แม้นักรบ
ทั่วไปก็พอมองเห็นได้ว่ามีบางอย่างไม่ธรรมดา
ตอนที่กำลังสู้กับเสือแดงเพลิงนั้น เขาได้สำแดง
เทคนิคการต่อสู้ออกมาหลายกระบวนท่า ดังนั้นหอสมุด
เทียบฟ้าจึงได้ประมวลหนังสือออกมา...
“ผู้อาวุโส สายตาหยั่งรู้ของท่านช่างอัศจรรย์นัก...”
ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพลัน
ตาโต “หรือว่า...ผู้อาวุโสก็เป็นปรมาจารย์เหมือนกัน?”
ถ้าไม่ใช่ปรมาจารย์ เขาไม่คิดว่าจะมีใครสามารถ
มองเห็นเทคนิควรยุทธที่เขาฝึกฝนอยู่ได้ ทั้งยังระบุได้ว่า
ร่างกายของเขามีปัญหาและรู้อาชีพของเขาด้วย
จางเซวียนยืนเอาสองมือไพล่หลัง ลมที่โชยมาจาก
ขุนเขาพัดเสื้อคลุมโบกสะบัด ทำให้นึกถึงภาพของเซียนผู้
หยั่งรู้ “ผมใช้เวลาตระเวนไปทั่วโลก หลายปีมาแล้วที่
เคยมีผู้คนเรียกผมด้วยคำนั้น!”
“ใช่จริงๆ ผู้อาวุโสเป็นปรมาจารย์...”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย นัยน์ตาของชายวัย
กลางคนก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ความจริงที่ว่าฝ่ายนั้นน่าจะสำเร็จวรยุทธขั้น 9-จื้อ
จุนเป็นอย่างน้อย ทั้งยังมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ล้ำ
ลึ ก กว่ า เขา ก็ ห มายความว่ า อย่ า งน้ อ ยเขาต้ อ งเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว!
ถ้าผู้อาวุโสเป็นปรมาจารย์ เขาก็พอเข้าใจได้ว่า
ทำไมอีกฝ่ายถึงขอให้เขามาเป็นศิษย์ทั้งที่เพิ่งพบกัน
ปรมาจารย์มีความรับผิดชอบในการให้ความรู้กับ
ผู้คนทั่วไป หากใครมีข้อสงสัยพวกเขาก็จะช่วยไขข้อ
ข้องใจให้ มันคือเหตุผลที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงเจริญ
รุ่งเรืองอยู่ได้ในทุกดินแดน และนั่นก็ทำให้ปรมาจารย์
กลายเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพยกย่องสูงสุดจากฝูง
ชน
ลำดับอาวุโสในหมู่ปรมาจารย์นั้นเข้มงวดมาก เป็น
เรื่องธรรมดาที่ปรมาจารย์ขั้นต่ำกว่าจะยกย่องปรมาจารย์
ขั้นสูงกว่าเป็นอาจารย์ และก็ไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้รับ
ปรมาจารย์คนอื่นๆมาเป็นอาจารย์ของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการที่อีกฝ่ายมองทะลุปัญหาของ
เขาได้ในแว่บเดียว แถมยังช่วยเขาฝึกเจ้าเสือแดงเพลิง
ให้เชื่องได้ด้วย ถ้าเขายอมเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสคนนี้ก็
ไม่มีอะไรเสียหายเลย มีแต่ได้เท่านั้น!
“เป็นเกียรตินักที่ได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโส!”
เขาข่มความตื่นเต้นไว้ และลนลานตอบด้วยใบหน้า
แดงก่ำ
“คุณไม่สงสัยผมแล้วหรือ?” จางเซวียนถาม
“ผมมิบังอาจ!”
ชายวัยกลางคนรีบพยักหน้า
ทั้งการที่เขามองไม่เห็นระดับวรยุทธของอีกฝ่าย ทั้ง
การเป็นเจ้าของอสูรขั้นกึ่งจื้อจุน รวมถึงทักษะการหยั่งรู้
อันแสนน่าทึ่ง มาตอนนี้ ต่อให้ฝ่ายนั้นยืนยันว่าตัวเอง
ไม่ใช่ปรมาจารย์ เขาก็ไม่เชื่อ
“เจ้าเสือแดงเพลิงที่คุณสู้รบกับมันนั้นยังโตไม่เต็ม
วัย และพละกำลังของมันก็ยังไม่ได้พุ่งถึงขีดสุด ถ้าคุณหา
ทางยกระดับวรยุทธของมันให้ไปถึงจงซรือขั้นสูงสุดได้ ก็
จะฝึกมันให้เชื่องได้ไม่ยาก!”
เมื่ออีกฝ่ายเชื่อแล้วว่าเขาเป็นปรมาจารย์ ที่เหลือก็
ไม่ยาก เพื่อให้อะไรๆคืบหน้าต่อไป จางเซวียนเริ่มอ่อย
ข้อเสนอ
“เอ่อ...ผมก็รู้อยู่เหมือนกัน และได้พยายามแล้ว แต่
ก็ยังหาทางยกระดับวรยุทธของมันไม่ได้...” ชายผู้นั้น
ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
เป็นที่รู้กันว่าปรมาจารย์จะต้องมีความรู้ในทุกสาขา
อาชีพ และนักรบวัยกลางคนผู้นี้ก็พอรู้เรื่องการฝึกอสูรอยู่
บ้าง เขารู้ว่าควรจะหาบางอย่างมากระตุ้นความสนใจ
ของเจ้าเสือแดงเพลิง ซึ่ง...ได้ทดลองหลายวิธีแล้ว แต่ก็
ยังไม่มีวิธีไหนที่จะช่วยให้เจ้าเสือตัวนั้นฝ่าด่านวรยุทธได้
เลย
อีกอย่าง ระดับพละกำลังของอสูรนั้นขึ้นอยู่กับอายุ
ของมัน ในโลกนี้ไม่มีสมุนไพรชนิดไหนที่ช่วยเร่งอายุได้
หรือต่อให้มี ก็จะเท่ากับการดึงต้นกล้าเพื่อให้มันโตเร็วขึ้น
ถ้าเจ้าเสือแดงเพลิงต้องเจอเรื่องแบบนั้น มันย่อมจะไม่
พอใจตัวเขา และจากนั้น ก็คงไม่มีทางที่เขาจะฝึกมันได้
เลย
“คุณมียาอยู่กับตัวบ้างไหม?”
จางเซวียนถามเรื่อยๆ
“ผม...ผมมียารักษาอาการบาดเจ็บ!” ไม่รู้ว่าอีก
ฝ่ายตั้งคำถามโดยมีเจตนาอะไร นักรบวัยกลางคนจึง
ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
“ส่งมาให้ผม!” จางเซวียนยื่นมือออกไป
“ขอรับ” แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเอายาไปทำอะไร
แต่เขาก็ไม่รีรอ สะบัดข้อมือครั้งเดียว ขวดหยกใบหนึ่งก็
ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ แค่เขย่าเบาๆ ขวดยานั้นก็ลอยไปหา
จางเซวียนด้วยพลังปราณ
ถึ ง ท่ ว งท่ า นี้ จ ะดู ง่ า ย แต่ ก็ แ สดงให้ เ ห็ น ความ
สามารถในการควบคุมพลังปราณอันน่าทึ่งของเขา
จางเซวียนก็ทึ่งกับความสามารถของอีกฝ่ายเช่นกัน
แต่เก็บอาการไว้ เขารับขวดหยกมาเปิดดู และเห็นยาเม็ด
กลมผิวเรียบ 10 เม็ดอยู่ข้างใน ทุกเม็ดเป็นยาเกรด 2!
ยาเกรด 2 ทุกชนิดจะมีราคาสูง ซึ่งทั้งขวดนี้ก็น่าจะ
ตกราว 10 ล้านเหรียญ แต่ก็เป็นธรรมดาที่ปรมาจารย์จะ
พกขวดนี้ติดตัวไปไหนมาไหน และใช้มันอย่างง่ายๆ
จางเซวี ย นเทยาเม็ ด พวกนั้ น ลงในฝ่ า มื อ และ
ถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าไป จากนั้นก็บดยาทั้ง 10
เม็ดให้ละเอียดเพื่อหลอมเข้าเป็นยาเม็ดใหญ่เม็ดเดียว
หนทางเดี ย วที่ จ ะทำให้ อ สู ร ซึ่ ง ยั ง ไม่ โ ตเต็ ม วั ย
สามารถฝ่าด่านวรยุทธได้ก็คือวิวัฒนาการของสายเลือด
จางเซวี ย นไม่ รู้ ว่ า ยานั้ น จะทำให้ เ จ้ า เสื อ แดงเพลิ ง มี
วิวัฒนาการของสายเลือดได้หรือไม่ แต่เขารู้ว่า...พลัง
ปราณเทียบฟ้าทำได้!
เจ้าเสือแดงเพลิงมีวรยุทธจงซรือขั้นสูง ส่วนจางเซ
วียนนั้น อีกหนึ่งขั้นถึงจะสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ แต่ถึง
อย่างนั้น พลังปราณเทียบฟ้าของเขาก็ยังมีประสิทธิภาพ
สูงในการเหนี่ยวนำให้เกิดวิวัฒนาการของสายเลือด
พลังปราณเทียบฟ้านั้นบริสุทธิ์มาก และอีกฝ่าย
หนึ่งก็เป็นถึงปรมาจารย์ที่มีทักษะการหยั่งรู้อันน่าทึ่งเช่น
กัน ถ้าเขาช่วยให้เสือแดงเพลิงฝ่าด่านวรยุทธได้โดยไม่ใช้
เครื่องมืออะไรเลย ก็เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องสงสัย
และความพยายามในการปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ก็จะ
ต้องจบเห่
อีกอย่าง ถ้าจางเซวียนต้องการถ่ายทอดพลังปราณ
เทียบฟ้าเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายโดยตรง เขาจะต้อง
แน่ใจเสียก่อนว่าฝ่ายนั้นจะไม่ตอบโต้ ลำพังพละกำลัง
ของตัวเขาหรือของนักรบวัยกลางคนผู้นี้คงไม่มีทางทำให้
เจ้าเสือแดงเพลิงสลบได้
เพราะฉะนั้น ต่อให้อยากทำ ก็ทำไม่ได้!
เขาจึ ง เลื อ กถ่ า ยทอดพลั ง ปราณเข้ า ไปในเม็ ด ยา
แทน เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายของเจ้าเสือแดงเพลิง พลัง
ปราณเทียบฟ้าของเขาก็จะซึมซาบเข้าสู่ร่างของมัน เมื่อ
พลังปราณไหลเวียนไปตามเส้นเลือดแล้ว ก็จะชำระสาย
เลือดให้บริสุทธิ์ และทำให้เกิดวิวัฒนาการของสายเลือด
ขึ้นได้
แต่วิธีการนี้ก็จะทำให้ยาเสียเปล่า ยิ่งยาเม็ดนั้นอยู่
ในเกรดสูงเท่าไร ก็ยิ่งอุ้มพลังปราณไว้ได้มากขึ้น ในช่วง
เวลาครู่เดียว มูลค่า 10 ล้านเหรียญของยาเม็ดล้ำค่า
พวกนั้นก็ละลายหายไป
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของจางเซวียนอยู่แล้ว เพราะ
ถึงอย่างไรยาเม็ดพวกนั้นก็ไม่ใช่ของเขา
อีกอย่าง เสียเงิน 10 ล้านเพื่อกระตุ้นอสูรให้สำเร็จ
วรยุทธจงซรือขั้นสูงสุด...นั่นเป็นราคาที่คุ้มค่ามาก
“ผมได้ดัดแปลงยาเม็ดนี้ไปเล็กน้อย เมื่อคุณป้อนให้
เจ้าเสือแดงเพลิงกิน มันก็จะฝ่าด่านวรยุทธสูงขึ้นจากที่
เป็นอยู่ได้ ส่วนต่อไป คุณจะทำให้มันยอมจำนนได้ด้วยวิธี
ไหน ก็ขึ้นอยู่กับทักษะของคุณ!”
สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง ยานั้นก็ลอยกลับไปหาชายวัย
กลางคน
เขาไม่ มี ค วามสามารถในการควบคุ ม พลั ง ปราณ
แบบอีกฝ่าย จึงจำเป็นต้องใช้วิธีเชยๆแบบนี้
“ได้เลย!” นักรบวัยกลางคนคว้ายาเม็ดนั้นไว้ แต่ก็
ยังไม่อยากจะเชื่อ
เขาซื้อยาสมานแผลนี้มาจากสมาคมนักปรุงยา และ
รู้ว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษ และทั้งหมดที่ผู้อาวุโสทำก็คือ
เอายาทั้ง 10 เม็ดไปบดแล้วหลอมรวมกันขึ้นใหม่เป็นยา
เม็ดที่ใหญ่กว่าเดิม แค่นี้ก็...เพียงพอที่จะทำให้เจ้าเสือ
แดงเพลิงฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วหรือ?
ทำไมดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย?
“ไปหาตั ว เจ้ า เสื อ แดงเพลิ ง แล้ ว ป้ อ นให้ มั น กิ น
เถอะ!” จางเซวียนขี้คร้านจะอธิบาย
“ได้!” ถึงนักรบวัยกลางคนจะยังแคลงใจอยู่ แต่ก็
ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหลอกลวงเขา
อีกอย่าง ฝ่ายนั้นก็เป็นถึงปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว
และนักรบขั้นจื้อจุน ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาตัวมายุ่งยาก
กับเรื่องแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า ถือยาไว้มั่น และ
พุ่งปราดไปตามทิศทางที่เจ้าเสือแดงเพลิงเพิ่งหนีไป
จางเซวียนไม่ได้ตามไป เขายืนรออย่างสบายใจอยู่
บนหลังของเจ้าเขี้ยวเหล็กเหินฟ้า
ราว 2 ชั่วโมงต่อมา เสียงคำรามดุเดือดก็ดังขึ้น
จากนั้นนักรบวัยกลางคนก็กลับมาโดยนั่งอยู่บนหลังของ
เจ้าเสือแดงเพลิงตัวนั้น
คราวนี้ เขากระโดดลงจากหลังของเจ้าเสือแดง
เพลิง และทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นโดยไม่ลังเล “ศิษย์
เจียงสู่คารวะอาจารย์!”
ตอนที่ 297 ฉวยโอกาสกับจ้าวหย่า

“ฮึ?”
เขาเห็นเจ้าเสือแดงเพลิงที่ชายวัยกลางคนนามว่า
เจียงสู่เป็นผู้ขี่มา มันฝ่าด่าน
วรยุทธไปถึงจงซรือขั้นสูงสุดได้แล้วจริงๆ เมื่อเห็น
อีกฝ่ายปราบอสูรตัวนั้นให้เชื่องได้สำเร็จ จางเซวียนก็
พยักหน้าด้วยความพอใจ เขาหันไปทางเจียงสู่และพูด
ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อาจารย์ของคุณคนนี้มีชื่อว่าหยางชวน ผมเพิ่ง
ผ่านมายังอาณาจักรเทียนหวู่ และตัดสินใจจะอยู่ที่นี่สัก
พัก ระหว่างนี้คุณจะเป็นศิษย์ของผม แต่เมื่อผมจากไป
ผมก็จะยังเป็นตัวผม และคุณก็เป็นตัวคุณ เราจะเป็นแค่ผู้
ที่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิตของกันและกันเท่านั้น ดังนั้น
คุณจึงไม่มีสิทธิ์อ้างชื่อของผมในการกระทำสิ่งชั่วร้ายใดๆ
ไม่อย่างนั้นผมจะฆ่าคุณเสีย!”
จางเซวียนตั้งใจรับศิษย์ก็เพื่อให้หน้าหนังสือสีทอง
ปรากฏขึ้นเท่านั้น ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจจะไม่เอาตัว
เข้าไปเกี่ยวข้อง และทำทุกอย่างให้ชัดเจนเสียแต่เนิ่นๆ
“ขอรับ!” เจียงสู่พยักหน้า ออกจะผิดหวังเล็กน้อย
ในตอนแรกที่อีกฝ่ายพูดว่าอยากรับเขาเป็นศิษย์ ถึง
เขาไม่ได้ปฏิเสธออกไปตรงๆ แต่ก็ไม่ยินยอมพร้อมใจ
เท่าไรนัก
แต่เมื่อป้อนยานั้นให้เจ้าเสือแดงเพลิงกิน และมัน
ฝ่าด่านวรยุทธได้จริงๆ เขาก็รู้ว่าเป็นโชคดีเหลือหลายที่
ได้เป็นศิษย์ของฝ่ายนั้น
แค่ บ ดยาสามั ญ ที่ แ สนจะธรรมดา ผู้ อ าวุ โ สก็
สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นยาล้ำค่าที่ช่วยให้อสูรฝ่าด่า
นวรยุทธได้ ถึงเขาจะมีความรู้มากมายในฐานะที่เป็น
ปรมาจารย์ แต่ก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้
สิ่งนี้ทำให้เจียงสู่รู้ว่าบุคคลที่ยืนตรงหน้าเขาไม่น่า
จะเป็นแค่ปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว
“ขอผมทราบหน่อยได้ไหมว่าอาจารย์พักที่ไหน จะ
ได้ไปเยี่ยมคารวะเมื่อมีโอกาส!”
แม้เวลาจะผ่านไปแค่ครู่เดียว แต่การได้เป็นศิษย์
ของปรมาจารย์หยางก็ถือเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ เจียงสู่
ประสานมือคารวะและซ่อนความผิดหวังไว้
“ผมยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หาได้เมื่อไรจะส่ง
คนไปบอกคุณ!” จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ยี่หระ “เอา
ล่ะ คุณกลับไปได้แล้ว!”
การโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายเกิดความกตัญญูถึงขั้นที่
หนังสือสีทองจะเกิดขึ้นได้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ใน
ช่ ว งเวลาประเดี๋ ย วประด๋ า ว แต่ จ างเซวี ย นก็ ไ ด้ เ ริ่ ม
กระบวนการอันยิ่งใหญ่ไปแล้ว เขาได้รับอีกฝ่ายเป็นศิษย์
และสร้างความไว้วางใจให้กับเขา
ถ้ารีบร้อนไป ก็มีแต่จะพังเสียมากกว่า
“ได้!”
เพราะรู้ว่าคนเก่งมักมีวิถีทางในการทำสิ่งต่างๆตาม
แบบของตัวเอง เจียงสู่จึงไม่ซักถามให้มากความ เมื่อ
กระโดดขึ้นขี่หลังเจ้าเสือแดงเพลิงแล้ว เขาก็หันหลังกลับ
และจากไป
เฮ่อ!
เมื่อฝ่ายนั้นจากไป จางเซวียนก็ถึงกับถอนหายใจ
อย่างโล่งอก
การวางมาดเป็นผู้เชี่ยวชาญต่อหน้าปรมาจารย์นั้น
ไม่ง่ายเลย
เพราะปรมาจารย์มีทักษะการหยั่งรู้อันแสนจะน่าทึ่ง
หากปลอมตัวผิดพลาดเพียงนิดเดียว ก็หมายถึงความล้ม
เหลว
“โธ่! ลืมถามไปเลยว่าโรงเรียนเทียนหวู่อยู่ที่ไหน!”
จางเซวียนตั้งใจจะถามถึงที่ตั้งของโรงเรียนเทียน
หวู่ เผื่อเขาจะหาลูกศิษย์ได้อีกสัก 2-3 คน แต่สุดท้ายก็
ลืม มีทางเดียวก็คือกลับเข้าเมือง
ไม่ช้า เขาก็กลับมาอยู่ในเมืองอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้ไม่มีใครตามมา จางเซวียนจึงเข้าไปไต่ถามได้
อย่างสบายใจ
โรงเรียนเทียนหวู่เป็นสถานที่ที่บรรดาคนเก่งๆใน
เมืองหลวงมารวมตัวกัน แทบทุกคนจึงรู้จักมัน
ดังนั้น ใช้เวลาไม่นาน จางเซวียนก็รู้ที่ตั้งของ
โรงเรียน
มันอยู่ใกล้กับสภาปรมาจารย์ ทั้งยังใกล้กับใจกลาง
เมือง การเดินไปที่นั่นน่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง
เมื่อรู้ว่ามันอยู่ไม่ไกลนัก จางเซวียนก็พักแผนการ
เสาะหาลูกศิษย์ของวันนี้เอาไว้ก่อน
ตอนที่เขามาถึงอาณาจักรเทียนหวู่ พระอาทิตย์ก็
เริ่มคล้อยต่ำแล้ว เขากินอาหารเย็น ประชันกับจี้โม่ อ่าน
หนังสือในหอสมุดซึ่งใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นก็
รับมือกับ ‘เหล่าฆาตกร’ และแถมท้ายด้วยการรับเจียงสู่
เป็นศิษย์ ซึ่งใช้เวลาไปอีกกว่า 2 ชั่วโมง ถ้าเทียบตาม
เวลาที่ใช้กันในชีวิตเก่าของเขา ตอนนี้ก็น่าจะราวๆ 5
ทุ่มแล้ว
ดึกป่านนี้ ผู้คนคงหลับกันหมดแล้ว ถ้าเขาลอบ
เข้าไปในโรงเรียนกลางดึกเพื่อหาลูกศิษย์ ใครต่อใครอาจ
คิดว่าเขาเป็นศพที่ลุกขึ้นมาจากหลุม และคงจะพยายาม
ฝังเขากลับเข้าไปใหม่
“เอาไว้ต่อพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้หาที่พักก่อน!”
หลังจากการเดินทางอันยาวนาน ทั้งการประชัน
จิตรกร การต่อสู้ และการปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ จาง
เซวียนก็หมดแรง
“ฮึ? นั่นโรงเตี๊ยมเทียนหวู่นี่? ดีเลย เราจะพักที่นี่!”
หลังจากสอดส่ายสายตาไปตามถนนอีกครู่หนึ่ง โรง
เตี๊ยมเทียนหวู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า จางเซวียนเดินเข้าไป
ที่นั่นกว้างขวางและสะอาด เมื่อรู้จากพนักงาน
ต้อนรับว่ายังมีห้องว่าง เขาก็เลือกจะพักที่นี่
เมื่อจางเซวียนก้าวเข้าห้องพัก ก็มี 2-3 ร่าง
พรวดพราดเข้ามาในห้องโถง
“จ้าวหย่ายังไม่กลับหรือ?”
“ใช่แล้ว ปรมาจารย์หลิว!” หวังหยิ่งตอบอย่าง
พรั่นพรึง
“ก็ สั่ ง แล้ ว ไม่ ใ ช่ ห รื อ ว่ า ออกไปแล้ ว ก็ ใ ห้ ก ลั บ มา
ภายใน 2 ชั่วโมง? ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ?” ปรมาจารย์
หลิวขมวดคิ้ว
“พวกเรา...แยกกันทันทีที่ออกไป ตอนขากลับก็ไม่
เห็นจ้าวหย่า นึกว่าเธอคงกลับเข้าห้องไปแล้ว พวกเรารอ
อยู่ แต่นานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ออกมา...” หวังหยิ่งยังคง
พรั่นพรึงอยู่
“เอาล่ะ ลู่ฉวิน, พาเจิ้งหยางไปสำรวจทางทิศตะวัน
ออก ซุนฉาง, เธอพาหลิวหยางกับหยวนเทาไปสำรวจ
ทางทิศตะวันตก หวังหยิ่ง หวงหวี่ กับผมจะไปสำรวจ
ทางทิศเหนือ ส่วนทางใต้นั้นเป็นประตูเมือง ไม่จำเป็น
ต้องดูที่นั่น!”
ปรมาจารย์หลิวสั่งการ “ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ได้
ผลอย่างไร ให้เหมือนกับคราวที่แล้ว ทุกคนต้องกลับมา
ภายใน 2 ชั่วโมง!”
“ได้!”
ทุกคนพยักหน้าก่อนจะออกไปจากโรงเตี๊ยม
......
ชีวิตของนายแพทย์ไป๋เพิ่งจะพลิกผัน
ตั้งแต่กลับจากสันเขาบัวแดง นายแพทย์ทุกคนที่
เขาได้พบก็แสดงกิริยาอาการเคารพและยำเกรงสูงสุด
อันที่จริง ขนาดประธานสมาคมนายแพทย์ก็ยัง
เปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิง
จากคนไม่สำคัญที่มีแต่คนดูถูกดูแคลน ตอนนี้เขา
กลายเป็ น จุ ด ศู น ย์ ก ลางของความสนใจ บรรดานาย
แพทย์ระดับ 2 ดาวผู้แสนจะหยิ่งผยองพวกนั้น มาถึง
ตอนนี้ ยังไม่กล้าพูดเสียงดังต่อหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ
เขามีความสุขและพออกพอใจกับชีวิตใหม่นี้มาก
“ไม่น่าเชื่อเลยว่า แค่ถูกต่อยในตรอกนั้นก็ทำให้เรา
ได้ประโยชน์มากขนาดนี้...”
วันนี้ แม้แต่ประธานสมาคมก็นับญาติเป็นพี่น้องกับ
เขา แถมยังชวนเขาดื่มด้วย ตอนที่กลับออกจากที่นั่น
เขาก็ยังงงงันสุดๆ
จุดเปลี่ยนในชีวิตของเขามาจากการถูกต่อยสลบที่
เมืองบัวแดงนั่นเอง
เมื่อตื่นขึ้นมา ท่าทีของนายแพทย์ทุกคนที่มีต่อเขาก็
เปลี่ยนไป
นายแพทย์ไป๋ยังคิดว่าตัวเองฝันไป
แต่ช่วงเวลา 2-3 วันที่ผ่านมา เขาก็เข้าใจเรื่องราว
ทั้งหมดอย่างชัดเจน
เจ้าหนุ่มที่มากับองค์หญิงโม่หยู่ในวันนั้นต่อยเขา
สลบ และเข้าไปช่วยชีวิตเซียนสมุนไพรด้วยรูปลักษณ์
และชื่อของเขา เหตุผลที่นายแพทย์พวกนั้นพากันตีสนิท
กับเขาก็เพราะ อย่างแรกคือหวังจะติดต่อซื้อสมุนไพร
จากเซียนสมุนไพรโดยผ่านตัวเขาเพื่อให้ได้ส่วนลด และ
อย่างที่สอง ก็เพื่อหาคำตอบว่าสัญญาหนอนกู้คืออะไร
และจะรักษาได้อย่างไร
ซึ่งในระหว่างนั้น เขานอนเปลือยและสลบอยู่ใน
ตรอก แล้วจะไปรู้จักเซียนสมุนไพรได้อย่างไร ส่วน
สัญญาหนอนกู้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง...
การที่ชีวิตพลิกผันในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เขาได้
รับการยกย่องอย่างสูงจนไม่อาจพูดความจริงออกไปได้
เพราะนอกจากจะอับอายแล้ว ยังอาจจะถูกซ้อมจนตาย
ด้วย
ดังนั้น หลังจากที่ใคร่ครวญดีแล้ว นายแพทย์ไป๋จึง
ตัดสินใจจะสร้างภาพต่อไป
เมื่อมีใครตั้งคำถามถึงเหตุการณ์กับเซียนสมุนไพร
ในวันนั้น เขาจะเปลี่ยนเรื่องทันที
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เต็มใจพูด ฝูงชนก็ทึกทักว่าคงมี
ความลับสำคัญบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น จึงไม่
กล้าถามต่อ และด้วยเหตุนี้ สถานภาพของเขาจึงยิ่งสูงส่ง
ขึ้นอีก
เรื่องนี้ทำให้เขาตื่นเต้นมาก ทุกครั้งที่เห็นตรอก เขา
จะเดินดุ่มเข้าไปด้วยความหวังว่าอาจจะถูกต่อยสลบอีก
สักครั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติยศที่อู้ฟู่กว่าเดิม
เมื่ออำลาประธานสมาคมนายแพทย์แล้ว เขาก็เดิน
กลับไปยังที่พักตามลำพัง เมื่อเห็นตรอกๆหนึ่งก็กำลังจะ
แวะเข้าไป แต่ในตอนนั้นก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งเดินตรง
เข้ามาหาเขาจากทิศตรงกันข้าม
แม่สาวคนนั้นอยู่ในวัยแรกรุ่น อายุราว 16-17 ปี
แต่ใบหน้าของเธอหมดจดงดงามเหนือกว่าคนธรรมดา
เหนือกว่าแม้กระทั่งองค์หญิงโม่หยู่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิง
ที่สวยที่สุดในอาณาจักรเทียนหวู่ เขาไม่เคยเห็นใครสวย
ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
นายแพทย์ไป๋ได้ชื่อว่าเป็นคนมัวเมาในตัณหาราคะ
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้โม่หยู่ไม่คบค้าสมาคมกับเขา
เมื่ อ ต้ อ งวางท่ า เป็ น ผู้ เ ชี่ ย วชาญมานานก็ เ ริ่ ม จะรู้ สึ ก
อดอยากปากแห้ง หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจ
แล้ ว ว่ า ไม่ มี ใ ครอยู่ แ ถวนั้ น แถมยั ง กรึ่ ม ด้ ว ยฤทธิ์
แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไป นัยน์ตาของเขาก็วาววับขึ้นทันที
....
เมื่อรู้ว่าอาจารย์จางมาปรากฏตัวที่สมาคมจิตรกร
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็ออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อตามหาเขา
เพื่อให้ได้ผลดีกว่าเดิม เด็กๆจึงแยกย้ายกันหาตาม
ลำพัง
พวกเขาเข้ า ไปดู ใ นตรอกซอกซอยและร้ า นเหล้ า
แถวๆนั้น แต่ก็ไม่มีวี่แววของอาจารย์จางเลย
เมื่อค้นหาทุกซอกทุกมุมแล้ว จ้าวหย่าก็ยกมือขึ้นถู
เปลือกตาด้วยความอ่อนล้า และตั้งใจจะกลับโรงเตี๊ยม
เพื่อตั้งหลักก่อน ก็พอดีเห็นชายวัยกลางคนที่มีสีหน้า
ตะกละตะกรามและดูหื่นๆเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“ดื่มคนเดียวน่ะมันน่าเบื่อ แม่สาวน้อย ไปดื่มเป็น
เพื่อนฉันไหม?” นายแพทย์ไป๋เข้าขวางทางเธอไว้
“ไปให้พ้นนะ!”
จ้าวหย่าขมวดคิ้ว
หลังจากที่ปราณหยินบริสุทธิ์ของเธอถูกปลุกขึ้นมา
รูปลักษณ์และบุคลิกของจ้าวหย่าก็งดงามยิ่งกว่าเดิม เธอ
จึงต้องเจอกับการคุกคามลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วน
มากก็มาจากคนรุ่นราวคราวเดียวกัน เพิ่งจะได้เห็นชายที่
แก่ ค ราวปู่ ค ราวตามาทำท่ า แบบนี้ ใ ส่ จ้ า วหย่ า ยิ่ ง
ขยะแขยงหนักเข้าไปอีก
“ถ้าฉันปฏิเสธล่ะ แล้วไง?”
นายแพทย์ไป๋คำราม
มันเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว และถนนที่เคยพลุกพล่าน
ก็แทบจะว่างเปล่า แถมบริเวณนั้นยังไม่มีใครเลย ถ้ามี
ใครผ่านมา แค่เห็นเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงของเขา ก็คง
ไม่กล้าหยุดเขาแล้ว
“แกมันรนหาที่ตาย!”
เห็นอีกฝ่ายแสดงกิริยาป่าเถื่อน จ้าวหย่าขมวดคิ้ว
สะบัดข้อมือครั้งเดียว หอกเล่มหนึ่งก็มาอยู่ในมือ
เธอรวบรวมปราณหยินบริสุทธิ์อย่างเต็มกำลัง และ
หอกฉีอันแข็งแกร่งนั้นก็พุ่งเข้าใส่ชายที่อยู่ตรงหน้าทันที
“เธอมันไม่รู้ดีรู้ชั่วเสียแล้ว!”
เห็นจ้าวหย่ากล้าขว้างหอกของเธอใส่เขา นาย
แพทย์ไป๋คำรามอย่างเลือดเย็น ก่อนจะรุกเข้ามา
ตุ้บ!
หอกของจ้าวหย่าตกอยู่ในมือของฝ่ายนั้น
ถึงแม้นายแพทย์ไป๋จะเป็นคนที่จางเซวียนต่อยหมัด
เดียวสลบ แต่เขาก็เป็นนักรบทงฉวนขั้นสูงสุด ไม่ใช่คน
แบบที่จ้าวหย่า, ซึ่งเพิ่งเปิดจุดชีพจรไปได้แค่สองจุดจะ
รับมือไหว
“แย่แล้ว!”
จ้าวหย่าตกใจมากที่เห็นหอกโดนฉกไป เธอรู้แล้วว่า
ด้วยระดับวรยุทธที่ตัวเองมี ไม่อาจรับมือกับชายผู้นี้ได้
จึงวิ่งหนีไปทางโรงเตี๊ยมทันที
ด้วยสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์ที่ถูกปลุกขึ้นมา แม้
จ้าวหย่าจะมีความเร็วไม่เท่าหวังหยิ่ง แต่ก็จัดได้ว่าไม่
ธรรมดา ถึงโรงเตี๊ยมเมื่อไหร่ ปรมาจารย์หลิวจะต้อง
จัดการกับไอ้สารเลวคนนี้ได้แน่
“คิดหนีหรือ? เธอคิดว่าฉันจะปล่อยเธอไปง่ายๆ
หรือไง?”
ไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอสาวสวยขนาดนี้ แล้วคนอย่าง
อย่างไป๋ชาน มีหรือจะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ เขาวิ่ง
ตามเธอไปติดๆ
“จ้าวหย่า?”
ด้วยการโกยเต็มพิกัด ไม่ช้าจ้าวหย่าก็มาถึงห้องโถง
ของโรงเตี๊ยม และเจอกับปรมาจารย์หลิวและคนอื่นๆซึ่ง
กำลังจะออกไป
“มีอะไร?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เห็นเธอพรวดพราดหน้าตาตื่นเข้ามาแบบนั้น ทุก
คนถามอย่างสงสัย
“มีคนพยายามฉวยโอกาสกับฉัน...”
จ้าวหย่าไม่อ้อมค้อม
และในตอนนั้น นายแพทย์ไป๋ชานก็เดินเข้ามาใน
ห้องโถงพอดี
“อะไรนะ?”
เมื่อได้ยินว่ามีคนตั้งใจจะฉวยโอกาสกับเธอ เจิ้ง
หยางกับคนอื่นๆก็ถึงกับเดือด และพุ่งเข้าใส่นายแพทย์ไป๋
ชานทันที
“ช้าก่อน!”
เมื่อเห็นระดับวรยุทธของอีกฝ่าย ปรมาจารย์หลิว
รีบหยุดพวกเขาไว้ทันที
นัยน์ตาของนายแพทย์ไป๋ชานฉายแววเจ้าเล่ห์เมื่อ
เห็นกลุ่มคนตรงหน้า “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงหนี
เร็วนัก มีพรรคพวกอยู่นี่เอง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ง่ายขึ้น
เยอะ!”
ด้วยความเป็นชายแก่ขี้โกงเจ้าเล่ห์ที่ผ่านสมรภูมิมา
นับไม่ถ้วน เขาสามารถปรับท่าทีได้โดยปราศจากความ
ตื่นตระหนก
“สหาย ขอผมทราบหน่อยเถอะ คุณไล่ตามลูกศิษย์
ของผมมาทำไม?”
ปรมาจารย์ ห ลิ ว รู้ ว่ า ที่ เ มื อ งหลวงแห่ ง อาณาจั ก ร
เทียนหวู่ย่อมมีผู้ทรงอิทธิพลจากหลากหลายตระกูล และ
คนเหล่านั้นก็ปรากฏตัวได้ทุกที่ อาจเป็นใครก็ได้ที่พบเห็น
อยู่บนถนนหนทางทั่วไป ดังนั้น แม้เขากำลังโกรธ แต่ก็ยั้ง
ตัวเองไว้ เขาก้าวออกมาและประสานมือถาม
“แม่สาวคนนี้ขโมยของของผม ผมจึงวิ่งตามมาเพื่อ
เอาคืน ในเมื่อพวกคุณรู้จักกัน เรื่องนี้ก็น่าจะจัดการได้
ง่ายขึ้น คุณเลือกเอา จะคืนของให้ผม หรือจะส่งเธอมา
ให้ผมจัดการ!”
นายแพทย์ไป๋ชานพูดหน้าตาเฉย
“ขโมยของของแก? แก...แกมันโกหก!”
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล่าวหาเธอว่าเป็นโจรทั้งที่
เพิ่งพยายามจะฉวยโอกาสกับเธอ จ้าวหย่าหน้าแดงก่ำ
ด้วยความโมโห
......
ฉี คือพลังงานที่แผ่ซ่านออกมาจากการกวัดแกว่ง
หอก
ตอนที่ 298 กล่าวหา

“ขอผมทราบหน่อยว่าอะไรที่หายไป?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ปรมาจารย์หลิวถึงกับขมวดคิ้ว
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายโกหก?
“สมุนไพรล้ำค่าของผมหายไปต้นหนึ่ง!”
นายแพทย์ไป๋ชานเคยใช้ลูกไม้นี้มาก่อนแล้ว เขาพูด
ต่อไปด้วยอาการสงบ “คืนมันมาเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้น
ฉันจะรายงานเรื่องของเธอ และเธอก็จะต้องติดตะราง!”
“ปรมาจารย์หลิว ฉันไม่ได้เอาอะไรของเขามา หมอ
นั่นใส่ร้ายฉัน!”
จ้าวหย่าลนลานอธิบาย
“จริงๆนะ ปรมาจารย์หลิว พ่อของจ้าวหย่าน่ะเป็น
ถึงเจ้าเมืองไป๋หยู เธอมีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ไม่มีทาง
ไปขโมยของๆใครหรอก!”
“อาจารย์จางก็เป็นนักปรุงยา เธอจะต้องไปขโมย
สมุนไพรทำไม?”
เจิ้งหยางกับคนอื่นๆก้าวออกมา
เด็กๆได้ใช้เวลาคุ้นเคยใกล้ชิดกันมาพักใหญ่ จึงเป็น
ธรรมดาที่จะต้องเชื่อใจจ้าวหย่า เธอจะไปขโมยของของ
ตาแก่อ้วนคนนี้ได้อย่างไรกัน?
“พอ!”
ปรมาจารย์หลิวยกมือให้ทุกคนเงียบ ก่อนจะเงย
หน้ามองอีกฝ่าย
“ผมคือหลิวหลิง, ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวจาก
อาณาจักรเป๋ยอู๋ เด็กพวกนี้คือลูกศิษย์ที่ผมพามาด้วย
และดูเหมือนจะมีการเข้าใจผิดกัน...”
เขาสะบัดข้อมือ และตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์ก็มา
อยู่ในฝ่ามือของเขา
“ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว?”
นายแพทย์ไป๋ชานผงะไป
ที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนหวู่ ปรมาจารย์มี
สถานภาพสูงส่ง แม้ทั้งคู่จะอยู่ในระดับ 1 ดาวเหมือนกัน
แต่นายแพทย์อย่างเขาก็ยังห่างไกลจากปรมาจารย์มาก
นัก
แต่สำหรับที่นี่ ผู้ที่มีเกียรติยศสูงส่งอย่างแท้จริงจะ
ต้องเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวขึ้นไป
ด้วยความเป็นผู้คร่ำหวอดและจัดเจนในเมืองหลวง
เขาจึงไม่เกรงกลัวคนนอก เป็นปรมาจารย์แล้วไง? ตราบ
ใดที่อีกฝ่ายไม่ได้มาจากเมืองหลวงของอาณาจักรเทียน
หวู่ เขาก็มีเป็นหมื่นวิธีที่จะปิดปากหมอนั่น
อีกอย่าง เขาเพิ่งเรียกความยำเกรงจากนายแพทย์
ระดับ 1 ดาวคนอื่นๆกลับมาได้ และความภาคภูมิใจใน
ตั ว เองก็ มี ท่ ว มท้ น นายแพทย์ ไ ป๋ ช านจึ ง ทำหน้ า ตา
เคร่งเครียดและพูดว่า “เข้าใจผิดกันหรือ? ขนาดประธาน
สมาคมนายแพทย์ยังให้ความเคารพผมเลย แต่คุณพูดว่า
ผมกล่าวหาลูกศิษย์ของคุณ?”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”
ปรมาจารย์หลิวไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะประกาศศักดา
เขาจึงรีบอธิบาย
ที่อาณาจักรเทียนเซวียนและอาณาจักรเป๋ยอู๋ ไม่มี
ใครกล้าหาเรื่องปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว แต่ในอาณาจักร
ขั้น 1 อย่างเทียนหวู่ สถานภาพของปรมาจารย์ไม่ได้
สูงส่งนัก
ตระกูล ผู้มีอิท ธิพลบางตระกูลถึ งกั บมี ปรมาจารย์
ประจำตระกูลเป็นของตัวเองเสียด้วยซ้ำ
นั่นคือเหตุผลที่ว่า แม้สถานภาพของปรมาจารย์จะ
ทำให้หลายคนยำเกรง แต่ผู้ที่มีคนหนุนหลังดีๆก็จะไม่
ยำเกรงปรมาจารย์ ม ากมายนั ก ยกเว้ น ว่ า จะเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว!
เพราะมีสภาปรมาจารย์หนุนหลัง ปรมาจารย์หลิว
จึงไม่กังวลว่าจะใครจะมาหาเรื่องเขา แต่สำหรับจ้าวหย่า
และคนอื่นๆนั้นแตกต่างออกไป
พวกเขาไม่ได้มีเส้นสายที่นี่ ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับการ
แก้ไขอย่างเหมาะสมล่ะก็ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
ถ้าอีกฝ่ายยังยืนกรานอย่างหน้าด้านๆแบบนี้ ก็ย่อม
จะต้องกระทบกับชื่อเสียงของเขาในฐานะปรมาจารย์
“ถ้ า คุ ณ ไม่ ไ ด้ ห มายความว่ า อย่ า งนั้ น แล้ ว คุ ณ
หมายความว่าอย่างไร? ลูกศิษย์ของคุณขโมยของของผม
แล้วผมก็วิ่งไล่ตามเธอมาตลอดทางเพื่อมาเอาคืน คุณจะ
พูดว่าผมวิ่งตามเธอมาเฉยๆอย่างนั้นหรือ?”
นายแพทย์ไป๋ชานสะบัดมืออย่างวางมาด เขารู้ว่า
อีกฝ่ายกำลังกลัว และนั่นก็ทำให้เขายิ่งได้ใจ
“นายท่าน มีอะไรหรือ?”
ทั้ ง สองฝ่ า ยขึ้ น เสี ย งใส่ กั น การวิ ว าทนี้ จึ ง ทำให้
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเทียนหวู่ต้องเข้ามา
“ลูกค้าของคุณน่ะขโมยของของผม คุณคิดว่าผม
ควรทำอย่างไรล่ะ?” นายแพทย์ไป๋ชานดึงเก้าอี้มาตัวหนึ่ง
แล้วนั่งลง
“เอ่อ...”
เถ้าแก่ถึงกับตระหนก
ก่อนที่เขาจะเข้ามา ผู้ช่วยก็ได้รายงานสถานการณ์
ให้รู้ก่อนแล้ว ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว
และอีกฝ่ายคือนายแพทย์ไป๋ชานผู้โด่งดัง ซึ่งเขาก็ไม่กล้า
แตะต้องทั้งคู่
“อั น ที่ จ ริ ง ก็ ไ ม่ ค วรทำให้ คุ ณ ยุ่ ง ยาก ในเมื่ อ คุ ณ
จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เชิญหน่วยตรวจการณ์มาก็แล้วกัน!”
นายแพทย์ไป๋ชานหรี่ตามองด้วยความมั่นใจ ปรมาจารย์
ที่มาจากเมืองต๊อกต๋อยอย่างอาณาจักรเป๋ยอู๋...ไม่มีเหตุให้
ต้องกลัวเลย!
“ขอรับ ขอรับ!”
เถ้าแก่ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เขารีบสั่ง
การผู้ช่วย ซึ่งฝ่ายนั้นก็ตะลีตะลานออกไป
เมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนหวู่มีอาณาเขตกว้าง
ใหญ่ไพศาล และมีการปะทะทะเลาะวิวาททุกรูปแบบเกิด
ขึ้นทุกวัน การแก้ปัญหาอย่างทันท่วงทีเท่านั้นที่จะรักษา
ความเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ได้ ดังนั้น เชื้อพระวงศ์แห่ง
อาณาจักรเทียนหวู่จึงจัดตั้งหน่วยตรวจการณ์ขึ้นมาดูแล
ความสงบเรียบร้อยภายในเมืองหลวง
เมื่อเกิดปัญหา ก็สามารถแจ้งเรื่องราวและเชิญพวก
เขามาได้ทันที
“เอ่อ...ขอผมทราบได้ไหมว่าสมุนไพรชนิดไหนที่
คุณทำหาย การเรียกหน่วยตรวจการณ์มาในเวลานี้คงไม่
สะดวกแน่ ทำไมเราไม่จัดการกันเองล่ะ!”
เมื่ อ รู้ ว่ า อี ก ฝ่ า ยกำลั ง เรี ย กหน่ ว ยตรวจการณ์ ม า
ปรมาจารย์หลิวจึงเลือกที่จะอ่อนข้อ
การมาอยู่ ใ นถิ่ น คนอื่ น ก็ เ ป็ น ข้ อ เสี ย เปรี ย บที่ ห นั ก
หนาพอแล้ว ถึงอย่างไรหน่วยตรวจการณ์ก็ย่อมเข้าข้าง
อีกฝ่าย ถ้าพวกเขาตัดสินว่าจ้าวหย่าขโมยของของนาย
แพทย์คนนี้จริงๆ เธอก็จะต้องเจอกับการตั้งคำถามและ
การสอบสวนอีกร้อยแปด
ถ้าเป็นตัวเขา เขาจะไม่กลัวหมอนั่นเลย เพราะถ้า
ไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาปรมาจารย์ ก็ไม่มีใครจับกุม
ปรมาจารย์ได้
เพราะจ้ า วหย่ า กั บ เด็ ก คนอื่ น ๆมาจากอาณาจั ก ร
เทียนเซวียนอันสงบเสงี่ยมเจียมตัว และไม่มีภูมิหลังใหญ่
โตอะไร หากการสอบสวนเริ่มต้นเมื่อไหร่ ย่อมใช้เวลา
ยาวนานหลายเดือน และหากถูกตัดสินให้ติดตะราง พวก
เขาจะเอาอะไรไปแก้ต่างให้?
‘ศิษย์พี่’ ได้ฝากฝังลูกศิษย์กลุ่มนี้ไว้กับเขา ถ้าเด็ก
พวกนั้นต้องถูกขัง เขาจะมีหน้าไปพบ ‘ศิษย์พี่’ ได้
อย่างไร?
ดังนั้น ปรมาจารย์หลิวจึงตัดสินใจจะจัดการเรื่องนี้
ด้วยสันติวิธีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
“สมุนไพรชนิดไหนหายไปน่ะหรือ? ในเมื่อคุณอยาก
รู้ ผมก็จะบอก ที่หายไปคือ ‘หญ้าเหล็กกล้าสีเขียว’ อายุ
หนึ่งพันปี มูลค่าของมัน...อย่างน้อยๆก็ 10 ล้านเหรียญ!
จะเคลียร์กันตรงนี้ก็ได้นะ คุณเลือกเอาว่าจะจ่ายผมมา
10 ล้าน หรือส่งตัวแม่สาวคนนี้ให้ผม”
นายแพทย์ไป๋ชานมองพวกเขาอย่างย่ามใจ
เรื่องจิ๊บจ๊อย! อยากจะเคลียร์ตรงนี้ใช่ไหม ก็มาดูกัน
ว่าฉันจะเล่นแง่อะไรกับแกได้บ้าง!
“แก...ไอ้สารเลว!”
“แกกล้ากล่าวหาฉันได้อย่างไร!”
จ้าวหย่านึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหน้าด้านขนาดนี้ เธอ
หน้าแดงก่ำและหายใจถี่ด้วยความเดือดดาล
เจิ้งหยางกับคนอื่นๆก็กำหมัดแน่น
“หญ้าเหล็กกล้าสีเขียวอายุหนึ่งพันปี?”
ปรมาจารย์หลิวถึงกับหน้าเครียด
ในฐานะปรมาจารย์ ถึงเขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่อง
ยาเป็นพิเศษ แต่ก็เคยได้ยินชื่อหญ้าเหล็กกล้าสีเขียว
หญ้าชนิดนี้ที่แก่จัดเต็มที่จนมีอายุถึงหนึ่งพันปีนั้นมีมูลค่า
มหาศาล ต่อให้ 10 ล้านเหรียญทองก็อาจยังซื้อไม่ได้สัก
ต้น
ด้วยเงินเก็บที่สะสมไว้หลายปี ก็แน่นอนว่า 10 ล้าน
เหรียญทองย่อมเป็นเงินที่เขามีอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าใครก็รับ
ไม่ได้หากจะโดนไถเงินกันหน้าด้านๆแบบนี้
“ใช่แล้ว!”
นายแพทย์ไป๋ชานเคาะนิ้วกับโต๊ะ เขาปรือตาขึ้น
มองและพู ด ว่ า “หลั ง จากที่ ช นกั บ ลู ก ศิ ษ ย์ ข องคุ ณ
สมุนไพรที่ผมนำมาด้วยก็หายไป ถ้าไม่ใช่เธอ แล้วใครล่ะ
ที่จะต้องรับผิดชอบ? คุณจะจ่ายเงินให้ผม หรือส่งตัวเธอ
ให้ผมพาไปสอบสวนก็ได้ ไม่อย่างนั้นผมจะป่าวประกาศ
เรื่องนี้กับฝูงชน ให้รู้กันทั่วว่าคุณเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
กับการทำตัวไม่เหมาะสมของลูกศิษย์ แล้วมาดูกันว่าสภา
ปรมาจารย์จะจัดการกับคุณอย่างไร!”
เขารินน้ำชาให้ตัวเองขณะที่พูด และชำเลืองมอง
ปรมาจารย์หลิวอย่างสะใจ
“เอ่อ...”
ปรมาจารย์หลิวหน้าซีด
อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้จุดอ่อนของปรมาจารย์
ปรมาจารย์ทุกคนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตัว
เอง ถ้าเขาต้องถูกกล่าวหาว่าละเลยความประพฤติไม่
เหมาะสมของลู ก ศิ ษ ย์ แล้ ว ต่ อ ไปจะเข้ า สอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้อย่างไร? แล้วจะสู้หน้ากับชาว
โลกได้อย่างไร?
ตึ้ง!
ทั้งห้องเงียบกริบเมื่อชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกรูเข้ามา
ผู้ ช่ ว ยของเถ้ า แก่ โ รงเตี๊ ย มกลั บ มาพร้ อ มกั บ หน่ ว ย
ตรวจการณ์
ทั้งกลุ่มมีวรยุทธขั้นต่ำอยู่ที่ขั้น 6-พี่เชวี่ย และคนที่
ยืนหน้าสุดเป็นนักรบขั้น 7-ทงฉวน พวกเขาสวมเกราะ
เหล็กเต็มตัวและถือหอกไว้ในมือ ดูเป็นกลุ่มคนที่แสนจะ
เลือดเย็น
“คารวะนายแพทย์ไป๋ชาน!”
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโถง เหล่าสมาชิกของหน่วย
ตรวจการณ์ก็มองไปรอบๆห้อง และจำนายแพทย์ไป๋ชาน
ได้ทันที พวกเขาตรงเข้ามาประสานมือคารวะ
สำหรับบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลวงในเวลานี้
อันดับหนึ่งย่อมเป็นองค์หญิงที่ 3, โม่หยู่ อย่างไม่ต้อง
สงสัย และถัดจากนั้นก็คือบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ว่ากันว่าเขาสามารถรักษาอาการป่วยที่แม้แต่นาย
แพทย์ระดับ 3 ดาวก็รักษาไม่ได้ ซึ่งก็แปลว่าความ
สามารถของเขาย่อมเหนือชั้นกว่านายแพทย์ระดับ 3
ดาวเสียอีก แต่การที่เขาไม่ได้เข้ารับการทดสอบก็เพราะ
ระดับวรยุทธที่อ่อนด้อย
“อ้อ หัวหน้าหน่วยตรวจการณ์เหยานี่เอง!”
มองปราดเดียว ไป๋ชานก็จำอีกฝ่ายได้เช่นกัน เขา
โบกมืออย่างวางมาดและประกาศว่า “ในเมื่อเป็นคุณ
เรื่ อ งนี้ ก็ ง่ า ยขึ้ น แม่ ส าวคนนี้ ข โมยสมุ น ไพรที่ เ ซี ย น
สมุนไพรเพิ่งมอบให้ผมมา, หญ้าเหล็กกล้าสีเขียวอายุ
หนึ่งพันปี คุณคิดว่าเราควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”
“เซียนสมุนไพร?”
หัวหน้าเหยาถึงกับหน้าถอดสี
เซียนสมุนไพรคือบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในเมืองหลวง
เขาเป็นตัวแทนของห้องโถงแห่งยาพิษ ซึ่งก็เรียกได้ว่า
เป็นเจ้าเมืองบัวแดง แม้แต่เชื้อพระวงศ์ของอาณาจักร
เทียนหวู่ก็ยังไม่กล้ามีเรื่องกับเขา
ถ้าเซียนสมุนไพรมอบสมุนไพรให้นายแพทย์ไป๋ชาน
เป็นการส่วนตัว ก็แสดงว่าที่เล่าลือกันนั้นเป็นเรื่องจริง
เขาต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างเข้มวงวดเสียแล้ว
“บังอาจ! คุณกล้าขโมยสมุนไพรของนายแพทย์ไป๋
ชานได้อย่างไร?”
หัวหน้าเหยาคำรามกร้าวและเดินไปหาปรมาจารย์
หลิว “เพื่อแสดงความเคารพต่อตำแหน่งปรมาจารย์ของ
คุณ ผมจะไม่ทำให้คุณต้องมีปัญหา ช่วยส่งตัวลูกศิษย์
ของคุณให้ผมพาไปสอบสวนด้วย วางใจได้เลยว่าหน่วย
ตรวจการณ์นั้นมีความเที่ยงธรรม หากเธอไม่ผิด ผมจะ
มอบความยุติธรรมให้ แต่ถ้าเธอขโมยบางอย่างมาจริงๆ
ต่อให้คุณเป็นถึงปรมาจารย์ แต่เราก็จะแจ้งเรื่องนี้ให้สภา
ปรมาจารย์รับรู้ทันที!”
“เอ่อ...คุณใจเย็นก่อน เรากำลังจะตกลงเรื่องนี้
เป็นการส่วนตัวนะ!”
เห็นทั้งสองฝ่ายรู้จักคุ้นเคยกัน ปรมาจารย์หลิวก็
รู้ทันทีว่าหากปล่อยให้เธอถูกจับกุมไป จ้าวหย่าต้องถูก
กล่าวหาว่าเป็นขโมยแน่ ดังนั้น เขาจึงสูดหายใจลึกและ
ตัดสินใจจะอ่อนข้อ
“ปรมาจารย์หลิว คุณต้องไม่ทำแบบนั้นนะ!”
“จ้าวหย่าไม่ได้ขโมยอะไรเลย เราจะมางุบงิบกัน
แบบนี้ได้อย่างไร?”
“ถูกแล้ว ปรมาจารย์หลิว ถ้าเราเลือกจะเคลียร์
เรื่องนี้กันเองล่ะก็ นั่นก็หมายความว่าจ้าวหย่าขโมยของ
หมอนั่นมาจริงๆ มันจะเป็นการเสื่อมเสียถึงชื่อเสียงของ
อาจารย์ด้วย...”
....
เมื่อได้ยินว่าปรมาจารย์หลิวตั้งใจจะเคลียร์เรื่องนี้
เป็นการส่วนตัว ทั้งเจิ้งหยาง ลู่ฉวิน และคนอื่นๆก็พากัน
ส่งเสียงประท้วงทันที
ถ้ า เรื่ อ งนี้ ถู ก งุ บ งิ บ ให้ จ บไปอย่ า งเงี ย บๆ ก็
หมายความว่าพวกเขาเป็นฝ่ายผิด และขโมยสมบัติของ
หมอนั่นมาจริงๆ นั่นจะเป็นการปรักปรำชื่อเสียงของ
ปรมาจารย์หลิวอย่างร้ายกาจ ถ้าเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงสภา
ปรมาจารย์ เขาต้องถูกสอบสวนแน่
ถ้าถึงตอนนั้น ก็แทบจะไม่มีทางแก้ตัวเลย
“พอ! พวกคุณเงียบได้แล้ว!”
ปรมาจารย์หลิวหน้าดำคร่ำเครียด
ถ้าเขาไม่จัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวล่ะก็ จ้าว
หย่าจะต้องถูกพาไปสอบสวนแน่ แล้วเขาจะเอาหน้าที่
ไหนไปพบกับ ‘ศิษย์พี่’ หากมีเรื่องเสียหายเกิดขึ้นกับลูก
ศิษย์ขณะที่อยู่ในการดูแลของเขา?
“คุณคิดจะเคลียร์ให้จบตรงนี้?”
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจควักเงิน 10 ล้านเพื่อ
ลูกศิษย์ นายแพทย์ไป๋ชานประหลาดใจมาก แต่แล้วก็
ไหวตัวทันและพูดว่า “ผมก็พอใจให้เป็นอย่างนั้น แต่เพิ่ง
นึ ก ได้ ว่ า หญ้ า เหล็ ก กล้ า สี เ ขี ย วอายุ ห นึ่ ง พั น ปี นี้ แ ทบ
ประเมินค่ามิได้ และไม่มีทางที่จะชดใช้มันได้ด้วยราคาแค่
10 ล้าน อย่างน้อยๆก็ต้อง 50 ล้านนั่นแหละ จ่ายมาซะ
และผมก็จะไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงต้องขอโทษด้วย เพราะ
ถึงอย่างไร วันนี้ผมก็ต้องพาตัวเธอไปกับผม!”
“50 ล้าน? แก...สมุนไพรชนิดไหนกันที่จะแพง
ขนาดนั้น?”
“ก็แกเพิ่งบอกอยู่หยกๆว่าราคา 10 ล้าน มันเรื่อง
อะไรถึงโก่งราคาพรวดพราดแบบนี้? สารเลว...”
....
ได้ยินอีกฝ่ายโกงราคาขึ้นไปถึง 50 ล้าน ทุกคนถึง
กับโมโหเดือดและถลึงตามองเขาอย่างโกรธแค้น
ปรมาจารย์หลิวกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วซีด
เขาเป็นปรมาจารย์มาก็หลายปี ไม่เคยโดนเหยียด
หยามขนาดนี้!
“ทำไม? ถ้าจะให้จบก็เร็วๆเข้า เวลาของผมก็มีค่า
นะ ไม่อยากจะมาเสียกับพวกคุณหรอก!”
นายแพทย์ ไ ป๋ ช านยกถ้ ว ยขึ้ น และมองหน้ า
ปรมาจารย์หลิวอย่างสะใจ
“แก...”
ปรมาจารย์หลิวหน้าตึง
“ปรมาจารย์หลิว ฉันจะไปกับพวกเขาเอง เขาเป็น
คนที่พยายามจะฉวยโอกาสกับฉันจริงๆ แถมตอนนี้ก็ยัง
มากล่าวหาว่าฉันขโมยสมุนไพรของเขาอีก ฉันไม่เชื่อ
หรอกว่าอาณาจักรเทียนหวู่จะไม่มีขื่อมีแป!”
จ้าวหย่าก้าวออกมาและประกาศก้อง
....
ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนที่อยู่ในห้องก็เพิ่งอาบ
น้ำเสร็จและกำลังจะเข้านอน แต่แล้วก็ต้องตัวแข็งไป
“นั่นเสียงเหมือน...จ้าวหย่า? หรือว่าพวกเขามาถึง
แล้ว?”
ตอนที่ 299 ตบเละ

