Professional Documents
Culture Documents
CH 601 - 702
CH 601 - 702
“นี่คือตัวอ่อนปิศาจหมอกน้าแข็ง เป็นตัวอ่อนปิศาจชนิดหนึ่งที่เกิดอยู่
ในอาณาจั ก รทะเลเมฆของเรา เราค้ น พบมั น จากข้ อ มู ล ของสื อ ตงและ
ความช่ ว ยเหลื อ ของมนุ ษ ย์ ห มอก” ปรมาจารย์ จี๋ เ หว่ ย ชี้ ใ ห้ ดู บ างสิ่ ง ซึ่ ง ดู
คล้ า ยกั บ ก้ อ นปุ ย ฝ้ า ย ของสิ่ ง นั้ น เป็ น สี ฟ้ า จาง ๆ เคลื่ อนที่ ไ ปมาบนโต๊ ะ
อย่างแช่มช้า
“ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวอ่อนปิศาจ คือสามารถช่วยให้เ ผ่ า
ปิศาจสาเร็จสังขารปิศาจ” ปรมาจารย์จี๋เหว่ยกล่าวเนิบช้า คนอื่น ๆ ก็ต้งั ใจ
รับฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ตัวอ่อนปิศาจหมอกน้าแข็ง เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งส าหรับปิศาจที่
สามารถฝึ ก ปรื อ สั ง ขารปิ ศ าจหมอกน้ า แข็ ง เราค้ น พบว่ า เมื่ อคนผู้ ห นึ่ ง
สาเร็จสังขารปิศาจ พลังฝีมือจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นทบทวี เหตุผลที่แท้จริงก็คือ
ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจเหล่า นั้ นมี แ ผนผั งปิ ศ าจที่ ส มบู ร ณ์ พ ร้ อมอยู่ ใ นตัว แผนผัง
ปิ ศ าจนี้ จ ะถู ก ถ่ า ยโอนไปยั ง ปิ ศ าจผ่ า นทางการกลื น กิ น ตั ว อ่ อ นปิ ศ าจ
แผนผังปิศาจอันสมบูรณ์พร้อมของตัวอ่อนปิศาจจะถูกดูดกลืนเข้าไป ผ่าน
การขั ด เกลาปรั บ แต่ ง จากนั้ น พวกมั น จะเติ บ โตไปพร้ อ มกั น กั บ แผนผั ง
ปิ ศ าจดั้ ง เดิ ม ของปิ ศ าจผู้ ใ ช้ ก่ อ เกิ ด เป็ น แผนผั ง ปิ ศ าจชุ ด ใหม่ ที่ ส มบู ร ณ์
พร้อมกว่าเดิม”
Page 5 of 11
“ระหว่างนี้ ด้วยความทุ่มเทของพวกเราทุกคน ได้วิเคราะห์เจาะลึก
แผนผั ง ปิ ศ าจของตั ว อ่ อ นปิ ศ าจโดยไม่ ห ยุ ด พั ก พวกเราในที่ สุ ด ก็ ไ ด้ รั บ
ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวอ่อนปิศาจและสังขารปิศาจหลายประการ ตัวอ่อน
ปิศาจแม้เป็นสิ่งของอันประเสริฐ แต่หาได้ยากยิ่ง จนกระทั่งถึงยามนี้ ชน
เผ่ามนุษย์หมอกเพิ่งจะเสาะพบตัวอ่อนปิศาจเพียงสามตัวเท่านั้น”
“จุ ด มุ่ ง หมายขั้ น ต่ อ ไปของเรา คื อ การสร้ า งวั ต ถุ ที่ ค ล้ า ยคลึ ง กั บตัว
อ่อนปิศาจ อาจเรียกพวกมันว่าตั วอ่อนปิศ าจเทียม เราไม่จาเป็นต้อ งให้
พวกมันลี้ลับซับซ้อนเท่าตัวอ่อนปิศาจของแท้ เพียงต้องการให้มีแผนผัง
ปิ ศ าจไม่ กี่ ช นิ ด เป็ น แกนกลางเท่ า นั้ น นอกจากนี้ ยั ง จ าเป็ น ต้ อ งค้ น หา
แผนผั ง ปิ ศ าจที่ เ หมาะสมต่ อ การเร่ ง การเจริ ญ เติ บ โตของตั ว อ่ อ นปิ ศ าจ
เทียมเหล่านี้ด้วย”
“แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม! ทุกสามวันเราจะจัดประชุมแลกเปลี่ยนความ
คิดเห็นหนึ่งครั้ง! วัตถุดิบทุกชนิดเตรียมพร้อมให้พวกเจ้าใช้งาน และหาก
พวกเจ้าต้องการวัตถุดิบใดเพิ่มเติม เราจะพยายามเสาะหามาให้ทุกอย่าง
พวกเจ้าสามารถทดลองตามแนวคิดของตนเองได้ตามใจปรารถนา”
ทุกผู้คนดวงตาสว่างวาบ เป้าหมายเช่นนี้ทาให้พวกมันตื่นเต้น ระทึก
ใจเป็นที่สุด!
พวกมันหาใช่ชาวชนบทไม่รู้ความเหมือนในอดีตไม่ แต่ละคนในยาม
นี้เชี่ยวชาญแผนผังปิศาจและค่ายกลยันต์หลากหลายประเภท หากอยู่ใน
สถานที่อ่ น
ื อาศัยความสามารถของพวกมัน เพียงพอให้ขุมกาลังแต่ละฝ่าย
ทาสงครามช่วงชิงตัว โดยไม่สนใจค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไป
Page 6 of 11
ในบรรดาค่ายทั้งหมดของเกาะเต่า ค่ายจินวูขยับขยายเชื่องช้ า ที่สุด
สองปรมาจารย์เลือกเฟ้นผู้คนเข้าค่ายอย่างเข้มงวดกวดขันยิ่ง ไม่เพียงต้อง
มี ค วามสามารถ ยั ง ต้ อ งมี ทั ศ นคติ ที่ เ หมาะสมและจงรั ก ภั ก ดี แต่ ด้ ว ย
บรรยากาศอันล้าเลิศในค่าย รวมถึงผลประโยชน์มหาศาลสุดคาดคิดที่จะ
ได้รับ จึงเป็นที่ฝันใฝ่ของซิวเจ่อสายการผลิตทั่วทั้งอาณาจักรทะเลเมฆ
ส าหรั บ พวกมั น หั ว ข้ อ การท้ า ทายคราวนี้ ท้ั ง ยากล าบากและน่ า
สะพรึงกลัว
แต่ในที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดไม่ชมชอบการท้าทาย!
ทุกผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนทราบดี ว่าหากพวกมันกระทาภารกิจนี้ส าเร็จ
ลุล่วง สาหรับทั้งโลกหล้า จะก่อเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ส ามารถพลิก ฟ้า
คว่าดิน!
“ต้าเหริน! บริวารขออาสาเฝ้ารักษาอาณาจักรเรือนกล้วยไม้!”
ม้าฝานแล่นมาถึงอาณาจักรเรือนกล้วยไม้ คุกเข่าร้องขอด้วยตัวเอง
“ไม่ได้!” กงซุนชาสั่นศีรษะโดยแทบไม่ต้องขบคิ ด หากสูญเสียรอย
แยกแห่งความโกลาหล ผลที่ตามมาจะเลวร้ายสุดคาดคิด ค่ายเสวียนอู่แม้
ประสบความสาเร็จ ในการต้านรับกองพันชั้นยอดจากวัดเสวียนคง แต่ยัง
ไม่ช่วยให้กงซุนชาวางใจได้มากพอ
“ต้าเหริน! วันนี้กู่เหลียงเตายึดครองไปอีกหนึ่งอาณาจักรแล้ว!” วาจา
ของม้าฝานทาให้แม่นางน้อยสีห น้ามืดคล้าลงทันตา ไม่ว่าผู้ใดก็นึกไม่ถึง
Page 7 of 11
ว่ากู่เหลียงเตาซึ่งก่ อนหน้านี้ ไ ร้ช่ ื อเสีย งเรียงนาม จะเกรี้ยวกราดดุ ดั น ถึ ง
เพียงนี้!
“ต้าเหริน บริวารเพียงเฝ้ารักษาสถานที่แห่งนี้ หาใช่บุกจู่โจมไม่ แม้ว่า
ค่ายเสวียนอู่เราไม่กล้าแข็งเท่าค่ายจูเชวี่ ย แต่อาศัยขบวนค่ายกลป้องกัน
และฝีมือทางศึกป้องกันของเรา หากเราไม่ออกจากพื้นที่ค่ายกล ผู้อ่ ืนคิด
บุ ก จู่ โ จมสถานที่ แ ห่ง นี้ เ กรงว่ า ไม่ ง่ า ยนัก ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น เบื้ อ งหลั ง เรายังมี
อาณาจั ก รยุ้ ง ฉางกลาง ค่ า ยเสวี ย นอู่ ส ามารถเรี ย กก าลั ง หนุ น ได้ ทุ ก เมื่ อ
บริวารมีความเชื่อมั่นในการทาศึกป้องกันสถานที่นี้!”
ถ้ อ ยค าของม้ า ฝาพรั่ ง พรู ไ ม่ ข าดสาย ไม่ ล่ า ถอยแม้ สั ก ก้ า วเดี ย ว
“นอกจากนี้ยังมีค่ายเว่ย! แม้ว่าซู่หลงกับบรรดาสมาชิกยอดฝีมือจะไม่อยู่
ด้วย แต่ไพร่พลค่ายเว่ยจานวนมากยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นค่ายเสวียนอู่เ รา
หรื อ ค่ า ยเว่ ย ก็ ล้ ว นแล้ ว แต่ มี ฝี มื อ ในศึ ก ป้ อ งกั น อาศั ย สองกองพั น และ
ขบวนค่ า ยกลป้ อ งกั น ขั้ น สุ ด ยอด บริ ว ารจึ ง ไม่ เ ชื่ อ ว่ า เราไม่ ส ามารถเฝ้ า
รักษาสถานที่แห่งนี้!”
กงซุนชาหวั่นไหวใจอยู่บ้าง ม้าฝานกล่าวไม่ผิด ซู่หลงแม้ไม่อยู่ที่นี่ แต่
ค่ า ยเว่ ย หากคิ ด ท าศึ ก ป้ อ งกั น ตั ว สมควรไม่ มี ปั ญ หาใด ด้ ว ยความมั่ ง คั่ ง
รุ่งเรืองของอาณาจักรทะเลเมฆปัจจุบัน พวกมันมิใช่ไม่สามารถทาศึ กบั่น
ทอนกาลังระยะยาว
ทุ ก ผู้ ค นหั น ไปจ้ อ งมองกงซุ น ชาเป็ น ตาเดี ย ว ทุ ก ผู้ ค นล้ ว นทราบดี
คาสั่งถัดไปของกงซุนชาจะกาหนดชะตากรรมของอาณาจักรทะเลเมฆ!
Page 8 of 11
กงซุนชาทอดตามองแผนที่อาณาจักร บนแผนที่อาณาจักร อาณาจักร
ที่เพิ่งถูกกู่เหลียงเตายึดครองถูกย้อมด้วยสีแดง
เหล่าอาณาจักรที่ถูกย้อมสีแดงก่อตัวเป็นรู ปทรงชนิดหนึ่ง เค้าโครง
ภายนอกของรู ปทรงนี้ดูคล้ายคมดาบที่ย้อมด้วยเลือด จี้ตรงเข้าใส่เส้นทาง
สีน้าเงินอ่อนสายเล็ก ๆ ประหนึ่งว่าสามารถพุ่งเข้าตัดสะบั้นเส้นทางสาย
น้อยได้ทุกขณะจิต!
กู่เหลียงเตาซึ่งจู่ ๆ ก็ผุดขึ้นจากที่ใดไม่ทราบ ยามนี้ช่ ือเสียงกระเดื่อง
ดังเจิดจรัส เสียยิ่งกว่ า เจียงเจ๋อ แห่ งวั ด เสวียนคง ฉายานามขุนพลพยั ค ฆ์
แห่งซีเซวียนโด่งดังสะท้านทั่วทั้งสามภพ!
แม่นางน้อยสายตาสงบราบคาบลงทันควัน
สาหรับมัน ไม่มีสิ่งใดสาคัญมากไปกว่าความปลอดภัยของจั่วม่อ หาก
สถานการณ์คับขันอันตรายสุดขีด จนต้องใช้ชีวิตของทุกผู้คนใต้ร่มธงของ
มันแลกกับจั่วม่อ กงซุนชาจะไม่รีรอลังเลแม้แต่น้อย
นี่ก็คือกงซุนชา ผู้บ้าคลั่ง ดื้อรั้นและบางครั้งก็ไร้เหตุผ ล! บางทีผู้คน
อาจเข้าใจมัน หรืออาจบางทีไม่มีใครเข้าใจ มันหาได้แยแสสนใจไม่ ในชีวิต
มันเพียงใส่ใจสองสิ่ง จั่วม่อและชัยชนะ!
เมื่อมีจ่ัวม่ออยู่ด้วย การตัดสินใจของแม่นางน้อยมักจะดูนุ่มนวลและ
ไม่เสี่ยงอันตราย
แต่เมื่อจั่วม่อไม่อยู่ที่นี่ แบบฉบับอันดื้อรั้น รุ น แรงของแม่น างน้ อ ยก็
สะท้อนออกมาในทุกการตัดสินใจของมัน
Page 9 of 11
ทุกผู้คนล้วนทราบว่าแม่ นางน้อยได้ต กลงใจแล้ว พวกมันแทบหยุ ด
หายใจ เฝ้ารอฟังการตัดสินใจของแม่นางน้อย
“ทุกคนรับคาสัง่ !”
วู้ม ทุกผู้คนเผ่นผึงขึ้นยืนตรงแน่วในบัดดล
ในสายตาของพวกมัน แม่นางน้อยใบหน้าสงบราบเรียบ สุ้มเสียงอ่อน
เบา แต่ไม่มีข้อกังขาลังเลใจ คาสั่งการเฉียบขาดแหลมคมดุจคมดาบ
“ค่ายเสวียนอู่กับค่ายเว่ยร่วมกันเฝ้ารักษาอาณาจักรเรือนกล้ ว ยไม้
ม้าฝานรับหน้าที่ผู้บัญชาการสูงสุด ค่ายชิงหลงให้เฝ้ารักษาอาณาจักรยุ้ง
ฉางกลาง รับฟังคาสั่งจากม้าฝานแต่เพียงผู้เดียว!”
ม้าฝานค้อมคารวะไปทางแม่นางน้อยอย่างเคร่งขรึม กล่าวด้วยสีหน้า
จริงจังที่ยากจะพบพาน “ข้าจะไม่ทาให้ต้าเหรินผิดหวัง!”
แม่นางน้อยผงกศีรษะรับ แต่ไม่กล่าวคาใด มันหันไปทางคนที่เหลือ
“ค่ายเว่ยกับกองพันอาซาเก๋อให้ระดมพลเตรียมความพร้อมทันที เรา
จะออกเดินทางภายในสามวัน!”
คาสั่งการอันเยียบเยียบ อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้
“รับคาสั่ง!” เหล่าแม่ทัพนายกองตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ทุกผู้คนสี
หน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นฮึกหาญ ค่ายจูเชวี่ยแต่เดิ มก็เป็นกลุ่มคนคลั่ง
การต่อสู้ แบบฉบับของกงซุนชาประทับฝังลึกลงในกองพันส่วนตัวของมัน
นี้อย่างลึกล้า วันคืนของการทาศึกป้องกันสถานที่ ส าหรับพวกมันไม่ต่าง
จ า ก สั ต ว์ ร้ า ย ถู ก ขั ง ก ร ง โ ล หิ ต อั น เ หี้ ย ม ห า ญ ข อ ง พ ว ก มั น ร้ อ น ร น
กระสับกระส่ายมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
Page 10 of 11
ยามนี้พวกมันในที่สุ ดก็ได้รับคาสั่งออกเดินทาง จิตวิญญาณการต่อสู้
ที่ทะลักล้นออกมา ย่อมไม่อาจระงับยับยั้งได้อีกต่อไป
กงซุนชาพลันแย้มยิม
้ ดุจบุปผาบานสะพรัง่ ดวงตาเป็นประจายเจิดจ้า
จนไม่มีผู้ใดสามารถจ้องมองได้ตรง ๆ รอยยิ้มตรงมุมปากดูคล้ายประหม่า
อายเหมือนเช่นเคย แต่วาจาอ่อนเบาที่ กล่ าวออกมา บันดาลให้ทุ ก ผู้ ค น
โลหิตในกายเดือดพล่าน!
“เราจะไปพบหน้าขุนพลพยัคฆ์แห่งซีเซวียนสักครา!”
Page 11 of 11
บทที่ 602 เซี่ยวม่อเกอเมามาย
Page 1 of 11
“เฮ้ นั่ น มิ ใ ช่ พี่ เ ซี่ ย วม่ อ เกอหรอกรึ ! ” สุ้ ม เสี ย งคุ้ น หู ดั ง มาจากทาง
เบื้องหลังของมัน
จั่ ว ม่ อ หั น ไปมอง สี ห น้ า เบิ ก บานใจขึ้ น มาทั น ที “ฮ่ า ฮ่ า ที่ แ ท้ เ ป็ น พี่
หลัน!” ผู้ที่ทักทายมันเป็นหลันเทียนหลงเอง ทั้งยังมีหลันหยงผู้น้องยืนอยู่
เคียงข้าง
“พี่น้อง เจ้าไม่ยอมมาหาข้าเพื่อร่าดื่มสักที! ไม่ได้ วันนี้ในเมื่อพบหน้า
ข้าจะไม่ละเว้นเจ้าแน่! พวกเราไม่เมามายไม่เลิกรา!” หลันเทียนหลงหัวร่อ
อย่างโอ่อ่าผ่าเผย
จั่วม่อมีความรู้สึกที่ดีต่อหลันเทียนหลงผู้นี้ไม่น้อย ยามนี้เห็นหน้าหลัน
เทียนหลง ประหนึ่งพบพานผู้มีพระคุณช่วยชีวิต รีบกล่าวว่า “เช่นนั้นวันนี้
ข้าขอติดสอยห้อยตามพี่หลันแล้ว!”
“ไม่มีปัญหา! ในนครมหาสันติแห่งนี้ ผู้น้องแม้ไม่เป็นที่นับหน้าถือตา
แต่อย่ างน้อยยังรู้จักมักคุ้นกับผู้คนอยู่บ้าง!” หลันเทียนหลงรับคาโดยไม่
เกี่ยงงอนให้มากความ จากนั้นหันไปแนะนาหลันหยงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “นี่
น้องชายข้า หลันหยง”
จั่วม่อกับหลันหยงประสานมือคารวะให้แก่กัน หลันหยงผู้นี้ท่วงท่ารู ป
โฉมแตกต่างจากหลัน เทีย นหลงอย่ างสิ้น เชิ ง ดูสุภาพเรียบร้อยและสงบ
เยือกเย็น
ฝ่ายหลันหยงเองก็เต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ต่อจั่วม่อ ตั้งแต่แรก
พบหน้า มันก็ลอบสังเกตสังกาจั่วม่ออยู่ตลอดเวลา
Page 2 of 11
เมื่อมีคนคอยนาทาง จั่วม่อค่อยเบาใจลงว่ามันคงไม่ทาให้ตัวเองต้อง
อั บ อายขายหน้ า แล้ ว มั น ประกบอยู่ ข้ า งกายหลั น เที ย นหลง สนทนา
สัพเพเหระเรื่อยเปื่ อย หลันเทียนหลงมือหนึ่งหิ้วเหยือกสุรา ซึ่งมีความสูง
แทบจะเท่ากับเข่าของมันทีเดียว เมื่อพบพานคนรู้จัก มันจะยกเหยือกสุรา
แหงนหน้ า กรอกปากอย่ า งดุ ดั น ไม่ ใ ส่ ใ จหยดสุ ร าที่ ไ หลชุ่ ม โชกอกเสื้อ ดู
องอาจเหี้ยมหาญอย่างยากจะบ่งบอกบรรยาย
จั่ ว ม่ อ พอเห็ น เข้ า ก็ ห ลงใหลได้ ป ลื้ มทั น ที มั น ลอกเลี ย นท่ ว งท่ า ของ
หลั น เที ย นหลง ถื อ เหยื อ กสุร าติ ด มื อไปด้ ว ยเช่ นกั น ไม่ ว่ า ผู้ ใ ดเสนอหน้า
คารวะสุรามัน มันล้วนไม่ปฏิเสธบอกปัด แหงนหน้ายกสุรากรอกปากอย่าง
เมามัน ปล่อยให้สุราอาบชุ่มไปทั่วร่าง ให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่าง
บอกไม่ถูก เบิกบานสาราญใจเป็นอย่างยิ่ง
วิธีด่ ม
ื สุราของหลันเทียนหลงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีผู้ใดเสมอ
เหมือน ยากจะพบพานผู้ที่ร่าดื่มอย่างสะใจเช่นเดียวกับมัน ต้องรู้สึกคึกคัก
ขึ้นอักโข รีบฉุดลากจั่วม่อเตร็ดเตร่ไปมา เพื่อหาคนมาคารวะสุราด้วย!
หลันหยงติดตามหลังคนทั้งสองด้ วยสีห น้าเจื่อนขม บางครั้งยังต้อ ง
คอยขอโทษขอโพยผู้คนรอบ ๆ แทนปิศาจสุราทั้งสองด้วย
“ข้าบอกต่อเจ้า สุราของผู้เฒ่าซือ... ...นับเป็นยอดสุราทั้งหมด” หลัน
เทียนหลงกล่าวเสียงอ้อแอ้ คล้ายลิ้นเริ่มแข็งทื่อ สองตาเลื่อนลอย มือหนึ่ง
โอบไหล่จ่ัวม่อ อีกมือหนึ่งถือเหยือกสุรา กล่าวด้วยเสียงที่ยากจะรับฟัง ได้
ถนัด “เจ้าต้องดื่มให้มากกว่านี้ ... ...หากเจ้าดื่มมากขึ้นอึกหนึ่ง เช่นนั้นก็
กาไรอีกส่วนหนึ่ง...อึ่ก...สุราที่ดี... ...”
Page 3 of 11
“พี่น้อง...เจ้า...กล่าวได้ดี!” จั่วม่อใบหน้าแดงก่า ยกนิ้วชี้ต้งั ขึ้น ส่ายไป
มา พอนิ้ ว ส่ า ยศี ร ษะก็ โ ยกส่ า ยตามไปด้ ว ย พลางกล่ า วว่ า “มี ข องดี ที่ ไ ด้
เปล่า แต่ไม่ยอมดื่ม... ...นับเป็นลูกเต่า”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ประเสริฐ! ด่าได้ประเสิรฐ! มามา ดื่ม!” หลันเทียนหลง
คว้าเหยือกสุรา แหงนหน้าเทสุรากรอกปากดังอัก ๆ
จั่วม่อก็ยกเหยือกสุรา เลียนเยี่ยงหลันเทียนหลง ดื่มสุราอึกใหญ่ด้วย
สุราเมื่อล่วงผ่านเข้าไปในลาคอ ก็เปลี่ยนเป็นคลื่นความร้อนสายหนึ่ง
ม้วนกวาดลงไปยังทรวงอก ไม่ทราบว่าสุรานี้ทาจากสิ่งใด ภายในร่างกาย
ของจั่วม่อ ฤทธิ์สุราประหนึ่งเปลวเพลิงร้อนแรง แล่นพล่านไปทั่ว เมล็ด
ผลึกสุริยันในกายจั่วม่อคล้ายถูกกระตุ้นจนตื่นขึ้นมา หมุนคว้างอย่างเกรี้ยว
กราด
จั่วม่อรู้สึกว่าลูกไฟอันร้อนแรงในทรวงอกเติบโตขึ้น ลาคอถูกแผดเผา
ด้วยความกระหาย มันต้องการดื่มมากกว่านี้ ต้องยกเหยือกสุราเทกรอก
ปากอย่างไม่อาจควบคุมบังคับ
ชั่ ว พริ บ ตาที่ สุ ร าราดลงไปในล าคอ ก็ ก ลั บ กลายเป็ นคลื่นความเย็น
สายหนึ่ ง แต่ แ ล้ ว ฉั บ พลั น ทั น ใด ลู ก ไฟในร่ า งกายมั น ก็ ค ล้ า ยจะเติ บ โต
ร้อนแรงขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
หลั น หยงมองดู คู่ หู ม หาประลั ย อย่ า งท าอะไรไม่ ถู ก ในกาลก่ อ นมี
เพียงหลันเทียนหลงผู้เดียวที่ด่ ืมอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ และมันเองที่ต้องเป็น
คนตามเช็ดตามล้างนับครั้งไม่ถ้วน มาวันนี้กลับปรากฏปิศาจสุราคนที่สอง
Page 4 of 11
ขึ้นอีก เมื่อมีคนที่ร่าดื่มสุราอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่รวมกันเป็นคู่ มันก็ได้
แต่สั่นศีรษะสีหน้าละห้อยหดหู่แล้ว
สุราปิศาจเมิ่งผอ9ของซือเยวี่ยอี้เป็นหนึ่งในยอดสุราที่มีฤ ทธิ์รุนแรง
ที่สุดในภพปิศาจ เมื่อมองดูโดยรอบ ผู้คนทั้งหมดล้วนพากันจิบทีละน้อย มี
เพียงสองตัวโง่งมที่เบื้องหน้ามันนี้เท่านั้น ที่ด่ ืมอย่างดุเดือดเลือดพล่านถึง
เพี ย งนี้ หลั น หยงย่ อ มทราบดี ว่ า พี่ น้ อ งของมั น เป็ น เช่ น นี้ แต่ นึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า
เซี่ยวม่อเกอ ผู้ที่ดูภายนอกหาได้มีเค้าดุร้ายเหี้ยมหาญอันใดไม่ ไฉนเวลาร่า
ดื่มจึงดุดันถึงเพียงนี้เล่า
แน่ น อนว่ า ผู้ ค นไม่ อ าจดู แ ต่ ภ ายนอกได้ จ ริ ง ๆ! หลั น หยงสั่ น ศี ร ษะ
อย่างระอาใจ
“พี่เทียนหลง ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้วก็ยังคงมีสารรูปเช่นนี้รึ?”
สุ้มเสียงกระจ่างชัดดังขึ้นใกล้ ๆ
หลันหยงสีหน้าเคร่งเครียดเย็นชาลงทันควัน ไม่ต้องหันไปมองก็ทราบ
ว่าเป็นผู้ใด อดแย้มยิ้มเย็นเยียบไม่ได้ “เทียบกับพี่เสิ่นแล้ว พี่ชายข้านับว่า
ยังมีที่ให้ภาคภูมิใจมากพอ ฟังว่าเมื่อค่าคืน ที่ผ่านมา ภายใต้ส ายตาของ
ผู้ ค นมากมาย พี่ เ สิ่ น กลั บ ถู ก พี่ ช ายที่ อั ป ลั ก ษณ์ ยิ่ ง แต่ อ บอุ่ น อ่ อ นโยนยิ่ ง
หลอกล่อจนหัวปั่ นมิใช่รึ? เสียกงจู่ก็คงได้ชมดูด้วยกระมัง ? ข้าอยากรู้นัก
เสียกงจู่มีความเห็นใดบ้าง?”
9
เมิ่งผอหรือยายเฒ่าเมิง่ เป็นเทพประจานรกภูมิ มีหน้าที่ให้วิญญาณที่จะไปเกิดใหม่ด่ ม
ื น้าแกงเบญจรส เพื่อให้
ลืมเลือนอดีตชาติเสียก่อน
Page 5 of 11
การตอบโต้ของหลันหยงกระทบถูกจุดอ่อนของเสิ่นอวี้พอดี เรื่องเมื่อ
คืนเป็นความอัปยศอดสูครั้งใหญ่ข องเสิ่นอวี้ ทุกผู้คนเฝ้ามองดูมัน แต่มัน
กลับปล่อยให้ผู้อ่ ืนหลบหนีลอยนวลไปต่อหน้าต่อตา เรียกได้ว่าเสื่อมเสีย
หน้าขนานหนัก
หลั น หยงพออ้ า ปากก็ จู่ โ จมใส่ร อยแผลสดใหม่ข องมัน อย่ า งไม่ รีรอ
ลังเล เสิ่นอวี้ดวงตาทอประกายฆ่าฟันวูบ
เสิ่นอวี้แย้มยิ้มอย่างเย็นชา “น้องเล็กหลันหยงยังคงลิ้นลมคล่องแคล่ว
คมคายดุจเดิม เพียงมิทราบว่ากระบวนท่าของพี่หลันรวดเร็วได้สักครึ่งของ
ลิ้นลมหรือไม่?”
เสิ่นอวี้เพลันเพิ่มระดับเสียงในบัดดล “วันนี้เป็นวันดี ไหนเลยจะขาด
การประลองฝีมื อเพื่อ กระตุ้น อารมณ์ ครึ ก ครื้ นได้ ? น้ อ งเล็ ก หลัน หยง ว่ า
อย่างไร สนใจมาเล่นกันสักรอบหรือไม่?”
ต าหนักอันอึกทึกคึกคักพลันเงียบกริบลงในชั่วพริบตา ทุกผู้คนล้วน
หั น มองมาเป็ น ตาเดี ย ว หลายคนมี สี ห น้ า กระตื อ รื อ ร้ น สนใจขึ้น มาทันที
ตระกูล เสิ่นกับตระกูล หลันมีข้อบาดหมางกัน เรื่ อยมา เสิ่นอวี้ไหนเลยจะ
ยอมพลาดโอกาสหยามอัปยศอีกฝ่าย?
หลันหยงหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ต่อหน้าผู้คนมากมายหากมันแสดง
ความอ่อนแอ ชื่อเสียงของมันและตระกูลหลันคงย่อยยับอัปราแล้ว แต่ห
ลันหยงล่วงรู้ขีด ความสามารถของตนดี พลังฝีมือของมันแม้นับว่าไม่เลว
แต่หากเทียบกับเสิ่นอวี้ผู้เป็นยอดอัจ ฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลเสิ่น มัน
Page 6 of 11
ยังคงอ่อนด้อยกว่ามาก ต่อให้เป็นหลันเทียนหลงยังอ่อนด้อยกว่าเสิ่นอวี้อยู่
บ้าง
แต่ในเวลาเช่นนี้ มันย่อมมิอาจล่าถอย... ...
ขณะที่มันลอบขบกราม กาลังจะตอบรับ สุ้มเสียงเลอะเลือนเสียงหนึ่ง
พลั น โพล่ ง ขึ้ น ข้ า งกาย “ไฮ้ เจ้ า มิ ใ ช่ ‘คนที่ อั ป ลั ก ษณ์ อ ย่ า งยิ่ ง แต่ อ บอุ่ น
อ่อนโยนมาก’ ผู้นั้นหรอกหรือ?”
ผู้กล่าววาจาย่อมเป็นจั่วม่อ เห็นมันดิ้นรนลุกขึ้นยืนส่ายไปส่ายมา ถึง
ยามนี้ความคิดจิตใจของมันเลอะเลือนอลวนอย่างสิน
้ เชิง แต่มันยังคงรู้สึก
ว่าเสิ่นอวี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง มันแม้จะเมามาย แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใ ดกลับ
เห็ น คนผู้ นี้ เ ป็ น ที่ ขั ด ตายิ่ ง นั ก มิ ห น าซ้ า มั น ยั ง รู้ สึ ก ว่ า ประโยค ‘คนที่
อัปลักษณ์อย่างยิ่งแต่อบอุ่นอ่อนโยนมาก’ ฟังดูคุ้น หูไม่น้อย จั่วม่อผู้เมา
มายจนเลอะเลือน ผลักดันป้ายยี่ห้อนี้ครอบลงบนศีรษะผู้อ่ ืนแทน หลงลืม
ไปอย่างสมบูรณ์ว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมันเอง
ทั่ ว ต าหนั ก ที่ เ งี ย บกริ บ ดุ จ ป่ า ช้ า เพราะเสิ่ น อวี้ ท้ า ประลองหลั น หยง
บัดนี้แทบระเบิดไปด้วยเสียงหัวร่อดังสนั่นหวั่นไหว
บรรดาผู้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงหากมิใช่ชนชั้นสูงศักดิ์ ก็เป็นคหบดีอันมั่ง
คั่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแล้วแต่มีกลวิธีรวบรวมข่าวสารของตน ประโยค ‘คนที่
อัปลักษณ์อย่างยิ่งแต่อบอุ่นอ่อนโยนมาก’ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแพร่สะพัดไป
ทั่วนครมหาสันติต้งั แต่แรก ดังนั้นพวกมันพอฟังจั่วม่อถามไถ่เสิ่นอวี้เช่นนี้
ล้วนพากันหัวร่องอหายอย่างไม่มีข้อยกเว้น
Page 7 of 11
เสิ่นอวี้ใบหน้าแดงฉานปานตับสุกร จั่วม่อถึงกับฉีกกระชากรอยแผล
ของมันต่อหน้าผู้คนทั้งเมือง
เหล่านายน้อยตระกูลใหญ่ล่วงรู้จังหวะเวลาเป็นอย่างดี พากันโห่ร้อง
เป่าปากไม่ขาดหู พวกมันเมื่อเห็นสภาพน่าหั วร่อของเสิ่นอวี้ย่อมปิติยิ นดี
ยิ่ง ร้องตะโกนหนุนออกมาจากท่ามกลางฝูงชน “วาวาวา อัปลักษณ์ยิ่ง แต่
อบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง!” “ยิ่งอัปลักษณ์! ก็ยิ่งอบอุ่นอ่อนโยน!”
เสิ่นอวี้ไหนเลยจะเคยได้รับความอัปยศอดสูถึงเพียงนี้มาก่อน ใบหน้า
เปลี่ยนจากแดงก่าเป็นดาคล้า หว่างคิ้วทอแววดุร้ายอามหิต ดวงตาสาด
ประกายดุจสายฟ้า สุ้มเสียงเย็นยะเยียบ
“ท่านที่นับถือคือ?”
จั่วม่อที่ยังคงเลอะเลือนเมามาย พอฟังว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักมัน ต้องขุ่น
ข้องใจขึ้นมาทันที ร้องตวาดเสียงดังฟังชัด “เจ้ากระทั่งข้ายังไม่รู้จัก? แล้ว
ยังจะคิดมาคลุกคลีอยู่ในนครมหาสันติ อีกหรือไร?” มันดึงหลันหยงเข้ามา
ใกล้ จากนั้นกระซิบถามด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้ามิใช่บอกว่างานเลี้ยงครั้งนี้
ต้อนรับแต่คนมีช่ ือเสียงเรียงนามหรอกรึ ? ไฉนปล่อยให้บุคคลเช่นนี้เข้ามา
ได้ด้วย?”
เสียงหัวร่อดังกระหึ่มกึกก้องขึ้นอีกครั้ง จั่วม่อในยามนี้คล้ายเต็ม ไป
ด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจ โฉมสะคราญหลายนางปิดปากหัวร่อคิกคัก บางนางที่
ขวัญกล้าบังอาจสักหน่อยลอบชม้ายชายตาให้แก่จ่ัวม่อเป็นระยะ ผู้คนทั่ว
ทั้งนครมหาสันติล้วนรู้จักมันดี เนื่องเพราะปรากฏการณ์หมู่ดาวประทาน
พรเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง
Page 8 of 11
มองดูใบหน้าที่แทบบิดเบี้ยวของเสิ่นอวี้ หลันหยงไม่เคยรู้สึกว่าเซี่ยว
ม่ อ เกอน่ า รั ก ถึ ง เพี ย งนี้ ม าก่ อ น ในใจรู้ สึ ก ดี ยิ่ ง มั น เบิ ก บานใจจนแทบกู่
คารามออกมา
ลูกพี่ ดื่มอีกสักหน่อยเถอะ... ...
มันแทบคิดหาเหยือกสุราอีกสักเหยือก ยัดใส่มือจั่วม่อเสียเดี๋ยวนี้เลย
ในเวลานี้เอง เสิ่นอวี้ค่อยสงบใจลง มันทราบดีว่าวันนี้มันคงไม่แ คล้ว
ต้องเสื่อมเสียหน้าอย่างใหญ่หลวง แต่ทว่า... ...
ขอเพียงตัวโง่งมเหล่านี้ได้ประจักษ์ในความแข็งแกร่งของมัน พวกมัน
ย่อมต้องหุบปากเงียบไปเอง สายตาที่มองมายังมัน จะกลับคืนสู่ความครั่น
คร้ามยาเกรงอีกครั้ง! ยังจะมีสิ่งใดปิดปากผู้คนได้ดีไปกว่าพลังอานาจอีก
เล่า?
ต่ อ หน้ า พลั ง อ านาจ ค าเยาะเย้ ย ถากถางไม่ มี คุ ณ ค่ า ความหมายใด
เพียงตบฟาดเบา ๆ สักหนึ่งฝ่ามือ รังแต่จะกระจายหายไปดุจฟองอากาศ
เสิ่นอวี้ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง “ผู้น้องไม่รู้ความ ไม่ทราบเลย
จริง ๆ โปรดชี้แนะด้วย”
หลันหยงรอยยิ้มบนใบหน้าสลายหายไปทันควัน มันเข้าใจเสิ่นอวี้เป็น
อย่างดี ทุกครั้งที่เสิ่นอวี้มีสีหน้าเช่นนี้ หมายความว่าบังเกิดความคิดฆ่าฟัน
ขึ้นมาจริง ๆ แล้ว คนผู้นี้จะใช้เล่ห์อุบายทุกวิถีทางเพื่อฆ่าฝ่ายตรงข้า มให้
จงได้!
เซี่ยวม่อเกอ... ...
หลันหยงหันไปมองเซี่ยวม่อเกออย่างหวาดวิตก
Page 9 of 11
จั่วม่อขมวดคิ้วฉับ กล่าวติดตลกว่า “ชี้แนะ?” จากนั้นยกมือขวาแบ
หรา ยื่นไปหาอีกฝ่าย พลางกระดิกนิ้วเบา ๆ เป็นสัญญาณ
หลันหยงสีหน้างุนงงสงสัย ท่ามือเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
เสิ่นอวี้แน่นอนว่าย่อมไม่เข้าใจเช่นกัน แต่มันไม่ถูกโยกคลอน เพียง
ถามว่า “นี่คือ?”
“เจ้าไม่เพียงอัปลักษณ์ แต่ยังสมองทึบด้วยหรือไร” จั่วม่อผู้ถูกฤทธิ์
สุราครอบงากล่าวอย่างอดรนทนไม่ได้ “เจ้าใช่ล่วงรู้กฏเกณฑ์ของโลกบ้าง
หรือไม่? คิดเรียนถามขอคาชี้แนะจากผู้คน หรือว่าเจ้าไม่ต้องจ่ายเงิน?”
ทั่วทั้งต าหนักใหญ่เงียบสนิทดุจ ป่าช้า ทุกผู้คนรวมทั้งหลัน หยงด้วย
ล้วนปากอ้าตาค้ าง พวกมันถูกกระบวนท่ าที่ ย ากจะหาผู้ ใ ดเสมอเหมื อ น
ของจั่วม่อขู่ขวัญจนไร้วาจาจะกล่าว
“ห้าสิบม๋อเป้ย ขอบพระคุณ”
เสิ่นอวี้อ้าปากหวอ เบิกตาโปนตาเหม่อมองจั่วม่ออย่างโง่งม รอจนมัน
ตั้ ง สติ ไ ด้ ตบ ๆ ไปตามร่ า งกายของตนอยู่ อึ ด ใจใหญ่ ใบหน้ า ก็ ก ลั บ
กลายเป็ น สีแ ดงฉานปานตับ สุก รอีก รอบ มั น ไม่ มี ม๋ อ เป้ ยติด ตัว แม้ แต่ชิ้น
เดียว! อาศัยศักดิ์ฐานะอันสูงส่งของเสิ่นอวี้ ระหว่างมาร่วมงานเลี้ยงมันเคย
ต้องพกพาม๋อเป้ยตั้งแต่เมื่อใดกัน?
หากให้เสี่ยวม่อเกอบ่งบอกถึงผู้คนประเภทที่มันไม่ชมชอบ แน่นอน
ว่ า อั น ดั บ แรกจะต้ อ งเป็ น คนที่ ไ ม่ มี ม๋ อ เป้ ย เพราะนี่ ห มายความว่ า มั น ไม่
สามารถรีดเค้นเอาน้ามันจากผู้อ่ ืนได้
ยังจะมีสงิ่ ใดน่าแค้นใจมากไปกว่านี้อีกเล่า?
Page 10 of 11
“กระทั่งห้าสิบม๋อเป้ยยังไม่มี... ...” จั่วม่อบ่นพึมพา สายตาเมามายที่
มองดูเสิ่นอวี้เต็มไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม
ผู้คนมากมายสีหน้าแปลกพิก ล เสียงพึมพาของจั่วม่อแม้ไม่ดังนัก แต่
ผู้คนในที่นี้ผู้ใดไม่มีโสตประสาทอันยอดเยี่ยม ล้วนได้ยินถนัดชัดเจนกั น
ถ้วนหน้า
“ข้ า จะจ่ า ยแทนมั น เอง” สุ้ ม เสี ย งเกี ย จคร้ า นเย้ า ยวนดั ง ขึ้ น อย่ า ง
กะทันหัน จั่วม่อยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใด ม๋อเป้ยหลายชิ้นก็ร่วงกราวลงสู่มือ
ของมั น อย่ า งนุ่ ม นวล เมื่ อเห็ น ว่ า ผู้ เ สนอหน้ า เป็ น ผู้ ใ ด เสิ่ น อวี๋ สี ห น้ า
แปรเปลี่ยนทันควัน การกระทาของเสียกงจู่ทาให้มันตื้นตันใจสุดระงับ!
จั่วม่อยิ้มออกทันที มันโยนม๋อเป้ยหลายชิ้นนั้นอยู่ในมือ จากนั้นหันไป
ยัดใส่มือหลันหยง “จดจาไว้ นาไปซื้อสุราเพิ่มให้แก่ข้าด้วย”
กล่ า วจบค า ก็ เ มิ น เฉยอย่ า งสิ้ น เชิ ง ต่ อ สี ห น้ า กระอั ก กระอ่ ว นของห
ลันหยง หันไปกล่าวกับเสิ่นอวี้อย่างจริงจัง “ข้าจะบอกแค่ครั้งเดียว อย่าได้
ลืมเลือนเสียเล่า ข้าเรียกว่า เซี่ยวม่อเกอ!”
เสียกงจู่พอฟังดวงตาทอประกายประหลาดวูบหนึ่ง ส่วนเสิ่นอวี้แย้ม
ยิ้มอย่างสบใจ
เห็นเสิ่นอวี้แย้มยิ้ม จั่วม่อก็ยิ้มด้วย
Page 11 of 11
บทที่ 603 ฤทธิ์สุราปิศาจเมิ่งผอ
Page 2 of 11
อาจจะต้องอับอายขายหน้าอยู่บ้าง แต่นอกเสียจากว่าตระกูลเสิ่นต้องการ
เปิดศึกเป็นตายกับตระกูลหลัน มิเช่นนั้นเสิ่นอวี้ย่อมไม่กล้าเอาชีวิตมัน
ดังนัน
้ ในเวลาเช่นนี้ หลันหยงยืนหยัดเข้าขวางอย่างไม่รีรอลังเล
เสิ่นอวี้ใบหน้าผุดรอยยิ้มแปลกประหลาด “หลันหยง อย่าได้ประเมิน
ตัวอย่างสูงส่งไป นี่เป็นเรื่องของเซี่ย วม่ อเกอ ถึงรอบเจ้ามีสิทธิ์ตั ด สิ น ใจ
แทนมันตั้งแต่เมื่อใด?” จากนั้นร้องตวาด “เซี่ยวม่อเกอ เจ้ากล้าหรือไม่!”
เสิ่นอวี้ดวงตามืดมนเย็นเยียบ ผู้ที่เมาสุรามักจะหงุดหงิดงุ่นง่าน ถูก
กระตุ้ น ได้ โ ดยง่ า ย มั น จึ ง ไม่ เ ชื่ อว่ า เซี่ ย วม่ อ เกอในเวลานี้ จ ะไม่ ไ ด้ รั บ
ผลกระทบจากฤทธิ์สุรา!
จั่วม่อในห้วงความมึนงง พลันได้ยินคนตวาดว่า ‘เซี่ยวม่อเกอ เจ้ากล้า
หรือไม่!’
ท่ามกลางเปลวไฟโหมไหม้รุนแรง ความแจ่มใสวูบหนึ่งผุดขึ้นในใจ
กระหายเหลือเกิน! ร้อนเหลือเกิน! มันทันใดนั้นยกเหยือกสุราในมือขึ้น เท
กรอกปาก ไม่ใส่ใจสุราที่ราดรดปกเสื้อ
ความเย็ น ฉ่ า ของสุ ร าที่ ไหลผ่า นลงไปตามผิ ว หนัง ท าให้ มั น รู้ สึกสุข
สบายอย่างบอกไม่ถูก!
มันกระดกสุราที่ห ลงเหลือ ในรวดเดีย ว จากนั้นเขม้นมองเสิ่น อวี้ ต า
ขวาง ขว้างเหยือกสุราลงกับพื้นเสียงดังสนั่น
เสิ่นอวี้พอเห็นจั่วม่อยกเหยือกสุราขึ้นกระดกอย่างดุเดือด ในใจลอบปิ
ติยินดี
Page 3 of 11
รอจนเห็นจั่วม่อดื่มรวดเดียวหมดเหยือก ทั้งยังถลึงตามองมันอย่าง
ขุ่นเคือง มันแทบหัวร่อออกมา มันเคยเห็นปิศาจสุราที่เมามายมาก่อน คน
เหล่านั้นก็ด่ ืมอย่างเสียสติเช่นนี้เอง! พวกมันจะเมามายจนลิ้นแข็งทื่อ การ
เคลื่อนไหวทื่อด้านเงอะงะ เหล่าตัวโง่งมที่น่าสังเวช!
สาเร็จแล้ว!
เป็นไปตามที่คาด มันได้ยินเสียงเซี่ยวม่อเกอขว้างเหยือกสุราลงบน
พื้น ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องตะโกนหนุนของเหล่าผู้ชมทั่วตาหนัก!
“เจ้าจะเดิมพันด้วยสิง่ ใด?”
เสิ่นอวี้สีหน้าแข็งค้าง นี่... ...นี่ไม่เหมือนที่มันคิด... ...ไม่เหมือนที่มัน
คิ ด เอาไว้ อ ยู่ บ้ า ง... อดร้ อ งถามตามสั ญ ชาตญาณไม่ ไ ด้ “เดิ ม พั น ? เจ้ า
หมายความว่าอย่างไร?”
รอบข้ า งเงี ย บกริ บ ลงอี ก ครา ความคิ ด ของผู้ ช มทั้ ง หมดล้ ว นเป็ น
เช่ น เดี ย วกั น กั บ เสิ่ น อวี้ พวกมั น คิ ด ว่ า เซี่ ย วม่ อ เกอจะร้ อ งตอบว่ า ‘กล้ า
หรือไม่? ไฉนข้าจะไม่กล้า!’ ผู้ใดจะทราบว่ามันไม่เพียงข้ามขั้นตอนนี้ไป ยัง
มุ่งตรงไปยังการเรียกร้องเดิมพันเสียได้
เหล่าผู้ชมที่ปฏิกิริยาโต้ตอบเฉื่อยชาอยู่บ้าง ถึงกับตามไม่ทันไปเลย
“เจ้าบ้านนอก!” จั่วม่อสายตาเต็มไปด้วยแววดูถูกเหยียดหยาม กล่าว
ด้วยอาการลิ้นพองคับปาก น้าเสียงเมามาย เวลานี้มันดูแคลนเสิ่นอวี้อย่าง
แท้จริง ไม่ต้องแปลกใจเลยที่คนผู้นี้กระทั่งห้าสิบม๋อเป้ยยังไม่มีติดตัว มัน
อดทนใช้ความเมตตาเศษเสี้ยวสุดท้ายในใจ ให้คาแนะนาแก่เสิ่นอวี้ “หาก
ไม่มีผลกาไร ออกแรงต่อสู้กันไปทาอะไร ไยมิใช่โง่เขลายิง่ !”
Page 4 of 11
เจ้า...บ้านนอก... ...
เสิ่ น อวี้ เ ส้ น เลื อ ดที่ ข มั บ เต้ น ตุ บ ๆ มั น ไม่ เ คยถู ก ผู้ ค นชี้ ห น้ า เหยี ย ด
หยามถึ ง เพี ย งนี้ ม าก่ อ น ปลายหางตาของมั น ยั ง เหลื อ บเห็ น หลั น หยง
พยายามกลั้นหัวร่ออย่างสุดความสามารถ เจ้าผู้นั้นคล้ายแทบไม่อาจสะกด
กลั้นเอาไว้ได้แล้ว กลั้นหัวร่อเสียจนสีหน้าบูดเบี้ยว ดูแปลกพิกลยิ่ง
จากสี ห น้ า ของหลั น หยง เสิ่ น อวี้ แ ทบจิ น ตนาการได้ ว่ า เหล่ า ผู้ ค น
เบื้องหลังมันจะมีสีหน้าเช่นไร... ...
เสียกงจู่... ...
ข้าจะยอมอดทน! เซี่ยวม่อเกอก้าวล่วงลงมาในหลุมพรางกว่าครึ่งตัว
แล้ว หากมันเพิ่มแรงกดดันลงไปอีกสักเล็กน้อย รับรองว่าวันนี้เซี่ยวม่อเกอ
ไม่มีทางหลุดรอดจากความตายไปได้!
“แล้วเจ้าต้องการสิง่ ใดเป็นเดิมพัน?”
เสิ่นอวี้สะกดกลั้นโทสะในใจ ย้อนถามเสียงเย็นชา แทบจะเค้น เสียง
ออกมาทีละคา
จั่วม่อยังคงมองเห็นใบหน้างามสะคราญของเสียกงจู่อยู่ไม่ห่างออกไป
นัก มันจดจาได้ว่ามันต้องการหาสตรีนางนี้เพื่อเรื่องสาคัญประการหนึ่ง ฮะ
แต่ เ ป็ น เรื่ อ งอั น ใดกั น หนอ? มั น จดจ าไม่ ไ ด้ เ สี ย แล้ ว มั น ตบศี ร ษะตั ว เอง
แรงๆ ...ประเสริฐ ลืมมันไปเถอะ จาไม่ได้ก็แล้วกันไปเถอะ แต่มันมีเรื่อง
บางประการจะถามนาง มันจดจาได้แค่นี้ จึงชี้ตรงไปที่เสียกงจู่ ร่าร้องเสียง
ดังว่า “ข้าต้องการนาง!”
Page 5 of 11
สามคานี้เมื่อหลุดออกจากปาก ทั่วทั้งตาหนักใหญ่พลันเงียบสงัด จน
หากมีเข็มตกสักเล่มคงได้ยินชัดเจน
สามคานี้ทาให้ผู้คนตกตะลึงพรึงเพริด ล้วนอ้าปากกว้างแทบจรดพื้น
เต็มไปด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ มีผู้ใด...กล้ากล่าวต่อหน้าเสียกงจู่ว่ามันต้องการ
นาง!
สวรรค์! นี่หยาบคายเกินไป! หยาบคายเกินไปแล้ว!
บรรดานายน้ อ ยตระกู ล ใหญ่ ที่ มี จิ ต ปฏิ พั ท ธ์ ต่ อ เสี ย กงจู่ แ ตกฮื อ ใน
บัดดล บางคนร้องด่า “สามหาว! เจ้าบังอาจหยาบคายต่อเสียกงจู่ถึงเพียงนี้
ใช่ราคาญในการมีชีวิตสืบต่อไปแล้วหรือไม่!”
“เพียงดื่มสุราไม่กี่คา อย่าได้ไม่รู้จักที่สูงที่ต่า!”
ได้ ยิ น เสี ย งร้ อ งด่ า อย่ า งเดื อ ดดาลจากด้ า นหลั ง มั น เสิ่ น อวี้ มี สี ห น้ า
กระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมาทันที มันทาท่าแบสองมือเป็นเชิงขออภัย แต่ไม่เอ่ย
จากปาก
จั่วม่อในที่สุดก็ตระหนัก “อ้อ ที่แท้นางมิใช่สตรีของเจ้า ไม่ต้องสงสัย
เลย... ...เจ้าไม่มีกระทั่งห้าสิบม๋อเป้ยเอามาเสียค่าธรรมเนียมขอคาชี้แนะ
เสียด้วยซ้า... ...สตรีใดจะมาสนใจคนเยี่ยงเจ้ากัน... ...อย่าได้เห็นว่าข้าเมา
มายแล้วคิดจะข่มเหงรังแก ... ...เจ้านึกว่าผู้อ่ ืนโง่งมเหมือนเจ้าหรือ... ...
ช่างโง่งมจริง ๆ... ...”
เสิ่นอวี้รู้สึกหน้ามืดวิงเวียน มันยังคงนึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะพัฒนาไป
ในเส้นทางเหนือธรรมดาเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากจั่วม่อกล่าวคา ‘ช่าง
Page 6 of 11
โง่งมจริง ๆ’ มันในที่สุดก็ไม่อาจระงับยับยั้งเพลิงโทสะในใจได้อีก ร่า ๆ จะ
โถมเข้าไปเสี่ยงชีวิตอยู่รอมร่อ
เสียกงจู่ดวงตาทอประกายขบขันวูบ นางพลันกล่าววาจาสุดคาดคิด
“เอาเถอะ หากเจ้าเป็นฝ่ายได้ชัย ข้าให้คามั่นว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหนึ่ง
วัน”
วาจาประโยคนี้ พ อกล่ า วออกมา ผู้ ค นก็ ต กอยู่ ใ นความโกลาหล
อลหม่านแล้ว
เสิ่นอวี้ปิติยินดียิ่ง ดูเหมือนว่าเสียกงจู่จะมีความรู้สึกบางอย่างกับมัน
มิเช่นนั้นไหนเลยจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือมันถึงสองครั้งสองครา มันตั้งใจมั่น
ว่าจะต้องไม่ให้ผิดต่อกุศลเจตนาของเสียกงจู่!
จั่วม่อยังคงนึกไม่ออกว่ามันเสาะหาเสียกงจู่ด้วยเรื่องอันใด มันเพียง
รู้สึกว่าร่างกายกาลังลุกไหม้อย่างดุเดือด!
ดวงตาของมันแดงก่า คล้ายส่องประกายแสงสีโลหิต
เสิ่นอวี้ปรารถนาจะบดขยี้จ่ัวม่อให้แหลกเละในบัดดล กระชากเสียง
ถามอย่างเย็นชา เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน “ทีนี้เจ้าพึงพอใจแล้วกระมัง?”
จั่วม่อรู้สึกราวกับว่าทั่วร่างอัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิง กระแสดุร้ายอัน
กล้าแข็งทะลักล้นอยู่ภายในกาย
“มาเถอะ!”
สุ้มเสียงของมันคล้ายดังแว่วออกมาจากกองไฟหนาทึบ แฝงไว้ด้วย
ความพลุ่งพล่านที่แทบสังเกตไม่เห็น
เสิน
่ อวี้ไม่สน
ิ้ เปลืองวาจามากความ “ไปยังพื้นที่ประลองเถอะ!”
Page 7 of 11
ในฐานะที่ เ ป็ น ที่ พ านั ก ของเฉิ ง จู่ แ ห่ ง นครมหาสั น ติ ย่ อ มต้ อ งมี ล าน
ประลองเป็ น ธรรมดา แม้ ว่ า จะไม่ ใ หญ่ โ ตโอฬารเท่ า สนามประลองนอก
ตาหนัก แต่อาคมหวงห้ามที่วางไว้ก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง
ฝ่ายหนึ่งคืออัจฉริยะเสิ่นอวี้ผู้มีช่ ือเสียงมานานปี กล่าวได้ว่าเป็นยอด
อัจฉริยะที่เด่นล้าที่สุดของตระกูลเสิ่นในรอบสองร้อยปีมานี้
อี ก ฝ่ า ยหนึ่ ง คื อ เซี่ ย วม่ อ เกอ ที่ จู่ ๆ ก็ ผุ ด ออกมาจากที่ ใ ดไม่ ท ราบ
ก่อให้เกิดหมู่ดาวประทานพร จากนั้นเบียดเสียดเข้าสู่ทาเนียบปิศาจมหา
สันติในรวดเดียว
ผนวกกับรางวัลอันชวนวาบหวามใจจากเสียกงจู่ การประลองนี้ย่อม
ต้องดึงดูดความสนใจจากทุกผู้คนในงานเลี้ยง
“ใช่สมควรห้ามปรามพวกมันหรือไม่?” บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งถามเสียงขรึม
ซือเยวี่ยอี้แย้มยิ้มพลางโบกมือตัดบท “ไม่จาเป็น เพียงแค่ชมดู ก็พอ
ยากนักที่จะมีบรรยากาศอันเร่าร้อนถึงเพียงนี้”
ซือเยวี่ยอี้ผู้นี้ไม่เคยฝึกปรือทักษะปิศาจอันใด ใบหน้าของมันจึงมีเค้า
ชราภาพอย่ า งเต็ ม เปี่ ยม ผมเผ้ า เป็ น สี ข าวปนเทา ปล่ อ ยสยายตาม
ธรรมชาติ ริ้วรอยบนใบหน้าแม้ไม่กดลึก แต่มองเห็นได้ชัดเจน ตั้งแต่ต้นจน
จบมั น เพี ย งแย้ ม ยิ้ ม อ่ อ นๆ ราวกั บ ว่ า ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า งล้ ว นอยู่ ภ ายใต้ ก าร
ควบคุมของมัน สิ่งที่น่าดึงดูดที่สุดในตัวมันก็คือดวงตาคู่นั้น นั่นเป็นดวงตา
ที่เต็มไปด้วยประกายปัญญาและความชาญฉลาดปราดเปรื่อง บันดาลให้
ผู้คนยินยอมสยบโดยไม่รู้ตัว
Page 8 of 11
ทันใดนั้น บุรุษชุดดาผู้หนึ่งกับเงาดาร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นข้างกาย
ซือเยวี่ยอี้ พวกมันนั่งลงโดยไม่เกรงอกเกรงใจ จากนั้นเริ่มดื่มกินเป็นการ
ใหญ่ ที่แท้บุรุษชุดดาก็คืออวี๋ซวง ส่วนเงาดากลับเป็นชางเยวียนฮ่าว สุด
ยอดฝีมือลาดับสองและลาดับที่หนึ่งแห่งทาเนียบปิศาจมหาสันติ
“เฉิงจู่ถือหางข้างใด?” บุรุษชุดดาหันไปถามซือเยวี่ยอี้
ซือเยวี่ยอี้ย้อนถามเสียงนุ่มนวล “แล้วเจ้าเล่า?”
อวี๋ซวงขบคิดชั่วอึดใจ จากนั้นตอบว่า “เสิ่นอวี้ สายเลือดปิศาจราชา
นกยูงของตระกูลเสิน
่ พิเศษเฉพาะยิ่ง เสิ่นอวี้เองก็บรรลุด่านเจียงมานานปี
ทั้งยังสาเร็จสังขารปิศาจราชานกยูง จากยามนั้นก็ผ่านมานานมากแล้ว มัน
สมควรมีฝีมือรุดหน้าไม่น้อย”
ซื อ เยวี่ ย อี้ หั น ไปมองชางเยวี ย นฮ่ า วในเงาด า ชางเยวี ย นฮ่ า วกล่ า ว
อย่างรวบรัดว่า “เซี่ยวม่อเกอ!”
“ฮะ!” อวี๋ซวงแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าถึงกับถือหางข้างเซี่ย วม่ อ เกอ
จริง ๆ? เพราะเหตุใด?”
“สั ญ ชาตญาณ” ชางเยวี ย นฮ่ า วเพี ย งตอบสั้ น ๆ ไม่ ใ ห้ เ สี ย เวลา
รับประทานของมัน อาหารเลิศรสบนโต๊ะหายลับเข้าไปในเงาดาด้วยระดับ
ความเร็วที่มองเห็นได้ชัดตา
“เจ้ามิใช่อิสตรีเสียหน่อย” อวี๋ซวงบ่นพึมพา รู้สึกเหลวไหลอยู่บ้าง แต่
ในใจลอบครุ่ น คิ ด สหายรั ก ของมั น ผู้ นี้ แ ม้ ไ ม่ ช อบพู ด มาก แต่ มั ก ไม่ ค่ อ ย
ผิดพลาด
Page 9 of 11
ซือเยวี่ยอี้แย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “คอยดูไปเถอะ ข้ารู้สึกคาดหวัง
รอคอยเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ชมฤทธิ์เดชของสุราปิศาจเมิ่งผอ”
สุราปิศาจเมิง่ ผอ... ...
อวี๋ซวงกับเงาดาชะงักงันอย่างพร้อมเพรียง
อวี๋ซวงคล้ายฉุกคิดอันใด ตะกุกตะกักถามว่า “มัน...ดื่มไปมากน้อย
เท่าใด?”
ซือเยวี่ยอี้ยังคงแย้มยิ้มเป็นปกติ แต่ดวงตาทอประกายประหลาด
“สิบหกเหยือก”
อวี๋ซวงอ้าปากหวอ สีหน้าแข็งทื่อราวกับพบพานผีสางกลางวันแสก ๆ
ในมุมห้องด้านหนึ่ง เห็นหลันเทียนหลงผู้ด่ ืมสุ ร าปิ ศ าจเมิ่งผอลงไป
สามเหยือกเมามายล้ม พั บอยู่ กั บพื้น มือไม้วาดไปมา ปากร้องเอะอะฟั ง
ไม่ได้ศัพท์
จั่วม่อรู้สึกยิ่งมาร่างกายยิ่งร้อนลวก ราวกับว่ามันอยู่ท่ามกลางกองไฟ
นรกแผดเผา แม้แต่สิ่งที่มองเห็นในสายตา ก็คล้ายจะบิดเบี้ยวไปหมดด้วย
อิทธิพลของคลื่นความร้อน
ฤทธิ์สุราช่างรุนแรงอย่างแท้จริง... ...
เจ้าบ้านนอกผู้นั้น... ...
จั่ ว ม่ อ ใช้ ส ายตาเมามายเขม้ นมองเสิ่ นอวี้ ทั่ ว ร่ า งของมั น เอ่ อ ท้นไป
ด้วยกระแสเพลิงร้อนเร่าซึ่งกาลังจะทะลักล้นออกมา
Page 10 of 11
ภายในกองเพลิงอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงนี้ จั่วม่อกลับรู้สึกถึงความ
ตื่นเต้นยินดีที่คล้ายความบ้าคลั่งสายหนึ่ง
ดู เ หมื อ นว่ า มี บ างสิ่ ง บางอย่ า งถู ก แผดเผาด้ ว ยเปลวไฟ ไหลหลั่ ง
อ อ ก ม า จ า ก เ ป ล ว ไ ฟ สิ่ ง นี้ ไ ห ล เ ข้ า ม า ใ น จิ ต ใ จ มั น อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม
สติสัมปชัญญะของมันยามนี้พร่าเลือนอย่างสมบูรณ์ มันคิดตรวจดูว่าสิ่ง
นั้นเป็นเรื่องราวใด แต่ดูเหมือนว่าไม่มีเรี่ยวแรงกาลังมากพอ
เสิ่นอวี้ยามนี้ใบหน้าทอประกายฆ่าฟันอย่างไม่ปกปิดซ่อนเร้น พวก
มันทั้งสองพอเข้าสู่สนามประลอง พลังที่สามารถกาหนดเป็นตายจะอยู่ใน
กามือของมัน
มันไม่เพียงแต่ต้องได้ชัย ทั้งยังต้องได้ชัยอย่างหมดจดงดงาม!
มีเพียงวิธีนี้ จึงสามารถสร้างความประทับใจอย่างลึกล้าให้แก่เสียกงจู่
มันสืบเท้าเข้าหาจั่วม่ออย่างแช่มช้า ทีละก้าว ทีละก้าว ไม่รีบไม่ร้อน
สงบเยือกเย็นยิ่ง แผนผังปิศาจห้าสีบนร่างกายมันประหนึ่งขนนกที่ปรากฏ
ตัวอย่างฉับพลัน แล้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รอจนมงกุฏนกยูงปรากฏขึ้น
บนหน้าผากของมัน ดวงตาของมันก็เย็นยะเยือกอย่างสิ้นเชิง
เป็นความเย็นยะเยือกดุจเทพยดาทอดตามองมดปลวกบนโลกโลกิยะ
จั่วม่อพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงฉานด้วยสายเลือดไม่ต่างจากสัต ว์
ร้ายตัวหนึ่ง สาดประกายกระหายเลือดอันเจิดจรัส
มันยกมือขวาขึ้นช้า ๆ
Page 11 of 11
บทที่ 604 เขตแดนเนตรนกยูง
Page 5 of 937
เสิ่นอวี้ที่มักจะพยายามโอ้อวดต่อหน้านางอยู่ตลอดเวลา ที่แท้ถึงกับ
ไม่เคยเผยพลังฝีมือที่แท้จริงของมันออกมาเลย!
เสิ่นอวี้ใช้สายตาเย็นเยือก จับจ้องมองดูจ่ัวม่อผู้กาลังพุ่งดิ่งเข้าหามัน
อย่างเกรี้ยวกราด แล้วพลันยกมือขวาขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างาม
ทันใดนั้นแสงสว่างห้าสีระบายไปทั่วทุกแห่งหน ยึดถือตัวมันเป็นจุด
ศู น ย์ ก ลาง แสงสี อั น เลื่ อมพรายสาดกระจายออกไปโดยรอบ ในชั่ ว
พริบตาเดียว ทั่วทั้งสนามประลองก็กลับกลายเป็นโลกหลากสีใบหนึ่ง
“เขตแดน!”
“ที่แท้มันบรรลุถึงพลังเขตแดนแล้ว!”
ผู้ ค นคล้ า ยได้ เ ห็ น บางสิ่ ง บางอย่ า งที่ ย ากจะท าใจให้ เ ชื่ อ ได้ ล ง หาก
บอกว่าทะลวงกาแพงเสียงคู่ของจั่วม่อทาให้พวกมันตื่นตะลึง เช่นนั้นเขต
แดนของเสิ่นอวี้ที่สร้างขึ้นด้วยการโบกมือเพียงคราเดียว ก็ทาให้พวกมัน
ถึงกับสงสัยว่าดวงตาของพวกมันใช่มีปัญหาหรือไม่ กระทั่งชางเยวียนฮ่าว
กับอวี๋ซวงยังมีสีหน้าประหลาดใจ
“น่าเสียดายแทนเซี่ยวม่อเกอ เสิ่นอวี้ถึงกับสาเร็จพลังเขตแดนแล้ว...
...เหล่ า คนรุ่ น เยาว์ ส มั ย นี้ มั น ช่ า ง... ...” อวี๋ ซ วงสั่ น ศี ร ษะด้ ว ยอารมณ์
ความรู้สึก
ชื่ อ เสี ย งความเป็ น อั จ ฉริ ยะของเสิ่ นอวี้ พวกมั น นั บ ว่ า รั บ ฟั ง มาเป็น
เวลานาน ลาพังการเข้าสู่ด่านเจียงตั้งแต่อายุสิบหกปีก็ทาให้ผู้คนต้องทอด
ถอนชมเชยไม่รู้จักจบสิ้นแล้ว
Page 6 of 937
แต่ต่อหน้าโลกหลากสีเบื้องหน้าพวกมัน คายกย่องสรรเสริญที่ผ่านมา
ทั้งหมดแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีคุณค่าความสาคัญแม้แต่น้อย
เขตแดน!
นี่คือเส้นแบ่งแยกชนชั้นยอดฝีมือออกจากชาวยุทธ์สามัญ ทั้งยังเป็น
เส้นแบ่งแยกว่าคนผู้นั้นยังจะสามารถรุ ดหน้าไปสู่ด่านที่เหนือล้ากว่านี้ได้
หรือไม่
มันยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ กลับก้าวข้ามเส้นแบ่งแยกนี้มาแล้ว อนาคต
ของเสิน
่ อวี้ผู้นี้ย่อมสุดจะหยั่งคานวณ ทั้งยังมีความหวังสูงยิง่ ที่จะเข้าสู่ด่าน
ไสว้
หลายคนต้องเร่งปรับเปลี่ยนคาประเมินที่มีต่อตระกูลเสิ่นเสียใหม่
หลันหยงที่เฝ้าชมดูจากด้านนอกลานประลอง ใบหน้าซีดเผือดเหมือน
ซากศพ
เสิ่นอวี้ถึงกับซุกซ่อนพลังเขตแดนเอาไว้จนถึงบัดนี้! เซี่ยวม่อเกอตกอ
ยู่ในอันตรายแล้ว!
เสิ่นอวี้สีห น้าไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย ยังคงเย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่
ต่างจากมงกฏนกยูงที่อยู่เหนือศีรษะของมัน
‘เขตแดนเนตรนกยูง!’
ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนใกล้เข้ามาเป็นลาดับ จั่วม่อทันใดนั้นรู้สึก
ว่ารอบข้างคล้ายกลายเป็นบึงโคลนอันหนืดข้น ยากจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ได้อีก
Page 7 of 937
ในสายตาของมัน ระยะห่างจากเสิ่นอวี้คล้ายจะไกลขึ้นกว่าเดิม
ระยะห่างระหว่างพวกมันทั้งสองยืดยาวออกไป เพียงชั่วพริบตาเดียว
เสิน
่ อวี้คล้ายห่างออกไปหนึ่งร้อยจั้ง
จั่วม่อไม่ได้สังเกตเห็น ว่าบนพื้นลานประลองพลันปรากฏเครื่องหมาย
วงกลมคล้ายรู ปดวงตาบนแพนหางนกยูงมากมาย แต่ละดวงคล้ายดวงตา
ประหลาด หรือวังวนที่หมุนคว้างอย่างแช่มช้า
ความรู้สึกหนืดข้นเหนียวหนัก บันดาลให้จ่ัวม่อรู้สึกอึดอัดขัดข้องผิด
ธรรมดา
มันในยามนี้ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่โถมทะยานเข้าสู่ตาข่ายดัก ต่อสู้ดิ้น
รนไปตามสัญชาตญาณ! แต่ในเวลานี้เอง บางสิ่งพลันผุดขึ้นในใจมัน พลุ่ง
พล่านไปทั่ว ทาให้มันต้องแหงนหน้าคารามกึกก้องอย่างน่าสะท้านใจ มัน
ราวกับสัตว์ร้ายบาดเจ็บที่จนตรอก ร่างดีดพุ่งขึ้นจากพื้นอย่างกะทันหัน รอ
จนขึ้นถึงจุดสูงสุด ทั้งร่างพลันไหววูบ กลายเป็นเงาร่างพร่าเลือนสายหนึ่ง!
แทบจะในเวลาเดีย วกั น เห็ น เปลวไฟร้ อ นแรงลากยาวจากฟากฟ้า
ทะลวงดิ่งลงสู่พ้ น
ื ลานประลองอย่างหักโหม
จั่วม่อต่อยหมัดออกมาอย่างดุดัน ลากเป็นหมัดเพลิงสาดประกายเจิด
จ้าสายหนึ่ง พุ่งลงกระแทกลวดลายดวงเนตรแพนหางนกยูงบนพื้นอย่าง
ถนัดถนี่
บึม!
พื้ นลานประลองสะท้ า นสั่ น ไหว รู ป ดวงตาแตกกระจายในบั ด ดล
กลายเป็ น เศษเสี้ ย วสี สั น นั บ ไม่ ถ้ ว น แต่ พ วกมั น พลั น ไหลบ่ า มาจากทุ ก
Page 8 of 937
ทิศทางดุจ สายน้าถาโถม กลับมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว คืนสู่ส ภาพดวง
เนตรบนแพนหางนกยูงอีกครั้ง
เสิ่ น อวี้ ม องดู ก ารดิ้ น รนของจั่ วม่ อ อย่ า งไร้ ค วามรู้ สึ ก ไม่ ไ ด้ รั บ
ผลกระทบแม้แต่น้อย
ลาพังความเสียหายเช่นนี้ ย่อมไม่ระคายผิวเขตแดนเนตรนกยู งของ
มัน
เมื่อจั่วม่อต่อยหมัดกระแทกพื้น ทะเลเพลิงภายในร่างมันพลันพลุ่ง
พล่านปั่ นป่วน แผดเสียงคารามก้ อง เมื่อได้ใช้กาลัง ออกมาอย่ างรุ น แรง
จั่วม่อรู้สึกสุขสบายอย่างยากจะบ่งบอกบรรยาย
ยามที่หมัดกระแทกพื้น ให้ความรู้สึกราบรื่นสะดวกดาย ไม่ได้เผชิญ
กับแรงต้านทานใด ๆ
ดังนั้นมันไม่รีรอลังเล เงื้อหมัดขึ้นอีกครั้ง ราวกับเสียสติไปแล้ว มัน
ระดมต่ อ ยหมั ด ใส่ พ้ ื น ลานประลองหมั ด แล้ ว หมั ด เล่ า อย่ า งไม่ ช ะงั ก ขาด
ตอน!
ตูม ตูม ตูม
พื้นลานประลองสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่ขาดสาย ภายใต้พายุหมัดอัน
คลุ้มคลั่ง ดวงเนตรแพนหางนกยูงบัดเดี๋ยวแตกกระจาย บัดเดี๋ ยวกลับมา
รวมตัวกัน สลับสับเปลี่ยนคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด
จั่วม่อคล้ายไม่ต ระหนักถึงเรื่องนี้ มันไม่ส นใจหน้าอินทร์ห น้าพรหม
จมอยู่ในความรู้สึกสุข สบายอย่างสุดบรรยาย ทุกครั้งที่ต่อยพื้น เปลวไฟ
Page 9 of 937
ภายในร่ า งมั น คล้ า ยระบายออกจากร่ า ง ไหลลงสู่ พ้ ื น ทุ ก องคาพยพใน
ร่างกายมันประดุจกาลังลุกไหม้อย่างเกรี้ยวกราด
บนที่นงั่ ผู้ชม อวี๋ซวงอดอุทานไม่ได้ “เจ้าผู้นี้เมามายจริง ๆ!”
“สุราปิศาจเมิ่งผอสิบหกเหยือก ...” ชางเยวียนฮ่าวเพียงกล่าวไม่กี่คา
แต่ความหมายในถ้อยคาเหล่านี้กลับไม่จาเป็นต้องบ่งบอกออกมา
“คนผู้นี้ก็เป็นตัวประหลาดเช่นกัน มันดื่ มสุราปิศาจเมิ่งผอลงไปสิบ
หกเหยือก แต่ยังสามารถต่อยตีกับผู้ได้จริง ๆ เมื่อตอนที่ข้ายังเป็นเด็กน้อย
ไฉนไม่แข็งแกร่งเช่นนี้บ้างหนอ?” อวี๋ซวงราพึงราพันพลางทอดถอนใจ
“มันยังจะทาให้เราประหลาดใจยิ่งกว่านี้” ซือเยวี่ยอี้จู่ ๆ ก็กล่าวพลาง
หัวร่อเบา ๆ
อวี๋ซวงกับชางเยวียนฮ่าวงงงันวูบอย่างพร้อมเพรียง ซือเยวี่ยอี้ปกติ
มักไม่ค่อยแยแสสนใจสิง่ ใด แต่ในตอนนี้ดวงตาของมันยามที่มองดูเซี่ยวม่อ
เกอกลับทอประกายที่ผิ ดแผกแตกต่าง คล้ายคาดหวังรอคอยหรือ ไม่ ก็ ดู
คล้ายตื่นเต้นเร้าใจอยู่บ้าง
สองยอดฝีมือสบตากันวูบ สามารถพบเห็นเค้าตื่นตะลึงในดวงตาของ
ฝ่ายตรงข้าม
เฉิ ง จู่ ไ ม่ เ คยกล่ า วโดยไม่ มี เ หตุ ผ ล หรื อ ว่ า เจ้ า เด็ ก น้ อ ยผู้ นี้ มี สิ่ ง ใดที่
พิเศษอยู่จริง ๆ?
ทั้งสองอดบังเกิดความรู้สึกคาดหวังรอคอยอยู่บ้างไม่ได้
พวกมันหันเหสายตากลับไปยังสนามประลอง จับจ้องมองดูเซี่ยวม่อ
เกอผู้ยังคงกระหน่าชกใส่พ้ น
ื อย่างคลุ้มคลั่ง
Page 10 of 937
“อา?” ชางเยวียนฮ่าวคล้ายสังเกตเห็นเรื่องราวบางประการ
“ฮะ?” อวี๋ซวงก็อดอุทานอย่างแปลกใจไม่ได้
จั่วม่อยังคงโหมต่อยใส่พ้ น
ื อย่างบ้าคลั่ง คล้ายไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่
ละหมัดของมันทุ่มเทเรี่ยวแรงก าลังทั่ วร่ าง ทุกหมัดต่อยอย่างไม่คิด ชี วิ ต
พื้นลานประลองสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุดยั้ง กระทั่งเหล่าอาคันตุกะบน
ที่นั่งผู้ชมยังรู้สึกได้
มันลืมเลือนเสิน
่ อวี้ไปโดยสนิทใจ
ในสายตาของมั น มี เ พี ย งดวงเนตรแพนหางนกยู ง ที่ บั ด เดี๋ ย วแตก
กระจายบัดเดี๋ยวคืนสภาพซ้า ๆ
เมล็ดผลึกสุริยันภายในร่ า งมันหมุน คว้ า งด้ ว ยระดั บ ความเร็ ว อั น น่ า
แตกตื่นสะท้านใจ แฝงไปด้วยแรงดึงดู ดอันแปลกประหลาด กระทั่งดวง
อาทิตย์สามดวงบนแผ่นหลังยังถูกดึงลงไปในทะเลไฟคลั่งภายในร่างของ
จั่วม่อ
สิ่งที่ปรากฏขึ้นในใจจั่วม่อ ถึงยามนี้ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นอย่างช้า ๆ
จั่วม่อผู้สูญเสียสติสัมปะชัญญะทั้งมวลตั้งแต่แรก ย่อมไม่ได้เสียเวลา
ขบคิดแม้แต่น้อย สัญชาตญาณสั่งให้มันแปรเปลี่ยนกระบวนท่าไปตามสิ่ง
ที่ผุดขึ้นในใจนั้น
หมัดยังคงโหมซัดหมัดแล้วหมัดเล่า!
แต่โดยไม่รู้ตัว แต่ละหมัดเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย
Page 11 of 937
จั่วม่อกระหน่ารัวหมัดด้วยความเร็วสูงส่งสุดยอด เป็นพายุหมัดที่เร่ง
ร้อนเสียจนผู้คนไม่อาจมองเห็นได้ชัดตา
การเปลี่ยนแปลงแม้บัง เกิดขึ้นทีละน้อย แต่ภายใต้ระดับความเร็วอัน
น่าแตกตื่นสะท้านโลกนี้ ภายในชั่วพริบตาเดีย ว ผู้คนก็พลันตระหนัก ว่ า
หมัดอันบ้าคลั่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง!
Page 12 of 937
บทที่ 605 ขนราชานกยูง
เสิ่นอวี้ทอดตามองจั่วม่ออย่างไร้อารมณ์
สีห น้ามันไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อ ย เขตแดนเนตรนกยูงเต็มไปด้ ว ย
ความเปลี่ยนแปลงไร้ที่สิ้นสุด คิดใช้กาลังทาลายล้างตรง ๆ ไม่มีประโยชน์
ใด ในดวงตาไร้อารมณ์ของมันจุดประกายภาคภูมิลาพองวูบหนึ่ง
ภายในเขตแดนเนตรนกยูง ทุกประการล้วนอยู่ในกามือของมัน มัน
ประหนึ่งเทพปิศาจแห่งยุคบรรพกาล ยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา
ทอดตามองไปยังเหล่าศัตรู ที่ไม่ต่างจากฝูงมดใต้ฝ่าเท้าของมัน ความรู้สึก
เช่นนี้น่าเคลิบเคลิ้มมึนเมาไม่น้อย
มองดูคู่ต่อสู้ของมันชกใส่พ้ ืนราวกับคนปัญญาอ่อน เสิ่นอวี้รอยยิ้มดู
หมิ่นจุดขึ้นที่มุมปาก
เพิ่มไฟอีกสักหน่อยดีหรือไม่?
รอยยิ้มเหยียดหยามประดับอยู่บนมุมปากเสิ่นอวี้ มันยกมือขวาขึ้นอีก
ครั้ง
ทันใดนัน
้ เอง สายตามันจ้องมองไปที่หมัดขวาของจั่วม่อ รอยยิม
้ พลัน
แข็งค้างในบัดดล
อะไร... ...นั่นมันอะไรกัน?
Page 1 of 24
จั่วม่อรู้สึกราวกับว่าร่างกายของมันอยู่เหนือทะเล แต่เป็นทะเลเพลิง
ที่แผดคารามกึกก้องผืนหนึ่ง! ทั่วทั้งทะเลเพลิงคึกคักพลุ่งพล่าน อาละวาด
ไม่ห ยุดยั้ง เมล็ดผลึกสุริยันเม็ดเล็ก ๆ และดวงอาทิต ย์ที่มาจากแผ่ นหลัง
ของมันอีกสามดวง ประหนึ่งมือที่มองไม่เห็น คอยกระชากดึงรั้งทะเลเพลิง
ให้เดือดพล่าน!
ภาพพร่ า มั ว ที่ ล อยอยู่ ใ นจิ ต ใจมั น ราวกั บ เสี ย งกระซิ บ เร่ ง เร้ า คอย
กระตุ้นจั่วม่ออยู่ตลอดเวลา
ความป่าเถื่อนและความพลุ่ง พล่า น บันดาลให้จ่ัวม่ อจู่ โจมอย่ า งไม่
รีรอลังเล หมัดขวาต่อยออกไปตามภาพที่ปรากฏขึ้นในใจ!
ตูม!
ประกายไฟแลบลั่นระหว่างหมัดกับพื้น ก่อนจะลอยขึ้นกลางอากาศ
ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นประกายไฟซึ่งมีขนาดเท่าปลายเข็มนี้
กระทั่งจั่วม่อเองยังไม่สังเกตเห็น ทะเลเพลิงที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน
ร่างกายมันราวกับท่อนไม้หนัก ถูกแขวนไว้ กลางอากาศ ทุกครั้งที่มันต่อย
ลง ท่อนไม้หนักจะร่วงฟาดลงมาด้วย ความรู้สึกนี้ท้งั ปลอดโปร่งสบายและ
ชวนสาราญใจอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกราวกับว่ามันสามารถทุบทาลายได้
ทุกสิ่ง!
หมัดแล้วหมัดเล่ากระหน่าซัดไม่ขาดสาย!
ทุกหมัดจะเกิดประกายไฟจุดเล็ก ๆ พวยพุ่งออกจากหมัด ลอยค้างอยู่
กลางอากาศ ไม่ว่าคลื่นลมหมัดจะรุนแรงสักปานใด พวกมันก็คล้ายถูกตรึง
แน่นอยู่กลางเวหา ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย
Page 2 of 24
ประกายไฟเพิ่มจานวนขึ้นเป็นลาดับ ในไม่ช้าผู้คนก็เริ่มสังเกตพบ!
ในสภาพเลอะเลือน มีเพียงจั่วม่อที่ยังไม่สังเกตเห็น ดวงอาทิตย์ส าม
ดวงบนแผ่นหลังมัน คล้ ายกลายเป็น มีชี วิต ค่อย ๆ หมุนคว้างอย่างช้ า ๆ
เส้นสีทองที่เชื่อมต่อระหว่างดวงอาทิตย์แต่ละดวงก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
ทุกครั้งที่หมัดขวาของจั่วม่อต่อยออกมา เสาเปลวไฟร้อนแรงบนหมัด
ยิ่งหนักหน่วงเข้มข้น จนค่อย ๆ กลายเป็นมีรูปร่าง ห่อหุ้มไปถึงข้อมือของ
มันแล้วค่อยหยุดยั้งลง
จั่วม่อไม่ทราบว่ากระบวนท่านี้คือสิ่งใด แต่ทันใดนั้นชื่อหนึ่งก็ผุ ดขึ้น
ในใจมัน
ค้อนสุริยัน!
นี่มัน... ...
จั่วม่อยังคงอยู่ในสภาวะเลื่อนลอยมึนงง ดังนัน
้ มันไม่สนใจอันใด เพียง
ทาไปตามภาพที่ปรากฏขึ้นตามสัญชาตญาณ
เศษเสี้ยวพลังเทพทาตัว ประดุจ ทั่ง เหล็ก รอจนค้อนไฟหวดฟาดลง
ปะทะกัน ประกายไฟก็แลบลั่น!
จั่วม่อผู้กาลังเมามาย กลับรู้สึกว่ากระบวนท่านี้ไม่มีพลังอานาจมาก
พอให้มันพึงพอใจ มันพยายามเร่งเร้าพลังทุกชนิด ทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ
บนหมัดขวาของมัน
หมั ด คลื่ นสวรรค์ ก ระจกฟ้ า ! หมั ด เพลิ ง แกนฟ้ า ล าดั บ ที่ ห นึ่ ง ! ค้ อ น
สุริยัน!
Page 3 of 24
แต่ ล ะหมั ด ก็ เ ปลี่ ย นแปลงไปเรื่ อ ย ๆ ยิ่ ง มายิ่ ง ดุ ดั น ยิ่ ง นานยิ่ ง หนั ก
หน่วง!
ตูม!
พื้นปฐพีสั่นสะเทือน
ตูม!
แรงสะเทือนของแผ่นดินยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน โต๊ะและเก้าอี้ท้ังหมดก็เริ่มสั่นไหว โฉมสะคราญ
บนที่นั่งผู้ชมกรีดร้องอย่างขวัญเสีย พวกนางล้วนรู้สึกได้ว่าที่นั่งผู้ชมกาลัง
สั่นอย่างรุนแรง!
ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเสียงกรีด ร้อ งเหล่านี้ พวกมันพากันจ้องมอง
ลานประลองตาไม่ ก ะพริ บ แต่ ล ะคนแทบลื ม หายใจ ไม่ ก ล้ า แม้ แ ต่ จ ะ
กะพริบตาจริงๆ
แรงสั่นสะเทือนของพื้นดินยิ่งมายิ่งหนักหน่วงรุ นแรง ภาชนะอาหาร
บนโต๊ะสั่นกระทบกันดังเกรียวกราว
หมัดของเซี่ยวม่อเกอ... ต้องหนักหน่วงถึงเพียงไหนกัน!
เพื่อที่จะรับประกันความปลอดภัยของผู้คนนอกลานประลอง รอบๆ
ล า น ป ร ะ ล อ ง จั ด ตั้ ง อ า ค ม ห ว ง ห้ า ม เ อ า ไ ว้ ห ล า ย ชั้ น แ ต่ ถึ ง ก ร ะ นั้ น
แรงสั่ น สะเทื อ นที่ ก ระทบออกมานอกลานประลองยั ง รุ น แรงถึ ง เพี ย งนี้
เช่นนั้นหมัดของเซี่ยวม่อเกอจะทรงพลังอานาจสักปานใด... ผู้คนไม่อาจ
จินตนาการได้จริง ๆ!
Page 4 of 24
“พลังอันน่าพรั่นพรึงนัก!” อวี๋ซวงบ่นพึมพากับตัวเอง สีห น้าถึงกับ
แปรเปลี่ ย นไปเล็ ก น้ อ ย “พลั ง อั น เกรี้ ย วกราดถึ ง เพี ย งนี้ อ าจไม่ เ ป็ น รอง
ตระกูลเถี่ยซานเซี่ยง (ช้างภูเขาเหล็ก) แม้แต่น้อย”
ซือเยวี่ยอี้ดวงตาลึกล้าสุดหยั่ง สุ้มเสียงแฝงไว้ด้วยร่องรอยหวนราลึก
จางๆ “เหล่าซื อของข้าครั้งหนึ่งเคยบอกว่า ผู้ที่ส ามารถดื่มสุราปิศาจเมิ่ง
ผอได้มากกว่าสิบเหยือกล้วนเป็นบุคคลพิเศษ”
“บุคคลพิเศษ?” ชางเยวียนฮ่าวจับประเด็นสาคัญที่สุดในประโยคได้
ทันที
“เหล่าซือของข้าไม่ได้อธิบายว่าหมายความว่าอย่างไร” ซือเยวี่ยอี้สั่น
ศีรษะ “สาหรับสุราปิศาจเมิ่งผอของเหล่าซือ ข้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงสูต ร
การกลั่นมาก่อน ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าคนที่เหล่าซือของข้าเชื่อว่ าเป็น
บุคคลพิเศษ เป็นคนประเภทใดกัน”
มันเมื่อกล่าวถึงท้ายประโยค สุ้มเสียงก็ฉายแววคาดหวังรอคอยและ
ตื่นเต้นเร้าใจออกมาชัดเจนกว่าเดิม
ชางเยวียนฮ่าวประหลาดใจอยู่บ้าง เฉิงจู่ตามปกติสงบเยือกเย็นและ
ผ่อนคลายสบายอารมณ์ ประหนึ่งว่าไม่ว่าตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นไร
ก็ไม่มีสิ่งใดโยกคลอนมันได้ ชางเยวียนฮ่าวเพิ่งจะเคยเห็นสีหน้าเช่น นี้บน
ใบหน้าของเฉิงจู่เป็นครั้งแรก
อวี๋ ซ วงหู แ ม้ รั บ ฟั ง ค าสนทนาของทั้ ง สอง แต่ ส ายตาไม่ ล ะจากลาน
ประลองแม้แต่ชั่ววูบ “คราวนี้ก็ถึงเวลาที่จ ะได้เห็นแล้วว่า เขตแดนเนตร
Page 5 of 24
นกยูงของเสิ่นอวี้ฝึกปรือถึงขั้นใด จะสามารถรับมือการโจมตีอันป่าเถื่อนนี้
ได้หรือไม่”
คนทั้งสามสงบปากสงบคาลงทันที ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนอันชวน
สะท้านใจ สายตาสามคู่จับนิ่งอยู่ที่ลานประลอง
เสิ่นอวี้สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
มั น คล้ า ยยื น อยู่ บ นหนั ง กลองที่ มี ค นก าลั ง โหมตี อ ย่ า งบ้ า คลั่ ง ทุ ก
จังหวะการตี พื้นลานประลองก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นรุนแรงขึ้นทุกขณะ
ดวงเนตรแพนหางนกยู ง บนพื้ นยั ง คงคอยรั ก ษาสภาพดั ง เดิ ม แต่
เสิ่นอวี้รู้สึกได้ว่าพวกมันกาลังสั่นไหว เริ่มจะกลายเป็นไม่มั่นคงขึ้นมาแล้ว!
คนผู้นี้...ที่แท้เป็นตัวประหลาดอันใด?
มันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ภายใต้เขตแดนเนตรนกยูง อีกฝ่ายยัง
สามารถสาแดงพลังออกมาอย่างเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ เจ้าผู้นี้มัน... ...
ควรทราบว่าภายในเขตแดนเนตรนกยูง ดวงเนตรแพนหางนกยูง แต่
ละดวงเป็นวังวนขุมหนึ่ง มันแม้เพิ่งจะสาเร็จเขตแดนเนตรนกยูงได้เพียง
สองปี แต่ภายในเขตแดนเนตรนกยูงของมัน ก็มีดวงเนตรแพนหางนกยูง
อยู่ถึงเก้าร้อยเก้าสิบดวง!
อาศัยดวงเนตรแพนหางนกยูงเก้าร้อยเก้าสิบดวงปลดปล่อยพลังวัง
วนพร้อมกัน กระแสอันดุดันภายในเขตแดนนั้น หากเป็นคนที่อ่ อนแอสัก
หน่ อ ยจะถู ก ฉี ก กระชากออกเป็ น ชิ้ น ๆ ในชั่ ว พริ บ ตา และแม้ ว่ า สั ง ขาร
ร่างกายของพวกมันจะแข็งแกร่งทนทานยิ่ง แต่ภายใต้พลังวังวนของดวง
Page 6 of 24
เนตรแพนหางนกยูงเก้าร้อยเก้าสิบดวง พวกมันก็ไม่ต่างจากผีเสื้อที่พลัด
ติดใยแมงมุม ยิ่งดิ้นรนเท่าใดก็ยิ่งรัดพันตัวเองแน่นหนาขึ้นเท่านั้น
แล ะ ท้ า ย ที่ สุ ด ร อ จ น ศั ต รู ถู ก พ ลั ง วั ง ว น รั ด พั น จ น ไ ม่ อ า จ ข ยั บ
เคลื่ อนไหว เสิ่ น อวี้ ก็ ส ามารถเข้ า ไปปลิ ด ชี วิ ต อี ก ฝ่ า ยได้ อ ย่ า งง่ า ยดาย
ภายใต้สายตาประพรั่นพรึงของฝ่ายตรงข้าม
แต่ทว่า... ...
มั น ถลึ ง จ้ อ งจั่ว ม่ อ ตาแทบถลน ไม่ ท ราบเพราะเหตุ ใ ด มั น รู้ สึ ก คลื่น
ความเย็นสายหนึ่ งแผ่ซ่ านขึ้ นจากใจ เสิ่นอวี้ทราบแน่ ชั ด ว่ า เซี่ ย วม่ อ เกอ
ได้รับผลกระทบจากเขตแดนเนตรนกยูงอย่างเต็มที่ เนื่องเพราะเมื่อตอนที่
เซี่ยวม่อเกอเข้าสู่เขตแดนเนตรนกยูง ถึงกับชะงักงันชั่ววูบไปอย่างเห็นได้
ชัด
ทว่าเซี่ยวม่อเกอกาลังกระหน่าหมัดต่ อยใส่พ้ ืนลานประลองราวกั บ
เสียสติ!
พฤติการณ์ที่สาหรับมันแล้วดูเหมือนจะโง่งมเกินเยียวยา บัดนี้กลับทา
ให้เสิ่นอวี้รู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา
มันย่อมมิอาจนั่งนิ่งเฉย รอดูผู้อ่ น
ื ทาลายเขตแดนของมันได้!
เสิ่นอวี้คล้ายว่าเพิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดวงตาทอประกาย
อามหิตวูบ
มันตกลงใจใช้กระบวนท่าที่เก็บซ่อนเอาไว้!
Page 7 of 24
จั่วม่อรู้สึกสุขสาราญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในใจมันยิ่งเมามายเท่าใด
มันก็ยิ่งตื่นเต้นเร้าใจมากเท่านั้น ดวงเนตรแพนหางนกยูงคล้ายไม่อาจฟื้น
สภาพได้ทันเวลาอีกแล้ว ยังไม่ทันจะกลับคืนเป็นเหมือนเดิม ก็ถูกทุบจน
แหลกละเอียดอีกครั้ง หมัดของจั่วม่อเมื่อกลายเป็นยิ่งหนักหน่วงดุดัน พลัง
อั น น่ า สะพรึ ง กลัว ก็ ก วาดซั ด ออกไป ก่ อ เกิ ด ระลอกคลื่ นสีรุ้ ง ระลอกแล้ว
ระลอกเล่า
แช่มชื่นยิ่งนัก!
จั่ ว ม่ อ หั ว ร่ อ อย่ า งคลุ้ ม คลั่ ง ดั ง กั ง วานไปในอากาศ ขณะที่ มั น ยั ง คง
กระหน่าหมัดต่อยลงไปไม่หยุดมือ!
หมัดยิ่งมายิ่งรวดเร็ว รวดเร็วเสียจนแทบจะช่วงชิงเอาลมหายใจของ
บรรดาผู้ ช มไปด้ ว ย เปลวไฟอั น กล้ า แข็ง พลุ่ง พล่า นอาละวาดอยู่ ภ ายใน
ร่างกายของจั่วม่อ มันคล้ายคนที่หิวกระหายจนใกล้ตาย ควานหาแหล่งน้า
อย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่มันพากเพียรค้นหากลับไม่ใช่แหล่งน้า แต่เป็นวิธีการที่
จะช่วยให้หมัดของมันแกร่งกร้าวทรงอานาจยิ่งกว่านี้
พลังแห่งเปลวไฟยิ่งปะทะกันรุนแรงขึ้น พลังเทพก็ยิ่งปะทุออกมาจาก
ภายในร่างกายมันมากขึ้น!
แผนผังปิศาจบนหมัดขวาของจั่วม่อเปล่งแสงเจิดจ้าบาดตา เมื่อมัน
กระหน่าชกใส่พ้ ืนอย่างเร่งร้อน ประกายแสงสีน้าเงินก็ลากเป็นทางยาวอยู่
กลางอากาศ
ถึงตอนนี้ ภายใต้ประกายแสงเจิดจ้าบาดตา ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็น
ประกายไฟที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศได้อีก
Page 8 of 24
ในเวลานี้เอง ดวงเนตรแพนหางนกยูงคล้ายจานเหล็กที่ถูกแม่เหล็ก
ดึงดูดไป เริ่มรวมตัวกัน มุ่งหน้าไปในทิศทางหนึ่ง
ด้ ว ยดวงตาเมามาย จั่ ว ม่ อ ในที่ สุ ด ก็ ห ยุ ด การต่ อ ยใส่ส นามประลอง
เหม่อมองดวงเนตรแพนหางนกยูงไหลผ่านฝ่าเท้าของมันไปอย่างไม่ข าด
สาย มันค่อย ๆ หันหน้า มองตามทิศทางที่ดวงเนตรแพนหางนกยูงลับหาย
เข้าไป
ดวงเนตรแพนหางนกยู ง ทั้ ง ที่ อ ยู่ บ นพื้ นและกลางอากาศ ล้ ว นไป
รวมตัวกันอยู่บนร่างของเสิน
่ อวี้
ชั่ ว พริ บ ตานี้ เ สิ่ น อวี้ แ ปรเปลี่ ย นไปอย่ า งสิ้ น เชิ ง ดวงเนตรแพนหาง
นกยู ง ไต่ ขึ้ น ไปบนร่ า งมั น หายเข้ า ไปในแผนผั ง ปิ ศ าจของมั น มงกุ ฏ รู ป
นกยูงบนศีรษะเสิ่นอวี้ดูคล้ายกลับกลายเป็นมีชีวิต สองปีกกางออกทันควัน
เพี ย งชั่ ว พริ บ ตาเดี ย ว มงกุ ฎ นกยู ง ก็ แ ผ่ ปี ก ครอบคลุ ม ศี ร ษะของเสิ่ น อวี้
แปลงกายเป็ น หมวกเกราะอั น งามวิ จิ ต ร เผยให้ เ ห็ น เฉพาะดวงตาของ
เสิ่นอวี้เท่านั้น พร้อมกันนั้นขนนกยูงที่มีความยาวราวครึ่งฉื่อเส้นหนึ่ง พลัน
ปรากฏขึ้นในมือของเสิ่นอวี้!
จั่วม่อชะงักงันวูบ ยังคงจดจาได้ว่าเจ้าคนที่เบื้องหน้านี้วางเดิมพันกับ
มันตาหนึ่ง
แต่กลับนึกไม่ออกว่าเดิมพันเรื่องอันใด
อย่างไรก็ตาม เซี่ยวม่อเกอเคยแพ้พนันด้วยหรือ?
จั่วม่อสะบัดร่าง ดีดพุ่งเข้าเผชิญหน้าเสิ่นอวี้ในบัดดล
Page 9 of 24
ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนปิศาจสุราน้อยตนนี้อีกต่อไป แต่ละหมัดของมัน
คล้ายต่อยใส่หัวใจของผู้คนด้วย
อย่ า งไรก็ ต าม รอจนการแปลงร่ า งของเสิ่ น อวี้ เ สร็ จ สิ้ น สมบู ร ณ์
โดยเฉพาะขนนกยูงห้าสีในมือของมัน เสียงอุทานพลันดังระงมในกลุ่มคน
“ขนราชานกยูง!”
กระทั้งอวี๋ซวงบนที่นั่งผู้ชมยังไม่อาจรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ มัน
ผุดลุกขึ้นอย่างฉับพลัน จ้องเขม็งไปยังลานประลองด้ วยสีห น้ าตื่น ตะลึ ง
“เจ้าผู้นี้...กระทั่งขนราชานกยูงก็ฝึกปรือสาเร็จ ตระกูลเสิ่นให้กาเนิดยอด
อัจฉริยะที่น่าทึ่งออกมาคนหนึ่งโดยแท้!”
ขนราชานกยูง สุดยอดกระบวนท่าไม้ตายอันกระเดื่องดังของตระกูล
เสิ่ น แม้ ก ระทั่ ง ในหมู่ ต ระกู ล สู ง ศั ก ดิ์ ม ากมายในดิ น แดนร้ อ ยเถื่ อน ยั ง
นั บ เป็ น หนึ่ ง ในสุ ด ยอดท่ า ไม้ ต ายชั้ น แนวหน้ า ภายในประวั ติ ศ าสตร์ อั น
ยาวนานของตระกูล เสิ่น ไม่ทราบมีศัต รู มากมายเท่าใดต้องทอดร่างเป็ น
ซากศพภายใต้กระบวนท่านี้
ปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลเสิ่น เคยใช้กระบวนท่านี้สังหารจอมปิศาจ
ด่านเจียงทั้งสิ้นเจ็ดสิบเก้าตน สะท้านไปทั่วแดนปิศาจ จากนั้นค่อยก่อตั้ ง
ตระกูลเสิ่นขึ้น
ขนราชานกยูงแม้ร้ายกาจ แต่ยากจะฝึกปรือถึงขั้นสูงล้า กระทั่งถึ ง
บัดนี้ จ านวนผู้ที่ส าเร็จ วิชาขนราชานกยูง ในเชื้อสายตระกูล เสิ่นแทบจะ
นับได้ด้วยนิ้วมือข้ างเดี ยว ว่ากันว่าผู้ที่คิดฝึ กปรือขนราชานกยูง จะต้อง
บรรลุความเข้าใจในเขตแดนเนตรนกยูงถึงขัน
้ ลึกล้าเสียก่อน
Page 10 of 24
ตั้งแต่แรกเริ่ม ความยากลาบากในการสาเร็จพลังเขตแดนเนตรนกยูง
ก็เรียกได้ว่ าสูงล้ าอยู่ แล้ ว ในบรรดาลู กหลานตระกูล เสิ่น รุ่นนี้ มีคนเพี ย ง
หยิบมือเดียวที่ส ามารถบรรลุพลังเขตแดนเนตรนกยูง ในจ านวนนั้น ผู้ที่
สามารถสาเร็จวิชาขนราชานกยูงยิ่งมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ดั ง นั้ น อวี๋ ซ วงพอเห็ น ขนนกยู ง ในมื อ เสิ่ น อวี้ ความตื่ นตะลึ ง ของมัน
ย่อมเป็นที่คาดคานวณได้
“ยังไม่สมบูรณ์” ชางเยวียนฮ่าวโพล่งออกมา
“เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” อวี๋ซวงถอนหายใจเบา ๆ “มันยังเยาว์วัยยิง่
แต่สามารถฝึกปรือขนราชานกยูงได้ถึงขั้นนี้ พรสวรรค์ระดับนี้เ กรงว่ าต่อ
ให้ เ ที ย บกั บ ปฐมาจารย์ ผู้ ก่ อ ตั้ ง ตระกู ล เสิ่ น ยั ง คงไม่ อ่ อ นด้ อ ยกว่ า แม้ แ ต่
น้อย”
ชางเยวียนฮ่าวนิง่ งียบงันไป อวี๋ซวงกล่าวไม่ผิด
พรสวรรค์ของเสิ่นอวี้สูงล้าจนน่าตระหนก
มั น เพ่ ง มองบุ รุ ษ หนุ่ ม ที่ เ มามายจนส่ า ยไปส่ า ยมา ในใจรู้ สึ ก เศร้ า
เสียดายอยู่บ้าง เด็กน้อยผู้ นี้ก็มีพรสวรรค์สูงส่งเช่นกัน แต่ผู้ใดจะคาดคิด
ว่ามันจะต้องเผชิญกับยอดอัจฉริยะในรอบร้อยปีเช่นเสิ่นอวี้
ช่างน่าเสียดายนัก
ด้วยความรู้สึกเศร้าเสียดาย ชางเยวียนฮ่าวกวาดตามองผ่านบนพื้น
ใต้ฝ่าเท้าของจั่วม่อโดยไม่ได้ต้ังใจ เท่านั้นเอง มันต้องถลึงตามองอีกครั้ง
อย่างฉับพลัน
สิง่ นัน
้ มัน... ...
Page 11 of 24
เห็นกลุ่มประกายไฟเล็ก ๆ อันแปลกพิสดารลอยอยู่ข้างเท้าของจั่วม่อ
อย่างเงียบงัน
เงียบงันจนชวนสะท้านใจ!
Page 12 of 24
บทที่ 606 กงล้อดาราจักร
เสิ่นอวี้เมื่อมองดูคู่ต่อสู้ของมัน ในดวงตาปรากฏร่องรอยหวาดกลัววูบ
หนึ่ ง ไม่ ท ราบเพราะเหตุ ใ ด ขนราชานกยู ง ในมื อ ไม่ ไ ด้ ก่ อ ให้ เ กิ ด ความ
เชื่อมั่นมากเท่าที่มันคาดคิดเอาไว้ เจ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามัน กาลังต่อสู้ดิ้น
รนอยู่ในเขตแดนของมัน ไม่ได้มีท่วงท่าสภาวะของยอดฝีมือ แม้ แ ต่ น้ อ ย
กลับคล้ายปิศาจสุร าที่ ร่ าดื่ มจนเมามาย ซึ่งสามารถพบเห็น ได้ ท่ั ว ทุ ก มุ ม
ถนน
แต่ปิศาจสุราที่เมามายนี้ กลับทาให้มันบังเกิดความหวาดกลัว ชั่ ว วูบ
หนึ่ง
มันไม่อาจบอกได้ ว่ าเพราะเหตุใ ด หรือเพราะพายุ ห มั ด เมื่ อสั ก ครู่ ดู
ทรงพลั ง อ านาจเหนื อ ธรรมดา? หรื อ เพราะเสี ย งหั ว ร่ อ อั น คลุ้ ม คลั่ ง ของ
เซี่ยวม่อเกอ?
แต่แล้วสายตาของเสิ่นอวี้กลับคืนเป็นกระจ่างชัดในบั ดดล พลังอัน
กล้ า แข็ ง ที่ ส่ ง ผ่ า นออกมาจากขนราชานกยู ง ในมื อ ของมั น ช่ ว ยลบล้ า ง
ร่องรอยความหวาดกลัวออกไปจากใจมันอย่างสมบูรณ์
มันหัวร่อเบา ๆ ความกลัวไฉนผุดขึ้นโดยไม่ มี ต้นสายปลายเหตุ ไ ด้ ?
ต้องเป็นอีกฝ่ายที่สมควรหวาดกลัวมันจึงจะถูกต้อง
ฝี มื อ ที่ เ ซี่ ย วม่ อ เกอแสดงออกมาเมื่ อครู่ สมควรขู่ ข วั ญ ผู้ ค นจนตื่ น
ตะลึงไม่น้อย นี่ก็เป็นสิ่งที่มันต้องการอยู่แล้วมิใช่ห รือ ? คู่ต่อสู้ที่แกร่งกล้า
Page 13 of 24
ถึงเพียงนี้ หากพ่ายแพ้ภายใต้ข นราชานกยูงของมัน ยิ่ งจะช่วยแต่งแต้ ม
สีสันอันเจิดจรัสให้แก่ประวัติศาสตร์ตานานของมัน
นี่คือบุคคลที่ส ามารถก่ อให้ เ กิดหมู่ ดาวประทานพร! หินรองเท้ า ชั้ น
เลิศที่จะหนุนส่งให้มันโด่งดังสะท้านทั่วแดนปิศาจ!
มาทาให้ทุกอย่างจบสิ้นกันเสียที!
เสิ่นอวี้ครุ่นคิด ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ มือขวายกขึ้นซัดเบา ๆ
ขนราชานกยูงพุ่งวาบออกไป แปรเปลี่ยนเป็นลาแสงหลากสีสายหนึ่ง
ทะยานเข้าหาเซี่ยวม่อเกอตรง ๆ!
จั่วม่อสีหน้าทอแววเจ็บปวด
หลั ง จากโหมซั ด หมั ด ออกไปอย่ า งไม่ รู้ จั ก เหน็ ด เหนื่ อ ย เปลวเพลิ ง
ภายในร่างกายมันประดุจลูกตุ้มอันหนักหน่วง ทุกครั้งที่หมัดอันหนักหน่วง
ต่อยใส่พ้ ืน เปลวไฟในร่างกายก็พลุ่งพล่านปั่ นป่วน แม้ว่าจะถูกเมล็ดผลึก
สุริยันและพลังของอุปกรณ์ส วรรค์สิบอีกาสะกดเอาไว้ แต่อันที่จ ริงยังคง
พลุ่งพล่านปั่ นป่วนอย่างรุนแรง
ยามที่มันโหมซัดพายุหมัด มันไม่ได้รู้สึกอันใด แต่ห ลังจากหยุดต่อย
หมัด กลุ่มไฟก็ขยายออกเป็นกระแสเปลวไฟนับไม่ถ้วน กระจายไปทั่วแขน
ขาและอวัยวะต่าง ๆ ภายในกาย
ชั่ ว พริ บ ตานี้ จ่ั ว ม่ อ รู้ สึ ก ศี ร ษะลั่ น อึ ง อล จิ ต ใจอั น สั บ สนเลอะเลื อ น
กลายเป็นว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์
Page 14 of 24
แทบจะในเวลาเดียวกัน สามดวงอาทิตย์บนแผ่นหลังที่เดิมทียังหมุน
คว้างอย่างแช่มช้า จู่ ๆ หยุดหมุนลงอย่างกะทันหัน
แสงสว่างแล่นวาบจากแผนผั งปิ ศ าจรู ป ดวงอาทิต ย์ ที่ กลางอก ไหล
ผ่านไปตามเส้นสีทองที่เชื่อมระหว่างแผนผังปิศาจแต่ละดวง พุ่งเข้าสู่สาม
ดวงอาทิตย์บนแผนหลังของมันอย่างเร่งร้อน!
ดวงอาทิตย์ท้งั สี่ ทันใดนั้นสาดแสงสว่างเจิดจ้าออกมา
กลุ่ ม ประกายไฟข้ า งเท้ า ของจั่ ว ม่ อ พลั น สว่ า งวาบ แต่ ล ะจุ ด ส่ อ ง
ประกายดุจดวงดาว จากนั้นถูกดึงดูดเข้าไปในมือขวาของจั่วม่อในบัดดล
ซี่!
บังเกิดเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
เพี ย งชั่ ว พริ บ ตาเดี ย ว แผนผั ง ปิ ศ าจรู ป ดวงอาทิ ต ย์ บ นมื อ ขวาของ
จั่วม่อระเบิดแสงสว่างจ้าออกมาอย่างฉับพลัน ดวงอาทิต ย์ดวงที่ห้าแห่ ง
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาจุติแล้ว!
ตูม!
ดวงอาทิตย์ดวงที่ห้าซึ่งดูไม่มีอันใดแตกต่างจากสี่ดวงที่จุติก่อน กลับ
ก่อให้เกิดเหตุการณ์สุดคาดคิดตามมา!
เนื่องเพราะตาแหน่ งของดวงอาทิตย์ดวงที่ห้านั้นอ่อนไหวเกินไป มือ
ขวาของจั่วม่อซึ่งมีแผนผังปิศาจหอยเปลือกเหล็กหมื่นชั้น เป็นศูนย์รวม
ของวังวนพลังงานอันลี้ลับพิสดารที่ยากจะหยั่งคานวณ!
กระแสพลังอันเกรี้ยวกราดสุดบรรยายพลันไหลบ่าไปยังมือขวาของ
จั่วม่ออย่างบ้าคลั่ง แผนผังปิศาจรูปดวงอาทิตย์ดวงที่ห้าเมื่อรองรับพลังทั้ง
Page 15 of 24
มวล ภายในชั่วพริบตาเดียวถึงกับแทบแตกระเบิดออกมา ในกระแสพลัง
เหล่านี้ยังแฝงไว้ด้วยพลังเทพมากมายมหาศาล
ทั น ใดนั้ น ดวงอาทิ ต ย์ ด วงที่ ห้ า พลั น มื ด สลั ว ลง กลิ่ น อายสภาวะที่
แตกต่างจากดวงอาทิตย์ดวงอื่นแผ่ซ่านออกมาจากมือขวาของจั่วม่อ
เห็นประกายไฟเป็นจุดแต้มมากมายปรากฏขึ้นล้อมรอบลวดลายดวง
อาทิตย์ ประหนึ่งว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มดาวก็มิปาน
เมฆหมอกประกายไฟเริ่มหมุนคว้างรอบมือขวาของจั่วม่อ โคจรหมุน
วนอย่างไม่มีที่สน
ิ้ สุด ราวกับกระแสธารดาราจักรสีแดงฉานวงเล็กๆ วงหนึ่ง
ทั น ใดนั้ น แสงสี แ ดงผื น หนึ่ ง แผ่ ก ระจายออกมาจากใต้ ฝ่ า เท้ า ของ
จั่วม่อ ตรงเข้าหักหาญโรมรันกับความมืดในเขตแดนของเสิ่นอวี้
“เขตแดน!” เสียงอุทานอย่างแตกตื่นดังกระหึ่มในกลุ่มคน
เสี ย งอุ ท านนี้ ท าให้ จ่ั ว ม่ อ จิ ต ใจไหววู บ ความเมามายที่ ผ สมรวมกั บ
ท ะ เ ล เ พ ลิ ง ค ล้ า ย จ ะ ถ ด ถ อ ย ต า ม กั น ไ ป ส า ย ต า ข อ ง มั น ก ลั บ คื น สู่
สติสัมปชัญญะในบัดดล
ดังนั้นเอง มันจึงทันได้มองเห็นลาแสงห้าสีสายหนึ่งพวยพุ่งเข้าหามัน
ชั่ ว พริ บ ตานั้ น สั ง หรณ์ อั น ตรายอย่ า งแรงกล้ า กรี ด ร้ อ งระงมในใจ
บันดาลให้เส้นขนทั่วร่างลุกชี้ชัน!
มันตวัดมือซัดออกไปตามสัญชาตญาณ ประกายไฟขนาดเท่าก าปั้ น
ซึ่งล้อมรอบอยู่บนฝ่ามือของมันพลันกรีดวาบ จู่โจมสวนเข้าหาลาแสงห้าสี
สายนั้นอย่างหักโหม
Page 16 of 24
ซื อ เยวี่ ย อี้ ผุ ด ลุ ก ขึ้ น อย่ า งกะทั น หั น จ้ อ งมองประกายไฟขนาดเท่ า
กาปั้ นวงนั้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นระทึกใจ
ในเวลานี้ไม่มีผู้ใดสนใจมัน ทุกผู้คนจ้องเขม็งไปยังสนามประลอง จู่ ๆ
บังเกิดความรู้สึกว่าหลังจากปะทะกันรอบนี้ ต้องมีฝ่ายหนึ่งล้มลง!
ประกายไฟไม่รวดเร็วนัก ต่อหน้าขนราชานกยูงที่รวดเร็วดุจสายฟ้า
มันดูไม่ต่างอันใดจากเต่าคลาน
ขนราชานกยู ง พุ่ ง วาบ ทะลวงใส่ ก ลุ่ ม เมฆประกายไฟอย่ า งดุ ดั น
อามหิต
จากนั้นฉากอันน่าแตกตื่นสะท้านใจพลันอุบัติขึ้น!
ชั่วพริบตาที่ข นราชานกยูงอันกร้าวแกร่งสุดเปรียบปาน ทะยานเข้า
เข่นฆ่าพิฆาตกลุ่มเมฆประกายไฟ ระดับความเร็วของมันกลับเชื่องช้าลง
ทันควัน รอจนทะลวงผ่านเข้าไปได้ครึ่งทาง ความเร็วของมันก็ล ดต่า ฮวบ
ฮาบ จนเชื่องช้ายิ่งกว่าหอยทากแล้ว
ซู่ว!
ปลายแหลมของขนราชานกยูงจู่ ๆ บังเกิดประกายไฟสายหนึ่ง เปลว
ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็อาบท่วมขนราชานกยูงทั้งเส้น
วู้ม!
พริ บ ตาดุ จ ประกายไฟ ขนราชานกยู ง อั น เกรี ย งไกรพลั น กลั บ
กลายเป็นเถ้าถ่านกลุ่มหนึ่ง สลายหายไปกับตา
Page 17 of 24
ชั่วขณะที่ประกายไฟแรกปะทุขึ้นบนปลายขนราชานกยูง เสิ่นอวี้เบิก
ตาถลนแทบหลุดออกจากเบ้า นิ่งขึงตะลึงงันราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่กลาง
ศีรษะ
ภายใต้ภาพอันน่าตระหนกนี้ ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตเห็นประกายไฟที่
ปะทุขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเสิ่นอวี้ แล้วไต่ขึ้นไปบนขาของมันอย่างรวดเร็ ว โดย
ไร้เสียง
รอจนเสิ่ น อวี้ สั ง เกตเห็ น ประกายไฟมหาประลั ย ก็ ส ายเกิ น ไปแล้ ว
ประกายไฟจุดเล็ก ๆ พลันลุกวาบ อาบท่วมร่างมันในชั่วพริบตาเดียว เสียง
กรีดร้องอันน่าสยดสยองดังกึกก้องออกมาจากในกองไฟ
“อ๊ากกก... อ๊ากกก... ...”
เพียงชั่วอึดใจเดียว เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ชวนขนหัวลุกชี้ชั น จู่ ๆ
ขาดหายไปทั น ควั น เปลวไฟระเบิ ด เบา ๆ แล้ ว อั น ตรธานหายไปอย่ า ง
สิ้นเชิง ไม่หลงเหลือแม้แต่เถ้าธุลี
กลุ่มประกายไฟหมุนคว้างกลับคืน ตรงเข้าห่อหุ้มมือขวาของจั่วม่ออีก
ครั้ง จากนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนรู ปร่าง ภายในชั่วพริบตาก็กลับกลายเป็นกาไล
ข้อมือสีแดงสด รัดพันรอบข้อมือข้างขวาของจั่วม่อ หากมีคนเพ่งมองอย่าง
ใกล้ชิด อาจสามารถเห็นได้ว่ากาไลข้อมือชิ้นนี้ดูคล้ายดาราจักรสีแดงสดที่
หมุนคว้างอย่างช้า ๆ อยู่ตลอดเวลา
เหตุ แ ปรเปลี่ ย นอุ บั ติ ขึ้ น เร็ ว เกิ น ไปและกะทั น หั น เกิ น ไป เพี ย งชั่ ว
พริบตาดุจ ประกายไฟ สถานการณ์ท้ังหมดพลันพลิกกลับตาลปั ต ร ยอด
Page 18 of 24
อัจฉริยะในรอบร้อยปีเสิ่นอวี้ จู่ ๆ ก็กลับกลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไปกับ
ตา
ทั่วทั้งสนามเงียบสงัดเสมือนตาย
Page 19 of 24
“เป็นไปไม่ได้! จะอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้!” อวี๋ซวงสั่นศีรษะระรั ว ดุ จ
กลองป๋องแป๋ง “ผู้ที่ถือครองสังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาจะสาเร็จ
กงล้อดาราจักรได้อย่างไร? เหลวไหล!”
หากมิใช่ว่าผู้กล่าวเป็นเฉิงจู่ที่มันเคารพนับถือ เกรงว่าอวี๋ซวงคงเยาะ
เย้ยถากถางความคิดอันไม่สมเหตุสมผลนี้แล้ว
“อย่ า ลื ม ว่ า มั น เคยก่ อ ให้ เ กิ ด หมู่ ด าวประทานพร” ชางเยวี ย นฮ่ า ว
โพล่งออกมาอย่างกะทันหัน
อวี๋ ซ วงชะงั ก งั น วู บ กล่ า วด้ ว ยสี ห น้า ลั งเล “หรื อ ว่ า มั น จะเป็ นกงล้อ
ดาราจักรจริง ๆ?”
มันถลึงมองกาไรข้อมือสีแดงเข้มที่หมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ไม่ทราบ
ว่าในใจครุ่นคิดอันใด
จั่ ว ม่ อ ในที่ สุ ด ก็ ส ร่ า งเมา ฟื้ นคื น สติ สั ม ปชั ญ ญะทั้ ง มวล พอดี กั บ ที่
อาคมหวงห้ามของลานประลองถูกปิดการใช้งาน หลันหยงโถมขึ้นมาบน
ลานประลองอย่างลิงโลดยินดี ตรงเข้าโอบไหล่จ่ัวม่ออย่างสนิทสนม มัน
ตื่ นเต้ น เสีย จนแทบพู ด ไม่ ออก “พี่ น้ อ ง เจ้ า ร้ า ยกาจยิ่ ง ! ร้ า ยกาจยิ่ ง ! เจ้ า
สามารถพิชิตขนราชานกยูงอย่างหมดจด นับว่าร้ายกาจอย่างแท้จริง!”
ผู้ ค นรอบข้ างพากั นจ้ องมองจั่ ว ม่อ ด้ ว ยสายตาที่ เ ปี่ ยมไปด้ ว ยความ
ครั่นคร้ามยาเกรง
ไม่ว่าผู้ใดที่ส ามารถพิชิต ขนราชานกยูงได้อย่างหมดจดงดงาม ย่อม
สามารถทาให้พวกมันครัน
่ คร้ามยาเกรงได้มากเกินพอ
Page 20 of 24
จั่วม่อใบหน้าสับสนงุนงง หลังจากเมามาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลอะเลือน
พร่ามัว ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดทั้งสิ้น ท่าทีอันสนิทสนมของหลันหยงยังทาให้
มั น แปลกใจอยู่ บ้ า ง แต่ มั น ย่ อ มไม่ ผ ลั กสหายผู้นี้ ออกไป เพี ย งถามอย่าง
สงสั ย ใจว่ า “เกิ ด อะไรขึ้ น ? ที่ นี่ เ กิ ด เรื่ อ งอั น ใด? ข้ า ไฉนจดจ าสิ่ ง ใดไม่ ไ ด้
เลย?”
หลันหยงชะงักกึก ถลึงตามองจั่วม่ออยู่เป็นนานสองนาน เห็นอีกฝ่าย
คล้ า ยไม่ ไ ด้ เ สแสร้ ง แกล้ ง ดั ด จึ ง รี บ บอกเล่ า เรื่ อ งราวที่ เ พิ่ ง เกิ ด ขึ้ น อย่ า ง
กระตือรือร้น
เมื่อเล่าถึงส่วนที่คับขันอันตรายและเร่าร้อนระทึกใจ หลันหยงก็กรีด
มือวาดเท้าอย่างตื่นเต้นไปด้วย มันยังตื่นเต้นลิงโลดมากกว่าตัวจั่วม่อ เอง
เสียอีก
จั่วม่อตื่นตะลึงอยู่บ้าง มันไม่มีความทรงจ าช่วงนี้เลยแม้แต่น้อย อีก
ฝ่ายบรรลุพลังเขตแดน มิหนาซ้ายังมีท่าไม้ตายลับอย่างเช่นขนราชานกยูง
อีกด้วย คู่ต่อสู้ข องมันฟังดูร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ แต่มันถึงกับฆ่าเสิ่นอวี้
ไปแล้ว!
จากนั้นมัน สังเกตเห็นกาไลข้อมือสีแดงเข้มสวมใส่อยู่ในมือข้างขวา
ต้องชะงักงันวูบ เพ่งจิตสารวจตรวจสอบกาไลข้อมือชิ้นนี้ทันที ทันใดนั้นใน
ใจบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะบ่งบอกบรรยายชนิดหนึ่ง
“เฮ้ เฮ้ เฮ้! เจ้าตื่นเต้นยินดีจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ ?” หลันหยงเห็น
จั่วม่อมีสีหน้าเหม่อลอย รีบร้องเรียกเสียงดัง
Page 21 of 24
จั่วม่อได้สติทันที มันทราบว่าที่นี่ยังไม่ใช่สถานที่ให้ตรวจสอบเชิงลึก
รีบรั้งจิตกลับจากกาไลข้อมือ จากนั้นกวาดตามองไปรอบๆ ถามว่า “แล้วพี่
เทียนหลงอยู่ที่ใด?”
หลั ง จากผ่า นเรื่ อ งราวครั้ง นี้ พวกมั น ทั้ ง สามคล้า ยร่ ว มฟั นฝ่า ความ
เป็นความตายด้ วยกัน รอบหนึ่ ง ความสัมพันธ์ย่อมเปลี่ยนเป็นสนิ ท สนม
กลมเกลียวกว่าเดิม
“มันไม่ได้กระดูกเหล็กคอทองแดงเหมือนเจ้า ดังนั้นเมากลิ้งอยู่ในมุม
โน่น เจ้าดุร้ายยิง่ อา ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดดื่มสุราปิศาจเมิ่งผอมากมายเท่ากับ
เจ้า มิหนาซ้าหลังจากนั้นยังฆ่าเสิ่นอวี้ทิ้งได้อีกด้วย สัตว์ประหลาด! เจ้ามัน
ตัวประหลาดชัด ๆ!”
หลันหยงสั่นศีรษะพลางทอดถอนอย่างสะทกสะท้อน
ทันใดนัน
้ เอง สุ้มเสียงหยาดเยิม
้ พลันดังขึ้นด้านหลังพวกมัน
“เจ้าชนะ! สามวันให้หลัง ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหนึ่งวันตามสัญญา”
จั่วม่อหันขวับ สิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตามันคือใบหน้าพิลาสล้าอันเย้า
ยวนใจ ทั้งยังแฝงไว้ ด้ วยความเกี ยจคร้ านสายหนึ่ง ดวงตาคู่งามที่ ค ล้ า ย
สามารถเอื้อนเอ่ยวาจากาลังเพ่งมองจั่วม่ออย่างสนใจใคร่รู้
เสียกงจู่!
จั่วม่อพลันตื่นเต้นตึงเครียดขึ้นมาทันที นี่มิใช่เป้าหมายที่ มันถวิล หา
หรอกหรือ?
มันระงับความพลุ่งพล่านใจ ฝืนเค้นรอยยิ้ม “เสียกงจู่ช่างรักษาคาพูด
นัก! ประเสริฐ! สามวันนี้ข้าจะตั้งตารอกงจู่!”
Page 22 of 24
เสียกงจู่แย้มยิ้มปานบุปผาบานสะพรั่ง รอบข้างกระจ่างจ้าขึ้นมาทันที
สุ้มเสียงกลืนน้าลายอย่างฝืดคอดังเซ็งแซ่จากบริเวณโดยรอบ บรรยากาศ
อันเคร่งเครียดแทบสลายหายไปกับตา
“นี่เป็นรางวัลที่เจ้าสมควรได้รับอยู่แล้ว!”
กล่าวจบคา เสียกงจู่ก็หมุนตัวเดินชดช้อยจากไป
“ช่างงดงามกระไรปานนี้!” หลันหยงมองตามหลังเสียกงจู่ อดยกย่อง
ชมเชยไม่ได้ อย่างไรก็ต าม พอมันหันกลับมา บนใบหน้าก็ประดับไปด้วย
รอยยิ้มซุกซน กล่าวกระเซ้าจั่อม่อว่า “ฮี่ฮี่ เจ้าคงรู้สึกว่าสามวันนี้ยากจะ
ผ่านพ้นไปกระมัง?”
จั่วม่อไม่ทราบจะหัวร่อหรือร่าไห้ดี หลันหยงตอนนี้แช่มชื่นเริงร่าเสีย
จนแทบจะออกนอกลู่นอกทาง แต่ความรู้สึกนี้ก็ไม่เลวเลยจริง ๆ
มันแสร้งทาเป็นคล้อยตาม “สามวัน หวังว่าจะผ่านพ้นไปโดยเร็ว”
ทั น ใดนั้ น หลั น หยงกดเสี ย งต่ า ลง สุ้ ม เสี ย งเปลี่ ย นเป็ น เคร่ ง เครี ย ด
จริ ง จั ง “เจ้ า ต้ อ งระมั ด ระวั ง ให้ ม าก แม้ ว่ า เจ้ า จะสั ง หารเสิ่ น อวี้ ใ นการ
ประลองตามกฏเกณฑ์ นี่ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถอาละวาดได้อย่างเปิดเผย
แต่ต ระกูล เสิ่นให้ความส าคัญกับเสิ่นอวี้เป็น ที่สุด พวกมันจะต้องไม่ยอม
เลิกราแน่ เจ้าต้องระวังพวกมันลอบลงมือจากเงามืด”
จั่วม่อตบไหล่อีกฝ่ายอย่างสานึกขอบคุณ “อย่าห่วงไปเลย ข้าจะระวัง
ตัว”
รอจนช่วยเหลือเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งออกมาได้ มันจะรีบเผ่นออกจาก
ที่นี่ในบัดดล ยังจะรออยู่ในนครมหาสันติไปหาอะไรเล่า?
Page 23 of 24
แต่มันสามารถรู้สึกได้ว่าหลันหยงกระตุ้นเตือนจากใจจริง ข้อนี้ทาให้
มันบังเกิดความรู้สึกที่ดีกว่าเดิม
ทันใดนัน
้ เอง จั่วม่อสังเกตเห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งกาลังก้าวตรงมาพวกมัน
Page 24 of 24
บทที่ 607 ‘พิเศษ’
10
นามของคน เงาของไม้ ความหมายก็คือ ชื่อเสียงของบางคน แม้ไม่เคยพบกันมาก่อน แต่แค่ได้ยินชื่อเสียง
เรียงนามก็สามารถค้อมกายคารวะให้อย่างจริงใจ เหมือนต้นไม้บางต้น แค่เห็นเงาแต่ไกล ก็สามารถคาดคะเนได้
ว่าความสูงใหญ่ไพศาลเพียงใด
Page 1 of 11
“ชางเยวียนฮ่าว” สุ้มเสียงลุ่มลึกดังมาจากเงาดา
“ผู้น้องอวี๋ซวง” อวี๋ซวงบนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ประสาน
มือคารวะเล็กน้อยอย่างสง่างามและเป็นกันเอง
คราวนี้ไม่ต้องพึ่งพาหลันหยง จั่วม่อก็ทราบว่าสองคนนี้เป็นใคร สุด
ยอดฝีมือลาดับหนึ่งและล าดับสองแห่งทาเนียบปิศาจมหาสันติ! เซี่ ยวม่อ
เกอแม้ว่าจะเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเปี่ ยมล้น แต่เมื่อสองสุดยอดฝีมือมาด้วย
ตัวเองยังอดตื่นตะลึงไม่ได้ มันรีบคารวะตอบ “ผู้น้องเซี่ยวม่อเกอ! ลาบาก
พี่ท่านทั้งสองแล้ว!”
หลั น หยงที่ ด้ า นข้ า งตื่ นเต้ น ยิ น ดี จ นพู ด ไม่ อ อก มั น เคยเข้ า ร่ ว มงาน
เลี้ยงของเฉิงจู่ห ลายครั้ งหลายหน แต่เพิ่งจะเคยมี โอกาสพบหน้ า บุ ค คล
สาคัญทั้งสามท่านนี้เป็นครั้งแรก ทั้งยังได้รับคาชมเชยจากเฉิงจู่ ทาเอามัน
แทบรู้สึกราวกับฝันไป
ซือเยวี่ยอี้แย้มยิ้มน้อย ๆ ให้แก่หลันหยง กล่าวว่า “น้องหลันหยง ต้อง
ขออภัยด้วย พวกเรามีเรื่องคิดหารือกับเซี่ยวม่อเกอสักครา หวังว่าน้องชาย
จะไม่ตาหนิพวกเราเสียมารยาท!”
หลั น หยงคล้ า ยเพิ่ ง สะดุ้ ง ตื่ นขึ้ น จากความฝั น ได้ ส ติ ทั น ที รี บ กล่ า ว
อย่างคนรู้ความว่า “ผู้เยาว์ต้องไปตามหาพี่ชายของข้าพอดี! ขออาลาเฉิงจู่
ผู้อาวุโสทั้งสอง ขอตัวแล้ว!”
มันค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม จากนั้นล่าถอยไป
มีเรื่องคิ ดหารือ ? จั่วม่องุนงงสงสัย มันเพิ่งจะเคยพบหน้าคนทั้งสาม
เป็นครัง้ แรก ยังจะมีเรื่องอันใดให้หารือด้วย?
Page 2 of 11
ซือเยวี่ยอี้ก็ไม่อธิบาย เพียงทามือเป็นสัญญาณ “น้องชาย ไปทางด้าน
นั้นเถอะ”
“ตกลง!”
คนทั้งสี่เข้าไปในห้องเงียบสงบแห่งหนึ่ง เมื่อพวกมันล่วงผ่านเข้าไป
ภายในห้อง เสียงรบกวนจากภายนอกก็ขาดหายไปทันที จั่วม่อมองปราด
พบว่ามีอาคมหวงห้ามถูกจัดตั้งอยู่ภ ายในห้อ ง ใช้ป้องกันไม่ให้ผู้อ่ ืนลอบ
แอบฟัง
“ข้าไม่คาดคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าน้องชายจะสาเร็จกงล้อดาราจักร” ผู้เอ่ย
ปากเป็นคนแรกคือซือเยวี่ยอี้ ด้วยการเปิดประเด็นเช่นนี้ มันดึงดูดความ
สนใจของจั่วม่อทันที
“กงล้อดาราจักร? หมายถึงของสิ่งนี้หรือ?” จั่วม่อยกมือขวาขึ้น เห็น
กาไลข้อมือสีแดงเข้มที่หมุนวนไปเรื่อย ๆ อย่างแช่มช้า
“ถูกต้อง” ซือเยวี่ยอี้ชายตามองจั่วม่อ “น้องชายดูเหมือนว่าไม่ ค่อย
ล่วงรู้เรื่องนี้มากนัก”
“มิผิด ข้าไม่ล่วงรู้อันใดเลย ขอเฉิงจู่โปรดชี้แนะด้วย” จั่วม่อกล่าวอ
ย่างสัตย์ซ่ อ
ื
ซือเยวี่ยอี้หัวร่อเบา ๆ “กงล้อดาราจักรเป็นกระบวนท่าสังหารท่าหนึ่ง
แต่ท่าสังหารกระบวนท่านี้มิใช่ว่าคนทั่วไปก็สามารถฝึกสาเร็จได้ มีเพียงผู้
ที่ ถื อ ครองสั ง ขารปิ ศ าจสายดวงดาวที่ บ รรลุ ถึ ง พลั ง เขตแดนเท่ า นั้ น จึ ง
สามารถฝึกปรือสาเร็จ”
Page 3 of 11
“สั ง ขารปิ ศ าจสายดวงดาว?” จั่ ว ม่ อ สั่ น ศี ร ษะระรั ว “ข้ า ฝึ ก ปรื อ
อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาต่างหาก”
ซือเยวี่ยอี้ผ งกศีร ษะพลางกล่ า ว “นี่จึงเป็นจุดที่พิเ ศษของน้ อ งชาย
เป็นความจริงที่น้องชายฝึกปรืออุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาซึ่งจัดอยู่ลาดับสาม
ในหมู่สังขารปิศาจด่านเจียง นอกจากนี้ข้ายังพบว่าน้องชายเริ่มจะเข้ าใจ
พลังเขตแดน แม้ว่ายังไม่เป็นรู ปเป็นร่างที่สมบูรณ์ก็ตาม เขตแดนนี้ก็เผย
สีสันสีแดงเข้มอย่างชัดเจน หากข้าคาดไม่ผิด น้องชายสมควรเหยียบถึง
ปากประตูเข้าสู่ ‘เขตแดนสวรรค์สิบอีกา’ เรียบร้อยแล้ว”
“ข้าเหยียบถึงปากประตูเข้าสู่เขตแดน?” คราวนี้จ่ัวม่อประหลาดใจ
อย่างแท้จริง มันเพ่งจิตวูบ บรรดาดวงอาทิตย์บนร่างพลันปลดปล่อยพลัง
ประหลาดออกมา วงแหวนแสงสีแดงเข้มวงหนึ่งปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของ
มัน
“เป็นเขตแดนสวรรค์สิบอีกาดังที่คาด!” อวี๋ซวงอดร้องออกมาไม่ได้
“สมกับที่เป็นเขตแดนอันดับหนึ่งหนึ่งแห่งด่านเจียง แม้ว่ายังไม่เป็นรู ปเป็น
ร่าง แต่แกร่งกร้าวอหังการยิ่งนัก!”
สุ้มเสียงของมันเต็มไปด้วยความอิจฉาเลื่อมใส
จั่วม่อยิ่งสับสนงุนงงกว่าเดิม แต่มันทราบว่าอีกฝ่ายเมื่อมาหามัน ย่อม
ต้องมีคาอธิบายตามมา
เป็ น ไปตามที่ มั น คาดคิ ด ซื อ เยวี่ ย อี้ ก ล่ า วสื บ ต่ อ “สถานการณ์ เ ช่ น
น้ อ งชายข้ า ก็ เ พิ่ ง จะเคยพบเห็ น เป็ น ครั้ ง แรก น้ อ งชาย เจ้ า เห็ น ได้ ชั ด ว่ า
ฝึกปรือสังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบอีก า พลังเขตแดนที่เจ้าบรรลุก็เป็น
Page 4 of 11
เขตแดนสวรรค์สิบอีกาไม่ผิดแน่ ปัญหาก็คือ เจ้าไฉนสาเร็จกงล้อดาราจักร
ด้วย?”
“สั ง ขารปิ ศ าจสายดวงดาว? สั ง ขารปิ ศ าจของเจ้ า ก่ อ นหน้ า นี้ เ ป็ น
สังขารปิศาจใด?” อวี๋ซวงอดถามไม่ได้
“สังขารปิศาจมหาทิวา” จั่วม่อตอบตามตรง
“ล าดับที่ส องในด่านเจี้ ยว!” อวี๋ซวงพึมพากับตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
“เป็นสังขารปิศาจที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน แล้วก่อนหน้านั้นเล่า?”
“ศีรษะเหล็กหยก”
คราวนี้กระทั่งซือเยวี่ยอี้ยังตื่นตะลึงอยู่บ้าง อวี๋ซวงมองดูจ่ว
ั ม่อราวกับ
กาลังมองดูตัวประหลาด “ลาดับที่ห้าในด่านเว่ย นี่เจ้า...ใช่มาจากตระกูล
เก่าแก่หรือไม่?”
“ข้าไม่ทราบ” จั่วม่อฝืนยิ้มเจื่อนขม แฝงเค้าอับอายอยู่บ้าง “ข้าไม่
ล่วงรู้ชาติกาเนิดของตัวเอง”
ซือเยวี่ยอี้กับอวี๋ซวงล้วนเผยสีหน้าประหลาดใจ แต่เพียงแวบเดียวก็
หายวับไป
“ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้” ชางเยวียนฮ่าวผู้นิ่งเงียบงันแต่แรก
พลันเปรยออกมาจากภายในเงาดา
อีกสามคนหันไปมองมันเป็นตาเดียว
“หากคนผู้หนึ่งฝึกปรือศาสตร์อสูรจนถึงระดับหนึ่ง พวกมันสามารถ
ส าเร็จ กงล้อดาราจักรเช่นกัน” ชางเยวียนฮ่าวกล่าวถ้อยคาที่น่าแปลกใจ
ออกมา
Page 5 of 11
อวี๋ ซ วงงงงั น วู บ จากนั้ น ยกมื อ ตบหน้ า ผากแปะ พลางร้ อ งว่ า “ข้ า
หลงลืมไปได้อย่างไร? ดวงดาวกับอสูร พลังดวงดาวเป็นหนึ่งในพลังที่พวก
อสูรหลงใหลได้ปลื้มมากที่สุด ซึ่งความจริงจานวนอสูรที่สาเร็จกงล้อดารา
จั ก ร สมควรมี ม ากกว่ า พวกเราเผ่ า ปิ ศ าจมาก อ้ อ ข้ า นึ ก ออกแล้ ว เจ้ า ดู
เหมือนจะล่วงรู้ศาสตร์อสูรด้วยกระมัง?”