อยู่ด้วยกันมากว่าครึ่งเดือน มีหรือที่จางเซวียนจะ
จำเสียงของจ้าวหย่าไม่ได้? ใครกันที่จะมีน้ำเสียงเกรี้ยว
กราดขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เธอ?
เขาใช้ เ วลาจั ด แจงเสื้ อ ผ้ า อยู่ ค รู่ ห นึ่ ง ก่ อ นจะผลั ก
ประตูออกไป และได้เห็นสองฝ่ายกำลังยืนประจันหน้ากัน
ในห้องโถง
“ใช่เธอจริงๆ!”
เมื่อเห็นผู้คนมากมายที่คุ้นเคย จางเซวียนก็ตาโต
เขาไม่คิดว่าพวกนั้นจะมาถึงอาณาจักรเทียนหวู่ไล่ๆ
กันกับเขา แถมยังมาพักในโรงเตี๊ยมแห่งเดียวกันเสียอีก
ช่างโชคดีจริงๆ
“นั่นใช่...ไป๋ชานหรือเปล่า?”
จางเซวี ย นมองชายที่ ยื น ประจั น หน้ า กั บ จ้ า วหย่ า
และจำได้ ทั น ที ว่ า นั่ น คื อ ชายคนเดี ย วกั บ ที่ เ ขาเพิ่ ง ต่ อ ย
สลบไปในตรอก!
“ดูเหมือนไอ้หมอนี่กำลังหาเรื่องลูกศิษย์ของเรา...”
สถานการณ์ดูไม่ซับซ้อนอะไร ไม่ช้าจางเซวียนก็
เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เขารู้ดีว่าจ้าวหย่าเป็นคนแบบไหน ขโมยหรือ? ตลก
เป็นบ้า!
แถมไอ้หมอไป๋ชานคนนี้ก็แสนจะตะกละตะกราม
และโลภมาก หาดีไม่ได้เลย
ในเมื่อมีโอกาสได้เจอกันแล้ว ก็ควรจะสั่งสอนเสีย
หน่อย
จางเซวียนหัวเราะหึๆ และเดินออกไป
.......
“จ้าวหย่า เธอไปไม่ได้นะ...”
“เธอไม่รู้หรอกว่าถ้าตามพวกนั้นไปแล้วจะเกิดอะไร
ขึ้น...”
เมื่อได้ยินการตัดสินใจของจ้าวหย่า เจิ้งหยางกับคน
อื่นๆก็ทักท้วง
เห็นๆกันอยู่ว่านายแพทย์คนนี้กับหน่วยตรวจการณ์
รู้จักมักคุ้นกันดี ขืนตามพวกนั้นไป ใครจะรู้ได้ว่าจะต้อง
เผชิญกับอาชญากรรมชนิดไหน?
“เธอไม่รู้หรือไงว่าเขาจงใจทำแบบนี้ ต่อให้จ่ายเงิน
มากแค่ไหน เขาก็จะโก่งราคาขึ้นอีก!” จ้าวหย่าตอบ
ทุกคนเงียบกริบ
เธอก็พูดถูก
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตั้งใจเอาเปรียบพวกเขาเพราะรู้
ว่าเป็นคนต่างถิ่น ต่อให้พวกเขาตกลงจ่ายเงินให้ หมอนั่น
ก็จะต้องพูดว่าแค่นั้นยังไม่พอ เผลอๆอาจจะอ้างว่าทำ
อย่างอื่นหายอีกก็ได้ แทนที่จะต้องทนให้เขาดูถูกอยู่ที่นี่
เธอควรจะตามหน่วยตรวจการณ์ไป และต่อสู้เพื่อความ
บริสุทธิ์ของตัวเองจะดีกว่า
ทุกคนต่างคิดว่าเมืองหลวงของอาณาจักรขั้น 1 จะ
เต็มไปด้วยความหวังและสิ่งที่สามารถเติมเต็มความฝัน
ของพวกเขาได้ แต่เพิ่งมาถึงไม่นาน ก็ต้องเจอเหตุการณ์
ที่ทำให้หมดหวังและหดหู่สิ้นดี
“ถ้าเธอไป ก็เท่ากับหลงกลเขา!”
“ฉันไม่มีทางเลือกนี่ หน่วยตรวจการณ์ก็อยู่ที่นี่
แล้วพวกเธอก็ดูสิว่าเขาก็หน้าด้านยืนกรานอยู่นั่นว่าฉัน
ขโมยสมุนไพรของเขาไป แล้วจะให้ทำอย่างไร!”
ทุกคนกำหมัดแน่น แสนจะเดือดดาลแต่ก็รู้ว่าตัวเอง
ไม่มีทางเลือก
“50 ล้าน...แค่นั้นพอ! จ่ายมาซะ ผมก็พร้อม
จะ...จบเรื่องเหมือนกัน!”
ปรมาจารย์หลิวส่ายหน้า รู้สึกถูกหยามเกียรติอย่าง
รุนแรง
ก็เหมือนที่เขาว่ากัน ‘มังกรที่อยู่ชายฝั่งย่อมถูกกุ้ง
ฝอยหัวเราะเยาะ และเสือร้ายที่ออกจากขุนเขาของตน
มาย่อมถูกสุนัขระราน’
ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นที่อาณาจักรเป๋ยอู๋ ไอ้หมอนี่
ต้องถูกฆ่าตายทันที
แต่ที่นี่ แม้เขาจะเป็นถึงปรมาจารย์ แต่ก็ไม่อาจทำ
อะไรได้
“ปรมาจารย์หลิว...”
ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดและกำหมัดแน่นด้วย
ความว้าวุ่น
“พอแล้ว! แค่เรื่องขี้ปะติ๋ว ไม่มีใครต้องไปไหนทั้ง
นั้น!”
ทุกคนกำลังหมดหวัง ก็พอดีกับที่เสียงเฉื่อยเนือย
เสียงหนึ่งดังขึ้น จางเซวียนเดินสองมือล้วงกระเป๋าออก
มา
“ฮะ...อาจารย์?”
“อาจารย์จาง ทำไม...ถึงมาอยู่ที่นี่?”
“อาจารย์จาง คุณพักที่นี่เหมือนกันหรือ?”
เห็นเขาโผล่ออกมาจากข้างใน ทุกคนถึงกับผงะ
จากนั้นก็ดีใจกันสุดขีด
พวกเขาออกตามหาอาจารย์ทั้งคืน ไม่นึกเลยว่าจะ
อยู่ใต้จมูกนี่เอง
จางเซวียนไม่ใส่ใจฝูงชนที่กำลังตื่นเต้น เขาเดิน
เอื่อยๆไปหานายแพทย์ไป๋และส่งยิ้ม “คุณคือคนที่กำลัง
หาเรื่องลูกศิษย์ของผมหรือ?”
ไป๋ชานกำลังย่ามใจกับชัยชนะที่อยู่ในกำมือ เขาจิบ
ชาอย่างสบายใจ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองจางเซวียน
จึงไม่รู้ว่าเขาคือใคร เขาคำรามอย่างวางมาด “ก็ลูกศิษย์
ของคุณขโมยของๆผม ผมก็แค่ต้องการของคืน...”
“ขโมยพ่องงงงง!”
ไป๋ ช านยั ง พู ด ไม่ ทั น จบ ก็ ไ ด้ ยิ น เสี ย งหนึ่ ง ดั ง ขึ้ น
พร้อมกับเงาตะคุ่มที่พรวดเข้ามาอยู่ตรงหน้า จากนั้น
กาน้ำชาก็กระทบกับหัวของเขา
เพล้ง!
กาน้ำชาแตกกระจาย น้ำที่มีควันขึ้นฉุยราดรดทั่ว
ทั้งร่างของเขา ไป๋ชานลุกพรวดและพัดให้ตัวเองอย่าง
เอาเป็นเอาตาย
“แกมันรนหาที่ตาย!”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทั้งประธานสมาคม ขุนน้ำ
ขุนนาง สมาชิกของตระกูลอันทรงเกียรติ มีใครบ้างที่ไม่
ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ แต่ไอ้หมอนี่เอากาน้ำชา
ทุ่มหัวเขา! มันกล้าดีอย่างไร!
ผมของเขาร่วงเป็นกระจุกจากใบหน้าที่แสบพอง
ด้วยน้ำร้อน
ตอนนี้ หัวของไป๋ชานมีสภาพเหมือนหัวหมูต้ม ได้
กลิ่นเนื้อสุกๆเลยทีเดียว
“อาจารย์...”
“มัน...หนักไปหน่อยไหม!”
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆอ้าปากค้างด้วยความตะลึง
ทุ ก คนรู้ ว่ า อาจารย์ จ างยื น หยั ด เคี ย งข้ า งพวกเขา
เสมอ แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำขนาดนี้
ทุ่มกาน้ำชาร้อนๆใส่หัวของอีกฝ่าย
บ้าไปแล้ว!
อาจารย์ทำเหมือนกับเขาไม่ใช่คน
ส่วนหลิวหลิงกับลู่ฉวินก็หน้าตาบูดเบี้ยวและแทบ
ลมจับ
ถ้าเรื่องแบบนี้มันแก้ไขกันได้ง่ายๆด้วยการใช้กำลัง
แล้วทำไมปรมาจารย์ที่มีวรยุทธขั้นจงซรืออย่างเขาจะ
ต้องลงทุนพินอบพิเทาแบบนั้น?
ดูจากความหยิ่งผยองของอีกฝ่าย ก็ชัดเจนว่าเขา
ย่อมมีสถานภาพที่ไม่ธรรมดา แถมยังมีกองกำลังของ
หน่วยตรวจการณ์ยืนขนาบข้าง
แต่จางเซวียนก็ยังเลือกจะตบหน้าเขาอย่างแรง ดู
เหมือน...เรื่องนี้จะจบไม่สวยเสียแล้ว
“หุนหันพลันแล่นเกินไป...”
หลิวหลิงส่ายหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น
ศิษย์พี่ของเขาคนนี้ โดยปกติก็เยือกเย็นสุขุมและทำ
อะไรด้วยความระมัดระวัง ทำไมถึงเกิดบ้าบิ่นขึ้นมาแบบ
นี้?
ที่นี่คืออาณาจักรเทียนหวู่ ไม่ใช่เทียนเซวียน การ
ปะทะกับใครสักคนตั้งแต่แรกมาถึง แถมยังเป็นคนเด่นคน
ดังด้วย...เห็นๆกันเลยว่าหนทางข้างหน้าคงไม่ราบรื่นแน่
“หมอนี่บ้าไปแล้ว?”
“นั่นนายแพทย์ไป๋ชานนะ...”
หัวหน้าเหยากับสมาชิกหน่วยตรวจการณ์คนอื่นๆ
ถึงกับเซ่อไป เพราะไม่คิดว่าเรื่องจะหักมุมแบบนี้
“พวกคุณยืนดูหาอะไรกัน? หมอนี่ทำร้ายผม คุณจะ
มัวชักช้าอยู่ทำไม? ฆ่ามันซะ...”
ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าไป๋ชานจะตั้งตัวได้ เมื่อเห็น
หน่วยตรวจการณ์ยืนดูกันหน้าตาเฉย เขาก็ตวาดก้อง
พวกนั้นก็เพิ่งจะหายตะลึง หัวหน้าเหยาชักหอก
ออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่ “ไอ้หนุ่ม แกกล้าดีอย่างไรถึงมา
แตะต้องนายแพทย์ไป๋? รู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร? กล้า
ทำร้ายคนถึงในเมืองหลวง แกคิดว่าแกเป็น...เฮ้ย บรรลัย
แล้ว!”
ยังพูดไม่ทันจบ เสียงตะโกนก็หายเข้าไปในปากและ
ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวราวกับโดนัทที่ถูกบิดเป็นเกลียว
จากนั้นหัวหน้าเหยาก็กระเด็นไป เขาม้วนไปอีก 2-3 รอบ
ก่อนจะตกลงมาแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่ห่างออกไปหลายสิบ
เมตร
“หัวหน้า...”
สมาชิกหน่วยตรวจการณ์ที่เหลือต่างแทบจะบ้า
นี่มันอะไร!
พวกเขาเป็ น ถึ ง หน่ ว ยตรวจการณ์ แ ห่ ง ราช
อาณาจักร! ทุกคนมีอำนาจที่ได้รับจากทางอาณาจักร ไม่
ว่ า จะไปที่ ไ หนก็ มี แ ต่ ผู้ ค นหวาดกลั ว ตั ว สั่ น ไม่ มี ใ คร
อาจหาญล้ำเส้น แต่หมอนี่ตบหน้าหัวหน้าของเขาเข้า
อย่างจัง...
“ไอ้หนุ่ม แกทำตัวเป็นศัตรูของอาณาจักรแล้ว...”
พวกเขาคำรามและพุ่งเข้าคุ้มกันหัวหน้าของเขา
แต่ยังพูดไม่ทันจบ เสียงตบอีกชุดหนึ่งก็ดังกึกก้อง
เพียะ เพียะ เพียะ เพียะ!
ใบหน้าของพวกนั้นบิดเบี้ยว และถูกสอยกระเด็นไป
เหมือนกัน เกิดเสียงครางและคร่ำครวญกันระงม
“พวกเราตาย ตายแน่ๆ...”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกับผู้ช่วยแทบจะจะทึ้งผมเมื่อเห็น
เหตุการณ์ตรงหน้า พวกเขาคิดว่าเรื่องนี้น่าจะคลี่คลายได้
โดยง่ายเมื่อหน่วยตรวจการณ์มาถึง
หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องสมาชิกของ
หน่วยตรวจการณ์ ความแตกต่างเดียวก็คือ ผู้ที่กล้าแตะ
ต้องหน่วยตรวจการณ์เมื่อ 10 ปีที่แล้วนั้นเป็นนักรบ
เร่ร่อนที่สำเร็จวรยุทธจงซรือขั้นต้น เขามีปากเสียงกับ
สมาชิกของหน่วยตรวจการณ์คนหนึ่งและลงเอยด้วยการ
ใช้ความรุนแรง จากนั้นก็กลายเป็นที่หมายหัวทั่วทั้งเมือง
หลวง ภายในเวลาไม่ ถึ ง หนึ่ ง วั น ก็ ถู ก จั บ ได้ แ ละถู ก
ประหาร!
แต่หมอนี่ ไม่เพียงแต่จะตบหน้าหน่วยตรวจการณ์
ทั้งหน่วยจนเละเทะ แต่ยังเปลี่ยนหัวของนายแพทย์ไป๋
ชานให้มีสภาพเหมือนหัวหมูอีกด้วย...
พวกเขานึกว่าเรื่องนี้น่าจะจบเร็ว ไม่คิดเลยว่าจะ
ดราม่าและบานปลาย! ถ้ารู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ จะไม่มี
ทางไปเรียกหน่วยตรวจการณ์มาเลย ถ้าทางการกล่าวหา
พวกเขาว่ายอมให้คนที่มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงมาเข้า
พัก โรงเตี๊ยมของเขาจะต้องถูกปิดทันที...
“แกมันรนหาที่ตาย...”
นายแพทย์ไป๋เพิ่งจะฟื้นตัวจากความเจ็บแสบ ด้วย
ดวงตาที่ บ วมเป่ ง เขามองเห็ น บรรดาสมาชิ ก หน่ ว ย
ตรวจการณ์สลบเหมือดเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น เขาหันไป
มองจางเซวียนและประกาศกร้าว “แกตาย คราวนี้แก
ตายแน่ๆ แกกล้าแตะต้องแม้แต่หน่วยตรวจการณ์ ทีนี้
ไม่มีใครช่วยชีวิตแกได้แล้ว...”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็รู้สึกว่าลำคอตีบตันและเจ็บปวด
อย่างแสนสาหัสที่คอ
จางเซวียนคว้าคอหมับและยกตัวเขาชูขึ้น
เพียะ เพียะ เพียะ!
จากนั้นก็เจ็บที่สองข้างแก้ม ซึ่งก็ตามนั้น ไป๋ชานถูก
ตบรัวๆมากกว่า 12 ครั้ง
“ไม่มีใครช่วยชีวิตฉันได้ แกแน่ใจหรือ?” จางเซวี
ยนยิ้มแฉ่ง
“ฮืออออ...”
นายแพทย์ไป๋ปล่อยโฮ
มันเจ็บเกินกว่าจะทนได้
เขาไม่เคยถูกตบเละขนาดนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เกิดมา
ไม่กล้าพล่ามอะไรออกมาอีก ไป๋ชานค่อยๆลืมตาอัน
บวมเป่งขึ้นเพื่อดูว่าใครที่ตบเขา เขาตั้งใจจะจดจำรูปร่าง
หน้าตาของมันไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อต่อไปจะได้เอาคืนให้สาสม
แต่มองแค่แว่บเดียวก็ถึงกับหน้าซีดเผือด
คุ้นมาก
หมอนั่นคือชายหนุ่มที่อยู่กับองค์หญิงโม่หยู่ที่สันเขา
บัวแดง และเป็นคนที่ต่อยเขาสลบ
สถานภาพสู ง ส่ ง ที่ เ ขามี อ ยู่ ทุ ก วั น นี้ ก็ ไ ด้ ม าเพราะ
หมอนี่...
“ใช่ ผมเอง!”
จางเซวียนเหวี่ยงไป๋ชานลงกระแทกพื้น และพูด
อย่างเฉยเมย
“เอ่อ...”
นายแพทย์ไป๋ถึงกับหน้าตาบูดเบี้ยว
ถ้าจะมีใครสักคนที่ไป๋ชานอยากเจอมากที่สุด ก็คือ
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี่แหละ เป็นเพราะการปลอมตัว
ของชายคนนี้ที่ทำให้เขาได้มีตำแหน่งที่ยืนอันสวยงามอยู่
ทุกวันนี้ แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่ไป๋ชานไม่อยากเจอมาก
ที่สุด ก็ต้องเป็นชายผู้นี้เหมือนกัน เพราะเขาอาจจะเปิด
เผยความจริงได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาคือคนที่รักษาเซียน
สมุนไพร และดึงเซียนสมุนไพรให้พ้นจากความตาย
ถ้าความจริงถูกเปิดเผย แล้วจะมีใครในสมาคมนาย
แพทย์ที่จะเคารพเขาอีก? ใครจะยอมเสียเวลาชายตา
เหลือบแลเขาอีก?
เขาคิดว่าต้องระวังตัวไม่ให้เจอกับองค์หญิงโม่หยู่
เท่านั้น ดังนั้น หากรู้ว่าเธอไปที่ไหน เขาก็จะหลบเลี่ยง
ด้วยวิธีนี้เขาก็จะยังคงเกียรติยศของการเป็นผู้รักษาเซียน
สมุนไพรเอาไว้ได้ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะต้องมาเจอกับจาง
เซวียนในสถานการณ์แบบนี้
ส่วนเรื่องที่เขาพยายามจะฉวยโอกาสกับลูกศิษย์
ของอีกฝ่ายนั้น...ก็อย่าไปพูดถึงเลย
นี่เรารนหาที่ตายใช่ไหม?
ต่อให้จางเซวียนไม่แตะต้องเขา แค่เปิดเผยความ
จริ ง ที่ ว่ า นายแพทย์ ไ ป๋ ช านไม่ ใ ช่ ผู้ รั ก ษาเซี ย นสมุ น ไพร
เขาก็คงถูกนายแพทย์ไม่รู้กี่คนซ้อมจนตายเสียก่อนที่จะ
ได้ออกจากบ้านของตัวเอง
....
“ศิษย์พี่ พวกเรามีปัญหาแล้ว...”
เห็นสภาพหัวที่เละเทะและบวมเป่งของนายแพทย์
ไป๋ชาน หลิวหลิงรีบเดินเข้ามา และได้แต่ส่ายหน้า
“ปัญหา? ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่!”
จางเซวียนตอบง่ายๆ
ในเมื่อเขาออกตัว ก็แปลว่าเขารู้แล้วว่าจะแก้ไข
สถานการณ์นี้อย่างไร ซึ่งถ้าเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา แค่
บังคับกรอกยาพิษพวกนั้นก็จบเรื่อง
เขาไม่ เ ชื่ อ ว่ า ในสภาวะที่ ล่ อ แหลมต่ อ ความเป็ น
ความตาย จะมีใครกล้าทำกร่าง
“นี่มันหน่วยตรวจการณ์นะ ไปตบพวกเขาเสียเละ
ขนาดนั้น...”
หลิวหลิงไม่รู้ว่าจางเซวียนกำลังคิดอะไร เขาพูด
ออกมาสองสามคำก่อนที่จะหยุดและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จาก
นั้นก็พูดต่อ “ผมควรไปที่สภาปรมาจารย์เพื่อขอการคุ้ม
กันดีไหม? เพราะอย่างน้อยผมก็เป็นปรมาจารย์ ทาง
อาณาจักรเทียนหวู่คงยังไม่กล้าทำอะไร อย่างมากผมก็
แค่ต้องเข้ารับการไต่สวนที่สภาปรมาจารย์เท่านั้น...”
สภาปรมาจารย์ มี ห น้ า ที่ รั บ ผิ ด ชอบและปกป้ อ ง
ปรมาจารย์ทุกคน แต่หากปรมาจารย์ทำผิดเสียเอง พวก
เขาก็มีอำนาจที่จะตัดสินเหมือนกัน
เพราะอีกฝ่ายพยายามหาเรื่องพวกเขาตั้งแต่แรก
พวกเขาจึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะป้องกันตัว แต่เมื่อมาถึง
ตอนที่จางเซวียนตบพวกนั้นเสียเละเทะหมดสภาพ ต่อให้
อธิบายอย่างไร พวกเขาก็ผิดอยู่ดี
“ไม่จำเป็นเลย!” จางเซวียนพูด เขาชี้มือไปที่ไป๋
ชานซึ่ ง หั ว บวมเป่ ง ราวกั บ หั ว หมู แ ละพู ด ว่ า “เขาจะ
จัดการเรื่องนี้ให้พวกเราเอง”
“เขา?”
หลิวหลิงถึงกับงง
จ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็มองจางเซวียนอย่างงุนงง
เหตุผลเดียวที่ไอ้หมอนั่นมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อสร้างปัญหา
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่คุณเอากาน้ำชาทุ่มหัวเขา แถมยัง
ตบเสียเละ...
ถ้าเขาฆ่าคุณได้ ก็คงฆ่าไปแล้ว มันเรื่องอะไรถึงหวัง
ว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้?
นี่ล้อพวกเราเล่นใช่ไหม?
ขนาดลู่ฉวินที่ยืนอยู่ห่างๆก็ยังส่ายหน้า
ท่านอาจางคนนี้ปราดเปรื่องในหลายวิชาชีพก็จริง
แต่ข้อบกพร่องใหญ่หลวงของเขาก็คือหุนหันพลันแล่น
เกินไป
ด้วยนิสัยแบบนี้ ไม่นานก็คงเกิดเรื่องน่าเสียใจเข้า
สักวัน
“นายแพทย์ ไ ป๋ ช าน คุ ณ คิ ด ว่ า ...เราควรจะทำ
อย่างไร?”
ไม่แยแสกับสายตาสงสัยของฝูงชนที่กำลังจับจ้อง
จางเซวียนหันกลับไปยิ้มให้นายแพทย์ไป๋ที่เพิ่งถูกเขาตบ
เละไปหยกๆ
ถึงอีกฝ่ายจะยิ้มให้ แต่นายแพทย์ไป๋ก็มองเห็นความ
โหดเหี้ยมถึงขั้นเอาตายอยู่ในดวงตาคู่นั้น และต้องผงะไป
ทันที “ผมผิดเอง ผมมันมักมากจนหน้ามืดตามัว และ
สร้างปัญหาให้กับลูกศิษย์ของคุณ อย่าห่วงเลย ผมจะรีบ
แก้ไขเรื่องนี้โดยเร็ว...”
จากนั้นนายแพทย์ไป๋ชานก็ยืนขึ้น และด้วยสีหน้า
ท่าทางแบบผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความชอบธรรม เขาเดินไป
หาหัวหน้าเหยาและยื่นยาเม็ดขวดหนึ่งให้ “นี่คือยาที่
สามารถสมานบาดแผลได้ดีเยี่ยม และนี่, เงินหนึ่งแสน
เหรียญ หัวหน้าเหยา คุณควรจะพาคนของคุณไปหา
อะไรดีๆกินนะ...”
“นายแพทย์ไป๋?”
เห็นอีกฝ่ายยอมจ่ายเงินและออกตัวให้คนที่ตบเขา
เสียเละ หัวหน้าเหยากับสมาชิกหน่วยตรวจการณ์คน
อื่นๆแทบจะบ้า มาถึงตอนนี้ เสียงกระซิบกระซาบของ
นายแพทย์ไป๋ก็ยังแว่วอยู่ในหู
“ชู่วว ถึงองค์หญิงจะไม่ได้เป็นอัจฉริยะหมายเลข 1
ที่พันปีจะปรากฏขึ้นสักคนหนึ่ง แต่ก็เป็นอัจฉริยะแถว
หน้า สถานภาพของเธอเหนือชั้นกว่าองค์ชายและองค์
หญิงคนอื่นๆ...ชายคนนี้น่ะมีความสนิทชิดเชื้อกับองค์
หญิงโม่หยู่ ผมเคยเห็นเขาไปไหนมาไหนกับเธอ คุณควร
จะรู้นะว่าต้องจัดการที่เหลืออย่างไร...”
“สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงโม่หยู่?”
หัวหน้าเหยากับคนอื่นๆหรี่ตา และถึงกับตัวแข็งไป
ตอนที่ 300 ข่มขู่นายแพทย์ไป๋

แม้ อ งค์ ห ญิ ง โม่ ห ยู่ จ ะเที ย บไม่ ไ ด้ กั บ โม่ ห งอี ที่ เ ป็ น


อัจฉริยะหมายเลข 1 ของอาณาจักรเทียนหวู่ ซึ่งพันปีจะ
ปรากฏสั ก คนหนึ่ ง แต่ เ ธอก็ เ ป็ น อั จ ฉริ ย ะแถวหน้ า
สถานภาพของเธอเหนือชั้นกว่าองค์ชายและองค์หญิงคน
อื่นๆอยู่พอตัว
โม่หยู่กำลังจะผ่านการทดสอบเป็นปรมาจารย์ และ
เป็นที่โปรดปรานอย่างมากของฮ่องเต้
อันที่จริง มีข่าวลือว่าฮ่องเต้ได้ทุ่มเททรัพยากรเพื่อ
ฟูมฟักและฝึกปรือให้เธอได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ครองอาณาจักร
คนต่อไป เพื่อจะได้ป้องกันราชบัลลังก์ไม่ให้ตกไปอยู่ใน
มือของโม่หงอี
สนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงโม่หยู่? ไปไหนมาไหนกับ
องค์หญิง?
หรือว่า...
พวกเขาเป็นแค่ทหารธรรมดาที่พอใจกับสินบนเพื่อ
ให้ได้เงินมากขึ้นอีกสักหน่อย...การทำให้ ‘สหาย’ ของ
องค์หญิงขุ่นเคืองก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย!
“คุณ...พูดจริงหรือ?” หัวหน้าเหยาถึงกับใจสั่น
และแทบจะรับสถานการณ์ไม่ได้
โลกแคบอะไรอย่างนั้น? มาสะดุดเข้ากับสหายของ
องค์หญิงในอาณาจักรใหญ่โตอย่างเทียนหวู่?
อีกอย่าง องค์หญิงก็รักนวลสงวนตัว และมักอยู่ห่าง
จากอัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนที่พยายามจะมาเกาะแกะ
เธอ พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเธอมี ‘สหาย’
“ผมก็หวังให้มันไม่จริงเหมือนกัน...” นายแพทย์ไป๋
ชานหน้าตาเหยเกเหมือนจะร้องไห้
“เอ่อ...”
เห็ น สี ห น้ า ของอี ก ฝ่ า ย บรรดาสมาชิ ก หน่ ว ย
ตรวจการณ์ก็รู้ทันทีว่านั่นเป็นเรื่องจริง
อีกอย่าง ขนาดคนเด่นคนดังที่กำลังรุ่งโรจน์อย่าง
นายแพทย์ไป๋ชาน ถูกตบเสียยับขนาดนั้น ยังไม่กล้า
ตอบโต้แม้แต่นิดเดียว มันจะต้องมีเงื่อนงำบางอย่างแน่
“ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราก็ขอรับน้ำใจจากนาย
แพทย์ไป๋ก็แล้วกัน ลาก่อน!”
หัวหน้าเหยากระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนและประสาน
มือคารวะ
เขาไม่กล้ามีเรื่องกับนายแพทย์ไป๋ ส่วนองค์หญิงโม่
หยู่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แทนที่จะหาเรื่องให้โดนตบอีก รีบ
ออกไปให้พ้นๆน่าจะฉลาดกว่า
ด้วยการทำหน้าที่เป็นหน่วยลาดตระเวนในเมือง
หลวง ถ้าพวกเขาไม่รู้รักษาตัวรอดล่ะก็ คงถูกตีตายไป
เสียนานแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นนายแพทย์ไป๋หรือองค์หญิงโม่หอยู่ ทั้ง
คู่ก็เป็นคนระดับที่พวกเขาไม่กล้าแตะต้อง รีบออกไปให้
เร็วที่สุดเท่าไรก็ยิ่งดี
ครู่เดียว สมาชิกหน่วยตรวจการณ์ทั้งหมดก็หายตัว
เกลี้ยง
“กลับง่ายๆแบบนี้เลย?”
เมื่อครู่นี้ หลิวหลิงกับคนอื่นๆยังกลุ้มใจอยู่หยกๆ
แต่เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ทุกคนก็ถึงกับเซ่อไป
โดยเฉพาะลู่ฉวิน เขาคิดว่าท่านอาจางคนนี้หุนหัน
พลันแล่นเกินไป แต่เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถึงกับอ้า
ปากค้าง
คนพวกนั้ น เป็ น ถึ ง หน่ ว ยตรวจการณ์ แ ห่ ง ราช
อาณาจักร พวกเขามีอำนาจของทางการอยู่ในมือ ถูกตบ
เสียหน้าบวมฉึ่งเป็นหมูแบบนั้น ยังเดินกลับไปโดยไม่พูด
สักแอะ?
แถมยังไม่จบ นายแพทย์ไป๋ผู้หยิ่งผยองที่เคยหา
เรื่องปรมาจารย์หลิว ก็เดินเข้าไปโค้งคำนับอย่างงามให้
อาจารย์จาง “เอ่อ...ผู้อาวุโส ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว
คุณคิดว่า...ผมจะไปได้หรือยัง?”
ทุกคนตาแทบทะลัก
ผู้อาวุโส?
คุณน่ะอายุปาเข้าไป 40-50 แล้ว อีกฝ่ายยังไม่ 20
เลย แล้วไปเรียกเขาว่าผู้อาวุโส?
จะหน้าไม่อายไปถึงไหน?
“หรือว่า...ผู้คนที่อาณาจักรเทียนหวู่นี่เสร่อแบบนี้
เหมื อ นกั น หมด ต้ อ งถู ก ตบก่ อ นถึ ง จะพู ด จาดี ๆ ได้ ใ ช่
ไหม?”
หยวนเทาอดบ่นไม่ได้
ทุกคนเงียบกริบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ในใจก็เห็น
ด้วยกับหยวนเทาสุดๆ
อาจารย์จางทำอะไรลงไป?
หมอนั่นกำลังจะทำให้เรื่องนี้โจษจันไปทั้งเมืองแล้ว
โดยที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย โดนทุ่มกาน้ำชาใส่หัว
และตบรัวอีกเป็นสิบๆครั้ง หมอนั่นควรจะเดือดดาลและ
จัดการทุกคนที่นี่ให้สิ้นซากไม่ใช่หรือ?
แต่ตอนนี้เขาทำตัวราวกับสุนัขที่ว่านอนสอนง่าย
ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น มีแต่ความรู้สึกยกย่อง
และชื่นชมอาจารย์จางมากขึ้นอีกเท่านั้น
ดูเหมือนว่า...ต่อให้อุปสรรคใหญ่หลวงแค่ไหน ถ้า
มาถึงมืออาจารย์จางแล้ว ก็กลายเป็นเรื่องเล็กไปหมด
ตอนแรก ลู่ฉวินเริ่มมีความหวังเลือนรางในการที่จะ
ทำตัวให้เทียบเท่ากับอีกฝ่าย แต่เท่าที่ดูแล้ว ความคิด
ของเขาน่าหัวเราะสิ้นดี
“ไป? จะรีบไปไหน ผมน่ะไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลนะ ถ้า
ทำอะไรลงไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบ อีกอย่าง ผมก็ทำเรื่อง
ไม่เข้าท่าด้วยการตบหน้าคุณ” จางเซวียนจ้องหน้าอีก
ฝ่ า ย “คุ ณ คิ ด จะรั ก ษาอาการบาดเจ็ บ ของตั ว เอง
อย่างไร?”
“ผมก็ ก ำลั ง จะถามเลย คงจะดี ถ้ า ได้ ย าทาสั ก
หน่อย...” นายแพทย์ไป๋หัวเราะเจื่อนๆ
ให้อีกฝ่ายรับผิดชอบหรือ?
เขาไม่กล้าหรอก!
นอกจากความสนิทชิดเชื้อกับองค์หญิงแล้ว เรื่อง
จริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถรักษาอาการบอบช้ำจากสัญญา
หนอนกู้ที่ทำให้แม้แต่นายแพทย์ระดับ 3 ดาวยังจน
ปัญญา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีความเชี่ยวชาญอย่าง
น่าทึ่งในด้านการรักษาโรค เป็นไปได้ว่าทั้งอาณาจักร
เที ย นหวู่ ก็ ค งไม่ มี ใ ครเที ย บกั บ เขาได้ แถมยั ง มี ส าย
สัมพันธ์กับเซียนสมุนไพรเข้าไปอีก...
จะให้อีกฝ่ายแสดงความรับผิดชอบ? ก็เท่ากับฆ่าตัว
ตายดีๆนี่เอง!
“ในเมื่อคุณพูดว่าคุณสมควรจะได้รับมันแล้ว ผมก็
จะไม่ขัด แต่ว่า...คุณกล่าวหาลูกศิษย์ของผม ซึ่งนั่นก็
ทำให้จิตใจของเธอบอบช้ำอย่างหนักเหมือนกัน คุณจะ
จัดการเรื่องนี้อย่างไร?” รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรและ
กลัวอะไร จางเซวียนมองหน้าเขาอย่างเฉยเมย
“เอ่อ...”
นายแพทย์ไป๋อ้าปากค้าง
“ก็คุณเพิ่งพูดไม่ใช่หรือว่าสมุนไพรของคุณต้นหนึ่ง
มีมูลค่าถึง 50 ล้าน? เอาอย่างนี้ไหม ในเมื่อการกระทำ
ของคุณก็ทิ้งรอยแผลไว้ในหัวใจของลูกศิษย์ผมเหมือนกัน
คุณก็น่าจะใช้เงินจำนวนนี้ชดเชยให้เธอ จ่ายมาซะ แล้วก็
ไสหัวไปได้ ไม่อย่างนั้น ก็มาดูกันว่าผมจะจัดการเจ้า
‘ส่วนนั้น’ ของคุณอย่างไร!”
จางเซวียนก็ลดสายตาลงไปจับจ้องที่จุดสำคัญของ
นายแพทย์ไป๋ ทำเอาเขาหวาดผวาจนตัวสั่น
“ผม...ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้น!”
นายแพทย์ไป๋ชานตอบอย่างเจียมตัวด้วยน้ำตานอง
หน้า
เขาเป็นแค่นายแพทย์ระดับ 1 ดาว ถึงจะขี้โกงและ
ทำเรื่องชั่วร้ายไว้เยอะ แต่ก็เก็บเงินไม่ได้มากขนาดนั้น
“ไม่มีเงิน?”
จางเซวียนหัวเราะหึๆ เขายื่นมือออกไปจิ้มหน้า
ผากของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง
นายแพทย์ไป๋กระโดดหนีด้วยความตกใจ รู้สึกตีบ
ตันในลำคอขึ้นมาทันทีจนต้องอ้าปาก
จางเซวียนกระดิกนิ้ว และวัตถุชิ้นหนึ่งก็ผลุบเข้าไป
ในลำคอของเขา
“แค่ก แค่ก...นี่มันอะไร...”
นายแพทย์ไป๋ยกมือกุมคอหอยและถึงกับหน้าซีด
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ของดีที่เซียนสมุนไพรให้ผมมา
เท่านั้นเอง คุณรักษาอาการป่วยของเซียนสมุนไพรไม่ใช่
หรือ? ก็ต้องคุ้นเคยกับเขาสิ ใช่ไหม? ไปขอความช่วย
เหลือเขาก็แล้วกัน!” จางเซวียนตอบง่ายๆ
“เอ่อ...” นายแพทย์ไป๋หน้าแดงก่ำและขาสั่น แทบ
จะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เขาทรุดลงไปคุกเข่าอยู่
กับพื้น “ผู้อาวุโส ได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตผมด้วย...”
เซียนสมุนไพรเป็นกระบอกเสียงของห้องโถงแห่งยา
พิษ ไม่ต้องใช้ความคิดมากมายก็รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายใส่เข้าไป
ในปากของเขาก็คือ...
“จะให้ผมช่วยชีวิตคุณ? ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ
พวกเราเพิ่งมาถึงเมืองหลวงและยังไม่มีที่พัก ผมอยากให้
คุณหาคฤหาสน์ที่อยู่ใกล้กับสภาปรมาจารย์ให้พวกเรา
หน่อย! ถ้าทำสำเร็จแล้ว เรื่องช่วยชีวิตคุณ ผมจะ
พิจารณาอีกที แต่ว่า...ต่อให้ผมไม่ทำอะไรเลย แค่ยาพิษ
ของเซียนสมุนไพรก็เกินพอจะส่งคุณไปที่ชอบๆแล้วล่ะ!”
จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ยี่หระ
ถึงการกระทำของหมอนี่จะเลวทราม แต่เขาก็ยังพอ
มีประโยชน์
จางเซวียนกับคนอื่นๆเพิ่งมาถึงเมืองหลวง เป็นคน
แปลกหน้าที่มาแปลกถิ่น ถ้ามีนายแพทย์ไป๋คอยดูแลช่วย
เหลือ เรื่องยากๆก็จะง่ายขึ้น
เหตุผลที่จางเซวียนจงใจตบอีกฝ่ายอย่างหนัก ก็
เพราะรู้ว่าฝ่ายนั้นจะจดจำเขาได้ ก็ตอนนั้นเขาอยู่กับองค์
หญิงโม่หยู่ ซึ่งแน่นอนว่านายแพทย์ไป๋จะต้องคิดว่าพวก
เขาสนิทสนมกัน
ถ้าสถานการณ์ไม่ได้เป็นแบบนี้ การใช้ความรุนแรง
ขนาดนั้นย่อมส่งผลที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
ดั ง นั้ น เขาจึ ง ตั ด สิ น ใจให้ น ายแพทย์ ไ ป๋ ช่ ว ยเหลื อ
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะมีคนที่ไว้ใจได้คอยแก้ปัญหาที่อาจ
จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ผู้อาวุโส...”
นายแพทย์ไป๋รู้สึกท้อแท้และมีสีหน้าหดหู่เต็มที
นี่มันบ้าอะไรกัน?
เขาแค่ดื่มเหล้าเข้าไปเล็กน้อย และเย้าแหย่สาวสวย
คนหนึ่งเท่านั้น แต่ลงท้าย ไม่เพียงจะถูกราดด้วยน้ำ
เดือดๆ ยังต้องหาคฤหาสน์ไปชดใช้อีก...
เขาตกเป็นเหยื่อ ทำไมต้องจ่ายขนาดนี้?
“ทำไมล่ะ? ไม่เต็มใจหรือก็ได้? อย่างนั้นก็ได้ ผมรู้
มาว่ า ยาพิ ษ ที่ เ ซี ย นสมุ น ไพรให้ ม าจะทำให้ มี ห นอน
แมลงวันเติบโตขึ้นในสมอง ส่งผลให้หัวสมองมึนงงตลอด
เวลา ถ้าอาการหนักเข้าขั้นแล้วล่ะก็ ผู้นั้นจะถึงกับฉีกทึ้ง
เสื้ อ ผ้ า และวิ่ ง ตั ว เปล่ า ล่ อ นจ้ อ นเลยที เ ดี ย ว...และจะมี
อาการอย่างนี้อยู่ 3 วันก่อนจะตาย ผมว่า...ก็น่าจะถูกใจ
คุณอยู่นะ?”
จางเซวียนพูด
นายแพทย์ไป๋ชานพรั่นพรึงจนหน้าถอดสี
ถึงพฤติกรรมของเขาจะไม่เอาไหนอยู่แล้ว แต่ถ้าถึง
กับแก้ผ้าและวิ่งโทงๆไปทั่วเมืองล่ะก็ คงเสียชาติเกิดแน่
“ทำไมล่ะ? ไม่ชอบหรือ? ง่ายดีออก เซียนสมุนไพร
ให้ยาพิษผมมาตั้ง 18 ชนิด ถ้าคุณไม่ชอบชนิดนี้ ลอง
แบบอื่นก็ได้นะ!” จางเซวียนพูด
“อย่า...” นายแพทย์ไป๋ส่ายหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา
เขาลนลานตอบ “ผู้อาวุโส อย่าทำขนาดนั้นเลย อยากได้
คฤหาสน์ใช่ไหม? ง่ายมาก พรุ่งนี้ผมจะหาให้ทันที!”
ถูกกรอกยาพิษเข้าไปแล้ว ความเป็นความตายของ
เขาก็ อ ยู่ ใ นกำมื อ ของอี ก ฝ่ า ย และเมื่ อ ปฏิ เ สธไม่ ไ ด้ ก็
ต้อง...ยอมจำนน!
“อือ นั่นค่อยน่าฟังหน่อย ซุนฉาง!” เมื่อได้ฟังคำ
ตอบ จางเซวียนก็หันไปเรียกซุนฉาง
“นายน้อย!”
ซุนฉางเดินเข้ามา
ปรมาจารย์ ห ยางเป็ น นายท่ า นของเขา จึ ง เป็ น
ธรรมดาที่เขาจะต้องเรียก
จางเซวียนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์หยางว่า
นายน้อย
“ตามเขาไป ไปหาคฤหาสน์ดีๆสักหลัง จัดเตรียม
สถานที่ให้เรียบร้อยด้วย อาจารย์ของผมน่าจะมาในอีก
วันสองวันนี้!”
จางเซวียนพูด
“นายท่านจะมาหรือ? ได้เลย!” ซุนฉางพยักหน้า
อย่างกระตือรือร้น
“งั้นก็ให้ไว จะรอให้พระอาทิตย์ขึ้นหรือไง?” จางเซ
วียนพูดและเอาสองมือไพล่หลัง
“ขอรั บ !” นายแพทย์ ไ ป๋ ช านรี บ พยั ก หน้ า และ
ลนลานออกมา เขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วินาทีเดียว
ออกจากโรงเตี๊ยมมาแล้ว นายแพทย์ไป๋จึงได้ถอน
หายใจอย่างโล่งอก เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปถามซุนฉางซึ่ง
ตามหลังมาติดๆ
“ขอผมทราบชื่อ...นายน้อยของคุณได้ไหม?”
ตอนที่เขาพบกับอีกฝ่ายในเมืองบัวแดงก่อนหน้านี้
ฝ่ายนั้นแค่บอกว่าเป็นแฟนคลับของเขาก่อนที่จะต่อยเขา
สลบ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย
เลย
ถึงจะหวาดผวาแค่ไหน แต่ก็เพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่รู้จัก
แม้แต่ชื่อของฝ่ายนั้น
“นายน้อยของเรามีชื่อว่าจางเซวียน!”
ซุนฉางพยักหน้า
“จางเซวียน?” นายแพทย์ไป๋ชานถึงกับงง เขาไม่
เคยได้ยินว่ามีองค์ชายหรืออัจฉริยะผู้น่าทึ่งคนไหนใช้ชื่อ
นี้!
“คุณพูดถึงนายท่านของคุณด้วย...ขอผมทราบได้
ไหมว่าเขาเป็นใคร?”
ถึงนายแพทย์ไป๋จะยังสงสัย แต่ก็ไม่กล้าประมาทคน
พวกนั้น เขาจึงถามต่อ
“นายท่านของเราเป็นปรมาจารย์ที่สูงกว่าระดับ 3
ดาว!” ซุนฉางตอบอย่างชื่นชม
“ปรมาจารย์...สูงกว่าระดับ 3 ดาว?”
นายแพทย์ไป๋ถึงกับตัวสั่น
ขนาดปรมาจารย์ เ จี ย งซึ่ ง เป็ น ประธานสภา
ปรมาจารย์แห่งอาณาจักรเทียนหวู่ ยังเป็นแค่ปรมาจารย์
ระดับ 2 ดาวเท่านั้น แต่อาจารย์ของจางเซวียนคือ
ปรมาจารย์ที่มีระดับสูงกว่า 3 ดาว?
ก็แปลว่า หากอาจารย์ของเขามีความประสงค์ขึ้น
มา ก็สามารถทำลายอาณาจักรเทียนหวู่ทั้งอาณาจักรให้
ราบคาบได้ในพริบตาเดียว!
ซึ่งจางเซวียนคนนี้ก็เป็นศิษย์ของคนระดับนั้น
“จริงๆนะ ในฐานะศิษย์สายตรงของนายท่าน นาย
น้อยก็สืบทอดความรู้ของเขามาเต็มๆ เหตุผลที่นายน้อย
มาที่เมืองหลวงก็เพื่อเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์
ไม่ใช่แค่นั้นนะ เขายังเป็นจิตรกรระดับ 3 ดาว, นักฝึก
อสูรระดับ 2 ดาว(ฟังมาจากเสิ่นปี้หรู) และนักปรุงยา
ระดับ 1 ดาวด้วย!” ซุนฉางพูดต่อ
“จิตรกรระดับ 3 ดาว? นักฝึกอสูรระดับ 2
ดาว?...”
นายแพทย์ไป๋ชานถึงกับตัวแข็ง
ไม่ แ ปลกใจเลยว่ า ทำไมถึ ง เก่ ง กาจขนาดนี้ ทั้ ง ๆที่
อายุยังน้อย แต่ละสถานภาพที่ว่ามาก็ยิ่งใหญ่พอจะสั่น
สะเทือนโลกทั้งใบได้แล้ว เป็นไปได้ว่า...แม้องค์หญิงโม่ห
ยู่ก็ยังด้อยกว่าเขา!
“ถ้าคุณรับใช้นายน้อยและนายท่านให้ดี ชีวิตของ
คุณจะรุ่งโรจน์แน่ แต่ถ้าทรยศพวกเขา คงไม่ต้องบอกนะ
ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!” รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ซุนฉาง
สำทับ
“ได้!” นายแพทย์ไป๋ชานพยักหน้า แค่หวนนึกว่า
สองสามวันมานี้เขามีความสุขขนาดไหน หัวใจก็หล่นไป
อยู่ที่ตาตุ่ม
วันนี้อาจเป็นวันซวยสุดๆ แต่ก็อาจจะเป็นโอกาส
ของเขาก็ได้!
ตอนที่ 301 คุณชายจี้โม่ตื่นเต้น

“อาจารย์ ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?”
เจิ้งหยางอดถามไม่ได้ คนอื่นๆก็รีบหันมามอง
พวกเขาตามหาอาจารย์จางจนทั่วทุกพื้นที่ แต่ก็ไม่
เจอแม้เงา กลับกลายเป็นว่า...อยู่ในโรงเตี๊ยมเดียวกัน
นี่เอง
เป็นเรื่องจริงที่เรามักจะมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
ไปเสมอ
“ผมเพิ่ ง มาถึ ง อาณาจั ก รเที ย นหวู่ วั น นี้ และ
โรงเตี๊ยมนี่ก็อยู่ใกล้ประตูเมืองมากที่สุด ก็เป็นธรรมดาที่
จะต้องพักที่นี่!” จางเซวียนยิ้ม
โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นที่เดียวที่อยู่ใกล้กับประตูเมือง
แล้วเขาจะไปพักที่ไหนได้?
“คุณเพิ่งมาถึงวันนี้? แล้ว...” เจิ้งหยางชี้ไปที่นาย
แพทย์ไป๋ชานซึ่งเพิ่งจะเดินออกไป
หมอนั่นเย่อหยิ่งจองหองเสียจนแทบจะฉีกกระชาก
สวรรค์หากเขาทำได้ แต่หลังจากโดนอาจารย์ตบ ก็ว่า
ง่ายราวกับสุนัขที่จงรักภักดีตัวหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าคุณทั้งคู่
จะไม่เคยพบกันมาก่อน
แถทมบรรดาหน่วยตรวจการณ์ก็ดูเหมือนจะหวาด
กลัวหลังจากได้รู้บางอย่าง ก็ในเมื่ออาจารย์เพิ่งมาถึง แต่
ทำให้พวกนั้นหวาดกลัวได้? มันเกิดอะไรขึ้น?
“บางทีผมอาจจะตบแรงกว่าปกติไปหน่อย พวกนั้น
ก็เลยกลัว!”
จางเซวียนตอบง่ายๆ
เรื่ อ งราวที่ สั น เขาบั ว แดงซึ่ ง เกี่ ย วข้ อ งกั บ เซี ย น
สมุนไพร ห้องโถงแห่งยาพิษ กูรูยาพิษ นายแพทย์ นัก
ปลอมตัว...ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายกันง่ายๆ แม้
เขาจะอยากอธิบายก็ตาม จางเซวียนจึงตัดสินใจจะหลบ
เลี่ยงหัวข้อเหล่านั้น
อีกอย่าง สิ่งที่นายแพทย์ไป๋ชานหวาดกลัวนั้นไม่ใช่
แค่ความคุ้นเคยระหว่างเขากับเซียนสมุนไพร ที่เขาหวาด
กลัวกว่าก็คือความสนิทสนมของเขากับองค์หญิงโม่หยู่
ซึ่งแปลว่าจางเซวียนกำลังได้ประโยชน์จากสถานภาพ
ของอีกฝ่าย และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าภาคภูมิใจนัก เขาจึงไม่
ค่อยอยากจะอธิบายเรื่องราวเหล่านั้นให้เด็กๆฟัง
“ตบแรงกว่าปกติ?”
ทุกคนถึงกับใบ้กิน
ก็ถ้าการตบหมอนั่นจะช่วยอะไรได้ พวกเขาก็คงทำ
ไปนานแล้ว คงไม่ต้องถึงมืออาจารย์หรอก!
ถ้าคุณไม่อยากอธิบาย ก็น่าจะหาข้อแก้ตัวที่มันฟัง
ขึ้นกว่านี้ คำโกหกของคุณมันง่ายไปหน่อยไหม?
“คุณนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลย...”
หวงหวี่กลอกตา
ผู้ชายคนนี้เป็นแบบนี้มาตลอด ถ้าไม่อยากพูด บอก
กันตรงๆก็ได้ เพราะทุกคนก็ย่อมมีความลับของตัวเอง
อีกอย่าง สิ่งที่พวกเขาแทบจะรับไม่ได้ก็คือการโกหกออก
มาหน้าตาเฉยโดยไม่รู้สึกอับอายสักนิด
เห็นจางเซวียนไม่อยากจะพูดเรื่องนั้น หลิวหลิงลูบ
เคราและตั้งคำถาม
จางเซวียนมีพลังปราณเทียบฟ้าซึ่งแม้แต่นักรบขั้น
8-จงซรือ หรือปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวก็แทบจะบอกระ
ดับวรยุทธของเขาไม่ได้ แต่ระหว่างการต่อสู้เมื่อครู่ หลิว
หลิงก็สามารถระบุระดับวรยุทธของจางเซวียนได้จาก
พละกำลังและรังสีที่เขาเปล่งออกมา
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังแทบไม่อยากเชื่อ
แม้ ว รยุ ท ธขั้ น กึ่ ง จงซรื อ จะไม่ ย ากเย็ น เท่ า กั บ กา
รสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ แต่มันก็เป็นอุปสรรคใหญ่หลวง
ที่ยากจะก้าวข้าม
ในอาณาจักรเทียนเซวียน มีนักรบทงฉวนขั้นสูงสุด
อยู่หลายร้อยคน แต่มีเพียงคนเดียว คือเชื้อพระวงศ์
อาวุโสเซินหงเท่านั้นที่สามารถก้าวข้ามไปยังกึ่งจงซรือได้
นั่นแสดงให้เห็นว่าวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือมีความเหนือชั้น
กว่าขั้น 7-ทงฉวนมาก
จางเซวียนเพิ่งสำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุดเมื่อไม่
นานมานี้ ซึ่งหลิวหลิงคิดว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2
ถึง 3 ปีกว่าเขาจะก้าวขึ้นไปยังวรยุทธขั้นสูงกว่าได้ ไม่นึก
ไม่ฝันว่าผ่านไปแค่เดือนเดียว อีกฝ่ายก็สำเร็จขั้นกึ่งจงซ
รือแล้ว
“กึ่งจงซรือ?”
ทุกคนอัศจรรย์ใจ โดยเฉพาะลู่ฉวินที่ถึงกับตาโต
ผ่านไป 1 เดือน ลู่ฉวินได้ฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ
ขั้นทงฉวน เขาคิดว่าในที่สุดก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับ
เดียวกับจางเซวียนแล้ว ไม่นึกเลยว่าฝ่ายนั้นก็เดินนำหน้า
เขาไปแล้วอีกก้าว!
“ใช่!” จางเซวียนตอบ
“ด้วยการรวบรวมวรยุทธจากหลายสำนัก นักรบ
ขั้น จงซรือสามารถตั้งสำนัก ของตัว เองได้ และนี่ เ ป็ น
ปราการด่านแรกของการก้าวไปสู่วรยุทธขั้น 9 ถึงคุณจะ
อยู่ไม่ไกลจากมันแล้ว แต่ก็ยากที่จะฝ่าด่านไปยังขั้น 9-จื้อ
จุนได้ หากปราศจากการสั่งสมประสบการณ์และการ
สร้างเสริมพละกำลังในวรยุทธครั้งแล้วครั้งเล่า”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายยืนยันข้อสรุปของเขา หลิวหลิง
พยักหน้า
ผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือ ก็หมายความว่าผู้นั้น
เข้าใกล้วรยุทธขั้นจงซรือเต็มที แต่ในความเป็นจริงนั้น
การจะประสบความสำเร็จถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งเซินหง ตัวเขาเอง ปรมาจารย์จวง และปรมา
จารย์เจิง มีใครบ้างที่ไม่ได้เป็นอัจฉริยะผู้โด่งดังตั้งแต่ยัง
หนุ่ม?
แต่พวกเขาก็ติดอยู่ที่ปราการนั้น คือขั้นกึ่งจงซรือ
มาหลายทศวรรษ ไม่สามารถผ่านขั้นสุดท้ายไปได้ แม้ว่า
จะพยายามหนักหน่วงแค่ไหนก็ตาม
ถ้าไม่ใช่เพราะปรมาจารย์หยาง พวกเขาก็คงต้อง
ติดแหงกอยู่ที่ขั้นกึ่งจงซรือไปชั่วชีวิต
ด้วยเหตุนี้ หลิวหลิงจึงรู้ดีว่าหากไม่ปรับสภาวะจิต
ให้เหมาะสมต่อการฝึกวรยุทธ และไม่ฝึกฝนวรยุทธด้วย
ความอดทน การจะสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือก็เป็นได้แค่
ฝัน
“ใช่!” จางเซวียนรู้ว่าอีกฝ่ายพูดสิ่งเหล่านี้เพื่อ
ประโยชน์ของตัวเขาเอง เขาจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“คุณมีความปราดเปรื่องกว่าผมมากมายนัก และ
ยังได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์เป็นการส่วนตัว ดังนั้น การ
ฝ่าด่านวรยุทธของคุณย่อมราบรื่นกว่าผม เหตุผลที่ผม
พูดอะไรมากมายก็เพราะหวังว่าคุณจะไม่วิตกกังวลและ
สูญเสียความเป็นตัวเองไป คุณจะกลายเป็นอัจฉริยะ
เหนืออัจฉริยะที่เดียว หากสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือได้
ภายใน 3 ปีนี้” หลิวหลิงพูดต่อ
ศิษย์พี่ของเขาคนนี้สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือตั้งแต่
อายุยังน้อย ย่อมเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างหลีก
เลี่ยงไม่ได้ เหตุผลที่เขาพูดอะไรออกมามากมายก็เพราะ
อยากย้ำเตือนให้อีกฝ่ายคงความอดทนอดกลั้นและสุภาพ
ถ่อมตัวไว้ ไม่หลงระเริงไปกับความมักใหญ่ใฝ่สูง เพราะ
ไม่อย่างนั้นก็อาจลงเอยด้วยการทำลายตัวเองจนย่อยยับ
“เอาล่ะ ผมจะไม่รบกวนการพบปะสังสรรค์ระหว่าง
ศิษย์พี่กับบรรดาลูกศิษย์ ขอตัวไปพักก่อน!”
รู้ว่าจางเซวียนกับลูกศิษย์ของเขาย่อมมีเรื่องให้พูด
คุยกันมาก หลิวหลิงจึงยิ้ม ประสานมือคารวะและเอ่ย
ปากลา หวงหวี่กับลู่ฉวินก็ตามเขาไป
“อาจารย์!”
เมื่อทั้งสามไปแล้ว เจิ้งหยางกับพรรคพวกก็ทรุดตัว
ลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความตื่นเต้น
โดยเฉพาะจ้ า วหย่ า เธอสำนึ ก ในบุ ญ คุ ณ ของ
อาจารย์เป็นอย่างมากที่ช่วยชีวิตเธอไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะ
เขาปรากฏตัวได้อย่างเหมาะเหม็ง ใครจะรู้ว่าตอนนี้จะ
เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง
“ออกหมัดพื้นฐานเดี๋ยวนี้ ผมจะได้รู้ว่าพวกคุณ
ก้าวหน้าไปแค่ไหน!”
จางเซวียนทรุดตัวลงนั่ง เขาสะบัดแขนเสื้อและมอง
ไปที่บรรดาลูกศิษย์
ในเมื่อเขาเป็นอาจารย์ของเด็กพวกนี้ ก็เป็นความ
รับผิดชอบของเขาที่จะต้องเฝ้าดูการฝึกวรยุทธอย่างใกล้
ชิด
“ได้เลย!”
ทั้งกลุ่มพากันออกหมัดพื้นฐานในทันที
ฟิ้วววววว!
ลมหวีดหวิวที่มีพละกำลังรุนแรงพัดวนอยู่ในห้อง
ถ้าเป็นคนอื่น ถึงจะสามารถระบุระดับวรยุทธของ
เด็กทั้ง 5 ได้ แต่ก็ไม่มีทางเห็นข้อบกพร่องของพวกเขา
แต่สำหรับจางเซวียนนั้นแตกต่างออกไป ด้วยการก
ระตุกในหัว ข้อบกพร่องในการฝึกวรยุทธของเด็กพวกนั้น
ก็ปรากฏขึ้นมาในหนังสือทันที
“ไม่เลว หนึ่งเดือนมานี่พวกคุณพัฒนาขึ้นมาก แต่
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่”
หลังจากพลิกดูเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสือของแต่ละ
คนแล้ว จางเซวียนก็เลิกคิ้ว “เจิ้งหยาง เทคนิคการฝึกวร
ยุทธที่ผมมอบให้คุณนั้น มีไว้เพื่อปรับปรุงจุดชีพจรไท่ห
ยิง ทำไมคุณถึงเน้นที่จุดชีพจรซานชูแทนล่ะ? ไม่เพียงแต่
จะเหนื่อยเปล่า คุณยังทำลายวรยุทธของตัวเองด้วย ถ้า
ยังขืนทำแบบนี้ต่อล่ะก็ ออกไปเสียตอนนี้เลย อย่าทำให้
ผมเสียเวลา!”
“หลิวหยาง ถึงแขนขวาของคุณจะใช้การได้ดีแล้ว
แต่เวลาที่ฝึกวรยุทธก็ต้องระวังไว้ อย่าปล่อยพลังออกมา
มากเกินไป คุณอยากจะพิการอีกรอบหรือไง?”
“หวังหยิ่ง...”
.....
ไม่ช้า จางเซวียนก็ชี้ข้อบกพร่องที่ปรากฏในการฝึก
วรยุทธของลูกศิษย์ทั้ง 5 และถ่ายทอดวิธีการใหม่ๆให้
พวกเขา
ถึงจางเซวียนจะไว้ใจไม่ค่อยได้ในเรื่องอื่นๆแต่ถ้า
เป็นเรื่องการชี้แนะลูกศิษย์ล่ะก็ ไม่มีบกพร่องเลย
ฟึ่บ! ปั้ก!
สองชั่วโมงต่อมา เด็กทั้ง 5 ก็ฝ่าด่านวรยุทธได้
สำเร็จ เจิ้งหยางกับหวังหยิ่งฝ่าด่านวรยุทธจากขั้น 4-ผีกู่
ไปเป็นติ่งลี่ขั้นต้น ส่วนหยวนเทาก็ตามมาติดๆ โดย
สำเร็จวรยุทธผีกู่ขั้นสูงสุด
ในบรรดาเด็กทั้ง 5 ผู้ที่พัฒนาได้มากที่สุดก็ยังคง
เป็นจ้าวหย่า ในตอนแรก เธอเปิดจุดชีพจรไปได้แค่ 2 จุด
แต่หลังจากได้คำชี้แนะของจางเซวียน ประกอบกับพละ
กำลังของนักรบขั้น 6-พี่เชวี่ย เธอก็เปิดจุดชีพจรไปได้ต่อ
เนื่องกันถึง 10 จุดในอีก 2 ชั่วโมงต่อมา ทำให้มีพละ
กำลังเพิ่มขึ้นอีกมาก
ด้วยการยกระดับวรยุทธและเพิ่มพละกำลังได้ใน
เวลาอันสั้นขนาดนี้ ทุกคนทั้งตื่นเต้นและอัศจรรย์ใจ ตอน
แรก ปรมาจารย์หลิวบอกว่าหากพวกเขาอยากจะฝ่าด่า
นวรยุทธให้สำเร็จ ก็จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ซึ่งเร็วที่สุดก็คงต้องใช้เวลาราวครึ่งเดือน แต่หลังจากได้
คำชี้แนะจากอาจารย์จาง ทุกคนก็ฝ่าด่านวรยุทธได้ทันที
ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่การแสดงให้เห็นกันจะๆหรอกหรือว่าวิธี
การของอาจารย์จางเหนือกว่าปรมาจารย์หลิว?
เมื่ อ รู้ ซึ้ ง ถึ ง ความจริ ง ข้ อ นี้ พวกเขาก็ ยิ่ ง ยกย่ อ ง
ชื่นชมอาจารย์จางมากขึ้นอีก
“เอาล่ ะ พรุ่ ง นี้ ผ มจะเข้ า รั บ การทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์แล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อน พวกคุณไปพักผ่อน
เถอะ!” จางเซวียนออกคำสั่ง
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดกับจ้าวหย่า เขายิ่งรู้สึกว่า
ต้องยกระดับสถานภาพของตัวเองอย่างเร่งด่วน สิ่งนี้
ทำให้ความตั้งใจที่จะสอบเป็นปรมาจารย์ยิ่งเด็ดเดี่ยวกว่า
เดิม
.......
“ผมมีเรื่องด่วนที่ต้องรายงานคุณชายจี้โม่!”
ที่คฤหาสน์ตระกูลจี้, หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่ง
อาณาจักรเทียนหวู่ ร่างหนึ่งพรวดพราดเข้ามาที่ประตู
อย่างรีบร้อน
ถ้ า จางเซวี ย นอยู่ ที่ นี่ ก็ จ ะรู้ ทั น ที ว่ า ชายผู้ นั้ น คื อ
หัวหน้ากลุ่มคนที่เพิ่งถูกเขาซ้อมที่นอกเมือง
เจ้าหัวหน้ายังคงมีบาดแผลทั่วตัว แต่หลังจากได้รับ
การรักษาแล้ว อาการก็ทุเลา อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไปไหน
มาไหนได้เองโดยไม่ต้องให้ใครช่วย
“เป็นอย่างไรบ้าง? พวกนายทำสำเร็จไหม?”
แอ๊ด!
ประตูเปิดออก เมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่าย คุณชายจี้
โม่หน้าตาสดใสขึ้นทันที
“รายงานคุณชาย ถึงพวกเราจะเจ็บหนัก แต่ก็
ปฏิบัติภารกิจที่คุณชายมอบหมายได้สำเร็จ!” หัวหน้า
คุกเข่าลงกับพื้น
“อือ ไม่เลว ไม่เลวเลย!”
มีความตื่นเต้นอยู่ในแววตาของคุณชายจี้โม่
หมอนั่ น ทำให้ เ ขาต้ อ งสู ญ เสี ย เกี ย รติ ย ศศั ก ดิ์ ศ รี
ทั้งหมด เขาไม่มีวันหายแค้นถ้าไม่ได้สั่งสอนมันเสียบ้าง
“เอาผลึกบันทึกออกมา ฉันจะดู!” คุณชายจี้โม่ยื่น
มือออกไปและถามอย่างคาดหวัง
แกมันโอหังนักนี่?
วาดภาพขั้น 3 ขั้น 4 ขั้น 5 ไล่ไปทีละขั้นอย่างกับ
เล่นปาหี่...แกเป็นจิตรกรระดับ 3 ดาวเหรอ แล้วไงล่ะ? ดู
ซิว่าจะยังเต๊ะท่าได้หรือเปล่าถ้าถูกเราจับแก้ผ้าแล้วแขวน
ต่องแต่งไว้กับต้นไม้
“เรียนนายน้อย ผลึกบันทึกเสียหายไประหว่างการ
ต่อสู้!” หัวหน้ารายงานอย่างขัดเขิน
“เสียหาย?”
“ใช่แล้ว แต่พวกเราก็ได้แขวนไอ้หมอนั่นไว้กับ
ต้นไม้นอกเมือง พี่น้องของเราอีกสองสามคนกำลังเฝ้าไว้
นายน้อย ทำไมคุณไม่ตามผมไปล่ะ? จะได้เยาะเย้ยไอ้
หมอนั่น คราวนี้คุณได้ระบายความแค้นแน่!”
หัวหน้าตอบ
“เป็นความคิดที่ดี เยาะเย้ยมันให้ได้อายต่อหน้านี่
แหละที่ฉันชอบที่สุด!”
คุณชายจี้โม่หัวเราะหึๆ นัยน์ตาเป็นประกายชั่วร้าย
คงจะน่าเสียดายมากถ้าเขาไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง
และไม่ได้เยาะเย้ยเจ้าคนโอหังที่ถูกจับแก้ผ้าแล้วแขวนไว้
กับต้นไม้
“ไปกันเถอะ!” หลังจากสวมเสื้อคลุมแล้ว คุณชายจี้
โม่ก็พร้อมเดินทาง
“คุณชาย ถึงอย่างไรเจ้าหมอนั่นก็เป็นจิตรกรระดับ
3 ดาว ถ้าเราใช้ผลึกบันทึกบันทึกสภาพน่าสมเพชของ
เขาไว้เพื่อหาโอกาสแบล็กเมล์ ถึงหมอนั่นคงไม่กล้าทำ
อะไรเราก็จริง แต่ถ้าผู้อาวุโสคนอื่นๆในตระกูลรู้เรื่องนี้
เข้า คุณก็ไม่พ้นต้องถูกตำหนิ ในความคิดของผม...ทำไม
คุณไม่สวมชุดดำแล้วแอบออกไปล่ะ ด้วยวิธีนี้ก็จะไม่กระ
โตกกระตาก ป้องกันไม่ให้ข่าวรั่วไหล และเราจะได้ไม่
ต้องเจอกับปัญหาไม่เข้าท่า”
เห็ น คุ ณ ชายจี้ โ ม่ ตั้ ง ท่ า จะเดิ น อาดๆออกประตู ไ ป
แบบนั้น หัวหน้ารีบแนะนำเขาทันที
“แกพูดถูก ไม่เลว ดูเหมือนแกก็มีสมองเหมือนกัน
สำหรับตาเฒ่าพวกนั้นน่ะ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะต้องจัดการให้
หมด ถ้าฉันได้เป็นจิตรกรระดับ 2 ดาวและสืบทอด
ตำแหน่งผู้นำตระกูลเมื่อไหร่ล่ะก็ พวกนั้นต้องได้บทเรียน
แน่!”
คุณชายจี้โม่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เห็นไหม? บริวารที่ดีต้องเป็นอย่างนี้ รักษาผล
ประโยชน์ของเจ้านายยิ่งชีวิต
เราคงจะเป็ น คนเดี ย วที่ สู ง ส่ ง และโดดเด่ น พอที่
บริวารจะมอบกายถวายชีวิตเพื่อทำงานที่เรามอบหมาย
ให้สำเร็จ
เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็เบิกบานใจถึงขีดสุด
ตั้งแต่ตอน 301 นี่ไม่รู้จะปรับเป็นวันละตอนหรือ
เปล่านะ
ตอนที่ 302 คารวะอาจารย์จาง

“เมื่อเรากลับมา ฉันจะตบรางวัลให้แก่อย่างงาม
สำหรับความจงรักภักดี!”
หลังจากชมเชยหัวหน้าแล้ว คุณชายจี้โม่ก็เปลี่ยน
เครื่องแต่งกายเป็นชุดดำและตามอีกฝ่ายไปยังมุมเปลี่ยว
ของคฤหาสน์ ก่อนจะกระโดดออกนอกกำแพงไป
พวกเขาทำทุกขั้นตอนอย่างระมัดระวัง และไม่มีผู้
ใดระแคะระคายเลยแม้แต่คนเดียว
ไม่นานก็มาถึงป่านอกเมือง
“นายน้อย ที่นี่แหละ...”
หัวหน้าชี้นิ้วไป
“เยี่ยม!”
รู้ว่าเจ้าคนปากกล้าที่ทำให้เขาอับอายขายหน้าอยู่
ข้างใน คุณชายจี้โม่เดินเข้าไปและตัวสั่นด้วยความตื่น
เต้น
“ไอ้หมอนั่นอยู่ที่ไหน?”
จี้โม่มองไปรอบๆตัวขณะที่เดินลึกเข้าไปในป่า แต่ก็
ไม่มีอะไรเลย เขากำลังงงเมื่อจู่ๆทุกอย่างตรงหน้าก็มืดดำ
ไปหมด กระสอบป่านใบหนึ่งถูกนำมาคลุมหัวของเขา
“พวกแกทำอะไร...”
ด้วยความตะลึง จี้โม่พยายามดิ้นรน แต่แล้วก็รู้สึก
ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสบนใบหน้า ทั้งหมัด ทั้งหนัง
ยาง ทั้งลูกหินพุ่งเข้าใส่เขาราวกับห่าฝน
ตุ้บ! ปึ้ก!
เสียงหมัดและลูกเตะที่กระทบร่างเขาดังกึกก้องไป
ทั่ว จี้โม่ยังไม่ทันได้ตอบโต้ ก็ร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น
กระดูกหักเป็นท่อนๆเกือบทั้งตัว
ฮืออออ!
จี้ โ ม่ ส่ ง เสี ย งครางผ่ า นริ ม ฝี ป ากที่ บ วมเป่ ง จนดู
เหมื อ นไส้ ก รอก จนถึ ง ตอนนี้ เขาก็ ยั ง ไม่ เ ข้ า ใจ
สถานการณ์
เขามาที่นี่เพื่อมาดูจางเซวียนอับอายขายหน้าไม่ใช่
หรือ? แล้วมันเรื่องอะไรถึงถูกซ้อมเสียเอง?
มันดูยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าพายุหมัดศอก
และเข่าที่พุ่งเข้าใส่ร่างของเขาจะหยุดลง กระสอบป่าน
ถูกฉีกออกพร้อมๆกับเสื้อผ้าของเขาที่หลุดไปจากตัว
จากนั้ น ก็ รู้ สึ ก เจ็ บ มื อ เมื่ อ รู้ ตั ว อี ก ที ก็ ถู ก แขวน
ต่องแต่งอยู่บนต้นไม้ สายลมอันเยือกเย็นยามดึกโชย
ปะทะร่างเปลือยเปล่าของเขา
“นี่พวกแกทำอะไร?”
จี้โม่เพิ่งจะเห็นใบหน้าของกลุ่มคนที่ยำเขาเสียเละ
พวกนั้นก็คือบริวารทั้งห้าคนที่เขาส่งไปจัดการกับ
จางเซวียนนั่นเอง
“คุณชาย พวกเราก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ทำไม
คุณถึงต้องหาเรื่องคนที่คุณไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แถม
ยังดึงพวกเราเข้าไปลำบากด้วย...”
ขณะที่หัวหน้าพูด เขาก็ถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป
ในผลึกบันทึกและบันทึกเหตุการณ์ตรงหน้าไว้
“แก...ฟุ่บ!”
เมื่อรู้ว่าร่างเปลือยล่อนจ้อนของตัวเองถูกบันทึกไว้
แล้ว คุณชายจี้โม่ทั้งเดือดดาลและอับอาย เขากระอัก
เลือดออกมา
นี่มันบ้าอะไรกัน...
ไอ้พวกนี้มันบริวารของเราไม่ใช่หรือ มันทรยศเรา
แล้วไปตามตูดไอ้หมอนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่?
กว่าเราจะคิดแผนนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย แผนการที่จะ
ทำให้อีกฝ่ายไม่มีทางเลือกนอกจากทนทุกข์ทรมานอย่าง
เงียบๆ ไม่นึกเลยว่า...มันจะย้อนกลับมาหาเราเอง!
น่ า สมเพชเหลื อ เกิ น ที่ เ ขาเพิ่ ง จะชื่ น ชมในความ
จงรักภักดีของบริวาร...พวกมันก็จงรักภักดีจริงๆแต่ไม่ใช่
กับเขา...
“ที่ผ่านมา ฉันนึกว่าเขาคงจะทั้งใหญ่ทั้งผงาด ถึง
ได้ดึงดูดความสนใจสาวๆได้มากมายขนาดนั้น ไม่นึกเลย
ว่าจะเล็กนิดเดียว!”
“นายพูดถูก เล็กจริงๆด้วย เป็นครั้งแรกนะที่ฉันได้
เห็นของใครเล็กขนาดนี้...!”
“ฉันก็เหมือนกัน น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ!”
ขณะที่ความเดือดดาลกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเขาก็ได้
ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มคนที่อยู่ข้างล่าง
ไอ้สารเลว! แกต่างหากที่เล็ก บ้านแกก็คงเล็กกันทั้ง
บ้าน...
ความเดือดดาลพลุ่งพล่านขึ้นมาจนคุณชายจี้โม่ทน
ไม่ไหวอีกต่อไป เขากระอักเลือดสดๆออกมาอีกครั้ง และ
จากนั้นก็เป็นลม
....
มันเป็นค่ำคืนที่สงบเงียบ
เมื่อจางเซวียนตื่นขึ้นมา ความเหนื่อยล้าจากการ
เดินทางก็หายวับไปสิ้น เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากห้อง
ก็พอดีเห็นหลิวหลิงกับคนอื่นๆยืนอยู่หน้าประตู และมอง
เขาอย่างพรึงเพริดราวกับเห็นสัตว์ประหลาด
“คุณ...แค่ชี้แนะให้เด็กพวกนั้นสองสามจุด พวกเขา
ก็ฝ่าด่านวรยุทธได้หรือ?”
ปรมาจารย์หลิวชี้ไปที่จ้าวหย่า เจิ้งหยาง และคน
อื่นๆ เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ตอนที่เขาตื่นเช้ามาและเห็นระดับวรยุทธของเด็ก
กลุ่มนั้น ก็ถึงกับตะลึงจนอ้าปากค้าง
ทุกคนฝ่าด่านวรยุทธได้หมดแล้ว เพราะคำชี้แนะไม่
กี่คำ...
มันจะง่ายไปไหม?
ที่ผ่านมา ปรมาจารย์หลิวคิดว่า แม้ศิษย์พี่ของเขา
คนนี้จะมีวิธีการชี้แนะลูกศิษย์ที่เป็นเอกลักษณ์และน่า
ประทับใจ แต่ถึงอย่างไรก็ย่อมด้อยกว่าเขา และโดย
เฉพาะที่ศิษย์พี่ยังไม่ได้เป็นปรมาจารย์ด้วย แต่เมื่อเห็น
เหตุการณ์นี้ถึงได้เข้าใจว่า...
ระหว่างทั้งคู่ก็มีช่องว่างจริงๆ แต่อีกฝ่ายเหนือกว่า
เขามาก...
“ใช่แล้ว!” จางเซวียนพยักหน้า “ก็ไม่ได้มีอะไรมาก
นี่ ไปสภาปรมาจารย์กัน!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทั้งกลุ่มก็เร่งฝีเท้า
การฝ่าด่านวรยุทธไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ?
เห็นเขาทำได้ง่ายๆแบบนั้น ปรมาจารย์หลิวกับคน
อื่นๆรู้สึกเหมือนมีลูกศรนับพันดอกทิ่มแทงหัวใจ
เพื่อจะช่วยเหลือลูกศิษย์ให้ฝ่าด่านวรยุทธได้ พวก
เขาต้ อ งฝ่ า ฟั น ร้ อ ยพั น ปั ญ หาและขุ ด คุ้ ย ความรู้ ทุ ก
กระเบียดนิ้วที่มีอยู่เพื่อเอามาใช้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่
อาจแน่ใจได้ว่าลูกศิษย์จะทำสำเร็จ แต่จางเซวียนทำได้
ง่ า ยๆเหมื อ นกั บ กิ น ข้ า วดื่ ม น้ ำ ... มนุ ษ ย์ ช่ า งเกิ ด มามี
วาสนาไม่เท่ากันจริงๆ...
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว พวกเขาก็ว่าจ้างเกี้ยว 2
คันและมุ่งหน้าไปยังสภาปรมาจารย์
2 ชั่ ว โมงต่ อ มา ตึ ก โอ่ อ่ า หรู ห ราหลั ง หนึ่ ง ก็ ตั้ ง
ตระหง่านอยู่ตรงหน้า เหนือทางเข้ามี 2 คำที่แสดงถึง
อำนาจสูงสุด!
สภาปรมาจารย์!
แม้ ว่ า สภาปรมาจารย์ จ ะถื อ เป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของ
สมาคมอาจารย์ แต่ ที่ นี่ มี อ ำนาจและอิ ท ธิ พ ลสู ง กว่ า
สมาคมอาจารย์ ม าก ผู้ ที่ เ ข้ า เป็ น สมาชิ ก ของสภา
ปรมาจารย์ได้จะได้รับสถานภาพสูงส่งในสังคม
เมื่ อ หยิ บ ตราสั ญ ลั ก ษณ์ ขึ้ น มาติ ด ที่ ห น้ า อกแล้ ว
ปรมาจารย์หลิวก็นำทั้งกลุ่มเข้าไป
ห้องโถงนั้นโอ่อ่าและสง่างาม
“จางเซวียน คุณก็มาที่นี่!”
ด้วยอาการเมาคน จางเซวียนกำลังจะถามทางไป
ห้องสอบเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น พอหันไปก็เห็นสุภาพ
สตรีคนหนึ่งซึ่งมีผู้อาวุโสขนาบข้าง
“นั่นคุณหรือ?”
สุภาพสตรีคนนั้นคือผู้ช่วยปรมาจารย์ที่จางเซวียน
ได้พบหลังจากมาถึงอาณาจักรเทียนหวู่...หลิงเซียวเซียว!
“ใช่สิ คุณก็มาเข้าฟังปุจฉา-วิสัชนาขององค์หญิงโม่
หยู่ เ หมื อ นกั น ใช่ ไ หม? มั น กำลั ง จะเริ่ ม แล้ ว และ
ปรมาจารย์เกือบทุกคนในเมืองนี้ก็อยู่ที่นั่น ไปกันเถอะ!”
ถึงเธอจะไม่ค่อยชอบชายหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนนี้
เท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนรู้จัก หลิงเซียวเซียวจึง
เชิญเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พวกเขาอยู่ที่นั่นกันหมด? ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกัน
เลย!”
เมื่อได้ยินว่าปรมาจารย์ทุกคนอยู่ที่นั่น จางเซวียนก็
รู้ว่าการทดสอบเป็นปรมาจารย์คงจะต้องรอให้ปุจฉา-
วิสัชนาเสร็จสิ้นก่อน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่า ควรจะเข้า
ฟังปุจฉา-วิสัชนา เผื่อจะได้แนวทางที่ช่วยให้เตรียมตัวได้
ดีขึ้นเมื่อถึงคราวตัวเอง
เมื่ อ รู้ ว่ า กำลั ง จะมี ค นเข้ า รั บ การทดสอบปุ จ ฉา-
วิสัชนา ปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆก็สนใจเหมือนกัน
พวกเขาจึงตามหลิงเซียวเซียวเข้าไปในห้อง
มั น ก็ เ หมื อ นกั บ ห้ อ งเรี ย นทั่ ว ไป มี โ ต๊ ะ และเก้ า อี้
หลากหลายรูปแบบวางอยู่เต็มห้อง ฝูงชนมากกว่า 100
คนรวมตัวกันอยู่ที่นี่
แถวหน้าหนึ่งแถวถูกกันไว้สำหรับผู้อาวุโสที่เป็นคน
ใหญ่คนโตและชายวัยกลางคนอีกกลุ่มหนึ่ง
“ไม่อยากจะเชื่อว่าหมอนั่นก็อยู่ที่นี่...”
เมื่อมองไปรอบๆ จางเซวียนก็สะดุดเข้ากับร่างที่คุ้น
เคยร่างหนึ่ง
เขาคือหัวหน้าเหยาแห่งหน่วยตรวจการณ์ที่เพิ่งพบ
กันเมื่อคืน
หมอนั่นยืนอยู่มุมห้องและคงจะทำหน้าที่องครักษ์
ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่แดงก่ำและบวมเป่งนั่น จางเซวี
ยนคงนึกว่านี่คือน้องชายฝาแฝดของเขา
เมื่อมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง ก็ยังไม่เห็นโม่หยู่ เขา
จึงเดินตามทั้งกลุ่มไปเพื่อหาที่นั่ง
....
ขณะที่จางเซวียนจำหัวหน้าเหยาได้ อีกฝ่ายก็จำ
เขาได้เหมือนกัน
ในสถานการณ์ปกติ หน่วยตรวจการณ์แห่งราช
อาณาจักรจะไม่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับสภา
ปรมาจารย์ แต่ในเมื่อผู้เข้าทดสอบวันนี้คือองค์หญิงโม่ห
ยู่ เขาจึงถูกโอนมาปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
ตอนแรก เขาตั้งใจจะหาคนมาทำหน้าที่แทน อัน
เนื่องมาจากอาการบาดเจ็บ แต่เมื่อรู้ว่าองค์หญิงมาเข้า
สอบ เขาก็คิดว่าหมอนั่นต้องมาปรากฏตัวที่นี่ หากว่ามี
ความเกี่ยวข้องกับเธอจริงๆ
ถ้าหมอนั่นไม่มา หรือมาแต่องค์หญิงจำเขาไม่ได้
นั่นก็หมายความว่านายแพทย์ไป๋โกหก ซึ่งก็เห็นกันแล้ว
ว่าตัวเขาถูกตบยับเยินขนาดไหน ดังนั้นก็คงไม่มีใคร
ตำหนิเขาได้ถ้าเขาอยากจะแก้แค้น
เมื่อคิดแบบนั้น หัวหน้าเหยาจึงฝืนใจอดทนกับ
อาการบาดเจ็บและมาทำหน้าที่องครักษ์ ซึ่งหมอนั่นก็มา
จริงๆ
“อือ อยากจะเห็นกับตาเหลือเกินว่าแกสนิทกับองค์
หญิ ง จริ ง ๆหรื อ เปล่ า ...” หั ว หน้ า เหยายื น นิ่ ง และ
สังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
.....
จางเซวียนและคนอื่นๆหาที่นั่ง
“ในอาณาจักรเทียนหวู่มีปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว
ทั้งหมด 13 คน และปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวอีก 3 คน
การปุจฉา-วิสัชนาในวันนี้เป็นกระบวนการขั้ น สุ ด ท้ า ย
ของการทดสอบเป็ น ปรมาจารย์ จึ ง ไม่ จ ำเป็ น ต้ อ งมี
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวเข้าร่วม”
รู้ ว่ า คนที่ อ ยู่ ต รงหน้ า เธอไม่ รู้ เ รื่ อ งรู้ ร าวอะไรเลย
หลิงเซียวเซียวอธิบายอย่างมีน้ำใจ
จางเซวียนอัศจรรย์ใจมาก
อาณาจักรเทียนเซวียนไม่มีแม้แต่ปรมาจารย์ระดับ
1 ดาวสักคน ส่วนอาณาจักรเทียนหวู่มีปรมาจารย์ระดับ
1 ดาวถึง 13 คน และระดับ 2 ดาวอีก 3 คน แค่จำนวน
ปรมาจารย์ก็สามารถบ่งบอกความแตกต่างในอำนาจของ
แต่ละอาณาจักรได้แล้ว
สมกับเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งมีบริวาร
เป็น 13 อาณาจักรโดยรอบ
ด้วยจำนวนปรมาจารย์ที่มากมายขนาดนี้ จะเป็นไป
ได้อย่างไรที่รุ่นต่อๆไปจะไม่เก่งกาจ และอาณาจักรจะไม่
เข้มแข็งได้อย่างไร?
“ใครบ้ า งที่ เ ป็ น ปรมาจารย์ ร ะดั บ 2 ดาวใน
อาณาจักรนี้?”
เมื่อหายตะลึง จางเซวียนก็อดถามต่อไม่ได้
ได้ยินอีกฝ่ายถามคำถามพื้นๆแบบนั้น หลิงเซียว
เซียวกลอกตาอีกครั้งหนึ่ง “ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวที่ไร้
เที ย มทานที่ สุ ด ในอาณาจั ก รนี้ ก็ ต้ อ งเป็ น ท่ า นประธาน
เจียงอยู่แล้ว เล่ากันว่าเขาเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว
ขั้นสูงสุด และอีกไม่นานก็จะก้าวไประดับ 3 ดาว ส่วนอีก
สองคนคือปรมาจารย์หวังและปรมาจารย์มู่ ปรมาจารย์มู่
เพิ่งได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวเมื่อสองปีที่แล้วนี่เอง
เขาเป็นคนล่าสุดในบรรดาสามคนนี้”
“อ้อ!” จางเซวียนพยักหน้า มองไปรอบๆและถาม
ต่อ “แล้วอัจฉริยะที่คุณพูดถึงล่ะ โม่หงอีน่ะ เขามาหรือ
เปล่า?”
"มาอยู่แล้ว! แถมยังได้นั่งตำแหน่งสูงสุดในบรรดา
ปรมาจารย์ที่นี่ด้วยนะ ดูสิ เขานั่งอยู่ตรงกลางน่ะ!
หลิงเซียวเซียวชี้มือไป
“อยู่ตรงกลาง?” จางเซวียนเงยหน้ามอง
ตรงกึ่งกลางแถวหน้าที่บรรดาปรมาจารย์นั่งอยู่นั้น
มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่น่าจะอายุประมาณ 25 ปี เขาแผ่รังสี
อันกว้างใหญ่ไพศาลและล้ำลึกราวกับมหาสมุทร เกิดเป็น
ความกดดันอย่างหนักหน่วงแผ่ออกมารอบตัวเขา
จงซรือขั้นสูงสุด!
ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่ง นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นยังบ่ง
บอกพลังและอำนาจพิเศษบางอย่าง เขาดูนิ่งและมั่นใจ
ในตัวเองมาก ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่สามารถ
ก่อกวนเขาได้
“น่าทึ่งมาก!”
จางเซวียนมองปราดเดียวก็บอกได้ว่าเขาไม่อาจ
เทียบกับอัจฉริยะคนนี้ได้เลย
พวกเขาอยู่คนละชั้นกัน
ต่อให้องค์หญิงโม่หยู่ก็เทียบชั้นกับโม่หงอีคนนี้ไม่ได้
“ผมคาดว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของ
เขา อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะอยู่ที่ 6.0!”
ปรมาจารย์หลิวกำลังสนใจโม่หงอีเช่นกัน เขาส่ง
โทรจิตหาจางเซวียน
“6.0?” จางเซวียนถึงกับผงะ
ด้วยระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 3.0 ผู้นั้นก็
มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1
ดาวแล้ ว ซึ่ ง ถ้ า มี ถึ ง 6.0 ก็ ส ามารถเข้ า สอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้
การมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณสูงขนาดนั้น
ทั้งที่อายุเพียง 26 ปี ยังไม่ต้องพูดถึงวรยุทธที่ไร้เทียม
ทาน ก็เรียกได้ว่า เขาสมกับเป็นอัจฉริยะจริงๆ
“องค์หญิงโม่หยู่มาแล้ว!”
ขณะที่เขากำลังส่องโม่หงอี เสียงของหลิงเซียว
เซียวก็ดังขึ้น เมื่อหันไปมองที่ประตู ก็เห็นสาวน้อยคน
หนึ่งเดินเข้ามา
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโม่หยู่!
เธอสวมเสื้อคลุมสีแดงสดใส ผมเผ้าใบหน้าได้รับ
การตกแต่งมาอย่างไร้ที่ติ ทำให้ดูมีเสน่ห์และงดงามกว่าที่
เคย ในเวลานี้ถือว่าไม่เป็นรองจ้าวหย่าเลยทีเดียว
สมกับที่เป็นสาวงามหมายเลขหนึ่งของอาณาจักร
เทียนหวู่ แค่ย่างเท้าเข้าประตูมาก็สะกดความสนใจและ
ทุกสายตาได้
เมื่อเข้ามาข้างใน องค์หญิงโม่หยู่มองไปรอบๆ จาก
นั้นก็จับจ้องอยู่ที่ใครคนหนึ่ง และนัยน์ตาก็วาววับขึ้น
อย่างเห็นได้ชัด
ด้วยการที่เป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ สีหน้า
ท่าทางของเธอกระตุ้นความอยากรู้ของฝูงชนขึ้นมาทันที
พวกเขามองตามสายตาของเธอไป จากนั้นก็หัน
ขวับตาม คิดว่าจะได้เห็นนักรบไร้เทียมทานสักคน แต่
กลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง
เห็นเธอมองมาที่เขา จางเซวียนถึงกับใบ้กิน
ก็รู้อยู่ว่าตัวเองเป็นดาวเด่นของงาน ยังจะมามอง
ผมแบบนี้ ทำให้ผมต้องตกกระไดพลอยโจนไปด้วย นี่คุณ
จงใจทำแบบนี้ใช่ไหม…
จางเซวียนกำลังเซ็งและไม่รู้จะพูดอะไร ก็พอดี
ได้ยินเสียงร้อนรนและตื่นเต้นดังขึ้นข้างๆตัว
“องค์หญิงโม่หยู่มองฉัน! เธอจำฉันได้จริงๆ…”
หลิงเซียวเซียวตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ ถ้าไม่ใช่ใน
สถานการณ์แบบนี้ เธอคงลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นด้วย
ความดีใจไปแล้ว
“ฮะ?” จางเซวียนส่ายหน้าและมองแม่สาวช่างจ้อ
ที่อยู่ข้างเขา
ซึ่งการกระทำของเธอก็ช่วยให้จางเซวียนหลีกเลี่ยง
สถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนนั้นได้โดยบังเอิญ
“ปุจฉา-วิสัชนาเริ่มแล้ว!”
เมื่อผู้เข้าสอบมาถึง โม่หงอีก็ประกาศ และจากนั้น
การทดสอบเป็นปรมาจารย์รอบสุดท้าย ปุจฉา-วิสัชนาก็
เริ่มต้น
ปุจฉา-วิสัชนาก็เหมือนกับวิวาทะยาของบรรดานัก
ปรุงยา ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวทุกคนที่เข้าร่วมจะตั้ง
คำถามเกี่ยวกับวรยุทธ และขอบเขตของคำถามเหล่านั้น
จะถูกจำกัดอยู่ที่วรยุทธต่ำกว่าขั้นจงซรือลงไป
“เมื่อพลังปราณมาคั่งอยู่ที่จุดชีพจรจุดสุดท้าย ส่ง
ผลให้บุคคลผู้นั้นไม่สามารถสำเร็จวรยุทธขั้นทงฉวนได้
จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?” ปรมาจารย์คนหนึ่งถาม
“มีทางแก้อยู่ 2 วิธี วิธีแรกคือรวบรวมพลังปราณ
ไปยังจุดชีพจรจุดนั้นให้มากพอ เพื่อกระตุ้นจุดที่ถูกปิดกั้น
ไว้ ส่วนวิธีที่ 2 คือใช้ยา ยาเม็ดสมานจุดชีพจร ซึ่งเป็นยา
เกรด 1 สามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่จะใช้ไม่ได้ผลในกรณีที่
ผู้นั้นเผชิญกับปัญหาเรื้อรังมานาน ซึ่งถ้าเป็นกรณีนั้น จะ
ต้องกินยาเม็ดฝ่าด่านชีพจรซึ่งเป็นยาเกรด 2 แทน…”
องค์หญิงโม่หยู่ตอบคำถามอย่างสุขุม เห็นได้ชัดว่า
คำถามระดับนี้ไม่สามารถทำให้เธอสะดุดได้
หลังจากฟังไปครู่หนึ่ง จางเซวียนก็หน้าเหวอ
ถึงเขาจะสามารถปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ ทั้งยัง
ช่วยให้ผู้คนมากมายฝ่าด่านวรยุทธได้ แต่เขาก็พึ่งพาพลัง
ปราณเทียบฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่
ไม่มีคำถามไหนเลยที่เขาตอบได้!
“ดูเหมือนเราจะต้องอ่านหนังสือเสียก่อนที่จะเข้า
สอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว ไม่อย่างนั้นต้องสอบ
ปุจฉา-วิสัชนาตกแน่…”
จางเซวียนส่ายหน้า
อีกอย่าง ถ้าเกิดปรมาจารย์พวกนั้นถามเขาเรื่อง
การฝ่าด่านวรยุทธในสถานการณ์ต่างๆ เขาคงไม่อาจ
ตอบไปง่ายๆว่าใช้ ‘เข็มเงินและพลังปราณ’!
ขืนตอบแบบนั้น คงถูกเฉดหัวออกมาแน่
เมื่อฟังอีกอีกครู่หนึ่ง และแน่ใจแล้วว่าไม่เข้าใจที่อีก
ฝ่ายพูดสักคำเดียว จางเซวียนจึงอดถามแม่สาวที่นั่งอยู่
ข้างเขาไม่ได้ “การทดสอบเพื่อเป็นปรมาจารย์มีกี่ขั้น?”
ถึงความตั้งใจของเขาในการมาที่นี่ก็คือเข้าทดสอบ
เป็นปรมาจารย์ แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าการทดสอบนั้นทำกัน
อย่างไร
“นี่คุณยังไม่รู้หรือ?”
หลิงเซียวเซียวแทบเสียสติ
เธอชักจะสงสัยว่าหมอนี่ใช้เงินซื้อตราสัญลักษณ์ผู้
ช่วยปรมาจารย์มาหรือเปล่า
เรื่องพวกนี้…เป็นความรู้พื้นฐานทั้งนั้น!
ถ้าเรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปสอบเป็นปรมาจารย์
ได้อย่างไร!
จางเซวียนพยักหน้า
“ใช่!”
หลิงเซียวเซียวไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่อธิบาย
อย่ า งจนปั ญ ญา “การทดสอบเป็ น ปรมาจารย์ นั้ น
ประกอบด้วยการทดสอบ 5 ขั้น!”
“5 ขั้น!”
“ใช่แล้ว การทดสอบขั้นแรกคือบ้านวัดใจ สิ่งที่นำ
มาประเมินคือระดับความเชื่อใจที่ลูกศิษย์ของผู้เข้าสอบมี
ให้เขา ซึ่งระดับความเชื่อใจที่จัดว่าผ่านก็จะต้องเกิน 50
ถ้าผู้เข้าสอบไม่มีลูกศิษย์ หรือไม่มีลูกศิษย์คนไหนที่มี
ความเชื่อใจในตัวเขาถึงระดับนั้น ก็จะสอบตก”
“การทดสอบขั้นที่ 2 คือห้องไขวิชาชีพ เพื่อจะเป็น
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว ผู้เข้าสอบจะต้องมีอาชีพรองรับ
และเข้าถึงระดับที่ได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของ
สภาหรือสมาคมนั้น”
“การทดสอบขั้นที่ 3 คือศึกหุ่นจำลอง ระหว่างการ
ทดสอบจะมีการนำหุ่นจำลอง 2 ตัวมาต่อสู้กัน หุ่นเหล่านี้
จัดทำขึ้นด้วยวิธีการพิเศษ การเคลื่อนไหวและเทคนิควร
ยุทธที่พวกมันใช้จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่พวกมันมี
พลังพอๆกัน และไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้ใคร ผู้เข้าสอบจะ
ต้องให้คำชี้แนะจนกว่าตัวหนึ่งในนั้นจะได้รับชัยชนะ”
“การทดสอบขั้นที่ 4 คือมหานทีแห่งวรยุทธ มีวร
ยุทธและเคล็ดวิชามากมายอยู่ในมหานที ผู้เข้าสอบจะได้
รับหนังสือที่มาจากการสุ่มเลือก 1 เล่ม จากนั้นก็ต้อง
จัดการสอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนั้นขึ้นใน
ทันที ระหว่างการสอนจะมีปรมาจารย์หลายคนเป็นผู้
ตัดสิน รวมทั้งระฆังปราชญ์โบราณ!”
“ระฆังปราชญ์โบราณ?”
“ใช่ ระฆังปราชญ์โบราณคือขุมสมบัติด้านเทคนิ
ควรยุทธ สิ่งที่สลักไว้ภายในระฆังปราชญ์โบราณก็คือ
ความเข้าใจในเทคนิควรยุทธของนักปราชญ์รุ่นก่อนๆ ถ้า
เนื้อหาการสอนของผู้เข้าสอบคนไหนไม่เป็นที่พอใจของ
ระฆังปราชญ์โบราณ เสียงระฆังก็จะไม่ดัง และเขาก็จะ
สอบตก!”
จางเซวียนผงะ
นึกไม่ถึงว่าจะมีของเหลือเชื่อพรรค์นี้อยู่ในโลก
"หลังจากการทดสอบทั้ง 4 ขั้นแล้ว ก็มาถึง ห้อง
จับผิด! สำหรับห้องจับผิด จะมีหุ่นจำลองตัวหนึ่งมา
แสดงเทคนิควรยุทธ เทคนิคการต่อสู้ หรือแม้แต่ทักษะใน
วิ ช าชี พ ที่ คุ ณ เลื อ ก ท่ ว งท่ า และการเคลื่ อ นไหวที่ มั น
แสดงออกมาจะมี ข้ อ ผิ ด พลาดอยู่ ใ นนั้ น แต่ มั น จะถู ก
บดบังหรือปลอมแปลงไว้แบบเนียนๆ จนแทบจะหาข้อ
ผิดพลาดไม่เจอ ผู้เข้าสอบจะต้องระบุข้อผิดพลาดให้ได้ 1
ข้อ ภายในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป ถึงจะสอบผ่าน ไม่อย่าง
นั้นก็ถือว่าตก!
หลิ ง เซี ย วเซี ย วดู จ ะคุ้ น เคยกั บ การทดสอบหลาก
หลายรูปแบบที่ประกอบกันเป็นการทดสอบปรมาจารย์
เธอสามารถอธิบายได้อย่างละเอียด
บ้านวัดใจ, ห้องไขวิชาชีพ, ศึกหุ่นจำลอง, มหานที
แห่งวรยุทธ และห้องจับผิด…
การทดสอบ 5 ขั้น ซึ่งแต่ละขั้นก็ยากขึ้นเรื่อยๆ
“เดี๋ยว แล้วปุจฉา-วิสัชนาล่ะ?”
จางเซวียนงง
ก็ปุจฉา-วิสัชนาเป็นขั้นสุดท้ายของการทดสอบเป็น
ปรมาจารย์ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมหลิงเซียวเซียวไม่พูด
ถึง?
“แม้ ปุ จ ฉา-วิ สั ช นาจะเป็ น ขั้ น สุ ด ท้ า ยของการ
ทดสอบเป็นปรมาจารย์ แต่มันง่ายที่สุด ถ้าผู้เข้าสอบผ่าน
5 ขั้นแรกมาแล้ว ขั้นสุดท้ายก็ไม่ใช่ปัญหา พูดง่ายๆก็คือ
มีโอกาสผ่าน 100% ดังนั้น ถ้าผ่านการทดสอบ 5 ขั้น
แรกแล้ ว ถึ ง อย่ า งไรก็ ถื อ ว่ า ผ่ า นการทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ และมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกตัวเองว่า
ปรมาจารย์ ไ ด้ ปุ จ ฉา-วิ สั ช นาเป็ น แค่ ก ารแนะนำ
ปรมาจารย์คนใหม่ให้คนอื่นๆรู้จักเท่านั้น”
หลิงเซียวเซียวอธิบาย
จางเซวียนพยักหน้า แต่ขณะเดียวกันก็แสนจะ
เพลียใจ
กลับกลายเป็นว่าปุจฉา-วิสัชนาเป็นขั้นตอนที่ง่าย
ที่สุดในการทดสอบทั้งหมด...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราไม่
เข้าใจที่พวกเขาพูดกันสักอย่าง!
เท่าที่ดูแล้ว การทดสอบเป็นปรมาจารย์คงไม่ง่าย
อย่างที่คิด
ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน ปุจฉา-วิสัชนาบนเวทีก็ใกล้
เสร็จสิ้น
“ยินดีด้วย ปรมาจารย์โม่หยู่!”
“นี่ คื อ ตราสั ญ ลั ก ษณ์ ข องคุ ณ นั บ จากนี้ คุ ณ คื อ
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว!”
……
บรรดาปรมาจารย์ที่นั่งอยู่แถวหน้าต่างเข้ามาแสดง
ความยินดี
เมื่อได้รับตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์และเสื้อคลุมที่
สั่งตัดเป็นพิเศษสำหรับปรมาจารย์แล้ว องค์หญิงโม่หยู่ก็
ตื่นเต้นมาก
ดูเหมือนความแตกต่างระหว่างผู้ช่วยปรมาจารย์กับ
ปรมาจารย์ตัวจริงจะมีไม่มากนัก แต่อันที่จริง สถานภาพ
ของทั้งสองตำแหน่งนั้นต่างกันคนละโลก
เมื่อใครสักคนได้เป็นปรมาจารย์ตัวจริงแล้วเท่านั้น
ถึงจะถือว่ามีตำแหน่งสุดยอดในวงสังคม
“ผมยังมีบางอย่างที่ต้องทำ คงต้องขอตัวก่อน!”
หลังจากมอบตราสัญลักษณ์และเสื้อคลุมให้โม่หยู่
แล้ว โม่หงอีก็พยักหน้า และหันหลังกลับเพื่อออกไปทันที
รู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร โม่หยู่ดูไม่เดือดร้อน
หลังจากคุยสัพเพเหระกับฝูงชนอีกสองสามคำ ในที่
สุดโม่หยู่ก็มีเวลาของตัวเอง เธอเดินตรงมาหาจางเซวียน
เมื่อเห็นโม่หยู่เดินตรงเข้ามา หลิงเซียวเซียวก็หน้า
แดงก่ำและลุกลี้ลุกลน ซึ่งอันที่จริงก็แทบจะหาคำมา
บรรยายอาการของเธอในตอนนั้นไม่ได้
“ไอดอลของฉันมาแล้ว เธอจำฉันได้จริงๆใช่ไหมนี่?
เร็วๆเข้า ช่วยดูให้หน่อย ผมฉันยุ่งหรือเปล่า!”
“เอ่อ…ไม่ยุ่งหรอก!” จางเซวียนส่ายหน้า
“ดีแล้ว…”
หบลิงเซียวเซียวยืนขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“ผู้ช่วยหลิงเซียวเซียวคารวะอาจารย์โม่!”
“อือ!” โม่หยู่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เมินไป
เธอหันไปหาจางเซวียนแทน
เห็ น องค์ ห ญิ ง ที่ เ พิ่ ง จะผ่ า นการทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว พุ่งตรงไปหาชายหนุ่มแปลก
หน้าคนนั้น ฝูงชนโดยรอบก็พากันเงียบกริบ
หลิงเซียวเซียวก็ถึงกับเซ่อไป และแทบจะทรุด
นึกว่าไอดอลของเธอจะเข้ามาหา ไม่เคยคิดเลยว่า
องค์หญิงโม่หยู่จะแค่พยักหน้า และหันไปหาคนที่ยืนข้าง
เธอทันที
หมอนี่ก็เป็นแค่ผู้ช่วยโง่ๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยไม่ใช่
หรือ?
เจาะจงเข้ามาหาเขา…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“หรือว่า…ที่นายแพทย์ไป๋ชานพูดจะเป็นเรื่องจริง?”
อีกฟากหนึ่ง หัวหน้าเหยาที่จับจ้องจางเซวียนมา
ตลอด เมื่อได้เห็นองค์หญิงโม่หยู่พุ่งเข้าไปหาเขาแบบนั้น
ก็ถึงกับหายใจถี่
ที่นายแพทย์ไป๋ชานพูดต้องเป็นเรื่องจริงแน่ ไม่
สงสัยเลย ไม่อย่างนั้นองค์หญิงคงไม่ไปหาหมอนั่น
โชคดีเหลือเกิน ที่เขาฟังนายแพทย์ไป๋และถอยออก
มา ไม่อย่างนั้นคงได้ตายไม่รู้ตัว…
“แต่ว่า ปกติองค์หญิงถือเนื้อถือตัวและไม่ยุ่งเกี่ยว
กับผู้ชายคนไหน ถ้าผู้ชายคนนี้มีความสนิทชิดเชื้อกับเธอ
จริงๆ ไม่ช้าผู้คนก็คงรู้กันทั่ว…”
หัวหน้าเหยาคิด กำลังนึกภาพว่าบรรดาแฟนคลับ
ของเธอจะงงงันแค่ไหนเมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ก็
พอดี เ ห็ น องค์ ห ญิ ง โม่ ห ยู่ ป ระสานมื อ และแสดง
อากัปกิริยาแบบที่ลูกศิษย์จะทำเมื่อพบกับอาจารย์
“ศิษย์โม่หยู่คารวะอาจารย์จาง!”
ตอนที่ 303 การทดสอบเป็นปรมาจารย์ เริ่มได้!