“เพียงล่วงรู้อยู่บ้าง” จั่วม่อพยักหน้ารับ ตอนที่มันประลองกับเหมียว
จุ น เ ค ย ใ ช้ ศ า ส ต ร์ อ สู ร ต่ อ ห น้ า ผู้ ค น ม า ก ม า ย ดั ง นั้ น ย อ ม รั บ อ ย่ า ง
ตรงไปตรงมา
คนทั้งสามพากันมองดูมันด้วยสายตาแปลกพิกล
“ดู เ หมื อ นว่ า สาเหตุ จ ะเป็ น เรื่ อ งนี้ เ อง” ซื อ เยวี่ ย อี้ ผ งกศี ร ษะพลาง
กล่ า ว “ในอดี ต มี ค นเคยฝึ ก ปรื อ วิ ถี ปิ ศ าจและวิ ถี อ สู ร พร้ อ มกั น แต่ ผู้ ที่
สามารถฝึกปรืออุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาพร้อมกับกงล้อดาราจักร ข้ากลับไม่
เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน สมกับที่เหล่าซือของข้ากาชับเอาไว้ ผู้ที่สามารถดื่ม
สุราปิศาจเมิ่งผอมากกว่าสิบเหยือก ล้วนเป็นบุคคลพิเศษทั้งหมด”
“เขตแดนศาสตร์ อ สู ร ของเจ้ า คื อ อะไร?” อวี๋ ซ วงถามอย่ า งอยากรู้
อยากเห็น
“เขตแดนศาสตร์อสูร? ข้าไม่มีเขตแดนอสูร” จั่วม่อสั่นศีรษะ
“เจ้า...เจ้ายังไม่ได้ฝึกปรือศาสตร์อสูรจนบรรลุเขตแดน แต่กลับเข้าใจ
ท่าสังหารกระบวนท่านั้น นี่... ...นี่มันเกินไปแล้ว... ...” อวี๋ซวงถึงกับอับจน
ถ้อยคา
Page 6 of 11
ซื อ เยวี่ ย อี้ เ ห็ น ว่ า มั น ได้ รั บ ผลกระทบอย่ า งรุ น แรง จึ ง ปลอบโยนว่ า
“หาก ‘เส้นใยหนึ่งพันขนด’ ของเจ้าสาเร็จสมบูรณ์ เจ้าจะต้องทะลวงฝ่าไป
ยังด่านไสว้อย่างแน่นอน”
อวี๋ซวงเหลือกตา กล่าวด้วยน้าเสียงมิสู้ดีว่า “เขตแดนสวรรค์สิบอีกา
เป็นดาวข่มของข้า”
“เขต แดนสวรรค์ สิ บ อี ก าเป็ น ดาวข่ ม ของทุ ก ผู้ ค น” ซื อ เยวี่ ย อี้
ปลอบโยนอย่างชานาญการ “ลองดูเยวียนฮ่าวเสียก่อน หากมันต้องเผชิญ
กั บ เขตแดนสวรรค์ สิ บ อี ก ายั ง ย่ า แย่ ก ว่ า เจ้ า อี ก มั น จะถู ก สะกดข่ ม ทุ ก
วิถีทาง”
เงาดาเมื่อได้ยินเช่นนี้ต้องนิ่งเงียบงันไป
อวี๋ซวงจากสีหน้าละห้อยหดหู่กลั บเป็นแจ่มใสขึ้นทันตา มันปรบมือ
พลางกล่าวอย่างยิม
้ แย้ม “ฮ่าฮ่า! มิผิด ไม่ว่าผู้ใดหากต้องเผชิญกับเขตแดน
สวรรค์สิบอีกา ล้วนแล้วแต่ย่าแย่ท้งั สิ้น”
จั่วม่อเงี่ยหูรับฟังคาสนทนาของซือเยวี่ยอี้กับอวี๋ซวงอย่างอกสั่นขวัญ
แขวน หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง มันหวาดวิตกว่าผู้อ่ น
ื ใช่คิดตัดไฟเสียแต่
ต้นลมหรือไม่ ตกลงใจสังหารมันเสียตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เติบโต เช่นนั้นมันก็
จบสิ้นกันคราวนี้เอง สองปิศาจเฒ่าคู่นี้มิใ ช่ผู้ ที่คนระดั บเสิ่น อวี้จ ะยกขึ้ น
เทียบได้ ที่สาคัญยิ่งไปกว่านั้น คือจนกระทั่งบัดนี้ตัวจั่วม่อเองยังไม่เข้ าใจ
ด้วยซ้าว่ามันเอาชนะเสิ่นอวี้ได้อย่างไร
ซื อ เยวี่ ย อี้ ม องเห็ น ความอกสั่ น ขวั ญ แขวนของจั่ ว ม่ อ อดหั ว ร่ อ ดั ง
กังวานไม่ได้ “ข้าเห็นว่าน้องชายคงไม่มีความคิดไม่คารวะพวกเจ้าถึงเพียง
Page 7 of 11
นั้ น เอาเถอะ น้ อ งชายเพิ่ ง จะพลั ง ฝี มื อ รุ ด หน้ า มาหมาด ๆ สมควรปรั บ
สภาพและทาความเข้าใจให้ดี น้องชายหากมีเวลาว่าง อีกสักสองสามวัน
ค่อยมาร่วมสนทนากันใหม่”
ได้ยินเช่นนี้ จั่วม่อรีบคารวะอาลา เผ่นหนีไปทันทีราวกับได้รับการละ
เว้นโทษประหาร
รอจนเงาร่างของจั่วม่อลับหายไป ภายในห้องก็เงียบงันลงอีกครา
“ชาติกาเนิดของมันไม่ส ามัญธรรมดา” คนแรกที่เอ่ยปากถึงกั บ เป็น
ชางเยวียนฮ่าวผู้เงียบขรึม
“มันไม่เลว” อวี๋ซวงกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “เป็นเด็กที่ไม่เลวเลย
หวังว่าเสียกงจู่จะไม่ล่อลวงมันจนออกนอกลู่นอกทาง”
ซื อ เยวี่ ย อี้ สั่ น ศี ร ษะพลางกล่า ว “คราครั้ ง นี้ เ สี่ ย วเสี ยคงต้อ งคว้ าน้า
เหลวแล้ว”
“เพราะเหตุ ใ ด? เด็ ก หนุ่ ม ที่ ยั ง อ่ อ นเยาว์ ถึ ง เพี ย งนี้ ข้ า ว่ า ยากที่ จ ะ
ต่อต้านเสน่ห์ของเสียกงจู่ได้” อวี๋ซวงกล่าวราวกับแม่บ้านร้านตลาดกาลัง
ซุบซิบนินทาเพื่อนบ้าน
“นับตั้งแต่อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาปรากฏขึ้นครั้งสุดท้าย เป็นเวลานาน
เท่าใดแล้ว?” ซือเยวี่ยอี้พลันถามอย่างกะทันหัน
“นานมากแล้วจริง ๆ” อวี๋ซวงไม่มั่นใจนัก หวนนึกถึงสิ่งที่เพิ่งรับรู้จาก
จั่วม่อ ยังรู้สึกตื่นตะลึงไม่คลาย “ศีรษะเหล็กหยก สังขารปิศาจมหาทิว า
อุ ป กรณ์ ส วรรค์ สิ บ อี ก า นี่ เ ป็ น เส้ น ทางการพั ฒ นาที่ ดี ที่ สุ ด ! หากเรื่ องนี้
เปิดเผยออกไปในฝูงชน ไม่ทราบมีคนมากมายเท่าใดต้องอิจฉาริษยาจนตา
Page 8 of 11
แดงฉาน! กระทั่งข้าเองพอฟังยังต้องอิจฉา พอนาตัวเองไปเปรียบกับมัน
ข้าก็เคียดแค้นตัวเองขึ้นมา!”
ซื อ เยวี่ ย อี้ เ มิ น เฉยต่อ ค าพร่ า ร าพั นของอวี๋ ซ วงโดยอั ต โนมัติ มั น มี สี
หน้าครุ่นคิดตรึกตรอง
“มีอันใดไม่ถูกต้องรึ?” ชางเยวียนฮ่าวถามทันที
ซื อ เยวี่ ย อี้ ก ล่ า วอย่ า งแช่ ม ช้ า “ข้ า ก าลั ง ครุ่ น คิ ด ถึง ค าว่ า ‘พิ เ ศษ’ ที่
เหล่าซือของข้ากล่าวถึง ไม่ทราบว่าคา ‘พิเศษ’ ใช่หมายถึงเรื่องนี้หรือไม่”
“แน่นอนว่าต้องหมายถึงเรื่องนี้เอง!” อวี๋ซวงสุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจมาก
“หากกระทั่งเรื่องนี้ยังไม่นับว่าพิเศษ เช่นนั้นคงไม่มีสิ่งใดที่ พิเศษอีกแล้ว
เด็กน้อยผู้นี้แน่นอนว่าเป็นตัวประหลาดในหมู่ตัวประหลาดทั้งหมด เป็นตัว
ประหลาดใหญ่ที่ประหลาดที่สุดในบรรดาตัวประหลาด!”
ซือเยวี่ยอี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เนื่องเพราะถ้อยคาที่เหล่าซือของข้า
กล่าวเอาไว้ ข้าจึงยังคงยึดมั่นในการกลั่นสุราปิศาจเมิ่งผอมาโดยตลอด ใน
ความทรงจาของข้า เหล่าซือของข้าแทบไม่เคยใช้คาว่า ‘พิเศษ’ ในการเอ่ย
ถึงคนผู้หนึ่งมาก่อน เหล่าซือของข้าไม่ว่ากล่าวคาใด ล้วนเลือกเฟ้นอย่ าง
รอบคอบระมัดระวัง มักจะแฝงความหมายลึกซึ้งในตัวเองเสมอ หลายปีมา
นี้ ข้าเฝ้าขบคิดใคร่ครวญมาโดยตลอดว่าคา ‘พิเศษ’ ที่เหล่ าซือกล่าวถึง
หมายถึงสิ่งใด”
ถ้อยคาของซือเยวี่ย อี้บั นดาลให้อ วี๋ ซวงนิ่ง งันไป ส าหรับทุกผู้ค นใน
นครมหาสันติ ซือจื่อหมิงประดุจเทพเทวาที่ทรงพลังอานาจที่สุด
“ในเมื่อยังไม่ถึงเวลา เราสามารถเฝ้าดูไปก่อน” อวี๋ซวงกล่าว
Page 9 of 11
ซื อ เยวี่ ย อี้ ผ งกศี ร ษะเห็ น พ้ อ ง จากนั้ น ทั้ ง สามคนก็ จ มอยู่ ใ นภวั ง ค์
ความคิดของตัวเอง
“ผู นี่ คื อ กงล้ อ ดาราจั ก รจริ ง ๆ หรื อ ไม่ ?” ระหว่ า งทางมุ่ ง หน้ า กลั บ
คฤหาสน์ จั่วม่อถามผูเยาอย่างอดรนทนไม่ได้
“มิผิด เป็นกงล้อดาราจักรของแท้แน่นอน” ผูเยาสีหน้าเคร่งขรึ มอยู่
บ้าง “แต่กงล้อดาราจักรของเจ้าผิดแผกแตกต่างจากกงล้อดาราจักรทั่วไป
กงล้อดาราจักรของเจ้าแฝงเร้นพลังเทพสุริยันอยู่ภายใน”
จากนั้นมันกระตุ้นเตือนว่า “เจ้าสมควรสละเวลาฝึกปรือศาสตร์อสูร
บ้าง หากไม่มีเขตแดนศาสตร์อสูร เจ้าจะไม่สามารถสาแดงพลังของกงล้อ
ดาราจักรออกมาได้ถึงขีดสูงสุด”
เว่ยพลันกล่าวอย่างแช่มช้า “อาจั่ว เจ้าเพิ่งบรรลุถึงปากประตูสู่ เขต
แดนสวรรค์สิบ อีก า มิอาจปล่อยปละละเลยได้ นี่คือเขตแดนอันดั บ หนึ่ ง
แห่งด่านเจียง ไม่ใช่สิ่งที่กงล้อดาราจั กรอะไรนั่นจะสามารถยกขึ้น เที ย บ
ได้”
ผูเยาได้ยินเช่นนี้ ต้องแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา กล่าวว่า “เจ้าคนไม่ รู้
ความ! หรือเจ้าคิดว่าเขตแดนสวรรค์สิบอีกาเลิศภพจบแดนจริง ๆ? กงล้อ
ดาราจักรพันเปลี่ยนหมื่นแปลง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยพลังเทพ เขตแดนสวรรค์
สิบอีกาอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”
Page 10 of 11
เว่ยกลับไม่มีโทสะ เพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ว่า “เขตแดนสวรรค์
สิบอีกาแม้ ไม่อาจเรียกได้ว่าเลิศภพจบแดน แต่ฉายานามเขตแดนอันดับ
หนึ่งแห่งด่านเจียง หาใช่ข้าเป็นคนตั้งเองไม่”
จั่วม่อมองดูสองเฒ่าไม่ยอมตายที่กาลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด ต้อง
กล่าวอย่างอับจนปัญญา “หรือพวกเจ้าไม่เห็นว่านี่มันแปลกประหลาดยิ่ง?
ข้าฝึกปรืออุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาชัด ๆ แต่ไฉนพัฒนาท่าสังหารกงล้อดารา
จักรขึ้นมาเสียได้?”
“แปลกประหลาด? แปลกตรงที่ใด?” ผูเยากลับย้อนถามเสียอย่างนั้น
“ก็ดีแล้วนี่” เว่ยทาสีหน้าราวกับว่าสมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
จั่วม่อพูดไม่ออก
มันไหนเลยจะล่วงรู้ ผูเยากับเว่ยพบเห็นความแปลกประหลาดของ
มันเสียจนไม่รู้สึกแปลกอันใดอีกแล้ว!
Page 11 of 11
บทที่ 608 ข่าวสารลับ
จั่วม่อไม่ล่วงรู้ว่าเหตุการณ์ในงานเลี้ยงค่าคืนนี้ส่งผลกระทบต่อนคร
มหาสันติท้ังเมือง มันพอกลับถึงที่พานักก็นั่งลงทันควัน เริ่มพิจารณาเขต
แดนสวรรค์สิบอีกาและกงล้อดาราจักรของมัน
ถึงยามนี้ ดวงอาทิตย์ห้าในสิบดวงของสังขารปิศาจอุปกรณ์สวรรค์สิบ
อี ก ากลายเป็ น สว่ า งสดใส กล่ า วอี ก นั ย หนึ่ ง ก็ คื อ นี่ ห มายความว่ า ดวง
อาทิตย์จานวนครึ่งหนึ่งถือจุติแล้ว นอกเหนือจากนี้ มันยังได้รับผลกาไรอีก
เรื่องหนึ่งอย่างไม่คาดฝัน นั่นคือการแปลงร่างที่สองของอุปกรณ์สวรรค์สิบ
อีกา ‘ค้อนสุริยัน’ อย่างไรก็ต าม สิ่งที่ดึงดูดจั่วม่อมากที่สุดยังคงเป็นเขต
แดนสวรรค์สิบอีกาและกงล้อดาราจักร
เขตแดนสวรรค์สิบอีกาได้ช่ ือว่าอันดับแรกแห่งด่านเจียง ด้านความ
แกร่งกล้าเกรียงไกรไร้ผู้ต้านติ ด หากมันฝึกปรือสาเร็จ ย่อมหมายความว่า
มันจะทะยานขึ้นสู่ลาดับสุดยอดฝีมือด่านเจียงในคราวเดียว แต่แล้วมันได้
ค้นพบอย่างรวดเร็ว นี่ดูเหมือนจะไม่ง่ายดายอย่างที่คิด ยามนี้มันเพิ่งจะ
บรรลุถึงปากประตูสู่เขตแดน เขตแดนของมันยังไม่ได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง
เสียด้วยซ้า
ยังคงมีเส้นทางอีกยาวไกลที่มันต้องเดิน แต่จ่ัวม่อมีเค้าโครงคร่าว ๆ
ในใจแล้วว่าเขตแดนของมันเป็นอย่างไร ระหว่างดวงอาทิตย์ท้ังห้าที่ถือจุติ
Page 1 of 11
มีพลังอันลี้ลับลึกซึ้งชนิดหนึ่งเชื่อมสัมพันธ์ถึงกัน พลังชนิดนี้เองที่จะก่อตัว
เป็นเขตแดน
พลังเหล่านี้คล้ายกระแสธารอันสับสนอลหม่าน ต้องค่อย ๆ จัดเรียง
ไปทีล ะน้อย รอจนพวกมันเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างสมบูรณ์ เขตแดน
ของมันก็จะสมบูรณ์พร้อมไปด้วย
นี่เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเวลา หาได้มีหนทางลัดไม่
สิ่ ง ที่ ท าให้ จ่ั ว ม่ อ ประหลาดใจมากที่ สุ ด กลั บ เป็ น กงล้ อ ดาราจั ก ร
หลังจากกลับถึงเคหะสถานและทาการตรวจดูอย่างละเอียด มันพบว่าส่วน
ที่เป็นประกายไฟของดาราจักรสร้างขึ้นจากพลังเทพ!
โครงสร้ า งเหล่ า นี้ ท้ั ง สลั บ ซั บ ซ้ อ นและพิ เ ศษเฉพาะ จั่ ว ม่ อ ต้ อ งการ
ศึกษค้นคว้าโครงสร้างของพวกมั น แต่ทันทีที่ลองเพ่งจิตเข้าไป กลับรู้สึก
หัวหมุนวิงเวียน มันพลันตระหนักในทันที สิง่ นี้ยังอยู่เหนือขอบเขตของมัน
ในเวลานี้
จั่วม่อเข้าใจกระจ่าง เหตุผลที่ประกายไฟดาราจักรร้ายกาจถึงเพียงนี้
กลั บ ไม่ ใ ช่ เ พราะว่ า พวกมัน คือ กงล้อ ดาราจั กร แต่ เ ป็ น เพราะว่ า พวกมัน
ประจุไว้ด้วยพลังเทพอย่างเปี่ ยมล้นต่างหาก
นี่ดูเหมือนจะเป็นวิธีใช้งานพลังเทพอย่างหนึ่ง
เกี่ยวกับพลังเทพ มันมีความเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยังเคยคิด
จะขอคาชี้แนะจากเขิงเหลียนเอ๋อร์ แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ไปเอง
Page 2 of 11
ส าหรับกงล้อดาราจักร จั่วม่อโยนทิ้งไปจากใจทันที มันจะไปมีเวลา
ฝึกปรือเขตแดนศาสตร์อสูรเมื่อใดกัน ? ไม่ว่าจะอย่างไร ยามนี้มันหาได้มี
เวลามากมายไม่!
ดังนั้นจั่วม่อมุ่งเน้นไปที่ก ารจัด เรียงกระแสพลังงานเพื่อ ก่อ ร่ างเขต
แดนสวรรค์ สิ บ อี ก า ท าเป็ น เมิ น แรงกดดั น ภายใต้ ร อยยิ้ ม เย็ น เยี ย บของ
ของผูเยาไปเสีย
จากนั้นมันหันไปครุ่นคิด เมื่อถึงกาหนดนัดหมายในอีกสามวันให้หลัง
มันจะใช้วิธีการใดสืบทราบเรื่องของเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งจากปากของเสีย
กงจู่ได้
ไม่ทราบเพราะเหตุใด สตรีนางนั้นบันดาลให้มันรู้สึกว่านางรั บ มือ ได้
ไม่ง่ายนัก
“เจ้ามีความเห็นใดต่อเซี่ยวม่อเกอ?” ซิ่นกงจู่เอ่ยถามอย่างกะทันหัน
“พลังของมันแปลกประหลาดยิ่ง” สุ้มเสียงตอบกลับดังมาจากภายใต้
ชุดเกราะขององครักษ์เกราะหนัก
“แปลกประหลาดยิ่ง?” ซิ่นกงจู่ไม่อาจเข้าใจได้
“อา” องครักษ์เกราะหนักหวงแหนถ้อยคาประหนึ่งว่าวาจาของมันล้า
ค่าดั่งทองคา
ซิ่นกงจู่ขมวดคิ้วเรียวงาม แม้ในขณะที่อารมณ์ขุ่นมัว ซิ่นกงจู่ก็ยังคง
สูงสง่างดงาม นางเคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะโดยไม่รู้ตัว “จะว่าไปแล้ว มัน
เป็นตัวเลือกที่ดีมาก”
Page 3 of 11
องครักษ์เกราะหนักไม่เอ่ยปาก
ชั่วอึดใจให้หลัง ซินกงจู่ก็ตกลงปลงใจ ร้องเรียกไปทางประตู “ใครอยู่
ข้างนอก เข้ามา!”
บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามาภายในห้อง “กงจู่!”
“ให้ ค นน าส่ ง เที ย บเชิ ญ ไปมอบให้ แ ก่ เ ซี่ ย วม่ อ เกอ เชื้ อเชิ ญ มั น มา
ร่วมงานเลี้ยงยามค่าคืนในอีกสี่วันให้หลัง” ซิ่นกงจู่สั่งการด้วยน้าเสียงเบา
เรียบ
“ขอรับ” บ่าวรับใช้รับคาอย่างนอบน้อม ก่อนจะคารวะจากไป
ซิ่นกงจู่พลันแย้มยิ้ม “คราวนี้อาเสียคงต้องขุ่นเคืองใจต่อข้าแล้ว”
องครักษ์เกราะหนักยังคงนิ่งเงียบงัน
ซิ่นกงจู่ทอดตามองไปนอกหน้าต่าง จิตใจล่องลอยไปไกล
Page 4 of 11
“เสียเจี่ยเจียจะโทษว่าเราหรือไม่ ?” หว่านกงจู่เปรยอย่างหวาดวิต ก
อยู่บ้าง
จูเข่อกล่าวด้วยรอยยิม
้ น้อย ๆ “เสียเจี่ยเจียของท่านเป็นบุคคลอันร้าย
กาจผู้ ห นึ่ ง แต่ ข้ อ ผิ ด พลาดที่ ยิ่ ง ใหญ่ ที่ สุ ด ของนางในคราวนี้ ก็ คื อ มุ่ ง มั่ น
วางแผนมากเกินไป”
“วางแผน? แผนการของเสียเจี่ยเจียคือสิ่งใด?” หว่านกงจู่ถามอย่าง
สงสัยใคร่รู้
“เมื่ อถึ ง เวลากงจู่ ท่ า นก็ จ ะได้ เ ห็ น เอง” จู เ ข่ อ วางพู่ กั น ในมื อ ลง
หลังจากอ่านทวนเทียบเชิญอย่ างละเอียดอีกครั้ง ค่อยเผยสีหน้าพึงพอใจ
จากนั้นมันส่งเทียบเชิญ ให้ แก่ บ่า วรับ ใช้ที่ยืน รออยู่ด้ านข้ างในขณะที่ มั น
เขียนเทียบเชิญ บ่าวรับใช้พอได้รับเทียบเชิญ ก็จ ากไปทาหน้าที่ข องตน
ทันที
Page 5 of 11
พลั ง เทพของอากุ่ ย เพิ่ ม สูง ขึ้ นอย่ า งรวดเร็ ว แต่ สิ่ ง ที่ ท าให้ จ่ั ว ม่ อปิติ
ยินดีก็คือ ขณะที่พลังเทพทวีความกล้าแข็งขึ้นอย่างน่าตระหนก ประกาย
ในดวงตาของอากุ่ยก็คล้ายมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยเช่นกัน
ดวงตาของนางดูมีชีวิต ชีวากว่าในกาลก่อน นางยังมีการตอบสนอง
มากกว่าเดิม
นี่ทาให้จ่ว
ั ม่อเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง ยังเบิกบานใจยิ่งกว่าเรื่องที่พลัง
ฝีมือของมันรุดหน้าเสียอีก
แต่เมื่อมันได้รับเทีย บเชิ ญสองใบ ก็ถึงกับนิ่งขึงตะลึงงันไปเป็ น ครึ่ ง
ค่อนวัน
“เจ้ า ได้ ยิ น มาหรื อ ไม่ ซิ่ น กงจู่ กั บ หว่ า นกงจู่ ไ ม่ อ าจสะกดกลั้ น ได้ อี ก
ต่อไป! พวกนางแต่ละคนส่งเทียบเชิญให้แก่เซี่ยวม่อเกอในเวลาเดียวกัน!”
“จุ๊จุ๊ คราวนี้เซี่ยวม่อเกอนับว่ามีห น้ามีต านัก! สามกงจู่ส่งเทียบเชิญ
พร้อมกัน เรื่องเช่นนี้ไม่ได้บังเกิดขึ้นนานเท่าใดแล้ว?”
“ฮ่ า ซิ่ น กงจู่ กั บ หว่ า นกงจู่ย่ อมไม่โ ง่ เ ขลา หากพวกนางไม่ พยายาม
เกลี้ยมกล่อมบุคคลอันร้ายกาจเช่นนี้เข้าร่วม จึงจะเรียกว่าน่าแปลก! ยิ่งไป
กว่านั้น เรื่องของหอสมบัติมหาสันติกาลังก่อกวนคลื่นลมรุ นแรง เมื่อเพิ่ม
ยอดฝีมือคนหนึ่ง เท่ากับเพิ่มพลังอานาจอีกส่วนหนึ่ง”
“เซีย
่ วม่อเกอผู้นี้ ที่แท้มาจากที่ใดกันแน่... ...”
สุ้ ม เสี ย งสนทนาบนท้ อ งถนนล้ ว นผ่ า นเข้ า ไปในโสตประสาทของ
หนานเหมินเสวี่ย สุดยอดฝีมือลาดับสามผู้นี้ ทั้งซ้ายขวาโอบกอดหญิงงาม
Page 6 of 11
ยามนี้มันสั่นศีรษะอย่างยิ้ม แย้ม “เรื่องเหล่านี้รบกวนความฝันของผู้ ค น
จริง ๆ”
“ลืมมันไปเถอะ! เวลานี้ท่ัวทั้งเมืองล้วนไม่ต่างจากเสียสติ” บุรุษที่นงั่
อยู่ด้านตรงข้ามกับหนานเหมินเสวี่ยสีหน้าไม่ได้มีความสุขเลย จากนั้นมัน
พลันเผยรอยยิ้มประหลาด กล่าวว่า “ที่ผ่านมากระทั่งชีเตียวอวี่ยังไม่ เคย
เป็นที่สนใจมากถึงเพียงนี้!”
ได้ ยิ น นามชี เ ตียวอวี่ หนานเหมิ นเสวี่ ย เหลือบมองอีก ฝ่า ยแวบหนึ่ง
“ข้าว่าวันนี้เจ้าจงใจรบกวนอารมณ์แช่มชื่นของข้ากระมัง?”
อี ก ฝ่ า ยหั ว ร่ อ “ข้ า เพี ย งคิ ด ว่ า เจ้ า เอาแต่ ห มกตั ว อยู่ ที่ นี่ ดู ไ ม่ ค่ อ ย
กระตือรือร้นอันใด ข้ายังพบว่าน่า แปลก ครั้งนี้เจ้าไฉนไม่ ไปรัง ควานหา
เรื่องชีเตียวอวี่?”
“ข้าคร้านจะสนใจมันแล้ ว” หนานเหมินเสวี่ยกล่าวอย่างเฉื่อยชา รั้ง
ตัวนางงามเข้ามาใกล้ จุมพิต นางคราหนึ่ง จากนั้นหันมากล่าวด้วยสีหน้า
สุขกายสบายอารมณ์ “เมื่อมีโฉมสะคราญอยู่ในอ้อมอก การไม่มีเรื่องราว
ให้กระทาจึงเป็นความสุขสูงสุดของชีวิต พวกเจ้าเอาแต่ต่อสู้ฆ่าฟันกันทุก
วี่วัน ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อหน่ายบ้างหรือ?”
“นั่นก็ใช่แล้ว” อีกฝ่ายทาท่าเห็นพ้อง “โลกนี้เข้มแข็งกลืนกินอ่อนแอ
ยามนี้เจ้าอยู่ในเมืองมหาสันติ ไม่มีใครกล้ามารังควานหาเรื่องเจ้า อย่างไร
ก็ตาม มังกรไม่ใช่ลมหิมะที่เป็นส่วนหนึ่งของทิวทัศน์ฉันใด สถานที่แห่งนี้ก็
ไม่ใช่ที่ข องเจ้าฉันนั้น ทุกวันเจ้าเอาแต่โอบกอดนางงาม ดูไปปลอดโปร่ง
สบายอารมณ์ แต่แท้ที่จริง เจ้าก็รู้สึกเบื่อหน่ายแทบตายแล้ว”
Page 7 of 11
อีกฝ่ายไม่มองหน้าหนานเหมินเสวี่ย เพียงกล่าวตรง ๆ ว่า “ลองบอก
มา ยามเมามายนอนหลับใหลบนตักนางงาม พอตื่นขึ้นมาทาท่าราวกับว่า
อ านาจของใต้ ห ล้ า อยู่ ใ นก ามื อ เจ้ า เป็ น คนที่ อ่ อ นปวกเปี ย กเช่ น นี้ ต้ั ง แต่
เมื่อใด?”
หนานเหมินเสวี่ยหัวร่อดังกึกก้อง “ไม่ว่าลิ้นลมของเจ้าจะคมคายสัก
ปานใด นี่เกี่ยวข้องใดกับข้า?”
ผู้อ่ ืนก็ไม่มีโทสะ ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฟังว่าซือเยวี่ยอี้เฝ้าเสาะหา
คนผู้หนึ่งมาโดยตลอด” จากนั้นกล่าววาจาแฝงความนัย “หอสมบัติมหา
สันติหลับใหลมานานปี ถึงเวลาแล้วที่จะได้เห็นแสงสว่างอีกคารบหนึ่ง”
หนานเหมินเสวี่ยทาท่าราวกับไม่ได้ยิน
“ในอดีต พี่หนานเหมินปกครองสิบสองอาณาจักรนางแอ่นวารีน้อ ย
เพียงเรียกหาคาเดียวจอมยุทธ์ผู้กล้าล้วนขานรับ แต่บัดนี้เจ้ากลับสูญสิ้น
จิตวิญญาณ ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่แต่กับความเมามาย เจ้าเปลี่ยนไปจาก
คนเดิมโดยไม่เหลือร่องรอย”
หนานเหมินเสวี่ยยังคงแย้มยิ้มไม่ยี่หระ
“ผู้อ่ ืนไม่ล่วงรู้เหตุผลเบื้องหลัง พากันหัวร่อเยาะพี่ห นานเหมินเดิน
หลงทาง แต่ข้ากลับล่วงรู้ดีถึงหัวใจรักอันแน่วแน่ไม่แปรผันของเจ้า!” บุรุษ
นั้นเพ่งตามองหนานเหมินเสวี่ย กล่าวเน้นเสียงทีละคา
หนานเหมินเสวี่ยทันใดนั้นรอยยิ้มหายวับไป สีหน้าเคร่งเครียดเย็นชา
ลง พลังสภาวะกดทับลงบนร่างอีกฝ่ายอย่างเกรี้ยวกราด!
“เจ้ากล้าสืบค้นเรื่องของข้า!”
Page 8 of 11
ประโยคนี้แผ่วเบายิ่ง แต่ประหนึ่งเสียงระฆังแห่งมรณะดังกึกก้องเข้า
ไปถึ ง ก้ น บึ้ ง หั ว ใจของอี ก ฝ่า ย คนผู้ นั้ น เลื อดลมปั่ นป่ ว น พลั ง ในร่ า งแทบ
แตกซ่าน ยากจะหายใจได้ มันแตกตื่นสุดระงับ พลังอันน่าสะพรึงกลัวนัก!
ยามคับขันเป็นตาย มันกัดฟันตวาดคา “หนานเหมินเสวี่ย! หรือเจ้าไม่
ต้องการช่วยเหลือคนรักของเจ้าแล้ว?”
หนานเหมินเสวี่ยดวงตาสาดประกายอามหิตวูบ ตวัดฝ่ามือจู่โจมทันที
“ข้ามีถุงน้าดีหัวใจเพลิง!”
หนานเหมินเสวี่ยพอได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าถึงกับเปลี่ยนสีทันควัน
มันคว้าลาคออีกฝ่าย ตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “พูดอีกครั้ง!”
มองดู ห นานเหมิ น เสวี่ ย ใบหน้ า บิ ด เบี้ ย วเกรี้ ย วกราด รั ง สี ฆ่ า ฟั น ไม่
ปกปิ ด ซ่ อ นเร้ น เช่ น เดี ย วกั น กั บ พลั ง สภาวะที่ ส ะกดตรึ งบนร่ า งมัน อย่าง
แน่นหนา คนผู้นน
ั้ เริม
่ หายใจไม่ออก
มันเค้นเสียงออกมา “ข้ามีถุงน้าดีหัวใจเพลิง!”
หนานเหมินเสวี่ยพลันคลายมือ ปล่ อยให้คนผู้นั้นทรุ ดฮวบลงกับพื้น
แข้ ง ขาอ่ อ นยวบจนไม่ มี ปั ญ ญาดิ้ น รนลุ ก ขึ้ น มา ส่ ว นนางงามที่ ข้ า งกาย
หนานเหมินเสวี่ยสิ้นสติไปตั้งแต่แรก
“บอกเงื่อนไขของเจ้า” หนานเหมินเสวี่ยกล่าวเสียงเย็นชา
บุรุษนั้นหอบหายใจแรง ๆ ในใจมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับ
ว่าเห็นปรโลกราไรอยู่ตรงหน้า
หลังจากหอบหายใจอยู่ชั่วครู่ บุรุษนั้นค่อยดิ้นรนลุกขึ้น “เจ้าต้องนา
ของสิง่ หนึ่งจากหอสมบัติมหาสันติมาแลกเปลี่ยน”
Page 9 of 11
“หอสมบัติมหาสันติ ? เจ้าเชื่อข่าวลือเหลวไหลเช่นนั้นด้วย?” หนาน
เหมินเสวี่ยกล่าวพลางแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา “ข้าอยู่ในนครมหาสันติ มา
นานปี ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของหอสมบัติมหาสันติมาก่อน”
“มันเป็นเรื่องจริง” บุรุษนั้นในที่สุดดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้ส าเร็จ “เจ้าไม่
จาเป็นต้องทราบว่าข้าล่วงรู้ข่าวสารลับนี้จากที่ใด ข้าก็ทางานให้กับผู้อ่ ืน
เช่นกัน”
หนานเหมินเสวี่ยเพ่งตามองอีกฝ่าย ถามเสียงเย็นเยียบ “เจ้าต้องการ
สิง่ ใด?”
“ในหอสมบัติมหาสันติสมควรมีสมบัติอยู่สามชิ้น” บุรุษนั้นสงบใจลง
สีหน้าดูดีขึ้นมาก “เวลานี้เราทราบเพียงแค่ว่าหนึ่งในสามนั้นเป็นหลักศิลา
ชิ้นหนึ่ง”
“หลักศิลา?” หนานเหมินเสวี่ยดวงตาทอประกายวาบ
“ถูกต้อง เจ้าเองก็ศึกษาหลักศิล าแห่งป่าศิล ามหาสั นติ สมควรคาด
เดาได้ ว่ า ในหมู่ พ วกมั น มี อ ยู่ ชิ้ น หนึ่ ง ที่ ห ายไป!” บุ รุ ษนั้ น กล่ า วอย่ า ง
เคร่งเครียด “นั่นเป็นชิ้นที่สาคัญที่สุด เมื่อครั้งที่ซือจื่อหมิงสร้างป่าศิลา มัน
ได้ซุกซ่อนหลักศิลาชิ้นที่สาคัญที่สุดเอาไว้ ที่ชีเตียวอวี่เฝ้าค้นหาก็เป็นหลัก
ศิลาชิ้นนี้เอง”
หนานเหมินเสวี่ยเงียบงันไป มันเริ่มเชื่อวาจาของอีกฝ่ายขึ้นมาบ้าง
แล้ว
“เงื่อนไขของเราง่ายดายยิ่ง ใช้หลักศิลาชิ้นนั้นแลกเปลี่ยนกับถุงน้าดี
หัวใจเพลิง” คนผู้นั้นกล่าวเสียงหนัก “เจ้าช่วยให้เราครอบครองหลักศิล า
Page 10 of 11
จากนั้นถุงน้าดีหัวใจเพลิงก็เป็นของเจ้า อาศัยถุงน้าดีหัวใจเพลิง อย่าว่าแต่
น้าแข็งลี้ลับหมื่นปีเลย ต่อให้เป็นพลังเย็นที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้น ก็ส ามารถ
ขจัดได้โดยง่าย เจ้าจะสามารถช่วยเหลือนางผู้เป็นที่รักของเจ้า!”
หนานเหมินเสวี่ยเพ่งมองอีกฝ่ายนิ่งนาน “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”
“เช่ น นั้ น ลองดู ข องสิ่ ง นี้ ” คนผู้ นั้ น ล้ ว งวั ต ถุ บ างอย่ า งออกมาแสดง
หนานเหมินเสวี่ยดวงตาทอประกายวาบ
เมื่อเห็นสัญลักษณ์บนของสิ่งนั้น หนานเหมินเสวี่ยม่านตาหดแคบลง
เกือบเท่าปลายเข็ม
Page 11 of 11
บทที่ 609 เผชิญเสียกงจู่
Page 4 of 11
“ถูกต้อง ที่สาคัญที่สุดก็คือพวกเราไม่ได้โป้ปดมดเท็จแม้แต่น้อย! ฮ่า
ฮ่า!”
หวั ง คุ น ดวงตาทอแววภาคภู มิ ล าพอง “รอจนเหล่ า ยอดฝี มื อ จาก
ตระกู ล ของทุ ก คนมาสมทบกั น ข้ า เชื่ อว่ า เพี ย งกระดิ ก นิ้ ว คราเดี ย ว ก็
สามารถบดขยี้เซี่ยวม่อเกอจนแหลกเละ!”
ทุ ก ผู้ ค นแหงนหน้า หัว ร่ อ อย่ า งสบใจ พวกมั น พอนึ กวาดภาพตามที่
หวังคุนกล่าว ต้องรู้สึกปลาบปลื้มประโลมใจเป็นที่สุด
ทันใดนั้นคนผู้ห นึ่งพลันเสนอมาว่า “ไฉนเราไม่จับมือเป็นพันธมิตร
สาบานว่าจะฆ่าเซี่ยวม่อเกอให้สิ้นซาก!”
ผู้คนพากันปรบมือเห็นชอบ
หวั ง คุ น ในใจยิ น ดี ยิ่ ง แต่ ป ากกล่ า วอย่ า งเคร่ ง ขรึ ม “พวกเราเป็ น
คุณชายจากตระกูลของตน และล้วนมาเพื่อกงจู่ ไฉนเราไม่เรียกตัวเองว่า
พันธมิตรคุณชายพิทักษ์บุปผา? ท่านทั้งหลายเห็นว่าอย่างไร?”
ทุกผู้คนผงกศีรษะ ไม่มีผู้ใดเห็นค้าน นามนี้ต้ังได้เหมาะสมเป็นที่สุด
แล้ว
พันธมิตรคุณชายพิทักษ์บุปผาก็ก่อตั้งขึ้นด้วยเหตุนี้เอง
“ข้าต้องล่วงรู้แผนการของฝ่ายเจ้า” หนานเหมินเสวี่ยกล่าว
“ย่ อ มต้ อ งเป็ น เช่ น นั้ น ” บุ รุ ษ ลึ ก ลั บ ตอบสนอง “ตามข่ า วสารที่ เ รา
ได้ รั บ คิ ด เปิ ด หอสมบั ติ ม หาสั น ติ ต้ อ งประกอบด้ ว ยเงื่ อนไขชุ ด หนึ่ ง แต่
จนกระทั่งถึงบัดนี้ พวกเรายังไม่ล่วงรู้ว่ามีเงื่อนไขอันใดบ้าง ทว่าซือเยวี่ยอี้
Page 5 of 11
สมควรต้องรู้แน่ ดังนั้นเราจึงเฝ้าสังเกตการณ์ซือเยวี่ยอี้ แต่ข้างกายของซือ
เยวี่ยอี้มีชางเยวียนฮ่าวกับอวี๋ซวงประกบติดอยู่ต ลอดเวลา ยิ่งเพิ่มความ
ยากล าบากให้ กั บ งานนี้ แต่ สุ ด ท้ า ยเรายั ง คงสามารถจั บ เค้ า เงื่ อนของ
ข่าวสารบางประการได้”
“พวกเจ้าสืบทราบอันใด?” หนานเหมินเสวี่ยถามด้วยสุ้มเสียงต่าลึก
“ซือเยวี่ยอี้คล้ายสนอกสนใจในตัวเซี่ยวม่อเกอเป็นพิเศษ”
“นั่นไม่แปลกอันใด” หนานเหมินเสวี่ยแค่นยิ้มหยามเหยียด “เซี่ยว
ม่อเกอเมื่อสามารถปราบพิชิตขนราชานกยูง ย่อมมีผู้คนมากมายสนใจใน
ตัวมัน”
“มิใช่เช่นนั้น!” บุรุษลึกลับไม่โกรธเคือง เพียงสั่นศีรษะพลางกล่ า ว
“ทุกผู้คนล้วนทราบว่าเซี่ยวม่อเกอสามารถก่อให้เกิดหมู่ดาวประทานพร
แต่สิ่งที่ผู้คนไม่ทันสังเกต คือสถานที่ที่เกิดปรากฏการณ์นั้นเป็นหลักศิลา
ทักษะปิศาจ”
“นี่ไม่ได้บ่งบอกความหมายอันใด” หนานเหมินเสวี่ยขมวดคิ้ว
“ชีเตียวอวี่สังเกตเห็นเรื่องนี้” คนลึกลับกล่าว “และสตรีข้างกายของ
เซี่ ย วม่ อ เกอก็ สั ง เกตเห็ น เช่ น กั น ทั้ ง สองคนเคยพบหน้ า กั น ครั้ ง หนึ่ ง ใน
บริเวณหลักศิล าที่เซี่ยวม่อเกอก่อให้เกิดหมู่ดาวประทานพรนั้นเอง ทั้งยัง
ประมือกันรอบหนึ่ง น่าเสียดายที่เราไม่อาจได้ยินว่าพวกมันสนทนาอันใด”
“ดังนั้นพวกเจ้าเข้าใจว่าเซี่ยวม่อเกอ คือกุญแจสาคัญในการเข้าสู่หอ
สมบัติมหาสันติ?” หนานเหมินเสวี่ยเริ่มจับเงื่อนงาได้ราไร
“มันเป็นเป้าหมายที่ซือเยวี่ยอี้สนใจมากที่สุด” คนลึกลับกล่าว
Page 6 of 11
“เช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าทาอะไร?” หนานเหมินเสวี่ยถามตรงๆ
“เจ้ า ต้ อ งท้ า ประลองเซี่ ย วม่ อ เกอ” บุ รุ ษ ลึ ก ลั บ ตอบด้ ว ยแววตา
ประหลาด
Page 9 of 11
“น่าอับอายขายหน้า! อา น่าอับอายขายหน้าเหลือเกิน! ข้าไฉนมีลูก
ศิษย์ไม่ได้ความอย่างเจ้า ? เจ้ากระทั่งสนทนากับสตรียังทาไม่ได้!” ผูเยา
พิโรธโกรธกริว
้ จนแทบเต้น
“อาจั่ว นี่เป็นโอกาสทองหนึ่งในพันแล้ว!” เว่ยซ้าเติม
“แล้วจะให้สนทนาเรื่องอันใดเล่า?” จั่วม่อทาหน้าเหมือนจะร่าไห้
ผูเยากับเว่ยชะงักกึก
ชั่วอึดใจให้หลัง ผูเยาค่อยเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวว่า “ดิน
ฟ้าอากาศ? สิ่งที่ชอบทา? หรือจะถกปรัชญาชีวิต ดี ? สตรีชมชอบเรื่อ งอัน
ใดกัน ? จริงสิ ท่านแม่ทัพใหญ่ข องเราก็เ ป็นสตรี เจ้าจาได้ห รื อ ไม่ ว่ า นาง
ชมชอบอันใด?” กล่าวพลางหันไปถามเว่ย
เว่ยทาสีหน้าครุ่นคิดเช่นกัน “สิ่งที่จู่เหยินชมชอบมากที่สุด ... ...ให้ข้า
ลองนึกดู... ...รอก่อน! ข้านึกออกแล้ว!”
“รีบบอกมา!” จั่วม่อกับผูเยาแทบจะร้องพร้อมกัน
“การต่อสู้!” เว่ยสีหน้าตื่นเต้นมาก “สิ่งที่จู่เหยินชมชอบมากที่สุดก็คือ
การต่อสู้! ต่อสู้! ต่อสู้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น! นางเคยบอกว่ามีเพียงการต่อ สู้
เท่ า นั้ น ที่ ส ามารถท าให้นางตื่นเต้นเร้ า ใจ นางยั ง บอกว่ า มีเ พีย งการต่อสู้
เท่านั้นที่จะทาให้นางรู้สึกว่านางแตกต่างจากพวกแป้งฝุ่นผงชาดอันพื้นเพ
ธรรมดาเหล่านั้นได้! อ้อ แต่ว่าพวกแป้งฝุ่นผงชาดคืออะไร?”
“นั่นหมายถึงสตรีที่ยากจะรับได้” ผูเยาอธิบายด้วยสีหน้าทรงภูมิ
“แล้วเสียกงจู่นางนี้เป็นพวกแป้งฝุ่นผงชาดหรือไม่?” จั่วม่อถามอย่าง
สงสัยใคร่รู้
Page 10 of 11
“แน่นอนว่าไม่ใช่!” ผูเยากับเว่ยตอบอย่างพร้อมเพรียง
จั่ ว ม่ อ คล้ า ยพบทางสว่ า งในบั ด ดล ผงกศี ร ษะแรง ๆ ใบหน้ า ทอ
ประกายฆ่าฟัน กล่าวเสียงหนัก ๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
Page 11 of 11
บทที่ 610 ร่าสุรา
เสียกงจู่เพ่งตาคู่งามมองดูเซี่ยวม่อเกอผู้มีสีหน้าประหม่าตึงเครียด ใน
ใจนางนอกจากลอบประหลาดใจแล้ว ยังปะปนไปด้วยความกระตือรือร้น
สนใจอยู่บ้าง ผู้คนรอบกายนางล้วนเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่ ในหมู่พวก
มันผู้ใดไม่ช่าชองชานาญเรื่องสตรี? นานเท่าใดแล้วที่นางไม่ได้พบเจอบุรุษ
ที่สัตย์ซ่ อ
ื บริสุทธิเ์ ช่นนี้?
หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่นางยังคงเป็นเพียงดรุ ณีน้อยนางหนึ่ง รอบข้าง
ห้อมล้อมไปด้วยใบหน้าเยาว์วัยที่ไม่รู้ความ ไม่มีสายตากระหายอยากอย่าง
รุ นแรงราวกับปรารถนาจะกลืนกินนางลงไป มีเพียงความไร้เดียงสาของ
เด็กน้อย พวกมันเป็นเพื่อนเล่นที่ดีของนาง
แต่แล้วเมื่อนางค่อย ๆ เติบโตเต็มสาว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป... ...
ที่ ใ ดสั ก แห่ ง ในหั ว ใจของเสี ย กงจู่ ต าแหน่ ง แห่ ง ที่ ซึ่ ง ยั ง คงเก็ บ ซ่ อ น
ความนุ่มนวลละมุนละไมเอาไว้คล้ายถูกสะกิดลูบไล้อย่างเบามือ
“เจ้าหวาดกลัวข้านักหรือ?” นางถามเสียงอ่อนเบา
จั่วม่อที่เพิง่ ลืมตาขึ้นและตระเตรียมจะท้าสู้กับนาง พอฟังประโยคนุ่ม
ละมุ น ของผู้ อ่ ื น แทบส าลั ก ค าพู ด ตั ว เอง ฝื น กลื น วาจากลั บ ลงไปอย่ า ง
ยากเย็น
Page 1 of 11
มันเบิกตากว้าง “ข้านี่หรือหวาดกลัวเจ้า?” จั่วม่อไม่อาจเข้าใจได้ เสีย
กงจู่ไฉนบังเกิดความคิดอันแปลกประหลาดเช่นนี้ เสี่ยวม่อเกอดูคล้ายมุสิก
ขลาดเขลาผู้หนึ่งหรือไร?
“หากเจ้ามิได้หวาดกลัวข้า เช่นนั้นไฉนไม่ยอมมองดูข้า?”
จั่วม่อผู้เตรียมจะร้องท้าทาย ‘มาเถอะ มาสู้กัน!’ ถูกวาจาแฝงแววตัด
พ้อของเสียกงจู่ทาเอาตะลึงลานไป
จั่วม่อพบว่ามันไม่สามารถตามความคิดของผู้อ่ น
ื ได้ทัน จริงสิ มันไฉน
ไม่กล้ามองดูนาง?
มันเบิกตากลมกว้าง เริ่มเพ่งมองเสียกงจู่อย่างเอาจริงเอาจัง
งดงามเหลือเกิน... ...นี่มัน... ...ความรู้สึกนี้... ...ไฉนข้ารู้สึกลาคอแห้ง
ผาก ร้อนรุ่มแปลก ๆ ... ...
นี่มันเวทวิชาลวงตา!
จั่วม่อสะท้านขึ้นทั้งร่าง
เสียกงจู่เฝ้ามองสีหน้าจั่วม่อแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อดระเบิดหัวร่องอ
หายไม่ได้ ชั่วพริบตานั้นนางน่าดูยิ่ง รอยยิ้มของนางราวกับจะบันดาลให้
ทั้งห้องสดใสกระจ่างจ้า
จั่วม่อแทบไม่อาจละสายตาจากนาง ลมหายใจกระชั้นเร่งร้อนขึ้นมา
บัดซบ...ก็แค่... ...แค่เวทวิชาลวงตา... ...คิดหรือว่าจะเอาชนะเสี่ยว
ม่อเกอผู้นี้ได้... ...แต่ว่า... ...ช่างร้ายกาจเหลือเกิน... ...
“มาเถอะ อย่ามัวแต่ทาหน้าพิลึกเช่นนั้นอยู่เลย มาลองลิ้มรสสุราอิ่น
เยี่ย (ลากราตรี) ของข้าดูบ้าง นี่เป็นสุราพื้นบ้านที่มีช่ อ
ื เสียงของแดนปิศาจ
Page 2 of 11
สามารถเที ย บได้ กั บ สุ ร าปิ ศ าจเมิ่ ง ผอ น่ า เสี ย ดายที่ ข้ า มี เ พี ย งขวดเดี ย ว
เท่านั้น วาจาขอกล่าวล่ วงหน้ า หลังจากดื่มหมดสิ้น เจ้ามิอาจโทษว่ า ข้ า
ตระหนี่ถี่เหนียวได้” เสียกงจู่รินสุราให้แก่จ่ว
ั ม่ออย่างยิม
้ แย้ม นางผิวพรรณ
ขาวผ่องปานเย้ยหิมะ นวลเนียนดุจ กระเบื้องเคลือบเนื้อดี ร่างโน้มเอนมา
ทางจั่วม่อเล็กน้อบ เผยร่องหุบเขาลึกล้าระหว่างทรวงอกของนาง คล้าย
ตั้งใจคล้ายไม่เจตนา แต่ดูเหมือนว่าจะแฝงไว้ด้วยมนต์ขลังที่ทาให้ผู้คนลุ่ม
หลงตายโดยไม่ทันรู้สึกตัว
จั่ วม่ อ รู้ สึ ก ร่ า งกายท่ อ นล่ า งร้ อ นวาบ ปากคอแห้ ง ผาก บั ง เกิ ด
ความรู้สึกแปลก ๆ ที่ยากจะบ่งบอกบรรยาย
เวทวิชาภาพลวงตาอันร้ายกาจนัก!
ยังร้ายกาจกว่าเวทวิชาลวงตาที่แม่นางกระเรียนกระดาษเคยส่ ง มา
กลั่นแกล้งมันบนภูเขาสุญตาในครัง้ นัน
้ เสียอีก!
หรือว่านี่คือการโจมตีของนาง?
จั่วม่อดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว
บุรุษที่แท้จริงจะปฏิเสธกระบวนท่าเช่นนี้ได้หรือ?
โดยไม่ ต้ อ งเอ่ ย ค าที่ ส อง จั่ ว ม่ อ มื อ ซ้ า ยลอบผนึ ก เคล็ ด ล าแสงบด
กระดูกทลายว่างเปล่า ขณะที่เอื้อมมือขวาไปหยิบจอกสุราอิ่นเยี่ย จากนั้น
สาดหายเข้าไปในลาคอรวดเดียวหมดจอก
รอจนสุราไหลล่วงผ่านลาคอ จั่วม่ออดตะลึงงันไม่ได้ สุรานี้มีรสชาติ
แตกต่างจากสุราปิศาจเมิ่งผออย่างสิ้นเชิง สุราปิศาจเมิ่งผอร้อนแรงปาน
เปลวเพลิง เมื่อล่วงผ่านลงลาคอให้ความรู้สึกร้อนวาบดั่งเปลวไฟไหลผ่าน
Page 3 of 11
ลงไปเป็นทาง ส่วนสุราอิ่นเยี่ยเยือกเย็นโปร่งเบา รสชาติซึมซาบเข้าไปใน
จิตใจของมันโดยตรง ให้ความรู้สึกสุขสบายอย่างบอกไม่ถูก
รสชาติไม่เลวเลยจริง ๆ?
ฮะ เวทวิชาลวงตาไฉนไม่ถูกทาลาย?
เสี ย กงจู่ หั ว ร่ อ เบา ๆ “ท่ า ดื่ มอั น หยาบกระด้ า งของเจ้ า เหมาะสม
สาหรับดื่มสุราปิศาจเมิ่งผอ แต่เกรงว่าจะไม่เหมาะกับสุราอิ่นเยี่ย เจ้าต้อง
ค่อย ๆ จิบ ปล่อยให้รสสุราแผ่ซ่านไปในปากของเจ้าเสียก่อน แล้วค่อย ๆ
กลืนลงไปช้า ๆ ลองดูใหม่เถอะ เจ้าจะได้รสชาติสุราที่ผิดแผกแตกต่าง”
กล่ า วจบค า เสี ย กงจู่ ก็ ห ยิ บ จอกสุ ร าของนางขึ้ น ดวงตาหรี่ ป รื อ
เล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงสดอันนุ่มนิ่มเย้ายวนใจของนาง เมื่อประดับอยู่บน
ใบหน้าขาวผ่องปานเย้ยหิมะ ช่วยขับเน้นให้ดูโดดเด่นน่ามองเป็นพิเศษ
จั่วม่อถึงกับเหม่อลอยไปวูบหนึ่ง
แต่มันรีบปลุกปลอบจิต ใจ ตื่นตัวขึ้นมาโดยเร็ว คราวนี้มั นลอกเลียน
วิ ธี ด่ ื มของเสี ย กงจู่ เพี ย งยกจอกสุ ร าขึ้ น จิ บ อึ ก เล็ ก ๆ รอจนสุ ร าอิ่ น เยี่ ย
ซาบซ่านไปในปาก กลิ่นหอมอันพิเศษเฉพาะชนิดหนึ่งก็แผ่กระจายไปทั่ว
ร่างของมัน ในชั่วพริบตานี้ มันราวกับว่ากาลังแช่ร่างอยู่ในสายน้าฉ่ า เย็น
สุขสบายจนแทบครวญครางออกมา
“สุ ข สบายยิ่ ง !” เสี ย กงจู่ ส องตาหลั บ พริ้ ม กล่ า วด้ ว ยสุ้ ม เสี ย งปาน
ละเมอ “เมื่อครั้งที่ข้ายังเด็ก ข้าชมชอบร่าสุราอิ่นเยี่ยมากที่สุด แต่บิดาข้า
ไม่ชมชอบให้ข้าดื่มสุรา ดังนั้นข้ามักจะลอบเข้าไปในห้องเก็บสุราของท่าน
Page 4 of 11
พ่ออยู่เป็นประจา มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าบังเอิญดื่มมากเกินไป เผลอตัวฟุบหลับ
อยู่ในห้องสุรานั้นเอง จนกระทั่งท่านพ่อจับข้าได้คาของกลาง... ...”
นางแลบลิ้นน้อย ๆ อย่างซุกซน ประหนึ่งเด็กน้อยที่ถูกบิดามารดาจับ
ได้ว่าเล่นซุกซนเกินเลย
“... ...ท่านพ่อปิดตายห้องเก็บสุราทันที จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่เคย
เปิดออกอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยามนี้แทบไม่มีผู้คนล่วงรู้ว่าที่นั่นมีห้องเก็บ
สุราอยู่ด้วย”
“ช่วงเวลาที่ท่านพ่อยังอยู่ที่นี่ ชวนให้หวนคิดถึงยิง่ นัก”
ในดวงตาคู่งามของเสียกงจู่คล้ายทอประกายอารมณ์ความรู้สึกบาง
ประการ นางแหงนเงยขึ้น ยกจอกสุราดื่มรวดเดียวจนเกลี้ยงฉาด
รอจนวางจอกสุราลง สองแก้มของนางก็แดงซ่าน ดวงตาหรี่ปรือดุจ
เคลิม
้ ฝัน ถามมาด้วยสุ้มเสียงเลื่อนลอย
“เมื่อตอนที่เจ้ายังเด็ก เคยเล่นซุกซนอันใดบ้าง?”
จั่วม่อสามารถสัมผัสได้ถึงความโศกศัลย์ละห้อยหาในถ้อยวาจาของ
เสี ย กงจู่ คลั บ คล้ า ยกั บ ในยามที่ มั นได้ ยิ นข่ า วเคราะห์ ก รรมของท่ า นเจ้า
สานักกับเหล่าอาจารย์ท้ังสี่ แต่มันย่อมไม่อาจบอกออกมาจากปาก พอได้
ยิ น ค าถามของนาง ได้ แ ต่ สั่ น ศี ร ษะ “ตอนยั ง เด็ ก หรื อ ? ข้ า ไม่ ล่ ว งรู้ อั น ใด
เลย”
“เจ้าไม่รู้?” คาตอบนี้ทาให้เสียกงจู่แปลกใจอยู่บ้าง
“ข้ า ถู ก คนลบความทรงจ า ทั้ ง ยั ง แปลี่ ย นแปลงรู ป โฉม ข้ า ไม่ ล่ ว งรู้
เรื่องราวอดีตของข้าแม้แต่น้อย” จั่วม่อตอบตามความสัตย์จ ริง เดิมทีมัน
Page 5 of 11
ไม่อยากกล่าวถึงเรื่องอดีต แม้ว่าไม่ใช่เรื่อ งที่ต้องเก็ บเป็นความลับ แต่ก็
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเที่ยวบอกกล่าวต่อคนแปลกหน้าเช่นกัน ทว่าท่วงท่าหวน
ราลึกของเสียกงจู่คล้ายบอกต่อมันด้วยใจจริง ดังนั้นมันอดตอบแทนนาง
อย่างจริงใจไม่ได้
“อา!” เสี ย กงจู่ ย กมื อ ปิ ด ปาก สี ห น้ า ตื่ นตะลึ ง นางไม่ ค าดฝั น ว่ า จะ
ได้รับคาตอบที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้
“ขออภัยด้วย!” นางกล่าวด้วยสีหน้าสานึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“อย่ากังวลไปเลย” จั่วม่อสั่นศีรษะอย่างไม่เห็นสาคัญ “จะอย่างไรข้า
ก็จดจาสิ่งใดไม่ได้อยู่แล้ว”
“บางทีจดจาไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย” เสียกงจู่แย้มยิ้มจาง ๆ อย่าง
ปลอบประโลม จากนั้นรินสุราให้ แก่จ่ั ว ม่อ “บางครั้ งการจดจาเรื่อ งที่ ไ ม่
อยากจา ก็เป็นสิง่ โหดร้ายมาก”
จั่วม่อยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียว แม้ว่าการค่อย ๆ จิบทีละน้อยจะให้
รสชาติที่ดีเลิศกว่า มันยังคงชมชอบดื่ม รวดเดี ยวหมดจอกมากกว่า นี่ให้
ความรู้ สึ ก สาสมใจอย่ า งบอกไม่ ถู ก ถ้ อ ยค าของเสี ย กงจู่ ก ระทบถู ก จุ ด
อ่อนไหวในใจมัน พอหวนนึกถึงประโยค ‘อย่าได้ลืมเลือน’ ที่มักปรากฏขึ้น
ในความฝันของมัน ความขมขื่นสายหนึ่งพลันแผ่ซ่านขึ้นในใจ
“แต่ อ ย่ า งไรก็ ต าม การหลงลื ม เรื่ อ งที่ ไ ม่ อ ยากลืม กลับ โหดร้ า ยกว่า
มาก”
จั่วม่อรินสุราให้ตัวเอง แล้วยกกระดกรวดเดียวหมดจอกอีกรอบ
Page 6 of 11
เสียกงจู่งงงันวูบ นางแทบไม่ อยากเชื่อว่านี่จะเป็นสิ่งที่กล่าวออกจาก
ปากของเด็กหนุ่มสัตย์ซ่ ือโง่งมผู้หนึ่ง อดนิ่งคิดทบทวนความหมายอันลึก
ล้าไม่ได้ ยามกะทันหันนางคล้ายเหม่อลอยอยู่บ้าง ราวกับว่าจิตใจฟุ้งซ่าน
ไปไกล
ชั่วอึดใจใหญ่ นางค่อยแย้มยิ้มกระจ่างจ้า ประคองจอกสุราขึ้นกล่าว
“ขอดื่มให้แก่ประโยคนี้ พี่เซี่ยวม่อเกอ เชิญ!”
จากนั้ น นางก็ เ ลี ย นเยี่ ยงจั่ ว ม่ อ ยกจอกสุ ร าขึ้ น สาดลงล าคอในรวด
เดียว รอจนนางวางจอกสุราลง สองแก้มยิ่งแดงซ่าน ดวงตายิงหรี่ปรือ ลม
หายใจหอบกระชั้นเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนใจกว่าเดิม
นางกลอกตาตลบหนึ่ง ท่วงท่าเปลี่ยนเป็นน่ารั กน่าหลงใหล เสียกงจู่
ชม้ายชายตามองจั่วม่อ กล่าวเสียงอ้อยอิ่งว่า “ข้าอยากรู้นัก เจ้าเสาะหาข้า
ด้วยเหตุใด?”
จั่วม่อยามนี้รู้สึกมึนเมาอยู่บ้าง หลงลืมวาจาผีสางของผูเยากับเว่ยไป
ตั้ ง แต่ แ รก พอได้ ยิ น ค าถามของเสี ย กงจู่ มั น ก็ ไ ม่ บ่ า ยเบี่ ย ง กล่ า วอย่ า ง
ตรงไปตรงมาว่า “ข้ามาเพื่อร้องขอคนสองคนจากกงจู่”
“เป็ น สองคนใด จึ ง คู่ ค วรให้ เ จ้ า ต้ อ งบากหน้ า มาร้ อ งขอ?” เสี ย กงจู่
ค้อนใส่จ่ว
ั ม่อวงหนึ่งอย่างขุ่นเคืองแง่งอน
“เป็นสหายซิวเจ่อของข้าสองคน ฟังว่ากงจู่ช่วยรับตัวพวกนางเอาไว้
ดังนั้นข้าได้แต่บากหน้ามาร้องขอพวกนางจากกงจู่ ” จั่วม่อไม่ห ลบเลี่ย ง
สายตาของเสียกงจู่ ตอบคาอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
Page 7 of 11
“สหายซิวเจ่อ?” เสียกงจู่ประหลาดใจอยู่บ้าง “นึกไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับมี
สหายเป็นซิวเจ่อด้วย ถูกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้ารับตัวสตรีซิวเจ่อสองนางเอาไว้
แหล่งข่าวของเจ้าแม่นยาไม่เลว”
กล่าวถึงตอนท้ายแฝงแววเย้ายวนเล็กน้อย สีห น้าท่าทียิ่งเผยเสน่ห์
ออกมา ดวงตาหยาดเยิ้มปานจะหยด
“ข้าบังเอิญช่วยเหลือสหายอีกคนไว้ได้” จั่วม่อชี้แจงอย่างสัตย์ซ่ อ
ื
“ดังนั้นเจ้าคิดมาล่อลวงข้า?” เสียกงจู่ดวงตาคู่งามชม้ายมองจั่วม่อ
ใบหน้าทอแววสนุกสนาน
“ถูกต้อง” จั่วม่อยอมรับอย่างซื่อสัตย์จริงใจ
“ซิวเจ่อสตรีสองนางนั้นสาคัญต่อเจ้ามากถึงเพียงนั้นเชียวรึ?” เสียกง
จู่ถาม
“สาคัญยิง่ ” จั่วม่อผงกศีรษะรับอย่างไม่ลังเล
เสียกงจู่ปิดปากหัวร่อคิกคัก “ที่แท้เจ้าชมชอบสตรีซิวเจ่อ หากเรื่องนี้
แพร่ออกไป เกรงว่าสตรีปิศาจมากมายคงหัวใจสลายแล้ว”
จั่วม่อแทบสาลัก
“ฮ่ า ฮ่ า เรามาว่ า กั น ต่ อ เถอะ” เสี ย กงจู่ ด วงตาทอแววซุ ก ซน “ข้ า
สามารถมอบพวกนางให้แก่เจ้า แต่เดิมทีข้าตั้งใจจะใช้พวกนางเป็นหญิง
รับใช้ ยามนี้เมื่อมอบพวกนางให้แก่เจ้า แล้วข้าจะได้ประโยชน์อันใดบ้าง
เล่า?”
“บอกมาเถอะ!” จั่วม่อสีหน้าจริงจัง มันแม้ละโมบโลภมาก ทาการค้า
คราใดต้องต่อรองราคา แต่เรื่องนี้มันไม่คิดต่อรองแม้สักครึ่งคา
Page 8 of 11
“ข้าสามารถลองคิดดูก่อนได้ห รื อไม่ ? ถือว่าเจ้าติดค้างข้าหนหนึ่ ง ดี
หรื อ ไม่ ? รอจนข้ า คิ ด ออกค่ อ ยบอกต่ อ เจ้ า เป็ น อย่ า งไร?” เสี ย กงจู่ เ ผย
รอยยิม
้ เจ้าเล่ห์
จั่วม่อถึงกับตะลึงลานไปเป็นครู่ ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะสามารถ
ตอบสนอง มันกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “หลังจากพบตัวพวกนาง ข้าตั้งใจ
จะไปจากนครมหาสันติแล้ว”
“ไปจากนครมหาสันติ ?” เสียกงจู่งงงันวูบ ดวงตาทอแววผิดหวังสุด
ระงับ แต่แล้วหายวับไปทันที นางกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ที่แท้เจ้ามา
เพื่อพวกนางโดยเฉพาะ”
“มิผิด” จั่วม่อยอมรับ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าแทบไม่อยากมอบพวกนางให้แก่เจ้าจริง ๆ” เสียกง
จู่กล่าวปนหัวร่อเบา ๆ “ยากนักที่จะได้พบพานสหายสุราที่ดีสักคน”
แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าตึงเครียดของจั่วม่อ นางระเบิดเสียงหัวร่อสดใส
ดุจระฆังเงิน กล่าวราวราพึงกับตัวเองว่า “ยากนักที่ข้าจะใจดีมีเมตตา ข้า
เองก็คิดรักษาสภาพนี้ไว้ให้นานสักหน่อย ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวล ข้าจะ
มอบพวกนางให้แก่เจ้า”
กล่ า วจบค า นางหั น ไปออกค าสั่ ง ด้ ว ยเสี ย งเบาต่ า หญิ ง รั บ ใช้ วั ย
กลางคนเหลื อ บมองจั่ ว ม่ อ แวบหนึ่ ง ไม่ เ ห็ น นางมี ก ารเคลื่ อนไหวใด แต่
หลังจากนั้นไม่นาน บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งก็นาหญิงรับใช้สองคนเข้ามา
เสี่ยวกั่ว! หลี่อิงฟ่ง!
Page 9 of 11
จั่วม่อดวงตาเบิกกว้างอย่างฉับพลัน ยากจะปิดบังสีหน้าปิติยินดีของ
มันได้ แต่มันพยายามระงับใจอย่างสุดความสามารถ ไม่ให้ห ลุดปากร้อง
เรียกพวกนางออกไป
“เอาละ นับแต่นี้ไปพวกนางเป็นของเจ้า” เสียกงจู่เอื้อนเอ่ยต่อจั่วม่อ
ด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย
จั่ ว ม่ อ ร้ อ ยไม่ คิ ด พั น ไม่ คิ ด ว่ า เรื่ องราวจะราบรื่ นถึ ง เพี ย งนี้ มองดู
ใบหน้างามล้าของเสียกงจู่ ต้องค้อมกายคารวะอย่างจริงจัง “วันหน้าหาก
กงจู่นึกได้เรื่องที่ต้องการ ตราบเท่าที่ ข้ายังไม่ไปจากนครมหาสันติ โปรด
บอกมาได้ทุกเมื่อ!”
เสี่ยวกั่วทันใดนั้นเบิกตากว้าง สีห น้าทอแววเหลือเชื่อ ส่วนหลี่อิงฟ่ง
มองดูจ่ว
ั ม่ออย่างกลัดกลุ้มกังวลใจ
“เช่นนัน
้ ยามนี้เจ้าก็ติดค้างข้าเรื่องหนึ่ง” ดวงตาคู่งามของเสียกงจู่จับ
จ้องมองดูจ่ัวม่อ ปากกล่าวอย่างยิ้ มแย้ม “ข้าชมชอบที่สุดเวลาที่ผู้คนติด
ค้างข้า รอจนข้าคิดออก เจ้าไม่อาจผิดคาพูด”
“ย่อมแน่นอน!” จั่วม่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“พาสหายของเจ้ า ไปเถอะ ระหว่ า งนี้ พ วกนางต้ อ งเผชิ ญ ความ
ยากลาบากไม่น้อย” เสียกงจู่กล่าวปนหัวร่อเบา ๆ
จั่ ว ม่ อ เองก็ ต้ อ งการลากลั บ อยู่ แ ล้ ว รี บ ประสานมื อ คารวะเสี ย กงจู่
“เช่นนั้นขออาลาแล้ว!”
มันผุดลุกขึ้น มือหนึ่งฉุดดึงเสี่ยวกั่ว อีกมือลากรั้งหลี่อิงฟ่ง ตระเตรียม
ทะยานร่างขึ้นกลางเวหา
Page 10 of 11
ทันใดนั้นเอง สุ้มเสียงสดใสกระจ่างชัดดังก้องลงมาจากฟากฟ้า
“พี่เซี่ยวม่อเกออยู่ที่ใด? ผู้น้องหนานเหมินเสวี่ย ขอท้าประลอง!”
เสียกงจู่มองดูใบหน้าแข็งทื่อตะลึงลานของจั่วม่ อ นางยกมือขึ้นปิ ด
ปากหัวร่อคิกคัก ชิงออกตัวว่า “นี่ไม่เกี่ยวข้องกับข้า!”
ในดวงตาคู่งาม ทอประกายยินดีที่ยากจะสังเกตเห็นวูบหนึ่ง
Page 11 of 11
บทที่ 611 แผนร้าย
หนานเหมินเสวี่ยคือใคร?
แน่ น อนว่ า จั่ ว ม่ อ ย่ อ มต้อ งล่ว งรู้ คนผู้ นี้ คื อ สุ ด ยอดฝีมื อ ล าดั บ ที่ ส าม
แห่ ง ท าเนี ย บปิ ศ าจมหาสั น ติ ผู้ เ คยใช้ เ สี ย งแค่ น ค าเดี ย วท าลายส าเนี ย ง
ปิ ศ าจของชี เ ตี ย วอวี่ จั่ ว ม่ อ หลั ง จากสั ง หารเสิ่ น อวี้ ก ลางสนามประลอง
ลาดับของมันก็ทะยานพรวดในชั่วพริบตา จากลาดับสุดท้ายขึ้นเป็นลาดับ
ที่เจ็ดในคราวเดียว
แต่ถึงกระนั้น ล าดับที่ส ามจะมาท้ า ประลองล าดั บ ที่ เจ็ ดเยี่ย งมั น ไป
ทาไมกัน?
นี่ไม่มีเหตุผลสมควรแม้แต่น้อย!
ล าดับที่ส ามลดตัวลงมาท้าประลองลาดับที่เจ็ด ต่อให้ได้ชัยก็ไม่เป็น
ธรรม ไม่เป็นที่ช่ น
ื ชม ทั้งยังไม่ได้ประโยชน์อันใด
จั่วม่อรู้สึกงุนงงสงสัย มันเดินไปที่ล าน เงยหน้าขึ้นมองหนานเหมิ น
เสวี่ยในชุดดาที่กระพือพลิ้วอยู่ในสายลม
“เจ้ า จะไม่ รั บ ค าท้ า ของมั น รึ ?” เสี ย กงจู่ เ ร่ เ ข้ า มาชะโงกมองด้ ว ย
ใบหน้างดงามแฝงรอยซุกซน
“คนผู้นี้ใช่สมองมีปัญหาหรือไม่” จั่วม่อเขม้นมองหนานเหมินเสวี่ยที่
กลางอากาศ ปากบ่นพึมพาไปด้วย “ข้าไม่เคยล่วงเกินมันเสียหน่อย... ...
Page 1 of 10
น่าแปลกจริง ๆ!” มันนิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นสั่นศีรษะ “ข้าจะไม่รับคา
ท้า”
“เจ้าไฉนไม่รับคาท้า?” เสียกงจู่ดวงตาทอแววสับสนงุนงง “หากเจ้า
ไม่รับคาท้า เจ้าจะเสื่อมเสี ยชื่อเสียง คนอยู่ในเมืองมหาสันติหากไม่ รับ คา
ท้าจะถูกผู้คนหัวร่อเยาะ”
“ข้าไม่ส ามารถเอาชนะมันได้ จะสู้กับมันไปหาอะไรเล่า” จั่วม่อแบ
สองมือ สีหน้าจนปัญญา
เสียกงจู่ตะลึงลาน ผู้ที่ยอมรับความอ่อนด้อยของตัวเองต่อหน้านาง
นางเพิ่งจะเคยพบพานมันเป็นคนแรก บุรุษอื่นเมื่ ออยู่ต่อหน้านาง มักจะ
พากเพียรอวดโอ่ความเข้มแข็งของพวกมัน อวดโอ่ความมั่งคั่งของตระกูล
พวกมั น อวดโอ่ อั น ใดก็ ไ ด้ ที่ ส มควรอวดโอ่ แต่ ล ะคนไม่ ต่า งจากนกยูงรา
แพนหางเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมีย
ยามนี้ ถึ ง กั บ มี ค นยอมรั บ กั บ นางอย่ า งหน้ า ชื่ นตาบาน ว่ า มั น ไม่ มี
ปัญญาเอาชนะผู้อ่ น
ื ได้... ...
“ถ้าอย่างนั้น... ...” เสียกงจู่อึกอักอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังไม่ทราบจะกล่าว
กระไรออกมา
“ปล่ อ ยให้ มั น ยื น รั บ ลมอยู่ บ นนั้ น เถอะ ลมวั น นี้ เ ย็ น สบายไม่ น้ อ ย
ทีเดียว” จั่วม่อสั่นศีรษะ รั้งสายตากลับมา เตรียมพาเสี่ยวกั่วกับหลี่อิ งฟ่ง
จากไป
ถ้อยคาเหล่านั้นทาเอาเสียกงจู่อดหัวร่อคิกคักไม่ได้ คนตรงหน้านาง
ยามนี้ไม่หลงเหลือเค้าเคร่งขรึมจริงจังดังเช่นเมื่อครู่อีก มันกลับคลับคล้าย
Page 2 of 10
อั น ธพาลน้อ ยผู้ ห นึ่ง เสี ย กงจู่ รั้ ง สายตากลับ มา กล่ า วถามอย่ า งร่ า เริงว่า
“แล้วหากพอเจ้าออกไป มันก็ไล่ตามเจ้าไปด้วยเล่า?”
จั่วม่อมองซ้ายมองขวา จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ซึ่งความ
จริงข้าไม่เคยบอกต่อเจ้ามาก่อน แต่สิ่งที่ข้าถนัดจัดเจนที่สุดกลับไม่ใช่การ
ดวลเดี่ยว แต่เป็นการใช้พวกมากข่มเหงคนน้อยต่างหาก”
“ใช้ พ วกมากข่ ม เหงคนน้ อ ย... ...” เสี ย กงจู่ ท วนค าอย่ า งไม่ แ น่ ใ จ
สุดท้ายค่อยตระหนัก นางหัวร่อจนตัวโยน ชี้หน้าจั่วม่อ ร้องเสียงสดใสว่า
“เจ้าคดโกงนี่!”
จั่วม่อบังเอิญกวาดตาไปยังอวัยวะส่วนที่กระเพื่อมไหวของเสียกงจู่
พอดี ถึงกับยืนนิ่งขึงตะลึงงันดุจสายฟ้าฟาด
วิชาลวงตา... ...วิชาลวงตาอีกแล้ว... ...หรื อว่าวิชาลวงตาประเภทนี้
สามารถสาแดงพลังออกมาด้วยตัวเอง?
เสียกงจู่ความรู้สึกเฉียบไว สังเกตเห็นสภาพผิดปกติของจั่วม่อทันที
นางไม่เขินอาย เพียงขยิบตาให้จ่ว
ั ม่อ พลางยกมือขึ้นปิดปากหัวร่อเบา ๆ
“อะแฮ่ม!” จั่วม่อกระแอมไออย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นถามว่า “มี
ประตูหลังหรือไม่? ที่ข้าสามารถลอบออกไปได้”
เห็นสีห น้าท่าทีของจั่วม่อ เสียกงจู่รู้สึกน่าหัวร่อ นางเรียกหญิงรับใช้
นางหนึ่ ง เข้ า มาสั่ ง การสองสามค า ก่ อ นจะหั น มาบอกกั บ จั่ ว ม่ อ ว่ า “เจ้ า
สามารถติดตามนางไป”
“ขอบคุณมาก!” จั่วม่อกล่าวจากใจจริง ค้อมกายคารวะเสียกงจู่ เสีย
กงจู่นางนี้แตกต่างจากที่ผูเยากับเว่ยบอกเอาไว้อย่างสิน
้ เชิง มันไม่ล่วงรู้ว่า
Page 3 of 10
เสียกงจู่ในสายตาบุคคลอื่นมองนางเป็นเช่นไร แต่สาหรับมัน นางเป็นคนดี
ผู้หนึ่ง โบกมือร่าลาเสียกงจู่ มันรีบนาเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งติดตามหญิง รับ
ใช้นางนัน
้ ไป
มองตามเงาหลังของจั่ วม่ อลับหายไปจากประตู เสียกงจู่ดวงตาทอ
แววสลดหดหู่แ วบหนึ่ ง แต่เพียงชั่ว กะพริ บตาก็เลื อนหายไป รอยยิ้ม บน
ใบหน้าจางลง ดวงตาเปลี่ยนเป็นแหลมคมอี กครั้ง เค้าความเชื่อ มั่ น และ
ปลอดโปร่งกลับคืนสู่ใบหน้านาง
นางเหลือบมองหนานเหมินเสวี่ยที่กลางเวหาด้วยหางตา กล่าวเบา ๆ
ว่า “ช่างขัดตานัก ขับไล่มันลงมาเถอะ”
หญิ ง รั บ ใช้ วั ย กลางคนก าลั ง จะลงมื อ แต่ แ ล้ ว สี ห น้ า แปรเปลี่ ย น
เล็กน้อย “มีคนมาแล้ว”
นางเพิ่งจะกล่าวจบคา สุ้มเสียงปิศาจอันแปลกพิสดารพลันดังกังวาน
ดุจ ดังออกมาจากส่วนลึกใต้ปรภพ บุรุษในชุดขาวราวหิม ะผู้ห นึ่งปรากฏ
กายขึ้นเบื้องหน้าหนานเหมินเสวี่ย ฝูงชนที่เฝ้าดูแต่แรกถึงกับส่งเสียงฮือฮา
ขึ้นมาทันที
ชีเตียวอวี่
หนานเหมินเสวี่ยดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทีละน้อย “ชีเตียวอวี่!”
“ข้ า ขอท้ า ประลองเจ้ า ” สุ้ ม เสี ย งเฉื่ อ ยชาของชี เ ตี ย วอวี่ ก่ อ ให้ เ กิ ด
ความอลหม่านในบัดดล
การปรากฏกายอย่า งกะทันหันของชี เตียวอวี่ ดึง ดู ดความสนใจจาก
หลายคน...มันใช่มาเพื่อช่วยเหลือเซี่ยวม่อเกอหรือไม่?
Page 4 of 10
หนานเหมินเสวี่ยผู้มีสีหน้าเย็นชา จู่ ๆ แย้มยิ้มอย่างสาสมใจ “เป็นไป
ตามที่คาดคิด... ...”
แม้ว่าผู้อ่ ืนไม่ได้เอ่ยออกมาว่าคาดคิดเรื่องอันใด แต่ชีเตียวอวี่ต้องสี
หน้าแปรเปลี่ยนอย่ างฉั บ พลัน ผิดท่าแล้ว มันตกหลุมพรางของอี ก ฝ่ า ย!
ทันใดนั้นร่างหายวับไปทันควัน
แทบจะในเวลาเดียวกัน หนานเหมินเสวี่ยก็หายวับไป แล้วปรากฏตัว
ขึ้นขวางหน้าชีเตียวอวี่
หนานเหมินเสวี่ยแย้มยิม
้ อย่างเฉิดฉัน เผยให้เห็นฟันขาวกระจ่าง “พี่
ชีในเมื่อต้องการประลองกับข้า ผู้น้องย่อมต้องน้อมสนองให้ถึงที่สุด!”
สองสุดยอดฝีมือที่เคยมีข้อบาดหมางกัน ในที่สุดก็โคจรมาเผชิญหน้า
กันอีกครั้งภายใต้การชี้นาของใครบางคน!
จั่วม่อหลังจากติดตามหญิงรับใช้ไประยะหนึ่ง จากนั้นย่องออกจาก
ประตู ห ลั ง และเพื่ อ ปิ ด บั ง ตนเอง จั่ ว ม่ อ ใช้ วิ ช าลวงตาเล็ ก ๆ น้ อ ย ๆ บน
ใบหน้าของตน มันสานึกขอบคุณชีเตียวอวี่ที่ช่วยออกรับหน้า นี่ก็เป็นคนดี
ผู้หนึ่ง!
เพียงออกจากประตูได้ไม่นาน มันพลันได้ยินเสี่ยวกั่วที่ใต้วงแขนเอ่ย
ปากถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน “ศิษย์พี่ เป็นท่านใช่หรือไม่?”
จั่ ว ม่ อ ชะงั ก กึ ก ยกมื อ ขึ้ น ลู บ ศี ร ษะเสี่ ย วกั่ ว อย่ า งนุ่ ม นวล “เสี่ ย วกั่ ว
ชาญฉลาดยิ่ง”
Page 5 of 10
เสี่ยวกั่วไม่อาจสะกดกลั้นอีกต่อไป นางโถมเข้ากอดจั่วม่อ พลางร่าไห้
ปิ่มว่าจะขาดใจ ไม่ต่างจากเด็กน้อยได้พบพานญาติสนิทในแดนไกล นาง
กอดรัดจั่วม่อเอาไว้แน่น น้าหูน้าตาทะลักทลายไม่ขาดสาย
จั่วม่อทอดถอนใจอย่างหดหู่ เฝ้าตบหลังเสี่ยวกั่วเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ
ประโลม หลี่ อิ ง ฟ่ ง จนถึ ง ยามนี้ ค่ อ ยตั้ ง สติ ไ ด้ บนใบหน้ า นางทอแววทั้ ง
เหลือเชื่อทั้งปิติยินดี “ศิษย์พี่จ่ว
ั ท่านคือศิษย์พี่จ่ว
ั จริง ๆ?”
จั่วม่อกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ศิษย์พี่หญิงหลี่ ข้าคุ้นชินกับการที่
เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์น้องจั่วมากกว่า”
หลี่ อิ ง ฟ่ งเองก็ สุด จะสะกดกลั้นอี กต่อ ไป นางร่ า ไห้ ด้ ว ยความปลาบ
ปลื้มยินดีระคนโล่งใจ
จั่วม่อไม่ทราบจะปลอบโยนพวกนางอย่างไร ได้แต่ตบหลังพวกนาง
เบา ๆ
บนท้ อ งถนนมี ผู้ ค นไม่ ม ากนั ก ทั้ ง หมดล้ ว นจรดจดจ่ อ อยู่ กั บ การ
เผชิญหน้าระหว่ างชีเตียวอวี่กับหนานเหมินเสวี่ยที่กลางเวหา ดังนั้นไม่มี
คนสนใจพวกมัน
จั่วม่อพลันชะงักกึก กล่าวเบา ๆ ว่า “มีศัตรู อยู่ที่นี่” มันกวาดตามอง
รอบข้างอย่างระมัดระวัง ค่อย ๆ วางเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งลง ทั้งสองพอฟัง
ต้องหยุดเสียงร่าไห้ทันควัน
ทันใดนั้นทิวทัศน์รอบข้างพลันบิดเบี้ยว ต้นไม้ข้างทางราวกับแป้งหมี่
นุ่ม ๆ ถูกมือที่มองไม่เห็นบีบนวดจนเป็นก้อนกลม
Page 6 of 10
ภายในชั่วพริบตา สภาพรอบข้างพวกมันทั้งสามก็แปรเปลี่ยนไปอย่าง
สมบูรณ์
เสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งหน้าซีดเผือด แต่พวกนางไม่ได้ส่งเสียงแม้สักครึ่ง
คา ด้วยเกรงว่าจะรบกวนสมาธิของจั่วม่อ
เขตแดน!
จั่วม่อทันใดนั้นสายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นี่เป็นการซุ่มโจมตีที่ผ่าน
การวางแผนเป็นมั่นเหมาะ ชั่วพริบตาที่มันค้นพบสิ่งผิดปกติ มันก็ตกลงไป
ในหลุมพรางของศัตรูเรียบร้อยแล้ว
ศัตรูถึงกับส่งยอดฝีมือที่บรรลุพลังเขตแดนมาซุ่มโจมตีมัน!
เห็นหุ่นโคลนตัวหนึ่งผุดขึ้นจากพื้นอย่างแช่มช้า ทั่วร่างล้วนก่อตัวขึ้น
จากน้าโคลน มีเพียงรูปทรงมนุษย์แบบหยาบ ๆ ที่พอจะมองเห็นได้
“เจ้าเป็นใคร?” จั่วม่อพลันหวนนึกถึงหนานเหมินเสวี่ย ที่เ พิ่ง มาท้ า
ประลองกั บมัน พลันรู้สึกว่าสองคนนี้เกี่ยวโยงกัน ต้องโพล่งออกมาอย่าง
ฉับพลัน “ที่แท้หนานเหมินเสวี่ยรับใช้พวกเจ้าแล้ว”
“เจ้าเป็นเด็กน้อยที่ชาญฉลาดจริง ๆ” ฝ่ายตรงข้ามตอบโต้ทันควัน
แต่แล้วพลันตระหนักว่าถูกหลอกถามคราหนึ่ง ต้องแย้มยิ้มอย่างลี้ลับเย็น
ชา “แต่เจ้าล่วงรู้ก็ ส ายเกิน ไปแล้ ว หากเจ้าคิดต าหนิผู้ ใ ด ได้แต่โทษว่ า ชี
เตียวอวี่โง่งมเกินไป”
“ชี เ ตี ย วอวี่ ?” จั่ ว ม่ อ ในใจสะดุ้ ง เฮื อ ก ชี เ ตี ย วอวี่ เ กี่ ย วข้อ งกับ เรื่องนี้
อย่ า งไร? แต่ มั น ขบคิ ด จนสมองแทบแตก ยั ง ไม่ เ ข้ า ใจว่ า ชี เ ตี ย วอวี่ ม า
เกี่ยวข้องอะไรด้วย
Page 7 of 10
“ฮ่าฮ่า เรื่องนี้ต่อให้เจ้าครุ่น คิดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ยอมจานนเสีย
แต่โดยดีเถอะ” หุ่นโคลนหัวร่ออย่างลี้ลับ
จั่วม่อทันใดนั้นบังเกิดความรู้สึกว่าสองเท้ากลายเป็นหนักอึ้ง ทั้งร่าง
จมลงอย่างช้า ๆ ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด พื้นหินแข็งใต้ฝ่าเท้าของมันกลั บ
กลายเป็นโคลนเหลวราวกับบึงโคลนบ่อหนึ่ง
ภายใต้บึงโคลนส่งแรงดึงดูดอันแข็งกล้าออกมา ฉุดกระชากร่า งของ
พวกมันทั้งสามให้จมลงไป
แปลกประหลาดยิง่ !
ความรู้สึกคล้ายกร่อนสลายแผ่ซ่านขึ้นมาจากเท้า กลิ่นอายแปลกๆ
แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของจั่วม่อดุจแมลงชอนไช เสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่ง
ใบหน้าซีดจนขาว พลังบาเพ็ญเพียรของพวกนางอ่อนด้อยเกินไป ต่อหน้า
เขตแดนอันทรงพลัง พวกนางเปราะบางเป็นที่สุด
จั่วม่อฉุดรั้งพวกนางทั้งสองขึ้นจากบึงโคลน แบกพวกนางไว้บนหลัง
ของมั น แทน อาศั ย สั ง ขารปิ ศ าจอั น แกร่ ง กร้ า วของมั น เพิ่ ม น้ า หนั ก ของ
ดรุณีน้อยสองนางไม่นับเป็นอะไรได้
แต่มันพอกระทาเช่นนี้ ร่างของมันจู่ ๆ จมดิ่งลงไปมากกว่าเดิม
มันจมลึกลงไปในบึงจนถึงหน้าแข้ง กลิ่นอายลี้ลับเย็นเยียบไม่ต่างจาก
ฝูงแมลงประหลาดที่คลุ้ มคลั่ ง เจาะทะลวงเข้ า ไปในร่ างของมัน อย่ า งไม่
หยุดยั้ง แต่เมล็ดผลึกสุริยันในกายจั่วม่อ ไหนเลยจะยินยอมให้ดินแดนของ
ตนถูกรุกราน มันส่งกระแสเพลิงหลายสายออกมาทาการกวาดล้างในทันที
พลังเย็นอันลี้ลับชัว
่ ร้ายถูกทาลายสิน
้ ในพริบตา
Page 8 of 10
จั่ ว ม่ อ ถื อ ครองเมล็ ด ผลึ ก สุ ริ ยั น ทั้ ง ยั ง ส าเร็ จ สั ง ขารปิ ศ าจอุ ป กรณ์
สวรรค์สิบอีกา พลังชั่วร้ายทุกประเภทไม่อาจรุ กล้าก้าเกินเข้ามาในร่างของ
มันได้ แต่ในขณะเดียวกัน จั่วม่อไม่ว่าต่อสู้ดน
ิ้ รนสักเท่าใด มันก็ไม่อาจหลุด
ออกจากพันธนาการของพลังที่ฉุดดึงมันลงไปในบึงโคลนได้ มองดูร่างของ
ตนจมดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่อง จั่วม่อไม่ส นใจอะไรอีกแล้ว เร่งเร้าพลังเขต
แดนสวรรค์สิบอีกาซึ่งยังไม่สมบูรณ์ขึ้นในบัดดล
วงแหวนแสงสีแดงแผ่กว้างออกจากใต้ฝ่าเท้าของจั่วม่ออย่างฉับพลัน
จั่วม่อรู้สึกสองเท้าโปร่งเบาขึ้นทันที ร่างกายของมันก็ลอยขึ้นเล็กน้อย
“โอ้ ข้าหลงคิดว่าเจ้าจะใช้กงล้อดาราจักรเป็นอันดับแรก นึกไม่ถึงว่า
จะใช้เขตแดนสวรรค์สิบอีกาที่ยังไม่สมบูรณ์ของเจ้า” หุ่นโคลนแย้มยิ้มเย็น
เยือก “เขตแดนสวรรค์สิบอีการ้ายกาจอย่างแท้จริง แต่นั่นหมายถึงเจ้าฝึก
สาเร็จแล้วเท่านัน
้ ยามนี้คิดใช้ของที่ยังบกพร่องมาต่อกรกับข้า เจ้าเรียกได้
ว่าฝันเฟื่ องเกินไปแล้ว”
ทั น ใดนั้ น บึ ง โคลนแผ่ ก ว้ า งออกจากใต้ ฝ่ า เท้ า ของจั่ ว ม่ อ ภายในชั่ ว
พริบตาเดียว สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของจั่วม่อ ก็มีเพียงบึงโคลนกว้ า ง
ใหญ่ไพศาลดุจห้วงสมุทร
แรงดึงดูดที่เท้าของมันยิ่งทวีความกล้าแข็งขึ้นหลายเท่า ราวกับว่ามี
สัตว์ประหลาดยักษ์ซ่อนตัวอยู่ใต้บึง คอยฉุดลากมันลงไป พลังดูดนี้รุนแรง
เสียจนจั่วม่อแทบยกแขนไม่ขึ้น ชั่วพริบตานั้น น้าโคลนท่วมสูงขึ้นมาถึงเข่า
บัดซบ!
จั่วม่อไม่ได้คาดฝัน ว่ามันกระทั่งเรี่ยวแรงจะตอบโต้ยังไม่มี!
Page 9 of 10
สายตาของมั น มองไปยั ง กงล้ อ ดาราจั ก รที่ ข้ อ มื อ มั น เพ่ ง จิ ต วู บ
ประกายดาราจักรหมุนคว้าง พุ่งวาบเข้าจู่โจมหุ่นโคลนอย่างเกรี้ยวกราด
หุ่นโคลนหัวร่อดัง ๆ พร้อมกันนัน
้ มันก็จมลงไปใต้บึงโคลน ร่างหายวับ
ไปทันควัน ประกายดาราจักรจู่โจมใส่ความว่างเปล่า
“น่าสนใจอยู่บ้าง” คราวนี้สุ้มเสียงดังมาจากด้านหลังจั่วม่อ เห็นหุ่น
โคลนปรากฏขึ้นอีกครั้ง ราวกับ เงาผี สุ้มเสียงของมันแฝงไว้ ด้ วยร่อ งรอย
ภาคภูมิลาพอง “ฟังว่ากงล้อดาราจักรของเจ้าสยบขนราชานกยูงอย่างราบ
คาบใช่ห รือไม่ ? ดูเหมือนว่าขนราชานกยูงเพียงมีช่ ือเสียงเกินจริงเท่านั้น
น่าผิดหวังยิ่งนัก”
จั่วม่อไม่โต้ตอบ ประกายดาราจักรเปลี่ยนเป็นลาแสงสายหนึ่ง จู่โจม
ใส่ด้านหลังของมันดุจสายฟ้าฟาด
แทบจะในเวลาเดียวกัน หุ่นโคลนพลันผุดขึ้นจากบึงโคลน กลับมาอยู่
ด้านหน้าของมันอีกครั้ง
“พลังฝีมือของเจ้ามีเพียงเท่านี้เองรึ ?” หุ่นโคลนมีทีท่าผิดหวังอยู่บ้าง
“หากเจ้าทาได้เพียงเท่านี้จริง ๆ เช่นนั้นวันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันครบรอบ
วันตายของเจ้าแล้ว!”
มั น เพี ย งกล่ า วจบค า หุ่ น โคลนตั ว แล้ ว ตั ว เล่ า ก็ ท ยอยผุ ด ขึ้ น จากบึ ง
โคลนอย่างไม่ขาดสาย
ในชั่วพริบตา เหล่าหุ่นโคลนก็เต็มพรืดแน่นขนัดดุจ ท้องทะเล ไม่ว่า
มองไปทางใด ล้วนเต็มไปด้วยหุ่นโคลนอันไร้ที่สิ้นสุด!
Page 10 of 10
บทที่ 612 อาคันตุกะปิศาจหุ่นโคลน
คนผู้นี้ไฉนซุ่มโจมตีมัน?
ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจจั่วม่อวูบหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไปทันควัน มัน
เพ่งตามองบรรดาหุ่นโคลนที่ผุดขึ้นจากบึงโคลน สังหรณ์อันตรายอย่างแรง
กล้าทาเอามันถึงกับขนลุกชี้ชันไปทั้งร่าง
เขตแดนของศัต รู ลึกลับผู้ นี้ แม้ไม่ส ดใสมากสีสัน เช่ นเขตแดนเนตร
นกยูงของเสิ่นอวี้ แต่จ่ัวม่อบังเกิดความรู้สึกว่ าเขตแดนของผู้อ่ ืนมี ค วาม
สมบูรณ์มากกว่าเสิ่นอวี้
ศั ต รู ผู้ นี้ ยั ง คร่ า โลกกว่ า เสิ่ น อวี้ ม าก มี ค วามสั น ทั ด จั ด เจนกว่ า อย่ า ง
เทียบกันไม่ติด นับตั้งแต่เปิดฉากลอบทาร้ายจนกระทั่งถึงยามนี้ ฝีมือของ
มันทั้งไม่ชักช้าและไม่รีบร้อน ควบคุมจังหวะของการต่อสู้ไว้ในกามืออย่าง
สมบูรณ์
นี่จึงเป็นจุดที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่สุด!
ยอดฝีมือ! ยอดฝีมือที่แท้จริง!
กงล้อดาราจักรหมุนคว้างกลับ คืนสู่มือของจั่ วม่อ แรงดึงดูดอัน กล้ า
แข็งคอยฉุดดึงจากใต้ฝ่าเท้า มุ่งมั่นรบกวนสมาธิของจั่วม่ออยู่ตลอดเวลา
ในบึงโคลนไม่มีพ้ น
ื ที่ให้หยั่งเท้า ไม่ว่าจั่วม่อจะมีพลังดุดันถึงเพียงไหน
ก็ไม่อาจใช้กาลังได้ เขตแดนบึงโคลนของผู้ลอบทาร้ายนับเป็นดาวข่มของ
Page 1 of 11
จั่วม่ออย่างสมบูรณ์ นี่เป็นการลอบทาร้ายที่วางแผนไว้เป็นเวลานาน ศัตรู
ศึกษาจุดอ่อนของมันมาเป็นอย่างดี
หลังจากเผชิญหน้ากันช่วงสั้น ๆ จั่วม่อพลันตระหนักแน่แก่ใจ มันตก
ลงไปในตาข่ายดักที่มีการเตรียมการอย่างเพียบพร้อม
อย่างไรก็ตาม เซี่ยวม่อเกอเป็นคนที่สามารถถูกผู้อ่ ืนเขมือบกลืนลงไป
ได้โดยง่ายหรือ?
กงล้อดาราจักรพอหวนกลับมาอยู่ในมือ พลันระเบิดคลื่นความร้อน
เป็นชั้น ๆ บรรดาน้าโคลนที่พวยพุ่งโจมตีเข้ามาล้วนถูกสกัดกั้นเอาไว้
จุ ด ประกายไฟทุ ก ดวงในกงล้ อ ดาราจั ก รล้ ว นแล้ ว แต่ ก่ อ ตั ว ขึ้ น จาก
พลังเทพสุริยัน!
ฝ่ายตรงข้ามแน่นอนว่าไม่ล่วงรู้ความจริงอันน่าแตกตื่นสะท้านโลก
ข้อนี้
นี่เป็นความผิดพลาดร้ายแรงของพวกมัน จั่วม่อแค่นยิ้มอย่างเย็นชา
มือขวาที่มีกงล้อดาราจักรทิ่มพรวดลงไปในบึงโคลนใต้ฝ่าเท้าของมั น ใน
บัดดล!
ตูม!
บึงโคลนใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนอย่างรุ นแรง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง
แหลมแทบหูดับ ไอน้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพลุ่งขึ้นไม่ขาดสาย ในสายตาของ
จั่วม่อปกคลุมด้วยหมอกไอน้าขาวมัวไปหมด
พลั ง ที่ น่ า เกรงขามที่ สุ ด ของบึ ง โคลนคื อ ความหยุ่ น เยื อ ก นี่ เ ป็ น
คุณสมบัติที่เกิดจากน้า
Page 2 of 11
น้ า เป็ น ดาวข่ ม ที่ ร้ า ยกาจที่ สุด ส าหรั บ เปลวไฟ แต่ ยั ง มี ค วามจริงอีก
ประการหนึ่งที่ตรงข้ามกัน นั่นคือหากเปลวไฟกล้าแข็งพอ จะกลับเป็นฝ่าย
ก าราบน้ า เสี ย เอง! กงล้ อ ดาราจั ก รของจั่ว ม่ อ ถือ กาเนิ ด ขึ้นจากพลัง เทพ
สุริยัน เปี่ ยมล้นไปด้วยพลังธาตุไฟที่ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน ในอดีตไม่รู้
ว่ามีวีรบุรุษผู้กล้าแห่งชนเผ่ามากมายเท่าใด ที่ต้องถูกเผาผลาญเป็นเถ้าธุลี
ภายใต้พลังเทพสุริยัน!
รอจนประกายไฟดาราจั ก รบุ ก เข้ า ไปในบึ ง โคลน พลั ง ธาตุ ไ ฟสุ ด
อหังการแห่งพลังเทพสุริยัน ก็ต่ น
ื ขึ้นอย่างสมบูรณ์
ภายในชั่ ว พริ บ ตา ประกายไฟทุ ก จุ ด ขยายตั ว พรวดพราด กลั บ
กลายเป็นลูกไฟมากมายสุดคณานับ ประดุจทะเลเพลิงกัลป์สุดหฤโหด กง
ล้อดาราจักรอาละวาดอยู่ใต้บึงโคลนอย่างเกรี้ยวกราด ไม่ว่าผ่านไปยังที่ใด
ความชุ่ ม ชื้ นในบึ ง โคลนล้ ว นระเหยแห้ ง ไป เมื่ อพื้ นโคลนที่ แ ห้ ง เหื อ ด
เหล่านั้นถูกคลื่นเปลวไฟกวาดผ่าน พลันหลอมละลาย แล้วจับตัวกลายเป็น
ผลึกแก้วกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
หากมีคนมองลงมาจากบนท้องฟ้า จะเห็นคลื่นความร้อนกวาดวาบ
ออกทุ ก ทิ ศ ทางอย่ า งเร่ ง ร้ อ น โดยยึ ด ถื อ จั่ ว ม่ อ เป็ น จุ ด ศู น ย์ ก ลาง ทุ ก ที่ ที่
กวาดผ่าน หุ่นโคลนคล้ายกลับกลายเป็นอัมพาต ยืนตัวแข็งทื่อเป็นแท่งดิน
โคลนแห้ง ๆ สูญเสียความชุ่มชื้นทุกหยาดหยดไปจนหมดสิ้น
หุ่นโคลนตกตะลึงพรึงเพริด คิดหลบลี้หนีหน้าในบัดดล แต่พลังเทพ
สุริยันไหนเคยเคยอนุญาตให้ศัตรู หลบหนี ก่อนที่หุ่นโคลนจะทันได้ดีดกาย
ออกจากบึงโคลน พลังเทพสุริยันสุดแกร่งกร้าวพลันกวาดวาบมาถึงตัวมัน
Page 3 of 11
ต่ อ หน้ า ต่ อ ตาจั่ ว ม่ อ หุ่ น โคลนแห้ ง เหื อ ดลงด้ ว ยระดั บ ความเร็ ว ที่
มองเห็นได้ชัดตา กลายเป็นรูปปั้ นดินที่มีสารรูปทุเรศทุรังตัวหนึ่ง
จากนั้นรู ปปั้ นดินเริ่มแตกสลาย ราวกับว่าผุกร่อนกลายเป็นเม็ดทราย
เศษชิ้นส่วนรู ปปั้ นกะเทาะร่วงลงบนพื้น แล้วแหลกลาญเป็นฝุ่นธุลี ระดับ
ความเร็วของการแตกสลายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดมันก็ไม่อาจแบก
รับน้าหนักของตนได้อีก ทรุดฮวบลงกลายเป็นฝุ่นดินกองหนึ่ง
ตูม!
บนบึ ง โคลนแห้ ง ผาก หุ่ น โคลนมากมายนั บ ไม่ ถ้ ว นคล้ า ยได้ รั บ
สัญญาณ ยุบตัวลงป่นสลายอย่างพร้อมเพรียง
ภาพเหตุการณ์นี้ตระการตาน่าดูชมยิ่ง
เสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งที่อยู่บนหลังจั่วม่อ พากันเบิกตามองอย่างโง่งม
ศิษย์พี่จ่ว
ั ม่อ... ... มีพลังฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้... ...
เห็นกงล้อดาราจักรระเบิดออกมาจากบึงโคลนแห้งๆ หวนคืนสู่ข้อมือ
ของจั่วม่ออีกครั้ง ทันทีที่กาไลข้อมือชิ้นนี้กลับมา จั่วม่อพบว่าสีสันของกง
ล้อดาราจักรหม่นหมองลงกว่าเดิมมาก
ภาพรอบข้างกลับคืนสู่สภาพปกติ
ท้ อ งถนนยั ง คงคึ ก คั ก จอแจดุ จ เดิ ม ผู้ ค นที่ เ ดิ น ผ่ า นไปผ่ า นมาไม่ ไ ด้
รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ว่าเมื่อครู่เพิ่งเกิดการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยความเป็น
ความตายอุบัติขึ้นใกล้ ๆ พวกมัน
มีเพียงเศษโคลนหย่อมหนึ่งที่เปื้อนอยู่บนพื้นตรงหน้าจั่วม่อเท่านั้น
เป็นเครื่องยืนยันถึงการต่อสู้อันดุเดือดที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นสายลมกระโชก
Page 4 of 11
ผ่ า นมาโดยบั ง เอิ ญ พั ด พาเอาฝุ่ น ผงฟุ้ ง กระจายขึ้ น แล้ ว หายลั บ ไปใน
อากาศ
จั่ ว ม่ อ ไม่ ไ ด้ มี สี ห น้ า ภาคภู มิ ใ จ เพี ย งกวาดตาส ารวจรอบข้ า งอย่ า ง
ระมัดระวัง จากนั้นไม่เอ่ยคาที่สอง เริ่มโถมทะยานหายลับไปในบัดดล
จั่วม่อเร่งฝีเท้ากลับถึงที่พานักโดยไม่เผชิญพบปัญหาอื่นอีก
Page 5 of 11
รอจนมันเข้าสู่เคหะสถาน เห็นซู่ห ลงกับพวกทั้ งหลาย ในที่สุดค่ อ ย
ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ทุกผู้คนมองดูเสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งที่จ่ัวม่อ
แบกมาด้วย แต่ล้วนรู้ความเป็นอย่างดี ไม่มีผู้ใดปริปากถามอันใด
เมื่อพวกมันเข้าไปถึงด้านในของคฤหาสน์ จั่วม่อค่อยคลายใจลงอย่าง
สมบูรณ์
เสี่ยวกั่วเอ่ยปากอย่างขลาดเขลา “ศิษย์พี่... ...”
จั่วม่อก้มลงมองนาง แย้มยิ้มให้เสี่ยวกั่วอย่างอ่อนโยน “เจ้าหวาดกลัว
หรือไม่?”
“หวาดกลั ว อยู่ บ้ า ง” เสี่ ย วกั่ ว พยั ก หน้ า อย่ า งขลาดอาย นางคล้ า ย
ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่อยู่บนภูเขาสุญตา ศิษย์พี่ผู้เฝ้าปกป้องคุ้มครอง
นางได้หวนกลับมาอยู่ข้างกายนางแล้ว นางแทบไม่แน่ใจว่าเป็นความจริง
หรือความฝัน ไม่ทราบเพราะเหตุใด นางเริ่มขอบตาแดงระเรื่อ สุ้มเสียง
แหบพร่าสั่นสะท้าน “ศิษย์พี่ ...พลังฝีมือกล้าแข็งยิ่ง... ...”
หลี่อิงฟ่งก็ดวงตาแดงระเรื่อเช่นกัน หลังจากที่พวกอาจารย์ท้ังสี่ถูก
คุนหลุนบังคับจากไป สิ่งที่พวกนางเผชิญประดุจฝันร้ายที่ยังติดตามหลอก
หลอนไม่คลาย อย่างไรก็ต าม นางพยายามฝืนทาใจให้เข้มแข็ง กล่าวว่า
“ศิษย์พี่ หากท่านมีเรื่องวุ่น วายต้อ งจัด การก็ไ ม่จ าเป็นต้องห่ ว งกั ง วล กั บ
พวกเรา ไปกระทาเรื่องสาคัญของท่านก่อนเถอะ”
นางเห็นผู้คนในลานบ้านพากันคารวะจั่วม่ออย่างพร้อมหน้า ไม่เว้น
แม้แต่คนเดียว แม้ว่านางจะตื่นตะลึงจนสุดระงับ แต่ก็เข้าใจทันทีว่าจั่วม่อ
Page 6 of 11
เป็นผู้นาของกองกาลังนี้ การลอบทาร้ายบนท้องถนนเมื่อสักครู่ไม่ใช่เรื่อง
ปกติ ศิษย์พี่จ่ว
ั ม่อแน่นอนว่ามีเรื่องจะต้องจัดการ
“เช่นนัน
้ พวกเจ้าพักผ่อนสักครู่ วางใจเถอะ มีข้าอยู่ที่นี่ไม่มีใครทาร้าย
พวกเจ้าได้อีกแล้ว อีกประการหนึ่ง พวกเจ้าควรเตรียมตัวให้พร้อม พวก
เราอาจจะไปจากสถานที่แห่งนี้ในทันที” จั่วม่อกล่าวเสียงหนักอึ้งเคร่งขรึม
จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปทางด้านนอก
ซู่หลงพอเห็นจั่วม่อกลับเข้ามาในลาน รีบตรงเข้ารับหน้า “ต้าเหริน!”
จั่วม่อถามอย่างไม่อ้อมค้อม “ทุกคนอยู่กันครบหรือไม่?”
ซู่หลงงงงันวูบ แต่แล้วพลันตระหนักในทันที ต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่
หลังจากขบคิดอยู่ชั่วอึดใจ ค่อยตอบว่า “อาเหวิ น หนานเยว่ คังเจ๋อ หมิง
เจวี๋ยจื่อ เจ้าควันดาและอสูรผมส้มล้วนพากันไปยังหลักศิลาทักษะปิศาจ”
“ส่งคนไปตามพวกมันกลับมาทันที” จั่วม่อกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ให้ทุก
คนเตรียมตัวเก็บข้าวของ เมื่อพวกมันกลับมา เราจะไปจากที่นี่ในบัดดล!”
“ขอรั บ !” ซู่ ห ลงฟั ง ออกถึ ง ความร้ อ นรุ่ ม ในค าสั่ ง เหล่ า นี้ โดยไม่
เสียเวลาเอ่ยคาที่สอง มันหมุนตัวออกไปดาเนินการทันที
จั่วม่อสีหน้าดาทะมึน มันบังเกิดความรู้สึกว่าวังวนมหึมาที่มันไม่อาจ
มองเห็นได้ กาลังคุกคามใกล้เข้ามาทุกขณะ... ...
บางทีอาจใกล้ยิ่งกว่าที่มันคิด!
อสู ร ควั น ด าศึ ก ษาเคล็ ด ความบนแท่ น หิ น เบื้ องหน้ า อย่ า งเลื่ อมใส
ศรัทธา มันผู้นี้แม้พลังฝีมือไม่โดดเด่น แต่มีความจาดีเยี่ยม ไม่เคยลืมเลือน
Page 7 of 11
สิ่งที่ผ่านตา หลายวันมานี้มันเอาแต่วนเวียนไปตามหลักศิล าทักษะปิ ศาจ
แทบทุกต้น
แต่ว่า... ...
สายตาของมันมองไปยังอาเหวินกับต้าเฉิง (เจ้าส้มใหญ่) อาเหวินไม่
แยแสสนใจสภาพรอบข้ างแม้ แต่น้ อย มือไม้กรีดวาดไปตามจิต ใต้ ส านึ ก
ภายใต้กระบวนท่าราบเรียบธรรมดาเหล่านี้ กระทั่งอสูรควันดายังสามารถ
มองเห็นถึงร่องรอยความลึกซึ้งที่แฝงเร้นอยู่ภายใน ส่วนต้าเฉิงกลับผิดแผก
แตกต่ า งไปคนละทาง เห็ น มั น เดิ น พล่ า นอยู่ ห น้ า แท่ น หิ น ประดุ จ มดบน
กระทะร้ อ น บางที จิ ก ทึ้ ง ผมเผ้ า ของตน บางคราแหงนหน้ า พึ ม พ ากั บ
ท้องฟ้า เรือนผมสีส้มของมันยามนี้ดูคล้ายรังนกอันยุ่งเหยิง ดูเหมือนว่ามัน
ไม่อาจนั่งนิ่ง ๆ ได้แม้สักชั่วครู่ชั่วยาม ดู ๆ ไปคล้ายใกล้จะเสียสติอยู่รอมร่อ
สายฟ้าเอย เศษน้าแข็งเอย เปลวไฟเอย พากันปะทุออกมารอบกายมั น
เป็นระยะ น่าสะพรึงกลัวยิ่ง บันดาลให้หลักศิลาทักษะปิศาจรอบตัวมันว่าง
เปล่าอย่างสิ้นเชิง ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้
สองคนนี้เป็นตัวประหลาดคู่หนึ่ง!
อสูรควันดารู้สึกอิจฉาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง สองคนนี้มีพรสวรรค์มาก
ที่สุดในกลุ่ม
มันยังไม่รู้จักคุ้นเคยกับอาเหวินสักเท่าใด แต่สาหรับต้าเฉิง เจ้าคนที่
สมองผิ ด ปกติ ผู้ นี้ ก ลั บ มี พ รสวรรค์ อั น ยิ่ ง ใหญ่ จะไม่ ใ ห้ มั น อิ จ ฉาเลื่ อมใส
อ ย่ า ง สุ ดซึ้ ง ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร แ ต่ อิ จ ฉ า เ ลื่ อ ม ใ ส ก็ ส่ ว น อิ จ ฉ า เ ลื่ อ ม ใ ส ใ น
ขณะเดียวกันมันก็ ยิน ดีไ ปกั บต้ าเฉิง ด้ วย ซึ่งความจริงนับตั้ ง แต่ค รั้ ง ที่ มั น
Page 8 of 11
แรกพบบันทึกเคล็ดวิชา มันก็ ล่วงรู้แล้วว่าต้าเฉิงมีพรสวรรค์เหนือล้ า กว่า
มันมาก นี่เป็นเหตุผลว่ามันไฉนเพียรพยายามฉุดลากต้าเฉิงเดินทางมายัง
เมืองมหาสันติกับมันด้วย
อย่างไรก็ต าม อสูรควันดายัง ค้นพบว่ าหลัก ศิล าทั กษะปิศ าจทุ ก ต้ น
ล้ ว นสลั ก ลึ ก อยู่ ใ นใจมั น มั น สั ง เกตเห็ น สิ่ ง ที่ ผู้ อ่ ื นพากั น มองข้ า มอย่ า ง
รวดเร็ว นั่นคือบนหลักศิลาบางต้น บางครั้งจะปรากฏประโยคบรรยายใน
เรื่ อ งราวบางประการ ประโยคเหล่ า นี้ ไ ม่ ย าวนั ก ดู เ หมื อ นประโยคปกติ
ทั่วไป บ้างเกี่ยวข้องกับปรัชญา บ้างก็ยากที่จะเข้าใจ
แต่ อ สู ร ควั น ด าเป็ น บุ ค คลที่ มี จิ ต ใจละเอี ย ดอ่ อ นยิ่ ง มั น เมื่ อ ค้ น พบ
ประโยคเหล่านี้ พลันฉุกคิดถึงบันทึกที่มันพบโดยบังเอิญเมื่อครั้งกระโน้น
ประโยคที่ ค ลั บ คล้ า ยกั น นี้ ก็ เ คยปรากฏขึ้ น ในบั น ทึ ก ด้ ว ย บั น ทึ ก ยั ง
กล่าวว่าซือจื่อหมิงติดตามค้นหาบางสิง่ มาโดยตลอด ท่านเดินทางไปทั่วทั้ง
แดนอสูร ภพปิศาจและโลกแห่งซิวเจ่อเพื่อค้นหาของสิ่งนี้ ผู้ติดตามแม้ไม่
ล่วงรู้ว่าซือจื่อหมิงกาลังค้นหาสิ่งใด แต่ยังเฝ้าคัดลอกสิ่งที่ซือจื่อหมิงเคย
กล่าวลงไปในบันทึกอย่างสัตย์ซ่ อ
ื
ถ้ อ ยค าและประโยคที่ ป รากฏอยู่ บ นหลั ก ศิ ล า มี แ บบฉบั บ ที่ ค ล้ า ย
เหมือนกับสิ่งที่อยู่ในบันทึก
หรือว่ามีความลับซ่อนอยู่ในถ้อยคาเหล่านี้?
นี่คือความคิดประการแรกที่ผุดขึ้นในใจของอสูรควันดา ความคิดนี้ทา
ให้มันลิงโลดยินดีสุดระงับ คนผู้นี้แม้พลังฝึกปรือไม่เลอเลิศเท่าอสูรผมสีส้ม
แต่สติปัญญาของมันเด่นล้าเหนือผู้ใด
Page 9 of 11
ประโยคเหล่ า นี้ ก ระจั ด กระจายอยู่ บ นหลั ก ศิ ล า ไม่ เ คยดึ ง ดู ด ความ
สนใจของผู้คน ประดุจความลับที่ยังไม่เ คยมี ใครล่ วงรู้ ดึงดูดสมาธิจิต ใจ
ของมันอย่างลึกล้า
มันรีบจัดเรียงหลักศิล าทั้งหมดอยู่ในจิตใจ เวลานี้ความจาอันล้า เลิศ
ของมันมีบทบาทเป็นอย่างยิ่ง ในไม่ช้า มันก็ค่อยๆ เลือกเฟ้นประโยคที่ไม่
เกี่ยวข้องกับวิธีฝึกฝีมือทั้งหมดออกมาจากเคล็ดความบนหลักศิลา
ดังนั้นเอง มันก็ค้นพบอย่างรวดเร็ว ประโยคเหล่านี้มีอยู่หลายประโยค
ที่ปรากฏอยู่ในบันทึกฉบับนั้นเช่นกัน
ผลลัพธ์ที่ได้ยิ่งทาให้อสูรควันดาตื่นเต้นยินดีกว่า เดิม ช่วงเวลาของ
บันทึกฉบั บนั้น สมควรเป็นช่วงเวลาที่ซื อจื่อหมิ งสัญจรไปทั่ วทั้ งสามภพ
ซือจื่อหมิงเคยกล่าวประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านี้ระหว่างที่เดินทางท่อง
โลก และหลังจากนั้นหลายปี ซือจื่อหมิงจึงค่อยสร้างนครมหาสันติขึ้น ทั้ง
ยังสลักประโยคเดียวกันเหล่านี้ แทรกเอาไว้ในเคล็ดคามบนหลักศิลาทักษะ
ปิศาจ
นี่ย่อมมิใช่เหตุบังเอิญ!
ภายในประโยคเหล่านี้ แน่นอนว่าต้องแฝงความหมายอันลึกล้ าที่ ไม่
เคยมีผู้ใดล่วงรู้เอาไว้!
หวนคิดถึงหอสมบัติมหาสันติที่กาลังเป็นที่โจษจันของผู้คน อสูรควัน
ดาหัวใจกระตุกวูบ หรือว่า...ประโยคเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหอสมบัติ
มหาสันติ?
Page 10 of 11
เมื่อมันได้ยินข่าวลือนี้เป็นครั้งแรก มันก็เริ่มสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับหอ
สมบัติมหาสันติ ว่ากันว่าในนครมหาสันติยุคแรกเริ่ม หอสมบัติหลังนี้ยังมี
ตัวตนอยู่จริง แต่ท้ายที่สุดซือจื่อหมิงได้ปิดผนึกมันเอาไว้ จึงค่อยๆ เลือน
หายไปจากความทรงจาของผู้คน
ซือจื่อหมิงไฉนต้องปิดผนึกหอสมบัติมหาสันติเอาไว้ ? ภายในมีสมบัติ
อยู่จริงหรือไม่?
นี่คือปริศนาที่ไม่เคยมีผู้ใดขบคิดออก
อสูรควันดาเมื่ อค่ อย ๆ ขบคิดตีความประโยคที่มัน ค้น พบจากหลั ก
ศิลาอย่างถี่ถ้วน มันคล้ายพบเห็นเบาะแสเงื่อนงา ที่เชื่อมโยงถึงกันด้วยเส้น
ความสัมพันธ์ที่แทบจะมองไม่เห็น
Page 11 of 11
บทที่ 613 สมรู้ร่วมคิด
Page 1 of 11
เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ด้วยฐานะแม่ทัพผู้ยอมสวามิภักดิ์ อาซาเก๋อทราบดี
หากมันต้องการต าแหน่งแห่งที่อันมั่นคงในขุมก าลังนี้ มีแต่ต้องออกแรง
แข็งขันมากกว่าผู้อ่ น
ื ถึงตอนนี้มันเต็มไปด้วยความเชื่อมัน
่ ในขุมกาลังที่มัน
สังกัด เชื่อมั่นในพลังอานาจและความมีชีวิตชีวาอย่างเปี่ ยมล้น ฝีมือที่กอง
พันของพวกมันแสดงออกมา จะเป็นสิ่งที่กาหนดผลประโยชน์ของตระกูล
ของมั น โดยตรง ดั ง นั้ น ทั้ ง อาซาเก๋ อ และกองทั พ ของมั นล้ ว นสู้ต ายถวาย
ชีวิต
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าอาซาเก๋อก็ค้นพบว่า แม่นางน้อยต้าเหรินมิได้
เห็นพวกมันเป็นอาหารสัต ว์ก ระสุนปืน ใหญ่ แม้ แต่น้อ ย เมื่อใดที่พ วกมั น
เผชิญพบกับกองทัพอันทรงพลัง ค่ายจูเชวี่ยจะบุกทะลวงอยู่ข้างหน้าพวก
มันเสมอ
อาซาเก๋อได้แต่สานึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
ในแดนปิศาจ เข้มแข็งกลืนกิน อ่อนแอเป็นเรื่องธรรมชาติ กองทัพที่
ยอมจานนเช่นพวกมัน โดยทั่วไปมักถูกใช้ให้ออกรบที่แนวหน้า ต้องดิ้นรน
เอาชีวิตรอดอยู่ในต าแหน่งที่อันตรายที่สุด อัตราการเสียชีวิตสูงยิ่ง ทั้งยัง
ได้รับเสบียงและยุทโธปกรณ์ที่ย่าแย่ที่สุด ไม่มีผู้ใดแยแสสนใจความเป็น
ความตายของพวกมัน
แต่ที่นี่ แม่นางน้อยต้าเหรินไม่เคยมีอคติต่อพวกมัน บ่อยครั้งที่มักจะ
ดูแลและชี้แนะสั่งสอนพวกมัน พวกมันไม่จาเป็นต้องกังวลว่าจะต้องถูกใช้
เป็นอาหารสัตว์กระสุนปืนใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีผู้ใดชิงชังรังเกียจพวก
มันเพียงเพราะว่าพวกมันเป็นเผ่าปิศาจ
Page 2 of 11
ทุกคนจารึกหนี้บุญคุณและความตื้นตันนี้ไว้ในหัวใจของพวกมัน
อาซาเก๋อจดจา เหล่าไพร่พลของมันก็จดจาเอาไว้เช่นกัน สิ่งที่พวกมัน
จะสามารถตอบแทนพระคุณนี้ได้ ก็มีแต่การสู้ตายถวายชีวิตเท่านัน
้
แต่แม้ว่าค่ายจูเชวี่ยจะบุกนาไปข้างหน้าในการรบส่วนใหญ่ ทว่ากอง
พั น อาซาเก๋ อ เองก็ ต้ อ งเผชิ ญศึ ก หนั ก หลายครั้ ง หลายหน ในขณะที่
สภาพการณ์ในภพปิศาจทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กองทัพในแต่ละ
พื้นที่ที่ยังเหลือรอดมาได้ ก็ย่อมต้องมีพลังฝีมือกล้าแข็งขึ้นเป็นลาดับ ผู้นา
ของขุมกาลังแต่ละฝ่ายล้วนทราบกระจ่าง หากไม่มีกองทัพที่กล้าแข็ง ใน
กลียุคเช่นนี้พวกมันไม่มีทางเอาชีวิตรอดไปได้
การศึกเก้าครั้งที่พวกมันเผชิญไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เทียบกับค่ายจูเชวี่ย
ที่แกร่งกล้าเกรียงไกรแล้ว กองพันอาซาเก๋อมีช่วงเวลาที่ยากล าบากกว่า
มาก ไพร่พลในกองทัพล้มตายไปมากกว่าหนึ่งในหก
แต่พลังโดยรวมของกองทัพที่หลงเหลือ ก็ทวีความกล้าแข็งขึ้น อย่าง
รวดเร็ว
กองทัพชั้นยอดทุกทัพ ล้วนเพาะสร้างขึ้นจากการต่อสู้อันยากล าบาก
นับครั้งไม่ถ้วน นี่ไม่ใช่คาลวง หลังจากการศึกอันดุเดือดหลายครั้งหลายหน
ในที่ สุ ด กองพั น อาซาเก๋ อ ค่ อ ยเพาะสร้ า งก าลัง ขวั ญ ของกองทั พ ชั้ น ยอด
ขึ้นมา ไพร่พลทุกนายมีท่วงท่าสภาวะอันหนักแน่นมั่นคง ความสามารถใน
การร่วมมือประสานงานของพวกมันดีขึ้นมาก อัต ราการบาดเจ็บเจ็บล้ ม
ตายก็ลดน้อยลงไปมาก ในการศึกครั้งล่าสุดมีไพร่พลเสียชีวิตเพียงเก้าคน
เท่านัน
้
Page 3 of 11
แม้ ว่ า พวกมั น เพิ่ ง จะเดิ น ทางผ่ า นมาไม่ ถึ ง หนึ่ ง ในสี่ ข องระยะทาง
ทั้งหมด แต่ทุกผู้คนเต็มไปด้วยความเชื่อมัน
่ อย่างเปี่ ยมล้น
“ทุกคนตั้งค่าย พักผ่อนหนึ่งคืน รุ่งเช้าเราจะออกเดินทางต่อ”
ท่ า มกลางแสงอาทิ ต ย์ อั ส ดง ค าสั่ ง ของแม่ นางน้ อยดั ง กั งวานไปทั่ว
สมรภูมิอันเงียบสงัด
“ว่ากระไร?” เสียงคารามของเจี้ยจู่แห่งอาณาจักรสาเนียงโรยดังสนั่น
ลั่นห้อง ต่อให้อยู่ห่างไกลยังได้ยินชัดเจน
“ต้าเหริน! นี่เป็นเรื่องจริง! กองพันตงหลู่แห่งอาณาจักรตงหลู่ เพียง
ต้ า นรั บ ได้ ไ ม่ ถึ ง ครึ่ ง ชั่ ว ยามเท่ า นั้ น !” ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ชาสุ้ ม เสี ย งสั่น ระริก
“ผู้น้อยเห็นกับตา! นี่เป็นความสัตย์จริง!”
“ครึ่งชั่วยาม?” เจี้ยจู่สีหน้าแข็งทื่อ
ชั่วอึดใจให้หลัง มันค่อยพึมพาออกมาอย่างเหลือเชื่อ “จะเป็นไปได้
อย่างไร? ด้วยพลังอันเข้มแข็งของกองพันตงหลู่ ไฉน... ...”
มันทราบกระจ่างใจเป็นอย่างดี กองพันตงหลู่แข็งแกร่งเทียบเท่า กับ
กองพันที่เข้มแข็งที่สุดภายใต้ร่มธงของมัน กองพันตงหลู่นั้นถึงกับพินาศ
สิ้นภายในครึ่งชั่วยาม! กองทัพที่จู่ ๆ ก็ผุดออกมาจากที่ใดไม่ทราบนี้ ที่แท้
แข็งแกร่งถึงระดับใด?
“ต้าเหริน! ยังมีอีก...” ผู้ใต้บังคับบัญชานั้นรีบกล่าวเร็วปรื๋อ “กองทัพ
ที่ไม่ทราบที่มานี้ ไม่ได้ยึดครองอาณาจักรตงหลู่!”
Page 4 of 11
“ไม่ได้ยึดครองอาณาจักรตงหลู่ ?” เจี้ยจู่ค่อยได้ส ติ ทวนคาอย่างไม่
เชื่ อ หู แล้ ว ถามอย่ า งสงสั ย ใคร่ รู้ “พวกมั น ไฉนไม่ ยึ ด ครองอาณาจั ก รตง
หลู่?”
“ผู้น้อยก็ขบคิดไม่เข้าใจเช่นกัน ตามที่ผู้น้อยได้ยินมา พวกมันแม้บุก
ทะลวงผ่ า นหลายอาณาจั ก รโดยไร้ ผู้ ต้ า นติ ด แต่ ก ลั บ ไม่ ไ ด้ ยึ ด ครอง
อาณาจั ก รใดตามรายทาง ผู้ น้ อ ยจึ ง คาดเดาว่ า ...พวกมั น ใช่ ก าลั ง เร่ ง รุ ด
เดิ น ทางหรื อ ไม่ ! ผู้ น้ อ ยยั ง จั บ ตั ว ผู้ เ หลื อ รอดจากกองพั น ตงหลู่ ม าได้
หลังจากสอบสวนก็พบว่า เดิมทีกองทัพนี้ร้องขอต่อกองพันตงหลู่เ พื่อขอ
ผ่านทางไป แต่กองพันตงหลู่ไม่ยินยอม จากนั้นพวกมันก็โจมตีกองพันตง
หลู่ในบัดดล!”
“พวกมันเพียงแค่ขอผ่านทาง?” เจี้ยจู่รู้สึกราวกับว่าได้ฟังเรื่องล้อเล่น
“ผู้น้อยก็เชื่อเช่นนัน
้ ”
“ข้าไม่อาจเชื่อได้ลง... ...”
“ต้าเหริน! กองทัพมัจจุราชนี้ระหว่างทางพิชิตเก้าทัพอย่างราบคาบ!
พวกมันแข็งแกร่งเสียจนสามารถจั ดอยู่ ในห้ าสิบล าดับ แรกของท าเนี ย บ
กองพั น แห่ ง ดิ น แดนร้ อ ยเถื่ อน! หากพวกมั น ต้ อ งการโจมตี อ าณาจั ก ร
สาเนียงโรยของเราจริง ผู้น้อยเกรงว่า... ...” บริวารผู้นั้นไม่กล้ากล่าวสืบต่อ
แต่วาจานี้แท้ที่จริงก็ไม่จาเป็นต้องกล่าวแล้ว
เจี้ยจู่ลังเลใจอยู่เป็นนาน ก่อนจะกัดฟันออกคาสั่งว่ า “ปล่อยให้พวก
มันผ่านไป ตระเตรียมกองทัพของเราให้พร้อมในกรณีที่เจ้าคาดเดาผิด แต่
อย่าได้ลงมือขัดขวางพวกมันก่อนเป็นอันขาด!”
Page 5 of 11
... ...
จั่วม่อสีหน้าย่าแย่ยิ่ง
อาเหวินกับพวกทั้งหกหายตัวไปอย่างกะทันหัน คนของค่ายเว่ยค้นหา
ทั่วป่าศิลาทุกซอกทุกมุม แต่ไม่พบร่องรอยของพวกอาเหวินแม้แต่เงา เมื่อ
เพิ่งเผชิญกับการลอบทาร้ายมาหมาด ๆ ปฏิกิริยาแรกและข้อสรุ ปที่จ่ว
ั ม่อ
คิดได้ก็คือ ใช่มีคนลอบทาร้ายพวกมันหรือไม่?
แต่ในไม่ช้ามันก็สั่นศีรษะ พวกอาเหวินมีกันอยู่ต้งั หกคน หากพวกมัน
ถูกจู่โจมทาร้าย ย่อมไม่มีทางที่จะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ค่า ยเว่ยเที่ยวค้นหา
พวกมั น ไปทั่ ว ทั้ ง ยั ง สอบผู้ ค นในป่ า ศิ ล ามากมาย คนเหล่ า นั้ น ล้ ว นผงก
ศีรษะ บอกว่าพวกอาเหวินอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก อสูรผมสีส้มยังโดดเด่นสะดุด
ตายิ่ง ผู้คนจดจาได้ไม่ลืมเลือน
แต่กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกมันจู่ ๆ หายสาบสูญไปได้อย่างไร
หากมี ค นต้ อ งการลั ก พาตั ว คนทั้ ง หกโดยไม่ ทิ้ ง ร่ อ งรอยใดเอาไว้ มี
ความเป็นไปได้เพียงประการเดียว นั่นคือผู้ลอบโจมตีล้วนเป็นชนชั้นยอด
ฝีมือ ชิงลงมือก่อนที่พวกมันจะทันได้ตอบสนอง มิห นาซ้าฝ่ายลอบโจมตี
ยังต้องมีจานวนคนไม่น้อยกว่าพวกอาเหวินทั้งหกด้วย ซึ่งฟังดูแล้วเป็นไป
ได้ค่อนข้างยาก
กระทั่งในคุกสิบนิ้วก็ไม่มีร่องรอยของหนานเยว่กับพวกทั้งสาม
“มีคนมุ่งเป้ามาที่เจ้า” ผูเยากล่าวอย่างเย็นชา
“เริ่มต้นจากหนานเหมินเสวี่ย เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นติดต่อตามกันเป็น
ชุด นับว่าไม่ถูกต้องจริง ๆ” เว่ยกล่าวเสริมมาจากทางด้านข้าง
Page 6 of 11
“ข้าจะไปหาหนานเหมินเสวี่ย!” จั่วม่อขบคิดชั่ววูบ แล้วกล่าวอย่าง
ร้อนรุ่ม
“ไม่มีประโยชน์อันใด” ผูเยาสั่นศีรษะ “หนานเหมินเสวี่ย เห็นได้ชัด
ว่ า เป็ น ตั ว หมากที่ โ ยนออกมาเพื่ อก่ อ กวนเรื่ อ งราวให้ สั บ สน มั น อาจจะ
กระทาไปด้วยข้อตกลงประการหนึ่งเท่านั้น อาจไม่ล่วงรู้อันใดเลยด้วยซ้า”
“แล้วเจ้ามีวิธีการใด?” จั่วม่อระงับความคิดฆ่าฟันที่อัดแน่นอยู่ในอก
หันไปขอความเห็นจากผูเยา
ผูเยากล่าวว่า “วิธีที่ดีที่สุดคือไม่ต้ องทาอะไรเลย เพียงรักษาความ
สงบเอาไว้ก็พอ”
เว่ ย ช่ ว ยแยกแยะว่ า “หากพวกอาเหวิ น ถู ก คนลั ก พาตั ว ไปจริ ง ๆ
เป้าหมายของศัตรู ก็คือเจ้า ไม่ว่าพวกมันมีข้อเรีย กร้องใดพวกมันก็ต้องมา
หาเจ้า เจ้าเพียงแค่สงบใจรอคอยเท่านัน
้ ”
จั่วม่อขบคิดชั่วครู่ จากนั้นยอมรับว่าทั้งสองคนกล่าวไม่ผิด จึงฝืนสงบ
ใจลง
มันพลันรู้สึกว่ามันไฉนโง่งมถึงเพียงนี้ ในแง่ข องการวางแผนร้ายยัง
จะมีใครหน้าไหนสันทัดจัดเจนไปกว่าโจรเฒ่าทั้งสองนี้อีกเล่า มันไยต้องมา
เสียเวลาครุ่นคิดด้วยตัวเอง?
“เจ้ า บอกว่ า พวกมั น มุ่ ง เป้ า ที่ ม าข้ า ? เพราะเหตุ ใ ดกั น ?” จั่ ว ม่ อ
ตัดสินใจโยนปัญหาไปให้แก่สองโจรเฒ่า
ดวงตาสีเลือดของผูเยาสาดประกายโลหิตเต้นระริก มันคล้ายมีสีหน้า
ตื่นเต้นเร้าใจเล็กน้อ ย นานมากแล้ว ที่ไ ม่ไ ด้ พบเจอเรื่อ งน่ าตื่นเต้ น เร้ า ใจ
Page 7 of 11
เช่นนี้ ในใจครุ่นคิดเร็วรี่ จากนั้นแยกแยะว่า “ประการแรก แน่นอนว่าไม่ใช่
ทาไปเพราะหนี้แค้น การลอบทาร้ายในวันนี้ แท้ที่จริงไม่ได้พยายามลอบ
สังหารเจ้า พวกมันต้องการจับเป็นเจ้าต่างหาก”
จั่ ว ม่ อ หวนคิ ด ทบทวนดู พลั น พบว่ า มี เ หตุ ผ ล “มิ ผิ ด เจ้ า เมื่ อ กล่ า ว
เช่นนี้ ข้าก็นึกออกแล้ว มันไม่ได้ใช้กระบวนท่าสังหารแม้แต่ท่าเดียว”
“มันต้องการคร่ากุมเจ้า แต่ไม่ได้คิดฆ่าฟัน ดังนั้นโอกาสที่เรื่องจะจาก
เกิดจากหนี้แค้นก็มีไม่มากนัก เช่นนั้นย่อมหลงเหลือเพียงประการเดียว นั่น
คื อ เจ้ า ต้ อ งมี บ างสิ่ ง ที่ พ วกมั น ต้ อ งการ หรื อ ไม่ ก็ พ วกมั น ต้ อ งการให้ เ จ้ า
กระทาบางสิ่งให้แก่พวกมัน”
สมกั บ ที่ เ ป็ น โจรเฒ่ า ผู้ อ าละวาดมาหลายพั น ปี เพี ย งกล่ า วไม่ กี่ ค า
จั่วม่อรู้สึกว่าความคิดกระจ่างชัดขึ้นมากในทันที
“สิง่ ใดที่ข้ามี? ข้าสามารถกระทาเรื่องอันใด?”
“เจ้าย่อมมีห ลายสิ่งที่ผู้คนปรารถนา อย่างเช่นพลังเทพ หรือเมล็ ด
ผลึ ก สุ ริ ยั น ล้ ว นเป็ น สิ่ ง ที่ ทุ ก ผู้ ค นไม่ อ าจปฏิ เ สธ” เว่ ย ตอบเสี ย งเนิ บ ช้ า
“ส่วนสิ่งที่เจ้าสามารถกระทาได้ก็มีไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่น โน้มน้าวใจเสีย
กงจู่!”
“ฮ่าฮ่า!” ผูเยาหัวร่อดังสนั่นอย่างไร้ปราณี
จั่วม่อขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง “เวลาเช่นนี้เจ้ายังมีแก่ใจมาล้อเล่นอีกรึ?”
“สงบใจลงเสี ยบ้ า ง” เว่ ย กล่ า วด้ ว ยรอยยิ้ ม น้ อ ย ๆ “ตอนนี้ ยิ่ ง เจ้ามี
ท่าทีเป็นปกติมากเท่าใด ฝ่ายตรงข้ามยิ่งไม่อาจใจเย็นอยู่ได้มากเท่านั้น”
“ความหมายของเจ้าคือ?” จั่วม่อยังไม่อาจคิดตามทัน
Page 8 of 11
“ทาสิ่งที่เจ้าตั้งใจจะทาก่อนหน้านี้ อย่างเช่นเทียบเชิญสองใบที่ กงจู่
อีกสองนางส่งมาให้ เจ้าไยไม่ไปเล่า ? ลองไปรับฟังดูว่าพวกมันกล่าวอันใด
จะเป็นการดีสาหรับเจ้า!” เว่ยกระตุ้นเตือน “อย่าลืมว่าเจ้าไม่ใช่งูท้องถิ่น
เจ้าหาได้มีสายสืบแม้แ ต่คนเดียวไม่ หากเจ้าคิดล่อลวงให้พวกมันออกมา
เจ้ า จะต้ อ งท าตั ว เป็ น เหยื่ อล่ อ ด้ ว ยตั ว เอง เจ้ า ยิ่ ง ติ ด ต่ อ คบหากั บ ผู้ ค น
มากมายเท่าใด ฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งตื่นตระหนกมากเท่านั้น เนื่องเพราะพวก
มันไม่อาจคาดคานวณได้ว่าเจ้าคิดจะทาสิ่งใดต่อไป และไม่ล่วงรู้ว่าเจ้าวาง
แผนการใดเอาไว้”
ผูเยากล่าวตบท้ายด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบที่มุมปาก “สิ่งที่นักวางอุบาย
หวาดกลัวมากที่สุด ก็คือความไม่รู้นี้เอง”
เมื่อมีสองโจรเฒ่าช่วยค้ายันเรื่องราวแทนมัน จั่วม่อค่อยคลายใจลง
เรื่องที่คนของมันหายตัวไป จั่วม่อไม่ได้เอะอะใหญ่โตอันใด แต่ในไม่
ช้า มันกลับได้รั บจดหมายจากหลันเทียนหลง เนื้อหาในจดหมายบอกว่า
พวกมันสองพี่น้องกาลังคิดหาวิธีช่วยจั่วม่อตามหาคนที่สูญหายไป บอกให้
มันระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองก่อน
จั่วม่อสะท้านใจวูบ ตระหนักในบัดดลว่าทั่วทั้งเมืองอาจล่วงรู้เ รื่อ งที่
พวกอาเหวินหายสาบสูญไปแล้ว
ซึ่งความจริง นี่ไม่น่าประหลาดใจ เมื่อตอนที่ไพร่พลค่ายเว่ยติดตาม
ค้ น หาและถามไถ่ผู้ค น พวกมั น ไม่ ไ ด้ ปิ ด บั งตัว เอง ทั้ ง เรื่ อ งราวยั ง ไม่อาจ
ปิดบังได้ ดังนัน
้ ข่าวสารย่อมไม่อาจปกปิดซ่อนเร้นเช่นกัน
Page 9 of 11
เสียกงจู่ยังส่งคนถือจดหมายมาทั นที เ ช่นกั น เนื้อความในจดหมาย
ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน บอกว่ านางจะช่วยสืบหาอีกแรง หากได้ข่าวอันใด
จะรีบบอกให้ทราบ
จดหมายของเสียกงจู่ ทาให้ผูเยากับเว่ยตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาอีกรอบ
ทั้งสองกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเสียกงจู่ให้การเหลือบแลจั่วม่อ ทั้ง
ยังกระตุ้นเตือนจั่วม่อให้ออกแรงแข็งขันกว่านี้ เพื่อเด็ดบุปผางามอันเย้า
ยวนดอกนี้มาชมเชย
แต่จ่ัวม่อเชื่อว่าสองโจรเฒ่านี้เพียงคิดตอบโต้เสียกงจู่เท่านั้น ยิ่งไป
กว่ า นั้ น ในใจมั น เสี ย กงจู่ ถื อ เป็ น สหายของมั น อย่ า ว่ า แต่ มั น ยั ง ติ ด หนี้
บุญคุณนาง แล้วจะให้มันทาร้ายนางได้ อย่างไร? ดังนั้นแสร้งเมินเฉยต่ อ
คาแนะนาอย่างกระตือรือร้นของสองโจรเฒ่าเจ้าเล่ห์
จากนั้นจดหมายจากตระกูลต่าง ๆ ติดตามมาอย่างรวดเร็ว เซี่ยวม่อ
เกอยามนี้ช่ อ
ื เสียงโด่งดังเป็นอันดับแรก อนาคตของมันยังไร้ขีดจากัด ย่อม
มีผู้คนมากมายต้องการสานสัมพันธ์อันดีกับมัน
แต่ในบรรดาจดหมายกองพะเนินทั้งหมด ล้วนไม่มีเบาะแสร่องรอย
ของพวกอาเหวินแม้แต่น้อย ทางด้านคุกสิบนิ้วก็ยังคงไม่มีข่าวคราวใด
การคุ้มกันในเคหะสถานของจั่วม่อยิ่งแน่นหนากว่าเดิม
ระหว่างที่อดทนเฝ้ารอข่าว จั่วม่อฝึกฝีมือไปตามปกติ แต่แล้วทันใด
นั้นเอง มันรู้สึกถึงระลอกคลื่นแปลกประหลาดกระเพื่อมผ่านมาจากแหวน
มิติ
อืมม์? เกิดอะไรขึ้น?
Page 10 of 11
จั่วม่อเพ่งจิตเข้าไปมองทันที แล้วสีหน้าก็กลายเป็นปิติยินดีในบัดดล
Page 11 of 11
บทที่ 614 ในที่สุดก็ต่ น
ื แล้ว
เสียงหาวอย่างเกียจคร้านดังออกมาจากแหวนมิติ
จากนั้ น ร่ า งหนึ่ ง พุ่ ง วาบ เห็ น เงาร่ า งสี ท องเข้ ม ปรากฏขึ้ น ตรงหน้ า
จั่วม่อ เป็นทหารยันต์ทองคาดา! ใบหน้าที่คล้ายภาพสะท้อนไปกระจกของ
จั่วม่อพลันแย้มยิ้ม แล้วโถมเข้าหาจั่วม่อในทันที
“พี่ใหญ่ ข้าหิวเหลือเกิน มีสงิ่ ใดให้รับประทานบ้าง?”
จั่ ว ม่ อ ขมวดคิ้ ว ฉั บ รั บ ประทาน? เจ้ า ตั ว ตะกละนี่ ! เจ้ า หลั ง จากสวา
ปามสัต ว์ปราณสองร้ อยกว่ าตั วในรวดเดี ยว จากนั้นก็นอนหลับไปจนถึ ง
บัดนี้ แต่ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าก็เรียกหาของรับประทานเป็น
อันดับแรก?
“ไม่มี!” จั่วม่อสีห น้าเข้มงวดคุมแค้น ถลึ งตามองเจ้าตัวตะกละที่อยู่
ตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
ทหารยันต์ทองค าด าหน้ า ม่อยลงทันควัน แต่แล้วดวงตาพลั น สว่ า ง
วาบ ร่างหายวับไปในบัดดล
ปรากฏเสียงกรีดร้องโหยหวนของพาหนะปิศาจ ดังแว่วมาจากด้าน
นอกห้อง
จั่ ว ม่ อ ถึ ง กั บ กุ ม ขมับ เงยหน้ า มองฟ้า ไร้ ว าจาจะกล่ า ว เสี่ ย วม่ อเกอ
ชาญฉลาดมาตลอดชีวิต ยากนักที่จะยอมทาการค้าขาดทุนสักครั้ง แต่เจ้า
ตัวตะกละตะกลามนี้ นับเป็นความผิดพลาดครัง้ ใหญ่ในชีวิตของมันจริง ๆ!