ศิษย์โม่หยู่?
คารวะอาจารย์จาง?
ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกคนตาโตด้วยความช็อก
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
องค์ ห ญิ ง โม่ ห ยู่ เ ป็ น อั จ ฉริ ย ะอั น ดั บ 2 ของ
อาณาจักร ได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวตั้งแต่อายุยัง
น้อย…แต่กลับแสดงความเคารพใครสักคนที่ดูจะอ่อนวัย
กว่าเธอเสียอีกว่าอาจารย์จาง…
เขาโผล่มาจากไหน?
มีสิทธิ์อะไรถึงทำให้องค์หญิงแสดงอากัปกิริยาแบบ
นั้น?
โว้ยยย!
หัวหน้าเหยาเข่าอ่อนและแทบทรุดลงกับพื้น
สววรค์!
เขานึกว่าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับองค์
หญิง ไม่นึกเลยว่าองค์หญิงเป็นแค่ลูกศิษย์ของหมอนั่น…
ก็แล้วจะเยอะไปไหน!
โชคดี เ หลื อ หลายที่ เ มื่ อ วานเขาไม่ ไ ด้ หุ น หั น พลั น
แล่นไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้น ต่อให้เขาถูกฆ่าตาย ก็คงไม่มี
ใครลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรให้
อีกด้านหนึ่ง หลิงเซียวเซียวก็หน้าตึง
เธอคิดว่าไอดอลของเธอเข้ามาเพื่อจะพูดคุยกับเธอ
ไม่นึกเลยว่าจะเข้ามาทักทายผู้ชายงี่เง่าคนนี้
พี่ชาย ก็คุณยังไม่รู้เลยว่าสภาปรมาจารย์อยู่ที่ไหน?
ไม่รู้ด้วยว่าการทดสอบเป็นปรมาจารย์เขาทำกันอย่างไร?
แถมยังไม่รู้จักโม่หงอีด้วย?
ผู้ ช่ ว ยต๊ อ กต๋ อ ยแถมยั ง เซ่ อ ซ่ า คนหนึ่ ง แต่ ท ำให้
อัจฉริยะอันดับ 2 ของอาณาจักรผู้ได้เป็นปรมาจารย์มา
หมาดๆ, องค์หญิงโม่หยู่ น้อมคำนับและเรียกเขาด้วย
ความเคารพว่าอาจารย์…
นี่มันหักมุมแบบไหนกัน?
ผู้เชี่ยวชาญที่นั่งอยู่ข้างเธอก็ตาเบิกโพลงจนแทบจะ
ปะทุออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจเหมือนกัน
ตอนแรกเขาดูเหมือนไม่พอใจที่เห็นองค์หญิงมาเสีย
เวลากับผู้ชายคนนี้ แต่แล้วก็ได้รู้ว่า แท้ที่จริงผู้ชายหน้า
ตาบ้านๆคนนี้คืออัจฉริยะ!
องค์หญิงถึงกับเรียกเขาว่าอาจารย์…แค่ความจริง
ข้อนี้ข้อเดียว เขาก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับบรรดาสมาชิก
ของตระกูลอันทรงเกียรติในเมืองหลวงแล้ว
ไม่ใช่แค่คนเหล่านั้น จ้าวหย่ากับพรรคพวกก็งงงัน
นายแพทย์ไป๋ชานผู้แสนจองหองคนนั้นถูกตบเสีย
เละ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้สักแอะ ส่วนองค์หญิงผู้เป็น
อัจฉริยะก็น้อมคำนับด้วยความเคารพและเรียกเขาว่า
อาจารย์…
ก็อาจารย์จางบอกว่า...เพิ่งมาถึงอาณาจักรเทียนหวู่
ตอนบ่ายเมื่อวานไม่ใช่หรือ?
เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน แต่ก็สร้างความสะเทือนเลื่อน
ลั่นเสียขนาดนั้น ได้รับทั้งความเคารพ ความหวาดกลัว
ความยำเกรง…
ขืนอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย ประธานสภาปรมาจารย์
มิต้องมาทักทายเขาเป็นการส่วนตัวหรือ?
“อือ!”
จางเซวียนพยักหน้ารับ ไม่แยแสอาการช็อกของ
ใครต่อใคร
เขาก็คู่ควรที่จะได้รับการคำนับของอีกฝ่ายจริงๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะคำชี้แนะเมื่อตอนที่อยู่เมืองบัวแดง ก็
ไม่มีทางที่โม่หยู่จะผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 2
ดาวได้เลย
“อาจารย์จาง…”
องค์หญิงโม่หยู่ตั้งใจจะถามถึงเรื่องราวที่ห้องโถง
แห่งยาพิษ แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจไม่ถาม
เพราะมีผู้คนอยู่ตรงนี้มากมาย
ตอนที่เธอออกจากเมืองบัวแดงเพื่อกลับมาอาณา
จักรเทียนหวู่ จางเซวียนกับเซียนสมุนไพรก็ออกเดินทาง
ไปห้องโถงแห่งยาพิษแล้ว
การปลอมตั ว เป็ น ผู้ แ ทนจากห้ อ งโถงแห่ ง ยาพิ ษ
สำนักงานใหญ่ เพื่อเข้าไปที่ห้องโถงแห่งยาพิษสาขา
สันเขาบัวแดงนั้นอันตรายมาก เธอเป็นห่วงเขามาตลอด
ตอนแรก เธอคิดว่าถึงจางเซวียนจะกลับออกมาอย่าง
ปลอดภัย ก็คงยากที่ทั้งคู่จะได้พบกันอีก ไม่นึกเลยว่าหลัง
จากนั้นแค่สองสามวันก็ได้พบกันแล้ว
นี่ คื อ เหตุ ผ ลที่ ท ำให้ โ ม่ ห ยู่ จั บ จ้ อ งเขาอย่ า งลื ม ตั ว
เมื่อปุจฉา-วิสัชนาสิ้นสุดลง เธอจึงอดใจไว้ไม่ได้ ต้องตรง
เข้ามาทักทาย
ในฐานะอัจฉริยะ อันดับ 2 แห่งอาณาจักรเทียนหวู่
เธอมีความหยิ่งผยองในตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากได้
ใช้เวลาหลายวันกับชายหนุ่มคนนี้ ก็รู้แล้วว่าความปราด
เปรื่องเพียงเล็กน้อยที่เธอมีอยู่นั้นเทียบกับเขาไม่ได้เลย
“โม่หยู่ คุณจะไม่แนะนำเขาให้ผมรู้จักหน่อยหรือ?”
โม่หยู่กำลังจะพูดต่อเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้น
ชายร่างสูงที่มีกล้ามเป็นมัดๆก็เดินเข้ามา
เขามีอายุประมาณ 30 ปี สวมเสื้อคลุมยาวและติด
ตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวไว้บนหน้าอก ดู
จากรังสีและพละกำลังอันเข้มข้นที่เขาแผ่ออกมา เขาเป็น
นักรบขั้น 8-จงซรือ!
การได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวและนักรบขั้น
จงซรือตั้งแต่อายุสามสิบ ถึงความปราดเปรื่องของเขาจะ
ไม่เท่าโม่หงอีและโม่หยู่ แต่ก็จัดว่าไม่ห่างกันนัก
เมื่อเห็นชายผู้นั้น นัยน์ตาของโม่หยู่ฉายแววไม่
พอใจออกมา แต่เธอก็พยักหน้า “เหตุผลที่ฉันสามารถ
หลอมยาเกรด 2 และผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงยา
ระดับ 2 ดาวทั้งๆที่ระดับวรยุทธของฉันยังไม่ถึงขั้นจงซ
รือ ก็เพราะคำชี้แนะของอาจารย์จาง เขาถือเป็นกึ่ง
อาจารย์ของฉัน!”
นักปรุงยาเป็นอาชีพแถวหน้าของเก้าสถานะระดับ
บน และโดยทั่วไป ผู้ที่จะเข้าสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 2
ดาวจะต้องสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือเสียก่อน
เพราะผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือแล้วเท่านั้นถึงจะ
สามารถควบคุมความร้อนของหม้อต้มยา คุณสมบัติของ
สมุนไพร พลังงานหลากหลายรูปแบบที่ปะทะกันภายใน
หม้อ…ซึ่งเป็นองค์ประกอบในการหลอมยาเกรด 2 ได้
ด้วยคำชี้แนะของจางเซวียน โม่หยู่สามารถหลอม
ยาเกรด 2 ได้สำเร็จตั้งแต่ตอนที่อยู่ในดงอสูร และเมื่อได้
ร่ำเรียนกับจางเซวียนอย่างจริงจังเป็นเวลาหลายวันที่
เมืองบัวแดง ความสามารถในการหลอมยาของเธอก็
พัฒนาขึ้น
เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง ด้วยการสนับสนุนจาก
เชื้อพระวงศ์ วรยุทธของเธอก็พัฒนาขึ้นอีก แม้จะยังห่าง
ไกลจากการสำเร็จขั้น 8-จงซรือ แต่โม่หยู่ก็ได้สำเร็จวร
ยุทธทงฉวนขั้นสูงสุด
โดยทั่วไป ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าสอบเป็นนัก
ปรุงยาระดับ 2 ดาวหากยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ
แต่ในเมื่อเธอสามารถหลอมยาเกรด 2 ได้ จึงได้รับการ
ยกเว้นให้ได้เข้าสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาว เรื่องนี้
จึงเป็นที่โจษขาน
“กึ่งอาจารย์?”
“ปรมาจารย์โม่ผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงยาระดับ
2 ดาวด้วยอายุเพียงเท่านี้ ทักษะการหลอมยาของชาย
หนุ่มคนนั้นจะต้องน่าทึ่งมาก!”
ฝูงชนออกความเห็นกันเซ็งแซ่ และต่างก็จับจ้อง
จางเซวียนด้วยอาการทึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่า
ทำไมโม่หยู่ถึงยกย่องชายหนุ่มคนนี้เสียขนาดนั้น
ถ้าเธอผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาว
เพราะคำชี้แนะของเขา ก็หมายความว่าทักษะการหลอม
ยาของเขาย่อมสูงส่งกว่าเธอ ใช่หรือไม่?
เหนือกว่า 2 ดาว? หรือว่าเขาจะเป็นนักปรุงยา
ระดับ 3 ดาว?
เป็นนักปรุงยาระดับ 3 ดาวตั้งแต่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบ?
ทุกคนถึงกับถอนหายใจ
“สอนคุณหลอมยาหรือ?”
นัยน์ตาของชายกล้ามเป็นมัดคนนั้นวาววับขึ้นมา
แว่บหนึ่ง จากนั้นเขาก็หันไปยิ้มให้จางเซวียน “ถ้าอย่าง
นั้น นี่ก็คือบรมครูนักปรุงยา ขออภัยในความไม่สุภาพ
ของผมด้วย ผมชื่อเจียงเฉิน และสำนึกในบุญคุณที่คุณให้
คำชี้แนะกับองค์หญิงโม่หยู่!”
โม่หยู่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจขึ้นมาทันที เธอแหว
เสียงห้วน “คุณไม่ต้องมาขอบคุณเขาแทนฉัน!”
เจียงเฉินแค่นหัวเราะ ไม่เอาเรื่องเอาราวกับทีท่า
ของโม่หยู่ เขาสะบัดแขนเสื้อและแผ่รังสีอย่างผู้ถือไพ่
เหนือกว่าออกมาขณะที่มองหน้าจางเซวียน “นักปรุงยา
หงแห่งสมาคมนักปรุงยาเป็นเพื่อนของผม และเขาเพิ่ง
ผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 3 ดาวเมื่อเร็วๆนี้
เอง ในเมื่ออาจารย์จางก็เป็นนักปรุงยาที่ปราดเปรื่อง
เหมือนกัน ผมจึงเชื่อว่าคุณทั้งคู่น่าจะคุ้นเคยกันดี แต่
ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีอัจฉริยะอย่างคุณอยู่
ในสมาคม? เพราะผมรู้จักนักปรุงยาระดับ 2 ดาวขึ้นไป
ทุกคนที่อยู่ที่นี่...ขออนุญาตถามได้ไหมว่าอาจารย์จางอยู่
ระดับไหน?”
เมื่อได้ยินที่เขาพูด ทุกคนก็หันขวับไปทางจางเซ
วียน นัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้
“ผมเป็นแค่นักปรุงยาระดับ 1 ดาว!” จางเซวียน
ตอบ
เขาแค่เข้ารับการทดสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 1
ดาว และไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะฉริแยะอะไรทั้ง
นั้น แถมยังไม่เคยมาที่สมาคมนักปรุงยาแห่งอาณาจักร
เทียนหวู่ด้วย ดังนั้นจึงย่อมไม่รู้จักนักปรุงยาหงและชื่อ
เสียงของเขาเช่นกัน
“1 ดาว?”
“นักปรุงยาระดับ 1 ดาวชี้แนะองค์หญิงโม่หยู่ให้
หลอมยาเกรด 2 ได้? คุณล้อเล่นแล้ว!”
“ลำดับอาวุโสของวิชาชีพใน 9 สถานะระดับบนนั้น
เข้มงวดมาก นักปรุงยาระดับ 1 ดาวจะชี้แนะนักปรุงยา
ระดับ 2 ดาวได้อย่างไร…”
….
ฝูงชนพากันงงอีกรอบ
ก็เห็นกับตาแล้วว่าองค์หญิงโม่หยู่ให้ความเคารพ
ชายหนุ่มคนนี้มากแค่ไหน เธอแทบจะคุกเข่าให้อีกฝ่าย
ด้วยความชื่นชมยกย่องอย่างจริงใจอยู่แล้ว ดังนั้น พวก
เขาจึงคิดว่าชายผู้นี้คงเป็นนักปรุงยาผู้ไร้เทียมทานสักคน
แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเขาเป็นแค่นักปรุงยาระดับ 1
ดาว…มีใครเข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า?
“1 ดาว?”
เจียงเฉินก็ผงะ เขามีสีหน้าดูถูกขึ้นมาแว่บหนึ่งแต่ก็
กลบเกลื่อนมันไปอย่างรวดเร็ว “เป็นนักปรุงยาระดับ 1
ดาวได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ น้องจางคงจะต้องปราดเปรื่อง
มากจริงๆ ตราบใดที่คุณขยันหมั่นเพียรฝึกฝนต่อไป จะ
ต้องไปได้ไกลกว่านี้แน่!”
ก่อนหน้านี้เขาเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์จาง แต่ในชั่ว
พริบตาก็เปลี่ยนเป็นน้องจาง พร้อมกับหยุดพูดคุยเรื่อง
สัพเพเหระต่างๆไป
จากนั้นเขาก็เมินจางเซวียนโดยสิ้นเชิงและหันไป
ทางองค์หญิง “โม่หยู่ ผมเตรียมงานฉลองความสำเร็จ
ของคุณที่ได้เลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์เอาไว้ เราไปกัน
เถอะ!”
“ฉันไม่ไป!”
โม่หยู่โบกมือเรียวงามของเธอ
“งานนี้จัดขึ้นเพื่อคุณโดยเฉพาะนะ ดาวเด่นของ
งานจะพลาดได้อย่างไร…” เจียงเฉินรู้สึกอับอายที่ถูก
ปฏิเสธต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนั้น
“ฉันยังมีเรื่องต้องปรึกษาอาจารย์จาง พวกคุณ
ฉลองกันไปเลย ไม่ต้องมีฉันหรอก!” โม่หยู่ตอบอย่างเย็น
ชา
ดูเหมือนเธอไม่ค่อยชอบขี้หน้าอีกฝ่ายเท่าไหร่
“เอาอย่างนี้ไหม ทำไมน้องจางไม่ไปด้วยกันล่ะ?
คุณจะได้ใช้งานฉลองเป็นการชดเชยให้กับคำชี้แนะของ
เขาไง”
จากนั้นเจียงเฉินก็หันไปทางจางเซวียน “น้องจาง
ว่าอย่างไร? ดูเหมือนคุณจะเพิ่งมาถึงเมืองหลวง งานนี้มี
แขกวีไอพีมาร่วมงานมากมาย นักปรุงยาหงก็เป็นหนึ่งใน
นั้น ผมจะได้ใช้โอกาสนี้แนะนำคุณให้เขารู้จัก ในฐานะ
นักปรุงยาระดับ 1 ดาว การได้สนิทชิดเชื้อกับนักปรุงยา
ระดับสูงแบบนั้นย่อมเป็นเรื่องดี”
“ผมไม่ว่าง!” จางเซวียนส่ายหน้า
ถ้าอีกฝ่ายเชิญเขาอย่างจริงใจ เขาก็จะตรงไปร่วม
งานทันทีที่เสร็จสิ้นการเข้าทดสอบเป็นปรมาจารย์ แต่ใน
เมื่อเจียงเฉินเชิญเขาอย่างแกนๆ ด้วยท่าทีแบบนั้น ต่อให้
เป็นงานฉลองวันเกิดของฮ่องเต้ จางเซวียนก็ไม่สน
“คุณไม่ว่าง?”
การถูกโม่หยู่ปฏิเสธ เขายังทนได้ แต่การถูกนักปรุง
ยาระดับ 1 ดาวหักหน้าต่อหน้าธารกำนัล...เจียงเฉินหน้า
ตึงทันที เขาเลิกคิ้วและแผ่รังสีกดดันของนักรบขั้นจงซรือ
ออกมา “นักปรุงยามีสถานภาพสูงส่งก็จริง แต่นั่นเทียบ
ไม่ได้เลยกับปรมาจารย์ คุณควรจะทบทวนการตัดสินใจ
อี ก ที น ะ อย่ า ปล่ อ ยให้ ค วามถื อ ดี เ พี ย งชั่ ว วู บ มาสร้ า ง
ปัญหาให้ตัวเอง…เฮ้ย! ผมพูดกับคุณอยู่นะ จะไปไหน!”
เจียงเฉินคิดว่าเขาจะสามารถข่มขู่จางเซวียนให้ทำ
ตามได้ ด้ ว ยการชี้ ใ ห้ เ ห็ น ปั ญ หาที่ จ ะตามมาหากเขา
ปฏิเสธ แต่ยังพูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็หายตัวไปแล้ว เขา
แทบลมจับด้วยความโมโห
เขาเป็นถึงนักรบขั้นจงซรือและปรมาจารย์ระดับ 1
ดาว มีคนกล้าลบหลู่เขาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
จางเซวียนไม่แยแสเจ้าคนอวดดีนั่น เขาไปหยุดยืน
ตรงหน้าโม่หยู่ “พาผมไปที!”
“ได้!”
ตอนที่อยู่ในเมืองบัวแดง จางเซวียนเคยบอกโม่หยู่
ว่าเขาตั้งใจจะเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ ดังนั้น
โม่หยู่จึงเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายทันที ทั้งคู่เดินผ่านหน้า
เจียงเฉินไป
“หมอนี่…”
เห็นจางเซวียนเชิดใส่เจียงเฉินและจากไปแบบนั้น
หลิงเซียวเซียวถึงกับอ้าปากค้าง
รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? ไปเชิดใส่เขาแบบนั้น…
ขนาดฮ่องเต้ยังต้อนรับเขาอย่างแขกวีไอพี แต่คุณ
เชิดใส่…
หลิงเซียวเซียวตั้งท่าจะเข้าไปแนะนำ ก็พอดีเห็น
องค์หญิงโม่หยู่หยุดยืนตรงหน้าผู้อาวุโสคนหนึ่ง และพูด
ว่า “ปรมาจารย์อู๋ อาจารย์จางอยากเข้ารับการทดสอบ
เป็นปรมาจารย์ ฉันขอรบกวนคุณให้ช่วยเตรียมการสอบ
ให้ด้วย”
“เข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์?”
หลิงเซียวเซียวเพิ่งจะออกเดินได้ก้าวเดียวตอนที่
ได้ยินคำพูดนั้น เธอตัวสั่นและแทบจะทรุดลงกับพื้น
ก็เมื่อครู่นี้เองที่คุณบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับ
การทดสอบเป็นปรมาจารย์ แต่ตอนนี้มาบอกว่าจะสอบ
พี่ชาย นี่แน่ใจนะว่าไม่ได้ปั่นหัวฉัน?
จากการสนทนาเมื่อครู่ เธอแน่ใจว่าชายที่ชื่อจางเซ
วียนคนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปรมาจารย์เลย ยังสงสัยด้วย
ซ้ำว่าเขาใช้เงินซื้อตราสัญลักษณ์ผู้ช่วยปรมาจารย์มา
หรือเปล่า…
มาตอนนี้จะเข้าสอบ ง่ายๆแบบนี้เลย?
คุณรู้ไหมว่าการเป็นปรมาจารย์หมายถึงอะไร?
หลิงเซียวเซียวรู้สึกเหมือนจะเสียสติ
เจี ย งเฉิ น ที่ ก ำลั ง จะเข้ า มาสั่ ง สอนอี ก ฝ่ า ยก็ ห ยุ ด
ชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของโม่หยู่ เขาหรี่ตา และดูเหมือน
จะครุ่นคิดบางอย่าง
“ได้ แต่ผมต้องขอตรวจสอบคุณสมบัติของคุณ
ก่อน!”
ปรมาจารย์อู๋พยักหน้า
เขาคือผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการเตรียมการทดสอบ
เป็นปรมาจารย์ จึงรู้จักกระบวนการทุกขั้นตอนเป็นอย่าง
ดี
ก่อนจะทำการทดสอบ เขาจะต้องตรวจสอบให้
แน่ใจว่าผู้เข้าสอบได้ทำตามเงื่อนไขอย่างครบถ้วน ทั้ง
เงื่อนไขภายนอกและเงื่อนไขภายใน
เงื่อนไขภายนอกคือ : การรับรองจากปรมาจารย์
สถานภาพการเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ และอาชีพรองรับ
อย่างน้อย 1 อาชีพ
เงื่อนไขภายในคือ : การเข้าถึงสภาวะหยั่งรู้ของ
สภาวะเงียบสงบดั่งหนองน้ำนิ่ง และการสำเร็จวรยุทธขั้น
7-ทงฉวน
หลิวหลิงได้อธิบายเงื่อนไขเหล่านี้ให้จางเซวียนฟัง
แล้วตั้งแต่ตอนอยู่ที่อาณาจักรเทียนเซวียน เขาจึงไม่รู้สึก
แปลกใจอะไร ด้วยการสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง, เขาก็นำตรา
สัญลักษณ์ผู้ช่วยปรมาจารย์และตราสัญลักษณ์นักปรุงยา
ระดับ 1 ดาวออกมายื่นให้อีกฝ่าย พร้อมกับแสดงวรยุทธ
ขั้นกึ่งจงซรือออกมา
มองปราดเดียว ปรมาจารย์อู๋ก็รู้ว่าตราสัญลักษณ์
ทั้งสองเป็นของจริง จากนั้นเขานำหินหยั่งรู้ก้อนหนึ่งมา
ยื่นให้จางเซวียน
“นี่ คื อ การทดสอบระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต
วิญญาณของคุณ!”
จางเซวียนพยักหน้า เขากำหินหยั่งรู้ไว้และปรับ
สภาวะจิตทันที
…..
“ปรมาจารย์เจียง อย่าโมโหไปเลย หมอนั่นก็แค่ไอ้
บ้ า นนอกเซ่ อ ซ่ า คนหนึ่ ง ผมยั ง สงสั ย อยู่ ว่ า เขาจะมี
คุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าทดสอบหรือเปล่า!”
เห็นเจียงเฉินหน้าตึง ผู้ช่วยคนหนึ่งเดินมาปลอบ
“อีกอย่าง ต่อให้เขาได้เข้าสอบก็ไม่มีทางเทียบกับ
คุณได้ เพราะคุณคืออัจฉริยะที่มาพร้อมกับระดับความล้ำ
ลึกของจิตวิญญาณที่ 4.0!”
ผู้ที่จะเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ได้จะต้องมี
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่อย่างน้อย 3.0
บรรดาผู้ ช่ ว ยปรมาจารย์ ส่ ว นใหญ่ เมื่ อ เข้ า ถึ ง
สภาวะเงียบสงบดั่งหนองน้ำนิ่งแล้ว ก็มีระดับความล้ำลึก
ของจิตวิญญาณแค่ 1.5 เท่านั้น ต้องใช้เวลาฝึกวรยุทธ
ไม่รู้กี่ปีกว่าจะยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณขึ้นได้
ถึง 3.0
แต่เจียงเฉินมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่
4.0 ในทันทีที่เข้าถึงสภาวะเงียบสงบดั่งหนองน้ำนิ่ง
ชื่อเสียงของเขาเป็นที่ร่ำลือไปไกล
แม้จะไม่อาจเทียบกับระดับ 6.0 ของโม่หงอี และ
ระดับ 5.0 ของโม่หยู่ได้ แต่ก็อยู่ในกลุ่มของอัจฉริยะผู้
เป็นที่สุดในเมืองหลวง
“แข่งกับฉัน มันคิดว่ามันเป็นใครกัน!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าเคร่งเครียดของเจียงเฉิ
นก็บรรเทาลงมาก
ถ้ า เป็ น เรื่ อ งระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต วิ ญ ญาณ
นอกจากปีศาจ 2 ตนนั้นแล้ว เขาก็ไม่เกรงกลัวใครเลย
อีกฝ่ายเป็นแค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ถึงอาจจะ
เก่งกาจเรื่องการหลอมยา แต่ระดับความล้ำลึกของจิต
วิ ญ ญาณ…สิ่ ง นี้ เ ป็ น พื้ น ฐานของการก้ า วขึ้ น เป็ น
ปรมาจารย์ เหมือนกับที่พลังปราณเป็นรากฐานของการ
เป็นนักรบ ต่อให้ระดับจิตวิญญาณของหมอนั่นอยู่ที่ 3.0
ก็ยังห่างไกลมากมายนักกับตัวเขาที่สวรรค์ประทานให้มี
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 4.0 มาตั้งแต่ต้น
ความแตกต่างระหว่างระดับ 3.0 และ 4.0 อาจจะดู
ไม่มากมายอะไร แต่ช่องว่างนี้อาจใช้เวลาหลายทศวรรษ
ทีเดียวกว่าจะเข้าถึง
หลิงเซียวเซียวก็สนใจ เธอไม่คิดว่าเจ้าคนโง่เง่านั่น
จะมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณสูงถึงขั้นจะสอบ
เป็นปรมาจารย์ได้
อี ก อย่ า ง เคยเจอปรมาจารย์ ค นไหนบ้ า งที่ เ ข้ า
ทดสอบโดยไม่รู้เลยว่าการทดสอบเขาทำกันอย่างไร?
ปรมาจารย์ ทุ ก คนต้ อ งร่ ำ เรี ย นและเตรี ย มตั ว ล่ ว ง
หน้าสำหรับการทดสอบ ไม่มีใครกล้าทำตัวงี่เง่า แต่หมอ
นี่คิดจะทดลองโดยที่ยังไม่รู้อะไรเลย สอบ…สอบบ้าสอบ
บออะไร!
ถ้าหมอนี่สอบผ่าน คนอย่างเราที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับ
การสอบ มิสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้เลยหรือ?
เธอกำลั ง คิ ด ว่ า จะพู ด อะไรดี ถ้ า ระดั บ ความล้ ำ ลึ ก
ของจิตวิญญาณของอีกฝ่ายไม่ผ่านเกณฑ์ ก็พอดีได้ยิน
เสียงหึ่งเบาๆ
หิ น หยั่ ง รู้ ใ นมื อ ของจางเซวี ย นฉายแสง ตั ว เลข
ค่อยๆลอยขึ้นมา
ปรมาจารย์อู๋รับหินหยั่งรู้จากมือของจางเซวียนและ
ก้มลงมอง ทีท่าเฉยเมยของเขาหายวับไปทันใด ริมฝีปาก
สั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ “เอ่อ…เอ่อ…”
“เร็วเข้า ดูซิว่าเท่าไหร่!”
ทุกคนตกใจที่เห็นปรมาจารย์อู๋ที่ปกติจะสุขุมเยือก
เย็นมีกิริยาแบบนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทุกคน
หันไปสนใจหินหยั่งรู้ทันที
มองปราดเดียว พวกนั้นก็ตัวสั่น
“ไปดูซิ!” เจียงเฉินผู้เย่อหยิ่งไม่ยอมไปดูให้เห็นกับ
ตา เขาส่งผู้ช่วยไปแทน
ชายหนุ่มพยักหน้าและเดินไป แต่ตอนที่กลับมาก็ทำ
หน้าเหมือนเห็นผี
“ทำไม? ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของ
หมอนั่นเท่ากับฉัน, เจียงเฉินเลยหรือ? ได้ 4.0 เหมือนกัน
หรือไง?”
เจี ย งเฉิ น ขมวดคิ้ ว “ผมมาจากตระกู ล ของ
ปรมาจารย์ และได้รับคำชี้แนะจากปรมาจารย์มาตั้งแต่
เด็ก นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมมีระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณที่ 4.0 ทันทีที่เข้าถึงสภาวะเงียบสงบดั่งหนอง
น้ำนิ่ง เจ้าคนขี้โม้อย่างหมอนั่นจะเทียบกับผมได้อย่างไร?
มันได้เท่าไหร่?”
ผู้ช่วยหน้าแดงก่ำและตอบอย่างอึกอัก “เขาได้…
5.1!”
ฮะ?
เจียงเฉินถึงกับซวนเซและแน่นหน้าอกขึ้นมา
บ้าไปแล้ว! เขาเพิ่งประกาศประกาศไปหยกๆว่า
หมอนั่นไม่มีทางเทียบชั้นกับเขาได้ แต่ระดับความล้ำลึก
ของจิตวิญญาณของเขาคือ 5.1…เหนือกว่าองค์หญิงโม่ห
ยู่เสียอีก!
เจียงเฉินรู้สึกถึงเลือดที่เอ่อขึ้นมาในปาก
“5.1? เอ่อ…”
นัยน์ตาของหลิงเซียวเซียวก็เบิกโพลงด้วยอาการ
ช็อก พี่ชาย, คุณมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณถึง
5.1 แต่ ไ ม่ รู้ ว่ า การทดสอบเป็ น ปรมาจารย์ เ ขาทำกั น
อย่างไร? ไปมุดหัวอยู่ในร่องในรูไหนมา!
5.1, นั่นมันระดับของอัจฉริยะแถวหน้าเลยนะ!
พยายามอีกนิดเดียว ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
ของคุ ณ ก็ จ ะพุ่ ง ขึ้ น ถึ ง 6.0 และสามารถสอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้…
ถึงจะมีบรรดาอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นในอาณาจักร
เทียนหวู่มาหลายต่อหลายปี แต่ก็มีปรมาจารย์ระดับ 2
ดาวแค่หยิบมือเดียว…
คนที่เธอคิดว่าเป็นไอ้บ้านนอกเซ่อซ่ากลับกลายเป็น
อัจฉริยะ หลิงเซียวเซียวหน้าแดงก่ำและพูดอะไรไม่ออก
ไปนาน
…..
“ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 5.1, คุณนี่
เป็นอัจฉริยะในบรรดาอัจฉริยะเลยทีเดียว ไปที่สนามสอบ
เถอะ ผมจะจัดการทดสอบให้เดี๋ยวนี้!”
ด้ ว ยอาการตื่ น เต้ น มากมาย ปรมาจารย์ อู๋
กระวีกระวาดออกจากห้อง
จางเซวียนกับคนอื่นๆก็ตามไปติดๆ
ไม่ช้า ทั้งกลุ่มก็มาถึงห้องโถงขนาดมหึมา ที่ปลาย
ห้องโถงนั้นมีประตูที่ปิดสนิทอยู่ 5 บาน
“การทดสอบเป็นปรมาจารย์ทั้ง 5 ขั้นตอนคือ บ้าน
วัดใจ ห้องไขวิชาชีพ ศึกหุ่นจำลอง มหานทีแห่งวรยุทธ
และห้องจับผิด! ถ้าคุณมีลูกศิษย์มาด้วย ให้พวกเขา
เข้าไปในห้องนั้นเลย ถ้าระดับความเชื่อใจของพวกเขาสูง
กว่า 50, คุณก็จะผ่านการทดสอบขั้นแรก!”
ปรมาจารย์อู๋พูดขณะชี้ไปที่ประตูบานแรก
“ได้!”
รู้กฎเกณฑ์จากหลิงเซียวเซียวแล้ว จางเซวียนจึง
พยักหน้าและเรียกจ้าวหย่ากับคนอื่นๆให้เข้ามาใกล้ “นี่
คือลูกศิษย์ของผม!”
“เอ่อ…”
ปรมาจารย์ อู๋ ม องกลุ่ ม ลู ก ศิ ษ ย์ ข องจางเซวี ย น
นัยน์ตามีประกายสงสัยวาบขึ้นมา
โดยปกติ อายุของอาจารย์กับลูกศิษย์มักจะต่างกัน
อยู่ไม่น้อย เพราะนั่นจะสร้างความเชื่อใจได้ง่ายกว่า
ตัวอย่างเช่น ถ้าชายอายุ 20 ปีคนหนึ่งสอนเด็กอายุ
7 ปี เด็กคนนั้นย่อมเชื่อฟังคำพูดของเขาโดยปราศจาก
เงื่อนไข แต่หากชายคนเดียวกันสอนวัยรุ่นอายุ 16 ปี
นอกจากไม่แน่ใจว่าเขาจะเชื่อฟังคำพูดหรือไม่ ยังจะมี
ปัญหาในการทำให้วัยรุ่นคนนั้นยอมรับเขาเป็นอาจารย์
ด้วย
แล้วทำไมเขาจึงทำแบบนี้?
ดูจากที่เห็นตรงหน้า อาจารย์จางคนนี้น่าจะอายุยัง
ไม่ถึง 20 และลูกศิษย์ของเขาก็ปาเข้าไป 16-17 ปีแล้ว
ความแตกต่างของอายุมีน้อยมาก คุณแน่ใจหรือว่าลูก
ศิษย์ของคุณจะมีระดับความเชื่อใจคุณเกินกว่า 50?
“เอ่อ…ขอผมทราบหน่อยได้ไหมว่าคุณสอนลูกศิษย์
กลุ่มนี้มานานแค่ไหนแล้ว?”
ปรมาจารย์อู๋ถามหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
แม้อายุที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยจะเป็นปัญหา แต่
หากใช้เวลานานพอ คำชี้แนะของเขาก็สามารถสร้าง
ความประทับใจให้ลูกศิษย์ได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ระดับ
ความเชื่อใจก็จะเพิ่มขึ้น
“ราวๆครึ่งเดือน…”
จางเซวี ย นลั ง เลอยู่ ค รู่ ห นึ่ ง และตอบอย่ า งขั ด เขิ น
“ซึ่งตลอดครึ่งเดือนนั้น ผมก็ออกไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง
เพราะฉะนั้น ก็น่าจะสอนจริงราวๆ 5-6 วัน”
“5-6 วัน?”
ปรมาจารย์อู๋แทบลมจับ เขามองจางเซวียนราวกับ
เห็นปีศาจ
คนอื่นๆที่เข้ามารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ มี
แต่จะพาลูกศิษย์ที่ฟูมฟักกันมาหลายต่อหลายปีมาเข้า
สอบ เพราะระดับความเชื่อใจจะพุ่งสูง และมีแนวโน้มว่า
พวกเขาจะสอบผ่าน แต่คุณมันบ้า…พาลูกศิษย์ที่เพิ่งสอน
ได้แค่ 5-6 วันมาเข้าสอบ…
คุณแน่ใจหรือว่าระดับความเชื่อใจที่เด็กพวกนั้นมี
ให้คุณจะเกิน 50 ?
“มีอะไรหรือ?” จางเซวียนไม่รู้ว่ายังมีอีกหลาย
อย่างที่ต้องพิจารณาในการเลือกลูกศิษย์ที่พามาเข้าสอบ
จึงรู้สึกงุนงง
“ไม่…ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณมีลูก
ศิษย์ที่สอนมานานกว่านี้ หรือลูกศิษย์ที่อายุน้อยกว่านี้อีก
หรือเปล่า…”
กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจความหมายของเขา ปร
มาจารย์อู๋อธิบายอย่างอดทน
“ไม่มีแล้ว ที่ผมสอนมานานที่สุดก็คือเด็กกลุ่มนี้
แล้วก็อายุน้อยที่สุดด้วย!” จางเซวียนพยักหน้า
ปรมาจารย์อู๋ถึงกับกลอกตา
บ้าไปแล้ว! เด็กพวกนี้อายุไล่เลี่ยกับคุณ แถมคุณก็
สอนมาแค่ 5-6 วัน ยังมีหน้ามาบอกว่านี่คือลูกศิษย์ที่อายุ
น้อยที่สุดและสอนมานานที่สุด?
นี่ปั่นหัวผมใช่ไหม?
ปรมาจารย์อู๋รู้สึกหงุดหงิดและกำลังคิดว่าจะอธิบาย
ให้อีกฝ่ายเข้าใจได้อย่างไร ก็พอดีกับที่จางเซวียนมองเขา
อย่างสงสัย “ถ้าเด็กพวกนี้ใช้ไม่ได้ ผมก็จะสอนองค์หญิง
โม่หยู่อีก 2-3 วัน แล้วให้เธอมาลองสอบก็ได้!”
ลอง?
ลองกับผีอะไร!
คุณคิดว่าการทดสอบเป็นปรมาจารย์เป็นเรื่องเล่นๆ
หรือ?
เขาคิดว่าในเมื่ออีกฝ่ายมีระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณถึง 5.1 ซึ่งจัดว่าเป็นอัจฉริยะแถวหน้า การจะ
สอบให้ผ่านคงไม่ใช่ปัญหา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า…แค่คำ
พูดง่ายๆเขาก็ยังไม่เข้าใจ
“เอาเถอะ ถ้าคุณมีลูกศิษย์อยู่แค่นี้ ก็ให้พวกเขา
เข้าไปข้างในได้เลย แต่ผมจะเตือนคุณไว้ก่อน ระดับ
ความเชื่อใจที่เด็กพวกนี้มีให้คุณ อย่างน้อยที่สุดก็จะต้อง
อยู่ที่ 50, คุณถึงจะสอบผ่าน ถ้าทำไม่ได้… คราวหน้ามาส
อบใหม่ก็แล้วกัน!”
ปรมาจารย์อู๋ข่มความขัดอกขัดใจไว้ และไม่อยาก
จะพูดอะไรมาก
“อ๋อ ผมเข้าใจแล้ว!”
จางเซวียนหันไปที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆ “พวกคุณ
เข้าไปได้!”
เด็กทุกคนพยักหน้าก่อนจะเข้าไปในห้อง
“กรีดเลือดหยดหนึ่งแล้วมาหยดลงที่นี่ ก็เหมือนกับ
คริ ส ตั ล วั ด ใจที่ ใ ช้ วั ด ระดั บ ความไว้ ใ จนั่ น แหละ
ภาพลวงตาทุกชนิดจะปรากฏขึ้นในห้องนี้เพื่อประเมิน
ระดั บ ความเชื่ อ ใจที่ ลู ก ศิ ษ ย์ มี ใ ห้ คุ ณ จากนั้ น ผลการ
ทดสอบจะปรากฏขึ้นบนผนัง!”
เห็นชายหนุ่มสั่งให้ลูกศิษย์เข้าห้องไปโดยไม่ชี้แนะ
สักคำ ปรมาจารย์อู๋ยิ่งงงหนัก แต่มาถึงตอนนี้เขาก็ไม่คาด
หวังอะไรแล้ว
อาจารย์คนอื่นๆจะต้องอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังว่าควร
จะรับมือกับภาพลวงตาเหล่านั้นอย่างไร เพื่อให้ลูกศิษย์รู้
ว่าจะทำอย่างไรให้เขาได้รับระดับความเชื่อใจที่สูงกว่า
เดิม…
แต่ปรมาจารย์อู๋ก็คร้านจะพูด มันน่าสงสัยนักว่าคน
แบบนี้เป็นอาจารย์ได้อย่างไร
เป็นเรื่องจริงที่ว่าจางเซวียนไม่รู้กฎเกณฑ์อะไรสัก
อย่างเกี่ยวกับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ แต่จากมุมมอง
ของเขา เรื่องพวกนั้นก็ไม่ได้สำคัญ เขาก้าวออกมาข้าง
หน้า และกรีดเลือดหยดหนึ่งหยดลงไปบนแท่น
วิ้ง!
การทดสอบขั้นบ้านวัดใจเริ่มทำงาน มีรังสีส่อง
สว่างแผ่ไปทั่วห้อง
เมื่อเห็นว่าการทดสอบเป็นปรมาจารย์ขั้นแรกเริ่ม
ขึ้นแล้ว ฝูงชนที่ตามมาก็พากันจดจ่ออยู่ที่บานประตูซึ่ง
ปิดสนิทนั้น
“พาลูกศิษย์อายุไล่เลี่ยกันที่เพิ่งสอนได้แค่ 5-6 วัน
มาเข้าสอบ...ถ้าได้ระดับความเชื่อใจถึง 20 ก็เหลือเชื่อ
แล้ว!” เจียงเฉินเย้ยหยัน
ถึงการทดสอบเป็นปรมาจารย์จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็
พอมีกลเม็ดเด็ดพรายอยู่บ้าง
ในฐานะปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวที่มาจากตระกูล
ของปรมาจารย์ เขารู้ดีถึงวิธีที่จะเพิ่มความเป็นไปได้ใน
การสอบผ่าน
ระดับความเชื่อใจที่ผู้คนมีให้กับพ่อแม่ของตัวเอง
จะอยู่ราวๆ 60 ในเมื่อการทดสอบนี้ต้องการระดับความ
เชื่อใจที่ 50 เป็นอย่างน้อย นั่นก็เท่าๆกับความเชื่อใจที่
คนทั่วไปมีให้กับพี่น้องของตัวเอง
จะได้ความเชื่อใจระดับนั้นจากลูกศิษย์ที่เพิ่งสอนมา
2-3 วันได้อย่างไร?
ยั ง ไม่ ต้ อ งพู ด ถึ ง อาจารย์ ด าวเด่ น ต่ อ ให้ เ ป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวก็ยังไม่อาจได้ความเชื่อใจระดับ
นี้จากลูกศิษย์อายุไล่เลี่ยกันที่เพิ่งสอนมาได้ไม่นาน
“คุณสอนลูกศิษย์พวกนี้มาแค่ 5-6 วันจริงๆหรือ?”
ไม่ใช่เจียงเฉินคนเดียวที่คิดแบบนั้น โม่หยู่ก็อดถาม
จางเซวียนไม่ได้
“อั น ที่ จ ริ ง ...ถ้ า จะนั บ เฉพาะเวลาที่ ผ มอยู่ กั บ เด็ ก
พวกนี้ล่ะก็ แค่ประมาณ 15-16 ชั่วโมงเท่านั้นแหละ!”
จางเซวียนนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
ตลอดช่วงเวลาที่เขาสอนจ้าวหย่ากับเด็กคนอื่นๆ
เขามีกิจธุระวุ่นวายหลายสิ่งทุกอยู่เกือบทุกวัน ดังนั้นจึง
มักจะสอนบทเรียนและแก้ไขข้อบกพร่องให้เด็กพวกนั้น
ในช่วงเช้า ก่อนจะหายตัวไปตอนบ่าย ดังนั้นระยะเวลาที่
เขาใช้กับเด็กพวกนี้จริงๆก็น่าจะอยู่ราวๆ 15-16 ชั่วโมง
เท่านั้น
“15-16…ชั่วโมง?”
องค์หญิงโม่หยู่ถึงกับตาพร่า
ความเชื่อใจชนิดไหนกันที่คุณจะได้มาด้วยเวลาอัน
สั้นแค่นี้?
เธอนึกว่าหมอนี่เตรียมตัวมาอย่างดี ถึงได้พามา ไม่
คิดเลยว่าจะเหลาะแหละ…
“ดูนั่น ระดับความเชื่อใจออกมาแล้ว!”
โม่หยู่กำลังคิดว่าจะอธิบายให้หมอนี่เข้าใจและช่วย
เขาเตรียมตัวให้เหมาะสมอย่างไรก่อนจะกลับมาสอบใหม่
ก็ได้ยินใครสักคนในหมู่ฝูงชนตะโกนขึ้นมา
เธอหันขวับไปมอง
วิ้ง!
ประตู สั่ น สะท้ า นอย่ า งรุ น แรงและตั ว เลขก็ ค่ อ ยๆ
ปรากฏขึ้น
“ฮะ? เป็นไปได้อย่างไร?”
โม่หยู่ เจียงเฉิน และคนอื่นๆร้องอุทานด้วยความ
ตะลึง
“ระดับความเชื่อใจ – สายเลือดตัวตายตัวแทน? มี
แต่ปรมาจารย์ระดับ 5 ดาวเท่านั้นที่ทำได้แบบนี้…”
ปรมาจารย์อู๋ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
บรรดาปรมาจารย์ที่ตามมาดูถึงกับเงียบกริบ ทุกคน
ล้วนตกตะลึงไปกับตัวเลขที่ปรากฏตรงหน้า
ตัวเลขขนาดใหญ่ 2 ตัวที่แขวนอยู่บนประตูนั้น
ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผู้ที่ได้เห็นก็อดคิดว่าตัวเอง
ตาฝาดไม่ได้…
85
ตอนที่ 304 ไม่ผิดเลย?

ระดับความเชื่อใจระหว่างพ่อแม่กับลูกจะอยู่ราวๆ
60 ส่วนความเชื่อใจระหว่างคู่สามีภรรยาจะอยู่ที่ราวๆ
70 ส่วนที่เหนือกว่านั้นคือระดับที่ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะ
ตายแทนกันได้ สายเลือดตัวตายตัวแทน!
นี่คือระดับที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อใจซึ่งกันและกันแบบ
ไม่มีกั๊ก และหากมีเหตุจำเป็นก็พร้อมจะตายแทนกันได้!
มันคือระดับความเชื่อใจที่จะปรากฏกับลูกศิษย์ที่มี
อาจารย์เป็นปรมาจารย์ระดับ 5 ดาวเท่านั้น!
เจียงเฉินเพิ่งจะพูดว่า หากระดับความเชื่อใจแตะ
20 ก็จัดว่าเหลือเชื่อแล้ว แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นในอีกครู่ต่อ
มาก็เท่ากับตบหน้าเขาอย่างจังจนกรามแทบจะค้าง เขา
อ้าปากหวอและจ้องเขม็งที่ตัวเลขนั้น
“สอนลูกศิษย์แค่ 5-6 วัน?”
เคยเห็นใครที่ไหนบ้างได้ระดับความเชื่อใจสูงขนาด
นี้ทั้งที่สอนมาแค่ 5-6 วัน? เพิ่งสอนแป๊บเดียว ยังได้
ความเชื่อใจระดับนี้ ถ้าสอนอีกสัก 2-3 ปี มิได้ 90 หรือ
สูงกว่านี้หรือไง?
บ้าไปแล้ว!
ขนาดลูกศิษย์ของอัจฉริยะหมายเลข 1 แห่งอาณา
จักรเทียนหวู่, โม่หงอี ก็ยังมีระดับความเชื่อใจแค่ 55 เด็ก
พวกนั้นติดตามเขามาตั้งแต่อายุ 7 ปี และตอนที่มาเข้า
สอบก็มีอายุแค่ 11 ปีเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นอายุของลูกศิษย์หรือระยะเวลาที่จางเซ
วียนสอนเด็กพวกนั้นมา ผลการทดสอบช่างเหลือเชื่อ
จนถึงขนาดที่พวกเขาเริ่มสงสัยว่าเครื่องมือทำงานผิด
พลาดหรือเปล่า
แอ๊ด!
ประตูเปิดออก และเด็กๆที่ดูอ่อนระโหยเล็กน้อยก็
เดินออกมา พวกเขาหันกลับไปมองระดับความเชื่อใจบน
ประตู
“ขออภัยด้วย อาจารย์…” 2-3 คนกล่าวขออภัย
ออกมา
ตอนที่อยู่ข้างใน ทุกคนรู้สึกว่าไม่ว่าอาจารย์จางจะ
ทำอะไรก็ ต าม พวกเขาก็ เ ชื่ อ ใจอาจารย์ จ างอย่ า ง
ปราศจากเงื่อนไข ไม่อย่างนั้นคงไม่ทิ้งญาติพี่น้องและ
ครอบครัวเพื่อตามมาที่นี่ แต่เมื่อเห็นผลการทดสอบ ก็
ออกจะอับอายเล็กน้อย
เห็นสีหน้าของเด็กๆเหล่านั้น ฝูงชนก็แทบจะบ้า
ไม่ใช่แค่อาจารย์ที่เป็นปีศาจ ลูกศิษย์ก็เป็นปีศาจ
เหมือนกัน ได้ระดับความเชื่อใจถึง 85 แต่ก็ยังไม่พอใจ
ทำไมไม่ไปตายกันเสียให้หมดนะ…
“แค่ก แค่ก!”
เห็นบรรดาปรมาจารย์และผู้ช่วยต่างเจ็บช้ำและใบ้
กินกับเรื่องนี้ ปรมาจารย์อู๋รีบกระแอมเพื่อเรียกความ
สนใจของทุกคน
“ด้วยระดับความเชื่อใจที่ 85 คุณผ่านการทดสอบ
ขั้นแรกแล้ว! เราจะต่อขั้นที่ 2 กันเลย ห้องไขวิชาชีพ!”
“เนื้อหาของการทดสอบขั้นนี้จะเกี่ยวข้องกับอาชีพ
ของคุณ ในเมื่ออาชีพที่คุณนำมาใช้สอบคือนักปรุงยา ผม
จึงต้องขอแจ้งอะไรล่วงหน้าสักหน่อย” ขณะที่พูด เขาก็
หันมาทางจางเซวียน
“ในการทดสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาว คุณจะ
ต้องหลอมยาเกรด 1 แต่การทดสอบในขั้นตอนนี้จะต่าง
ออกไป สิ่งที่เราจะทดสอบคุณไม่ใช่ความเข้าใจเรื่องการ
หลอมยา แต่…เป็นความสามารถในการถ่ายทอดความรู้
ของคุณ!”
“นั่นหมายความว่า ต่อให้คุณเป็นนักปรุงยาระดับ
3 ดาว แต่หากไม่สามารถชี้แนะใครให้ทำการหลอมยาได้
สำเร็จ คุณก็จะสอบตก! ผลการทดสอบจะถูกประเมิน
จาก 2 ประเด็นหลักๆ ประเด็นแรกคือระดับขั้นของยา
เม็ดที่คุณหลอม ขั้นก่อตัว ขั้นอิ่มตัว ขั้นสมบูรณ์แบบ
และยาที่โลกต้องจารึกไว้…ยิ่งอยู่ในขั้นที่สูงขึ้นเท่าไหร่
ก็ได้ผลการทดสอบที่ดีขึ้นเท่านั้น ส่วนประเด็นที่ 2 คือข้อ
ผิดพลาดในการชี้แนะของคุณ ซึ่งข้อผิดพลาดทุกข้อ
หมายถึงการถูกหักคะแนน คุณเข้าใจไหม?”
ปรมาจารย์อู๋ถามหลังจากอธิบายเนื้อหาของการ
ทดสอบ
“ผมเข้าใจ!” จางเซวียนตาโต
ถึงเขาจะเป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาว แต่ก็ผ่านการ
ทดสอบมาด้วยวิวาทะยา ดังนั้น แค่ยาเกรด 1 เขาก็ยัง
หลอมไม่ได้ สำหรับจางเซวียน การชี้แนะคนอื่น…ย่อม
ง่ายกว่ามาก
จางเซวียนมีหนังสือทั้งหมดจากหอสมุดของสมาคม
นักปรุงยาที่อาณาจักรเทียนเซวียนอยู่ในหัว ต่อให้เขาไม่
ใช้ ห อสมุ ด เที ย บฟ้ า ก็ ยั ง สามารถชี้ แ นะให้ ใ ครสั ก คน
หลอมยาเกรด 1 ได้อย่างง่ายดาย
“ดี คุณเข้าไปได้เลย!” ปรมาจารย์อู๋พูด
“ได้” จางเซวียนเดินเข้าไปโดยไม่รีรอ
“พวกคุณคิดว่าเขาจะสอบผ่านไหม?”
“ปรมาจารย์โม่ถึงกับเรียกเขาว่าอาจารย์ ก็แปลว่า
ทักษะการหลอมยาของเขาต้องโดดเด่น แค่สอบให้ผ่าน
คงไม่ใช่ประเด็นหรอก แต่ผมก็ยังสงสัยว่าผลการทดสอบ
จะออกมาอย่างไร”
“ก็เหมือนกับการทดสอบบ้านวัดใจ คะแนนสูงสุดที่
ผู้เข้าสอบจะได้รับในการทดสอบขั้นนี้คือ 100 คะแนน
และต้องได้อย่างน้อย 50 คะแนนถึงจะสอบผ่าน อาชีพที่
แตกต่ า งกั น ก็ จ ะมี เ กณฑ์ ก ารตั ด สิ น ที่ แ ตกต่ า งกั น ด้ ว ย
สำหรับจิตรกร ก็จะต้องชี้แนะให้ใครสักคนวาดภาพขั้น 2
ได้จนสำเร็จ ส่วนเขาเป็นนักปรุงยา ถ้ายานั้นถูกหลอมได้
สำเร็จ อย่างน้อยๆก็จะได้ 50 คะแนน และผ่านการ
ทดสอบ”
“จริงด้วย ตอนที่โม่หงอีเข้าสอบในขั้นตอนห้องไข
วิ ช าชี พ เขาใช้ อ าชี พ ผู้ เ ชี่ ย วชาญด้ า นค่ า ยกลมาเข้ า
ทดสอบ ซึ่ง 60 คะแนนที่เขาทำได้ในตอนนั้นก็สร้าง
ความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแล้ว!”
“การได้ 60 คะแนนก็หมายความว่าความรู้ความ
เข้าใจในวิชาชีพของผู้นั้นอยู่เหนือกว่าระดับ 1 ดาว ได้
คะแนนขนาดนั้นในการเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1
ดาว…มีแต่อัจฉริยะอย่างเขาเท่านั้นแหละที่ทำได้!”
“แต่ว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาก็
อยู่ที่ 5.1 แถมระดับความเชื่อใจที่ได้จากลูกศิษย์ก็สูงถึง
85 ผมว่า…ผลการทดสอบคงไม่ขี้เหร่แน่”
“คุณพูดถูก แต่ว่าการหลอมยาด้วยตัวเองกับการ
ชี้แนะให้คนอื่นหลอมมันต่างกันมากนะ ผมว่า แค่เขาจะ
ทำให้ได้ถึง 55 ก็หืดขึ้นคอแล้ว!”
……
ฝูงชนพากันวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเห็นจางเซวียนเดิน
เข้าไปรับการทดสอบ สิ่งที่ห้องไขวิชาชีพต้องการทดสอบ
นั้นคือความสามารถในการชี้แนะผู้อื่นให้ประกอบวิชาชีพ
นั้นได้สำเร็จ ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพของตัวผู้เข้า
สอบเอง มีอัจฉริยะจำนวนมากมายที่มาเข้าสอบและต้อง
กลับไปด้วยความผิดหวัง
แม้ว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซ
วี ย นและระดั บ ความเชื่ อ ใจที่ เ ขาได้ ม าได้ ท ำให้ ฝู ง ชน
อัศจรรย์ใจไปแล้ว แต่คนส่วนมากก็ยังไม่คิดว่าเขาจะ
ทำการทดสอบขั้นที่สองได้ดีเหมือนขั้นแรก
….
ปัง! ประตูปิด
จางเซวียนมองไปรอบๆห้อง มันเป็นห้องที่มีขนาด
กว้างยาวราวๆ 20 เมตร มีหม้อต้มยาใบมหึมาตั้งอยู่ตรง
กลาง
“ดูเหมือนห้องนี้จะเปลี่ยนไปตามอาชีพของผู้เข้า
สอบแต่ละคน!”
จางเซวียนถึงกับผงะเมื่อเห็นหม้อต้มยาใบนั้น แต่
เมื่อใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พอเข้าใจ
ห้องไขวิชาชีพจะเปลี่ยนข้าวของที่อยู่ภายในห้องไป
ตามอาชีพของผู้เข้าทดสอบ ในเมื่อจางเซวียนเลือกใช้
อาชีพนักปรุงยา ก็เป็นธรรมดาที่หม้อต้มยาจะถูกนำมา
วางตรงกลางห้อง
ฟึ่บ!
จางเซวียนกำลังสงสัยว่าการทดสอบจะออกมารูป
ไหน หุ่นจำลองตัวหนึ่งก็เดินเข้ามายืนข้างหม้อต้มยา
เขาบอกไม่ได้ว่าหุ่นจำลองทำจากอะไร แต่มันดู
แทบไม่ต่างจากมนุษย์เลย ยกเว้นสีหน้าไร้อารมณ์สุดขีด
ของมัน
ตรงหน้าหุ่นจำลองคือสมุนไพร 40-50 ชนิด
“ดอกปาล์มใบเขียว หญ้าไร้ราก ดอกตังกุยขาว…
นี่เราจะต้องหลอมยาเม็ดเสริมสร้างจิตวิญญาณ เกรด 1
หรือเปล่า?”
ด้วยความรู้เรื่องการหลอมยาที่มีอยู่ ถึงไม่ใช้หอ
สมุดเทียบฟ้า จางเซวียนก็บอกได้ว่าส่วนประกอบไหนใช้
หลอมยาเม็ดชนิดใด
ขณะที่เขากำลังแยกแยะสมุนไพรแต่ละชนิดอยู่ หุ่น
จำลองก็เริ่มเคลื่อนไหว
มันจุดไฟ อุ่นหม้อต้มยา ใส่สมุนไพรลงไป…แม้
ท่วงท่าของมันจะไม่ลื่นไหลนัก แต่ก็มีระเบียบและเป็นไป
ตามลำดับขั้นตอน
“ทำแบบนั้น หลอมยาไม่ได้หรอก…”
มองแค่ปราดเดียว จางเซวียนก็ต้องส่ายหน้า
การหลอมยาก็เหมือนกับการแสดงเทคนิควรยุทธ
ถึงจะใช้สมุนไพรชนิดเดียวกัน มีลำดับขั้นตอนในการ
หลอมยาแบบเดียวกัน แต่หากใช้ผู้หลอมยาคนละคน ผล
ที่ออกมาก็ต่างกันอยู่ดี
แม้ว่าลำดับการใส่สมุนไพรของเจ้าหุ่นจำลองจะถูก
ต้อง แต่มันไม่ได้ใส่ใจเรื่องเวลา ทำให้คุณสมบัติทางยา
ของสมุนไพรหลากหลายชนิดเกิดการปะทะกัน ในสภาวะ
แบบนี้ การหลอมยาไม่มีทางสำเร็จ
ก็ตามคาด เมื่อการหลอมยาเสร็จสิ้นและหม้อต้มยา
ถูกเปิดออก ควันโขมงดำปิ๊ดปี๋ก็ลอยออกมา
พัง!
“เพื่ อ ให้ ผ่ า นการทดสอบ คุ ณ จะต้ อ งชี้ แ นะหุ่ น
จำลองให้หลอมยาจนสำเร็จ!”
เสียงหนึ่งดังขึ้น
ดูเหมือนว่าผู้เข้าทดสอบจะต้องเฝ้าดูกรรมวิธีหลอม
ยาของหุ่นจำลองอย่างถี่ถ้วน เพื่อนำข้อผิดพลาดทั้งหมด
มาชี้แนะให้มันระหว่างทำการหลอมยาครั้งที่ 2
เมื่อสิ้นเสียงนั้น หุ่นจำลองก็เริ่มหลอมยาอีกครั้ง มัน
ทำแบบเดียวกับคราวก่อนอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ถ้าเป็นนักปรุงยาทั่วๆไป ไม่มีทางที่จะหลอมยาอีก
ครั้งหนึ่งโดยทำได้เหมือนเดิมเป๊ะ มีแต่หุ่นจำลองที่ถูก
สร้างขึ้นเป็นพิเศษนี้เท่านั้นที่ทำตามขั้นตอนเดิมได้อย่าง
ไม่มีตกหล่น
“ซึ่งที่จริง แบบนี้ก็ดีสำหรับเรา หุ่นจำลองไม่มีทาง
วอกแวกอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับมนุษย์ ตราบใดที่มันทำ
ตามคำสั่งของเราอย่างเคร่งครัด ก็ต้องหลอมยาได้แน่!”
จางเซวียนตาโต
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาสั่งการให้โม่หยู่หลอมยาเกรด
2 สมัยที่ทั้งคู่อยู่ในดงอสูร ก็เพราะเธอวอกแวกนี่แหละที่
ทำให้การหลอมยาเกือบจะล้มเหลว
มนุ ษ ย์ มี อ ารมณ์ แ ละความรู้ สึ ก ไม่ ว่ า จะเป็ น สุ ข
เศร้า หรือโมโหก็ส่งผลต่อการหลอมยาทั้งนั้น แต่กับหุ่น
จำลองนั้นต่างออกไป
พวกมันจะทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ดังนั้นจึง
ไม่มีทางผิดพลาด
“ยื้อกระบวนการก่อไฟให้ช้าออกไปอีกครึ่งอึดใจ
และใช้เวลาอุ่นหม้อต้มยาเพิ่มขึ้นเป็น 4 อึดใจ เอาล่ะ,
เริ่มได้…”
เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้ง จางเซวียนก็ยิ้มแฉ่ง เขายืนนิ่ง
อยู่กับที่และพึมพำไปทีละขั้นตอนอย่างสบายใจ
…..
นอกห้อง สายตาของทุกคนจับจ้องที่ตัวเลขบน
ประตู
“เขาเริ่มชี้แนะหุ่นจำลองแล้ว!”
ใครสักคนตะโกนขึ้นมา
“ใช่เลย! ไม่เหมือนกับการทดสอบในขั้นบ้านวัดใจ
คะแนนจะขึ้นอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่เริ่มการทดสอบ เมื่อผู้
เข้าสอบชี้แนะได้ถูกต้อง คะแนนก็จะเพิ่มขึ้น และในทาง
ตรงกันข้าม หากเกิดความผิดพลาด คะแนนก็จะลดลง”
“ด้ ว ยวิ ธี นี้ เราจะเห็ น ผลการทดสอบตาม
สถานการณ์จริง!”
“ตอนที่ โ ม่ ห งอี ชี้ แ นะหุ่ น จำลองให้ ส ร้ า งค่ า ยกล
คะแนนก็เพิ่มขึ้นตลอด มีอยู่ 5 ครั้งเท่านั้นที่ร่วงลงมา ซึ่ง
หมายความว่าเขาผิดพลาดแค่ 5 ครั้ง!”
“จริงด้วย ขนาดประธานเจียงก็ยังผิดพลาดถึง 7
ครั้ง ตอนที่เข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2
ดาว แต่โม่หงอีผิด 5 ครั้งเอง แค่นี้ก็ทำลายสถิติแล้ว!”
“ฉันสงสัยว่าหมอนั่นจะทำได้ขนาดไหน!”
“ต่อให้เป็นอัจฉริยะ มีระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณที่ 5.1 แต่ถ้าเทียบกับ ระดับ 6.0 ของโม่หงอี ถึง
อย่างไรก็ด้อยกว่า ฉันว่าอย่างน้อยๆ ข้อผิดพลาดของ
เขาก็เป็นสิบ!”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน ต้องมากกว่าสิบแน่!”
….
ทุกคนพูดคุยกันเซ็งแซ่ถึงสถานการณ์ที่น่าจะเป็น
“ดูนั่น คะแนนเริ่มเพิ่มแล้ว!”
เสียงหนึ่งดังฝ่าเสียงพูดคุยอื้ออึงออกมา ทุกสายตา
หันขวับไปมองที่ประตูทันที
ตัวเลขที่อยู่บนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
10!
11!
12!
“ไม่เลวเลย คะแนนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นั่ น หมายความว่ า เขายั ง ไม่ ไ ด้ ท ำอะไรผิ ด พลาด น่ า
ประทับใจมาก!”
“ไม่ช้าก็เร็วหรอกน่ะ เดี๋ยวก็ต้องผิด และยิ่งกว่านั้น
ใครจะไปรับประกันได้ว่าเขาจะสามารถชี้แนะได้อย่างไม่
บกพร่อง?”
“เธอก็พูดมีเหตุผล…”
ฝูงชนต่างพยักหน้าเมื่อเห็นตัวเลขที่อยู่บนประตู
ตอนแรก พวกเขาก็ยังพูดคุยกันเซ็งแซ่อยู่ แต่เมื่อ
เวลาผ่านไป สีหน้าของคนเหล่านั้นก็เริ่มเคร่งเครียด
“มัน 40 แล้วนะ และเขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรผิด
เลย…”
ปรมาจารย์ทุกคนที่อยู่ในห้องพากันเบิ่งตาโตราวกับ
เห็นปีศาจร้ายที่น่าสะพรึง
ตัวเลขที่อยู่บนประตูขึ้นไปถึง 40 แล้วและยังไม่ได้
ลดลงเลยสักครั้ง นั่นหมายความว่าตั้งแต่เริ่มต้นการ
หลอมยา จางเซวียนยังไม่ได้ให้คำชี้แนะที่ผิดพลาดเลย
แม้แต่ครั้งเดียว!
ตอนที่ 305 โม่หงอีสติแตก

“45 ไม่ผิด!”
“50 ยังไม่ผิด!”
“55 นี่ก็ยังไม่ผิด!”
เสียงประกาศที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องค่อยๆแผ่วและ
ช้าลงราวกับว่าผู้ประกาศเองก็ไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อคะแนนขึ้นไปถึง 55 โดยยังไม่มีข้อผิดพลาด
แม้แต่ครั้งเดียว ก็หมายความว่าการหลอมยาเดินหน้าไป
ได้กว่าครึ่งทางแล้ว…
การสอบลุล่วงไปเกินครึ่งแล้ว ก็ยังไม่ผิดเลย?
ขนาดอั จ ฉริ ย ะผู้ ไ ร้ เ ที ย มทานอย่ า งโม่ ห งอี ก็ ยั ง ทำ
แบบนี้ไม่ได้!
พูดได้เลยว่าไม่มีปรมาจารย์คนไหนในอาณาจักร
เทียนหวู่ที่จะทำคะแนนได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้
“นี่มัน…เป็นไปไม่ได้! ขนาดนักปรุงยาระดับ 3 ดาว
ยังให้คำชี้แนะไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างนี้เลย…หมอนั่นเป็น
แค่ไอ้บ้านนอกเร่อร่า จะเอาความรู้ที่ไหนไปทำได้ขนาด
นั้น?”
เจียงเฉินถึงปากคอสั่นไม่หยุด
แม้ ว่ า สิ่ ง ที่ ผู้ เ ข้ า สอบจะต้ อ งทำก็ มี แ ค่ ชี้ แ นะหุ่ น
จำลองให้หลอมยาเกรด 1 แต่ ‘คำตอบต้นแบบ’ นั้นคือ
พื้นฐานกระบวนการหลอมยาของนักปรุงยาระดับ 4 ดาว
ความเข้าใจในเรื่องยาเม็ดของนักปรุงยาระดับ 4
ดาวนั้นลึกซึ้งมาก พวกเขาสามารถหลอมยาเกรด 1 ได้
อย่างง่ายดาย
ดังนั้น การนำกระบวนการของนักปรุงยาระดับ 4
ดาวมาใช้เป็นคำตอบ จึงยิ่งกว่าเหมาะสมเสียอีก
สำหรับเจ้าหนุ่มคนนั้นที่หลอมยาได้โดยไม่มีข้อผิด
พลาดใดเลย มันหมายความว่าอย่างไร? แปลว่าความ
เข้าใจในเรื่องการหลอมยาของเขาเทียบเท่ากับนักปรุงยา
ระดับ 4 ดาวหรือ?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
นักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดในอาณาจักรเทียนหวู่ก็คือ
ประธานสมาคมนักปรุงยา ซึ่งเป็นแค่นักปรุงยาระดับ 3
ดาวขั้นต้นเท่านั้น เช่นเดียวกับนักปรุงยาหงที่เพิ่งผ่าน
การทดสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 3 ดาว ซึ่งก็ยังห่างไกล
จากระดับ 4 ดาวอยู่มาก
หรือว่าเจ้าหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึง 20 คนนี้มีความรู้ถึง
ระดับ 4 ดาวแล้ว?
“เป็นไปได้ไหมว่า…ที่องค์หญิงโม่หยู่พูดจะเป็นเรื่อง
จริง?”
มีเสียงพึมพำท่ามกลางฝูงชน
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น หลายคนก็พากันหรี่ตา
ก่อนหน้านี้ โม่หยู่ซึ่งเป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาวพูด
ว่าจางเซวียนเป็นกึ่งอาจารย์ของเธอ และถ้าไม่ได้เขา
เธอคงไม่มีทางสอบผ่าน
ในตอนนั้น ฝูงชนส่วนใหญ่ต่างไม่อยากจะเชื่อ
จากนั้ น เมื่ อ เขาแสดงตราสั ญ ลั ก ษณ์ นั ก ปรุ ง ยา
ระดับ 1 ดาวออกมา ทุกคนก็ยังคิดว่าองค์หญิงคงจะ
ยกยอเขาเกินไป
แค่นักปรุงยาระดับ 1 ดาว…จะมีทักษะและความ
รู้มากแค่ไหนกัน?
แต่เมื่อได้เห็นผลการทดสอบขั้นนี้ ทุกคนก็รู้ว่านั่น
เป็นเรื่องจริง
ถ้าไม่จริง ก็คงไม่มีทางอธิบายสถานการณ์ที่เห็นอยู่
ตรงหน้าได้
“อย่าห่วงเลย ไม่ช้าก็ต้องผิดจนได้แหละ ขนาดนัก
ปรุงยาระดับ 4 ดาวยังไม่สามารถหลอมยาเกรด 1 ได้
สมบูรณ์แบบทุกครั้งเลย…”
เส้นเลือดที่ขมับของเจียงเฉินปูดโปน แทบจะรับ
สถานการณ์นี้ไม่ได้ สีหน้าก้าวร้าวดุดันปรากฏขึ้นโดยไม่รู้
ตัว
เขาคิ ด ว่ า หมอนี่ ค งได้ อั บ อายขายหน้ า เมื่ อ การ
ทดสอบเริ่มขึ้น ใครจะไปคิดว่าเขาจะเก่งกาจไร้เทียมทาน
ถึงขนาดทำลายสถิติได้ และไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่ครั้ง
เดียวในการทดสอบครึ่งแรก!
“60 ยังไม่ผิดเลย!”
ตัวเลขที่อยู่บนผนังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่า
ว่าจะหยุด ราวกับมันไม่สนเลยว่าใครจะตะลึงพรึงเพริด
สักแค่ไหน
“เขาทำลายสถิติของโม่หงอีแล้ว!”
“ฉันคิดว่าสถิตินั้นคงจะอยู่ยงคงกระพันไปอีกหลาย
ศตวรรษ ไม่นึกเลยว่า 2-3 ปีก็ถูกทำลายแล้ว!”
“ความเข้าใจเรื่องการหลอมยาของจางเซวียนคนนี้
ช่ า งไร้ เ ที ย มทานจริ ง ๆ ไม่ เ พี ย งแต่ ค ะแนนสู ง เท่ า นั้ น
ประเด็นหลักก็คือเขายังไม่ผิดพลาดเลยสักครั้ง นี่จะทำ
สถิติใหม่จริงๆใช่ไหม?”
“ใครจะรู้ล่ะ แต่เท่าที่เห็นนี่ เขาต้องทำสถิติใหม่ได้
แน่ ฉันแค่สงสัยว่าเขาจะไปได้ถึงไหน…65? 70? หรือ
75?”
….
พร้ อ มๆกั บ คะแนนที่ เ พิ่ ม ขึ้ น ไม่ ห ยุ ด ทุ ก คนก็
ประสาทกินขึ้นทีละหน่อย
ปรมาจารย์อู๋ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทดสอบ ถึงกับ
ตัวแข็งและเหงื่อไหลซึมจากหน้าผากไม่หยุด
เขาควบคุ ม การทดสอบมาไม่ รู้ กี่ ค รั้ ง ตลอดระยะ
เวลาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจอเรื่องแบบนี้
คะแนนสูงเกินกว่า 60 ไปแล้ว แต่จางเซวียนก็ยังไม่
ผิดพลาดเลยสักครั้ง คงไม่มีใครเชื่อหากไม่ได้เห็นกับตา
“เดี๋ยว ดูนั่น เขาทำผิดแล้ว!”
วิ้ง!
ทุกคนเริ่มจะคิดว่าชายผู้นี้คงไปได้สุดฉุดไม่อยู่จน
จบการทดสอบ แต่แล้วตัวเลขบนผนังก็สั่นขึ้นมา และตก
จาก 60 ลงมาอยู่ที่ 59!
ในเมื่อคะแนนลดลง ก็แปลว่ามีคำชี้แนะที่ผิดพลาด
“ในที่สุดก็ผิดจนได้! ผมนึกว่าจะไม่ผิดเลยเสียอีก!”
“อ้าว ก็ผมพูดแบบนั้นจริงๆ ใครบ้างที่จะชี้แนะให้
ผู้อื่นหลอมยาได้โดยไม่มีข้อผิดพลาดเลย มันฟังไม่ขึ้น
น่ะ…”
….
เห็นคะแนนร่วงลงมา ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่ง
อก
ถ้าเขาได้คะแนนเต็มจริงๆ มันก็น่าสะพรึงเกินไป
เพราะนั่นหมายความว่าชายคนที่อยู่ข้างในเหนือ
ชั้นกว่าทุกคน
พวกเขารู้สึกโล่งอกที่ไม่เป็นแบบนั้น
“เมื่อเวลาล่วงไป อุณหภูมิที่สูงขึ้นและสมุนไพรใน
หม้อต้มยาที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย ต่อให้
เขาไม่ ท ำพลาดเลยในครึ่ ง แรก ก็ ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น เครื่ อ งรั บ
ประกันว่าจะรักษามันไว้ได้ตลอดทั้งกระบวนการ อันที่
จริง ข้อผิดพลาดส่วนมากก็มักเกิดขึ้นตอนใกล้จบ!”
ปรมาจารย์คนหนึ่งที่นั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนใช้มือลูบ
เครา ตัวเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้อาชีพนักปรุงยาเข้ารับการ
ทดสอบ
ฝูงชนต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงยากนักกว่าจะเป็นนัก
ปรุงยาได้
เนื่องจากมีเปลวไฟอยู่ใต้หม้อต้มยา อุณหภูมิในนั้น
จึงสูงขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ล่วงไป อีกอย่าง แม้ว่าการ
หลอมรวมสมุนไพร 2 ชนิดเข้าด้วยกันจะเป็นเรื่องง่าย
แต่การหลอมรวมเข้าด้วยกันสิบกว่าชนิดในรวดเดียว ก็
อาจส่งผลกระทบที่คาดไม่ถึงขึ้นมา
เช่นเดียวกับการเรียงไม้ซ้อนกันเป็นชั้นๆ การจับไม้
เพียง 2 ชิ้นมาซ้อนกันย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่หากต้องซ้อน
กันจำนวนหลายร้อยชิ้น แม้ว่าจะเรียงจนเสร็จแล้ว แต่
หากมีความผิดพลาดในตอนต้น ก็จะส่งผลให้รากฐานไม่
มั่ น คงและเกิ ด จุ ด ศู น ย์ ถ่ ว งที่ ไ ม่ ส มดุ ล ซึ่ ง งานที่ ท ำมา
ทั้งหมดก็อาจลงเอยด้วยความสูญเปล่า
ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจนำมาซึ่งความ
แตกต่างอย่างมาก
เช่นเดียวกันกับเรื่องอื่นๆ ยิ่งไปได้ไกลเท่าไร ก็ยิ่ง
ยากขึ้นเท่านั้น
ครึ่งแรกของจางเซวียนทำให้พวกเขาตะลึง แต่เมื่อ
มีความผิดพลาดเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว ก็เหมือนกับหยด
หมึกลงไปในน้ำใสสะอาด มันอาจนำมาซึ่งผลกระทบต่อ
เนื่อง
“นึกว่าแกจะไม่มีวันผิดพลาดเสียอีก…”
เจียงเฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก กำลังจะอ้าปาก
พูดต่อ ก็ต้องหรี่ตาจนเกือบเป็นเส้นตรงอีกครั้ง
ตั ว เลขที่ อ ยู่ บ นประตู ซึ่ ง เพิ่ ง จะลดลงกลั บ สั่ น
สะเทือนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งพรวด
วิ้ง!
62!
…….
ในห้องโถงอันเงียบงัน ภายในสภาปรมาจารย์
ที่นั่งอยู่ข้างในคือโม่หงอีซึ่งกำลังรวบรวมลมหายใจ
คลื่นพลังจิตวิญญาณที่มองไม่เห็นระลอกแล้วระลอกเล่า
ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังของเขา ทำให้ระดับวรยุทธของเขาสูง
ขึ้นอย่างช้าๆทว่าต่อเนื่อง
ตุ้บ!
เขาลืมตากะทันหันและแสดงความไม่พอใจออกมา
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามารบกวนตอนฉันกำลังฝึกวร
ยุทธ?”
แอ๊ด!
ประตูเปิดออก และคนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่า
งกลัวๆ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะองค์ชาย แต่ว่า…”
เขาอ้ำอึ้ง
“พูด!” โม่หงอีขมวดคิ้ว
“มี ใ ครคนหนึ่ ง กำลั ง เข้ า รั บ การทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว!” คนรับใช้ตอบอย่างลนลาน
ปรมาจารย์ คื อ อาชี พ อั น ดั บ หนึ่ ง ของโลก ผู้ ค น
มากมายยึดถือเป็นความใฝ่ฝันของพวกเขา ในแต่ละวัน
ผู้คนนับไม่ถ้วนจากทั่วโลกเดินทางมายังสภาปรมาจารย์
ด้วยความหวังที่จะบรรลุเป้าหมายของตัวเอง แต่ผู้ที่
ทำได้มีน้อยกว่าหยิบมือเสียอีก
เพราะคิดว่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่านี้ เมื่อได้ยินคำ
ตอบของคนรับใช้ เขาก็ส่ายหน้าและพูดอย่างไม่ยินดี
ยินร้าย “แกขัดจังหวะการฝึกวรยุทธของฉันด้วยเรื่องแค่
นี้หรือ? ถ้าแค่นี้ล่ะก็ ไปรับโทษเดี๋ยวนี้ โบย 100 ที อย่า
ให้ขาดแม้แต่ทีเดียว!”
เขาเกลียดการถูกขัดจังหวะระหว่างการฝึกวรยุทธ
ดังนั้นจึงตั้งกฎว่าผู้ที่เข้ามารบกวนเขาระหว่างการฝึกวร
ยุทธโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอจะต้องถูกลงโทษ
เมื่อได้ยินนายท่านสั่งลงโทษ คนรับใช้ก็ตัวสั่นและ
ลนลานพูดต่อ “ไม่ใช่แค่นั้น…ผู้ที่เข้าทดสอบมีระดับ
ความล้ำลึกของจิตวิญญาณอยู่ที่ 5.1!”
“ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 5.1? สูงกว่า
โม่หยู่อีกหรือ?”
นัยน์ตาของโม่หงอีเป็นประกายวาบ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข่าวนี้ทำให้เขาประหลาดใจ
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นี่ ว่าแต่มีระดับความล้ำลึกของ
จิ ต วิ ญ ญาณขนาดนั้ น ในระหว่ า งการทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว ก็ถือว่าเขาปราดเปรื่องจริงๆ!”
ถึงโม่หงอีจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก
ในเมื่อตัวเขาเป็นอัจฉริยะที่มีระดับความล้ำลึกของ
จิตวิญญาณที่ 6.0 แค่ 5.1 ย่อมไม่มีความหมาย
“คนที่มีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 5.1
และมาเข้าทดสอบเป็นปรมาจารย์ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่
นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอจะมาขัดจังหวะการฝึกวรยุทธ
ของฉัน กลับไปรับโทษโบย 50 ที!”
โม่หงอีโบกมือและหันกลับไปฝึกวรยุทธต่อ
“นายท่าน…นายท่าน ผมยังพูดไม่จบ…”
เห็นเจ้านายกำลังจะหันกลับไปฝึกวรยุทธ คนรับใช้
ก็ลนลานอีกรอบ
“ยังมีอะไรอีก?” โม่หงอีขมวดคิ้ว
“คนที่เข้าสอบน่ะชื่อจางเซวียน ดูเหมือนจะยังอายุ
ไม่ถึง 20 เลย เมื่อครู่นี้เองเขาพาลูกศิษย์อายุ 16-17 ปี
สองสามคนเข้าไปรับการทดสอบขั้นบ้านวัดใจ และได้
ระดับความเชื่อใจที่ 85!”
กลัวว่าจะทำให้นายท่านขัดใจที่ต้องเสียเวลา คน
รับใช้พูดเร็วปรื๋อ
“บ้านวัดใจ…85 คะแนน?”
โม่หงอีลืมวางมาดไปสนิท เขาลุกพรวด
ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีอาจารย์คนไหนในอาณา
จักรเทียนหวู่ที่สามารถทำให้ลูกศิษย์เชื่อใจได้ขนาดนั้น
มันเกินความคาดหมายของเขาจริงๆ
“ใช่แล้ว!”
คนรับใช้พยักหน้า ตัวเองก็ไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้เขากำลังเข้ารับการทดสอบขั้น
ที่ 2 ซึ่งในขั้นห้องไขวิชาชีพนี้ เขาได้ 60 คะแนนไปแล้ว
โดยยังไม่ได้ทำผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว!”
“60 คะแนน? ปะ…เป็นไปได้อย่างไร?”
โม่หงอีตะลึง
ในการทดสอบขั้นห้องไขวิชาชีพ เขาเป็นคนเดียวที่
ได้คะแนนสูงสุดตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์หลาย
พันปีที่สภาปรมาจารย์ก่อตั้งขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็
ยังทำผิดพลาดถึง 5 ครั้ง แล้วอีกฝ่ายยังไม่ได้ทำผิดเลย
สักครั้งเดียว?
นั่นหมายความว่าฝ่ายนั้นปราดเปรื่องกว่าเขาหรือ?
“เอ่ อ …มี บ างอย่ า งแปลกประหลาดเกิ ด ขึ้ น ด้ ว ย
ตอนที่คะแนนแตะที่ 60 เขาทำพลาดหนึ่งครั้ง คะแนนก็
ลดลง แต่แล้ว…อีกพริบตาต่อมา คะแนนก็พุ่งไปที่ 62!”
จนถึงตอนนี้ คนรับใช้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เขายังสงสัยว่ากระดานคะแนนน่าจะทำงานผิดพลาด
“หลังจากที่ทำพลาด คะแนนก็ลดลงเป็น 59 แต่ต่อ
มาก็พุ่งขึ้นไป 62?” โม่หงอีไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามี
สถานการณ์แบบนี้ เขาก็งง
“นั่นแหละ!” คนรับใช้ลังเลขึ้นมาอีก “ยิ่งกว่า
นั้น…”
“ยิ่งกว่านั้น สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ซ้ำๆกันถึง 3
ครั้ง จากนั้นคะแนนก็ร่วงลงไป ก่อนจะเพิ่มขึ้นมาอีก 3
คะแนน…”
“คะแนนร่วงลงมาก่อนจะเพิ่มขึ้นใหม่? มันอะไร
กัน? กระดานคะแนนของสภาปรมาจารย์น่ะถูกสร้างขึ้น
โดยบรมครูด้านค่ายกลและปรมาจารย์อีกนับไม่ถ้วน มัน
ใช้การได้ดีมาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ไม่เคยผิดพลาด
สักครั้ง แล้วจู่ๆมาเกิดอะไรขึ้น?”
โม่หงอีงุนงง “มีใครตรวจสอบมันหรือยัง?”
“ปรมาจารย์อู๋ที่เป็นผู้ควบคุมการสอบได้ตรวจสอบ
กระดานคะแนนทันที และยืนยันว่าไม่มีอะไรขัดข้อง…”
คนรับใช้ตอบ
“ถ้าไม่ขัดข้อง แล้วคะแนนจะตีกลับหลังจากที่ลด
ลงไปแล้วได้อย่างไร? มัน…”
โม่หงอีส่ายหน้า แต่แล้วก็ตัวแข็งไปเมื่อนึกบาง
อย่างขึ้นได้ เขาหรี่ตา “แกว่าอะไรนะ? เรื่องนี้เกิดขึ้นหลัง
จากที่คะแนนแตะ 60 และเกิดซ้ำแบบเดิมอยู่สามครั้ง
หรือ?”
“ใช่!” คนรับใช้พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น…” โม่หงอีปากสั่น “แล้ว…คะแนน
ตอนนี้ล่ะ?”
ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น คะแนนของจางเซวียนอยู่ที่
62 เมื่อมันเกิดซ้ำถึงสามครั้ง ก็หมายความว่าคะแนนของ
เขาต้องเกิน 62 ไปแล้ว และในเมื่อคะแนนจะเพิ่มขึ้นที
ละ 3 คะแนนทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์นั้น คะแนนของเขา
ในเวลานี้ก็น่าจะอยู่ที่ 68 เป็นอย่างน้อย!
ได้ 68 คะแนนในการทดสอบห้องไขวิชาชีพ?
มันเป็น…ระดับคะแนนที่เกินกว่าใครจะจินตนาการ
ได้!
หรือเจ้าหนุ่มที่ชื่อจางเซวียนจะปราดเปรื่องกว่าเรา
จริงๆ?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
“คะแนน…คะแนนปัจจุบันของเขาคือ…”
เมื่อนึกถึงคะแนน คนรับใช้ก็มีสีหน้าพรั่นพรึงขึ้นมา
ทันใด ราวกับกำลังคิดถึงเรื่องที่แสนจะน่าหวาดกลัว เขา
ตัวสั่น และอ้าปากสลับกับหุบปากอยู่หลายครั้งกว่าคำ
พูดจะหลุดออกมา
“101 คะแนน!”
ตอนที่ 306 ผู้เชี่ยวชาญ

“101 คะแนน?”
โม่หงอีตัวสั่นสะท้านและแทบทรุดลงกับพื้น
บ้าไปแล้ว!
คะแนนสู ง สุ ด ของการทดสอบห้ อ งไขวิ ช าชี พ คื อ
100 คะแนน แต่แกบอกฉันว่า 101 คะแนน?
เอาจริงๆสิ?
ไม่ ส งสั ย เลยว่ า ทำไมเจ้ า คนรั บ ใช้ ค นนี้ ถึ ง ตั ว สั่ น
เหมือนคนเสียสติ ถ้าโม่หงอีไปอยู่ตรงนั้นก็คงต้องสั่น
เหมือนกัน!
แค่ได้ 60 คะแนนก็กลายเป็นขวัญใจมหาชนแล้ว
แต่ไอ้ 101 คะแนนนี่มันบ้าบออะไร?
“ที่มันเป็นเรื่องก็คือ…101 คะแนนก็ยังไม่ใช่ข้อสรุป
คะแนนของเขายังเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ การ
ทดสอบห้องไขวิชาชีพก็ยังไม่จบ…” คนรับใช้เสริม
“การทดสอบยังไม่จบ?”
โม่หงอีอยากจะทึ้งผมให้หายบ้า
แค่ได้ 60 คะแนนในการทดสอบขั้นห้องไขวิชาชีพ
เพื่อเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวก็ทำให้หมอนั่นเป็น
ตำนานแล้ว แต่ตอนนี้คะแนนของเขาพุ่งขึ้นไปถึง 101
คะแนน และการทดสอบก็ยังไม่จบ
โว้ยยยย! โลกนี้เป็นบ้าไปหมดแล้ว!
“ไปดูกัน!”
โม่หงอีทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินออกจากห้องไป
ทันที
“องค์ชาย แล้วบทลงโทษของผม…” คนรับใช้กำลัง
จะตามไปเมื่อนึกบางอย่างได้
“ลงโทษ? ลงโทษอะไรกัน? ไปรับรางวัลของแกเลย
ไข่มุกกระจ่างราตรี 10 เม็ด กับหอกเหล็กอีก 1 ด้าม!”
โม่หงอีจ้ำพรวดๆไปจนถึงห้องสอบ
เมื่อรู้ว่าไม่เพียงแต่การลงโทษจะถูกยกเลิก แต่ยังได้
รางวัลมากมายด้วย คนรับใช้ก็รู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่วิ่ง
แจ้นมารายงานเรื่องนี้กับเจ้านาย
เขารีบจ้ำตามโม่หงอีไปด้วยความชื่นมื่นสุดๆ
….
สถานการณ์แบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้นอีกหลายที่
ที่สมาคมนักปรุงยา
“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”
“นักปรุงยาหง ยินดีด้วยกับการกับความก้าวหน้า
ของคุณ ในที่สุดคุณก็ฝ่าด่านขั้นสุดท้ายได้สำเร็จ และได้
เป็นนักปรุงยาระดับ 3 ดาว ผมขอเคารพและชื่นชมคุณ
จากใจจริง!”
“จริงๆนะ! เมื่อก่อนพวกเราก็เข้าสอบเป็นนักปรุง
ยาระดับ 2 ดาวด้วยกัน แต่ในท้ายที่สุด คุณก็เป็นเพียง
คนเดียวที่ก้าวมาถึงขั้นนี้!”
นักปรุงยามากหน้าหลายตาพากันห้อมล้อมชายวัย
กลางคนผู้หนึ่ง
เขาสวมเสื้อคลุมยาว มีตราสัญลักษณ์นักปรุงยา
ระดับ 3 ดาวติดอยู่ที่อกเสื้อ
นั่นคือนักปรุงยาที่เพิ่งพิชิตระดับ 3 ดาวเมื่อไม่นาน
มานี้, นักปรุงยาหง
เขาเพิ่งเข้าสอบเมื่อสองสามวันก่อน และวันนี้ ตรา
สัญลักษณ์ที่แสดงถึงสถานภาพใหม่ของเขาก็มาถึง
นักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดในสมาคมนักปรุงยาแห่ง
อาณาจักรเทียนหวู่ก็เป็นระดับ 3 ดาว ซึ่งเมื่อเขาได้สิ่งนี้
มา ก็ ถื อ ว่ า สามารถยื น เคี ย งบ่ า เคี ย งไหล่ กั บ ประธาน
สมาคมได้เลยทีเดียว
“พวกคุณไม่ต้องมาถ่อมตัวเลย ก่อนหน้านี้ ตอนที่
ผมออกเดินทางไปนอกสถานที่ ผมได้พบกับผู้เชี่ยวชาญ
คนหนึ่ง และคำชี้แนะของเขาก็ทำให้ผมตาสว่าง ถ้าไม่ใช่
เขาล่ะก็ ผมก็ยังเดาไม่ออกเหมือนกันว่าอีกนานแค่ไหน
ผมถึงจะสำเร็จขั้นนี้!” นักปรุงยาหงพูด
“ต่อให้คุณพบผู้เชี่ยวชาญ แต่คุณก็ยังต้องมีความ
ปราดเปรื่องมากพอที่จะนำถ้อยคำของเขามาประยุกต์ใช้
ถ้าเป็นผม ผมก็ยังสงสัยว่าจะทำได้อย่างคุณหรือเปล่า!”
เห็นนักปรุงยาหงโต้ตอบคำเยินยอของพวกเขาด้วย
ความถ่อมตัว นักปรุงยาคนอื่นๆต่างพากันส่ายหน้าและ
ยิ้มเจื่อนๆ
“อาจารย์!”
ผู้ช่วยนักปรุงยาคนหนึ่งลนลานเข้ามาในห้อง
“ใจเย็นหน่อย ไม่เห็นต้องตื่นตูมแบบนั้น!”
เมื่อรู้ว่าผู้ช่วยคนนั้นคือลูกศิษย์ของเขาเอง นักปรุง
ยาหงโบกมือ
“ขอรับ!” ผู้ช่วยคนนั้นหายใจหอบและพยายาม
สำรวมกิริยา
“ผมให้คุณไปถามปรมาจารย์เจียงเฉินถึงเรื่องงาน
เลี้ยง เขาว่าอย่างไรบ้าง? องค์หญิงโม่หยู่จะมาร่วมงาน
ไหม?” นักปรุงยาหงถาม
“ผม…” ผู้ช่วยคนนั้นผงะกับคำถามของอาจารย์
“ผม…ยังไม่ได้ถามเขาเลย!”
“คุ ณ ไม่ ไ ด้ ถ ามเขา?” นั ก ปรุ ง ยาหงหน้ า ตึ ง ด้ ว ย
ความโมโห “ถ้าเรื่องง่ายๆแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้ อย่ามาเรียก
ผมว่าอาจารย์เลย!”
ผู้ช่วยถึงกับหน้าซีด
นักปรุงยาหงเป็นถึงนักปรุงยาระดับ 3 ดาว ใน
ฐานะที่เป็นศิษย์ของเขา ตัวเขาก็มีความได้เปรียบหากจะ
เข้ารับการทดสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาวในอนาคต
ถ้าถูกขับออกจากการเป็นศิษย์ล่ะก็ ความหวังที่จะ
ได้เป็นนักปรุงยาก็คงหดหายไปชั่วชีวิต
“อาจารย์ ผมมีเหตุผล…ที่จะต้องตกใจขนาดนี้ ตอน
นี้ น่ ะ …มี ใ ครบางคนกำลั ง เข้ า รั บ การทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว…และเขากำลังอยู่ในการทดสอบ
ขั้นห้องไขวิชาชีพ เขาเลือกการหลอมยาและ…” ผู้ช่วย
ตัวสั่น
“แล้วยังไง? ได้ 60 คะแนนหรือ? คะแนนของเขา
สูงกว่าอาจารย์โม่หงอี?” นักปรุงยาหงเหวี่ยงแขน
ผู้ช่วยตัวสั่นก่อนจะตอบอย่างอ้ำอึ้ง “เขา…เขาได้…
101 คะแนน!”
“อะไรนะ? 101 คะแนน?”
นักปรุงยาหงก็ตัวสั่น ลูกตาแทบปะทุออกจากเบ้า
สีหน้าของเขามีแต่ความไม่เชื่อ
แม้ว่าปรมาจารย์กับนักปรุงยาจะเป็นสองอาชีพที่
แตกต่างกัน แต่ปรมาจารย์เก่งๆจำนวนมากก็เลือกอาชีพ
นั ก ปรุ ง ยาเป็ น อาชี พ รองรั บ ดั ง นั้ น เขาจึ ง รู้ ดี ว่ า
ปรมาจารย์ทำงานอย่างไร
คะแนนสูงสุดของการทดสอบขั้นห้องไขวิชาชีพก็
คือ 100 คะแนน แต่มีคนได้ 101 คะแนน, มันเกิดอะไร
ขึ้น?
“101 คะแนนในการทดสอบขั้นห้องไขวิชาชีพ?”
“ไปดูกัน!”
เมื่อได้ยินที่ผู้ช่วยพูด ทุกคนก็แทบจะบ้า พวกเขา
เร่งรีบออกไปที่สมาคมนักปรุงยาทันที
ได้ 101 คะแนนจากการชี้แนะหุ่นจำลองให้ทำการ
หลอมยา คนผู้นั้นจะน่าทึ่งขนาดไหนกัน?
พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้พลาดไม่ได้
สมาคมนักปรุงยาตั้งอยู่ใกล้กับสภาปรมาจารย์ ใช้
เวลาไม่นานทั้งกลุ่มก็ไปถึงห้องสอบ ที่ห้องสอบในเวลานี้
คลาคล่ำไปด้วยฝูงชน ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ประตูซึ่งปิด
สนิท
“ปรมาจารย์เจียง มันเกิดอะไรขึ้น?”
นักปรุงยาหงมองไปรอบตัว และเห็นคนคุ้นหน้าคน
หนึ่งเดินเข้ามา
เขาคือเจียงเฉิน
ตอนนี้ นัยน์ตาของเจียงเฉินเบิกโพลงราวกับจะ
ปะทุออกมาได้ทุกขณะ ตัวก็สั่นไม่หยุด หมัดนั้นก็กำเสีย
แน่นและมีสีหน้าหวาดกลัวสุดๆ เมื่อเห็นนักปรุงยาหง
เขาก็ชี้ไปที่ประตูตรงหน้าด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา
“คุณดูเอาเองเถอะ…”
“ฮึ?”
นั ก ปรุ ง ยาหงเงยหน้ า ขึ้ น มองและเห็ น ตั ว เลขบน
ประตู เขาแทบจะล้มพับลงไปกับพื้น
“130? มันจะเป็น 130 ได้อย่างไร? ก็คะแนนสูงสุด
ในการทดสอบมันอยู่ที่ 100?”
เขาอุทานอย่างตกตะลึง
ตัวเลข ‘130’ สว่างหราอยู่ที่ประตู ดูจะทิ่มแทง
หัวใจของทุกคนที่ได้เห็น บรรดานักปรุงยาข้างหลังเขา
ต่างก็ยืนตัวแข็งและถึงกับเซ่อไป
“ผมก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น…”
เจียงเฉินส่ายหน้า ตัวเขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันบ้าบอ
สิ้นดี “บางทีการทดสอบอาจจะมีปัญหาก็ได้ ไม่อย่างนั้น
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ใครจะได้คะแนนขนาดนี้?”
“ปัญหา?”
“ใช่แล้ว! ระบบจะต้องมีปัญหาแน่นอน จะมีคนได้
คะแนนสูงขนาดนี้ได้อย่างไร?”
“ถ้ามันมีปัญหา การทดสอบก็ย่อมจะเป็นโมฆะ
และต้องจัดการทดสอบขึ้นใหม่!”
อีกคนหนึ่งเสริมเข้ามา
คะแนนสูงสุดคือ 100 ในเมื่อมีคนได้ 130 ต่อหน้า
ต่อตา ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีใครสักคนคิดแบบนี้
“ผมจะไปพูดกับปรมาจารย์อู๋ทีหลัง…” เจียงเฉินพ
ยักหน้า แต่พูดไปได้แค่ครึ่งประโยค ก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้น
“ห้องสอบที่นี่เป็นสมบัติด้านจิตวิญญาณที่ทางสภา
ปรมาจารย์ให้ผู้เชี่ยวชาญสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ดังนั้น จึง
ไม่มีทางที่จะมีข้อผิดพลาด!”
ไม่คิดว่าจะมีใครมาขัดคออย่างหยาบคายแบบนั้น
เจียงเฉินกำลังจะตอบโต้ แต่เมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง
เต็มตา ก็ต้องข่มใจไว้ “ถ้าปรมาจารย์โม่เห็นว่าสภา
วิชาชีพไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้ว…มันเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้ ที่ ขั ด คอเขาคื อ อั จ ฉริ ย ะหมายเลข 1 ของ
อาณาจักร, โม่หงอี
เขาเองก็ช็อกพอกันเมื่อได้เห็นตัวเลขบนประตู
“ผมเคยได้ยินตำนานเรื่องการสอบเป็นปรมาจารย์
แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า!” โม่หงอีพูดด้วย
สีหน้าจริงจัง
เมื่อเห็นเขามีทีท่าแบบนั้น ฝูงชนก็พากันเข้ามา
ห้อมล้อมเพื่อฟังเขา
ขนาดปรมาจารย์อู๋ที่เป็นผู้ควบคุมการทดสอบก็ยัง
หันมามอง
“ในการทดสอบขั้นห้องไขวิชาชีพ ประเด็นที่นำมา
ทดสอบคือความสามารถในการชี้แนะผู้อื่น คำชี้แนะที่ผิด
จะส่งผลให้คะแนนลดลง ส่วนคำชี้แนะที่ถูกต้องก็จะมีผล
ให้คะแนนเพิ่มขึ้น ทุกคนคงรู้อยู่แล้ว ผมก็จะไม่ขยาย
ความ!” โม่หงอีพูด
ฝูงชนต่างพยักหน้า
“แต่พวกคุณเคยคิดไหมว่า ห้องไขวิชาชีพตัดสิน
อย่างไรว่าคำชี้แนะของใครถูกหรือผิด?”
โม่หงอีมองไปรอบๆและพูดต่อ “ก็เหมือนกับการ
ทดสอบของนักปรุงยาที่ดำเนินอยู่ในเวลานี้ กรรมวิธีที่
เชื่อกันว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องคือพื้นฐานการหลอมยา
ของนักปรุงยาระดับ 4 ดาว ซึ่งมันจะเป็นอย่างไร…หาก
ตัดสินกระบวนการเดียวกันนี้จากมุมมองของนักปรุงยา
ระดับ 5 ดาวหรือ 6 ดาว?”
ทุกคนพากันตัวสั่น
ความรู้นั้นเชื่อมโยงถึงกัน
บางอย่างที่นักปรุงยาระดับ 1 ดาว คิดว่าเป็นกฎ
เกณฑ์ขั้นพื้นฐาน อาจไม่จำเป็นจะต้องจริงในสายตาของ
นักปรุงยาระดับ 3 ดาว
เด็กๆมักคิดว่าท้องฟ้านั้นกลม ส่วนโลกนั้นแบน แต่
เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะไม่คิดแบบนี้
มาตรฐานที่ห้องไขวิชาชีพใช้เป็นคำตอบต้นแบบใน
การตัดสินคือกรรมวิธีการหลอมยาของนักปรุงยาระดับ 4
ดาว
ถ้ า มาตรฐานการหลอมยาของใครสั ก คนยั ง ไม่ ถึ ง
ระดับ 4 ดาว ผู้นั้นก็ย่อมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นไม่มี
ข้อผิดพลาดเลย แต่ว่า…จะเป็นอย่างไร ถ้าทักษะและ
ความรู้ของผู้นั้นเหนือกว่าระดับ 4 ดาว?
ถ้าเป็นนักปรุงยาระดับ 5, 6 หรือ 7 ดาวพวกเขา
จะยั ง คิ ด ว่ า กรรมวิ ธี ห ลอมยานี้ ถู ก ต้ อ งสมบู ร ณ์ อ ยู่ ห รื อ
เปล่า?
ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป
ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ ‘คำตอบต้นแบบ’ มัก
เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดเสมอ
“คุณกำลังจะพูดว่า…คนที่กำลังทดสอบอยู่ข้างในมี
ความรู้เหนือกว่านักปรุงยาระดับ 4 ดาวหรือ?”
เจียงเฉินจะเชื่อเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ไอ้ ห นุ่ ม หน้ า ตาบ้ า นๆคนนั้ น จะเป็ น นั ก ปรุ ง ยาผู้
เก่งกาจได้อย่างไรกัน?
“ถ้าไม่ใช่แบบนั้น แล้วคุณจะอธิบายอย่างไร? ทำไม
คะแนนถึงร่วงลงไปก่อนที่จะบวกกลับมาอีก 3? ในการ
ทดสอบขั้นห้องไขวิชาชีพ ความผิดพลาดหนึ่งครั้ง หมาย
ถึง 1 คะแนน ดังนั้นคะแนนที่เพิ่มขึ้นก็ต้องเป็นทีละ 1!”
โม่หงอีพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผู้ที่ทำการ
ทดสอบอยู่ข้างในจะต้องพบช่องโหว่ในคำตอบต้นแบบ
ดังนั้น ในตอนแรกสิ่งนี้จึงถูกห้องไขวิชาชีพตัดสินให้เป็น
ข้อผิดพลาด แต่เพราะห้องไขวิชาชีพเป็นสิ่งที่มีความ
ปราดเปรื่องในตัวมันเอง มันรู้สึกได้ว่ากระบวนการหลอม
ยาที่ ผู้ เ ข้ า สอบดั ด แปลงเสี ย ใหม่ นั้ น ทำให้ ทุ ก ขั้ น ตอน
ดำเนินไปได้ราบรื่นกว่า มันจึงชดเชยคะแนนให้ทันที
และให้คะแนนเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า สำหรับการค้นพบช่อง
โหว่นั้น”
“เอ่อ…”
ฝูงชนพากันหรี่ตาโดยไม่รู้ตัว
“นั่นก็หมายความว่า...ผู้ที่อยู่ข้างในพบข้อผิดพลาด
ถึง 15 ข้อในกระบวนการหลอมยาของนักปรุงยาระดับ 4
ดาว?”
ถ้าใครทำตามกระบวนการหลอมยาของนักปรุงยา
ระดับ 4 ดาวอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ก็จะได้คะแนนเต็ม
100 คะแนน แต่ในเมื่อคะแนนพุ่งขึ้นไปถึง 130 นั่น
หมายความว่าจางเซวียนได้พบข้อผิดพลาด 15 ข้อในคำ
ตอบต้นแบบที่จัดมาโดยนักปรุงยาระดับ 4 ดาว!
บ้าไปแล้ว!
หมอนั่นใช่คนหรือเปล่า!
“ถ้านอกเหนือจากนี้...ผมไม่เห็นว่าจะมีทางไหนที่
เป็นไปได้!” โม่หงอีส่ายหน้า
“ปรมาจารย์โม่พูดขึ้นมาแบบนี้ ผมก็นึกได้เหมือน
กันว่าเคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับการทดสอบเป็นปรมาจารย์
อยู่ครั้งหนึ่ง แต่ในเมื่อไม่มีใครทำได้แบบนั้นมานานแล้ว
ก็เลยลืมเลือนกันไป!” ปรมาจารย์อู๋อดย้ำไม่ได้
เมื่อมีปรมาจารย์ถึง 2 คนยืนยันเรื่องนี้ ฝูงชนก็เริ่ม
จะเห็นว่ามันคงจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า
สถานการณ์แบบนี้มันช่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากคนข้างในจะรู้ข้อผิดพลาดที่หุ่นจำลองทำ
ขึ้นแล้ว เขาก็ยังชี้ข้อผิดพลาดของนักปรุงยาระดับ 4
ดาวได้ด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วมาตรฐานจริงๆของ
เขาในฐานะนักปรุงยาคืออะไร?
“ใครอยู่ข้างในน่ะ? เป็นผู้อาวุโสจากสมาคมนักปรุง
ยาหรือเปล่า?”
นักปรุงยาหงอดถามไม่ได้
“เขาไม่ใช่ผู้อาวุโส เป็นแค่นักปรุงยาระดับ 1 ดาว
แถมยังอายุไม่ถึง 20 ปีด้วย ชื่อของเขาคือ…”
เจียงเฉินกำลังจะบอกชื่อ ประตูห้องไขวิชาชีพก็เปิด
ผาง
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินช้าๆออกมาจากข้างใน
“ฮะ…จางเซวียน? ทำไมมาอยู่ที่นี่?”
นักปรุงยาหงตะลึง
“นักปรุงงยาหง คุณรู้จักเขาด้วยหรือ?”
นักปรุงยาระดับ 2 ดาวที่ยืนอยู่ข้างหลังถามขึ้น
ทันที
“เขา…เขา…”
นักปรุงยาหงหน้าซีด “เขาคือคนที่ช่วยให้ผมฝ่า
ด่านการหลอมยาขั้นสุดท้ายได้ ผู้เชี่ยวชาญที่ผมเพิ่งจะ
พูดถึงไปนั่นแหละ!”
ตอนที่ 307 ออกตัวกี่ที?

“ผู้เชี่ยวชาญ?”
นักปรุงยาระดับ 2 ดาวหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
มองหน้ากันอย่างประหลาดใจ
“ถูกแล้ว ก่อนหน้านี้มีผู้สั่งซื้อยาปลดปล่อยพลัง
หยินและเลือดแรดยักษ์ใช่ไหม? ในบรรดาอาณาจักรที่อยู่
โดยรอบ เราเป็นสาขาที่ใกล้ที่สุดที่มีทั้ง 2 รายการ ผมจึง
ได้รับคำสั่งให้ไปส่งยาที่นั่น!”
นักปรุงยาหงพยักหน้า
“ผมก็รู้เรื่องนี้ พวกเขาพูดกันว่าคุณกำลังจะไป
อาณาจักรเทียนเซวียนซึ่งเป็นอาณาจักรขั้นต่ำสุด แล้ว
ทำไม…”
นักปรุงยาระดับ 2 ดาวซึ่งเป็นคนตั้งคำถามก่อน
หน้ารู้สึกสับสนและถามขึ้นอีก
ไปอาณาจักรขั้นต่ำสุด และได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญ?
ทำให้ทักษะการหลอมยาของเขาพัฒนาขึ้นมาก?
“ผมไปที่อาณาจักรขั้นต่ำสุดนั้นจริงๆ และระหว่าง
การเดิ น ทางก็ ไ ด้ พ บกั บ บุ ค คลผู้ ห นึ่ ง ซึ่ ง สั่ ง ซื้ อ ยา 2
รายการในฐานะนั ก ปรุ ง ยาระดั บ 1 ดาวที่ ผ่ า นการ
ทดสอบโดยวิวาทะยา!” นักปรุงยาหงตอบ
“ผ่านการทดสอบโดยวิวาทะยา?”
ผู้ฟังทุกคนพากันหรี่ตา
ในเมืองเล็กๆและอ่อนแออย่างอาณาจักรเทียนเซ
วียน มีไม่กี่คนที่รู้ว่าวิวาทะยาคืออะไร แต่ในอาณาจักรที่
ใหญ่โตและมีอำนาจอย่างเทียนหวู่ นักปรุงยาทุกคนย่อม
รู้จักมันดี
การทดสอบแบบนี้ยากกว่าการหลอมยาเกรด 1
หลายเท่า ผู้เข้าสอบจะต้องมีความรู้เรื่องการหลอมยา
อย่างลึกซึ้ง ถึงจะสอบผ่าน ตลอดประวัติศาสตร์อัน
ยาวนานหลายพันปีของอาณาจักรเทียนหวู่ ยังไม่มีใคร
สอบผ่านโดยวิวาทะยาสักคนเดียว!
แล้วผู้ที่ได้เป็นนักปรุงยาโดยผ่านวิวาทะยานั้นจะน่า
พรั่นพรึงสักแค่ไหน?
“ตอนแรกที่รู้ข่าว ผมหงุดหงิดมาก คิดว่าทาง
สมาคมนักปรุงยาของอาณาจักรเทียนเซวียนคงไม่รู้กฎ
เกณฑ์ และตีความเอาตามใจ แต่เมื่อผมไปถึงและได้ดู
ผลึกบันทึกที่พวกเขาจัดให้ ก็รู้ว่าตัวเองคิดผิด!” เมื่อ
นึ ก ถึ ง สถานการณ์ ใ นวั น นั้ น นั ก ปรุ ง ยาหงก็ ยั ง
กระอักกระอ่วน
ถ้าจางเซวียนเห็นเขา คงจะจดจำเขาได้ทันที นัก
ปรุงยาหงที่เจียงเฉินตั้งใจจะแนะนำให้จางเซวียนได้รู้จัก
ก็คือนักปรุงยาหงหยุ่น คนที่หาเรื่องเขาที่อาณาจักรเทียน
เซวียน และสุดท้ายก็ต้องลงเอยด้วยการให้ยาปลดปล่อย
พลังหยินและเลือดแรดยักษ์แก่จางเซวียนไปฟรีๆ
ในตอนนั้นเขายังเป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาวอยู่ แต่
หลังจากกลับมาได้เดือนเดียว เขาก็สอบผ่านการเป็นนัก
ปรุงยาระดับ 3 ดาว และได้รับการเลื่อนขั้น
“หรือว่า…ผู้ที่ได้เป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาวโดย
ผ่านวิวาทะยาก็คือ…เขา?”
เมื่อทบทวนความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนัก
ปรุงยาหง นักปรุงยาระดับ 2 ดาวอีกคนก็อุทานขึ้นมา
“ถูกแล้ว เขานั่นแหละ!” นักปรุงยาหงหยุ่นยิ้ม
อย่างขมขื่น
“หลังจากเราได้พบกัน คำชี้แนะที่เขาให้ผมมาก็
ทำให้ผมเกิดความเข้าใจและตาสว่าง ผมจึงสามารถ
หลอมยาเกรด 3 และได้เป็นนักปรุงยาระดับ 3 ดาว!”
ทุกคนหรี่ตาจ้องมองชายหนุ่มอย่างพรั่นพรึง
เขาได้เป็นนักปรุงยาโดยผ่านวิวาทะยา, ชี้แนะให้
นักปรุงยาระดับ 2 ดาวหลอมยาเกรด 3 ได้, แถมยังได้
130 คะแนนในการทดสอบขั้นห้องไขวิชาชีพ…
“เขามีความรู้เรื่องการหลอมยาลึกซึ้งขนาดนั้นได้
อย่างไรในเมื่อยังอายุไม่ถึง 20 ปีเสียด้วยซ้ำ…”
ใครบางคนอดพูดออกมาไม่ได้
ไม่ว่าคนๆหนึ่งจะปราดเปรื่องแค่ไหน ก็ย่อมมีขีด
จำกัดในสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ยากที่จะ
เชื่อได้ว่าเขามีความรู้ลึกซึ้งขนาดนั้น เมื่อดูจากอายุ
“ผมก็สงสัยเหมือนกัน ก็เลยหาคนไปสืบสาวราว
เรื่องมา กลายเป็นว่าเขามีอาจารย์ผู้น่าทึ่งคนหนึ่งที่ชื่อว่า
หยางชวน อาจารย์ของเขาเป็นปรมาจารย์ที่น่าจะมีระดับ
สูงกว่า 3 ดาว!”
“ปรมาจารย์ที่มีระดับสูงกว่า 3 ดาว!” ผู้ฟังถึงกับ
หายใจถี่ด้วยความตื่นเต้น
ก็ เ หมื อ นกั บ อาชี พ อื่ น ๆ ระดั บ ขั้ น สู ง สุ ด ของ
ปรมาจารย์ก็คือ 9 ดาว และทุกๆ 3 ดาว จะถือเป็นอีก
ลำดับชั้นหนึ่ง แม้แต่อาณาจักรอันทรงเกียรติก็อาจจะ
ไม่มีปรมาจารย์ที่เหนือกว่าระดับ 3 ดาวเสียด้วยซ้ำ
ด้วยการมีผู้มีอำนาจหนุนหลัง ไม่แปลกใจเลยว่า
ทำไมอีกฝ่ายถึงมีความสามารถน่าทึ่งขนาดนั้นในวัยเพียง
เท่านี้
…..
ผู้คนยังคงกระซิบกระซาบกันอยู่เมื่อจางเซวียนเดิน
ไปหาปรมาจารย์อู๋
เขาสามารถระบุข้อบกพร่องในการหลอมยาของหุ่น
จำลองได้มากมายตั้งแต่การมองแว่บแรก แต่ด้วยเวลาที่
มีจำกัด จึงไม่อาจชี้ข้อบกพร่องออกมาได้ทั้งหมด แต่ถึง
อย่างนั้น เมื่อหม้อถูกเปิดออกและเห็นยาที่อยู่ในนั้น เขาก็
รู้ว่าตัวเองสอบผ่านแน่นอน
ยาเม็ดที่อยู่ในหม้อนั้นกลมดิกและมีผิวเรียบลื่น มี
ลวดลายเฉพาะตัวปรากฏอยู่บนผิวหน้า มันเป็นยาที่
เหนือกว่าขั้นสมบูรณ์แบบ คือยาโลกจารึก
หลอมยาขั้นนี้ออกมาได้ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะสอบ
ตก
เขาคิ ด ว่ า ในการกำกั บ ให้ เ จ้ า หุ่ น จำลองทำการ
หลอมยา เขาคงจะได้สัก 70 ถึง 80 คะแนน ไม่นึกเลยว่า
จะได้ถึง 130 เมื่อเห็นคะแนนบนประตู จางเซวียนก็
ตะลึง
“มัน…ทำงานผิดพลาดหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ปรมาจารย์อู๋ถึงกับเซก่อนจะ
อธิบาย “นั่นเป็นเพราะคุณพบข้อบกพร่องในวิธีการ
หลอมยาของนักปรุงยาระดับ 4 ดาว…”
“นั่นคือวิธีการของนักปรุงยาระดับ 4 ดาวหรือ?”
จางเซวียนกระพริบตาปริบๆและมีสีหน้าดูถูก “มันเหยาะ
แหยะไปหน่อยไหม?”
ผู้ฟังแทบกระอักเลือด
ไม่ใช่นักปรุงยาระดับ 4 ดาวหรอกที่เหยาะแหยะ
คุณต่างหากที่เกินขนาดไป เอาเถอะ…
ก็ไม่น่าแปลกใจที่จางเซวียนจะคิดแบบนั้น เพราะ
ครั้งนี้เขาไม่ได้พึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้า ทุกอย่างมาจาก
การตัดสินใจของเขาเอง
หลังจากที่ได้ความรู้จากหนังสือทั้งหมดในหอสมุด
ของสมาคมนักปรุงยาแห่งอาณาจักรเทียนเซวียนมาเป็น
ของตัวเอง ความเข้าใจในการหลอมยาเกรด 1 ของเขาก็
แตกต่างไปจากเดิมมาก
หากเขาต้องชี้แนะใครสักคนให้หลอมยาเกรด 2
โดยไม่พึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้า ผลที่ออกมาก็คงจะด้อย
กว่านักปรุงยาระดับ 2 ดาวบางคน แต่สำหรับยาเกรด 1
ก็ไม่ต้องพูดถึง นักปรุงยาระดับ 4 ดาว, หรือต่อให้ระดับ
6 ดาวก็อาจจะสู้เขาไม่ได้
ก็เหมือนกับเคล็ดวิชาเทียบฟ้า มันถูกจำกัดอยู่ที่วร
ยุทธขั้นกึ่งจงซรือ แต่ในเชิงของความรู้พื้นฐาน แม้แต่เท
คนิ ค วรยุ ท ธที่ ล้ ำ ค่ า ที่ สุ ด ในโลกก็ ยั ง ไม่ อ าจสร้ า งพลั ง
ปราณที่บริสุทธิ์อย่างพลังปราณเทียบฟ้าของเขาได้
ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าปรมาจารย์ระดับ 5 ดาว
หรือ 6 ดาวต้องอธิบายวิธีการฝึกวรยุทธขั้นต่ำกว่ากึ่ง
จงซรือลงมา พวกเขาจะไม่มีทางชี้ชัดและเข้าถึงหัวใจ
ของมันได้เท่ากับจางเซวียน
“มาเริ่มการทดสอบขั้นที่ 3 กันเถอะ, ศึกหุ่นจำลอง
ไปได้!”
รู้ตัวว่าพูดกับปีศาจตนนี้ไปก็มีแต่จะเครียด ปรมา
จารย์อู๋จึงเร่งให้เขาเดินไปยังประตูบานที่ 3
“ได้!” จางเซวียนพยักหน้า
“การทดสอบขั้นศึกหุ่นจำลองนี้ไม่มีคะแนน เมื่อ
เข้าไป คุณจะได้พบกับหุ่นจำลองสีแดงตัวหนึ่ง และ
สีน้ำเงินอีกตัวหนึ่งซึ่งมีวรยุทธระดับเดียวกัน คุณจะต้อง
ชี้แนะหุ่นจำลองตัวสีแดงให้เอาชนะตัวสีน้ำเงินให้ได้ เมื่อ
ทำสำเร็จก็ถือว่าสอบผ่าน”
ปรมาจารย์อู๋อธิบายกฎเกณฑ์
“ได้เลย!” ก็เหมือนกับที่หลิงเซียวเซียวอธิบายไว้
ก่อนหน้า จางเซวียนผลักประตูบานนั้นและเดินเข้าไป
โดยไม่รีรอ
ในห้องมีสังเวียนรูปวงกลมซึ่งมีรัศมีราวๆ 20 เมตร
หุ่นจำลอง 2 ตัวอยู่ในวงสังเวียนนั้น ตัวหนึ่งใส่ชุด
สีน้ำเงิน และอีกตัวหนึ่งใส่ชุดสีแดง
เมื่อเห็นเขาเข้าไป ทั้ง 2 ตัวก็ลุกขึ้นต่อสู้กันทันที
ตุ้บ! ปึ้ก! ปั้ก!
ทั้งคู่ต่างแลกหมัดกัน คลื่นพลังจากหมัดของทั้ง 2
ตัวก่อให้เกิดลมพัดอื้ออึงหวีดหวิวไปโดยรอบ
“ทงฉวนขั้นสูงสุด?”
จางเซวียนประหลาดใจมาก
ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองตัวจะสามารถแสดงพละกำลัง
ของนักรบทงฉวนขั้นสูงสุดออกมาได้ ท่วงท่าของมันยัง
ล้ำลึกและลื่นไหลในแบบที่นักรบทงฉวนขั้นสูงสุดตัวจริง
อาจจะยังทำไม่ได้ขนาดนี้
ที่อาณาจักรเทียนเซวียน นักรบทงฉวนขั้นสูงสุดได้
รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดของความแข็งแกร่ง แต่ก็
เทียบกับเจ้าหุ่นจำลองตัวนี้ไม่ได้เลย
สมกับที่เป็นสภาปรมาจารย์!
“การทดสอบขั้นนี้ยากจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่า
ทำไมผู้ ค นถึ ง พู ด กั น ว่ า ไม่ มี ท างผ่ า นการทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ได้ หากยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูงสุด
เสียก่อน เหตุผลมันเป็นแบบนี้เอง!”
ก็เพราะจางเซวียนมีวรยุทธที่สมบูรณ์แบบ ใครที่มี
วรยุทธแตกต่างออกไปก็ถือว่าผิด สำหรับเขา การระบุข้อ
บกพร่องใดๆก็ล้วนแต่เป็นเรื่องหมูๆไปหมด
ใช้ เ วลาไม่ น าน จางเซวี ย นก็ จ ดจำข้ อ บกพร่ อ ง
ทั้งหมดของเจ้าหุ่นจำลองทั้ง 2 ตัวได้
ฟึ่บ!
การต่อสู้จบลง
ก็ เ หมื อ นกั บ สิ่ ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในห้ อ งไขวิ ช าชี พ เมื่ อ ครู่
ก่อนหน้า มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นแจ้งให้เขาชี้แนะเจ้า
หุ่นจำลองตัวสีแดงให้ต่อสู้จนได้ชัยชนะ
“ท่ ว งท่ า ของหุ่ น จำลองสี แ ดงรุ น แรงและดุ เ ดื อ ด
ขณะที่หุ่นสีน้ำเงินจะอ่อนช้อยและว่องไวกว่า ทั้งคู่มีจุด
แข็งของตัวเอง ทำให้ยากที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเอาชนะ
ได้… ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราจะชี้ข้อบกพร่องของทั้ง 2 ตัว
ในแบบที่ทำให้ตัวสีแดงได้เปรียบตัวสีน้ำเงิน…”
จางเซวียนวางแผนอย่างว่องไว และเมื่อแน่ใจว่า
มันเข้าท่าแล้ว เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ตุ้บ! ปึ้ก! ปั้ก!
หลังจากเขาคิดตกได้ไม่นาน หุ่นทั้งสองตัวก็เริ่มสู้
กันอีก
“เจ้าหุ่นแดง ถอยไป 3 คุ่น บิดตัวไปทางขวาครึ่ง
รอบ แล้วออกหมัด…”
เห็นเจ้าหุ่นจำลองทั้ง 2 ตัวตะลุมบอนกันอีกรอบ
จางเซวียนเริ่มสั่งการ
……
“คุณว่าเขาจะสอบผ่านขั้นนี้ไหม? ถึงทักษะการเป็น
นั ก ปรุ ง ยาจะโดดเด่ น มาก แต่ ค วามสามารถในการ
ถ่ายทอดความรู้เรื่องวรยุทธอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้!”
“ดูเหมือนคุณจะยังไม่รู้ นัปรุงยาหงหยุ่นเพิ่งจะบอก
เมื่อครู่นี้เองว่า จางเซวียนเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ที่มี
ระดับเหนือกว่า 3 ดาว!”
“ลู ก ศิ ษ ย์ ข องปรมาจารย์ ที่ มี ร ะดั บ เหนื อ กว่ า 3
ดาว? ถ้าอย่างนั้น…เขาสอบผ่านแน่ๆ!”
“จริงด้วย…”
ปรมาจารย์คือผู้ที่คุ้นเคยและเชี่ยวชาญการชี้แนะ
วรยุทธให้กับผู้อื่น ในเมื่อเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ ความ
สามารถของเขาในการชี้แนะวรยุทธให้กับผู้อื่นก็ย่อมจะ
เหนือชั้นกว่าการชี้แนะให้ผู้อื่นทำการหลอมยา คงจะตลก
พิลึกถ้าเขาไม่ผ่านการทดสอบขั้นนี้
“ถึงการทดสอบขั้นนี้จะไม่มีคะแนน แต่คนส่วน
ใหญ่ ก็ เ ปรี ย บเที ย บผลการทดสอบระหว่ า งผู้ เ ข้ า สอบ
แต่ละคนโดยดูจากระยะเวลาที่ใช้ และจำนวนครั้งของ
การเคลื่อนไหว!”
ปรมาจารย์อู๋ยืนลูบเคราอยู่หน้าประตูบานที่ 3
ปราจารย์คนอื่นๆต่างก็พยักหน้า
ในการชี้แนะผู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกันให้ต่อสู้กัน
นั้น การใช้เวลา 3 นาทีกับ 10 วินาทีถือเป็นแนวคิดที่
ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่ได้รับคำชี้แนะ ผู้ที่ออกตัว
100 ครั้งกับออกตัวเพียงครั้งเดียวเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ ก็
เป็นแนวคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
“ผมจำได้ว่าปรมาจารย์โม่ชี้แนะหุ่นจำลองตัวสีแดง
ให้เอาชนะตัวสีน้ำเงินได้โดยใช้การออกตัวไม่ถึง 20 ครั้ง
และนั่นก็กลายเป็นตำนานของสภาปรมาจารย์ไปเลย!”
ปรมาจารย์อู๋มองโม่หงอีอย่างชื่นชม
“17 ครั้ง!”
โม่หงอีพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ใช่แล้ว, 17 ครั้ง! การชี้แนะให้หุ่นตัวหนึ่งเอาชนะ
อีกตัวหนึ่งได้โดยออกตัวแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งๆที่มันมีระดับวร
ยุ ท ธเท่ า กั น ก็ แ ปลว่ า ความเข้ า ใจเรื่ อ งวรยุ ท ธของ
ปรมาจารย์โม่สูงส่งนัก!”
หลังจากชมเชยอีกฝ่ายแล้ว ปรมาจารย์อู๋ก็หันไปที่
ประตู “แต่นั่นแหละ ผมก็ยังสงสัยว่าจางเซวียนจะต้อง
ออกตัวกี่ครั้ง!”
“ผมก็อยากรู้!” แววตาของโม่หงอีเป็นประกายขึ้น
มาแว่บหนึ่ง
อีกฝ่ายทำลายสถิติของเขาไปหลายอย่างแล้ว เขา
จึงอยากรู้ว่าเจ้าคนที่มาจากอาณาจักรเทียนเซวียนจะ
เหนือชั้นได้สักแค่ไหน ความสามารถในการชี้แนะวรยุทธ
ของเขาจะน่ า ทึ่ ง เหมื อ นกั บ ทั ก ษะอื่ น ๆที่ เ ขาเพิ่ ง จะ
แสดงออกไปหรือเปล่า?
….
“ด้วยอายุที่ยังไม่ถึง 20 ปี ผมยอมรับว่าทักษะการ
หลอมยาของเขาถือเป็นปรากฏการณ์ทีเดียว แต่ก็ไม่เชื่อ
ว่าเรื่องวรยุทธจะเยี่ยมยอดได้แบบนั้น!”
เจียงเฉินพึมพำขณะที่จับจ้องประตู
เขาเติบโตขึ้นมาในตระกูลของปรมาจารย์ และภาย
ใต้คำชี้แนะของบิดา เขาแทบไม่เคยเจอปัญหาในการฝึก
ฝนวรยุทธของตัวเองเลย ทั้งยังมีความรู้ความเข้าใจอย่าง
ลึกซึ้งด้วย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังต้องออกตัวถึง 25 ครั้ง
กว่าจะสอบขั้นตอนนี้ผ่าน จึงไม่เชื่อว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะ
ทำได้ดีกว่าเขา
“การสาธิตครั้งแรกใช้เวลาประมาณ 300 อึดใจ
และ 10 อึดใจหลังจากนั้น การทดสอบก็จะเริ่ม เมือ่ ดู
จากสมมติฐานที่ว่าการออกตัว 1 ครั้งใช้เวลา 1 อึดใจ
เราก็ พ อจะคำนวณคร่ า วๆได้ ว่ า เขาจะต้ อ งออกตั ว กี่
ครั้ง…”
แม้เจียงเฉินจะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเทียบสถิติของเขา
ได้ แต่ก็ยังประสาทกินอยู่
เพราะหมอนี่ได้ทำทุกอย่างที่เหนือความคาดหมาย
ของเขามาแล้ว
ก่อนหน้านี้ ถ้ามีใครสักคนบอกเขาว่ามีผู้ได้รับระดับ
ความเชื่อใจถึง 85 หลังจากที่สอนลูกศิษย์มาแค่สองสาม
วัน เขาคงถ่มน้ำลายใส่หน้าเจ้าคนนั้น
ถ้ า ใครสั ก คนบอกว่ า มี ผู้ เ ข้ า รั บ การทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ที่ได้ 130 คะแนนในขั้นห้องไขวิชาชีพ เขาก็
คงจะฉีกปากมันเสีย
แต่ตอนนี้…ทุกสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ก็ล้วนเกิด
ขึ้นกับหมอนี่
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบขี้หน้าจางเซวียนด้วยเรื่องของ
โม่หยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มีความสามารถ
เหนือชั้นจริงๆ
“312, 313, 314…”
เขานับเวลา และเคาะนิ้วชี้ขวาบนแขนซ้าย
เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งตาโตขึ้นทุกที
“333, 334, 335!”
ในที่สุด เมื่อเขานับมาถึง 335 อึดใจ ซึ่งเป็นระยะ
เวลาทั้งหมดที่เจียงเฉินใช้ในการทดสอบขั้นนี้ อีกฝ่ายก็
ยังไม่ออกมาจากห้อง เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
และมีสีหน้ายินดีปรีดา
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนความสามารถในการชี้แนะวรยุทธ
ของเขาจะไม่เจ๋งเท่าไหร่…”
เจียงเฉินพึมพำและเลิกคิ้ว
เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะทำให้เขาประหลาดใจเหมือน
กับการทดสอบ 2 ขั้นที่ผ่านมา แต่สุดท้าย ผ่านไป 335
อึดใจแล้วเขาก็ยังอยู่ในห้อง นั่นหมายความว่า ภายใต้คำ
ชี้แนะของเขา...หุ่นจำลองตัวสีแดงไม่สามารถเอาชนะตัว
สีน้ำเงินได้ภายในการออกตัว 25 ครั้ง ต่อให้หมอนั่นออก
จากห้องมาตอนนี้ ผลการทดสอบก็จะยังด้อยกว่าของเขา
….
ตอนที่เจียงเฉินกำลังตาโต ปรมาจารย์อู๋กับโม่หงอีก็
มองหน้ากัน ต่างคนต่างส่ายหน้า
“ดูเหมือนทักษะการถ่ายทอดวรยุทธของเขาจะไม่ดี
นัก!”
“ทุกคนย่อมมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ขณะที่
เขามีทักษะการหลอมยาเป็นเลิศ ความสามารถในการชี้
แนะวรยุทธกลับยังอ่อนด้อยอยู่ แต่ว่า…”
โม่หงอีเงยหน้า และด้วยความสดใสมั่นใจถึงขีดสุด
เขาพูดว่า “แต่จางเซวียนละเลยการฝึกฝนขั้นพื้นฐาน
ของตัวเอง ไม่มีความจำเป็นจะต้องกลัวคนแบบนี้เลย!”
คุณมาเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ ความรับ
ผิดชอบหลักของปรมาจารย์ก็คือให้คำชี้แนะด้านวรยุทธ
เพื่อที่ลูกศิษย์ของตัวเองจะได้แข็งแกร่งขึ้น
คุณเก่งกาจเรื่องการหลอมยา แล้วอย่างไร? มีนัก
ปรุงยาเก่งๆอีกมากมายที่พร้อมจะอุทิศทั้งชีวิตให้กับการ
หลอมยา ไม่มีเหตุผลที่ใครจะต้องตามหาคุณเลย!
อาจารย์ ค นหนึ่ ง จะมี ป ระโยชน์ อ ะไร ถ้ า เขาขั บ
เครื่องบินเก่งแทนที่จะสอนเก่ง?
เขาหลงลืมหัวใจแห่งความรับผิดชอบในอาชีพไป
ในการทดสอบ 2 ขั้นก่อนหน้า เจ้าหนุ่มคนนี้ทำผล
การทดสอบได้เป็นเลิศจนโม่หงอีคิดว่า นับจากวันนี้ไป
หมอนี่จะต้องเป็นคู่แข่งตัวยงของเขา แต่เท่าที่ดูตอนนี้ ก็
ดูเหมือนว่าตัวเขาเองจะคิดมากไป
ถ้าหมอนั่นไม่เอาไหนเรื่องการชี้แนะวรยุทธ เขาก็
ไม่มีอะไรจะต้องกลัวเลย
“จริงด้วย น่าเสียดาย…”
ปรมาจารย์อู๋ก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ความเสียใจปรากฏ
ขึ้นบนสีหน้าของเขา
อีกฝ่ายได้ผลการทดสอบดีเยี่ยมในการทดสอบทั้ง 2
ขั้นก่อนหน้า ปรมาจารย์อู๋จึงคิดว่าในการทดสอบขั้นที่ 3
เขาก็ต้องทำได้ดีเหมือนกัน แต่เท่าที่ดู ก็เหมือนว่าเขาจะ
คาดหวังในตัวฝ่ายนั้นมากไป
ในโลกนี้จะมีใครที่เก่งกาจไปเสียทุกอาชีพ?
ในเมื่อเขาเป็นนักปรุงยาผู้ไร้เทียมทานไปแล้ว มัน
จะมากไปไหมถ้าจะคาดหวังให้เขาเป็นผู้รอบรู้เรื่องวร
ยุทธด้วย?
ความคิดของทุกคนยังคงกระเจิดกระเจิง จนอีก 10
อึดใจผ่านไป
แอ๊ด! ในที่สุดประตูก็เปิด จางเซวียนโผล่แต่หัวออก
มา
“ใช้เวลาทั้งหมด 352 อึดใจ นั่นหมายความว่าหุ่น
จำลองทั้ง 2 ตัว มีการออกตัวทั้งหมด 42 ครั้ง…”
เจียงเฉินเยาะเย้ย กำลังตั้งท่าจะทับถมอีก จางเซวี
ยนก็เกาหัวอย่างขัดเขิน
“ระหว่างที่…ผมชี้แนะ เจ้าหุ่นตัวสีแดงปล่อยพลัง
มากเกิ น ไปจนตั ว สี น้ ำ เงิ น หั ว หั ว หลุ ด กระเด็ น …ผม
พยายามซ่อมมัน แต่ทำไม่ได้ ผมจะถามว่า…เอ่อ…ผมไม่
ได้สอบตกใช่ไหม?”
“หัวหลุด?”
“ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของโครงสร้างหรือ
พละกำลัง ทั้งคู่ก็อยู่ในระดับเดียวกัน อย่างมากที่สุดก็
ทำได้แค่ให้หุ่นอีกตัวยอมแพ้เท่านั้น นี่ถึงกับหัวหลุด…มัน
เกิดอะไรขึ้น?”
ฝูงชนพากันช็อก ในวินาทีนั้น ทั้งห้องสอบก็ตกอยู่
ในความเงียบ
ตอนที่ 308 มหานทีแห่งวรยุทธ