Page 1 of 11
จากนั้นสายลมกลุ่มหนึ่งกระโชกวูบ เห็นทหารยันต์ทองคาดาปรากฏ
กายขึ้นตรงหน้าจั่วม่ออีกรอบ มันเลียริมฝีปาก กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“ช่างไม่มีรสชาติจริง ๆ”
สายตาไม่ ส บอารมณ์ ข องจั่ ว ม่ อ ยิ่ ง กลายเป็ น ขุ่ น แค้ น แน่ น อกมาก
กว่าเดิม
จั่ ว ม่ อ ขบคิ ด ตลบหนึ่ง แล้ ว ตั ด สิ น ใจว่ า จะลองสนทนาดี ๆ กั บ ทหาร
ยั น ต์ ท องค าด าสั ก ครา ส าหรั บ เจ้ า เด็ ก น้ อ ยนิ สั ย เสี ย นี้ จ าเป็ น ต้ อ งมี ก าร
ปรั บ ปรุ ง มุ ม มองในชี วิ ต ที่ ไ ม่ ถู ก ต้ อ งเสี ย หน่ อ ย อย่ า งเช่ น การเอาแต่
รับประทานเปล่าและหลับใหลยาวนานยิ่งกว่าสุกร
“เจ้าต้องการรับประทานของอร่อยกว่านี้ห รือไม่” จั่วม่อส่งยิ้มใสซื่อ
บริสุทธิ์
“ย่ อ มแน่ น อน!” ทหารยั น ต์ ท องค าด าตาลุก วาบ “พี่ ใ หญ่ อยู่ ที่ ใ ด?
ของอร่อยอยู่ที่ใด?”
“หากเจ้ า อยากรั บ ประทานของอร่ อ ย เจ้ า จะต้ อ งออกแรงแข็ ง ขั น
หน่อย คนที่ทางาน จึงจะมีข องรับประทาน คนที่ไม่ยอมทางาน ย่อมไม่
สามารถรับประทาน เจ้ายิ่งทางานมากเท่าใด ก็ยิ่งมีของให้รับประทานมาก
เท่านั้น” จั่วม่อกล่าวอย่างยิ้มแย้ม สีหน้าสัตย์ซ่ อ
ื เที่ยงธรรม ดูไปคลับคล้าย
กับเว่ยเป็นอย่างยิ่ง
ปัง ปัง ปัง!
Page 2 of 11
ทหารยั น ต์ ท องค าด าตบหน้ า อกแรงๆ เสี ย งดั ง กั ง วานดั่ ง เหล็ ก กล้ า
กระทบกัน พลางเอ่ยปากอย่างห้าวหาญ “พี่ใหญ่กล่าวได้ดี! ข้าจะทาตามที่
ท่านว่า!”
ประเสริฐ ประเสริฐ เจ้าเด็กเหลวไหลนี้ยังไม่ถึงขั้นเกินเยียวยา
จั่วม่อในใจปลาบปลื้มยินดี กลอกตาตลบหนึ่ง ถามว่า “เจ้าสามารถ
ต่อสู้กระมัง?”
“เกิดมาเพื่อต่อสู้” ทหารยันต์ทองคาดาหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้น
กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าจะต่อสู้ ถ้ามีของให้รับประทาน แต่หากไม่มีของให้
รั บ ประทาน ข้ า ก็ ไ ม่ สู้ ! ข้ า จะต่ อ สู้ ม ากขึ้ น หากมี ข องให้ รั บ ประทานมาก
ขึ้น!”
จั่วม่อรอยยิ้มบนใบหน้าถึงกับแข็งค้างไปเลย
เจ้าผู้นี้...ที่แท้มิเพียงรู ปโฉมคล้ายกับมัน กระทั่งความกลอกกลิ้ง เจ้า
เล่ห์ยังลอกเลียนมาจากมันอย่างครบถ้วน
จั่วม่อรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง
แต่ก่อนที่มันจะได้ปวดเศียรเวียนเกล้ามากไปกว่านี้ เห็นเขิงเหลียน
เอ๋อร์เดินชดช้อยเข้ามาอย่างกะทันหัน นางพอเห็นทหารยันต์ทองคาดาซึ่ง
มีรูปโฉมคล้ายคลึงกับจั่วม่อ พลันมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที
“สิ่งนี้คืออะไร?” นางชี้ไปยังทหารยันต์ ทองค าดา พลางหันไปถาม
จั่วม่อ
“คุณหนูท่านนี้! กรุ ณาอย่าได้ใช้ถ้อยคาไม่ให้เกียรติกัน!” ทหารยันต์
ทองค าด าร้ อ งเตื อ นอย่ า งเคร่ ง ขรึ ม “ข้ า มิ ใ ช่ สิ่ ง ของ ข้ า เรี ย กว่ า เฮยจิ น
Page 3 of 11
(ทองคาดา) โอ้ ว่าแต่พี่ใหญ่ นางเป็นใคร? แม่นางนี้งดงามไม่เลว พี่ใหญ่
รสนิยมของท่านในที่สุดก็ดีขึ้นเสียที อย่างไรก็ตาม ท่านทิ้งขว้างอากุ่ยเสีย
แล้วรึ? พี่ใหญ่ ท่านไฉนทาเช่นนี้? ถึงกับทอดทิง้ ภรรยาหลวงเชียวรึ ข้ามอง
ท่านผิดไปจริง ๆ! สมกับที่เป็นพี่ใหญ่ของข้า ความใจดาอามหิตนี้ อา มาด
เยี่ยงนักเด็ดดมบุปผานี้ ข้าต้องร่าเรียนจากท่านบ้างแล้ว... ...”
จั่วม่ออยากเอาศีรษะพุ่งชนกาแพงตายไปเสียเลย
นอกจากจะตะกละและเกียจคร้านสันหลังยาวแล้ว เจ้าบ้านี่ยังปาก
พล่อยเหลือรับอีกด้วย! สวรรค์! วัตถุดิบล้าค่ามากมายที่ต้องเสียเปล่าไปกับ
การสร้างมัน ไม่ได้อะไรที่ดีกลับคืนมาเลย ขาดทุนย่อยยับอย่างแท้จริง!
เขิงเหลียนเอ๋อร์จ้องมองทหารยันต์ทองคาดาอย่างสนอกสนใจยิ่ง
ทหารยันต์ทองคาดาสายตาแหลมคม มันพอเห็นอากุ่ยติดตามเข้ามา
ร่ า งก็ พุ่ ง วาบเหมื อ นสายลมก ระ โช ก โถมไปอยู่ ข้ า งกายอากุ่ ย รี บ
ประจบประแจงเป็นการใหญ่ “อากุ่ย อากุ่ย! พี่ใหญ่ไม่ได้ทอดทิ้งเจ้า! ข้าว่า
แล้ ว พี่ ใ หญ่ เ ป็ น บุ ค คลถือ น้า ใจผู้ห นึ่ง จะทอดทิ้ ง อากุ่ ย ได้ อย่ า งไร อากุ่ย
อากุ่ย มีอะไรให้รับประทานหรือไม่? ข้าหิวเหลือเกิน!”
อากุ่ ย พลั น หมุ น ตั ว กลั บ เดิ น ออกไปด้ า นนอกในทั น ที ทหารยั น ต์
ทองคาดารีบตามติดด้านหลังนาง พลางกล่าวประจบสอพลอไม่ขาดปาก
จั่วม่อได้แต่เหม่อมองอย่างโง่งม
“มั น เป็ น ใคร?” เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อร์ มุ ม ปากประดั บ ด้ ว ยรอยยิ้ม น้อ ย ๆ
เป็นเหตุให้ดวงตาคู่งามทอประกายระยิบระยับ น่าลุ่มหลงงมงายกว่าเดิม
Page 4 of 11
“อุบัติเหตุร้ายแรงในชีวิตของข้าเอง” จั่วม่อแบสองมือ ใบหน้าเจื่อน
ขมแฝงแววจนปัญญา
“มีซิวเจ่อหลายคนเดินทางเข้ามาในนครมหาสันติ” เขิงเหลียนเอ๋อร์จู่
ๆ เปรยขึ้นอย่างกะทันหัน
“ซิ ว เจ่ อ ?” จั่ ว ม่ อ งงงั น วู บ หลั ง จากอยู่ใ นภพปิ ศาจมาชั่ ว ระยะหนึ่ง
กระทั่งมันเองพอได้ยินคา ‘ซิวเจ่อ’ ยังรู้สึกแปลกหูอยู่บ้าง
เขิงเหลียนเอ๋อร์คล้ายแย้มยิ้มน้อย ๆ จนตาหยีเป็นจันทร์เสี้ยว บอก
เล่าอย่างสงบว่า “สมควรเป็นสี่มหาสานักของซิวเจ่อ อย่างน้อยยี่สิบกว่า
คน และมีบางคนที่พลังฝีมือร้ายกาจยิ่ง พวกมันปลอมตัวปกปิดเป็นอย่างดี
ไม่มีผู้ใดระแคะระคายแม้แต่น้อย”
“สี่ ม หาส านั ก ?” จั่ ว ม่ อ ประหลาดใจยิ่ ง จากนั้ น สี ห น้ า เปลี่ ย นเป็ น
เครียดขรึมในบัดดล “สี่มหาสานักไฉนมาที่นี่?”
“หอสมบัติมหาสันติ” เขิงเหลียนเอ๋อร์แค่นเสียงออกมาสี่คา
“หอสมบัติมหาสันติ?” จั่วม่อแทบไม่อยากเชื่อ สี่มหาสานักเป็นตัวตน
เช่นไรกัน? กระทั่งเมื่อครั้งที่วิหารเทพสุริยันหวนคืนสู่โลกหล้าในอาณาจักร
ทะเลเมฆ ก็มีเพียงเทียนหวนที่มาถึง มิหนาซ้ายังส่งชนชั้นหยวนอิงมาเพียง
คนเดี ย ว ส าหรั บ ตั ว ตนอั น ยิ่ ง ใหญ่ ที่ มี ป ระวั ติ ศ าสตร์ ย าวนานเช่ น สี่ ม หา
ส านัก สมบัติวิเศษที่คู่ควรให้พวกมันต้องลงมือช่วงชิง เกรงว่ามีอยู่เพียง
ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
หากบอกว่ า หอสมบั ติ ม หาสั น ติ ดึ ง ดู ด สี่ ส านั ก ใหญ่ จนยิ น ยอมเสี่ ยง
อันตรายถึงเพียงนี้ จั่วม่อแทบไม่อาจเชื่อได้จริง ๆ
Page 5 of 11
“ข้าประมือกับพวกมันรอบหนึ่ง” รอจนเขิงเหลียนเอ๋อร์กล่าวประโยค
นี้ออกมา นางก็ขู่ขวัญจั่วม่อจนแทบขวัญฝ่อตาย
“เจ้าเสียสติไปแล้ว!”
ถึงตอนนี้มันเชื่อจนหมดใจ ทั้งยังรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที
ทางหนึ่งพวกอาเหวินจู่ ๆ ก็หายสาบสูญไป ภายในเมืองมหาสันติก่อเกิด
คลื่ นลั บ หนุน เนื่อ งไม่ ข าดสาย เท่ า นั้ น ยั ง ไม่ พ อ ยามนี้ ถึ ง กั บ มี ซิ ว เจ่อเข้า
มาร่วมวงความครึกครื้นด้วย ต่อให้มันโง่งมกว่านี้ก็ทราบว่าสถานการณ์จะ
ยิง่ สลับซับซ้อนจนไม่มีผู้ใดหยั่งคานวณได้
มันจู่ ๆ ก็ฉุกคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง “สมบัติอันใดที่อยู่ในหอสมบัติมหา
สันติ? ไฉนกระทั่งสี่มหาสานักของซิวเจ่อยังมาร่วมวงด้วย?”
เขิงเหลียนเอ๋อร์นิ่งเงียบงันไป
จั่วม่อเพ่งมองนางเขม็ง
ชั่วอึดใจให้ห ลัง นางค่อยกล่าวเสียงราบเรีย บว่ า “ภายในหอสมบั ติ
มหาสันติมีของวิเศษอยู่สามชิ้น อีกสองชิ้นยังไม่มีผู้ใดสามารถระบุได้ แต่
หนึ่งในสามนั้น ผู้คนมากมายล้วนล่วงรู้ มันเป็นหลักศิลาแผ่นหนึ่ง”
“หลักศิลาแผ่นหนึ่ง?” จั่วม่อใบหน้าทอแววไม่เชื่อถือ
“เป็นหลักศิลาที่สาคัญที่สุด ในบรรดาหลักศิลาทักษะปิศาจมหาสันติ
ทั้งมวล” เขิงเหลียนเอ๋อร์ดวงตาคล้ายปกคลุมด้วยม่านหมอกชั้นหนึ่ง สุ้ม
เสียงเลื่อนลอยคล้ายมีคล้ายไม่มี “นับตั้งแต่ยุคบรรพกาล ภายหลังยุคสมัย
ของพลังเทพ ไม่ว่าซิวเจ่อ อสูรหรือปิศาจ ล้วนคิดค้นวิถีแห่งพลังของตน
ศาสตร์ อ สู ร ทั ก ษะปิ ศ าจ เวทวิ ช าเซี ย น ทั้ ง สามเป็ น วิ ถี บ าเพ็ ญ เพี ย รที่
Page 6 of 11
กลายเป็ น ที่ นิ ย มมากที่ สุ ด วิ ถี ฝึ ก ปรื อ พลั ง เทพหายสาบสู ญ ไปจากหน้ า
ประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง แต่รอจนด่านพลังของพวกมันสูงล้าขึ้น เหล่า
ยอดคนแห่ ง ทั้ ง สามเผ่ า พั น ธุ์ ค่ อ ยพากั น ค้ น พบว่ า พวกมั น เผชิ ญ เข้ า กั บ
อุ ป สรรคขวางกั้ น ในวิ ถี พ ลั ง ของตน พวกมั น แม้ พ ากเพี ย รพยายามทุ ก
วิถีทาง เฝ้าคิดหาวิธีทลายกาแพงกั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีใครสามารถ
ทะลวงผ่านอุปสรรคนี้ไปได้”
จั่วม่อรับฟังอย่างเงีย บงัน เรื่องเหล่านี้มันย่อมทราบกระจ่ างใจ สุ้ม
เสียงเลื่อนลอยของเขิงเหลียนเอ๋อร์เมื่อบอกเล่าความลับเหล่านี้ คล้ายแฝง
เร้นด้วยกลิ่นอายอันลี้ลับอีกชั้นหนึ่ง
“ยอดคนบรรพบุรุษเหล่านี้ ตลอดหลายชั่วอายุคน พากันสืบย้อนขึ้น
ไปถึงต้นกาเนิดของวิถีบาเพ็ญเพียรของแต่ล ะเผ่าพันธุ์ ในที่สุดพบว่าวิธี
เดียวที่จ ะสามารถทะลวงผ่านกาแพงกั้นนี้ไปได้ คือการฝึกปรือพลังเทพ
พลังทั้งสามล้วนแยกย่อยออกมาจากพลังเทพ แต่ด้วยเหตุนี้ ทั้งหมดจึงไม่
สมบู ร ณ์ เมื่ อ พลั ง ทั้ ง สามฝึ ก ปรื อ จนถึ ง ขอบเขตสูง สุ ด หากผู้ ใ ดต้ อ งการ
รุ ด หน้ า ก้ า วไกลไปกว่ า นั้ น พวกมั น ต้ อ งหวนคื น สู่ พ ลั ง เทพ อั น เป็ น ราก
กาเนิด แต่ทว่าวิถีฝึกปรือพลังเทพสาบสูญไปนับพันนับหมื่นปี พวกมันได้
แต่เริ่มต้นจากการเที่ยวเสาะหามรดกตกทอดที่เกี่ยวข้องกับพลังเทพทุก
ประเภท แต่พวกมันล้วนไม่อาจหาจุดเชื่อมโยงพลังเทพเข้ากับระบบการ
ฝึ ก ฝี มื อ ในปั จ จุ บั น ได้ ตรงจุ ด นี้ เ อง ต านานกล่ า วไว้ ว่ า ซื อ จื่ อหมิ ง ค้ น พบ
วิธีแก้ไขเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ หลักศิลาเหล่านี้บันทึกภูมิความรู้ชั่วชีวิตของ
มั น แต่ สุ ด ท้ า ยซื อ จื่ อหมิ ง ไม่ ก ล้ า เปิ ด เผยเคล็ ด ความส่ ว นส าคั ญ ที่ สุ ด นี้
Page 7 of 11
ออกไป ดั ง นั้ น มั น ปิ ด ผนึ ก หลั ก ศิ ล าแผ่ น สุ ด ท้ า ยเอาไว้ ใ นหอสมบั ติ ม หา
สันติ”
“เจ้ า ก็ ม าเพื่ อ หลั ก ศิ ล าที่ ว่ า นี้ ด้ ว ยรึ ?” จั่ ว ม่ อ เพ่ ง ตามองเขิ ง เหลี ย น
เอ๋อร์
“ตอนแรกเริ่ ม ข้ า มิ ไ ด้ ล่ ว งรู้ อั น ใด” เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ก ล่ า วเสี ย ง
ราบเรียบ “แต่ยามนี้ ในเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่ ไฉนไม่เข้าร่วมสนุกสักครา?”
“เจ้าฝึกปรือพลังเทพตั้งแต่แรก ยังต้องการหลักศิล าแผ่นนั้น ไปท า
อะไร?” จั่วม่อถามอย่างงุนงงสงสัย
“มรดกพลังเทพของข้าแม้สมบูรณ์กว่าของเจ้า แต่เมื่อผ่านมาหลาย
ช่ ว งอายุ ค นก็ สู ญ หายไปหลายส่ ว นเช่ น กั น หลั ก ศิ ล าแผ่ น นี้ ย่ อ มส าคั ญ
สาหรับข้ามาก อาจสามารถช่วยหนุนเสริม ‘บันทึกเทพจันทรา’ ของข้าได้”
เขิงเหลียนเอ๋อร์ชายตามองจั่วม่อ จากนั้นกล่าวว่า “ในวิถีฝึกปรือพลังเทพ
เจ้านับเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์สูงล้าที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมา นอกจาก
เจ้าแล้ว ข้ายั งไม่เคยเห็นผู้ ใ ดบรรลุถึ งลมหายใจพลั งเทพ อย่างไรก็ ต าม
ความเข้าใจในพลังเทพของเจ้าไม่เทียบเท่าข้า กระทั่งด้วยพรสวรรค์ข อง
เจ้าก็ยังคงเพียงแค่เคาะประตูแห่งพลังเทพเท่านั้น มีเพียงครอบครองหลัก
ศิ ล าแผ่ น นั้ น เจ้ า จึ ง สามารถก้ า วล่ว งผ่า นเข้ า ไปในประตูแ ห่ง พลังเทพที่
แท้จริงได้”
ถึงยามนี้เองจั่วม่อจึงเข้าใจอย่างชัดแจ้ง ว่าไฉนหอสมบัติมหาสันติจึง
เป็นเหตุให้คนมากมายล้วนกลายเป็นบ้าคลั่ง
Page 8 of 11
“แล้วทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า?” จั่วม่อแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา
“ข้ า ถึ ง กั บ ถู ก ฉุ ด ลากเข้ า มากลางวง อย่ า ได้ บ อกต่ อ ข้ า ว่ า เป็ น เพี ย งเหตุ
บังเอิญ”
“ซึ่งความจริงย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญ” เขิงเหลียนเอ๋อร์เหม่อมองไปไกล
กล่าวด้วยสุ้มเสียงเฉื่อยชา “เล่าลือกันว่า คิดเปิดหอสมบัติมหาสันติอีกครั้ง
จะต้องมีกุญแจสองดอก กุญแจดอกแรกคือสิ่งใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่สาหรับ
กุญแจอีกดอกหนึ่ง ว่ากันว่า...เป็นบุคคลพิเศษผู้หนึ่ง”
“บุ ค คลพิ เ ศษ?” จั่ ว ม่ อ งงงั น วู บ มั น ร้ อ ยพั น ไม่ คิ ด ไม่ คิ ด ว่ า เหตุ ผ ล
เบื้องหลังจะเหลวไหลไร้สาระถึงเพียงนี้ มันชี้จมูกตัวเอง ยามกะทันหันไม่
ทราบจะหัวร่อหรือร่าไห้ดี ได้แต่กล่าวว่า “ข้าดูเหมือนบุคคลพิเศษรึ?”
“ในยามนี้ คลับคล้ายว่าจะเป็น เจ้ ามากที่สุ ดแล้ ว” เขิงเหลียนเอ๋ อ ร์
แย้มยิม
้ จนดวงตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว
จั่วม่อตะลึงลาน “ไฉนเป็นข้าไปได้?”
“เนื่องเพราะหมู่ด าวประทานพรที่ ป่ าศิล าทัก ษะปิศ าจ เจ้าเป็ น คน
แรกที่ก่อให้เกิดนิมิตแห่งฟ้าดินในสถานที่นั้น” เขิงเหลียนเอ๋อร์ยิ่งแย้มยิ้ม
จนตาหยีกว่าเดิม ใบหน้างดงามไร้ตาหนิของนางราวกับภาพวาดของจิตร
กรผู้ มี ฝี มื อ เป็ น เลิ ศ “ซื อ เยวี่ ย อี้ ดู เ หมื อ นจะให้ ค วามสนใจกั บ เจ้ า มาก ชี
เตียวอวี่ก็ดูออกว่าเจ้าฝึกปรือพลังเทพ มันยังดูออกด้วยว่าข้ากับอากุ่ ย ก็
ฝึกปรือพลังเทพเช่นกัน”
ช่างเป็นเหตุผลที่เหลวไหลกระไรปานนี้
Page 9 of 11
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าไม่ล่วงรู้ เมื่อวันที่เจ้าสาเร็จลมหายใจพลังเทพ
ป่าศิลาทักษะปิศาจได้ตอบสนองต่อเจ้า ทั่วทั้งเมืองอาจพากันสงสัยว่าเจ้า
คือคนผู้นน
ั้ แต่มีเพียงข้าที่แน่ใจว่าเป็นเจ้าไม่ผิดแน่”
เขิงเหลียนเอ๋อร์เพ่งตามองจั่วม่ออย่างลึกซึ้งอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นหมุน
ตัว หายวับไป
ถ้อยวาจาของเขิงเหลียนเอ๋อร์ ทาเอาจั่วม่อนิ่งขึงตะลึ งลานอยู่ ค รึ่ ง
ค่อนวัน
Page 11 of 11
บทที่ 615 ต่างมีแผนการ
เฟ่ยเฟยสีหน้าตื่นเต้นตึงเครียด รอบคฤหาสน์แห่งนี้มีการคุ้มกันแน่น
หนาเป็นอย่างยิ่ง จนมันพบว่ายากจะจินตนาการได้ มันดูเหมือนจะมาถึง
สถานที่อันน่าสะพรึงกลัวแห่งหนึ่ง ผู้คนที่มีพลังฝึกปรือระดับเดียวกั บมัน
มีไม่มากนักที่จะมีฝีมือในทางปกปิดซ่อนเร้นเทียบเท่ามัน แต่แ ม้กระนั้น
ระหว่างทางมันยังแทบสะดุดถูกหลุมพรางกับดักอยู่หลายรอบ
หากมิ ใ ช่ ว่ า สตรี ที่ จู่ โ จมท าร้ า ยพวกมั น คล้ า ยมี จิ ต เจตนาแปลก
ประหลาดยิ่ง มันจะรีบหมุนตัวไปจากสถานที่ผีสางนี้ในบัดดล
สัญชาตญาณเตือนภัยของมันกรีดร้องระงม พร่าบอกว่าสถานที่แห่ง
นี้มีอันตรายอย่างเหลือเชื่อ!
เพื่อภารกิจสาคัญครั้งนี้ ทางสานักไม่เสียดายกับการนารอยแยกแห่ง
ความโกลาหลที่ ปิ ด ซ่ อ นเอาไว้ อ อกมาใช้ ง าน เดิ ม ที ร อยแยกแห่ ง ความ
โกลาหลแห่งนี้ ทางสานักตั้งใจจะเก็บเอาไว้ใช้ลอบโจมตีในช่วงเวลาสาคัญ
แม้ว่าจะระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้ พวกมันกลับถูกจู่โจมทาร้ายทันที ที่
เข้าสู่นครมหาสันติ สตรีที่ไม่ทราบความเป็นมานางหนึ่ง จู่ ๆ ก็จู่โจมพวก
มันโดยไม่มีคาเตือนล่วงหน้า สตรีนางนี้ยังมีพลังฝีมือร้ายกาจสุดหยั่งคาด
กระทั่งหลายคนจากสานักลงมือร่วมกัน ยังไม่อาจรั้งตัวนางเอาไว้ได้ นางดู
เหมื อ นจะมั่ น ใจเป็ น อย่ า งยิ่ ง ว่ า พวกมั น ไม่ ก ล้ า ก่ อ เรื่ อ งวุ่ น วายให้ เ ป็ น ที่
สะดุดตาคน
Page 124 of 937
หรือว่าตัวตนของพวกมันถูกเปิดเผย? ทุกผู้คนหัวใจดิ่งวูบ หากตัวตน
ของพวกมันถูกเปิดเผยในแดนปิศาจ นี่ห มายถึงสิ่งใด ทุกผู้คนล้วนทราบ
กระจ่างแก่ใจเป็นอย่างดี
เมื่อสตรีลึกลับชิงผละจากไป เฟ่ยเฟยก็ซ่อนเร้นตัวตน ลอบติดตาม
นางมาแต่ไกล
อีกฝ่ายถึงกับระมัดระวังตัวยิ่งกว่าที่มันคิด นางใช้เส้นทางวกวน ย้อน
ไปย้อนมาหลายรอบ จนเฟ่ยเฟยแทบคลาดร่องรอยของนางอยู่หลายครั้ง
ท้ายที่สุดสตรีนางนั้นก็เข้าไปในคฤหาสน์แห่งนี้ เฟ่ยเฟยเดิมทีคิดล่าถอน
ตัวล่าถอย แต่มันกลับพบพานช่องว่างรอยโหว่ของการคุ้มกัน มันอดใจไม่
ไหวลอบติดตามเข้ามาภายใน
ในสายตาของมัน องครักษ์ ที่เฝ้าระวั งสถานที่นี้ เต็ม ไปด้ วยช่อ งว่ า ง
รอยโหว่
แต่รอจนมันเข้ามาถึงด้านใน ค่อยพบว่าสถานการณ์ภายในกลับเป็น
ตรงกันข้ามกับที่มันคาดคิด
คฤหาสน์ส่วนในได้รับการคุ้มกัน ดีเยี่ยมกว่ าที่ มันเข้า ใจ จนช่องว่า ง
รอยโหว่ที่มันพบเห็นในตอนแรก ดูท่าจะเป็นหลุมพรางกับดักเสียมากกว่า
มันยิ่งล่วงลึกเข้าไปภายใน ความปรารถนาจะล่าถอยยิ่งมีแต่เพิ่มมากขึ้น
ทุกขณะ
ในเวลานี้เอง มันพลันพบเห็นสตรีนางหนึ่งกับคนที่ท้ังร่างเป็นสีท อง
เข้มเงางามดั่งโลหะเดินผ่านเข้ามา
มันรีบหลบซ่อนตัว แทบไม่กล้าหายใจ
Page 125 of 937
สตรีนางนี้ไม่ใช่สตรีที่จู่โจมทาร้ายพวกมัน ไม่เห็นมีคลื่นพลังอันใดแผ่
ออกมาจากร่างนาง ส่วนคนที่เป็นสีทองเข้มทั้งตัวด้านหลังนางคล้ า ยจะ
เป็นหุ่นเชิดปิศาจตนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม... ...
นี่เป็นหุ่นเชิดปิศาจจริงหรือ?
รั บ ฟั ง ค าประจบสอพลอนานั ปการพรั่ง พรู อ อกมาจากปากของหุ่น
เชิดปิศาจตนนี้ เฟ่ยเฟยในเงามืดรู้สึกละอายใจอย่างสุดแสน หากปากของ
มันยามอยู่ในส านักมีความสามารถสอพลอถึง ขั้นนี้ ศักดิ์ฐานะของมันใน
สานักคงไม่เพียงเป็นเช่นทุกวันนี้แล้ว
มันถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดไปนาน หุ่นเชิดปิศาจที่คล้ายจะมีชีวิตดุจ
คนจริงเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง
แต่ฉากที่เกิดขึ้นต่อไป กลับทาให้มันอ้าปากค้างจนขากรรไกรแทบ
ร่วงหลุด
เห็นพาหนะปิศาจนับร้อยตัว ถูกหุ่นเชิดปิศาจตนนั้นเขมือบกลืนลงไป
ในคราวเดียว!
ในสายตาหวาดสะพรึ ง ของเฟ่ ย เฟย ปากที่ ไ ม่ ใ หญ่ โ ตของหุ่ นเชิ ด
ปิศาจทองคาดา กลับไม่ต่างจากปากมหายักษ์ ที่ส ามารถเขมือ บกลื น ทุ ก
สรรพสิ่ง หุ่นเชิดปิศาจที่กลืนกินพาหนะปิศาจเป็นอาหาร บางทีอาจสนใจ
จะเขมือบกลืนซิวเจ่อด้วย นึกถึงภาพที่หุ่นเชิดปิศาจกลืนกินมันลงไปในคา
เดียว เฟ่ยเฟยตัวสั่นเทาทันที
บรรดาองครักษ์ดาวสวรรค์อยู่ในอารมณ์เดือดดาลทะยานฟ้า พาหนะ
ปิศาจทั้งหมดของพวกมันที่อยู่ในคอกม้าล้วนสูญหายไป สิ่งที่ชวนให้คลุ้ม
คลั่งยิ่งไปกว่านั้น คือบริเวณคอกสัตว์ไม่มีร่องรอยการต่อสู้แม้แต่น้อย
โซ่วผิงสีหน้าดาคล้า มีคนลอบเข้ามาขโมยพาหนะปิศาจทั้งหมดของ
พวกมันไป เรื่องบัดซบเช่นนี้ถึงกับเกิดขึ้นภายใต้ปลายจมูกของมัน
คุณหนูไม่ได้ตาหนิอันใด แต่โซ่วผิงรู้สึกอับอายขายหน้าจนแทบคิ ดหา
รอยแตกบนพื้ น มุ ด ศี ร ษะลงไปซ่ อ น ในลานบ้ า นส่ ว นอื่ นไม่ มี เ หตุ ก ารณ์
เช่นนี้เกิดขึ้น มีเพียงพาหนะปิศาจของพวกมันที่ถูกขโมยไป!
ช่างน่าอัปยศอดสู! อา อัปยศอดสูเหลือเกิน!
“นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเจ้าหรือ?” หนานเหมินเสวี่ยจับจ้อง
คนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา
บุรุษผู้นั้นสั่นศีรษะ “นี่มิใช่ฝีมือของพวกเรา”
“ข้าไม่เชื่อ” หนานเหมินเสวี่ยกล่าวเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้า “ความ
ร่วมมือของเราจบสิ้นเพียงเท่านี้ ข้าข้องใจในความจริงใจของเจ้าเสียจริง
ๆ”
บุรุษผู้นั้นสีหน้าไม่เปลี่ยน มันเพียงสั่นศีรษะ พลางกล่าว “นี่ไม่ใช่ฝีมือ
เราจริง ๆ เราส่งคนไปคร่ากุมเซี่ยวม่อเกอ แต่กลับพลาดท่าถูกมันฆ่าตาย
ส่วนเรื่องที่คนของมันหายสาบสูญไปไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา ทางเราเอง
ก็กาลังเร่งสืบสวนเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยเบาะแสอันใด”
หนานเหมินเสวี่ยเพ่งมองคนผู้นั้นตาเขม็ง เห็นอีกฝ่ายหน้าไม่เปลี่ยนสี
มันค่อยเชื่อว่าอีกฝ่ายบอกความจริง
“เวลานี้เบาะแสทั้งหมดล้วนชี้มาที่ข้า” หนานเหมินเสวี่ยกล่าวอย่าง
เย็นชา “อย่าได้บอกต่อข้าว่าเจ้าไม่มีแผนการถัดไป”
Page 132 of 937
“เราย่อมต้องมี” บุรุษนั้นกล่าวเสียงหนัก ๆ “บัดนี้เรามั่นใจเต็ม ร้อย
ว่ า เซี่ ย วม่ อ เกอเป็ น กุ ญ ส าคั ญ ดอกนั้ น อย่ า งไรก็ ต าม ไม่ ใ ช่ มี เ พี ย งเราที่
ตระหนัก ผู้อ่ ืนอีกหลายคนก็สมควรคิดได้เช่นกัน”
หนานเหมินเสวี่ยรับฟังอย่างเงียบเชียบ ไม่กล่าวคาใด
“เวลานี้ สายตาทุกคู่กาลังมองไปยังเซี่ยวม่อเกอ ขอเพียงเราไม่มุ่งเป้า
ไปที่มัน ก็จะไม่มีผู้ใดหันมาสนใจเรา” บุรุษนั้นแยกแยะอย่างเยือกเย็น “บึง
น้าในนครมหาสันติเริ่มจะขุ่นขึ้นมาแล้ว”
ทั น ใดนั้ น มั น แย้ ม ยิ้ ม อย่ า งฉับ พลัน “ในเมื่ อ พวกมั น ล้ ว นพากั นจ้อง
มองเซี่ ย วม่ อ เกอ ดั ง นั้ น เราจะหั น ไปเสาะหากุ ญ แจอี ก ดอกหนึ่ ง ของหอ
สมบัติมหาสันติแทน”
“หรือว่าเจ้าล่วงรู้ว่ากุญแจอยู่กับผู้ใด?” หนานเหมินเสวี่ยตื่นตะลึง
“ยังไม่” บุรุษนัน
้ ยิม
้ เล็กน้อย “แต่เรามีเป้าหมายอยู่แล้วจานวนหนึ่ง”
หนานเหมิ น เสวี่ ย จ้ อ งมองฝ่ า ยตรงข้ า มนิ่ ง ๆ จากนั้ น พลั น ถามว่ า
“แล้วหลังจากนี้ ยังต้องให้ข้าทาอะไร?”
“แน่ น อน!” บุ รุ ษ นั้ น มี สี ห น้ า พออกพอใจ “เจ้ า เป็ น ส่ ว นส าคั ญ ใน
แผนการของเรา”
จากนั้นมันกระซิบบอกเล่าแผนการต่อหนานเหมินเสวี่ยด้วยเสียงเบา
ต่า
หนานเหมินเสวี่ยยิ่งรับฟัง ดวงตายิ่งเป็นประกายเจิดจ้า บางครั้งยัง
ผงกศีรษะรับ แผนการของอีกฝ่ายช่างลึกล้าน่าดูชมเสียจริง
แต่ว่า... ...
Page 133 of 937
รอจนอีกฝ่ายบอกเล่าแผนการแล้วเสร็จ หนานเหมินเสวี่ยค่อยมองตา
อีกฝ่ายอย่างยิ้มแย้ม “เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมนัก! แต่ว่า... ข้าต้องการถุง
น้าดีหัวใจเพลิง”
ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้วฉับ “ขอเพียงเจ้าทาตามแผนการสาเร็จ... ...”
หนานเหมินเสวี่ยสั่นศีรษะตัดบท “ข้าต้องการ เดี๋ยวนี้!”
อีกฝ่ายสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “นี่เป็นไปไม่ได้!”
“เจ้าแน่ใจรึ?” หนานเหมินเสวี่ยแสยะยิ้มพลางกล่าว “แผนการของ
เจ้าแม้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่หากมีข้อผิดพลาดสักเล็กน้อย แผนทั้งหมดจะ
พังครืนลงทันที หลายขั้นตอนยังเกี่ยวข้องกับข้า ข้าเป็นชิ้นส่วนที่สาคัญยิ่ง
ในแผนการของเจ้า”
“คิ ด กลั บ ค าพู ด เอาตอนนี้ ไ ม่ มี ป ระโยชน์ ส าหรั บ เจ้ า ! เจ้ า จะต้ อ ง
เสียใจ!” ผู้อ่ น
ื ใบหน้าดาทะมึน แค่นเสียงลอดไรฟันออกมา
“ถุงน้าดีหัวใจเพลิง หรือไม่ก็ปล่อยให้แผนการของเจ้า พัง ทลายไป
เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งเถอะ” หนานเหมินเสวี่ยยังคงแย้มยิ้ม “อ้อ จริง
สิ ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน ว่ายามนี้ต่อให้เจ้าคิดล้มเลิก
ความร่วมมือก็หาใช่เรื่องง่ายดายไม่”
คนผู้นั้นใบหน้าขาวซีดในบัดดล
จั่วม่อเดาะแหวนเล่นอยู่ในมือ ประกายฆ่าฟันแผ่ซ่านในดวงตา
คุนหลุน!
นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเป็นคุนหลุน!
แหวนวงนี้อากุ่ยนามามอบให้แก่มัน จั่วม่อประหลาดใจอยู่บ้าง แต่พอ
พลิกดูสงิ่ ของที่อยู่ภายในแหวน มันก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อพบว่าเจ้าของแหวน
เป็นซิวเจ่อจากคุนหลุน มันสอบถามอากุ่ย แน่นอนว่าย่อมไม่ได้รับคาตอบ
รอจนมันซักถามจากเจ้าเฮยจินจอมตะกละ ค่อยล่วงรู้ว่าเกิดเรื่องราวอันใด
ขึ้น
ที่แท้คุนหลุนมาเยือนถึงหน้าประตูบ้านมันแล้ว!
จั่วม่อดวงตามืดมนเย็นชา สาหรับกับมัน คุนหลุนเป็นศัตรู คู่แค้นที่ไม่
ยินยอมอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน!
ในแหวนมิ ติ ว งนั้ นมี สิ่งของดี ๆ มากมาย แต่ ส าหรั บ เสี่ย วม่อ เกอใน
ปัจจุบัน นี่ไม่นับเป็นความมั่งคั่งอันใด
คุนหลุน!
จั่วม่อแค่นหัวร่อเย็นเยือก ในเมื่อพวกเจ้าแส่หาที่ตายมาถึงนครมหา
สันติด้วยตัวเอง ก็อย่าได้โทษว่าข้าเสี่ยวม่อเกอเป็นฆ้องปากแตก เที่ยวป่าว
ประกาศเรื่องของพวกเจ้าให้ผู้คนได้ทราบ!
... ...
Page 135 of 937
จั่วม่อนั่งประจันหน้ากับซิ่นกงจู่
ซิ่นกงจู่มีบรรยากาศที่แตกต่างจากเสียกงจู่อย่างสิ้นเชิง เสียกงจู่เปี่ ยม
เสน่ห์เย้ายวนใจ ส่วนซิน
่ กงจู่สูงสง่า โอ่อ่าผ่าเผยและหยัง่ ซึ้งถึงจิตใจผู้คน
“ได้ข่าวคนของเจ้าบ้างแล้วหรือไม่?”
ประโยคแรกของซิ่นกงจู่แลกมาซึ่งความรู้สึกที่ดีจากจั่วม่อ เค้าความ
ห่วงกังวลในสุ้มเสียงของนาง บันดาลให้ผู้คนล่วงรู้ถึงความมีน้า ใจไมตรี
ของนาง
“ยังไม่มีข่าวคราวใด” จั่วม่อสั่นศีรษะ จากนั้นกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณกงจู่ที่เป็นห่วง”
ซิ่นกงจู่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “หากมีเรื่องใดให้ช่วยเหลือ
โปรดอย่าได้เกรงอกเกรงใจ ให้บอกมาตามตรง ซิ่นอาจมีขีดความสามารถ
ไม่มากนัก แต่ห ากสามารถช่วยเหลื อได้ ซิ่นจะไม่ปฏิเสธบอกปัด เป็ น อั น
ขาด”
รั บ ฟั ง ความจริ ง ใจในสุ้ ม เสี ย งของอี ก ฝ่ า ย จั่ ว ม่ อ ในใจอุ่ น วาบขึ้ น
เล็กน้อย “ทราบแล้ว!”
ในทะเลแห่งจิตสานึก เว่ยผู้ซึ่งปกติไม่ค่อยสะทกสะท้านต่อสิ่งใด ยาม
นี้สีหน้ามีแต่ความเหลือเชื่อ ร้องอุทานอย่างตื่นตระหนกประดุจพบพานผี
สาง “ชุดเกราะป้ายศิลาสุสาน!”
ชุดเกราะป้ายศิลาสุสาน?
จั่วม่องงงันวู บ ผ่านไปอึดใจใหญ่ ๆ ค่อยเข้าใจประโยคนี้ แทบร้ อ ง
ออกมาดัง ๆ
Page 136 of 937
แต่ในไม่ช้า มันก็ต ระหนักว่ายามนี้ตนเองอยู่ที่ใด ฝืนระงับความตื่น
ตะลึงในใจ รีบซักถามในใจ “เว่ย ชุดเกราะป้ายศิลาสุสานอยู่ที่ใด?”
ในดวงตาสีโลหิตของผูเยาเองก็ทอแววตื่นตะลึงอย่างลึกล้า
“ในมุ ม นั้ น องครั ก ษ์ เ กราะหนั ก ผู้ นั้ น ชุ ด เกราะที่ มั น สวมใส่ คื อ ชุ ด
เกราะป้ายศิล าสุส าน!” สุ้มเสียงของเว่ยไม่ห ลงเหลือความสงบเยือกเย็น
เริ่มจะสั่นพร่าอยู่บ้าง
องครักษ์เกราะหนัก?
จั่ ว ม่ อ หั น ไปมององครั ก ษ์ เ กราะหนั ก ที่ อ ยู่ ใ นมุ ม ด้ า นหลั ง ซิ่ น กงจู่
ในทันที
ชุดเกราะป้ายศิลาสุสาน... ...
ซิ่นกงจู่สังเกตเห็นร่องรอยผิดปกติบนใบหน้าของเซี่ยวม่อเกอ จากนั้น
เฝ้ามองสายตาของมันเลื่อนจากนางไปยังองครักษ์ของนางที่อยู่ด้านหลัง
“เซีย
่ วเซียนเซิงรู้จักเซี่ย11ด้วยรึ?” ซิ่นกงจู่เอ่ยถามอย่างฉับพลัน
“เซี่ย?” จั่วม่อทวนคาตามสัญชาตญาณ จากนั้นค่อยรู้สึกตัวในทันที
รีบสั่นศีรษะ “ไม่ไม่ ไม่รู้จัก”
ซิ่ น กงจู่ แ ย้ ม ยิ้ ม อ่ อ นหวาน “ข้ า เห็ น ว่ า เซี่ ย วเซี ย นเซิ ง ดู ท่ า จะสนอก
สนใจในตัวเซี่ยเป็นอันมาก”
11
เซี่ย - คิมหันต์
“เว่ ย เจ้ า บอกว่ า คนผู้ นั้ น สวมชุ ด เกราะป้ า ยศิ ล าสุ ส านเช่ น นั้ น รึ ?”
จั่วม่อพอออกมาได้ ก็รีบถามเว่ยทันที
“อา” เว่ยสีหน้ากลับเป็นปกติ ไม่หลงเหลือร่องรอยเสียกิริยาเหมือน
เช่นเมื่อสักครู่อีก
“ชุ ด เกราะป้ า ยศิ ล าสุ ส านมิ ใ ช่ ว่ า ล้ ม หายตายจากไปหมดสิ้ น แล้ ว
หรือ?” จั่วม่อถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ข้ายังเข้าใจว่านอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มี
ชุดเกราะป้ายศิลาสุสานอื่นอีก ที่แท้ถึงกับมีคนอื่นอยู่ด้วยจริง ๆ!”
Page 141 of 937
“ข้าเองก็เข้าใจว่าไม่มีหลงเหลืออีกแล้วเช่นกัน” เว่ยเหลือบตามอง
จั่วม่อ “เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก ชุดเกราะป้ายศิล าสุสานที่ผ่านการสืบ
ทอดอย่างสมบูรณ์มีพลังร้ายกาจยิง่ ”
“ร้ายกาจปานใด?” จั่วม่อขบคิด แล้วซักถามขอความกระจ่าง
“แก่นแท้ของชุดเกราะป้ายศิลาสุส านคือการเสียสละตน” เว่ยกล่าว
อย่างเยือกเย็น “ชุดเกราะป้ายศิล าสุส านทุกชุดล้วนมีวิญญาณเกราะซึ่ ง
ผ่ า นการสละตนสิ ง สู่ อ ยู่ ภ ายใน ในยุ ค บรรพกาล นี่ เ ป็ น พิ ธี เ ซ่ น สรวงศึ ก
สงครามประเภทหนึ่ง ทั้งยังเป็นพิธีที่ยากล าบากที่สุด เนื่องเพราะมี ก าร
เซ่นสรวงเพียงรู ปแบบเดียวเท่านั้น นั่นคือเสียสละตนเอง แต่ผลตอบแทน
ที่ ไ ด้ รั บ ก็ ม ากมายมหาศาล ชุ ด เกราะป้ า ยศิ ล าสุ ส านหากมิ ใ ช่ มี พ ลั ง อั น
ยิ่งใหญ่ไพศาล ก็มีพลังพิเศษเฉพาะที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน อย่างไรก็ตาม
ข้ อ ได้ เ ปรี ย บที่ ยิ่ ง ใหญ่ ที่ สุ ด ของชุ ด เกราะป้ า ยศิ ล าสุ ส านก็ คื อ วิ ญ ญาณ
เกราะ วิญญาณเกราะคงอยู่เนิ่นนานเหนือกาลเวลา ยากจะดับสลายไป ยิ่ง
คงอยู่ น านเท่ า ใด มั น ก็ จ ะยิ่ ง เรี ย นรู้ ส รรพวิ ช าความรู้ ม ากมายเท่ า นั้ น
กลายเป็ น ยิ่ ง แข็ ง แกร่ ง ขึ้ น เรื่ อย ๆ อี ก ทั้ ง ภู มิ ปั ญ ญาความรู้ ที่ ส ามารถ
ถ่ายทอดต่อไปก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นลาดับ”
จั่วม่อเงียบกริบ มันทราบดรว่าข้อได้เปรียบนี้ห มายความว่าอย่า งไร
ตัวมันที่มีทุกวันนี้ได้ ยังมิใช่เพราะสรรพวิชาความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากผูเยา
กับเว่ยหรอกหรือ?
“แต่ทว่า ทุกหนึ่งพันปีวิญญาณเกราะของชุ ดเกราะป้ ายศิล าสุ ส าน
จะต้องผ่านการทดสอบของสวรรค์ครั้งหนึ่ง พวกมันหากผ่านมาได้ จะยัง
Page 142 of 937
อยู่รอดต่อไป แต่หากล้มเหลว พวกมันจะสลายหายไป” เว่ยกล่าวแผ่วเบา
“วิ ญ ญาณเกราะที่ ส ามารถอยู่ ร อดมาได้ จ นถึง ตอนนี้มี เ พีย งความหมาย
เดียว นั่นคือพวกมันล้วนเป็นวิญญาณเกราะอัน กล้าแกร่งเกรียงไกร หรือ
กล่ า วอี ก ทางหนึ่ ง ก็ คื อ มี เ พี ย งวิ ญ ญาณเกราะที่ ก ล้ า แกร่ ง เกรี ย งไกร จึ ง
ยังคงอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้”
“กระทั่งร้ายกาจกว่าเจ้าอีกหรือ?” จั่วม่อแทบไม่อยากจะเชื่อ
“มันยอมรับการสืบทอด แต่เจ้าไม่ได้ยอมรับ” เว่ยชายตามองจั่ วม่อ
“ในพิธีสืบทอดชุ ดเกราะป้ายศิลาสุสาน นอกเหนือจากภูมิปัญญาความรู้
ยังมีพลังอานาจที่มอบให้อีกด้วย พลังฤทธิ์แห่งชุดเกราะป้ายศิล าสุส าน!
มันยิ่งใหญ่ไพศาลเกินกว่านี่เจ้าจะคาดคิดได้!”
ผูเยาแค่นเสียงขัดอย่างเย็นชา “เจ้าต้องจดจาไว้ ว่าในโลกนี้มีเพียง
การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันเท่านัน
้ หาได้มีสงิ่ ดี ๆ ที่ได้เปล่าไม่ พลังที่สืบ
ทอดกันมาไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ครอบครอง ชุดเกราะป้ายศิลาสุสานอันใด
นี่เป็นเพียงหลุมพรางกลอุบายที่ใช้พลังเป็นเหยื่อล่อ!”
“ที่เจ้าว่ามาก็มิใช่ว่าจะไม่ถูกต้อง” เว่ยกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “มันเป็น
เพียงหลุมพรางกลอุบายเท่านั้น แต่กลับเป็นหลุมพรางที่ผู้คนมากมายยินดี
กระโดดลงมา!”
เห็ น ทั้ ง คู่ เ ริ่ ม จะประมื อ กั น อี ก รอบ จั่ ว ม่ อ รี บ ขั ด จั ง หวะ “เช่ น นั้ น
องครักษ์ของซิ่นกงจู่มีฝีมือระดับใด?”
“เจ้าไม่ไปตอแยมันจะดีที่สุด” ผูเยาเตือน
“เจ้าลองดูก็จะรู้เอง” เว่ยกล่าวด้วยรอยยิม
้
Page 143 of 937
สองคาตอบเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เตือนจั่วม่อให้ต ระหนักใน
ระดับพลังฝีมือของคนผู้นั้นทันที แน่นอนว่ายังไม่ใช่สิ่งที่มันจะต่อกรได้
มันเพียงอยากรู้เรื่องชุดเกราะป้ายศิลาสุสานเท่านั้น มิหนาซ้ามันกับ
ซิ่นกงจู่มิใช่ศัตรู คู่แค้น ย่อมไม่มีเรื่องให้มันต้องต่อกรเป็นเซี่ยผู้นั้นอยู่แล้ว
ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น ซิ่ น กงจู่ มี ศั ก ดิ์ ฐ านะสู ง ส่ ง นางจะมี สุ ด ยอดฝี มื อ สั ก คนเฝ้ า
คุ้มครอง ก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง
เมื่อหวนนึกถึงการเปิดโปงคุนหลุนในวันนี้ จั่วม่อรู้สึกเบิกบานใจเป็น
ที่สุด
เรื่องที่คุนหลุนมุ่งเป้ามายังหอสมบัติมหาสันติ หากไม่มีใครป่าวร้อง
ออกไป จั่วม่อคาดคิดว่าหลายคนอาจยอมลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่ง
แต่เมื่อเรื่องราวถูกเปิดโปงออกมา ไม่ว่าขุมกาลังฝ่ายใด ย่อมต้องมีท่าที
สอดคล้องกันอย่างน่าแปลกใจ
จั่วม่อพอออกมาจากต าหนักของซิ่นกงจู่ มันก็เร่งไปยังต าหนักของ
หว่านกงจู่เป็นล าดับถัด ไป จากนั้นมันก็เล่าเรื่องของคุนหลุนให้ฝ่ า ยของ
หว่านกงจู่ฟังอีกรอบ ปฏิกิริยาตอบสนองของหว่านกงจู่เป็นเช่นเดียวกัน
กับซิ่นกงจู่ มิหนาซ้ายังพิโรธโกรธกริ้วเป็นการใหญ่
จากนั้นจั่วม่อไปพบซือเยวี่ยอี้กับหลันเทียนหลงตามลาดับ
ในไม่ช้า ขุมกาลังหลักทุกแห่งในเมืองต่างก็ล่วงรู้ ว่าเซี่ยวม่อเกอถูก
คนของคุนหลุนลอบจู่โจม
ในค่าคืนนั้น ซือเยวี่ยอี้เชื้อเชิญเหล่าขุมกาลังหลักๆ ในนครมหาสันติ
มาร่วมหารือวิธีรับมือคุนหลุนอย่างเร่งด่วน
Page 144 of 937
ชื่อเสียงของคุนหลุนยิ่งใหญ่คับฟ้า ไม่มีผู้ใดในแดนปิศาจไม่รู้จักพวก
มัน ขุมกาลังต่างๆ ในเมือง โดยมีซือเยวี่ยอี้เป็นผู้นา ล้วนทราบแก่ใจว่ายาม
นี้คุนหลุนจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของพวกมัน
คุนหลุนมีฐานกาลังกล้าแข็งสุดหยั่งถึง พวกมันเมื่อกล้าส่งคนมายั ง
นครมหาสันติ ผู้มาย่อมต้องเป็นยอดฝีมือทั้งหมด
นครมหาสันติแม้เต็มไปด้วยยอดฝีมือ แต่ยอดฝีมือที่แท้จ ริงของขุม
ก าลั ง แต่ ล ะฝ่ า ยหาได้ ป ระจ าอยู่ ที่ นี่ ไ ม่ เมื่ อต้ อ งเผชิ ญ หน้ า กั บ ศั ต รู ที่
แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าเช่นคุนหลุน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีความเชื่อมั่น แต่พวก
มันมีความเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าหากไม่จั ดการกับ คุนหลุนก่อน ขุมกาลัง
เผ่าปิศาจไม่ว่าฝ่ายใด เกรงว่าคงไม่อาจฉกฉวยผลประโยชน์จากหอสมบัติ
มหาสันติได้
หลินเชียนร้อยพันไม่คิด ไม่คิดว่าจั่วม่อจะจัดเตรียมความประหลาด
ใจครั้งยิ่งใหญ่ไว้รอท่ามันเรียบร้อยแล้ว!
ตาหนักมหาสันติ
ซือเยวี่ยอี้สีหน้าขรึมเคร่ง ยากนักที่จ ะได้เห็นสีหน้าเช่นนี้บนใบหน้า
ของเฉิ ง จู่ ผู้ ซึ่ ง ปกติ อ่ อ นโยนเยื อ กเย็ น บรรยากาศภายในห้ อ งเขม็ ง ตึ ง
เครียด
“ข้าทราบว่าหลายท่านมาเพื่อหอสมบัติมหาสันติ และข้าไม่สนใจว่า
สมบัติวิเศษจะตกไปอยู่ในมือของท่านใด เหล่าซือของข้าเคยกล่าวไว้ว่าทุก
สิ่งขึ้นอยู่กับโชควาสนา แต่ทว่าข้าไม่เคยคาดคิด ว่ากระทั่งเซียนกระบี่แห่ง
คุนหลุนยังแฝงตัวเข้ามาในนครมหาสันติด้วย นี่ทาให้ข้าตื่นตกใจไม่น้อย”
สุ้มเสียงของซือเยวี่ยอี้ก้องกังวานไปทั่วห้องโถงอันกว้างใหญ่ ทุกผู้คน
ที่เข้าร่วมตั้งใจรับฟังอย่างจดจ่อ หลายคนยังมีสีหน้าตื่นตะลึงอยู่บ้ าง ซือ
เยวี่ยอี้เป็นศิษย์ของซือจื่อหมิง เป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของหอสมบัติ
มหาสันติ ดังนั้นพอฟังว่ามันไม่แยแสสนใจว่าสมบัติวิเศษจะตกอยู่ในมือ
ผู้ใด จึงอดแตกตื่นประหลาดใจไม่ได้
“หอสมบัติมหาสันติ ถือเป็นผลงานแห่งความพากเพียรพยายามชั่ว
ชีวิต ของเหล่าซือของข้า ข้าเชื่อว่าไม่มีผู้ใดยินยอมเห็นมันไปจบลงในมือ
ของซิวเจ่อได้ วันนี้ข้าเชื้อเชิญทุกท่านมารวมตัวกัน ก็เพื่อหารือแผนการที่
จะกาจัดเหล่าซิวเจ่อที่ลอบเข้ามาในนครมหาสันติ บัดนี้ข้าต้องเรียนบอก
พวกมันยังคงไม่ทราบข่าวคราวของพวกอาเหวิน นี่ทาให้จ่ัวม่อกลัด
กลุ้มรุ่มร้อนเป็นอันมาก
“ต้าเหริน ชีเตียวอวี่ขอเข้าพบ!” องครักษ์ผู้หนึ่งเข้ามารายงาน
จั่วม่องงงันวูบ ชีเตียวอวี่? คนผู้นี้มาเยือนมันด้วยเรื่องอันใด?
Page 147 of 937
มันหันไปมองเขิงเหลียนเอ๋อร์ตามสั ญชาตญาณ แต่เขิงเหลียนเอ๋อร์
สั่นศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้”
มันขบคิดแวบหนึ่ง จากนัน
้ ร้องบอก “เชิญมันเข้ามา”
ฉวยโอกาสนี้ จั่วม่อถามผูเยาในทะเลแห่งจิตสานึก “ผู เจ้าผู้นี้มาทา
อะไร?”
“สมควรมาเสาะหาผู้ร่วมมือ” ผูเยากล่าวเสียงขรึมเคร่ง “แต่ไม่ว่ามัน
จะมาทาอะไร เจ้าก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดให้ต้องกังวล”
จั่วม่อลองขบคิดดู พบว่าคาพูดนี้กล่ า วไม่ผิด ต่อให้ชีเตียวอวี่ คิ ด ใช้
กาลัง แต่ห ากเป็นในเคหะสถานแห่งนี้ จั่วม่อย่อมสามารถสยบอีกฝ่ายได้
อย่างราบคาบ อาศัยอากุ่ยกับเขิงเหลียนเอ๋อร์สองผู้ช่วยชั้นเลิศที่สุด รวม
กั บ ตั ว มั น เอง ฝ่ า ยมั น ก็ มี กั น ตั้ ง สามคน จั่ ว ม่ อ จึ ง ไม่ เ ชื่ อว่ า พวกมั น ไม่
สามารถทุบตีชีเตียวอวี่จนบี้แบนติดพื้นได้
มันเหลือบมองเว่ยแวบหนึ่ง เว่ยนับตั้งแต่พบเห็นชุดเกราะป้ายศิลา
สุส านเมื่อคราวที่ แล้ว ก็เอาแต่จ มอยู่ในความเงียบ จั่วม่อคาดเดาว่ า เว่ ย
อาจก าลั ง หวนร าลึก ถึง อดี ต ที่ผ่ า นเลย หรื อ บางที ห ลั ง จากพบเจอตัวตน
ประเภทเดียวกันกับมัน ใช่กระทบอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงหรือไม่?
จั่วม่อไม่ทราบจะปลอบโยนเว่ยอย่างไร
สาหรับเรื่องนี้มันเห็นว่าผูเยากล่าวถูกต้อง ตัวมันเองไม่มีความสนใจ
ในชุดเกราะป้ายศิลาแม้แต่น้อย มันแม้ไม่ทราบแน่ชัด ว่ามีข้อจากัดใดบ้าง
ที่ชุดเกราะป้ายศิลาสุสานจะผูกมัดไว้บนร่างและวิญญาณของมัน แต่เป็น
ที่แน่ใจได้ว่าต้องมีข้อผูกมัดมากมายหลายประการ
Page 148 of 937
มันไม่ชมชอบข้อผูกมัด
แม้ว่าชุดเกราะจะสามารถมอบพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลให้แก่มัน มันก็
ไม่คิดเหลือบแล
ในไม่ช้ามันก็เห็นชีเตียวอวี่ กล่าวได้ว่าชีเตียวอวี่ผู้นี้มีรูปโฉมที่ยากจะ
หาผู้ใดทัดเทียมจริง ๆ ภายใต้ชุดยาวสีข าวราวหิมะ คนหล่อเหลาสูงสง่า
เป็นพิเศษ ให้ความรู้สึกชวนตะลึงลานประการหนึ่ง
“พี่ชียังคงหล่อเหลาน่าดูดุจเดิม!” จั่วม่อเอ่ยทักทายอย่างเสแสร้ง
“ข้ า ต้ อ งการท าข้ อ ตกลง” ชี เ ตี ย วอวี่ ไ ม่ ก ล่ า วมากความ ตรงเข้ า
ประเด็นในทันที
“ข้อตกลงอันใด?” จั่วม่อก็คร้านจะเสแสร้งแกล้งดัดอีก ย้อนถามตรง
ๆ เช่นกัน
ชีเตียวอวี่จ้องมองจั่วม่อด้วยดวงตากระจ่างดั่งดวงดาว กล่าวอย่างไม่
รีรอว่า “ข้าจะช่วยเจ้า ส่วนเจ้ามอบต้องเคล็ดความบนหลักศิลาภายในหอ
สมบัติฉบับคัดลอกให้แก่ข้า”
คราวนี้ถึงรอบให้จ่ว
ั ม่อประหลาดใจเล็กน้อย มันมองหน้าอีกฝ่าย ถาม
อย่างขบขันว่า “แล้วเจ้าจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าข้าสามารถเข้าสู่ห อสมบัติ
มหาสันติ”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าสามารถ แต่เจ้าเป็นคนที่มีโอกาสมากที่สุด” ชีเตียวอวี่
อธิบาย
จั่วม่อพอเข้าใจอยู่บ้าง มันแย้มยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าสามารถ
ช่วยเหลือข้าอย่างไร?”
Page 149 of 937
“ข้าสามารถคุ้มครองชีวิตเจ้า” ชีเตียวอวี่กล่าว
จั่วม่อจ้องมองชีเตียวอวี่อยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นแหงนหน้าหัวร่อดังสนั่น
“เจ้าใช่ล้อเล่นหรือไม่ ? คุ้มครองข้า? เจ้าสามารถโค่นนางลงหรือไม่ ?” มัน
ชี้ไปทางเขิงเหลียนเอ๋อ ร์ผู้ก าลังนั่ งจิบ ชาอย่ างสบายอารมณ์อยู่ ด้า นข้ า ง
เขิงเหลียนเอ๋อร์ เพี ยงสนใจแต่ถ้ ว ยชาในมื อนาง กระทั่งตายัง ไม่ ก ะพริ บ
ราวกับว่าตรงหน้านางร้างไร้ผู้คน มีเพียงอากาศธาตุอันน่ารื่นรมย์เท่านั้น
ชีเตียวอวี่เหลือบมองเขิงเหลียนเอ๋อร์ “พวกเรามีฝีมือคู่คี่ก้ากึ่งกัน”
จากนั้นจั่วม่อชี้ไปที่อากุ่ย “แล้วนางเล่า?”
อากุ่ยไม่มีปฏิกิริยาใด ส่วนที่ด้านข้างนาง เป็นเจ้าจอมตะกละทหาร
ยั น ต์ ท องค าด า มั น ลื ม ตากวาดมองชี เ ตี ย วอวี่ อ ย่ า งเกี ย จคร้ า นแวบหนึ่ ง
จากนั้นหลับตาลงตามเดิม สีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์
ชีเตียวอวี่ก็กวาดตามองทหารยันต์ทองคาดาแวบหนึ่งเช่นกัน พอเห็น
ท่าทางถือดีของอีกฝ่าย ต้องหนังตากระตุกวูบ “สมควรมีฝีมือคู่คี่ก้ากึ่งกัน”
“นั่นปะไร หากเจ้ามีพลังฝีมือสูงล้าหาผู้ใดเทียบได้ ข้าทาข้อตกลงกับ
เจ้าย่อมเป็นเรื่องอันประเสริฐ แต่เจ้ากระทั่งความมั่นใจในการเอาชนะ
พวกนางสักคนยังไม่มี แม้ว่าข้าอยากตกลงการค้ากับเจ้า แต่ดูเหมือนไม่
อาจได้ราคาที่สมน้าสมเนื้อ” จั่วม่อกล่าวด้วยสีหน้าเสียอกเสียใจ “ข้าเมื่อมี
ยอดฝี มื อ สองคนอยู่ ข้ า งกายตั้ ง แต่ แ รก แม้ ว่ า เพิ่ ม มาอี ก คนหนึ่ ง อาจ
สามารถช่วยเพิ่มขุมกาลังของข้า แต่ก็ไม่ถึงกับก้าวขึ้นสู่ระดับชั้นใหม่ ยิ่งไป
กว่านั้น อย่าลืมว่าข้ายากจะไว้ใจเจ้าได้ เจ้าเรียกร้องมากเกินไป แต่จ่าย
ออกมาน้อยเกินไป ข้าเซี่ยวม่อเกอไม่เคยทาการค้าขาดทุนมาก่อน”
Page 150 of 937
“ข้ามีข่าวสาร” ชีเตียวอวี่ฝืนระงับใจให้สงบเยือกเย็น
จั่วม่อกลับทาท่าแบสองมือ “แต่เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่มีข่าวสาร ขณะที่
ตัวข้ามีเพียงคนเดียว”
ประโยคสุดท้ายของจั่วม่อกล่าวแฝงความนัยอันลึกล้า แรกเริ่มเดิมที
มันเพียงต้องการพาตัวออกห่างจากมรสุมอันสับสนยุ่งเหยิงโดยเร็วที่สุด
เท่าที่จะทาได้ นึกไม่ถึงว่าพวกอาเหวินกลับหายสาบสูญไป บีบบังคับให้มัน
ต้องจ ายอมนั่งอยู่ท่ามกลางพายุ และนับตั้งแต่มันตระหนักว่าตัวมั น เอง
กลั บ กลายเป็ น กุ ญ แจส าคั ญ ในการเข้ า สู่ ห อสมบั ติ ม หาสั น ติ มั น ก็ เ ข้ า ใจ
อย่างแจ่มแจ้งทันที ว่านี่เป็นโอกาสทากาไรก้อนโต!
ธุรกิจการค้าประเภทใดทากาไรได้ ง่ายดายที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็น
ธุรกิจการค้าที่ท่านผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว!
ซึ่ ง ค ว า ม จ ริ ง ก ล่ า ว ถึ ง ห อ ส ม บั ติ ม ห า สั น ติ จั่ ว ม่ อ ไ ม่ มี ค ว า ม
ทะเยอทะยานอั น ใดแม้แ ต่ น้อ ย มั น ทราบแน่ แ ก่ ใ จ ว่ า ด้ ว ยหู ต ามากมาย
คอยจับจ้องมองดูตาเป็นมัน ไม่ว่าผู้ใดได้รับสมบัติวิเศษไป เกรงว่าไม่อาจมี
ชีวิตรอดได้เกินรุ่งเช้าของอีกวัน
แต่มันย่อมไม่พลาดโอกาสกอบโกยกาไรก้อนโต สาหรับตระกูลใหญ่
เหล่ า นั้ น เรี ย กให้ พ วกมั น จ่ า ยค่า ตอบแทนจ านวนหนึ่ง เพื่ อช่ ว งชิ ง ความ
ได้เปรียบในการต่อสู้ พวกมันย่อมไม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ดังนั้นจั่วม่อปฏิเสธข้อเสนอแรกของชีเตียวอวี่อย่างไม่รีรอลังเล
นี่ล้อข้าเล่นหรือไร!
จั่วม่อเหม่อมองเสียกงจู่ผู้งามสะคราญที่เบื้องหน้า สีหน้าเต็มไปด้วย
ความขื่นขมระทมทุกข์ “ไฉนเป็นเจ้ามาแล้ว?”
Page 152 of 937
“เป็ น ไร? เป็ น ข้ า แล้ ว จะมี ปั ญ หาใด?” เสี ย กงจู่ เ หลื อ กตา ประกาย
หยาดเยิ้มที่แผ่ซ่านออกมาโดยไม่ได้ต้ังใจแทบบันดาลให้ผู้คนหัวใจเต้นไม่
เป็นระส่า
จั่วม่อแม้ทางหนึ่งพยายามต้านทานเวทวิชาลวงตา อีกทางหนึ่งก็ยังตี
หน้าเจื่อนขมพลางกล่า ว “ข้ากาลังรอให้ผู้ อ่ ืนมา ... จะได้ขูดรีดพวกมั น
หนัก ๆ สักครา... ไฉนเป็นเจ้ามาก่อนเล่า”
ฮ่าฮ่า เสียกงจู่หัวร่องอหาย นางชี้หน้าจั่วม่อ หัวร่อพลางร้องว่า “เจ้า
เลวร้ายยิง่ ... ...เลวร้ายเหลือทนจริง ๆ!”
จั่วม่อกลับกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “โอกาสที่ดีงามถึงเพียงนี้
หากข้าไม่ฉวยโอกาสขูดรีดสักครา สวรรค์จะต้องส่งทัณฑ์สายฟ้าฟาดมาลง
ทัณฑ์ข้าเป็นแน่!”
เสียกงจู่หัวร่อเสียจนเรือนผมที่ตกแต่งไว้เป็นอย่างดีถึงกับหลุดลุ่ยลง
มา นางหอบหายใจน้อย ๆ ด้วยจริต มารยาของโฉมงามที่เติบโตเต็มสาว
พลางยกมื อ ปั ด แต่ ง เส้ น ผมที่ ห ลุ ด ลุ่ ย ระหน้ า ผาก จากนั้ น ค่ อ ยถามด้ ว ย
รอยยิ้มจาง ๆ “แล้วเจ้าไม่มีความคิดหวังต่อหอสมบัติมหาสันติเลยรึ?”
“นั่ น เป็ น เรื่ องของบรรดาเจ้ า มื อ ใหญ่ เจ้ า มื อ น้ อ ย ๆ อย่ า งข้ า ไม่ มี
ปัญญาร่วมเล่นด้วยได้” จั่วม่อกล่าวเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “หากต้อง
เอาชีวิตน้อย ๆ ของข้าเข้าไปเสี่ยงก็ไม่คุ้มค่าแล้ว”
เสียกงจู่ดวงตาทอแววประหลาด “เจ้าเห็นซึ้งกระจ่างยิ่ง”
จั่ ว ม่ อ กล่ า วอย่ า งภาคภู มิ ล าพอง “ย่ อ มแน่ น อน ดั ง นั้ น หากไม่ ฉ วย
โอกาสทากาไรสักครา ก็เรียกได้ว่าขาดทุนย่อยยับ” แต่กล่าวถึงตรงนี้ สี
Page 153 of 937
หน้าพลันละห้อยหดหู่ลง “ทว่าเจ้าเมื่อมาแล้ว ข้าก็ไม่อาจทาเช่นนั้นได้ ข้า
ยังเป็นหนี้เจ้าหนหนึ่ง ไหนเลยจะหักใจขูดรีดเจ้าได้”
เสียกงจู่พลันแย้มยิ้มอย่างซุกซน “ข้าก็ไม่อาจหักใจนาหนี้ก้อนโตนัน
้
มาใช้กับเรื่องเพียงเท่านี้ได้” จากนั้นลอกเลียนสุ้มเสียงของจั่วม่อกล่าวว่า
“ไม่อย่างนั้น มันจะเรียกได้ว่าขาดทุนย่อยยับ!”
จั่วม่อหัวร่อ
ทั้งคู่หัวร่ออย่างรู้ใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียกงจู่พลันถามไปอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างกะทันหัน “เจ้าไฉนผลักดันข้าออกมา?”
“ผลักดันเจ้าออกมา?” จั่วม่องงงันวูบ
“ไม่ต้องแสร้งทาเป็นโง่แล้ว” เสียกงจู่กล่าวอย่างเท่าทัน “เฉิงจู่บอก
ข้าว่าเจ้าเป็นผู้แนะนาข้าให้แก่มัน เพื่อให้ข้าเป็นผู้บัญชาการแผนกาจั ด
เซียน”
“อ้อ เรื่องนั้นเอง!” จั่วม่อค่อยเข้าใจ “แปลกอันใด ก็เนื่องเพราะเจ้ามี
ฝีมือร้ายกาจยิ่ง!”
มันลอบเสริมในใจ...โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสตร์วิชาลวงตา... ...
“ร้ายกาจ?” เสียกงจู่แย้มยิ้ม “ในใจเจ้าเห็นว่าจิต ใจของข้าคดเคี้ยว
มากกระมัง?”
จั่วม่อเกาศีรษะแกรก ๆ “ข้าเพียงรู้สึกว่าเจ้าชาญฉลาดยิ่ง” จากนั้น
อดกระตุ้นเตือนไม่ได้ “เจ้าต้องจัดการกับพวกคนของคุนหลุนให้อยู่หมัด
อย่าปล่อยให้พวกมันหลุดรอดไปได้”
Page 1 of 16
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
Page 2 of 16 2
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
Page 3 of 16 3
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
Page 4 of 16 4
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
Page 5 of 16 5
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
Page 6 of 16 6
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
......
......
“เจ้าไม่มีกุศลเจตนา ไฉนฉุ ดลากข้าลงน้าไปด้วยเล่า!”
ภายในที่พานักของเสียกงจูจ่ ว่ั ม่อสะบัดแขนอย่างขุน่ เคื องใจเบื้ อง
หน้ามันเป็ นเสียกงจูท่ ่ ีกาลังแย้มยิ้มพริ้ มพราย
“เป็ นไร? มิใช่เจ้าหรอกรึ ท่ ีมีหนี้ แค้นอันใหญ่หลวงกับคุนหลุน?
เจ้าย่อมต้องออกแรงแข็งขันกว่าผูใ้ ดจะเรี ยกว่าฉุ ดลากเจ้าลงน้าได้
อย่างไรกัน?” เสียกงจูย่ อ้ นถามด้วยสีหน้าใสซื่ อไร้เดียงสาแต่สว่ นลึก
ในดวงตาทอประกายเบิกบานใจ
จัว่ ม่ออับจนถ้อยคาซึ่งความจริ งเรื่ องนี้ มันเป็ นผูป้ ลุกเร้าขึ้นมาเอง
ที่เสียกงจูก่ ล่าวมาก็ไม่มีท่ ีใดผิดแต่เมื่ อเป็ นเช่นนี้ ก็ทาให้แผนการเดิมที่
มันตระเตรี ยมไว้ตอ้ งพังพินาศไม่เหลื อชิ้นดีแรกเริ่ มเดิมทีมนั เพียง
ต้องการผลักดันเรื่ องนี้ ออกมาเพื่ อยื มมื อเผ่าปิ ศาจเข่นฆ่าสังหารคุน
หลุนสักครา
Page 7 of 16 7
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
Page 8 of 16 8
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
ั
สาคัญมากกว่าผูใ้ ดเจ้าไม่เห็ นหรื อว่าคนเหล่าน้นแทบจะยั
ดเยียดองค
รักษ์ประจาตัวพวกมันให้แก่เจ้าทัง้ หมด”
จัว่ ม่อสีหน้าคล้ายแทบจะร่าไห้“อย่าได้บีบบังคับข้าเช่นนี้ ได้
ั
หรื อไม่ชีวิตน้อยๆของข้ามีเพียงชีวิตเดียวเท่าน้น!”
เสียกงจูร่ ะเบิดหัวร่องอหาย“เจ้าทาท่าเป็ นมุสิกขี้ขลาดที่กลัวตาย
มากอย่างที่ขา้ คาดไว้ผนวกกับความหน้าด้านไร้ยางอายของเจ้าช่าง
เกินจะเยียวยาแล้วจริ งๆ!”
“ใช่ใช่!”จัว่ ม่อพยักหน้าระรัวราวกับไก่จิกข้าวเปลื อก“ข้ากลัวตาย!
กลัวตายยิ่ง!กงจูต่ า้ เหริ นโปรดละเว้นข้าเถอะ!”
“เจ้าคิดละทิ้งโอกาสที่จะกวาดล้างพวกมันทัง้ หมดในคราวเดียวรึ ?”
เสียกงจูเ่ พ่งตาคูง่ ามมองจัว่ ม่อด้วยสีหน้าครึ่ งยิ้มครึ่ งบึ้ง“เพื่ อเจ้าแล้วข้า
สูอ้ ุตส่าห์หยิบยื มองครักษ์ของซิ่นกับหว่านมาให้ดว้ ยพวกมันล้วนเป็ น
ยอดฝีมือที่รา้ ยกาจยิ่งกระทัง่ ชีเตียวอวี่ยงั ตกลงช่วยเหลื ออีกแรง”
Page 10 of 16 10
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
Page 11 of 16 11
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
Page 13 of 16 13
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
Page 14 of 16 14
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
ชรานี้ ร่างกายอ่อนแอเค้าหน้าเหี่ยวย่นคล้ายมิอาจต้านแรงลมแต่
ดวงตาทัง้ คูท่ งั้ ลึกล้าและสุกสว่างอย่างเหนื อธรรมดา
ชัว่ อึดใจให้หลังจัว่ ม่อค่อยรู ส้ ึ กตัวสภาพรอบข้างกลับสูส่ ภาพปกติ
หลักศิลายังคงเงียบงันไร้วจาไหนเลยจะมีชายชราอันใด? จัว่ ม่อหัวร่อ
เบาๆมันตัง้ อกตัง้ ใจมากเกินไปจนมองเห็ นภาพลวงตา
เสียแล้วอย่างไรก็ตามรอจนมันมองเห็ นท้องฟ้ามื ดค่าและรอบบริ เวณที่
มื ด
สลัวค่อยแตกตื่ นจนขวัญหนี ดีฝ่อแย่แล้ว!มันมัวแต่จดจ่อมาก
เกินไปจนหลงลื มภารกิจ!ในมื อของมันพลันปรากฏลูกกลมสีเงินลูก
หนึ่ งดูเหมื อนจะเห็ น
ประกายแสงเป็ นชัน้ ๆไหลเวียนไปรอบๆลูกกลมสีเงิน ลูกกลมสี
เงินนี้ เป็ นส่วนสาคัญที่สุดของภารกิจครั้งนี้
Page 15 of 16 15
修 真 世 界 W o r l d o f C u l t i v a t i o n ม ห า ศึ ก ส า ม ภ พ
มันกําลังจะบดทาลายลูกกลมสีเงินในมื อแต่แล้วหางตาพลันเหลื อบ
เห็ นตัวอักษรแถวหนึ่ งบนหลักศิ ลาต้องตะลึงพรึ งเพริ ดอยูก่ บั ที่ราวกับ
ถูกผูค้ นเสกคําสาปอัมพาตใส่ร่าง
จัว่ ม่อยื นตัวแข็งทื่ ออยูก่ บั ที่!
Page 16 of 16 16
บทที่ 619 ‘โลก’
Page 4 of 12
เห็นเงาร่างพร่ามัวในระยะไกลนั้น จู่ ๆ แผ่ซ่านความรู้สึกอันตรายที่
ยากจะบ่งบอกบรรยายประการหนึ่ง
เจ้าผู้นี้... ...เกิดอะไรขึ้น?
“เมื่อพลังจิตสานึกและพลังปราณ แทรกซึมและผสานรวมกับสังขาร
ร่างกายอย่างลึกล้าที่สุด ‘โลก’ จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง”
ประโยคสั้น ๆ นี้สลักไว้ในมุมหนึ่งของหลักศิลา ไม่มีใดโดดเด่นสะดุด
ตาแม้แต่น้อย หลักศิล าต้นนี้บรรยายถึงพลังทั้งสาม ประโยคนี้ในบรรดา
เคล็ดความมากมาย หาได้ดึงดูดความสนใจไม่ แต่ทว่าสิ่งที่สะกดตรึงจั่วม่อ
ให้ต ะลึงลาน กลับเป็นคาว่า ‘โลก’ ในประโยคนี้ คาว่าโลกที่ปรากฏนั้นมี
แบบฉบับการเขียนที่แตกต่างจากตัวอักษรอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าถูก
คนใช้ปลายนิว
้ อันแกร่งกร้าวขีดลากเป็นคาว่าโลกเอาไว้ก็มิปาน
จั่วม่อรีบกวาดตามองดูท่ัวหลักศิลาทักษะปิศาจทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
เคล็ ด ความที่ จ ารึ ก บนหลั ก ศิ ล าล้ว นใช้ แ บบฉบั บ การเขี ย นแบบเดี ย วกัน
ทั้งหมด เป็นการแกะสลักอย่างประณีตบรรจง หากผู้ใดไม่ทันสังเกตคาว่า
‘โลก’ ให้ ดี อาจมองข้ า มได้ โ ดยง่ า ย แต่ ต่ อ ให้ มี ค นสั ง เกตเห็ น พวกมั น
อาจจะเข้าใจว่าเป็นข้อผิดพลาดโดยไม่ได้ต้ังใจในตอนที่แกะสลัก และได้
ทาการแก้ไขในภายหลัง
แต่สาหรับจั่วม่อ เมื่อบังเอิญสังเกตพบความแปลกประหลาดในส่วน
นี้ มันถึงกับยืนนิ่งขึงตะลึงลานไป
เนื่องเพราะมันอ่านประโยคนี้เข้าใจ
Page 5 of 12
“เมื่อพลังจิตสานึกและพลังปราณ แทรกซึมและผสานรวมกับสังขาร
ร่างกายอย่างลึกล้าที่สุด ... ...”
มั น ย่ อ มรู้ จั ก สภาวะนี้ เพราะนี่ คื อ สภาวะที่ มั น บรรลุ ถึ ง ในยามที่
ปรับปรุ งแก้ ไขแผนผัง ปิศ าจให้ แก่ กองพัน บาปเคราะห์ข องเปี๋ ยหานเมื่ อ
ไม่กี่วันก่อน เมื่อพลังจิตสานึกและพลังปราณแทรกซึมผสานรวมกับสังขาร
ร่ า งกายอย่ า งลึ ก ล้ า ที่ สุ ด โลกในสายตาของมั น จะกลายเป็ น ผิ ด แผก
แตกต่างจากเดิมอย่างแท้จริง นั่นเป็นสภาวะที่อัศจรรย์พันลึก ซึ่งมันอยู่ใน
สภาพเยือกเย็นและไร้อารมณ์ความรู้สึก เต็มไปด้วยประสิทธิภาพมากกว่า
ยามปกติหลายเท่า
กล่าวตามความสัตย์ จั่วม่อไม่ชมชอบสภาวะนี้นัก เนื่องเพราะสภาวะ
เช่นนี้ทาให้มันบังเกิดความรู้สึกคล้ายไม่ใช่มนุษย์ แต่เ หมือนหุ่นเชิดที่ไม่มี
ชี วิ ต ปราศจากอารมณ์ ค วามรู้ สึ ก แม้ เ ที่ ย งตรงแม่ น ย า แต่ ก็ ไ ม่ มี จิ ต
วิญญาณ
ดังนั้นเมื่อเพิ่มคาว่า ‘โลก’ เข้าไปในประโยคนี้ ย่อมเป็นเหตุให้มันต้อง
สะท้านใจวูบ
โลก... ...โลกคานี้ หรือว่ายังมีความหมายอื่นอีก?
จั่ ว ม่ อ ขบคิ ด วู บ หนึ่ ง จากนั้ น ตกลงใจทดลองดู มั น โคจรพลั ง ดวง
อาทิตย์ของอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาพลันทอแสงเจิดจรัส พลังจิตสานึกและ
พลังปราณโคจรลึกเข้าไปในเลือดเนื้อร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง
จิตใจมันกลายเป็นเย็นชา อารมณ์ความรู้สึกคล้ายถูกครอบคลุมด้วย
บรรยากาศเย็นยะเยือกสุดเปรียบปาน ไม่มีร่องรอยของความอบอุ่นใด
Page 6 of 12
ดวงตาของมันทั้งเย็นเยือกและเฉยเมย อารมณ์อันตรธานหายไปจาก
ดวงตา ปรากฏชั้นแสงสีทองบาง ๆ ทอประกายอยู่ในดวงตา ทั้งยังแฝงเร้น
ด้วยประกายสีขาวเลือนราง
นี่ก็คือสภาพของจั่วม่อที่พวกชีเตียวอวี่มองเห็นแต่ไกล
โลกใบใหม่ที่แตกต่างจากเดิม พลันปรากฏขึ้นตรงหน้ามัน
เห็นเส้นแสงกึ่งโปร่งใสนับไม่ถ้วน ตัดไขว้ไปมาระหว่างหลักศิลาแต่ละ
ต้น ทั่วทั้งป่าศิลาประดุจกรงขัง หรือไม่ก็ร่างแหตาข่ายที่สร้างขึ้นจากเส้น
ลาแสงมากมายสุดคนานับ
ภาพอั น น่ า ตระหนกที่ บั ง เกิ ด ขึ้ น ต่ อ หน้ า ต่ อ ตาจั่ ว ม่ อ ไม่ ไ ด้ ท าให้
อารมณ์ความรู้สึกของมันแปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันเหลียวซ้ายแลขวา
ดวงตาไร้อารมณ์กวาดมองรอบด้านอย่างเฉยเมย
เห็นบนหลักศิลาบางต้น มีรอยประทับฝ่ามืออันเลือนรางปรากฏขึ้น
บรรดาหลักศิล าที่มี ร อยประทั บฝ่ า มือ ล้วนเป็นหลักศิล าที่ มี เ ส้ น ส า
แสงตัดไขว้กันมากที่สุด
มั น ไม่ ช ะงั ก รั้ ง รอ มุ่ ง ตรงไปถึ ง ตรงหน้ า หลั ก ศิ ล าต้ น หนึ่ ง แล้ ว กด
ประทับฝ่ามือลงบนรอยประทับฝ่ามืออันเลือนรางบนหลักศิลานั้น
ทั น ใ ด นั้ น มั น รู้ สึ ก ถึ ง ก า ร สั่ น ส ะ เ ทื อ น ที่ แ ผ่ ว เ บ า ยิ่ ง ร า ว กั บ ว่ า
สั่นสะเทือนมาจากส่วนลึกใต้พ้ ืนพิภพ เป็นแรงสั่นสะเทือนที่แผ่วเบาผิด
ธรรมดา หากมิใช่ว่าจั่วม่อทาบฝ่ามืออยู่บนหลักศิลาต้นนี้ จะต้องไม่รู้สึกถึง
แรงสั่นสะเทือนนี้เป็นแน่
Page 7 of 12
จั่วม่อสามารถตรวจจับระลอกการสั่นทั้งหมดได้อย่างถูกต้องแม่นยา
คลื่นแรงสั่นสะเทือนเหล่านี้มีจังหวะจะโคนที่พิเศษเฉพาะชนิดหนึ่ง
ในสภาวะเช่นนี้ ฝีมือทักษะปิศาจของจั่วม่อไต่ขึ้นไปถึงขอบเขตสูงสุด
แทบไม่ต้องขบคิดอันใด เลือดเนื้อภายในฝ่ามือของมันพลันสั่นสะเทือน
ตาม สนองตอบต่อหลักศิลาด้วยจังหวะจะโคนแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน
ทันใดนั้น แรงสั่นสะเทือนจากหลักศิล าพลันหยุ ดลง ในสายตาของ
จั่วม่อ เห็นหลักศิลาต้นนั้นเปล่งประกายเรืองรอง
ริ้วลาแสงนับไม่ถ้วนประหนึ่งสายน้าหลั่งริน ไหลผ่านไปยังหลัก ศิล า
ต้นอื่น ๆ ผ่านทางเส้นลาแสงกึ่งโปร่งใสเหล่านั้น
สีหน้าของจั่วม่อยังคงเฉยเมย ในขณะที่ร่างมันหายวับ ไปปรากฏตัว
อยู่เบื้องหน้าหลักศิลาต้นอื่น ๆ ที่มีรอยประทับรูปฝ่ามือ
Page 12 of 12
บทที่ 620 ลวงกลายเป็นจริง
Page 3 of 11
“เมื่อวานเราเคยผ่านก้อนหินนี้มาแล้ว!” อสูรควันดาก้มลงเก็บก้อน
หินขึ้นจากพื้นข้างเท้า สุ้มเสียงของมันไม่เป็นธรรมชาติมาก “ก้ อนนี้ไม่ผิด
แน่ ข้าจดจาได้อย่างชัดเจน!”
“หมายความว่ า ตลอดเวลาที่ ผ่า นมา พวกเราอาจเดิ น วนเวี ยนเป็น
วงกลมใช่หรือไม่?” หนานเยว่ถามอย่างตื่นตกใจอยู่บ้าง
“เป็นไปได้อย่ างยิ่ ง” อสูรควันดาเงยหน้ าขึ้น มองไปยัง ความมื ด มิ ด
ด้านบน “เราอาจจะเดินวนเวียนเป็นวงกลมอยู่ภายใต้ป่าศิ ลาทักษะปิศาจ
นี้เอง”
จากนั้นมันกล่าวราวราพึงกับตัวเอง “นี่เป็นทางวงกตแบบวนซ้า ทุก
ครั้ ง เราล้ ว นเลื อ กเส้ น ทางที่ แ ตกต่ า งกั น แต่ ยั ง คงวนกลั บ มาอยู่ ดี ทุ ก
เส้นทางล้วนนาไปยังที่แห่งเดียว โอ ข้าเข้าใจแล้ว... ...”
ทันใดนั้นมันหันขวับ กล่าวกับอสูรผมส้มอย่างร้อนใจอยู่บ้าง “ต้าเฉิง
ลองทุบทาลายพื้นให้ข้าสักหน่อย!”
อสูรผมส้มพอฟังต้องคึกคักขึ้นอักโข หลายวันมานี้ทาเอามันอึด อั ด
ขัดข้องแทบตายแล้ว รีบถกแขนเสื้อขึ้นทันที “ไม่มีปัญหา เจ้าต้องการหลุม
ใหญ่เท่าใด? ลึกเท่าใด? ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าได้ชมศาสตร์อสูรวิชาใหม่ที่
ข้ า เพิ่ ง ฝึ ก ส าเร็ จเมื่อ ไม่ นานมานี้ เป็ น ยอดวิ ช าในการขุ ด หลุม แขนงหนึ่ง
ที เ ดี ย ว เจ้ า หากต้ อ งการหลุ ม กลม ข้ า จะไม่ มี วั น ขุ ด ออกมาเป็ น สี่ เหลี่ยม
หากเจ้าต้องการสามจั้ง ข้าจะไม่ขุดห้าจั้ง โอ้ หรือว่าเจ้าต้องการที่มันดูยาก
ขึ้นมาสักหน่อยหรือไม่? รูปดอกไม้เป็นอย่างไร? ไม่ ๆ ธรรมดาเกินไป! บาง
ทีเป็นภาพศิลปะดีหรือไม่?”
Page 4 of 11
หนานเยว่กับคนอื่น ๆ ถึงกับไร้วาจาจะกล่าว
แต่อาเหวินกลับตื่นเต้นฮึกเหิมขึ้นมา “ศาสตร์อสูรอันใด ร้ายกาจถึง
เพี ย งนั้ น เชี ย ว? ลองมาแข่ ง กั น ดี ห รื อ ไม่ ? ข้ า ก็ เ พิ่ ง จะเข้ า ใจบางอย่ า งมา
เช่นกัน”
อสู ร ผมส้ ม ฮึ ก เหิ ม ขึ้ น มาทั น ที รี บ โถมไปถึ ง เบื้ องหน้ า อาเหวิ น
“ประเสริฐ เช่นนั้นมาแข่งกัน! ขุดหลุมเป็นภาพศิลปะ!”
“ได้เลย!” อาเหวินฮึกเหิมไม่แพ้กัน
“ลึกห้าจั้งจะดีที่สุด” อสูรควันดาร้องบอกเสียงอ่อย แต่ไม่มีผู้ใดแยแส
สนใจมัน ความสนใจของทุกคนหันไปหาสองคนที่กาลังจะแข่งกันขุดหลุม
เป็นภาพศิลปะ
เกี่ยวกับความสามารถของอาเหวินไม่มีสิ่งใดต้องกล่าวถึง ส่วนอสูร
ผมส้มแม้ดูไม่เต็มเต็ง ทั้งยังแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่พรสวรรค์ในเชิง
ศาสตร์ อ สู ร ของมั น สู ง ล้ า เป็ น พิ เ ศษ ทั้ ง ยั ง มั ก จะเหนื อ ความคาดหมาย
บ่อยครั้งที่สามารถคิดค้นศาสตร์อสูรแปลกประหลาดพิสดารออกมา
“พวกเจ้าคิดว่าใครจะชนะ?” หมิงเจวี๋ยจื่อเปรยถามอย่างสนอกสนใจ
หนานเยว่ตอบ “อาเหวิน”
คังเจ๋อลังเลครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ต้าเฉิง!”
หมิงเจวี๋ยจื่อหันไปมองอสูรควันดา อสูรควันดากล่าวอย่างจนปัญญา
“ต้าเฉิง”
หมิงเจวี๋ยจื่อหัวร่อฮิฮะ “ข้าว่าอาเหวิน เป็นสองต่อสอง!”
Page 5 of 11
อสูรผมส้มวางท่าราวกับยอดยุทธ์ผู้ไร้เทียมทาน ผายมือเป็นเชิงเชื้อ
เชิญ กระดิกนิ้วเรียกอาเหวิน “เจ้าหนู ข้าจะไม่ออมมือให้แก่เจ้า! แต่เจ้า
หนุ่มเอ๋ย หลังจากพ่ายแพ้อสูรผมสีส้มผู้มีคุณธรรมน้ามิตรผู้นี้ เจ้าจะรู้สึก
ว่าชีวิตมีคุณค่าความหมายขึ้น!”
อาเหวินถลึงตากลับอย่างไม่ลดราวาศอก “มาเถอะ เจ้าตัวประหลาด
ผมแดง! ให้ ข้ า แสดงให้ เ จ้ า ดู ว่ า ยอดฝี มื อ อั น ดั บ หนึ่ ง แห่ ง ค่ า ยเว่ ย มี ฝี มื อ
อย่างไร!”
Page 6 of 11
เสียกงจู่พลันตระหนักถึงความจริงอันน่าแตกตื่นสะท้านใจประการ
หนึ่ง...
...เซี่ยวม่อเกอถึงกับค้นพบหอสมบัติมหาสันติเข้าจริง ๆ!
ทันทีที่ความคิดนี้วาบขึ้นในใจ นางสีหน้าซีดเผือดในบัดดล!
แผนการเดิ มของนางคือสร้างภาพลวงว่าหอสมบัติมหาสันติปรากฏ
ขึ้น เพื่อล่อให้เหล่าซิวเจ่อออกจากที่ซ่อน นางร้อยคิดพันคานวณยังคาดไม่
ถึงว่าแผนลวงจะกลับกลายเป็นจริง!
นี่เรียกว่าคนคานวณมิสู้ฟ้าลิขิต ทันทีที่หอสมบัติมหาสันติปรากฏขึ้น
จริง แผนการซึ่งเคยไร้ที่ติก็จะกลับกลายเป็นเต็มไปด้วยข้อบกพร่องแล้ว
ด้านของซิวเจ่อขวัญกาลังใจจะเพิ่มขึ้นเต็มเปี่ ยมถึงขีดสุด การจู่โจมตอบโต้
ของพวกมันย่อมต้องดุเดือดรุ นแรงถึงขั้นสู้ตายถวายชีวิต ส่วนในทางตรง
กั น ข้ า ม บรรดายอดฝี มื อ ฝ่ า ยปิ ศ าจกลั บ จะต่ า งคนต่ า งพุ่ ง เป้ า ไปยั ง หอ
สมบั ติ ม หาสั น ติ แ ทน แต่ ล ะคนล้ ว นมี แ ผนการของตน กองก าลั ง พิ ฆ าต
เซียนที่เคยเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกันจะแตกกระจายโดยไม่ทันได้สู้รบ
ภายใต้ ส ถานการณ์ เ ช่ น นี้ แผนการที่ เ คยไร้ ช่ อ งว่ า งรอยโหว่ จ ะพั ง
พินาศ เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน!
เมื่อถึงเวลานั้น สถานที่แห่งนี้จะเกิดการสู้รบตะลุมบอนอย่างสั บสน
ยุ่งเหยิง ศึกเช่นนี้สาหรับพวกซิวเจ่อแล้ว ย่อมได้ประโยชน์มากที่สุด!
สิ่งที่นางห่วงกังวลยิ่งไปกว่านั้น ก็คือเซี่ยวม่อเกอผู้ซึ่งเป็นศูนย์กลาง
ของการต่อสู้ประจัญบานจะตกอยู่ในตาแหน่งที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุด
Page 7 of 11
นางในใจขบคิ ด เร็ ว รี่ จากนั้ น สี ห น้ า กลั บ คื น เป็ น ปกติ อ ย่ า งรวดเร็ ว
กล่ า วอย่ า งไร้ อ ารมณ์ ว่ า “หอสมบั ติ ม หาสั น ติ เ ปิ ด ออกแล้ ว แผนมี ก าร
เปลี่ยนแปลง ทุกท่านให้บุกจู่โจมทันที ขับไล่พวกซิวเจ่อออกไปก่อน!”
ถ้อยคาของเสียกงจู่ทาให้ท้ังหมดสะท้านขึ้นทั้งร่าง พวกมันเหม่อมอง
เสียกงจู่อย่างเหลือเชื่อ ทุกคนแม้มุ่งความสนใจไปที่การเปลี่ยนแปลงของ
เซี่ยวม่อเกอ แต่ก็เพียงรู้สึกว่าการกระทาของมันแปลกประหลาดเล็กน้อย
ไม่มีผู้ใดเชื่อมโยงการกระทาเหล่านั้นไปถึงการเปิดออกของหอสมบัติมหา
สันติ
เสียกงจู่ดวงตาทอประกายเจิดจรัส กวาดตามองผ่านดวงตาทุ ก คู่ ที่
เริ่มจะร้อนเร่า นางจัดแต่งเรือนผมพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ทุกท่านต้อง
ระวังความปลอดภัยของเซี่ยวม่อเกอด้วย ในกรณีที่เหล่าซิวเจ่อเห็นว่าหมด
หวังจะช่วงชิงสมบัติ อาจคิดทาลายโอกาสของพวกเราไปด้วย ถึงเวลานัน
้
เซี่ยวม่อคงไม่แคล้วทอดร่างเป็นซากศพแล้ว พวกเราเองก็ไม่มีผู้ใดได้อะไร
ทั้งนั้น ตอนนี้มันยังคงมีประโยชน์ เนื่องเพราะมีแต่มันที่ส ามารถเปิดหอ
สมบั ติ ม หาสั น ติ ไ ด้ ในช่ ว งเวลาส าคั ญ เช่ น นั้ น หวั ง ว่ า ผู้ อ าวุ โ สทั้ ง หลาย
อย่าได้เก็บซ่อนฝีมือแล้ว”
ทุกผู้คนสบตากันวูบ จากนั้นพากันเคลื่อนไหว
อวี๋ซวงผุดลุกขึ้น กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เราต้องสั่งสอนซิวเจ่อเหล่านี้
ให้หลาบจาสักครา มิเช่นนั้นพวกมันคิดมาก็มา คิดไปก็ไป พวกมันเข้าใจว่า
ในหมู่พวกเราเผ่าปิศาจไม่มีคนมีความสามารถหรือ ที่นี่กลายเป็นสวนหลัง
บ้านของพวกมันตั้งแต่เมื่อใด?”
Page 8 of 11
ทุกผู้คนฮึกเหิมขึ้นเช่นกัน
ชางเยวียนฮ่าวกับอวี๋ซวงเดินเคียงคู่กันไป เหล่าองครักษ์ที่นาโดยเซี่ย
ห้อมล้อมคุ้มกันซิน
่ กงจู่ ส่วนองครักษ์ ที่นาโดยจูเข่อเฝ้าพิทักษ์หว่านกงจู่ ชี
เตียวอวี่เคลื่อนไหวตามลาพัง... ...
เพี ย งชั่ ว พริ บ ตาเดี ย ว กองก าลั ง ผสมก็ แ ตกสลาย แต่ ล ะขุ ม ก าลั ง
แบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
“เจ้ามีจิตเจตนาต่อมันหรือ?” หญิงรับใช้วัยกลางคนที่ข้างกายเสียกง
จู่ เอ่ยถามอย่างกะทันหัน
เสี ย กงจู่ เ หลื อ บมองนางแวบหนึ่ ง แล้ ว ย้ อ นถามว่ า “ท่ า นเห็ น เป็ น
เช่นนั้นรึ?”
“หากมิ ใ ช่ เ ช่ น นั้ น เจ้ า ไยต้ อ งช่ ว ยเหลื อ มั น เล่ า ?” หญิ ง รั บ ใช้ วั ย
กลางคนจ้องมองเสียกงจู่ตาเขม็ง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าย่อมทราบ
กระจ่างแก่ใจ เมื่อเจ้าเข้าร่วมความขัดแย้งนี้ เจ้าจะไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
กับมันอีกต่อไป!”
เสียกงจู่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ท่านไม่คิดบ้างรึ? ให้พวกมันทั้งหมดมุ่ง
ความสนใจไปยังเซี่ยวม่อเกอ จะไม่เป็นประโยชน์ต่อเรามากกว่าหรือ?”
หญิงรับใช้วัยกลางคนสีห น้าคลายลงเล็กน้อย แต่ยังสาทับอย่างเย็น
ชาว่า “อย่าได้คิดทาเรื่องโง่เขลาอันใด”
เสียกงจู่คล้ายไม่ได้ยิน นางเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยวม่อเกอที่กาลังพุ่งเข้า
หาหลักศิลาอีกต้น พลันกล่าวว่า “ท่านอดใจรอไม่ไหวแล้วกระมัง”
หญิงรับใช้วัยกลางคนสีหน้าแข็งค้าง
Page 9 of 11
... ...
หลักศิลาที่เบื้องหน้ามันในยามนี้ เป็นหลักศิลาทักษะปิศาจต้นสุดท้าย
ที่มีรอยประทับฝ่ามือ
เส้นล าแสงกึ่งโปร่งใสที่บางเฉียบ ในสายตามันยามนี้สว่างจ้ายิ่งกว่า
ลาแสงใด ระลอกคลื่นไหลผ่านไปตามเส้นใยที่ตัดไขว้ไปมาเหล่านี้ ราวกับ
คลื่นกระทบฝั่ งที่มาจากทุกทิศทาง มุ่งตรงมายังหลักศิลาต้นนี้เป็นจุดเดียว
ชั่วพริบตาที่จ่ัวม่อ กดประทั บฝ่า มือลงบนหลักศิล าต้นสุด ท้า ย หลัก
ศิลาพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กระทั่งพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของมันยังสั่นไหว
อย่างดุเดือด ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตโบราณที่ถูกกักขังไว้ใต้พ้ ืนพิภพตาแหน่งนี้
กาลังจะตื่นขึ้นอีกครั้งก็มิปาน
จั่วม่อสีหน้าเย็นยะเยียบ ไม่แยแสต่อสิ่งใด เต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ไร้อารมณ์
เพื่ อ ตอบสนองต่อแรงสั่นสะเทื อนอั นแกร่ งกร้ า วที่ ม าจากหลักศิล า
กล้ า มเนื้ อ ทุ ก มั ด บนท่ อ นแขนของจั่ ว ม่ อ ก็ สั่ น สะเทื อ นอย่ า งรุ น แรง ด้ ว ย
ระดับความเร็วอันน่าแตกตื่นสะท้านใจ
ชั่วพริบตานี้เอง ลาแสงทั้งมวลหยุดชะงักลงอย่างพร้อมเพรียง
แต่ในเสี้ยววินาทีถัดไป ลาแสงที่หยุดนิ่งคล้ายสะดุ้งตื่นขึ้นมา พากัน
ถาโถมจากทุกทิศทุกทาง ไปยังหลักศิลาต้นสุดท้ายอย่างบ้าคลั่ง!
ตูม!
Page 10 of 11
ลาแสงสีขาวเจิดจรัสพวยพุ่งออกมาจากหลักศิล าอย่างฉับพลัน ราว
กับกระบี่แสงมหายักษ์ แทงทะลวงใส่ท้องฟ้า ทะลุเข้าไปในห้วงความว่าง
เปล่าไร้ที่สน
ิ้ สุด
แสงสีขาวประดุจ เปลวไฟลุกโชติช่วง กวาดวาบออกไปทั่วสี่ทิ ศ แปด
ทาง ภายในชั่วพริบตาเดียว หลักศิลาทักษะปิศาจทุกต้นพากันปลดปล่อย
ลาแสงสีขาวแผดจ้าออกมา
พื้นปฐพียิ่งมายิ่งสั่นไหวรุ นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วทั้งนครมหาสันติล้ว น
สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
รอยแยกขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนพื้นรอบ ๆ ป่าศิลา จากนั้นป่าศิลา
ทั้งผืนก็ค่อยๆ ยกตัวขึ้น
ตูม ตูม ตูม!
เห็ น ป่ า ศิ ล าที่ ป กคลุ ม ด้ ว ยล าแสงเจิ ด จรั ส ยกตั ว ขึ้ น อย่ า งแช่ ม ช้ า
ประหนึ่ ง มี สั ต ว์ ป ระหลาดมหายั ก ษ์ ที่ อ ยู่ ใ ต้ พ้ ื นพิ ภ พ ค่ อ ยๆ ผลั ก ดั น มั น
ขึ้นมา
ล าแสงสีข าวอันเจิดจ้าบาดตาที่พวยพุ่งขึ้นฟ้ า ดูคล้ายกับเชือกเส้ น
ขนาดยักษ์ ที่ค่อยๆ ลากดึงป่าศิลาทั้งแถบขึ้นมา!
และในเวลาเดียวกัน ข้าง ๆ ล าแสงสีขาวสายนั้น เห็นเงาร่างเย็นยะ
เยื อ กอั น ไร้ ซึ่ ง อารมณ์ ความรู้ สึก ภายใต้ ล าแสงสีข าวสว่ า งไสว มั น ก าลัง
ทอดตามองโลกด้านล่างด้วยสายตาไม่แยแส
Page 11 of 11
บทที่ 621 หนึ่งกระบีข่ องหลินเชียน
“เริม่ ได้ !”
“เริม่ ได้ !”
ช่างเป็ นสองตัวประหลาดอย่างแท้จริง!
ทุกผูค้ นหน้าเปลี่ยนสีอย่างพร้อมเพรียง
แกรก!
จิตวิญญาณการต่อสูแ้ ละความฮึกเหิมของหลินเชียนระบาดใส่เซียน
กระบี่แห่งคุนหลุนทัง้ หมด อารมณ์อนั พลุง่ พล่านบันดาลให้พลังปราณใน
ร่างเดือดปะทุอย่างเหนือธรรมดา ความกลัวเกรงและขลาดเขลาทัง้ หมด
ปลาสนาการไปสิน้ จิตวิญญาณความฮึกเหิมแผดเผาร่างกายทุกตารางนิว้
ร่างสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ
เหล่าศิษย์ยอดฝี มือจากอีกสามมหาสํานักก็พากันลงมืออย่างพร้อม
เพรียง แต่เมื่อเทียบกับความคลุม้ คลั่งของคุนหลุน พลังสภาวะของพวก
มัน นับว่าอ่อนด้อยกว่ามาก ยอดฝี มือฝ่ ายปิ ศาจแทบทัง้ หมดล้วนมุ่งเป้า
ไปยัง คุนหลุนเป็ นจุดเดียว
เผชิญหน้ากับยอดยุทธ์เผ่าปิ ศาจที่บกุ ทะลวงเข้าหามัน หลินเชียนไม่
หวาดหวั่นครั่นคร้าม ท่ามกลางเสียงกระบี่คาํ รามดังสดใส ลําแสงกระบี่ทวี
พลังขึน้ อย่างรวดเร็ว เสียงแหวกฝ่ าอากาศแหลมสูงกลับกลายเป็ นซุม้ เสียง
ทุม้ ตํ่าแหบลึก ด้วยสภาวะประดุจดาวตกถล่มลงจากท้องนภา ลําแสง
กระบี่ พุ่งเข้าปะทะกับศัตรูอย่างหักโหม!
“คุม้ กันศิษย์พ่ีใหญ่!”
นี่คือเขตแดนอันพิสดารของอวี๋ซวง เขตแดนกุหลาบเขียวขจี!
ทันใดนัน้ เอง ดอกกุหลาบทัง้ มวลพลันสั่นระริกเล็กน้อย กลีบกุหลาบ ปลิด
ปลิวลงมาโดยไร้เสียง เพียงชั่วกะพริบตาเดียว ดงกุหลาบสีชมพูรอบ กา
ยอวี๋ซวงก็กลับกลายเป็ นทะเลกลีบบุปผาผืนหนึ่ง
วูม้ !
เศษกลีบกุหลาบมากมายเหลือคนานับคล้ายถูกกระแสลมหอบพัด
เปลี่ยนเป็ นพายุบปุ ผาสีเขียวสดตรงดิ่งเข้าหาหลินเซียนอย่างสี่ลบั
ระหว่างเศษบุปผาสีเขียวแต่ละกลีบแฝงไว้ดว้ ยสนามพลังอันแปลก
พิสดารชนิดหนึ่ง ห่าฝนกสืบบุปผานับไม่ถว้ น ก่อให้เกิดการทับซ้อนของ
สนามพลังจํานวนมากมายสุดคนานับกลายเป็ นทะเลกลีบบุปผาที่เปี่ ยม
ล้นด้วยกระแสพลังปั่ นป่ วนาสร้างเป็ นบึงโคลนอันน่าสยดสยองบ่อหนึ่ง ผู้
ที่ติดอยู่ภายในเขตแดน ต่อให้มีพลังแกร่งกร้าวสุดเปรียบปาน ก็รงั แต่จะ
ถูกสะกดตรึงเอาไว้ภายใต้สนามพลังงาน ไม่ตา่ งจากจมลงไปในบ่อโคลน
ดูดไร้ ก้นบึงการเคลื่อนไหวจะกลายเป็ นเชื่องช้าลง ทัง้ ยังเชื่องช้าลงอย่าง
ต่อเนื่อง จนกระทั่งไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้อีก
หลินเชียนดวงตาทอประกายด้วยจิตวิญญาณการต่อสูอ้ นั ร้อนระอุ
กระบี่บินในมือของมันคล้ายสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นในใจมัน ต้อง เปล่ง
เสียงคํารามกระหึ่มสองตอบต่อผูเ้ ป็ นนายอย่างเหนือการควบคุม
กระบี่เดียว! มันถึงกับพ่ายแพ้ในกระบี่เดียว!
หนึ่งกระบี่ของหลินเชียนข่มขวัญสะท้านทั่วสนามรบทั้งหมด!
อวี๋ซวงเป็นใคร? มันคือจอมปิศาจที่จัดอยู่ลาดับสองในทาเนีย บยอด
ฝีมือปิศาจมหาสันติ กระทั่งทอดตาทั่วดินแดนร้อยเถื่อน มันยังนับเป็นยอด
ฝีมือชั้นแนวหน้า แต่คนเช่นนี้กลับได้รับบาดเจ็บภายในกระบี่เดียว!
หลินเชียนลอยตัวอยู่กลางอากาศ ในมือถือกระบี่ไท่อาอันน่าเกรงขาม
กลุ่มแสงที่ปลายกระบี่สว่างเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์ ไม่มีเค้าสุภาพอ่อนโยน
เหมือนเช่นปกติ ดวงตาหนึ่งแดงหนึ่งน้าเงินของมันค่อย ๆ มองกวาดไปยัง
ทุกผู้คน เต็มไปด้วยความทระนงถือดีและเหยียดหยันดูแคลนทั้งโลกหล้า
การกวาดตามองของมันเชื่องช้ายิ่ง แต่อัดแน่นไปด้วยแรงกดดันอัน
หนักหน่วง ไม่มีผู้ใดกล้าประสานสบดวงตาสองสีอันพิสดารคู่นั้น
ทั่วทั้งสมรภูมิเงียบกริบดุจป่าช้า
บรรดาปิศาจจากนครมหาสันติ พอเห็นกระบี่นี้ของหลินเชียน ล้วนตก
ตะลึงพรึงเพริดจนแทบสูญเสียจิตวิญญาณ
ศิ ษ ย์ คุ น หลุนทุ ก คนพากั นจ้ องมองศิษ ย์พี่ ใหญ่ ด้ว ยสายตาร้อนระอุ
เห็ น ศิ ษ ย์ พี่ ใ หญ่ ก วาดตามองสะกดตรึ ง ทุ ก ผู้ ค นจนครั่ น คร้ า ม พวกมั น
ลิงโลดยินดีจนแทบกู่คารามออกมา
คุนหลุน!
พวกเราคือคุนหลุน!
Page 1 of 12
ภาพของศิ ษย์ พี่ใ หญ่ ที่ กอรปด้ ว ยท่ วงท่ า สภาวะไร้คู่ เ ปรีย บ ประดุ จ
เทพเทวาลงมาเยือนโลกหล้า ตราตรึงลงในใจของพวกมันอย่างลึกล้า
“ขอเรี ย นถามนามสู ง ส่ ง ได้ ห รื อ ไม่ ?” สุ้ ม เสี ย งของชางเยวี ย นฮ่ า ว
ทาลายความเงียบงัน
ทุกผู้คนค่อยตื่นขึ้นจากอาการตกตะลึง พากันจ้องมองบุรุษหนุ่มถือ
กระบี่ผู้สามารถเหยียดหยันโลกหล้า กระทั่งศิษย์จากอีกสามสานักใหญ่ยัง
มีสีห น้าขาวเผือดและตึงเครียด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจละสายตาไปจากหลิน
เชียน เทพกระบี่ผู้ยืนหยัดอย่างอหังการอยู่กลางท้องนภา
หลินเชียนที่กลางเวหาทาทีคล้ายไม่ได้ยินคาถามของชางเยวียนฮ่ าว
ประหนึ่งว่าอาศัยเพียงคนเหล่านี้ยังไม่คู่ควรจะทราบนามของมัน เพียงก้าว
เดินลงมาทีละก้าว ทีละก้าว ราวกับว่ามีขั้นบันไดที่มองไม่เห็นรองรับอยู่ใต้
ฝ่าเท้าของมัน ท่วงท่าปลอดโปร่ งสง่างามดุจดั่งท่องชมทิวทัศน์ ทว่าไม่มี
ผู้ใดอาจหาญพอจะขวางหน้ามันอีก
ทั น ใดนั้ น เอง เงาร่ า งสามสายพลั น ปรากฏขึ้ น เบื้ อ งหน้ า หลิ น เชี ย น
หยุดยั้งมิให้มันก้าวเดินต่อ
เป็นจูเข่อ เซี่ยและหญิงรับใช้วัยกลางคนของเสียกงจู่
“อา กระดู ก ผุ ๆ ของเราผู้ เ ฒ่ า วั น นี้ ดู เ หมื อ นคงต้ อ งได้ รั บ ความ
เจ็บปวดแล้ว!” จูเข่อยิ้มพลางบ่นพึมพา
เซี่ยไม่กล่าววาจาแม้สักครึ่งคา หอกยาวในมือสะบัดขึ้น ปลายหอกจ่อ
จี้ใส่หลินเชียนแต่ไกล!
หญิงรับใช้วัยกลางคนเพ่งตามองหลินเชียนด้วยสีหน้ามืดมน
Page 2 of 12
ทว่าแม้มีสามสุดยอดฝีมือขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า หลินเชียนกลับไม่ยั้ง
เท้าแม้แต่วูบเดียว ยังคงก้าวเดินลงมาจากฟากฟ้าด้วยท่วงท่าเฉื่อยชา ราว
กับไม่เห็นคนทั้งสามอยู่ในสายตา
Page 3 of 12
จนกระทั่งถึงบัดนี้ จั่วม่อยังไม่ล่วงรู้ว่ า เส้นใยเรีย วบางนี้ เป็ นสิ่ ง ของ
เยี่ยงไร มิห นาซ้าไฉนมีแต่อยู่ในสภาวะเย็นยะเยือกนี้จึงสามารถมองเห็น
พวกมันได้
ยิ่งมุ่งลึกเข้าไป เส้นใยเรียวบางยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกขณะ
จั่วม่อพลันหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน เงยหน้าขึ้นมองด้านบน ฉากที่
มองเห็นอยู่ตรงหน้า กระทั่งมันอยู่ในสภาวะเช่นนี้ยังถึงกับบังเกิดระลอก
ขึ้นในใจ
สูงขึ้นไปกลางอากาศ เห็นกรงเล็บมหึมาชิ้นหนึ่ง ถูกเส้นใยเรียวบาง
นับไม่ถ้วนรัดพันเอาไว้อย่างแน่นหนา
กรงเล็บนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬารยิ่ง สูงใหญ่ตระหง่านง้าดุจขุนเขาสูง
เสียดฟ้าทะลุเมฆา กระทั่งมองดูจากระยะไกล ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความ
ยิง่ ใหญ่ไพศาลไร้ที่เปรียบของมัน!
ต่อหน้ากรงเล็บใหญ่โตมโหฬารชิ้นนี้ จั่วม่อเล็กกระจ้อยร่อยไม่ต่าง
อันใดกับมดปลวก
Page 5 of 12
รอ คล้ า ยกั บ ว่ า ในสายตาของมั น มี เ พี ย งกรงเล็ บ พิ ฆ าตมั ง กรอั น ใหญ่ โ ต
มโหฬารที่อยู่เบื้องหน้า
ตง... ...ตง... ...ตง... ...
สุ้ ม เสี ย งเป็ น จั ง หวะประดุ จ กลองศึ ก คล้ า ยมี ค ล้ า ยไม่ มี บั ด เดี๋ ย ว
ปรากฏบัดเดี๋ยวจางหาย เขย่าขวัญสั่นวิญญาณผู้คน จั่วม่อยิ่งเข้าไปใกล้
สุ้มเสียงประหลาดนี้ยิ่งแกร่งกร้าวกังวานขึ้นเป็นลาดับ
สุ้มเสียงนี้ดังมาจากกรงเล็บพิฆาตมังกร ประดุจเสียงหัวใจดวงมหึมา
ที่เต้นเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง
รอจนจั่วม่อเดินเข้ามาถึงด้านล่างของกรงเล็บพิฆ าตมังกร แล้วเงย
หน้าขึ้นมอง ยิ่งรู้ซึ้งถึงความใหญ่โตมโหฬารอย่างแท้จริง แรงกดดันมหึมา
แกร่งกร้าวสุดเปรียบปาน บันดาลให้ผู้คนใจสั่นสะท้านโดยไม่อาจควบคุม
บังคับ
แต่ดวงตาของจั่วม่อยังคงสงบนิ่ง เย็นยะเยียบและเฉยเมยดุจเดิม ไม่
บังเกิดระลอกใดในใจ
ของวิเศษนี้มีชีวิตจิตใจ
จั่วม่อเมื่อยื่นมือแตะลงบนกรงเล็ บพิฆ าตมั งกร ก็ส ามารถสัมผั ส ได้
อย่ า งชั ด เจน ถึ ง พลั ง อ านาจสุ ด อหั ง การสะท้ า นฟ้ า ดิ น และพลั ง ชี วิ ต อั น
กร้าวแกร่ง ซึ่งแฝงเร้นอยู่ภายใต้ชิ้นเกล็ดมังกรแข็งกระด้างปานเหล็กกล้า
รวมถึงความไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างลึกล้า!
“อย่ า แตะต้ อ งมั น ของสิ่ ง นี้ ยั ง ไม่ ใ ช่ สิ่ ง ที่ เ จ้ า ในตอนนี้ จ ะสามารถ
ควบคุมได้!” ผูเยาสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความรุ่มร้อนกังวลที่หาได้ยาก
Page 6 of 12
จั่วม่อคล้ายไม่ได้ยินเสียงผูเยา ในสายตามันมองเห็นเพียงเส้นใยกึ่ง
โปร่งใสที่ดูอ่อนแอบอบบางเหล่านั้น แต่เป็นเส้นใยประหลาดเหล่านี้เอง ที่
รัดพันกรงเล็บพิฆาตมังกรเอาไว้อย่างแน่นหนา จนไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
แม้แต่น้อย
เว่ยกล่าวอย่างร้อนใจ “กรงเล็บพิฆาตมังกรเป็นหนึ่งในศาสตรามาร
ชั้นนภา ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าในยามนี้จะควบคุมบังคับได้ มีเพียงจอมปิศาจด่าน
ไสว้จึงสามารถควบคุมบังคับมัน จู่เหรินของข้าก็เป็นจอมปิศาจด่านไสว้
เมื่อครั้งที่ลงมือสยบศาสตรามารเล่มนี้ ยังแทบเอาชีวิตไม่รอด!”
กรงเล็บพิฆาตมังกรคล้ายได้ยินวาจาของผูเยากับเว่ย จั่วม่อสามารถ
รู้สึกได้ว่ากรงเล็บกาลังหัวร่อเย้ยหยันอย่างลาพองใจที่มันไม่ประมาณตน
เสียงหัวใจเต้นยิ่งหนักหน่วงดุดันกว่าเดิม พลังอันไพศาลแผ่ซ่านออกมา
อย่างเกรี้ยวกราด กระทั่งเหล่าเส้นใยประหลาดที่รัดพันไว้อย่างหนาแน่น
ยังไม่อาจปิดกั้นได้
แต่ละจังหวะการเต้นของเสียงหัวใจ เส้นใยเรียวบางที่ย่ ืนหายออกไป
ในความมื ด มนจะสั่ น สะเทื อ นตามไปด้ ว ย และทุ ก จั ง หวะ ทุ ก การเต้ น
กระหน่า พลังอานาจเหล่านี้จ ะแผ่ ซ่ านไปถึง ที่ห่า งไกล แต่ไม่ว่ากรงเล็ บ
พิฆาตมังกรจะแกร่งกร้าวอหังการสักเพียงใด ก็ไม่อาจทลายหลุดออกจาก
เส้นใยเรียวบางนับหมื่นเส้นเหล่านี้ได้
จั่วม่อยังคงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย
ใบหน้าที่แหงนเงยขึ้นเย็นยะเยียบและเฉยชา ดวงตามีแต่ความหนาว
เหน็บ
Page 7 of 12
สายตาของมั น มองไล่ ไ ป จนหยุ ด ลงที่ ด้ า นหนึ่ ง ของกรงเล็ บ พิ ฆ าต
มังกร ในครรลองสายตาของมัน นั่นเป็นจุดที่มีเส้นใยโปร่งใสกระจุกตัวอยู่
มากที่สุด
มันทะยานร่างขึ้นหากลุ่มเส้นใยเรียวบางเหล่านั้นอย่างฉับพลัน มือ
ขวายื่นออกมาอย่างไม่รีรอ กดใส่กลุ่มเส้นใยเรียวบางที่หนาแน่นที่สุด
ผูเยากับเว่ยหน้าขาวเผือดดุจซากศพ!
ทั น ใดนั้ น เอง สุ้ ม เสี ย งจากกรงเล็ บ พิ ฆ าตมั ง กรพลั น ชะงั ก ขาดห้ ว ง
พื้นที่รอบข้างตกลงสู่ความเงียบงันอันน่าพรั่นพรึง ไม่ว่าการสั่นสะเทือน
สรรพเสียงทั้งหมด รวมถึงประกายแสงจากเส้นใยเรียวบาง ล้วนพากันหยุด
นิ่ง
ชั่วอึดใจให้หลัง รอบข้างจู่ ๆ ก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง
ตง ตง ตง!
เห็นเส้นใยเรียวบางสั่นสะท้านอย่างดุเดือด ไม่เว้นแม้แต่เส้นเดียว!
ในชั่ ว พริ บ ตานี้ กระทั่ ง กรงเล็ บ พิ ฆ าตมั ง กรยั ง สั่ น สะเทื อ นอย่ างตึง
เครียด!
ทันใดนั้นเอง ผูเยาพลันฉุกคิดถึงตานานปรัมปราเรื่องหนึ่งที่มันแทบ
จะลื ม เลื อ นไป ดวงตาถลึ ง กว้ า งแทบถลนออกจากเบ้ า เต็ ม ไปด้ ว ย
ความรู้สึกเหลือเชื่อ “สิ่งนี้คือ... ...”
ตูม!
พื้นที่รอบข้างเริ่มถล่มทลาย
... ...
Page 8 of 12
... ...
หลินเชียนผมเผ้ายุ่งเหยิง ประกายแสงของกระบี่ไท่อาในมือสลัว มัว
หม่นลง
สามสุ ด ยอดฝีมือ ลงมือ ร่ ว มกั น ในที่ สุ ด สามารถหยุ ด ยั้ง มัน เอาไว้ได้
ส าเร็จ คนทั้งสามล้วนมีพลังฝีมือลึกล้าสุ ดหยั่งถึ ง พวกมันแม้ไร้ช่ ือ เสี ย ง
เรียงนาม แต่ภายในตระกูลของพวกมัน แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่เป็น
หัวใจหลักที่แท้จริงของตระกูล
“สามารถบีบบังคับให้พวกเราทั้งสามต้องร่ วมกันลงมือ เจ้าสมควร
ภาคภูมิใจแล้ว” จูเข่อสุ้มเสียงทอแววนิยมชมชื่น ก่อนจะมีวันนี้มันไม่เคย
คิดฝันมาก่อนว่าจะมีวันที่มันต้องร่วมมือกับสองคนด้านข้าง เพื่อรับมือกับ
เซียนกระบี่เยาว์วัยผู้มีอายุเพียงยี่สิบกว่าปี
กระทั่งการต่อสู้ครั้งสุ ดท้ ายที่มันลงมือ ก็เป็นเวลานับสิบกว่ า ปี แ ล้ ว
อย่าว่าแต่ถึงกับต้องร่วมมือกับอีกสองคน เพื่อต่อสู้กับบุรุษหนุ่มเพียงคน
เดียว
ยอดอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ชั่วชีวิตชราของมันไม่เคยพบเห็นมา
ก่อนแม้แต่คนเดียว
คุนหลุน สมกับที่เป็นคุนหลุน!
น่าสะพรึงกลัวยิ่ง!
เซี่ ย ไม่ ก ล่ า ววาจา แต่ ป ลายหอกที่ ชี้ ต รงไปยัง หลิน เชี ยน ไม่ ก ล้ า ละ
ออกห่างจากหลินเชียนแม้แต่น้อย
Page 9 of 12
ในบรรดาพวกมั น ทั้ ง สาม ผู้ ที่ ต่ ื นตระหนกที่ สุ ด เป็ น หญิ ง รั บ ใช้ วั ย
กลางคน นางสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง ความแตกตื่นตกใจที่ได้รับ ยาก
จะบ่งบอกบรรยายเป็นถ้อยวาจา มารดาของนางปรนนิบัติรับใช้ซือจื่อหมิง
ทาให้นางพลอยได้รับการสั่งสอนวิชาความรู้มากมายตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก
ๆ หลังจากพากเพียรฝึกปรือมานานปี ในที่สุดก็บรรลุถึงชายขอบแห่งพลัง
เทพ ทั้งยังอยู่ห่างจากด่านไสว้อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น นางถึงกับต้องลงมือร่วมกับผู้อ่ น
ื อีกสองคน เพื่อจัดการ
กับบุรุษหนุ่มจากคุนหลุนผู้นี้เพียงคนเดียว
ช่างเป็นบุรุษหนุ่มที่น่าสะพรึงกลัวโดยแท้!
เซียนกระบี่คุนหลุนคนอื่น ๆ ต่อสู้ติดพันอย่างดุเดือ ด ชีเตียวอวี่ กั บ
เหล่ายอดฝีมืออื่น ๆ แม้ไม่อาจเทียบได้กั บหลินเชียน แต่รับมือศิษย์ คุ น
หลุนที่เหลือ ยังคู่คี่ก้ากึ่งจนยากจะบอกได้ว่าฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบ
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายยิ่งทวีความดุเดือดรุนแรงขึ้นทุกขณะ
อี ก สามส านั ก ใหญ่ ก็ ต่ อ สู้ อ ย่ า งยากล าบาก ฝ่ า ยปิ ศ าจเมื่ ออยู่ ใ น
ดินแดนของตน ย่อมมีข้อได้เปรียบเรื่องจานวนคน ในเวลานี้พวกมันเข่น
ฆ่าจนสองตาแดงฉาน ไม่แยแสสนใจเรื่องการบาดเจ็บล้มตายของฝ่ายตน
บรรดาซิวเจ่อทยอยบาดเจ็บล้มตายไม่ขาดสาย สถานการณ์ของพวก
มันมีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ
หลิ น เชี ย นแม้ ดู ผิว เผิน มีส ภาพทุ ลัก ทุ เลอยู่ บ้ า ง แต่ นั ย น์ ต าข้า งซ้าย
เป็นสีแดงฉานดั่งเปลวเพลิง ยิ่งมายิ่งร้อนแรงแผดเผา ในขณะที่นัยน์ตาสี
Page 10 of 12
น้าเงินข้างขวาของมันยิ่งนานยิ่งเย็นยะเยือกกว่าเดิม รอยยิ้มนุ่มนวลผิด
ธรรมดา คมกล้าดุจกระบี่เล่มหนึ่ง
การเดินทางมายังนครมหาสันติครัง้ นี้ยากลาบากเพียงใด มันย่อมต้อง
คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าบ้างแล้ว แต่ยังนึกไม่ถึงว่าจะต้องประมือกับคู่ต่อสู้ที่
ร้ายกาจถึงเพียงนี้พร้อมกันสามคน
คนทั้งสามที่ขวางรั้งอยู่เบื้องหน้ามันนี้ มีพลังฝีมือร้ายกาจยิ่ง
สังขารปิศาจของเฒ่าชราแปลกพิสดารยากจะคาดเดา กระทั่งด้วยภูมิ
ความรู้ ข องหลิ น เชี ย นยั ง ไม่ ท ราบว่ า เป็ น สั ง ขารปิ ศ าจอั น ใด มิ ห น าซ้ า
‘ปิศาจลวงวิญญาณ’ ยังเป็นยอดวิชาทักษะปิศาจอันเลื่องชื่อลือนามในหมู่
ปิศาจ ว่ากันว่าสืบทอดมาจากยุคบรรพกาล
บุรุษในเกราะหนักยิ่งทาให้มันตกตะลึงมากยิ่งกว่า นี่คือชุดเกราะป้าย
ศิลาสุสาน!
ส่ ว นสตรี วั ย กลางคนมี พ ลั ง อั น แปลกประหลาด หลิ น เชี ย นถึ ง กั บ
ค้นพบร่องรอยของพลังเทพจากพลังของนาง
คนทั้งสามนี้ ไม่ว่าผู้ใดในหมู่พวกมัน ล้วนสามารถจัดเป็นยอดฝีมือใน
ใต้หล้า
แต่มันกลับเผชิญพบคราวเดียวถึงสามคน!
ทั้งยังต้องอาศัยหนึ่งต้านรับสาม!
หลิ น เชี ย นจิ ต วิ ญ ญาณการต่ อ สู้ ลุ ก ฮื อ โหม มั น ทั้ ง ไม่ ค รั่ น คร้ า ม ไม่
หวาดกลัว กระบี่ไท่อาในมือคล้ายกลับกลายเป็นมีชีวิตเป็นคารบสอง
มันพลันชูกระบี่ไท่อาขึ้นสุดล้า!
Page 11 of 12
กระบี่ไท่อาสุกใสดุจกระบี่น้าแข็ง ปลายกระบี่ส ว่างเรืองรองด้วยจุด
แสงเจิดจรัส
ถือกระบี่ไท่อาอยู่ในมือ หลินเชียนราวกับถือพู่ กันด้ามหนึ่ง สะบัดฟัน
ใส่พ้ น
ื ที่ว่างตรงหน้าประดุจวาดภาพจิตรกรรม
แสงกระบี่กรีดวาดเป็นริ้วแสงกลางอากาศ แต่ละเส้นดุจขีดวาดลงบน
กระดาษเนื้อดี ไม่สลายหายไป
กระบี่ ไ ท่ อ าสะบั ด วาดฟาดฟั น ครั้ ง ใด ล้ ว นบั ง เกิ ด เสี ย งกึ ก ก้ อ ง
กัมปนาทดุจสายฟ้าคารน
สามยอดฝีมื อ สีหน้า แปรเปลี่ย น พวกมั น รู้ สึ ก ถึง พลัง อานาจภายใต้
การขีดวาดของกระบี่ไท่อา พลังทั้งมวลในสภาพแวดล้อมล้วนสั่นสะเทือน
ตามไปด้วยอย่างเหนือการควบคุม!
พวกมันแทบจะจู่โจมออกไปโดยพร้อมเพรีย ง แต่แล้วทั้งหมดพลั น
ชะงักกึก หันขวับไปยังป่าศิลาที่ด้านหลังพวกมันอย่างฉับพลัน!
ในชั่วพริบตานี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนตกตะลึงพรึงเพริด
Page 12 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
Page 1 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
“ข้ากลับไม่เล็งผลเลิศถึงเพียงนั้น” โฉมสะคราญที่อยู่ข้างกายหมิงฮุย
อดสอดคาขึ้นไม่ได้ นางแย้มยิ้มอย่างเย็นชา “ใต้หล้าเคารพเทิดทูนอานาจ
บารมี ข องนครมหาสั น ติ แต่ วั น นี้ เ ราจะละเมิ ด กฏเกณฑ์ ที่ ไ ม่ เ คยกล่ า ว
ออกมา ด้วยการเตรียมบุกเข่นฆ่าเข้าเมือง หากต่อไปปู้ต้าเหรินยกทัพเข้า
ยึดครองอาณาจักรนี้ ผู้คนยามขุ่นแค้นจะพากันมุ่งเป้ามาจู่โจมท่านเป็นจุด
เดียว!”
หมิ ง ฮุ ย รี บ กล่ า วเป็ น เชิ ง ขออภั ย “พี่ ปู้ โปรดอย่ า ได้ ถื อ สา ผู้ น้ อ งรั ก
ถนอมเม่ยเม่ยนางนี้มากเกินไปจนนิสัยเสีย ไม่ต้องเก็บวาจาเหลวไหลของ
นางมาเป็นอารมณ์แล้ว”
ปู้ เ กิ้ น สั่ น ศี ร ษะ “พี่ ห มิ ง ไม่ จ าเป็ น จ้ อ งกล่ า วหนั ก ถึ ง เพี ย งนั้ น ที่ แ ม่
นางอวี่เวยกล่าวมาก็ไม่ผิด” มันพลันเงยหน้าขึ้น มองไปยังนครมหาสันติที่
อยู่ห่างไกล จากนั้นกล่าวเสียงอ่อนเบา “อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลียุคเช่นนี้
ไหนเลยจะมีวิธีการอันสมบูร ณ์พ ร้อ มไปเสียทุ กเรื่อ ง? คนหากไม่รุด หน้ า
เอาแต่ล่าถอยอยู่ทุกเมื่อ เกรงว่าไม่ทันต้องต่อสู้ก็จะล่มสลายไปเองแล้ว”
ถ้ อ ยค าเหล่ า นี้ ล้ ว นแฝงไว้ ด้ ว ยความโหดร้ า ยทารุ ณ ของยุ ค สมัยอัน
วุ่นวาย แต่ปู้เกิ้นกลับกล่าวออกมาด้วยสุ้มเสียงราบเรียบแผ่วเบา หมิงอวี่
เวย ถึงกับตะลึงลานไป
“หากไม่คิดให้ต ระกูล ของตนต้ องตกอยู่ ภายใต้ เ งื้อ มมือของผู้อ่ ืน ก็
จาเป็นต้องมีฐานที่มั่นของตน ตระกูลยักษาเขียวของข้าร่อนเร่พเนจรมา
นานปี พี่น้องในตระกูลมีชีวิตยากลาบาก ตระกูล สาขาส่วนใหญ่ก็ดาเนิน
ชีวิตเยี่ยงโจรเร่ร่อน ความปรารถนาของผู้แซ่ปู้มีเพียงประการเดียว คือยึด
Page 2 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
ครองสถานที่อันสงบสุขให้ตระกูลของข้าได้ลงหลักปักฐาน อย่าว่าแต่นี่เป็น
กลียุคอันโกลาหลอลหม่าน ต่อให้ถึงยุคสมัยอันสงบสุข ผู้แซ่ปู้อาจยัง คง
ต้องต่อสู้ดน
ิ้ รนอยู่ร่าไป”
หมิ ง อวี่ เ วยถู ก วาจาที่ ก ล่า วด้ ว ยอารมณ์ ค วามรู้ สึก ของปู้ เ กิ้ นท าเอา
ตะลึงลานไปเป็นคารบสอง ในขณะที่หมิงฮุยเผยสีหน้านับถือเลื่อมใส ร้อง
ชมเชยปนหั ว ร่ อ ว่ า “พี่ ปู้ ก ล่ า วได้ ดี บุ รุ ษ ชาติ อ าชาไนยสมควรต้ อ งมี จิ ต
ปณิธานเช่นนี้! อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของข้าเป็นโจรเร่ร่อนก็ไม่เห็นจะ
มีอันใดไม่ดี นี่เป็นชีวิตอันตื่นเต้นโลดโผน!”
บรรดาไพร่ พ ลใต้ ร่ ม ธงของปู้ เ กิ้ น มองดู มั น จากทางเบื้ องหลั ง ด้ ว ย
สายตาเคารพเทิดทูนสุดหัวใจ
“ผู้น้องมิทราบว่าอิจฉาเลื่อมใสชีวิตอันเสรีและโลดโผนของพี่หมิงถึง
เพี ย งไหน แค่ ค นเกิ ด มาในตระกู ล มิ อ าจละทิ้ ง ตระกู ล เพื่ อ ใช้ ชี วิ ต อิ ส ระ
ดั่งใจนึกเช่นพี่ห มิงได้ ส าหรับเรื่องการโจมตีที่จ ะตามมาที่แ ม่นางอวี่ เ วย
กังวล นั่นเป็นไปได้มาก แต่ในระยะเวลาอันสั้นยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องห่วงกังวล
มากนั ก ” ปู้ เ กิ้ น เต็ มไปด้ ว ยความเชื่ อ มั่น อย่ า งเปี่ ยมล้น “ขุ ม ก าลังหลักๆ
ทั้งหลาย ยามนี้กาลังชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้กับซิวเจ่อ ไม่มีเวลาจะมัว
มาสนใจสิ่งอื่นใด หากพี่หมิงลบร่องรอยทาลายเบาะแสทั้งหมดจนเกลี้ยง
เกลา ไม่เหลือทิ้งหลักฐานใดไว้เบื้องหลัง ข้าก็แค่เข้ายึดเมืองว่างเปล่าเพื่อ
เป็นรากฐานในการยึดครองอาณาจักรนี้ ส่วนท่านก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับ
เหตุการณ์เลือดล้างนครมหาสันติ ในระยะสั้นย่อมไม่มีผู้ใดหาข้ออ้างมา
Page 3 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
Page 4 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
ปู้เกิ้นดวงตาทอแววมุ่งมาดปรารถนาวูบหนึ่ง แต่เลือนหายไปในทันที
“เป็นหนึ่งในสิบศาสตรามารชั้นนภา กรงเล็บพิฆาตมัง กรของแท้แ น่นอน
ตอนที่ข้าทราบเรื่องข้าเองก็ต่ น
ื ตระหนกยิง่ พี่หมิง ประวัติความเป็นมาของ
กรงเล็บพิฆาตมังกรข้าคงไม่ต้องกล่าวแล้ว เจ้าย่อมทราบกระจ่างดี ข้าแม้
ไม่ทราบว่าปรมาจารย์ซือจื่อหมิงได้รับของสิ่งนี้มาจากที่ใด แต่ในเมื่อมัน
ถูกเก็บซ่อนไว้นานนับร้อย ๆ ปี ดูท่าว่ากระทั่งท่านปรมาจารย์ยังหวาดกลัว
ประวัติศาสตร์อันเต็มไปด้วยอาถรรพ์ของศาสตรามารเล่มนี้”
หมิงฮุ่ยฟื้ นตื่นจากความแตกตื่นตระหนก พอได้ยินเช่นนี้ต้องกล่าวว่า
“อาถรรพ์? ศาสตรามารหากเป็นมงคล ยังจะเป็นศาสตรามารอีกรึ ? อาวุธ
ที่ใช้ฆ่าคน ยิ่งมีอาถรรพ์ยิ่งประเสริฐ!”
สายตาของมันร้อนเร่าด้วยแรงปรารถนา “เมื่อเป็นเช่นนี้ ทาให้ข้ายิ่ง
สงสัยว่าสมบัติชน
ิ้ ที่สามจะเป็นสิง่ ใด!”
“ไม่ ว่ า มั น จะเป็ น สิ่ ง ใด ก็ ล้ ว นแล้ ว แต่ เ ป็ น ของพี่ ห มิ ง ทั้ ง สิ้ น ” ปู้ เ กิ้ น
กล่าวด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ “อย่างไรก็ตาม พี่หมิงต้องจดจาไว้ว่าอย่าได้
ปล่อยให้มีคนหลุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว”
“ฮ่า พี่ปู้อย่าได้ห่วงไปเลย กองโจรตระกูลหมิงของข้าแม้มีช่ ือฉาวโฉ่
แต่ เ ราไม่ เ คยผิ ด ค าพู ด ต่ อ คู่ ค้ า ” หมิ ง ฮุ บ หั ว ร่ อ อย่ า งเหี้ ย มเกรี ย ม พลาง
กล่าว “บรรดานายน้อยเหล่ านั้นล้วนเป็น แพะอ้ วนชั้น ยอด! ส่วนกงจู่ท้ั ง
สาม พวกนางสามารถเป็นหญิงรับใช้ของเม่ยเม่ยของข้าได้”
“พี่ห มิงโปรดระมัดระวังให้มาก สามกงจู่มียอดฝีมืออารักขาอยู่ข้าง
กาย” ปู้เกิน
้ สะกิดเตือน
Page 5 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
“ขอบคุ ณ พี่ ปู้ ที่ ตั ก เตื อ นด้ ว ยไมตรี ! ” หมิ ง ฮุ ย กล่ า วปนหั ว ร่ อ “เมื่ อ
เผชิญหน้ากับกองทัพ ยอดฝีมือก็เพียงเท่านั้นเอง ฮ่า ไม่เสียทีที่ด้ันด้น มา
เราจะต้องทากาไรก้อนโตอย่างแน่นอน!”
ทั น ใดนั้ น เอง หมิ ง อวี่ เ วยหั น ไปมองทางหนึ่ ง สี ห น้ า แปรเปลี่ ย น
เล็กน้อบ นางชี้ไปทางนครมหาสันติที่เห็นอยู่ในระยะไกล ร้องอุทานอย่าง
ตื่นตะลึง “ดูนั่น!”
ทุกผู้คนพากันกวาดตามองตามปลายนิ้วของนาง
จากนั้นทั้งหมดล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยน!
เสาแห่งแสงที่เชื่อมฟ้าดินจู่ ๆ เลือนหายไปกับตา
ในเวลานี้เอง ป่าศิลาทั้งผืนยกตัวขึ้นจากพื้นหลายร้อยจั้ง มองจากที่
ห่างไกลคล้ายเสาหิน โดดเดี่ย วทระนงต้น หนึ่ง แต่ผู้คนที่อยู่ในระยะใกล้
เมื่อมองดูเสาหินตระหง่านง้าค้าฟ้านั้น ล้วนเกือบลืมหายใจกันถ้วนหน้า
เห็นพื้นผิวด้านข้างของเสาหินราบเรียบเป็นมัน ราวกับว่าถูกตัดและ
ขัดเงาอย่างประณีต วัสดุสีดาดูนวลเนียนคล้ายเนื้อหยก พื้นที่ของป่าศิลา
ยึดครองเนื้อที่หลายร้อยหมู่ เมื่อทั้งหมดล้วนยกตัวขึ้น ภาพเสาหินมหึมาที่
ปกคลุมด้วยแผนผังปิศาจอันละเอียดซับซ้อนแทบทุกตารางนิ้ว ก่อเกิดเป็น
ภาพอันโอ่อ่าตระการอย่างน่าอัศจรรย์
นับตั้งแต่ที่หอสมบัติมหาสันติเริ่มเผยตัวออกมาจากใต้พ้ ืนดิน ทะเล
ด าเบื้ อ งนอกนครมหาสั น ติ ก็ พ ลุ่ ง พล่ า นปั่ นป่ ว นไม่ ห ยุ ด ยั้ ง ส่ ง เสี ย งคร่ า
ครวญดังระงมราวกับภูตผีทวงวิญญาณ
Page 6 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
ทว่าในชั่วขณะนี้เอง กระทั่งทะเลคลั่งยังเงียบสงบลงอย่างฉับพลัน
ทั่ ว ทั้ ง นครมหาสันติอั นกว้ า งไพศาล จมลงไปในความเงี ยบสงัดอัน
แปลกประหลาด
แกรก!
หลั ก ศิ ล าต้ น หนึ่ ง ตกลงมาจากเสาหิ น เบื้ อ งบน ร่ ว งกระทบพื้ น แตก
กระจัดกระจายเป็นเสี่ยง ๆ
นี่มัน... ...
ทุกผู้คนมีสีหน้าตะลึงลาน บังเกิดความรู้สึกอย่างรุ นแรง มันจะกาลัง
จะมาแล้ว!
แกรก! แกรก... ...
เห็นหลักศิลาทยอยหลุดร่วงลงมาไม่ขาดสาย
ติดตามมาด้วยเสียงแตกร้าวดังระรัว เห็นรอยแตกร้าวนับไม่ถ้ว นแผ่
กระจายออกไปทั่วเสาหินมหึมา ภายในชั่วพริบตาเดียว รอยแตกร้าวดุจ ใย
แมงมุมก็ปกคลุมไปทั่วเสาหินยักษ์ท้งั ต้น
การเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้นอย่างกะทันหันขู่ขวัญทุกผู้คนจนตื่นตะลึง
พวกมันหยุดการต่อสู้เข่นฆ่าโดยไม่รู้ตัว พากันจ้องมองเสาหินยักษ์ที่กาลัง
จะเปลี่ยนโฉมไป
วู้ม!
สุ้มเสียงนี้ไม่ดังมากนัก แต่เป็นเหมือนสัญญาณ หลังจากสุมเสียงนี้
เสาหินมหึมาที่ปกคลุมด้วยรอยแตกร้าวก็เริ่มพังทลายเป็นชิ้น ๆ เศษหิน
น้อยใหญ่หล่นร่วงลงมาไม่ขาดสายดั่งโลกถล่มทลาย
Page 7 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงล้วนหน้าเผือดสี รีบเหินทะยานห่างออกมาอย่าง
ไม่คิดชีวิต
พวกมันทางหนึ่งเร่งหลบหนีออกมา ทางหนึ่งยังอดหันไปมองไม่ ไ ด้
ทันใดนั้นม่านตาหดแคบลง พวกมันแทบหลงลืมหายใจ
โอ้ สวรรค์!
เหนื อ กองหิ น ที่ สุ ม ซ้ อ นเป็ น ภู เ ขา เห็ น กรงเล็ บ มั ง กรขนาดใหญ่ โ ต
มโหฬารกว่าหลายร้อยจั้งลอยนิ่งอยู่กลางนภากาศ
กรงเล็ บ พิ ฆ าตมั ง กรซึ่ ง ในที่ สุ ด ก็ ไ ด้ พ บพานกั บ แสงทิ ว าวารอี ก ครั้ ง
คล้ายลิงโลดยินดีสุดระงับ กรงเล็บทั้งห้าขยุ้มเกร็งเบา ๆ
ตูม!
พลังอันเหี้ยมโหดไพศาลกวาดวาบออกรอบข้าง ประหนึ่งคลื่นยักษ์
อันกราดเกรี้ยว!
“ระวัง!”
จูเข่อกับอีกสองยอดฝีมือผละจากหลินเชียนอย่างร้อนรน ร่างหายวับ
แล้วปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากงจู่ของพวกมันแต่ละคน
ตูม!
คนทั้งร่างระเบิดแสงสว่างวาบออกจากร่าง ขวางกั้นพลังอันเหี้ยมโหด
ที่ ก วาดซั ด เข้ า มา คนทั้ ง สามสีห น้ า เครี ยดขรึ ม บรรดาองครั ก ษ์ ร อบกาย
พวกมันไม่อาจยืดหยัดมั่น ปลิวลิ่วไปตามกระแสพลังอันเกรี้ยวกราดนี้ดุจ
ใบหญ้าปลิวตามลม
Page 8 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
Page 9 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
Page 10 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
รวมกับที่ว่ามันอยู่ภายใต้เงื้อมเงาของกรงเล็บพิฆาตมังกร จึงไม่มีผู้ใดทัน
สังเกตเห็นมันในครั้งแรก
แต่ ผู้ ค นพอพบเห็ น การคงอยู่ ข องมั น ล้ ว นสี ห น้ า แปรเปลี่ ย นกลั บ
กลาย
หรือว่ามัน... ...
หลินเชียนหน้าเปลี่ยนสีวูบ กระทั่งมันเมื่อเผชิญกับพลังของกรงเล็บ
พิฆาตมังกร ยังรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่เซี่ยวม่อเกอคล้ายไม่บังเกิดปฏิกิริยา
แม้แต่น้อย
มันกาลังพยายามสยบกรงเล็บพิฆาตมังกร!
ความคิดนี้เมื่อผุดขึ้นในใจหลินเชียน ความคิดถัดไปก็ต ามติดมาทัน
ควัน หยุดมัน!
มันยังคงจดจาไม่ได้ว่าเซี่ยวม่อเกอเป็นใคร แต่สัญชาตญาณของมัน
ร้องเตือนว่าคนผู้นี้อันตรายยิ่งกว่าผู้ใด!
เจตนาฆ่าฟันของหลินเชียนลุกโหม แต่มันกลับไม่ได้ลงมือ ก่อนอื่นมัน
กวาดตามองหาหลักศิล าในต านานต้นนั้น มันไม่อาจเข้าใจได้ ว่ามันไฉน
บังเกิดความคิดฆ่าฟันต่อเซี่ยวม่อเกออย่างแรงกล้าเช่นนี้ แต่ในชั่วขณะนี้
ไม่มีสิ่งใดสาคัญมากไปกว่าหลักศิลาที่สาบสูญต้นนั้น!
ด้วยหลักศิลาต้นนี้ คุนหลุนจะได้ครอบครองกุญแจสู่วิถีฝึกปรือพลัง
เทพ!
สายตามันกระจ่างวูบในบัดดล!
อยู่ที่นน
ั่ !
Page 11 of 12
修真世界 World of Cultivation มหาศึกสามภพ
ภายใต้กองเศษหินภายใต้เงาตระหง่านเงื้อมของกรงเล็บพิฆาตมังกร
หลักศิลาสีเทาที่ไม่มีอันใดโดนเด่นสะดุดต้นหนึ่ง เผยให้เห็นส่วนเล็ก ๆ พ้น
ออกมาจากกองหิน
โดยไม่รีรอลังเล หลินเชียนสาดพุ่งวาบไปยังหลักศิลาดุจสายฟ้าฟาด
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาที่ปิดสนิทของจั่วม่อพลันลืมตาขึ้น ดวงตาเฉย
เมยดุ จ น้ า แข็ ง เย็ น คู่ นั้ น สะท้ อ นทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า ง ประหนึ่ ง เทพปิ ศ าจยื น
ตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า ทอดตามองเงาร่างของหลินเชียนที่พุ่งวาบเข้ามา
ด้วยระดับความเร็วที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดตา
Page 12 of 12
ตอนที่ 624 ฆ่า!
“คุนหลุน!”
“คุนหลุน!”
“ฆ่า”
หลินเชียนแค่นเสียงออกมาเพียงหนึง่ คํา อากาศเบือ้ งหน้าราวกับถูก หวด
ฟาดอย่างรุนแรง แตกระเบิดดังสนั่นลั่นโลก!
ซวบ ซวบ!
คุนหลุน!
ในทะเลแห่งจิตสํานึกของจั่วม่อ
สายใยสามพันอาวรณ์!
การทราบนามของเส้นใยโปร่งใสเหล่านี ้ ไม่ได้มีสว่ นช่วยอันใดต่อจั่วม่อ
ปลายด้านหนึ่งของเส้นใยเหล่านี ้ เดิมที่ลา่ มติดอยู่กบั หลักศิลาทักษะ
ปิ ศาจ แต่บดั นีเ้ มื่อป่ าศิลาพังพินาศ หลักศิลาแตกทลาย เส้นใยเรียวบาง
เหล่านีก้ ็ปราศจากที่ยดึ เหนี่ยว กลายเป็ นล่องลอยอยู่กลางเวหา
แม้แต่กรงเล็บพิฆาตมังกรอันดุดนั อํามหิตยังแข็งที่อตามไปด้วย!
ลูกหมอกโปร่งใสพลันกลายเป็ นร้อนลวกแผดเผาดุจเหล็กหลอมเหลว หาก
จั่วม่ออยู่ในสภาวะปกติ ปฏิกิรยิ าตอบสนองอย่างแรกของมันสมควร เป็ น
คลายมือออก และขว้างเจ้าสิ่งนีไ้ ปให้ไกลที่สดุ
วูบ
จั่วม่อลงมือในบัดดล!
ใกล้เข้ามาแล้ว! แทบจะอยู่ในมือของมันแล้ว!
ชั่วพริบตาที่ในดวงตาของหลินเชียนวาบประกายยินดีอย่างไม่อาจ
ควบคุม เงาร่างสายหนึ่งพลันสาดพุ่งออกมาจากกองหินโดยไม่มีเค้าลาง
ล่วงหน้า
หลินเชียนม่านตาหดแคบลงทันที
แต่ปฏิกิรยิ าของมันก็รวดเร็วยิ่ง กระบี่ไทอาในมือขวาติดขึน้ ทันควัน แทงใส่
เงาร่างนัน้ อย่างเร่งร้อน!
ประกายเจิดจ้าที่ปลายกระบี่ไท่อาระเบิดวาบ! "
อาเหวินหน้าเปลี่ยนเป็ นซีดขาว!
ภายใต้กองเศษหินน้อยใหญ่ ลูกศรแสงสีม่วงดอกหนึ่งพุ่งวาบออกมา
อย่างฉับพลัน กรีดวาดเป็ นริว้ ลําแสงตรงแน่ว ยิงเข้าใส่หลินเชียนด้วย
ระดับความเร็วอันน่าแตกตื่นสะท้านใจ เป็ นศาสตร์เกาทัณฑ์สวรรค์แดน
ใต้ ของหนานเยว่!
พร้อมกันนัน้ กลุม่ หมอกสีเขียวอมเทาซึง่ กระเพื่อมไหวอย่างแปลก
ประหลาดแผ่กระจายไปทั่วบริเวณเท้าของหลินเชียนในชั่วพริบตา เป็ น
ศาสตร์รอยแผลสีเทาของคังเจ๋อ!
เจตนาฆ่าฟั นทะลักทลายไปทั่วบริเวณ!
บทที่ 625 กลืนกิน
หลินเชียนอดประหลาดใจอยู่บา้ งไม่ได้
คนเหล่านีเ้ ป็ นใคร?
หลินเชียนประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลักศิลาอยู่ตรงหน้า มันย่อมไม่ คิด
เสียเวลากับปั ญหาเหล่านี ้
เพียะ!
หลินเชียนร่างส่ายโงน
มันสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ชั่วพริบตาที่กระบี่ไทอาปะทะกับพลัง
ทัง้ หมดของฝ่ ายตรงข้าม มันค่อยพบว่ามีชนั้ พลังอันแปลกประหลาดแต่
เบาบาง ห่อหุม้ พลังเหล่านัน้ เอาไว้อีกชัน้ หนึ่ง แต่ถึงกระนัน้ มันก็ยงั มีความ
มั่นใจว่าสามารถจัดการพวกมันในคราวเดียว แต่ไม่คาดฝันว่าพลังขุมที่มา
จากใต้ฝ่าเท้าซึง่ รัดพันมันเอาไว้จะกลับกลายเป็ นพลังโจมตี ซัดติดต่อตาม
กันเข้ามา ก่อเกิดเป็ นการโจมตีสามระลอก!
เส้นใยเรียวยาวยังคงทะลวงเข้าไปในร่างของจั่วม่ออย่างไม่ขาดสาย แต่
มันสงบเยือกเย็นยิ่ง
กลืนกิน!
แกนดาวอสูรคล้ายตัวแข็งที่อในบัดดล!
ฝูเยาก็ได้แต่เบิกตามองอย่างโง่งม
กระทั่งสายใยสามพันอาวรณ์ในตํานานของเผ่าอสูร ต่อหน้ามรดกตก
ทอดจากชนเผ่าโบราณ ได้แต่เชื่องเชื่อราวกับเด็กน้อยอันเรียบ ๆ ร้อย ๆ ผู้
หนึ่ง!
แกนดาวอสูรผสานรวมเข้าสูม่ ือซ้ายของจั่วม่อ
กรงเล็บพิฆาตมังกรสะท้านเฮือก!
นางคล้ายโบกสะบัดแขนเสือ้ เข้าใส่หลินเชียนเบา ๆ
ตูม!
เสียงระเบิดหนักทึบกระแทกใส่จิตใจผูค้ น
พลังสีม่วงในดวงตาอากุ่ยทวีพลังขึน้ ไม่หยุดยัง้
หลินเชียนไม่กลัวเกรงพวกนาง กล่าวอย่างยิม้ แย้มว่า “พวกเจ้าแม้ ฝึ กปรือ
พลังเทพ แต่น่าเสียดายนัก คนหนึ่งเพิ่งจะเริม่ ฝึ กปรือ อีกคนหนึ่ง ดวง
วิญญาณกร่อนสลาย พวกเจ้าไม่มีคณ ุ สมบัติพอที่จะหยุดข้า”
นี่เป็ นไปไม่ได้
กงล้อกระบี่จะคงสภาพไว้ได้อีกไม่นาน มันมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว
“คุนหลุน!”
คนคล้ายกระบี่วิเศษที่หลุดออกจากฝักเล่มหนึ่ง!
เสียงแผดคํารามอย่างโศกเศร้าคับแค้นของกระบี่ไทอาดังสะท้านไป ทั่ว
นครมหาสันติ
เซี่ยวม่อเกอยืนเผชิญหน้ากับหลินเชียนอย่างไม่ครั่นคร้ามยําเกรง ระหว่าง
เซี่ยวม่อเกอกับหลินเชียน เป็ นกรงเล็บพิฆาตมังกรตัง้ ตระหง่าน ขวางอยู่
เบือ้ งหน้า พืน้ ดินโดยรอบคนทัง้ สองสูญสลายไปสิน้ มีเพียงพืน้ ดิน บริเวณ
ที่เซี่ยวม่อเกอยืนหยัด ยังคงอยู่ในสภาพเดิม มองผ่าน ๆ เหมือนชิน้ ขนม
เปี๊ ยะที่ถกู ผ่าแยกจากแผ่นดินออกมาเสีย้ วหนึ่ง และแผ่กว้างออกไป
ด้านหลังเซี่ยวม่อเกอ
ที่แท้ภายใต้กระบวนท่ากระบี่สะท้านฟ้าดินของหลินเชียน จั่วมอใช้ กรง
เล็บพิฆาตมังกรเข้าต้านรับ
เซี่ยวม่อเกอพิชิตกรงเล็บพิฆาตมังกรได้แล้วจริง ๆ
พวกมันไร้ขอ้ กังขาอีกต่อไป หากมิใช่เช่นนัน้ ลําพังพลังฝี มือของมัน เพียงผู้
เดียว เซี่ยวม่อเกอย่อมไม่มีทางหยุดยัง้ พลังกระบี่อนั น่าสยดสยองสายนี ้
ได้!
บุรุษหนุ่มด่านเจียงที่อายุเยาว์เสียยิ่งกว่ามัน กลับสามารถหยุดยังท่า
กระบี่ท่ีท่มุ เทจนสุดชีวิตของมันได้อย่างสะดวกดาย
กรงเล็บพิฆาตมังกร!
นี่คือพลังของศาสตรามารหรือ?
ไม่มีผใู้ ดอาจหาญพอจะขวางทางมัน
ท่ากระบี่สะท้านฟ้าของหลินเชียนบีบบังคับมันหลุดออกจากสภาวะ ใจ
นํา้ แข็ง หากมิใช่วา่ ในเสีย้ วพริบตาแห่งความเป็ นตาย มันใช้สายใยสาม
พันอาวรณ์กระชากดึงกรงเล็บพิฆาตมังกรมาป้องกันเบือ้ งหน้าได้ทนั ท่วงที
เกรงว่ากระทั่งเส้นผมสักเส้นของมันก็คงไม่เหลือ
เพียงแค่หลินเชียนคนเดียวยังร้ายกาจถึงเพียงนี ้
มันแทบไม่อาจนึกภาพขุมกําลังที่แท้จริงของคุนหลุนได้!
จั่วมอในดวงตาทอประกายด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ ขวัญกําลังใจลุก
โชนขึน้ อีกครัง้ ! แต่แล้วมันหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ร้องครวญครางว่า “โอย
อายุ่ย อากุ่ย ช่วยข้าด้วย ข้าแข้งขาสัน้ พับ ๆ ไปหมดแล้ว ลุกขึน้ ยืนไม่ไหว
ข้าลุกขึน้ ยืนไม่ไหว!”
หญิงรับใช้วยั กลางคนเผยสีหน้าตะลึงงัน
สุม่ เสียงของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่ยากจะพบพาน
มันในฐานะแม่ทพั บัญชาการศึกระดับทองย่อมมีสายตากว้างไกลกว่า
ผูอ้ ่ืน มันสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว กองโจรตระกูลหมิงไม่เพียงมาจากทาง
ด้านหน้า แต่ทงั้ ด้านหลังและสองฟากข้างล้วนปรากฏขบวนทัพขึน้ พร้อม
กัน เห็นได้ว่าฝ่ ายตรงข้ามตัง้ ใจจะไม่ปล่อยให้ผใู้ ดหลุดรอดไปได้
“ราวสามร้อยคน”
“ให้ขา้ สั่งการพวกมัน” จั่วม่อไม่เปลืองวาจามากความ
ทหารองครักษ์ของเสียกงจู่รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว พวกมันเมื่อถูกวาง ลง
ในมือของจั่วม่อ จั่วม่อก็เรียกให้พวกมันไปอยู่ภายใต้การนําของเหมียวจุน
ทันที
เวลา! พวกมันต้องการเวลามากกว่านี ้
ชั่วพริบตาที่จ่วั ม่อกําลังภาวนาว่ากองโจรตระกูลหมิงจะไม่บกุ ตีเมือง
ในทันที ว้ม กองโจรตระกูลหมิงบดขยีค้ วามหวังของมันอย่างไร้ปราณี
กองทัพโจรผลักดันรุดหน้าเข้ามาอย่างแช่มช้าแต่เหีย้ มเกรียม
“พวกเราอยู่ไม่ไกลจากกองทัพของกู่เหลียงเตาแล้ว”
กงซุนชาเหม่อมองแผนที่อาณาจักรอย่างซึมเซา
การเดินทัพของพวกมั นรวดเร็วยิ่ง การทาศึกอย่างดุเดือดหลายครั้ง
หลายหนในตอนเริ่มแรกกลับเป็นเหตุให้ช่ ือเสียงของพวกมันขจรขจายไป
ทั่ ว ขุ ม ก าลั ง ใหญ่ ร ะหว่ า งทางผ่ า นของพวกมัน พากั นครั่ น คร้ า มย าเกรง
มิหนาซ้าด้วยการที่มีกองพันอาซาเก๋อนาอยู่เบื้องหน้า อีกทั้งในค่ายจูเชวี่ย
ยังประกอบด้วยสมาชิกเผ่าปิศาจจานวนไม่น้อย ไม่มีผู้ใดกังขาว่าพวกมัน
เป็นซิวเจ่อ แรงต้านทานที่พวกมันต้องเผชิญนับว่าน้อยกว่ากู่เหลียงเตา
มากนัก
ที่ส าคัญไปกว่านั้น เมื่อขุมกาลังที่ขวางอยู่เบื้องหน้าพวกมันยินยอม
เปิดทางให้แต่โดยดี ขุมกาลังถัด ๆ ไปก็รีบเลียนเยี่ยงขุมกาลังแรก ปล่อยให้
พวกกงซุนชากรีฑาทัพผ่านไปโดยไม่ขัดขวาง รอจนกองทัพของกงซุนชา
รุ ดหน้าไปเป็นล าดับ เป้าหมายของพวกมันก็คล้ายจะค่อยๆ เห็นชัดเจน
ขึ้นเรื่อยๆ
ขุ ม ก าลั ง ทั้ ง หมดล้ ว นสั ง เกตเห็ น หากกองทั พ ของกงซุ น ชายั ง คง
รุดหน้าไปในเส้นทางนี้ต่อไป ก็มีโอกาสสูงยิ่งที่จะจบลงด้วยการปะทะกับกู่
เหลียงเตา!
Page 1 of 12
หรือว่ายอดกองทัพที่ไม่ทราบความเป็นมานี้ จะมุ่งเป้าไปที่กู่เหลียง
เตา?
การคาดเดานี้ ท าให้ ห ลายคนใจเต้น ระทึ ก ขึ้น มาทั น ที ! พลั ง อั น กล้า
แกร่ ง เกรี ย งไกรของกู่ เ หลี ย งเตาก่ อ เกิ ด ความหวาดกลั ว ในหมู่ ปิ ศ าจใน
ละแวกนี้ท้ังหมด ขุมกาลังที่มีความกล้าอยู่บ้างและอยู่ในบริเวณใกล้ เคียง
กับกองทัพกู่เหลียงเตาพากันหอบครอบครัวโยกย้ายหลบหนีอย่างเร่งรีบ
การบุกตะลุยรุ ดหน้าอย่างไร้ผู้ต้านของกู่เหลียงเตา สูบเอาความหวัง
ของคนเหล่านี้ไปจนหมดสิน
้
หากยอดกองทัพอันลึกลับนี้ มุ่งเป้าไปที่กู่เหลียงเตาจริง... ...
กองกาลังปิศาจระหว่างเส้นทางนอกจากจะเปิดทางให้ พวกมันยังเฝ้า
จับตามองกองทัพของกงซุนชาอย่างใกล้ชิด ในใจบังเกิดความคาดหวังรอ
คอย
อาจกล่าวได้ว่ากู่เหลียงเตาผู้นี้มาพร้อมกับโชควาสนาขนานใหญ่ ทุก
จุดที่มันเข้าตีล้วนเหมาะเจาะพอดี ในพื้นที่ไม่มีขุมกาลังอันกล้าแกร่งอยู่
เลย
ขณะที่ทุกผู้คนกาลังสิ้นหวัง ทันใดนั้นกองทัพอันกล้าแกร่งเกรียงไกร
ก็ ผุ ด ขึ้ น อย่ า งกะทั น หั น เดิ น ทั พ ทางไกลบุ ก ตรงเข้ า หากู่ เ หลี ย งเตาด้ ว ย
สภาวะดุจอสนีบาตฟาดทลาย ปิศาจเหล่านี้ไหนเลยจะไม่รู้สึกมีความหวัง
ขึ้นมาได้?
สิ่งที่ทาให้กงซุนชาแทบหัวร่อ ก็คือบางกองกาลังถึงกับส่งคนมาถาม
ไถ่ และบอกว่าพวกมันยินดีมอบกาลังพลและเสบียงกองทัพให้ด้วย!
Page 2 of 12
การที่จู่ ๆ ต้องกลับกลายวีรบุรุษผู้ช่วยเหลือในสายตาของเหล่าปิศาจ
กงซุนชาให้รู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่ง แต่มันย่อมปฏิเสธไป
ทว่ า บรรดาปิ ศ าจกลั บ เข้ า ใจว่ า กงซุ น ชาที่ ป ฏิ เ สธ เนื่ อ งเพราะยอด
กองทัพนี้มีความทระนงถือดีของตน ดังนั้นจงใจทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์และ
เสบียงทัพไว้ในระหว่างทางโดยไม่จัดผู้คนคอยเฝ้ารัก ษา ปล่อยให้พวกกง
ซุนชาหยิบฉวยได้ตามความพอใจ ขุมกาลังที่อยู่ถัด ๆ ไปล้วนเห็นดีเห็นงาม
ด้วย พากันเลียนเยี่ยงคนก่อนหน้า กลายเป็นข้อตกลงที่ไม่กล่าวออกมา
ประการหนึ่ง
ความเข้ า ใจผิ ด อย่ า งใหญ่ ห ลวงนี้ มิ เ พี ย งช่ ว ยให้ ค วามเร็ ว ในการ
เดิ น ทางของพวกมั น เพิ่ ม ขึ้ น อย่ า งก้ า วกระโดด ไม่ ต้ อ งเผชิ ญ กั บ การ
ขัดขวางระหว่างทาง ยังช่วยบรรเทาความยุ่ งยากและความอ่อนล้ า จาก
การเดินทัพทางไกลได้เป็นอย่างมาก
ทัพของกงซุนชาประดุจ มีด คมกล้า แทงทะลวงผ่านอาณาจั ก รแล้ ว
อาณาจักรเล่าอย่างไม่หยุดยั้ง
จนกระทั่งพวกมันเกือบจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง!
ที่จะมาย่อมต้องมา สิ่งที่พวกมันต้องเผชิญในท้ายที่สุด ก็คือกองทัพ
ของกู่เหลียงเตา!
กู่เหลียงเตาแม้ต้องเผชิญพบการต่อต้านแข็งขืนมากมาย แต่กาลังพล
ของมันมีมากกว่าแม่นางน้อย อาศัยตัวตนอันยิ่งใหญ่เช่นซีเซวียนหนุนหลัง
มั น ค่ อ ย ๆ กวาดทลาย รุ ก คื บ เข้ า มาอย่ า งแช่ ม ช้ า พิ ชั ย ยุ ท ธ์ ข องมั น แ ม้
เชื่องช้า แต่ไร้ผู้ต้านทาน ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยัง้ การรุกคืบของมันได้
Page 3 of 12
อาณาจั ก รทุ่ ง โบราณ อาณาจั ก รเล็ ก ๆ ที่ ไ ม่ ค่ อ ยเป็ น ที่ รู้ จั ก นี้ เป็ น
เป้าหมายของแม่นางน้อยในครั้งนี้
และดู จ ากเส้ นทางรุ ดหน้า ที่ กู่ เ หลีย งเตาเข้า ยึ ด ครอง อาณาจั ก รทุ่ง
โบราณก็เป็นจุดหมายถัดไปของมันเช่นกัน
กงซุนชาเงยหน้าขึ้น กวาดตามองดูเหล่าแม่ทัพนายกองใต้ร่มธงของ
มัน คนเหล่านี้แม้ว่าต้องเดินทัพยาวไกล เร่งรุ ดเดินทางโดยไม่ได้พักผ่อน
มาโดยตลอด ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของพวกมันสามารถเห็นได้ชัดเจน
แต่พวกมันยังคงเต็มไปด้วยขวั ญก าลังใจและจิต วิญ ญาณการต่อสู้ อ ย่ า ง
เปี่ ยมล้น!
กู่เหลียงเตา ขุนพลพยัคฆ์แห่งซีเซวียน!
กงซุ น ชาพลั น แย้ ม ยิ้ ม เอี ยงอาย ดวงตาสุ ก ใสคู่ นั้ น ร้ อ นแรงดั่ ง เปลว
เพลิง ไม่ต่างจากเด็กชายข้างบ้านที่พบพานของเล่นใหม่
เหล่าแม่ทัพนายกองคึกคักขึ้นอักโข พวกมันทราบว่าการศึกที่แท้จริง
กาลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว
“เราต้องชนะศึกครั้งนี้” แม่นางน้อยสุ้มเสียงอ่อนโยน ราวกับกาลัง
บรรยายถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่วาจาของมันแต่ละคาล้วนทาให้ผู้คนตัว
สั่นสะท้าน ประหนึ่งบังเกิดกระแสไฟฟ้าแลบปลาบไปตามผิวหนังของพวก
มัน ทุกผู้คนเผ่นผึงขึ้นยืนตัวตรงแน่ว แทบลืมหายใจ!
“ต้องชนะเท่านั้น!”
... ...
Page 4 of 12
นครมหาสันติที่พินาศเสียหายเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง พื้นหินที่เคย
ราบเรียบงดงาม บัดนี้เต็มไปด้วยหลุมบ่อ คล้ายซากโบราณสถานแห่งหนึ่ง
ซือเยวี่ยอี้ยืนนิ่งอยู่ต รงใจกลางนครมหาสันติ แผนผังปิศาจวงหนึ่ ง
พลันสว่างวาบที่ใต้ฝ่าเท้าของมัน ในเวลาที่กองโจรกาลังรุ กคืบกดดัน เข้า
มาอย่ า งเกรี้ ย วกราด ไม่ มี ผู้ ใ ดทั น ได้ สั ง เกตเฉิ ง จู่ ข องเมื อ งที่ ก าลั ง จะล่ ม
สลายผู้นี้
ใบหน้าเหี่ยวย่นของซือเยวี่ยอี้เต็มไปด้วยความเศร้าโศกอันล้าลึก สี
ขาวปนเทาเริม
่ ไล่ขึ้นจากโคนเส้นผมไปจนสุดปลายผมทุกเส้น เพียงชั่วไม่กี่
อึดใจ ผมเผ้าคิ้วเคราของมันล้วนเปลี่ยนเป็นสีขาวปนเทาอันอัปมงคล
มันไม่กล่าวคาใด แผนผังปิศาจสว่างเรืองรองอยู่ใต้ฝ่าเท้า ประดุจเถา
ไม้เลื้อยที่ต่ ืนขึ้นจากการนิทรานับร้อยปี เริ่มแผ่กระจายออกไปทุก ทิศ ทุก
ทางอย่างรวดเร็ว
ในไม่ ช้ า ทั่ ว ทั้ ง นครมหาสั น ติ ก็ ก ลั บ กลายเป็ น สว่ า งเรื อ งรองด้ ว ย
แผนผังปิศาจ สว่างไสวดุจยามเที่ยง
แสงสว่างของแผนผังปิศาจยังไม่หยุดลงเพียงเท่านี้ มันแผ่ไล่ไปตาม
กาแพงเมืองที่พังทลาย ทั้งยังลุกลามออกไปด้านนอก
แผนผังปิศาจบนพื้นถนนแผดแสงแรงกล้า แผนผังปิศาจที่มุมกาแพง
ทอประกายเจิดจรัส แผนผังปิศาจบนสิ่งปลูกสร้างสว่างเรืองรอง
เพี ย งชั่ ว พริ บ ตาเดี ย ว ทั่ ว ทั้ ง เมื อ งมหาสั น ติ ก็ ถู ก ปกคลุ ม อยู่ ภ ายใต้
แผนผังปิศาจอันโชติช่วง
Page 5 of 12
ผู้ ค นพลั น ตระหนั ก ด้ ว ยความอั ศ จรรย์ ใ จ นครมหาสั น ติ ถึ ง กั บ สลั ก
แผนผังปิศาจเอาไว้ในทุกซอกทุกมุม!
จั่วม่อยังสะดุ้งขึ้นอย่างประหลาดใจ มันปากอ้าตาค้าง เหม่อมองดู
แผนผั ง ปิ ศ าจที่ แ ทบจะครอบคลุ ม ทั่ ว นครมหาสั น ติ เมื่ อครั้ ง ที่ เ มื อ งนี้
ก่อสร้างขึ้น พวกมันสลักแผนผังปิศาจมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ลงไปได้
อย่างไร ช่างยากจะจินตนาการได้จริง ๆ
เป็นแผนงานอันใหญ่โตมโหฬารจนเหลือเชื่อ!
กองโจรบนฟากฟ้ า พอเห็ น ภาพนี้ ยั ง ต้ อ งประหลาดใจและตื่ น
ตระหนกเช่นกัน พวกมันล่าถอยโดยพลัน
“เหล่าซือ!”
ซือเยวี่ยอี้ร่าไห้อย่างโศกสลด หยาดน้าตาตกกระทบแผนผังปิ ศ าจที่
ใต้ฝ่าเท้าของมัน แผนผังปิศาจคล้ายสดับฟังความโศกเศร้ารันทดของมัน
แสงสว่างไหววูบ จากนั้นแผ่กระจายออกไปในบัดดล
มันมองดูซากปรักหักพังของนครมหาสันติ มองดูกองโจรตระกูลหมิง
ที่จ่อประชิดกาแพงเมือง เพียงชั่วกะพริบตา ความรุ่งโรจน์แห่งนครมหา
สันติกลับถึงกาลสิ้นสุดลง
ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของมันยิ่งกดลึกจนเห็นได้ชัดกว่าเดิม ซือ
เยวี่ยอี้แก่ตัวลงด้วยระดับความเร็วที่เห็นได้ชัดตา
“เหล่าซือ ศิษย์ช่างใช้การไม่ได้นัก!”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายน้าตาพลันกลับกลายเป็นเด็ดเดี่ยว มันชู
สองแขนขึ้นสูง ราวกับปรารถนาจะโอบกอดท้องนภา
Page 6 of 12
ตูม!
แผนผังปิศาจอันเรืองรองที่ปกคลุมทั่วนครมหาสันติ พลันระเบิดแสง
เจิดจรัสออกมา ลาแสงแรงกล้าพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
นครมหาสั น ติ ที่ ซื อ จื่ อหมิ ง ลงมื อ ก่ อ สร้ า งด้ ว ยตนเอง คล้ า ยสั ต ว์
ประหลาดยักษ์ที่ต่ น
ื ขึ้นจากห้วงนิทราพันปี เปิดตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า
ทะเลดาที่ล้อมรอบนครมหาสันติเริ่มยกตัวขึ้นด้วยระดับความเร็วอัน
น่าตระหนก พลุ่งพล่านปั่ นป่วนอย่างคลุ้มคลั่ง ราวกับว่ามีบางอย่างสั่นไหว
อยู่ใต้ท้องทะเลลึก
ม่านน้าสีดาผืนหนึ่งแผ่พุ่งขึ้นจากทะเลดา ก่อตัวเป็นโล่วารีดาขนาด
ใหญ่โตมโหฬารที่กลางอากาศ ปกคลุมเหนือนครมหาสันติในชั่วพริบตา
กองโจรตระกูลหมิงแตกตื่นตระหนก รีบถอยทัพอย่างฉับพลัน พวก
มั น แต่ ล ะคนล้ ว นมี ป ระสบการณ์ โ ชกโชน มี ค วามรู้ สึ ก เฉี ย บไวต่ อ ภั ย
อันตราย ม่านน้าผืนนี้แม้ดูเบาบางยิ่ง แต่พวกมันสูดได้กลิ่นอายอันตราย
อย่างแรงกล้า
ผู้คนในนครมหาสันติพากันทอดถอนใจอย่างโล่งอก หลายคนกาลังใจ
มาเป็นกอง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ยามนี้ก็ดูเหมือนว่าจะปลอดภัยแล้ว
“เฉิงจู่! เฉิงจู่!”
สุ้ ม เสี ย งตะโกนอย่ า งร้ อ นรนขู่ ข วั ญ ผู้ ค นจนแตกตื่ น รอจนพวกมั น
เหลียวกลับไปมองเฉิงจู่ ซือเยวี่ยอี้ ไม่ว่าผู้ใดล้วนตกตะลึงพรึงเพริด
เห็นซือเยวี่ยอี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง ทั่วร่างเป็นสีขาวปนเทา คนคล้ายสลัก
ขึ้นจากก้อนหิน ไร้ชีวิตอย่างสิน
้ เชิง
Page 7 of 12
มันกลับกลายเป็นรูปสลักหิน!
เสี ย กงจู่ กั บ เหล่ า สตรี ถู ก ภาพตรงหน้ า ขู่ ข วั ญ จนประหวั่ น พรั่ น กลั ว
พวกนางยกมือปิดปาก น้าตาหลั่งรินลงมา บรรดาปิศาจนครมหาสันติเริ่ม
ร่าไห้ราพัน ซือเยวี่ยอี้เป็นเฉิงจู่ที่สุภาพอ่อนโยน รอบรู้กว้างขวาง มีอิทธิพล
ต่อผู้คนทั้งหมด ทั้งยังเป็นที่เคารพรักอย่างสุดซึ้งของผู้คนในนครมหาสันติ
จั่วม่อจ้องมองซือเยวี่ยอี้อย่างลึกซึ้ง ในใจลอบทอดถอนอย่างโศกสลด
อยู่บ้าง มันมีความรู้สึกที่ดีต่อเฉิงจู่นครมหาสันติผู้นี้ไม่น้อย
แต่มันไม่ได้โศกเศร้ามากนั ก ระหว่างพวกมันเพียงพบหน้าไม่กี่ครา
ยังไม่ได้เพาะสร้างความสัมพันธ์อย่างลึกล้า มิหนาซ้าเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลา
ที่เหมาะสมต่อการโศกเศร้าเสียใจ
มันเหินทะยานขึ้น กวาดตามองส ารวจแผนผังปิศาจรอบด้าน พลัน
เข้าใจสถานการณ์ในบัดดล
ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่นี่ มันอาจไม่ใช่ผู้ที่มีพลังฝีมือร้า ยกาจที่ สุ ด
แต่มันเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในแผนผังปิศาจมากที่สุดอย่างแน่นอน
ซือจื่อหมิงทรงพลังอานาจอย่างที่คิด!
จั่วม่อในใจเต็มไปด้วยความนับถือเลื่อมใส รอจนมันกลับลงไป ค่อย
เรียกทุกคนมารวมกัน
“ม่านน้าสามารถยืนหยัดเป็นเวลาสามวัน” จั่วม่อลดเสียงแทบเป็น
กระซิบ แต่กระนั้นประโยคนี้ยังหวดฟาดเข้าไปในใจผู้คนจนสะท้านสั่นไหว
ทว่าผู้คนที่อยู่ที่ นี้ล้วนมิ ใ ช่คนธรรมดาสามั ญ พวกมันแม้ห วาดกลั ว
แต่ใบหน้ายังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ สาหรับพวกมันนี่นับเป็นข่าวดี
Page 8 of 12
ในความสิ้ น หวั ง สามวั น เป็ น ช่ ว งเวลาที่ มี ค่ า เพี ย งพอให้ พ วกมั น ได้ พั ก
หายใจ และพอให้พวกมันได้รักษาอาการบาดเจ็บ ฟื้นฟูพลังฝีมือ อย่าง
น้อยยังมีทุนรอนต่อต้านแข็งขืนสักครา
แม้ว่าในความเห็นของหลายคน พวกมันต่อให้รวมกาลังกันทั้งหมด
แต่ต่อหน้ากองโจรอันแกร่งกร้าวเช่นกองโจรตระกูลหมิงยังไม่นับเป็นอะไร
ได้ก็ตาม
“ท่ า นทั้ ง หลาย ให้ รี บ ฉวยโอกาสนี้ ฟ้ ื นฟู พ ลั ง ฝี มื อ รั ก ษาบาดเจ็ บ ”
จากนั้ น จั่ ว ม่ อ หั น ไปทางเหมี ย วจุ น “เหมี ย วจุ น ให้ ใ ช้ เ วลาทั้ ง หมดจั ด
กระบวนทัพองครักษ์เหล่านี้ เร่งฝึกฝนพวกมัน”
เหมียวจุนคิดกล่าววาจาสักคา แต่กลับถูกจั่วม่อตีขัดไว้ก่อน
“ลับหอกยามจวนตัว แม้ไม่คมแต่ก็เงา 12” จั่วม่อปรายตามองเหมียว
จุน แล้วกล่าวต่อไปว่า “หากผู้ใดไม่เชื่อฟัง ล้วนประหารฆ่าโดยไม่ละเว้น!”
“น้อมรับคาสั่ง!” เหมียวจุนผงกศีรษะ หมุนตัวจากไปดาเนินการทันที
จากนั้นจั่วม่อเรียกหาสองพี่น้องตระกูลหลัน
หลันเทียนหลงเพ่งตามองจั่วม่อ พลางกล่าวว่า “พี่เซี่ยว หากมีเรื่องใด
คิดใช้สอยพวกเราสองพี่น้อง ขออย่าได้เกรงใจ ให้บอกมาตามตรง ต่อให้
ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย พวกเราก็จะไม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า!”
หลันหยงพยักหน้า “พี่เซี่ยว บอกมาเถอะ!”
12
หมายถึง ในยามคับขันจวนตัว เพิ่งจะมาลับคมหอก แม้ว่าจะไม่คมนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นเงาวับมากกว่าตอน
ที่ไม่ได้ลับ เป็นคาปลอบขวัญ เป็นเชิงว่าแม้ในวาระสุดท้ายก็ต้องมุ่งมานะพยายาม ไม่ละทิง้ ความหวัง ดีกว่าไม่
ทาอะไรเลย
Page 9 of 12
จั่วม่อกล่าวเสียงเบาต่า “สามวัน มีเวลาเพียงแค่ส ามวัน พวกเราไม่
อาจนั่งรออยู่เฉย ๆ นครมหาสันติมีผู้คนมากมาย พวกมันล้วนสามารถสู้รบ
แม้ว่าไม่มีเวลามากพอที่จะฝึกฝนกระบวนทัพ แต่ยิ่งมีผู้คนมากเท่าใดก็ยงิ่
มีข้อได้เปรียบมากเท่านั้น”
พี่น้องตระกูลหลันฉุกใจคิด
“เราต้องรีบกะเกณฑ์ผู้คนให้มากขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะทันได้ตอบสนอง
ยิ่งได้คนมามากเท่าไรก็ยิ่งดี!” จั่วม่อกล่าว
พี่น้องตระกูลหลันล้วนชาญฉลาด พอฟังเช่นนี้พลันตระหนักทันที รอ
จนขุมกาลังอื่นเริ่มบังเกิดปฏิกิริยา คิดกะเกณฑ์ผู้คนบ้างก็ไม่ใช่เรื่องง่า ย
แล้ว
ทั้งสองสบตากันวูบ แล้วพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง “เข้าใจแล้ว!”
กล่าวจบคา สองพี่น้องรีบจากไปเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยคาที่สอง
กงจู่ท้งั สามทอดตามองจั่วม่อ รู้สึกนิยมชมชื่นจากใจจริง ในขณะที่ทุก
คนหัวหมุนงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก เซี่ยวม่อเกอกลับสามารถสั่ ง การ
อย่างต่อเนื่อง ความคิดจิต ใจของมันกระจ่างชัดเจน คล้ายคุ้นเคยกั บ การ
กระท าเช่ น นี้ เ ป็ น อย่ า งยิ่ ง ท่ ว งท่ า สภาวะเด็ ด เดี่ ย วแน่ ว แน่ ไม่ รี ร อลั ง เล
แม้แต่น้อย
ผู้คนรอบข้างล้วนถูกท่วงท่าสภาวะอันเยือกเย็นของจั่วม่อระบาดใส่
ค่ อ ยฟื้ นฟู ส มาธิ จิต ใจจากความตื่น ตระหนก พวกมั น คล้ า ยบั งเกิ ด ความ
เชื่อมั่นขึ้นมาบ้างโดยไม่ทันรู้สึกตัว
Page 10 of 12
กระทั่งจูเข่อกับอีกสองยอดฝีมื อยังต้องเปลี่ยนมุ มมองที่มีต่อ จั่ ว ม่ อ
พวกมันเดิมทีเข้าใจว่าจั่วม่อมีเพียงพรสวรรค์เชิงยุทธ์เหนือคนทั่วไป ไม่ได้
คาดฝันว่ามันยังเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกที่เด่นล้าด้วย
จั่วม่อไม่ล่วงรู้ความคิดของคนเหล่านี้ ในใจมันกาลังสับสนอลหม่าน
สามวัน!
มีเวลาเพียงสามวัน มันสามารถทาอะไรได้บ้าง?
จั่วม่อครุ่นคิดอย่างหนัก อาศัยกาลังคนที่มันมีอยู่ในมือ คิดทะลวงฝ่า
ออกไป มีความเป็นไปได้น้อยมาก
มันต้องคิดหาหนทางอื่น!
“เตี้ยนเซี่ย!” ฟู่ฟงสีหน้าหวาดวิตก
“อา?” เปี๋ ยหานเบือนหน้ามามองเล็กน้อย
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เตี้ยนเซี่ยจะต้องฝ่าออกไปให้ได้!” ฟู่ฟงกล่าว
อย่างกะทันหัน
เปี๋ ยหานนิ่ ง เงี ย บงั น ไปนาน จนกระทั่ ง จู่ ๆ เอ่ ย ถามว่ า “กองโจร
ตระกูลหมิงนี้ร้ายกาจนักรึ?”
ฟู่ฟงงงงันวูบ จากนั้นตอบสนองทั นควั น “ร้ายกาจยิ่ง พวกมัน เป็ น
กองโจรที่ร้ายกาจที่สุด!”
“อ้อ” เปี๋ ยหานพยักหน้ารับรู้ แล้วเงียบงันไปอีกครา
“เตี้ยนเซี่ย!” ฟู่ฟงเร่งรัด “ท่านต้องรับปากบ่าว! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ท่านจะต้อง... ...”
Page 11 of 12
เปี๋ ยหานยกมือตัดบทวาจาของฟู่ฟง หันกลับมากล่าวอย่างเย็นชา
“อย่าห่วงไปเลย ข้าจะแสดงให้พวกมันได้เห็นว่าไฉนพวกมันเป็น ได้
แค่กองโจร!”
Page 12 of 12
บทที่ 629 สู้
จั่วม่อเหม่อมองมวลชนแน่นขนัดสุดลูกหูลกู ตาอย่างโง่งม
“ชื่อของข้า?” จั่วม่อตะลึงลานไร้วาจาจะกล่าว
มันที่เรียกให้หลันเทียนหลงไปกะเกณฑ์ผคู้ น เพียงแต่คิดว่ารวบรวม คน
มากขึน้ ช่วยเพิ่มสภาวะให้หา้ วหาญขึน้ ในเวลาสาคัญยังสามารถใช้ พวก
มันเป็ นอาหารสัตว์กระสุนปื นใหญ่
เงียบสงัดอย่างสิน้ เชิง
มวลชนมีมากมายมหาศาลจนต้องเบียดเสียดกันยืน บ้างอยู่บนซาก
ปรักหักพัง บ้างซุกแอบอยู่ตามมุม บ้างโดดเดี่ยวลําพัง บ้างโอบกอดกัน
พวกมันล้วนแหงนเลยขึน้ มอง คนนับหมื่นพากันจ้องมองจั่วม่อเป็ น
ตาเดียว
พวกมันเฝ้ารอคอย รอคอยให้เซี่ยวม่อเกอกล่าววาจาสักคํา
เสียกงจู่กบั พวกเหม่อมองดูมวลชนเบียดเสียดยัดเยียด จากนัน้ มอง เงา
ร่างเล็กกระจ้อยร่อยกลางเวหาเหนือฝูงชน สีหน้าของพวกนางเต็มไปด้วย
ความอัศจรรย์ใจ
พวกนางประเมินอํานาจบารมีของเซี่ยวม่อเกอตํ่าเกินไป “สถานการณ์
สร้างวีรบุรุษ!” จูเข่ออดทอดถอนใจไม่ได้
จั่วม่อขยับตัว กรงเล็บพิฆาตมังกรบนแผ่นหลังก็ขยับตามไปด้วย
หลายคนเผยสีหน้าผิดหวัง แต่พวกมันยังคงนิ่งฟั ง
“พวกเราจะต้องตายอย่างแน่นอน”
จั่วม่อยังคงยํา้ คําราวกับพรํา่ บอกกับตัวเอง แต่ประโยคนีท้ าํ ให้ผคู้ น
มากมายเงยหน้าขึน้ จ้องมองบุรุษหนุม่ ที่กลางอากาศอีกครัง้
“แล้วจะเป็ นไร”
สุม่ เสียงดังกึกก้องขึน้ อย่างกะทันหัน เสียงตวาดอย่างเกรีย้ วกราดของ มัน
สะท้อนสะท้านไปทั่วนครมหาสันติด่งั สายฟ้าคํารน
“ใช่! แล้วจะเป็ นไร! ใช่! เราไม่มีทางออกที่ดี ทว่า แล้วจะเป็ นไร! ถูก พวก
เราอ่อนแอ แล้วจะเป็ นไร! ข้าจึงไม่เอาแต่น่งั รอคอยให้พวกมันมา เชือด
เฉือน ข้าจะไม่รอให้มนั เข้ามาจัดการกับข้าตามใจชอบ! นอกจากต่อสู้ กับ
พวกมัน หรือว่าพวกเรายังมีทางเลือกอื่นอีก!?”
จั่วม่อจ้องมองพวกมันตาเขม็ง จากนัน้ กู่กอ้ งอย่างดุดนั “พวกเรายังมี
ทางเลือกอื่นอีกหรือไม่!”
มิผิด หรือพวกมันยังมีทางเลือกอื่นอีกเล่า?
“ฆ่าพวกมัน!” จั่วม่อตวาดอย่างดุเดือด!
“ฆ่าพวกมัน!” เสียงตะโกนอย่างสุดแรงนับไม่ถว้ นดังกึกก้อง กัมปนาท!
“จดจําผูบ้ ญ
ั ชาการหน่วยของพวกเจ้าให้ม่นั สิ่งที่พวกเจ้าต้องทําก็ คือทํา
ตามมัน ไม่วา่ มันโจมตีไปที่ใด พวกเจ้าต้องโจมตีตามมันไปยังจุด
เดียวกัน!”
“ระหว่างการสูร้ บ ไม่วา่ จะด้วยเหตุใดผล ก็อย่าได้ลา่ ถอยเป็ นอันขาด! ต่อ
ให้เจ้ารับบาดเจ็บหรือว่ากําลังจะตาย ก็หา้ มถอยร่นจนหลุดจาก ตําแหน่ง
ของตน! หากเจ้าล่าถอย ผูบ้ ญ ั ชาการหน่วยของเจ้าจะสังหารเจ้า โดยไม่
ปราณี!”
ในอกของพวกมันลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
ในช่วงสองสามวันมานี ้ มันนับว่าทุ่มเทความพยายามไปไม่นอ้ ย ใน
รวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกองโจรตระกูลหมิง
“กองกําลังเสริมของพวกเจ้า เดินทางถึงที่ใดแล้ว?”
“พวกมันสมควรมาถึงในไม่ชา้ !”
“ยังคงเร็วเกินไป!”
“พวกมันสมควรมาถึงในอีกเจ็ดแปดวัน!”
ทุกผูค้ นเห็นพ้องต้องกัน
หวังคุนยังไม่ลืมเสริมสร้างขวัญกําลังใจให้แก่พวกมัน “หลังจากผ่าน ไป
สองสามวันกองทัพของพวกเราสมควรเร่งรุดมาถึง ถึงยามนัน้ ทัง้ สอง ฝ่ าย
ล้วนต่อสูก้ นั จนรับบาดเจ็บบอบชํา้ นั่นจะเป็ นโอกาสที่ดีท่ีสดุ สําหรับเรา!”
ผูบ้ ญ
ั ชาการหนายเดินตรวจแถวทัพ พร้อมกับพยายามปลุกเร้าจิต
วิญญาณการต่อสูข้ องไพร่พลในหน่วยของตน
แม้ว่าพวกมันไม่เคยฝึ กปรือกระบวนทัพค่ายกลมาก่อน แต่กระบวน ทัพที่
ผนึกรวมผูค้ นนับหมื่นเข้าด้วยกัน บันดาลให้ทกุ ผูค้ นที่เข้าร่วม กระบวนทัพ
รูส้ กึ ตื่นเต้นเร้าใจอย่างบอกไม่ถกู
หากพวกมันสามารถรอดจากการบุกจู่โจมระลอกแรกโดยไม่แตกพ่าย ไป
เสียก่อน บรรดาสามเณรน้อยเหล่านีอ้ าจเริม่ คุน้ ชินกับบรรยากาศใน
สมรภูมิ ความได้เปรียบในเรือ่ งจํานวนคนของพวกมันจะเริม่ สําแดงผล
ออกมาอย่างช้า ๆ
มันสั่นศีรษะพลางทอดถอนรําพันกับตัวเอง ราวกับว่ามันเองก็ไร้วาจา จะ
กล่าว เหล่าแม่ทพั นายกองพากันหัวร่อดังเซ็งแซ่
อากาศคล้ายเดือดพล่านขึน้ มาในทันใด
ช่างเป็ นฝูงลูกแกะน้อยนุ่มนิ่มอย่างแท้จริง!
เป้าซยงพลันเยือ้ ขวานใหญ่ขนึ ้ สุดล้า ขวานสีดาํ สนิทสาดประกายเย็น
เยียบ หมอกดําม้วนตลบครอบคลุมใบขวานอย่างหนาแน่น เจตนาฆ่าฟั น
ดุจลําแสงที่สอ่ งประกายท่ามกลางราตรีมืดมิด!
“ฆ่า!”
แสงสว่างเจิดจ้าขึน้ ในบัดดล
“ฆ่า!”
“ยิงได้!”
“ลงมือ!”
เป้าซยงร่องรอยเหยียดหยามดูแคลนแข็งค้างบนใบหน้า ในครรลอง
สายตามันจู่ ๆ ท่วมท้นไปด้วยกระแสพลังหลากสีทะลักทลาย!
เมื่อกองทัพจํานวนสามหมื่นสองพันคนโจมตีพร้อมกัน เมื่อพลังโจมตี
มากกว่าสามหมื่นสายผสานรวมเข้าด้วยกัน ลําแสงสว่างวาบเจิดจรัสดุจ
ดวงตะวันสาดแสง เปลี่ยนผืนฟ้าทัง้ หมดกลายเป็ นสีขาวพร่าง!
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นโลก เศษหินปลิวเวียนว่อน คลื่นกระแทกอันน่า
ตระหนกกวาดวาบออกทุกทิศทางอย่างเร่งร้อน
พวกมันสูญเสียมากกว่าสามพันในคราวเดียว!
เสียงรํา่ ไห้ครวญครางดังระงม
เสียงตวาดดังกังวานไปทั่วนครมหาสันติอย่างพร้อมเพรียง
ชั่วพริบตานีเ้ อง เห็นเสาโลหิตนับไม่ถว้ นพวยพุ่งขึน้ ท่ามกลาง กระบวนทัพ
ต่าง ๆ ปิ ศาจหลายร้อยตนที่สญ ู เสียความกล้า หลบหนีออก จากกระบวน
ทัพล้วนถูกสังหารคาที่!
Page 1 of 11
ในสายตาของพวกมัน เซี่ยวม่อเกอมีท่วงท่าสงบเยือกเย็น ไม่ต่ ืนกลัว
แม้แต่น้อย ผู้คนที่สูญเสียความกล้าไปทีแรก พลันค้นพบที่ยึดเหนี่ยว ค่อย
ๆ สงบใจลง
“เมื่อครู่นี้ เราเพิ่งฆ่ากองโจรตระกูลหมิงไปสามพันคน!”
ฝูงชนส่งเสียงอ้ ืออึงขึ้นมาทันที แม้คนส่วน ใหญ่ยังคงหวาดหว่ัน วิต ก
แต่ผู้ที่ขวัญกล้าบังอาจอยู่บ้างกลายเป็นต่ ืนเต้นลิงโลดขึ้นมาทันที สามพัน
คน! กองโจรตระกูลหมิงมีท้ังสิน
้ เพียงสองหม่ ืนคน! สามพันคนอาจเรียกได้
ว่าเป็นความเสียหายอันหนักหนาอยู่บ้าง
“พวกมั น จะหวาดหวั่ น จะเกรงกลั ว แล้ ว จะโกรธเกรี้ ย ว การโจมตี
ระลอกต่อไปจะร้ายกาจกว่าเดิม” จั่วม่อยังคงกล่าวด้วยสุ้มเสียงราบเรียบ
และเย็นเยือก
ผู้ ค นมากขึ้ น และมากขึ้ น เรื่ อย ๆ เริ่ ม เข้ า ใจความหมายของวาจา
เหล่ า นี้ สายตาของพวกมั น ค่ อ ย ๆเป็ น ประกายขึ้ น ความหวาดกลั ว ถู ก
แทนที่ด้วยความตื่นเต้นระทึกใจ พวกมันพลันพบว่ากองโจรตระกูลหมิงที่
แท้ยังคงประกอบขึ้นจากเลือดเนื้อ พวกมันเป็นปุถุชนเช่นเดียวกัน พวกมัน
สามารถตายได้เหมือนกัน!
ทุกผู้คนจู่ ๆ ก็บังเกิดความรู้สึกว่าชัยชนะมิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
หากยังคงเกิดการปะทะกันเช่นนี้อีกสักหลายครั้ง กองโจรตระกูลหมิง
มิใช่สูญเสียผู้คนจนหมด พ่ายแพ้ไปเองหรอกหรือ?
ผู้ ค นที่ ค้ น พบความความหวั ง อี ก ครั้ ง สี ห น้ า เริ่ ม เริ่ ม ฮึ ก เหิ ม ขึ้ น ที ล ะ
น้อย
Page 2 of 11
“ยืนหยัดไว้ แล้วเราจะชนะ!”
สุ้มเสียงของจั่วม่อไม่คิดกระตุ้นขวัญ กาลัง ใจ ไม่มีความรัด ทดหดหู่
สุ้มเสียงสงบราบเรียบที่เต็มไปด้วยความเชื่อมัน
่ ของมัน สะท้อนสะท้านไป
ทั่วนครมหาสันติ
ฝูงชนเงียบกริบลงอีกครั้ง แต่ละคนกุมศาสตรามารของตนเอาไว้แน่น
ดวงตาทุกคู่สดใสเป็นประกาย อัดแน่นไปด้วยความหวัง
หมิงฮุยดวงตามืดมนเย็นเยียบ
คาที่จ่ว
ั ม่อกล่าวออกมา มันล้วนได้ยินครบถ้วนไม่ตกหล่น แต่ไม่ได้สั่ง
ให้เปิดฉากโจมตีเป็นคารบสอง เหล่าสมาชิกกองโจรตระกูลหมิงอื่น ๆ ยังมี
สี ห น้ า หวาดหวั่ น อยู่ บ้ าง เพี ย งปะทะกัน รอบเดี ยวสหายโจรของพวกมัน
สามพันคนล้วนดับดิน
้ สิน
้ ชีพ ไม่มีผู้ใดหลบรอดแม้แต่คนเดียว พวกมันไหน
เลยจะเคยประสบพบเจอเรื่องที่เขย่าขวัญวิญญาณถึงเพียงนี้มาก่อน
ในการต่อสู้เมื่อครู่ คลื่นการโจมตีที่ราวกับคลื่นยักษ์ โหมซัด กระทั่ง
ดวงตะวันยังหม่นแสงไป ลูกแกะน้อยจู่ ๆ สยายเขี้ยวเล็บอันคมกล้าออกมา
ขบกัดพวกมันเต็มแรง จะไม่ให้พวกมันแตกตื่นตกใจได้อย่างไร
“คนผู้นี้สมควรเป็นเซี่ยวม่อเกอ เป็นไปตามคาร่าลือ มันทั้งหาญกล้า
บ้าบิ่นและกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์” หมิงฮุยจ้องมองกรงเล็บพิฆาตมังกรบนแผ่น
หลังของจั่วม่อ ม่านตาหดแคบลงทันควัน
หมิงอวี่เวยสีหน้าตะลึงงัน ทว่าที่นางสนใจไม่ใช่กรงเล็บพิฆาตมังกร
แต่เป็นถ้อยคาของจั่วม่อ นางได้ยินความเลือดเย็น เหี้ยมเกรียมและสงบ
Page 3 of 11
เยื อ กเย็ น ในค าพูด เหล่า นั้ น นางยั ง ได้ เ ห็น ผู้ที่ ห วาดกลัว จนแทบแตกทัพ
ค่ อ ย ๆ สงบใจลง ทั้ ง ความแน่ ว แน่ ที่ จ ะต่อ ต้า นแข็ งขื นยิ่ง มายิ่ง กล้าแข็ง
กว่าเดิม
กองทัพที่สูญสิ้นขวัญกาลังใจและกาลังจะล่มสลายอยู่รอมร่อ แต่กลับ
ไม่ได้บังเกิดขึ้นตามที่นางคาดเอาไว้
บุคคลอันร้ายกาจนัก!
“กระบวนทัพค่ายกลของพวกมันแปลกพิสดารหาผู้ใดเสมอเหมือน”
หมิงอวี่เวยจู่ ๆ โพล่งประโยคนี้ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางเป็นแม่ทัพ
บัญชาการศึกที่เลิศล้า ที่สุดของกองโจรตระกูล หมิง คาประเมินของนาง
เป็นสิ่งที่หมิงฮุยต้องรับฟัง
ทุกผู้คนพอฟัง ค่อยเพ่งพิศกระบวนทัพที่คล้ายเย็บปะติดปะต่อเข้า
ด้วยกันที่ด้านล่างอย่างจริงจัง
พวกมั น ล้ ว นมี ป รสบการณ์ โ ชกโชน ก่ อ นหน้ า นี้ พ วกมั น เพี ย งไม่คิด
สนใจเหล่าลูกแกะในกามือ แต่ยามนี้เมื่อหมิงอวี่เวยชี้บ อก พวกมันค่อ ย
สังเกตอย่างใกล้ชิด ทันใดนั้นมองเห็นความนัยที่ซ่อนอยู่ในทันที
“เซี่ยวม่อเกออันกลอกกลิ้ง!”
ท่ามกลางเสียงอุทานสบถด่า ปะปนไปด้วยเสียงสูดลมหายใจอย่าง
หนาวเหน็บ
กองโจรตระกูลหมิงตั้งทัพอยู่บนฟากฟ้า สามารถมองลงมาเห็นเบื้อง
ล่างได้อย่างชัดเจน พวกมันในที่สุดค่อยสังเกตเห็นว่ากระบวนทัพของศัต รู
ที่ดูผิวเผินเหมือนเศษผ้าเย็บปะติดปะต่อกันนี้ ที่แท้เป็นเซี่ยวม่อเกอทุ่มเท
Page 4 of 11
กาลังความคิดมากมาย จัดตั้งกระบวนทัพค่ายกลขบวนนี้ขึ้นอย่างประณีต
บรรจงยิ่ง
หน่วยทัพแต่ละหน่วยที่เรียงร้อยเชื่อมประสานคล้ายรอยปะติดปะต่อ
ในผืนผ้า ประหนึ่งตัวเม่นที่เต็มไปด้วยหนามแหลมทั่วตัว ไม่ว่าพวกมันจะ
บุกจู่โจมเข้าไปในทิ ศทางใด ในต าแหน่งไหน พวกมันล้วนต้องเผชิ ญ กั บ
การกลุ้ ม รุ ม โจมตี จ ากกระบวนทั พ เหล่ า นี้ พ ร้ อ มกั น ไม่ น้ อ ยกว่ า ยี่ สิ บ
กระบวนทัพ!
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่กองทัพ ไม่มีแม่ทัพบัญชาการศึกคอยควบคุม
กาลังทั้งหมด แต่คนสองหมื่นคนโจมตีรวมจุดอย่างพร้อมเพรียงก็เพียงพอ
ให้แม่ทัพบัญชาการศึกไม่ว่าคนใดต้องปวดเศียรเวียนเกล้า
ใช้พวกมากข่มเหงคนน้อย!
ประโยคนี้ผุดวาบขึ้นในใจทุกผู้คน เหล่าแม่ทัพนายกองมองหน้ากัน
ยามกะทันหันไม่ทราบจะทาอย่างไรดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกมันต้องเผชิญ
เข้ากับปัญหายุ่งยาก แต่ประสบการณ์ของพวกมันบอกพวกมันว่า ฝูงชน
คนธรรมดาไม่ว่ามีมากมายเท่าใด เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพก็เป็นได้แค่ฝูง
แพะแกะที่ได้แต่รอให้เชือดเฉือน หากพวกมันยินยอมสูญเสียสักเล็กน้อย
บุกเข่นฆ่าเข้าไปในกลุ่มศัต รู แพะแกะเหล่านี้จ ะแตกฮือหลบหนี จากนั้ น
ศัตรูก็จะกลายเป็นเพียงแค่เหยื่อที่รอรับการเชือดเฉือน
แต่สิ่งที่บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกมันในเวลานี้ ไม่มีอันใดเหมือนกัน
กับสิ่งที่พวกมันเคยรับรู้มาทั้งหมด
Page 5 of 11
พวกมันแม้สูญเสียสามพัน แต่ฝ่ายศัตรู เองก็ต้องแลกมาด้วยชีวิต คน
เจ็ดแปดพันคน ว่ากันตามเหตุผล ยามนี้กระบวนทัพศัตรู ส มควรปั่ นป่วน
รวนเร เริม
่ แตกฮือหลบหนีและแตกพ่ายในที่สุด!
แต่คนเหล่านี้กลับไม่แตกฮือหลบหนี ความเฉียบขาดและดุดันอามหิต
ของเซี่ ย วม่ อ เกอไม่ เ พี ย งข่ ม ขวั ญ ทั่ ว นครมหาสั น ติ แต่ ก ระทั่ ง เหล่ า โจร
ตระกู ล หมิ ง ยั ง ต้ อ งสะท้ า นใจ สิ่ ง ที่ ท าให้ พ วกมั น ต้ อ งประหลาดใจมาก
กว่าเดิม คือเซี่ยวม่อเกอกลับอาศัย เพียงคาพู ด ไม่กี่ คา ปลอบขวัญความ
หวาดวิตกของชาวนครมหาสันติ
คนธรรมดาสามัญเหล่านี้ มีจิต ใจอันแข็งแกร่งและสงบนิ่งถึงปานนี้
ตั้งแต่เมื่อใด?
กระทั่งเหล่าโจรตระกูลหมิงที่เคยเข่นฆ่าสังหารเป็นทางโลหิต สร้าง
กองซากศพเท่าภูเขาเลากา ยังไม่อาจเข้าใจสิ่งที่บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
พวกมันนี้!
จากนั้นหมิงอวี่เวยยังชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นอันพิเศษเฉพาะกระบวนทัพ
ของฝ่ายตรงข้าม บันดาลให้พวกมันล้วนครั่นคร้ามหวาดระแวงบุรุษนาม
เซี่ยวม่อเกอผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
“มีหนทางหรือไม่?” หมิงฮุยเอ่ยปากถาม มันทราบว่าเม่ยเม่ยของมัน
ฉลาดปราดเปรื่องในด้านยุทธวิธี นางเป็นที่พึ่งพาให้แก่มันเสมอ
หมิงอวี่เวยเพ่งมองกระบวนทัพค่ายกลขนาดมหึมาที่เบื้องล่าง ยังไม่
เอ่ยปากตอบคา
Page 6 of 11
ทุกคนทราบว่านางกาลังขบคิดหาวิธีทาลายกระบวนทัพค่ายกล พวก
มันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ ด้วยเกรงว่าจะรบกวนสมาธิของนาง
ชั่วอึดใจให้หลัง นางดวงตาเป็นประกาย กล่าวว่า “กระบวนทัพค่าย
กลนี้แม้พิเศษพิสดาร แต่มิใช่ว่าจะไร้ผู้ต้าน!”
ทุกผู้คนคึกคักขึ้นอักโข พากันเงี่ยหูฟัง
“พวกมันแม้มีคนมาก แต่จ ะอย่างไรไม่ใช่กองทัพที่แท้จ ริง ดูผิวเผิน
เหมื อ นมี ก ารร่ ว มมื อ ประสานงานที่ ดี แต่ ภ ายใต้ แ รงกดดั น ของการสู้ ร บ
พวกมันย่อมมิอาจยืนหยัดได้นาน เราเพียงจัดหน่วยทัพเล็ก ๆ จานวนมาก
คอยโจมตีก่อกวนขบวนทัพของพวกมันอยู่ตลอดเวลา บีบบังคับให้พวกมัน
ต้องคอยต่อสู้จนหมดเรี่ยวสิ้นแรง เพียงระวังอย่าถลาลงไปในตาข่ายของ
พวกมันก็พอ รอจนถึงเวลาพวกมันย่อมไม่สามารถรักษากระบวนทัพเช่นนี้
เอาไว้ได้นาน ถึงตอนนั้นเราจะบุกโจมตีตรงใจกลางกระบวนทัพของพวก
มัน ขอเพียงเราสามารถจัดการกับเซี่ยวม่อเกอ กระบวนทัพของพวกมัน
ย่อมต้องแตกพ่ายไปเอง!”
“นั่นก็ใช่แล้ว!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! พวกเราจะคอยหลอกล่อบัดเดี๋ยวเข้าใกล้ บัดเดี๋ยว
หนีห่าง พวกมันไม่ทราบจะสู้รบหรือไม่ สุดท้ายพวกมันย่อมต้องเหนื่อยล้า
เสียขบวนรวนเรไปเอง!”
“วิธีการอันประเสริฐ!”
เหล่าแม่ทัพนายกองพากันสรรเสริญเยินยอกันยกใหญ่ หมิงฮุยเองก็สี
หน้าแช่มชื่นขึ้น แผนการของหมิงอวี่เวยตีถูกจุดอ่อนของศัต รู ต รง ๆ การ
Page 7 of 11
ใช้พวกมากข่มเหงคนน้อยแม้เป็นยุทธวิธีอันร้ายกาจ แต่จุดอ่อนของศัตรู ก็
คื อ พวกมั น เป็ น เพี ย งคนธรรมดาที่ ไ ม่ เ คยได้ รั บ การฝึ ก ฝนเยี่ ย งกองทั พ
ความจริงข้อนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
“ประเสริฐ! ให้ดาเนินการตามนี้!” หมิงฮุยบัญชา
กองโจรตระกูลหมิงเริ่มลงมือทันที
Page 11 of 11
บทที่ 633 ใจกลางกระบวนทัพ
เหล่าทหารองครักษ์ของแต่ละขุมกําลังสาดพุ่งร่างมาจากในกระบวน ทัพที่
พวกมันถูกจัดสรรไว้ ปล่อยให้กระบวนทัพทัง้ หมดเสียขบวนรวนเร ความ
อลหม่านบังเกิดขึน้ ทุกแห่งหน กระบวนทัพในที่สดุ ไม่อาจรักษา เอาไว้ได้
อีก ผูค้ นพากันหมุนตัวแตกฮือหลบหนีไม่คิดชีวิต
ใบหน้าของมันยังคงไม่แยแสและครอบคลุมด้วยสีหน้าเย็นยะเยียบ แต่ใน
ยามนี ้ ภายใต้ความไม่แยแสของมัน นางสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ทาํ
ให้นางต้องสะท้านใจ
มันไม่ต่นื ตระหนก
“ทราบแล้ว!”
พวกมันโดดเด่นสะดุดตาเป็ นพิเศษ
เขิงเหลียนเอ๋อร์กล่าวเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่ชมชอบท่าทีเช่นนี”้
เห็นสองกองพันแยกตัวออกมาจากแถวทัพของกองโจรตระกูลหมิง พวก
มันถึงกัปตรวจตรากระบวนทัพของตนอีกครัง้ เพื่อให้แน่ใจว่าการบุก
ทะลวงของพวกมันจะเปล่งอานุภาพได้ถึงขีดสุด
“ฆ่า!”
“หัตถ์บลั ลังก์หมอก!”
มันยังมีไพ่ตายซ่อนไว้ในแขนเสือ้ อีกหรือไม่?
ตูม้ !
แม่ทัพบัญชาการศึกระดับทอง!
มี ค นไม่ น้ อ ยสัง เกตเห็น การโจมตี นี้ บรรดาปิ ศ าจที่ ชุ ม นุ ม กั น อยู่ที่นี่
ล้วนเป็นยอดยุทธ์ระดับสูงสุดแห่งเมืองมหาสันติ ผู้ใดจะไม่รู้ความ? แต่ไม่มี
ผู้ใดคาดคิดว่าจะเป็นเหมีย วจุน อดีต ยอดยุทธ์ล าดับที่ยี่สิบแห่ง ทาเนี ย บ
ปิศาจมหาสันติผู้นี้ ชั่วพริบตานั้นผู้คนในที่สุดค่อยฉุกคิดถึงการประลอง
เซี่ยวม่อเกอกับเหมียวจุน ครั้งนั้นผู้คนเพียงล่วงรู้ว่าเหมียวจุนพ่ายแพ้ต่อ
เซี่ยวม่อเกอหลายคนยังได้ชมดูการประลองครั้งนั้นด้วยตัวเอง แต่ไม่มีผู้ใด
คาดคิดว่าเหมียวจุน ไม่ เพียงเป็นยอดยุ ทธ์ ชั้นแนวหน้า แต่ยังเป็นแม่ ทั พ
บัญชาการศึกระดับทองอีกด้วย!
หลายคนมีสีหน้ามิสู้ดี ควรทราบว่าในยุคสมัยอันเป็นกลียุคดังเช่นใน
ยามนี้ แม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองผู้ห นึ่งมีค่ามากกว่ายอดยุทธ์ผู้หนึ่ง
มาก
หลายคนยั งมี สีหน้า ขบคิ ด ใคร่ ค รวญ พวกมั น ค้ น พบอย่างตื่นตะลึง
เซี่ยวม่อเกอไม่เพียงมียอดยุทธ์ที่ลึกล้าสุดหยั่งอยุ่ภายใต้ร่มธงของมัน ยังมี
แม่ทัพบัญชาการศึกที่ร้ายกาจอีกด้วย! บางคนยังตรึกตรองว่าที่แท้เซี่ยว
ม่อเกอล่วงรู้ว่าเหมียวจุนเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองแต่แรกแล้วใช่
หรือไม่?
Page 1 of 12
แต่ ใ นไม่ ช้ า การต่ อ สู้ อั น ดุ เ ดื อ ดที่ ก าลั ง ระเบิ ด ขึ้ น ก็ ท าให้ ผู้ ค นระงับ
ความพิศวงสงสัยของพวกมันเอาไว้ก่อน หันกลับไปเฝ้าดูส มรภูมิที่กาลัง
ปะทะเดือด
การต่ อ สู้ ที่ ก าลั ง ห้ า หั่ น กั น อย่ า งเดิ ม พั น ด้ ว ยชี วิ ต นี้ อาจเป็ น เครื่ อ ง
ตัดสินชะตาชีวิตของพวกมันด้วย
หัต ถ์บัล ลังก์หมอกของเยี่ยหลิงปกคลุมบริเวณใจกลางกระบวนทั พ
อย่างสมบูรณ์ เมื่อมีตัวอ่อนปิศาจช่วยหนุนเสริม เยี่ยหลิงในที่สุดสาเร็จวิชา
สั ง ขารปิ ศ าจที่ เ คยเฝ้ า ใฝ่ ฝั น มาชั่ ว ชี วิ ต หากค่ า ยฮุ ย ของมั น อยู่ ที่ นี่ ขี ด
ความสามารถในการรบของมันจะเหนือล้ากว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ยามนี้
มันได้แต่ทุ่มเทกาลังความสามารถที่มี กระทาในสิ่งที่มันพอทาได้เท่านั้น
ทว่าหมอกสีเทาของมันก็ยังคงปกปิดซ่อนเร้นบริเวณใจกลางกระบวน
ทัพได้อย่างดีเลิศ
รวมถึงตาแหน่งที่ซู่หลงและชาวค่ายเว่ยตั้งทัพมั่น
ค่ายเว่ยของซู่หลงในเวลานี้มีเพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้น ทว่าหนึ่งร้อย
คนนี้หลังจากบุกฝ่าแดนปิศาจมานานถึงเพียงนี้ ล่วนแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก
ซู่หลงเองก็ผ่านการหลอมรวมตัวอ่อนปิศาจเข้าไปภายในร่าง ส่วนพวกอา
เหวิ น หนานเยว่ แ ละคนอื่ น ๆ ซึ่ ง เป็ น สมาชิ ก แกนหลั ก ล้ ว นมี พ ลั ง ฝี มื อ
รุดหน้าอย่างก้าวกระโดด
รอจนซู่หลงตวาดคา ‘ฆ่า’ อย่างเหี้ยมเกรียม ทุกผู้คนก็กลับกลายเป็น
สัตว์ร้ายที่ซุ่มเงียบอยู่ภายในม่านหมอกสีเทา
Page 2 of 12
พลังโจมตีของศัตรู หลายสายพุ่งทาลายเข้าไปในม่านหมอกสีเทา แต่
ไม่ได้ก่อให้เกิดความปั่ นป่วนแม้แต่น้อย
ภายใต้หมอกสีเทา ค่ายเว่ยประดุจหลุมดามหาประลัยที่สามารถกลืน
กินทุกสรรพสิ่ง
แม่ ทั พ กองโจรตระกู ล หมิ ง สี ห น้ า หนั ก อึ้ ง ในเวลานี้ พ วกมั น มี ข้ อ
ได้เปรียบที่ขีดความสามารถในการบุกจู่โจม พวกมันไม่หวาดเกรงเซี่ยวม่อ
เกอกับคนอื่น ๆ จู่โจมตอบโต้ แต่พวกมันกริ่งเกรงว่าจะมีการซุ่มโจมตีและ
หลุมพรางกับดักอยู่ในม่านหมอก
คลื่นการโจมตีหลายระลอกถูกกลืนหายไปเงียบ ๆ อย่างน่าข้องใจ ไม่
บั ง เกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าตอบสนองอั น ใดแม้ แ ต่ น้ อ ย หมอกสี เ ทาอุ บ าทว์ บั ด ซบ
เหล่านี้ ทาให้ไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน
เหล่าถูลังเลใจอยู่บ้าง แต่ยังคงติดสันใจอย่างรวดเร็ว บุกทะลวง!
มั น มี ค วามเข้ า ใจในตั ว หมิ ง ฮุ ย เป็ น อย่ า งดี อย่ า ได้ เ ห็ น ว่ า หั ว หน้ า
กองโจรผู้นี้สั่งการอย่างปลอดโปร่งผ่อนคลาย แต่ในช่วงเวลาสาคัญเช่นนี้
หากมันไม่ลงแรงแข็งขันอย่างที่สุด หมิงฮุยอาจลงมือเชือดมันทิ้งทันทีโดย
ไม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
แต่เหล่าถูยังคงระมัดระวัง ไม่บุ่มบ่ามวู่วามเช่นเป้าซยงที่ตกตายอย่าง
น่าอนาถ มันเพียงสั่งการให้น ายกองผู้ห นึ่ง นาไพร่ พลปิ ศาจหนึ่ง ร้ อ ยคน
แยกออกาจากองพัน โถมเข้าไปลองหยั่งเชิงในม่านหมอกสีเทา
เหล่าถูดวงตาเย็นเยียบ แม้ว่าไพร่พลปิศาจหนึ่งร้อยคนนี้จะเป็นยอด
ฝีมือในหมู่ทหารใต้ร่มธงของมัน มันยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย
Page 3 of 12
มันเพ่งมองหมอกสีเทาตาไม่กะพริบ เฝ้ารอให้ทหารโจรของมัน กอง
นั้นบุกทะลวงเข้าไปในหมอกสีเทา
ไพร่พลที่เหลืออีกเก้าร้อยคนเฝ้ารอโดยไร้เสียง
ทหารปิศาจหนึ่งร้อยคนกู่คารามอย่างเกรี้ยวกราด บุกทะลวงเข้าไป
ในม่านหมอกเทาดุจคลุ้มคลั่ง พวกมันสีหน้าบิดเบี้ยวถมึงทึง ความสิ้นหวัง
ความบ้าคลั่งและความกระหายเลือดผสมปนเปอยู่ในดวงตาแดงฉานของ
พวกมัน
แม้เป็นเพียงการบุกทะลวงของผู้คนเพียงหนึ่งร้อย แต่อัดแน่นไปด้วย
บรรยากาศหนักหน่วงรุนแรง ชวนให้หายใจไม่ออก
หมอกสีเทายังคงเงียบงันอย่างน่าประหลาด
Page 4 of 12
พลั ง งานสี ฟ้ า สายหนึ่ง วาบผ่า นข้า งแก้ มของต้า หง ห่ า งเพี ย งอุ งคุลี
เดียว ทิ้งริ้วรอยโลหิตเล็ก ๆ สายหนึ่งไว้ให้ดูต่างหน้า ต้าหงสีหน้าดาทะมึน
ฝ่ายตรงข้ามยังร้ายกาจกว่าที่มันคาดการณ์เอาไว้มาก!
แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ระดั บ ทอง สมแล้ ว ที่ เ ป็ น แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก
ระดับทอง!
ฝีมือการรบของอีกฝ่ายมีความถนัดจัดเจนมากกกว่ามัน ครั้งแรกทั้ง
สองฝ่ายล้วนลงมือจู่โจมพร้อมกัน แต่ทว่าการจู่โจมระลอกที่สองของฝ่าย
ตรงข้ามกลับตามติดมารวดเร็วยิง่ เร็วเสียจนฝ่ายมันยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยา
ตอบโต้เสียด้วยซ้า เหล่าทหารโจรของมันไม่มีเวลากระทั่งจะหลบเลี่ยงหรือ
ต้านรับ ก่อนที่ปราณดาบอันเลิศพิสดารเหล่านั้นจะกระชากวิญญาณของ
พวกมันออกจากร่าง!
นอกจากบางคนที่มีวิชาทักษะปิศาจระดับสูง สามารถฝืนต้านรับการ
โจมตีเอาไว้ได้ ทหารโจรอื่น ๆ ล้วนตกตายคาที่
ขีดความสามารถในในฐานะแม่ ทั พบั ญ ชาการศึ กของฝ่ ายตรงข้ า ม
เหนือล้ากว่ามันมาก!
หมิงฮุยที่เฝ้ามองจากระยะไกลถึงกับแววตาไหววูบ คนเหล่านี้ต่อสู้
แข็งขืนอย่างทรหดยิ่งกว่าที่มันคาดเอาไว้มาก ทั้งยังแข็งแกร่งเหนือความ
คาดหมาย เหมียวจุนพอลงมือ เหล่าแม่ทัพนายกองของกองโจรตระกู ล
หมิงพากัน เย็นวูบไปถึงไขสันหลัง หมิงอวี่เวยสีห น้าเปลี่ยนเป็นเคร่ งขรึม
จริ ง จั ง พวกมั น ล้ ว นมี ค วามคิ ด ดุ จ เดี ย วกัน นั่ น คื อ เคราะห์ ดี ที่ ค นผู้นี้ไม่มี
กองทัพที่มีคนมากกว่านี้อยู่ในมือ!
Page 5 of 12
หากแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองผู้นี้มีกาลังทหารในมือสองสามพัน
คน ครั้งนี้กองโจรตระกูลหมิงของพวกมันอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่าง
สาหัสแล้ว
โชคดี โชคดี ทุกผู้คนล้วนมองเห็นถนัดชัดเจนว่าเหมียวจุนมีกาลังพล
เพียงเจ็ดร้อยกว่าคนเท่านั้น
แม้แต่สะใภ้ที่ชาญฉลาด หากไม่มีข้าวยังไม่สามารถปรุ งอาหารได้ ไม่
ว่าแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่หากไม่มีกอง
พันที่คุ้นมือ อานาจการคุกคามของมันก็เรียกได้ว่าน้อยเสียยิง่ กว่าน้อย
“กุ่ยซาน เจ้าไปช่วยต้าหง” หมิงอวี่เวยสั่งการโดยไม่รีรอลังเล
“รับคาสั่ง!” บุรุษหน้าเย็นผู้หนึ่งรับคา
ทุ ก ผู้ ค นถอนหายใจอย่า งโล่ง อก หมิ ง ฮุ ย ผงกศี รษะ สี ห น้ า สดใสขึ้น
เล็กน้อย พลางกล่าว “ต้าหงเป็นทัพหน้าที่ดี ความองอาจห้าวหาญของมัน
ไม่ ต้ อ งกล่ า วถึ ง แต่ ใ นฐานะแม่ ทั พ บั ญ ชาการ มั น ยั ง อ่ อ นด้ อ ยไปบ้ า ง
เผชิญหน้ากับยอดแม่ทัพระดับทอง มันย่อมเพลี่ยงพล้าเป็นธรรมดา”
บรรดาแม่ทัพนายกองพอฟัง สีหน้าค่อยผ่อนคลายลง
ฝีมือและลวดลายไม่จบไม่สิ้นของเซี่ยวม่อเกอ ทาเอาพวกมันหวาด
เกรงอยู่บ้าง ความเชื่อมั่นของพวกมันสั่นคลอนโดยไม่ทันรู้ตัว รอจนหมิง
ฮุยกล่าวประโยคนี้ พวกมันค่อยตระหนัก
ถูกต้อง ไม่ว่าผู้อ่ น
ื จะมีลวดลายอีกสักกี่ท่า ก็ไม่ได้มีกองพันชั้นยอดอยู่
ในมือ เมื่อมีเพียงแม่ทัพบัญชาการศึก แต่ไม่มีไพร่พลให้บัญชาการ มันก็ได้
แต่ดน
ิ้ รนโดยเปล่าประโยชน์
Page 6 of 12
“ใช่ ! ไม่ ว่ า พวกมั น จะมี ล วดลายอั น ใด ขอเพี ย งกองทั พ ของเราบุ ก
ทะลวงพร้อมกัน พวกมันมีแต่ต้องแหลกเป็นผุยผง!” แม่ทัพผู้หนึ่งคาราม
ทุกผู้คนมีสีหน้าโล่งใจ พากันพยักหน้าเห็นพ้อง
แต่แล้วในเวลานี้ เ อง พลันปรากฏเสีย งแผดร้ องโหยหวนดัง กึ ก ก้ อ ง
ออกมาจากม่านหมอกสีเทา ทุกผู้คนตัวแข็งทื่อ
อาศัยพลังของตนเพียงลาพัง หัตถ์บัลลังก์หมอกของเยี่ยหลิงไม่อาจ
ทานทนต่อการบุกทะลวงจากกองพันของเหล่าถู ล่มสลายลงในที่สุด ภาพ
ภายในม่านหมอกค่อยเผยออกมาต่อหน้าผู้คนทั้งหมด
ทว่ า ทุ ก ผู้ ค นพอเห็ น ฉากนั้ นชั ด ตา ไม่ ว่ า ผู้ ใ ดล้ ว นต้ อ งตกตะลึง พรึง
เพริด!
เห็นเศษแขนขาชิ้นส่วนร่างกายนับไม่ถ้วน กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
บริเวณใจกลางกระบวนทั พ กองกาลังของซู่ห ลงตั้งขบวนทัพค่ายกลอั น
แปลกพิสดารชนิดหนึ่ง ไม่ทราบปรากฏเสาที่สลักด้วยลวดลายประหลาด
ตั้งรายล้อมรอบกายพวกมันตั้งแต่เมื่อใด
เหล่าถูบุกเข่นฆ่าเข้าไปในค่ายกลราวกับเสียสติ แต่กระบวนทัพค่าย
กลซึ่งประกอบด้วยผู้คนเพียงหนึ่งร้อยกว่าคนประหนึ่งโม่หินบดเนื้อ ไม่ว่า
ทหารโจรบุกเข้าไปมากมายเท่าใด ล้วนถูกบดขยี้เป็นชิ้น ๆ ไม่ห ลงเหลือ
แม้แต่คนเดียว
Page 7 of 12
หมอกโลหิต ระเบิดพร่างพรม ดุจ ห่าฝนเลือดอาบชโลมพื้นอย่ า งไม่
ขาดสาย
บนพื้นภายใต้กระบวนทัพค่ายกลของซู่หลง โลหิตหลั่งไหลเนืองนอง
เป็นท้องธาร พื้นดินอาบย้อมด้วยสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดอบอวลไปทั่ว
พื้นดินปกคลุมไปด้วยเศษแขนขาชิ้นส่วนร่ างกาย บันดาลให้ส ถานที่ นั้ น
กลายเป็นแดนอเวจี!
ภาพตรงหน้าทาเอาเหล่าถูแทบเสียสติ มันโถมทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง
บุกตะลุยเข้าไปในกระบวนทัพค่ายกลของฝ่ายตรงข้ามราวกับไม่คิดมีชีวิต
อยู่อีกแล้ว!
เพียงแต่กระบวนทัพของศัต รู แกร่งกร้าวดุจ หินผา ไม่ส ะทกสะท้าน
แม้แต่น้อย
คราวนี้หมิงอวี่เวยสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างแท้จริง นางร้องอุทานดังลั่น
“กระบวนทัพโม่ปิศาจบดเนื้อ!”
นางนิ่งขึงตะลึงงัน สีหน้าท่าทีราวกับว่าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง นาง
ถึงกับอึ้งงันไปชั่วสามอึดใจเต็ม! แต่ส ตรีต ระกูล โจรนางนี้ห นักแน่นเยือก
เย็นเป็นพิเศษ ตั้งสติได้ในบัดดล ร้องตวาดสั่งการเสียงหนัก “เฮยหลาง เจ้า
ไปช่วยสนับสนุนเหล่าถูจากทางด้านข้าง!”
“ทราบแล้ว!” บุรุษสีหน้าเย็นชาผู้หนึ่งรับคา
หมิงอวี่เวยพลันขบกรามแน่น เงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน กล่าวอย่าง
แน่วแน่ว่า “พี่ใหญ่ เราสมควรบุกได้แล้ว!”
นางสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างแรงกล้า
Page 8 of 12
หมิงฮุยงงงันวูบ ยามนี้สถานการณ์ยังไม่แน่ชัด ลวดลายอันไม่รู้จักจบ
สิ้นของศัตรูแม้แต่ตัวมันเองยังรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาบ้างแล้ว เดิมมันตั้งใจให้
แม่ทัพนายกองของมันไปลองหยั่งเชิงกลยุทธ์ข องข้าศึก รอจนพิเคราะห์
สถานการณ์แน่ชัดแล้ว มันก็จ ะบุกจู่โจมทาลายในรวดเดียวดุจ ฟ้าร้องไม่
ทันอุดหู
แต่คนผู้นี้ข วัญ กล้าใจละเอียดอ่อน มันทราบว่าหากเม่ยเม่ยของมัน
เสนอเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลของนาง หมายความว่าจังหวะนี้เป็นช่วงเวลา
ส าคั ญ ที่ ผิ ด พลาดไม่ ไ ด้ ในด้ า นบั ญ ชาการศึ ก มั น ส านึ ก ตั ว ว่ า ไม่ มี ฝี มื อ
เทียบเท่าเม่ยเม่ยของมัน ดังนั้นมักจะกระทาตามคาเม่ยเม่ยของมันเสมอ
มา
เมื่อได้ยินข้อเสนอของเม่ยเม่ย หมิงฮุยดวงตาสาดประกายดุดัน เต็ม
ไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน มันผงกศีรษะรับโดยไม่ลังเล ร้องตวาดดึงกึกก้อง
“เตรียมตัวบุกโจมตี!”
ทุ ก ผู้ ค นสะท้ า นใจวู บ จากนั้ น แผดเสี ย งค ารามตอบรั บ อย่า งพร้อม
เพรียง!
ในเวลานี้ เ อง กองพั น เหมี ย วจุ น และซู่ ห ลงจู่ ๆ ปลดปล่ อ ยพลั ง อั น
เกรี้ยวกราดสุดเปรียบปานออกมา พลังทาลายล้างของพวกมันพุ่งทะยาน
ขึ้นไปอีกหลายระดับชั้น ภายในชั่วอึดใจเดียว พวกมันถึงกับเข่นฆ่าทัพหน้า
กองโจรตระกูลหมิงที่มีจานวนมากกว่าตนเองเป็นเท่าตัวจนพินาศสิ้น!
Page 9 of 12
เหล่าแม่ทัพกองโจรตระกูลหมิงตะลึงงัน สีหน้าเหลือเชื่อ ไม่ว่าอีกฝ่าย
จะมี ลู ก เล่ น ลวดลายมากมายเท่ า ใด ต่ อ ให้ ร้ า ยกาจกว่ า นี้ ก็ ไ ม่ ส มควรท า
เช่นนี้ได้!
หมิ ง อวี่ เ วยมี ป ฏิ กิ ริ ย าตอบสนองรวดเร็ ว ที่ สุ ด “ระวั ง พวกมั น คิ ด
หลบหนี!”
เป็นไปตามคานาง สองกองทัพที่ใจกลางกระบวนทัพ พอระเบิดพลัง
กวาดล้ า งทั พ หน้ า ของพวกเหล่ า ถู ห มดสิ้ น พวกมั น พลั น ละทิ้ ง ทุ ก สิ่ ง ทุ ก
อย่าง โถมทะยานเข้าปะปนไปกับพลเมืองปิศาจแห่งนครมหาสันติที่กาลัง
แตกฮือหลบหนี
พวกมันคิดอาศัยความวุ่นวายหลบหนีจากไป!
หมิงฮุยเผยอยิ้มเย็นเยียบ พลันตวาดอย่างเหี้ยมเกรียม “ฆ่า!”
กองโจรตระกูล หมิงตะโกนรั บค าดัง กึ กก้ องสะเทื อนฟ้ า ทั้งหมดเร่ ง
ความเร็ ว ไม่ ห ยุ ด ยั้ ง กอรปด้ ว ยสภาวะดุ จ อัส นีบ าตฟาดฟ้า พุ่ ง ดิ่ ง เข้ า หา
กลุ่มของเซี่ยวม่อเกอที่ปะปนในฝูงชน
หนึ่ ง หลบหนี ห นึ่ ง ไล่ ล่ า ล้ ว นรวดเร็ ว สุ ด เปรี ย บปาน หมิ ง ฮุ ย จิ ต
วิ ญ ญาณการต่ อ สู้ พ ลุ่ ง พล่ า นทะยานฟ้ า ในสายตามั น มองเห็ น แต่ เ พี ย ง
เซี่ยวม่อเกอ!
สายตาของมันจับแน่นอยู่ที่ ศาสตราอันมีรูปลักษณ์ดุจ กรงเล็บมังกร
บนแผ่นหลังของเซี่ยวม่อเกอ กรงเล็บพิฆาตมังกร! นับแต่วันนี้ไปกรงเล็บ
พิฆาตมังกรจะเป็นของมัน!
Page 10 of 12
พอครุ่ น คิ ด เช่ น นี้ ร่ า งกายมั น ก็ ร้ อ นวู บ สายตาลุ ก ไหม้ ด้ ว ยแรง
ปรารถนา
เซี่ยวม่อเกอกับพวกหลบหนีรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ พวกมนแทบจะ
บรรลุถึงคลื่นฝูงชนกลุ่มใหญ่ซึ่งหลบหนีไปตั้งแต่แรก
พวกมันคิดหลบหนี? ถามความเห็นของข้าแล้วหรือไม่?
รอยยิ้มลี้ลับเย็นชาจุดขึ้นที่ริมฝีปากของหมิงฮุย มันคล้ายไม่เห็นฝูง
ชนที่ ป ระหวั่ น ลนลานระหว่ า งทางอยู่ ใ นสายตา ดวงตามั น เพี ย งจั บ จ้ อง
เซี่ยวม่อเกอตาไม่กะพริบ! กองโจรตระกูลหมิงทั้งมวลก็ไม่แยแสสนใจฝูง
ชนที่พวกมันโถมทะยานผ่านเช่นกัน
ในไม่ช้าพวกเซี่ยวม่อเกอก็ค่อย ๆ เชื่องช้าลงตามระดับความเร็วของ
เหล่ากงจู่ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุด ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายร่นใกล้
เข้ามาอย่างรวดเร็ว
กองโจรตระกู ล หมิ ง ฉวยโอกาสจากสภาวะท าลายล้ า งที่ ไ ม่ มี สิ่ ง ใด
สามารถขวางกั้นได้ ควบตะบึงเข้าหาเซี่ยวม่อเกอกับพวกโดยไม่สนใจสิ่ง
อื่นใดทั้งหมด
แม่ทัพนายกองทัพโจรแต่ละคนทุ่มเทเรี่ยวแรงกาลังสุดฝีมือ ดวงตา
ร้อนเร่าด้วยความตื่นเต้นเร้าใจและจิตวิญญาณการต่อสู้ ศาสตรามารใน
มือผนึกกาลังทั่วร่าง เฝ้ารอจังหวะเวลาที่จะจู่โจมออกไป รอจนประชิดใกล้
เข้าไปมากพอ การโจมตีของพวกมันจะถล่มใส่เซี่ยวม่อเกอกับพวกโดยไม่
ออมรั้งยั้งมือ
ภายใต้การจู่โจมสุดกาลังของทั้งกองทัพ ไม่มีผู้ใดจะหลุดรอดไปได้!
Page 11 of 12
ในที่สุดพวกเซี่ยวม่อเกอก็เข้าสู้ระยะโจมตีของพวกมัน แต่หมิงฮุยยัง
ไม่ออกคาสั่งให้จู่โจมทันที มันเลียริมฝีปากดุจสุนัขป่าเจ้าเล่ห์ เฝ้ารอโอกาส
โจมตีปลิดชีวิตในคราวเดียว
อีกเล็กน้อย ขอเพียงใกล้เข้าไปอีกสักเล็กน้อย การโจมตีของพวกมัน
จะครอบคลุมใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างสมบูรณ์!
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นปรากฏเจตจ านงสังหารสุดยะเยียบอัน กว้ า ง
ใหญ่ไพศาลพวยพุ่งขึ้นจากพื้นอย่างฉับพลัน ประหนึ่งลมหิมะหนาวเยือก
ครอบคลุมใส่กองโจรตระกูลหมิงอย่างเร่งร้อน!
คลื่นเจตนาฆ่าฟันนี้จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้าแม้แต่
น้ อ ย มิ ห น าซ้ า ยั ง เป็ น เจตจ านงสั งหารที่ เ ย็ นเยี ย บถึง ที่ สุด เย็ น เยี ย บเสี ย
จนถึงขั้นที่ว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว เหล่าโจรตระกูล หมิงพลันค้นพบว่ามี
ชัน
้ น้าแข็งชัน
้ หนึ่งปรากฏขึ้นบนร่างของพวกมัน
ศัตรูซุ่มโจมตี!
หมิงฮุยศีรษะลั่นอึงอล
“ฆ่า!” สุ้มเสียงยะเยียบเย็นชาดังกังวาน คล้ายเปี่ ยมล้นไปด้วยพลัง
อันแปลกประหลาด ทุกผู้คนสะท้านใจวูบ
สุ้มเสียงยังไม่ทันจะขาดหาย เจตจานงฆ่าฟันที่คล้ายไม่ยอมสยบต่อ
ผู้ใดพลันทะลักทลายออกมาดุจ ภูเขาไฟระเบิด พลุ่งขึ้นหาพวกมันอย่าง
เกรี้ยวกราด
ฉากที่ อุ บั ติ ขึ้ น ต่ อ จากนั้ น บั น ดาลให้ ข วั ญ วิ ญ ญาณของพวกมั น สั่ น
สะท้านจนแทบกระเจิดกระเจิงออกจากร่าง!
Page 12 of 12
บทที่ 635 ดาบอับโชคที่หลุดออกจากฝัก
เห็นเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วนโถมออกมาจากฝูงชนที่แตกตื่นลนลาน
จั ด ขบวนเรี ย งรายอยู่ ด้ า นล่ า งของทั พ โจรตระกู ล หมิ ง พอดี ภายในชั่ ว
พริบตาเดียว เงาร่างดาทะมึนก็ปกคลุมท้องนภา
เงาดาเหล่านั้นรวดเร็วสุดบรรยาย เสียงแหวกฝ่าอากาศของพวกมัน
แหลมคมดุจคมดาบฟาดฟัน กังวานลึกกึกก้องเป็นระลอก เปี่ ยมล้นไปด้วย
พลังอันน่าแตกตื่นสะท้านใจ
ผู้ ค นที่ ไ ด้ ยิ น เสี ย งนี้ ล้ ว นสี ห น้ า แปรเปลี่ ย นอย่ า งรุ น แรง ถึ ง กั บ หนั ง
ศีรษะชาซ่าน
แต่ ก่ อ นที่ พ วกมั น จะทั น ใด้ มี ป ฏิ กิ ริ ย าตอบสนอง คลื่ นพลั ง มหึ ม าที่
ผนึกรวมรั้งอย่างเข้มข้นพลันกระแทกใส่กลางแถวทัพกองโจรตระกูลหมิง
อย่างถนัดถนี่
ตูม!
คลื่ นแรงปะทะอั น เกรี้ ย วกราดท าให้ ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า งในสายตาดู บิ ด
เบี้ยว
กระบวนทัพที่อยู่ต รงกลางกองโจรตระกูล หมิง กระทั่งเวลาจะกรี ด
ร้ อ งยั ง ไม่ มี คลื่ นกระแทกอั น บ้ า คลั่ ง ซั ด ผ่ า น ร่ า งของพวกมั น ถู ก บดขยี้
แหลกลาญภายใต้ ค ลื่ นการโจมตี นี้ สลายหายไปด้ ว ยระดั บ ความเร็ ว ที่
มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กระทั่งสังขารปิศาจอันทรงพลังของกองโจรหมิง
ยังแหลกเป็นจุณ ประหนึ่งมนุษย์หิมะต้องแสงแดดอันแผดเผา
หมิงอวี่เวยหน้าเขียวคล้า กองทัพ! พวกมั นถูกกองทัพซุ่มโจมตี! ศัตรู
ถึงกับซุกซ่อนกองทัพที่แท้จริงขบวนหนึ่งเอาไว้!
อย่างไรก็ตาม กองโจรตระกูลหมิงห้าวหาญชาญศึก มีประสบการณ์
โชกโชน ดุ ร้ า ยกระหายเลื อ ดเป็ น ชี วิ ต จิ ต ใจ แม้ ว่ า การปรากฏตั ว อย่ า ง
กะทันหันของกองทัพขบวนหนึ่งจะทาให้พวกมันประหลาดใจ แต่หลังจาก
แตกตื่ นลนลานเพี ย งชั่ ว วู บ พวกมั น พลั น สงบใจลงทั น ควั น กองโจร
ตระกูล หมิงที่ประชิดใกล้กลุ่มคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เร่งโถมทะยานต่อไป
อย่างไม่ลังเล กาลังอีกส่วนหนึ่งแบ่งออกมาหยุดยั้งกองทัพที่เพิ่งปรากฏตัว
ขอเพียงพัวพันกองทัพนี้เอาไว้ชั่วครู่ เมื่อกองทัพนี้ถูกหยุดไว้ที่นี่ย่อมไม่มี
ทางหนีรอดไปได้!
ไม่ว่ามองจากมุมใด การตอบสนองต่อเหตุเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
ของกองโจรตระกูล หมิง เรียกได้ว่าน่าชมเชย ไม่มีข้อบกพร่องใดให้ค่อน
แคะตาหนิ หลังจากถูกซุ่มจู่โจมยังสามารถตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วและหมด
จดถึงเพียงนี้ได้ มีเพียงยอดทหารปิศาจที่เปี่ ยมล้ นไปด้วยประสบการณ์สู้
รบเท่านั้น จึงสามารถกระทาเรื่องเช่นนี้
แต่ มี สิ่ ง หนึ่ งที่ พ วกมั นร้ อยคิ ดพั นค านวณยั งคาดคิ ดไปไม่ถึง นั่ น คือ
พวกมันประเมินความร้ายกาจของกองพันที่ไม่รู้จักนี้ผิดพลาดไป!
มิหน้าซ้าพวกมันยังประเมินความแกร่งกร้าวเกรียงไกรของเปี๋ ยหาน
ผู้นาทัพกองพันบาปเคราะห์ต่าเตี้ยเกินไปมาก!
เปี๋ ยหานใบหน้ายะเยีย บเย็น ชา แต่ดวงตาเร่า ร้อ นด้ วยจิต วิ ญ ญาณ
การต่อสู้ สองข้างแก้มปรากฏรอยแดงซ่านจาง ๆ มันเฝ้ารอคอยศึกนี้ม า
เนิน
่ นานเกินไปแล้ว!
นับตั้งแต่ที่มันร่าเรียนวิ ช าแม่ทั พบั ญ ชาการศึก มันก็เฝ้ารอศึก นี้ ม า
โดยตลอด นับแต่ชั่วพริบตาที่มัน บั ญชาการกองพันบาปเคราะห์ นับแต่
ช่วงเวลาที่มันถูกคุมขังอยู่บนเขาเสวียนคง นับตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่มันหวน
คืนมายังแดนปิศาจ นับตั้งแต่ตอนที่มันไม่มีที่จะไป ยังคงดิ้นรนค้นหาที่พัก
พิง เจียงเจ๋อ ซึ่งผู้คนกล่าวกันว่าเป็นคู่แข่งที่ทัดเทียมกับมัน กลับพิชิต ไป
โดยไร้ผู้ต้าน ดึงดูดทุกสายตาจากทั่วสามภพให้มองมายังตน เจียงเจ๋อ ดู
เหมือนจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ศักดิ์ฐานะยอดแม่ทัพชั้นนาแห่งสวรรค์สี่ดินแดน
ทว่าตัวเปี๋ ยหานเองกลับตกระกาลาบาก เส้นทางของมันเต็มไปด้วยความ
อับโชค ความพ่ายแพ้และวกวนหลงทาง ไม่ว่าไปยังที่ใดล้วนต้องเผชิ ญ
อุปสรรคขวากหนาม หลังจากผจญความยากลาบากเลือดตาแทบกระเด็น
มันยังไม่เคยแม้แต่ทาศึกครั้งแรก!
มันเฝ้ารอมายาวนานเกินไปแล้ว!
ขวานใหญ่ ใ นมื อของมั นหิว กระหาย ดาบอั น อั บ โชคเปล่ ง เสียงคร่า
ครวญหวนไห้ โศกเศร้าคับแค้น ดังระงมออกมาจากในฝัก
ศึกครั้งนี้จะระบือลือลั่นไปทั่วสามภพ! แสงเรืองรองแห่งยอดแม่ทัพผู้
กล้าแกร่งจะสาดส่องไปทั่วทั้งโลกหล้า!
ในดวงตาเย็นยะเยียบของเปี๋ ยหาน สาดส่องด้วยประกายชนิดหนึ่ง ที่
เรียกขานว่าความเชื่อมัน
่
ซิวเจ่อมีฝีมือมากที่สุดในการ ‘หยั่งคานวณ’ ซึ่งความจริงเพียงถ้อยคา
สั้น ๆ แต่แฝงไว้ด้วยแนวคิดหลักความจริงอันกว้างไพศาล ครอบคลุมถึง
การพิ เ คราะห์ หยั่ ง ค านวณพฤติ ก ารณ์ ข องศั ต รู ค้ น หาและฉกฉวยใช้
ประโยชน์จากจุดอ่อนในกระบวนทัพของศัตรู วิธี สาแดงพลังของกองทัพ
ฝ่ายตนออกมาได้อย่างสุดขีดความสามารถ เหล่านี้ล้วนเป็นหลักพื้นฐานที่
แม่ทัพบัญชาการศึกซิวเจ่อทุกคนจะต้องร่าเรียน เปี๋ ยหานผู้ร่าเรียนวิธีการ
ทาศึกของซิวเจ่อตั้งแต่ยังเยาว์วัยจนเจนจบ มีฝีมือในเรื่องนี้อย่างที่ยากจะ
หาผู้ใดเสมอเหมือน
แต่แบบฉบับการบัญชาการกองทัพของเปี๋ ยหานผิดแผกแตกต่างจาก
เจียงเจ๋อผู้เป็นศิษย์ร่วมสานักอย่างสิ้นเชิง เจียงเจ๋อพอเหมาะพอดีในทุก
ด้าน ละเอียดรอบคอบ แทบไม่เคยเผยจุดอ่อนออกมา ส่วนเปี๋ ยหาน เมื่อ
มันมายังภูเขาเสวียนคง ทุกผู้คนที่พบเห็นมันล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
“ดาบเล่มนี้อัปมงคลยิ่ง!”
แบบฉบับการบัญชาการของมันดุดันรุ นแรง ประกอบกับนิสัยใจคอ
ยะเยียบเย็นชาของมัน มันสามารถทาทุกอย่างเพื่อชัยชนะ ไม่เว้นแม้แต่
การเสียสละกองทัพของตน มันเป็นตัวตนที่ผู้คนต้องระมัดระวัง
ความผิ ด พลาดเช่ น การประเมิ น ความสามารถของคู่ ต่ อ สู้ ผิ ด ไป
นับเป็นโอกาสที่ ดีเยี่ยมส าหรับแม่ทัพบัญชาการศึกระดับเปี๋ ยหาน นี่เป็น
ข้อผิดพลาดที่เพียงพอให้มันพลิกสถานการณ์!
จนกระทั่งถึงบัดนี้ กองโจรตระกูลหมิงยังคงไม่เข้าใจระดับฝีมือของ
แม่ทัพบัญญชาการศึกที่พวกมันกาลังเผชิญ รวมถึงความสามารถของกอง
พันที่มีช่ อ
ื สะท้านไปทั่วหล้าขบวนนี้
ในขณะที่หน่วยทัพ บริเวณส่วนกลางของกองโจรตระกูลหมิงเพิ่งจัด
กระบวนเตรียมบุกทะลวงจู่โจม การโจมตีครั้งใหม่ของกองพันบาปเคราะห์
ก็บรรลุถึงตรงหน้าของพวกมันแล้ว
ภายในมือของเปี๋ ยหาน กองพันบาปเคราะห์ซึ่งถูกจั่วม่อยกระดับพลัง
ขึ้ น มาอี ก ขั้ น ทรงพลั ง อ านาจดุ จ เทพปิ ศ าจมารร้ า ย พวกมั น เคลื่ อนไหว
เหมือนเงาผี แต่ละการโจมตีของพวกมันหนักหน่วงดุจกระบี่ยักษ์ ไพร่พล
กองพั น บาปเคราะห์ ห ลายร้ อ ยตนร่ า งวู บ ไหวตั ด ไขว้ ไ ปมาด้ ว ยรู ป แบบ
ประสานอั น พิ ส ดารล้า ฉากเหตุ ก ารณ์ อั น แปลกประหลาดเหนื อคาดคิด
พลันอุบัติขึ้น! กองโจรตระกูล หมิง ที่ต ระเตรี ยมจะบุก ทะลวงเข้ ามา จู่ ๆ
ดวงตาถลึงกว้าง บนร่างกายของพวกมันปรากฏเส้นโลหิตพาดผ่านดุจตา
ข่าย ราวกับว่าพวกมันถูกเส้นใยอันคมกริบนับไม่ถ้วนเชือดเฉือนผ่านร่าง
เช้ง!
โลหิต ฉีดพ่นออกมาจากเส้นริ้ ว รอยโลหิต เหล่า นั้น กลายเป็ นหมอก
โลหิ ต กระจายคลุ้ ง กลางอากาศ ทหารโจรตระกู ล หมิ ง เหล่ า นี้ ร่ า งแยก
กระจายเป็ น เจ็ ด แปดส่ ว น รอยตั ด และบาดแผลทุ ก แห่ ง ราบเรี ย บดุ จ ผิว
กระจก!
ต่อหน้าภาพอันอัศจรรย์พันลึกเช่นนี้ กระทั่งกองโจรที่ดุร้ายอามหิต
ดังเช่นกองโจรตระกูลหมิงยังตกตะลึงพรึงเพริด ชั่วพริบตานี้พากัน เหม่อ
มองเหมือนคนไร้วิญญาณ
เปี๋ ยหานไม่ ส ะทกสะท้ า น ใบหน้ า ไม่ แ ปรเปลี่ ยนแม้ แ ต่น้ อย มี เ พี ย ง
ดวงตาที่ยิ่งมายิ่งแหลมคมดุจคมดาบ เบื้องหน้ามันไม่มีสิ่งใดขวางรั้งได้ สิ่ง
กี ด ขวางทั้ ง หมดล้ ว นถู ก กวาดหายไป แนวหลั ง ที่ โ ล่ ง โจ้ ง ของกองโจร
ตระกูลหมิงเผยออกมาต่อหน้าสายตาของมัน
ยามบรรยายอาจยาวนาน แต่ท้ังหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในเวลาชั่วกะพริบ
ตาเดียว
ก่อนที่แขนขาชิ้นส่วนร่างกายและหมอกโลหิตจะทันได้ตกกระทบพื้น
ก่อนที่กองโจรจะทัน มีปฏิกิริยาตอบสนองและลงมือตอบโต้ กระบวนทัพ
บุ ก ทะลวงที่ ต ระเตรี ย มมาอย่ า งยาวนานพลั น ทะลวงเข้ า กลางกองทั พ
กองโจรอย่างหักโหม!
กองโจรตระกูลหมิงที่อยู่ใกล้กับกองพันบาปเคราะห์มากที่สุดหันหลัง
หลบหนี ไม่ คิ ด ชี วิ ต ใบหน้ า ของพวกมั นเต็มไปด้ ว ยความหวาดหวั่นพรั่น
พรึงและความสิ้นหวัง
ตูม!
ราวกั บ มี ด คมกริ บ ช าแหละเนื้อ สด ๆ กองพั น บาปเคราะห์ ไ ม่ ว่ าบุก
ผ่านไปยังที่ใด เลือดเนื้อกระเซ็นซ่าน เศษกระดูกปลิวลิ่วไปทุกทิศทาง
กองพันบาปเคราะห์ ยัง คงฝึก ปรื อ ทักษะปิ ศาจไม่ เคยขาด ต่อมายั ง
ได้รับการปรับเปลี่ยนอาคมหวงห้ามบนร่างของพวกมัน เป็นเหตุให้พลัง
ทักษะปิศาจของพวกมันทวีความกล้าแข็งขึ้นอย่างมาก หลังจากที่จ่ัวม่อ
สลั ก แผนผั ง ปิ ศ าจชุ ด ใหม่ อั น สมบู ร ณ์ พ ร้ อ มให้ แ ก่ พ วกมั น กองพั น สั ต ว์
ประหลาดที่จิตวิญญาณไม่สมบูรณ์นี้ ยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพัน
ทวี!
พวกมันบรรลุถึงระดับความเร็วอันน่าแตกตื่นสะท้านใจ ท่าร่างลี้ลับ
ยากจะคาดเดา พวกมันพอโจมตีเต็มไปด้วยพลานุ ภาพกร้าวแกร่งเกรียง
ไกรไร้ผู้ต้าน ทั้งยังลึกล้าสุดหยั่งคาด
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุด คือพวกมันไม่มีอารมณ์ค วามรู้สึ ก และ
ความกลัวแม้สักส่วนเสี้ยว พวกมันจะปฏิบัติตามคาสั่งของเปี๋ ยหานอย่าง
ตั้งอกตั้งใจและสัตย์ซ่ อ
ื กระทั่งการโจมตีของศัตรูตกกระทบร่าง พวกมันยัง
คล้ายไม่รู้สึกตัว บางครั้งพวกมันไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยงเสียด้วยซ้า กองพัน
บาปเคราะห์ไม่ต่างอันใดจากสัตว์ประหลาดขบวนหนึ่ง
แม้แต่กองโจรตระกูลหมิงที่มากประสบการณ์ ยังไม่เคยพบเห็นการ
บุกทะลวงอันกร้าวแกร่งเกรียงไกรถึงเพียงนี้มาก่อน!
กองโจรที่อยู่แถวหน้าสุดพากันแตกตื่นลนลาน พวกมันพยายามโถม
ทะยานไปข้างหน้า หลบหนีจากคลื่นทะลวงที่บุกเข่นฆ่ามาจากเบื้องหลัง
ชองพวกมัน ทหารโจรตระกูลหมิงที่เฉลียฉลาดกว่าเร่งเร้าพลังทั่วร่าง ดีด
กายพุ่งออกไปทิศทางด้านข้างแทน กองโจรตระกูลหมิงไม่ว่ากระบวนทัพ
อันใดล้วนล่มสลายลงในชั่วพริบตานี้เอง
กองพันบาปเคราะห์บุกทะลวงไปโดยไม่มีผู้ใดต้านติด เลือดเนื้อพร่าง
พรมชโลมท้ อ งนภา ต่ อ หน้ า พลั ง อั นยิ่ ง ใหญ่ ไ พศาลที่ ก่ อ เกิ ด จากการบุก
ทะลวงของกองทั พ พลั ง อ านาจของคนผู้ห นึ่ งไร้ คุ ณ ค่ า ความหมาย เล็ ก
กระจ้อยร้อยไม่ต่างจากมดปลวก เพียงแค่เฉียดผ่านเบา ๆ ก็รุนแรงพอที่จะ
เชื อ ดเนื้ อหั ก กระดู ก กระแทกท าร้ า ยผู้ ค นปลิ ว ลิ่ ว ดุ จ ว่ า วสายป่ า นขาด
กระดูกทั่วร่างแตกละเอียด พวกมันวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างก่ อนที่
จะตกถึงพื้นเสียอีก
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว!
กองโจรตระกู ล หมิ ง ที่ ด้ า นหลั ง สุ ด ยั ง คงบุ ก ทะลวงไปตามสภาวะ
ส่วนกลางกระบวนทัพแยกย้ายหลบหนีไปสองฟากข้าง ภายในชั่วกะพริบ
ตา กองโจรตระกูลหมิงที่อยู่ใกล้กับกองพันบาปเคราะห์ที่สุดถูกบดขยี้แตก
พ่าย โลหิตหลั่งเนืองนองเป็นท้องธาร
เหตุเปลี่ยนแปลงนี้อุบัติขึ้นเร็วเกินไป รวดเร็วเสียจนคนส่วนใหญ่ยัง
ไม่ทันตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
การซุ่มโจมตีอันบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ กระทั่งกองโจรตระกูล หมิง ยั ง ตก
ตะลึงพรึงเพริด
พวกมั น เหม่ อ มองกองพั น บาปเคราะห์ ไ ล่ เ ข่ น ฆ่ า สั ง หารทหารโจร
ตระกูลหมิงที่แตกฮือหลบหนี เหล่าปิศาจแห่งกองพันบาปเคราะห์ไ ม่เ คย
ลงมือเพียงลาพัง พวกมันอาละวาดฟาดฟันไปรอบ ๆ อย่างมีรูปแบบ ราว
กั บ ว่ า พวกมั น ก าลั ง ถั ก ทอเป็ น ตาข่ า ยขนาดมหึ ม าผื น หนึ่ ง ทหารโจร
ตระกูล หมิงที่ต กอยู่ภายในตาข่ายไม่ว่าดิ้นรนขัดขืนสักเท่าใด ล้วนถูกตา
ข่ายอันคมกล้านี้สับร่างเป็นชิ้น ๆ ในบัดดล
กองพันบาปเคราะห์เก็บเกี่ยวชีวิต ผู้คนอย่างเย็นชา แขนขาอวัยวะ
ปลิวกระเด็นทุกแห่งหน โลหิตฉีดพ่นย้อมท้องฟ้าจนแดงฉาน
ฉากการฆ่าฟันที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตนี้น่าสยดสยองสุดทนดู กระทั่ง
กองโจรตระกูลหมิงที่โหดเหี้ยมอามหิตยังไม่อาจระงับความสะอิดสะเอียด
ของพวกมันได้ หลายคนเริ่มขยักขย้อนเป็นการใหญ่
หมิงฮุยสีห น้าเขียวคล้า เหม่อมองภาพตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ เมื่อ
ไม่กี่อึดใจที่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในกามือของมัน กรงเล็บพิฆาตมังกร
กาลังจะตกเป็นของมัน แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว กองโจรตระกูล หมิง อัน
เกรียงไกรกลับล้มตายไปมากกว่าครึ่ง
ดวงตาของมันว่างเปล่าเลื่อนลอย กองทั พโจรที่ยังหลงเหลือถูกกลิ่น
อายเย็นเยียบข่มขู่จนขวัญหนีดีฝ่อ ล่าถอยไปร้อยกว่าจั้งโดยไม่รู้ตัว!
ไฉนเป็นเช่นนี้?
หมิ ง อวี่ เ วยใบหน้ า ซี ด ขาวเหมื อ นคนตาย ดวงตาเต็ ม ไปด้ ว ยความ
ประหวั่นพรั่นพรึง กล่าวเสียงสั่นสะท้าน “พี่ใหญ่ คนผู้นี้...เราไม่ส ามารถ
เอาชนะได้!”
ไม่สามารถเอาชนะได้?
สีหน้าเลื่อนลอยของหมิงฮุยแปรเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งในบัดดล มันตวาด
อย่างเดือดดาล “ไม่สามารถเอาชนะได้! ไม่สามารถเอาชนะได้หมายความ
ว่าอย่างไร! พวกเราคือกองโจรตระกูลหมิง! เราคือกองโจรตระกูลหมิงที่ไร้
ผู้ต้าน! เม่ยเม่ย! ข้าเชื่อในความสามารถของเจ้า... ...”
“พี่ใหญ่ ไม่มีประโยชน์” หมิงอวี่เวยสุ้มเสียงยังคงสั่นสะท้านเล็กน้อย
แต่สีหน้าฟื้นคืนความสงบอย่างรวดเร็ว นางสั่นศีรษะพลางกล่าวอย่างเคร่ง
ขรึ ม “ข้ า มิ ใ ช่ คู่ มื อ ของมั น นั บ ตั้ ง แต่ เ ปิ ด ฉากการซุ่ ม โจมตี มั น ล้ ว นคาด
คานวณสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเอาไว้ล่ว งหน้ า ท่ามกลางสถานการณ์ สั บ สน
วุ่นวาย มันยังคงปลอดโปร่งถึงเพียงนั้น ช่างน่าสะพรึงกลัวนัก ข้าสานึกตัว
ว่ามิใช่คู่มือของมัน ยิ่งไปกว่านั้น กองพันนี้ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก
คนผู้นี้สามารยกขึ้นเทียบกับเหล่าแม่ทัพที่มีช่ อ
ื เสียงเหล่านั้นได้”
“เม่ยเม่ยเจ้ามีฝีมือยิง่ กว่าแม่ทัพที่มีช่ อ
ื เสียง... ...”
“พี่ใหญ่ มันอาจสามารถเข้าสู่หอเกียรติยศ!”
เสียงสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บดังระงม เหล่าแม่ทัพนายกองรอบ
กายแต่ละคนมีสีหน้าตื่นตระหนกสุดระงับ
หอเกียรติยศ!
แดนปิศาจแม้ไม่ใหญ่โตเท่าภพเซียนของซิวเจ่อ แต่ยังคงกว้างใหญ่
ไพศาลมาก ทั่ ว ทั้ ง ดิ น แดนร้ อ ยโหดและดิ น แดนแห่ ง ความมื ด มี แ ม่ ทั พ
บัญชาการศึกมามายดุจดวงดาวบนท้องฟ้า นับ เป็นจานวนไม่ถ้วน แต่ยังมี
สถานที่อันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ข องเหล่าแม่ทัพบัญชาการศึกเผ่าปิศาจทั้ ง
มวล นั่นคือหอเกียรติยศ
หอเกี ย รติ ย ศเปิ ด ต้ อ นรั บ ผู้ ม าเยื อ นทุ ก รู ปนาม มี ผู้ ค นมากมาย
หลั่งไหลมาเยือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เคยขาด หอเกียรติยศฟังดูยิ่งใหญ่
แต่อันที่จริงไม่ได้ใหญ่โต มันเป็นเพียงหอศิลาเล็กที่มีพ้ น
ื ที่เพียงไม่กี่สิบหมู่
หอเกียรติยศเก็บบันทึกแม่ทัพบัญชาการศึกในอดีตทุก คนที่สามารถ
ระบุ ตั ว ตน ก่ อ ตั้ ง ขึ้ น โดยเหล่ า นั ก ประวั ติ ศ าสตร์ แรกเดิ ม เดิ ม ที ไ ม่ ไ ด้ มี
ชื่อเสียงอันใด พวกมันเพียงสลักนามของยอดแม่ทัพบัญชาการศึกที่กล้า
แกร่งเกรียงไกรที่สุดของทุกยุคสมัยไว้ภายในหอเกียรติยศ สิ่งที่ทาให้ห อ
เกี ย รติ ย ศเริ่ ม มี ช่ ื อ เสี ย งอย่ า งแท้ จ ริ ง คื อ การท านายผลลั พ ธ์ข องการศึก
หลายต่อหลายครั้ง ล้วนถูกต้องแม่นยาเหมือนดั่งคาคาดการณ์ กาลเวลา
ล่วงผ่านไม่หยุดยั้ง แต่เจ้าหอเกียรติยศแต่ละรุ่นก็ยังคงไว้ซึ่งความยุติธรรม
นามที่ ส ามารถสลั ก ลงไปในหอเกี ย รติ ย ศล้ ว นผ่ า นการเลื อ กเฟ้ น อย่ า ง
เคร่งครัดกวดขัน พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นยอดแม่ทัพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ใน
ฐานะแม่ทัพบัญชาการศึกที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยของพวกมัน
เมื่อเวลาผ่านไปนับพันปี หอเกียรติยศกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของแม่
ทัพบัญชาการศึกเผ่าปิศาจ แม่ทัพหลายคนนับตั้งแต่วันที่เริ่มฝึกฝนการ
เป็นทัพบัญชาการศึก ล้วนใฝ่ฝันถึงว่าวันหนึ่งนามของพวกมันจะได้รับการ
จารึกไว้ในหอเกียรติยศ
นี่แสดงถึงความสาเร็จและเกียรติยศที่ไม่มีผู้ใดเทียบ!
ดังนั้นวาจาของหมิงอวี่เวยก่อให้เกิดความแตกตื่นตะลึงลานเพียงใด
ย่อมเป็นที่คาดคานวณได้ นามสุดท้ายที่ถูกจารึกลงไปในหอเกีย รติ ย ศก็
ยี่สิบปีล่วงมาแล้ว หมิงอวี่เวยกลับกล่าวว่าแม่ทัพของศัตรู ผู้นี้มีโอกาสที่จะ
เข้าสู่หอเกียรติยศ จะไม่ให้พวกมันแตกตื่นตระหนกได้อย่างไร?
แต่ พ ว ก มั น รู้ จั ก คุ้ น เ ค ย กั บ ห มิ ง อ วี่ เ ว ย เ ป็ น อ ย่ า ง ดี น า ง ฉ ล า ด
ปราดเปรื่องเจ้าแผนการ นางเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกที่แข็งแกร่งที่สุดใน
กองโจรตระกูลหมิง วาจาของนางอาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่คนกว่าครึ่งเชื่อถือ
นางโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
หมิงฮุยเหม่มองใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของผู้เป็นเม่ยเม่ยอย่างโง่ งม
ความเดือดดาลบนใบหน้ามันเลือนหายไปตั้งแต่แรกโดยไม่ทันได้รู้สึกตัว
ทันใดนั้นมันยกมือขึ้น กระหน่าตบหน้าตัวเองแรง ๆ หลายครั้ง
“พี่ใหญ่!” หมิงอวี่เวยถูกพฤติการณ์ข องหมิงฮุยข่มขู่จ นอกสั่นขวัญ
หาย เหล่าแม่ทัพนายกองล้วนหน้าเผือดสี
หมิงฮุยตบตัวเองอย่างหนักหน่วงรุ นแรงยิ่ง ตบจนใบหน้าของมันเต็ม
ไปด้วยรอยมือแดงฉาน สายตาของมันกลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็นอีกครั้ง
มันจ้องมองการสังหารหมู่ที่ยังคงดาเนินอยู่ในระยะไกล พลางกล่าวเสียง
หนัก “ข้าหมิงฮุย จะจดจาความอัปยศในครั้งนี้! เม่ยเม่ยอย่าได้ท้อแท้ มัน
สามารถก้ า วเข้ า สู่ ห อเกี ย รติ ย ศแล้ ว จะเป็ น ไร? นั บ ตั้ ง แต่ ข้ า ยั ง เด็ ก ข้ า ก็
เชื่อมั่นว่าเม่ยเม่ยของข้าต้องสามารถเข้าสู่หอเกียรติยศอย่างแน่นอน! ข้า
เชื่อมั่นในตัวเจ้า!”
อวี่อวี่เวยกัดริมฝีปาก น้าตาเอ่อคลอในดวงตาคู่งาม สองมือกาแน่น
โดยไม่รู้ตัว
บทที่ 636 กะทันหัน
“การศึกในวันนี้ทาให้ข้าตาสว่าง! คราครั้งนี้ในที่สุดข้าก็เข้าใจกระจ่าง
อาศัยลวดลายต่าต้อ ยเหล่านี้ข้าไม่อาจสร้างกองทัพที่แท้จ ริงได้” หมิงฮุย
กล่าวด้วยสายตาแน่วแน่มั่นคง “ข้าจะสลายอาคมหวงห้ามบนร่างพวกเจ้า
ทั้งหมด ในยามนี้หากเจ้าคิดจากไป สามารถจากไปได้ตามใจปรารถนา! ข้า
ตกลงใจสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่กองโจร แต่เป็นกองพันหมิง! หากเจ้า
ยั ง คงยิ น ดี ที่ จ ะอยู่ กั บ ข้ า ข้ า หมิ ง ฮุ ย ผู้ นี้ รั บ ปากว่ า จะไม่ ท าให้ พ วกเจ้ า
ผิดหวัง!”
มันพอกล่าวจบความ เหล่าแม่ทัพนายกองล้วนสะท้านขึ้นทั้งร่าง สี
หน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หมิงฮุยยังพูดจริงทาจริง พร้อมกับที่
กล่าววาจาก็ปลดปล่อยอาคมหวงห้ามออกจากร่างของทุกคนด้วย
บางคนยกมือประสาน คารวะหมิงฮุยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัว
จากไปทันที หมิงฮุยไม่ขวางรั้งหน่วงเหนี่ยวพวกมัน ภายในชั่วอึดใจเดี ยว
คนของมันก็หลงเหลืออยู่เพียงสามพันคนเท่านั้น
เหล่ า กองโจรที่ พ บว่ า อาคมหวงห้ า มภายในร่ า งสลายหายไป พลั น
สูญเสียความกล้าที่จะต่อสู้อีก พากันหลบหนีจากไปทันที
หมิงอวี่เวยลดเสียงกระซิบเบาต่า “พี่ใหญ่ ปลดปล่อยอาคมหวงห้าม
ออกในเวลาเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ดีนัก... ...”
Page 1 of 12
หากอาคมหวงห้ามยังคงควบคุมบังคับคนเหล่านี้เอาไว้ อาจสามารถ
ยื้อเวลาให้พวกมันหลบหนีได้มากกว่า
หมิงฮุยแย้มยิ้มอย่างลี้ลับ กล่าวด้วยเสียงกระซิบเช่นเดียวกัน “อย่า
ห่ ว งไปเลย ข้ า ย่ อ มมี แ ผนการเป็ น มั่ น เหมาะ วั น นี้ ข้ า ใจบุ ญ สุ น ทานเป็ น
พิเศษที่ไม่เข่นฆ่าสังหารคนที่หลบหนีเหล่านั้น แต่หากพวกมันต้องตกตาย
ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้าม ก็นับว่าเป็นชะตากรรมของพวกมันเองแล้ว”
หมิ ง อวี่ เ วยรู้ สึ ก เย็ น เยี ย บไปถึ ง ไขสั น หลั ง พี่ ใ หญ่ ดู ผิ วเผิ น คล้ า ย
ปลดปล่อยพวกมันให้เป็นอิส ระ แต่แท้ที่จ ริงเป็นการผลักไสพวกมันไปสู่
ความตาย
กองโจรตระกูลหมิงที่แตกทัพกระจัดกระจายกันหลบหนี ต่อให้หลบ
รอดไปจากกองพันลึกลับอันน่าพรั่นพรึงนั้นได้ แต่พวกมันจะไม่มีทางหลุด
รอดไปจากเงื้อมมือของเหล่ายอดยุทธ์นครมหาสันติ นี่เท่ ากับพวกมันช่วย
ดึงความสนใจของยอดยุทธ์เหล่านั้นไปโดยที่พวกมันเองก็ไม่ทันรู้ตัว
“พี่ ใ หญ่ ท่ า นก าลั ง รอคอยปู้ เ กิ้ นใช่ ห รื อ ไม่ ?” หมิ ง อวี่ เ วยถามอย่าง
กะทันหัน
หมิงฮุยแย้มยิ้มเย็นชา “ย่อมมิใช่เพียงแค่ปู้เกิ้นเท่านั้น กองทัพนี้อาจ
ร้ายกาจสุดหยั่งคาด แต่จะอย่างไร ของวิเศษเช่นกรงเล็บพิฆาตมังกรย่อม
เป็ น ที่ ป รารถนาของผู้ ค นนั บ ไม่ ถ้ ว น! ปู้ เ กิ้ น เป็ น บุ ค คลอั น ชาญฉลาด
นับตั้งแต่เริ่มแรกมันก็ส านึกตัวว่าหอสมบัติมหาสันติหาใช่สิ่งที่คนเช่นมัน
จะสามารถแตะต้องได้ไม่ ดังนั้นมันเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสาร ก็แพร่กระจาย
ข่าวสารออกไปตั้งแต่แรก”
Page 2 of 12
หมิ ง ฮุ ย ดวงตายิ่ ง เย็ น ยะเยื อ กกว่ า เดิ ม มั น แค่ น เสี ย งอย่ า งเย็ น ชา
“ความวุ่นวายจะไม่จบสิ้นลงโดยง่ายเช่นนี้แน่!”
กล่าวจบคา มันก็ออกคาสัง่ ให้กองทัพที่เหลือล่าถอยเต็มกาลัง หมิงอวี่
เวยนิ่งเงียบงันไป นางแม้ห้าวหาญชาญศึก เป็นแม่ทัพบัญชาการศึ ก ที่ มี
ฝีมือ แต่นางสานึกตัวดีว่าในด้านคิดอ่านวางแผนนางมิใช่คู่มือของเกอเกอ
ของนาง
สาหรับเกอเกอของนาง ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้แม้แต่นางก็ไม่ทราบว่า
เป็นสิง่ ที่ดีหรือเลวร้าย... ...
หมิงอวี่เวยในใจเกิดเป็นเงาทะมึน รู้สึกหวาดวิตกต่อภายภาคหน้าอยู่
บ้าง
กองโจรตระกู ล หมิง แตกพ่ า ยหลบหนี อ ย่า งกะทั น หัน เป็ น สิ่ ง ที่ ไ ม่มี
ผู้ใดคิดฝันไปถึง
ในชั่วพริบตา เหมียวจุนกับซู่หลงรู้สึกว่าแรงกดดันลดน้อยลงไปมาก
พวกมันแม้ไม่ท ราบชัด ว่ า เกิ ด เรื่ องอัน ใดขึ้น แต่เพื่อที่จ ะช่ วยเปิ ด โอกาส
ให้แก่กองพันบาปเคราะห์ พวกมันต้องเผชิญกับศัต รู ที่มีจานวนมากกว่า
พวกตนหลายเท่า ยามนี้เหน็ดเหนื่อยแทบล้มประดาตาย
แม้ ว่ า จะเห็ น ศั ต รู แ ตกพ่ า ยหลบหนี ไ ปต่ อ หน้ า ต่ อ ตา พวกมั น ก็ ไ ม่ มี
เรี่ยวแรงไล่ล่าคนเหล่านั้น
ซู่ ห ลงกั บ ไพร่ พ ลค่ า ยเว่ ย กระแทกนั่ ง ลงบนพื้ น ที่ เ นื อ งนองไปด้ ว ย
โลหิต เริม
่ โคจรพลังฟื้ นฟูสภาพ เหมียวจุนก็สงั่ ให้คนของมันรีบพักผ่อนฟื้น
Page 3 of 12
กาลังทันที แต่สายตาของมันเหลือบมองไปยังเปี๋ ยหานที่บนฟากฟ้าโดยไม่
รู้ตัว
เปี๋ ยหานเข้ามาอาศัยในนครมหาสันติเป็นเวลานาน ขุมกาลังส าคัญ
ทุกกลุ่มล้วนรู้จักคนผู้นี้ ทั้งยั งล่วงรู้ว่ามันมีกองทัพที่เรียกว่ากองพันบาป
เคราะห์อยู่ภายใต้ร่มธงของมัน แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าบุคคลที่ทระนงถือดี
และเย็นชาผู้นี้จะทรงพลังอานาจถึงเพียงนี้ กองพันไร้ช่ ือเสียงเรียงนามนี้
ช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง!
เมื่ อ ได้ ช มดู ก ารโจมตี ติ ด ต่ อตามกั น เป็ นชุ ด เมื่ อ ครู่ เหมี ย วจุ น ถึ งกับ
หน้าเผือดสี
ในฐานะแม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ระดั บ ทอง มั น ทราบกระจ่ า งกว่ า ผู้ ใ ด
แบบฉบั บ การรบที่ ดุ ดั น อ ามหิ ต ถึง เพีย งนี้ ชั่ ว ชี วิ ต นี้ มั น ไม่ เ คยพบเห็นมา
ก่อน!
เปี๋ ยหานไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีฝีมืออยู่ในระดับแม่ทัพชั้นยอด!
เหมี ย วจุ น พอขบคิ ด ถึ ง ตรงนี้ อดไม่ ไ ด้ ต้ อ งหั น ไปมองจั่ ว ม่ อ อย่ า ง
ครุ่ น คิ ด พวกซู่ ห ลงไม่ เ คยปิ ด บั ง อั น ใดจากเหมี ย วจุ น ดั ง นั้ น เหมี ย วจุ น
รับทราบมานานแล้วว่าเซี่ยวม่อเกอต้าเหรินยังมีแม่ทัพไร้ผู้ต้านอยู่คนหนึ่ง
เรียกว่ากงซุนชา ทั้งยังมีกองพันไร้พ่ายที่เรียกว่าค่ายจูเชวี่ย
เหมียวจุนเมื่อสนิทสนมคุ้ นเคยกับนิสัยใจคอของซู่ห ลง ส าหรับเรื่อง
ความสามารถของแม่ นางน้อ ยกงซุ น มั น ไม่ มี ข้ อ กั งขาแม้ แ ต่น้ อย มั น ยั ง
เกรงว่าซู่หลงจะกล่าวต่ากว่าความเป็นจริงเสียอีก
Page 4 of 12
เมื่อเพิ่มเปี๋ ยหานเข้าไปอีกผู้หนึ่ง เท่ากับว่าเซี่ยวม่อเกอต้าเหรินก็ถือ
ครองสองแม่ทัพชั้นยอดอยู่ใต้ร่มธง!
ขุมกาลังที่มีขีดความสามารถเช่นนี้ กระทั่งในแดนปิศาจอันกว้างใหญ่
ไพศาลยังสามารถนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว
เมื่อผนวกกับเขิงเหลียนเอ๋อร์และอากุ่ยผู้มีพลังฝีมือลึกล้าสุดหยั่งคาด
มิหนาเซี่ยวม่อเกอต้าเหรินเองยังมีพลังฝีมือกล้าแกร่งไม่แพ้กัน เหมียวจุน
พลันตระหนัก ภายในกลียุคอันวุ่นวาย โลกหล้าแบ่งแยกออกเป็นส่วน ๆ
สงครามปะทุ ขึ้ น ทุ ก แห่ ง หน ขุ ม ก าลั ง เยี่ ย งนี้ อ าจสามารถขยายอ านาจ
อิทธิพลและครองอานาจ
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ดวงตามันวาววับเป็นประกายเจิดจ้า
เสียกงจู่กับพวกทั้งหลายถึงกับปากอ้าตาค้าง สถานการณ์พลิกตลบ
อย่างกะทันหัน จนแม้แต่พวกมันยังตามไม่ทัน หลายคนจนถึงยามนี้ยังไม่
เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง
เซี่ยวม่อเกอเรีย กให้พ วกมันล่ าถอยมาในทิ ศทางนี้ และทุกคนล้ ว น
เห็นพ้องด้วย
แต่เมื่อกองทัพใหญ่แห่งกองโจรตระกูลหมิงมุ่งเป้ามายังพวกมัน พวก
มันตื่นตระหนกจนหน้าเผือดสี ทุกคนล้วนเข้าใจว่าพวกมันคงไม่มีหนทาง
หนี ร อดไปได้ แต่ ภ ายในชั่ ว กะพริ บ ตาครั้ ง เดี ย ว กองพั น บาปเคราะห์
ประหนึ่งผุดขึ้นจากขุมนรกอย่างฉับพลัน สะบั้นทาลายกองโจรตระกูลหมิง
เป็นชิน
้ ๆ
Page 5 of 12
ผู้ที่มีความคิดประเปรียวอยู่บ้าง อดไม่ได้ต้องหันไปมองเซี่ยวม่อ เกอ
อย่างหวาดเกรง
คนผู้ นี้ มี ก องพั น อั น แกร่ ง กร้ า วเกรี ย งไกรถึ ง เพี ย งนี้ อ ยู่ ใ นมื อ แต่
สามารถปกปิดเป็นความลับ ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ขีดความสามารถที่แท้จริงของ
พวกมัน มันรวมรวมพลเมืองจานวนมหาศาลมาก่อตั้งกระบวนทัพค่ายกล
ขนาดมหึ ม า ท าที เ ป็ น ต่ อ สู้ อ ย่ า งจนตรอก จุ ด ประสงค์ ก็ เ พื่ อล่ อ ลวงให้
กองโจรประมาทพวกมัน และเพื่อที่จะสร้างโอกาสให้กองพันบาปเคราะห์
จู่โจมปลิดชีพในคราวเดียว มันถึงกับโยนทุกคน รวมทั้งตัวมันเองออกมา
เป็นเหยื่อล่อ
ความลึกซึ้งชั่วร้ายของคนผู้นี้ ยากจะหยั่งคานวณโดยแท้!
“ช่างกลอกกลิ้งนัก!” หญิงรับใช้วัยกลางคนทอดถอน รู้สึกอัศจรรย์ใจ
สุดระงับ
เสียกงจู่ดวงตาไม่เคยคลาดคลาจากใบหน้าของจั่วม่อมาก่อน รอจน
นางสั ง เกตเห็ น เค้ า ความตกตะลึง ในดวงตาของมั น ต้ อ งอดหั ว ร่ อ คิ ก คั ก
ไม่ได้ “บางทีมันอาจจะไม่ได้ต้งั ใจ”
“ไม่ ไ ด้ ต้ั ง ใจ?” หญิ ง รั บ ใช้ วั ย กลางคนกวาดตามองเสี ย งกงจู่ อ ย่ า ง
สงสั ย ใจ เสี ย กงจู่ ผู้ ท รงภู มิ ปั ญ ญาหาผู้ ใ ดเปรี ย บ ไฉนจู่ ๆ คล้ า ยกลั บ
กลายเป็นโง่งมไปเสียได้ ? นางสั่นศีรษะพลางกล่าวว่า “นี่มิใช่เรื่องบังเอิญ
อย่างเด็ดขาด ทุกการกระทาของมันล้วนเชื่อมโยงเป็นห่วงโซ่ ด้านจังหวะ
เวลาและการลงมื อ จู่ โ จมล้ว นหมดจดงดงามยิ่ ง! พวกเราล้ ว นถู ก ใช้ เ ป็น
Page 6 of 12
เหยื่อล่อ โดยที่ไม่มีผู้ใดทันได้สะกิดใจแม้แต่น้อย เด็กผู้นี้ระดับความกลอก
กลิ้งเกรงว่าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วกระมัง!”
เสียกงจู่แย้มยิม
้ อย่างเฉิดฉัน เสียงหัวร่อสดใสดุจระฆังเงิน
สิ่งที่ผู้คนไม่ล่วงรู้ ก็คือจั่วม่อเองก็ต่ น
ื ตะลึงไม่น้อยไปกว่าพวกมัน
ที่แท้เปี๋ ยหานร้ายกาจถึงเพียงนี้!
มันถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด!
แผนผังปิศาจชุดใหม่ของกองพันบาปเคราะห์ ตั้งแต่ต้นจนจบมันเป็น
ผู้ ส ลั ก ด้ ว ยมื อตัว เอง ล่ ว งรู้ ค วามแข็ ง แกร่ งของกองพั นบาปเคราะห์เป็น
อย่างดี แต่พลังของกองพันบาปเคราะห์ที่อยู่ในมือของเปี๋ ยหานกลับเหนือ
ล้ากว่าที่มันคาดเอาไว้มาก
หากมันล่วงรู้เสียก่อนว่ากองพันบาปเคราะห์แกร่งกร้าวเกรียงไกรถึง
เพียงนี้ มันยังจะต้องล าบากล าบนกระทาเรื่องราวมากมายถึงเพีย งนี้ ไ ป
ทาไมกัน?
แผนการเดิมของมันก็คือคอยบั่นทอนกาลังของกองโจรตระกูลหมิง
อย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้กองพันบาปเคราะห์ซุ่มโจมตี นั่นจะสร้าง
ความสับสนวุ่นวายในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ แต่การจู่โจมปลิดชีพที่แท้จริ งก็
คื อ มั น จะน าขบวนยอดยุ ท ธ์ ด่ า นเจี ย งทั้ ง หมดบุ ก ทะลวงเข้ า ไปใจกลาง
กองโจรตระกูลหมิงเพื่อจู่โจมสังหารผู้นาของพวกมัน!