บรรดาช่างตีเหล็กชั้นยอดได้รับเชิญให้มาสร้างหุ่น
จำลองที่ ใ ช้ ใ นการทดสอบขั้ น นี้ รวมทั้ ง ถ่ า ยทอดจิ ต
วิญญาณเข้าไปในตัวของพวกมัน ทั้งท่วงท่าและระดับวร
ยุทธของหุ่นทั้ง 2 ตัว ได้รับการปรับให้อยู่ในระดับ
เดียวกัน ทำให้ยากที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเอาชนะได้
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้เข้าสอบจะทำได้แค่ทำให้
หุ่นอีกตัวหนึ่งได้เปรียบเล็กน้อย เพื่อที่จะได้เอาชนะอีก
ตัวหนึ่งได้เท่านั้น
แต่หมอนี่ทำให้หุ่นตัวหนึ่งปล่อยพลังเข้าปะทะจน
อีกตัวหัวหลุดออกมา…เขาทำได้อย่างไร?
ปรมาจารย์อู๋ โม่หงอี และปรมาจารย์อีกสองสาม
คนรีบเดินเข้าไปดูข้างใน พวกเขาถึงกับต้องหรี่ตามอง
และแทบลมจับ
หุ่นจำลองตัวตัวสีน้ำเงินนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น หัว
ของมันกระเด็นหลุดไปไกล
ส่วนหุ่นตัวสีแดงที่เพิ่งจะอัดจนตัวสีน้ำเงินหัวหลุด
พวกเขาคิ ด ว่ า มั น ก็ ค งจะได้ รั บ บาดเจ็ บ สาหั ส จากการ
ออกตัวอันรุนแรงนั้น แต่เมื่อมองไปที่หุ่นสีแดง ก็รู้ว่าคิด
ผิด
หุ่นสีแดงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
ไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิด แถมยังทำให้อีกตัวหัวหลุด
ได้…
บ้าไปแล้ว!
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ในการต่อสู้โดยทั่วไป สถานสถานการณ์แบบนี้จะ
เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อระดับวรยุทธของฝ่ายหนึ่งสูงกว่าอีก
ฝ่ายหนึ่งมาก
แค่ชี้แนะไม่กี่คำ เจ้าหุ่นจำลองสีแดงก็เพิ่มพละ
กำลังของตัวเองได้จนถึงขนาดทำตัวสีน้ำเงินหัวหลุดเลย
หรือ?
ทำไมมันเหมือนฝันแบบนี้?
"คุณบอกว่าใช้เวลาซ่อมมันอยู่นาน…แล้วหุ่นสีแดง
ออกตัวกี่ครั้งก่อนที่เจ้าตัวสีน้ำเงินจะยอมแพ้? โม่หงอี
ถาม
เป็นเรื่องเดียวที่เขาอยากรู้มากที่สุด
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทุกคนก็ถึงกับหูผึ่ง กลัวว่าจะ
พลาดคำตอบ
“ออกตัวกี่ที? ด้วยพละกำลังหนักหน่วงของเจ้าหุ่น
จำลองสีแดง ทีเดียวก็เกินพอแล้ว ขืนออกตัวมากกว่านี้
ล่ะก็ ป่านนี้หุ่นสีน้ำเงินคงเละ…” จางเซวียนใบ้กิน
คุณหมายความว่าอย่างไร ที่ว่าออกตัวกี่ที? เจ้าหุ่น
สีน้ำเงินนี่ แค่ทีเดียวก็ไม่รอดแล้ว ขืนเจ้าตัวแดงออกตัว
มากกว่านี้ มันไม่พังยับหรือ?
“ทีเดียว…”
โม่หงอี เจียงเฉิน และคนอื่นๆถึงกับตาพร่า
พวกเขาต่างคิดว่า 17 ทีและ 25 ทีของตัวเองก็
แสนจะน่าทึ่งแล้ว ไม่นึกเลยว่าหมอนี่ออกตัวแค่ทีเดียว…
ด้วยการออกตัวครั้งเดียว ไม่เพียงแต่เขาจะทำให้
หุ่น 1 ใน 2 ตัวต้องยอมแพ้ แต่มันยังถึงกับหัวหลุดด้วย…
เขายังเป็นมนุษย์หรือเปล่า?
และที่หนักกว่าก็คือ…มันเรื่องอะไรจะต้องทำหน้า
เหยเกแบบนั้น?
ภายใต้การชี้แนะของผู้เข้าสอบคนอื่นๆ หุ่นทั้งสอง
ตัวจะต้องแลกหมัดเข่าศอกกันหลายครั้งกว่าการต่อสู้จะ
ยุติ แต่ด้วยการชี้แนะของคุณ เจ้าหุ่นจำลองตัวสีแดง
สามารถทำเจ้าตัวสีน้ำเงินพังได้ด้วยหมัดเดียว…
“เอ่อ…ขอโทษเถอะ แต่เจ้าตัวสีแดงเอาชนะตัว
สีน้ำเงินได้ในหมัดเดียว…คุณทำได้อย่างไรกัน?”
ปรมาจารย์อู๋เก็บความสงสัยไว้ไม่ได้อีกต่อไป เขา
ถามคำถามที่ทุกคนอยากรู้
ปรมาจารย์ทุกคนเคยผ่านการทดสอบในขั้นศึกหุ่น
จำลองมาแล้ว และพวกเขารู้ดีว่าหุ่นทั้งคู่มีพละกำลังเท่า
กันเป๊ะ ในการต่อสู้แบบธรรมดาทั่วไป หากเอาชนะกันได้
ภายในการออกตัว 12 ครั้งก็ถือว่าน่าทึ่งแล้ว ส่วนครั้ง
เดียวนั้นไม่ต้องพูดถึง
โม่หยู่ก็มองเขาอย่างสงสัย เธอเพิ่งจะเข้าสอบเมื่อ
สองสามวันก่อน และออกตัวไป 22 ครั้งก่อนจะประสบ
ความสำเร็จ เธอจึงอยากรู้เหมือนกันว่าอาจารย์จางใช้วิธี
ไหน
เมื่อได้ยินคำถาม จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะ
ตอบแบบง่ า ยๆ “ง่ า ยมาก! หุ่ น ตั ว แดงมี พ ละกำลั ง
แข็งแกร่ง ในขณะที่หุ่นตัวน้ำเงินมีความว่องไว ถ้า
เป็นการต่อสู้ทั่วๆไป การจะเอาชนะกันย่อมเป็นเรื่องยาก
แต่ทีนี้ มันจะง่ายถ้าคุณรู้ข้อบกพร่องในการเคลื่อนไหว
ของตัวสีน้ำเงิน เพราะไม่ว่ามันจะว่องไวอย่างไร ก็เป็นไป
ไม่ได้ที่จะเคลื่อนไหวไม่หยุด! ด้วยการทำนายตำแหน่งที่
ตัวสีน้ำเงินจะหยุด และจากนั้นก็ชี้แนะตำแหน่งที่ตัวสี
แดงควรจะปล่อยพลังออกไป เจ้าตัวสีน้ำเงินก็จะยอมแพ้
ได้อย่างง่ายดาย…”
“ทำนาย?”
“มองเห็นตำแหน่งของอีกฝ่ายล่วงหน้า?”
ทุกคนถึงกับตัวสั่น
จางเซวียนพูดง่าย แต่การทำจริงนั้นยากมาก
ทุกคนรู้ดีว่า ด้วยพละกำลัง 10000 ติ่ง ต่อให้เป็น
นักรบขั้นจงซรือ ก็พ่ายแพ้ได้ภายในหมัดเดียว แต่นั่น
แหละ…ถึ ง จะรู้ ว่ า มั น เป็ น เรื่ อ งจริ ง แต่ ก็ ไ ร้ ป ระโยชน์
เพราะไม่มีใครปล่อยพละกำลังมากมายขนาดนั้นได้
ก็เช่นเดียวกันวิธีการที่จางเซวียนพูด มันฟังดูง่าย
มากก็จริง แต่การต่อสู้นั้นเปลี่ยนแปลงไปทุกวินาที คลาด
กันเพียงหนึ่งในสิบหรือหนึ่งในร้อยของหนึ่งอึดใจ ก็หมาย
ถึงความล้มเหลว และถ้ามันผิดพลาดแล้ว อีกฝ่ายก็
สามารถใช้ช่วงเวลาที่เหลื่อมกันนี้ตอบโต้ได้
การทำนายตำแหน่งของตัวสีน้ำเงินเพื่อให้ตัวสีแดง
เข้าโจมตีหัวของมันได้ด้วยหมัดเดียว…
การจะทำแบบนี้ได้ ไม่เพียงแต่จะต้องมองภาพรวม
ทั้งหมดของการต่อสู้ให้ออก แต่ยังจะต้องรู้ถึงพละกำลัง
สภาพร่างกาย ความเร็วของการเคลื่อนไหว และการออก
หมัดของหุ่นทั้ง 2 ตัวด้วย!
ต้องรู้ทั้งหมดนี้ ถึงจะออกคำสั่งได้อย่างถูกต้องและ
ทำแบบนั้นออกมาได้…
จะบ้าหรือไง!
พี่ชาย นี่คุณเป็นปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวที่ปลอม
ตัวมาเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว เพื่อปั่นหัว
พวกเราใช่ไหม?
ร่างบอบบางของหลิงเซียวเซียวโงนเงนและใกล้จะ
ทรุดเต็มที
ตอนที่เธอพบกับอีกฝ่ายเมื่อวาน ก็คิดว่าเขาเป็นผู้
ช่วยเซ่อซ่าคนหนึ่ง มาตอนนี้เองถึงได้รู้ว่า แท้ที่จริงเขา
เป็นปีศาจที่ปลอมตัวมา!
ทำตัวโง่เง่าแต่สอบได้ขนาดนี้…คุณมันปีศาจ…นี่คุณ
โผล่มาจากที่ไหนกัน?
เธอรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจหายคอแทบไม่ออก
ถ้าไม่ฝืนไว้ คงกระอักเลือดออกมาแล้ว
“เอ่อ…ผมต้องจ่ายค่าเสียหายใช่ไหม?”
หลังจากอธิบายแล้ว ทุกคนในห้องก็เงียบกริบ จาง
เซวียนชี้ไปที่หุ่นจำลองบนพื้นอย่างกังวลใจ
“เจ้าหุ่นพวกนี้น่ะมีความสามารถในการฟื้นฟูตัว
เอง ได้พักสัก 2-3 วันก็จะดีเหมือนใหม่!”
ปรมาจารย์อู๋พยักหน้าหลังจากกระชากตัวเองกลับ
มาสู่ความเป็นจริง
“เยี่ยมเลย…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้น…ผมก็สอบผ่าน?”
“ใช่สิ!” ปรมาจารย์อู๋ยิ้มเจื่อนๆ
คนอื่นๆก็กลอกตากันอีกรอบ
ด้วยการชี้แนะของคุณ เจ้าหุ่นจำลองสีแดงถึงกับ
อัดตัวสีน้ำเงินหมัดเดียวหัวหลุด ถ้าคุณสอบไม่ผ่าน แล้ว
ใครจะผ่าน?
“การทดสอบขั้นต่อไปคือมหานทีแห่งวรยุทธ!”
ปรมาจารย์อู๋ข่มความกระอักกระอ่วนไว้และอธิบาย
เนื้อหาของการทดสอบขั้นต่อไป “มหานทีแห่งวรยุทธ
ประกอบขึ้นจากเทคนิควรยุทธจำนวนนับไม่ถ้วน จะมี
การสุ่มเลือกหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง และผู้เข้าสอบจะต้อง
จัดการสอนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา
ระหว่างการสอน ไม่เพียงแต่จะมีปรมาจารย์หลายท่าน
เป็นผู้ตัดสิน แต่ยังมีระฆังปราชญ์โบราณด้วย!”
“ระฆั ง ปราชญ์ โ บราณคื อ สมบั ติ ล้ ำ ค่ า ด้ า นจิ ต
วิ ญ ญาณที่ มี ค วามเข้ า ใจในตั ว มั น เอง นั ก ปราชญ์ รุ่ น
ก่อนๆได้สลักเทคนิควรยุทธของตัวเองไว้ภายใน ถ้าผู้เข้า
สอบไม่สามารถทำให้ระฆังพอใจได้ มันก็จะไม่ดัง และ
เขาก็จะสอบตก ยิ่งดังมากเท่าไหร่ ก็หมายถึงความถูก
ต้องและแม่นยำของเนื้อหาในการสอนของผู้นั้น!”
จางเซวียนพยักหน้า
“เอาล่ะ คุณเข้าไปได้แล้ว ปรมาจารย์ทั้งหลาย
กรุณาตามผมเข้าไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ผมคงต้องขอให้
พวกคุณรออยู่ข้างนอก”
ปรมาจารย์อู๋พูดขณะที่มองไปรอบๆ
การทดสอบขั้นที่ 4 มหานทีแห่งวรยุทธ จะต้องมี
บรรดาปรมาจารย์เป็นผู้ตัดสิน คนนอกไม่สามารถเข้า
ร่วมการทดสอบได้
“ได้!” ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน
จางเซวียนผลักประตูและเดินเข้าไปในห้อง
มหานทีแห่งวรยุทธก็เหมือนกับห้องเรียนทั่วๆไป
วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการทดสอบก็คือการประเมิน
ความสามารถของผู้ เ ข้ า สอบในด้ า นการเรี ย บเรี ย งบท
เรียนและทำการสอน
ไม่ว่าปรมาจารย์ผู้หนึ่งจะเก่งกาจและชี้แนะเก่งสัก
แค่ไหน หากสอนไม่เก่ง ก็คงเป็นได้แค่ผู้ชี้แนะส่วนตัว
ไม่มีทางเป็นอาจารย์ที่ดีได้
อาจารย์ ผู้ เ ก่ ง กาจย่ อ มมี ลู ก ศิ ษ ย์ ลู ก หาอยู่ ทั่ ว โลก
และลูกศิษย์ของเขาทุกคนก็ย่อมจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ
หากสร้างสรรค์ลูกศิษย์ที่เก่งกาจได้แค่ 1 หรือ 2
คน ก็คงไม่มีอะไรให้ประทับใจ
จางเซวียนมองไปรอบๆห้อง มีระฆังขนาดมหึมาที่
หรูหรางดงามแขวนอยู่เป็นแถวตลอดสองฟากของห้อง
นั้น ระฆังทุกใบสูงพอๆกับตัวคน มีคำสอนที่ลึกซึ้งและ
เป็นเอกลักษณ์สลักอยู่ในนั้น
มีโต๊ะและเก้าอี้จำนวนหนึ่งอยู่กลางห้อง พวกมันถูก
จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนในห้องเรียน
ทั่วไป
ปรมาจารย์มากกว่า 10 คนเดินเข้ามา ทุกคนต่าง
หาที่นั่ง
ตอนนี้พวกเขาเป็นลูกศิษย์ และมีอาจารย์แค่คน
เดียวคือจางเซวียน
เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว ประตูก็ปิด ทั้งห้องเงียบกริบ
ทันที
ตึ้ง!
โต๊ะสั่นสะเทือนอยู่ชั่วขณะ และหนังสือเล่มหนึ่ง
ปรากฏขึ้น
“นี่คือเคล็ดวิชาที่ถูกสุ่มเลือกมาจากหอสมุด คุณมี
เวลาแค่หนึ่งก้านธูปในการอ่านมัน ก่อนที่จะเรียบเรียง
เป็นบทเรียน! ระฆังปราชญ์โบราณจะวิเคราะห์เนื้อหาใน
การสอนของคุณ และพวกเราก็จะใช้วิจารณญาณตัดสิน
เช่นกัน ผลการตัดสินครั้งสุดท้ายว่าคุณจะสอบผ่านหรือ
ไม่ จะขึ้นอยู่กับทั้งคะแนนจากพวกเราและจากระฆัง
ปราชญ์โบราณ”
ปรมาจารย์อู๋อธิบายเมื่อเห็นหนังสือปรากฏขึ้น
ระฆั ง ปราชญ์ โ บราณเป็ น สิ่ ง ที่ ต กทอดมาจาก
ปรมาจารย์ระดับ 4 ดาว ภายในมีความเข้าใจเรื่องเทคนิ
ควรยุทธ เทคนิคการต่อสู้ คุณงามความดีและข้อผิด
พลาดของพวกเขาสลักเอาไว้ ตราบใดที่เนื้อหาในการ
สอนของผู้เข้าสอบเป็นไปตามแนวคิดที่ถูกสลักไว้ ผู้นั้นก็
จะได้การยอมรับจากระฆังปราชญ์โบราณ แต่หากการ
สอนของใครเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด ระฆังก็จะไม่ดัง
แม้จะดูเหมือนยุ่งยาก แต่อันที่จริงก็เหมือนกับการ
ทดสอบในขั้นห้องไขวิชาชีพ
ในห้องไขวิชาชีพ ความถูกต้องในคำชี้แนะของผู้
เข้าสอบจะแสดงให้เห็นออกมาเป็นคะแนน แต่ในการ
ทดสอบขั้นนี้จะแสดงออกผ่านเสียงระฆัง
“ได้!” เมื่อได้ฟังคำอธิบายของปรมาจารย์อู๋ จางเซ
วียนก็ยื่นมือไปเปิดหนังสือที่อยู่ตรงหน้า
“ฝ่ามือน้ำกระเพื่อม?” สายตาหลายคู่จับจ้องที่หน้า
ปกหนังสือ
มันคือเทคนิคการต่อสู้ชนิดหนึ่ง
“ฝ่ามือน้ำกระเพื่อม? ดูเหมือนเขาจะโชคไม่ค่อยดี
สักเท่าไร นี่เป็นเทคนิควรยุทธที่ล้ำลึกที่สุดเทคนิคหนึ่งที่
สภาปรมาจารย์นำมาใช้ในการทดสอบ!”
“ถูกแล้ว ยิ่งเทคนิคล้ำลึกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่ง
ทำความเข้าใจและอธิบายออกมาได้ยาก ตลอดระยะ
เวลาหลายพันปีที่สภาปรมาจารย์แห่งนี้ก่อตั้งมา มีผู้เข้า
สอบ 8 คน ที่ได้หนังสือเล่มนี้ และ 7 คนในนั้นสอบตก
อีกคนหนึ่งที่เหลือนั้นพอจะเข้าใจเทคนิคนี้อยู่บ้าง และ
สอบผ่านอย่างเฉียดฉิว!”
“ต่อให้เขาดวงดีและสอบผ่าน ผลการทดสอบก็
คงจะไม่ออกมาดีเหมือนที่ผ่านมา…”
เมื่อเห็นชื่อหนังสือ ปรมาจารย์หลายคนก็ส่ายหน้า
พวกเขามีสีหน้าเห็นใจ
มหานทีแห่งวรยุทธจะเลือกเทคนิคการฝึกวรยุทธ
และเทคนิคการต่อสู้แบบสุ่ม ดังนั้นโชคชะตาจึงมีส่วนอยู่
มาก ถ้าใครโชคดีก็จะได้รับหนังสือง่ายๆ หรือเทคนิคที่
เขารู้จักมาก่อนแล้ว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะทำความ
เข้าใจและถ่ายทอดออกมาได้ดี แต่หากได้เทคนิคยากๆ ที่
ตัวเองไม่เคยแม้แต่จะฝึกฝน แล้วจะเรียบเรียงออกมา
เป็นบทเรียนได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าจางเซวียนโชคไม่ดีนัก
ฝ่ามือน้ำกระเพื่อมอาจไม่ใช่เทคนิคการต่อสู้ที่ยาก
ที่สุดเท่าที่เคยมีการร่ำเรียนกันมาในสภาปรมาจารย์ก็จริง
แต่ก็อยู่ไม่ห่างไกลจากคำนั้นเท่าไร
นักรบจำนวนนับไม่ถ้วนได้พยายามอย่างแสนสาหัส
เพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ แต่ก็ต้องล้มเหลว แทบจะเป็นไป
ไม่ได้เลยที่จะทำความเข้าใจเทคนิคนี้ได้ภายในช่วงเวลา
เพียง 1 ก้านธูป
จางเซวียนไม่รู้เรื่องรู้ราวกับความคิดของฝูงชนตรง
หน้า เขาเปิดหนังสืออย่างสบายใจ พลิกดูมันคร่าวๆ จาก
นั้นก็พยักหน้า
แม้เคล็ดวิชานี้จะล้ำลึก แต่ก็ไม่ได้เกินไปจากขอบ
เขตของวรยุทธขั้นทงฉวน
ด้วยการมีเพลงหอกเทียบฟ้า ศิลปะการเคลื่อนไหว
เทียบฟ้า และอื่นๆ เขาจึงมีความเข้าใจอย่างล้ำลึกใน
เทคนิคการต่อสู้ ตราบใดที่มันยังอยู่ในขอบเขตของระดับ
วรยุทธที่เขามี ต่อให้ยากหรือล้ำลึกแค่ไหน จางเซวียนก็
สามารถรู้ได้แม้แต่ความตั้งใจของผู้คิดค้นเคล็ดวิชานั้น
ทั้งยังแจกแจงวิธีการฝึกฝนเคล็ดวิชาได้อย่างถูกต้องด้วย
จากการถูกฝึกปรือโดยหอสมุดเทียบฟ้า สายตาของ
จางเซวียนจึงเฉียบแหลมกว่าคนธรรมดา ในหลายๆครั้ง
ที่ผ่านมา แม้จะไม่ใช้หอสมุดเทียบฟ้า เขาก็สามารถระบุ
ข้อบกพร่องในการฝึกวรยุทธของคนๆหนึ่งได้ 1 หรือ 2
อย่าง และทำให้คนเหล่านั้นตาสว่าง
ก็เหมือนกับการสัมผัสธนบัตรของจริง ต่อให้ไม่เคย
เห็นธนบัตรปลอมมาก่อน แต่เพียงแค่แตะ ก็จะรู้ได้ว่าใบ
ไหนที่เป็นของจริง
เคล็ดวิชาเทียบฟ้าและเทคนิคการต่อสู้อีกมากมาย
ที่มาจากหอสมุดเทียบฟ้านั้นถือเป็นวรยุทธขั้นสูงสุด เมื่อ
ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดแล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับจางเซวียนที่
จะมองลงมาและชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเทคนิควรยุทธ
หรือเทคนิคการต่อสู้อื่นๆ
“เอาล่ะ ผมจะเริ่มสอนแล้วนะ…” สิบสองอึดใจต่อ
มา จางเซวียนก็อ่านเคล็ดวิชาในหนังสือเล่มนั้นจบ เขา
วางมันไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม
“อาจารย์จาง ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ คุณมีเวลาตั้ง 1
ก้านธูปที่จะวิเคราะห์มันให้ถี่ถ้วน…” เห็นจางเซวียนกำ
ลังจะเริ่มสอนหลังจากที่ดูหนังสือไปแค่รอบเดียว ปรมา
จารย์อู๋อดแนะนำเขาไม่ได้
“ไม่ต้องหรอก!” จางเซวียนส่ายหน้า
ถือเป็นเรื่องเสียเวลาถ้าจะให้พลิกดูเทคนิคการต่อสู้
ง่ายๆแบบนี้อีกรอบ
จางเซวียนมองไปที่ฝูงชน และเริ่มต้นโดยไม่รีรอ
“เทคนิ ค ฝ่ า มื อ น้ ำ กระเพื่ อ มอาจจะดู เ หมื อ นกั บ เทคนิ ค
ฝ่ามือธาตุน้ำ และมีผู้คนจำนวนมากนำมาใช้ฝึกฝนแทน
กัน แต่นั่น…เป็นสิ่งที่ผิด!”
“ผิด?” ฝูงชนพากันชะงัก
จางเซวียนพูดต่อ “อันที่จริงชื่อของมันก็บอกอยู่
แล้ว ฝ่ามือน้ำกระเพื่อมก็หมายความว่า หลังจากที่ฝึกฝน
จนเชี่ยวชาญแล้ว การโจมตีของผู้นั้นก็จะเหมือนกับ
การกระเพื่อมเป็นวงของน้ำ คือโจมตีอีกฝ่ายได้อย่างไม่
หยุดหย่อน เทคนิคนี้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับฝ่ามือธาตุน้ำ
เลย…”
จางเซวียนยกตัวอย่างปัญหาทั่วไปที่นักรบมักต้อง
เผชิญเมื่อฝึกฝนเทคนิคนี้ รวมทั้งชี้ให้เห็นวิธีการฝึกฝนที่
ถูกต้อง
“เอ่อ…”
“มันใช่จริงๆ ผมนึกไม่ถึงเลย…”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง! เข้าใจแล้ว!”
….
คำอธิบายของเขาทำให้ทุกคนหน้าแดงก่ำและตัว
สั่นด้วยความตื่นเต้น
ผู้ฟังทุกคนที่อยู่ในที่นี้ล้วนแต่เป็นปรมาจารย์ ซึ่งก็
เป็นธรรมดาที่จะต้องประเมินได้ว่าคำอธิบายของเขาถูก
ต้องหรือผิดพลาด ในตอนแรก ทุกคนเข้าใจว่าฝ่ามือน้ำ
กระเพื่อมก็เป็นเทคนิคเดียวกับฝ่ามือธาตุน้ำ นึกไม่ถึงว่า
ตัวเองเข้าใจผิดอย่างจัง
เมื่ อ วิ เ คราะห์ ทั้ ง สองเทคนิ ค นี้ จ ากอี ก แง่ มุ ม หนึ่ ง
เทคนิ ค การต่ อ สู้ ที่ ก่ อ นหน้ า นี้ แ สนจะน่ า ทึ่ ง ก็ พ ลิ ก ผั น
กลายเป็นเหมือนกับสาวสวยคนหนึ่งที่เปลื้องผ้าออกหมด
ไม่มีความลึกลับซับซ้อนอีกต่อไป
“เราต่างกันมากจริงๆ…”
เมื่อได้ยินคำอธิบาย โม่หยู่มองจางเซวียนที่ยืนอยู่
บนเวทีอย่างงงัน
เธอเคยเห็นเทคนิคฝ่ามือน้ำกระเพื่อมมาก่อนแล้ว
และความเข้าใจที่เธอมีต่อเทคนิคนั้นก็ไม่ต่างจากที่คน
อื่นๆเข้าใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะถูกตีความได้แบบนี้
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย ก็รู้สึกได้ว่าความ
เข้าใจเรื่องเทคนิคการต่อสู้ของตัวเองช่างตื้นเขินเหลือ
เกิน
“น่าทึ่งมาก…”
โม่หงอีกำหมัดแน่น แม้เขาจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็
รู้ว่าคำอธิบายของจางเซวียนนั้นไร้ที่ติ
“หมอนี่จะต้องเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของเรา…” โม่หง
อีหรี่ตา จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาเดือดพล่าน
ในฐานะอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานแห่งอาณาจักรเทียน
หวู่ เขาไม่เคยเจอใครที่มีความสามารถทัดเทียมกันมา
ก่อน การได้เจอคนที่เก่งพอๆกับเขา หรืออาจจะเหนือ
กว่าเสียด้วยซ้ำ ทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขา
ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“ดู เ หมื อ นเราจะต้ อ งเข้ า รั บ การทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวเสียแล้ว…”
โม่หงอีระบายลมหายใจยาวและพึมพำออกมา
อันที่จริง ด้วยระดับวรยุทธของเขา เขาสามารถเข้า
สอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้แล้ว แต่ก็เลือกที่จะ
ยืดเวลาออกไป เพื่อพัฒนาตัวเองให้สามารถทำลายทุก
สถิติที่เคยมีในสภาปรมาจารย์ได้ในรวดเดียว แต่เมื่อเห็น
จางเซวียนโชว์เก๋าขนาดนั้น เขาก็รู้สึกว่าถ้าไม่พัฒนาตัว
เองให้เร็วกว่านี้ ฝ่ายนั้นอาจแซงเขาไปก็ได้
….
ปรมาจารย์ ทุ ก คนที่ อ ยู่ ต รงนั้ น ต่ า งก็ คิ ด ไปต่ า งๆ
นานา แต่ สิ่ ง หนึ่ ง ที่ พ วกเขาคิ ด เหมื อ นกั น ก็ คื อ ความ
ประทับใจในตัวชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ในขณะเดียวกัน
ฝูงชนที่รออยู่ข้างนอกก็กระวนกระวาย
“อยากรู้จริงๆว่าผลการทดสอบจะเป็นอย่างไร!”
หลิงเซียวเซียวจับจ้องประตูบานที่ 4 เขม็ง ถ้า
ทำได้คงจะพุ่งเข้าไปข้างในเสียแล้ว
“ผลการทดสอบในขั้นมหานทีแห่งวรยุทธจะเชื่อม
โยงกับเสียงของระฆังปราชญ์โบราณ ระฆังดัง 1 ใบ
หมายถึงสอบผ่าน, 2 ใบหมายถึงดี, 3 ใบหมายถึงดีมาก
และ 4 ใบหมายถึงยอดเยี่ยม, ส่วน 5 ใบก็หมายความว่า
ความเข้าใจในเทคนิควรยุทธของผู้นั้นไม่มีข้อบกพร่อง
เลย และ 6 ใบหมายถึงสมบูรณ์แบบ!”
องครักษ์ขั้นจงซรือที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอพูดขึ้น “ผู้
ครองสถิติในการทดสอบขั้นนี้คือโม่หงอี ซึ่งได้เสียงระฆัง
4 ใบ และในตอนนั้นก็เป็นที่อัศจรรย์ใจกันมาก ถ้าจางเซ
วียนอยากจะเหนือกว่า ก็ต้องได้เสียงระฆังอย่างน้อย 5
ใบ!”
“5 ใบ? มันจะง่ายอย่างนั้นหรือ? การจะทำความ
เข้าใจเทคนิควรยุทธภายในช่วงเวลาแค่ 1 ก้านธูป และ
ถ่ายทอดมันออกมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“ผมได้ยินมาว่าตอนที่โม่หงอีเข้าสอบ เขาบังเอิญ
โชคดี ได้เทคนิคการต่อสู้ที่เขาเคยเห็นมาก่อน ทำให้
อธิบายเทคนิคนั้นได้อย่างลึกซึ้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าชายผู้นี้จะ
โชคดีอย่างเขาหรือเปล่า!”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ คนอื่นๆก็พากันส่าย
หน้า พวกเขาไม่คิดว่าจางเซวียนจะโชคดีขนาดนั้น
ทุ ก คนอยากจะผ่ า นการทดสอบด้ ว ยคะแนนยอด
เยี่ยมทั้งนั้น แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ใครสักคนจะเป็น
เลิศไปเสียหมดทุกด้าน?
ในการทดสอบ 2-3 ขั้นที่ผ่านมา จางเซวียนอาจจะ
ทำได้ยอดเยี่ยม แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อว่ามาถึงขั้นนี้แล้วก็จะ
ยังยอดเยี่ยมอีก
ครืน!
ทุ ก คนกำลั ง ครุ่ น คิ ด อยู่ ข ณะที่ พื้ น เริ่ ม สั่ น สะเทื อ น
และเสียงทุ้มของระฆังก็ดังก้อง
ระฆังปราชญ์โบราณดังแล้ว!
“ระฆังจะดังกี่ใบนะ?” ทุกคนกลั้นหายใจ ขณะจับ
จ้องไปที่ประตูเป็นตาเดียว
ตอนที่ 309 การประสานเสียงของระฆัง 100 ใบ

“ทำไมเร็วนัก?”
“ยังไม่ถึงครึ่งก้านธูปเลยตั้งแต่เขาเข้าไป นี่เขาเริ่ม
สอน…และสอนจบแล้ว?”
“เขาสอนอะไรกัน?”
เมื่อได้ยินเสียงระฆัง ฝูงชนข้างนอกก็ตัวสั่น
หลังจากที่มหานทีแห่งวรยุทธมอบหนังสือเคล็ดวิชา
ให้กับผู้เข้าสอบแล้ว ผู้เข้าสอบจะมีเวลา 1 ก้านธูปใน
การอ่านมัน ก่อนที่จะทำการสอน
เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้นตั้งแต่จางเซวียน
เข้าไป แต่ระฆังปราชญ์โบราณก็ดังแล้ว นั่นแปลว่า…เขา
ไม่ต้องอ่านหนังสือก่อนจะเริ่มสอนหรือ?
แถมยัง...สอนจบเร็วขนาดนี้?
ผู้เข้าสอบจะต้องสอนจบแล้วเท่านั้น ระฆังปราชญ์
โบราณถึงจะดังเพื่อแสดงการยอมรับ
ถ้าเป็นคนอื่น ถึงระฆังปราชญ์โบราณจะยอมรับ แต่
ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ก้านธูปกว่ามันจะดัง เคยมีผู้
เข้าสอบอยู่คนหนึ่ง สอนจบไปแล้วถึงครึ่งวันกว่ามันจะ
ดัง!
แต่ครั้งนี้ ระฆังดังหลังจากเวลาผ่านไปแค่ครึ่งก้าน
ธูป พวกเขาทั้งไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้!
“สอนแค่แป๊บเดียว แปลว่าเนื้อหาคงไม่มากเท่าไหร่
อย่างมากระฆังก็คงดังแค่ใบเดียว!” ผู้อาวุโสที่ยืนข้าง
หลังหลิงเซียวเซียวส่ายหน้าอย่างเสียดาย
รีบร้อนไปก็พลาดพลั้ง คำพูดนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องใน
ชีวิต
ถึ ง เขาจะเก่ ง กาจและทำความเข้ า ใจเทคนิ ค การ
ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่การเริ่มสอนทันทีที่ดูหนังสือจบก็
ถื อ เป็ น ความใจเร็ ว ด่ ว นได้ รี บ ร้ อ นขนาดนั้ น ย่ อ มทำ
เนื้อหาบางส่วนตกหล่นไป อีกอย่าง ไม่ว่าเทคนิคนั้นจะ
ง่ายดายแค่ไหน มันก็เป็นการตกผลึกจากภูมิปัญญาของ
บรรพบุรุษ ความผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจส่งผลให้วร
ยุทธผิดเพี้ยนและนำมาซึ่งความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้
ในโลกใบนี้ การฝึกวรยุทธที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกนั้น
พบได้ทั่วไป ซึ่งส่วนมากก็มาจากความเข้าใจผิดๆในเท
คนิควรยุทธ ซึ่งนำไปสู่การฝึกฝนวรยุทธในรูปแบบที่ผิด
เพี้ยนไป
ถ้าจางเซวียนไม่อาจทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธ
ได้ครบถ้วนจนทำให้สอนได้เพียงนิดเดียว ก็เป็นเรื่องหนึ่ง
แต่ น่ า จะเป็ น เพราะเขาพลาดจุ ด สำคั ญ ไปหลายจุ ด
มากกว่าที่ทำให้การสอนสั้นขนาดนั้น
ผู้เข้าสอบส่วนมากจะมองการสอบขั้นนี้เหมือนการ
สอบข้อเขียน พวกเขาจะพรั่งพรูความรู้ทั้งหมดที่ตัวเองมี
ออกมา และภาวนาให้ที่พูดออกไปนั้นถูกต้องสักหนึ่งคำ
การสอนที่จบลงอย่างรวดเร็วย่อมหมายความว่าผู้
สอนมีเนื้อหาไม่เพียงพอ ต่อให้ระฆังปราชญ์โบราณดังก็
คงไม่มากกว่า 1 ใบ
“จริงๆนั่นแหละ ดูเหมือนเขาจะยังเด็กและหุนหัน
พลันแล่น…” นักปรุงยาหงหยุ่นพยักหน้า
อาจารย์จางเซวียนถือเป็นผู้มีพระคุณของเขา จึง
เป็นธรรมดาที่เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะทำได้ดี ซึ่งก็นึกไม่
ถึ ง ว่ า อาจารย์ จ ะสะเพร่ า แบบนี้ ดู เ หมื อ นว่ า ผลการ
ทดสอบในขั้นนี้จะไม่เป็นสุดยอดเสียแล้ว
“ถึงจะน่าเสียดาย แต่อย่างน้อยเขาก็คงได้เรียนรู้
จากเหตุการณ์นี้ เมื่อเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2
ดาว คงไม่สะเพร่าแบบนี้อีก…” ผู้อาวุโสพยักหน้า เขายัง
บ่นพึมพำอยู่ตอนที่พื้นเริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง และเสียง
ระฆังก็ดังก้องขึ้นอีก
แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง!
คราวนี้ดังสามใบต่อเนื่องกัน และพื้นก็ยังคงสั่น
สะเทือนอยู่
“4 ใบ? ยอดเยี่ ย ม? นั่ น เท่ า กั บ ผลสอบของ
ปรมาจารย์โม่หงอีนี่?”
ผู้อาวุโสกับนักปรุงยาหงหยุ่นมองหน้ากัน ทั้งคู่แทบ
กระอักเลือดออกมา
พวกเขาเพิ่งจะพูดกันอยู่เมื่อครู่ว่าจางเซวียนนั้น
สะเพร่า และผลการทดสอบก็คงออกมาไม่ได้เรื่อง แต่
พริบตาต่อมา ระฆังก็ดังต่อเนื่องกันอีก 3 ใบ…ทั้งคู่เจ็บ
จี๊ดๆที่ใบหน้าขึ้นมาทันที
“4 ใบ...นั่นคงจบแล้วล่ะ ใช่ไหม?”
หลังจากระฆังดัง 4 ใบ ทั้งห้องก็เงียบกริบ ได้ยินแต่
เสียงผู้อาวุโสถอนหายใจ เขาจับจ้องที่ประตูและกำลังจะ
อ้าปากพูด ก็พอดีกับที่ระฆังดังเข้าหูอีกครั้ง
แก๊ง!
ระฆังดังขึ้นอีก 1 ใบ
“5 ใบ, ปราศจากข้อบกพร่อง…นี่เป็นสถิติใหม่!”
ทุกคนถึงกับเซ่อไป
สภาปรมาจารย์ก่อตั้งมาหลายพันปีแล้ว ซึ่งผลการ
ทดสอบที่ดีที่สุดเท่าที่มีมาก็คือระฆัง 4 ใบของโม่หงอี…
แต่เพียงชั่วเวลาครึ่งก้านธูป จางเซวียนคนนี้ก็ทำให้ระฆัง
ปราชญ์โบราณดังขึ้นถึง 5 ใบ…ในเวลานี้ เขาคือผู้ทำ
สถิติใหม่!
“อัจฉริยะ! เขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ! เขาเข้าใจ
เทคนิคการต่อสู้ได้ทันทีที่พลิกหนังสือดู แถมยังทำให้
ระฆังดังถึง 5 ใบปราศจากข้อบกพร่อง…ผมประทับใจ
มาก ผม…”
ผู้อาวุโสยังพูดไม่ทันจบ พื้นก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง
หนึ่ง
ระฆังดังขึ้นอีก 1 ใบ
“….”
บ้าไปแล้ว!
ยังไม่จบหรือ?
ผู้อาวุโสน้ำตาแทบไหล
ทุกครั้งที่เขาคิดว่าความสามารถของอีกฝ่ายขึ้นไป
ถึงขีดสุดแล้ว ระฆังก็ดังขึ้นทุกที…นี่จงใจแกล้งกันใช่ไหม?
ในกรณีของคนอื่นๆ ระฆังจะดังต่อเนื่องกันหลังจาก
ที่พวกเขาสอนจบ ซึ่งแต่ละครั้งจะไม่ห่างกันมากนัก แต่
ทำไมเมื่อเป็นคุณ ระฆังถึงดังแปลกประหลาดแบบนี้? นี่
คุณพยายามจะใช้ความปราดเปรื่องของตัวเองทำให้พวก
เราพรั่นพรึงหรือ?
“ระฆัง 6 ใบ สมบูรณ์แบบ…”
ทุกคนหน้าซีดไปทันที ต่างยืนตัวแข็งเป็นหิน ไม่
อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อีกนาน
…..
“รองประธานกวน, ท่านประธานอยู่ที่ไหน? ช่วยส่ง
ใครไปตามเขามาที!”
ผู้ อ าวุ โ สคนหนึ่ ง ก้ า วยาวๆเข้ า ไปในห้ อ งที่ อ ยู่ ลึ ก
เข้าไปในสภาปรมาจารย์
“ท่านประธานกลับมาเมื่อคืนนี้ และกำลังปลีกวิเวก
เพื่อฝึกฝนวรยุทธ เขากำชับไว้ว่าถ้าไม่ใช่เรื่องด่วน ห้าม
รบกวน!”
รองประธานกวนเจ่อฉวนมองผู้อาวุโสอย่างสงสัย
“ผู้อาวุโสจู อะไรกันที่ทำให้คุณปั่นป่วนได้ขนาดนี้? บอก
ผมมาเถอะ ถ้ามันเป็นเรื่องสำคัญ ผมจะไปตามท่าน
ประธานเดี๋ยวนี้เลย!”
“ปลีกวิเวกฝึกวรยุทธ?”
ผู้อาวุโสจูขมวดคิ้ว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น
“มีใครบางคนกำลังเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์
ระดับ 1 ดาว!”
“การทดสอบระดับ 1 ดาว?”
รองประธานกวนหัวเราะหึๆก่อนจะส่ายหน้า “ปร
มาจารย์อู๋ก็อยู่ไม่ใช่หรือ? แค่เขาคนเดียวก็เกินพอที่จะ
ดูแลการทดสอบแล้ว เรื่องเล็กๆแค่นี้ไม่ต้องรบกวนท่าน
ประธานหรอก คุณรู้หรือเปล่าว่าท่านประธานได้รับความ
บอบช้ำภายในและต้องพักผ่อน?”
“ผมรู้ว่าถ้าเป็นแค่การทดสอบปรมาจารย์ระดับ 1
ดาว ก็ไม่สำคัญพอที่จะรบกวนท่านประธานหรอก แต่ถ้า
คุณรู้ว่าผลการทดสอบมันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขนาดไหน
คุณจะไม่พูดแบบนี้เลย!” ผู้อาวุโสจูส่ายหน้า
“ฮะ? ถึ ง กั บ อลหม่ า นกั น เชี ย วหรื อ ? พอๆกั บ
อัจฉริยะโม่หงอีหรือเปล่า?”
รองประธานกวนผงะไป
“โม่หงอี?” ผู้อาวุโสส่ายหน้า “ผมเพิ่งได้เห็นหลัง
จากที่ระฆังปราชญ์โบราณดังแล้ว จึงไม่รู้ผลการทดสอบ
ของเขาใน 3 ขั้นแรก เท่าที่รู้ก็คือ ตอนที่ผมไปถึง ระฆัง
ปราชญ์โบราณดังไม่หยุด…”
“ดังไม่หยุด? คุณหมายความว่ามันดังมากกว่า 4
ใบ?” รองประธานกวนเลิกคิ้ว
“มากกว่านั้นอีก…” ผู้อาวุโสจูยิ้มเจื่อนๆ
“มากกว่า 4 ใบ, ก็หมายความว่า…ได้ 5 ใบ? ถือว่า
ปราศจากข้อบกพร่อง! ไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่ที่เดียวใน
การสอนของเขา…”
รองประธานกวนเก็บอาการไม่ได้อีกต่อไป เขาลุก
พรวดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "สิ่งที่ถูกถ่ายทอดเข้าไปใน
ระฆังปราชญ์โบราณคือภูมิปัญญาของปรมาจารย์ระดับ
4 ดาว ถ้าระฆังดัง 5 ใบ นั่นหมายความว่าการสอนของ
ผู้นั้นเป็นที่ยอมรับอย่างสมบูรณ์ คุณแน่ใจนะว่าเขาเข้า
รับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว?
“1 ดาวแน่นอน!” ผู้อาวุโสจูส่ายหน้า “แต่…ระฆัง
ไม่ได้หยุดแค่ 5 ใบ!”
ที่ผู้อาวุโสจูยื้อไว้ ไม่ใช่เพราะเขาจงใจจะให้อีกฝ่าย
รอ แต่เป็นเพราะจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากจะ
เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
“ไม่หยุดแค่ 5 ใบ…”
รองประธานกวนโบกมื อ อย่ า งตื่ น เต้ น จากนั้ น
คำถามก็หลุดออกมาผ่านริมฝีปากที่สั่นเทา “หรือว่า…6
ใบ? 6 ใบก็หมายถึงสมบูรณ์แบบ ซึ่งหมายความว่าความ
เข้ า ใจในเทคนิ ค วรยุ ท ธของผู้ เ ข้ า สอบนั้ น ไม่ ต่ า งจาก
ปรมาจารย์ระดับ 4 ดาว…”
ยังพูดไม่ทันจบ ผู้อาวุโสจูก็อุทานด้วยเสียงพรั่นพรึง
“7 ใบ!”
ตุ้บ!
รองประธานกวนเข่าอ่อนและทรุดตัวลงนั่ง เขาหน้า
ซีดเผือด
“7 ใบ การยอมรับจากนักปราชญ์? มัน…มันเป็นไป
ได้อย่างไร?”
ทุกคนรู้ว่าระฆังดัง 6 ใบหมายถึงสมบูรณ์แบบ แต่
น้อยคนที่จะรู้ว่าระดับที่สูงกว่านั้นคืออะไร
ในอีกด้านหนึ่ง ก็หมายความว่าเขาได้รับการรับรอง
จากปรมาจารย์ระดับ 4 ดาว และถือว่ามีความรู้ความ
เข้าใจเทคนิควรยุทธในระดับที่ทัดเทียมกัน
ผู้ที่เข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว แต่ได้รับ
การยอมรับจากพลังจิตวิญญาณที่ปรมาจารย์ระดับ 4
ดาวเป็นผู้ถ่ายทอดไว้ นั่นเทียบเท่ากับการยกย่องเขาให้
อยู่ในระดับเดียวกันใช่หรือไม่?
กวนเจ่ อ ฉวนรู้ สึ ก เหมื อ นใบหน้ า มี เ ลื อ ดไหลซิ บ ๆ
ออกมา และสมองก็เดือดพล่าน
หลายต่อหลายปีที่เขาดำรงตำแหน่งรองประธาน
สภาปรมาจารย์ เขาได้พบกับอัจฉริยะมากมาย
แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีปีศาจแบบนี้!
“ระฆังดัง 7 ใบ…เราควรไปเชิญท่านประธาน
ไหม?”
ผู้อาวุโสจูไม่ได้แปลกใจกับท่าทีของรองประธาน
กวน ใครที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ย่อมมีอาการแบบเขาทั้งนั้น
“เอ่อ…แน่นอน เราควรไป! แต่ผมขอไปดูให้เห็นกับ
ตาเพื่อความแน่ใจก่อน…”
รองประธานกวนสะบั ด แขนเสื้ อ และระบายลม
หายใจยาวเพื่อข่มความช็อก
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ!”
ผู้อาวุโสจูพยักหน้า และตอนที่ทั้งคู่กำลังจะเดินออก
จากห้อง…
แก๊ง!
เสียงระฆังดังก้องไปทั่วทั้งสภาปรมาจารย์
ก่อนหน้านี้ ระฆังดังอยู่แค่ภายในห้องสอบ แต่เสียง
ระฆั ง ครั้ ง นี้ แ ทบจะทำให้ ทั้ ง เมื อ งหลวงของอาณาจั ก ร
เที ย นหวู่ ห ยุ ด ชะงั ก ไปชั่ ว ขณะ ความสั่ น สะเทื อ นนั้ น
รุ น แรงเสี ย จนดู เ หมื อ นว่ า บรรดาระฆั ง ปราชญ์ โ บราณ
กำลังพยายามจะพังสภาปรมาจารย์ และเปิดเส้นทางไปสู่
สวรรค์
ด้ ว ยแรงสั่ น สะเทื อ นรุ น แรงขนาดนั้ น ทั้ ง รอง
ประธานกวนและผู้ อ าวุ โ สจู ท รุ ด ลงกั บ พื้ น พร้ อ มกั น
ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด และหลุดคำพูดที่ตัวเองก็ยัง
ไม่อยากจะเชื่อออกมา…
“นี่มัน…การประสานเสียงของระฆัง 100 ใบ…การ
ยกย่องจากนักปราชญ์?”
“นี่…นี่มันบ้าอะไรกัน?”
…..
“การยกย่ อ งจากนั ก ปราชญ์ ? หมายความว่ า
อย่างไร? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยิน?”
ระฆังทุกใบดังขึ้นพร้อมกัน มันดังกึกก้องราวกับจะ
ฉีกอากาศให้เป็น 2 ส่วน หลิงเซียวเซียวหันไปหาผู้
อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลังและตะโกนถาม
เธอเคยได้ยินระฆังดัง 1 ใบ, 2 ใบ, 3 ใบ ไปจนถึง
6 ใบ แต่ไม่เคยได้ยินระฆังดัง 7 ใบ!
ส่วนการประสานเสียงของระฆัง 100 ใบนั้น ไม่ต้อง
พูดถึง…และตอนนี้เธอก็ปวดหัวตึ้บ ไม่เข้าใจเลยว่าเกิด
อะไรขึ้น
“การประสานเสียงของระฆัง 100 ใบ-การยกย่อง
จากนักปราชญ์ หมายความว่า ต่อให้ปรมาจารย์ระดับ 4
ดาวสักคนหนึ่งมายืนตรงนี้ เขาก็จะรับฟังการสอนอย่าง
สงบและเชื่อฟัง พูดในอีกแง่หนึ่งก็คือ การอธิบายเทคนิค
การต่อสู้ของจางเซวียนนั้นเหนือกว่าปรมาจารย์ระดับ 4
ดาว โดยเข้าถึงระดับ 5 ดาวไปแล้ว หรืออาจจะสูงกว่า
ด้วยซ้ำ…”
ผู้อาวุโสก็ตัวสั่น
“อะไรนะ? เหนือกว่าปรมาจารย์ระดับ 4 ดาว?”
หลิงเซียวเซียวหน้าซีด
เจ้าเซ่อซ่าคนนั้นมีความเข้าใจในวรยุทธและเทคนิค
การต่อสู้เหนือกว่าปรมาจารย์ระดับ 4 ดาว…
มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
เธอรู้สึกเหมือนจะเสียสติ
“ใช่แล้ว แต่ว่า…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แววตา
ฉายความพรั่นพรึงและสงสัยออกมา
“แต่อะไร?” นักปรุงยาหงหยุ่นยืนอยู่ข้างทั้งคู่ และ
เขาก็ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เขาตั้งคำถามด้วยความ
สงสัยในสิ่งที่ผู้อาวุโสพูด
“แต่ว่า…ในสภาวะปกติ การประสานเสียงของ
ระฆัง 100 ใบจะดังขึ้นนานหนึ่งเวลาน้ำชาเป็นอย่างน้อย
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง แต่ทำไมคราวนี้ถึงดังแค่ครู่เดียว
แล้วหยุดกึก?”
(หนึ่งเวลาน้ำชา : 10-15 นาที)
“หนึ่งเวลาน้ำชา?”
“ใช่แล้ว!” ผู้อาวุโสพยักหน้า “ดูเหมือนเราจะได้รู้
คำตอบก็ต่อเมื่อบรรดาปรมาจารย์ข้างในออกมาเท่านั้น
ล่ะ!”
…..
ในห้องสอบขั้นมหานทีแห่งวรยุทธ
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวทุกคนที่อยู่ในนั้นกำลัง
จังงัง
คำอธิบายเรื่องฝ่ามือน้ำกระเพื่อมของชายหนุ่มที่อยู่
ตรงหน้าพวกเขาแจ่มแจ้งนัก ถ้าฝึกฝนตามที่เขาอธิบาย
ใช้เวลาไม่นานก็จะต้องเชี่ยวชาญ
แก๊ง แก๊ง แก๊ง แก๊ง!
ทุกคนกำลังตั้งใจฟังการสอนของเขาอย่างจดจ่อ
ตอนที่ระฆังดังขึ้น เมื่อได้ยินทฤษฎีอันล้ำลึกนั้น มันก็ดัง
ขึ้นอีก เสียงก้องของมันราวกับจะทะลุขึ้นไปถึงสวรรค์
“เงียบซิ ยังไม่จบอีก? ตอนที่แกดังครั้งแรก ครั้งที่ 2
ครั้งที่ 3 ฉันก็ยังไม่เดือดร้อน แต่เล่นมาดังบนหัวฉัน ดัง
ไปเรื่อยไม่รู้จักหยุดเสียที ฉันยังสอนไม่จบเลย เป็นบ้า
อะไรถึงดังไม่หยุด!”
จางเซวียนขมวดคิ้วและตวาด
พรึ่บ!
เสียงระฆังใบใหญ่มากมายเงียบกริบทันที
ตอนที่ 310 แย่แล้ว!

ระฆั ง ปราชญ์ โ บราณเป็ น สิ่ ง ที่ ส ร้ า งขึ้ น โดย


ปรมาจารย์ระดับ 4 ดาว และพวกเขาถ่ายทอดเจตจำนง
ของตัวเองเข้าไปในนั้น สมาชิกทุกคนในสภาปรมาจารย์
รวมทั้งตัวประธานเองต่างทะนุถนอมระฆังนี้ราวกับโกศ
ของบรรพบุรุษ แต่ชายหนุ่มที่เพิ่งจะเข้ารับการทดสอบ
เป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวกล้าตวาดโดยไม่ลังเล…
แถมหงุดหงิดโมโหเสียขนาดนั้น…
บรรลัยสิ!
ปรมาจารย์อู๋กับคนอื่นๆ คิดว่าคงต้องตายเสียแล้ว
เมื่อได้ยินการประสานเสียงของระฆัง 100 ใบ-การ
ยอมจำนนของนักปราชญ์ พวกเขาก็ตื่นเต้นจนแทบจะ
ลืมชื่อตัวเอง
แต่ ห มอนั่ น กลั บ รำคาญ และตวาดแหวอย่ า ง
เดือดดาลราวกับกำลังดุด่าลูกหลานของตัวเอง…
จะบ้าบอกว่านี้อีกได้ไหม?
แต่นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่ช็อกที่สุด...ที่ช็อกที่สุดของเรื่อง
นี้ก็คือ ระฆังเหล่านั้นก็พากันเงียบกริบหลังจากถูกเขา
ตวาด!
ในอีกแง่หนึ่งก็คือ เจตจำนงของบรรดาปรมาจารย์
ระดับ 4 ดาวที่ถูกถ่ายทอดเข้าไปในนั้นได้ยอมจำนนต่อ
เขา…
บ้าไปแล้ว!
นี่ไม่ใช่แค่ยกย่อง แต่เป็นการยอมจำนน!
บรรดาปรมาจารย์ถึงกับหน้าเขียว และถ้าทำได้ ก็
คงอยากจะตัดหัวตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น
ปรมาจารย์ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้คร่ำหวอดในวงการ
แต่เรื่องบ้าบอที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาคลั่งจน
เอาไม่อยู่
โดยเฉพาะเจียงเฉิน เขาดูถูกดูหมิ่นอีกฝ่ายมาตลอด
แต่เมื่อได้เห็นกับตา ก็แทบจะดำดินหนีด้วยความหวาด
กลัว
เจ้าปีศาจตนนี้มันมาจากไหน?
กล้าตวาดใส่เจตจำนงที่บรรดาปรมาจารย์ระดับ 4
ดาวถ่ายทอดไว้ แถมยังทำให้พวกเขาหวาดผวาจนไม่
กล้าตีระฆังอีก…
บ้าหรือไง?
“เรา…เราจะไม่ยอมแพ้หมอนั่น…”
โม่หงอีตัวสั่นและมีสีหน้าดุดัน
นับตั้งแต่เขาเริ่มต้นฝึกวรยุทธ เขาก็เดินเคียงบ่า
เคียงไหล่กับเหล่าอัจฉริยะมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นวิชาชีพ
เทคนิควรยุทธ หรือเทคนิคการต่อสู้ สิ่งใดก็ตามที่เขา
ตั้งใจ เขาก็จะมาเป็นที่หนึ่งเสมอ!
เช่นเดียวกับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ เขาทำลาย
ทุกสถิติที่เคยมีมาในสภาปรมาจารย์ ชื่อเสียงของเขา
ระบือลือลั่นไปทั่วทั้ง 13 อาณาจักร แต่ตอนนี้…
ทุ ก สถิ ติ ข องเขาถู ก ทำลายครั้ ง แล้ ว ครั้ ง เล่ า โดย
บุคคลที่อยู่ตรงหน้า การถูกหยามหน้าอย่างรุนแรงทำให้
เขาคลั่ง
“เราจะไปสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวเดี๋ยว
นี้!”
โม่หงอีพูดด้วยสายตามุ่งมั่น
เ ข า มี คุ ณ ส ม บั ติ เ พี ย ง พ อ ที่ จ ะ เ ข้ า ส อ บ เ ป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวนานแล้ว แต่เพื่อให้ทำลายสถิติ
ได้มากขึ้นอีก เขาจึงยื้อไว้ก่อน แต่เมื่อเห็นจางเซวียน
หายใจรดต้นคอขนาดนี้ เขาก็ไม่กล้ารีรออีก
“คุณอาจจะไร้เทียมทาน แต่ระดับความล้ำลึกของ
จิตวิญญาณก็มีแค่ 5.1 เท่านั้น อีกนานกว่าจะเข้าสอบ
เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้ ซึ่งกว่าคุณจะมีคุณสมบัติ
เพียงพอ ผมก็คงทิ้งห่างไปไกลแล้ว”
โม่หงอีเกิดความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ฝ่ายนั้นทำได้ยอดเยี่ยมในการทดสอบขั้นบ้านวัดใจ
ห้องไขวิชาชีพ ศึกหุ่นจำลองและมหานทีแห่งวรยุทธ ก็
แล้วไงล่ะ?
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณคือพื้นฐานของ
ปรมาจารย์ และจางเซวียนมีแค่ 5.1
ในการจะเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2
ดาว ผู้นั้นจะต้องมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
อย่างน้อยที่ 6.0 ซึ่งเขาก็ยังเข้าสอบไม่ได้
จางเซวียนอาจจะเป็นอัจฉริยะในหลายๆด้าน แต่
สำหรับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ มีหนทางเดียวก็คือ
ต้องค่อยๆเพิ่มไปทีละน้อย ทีละขั้น
ถ้าเขาผ่านการทดสอบและได้เป็นปรมาจารย์ระดับ
2 ดาว เขาก็จะได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะหมายเลข 1 อีกครั้ง
และไม่มีใครคว้าตำแหน่งนี้ไปจากเขาได้!
…..
เห็นระฆังเงียบเสียงลงเมื่อโดนตวาด จางเซวียนก็
ถอนหายใจอย่างโล่งอก
มันน่าอยู่ไหมล่ะ ระฆังพวกนี้เป็นบ้าอะไร ดังครั้ง
สองครั้งเพื่อแสดงการยอมรับก็พอแล้ว นี่ดังขึ้นมาทีเดียว
พร้อมกันหมด แถมดังไม่หยุดแบบนั้น…สงสัยต้องต่อว่า
กันอีกหน่อย
ปัญญาอ่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าแกเป็นสมบัติของสภาปรมาจารย์
ล่ะก็ ฉันคงทุบแกเป็นชิ้นๆแล้ว
หลังจากสอนต่ออีกครู่หนึ่ง จางเซวียนก็หยุดและ
เงยหน้ามองปรมาจารย์อู๋
“เอ่อ…แค่นี้ถือว่าสอบผ่านหรือยัง? ถ้ายังไม่ผ่าน
ผมจะพูดต่อ…”
เขาเพิ่ ง อธิ บ ายเทคนิ ค วรยุ ท ธไปได้ แ ค่ ค รึ่ ง ทาง
เท่านั้น แต่นึกถึงคำพูดของหลิงเซียวเซียวกับปรมาจารย์
อู๋ขึ้นได้ ทั้งคู่บอกว่าเมื่อเสียงระฆังดังขึ้นก็ถือว่าสอบผ่าน
ในเมื่อระฆังดังไปไม่รู้กี่หนแล้ว เขาก็น่าจะสอบผ่านแล้ว
เหมือนกัน
“คุณสอบผ่านแล้ว…” ปรมาจารย์อู๋กลืนน้ำลาย
และพยักหน้า
ชายผู้นี้เพิ่งจะทำให้เกิดการประสานเสียงของระฆัง
100 ใบ-การยอมจำนนของนักปราชญ์ ถ้าเขาไม่ให้ผ่าน
ละก็ ท่านประธานสภาปรมาจารย์คงตีเขาตายตั้งแต่
วินาทีแรกที่ออกจากห้อง
“เยี่ยม!” เมื่อรู้ว่าตัวเองสอบผ่านแล้ว จางเซวียน
ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ในเมื่อผมผ่านแล้ว เราสอบขัน้
ต่อไปกันเลยดีกว่า…”
จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้อง
….
ในห้องสอบ
“ตามที่มีบันทึกไว้ การประสานเสียงของระฆัง 100
ใบจะต้องดังนานหนึ่งช่วงเวลาน้ำชา ทำไมถึงดังแค่ 2-3
อึดใจ แล้วหยุดไปดื้อๆ?”
รองประธานกวนและผู้อาวุโสจูเพิ่งมาถึงห้องสอบ
พวกเขาจ้องประตูบานที่ 4 ด้วยสีหน้างุนงง
“หรือว่า…ผู้เข้าสอบโชคดีสุดๆ ได้เทคนิควรยุทธ
หรือเทคนิคการต่อสู้ที่เขาเคยอ่านมาแล้ว เลยทำให้เกิด
การประสานเสียงของระฆัง 100 ใบขึ้นมา? แต่ในเมื่อมัน
ไม่ใช่ทฤษฎีที่เป็นความเข้าใจของเขาจริงๆ ระฆังจึงดัง
เพียงครู่เดียวแล้วเงียบไป”
ผู้อาวุโสจูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดถึงสิ่งที่เขา
คาดเดา
ปรมาจารย์ควรมีมุมมองและความคิดเห็นเป็นของ
ตัวเอง ถ้าลอกคนอื่นมา ก็ไม่ต่างอะไรกับความคิดพื้นๆ
ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมการประสาน
เสียงของระฆัง 100 ใบจึงดังขึ้นครู่เดียว
“การคาดเดาของคุณก็ฟังเข้าทีนะ!”
รองประธานกวนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขากำลัง
จะพูดต่อ ก็พอดี ‘แอ๊ด!’ ประตูเปิดออก และจางเซวียน
เป็นคนแรกที่โผล่ออกมา
ที่ ต ามเขามาติ ด ๆก็ คื อ บรรดาปรมาจารย์ ที่ อ ยู่ ใ น
ห้อง
“ปรมาจารย์อู๋!”
เมื่อเห็นทั้งกลุ่มออกมาแล้ว รองประธานกวนก็ร้อง
เรียกปรมาจารย์อู๋
ปรมาจารย์อู๋กำลังจะพูดกับจางเซวียน ก็พอดีเห็น
รองประธาน ด้วยตำแหน่งอันทรงเกียรติของอีกฝ่าย เขา
จึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะรีบหันไปต้อนรับ
ในอาณาจักรเทียนหวู่ มีปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว
13 คน และปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวอีก 3 คน รอง
ประธานกวนและผู้อาวุโสจูคือปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว
สองในสามคนนั้น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวสองคนร้องเรียกเขา เขาจะ
กล้าปล่อยให้อีกฝ่ายรอได้อย่างไร?
“การสอบครั้งนี้ใช้เคล็ดวิชาไหน?” รองประธาน
กวนขมวดคิ้วและตั้งคำถามในสิ่งที่เขาสงสัย “ถ้าเป็น
เคล็ดวิชาเทียนหวู่ 9 ขั้น, ฝ่ามือพายุหมุน หรืออะไร
ทำนองนั้น เราต้องให้ผู้เข้าสอบทำการทดสอบใหม่อีก
ครั้ง…”
เคล็ดวิชาเทียนหวู่ 9 ขั้นและฝ่ามือพายุหมุน ก็
เหมือนกับเคล็ดวิชาหงเทียน 9 ขั้นของโรงเรียนหงเทียน
พวกมันเป็นวรยุทธขั้นพื้นฐานของอาณาจักรเทียนหวู่
และทุกคนรู้จักมันดี ถ้าผู้เข้าสอบได้รับเคล็ดวิชานี้เป็น
โจทย์ในการสอบ ต่อให้ได้รับการยอมรับจากนักปราชญ์
ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
มันตื้นเขินเกินไปและไม่อาจยืนยันความสามารถ
ของผู้เข้าสอบได้
“เคล็ดวิชา 9 ขั้นของเทียนหวู่? ฝ่ามือพายุหมุน?”
ปรมาจารย์อู๋นึกไม่ถึงว่ารองประธานจะคิดแบบนั้น เขา
ส่ายหน้าและยิ้มเจื่อนๆ “มันคือ…ฝ่ามือน้ำกระเพื่อม!”
“ฝ่ามือน้ำกระเพื่อม? เอ่อ…คุณพูดว่าอย่างนั้นใช่
ไหม?”
รองประธานกวนอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะตัวสั่น
“เทคนิคที่แสนจะสับสน น่าทึ่ง และลึกเกินหยั่งนั่น
นะ?”
“เขาได้เคล็ดวิชานั้น?”
สองสามคนที่มีความเห็นเหมือนผู้อาวุโสจูก็ตัวสั่น
เมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์อู๋
เป็นที่รู้กันว่า ฝ่ามือน้ำกระเพื่อมเป็นหนึ่งในเทคนิค
การต่ อ สู้ ที่ ย ากที่ สุ ด เท่ า ที่ มี ก ารฝึ ก ฝนกั น ในอาณาจั ก ร
เทียนหวู่ การได้หนังสือเล่มนั้น และสามารถทำให้เกิด
การประสานเสียงของระฆัง 100 ใบ…
“ถ้ า เป็ น ฝ่ า มื อ น้ ำ กระเพื่ อ ม แล้ ว ...ทำไมการ
ประสานเสียงของระฆัง 100 ใบจึงดังขึ้นครู่เดียวแล้ว
หยุดล่ะ? ตามที่มีบันทึกไว้ มันต้องดังนานถึงหนึ่งช่วง
เวลาน้ำชาไม่ใช่หรือ?”
ผู้อาวุโสจูอดขัดขึ้นไม่ได้
ฝูงชนหันขวับไปทางปรมาจารย์อู๋เพื่อรอฟังคำตอบ
“มันคือ…”
ปรมาจารย์อู๋ตอบด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น “คืออย่างนี้
ตอนแรกระฆังก็ดังไม่หยุด แต่อาจารย์จางรู้สึกว่ามันน่า
รำคาญ เขาก็เลยตำหนิมัน…”
จากนั้นก็พูดถึงสิ่งที่ได้เห็นมา
บรรดาปรมาจารย์ต่างก็พยักหน้า จนถึงตอนนี้พวก
เขาก็ยังงงงัน เห็นได้ชัดว่ายังไม่หายช็อก
“น่ารำคาญ?”
“ตำหนิระฆังปราชญ์โบราณ?”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้อง ทั้งผู้อาวุโสจู
รองประธานกวน และคนอื่นๆที่เหลือก็แทบจะกระอัก
เลือด
มีแต่คนเขายอมพลีกายถวายชีวิตเพียงเพื่อจะได้ยิน
ระฆังดังสัก 2-3 ครั้ง แต่หมอนี่คิดว่ามันน่ารำคาญ…
“เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไร ก็ไปที่การทดสอบ
ขั้นที่ 5 กันเลย! ผมหวังว่าจะมีอัจฉริยะอีกคนปรากฏขึ้น
ในสภาปรมาจารย์ของเรา!”
เมื่อพูดจากันจนเป็นที่เข้าใจแล้วว่าการทดสอบขั้น
มหานทีแห่งวรยุทธไม่มีอะไรผิดปกติ รองประธานกวนก็
พยายามข่มความประหลาดใจไว้และสั่งการ
มันเป็นเกียรติสำหรับเขาในฐานะรองประธานสภา
ปรมาจารย์ที่จะมีอัจฉริยะอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“ได้!”
ปรมาจารย์ อู๋ พ ยั ก หน้ า จากนั้ น ก็ ม องไปรอบๆ
“อาจารย์จางเซวียนอยู่ที่ไหน?”
ก็ เ มื่ อ ครู่ นี้ ยั ง ยื น อยู่ ต รงหน้ า เขา พริ บ ตาเดี ย ว
หายตัวไปไหนแล้ว?
“เขาเข้าไปในห้องจับผิดแล้ว!”
เสียงหนึ่งพูดขึ้นมา
หลังจากที่จางเซวียนออกมาจากห้อง เขาก็เห็นปร
มาจารย์อู๋รุดไปหาผู้อาวุโสทั้งสอง ในเมื่อไม่ช้าก็เร็ว เขาก็
ต้องเข้ารับการทดสอบขั้นที่ 5 อยู่แล้ว จางเซวียนจึงเปิด
ประตูบานที่ 5 เข้าไปเลย ถึงอย่างไรการทดสอบสี่ขั้นแรก
ก็เหมือนกับที่หลิงเซียวเซียวเคยบอกไว้ เขาจึงคิดว่าการ
ทดสอบขั้นที่ 5 ก็คงไม่ต่างอะไร
“เข้าไปแล้ว?”
ปรมาจารย์อู๋ถึงกับผงะ เห็นประตูบานที่ 5 ปิดสนิท
เขากำลังจะพูดบางอย่างออกมา แต่แล้วความคิดหนึ่งก็
ผุดขึ้นในสมอง ปรมาจารย์อู๋หรี่ตาและถึงกับหน้าซีด “แย่
แล้ว…”
“มี อ ะไรหรื อ ? ถึ ง อย่ า งไรเขาก็ ต้ อ งเข้ า รั บ การ
ทดสอบขั้นที่ 5 อยู่แล้วนี่? ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่
ไหม?”
เห็นอีกฝ่ายหน้าซีด รองประธานกวนขมวดคิ้ว
ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเข้าไปอยู่แล้ว จะทำให้มันเป็น
เรื่องใหญ่ทำไม?
“เขาเข้าไปรับการทดสอบขั้นที่ 5 แล้ว…”
ปรมาจารย์อู๋ถึงกับตระหนก ความหวาดกลัวฉาย
วาบในแววตาของเขา “แต่…ผมยังไม่ได้บอกเขาถึงกฎ
เกณฑ์ของห้องจับผิดเลย เรื่องที่เขาจำเป็นต้องรู้ก็คือ...”
เขากำลังจะอธิบายกฎเกณฑ์ของการทดสอบขั้นที่
5 ให้จางเซวียนฟัง ก็พอดีกับที่รองประธานกวนร้องเรียก
กว่าจะนึกได้ อีกฝ่ายก็เข้าประตูบานที่ 5 ไปเสียแล้ว
เขายังไม่มีโอกาสได้อธิบายเลย
พูดอีกอย่างก็คือ…ฝ่ายนั้นเข้าห้องจับผิดไปโดยไม่รู้
อะไรสักอย่าง
“ถึงคุณไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา
นี่ มีผู้เข้าสอบคนไหนบ้างที่มาเข้าทดสอบเป็นปรมาจารย์
โดยไม่รู้จักการทดสอบทั้ง 5 ขั้น? ไม่ต้องกังวลหรอก เขา
คงเตรียมตัวมาแล้ว!” ตอนแรก รองประธานกวนคิดว่า
คงเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์อู๋ ก็
โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
มันจะมีใครหน้าไหนที่มาเข้าสอบโดยไม่รู้อะไรเลย?
ในเมื่อรู้ ก็แปลว่าต้องศึกษาและเตรียมตัวมาล่วง
หน้าแล้ว ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะไม่ตื่นตระหนกระหว่าง
การทดสอบ
“เตรียมตัว? ผมก็อยากจะให้เขาเตรียมอยู่เหมือน
กัน…”
เมื่อนึกถึงพฤติกรรมของจางเซวียนในการทดสอบ
2-3 ขั้นที่ผ่านมา ปรมาจารย์อู๋ก็แทบจะปล่อยโฮ
ถ้ามันเป็นแบบนั้น เขาก็จะไม่ตระหนกเลย
แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เจ้าหนุ่มคนนั้นก็เป็นมือ
ใหม่ที่แสนจะเซ่อซ่า
ถ้าเขารู้ว่าการประสานเสียงของระฆัง 100 ใบ คือ
การยกย่องชมเชยในระดับสูงสุด เขาจะกล้าตวาดระฆัง
ปราชญ์โบราณแบบนั้นไหม?
ถ้าเขารู้ลูกเล่นของการทดสอบในขั้นบ้านวัดใจ เขา
จะพาลูกศิษย์ที่มีอายุไล่เลี่ยกันมาหรือเปล่า?
ถ้ า เขารู้ ว่ า เจ้ า หุ่ น จำลองมี ค วามสามารถในการ
ฟื้นฟูตัวเอง เขาจะมัวนั่งงมซ่อมมันทำไม ในเมื่อสอบ
ผ่านแล้ว?
“เขา…เขาไม่รู้อะไรเลย การทดสอบทั้ง 5 ขั้นก็เป็น
สิ่งที่ฉันเพิ่งบอกเขา…ตอนที่ฉันพบเขาเมื่อวานนี้ เขายัง
ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าสภาปรมาจารย์ตั้งอยู่ที่ไหน!”
เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ หลิงเซียวเซียวก็
อดพูดขึ้นไม่ได้
ทันใดนั้น ฝูงชนที่อยู่ในห้องสอบก็หันขวับมามอง
เธอ ทั้งรองประธานกวน ผู้อาวุโสจู และคนอื่นๆ พวกเขา
ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองใจที่เธอพูดแทรก
หลิงเซียวเซียวย้อนนึกถึงรายละเอียดในการพบกัน
ระหว่างเธอกับจางเซวียน ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ ก่อน
จะเล่าให้คนเหล่านั้นฟัง
“เขามาเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ทั้งๆที่
ไม่รู้อะไรเลย แต่ยังสอบได้ดีขนาดนั้น?”
ได้ฟังเธอเล่า ทุกคนก็แทบจะคลั่ง
พวกเขาคิ ด ว่ า ชายหนุ่ ม คนนี้ ค งคุ้ น เคยกั บ การ
ทดสอบเป็นอย่างดี และเตรียมตัวมาล่วงหน้า จึงทำได้ดี
ขนาดนั้น แต่...กลายเป็นว่าเขาไม่รู้อะไรสักอย่าง เดิน
ดุ่ยๆเข้าไปในห้องทั้งอย่างนั้น!
แถมได้ผลการทดสอบยอดเยี่ยมมาอย่างง่ายดาย…
น่าทึ่งอะไรขนาดนี้?
โม่หงอีซวนเซและอยากกระอักเลือดเต็มที
เขาใช้เวลาเตรียมตัวไม่รู้กี่พันกี่หมื่นชั่วโมงเพื่อให้
ได้ผลการทดสอบแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเทียบกับอีก
ฝ่ายไม่ได้ ที่เร่อร่าเข้ามาโดยไม่รู้อะไรสักนิด
ก็ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะเสียเวลาเตรียมตัวเพื่อ
อะไร!
“ถ้าเขาไม่รู้อะไรเลย ก็แปลว่าต้องไม่รู้ว่าห้องจับผิด
นั้น…มี 2 ขั้น!”
เมื่อได้ฟังหลิงเซียวเซียวเล่า รองประธานกวนก็
หน้าดำคร่ำเครียด
“เอ่อ…”
“ถูกแล้ว และ 2 ขั้นนี้ก็อยู่ติดกันด้วย…”
คนอื่นๆก็พากันหรี่ตา
“ที่คุณพูดว่า 2 ขั้นนั้นหมายความว่าอย่างไร?”
นักปรุงยาหงหยุ่นถาม เพราะไม่เข้าใจสีหน้ากังวล
ของคนอื่นๆ
“หากดูเผินๆ ห้อ งจับผิดก็ป ระกอบขึ้ นจากการ
แสดงเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ของหุ่นจำลอง
ตัวหนึ่ง เหมือนๆกับในการทดสอบขั้นศึกหุ่นจำลอง แต่
อันที่จริง ทั้งสองขั้นนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! ในการ
ทดสอบขั้นศึกหุ่นจำลอง หุ่นทั้งคู่จะสู้กันเอง และสิ่งที่
เป็นประเด็นของการทดสอบก็คือความสามารถในการ
ชี้แนะหุ่น แต่ในห้องจับผิด…ไม่เพียงแต่จะทดสอบความ
สามารถในการชี้ข้อบกพร่องของหุ่นจำลอง แต่ผู้เข้าสอบ
ยังต้องแสดงวรยุทธของตัวเองด้วย!”
“นั่นหมายความว่า…ในห้องจับผิด ผู้เข้าสอบจะ
ต้องสู้กับหุ่นจำลอง ภายในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป เขาจะ
ต้องหาข้อบกพร่องและใช้มันเอาชนะหุ่นจำลองให้ได้ ถ้า
หาข้อบกพร่องไม่เจอ หุ่นจำลองก็จะไม่หยุดโจมตี ซึ่งนั่น
อาจเป็นการ…ฆ่าเขา!”
“ฆ่าเขา?”
บรรดาผู้ช่วยปรมาจารย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าห้อง
จับผิดจะน่าสะพรึงขนาดนั้น พวกเขาถึงกับตัวสั่น
“แต่ใครที่มาสอบเป็นปรมาจารย์ก็จะต้องผ่านการ
ทดสอบขั้นนี้ไม่ใช่หรือ ก็ไม่น่าจะอันตรายมากนัก…” นัก
ปรุงยาหงหยุ่นตั้งคำถาม
มี ผู้ ค นมาเข้ า รั บ การทดสอบเป็ น ปรมาจารย์ ก็
มากมาย แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครถูกฆ่าระหว่างการ
ทดสอบ ในเมื่อคนอื่นๆเขาอยู่กันได้ จางเซวียนก็ไม่น่าจะ
เป็นอะไร
“กับคนอื่นอาจจะไม่เป็นอะไร แต่กับเขาน่ะ…”
ปรมาจารย์อู๋หน้าตาเหยเก “ในการทดสอบขั้นห้อง
จับผิดของอาณาจักรเทียนหวู่นั้นแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน
ขั้นแรกใช้สำหรับทดสอบปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว ส่วน
ขั้นที่ 2 ใช้ในการทดสอบปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว ถ้าเป็น
คนอื่ น ก็ ค งจะกลั บ ออกมาหลั ง จากที่ ท ำภารกิ จ ขั้ น แรก
สำเร็จ แต่ก็อย่างที่ผมอธิบายว่าเขาน่าจะไม่รู้ เพราะ
ฉะนั้นถ้าเขาก้าวต่อไปยังขั้นที่ 2…ก็จะต้องเผชิญหน้ากับ
หุ่นจำลองขั้นจงซรือ!”
“หุ่นจำลองที่มีวรยุทธขั้นจงซรือ?”
ทุกคนช็อก
ผู้ที่มาเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว ส่วน
มากก็สำเร็จวรยุทธขั้นทงฉวน ดังนั้นหุ่นจำลองที่พวกเขา
ต้องเผชิญหน้าก็จะมีวรยุทธขั้นทงฉวนเหมือนกัน เพื่อให้
พวกเขามีโอกาสเอาชนะมันได้
แต่ถ้าต้องเจอกับหุ่นจำลองที่มีวรยุทธขั้นจงซรือ…
โดยเฉพาะหุ่นจำลองขั้นจงซรือที่เกือบจะไม่มีข้อ
บกพร่องเลย!
นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
ฝูงชนพากันหน้าซีด
นี่มันความเป็นความตายชัดๆ!
วรยุทธขั้น 7-ทงฉวนกับขั้น 8-จงซรือนั้นต่างกัน
อย่างสิ้นเชิง
“เร็วเข้า ไปหยุดเขาไว้ก่อน…”
รองประธานกวนตะโกน
กว่าอัจฉริยะสักคนจะปรากฏตัวขึ้นในสมาคมของ
พวกเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าต้องมาตายเพียงเพราะไม่รู้
กฎ ทั้งสภาต้องเดือดร้อนแน่
วิ้ง!
ยังพูดไม่ทันจบ ประตูห้องจับผิดก็สั่น แสงเจิดจ้า
เปล่งประกายออกมาจากข้างใน
“เขา…เขา…”
เห็นแสงนั้น ปรมาจารย์อู๋ก็ตัวสั่นและตาพร่า
“ช้าไปแล้ว ขะ-เขาไม่ได้เข้าไปที่ขั้นแรก แต่ตรงไป
ขั้นที่ 2 เลย!”
ตอนที่ 311 ข้อบกพร่อง 30 ข้อ