มันกระทั่งตระเตรียมคร่ากุมเหล่ากงจู่และผู้นาของกองกาลังต่าง ๆ
ไว้เป็นตัวประกัน หากพวกจูเข่อและเหล่ายอดยุทธ์ไม่ยินยอมรับปาก
Page 7 of 12
ทว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกลับอยู่นอกเหนือการคาดคานวณของ
มั น เปี๋ ยหานเมื่ อ น าทั พ กองพั น บาปเคราะห์ อ อกท าศึ ก กลั บ แกร่ ง กร้ า ว
เกรียงไกรไร้ผู้ต้าน ถึงกับจู่โจมทาลายกองโจรตระกูลหมิงในการบุกทะลวง
ครั้งเดียว!
จั่วม่อฝืนยิ้มในใจ หากมันทราบเช่นนี้มาก่อน มันเพียงแค่ส่งเปี๋ ยหาน
ออกไป ก็มิใช่ว่าทุกสิ่งสามารถแก้ไขได้โดยง่ายหรอกหรือ?
พอเห็นสถานการณ์คับขันในที่สุดก็คลี่คลาย เส้นประสาทที่ตึงเขม็ง
ของจั่วม่อค่อยผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว มันทอดถอนหายใจยาว
แต่เมื่อมันมองไปทางฝูงชนอลหม่านที่เตลิดหลบหนี ต้องทอดถอนใจ
อีกครา
กล่าวตามความสัตย์ มันจงใจทิ้งช่องว่างรอยโหว่ไว้ในกระบวนทัพที่
มันจัดตั้งขึ้นจริง เนื่องเพราะมันทราบกระจ่างแก่ใจ คนธรรมดาสามัญที่ไม่
เคยผ่านการฝึกฝนในกองทัพเหล่านี้ไม่ว่าจะมีจานวนมากมายเท่าใด ก็ไม่
อาจหยุดยั้งกองโจรตระกูลหมิงได้
ในแผนการของมัน บ้ า งโหดร้ า ย บ้ า งไร้ ป ระโยชน์ หลายคนดั บดิ้ น
สิ้นชีพ แต่ท้ายที่สุดพวกมันทาศึกประสบชัย
คนส่วนใหญ่รอดชีวิตมาได้
“ฮ่าฮ่า! พี่น้อง! ข้าล่วงรู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องทาได้!” หลันเทียนหลงหัว
ร่อดังกระหึ่มมาจากทางเบื้องหลัง ผู้คนที่ติดตามมาทางด้านหลังมันล้วนมี
สีหน้าลิงโลดยินดีสุดระงับ
จั่วม่อหันกลับไปมอง มันคิดแย้มยิม
้ แต่กลับไม่สามารถยิม
้ ออกมาได้
Page 8 of 12
มันไม่ได้เศร้าโศกอันใดมากมาย แต่ก็ไม่อาจยินดีได้มากนักเช่นกัน
หลันเทียนหลงโถมเข้ามาสวมกอดจั่วม่อแรง ๆ คนอื่น ๆ ก็ผลัดกันเข้า
มาสวมกอดมันเช่นกัน
ชั่วขณะที่คนผู้หนึ่งตระเตรียมจะสวมกอดมัน กรงเล็บสังหารมังกรบน
หลังจั่วม่อพลันสั่นวูบ จั่วม่อตื่นตระหนกในบัดดล
แทบจะในเวลาเดียวกัน สังหรณ์อันตรายในใจมันกรีดร้องระงม!
จั่วม่อแม้แต่จะคิดยังไม่ขบคิด สะบัดร่างหงายหลังสุดแรงเกิด กงล้อ
ดาราจักรซัดวูบ พุ่งลิว
่ ไปข้างหน้าอย่างหักโหม
พลังงานดาทมิฬที่ท้ังเย็นเยียบทั้งมืดดาสุดขั้วสายหนึ่งพุ่งเฉีย ดแผ่น
อกจั่วม่อจากล่างขึ้นบน กลิ่นอายดามืดพิกลพิการที่แฝงอยู่ภายในท าเอา
จั่วม่อขนหัวลุกชี้ชัน
ผู้ล งมือไม่คาดฝันว่าจั่วม่อหลังจากผ่อนคลายลงจนเปิดช่องโหว่ต่อ
หน้าสหาย กลับสามารถตอบสนองทันทีทันใดถึงเพียงนี้!
ทั้งสองฝ่ายอยู่ในระยะประชิดยิ่ง ในระยะที่ใกล้จนแทบจะสัมผัส กัน
ได้เช่นนี้ ไม่มีเหตุผลอันใดที่มันจะผิดพลาด แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือก่อนที่มัน
จะลงมือเพียงชั่วเสี้ยวกะพริบตา ฝ่ายตรงข้ามกลับจับจิตเจตนาของมันได้
การโจมตีของมันเฉียดผ่านไปเพียงองคุลีเดียว เมื่อผิดพลาดมันก็ดีด
กายถอยหนีทันที แต่ก่อนที่มันจะทั นได้ถ อยห่างออกมา กงล้อดาราจัก ร
หมุนคว้างเป็นประกายไฟ ปรากฏขึ้นตรงหน้ามันอย่างฉับพลันทันใด
คนผู้นั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย ท่าสังหารที่เซี่ยวม่อเกอเคยใช้
ปลิดชีพเสิน
่ อวี้เจ้าของกระบวนท่าขนราชานกยูง มันไหนเลยจะไม่รู้จักได้?
Page 9 of 12
แต่ ค นทั้ ง สองอยู่ ใ นระยะประชิ ด ใกล้ ใกล้ เ สี ย จนมั น ไม่ มี เ วลาทั น
ตอบสนอง!
ภายใต้สายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึงของมัน กงล้อดาราจักรเปลี่ยนเป็น
ประกายไฟดวงดาวทะลวงผ่านเข้าไปในร่าง มันกระทั่งเวลาจะกรีดร้องยัง
ไม่มี ก่อนจะถูกแผดเผาเป็นจุณ!
ประกายไฟดาราจักร หมุนคว้างกลับสู่มือของจั่วม่อ กลับคืนสู่สภาพ
กาไลข้อมือที่หมุนวนอย่างแช่มช้าอีกครั้ว
หลันเทียนหลงกับคนอื่น ๆ หน้าเผือดสี เหตุเปลี่ยนแปลงนี้อุบัติขึ้น
อย่างกะทันหันเกินไป ชั่วพริบตาดุจประกายไฟ ผู้ลอบทาร้ายก็หลงเหลือ
เพียงเถ้าธุลี!
“มันคือฉีกง มันไฉนคิดฆ่าเจ้า?” หลันเทียนหลงได้สติทันที ดวงตาทอ
ประกายโทสะ ฉีกงเห็นได้ชัดว่าใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของมันกับ
เซี่ยวม่อเกอ ฉวยโอกาสลงมือลอบสังหารซึ่ง ๆ หน้า มีคนคิดเล่นลูกไม้กับ
ข้าเหล่าหลง! หลันเทียนหลงพลันถามเสีย งต่า “ต้องการให้ข้าลองสื บ ดู
หรือไม่?”
ชั่วพริบตานั้นจั่วม่อขวัญวิญญาณแทบกระเจิดกระเจิง แต่ยามนี้มัน
สงบใจลงอย่างรวดเร็ว สั่นศีรษะพลางกล่าว “ไม่จาเป็น”
หลังจากขบคิดชั่วครู่ มันกล่าวกับหลันเทียนหลง “พาคนไปจ านวน
หนึ่ง ไปรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องคนไม่ให้มีคนฉวยโอกาสจากความ
วุ่นวาย”
Page 10 of 12
หลันเทียนหลงกล่าวเสียงหนัก “เข้าใจแล้ ว! หากเหล่าหลงค้นหาผู้บง
การพบ ข้าจะทาให้มันต้องร้องขอความตาย!”
กล่าวจบคา มันก็หมุนตัวจากไปด้วยสีหน้าดาทะมึน
Page 12 of 12
บทที่ 637 ผู้มาไม่มีเจตนาดี
ม้าฝานปาดเช็ดใบหน้า จ้องมองไปยังขบวนทัพซิวเจ่อที่อยู่ด้านนอก
ต้องสั่นศีรษะพลางกล่าว “ดูเหมือนว่าในระยะเวลาอันสั้น พวกมันยังไม่คิด
เลิกรา”
ทัพซิวเจ่อที่อยู่ด้านนอกยังจะเป็นผู้ใดไปได้ นอกจากกองพันเทีย น
หวนซึ่งนาโดยกงเหยี่ยเสี่ยวหรง เป็นไปตามที่กงซุนชาคาดการณ์ไว้ ค่ายจู
เชวี่ยพอจากไปกองพันเทียนหวนก็ปรากฏขึ้นในอาณาจักรเรือนกล้ วยไม้
เริ่มโจมตีรอยแยกแห่งความโกลาหลที่ค่ายเสวียนอู่เฝ้ารักษา
เคราะห์ดีที่ม้าฝานรอบคอบระมัดระวัง ไม่กล้า ชะล่าใจหรือประมาท
เลิ น เล่ อ มั น จั ด ส่ ง สายสื บ ออกลาดตระเวนไม่ เคยขาด ในที่ สุ ด ความ
ระมั ด ระวั ง ก็ เ ห็ น ได้ ว่ า ไม่ ใ ช่ เ รื่ อ งเกิ น จ าเป็ น สายสื บ ของมั น ค้ น พบศั ต รู
อย่างรวดเร็วยิ่ง ส่งสัญญาณเตือนในบัดดล
ม้ า ฝานผู้ ไ ด้ รั บ สั ญ ญาณเตื อ น สั่ ง ขั บ เคลื่ อนแนวป้ อ งกั น เต็ ม อั ต รา
ทันที
เนื่องจากความหวาดวิตกว่าพวกมันจะไม่สามารถรักษารอยแยกแห่ง
ความโกลาหลเอาไว้ได้ การก่อสร้างค่ายกลป้องกันของพวกมันไม่เคยหยุด
ลงมาก่ อ น เที ย บกั บ เมื่ อ ครั้ ง ที่ แ ม่ น างน้ อ ยต้ า เหริ น ยั ง ประจ าการอยู่ ที่ นี่
ขบวนค่ายกลป้องกันของพวกมันขยายใหญ่เป็นสองเท่า กระทั่งก่อนการ
ศึกจะเปิดฉาก ปราการป้องกันของพวกมันก็ยังคงขยับขยายไม่หยุดยัง้
Page 1 of 11
นี่ทาให้ความเชื่อมั่นของม้าฝานเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย
ซึ่งความจริงการต่อสู้ในอาณาจักรเรือนกล้วยไม้ไม่เคยสงบลงมาก่อน
สายสืบของม้าฝานมักเกิดการปะทะกับสายสืบของฝ่ายอสูรอยู่เป็นประจา
แต่ในภาพรวมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างควบคุมระดับความเสียหาย คล้ายต่าง
ฝ่ายต่างรักษาข้อตกลงที่ไม่ได้กล่าวออกมา
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงพอเห็นว่าการลอบจู่โจมไม่เป็นผล ก็เปลี่ยนเป็นบุก
จู่โจมซึ่งหน้าทันที
แต่เมื่อเผชิญหน้ ากั บขบวนค่ า ยกลอัน ใหญ่ โตมโหฬารเช่น นี้ ต่อให้
เป็ น กงเหยี่ ยเสี่ยวหรงเองก็ ไ ม่ไ ด้ มี ห นทางที่ ดี ไปกว่ า นี้ อย่ า งไรก็ ต าม กง
เหยี่ยเสี่ยวหรงทราบดีว่ารอยแยกแห่งความโกลาหลแห่งนี้ เป็นเส้นทาง
ออกที่ใกล้ที่สุดที่จะนาพวกมันกลับไปยังภพเซียนของซิวเจ่อได้
การบุกจู่โจมของกงเหยี่ยเสี่ยวหรงเกรี้ยวกราดดุดันยิง่ ไม่ใส่ใจกับการ
บาดเจ็บล้มตาย การต่อสู้ดุเดือดคลุ้มคลั่งผิดธรรมดา ป้อมปราการขบวน
ค่ายกลกว่าครึ่งพังพินาศย่อยยับ ซากศพสุมซ้อนกลาดเกลื่อนสนามรบ
อาวุธเวทอันเลิศล้าของกองพันเทียนหวนทรงอานุภาพไพศาล นี่ทา
ให้พวกมันสามารถบุกจู่โจมได้หลายครั้งหลายครา
ค่ายเสวียนอู่ของม้าฝานมีช่วงเวลาอันหนักหนาสาหัส ป้อมปราการ
ทั้ ง หมดแทบจะหายไป จนกระทั่ ง ค่ า ยเว่ ย มาถึ ง ค่ อ ยสามารถรั ก ษาแนว
ป้องกันเอาไว้ได้
Page 2 of 11
ทว่าซิวเจ่อเทียนหวนเหล่านี้คล้ายไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งยังไม่สนใจ
ชีวิต พวกมันโหมโจมตีดุจคลุ้มคลั่งราวกับคลื่นพิโรธสาดซัดชายฝั่ งไม่ขาด
สาย
กระทั่งม้าฝานยังไม่สามารถนับได้ว่าพวกมันต่อสู้ห้าหั่นกันมาแล้ วกี่
รอบ
ไพร่พลค่ายเสวียนอู่เสียชีวิตไปกว่าครึ่ง ม้าฝานต้องเลือกเฟ้นไพร่พล
จากค่ายชิงหลงที่ทาหน้าที่สนับสนุนค่ายเสวียนอู่มาเติมเต็มกาลังพลของ
มันที่หายไปกว่าครึ่ง
ภายใต้ส งครามอันดุเดือดบ้าคลั่งเช่นนี้ เหล่าสามเณรมือใหม่ย่อมมี
อัตราการบาดเจ็บล้มตายสูงลิบลิ่ว ค่ายชิงหลงยามนี้แทบจะหลงเหลือแต่
เพียงนาม ผู้ที่สามารถรอดชีวิตมาได้ ล้วนเป็นซิวเจ่อที่สามารถปรับตัวเข้า
กับสงครามได้เร็วกว่าผู้อ่ น
ื
แนวป้องกันของพวกมันยิ่งมายิ่งแข็งแกร่งทรหดกว่าเดิม ทุกผู้คนเริ่ม
ปรับตัวเข้ากับการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านนี้ได้
“ไม่มีอันใดต้องหวาดกลัว!” เหลยเผิงสุ้มเสียงแหบพร่าหยาบกระด้าง
แต่ ด วงตาสาดประกายเจิด จ้า ยิ่ง กว่ า ในกาลก่ อน กล่ า วอย่ า งเฉื่ อยชาว่า
“ยามนี้พวกเราสามารถเรียกได้ว่ามีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ฮ่า เทียน
หวนก็ เ พี ย งเท่ า นี้ เ อง ไม่ ว่ า พวกมั น จะแห่ กั น มามากเท่ า ใด พวกเราก็
สามารถเชือดทิ้งได้มากเท่านั้น!”
“พวกมันไม่มีกาลังหนุน ไม่อาจทนต่อการบาดเจ็บล้มตายเช่ น นี้ ไ ด้
ตลอดไป ศึกนี้เราต้องชนะอย่างแน่นอน ข้าเพียงอยากรู้ว่าแม่นางน้อยต้า
Page 3 of 11
เหรินจะให้รางวัลใหญ่อันใดกับพวกเรา” เหนียนลู่ลากเสียงเอื่อย ๆ ใบหน้า
หล่อเหลาของมันเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินสิ่งสกปรก แต่มันก็เหมือนกับ
เหลยเผิง สองตาเป็นประกายเจิดจ้าผิดธรรมดา รอบกายมันเต็มไปด้วย
เจตจานงกระบี่ว่ายเวียนไปมา
การศึกครั้งนี้ห นักหนาสาหัส แต่ห ลังจากผ่านพ้นมาได้ ทั้งหมดล้วน
พลังฝีมือรุดหน้าอีกก้าวใหญ่
ไม่มีสิ่งใดเคี่ยวกราให้ผู้คนรุ ดหน้าอย่างรวดเร็วได้มากไปกว่าการต่อสู้
อีกแล้ว
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงเพ่งมองเศษซากป้อมปราการด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
แม่ทัพใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามได้ละทิ้งค่ายทัพหลักออกเดินทางจากไป
อย่ า งเร่ ง รี บ ว่ า กั น ตามหลั ก การ นี่ ส มควรจะเป็ น โอกาสอั น ดี ง ามที่ สุ ด
ส าหรั บ เที ย นหวน เป็ น เหตุ ผ ลหลั ก ที่ ท าให้ มั น ตั ด สิ น ใจเข้ า โจมตี ป้ อ ม
ปราการแห่งนี้
ไม่ ว่ า แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก คนใด เมื่ อ ต้ อ งโจมตี ป้ อ มปราการเช่ น นี้
ล้ ว นไม่ มี ห นทางที่ ดี กงเหยี่ ย เสี่ ย วหรงเตรี ย มใจแต่แ รกว่ า ทหารของมัน
จะต้องบาดเจ็บล้มตายมากมาย แต่ทว่าการต่อสู้เมื่อล่วงเลยมาจนถึงยาม
นี้ มันไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป
ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งทรหดจนแทบไม่อาจจินตนาการได้!
ความแข็งแกร่งของกงซุนชา มันเคยรับทราบด้วยตัวเองมาก่อนแล้ว
มันตระหนักแน่แก่ใจว่านั่นเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกที่ทัดเทียมกับมัน! แต่
Page 4 of 11
จนกระทั่งถึงยามนี้ มันยังไม่อาจค้นพบแม้แต่เงาว่ากงซุนชาที่แท้สังกัดขุม
กาลังใด
เมื่ อ กงซุ น ชาละทิ้ ง ค่ า ยทั พ หลัก นี่ เ ท่ า กั บ ว่ า ขวากหนามชิ้ น โตที่สุด
สาหรับกงเหยี่ยเสี่ยวหรงถูกกวาดออกไป แม้มันจะทราบดีแก่ใจว่าการบุกจู่
โจมป้อมค่ายเช่นนี้อย่างซึ่งหน้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างใหญ่หลวง
แต่มันยังคงมีความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้น หากสามารถยึดป้อมค่ ายแห่ งนี้
มันยินดีจ่ายค่าตอบแทนทั้งมวล!
แต่แล้วขุมกาลังลึกลับนี้กลับหวดฟาดใส่มันอย่างหนักหน่วงเป็น คา
รบสอง!
แม่ทัพบัญชาการศึกที่ไม่ทราบว่าเป็นใครภายในป้อมค่าย นับเป็นแม่
ทัพบัญชาการศึกที่ทรหดอดทนที่สุดเท่าที่มันเคยพบเห็นมา!
แม่ทัพบัญชาการกองพันนี้ไม่ได้โดดเด่นเลิศล้า เทียบกับกองพันของ
กงซุนชาแล้วเรียกได้ว่าห่างไกลสุดกู่ กงเหยี่ยเสี่ยวหรงทีแรกไม่เห็นคนผู้นี้
อยู่ ใ นสายตา ไม่ คิ ด ว่ า คนเหล่ า นี้ จ ะส่ ง ผลคุ ก คามมั น ได้ แต่ แ ม่ ทั พ ที่ ไ ร้
ชื่ อเสี ย งเรี ย งนามกั บ กองพั น ซึ่ ง ไม่ มี ใ ครรู้ จั ก นี้ ก ลั บ ท าให้ มั น ต้ อ งจ่ า ย
ค่ า ตอบแทนอย่ า งหนั ก หนาสาหั ส ทั้ ง ยั ง มิ อ าจก้ า วรุ ด หน้ า ได้ แ ม้ แ ต่ ก้ า ว
เดียว
พวกมันหนักแน่นมั่นคงดุจหินผา!
และกงเหยี่ยเสี่ยวหรงผู้มีจิตใจละเอียดอ่อน ยังค้นพบว่ากองพันของ
ศัตรูยิ่งมายิ่งตึงมือ ยิ่งนานยิ่งห้าวหาญชาญศึก
Page 5 of 11
หลั ง จากการศึ ก ครั้ ง นี้ กองพั น ที่ ไ ม่ เ ป็ น ที่ รู้ จั ก นี้ จ ะเปลี่ ย นแปลงไป
อย่างสิ้นเชิง กลายเป็นกองพันชั้นยอดที่แท้จริง
กองพันเทียนหวนของพวกมันถึงกับกลายเป็นหินลับดาบให้แก่ศัตรู
ไม่หลงเหลือความหวังจะได้ชัย ฝืนสู้ต่อไปก็รังแต่จะพินาศย่อยยับยิ่ง
กว่าเดิม
กงเหยี่ยเสี่ยวหรงนิ่งเงียบงันไปนาน
มั น มี พ รสวรรค์ ต้ั ง แต่วั ย เยาว์ กระทั่ ง ในส านั ก ใหญ่ ม หาอ านาจเช่น
เทียนหวนยังคงก้าวเดินอย่างราบรื่น ไม่เคยสะดุดติ ดขัดมาก่อน ศิษย์รุ่น
เดียวกันล้วนแล้วแต่เคารพเทิดทูนมัน บรรดาผู้อาวุโสก็ปกป้องมัน
มันไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะมีวันที่มันต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
พ่ายแพ้ซ้าแล้วซ้าเล่า!
มองดูกองทัพของมันที่หลงเหลือมากกว่าหนึ่งในสามเพียงเล็กน้อย
มองดู เ หล่ า ใบหน้ า ซึ่ ง ก าลั ง จ้ อ งมองมายั ง มั น ด้ ว ยสายตาสั บ สน กง
เหยี่ยเสี่ยวหรงพลันเจ็บปวดใจขึ้นมา
ใบหน้าของมันขาวเผือดอยู่บ้าง แต่มันทราบว่าทุกคนกาลังรอคอย
การตัดสินใจของมัน
“เราจะล่าถอย!”
เพื่อกล่าวสามคานี้ออกมา มันแทบจะรีดเค้นเรี่ยวแรงทั่วร่างออกมา
เมื่อมู่ซีฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาเสร็จสิ้น นางพลันนิ่งครุ่นคิด
Page 6 of 11
“ต้าเหริน สมควรเข้ายึดรอยแยกแห่งความโกลาหลหรือไม่? ฝ่ายศัตรู
กาลังเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ค รั้งนี้ ยามนี้กงเหยี่ยเสี่ยวหรงล่าถอยไป
แล้ว พวกมันย่อมคลายใจและลดการระวังป้องกันลง นี่เป็นโอกาสอันดี!”
นายทัพผู้นั้นอดกล่าวไม่ได้
ชั ย ชนะอย่ า งต่ อ เนื่ อง ท าให้ ศั ก ดิ์ ฐ านะของมู่ ซี ใ นตระกู ล ไม้ วั ง
ทะเลสาบกลายเป็ น มั่ น คง ในเวลานี้ น างนั บ เป็ น แม่ ทั พ ล าดั บ แรกแห่ ง
ตระกูล ไม้วังทะเลสาบอย่างไร้ข้อกังขา ทั้งยังมีคุณสมบัติตัดสินใจในการ
ประชุมหารือสาคัญของตระกูล
ในประวัติศาสตร์ของเผ่าอสูร ไม่เคยปรากฏวีรชนอายุเยาว์คนใดที่มี
ความสาเร็จถึงขั้นนี้
มู่ ซี พ อฟั ง ต้ อ งสั่ น ศี ร ษะ “เราจะยึ ด มาท าอะไร? ยามนี้ ยึ ด ครอง
อาณาจักรนี้เอาไว้ได้อย่างมั่นคงก็นับว่าดีมากแล้ว อย่าได้ประเมินฝ่ายตรง
ข้ามต่าเกินไป พวกมันกระทั่งกงเหยี่ยเสี่ยวหรงยังสามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้
เรื่องนี้ยากจะกล่าวอยู่บ้าง แต่หากนับเฉพาะพลังป้องกัน มีกองทัพไม่มาก
นักที่สามารถยกขึ้นเทียบกับพวกมันได้”
เห็ น นายทั พ ผู้ นั้ น มี สี ห น้ า ไม่ เ ห็ น ด้ ว ย นางกล่ า วเตื อ นว่ า “อย่ า ได้
ทระนงถื อ ดี เ พี ย งเพราะว่ า กงเหยี่ ย เสี่ ย วหรงเพลี่ ย งพล้ า ให้ แ ก่ เ ล่ ห์ ก ล
เล็กน้อยของเรา เราไม่เคยปะทะกับกงเหยี่ยเสี่ยวหรงโดยตรงมาก่อน อย่า
ลืมว่าคนผู้นี้ทาลายล้างทัพพันธมิตรจนสิ้นซาก กงเหยี่ยเสี่ยวหรงเข้มแข็ง
ยิ่งนัก”
Page 7 of 11
ห ลั ง จ า ก ข บ คิ ด ชั่ ว ค รู่ น า ง ค่ อ ย สั่ ง ก า ร ว่ า “ เ ร า ต้ อ ง สื บ ส า น
ความสั ม พั น ธ์ ที่ ดี กั บ ขุ ม ก าลั ง นี้ พวกมั น เมื่ อ กล้ า เป็ น ศั ต รู กั บ เที ย นหวน
จะต้องมีจิตปณิธานอันยิง่ ใหญ่ แน่นอนว่าพวกมันย่อมต้องการพันธมิตร”
“แต่พวกมันเป็นซิวเจ่อ!”
“เจ้าต้องมองดูทิศทางของกระแสประวัติศาสตร์ด้วย โลกตกสู่ห้วงกลี
ยุค รอยแยกแห่งความโกลาหลเชื่อมโยงภพซิวเจ่อ ภพอสูรและภพปิศาจ
เข้าด้วยกัน ภายในสิบปีสิ่งกีดขวางระหว่างเผ่าพันธ์ท้ังสามจะเสื่อมสลาย
ไป” มู่ซีกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
นายทัพผู้นั้นยังคิดกล่าวมากกว่านี้ แต่เมื่อเห็นสายตาเข้มงวดของมู่
ซีกวาดมองมา มันก็ได้ตาสงบปากสงบคา ออกไปดาเนินการตามคาสั่งแต่
โดยดี
มู่ซีทอดตามองตามหลังนายทัพใต้บังคับบัญชาที่ก่อนจากไปดวงตา
ยังสาดประกายไม่พอใจ นางทราบว่านางยังอายุเยาว์เกินไป แม้ว่าระยะนี้
นางจะทาศึกประสบชัยทุกครั้ง แต่ยังคงมีผู้คนในตะกูลอีกมากหลายที่ไม่
ยอมรับนับถือนาง
บางทีนางสมควรสร้างกองพันของนางเองกระมัง
ความคิดนี้พอบังเกิดขึ้น ก็ไม่อาจลบเลือนไปจากใจได้อีกเลย
ขบวนทัพดาทะมึนที่เส้นขอบฟ้าคล้ายเคลื่อนทัพอย่างเชื่องช้ายิ่ง แต่
เพียงชั่วกะพริบตาครั้งเดียว พวกมันก็ปรากฏโฉมออกมา เห็นกองทัพยาว
เหยียดประดุจหมู่เมฆที่เคลื่อนเข้าใกล้ไร้สุ้มเสียง
Page 8 of 11
ทหารปิ ศ าจทุ ก นายในกองทั พ นี้ ล้ ว นมี สี ห น้ า ไร้ อ ารมณ์ เพี ย งม อง
ปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นทหารชาญศึก ธงของตระกูลยกชูสูงลิบลิ่ว โบก
สะบัดในสายลม แทบไม่มีสุ้มเสียงใดลอยออกมาจากกองทัพขบวนนี้
ที่ใจกลางกระบวนทัพเห็นรถศึกใหญ่โตมโหฬาร สะดุดตาเป็นที่สุด
ม่านไหมสีฟ้าปลิวไสวในสายลม กระดิ่งทองแดงแขวนห้อยอยู่บนชายคา
รถศึก ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานไปไกล สัตว์ร้ายสี่ตัวที่ลากดึงรถศึกอัปลักษณ์
ดุร้ายผิดธรรมดา แต่ยืนอยู่ด้านหน้ารถศึกพวกมันล้วนค้อมศีรษะต่า เชื่อง
เชื่อจนไม่อาจเชื่องเชื่อไปกว่านี้ได้
ข้ า งรถศึ ก เป็ น บุ รุ ษ ร่ า งกาย าสี่ค น แบกแคร่ ไ ม้ ไ ว้ บ นไหล่ ด้ ว ยสีหน้า
เคร่งขรึมเย็นชา บนแคร่ไม้จัดวางไว้ด้วยกระบี่สีเขียวเล่มหนึ่ง
ขณะที่แถวทัพกระจายตัวออกไป แผ่ซ่านเจตนาฆ่าฟันที่แทบสัมผัส
จับต้องได้
นครมหาสันติเงียบสงัดดุจป่าช้า ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง
ความโอ่อ่าตระการนี้ไม่ได้ทาให้จ่ัวม่อครั่นคร้ามย าเกรงแม้ แต่ น้ อ ย
กองทัพของอวี่ไสว้กลับไม่ ได้ใหญ่โตอลังการเท่าที่คิด มีเพียงแค่ราวหนึ่ง
หมื่นนายเท่านั้น
นับว่าน้อยกว่าที่มันคาดเอาไว้มาก
ในจินตนาการของมัน กองทัพของจอมปิศาจด่านไสว้ผู้หนึ่งสมควร
มืดฟ้ามัวดิน จอมปิศาจด่านไสว้แต่ล ะคน ผู้ใดไม่มีหนึ่งร้อยอาณาจัก รอยู่
ใต้อาณัติของพวกมัน
Page 9 of 11
เสียกงจู่คล้ายคาดเดาความคิ ดของมัน ได้ พลันกระซิบเสีย งเบาต่ า
“อวี่ไสว้ระยะนี้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการขยายดินแดน กองทัพของมันส่วนใหญ่
ถูกส่งออกไปทาศึก ดินแดนในปกครองของมันไม่เคยสงบสุขมาก่อน แต่
เจ้าต้องระวัง กององครักษ์หยาดพิรุณนี้เป็นกองพันที่เลิศล้าที่สุดใต้ร่มธง
ของอวี่ไสว้ ข้ามิอาจช่วยเหลืออันใดเจ้าได้ ระมัดระวังให้มาก”
ฟังจากถ้อยคาแผ่วเบาแต่ ร้อนรนเหล่านี้ จั่วม่อค่อยเข้าใจหลายสิ่ ง
หลายอย่ า ง มั น ยั ง ได้ ยิ น ร่ อ งรอยห่ ว งใยกั ง วลในสุ้ ม เสี ย งของนาง จึ ง
ปลอบใจนางว่า “ไม่ต้องวิตก ข้าย่อมมีหนทางรับมือของข้าเอง!”
เสียกงจู่กัดฟันกล่าวว่า “หากช่วยไม่ได้จริง ๆ ให้มอบกรงเล็บพิฆ าต
มังกรให้แก่มัน”
น้าใจของโฉมสะคราญนางนี้ ทาให้จ่ว
ั ม่ออดรู้สึกอบอุ่นใจไม่ได้ แต่พอ
หวนคิดถึงสายใยสามพันอาวรณ์ที่ผสานรวมเข้ามาในกายมัน ต้องลอบฝืน
ยิ้มเจื่อนขม สายใยสามพันอาวรณ์รัดพันกรงเล็บพิฆาตมังกรแนบแน่น ไม่
ว่ามันจะพยายามอย่างไรของวิเศษชิ้นนี้ก็ไม่ยอมคลายออก คล้ายไม่คิด
ปลดปล่อยกรงเล็ยพิฆาตมังกรให้เป็นอิสระ
ต่อให้มันอยากมอบกรงเล็บสังหารมังกรให้กับผู้อ่ ืน มันก็ไม่มีปัญญา
กระทาได้
“อย่าห่วงเลย อย่าห่วงเลย” จั่วม่อยิ้มพลางปลอบโยนนาง
ซู่หลงกับพวกกลับสู่ข้างกายจั่วม่อ ทุกคนตื่นตัวอย่างเต็มที่
พลังสภาวะของกองทัพอวี่ไสว้สะกดข่มผู้คนทั้งหมด แม้แต่หมิงฮุยกับ
กองโจรของมั นยั งอดหน้ า เปลี่ย นสี ไม่ ไ ด้ กองโจรตระกู ล หมิ ง ที่ มัน เพียร
Page 10 of 11
สร้ า งขึ้ น ไม่ ก ลั ว ฟ้ า ไม่ ก ลั ว ดิ น แต่ มั น เพิ่ ง ประสบความพ่ า ยแพ้ อ ย่ า งน่ า
อนาถ ยามนี้ เ มื่ อได้ เ ผชิ ญ กั บ กองก าลั ง ที่ ก ล้ า แข็ ง ที่ สุ ด ของอวี่ ไ สว้ ด้ ว ย
สายตาตัวเอง มันในที่สุดค่อยเข้าใจว่ายอดกองทัพที่แท้จริงเป็นเช่นไร!
ต่อหน้ากองทัพที่ต้ังกระบวนอย่างเข้มงวดงดงามนี้ กองโจรตระกูลห
มิงของมันก็สมแล้วที่ถูกเรียกขานว่า ‘กองโจร!’
ก่ อ นหน้ า นี้ มั น ยั ง คงหลงเข้ า ใจว่ า ผู้ ค นยิ่ ง มาช่ ว งชิ ง กรงเล็ บ พิ ฆ าต
มังกรมากมายเท่ า ใด มันก็ยิ่งมีโอกาสจับ ปลาตอนน้าขุ่น มากเท่ านั้น แต่
เมื่ อ อวี่ ไ สว้ ม าพร้ อ มกั บ กององครั ก ษ์ ห ยาดพิ รุ ณ มั น ก็ ท ราบว่ า กรงเล็ บ
พิฆาตมังกร ไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมมือของอวี่ไสว้ไปได้
มิหนาซ้ากลุ่มคนที่มีช่ ือเสียงฉาวโฉ่ดังเช่นกองโจรตระกูลหมิง อวี่ไสว้
ย่อมจะไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปได้
หมิงฮุยสีหน้ากลับกลายเป็นไม่หลงเหลือความมัน
่ ใจอีกเลย
Page 11 of 11
บทที่ 638 ถงเซียนเซิง
พลังสภาวะของกององครักษ์หยาดพิรุณข่มขู่คกุ คามทุกผูค้ น
ถ้อยคําของจั่วม่อทําเอาขุนทหารกององครักษ์หยาดพิรุณตะลึงลาน ยาม
กะทันหันถึงกับไม่เข้าใจว่าคนผูน้ ีก้ ล่าวอันใดออกมา แต่ในไม่ชา้ ใบหน้า
ของพวกมันก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล
ช่างเหิมเกริมนัก! ถึงกับบังอาจกระด้างกระเดื่องต่ออวี่ไสว้!
ทุกผูค้ นตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว
แกรก!
พวกมันล้วนทราบความชื่นชอบต่อเหล่าอัจฉริยะของจู่เหรินเป็ น อย่างดี
เซี่ยวม่อเกอหากมีพรสวรรค์อยู่บา้ งดังคําเล่าลือ ต่อให้กระทํา ผิดพลาดไป
บ้าง จู่เหรินจึงไม่ติดใจเอาความกับเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี ้
หากพวกมันต้องสาบานตนจงรักภักดีต่อเซี่ยวม่อเกอ นั่นยังจะเลวร้ายยิ่ง
กว่าฆ่าพวกมันทิง้ เสียอีก
“ขอบคุณจู่ซ่าง” ถงเซียนเซิงค้อมคํานับต่อรถศึกอีกเล็กน้อย
วูม้ ถงเซียนเซิงปรากฏตัวออกมาจากอากาศธาตุ
เป็ นเขิงเหลียนเอ๋อร์!
ถงเซียนเชิงใบหน้าไม่เหลือเค้าปลอดโปร่งสบายใจอีก ผมเผ้าลุกชีช้ นั จน
สุดปลาย ทุกส่วนบนร่างอัดแน่นไปด้วยพลังอย่างเปี่ ยมล้น ฝ่ ามือขวา ของ
มันคล้ายลากบางสิ่งที่หนักหน่วงสุดบรรยาย ริมฝ่ ามือขวาคล้ายค่อย ๆ
พลังเทพ! ที่แท้น่ีก็คือพลังเทพ
จันทร์เสีย้ วบนฟากฟ้าดูคล้ายข้ามผ่านกาลเวลามาจากยุคบรรพกาล เนิ่น
นานนับอสงไขย
มันหาได้หวาดกลัวกององครักษ์หยาดพิรุณแม้แต่นอ้ ยไม่
วันคืนที่ผ่านมาของมันแม้คล้ายถูกกักขังจองจําอยู่ในคุก แต่วดั เสวียน คง
จะอย่างไรก็เป็ นหนึ่งในสี่มหาสํานักแห่งภพซิวเจ่อ กระทั่งคูต่ ่อสูท้ ่ีทาง
สํานักส่งมาสะกดข่มมันยังต้องเป็ นชนชัน้ ระดับเจียงเจือ เมื่อเติบใหญ่
ขึน้ มาในสภาพแวดล้อมเช่นนี ้ เปี่ ยหานย่อมไม่หวั่นเกรงต่อกองพันที่แม้แต่
ชื่อมันก็ยงั ไม่เคยได้ยินนี ้ ต่อให้ผนู้ าํ ของอีกฝ่ ายจะเป็ นจอมปี ศาจด้านไสว้
ก็ตาม
ลําพังกองโจรตระกูลหมิงอันตํ่าต้อยยังไม่สามารถดับความหิว กระหาย
ของมัน มันประหนึง่ พญาราชสีหท์ ่ีถกู จองจําเอาไว้เนิ่นนานเกินไป โถม
ทะยานออกจากกรง โหยหาการต่อสูท้ ่ีสามารถสนองตอบต่อพลังอัน
เกรียงไกรและความกระหายเลือดของมันได้!
ในดวงตาหรีแ่ คบดุจคมมีดสาดประกายวูบ
ถงเซียนเซิงสีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล
ทันใดนัน้ โลหิตหยดหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากหว่างคิว้ พุ่งลิ่วเข้าสูม่ ือ ของ
มัน
“ฝ่ ามือเนตรหน้าผา!”
ซีด้ !
ผูค้ นที่เบือ้ งล่างมองเห็นภาพนีถ้ นัดขัดเจน พากันสูดลงหายใจอย่าง หนาว
เหน็บ
ไม่มีซมุ ้ เสียงหรือแรงสั่นสะเทือนใด
ฝ่ ามือเนตรหน้าผาอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง ถูกฟั นขาดเป็ นสองเสี่ยง ไม่
ต่างจากเต้าหูก้ อ้ นหนึ่ง!
Page 3 of 11
ล าพั ง กรงเล็ บ พิ ฆ าตมั ง กรที่ ส ะพายอยู่ บ นหลั ง จั่ วม่ อ เดิ ม ที ใ ห้
ความรู้ สึ ก อหั ง การสยบหล้ า แก่ ผู้ ค นอยู่ แ ล้ ว เมื่ อ ผนวกกั บ ลวดลายดวง
อาทิตย์เจิดจรัสที่กลางหว่างคิ้ว มันดูราวกับเทพปิศาจลงมาเยือนโลกหล้า
น่าครั่นคร้ามยาเกรงเสียจนผู้คนไม่อาจจ้องมองได้โดยตรง
พลังเทพอันพลุ่งพล่านประเปรียวไหลบ่าออกมาจากวังวนในมือขวา
ตรงเข้าสู่ร่างกายของมัน แผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิตย์ท้ังสิบกลายเป็นวัง
วนอีกสิบแห่ง ดูดกลืนพลังงานเทพเหล่านี้เข้าไปไม่ขาดสาย
ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้น จั่วม่อเองก็ไม่ล่วงรู้
พลั ง เทพกั บ อุ ป กรณ์ ส วรรค์ สิบ อี ก าผสานรวมเข้า ด้ ว ยกั น โดยไร้สุ้ม
เสียง
จั่วม่อสูดลมหายใจลึก นี่ย่อมมิใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมสาหรับการฝ่า
ด่านรุดหน้า ต้องรอจนกว่ามันจะจัดการกับคนเหล่านี้เสร็จสิน
้ เสียก่อน!
ในเวลานี้เอง พลันบังเกิดแรงสั่นสะเทือนมาจากในแหวนของมัน
ทหารยันต์ทองคาดาปรากฏกายขึ้นข้าง ๆ อากุ่ย มันลอบกวาดตามอง
ไปรอบ ๆ พลางหาวหวอด “เกิดมาเพื่อต่อสู้”
รอจนมันเห็นพาหนะปิศาจของกององครักษ์หยาดพิรุณ สองตาพลัน
ลุ ก วาบ สี ห น้ า ท่ า ที เ ริ่ ม คึ ก คั ก กระตื อ รื อ ร้ น มั น เลี ย ริ ม ฝี ป าก พลางตบ
หน้าอกแรง ๆ กล่าวด้วยสุ้มเสียงเปี่ ยมคุณธรรม “อากุ่ยเจี่ยเจีย ข้าจะช่วย
ท่านเอง!”
อากุ่ยไม่เหลือบแลกลับมามองมันแม้สักแวบ
Page 4 of 11
ทหารยันต์ทองคาดายกมือข้างหนึ่งเท้าสะเอว อีกมือหนึ่งชี้กราด ร้อง
ตวาดว่า “เหวย! เจ้าพวกภูตเล็กผีน้อยทั้งหลาย เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเวลา
ของเหยีย รีบหลีกทางไปเสียแต่โดยดี เหยียหิวโหยมานานแล้ว ... ... อะ
แฮ่ม อะแฮ่ม ... ... ไม่ใช่ ไม่ใช่ เหยียคันไม้คันมือมานานแล้วต่างหาก!”
เฉียนชิงและเซี่ยงตงคือสองคนที่เผชิญหน้ากับอากุ่ยโดยตรง
คนทั้ ง สองมองดู อ ากุ่ ย ด้ ว ยสี ห น้ า ตื่ นตะลึ ง ระคนหวั่ น ใจ เมื่ อครู่ นี้
ภายใต้การโจมตีอย่างฉั บพลันทั นใดของอากุ่ย พวกมันเห็นสหายผู้ห นึ่ ง
ของพวกมั น ตกตายไปต่ อ หน้ า ต่ อ หน้ า การโจมตี นี้ ม าโดยไม่ มี เ ค้ า ลาง
ล่วงหน้าแม้แต่น้อย เช่นเดียวกันกับเขิงเหลียนเอ๋อร์ ทั้งแปลกพิสดารและ
ยากจะหยั่งคาดคานวณได้
สตรีนางนี้ใช่เป็นอีกคนที่ฝึกปรือพลังเทพเช่นเดียวกันหรือไม่?
ส่วนทหารยันต์ทองคาดา พวกมันทั้งสองกระทั่งเหลือบแลยังไม่ยอม
เหลือบแล
หุ่ น เชิ ด ปิ ศ าจมี อ ยู่ ท่ั ว ไปในแดนปิ ศ าจ แต่ ส่ ว นใหญ่ ไ ม่ มี สิ่ง ใดพิเศษ
สาหรับการต่อสู้ในระดับนี้ หุ่นเชิดปิศาจไม่อาจส่งผลกระทบอันใดได้ คิด
สร้างหุ่นเชิดปิศาจที่ส ามารถต่อกรกับยอดยุทธ์ด่านเจียงสักคน ยากเย็น
แสนเข็ญยิ่งกว่าเพาะสร้างยอดยุทธ์ด่านเจียงขึ้นมาสักคนเสียอีก
แม้ว่าทหารยันต์ทองคาดาตนนี้จะดูคล้ายมีชีวิตชีวายิ่ง แต่พวกมันก็
ยังคงไม่เห็นว่าเพียงแค่หุ่นเชิดปิศาจจะมีอันใดสาคัญ
แต่เห็นได้ชัดว่าการที่ถูกพวกมันไม่เห็นหัว ทาเอาทหารยันต์ทองคา
ดาขุ่นแค้นยิง่
Page 5 of 11
ใบหน้าที่ลอกเลียนมาจากจั่วม่อยามนี้ดาทะมึน เค้นเสียงลอดไรฟัน
อย่างเหี้ยมเกรียม “พวกเจ้ากล้าไม่เห็นหัวเหยียผู้นี้ ? ข้าจะเขมือบพวกเจ้า
ให้หมด!”
กล่าวจบคา ทหารยันต์ทองคาดาพลันสาดพุ่งเข้าหาคนทั้งสองอย่ าง
เกรี้ยวกราด!
Page 6 of 11
สิบองครักษ์หยาดพิรุณนับว่ามีหน้ามีตาที่สุดในหมู่ยอดยุทธ์สังกัดอวี่
ไสว้ พวกมันแต่ละคนล้วนเป็นยอดยุทธ์ที่ปกครองแว่นแคว้นหนึ่ง อวี่ไสว้
ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไม่น้อย กว่าจะรวบรวมพวกมันมาไว้ใต้ร่มธงของ
ตนได้
“เซี่ยวม่อเกอกลับมียอดยุ ทธ์ม ากมายถึง เพียงนี้อ ยู่ใต้ร่ มธงของมั น
ด้ ว ย ช่ า งคาดไม่ ถึ ง จริ ง ๆ” อวี่ ไ สว้ ก ล่ า วเนิบ นาบ “ยั ง เยาว์ วั ย ถึงเพียงนี้
กลับมีความสาเร็จเช่นนี้แล้ว สมกับที่เป็นอัจฉริยบุรุษผู้หนึ่ง!”
อู่อวี้แย้มยิ้มพลางกล่าว “เมื่อครั้งที่ผู้น้อยมีอายุเท่ากับมัน ส่วนใหญ่
ใช้เวลาไปในเหล่าสุราบ่อนพนัน ฮ่า เมื่อเทียบกับเซี่ยวม่อเกอ มารดามัน
เถอะ ทั้งหมดล้วนเป็นเศษสวะทั้งสิ้น”
อวี่ไสว้พอฟังอู่อวี้กล่าวคาหยาบคาย อดหัวร่อไม่ได้ “หากเซี่ยงตงกับ
พวกได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้ พวกมันไม่ละอายใจแทบตายหรือ?”
อู่อวี่เพียงแย้มยิ้มไม่ตอบคา
อวี่ไสว้พลันกล่าวว่า “เจ้าคล้ายใกล้จะก้าวเข้าสู่ด่านไสว้ในอีกไม่ช้า”
อู่อวี้ฝืนยิ้มเจื่อนขม “ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงเวลา”
อวี่ไสว้ลดเสียงลง “ข้าจะคัดลอกวิชาฝึกปรือพลังเทพให้แก่เจ้าฉบับ
หนึ่ง เจ้าจะสามารถฝ่าด่านรุดหน้าหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว”
“ขอบพระคุณ จู่ซ่าง!” อู่อวี้คึกคักขึ้นอักโข มันติดค้างอยู่ที่จุดสูงสุด
ของด่านเจียงมานานปี แต่ก็ไม่อาจหาวิธีฝ่าด่านขึ้นสู่ด่านไสว้ได้ มันทราบ
กระจ่างแก่ใจว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป โอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ด่านไสว้จ ะยิ่ง
มายิง่ ลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ แล้ว
Page 7 of 11
“ไม่ต้องเกรงใจ ช่วยเหลือเจ้าเท่ากับ ช่ วยเหลือตั วข้า เอง รอจนเจ้า
กลายเป็นจอมปิศาจด่านไสว้ ข้าก็สามารถวางใจได้บ้างแล้ว” สุ้มเสียงจาก
ในรถศึกแฝงแววเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
อู่อวี้สีหน้าเคร่งขรึม “ผู้น้อยจะไม่ทาให้จู่ซ่างผิดหวัง!”
“เฉียนชิงกาลังพลาดท่า” อวี่ไสว้สุ้มเสียงแปลกใจเล็กน้อย “เซี่ยวม่อ
เกอมีหุ่นเชิดปิศาจที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว?”
อู่อวี้งงงันวูบ สติสัมปชัญญะค่อยหวนคืนสู่สนามรบ
เฉียนชิงไม่เคยตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชถึงเพียงนี้มาก่อน มันร้อยพัน
ไม่คิด ไม่คิดว่าจะมีวันที่ถูกหุ่นเชิดปิศาจตนหนึ่งทุบตีจนมีสารรูปเยี่ยงนี้!
หุ่ น เชิ ด ปิ ศ าจตนนี้ แ ปลกประหลาดยิ่ ง เมื่ อลงมื อ ต่ อ สู้ จ ะปรากฏ
อักขระประหลาดขึ้นบนร่างกายของมัน กระทั่งเฉียนชิงที่รอบรู้กว้างขวาง
ยังไม่รู้จักลวดลายอักขระเหล่านั้นแม้แต่ตัวเดียว
แต่อักขระเหล่านี้อันตรายมาก!
เฉียนชิงไม่กล้าสัมผัสถูกแม้แต่ปลายเล็บ!
หลังจากประมือกันไม่กี่กระบวนท่า มันกลับถูกทหารยันต์ทองค าดา
สะกดข่มเอาไว้ทุกทาง
เฉียนชิงผู้นี้เกิดมาด้วยสายเลือดสูงส่ง เป็นสายเลือดของปิศาจจักจั่น
จรัสเวิ้งว้าง ทาให้มันมีความเร็วที่ไร้ผู้เปรียบติด มันยังสามารถฉีกพื้นที่มิติ
ได้ด่ังใจปรารถนา ‘ฉีกมิติ’ สามารถทาให้ปิศาจที่อ่อนแอกลายเป็ น ยอด
ฝีมือซึ่งสามารถเข่นฆ่าผู้คนได้อย่างไร้ร่องรอย
Page 8 of 11
มันสามารถปรากฏตัวจากที่ใดก็ได้ ก่อกวนรู ปแบบการต่อสู้ของฝ่าย
ตรงข้ามได้อย่างมีป ระสิทธิภาพ แต่คราวนี้ไม่ว่ามันจะฉีกฝ่ามิติ กระโจน
ออกมาจากที่ ใ ด ทหารยั น ต์ ท องค าด าก็ ดู เ หมื อ นสามารถคาดเดาการ
เคลื่ อนไหวของมั น ได้ ล่ ว งหน้ า สองหมั ด อั น ดุ ดั น ก็ จ ะเฝ้ า รอท่ า มั น อยู่
ตลอดเวลา
บัดซบ!
อักขระน่าขนพองสยองเกล้าบนหมัดทั้งสองของทหารยันต์ทองคาดา
คือสิง่ ใด มันไม่มีทางล่วงรู้ได้ แต่เฉียนชิงไม่ว่ามองเห็นอักขระเหล่านั้นครั้ง
ใด ล้วนไม่อาจระงับความรู้สึกประหวั่นพรั่นกลัวที่ผุดขึ้นในใจได้
เฉี ย นชิ ง มี พ รสวรรค์ ทั้ ง ยั ง มี ป ระสบการณ์ ร อบรู้ มั น ทราบว่ า ความ
กลัวที่ไม่อาจอธิบายได้นี้หมายถึงสิ่งใด
สิ่งที่ส ามารถทาให้ล างสังหรณ์ข องมั นกรีด ร้องระงมถึง เพียงนี้ ไ ด้ มี
เพียงสิ่งที่อันตรายสุดขีดเท่านั้น!
จะเป็นไปได้อย่างไร?
เจ้าตัวดาเบื้องหน้ามันนี้มิใช่ว่าเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดปิศาจหรอกหรือ?
หรือว่ามันพบพานเข้ากับหุ่นเชิดปิศาจไร้เทียมทาน?
เฉียนชิงทั้งตื่นตระหนกทั้งเดือดดาล!
อย่างไรก็ตาม ยามนี้หากมันถอยออกจากการต่อสู้ สถานะของมันจะ
กลายเป็นง่อนแง่นคลอนแคลนมากแล้ว ลาดับของมันในสิบองครักษ์หยาด
พิ รุ ณ จะเสื่ อ มทรุ ด ลงอย่ า งรวดเร็ ว และที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด จู่ ซ่ า งอาจสู ญ เสี ย
ความไว้วางใจในตัวมันไปจนหมดสิน
้
Page 9 of 11
ไม่มีสิ่งใดน่าสะพรึงกลัวยิ่งไปกว่านั้นอีกแล้ว!
สายเลื อ ดปิ ศ าจจั ก จั่ น จรั ส เวิ้ ง ว้ า งแม้ สู ง ศั ก ดิ์ แต่ พ วกมั น ไม่ ไ ด้
หลงเหลืออยู่มากเท่ากับในอดีตอีกแล้ว เหตุที่หลายปีมานี้ตระกูลของพวก
มันรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้อีกครั้ง เนื่องเพราะมันได้เสาะพบร่มไม้ใหญ่โตอันสุข
สบาย ที่เรียกว่าอวี่ไสว้
เฉียนชิงเป็นบุคคลอันชาญฉลาดผู้ห นึ่ง มันเข้าใจดีว่าจู่ซ่างของมั น
ชมชอบหรือชิงชังสิ่งใด
หากมันพลีชีพกลางสมรภูมิ อวี่ไสว้จ ะยังคงดูแลตระกูล ของมันเป็น
อย่างดี จะไม่ปล่อยให้เสื่อมทรุ ดลง แต่ห ากมันถอยหนีออกจากการต่อสู้
เบื้องหน้า ทุกสิ่งที่มันครอบครองในยามนี้จะอันตรธานหายไปทันที!
ในช่วงเวลาอันกระชั้นสั้น เฉียนชิงก็ตกลงใจขั้นเด็ดขาด
มันหยุดท่าร่างวูบหนึ่ง ปล่อยให้ส ายลมกระโชกผ่านใบหน้า ดวงตา
ตื่นตระหนกสงบลงทันควัน
‘ฉีกมิติ’ เป็นพรสวรรค์ที่ยอดฝีมือปิศาจจักจั่นจรัสเวิ้งว้างทุกตนล้วน
ถือครอง นับเป็นความสามารถที่เลื่องลือ ระบือนามที่สุดของตระกูลปิศาจ
จักจั่นจรัสเวิ้งว้าง วิชานี้มันถนัดจัดเจนเป็นอย่างยิ่ง แต่นี่ยังมิใช่กระบวน
ท่าไม้ตายขั้นสุดยอดของมัน
ลาพังแค่ ‘ฉีกมิติ’ ของมัน ก็เพียงพอให้มันเบียดเสียดเข้าสู่สิบล าดับ
แรกแห่งกององครัก์หยาดพิรุณแล้ว
สังขารปิศาจที่เฉียนชิงฝึกปรื อคือสังขารปิศาจใด พลังเขตแดนที่ก่อ
เกิดจากสังขารปิศาจนัน
้ เรียกว่าอะไร แทบไม่มีผู้ใดล่วงรู้
Page 10 of 11
นี่คือความลับสุดยอดของมัน!
เที ย บกั บ จ านวนน้อ ยนิ ดที่ ห ลงเหลือ อยู่ ใ นปัจ จุบั น เผ่ า ปิ ศ าจจักจั่น
จรัสเวิ้งว้างเคยมีจานวนมหาศาล ให้กาเนิดยอดยุทธ์มากมาย พวกมันเป็น
นักฆ่าโดยธรรมชาติ เบื้องหน้ารับใช้ขุมกาลังหลายฝ่าย แต่ในทางลับลอบ
รวบรวมทักษะปิศาจจากทุกสถานที่ที่พวกมันเข้ารับใช้
ยอดยุทธ์ที่โดดเด่นในแต่ละรุ่นจะอาศัยทักษะปิศาจเหล่านี้ ผสานรวม
กั บ สายเลื อ ดปิ ศ าจจั ก จั่ น จรั ส เวิ้ ง ว้ า ง ใช้ เ ป็ น รากฐานในการเพาะสร้ า ง
สังขารปิศาจมากมายหลายชนิด
สังขารปิศาจที่ถื อก าเนิ ดขึ้น ใหม่ ทั้งผิดแผกหลากหลายแทบไม่ มี ที่
สิ้นสุด แต่ละชนิดมีพลังพิเศษเฉพาะของตน
แม้ว่าจะอยู่ร่วมตระกูลปิศาจจักจั่นจรัสเวิ้งว้างเช่นกัน แต่มักไม่ค่อยมี
คนเลือกฝึกปรือสังขารปิศาจชนิดเดียวกัน แต่เนื่องเพราะความเสื่อมทรุ ด
ของตระกูลปิศาจจักจั่นจรัสเวิ้งว้าง สังขารปิศาจที่สมาชิกตระกูลแต่ล ะคน
ฝึกปรือไม่ได้เก็บเป็นความลับเหมือนเช่นในอดีตอีก แต่นี่ยังมีข้อยกเว้น ยัง
มีคนผู้หนึ่งที่กระทั่งผู้คนในตระกูลไม่ล่วงรู้ว่ามันฝึกปรือสังขารปิศาจชนิด
ใด นั่นก็คือเฉียนชิง ปิศาจจักจั่นจรัสเวิ้งว้างที่โดดเด่นที่สุดในยุคปัจจุบัน!
มันไม่เคยคาดฝันมาก่อน ว่าครั้งแรกที่สังขารปิศาจของมันจะได้อวด
โฉมต่อโลกหล้า คู่ต่อสู้ของมันกลับเป็นเพียงหุ่นเชิดปิศาจตนหนึ่ง!
ความหวาดกลัวในดวงตาเฉียนชิงสลายหายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่ ก็
คือความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้น!
Page 11 of 11
บทที่ 641 ปู้หลี14
หลัวหลีดูเหมือนอยู่ในความฝันอันกระจ่างชัด
เป็นความฝันที่แปลกประหลาดยิ่ง มันล่วงรู้ว่าตัวมันเองกาลังฝัน แต่
ทุ ก สิ่ ง ทุ ก อย่ า งในโลกแห่ ง ความจริ ง กลั บ กระจ่ า งชั ด อยู่ ต รงหน้ า มั น
สามารถได้ยินเสียงหายใจของศิษย์น้องหญิงเสี่ยวกั่วกับศิษย์น้องหญิงหลี่
อิงฟ่ง มันสามารถสัมผัสถึงอณูเล็กจ้อยที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ มันสามารถ
รู้สึกถึงกระแสอากาศไหลเวียนในที่ ห่า งออกไปสิ บลี้ ซึ่งล าพังแค่ ม องยั ง
แทบจะมองไม่เห็น ทุกสรรพสิ่งคล้ายไหลผ่านมันไปในชั่ววิบตา มันยังรู้สึก
ถึงพลังแห่งธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ภายใต้พ้ น
ื ปฐพี... ...
รายละเอียดของโลกภายนอก บุกรุ กเข้ามาภายในความรู้สึกของมัน
อย่างเงียบ ๆ ผ่านทางดวงตาแห่งจิตของมัน
ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันมีเพียงความมืดมิด ความมืดมิดเป็นแผ่นผืนที่
เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย
มันตายไปแล้ว!
ชิ้ น ส่ ว นของความรู้ สึ ก รั บ รู้ ที่ ยั ง หลงเหลื อ ในใจมั น พร่ า บอกต่ อ มั น
เช่นนี้ไม่ทราบว่ากี่วันมาแล้ว
นับตั้งแต่แรกเริ่ม มันจมอยู่ในโลกอันเปี่ ยมล้นสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วย
รายละเอียดนี้ มันเฝ้าส ารวจตรวจดู ทุกสรรพสิ่งที่บังเกิ ดขึ้นรอบข้ า งไม่
14
หลัวหลี – พลัดพรากแยกจาก หว่อหลี – แยกตัวเอง ปู้หลี – ไม่แยกจาก
Page 1 of 12
อาจหลุดรอดไปจาก ‘ดวงตา’ ของมันได้ แม้ว่ามันจะมองไม่เห็นสิ่งใดเลยก็
ตาม แต่รอจนค่อย ๆ ช่าชองชานาญในทักษะฝีมือชนิดนี้ หรืออาจเรียกว่า
เคล็ดวิชาลับอันพิเศษเฉพาะวิชานี้ ความฝันมรณะสีดาทมิฬยังคงไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
หลัวหลีไม่เคยลืมเลือนเหตุผลที่มันมาอยู่ที่นี่
เงาร่างงดงามที่ยังเฝ้าหลอกหลอนหัวใจมัน พลันปรากฏขึ้นท่ามกลาง
ความมืดมิดในความฝันของมัน
มันเพียรพยายามทุกวิถีทาง เพื่อเพิม
่ เติมสีสันลงไปในความฝันมรณะ
สีดาทมิฬ มันสร้างสีสันขึ้นมา เพื่อแตะแต้มขีดวาดลงบนเงาร่างที่ มั น ไม่
อาจลืมเลือน
รอจนสีสันเสี้ยวสุดท้ายแตะแต้มลงไปในดวงตาของหว่อหลี หว่อหลีที่
แข็งทื่อดุจหุ่นไม้พลันกลับกลายเป็นมีชีวิต
เงาร่ า งสู ง สง่ า เยือ กเย็ นประดุ จ ดอกบั ว ตูมค่ อ ย ๆ แย้ ม บาน ดวงตา
กระจ่างจ้าแฝงเร้นกลิ่นอายฆ่าฟันเลือนราง นางมองดูหลัวหลีด้วยสายตา
ซับซ้อน ริมฝีปากอิ่มเผยอแย้ม เอื้อนเอ่ยลานาขับขาน “ข้าอยู่ เจ้าตาย นี่
คือการแยกจาก!”
ตูม!
ประหนึ่งสายฟ้าฟาดกลางแจ้ง คล้ายมีบางสิ่งหวดใส่ศีรษะของหลัว
หลีอย่างถนัดถนี่
โลกมืดมิดสีดาทะมึนเริ่มพังทลาย มันรู้สึกราวกับว่าร่างกายของตน
กลั บ กลายเป็ น โปร่ ง ใส ส่ ว นร่ า งของหว่ อ หลี ค่ อ ย ๆ เปลี่ ย นเป็ น มี ตั ว ตน
Page 2 of 12
ความมืดพุ่งเข้ามาควบรวมกันอย่างบ้าคลั่งตรงกึ่งกลางระหว่างคนทั้งสอง
ก่อตัวเป็นโซ่สีดาที่มีปลายข้างหนึ่งยึดติดอยู่บนร่างของหลัวหลี ส่วนปลาย
อีกข้างหนึ่งเชื่อมต่อกับร่างกายของหว่อหลี
ในใจหลัวหลีบังเกิดความเข้าใจประการหนึ่ง ความปลาบปลื้มยิน ดี
พลันพลุ่งขึ้นท่วมท้นในใจ
กุญแจเป็นตาย ที่แท้นี่ก็คือกุญแจเป็นตาย!
ไม่ถูกต้อง มันรู้สึกว่านาม ‘กุญแจเป็นตาย’ ยังไม่ค่อยเหมาะสมนัก ดู
ท่ า ยอดคนที่ คิ ด ค้ น เคล็ ด วิ ช านี้ ขึ้ น มาก็ ไ ม่ อ าจคาดเดาได้ ว่ า จะเกิ ด การ
เปลี่ยนแปลงใดขึ้นในภายหลัง
มันฉุกใจวูบ พลันชี้ไปที่โซ่สีดา กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “โซ่นี้เรียกว่า
ปู้หลี!”
หว่ อ หลี พ อได้ ยิ น ประโยคนี้ ร่ า งพลั น สะท้ า นขึ้ น เบา ๆ ดวงตาเย็ น
เยือกของนางนุ่มนวลลง เจตจานงกระบี่ห่อหุ้มห่มคลุมทั่วร่างอันงดงาม ริม
ฝีปากเอื้อยเอ่ยลานาอีกครา “พลัดพรากแยกจาก หนึ่งอยู่หนึ่งตาย สอง
หัวใจเชื่อมโยงผูกพัน ไม่เคยพลัดพราก เวียนว่ายตายเกิด ร้อยชาติพันภพ
ไม่แยกจากกัน”
ล านาขับขานพอสิ้นสุดลง ลวดลายอักขระอันซับซ้อนจานวนนับไม่
ถ้วนพลันพวยพุ่งออกจากร่างของคนทั้งสอง แยกย้ายกระจายตัวไปตาม
สายโซ่ อักขระที่ออกมาจากร่างของหลัวหลีเปล่งประกายมืดมนอนธกาล
ในขณะที่อักขระจากร่างของหว่อหลีสาดแสงสีขาวกระจ่างตา พลังงานทั้ง
สองสายเชื่อมโยงหลอมรวมกันอยู่ที่ก่งึ กลางของสายโซ่
Page 3 of 12
ติง!
สายโซ่สั่นสะท้าน แล้วพลันแปรเปลี่ย นเป็นสี แ ดงสด ห่วงข้อโลหะ
เหล่านี้กลับกลายเป็นเงื่อนปมผูกพัน เป็นด้ายแดงแห่งชะตากรรมที่ผูกรัด
คนทั้งสองชั่วนิรันดร์กาล
เส้นด้ายแดงค่อย ๆ กลายเป็นจางลง จนกระทั่งเลือนหายไปกับตา
แต่หลัวหลีสามารถรู้สึกถึงเส้นด้ายแดงได้โดยง่าย มันทราบว่านับแต่
นี้ไป ชะตากรรมของมันจะผูกพันอยู่กับชะตากรรมของหว่อหลีไปตลอด
กาล แม้กระทั่งความตายยังไม่อาจพลัดพรากพวกมันจากกัน.
มันยังทราบว่ามันไม่ใช่คนมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว
แต่ในใจของมันมีแต่ความสุขสาราญ
ได้พบนางอีกครั้งก็คุ้มค่าแล้ว อื่นใดหาได้สาคัญไม่
ปีกโปร่งใสบนแผ่นหลังของเฉียนชิงสั่นสะเทือนด้วยความเร็วสูงยิ่ง
คลื่นโปร่งใสไร้รูปลักษณ์ชนิดหนึ่งยึดถือเฉียนชิงเป็นจุดศูนย์กลาง แผ่ซัด
ออกรอบข้างในชั่วพริบตา
รอจนคลื่นระลอกแรกแผ่ซัดใกล้ เข้ามา เซี่ยงตงผู้อยู่ไม่ห่างจากเฉีย
นชิงพลันรับรู้ถึงอานุภาพที่แฝงเร้นอยู่ภายใน รีบดีดกายล่าถอยเร็วรี่!
คลื่นโปร่งใสนี้บางเบาดุจเส้นผมลอยละล่องอยู่ในอากาศ
Page 4 of 12
คลื่นโปร่งใสระลอกแรกพอกวาดซัดถูกทหารยันต์ทองคาดา ร่างของ
มันสว่างวาบอย่างฉับพลัน ลวดลายอักขระค่ายกลคล้ายถูกปลุกเร้าอย่ าง
รุนแรง พวยพุ่งออกมาจากผิวสีทองคาดาไม่ขาดสาย
ทหารยันต์ทองคาดารอยยิ้มไม่แยแสบนใบหน้าสลายวับ สายตากลับ
กลายเป็นยะเยียบเย็นชาในบัดดล
วิชาคลื่นเสียง!
ระลอกคลื่นที่ดูคล้ายไม่มีพิษมีภัยเหล่านี้ เป็นการจู่โจมด้วยคลื่นเสียง
ที่ทรงอานุภาพสุดขั้ว!
‘ม่านไหมจักจั่น!’
นี่คือนามของสังขารปิศาจที่เฉียนชิงฝึกปรือสาเร็จ นอกจากตัวมันเอง
แล้วไม่มีผู้ใดล่วงรู้อีก ในตระกูลปิศาจจักจั่นจรัสเวิ้งว้าง วิชาคลื่นเสียงเป็น
เพียงฝีมือส่วนน้อยเท่านั้น แต่ ‘ม่านไหมจักจั่น’ ของมันทรงพลานุภาพยิง่
แท้ที่จริงแล้ววิชาพลังคลื่นเสียงยากจะเข้าใจได้ จึงมีผู้ฝึกปรือไม่มากนัก
อู่อวี้ที่ข้างรถศึกครางอืมม์ อย่า งประหลาดใจเล็กน้ อย “ในแขนเสื้ อ
ของเฉียนชิงถึงกับมีฝีมือเช่นนี้ซ่อนอยู่ด้วย ดูท่าจะมีหวังได้ชัยอยู่บ้าง”
“ปิศาจจักจั่นจรัสเวิ้งว้างเคยเป็นสายเลือดสูงศัก ดิ์ เมื่อครั้งกระโน้น
พวกมันทรงพลังอานาจยิ่ง แม้ว่าปัจ จุบันจะเสื่อมทรุ ดลงไปมาก พวกมัน
ยังคงมีข องวิเศษอยู่ในมือไม่น้อย วิชาคลื่นเสียงนี้ไม่เลวเลย ดูท่าการชุบ
เลี้ยงมันจะยังคงมีคุณค่าอยู่” อวี่ไสว้กล่าวเสียงแผ่วเบา
อู่อวี้ผงกศีรษะพลางกล่าว “ข้าจะคอยระวังเพื่อช่ วยเหลือเฉียนชิงได้
ทันการณ์ หุ่นเชิดปิศาจตนนี้เลิศล้าโดยแท้ หากจู่ซ่างสามารถรับตัว เซี่ ยว
Page 5 of 12
ม่อเกอเข้าสังกัด จะมีคุณค่าเทียบเท่ากับองครักษ์หยาดพิรุณคนอื่น ๆ ทั้ง
เก้าคน!”
อวี่ไสว้หวั่นไหวใจไม่น้อย แต่ยังคงไม่เอ่ยคาใด
การต่อสู้บนท้องฟ้ายิ่งมายิ่งดุเดือดรุนแรง
อักขระโบราณบนฝ่ามือของทหารยันต์ทองคาดากล้าแกร่งทนทานยิ่ง
พลั ง คลื่ นเสีย งต่อ ให้ค มกล้า ยิ่ งกว่ า กระบี่ บิ นยั งถูก ฝ่า มื อ ของมัน ฟันขาด
เป็นเสี่ยง ๆ
แต่ม่านไหมจักจั่นยังคงห้อมล้อมเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง อย่างไม่มีที่
สิ้นสุด
เฉียนชิงโคจรพลังสังขารปิศาจขึ้นไปถึงขอบเขตสูงสุด ไม่ออมรั้งสิ่งใด
ไว้ เ บื้ อ งหลั ง ปี ก โปร่ ง ใสบนแผ่ น หลั ง ยิ่ ง มายิ่ ง สะบั ด อย่ า งเร่ ง ร้ อ นขึ้ น ทุก
ขณะ กลับกลายเป็นพร่าเลือน จนกระทั่งกลายเป็นแสงสว่างผืนหนึ่ง
ม่านไหมจักจั่นทวีพลังขึ้นเป็นลาดับ ผนึกรวมตัวหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นเอง ทหารยันต์ทองคาดาริมฝีปากผุดรอยยิ้มประหลาดลี้ลับ
วูบหนึ่ง
รอยยิ้มประหลาดลี้ลับพอปรากฏขึ้นบนใบหน้าเฉยเมยของมัน กลับ
กลายเป็นยิ่งน่าขนพองสยองเกล้ากว่าเดิม
มันพลันพ่นลมออกจากปากเฮือกใหญ่ จากนั้นอ้าปากดูดอย่างเกรี้ยว
กราด!
ซู๊ด!
Page 6 of 12
ราวกับปลาวาฬดูดน้ า ม่านไหมจักจั่ นที่ล อยแน่นขนัดอยู่ในอากาศ
พลั น ม้ ว นตั ว เป็ น เกลี ย ว ไหลบ่ า เข้ า ไปในปากของทหารยั น ต์ ท องค าด า
อย่างบ้าคลั่ง!
เพียงชั่วกะพริบตาเดียว ม่านไหมจักจั่นทั้งหมดในอากาศก็หายวับไป
สิ้น ราวกับว่ามีใครกวาดล้างพวกมันออกไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
เอิ๊ก!
ทหารยันต์ทองคาดาส่งเสียงเรอดังลั่นอย่างอิ่มอกอิ่มใจ จากนั้นแสยะ
ยิม
้ แยกเขี้ยว ยักคิว
้ ให้แก่เฉียนชิง พลางถามอย่างกะลิม
้ กะเหลี่ยว่า “พี่ชาย
มีอีกหรือไม่?”
เฉียนชิงได้แต่เหม่อมองอย่างโง่งม
เซี่ ย งตงไม่ ค าดฝั นว่ า การที่ มัน ล่า ถอยหลบเลี่ย งจากพลัง คลื่นเสียง
ของเฉียนชิง จะเป็นเหตุให้อากุ่ยเปิดฉากลงมือจู่โจมมันทันควัน
สตรีประหลาดนางนี้จู่ ๆ ปรากฏขึ้นข้างกายมันราวกับเงาภูต พราย
เริ่มการต่อสู้โดยไม่บอกกล่าว เซี่ยงตงปฏิกิริยารวดเร็ว ทราบดีว่าอากุ่ยน่า
สะพรึงกลัวปานใด ยามคับขันไม่ลนลาน จี้ดรรชนีใส่อากุ่ยอย่างทันท่วงที
ล าแสงสีเขียวสดใสพลันพวยพุ่งออกจากปลายนิ้ว กรีดจู่โจมเข้าหา
อากุ่ยในระยะประชิด!
อากุ่ยเหยียบย่าเท้าเปล่าลงบนอากาศธาตุ จากนั้นร่างของนางหาย
วับไปกับตา
ปัง!
Page 7 of 12
เซี่ยงตงคล้ายถูกหวดฟาดด้วยค้อนหนักหน่วงเท่าขุนเขา ร่างสะท้าน
ขึ้นอย่างรุนแรง ต้องกระแทกเท้าถอยหลังไปหลายก้าว
มันมีสีห น้าน่าเกลียดยิ่ ง มันทราบดีว่าอากุ่ยยากรั บมือยิ่ง กว่ า ทหาร
ยันต์ทองคาดา แต่รอจนได้ประมือกับนางจริง ๆ มันค่อยล่วงรู้ว่าอากุ่ยยัง
ยากรับมือยิ่งกว่าที่มันคิดเอาไว้มาก
การโจมตี ข องอี ก ฝ่ า ยไม่ เ คยมี เ ค้ า ลางล่ ว งหน้ า ทั้ ง เต็ ม ไปด้ ว ยพลั ง
ประหลาดที่ไม่อาจคาดคานวณได้
แกรก ชุดเกราะบนแผ่นหลังของมันปรากฏรอยปริแตกขึ้น
เซี่ ย งตงผู้ นี้ เ ป็ น ปิ ศ าจเต่ า เขี ย วจากอาณาจั ก รทะเลตะวั น ออก
กระดองเต่าของมันแข็งแกร่งทนทานจนกระบี่บินมิอาจระคาย เกือบจะ
เป็นชุดเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคปัจจุบัน มั นเอาชีวิตรอดมาจากการศึก
นับครั้งไม่ถ้วนได้ก็ด้วยการพึ่งพาอาศัยชุดเกราะที่ไม่มีวันบุบสลายนี้เอง
ค่อย ๆ เติบโตกล้าแข็งจนกระทั่งมีศักดิ์ฐานะเช่นทุกวันนี้
แต่ว่า... ...
มันมองดูอากุ่ยด้วยสายตาประหวั่นพรึงพรึง กระทั่งชุดเกราะที่ไม่เคย
แตกร้าวมาก่อน ยังถึงกับถูกการโจมตีที่คล้ายเรียบง่ายของสตรีประหลาด
นี้กระแทกใส่จนปริแตก!
บัดซบ!
ทว่าอากุ่ยไม่มีทีท่าว่าจะใจดีมีเมตตา สองมือของนางยังคงโหมซัดไม่
ขาดสาย
ปัง ปัง ปัง!
Page 8 of 12
การจู่โจมอันทรงอานุภาพกระหน่าซัดใส่เซี่ยงตงดุจห่าฝน
ทุกหมัดเท้าฝ่ามือที่ประเคนเข้าใส่ เซี่ยงตงร่างสะท้านขึ้นเป็นระลอก
หลังจากทนรับการโจมตีต่อเนื่องไม่ข าดสาย ร่างของมันสะบัดเริดไปมา
เหมือนลูกเต๋าถูกเขย่า มันไม่ว่าจะถอยหนีไปทิศทางใดการโจมตีของอากุ่ย
ล้วนรอรับมันอยู่แล้ว โดยไม่เคยพลาดเป้า
อากุ่ยยามที่ฟาดฝ่ามื อใส่กลางอากาศ พลังสีม่วงในดวงตานางสาด
ประกายโชติ ช่ ว ง ทว่ า สายตาของนางไม่เ คยมองเซี่ย งตง แต่ จั บ นิ่ งอยู่ที่
จั่วม่อ
ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงกังวล!
จั่วม่อรู้สึกได้ถึงสายตาห่วงกังวลของอากุ่ย แต่มันในยามนี้ไม่มีปัญญา
ตอบสนอง ภายในร่างกายมันบังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง พลัง
เทพและสังขารปิศาจของมันกาลังหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์!
พลังรู ปเกลียวเล็ก ๆ แต่ละเส้นสาย ไหลผ่านไปทั่วร่างกายมันดั่งหิน
หลอมเหลวอันร้อนระอุ
แผนผังปิศาจรู ปดวงอาทิตย์ท้ังสิบ ประหนึ่งดวงสุริยันเจิดจรัส แผด
เผาด้วยพลังแข็งกล้าและความร้อนอันชวนสะท้านใจ
สิ่งที่ทาให้จ่ัวม่อยิ่งประหลาดใจยิ่ง คือพลังเหล่านี้โคจรอย่างแช่ม ช้า
ไปตามเส้นทางอันเป็นเอกลักษณ์
แต่จ่ว
ั ม่อไม่มีเวลากระทั่งจะปลาบปลื้มยินดี มีแต่ความตื่นตะลึง เนื่อง
เพราะมันเพิง่ จะค้นพบวิธีการที่แท้จริงในการใช้อุปกรณ์สวรรค์สิบอีกา!
Page 9 of 12
โคจรหมุนเวียน!
เป็นการโคจรหมุนเวียน!
เมื่อดวงอาทิตย์ท้ังสิบโคจรหมุนเวียน พลังอันแกร่งกร้าวไพศาลก็อัด
แน่นทะลักล้นอยู่ภายในกายมัน
พลังนี้ผิดแผกแตกต่างจากอุปกรณ์ส วรรค์สิบอีกาที่มันเคยเข้า ใจมา
ก่อน เต็มไปด้วยพลังสุดหยางสุดแกร่งกร้าว แต่กลับมิได้อหังการสยบโลก
หล้ า เช่ น เดิ ม กลั บ กว้ า งใหญ่ ไ พศาลดุ จ ห้ ว งสมุ ท ร อบอุ่ น อ่ อ นโยนปาน
แสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่ง
จั่วม่อโคจรพลังเขตแดนสวรรค์สิบอีกาที่ยังแปลกหน้าสาหรับมัน ไป
ตามจิต ใต้ส านึก พลังหยางอันเปี่ ยมล้นสมบูรณ์ไหลทะลักเข้าสู่ เขตแดน
สวรรค์สิบอีกาอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนัน
้ ดวงอาทิตย์ท้งั สิบยิง่ หมุนวนเร่งร้อนกว่าเดิม!
พลังที่ไหลเข้าสู่เขตแดนสวรรค์สิบอีกา ยิ่งทะลักทลายมากขึ้น
จั่วม่อดูเหมือนเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง เขตแดนสวรรค์สิบอีกาพองตัวอย่าง
รวดเร็ว กวาดวาบออกทุกทิศทางในบัดดล รอจนเติบโตได้ระดับหนึ่งก็ ไม่
ขยายตัวอีกต่อไป แต่การโคจรหมุนวนของดวงอาทิตย์ท้ังสิบไม่เคยหยุดนิ่ง
พลังมากมายมหาศาลยังคงหลากล้นเข้าไปในเขตแดนสวรรค์สิบอีกาอย่าง
ต่อเนื่อง
ความเข้าใจสายหนึ่งค่อย ๆ กระจ่างขึ้นในใจ
ในแง่ ห นึ่ ง ดวงอาทิ ต ย์ ร้ อ นแรงสู ง ส่ ง เหนื อ ผู้ ใ ด แต่ ใ นอี ก ทางหนึ่ ง
ความร้อนของมันก็ให้กาเนิดสิง่ มีชีวิตทั้งมวล
Page 10 of 12
ดวงอาทิตย์เป็นต้นกาเนิดแห่งสรรพชีวิต!
ประโยคนี้เมื่อผุดขึ้นในใจ ร่างกายของจั่วม่อพลันสะท้านขึ้นพร้อ ม
กัน!
อุ ป ก ร ณ์ ส ว ร ร ค์ สิ บ อี ก า ที่ อั ด แ น่ นไ ป ด้ ว ย พลั ง เ ริ่ ม บั ง เ กิ ด ก า ร
เปลี่ยนแปลงเป็นคารบสอง
พลั ง ชี วิ ต แผ่ท ะลักอย่า งฉับ พลัน ต้ น หญ้ า เขีย วงอกเงยขึ้น พวกมั น
เติบโตด้วยระดับความเร็วอันน่าตระหนก เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ก่อเกิ ด
เป็ น ทะเลหญ้ า ขึ้ น ต่ อ หน้ า ต่ อ ตาของจั่ ว ม่ อ จากนั้ น ต้ น ไม้ เ ล็ ก ๆ ยื ด ยาว
ออกมาจากท่ า มกลางพงหญ้ า พวกมั น พุ่ ง สู ง ชะลู ด ขึ้ น ไปถึ ง ท้ อ งฟ้ า
กลายเป็นผืนป่าแน่นขนัดและอุดมสมบูรณ์
สัตว์ป่าเริ่มปรากฏขึ้นในราวป่า
จั่วม่อคล้ายได้รับแก่นสารของความเข้าใจอีกครั้ง มันเงยหน้าขึ้น จ้อง
มองไปยังท้องฟ้า
เห็นดวงอาทิตย์แขวนค้างอยู่กลางหาว
แต่เมื่อพลังไหลเข้ามา ก่อเกิดดวงอาทิตย์อีกหนึ่งดวง
ดวงอาทิตย์ที่สามถือกาเนิด ดวงอาทิตย์ที่สี่ถือกาเนิด ... ...
ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มเหี่ยวเฉา แผ่นดินเริ่มแตกระแหง สรรพสัตว์ล้มตาย
สิ้น!
รอจนดวงอาทิตย์ดวงที่สิบปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า
Page 11 of 12
เปลวไฟปะทุ ขึ้ น พื้ น ปฐพี ลุ ก โชติ ช่ ว งด้ ว ยทะเลเพลิง อหั งการ ท้ อ ง
นภาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน กระแสเปลวไฟไหลเวียนไปทั่ว แผดเผาสรรพ
สิง่ พื้นปฐพีที่เคยเปี่ ยมไปด้วยชีวิต กลายเป็นขุมนรกโลกันตร์!
เขตแดนสวรรค์สิบอีกา เขตแดนแห่งนรกโลกันตร์!
Page 12 of 12
บทที่ 642 อู่อวี้ลงมือ
อู่อวี้ตัดสินใจลงมือ
หากยามนี้มันยังไม่ล งมือ อีก เฉีย นชิงกับเซี่ย งตงคงกลายเป็น ผี เ ฝ้ า
สนามรบกั น ทั้ ง คู่ แ ล้ ว กององครั ก ษ์ ห ยาดพิ รุ ณ วั น นี้ สู ญ เสี ย ถงเซี ย นเซิ ง
กับซ่งหลงไปแล้ว หากยังปล่อยให้เฉียนชิงกับเซี่ยงตงต้องสิ้นชีพไปด้ ว ย
พวกมันจะประสบความสูญเสียหนักหนาสาหัสเกินไป
Page 1 of 12
ยอดยุทธ์ระดับนี้มิใช่จะเสาะหาเข้าสังกัดได้โดยง่าย
“แม่นางท่านนี้ โปรดยั้งมือไว้ไมตรีด้วย!”
อู่อวี้รวดเร็ วยิ่ง พลันปรากฏขึ้นด้านข้างอากุ่ยอย่างกะทันหัน ลงมือ
ช่วยเหลือเซี่ยงตงในบัดดล
สตรีประหลาดและทหารยันต์ทองคาดาแม้มีพลังเข้มแข็ง แต่ละคนมี
ฝีมือของตน แต่อู่อวี้ห าได้ห วาดหวั่นครั่นคร้ ามต่อพวกมันไม่ มันอยู่ห่าง
จากด่านไสว้เพียงครึ่งก้าว อาจนับได้ว่าเป็นจอมปิศาจด่ านไสว้ครึ่งตัว ต่อ
ให้ทอดตาทั่วร้อยเถื่อนแดนทมิฬมันยังเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือชั้นแนว
หน้าผู้หนึ่ง
อู่อวี้พอก้าวขึ้นไปกลางเวหา ทันใดนั้นสังหรณ์อันตรายอย่างแรงกล้า
พลุ่งขึ้นในใจ
มันใจสัน
่ สะท้าน ฝ่ามือขวาดีดฟาดขึ้นจากข้างกายตามสัญชาตญาณ
ปัง!
มือข้างนั้นสั่นระริก มันต้องรีบโคจรพลังทักษะปิศาจเข้ามาสะกดพลัง
แปลก ๆ ที่แตกปะทุอยู่ภายในมือข้างนั้น
นี่คือพลังเทพหรือไม่?
มันยังไม่ทันจะครุ่นคิดอันใดมากมาย การโจมตีข องอากุ่ยก็โ หมซั ด
เข้ามาเป็นจักรผัน
ฝ่ามือของอากุ่ยเพียงตบฟาดใส่อากาศธาตุ ไม่ก่อให้เกิดสุ้มเสียง ไม่มี
แสงพลังงาน แต่อู่อวี้รู้สึกราวกับว่ามันเป็นมุสิกที่อยู่ภายใต้สายตาของแมว
Page 2 of 12
ขนหั ว ลุ ก ชี้ ชั น จนสุ ด ปลาย สั ง หรณ์ อั น ตรายในใจยิ่ ง มายิ่ ง รุ น แรงขึ้ น ทุ ก
ขณะ
อู่อวี้ตระหนักถึงความเลวร้ายของสถานการณ์ สีหน้าเปลี่ยนเป็นหนัก
อึ้ ง เคร่ ง เครี ย ด ทั น ใดนั้ น นั ย น์ ต าข้ า งขวาส่ อ งประกายวาบ ล าแสงสี ฟ้ า
ครามพวยพุ่งออกมา
อากาศด้านหน้ามันผนึกแข็งตัวเหมือนแผ่นเหล็ก
ปัง!
ฝ่ามือเรียวงามตบฟาดกาแพงอากาศตรงหน้าแตกระเบิด กระแสลม
เย็นเยือกพัดกระโชกไปทุกทิศทาง
อู่อวี้ต่ น
ื ตะลึงวูบ แต่ดวงตายิ่งร้อนผ่าวกว่าเดิม สมกับที่เป็นพลังเทพ!
กระบวนท่ า ของมั น เมื่ อครู่ เ รี ย กว่ า ‘น้ า แข็ ง ฟ้ า คราม’ เย็ น เยี ย บสุ ด ขั้ ว
สามารถแช่ แ ข็ ง ชั้ น อากาศจนแข็ ง กล้ า เหมื อ นแผ่ น เหล็ ก หากมั น ผู้ ใ ด
กระทบถูก สามารถดับดิ้นสิ้นชีพในชั่วพริบตา
แต่ ก ารโจมตี ข องสตรี ป ระหลาดนางนี้ ย ากหยั่ ง คาด ทรงอานุ ภ าพ
อย่างน่าอัศจรรย์ คิดไม่ถึงว่าน้า แข็ง ฟ้า ครามของมันจะถูก ท าลายอย่ า ง
ง่ายดายถึงเพียงนี้!
แต่ถึงกระนั้นอู่อวี้ก็ยังคงปิติยินดี ความหวังในการก้าวเข้าสู่ด่านไสว้
ของมันในที่สุดก็เริ่มฉายแสงอีกครา หากมันสามารถฝึกปรือพลังเทพจะ
เป็นประโยชน์นับอเนกอนันต์ การบุกฝ่าเข้าสู่ด่านไสว้จ ะเป็นเพีย งเรื่ อ ง
ของเวลาเท่านั้น
Page 3 of 12
อู่อวี้กราศึกโชกโชน พลังฝีมือสูงเยี่ยม เมื่อน้าแข็งฟ้าครามช่ ว ยปิ ด
สกัดการโจมตีไว้ชั่วครู่ มันก็สามารถตั้งหลักมั่นในทันใด
ปีกค้างคาวสีดาทมิฬคู่หนึ่งแผ่กว้างออกมาบนแผ่นหลังของมัน บน
ขอบของแผ่นปีกเป็นกระดูกสีแดงเลือดที่ปกคลุมด้วยหนามแหลม ลาแสง
ไหลเวียนดุจเปลวไฟ นอกจากนี้มันยังถือเหรียญทองแดงทรงกลมพวงหนึ่ง
ใจกลางเหรียญเป็น รู รู ปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นับดูมีเจ็ดเหรียญห้ อยลงมาจาก
พวงเชือกสีดา
มันหัวร่อฮิฮะ พลางซัดเหรียญทองแดงเหล่านั้นขึ้นกลางอากาศ
“เหรี ย ญวิ เ ศษใจอ ามหิ ต !” จู เ ข่ อ ม่ า นตาหดแคบลงทั น ควั น สี ห น้ า
แปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เสียงอุทานประโยคนี้พอดังออกมา หลายคนหน้าเปลี่ยนสีทันควัน
ศาสตรามารชั้ น นภานั บ เป็ น สุ ด ยอดในบรรดาศาสตรามารทั้ ง มวล
จากอดีตกาลจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ อาวุธที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะจัดเข้า
สู่ ท าเนี ย บศาสตรามารชั้ น นภามี อ ยู่ เ พี ย งยี่ สิ บ เล่ ม เท่ า นั้ น เพี ย งแต่ ยั ง มี
ศาสตรามารบางเล่มที่ทรงพลังอานาจและน่าอัศจรรย์ พวกมันแม้ไม่ลี้ลับ
สุ ด หยั่ ง คาดเท่ า กั บ บรรดาศาสตรามารชั้ น นภา แต่ ยั ง คงจั ด เป็ น ยอด
ศาสตรามารในหมู่ศาสตรามารทั้งมวล เจ้านายของศาสตราวิเศษเหล่านี้
หากมิ ใ ช่ บุ ค คลอั น ร้ า ยกาจก็ เ ป็ น เจ้ า ผู้ ค รองแว่ น แคว้ น แห่ ง หนึ่ ง ยอด
ศาสตรามารในระดั บ ชั้ น นี้ เ พี ย งถู ก จั ด อยู่ ต่ า กว่ า ศาสตรามารชั้ น นภา
เล็กน้อย เรียกว่าศาสตรามารชั้นปฐพี แต่ล ะเล่มล้วนเป็นสมบัติวิเศษใน
แดนดิน ที่ผู้คนนับไม่ถ้วนเฝ้าใฝ่ฝันถึง
Page 4 of 12
ศาสตรามารชั้นนภามีท้ังสิ้นยี่สิบชิ้น ส่วนศาสตรามารชั้นปฐพีมีหนึ่ง
ร้อยแปดชิ้น
เหรียญวิเศษใจอามหิต เป็นหนึ่งในศาสตรามารชั้นปฐพีท้ังหนึ่งร้อย
แปดนั้นเอง
เหรียญทองแดงที่ดูธรรมดาสามัญในมือของอู่อวี้ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า
จะถึงกับเป็นเหรียญวิเศษใจอามหิตที่มีช่ อ
ื เลื่องลือ!
เหรี ย ญวิ เ ศษใจอามหิต มี ท้ัง สิ้นเจ็ด เหรี ย ญ ไม่ มี ผู้ ใ ดล่ ว งรู้ ว่ า ผู้ส ร้าง
เป็นใคร แต่ศาสตรามารชิน
้ นี้มีพลังพิเศษเฉพาะตัว สามารถสร้างเขตแดน
ได้ด้วยตัวเอง เรียกว่าเขตแดนไม่เป็นผล ภายในเขตแดนนี้ธาตุท้งั ห้าตกอยู่
ในสภาพปั่ นป่วนวุ่นวาย กระทั่งหยินหยางยังจะพลิกกลับตาลปัตร
เจ็ดเหรียญวิเศษลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วหายวับไปอย่างฉับพลัน
ภาพตรงหน้าอากุ่ยแปรเปลี่ยนในบัดดล แผ่นฟ้ากลับกลายเป็นอยู่ใต้
ฝ่าเท้าของนาง เหนือศีรษะเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล
อู่ อ วี้ แ ย้ ม ยิ้ ม เล็ ก น้ อ ย พลั ง เทพแม้ ก ล้ า แกร่ ง เกรี ย งไกร แต่ ท่ ื อด้ า น
ตรงไปตรงมา ในความเห็นของมันพลังเทพขาดการพลิกแพลง กับพลังที่
ยังไม่สมบูรณ์เช่นนี้ มันย่อมมีวิธีรับมือ
ทั น ที ที่ เ ขตแดนไม่ เ ป็ น ผลก่ อ เกิ ด ขึ้ น กระทั่ ง เทพเทวะยั ง ยากจะ
หลบหนีออกมาได้
แต่ เ พี ย งเท่ า นั้ น เอง กร๊ อ บ พลั น บั ง เกิ ด เสี ย งแตกหั ก ดั ง มาจากใน
ระยะใกล้ อู่ อ วี่ ช ะงั ก กึ ก จา กนั้ น ค่ อ ยมี ป ฏิ กิ ริ ย าตอบส นอง สี ห น้ า
แปรเปลี่ยนกลับกลาย สังหรณ์ร้ายแล่นวาบขึ้นในใจ
Page 5 of 12
จริงดังคาด รอจนมันหันกลับไป ก็พบเห็นเฉียนชิงลาคอบิดเบี้ยว สอง
ตาเหลือกถลน
ทหารยันต์ทองคาดาแสยะยิม
้ หัวร่อฮี่ฮี่ให้แก่อู่อวี้
อู่อวี้สีหน้าดาคล้า อวี่ไสว้ชมดูอยู่ที่นี่ แต่พวกมันกลับสูญเสียยอดยุทธ์
คนแล้วคนเล่า มิหนาซ้ายังมีส ายตาผู้ คนนั บไม่ถ้ วนเฝ้ า ชมดู หากเรื่อ งนี้
แพร่สะพัดออกไปย่อมไม่เป็นผลดี มันทราบว่าจู่ซ่างต้องการรับขบวนของ
เซี่ยวม่อเกอเข้าสังกัด แต่หากต้องเสื่อมเสียหน้ามากเกินไป เช่นนั้นก็ไม่มี
ประโยชน์อันใดอีกแล้ว
ช่างน่าเสียดายนัก!
หุ่นเชิดปิศาจนี้เมื่อสามารถสังหารเฉียนชิงอย่างง่ายดาย ก็เห็นได้ว่ามี
สติปัญญาสูงมาก หุ่นเชิดปิศาจที่มีความสามารถถึงระดับนี้พันปีย ากจะ
พบพาน ที่อู่อวี้ต้องเศร้าเสียดายก็เพราะว่า มันไม่คิดจะเก็บเจ้าหุ่นปิ ศาจ
ตัวร้ายนี้เอาไว้อีกแล้ว มันจาต้องลงมือเชือดไก่ให้ลิงดู!
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนกลับกลายได้อีก!
อู่อวี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา ปีกค้างคาวที่กลางหลังสะบัดพรึบ
ทหารยันต์ทองคาดารอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งค้าง มันคล้ายถูกบาง
สิ่งสะกดตรึงเอาไว้ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแม้แต่ปลายนิ้ว
ไม่ว่ามันจะดิ้นรนขัดขืนสักเพียงใด ก็ไม่อาจหลุดรอดเป็นอิสระได้
ทหารยันต์ทองคาดาแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ แผดร้องตะโกนสุดเสียง
“พี่ใหญ่ ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
Page 6 of 12
อู่ อ วี้ พ อฟั ง ต้ อ งแค่ น หั ว ร่ อ อย่ า งเย็ น ชา หุ่ น เชิ ด ปิ ศ าจตนนี้ ช่ า ง
สนุกสนานน่าสนใจโดยแท้ แต่สีหน้ามันเปลี่ยนเป็นยิ่งเคร่งเครียด “อย่าฝัน
ไปเลย ไม่มีใครจะช่วยเจ้าได้!”
กล่าวพลางหัวร่อออกมาอย่างกะทันหัน มันถึงกับต่อปากต่อคากับหุ่น
เชิดปิศาจตนหนึ่ง ช่างน่าหัวร่อนัก!
ทหารยั น ต์ ท องค าด าราวกั บ เสาทองค าที่ ปั ก ต รึ ง แน่ น ไม่ อ าจ
เคลื่อนไหวแม้แต่ปลายนิ้ว ได้แต่ร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายอย่างไม่คิด
ชีวิต
อู่อวี้ไม่แยแสสนใจมันอีก ตัดสินใจลงมือสังหารให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่
แล้ ว ทั น ใดนั้ น เอง สุ้ ม เสี ย งแหบพร่ า เล็ ก น้ อ ยพลั น กระซิ บ มาจากทาง
ด้านหลังของมัน “เป็นความจริง?”
อู่อวี้ตะลึงงัน ก่อนที่มันจะทันได้ต้ังสติ ภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไป
อย่างฉับพลัน
นั่นเป็นฟากฟ้าสี แ ดงก่ าผืนหนึ่ ง มีดวงอาทิต ย์สิ บดวงแขวนค้ า งอยู่
กลางหาว แผ่นหินรกร้างแตกระแหง ปกคลุมด้วยเปลวไฟที่ปะทุขึ้นอย่าง
ไร้ที่สิ้นสุด ในโลกแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถคงอยู่ เห็นกองกระดูกขาว
โพลนอยู่ท่ว
ั ทุกแห่ง ให้ความรู้สึกประหนึ่งแดนมิคสัญญีที่จุดสิ้นสุดของโลก
กาลังก่อตัวขึ้น
เขตแดนสวรรค์สิบอีกา!
อู่อวี้สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
เซี่ยวม่อเกอ! เซี่ยวม่อเกอลงมือแล้ว!
Page 7 of 12
เป็นไปตามที่คาด เห็นเงาร่างผอมสู งที่ส ะพายกรงเล็ บพิ ฆาตมั ง กร
ขนาดมหึมาบนแผ่นหลังปรากฏขึ้นใกล้ ๆ
อู่อวี้สีหน้าสงบลงอย่างรวดเร็ว พลางกวาดมองสารวจตรวจตราจั่วม่อ
อย่างสงสัยใคร่รู้ “โอ้ เจ้าเพิ่งจะฝ่าด่านสาเร็จ? สมกับที่เป็นยอดอัจฉริยะ
โดยแท้ ! ข้ า สั ง เกตแต่ แ รกว่ า เจ้ า อยู่ ใ นขั้ น ตอนที่ ใ กล้ จ ะส าเร็ จ เขตแดน
สวรรค์ ส วรรค์ สิ บ อี ก า แต่ บั ด นี้ เ จ้ า กลั บ ก่ อ ก าเนิ ด เขตแดนส าเร็ จ จริ ง ๆ
นับว่าไม่ง่ายเลย!”
มันแย้มยิม
้ เยือกเย็น ปีกค้างคาวที่กลางหลังโบกสะบัดอย่างแช่มช้า
กระแสอากาศหมุนคว้างปิดกั้นสายลมร้อนลวกจากเขตแดนสวรรค์
สิบอีกา
“เจ้ า เป็ น ยอดอั จ ฉริ ย ะของแท้ แ น่ น อน ข้ า ไม่ ย อมรั บ นั บ ถื อ ก็ ไ ม่ ไ ด้
แล้ ว ” อู่ อ วี้ ก ล่ า วพึ ม พากั บ ตัว เอง สองปี ก ยั ง กระพือ พลิ้ว ไม่ ห ยุ ด ยั้ง “ยั ง
เยาว์วัยแต่กลับมีความสาเร็จสูงล้าถึงเพียงนี้ คนเช่นเจ้าข้าเพิ่งจะเคยพบ
พานเป็นครั้งแรก”
วาจาฟังคล้ายยกย่องชมเชย แต่สีหน้าของมันกลับเต็มไปด้วยความ
ไม่ยอมรับนับถือ
“เจ้ายังฝึกปรือพลังเทพ ของวิเศษที่หลายคนเฝ้าใฝ่ฝันถึง เจ้าช่างมี
โชควาสนานัก” มันสั่นศีรษะ แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “แต่วันนี้เจ้ามีเพียง
หนทางเดี ย ว ยอมเชื่ อฟั ง และยอมจ านนแต่ โ ดยดี จงสาบานตนว่ า จะ
สวามิภักดิ์ต่อจู่ซ่างของข้า ต่อไปรับรองว่าเราจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่ างไม่
เป็นธรรม หากเจ้ายังยืนกรานต่ อต้านแข็งขืน ก็อย่าได้โทษว่าข้าไร้น้าใจ
Page 8 of 12
อ้อ แทบลืมบอกต่อเจ้า ข้ายังมีฝีมือในวิชาลับส าหรั บ ควานวิญ ญาณค้ น
ความทรงจาอีกด้วย”
อู่อวี้พลันแย้มยิม
้ เล็กน้อย “เจ้าคงรู้สึกยากลาบากมากกระมัง?”
จั่วม่อร่างสะท้านขึ้นเล็กน้อยแทบสังเกตไม่เห็น
“เขตแดนสวรรค์สิบอีกานี้ แกร่งกร้าวเกินกว่าที่พลังฝีมือของเจ้า ใน
ยามนี้ จ ะทนทานรั บ ไหว เจ้ า เมื่ อ บรรลุ ค วามเข้ า ใจถึ ง ระดั บ นี้ ก็ นั บ ว่ า มี
พรสวรรค์สูงล้ายิ่ง แต่น่าเสียดายที่สังขารร่างกายของเจ้ายังคงไล่ต ามไม่
ทัน”
อู่ อ วี้ ก ล่ า วเสี ย งราบเรี ย บ “ข้ า ที่ ใ ห้ โ อกาสเจ้ า เพี ย งเพราะเจ้ า มี
ความสามารถ เขตแดนสวรรค์สิบอีกาของเจ้าหากสาเร็จสมบูรณ์ เจ้าอาจ
สะกดข่มข้าได้บ้าง แต่ยามนี้เจ้ายังมิใช่คู่มือของข้า จงยอมจานนแต่โดยดี
เถอะ เจ้าไม่มีโอกาสได้ชัยแม้แต่น้อย”
“มารดามั น เถอะ ช่ า งพร่ า พิ ไ รมากความโดยแท้ ! ” จั่ ว ม่ อ ฝื น บั งคับ
ตั ว เองให้ แ ค่ น เสี ย งอย่ า งเย็ น ชา มื อ ขวาที่ ซ่ อ นอยู่ ด้ า นหลั ง สั่ น สะท้ า น
เล็กน้อย มันพยายามระงับยับยั้งอย่างสุดความสามารถ
อู่อวี้สั่นศีรษะ “คนยิ่งชาญฉลาด ยิ่งไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้าตา”
กล่าวจบคา สองปีกพลันสะบัดพรึบ
กระแสลมวนปรากฏขึ้นตรงหน้ามันอย่างกะทันหัน
สายลมหมุนคว้างอย่างเร่งร้อน ก่อเกิดเป็นเสาพายุที่ ยิ่งมายิ่งกราด
เกรี้ยวหนาหนัก เริ่มม้วนกวาดเศษหินเศษทรายบนพื้นขึ้นในลมพายุ เพียง
Page 9 of 12
ชั่วพริบตา เสาพายุกลับกลายเป็นสูงใหญ่หลายจั้ง และยังคงขยายตัวอย่าง
ไม่หยุดยั้ง
จั่วม่อไม่กล่าวคาใด ดวงอาทิตย์ท้ังสิบบนฟากฟ้าหมุนปั่ นอย่างแช่ม
ช้า
ตูม!
ทันใดนั้นเอง เสาเพลิงหลายสิบสายระเบิดขึ้นจากพื้น กลืนกินอู่อวี้ลง
ไปในบัดดล
“ไม่มีประโยชน์”
สุ้มเสียงของอู่อวี้กลับดังมาจากเบื้องหลังจั่วม่อ
มันปรากฏกายขึ้นด้านหลัง เปลวไฟไม่ระคายผิวมันแม้แต่น้อย เสา
พายุยังดูดกลืนเปลวไฟจานวนมากเข้าไปด้วย ก่อตัวเป็นพายุหมุนขนาด
ยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าห้าลี้ ประหนึ่งเสาสวรรค์ที่เชื่อมต่อฟ้า
ดินเข้าด้วยกัน กระทั่งดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ายังต้องหม่นหมองสีสัน
เศษหิ น เศษทรายปลิ ว เวี ย นว่ อ น แผ่ น ดิ น สะท้ า นสะเทื อ นเหมื อ น
ลูกเต๋าถูกเขย่า
จั่วม่อสีหน้ากลับกลายเป็นขัดตากว่าเดิม แต่มันยังคงเร่งเร้าพลัง ทั่ว
ร่าง หมุนปั่ นดวงอาทิตย์ท้งั สิบอย่างไม่หยุดยั้ง
ดวงอาทิตย์พลันลุกไหม้!
โลกเบื้องหน้าเริ่มหลอมละลาย ก้อนหินดินทรายเริ่มหลอมเหลว มวล
หิ น หลอมเหลวปะทุ อ อกมาตามรอยแยกของแผ่ น ดิ น เพี ย งชั่ ว กะพริ บ
Page 10 of 12
ตาเดียว มวลหินหลอมเหลวก็ไหลหลั่งเป็นแม่น้าหินหลอมเหลวนับไม่ถ้วน
ตัดไขว้ไปมาดุจตาข่าย
“เจ้าทาให้ข้าผิดหวัง” อู่อวี้กล่าวอย่างเฉยชา แทบจะในเวลาเดียวกัน
ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ
มันค้นพบตาแหน่งของเซี่ยวม่อเกอ
นั บ ตั้ ง แต่ อู่ อ วี้ ก้ า วเข้ า สู่ ร ะยะเขตแดนของเซี่ ย วม่ อ เกอ มั น ก็ ไ ม่
สามารถจับต าแหน่งที่แน่นอนของเซี่ยวม่อเกอได้อีก เขตแดนสวรรค์สิบ
อีกาเป็นเขตแดนของเซี่ยวม่อเกอ กลิน
่ อายของเจ้าของเขตแดนมักถูกซ่อน
เร้ น อยู่ ไ ว้ เ ป็ น อย่ า งดี อู่ อ วี้ เ พี ย รใช้ ว าจารบกวนสมาธิ ฝ่ า ยตรงข้ าม
จนกระทั่งเผยตาแหน่งของตนออกมา
อย่ า ได้ เ ห็ น ว่ า มั น กล่ า วอย่ า งปลอดโปร่ ง สบายใจ แท้ ที่ จ ริ ง อู่ อ วี้
ระมัดระวังเขตแดนสวรรค์สิบอีกาเป็นอย่างยิ่ง นี่คือเขตแดนอันดับหนึ่ง
แห่งด่านเจียง ทรงพลานุภาพสุดฟ้าสุดดิน หากมันต้องปะทะด้วย แม้ได้ชัย
ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย
แต่ ห ากมั น สามารถค้ น พบต าแหน่ ง ที่ แ น่ น อนของเซี่ ย วม่ อ เกอ มั น
จะต้องได้ชัยอย่างแน่นอน!
อู่อวี้รอจนค้นพบตาแหน่งของเซี่ยวม่อเกอ พลันจู่โจมสังหารโดยไม่
รีรอลังเล มันแม้กล่าววาจาเกลี้ยกล่อมมากมาย แต่ ยามลงมือกลับไม่ออม
รั้งยั้งมือแม้แต่น้อย ทุ่มเทใช้กระบวนท่าสังหารอย่างสุดกาลัง!
มันไม่มีเจตนาจะไว้ชีวิตเซี่ยวม่อเกอแม้แต่น้อย!
‘ตะขอค้างคาว!’
Page 11 of 12
จั่วม่อรู้สึกร่างแข็งทื่อ ร่างกายถูกพลังอันกล้าแข็งขุมหนึ่งสะกดตรึง
เอาไว้อย่างแน่นหนา พลังขุมนี้แปลกพิส ดารยิ่ง ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่ า ง
รุนแรงเท่าใด ก็ไม่อาจหลุดรอดเป็นอิสระได้
วู้ม ทันใดนั้นอู่อวี้ปรากฎกายขึ้นด้ านหลังจั่ ว ม่อ ปีกค้าวคาวราวกั บ
ดาบยักษ์สองเล่ม ฟาดฟันคมแสงสีเขียวใส่จ่ว
ั ม่ออย่างหักโหม
อู่อวี้มีความเชื่อมั่นอย่างเปี่ ยมล้นว่าดาบนี้สามารถผ่าร่างเซี่ยวม่อเกอ
ออกเป็นสองส่วน
ในเวลานี้เอง จั่วม่อคล้ายไม่ได้สังเกตเห็นมฤตยูคร่าชีวิตที่ฟาดฟันมา
จากทางด้านหลัง บนใบหน้าพลันผุดรอยยิ้มลี้ลับวูบหนึ่ง
Page 12 of 12
บทที่ 643 ดุเดือด
เห็นเส้นใยบางเฉียบราวเส้นผมหลายสิบเส้นสะบัดพลิว้ แวบวับอยู่ใน
อากาศ หากมิใช่วา่ เส้นใยมหาประลัยเหล่านีเ้ ปื ้อนเลือดของมัน อู่อวีจ้ ะไม่
มีทางสังเกตเห็นพวกมันแม้แต่นอ้ ย
นี่มนั อะไรกัน?
ปึ ด!
สายใยสามพันอาวรณ์!
เป็ นสายในสามพันอาวรณ์ท่ีกระทั่งกรงเล็บพิฆาตมังกรยังต้องยอมสยบ
ลําพังอู่อวีไ้ หนเลยจะมีพลังพอที่จะต้านทานพวกมันได้
ตะขอทมึฟบนร่างจั่วม่อก็ไม่ได้หายไปเช่นกัน มันยังถูกสะกดตรึงไว้อย่าง
แน่นหนา แต่รอยยิม้ เจิดจ้ากว่าเดิม นับตัง้ แต่แรกเริม่ มันก็ทราบดีแก่ใจ
ด้วยเขตแดนสวรรค์สิบอีกาที่มนั เพิ่งจะสําเร็จ โอกาสเอาชัยอู่อวี ้ มีไม่มาก
นัก
ดวงอาทิตย์ทงั้ สิบบนฟากฟ้าพลันหมุนคว้างอย่างเร่งร้อน
วูม้ !
เปลวไฟสีทองอ่อนเป็ นหนึ่งในไม้ตายสุดท้ายของจั่วม่อ
สิ่งของผีสางนีค้ ืออะไรกัน?
ต่อมาเห็นอู่อวีต้ า้ เหรินสามารถหยอกเย้ากับเซี่ยวม่อเกอในเขตแดนสวรรค์
สิบอีกาอย่างปลอดโปร่ง มันยิ่งรูส้ กึ คาดหวังมากกว่าเดิม เนื่องเพราะ
ความหวาดกลัวและเสื่อมเสียหน้าที่มนั ได้รบั เซี่ยงตงใครสังหารคน กลุม่ นี ้
ด้วยนํา้ มือของตน
มันจ้องมองเซี่ยงตงด้วยรอยยิม้ ประสงค์รา้ ย
บัดซบ
เงาร่างหลายสิบสายสาดพุ่งออกมาจากกององครักษ์หยาดพิรุณอย่าง
พร้อมเพรียง พวกมันเห็นอู่อวีต้ า้ เหรินตกอยู่ในห้วงอันตราย รีบเร่งรุดมา
ช่วยเหลือ
ซู่หลงกับพวกแม้สามารถเรียกได้ว่าอยู่เหนือระดับพลังทั่วไปในแดนปิ ศาจ
แต่พวกมันเพิ่งผ่านการทําศึกอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ชั่วขณะนีเ้ ป็ น
ช่วงเวลาที่พวกมันเหน็ดเหนื่อยถึงที่สดุ ในเวลาเช่นนีพ้ วกมันได้แต่เลี่ยง
ชีวติ เข้าต่อสู้ แต่เมื่อรวมกับที่ว่าพวกมันมีฝีมือในการร่วมมือประสานงาน
ยามกะทันหันจึงปิ ดสกัดการโจมตีระลอกนีเ้ อาไว้ได้อย่างหมดจด
คนอื่น ๆ เฝ้าชมดูอย่างงุนงงความทรหดอดทนของบรรดาบริวารของเซี่ยว
ม่อเกอบันดาลให้ทกุ ผูค้ นล้วนอัศจรรย์ใจ พวกมันเข้าใจว่าบริวารเหล่านี ้
เมื่อเผชิญศึกหนักกับกองโจรตระกูลหมิง ก็สมควรเหน็ดเหนื่อย แทบตาย
แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเผชิญหน้ากับกององครักษ์หยาดพิรุณอัน กระเดื่อง
ดังคนเหล่านีก้ ลับยืนหยัดต่อสูไ้ ม่ถอยแม้สกั ก้าวเดียว
บริวารอันกล้าแกร่งถึงเพียงนี ้ เซี่ยวม่อเกอไปควานหามาจากที่ใด?
หลายคนพบว่ายากจะเข้าใจได้จริง ๆ พวกมันล้วนเผชิญศึกหนักกับ
กองโจรตระกูลหมิงด้วยตัวเองเช่นกัน แต่นอกเหนือจากพวกจูเข่อไม่ก่ีคน
แล้ว คนอื่นๆ แทบทัง้ หมดล้วนเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะสิน้ แรงโดยสิน้ เชิง
เหล่าองครักษ์หยาดพิรุณถอยกรูดในบัดดล
ภายใต้การปลุกเร้าของอวี่ไสว้ ยอดทหารเลือดระอุแห่งกององครักษ์
หยาดพิรุณเริม่ โถมโจมตีออกจากแถวทัพไม่ขาดสาย
เฝ้ามองบรรดาองครักษ์หยาดพิรุณบุกตะลุยออกมาไม่ขาดสายเป๋ ยหาน
ระงับแรงกระตุน้ ที่จะเปิ ดฉากฆ่าฟั นอย่างยากเย็น
จุดอ่อนกําลังแผ่ลามไปอย่างช้า ๆ แต่ในกระบวนทัพหลักของกอง
กําลังอวี่ไสว้ยงั ไม่บงั เกิดการเปลี่ยนแปลงใด แม้ว่ามันจะลงมือในบัดดล ก็
ไม่อาจส่งผลคุกคามต่อกระบวนทัพหลักของฝ่ ายตรงข้ามได้
เป๋ ยหานยังคงเฝ้ารอคอยอย่างอดทน
“บุกโจมตี?” อวี่ไสว้ทวนคําเบา ๆ
“ใช่ขอรับ!” ผูใ้ ต้บงั คับบัญชากล่าวอย่างร้อนใจ เพียงแค่บกุ โจมตี หนึ่ง
ระลอก! หากยังปล่อยให้เป็ นเช่นนีต้ ่อไป จํานวนผูบ้ าดเจ็บล้มตายจะ
มากมายเกินไป!”
บนใบหน้าของผูค้ นเต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนไม่แน่ใจ
ทรงพลับพิฆาตมังกรบนแผ่นหลังคล้ายสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณอัน พลุง่
พล่านของมันต้องสั่นสะเทือนเบา ๆ
ตูม!
สิบดวงอาทิตย์ท่ีโคจรรอบกายมัคล้ายแตกระเบิดอย่างพร้อมเพรียง
“คุม้ กันจู่ซ่าง”
เสียงระเบิดกระหึ่มในอากาศคล้ายกระแทกใส่หวั ใจพวกมันโดยตรง
พืน้ ดินใต้ฝ่าเที่จสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น แต่ละคนถลึงตามองอย่างตื่นตกใจ
“ฮึม่ !”
อวี่ไสว้
อวี่ไสว้ในที่สดุ ก็ลงมือด้วยตัวเอง!
ผมยาวสีเขียวอ่อนสะบัดพลิว้ ในสายลม รูปหน้าคมสันดุจสลักเสลา จาก
หินผา ดวงตาเป็ นสีเขียวอ่อนจาง บนริมฝี ปาลประดับรอยยิม้ บางเบา มัน
คล้ายเปี่ ยมล้นไปด้วยมนต์ขลังอันแปลกพิสดาร
นี่ก็คืออวี่ไสว้ผมู้ ีนามกระเดื่องดัง!
มุมปากประดับด้วยรอยยิม้ อ่อนจางอันลีล้ บั
จากนัน้ ร่างของมันเริม่ เลือนหายไปในอากาศธาตุ ราวกับผสานเข้า กับ
ช่องว่างมิติอย่างลีล้ บั
อวี่ไสว้
เสากระทุง้ เมืองอีกาทองคํา
แตกต่างจากเสียงแหวกฝ่ าอากาศดังกระหึ่มเมื่อครูเ่ สาทองคําแหวก พุ่งลง
มาโดยไร้เสียงราวกับไม่มีตวั ตน
มันยื่นมือขวาออกไป ตบฟาดใส่เสาสีทองที่ถล่มลงมาจากฟ้าอย่างตรงๆ
เสียงคํารามประหลาดดังสะท้อนไปทั่วฟากฟ้า
การโจมตีระดับจอมปิ ศาจด่านไสว้ทรงอานุภาพไพศาลถึงเพียงนี!้
เคล้ง!
ชั่วพริบตานี ้ เวลาคล้ายหยุดนิ่ง
เห็นเสากระทั่งเมืองอีกาทองคําหยุดค้างอยู่เหนือศีรษะอวี่ไสว้ราว ยี่สิบจัง้
คลื่นกระแทกม้วนกวาดเข้าใส่พวกมันอย่างเร่งร้อน ประดุจกําแพง
เหล็กกล้าโถมทับก็มิปาน
ราวกับวันสิน้ โลกมาเยือนก็มิปาน!
มันตื่นตระหนกสุดระงับ
นับตัง้ แต่มนั บรรลุถึงด่านไสวก็ไม่ตอ้ งลงมือต่อสูอ้ ีก ไม่มีผใู้ ดหาญกล้า
พอที่จะท้าทายมัน ทั่วทัง้ ร้อยเถื่อนแดนทมิฬจอมปิ ศาจด่านไสว้นนั้ เป็ น
ตัวตนขัน้ สูงสุด แม้ว่ามันจะมุ่งเน้นการก่อร่างสร้างกิจการมากกว่า แต่ก็ไม่
เคยละเลยการฝึ กฝี มือบําเพ็ญเพียร
จั่วม่อร้อยพันไม่คิด คิดไม่ถึงว่าการปะทะหักหาญกับอวี่ไสว้เพียงหนึ่ง
กระบวนท่า จะทําให้ตราผนึกของเมล็ดผลึกสุรยิ นั ถึงกับแตกร้าว
กระแสความร้อนที่แทบสามารถหลอมละสายร่างกายของมันเล็ด ลอด
ออกมาจากเมล็ดผลึกสุรยิ นั อย่างแช่มช้า กระแสความร้อนนีม้ ีปริมาณ
น้อยมาก แต่ทนั ทีท่ีมนั ปรากฏออกมา พลังเทพอันปั่ นป่ วนภายใน ร่างกาย
ของจั่วม่อ ถึงกับสงบงันลงอย่างกะทันหัน
สภาพการณ์ท่ีพลังเทพหยุดเคลื่อนไหวอย่างสิน้ เชิงเช่นนี ้ จั่วมือเพิ่ง จะเคย
ประสบพบเจอเป็ นครัง้ แรก ความรูส้ กึ แปลกประหลาดเอ่อท้นขึน้ ในใจ
มันดวงตาแหลมคมถึงเพียงไหน แค่มองปราดเดียวก็สามารถมองเห็น
สภาพปั่ นป่ วนวุน่ วายภายในกายจั่วม่อได้ชดั เจนยามนีอ้ ย่าว่าแต่จะลงมือ
ต่อสู้ เซี่ยวม่อเกอกระทั่งปลายนิว้ ยังไม่มีปัญญาขยับได้
อวี่ไสว้แย้มยิม้ เล็กน้อยอย่างสบใจยื่นมือทําท่าคว้าจับไปยังจั่วมอ
ร่างของจั่วม่อลอยลิ่วเข้าหาอวี่ใสว้โดยไม่อาจขัดขืน จั่วมอตื่นตระหนก
ขึน้ มาทันที
แต่แล้วในเวลานีเ้ อง สุม่ เสียงสงบราบเรียบพลันขับขานบทเพลง ราว กับ
กังวานมาจากใต้พืน้ ดินที่ไม่อาจมองเห็นได้
เงาร่างงามเพริศและเยียบเย็นสายหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางบุปผากระบี่ ราว
กับกระบี่อนั งดงามเล่มหนึ่ง
จั่วมอพอเห็นผูม้ า ต้องตะลึงงันวูบ จากนัน้ ค่อยมีปฏิกิรยิ า ที่แท้เป็ น หว่อห
ลี! วิญญาณกระบี่ของศิษย์นอ้ งหลัวหลี!
แล้วศิษย์นอ้ งหลัวหลีอยู่ท่ีใด? |
จั่วมอไม่วา่ เพ่งมองอย่างไร ทุกหนแห่งก็ไม่อาจพบเห็นหลัวหลี อดงุนงง
สงสัยอยู่บา้ งไม่ได้ แต่แล้วมันก็เริม่ กลัดกลุม้ กังวลศิษย์นอ้ งหลัวหลี แม้
สําเร็จวิชา “กุญแจเป็ นตาย” แต่แน่นอนว่ายังไม่ใช้คมู่ ือของอวี่ไสว้
บัดซบ!
อวี่ไสว้ตกตะลึงเล็กน้อย “นับว่ามีฝีมืออยู่บา้ ง”
เมื่อพิศดูให้ดี จะพบว่าบุปผากระบี่อนั สวยสดตระการตาเหล่านีก้ ่อใดขึน้
จากเจตจํานงกระบี่นบั ไม่ถว้ น ทับซ้อนกันเป็ นชัน้ ๆ กลายเป็ นทะเล
บุปผาอันงามเลิศแต่เปี่ ยมล้นด้วยภยันตรายผืนหนึ่ง
เขตแดนกระบี่ทะเลบุปผา?
มวลโซ่แดงพุ่งปราดเข้าหาอวี่ไสว้ดว้ ยระดับความเร็วอันน่าตระหนก
ช่างแปลกประหลาดโดยแท้
โซ่แดงกลาดเกลื่อนเต็มฟ้าเมื่อกระทบถูกแสงสีเขียวพลันกร่อนสลาย ใน
บัดดล! แสงสีเขียวเปล่งประกายวาบ รอยแยกสีดาํ ลึกลํา้ ปรากฏขึน้ บน
ท้องฟ้าอย่างฉับพลัน!
กระบี่ท่ีสามารถเปิ ดรอยแยกมิติ!
กลิ่นอายมืดมนผุกร่อนแผ่ซ่านออกมาจากรอยแยก พืชหญ้าที่หลงเหลือ
อยู่บนพืน้ เหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว
พิษร้ายกร่อนสลายเมื่อไหลบ่าออกมาจากรอยแยกมิติ ทะเลบุปผา
เจตจํานงกระบี่ของหว่อหลีก็เหี่ยวเฉาสลายอย่างรวดเร็ว โซ่แดงน้อยใหญ่
ที่ถกั ทอประสานหลอมละลายในบัดดลดุจเกล็ดหิมะต้องแสงตะวัน
กลิ่นหอมหวานฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ
มันตระหนักถึงอันตรายและเริม่ ระมัดระวัง
เคล้ง!
ม่านพิรุณครอบคลุมโลกเหล้าละอองหมอกลอยฟุง้ ไปทั่ว
เม็ดฝนแต่ละหยดหยาดแฝงเร้นด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลคมกล้า จน
สามารถทะลวงเกราะ พืน้ ดินกลายเป็ นรูพรุนนับไม่ถว้ นในทันที
อย่างไรก็ตาม ทะเลบุปผาที่คล้ายหมุนช้าลงภายใต้เขตแดนหยาด พิรุณ
ไม่หวนคืน กลับยังคงเบ่งบานสะพรั่งสดใส
กระบวนท่านีเ้ รียกว่าสายโซ่ไม่พลัดพราก!
การต่อสูแ้ ม้ดเุ ดือดรุนแรง แต่จ่ วั ม่อไม่มีเวลาจะมาสนใจแม้แต่นอ้ ย
สถานการณ์ในร่างกายมันยามนีเ้ รียกได้ว่าแปลกประหลาดเป็ นที่สดุ
ร่างกายของจั่วม่อกลับกลายเป็ นสนามรบของพลังที่ผิดแผกแตกต่างสอง
ขุม ชั่วพริบตานัน้ ร่างซีกซ้ายของจั่วม่อเย็นเฉียบสุดขัว้ ส่วนร่างซีกขวา
ร้อนลวกดั่งถูกเพลิงผลาญ พลังอันบ้าคลั่งสองขุมไม่ตา่ งจากสัตว์
ประหลาดสองตัวต่อสูก้ นั เป็ นพัลวัน พลังเทพของจั่วม่อไม่กล้ากระดิกตัว
ราวกับเด็กน้อยที่หวาดกลัวจนหัวหด
จั่วม่อหน้าซีดขาวราวกระดาษ
เจ้าตัวใช้การไม่ได้!
จั่วม่อก่นด่าระรัวอยู่ในใจ
ความคิดเหล่านีพ้ อผุดขึน้ ในใจ กรงเล็บพิฆาตมังกรบนหลังของมัน พลัน
สั่นสะเดือนอย่างเกรีย้ วกราด คล้ายได้ยินคําก่นด่าของจั่วม่อก็มิปาน พลัง
ดุรา้ ยไพศาลที่แกร่งกล้ากว่าก่อนหน้านีห้ ลายเท่าตัวพสันทะลักทลาย เข้า
มาในร่างกายของจั่วม่ออย่างดุเดือด ราวกับว่าคลุม่ คลั่งไปแล้ว
บัดซบ!
ความเจ็บปวดแสนสาหัสสารพัดชนิดเคีย้ วกรวจิตประสาทของจั่วมืออย่าง
ไม่ขาดระยะ แต่มนั ไม่อาจขยับเคลื่อนไหวหรือกรีดร้องตะโกน ต่อหน้าสอง
เทพเซียนอันดุรา้ ยคู่นี ้ จั่วม่อตํ่าต้อยด้อยค่าประดุจทารกน้อยที่ ช่วยเหลือ
ตัวเองไม่ได้
แต่มนั ยังคงไม่ยอมแพ้
มันทราบดีแต่ใจ หากคิดหาวิธีเอาชีวิตรอดจากศึกสองเทพเซียนอันดุรา้ ย
ประลองกําลังกัน มันต้องสงบเยือกเย็นเอาไว้!
เวลาผ่านไปนานเท่าใดมันก็เริม่ จดจําไม่ได้แล้ว ขณะที่จ่ วั ม่อกําลังเริม่ รูส้ กึ
ด้านชา สติใกล้จะหลุดลอย
โอกาสก็มาถึงอย่างฉับพลันทันใด!
บทที่ 647 เปลี่ยนแปลง
ตัวจั่วมอเองยามนีอ้ ่อนแอถึงที่สดุ
แสงศักดิส์ ิทธิ์วิญญาณมั่นเมื่อเจาะออกมาจากสายใยสามพันอาวรณ์ ก็
ค่อย ๆ ว่ายเวียนไปตามร่างกายที่ปริแตกของจิ๋วต่อดุจมัจฉาสีรุง้ ตัวหนึ่ง
โอกาส!
กระแสความร้อนแผดเผาที่ไหลหลั่งออกมาจากเมล็ดผลึกสุรยิ นั ยังคงถา
โถมเข้าไปในแผนผังปิ ศาจรูปดวงอาทิตย์ทงั้ สิบอย่างไม่ขาดสาย สิบ
แผนผังปี ศาจรูปดวงอาทิตย์ถกู เติมเต็มอย่างรวดเร็ว พวกมันอัดแน่นไป
ด้วยพลังอย่างล้นเหลือประดุจลูกไฟร้อนระอุสิบดวง และเนื่องเพราะพลัง
ที่เติมเต็มเข้ามาแกร่งกร้าวเกินไป แผนผังปิ ศาจถูกปลุกให้ต่นื ขึน้ มาอย่าง
เต็มที่ แผนผังปิ ศาจที่ต่นื ขึน้ ถึงกับปกปิ ดซ่อนเร้นแสงสว่างของตน แสง
สว่างโชติช่วงเปลี่ยนเป็ นความมืดดุจห้วงจักรวาล
เคราะห์ดีท่ีมีกรงเล็บพิฆาตมังกร
พลังเย็นอันดุรา้ ยป่ าเถื่อนของกรงเล็บพิฆาตมังกรโอบล้อมแผนผังปิ ศาจ
รูปดวงอาทิตย์จากทุกทิศทุกทาง เมล็ดผลึกสุรยิ นั ที่ถกู คุกคามคล้าย
ตระหนักรูว้ ่าแผนผังปิ ศาจรูปดวงอาทิตย์เป็ นสมรภูมิมนั ได้เปรียบ เป็ น
เหมือนดินแดนบ้านเกิดที่มนั คุน้ เคยและเป็ นฝ่ ายมีเปรียบ หากปล่อยให้
แผนผังปี ศาจปตรงอาทิตย์แตกระเบิดไป เช่นนัน้ มันย่อมสูญเสียข้อ
ได้เปรียบอย่างไม่ตอ้ งกังขา ดังนัน้ แผนผังปิ ศาจรูปดวงอาทิตย์ได้ม่งุ หน้า
เข้าสูว่ ิถีทางที่จ่วั ม่อไม่ เคยคาดฝันมาก่อน
วิวฒ
ั นาการ
พลังเย็นหฤโหดอันหนักหน่วงอัดแน่นอยู่ในรัศมีหนึ่งจัง้ รอบกายจั่วม่อ
คล้ายจะเป็ นหนึ่งเดียวกันกับกรงเล็บพิฆาตมังกร
แต่ภายนอกของรัศมีหนึ่งจิง้ นี ้ กลิ่นอายของพลังนีถ้ กู เก็บงําอย่าง สมบูรณ์
ไม่ปล่อยให้ผใู้ ดที่อยู่ดา้ นนอกค้นพบได้
“โซ่ไม่พลัดพราก”
แทบจะในเวลาเดียวกันสองบุรุษสตรีเส้นปากอย่างพร้อมเพรียง
สุม่ เสี่ยงของหว่อหลีกระด้างเย็นเยียบดุจกระบี่ “ไม่พลัดพราก!”
วูม้ โซ่เส้นหนาพลันพวยพุ่งออกจากใต้ฝ่าเท้าของหว่อหลีในบัดดล
ประหนึ่งพญางูโบราณฉกปราดเข้าใส่อวี่ไสว้อย่างกราดเกรีย้ ว
ทั่วบริเวณลระหึ่มกึกก้องไปด้วยเสียงเกรียวกราวของสายโซ่ทะเลบุปผาทัง้
มวลสันสะเทือนเลื่อนลั่น
จูเข่อสีหน้าแข็งค้าง ทอแววสับสนลังเล
นี่คือกลิ่นอายของชีวิตและความตาย!
นี่มนั เคล็ดวิชาอันใด
สตรีนางนีเ้ ป็ นใครกันแน่?
ความคิดจิตใจของจั่วม่อเมื่อจมอยู่ในแสงศักดิส์ ิทธิ์วิญญาณมั่น
มหาสมุทรข่าวสารอันสับสนวุน่ วายพลันไหลบ่าเข้ามาในใจมัน สิ่งที่ดงึ ดูด
ความสนใจของมันมากที่สดุ คือพลังสภาวะเก่าแก่โบราณที่คล้ายหวดฟาด
ใส่จิตใจของมันอย่างรุนแรง
แผนผังปิ ศาจวิวฒ
ั นาการด้วยระดับความเร็วอันน่าแตกตื่นสะท้านใจ
แผนผังปิ ศาจดวงอาทิตย์แปรเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ เห็นดวง อาทิตย์ท่ี
คล้ายมีชีวิตสิบควงลอยอยู่บนผิวกายของจั่วม่อ พวกมันดูราวกับ ว่าเป็ น
ดวงอาทิตย์จริงที่ฝังลงบนร่างของจั่วม่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวง อาทิตย์ท่ี
หว่างคิว้ ดูไม่ตา่ งจากดวงอาทิตย์ขนาดเล็กที่โคจรอย่างไม่มีท่ีสนิ ้ สุด เส้น
สายที่เชื่อมโยงระหว่างดวงอาทิตย์ทงั้ สิบทวีจานวนมากขึน้ หลายเท่า เส้น
สายเหล่านีต้ ดั ไขว้สลับผ่าน ทัง้ ลึกซึง้ และซับซ้อน หากผูท้ ่ี พลังฝึ กปรือ
อ่อนด้อยอยู่บา้ งเผลอไปจ้องมองเส้นสายลวดลายอันพิสดาร เหล่านี ้ จะ
พบว่าบังเกิดอาการหัวหมุนงุนงงอย่างน่าประหลาด
สายลมโบกสะบัด ละอองฝนพร่างพราวโปรยปราย
ม่านพิรุณดูคล้ายไม่มีท่ีสนิ ้ สุด ครอบคลุมแผ่นดินแผ่นฟ้านับพันลี ้ สายฝน
เล็กละเอียดสุกปลั่งโปร่งใส ประกอบด้วยกลิ่นอายของฤดูใบผลิอนั นุ่ม
ละมุน ไม่มีรอ่ งรอยของความเยือกเย็นเหน็บหนาว กลับบันดาลให้รูส้ กึ
อบอุ่นสบายอย่างบอกไม่ถกู
ไม่หวนคืนไม่หวนคืน!
ชั่วพริบตาที่ม่านพิรุณกระหน่าโปรยลงมา สุม่ เสียงสดใของโซ่กระทบ กัน
พลันชะงักขาดห้วง จากนัน้ สายโซ่ไม่พลัดพรากที่จ่โู จมเข้าหาอวี่ไสว้ มี
สภาพไม่ตา่ งจากมังกรที่พลัดตกลงไปในนา้ ถูกพลังที่มองไม่เห็นกดทับ
จากทุกทิศทุกทาง
ไม่เห็นม่านฝนมีการเปลี่ยนแปลงอันใด แต่สายโซ่ท่ีเพิ่งเร่งความเร็วขึน้
ยามนีก้ ลับค่อย ๆ ชะลอช้าลงอีกครัง้ ราวกับว่ากาลังฉุดลากสิ่งของที่หนัก
เป็ นอย่างยิ่งขึน้ จากพืน้ ภายใต้ม่านพิรุณโปรยปราย ประกายแสงขาว ดา
เลือนรางลงอย่างรวดเร็ว
ภายในชั่วพริบตาเดียว ประกายแสงขาวดาก็ถกู ผลาญไปจนหมดสิน้
ทะเลบุปผาเจตจานงกระบี่คล้ายชะลอช้าลง จนแทบมีทีท่าว่าจะหยุดนิ่ง
ได้ทกุ ขณะจิต
ที่แท้รา้ ยกาจถึงเพียงนี ้
แต่แล้วในเวลานีเ้ อง คลื่นพลังอันน่าตระหนกพลันกวาดซัดมาจาก
ด้านหลังของมัน
อวี่ไสว้รอยยิม้ แข็งค้างบนใบหน้า มันยังไม่ทนั จะสะบัดหน้ากลับไปดู
แต่อสรพิษดาที่ก่อเกิดจากพลังเย็นหฤโหดมีจานวนมากมายสุดคนา นับ
พวกมันยังคงโถมเข้าจู่โจมโดยไม่สะทกสะท้าน
ตูม!
ทั่วร่างจั่วม่อระเบิดแสงสีทองเจิดจรัสออกมาอย่างฉับพลัน!
ดวงอาทิตย์!
เขตแดนสวรรค์สิบอีก! นี่ก็คือเขตแดนสวรรค์สิบอีก!
นี่เป็ นไปไม่ได้!
อวี่ไสว้ยงั ไม่ทนั ได้ทาความเข้าใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึน้ ตรงหน้า ทันใดนัน้
สังหรณ์อนั ตรายแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนพลันกรีดร้องระงมในใจ
โดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า
อวี่ไสว้หวั ใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง!
บทที่ 649 เขตแดนสวรรค์สิบอีกาของเมล็ดผลึกสุริยนั
สายฝนโปรยของเขตแดนหยาดพิรุณไม่หวนคืนชะงักค้างกลางเวหา อย่าง
ฉับพลัน ภายใต้เจตนาฆ่าฟั นอันกราดเกรีย้ วไพศาลถึงเพียงนี ้ เขต แดน
หยาดพิรุณไม่หวนคืนเปราะบางไม่ตา่ งอันใดจากเศษแก้ว
ท่ามกลางเม็ดฝนที่ชะงักค้างกลางอากาศ กลุม่ พลังสีเทาเสีย้ วเล็ก ๆ
มากมายนับไม่ถว้ นของเจตจํานงฆ่าฟั นว่ายเวียนไปมาอย่างดุรา้ ยปราด
เปรียว
เสียงแตกระเบิดดังสดใสเสนาะหู ก้องกังวานไปทั่ว
ภายใต้การจู่โจมของกรงเล็บพิฆาตมังกรเขตแดนหยาดพิรุณไม่หวนคืน
เพียงยืนหยัดได้ไม่ก่ีอดึ ใจ ก่อนจะพินาศย่อยยับลงกับตา
อวี่ไสว้ใบหน้าเผือดขาวเขตแดนหยาดพิรุณไม่หวนคืนเชื่อมโยงกับ ตัวมัน
เมื่อถูกทําลายอย่างสิน้ เชิง พลังกระแทกสะท้อนย่อมกระแทกทํา ร้ายมัน
รับบาดเจ็บไม่เบา
สุม่ เสี่ยงอันตรายนัก!
ความอันตรายในชั่ววูบเมื่อครู ่ ยังอันตรายยิ่งกว่าการต่อสูค้ รัง้ ใดที่มนั เคย
ผ่านพบมาทัง้ หมด อวี่ไสว้จอ้ งมองเซี่ยวม่อเกอซึง่ ร่างถูกห่อหุม้ อยู่ใน กลุ่ม
แสงสีทองบนฟากฟ้าด้วยความหวาดกลัวที่ยงั คงติดค้างอยู่ในใจ ภายใน
กลุม่ แสงสีทองเจิดจ้าบาดตา เป็ นเสาพลังงานสีเทาที่พวยพุ่งขึน้ ฟ้า ต้น
หนึ่ง นั่นย่อมเป็ นกรงเล็บพิฆาตมังกร
อวี่ไสว้พลันหัวร่อเย้ยหยันตัวเอง
ก่อนหน้านีม้ นั เข้าใจว่าการปราบพิชิตกรงเล็บพิฆาตมังกร เป็ นเพียง ส้มใน
ลังที่สามารถหยิบฉวยเอาเมื่อใดก็ได้ แต่บดั นีใ้ นที่สดุ ค่อยทราบชัดว่า
ความคิดนีน้ ่าขบขันเพียงใด มีคาํ เล่าลือมากมายเกี่ยวกับกรงเล็บพิฆาต
มังกร แต่ทกุ ผูค้ นล้วนเชื่อกันว่า “มีเพียงจอมปี ศาจด้านไสว้หรือเหนือลํา้
กว่านัน้ จึงสามารถปราบพิชิตกรงเล็บพิฆาตมังกรได้”
แต่หลังจากประจักษ์ถึงอิทธิฤทธิ์ของกรงเล็บพิฆาตมังกรด้วยสายตา
ตัวเอง อวี่ไสว้พลันตระหนักในบัดดล ที่แท้ประโยคนีไ้ ม่ครบถ้วนสมบูรณ์
เมื่อเข้าใจถึงความจริงข้อนี ้ อวี่ไสว้ในใจสับสนงงงวยยิ่งกว่าเดิม
ในโล่แสงสีเทา เห็นเงาดํารูปมังกรวูบไหวอยู่ภายใน
รอจนเสาเพลิงถล่มลงมาปะทะกับม่านแสงสีเทา ลําแสงเพลิงแตก ระเบิด
เป็ นประกาย หักเหกระจายออกรอบด้าน
สะเก็ดประกายปลิวเวียนว่อน โปรยปรายลงมาดุจม่านพิรุณแสงเพลิง
แรงกดดัน!
เคร้ง! เสากระทั่งเมืองอีกาทองคํากระแทกใส่ม่านแสงสีเทาอย่างหนัก
หน่วงดุดนั
เสียงกรีดแหลมดังระงมกลางเวหา
บึม้ !
เปลวไฟและมังกรเทายังคงโถมเข้าประหัตประหารราวกับไม่รูจ้ กั เหน็ด
เหนื่อย ทัง้ สองฝ่ ายไม่มีทีท่าว่าจะยอมรามือ มังกรเทายังคงโผบินออกมา
จากหมอกสีเทาอย่างต่อเนื่อง ส่วนดวงอาทิตย์ทงั้ สิบก็ยงั คง ปลดปล่อย
เพลิงไฟออกมาไม่ขาดสาย
หากมิใช่วา่ สังขารร่างกายของจั่วม่อถูกกรงเล็บพิฆาตมังกรขัดเกลาเอาไว้
ล่วงหน้า เกรงว่าชั่วพริบตานีค้ งแหลกสลายเป็ นฝุ่ นธุลีไปแล้วแต่แม้ว่า
ร่างกายจะถูกเสริมสร้างด้วยพลังของกรงเล็บพิฆาตมังกร มิหนําซํา้ ยังก่อ
เกิดแผนผัง ปิ ศาจสีเทาชุดหนึ่ง แต่กระแสพลังสีเทาเหล่านีไ้ ม่วา่ ทะลัก
ทลายไปถึงที่ใด ในร่างกายของจั่วม่อ ยังคงสร้างความเจ็บปวดแทบขาด
ใจให้แก่มนั อยู่ดี
จั่วม่อเข้าใจไม่ผิด
กรงเล็บพิฆาตมังกรกําลังจะทุ่มเทใช้กระบวนท่าไม้ตายอย่างสุดกําลัง โดย
ไม่คาํ นึงถึงสิ่งใด
กรรรรร!
คลื่นพิโรธระเบิดวาบอย่างฉับพลัน กวาดซัดไปทั่วบริเวณ ทุกผูค้ น คล้าย
ถูกหวดฟาดอย่างหนักหน่วง
สิบดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าสนองตอบต่อเสียงคํารามของเงาดํา สาดแสง
เจิดจรัสร้อนแรง ดวงอาทิตย์ทงั้ สิบโคจรหมุนวนอยู่กลางเวหาด้วย ระดับ
ความเร็วที่เชื่องช้ายิ่ง ท่ามกลางการหมุนด้วยจังหวะอันพิสดาร พลัง
พิสทุ ธิ์อนั ยิ่งใหญ่ไพศาลถั่งโถมออกมาไม่ขาดสาย
นี่มนั .....
เงามหึมาพลันหลุดพ้นออกจากร่างของจั่วม่อในบัดดล ทะยานริว้ ขึน้ สู่
ท้องนภา
มังกร! มังกรที่แท้จริง!
ในที่นีไ้ ม่มีผใู้ ดล่วงรูใ้ นเวลานีท้ ่วั ทัง้ อาณาจักร สัตว์รา้ ยทัง้ หมดไม่ว่า น้อย
ใหญ่ลว้ นพากันซุกหัวหดหางแนบติดพืน้ ร่างสั่นระริกไม่หยุดยัง้ !
กรรรรร!
ตง!
สุม่ เสียงดังสนั่นไปถึงชัน้ ฟ้า ทั่วทัง้ อาณาจักรไหวสะเทือน!
ที่น่าประหลาดคือกลับไม่มีการระเบิด ปราศจากกระแสลมกระแทก มี
เพียงสุม่ เสียงปะทะอันชวนสะท้านใจ
ตง ตง ตง!
ต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลสุดฟ้าสุดดินนี ้ จั่วม่อไม่มีปัญญา
ตอบสนองแม้แต่นอ้ ย
พลังสภาวะของกรงเล็บพิฆาตมังกรก็อ่อนแอลงเช่นกัน
มันไม่อาจทนรอจนถึงเวลานัน้ !
มันต้องลงมือทําอะไรบ้างแล้ว!
ไพตายใบเดียวที่มนั มีคือแสงศักดิส์ ิทธิ์วิญญาณมั่น ในเวลาเช่นนีห้ าก มัน
ยังไม่ลงมือ ร่างกายของมันจะถูกผลักดันไปจนถึงจุดที่พงั พินาศอย่าง
สิน้ เชิง
ตูม!
จั่วม่อร่างสะท้านขึน้ ทันควัน มันกลับมาควบคุมร่างกายของตนได้อีก ครัง้
ฮะ!
นี่มนั ......
บทที่ 651 เมือ่ มันอ่อนแอ ก็ฉวยโอกาสฆ่ามันซะ!
หากอาศัยเพียงกําลังของมัน ไม่ทราบอีกนานเท่าใดจึงสามารถปราบพยศ
กรงเล็บพิฆาตมังกรได้ ก่อนหน้านีม้ นั ที่สามารถสยบกรงเล็บพิฆาต มังกร
ล้วนเพียงเพราะพึ่งพาสายใยสามพันอาวรณ์ แต่การสะพายไว้บน หลัง
เฉย ๆ กับการปราบพิชิตโดยราบคาบนัน้ ไม่เหมือนกัน หากยังเป็ นอยู่
จั่วม่อพยายามเข้าไปให้ถึงกรงเล็บพิฆาตมังกร
ชั่วพริบตาที่มือของมันแตกถูกกรงเล็บพิฆาตมังกร พลังอันเกรีย้ ว กราดสุด
เปรียบปานสายหนึ่งพลันทะลวงเข้ามาในร่างกายของมัน
เกรีย้ วกราดยิ่ง!
ลีล้ บั ชั่วร้ายและเย็นยะเยียบ!
สายใยสามพันอาวรณ์อีกหลายเส้นเจาะเข้าไปในในกรงเล็บพิฆาต มังกร
มากกว่าเดิม กรงเล็บพิฆาตมังกรสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ตูม!
ประหนึ่งว่าดรรชนีของจั่วม่อแตะลงบนธารนํา้ แข็งเย็นยะเยียบ พลัง เย็น
อันยิ่งใหญ่ไพศาลระเบิดวาบอย่างฉับพลัน แล่นผ่านปลายนิว้ ของมัน เข้า
สูร่ า่ ง แผ่กระจายไปทั่วร่างในชั่วพริบตาเดียว ชัน้ นํา้ แข็งสีเทาลุกลาม ไป
ยังจั่วม่อด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด
และในไม่ชา้ จั่วม่อก็พบว่ามีบางอย่างผิดพลาดไปจริงๆ!
อวี่ไสว้ไม่หลงเหลือท่วงท่าปลอดโปร่งสง่างามเหมือนในตอนแรกอีก มันสี
หน้าขาวซีด ดูท่าจะได้รบั บาดเจ็บไม่เบา หวนนึกถึงการต่อสูส้ ะท้าน ฟ้า
สะเทือนดินของตัวร้ายกาจทัง้ สองในร่างมันเมื่อครู ่ จั่วม่อพลันตระหนัก
ว่าอวี่ไสว้สมควรบาดเจ็บหนักหนาสาหัสกว่าที่คิด
ข้อสันนิษฐานของจั่วม่อถูกต้องตรงเผง
เมื่อมันอ่อนแอ ก็ฉวยโอกาสฆ่ามันเสีย!
“ฆ่าอวี่ไสว้”
แทบจะในเวลาเดียวกันกับที่ประโยคนีด้ งั กังวาน อากุ่ย หว่อหลีและ คน
อื่น ๆ พลันลงมือโดยพร้อมเพรียง!
การศึกระหว่างเขตแดนสวรรค์สิบอีกากับมังกรเทาแทบคร่าขวัญ
วิญญาณผูค้ น แต่ถึงกระนัน้ สายตาของเปี๋ ยหานก็ไม่เคยคลาดคลาจาก
แถว ทัพของฝ่ ายศัตรู
มันสังเกตเห็นว่ากระบวนทัพของกององครักษ์หยาดพิรุณก็ได้รบั
ผลกระทบไม่เบา กลายเป็ นเสียขบวนรวนเร ช่องว่างรอยโหว่นบั ไม่ถว้ น
ปรากฏขึน้ ในสายตาของมันอย่างชัดแจ้ง
เมื่อจั่วม่อโถมเข้าเข่นฆ่าสังหารอวี่ไสว้อย่างไม่ลงั เล เปี๋ ยหานอดไม่ได้ ต้อง
ชื่นชมต่อความเฉียบขาดดุดนั นี ้
หรือเซี่ยวม่อเกอเข้าใจว่าเมื่อหยิบยืมพลังของกรงเล็บพิฆาตมังกรก็
สามารถโค่นมันลงได้?
อวี่ไสว้ดวงตาสาดประกายคมกล้า
ภายใต้พลังสุดหฤโหดของกรงเล็บพิฆาตมังกรเขตแดนหยาดพิรุณไม่ หวน
คืนเปราะบางราวแผ่นกระดาษ แต่เมื่อไม่มีกรงเล็บพิฆาตมังกรมา คอย
สะกดข่มเขตแดนหยาดพิรุณก็สาํ แดงพลังออกมาอย่างเต็มที่ ภายใต้
ความนุ่มนวลแฝงเร้นด้วยภัยร้ายที่สามารถปลิดชีวิตคน
สายฝนเรียวบางอ่อนโยนละมุนละไม พร่างพรมอ้อยอิ่งจากท้องนภา
ไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง
ในใจมันไม่มีความคิดฟุ้งซ่านแม้แต่นอ้ ย! เขตแดนสวรรค์สิบอีกา!
ช่างยโสโอหังนัก!
เมื่อม่านพิรุณหมุนคว้างเข้ามาล้อมกรอบเสากระทั่งเมืองอีกาทองคํา
สนามพลังแปลกประหลาดพลันก่อเกิดขึน้ ห้อมล้อมเสากระทั่งเมืองอีกา
ทองคําจากทุกทิศทุกทาง ฉับพลันนัน้ เสากระทั่งเมืองอีกาทองคําราวกับ
จมลงไปในบึงโคลน ชะลอช้าลงทันที
บึม้ !
เสากระทั่งเมืองอีกาทองคําพลันแตกระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
อวี่ไสว้แค่นเสียงหนัก ๆ ร่างสะท้านขึน้ !
เขตแดนสวรรค์สิบอีกาที่เติบใหญ่สมบูรณ์พร้อม หลังจากได้ชมดูการ
เปลี่ยนแปลงทุกกระบวนท่าของเขตแดนสวรรค์สิบอีกา มันก็ลว่ งรูท้ ิศ
ทางการฝึ กปรือที่จะช่วยยกระดับพลังของมันขึน้ ไปอีกขัน้
มันยังคงต้องใช้เวลาแยกแยะและฝึ กปรือสิ่งที่มนั ได้รบั ในวันนี ้ แต่ต่อ ให้
ยามนีไ้ ม่มีกรงเล็บพิฆาตมังกร ก็ไม่ตอ้ งสงสัยเลยว่าพลังฝี มือของจั่วม่อ
ได้แปรเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิน้ เชิง
มันจงใจใช้เสากระทั่งเมืองอีกาทองคํา เพียงเพื่อจะหลอกลวงอวี่ไสว้
ตัง้ แต่แรก
คิดฆ่าจอมปิ ศาจด้านไสว้ไหนเลยจะง่ายดายถึงเพียงนี?้
หากเป็ นสถานที่อ่ืนและสถานการณ์ท่ีต่างออกไป จั่วมือแน่นอนว่า ต้องไม่
เลือกวิถีทางที่สมุ่ เสียงอันตรายถึงชีวิตเช่นนี ้ แต่มนั ทราบกระจ่างแก่ ใจ
วันนีห้ ากไม่เข่นฆ่าอวี่ไสว้ให้สนิ ้ เรือ่ งสิน้ ราว สิ่งที่รอคอยพวกมันอยู่ก็คือ
การไล่ลา่ ที่ไม่มีจดุ จบสิน้ อวี่ไสว้ผนู้ ีม้ ิใช่เพียงแค่มีพลังฝี มือสูงส่งสุดยอด
แต่ยงั ครอบครองกองทัพอันทรงพลัง หากปล่อยให้มีโอกาสพลิกฟื ้ น
เช่นนัน้ ความตายของพวกมันทัง้ หมดก็เป็ นเรือ่ งช้าหรือเร็วเท่านัน้
เคยมีคนกล้าบุกโจมตีกององครักษ์หยาดพิรุณตัง้ แต่เมื่อใดกัน?
ใบหน้าเย็นชาของเบี๋ยหานพลันแสยะยิม้
“ฆ่า!” เสียงตวาดดังกึกก้องสะเทือนฟ้าดิน
กองพันบาปเคราะห์ลงมือเข่นฆ่าเป็ นคํารบสอง!
จั่วม่อเต็มไปด้วยสีหน้าท่าทีชนิดที่ว่าไม่ยอมอยู่รว่ มฟ้าเดียวกันกับอวี่ไสว้
ตูม!
สายตาค่อยเห็นชัดแจ้ง มันโถมทะยานผ่านเงากรงเล็บเข้าไป!
ฝ่ ายพวกมันล้อมกรอบอวี่ไสว้เอาไว้แล้ว!
นี่มนั ! จั่วม่อตะลึงงัน
“หรือเจ้าคิดจริง ๆ ว่าเขตแดนของด้านไสว้ จะมีเพียงความสามารถ
ธรรมดาสามัญเท่านัน้ ?”
เขตแดนหยาดพิรุณไม่หวนคืน!
บทที่ 653 จุดจบของอวี่ไสว้
เขตแดนหยาดพิรุณไม่หวนคืน!
ช่างอัศจรรย์พนั ลึกโดยแท้
มันที่เลือกเข้าปะทะหักหาญในระยะประชิด ก็ดว้ ยเหตุผลในการ
หลีกเลี่ยงจากอานุภาพของเขตแดนหยาดพิรุณไม่หวนคืน ผูใ้ ดจะคาดคิด
ว่าต้องมาลงเอยที่การประลองกําลังกับเขตแดนหยาดพิรุณไม่หวนคืน
อย่างซึง่ หน้า! มันไม่เคยคาดฝันว่าอวี่ไสว้จะสามารถแปรเปลี่ยนเขตแดน
หยาดพิรุณไม่หวนคืนให้เหมาะสมกับการต่อสูใ้ นระยะประชิดตัวด้วย
เขตแดนสวรรค์สิบอีกา!
ชั่วพริบตานี ้ ร่างหนึ่งโถมเข้าชนใส่อวี่ไสว้อย่างหักโหม
เปรีย้ ง!
มันยังมีโอกาส!
หมัดเพลิงแกนฟ้าลําดับที่หนึ่ง!
ปั ง ปั ง ปั ง ปั ง ปั ง!
ประหนึ่งหวดฟาดกลองศึกอย่างหนักหน่วงกระแสอากาศอันน่า
สะพรึงกลัวห้าสายโหมซัดใส่หมัดเพลิงแกนฟ้าลําดับที่หนึ่งของจั่วมือแทบ
เป็ นเสียงเดียวกัน!
จั่วม่อถูกหวดฟาดอย่างหนักหน่วงห้าครัง้ คราในคราวเดียว ร่าง สะท้านขึน้
เป็ นระลอก เปลวเพลิงที่ลกุ โหมบนหมัดขวาดับสลายอย่าง สิน้ เชิง ที่น่า
ประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งไปกว่า คือกระแสพลังห้าสายเมื่อจู่โจมถูก หมัดของ
มัน ร่างกายครึง่ หนึ่งของมันถึงกับชาด้าน ไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
หว่อหลีลงมือได้อย่างเหมาะเจาะพอดีเป็ นที่สดุ !
ภายใต้เขตแดนหยาดพิรุณไม่หวนคืน สายโซ่สองเส้นพลันบิดตัวด้วย
ตําแหน่งแง่มมุ อันแปลกพิสดาร!
อากกุ่ย!
ประกายในดวงตาเลือนหายอย่างเร็วเหมือนคลื่นน้ําลดเพียงชั่ว กะพริบ
ตาเดียว ประกายชีวิตก็อนั ตรธานหายไปชั่วนิรนั ดร์
กององครักษ์หยาดพิรุณประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง!
กององครักษ์หยาดพิรุณประสบช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัส เหน็ดเหนื่อยจน
แทบขาดใจตาย พวกมันไม่มีแม่ทพั บัญชาการศึกที่มีฝีมือพอจะ นําทัพ
พวกมัน
หากพวกมันสามารถบ่อนทําลายกระบวนทัพของกององครักษ์หยาด พิรุณ
ได้อย่างสมบูรณ์ จากนัน้ ต่อให้กององครักษ์หยาดพิรุณมีจาํ นวนคน
มากกว่านี ้ ยังเป็ นเพียงฝูงแพะแกะที่ได้แต่รอรับการเชือดเฉือนแต่
ถ่ายเดียว!
นี่มนั ช่าง แกร่งกร้าวเกรียงไกรโดยแท้
ความสิน้ หวังและหวาดกลัวลุกลามไปทั่วสนามรบอย่างรวดเร็ว
กององครักษ์หยาดพิรุณที่เผชิญกับการบุกทะลวงสุดหฤโหดจากกอง พัน
บาปเคราะห์จนแทบหมดสิน้ ขวัญกําลังใจอยู่แล้ว ยามนีพ้ งั ทลายลง อย่าง
สมบูรณ์
เครือ่ งจักรสังหาร!
อารมณ์ความรูส้ กึ ของทุกผูค้ นในยามนี ้ ไม่มีส่งิ ใดสามารถบ่งบอก
บรรยายได้
จนกระทั่งถึงยามนี ้ พวกมันยังไม่อาจเข้าใจว่าอวี่ไสว้ตายอย่างไร
จั่วม่อหัวใจยิ่งวูบ
นี่ไม่ใช่เรือ่ งดี!
สุม่ เสียงของมันเต็มไปด้วยความจริงใจ
กองทัพของกงซุนชาและกองพันซีเซวียนภายใต้การนาของกู่เหลียง เตา
เผชิญพบกันที่อาณาจักรทุ่งโบราณจริงดังคาด ทัง้ สองฝ่ ายเริม่ เปิ ดศึก
สัประยุทธ์ในทันที ผูค้ นไม่ต่อยตีท่ีไม่รูจ้ กั กู่เหลียงเตาพอประมือกับ
กองทัพ ลึกลับนี ้ ต้องตกตะลึงต่อพลังสูร้ บอันกล้าแข็งของค่ายจูเซวี่ย มัน
รีบสั่งการ ให้ถอนทัพในบัดดล
กู่เหลียงเตากับกงซุนชาถึงกับมีเวลาให้สนทนาสัพเพเหระกันด้วยซา้
จอมปิ ศาจด้านไสว้
สองกองทัพ!
มันมีสายตาแหลมคม พลันตระหนักในทันทีว่าสองกระบวนทัพที่ กาลัง
ตรงเข้าหาพวกมันเป็ นสองกองพันชัน้ ยอด อาจบางที่เหนือกว่า กอง
องครักษ์หยาดพิรุณเสียด้วยซา้
มันรูส้ กึ ใจสั่นสะท้าน
กงซุนชาลอบนับถือเลื่อมใสสุดหัวใจ เมื่อเห็นจั่วม่ออยู่รอดปลอดภัยดี
ค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก จากนัน้ กลายเป็ นลิงโลดยินดี หลังจาก
เดินทางเป็ นระยะทางไกลยิ่ง มันในที่สดุ ก็ตามหาศิษย์พ่ีจนพบ!
ที่แท้พวกเหล่านีเ้ ป็ นคนของเซี่ยวม่อเกอ
กู่เหลียงเตาเพ่งพินิจจั่วมอในใจเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง มันไม่เคย
คาดคิดว่าจั่วม่อจะยังอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี ้ เมื่อครูร่ อจนมันได้ยินชาวค่ายจู
เชวี่ยโห่รอ้ งอย่างลิงโลดยินดี มันก็ทราบว่าวม่อเป็ นที่รกั ใคร่ของคน เหล่านี ้
เป็ นอย่างยิ่ง ความสาเร็จเช่นนีห้ าใช่เรื่องง่ายดายไม่ระหว่างทางที่ ร่วม
ทางมากับค่ายจูเซวี่ย มันทราบดีว่ากองทัพนีท้ ระนงถือดีถึงเพียงไหน
ผูท้ ่ีได้รบั ความรักเทิดทูนจากค่ายจูเซวี่ย ย่อมต้องเป็ นบุคคลอันน่า
ประทับใจผูห้ นึ่ง!
กู่เหลียงเตารอยยิม้ ถึงกับแข็งค้างอยู่บนใบหน้า
บทที่ 655 ไมตรี
จั่วม่อถึงกับไร้วาจาจะกล่าว
จั่วม่อแย้มยิม้ แต่ไม่เอ่ยปากตอบคําถามนาง
“เจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไรดี?” จั่วมอเกาศีรษะแกรก ๆ
“ลองบอกมาฟั งดู”
จริงดังคาด นางมองมันออกแล้ว......
แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด จั่วม่อกลับรูส้ กึ คลายใจลงมันตอบอย่าง ปลอด
โปร่ง “จั่วม่อ!”
ไม่ทราบเพราะเหตุใด พอถึงตอนท้ายเสียงหัวร่อกลับแฝงความรัดทด หด
หู่อยู่บา้ ง รอจนเสียงหัวร่อแว่วหวานจางหายไป ความเงียบงันก็เข้ามา
แทนที่ ระหว่างคนทัง้ คูแ่ ยกออกจากกันด้วยระยะทางที่มองไม่เห็นชนิด
หนึ่ง
ทัง้ สองล้วนทราบกระจ่างแก่ใจ จากกันคราวนีไ้ ม่ทราบจะมีโอกาสได้ พบ
กันอีกหรือไม่
“ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย”
สิ่งที่สนุกสนานน่าสนใจยิ่งกว่า คือซีเซวียนกลับนิ่งเงียบอย่างน่า
ประหลาด ไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายสถานการณ์ให้กระจ่างชัด
ท่าทีของซีเซวียน ยิ่งช่วยหนุนเสริมให้ขอ้ สันนิษฐานต่าง ๆ ดูคล้ายจะ มี
นํา้ หนักขึน้ ไปอีก
มันคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี ้
กระโจมผูบ้ ญ
ั ชาการเงียบกริบลงทันควัน เหล่าแม่ทพั นายกองล้วนมี สี
หน้าขัดตา
“เชิญผูอ้ าวุโสจินเข้ามา” เหลียงเรายังมีสีหน้าเป็ นปกติ
กู่เหลียงเตาปล่อยให้นาํ้ ตาไหลรินลงมา
ผูอ้ าวุโสจินใบหน้าบัดเดี๋ยวแดงฉาน บัดเดี๋ยวเขียวคลํา้ แผดเสียง ตวาด
อย่างโกรธกริว้ “ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐ! เจ้าพอมีความสําเร็จ ก็
เย่อหยิ่งจองหองถึงเพียงนีแ้ ล้ว!เจ้ากล้าไม่ฟังคําสั่งของท่านเจ้าสํานัก
ทรยศแล้ว ทรยศแล้ว!” มันกวาดตามองไล่ไปทีละคน กล่าวต่อเหล่าแม่ทพั
นายกองอย่างเย็นชา “แล้วพวกเจ้าเล่า? จะติดตามกู่เหลียงเตาทรยศต่อซี
เซวียนหรือไม่?”
“สํานักที่ไร้เมตตาเช่นนีย้ งั จะทนอยู่ไปหาอันใด?”
นกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งหวนกลับมายังมือของจั่วม่ออย่าง รวดเร็ว
จดหมายของกู่เหลียงเตากระชับสัน้ ยิ่ง ยามที่เขียนจดหมายฉบับนีม้ นั เพิ่ง
จะเสร็จสิน้ การทําศึกรอบหนึ่ง ในจดหมาย กู่เหลียงเตาบอกว่ามันปิ ด ผนึก
รอยแยกแห่งความโกลาหลที่เชื่อมต่อกับดินแดนซีเซวียนเรียบร้อย แล้ว
ต่อไปพวกมันจะไม่ได้รบั ทรัพยากรสนับสนุนอีก แต่มนั ได้ยดึ ครอง
อาณาจักรปี ศาจสิบห้าแห่ง เตรียมความพร้อมเอาไว้ตงั้ แต่แรก เพื่อที่มนั
จะสามารถอยู่ได้ดว้ ยตัวเองโดยไม่ตอ้ งพึ่งพาซีเซวียน ดังนัน้ ยามนีท้ กุ
อย่าง นับว่ายังดีอยู่ ขอให้ไม่ตอ้ งกังวลใจไป
จั่วม่อหลังจากอ่านจบครบถ้วน ค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อชูธงของมันนําหน้า เส้นทางของจั่วม่อสามารถเรียกได้ว่าสะดวก
ราบรืน่ ปราศจากอุปสรรคใด
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อหาได้ปิติยินดีไม่ ในขณะที่ความเร็วของพวกมัน
เพิ่มขึน้ การเคลื่อนไหวของพวกมันก็กลับกลายเป็ นเปิ ดเผยต่อสายตา
ผูค้ นทั่วโลก
วันนีเ้ ซี่ยวม่อเกอไปถึงที่ใดแล้ว?
เซี่ยวม่อเกอเมื่อสามารถสังหารอวี่ไสว้ นี่หมายถึงว่าเซี่ยวม่อเกอ
ครอบครองขีดความสามารถในต่อสูร้ ะดับสูง ผนวกกับอีกสองกองพันชัน้
ยอด มันก็เพาะสร้างขุมกําลังของตนขึน้ สําหรับบรรดาปิ ศาจที่มาจาก
ตระกูลเล็ก ๆ แต่มีพรสวรรค์เด่นลํา้ การเข้าร่วมกองทัพของเซี่ยวม่อเกอ
แน่นอนว่าเป็ นหนทางที่ดีมากอย่างไม่ตอ้ งสงสัย
มันจะช่วยเหลือถังเฟยสร้างกองพันถัง เพาะสร้างตําแหน่งแห่งที่ของ ตน
ขึน้ ภายในขุมกําลังนีใ้ ห้จงได้
บทที่ 658 ดาววาสนาสีดาํ
หลัวหลีกบั เขิงเหลียนเอ๋อร์ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน
พลังงานสีม่วงในร่างอากุ่ยเติบโตขึน้ ทุกวันด้วยระดับความเร็วอันน่า
แตกตื่นสะท้านใจ ดูเหมือนว่าการศึกครัง้ นีจ้ ะเปิ ดประตูบางบานในร่าง
ของอากุ่ยอย่างฉับพลัน พลังงานสีม่วงไหลทะลักออกมา จนกระทั่ง
ในตอนนีห้ ากเทียบกับที่ผ่านมา พลังสีม่วงในร่างอากุ่ยถึงกับกล้าแข็ง
กว่าเดิมถึงสามเท่า!
รอจนมันเห็นประโยคแรกถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
จั่วม่อตกตะลึงพรึงเพริด ที่แท้มีศาสตร์อสูรเช่นนีด้ ว้ ย
อสูรควันดําเขินอายเล็กน้อย “พรสวรรค์ของข้าธรรมดาสามัญ เพื่อที่จะ
ช่วยในการฝึ กฝี มือ ข้าจึงฝึ กฝนศาสตร์ทะลวงความทรงจํา ความสามารถ
เห็นผ่านตาไม่ลืมเลือนของข้าเกิดขึน้ หลังจากเริม่ ฝึ กปรือ ศาสตร์อสูรนีไ้ ป
ช่วงหนึ่ง”
สองโจรเฒ่าคัดกรองจุดผิดพลาดออกจากกระดาษอย่างรวดเร็วใน พวก
มันทัง้ สอง คนหนึ่งเป็ นอสูรเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มานานหลายพันปี อีกคน หนึ่ง
ถือกําเนิดจากชนเผ่าโบราณ ภูมิปัญญาความรูข้ องพวกมัน หาใช่ส่งิ ที่ เด็ก
น้อยอายุไม่ก่ีสิบปี เช่นจั่วมอจะสามารถยกขึน้ เปรียบได้
พลังจิตสํานึกของมันแผ่กระจายลงมาจากตันเถียนในศีรษะ ในเวลา
เดียวกัน ตันเถียนที่ทอ้ งน้อยก็ต่นื ตัวผิดปกติเส้นใยพลังปราณแผ่กระจาย
อย่างเริงร่าจากท้องน้อยไหลเวียนไปตามเส้นชีพจรปราณอย่างไม่มีท่ี
สิน้ สุด พลังทัง้ หลายเติบโตขึน้ อย่างรวดเร็วราวกับแตกกิ่งก้านสาจา จาก
เส้นชีพจรหลัก แทรกซึมเข้าไปในเลือดเนือ้ ร่างกายทุกอณู
หลักการเหล่านีเ้ องที่สญ
ู หายไปตามกาลเวลา
เหล่าศิษย์พากันตะลึงลานใบหน้าเต็มไปด้วยความรูส้ กึ เหลือเชื่อ
เจ้าสํานักเทียนหวนพึงพอใจกับการแสดงออกของศิษย์เหล่านีย้ ่ิง
“อาณาจักรศิลาเรืองรองมีความสําคัญต่อเรามากเพียงใด เรือ่ งนีค้ ง ไม่
ต้องให้ขา้ กล่าว เชื่อว่าพวกเจ้าทัง้ หมดล้วนทราบดีแก่ใจ” เจ้าสํานัก เทียน
หวนกล่าวเสียงเย็นยะเยือก “เหล่าผูอ้ าวุโสของสํานักแต่ละคนติด ภารกิจ
สําคัญยิ่ง ไม่อาจไปจัดการเรือ่ งนีไ้ ด้ ดังนัน้ ภารกิจครัง้ นีจ้ ะ มอบหมาย
ให้แก่พวกเจ้าแทน เทียนหม่าน!”
เจ้าสํานักเทียนหวนทอดตามองมันอย่างพึงพอใจ
การประจบสอพลออย่างน่ารักของนาง ยิ่งทําให้เจ้าสํานักเทียนหวน
ปลาบปลืม้ ปิ ติ แต่ยงั คงแสร้งทําเป็ นเคร่งขรึม กระแอมไอเบา ๆ “แต่
อย่าได้ทระนงตนเกินไป เจ้าต้องล่วงรูด้ ว้ ยว่า....”
เจ้าสํานักเทียนหวนทําที่คล้ายมองไม่เห็นสีหน้าตื่นตะลึงของผูเ้ ป็ น หลาน
กล่าวสืบต่อ “ฉากหลังของเซี่ยวม่อเกอคืออะไร ไม่มีผใู้ ดสามารถ บอกได้
จนกระทั่งถึงยามนีเ้ รายังไม่แน่ใจเสียด้วยซํา้ ว่ามันเป็ นอสูรหรือ ปิ ศาจกัน
แน่ มันเคยเข้าไปในคุกสิบนิว้ ของเผ่าอสูรเปิ ดศึกทลายคุกและเอาชัยได้
อย่างงดงาม คนผูน้ ีม้ ีเพียงพลังฝี มือสูงเยี่ยม มันยังเป็ นแม่ทพั บัญชาการ
ศึกที่เด่นาํ้ ผูห้ นึ่ง เคยปราบพิชิตอวีเ้ หิง แม่ทพั ใหญ่แห่งกอง กําลัง
ประจําการ ผูเ้ ป็ นแม่ทพั บัญชาการศึกระดับทอง!”
หลี่เซียนเอ๋อร์อา้ ปากหวอ ใบหน้าที่เคยเกลื่อนไปด้วยรอยยิม้ เต็มไป ด้วย
ความตื่นตะลึง
“กองพันบาปเคราะห์แห่งวัดเสวียนคง!”
ตัวประหลาด! ตัวประหลาดชัด ๆ!
จั่วม่อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สิ่งที่เจ้ามอบให้มีคณ
ุ ค่ามหาศาล เจ้า
ต้องการสิ่งใด ขอให้บอกข้ามา!”
อสูรควันดําเข้าใจความหมายในวาจาของจั่วม่อ ต้าเหรินคิตตบรางวัล
เป็ นการขอบคุณมัน มันขบคิตอยู่ช่ วั อึดใจ จากนัน้ กล่าวเสียงราบเรียบ
“ข้า ผูน้ ีม้ ีพรสวรรค์ดาษดื่นธรรมดา แต่ตา้ เฉิงกลับมีพรสวรรค์เลิศลํา้ มาก
ขอให้ตา้ เหรินส่งเสริมมันแทนเถอะ!”
เห็นอสูรควันดํากลับโยนโอกาสอันดีงามนีใ้ ห้แก่อสูรผมส้มด้วยสีหน้า
ราบเรียบเป็ นปกติ จั่วม่ออดตืน้ ตันใจไม่ได้ มันกล่าวด้วยรอยยิม้ ว่า “ทุกคน
ล้วนเป็ นพี่นอ้ งกัน ต่อให้เจ้าไม่รอ้ งขอเช่นนี ้ ข้าก็ไม่มีส่งิ ใดปิ ดบังมันอยู่แล้ว
นี่เป็ นการที่ขา้ ตอบแทนเจ้า หากเจ้ามีส่งิ ใดที่ตอ้ งการหรือบางสิ่งที่ม่งุ มาด
ปรารถนา ขอเพียงข้าทําได้ย่อมจะต้องตอบแทนคุณงามความดีของเจ้า!”
สีหน้ามันสงบเยือกเย็นจนแทบกลายเป็ นความอํามหิต
“เจ้าไปได้แล้ว” เจียงเจ๋อโบกมืออนุญาต
“ขอรับ!” สายสืบผูน้ นั้ ลอบระบายลมหายใจโล่งอก รีบค้อมกายกาย
คารวะอย่างนอบน้อม ก่อนล่าถอยไปอย่างระมัดระวัง
ฆ่าเบี๋ยหานคนทรยศ! ทําลายล้างกองพันบาปเคราะห์
เพื่อที่จะฆ่าเบี๋ยหานกับกองพันบาปเคราะห์ ทางสํานักส่งกําลังหนุน
จํานวนมหาศาลและทุ่มเทไพ่ตายใบสําคัญมากมายมาเพื่อภารกิจครัง้ นี ้
โดยเฉพาะ
ตายโดยไม่มีท่ีกลบฝัง!
สีหน้ามันสงบและผ่อนคลายราวกับทารกน้อยกําลังหลับใหล
รอบบ่อนํา้ ยืนไว้ดว้ ยเซียนกระบี่เจ็ดแปดคน พวกมันใบหน้าเหี่ยวย่น ชรา
ภาพ แต่บางครัง้ ดวงตาจะสาดประกายคมกล้าดุจกระบี่บิน
“พลังเทพเนี่ก็คือพลังเทพ!”
“เสี่ยวหลินเชียนสมกับที่เป็ นเสาหลักของสํานักเรา!”
หลินเซียนที่อยู่ภายในบ่อนํา้ ค่อย ๆ ลืมตาขึน้ ช้า ๆ แสงสว่างเดือน หายไป
จากดวงตาเยือกเย็นของมัน ไม่เห็นมันขยับเคลื่อนไหวอันใด แต่นาํ้
ภายในบ่อทันใดนัน้ ถาโถมเข้าหามันเอง
เพียะ!
ปั ง ปั ง ปั ง ปั ง!
“เจ้าสิลกู เต่า!”
“ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี!้ ”
จั่วมอได้แต่ขดั จังหวะและดึงพวกมันเอาไว้คนละข้าง แต่แม้ว่าจะถูก ดึง
เอาไว้ พวกมันยังคงถลึงตาใส่กนั อย่างขัดข้องขุ่นเคือง
“หนทางใด?”
“ราชา? เจ้ากล่าวเกินเลยไปแล้ว..”
“ราคาเท่าใด?”
“สิบห้าม่อเป้ย!”
“ขอข้าชุดหนึ่ง”
“ขอบพระคุณ!”
ชายชราเพ่งมองอย่างระมัดระวัง
“เซียนกระบี่เช่นนัน้ รึ?”
“ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง!”
ปิ ศาจที่คกุ เข่าบนพืน้ หน้าขาวซีดดุจคนตาย พลันโขกศีรษะอย่างบ้า คลั่ง
จากนัน้ เงยใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือดขึน้ กล่าวเสียงสั่นสะท้าน “ผูน้ อ้ ยใช้
การไม่ได้! สร้างความผิดหวังให้แก่จ่ซู ่าง! ผูน้ อ้ ยขอชดใช้ ความผิดนีด้ ว้ ย
ชีวิต ไม่คิดแค้นอันใด! บุตรชายของผูน้ อ้ ยยังเยาว์วยั นัก จู่ ซ่าง พี่นอ้ ง
ทัง้ หลาย โปรดเมตตามันด้วย!”
“ผูน้ อ้ ยขออาสาออกศึก!”
“ผูน้ อ้ ยก็ขออาสาออกศึกเช่นกัน!” เหล่าแม่ทพั ปิ ศาจทยอยก้าวออกมา
อาสาออกศึกกันถ้วนหน้า
แต่ในเมื่อจู่ซ่างออกปากเช่นนี ้ พวกมันก็ไม่มีทางทําอะไรได้อีก
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าห้าวัน หากยังไม่สามารถเข่นฆ่าเซียนกระบี่ผนู้ นั้ ได้ ก็
จบชีวิตตัวเองเสียตรงนัน้ เถอะไม่ตอ้ งบากหน้ากลับมาให้ขา้ เห็นหน้าอีก “
เมื่อออกมาจากห้องโถงใหญ่ ทุกผู้คนล้วนมีสีหน้าดูไม่ได้
หนึ่งในผู้นาตระกูลที่มีช่ ือเสียงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย ครั้งนี้เราไม่มี
หนทางหลีกเลี่ยงได้ หากเราไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น จู่ซ่างจะมี
โทสะจริง ๆ จากนั้นจะตระกูลของพวกเราทุกคนล้วนต้องประสบภัยพิบัติ
แล้ว!”
คนอื่น ๆ พยักหน้า
“จู่ซ่างกล่าวไม่ผิด เซียนกระบี่ผู้หนึ่งกลับกล้ามาอาละวาดอย่างเหิม
เกริมภายใต้จมูกเรา หากยังปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ พวกเราจะเอาหน้าไปไว้
ที่ใดกัน!”
“ถูกของเจ้า!”
ผู้คนล้วนเห็นพ้องต้องกัน
พวกมันหารือกันอย่างรวดเร็ว ได้ข้อสรุ ปว่าแต่ล ะตระกูล จะส่งยอด
ยุทธ์ที่เข้มแข็งที่สุดในตระกูลของพวกมันออกมา เพื่อฆ่าเซียนกระบี่ผู้นี้ให้
จงได้!
ยามนี้ยังไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าการศึกที่จะสะท้ านไปทั่วทั้งสามภพกลับ
เปิดฉากขึ้นด้วยน้ามือของพวกมันเช่นนี้เอง
... ...
... ...
บุรุษหนุ่มเหม่อมองคนตรงหน้า ตะลึงงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะโถมเข้า
กระชากคอเสื้อของคนผู้น้ัน ลดเสียงแทบเป็นกระซิ บ แต่ยังคงกระชาก
เสียงใส่ “เจ้ากล้ากลับมาได้อย่างไร! ไม่กลัวถูกคนฆ่าตายรึ?”
แต่สุ้มเสียงเบาต่าของมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ยากจะระงับ
ผู้มาหัวร่อกึก ๆ “ข้าในเมื่อกล้ามา ย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใด”
หากมีคนมาเห็นภาพนี้ เกรงว่าต้องกรีดร้องอย่างเสียขวัญ คนผู้นี้กลับ
เป็นกู่เหลียงเตาผู้ได้ช่ อ
ื ว่าทรยศ!
ภายในซีเ ซวียน! กู่เหลียงเตาถึงกับลอบย้อนกลับเข้ามาในซีเซวียน!
ผู้ใดจะคาดคิดได้?
บุรุษหนุ่มชุดขาวคลายมือจากคอเสื้อของกู่เหลียงเตา แล้ววางอาคม
หวงห้ามไว้โดยรอบ ป้องกันมิให้มีผู้ใดแอบฟัง ก่อนจะยิ้มพลางกล่าว “ข้า
กลับลืมเลือนไปว่าคนรอบคอบเช่นเจ้า ไหนเลยจะไม่เว้นทางถอยไว้ให้แก่
ตัวเองได้ กระทั่งอาณาจักรปิศาจ เจ้ายังยึดครองเพื่อเตรียมการไว้นานแล้ว
ยังจะมีสิ่งใดที่เจ้าไม่สามารถกระทาได้อีกเล่า? เจ้าล่วงรู้แต่แรกแล้วกระมัง
ว่าจะมีวันนี้”
กู่เหลียงเตาฝืนยิ้มอย่างขมขื่นอยู่บ้าง
บุรุษหนุ่มเห็นเช่นนี้ อดลอบถอนใจไม่ได้ จากนั้นกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
ว่า “สถานการณ์ของเจ้ายามนี้นับว่าค่อนข้างดีทีเดียว อย่างน้อยเจ้าก็เป็น
อิ ส ระแล้ ว ไม่ ต้ อ งทนฝืนรั บ ค าสั่งจากนายน้อ ยตัว บั ด ซบเหล่า นั้นอี ก มา
เถอะ ขอใช้น้าชาแทนสุรา อวยพรให้แก่เจ้าสักจอก”
กู่เหลียงเตาไม่กล่าวคาใด เพียงยกถ้วยน้าชากรอกเข้าปาก
“มาเป็นกาลังให้แก่ข้าเถอะ!”
กู่เหลียงเตาจู่ ๆ โพล่งออกมาเสียงดังสนั่น
บุรุษหนุ่มที่กาลังยกถ้วยชาพลันชะงักกึก มันยิม
้ พลางกล่าวด้วยสีหน้า
ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย “ซึ่งความจริงสถานการณ์ของเจ้ายามนี้เรียกได้ว่าไม่
ดีนัก ผู้คนของเจ้าแม้จงรักภักดี แต่พวกมันหลายคนมีครอบครั วอยู่ที่นี่ รอ
จนเวลาผ่ า นไปนานกว่ า นี้ ไม่ แ น่ ว่ า พวกมั น จะเปลี่ ย นใจ ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น
รากฐานของเจ้า ตอนนี้ มีเ พี ยงอาณาจั กรปิ ศ าจเท่ า นั้น พวกมั น ย่ อ มมิใช่
มิตรของพวกเจ้าเหล่าซิวเจ่อ”
กู่ เ หลี ย งเตาหั ว ร่ ออย่ า งไม่ ยี่ห ระ บนใบหน้ า ไม่ มี ร่ อ งรอยหวาดกลัว
แม้ แ ต่ น้ อ ย “ที่ เ จ้ า ว่ า มาล้ ว นถู ก ต้ อ งทั้ ง สิ้ น ดั ง นั้ น เจ้ า ต้ อ งมาช่ ว ยข้ า
ความสามารถของเจ้าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ดีไปกว่าข้า หากปล่อยให้เจ้าเอาแต่อุด
อู้จนแก่ตายอยู่บนเขานี้ ไยมิใช่น่าเบื่อหน่ายนัก”
บุรุษหนุ่มพลันแย้มยิ้มจาง ๆ จากนั้นลุกขึ้น “ไปกันเถอะ”
กู่เหลียงเตาถึงกับตะลึงลานไปครึ่งค่อนวัน
“เป็นไร? เจ้ามีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ ?” บุรุษหนุ่มหันกลับมาถามด้วยสี
หน้าสงสัย
“ไม่มี ไม่มี” กู่เหลียงเตาตอบโดยไม่รู้ตัว จากนั้นหัวร่อฮาฮา “เพียงแต่
ข้าใช้เวลาตั้งหลายวัน คิดหาวิธี การต่าง ๆ เพื่อมาเกลี้ยกล่อมเจ้า แต่กลับ
ไม่ได้ใช้ออกเลยแม้แต่ประการเดียว”
บุรุษหนุ่มยักไหล่ “ข้าเป็นเพียงเสมียนตัวเล็ก ๆ ในซีเซวียน ปริมาณ
จิ ง สื อ ที่ ข้ า ได้ รั บ ในแต่ ล ะเดื อ นน้ อ ยนิ ด จนน่ า สั ง เวช มิ ห น าซ้ า ข้ า ไม่ มี
ครอบครัว ไม่มีมิตรสหาย ไปกับเจ้าเสียเลย อย่างน้อยข้ายังได้รับประทาน
เนื้อชิ้นโต”
“ฮ่าฮ่า!” กู่เหลียงเตาหัวร่ออย่างปลอดโปร่ง
การจากไปของพวกมันไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ใด
สาหรับซีเซวียน เสมียนหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงตัวตนอันกะจ้อยร่อย มีก็ได้
ไม่มีก็ไม่ส่งผลกระทบอันใด เพียงแต่วันนี้ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ว่าเด็กหนุ่มที่ไม่
มีใดสาคัญผู้นี้เอง ที่วันหน้าของจะกลายเป็นหนึ่งในมันสมองของกองกาลัง
กู่เหลียงเตา
หลีเซียนเอ๋อร์กวาดตามองรอบด้านอย่างสนอกสนใจ นี่เป็นครั้งแรกที่
นางมาเยือนแดนปิศาจ เหล่าองครักษ์รอบกายมีสีหน้าระแวงระวัง ชาเลือง
มองไปรอบ ๆ อย่างรอบคอบระมัดระวัง
เมื่อพวกมันเห็นปิศาจกลุ่มหนึ่ งปรากฏขึ้น แต่ไ กล ยิ่งตึงเครีย ดมาก
กว่าเดิม
เห็นบุรุษหนุ่มผู้ห นึ่งเหินร่างออกมาจากกองทัพ ปิศ าจขบวนนั้น ทิ้ง
กายลงไม่ห่างจากหลีเซียนเอ๋อร์
“ใช่คุณหนูเซียนเอ๋อร์จากเทียนหวนหรื อไม่ ?” ปิศาจหนุ่มค้อมกาย
คารวะอย่างไม่เคอะเขิน
“เป็นข้าเอง หลีเซียนเอ๋อร์” หลีเซียนเอ๋อร์ก้าวออกมา ย่อกายคารวะ
ตอบ “ท่านที่นับถือคือ?”
ปิศาจหนุ่มพอกวาดตามองหลีเซียนเอ๋อร์ คล้ายเผยสีหน้าตะลึงงันไป
ชั่ววูบ จากนั้นรีบแย้มยิ้มพลางกล่าว “ผู้น้อยเป็นบุตรชายของตี๋ไสว้ คุณหนู
เซียนเอ๋อร์สามารถเรียกข้าซือ15 ซือรับคาสัง่ จากตี๋ไสว้ผู้เป็นบิดา มาเพื่อให้
การต้อนรับคุณหนูเซียนเอ๋อร์และคณะเป็นการเฉพาะ”
“ต้องลาบากซือเส้า16แล้ว!” หลีเซียนเอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย
“เชิญ!” ซือเบี่ยงตัวเล็กน้อย ผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญ
ระหว่างทาง ทั้งคู่โอภาปราศัยด้วยบรรยากาศอันกลมกลืน ซือเป็นคู่
สนทนาที่ดี ชวนให้พูดคุยกันได้อย่างสนิทใจ ภูมิปัญญาความรู้เพียบพร้อม
รอบด้ า น การสนทนากั บ มั น ไม่ ต้ อ งสงสั ย เลยว่ า เป็ นความส าราญใจ
ประการหนึ่ง
หลีเซียนเอ๋อร์ชาเลืองมองบรรดาองครักษ์ของซือ ในใจลอบตื่นตะลึง
ไม่ น้ อ ย องครั ก ษ์ ปิ ศ าจเหล่า นี้แ ผ่ซ่ า นเจตนาฆ่า ฟั นอั นหนัก แน่นเข้มข้น
ออกมารอบกาย เห็นได้ว่ากราศึกมาอย่างโชกโชน ตี๋ไสว้เรียกได้ว่าทรงพลัง
อานาจอย่างแท้จริง
เมื่อท่านปู่ของนางบอกให้นางมาดูเผ่าปิศาจสักครา นางต้องแตกตื่น
ตะลึงลานสุดระงับ รอจนนางทราบว่าเทียนหวนมีสายสัมพันธ์อย่างลึกล้า
กับพวกปิศาจ นางถึงกับอ้าปากค้างอยู่ครึ่งค่อนวัน นางแม้ไม่ค่อยเห็นด้วย
15
ตี๋ คานี้แปลว่าขลุ่ย ไสว้มาจากด่านไสว้ ในที่นี้หมายถึงแม่ทัพใหญ่ ส่วนซือคานี้แปลว่าปรารถนา คนละซือกับ
ลุงซือ ที่แปลว่าซากศพ
16
เรียกชื่อต่อท้ายด้วยเส้า ใช้เรียกลูกผู้ดม
ี ีศักดิ์ฐานะ
ที่ซิวเจ่อมักจะถือคติกาจัดปิศาจพิฆาตอสูร แต่นางก็ไม่เคยคาดฝันเช่นกัน
ว่าเทียนหวนกับปิศาจส่วนหนึ่งจะมีความสัมพันธ์แนบแน่นถึงเพียงนี้
ต่อมานางยังได้ทราบว่ามิใช่แค่เพียงเทียนหวน แต่อีกสามมหาสานัก
ก็ล้วนแล้วแต่มีพันธมิตรของตนอยู่ในเผ่าปิศาจเช่นกัน
หลีเซียนเอ๋อร์ถึงกับสงสัยว่า จะต้องมีพันธมิต รของส านักอยู่ในภพ
ปิศาจด้วยเป็นแน่แท้
หลังจากช่วงแรกที่ต่ น
ื ตระหนก หลีเซียนเอ๋อร์ก็สงบใจลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางมาย้อนคิดดู ค่อยเห็นว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา สี่มหาสานักมีตัวตนมา
ยาวนานนับพัน ๆ ปี เผ่าปิศาจก็หาได้รวมตัวเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกันไม่ แต่
กลับแบ่งเป็นฝักฝ่ายน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน แต่ละฝ่ายจะลอบสานไมตรี กับ
สานักใหญ่แห่งภพซิวเจ่อก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใด
ภารกิ จ ของนางในครั้ ง นี้ คื อ เป็ น ทู ต เชื่ อ มสัม พั นธไมตรี ใ นนามของ
เทียนหวน
นับเป็นครั้งแรกที่เทียนหวนกับตี๋ไสว้สองมหาอานาจต่างเผ่าพันธุ์ จะ
พบปะเจรจากันอย่างเป็นทางการ
กองทหารที่ส่งมาต้อนรับพวกนางนับว่าใหญ่โตยิ่ง ผนวกกับตัวตนที่มี
ศั ก ดิ์ ฐ านะสู ง ส่ ง เช่ น คุ ณ ชายซื อ เป็ น ผู้ ม าด้ ว ยตั ว เอง สะท้ อ นให้ เ ห็ น ถึ ง
ความสาคัญที่ตี๋ไสว้วางไว้ต่อคณะของหลีเซียนเอ๋อร์ หลีเซียนเอ๋อร์เหลียว
ซ้ายแลขวาไปตลอดทางอย่างตื่นตาตื่นใจ ชื่นชมทัศนีภาพแปลกตาอย่าง
รื่นรมย์
ซือลอบกวาดตามองใบหน้าของหลีเซีย นเอ๋อร์เป็นครั้งคราว ดวงตา
ทอแววร้อนผ่าวอย่างประหลาด
“นี่ เ ป็ น ข้ อ มู ล ทั้ ง หมดเกี่ ย วกั บ เซี่ ย วม่ อ เกอ” หมิ ง เยวี่ ย เยี่ ย ดวงตา
กระจ่างดั่งดวงดาว
จีลี่อวี่พลิกดูอย่างระมัดระวัง
“มันเมื่อสามารถเข้าสู่คุกสิบนิ้ว ทั้งยังสาเร็จวิชาสังขารปิศาจอุปกรณ์
สวรรค์สิบอีกา ก็สมควรมีท้ังสายเลือดปิศาจและอสูร คนผู้นี้ชาติกาเนิดไม่
เป็นที่แน่ชัด แต่ทรงพลังอานาจเหลือล้น ทั้งทักษะปิศาจและศาสตร์ อสูร
ของมันล้วนโดดเด่นเลิศล้า มันยังเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกระดับทองผู้หนึ่ง
อีกด้วย”
สุ้มเสียงของหมิงเยวี่ยเยี่ยสดใสเสนาะหู
“สิ่งที่มันฝึกปรือคือพลังเทพ”
จีลี่อวี่สีหน้าตะลึงลาน “พลังเทพ? ที่แท้พลังเทพมีอยู่จริง?”
“มิใช่แค่เพียงมันผู้เดียว สตรีท้ังสองที่ข้างกายมันเองก็ฝึกปรือพลัง
เทพเช่นกัน เราสงสัยว่ามันอาจเป็นผู้สืบเชื้อสายของชนเผ่าโบราณ ดังนั้น
มันสืบทอดมรดกวิชาพลังเทพที่สมบูรณ์ฉบับหนึ่ง”
“พลังเทพใช่ร้ายกาจจริงหรือ?” จีลี่อวี่คล้ายไม่เชื่อถือเท่าใด
“พวกมันทั้งสาม ผนึกกาลังกันประหารฆ่าจอมปิศาจด่านไสว้ผู้หนึ่ง”
หมิงเยวี่ยเยี่ยกล่าวเสียงราบเรียบ
จีลี่อวี่ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้ นยาก
ดวงตางดงามของหมิงเยวี่ยเยี่ยเพ่งมองโฉมสะคราญจีลี่อวี่ กล่าวราว
กับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญว่า “หน้าที่ของเจ้าคือหาทางใกล้ชิดกับเซี่ยวม่อ
เกอ”
“ใกล้ ชิ ด กั บ มั น ? เพื่ อหาทางลอบขโมยเคล็ ด วิ ช าของมั น เช่ น นั้ น
หรือ?” จีลี่อวี่ถามเบา ๆ
“หากมีโอกาสเหมาะสม”
จีลี่อวี่เหม่อมองหมิงเยวี่ยเยี่ยอย่างงุนงง ดูเหมือนว่าเป้าหมายหลัก
ของสตรีเจ้าปัญญานางนี้กลับมิใช่เคล็ดวิชาเทพ
“ข้าคิดว่ามันมีอนาคตที่ดี” หมิงเยวี่ยเยี่ยทอดตามองไปยังงที่ห่างไกล
คล้ายมองเห็นอนาคตที่ผู้อ่ น
ื ไม่อาจมองเห็น
“ท่านคิดว่ามันมีอนาคตที่ดี?” จีลี่อวี่ทวนคาด้วยน้าเสียงมึนงง นางมิ
อาจเข้าใจได้
“บางทีมันอาจมีขีดความสามารถช่วงชิงแผ่นดินไว้ในกามือ!”
ประโยคสุดท้ายของหมิงเยวี่ยเยี่ยคล้ายอัสนีบาตฟาดทลาย กึกก้อง
กัมปนาทเต็มสองหูของจีลี่อวี่ นางเหม่อมองสตรีเจ้าปัญญาผู้นี้ด้วยสีหน้า
ขาวเผือด
“สาหรับเจ้า รวมถึงตระกูลจี คนผู้นี้เป็นตัวเลือกที่ดีมาก”
หมิงเยวี่ยเยี่ยเพ่งมองนางพลางยิ้มแย้มอย่างเฉิดฉัน แต่เป็นรอยยิ้มที่
จีลี่อวี่รู้สึกว่าน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
จีลี่อวี่หน้าซีดขาวดุจคนตาย มือเท้าเย็นเฉียบ
“แล้วเจ้าจะสานึกขอบคุณข้าในภายหลัง”
หมิ ง เยวี่ ย เยี่ ย ก้ า วเข้ า มาชิ ด ร่ า งงามของจี ลี่ อ วี่ กระซิ บ ริ ม หู เ ป็ น
ประโยคสุ ด ท้ า ยก่อ นจะออกจากห้ องไป ทิ้ ง จี ลี่ อ วี่ ใ ห้ ยืนตะลึง ลานด้วยสี
หน้าเฝื่ อนขม
จั่วม่อกับพวกเผชิญปัญหายุ่งยากประการหนึ่ง
มีกลุ่มสายสืบขบวนเล็ก ๆ ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดเจน
ว่านี่ไม่ใช่สัญญาณที่บ่งบอกถึงไมตรีจิต
อย่างรวดเร็วยิง่ บรรดาปิศาจที่คอยติดตามมาขอเข้าร่วมกับจั่วม่อพา
กั น หายหน้ า ไปหมดสิ้ น ขุ ม ก าลั ง ตามรายทางที่ เ คยเกรงอกเกรงใจจู่ ๆ
กลายเป็นยากจะเจรจาขึ้นมาทันที สิ่งที่สร้างความยุ่งยากให้แก่พวกมันยิ่ง
กว่า คือกองทัพที่คอยวนเวียนมารังควานพวกมัน
กองพั น เล็ ก ๆ เหล่ า นี้ ห าได้ ส่ ง ผลคุ ก คามต่ อ ขบวนของจั่ ว ม่ อ ไม่
เพียงแต่เหลือบไรเหล่านี้มีจ านวนมาก ผลักเปลี่ยนกันก่อกวนไม่ห ยุดยั้ง
พวกมันถ่วงเวลาการเดินทางของจั่วม่อจนล่าช้าลงไปมาก
“มีคนมุ่งเป้ามายังพวกเรา!” เปี๋ ยหานเอ่ยปากเสียงเย็น
กงชุนซาเห็นพ้องด้วยกับเปี๋ ยหาน “มิผิด มีคนลอบชักใยอยู่ในเงามืด
มิหนาซ้ามิใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่”
คนทั่วไปไหนเลยจะสามารถบงการขุมกาลังเล็ก ๆ เหล่านี้ได้ด่ังใจนึก
เช่นนี้ ควรทราบว่า ชื่อเสียงของเซี่ย วม่อ เกอในยามนี้ เจิดจรัส ดุจ อาทิ ต ย์
ยามเที่ ย งวั น ซึ่ ง หมายความว่ า ผู้ ที่ ส ามารถบี บ บั ง คั บ ให้ ขุ ม ก าลั ง เล็ ก ๆ
เหล่านี้กล้าจู่โจมรังควานเซี่ยวม่อเกอ จะต้องมีตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
กว่ามันหลายเท่า
“มีเงื่อนงาหรือไม่?” จั่วม่อถามเสียงขรึม
“ข้าจับกุมสายสืบได้หลายคน แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ล่วงรู้อันใดเลย” กง
ซุนชากล่าวพลางสั่นศีรษะ
“ผู้อ่ น
ื ไฉนมุ่งเป้ามาที่เรา?” จั่วม่อเจาะจงลึกลงไปอีกขั้น
“เรื่องนี้ยังไม่อาจทราบได้” กงซุนชาสั่นศีรษะอีกรอบ
“ดูเหมือนเราจาเป็นต้องเชือดไก่ให้ลิงดูสักเล็กน้อย” จั่วม่อสีหน้าเย็น
ยะเยียบ
สถานการณ์การก่อกวนยิ่งมายิ่งเลวร้ายลง กองพันเล็ก ๆ เหล่านี้น่า
ร าคาญราวกั บ แมลงวั น หากยั ง ปล่ อ ยให้ เ หตุ ก ารณ์ เ ช่ น นี้ ด าเนิ น ต่ อ ไป
หนทางข้างหน้าของพวกมันจะยากลาบากยิง่ แล้ว
การสื บ หาประวั ติ ค วามเป็ น มาของสายสื บ เหล่ า นี้ ก ลั บ ไม่ ใ ช่ เ รื่ อง
ยากเย็นอันใด
ในค่ า คื น นั้ น เปี๋ ยหานน ากองพั น บาปเคราะห์ บุ ก ท าลายขุ ม ก าลั ง
ท้องถิ่นสามแห่งรวด
ทว่าที่เหนือความคาดหมาย คือขุมกาลังเล็ก ๆ เหล่านี้คล้ายคาดเดา
ได้ล่วงหน้าว่าจะมีการตอบโต้อย่างรุ นแรง คนในตระกูลของพวกมันล้วน
อพยพออกไปแต่แรก สิ่งที่หลงเหลือแทบมีแต่ความว่างเปล่า
จั่วม่อสูดได้กลิ่นอายของการสมคบคิด
... ...
... ...
นั่นเป็นยามวิกาลอันลึกล้า เจียงเจ๋อเพ่งมองแผนที่อาณาจักรแน่วนิ่ง
ความคิดคานึงคล้ายล่องลอยไปไกล
มันจมอยู่ในท่วงท่านี้มาตลอดทั้งวัน
“ต้าเหริน มีรายงานว่าเซี่ยวม่อเกอเผชิญกับการก่อกวนจากขุมกาลัง
หลายฝ่าย”
เจียงเจ๋อค่อยเงยหน้าขึ้นมอง ลอบสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ มัน
ตระหนักรู้ในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของทางสานัก พลังอานาจของสานักช่าง
สุดจะหยั่งคานวณโดยแท้!
ในข่าวสารลับที่มันส่งไปยังสานัก มันกล่าวไปว่าหวังให้ทางสานักช่วย
ยื้อเวลาให้แก่มันสักระยะ
มั น ต้ อ งการเวลามากกว่ า นี้ เพื่ อที่ จ ะคลี่ ก างแหฟ้ า ตาข่ า ยดิ น
จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพ
เมื่อเป็นเช่นนี้เจียงเจ๋อรู้สึกคลายใจลงมาก การศึกครั้งนี้กดดันต่อมัน
อย่างใหญ่หลวง มันกับเปี๋ ยหานเคยประมือกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ต่างฝ่าย
ต่ า งคุ้ น ชิ น ซึ่ ง กั น และกั น เป็ น ที่ สุ ด มั น ทราบดี ว่ า เปี๋ ยหานน่ า สะพรึ ง กลั ว
เพียงใด พวกมันเคยเป็นศิษย์ร่วมส านักเดียวกัน แต่มันไม่เคยคาดฝัน ว่า
จะมีวันที่มันกับเปี๋ ยหานจะต้องเผชิญพบกันในสมรภูมิ ชนิดเอาชีวิต เป็น
เดิมพัน
ศึกครั้งนี้จะไม่มีการถอยหนี!
มั น เองก็ ไ ม่ มี ค วามคิ ด จะถอยหนี เพี ย งแต่ มี นิ สั ย ใจคอรอบคอบ
ระมัดระวัง ยิ่งศัตรูคือเปี๋ ยหาน มันยิ่งต้องรอบคอบระมัดระวังมากกว่าเดิม
หลายเท่าตัว นี่เป็นการศึกที่ไม่อาจพ่ายแพ้
ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่อาจพ่ายแพ้!
เผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล มันยังคงสงบเยือกเย็น หากมีเวลา
เตรียมการมากพอ เจียงเจ๋อเชื่อมั่นว่ามันสามารถเอาชัยเปี๋ ยหานได้อย่ าง
เบ็ดเสร็จเด็ดขาด!
เซี่ยวม่อเกอถูกถ่วงเวลาจนล่าช้าลง ฝ่ายมันย่อมมีเวลามากขึ้น และ
ย่อมหมายถึงมันสามารถเตรียมการได้มากขึ้น
เจียงเจ๋อเพ่งมองแผนที่อาณาจักรอีกคารบ แต่คราครั้งนี้ สายตาเย็น
เยียบของมันกวาดมองไปยังจุดหนึ่งในแผนที่ที่ห่างไกลออกไปมาก
หลั ง จากจบศึ ก ครั้ ง นี้ มั น จะไปยั ง อาณาจั ก รทะเลเมฆ เพื่ อ ทวงหนี้
แค้นให้แก่ศิษย์พี่หญิงฟ่งเยวี่ย
เจี ย งเจ๋ อ พร่ า ย้ า กลับ ตั ว เองเช่ นนี้ นับ ร้ อ ยครั้ ง พั นหน คล้ า ยมี แ ต่ ทา
เช่นนี้ จึงสามารถปลอบประโลมหัวใจอันรวดร้าวของมันได้
บทที่ 663 ผู้อยู่เบื้องหลัง
17
หาว - ผู้ที่มีความสามารถและพละกาลังเหนือมนุษย์ น้าใจกว้าง ใจป้า กล้าได้กล้าเสีย จิตใจถึงลูกถึงคน ใช้
อานาจบาตรใหญ่
ถ่วงเวลาพวกมันให้ล่าช้าลง... ...
หากเพื่อการนี้ เช่นนั้นผู้อ่ น
ื สมควรมีจุดมุ่งหมายใด?
จั่วม่อจู่ ๆ สะท้านขึ้นทั้งร่าง แตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ
หรือว่ามีส่งิ ใดรอคอยพวกมันอยู่เบื้องหน้า?
“วัดเสวียนคงดูท่าหมายมั่นปั้ นมือที่จะทาลายล้างเซี่ยวม่อเกอให้จ ง
ได้ แต่พวกมันช่างประเมินเซี่ยวม่อเกอไว้สูงยิ่งนัก!” เสวียตงกล่าวปนหัว
ร่อ
ยอดแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งคุนหลุนผู้นี้คิ้วหนาตาโต ท่วงท่าสภาวะโอ่
อ่าสง่างาม ทั้งยังแฝงเร้นด้วยกลิ่นอายดุร้ายกระหายเลือดที่เพาะสร้างขึ้น
จากการทาศึกสงครามเป็นเวลานาน มันพอกลับมาจากแนวหน้า ก็แล่นมา
หาหลินเชียนทันที
หลินเชียนแม้มีฐานะเป็นศิษย์พี่ แต่เสวียตงกลับ อายุมากกว่า ดังนั้น
ทั้งคู่เป็นสหายสนิทกัน
หลิ น เชี ย นรั้ ง จิต สมาธิก ลับ จากม้ ว นหยก สี ห น้ า ใจลอยอยู่บ้ า ง เพื่ อ
รับประกันชัยชนะในศึกนี้ วัดเสวียนคงถึงกับส่งสองซิวเจ่อด่านฝ่านซูของ
พวกมันไปลอบสังหารเซี่ยวม่อเกอ ไพ่ตายของวัดเสวียนคงใบนี้ถูกปกปิด
ซ่อนเร้นไว้เป็นอย่างดี แต่สายลับของพวกมันในวัดเสวียนคงมีศักดิ์ฐ านะ
สูงส่งพอที่จะสืบรู้เรื่องนี้ได้
“เจ้าคิดอะไร?” เสวียตงมีความรู้สึกเฉียบไว จับท่าทีผิดปกติของหลิน
เชียนได้ในทันที
หลินเชียนพลันรู้สึกตัว ยิ้มพลางกล่าวว่า “เซี่ยวม่อเกอผู้นี้เป็นบุคคล
พิเศษโดยแท้ น่าเสียดายที่ครัง้ นี้มันจะต้องตายแน่”
“อ้อ” เสวียตงประหลาดใจอยู่บ้าง “กระทั่งเจ้ายังมีความเห็นต่อมัน
อย่างสูงถึงเพียงนี้ ข้าชักสงสัยใคร่รู้ในตัวเซี่ยวม่อเกอผู้นี้บ้างแล้ว”
“คราวนี้ข้าไปยังแดนปิศาจ เคยประมือกับมันรอบหนึ่ง คนผู้นี้คล้าย
ยากจะหยั่งคานวณอยู่บ้าง” หลินเชียนอธิบายอย่างปลอดโปร่ง
เสวียตงสีหน้าแปรเปลี่ยน มันทราบกระจ่างดีว่าหลินเชียนมีพลังฝีมือ
สู ง ล้ า ถึ ง เพี ย งไหน หากกระทั่ ง หลิ น เชี ย นยั ง ถึ ง กั บ เอ่ ย ปากเช่ น นี้ นั่ น
หมายความว่าหลินเชียนไม่แน่ใจว่า สุดท้ายแล้วชัยชนะจะอยู่ในมือฝ่ายใด
กันแน่
หลินเชียนหน้านิ่วคิ้วขมวด “คนผู้นี้ชาติกาเนิดแปลกประหลาดนัก ดู
เหมือนจะมีสายเลือดของทั้งอสูรและปิศาจ ไม่ว่าจะฝีมือศาสตร์อสูรหรือ
ทั ก ษะปิ ศ าจก็ ล้ ว นแล้ ว แต่ ก ล้ า แข็ ง ยิ่ ง มิ ห น าซ้ า มั น ยั ง ฝึ ก ปรื อ พลั ง เทพ
สาเร็จอีกด้วย”
“พลังเทพ?” เสวียตงดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าตื่นตะลึง
“ถูกต้อง ข้าที่เริ่มเข้าใจพลังเทพ เนื่องเพราะประมือกับมันในคราวนี้
เอง” หลินเชียนคล้ายขบคิดถึงเรื่องราวบางประการ ขมวดคิ้วอีกครั้ง “มัน
สมควรสืบทอดมรดกเคล็ด วิ ชาที่ส มบูร ณ์ ชุ ดหนึ่ง หากปล่อยให้ต กอยู่ ใ น
เงื้อมมือของวัดเสวียนคง เกรงว่าคงจะไม่ดีนัก!”
มิใช่แค่คุนหลุนเพียงส านักเดียวที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องพลังเทพ ไม่ว่า
สานักใดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ล้วนมีความทะเยอทะยานต่อพลังที่
สูญหายไปแล้วนี้ แต่หากว่ากันในเรื่องความทุ่มเทพยายาม แน่นอนว่าไม่มี
ผู้ใดเกินหน้าสี่มหาสานัก
เสวียตงหรี่ตาลง “มิผิด! เราไม่อาจปล่อยให้มรดกวิชาเทพตกอยู่ใน
มือของวัดเสวียนคง ไฉนเราไม่ส่งผู้คนไปบ้างเล่า?”
“เกรงว่าจะไม่เหมาะ!” หลินเชียนสั่ นศีรษะ สีห น้าเคร่งเครียด “ศึก
ครั้งนี้วัดเสวียนคงมีเหตุผลชอบธรรมที่จะต่อสู้ ข้อแก้ตัวของพวกมันที่ ว่า
จะชาระความเปี๋ ยหานศิษย์ทรยศ ไม่มีผู้ใดสามารถคัดง้างได้ หากเราส่งคน
ไปด้วย เท่ากับฉีกหน้าวัดเสวียนคงอย่างเปิดเผย เกรงว่าเรื่องราวคงไม่จบ
ลงง่าย ๆ แล้ว”
เสวียตงขนวดคิว
้ นิว
่ หน้าเช่นกัน หลินเชียนกล่าวไม่ผิด พวกมันไม่อาจ
ส่งคนเข้าไปก้าวก่ายกับเรื่องนี้ได้โดยตรง
“เรายังคงสามารถแจ้งข่าวไปยังเซี่ยวม่อเกอ กระตุ้นเตือนให้มันหลบ
ซ่อนตัวเอาไว้” หลินเชียนรู้สึกว่าเรื่องนี้ยุ่งยากอยู่บ้าง แม้แต่มันยังไม่เคย
คิดว่าเพียงเพื่อเซี่ยวม่อเกอ วัดเสวียนคงจะลงทุนลงแรงถึงขั้นส่งยอดคน
ด่านฝ่านซูสองคนไปจัดการกับมัน
ยอดยุทธ์ด่านฝ่านซูถือเป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ หากมิใช่เรื่องคับขัน
เป็นตายจริง ๆ จะไม่มีสานักใดยินยอมนาพวกมันออกมาใช้
ศึกครั้งนี้มีความสาคัญต่อพวกมันมากเพียงใด ดูเหมือนว่าวัดเสวียน
คงจะทราบกระจ่างใจเป็นอย่างดี
“ไฉนต้องไปในทิศทางนี้?” จั่วม่อถามผูเยากับเว่ยอย่างงุนงง
ยามนี้มันกับอากุ่ย รวมทั้งเขิงเหลียนเอ๋อร์ กาลังทะยานร่างเหินบิน
อย่างไม่คิดชีวิต และเพื่อหลีกเลี่ยงหูตาของบรรดาสายสืบใยระหว่างทาง
พวกมันไม่ได้อาศัยพาหนะปิศาจ แต่เหินบินด้วยเรี่ยวแรงของตน
จั่วม่อกาหนดแผนการที่หาญกล้าบ้าบิ่นเป็นอย่างยิ่ง
มันตกลงใจใช้ตัวเองเป็นเหยื่อ ล่อสองโจรเฒ่าหัวล้านจากวัดเสวียน
คงมาเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ ฝ่ายหนึ่งหลบหนี อีกฝ่ายไล่ล่า วกอ้อมเป็นวงใหญ่
เช่ น เดี ย วกั น กั บ ที่ วั ด เสวี ย นคงไม่ ยิ น ดี ที่ จ ะปล่ อ ยให้ ฝ่ า นซู ต กอยู่ ใ น
สถานการณ์อันตรายในสมรภูมิ จั่วม่อเองก็ไม่เต็มใจให้หัวโล้นเฒ่าทั้งสอง
เข้าสู่สมรภูมิเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโอกาสชิงชัยของพวกมันอย่าง
รุนแรง
จั่วม่อเชื่อมั่นในฝีมือของเปี๋ ยหานกับกงซุนชาอย่างเต็มที่ ขอเพียงโจร
หัวโล้นเฒ่าทั้งสองไม่เข้าร่วมการศึก มันเชื่อว่าสองยอดขุนพลของมันจะ
เป็นผู้กาชัยเหนือเจียงเจ๋อแห่งวัดเสวียนคง
หากกงซุ น ชากั บ เปี๋ ยหานสามารถปราบพิ ชิ ต เจี ย งเจ๋ อ ได้ ส าเร็ จ
ผลกระทบที่ เกิดขึ้น เพียงพอที่จ ะโยนวัดเสวียนคงลงไปในความโกลาหล
อลหม่านรอบหนึ่ง
หากมันสามารถลากถ่วงไปจนถึงเวลานั้น สองโจรหัวโล้นเฒ่าย่อมไม่
มีเวลาจะไล่ล่ามันอีกต่อไป พวกมันจะต้องกลับไปคลี่คลายสถานการณ์
และควบคุ ม ความวุ่ น วายในส านั ก วิ ก ฤติ ก ารณ์ ท างด้ า นของจั่ ว ม่ อ ก็ จ ะ
คลี่คลายไปด้วย
จุดสาคัญของแผนการนี้คือการช่วงชิงเวลา
ทางด้านของมัน ยิ่งสามารถลากถ่วงออกไปได้นานเท่าใด ก็ยิ่งจะเป็น
ประโยชน์ต่อฝ่ายของกงซุนชามากขึ้นเท่านั้น ส่วนอีกทางหนึ่ง กงซุนชา
กับเปี๋ ยหาน พวกมันยิ่งพิชิตเจียงเจ๋อได้เร็วเท่าใด จั่วม่อก็ยิ่งจะปลอดภัย
เร็วขึ้นเท่านั้น
หากมันต้องเผชิญกับสองโจรหัวโล้นเฒ่าด่านฝ่านซูอย่างซึ่ง ๆ หน้า
จั่วม่อแน่นอนว่าจะไม่มีโอกาสแม้สักส่วนเสี้ยว
แต่หากเป็นการเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ จั่วม่อหาได้เกรงกลัวไม่ เมื่อมีผูเยา
กับเว่ยอยู่ที่นี่ อาศัยสองโจรเฒ่าพันปีหมื่นปีอันกลอกกลิง้ สุดหยั่งคู่นี้ จั่วม่อ
แน่ใจว่าสองโจรหัวโล้นเฒ่าจะไม่มีโอกาสแม้สักส่วนเสี้ยว
และเพื่อหลอกล่อให้สองโจรหัวโล้นเฒ่าฮุบเหยื่ออย่างเต็มใจ จั่วม่อจง
ใจทิ้งร่องรอยพลังเทพเอาไว้ต ามรายทาง คราวที่แล้วสี่มหาอานาจที่ น า
โดยหลิ น เชี ย น ถึ ง กั บ มาอาละวาดจนแทบฟ้ า ถล่ม แผ่นดิ น ทลายในนคร
มหาสันติ หรือมิใช่เพียงเพื่อพลังเทพ? จั่วม่อทราบดีว่าคนเหล่านี้ลุ่มหลง
งมงายต่อพลังเทพมากเพียงใด
แต่จ่ว
ั ม่อไม่เคยคาดคิด เพียงก้าวออกมาพ้นจากค่ายทัพ ผูเยากับเว่ย
จะเร่งรัดให้มันบินตรงไปยังทิศทางนี้
จั่วม่อราพึงในใจ ที่แท้มีการสมคบคิด!
บทที่ 665 การสมคบคิดของผูเยากับเว่ย
18
ต้าเฉิงคานี้แปลว่ามหายาน คนละคากับต้าเฉิงที่แปลว่าเจ้าส้มใหญ่ของอสูรหัวส้ม
แต่มรดกวิชาเทพที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันนี้ บันดาลให้มันรู้สึก
ถึงความหวังสายหนึ่ง
วัดเสวียนคงได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพลังเทพมาเป็นเวลานาน ไต้เทา
เองเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือที่ทรงพลังอานาจที่สุดในสานัก ย่อมมีส่วนร่วม
ในกระบวนการศึกษาค้นคว้านี้ด้วย แต่กระทั่งถึงยามนี้วัดเสวียนคงยัง ไม่
เคยมีผ ลงานเป็นชิ้นเป็นอันอันใด จนพลังเทพถูกมองว่าเป็นพลังที่เหนือ
ชั้นกว่าพลังปราณ
ส าหรั บ ซิ ว เจ่ อ ทั่ ว ไป เรื่ องนี้ อ าจไม่ ส ลั ก ส าคั ญ นั ก วิ ถี บ าเพ็ ญ พลั ง
ปราณเองก็กว้างใหญ่ไพศาลดุจห้วงสมุทร ไร้ที่สิ้นสุดประหนึ่งผืนฟ้าเบื้อง
บน ซิวเจ่อธรรมดาผู้หนึ่ง เกรงว่าชั่วชีวิตยังมิอาจศึกษาได้เจนจบครบถ้วน
แต่ ส าหรั บ ซิ ว เจ่ อ ระดั บ สุ ด ยอดเช่ น พวกมั น ที่ แ ทบจะบรรลุ ถึ ง
จุดสูงสุดของวิถีบาเพ็ญแห่งซิวเจ่ ออยู่รอมร่อ พลังเทพเป็นแรงดึงดูดที่ไม่
อาจต้านทานได้!
เงาร่างทั้งสองหายวับไปในบัดดล
หลายอึ ด ใจให้ หลัง เงาร่ า งสายหนึ่ งค่ อ ย ๆ ก่ อ ตั ว ขึ้ น จากความว่าง
เปล่า ไม่ห่างจากตาแหน่งที่สองสุดยอดฝีมือยืนอยู่ในตอนแรกนัก เป็นหลัว
หลี เ อง หลั ว หลี ม องตามทิ ศ ทางที่ ค นทั้ ง สองจากไป ดวงตาทอแววลี้ ลั บ
พิสดารวูบ
หลังจากนั้นอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยาม
กองทั พ ของเซี่ ย วม่ อ เกอเริ่ ม เคลื่ อนทั พ เร่ ง รุ ดไปเบื้ องหน้ า ด้ ว ย
ความเร็วเต็มพิกัด!
... ...
“คราวนี้บอกข้ามาได้แล้ว พวกเราไฉนต้องมาทางนี้!” จั่วม่อถลึงตา
มองผูเยากับเว่ย “เฮอะเฮอะ เกอจึงไม่หลงกลพวกเจ้าง่า ย ๆ! เจ้าพวกคน
ต่าช้า ไร้ยางอายและแสร้งเป็นลึกลับอย่างพวกเจ้าทั้งสอง อย่าได้คิดว่าจะ
สามารถกระทาสิ่งที่ยากจะกล่าวออกจากปากลับหลังข้าได้!”
จั่วม่อกล่าวเร็วปรื๋อ ทั้งร้อนรุ่มทั้งรัวเร็ว
อย่ า งไรก็ ต าม สองโจรเฒ่ า พั นปี ต รงหน้า มั น เห็ น ได้ ชั ด ว่ า ไม่ ส ะทก
สะท้านกับเพียงแค่วาจาระดับนี้
“นี่เป็นเรื่องดี” เว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่มีพิษมีภัย
“คิดหลบหนีชนชั้นฝ่านซู หาใช่เรื่องง่ายดายไม่!”
ขู่กรรโชก! ผูเยากาลังจะเริ่มขู่กรโชกมันอย่างแน่นอน!
ทว่าเซี่ยวม่อเกอผู้มีผิวหน้าหนาเท่ากาแพงเมือง ทั้งยังใจดาอามหิต
กับเพียงแค่ภัยคุกคามระดับนี้ มันมีภูมิต้านทานตั้งแต่แรกแล้ว พอฟังต้อง
แสยะยิ้มเย็นชา “ทุกคนล้วนลงเรือลาเดียวกัน ขู่ขวัญข้าทาอะไร? หากข้า
หนีไม่รอด หรือว่าพวกเจ้ามีปัญญาหนีรอดด้วย?”
“ครั้งนี้เป็นเรื่องดีจริง ๆ ข้ารับรองได้” เว่ยยังคงแย้มยิ้มเปี่ ยมไมตรีจิต
จั่วม่อเหลือบมองผูเยา ในใจลอบประหลาดใจไม่น้อย เจ้าผู้นี้วันนี้ไฉน
ไม่โต้ตอบแม้สักครึ่งคา นี่ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาแล้ว!
“เรื่องดีอันใด?” จั่วม่อซักไซ้ไม่เลิกรา
เว่ยลังเลชั่ววูบ แต่ยังคงกล่าวออกมา “ซึ่งความจริง เมื่อครั้งกระโน้น
เราทิง้ บางสิง่ ไว้เบื้องหลัง”
จั่ ว ม่ อ งงงั น วู บ จากนั้ น ดวงตาพลัน ทอประกายแวววาวราวกั บแสง
ของจิงสือ “วาวาวา! จิงสือ? อ้อ หรือว่าเป็นม๋อเป้ย? หรือว่าขุมสมบัติพันปี
ในตานาน? ในอดีตพวกเจ้ามิใช่ว่ามีขุมกาลังเข้มแข็งมากหรือ ความมั่งคั่ง
ที่พวกเจ้าสั่งสมเอาไว้... ... โอ้โอ้โฮ้! ร่ารวย คราวนี้ร่ารวยแน่แล้ว! ฮ่าฮ่า...
...”
ในทะเลแห่งจิตสานึก จั่วม่อกระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลดยินดี
“ร่ารวย... ...” เว่ยเหม่อมองด้วยสีหน้าโง่งม
“ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นเช่นนี้” ผูเยาสีหน้าไร้อารมณ์
แต่ห ลังจากทาเป็นใจเย็นได้ไม่กี่อึดใจ ผูเยาเห็นได้ชัดว่าเส้นเลือดที่
ขมับเต้นตุบ ๆ สีหน้าที่แสร้งเยือกเย็นกลายเป็นบิดเบี้ยว ในดวงตาสีโลหิต
คล้ า ยจะมี เ ปลวไฟโทสะลุ ก ฮื อ โหม เสี ย งกั ด ฟั น กรอด ๆ เหมื อ นโม่ หิ น
ทางาน มองปราดเดียวก็ทราบ ว่าพิโรธโกรธกริ้วจนแทบระเบิดออกมาได้
ทุกเมื่อ
“ไม่ใช่ขุมสมบัติหรอกรึ?” จั่วม่อชะงักกึก บ่นพึมพาด้วยสีหน้าผิดหวัง
สุดระงับ “ที่แท้ไม่มีสมบัติอันใด นี่ทาให้ข้าผิดหวังจริง ๆ! อา เจ้าสองคนที่
เคยเลื่องลือระบือนามในอดีตกาล ที่แท้ยากจนข้นแค้นถึงเพียงนี้ จุ๊จุ๊... ...”
“หุบปากเสียที!” ผูเยาที่เพียรระงับเพลิงโทสะอย่างสุดความสามารถ
ในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้อีกต่อไป แผดเสียงตวาดด้วยโทสะในบัดดล “ตัวโง่
งม! โง่เขลาเบาปัญญา! เจ้าคนปัญญาอ่อนที่รู้จักแต่เกียจคร้าน เอาแต่กิน
นอนและนั่งรอวันตาย! น่าขายหน้านัก! ข้าถึงกับมีลูกศิษย์เช่นเจ้า! ช่างน่า
อับอายขายหน้าแทบตายแล้ว! เจ้าเข้าใจอันใด? อ๋า! ใต้หล้า! เรากาลังต่อสู้
เพื่อช่วงชิงใต้ห ล้า! เพื่อครองอานาจเหนือทั้งสิบทิศ! จิต ปณิธ านของเรา
ความปรารถนาของเรา เจ้าจะเข้าใจอันใด เจ้าสามารถล่วงรู้ก็แต่เงิน เงิน
เงิน สมบัติ สมบัติ สมบัติ... ...”
ในทะเลแห่งจิตสานึกของจั่วม่อ ผูเยาที่เกรี้ยวโกรธล้อมรอบด้วยเปลว
ไฟลุ ก ฮื อ โหม เปลวไฟสี แ ดงเข้ ม โถมท่ ว มแผ่ น ฟ้ า ผู เ ยาไม่ ต่ า งจากเทพ
พิโรธองค์หนึ่ง
จั่วม่อสีห น้าสับสนงุนงง มันเหม่อมองผูเยาบนท้องฟ้า ที่กาลังชี้หน้า
ด่าทอมันอย่างเดือดดาล อดราพึงออกมาไม่ได้ “นี่มันอะไรกัน... ....”
ถ้อยคาเบา ๆ นี้ทาให้เปลวไฟบนท้องฟ้าถึงกับชะงักงันอย่างสิ้นเชิง
เสียงร้องด่าของผูเยาขลุกขลักอยู่ในลาคอ
ผูเยาคล้ายลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม หดแฟบลงโดยไร้สุ้มเสียง เปลวไฟที่
ลุกโหมหายวับไปทันควัน
ผู เ ยากั บ เว่ ย ไม่ แ ยแสนสนใจจั่ ว ม่ อ ที่ ท าหน้ า งงงวย พากั น ปลี ก ตั ว
ออกมาสุมหัวกระซิบกระซาบกัน
เว่ยเอ่ยปากอย่างสงบเยือกเย็น “ข้าเพียงทราบว่านี่จะเป็นโอกาสของ
พวกที่เหลือ... ...”
ผูเยากระชากเสียงอย่างขุ่นเคือง “ทั้งหมดล้วนสูญเปล่า ต้องมาพบ
เจอกับจู่เหรินที่ไร้จิตปณิธานเช่นนี้ พวกมันช่างน่าเวทนาโดยแท้ น่าเวทนา
ที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว... ...”
เว่ยพลันกล่าวตรงจุดในประโยคเดียว “จิตปณิธาน? เฮอะ นี่มิใช่ครั้ง
แรกที่มันเอาแต่กินนอนและนัง่ รอวันตาย”
ผูเยาขุ่นเคืองขึ้นมาอีก “เรากระทาเรื่องราวตั้งมากมาย เพียงเพื่อจะ
เตรียมการไว้สาหรับเจ้าคนเช่นนี้... ...”
เว่ยกลับเยือกเย็นกว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”
ผูเยาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ประเสริฐยิ่ง... ...ข้าคงต้องขุ่นแค้นจนอัดอก
ตาย! ไม่ได้! เฮอะ หากไม่ให้มันจ่ายค่าตอบแทนออกมาบ้าง จะยอมให้มัน
เอาแต่ประโยชน์ได้อย่างไรกัน... ...”
เว่ยจ้องมองผูเยาที่ทาท่าจะผละออกไปเจรจากับจั่วม่ออีกครั้ง กล่าว
ขัดอย่างใจเย็นว่า “บางทีมันอาจไม่ได้ต้องการรับผลประโยชน์นี้”
ผูเยาชะงักกึก สีหน้าคล้ายครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางประการ จากนั้นหัว
ร่อฮี่ฮี่ออกมา “ฮ่า เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมัน”
เว่ยเอะใจทันที “เจ้าวางแผนจะทาอะไร?”
ผูเยาไม่ตอบ เพียงย้อนถามว่า “เจ้าคิดว่ามันเป็นคนเยี่ยงไร?”
เว่ยตอบอย่างไม่ลังเล “เกียจคร้าน เอาแต่กินนอนและนั่งรอวั นตาย
ไม่ชอบทางานหนัก ละโมบโลภมาก หนังหน้าหนา ทั้งยังใจดาอามหิต”
ผู เ ยาถามอย่ า งครุ่ น คิ ด “แล้ ว เมื่ อ ใดที่ มั น จะเพี ย รพยายามกระท า
เรื่องราวบางประการอย่างเอาจริงเอาจัง?”
เว่ยตอบทันควัน “เมื่อมันไม่มีทางเลือกอื่น มันก็ได้แต่ต้องสู้ตายถวาย
ชีวิต"
“อ้อ เช่นนั้นกล่าวอีกทางหนึ่งก็คือ หากพวกเราต้องการให้มันกระทา
เรื่ องราวบางประการ เรื่ องที่ ว่ า นี้ ต้ อ งไม่ เ ว้ น ทางถอยไว้ ใ ห้ แ ก่ มั น ไม่ มี
ทางเลือกอื่นให้มันหลบหนี ทาให้มันได้แต่ต้องสู้ตายถวายชีวิต” ผูเยาสรุ ป
ด้วยรอยยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า
“ความหมายของเจ้าคือ... ...”
ผูเยาดวงตาสีแดงเลือดสาดประกายลี้ลับชั่วร้าย “ฮี่ฮี่... ...”
เว่ยผงกศีรษะ “เข้าใจแล้ว”
“แล้วเจ้าว่าอย่างไร?” ผูเยาชายตามองเว่ย
“ตามนั้น” เว่ยตอบทันควัน
“นี่มิใช่การค้าที่เจ้าคุ้นเคยกระมัง?”
“คุ้นชินมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว”
“ช่างชวนให้ผู้คนโลหิตเดือดพล่านโดยแท้!”
“อา”
จั่ ว ม่ อ ที่ ยื น ครุ่ น คิ ด อยู่ ไ ม่ ไ กลออกไปนั ก พลั น รู้ สึ ก เย็ น สั น หลั ง วาบ
ขึ้นมาในทันใด
จากนั้นมันค่อยเห็นผูเยากับเว่ยที่ลอบไปกระซิบกระซาบกัน พากัน
หันมามองมันเป็นตาเดียว ทั้งยังแย้มยิ้มอย่างลี้ลับ
จั่วม่อตัวสั่นสะท้าน
โจรเฒ่าสองคนนี้ใช่วางแผนร้ายอันใดอีกแล้วหรือไม่?
จั่วม่อครุ่นคิดอย่างหนักใจ สองโจรเฒ่าทาทีเป็นหันไปทางอื่น คล้าย
ไม่คิดแยแสสนใจมันอีก จั่วม่อสะกดกลั้นแรงกระตุ้นให้เข้าไปซักถาม รีบ
ออกจากทะเลแห่งจิตสานึกไป
มั น ทราบดี ว่ า ต่ อ ให้ เ ค้ น ถามอย่ า งไร มั น ก็ จ ะไม่ ไ ด้ รั บ ค าตอบอั น ใด
ดังนั้นหลบออกไปให้ห่างไกลจากสองโจรเฒ่าสมควรปลอดภัยกว่า
แน่นอนว่าจุดสาคัญที่สุด คือไม่มีขุมสมบัติเสียหน่อย!
หลังจากได้ยินว่าไม่มีความร่ารวย จั่วม่อก็ห มดความสนใจในสิ่งที่ผู
เยากล่าวออกมาทันที คราครั้งนี้มันไขว่คว้าความมั่งคั่งร่ารวยมาได้ไม่น้อย
กรงเล็ บ พิ ฆ าตมั ง กร สายใยสามพั น อาวรณ์ ของวิ เ ศษสองอย่ า งนี้ เ ป็ น
สมบัติล้าค่าแห่งฟ้าดิน มิหนาซ้าหลังจากได้ชัยเหนือกองกาลังของอวี่ไสว้
มันยังได้รับสมบัติล้าค่าอีกมากมาย
เหรี ย ญวิ เ ศษใจอามหิ ต กระบี่ ลิ้ น ปลาหลีเ ขีย ว ไม่ ว่ า จะชิ้ น ใดก็เป็น
ยอดศาสตรามารนามกระเดื่อง
ทั้งมีวัต ถุดิบอีกมากมายมหาศาล รวมถึงทักษะปิศาจที่ล้วนแล้ ว แต่
เป็นทักษะปิศาจชัน
้ ยอดอีกหลายสิบวิชา
ดังนั้นจั่วม่อจึงไม่ใคร่สนใจในมรดกที่ผูเยากับเว่ยเอ่ยถึงมากนัก ยิ่งไป
กว่านั้น มันยังทราบกระจ่างแก่ใจ สิ่งที่สองโจรเฒ่าเสนอออกมาล้วนไม่เคย
มีสิ่งใดสะดวกดาย
ยามนี้มันเพียงต้องการไปให้ถึงอาณาจักรน้าพุปรโลก เพื่อที่จะได้ใช้
หญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณสืบค้นชาติกาเนิดของมัน และเพื่อชาระหนี้
แค้ น ของมั น หลั ง จากสิ้ น เรื่ องสิ้ น ราวทั้ ง หมด มั น จะกลั บ ไปเสริ ม สร้ า ง
พัฒนาดินแดนของตน ทากาไรจิงสือ และมีชีวิตอย่างสุขสาราญใจ
ในเมื่ อยามนี้ มั น ครอบครองดิ น แดนใหญ่ โ ต เพี ย งพอให้ พี่ น้ อ ง
ทั้งหลายมีคืนวันที่ดี เท่ากับไม่ผิดต่อบรรดาพี่น้องที่ติดตามมันแล้ว จั่วม่อ
ขบคิดอย่างเบิกบานใจ
แต่จ่ัวม่อรีบฉุดรั้งจิต ใจออกจากภาพอนาคตอันสุข สม ฟื้นคืนความ
สงบเยือกเย็นในทันที
การศึกครั้งนี้จะตัดสินชะตาชีวิตของพวกมันโดยตรง พวกมันหากได้
ชัย จะทะยานขึ้นสู่ตาแหน่งหนึ่งในกองทัพที่เข้มแข็งที่สุดในใต้หล้า จะไม่มี
ใครกล้าเปิดศึกข่มเหงรังแกพวกมันง่าย ๆ อีก พวกมันจะเปิดเส้นทางอัน
ปลอดโปร่งสายหนึ่ง เพื่อถล่มวัดเสวียนคงไปจนถึงจุดที่ไม่อาจพลิกฟื้นได้
อีกเป็นครั้งที่สอง
แต่หากพวกมันพ่ายแพ้... ...
ไม่ พวกมันไม่อาจพ่ายแพ้เป็นอันขาด!
ส าหรั บ วั ด เสวี ย นคง การศึ ก ครั้ ง นี้ พ วกมั น ไม่ อ าจพ่ า ยแพ้ ไ ด้ ฉั น ใด
สาหรับพวกจั่วม่อ นี่ก็เป็นการศึกที่พวกมันไม่อาจพ่ายแพ้ได้ฉันนั้น!
การศึกครั้งนี้ท้งั สองฝ่ายล้วนไม่อาจล่าถอย และไม่อาจหลีกเลี่ยง!
จั่วม่อกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง เริ่มครุ่นคิดทบทวนว่าแผนการของ
มันใช่มีช่องว่างรอยโหว่ที่ใดหรือไม่
จั่ ว ม่ อ ในเวลานี้ ต กลงใจสู้ ต ายถวายชี วิ ต สมาธิ จิ ต ใจจดจ่ อ รวมรั้ ง
ครุ่นคิดไม่หยุดยั้ง จิตวิญญาณลุกโชนไม่มีที่สิ้นสุด!
ในอกอัดแน่นไปด้วยความคิดต่อสู้ แม้ฟ้าถล่มลงมายังไม่ยินยอมสยบ
มันจะต้องทาให้วัดเสวียนคงกินไม่ได้นอนไม่หลับให้จงได้!
บทที่ 666 สะท้านโลก
จั่วม่อ อากุ่ยและเขิงเหลียนเอ๋อร์หลบซ่อนตัวอย่างระมัดระวัง
ในเรื่องที่ต้องประชันขันแข่งกันด้วยเล่ห์เหลี่ยมอุบายเช่นนี้ ผูเยามีมือ
อย่างแท้จริง มันมอบสารพัดวิธีสาหรับปกปิดซ่อนเร้นและลบร่องรอยของ
พวกมันออกมา ระหว่างทาง บ่อยครั้งที่มันมักจะคอยชี้แนะให้จ่ว
ั ม่อเห็นว่า
ต้องระมัดระวังตรงที่ใด ภูมิความรู้อันไพศาลของผูเยาสาแดงออกมาอย่าง
เต็มที่ จั่วม่อถึงกับลอบสงสัยใจ เจ้าผู้นี้ในอดีตจะต้องลอบกระทาเรื่องราว
ที่ไม่อาจพบหน้าผู้คนอยู่บ่อยครัง้ เป็นแน่
จั่วม่อกับพวกทั้งสามเปลี่ยนทิศทางอยู่ต ลอดเวลา บางครั้งจงใจทิ้ง
ร่องรอยไว้เบื้องหลัง ล่อลวงให้ผู้ไล่ตามเกิดคว่ทสับสนงุนงงไปตลอดทาง
ไต้เทากับจี้เจิงที่น่าสมเพช ต้องรับมือกับความยากลาบากนานัปการ
พวกมันทั้งสองแม้มีพลังฝีมือสูงส่งสุดยอด แต่ไม่มีความรู้ความชานาญใน
การสะกดรอยไล่ล่ าผู้ คน เมื่อใดกันที่ ชนชั้นพวกมั นต้อ งสะกดรอยไล่ ล่ า
ผู้ ค น? ไต้ เ ทาแม้ ถื อ ก าเนิ ด จากการเป็ น เซี ย นสั ญ จรผู้ ห นึ่ ง แต่ มั น มี โ ชค
วาสนายิ่งใหญ่ ได้เข้าเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของวัดเสวียนคงตั้งแต่แรกเริ่ม มัน
ปกติหากไม่บาเพ็ญเพียร ก็สั่งสอนวิชาความรู้ให้แก่บรรดาศิษย์ ส่วนจี้เจิ้ง
ยังย่าแย่ยิ่งกว่า ประสบการณ์ทางด้านนี้ของมันแทบเป็นศูนย์ จานวนครั้ง
ที่มันก้าวออกจากวัดเสวียนคงน้อยนิดจนแทบนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว
เกือบจะไม่มีประสบการณ์ทางโลกแม้สักส่วนเสี้ยว
หลังจากจั่วม่อชักนาพวกมันวงอ้อมเป็นวงอยู่สามวันสามคืนเต็ม สอง
สุดยอดฝีมือค่อยเข้าใจว่าด้วยพลังบาเพ็ญเพียรอันสูงล้าสุดยอดของพวก
มัน ก็มิใช่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่องราว
ทั้งสองส่งข่าวกลับไปยังสานักในบัดดล แต่จนถึงบัดนี้ พวกมันยังไม่
ค้นพบว่าจั่วม่อล่วงรู้การคงอยู่ของพวกมันแต่แรก พฤติการณ์ข องจั่วม่อ
แม้ดูน่ากังขาเป็นอย่างยิ่ง แต่อาจหมายถึงว่าพวกมันมีเป้าหมายในทางลับ
บางประกาi หากมิ ใ ช่ ว่ า พวกมั น มี จุ ด มุ่ง หมายเร้ นลับ ไฉนในเวลาเช่นนี้
พวกจั่วม่อต้องลอบออกจากกองทัพหลักด้วยเล่า
ข่าวการมาของพวกมันปกปิดเป็นความลับสุดยอด มีผู้คนล่วงรู้เพียง
ไม่กี่คน ในความเห็นของพวกมันเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องนี้จะรัว
่ ไหล
วัดเสวียนคงเมื่อได้รับแจ้ง ก็ปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าบุรุษวัยกลางกลางคนร่างต่าเตี้ย วางสีหน้าท่าทีเป็นผู้น้อย ก็
มายืนนอบน้อมอยู่เบื้องหน้าพวกมัน มันกระทั่งลมหายใจยังไม่กล้าระบาย
ออกโดยแรง ด้านหลังชายร่างเล็กวัยกลางคนเป็นศิษย์หนุ่มสาวอีกห้ าคน
แต่เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ดูต่ น
ื เต้นตึงเครียดอยู่บ้าง สองผู้อาวุโสเบื้องหน้าพวก
มัน ในวัดเสวียนมีศักดิ์ฐานะอยู่ในระดับบรรพชน หากพวกมันรับใช้ท่าน
ทั้งสองได้เป็นอย่างดี ผู้อาวุโสทั้งสองยามเบิกบานใจ อาจประทานบางสิ่ง
ให้แก่พวกมันเป็นการตอบแทน ซึ่งจะเพียงพอให้พวกมันอยู่สุขสบายไป
ชัว
่ ชีวิต
โชควาสนาเช่นนี้ อาจไม่ได้มีโอกาสพบพานอีกเป็นครั้งที่สอง!
“เจ้าเรียกว่าอะไร? มีความสามารถในทางสะกดรอยกระมัง?” ไต้เทา
เอ่ยปากถาม
“ผู้น้อยเรียกว่าฮุยเป่า ล่วงรู้เวทวิชาสะกดรอยอยู่บ้าง” คนร่างเตี้ย
เล็กกล่าวอย่างตึงเครียดเล็กน้อย
ไต้ เ ทาเห็ น ความตึ ง เครี ย ดกั ง วลของฮุ ย เป่ า ผงกศี ร ษะพลางกล่ า ว
“เจ้าล่วงรู้หน้าที่ของเจ้าในครั้งนี้หรือไม่?”
“ผู้น้อยไม่ล่วงรู้อันใด ทางสานักเพียงกล่าวว่าให้ผู้น้อยฟังคาสั่งจาก
ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง” ฮุยเป่าตอบอย่างระมัดระวัง
“อา เราก าลั ง ไล่ ล่ า อาชญากรคนส าคั ญ ของส านั ก แต่ ท ว่ า คนผู้ นี้
กลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์นัก หน้าที่ข องเจ้าคือหามั นให้พ บ” ไต้เทากล่าวอย่ า ง
รวบรัดชัดเจน
“ทราบแล้วขอรับ!” ฮุยเป่ารีบรับคาอย่างเรียบ ๆ ร้อย ๆ
“ตรงต าแหน่ ง นั้ น มี ร่ อ งรอยที่ มั น ทิ้ ง เอาไว้ เริ่ ม จากตรงนั้ น เถอะ”
กล่าวจบคา ไต้เทาก็เดินไปทางหนึ่ง หาที่นั่งลงหลับตาเข้าฌาณสมาธิ
ฮุ ย เป่ า ทรุ ด กายนอนพั ง พาบบนพื้ นดิ น มั น สู ด ดมไปทั่ ว จากนั้ น
หลับตาลง มือขวาของมันพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ประกายแสงกวาดส ารวจ
ไปตามพื้ น อย่า งรวดเร็ ว มั น ล้ ว งฝุ่ นแป้ ง หยิบ มื อ หนึ่ง ออกมาจากถุงร้อย
สมบัติของตน สะบัดมือซัดโปรยไปทั่วบริเวณ ชั่วครู่ให้หลัง ผงแป้งสลาย
หายไปในอากาศธาตุ บนพื้ นดิ น ที่ ก่ อ นหน้ า นี้ ไ ม่ มี สิ่ ง ใด พลั น ปรากฏ
รอยเท้าขึ้นสามคู่
ไต้เทาประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ขัดจังหวะมัน ฮุยเป่าผู้ซึ่งก่อนหน้า
นี้อ่อนน้อมเชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน สีหน้าทั้ง
สงบเยือกเย็น ทั้งเต็มไปด้วยความเชื่อมัน
่ อย่างเปี่ ยมล้น
ฮุยเป่าตรวจดูรอยเท้าเหล่านั้นอย่างละเอียดรอบคอบ หลังจากนั้นชั่ว
อึดใจก็ได้ข้อสรุป “เป็นผู้คนสามคน หนึ่งบุรุษ อีกสองคนเป็นสตรี”
ไต้เทาหวนคิดทบทวนอยู่ชั่วอึดใจ นึกถึงรายงานลับที่ทางสานักได้ให้
พวกมันดูก่อนที่จะออกเดินทาง พลันคาดเดาได้ทันทีว่าสตรีสองนางนี้เป็น
ผู้ใด
เซี่ยวม่อเกอมักมีสตรีสองนางอยู่ข้างกาย หนึ่งรูปโฉมอัปลักษณ์ขัดตา
อีกหนึ่งสะคราญสุดฟ้าสุดดิน สตรีอัปลักษณ์ความเป็นมาลี้ลับ แต่ส ตรีที่
งดงามเป็นบุตรีของเจี้ยจู่ผู้หนึ่ง ปกครองอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ห่างไกล
ไต้เทาพยักหน้า ฮุยเป่าผู้นี้มีฝีมืออยู่หลายท่าดังที่คาดเอาไว้
“เจ้าล่วงรู้ทิศ ทางที่พ วกมัน ไปหรื อ ไม่ ?” ไต้เทาถามอย่ างอดรนทน
ไม่ได้
“ต้าเหรินโปรดรอสักครู่” ฮุยเป่าหันไปผงกศีรษะให้สัญญาณศิษย์ผู้
หนึ่ง ศิษย์นั้นรีบก้าวออกมา ประคองป้ายบงการสัตว์ร้ายชิ้นหนึ่งส่งให้แก่
ฮุยเป่า
ป้ายบงการสัตว์ร้ายนี้มีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ สลักไว้ด้วยรู ปสัตว์เล็ก
ๆ ตัวหนึ่ง
ชั่วครู่ต่อมา เห็นสัต ว์ร้ายหน้าตาประหลาดตัวหนึ่งปรากฏขึ้น ขนฟู
ฟ่องปุกปุย สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุด ก็คือดวงตาแวววาวดุจ กระจก
แก้วที่ทอแสงสุกสว่างผิดธรรมดาคู่นน
ั้
ไต้เทาดวงตาเป็นประกาย “สุนัขเนตรกระจก?”
สุนัขเนตรกระจกเป็นเพียงสัตว์ปราณะดับสี่ แต่คิดเลี้ยงดูมันขึ้นมาสัก
ตัวกลับมิใช่เรื่องง่ายดาย สิ่งที่พิเศษเฉพาะที่สุดของสุนัขเนตรกระจกคือ
ดวงตาที่ทรงพลังอานาจอย่างประหลาดคู่นั้น สามารถมองเห็นหลายสิ่งที่
คนทั่วไปมองไม่เห็น นอกจากนี้ยังฉลาดเฉลียวเกินสัตว์ปราณทั่วไป เป็นที่
ชื่นชอบของบรรดานายพรานที่ถ นัดด้านสะกดรอย ไต้เทาเคยอ่านดูม้ วน
บันทึกที่กล่าวถึงสัตว์ร้ายชนิดนี้ ดังนั้นเพียงมองปราดเดียวก็จดจาออก
“ต้าเหรินปราดเปรื่องนัก!” ฮุยเป่ารีบประจบสอพลอคราหนึ่ง
สุ นั ข เนตรกระจกดิ้ น หลุ ด ออกจากอ้ อ มแขนของฮุ ย เป่ า ดวงตาที่
เหมือนกระจกแก้วพลันเปล่งแสงเจิดจ้า มันกวาดตามองรอบด้านแวบหนึ่ง
ทันใดนั้นพุ่งตรงดิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
“ต้าเหริน ไปทางด้านนั้น!” ฮุยเป่ารีบร้องบอก พร้อมกันนั้นมันก็ไล่
ตามสุนัขเนตรกระจกไปทันที
ไต้เทายินดียิ่ง ตามติดไปอย่างกระชั้นชิด
จี้เจิ้งไล่ตามไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ท่าร่างของมันมิได้เชื่ องช้า
แม้แต่น้อย
ในใจทั้งสองยามนี้มีเพียงความคิดเดียว นั่นคือการครอบครองมรดก
วิชาเทพ!
แม้ว่าทั้งคู่ไม่ได้กล่าววาจาต่อกันแม้สักครึ่งคา แต่พวกมันล้วนตกลง
ใจแน่วแน่ จะไม่ยินยอมให้มรดกวิชาเทพตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อ่ น
ื เป็นอัน
ขาด!
ในเวลานี้เอง เหตุเปลี่ยนแปลงพลันอุบัติขึ้นอย่างกะทันหัน
บทที่ 667 ร้อยเล่ห์
เซี่ยวม่อเกอกับเจียงเจ๋อยอดแม่ทัพเลื่องชื่อแห่งวัดเสวียนคง กาลังจะ
เปิดศึกเดิมพันชีวิต!
ข่าวอันน่าแตกตื่นสะท้านโลกนี้ ก่อเกิดคลื่นลมมหึมา กวาดผ่านทั่ว
แดนร้อยเถื่อนในบัดดล
อย่าได้เห็นว่าเจียงเจ๋อไม่ได้แกร่งกล้าเกรียงไกรเท่ากู่เหลียงเตา แต่
มันเป็นแม่ทัพบัญชาการศึกคนแรกที่สามารถปราบพิชิตอาณาจักรปิศาจ
ได้สาเร็จ ส่วนเซี่ยวม่อเกอ ระยะหลังมานี้ช่ ือเสียงของมันดีดทะยานขึ้นไม่
หยุดยั้ง ทั้งพิชิต กองโจรตระกูล หมิง ทาลายล้างกององครักษ์ ห ยาดพิรุณ
ประวัติการสู้รบของมันเจิดจรัสดุจอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
นี่เป็นการศึกระหว่างเทพเซียนประลองกาลังกัน
หลังจากภัยพิบัตินภาสลาย ฝ่ายซิวเจ่อประสบชัยอย่างต่อเนื่อง ให้
ก าเนิ ด แม่ ทั พ บั ญ ชาการศึ ก ผู้ มี น ามเกริ ก ไกรหลายต่ อ หลายคน ในทาง
กลับกัน ฝ่ายปิศาจกลับไม่สามารถตอบโต้อย่างสมน้าสมเนื้อ ขุมกาลังใหญ่
ๆ ของฝ่ายปิศาจพากันสงบนิ่ง แน่นอนว่าพวกมันย่อมมีข้อห่วงกังวลของ
ตน แต่สาหรับชาวปิศาจทั้งหลาย พวกมันรู้สึกเสื่อมเสียหน้ายิ่งนัก แต่ไม่ว่า
จะอย่างไร พวกมันก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงเบื้องหน้านี้ได้
การศึ ก ระหว่ า งเซี่ ย วม่ อ เกอกั บ เจี ย งเจ๋ อ ที่ ก าลั ง จะปะทุ ขึ้ น ดึ ง ดู ด
สายตาทุกคู่ท่ว
ั ทั้งดินแดนร้อยเถื่อนให้หันมาจับจ้องมองดูเป็นตาเดียว
เซี่ยวม่อเกอมีช่ ือเสียงโด่งดัง มากขึ้นทุกขณะ เห็นได้ว่ามันกลายเป็น
แบบอย่างของเหล่าแม่ทัพบัญชาการศึกรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม ในสายตา
ของคนทั่วไป มันยังขาดชัยชนะอันยิง่ ใหญ่สักหนหนึ่ง!
แม้ว่าการมีชัยเหนือกองโจรตระกูลและอวี่ไสว้ จะเพียงพอให้มันโด่ง
ดังสะท้านแดนปิศาจ แต่ในสายตาของชาวปิ ศาจทั้ง มวล ชัยชนะที่มี ต่ อ
ศัตรูจากภายนอกจึงจะควรค่าแก่การยกย่องชื่นชมยิ่งกว่า
ความพ่ายแพ้อันยาวนานและการล่าถอยอย่างต่อเนื่อง บันดาลให้ฝูง
ชนชาวปิศาจกระหายต่อชัยชนะอย่างสุดจิตสุดใจ!
เกือบทั้งร้อยเถื่อนแดนทมิฬล้วนปรารถนาให้เซี่ยวม่อเกอมีชัยเหนือ
เจียงเจ๋อ
ชัยชนะ มีเพียงชัยชนะเท่านั้นที่คู่ควรให้ยอมรับนับถือ!
ทุกสายตาในร้อยเถื่อนแดนทมิฬ ล้วนจับจ้องอยู่ที่กองทัพของเซี่ยว
ม่อเกอ
เมื่ อข่ า วคราวแพร่ ก ระจายออกไปดุ จ ไฟลามทุ่ ง ตลอดเส้ น ทางที่
กองทัพเซี่ยวม่อเกอต้องเคลื่อนผ่าน กลับกลายเป็นปลอดโปร่งสะดวกดาย
ปราศจากอุ ป สรรคสิ่ ง กี ด ขวางใดอี ก ขุ ม ก าลั ง ใหญ่ ต ามเส้ น ทางพากั น
เปิดทางให้ โดยไม่ มีเงื่ อนไข มิห นาซ้ายังคึกคักกระตือ รือ ร้น พากันเสนอ
ความช่ ว ยเหลื อ ทุ ก ประเภทเท่ า ที่ จ ะท าได้ ไม่ ว่ า จะเสบี ย งศึ ก และอาวุ ธ
ยุทโธปกรณ์ รวมถึงทรัพยากรนานัปการ เพื่ ออานวยความสะดวกต่อการ
รับสมัครไพร่พลเพิ่มเติม... ...
การศึกครั้งนี้ยิ่ง เล่ าลือออกไป ยิ่งถูกบอกเล่าจนใหญ่โตเกิ นจริ ง ไป
จนถึงจุดที่ทาให้ในความคิดของหลายคน กลับกลายเป็นการศึกแห่งความ
เป็นความตายที่สามารถตัดสินชะตาของเผ่าปิศาจและชาวซิวเจ่อ
หลังจากความปราชัยซ้าแล้วซ้าเล่า ความกระหายต่อชัยชนะของชาว
ปิศาจที่เก็บกักมานานปี เมื่อถูกกระตุ้นด้วยประกายไฟที่จ่ว
ั ม่อโยนออกไป
พลันลุกฮือโหมอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้อีก
เผ่าปิศาจชมชอบการต่อสู้แต่กาเนิด ความกระหายต่อการต่อสู้ข อง
พวกมัน เป็นสิ่งที่ซิวเจ่อพบว่ายากจะเข้าใจมาโดยตลอด
ปิศาจนักรบจานวนมหาศาลไหลบ่ามาจากทุกทิศทุกทาง ล้วนพกพา
ความหวังว่าพวกมันสามารถเข้าร่วมการศึกครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้ จานวน
ผู้คนที่รวมกันในครั้งนี้ ถึงกับมากกว่าระลอกที่แล้วนับสิบเท่า
จอมปิศาจด่านไสว้หลายตนแสดงตนว่าให้การสนับสนุนเซี่ยวม่อเกอ
อย่างเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารทุกประเภทไหลมารวมกันในมือ ของกงซุนชา
กับเปี๋ ยหานอย่างล้นเหลือ ในขณะเดียวกัน เจียงเจ๋อผู้สู้อุตส่าห์ช่วงชิงเวลา
มาได้ ต้องการมุ่งเน้นไปยังการเตรียมพร้อมสาหรับการทาศึก กลับพบว่า
จานวนสายสืบในละแวกใกล้เคียงจู่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด มิหนาซ้า
ยังเกิดการปะทะเล็ก ๆ บ่อยครั้งขึ้นด้วย
นี่ เ ป็ น เพราะชาวปิ ศ าจในบริ เ วณใกล้ เ คี ย ง มองเห็ น โอกาสในการ
ก่อกวนวัดเสวียนคง แม้ไม่อาจส่งผลกระทบมากนัก แต่พวกมันยังคงสร้าง
ความลาบากให้แก่กองพันเจียงจื้อ พวกเราแม้ไม่มีปัญญาเอาชนะเจ้า แต่
สามารถฉุดลากก่อกวนพวกเจ้า ถ่วงแข้งถ่วงขาเจ้า ไม่ปล่อยให้เจียงเจ๋อได้
มีเวลาเตรียมการอย่างสบายใจดั่งที่เคยคิด
ขุมกาลังเล็ก ๆ หลายกลุ่มผนึกกาลังกัน คอยจู่โจมก่อกวนกองก าลัง
ของเจียงเจ๋อไม่เว้นแต่ละวัน หลายคนเริ่มรื้อฟื้ นถึงเรื่องราวที่เหล่าซิวเจ่อ
ชมชอบล่ า ปิ ศ าจพิ ฆ าตอสู ร ในมหานครนภาโลหิ ต พวกมั น เรี ย กร้ อ งให้
เหล่ า ปิ ศ าจออกมาท าการล่ า สั ง หารซิ ว เจ่ อ บ้ า ง ปิ ศ าจบางตนถึ ง กั บ ร้ อง
เรียกเผ่าอสูรผู้เป็นพันธมิตรมาร่วมต่อสู้กับซิวเจ่อจากวัดเสวียนคงด้วย
ร้อยเถื่อนแดนทมิฬเดือดพล่านขึ้นมาในบัดดล
ในชั่วพริบตาเดียว สถานการณ์การศึกพลันลุกลามไปทั่วดุจ ไฟลาม
ทุ่ง
แรงกดดันที่มีต่อวัดเสวียนคงทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว
จั่ ว ม่ อ อากุ่ ย และเขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ เ ดิ น ส่ า ยอาด ๆ ไปตามท้ อ งถนน
พวกมันเปลี่ยนแปลงรูปโฉมอย่างสิ้นเชิง แม้ปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ก็ไม่มี
ผู้ใดสามารถจาแนกแยกแยะพวกมันออกได้
ภาพมายาที่บันทึกการต่อสู้ระหว่างเซี่ยวม่อเกอกับอวี่ ไสว้ กระจาย
ออกไปทั่วร้อยเถื่อนแดนทมิฬ แต่แรก หากพวกมันถูกผู้คนจดจาออกจะ
เกิดปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น
แต่ในเวลานี้ จั่วม่อกาลังรู้สึกลาพองใจไม่น้อย
ในฐานะผู้ บ งการหลั ง ฉากของเหตุ ก ารณ์ ที่ ป ะทุ ต ามกั น มาเป็ น ชุ ด
สถานการณ์ เ มื่ อ กลายเป็ น ผลดี ต่ อ พวกมั น มากมายเช่ น นี้ มั น ย่ อ มต้ อ ง
ภาคภูมิลาพองอย่างสุดระงับ ข่าวการทาสงครามพิสูจน์เป็นตายระหว่ าง
เซี่ยวม่อเกอกับเจียงเจ๋อ ที่ลุกลามใหญ่โตถึงเพียงนี้ มันคือผู้เผยแพร่ข่าว
คราวออกไปเอง ซ้ายังคอยกระพือโหมอยู่เบื้องหลังอีกด้วย
เพียงแต่มันไม่เคยคาดคิด ว่าชาวเผ่าปิศาจจะตอบสนองอย่างดุเดือด
รุ นแรงถึงเพียงนี้ ปฏิกิริยาตอบโต้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเหนือความคาดหมาย
ของมันไปมาก
มั น เดิ ม ที เ พี ย งคิ ด สร้ า งความยุ่ ง ยากให้ แ ก่ วั ด เสวี ย นคงสั ก เล็ ก น้ อ ย
เท่านั้น
สถานการณ์ในยามนี้เ ป็นประโยชน์ อย่า งมหาศาลต่อพวกกงซุ น ชา
ยามนี้พวกมันนับว่าบรรลุชัยภูมิดินและประชากรหนุน สมรภูมิครั้งนี้เป็น
แดนปิศาจซึ่งพวกมันเป็นฝ่า ยได้เ ปรีย บ ได้รับการสนับสนุนจากชนชาว
ปิ ศ าจ ศึ ก คราวนี้ ดึ ง ดู ด ความสนใจจากชาวปิ ศ าจทั้ ง มวล ไม่ มี ผู้ ใ ดกล้ า
ขวางทางกระแสน้าที่เชี่ยวกรากสายนี้ ด้วยเกรงจะตอแยโทสะของทั่ว ทั้ง
แดนปิศาจ
เซี่ ย วม่ อ เกอได้ รั บ การสนั บ สนุน อย่า งอุ่ นหนาฝาคั่ ง เพี ยงใด เรื่ อ งนี้
สามารถเห็นได้จากการแสดงออกต่อหน้าสาธารณะของหาวไสว้ มันเป็น
คนแรกที่ประกาศสนับสนุนเซี่ยวม่อเกออย่างเปิดเผย!
ไม่ ว่ า จะเป็ น แผนที่ อ าณาจั ก รที่ มี ร ายละเอี ย ดมากกว่ า และถู ก ต้ อ ง
แม่นยายิ่งกว่า เหล่าผู้นาทางที่ปรารถนาจะมีส่วนช่วยในการศึก เหล่ านี้
ล้วนแล้วแต่ช่วยให้กงซุนชามีข้อได้เปรียบมากขึ้น บรรดาอาณาจักรปิศาจ
ที่ถูกกองกาลังของเจียงเจ๋อยึดครองเอาไว้ เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ก็พากันลอบ
กระด้างกระเดื่อง ทั้งหมดทั้งมวลนี้แม้ไม่อาจโค่นเจียงเจ๋อลงได้ แต่ก็บั่น
ทอนเรี่ยวแรงกาลังของมันไปส่วนหนึ่ง
ข้อได้เปรียบของฝ่ายจั่วม่อถูกสร้างขึ้นอย่างช้า ๆ เช่นนี้เอง
ถึงตอนนี้ไม่มีผู้ใดกังขาในตัวตนของเซี่ยวม่อเกออีก นี่เป็นเรื่องชวน
หัวอันใดกัน? หากเซี่ยวม่อเกอเป็นซิวเจ่อ มันจะทาศึกเดิมพันชีวิตกับเจียง
เจ๋อไปเพื่ออะไร?
แน่นอนว่ามันเป็นปิศาจ บุรุษเลือดปิศาจชาติอาชาไนย! มีเพียงบุรุษ
เลือดปิศาจชาติอาชาไนยจึงจะอาจหาญทะยานฟ้าเช่นนี้!
เป็นไร? มันล่วงรู้ศาสตร์อสูร? มันจึงสมควรเป็นอสูร?
เจ้ากล้าล่วงเกินเซี่ยวเหยีย (นายท่านเซี่ยว) ต่อหน้าเราหรือ?
ใช่ราคาญในการมีชีวิตแล้วหรือไม่?
รับฟังถ้อยคาประดานี้ จั่วม่อแย้มยิ้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจ จากนั้นถามผู
เยา “สองโจรหัวโล้นเฒ่าจะพลาดร่องรอยของเราหรือไม่?”
นึกถึงสิ่งที่พวกมันจัดตั้งเอาไว้ตลอดทาง กระทั่งมันเองยังหวั่นใจ เจ้า
เล่ห์ เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!
กลอุบายที่คล้ายไม่รู้จักหมดสิ้นของผูเยา ช่วยเปิดหูเปิดตาให้ แ ก่ มัน
อย่างแท้จริง
มันยามนี้ถึงกับเป็นห่วงว่าสองโจรหัวโล้นเฒ่าจะคลาดจากร่องรอย
ของพวกมัน แล้วจะย้อนกลับไปสร้างปัญหาให้แก่พวกกงซุนชา นั่นจะไม่ดี
แล้ว หนึ่งในกุญแจสาคัญในสงครามครั้งนี้ คือการที่มันจะต้องฉุดลากสอง
โจรหัวโล้นเฒ่าคู่นี้ให้อยู่ห่างจากสนามรบ
“อย่าได้ประเมินวัดเสวียนคงต่าเกินไป” ผูเยาแค่นเสียงตอบคาถาม
ของจั่วม่อ
ฮุยเป่าใบหน้าขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่นดิน สีหน้าย่าแย่ยิ่ง
จนกระทั่งถึงยามนี้ มันสูญเสียสัตว์ปราณไปแล้วถึงหกตัว! ตลอดห้าปี
ที่ผ่านมา มันยังไม่เคยสูญเสียสัตว์ปราณเป็นจานวนมากเท่ากับที่สูญเสีย
ไปในหนึ่ ง วั น นี้ เ ลย กระบวนท่ า ของอี ก ฝ่ า ยไม่ ไ ด้ ยึ ด ถื อ ตามกรอบธรรม
เนียม แตกต่างจากแนวทางในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่ห์
กลที่เก่าแก่และกลอกกลิ้งร้ายกาจบางอย่าง ซึ่งมันไม่มีปัญญาป้องกันได้
ทาให้มันต้องเพลี่ยงพล้าอย่างต่อเนื่อง
หากมิใช่ว่ามันช่าชองชานาญ และมีความรู้สึกเฉียบไวเหนือธรรมดา
เกรงว่ามันคงคลาดจากร่องรอยของฝ่ายตรงข้ามไปเสียนานแล้ว
แต่ถึงกระนัน
้ ยามนี้มันไม่มีความเชื่อมัน
่ แม้แต่น้อย
ฝ่ายตรงข้ามมีประสบการณ์โ ชกโชนกว่ ามัน เป็น แน่ แท้ ที่ส าคัญ ไป
กว่านั้น อีกฝ่ายยังกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์กว่ามันมาก! ผู้อ่ ืนใช้หลุมพรางกับดัก
อันพิส ดารออกมาไม่ขาดสาย เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ หนึ่งสิ้นสุด อีกหนึ่ง
ก่อเกิด ทั้งยังแตกต่างออกไปทุกครั้ง
หากฝ่ายตรงข้ามมุ่งเป้ามายังการสังหารคน ตัวมันเองคงทอดร่างเป็น
ซากศพไปแต่แรก
ในการรับมือหลุมพรางกับดัก สิ่งที่ผู้คนห้าหั่นกันไม่ใช่เพียงแค่ฝีมือ
หรือเคล็ดลับ แต่ยังรวมถึงพลังใจและความเข้มแข็งของจิต ใจอีกด้วย ฮุย
เป่าทราบดีว่าทางด้านนี้ มันเป็นฝ่ายปราชัยอย่างยับเยิน
ความเชื่อมั่นเพียงหนึ่งเดียวที่มันยังหลงเหลืออยู่ คือด้านข้างมันยังมี
สองผู้ อ าวุ โ สสุ ด ยอดฝี มื อ อยู่ ด้ ว ย ทั้ ง สองท่ า นแน่ น อนว่ า ต้ อ งไม่ เ บิ ก ตา
มองดูมันถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา
ไต้เทาสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน มันเห็นสภาพน่าอเนจอนาถของฮุยเป่าอยู่
ตรงหน้า ยอดฝีมือด้านสะกดรอยของสานักเช่นฮุยเป่า ถึงกับถูกเด็กหนุ่มผู้
หนึ่งเล่นงานจนหวาดผวาถึงเพียงนี้ จะให้ไต้เทามีอารมณ์ดีอย่างไรไหว แต่
ในทางตรงกันข้าม ตั้งแต่ต้นจนจบ จี้เจิ้งสีห น้าไม่แปรเปลี่ยนแม้แ ต่ แ วบ
เดียว ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดต่อมัน
ฮุยเป่าทันใดนั้นสูดหายใจเฮือก สายตาของมันจับจ้องไปยังตัวเมืองที่
เห็นอยู่แต่ไกล
“เป็นที่นี่?” ไต้เทาถามทันควัน
“ใช่ขอรับ! ต้าเหริน!” ฮุยเป่ากล่าวอย่างนอบน้อม “พวกมันอยู่ภายใน
เมืองแน่ เพียงแต่... ...”
“แต่อะไร?”
“ในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ยากจะระบุตัวพวกมันได้... ...” ฮุย
เป่าชะงักวาจาลงกลางคัน
“อ้อ ไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น” ไต้เทาแย้มยิ้ม กล่าวจบคาค่อยหันไป
ทางจี้เจิ้ง “รบกวนศิษย์พี่บีบบังคับให้พวกมันออกมาด้วย”
จี้ เ จิ้ ง ผงกศี ร ษะด้ ว ยสี ห น้ า ไร้ อ ารมณ์ ทั น ใดนั้ น เหิ น ร่ า งขึ้ น ไปบน
ท้องฟ้า
มั น ก้ ม ลงมองจากบนฟากฟ้ า เห็ น ผู้ ค นมี ข นาดเล็ ก ไม่ ต่ า งจากมด
ปลวก
จี้เจิ้งประนมมือ ตวาดเสียงดังสดใส “อยู่!””
ชั่วพริบตานั้น อากาศธาตุในรัศมีห ลายร้อยลี้พลันผนึกแข็งตัว พลัง
สภาวะอันน่าสะพรึงกลัวกดทับลงใส่ตัวเมืองด้านล่าง
ชั่วขณะจิตนั้น ทั่วทั้งเมืองคล้ายหยุดนิ่งลงอย่างฉับพลัน ผู้คนแหงน
เงยขึ้นมองเงาร่างกลางเวหาตามสัญชาตญาณ ความหวาดกลัวที่อยู่เหนือ
การควบคุมแผ่ ซ่านไปทั่ วสรรพางค์ ก าย มือเท้าเย็นเฉียบ สมองขาวว่ า ง
เปล่าอย่างสิน
้ เชิง
ประแสงแห่งเซนกวาดผ่านทั่วเมืองราวกับระลอกคลื่น
รอจนประกายแสงแห่งเซนสว่างไสวขึ้น จั่วม่อพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน
เป็นปั้ นยาก
บัดซบ!
มันคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่แยแสนสนใจสิ่งใด ลงมือท้าทายทั้งเมือง
โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี!
ประกายแสงแห่งเซนทาให้มันบังเกิดลางสังหรณ์อันตรายอย่างบอก
ไม่ถูก
บทที่ 668 จี้เจิ้ง
ไต้เทาชมดูการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายอย่างสนอกสนใจ แต่ไม่มีทีท่า
ว่าจะเข้าร่วมการต่อสู้ จนกระทั่ งถึงตอนนี้ ศิษย์พี่จี้เจิ้งยังคงรับมืออย่ า ง
ปลอดโปร่ง ฝ่ายศัตรูไม่ส่งผลคุกคามต่อมันแม้แต่น้อย
ศิษย์พี่จี้เจิ้งปกติทระนงตนนัก ยามนี้กาลังสนอกสนใจกับการต่อสู้ที่
ไม่ได้สัมผัส มานานหลายสิ บ ปี หากไต้เทาสอดมือ เข้ ายุ่ ง เกี่ ยวเกรงว่ า จะ
ล่วงเกินศิษย์พี่จี้เจิ้งแล้ว
ทั น ใดนั้ น เอง เสากระทุ้ ง เมื อ งอี ก าทองค าที่ นิ่ ง สนิ ท พลั น เริ่ ม แตก
กระจัดกระจาย
อีกาดากระพือปีกอย่างเกรี้ยวกราด แล้วโผพุ่งออกมาจากเสากระทุ้ง
เมืองอีกาทองคา
อีกาเหล่านี้ดาสนิทไปทั้งร่าง บนเท้าทั้งสามมีเปลวไฟกลุ่มหนึ่งลุกโชน
ดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงเข้ม บนหน้าผากเห็นขนนกสีทองเรียวบาง
สามเส้น กาลังสัน
่ ไหวเบา ๆ
พวกมันสองปีกกางแผ่กว้าง ดวงตาสีแดงฉานจับนิ่งอยู่บนร่างของจี้
เจิ้ง
ไม่ทราบเพราะเหตุใด จี้เจิ้งจู่ ๆ รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง
ความสนใจทั้งหมดของมันถูกดึงดูด ไว้ ที่อีก าดาอันน่ า ขนพองสยอง
เกล้ า เหล่ า นี้ ไม่ ทั น สั ง เกตเห็ น จั่ ว ม่ อ ที่ ก าลั ง ร่ า ยร าด้ ว ยท่ ว งท่ า อั น แปลก
พิสดารอยู่ในยามนี้
มองจากตาแหน่งของไต้เทา สามารถเห็นท่วงท่าอันแปลกประหลาด
ของจั่อม่อได้ชัดตา สองแขนของมันสั่นพลิ้วดุจอสรพิษร่ายรา ร่างกายโยก
ไกวไปตามจังหวะจะโคนอันพิสดารล้า ท่วงท่าเหล่านี้ดูเหลวไหลไร้สาระ
แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด ไต้เทารู้สึกความเย็นสายหนึ่งแผ่ซ่านขึ้นมาจาก
ปลายเท้า
มันสีหน้าแปรเปลี่ยน ร้องโพล่งออกมาเสียงดังฟังชัด
“ศิษย์พี่ระวัง!”
บทที่ 669 เทพวิชา
เทพวิชา!
ถ้อยคาเก่าแก่โบราณซึ่งผู้คนแทบจะลืมเลือนไปแล้วนี้ จู่ ๆ ก็แล่นวาบ
เข้ามาในใจของไต้เทา ใบหน้าของมันกลายเป็นขาวเผือดทันที
อีกาดาดวงตาสีแดงเข้มสาดประกายน่าขนพองสยองเกล้า พวกมัน
คล้ายทอดตามองโลกหล้าที่ต่าเตี้ยกว่าพวกมันจากเบื้องสูงเหนือชั้นฟ้า สี
หน้าเฉยเมยเย็นชา ปราศจากอารมณ์ความรู้สึก ประหนึ่งว่าสิ่งที่พวกมัน
มองดูเป็นเพียงมดปลวกก็มิปาน
ชั่ ว พริ บ ตาที่ ส บตากับ เหล่ า อีก าด า ไต้ เ ทาสมองขาวว่ า งเปล่า อย่าง
สิน
้ เชิง
พลังสภาวะที่เต็มไปด้วยความกว้างใหญ่ไพศาล เย็นยะเยือกและรก
ร้ า งว่ า งเปล่ า ถาโถมเข้ า หามั น ถึ ง กั บ กลื น กิ น สติ สั ม ปชั ญ ญะของมั น ไป
ชั่วขณะจิต
จั่ ว ม่ อ สี ห น้ า จรดจดจ่ อ ดวงตาปราศจากอารมณ์ ค วามรู้ สึ ก อย่ า ง
สิ้นเชิง นี่เป็นครั้งแรกที่มันใช้เทพวิชา แทบจะสูบกลืนพลังเทพทั่วร่างของ
มันไปจนหมดสิ้น
นับตั้งแต่เริ่มแรก มันก็ทราบดีว่าต่อหน้ายอดคนด่านฝ่านซู เขตแดน
สวรรค์สิบอีกาไม่อาจเป็นภัยคุกคามพวกมันได้มากนัก
มันได้แต่ต้องพึ่งพาเทพวิชาที่ไม่เคยฝึกปรือสาเร็จมาก่อน
เทพวิชาที่สาบสูญไปตามสายธารแห่งกาลเวลาทรงพลานุภาพอย่าง
น่าอัศจรรย์ เมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาอันละเอียดซับซ้อนของสามวิถีบาเพ็ญ
เพียรหลักแห่งยุคปัจจุบัน เทพวิชาอาจเรียกได้ว่าเรียบง่ายนัก เพียงแต่คา
ว่าเรียบง่ายนี้ เพียงใช้ส าหรับจั่วม่ อผู้เพิ่งจะก้าวล่วงเข้าสู่ธรณีประตูแห่ง
พลั ง เทพอย่ า งแท้ จ ริ ง แล้ ว เท่ า นั้ น ควรทราบว่ า ก่ อ นหน้ า ที่ มั น จะเข้ า ใจ
เคล็ดความบนหลักศิล าทักษะปิศาจมหาสันติ ยังไม่เคยฝึกปรือเทพวิ ช า
สาเร็จมาก่อน
แต่เมื่อบรรลุเคล็ดความบนหลักศิลาต้นสุดท้าย การควบคุมบังคับใช้
พลังเทพของมันก็กลับกลายเป็นเรื่องเรียบง่าย บังเกิดขึ้นตามธรรมชาติดุจ
ลมหายใจเข้าออก
เทพวิชาแห่งยุคโบราณแม้ท้ังเรียบง่ายและเก่าแก่ แต่ถือครองพลานุ
ภาพอั น ยิ่ ง ใหญ่ ไ พศาล กระทั่ ง ในยุ ค สมั ย ที่ วิ ถี บ าเพ็ ญ เพี ย รได้ รั บ การ
พัฒนารุ ดหน้าไปมากเช่นนี้ ยังเพียงพอให้เหล่าซิวเจ่อชั้นสูงส่งสุดยอดยัง
ต้องริษยา
พลังอานาจของเทพวิชาย่อมก่อเกิดจากพลังเทพ
จั่ ว ม่ อ ครอบครองมรดกวิ ช าเทพอยู่ ส องชิ้ น หนึ่ ง คื อ มรดกของเผ่ า
เถาวั ล ย์ เ ขี ย ว ซึ่ ง พี่ ใ หญ่ ชิ ง หลิ น มอบให้ แ ก่ มั น ก่ อ นตาย ส่ ว นอี ก หนึ่ ง คื อ
มรดกวิชาเทพแห่ ง ชนเผ่ า เทพสุริ ยัน ที่จ่ัวม่อฝึกปรือ เป็น มรดกวิ ช าเทพ
ของชนเผ่าเทพสุริยันนี่เอง
เขตแดนสวรรค์สิบอีกาสามารถใช้ร่วมกับพลังเทพสุริยัน หลังจากการ
ศึกกับอวี่ไสว้ จั่วม่อทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมาย พยายามหลอมรวมพลัง
เทพสุริยันเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเขตแดนสวรรค์สิบอีกาของตน
อาศัย พลังเทพปริมาณน้อยนิดที่มันมีอยู่ในตอนนี้ ย่อมไม่อาจเลียน
เยี่ยงนักรบสัญลักษณ์ในยุคโบราณ มันไม่สามารถใช้พลังเทพต่อสู้ได้ตลอด
รอดฝั่ ง
กระทั่งใช้เทพวิชาขั้นพื้นฐานที่สุด พลังเทพภายในกายมันยังจะถูก
ผลาญไปอย่างรวดเร็วจนน่าตระหนก
สาหรับจั่วม่อในตอนนี้ เทพวิชาเป็นสุดยอดไพ่ตายที่สามารถใช้ออก
ได้เพียงครั้งเดียว!
จี้เจิ้งผู้ร้างราจากการประมือกับผู้คนมานานนับสิบ ๆ ปี ไหนเลยจะ
คาดคิดว่าจั่วม่อพอลงมือ กลับทุ่มเทใช้ท่าไม้ตายสุดยอดออกมาโดยพลัน
เนื่องเพราะไม่ว่าผู้ใดหากมองดูการต่อสู้เบื้องหน้า ล้วนต้องเข้าใจว่าจี้
เจิ้งตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ส าหรับจั่วม่อผู้เคยต่อสู้เดิมพันชี วิต กั บ อวี่
ไสว้มาแล้วรอบหนึ่ง มันทราบกระจ่างแก่ ใจเป็น อย่า งดี ว่าความห่า งชั้ น
ระหว่ า งมั น กั บ ยอดคนด่ า นฝ่ า นซู ห รื อ จอมปิ ศ าจด่ า นไสว้ นั้ น กว้ า งใหญ่
ไพศาลถึงเพียงไหน
ในการศึกครั้งก่อน หากมิใช่ว่ากรงเล็บพิฆาตมังกรกับเมล็ดผลึกสุริยัน
วิ ว าทต่ อ ยตี กั น มั น ไหนเลยจะมี คุณ สมบั ติเ ป็ น คู่มื อ ของอวี่ ไ สว้ ไ ด้ แม้ ว่ า
หลังจากนั้นมันจะมีพลังฝีมือรุ ดหน้า ไม่ห ยุ ดยั้ ง แต่ระหว่างมันกับ ชนชั้ น
ฝ่านซู ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ อย่าว่าแต่ฝ่านซู
เช่นจี้เจิ้งผู้บรรลุถึงด่านฝ่านซูมานานหลายสิบปีแล้ว
ตั้ ง แต่ แ รกเริ่ ม จั่ ว ม่ อ ก็ ไ ด้ ป ระเมิ น ความสามารถของตนไว้ อ ย่ า ง
ถูกต้องครบถ้วน
กลยุทธ์ของมันจึงได้ผลดีเยี่ยม!
เทพวิชาแห่งชนเผ่าเทพสุริยัน... เนตรอีกาทมิฬ!
ตามต านานเล่ า ขานเกี่ ย วกั บ ชนเผ่ า เทพสุ ริ ยั น สั ต ว์ ร้ า ยที่ พ วกมั น
ชมชอบเลี้ยงดูคืออีกาเพลิงทมิฬซึ่งมีดวงตาสีแดงฉาน อีกาเพลิงเหล่านี้ดุ
ร้ า ยและมี นิ สั ย ระแวงภั ย พวกมั น พอเหิ น ทะยาน จะพุ่ ง ลิ่ ว ดุ จ ลู ก ศรอั น
เกรี้ยวกราด ยามที่ปีกของพวกมันกรีดฝ่าอากาศ จะบังเกิดสุ้มเสียงแหลม
สูงบาดหู เสียงนี้เองทาหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนภัยให้แก่ชนเผ่าเทพสุริยัน
สิบอีกาทมิฬกลางเวหาสะบัดแผ่กว้างในบัดดล ดวงตาสีแดงเข้มสาด
ประกายเจิดจ้า สุ้มเสียงระคายหูสุดขีดเจาะเข้าไปในโสตประสาท ทะลวง
จิตใจของผู้คน
ภายใต้สุ้มเสียงพิสดารที่คล้ายสามารถเจาะทะลวงสรรพสิ่ง ชั่ววูบนั้น
พลังปราณในกายของจี้เจิ้งผนึกแข็งตัวอย่างเหนือการควบคุม!
สีหน้าที่คล้ายหลอมสร้างขึ้นจากทองคาหลอมเหลวของจี้เจิ้ง ในที่สุด
ก็แปรเปลี่ยนไป
นับตั้งแต่เข้าสู่ด่านฝ่านซู พลังปราณภายในร่างมันก็หลอมเหลวเข้า
เป็นหนึ่งเดียวกับมันอย่างสมบูรณ์ จากนั้นมันยังกาจัดอารมณ์ความรู้สึก
เยี่ยงมนุษย์ปุถุชน จิตแห่งเซนของมันกระจ่างแจ้งและเปิดกว้ าง ปราศจาก
ฝุ่นธุลีแปดเปื้อน มันแทบจะบรรลุถึ งจุ ดสูงสุ ด แห่ง วิถี เ ซน ต่อให้มันต้ อ ง
ผจญกับหมื่นภูตผี ย่างเข้าสู่ห้วงสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พลัง
ปราณภายในกายมั น จะไม่ แ ยกจากมั น อี ก จะยั ง คงหลอมรวมกั บ ดวง
วิญญาณของมันไปสู่สังขารร่างกายใหม่ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ พลังปราณของมันไหนเลยจะอยู่เหนือการควบคุมได้?
จี้เจิ้งยามตะลึงงัน สิบอีกาทมิฬบนฟากฟ้าพลันสะบัดปีกพรึบ พุ่งดิ่ง
ลงมาราวกับลูกศรนิลกาฬสิบดอก
วู้มวู้มวู้ม!
ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีแดงเข้มกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นรอบเท้าของพวก
มัน แล้วลุกลามห่อหุ้มไปทั่วร่างอย่ างรวดเร็ ว ขนนกสีทองเรียวบางสาม
เส้นบนหน้าผากของพวกมันหลุดร่วงลงมา ล่องลอยอยู่รอบกายพวกมัน
ล าแสงสีแดงเข้ มสิบสายประหนึ่ง หัว ธนูสิ บดอก ยิงตรงเข้าหาจี้ เ จิ้ ง
อย่างพร้อมเพรียง
เทพวิชา!
จี้ เ จิ้ ง ม่ า นตาหดแคบลงในบั ด ดล กว่ า ที่ มั น จะฉุ ก ใจคิ ด ว่ า สิ่ง ที่ กาลัง
เผชิญคือเทพวิชา ลาแสงสีแดงเข้มทั้งสิบสายก็แทบจะทิ่มแทงใส่ร่างของ
มันอยู่รอมร่อ!
อี ก าทมิ ฬ ดวงตาทอประกายแดงฉานน่ า พรั่ น พรึ ง คล้ า ยสามารถ
ครอบงาความคิดจิต ใจผู้คน ก่อเกิดความเย็นสายหนึ่งแผ่ซ่านขึ้นจากก้น
บึ้งหัวใจพวกมัน
ความรู้สึกอันตรายสุดขีดซึ่งแทบจะกลืนกินมันลงไป ทาให้พลังปราณ
ทุกหยาดหยดภายในร่างของจี้เจิ้งบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองโดยไม่ต้งั ใจ
ชั่วเสี้ยวพริบตาแห่งความเป็นตาย พลังอานาจของชนชั้นฝ่านซู ใ น
ที่สุดสาแดงออกมาในยามนี้!
ลูกประคากิเลสโลกิยะที่จี้เจิ้งสวมใส่ไว้รอบคอพลันแตกระเบิ ดเป็น
ผุยผง หมอกสีเทาฟุ้งกระจายออกมา ตรงเข้ารับหน้าล าแสงเพลิง สี แ ดง
เข้มทั้งสิบที่กาลังทะลวงเข้ามา
ชั่วเสี้ยวพริบตาแห่งความเป็นความตาย จี้เจิ้งสละสมบัติวิเศษที่มัน
เพียรหลอมสร้างมาหลายสิบปีโดยไม่ลังเล!
รอจนลาแสงเพลิงอีกาทมิฬสายแรกทะลวงเข้ามาในม่านหมอก พลั น
พร่าเลือนวูบ มันคลับคล้ายจมลงไปในบึงโคลน ความเร็วลดฮวบฮาบลงอ
ย่างเห็นได้ชัด
เช้งเช้งเช้ง!
สิบอีกาพากันทะลวงเข้าสู่หมอกสีเทาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
หมอกสีเทาพอกระทบถูกเปลวไฟจากร่างอีกาทมิฬ ประหนึ่งราดน้า
เย็นลงไปในน้ามันเดือด แตกระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว!
เพียะเพียะเพียะ!
แรงปะทะอันเกรี้ยวกราดแตกปะทุไม่ขาดหู กวาดซัดไปทั่ว เพียงชั่ว
วูบก็กวาดผ่านผู้คนแทบทั้งเมือง บันดาลให้พวกมันแทบหยุดหายใจ
หมอกสีเทาสลายหายไปกับตา
จี้เจิ้งสีหน้าหนักอึ้งเคร่งขรึม ทว่าปราศจากร่องรอยเจ็บปวดแต่อย่าง
ใด สองมือผนึกท่าปางมือไม่ห ยุดยั้ ง ดวงตาเป็นประกายสดใส มันคล้าย
เปลี่ยนจากพระวัชรปาณีที่ถลึงมองด้วยความพิโรธ กลายเป็นอรหันต์คีบ
บุปผาผู้น่าสักการะบูชา!