ทุกอย่างเงียบกริบ
เรื่องเลวร้ายที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว
การทดสอบขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ของห้องจับผิดนั้น
อยู่ติดกัน
โดยปกติแล้ว ก่อนที่ผู้เข้าสอบจะเข้าไปข้างใน ปร
มาจารย์อู๋จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าถึงการเผชิญหน้ากับ
การทดสอบขั้นที่ 1
แต่ถึงเขาจะไม่แจ้ง ผู้เข้าสอบทุกคนก็ล้วนเป็นผู้
ช่วยปรมาจารย์แห่งอาณาจักรเทียนหวู่ ซึ่งรู้กฎเกณฑ์
เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่เคยเกิดความผิดพลาด
แต่สำหรับเจ้าหนุ่มคนนี้ ถือเป็นข้อยกเว้น!
ที่หนักกว่านั้นคือ เขาบุกเข้าไปดื้อๆทั้งที่ไม่รู้อะไร
เลย!
ไอ้การบุกเข้าไปก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่เขาหาขั้น
แรกไม่เจอและพุ่งตรงไปยังขั้นที่ 2 เลยนั้น…ออกจะโชค
ร้ายไปหน่อยไหม?
“เราเข้าไปช่วยชีวิตเขาตอนนี้เลยไม่ได้หรือ?” นัก
ปรุงยาหงหยุ่นถามอย่างกังวล
“เมื่ อ ห้ อ งจั บ ผิ ด เริ่ ม ทำงานแล้ ว มั น จะไม่ ห ยุ ด
จนกว่าจะได้ผลแพ้ชนะ…” ปรมาจารย์อู๋หน้าซีด หลัง
จากอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เสริมขึ้นมา “เว้นเสียแต่ว่า…
ท่านประธานจะลงมาดูเอง และใช้ตราสัญลักษณ์ของ
ประธานสภาปรมาจารย์บุกเข้าไป!”
“ได้! ถ้าอย่างนั้นผมจะไปหาท่านประธานเดี๋ยวนี้
เลย ขอให้เขายังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งท่านประธานมาด้วย
เถอะ…” รองประธานกวนพยักหน้าก่อนจะผลุนผลันออก
ไป
จางเซวียนเป็นอัจฉริยะผู้ทำลายทุกสถิติของการ
ทดสอบที่ เ คยมี ม า ถ้ า ต้ อ งมาตายที่ นี่ เ พราะความผิ ด
พลาดของพวกเขา ทั้งสาขาคงต้องเดือดร้อนกับเพลิง
พิโรธของสำนักงานใหญ่แน่
“ยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งท่านประธานมา…มันจะเป็น
ไปได้หรือ?”
ปรมาจารย์อู๋หน้าซีดเผือด
นักรบขั้น 8-จงซรือ สามารถปลิดชีวิตนักรบขั้น 7-
ทงฉวนได้ภายในสองสามวินาที เขาจะเอาชีวิตให้รอดจน
กระทั่งท่านประธานมาได้อย่างไร!
“มาขนาดนี้ แ ล้ ว เราทำได้ แ ค่ ตั้ ง ความหวั ง
เท่านั้น…”
เมื่อรู้ว่าไม่มีหนทางอื่น ปรมาจารย์อู๋จ้องเขม็งไปที่
ประตู และภาวนาอย่างจริงจังให้ชายหนุ่มปลอดภัย
……
ในห้องจับผิด จางเซวียนถลึงตาใส่หุ่นจำลองที่อยู่
ตรงหน้า
หลิงเซียวเซียวพูดถูก การทดสอบ 4 ขั้นแรกไม่ต่าง
ไปจากที่ปรมาจารย์อู๋บอกเลย เขาจึงคิดว่าการทดสอบ
ขั้นที่ 5 ก็จะต้องเป็นแบบเดียวกัน เห็นฝ่ายนั้นมีธุระยุ่ง
กับการพูดคุยเจรจา เขาจึงผลักประตูและเดินเข้าไปข้าง
ในคนเดียว
แต่เมื่อเข้าไปแล้ว ก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หุ่นจำลองตัวหนึ่งพุ่งเข้าโจมตีเขาทันทีที่เข้าไป แต่
จางเซวียนก็ฉะเปรี้ยงเดียว ทำให้มันหมดสภาพไปทันที
จากนั้นหุ่นตัวที่ 2 ก็พุ่งเข้าใส่ และเห็นได้ชัดว่ามัน
แข็งแกร่งกว่าตัวแรกมาก ถ้าไม่ใช่เพราะความว่องไวของ
จางเซวียน เขาคงได้รับบาดเจ็บไปแล้ว
“หุ่ น จำลองที่ มี ว รยุ ท ธจงซรื อ ขั้ น ต้ น ? สมกั บ
เป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายจริงๆ มันท้าทายกว่าทุกครั้ง
เลย!”
จางเซวียนถึงกับต้องหรี่ตาเพราะความรุนแรงใน
การโจมตีของหุ่นตัวนั้น
ในการทดสอบขั้นที่ 3 หุ่นจำลองสองตัวที่แลกหมัด
เข่าศอกกันนั้นมีวรยุทธแค่ขั้นทงฉวน ในขณะที่เจ้าตัวนี้
สำเร็จวรยุทธจงซรือขั้นต้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คน
มากมายถึงไม่ผ่านการทดสอบเป็นปรมาจารย์ เพราะเจอ
คู่ต่อสู้ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลขนาดนี้ คงไปไม่เป็นกันทั้งนั้น
“แต่ว่า…เราไม่เดือดร้อนเลย!”
หุ่นจำลองที่มีวรยุทธขั้นจงซรืออาจจะแข็งแกร่งก็
จริง แต่ไม่ระคายจางเซวียนแม้แต่น้อย
หลังจากที่เขาสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งจงซรือแล้ว พละ
กำลังของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ติ่ง ในด้านของความ
แข็งแกร่ง ก็ถือว่าเขาอยู่เหนือกว่านักรบจงซรือขั้นต้น
แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพละกำลังเหลือเฟือของเขาผนวก
เข้ากับเทคนิคการต่อสู้อันไร้เทียมทานอย่างศิลปะการ
เคลื่ อ นไหวเที ย บฟ้ า และเพลงหมั ด เที ย บฟ้ า รวมถึ ง
สายตาเฉียบแหลมที่สามารถระบุข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้
ได้ ต่อให้นักรบจงซรือขั้นสูงสุดก็ยังเอาชนะเขาได้ยาก
ป่วยการจะพูดถึงหุ่นจำลอง
ฟึ่บ!
ขณะที่จางเซวียนกำลังจมดิ่งอยู่ในภวังค์ หุ่นจำลอง
ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็พุ่งเข้ามา
เขารวบรวมสมาธิ ไ ว้ ที่ หุ่ น จำลองและจั บ ข้ อ
บกพร่องของมันได้ 7-8 ข้อในทันที จางเซวียนยิ้มอ่อน
และถอยไปหนึ่งก้าว ใช้นิ้วของเขาต่างหอก แล้วจิ้มไปที่
จุดๆหนึ่งกลางอากาศ
วิ้ง!
แม้จะใช้พลังเพียงเล็กน้อย แต่ร่างใหญ่โตของหุ่น
จำลองก็ถอยกรูดไม่เป็นท่า ราวกับต้องเจอแรงปะทะ
หนักหน่วง
“มา!”
เมื่อโจมตีอีกฝ่ายได้สำเร็จ จางเซวียนก็พุ่งเข้าใส่เจ้า
หุ่นตัวนั้น และอัดเข้าที่จุดอ่อนของมันอีกครั้งโดยไม่รีรอ
ในเมื่ อ การทดสอบขั้ น นี้ เ รี ย กว่ า ห้ อ งจั บ ผิ ด ก็
หมายความว่าผู้เข้าสอบจะต้องโจมตีที่จุดอ่อนของหุ่น
จำลอง ยิ่งโจมตีได้มากจุดเท่าไหร่ คะแนนก็จะยิ่งสูงขึ้น
สำหรับหุ่นจำลองตัวแรก จางเซวียนตบมันทีเดียว
ร่วงตั้งแต่ที่มันพุ่งเข้าใส่ โดยที่มันยังไม่ทันจะได้ตอบโต้
แต่สำหรับตัวที่ 2 นี้แข็งแกร่งกว่าตัวแรกมาก ถือเป็นก
องหนุนชั้นดี
ตุ้บ! ปึ้ก! ปั้ก! เพียะ!
หมัด เตะ ศอก ทุบ...การโจมตีทุกรูปแบบถูก
ประเคนลงบนตัวหุ่น ทำให้มันถอยกรูดอย่างต่อเนื่อง
ตั้ ง แต่ ท ะลุ มิ ติ ม า จางเซวี ย นยั ง ไม่ เ คยฟิ ว ส์ ข าด
จนถึงกับต้องต่อสู้กับใครมาก่อน แต่ตอนนี้ เมื่อปล่อย
พละกำลังออกมาเต็มที่ เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณที่พลุ่ง
พล่านไปทั่วร่าง ความอิ่มเอมใจแบบที่อธิบายไม่ได้จู่โจม
เข้าใส่เขา
ฟึ่บ! วิ้ว!
เมื่อกระแสพลังปราณบริสุทธิ์ไหลเวียนเร็วขึ้นและ
เร็วขึ้น คอขวดที่เขาต้องเผชิญกับมันมาตลอดระยะเวลา
ของการฝึกฝนก็ถูกทลายลง
“นี่เราฝ่าปราการขั้นสุดท้ายของวรยุทธขั้นจงซรือ
ได้แล้วหรือ?”
จางเซวียนตาโต
เขานึกไม่ถึงว่าการบุกเข้าโจมตีเป็นชุดๆจะทำให้
เขาทลายปราการขั้นสุดท้ายของการสำเร็จวรยุทธขั้น
จงซรือได้ สิ่งนี้ทำให้เขาจวนเจียนจะฝ่าด่านวรยุทธไปถึง
ขั้นจงซรือเต็มที
วรยุทธขั้นจงซรือหมายถึงการก้าวขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น
ทั้งอายุขัยและพละกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็น
ได้ชัด
แม้จางเซวียนจะรู้ตัวมาก่อนว่าเขาใกล้จะสำเร็จวร
ยุทธขั้นจงซรือแล้ว แต่ก็รู้ดีว่าหากไม่ได้ฝึกฝนอย่างหนัก
เป็นเวลาหลายๆเดือน ก็คงยากที่จะผ่านขั้นสุดท้ายไปได้
เขาไม่รู้สักนิดว่าการออกตัวโจมตีเจ้าหุ่นตัวนี้จะเป็นแรง
กระตุ้นให้การฝ่าด่านเป็นไปได้สำเร็จ
“นี่เป็นโอกาสดีเลย เราจะใช้เจ้านี่เป็นเครื่องมือฝึก
อีกสักหน่อย ถึงอย่างไรเราก็ไม่ได้รีบร้อนจะสำเร็จขั้นจงซ
รืออยู่แล้ว!”
ถึงเขาจะดีใจกับสิ่งที่ได้มาอย่างไม่คาดฝัน แต่ก็ไม่
ได้รีบร้อนอะไร เมื่อไรก็ตามที่เขาเป็นนักรบขั้นจงซรือ
อย่างเต็มตัว การทำลายเจ้าตัวนี้ก็จะง่ายดายเหมือนบี้มด
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อน
แต่ด้วยระดับวรยุทธที่มีอยู่ตอนนี้ เขาควรจะจัด
ระเบียบทักษะการต่อสู้ของตัวเองอีกสักหน่อย เพื่อให้
จัดการกับจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้อย่างเข้าเป้า
…..
“ท่านประธาน, ไม่ได้อยู่ที่นี่…”
“ห้องประชุม ก็ไม่มี…”
“ท่านประธานจะไปอยู่ที่ไหนได้?”
เพราะมี อั จ ฉริ ย ะติ ด กั บ อยู่ ใ นห้ อ งจั บ ผิ ด รอง
ประธานกวนจึงรีบรุดไปหาท่านประธานโดยไม่รีรอ ด้วย
วรยุทธจงซรือขั้นสูงสุด ท่วงท่าของเขาจึงว่องไวราวกับ
พายุหมุน
ไม่ช้า เขาก็แวะไปดูครบทุกที่ที่ท่านประธานชอบไป
แต่ก็ไม่เห็นแม้เงา
เขารู้ว่าท่านประธานปลีกวิเวกเพื่อฝึกวรยุทธ แต่ก็
ไม่คิดว่า…เขาจะไม่อยู่ในสภาปรมาจารย์
“สวนด้านหลัง!”
เขาค้นหาทั่วทั้งสภาปรมาจารย์แล้ว เหลือแต่สวน
นั่น
ด้านหลังสภาปรมาจารย์เป็นที่พักขนาดมหึมา ซึ่ง
แบ่งเป็นบ้านหลายหลังอย่างเป็นสัดส่วน แต่ละหลังจะมี
ลานบ้านของตัวเอง มีปรมาจารย์หลายคนพักอยู่ที่นี่ และ
ท่านประธานก็เป็นหนึ่งในนั้น
ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างว่องไว เพียง 6-7 อึดใจ
รองประธานกวนก็มาถึงลานบ้านของท่านประธาน กำลัง
จะเข้าไป ก็พอดีได้ยินเสียงคำรามของอสูรตัวหนึ่ง
“ทำไมถึงมีอสูรอยู่ที่นี่?” รองประธานกวนถึงกับ
ตะลึงเพราะเสียงนั้น
ที่นี่คือสภาปรมาจารย์ ไม่ใช่ดงอสูร แล้วอสูรตัวนี้
มาจากไหน?
“ท่านประธานตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า?”
ด้วยความวิตกท่วมท้น รองประธานกวนบุกรุก
เข้าไป โดยลืมระเบียบการของการรายงานตัวเสียหมด
สิ้น
“ท่านประธาน…”
เขาตะโกนเรี ย กและรวบรวมวรยุ ท ธเพื่ อ เตรี ย ม
พร้อมกับการเข้าปะทะ แต่เมื่อเห็นภาพที่ลานบ้านก็ถึง
กับจังงัง
ท่านประธานอยู่ในลานนั้น อสูรตัวหนึ่งก็อยู่ด้วย
แต่ทั้งคู่ไม่ได้ต่อสู้กันอย่างที่เขาคิด ท่านประธานกำลังย่าง
เนื้อมาให้เจ้านั่นกิน
อสูรตัวมหึมากำลังเคี้ยวกร้วมๆอย่างมีความสุข มัน
มีสีหน้าพออกพอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ปรมาจารย์กวน รีบร้อนพรวดพราดขนาดนี้ มี
อะไรหรือเปล่า?”
เห็นอีกฝ่ายบุกเข้ามาโดยไม่ได้รายงานตัว ท่าน
ประธานขมวดคิ้ว
“ท่านประธาน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! อัจฉริยะคนหนึ่ง
ที่กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบเป็นปรมาจารย์ได้เข้าไปอยู่
ในห้องจับผิดโดยบังเอิญ…”
รองประธานกวนรู้ว่าไม่ใช่เวลาจะมาซักถามเรื่อง
อื่น จึงรีบอธิบายสถานการณ์อย่างรวบรัด
“คุณหมายความว่า...เขาเข้าไปในขั้นตอนที่ 2 ของ
การทดสอบและไปเจอกับหุ่นอีกตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ?” เมื่อ
ได้ยินคำพูดนั้น ท่านประธานก็กระวนกระวายขึ้นมา “โง่
เง่าเสียจริง! ไปดูกัน!”
รู้ว่าไม่มีเวลาจะเสีย ท่านประธานจึงไม่สนใจอสูร
ตัวนั้นอีก เขาจ้ำพรวดๆออกจากลานบ้าน
นั ก รบจงซรื อ ขั้ น สู ง สุ ด ทั้ ง คู่ ใ ช้ ค วามเร็ ว เต็ ม พิ กั ด
พวกเขาใช้เวลาไม่ถึง 10 อึดใจก็มาถึงห้องสอบ ไวปาน
พายุพัด
ทั้ ง คู่ ค าดว่ า จะได้ เ ห็ น ใบหน้ า ที่ เ ต็ ม ไปด้ ว ยความ
กระวนกระวายใจออกันอยู่หน้าห้องสอบ แต่กลับได้เจอ
อาการช็อกแทน ฝูงชนต่างจ้องไปข้างหน้าอย่างตะลึงงัน
และมีสายตาว่างเปล่าราวกับถูกดูดวิญญาณออกไป
“เกิดอะไรขึ้น?” ท่านประธานถามอย่างสับสน
ก็ในเมื่ออัจฉริยะคนหนึ่งพรวดพราดเข้าไปในการ
ทดสอบขั้ น ที่ 2 ของห้ อ งจั บ ผิ ด ทุ ก คนก็ ค วรจะ
กระวนกระวายและรอคอยให้เขามาช่วยไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมถึงไม่มีใครกังวลอะไรเลย แถมยังทำท่าโง่
เง่าเซ่อซ่ากันไปเสียหมด
“ท่านประธาน…ดะ-ดู!”
รองประธานกวนมองไปรอบๆอย่างงุนงงและได้เห็น
บางอย่าง เขาชี้ให้ท่านประธานดู
ที่เขาชี้ไปคือประตูห้องจับผิด ตัวเลขแถวหนึ่งฉาย
แสงเรืองรองออกมา
“465…นี่มันอะไร?”
ท่านประธานตัวสั่นและแทบจะทรุดฮวบ
“นี่…นี่คงเป็นคะแนนจากข้อบกพร่องที่เขาพบ…”
รองประธานกวนกลืนน้ำลาย
“คะแนนจากการพบข้อบกพร่อง?”
ท่านประธานถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด รู้สึกถึงเลือด
ที่เอ่อในคอขึ้นมาทันที
ก็คุณบอกว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย และกำลัง
จะถูกฆ่า?
คุ ณ บอกไม่ ใ ช่ ห รื อ ว่ า เขาติ ด อยู่ ใ นห้ อ งจั บ ผิ ด และ
ต้องการความช่วยเหลือ?
แล้วมันเกิดบ้าบออะไรกับคะแนนนั่น?
ในห้องจับผิด การพบข้อบกพร่อง 1 ข้อหมายถึง 1
คะแนน พบข้อบกพร่อง 2 ข้อ ก็จะได้รับเพิ่มอีก 2
คะแนน และหากพบข้อบกพร่องข้อที่ 3 ก็จะบวกเข้าไป
อีก 3 คะแนน…ทวีคูณไปแบบนี้
ถ้าอัจฉริยะคนไหนหาข้อบกพร่องเจอ 6 ข้อ และได้
21 คะแนน เท่านั้นก็ถือว่าฟ้าสะท้านดินสะเทือนแล้ว มัน
เป็นสถิติที่จะคงอยู่ไปอย่างน้อยก็เป็นศตวรรษทีเดียว แต่
นี่…465?
จะบ้าหรือไง!
“465 นั่นหมายความว่า…เขาพบข้อบกพร่องของ
หุ่นจำลอง 30 ข้อ…”
ท่านประธานหน้าตาบูดเบี้ยว และรู้สึกเหมือนโลก
ทั้งใบได้ผิดเพี้ยนไป
ท่วงท่าที่หุ่นจำลองแสดงออกมาในห้องจับผิดได้รับ
การคิดค้นโดยปรมาจารย์ระดับ 4 ดาว พูดง่ายๆก็คือ ทุก
การโจมตีของมันก็ไม่ต่างอะไรกับปรมาจารย์ระดับ 4
ดาวมาสำแดงวรยุทธด้วยตัวเอง
ต่อให้ปรมาจารย์ระดับ 4 ดาวหลงลืมข้อบกพร่อง
บางข้อไปโดยบังเอิญ อย่างมากก็คงมีแค่ 1 หรือ 2 ข้อ
เท่านั้น ซึ่งการจะเจอข้อบกพร่องเหล่านั้นได้ก็ไม่ใช่เรื่อง
ง่าย แต่เจ้าหนุ่มคนนี้…
ข้อบกพร่อง 30 ข้อ, 465 คะแนน…
นี่โคตรเหง้าของคุณเป็นคนสร้างหุ่นจำลองหรือไง?
“คุณแน่ใจนะว่า…เขาตรงเข้าไปที่การทดสอบขั้นที่
2, ไม่ใช่ขั้นแรก?”
ท่านประธานปากสั่นอยู่นานกว่าจะบังคับตัวเองให้
สงบและพูดออกมาได้
ผู้เข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว
คนหนึ่งบุกเข้าไปในการทดสอบขั้นที่ 2 ของห้องจับผิด
โดยไม่ได้ตั้งใจ และพบข้อบกพร่องถึง 30 ข้อในหุ่น
จำลองที่ มี ว รยุ ท ธขั้ น จงซรื อ …ต่ อ ให้ ผู้ เ ข้ า สอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้!
“ถ้าเป็นการทดสอบขั้นแรก ประตูจะเรืองแสงสีฟ้า
ออกมา แต่ถ้าเป็นขั้นที่ 2 มันจะเรืองแสงสีแดง...ตอนที่
ห้องจับผิดทำงาน ผมเห็นกับตาตัวเองว่ามันเรืองแสงสี
แดงออกมา ไม่มีทางผิดพลาด!”
รองประธานกวนก็เซ่อไป
เขารีบร้อนลนลานไปลากท่านประธานมาเพื่อช่วย
ชีวิตอัจฉริยะ แต่ลงท้าย... กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกำลัง
เริงร่าอยู่ข้างใน
แถมเวลาก็ผ่านไปแค่ครู่เดียวไม่ใช่หรือ?
แต่เขาพบข้อบกพร่องในตัวหุ่นถึง 30 ข้อ?
รองประธานกวนถึงกับตัวสั่น
ต่ อ ให้ ร วบรวมปรมาจารย์ ทุ ก คนที่ มี อ ยู่ ใ นสภา
ปรมาจารย์ไปไว้ในห้องนั้น พวกเขาก็คงหาข้อบกพร่อง
ไม่ได้ถึงขนาดนี้แน่ !
อีกอย่าง นั่นเป็นหุ่นจำลองที่สร้างขึ้นโดยถ่ายทอด
เจตจำนงของปรมาจารย์ระดับ 4 ดาวเอาไว้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่
มีสายตาหยั่งรู้เฉียบแหลมกว่าปรมาจารย์ผู้นั้น ก็เป็นไป
ไม่ได้เลยที่จะหาข้อบกพร่องได้มากมายขนาดนี้
แอ๊ด!
ทั้งคู่กำลังแทบจะคลั่ง ก็พอดีกับที่ประตูเปิดออก
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา
เมื่อเห็นเขาเดินออกมา ปรมาจารย์อู๋รีบตรงเข้าไป
หาทันที “ปรมาจารย์จาง, คุณ… โอเคไหม?”
อีกฝ่ายผ่านการทดสอบทั้ง 5 ขั้นแล้ว ก็สามารถ
เรียกเขาว่าปรมาจารย์ได้ ดังนั้น ปรมาจารย์อู๋จึงเปลี่ยน
คำนำหน้าจากอาจารย์จางเป็นปรมาจารย์จาง
“ทำไมจะไม่โอเคล่ะ?”
จางเซวียนมองหน้าเขาอย่างสับสน จากนั้นใบหน้า
ของเขาก็ค่อยๆแดงขึ้น และอุบอิบออกมา “แต่ว่า…ผม
ควบคุมพละกำลังของตัวเองไม่ได้ เลยพลั้งมือทำหุ่นพัง
ไป มัน…เอ่อ…มันฟื้นฟูตัวเองได้เหมือนกันใช่ไหม?”
ตอนที่ 312 การทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2

ดาว

“ทำหุ่นพัง?”
ปรมาจารย์อู๋หน้าตายู่ยี่
นั่นมันหุ่นขั้นจงซรือนะ! คุณเป็นแค่ผู้เข้ารับการ
ทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว ไม่เพียงแต่จะพบ
ข้อบกพร่องถึง 30 ข้อ แต่ยังทำมันพังด้วย…
ถ้าปรมาจารย์ระดับ 4 ดาวผู้ถ่ายทอดเจตจำนง
เข้าไปในตัวหุ่นได้รู้เข้า คงกระอักเลือดและลมจับแน่
จะเหนือไปไหน!
“ก็คุณตรงเข้าไปขั้นที่ 2 เลย ผมก็นึกว่าคุณจะได้
รับอันตราย จึงถามว่าคุณโอเคไหม…” ปรมาจารย์อู๋ข่ม
ความละเหี่ยไว้และอธิบาย
“ขั้นที่ 2? ห้องจับผิด…มีขั้นด้วยหรือ?” จางเซวีย
นมองปรมาจารย์อู๋อย่างสงสัย
เขาต้องสู้กับเจ้าหุ่นจำลองตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบ
ย่างเข้าไป เลยไม่รู้ว่ามีขั้นอะไรอยู่ในนั้น!
เมื่อได้ยินคำถามและสีหน้าสับสนของจางเซวียน
ปรมาจารย์ทุกคนก็ถึงกับซวนเซ ถ้าไม่ใช่เพราะความ
สามารถในการควบคุมตัวเองอันดีเยี่ยมล่ะก็ เลือดคงพุ่ง
เป็นห่าฝนท่วมห้อง
“คุณ...เจอหุ่นแค่ตัวเดียว? ไม่เจออย่างอื่นเลยหรือ
ไง?”
เจียงเฉินอดถามไม่ได้
“หุ่น? อ๋อ ผมเจอ 2 ตัว พอเข้าไปปุ๊บ หุ่นตัวหนึ่งก็
พุ่งเข้าใส่ผมทันที ผมเลยพลั้งมือตบมันแรงไป มันยังนอน
หมอบอยู่ตรงนั้นแหละ และผมคิดว่ามันคง…พังไปแล้ว!
อันนั้นเรียกว่า… เป็นหนึ่งขั้นใช่ไหม?”
จางเซวียนย้อนนึก
ทันที่เขาเข้าไปในห้องจับผิด หุ่นจำลองตัวหนึ่งก็รี่
เข้าใส่ เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว จึงตบมันไปเต็มแรงโดย
อัตโนมัติ ไม่นึกเลยว่าแค่ตบทีเดียว มันจะถึงกับพิการ
จากนั้นหุ่นอีกตัวหนึ่งก็เข้ามา เขากำลังวุ่นวายกับ
การต่อสู้ จึงลืมเรื่องนี้ไป
หรือว่า…ไอ้ตัวที่ถูกตบไปตั้งแต่ทีแรกคือขั้นที่ 1?
ก็ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมขั้นที่ 1 มันถึงได้ง่ายนัก?
“ตบหุ่นเปรี้ยงเดียวพัง?”
“นั่ น คื อ การทดสอบสำหรั บ การเป็ น ปรมาจารย์
ระดับ 1 ดาวของคุณนะ…”
…..
ทุกคนแทบจะคลั่ง เจียงเฉินถึงกับหน้ามืดตาลาย
สมัยที่เขาเข้าสอบ เขาต้องพยายามสุดตัวเพื่อสู้กับ
หุ่นตัวนี้ และแทบจะต้องพลีชีพให้มัน แต่หมอนี่…สอย
มันกระเด็นโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทำไมสถานการณ์ ข องเราสองคนจะต้ อ งต่ า งกั น
ขนาดนี้?
ที่หนักกว่านั้นคือ…
นั่นมันการทดสอบของคุณนะ! ไม่อยากจะเชื่อว่า
สอยมันกระเด็นไปแล้ว ก็ยังทำตัวเซ่อซ่าอยู่ จะโชว์เหนือ
กันไปถึงไหน?
“ช่างมันเถอะ…”
ปรมาจารย์อู๋ก็ใบ้กิน
น้องชาย, นี่มาเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์
หรือมาสร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นกันแน่?
ดูเหมือนคุณจะทำหุ่นจำลองในสภาปรมาจารย์ของ
เราพังไปเกือบหมดแล้ว…
“ในเมื่อคุณผ่านการทดสอบทั้ง 5 ขั้น ก็เท่ากับได้
เป็นปรมาจารย์อย่างเป็นทางการแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็
ต้ อ งผ่ า นปุ จ ฉา-วิ สั ช นาก่ อ น ถึ ง จะได้ รั บ มอบตรา
สัญลักษณ์!”
ปรมาจารย์อู๋สูดหายใจลึก 2-3 ครั้ง ข่มความ
ละเหี่ยใจไว้ และประกาศออกมา
“ตามนั้น!” จางเซวียนพยักหน้า
เขาเคยคิ ด ว่ า การทดสอบเป็ น ปรมาจารย์ จ ะต้ อ ง
ยากลำบากมาก ไม่นึกเลยว่าจะง่ายขนาดนี้
ในเมื่อได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวแล้ว เขาก็จะ
มีสิทธิ์เ ข้าไปในหอสมุดของสภาปรมาจารย์ เ พื่ อ พลิ ก ดู
หนังสือพวกนั้นเสียที!
และในขณะเดียวกันก็จะได้หาประวัติศาสตร์เกี่ยว
กับปรมาจารย์เซียนขง เพื่อค้นหาว่าเขากำจัดสภาวะ
ครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดในร่างกายได้อย่างไร
จางเซวียนกำลังจะถามถึงที่ตั้งของหอสมุด ก็พอดี
เห็นโม่หงอีเดินเข้ามาด้วยสีหน้ามั่นใจและหยิ่งผยองถึง
ขีดสุด
“ปรมาจารย์อู๋และผู้อาวุโสจู ผมอยากเข้ารับการ
ทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว ช่วยจัดเตรียมการ
ทดสอบให้ผมด้วย!”
เมื่อเห็นหมอนี่ทำลายทุกสถิติของเขา โม่หงอีอยู่เฉย
ไม่ได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจจะเข้าสอบทันที
ด้วยการเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวเท่านั้น ที่จะ
ทำให้เรื่องวันนี้ไม่เป็นที่โจษขาน
เพราะไม่อย่างนั้น เมื่อไรก็ตามที่มีใครพูดถึงเขาขึ้น
มา คนพวกนั้นก็จะต้องเหน็บชื่อเจ้าหนุ่มคนที่ทำลายทุก
สถิติของเขาขึ้นมาด้วย และถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะเอา
หน้าไปไว้ที่ไหน
ในฐานะอัจฉริยะหมายเลข 1 ของอาณาจักร เขา
จะไม่ยอมเป็นรองใครเด็ดขาด!
“สอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวหรือ?”
“ปรมาจารย์โม่เพิ่งได้เป็นปรมาจารย์เมื่อสองสามปี
นี้เองใช่ไหม? นี่จะสอบระดับ 2 ดาวแล้ว?”
“สมกับที่เป็นอัจฉริยะ ความว่องไวในวรยุทธของ
เขาไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาอย่างเราๆจะเทียบได้…”
ฝูงชนออกความเห็นกันเซ็งแซ่
หลายปี ม าแล้ ว ที่ ไ ม่ มี ใ ครเข้ า รั บ การทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเลือกสอบ
ตอนนี้!
ถึงพวกเขาจะชะงักกับช่วงเวลาที่โม่หงอีเลือก แต่ก็
มี ค นจำนวนหนึ่ ง ที่ ต าแหลมพอจะรู้ ว่ า โม่ ห งอี มี เ จตนา
อย่างไร
แน่นอนว่าเขาตั้งใจจะข่มจางเซวียน และพิสูจน์ให้
ทุกคนเห็นว่าอัจฉริยะหมายเลข 1 ตัวจริงของอาณาจักร
ย่อมเป็นเขา
“ได้!”
ผู้อาวุโสจูและปรมาจารย์อู๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ
พยักหน้า
สภาปรมาจารย์สนับสนุนให้มีการแข่งขัน ด้วยการ
ประชันขันแข่งเท่านั้นที่จะทำให้คนๆหนึ่งมีแรงบันดาลใจ
มากพอที่จะฝึกฝนอย่างหนักและพัฒนาตัวเอง และการที่
โม่หงอีต้องการเข้ารับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2
ดาว ก็ถือเป็นข่าวดีของที่นี่
“ผมจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ คุณเข้าสอบได้วันนี้
เลย!”
ผู้อาวุโสจูพูด เขากำลังจะออกไปเตรียมการ เสียง
เนิบๆอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ถ้ า อย่ า งนั้ น ...ในเมื่ อ จั ด การทดสอบปรมาจารย์
ระดับ 2 ดาวได้ภายในวันนี้ ก็น่าจะทำให้คุณยุ่งยากไป
เปล่าๆ ถ้าต้องเตรียมการ 2 ครั้ง ทำไม...เราไม่สอบเสีย
วันนี้ด้วยเลยล่ะ?” จางเซวียนพึมพำ
ในเมื่อสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาววันนี้ก็ได้
จางเซวียนจึงตัดสินใจจะไม่เสียเวลา เขาจะสอบให้เสร็จ
รวดเดียวไปเลย
พลั่ก!
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆก็ถึงกับกระอัก
เลือด ห้องสอบที่เคยอึกทึกครึกโครมเงียบกริบทันที ทุก
คนจ้องจางเซวียนราวกับเห็นปีศาจ
ทำให้คุณยุ่งยากไปเปล่าๆ ถ้าต้องเตรียมการ 2
ครั้ง… สอบเสียวันนี้ด้วยเลย…
จะบ้าหรือไง!
นี่มันการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวนะ!
ทั้งอาณาจักรเทียนหวู่ก็มีปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวอยู่แค่
3 คน คิดจะคว้ากันง่ายๆแบบนี้…
พูดเหมือนกับไปซื้อผักในตลาดสด
อยากซื้อผักหรือ? ฉันซื้อให้คุณก็ได้ ถ้ามันง่าย
ขนาดนั้น…
ไปตายซะ!
จะเพ้อเจ้อได้มากกว่านี้อีกไหม?
โม่หงอีถึงกับตัวสั่น
เมื่อเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายทำลายทุกสถิติของเขาจน
ราบคาบ เขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ
2 ดาว แต่หมอนั่นก็ยังพูดว่าอยากจะเข้าสอบ ‘ด้วย’…
เขาแน่นหน้าอกอย่างหนักจนแทบกระอักเลือดออก
มา
นี่ตั้งใจจะทำให้ฉันเสียหน้าใช่ไหม?
ได้!
ถ้ า ตั้ ง ใจจะทาบรั ศ มี กั น ขนาดนั้ น อย่ า หาว่ า ฉั น
หยาบคายก็แล้วกัน…
โม่หงอีกัดฟันและมองหน้าจางเซวียนอย่างเย็นชา
“คุณผ่านการทดสอบทั้ง 5 ขั้นแล้ว จึงสามารถเข้าสอบ
เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้ แต่…ก็ยังมีเงื่อนไขก่อน
การเข้าสอบ คุณทำตามเงื่อนไขพวกนั้นได้หมดหรือยัง?”
เขาเกลียดที่ต้องยอมรับ แต่ก็ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเจ๋ง
พอที่จะเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว
แต่แค่มีความสามารถอย่างเดียวก็ยังไม่พอ
มี ห ลายเงื่ อ นไขที่ ต้ อ งทำให้ ไ ด้ ก่ อ นจะเข้ า รั บ การ
ทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว
ถ้าทำไม่ได้ ก็ถือว่ามีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน
“อ้อ?” จางเซวียนมองหน้าเขา
“ก็เหมือนกับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1
ดาวนั่นแหละ ผู้เข้าสอบจะต้องมีอาชีพรองรับอย่างน้อย
2 อาชีพ และทั้ง 2 อาชีพก็จะต้องได้ระดับ 2 ดาวด้วย!”
โม่หงอียิ้มอย่างมั่นใจ “ถึงผมจะไม่ได้เก่งกาจอะไร
แต่ผมก็เป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาว, ผู้เชี่ยวชาญด้านค่าย
กลระดับ 2 ดาว และช่างตีเหล็กระดับ 2 ดาว ผมจึง
ทำได้ตามเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว! คุณล่ะทำได้หรือยัง?”
เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้และมองหน้าจางเซวียน
“ในเมื่อคุณเป็นแค่นักปรุงยาระดับ 1 ดาว ผมคิดว่าคุณ
น่าจะยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้ารับการทดสอบ
เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว!”
“อาชีพที่รองรับจะต้องได้ระดับ 2 ดาว? และต้องมี
2 อาชีพ?”
จางเซวียนถึงกับชะงัก เขาไม่นึกว่าจะมีกฎเกณฑ์
แบบนี้
ดูเหมือนปรมาจารย์หลิวจะเคยพูดถึงเรื่องพวกนี้มา
ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้อธิบายชัดเจน และในตอนนั้นจางเซ
วียนก็ไม่ได้ใส่ใจ
“ถูกแล้ว ซึ่งถ้าคุณยังไม่มีอาชีพรองรับ ผมคิดว่า
คุณคงจะต้องถอยไปก่อน…”
ในเมื่อหมอนั่นเป็นคนเปิดศึก จึงไม่จำเป็นที่เขาจะ
ต้องถนอมน้ำใจ โม่หงอีคำรามอย่างสะใจและกำลังจะอ้า
ปากพูดต่อ เมื่อชายหนุ่มตรงหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น
ก็สะบัดข้อมือ และตราสัญลักษณ์หนึ่งอันก็มาปรากฏใน
มือของเขา
“นี่คือตราสัญลักษณ์จิตรกรระดับ 2 ดาว อันที่จริง
ผมผ่านการทดสอบระดับ 3 ดาวแล้ว แต่พวกเขาบอกว่า
ต้องใช้เวลาอีก 10 วันกว่าตราสัญลักษณ์จะมา ดังนั้นจึง
ให้ตราสัญลักษณ์ระดับ 2 ดาวมาก่อน ไม่นึกเลยว่าจะได้
ใช้!”
“จิตรกรระดับ 2 ดาว?”
“เอาจริงๆสิ?”
ฝูงชนกระอักเลือดกันอีกหน
โม่หงอีก็หน้าถอดสี
เขาเพิ่งพูดไปว่าอีกฝ่ายเป็นแค่นักปรุงยาระดับ 1
ดาว และมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ แล้วหมอนั่นก็ควักตรา
สัญลักษณ์ระดับ 2 ดาวออกมา
นี่จะตบหน้ากันเร็วและแรงไปหน่อยไหม?
“ผมต้องมี 2 อาชีพใช่ไหม? นี่อีกอันหนึ่ง…”
เขาสะบัดข้อมืออีกครั้ง และตราสัญลักษณ์อีกอันก็
ปรากฏ มันคือตราสัญลักษณ์นักฝึกอสูรระดับ 2 ดาวที่
เขาได้รับมาจากดงอสูร
ดาวทั้ง 2 ดวง ส่องประกายวาววับอยู่ในดวงตา
ของจางเซวียน
“เขามีอาชีพระดับ 2 ดาวรองรับ 2 อาชีพจริงๆ?”
“จิตรกรระดับ 2 ดาวและนักฝึกอสูรระดับ 2 ดาว…
แถมยังมีทักษะการหลอมยาขั้นสุดยอด…”
“ปรมาจารย์โม่ต้องเหนื่อยหน่อยแล้วล่ะ…”
…..
เห็นจางเซวียนควักตราสัญลักษณ์ออกมาได้ทันทีที่
ถูกโม่หงอีเยาะเย้ยว่าเขาไม่มีอาชีพรองรับ ทุกคนจึงหัน
ขวับไปทางอัจฉริยะหมายเลข 1
อยากรู้ว่าเขาจะแก้ต่างเรื่องนี้อย่างไร
เห็นสายตาจับจ้องของทุกคน โม่หงอีหน้าตาบูด
เบี้ยว แต่เขามาไกลขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะถอย โม่
หงอีจึงกัดฟันและกระทุ้งอีก
“ถึงคุณจะมีอาชีพรองรับ แต่คุณก็ต้องสำเร็จวร
ยุทธขั้น 8-จงซรือก่อน ถึงจะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์
ระดับ 2 ดาวได้ ด้วยวรยุทธในปัจจุบันของคุณ คุณยังมี
คุณสมบัติไม่เพียงพอ!”
ก็เหมือนกับที่ต้องสำเร็จวรยุทธขั้น 7-ทงฉวนก่อน
จึงจะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวได้ ปรมาจารย์
ระดับ 2 ดาวก็มีข้อกำหนดเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำนั้น ฝูงชนก็หันขวับไปหาจางเซวียน
ด้วยความบริสุทธิ์ของพลังปราณเทียบฟ้า ถ้าจางเซ
วียนไม่เปิดเผยระดับวรยุทธของตัวเอง ก็ไม่มีใครบอก
พละกำลั ง ที่ แ ท้ จ ริ ง ของเขาได้ แต่ ก ารที่ เ ขาสามารถ
เอาชนะหุ่นจำลองที่มีวรยุทธขั้นจงซรือในห้องจับผิดได้ ก็
ทำให้ทุกคนสงสัยว่าแท้จริงแล้วเขามีพละกำลังเท่าไรกัน
แน่
“วรยุ ท ธขั้ น จงซรื อ …ผมก็ ยั ง ไม่ ส ำเร็ จ ถึ ง ขั้ น นั้ น
จริงๆ ผมมีวรยุทธแค่ขั้นกึ่งจงซรือเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินว่าการจะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2
ดาวต้องใช้วรยุทธขั้นจงซรือ จางเซวียนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะสำแดงพละกำลังของตัวเองออกมา
“กึ่งจงซรือ!”
“ถึงขั้นกึ่งจงซรือจะใกล้เคียงกับจงซรือมาก แต่ก็ยัง
ไม่ใช่จงซรืออยู่ดี…”
“จริงด้วย เท่าที่ดู เขาคงยังเข้าสอบเป็นปรมาจารย์
ระดับ 2 ดาวไม่ได้หรอก…”
“แต่การที่เขาหาข้อบกพร่องของหุ่นจำลองขั้นจงซ
รือได้ถึง 30 ข้อ แถมยังเอาชนะมันได้ทั้งที่มีวรยุทธแค่ขั้น
กึ่งจงซรือ...ความสามารถของเขาก็น่าพรั่นพรึงจริงๆ!”
…..
เมื่อเห็นว่าจางเซวียนมีวรยุทธแค่ขั้นกึ่งจงซรือ ฝูง
ชนก็พากันส่ายหน้า
เงื่ อ นไขเรื่ อ งอาชี พ และระดั บ วรยุ ท ธเป็ น เงื่ อ นไข
ตายตัวที่ผู้เข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวทุกคนจะ
ต้องทำได้ หากยังไม่เข้าขั้น ก็ถือว่ามีคุณสมบัติไม่เพียง
พอ มันถือเป็นกฎเหล็กของทางสำนักงานใหญ่ที่ไม่มีใคร
เปลี่ยนแปลงได้
ขั้ น กึ่ ง จงซรื อ ดู เ หมื อ นจะห่ า งจากจงซรื อ แค่ ก้ า ว
เดียว แต่อันที่จริงมีความแตกต่างกันมาก ระหว่าง 2 ขั้น
นี้ ผู้ที่โชคดีก็จะสามารถฝ่าด่านวรยุทธจากขั้นกึ่งจงซรือ
ไปยังจงซรือได้ภายใน 1 หรือ 2 ปี แต่สำหรับบางคนก็
อาจต้องใช้เวลาชั่วชีวิต
ยกตัวอย่างปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆ หากพวก
นั้นไม่ได้พบปรมาจารย์หยาง ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะ
ต้องแป้กอยู่ที่ขั้นกึ่งจงซรือไปตลอดชีวิต
เงื่อนไขของการเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2
ดาวนั้นจัดว่ามหาโหด เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าใน
อาณาจักรเทียนหวู่มีปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวถึง 15 คน
(รวมทั้งโม่หยู่และจางเซวียน) แต่กลับมีปรมาจารย์ระดับ
2 ดาวแค่ 3 คนเท่านั้น จึงเห็นๆกันแล้วว่ายากแค่ไหน
กว่าจะได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว
“ถ้ายังไม่สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ ก็ยังเข้าสอบไม่ได้
ผมขอแนะนำว่าคุณอย่าเพิ่งคิดจะดีกว่า!”
เมื่อเห็นว่าจางเซวียนยังมีวรยุทธไม่ถึงขั้นจงซรือ
โม่หงอีถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้นก็…รอแป๊บ!”
จางเซวียนส่ายหน้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายรวบรัดตัดความ
เอาแบบนั้ น “ในเมื่ อ การทดสอบมี เ งื่ อ นไขว่ า จะต้ อ ง
สำเร็จขั้นจงซรือ ก็ขอเวลาผมสักครู่!”
จากนั้นเขาก็หลับตา
รอสักครู่?
โม่หงอีชะงัก
รออะไร?
บึ้ม!
เขายังไม่ทันได้ตอบโต้ ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายแผ่รังสีอัน
เข้มข้นและทรงพลังกว่าเดิมออกมา มันดุเดือดราวกับนก
ที่พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์
จางเซวียนลืมตาขึ้นอีกครั้งและอมยิ้ม “เอาล่ะ ผม
สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือแล้ว”
ตอนที่ 313 เจอศิษย์พี่