หว่างคิ้วของมันละมุนละไม รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนดุจ สายลมใบไม้
ผลิ กลิ่นอายฆ่าฟันสลายหายไปโดยไร้ร่องรอย
ดอกบัวในมือทั้งอ่อนละมุนและสวยสดงดงาม
กลีบดอกบัวพลันร่วงโรยโปรยปราย ล่องลอยเข้าหาเหล่าอีกาทมิฬที่
ประชิดเข้ามาแทบถึงตัว
แต่กลีบบัวที่ดูคล้ายเชื่องช้าเหล่านี้ กลับสามารถหยุดยั้งฝูงอีกาทมิฬ
ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ทว่าในเวลานี้เอง หัวใจแห่งจันทราอันเย็นเยียบของเขิงเหลียนเอ๋อร์
ซึ่งถูกหมอกเทาสะกดข่มจนนิ่งงันไปตั้ง แต่แ รก ราวกับว่าเฝ้ารอคอยอยู่
ตลอดเวลา ยามนี้พลันทะลวงผ่านหมอกเทาที่แทบสลายไปโดยไม่มีเค้า
ลางล่วงหน้า ฟาดฟันใส่จี้เจิ้งอย่างหักโหม
การจู่โจมนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเพียงชั่วเสี้ยวพริบตา!
ทะเลอั ก ขระพระสู ต รที่ โ คจรอยู่ ร อบกายจี้ เ จิ้ ง พลั น ก่ อ เกิ ด ระลอก
คลื่ นตั ว อั ก ษรพระสู ต ร ตรงเข้ า หยุ ด ยั้ ง เจตจ านงจั น ทร์ ย ะเยื อ กอย่ า ง
ทันท่วงที
แทบจะในเวลาเดียวกัน เขิงเหลียนเอ๋อร์ดวงตาคู่งามทอประกายวูบ
ภายใต้เงื้อมเงาแห่งจันทร์เสี้ยว แขนเสื้อยาวสีแดงสดของนางสะบัด
พลิ้วเป็นท่วงทานอง!
เพียะ เจตจานงจันทราซึ่งถูกทะเลอักขระพระสูตรล้อมกักเอาไว้ พลัน
แตกระเบิดโดยไม่มีวี่แววล่วงหน้า!
เจตจ านงจันทรายะเยือกเริ่มต้นจากภายในทะเลพระสูตร พลังเย็น
แผ่ลามไปด้วยระดับความเร็วอันน่าแตกตื่นสะท้านใจ!
เพียงชั่วพริบตาเดียว ทะเลอักขระพระสูตรกลายเป็นถูกปกคลุมด้วย
น้าแข็ง!
‘หัวใจจันทร์น้าแข็ง!’
เทพวิชา!
อีกหนึ่งเทพวิชา!
จี้เจิง้ ใจสัน
่ สะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุดยัง้
จะเป็นไปได้อย่างไร?
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!
เมื่อจั่วม่อใช้เทพวิชาจู่โจมมัน จี้เจิ้งแม้ต่ น
ื ตะลึง แต่เรียกได้ว่าสามารถ
เผชิญหน้าได้อย่างสงบเยือกเย็น แต่ยามนี้เมื่อพบว่าแม้แต่เขิงเหลียนเอ๋อร์
ก็สามารถใช้เทพวิชาอีกวิชาหนึ่งด้วย กระทั่งยอดคนด่านฝ่านซูอย่างจี้เจิ้ง
ยังต้องนิ่งขึงตะลึงงันไป
นี่เป็นไปไม่ได้!
ในขณะที่สี่มหาสานักเพียรพยายามรื้อฟื้นพลังเทพมาโดยตลอด แต่
ยังไม่เคยประสบความสาเร็จเป็นชิ้นเป็นอันมาก่อน ในที่นี้กลับมีคนสองคน
ใช้เทพวิชาฉบับสมบูรณ์ออกมา!
สิ่งที่มันไม่ทราบก็คือ มรดกวิชาเทพของเขิงเหลียนเอ๋อร์ยังสมบูรณ์
พร้ อ มยิ่ ง กว่ า ของจั่ ว ม่ อ เสี ย อี ก หลั ง จากได้ รั บ ความเข้ า ใจจากการต่ อ สู้
หลายต่อหลายรอบ รวมถึงเคล็ดความบนป้ายศิลาที่จ่ว
ั ม่อบอกเล่าต่อนาง
นางก็ส ามารถฟื้ นฟูส่วนที่ส าคัญที่สุดในมรดกวิช าเทพของนางได้ส าเร็ จ
พลังเทพจันทราของเขิงเหลียนเอ๋อร์กลายเป็นเพียบพร้อมสมบูรณ์
นางในที่สุดก็ฝึกปรือเทพวิชาสาเร็จ!
จี้เจิ้งเมื่อจิตใจสั่นไหวเป็นครั้งแรก มันก็เริ่มเผยช่องว่างรอยโหว่ ที่ไม่
พึงมีออกมา!
เกล็ดน้าแข็งประหนึ่งพิษร้ายโรคระบาด แผ่ล ามไปตามอักขระพระ
สู ต รอย่ า งรวดเร็ ว เพี ย งชั่ ว เวลาไม่ น านอั ก ขระพระสู ต ทั้ ง มวลล้ ว นถู ก
ทาลายสิ้น กลับกลายเป็นพลังจันทรายะเยือกมากมายสุดคนานับ
กาสาวพัสตร์ทะเลพระสูตรซึ่งสวมอยู่บนร่างของจี้เจิ้งกลายเป็นหม่น
ประกายลงเช่นกัน ยามนี้เป็นสีเทาเหมือนใบไม้แห้งเฉา ค่อย ๆ กร่อนสลาย
ทีละน้อย
เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ สองสมบัติระดับแปดล้วนพังพินาศ แต่จี้เจิ้งไม่มี
เวลากระทั่งจะสานึกเสียใจ เจตจานงจันทร์ยะเยือกจู่โจมเข้าถึงตัวมันแล้ว
ในช่วงเสี้ยววินาทีคับขันเป็นตายนี้ เอง กงล้อวิเศษห้าสีวงหนึ่งพลัน
ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจี้เจิ้ง ปิดสกัดจันทร์น้าแข็งได้ทันท่วงที แสงห้าสีโคจร
หมุ น เวี ย นบนกงล้ อ วิ เ ศษอย่ า งไม่ มี ที่ สิ้ น สุ ด หยุ ด ยั้ ง พลั ง จั น ทราน้ า แข็ ง
เอาไว้ นี่เป็นไต้เทาสอดมือเข้ามาช่วยเหลือทันเวลา
อาวุธเวทระดับแปด... กงล้อจาแลงห้าธาตุ!
อาวุธ เวทชิ้นนี้เดิ มทีห ลอมสร้า งขึ้นเมื่อครั้ง ที่ไต้ เทายัง คงเป็น เซี ย น
สั ญ จรผู้ ห นึ่ ง หลั ง จากที่ มันเข้า ร่ ว มกั บวั ด เสวี ย นคง มั น ได้ ศึ ก ษาร่ า เรียน
พระสูตร ค่อยหลอมสร้างกงล้อจาแลงธาตุขึ้นมาใหม่
กงล้อวิเศษมีห้าสีสัน แสดงถึงพลังของธาตุท้ังห้า ในแต่ละสีแฝงเร้น
ด้วยกฏเกณฑ์แห่งฟ้าดินที่ผิดแผกแตกต่างกัน
กงล้ อ จ าแลงห้ า ธาตุ ปิ ด สกั ด พลั ง เย็ น ของเจตจ านงจั น ทราอย่ า ง
สมบู ร ณ์ พลั ง ห้ า ธาตุ โ คจรหมุ น เวี ย นไม่ ห ยุ ด ยั้ ง สลายพลั ง ของจั น ทรา
น้าแข็งอย่างช้า ๆ
จี้เจิ้งคลายใจลงเล็กน้อย ขอเพียงพวกมันยืนหยัดต้านทานการจู่โจม
ของศัต รู ระลอกนี้ได้ เชื่อว่ าพวกมันสามารถช่ วงชิ งการเป็นฝ่ ายก าหนด
กลับมาได้อย่างไม่ยากเย็น! มันที่พลาดท่าเสียที เพียงเพราะคาดไม่ถึ ง ว่า
ฝ่ายตรงข้ามจะฝึกปรือเทพวิชา เมื่อไม่ทันระวังจึงเพลี่ยงพล้าหนหนึ่ง แต่
ยามนี้เนื้อความในบันทึกมากมายไหลผ่านในใจมันอย่างรวดเร็ว
เทพวิชาแม้แกร่งกร้าวเกรียงไกร แต่สิ้นเปลืองพลังเทพอย่างมหาศาล
ฝ่ายตรงข้ามต้องไม่อาจยืนหยัดได้นาน
รอประเดี๋ยว... ...
ชั่วพริบตานั้น เงาร่างอันน่าขนลุกวาบผ่านในใจของจี้เจิ้ง มันถึงกับ
แตกตื่นสุดระงับ ยังมีอีกคนหนึ่ง... ...
ผิดท่าแล้ว!
ทันใดนั้นเอง พลังประหลาดสายหนึ่งทะลวงผ่านเข้ามาในร่างมันโดย
ไร้เสียงจากทางแผ่นหลัง!
จี้เจิ้งสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง!
ไต้เทาเองก็หน้าเผือดสีเช่นกัน!
เห็ น อากุ่ ย ปรากฏขึ้นเบื้ อ งหลัง จี้เ จิ้ง ราวกั บ เงาผี ฝ่ า มื อ ทอประกาย
ด้วยพลังสีม่วง กดประทับลงบนแผ่นหลังของจี้เจิ้งโดยปราศจากสุ้มเสียง
นับตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ อากุ่ยเมื่อหายตัวไป นางก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีก
เลยจนถึงยามนี้ เพียงปรากฏกายขึ้นเพื่อส่งมอบฝ่ามือคร่าชีวิตคน
จี้เจิ้งร่างสั่นสะท้านขึ้นโดยแรง ประกายสีทองบนใบหน้าเลือนหายไป
ด้วยระดับความเร็วที่มองเห็นได้ชัดตา
ในเวลานี้ เ อง กลี บ ดอกบั ว ที่ ห ยุ ด ยั้ ง อี ก า ทมิ ฬ ด าพลั น ลุ ก ไ ห ม้
เปลี่ยนเป็นขี้เถ้ากระจายไปตามสายลม
ยังคงหลงเหลืออีกาดาอีกสามตัว!
อีกาทมิฬทั้งสามดวงตาทอประกายแดงเจิดจ้า พวกมันเปลี่ยนเป็น
ล าแสงสามสาย ทะยานเข้าจู่โจมใส่จี้ เจิ้งผู้สู ญเสีย การป้อ งกันของทะเล
พระสูตรอย่างถนัดถนี่
จี้เจิ้งร่างเริ่มปะทุด้วยเปลวไฟลุกโหม ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตเห็นขนนก
สีทองเรียวยาวเก้าเส้นที่โคจรรอบกายอีกาดาทั้งสาม ยามนี้ทิ่มแทงเข้าไป
ในร่างของจี้เจิ้งราวกับเข็ม
“ศิษย์พี่!” ไต้เทาร้องตะโกนอย่างขวัญวิญญาณกระเจิดกระเจิง
หลังจากจู่โจมสาเร็จ จั่วม่อก็ไม่รีรอเสียเวลา พลันร้องตวาดสุดเสียง
“รีบไป!”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบคา มือข้างหนึ่งปรากฏขึ้นที่หลังคอของมัน อากุ่ย
ปรากฏขึ้นทางด้านหลังดุจเงาภูตพราย คว้าต้นคอของมันเอาไว้มั่น
มันรู้สึกในสายตาพร่าเลือนวูบ จากนั้นเห็นคนผู้ห นึ่งอยู่ด้านข้างมัน
เป็นเขิงเหลียนเอ๋อร์ซึ่งถูกอากุ่ยหิ้วคอมาด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
เขิงเหลียนเอ๋อร์ใบหน้าขาวซีดอยู่บ้าง การใช้กระบวนท่าเทพวิชาสูบ
กลืนพลังเทพของนางไปหมดสิน
้
ทั้งสองหันมาแย้มยิ้มให้แก่กัน
เห็นรอยยิ้มจริงใจของจั่ วม่อ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ในอดีต มัน ไม่ เ คยมี
ให้แก่นาง เขิงเหลียนเอ๋อร์เบิกบานใจยิ่ง
ตูม!
พลังปราณอันน่าขนพองสยองเกล้ า สะท้านฟ้าสะเทือนดินมาจาก
ทางเบื้องหลังพวกมัน
จั่วม่อตะลึงลาน หันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ
เห็ น เงาร่ า งพระโพธิ สั ต ว์ สู ง หลายร้ อ ยจั้ ง ยื น ตระหง่ า นง้ า อยู่ ต รง
ตาแหน่งที่พวกมันเพิ่งจากมา
มหาโพธิสัต ว์ผู้เปี่ ยมล้นด้วยตบะบารมี เรืองรองด้วยรัศมีแสงสีทอง
อาไพ แรงสั่นสะเทือนของพลั งปราณอั นไพศาล บันดาลให้จ่ัวม่อ สี ห น้ า
แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง!
เงาร่างพระโพธิสัตว์ทอดตามองมายังจั่วม่อด้วยสายตาเฉยเมย
จั่วม่อรู้สึกหัวใจคล้ายถูกบีบแน่น ทันใดนั้นอากุ่ยเร่งความเร็วอย่างไม่
คิ ด ชี วิ ต พลั ง สี ม่ ว งสาดประกายวู บ จั่ ว ม่ อ ในที่ สุ ด ค่ อ ยรู้ สึ ก ว่ า แรงกดดั น
คลายลง
เห็นจี้เจิ้งถูกห่อหุ้มด้วยเงาร่างพระโพธิสัตว์ ขนนกสีทองที่ทะลวงเข้า
ไปในร่างมันถูกพลังปราณผลักดันออกมา แล้วบดขยี้เป็นผุยผง จากนั้นเงา
ร่ า งพระโพธิ สั ต ว์ ก็ เ ลื อ นหายไปด้ ว ย จี้ เ จิ้ ง สี ห น้ า เผื อ ดขาวราวกระดาษ
เหม่อมองดูก้อนหินเล็ก ๆ ที่แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สูญเสียประกาย
อย่ า งสิ้ น เชิ ง ก่ อ นหน้ า นี้ แ ม้ สู ญ เสีย อาวุ ธ เวทระดั บ แปดไปหลายชิ้ น มั น
ยังคงไม่แยแสสนใจ แต่ยามนี้เมื่อก้อนหินนั้นแตกกระจาย มันในที่สุดค่อย
เผยให้เห็นร่องรอยเจ็บปวดใจเป็นครั้งแรก
หนึ่ ง ในของวิ เ ศษที่ ล้า ค่ า ที่ สุด ของวั ด เสวี ย นคง สรี ร ะธาตุ พุ ทธองค์
เป็นสิง่ ที่ช่วยชีวิตมันเอาไว้ในครัง้ นี้
ทันใดนั้นมันเงยหน้ าขึ้น เรียกรั้งไต้เ ทาอย่ างเหนือ ความคาดหมาย
“อย่าได้ไล่ตามไป”
ไต้เทาพอฟังต้องตะลึงลาน ศิษย์พี่จี้เจิ้งแม้ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่
ศัต รู ก็สูญเสียขีดความสามารถที่จ ะต่อสู้อีก แม้ว่าจะมีเพียงตัวมันผู้เดียว
เชื่อว่ายังสามารถคร่ากุมคนทั้งสามได้โดยไม่มีปัญหา
จี้เจิ้งกล่าวเสียงเย็นเยียบ “พลังเทพของสตรีคนสุดท้ายนั้นเป็นที่คุ้น
ตานัก”
บทที่ 670 ยี่สิบหกปีก่อน
ท่าร่างของอากุ่ยรวดเร็วยิ่ง
แต่สิ่งที่ทาให้จ่ัวม่อประหลาดใจ คือสองโจรเฒ่าหัวโล้นกลับไม่ไ ด้ ไล่
ติดตามพวกมันมา การโจมตีครั้งสุดท้ายด้วยการสาแดงร่างพระโพธิสัตว์ ขู่
ขวัญเสี่ยวม่อเกอจนหัวใจน้อย ๆ แทบจะหยุดเต้น ทั้งยังทาลายเศษเสี้ยว
ความหวังเล็ก ๆ ที่มันเคยมีจนสิน
้ ซาก
หากพวกมันสามารถสังหารหัวโล้นเฒ่าผู้นั้นได้ จากนั้นการหลบหนี
ของพวกมันจะสะดวกดายกว่านี้มาก
ต่อให้มาย้อนคิดดูในยามนี้ จั่วม่อยังมั่นใจว่าการบุกจู่โจมของพวกมัน
เมื่อครู่ห มดจดไร้ที่ติ ดุจ ดั่ง ภูษิต ฟ้ าไร้ต ะเข็ บ ไม่ว่าจะเป็น การแสดงฝี มื อ
ของแต่ ล ะคน หรื อ การผนึ ก กาลัง ประสานงาน ล้ ว นแล้ ว แต่เ พี ยบพร้อม
สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่พวกมันสามารถกระทาได้ แต่โจรเฒ่าหัวโล้นใบหน้าเย็น
ชาผู้นั้น กลับทรงพลังอานาจถึงขั้นแทบจะหลุดพ้นไปจากจินตนาการของ
มัน ถึงกับยากจะรับมือยิ่งกว่าอวี่ไสว้เสียอีก
ควรทราบว่าเมื่อเทียบกับเมื่อครัง้ ที่ต่อกรกับอวี่ไสว้ พวกมันทั้งสามยัง
เข้มแข็งแกร่งกร้าวกว่าในครั้งนั้นมาก ทั้งมันกับเขิงเหลียนเอ๋อร์ยังทุ่มเทใช้
เทพวิชาอันเป็นไม้ตายก้นหีบออกมา การลอบจู่โจมของอากุ่ยก็เรียกได้ว่า
อัศจรรย์พันลึก แต่ถึงกระนั้น พวกมันทั้งสามผนึกกาลังจู่โจมอย่างไม่ คิ ด
ชีวิตถึงปานนี้ กลับไม่สามารถประหารฆ่าโจรหัวโล้นเฒ่าหน้าเย็นได้สาเร็จ
เหล่ า ยอดอาวุ ธ เวทที่ โ จรหัว โล้ นเฒ่ า ถือ ครอง ทรงพลั ง อ านาจกว่า
ของอวี่ไสว้มาก
จากเรื่องนี้ส ามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าวัดเสวียนคงมั่งคั่งบริบูรณ์
ถึงเพียงไหน
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จ่ัวม่อกลายเป็นคุ้นเคยกับการที่พลังอานาจอันแกร่ง
กร้าวเกรียงไกรจะสามารถปราบพิชิตไปทั้งสิบทิศ แต่การต่อสู้ครั้งนี้ สะกิด
เตือนให้มันฉุกคิดถึงความสาคัญของอาวุธวิเศษอีกครั้ง
นึ ก ถึ ง การไล่ ล่ า อั น ไม่ รู้ จั ก จบสิ้ น ที่ ก าลั ง จะอุ บั ติ ขึ้ น จั่ ว ม่ อ ตั ด สิ น ใจ
เด็ดขาด นี่ไยมิใช่ประชันขันแข่งกันด้วยความมั่งคั่งเท่านั้นเองหรือ? พวก
เราแม้ไม่ร่ารวยเท่าวัดเสวียนคงเจ้า แต่ก็มิได้ยากจน!
มันเริ่มขุดคุ้ยในแหวนมิติอย่างขมักเขม้น
หลักจากขุดคุ้ยออกมา จั่วม่ออาจเรียกได้ว่าเก็บสะสมของดี ๆ ไว้มาก
หลาย
ลูกธนูหักจากชนเผ่าเทพเกาทัณฑ์ ชิ้นส่วนสมบัติวิเศษของชนเผ่าวารี
ตะวันออก ชุดระฆังสดับฟ้าจากเทียนหวน แก่นหัวใจภูตปรภพจากชนเผ่า
ภูตปรภพ ใบไม้ทองคา ต้นตะขอหยก ไข่มุกหยินหยางไร้จากัด ไผ่ทะเลศพ
หยดน้าตามนุษย์หมอก เหรียญวิเศษใจอามหิต กระบี่ลิ้นปลาหลีเขียว... ...
จั่วม่อคึกคักขึ้นอักโข ความเชื่อมั่นเพิ่มพูนขึ้นมาก มันรู้สึกอยากเชิด
หน้ายืดอกขึ้นมาทันที
ลมชุนเทียนพัดโบก เสียงกลองศึกโหมกระหน่า ผู้ใดเกรงกลัวอาวุธ
เวทของเจ้าด้วย?
หลังจากเสาะพบสถานที่ปลอดภัย อากุ่ยก็ชะงักเท้าลง ปล่อยพวกมัน
ทั้งสองลงกองกับพื้น จั่วม่อรีบก่อตั้งค่ายกลอาคมหวงห้ามอย่างรอบคอบ
ระมัดระวัง คนทั้งสามไม่พูดพล่ามทาเพลง ตั้งหน้าตั้งตาฟื้นฟูพลังภายใน
ร่ า งของพวกมั น เป็ น ล าดั บ แรก สองชั่ ว ยามให้ ห ลั ง จั่ ว ม่ อ ฟื้ นตั ว อย่ า ง
สมบูรณ์เป็นคนแรก มือขวาของมันสามารถก่อเกิดพลังเทพที่มีปริมาณคง
ตัว ในเวลาเช่นนี้ แม้จะเป็นเพียงพลังเทพปริมาณเล็กน้อย ยังสามารถช่วย
ฟื้นฟูพลังเทพของมันได้รวดเร็วขึ้นมาก
หลังจากนั้นไม่นาน อากุ่ยกับเขิงเหลียนเอ๋อร์ทยอยลืมตาขึ้นเช่นกัน
จั่ ว ม่ อ น าวั ต ถุ ดิ บ ทุ ก ชนิ ด ออกมาวางเรี ย งรายเป็ น แถวเป็ น แนว ทั้ ง
อาวุธเวทและศาสตรามาร รวมถึงเศษชิ้นส่วนสมบัติจากยุคบรรพกาล
“ลองดูสิ่งที่เจ้าสามารถใช้งานได้ เลือกไปเท่าที่ต้องการ”
ใบหน้ า งามเพริ ศ ของเขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ท อแววตื่ นตะลึ ง เห็ น บนพื้ น
กลาดเกลื่อนไปด้วยมวลวัต ถุดิบ อาวุธ เวทและศาสตรามาร ประชันแสง
หลากสีสันละลานตา กระทั่งผนังถ้าอันทึบด้านยังถึงกับสะท้อนประกาย
เป็นแสงสีรุ้งพร่าพราย
อากุ่ยคว้าแก่นหั ว ใจภูต ปรภพกับ ไผ่ ทะเลศพไปทัน ควัน จั่วม่อประ
หลาดใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าอากุ่ยจะเลือกของสองชิ้นนี้ สาหรับแก่นหัวใจ
ภูตปรภพอันลี้ลับชั่วร้ายกระทั่งพี่ใหญ่ชิงหลินยังไม่ล่วงรู้วิธีใช้งาน ส่วนไผ่
ทะเลศพก็เป็นอาวุธเวทที่อัปมงคลยิ่ง
เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ก็ ไ ม่ เ กรงอกเกรงใจ ฉวยกระบี่ ลิ้ น ปลาหลี เ ขี ย วกับ
ไข่มุกโลหิตอัสนีบาตจานวนหนึ่ง ไข่มุกโลหิตอัสนีบาตเหล่านี้หยิบฉวยมา
จากสมบัติส่วนตัวของอู่อวี้ มีอยู่ท้งั สิน
้ สิบหกเม็ด
ไม่เหมือนกับพวกซิวเจ่อซึ่ งชมชอบเก็บสะสมอาวุธเวทสารพัดชนิด
ชนชาวปิศาจมักจะมุ่งเน้นกับศาสตรามารเพียงหนึ่งหรือสองชนิดเท่ านั้น
แต่จ่ัวม่อพอเห็นไข่มุกโลหิตอัสนีบาตเหล่านั้น ต้องตาลุกวาบทันที รีบยื่น
มือออกมา “ขอไข่มุกโลหิตอัสนีบาตให้ข้าชมดูสักเม็ดเถอะ”
เขิงเหลียนเอ๋อร์ย่ น
ื ไข่มุกโลหิตอัสนีบาตส่งให้แก่มันอย่างไม่เกี่ยงงอน
ไข่มุกโลหิตอัสนีบาตมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ สีแดงเหมือนเหล้าองุ่น
ชั้นดี ผิวหน้าสะท้อนแสงเป็นประกาย แต่โปร่งใสกระจ่าง บนพื้นผิวไข่มุก
ปรากฏเส้นสีเงินสายหนึ่งไหลเวียนช้ า ๆ ราวกับมีชีวิต ชวนให้ผู้คนรู้สึกถึง
ความลี้ลับชัว
่ ร้ายสุดขัว
้ ชนิดหนึ่ง
สัมผัส ไข่มุกโลหิต อัส นีบาตอยู่ในมือ จั่วม่อสามารถประเมินวิ ธี ก าร
หลอมสร้างไข่มุกเม็ดนี้ได้โดยคร่าว ๆ ในบ่อโลหิต สุดหยิน ปลูกฝังประจุ
สายฟ้ า ลงไป ห้ า ปี ใ ห้ ห ลั ง ไข่ มุ ก โลหิ ต อั ส นี บ าตจะก่ อ เกิ ด ขึ้ น มาอย่ า ง
สมบูรณ์ ไข่มุกโลหิตอัสนีบาตมิใช่สามารถครอบครองได้ง่ายดายนัก ดังนั้น
พวกมันล้าค่ามาก กระทั่งปิศาจด่านเจียงยังแทบต้องกระทาทุกวิถีทางเพื่อ
หามาครอบครองสักสองสามเม็ด ถือเป็นสมบัติที่ใช้ส าหรับรักษาชีวิต ชั้น
เลิศ
ชั่วขณะนี้ เคล็ดความบางประการในตารามุกหยินประลัยกัลป์พลัน
ผุดขึ้นในใจจั่วม่อ ความคิดพอบังเกิด มือก็ตวัดพลิกหงาย เห็นใจกลางฝ่า
มือของมันปรากฏเปลวไฟสายหนึ่ง
เพลิงเทพสุริยันตรงเข้าห่อหุ้มไข่มุกโลหิตอัสนีบาตในบัดดล
จั่วม่อสองมือผนึกท่ามุทราไม่ห ยุดยั้ง เวทวิชาสารพัดชนิดพุ่งเข้ า ไป
ในเปลวไฟไม่ขาดสาย
ชั่วหลายอึดใจให้หลัง ไข่มุกโลหิตอัสนีบาตใหม่ก็ลอยเข้าไปอยู่ในมือ
ของจั่วม่อ ไข่มุกที่หลอมสร้างใหม่ขนาดย่อมลงกว่าเดิมเล็กน้อย เส้นสีเงิน
สว่างสุกใสกว่าเดิม ทั้งยังมีจุดพลังงานสีทองอีกจุดหนึ่งปรากฏขึ้นใหม่บน
เม็ดไข่มุก
“เรียกว่าไข่มุกดาวทองด้ายเงินเถอะ” จั่วม่อโยนไข่มุกกลับไปให้ แก่
เขิงเหลียนเอ๋อร์ จากนั้นหันไปเพ่งสมาธิห ลอมสร้างไข่มุกโลหิตอัสนีบาต
อีกสิบห้าเม็ดที่เหลือ
ต ารามุ ก หยิน ประลัยกั ล ป์เ ป็ นเคล็ด วิ ชาที่ จ่ัว ม่ อได้ รั บ จากผู เยาเมื่อ
นานมาแล้ว กับเคล็ดวิชาเหล่านั้น มันช่าชองชานาญเป็นที่สุด ในฐานะซิว
เจ่อ ฝีมือทางหลอมสร้างของมันโดดเด่นเลิศล้า และหลังจากช่วงเวลาใน
คุกสิบนิ้ว มันก็กลายเป็นมีฝีมือทางศาสตร์อสูรด้วย ยิ่งไปกว่านั้น อุปกรณ์
สวรรค์สิบอีกาอันเพียบพร้อมสมบูรณ์ เพียงพอจะเป็นเครื่องยืนยันว่าฝีมือ
ในทางสั ง ขารปิ ศ าจของมั น ก็ เ ด่ น ล้ า เหนื อ ผู้ ใ ด มั น ยั ง เชี่ ย วชาญแผนผั ง
ปิศาจและค่ายกล โดยไม่ทันรู้ ตัว จั่วม่อสามารถเรียกได้ว่า ‘ศึกษาเจนจบ
ในเคล็ดวิชาของทั้งสามดินแดน’
ถึ ง แม้ ว่ า ฝี มื อ ของมัน ทั้ง สามด้ า นจะไม่ อ าจเรี ยกได้ ว่ า เป็ นระดับสุด
ยอดในแต่ ล ะวิ ถี แต่ ใ นแง่ ข องการเรี ย นรู้ ห ลากหลาย จั่ ว ม่ อ แน่ น อนว่ า
นับเป็นตัวประหลาดตัวหนึ่ง
พฤติการณ์ของจั่วม่อ หากเป็นสานักใหญ่จะไม่ยินยอมให้กระทาเป็น
แน่ ผู้คนมีขีดความสามารถและเวลาจากัด ดังนั้นหากร่าเรียนหลากหลาย
วิชาและไม่ได้มุ่งเน้นแต่ละวิชา ต่อไปก็ยากจะมีความสาเร็จอันใดได้ เนื่อง
เพราะเหตุนี้ ศิษย์สานักใหญ่หลังจากผ่านการทดสอบที่จาเป็นในครั้งแรก
แล้ว ทางส านักจะส่งผู้อาวุโสที่มีป ระสบการณ์โ ชกโชนมาชี้ แนะพวกมั น
อรรถาธิ บ ายในแต่ ล ะด้ า นที่ ส มควรมุ่ ง เน้ น หลั ง จากนั้ น ศิ ษ ย์ ที่ ไ ด้ รั บ
คาแนะนาจะเริ่มมุ่งเน้นในด้านที่ตนถนัดจัดเจนที่สุดเพียงสิ่งเดียว
จั่วม่อร่าเรียนสารพัดวิช าเหล่านี้ ได้ อย่างไร? ไยมิใช่เพราะผีเ ฒ่ า ไม่
ยอมตายสองตัวภายในร่างมัน ซึ่งคอยตั้งหน้าตั้งตาล่อลวงมันเข้าไปยังค่าย
ฝั่ งตน
หากมิใช่ว่ามันประสบพบเจอเข้ากับพลังเทพ ไม่แน่ว่าจั่วม่อในยามนี้
อาจหมดปัญญาจะผสานเคล็ด วิ ช าทั้ งหมดเข้ าด้ วยกันอย่ างสิ้น เชิง สาม
ระบบการฝึกปรือหลักมีเส้นทางเฉพาะตัวของตน ประกอบไปด้วยพันวิถี
หมื่นแสนวิชา แต่ละวิชาล้วนแล้วแต่มีคุณลักษณะเฉพาะตัว
แต่จ่ัวม่อกลับได้รับสืบทอดมรดกวิชาเทพ จนบรรลุพลังเทพในที่สุด
สามพลังต่างวิถีเริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่ง ท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นพลังเทพใหม่!
ระบบวิชาฝีมือชนิดใหม่ก่อเกิดขึ้นเช่นนี้เอง
สิ่งนี้ทาให้จ่ัวม่อสามารถมองลงมาจากมุมมองที่เหนือล้าขึ้น ไป เมื่อ
มองไปยั ง เคล็ ด ความอั น แตกต่ า งและซั บ ซ้ อ นเหล่ า นี้ ก็ ส ามารถผสาน
รวมเข้าเป็นระบบเดียวกันได้
ดั ง นั้ น จั่ ว ม่ อ พอเห็ น ไข่ มุ ก โลหิ ต อั ส นี บ าต ก็ ฉุ ก คิ ด ถึ ง ต ารามุ ก หยิ น
ประลั ย กั ล ป์ ขึ้ น มาทั น ที หากเปลี่ ย นเป็ น ผู้ อ่ ื น พวกมั น อาจต้ อ งขบคิ ด
ใคร่ครวญเป็นเวลานาน เพื่อหาวิธีใช้วิช าหลอมสร้างสายอสูรปิศาจเพื่อ
หลอมสร้างไข่มุกปิศาจเหล่านี้ แต่จ่ัวม่อไม่หยุดชะงักและไม่ลังเลใจแม้แต่
น้อย มันรู้สึกว่าการกระทาของมันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีสะดุดติดขัดที่
ใด ราวกับว่าสมควรเป็นเช่นนี้แต่แรก
นับตั้งแต่แรกเริ่ม ความเข้าใจในวิถีบาเพ็ญเพียรของมันก็ห ลุดออก
จากแนวทางอันเที่ยงธรรมไปแล้ว
ต าราไข่มุกหยินประลัยกัลป์ เมื่อเป็นที่เลื่องลือมาตลอดหลายพันปี
ย่อมมีสิ่งที่พิเศษเฉพาะของตน ก่อนหน้านี้มุกหยินประลัยกัลป์ที่จ่ัวม่อเคย
หลอมสร้าง กลายเป็นไพ่ตายที่มันชมชอบซุกซ่อนไว้ในแขนเสื้อ แต่ภายใต้
ภูมิความรู้และเคล็ดวิ ชาที่หลุดออกจากกรอบดั้งเดิมของจั่วม่อในปัจ จุบัน
ยอดวิชาที่สืบทอดกันมานานนับพัน ๆ ปี บัดนี้เปลี่ยนแปลงไปจากของเดิม
อย่างสมบูรณ์
หากยอดคนผู้คิดค้นตารามุกหยินประลัยกัลป์ ทราบว่ายอดวิชาของ
มันแปรเปลี่ยนเป็นวิชาที่แปลกประหลาดเช่นนี้ไป เกรงว่ามันคงตีอกชกหัว
กระโจนออกมาจากหลุมศพ เข้าเสี่ยงชีวิตกับจั่วม่อเสียเป็นแน่แท้
ส าหรั บ ผู้ ที่ ยึ ด ถื อ แต่ ผ ลประโยชน์ แ ละความเป็ น จริ ง เยี่ ย งจั่ ว ม่ อ
ขนบประเพณีอันใดหาใช่เรื่องสาคัญไม่
ขอเพียงไข่มุกดาวทองด้ายเงินมีพลานุภาพมากพอ เท่านัน
้ ก็เพียงพอ
แล้ว!
หลังจากหลอมสร้างไข่มุกดาวทองด้ายเงิน อีกสิบห้าเม็ดจนเสร็จสิ้น
จั่ ว ม่ อ ก็ หั น มากวาดตามองไล่ ไ ปตามเหล่ า อาวุ ธ เวทศาสตรามารที่ ก อง
เกลื่อนอยู่บนพื้น อากุ่ยกับเขิงเหลียนเอ๋อร์ต่างเลือกสิ่งที่เหมาะมือไปคน
ละชิน
้ สองชิน
้ แล้วมันเล่า? มันสมควรเลือกสิง่ ใดดี?
เศษลูกธนูหักแห่งชนเผ่าเทพเกาทัณฑ์ ? นี่เป็นสินค้าที่ ดี ชนเผ่าเทพ
เกาทัณฑ์เป็นหนึ่งในชนเผ่าอันทรงพลังอานาจ ซึ่งสามารถคุกคามชนเผ่า
เทพสุริยัน อันไร้ผู้ต้ านได้ ลูกธนูหักดอกนี้แ น่นอนว่ า มิใ ช่สิ่ งของธรรมดา
สามัญ
ในใบไม้ ท องค ายั ง บั น ทึ ก วิ ธี ก ารใช้ พ ลั ง เทพหลอมสร้ า งสิ่ ง ของ แต่
หลังจากศึกษาใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ จั่วม่อต้องละทิ้งความคิดนี้ไป เหตุผล
รวบรัดยิ่ง มันไม่มีพลังเทพมากพอ
อาศัยพลังเทพปริมาณน้อยนิดจนน่าเวทนาของมัน หากเข้าใจว่ามัน
จะสามารถหลอมสร้างสมบัติวิเศษเช่นลูกธนูหักดอกนี้ได้ ไยมิใช่เพ้อฝัน
เกินไป
สิ่งของอื่นที่มีปัญหาไม่แพ้กัน ก็คือสายใยสามพันอาวรณ์ เมื่อครั้งที่
จั่วม่อดูดกลืนพวกมัน เข้า ไปในร่า ง อาจกล่าวได้ว่ าพวกมันฟัง ค าสั่ ง ของ
จั่วม่อ แต่ในยามนี้จ่ว
ั ม่อกลับไม่สามารถกระทาสิ่งใดได้เลย นับตั้งแต่ที่กรง
เล็บพิฆาตมังกรกลายเป็นกาไรข้อมือ สายใยสามพันอาวรณ์ก็คล้ายเข้ าสู่
ห้ ว งนิ ท ราอั น ลึก ล้า ไปด้ ว ย ไม่ ว่ า จั่ ว ม่ อ จะเรี ย กหามั นเท่ า ใด มั น ก็ ไ ม่ เ คย
ตอบสนองอีก
เสี่ยวม่อเกอได้แต่ลอบคร่าครวญอย่างหวนโหย หลังจากต่อสู้กันมา
นานหลายร้อยปี พวกเจ้าใช่ตกหลุมรักกันหรือไม่?
ต้นตะขอหยกเป็นวัตถุดิบระดับหก จาต้องใช้เวลาฟูมฟักเลี้ยงดูอีกสัก
ระยะหนึ่ง เพื่อให้สามารถพัฒนาเป็นต้นตะขอหยกเขียวสวรรค์ หากเป็น
สถานการณ์ ท่ัวไป วัต ถุดิบระดับหกแน่น อนว่า เป็นสินค้ า ชั้นเลิ ศ แต่เมื่ อ
คู่มือของมันในครานี้เป็นยอดคนด่านฝ่านซู สิ่งของเพียงเท่านี้ก็ไม่เพียงพอ
แล้ว ส่วนไข่มุกหยินหยางไร้จากั ดมีข้ อบกพร่อ งอัน ใหญ่ห ลวง คือนาพา
ผู้ใช้ให้ต กตายตามไปด้วย เป็นไพ่ต ายลับที่จะใช้ก็ต่อเมื่อต้องการให้ ศัตรู
เป็นเพื่อนลงสู่ปรภพ
หลังจากเพ่งพินิจอยู่นาน สายตาของจั่วม่อในที่สุดก็ไปตกลงที่เหรียญ
วิเศษใจอามหิต
เหรียญวิเศษใจอามหิต หนึ่งในร้อยแปดศาสตรามารชั้นปฐพี เหรียญ
ทั้งเจ็ดสามารถสร้างเขตแดนของตน ซึ่งเป็นมิติที่หยินหยางกลับตาลปัตร
ห้าธาตุผสมปนเปอย่างฝืนหลักเกณฑ์ธรรมชาติ
สาหรับบุคคลอื่น นี่เป็นศาสตรามารชั้นสุดยอด!
แต่ ส าหรั บ จั่ ว ม่ อ ผู้ ค รอบครองกรงเล็ บ พิ ฆ าตมั ง กรและเมล็ ด ผลึ ก
สุ ริ ยั น มั น ย่ อ มไม่ พึ ง พอใจในพลั ง ของเหรี ย ญวิ เ ศษใจอ ามหิ ต เท่ า ที่ มี
ในตอนนี้
ความคิดนี้พอบังเกิด ก็ไม่อาจลบเลือนออกจากใจได้อีก ชั่วพริบตานี้
จั่วม่อตกลงใจแน่วแน่ ลงมือเถอะ! แม้ว่าอาวุธที่ต่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานนี้
อาจถูกทาลายไปก็ไม่เป็นไร! เซี่ยวม่อเกอผู้มั่งคั่งร่ารวยทรุ ดนั่งขัดสมาธิ
เริ่มบรรเลงไปตามใจปรารถนา
วัดเสวียนคง
ใบหน้าเมตตาปราณีของเจ้าอาวาสมืดทะมึน ทั่วทั้งโถงใหญ่อัดแน่น
ไปด้วยบรรยากาศชวนอึดอัด เหล่าผู้อาวุโสมองตากันไปมา ทราบว่าเห็นที
จะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเป็นแน่แท้
“ในเรื่องการต่อสู้กับเซี่ยวม่อเกอ ท่านทั้งหลายสมควรล่วงรู้กัน ดีอยู่
แล้ว” เจ้าอาวาสวัดเสวียนคงอารัมภบทอย่างเนิบช้า
เหล่ า ผู้ อ าวุ โ สพยั ก หน้ า พล างส ง บป ากส งบ ค า ผู้ ที่ มี ค วา ม คิ ด
ประเปรียวลอบสะดุ้งใจ หรือว่าเจียงเจ๋อพ่ายแพ้แล้ว?
“การศึกที่กาลังจะเปิดฉากขึ้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เราได้ร้องขอให้ผู้
อาวุโสจี้เจิ้งกับผู้อาวุโสไต้เทาออกหน้า ไปยังแดนปิศาจเพื่อนาศีรษะของ
เซี่ยวม่อเกอกลับมา”
วาจาเหล่านี้เ มื่อ กล่ าวออกมา เหล่าผู้อาวุโสล้ วนมีสีห น้ าตะลึ ง ลาน
พวกมันนึกไม่ถึงว่าทางสานักจะหนักมือถึงเพียงนี้ สองผู้อาวุโสด่านฝ่านซู
ศึกคราวนี้ไยมิใช่เท่ากับจบสิ้นลงแล้ว!
หลังจากตื่นตะลึง พวกมันใบหน้าล้วนทอแววยินดี
เจ้าอาวาสวัดเสวียนคงสีหน้ากลับเป็นสงบราบเรียบดังเดิม มองดู เค้า
ความปิติยินดีบนใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโส มันกล่าวเสียงเย็นชา “ผลก็คือ
ในการประมื อ กั บ เซี่ ย วม่ อ เกอรอบหนึ่ ง ผู้ อ าสุ โ สจี้ เ จิ้ ง ได้ รั บ บาดเจ็ บ ไม่
น้อย”
ประโยคนี้ดุจสายฟ้าฟาดในวันที่ฟ้าสดใส ทั่วทั้งห้องเงียบกริบดุจ ป่า
ช้า ทุกผู้คนนิ่งขึงตะลึงลานกันไปหมด
ผู้อาวุโสจี้เจิ้ง... ...ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับศัตรู ?
“มีผู้ใดยังจดจาเหตุการณ์เมื่อยี่สิบหกปีก่อนได้หรือไม่ ?” เจ้าอาวาส
จู่ๆ กล่าวถึงเรื่องที่คล้ายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเชิง
“ยี่สิบหกปีก่อน... ...”
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสหลายท่านสีหน้าแปรเปลี่ยน
“ผู้ ที่ ท าร้ า ยผู้ อ าวุ โ สจี้เ จิ้ง ได้ รั บ บาดเจ็บ เป็ น ดรุ ณี น้ อ ยจากเมื่ อครั้ง
กระโน้นเอง” เจ้าอาวาสวัดเสวียนคงกล่าวอย่างเฉื่อยชา
ประโยคนี้ ส ะกิ ด เตื อ นความทรงจ าของอี ก หลายคน เหล่ า ผู้ อ าวุ โ ส
จานวนมากสีหน้าเปลี่ยนเป็นปั้ นยาก
“นางฝึกปรือสาเร็จ จริง ๆ ... ...” ผู้อาวุโสผู้หนึ่งอดถามออกมาไม่ไ ด้
ใบหน้าทอแววพรั่นพรึงอยู่บ้าง
“นางทาร้ายผู้อาวุโสจี้เจิ้งบาดเจ็บไม่น้อย” เจ้าอาวาสวัดเสวียนคงย้า
คาอย่างเย็นชา
เหล่าผู้อาวุโสพากันเงียบลงอีกครั้ง ความหวาดเกรงบนใบหน้าของ
พวกมันยิง่ มายิง่ เพิม
่ มากขึ้น
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นศึกครั้งนี้ หรือการต่อสู้กับดรุ ณีน้อยผู้
นั้ น เราก็ มิ อ าจพ่ า ยแพ้ ไ ด้ ” ดวงตาครึ่ ง หลั บ ครึ่ ง ลื ม ของเจ้ า อาวาสสาด
ประกายเจิดจ้า เค้าหน้าเมตตาปราณีกลายเป็นบิดเบี้ยวเกรี้ยวกราด “ปลา
น้อยที่เล็ดลอดออกจากร่างแหของเราเมื่อครั้งกระโน้น คราวนี้เราต้องจับ
มันกลับมาให้จงได้!”
ทุกผู้คนหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต สีหน้าพรั่นพรึงของพวกมัน
พลันเปลี่ยนเป็นคึกคักฮึกเหิม
“ไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนด้ว ยสิ่ง ใด คราครั้งนี้เราก็ มิอ าจพ่ า ย
แพ้! เราจะไม่ให้ผู้ใดได้มีโอกาสสอดมือเข้ามาอีก!” เจ้าอาวาสวัดเสวียนคง
ผุดลุกขึ้นด้วยดวงตาร้อนเร่า
“สาเร็จหรือล้มเหลว ทุกอย่างจะตัดสินกันที่ศึกนี้!”
เหล่าผู้อาวุโสสีหน้าฮึกหาญทะยานฟ้า สายตาทั้งเร่าร้อนทั้งกระหาย
อยาก พวกมันผุดลุกขึ้นรับคาอย่างพร้อมเพรียง “ตามแต่ท่านเจ้าอาวาส
จะบัญชา!””
ทั่วทั้งวัดเสวียนคงแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟัน
บทที่ 671 สร้างอาวุธวิเศษ
จี้เจิ้งลืมตาขึ้นช้า ๆ ใบหน้าซีดขาวของมันในที่สุดฟื้นคืนสีสันขึ้นส่วน
หนึ่ ง พลั ง ของโอสถปราณไหลเวี ย นไปทั่ ว ร่ า ง สองสามวั น มานี้ มั น ไม่ได้
สิ้นเปลืองเวลาไปกับการพักผ่อนแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม มันทราบดี
ว่ า อาการบาดเจ็ บ ของมั น จะไม่ ทุ เ ลาหายดี ใ นระยะเวลาอั น สั้ น อ านาจ
ทาลายล้างของพลังเทพเหนือความคาดหมายของมันเกินไปมาก กระทั่ง
มาย้ อ นคิ ด ดู ใ นยามนี้ ยั ง รู้ สึ ก หวาดหวั่ น ไม่ ค ลาย หากมิ ใ ช่ ว่ า สรี ร ะธาตุ
ศักดิ์สิทธิ์ช่วยชีวิตเอาไว้ เกรงว่าวันนั้นของปีหน้าจะเป็นวันครบรอบการ
ตายของมันแล้ว
พลังเทพ สมแล้วที่เป็นพลังเทพ!
เหตุการณ์ในอดีตพลันผุดขึ้นในใจมัน อดทอดถอนใจเบา ๆ ไม่ได้
แต่จิต แห่งพุทธะของมันแน่ ว แน่แ กร่ง กร้ า ว ทราบดีถึงความส าคั ญ
ของการรายงานเรื่ องนี้ ก ลั บ ไปยั ง ส านั ก ดั ง นั้ น ปั ด เป่ า ความคิ ด ฟุ้ ง ซ่ า น
วุ่นวายไปหมดสิ้น
จากนั้ น จี้ เ จิ้ ง หั น ไปถามฮุ ย เป่ า “ติ ด ตามร่ อ งรอยของพวกมั น พบ
หรือไม่?”
ฮุยเป่ากล่าวอย่างระมัดระวัง “ผู้น้อยจะพยายาม!”
การต่อสู้เมื่อสิบวันก่อนขู่ขวัญมันแทบตาย มันนึกไม่ถึงว่ากระทั่งยอด
คนด่านฝ่านซูยังได้รับบาดเจ็บได้ พลังของศัตรู เหนือกว่าความเข้าใจของ
มันไปแล้ว มันไม่อาจเข้าใจได้ว่ายอดยุทธ์ที่ร้ายกาจถึงเพียงนั้น ไฉนยังคง
เปลืองเรี่ยวแรงและเวลาไปเรียนรู้ความสามารถชั้นต่าเช่นการปกปิดซ่อน
เร้นและการหลบหนีด้วย
จี้เจิ้งมองดูก็ทราบว่าฮุยเป่าไม่เข้าใจเรื่องราวอย่างถ่องแท้ แต่ไม่ได้
เสียเวลาอธิบายให้ฟัง เพียงผงกศีรษะพลางกล่าว “ทาให้ดีที่สุดก็แล้วกัน”
แค่ ร อจนเหล่ า ผู้ อ าวุ โ สจากส านั ก เดิ น ทางมาสมทบ ต่ อ ให้ เ ซี่ ย วม่ อ
เกอสามารถหลบหนีไปถึงสุดขอบโลก ยังไม่มีทางหนีพ้นไปจากพวกมันได้
ในเวลานี้เอง เห็นหมู่เมฆดากว้างไพศาลรวมตัว กันอยู่ ในที่ห่า งไกล
ดึงดูดความสนใจของพวกมันทันควัน
“หรือว่ามีคนหลอมสร้า งอาวุธ เวท?” ไต้เทามองดูห มู่เ มฆสีห มึ ก ใน
ระยะไกล รวมถึงประกายสายฟ้าที่แลบลั่นจากภายในด้วยความประหลาด
ใจ เมื่อกอรปด้วยพลังสภาวะสะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ หมายความว่า
อาวุธเวทที่กาลังถือกาเนิดขึ้นจะต้องเป็นของวิเศษในแดนดินชิ้นหนึ่ง
จี้เจิ้งเงยหน้าขึ้นมอง แล้วโพล่งออกมาอย่างฉับพลัน “เป็นพวกมัน!”
เมื่อเคยประมือกับจั่วม่อมารอบหนึ่ง จี้เจิ้งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสภาวะ
อันคุ้นเคยในบัดดล
มิห นาซ้าทิศทางที่มวลเมฆกาลังก่อตัว ดูเหมือนจะเป็นทางเดียวกัน
กับที่เซี่ยวม่อเกอกับพวกหลบหนีไป
“เจ้าเด็กผู้นี้ขวัญกล้าบังอาจนัก!” ไต้เทาบันดาลโทสะขึ้นมา มันนึก
ไม่ ถึ ง ว่ า เซี่ ย วม่ อ เกอไม่ เ พี ย งไม่ ฉ วยโอกาสหลบหนี ไ ปให้ไ กลสุ ด หล้ าฟ้า
เขียว แต่ถึงกับมีอารมณ์หลอมสร้างอาวุธเวทอยู่ไม่ไกลจากพวกมันนัก!
บังอาจ!
ช่างบังอาจนัก!
ไต้เทาพิโรธโกรธกริว
้ จนหนวดกระดิก บุรุษหนุ่มที่โอหังถือดีถึงเพียงนี้
มั น เพิ่ ง จะเคยพบพานเป็ นครั้ ง แรก ถู ก สองฝ่ า นซู ไ ล่เ ข่น ฆ่า เอาชี วิ ต มั น
แทนที่ จ ะพยายามหลบหลี ไ ปให้ ไ กลแสนไกล กลั บ หยุ ด พั ก หลอมส ร้ า ง
อาวุธเวทอย่างเปิดเผยอยู่ไม่ไกลออกไปนัก
อาวุธเวท?
ภายใต้แรงกดดันของพลังที่เหนือชั้นกว่าอย่างสิ้นเชิง ต่อให้เป็นยอด
อาวุธ เวทยังไม่มีป ระโยชน์อัน ใด อย่าว่าแต่อาวุธ เวทที่ห ลอมสร้ างอย่ า ง
ฉุ ก ละหุ ก เช่ น นี้ ในความเห็ น ของมั น นี่ เ ป็ น เพี ย งเซี่ ย วม่ อ เกอบั ง เกิ ด
ความคิดหยามดูแคลนพวกมันเท่านั้น!
ไต้เทาหันไปมองจี้เจิง้ แวบหนึ่ง
จี้เจิ้งสามารถสังเกตเห็นโทสะของไต้เทาได้ชัดเจน แต่สีหน้าของมัน
ยังคงไม่สะทกสะท้านดั่งหินผา “ลองไปดูกัน”
ไต้เทาไม่กล่าวคาที่สอง โถมทะยานออกไปเป็นคนแรก
จี้เจิ้งไม่ปริปาก เพียงติดตามไปอย่างกระชั้นชิด ยอดยุทธ์ท้ังสองแม้
ระมัดระวังฝ่ายศัต รู อันแปลกพิส ดาร แต่ห าได้ห วาดกลัวไม่ ในความเห็น
ของพวกมัน เซี่ยวม่อเกอกับพวกทั้งสามที่สามารถทาร้ายจี้เจิ้งบาดเจ็บได้
เป็นเพียงเพราะพวกมันทั้งสองไม่ทันระวังเท่านั้น
หากพวกมั น ตั้งอกตั้ง ใจสัก หน่อ ย พวกเซี่ ย วม่ อ เกอจะไม่ห ลงเหลือ
โอกาสอีกต่อไป!
เกี่ยวกับเรื่องที่จี้เจิ้งขอกาลังหนุนจากสานัก ไต้เทาออกจะไม่เห็นด้วย
อยู่บ้าง ซ้ายังดูแคลนอยู่บ้าง มันไม่คิดว่าเซี่ยวม่อเกอจะสามารถหลุดรอด
ไปจากเงื้อมมือของมันได้ แม้ว่าจี้เจิ้งจะได้รับบาดเจ็บไม่เบา แต่สาหรับไต้
เทาที่เข้าใจว่ามันได้เห็นฝีมือของพวกเซี่ยวม่อเกอชัดเจนแล้ว มันไม่หวั่น
เกรงแม้แต่น้อย
หากมิใช่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสาคัญอย่างยิ่งยวด... ...
ซึ่งความจริงไต้เทาไม่คิดล้าหน้ามากเกินไป มันแม้เป็นผู้อาวุโสด่าน
ฝ่ า นซู แต่ ท้ า ยที่ สุ ด ก็ มิ ไ ด้ ถื อ ก าเนิ ด จากวั ด เสวี ย นคง ผู้ อ่ ื นในวั ด อาจมี
ข้อคิดเห็นของตนเกี่ยวกับตัวมัน แต่ท่าทีห ยามดูแคลนของเซี่ย วม่ อ เกอ
กระทบถูกความภูมิใจของมัน ทาให้มันบันดาลโทสะสุดจะระงับได้
หากเสี่ยวม่อเกอล่วงรู้ความคิดของไต้เทาในเวลานี้ มันคงต้องร่าร้อง
ว่าถูกใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่เป็นธรรม
รอจนสายฟ้าเส้นสุดท้ายถูกกลืนหายเข้าไปในเหรียญเต่าวิเศษ หมู่
เมฆบนท้องฟ้าสลายหายไปในบัดดล เห็นท้องนภาสีครามใสกระจ่างสบาย
ตา ไม่หลงเหลือกลิ่นอายฆ่าฟันอันดุดันอามหิตเช่นเมื่อครู่แม้แต่น้อย
เหรี ย ญเต่ า วิ เ ศษหมุ น คว้ า งกลั บ ไปยั ง บ่ อ น้ า เล็ ก ๆ ในกระดองเต่ า
เหรี ย ญเต่ า วิ เ ศษทั้ ง เจ็ ด ล่ อ งลอยขึ้ น เคลื่ อนไปมาอยู่ บ นผิ ว น้ า เปล่ ง
ประกายเรืองรองออกมาเป็นระยะ
เขิงเหลียนเอ๋อร์เฝ้ามองกระบวนการหลอมสร้างอันอัศจรรย์พันลึก
ตั้งแต่ต้นจนจบ ยามนี้เพ่งมองอาวุธ เวทเหรียญเต่าวิเศษในมือของจั่วม่อ
อย่างอยากรู้อยากเห็น อดออกปากถามไม่ได้ “นี่เป็นอาวุธวิเศษอันใด?”
จั่วม่อค่อยนึกได้ว่ายังไม่ได้ต้ังชื่อของวิเศษนี้ หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่
จึงตกลงใจตอบว่า “อ้อ นี่เรียกว่า ถ้วยวิเศษของเสี่ยวม่อ!”
ชื่ อ อั น เรี ย บง่ า ยปานก าปั้ นทุ บ ดิ น เช่ น นี้ มั น แทบไม่ ต้ อ งใช้ แ รงกาย
แรงใจอันใดมาครุ่นคิด มิหนาซ้ายังทาท่าภาคภูมิใจเล็ก ๆ อีกด้วย
พอได้ยินชื่อนี้เข้า ความอัศจรรย์ใจและคาดหวังของเขิงเหลียนเอ๋อร์
สลายวับไปทันควัน
แต่ในยามนี้ไม่ว่าจะเป็นจั่วม่อหรือเขิงเหลียนเอ๋อร์ ล้วนไม่มีผู้ใดทราบ
ว่าถ้วยวิเศษของเสี่ยวม่ อชิ้นนี้จ ะก่อเกิดปาฏิห าริย์สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
เพียงใดในอนาคตอันไกลโพ้นข้างหน้า ทว่าน่าเสียดายที่มีคนเพียงไม่กี่คน
เท่านั้นที่รู้จักนามแท้จริงของของวิเศษชิ้นนี้ นามแท้จริงที่ถูกขนานนามว่า
‘ถ้วยวิเศษของเสี่ยวม่อ’
จั่วม่อที่เบิกบานส าราญใจ ไม่มีทางล่วงรู้เลยว่ านามที่ มันตั้งให้ ข อง
วิเศษชิ้นนี้ ในอนาคตข้างหน้าจะถูกผู้คนเปลี่ยนเป็นนามอื่น นามที่สะท้าน
ไปทั้งใต้หล้า
ในยามนี้มันเต็มไปด้ วยความยินดี และความเชื่อ มั่น แม้ในยามนี้ ยั ง
ไม่ได้ทดสอบพลังของถ้วยวิเศษของเสี่ยวม่อ มันยังสัมผัสได้ว่า ของวิเศษนี้
ไม่ธ รรมดาสามัญ เพี ยงแต่ความรู้สึกเชื่อมโยงกับถ้วยวิเศษของเสี่ยวม่ อ
เป็นเหตุให้มันคิดถึงเจดีย์น้อยกับเหล่าเจ้าตัวเล็ก อดอารมณ์หม่นหมองอยู่
บ้างไม่ได้
แต่ไม่นานมันก็ปลุกปลอบขวัญกาลังใจขึ้นมาอีกครัง้
“กลับไปเชือดพวกมันกันเถอะ!” จั่วม่อเงยหน้าขึ้นมองสองสตรีข้ าง
กาย กล่าววาจาที่ขู่ขวัญผู้คนแทบตาย
อากุ่ยย่อมไม่คัดค้ าน แต่ที่คาดไม่ถึงคือ กระทั่ง เขิง เหลียนเอ๋อ ร์ ก็ ไ ม่
เห็นค้านด้วย
เสี่ยวม่อเกอที่เจ้าเล่ห์แสนกลย่อมไม่พาตัวเองไปหาที่ตายเป็นแน่ มัน
มีแผนการในใจของตน แม้ในวันนั้นมันจะไม่ได้เห็นผลการต่อสู้กับตา แต่ดู
จากที่หลายวันมานี้ศัตรู ไม่มีการเคลื่อนไหวใด จั่วม่อตระหนักได้ทันทีว่าจี้
เจิ้งได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังมิใช่อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
มิเช่นนัน
้ สิบวันมานี้พวกมันคงไม่ได้เงียบสงบถึงเพียงนี้แน่
อาการบาดเจ็ บ ของจี้ เจิ้ ง ทาให้ จ่ัว ม่ อ บั งเกิ ด ความคิ ด เสี่ยงอันตราย
ฝ่ า ยมั น ทั้ ง สามฟื้ นฟู เ รี่ ย วแรงอย่ า งสมบู ร ณ์ ทั้ ง แต่ ล ะคนยั ง ติ ด อาวุ ธ
พรักพร้อม หลอมสร้างอาวุธเวทอันทรงพลังสาเร็จ เรียกได้ว่ายามนี้เป็น
ช่วงเวลาที่พวกมันแข็งแกร่งเพียบพร้อมที่สุด ส่วนฝ่ายศัตรูกลับอยู่ในช่วง
ที่อ่อนแอที่สุด นับเป็นโอกาสอันดีงามที่หาไม่ได้อีกแล้ว
และหากการต่อสู้เมื่อสิบวันก่อน ทาให้ฝ่ายศัตรูประเมินพลังฝีมือของ
พวกมันต่าเกินไป นั่นยิ่งจะทาให้พวกมันมีโอกาสมากกว่าเดิม
จั่ ว ม่ อ ทราบกระจ่ า งแก่ ใ จว่ า หากปล่ อ ยให้ เ วลาผ่ า นไป รอจนจี้ เ จิ้ ง
ทุเลาหายดี สถานการณ์ของฝ่ายมันจะกลับเป็นเลวร้ายลงแล้ว!
หากพวกมันชิงลงมือเสียตั้งแต่ต อนนี้ แม้ว่าจะสุ่ มเสี่ยงอันตรายอยู่
บ้าง แต่ยังคงมีโอกาสให้ฉกฉวย!
อากุ่ยเชื่อฟังจั่วม่ออยู่แล้ว เขิงเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่คัดค้าน ดังนั้นทั้งสาม
หันกลับไปหาหนทางเชือดจี้เจิ้งทิ้งเสียแต่เนิ่นๆ
แต่เพียงเหินร่างย้อนกลับไปได้ไม่นาน พวกมันก็เผชิญกับพวกไต้เทา
ที่สวนทางมาพอดี
ไต้ เ ทาดวงตาแหลมคม มั น พอมองเห็ น สามสหาย ที แ รกชะงั ก กึ ก
จากนั้นพิโรธโกรธกริ้วทันที หากมันเคยรู้สึกว่าเซี่ยวม่อเกอจงใจไม่เห็นหัว
พวกมั น ด้ ว ยการแทนที่ จ ะหลบหนี ก ลั บ หยุ ด พั ก หลอมสร้ า งอาวุ ธ เวท
หน้าตาเฉย คราวนี้เมื่อเห็นเซี่ยวม่อเกอย้อนกลับมา ไต้เทาถึงกับเดือดดาล
จนแค่นหัวร่อออกมา!
ชนชัน
้ ฝ่านซูอย่างพวกมัน เคยถูกหยามดูแคลนถึงเพียงนี้ต้งั แต่เมื่อใด
กัน?
โดยไม่กล่าวคาที่สอง ไต้เทาทุ่มเทท่าร่าง โถมทะยานเข้าหาสามสหาย
ในบัดดล มันจะต้องให้ตัวบัดซบทั้งสามนี้ได้รู้สานึกเสียบ้าง ว่าโทสะของ
ฝ่านซูสามารถเผาผลาญทุกสรรพสิ่ง!
กงล้อจาแลงห้าธาตุพุ่งวาบออกไปในบัดดล!
“วัดเสวียนคงยังคงเป็นเช่นเดิม เพียงเรื่องเล็กน้อยมักจะเอะอะมะ
เทิ่งใหญ่โต” สุ้มเสียงของเสวียตงติดจะเย้ยหยันอยู่บ้าง วัดเสวียนคงใน
ยามนี้ดึงดูดสายตาของภพเซียนทั้งหมด การศึกระหว่างเจียงเจ๋อกับเซี่ยว
ม่อเกอเป็นสิ่งที่ทุกผู้คนล้วนตั้งตารอคอยชม
เพียงแต่สงิ่ ที่เสวียตงกาลังเอ่ยถึง กลับมิใช่เรื่องที่ล่วงรู้กันไปทั่วนัน
้
สายลับของคุนหลุนรั้งตาแหน่งสูงส่งไม่น้อย มิหนาซ้าวัดเสวียนคงไม่
มีเจตนาจะปกปิดอาพราง ดังนั้นคุนหลุนได้รับข่าวสารอย่างรวดเร็ว
“เรื่องนี้ข้าล่วงรู้เล็กน้อย” หลินเชียนรู้สึกหนักใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้
มันทาตามคาสั่งเจ้าสานักคุนหลุน ทาการตรวจสอบเหตุการณ์ไล่ล่าสังหาร
ผู้ สื บ เชื้ อ สายของชนเผ่ า โบราณในช่ ว งหลายร้ อ ยปี ใ ห้ ห ลั ง ดั ง นั้ น ล่ ว งรู้
มากกว่าเสวียตงหลายส่วน
เสวียตงพอฟัง เริ่มสนอกสนใจขึ้นมา หลินเชียนกาลังจะอธิบายให้ฟัง
แต่กลับมีศิษย์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามาอย่างกะทันหัน “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเจ้าสานัก
เรียกหาท่าน!”
เสวี ย ตงพลั น ตระหนั ก ในบั ด ดล เรื่ อ งนี้ เ ห็ น ที จ ะไม่ ร วบรั ด ธรรมดา
อย่างที่มันเข้าใจ
หลินเชียนหันไปพยักหน้าให้เสวียตงคราหนึ่ง ก่อนจะติดตามศิษย์ผู้
นั้นไป
รอจนมันก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ กระทั่งชนชั้นหลินเชียนยังรู้สึกแทบ
ลืมหายใจ ภายในห้องโถงใหญ่ เห็นบรรดาผู้อาวุโสเกือบทั้งหมดในส านัก
อยู่กันพร้อมหน้า กระทั่งผู้อาวุโสที่ไม่ได้เผยโฉมมาหลายปี ยังมากันอย่าง
พร้อมเพรียง
ชัว
่ ชีวิตของหลินเชียน นี่เป็นครัง้ แรกที่มันเห็นภาพอันยิง่ ใหญ่นี้
ขณะที่หลินเชียนก้าวผ่านเข้าไป สายตาของเหล่าผู้อาวุโสหันมามอง
มันเป็นตาเดียว หลายท่านยังแย้มยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย หลินเชียน
อ่อนน้อมถ่อมตน มากพรสวรรค์ ทั้งยังเพียบพร้อมจริยวัตรอันสูงส่ง เป็นที่
ชื่นชอบของเหล่าผู้อาวุโส ทุกผู้คนล้วนทราบดีแก่ใจ เจ้าสานักคุนหลุนคน
ต่อไปจะต้องเป็นหลินเชียนผู้นี้อย่างแน่นอน
เหล่ า ผู้ อ าวุ โ สแม้มี ศั กดิ์ ฐ านะยิ่ งใหญ่ แต่ ไ ม่ ว่ า จะเป็ นลู กหลานหรือ
บรรดาศิษย์ข องพวกมัน ล้วนต้องพึ่งพาการดูแลจากหลินเชียน ไม่มีผู้ใด
ยินดีมีข้อขัดแย้งกับหลินเชียน
เจ้าสานักคุนหลุนแม้ดวงตาปิดสนิท แต่คล้ายรับรู้ว่าหลินเชียนมาถึง
แล้ ว คิ้ ว หนาราวกระบี่ เ ลิ ก ขึ้ น ลื ม ตามองหลิ น เชี ย น พลางกล่ า วเนิ บ ช้ า
“ท่านทั้งหลายสมควรทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว ข้าเรียกพวกท่านมาใน
วันนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับท่าทีของคุนหลุนต่อเรื่องที่เกิดขึ้น”
ในคุนหลุน อานาจบารมีของเจ้าสานักเป็นสิ่งที่ไม่อาจต่อต้านแข็งขืน
เบื้องหน้าเจ้าสานักคุนหลุน กระทั่งผู้อาวุโสที่เย่อหยิ่งถือดี ยังไม่ กล้า
หายใจแรง
หลายอึดใจให้หลัง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเริ่มเสนอความเห็น “ในปีนั้นคุน
หลุ น เราก็ เ สื่ อมเสี ย ชื่ อเสี ย งไปไม่ น้ อ ย แต่ ไ ม่ ไ ด้ รั บ สิ่ ง ใดกลั บ มาเลย
กระบวนการค้ น คว้ า พลัง เทพของเราก าลังเป็ นไปได้ ด้ ว ยดี หากใช้ เ วลา
มากกว่ า นี้ พวกเราจะต้ อ งไขปริ ศ นาความลี้ ลั บ ของพลั ง เทพได้ อ ย่ า ง
แน่นอน... ...”
ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งเอ่ยปากค้านทันควัน “พลังเทพของเราแม้ กาลัง
พัฒนา แต่มิใช่สิ่งที่สามารถสาเร็จลุล่วงในวันสองวัน ตอนนี้เราคล้ายคลา
ทางในความมืด และมีตัวอย่างจากัดอยู่เพียงไม่กี่ชน
ิ้ หากสามารถได้รับมา
ใหม่... ...”
วาจาของสองผู้อาวุโสประดุจ ประกายไฟที่โยนลงไปในถังดินระเบิด
ทั่วทั้งห้องโถงเดือดพล่านขึ้นทันที
เจ้าสานักคุนหลุนหลุบตาลง กลายเป็นครึ่งหลับครึ่งลืม ปล่อยให้ทุก
ผู้คนโต้เถียงอย่างดุเดือดราวกับว่ามันจู่ๆ ก็หลับใหลไป
อย่างช้า ๆ เหล่าผู้อาวุโสเริ่มแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ผู้อาวุโสส่วนใหญ่
สนับสนุนให้คุนหลุนแทรกแซงเรื่องของวัดเสวียนคงในครั้งนี้
เมื่อท่าทีชัดแจ้งปรากฏออกมา พวกมันค่อย ๆ สงบปากสงบคาลง ทั่ว
ทั้งห้องโถงใหญ่ตกลงสู่ความเงียบสงัดอีกครัง้
เมื่อฝูงชนเลิกถกเถียงกัน เจ้าส านักคุนหลุนก็คล้ายจะตื่นขึ้น ลืมตา
มองทุกผู้คน พลางกล่าวเสียงเย็นยะเยือก “ในเมื่อล้วนเห็นพ้องต้องกั น
เช่นนั้นก็ลงมือเถอะ เพียงแต่พวกเรามิอาจเลียนเยี่ยงวัดเสวียนคง เราจะ
ส่งไปเพียงผู้อาวุโสด่านฝ่านซูหนึ่งคนและผู้อาวุโสด่านหยวนอิงอีกห้ าคน
ให้นาเหล่าศิษย์ร่วมทางไปมากหน่อยจะดีที่สุด เหล่าคนหนุ่มสาวหากไม่ได้
แสวงหาประสบการณ์เสียบ้าง พวกมันก็ไม่อาจมีความสาเร็จใด”
“ตามแต่ ท่ า นเจ้ า ส านั ก จะบั ญ ชา!” เหล่ า ผู้ อ าวุ โ สน้ อ มรั บ ค าอย่ า ง
พร้อมเพรียง
กลวิธีที่ท่านเจ้าสานักจัดการกับการหารือ รวมถึงการตัดสินใจในครั้ง
นี้ช่วยเปิดหูเปิดตาให้แก่หลินเชียนไม่น้อย ท่านเจ้าสานักสุดท้ายแล้วเพียง
กล่าววาจาสองประโยค แต่ไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านได้
หลินเชียนคล้ายไขว่คว้าได้ความเข้าใจในเรื่องราวบางประการ
หลังจากการประชุมจบสิ้นลง ท่านเจ้าสานักไม่ได้เรียกหาหลินเชียน
เพื่อสนทนาเป็นการส่วนตัว คราครั้งนี้มันคล้ายถูกเรียกมาฟังการประชุม
เพี ย งเล็ ก น้ อ ย แต่ ห ลิ น เชี ย นกลั บ ได้ เ รี ย นรู้ ม ากมาย เจ้ า ส านั ก จะต้ อ ง
สามารถรวมใจผู้คนให้เป็นน้าหนึ่งอันเดียวกัน มิใช่ใช้ศักดิ์ฐานะของตนบีบ
บังคับผู้อ่ น
ื
เมื่อเดินออกจากห้องโถงใหญ่ หลินเชียนเห็นคนผู้หนึ่งเร่งรุ ดเข้าหา
มัน
หลินเชียนชะงักเท้า ผู้มาเป็นหัวหน้าหอฟังเสียงลม จงเป่า คนผู้นี้เมื่อ
มาหามั น เป็ น การด่ ว น แน่ น อนว่ า ต้ อ งมี ข่ า วส าคั ญ หอฟั ง เสี ย งลมเป็ น
หน่วยงานสืบข่าวของคุนหลุน มี ช่ ือเสียงและศักดิ์ฐานะกระเดื่องดัง ไปทั่ว
ภพเซียน ในฐานะหนึ่งในหน่วยสืบข่าวที่เลิศล้าที่สุด จานวนสายสืบของ
พวกมันที่แฝงตัวอยู่ในทั้งสามภพ เหนือล้ากว่าจินตนาการของผู้คนไปมาก
“มีเรื่องใด?” หลินเชียนถามทันที
จงเป่ า ค้ อ มกายคารวะ แล้ ว รายงานอย่ า งนอบน้ อ ม “เป็ น เรื่ อ ง
เกี่ยวกับเหวยเสิ้ง”
“เหวยเสิ้ง!” หลินเชียนดวงตาทอประกายวูบ เงาร่างอันเด็ดเดี่ยวแน่ว
แน่ดุจ กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในใจมัน ประกายตาของมันยิ่งเจิดจ้ า ดุ จ
สายฟ้า!
บทที่ 673 เกล็ดย้อนที่ห้ามแตะต้อง
เผชิญกับกงล้อจาแลงห้าธาตุที่พุ่งวาบเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด เขิง
เหลียนเอ๋อร์ทะยานเข้ารับหน้าเป็นคนแรก
นางสะบั ด มื อ วู บ ซั ด ไข่ มุ ก ดาวทองด้ า ยเงิ น สามเม็ ด ออกไปในรวด
เดียว!
ทันทีที่ไข่มุกดาวทองด้ายเงินขนาดเท่าหัวแม่มือหลุดออกจากมือของ
นาง พลันแปรเปลี่ยนเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่ง กลุ่มโลหิตอันข้นเหนียวบิด
เป็ น เกลี ย วกลางอากาศ กลิ่ น เลื อ ดฉุ น กึ ก ฟุ้ ง ตลบไปทั่ ว บริ เ วณในทั น ใด
ภายในหมอกเลือดแต่ละหลุ่ม เห็นประกายสายฟ้าสีเลือดแลบลั่นไม่ขาด
สาย ทั้งหากเพ่งมองดูให้ดี จะเห็นดอกบัวเพลิงสีทองเล็ก ๆ ลอยละล่องไป
มา
ไต้เทาแค่นเสียงอย่างเย็นชา ดวงตายิ่งทอประกายอามหิตกว่าเดิม
ในสายตาของมัน คิดรับมือไข่มุกโลหิตอัสนีบาตสองสามเม็ด แทบไม่
ต้องเปลืองเรี่ยวแรงอันใด
เวทวิชาสายพุทธเป็นดาวข่มตามธรรมชาติของทักษะปิศาจรู ป แบบ
โลหิ ต อยู่ แ ล้ ว ไต้ เ ทาแม้ มิ ใ ช่ ศิ ษ ย์ วั ด เสวี ย นคงแต่ ก าเนิ ด แต่ มั น เมื่ อ เข้ า
ร่วมกับวัดเสวียนคงเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ เคล็ดวิชาหรือพระคัมภีร์แทบ
ทุกเล่มในวิหารล้ วนเปิ ด กว้ า งส าหรั บมั น มันไหนเลยจะไม่ล่วงรู้ เวทวิ ช า
แนวทางพุทธได้?
ไต้เทาสังวัธยายมนตร์อย่างเคร่งขรึมจริงจัง สองหัต ถ์ผ นึกท่ามุทรา
โคจรพลังเวทวิชาแนวทางพุทธ
เงาร่างของพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งพุ่งออกมาจากกงล้อจาแลงห้าธาตุ
ก่อตัวเป็นรู ปร่างชัดเจน นางสวมชุดขาวบริสุทธิ์ หว่างคิ้วแต้มจุดแดงจุด
หนึ่ง ในมือถือกิ่งหลิว ย่างเท้าเดินบนดอกบัวขาว นางแย้มยิ้มอย่างเมตตา
ยกกิ่งหลิวในมือขึ้นสะบัดเบา ๆ หยดน้าค้างหลายหยดลอยละล่องออกจาก
กิ่งหลิว ตรงเข้ารับหน้ากลุ่มหมอกโลหิตของเขิงเหลียนเอ๋อร์
กลุ่มหมอกโลหิตม้วนตลบอย่างดุเดือด ประหนึ่งสัตว์ร้ายพิโรธสามตัว
ยังคงโถมทะยานไปเบื้องหน้าด้วยพลังที่ไม่อ่อนแรงลงเลย
ไต้เทาตกตะลึงอยู่บ้าง ไฉนไม่ได้ผล?
พระโพธิ สั ต ว์ สี ข าวยกกิ่ ง หลิ ว ในมื อ สะบั ด เป็ น ค ารบสอง หยดน้ า
มากมายกว่าเดิมไหลลู่ลงไปตามกิง่ หลิวอันอ่อนละมุน พุ่งเข้าหากลุ่มหมอก
โลหิตอีกครั้ง
บึมบึมบึม!
กลุ่มหมอกโลหิตกลับไม่สลายไปดังเช่นที่ไต้เทาคาดหวัง ตรงกันข้าม
กลุ่มหมอกโลหิตทั้งสามพลันแตกระเบิดกลางอากาศอย่างพร้อมเพรียง!
ไต้เทาไม่ทันระวัง ถูกกลืนลงไปในม่านหมอกโลหิตทันที
บึมบึมบึม!
กลุ่มประกายสายฟ้าที่ล่องลอยอยู่ภายในคลื่นหมอกดุจฉลามกระสา
กลิ่นเลือด โผพุ่งเข้าหาไต้เทาอย่างกระหายเลือด กลุ่มสายฟ้าแตกระเบิด
ติดต่อตามกันในอากาศ ก่อตัวเป็นร่างแหสายฟ้าปากหนึ่ง ครอบคลุมใส่ไต้
เทาจากทุกทิศทาง ส่วนเหล่าเปลวไฟสีทองที่ไม่มีใดโดดเด่นสะดุดตา หลบ
ซ่อนอาพรางตัวอยู่ภายใต้แสงเจิดจ้าบาดตาของร่างแหสายฟ้า
ภายในกลุ่มหมอกโลหิต สุ้มเสียงกระชัน
้ เร่งร้อนของสายฟ้าฟาดดังรัว
เร็วเหมือนเสียงประทัดวันตรุษ
ไต้เทามีสารรูปทุลักทุเลยิ่ง
แต่ ส ายฟ้ า ระดั บ นี้ ไ หนเลยจะท าอั นตรายมั น ได้ ทว่ า ปริ ม าณประจุ
สายฟ้าอันล้นปรี่ทาให้มันต้องประหลาดใจ ไต้เทารีบตวัดมือ กงล้อจาแลง
ห้าธาตุลอยออกมา ปลดปล่อยลาแสงห่อหุ้มร่างของมันไว้สายฟ้าแม้ โหม
กระหน่าฟาดจนเกราะแสงสะเทือนวูบ แต่ไม่อาจระคายผิวของมันแม้แต่
น้อย
ทว่า...สารรูปของมันน่าอับอายยิ่ง!
ไต้เทาใบหน้าแดงก่า ชนชั้นฝ่านซูอย่างมันถึงกับถูกปิศาจด่านเจียงผู้
หนึ่งบีบคั้นจนต้องตกอยู่ในสภาพน่าอับอายขายหน้าเช่นนี้! มิห นาซ้าอีก
ฝ่ายยังไม่ทันได้ใช้พลังเทพออกมาเสียด้วยซ้า!
ไฟโทสะของไต้เทาชักนาพระโพธิสัตว์ชุดขาวปัดป่ายประกายสายฟ้า
อย่างเกรี้ยวกราด
แก้แค้น! มันจะต้องแก้แค้นให้สาสม!
มันตัดสินใจเด็ดขาด จะไม่ออมรั้งยั้งมืออีกต่อไป ใช้ท่าสังหารออกมา
ทันที ไม่ปล่อยให้ตัวบัดซบเหล่านี้ได้มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง!
ทว่าไต้เทายามพิโรธโกรธกริ้ว กลับไม่ทันสังเกตเห็นดอกบัวเพลิงดอก
น้อย ๆ ที่ห ลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ร่างแหสายฟ้า จนกระทั่งดอกบัวน้อย ๆ
เหล่านั้นเผาผลาญผ่ านเข้ า ไปในม่ านแสงที่ก่ อตั วขึ้นจากพลังของกงล้ อ
จาแลงห้าธาตุ!
ไต้เทาพอรู้สึกตัว ถึงกับนิง่ ขึงตะลึงงัน
จะเป็นไปได้อย่างไร?
ควรทราบว่ากงล้อจาแลงห้าธาตุเป็นอาวุธเวทระดับแปด! นี่มันเปลว
ไฟผีสางอันใดกัน?
ไต้เทาขบกรามแน่น กงล้อจาแลงห้าธาตุเหนือศีรษะหมุนคว้างอีกครั้ง
เงาร่ า งอั น สง่ า งามของพระโพธิสัต ว์ อีก องค์ ห นึ่ง ปรากฏขึ้น คราวนี้ พ ระ
โพธิสัต ว์นั่งอยู่บนดอกบัวแดง พระโพธิสัต ว์ดอกบัวแดงพอปรากฏกายก็
พลันจี้ดรรชนีไปทางเปลวไฟ เปลวเพลิงสีทองทั้งหมดพุ่งลิ่วเข้าหาดอกบัว
แดงภายใต้องค์พระโพธิสัตว์ ราวกับวิหคหวนคืนรังก็มิปาน
ภายในชัว
่ พริบตา ดอกบัวแดงก็ท่วมไปด้วยเปลวไฟสีทอง
เปลวเพลิงอันร้ายกาจนัก!
ไต้เทาตระหนักในบัดดล เปลวเพลิงสีทองเหล่านี้ยากจะดูดกลืนลงไป
ได้ ซึ่งความจริงพระโพธิสัต ว์ ดอกบั วแดงของมันมี ค วามสามารถในการ
ดูดกลืนเปลวเพลิงทุกชนิด แต่ ครั้งนี้กลับไปสามารถดูดกลืนเปลวไฟสีทอง
อันแปลกประหลาดเหล่านี้ได้
หรือว่านี่จะเป็น... ...เพลิงเทพ?
ความคิ ด นี้ พ อบั ง เกิ ด ขึ้ น ในใจ ไต้ เ ทาม่ า นตาหดแคบลง ไม่ ผิ ด แล้ ว
เปลวไฟสีทองที่ไร้สุ้มเสียงนี้ สมควรเป็นเพลิงเทพไม่ผิดแน่!
ไต้เทารู้สึกราวกับว่ามันเกือบจะคลุ้มคลั่งอยู่รอมร่อ!
มันถึงกับอัญเชิญพระโพธิสัตว์สององค์จากกงล้อจาแลงห้าธาตุ แต่
กระทั่งเพียงแค่ไข่มุกโลหิตอัสนีบาตของฝ่ายตรงข้าม กลับยังไม่มีปัญญา
เอาชนะได้
ศัตรู ตึงมือกว่าที่มันคิดเอาไว้มาก เมื่อเผชิญกับความเพลี่ยงพล้าโดย
ไม่คาดหมาย กลับเป็นเหตุให้ไต้เทาสงบใจลง ดูท่าการที่ศิษย์พี่จี้เจิ้งได้รับ
บาดเจ็บจะไม่ใช่เพียงแค่เหตุบังเอิญเสียแล้ว ศัตรู ท้ังสามนี้ร้ายกาจกว่ าที่
มันประเมินไว้ หากมันไม่ระมัดระวังอาจพลาดท่าเสียทีจริง ๆ แล้ว
มันยื่นมือออกมา
กงล้อจาแลงห้าธาตุหมุนคว้างอย่างแช่มช้า ภายใต้ประกายแสงห้าสี
เปลวเพลิงกับลาแสงสายฟ้าหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน ลาแสงห้าสีโคจร
หมุ น เวี ย น เปลวไฟและสายฟ้า ถู ก แบ่ ง แยกออกทั น ที จากหนึ่ ง เป็นสอง
จากสองเป็นสี่... ...
ยิ่งถูกแบ่งแยกยิ่งเล็กลง เล็กลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งกระจายออกเป็นชิ้น
เล็กชิ้นน้อย แล้วสลายหายไป
พวกจั่วม่อย่อมไม่คาดหวังว่ าเพียงอาศัยไข่มุกดาวทองด้ายเงินสาม
เม็ด จะสามารถปราบพิชิต ชนชั้นฝ่านซูอย่างไต้เทาได้อยู่ แล้ว ขณะที่ไต้
เทายังคงสาละวนรับมือเพลิงเทพสุริยัน อย่างทุลักทุเล การโจมตีระลอกที่
สองของคนทั้งสามก็ติดตามมาถึง!
ผู้ที่ลงมือเป็นคนที่สองเป็นอากุ่ย ดวงตานางสาดประกายสีม่วงเจิดจ้า
นางกระแทกฝ่ามือไปทางไต้เทาแต่ไกล
ฉับพลันนั้น ล าแสงห้าสีจ ากกงล้ อจ าแลงห้ าธาตุ แผ่อ อกปกคลุ ม ไต้
เทาอย่างแน่นหนา
ล าแสงห้ า สี ไ หลเวี ย นอยู่ ต ลอดเวลา ท่ า สั ง หารของอากุ่ ย ซึ่ ง ไม่ เ คย
พลาดเป้ามาก่อน ถึงกับถูกปัดเฉออกไป พุ่งเฉียดผ่านเสาล าแสงห้าธาตุ
ทะลวงหายเข้าไปในพื้นดิ นด้านล่างของไต้เทา ก่อเกิดหลุมใหญ่สิบจั้งโดย
ไร้สุ้มเสียง
ไต้เทาแม้สีหน้าสงบราบคาบ แต่ภายในใจลอบตื่นตะลึงไม่น้อย การ
โจมตีของอากุ่ยแม้ถูกปัดออกไป แต่เขตแดนจาแลงห้าธาตุข องมันถึ ง กับ
ยังคงไหวสะท้านอยู่เบา ๆ
ในยามนี้มันไม่กล้าประมาทเลินเล่อแม้แต่น้อย กงล้อจาแลงห้าธาตุ
ถู ก เร่ ง เร้ า พลั ง ไปถึ ง ขอบเขตสู ง สุ ด ภายในเสาล าแสงทั้ ง ห้ า สี เห็ น พระ
โพธิสัตว์ห้าองค์ที่มีสีสันแตกต่างกันค่อย ๆ ปรากฏกายขึ้นช้า ๆ แต่ละองค์
คล้ายกรีดวาดหัตถ์อยู่ภายในเสาลาแสง
สามสหายพลันรู้สึกว่ามีแรงดึงดูดอันกล้าแข็งมาจากทางกงล้อจาแลง
ห้าธาตุ พลังอันหยุ่นเหนียวสายหนึ่งฉุดกระชากพวกมันอย่างดุเดือด หมาย
ลากพวกมันไปยังลาแสงห้าสีสุดอันตรายเหล่านั้น
อากาศคล้ า ยผนึ ก แข็ ง ตัว คนทั้ ง สามประหนึ่ ง จมอยู่ใ นบึ ง โคลนก็มิ
ปาน
เมื่อชนชั้นฝ่านซูจู่โจมเต็มกาลัง สามสหายพลันรู้สึกกดดันเป็นทวีคูณ
แรงกดดันโหมซัดมาจากทุกทิศทาง ไม่อาจสกัดกั้นได้
คราวก่อนเมื่อครั้งที่พวกมันต่อสู้กับจี้เจิ้ง จี้เจิ้งตกเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่
ตลอดเวลา ถูกคนทั้งสามสะกดตรึงเอาไว้ ทาให้จี้เจิ้งต้องคอยสาละวนต้าน
รับการจู่โจมของพวกมันจนไม่เป็นอันทาอะไร
แต่ไต้เทาเมื่อระงับไฟโทสะลงทันควัน พลันโหมจู่โจมอย่างสุดกาลัง
ทาให้คนทั้งสามได้รับรู้ถึงความแตกต่าง ต้องรับมืออย่างลาบากกินแรง
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวถาโถมมาจากทุกทิศทาง บันดาลให้พวก
มันรู้สึกราวกับว่าไม่มีที่ให้หลบหลีก
พลังอานาจอันเหนือชั้นนัก!
จั่ ว ม่ อ ตั้ ง สติ ไ ด้ ทั น ควั น ทราบดี ว่ า มิ อ าจปล่ อ ยให้ เ ป็ น เช่ น นี้ ต่ อ ไป
กระแสพลังในอากาศรอบกายพวกมันมีแต่เพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ หากยามนี้
พวกมันยังไม่ลงมือ ท้ายที่สุดแล้ว ลาพังกระแสพลังเหล่านี้บิดกระชากเบา
ๆ ก็เพียงพอจะฉีกร่างพวกมันออกเป็นชิน
้ ๆ!
จั่วม่อสูดลมหายใจลึก ล้วงถ้วยวิเศษของเสี่ยวม่อออกมาในบัดดล
มันสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ชั่วพริบตาที่มันเร่งเร้าพลังเพื่อกระตุ้นการ
ทางานของถ้วยวิเศษ พลังเทพในกายมันพลันหลุดออกจากการควบคุ ม
ไหลบ่ า ไปยั ง ถ้ ว ยวิ เ ศษของเสี่ ย วม่ อ อย่ า งบ้ า คลั่ ง จั่ ว ม่ อ คล้ า ยสติ ดั บ วู บ
สมองขาวว่างเปล่าในบัดดล
ติง!
เหรียญเต่าวิเศษบนกระดองเต่าทอแสงเจิดจรัสอย่างฉับพลัน
เหรียญเต่าวิเศษกระโจนออกจากผิวน้า เปลี่ยนเป็นลาแสงสีเงินสาย
หนึ่ ง พวยพุ่ ง เข้ า หาร่ า งของไต้ เ ทาที่ ถู ก ห่อ หุ้ มอยู่ ภ ายในเสาล าแสงห้าสี
อย่างซึ่งหน้า
“กระบวนท่าอันประเสริฐ!” ไต้เทาจู่ ๆ ขนหัวลุกเกรียว มันกระทั่งคิด
ยังไม่คิด เปล่งเสียงตวาดอย่างดุดัน เร่งเร้าพลังปราณในร่างไปถึงขีดสุด
กงล้อจาแลงห้าธาตุเหนือศีรษะของมันพลันหมุนคว้างอย่างเร่ง ร้อน
พื้นที่ในรัศมีสิบลี้เริ่มบิดเบี้ยวอย่างน่าอัศจรรย์!
เหล่ า พระโพธิ สั ต ว์ ภ ายในเสาล าแสงพากั น สวดมนต์ อ ย่ า งพร้ อ ม
เพรียง แต่ล ะคงมีสีห น้าท่ า ที แตกต่ า งกั น บ้างถลึงมองอย่ า งเกรี้ย วโกรธ
บ้างแย้มยิ้มเมตตาปราณี บ้างสงบนิ่งสูงสง่า บ้างเคร่งขรึมสารวม... ...
เห็นอักขระพระสูตรจานวนมหาศาล ผุดขึ้นบนพื้นผิวของเสาลาแสง
แต่ละต้น
เหรียญเต่าวิเศษที่เปลี่ยนเป็นลาแสงสีเงิน คล้ายลูกธนูสีเงินอันเกรี้ยว
กราดดอกหนึ่ง
ธนู เ งิ น คล้ า ยไม่ ไ ด้ รั บ ผลกระทบจากการบิ ด เบี้ ย วของห้ ว งมิ ติ ชั่ ว
พริบตาที่กระทบถูกพื้นผิวของเสาล าแสง ตัวอักษรพระสูตรทั้งหมดพลัน
สาดประกายวาบ ห้าพระโพธิสัตว์ลงมืออย่างพร้อมเพรียง เสียงสวดมนต์
กึกก้องกังวานไปทั่วบริเวณ!
แต่ลาแสงสีเงินนี้คล้ายยิงถูกกระจกแก้วบานหนึ่ง
กิ๊ง!
สุ้มเสียงสดใสบาดหูเมื่อประสานกับเสียงสวดมนต์ของพระโพธิสัต ว์
กลับฟังระคายหูเป็นพิเศษ
เสียงสวดมนต์ชะงักขาดหายไปในบัดดล
แสงสี เ งิ น ที่ ท ะลวงเข้ า ไปในเสาล าแสงดู ค ล้ า ยผ่ า นเข้ า ไปในเมื อ ก
เหนียวหนึบ ความเร็วชะลอช้าลงอย่างมาก
ไต้เทาในที่สุดค่อยเห็นชัด ตา ลาแสงสีเงินสายนี้เป็นเหรียญวิเศษชิ้น
หนึ่ง ภายนอกกลมภายในเป็นรูรูปสี่เหลี่ยม หุ้มด้วยประกายเงิน
ประกายไฟดุจดาราจักรพวยพุ่งออกมาจากเหรียญวิเศษ จากนั้นมอด
ดับลงภายในเสาลาแสงห้าธาตุ
น่าแปลก!
ไต้เทาสีหน้าแปรเปลี่ยน ประกายไฟแม้ถูกทาลาย แต่เสาลาแสงของ
กงล้อจาแลงห้าธาตุเองก็หม่นแสงลงไม่น้อยเช่นกัน ในเวลานี้เอง บ่อน้า
เล็ก ๆ อันใสกระจ่างภายในถ้วยวิเศษบนมือของจั่วม่อ พลันกระเพื่อมเบา
ๆ บังเกิดระลอกเล็ก ๆ ที่คล้ายไม่มีสิ่งใดพิสดาร
แต่ ร ะลอกคลื่ นเหล่ า นี้ ก ลั บ กระเพื่ อมผ่ า นอากาศ เป็ น เหตุ ใ ห้ เ สา
ลาแสงห้าสีสั่นกระเพื่อมตามไปด้วย ราวกับว่าทุกอย่างเป็นบึงน้าแห่งหนึ่ง
เหล่าพระโพธิสัตว์ที่อยู่ภายในเสาลาแสงสั่นไหวโอนเอน เริ่มเผยเค้าลาง
ของความไม่มั่นคง
ไต้เทาใจหายวาบ!
เพี ย งชั่ ว พริ บ ตาเดี ย ว อาศั ย เพี ย งแรงกระเพื่ อมเล็ ก ๆ กลั บ พลิ ก
สถานการณ์ให้กลับตาลปัตร
นี่มันอาวุธเวทผีสางอันใด?
ไต้เทาดวงตาทอแววหวาดเกรงเป็นครั้งแรก
จี้เจิง้ ที่อยู่ด้านหลังสีหน้าแปรเปลี่ยนทันควัน ผิดท่าแล้ว!
หากความหวาดกลัวในใจไต้เทาลุกลามออกไป จะสั่นคลอนจิตพุทธะ
ของมัน และจะเปิดเผยช่องโหว่ในเสาลาแสงห้าธาตุ จี้เจิ้งเองก็นึกไม่ถึงว่า
พลังฝีมือของคนทั้งสามจะรุ ดหน้าก้าวไกลในช่วงเวลาเพียงสิบวัน มันใน
ที่สุดค่อยเข้าใจ ว่าถึงที่สุดแล้วพวกมันก็ยังคงประเมินคนทั้งสามต่าทราม
เกินไปอยู่ดี!
จี้เจิ้งไม่แยแสสนใจอาการบาดเจ็บภายในของตน ใบหน้าเปล่งแสงสี
ทองอาไพ ดรรชนีตวัดวูบ จี้ใส่เหรียญเต่าวิเศษภายในเสาลาแสงอย่างแยบ
คาย
บึม!
เพียงท่วงท่าอันเรียบง่าย กลับบังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวดุจ
สายฟ้าคารน!
ดรรชนีวัชระสาเนียงพุทธ!
ทว่า... ชั่วพริบตาที่ในจิต ใจของไต้เทาบังเกิดจุดอ่อนขึ้น เหรียญเต่า
วิเศษในเสาลาแสงพลันหายวับไปในบัดดล
จากนั้นแขนขวาของไต้เทาพลันระเบิดอย่างรุนแรง
ประกายสายฟ้าเจิดจรัสกลืนกินไต้เทาลงไปอย่างฉับพลัน
แทบจะในเวลาเดีย วกั น พลังอันน่าแตกตื่นสะท้านโลกที่ เฉีย ดผ่ า น
แขนขวาของไต้เ ทา พลั น พุ่ ง เข้า กระแทกใส่ย อดเขาในละแวกใกล้เคียง
ยอดเขาเล็ก ๆ นัน
้ ระเบิดเป็นจุณต่อหน้าต่อตา
จั่วม่อสะดุ้งตื่นจากอาการมึนงง พลังเทพภายในร่างของมันถูก ใช้ ไป
จนเกลี้ ย งฉาด ทั น ใดนั้ น มั น ฉุ ก คิ ด ถึ ง ของชิ้ น หนึ่ ง รี บ ล้ ว งเมล็ ด พั น ธุ์ ด วง
ตะวั น ยั ด ใส่ ป ากทั น ที ชั่ ว พริ บ ตานั้ น พลั ง เทพอั น ร้ อ นแรงและบริ สุ ท ธิ์
เปลี่ยนเป็นกระแสพลังโคจรไปทั่วร่างของมัน
จั่วม่อยินดียงิ่ เมล็ดพันธุ์ดวงตะวันทรงอานุภาพดังที่คาด!
มันกาลังจะใช้พลังของถ้วยวิเศษของเสี่ยวม่อเป็นครั้งที่สอง แต่แล้ว
พลันสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ร้องตวาดสุดเสียง “หนีเร็ว!”
คนทั้งสามรู้ใจกันเป็นอย่างดี เสียงร้องเตือนยังไม่ทันจะสิ้นสุด อากุ่ย
กับเขิงเหลียนเอ๋อร์ก็ถอยห่างออกไปหลายสิบจั้งแล้ว
“ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด!”
ไต้เทาตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง สิ่งที่ติดตามมาเบื้องหลังพวกจั่วม่อ เป็น
แรงสั่นสะเทือนของพลังปราณอันน่าพรั่นพรึงประดุจคลื่นยักษ์โหมซัด!
ก้อนหินใหญ่น้อยนับไม่ถ้วน รวมถึงแม่น้าลอยขึ้นกลางเวหา หลุดพ้น
จากแรงดึงดูดของโลก ละทิ้งพื้นดินไว้เบื้องหลัง
จั่ ว ม่ อ ทุ่ ม เทท่ า ร่ า งเร่ ง ความเร็ ว สุ ด ชี วิ ต แต่ ยั ง ไม่ ว ายเหลี ย วมอง
ย้อนกลับมา เห็นไต้เทาทั่วร่างถูกแผดเผาจนไหม้เกรียม ควันดาลอยฟุ้ง
ขึ้ น มาจากส่ ว นต่ า ง ๆ ของร่ า งกาย มั น ผมเผ้ า หลุ ด ลุ่ ย ยุ่ ง เหยิ ง ไหล่ ข วา
กลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน แต่ในเวลานี้ ดวงตาของมันอัดแน่นไปด้วย
ความคิดฆ่าฟันอันบ้าคลั่ง!
ไต้เทายกมือซ้ายขึ้น พลังปราณอันน่าแตกตื่นสะท้านโลกผนึกรวมรัง้
ในมือซ้ายของมันอย่างไม่หยุดยั้ง!
แรงสั่นสะเทือนอันเกรี้ยวกราดของพลังปราณไม่ต่างจากกาแพงลม
มหึมา พลังอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่ชวนให้ผู้คนสิ้นหวัง ยังคงเพิ่มพูนขึ้น
อย่างต่อเนื่อง
จั่วม่อหนังศีรษะชาซ่าน ยามนี้มันแค้นตัวเองที่ไม่ได้มีข าอีกสองข้ าง
พลังทุกชนิดที่มันมี รวมถึงพลังปราณ ล้วนถูกเร่งเร้าไปถึงขีดสุด ใช้เพื่อ
หลบหนีเอาชีวิตรอด!
อากุ่ยกับเขิงเหลียนเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายเช่นกัน ต่างคนต่างเร่ง
หลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต!
จั่วม่อเกร็งกาลังเร่งความเร็วอย่างสุดชีวิต จนกระทั่งใบหน้าบิดเบี้ยว
เส้นเอ็นโป่งพอง สารรูปน่ากลัวยิ่ง
เกล็ ด ย้ อ น 19ของฝ่ า นซู ไ ม่ บั ง ควรแตะต้ อ ง! ไม่ ส มควรแตะต้ อ งด้ ว ย
ประการทั้งปวง!
19
อ้างอิงจากเรื่องในตานานที่ว่า มังกรจะมีเกล็ดชิ้นหนึง่ ที่ย้อนทวนกับเกล็ดทั้งหมด หากถูกแตะต้องจะพิโรธ
และบ้าคลั่ง
บทที่ 674 ขอสาบานต่อกระบี่
20
เสี่ยวหนีจื่อ คำเรียกแทนตัวเองเป็นเด็กหญิงเล็ก ๆ
ต๋าหลิงฟ่งสั่นศีรษะ “เรื่องนี้เสี่ยวหนีจ่ ื อไม่อ าจทราบได้ พี่เหวยขอ
เพียงติดตามข้ากลับไปยังสานัก ย่อมจะได้ล่วงรู้ในไม่ช้า”
เหวยเสิ้งแม้ไม่กลอกกลิ้งเท่าจั่วม่อ แต่มันมิใช่ตัวโง่งม แม้ก่อนหน้านี้
มันไม่แน่ใจในชะตากรรมของสานักกระบี่สุญตา แต่ภายในช่วงเวลาไม่กี่
อึดใจนี้ มันพลันเข้าใจทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์ การที่คุนหลุนยอมถ่อมาถึงแดน
ปิศาจเพื่อ ‘เชื้อเชิญ’ มันกลับไป มีความเป็นไปเพียงหนึ่งเดียว!
สานักของมันกับคุนหลุนแตกหักกันแล้ว!
นึกถึงสิ่งที่ต๋าหลิงฟ่งเพิ่งจะกล่าวออกมา อาณาจักรคลื่นเรืองรองสิ้น
สูญไปแล้ว หรือว่า... ...
ท่านเจ้าสานัก อาจารย์ลุง อาจารย์อา... ...พวกท่านเป็นไปได้ว่า... ...
เหวยเสิ้งร่างสั่นสะท้าน คลื่นแห่งความโศกเศร้าทุกข์ระทมผุดพลุ่งขึ้น
ในใจ ดวงตาของมันกลายเป็นสีแดงฉานในบัดดล
ส านั ก ของพวกมั น จะรั บ ผิ ด ชอบอย่ า งไรกั บ การล่ ม สลายของ
อาณาจักรคลื่นเรืองรอง? วาจาเหล่านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายปรักปราให้ร้าย
อันฉุนกึก ความเป็นศัตรูของคุนหลุนสาแดงออกมาอย่างชัดแจ้ง! เหวยเสิ้ง
ตระหนั ก รู้ ต๋ า หลิ ง ฟ่ ง ผู้ นี้ ห าได้ ม าเชื้ อเชิ ญ มั น ไม่ แต่ ม าเพื่ อคร่ า กุ ม มั น
กลับไปต่างหาก
เหวยเสิ้ ง ลุ ก ขึ้ น ยื น อย่ า งแช่ ม ช้ า ช้ า ราวกั บ ว่ า ต้ อ งทุ่ ม เทเรี่ ย วแรง
ทั้งหมดสะกดกลั้นบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ ดวงตาสีแดงฉานของมันเพ่งมอง
ต๋าหลิงฟ่ง สุ้มเสียงแหบพร่ากล่าวเน้นทีละคา
“หากผู้อาวุโสในส านั กข้าต้ องประสบเคราะห์ก รรมเพราะพวกเจ้ า
คุนหลุน เช่นนั้นข้าเหวยเสิ้ง ขอสาบานต่อกระบี่... จะทาลายล้างคุนหลุน
ให้สน
ิ้ ซาก!”
ความโศกสลดอย่ า งแรงกล้ า ผสานรวมกั บ ความเคี ย ดแค้ น ชิ ง ชั ง
ประหนึ่งค้อนเหล็กมหึมา หวดฟาดใส่จิตใจของต๋าหลิงฟ่งอย่างดุดัน ทีท่า
ถือดีของศิษย์สตรีจากคุนหลุนหายวับไป นางใบหน้าขาวซีด ก้าวถอยหลัง
ไปตามสัญชาตญาณ
แต่ น างตั้ ง สติ ไ ด้ ทั น ควั น ตวาดด้ ว ยโทสะ “เหวยเสิ้ ง เจ้ า กล้ า หรื อ !
บังอาจล่วงเกินคุนหลุนของข้า! ดูเหมือนว่าเจ้าจะลอบสมคบคิดกับเผ่าอสูร
จริง ๆ!”
สมคบคิดกับอสูรปิศาจ!
ที่แท้นี่คือข้ออ้างที่คุนหลุนใช้... ...
ความโศกเศร้าเสียใจของเหวยเสิ้งถาโถมประเดประดัง
ต๋ า หลิ ง ฟ่ ง ดวงตาทอแววหยามเหยีย ด นางกล่ า วอย่ า งทระนงถือดี
“คุนหลุนของข้าเป็นสานักอันถูกต้องเที่ยงธรรม มิใช่สิ่งที่ชาวยุทธ์ชั้นต่า
อย่างเจ้าจะมาใส่ร้ายป้ายสีได้ เฮอะ! อย่าได้คิดว่าเพียงเพราะเจ้าได้อวด
ฝีมือเล็กน้อยในแดนปิศาจ แล้วจะสามารถท้าทายคุนหลุนของข้าได้ วันนี้
ข้าจะให้เจ้าได้เห็น ว่าไฉนคุนหลุนของข้า... ...”
วาจาของต๋าหลิงฟ่งชะงักขาดห้วงอย่างกะทันหัน
เนื่องเพราะคมกระบี่ของเหวยเสิ้งแนบติดกับลาคอของนาง
นางเพียงเสียเวลากล่าววาจาไม่คา เจตจานงกระบี่สุญตาของเหวย
เสิ้งกลับท่วมท้ นไปทั่ว ห้อง พื้นที่ทุกชุ่นล้วนแล้ ว แต่ต กอยู่ ใต้อ านาจของ
เจตจานงกระบี่สุญตาของเหวยเสิง้
ต๋าหลิงฟ่งตัวแข็งทื่อ ใบหน้าบัดเดี๋ยวขาวซีด บัดเดี๋ยวเขียวคล้า ในใจ
นางหลงเหลือเพียงความคิดเดียว... ...
มันถึงกับลงมือต่อนาง!
มันกล้าลงมือต่อนางจริง ๆ!
มันกล้าเป็นปฏิปักษ์กับคุนหลุน!
กลิ่นอายเย็นยะเยียบและดุร้ายของกระบี่ดา บันดาลให้นางขนหัวลุก
ชี้ชัน ไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว
“ปกติข้ามักไม่ชมชอบต่อสู้กั บสตรี ” สุ้มเสียงแหบลึกของเหวยเสิ้ ง
กังวานไปทั่วห้อง
ต๋าหลิงฟ่งคลายใจลงเล็กน้อย มือขาวผ่องฉกวูบไปยังแถวกระบี่บิน
เล่มเล็กที่เอวอย่างฉับพลัน
“สตรีเยี่ยงเจ้าหากใช้กระบี่ นับเป็นความอัปยศอดสูของกระบี่”
กลิ่นอายเย็นเยียบเสียดกระดูกที่ลาคอของนางหายวับไป ต๋าหลิงฟ่ง
คลายใจลง แต่ก่อนที่นางจะได้กล่าววาจา กลับปรากฏเจตจานงกระบี่ ที่
เรียวบางยิ่งชาแรกเข้าสู่ร่างของนาง เจตจ านงกระบี่นี้พิส ดารล้า ทันทีที่
เข้าไปในร่างของนาง พลันหายวับไปโดยไร้ร่องรอย
ใบหน้ า สะคราญพลั น เปลี่ ย นเป็ น ซี ด ขาวราวคนตาย พลั ง ปราณ
ภายในกายนางคล้ายจู่ ๆ ก็อันตรธานหายไปหมดสิน
้
ศิษย์สตรีจากคุนหลุนสมองขาวว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง
พลังฝึกปรือของนางถูกทาลาย!
“กลับไปบอกหลินเชียน วันหนึ่งข้าจะไปเสาะหามันเอง”
ในความมืดมนอนธกาล ต๋าหลิงฟ่งไม่อาจมองเห็นสีหน้าของเหวยเสิ้ง
ได้ แต่คาพูดของมันแต่ละคาชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ในใจนาง ราวกับสลักลงไป
ด้วยคมกระบี่
ต๋าหลิงฟ่งกระเสือกกระสนจากไปในความมืด
ภายในห้อง หลงเหลือแต่เพียงเหวยเสิ้งผู้บีบด้ามกระบี่ดาแนบแน่น
แน่นเสียจนข้อนิ้วขาวซีด
น้าตาสองสายมิอาจระงับยับยั้งอีกต่อไป ไหลหลั่งลงมาโดยไร้เสียง
บทที่ 675 ปั่ นหัว
จั่วม่อรู้สึกว่าน่าประหลาด
สองโจรเฒ่าหัวโล้นมักมาท้าสู้อยู่เนือ งๆ ... ไม่ใช่ นี่ไม่ถูกต้อง พวกมัน
ทั้งสองเป็นยอดยุทธ์ด่านฝ่านซู เจ้าไม่อาจใช้คา ‘ท้าสู้’ ต่อปลาเล็กปลา
น้อยเช่นจั่วม่อได้
สองโจรเฒ่าหัวโล้นทาตั วประหนึ่งเมือกเหนียว เกาะติดแน่นกับพวก
จั่วม่ออยู่ตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้พวกมันได้พักผ่อน ทุกวันเป็นต้องประมือ
กันสามรอบห้ารอบ ราวกับว่าจั่วม่อติดหนี้ม๋อเป้ยพวกมันก็มิปาน!
จั่วม่อขบคิดไม่ เข้ าใจว่ าสองโจรเฒ่ าหั ว โล้น มีเจตนาใด แต่เมื่อเป็ น
เช่นนี้ก็นับว่าตรงตามความตั้งใจของมันด้วย จุดมุ่งหมายของมันคือล่อสอง
โจรเฒ่าหัวโล้นออกมาให้ไกล เพื่อเปิดโอกาสให้กงซุนชากับเปี๋ ยหาน จั่วม่อ
เดิ ม ที ยั ง เฝ้ า กั ง วลว่ า สองโจรเฒ่ า หัว โล้น นี้จ ะล้ม เลิ กความตั้งใจ จนหวน
กลับไปช่วยเจียงเจ๋อจัดการกับกองทัพของพวกมัน
ในเมื่อพวกเจ้าต้องการต่อสู้ ข้าก็พร้อมจะน้อมสนองให้สมใจ!
แต่ยิ่งประมือกันมากครั้ง เท่า ใด ความรู้สึกประหลาดในใจจั่ ว ม่ อ ยิ่ ง
เพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ รอจนมันสบโอกาส มีเวลาว่างช่วงสั้น ๆ จั่วม่อรีบเข้า
ไปสอบถามความเห็นของผูเยาในทะเลแห่งจิตสานึกทันที
“พวกมันคิดใช้เจ้าเป็นบันไดเพื่อบรรลุความเข้าใจในพลังเทพ” ผูเยา
กลอกกลิ้งถึงเพียงไหน เพียงมองปราดเดียวก็ทราบจิตเจตนาแท้จ ริงของ
สองยอดยุทธ์จากวัดเสวียนคง
จั่วม่อในที่สุดค่อยเข้าใจ ต้องแค่นหัวร่อเย็นเยียบ
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง จะดูแคลนกันเกินไปแล้ว เสี่ยวม่อเกอมิได้ใช้ เป็น
แต่พลังเทพเสียเมื่อไร ในบรรดาพวกมันทั้งสาม มีเพียงอากุ่ยเท่านั้นที่ถูก
จ ากั ด ไว้ กั บ การใช้ พ ลั ง เทพ แต่ จ่ั ว ม่ อ กั บ เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ล้ ว นล่ ว งรู้ วิ ช า
ทักษะปิศาจ หากเป็นในเวลาอื่น พวกมันคงไม่อาจหาญพอที่จะใช้ทั กษะ
ปิ ศ าจเข้ า เผชิ ญ หน้ า กั บ โจรหั ว โล้ น เฒ่ า ด่ า นฝ่ า นซู ท้ั ง สอง ทว่ า ด้ ว ย
สถานการณ์ในตอนนี้ ศัตรูท้งั สองได้รับบาดเจ็บไม่น้อย พลังฝีมือเสื่อมถอย
ลง ช่วยให้พวกมันสามารถรับมือได้อย่างคู่คี่ก้ากึ่ง
สาหรับคนละโมบโลภมากเช่นเสี่ยวม่อเกอ ผู้กระทั่งยามแร้นแค้นยัง
สามารถรีดเค้นเอาผลประโยชน์ออกมาได้ทุกหยาดหยด หากปล่อยให้ผู้คน
มาหลอกใช้ประโยชน์จากมัน โดยที่มันไม่ได้สูบเลือดขู ดเนื้ออีกฝ่ายให้แห้ง
เหือด เสี่ยวม่อเกอก็ไม่ใช่เสี่ยวม่อเกอแล้ว!
สวรรค์เอ๋ย มันจะไปหาชนชั้นฝ่านซูเ ป็นคู่ ประลองฝีมือจากที่ ใ ดถึ ง
สองคน มิหนาซ้ายังไม่เสียค่าใช้จ่ายแม้แต่ม๋อเป้ยเดียว!
หากปล่ อ ยให้ โ อกาสอั น ดี ง ามถึ ง เพี ย งนี้ ห ลุ ด ลอยไป มั น คงต้ อ งถู ก
สวรรค์ลงทัณฑ์เป็นแน่!
ด้ ว ยประการฉะนี้ เ อง จี้ เ จิ้ ง กั บ ไต้ เ ทาค้ น พบอย่ า งรวดเร็ ว เซี่ ย วม่ อ
เกอมาท้าพวกมันสู้บ่อยครัง้ ขึ้นกว่าเดิม
ทั้งสองย่อมสบใจยิ่ง ในบรรดาคนทั้งสาม พลังเทพของเซี่ยวม่อเกอ
ทั้งกล้าแข็งที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุด ต้องการต่อสู้กันหรือ? พวกมันยินดีน้อม
สนองจนถึงที่สุด
แต่ในไม่ช้าพวกมันก็ได้พบว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ทั้งเซี่ยวม่อเกอและเขิงเหลียนเอ๋อร์ล้วนไม่
ยอมใช้พลังเทพ ซึ่งหากมีเพียงเท่านี้ยังพอทาเนา ผู้ที่สามารถบรรลุถึงด่าน
ฝ่านซู ย่อมไม่มีผู้ใดขาดความอดทนอดกลั้น
สองมหาสมณะจากวัดเสวียนคงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว เริม
่
ลากถ่วงการต่อสู้ออกไป
รอจนพวกเจ้าใช้พลังปิศาจจนหมดสิ้น ข้าจึงไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่
ใช้พลังเทพ!
ด้วยเหตุฉะนี้เอง ชะตากรรมอันน่าอนาถของพวกมันจึงได้เริม
่ ต้นขึ้น
หลังจากต่อสู้กันนานกว่าครึ่งชั่วยาม เห็นอุปกรณ์สวรรค์สิบอีกาของเซี่ยว
ม่อเกอเริ่มแสดงอาการอ่อนแรงลง ทั้งสองแม้เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ก็เต็ม
ไปด้วยความปลาบปลื้มประโลมใจ
เจ้าเด็กน้อย! เจ้าจบสิ้นแล้ว! พลังเทพ ใช้ออกมาเสียดี ๆ!
จากนั้นเสี่ยวม่อเกอก็แสยะยิ้มยิงฟัน เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดสอง
แถวแทบครบทุกซี่
ศาสตร์อสูร!
เริ่ ม ตั้ ง แต่ ศ าสตร์ อ สูร น้อ ย หั ต ถ์ พั น ใบน้อ ย ไปจนถึ ง ศาสตร์ บ าบวง
แดนร้างกาลสมัย มันคล้ายระดมยิงดอกไม้ไฟใส่ส องยอดยุทธ์จ นตาลาย
ละลานไปหมด กระทั่งศาสตร์เกาทัณฑ์สวรรค์แดนใต้กับศาสตร์รอยแผลสี
เทาที่เรียนรู้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ มันยังงัดออกมาใช้ด้วย
สองมหาสมณะค่อยนึกขึ้นได้ว่าในรายละเอียดเกี่ยวกับเซี่ยวม่อเกอที่
ทางสานักรวบรวมมา คล้ายจะบอกไว้ว่าเจ้าผู้นี้ล่วงรู้ศาสตร์อสูรอยู่บ้าง
อย่างไรก็ต าม ด้วยฝีมือขนาดนี้ ยังจะเรียกได้ว่าล่วงรู้อยู่บ้างได้ด้วย
หรือ?
ทั้งสองยอดยุทธ์ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ ยามกะทันหันถึงกั บมือ
ไม้ ปั่ นปั่ วนอยู่ บ้ า ง จั่ ว ม่ อ ฉวยโอกาสอั น หาได้ ย ากนี้ ส าแดงพลั ง ออกมา
อย่ า งเหนื อ ขี ด จ ากั ด ของตน มั น โหมจู่ โ จมต่ อ เนื่ องอยู่ ห ลายชั่ ว ยาม
จนกระทั่งใช้ศาสตร์อสูรที่มันล่วงรู้ไปแทบทั้งหมด ก่อนจะหยุดลงในที่สุด
คราวนี้ แ ม้ ว่ า คนทั้ ง สองจะเป็ น ชนชั้ น ฝ่ า นซู ยั ง เริ่ ม รู้ สึ ก แทบจะ
ทนทานไม่ไหวอยู่บ้าง!
ไต้เทาปาดเหงื่อบนหน้าผาก กล่าวปนหอบหายใจว่า “รั้งมันเอาไว้ให้
ได้ พวกเราไม่อาจปล่อยให้มันหนีไปอีก มิเช่นนั้นที่ทามาทั้งหมดล้ วนสูญ
เปล่า!”
จี้เจิ้งหอบหายใจหนัก ๆ มันคิดพยักหน้ารับคา แต่แล้วเซี่ยวม่อเกอ
กลับบุกจู่โจมเข้ามาอย่างเหนือความคาดหมายอีกครั้ง
ทั้ ง สองรี บ ปลุ ก ปลอบสมาธิ จิ ต ใจให้ ต่ ื นตั ว ดวงเต็ ม ไปด้ ว ยความ
มุ่งหวังรอคอย!
พลังเทพ!
เริม
่ เอาจริงกันได้เสียทีกระมัง?
แต่แล้วจั่วม่อกลับซัดมุกหยินประลัยกัล ป์ออกมาเต็มกามือ จากนั้น
เป็นหมัดคลื่นสวรรค์กระจกฟ้ารัวเร็วปานจักรผัน ตามมาด้วยเสียงเวทวิชา
สารพัดชนิดถล่มเข้าหาคนทั้งสองดุจลมคลุ้มฝนคลั่ง
คนทั้งสองตกตะลึงจังงังอย่างสมบูรณ์!
จากนั้นเซี่ยวม่อเกอไม่ทราบดึงกระบี่บินเล่มหนึ่งมาจากที่ใด เริ่มกรีด
วาดเคล็ดวิชากระบี่อย่างสวยสดงดงาม ท่านย่ามันเถอะ มีกระทั่งเจตจานง
กระบี่ด้วย!
จี้เจิง้ กับไต้เทาเหม่อมองอย่างโง่งม ดวงตาของพวกมันงงงวยจนแทบ
จะเลื่อนลอย
เซี่ยวม่อเกอล่วงรู้ศาสตร์อสูร นี่เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ ในใจของ
พวกมันเหล่าซิวเจ่อ อสูรปิศาจเป็นสิ่งเดียวกัน ปิศาจตนหนึ่งสามารถใช้
ศาสตร์อสูร มิใช่เรื่องแปลกประหลาดสักเท่าใด แต่ปิศาจร่าเรียนเวทวิ ชา
เซียนตั้งแต่เมื่อใดกัน? ตั้งแต่เพลงหมัดของเซียนวรยุทธ์ วิชาค่ายกลของ
เซียนยันต์ จนมาถึงเคล็ดกระบี่ข องเซียนกระบี่ และที่น่าเหลือเชื่อยิ่ง ไป
กว่านั้น มันถึงกับบรรลุเจตจานงกระบี่!
เจตจานงกระบี่เที่ยงแท้อันพิสุทธิ์!
เจ้าที่แท้เป็นสายลับจากคุนหลุนใช่หรือไม่?
ในตอนแรกเริ่ม จั่วม่อรู้สึกสะดุดติดขัดอยู่บ้าง นานมากแล้วที่มันไม่ได้
ใช้กระบี่บิน แต่ไม่ช้ามันก็เริ่มฟื้นคืนความคุ้นเคยแต่ห นหลัง ยามนี้เคล็ด
วิชากระบี่ที่ห่างเหินไปนานผุดขึ้นในใจของมันไม่ขาดสาย
อาศัยประสบการณ์และภูมิความรู้ข องจั่วม่ อในปัจ จุบัน แน่นอนว่า
เมื่อมองย้อนไปยังเคล็ดวิชาในอดีตเหล่านี้อีกครั้ง มันมองเห็นสิ่งที่แตกต่าง
ไปจากเดิมมากมาย
พลังของเคล็ดกระบี่เพลิงธาราทะยานขึ้นดุจติดปีกบิน ที่สภาพสูงสุด
สมบู ร ณ์ พ ร้ อ ม จั่ ว ม่ อ หลงลื ม ตนอย่ า งสิ้ น เชิ ง ในตอนแรกเริ่ ม มั น ยั ง คง
เคลื่อนไหวไปตามกระบวนท่ากระบี่ แต่ห ลังจากนั้นก็เริ่มเคลื่อนไปดั่งใจ
ปรารถนา ไม่ถูกผูกติดอยู่ในกรอบของกระบวนท่าอีก
เคล็ดกระบี่เพลิงธารา เดิมเป็นเพียงเคล็ดวิชากระบี่ระดับสาม ไม่ว่า
จะอย่างไร ก็ไม่อาจส่งผลคุกคามต่อชนชั้นฝ่านซูได้ แต่เมื่อจั่วม่อฟาดฟัน
ตามใจปรารถนา ละทิ้งกรอบกระบวนท่าที่เคยมี ก็กลับกลายเป็นเหนือล้า
กว่ า เคล็ ด กระบี่ เ พลิ ง ธาราไปไม่ รู้ ว่ า เท่ า ใด เจตจ านงกระบี่ ข องมั น
แปรเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นยิง่ มายิง่ ลึกล้าขึ้นทุกขณะ
แต่แม้ว่าจั่วม่อจะพั ฒนารุ ดหน้ า แต่พลังฝึกปรือในเคล็ ดวิ ช ากระบี่
ของมันยังคงตื้นเขินเกินไป ไหนเลยจะสามารถรุ ดหน้าก้าวไกลภายในวัน
เดียวได้ อานาจคุกคามที่มีต่อสองยอดยุทธ์ด่านฝ่านซูก็นับว่ามีจากัดยิ่ง
มั น ไม่ อ าจก่ อ เกิ ด อั น ตรายที่ แ ท้ จ ริ ง ต่ อ จี้ เ จิ้ ง กั บ ไต้ เ ทาได้ แต่ ใ น
ขณะเดียวกัน ฝ่ายตรงข้ามทั้งสองก็ไม่สามารถคุกคามจั่วม่อได้เช่นกัน
สองยอดยุทธ์รู้สึกทรมาทรกรรมยิ่ง พวกมันแทบจะเฝ้านับเวลาแต่ละ
อึดใจให้ผ่านไปโดยไว พยายามปลุกปลอบใจตัวเองให้อดทนให้ได้
เมื่อพลังเวทวิชาของจั่วม่ออ่อนโทรมลง พลังปราณของมันเริ่มเผยให้
เห็นสัญญานของการหมดสิ้นอย่างชัดเจน คนทั้งสองแทบหลั่งน้าตาแห่ง
ความปลาบปลื้ม
ไม่จาเป็นต้องกล่าวคาใดแก่กัน คนทั้งสองโถมไปข้างหน้า ตระเตรียม
พัวพันเซี่ยวม่อเกอไว้ที่นี่ รอดูไปเถอะ หากเจ้าไม่ใช้พลังเทพ แล้วยังจะใช้
สิ่งใดได้อีก?
แต่แล้วเซี่ยวม่อเกอแสยะยิ้มกว้าง เผยฟันขาวราวหิมะเป็นคารบสอง
ในเวลาเดียวกัน มันโยนเมล็ดพันธุ์ดวงตะวันเข้าปาก!
พลั ง เทพอั น ท่ ว มท้ น โคจรไปทั่ ว ร่ า งอย่ า งเร่ ง ร้ อ น จากนั้ น พลั ง เทพ
แปรเปลี่ยนเป็นพลังทั้งสามในชั่วพริบตาเดียว!
ก่อนหน้านี้คิดแปรเปลี่ยนพลังเทพเป็นพลังทั้งสาม จั่วม่อต้องใช้เวลา
ช่ วง ห นึ่ ง แ ต่ ห ลั ง จ า ก ที่ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ใ น พ ลั ง เ ท พ ข อ ง มั น ลึ ก ล้ า ขึ้ น
กระบวนการนี้ก็กลายเป็นกระชั้นสั้นแทบจะทันทีทันใด
พลังทั้งสามของมันกลับมาเต็มเปี่ ยมอีกครั้ง!
เสี่ยวม่อเริ่มโหมโจมตีอีกระลอก
ระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่มีที่สิ้นสุด!
หลีเซียนเอ๋อร์อ่านเนื้อความในนกกระเรียนกระดาษที่ส่งมาจากสานัก
อย่างถี่ถ้วน ในใจบังเกิดคลื่นลมปั่ นป่วนอย่างรุนแรง
เรื่ อ งราวในนกกระเรี ย นกระดาษมากหลายเป็ น ที่ น่ า ตื่ นตะลึ ง หลี
เซียนเอ๋อร์เรียกได้ว่ารอบรู้มากประสบการณ์ แต่เนื้อความในนกกระเรียน
กระดาษยังคงทาให้นางตกตะลึงจนพูดไม่ออก ในตอนท้ายของจดหมาย
ท่านปู่ของนางยังกาชับกาชาอย่างเคร่งเครียดจริงจัง นางเป็นเพียงผู้เดียว
ที่อยู่ใกล้กับสถานที่นั้นมากที่สุด จะต้องรับผิดชอบคร่ากุมเซี่ยวม่อเกอกับ
พวกของมัน ไม่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าใดก็ตาม
นางย่อมมีกาลังคนมากพอ เพื่อปกป้องคุ้มครองนางในการเดินทาง
มาเยือนแดนปิศาจครั้งนี้ ท่านปู่เลือกเฟ้นยอดองครักษ์มาเป็นอย่างดี แม้
ไม่ถึงกับมีชนชั้นฝ่านซูมาด้วย แต่ยังมีหยวนอิงไม่น้อย
นางล่วงรู้ความส าคัญของเรื่ องนี้ที่มีต่อเทียนหวน ดังนั้นตกลงใจใน
บัดดล
สุ่ยเยวี่ยกังวลใจอยู่บ้าง
มันแม้เข้าป่าล่าสัตว์ร้ายหาเลี้ยงชีพตั้งแต่ยังเยาว์วัย จิตใจถูกขัดเกลา
มาเป็นอย่างดี แต่ในชั่วขณะนี้ยังอดหัวใจเต้นระทึกไม่ได้
แม้ว่ามันมีพลังฝีมือสูงล้ากว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่นี่ไม่ได้ช่วยให้มันมี
ความมั่นใจใด ๆ เนื่องเพราะสิง่ ที่มันกาลังเผชิญคืออานาจอิทธิพล มองไม่
เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ทรงอานุภาพยิ่ง!
“เจ้าเป็นใคร?” ยามหน้าประตูเพ่งมองมันอย่างหวาดระแวง ยามเฝ้า
ประตูอีกผู้หนึ่งกางมือเล็งตรงมา หากสุ่ยเยวี่ยมีท่าทีผิดสังเกตแม้แต่น้อย
จะถูกรุมสังหารคาที่ในบัดดล
ยามนี้ประสบการณ์อันโชกโชนของสุ่ยเยวี่ยค่อยสาแดงออกมาอย่าง
เต็ ม ที่ หั ว ใจที่ เ ต้ น อย่า งบ้ า คลั่ง สงบลงทัน ควั น สี ห น้ า มั น ทั้ งเยื อกเย็นทั้ง
ปลอดโปร่ง ยื่นมือแสดงสิ่งของชิ้นหนึ่ง “ข้ามาจากถ้าพฤกษาเงิน นี่เป็น
ตราสัญลักษณ์ รบกวนท่านช่วยรายงานขึ้นไป”
ยามเฝ้ า ประตู เ พ่ ง พิ ศ สุ่ ย เยวี่ ย ด้ ว ยสายตากั ง ขา แต่ ไ ม่ ว่ า จะมอง
อย่างไร บนใบหน้าสงบเยือกเย็นและอ่อนละมุนของสุ่ยเยวี่ยก็ไม่มีร่องรอย
โป้ปดมดเท็จให้ตรวจพบแม้แต่น้อย มันยื่นมือรับตราสัญลักษณ์ไปตรวจดู
เมื่อไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติหรือเป็นอันตราย ค่อยพยักหน้าให้สุ่ยเยวี่ย “รอ
อยู่ตรงนี้สักครู่”
กล่าวจบคา ยามเฝ้าประตูผู้นั้นหันไปมองสหายแวบหนึ่ง จากนั้นหมุน
ตัวเข้าไปยังห้องด้านใน
สุ่ยเยวี่ยในใจลอบตึงเครียดแทบตาย มันรู้แน่แก่ใจว่าสิง่ ที่เรียกว่าตรา
สัญลักษณ์ถ้าพฤกษาเงินอะไรนั่น แท้ที่จริงเป็นเพียงของปลอมที่ทาขึ้นมา
จากเศษไม้ด้ายเงินชิ้นหนึ่ง แผนการของต้าเหรินแม้ละเอียดซับซ้อนอย่าง
น่าอัศจรรย์ แต่มีอยู่หลายแห่งที่เหลือเชื่อมากเกินไป
สุ่ ย เยวี่ ย ย่ อ มไม่ มี ข้ อ กั ง ขาในตั ว ต้ า เหริ น พั น ธสั ญ ญาเพรี ย กโลหิ ต
สามารถอธิบายทุกสิง่ ได้มากเกินพอ กระทั่งตัวมันเองยังเป็นส่วนหนึ่งของ
ความเหลือเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังอันไพศาลที่ ไหลเวียนอยู่ใ นกาย
และทะเลแห่ ง ภู มิ ค วามรู้ ที่ ท่ ว มท้ น อยู่ ใ นใจมั น เป็ น สรรพความ รู้ ที่
กว้างขวางและหลากหลาย ครอบคลุมสารพัดสาขาวิชา รวมถึงศาสตร์ลับ
โบราณหลายชนิด อย่างไรก็ต าม ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ล้วนเป็นศาสตร์วิชาใน
การจัดการกับผู้คน
นี่คือขุมสมบัติซึ่งบรรพชนของมันเคยสูญเสียไป
พันธสัญญาเพรียกโลหิต เกี่ยวเนื่องถึงแผนการอันใหญ่โตแผนหนึ่ ง
แผนการนี้ ใ หญ่ โ ตมโหฬารและล้ า ลึ ก เสี ย จนกระทั่ ง ตั ว มั น ผู้ มี พ ลั ง ฝี มือ
รุ ดหน้าก้าวไกลทั้งยังสืบทอดภูมิความรู้มหาศาล ยังต้องใช้เวลาทาความ
เข้าใจอยู่นานมาก
เมื่อมันอ่านแผนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ต้องยอมศิโรราบอย่าง
สมบูรณ์ต่อแผนการที่ท้งั แหกคอกและขวัญกล้าบังอาจเทียมฟ้านี้
ทักษะวิชาสาหรับการวางแผนจานวนมากหลั่งไหลเข้ามาในใจมัน แต่
เมื่อเทียบกับแผนการที่วางอยู่ตรงหน้ามัน มหากาพย์แห่งการสมคบคิดอัน
น่าพรัน
่ พรึงฉบับนี้ อื่นใดล้วนไม่ควรค่าต่อการเอ่ยถึง
ปรมาจารย์แห่งการวางแผน!
นี่ เ ป็ น แผนการที่ รั ง สรรค์ ขึ้ น จากน้ า มื อ ของปรมาจารย์ แ ห่ ง การ
วางแผนชัด ๆ!
แผนการใหญ่นี้ เผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ข องต้า
เหริ น อย่ า งชั ด แจ้ ง จู่ ๆ มั น ก็ ฉุ ก คิ ด ถึ ง ถ้ อ ยค าที่ ปู่ ข องมั น เคยพร่ า บอก
‘ความรุ่ ง โรจน์ ใ นอดี ต ของตระกู ล ’ บางที ค วามปรารถนาของปู่ อ าจจะ
ได้รับการเติมเต็มก็เป็นได้
ความคิดนี้วาบผ่านในใจของสุ่ยเยวี่ย
ด้วยความเยือกเย็นแต่กาเนิด สุ่ยเยวี่ยเริ่มขบคิดใคร่ครวญแผนการ
อย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่าเดิม ยิ่งศึกษามากเท่าใด ยิ่งรู้สึกว่าจอมวางแผนผู้
ยิ่ ง ใหญ่ ใ นเงามื ด นั้ น ไม่ อ าจหยั่ ง ค านวณได้ มั น ยั ง พบว่ า หลายส่ ว นของ
แผนการเกี่ ย วเนื่ อ งถึ ง ภู มิ ค วามรู้ ที่ มั น ได้ รั บ สื บ ทอดมา ปรมาจารย์ จ อม
วางแผนผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าคิดคานวณถึงทุกแง่มุมเอาไว้แต่แรก
มั น เฝ้ า ใคร่ ค รวญรายละเอี ยดทุ ก อย่า งในแผนซ้า แล้ ว ซ้า เล่า ทั้ ง ยั ง
คาดคานวณเหตุบังเอิญและความเป็นไปได้ท้ังมวลซึ่งอาจเกิดขึ้น ทบทวน
กลวิธีรับมือที่มันสมควรใช้ในแต่ละปัญหาเหล่านั้น
สุ่ยเยวี่ยหลับตารอคอยเงียบ ๆ พยายามลบความตึงเครียดกังวลในใจ
มันพร่าบอกกับตัวเองว่าต่อให้เกิดปัญหาขึ้นจริง อาศัยพลังฝีมือของมันใน
ยามนี้ สามารถเข่นฆ่าเปิดทางออกไปได้อย่างไม่ยากเย็น
รอจนมันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของมันกลายเป็นสงบนิ่งเยือกเย็น
อย่างสมบูรณ์
ชั่ ว ครู่ ต่ อ มา ยามเฝ้ า ประตู เ ร่ ง รุ ด กลับ มาด้ ว ยสีห น้ า เคารพนบนอบ
กว่าเดิม “โปรดตามข้ามา ต้าเหรินรอท่านอยู่ที่หอหลัก!”
หอหลัก หมายถึงการต้อนรับอย่างทรงเกียรติที่สุด
สุ่ยเยวี่ยพยักหน้ารับรู้อย่างสุภาพอ่อนโยน ติดตามยามเฝ้าประตูผู้นั้น
ไปยังหอหลัก
ดูท่าปิศาจด่านเจียงผู้นี้จะมีส่ วนเกี่ยวโยงกับถ้าพฤกษาเงินจริง ๆ มิ
เช่นนัน
้ จะไม่ร้อนรนถึงเพียงนี้ ถ้าพฤกษาเงินเป็นดินแดนแห่งมรดกโบราณ
แห่งหนึ่ง แต่เมื่อผ่านไปนานเข้า น้อยคนนักที่จะล่วงรู้เรื่องนี้
สุ่ยเยวี่ยเคยทาการสืบเสาะเกี่ยวกับแม่ทัพปิศาจด่านเจียงผู้นี้อย่างลับ
ๆ ทว่ า ข้ อ มู ล ข่ า วสารที่ มั น รวบรวมมาได้ ไ ม่ ก ระจ่ า งชั ด แต่ ใ นแผนการ
ของต้าเหริน กลับบรรยายเคล็ดทักษะปิ ศาจที่ แม่ ทัพปิศ าจด่ านเจี ย งผู้ นี้
ฝึกปรือเอาไว้อย่างละเอียด กระทั่งกิจวัตรประจาวันของมันยังถูกแจกแจง
อย่างละเอียดยิบ
สุ่ ย เยวี่ ย ยิ่ ง มายิ่ ง รู้ สึ ก ว่ า ต้ า เหริ น ผู้ อ ยู่ เ บื้ อ งหลั ง มั น ทรงพลั ง อ านาจ
อย่างล้นเหลือ หากมิใช่มีอานาจอิทธิพลมากมายถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะ
กระทาเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ท้งั หมดนี้ได้?
... ...
“สืบเสาะเรื่องของคนผู้นี้ด้วย” เว่ยผู้กาลังทางานอย่างคร่าเคร่ง โยน
นามหนึ่งให้แก่ผูเยา
ผูเยากลับไม่อิดออดหรือต่อปากต่อคาเหมือนเช่นปกติ เพียงเหลือบ
มองนามนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวหายวับเข้าสู่คุกสิบนิ้ว
ทันทีที่เข้าสู่คุกสิบนิ้ว ผูเยาผู้มีทีท่าคุ้นเคยดุจ สวนหลัง บ้ านของตน
เพียงกระโดดขึ้นลงไม่กี่ครั้งก็บรรลุถึงคุกชั้นที่สิบ หัวใจหลักของคุกสิบนิ้ว
อันเป็นระดับชั้นสูงสุด แดนห้วงห้ามของเหล่าสภาผู้อาวุโส!
นี่เป็นพื้นที่หวงห้ามสาหรับผู้อาวุโสแห่งสภาผู้อาวุโสภพอสูร บรรดาผู้
อาวุ โ สเหล่า นี้ กระจายตัว อยู่ต ามอาณาจั กรส าคั ญ ของภพอสูร ดั ง นั้ น ใช้
สถานที่ แ ห่ ง นี้ เ ป็น ที่ ป ระจ าส าหรั บ การพบปะหารื อ สะสางปั ญ หาต่ า ง ๆ
คาสั่งการที่จะกาหนดชะตากรรมของทั่วทั้งแดนอสูร มักจะตัดสินกันในที่
แห่งนี้เอง จากนั้นค่อยส่งออกไปตามอาณาจักรอสูรหลักต่าง ๆ
ผูเยาคล้ายมองไม่เห็นอาคมหวงห้ามมากมายมหาศาล เพียงล่องลอย
ผ่านพวกมันไปราวกับควันบางเบาสายหนึ่ง
มันเข้าสู่พ้ น
ื ที่หวงห้ามสีดาอย่างรวดเร็ว
พื้นที่หวงห้ามสีดาห้อมล้อมไปด้วยอาคมหวงห้ามอันน่าสะพรึงกลัว
นี่เป็นที่ต้ังของหน่วยสืบข่าวที่ลี้ลับที่สุดของภพอสูร หอเงาทมิฬ ซึ่ง
อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของสภาผู้อาวุโสโดยตรง ที่แห่งนี้รวบรวมไว้ ด้ ว ย
รายงานข่าวสารจานวนมหาศาลอย่างน่าตระหนก ในแต่ละวัน สมาชิกของ
หอเงาทมิฬที่กระจัดกระจายอยู่ท่ัวทั้งสามภพจะส่งข่าวสารที่พวกมันคิด
ว่ า ส าคั ญ มายั ง ที่ แ ห่ ง นี้ ข่ า วสารเหล่ า นั้ น จะถูก คั ด แยกจัด หมวดหมู่ เก็ บ
รักษาไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ผู เ ยาท่ อ งทะยานผ่ า นเส้ น ทางหวงห้ า ม ราวกั บ เดิ น ทอดน่ อ งชม
ทิวทัศน์ในสวนหลังบ้านของตน
ในไม่ ช้ า มั น ลอบเร้ น เข้า ไปในส่ว นเก็ บ ข้อมู ล หลั ง จากกวาดตามอง
ไม่กี่หน ก็ค้นพบรายงานข่าวสารที่มันต้องการอย่างรวดเร็ว
หอเงาทมิฬมีหูตาอยู่ทุกแห่งหน ข่าวสารที่รวบรวมไว้ในที่แห่งนี้ไม่ได้
มีเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเผ่าอสูรเท่านั้น แต่ยังมีรายงานเกี่ยวกับเผ่าปิศาจ
และซิวเจ่ออีกมากมายไม่น้ อยหน้ า กัน บุคคลที่มีช่ ือเลื่องลือจากทั้ ง สาม
เผ่าพันธุ์ ล้วนถูกเก็บรวบรวมข้อมูลเอาไว้ที่นี่
โดยแทบไม่ ต้ อ งออกแรงใด ๆ ผู เ ยาเสาะพบข่ า วสารที่ มั น ต้ อ งการ
แล้วหายวับไปทันที
หวนกลับไปยังทะเลแห่งจิต ส านึก มันมอบข่าวสารที่ห ามาได้ ใ ห้ แ ก่
เว่ย
จากนั้นทั้งสองกึ่งหารือกึ่งถกเถียงกันอย่างดุเดือด
“นี่ใช่สุ่มเสียงอันตรายเกินไปหรือไม่... ...”
“แต่หากเราวางเดิมพันถูกข้าง ผลกาไรที่ได้รับอาจเหนือคาดหมาย...
ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับจอมวางแผนของสุ่ยเยวี่ยนั้น โดยทั่วไปนับว่า
ถูกต้องไม่น้อย แต่สิ่งเดียวที่มันคาดเดาผิดพลาด นั่นคือแผนการอันขวัญ
กล้าบังอาจเทียมฟ้าชุดนี้ไ ม่ไ ด้เกิ ดจากมันสมองของคนคนเดีย ว แต่เป็น
ปรมาจารย์จอมวางแผนถึงสองคนผนึกกาลังกัน!
... ...
เฟ่ยเหลยเดินทางข้ามขุนเขาแม่น้า ใบหน้ากร้านกราอิดโรยเล็กน้อย
ด้านหลังมันติดตามมาด้วยบุรุษสตรีอายุเยาว์มากกว่าหนึ่งร้อยคน สวมใส่
เสื้อผ้าแตกต่างหลายหลาย
เมื่ อ เที ย บกั บ อี ก สองคนแล้ ว ภารกิ จ ของมั น เรี ย บง่ า ยกว่ า มาก มั น
ได้รับรายชื่อตระกูลบางส่วน รวมถึงภูมิลาเนาที่พวกมันอาศัยอยู่โดยคร่าว
ๆ
ภารกิจที่เจ้าของพันธสัญญาเพรียกโลหิตมอบให้แก่มันนั้นรวบรัดยิง่
มันจะต้องเสาะหาตระกูลในรายชื่อเหล่านี้ เกลี้ยกล่อมพวกมันเข้าร่วมและ
เพาะสร้างกองพันขึ้นมา เป็น กองทัพที่จะได้รับการขนานนามว่า แตรศึก
แห่งราชัน!