ฟึ่บ!
โม่หงอีถึงกับเซ
หมอนั่นบอกให้รอสักครู่ จากนั้นก็...ฝ่าด่านวรยุทธ
กันง่ายๆแบบนี้!
จะบ้าหรือไง!
จะมีอะไรน่าสมเพชกว่านี้ได้อีก?
ต้องมีความเข้าใจในเทคนิควรยุทธจากหลากหลาย
สำนัก ทั้งยังสามารถรวบรวมความรู้ทั้งหมดเพื่อจัดตั้ง
สำนักของตัวเองได้ นั่นถึงจะเรียกว่าวรยุทธขั้น 8-จงซรือ
การที่ใครสักคนจะหลับตาแล้วลืมตาขึ้นมา นั่นก็
หมายความว่าเขาเผลอหลับไปเท่านั้น แต่ไอ้การที่คุณ
หลับตาไปครู่เดียวแล้วลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็มาอ้างว่า
สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ…
ไปตายซะ!
น่าหัวเราะเยาะอะไรขนาดนี้?
จะโม้หาอะไร?
แต่ทันใดนั้น โม่หงอีก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
เป็นพันพันครั้ง มันแผดเผาจนเขามอดไหม้หมดทั้งตัว
และหัวใจ เขารู้สึกเหมือนจะตายลงไปเดี๋ยวนั้น
“นั่นเขาสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือจริงๆ?”
“ใช่แล้ว รังสีที่แผ่ออกมานั่นเป็นของนักรบขั้นจงซ
รือชัดๆ!”
“เขาฝ่าด่านวรยุทธได้แบบนี้เลยหรือ? มันง่ายไป
ไหม?”
…..
ฝูงชนต่างจ้องภาพที่เห็นตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเบิก
โพลงจนแทบปะทุ และพูดอะไรไม่ออก ราวกับถูกใครยัด
นุ่นไว้ในปาก
พวกเขาเคยเห็นแต่ผู้คนที่เพียรพยายามกันสายตัว
แทบขาดกว่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ
พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวของผู้คนที่ปลีกวิเวกไป
ฝึกวรยุทธนานนับเดือนนับปีไม่ถ้วน และประสบความ
สำเร็จในที่สุด
แต่…การหลับตาเพียงครู่เดียวแล้วสำเร็จวรยุทธขั้น
จงซรือนี่…เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นและเคยได้ยิน
มันยิ่งกว่าเรื่องตลก
นี่คือวรยุทธขั้นจงซรือ ปราการอันใหญ่โตในการฝึก
วรยุ ท ธของบรรดานั ก รบ ประตู ที่ ปิ ด ตายไปชั่ ว ชี วิ ต
สำหรับผู้คนนับไม่ถ้วน…
การฝ่าด่านวรยุทธได้ง่ายๆแบบนั้น นี่พวกเราเป็น
บ้า หรือโลกนี้เป็นบ้าไปแล้ว?
“เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จแล้ว พวกเรายังหาทาง
ของตัวเองไม่เจอ…”
เหล่าปรมาจารย์ที่ติดแหง็กอยู่กับวรยุทธขั้นกึ่งจงซ
รือมานานแสนนานพากันหน้าชา ถ้าทำได้ ก็คงจะขุด
หลุมขุดรูเพื่อมุดลงไปแล้ว
ถึงมนุษย์จะเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน...คุณก็ไม่ควรจะ
แสดงออกให้มันโฉ่งฉ่างขนาดนี้!
มันจะต่างกันเกินไปไหม?
อีกด้านหนึ่ง หลิวหลิงก็ถึงกับเซ
เพิ่งจะเมื่อคืนนี้เองที่เขาแนะนำจางเซวียนให้ขยัน
ฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์ไว้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจ
ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ แต่มาวันนี้ อีกฝ่ายก็ได้สำแดงต่อ
หน้าต่อตาทุกคน แถมยังใช้การหลับตาเพียงครู่เดียว
เท่านั้น
ศิษย์พี่, เป็นไปได้ไหมว่าคุณฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ
แล้วตั้งแต่เมื่อวาน แต่ตั้งใจซ่อนมันเอาไว้เพื่อหยามหน้า
ผม?
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ใช่หยามแค่หน้าผมแล้ว แรง
กระเพื่อมจากเรื่องนี้มันเลวร้ายกว่านั้นมาก แต่ก็เอา
เถอะ…
ทุกคนคิดกันไปต่างๆนานา แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็
คือสายตาตกตะลึง
การกระทำของชายหนุ่มคนนี้ทำลายความเข้าใจ
เรื่องวรยุทธของพวกเขาเสียป่นปี้
“ตอนนี้ผมเป็นนักรบขั้นจงซรือแล้ว ก็เข้าสอบเป็น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้แล้วใช่ไหม?”
อันที่จริง จางเซวียนจะฝ่าด่านวรยุทธตั้งแต่อยู่ใน
ห้องจับผิดก็ได้ แต่เขาตั้งใจยื้อไว้ก่อน เพื่อจะได้ฝึกปรือ
ตัวเองกับเจ้าหุ่นจำลองในนั้น ที่เขาต้องทำก็เหลือแค่
ถ่ายทอดพลังปราณให้กับวรยุทธ เพื่อให้สำเร็จขั้นจงซรือ
ในทันทีก็เท่านั้น
เมื่อสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือแล้ว ท่วงท่าของเขาก็
เข้าที่เข้าทางและหมดจดกว่าเดิม พลังปราณก็เข้มข้น
และแข็งแกร่งขึ้น หากไม่มีการทดสอบ ก็ไม่สามารถบอก
ได้เลยว่าเขามีพละกำลังแค่ไหน ด้วยพลังงานที่ไหลเวียน
ไปทั่วร่างของเขาในเวลานี้ เป็นไปได้ว่าความแข็งแกร่ง
น่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
พละกำลัง 1,500 ติ่งที่เคยมี น่าจะกลายเป็น 3000
ติ่งแล้ว!
ความแข็งแกร่งนี้เทียบเท่ากับนักรบจงซรือขั้นสูง
เลยทีเดียว!
ถ้ า ต้ อ งเจอกั บ หุ่ น จำลองที่ มี ว รยุ ท ธขั้ น จงซรื อ อี ก
ครั้ง คงแน่นอนว่าหมัดเดียวจอด เหมือนที่เขาทำกับเจ้า
หุ่นตัวแรก
“คุณเป็นนักรบขั้นจงซรือแล้ว ก็ถือว่าสำเร็จตาม
เงื่อนไข!” ผู้อาวุโสจูพยักหน้าอย่างมึนงงเป็นการตอบ
รับคำถามของจางเซวียน
เงื่อนไขของการเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2
ดาวก็คือการสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ ในเมื่อจางเซวีย
นทำได้แล้ว โม่หงอีก็ไม่อาจใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผลในการ
ยับยั้งเขาอีก
“สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ แล้วไงต่อ? ระดับความ
ล้ำลึกของจิตวิญญาณของคุณก็มีแค่ 5.1, ถ้ายังไม่ถึง 6.0
ก็เข้าสอบไม่ได้!”
โม่หงอีกำหมัดแน่น
ในเมื่อตั้งใจจะฉะกันแล้ว ก็ต้องไปให้สุด!
“มีเงื่อนไขว่า…ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
ของผู้เข้าสอบจะต้องถึง 6.0 จึงจะเข้าสอบได้!” ผู้อาวุโส
จูอธิบายเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องนี้
“นั่นก็จริง ผมจำได้ว่าหลิวหลิงเคยบอกไว้!” จางเซ
วียนพยักหน้า
สมัยที่อยู่ที่อาณาจักรเทียนเซวียน หลิวหลิงกับคน
อื่นๆเคยบอกเรื่องนี้ไว้ครั้งหนึ่ง ตอนที่พวกเขาคุยกันเรื่อง
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ พวกนั้นบอกว่าในการ
จะเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว ผู้เข้าสอบจะ
ต้องมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 3.0, สำหรับ
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว จะต้องมีระดับความล้ำลึกของ
จิตวิญญาณที่ 6.0 และที่ 9.0 สำหรับการทดสอบเป็น
ปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวและสูงกว่า
จางเซวียนมีแค่ 5.1 ก็แปลว่าเขายังไม่มีสิทธิ์เข้า
สอบ
“ถึงผมจะไม่เก่งกาจอะไร แต่ผมก็มีระดับความล้ำ
ลึกของจิตวิญญาณที่ 6.0 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่เงื่อนไข
ของการเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวระบุไว้”
ในที่สุดก็ได้เหนือกว่าฝ่ายนั้นอยู่หนึ่งเรื่อง โม่หงอี
ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง และหิน
หยั่งรู้ก็ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นอีกครู่เดียวตัวเลข 6.0 ก็
เรืองแสงขึ้นมา!
“ระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต วิ ญ ญาณของเขาอยู่ ที่
6.0 จริงๆ!”
“ไม่ธรรมดาเลย! ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
เป็นรากฐานของปรมาจารย์ ถ้ามีไม่ถึงตามที่เงื่อนไข
กำหนด ต่อให้มีวรยุทธสูงส่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์!”
“จริงด้วย ดูเหมือนปาฏิหาริย์ของปรมาจารย์จาง
จะจบลงแค่นี้แล้วล่ะ!”
“แค่นี้ก็ปาฏิหาริย์พอแล้ว ดูสิว่าเขาอายุเท่าไหร่ ยัง
ไม่ ถึ ง ยี่ สิ บ เสี ย ด้ ว ยซ้ ำ …มี ร ะดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต
วิญญาณตั้ง 5.1 ด้วยอายุเท่านี้ ไม่นานหรอกเขาต้องเข้า
ถึง 6.0 แน่!”
เมื่อเห็นกันชัดๆแล้วว่าโม่หงอีมีระดับความล้ำลึก
ของจิตวิญญาณที่ 6.0 ทุกคนก็ออกความเห็นกันเซ็งแซ่
และในขณะเดียวกัน ต่างก็เห็นใจจางเซวียน
เขาอาจจัดหาอาชีพรองรับไว้ได้ล่วงหน้า สามารถ
ฝ่าด่านวรยุทธได้ทันที แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะยกระดับความ
ล้ำลึกของจิตวิญญาณในตอนนี้!
มันไม่มีวิธีไหนเลย
“เอาล่ะ ในเมื่อเงื่อนไขของคุณยังไม่ครบ ก็หลีกไป
ก่อน ผมจะไปเข้าสอบเดี๋ยวนี้!”
เมื่อแสดงระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของตัว
เองแล้ว โม่หงอีก็เอาสองมือไพล่หลังและวางท่าหยิ่ง
ผยอง ก่อนจะสำทับ
“ก็จริงอยู่ว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของ
ผมยังไม่ถึง 6.0 แต่…อย่าเพิ่งไปสิ รอผมแป๊บเดียว…”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็พูดขึ้นมา
“รอคุณแป๊บเดียว?”
ได้ยินคำนั้น โม่หงอีถึงกับผงะ
เขารู้สึกเหมือนจะเสียสติ
เอาจริงๆสิ?
มันไม่เหมือนกับการฝึกวรยุทธ ระดับความล้ำลึก
ของจิตวิญญาณต้องใช้เวลาในการเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เรา
ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเวลาแค่ครู่เดียวจะทำให้ระดับความล้ำ
ลึกของจิตวิญญาณของหมอนั่นพุ่งไปแตะ 6.0 ได้!
เขามองจางเซวียนด้วยสายตาเป็นปฏิปักษ์ และใน
ครั้งนี้ ชายหนุ่มไม่ได้หลับตา เขามองไปรอบๆราวกับ
กำลังมองหาใครสักคน
การยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณเป็นกระ
บวนการที่แสนเหนื่อยยากและใช้เวลายาวนาน ผู้นั้นจะ
ต้องฝึกฝนหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายปี ไม่มีทางที่
จางเซวียนจะรอได้
ในเมื่อผู้อาวุโสจูเตรียมการทดสอบแล้ว ก็น่าจะดี
ที่สุดถ้าเขาจะเข้าสอบพร้อมกับโม่หงอี เพราะไม่อย่างนั้น
เขาก็จะต้องเดินทางมาที่นี่อีก และนั่นเป็นเรื่องยุ่งยาก
งั้นก็…
มีทางเดียว คือหนังสือสีทอง!
หนังสือเทียบฟ้าจะช่วยยกระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณได้อย่างรวดเร็ว ทุ่นเวลาและตัดปัญหาไปได้
ทั้งหมด
ตอนแรก เขาตั้งใจจะไปที่โรงเรียนเทียนหวู่เพื่อหา
ลูกศิษย์สักสองสามคน และทำให้เด็กเหล่านั้นแสดงความ
กตัญญูต่อเขาให้ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้จ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็
อยู่ที่นี่แล้ว เขาก็แค่เรียกเด็กพวกนั้นมาและหาวิธีให้หน้า
หนังสือสีทองปรากฏขึ้นอีกครั้ง
จางเซวียนมองหาจ้าวหย่ากับพรรคพวก แต่ก็ต้อง
ตัวแข็งไปทันที เพราะไปสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งที่แสนจะ
คุ้นตา
เขาคือปรมาจารย์ที่จางเซวียนพบในหุบเขาเมื่อคืน,
เจียงสู่!
“เขาก็เป็นลูกศิษย์ของเรา และเราก็ได้ทำให้เขาเชื่อ
ใจและสำนึกในบุญคุณจากการช่วยฝึกเสือแดงเพลิงให้
เชื่อง ถ้าเรารักษาความบอบช้ำที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของ
เขาได้ตอนนี้ หน้าหนังสือสีทองจะต้องปรากฎแน่!”
เมื่อความคิดนั้นแวบเข้ามา จางเซวียนยิ้มแฉ่ง เขา
เดินไปร้องเรียก “เจียงสู่ คุณช่วยมาที่นี่สักครู่เถอะ!”
ตอนแรก ทั้งผู้อาวุโสจู โม่หงอี และคนอื่นๆต่าง
สงสัยเต็มทีว่าจางเซวียนจะทำอะไรหลังจากที่บอกให้
พวกเขารอ แต่เมื่อได้ยินเขาร้องเรียกแบบนั้น ทุกคนก็ถึง
กับเซและเกือบกระอักเลือดออกมา
เจียงสู่…
นั่นคือท่านประธานสภาปรมาจารย์ของเรานะ!
ในฐานะปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด ทุกคนที่
นี่ล้วนแต่ต้องเรียกเขาอย่างเคารพว่าปรมาจารย์เจียง
แล้วมันเรื่องอะไรคุณถึงเรียกแต่ชื่อเขาแบบนั้น!
สมองผิดเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า?
ไม่เพียงแต่ฝูงชนจะตกใจ ตัวประธานเจียงก็ถึงกับ
ผงะ ไม่รู้เลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเรียกเขาแบบนั้น
ด้วยความงุนงง เขาตั้งท่าจะเดินไป แต่เจียงเฉินก็
เข้ามาขวางหน้าเสียก่อน
“จางเซวี ย น คุ ณ คิ ด อะไรอยู่ ? พ่ อ ผมเป็ น ถึ ง
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุดและประธานสภา
ปรมาจารย์ คุณเป็นใครถึงมาเรียกท่านพ่อแบบนั้น?”
เจียงเฉินคนนี้คือบุตรชายของประธานเจียง
“เขาเป็นพ่อของคุณ?”
จางเซวียนก็ผงะ นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้
แต่เมื่อคิดไปคิดมา ทุกอย่างก็เข้าเค้า
ในฐานะปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุดและนัก
รบจงซรือขั้นสูงสุด ขนาดฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเทียนหวู่
ยังต้องปฏิบัติตัวต่อประธานเจียงด้วยความเคารพ จึงไม่
น่าแปลกใจเลยว่าแม้โม่หยู่จะไม่ชอบเจียงเฉินอย่างออก
นอกหน้า แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรเขามากกว่านั้น เพราะเจียง
เฉินมาจากครอบครัวอันทรงอำนาจแบบนี้นี่เอง
“ใช่สิ!” เจียงเฉินเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ
ในฐานะปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว เขามีตำแหน่งอัน
ทรงเกียรติในอาณาจักรเทียนหวู่ แม้ว่าจะยังไม่เทียบ
เท่ากับชนชั้นสูง แต่ด้วยภูมิหลังของเขา ทั่วทั้งอาณาจักร
นี้ ไม่มีใครข้ามหัวเขาได้
แม้แต่เชื้อพระวงศ์ก็ยังต้องให้ความสำคัญ
เป็นความภูมิใจสูงสุดของเขาที่มีพ่อแบบนี้
แต่เจ้าคนน่ารังเกียจนี่กล้าเรียกท่านพ่อให้ไปหา มัน
น่าโมโหนัก
“คุ ณ หลี ก ไปก่ อ นดี ก ว่ า ผมมี เ รื่ อ งต้ อ งคุ ย กั บ
พ่อคุณ!”
ถึ ง จางเซวี ย นจะแปลกใจที่ ไ ด้ รู้ ว่ า เจี ย งสู่ เ ป็ น ถึ ง
ประธานสภาปรมาจารย์ แถมยังเป็นพ่อของเจียงเฉิน แต่
เขาก็อยากรีบจัดการเรื่องของตัวเองให้เสร็จๆ
หนังสือเรื่องของเจียงสู่ที่ปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้า
ระบุแค่ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว ไม่ได้บอกว่า
เป็นประธานสภาปรมาจารย์ แต่ถึงอย่างนั้น ทั่วทั้ง
อาณาจักรก็มีปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวแค่สามคน และเขา
ก็ได้พบกับผู้อาวุโสจูและรองประธานกวนไปแล้ว จึง
แน่นอนว่าเจียงสู่จะต้องเป็นประธานสภาปรมาจารย์
จางเซวียนรู้สึกว่าเขาช่างโชคดีนักที่ลูกศิษย์ซึ่งเขา
บังเอิญรับมามีตำแหน่งเป็นถึงประธานสภาปรมาจารย์
“แก…”
เห็นอีกฝ่ายเชิดใส่แบบนั้น เจียงเฉินถึงกับหน้าซีด
เขากำลังอ้าปากจะพูดต่อ แต่ก็ถูกดึงให้หลีกไปข้างๆ
“เอาล่ะ เจ้าหลีกไปก่อน!”
เจียงสู่เดินไปหาจางเซวียนและมองหน้าเขา
เขาแน่ใจว่าไม่เคยเห็นชายหนุ่มคนนี้มาก่อน
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อเขาดื้อๆแบบนี้ ก็อดที่จะ
รู้สึกแปลกใจไม่ได้
“ผมขอทราบหน่อยได้ไหมว่าปรมาจารย์จางเรียก
ผมมาทำไม?”
ถึงจะไม่ค่อยพอใจกับความไร้มารยาทของจางเซ
วียน แต่เขาก็ยังรักษากิริยาได้ดี
“เมื่อวานนี้ คุณเพิ่งรับปรมาจารย์ผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า
หยางชวนเป็นอาจารย์ของคุณใช่ไหม?” จางเซวียนถาม
“คุณรู้ได้อย่างไร?”
เจียงสู่กระตุก
เขาไม่ได้บอกใครเลยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
แต่เจ้าหนุ่มคนนี้รู้เรื่อง นั่นทำให้เขาตกใจมาก
“ท่ า นประธานเจี ย งรั บ ใครคนหนึ่ ง เป็ น อาจารย์
หรือ?”
“เป็นถึงอาจารย์ของท่านประธาน นั่นหมายความ
ว่า ความสามารถของผู้นั้นต้องเหนือกว่าปรมาจารย์
ระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด?”
“เขาต้องเป็นปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวแน่…”
“มี ค นเก่ ง กาจขนาดนั้ น ปรากฏตั ว ในอาณาจั ก ร
เทียนหวู่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
…..
เมื่อได้ยินประธานสภาปรมาจารย์ยอมรับ ฝูงชนก็
อื้ออึงเซ็งแซ่
ประธานเจี ย งเป็ น ปรมาจารย์ ผู้ เ ก่ ง กาจที่ สุ ด ใน
อาณาจักรเทียนหวู่ แต่เขาเพิ่งรับใครสักคนหนึ่งเป็น
อาจารย์ หยางชวนคนนั้นจะต้องเก่งกาจสักแค่ไหนกัน
ประธานเจียงถึงยอมจำนนต่อเขา?
ได้ยินคำพูดของจางเซวียน ทั้งหลิวหลิง จ้าวหย่า
และเด็กคนอื่นๆต่างก็ตาโต
“คุณคือ…”
เมื่อหายช็อก เจียงสู่ก็เอ่ยถามอย่างระแวง
ในเมื่อเขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร จึงเป็นไปได้ว่า
มันน่าจะแพร่งพรายออกมาจากอาจารย์ของเขาเอง
หรื อ ว่ า บุ ค คลที่ อ ยู่ ต รงหน้ า …จะเกี่ ย วข้ อ งกั บ
อาจารย์ของเขา?
“ผมชื่อจางเซวียน ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์
หยาง ตามธรรมเนียมแล้ว คุณควรจะเรียกผมว่า…”
“ศิษย์พี่!”
ตอนที่ 314 ระดับความลํ้าลึกของจิตวิญญาณ

เท่ากับศูนย์?

“ศิษย์พี่ของท่านพ่อ?”
เจียงเฉินกระอักเลือด
เอาจริงๆสิ? ท่านพ่อไปรับใครเป็นอาจารย์ตั้งแต่
เมื่อไหร่กัน?
แถมหมอนั่นยังเป็นศิษย์พี่ของท่านพ่อ ถ้านั่นเป็น
เรื่องจริง แล้วเราคืออะไร?
ศิษย์หลาน?
เจียงเฉินหน้าตาเหยเก อึดอัดขัดใจเสียจนแทบจะ
ควบคุมตัวเองไม่ได้
ฝูงชนพากันหันขวับไปหาท่านประธาน เพื่อจะดูว่า
เขามีทีท่าจะพูดเล่นสักนิดหรือเปล่า
“คุณคือศิษย์สายตรงของปรมาจารย์หยาง?”
ประธานเจียงไม่ใส่ใจสายตาของฝูงชนโดยรอบ เขา
หยุดอยู่ชั่วขณะเพื่อซึมซับข้อมูลนี้ ก่อนจะเข้าใจในที่สุด
“ไม่สงสัยเลยที่คุณเก่งกาจขนาดนี้ทั้งที่อายุยังน้อย คุณ
เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์นี่เอง…”
เขาจะไม่มีวันเชื่อเลยหากจู่ๆใครสักคนโผล่เข้ามา
แล้วอ้างว่าเป็นศิษย์พี่ของเขา แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่ศิษย์
ของปรมาจารย์หยาง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเพิ่งรับ
ปรมาจารย์หยางเป็นอาจารย์?
แล้วจะมีความสามารถน่าทึ่งขนาดนี้ได้อย่างไร?
แค่เข้าสอบก็สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
เขาจะไม่เชื่อเลยว่าจางเซวียนไม่มีอาจารย์ผู้เก่งกาจสัก
คนอยู่เบื้องหลัง
เขาเพิ่งพบปรมาจารย์หยางเมื่อวาน และจางเซวีย
นก็ปรากฏตัวขึ้นวันนี้ เมื่อดูจากความบังเอิญของช่วง
เวลา มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องโกหก
“ใช่ อาจารย์บอกผมว่าคุณได้เจอปัญหาบางอย่าง
ในการฝึกวรยุทธ และนั่นทำให้ร่างกายของคุณบอบช้ำ
เขาได้ฝากเทคนิควรยุทธไว้กับผมเทคนิคหนึ่ง และสั่งว่า
หากคุณฝึกฝนมันอย่างต่อเนื่อง อาการบอบช้ำของคุณก็
จะหายไปได้ และการจะฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นกึ่งจื้อจุน
ก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย!”
จางเซวียนส่งโทรจิตหาประธานเจียง
“อะไรนะ?”
ท่านประธานเจียงหน้าแดงก่ำ
เมื่อวานนี้ ตอนที่ปรมาจารย์หยางพูดถึงปัญหาของ
เขา เจียงสู่คิดว่าเขาคงต้องทำอะไรอีกหลายอย่างให้กับ
อีกฝ่าย กว่าที่ฝ่ายนั้นจะยอมรักษาอาการบอบช้ำให้ ไม่
นึกเลยว่าปรมาจารย์หยางจะถึงกับส่งปรมาจารย์จางมา
ช่วยแก้ไข
“ตั้งใจฟังให้ดี!”
หลั ง จากได้ รู้ อ าการเจ็ บ ป่ ว ยที่ เ จี ย งสู่ ต้ อ งทุ ก ข์
ทรมานจากหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนก็พลิกดูหนังสือ
หลายเล่มจนในที่สุดก็พบวิธีแก้ปัญหา ในเมื่อเขาอยากได้
ความสำนึกในบุญคุณจากอีกฝ่ายเพื่อให้หน้าหนังสือสี
ทองปรากฏขึ้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องลังเลในการบอก
วิธีแก้ไข
ดังนั้น จางเซวียนจึงถ่ายทอดกรรมวิธีทั้งหมดให้
เจียงสู่อย่างหมดเปลือก และไม่ช้า เทคนิควรยุทธก็ถูก
ถ่ายทอดไปหมดสิ้น
ในฐานะปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด ประธาน
เจียงยังฟังเทคนิควรยุทธทั้งหมดไม่ทันจบ ก็รู้แล้วว่ามัน
จะรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาอย่างได้ผล
เมื่อเขาฟังจนจบ ก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
เขามองเห็นได้เลยว่าหากฝึกฝนตามวิธีการของอีก
ฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่อาการบอบช้ำจะหายขาด
แต่ระดับวรยุทธของเขาก็จะพุ่งพรวดอีกด้วย ความฝัน
ของเขาจะไม่เป็นแค่ความฝันอีกต่อไป!
ประธานเจียงยอมจำนน เขาทรุดตัวลงคุกเข่ากับ
พื้นอย่างเต็มใจและประสานมือคารวะ
“ขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับความใส่ใจ ขอบคุณ
ศิษย์พี่ที่ถ่ายทอดเทคนิควรยุทธนี้ให้ผม!”
ทั้งคู่สื่อสารกันผ่านโทรจิต จึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขา
คุยกันเรื่องอะไร
สิ่งที่ฝูงชนเห็นก็คือ ขณะที่พวกเขากำลังงงว่าเกิด
อะไรขึ้น ประธานเจียงก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น
พวกเขาถึงกับช็อค
“ท่านประธานเจียงคุกเข่าให้เจ้าหนุ่มคนนี้?”
“ท่ า นประธานไม่ ไ ด้ คุ ก เข่ า ให้ เ ขาหรอก แต่ ใ ห้
อาจารย์ของเขาต่างหาก ซึ่งก็หมายความว่า ปรมาจารย์
จางเป็นศิษย์พี่ของเขาจริงๆ!”
“ปรมาจารย์หยางคนนี้เป็นใครกันนะ? จะแข็งแกร่ง
ขนาดไหนกัน?”
“ใครจะรู้ล่ะ? แต่ถึงกับทำให้ปรมาจารย์เจียงเต็มใจ
ยอมรับเขาเป็นอาจารย์ อย่างน้อยก็ต้องเป็นปรมาจารย์
ระดับ 3 ดาว หรืออาจจะสูงกว่านั้นเสียอีก…”
……
ฝูงชนต่างกำหมัดแน่น
ปรมาจารย์ระดับสูงที่สุดในอาณาจักรเทียนหวู่ก็คือ
ท่านประธานเจียง ซึ่งเป็นระดับ 2 ดาวขั้นสูงสุด แต่จู่ๆก็
มีบุคคลที่เขายอมรับให้เป็นอาจารย์อย่างเต็มใจปรากฏ
ตัวขึ้นมา ใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องนี้ย่อมรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ
“ท่านพ่อ…”
เจียงเฉินคร่ำครวญ
เขาคิดว่าหมอนั่นแค่โม้ และท่านพ่อคงจะฆ่ามันเสีย
ไม่นึกเลยว่า…จะเป็นเรื่องจริง!
แถมพ่อยังคุกเข่าด้วยอาการยอมจำนน?
สวรรค์ ใยจึงเล่นตลกกับผมแบบนี้…
จ้าวหย่ากับพรรคพวกก็หน้าแดงก่ำด้วยความตื่น
เต้น
เพิ่งจะเมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาคิดว่า ในเมื่ออาจารย์
ทำให้ น ายแพทย์ ไ ป๋ เ ปิ ด หนี ไ ปด้ ว ยความกลั ว ขนาดนั้ น
แถมองค์ ห ญิ ง โม่ ห ยู่ ก็ ยั ง ประสานมื อ คารวะด้ ว ยความ
เคารพ ก็คงไม่นานหรอกที่ประธานสภาปรมาจารย์จะ
ต้องเข้ามาทักทาย แต่นี่…ไม่เพียงแต่จะทักทาย ยังคุกเข่า
ให้อีกด้วย…
สมกับเป็นอาจารย์ของพวกเขาจริงๆ น่าทึ่งนัก!
ขณะที่ทุกคนกำลังจะช็อกตาย จางเซวียนก็ตาแดง
ก่ำด้วยความตื่นเต้น
เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ความขยันหมั่นเพียรไม่เคย
ทรยศใคร ขณะเดียวกันกับที่ท่านประธานเจียงคุกเข่าให้
สมองของจางเซวียนก็กระตุก และหนังสือสีทองปรากฏ
ขึ้น เมื่อพลิกดูก็มีหน้าหนังสือสีทองอยู่ในนั้น
ดูเหมือนสมมติฐานก่อนหน้านี้ของเขาจะถูกต้อง
ความสำนึกในบุญคุณอย่างจริงใจจากตัวลูกศิษย์
เท่านั้นที่จะทำให้หน้าหนังสือสีทองเกิดขึ้นได้
“ด้วยสิ่งนี้ ในที่สุดเราก็จะยกระดับจิตวิญญาณของ
เราได้เสียที…” จางเซวียนยิ้มมุมปาก
สมองของเขากระตุกอีกครั้ง จากนั้นหน้าหนังสือสี
ทองก็มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ในตอนนั้น จางเซวียนรู้สึกได้
ทันทีว่าในหัวของเขาอัดแน่นไปด้วยบางอย่าง ความ
สงสัยที่เคยมีมาแต่เก่าก่อนหายวับไป ความคิดก็โลดแล่น
ได้ว่องไวกว่าที่เคย
“นี่มันสภาวะหยั่งรู้…”
เรื่องราวสับสนหลายอย่างที่เขาเคยติดขัดมาก่อน
กลับกลายเป็นระเบียบและกระจ่างชัดไปหมด ถึงไม่ต้อง
ตรวจสอบ จางเซวียนก็รู้ว่าระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณของเขาต้องเพิ่มขึ้นแล้วอย่างแน่นอน
ยิ่งมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณมากขึ้นเท่า
ไหร่ ก็ยิ่งเข้าถึงหัวใจของทุกสิ่งได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ที่ผ่านมา จางเซวียนต้องอาศัยหอสมุดเทียบฟ้าใน
การระบุข้อบกพร่อง แต่เมื่อระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณเพิ่มขึ้นแล้ว เขาก็พบว่าตัวเองสามารถระบุข้อ
บกพร่องได้โดยไม่ต้องอาศัยหอสมุดเทียบฟ้าอีกต่อไป ทั้ง
ยังสามารถบอกวิธีแก้ไขได้ด้วย
“ความตั้งใจเดิมของเรา ก็แค่จะใช้หน้าหนังสือสี
ทองรวบรวมความรู้เข้าสมองเท่านั้น…”
จางเซวียนส่ายหน้า
เขาได้รวบรวมหนังสือจำนวนมหาศาลไว้ในหอสมุด
เทียบฟ้า จึงตั้งใจจะใช้หน้าหนังสือสีทองซึมซับเอาความ
รู้พวกนั้นมาไว้ในสมองของตัวเอง
ถึงเขาจะใช้หน้าหนังสือสีทองไปกับการยกระดับ
ความล้ำลึกของจิตวิญญาณแล้ว แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
เพราะตอนนี้จางเซวียนรู้แล้วว่าจะสร้างมันขึ้นอีกได้ด้วย
วิธีไหน
จางเซวียนสูดหายใจลึกและทำใจให้สงบ จากนั้นก็
หันไปยิ้มให้ผู้อาวุโสจู “เอาล่ะ ระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณของผมมีมากพอแล้ว!”
“ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณมีมากพอ? คุณ
หมายความว่าอย่างไร?”
โม่หงอีมองหน้าเขา
ถึงก่อนหน้านี้เขาจะไม่อยู่ตรงนี้ แต่ก็รู้จากคนอื่น
แล้ ว ว่ า จางเซวี ย นได้ ท ดสอบระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต
วิญญาณ ซึ่งผลที่ออกมาคือ 5.1...ดังนั้น จึงยังเข้ารับการ
ทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวไม่ได้ แต่หลังจากที่
พูดกับท่านประธานเจียงแค่ครู่เดียว ก็หันมาบอกว่าระดับ
ความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาเข้าถึงเกณฑ์แล้ว…
คุณหมายความว่าอย่างไร? คงไม่ใช่จะพูดว่า…แค่
แป๊บเดียว ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของคุณพุ่ง
ไปแตะที่ 6.0 หรอกนะ?
ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดกับเขาแบบนี้ โม่หงอีคงปลิด
ชีวิตเจ้าหมอนั่นเสียเดี๋ยวนั้น แต่สำหรับเจ้าหนุ่มคนนี้…
แตกต่างออกไป
คะแนนเต็ ม 100 เขาก็ ท ำได้ 130, ทั้ ง ๆที่
พรวดพราดเข้าไปในการทดสอบขั้นที่ 2 อย่างไม่รู้เรื่องรู้
ราว ก็ยังหาข้อบกพร่องได้ถึง 30 ข้อ หลับตาแค่ครู่เดียว
ก็ฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จขั้นจงซรือ…
เขาไม่สามารถใช้สามัญสำนึกกับหมอนี่ได้เลย!
“คุ ณ …จะบอกว่ า …ระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต
วิญญาณของคุณ…ถึง 6.0 แล้ว?” ผู้อาวุโสจูเม้มปาก
ขณะที่มองจางเซวียนอย่างสงสัย
“ผมก็ไม่แน่ใจ...แต่คิดว่าน่าจะพอ เราเอาหินหยั่งรู้
มาทดสอบเลยก็ได้!” จางเซวียนพยักหน้า
หน้าหนังสือสีทองสามารถยกระดับความล้ำลึกของ
จิตวิญญาณให้เขาได้ ประสบการณ์ครั้งก่อนเป็นเครื่อง
ยืนยัน แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าแต่ละครั้งจะเพิ่มขึ้นได้มาก
เท่าไร
อีกอย่าง ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าการเพิ่มขึ้นถึง 5.0
ในครั้งก่อนจะเป็นไปได้อีกครั้ง
ดังนั้นจางเซวียนจึงไม่กล้ายืนยัน
เมื่อเขาพูดว่าไม่แน่ใจ ฝูงชนก็ใบ้กินอีกรอบ
คุณไม่แน่ใจ?
ง่ายๆแบบนี้เลย?
คุณไม่รู้แม้กระทั่งระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
ของตัวเอง? ล้อเล่นกระมัง!
พวกเราก็อายุปูนนี้แล้ว เจอทั้งปีศาจและอัจฉริยะ
มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยเจอใครที่แปลกประหลาด
และทำตัวได้น่าหงุดหงิดเท่าคุณ
“ผมมีก้อนหนึ่ง ทดสอบเลย!”
ผู้อาวุโสจูข่มใจไว้ไม่ให้กระอักเลือดออกมา เขา
หยิบหินหยั่งรู้ออกมาส่งให้จางเซวียน
จางเซวี ย นกำมั น ไว้ แ น่ น และปรั บ สภาพจิ ต ให้
จดจ่อจนเข้าถึงสภาวะเงียบสงบดั่งหนองน้ำนิ่ง
วิ้ง!
มีแสงกะพริบวาบๆ
“เร็วเข้า ดูซิเท่าไหร่?”
“คงไม่ถึง 6.0 จริงๆหรอกนะ, ใช่ไหม?”
“ใครจะไปรู้? ถ้าเป็นคนอื่น ผมก็คิดว่าคงโม้แน่ๆ
แต่กับเจ้าหนุ่มคนนี้…”
…..
ทุกสายตาจับจ้องที่จางเซวียน พวกเขาอยากรู้ผล
ขนาดโม่หงอีก็หายใจถี่โดยไม่รู้ตัว
ฟึ่บ!
จางเซวียนแบมือออกและก้มลงมองอย่างคาดหวัง
แต่สิ่งที่ได้เห็นทำให้เขาแทบโยนหินหยั่งรู้ทิ้ง
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?”
หิ น หยั่ ง รู้ ที่ มี แ สงเรื อ งในตั ว เองเปลี่ ย นเป็ น สี เ ทา
และความสว่างเรืองรองก็ดับไป ทั้งยังไม่มีตัวเลขปรากฎ
บนนั้น
ไม่มีตัวเลข?
ก่ อ นที่ เ ขาจะใช้ ห น้ า หนั ง สื อ สี ท อง ขนาดระดั บ
ความล้ำลึกของจิตวิญญาณมีแค่ 0.1 มันก็ยังปรากฏให้
เห็น แต่ตอนนี้กลับไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่เลขศูนย์ มัน
เกิดอะไรขึ้น?
“หรือว่า…” ตึ้ง! จางเซวียนหน้าตาเหยเกและ
ใจหายวูบ
หรือว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้น เพิ่ม
ได้และลดก็ได้?
5.1 ที่เขาสั่งสมมาด้วยความเหนื่อยยากแทบล้ม
ประดาตาย จะหายไปหมดเลยหรือ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็เกินไปแล้ว…
เขาเพิ่งโม้ไปหยกๆ…คราวนี้ไม่ถูกฝูงชนรุมกระทืบ
ตายหรือไง?
“ไม่มีตัวเลข?”
“นึกว่าจะถึง 6.0 จริงๆเสียอีก ตกลงก็แค่โม้!”
“จริงด้วย! แค่ชั่วโมงเดียว จะเพิ่มจาก 5.1 ไปถึง
6.0 ได้อย่างไร?”
…..
ไม่ใช่แค่จางเซวียนที่จังงัง ฝูงชนต่างก็สับสน
คุณเพิ่งประกาศตัวว่ามีเงื่อนไขครบในการเข้าสอบ
เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมผลที่
ออกมา…ถึงบอกอะไรไม่ได้เลย?
“สร้างภาพเก่งจริงๆ นึกไม่ถึงว่าฉันก็เชื่อ…”
“ดูเหมือนพวกเราจะคิดมากไป ระดับความล้ำลึก
ของจิตวิญญาณต้องเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปอยู่แล้ว
ไม่มีทางพรวดพราดได้ในชั่วพริบตาหรอก…”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่
การฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นจงซรือของจางเซวียน
ยังติดอยู่ในใจของพวกเขา แต่ระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณกลับต่างออกไป ในเมื่อผลการทดสอบครั้งก่อน
ก็เห็นกันแล้วว่าคือ 5.1 แล้วจู่ๆจะเพิ่มขึ้นไปจนแตะ 6.0
ได้อย่างไร? แค่คิดก็น่าหัวเราะเยาะแล้ว
“ในเมื่อไม่มีตัวเลข ก็หมายความว่าระดับความล้ำ
ลึกของจิตวิญญาณของคุณยังไม่ถึง 6.0 ซึ่งก็ยังเข้าสอบ
ไม่ได้ ผู้อาวุโสจู, อย่ามัวเสียเวลาให้ล่าช้าไปอีกเลย เรา
เริ่มเถอะ!”
เมื่อเห็นระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของอีก
ฝ่ายยังไม่ถึง 6.0 โม่หงอีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และ
ค่อยๆเรียกความมั่นใจตัวเองกลับคืนมาได้
สร้างภาพไปเถอะ!
รอบนี้แกก็หมดสภาพแล้ว ใช่ไหม!
ในเมื่อระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของแกยัง
ไม่ถึงเกณฑ์ ก็อย่าได้สะเออะไปสอบ อยากจะทาบรัศมีกับ
ฉันหรือ? พยายามอีกหน่อยก็แล้วกัน!
“เอ่อ…”
เมื่ อ เห็ น หิ น หยั่ ง รู้ ใ นมื อ ของจางเซวี ย นไม่ บ อก
ตัวเลขอะไรเลย ผู้อาวุโสจูก็ได้แต่ส่ายหน้า เขากำลังจะ
อ้ า ปากพู ด แต่ ป ระธานเจี ย งก็ เ ดิ น เข้ า มาด้ ว ยสี ห น้ า
เคร่งเครียด
“รอเดี๋ยว!”
“มีอะไร?”
ผู้อาวุโสจูสงสัย เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นท่านประธาน
มีสีหน้าแบบนี้ ฝูงชนต่างก็หันขวับมามอง
ประธานเจียงไม่ตอบ แต่เดินไปหาจางเซวียนและ
หยิบหินหยั่งรู้ก้อนนั้นมา วินาทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัส
กับมัน
เคร้ง!
เกิดเสียงดังเคร้ง และหินหยั่งรู้แหลกสลายเป็น
ผุยผง
“ฮะ…”
ทุกคนตัวแข็ง
ก็เหมือนกับหยก หินหยั่งรู้มีความแข็งแกร่งอย่าง
หาตัวจับยาก ประธานเจียงไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด มัน
จะแหลกเป็นผุยผงได้อย่างไร
“อย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ…”
ประธานเจียงพยักหน้าอย่างคนที่ได้ข้อพิสูจน์บาง
อย่าง มีประกายวาบในดวงตาของเขา
“ท่านประธาน เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้ อ าวุ โ สจู ถ าม ฝู ง ชนต่ า งก็ ม องเขาอย่ า ง
กระวนกระวาย
“เมื่อใครสักคนหนึ่งสำเร็จสภาวะหยั่งรู้ หากกำหิน
หยั่งรู้ไว้ขณะที่ปรับสภาพจิตให้เข้าสู่สภาวะเงียบสงบดั่ง
หนองน้ำนิ่ง ตัวเลขก็จะปรากฏขึ้น พวกคุณทุกคนคงได้
เห็นกับตาแล้วว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของ
ปรมาจารย์จางอยู่ที่ 5.1 จึงไม่คิดว่าครั้งนี้จะเกิดอะไร
แปลกประหลาดขึ้นใช่ไหม?”
ประธานเจียงถาม
ฝูงชนต่างพยักหน้า
ก็เป็นไปตามนั้น เมื่อใครสักคนสำเร็จสภาวะหยั่งรู้
ตัวเลขก็จะปรากฏขึ้นบนหินหยั่งรู้ แล้วมันจะว่างเปล่าได้
อย่างไร?
“มีความเป็นไปได้อยู่ 2 ข้อสำหรับการที่หินหยั่งรู้
ไม่แสดงตัวเลขออกมา อย่างแรกคือผู้นั้นไม่ได้สำเร็จ
สภาวะหยั่งรู้ ส่วนอย่างที่ 2 คือระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณของผู้นั้นเหนือกว่าขีดที่หินหยั่งรู้ก้อนนั้นจะรับ
ได้ มันจึงไม่ส่งผลออกมา ดังนั้น…จึงไม่ใช่ว่าไม่มีตัวเลข
แต่มัน…ไม่สามารถแสดงออกมาได้!” ประธานเจียงอธิ
บายช้าๆ
“เหนือกว่าระดับที่หินหยั่งรู้จะรับได้?”
ตอนที่ 315 ระดับความลํ้าลึกของจิตวิญญาณ

10.1!

“หินหยั่งรู้ที่เราใช้นั้นเป็นที่รู้กันว่าเป็นหินหยั่งรู้ขั้น
ต่ำ สามารถวัดระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้มาก
ที่สุดแค่ 9.0 ดังนั้นจึงใช้สำหรับการวัดระดับความล้ำลึก
ของจิตวิญญาณของผู้ที่ต่ำกว่าปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว
ลงไป หากมีระดับสูงกว่านั้น…หินหยั่งรู้ก็จะเสียหาย”
ประธานเจียงพยักหน้าขณะชี้ไปที่หินหยั่งรู้ซึ่งแหลก
สลายอยู่บนพื้น “ด้วยความแข็งแกร่งของมัน แค่แตะ
เบาๆ จะแหลกเป็นผุยผงขนาดนี้ได้อย่างไร?”
“ท่านประธานพูดแบบนั้น ก็ฟังขึ้นทีเดียว!”
ทุกคนผงะกันไปอีกรอบ
เพราะเป็นหยกล้ำค่า หินหยั่งรู้จึงมีความแข็งแกร่ง
มาก ขนาดคมหอกยังแทบทำให้เป็นรอยไม่ได้ แต่มันกลับ
แหลกเป็นผุยผง เรื่องนี้จัดว่าน่าทึ่ง
“ท่านประธานกำลังจะบอกว่า…ระดับความล้ำลึก
ของจิตวิญญาณของปรมาจารย์จางอาจจะ…เหนือกว่า
9.0?”
ผู้อาวุโสจูพูดเสียงสั่นพร่าหลังจากจับความนัยใน
คำพูดของอีกฝ่ายได้
แล้ว 9.0 หมายความว่าอย่างไร?
มันคือมาตรฐานของปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว! ชาย
หนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบจะเข้าถึงระดับนั้นได้เลยหรือ?
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนก็เข้าใจถึงสิ่งที่อยู่
เบื้องหลังสถานการณ์นี้ได้ทันที และต่างก็อึ้งจังงังกันไป
จะบ้าหรือไง! เมื่อครู่ก่อนผลการทดสอบของคุณยัง
อยู่ที่ 5.1 อยู่เลย แค่ขึ้นไปแตะ 6.0 ได้ก็น่าอัศจรรย์
พอแล้ว แต่เท่าที่ฟังจากคำพูดของท่านประธาน มันคงไม่
อยู่แค่นั้น…
“การตรวจสอบว่าสมมุติฐานของผมจริงหรือไม่นั้น
ไม่ยากเลย ผมมีหินหยั่งรู้ขั้นกลางอยู่กับตัว แค่ทดสอบ
เราก็จะได้รู้คำตอบแล้ว!”
ประธานเจียงมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาสะบัดข้อมือ
หนึ่งครั้ง และหยกก้อนหนึ่งก็มาปรากฏในมือ
มันไม่เหมือนกับหินหยั่งรู้ที่ผู้อาวุโสจูเพิ่งส่งให้ ดู
สว่างสดใสและสะดุดตากว่า ลายเส้นที่อยู่บนผิวหน้าก็
ซับซ้อนกว่ากันมาก หากผู้ที่ยังมีระดับวรยุทธต่ำได้เห็น
แค่แว่บเดียว ก็จะรู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรง
หิ น หยั่ ง รู้ ขั้ น กลาง! แต่ ล ะก้ อ นนั้ น ล้ ำ ค่ า จนแทบ
ประเมินเป็นตัวเงินมิได้ ทั้งสภาปรมาจารย์แห่งอาณาจักร
เทียนหวู่ก็มีอยู่แค่ก้อนเดียว
“ศิษย์พี่จาง ผมต้องขอรบกวนให้คุณทดสอบมัน
หน่อย!”
ประธานเจียงยื่นหินหยั่งรู้ให้จางเซวียน
เมื่อได้รับการถ่ายทอดเทคนิควรยุทธแล้ว เขาก็
มั่นใจว่าจางเซวียนเป็นศิษย์ของปรมาจารย์หยางแน่ๆ
จึงเริ่มเรียกเขาว่าศิษย์พี่
ประธานสภาปรมาจารย์นั้นคือบุคคลที่สามารถเชิด
ใส่ได้แม้กระทั่งฮ่องเต้แห่งอาณาจักร หากเป็นคนอื่น ก็
ไม่มีทางอย่างเด็ดขาดที่เขาจะเรียกคนที่เด็กกว่าลูกชาย
ของเขาเสียอีกว่าศิษย์พี่
แต่หลังจากที่ได้สัมผัสถึงความสามารถอันน่าพรั่น
พรึงของ ‘ปรมาจารย์หยาง’ ด้วยตาของตัวเอง ประกอบ
กับคำพูดที่พูดกันในหมู่ปรมาจารย์ว่า ‘ความสามารถคือ
เครื่องตัดสินลำดับอาวุโส ไม่ใช่อายุ’ เมื่อได้เรียกจางเซวี
ยนว่าศิษย์พี่ครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
อีกต่อไปที่จะเรียกแบบนั้น
“ได้!”
จางเซวียนรับหินหยั่งรู้มากำไว้ในมือ จากนั้นก็
รวบรวมสมาธิเพื่อเข้าสู่สภาวะเงียบสงบดั่งหนองน้ำนิ่ง
อีกครั้ง
วิ้ง!
เมื่อเห็นแสงวาบๆ จางเซวียนก็ก้มลงมอง
แสงสว่ า งสดใสนั้ น เรื อ งออกมาจากหิ น หยั่ ง รู้ ขั้ น
กลาง มันสาดส่องไปรอบๆ จากนั้นตัวเลขก็ลอยขึ้นมา
อย่างช้าๆ
เมื่อเห็นตัวเลขบนนั้น ทุกคนก็จังงัง
ทั้งสภาปรมาจารย์เงียบกริบกันไปชั่วขณะ
จากนั้นก็อลหม่าน
“สะ-สะ…สิบจุดหนึ่ง?”
“ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาคือ…
10.1?”
พวกเขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนขี้โม้ ไม่น่าเชื่อเลย
ว่า…จะถึง 10.1!
ที่ระดับ 3.0 ผู้นั้นจะสามารถเข้ารับการทดสอบเป็น
ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว, ที่ 6.0 ก็เข้ารับการทดสอบเป็น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้ ที่ 10.1…มันเกินพอที่จะเข้า
รับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวไปเสียอีก!
“ก็เมื่อครู่นี้…เพิ่งจะ 5.1 ไม่ใช่หรือ? ทำไม…?”
โม่หงอีแทบปล่อยโฮ
เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายมาเพื่อตั้งใจทำให้เขาอับอาย
นอกจากจะทำลายทุกสถิติของเขาแล้ว ยังคว่ำทุก
ข้อโต้แย้งของเขาเสียหมดด้วย
ตอนที่ เ ขาพู ด ว่ า จางเซวี ย นยั ง มี อ าชี พ รองรั บ ไม่
เพียงพอ หมอนั่นก็ควักตราสัญลักษณ์ออกมา
เมื่อเขาพูดว่ายังไม่ได้สำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือ หมอ
นั่นก็ฝ่าด่านวรยุทธได้ในทันที
และที่เลวร้ายที่สุด เมื่อเขาพูดว่าระดับความล้ำลึก
ของจิตวิญญาณยังไม่ถึงขั้น เขาก็สำแดงระดับความล้ำ
ลึกของจิตวิญญาณที่มากเกินพอจะเข้ารับการทดสอบ
เป็นปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวเสียอีก!
จะช่วยเพลาๆมือบ้างได้ไหม?
ถ้ามีหลุมมีรูอยู่ตรงนี้ เขาคงมุดเข้าไปแล้ว ไม่อยาก
มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว
ลู่ฉวินก็อยากกระอักเลือดเต็มที
ตอนที่ เ ขาเข้ า ถึ ง สภาวะเงี ย บสงบดั่ ง หนองน้ ำ นิ่ ง
และได้ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 1.8 เขาตื่น
เต้นเสียจนนอนไม่หลับไปทั้งคืน เฝ้าแต่คิดว่าตัวเองเป็น
อัจฉริยะที่สามารถไปที่ไหนก็ได้ทั่วโลก แต่เมื่อเห็นระดับ
ความล้ ำ ลึ ก ของปรมาจารย์ จ าง ก็ รู้ ตั ว ว่ า ...ตั ว เลข
กระจอกงอกง่อยที่เขาได้มานั้นไม่มีความหมายอะไรเลย
เขาหันไปมองโม่หงอีและส่ายหน้าอย่างเห็นใจ
อัจฉริยะหมายเลข 1 คนนี้ได้รับความกระทบ
กระเทือนจิตใจมากเสียจน…หากฟื้นตัวจากความบอบช้ำ
นี้ได้ ก็นับว่าบุญโข
อาจารย์จาง พอได้หรือยัง?
ขนาดคนเก่งกาจอย่างโม่หงอียังเละไม่เหลือซาก ก็
เพราะคุณ
เมื่อรู้ตัวว่าช่องว่างระหว่างตัวเขากับอาจารย์จาง
นั้นกว้างใหญ่เสียจนไม่มีทางถมให้เต็มได้ ลู่ฉวินก็ไม่คิดที่
จะเปรียบเทียบตัวเองกับฝ่ายนั้นอีกต่อไป
“10.1 เลยหรือ?”
จางเซวียนก็ตกใจ ก่อนที่จะพยักหน้ารับ
ดูเหมือนหน้าหนังสือสีทองไม่ได้เขี่ยเอาระดับความ
ล้ำลึกของจิตวิญญาณที่เขาเคยสะสมไว้ออกไป ดังนั้นจึง
น่าประทับใจเหมือนอย่างเคย หน้าหนังสือสีทองได้เพิ่ม
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณให้เขาถึง 5.0 อีกครั้ง
หนึ่ง
“….”
“….”
ตอนแรก ทุ ก คนก็ อ่ อ นเพลี ย ละเหี่ ย ใจกั บ
สถานการณ์นี้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นทีท่าของจางเซวียน
ก็ต้องกระอักเลือดกันอีกรอบ
นี่ไม่รู้แม้กระทั่งระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
ของตัวเอง…จะเป็นบ้าไปถึงไหน?
“ปรมาจารย์จาง การยกระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณของตัวเองเป็นเรื่องยากมาก นี่มัน…คุณทำได้
อย่างไร?”
ผู้อาวุโสจูพยายามข่มความช็อกไว้ แต่ก็อดใจไว้ไม่
ได้อีกต่อไป ต้องเอ่ยถาม
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณจะเพิ่มขึ้นไปตาม
อายุ หากได้ฝึกฝนด้วยวิธีการที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ ก็
จะสะสมได้มากขึ้นทีละน้อย
การเพิ่มจาก 5.1 ไปถึง 10.1 ในทันที มันจะเร็วไป
ไหม?
ที่หนักไปกว่านั้นคือ ไม่รู้แม้กระทั่งการเพิ่มขึ้นของ
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของตัวเอง…
ก็แล้วจะงี่เง่าไปไหนกัน?
เมื่อได้ยินคำถามของผู้อาวุโสจู ทุกคนก็หันขวับมา
ด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จางเซวียนอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งและมีสีหน้าลำบากใจ
ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ช่างมันเถอะ ผมไม่แน่ใจว่า
พวกคุณจะยอมเลิกราหรือไม่ ถ้าผมไม่ตอบคำถามวันนี้
เป็นเรื่องจริงที่ว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณของตัวเองเพิ่มขึ้นแค่ไหน นั่นเป็นเพราะก่อน
หน้านี้ เมื่อครั้งที่ผมเข้าถึงสภาวะเงียบสงบดั่งหนองน้ำนิ่ง
อาจารย์ ข องผมได้ ป กปิ ด ระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต
วิญญาณของผมไว้…เขาบอกว่าจะเปิดเผยมันก็ต่อเมื่อ
ความแข็ ง แกร่ ง ของผมเพิ่ ม ขึ้ น จนถึ ง ระดั บ ที่ เ ขาพอใจ
แล้ ว ...คงเป็ น เพราะว่ า ผมได้ ส ำเร็ จ วรยุ ท ธขั้ น จงซรื อ
ระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต วิ ญ ญาณถึ ง ได้ เ พิ่ ม ขึ้ น อย่ า ง
พรวดพราดแบบนี้!”
จางเซวียนไม่อาจพูดถึงหน้าหนังสือสีทองและหอ
สมุดเทียบฟ้าได้ เขาจึงเตรียมข้อแก้ตัวไว้ล่วงหน้า และ
ป้ายความผิดให้กับอาจารย์ที่มีอยู่แค่ในจินตนาการ
“ปกปิดระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ? มีเรื่อง
แบบนี้ด้วยหรือ?”
“คุณมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณสูงขนาด
ไหนกัน เขาถึงต้องปกปิดไว้?”
เกิดความอลหม่านกันอีกรอบ
การปกปิดระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณไว้เป็น
เรื่องที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็ไม่มีประเด็นอื่นอีก
แล้ ว ที่ จ ะอธิ บ ายการเพิ่ ม ระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต
วิญญาณรวดเดียวถึง 5.0 ของจางเซวียนได้
ทุกคนช็อก และมองหน้าจางเซวียนราวกับเห็นผีห่า
ซาตาน
คนๆหนึ่งต้องมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
สูงแค่ไหนกัน ถึงจะต้องปกปิด?
แล้วอาจารย์ของเขาเป็นปรมาจารย์ระดับไหน ถึงมี
ความสามารถขนาดนั้น?
ตอนแรก พวกเขาคิดว่าจางเซวียนคงมีวิธีการอัน
น่ า ทึ่ ง บางอย่ า งในการยกระดั บ ความล้ ำ ลึ ก ของจิ ต
วิญญาณ แต่เมื่อฟังเขาอธิบาย ก็รู้แล้วว่าระดับความล้ำ
ลึ ก ของจิ ต วิ ญ ญาณของจางเซวี ย นเป็ น สิ่ ง ที่ ติ ด ตั ว มา
ตั้งแต่เกิด และไม่มีทางที่พวกเขาจะเทียบได้
“คนบางคนก็เกิดมาพร้อมกับระดับความล้ำลึกของ
จิตวิญญาณที่สูงส่ง เป็นที่ร่ำลือกันว่าปรมาจารย์เซียนขง
มีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณแบบเซียนมาตั้งแต่
เกิด ซึ่งเทียบเท่ากับปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว โชคชะตา
ชี้นำให้เขาเหนือกว่าคนธรรมดามาตั้งแต่เกิดแล้ว และใน
ท้ายที่สุด เขาก็ได้ไต่เต้าขึ้นไปเป็นบุคคลชั้นนำของโลก
และประสบความสำเร็จมากมาย!”
ประธานเจียงพูด
“ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณแบบเซียนมา
ตั้งแต่เกิด? เทียบเท่ากับปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว?”
ทุกคนตะลึง
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าต้องมีระดับความล้ำลึกของจิต
วิญญาณมากแค่ไหนถึงจะเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวได้
แต่เมื่อเทียบเอาจากระดับความล้ำลึกที่ต้องเพิ่มขึ้นทุก
3.0 ต่อจำนวนดาวของปรมาจารย์ ก็แปลว่าปรมาจารย์
ระดับ 9 ดาวจะต้องมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่
27.0 หรือมากกว่า
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ 27.0 ตั้งแต่เกิด?
“ไม่ ใ ช่ ป รมาจารย์ เ ซี ย นขงแค่ ค นเดี ย ว แต่ ยั ง มี
อัจฉริยะอีกคนจากสภาปรมาจารย์แห่งอาณาจักรชวน
หยวนอันทรงเกียรติ ที่เข้าถึงสภาวะเงียบสงบดั่งหนองน้ำ
นิ่งตั้งแต่อายุ 17, ตอนที่ทดสอบครั้งแรก ระดับความล้ำ
ลึกของจิตวิญญาณของเขาอยู่ที่ 9.3 ซึ่งมากพอจะเข้ารับ
การทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวได้”
ด้วยความที่เป็นประธานสภาปรมาจารย์ เจียงสู่จึงรู้
ความลับพวกนี้มากมาย “อัจฉริยะเหล่านี้เกิดขึ้นไม่บ่อย
นัก แต่พวกเขามีตัวตนอยู่จริงๆ ดังนั้นหากระดับความ
ล้ำลึกของจิตวิญญาณของใครสูงส่งเกินไปโดยที่ระดับวร
ยุทธยังไม่สมดุลกัน มันก็อาจเกิดผลอันไม่น่าพึงประสงค์
ตามมาได้ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่อาจารย์ของคุณตั้งใจ
ปกปิดระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของคุณไว้”
เขาหันไปมองจางเซวียนอย่างอิจฉา
ไม่ แ ปลกใจเลยที่ อ าจารย์ ผู้ ไ ร้ เ ที ย มทานอย่ า ง
ปรมาจารย์หยางจะรับเขาเป็นศิษย์ ระดับความล้ำลึก
ของจิตวิญญาณอันสูงส่งตั้งแต่เกิดทำให้เขาเป็นอัจฉริยะ
อย่างหาตัวจับยาก เป็นอัจฉริยะที่โชคชะตาชักนำให้เป็น
ปรมาจารย์ ตราบใดที่ เ ขายั ง ไม่ ต าย จะต้ อ งได้ เ ป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 4 ดาวแน่
“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง…”
“จริงด้วย ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณเป็น
เรื่องที่เพิ่มกันยาก ต่อให้พยายามเป็นหลายสิบปี ก็อาจ
จะเพิ่มได้แค่ 1 หรือไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ หากทุกคนต้อง
เริ่มต้นจากความต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหมือนพวกเราล่ะก็ ในโลก
นี้จะมีปรมาจารย์ระดับ 6 ดาว, 7 ดาวหรือแม้แต่สูงกว่า
ได้อย่างไร?”
“จริงสิ โลกนี้กว้างใหญ่และมีผู้เชี่ยวชาญอยู่นับไม่
ถ้วน ถึงอาณาจักรเทียนหวู่จะเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุด
ใน 13 อาณาจักรโดยรอบ แต่เราก็เป็นแค่อาณาจักรชาย
ขอบ หากเทียบกับบ้านเมืองอื่นที่มีอำนาจมากกว่า”
…..
…..
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของประธานเจียง ทุกคนก็ถึง
บางอ้อ
โลกนี้ ก ว้ า งใหญ่ ไ พศาลนั ก ผู้ เ ชี่ ย วชาญก็ มี อ ยู่
มากมายนับไม่ถ้วน อะไรที่ดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับพวก
เขา ก็เป็นเพราะหูตาของพวกเขาไม่กว้างพอก็เท่านั้น
เช่นเดียวกับจางเซวียน ความคิดที่ว่าจะมีใครสัก
คนมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณสูงมาตั้งแต่เกิดนั้น
ไม่ เ คยอยู่ ใ นหั ว ของเขาเลย เมื่ อ ได้ ฟั ง คำอธิ บ ายของ
ประธานเจียงก็ถึงกับประหลาดใจ
แต่ ใ นเมื่ อ ประธานเจี ย งวิ เ คราะห์ ก รณี นี้ ไ ด้ เ ป็ น
ประโยชน์กับเขา เขาก็ไม่ควรจะขัดให้มากความ จางเซวี
ยนจึงหันไปทางโม่หงอี
“ทั้งอาชีพรองรับ ระดับวรยุทธ และระดับความล้ำ
ลึ ก ของจิ ต วิ ญ ญาณ ผมทำตามเงื่ อ นไขหมดแล้ ว นะ
ปรมาจารย์โม่ ในการเข้าสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2
ดาว นี่ยังมีเงื่อนไขอะไรอีกไหม? ทำไมคุณไม่เรียบเรียงมา
เสียทีเดียว ผมจะได้จัดเตรียมให้ทั้งหมด?”
“ไม่มีแล้ว…”
โม่หงอีถึงกับหน้าร้อนผ่าว เขาตัวสั่นและมีสีหน้า
ขมขื่นเหมือนมะระมากยิ่งขึ้นทุกที
เขาตั้ ง ใจจะยั บ ยั้ ง ไม่ ใ ห้ ห มอนั่ น เข้ า ทดสอบให้ ไ ด้
เพื่อให้คนอื่นๆทึ่ง แต่…นอกจากจะไม่ได้ทำให้ใครทึ่งแล้ว
ยังทำตัวเองขายหน้าด้วย
“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ก็แปลว่า…ผมเข้ารับการ
ทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวได้แล้วใช่ไหม?”
จางเซวียนตาโต
“ก็แน่ล่ะ…”
โม่หงอีข่มความอยากกระอักเลือดเอาไว้
เขารู้แล้วว่าหมอนี่มันปีศาจขนาดไหน แล้วจะข่ม
ต่อไปให้มันได้อะไรขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะเสียชื่อเสียงใน
ฐานะอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งแห่งอณาจักรเทียนหวู่ ยัง
กลายเป็นตัวน่าสมเพชที่ดันทุรังไม่เข้าเรื่อง…
“ถ้าทุกอย่างเข้าเกณฑ์แล้ว ก็เริ่มทดสอบกันเถอะ!”
ผู้อาวุโสจูรีบขัดขึ้นมา กลัวว่าหากปล่อยให้จางเซวี
ยนพูดต่อไป โม่หงอีจะฆ่าตัวตายเสียก่อน
“การทดสอบของปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวนั้นมี
ทั้งหมด 5 ขั้น ซึ่งก็เหมือนกับระดับ 1 ดาวคือ ห้องไข
วิชาชีพ ศึกหุ่นจำลอง มหานทีแห่งวรยุทธ และห้อง
จับผิด แต่ทั้งหมดจะมีระดับความยากที่สูงขึ้นกว่าเดิม
อย่างเช่นในห้องไขวิชาชีพ นักปรุงยาจะต้องชี้แนะให้หุ่น
จำลองหลอมยาเกรด 2 หรือถ้าเป็นจิตรกร ก็ต้องชี้แนะ
ให้หุ่นจำลองวาดภาพขั้น 4!”
“ทั้ง 4 ขั้นจะเหมือนเดิม ที่ต่างออกไปคือขั้นแรก

บ้านวัดใจ!”

“ในการทดสอบระดับ 1 ดาว สิ่งที่นำมาประเมินคือ


ระดับความเชื่อใจของลูกศิษย์ โดยผู้เข้าสอบสามารถนำ
ลูกศิษย์ที่ร่ำเรียนด้วยกันมาหลายปีมาเข้าทดสอบได้ ทั้ง
ยังไม่มีการจำกัดอายุ ดังนั้น ผู้เข้าสอบจำนวนมากจึงใช้
ประโยชน์จากข้อกำหนดนี้ด้วยการนำลูกศิษย์ที่พวกเขา
สอนมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะลูกศิษย์ที่มีความสนิทสนม
กันมาเข้าสอบ ทำให้ผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย…
แต่สำหรับการทดสอบของปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว จะไม่
ง่ายแบบนั้น”
“สำหรับการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว
ผู้เข้าสอบจะต้องรับลูกศิษย์ใหม่ และภายในเวลา 10 วัน
จะต้องทำให้พวกเขามีระดับความเชื่อใจมากกว่า 40 ให้
ได้”
ผู้ อ าวุ โ สจู อ ธิ บ ายกฎเกณฑ์ ข องการทดสอบเป็ น
ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว

จบ เล่ม 4

You might also like