นามของกองพันนี้บันดาลให้เฟ่ยเหลยหัวใจเต้นระทึก ต้าเหรินผู้เรียก
หาพันธสัญญาเพรียกโลหิต ใช่เป็นจอมราชันผู้หนึ่งหรือไม่?
แตรศึกแห่งราชัน!
เฟ่ยเหลยแม้ไม่ฉลาดปราดเปรียวเท่าสุ่ยเยวี่ย แต่เป็นบุคคลอันหนัก
แน่นมั่นคงแต่กาเนิด มรดกที่มันได้รับ ครอบคลุมถึงทักษะปิศ าจและภู มิ
ความรู้ข องแม่ทัพบัญชาการศึก ที่ผ่านมามันเองก็เคยมีประสบการณ์ใน
การฝึกอบรมกองทัพมาแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่ผูเยามอบภารกิจนี้ให้แก่มัน
เฟ่ยเหลยเสาะหาโดยอ้างอิงไปตามรายชื่อที่รับได้ ยิ่งมายิ่งอัศจรรย์
ใจขึ้นทุกขณะ
มั น ไม่ ท ราบว่ า ต้ า เหริ น ที่ ห ลั ง ฉากของมั น ค้ น พบตระกู ล เหล่ า นี้ ไ ด้
อย่างไร ตระกูล ในรายชื่อล้วนมีสภาพความเป็นอยู่ลาบากยากแค้น บาง
ตระกูลหลงเหลือผู้คนไม่ถึงยี่สิบสามสิบคนเท่านัน
้ รอจนเข้าพบปะสนทนา
กับพวกมัน เฟ่ยเหลยยิ่งมายิ่งไม่อาจระงับความประหลาดใจได้ ตระกูล
เหล่ า นี้ ล้ ว นแล้ ว แต่ สื บ ทอดประวั ติ ศ าสตร์ อั น ยาวนาน ซึ่ ง ครั้ ง หนึ่ ง เคย
รุ่งโรจน์เกริกไกรในยุคสมัยนั้น
เฟ่ยเหลยทราบดีว่าเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร
สายเลือดปิศาจสูงศักดิ!์
ตระกูล เหล่านี้แม้เสื่ อมทรุ ดลงเนื่องจากการสูญเสียมรดกเคล็ดวิ ช า
ทั ก ษะประจ าตระกู ล แต่ ส ายเลื อ ดที่ ไ หลเวี ย นอยู่ ใ นกายพวกมั น ไม่ เ คย
แปรเปลี่ยน หากพวกมันสามารถเสาะพบมรดกเคล็ดวิชาประจาตระกูล
พวกมันอาจสามารถหวนกลับมาผงาดขึ้นในใต้หล้าอีกครัง้
นึกถึงเรื่องนี้ เฟ่ยเหลยหัวใจโลดขึ้นเป็นรอบที่เ ท่าใดไม่ทราบ เนื่อง
เพราะภูมิความรู้ที่ได้รับมาจากการสืบทอดพันธสัญญาเพรียกโลหิต มรดก
เคล็ดวิชาทักษะปิศาจที่หายสาบสูญนับไม่ถ้วนล้วนอัดแน่นอยู่ภายในจิตใจ
ของมันนี้เอง!
แตรศึกแห่งราชัน!
เฟ่ยเหลยหันกลับไปมองเหล่าบุรุษสตรีเยาว์วัยซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าผิด
แผกแตกต่าง บางคนถึงกับมีสารรูปคล้ายยาจกเข็ญใจ มันจู่ ๆ บังเกิดความ
คาดหวังอย่างเปี่ ยมล้น
ภายใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์ สารรู ปสกปรกมอมแมมเหล่านั้น การตื่นขึ้น
ของสายเลือดปิศาจสูงศักดิ์กาลังจะมาถึงในไม่ช้า... ...
แตรศึกแห่งราชันจะพัดกวาดเศษฝุ่นของกาลเวลาให้สลายไป ความ
รุ่งโรจน์แห่งสายเลือดสูงศักดิ์เมื่อครั้งอดีต จักหวนคืนมาอีกครา!
“ว่ า กระไร? เจ้ า ใช่ เ สี ย สติ ไ ปแล้ ว หรื อ ไม่ ! ” ใบหน้ า พยศดื้ อดึ ง ของ
โหยวฉินเลี่ยเต็มไปด้วยความเดือดดาล มันชี้หน้าผูเยาพลางสบถด่ารัวเร็ว
“เหยียเพิ่งจะหลบหนีออกมาจากคุก ยามนี้เจ้าบอกให้เหยียกลับเข้าคุก?
เหยียขอบอกต่อเจ้าไว้ตรงนี้ เหยียจะไม่มีวันกลับไปอีก!”
ยั ง ไม่ ทั น จะกล่ า วจบประโยค โหยวฉิ น เลี่ ย พลั น ตั ว แข็ ง ทื่ อ ไม่ อ าจ
กระดิกได้แม้แต่ปลายนิ้ว
โหยวฉินเลี่ยเกร็งคอเชิดหน้าขึ้น ยังคงก่นด่าดังลั่น “หากเจ้ามีฝีมือก็
ฆ่ า เหยี ย เสี ย เถอะ! อย่ า ได้ ฝั น หวานว่ า เหยี ย จะยอมหวนกลั บ ไ ปเข้ า คุ ก
บัดซบนั่นอีก!”
“ฆ่าเจ้า?” นัยน์ตาสีโลหิตของผูเยาเปล่งประกายน่าขนลุก ริมฝีปาก
บางเฉียบเหมือนคมมีดหยักยิ้ม เล็กน้ อย “ข้าไหนเลยจะให้ความสะดวก
ดายแก่เจ้าถึงเพียงนั้น? เจ้าทราบหรือไม่ ข้ามีวิธีการมากมายที่สามารถทา
ให้เจ้ามีสภาพจะเป็นก็ไม่เป็น จะตายก็ไม่อาจตายได้”
โหยวฉินเลี่ยหุบปากทันที
มันย่อมล่วงรู้ดี
มันรับสืบทอดศาสตร์อสูรอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง เกี่ยวกับการปกปิด
ซ่อนเร้นและการลอบสังหารทุกชนิด ท่ามกลางศาสตร์อสูรเหล่านี้มีเคล็ด
ลับการลงทัณฑ์ทรมานมากมายที่ส ามารถทาให้ผู้คนวิงวอนร้องขอความ
ตาย กระทั่งมันเองในยามนี้ยังสามารถกระทาได้เช่นกัน
ผูเยามองเหยียดมันอย่างเย็นชา “อันที่จริงด้วยนิสัยใจคอของเจ้า ไม่
เหมาะสมต่อการเคลื่อนไหวในเงามืด แต่น่าเสียดายที่ในฝ่ายอสูรหลงเหลือ
แต่เจ้าเพียงผู้เดียว ดังนั้นจึงต้องปล่อยให้เจ้าได้กาไรไป เรื่องนี้ข้าจะไม่ถือ
สา แต่หากเจ้าทาให้แผนการของข้าพังพินาศ ข้าจะริบสิ่งที่มอบให้แก่เจ้า
กลับคืนมาทั้งหมด พร้อมด้วยดอกเบี้ยอย่างสาสม”
ถ้ อ ยค าอั น เย็ น เยี ย บของผู เ ยาบั น ดาลให้ โ หยวฉิ น เลี่ ย ถึ ง กั บ ตั ว สั่ น
ระริก มันทราบดีว่าดอกเบี้ยคือสิ่งใด ...ชีวิตของมันเอง
เมื่ อได้ รั บ สื บ ทอดมรดกเคล็ ด วิ ช า มั น ย่ อ มทราบดี ว่ า เหล่ า ผู้ ค นที่
เคลื่อนไหวอยู่ในมืดโหดเหี้ยมอามหิตถึงเพียงไหน
“กลับไปยังคุกอันบัดซบนั่นจะมีประโยชน์อันใด?” โหยวฉินเลี่ยถาม
เสียงแหบแห้ง มันในที่สุดก็ยอมถอย
“จุ๊จุ๊ เจ้าต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียก่อน” ดวงตาสีเลือดของผูเยาลึกล้าดุจ
ไร้ก้นบึ้ง กล่าวด้วยน้าเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย “สาหรับจอมบงการในโลกมืด
คุ ก เป็ น สถานที่ ซึ่ ง ยอดอั จ ฉริ ย ะในสารพั ด สาขามารวมตั ว กั น ทั้ ง ขุ น โจร
จอมวางแผน คนดุร้าย จอมหลอกลวง จอมคดโกง แต่ ละคนล้วนแล้วแต่มี
พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่!”
“ตัวบัดซบเหล่านัน
้ ล้วนเป็นคนชัว
่ ร้าย!” โหยวฉินเลี่ยอดโต้แย้งไม่ได้
“แล้วเจ้าเป็นคนดีเช่นนั้นรึ? คนดีเยี่ยงเจ้าไฉนอยู่ในคุกด้วยเล่า? พวก
มันจะเป็นคนดีหรือคนชั่วหาได้สลักสาคัญไม่ สิ่งที่สาคัญก็คือ พวกมันล้วน
แล้วแต่เป็นศัต รู ของสภาผู้อาวุโส” ผูเยาสุ้มเสียงเย็นยะเยือก ”เจ้ามิสู้ทา
ความคุ้นเคยกับกฏเกณฑ์แห่งความมืดโดยเร็วที่สุด สิ่งที่ข้าต้องการคือจอม
บงการในโลกมืดผู้หนึ่ง หากเจ้าไม่มีปัญญากระทาได้ ข้าจะเปลี่ยนให้ผู้อ่ น
ื
กระทาแทน แล้วอย่าได้มาสานึกเสียใจในภายหลัง ข้าผู้นี้ไม่มี ความอดทน
นัก”
“เจ้าอยากให้ข้าเกลี้ยกล่อมพวกมันเข้าร่วม?” โหยวฉินเลี่ยไม่ใช่ตัวโง่
งม เพียงเท่านี้ก็เข้าใจเรื่องราว
“เกลี้ยกล่อมเข้าร่วม? ฮ่าฮ่า!” ผูเยาคล้ายได้ฟังเรื่องชวนขบขันที่สุด
ถึงกับหัวร่อออกมาดังลั่น
“มีอันใดน่าหัวร่อ?” โหยวฉินเลี่ยทั้งเดือดดาลทั้งอับอายขายหน้า
“คนเหล่านั้นเจ้าไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเข้าร่วมได้” ผูเยาหรี่นัยน์ตาสี
เลือด เพ่งมองโหยวฉินเลี่ยอยู่ชั่วครู่ จากนั้นกล่าวแฝงความนัย “นี่ถือเป็น
บททดสอบสาหรับเจ้าเถอะ ขอให้โชคดี!””
ยังไม่ทันจะขาดเสียง โหยวฉินเลี่ยรู้สึ กเบื้องหน้าสายตามืดทะมึน มัน
ถูกบังคับออกจากคุกสิบนิ้ว
มันเพิ่งคิดอยากร้องด่าดัง ๆ สักคา แต่แล้วประตูกลับถูกกระแทกเปิด
ออกอย่างกะทันหัน คนกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว จับมันกดลงกับพื้น
“อย่าขยับ! เจ้าถูกจับแล้ว!”
ในทะเลแห่งจิตสานึกของจั่วม่อ ผูเยาสีหน้าขุ่นเคืองใจ บ่นพึมพากับ
ตัวเอง “ต่อหน้าข้ายังกล้าเรียกตัวเองเป็นเหยีย (นายท่าน) เจ้าใช่ราคาญ
ชีวิตแล้วหรือไม่!”
มันอดไม่ได้ ต้องหวนคิดถึงอีกคนที่กระทาเช่นเดียวกันนี้อยู่บ่อยครั้ง
แต่ มั น พานไม่ มี ปั ญ ญาท าอะไรเจ้ า ผู้นั้ นได้ ความขุ่ น เคื อ งของมัน ทวีขึ้น
ทันที ตกลงใจเพิ่มหน้าที่ในภารกิจของโหยวฉินเลี่ยให้หนักหนากว่าเดิม
บทที่ 678 บัวกลับชาติทลายปรภพ
ทั้งจี้เจิ้งและไต้เทาล้วนไม่ได้คาดฝัน ว่าจั่วม่อจะลอบมอบถ้วยวิเศษ
ของเสี่ยวม่อให้แก่เขิงเหลียนเอ๋อร์ต้ังแต่แรก แม้ว่ายามอยู่ในมือของเขิง
เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ถ้ ว ยวิ เ ศษของเสี่ ย วม่ อ ไม่ ไ ด้ ท รงพลานุ ภ าพน่ า อั ศ จรรย์ ใ จ
เหมือนยามที่จ่ัวม่อเป็นผู้ใช้งาน แต่ยังคงเพียงพอที่จะคร่าชีวิตของจี้เจิ้งผู้
ไม่ทันระวังในหนึ่งกระบวนท่า
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป หลังจากศึกครั้งนี้ ถ้วยวิเศษของเสี่ยว
ม่อสมควรทะยานขึ้นเป็นหนึ่งในสุ ดยอดอาวุธ วิเ ศษที่ ร้ายกาจที่ สุด ในใต้
หล้า
ความตื่นตระหนกต่อการตายของมหาสมณะจี้เจิง้ ที่มีต่อวัดเสวียนคง
ยากจะหาสิ่งใดเทียบเทียมได้
เมื่อได้รับแจ้งข่าว เหล่าผู้อาวุโสจากวัดเสวียนคงยังอยู่ในระหว่างการ
เดินทางมาสมทบ พวกมันแทบสิ้นเรี่ยวแรงที่จะกล่าววาจา แทบไม่มีผู้ใด
ยินยอมเชื่อว่านี่เป็นความจริง
ยอดคนด่านฝ่านซู...ก็สามารถตายได้?
ผู้ อ าวุ โ สหลายคนเมื่อ ได้ ยิน เรื่ องราวถึง กับ มี สีห น้ า ว่ า งเปล่า อยู่ครึ่ง
ค่อนวัน ในใจของพวกมัน ผู้อาวุโสจี้เจิ้งมีฐานะประดุจเทพเจ้าองค์หนึ่ง! ผู้
อาวุโสมากมายยิ่งกว่าเริ่มหวาดวิต กและลังเลใจ ฝ่ายศัต รู แม้มีเพียงสาม
คน แต่ภารกิจครั้งนี้กลับกลายเป็นสุ่มเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าภารกิจ ใด ๆ ที่
เคยผ่านมา!
แน่นอนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีสังหารนี้มากที่สุด ก็คือไต้
เทา มันสูญเสียกาลังขวัญทั้งหมดไปในทันที รีบหมุนตัวหลบหนีไปอย่างลน
ลาน ซึ่งความจริงนี่เป็นเพี ยงการตอบสนองตามสัญ ชาตญาณ แต่ก็เป็ น
เครื่องยืนยันว่ายอดคนแห่งวั ดเสวียนคงผู้นี้บัง เกิ ดความหวาดหวั่ น ขวั ญ
ผวาถึงเพียงไหน
การตายของมหาสมณะจี้เ จิ้ง เกิ นความคาดหมายของวั ด เสวียนคง
เป็นเหตุให้บรรดาผู้อาวุโสวั ดเสวียนคงซึ่งอยู่ ระหว่ างทางไม่ ทราบจะท า
อย่างไรดี
นี่เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่ชนชั้นฝ่านซูถึงแก่ชีวิต
บังเอิญว่าในแดนปิศาจ การเสียชีวิตของจอมปิศาจด่านไสว้ครั้งแรก
ในรอบยี่สิบปี พอดีจ บสิ้น ลงในเงื้อมมือของเซี่ยวม่อเกอเช่นกัน ต่อมายัง
เป็นชนชั้นฝ่านซูที่ในช่ วงยี่สิ บปีม านี้ เพิ่งออกสู่ โลกเป็นครั้ง แรก กลับตก
ตายภายใต้เงื้อมมือของเซี่ยวม่อเกอ และยอดคนด่านฝ่านซูผู้นี้ ยังเป็นถึงผู้
อาวุโสใหญ่แห่งวัดเสวียนคง ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่มหาสานักแห่งภพซิวเจ่ ออีก
ด้วย
ข่ า วการตายของมหาสมณะจี้ เ จิ้ ง แพร่ ส ะพั ด ผ่ า นช่ อ งทางก าร
ติดต่อสื่อสารทุกประเภท ส่งไปยังสานักต่าง ๆ อย่างรวดเร็วดุจไฟลามทุ่ง
ก่อเกิดระลอกขนาดมหึมายิ่งกว่าครั้งใด ๆ
หลายสานักที่เดิมทีปรารถนากระโจนเข้าร่วมวงด้วย รีบเปลี่ยนแปลง
กลยุ ท ธ์ ทั น ควั น พากั น เรี ย กเหล่า ยอดยุท ธ์ที่ พ วกมัน ส่ง ไปยั งแดนปิศาจ
กลั บ มา การสู ญ เสี ย ยอดคนด่ า นฝ่ า นซู ส าหรั บ ตั ว ตนอั น ยิ่ ง ใหญ่ เ ช่ น วั ด
เสวียนคงแม้เจ็บปวด แต่ไม่ถึงกับนาไปสู่ความล่มสลายในทันที แต่ สาหรับ
สานักอื่นนอกเหนือจากสี่มหาสานัก นี่เป็นระดับความสูญเสียที่หนักหน่วง
พอจะฉีกเนื้อหักกระดูกพวกมัน
และความเป็นจริงได้พิสูจน์ยืนยันแล้ว ว่าชนชั้นฝ่านซูหาได้แข็งแกร่ง
ไร้เทียมทานดังที่ผู้คนเข้าใจไม่ พวกมันยังสามารถถูกคนฆ่าตายได้!
ยอดยุ ท ธ์ ด่ า นฝ่ า นซู ที่ ค รองตนอยู่เ หนือ โลกมานานเกิ นไป ถึ ง เวลา
ต้องปรับตัวให้เข้ายุคสมัยแห่งความปั่ นป่วนวุ่นวายแล้ว
นามของเซี่ยวม่อเกอกึก ก้องอยู่ ในสองหูข องผู้ คนอี กครั้ง อย่างไรก็
ตาม คราวนี้นามอันระบือลือลั่นนี้ ยังแฝงไว้ด้วยพลังข่มขู่คุกคามอย่างที่ไม่
เคยมีมาก่อน
สังหารจอมปิศาจด่ านไสว้ผู้ห นึ่ง อาจเรีย กได้ว่ า เป็น ความโชคดี แต่
หากมันสังหารยอดคนด่านฝ่านซูอีกผู้หนึ่งด้วย เช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้ากังขา
ในความแกร่งกล้าเกรียงไกรของมันอีก
ส าหรั บ จั่ ว ม่ อ การเสี่ ย งอั น ตรายครั้ ง นี้ มั น ชนะพนั น อย่ า งหมดจด
งดงาม!
มันเป็นฝ่ายได้ชัย!
ผลกาไรครั้งนี้มากมายมหาศาลดังที่คาดไว้ จี้เจิ้งมั่งคั่งบริบูรณ์ยิ่ง มัน
แม้ มี อ าวุ ธ เวทเพี ย งไม่ กี่ ชิ้ น แต่ ค รอบครองวั ต ถุ ดิ บ หายากมากมายจน
แม้แต่จ่ว
ั ม่อยังตาลุกวาบ!
ลูกประคาปราณอธิษฐานกายานเพลิง สิบเจ็ดเม็ด!
ลูกประคาปราณอธิษฐานกายานเพลิง ถูกหลอมสร้างขึ้นด้วยเคล็ด
ลับพิเศษเฉพาะของสานักนิกายพุทธ ลูกประคาแต่ละเม็ดหลอมสร้างด้วย
พลั ง ของก ายานเพลิ ง ลู ก ประค าปราณอธิ ษ ฐานทั้ ง สิ บ เจ็ ด เม็ ด นี้ พิ สุ ท ธิ์
โปร่งใส ไม่ทราบว่าผ่านการขัดเกลาด้วยควันกายานมานานกี่สิบกี่ร้อยปี มี
เพียงมหาสานักอันยิ่งใหญ่เช่นวัดเสวียนคงเท่านั้น จึงสามารถหลอมสร้าง
ลูกประคาปราณอธิษฐานกายานเพลิงระดับสูงส่งสุดยอดเช่นนี้ได้
พลั ง แห่ ง ก ายานเพลิ ง คล้ า ยคลึ ง กั บ พลั ง อธิ ษ ฐาน ทว่ า ลู ก ประค า
เหล่านี้ไม่ได้ใช้เพื่อฝึกปรือพลัง แต่เป็นวัตถุดิบที่ได้หายากยิ่งสาหรับเหล่า
นักบวชนิกายพุทธ
ดู จ ากจ านวนเม็ ด ประค า จั่ ว ม่ อ สั น นิ ษ ฐานว่ า จี้ เ จิ้ ง ต้ อ งการเก็ บ
รวบรวมให้ครบสิบแปดเม็ดเพื่อทาเป็นสร้อยประคาพวงหนึ่ง สร้อยประคา
หากหลอมสร้างแล้วเสร็จ แน่นอนว่าจะทะยานขึ้นเป็นอาวุธเวทระดั บสุด
ยอด จั่วม่อไม่ค่อยเข้าใจลูกประค าปราณอธิษ ฐานกายานเพลิงดี นัก แต่
ลูกประคาปราณอธิษฐานกายานเพลิงเหล่านี้ถูกบูชาอยู่ภายในวัดเสวียน
คง แต่ ล ะเม็ ด อบอวลไปด้ ว ยควั น ก ายานนานร่ ว มห้ า ร้ อ ยปี ระดั บ
คุณภาพสูงล้าสุดยอดอย่างที่ยากจะพบพาน แต่เพียงเพราะว่าจี้เจิ้งกาลัง
รอคอยเม็ดสุดท้ าย จึงยังไม่ได้ห ลอมสร้างเป็นสร้อยประค าให้ แล้ว เสร็ จ
สุ ด ท้ า ย ค ว า ม มุ่ ง ม า ด ป ร า ร ถ น า ข อ ง มั น ม า จ บ ล ง ด้ ว ย ก า ร ต ก เ ป็ น
ผลประโยชน์แก่จ่ว
ั ม่อแทน
อย่างไรก็ตาม การหลอมสร้างลูกประคาปราณอธิษฐานกายานเพลิง
เหล่ า นี้ ต้ อ งใช้ ก รรมวิ ธี พิ เ ศษเฉพาะ จั่ ว ม่ อ ไม่ เ หมาะที่ จ ะใช้ ง านพวกมัน
ดังนั้นตกลงใจจะทิ้งของวิเศษเหล่านี้ให้แก่จ งหยูแทน จงหยูถือครองพลัง
อธิษฐาน ย่อมเหมาะสมที่จะหลอมสร้างของวิเศษนี้มากกว่ามัน ผลลัพธ์ที่
ได้จะดีกว่าทาเป็นอาวุธเวทที่ใช้พลังปราณ
สมบั ติ ชิ้ น ถั ด มายั ง อั ศ จรรย์ พั น ลึก ยิ่ งกว่ า เห็ น บนเศษกิ่ ง ไม้ สี ด าที่ผุ
เปื่อย มีดอกบัวสีแดงเข้มอันสวยสดงดงามเบ่งบานอย่างเฉิดฉาย
“บั ว กลั บ ชาติ ท ลายปรภพ!” เสี ย งผู เ ยาร้ อ งอุ ท านอยู่ ใ นจิ ต ใจของ
จั่วม่อ
ได้ยินเสียงร้องของผูเยา จั่วม่อตื่นเต้นลิงโลดขึ้นมาทันที สิง่ ที่กระทั่งผู
เยายังต้องร้องอุทานออกมา ย่อมมิใช่ของวิเศษธรรมดาสามัญ มันรีบถาม
ทันที “เป็นดอกบัวอันใด?”
“นี่เรียกว่าบัวกลับชาติทลายปรภพ!” ผูเยาทวนซ้าคาเดิม ดวงตาของ
มั น จั บ แน่ น อยู่ ที่ บั ว เพลิ ง อั น อ่ อ นละมุ น ดอกนั้ น สุ้ ม เสี ย งทั้ ง ตื่ นตะลึ ง ทั้ ง
อัศจรรย์ใจ “ว่ากันว่านี่คือสิ่งมีชีวิตที่เติบโตขึ้นในแดนร้างหมื่นปี บริเวณ
ส่วนลึกสุดของดินแดนแห่งความมืด บัวกลับชาติทลายปรภพเป็นวัตถุดิบที่
ล้าค่าที่สุดซึ่งเติบโตในละแวกนั้น ใช้พิษร้ายที่มีฤ ทธิ์กัดกร่อนรุ นแรงที่สุด
เป็นสารอาหารหล่อเลี้ยง ให้กาเนิดสิ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่องและอัศจรรย์ ที่สุด
ขึ้นจากความเน่าเปื่อยผุสลาย”
จั่วม่อยิ่งฟังยังคันที่หัวใจ “เช่นนั้นมันใช้ทาอะไร?”
ผูเยายิ้มเย้ยหยันอย่ า งเย็น ชา กล่าวว่า “ประโยชน์ใ ช้ส อยที่ล้ า เลิ ศ
ที่สุดส าหรับ นัก บวชนิ กายพุ ทธคือ ใช้ รั กษาจิต ใจของพวกมั น ในระหว่ า ง
กลั บ ชาติ ม าเกิ ด ใหม่ โจรเฒ่ า หั ว โล้ น เหล่ า นี้ ย่ อ มคิ ด ใช้ ง านเช่ น นี้ อ ย่ า ง
แน่นอน”
“กลั บ ชาติ ม าเกิ ด !” จั่ ว ม่ อ ถอนหายใจแรง ๆ มั น ผิ ด หวั ง อยู่ บ้ า ง นี่
หมายความว่าสมบัตินี้ไม่มีประโยชน์ใช้สอยสาหรับมันในตอนนี้
“อย่าได้ดูถูกความอัศจรรย์พันลึกของการกลับชาติมาเกิดใหม่ด้วยจิต
วิญญาณเดิม หากผู้คนทราบว่าเจ้าถือครองวัตถุนี้ ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าก็จบ
สิ้นเพียงเท่านี้เอง เหล่าโบราณวัตถุที่ใกล้จะลงโลงเหล่านั้นจะแห่กันมารัง
ควานเจ้าไม่หยุดหย่อน เจ้าสามารถใช้ของวิเศษนี้แลกกับอาวุธเวทใดก็ได้
ที่ เ จ้ า ปรารถนา เจ้ า สามารถใช้ ใ ห้ พ วกมั น กระท าเรื่ องราวได้ ทุ ก เรื่ อง
ตามแต่เจ้าจะพอใจ แน่นอนว่าพวกมันอาจเพียงแค่สังหารเจ้าทิ้งเยี่ยงสุนัข
ข้างถนน แล้วฉกฉวยของวิเศษนี้ไป”
จั่วม่อแตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อ “ร้ายกาจถึงเพียงนั้นจริง ๆ?”
ที่แท้เป็นสมบัติล้าค่า! ในใจเริ่มหวั่นไหว มันกาลังคาดคานวณว่าจะใช้
ของวิเศษนี้แลกกับสิ่งใดได้บ้าง
ผูเยากล่าวสืบต่อไปว่า “ไม่เพียงแค่การกลับชาติมาเกิดใหม่เท่านั้น นี่
ยังเป็นของวิเศษหายากที่ท้ังซิวเจ่อ อสูรและปิศาจล้วนสามารถใช้ง านได้
อีกทั้ง... ...”
จั่วม่อมองดูผูเยาซึ่งทาท่าอิดออด คล้ายไม่อยากกล่าวต่อ “อีกทั้งอัน
ใดเล่า?”
“อีกทั้งมันยังมีพลังมหัศจรรย์ประการหนึ่ง” ผูเยาเหลือบมองจั่ วม่อ
“ของวิเศษนี้สามารถหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งชีวิตที่
ถือกาเนิดขึ้นในสถานที่แห่งความตายและการผุเปื่อยกร่อนสลายแบบสุด
ขั้ว ในด้านการหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดสามารถยกขึ้นเปรียบได้อีก
แล้ว!”
“หล่อเลี้ยงดวงวิญญาญ?” จั่วม่อชะงักกึก
“มิผิด” ผูเยากล่าวแล้วหุบปากนิ่งสนิท
รอยยิ้มค่อย ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากของจั่วม่อ แล้วกลายเป็ นยิ้มกว้าง
อย่างเบิกบานใจ ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ได้รับสิ่งที่มันปรารถนาอย่างสุดจิต
สุดใจ “กล่าวคือ สิง่ นี้เป็นประโยชน์ต่ออากุ่ยใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” ผูเยาสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “แม้ว่าข้าเพิ่งจะเคย
เห็นของวิเศษนี้เป็นครั้งแรก ไม่อาจแน่ใจได้เต็มที่ว่าพลังของมันจะเป็นไป
ตามที่ตานานเล่าขานไว้หรือไม่ แต่ข้าแน่ใจว่าสาหรับอากุ่ ยแล้ว สิ่งนี้จะมี
ส่วนช่วยต่อนางอย่างใหญ่หลวง”
“ประเสริ ฐ ! ประเสริ ฐ ยิ่ ง !” จั่ ว ม่ อ กลายเป็ น ลิ ง โลดยิ น ดี ใ นทั น ที
จากนั้นฉุกคิดถึงปัญหาประการหนึ่ง รีบถามอย่างร้อนใจ “มีวิธีการใช้งาน
เป็นพิเศษหรือไม่?”
“เพียงแค่รับประทานลงไปก็พอ” ผูเยากล่าวเรียบ ๆ
จั่วม่อเลียริมฝีปากแห้งผาก ทันใดนั้นรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา มันหันหน้า
ไปมองอากุ่ ย ในเวลานี้ มั น ไม่ มี อ ารมณ์ จ ะตรวจดู ผ ลก าไรอื่ นอี ก สมบั ติ
เหล่ า นั้ น ที่ มี ค่ า นั บ หมื่ น จิ ง สื อ ในชั่ ว ขณะนี้ ไ ม่ อ าจดึ ง ดู ด สายตาของมั น
แม้แต่ชั่วแวบ
อากุ่ยมองดูมันอย่างเงียบงันดังเช่นปกติ นัยน์ ต าสีเทาอันแข็งทื่อไม่
หลบเลี่ยงสายตาของจั่วม่อ
จั่วม่อจู่ ๆ รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา
ภาพเหตุ ก ารณ์ อั น แหว่ ง วิ่ น กระจั ด กระจาย กั บ ใบหน้ า อั น สงบ
ราบเรียบเหมือนหุ่นไม้นี้ผุดขึ้นในใจมันไม่ขาดสาย
มันเข้าใจในบัดดล
ทั้งหมดที่มันกระทา ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อหาคาตอบเท่านั้น
มันใช้มือซ้ายเกาะกุมมือของอากุ่ยเอาไว้อย่างแนบแน่น จากนั้นยื่น
ดอกบัวกลับชาติทลายปรภพส่งไปถึงริมฝีปากของอากุ่ย
ดอกบั ว กลั บ ชาติ ท ลายปรภพพลั น แปรเปลี่ย นเป็ น พลัง งานสี เขียว
สายหนึ่ง พุ่งผ่านเข้าไปในปากของอากุ่ย
ภายใต้มือของมัน มือของอากุ่ยกระตุกวูบ
นอกเหนือจากการเผชิญหน้าซึ่งเกิดจากปัจจัยที่ไม่คาดคิด การปะทะ
หักหาญครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทัพหลักของทั้งสองฝ่ายเริ่มปะทะ
กัน ก่อนหน้านั้นทั้งสองฝ่ายจะหยั่งเชิงซึ่งกันและกันอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่ง
โดยทั่วไปแล้วการหยั่งเชิงที่ว่านี้จะเริ่มขึ้นด้วยเหล่าสายสืบ
การต่อสู้ระหว่างกองทัพชั้นยอดนั้น โดยมากจะโหดร้ายรุ นแรงเป็น
พิเศษ
เจียงเจ๋อส่งหน่วยสายสืบจานวนมากออกไปอย่างไม่ลังเล มันต้องการ
ข่าวสารเป็นที่สุด มันต้องการทราบความเคลื่อนไหวทั้งหมดของเปี๋ ยหาน
นานมากแล้วที่มันไม่ได้ประมือกับเปี๋ ยหาน มันไม่ล่วงรู้ว่าเปี๋ ยหานใน
เวลานี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ต าม เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด
มันจัดความสาคัญไว้ที่เปี๋ ยหานมากกว่าผู้อ่ น
ื ทั้งหมด
เหล่าผู้อาวุโสในสานักแม้ล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเปี๋ ยหานเป็น
ตั ว อั น ตราย แต่ ไ ม่ มี ผู้ ใ ดทราบกระจ่ า งว่ า แท้ ที่ จ ริ ง แล้ ว เปี๋ ยห านน่ า
สะพรึงกลัวปานใด มีเพียงเจียงเจ๋อเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใครทั้งหมด!
มันยังล่วงรู้ถึงความเคียดแค้นชิงชังที่เปี๋ ยหานมีต่อวัดเสวียนคง
พวกมันทั้งสองประชันขันแข่งกันมาแต่เล็กแต่น้อย มีฝีมือทัดเทียม
กันจนยากที่จะบอกได้ว่าผู้ใดเหนือกว่า แต่ทว่าเจียงเจ๋อได้รับอนุญาตให้
บัญชาการกองทัพหนึ่งตั้งแต่มันอายุได้เพียงสิบปี มิห นาซ้าในกาลต่อมา
มันยังได้รับอนุญาตให้เพาะสร้างขุมกาลังของตน นั่นก็คือกองพันเจียงจื้อ
ในอีกทางหนึ่ง เปี๋ ยหานกลับถูกบังคับให้คัดลอกพระสูตรทั้งวัน อยู่ใน
หุบเขาเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง นัยว่าเพื่อสลายจิตฆ่าฟันอันดุร้ายอามหิตของ
มัน มีเพียงเรื่องเดียวที่ฝืนธรรมเนียมปฏิบัติ คือท่านเจ้าอาวาสยินยอมให้
เปี๋ ยหานบัญชาการกองพันบาปเคราะห์ แต่นั่นก็เกิดขึ้นหลังจากที่เปี๋ ยหาน
ประชั น ฝี มื อ กั บ มั น อย่ า งทั ด เที ย ม ซึ่ ง ในสายตาของศิ ษ ย์ อ่ ื น ๆ การ
บัญชาการกองทั พอันน่ าขนพองสยองเกล้า เช่นกองพัน บาปเคราะห์ ไม่
ต่างอันใดจากการลงทัณฑ์อย่างร้ายแรง
กองพันบาปเคราะห์แม้เป็นที่เลื่องลือ แต่ย่อมไม่มีศิษย์ที่จิตใจปกติ
คนใดต้องการอยู่โดดเดี่ยวเดีย วดาย สนทนาโต้ต อบกับกลุ่มหุ่นเชิดที่นิ่ ง
เงียบและไม่ตอบโต้ไม่เว้นแต่ละวัน
ต่อมาเมื่อตัวตนในฐานะปิศาจของเปี๋ ยหานถูกเปิดเผยให้ล่วงรู้โดยทั่ว
กัน เจียงเจ๋อในที่สุดค่อ ยเข้าใจกระจ่า ว่าท่านเจ้าอาวาสกับเหล่าผู้อาวุโส
ไฉนปฏิบัติต่อเปี๋ ยหานอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ถึงปานนั้น แต่มันก็ยังล่วงรู้
อีกด้วย ว่าความเคียดแค้นชิงชังที่เปี๋ ยหานมีต่อวัดเสวียนคงนั้น เกรงว่าฝัง
ลึกเข้าไปถึงกระดูกดา
เจียงเจ๋อตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ในศึกครั้งนี้มัน
จะต้องสังหารเปี๋ ยหานให้จงได้
มันย่อมไม่อาจเอาแต่นั่งนิ่งเฉย ปล่อยให้ตัวอันตรายเช่นเปี๋ ยหานคง
อยู่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อวัดเสวียนคง!
เหล่าสายสืบชั้นยอดห้าร้อยนายปรากฏตัวเรียงรายอยู่เบื้องหน้าเจียง
เจ๋อ พวกมันแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยสิบหน่วย
เจียงเจ๋อมีคาสั่งการต่อพวกมันเพียงข้อ เดีย ว ตามล่าหน่วยสายสื บ
ของฝ่ายตรงข้ามและฆ่าพวกมันให้สิ้น ไม่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าใดก็
ตาม
มันทราบว่ายอดสายสืบห้าร้อยคนนี้ ที่จ ะรอดชีวิตกลับมาคงมีเพียง
ไม่กี่คนเท่านั้น แต่พวกมันสีหน้าสงบเยือกเย็นและปลอดโปร่ง ต่อหน้าการ
ต่อสู้สุดหฤโหดที่กาลังจะเผชิญ พวกมันไม่หวาดเกรงแม้แต่น้อย
พวกมันเป็นยอดทหารหาญอย่างแท้จริง
เมื่อการปะทะระหว่ างหน่ วยสายสื บเริ่ม อุบัติขึ้น นั่นหมายความว่ า
การศึ ก ที่ จ ะก าหนดชะตากรรมของผู้ ค นจ านวนมาก ได้ เ ริ่ ม เปิ ด ฉากขึ้ น
อย่างเป็นทางการแล้ว!
บทที่ 679 อากุ่ย!
เปี๋ ยหานล่าถอยกลับมายังถ้าที่ซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ
อาณาจักรขุนเขายะเยือกมีการป้องกันอย่างแน่นหนา แต่เนื่องเพราะ
เป็นแนวหลัง เปี๋ ยหานยังคงพบช่องโหว่หลายแห่ง
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเปี๋ ยหานจะลอบเข้าไปในอาณาจักรขุนเขายะเยือก
ซึ่งมีการป้องกันอย่างแน่นแน่น เนื่องเพราะเหตุนี้เอง จดหมายยันต์ผนึกที่
ใช้ติดต่อสื่อสารภายในอาณาจักรขุนเขายะเยือกจึงไม่ได้ใช้รหัสแบบพิเศษ
ที่ ใ ช้ กั น ในแนวหน้ า แต่ เ ป็ น จดหมายยั น ต์ ผ นึ ก ซึ่ ง ใช้ กั น ทั่ ว ไปภายในวั ด
เสวียนคง
เปี๋ ยหานปลอมตัวเป็นศิษย์วัด เสวียนคงอย่างสะดวกดาย ลอบเข้ามา
โดยแทบไม่ต้องเปลืองเรี่ยวแรงอันใด เมื่อเคยคุ้นกับค่ายกลและแบบฉบับ
ของวัดเสวียนคง เปี๋ ยหานสืบทราบข่าวสารที่มันต้องการอย่างรวดเร็ว
แต่การมาถึงของขบวนผู้อาวุโส ทาให้แผนการของมันต้องหยุดชะงัก
เหล่ า ผู้ อ าวุ โ สขบวนนี้ ล้ ว นแล้ ว แต่ เ ป็ น ชนชั้ น หยวนอิ ง ขึ้ น ไป แทบ
ทั้ ง ห ม ด ยั ง อ ยู่ ที่ จุ ด สู ง สุ ด ข อ ง ด่ า น ห ย ว น อิ ง ค น เ ห ล่ า นี้ แ ม้ ว่ า ไ ม่ มี
ความสามารถในการร่วมมือประสานงานดังเช่นกองทัพ แต่หากผนึกกาลัง
กัน ก็เพียงพอจะทาลายกองพันบาปเคราะห์ได้ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
โชคยั ง ดี มั น สื บ ทราบว่ า ขบวนผู้ อ าวุ โ สมี เ รื่ องราวเร่ ง ด่ ว นให้ ต้ อ ง
จัดการ ดังนั้นเพียงผ่านทางไป
แต่เมื่อคานึงถึงความปลอดภัย เปี๋ ยหานรีบล่าถอยกลับลงไปยังถ้าลึก
ใต้พ้ ืนดินอย่างระมัดระวัง มันไม่กล้าออกสืบข่าวสารอีก เพราะเกรงว่าจะ
ถูกยอดยุทธ์เหล่านั้นค้นพบ
การปลอมตัวของมัน ต่อหน้าผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่อาจนับเป็นอะไรได้
จิ ต วิ ญ ญาณการต่ อ สู้ อั น ดุ เ ดื อ ดของมั น กลายเป็ น เยื อ กเย็ น ลง เปี๋ ย
หานและกองพั นบาปเคราะห์ ประหนึ่ง ฝูง อสรพิ ษจาศี ล เฝ้ า รอคอยการ
มาถึงของฤดูใบไม้ผลิอย่างเงียบเชียบ
อาณาจักขุนเขายะเยือก!
เหล่าผู้อาวุโสซึ่งทราบข่าวการตายของผู้อาวุโสจี้เจิ้ง พากันหยุดชะงัก
การเดินทางอยู่ที่อาณาจักรขุนเขายะเยือก การตายของจี้เจิ้งส่งผลกระทบ
ต่อขวัญกาลังใจของพวกมันอย่างรุนแรง
ยามนี้สมควรทาอย่างไรต่อไป กลายเป็นปัญหาใหญ่สาหรับวัดเสวียน
คง
ผู้อาวุโสแต่ละท่านเค้าหน้ าเต็มไปด้วยความหวาดวิต ก สถานการณ์
ปัจจุบันของวัดเสวียนคงมิสู้ดีนัก
ในบรรดาสี่ ม หาส านัก ผู้ ที่ มี ส ภาพย่ า แย่ที่ สุด ย่ อมต้อ งเป็ นซี เซวียน
อย่ า งไม่ มี ข้ อ กั ง ขา การทรยศของกู่ เ หลี ย งเตาส่ งผลกระทบต่ อซี เ ซวียน
อย่างใหญ่หลวง มากยิ่งกว่าที่เหล่าคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ของซีเซวียนเคย
คาดการณ์ เ อาไว้ ม าก สถานการณ์ ลุ ก ลามจนอยู่ เ หนื อ การควบคุ ม อย่าง
รวดเร็ว เรื่องของกู่เหลียงเตา คนนอกอาจได้แต่คาดเดาเปะปะ แต่สาหรับ
บรรดาศิษย์ของซีเซวียนล้วนทราบแน่แก่ใจว่าเป็นเรื่องราวใด นี่ทาให้ศิษย์
จานวนมากรู้สึกท้อแท้ ลองคิดดู กระทั่งศิษย์ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อสานัก
เช่นกู่เหลียงเตา ยังได้รับการปฏิบัติอย่างอยุติธ รรมเช่นนี้ หัวใจของพวก
มันไหนเลยจะไม่รู้สึกหนาวเยือกได้?
ซีเซวียนในยามนี้ส ามารถอธิ บ ายได้ ว่า ผู้คนล้ วนเอาใจออกห่ าง จะ
ถูกต้องเหมาะสมที่สุด
แต่ที่สถานการณ์เลวร้ายเป็นลาดับสอง แน่นอนว่าคงไม่พ้นวัดเสวียน
คงของพวกมัน เปี๋ ยหานแม้ไม่เป็นที่รู้จักเท่าขุนพลพยัคฆ์แห่งซีเซวียน แต่
การหลบหนีของมันยังบันดาลให้ผู้คนหวั่นไหวใจ แต่เนื่องจากยังคงมีเจียง
เจ๋อผู้เฉิดฉายดุจดวงตะวันจรัสแสง หัวใจผู้คนแม้สั่นคลอน แต่ยังไม่มีอันใด
มากไปกว่านั้น ทว่ายามนี้การตายของมหาสมณะด่านฝ่านซูจี้เจิ้ง ดุจค้อน
เหล็กหวดฟาดใส่วัดเสวียนคงอย่ างถนัดถนี่ ยอดยุทธ์ด่านฝ่านซูผู้หนึ่ ง มิ
อาจคาดคานวณมูลค่าเป็นจิงสือได้
วัดเสวียนคงถูกต้อนมาจนชิดริมหน้าผาอันสุดแสนอันตราย ศึกนี้หาก
เจียงเจ๋อเป็นผู้กาชัยชนะ พวกมันอาจสามารถข้ามผ่านวิบากกรรมในครั้ง
นี้ไปได้ แต่หากเจียงเจ๋อปราชัย... ...
เหล่าผู้อาวุโสไม่กล้าคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
วิกฤตการณ์เฉพาะหน้าเป็นเหตุให้เหล่าผู้อาวุโสแห่งวัดเสวียนคงแบ่ง
ออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคิดว่าเหล่าผู้อาวุโสสมควรอยู่ช่วยเหลือ
เจียงเจ๋อเพื่อทาศึกประสบชัยก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องเพราะหากเจียงเจ๋อ
รบแพ้ จะสั่ น คลอนถึ ง รากฐานอั น ยิ่ ง ใหญ่ ข องวั ด เสวี ย นคงอย่ า งรุ นแรง
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องสังหารเซี่ยวม่อเกอให้จงได้
บรรดาผู้ ที่ ส นั บ สนุน ให้ไ ล่ล่า สังหารเซี่ ย วม่อ เกออ้ า งเหตุผ ลที่ดี งาม
ให้แก่การกระทานี้ พวกมันคิดว่าหากสามารถสังหารเซี่ย วม่อเกอ จะเป็น
การล้างแค้นให้แก่ผู้อาวุโสจี้เจิง้ เท่ากับกู้หน้าของวัดเสวียนคง ประกาศถึง
พลังอานาจอันยิ่งใหญ่ข องวัดเสวียนคงอีกครั้ง มิห นาซ้ามรดกเคล็ดวิ ช า
พลังเทพของเซี่ยวม่อเกอ ยังจะช่วยให้วัดเสวียนคงมีโอกาสพัฒนารุ ดหน้า
อย่างที่คาดไม่ถึง
และที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด ในภารกิ จ นี้ พ วกมั น ยั ง คงล้ า หน้ า อี ก สามส านั กที่
เหลืออีกก้าวใหญ่ โอกาสสาเร็จมีสูงมาก หากพวกมันยอมจ่ายค่าตอบแทน
จานวนหนึ่ง
แต่หากพวกมันปล่อยให้โอกาสอันดีงามนี้หลุดลอยไปต่อหน้า อาจจะ
ไม่มีอีกเป็นหนที่สอง
อีกทั้งพวกมันมีความเชื่อมั่นต่อเจียงเจ๋ออย่างเปี่ ยมล้น เจียงเจ๋อกาลัง
จะท าศึ ก ตั้ ง รั บ ด้ ว ยแนวป้ อ งกั น อั น แน่ น หนา มั น ยั ง มี เ ปรี ย บในเรื่ อง
กาลังคน เจียงเจ๋อจะพ่ายแพ้รึ? นัน
่ ไยมิใช่วิตกกังวลมากเกินไปแล้ว!
การถกเถียงโต้แย้งดุเดือดยิ่ง ขบวนผู้อาวุโสในครั้งนี้รวบรวมผู้อาวุโส
แห่งวัดเสวียนคงมาเกือบครึ่ง เป็นกาลังรบที่ทรงพลังที่สุดของวัดเสวียนคง
ทางเลื อ กของพวกมั น จะเป็ น ตั ว ก าหนดชะตากรรมของวั ด เสวี ย นคง
โดยตรง
ทุ ก ผู้ ค นล้ ว นทราบแน่ แ ก่ ใ จ พวกมั น ไม่ ว่ า จะเลื อ กทางใด จะต้ อ ง
ตัดสินใจโดยเร็วที่สุด
ผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายคือการประนีประนอม ขบวนผู้อาวุโสจะทิ้งผู้
อาวุโสสิบท่านไว้ช่วยเหลือเจียงเจ๋อ เพื่อรับประกันชัยชนะในสงครามครั้ง
นี้ ส่วนผู้อาวุโสที่เหลือทั้งหมดจะติดตามไล่ล่าเซี่ยวม่อเกอตามเดิม
จุดแสงประกายพลันปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าอย่างกะทันหัน แต่
ละจุดแสงคล้ายหิมะเกล็ดหนึ่ง ถูกดึงดูดเข้าไปหาอากุ่ยผู้ถูกกักขังด้วยโซ่สี
ม่วง แต่ละเกล็ดลอยละล่องเข้าไปหานาง แทรกซึมเข้าไปในร่างของนาง
“ดอกบัวกลับชาติทลายปรภพ!”
ในความโศกศัลย์ จั่วม่อคล้ายมองเห็นแสงแห่งความหวังสายหนึ่ง
ผู เ ยายกย่ อ งดอกบั ว กลับ ชาติท ลายปรภพเสียเลิศ ลอยไปถึงชั้นฟ้า
จั่วม่อคาดหวังต่อของวิเศษที่ได้มาโดยบังเอิญชิ้นนี้อย่างสูง
นึกถึงอากุ่ยที่ต้องทนทุกข์ทรมาน จั่วม่อรู้สึกอึดอัดขัดข่องอย่า งยาก
จะบ่งบอกบรรยาย ปรารถนาจะฉีกกระชากสายโซ่เหล่านั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้น
น้อย
อากุ่ยผู้เงียบงันคล้ายสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง นางพลันเงยหน้า
ขึ้น ลืมตามองมาเบื้องหน้า
จั่วม่อไม่อาจบรรยายความรู้สึกในชั่วพริบตาที่มองเห็นดวงตาสุกใสคู่
นั้น ประหนึ่งว่าอัญมณีล้าค่าที่สุดในโลกหล้า ค่อย ๆ อวดประกายออกมา
ต่อหน้าต่อตามันก็มิปาน
ภายใต้การจองจาของโซ่สีม่วง อากุ่ยผุดลุกขึ้นอย่างฉับพลัน
นางจ้ อ งมองความมื ด อัน ว่า งเปล่า เบื้ อ งหน้า มองจุ ด แสงเล็ก ๆ ดุ จ
หิ่งห้อยล่องลอยเข้าหานาง นางยื่นมือออกมา ใช้สองมือช้อนจุดประกาย
เหล่านัน
้ อย่างนุ่มนวล จุดแสงผสานรวมเข้าไปในฝ่ามือของนาง ในร่องรอย
ของความเย็นสบาย แฝงไว้ด้วยพลังชีวิตอันบริสุทธิ์สายหนึ่ง
สีเลือดกลับคืนสู่ใบหน้าซีดขาวของนางในบัดดล พลังชีวิตอันบริสุทธิ์
นี้ช่วยหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของนาง
นางทราบว่าร่างกายของนางเสาะพบนายน้อยแล้ว ก่อนที่จะเปล่งคา
สัตย์สาบานแห่งทัณฑ์เทวะมิดับสูญ นางทิ้งจิตสานึกส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ เอาไว้
ในร่างกาย จิต ส านึกส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ นี้เองที่ก่อเกิดสัญชาตญาณอัน แรง
กล้าและลึกล้าที่สุดชนิดหนึ่งไว้กับร่างกายของนาง
ตามหานายน้อยให้พบ!
ความว่างเปล่านิรันดร์แม้ปิดกั้นทุกสรรพสิ่ง แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ นาง
พลันบังเกิดความรู้สึกประการหนึ่ง ชั่วพริบตานั้นนางล่วงรู้ทันที ในที่สุด
ร่างกายของนางก็ตามหานายน้อยพบ!
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หัวใจนางกลายเป็นสงบราบคาบ ความว่า ง
เปล่านิรันดร์ที่ปิดผนึกทุกสรรพสิ่งดูจะไม่ยากลาบากเท่าที่เคยอีก ในหลาย
ปีมานี้ สิ่งเดียวที่นางเพียรกระทาโดยไม่ว่ างเว้น คือการใช้ดวงวิ ญ ญาณ
ของนางเฝ้าหล่อเลี้ยงพลังเทพมิดับสูญ
นี่เป็นหนทางเดียวที่นางจะสามารถช่วยเหลือนายน้อยได้
แต่แล้วด้วยจุดแสงเหล่านั้น ดวงวิญญาณที่สูญเสียไปของนางฟื้นฟู
อย่างรวดเร็ว
“นายน้อย... ...”
นางยื น หยั ด มั่ น ในบั ด ดล ดวงตาคู่ ง ามดุ จ อั ญ มณี ช ะแง้ แ ลหาไปใน
ความมืดมน
แม้ว่านางจะไม่อาจมองเห็นสิ่งใดเลยก็ตาม
บทที่ 680 คู่แข่ง
ในอาณาบริเวณโดยรอบ หน่วยสายสืบของวัดเสวียนคงลาดตระเวน
ไปมา พวกมันสืบเสาะค้นหาร่องรอยของศัตรูอย่างถี่ถ้วนระมัดระวัง
“คราวนี้พวกเราทาอย่างไรต่อไป?” อสูรผมส้มหันกลับมาถามซู่หลง
“หุบปากทีเถอะ!” อาเหวินเค้นเสียงลอดไรฟัน ถลึงตาใส่อสู รผมส้ม
อย่างขุ่นเคือง
เจ้าปัญญาอ่อนผู้นี้ กระทั่งในเวลาเช่นนี้ยังจะปากพล่อย! ช่างสั่งสอน
ไม่รู้จักจาโดยแท้!
ซู่หลงมองสบสายตาอ้อนวอนของอสูรผมสีส้มอย่างจนปัญญา มันสั่น
ศีรษะพลางกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “รออีกสักหน่อยเถอะ”
“ยังต้องรออีก... ...” อสูรผมส้มเบ้ปากพลางบ่นพา
ซู่หลงกล่าวอย่างอดกลั้น “พวกมันไม่ได้ผ่านเข้ามาในรัศมีการโจมตี
ของเรา นี่ไม่เป็นผลดีต่อการซุ่มโจมตีของเรา”
อสูรผมส้มมองเมินสายตาเหยียดหยามของอาเหวินโดยสิ้นเชิง เพียง
เอ่ยอย่างงุนงงว่า “พวกเราไฉนต้องซุ่มโจมตีพวกมัน?”
อาเหวินอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจริง ๆ “คนโง่ การซุ่มโจมตีทา
ให้ง่ายต่อการได้ชัยมากกว่า!”
อสูรผมส้มร้องอ้อ ทีท่าคล้ายเพิ่งตระหนักถึงความจริง “อา ข้าเข้าใจ
แล้ว เจ้ากลัวว่าเจ้าจะมิอาจเอาชนะ”
“เจ้าสิกลัวว่าจะไม่ชนะ!” อาเหวินประหนึ่งแมวถูกเหยียบหาง โพล่ง
ออกมาอย่างเหลืออด
“หากเจ้าสามารถเอาชนะ เช่นนั้นไยต้องซุ่มโจมตีด้วย?” อสูรผมส้ม
มองดูอาเหวินด้วยสายตาแปลกพิกล ทาสีหน้าราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าช่าง
เป็นตัวประหลาดโดยแท้’
“เจ้าไปรู้อะไร! นี่คือยุทธวิธีการรบ!” อาเหวินขุ่นแค้นอสูรผมส้มแทบ
สิ้นสติ
“เจ้าก็แค่กลัว ว่า จะไม่ ชนะ!” อสูรผมส้มตอบโต้ด้ วยน้ าเสี ย งมั่ น อก
มั่นใจ เหลือบตามองอาเหวินด้วยสายตายากจะอ่านออก
อาเหวินพอเห็นสายตาแปลกประหลาดของอสูรผมส้ม พลันเลือดขึ้น
หน้า “เข้ามาเลย มาสู้กัน!”
ผู้คนรอบข้างได้แต่ทอดถอนใจพลางมองดูเจ้าโง่ท้ังสอง ในเวลาเช่นนี้
ยังจะมีอารมณ์มาโต้คารมกันอีก
อสูรผมส้มสั่นศีรษะระรัว
“เฮอะ ดูท่าว่าเจ้าจะกลัวใช่หรือไม่!” อาเหวินทาหน้าดูถูก
อสูรผมส้มสั่นศีรษะอีกรอบ “ข้าไม่คิดเสียเวลาสู้กับคนที่กลัวว่าจะไม่
มีปัญญาเอาชนะศัตรูได้”
อาเหวินขุ่นแค้นจนพูดไม่ออก “เจ้า... ...”
กระทั่งซู่หลงยังเริ่มจะมีโมโห มันตกลงใจอย่างแน่วแน่ ไม่ว่าหน่วยใด
มีส องคนนี้อยู่ร่วมกัน มันจะไม่มีวันเป็นผู้นาหน่วยอีก มองดูส ายสืบของ
ฝ่ายตรงข้ามปรี่ตรงเข้ามาทางด้านนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกมันสังเกตพบเสียง
เอะอะที่เกิดขึ้น ซู่หลงกุมศีรษะ กล่าวอย่างจนปัญญา “เช่นนั้นก็สู้เถอะ!”
“มันต้องอย่างนี้สิ ด้วยพลังฝีมือระดับอัจฉริยะของข้า ไม่จาเป็นต้อง
ซุ่มโจมตีแม้แต่น้อย” อสูรผมส้มกล่าวอย่างถือดี จากนั้นทะยานร่างเข้าหา
หน่วยสายสืบของฝ่ายตรงข้ามเป็นคนแรก
“เจ้าโง่... ...” อาเหวินผู้เดือดดาลทะยานฟ้าขบกรามแน่น ร่างสาดพุ่ง
ออกไปดุจลูกธนูหลุดจากแล่ง
สองคู่ อ ริ โ ถมทะยานออกไปแทบจะพร้ อ มเพรี ยงกั น ตรงดิ่ ง เข้ า หา
ฝ่ายตรงข้ามประหนึ่งลูกธนูพิโรธสองดอก
คนอื่น ๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ ได้แต่ติดตามไล่หลังไป
สายสืบของวัดเสวียนคงทุกคนล้วนเป็นสมาชิกชั้นยอดของแต่ละทัพ
พ ว ก มั น ไ ด้ รั บ ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม อ ย่ า ง เ ข้ ม ง ว ด ม า ตั้ ง แ ต่ ยั ง เ ย า ว์ วั ย มี
ประสบการณ์สู้รบโชกโชน สายสืบหน่วยนี้ยังทางานร่วมกันมานานกว่าห้า
ปี ร่วมมือประสานงานได้อย่างรู้ใจ
พวกมันเห็นฝ่ายตรงข้ามบุกเข่นฆ่า เข้ามา แต่ไม่ต ระหนกตกใจ รีบ
ก่อตั้งกระบวนทัพค่ายกลอย่างรวดเร็ว เสียงสวดสรรเสริญพระพุทธคุณดัง
กังวานอย่างพรักพร้อม ก่อเกิดประกายแสงมลังเมลืองห่อหุ้มร่างกายพวก
มัน
อักขระพระสูต รละลานตาหมุนวนรอบกายพวกมัน แต่ล ะคนสีหน้า
ทั้งเยือกเย็นทั้งปลอดโปร่งสบายใจ
ผู้นาสายสืบเพ่งมองศัตรู ที่ดาหน้าเข้าหาพวกมัน ดวงตาทอประกาย
เหยี ย ดหยามดู แ คลนวู บ หนึ่ ง พวกมั น กร าศึ ก อย่ า งโชกโชน ผ่ า นการ
ฝึกอบรมศึกสงครามมามากมายนับไม่ถ้วน เพียงมองปราดเดียวก็ประเมิน
ข้าศึกได้ทันที อย่าได้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุร้ายหมาย
ขวัญ แท้ที่จริงมิได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความร่วมมือประสานงานของ
คนเหล่านั้นย่าแย่ยิ่ง
นี่เกรงว่าจะไม่ใช่หน่วยทัพของเปี๋ ยหานกระมัง?
ผู้นาหน่วยทัพค่อยรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง แม้จะบอกว่าเปี๋ ยหานไม่ได้เป็น
ที่รู้จักของบุคคลภายนอก แต่สาหรับศิษย์วัดเสวียนคง ไม่ว่าเบื้องสูงเบื้อง
ต่าล้วนรู้จักมันและกองพันบาปเคราะห์อันเลื่องลือเป็นอย่างดี ประหนึ่งว่า
มีภูเขามหึมากดทับอยู่ในอกของพวกมัน หนักหน่วงเสียจนพวกมันไม่อาจ
หายใจได้ ไม่ว่าผู้ใดล้วนทราบแน่แก่ใจ เปี๋ ยหานเป็นยอดแม่ทัพที่ทัดเทียม
กับเจียงเจ๋อต้าเหริน!
หน่ ว ยทั พ เล็ ก ๆ ที่ จู่ โ จมเข้ า มาไม่ ว่ า ดู อ ย่ า งไรก็ มิ ใ ช่ ก องพั น บาป
เคราะห์ คนเหล่านี้สมควรเป็นอาหารสัตว์กระสุนปืนใหญ่ของเปี๋ ยหาน
ทันใดนั้นมันค่อยนึกขึ้นได้ มีแม่ทัพบัญชาการศึกอีกผู้หนึ่งอยู่กับเปี๋ ย
หาน เรียกว่ากงซุนอะไรนั่น มันจดจานามของคนผู้นี้ไม่ได้แน่ชัด มันมักจะ
ไม่ค่อยจดจาชื่อของคนที่ไม่ได้ส ลักสาคัญอันใด แต่เรื่องนี้ก็ห าได้กระทบ
ต่อหน้าที่ในฐานะผู้นาหน่วยสายสืบของมันไม่
ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายลดลงอย่างรวดเร็ว
หลวงจีนผู้นาหน่วยทัพตวาดก้อง “อมิตาภพุทธ!”
ประกายแสงบนร่ า งพวกมั น พลั น หมุ น คว้ า งอย่ า งเร่ ง ร้ อ น พลั ง อั น
แปลกประหลาดก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
อสูรผมส้มและอาเหวินรู้ว่ามีลาแสงนับไม่ถ้วนถล่มลงมาตรงใจกลาง
กระบวนทัพของศัตรู หมุนคว้าง แล้วก่อตัวเป็น วังวนหลากสีขุมหนึ่ง วังวน
มหึมานั้นก่อเกิดพลังกล้าแข็งสายหนึ่ง ดึงดูดให้พวกมันปลิวลิ่วเข้าหาวังวน
อย่างไม่อาจควบคุม
“วา วา วาว นั่นมันอะไรกันเนี่ย? ข้าไม่เคยเห็นของเช่นนี้มาก่อนเลย!
ดอกไม้ไฟรึ? ช่วงสวยงามโดยแท้! เจ้าพอมีฝีมือกันอยู้บ้างนี่! แต่น่าเสียดาย
ที่พวกเจ้าต้องมาพบพานข้าผู้เป็นอัจฉริยะ ให้อัจฉริยะผู้นี้แสดงให้พวกเจ้า
ดูว่าอันใดเรียกว่าการต่อสู้ที่แท้จริง... ...” มันร้องคารามอย่างดุเดือด เรือน
ผมคล้ายเปลวไฟสีส้มโบกสะบัดไปตามสายลม
“หุ บ ปาก! เจ้ า งี่ เ ง่ า !” อาเหวิ น ที่ อ ยู่ ไ ม่ ห่ า งออกไปตวาดด่ า อย่ า ง
เหลืออด
อสูรผมส้มหันไปมองอาเหวิน พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “เจ้า
ไม่เคยเข้าใจความคิดของอัจฉริยะแม้แต่น้อย นี่คือเหตุผ ลที่ไฉนเจ้ามิใช่
อัจฉริยะ” กล่าวจบก็หันกลับไปอีกทาง เมินเฉยต่ออาเหวินอย่างสิ้นเชิง หัว
ร่อพลางร้องบอกผู้คนของวัดเสวียนคงอย่างโอหังลาพอง “มนุษย์เอ๋ย จง
ตัวสั่นสะท้านเสียเถอะ!”
“หุบปากเสียที!” อาเหวินเส้นเอ็นบนหน้าผากเต้นตุบ ๆ สีห น้ายิ่งดุ
ร้ายเหี้ยมเกรียมปานจะกินเลือดกินเนื้อ
สองคู่อริแม้โต้เถียงกันไม่ขาดปาก แต่ท่าร่างของพวกมันล้วนแล้วแต่
รวดเร็วสุดเปรียบปาน
อสูรผมส้มทั่วร่างแผ่ซ่านเปลวไฟสีข าวนวลออกมาชั้นหนึ่ง เปลวไฟ
นั้นสีจางยิ่งจนแทบจะโปร่งใส สีหน้าท่าทีของมันดูเกินจริง ส่งเสียงตวาด
ไม่ขาดหู สองแขนแผ่กว้าง ริมฝีปากบ่นพึมพาอยู่ตลอดเวลา
รอบกายอาเหวินปรากฎชั้นเปลวไฟสีดาสนิทราวกับน้าหมึกชั้นหนึ่ง
สะบัดพลิ้วด้วยจังหวะจะโคนพิเศษเฉพาะตัวชนิดหนึ่ง ชั้นเปลวไฟดาทมิฬ
นี้ท้ังหนาหนักและลึกล้ายิ่งกว่าเจตจานงฆ่าฟันที่มันเคยมีก่อนหน้านี้ม าก
ทว่ากลับปราศจากพลังสภาวะอันใด ราวกับว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด
“กระบวนท่ า อั จ ฉริ ย ะของอัจ ฉริ ย ะ กระสุ น เพลิ ง เลือ ดเนื้อ ไร้ เทียม
ทาน!” อสูรผมส้มใช้ร่างของตนต่ างกระสุนปืน ใหญ่ เปลวไฟสีข าวหมุ น
เป็ น เกลี ย ว ร่ า วสาดพุ่ ง ไปข้ า งหน้ า ด้ ว ยระดั บ ความเร็ ว อั น น่ า แตกตื่ น
สะท้านใจ เปลวไฟสีข าวลากหางยาวเหยียดอยู่ เบื้อ งหลังดุจ ดาวหางอั น
โชติช่วง พุ่งลิ่วเข้าหากระบวนทัพของศัตรูอย่างหักโหม!
“ฆ่า!” อาเหวินพลันตวาดก้อง หอกยาวในมือสะบัดแทงอย่างเกรี้ยว
กราด! กระบวนท่าของมันลื่นไหลหมดจด เต็มไปด้วยความเพียบพร้อ มที่
ยากจะบ่งบอกบรรยายชนิดหนึ่ง เปลวไฟสีดาบนร่างของมันไหลบ่า ไปยัง
หอกดาในบัดดล พลังสีดาอันเงียบงันก่อตัวขึ้นที่ปลายหอก แทงทะลวงใส่
กึ่งกลางของวังวนโดยไม่พรั่นพรึง
โง่เขลานัก!
ผู้นาหน่วยย่อยวัดเสวียนคงแค่นหัวร่อเย้ยหยัน หากคนเหล่านี้เข้าใจ
ว่าอาศัยพวกมันเพียงสองคนก็สามารถเอาชนะกระบวนทัพ พวกมันก็โง่
เขลาสุดจะเยียวยาแล้ว!
แต่แล้วรอยยิ้มเยาะของมันพลันแข็งค้างอยู่บนใบหน้า
บึม!
นั ก บวชนิ ก ายพุ ท ธทั้ ง หมดสะท้ า นขึ้ น ทั้ ง ร่ า ง ประกายแสงทั้ ง มวล
รวมถึงอักขระพระสูตรทุกตัวบนร่างของพวกมัน ล้วนแตกกระจายเป็นจุด
แต้มสาดกระเซ็นไปทั่ว!
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
ผู้ น าหน่ ว ยทั พ ใบหน้ า ซี ด เผื อ ด กระบวนทั พ ของพวกมั น กลั บ ถู ก
ทาลายอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้!
ฝ่ า ยศั ต รู มี เ พี ย งสองคนเท่ า นั้ น แต่ ก ลั บ ทลายค่ า ยกลที่ ส ร้ า งจาก
กระบวนทัพของพวกมันอย่างซึ่งหน้าคนทั้งสองนี้ใช่เป็นชนชั้นหยวนอิง
หรือไม่?
แต่ในเวลาเช่นนี้ไม่มีเวลาให้มันขบคิด สัญชาตญาณเอาตัวรอดซึ่งก่อ
ตั ว ขึ้ น จากการสู้ ร บมานานปี ช่ ว ยให้ มั น ตอบโต้ ต่ อ สถานการณ์ ไ ด้ อ ย่ า ง
ทันท่วงที ท่ามกลางเสียงตวาดอย่างโกรธกริ้ว อักขระพระสูตรตัวกนึ่งฉาย
แสงบนหน้าผากของมัน สีหน้าเคร่งขรึมสารวม ประนมมือเข้าหากัน แล้ว
กระแทกมาเบื้องหน้าติดต่อตามกันดั่งเมฆล่องน้าริน
พลังฝ่ามือสีทองพุ่งวาบออกมาจากมือของมัน ทันทีที่ห ลุดออกมาก็
แปรเปลี่ยนเป็นฝ่ามือสีทองมหายักษ์สองข้าง ตบฟาดใส่สองศัตรู ที่กลาง
อากาศในบัดดล
ฝ่ามือทั้งสองนั้นยิ่งมายิ่งใหญ่โตมหึมาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งใหญ่โ ต
กว่าร่างของอสูรผมส้มกับอาเหวินเสียด้วยซ้า
ฝ่ามือแสงเกรงขาม!
อักขระพระสูตรบนหน้าผากมันยิ่งสว่างเรืองรองขึ้นเรื่อย ๆ แต่ขนคิ้ว
ของมันกลับเริม
่ ปรากฏจุดสีเทาและสีขาวประปราย
“ตุ้ยจ่าง! (ท่านหัวหน้าหน่วย)” สายสืบวัดเสวียนคงร้องเรียกอย่ า ง
โศกเศร้า ฝ่ามือแสงเกรงขามเป็นวิชาที่เกินกาลังของตุ้ยจ่าง กระบวนท่านี้
ฝืนใช้ออกโดยแลกกับอายุขัยอย่างน้อยสิบปี
เหล่าสายสืบอื่น ๆ ล้วนมีสีหน้าเศร้าโศก แต่พวกมันทราบว่านี่ไม่ใช่
เวลาจะมัวมาคร่าครวญราพัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกมันไม่อาจปล่อย
ให้การเสียสละของตุ้ยจ่างต้องสูญเปล่าได้
ปราณหมัดสารพัดชนิด เงาไม้เท้าไม้พลอง อาวุธเวท รวมถึงอักขระ
พระสูตรมากมายเหลือคนานับ แตกปะทุออกมาดุจภูเขาไฟระเบิด
สายตาของพวกมันจับจ้องไปยังพวกซู่หลงที่ติดตามมาเบื้องหลัง หา
ใช่สองศัตรูผู้อาจหาญที่อยู่ด้านหน้าสุดไม่ พวกมันต้องระวังไม่ให้ซู่หลงกับ
คนอื่น ๆ สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยว
จากนั้นพวกมันเห็นสายสืบฝ่ายศัตรู ท้ังหมด พลันหยุดลงอย่างพร้อม
เพรียง ไม่มีทีท่าว่าจะบุกจู่โจมเข้าช่วยเหลือดังที่พวกมันคาดการณ์เอาไว้
ไม่
คนที่ มี ค วามคิ ด ประเปรี ย วอยู่ บ้ า งอดรู้ สึ ก แปลกพิ ก ลไม่ ไ ด้ แต่ แ ล้ ว
พวกมันก็ได้ข้อสรุ ป เต็มไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม คนเหล่านี้เป็น
กองทัพที่ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมดังที่คาดเอาไว้จริง ๆ!
ในยามที่สหายร่วมกองทัพต้องการกาลังหนุน พวกมันกลับไม่กล้าบุก
เข้ามาเบื้องหน้า
ช่างน่าเสียดายนักที่ตุ้ยจ่างจาต้อง... ...
ฝ่ามือแสงเกรงขามเป็นหนึ่งในกระบวนท่าไม้ตายสุดยอดของนักบวช
นิกายพุทธทรงพลานุภาพมหาศาล แต่ผู้ใช้ต้องมีพลังบาเพ็ญเพียรที่สูงล้า
เพี ย งพอ มี เ พี ย งชนชั้ น หยวนอิ ง ขึ้ น ไปเท่ า นั้ น ที่ ส ามารถใช้ อ อกได้ อ ย่าง
เต็มที่ ตุ้ยจ่างแม้เป็นเพียงจินตัน แต่ยินยอมสละอายุขัยใช้กระบวนท่าสุด
ยอดนี้ออกมา ทุกคนล้วนเชื่อว่าเจ้าสองคนที่น่าชิงชังนั้นจบสิ้นแล้ว
เมื่ อเปรี ย บเที ย บกั บ ฝ่ า มื อ มหายั ก ษ์ อั น น่ า เกรงขามสองฝ่ า มื อ นั้ น
กระทั่งแสงสว่างบนท้องฟ้ายังหม่นหมองไป
ปัง!
ทันใดนั้นเอง สองฝ่ามืออันน่าเกรงขามกลางอากาศจู่ ๆ คล้ายแตก
กระจายดุจฟองสบู่ กลายเป็นจุดแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วน
อสูรผมสีส้มสีหน้าสับสน ดูคล้ายมึนงงอยู่บ้าง เปลวไฟโปร่งใสรอบ
กายมั น หม่ น แสงลงเล็ ก น้ อ ย ปากบ่ น พึ ม พ าอย่ า งไร้ ส ติ “อา วิ ง เวี ย น
เล็กน้อย... ...”
อาเหวินหน้าขาวเผือดอยู่บ้าง บนร่างมีบาดแผลประปราย แต่สายตา
เย็นเยียบดุจน้าแข็งเพ่งมองหัวหน้าหน่วยสายสืบวัดเสวียนคงเขม็งนิ่ง เต็ม
ไปด้วยประกายอามหิต
ชั่วพริบตานี้ บรรดาสายสืบวัดเสวียนคงแทบทั้งหมดล้วนตะลึงงัน!
ตุ้ยจ่างแลกด้วยอายุขัย นับสิ บ ปี แต่คนทั้งสองกลั บ ไม่ เ ป็นอั น ตราย
ร้ายแรงอันใด!
ซู่หลงกับพวกทั้งหลายไม่ความคิดจะบุกโจมตีไปข้างหน้าตั้งแต่แรก
“นึกอยู่แล้วทีเดียวว่าจะต้องเป็นเช่นนี้” หมิงเจวี๋ยจื่อกล่าวด้วยสีหน้า
อับจนปัญญา
“ประเสริฐยิ่ง! เราไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย” คังเจ๋อเบ้ปาก
“นี่ไม่ค่อยดีเท่าไร... ...” หนานเยว่ต้องการใช้การสู้รบขัดเกลาศาสตร์
อสูรของนาง
ฟังวาจาของคนรอบกาย ความคิดที่จะขอเปลี่ยนไปเป็นหัวหน้าหน่วย
ทัพอื่นของซู่หลง ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
ในเวลานี้เอง เสียงกรีดร้องคารามของอสูรผมส้มดังก้องไปทั่วสมรภูมิ
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ อย่าแย่งชิงเหยื่อของข้าได้หรือไม่... ...”
สิง่ ที่ตอบวาจามันเป็นเสียงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดของอาเหวิน “ฆ่า!”
“ฆ่า!” “ฆ่า!” “ฆ่า!” “ฆ่า!” ... ...
“ของข้า!” “ของข้า!” “ของข้า!”
ห น า น เ ย ว่ กั บ พ ว ก ทั้ ง ห ล า ย ที่ ด้ า น ข้ า ง พ อ เ ห็ น เ ช่ น นี้ ก็ เ ริ่ ม
วิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรส
“คราวนี้ผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ?” หมิงเจวี๋ยจื่อเหลือบมองสหาย พลางเอ่ย
ปากเป็นคนแรก
“เสมอกัน” คังเจ๋อตอบโดยไม่ต้องคิด
“เสมอกัน” หนานเยว่จ้องมองไปยังวงต่อสู้ ชมดูการต่อสู้ข องสหาย
ทั้งสองอย่างนับถือเลื่อมใส
“เสมอกัน” เสียงของอสูรควันดาดังเอื่อย ๆ ออกมาจากกลุ่มควัน
หมิ ง เจวี๋ ย จื่ อทอดถอนใจ “ข้ า เองก็ รู้ สึ ก ว่ า จะเสมอกั น อี ก ครั้ ง แต่ นี่
พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อหรอกหรือ?”
ทุกผู้คนสบตากันวูบ
“ขอย้ายหน่วย” คังเจ๋อเสนอ
“ขอย้ายหน่วย” หนานเยวี่ยรีบตอบรับเป็นคนแรก
“ขอย้ายหน่วย” สุ้มเสียงหดหู่ของอสูรควันดาดังมาจากในกลุ่มควัน
ซู่ ห ลงผู้ ปิ ด ปากเงี ย บที่ ด้ า นข้ า ง ในที่ สุ ด ก็ อ ดรนทนไม่ ไ ด้ “ขอย้ า ย
หน่วย!”
น้าเสียงของทุกคนแม้รวบรัด ชั ดเจน แต่ในดวงตาอดทอแววนั บ ถื อ
เลื่อมใสออกมาไม่ได้ อสูรผมส้มและอาเหวินเลิศล้ายิ่ง คนทั้งสองหลังจาก
เริม
่ ฝึกปรือพลังเทพ พวกมันก็รุดหน้ารวดเร็วอย่างน่าตระหนก
พวกมันทั้งสองไม่ว่าจะทาอะไร ก็ล้วนแล้วแต่ประชันขันแข่งกัน
การต่อสู้ไม่กี่ครั้งที่ผ่านมา ผู้อ่ ืนไม่เคยมีโอกาสได้ลงไม้ลงมือ ทันทีที่
พวกมันพบพานหน่วยสายสืบเล็ก ๆ เช่นนี้ ทั้งสองคนจะยึดครองการต่อสู้
ทั้งหมดไป จนไม่มีผู้ใดได้ลงมือต่อสู้สักครั้งเดียว
พลังอานาจของคนทั้งสอง เริ่มกลายเป็นยากที่ผู้อ่ น
ื จะหยั่งคานวณได้
ทั้งเปลวไฟโปร่ง ใสของอสู รผมส้ ม และเปลวไฟด ามื ด ดุจ ห้ วงวิ ก าล
ของอาเหวิน ในสายตาของผู้อ่ ืนล้วนเป็นพลังพิสดารที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก พลังนี้
แตกต่างจากพลังทั้งสามอย่างสิน
้ เชิง มีส่วนคล้ายกับต้าเหรินอยู่บ้าง
พวกหนานเยว่ ใ นขณะที่ นับ ถื อ เลื่ อมใสคนทั้ ง สอง จิ ต วิ ญ ญาณการ
ต่อสู้ของพวกมันก็พลุ่งพล่านตามไปด้วยเช่นกัน
ทุกผู้คนต้องการลับ คมเขี้ยวของตนผ่านการต่อสู้ ไม่มีผู้ใดเต็ม ใจยืน
ชมดูอยู่ด้านข้าง
การต่อสู้ดังเช่นที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพียงมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งในสมรภูมิอัน
กว้างใหญ่ไพศาล
การต่อสู้ในพื้นที่อ่ น
ื ๆ ยังดุเดือดรุนแรงกว่านี้เสียอีก
ความรุนแรงของการต่อสู้ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเจียงเจ๋อ แต่
สิ่ ง ที่ ท าให้ มั น ต้ อ งประหลาดใจสุ ด ระงั บ คื อ ในการต่ อ สู้ อั น ดุ เ ดื อ ดเลื อ ด
พล่ า นระหว่ า งหน่ ว ยสายสื บ ทั่ ว สมรภู มิ นี้ พวกมั น กลั บ เป็ น ฝ่ า ยปราชั ย
อย่างราบคาบ!
บทที่ 681 ความเปลี่ยนแปลงของจั่วม่อ
ในทะเลแห่งจิตสานึกของจั่วม่อ
“ข้าจะช่วยเหลืออากุ่ยได้อย่างไร?” จั่วม่อถามพลางมองผูเยากับเว่ย
ด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ข้าไม่ทราบ ทัณฑ์เทวะมิดับสูญเป็นการลงทัณฑ์ที่อามหิตที่สุดในยุค
บรรพกาล ข้ า ยั ง ไม่ เ คยได้ ยิ น ว่ า มี ผู้ ใ ดสามารถท าลายทั ณ ฑ์ เ ทวะได้ ม า
ก่อน” เว่ยถอนใจยาว ผูเยาที่ด้านข้างก็นิ่งเงียบเช่นกัน
จั่วม่อกลายเป็นเงียบงันไปอีกครา แต่ครั้งนี้มันไม่นิ่งเงียบไปเป็นวัน ๆ
เหมือนเดิมอีก ชั่วอึดใจเดียวพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาทอประกายวูบ ราว
กับเปลวเทียนริบหรี่กลางสายลมโหมกระหน่า แม้อ่อนแรงแต่ไม่ยอมแพ้
พ่าย
มันเอ่ยเสียงแหบพร่ าราวราพึงกั บตั ว เอง แต่วาจาเหล่านั้นสะท้ อ น
ก้องไปทั่วทะเลแห่งจิตสานึก
“โดยแก่นแท้แล้ว ทัณฑ์เทวะมิดั บสูญแม้ร้ายกาจ แต่จะอย่างไรยังไม่
พ้นเป็นพลังเทพชนิดหนึ่ง”
“และในเมื่ อมั น เป็ น พลั ง เทพ ดั ง นั้ น จะต้ อ งมี ห นทางแก้ ไ ขอย่ า ง
แน่นอน! หากยามนี้ข้าไม่มีปัญญาแก้ไข นั่นก็เพียงเพราะข้ายังไม่เข้าใจมัน
มากพอ ความเข้าใจที่ข้ามีต่อพลังเทพยังน้อยนิดจนน่าเวทนา ขอเพียงข้า
แข็งแกร่งกว่านี้ รอจนพลังเทพของข้าเข้มแข็งพอ ขอเพียงความรู้ความ
เข้าใจที่มีต่อพลังเทพของข้าลึกล้ากว่านี้ ข้าย่อมต้องค้นพบหนทางอย่าง
แน่ น อน ข้ า จะไม่ ย อมแพ้ ข้ า จะไม่ ยิ น ยอมเลิ ก รา สั ก วั น ข้ า จะต้ อ งพบ
หนทางแก้ไขอย่างแน่นอน”
“แม้ว่าจะไม่เคยมีผู้ ใ ดท าลายทั ณฑ์ เทวะได้ มาก่อน แต่ข้าจะทาจน
ได้”
สุ้มเสียงแหบห้าวไม่ดุเดือด ไม่พลุ่งพล่าน ไม่มีโทสะ จั่วม่อเพียงกล่าว
เรี ย บเรื่ อยด้ ว ยสุ้ ม เสี ย งเฉื่ อยชา ราวกั บ ว่ า ก า ลั ง เอ่ ย ถึ ง บางสิ่ ง ที่ ไม่
สลักสาคัญอันใด แต่ในความสงบราบคาบ แต่ละคาแฝงไว้ด้วยความเคร่ง
ขรึมเด็ดเดี่ยว ประหนึ่งจารึกด้วยเหล็กกล้า
ทันใดนั้นเปลวไฟบนร่างผูเยาปะทุขึ้นอย่างรุ นแรง คล้ายพลุ่งพล่าน
คล้ายลิงโลด เพลิงไฟอันน่าขนพองสยองเกล้าสาดสะท้อนอยู่บนใบหน้าลี้
ลับจนเกือบจะชั่วร้ายของมัน ริมฝีปากบางเฉียบดุจ คมมีดเผยอยิ้มน่ าขน
ลุก “เรื่องที่ยากเย็น เช่นนี้ช่างชวนให้ผู้คนเลือดลมเดือดพล่านเสียจริง อ้อ
เหมาะจะใช้ชาระแทนค่าเช่าค้างปีพอดีทีเดียว”
เว่ ย สี ห น้ า ขรึ ม เคร่ ง แต่ ด วงตาทอประกายเจิ ด จ้ า ดุ จ ดวงดาว “สั จ
ธรรมแห่งชุดเกราะป้ายศิลาสุสานคือการปกปักคุ้มครอง! เว่ยมิอาจนั่งนิ่ง
เฉย และมองดูการเสียสละของอากุ่ยโดยไม่ทาอะไรได้!”
จั่วม่อมองดูสองสหายที่ผูกชะตาชีวิตร่วมกับมัน ในใจอุ่นวาบ ตื้อตัน
จนยากจะบ่งบอกบรรยายออกมา
ร้อยพันถ้อยวาจาที่มันรู้สึก พอขึ้นมาถึงริมฝีปากกลับกลายเป็นเหลือ
เพียงหนึ่งคา
“อา!”
ในดวงตาเลื่อนลอยของจั่วม่อเริ่มปรากฏแววสานึกรู้ตัว ร่างแข็งทื่อ
เหมือนรู ปปั้ นสะท้านขึ้นโดยพลัน เขิงเหลียนเอ๋อร์ที่ด้านข้างสังเกตเห็นใน
บัดดล เค้าความกังวลในดวงตาลดน้อยลงมาก นางเผยสีหน้ายินดีเล็กน้อย
โดยไม่ต้งั ใจ
เมื่ อรู้ สึ ก ตั ว จั่ ว ม่ อ ก็ สั ง เกตเห็ น ความวิ ต กกั ง วลในดวงตาของเขิ ง
เหลียนเอ๋อร์เช่นกัน จึงกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”
“เช่นนัน
้ ก็ดีแล้ว” เขิงเหลียนเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขิ ง เหลีย นเอ๋อ ร์ ผู้เ ฉลียวฉลาด เริ่ ม สั ง เกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่
เกิดขึ้นในตัวจั่วม่ออย่างเลือนราง
จั่วม่อเบือนหน้าไปมองอากุ่ย ที่อยู่ข้า งกาย ดวงตายิ่งกลายเป็ น เด็ ด
เดี่ยวแน่นแน่กว่าเดิม
อากุ่ย ข้าจะต้องช่วยเจ้าให้ได้!
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!
ในอีกไม่กี่วันต่อมา เขิงเหลียนเอ๋อร์ค่อยมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่
เกิดขึ้นในนิสัยใจคอของจั่วม่ออย่างชัดเจน
ฝึกฝีมือ! ฝึกฝีมืออย่างบ้าคลั่ง!
จั่วม่อคล้ายถูกครอบงา เอาแต่คร่าเคร่งฝึกปรืออย่างเอาเป็นเอาตาย
มันไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่ชั่วอึดใจเดียว เขิงเหลียนเอ๋อร์ไม่เคยพบเคยเห็น
ผู้ใดฝึกฝีมือเช่นนี้มาก่อน หลายครั้งที่นางคิดบอกเตือนให้มันหยุดพักเสีย
บ้าง แต่พอประสานสบสายตาแข็งกร้าวมั่นคงของจั่วม่อ นางก็ต้องกลืน
ถ้อยคากลับลงไปทุกคราว
ในสายตาของจั่วม่อ ทุกวินาทีล้วนมีค่าควรเมือง
เวลาแต่ล ะวินาทีที่ผ่าน ย่อมหมายถึงว่าอากุ่ยต้องทนทรมานอย่ า ง
แสนสาหัสนานขึ้นอีก จั่วม่อคิดแล้วให้เจ็บปวดใจยิ่ง
ผู เ ยาคล้ า ยเปลี่ย นเป็ น คนละคนโดยสิ้น เชิ ง มั น ขนย้ า ยศาสตร์อสูร
เวทวิชาและทักษะปิศาจที่เก็บสะสมไว้ออกมาทั้งหมด เว่ยเองก็นาศาสตร์
ลับบูชายัญโบราณทั้งหมดที่ล่วงรู้ออกมาด้วย
มรดกเคล็ดวิชาพลังเทพส่วนใหญ่หายสาบสูญไปตามกาลเวลา ยากที่
จะมองเห็นจุดเชื่อมโยงได้ อย่างไรก็ตาม สามระบบพลังอันเป็นแกนหลัก
ของยุคปัจจุบันมีต้นกาเนิดจากพลังเทพ แม้ว่าแต่ละวิถีมุ่งเน้นแตกต่างกัน
ไปคนละทิศทาง แต่ท้งั หมดล้วนพัฒนามาจากแหล่งกาเนิดเดียวกัน
ผูเยากับเว่ยคิดได้วิธีการหนึ่ง... ในเมื่อพลังเทพเดิมแทบจะสูญสิ้นไป
แล้ว ไฉนไม่สร้างขึ้นมาใหม่เล่า!
อาศัยพลังทั้งสามเป็นรากฐาน สร้างพลังเทพที่สมบูรณ์ขึ้นมาใหม่!
นี่ เ ป็ น วิ ธี ก ารที่ ท้ั ง ทื่ อด้ า นและโง่ เ ขลา แต่ ก็ เ ป็ น วิ ธี เ ดี ย วที่ มี ค วาม
เป็นไปได้มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อจั่วม่อในยามนี้ถือครองเคล็ดความส่วน
ใหญ่ ข องหลั ก ศิ ล าทั ก ษะปิ ศ าจมหาสั น ติ ไ ว้ กั บ ตั ว ซึ่ ง เป็ น หนึ่ ง ในกุ ญ แจ
สาคัญที่สุดดอกหนึ่ง
พลั ง เทพสุ ริ ยั น ของจั่ ว ม่ อ แม้ ฝึ ก ปรื อ ได้ ถึ ง ขั้ น ไม่ ต่ า ทราม แต่ มี
รายละเอี ยดหลายส่วนที่ยังคงคลุมเครืออยู่มาก กระบวนการสร้างเคล็ ด
ฝึกปรือพลังเทพขึ้นใหม่นี้ได้แยกแยะรายละเอียดเหล่านี้จนชัดเจนกว่าเดิม
มาก
แต่จ่ว
ั ม่อยังคงรู้สึกว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอ
พลั ง ยุ ท ธ์ยุ ค โบราณนี้มี ห ลายส่ว นที่ ข าดหายไป ส่ ง ผลให้ยากจะทา
ความเข้าใจให้ทะลุปรุ โปร่ง สิ่งที่มันร่าเรียนมิได้จากัดอยู่แค่เพียงพลังเทพ
สุริยันเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงพลังเทพเถาวัลย์เขียวของพี่ใหญ่ชิงหลิน
อีกด้วย แต่เคล็ดวิชาเหล่านี้ยาวนานเกิน ไป ระหว่างผู้คนยุคนี้กับ บั น ทึ ก
เคล็ดวิชาจากบรรพกาล คล้ายมีกาแพงอันใหญ่โตมโหฬารขวางกั้นเอาไว้
จั่วม่อไม่มีความรู้ในเรื่องบันทึกโบราณ
เคราะห์ดีที่เว่ยมาจากชนเผ่าโบราณ เว่ยถือกาเนิดจากช่วงปีสุดท้าย
ของยุคบรรพกาลนั้น แม้ว่าชนเผ่าโบราณเหล่านั้นดับสลายไปสิ้น แต่เว่ย
ยังคงมีส่วนช่วยต่อจั่วม่ออย่างใหญ่หลวง
ทั้ ง สามพอผนึก ก าลัง กั น พลั ง เทพรู ป แบบพื้ น ฐานก็ ค่ อย ๆ เป็ น รู ป
เป็นร่างขึ้น
การแบ่งระดับชั้นของพลังเทพนั้นเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เทียบกับพลัง
ทั้งสามแล้วยังเรียบง่ายกว่ามาก
ฟ้ า ดิ น มนุ ษ ย์ เป็ น ตั ว แทนของสามด่ า นพลัง เทพ ในยุ ค บรรพกาล
นั ก รบสั ญ ลั ก ษณ์ ศึ ก ล้ ว นแล้ ว แต่ เ ป็ น ยอดยุ ท ธ์ เ ทวะชั้ น นภา พวกมั น
สามารถย้ายขุนเขาเปลี่ยนทะเล เพียงยกมือก็สามารถทาลายดวงดาวทั้ง
ดวง ยกตัวอย่างเช่นเมล็ดผลึกสุริยันในกายจั่วม่อ เป็นของวิเศษที่มี เ พียง
นักรบสัญลักษณ์ศึกชั้นนภาเท่านั้นที่สามารถปิดผนึกได้
แต่เมื่อพวกมันแยกแยะเรื่องราวเหล่านี้ จั่วม่อกับพวกทั้งสามก็ค้นพบ
สิ่งที่น่าสนใจบางอย่าง
หากดูตามการจัดแบ่งระดับพลังเทพที่ว่านี้ ในยุคสมัยของเว่ย นักรบ
สัญลักษณ์ศึกที่ทรงพลังอานาจที่สุด กลับเป็นเพียงยอดยุทธ์เทวะชั้นปฐพี
เท่านั้น เห็นได้ชัดถึงการเสื่อมทรุดของพลังเทพในยุคสมัยของเว่ย
ยุคบรรพกาลย่อมเป็นยุคสมัยที่พลังเทพกล้า แข็งที่สุด อย่างไม่ ต้ อ ง
สงสั ย ส่ ว นยุ ค สมั ย ของเว่ ย อยู่ ใ นช่ ว งสุ ด ท้ า ยของยุ ค แห่ ง พลั ง เทพ เป็ น
ช่วงเวลาที่พลังเทพค่อย ๆ เสื่อมทรุ ดสูญหาย และเป็นช่วงเวลาที่พลังทั้ง
สามเริ่มเข้าแทนที่พลังเทพ กลายเป็นวิถีหลักสืบต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน
เช่นนัน
้ เพราะเหตุใดพลังเทพจึงเสื่อมทรุดลงเล่า?
จั่วม่อพลันฉุกคิดถึงสมรภูมิปิดผนึกล้างเผ่าพันธุ์ที่ชวนให้ผู้คนหายใจ
ไม่ออกนั้น หรือว่าในมหาสงครามครั้งนั้น เหล่านักรบสัญลักษณ์ศึกพากัน
ล้มตายมากมายมหาศาลเกินไป นามาสู่การล่มสลายของพลังเทพในกาล
ต่อมา?
และซือผู้ลึกลับคนนั้น รอถึงยามนี้จ่ัวม่อค่อยเริ่มเข้าใจ ว่าพลังฝีมือ
ของอสุ ภ ประหลาดตนนั้ น ยิ่ ง ใหญ่ ไ พศาลถึ ง เพี ย งไหน อาจบางที ตั ว
ประหลาดเฒ่าผู้นั้นสมควรเป็นนักรบสัญลักษณ์ศึกกระมัง
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อไม่คิดเสียเวลาไปกับการค้นคว้าข้อเท็จจริ งตาม
ประวัติศาสตร์
เวลาของมั น มี ค่ า ยิ่ ง เวลาทุ ก หยาดหยดที่ มี มั น ต้ อ งใช้ เ พื่ อ เพิ่ ม พู น
ความแข็งแกร่งของตนให้มากที่สุด!
จั่วม่อไม่เคยรู้สึกว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของมัน จะเคยชัดเจนแจ่มแจ้ง
เท่านี้มาก่อนเลย!
หยาดเหงื่อทุกหยดของมันจะไม่หลั่งลงอย่างสูญเปล่าอีก
จั่วม่อสามารถรู้สึก ได้อ ย่ างชั ด แจ้ ง พลังเทพในร่ า งของมัน ยิ่ง มายิ่ ง
กล้าแข็งขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มันแยกแยะสะสางเคล็ด
วิชาพลังเทพทั้งสองวิชาเสร็จสิ้น พลังเทพของมันยิ่งรุ ดหน้าอย่างเห็นได้
ชัด แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่า คือมันเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นต้นของด่านมนุษย์
เท่านั้น
เส้นทางอันยาวไกลที่รอคอยอยู่เบื้องหน้ามิได้ทาให้จ่ัวม่อหวาดกลัว
แต่ยิ่งทาให้มันมองเห็นเป้าหมายชัดตากว่าเดิม
พลังเทพที่รุดหน้าอย่างรวดเร็วของจั่วม่อค่อย ๆ ชะลอช้าลง แต่นี่ก็
เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว ซึ่งความจริงมันเพิ่งจะเริ่มฝึกปรือพลัง
เทพได้ไม่นานนัก การสั่งสมพลังไม่ได้มากมายอันใด หลังจากแยกแยะสิ่งที่
เรียนรู้มาทั้งหมด มันก็เข้าใจรายละเอียดมากหลาย หลายจุดที่ยังติดขัดจึง
เปิดออกทันควัน พลังเทพของมันรุ ดหน้าอย่างรวดเร็วก็เนื่องเพราะเหตุนี้
เอง แต่หลังจากการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดผ่านพ้นไป พลังเทพของมันก็
ได้แต่ต้องพึ่งพากระบวนการสั่งสมแล้ว
แต่จ่ว
ั ม่อไม่พึงพอใจเพียงเท่านี้
“ต่อสู้ ?” ผูเยาดวงตาทอแววประหลาดใจ จั่วม่อแม้ไม่เคยกลั ว การ
ต่อสู้มาก่อน แต่มันไม่ใช่คนที่ชมชอบการต่อสู้ หาได้ยากที่มันจะกระหาย
การต่อสู้มากเสียจนเสนอขึ้นด้วยตนเอง
“อา” จั่ ว ม่ อ ผงกศี ร ษะรั บ สี ห น้ า สงบราบเรี ย บ “มี แ ต่ ก ารต่ อ สู้ จึ ง
สามารถขัดเกลาฝีมือของข้าให้รุดหน้าเร็วขึ้น!”
เว่ยหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย “มิใช่เสี่ยงอันตรายมากเกินไปหรือ”
เมื่อพวกมันแยกแยะสะสางความรู้เกี่ยวกับพลังเทพเสียใหม่ มีความ
เข้าใจมากกว่าเดิม พวกมันจึงทราบว่าพลังเทพในด่านมนุษย์เช่นจั่วม่อ หา
ได้มีเปรียบกว่าพลังทั้งสามในด่านท้าย ๆ มากมายอันใดนัก มีเพียงเมื่อเข้า
สู่ด่านปฐพีไปแล้ว จึงสามารถสะกดข่มพลังทั้งสามในด่านพลังท้าย ๆ ได้
อย่างสมบูรณ์
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ด้วยฝีมือพลังเทพของจั่วม่อในยามนี้ หากประ
มือกับชนชั้นหยวนอิงย่อมมีโอกาสได้ชัยสูง แต่ห ากเผชิญกับฝ่านซูยังคง
เป็นอันตรายถึงชีวิต
พลังเทพของอากุ่ยกล้าแข็ งกว่าจั่วม่อเล็กน้อย ส่วนเขิงเหลียนเอ๋อร์
อ่อนด้อยที่สุดในบรรดาคนทั้งสาม
“ย่อมต้องเสี่ยงอันตรายอยู่แล้ว” จั่วม่อสีหน้ายังคงสงบราบเรียบ แต่
ยังคงแน่วแน่เด็ดเดี่ยวอย่างคนที่ข บคิดใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี “แต่การ
ต่อสู้จ ะช่วยให้ข้ารุ ดหน้าก้าวไกลได้เร็วกว่าเดิม ยิ่ง ไปกว่านั้น พวกเราใน
เมื่อตีความพลังเทพอย่างยากล าบาก ไยมิลองตีความผ่านการต่อสู้ ดูบ้ าง
เล่า?”
“ตีความผ่านการต่อสู้?”
ผูเยากับเว่ยพอฟังต้องงงงันวูบ
“พลังทั้งสามแม้ผิดแผกแตกต่างจากพลังเทพ แต่จะอย่างไรแก่นแท้
ของพวกมันล้วนแบ่งแยกออกมาจากพลังเทพ นั่นหมายความว่าวิธีการใช้
พลังเหล่านั้นจะต้องยังมีรูปแบบเฉพาะตัวซุกซ่อนอยู่ด้วย แทนที่จะคลาหา
ในความมืดมนดังเช่นที่เราทาอยู่ในตอนนี้ มิสู้ทดลองตีความผ่านการต่อสู้
ดูบ้าง ในเมื่อมันเป็ นพลังยุทธ์ชนิดหนึ่ง มองดูจ ากการต่อสู้กับผู้คน ย่อม
ต้องเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งกว่า”
จั่วม่ออธิบายอย่างจริงจัง
ผูเยากับเว่ยมีสีหน้าครุ่นคิด
ชั่วครู่ให้หลัง เว่ยพยักหน้า “ตามหลักการแล้วนี่เป็นความจริง แต่จะ
อย่างไรยังคงเสี่ยงอันตรายเกินไป”
ผูเยากลับแย้มยิ้มประหลาดพิ กล “วิธีนี้ส นุ กสนานน่าสนใจยิ่ง! เจ้า
วางแผนจะใช้งานวัดเสวียนคงกระมัง?”
การที่ผูเยาสามารถคาดเดาความคิดของมันได้ จั่วม่อไม่เห็นว่ามีอันใด
น่าประหลาด ในดวงตามันเพียงสาดประกายร้อนแรง “ในบรรดาโจรเฒ่า
หั ว โล้ น ทั้ ง สอง หนึ่ ง ตกตาย อี ก หนึ่ ง บาดเจ็ บ แต่ วั ด เสวี ย นคงจะไม่ ย อม
เลิกราเพียงเท่านนี้ ข้าเดาว่าพวกมันต้องส่งคนมาเสริมกาลังอย่างแน่นอน
และพวกมั นสมควรอยู่ไ ม่ ไกลจากที่ นี่แ ล้ว เปี๋ ยหานเคยบอกว่ า ยามนี้วัด
เสวียนคงสามารถเรีย กระดมฝ่ านซู ไ ด้เ พียงสองคนนี้เ ท่ านั้น ดังนั้นคนที่
พวกมันส่งมาในคั้งนี้ สมควรเป็นชนชัน
้ หยวนอิง พวกเราอาจมีโอกาส”
ผู เ ยาหั ว ร่ อ อย่ า งชั่ ว ร้ า ย “พวกมั น ต้ อ งคาดไม่ ถึ ง แน่ ว่ า เจ้ า จะกล้ า
เสาะหาพวกมันเพื่อใช้ซ้อมมือ”
“อา ยั ง มี ข้ อ ดี อ่ ื นอี ก ด้ ว ย พวกเราท าเช่ น นี้ ยั ง สามารถช่ ว ยลดแรง
กดดันให้แก่ศิษย์น้องกงซุนกับเปี๋ ยหานด้วย”
“เป็นความคิดที่ดี” กระทั่งเว่ยคราครั้งนี้ยังถูกจั่วม่อเกลี้ยกล่อมคล้อย
ตาม
หลังจากนั้นจั่วม่อบอกความคิดนี้ต่อเขิงเหลียนเอ๋อร์ เดิมทีต้ังใจจะ
กระตุ้นเตือนให้โฉมสะคราญนางนี้จากไปเสีย ด้วยการแสวงหาการต่อสู้อัน
ดุเดือดรุ นแรง ศึกครั้งนี้จ ะถูกยกระดับขึ้น ไปอี กขั้น ถือเป็นเส้นทางที่ สุ่ ม
เสี่ยงอันตรายยิ่ง ในความเห็นของมัน เขิงเหลียนเอ๋อร์ไม่จาเป็นต้องร่วมหัว
จมท้ายกับพวกมันถึงเพียงนั้น
เขิงเหลียนเอ๋อร์รวบผมของนาง ดวงตาสงบนิ่งดั่งผิวน้าไม่หลบเลี่ยง
สายตาของจั่วม่อ “ข้าจะอยู่กับพวกเจ้าด้วย”
จั่วม่อชะงักกึก ที่แท้มันสิ้นเปลืองวาจาสูญเปล่าหรือนี่
“สิ่ ง ที่ เ จ้ า ว่ ามาก็ ไม่ ผิด นี่ สุ่ ม เสี่ย งอั น ตรายมากจริง ๆ แต่ อ ย่ า ได้ลืม
เลือนว่าทั่วทั้งปฐพีล้วนล่วงรู้ว่ าข้าฝึ กปรื อพลังเทพ หากข้าจากไปเพี ย ง
ลาพัง คงไม่แคล้วถูกคร่ากุมและบีบบังคับให้มอบมรดกเคล็ดวิชาพลังเทพ
ออกมา พลังของบิดาข้า ไม่ เ พีย งพอจะปกป้ องคุ้ มครองข้ า อีก แล้ ว ” เขิง
เหลียนเอ๋อร์กล่าวเสียงหวานใส พลางมองดูจ่ว
ั ม่ออย่างสงบเยือกเย็น
จั่วม่อตะลึงลานไป
เขิงเหลียนเอ๋อร์กล่าวถูกต้อง เป็นมันหลงลืมไปเอง ความจริงที่ว่านาง
ฝึกปรือพลังเทพมิใช่ความลับอีกต่อไป มีสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่นาง
หากนางจากไป เกรงว่ายังไม่ทันออกไปไกลเท่าใดก็ตกอยู่ในมือผู้อ่ น
ื แล้ว
ความหวังในการอยู่รอดเพียงหนึ่งเดียวของนาง คืออยู่ร่วมกับพวกมัน
ไปจนถึงที่สุด
มี เ พี ย งรั้ ง อยู่ ข้ า งกายจั่ ว ม่ อ เท่ า นั้ น นางจึ ง พอจะลดจ านวนคนที่
วางแผนคิดร้ายต่อมรดกวิชาพลังเทพของนางได้บ้าง
ไม่ว่าจะสุ่มเสี่ยงอันตรายเท่าใด นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
ในดวงตาคู่ ง ามของเขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ป ราศจากร่ อ งรอยหวาดกลั ว
นัยน์ตาของนางเป็นสีดาสนิท ลึกล้าจนไม่เห็นก้นบึ้ง บันดาลให้ผู้คนยากจะ
คาดเดาว่านางครุ่นคิดอันใด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มาสู้ด้วยกันเถอะ!”
จั่วม่อเพ่งมองนาง กล่าวอย่างจริงจังและจริงใจ
เขิงเหลียนเอ๋อร์มุมปากเผยอยิ้มเบิกบาน ประหนึ่งบุปผาสวรรค์อัน
งดงามบานสะพรั่งท่ามกลางความมืดมน
บทที่ 682 กระบี่โลหิตประหารเทพ
เหวยเสิ้งเดินไปตามถนน ท่ามกลางสายตาครั่นคร้ามยาเกรงของผู้คน
รอบข้าง เหวยเสิ้งในยามนี้มีช่ ือเสียงโด่งดังสะท้านแดนปิศาจ จวบกระทั่ง
ถึงตอนนี้มันยังไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว
มียอดยุทธ์เผ่าปิศาจมากกว่ายี่สิบคนที่พ่ายแพ้ภายใต้คมกระบี่ของ
มัน
พวกมันหลายคนหากมิใช่มีช่ ือเสียงเลื่องลือมานาน ก็เป็นเจ้าผู้ครอง
แว่นแคว้นแห่งหนึ่ง หลังจากได้ชัยติดต่อกันไม่หยุดยั้ง ชื่อเสียงของเหวย
เสิ้งก็กลายเป็นระบือลือลั่นไปทั่วแดนปิศาจ
มันเริ่มต้นจากการท้าประลองผู้อ่ ืน แต่ยามนี้กลับกลายเป็นถูกผู้อ่ ืน
มาท้าประลอง การเปลี่ยนแปลงนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
ซึ่งความจริงชาวเผ่าปิศาจมิได้มีความรู้สึกเลวร้ายต่อเหวยเสิ้งมากนัก
เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้ท้ังเงียบขรึม ไม่ชมชอบกล่าววาจา แต่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
อีกทั้งมันยังไม่อวดโอ่โอหัง ตรงกันข้ามกลับมัธยัสถ์และถ่อมเนื้อถ่อมตัว
เพียงหลงใหลอยู่ในการแสวงหาพลังความแข็งแกร่ง ความลุ่มหลงงมงาย
ในกระบี่ข องมันเป็นสิ่งที่ควรค่าต่อการสรรเสริญ ที่ส าคัญมันยังยั้งมือไว้
ไมตรี แม้จะปราบพิชิตยอดยุทธ์ปิศาจมากกว่ายี่ สิบคน แต่น้อยคนนักที่จะ
ตกตายภายใต้คมกระบี่ของมันจริง ๆ
ในสายตาของชาวปิศาจที่เย่อหยิ่งถือดี เหวยเสิ้งแทบจะเปี่ ยมไปด้วย
คุณสมบัติท้งั หมดที่ควรค่าแก่การเคารพบูชา
กระทั่งชาวปิศาจยังรู้สึกว่ายากที่จะเคียดแค้นชิงชังคนเช่นนี้ได้ ปิศาจ
มากมายยังพากันลอบทอดถอนใจ คนเช่นนี้หากเกิดมาเป็นปิศาจคงวิเศษ
แท้
มันยังมีฝีมือกล้าแข็งเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย!
หลังจากโค่นยอดยุทธ์ปิศาจยี่สิบกว่าคน ผู้คนเริ่มคาดเดาว่าผู้ที่อยู่ต่า
กว่าด่านไสว้จะไม่ใช่คู่มือของมันอีก
หรือจะต้องเรียกจอมปิศาจด่านไสว้ออกมาจริง ๆ จึงสามารถโค่นมัน
ลงได้?
อย่างไรก็ตาม หลายคนรู้สึกว่านี่ไม่ค่อยสนุกสนานน่าสนใจแล้ว จอม
ปิศาจด่านไสว้คนใดไม่มีอานาจอิทธิพลอันยิ่งใหญ่? พวกมันแต่ละคนล้วน
ยุ่งอยู่กับการรบราฆ่าฟันขยายดินแดน ผู้ใดจะมีเวลาว่างมาเล่นเป็นเพื่อน
เซียนกระบี่น้อยผู้หนึ่ง?
อาจบางที พ ลั ง ฝี มื อ ของเหวยเสิ้ ง แทบจะใกล้ เ คี ย งกั บ ด่ า นไสว้ แต่
แม้ว่าจะยังห่างอีกเพียงเส้นสายใยเดียว นี่ก็เป็นความห่างชั้นที่ไม่อาจก้าว
ข้ามไปได้
สายตาของชนชั้นผู้นาส่วนใหญ่จับจ้องไปทางศึกระหว่างเจียงเจ๋อกับ
เซี่ยวม่อเกอมากกว่า ในสายตาของพวกมัน ยอดยุทธ์ผู้อาจหาญเช่นเหวย
เสิ้งแม้ควรค่าแก่การยกย่องชื่นชม แต่ตราบเท่าที่มันไม่ใช่ฝ่านซู ก็ไม่อาจ
ส่ ง ผลกระทบที่ แ ท้ จ ริ ง ต่ อ สถานการณ์ โ ดยรวมได้ แตกต่ า งจากการศึ ก
ระหว่างเซี่ยวม่อเกอกับวัดเสวียนคง ซึ่งผลการต่อสู้ครั้งนี้จะส่งผลกระทบ
โดยตรงต่อสถานการณ์ของสามภพ
หากเซี่ยวม่อเกอเป็นผู้ชนะ ชื่อเสียงของมันจะเจิดจรัสยิง่ กว่าอาทิตย์
ยามเที่ ย งวั น อี ก ทั้ ง มั น ยั ง จะทะยานขึ้ น สู่ ล าดั บ แรกในหมู่ แ ม่ ทั พ ปิ ศ าจ
ปิศาจรุ่นใหม่อย่างไม่มีข้อกังขา นอกจากนี้ความเสื่อมทรุ ดของวัดเสวียน
คงจะเป็นเรื่องที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้
แต่ห ากวัดเสวียนคงได้ชัย เผ่าปิศาจจะต้องทนกล้ากลืนต่อการพ่าย
แพ้ในสนามรบอีกครั้ง ชื่อเสียงของเจียงเจ๋อจะไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียง
ได้ วั ด เสวี ย นคงจะยิ่ ง กลายเป็ นกล้า แข็ งขึ้ นอี ก และเซี่ ย วม่ อ เกอจะไม่มี
แม้กระทั่งซอกรูให้มุดศีรษะหลบซ่อน
ไม่น่าแปลกใจที่ศึกนี้ได้รับความสนใจยิ่งกว่าการประลองของเหวย
เสิง้ มาก
แต่ ท้ั ง หมดทั้ ง มวลนี้ ไ ม่ มี ผ ลกระทบใดต่ อ เหวยเสิ้ ง ปั จ จั ย ภายนอก
เหล่านี้ไม่เคยอยู่ในความสนใจของมันเลย มันเพียงก้าวขึ้นสู่เวทีประลอง
เหมือนดังเช่นปกติ เฝ้ารอการมาของคู่ต่อสู้อย่างเงียบ ๆ
มันนั่งลงขัดสมาธิท่าดอกบัว กระบี่ดาล่องลอยอยู่ข้างกายไม่ห่าง
มันไม่ล่วงรู้แ ม้กระทั่งว่าคู่ต่อสู้ข องมันวันนี้เป็นผู้ใด เหวยเสิ้งไม่เคย
สืบหาข้อมูลอันใดเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ของมัน เรื่องเช่นนั้นไร้ความหมายสาหรับ
มัน มันเพียงพากเพียรขัดเกลาเจตจานงกระบี่ข องตน ไม่ได้ต่อสู้เพื่อช่ วง
ชิงชัยชนะ ลาพังชัยชนะเพียงอย่างเดียวไม่มีคุณค่าความหมายสาหรับมัน
จิต ใจของมันประดุจ ความเวิ้งว้างว่างเปล่าผืนหนึ่ง มีกระบี่สีดาเล่ม
น้อยลอยอยู่ภายใน หากมีคนเพ่งมองอย่างละเอียด จะพบว่ากระบี่สีดาเล่ม
น้ อ ยนี้ ค ล้ า ยจะเป็ นแบบจ าลองของกระบี่ ด าคู่ ใ จของมั นในฉบั บย่อสว่น
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ผิดแผกแตกต่างจากกระบี่ดาของจริง คือกระบี่ดาเล่ม
น้อยไม่มีกลิ่นอายดุร้ายกระหายเลือดเฉกเช่นของต้นแบบ แต่แทนที่ด้วย
ความสูงสง่าอาจหาญประการหนึ่ง
กระบี่เล่มน้อยราวกับความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด!
กว้างใหญ่ไพศาล ลึกล้าไร้ก้นบึ้ง!
นี่คือเจตจานงกระบี่สุญตา!
เจตจานงกระบี่สุญตาของมันได้เหนือล้ากว่ายอดคนรุ่นก่อนๆ ของ
สานักกระบี่สุญตาแล้ว บรรลุถึงระดับสูงส่งสุดยอดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เคล็ดวิชากระบี่ระดับหกเมื่ออยู่ในมือของมันถึงกับก้าวล้าไปอีกขัน
้
ทันใดนั้นเอง กระบี่ดาเล่มน้อยจู่ ๆ ก็สั่นไหวเบา ๆ วูบหนึ่ง
โปร่ ง ใสบางเบาจนแทบจะมองไม่ เ ห็ น เจตจ านงกระบี่ สุ ญ ตาไหว
กระเพื่อมดุจระลอกคลื่น แผ่กว้างออกไป
ทุกสรรพสิ่งรอบข้างพลันปรากฏขึ้นในใจเหวยเสิ้ง
ท่ามกลางฝูงชนชาวปิศาจแน่นขนัด มีคนผู้หนึ่งเด่นชัดขึ้นมาในมโน
สานึกของมัน
คนผู้นี้ลอบเพ่งพิศพิจารณามันอยู่ตลอดเวลา!
กระบี่ดาเล่มน้อยเชื่อมโยงกับจิตใจของเหวยเสิ้ง มันคล้ายสัมผัสได้ถึง
บางสิง่ บางอย่าง พลันสัน
่ ไหวอย่างเร่งร้อน
เป็นเจตจานงกระบี่!
คนผู้นี้ที่แท้เป็นเซียนกระบี่ ทั้งยังเป็นเซียนกระบี่แห่งคุนหลุน!
ในดวงตาของคนผู้ นี้ อั ด แน่ น ไปด้ ว ยความเป็ น ปฏิ ปั ก ษ์ ที่ ย ากจะ
สังเกตเห็น แต่สิ่งที่สร้างความตื่นตัวให้แก่กระบี่ดาเล่มน้อย ก็คือกลิ่นอาย
กระบี่แห่งคุนหลุนที่แฝงเร้นอยู่ในกายมัน นี่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่ภายในห้วงความว่างเปล่าของกระบี่สุญตา กลิ่นอายกระบี่แห่งคุนหลุน
เด่นชัดสะดุดตายิ่ง
เหวยเสิง้ ล่วงรู้ต้งั แต่แรกว่าคุนหลุนจะไม่ยอมเลิกรา
แต่คุนหลุนกลับคาดไม่ถึง ว่ามันเองก็ไม่ยินยอมเลิกราเช่นกัน
เหวยเสิ้งเปิดตาขึ้นในบัดดล ในดวงตาแน่วแน่ไม่แปรผันสาดประกาย
เจิดจ้าดุจสายฟ้า
พวกมันในเมื่อเสนอหน้ามา ก็อย่าหมายว่าจะได้หวนกลับไป!
เหวยเสิ้งยืนขึ้นช้า ๆ กระบี่ดาคล้ายสนองตอบต่อผู้เป็นนาย พุ่งวาบ
เข้าไปในมือของเหวยเสิ้งในบัดดล
ชาวปิศาจที่ด้านล่างเวทีพากันประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมัน
เห็นเหวยเสิ้งมีปฏิกิริยาอื่นก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น ในการประลองที่ผ่าน
ๆ มา หากคู่ต่ อสู้ยังไม่ขึ้นมาบนเวที เหวยเสิ้งจะเพียงแค่นั่งหลับตานิ่งงัน
เท่ากับศิลาก้อนหนึ่ง
ครั้งนี้มันคิดทาอะไร?
ชาวปิศาจล้วนเผยสีหน้างุนงงสงสัย
ในเวลานี้เอง พวกมันได้ยินเสียงตวาดสดใสกังวานของเหวยเสิ้ ง ดั ง
ก้องอยู่ในสองหู
“เซียนกระบี่คุนหลุน เจ้ากลายเป็นคนซุกหัวหดหางไปตั้งแต่เมื่อใด?”
กระบี่ดาของเหวยเสิ้งจ่อจี้ใส่เซียนกระบี่คุนหลุนในฝูงชน
เซียนกระบี่คุนหลุน!
บรรดาปิศาจบนที่นั่งผู้ชมพากันตะลึงงัน
คุนหลุน เพียงสองคานี้ ตลอดหลายพันปีมานี้นามาซึ่งความเจ็บปวด
ไม่มีที่สน
ิ้ สุดสาหรับเผ่าปิศาจทั้งมวล
ในทิศทางที่กระบี่ ข องเหวยเสิ้งจ่อจี้ใส่ ฝูงชนชาวปิศาจแตกฮือออก
จากกันดุจดั่งสายน้าแหวกออกเป็นสองฝั่ ง เผยให้เห็นเซียนกระบี่แห่ งคุน
หลุนยืนอยู่ตามลาพังท่ามกลางกลุ่มคน
คนผู้นี้ร่างไม่สูงไม่ต่า รู ปโฉมธรรมดาสามัญยิ่ง เทียบกับปิศาจทั่ว ไป
มันเทียบไม่มีข้อแตกต่างอันใด หากมันรวมเข้า ไปในกลุ่มคนจะถูกหลอม
กลืนหายไปในทันที
เซียนกระบี่คุนหลุนไม่ข ยับเคลื่อนไหว เจตจ านงกระบี่ข องเหวยเสิ้ง
ล้อมกักมันเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ข้าใคร่รู้ยิ่งนัก เจ้าค้นพบข้าได้อย่างไรกัน?”
สุ้ ม เสี ย งของมัน แห้งผาก แหบพร่ า ฟั ง ระคายหู ยิ่ ง ทั้ ง ยั ง ปราศจาก
พลังสภาวะใด ประหนึ่ งว่ามันเป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่งก็มิปาน แต่ทว่า
วาจาที่เอ่ยออกมา กลับช่วยยืนยันศักดิ์ฐานะของมันได้เป็นอย่างดี
“กระบี่ของข้ารู้จักเจ้า”
เหวยเสิ้งกล่าวอย่างเย็นชา
วาจายังไม่ทันจะขาดหู ช่องว่างระหว่างมันกับเซียนกระบี่คุนหลุนผู้
นัน
้ พลันแปรเปลี่ยนเป็นห้วงความว่างเปล่าอันไร้ที่สน
ิ้ สุดผืนหนึ่ง
“ว่ากันว่าส านักกระบี่สุญตามีเพลงกระบี่ระดับหกวิชาหนึ่ง เรียกว่า
เคล็ดกระบี่สุญตา นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถยกระดับเพลงกระบี่นี้ขึ้นไป
จนเหนือล้ากว่าต้นกาเนิด หากเจ้าส านักกับเหล่าอาจารย์อาอันเป็นที่รัก
ของเจ้าในหลุมศพได้ยินเรื่ องนี้ พวกมันคงต้องปลาบปลื้มประโลมใจจน
หลั่งน้าตาเสียเป็นแน่แท้” เซียนกระบี่คุนหลุนแย้มยิ้มพลางกล่าวราวกับ
ราพึงกับตัวเอง
เหวยเสิ้งสะท้านขึ้นทั้งร่าง
สายตาแข็งกร้าวของมันค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเจ็บปวดรวดร้าว มือกา
ด้ามกระบี่ดาแนบแน่น แน่นเสียจนข้อนิว
้ ขาวซีด ทั้งยังสัน
่ สะท้านเล็กน้อย
ห้วงความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดไหวกระเพื่อม เผยให้เห็นเค้าลางของ
ความไม่มั่นคง
เซี ย นกระบี่ คุ น หลุ น ใบหน้ า เกลื่ อนไปด้ ว ยรอยยิ้ ม จาง ๆ มั น เดิ น
ทอดน่องเข้าหาเหวยเสิ้งอย่างแช่มช้า ราวกับกาลังเดินเล่นท่องชมทิวทัศน์
ก็มิปาน
“ช่างน่าเสียดายที่เจ้า มิอาจพบหน้าพวกมันเป็นครั้งสุดท้าย กระทั่ง
บรรดาศิษย์น้องของเจ้ายังจบสิ้นลงในมือของพวกปิศาจ กลายเป็นทาส
ของพวกมัน ส านักกระบี่สุญตาที่คงอยู่มานานหลายร้อยปีถึงกับมีจุดจบ
เช่นนี้ ช่างบันดาลให้ผู้คนเศร้าเสียดายนัก”
เหวยเสิ้งนิ่งเงีย บ แต่อีกฝ่ายยิ่งกล่ าววาจา สีเลือดบนใบหน้า มั น ยิ่ ง
เลือนหายไปเรื่อย ๆ
เซี ย นกระบี่ คุ น หลุ น มองดู เ หวยเสิ้ ง คล้ า ยยิ้ ม ไม่ เ ชิ ง ยิ้ ม ในรายงาน
ข้อมูล ข่าวสารของทางส านัก เหวยเสิ้งผู้คนแม้นิสัยใจคอแกร่งกร้า วเด็ ด
เดี่ยว แต่มีน้าใจไมตรีต่ อส านัก ของตนมาก และนี่เป็นจุดอ่อนที่ ร้ า ยแรง
ที่สุดของมัน!
มีเพียงเจตจานงกระบี่ที่เป็นนิรันดร์ สามารถคงอยู่ได้หลายพันชั่วอายุ
คน อารมณ์ความรู้สึกเป็นเพียงเรื่องของปุถุชน หากเจตจานงกระบี่ข อง
พวกมั น ติ ด ข้ อ งอยู่ ใ นห้ ว งอารมณ์ ค วามรู้ สึ ก พวกมั น จะไม่ มี วั น บรรลุ ถึง
จุดสูงสุดแห่งมรรคากระบี่ได้
ช่างน่าเสียดายแทนยอดบุรุษเหล็กผู้นี้นัก!
เซียนกระบี่คุนหลุนใบหน้ายังคงเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาเต็มไป
ด้วยไอยะเยียบเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
กระบี่เล่มน้อยโปร่งบางราวกับปีกจักจั่นปรากฏขึ้นในมือของมัน
แต่แล้วชั่วพริบตาที่มันจะลงมือ ทันใดนั้นมันกลายเป็นตื่นตัวขึ้นมา
ดวงตายะเยียบเย็นชาแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน
ต่อหน้าต่อตามันนี้เอง พลังสภาวะของเหวยเสิ้งจู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนไป
กลิ่นอายเก่าแก่และโดดเดี่ยวเดียวดายชนิดหนึ่ง ท่วมท้นไปด้วยความ
โศกศัล ย์อันลึกล้า พลันถาโถมออกมาจากห้วงความว่ างเปล่าไร้ ที่ สิ้ น สุ ด
เปลี่ยนเป็นเส้นสายจมหายเข้าไปในกระบี่ดาในมือเหวยเสิ้งอย่างไม่หยุดยั้ง
กระบี่ดาพลันคารามกระหึ่มก้อง!
ราวกับเสียงกู่คารามของสัตว์ร้ายบรรพกาล กลิ่นอายดุร้ายอามหิตอัด
แน่นอยู่ในอากาศ กลิ่นโลหิตฉุนกึกแผ่ออกมาจากกระบี่ดา ผสานรวมเข้า
ไปในความว่างเปล่าสีดาทมิฬที่อยู่โดยรอบ
แทบจะชั่วพริบตาเดียว ความว่างเปล่าสีดาทมิฬกลับกลายเป็นย้อม
ด้วยสีแดงเข้มดั่งโลหิต
เหวยเสิ้งร่างสั่นสะท้านอย่างรุ นแรง ใบหน้าขาวเผือดราวกับว่าโลหิต
ทั้ ง หมดในกายถู ก สู บ ออกไป แต่ มื อ ข้ า งที่ ถื อ กระบี่ ด าของมั น หนั ก แน่ น
มั่นคงดุจหินผา ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
เซียนกระบี่คุนหลุนสะท้านใจ เงยหน้าขึ้นทันควัน เห็นกระบี่สีเลือด
ใหญ่โตมโหฬารปานขุนเขาลอยขึ้นจากด้านหลังของเหวยเสิ้ง
กระแสธารโลหิตหมุนคว้าง กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยคาวโลหิตและความ
โหดเหี้ยมบันดาลให้ใจกระบี่ของมันถึงกับสัน
่ สะท้านโดยไม่รู้ตัว
นี่มัน... ...
ดวงตาแดงก่าเล็กน้อยของเหวยเสิ้งกลับกลายเป็นแดงเข้ม แดงเข้ม
จนแทบจะกลับกลายเป็นสีดา
สีดาอันลึกล้าดุจเดียวกันกับห้วงความว่างเปล่าก่อนหน้านี้
เจตนาฆ่าฟันและกลิ่นคาวเลือดคล้ายเลือนหายไป กระบี่โลหิต เล่ม
มหึมาเบื้องหลังเหวยเสิ้งก็เลือนหายไปพร้อมกัน ราวกับว่าเป็นเพียงภาพ
ลวงตาฉากหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ห้วงความว่างเปล่าที่แต่งแต้มด้วยสีเลือดรอบด้าน เป็น
เครื่องยืนยันให้ผู้คนตระหนักว่าภาพเมื่อครู่หาใช่ภาพลวงตาไม่
เซียนกระบี่คุนหลุนปากอ้ากว้าง ถลึงตามองด้านหลังเหวยเสิ้ง อย่ าง
ไม่เชื่อสายตา ทาท่าราวกับพบพานผีสางกลางวันแสก ๆ
“กระบี่โลหิตประหารเทพ.... ... เป็นไปไม่ได้... ...”
มันราพึงเสียงแทบเป็นกระซิบด้วยสีหน้าซีดเผือด
เหวยเสิ้งสีหน้ากลับเป็นปกติ กระบี่ดาเล่มน้อยในใจมันเปลี่ยนเป็นสี
แดงทั้ งเล่ ม ห้ ว งความว่ าง เ ปล่ าร อ บ ด้ าน ก็ ถู ก ย้ อ ม ด้ ว ยสี แ ด ง ฉ า น
เช่ น เดี ย วกั น ในความว่ า งเปล่ า มี ท ารกน้ อ ยตั ว เล็ ก ๆ นั่ ง ขั ด สมาธิ ท่ า
ดอกบั ว อยู่ บ นกระบี่ โ ลหิต เล่มน้ อย รู ป โฉมคลั บ คล้ า ยเหวยเสิ้ งแทบไม่มี
ผิดเพี้ยน
หยวนอิง!
ชั่วพริบตานี้ มันบุกฝ่าไปยังด่านหยวนอิง!
ระดับของเจตจานงกระบี่ของเหวยเสิ้งมักอยู่เหนือด่านพลังฝึกปรือ
ของมันเสมอ กระทั่งบรรดายอดยุทธ์ปิศาจที่มันโค่นลง ล้วนไม่เคยคาดคิด
ว่าผู้ที่เอาชนะพวกมันได้ จะเป็นเพียงเซียนกระบี่ด่านจินตันผู้หนึ่ง!
วันนี้เมื่อมันจู่ ๆ ก็ได้ยินข่าวร้ายของท่านเจ้าสานักและเหล่าอาจารย์
อา มันทั้งคลั่งแค้นและโศกเศร้าเสียใจ อารมณ์ความรู้สึกทั้งมวลสะท้อน
ประสานกับกระบี่ดาในดวงวิญญาณของมัน เจตนาฆ่าฟันอันไพศาลที่แฝง
เร้นอยู่ในกระบี่ดาบุกเข้ามาทาลายกาแพงขวางกั้นในร่างของมันทันที
ก่อนหน้านี้มันแม้สังหรณ์ใจในทางร้ายเกี่ยวกับสานัก แต่ยังไม่ยินยอม
เชื่อ เนื่องเพราะยังไม่ได้รับข่าวที่แท้จริงของท่านเจ้าสานักกับพวก ดังนั้น
มันยังคงหลงเหลือความหวังสายหนึ่ง แต่บัดนี้คนตรงหน้าช่วยยืนยันข้อ
สงสัยของมันอย่างชัด แจ้ ง ในความโศกศัล ย์ อัน รุ น แรง เหวยเสิ้งสูญ เสี ย
ความสามารถในการสงบระงับใจเพียงน้อยนิดที่ยังมี กาแพงสุ ดท้ายที่ก้ัน
ขวางระหว่างมันกับกระบี่ดาพังทลายลงในบัดดล
การสั่งสมอย่างยาวนาน รวมถึงความเข้าใจที่มันได้รับจากชายขอบ
ของความเป็นความตาย ช่วยให้มันฝ่าด่านสาเร็จอย่างไม่ลาบากยากเย็น
มือสังหารจากคุนหลุนผู้นี้ ความจริงคิดใช้เรื่องนี้ ทาให้ใจกระบี่ ข อง
เหวยเสิ้ ง เผยจุ ด อ่ อ นออกมา แต่ มั น ร้ อ ยไม่ คิ ด พั น ไม่ คิ ด ไม่ คิ ด ว่ า จะ
กลายเป็นหยิบยื่นโอกาสให้เหวยเสิง้ ฝ่าด่านรุดหน้าไปสู่ด่านหยวนอิง
“กระบี่โลหิตประหารเทพ... ที่แท้เจ้าถูกเรียกเช่นนั้น...”
เหวยเสิ้งลูบกระบี่ด าในมือ เบา ๆ พลางกล่าวคล้ ายร าพึ งกั บตั ว เอง
กระบี่ดาคล้ายรู้สึกถึ งความโศกเศร้ า ในใจเหวยเสิ้ง เจตนาฆ่าฟันยิ่ ง แรง
กล้าขึ้นทุกขณะ ทั้งยังสัน
่ อย่างรุนแรง กระบี่ให้กาเนิดเส้นใยโลหิตที่แล่นไป
ตามใบกระบี่ เพียงไม่กี่อึดใจให้หลัง กระบี่ดาก็ถูกย้อมไปด้วยริ้วโลหิต
ลายโลหิตบนกระบี่คล้ายแผ่ซ่านกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ประการ
หนึ่ง
หากจั่วม่ออยู่ที่นี่ มันจะล่วงรู้ในบัดดลว่ากลิ่นอายนี้คือพลังเทพ! พลัง
เทพอันบริสุทธิ์ยิ่งชนิดหนึ่ง!
ริ้ ว โลหิ ต เหล่ า นี้ คื อ โลหิ ต ของเหล่ า นั ก รบสั ญ ลั ก ษณ์ ศึ ก เมื่ อครั้ ง
กระโน้น โลหิตซึ่งกระบี่ดาได้ดูดกลืนเข้ามาเมื่อหลายหมื่นปีล่วงมาแล้ว!
เซียนกระบี่คุนหลุนในที่สุดก็ปลุกปลอบสมาธิจิตใจ ตั้งสติได้ทันควัน
แต่ใบหน้าของมันกลับยิ่งซีดขาวกว่าเดิม ใจกระบี่ของมันถูกเหวยเสิ้งสะกด
ข่มอย่างสิน
้ เชิง!
ห้วงความว่างเปล่าสีแดงเข้มรอบด้านประดุจกรงเหล็กมหายักษ์ ล้อม
ตรึงมันเอาไว้อย่างแน่นหนา
เป็นไปไม่ได้!
ต่อให้เป็นกระบี่โลหิตประหารเทพ ก็ไม่สมควรร้ายกาจถึงปานนี้!
นี่มัน... ...
ความคิดอันน่าสะพรึงกลัวประการหนึ่งผุดขึ้นในใจมัน
ในเวลานี้เอง เหวยเสิ้งพลันเงยหน้าขึ้นมองตรงมายังมัน
ชั่วพริบตานี้ มือสังหารจากคุนหลุน เหวยเสิ้งและห้วงความว่างเปล่าสี
แดงโดยรอบคล้ายหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
เป็นไปตามคาด... ...พลังฝีมือของมันรุดหน้าไปมาก!
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์อาทั้งหลายที่บนสวรรค์ ภายใต้เขตแดน
กระบี่ สุ ญ ตาของข้ า ศิ ษ ย์ เ หวยเสิ้ ง ... ขอเสนอโลหิ ต แห่ ง คุ น หลุ น เป็ น
เครื่องเซ่นสังเวย!”
นี่เป็นคาพูดประโยคสุดท้ายที่เซียนกระบี่คุนหลุนได้สดับฟัง
บทที่ 683 อรรถาธิบายเรื่องพลังเทพ
เขิงเหลียนเอ๋อร์จ้องมองลูกกลมแสงในมือของจั่วม่ออยู่ครึ่งค่อนวัน
ก่อนจะถามอย่างอดไม่ได้ “เจ้าไฉนต้องฝึกปรือเวทวิชาด้วย?”
ไม่กี่วันมานี้จ่ัวม่อจู่ ๆ ก็เริ่มฝึกปรือเวทวิชาอย่างคร่าเคร่ง เขิงเหลียน
เอ๋อร์แม้ไม่ค่อยล่วงรู้เกี่ยวกับเวทวิชามากนัก แต่นางทราบดีว่าด้วยนิสัยใจ
คอของจั่วม่อ มันไม่เคยกระทาเรื่องราวที่ไม่มีประโยชน์
จู่ ๆ เปลี่ยนจากการฝึกปรือพลังเทพไปฝึกปรือพลังปราณ ไม่ว่าจะ
มองอย่างไรนางก็เห็นว่าแปลกประหลาดยิ่ง
จั่วม่อเหงื่อไหลท่วมกาย ดูท่ามันต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่
ยังคงไม่ห ยุดมือ เพียงฝึกไปพลาง กล่าวตอบนางไปพลาง “พลังทั้งสาม
ล้วนเป็นกิ่งก้านสาขาที่แตกแยกออกมาจากพลังเทพ การฝึกปรือพลังทั้ง
สาม สามารถช่วยพัฒนาพลังเทพของเราได้”
เขิงเหลียนเอ๋อร์สีหน้าสับสนงุนงง
นางถือครองมรดกเคล็ดวิชาจากชนเผ่าเทพจันทรา ความเข้าใจใน
ด้านพลังเทพของนางแตกต่างจากของจั่วม่ออย่างสิน
้ เชิง
จั่ ว ม่ อ ไม่ ไ ด้ อ ธิ บ ายว่ า มั น มาถึ ง ข้อ สรุ ป นี้ ไ ด้ อ ย่า งไร แต่ ผู เ ยากั บ เว่ ย
ค้นพบหลักฐานที่ส นับสนุนข้อสรุ ปนี้ ซึ่งไม่อาจอธิบายได้ด้วยวาจาเพียง
ไม่กี่ประโยค
แต่มั นยังคงอธิบายเพิ่มเติมว่า “พลังเทพที่ห ายสาบสูญไปจากหน้า
ประวัติศาสตร์ สมควรมีสาเหตุอ่ น
ื นอกเหนือจากการขาดการสืบทอด”
เขิงเหลียนเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “สาเหตุใด?”
การสูญหายของพลังเทพเป็นหนึ่งในปริศนาที่ลี้ลับที่สุดมาโดยตลอด
จนถึงบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายได้ชัดแจ้ง ยุคบรรพกาลอยู่ในอดีตที่
ห่ า งไกลเกิ น ไป บั น ทึ ก ที่ เ หลื อ รอดมาจากยุ ค สมั ย นั้ น มี เ พี ย งน้ อ ยนิ ด
มิหนาซ้าส่วนใหญ่ยังไม่ได้กล่าวไว้อย่างชี้เฉพาะเจาะจง ควรทราบว่าพลัง
เทพนั้นแข็งแกร่งกว่าพลังทั้งสาม อากุ่ย จั่วม่อและเขิงเหลียนเอ๋อร์เพิง่ จะ
อยู่ ใ นด่ า นมนุ ษ ย์ ขั้ น เริ่ ม ต้ น เท่ า นั้ น แต่ เ มื่ อพวกมั น ผนึ ก ก าลั ง กั น กลั บ
สามารถสั ง หารฝ่ า นซู ผู้ ห นึ่ ง ความเหนื อ ล้ า ของพลั ง เทพย่ อ มเป็ น ที่
ประจักษ์ชัด
แต่ พ ลั ง เทพที่ ร้ า ยกาจถึ ง เพี ย งนั้ น กลั บ ยั ง คงสาบสู ญ ไปจากหน้ า
ประวั ติ ศ าสตร์ ส่ ว นพลั ง ทั้ งสามที่ ไ ม่ ไ ด้ ท รงพลัง อ านาจเท่ า กลั บ พั ฒ นา
รุ ดหน้าอย่างไม่ห ยุดยั้ง เป็นที่นิยมใช้งานไปทั่วหล้ า จวบจนกระทั่ง กลั บ
กลายเป็นวิถีหลักไปแทน นี่เป็นเรื่องที่ผู้คนยากจะเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นซิว
เจ่อ อสูรหรือปิศาจล้วนแสวงหาคาตอบเรื่อยมา
เขิงเหลียนเอ๋อร์พอฟังว่าจั่วม่ออาจค้นพบสาเหตุดังกล่าวแล้ว ย่อม
รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างสุดจะสะกดกลั้นเอาไว้ได้
“ศรั ท ธา” จั่ ว ม่ อ ตอบเสี ย งราบเรี ย บ ขณะที่ เ วทวิ ช าในมื อ ไม่ ไ ด้ ยุ่ ง
เหยิงแม้แต่น้อย
“ศรัทธา... ...” เขิงเหลียนเอ๋อร์งงงันวูบ
“นักรบแห่งชนเผ่าโบราณนั้นมีอัตลักษณ์อีกประการหนึ่ง นั่นคือพวก
มันเป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าของตน พวกมันเป็นตัวแทนของศรัทธาความ
เชื่อ ดุจ ดั่งเทพเทวาในชนเผ่ าของพวกมัน เป็นตัวตนที่ชนเผ่า เซ่ น สรวง
บู ช า นั่ น คื อ เหตุ ผ ลที่ ไ ฉนชนเผ่ า โบราณล้ ว นมี วิ ห ารเทพ และปั จ จุ บั น นี้
พวกเราไม่ ว่ า จะเป็ น ซิ ว เจ่ อ อสู ร หรื อ ปิ ศ าจ ล้ ว นไม่ มี สั ญ ลั ก ษณ์ ศึ ก หรื อ
วิหารเทพอีกแล้ว”
เขิงเหลียนเอ๋อร์เริ่มครุ่นคิดตรึกตรองตามแนวคิดนี้
“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การฝึกปรือพลังเทพในปัจจุบันนี้แตกต่างจาก
เมื่อครั้งกระโน้น พวกเราแม้สืบทอดมรดกพลังเทพ แต่ไม่อาจเป็นเทพเท
วาที่ผู้คนสักการะบูชาเหมือนในยุคบรรพกาล ดังนั้นพวกเราไม่มีทางเป็น
นักรบสัญลักษณ์ศึกได้ ไม่ส ามารถรวบรวมศรัทธาความเชื่อ หรือให้ผู้อ่ ืน
เซ่ น สรวงบู ช า แต่ พ วกเราสามารถใช้ ก ารฝึก ปรื อพลังทั้ ง สามเข้าแทนที่
พลั ง ทั้ ง สามแม้ ไ ม่ แ ข็ ง แกร่ ง เท่ า พลั ง เทพ แต่ ร ะบบการฝึ ก ปรื อ ละเอี ย ด
ซับซ้อนและเข้มงวด พวกมันยังพัฒนามาจากพลังเทพ ดังนั้นพลังทั้งสาม
เป็นตัวช่วยชั้นเลิศในการฝึกปรือพลังเทพ”
จั่ ว ม่ อ พอกล่ า วไปกล่ า วไป ประกายแสงบนฝ่ า มื อ ของมั น เริ่ ม เผย
สัญญาณของการสั่นไหว จนมันต้องรีบรั้งสติกลับคืนมา
เขิงเหลียนเอ๋อร์เป็นโฉมสะคราญผู้ปราดเปรื่องนางหนึ่ง มิหนาซ้ายัง
สื บ ทอดมรดกเคล็ ด วิ ช าที่ ส มบู ร ณ์ จ ากเผ่ า เทพจั น ทรา หลั ง จากครุ่ น คิ ด
ไตร่ตรอง นางพลันตระหนักว่ าที่จ่ัวม่อว่ามาคงไม่ผิดพลาดแล้ว ในมรดก
เคล็ดวิชาของชนเผ่าเทพจันทราที่นางถือครอง มักจะมีเนื้อหามากมายที่
เกี่ยวพันกับวิหารเทพ เดิมทีนางไม่เคยเอะใจในความหมายที่แอบแฝง แต่
บัดนี้เมื่อใคร่ครวญตามคาอธิบายของจั่วม่อ นางก็เข้าใจแจ่มแจ้งในบัดดล
วิหารเทพมีไว้เพื่อรวบรวมศรัทธาความเชื่อ
“เจ้ า สามารถสอนศาสตร์ อ สู ร และเวทวิ ช าให้ แ ก่ ข้ า หรื อ ไม่ ?” เขิ ง
เหลียนเอ๋อร์ถามโดยพลัน
จั่วม่อชะงักกึก มันคิดไม่ถึงว่าเขิงเหลียนเอ๋อร์จะร้องขอเช่นนี้ สาหรับ
ปิศาจเที่ยงแท้ตนหนึ่ง การร่าเรียนเวทวิชาหรือศาสตร์อสูรตั้งแต่แรกเริ่ม
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญประการหนึ่ง
มันมองดูเขิงเหลียนเอ๋อร์อย่างอัศจรรย์ใจอยู่บ้าง “หากเริ่มตั้งแต่ต้น
เกรงว่าจะยากลาบากไม่น้อย”
เขิงเหลียนเอ๋อร์แย้มยิ้ม” อย่างน้อยที่สุด คงไม่ยากเท่ากับการฝึกปรือ
พลังเทพกระมัง”
จั่วม่ออับจนถ้อยคา ใช่แล้ว ถูกของนาง การฝึกปรือพลังทั้งสามไหน
เลยจะยากเย็ น แสนเข็ ญ เท่ า กั บ ฝึ ก ปรื อ พลั ง เทพ แต่ จ ะอย่ า งไรมั น ก็ ไ ม่
ปฏิเสธนางอยู่แล้ว หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ ค่อยล้วงม้วนหยกออกมาสอง
ม้วน “สังขารปิศาจของเจ้าดีเลิศไม่น้อย ‘เวทวิชากระดูกหยก’ นี้ ใช้พลัง
ปราณขัดเกลากระดูก จะมีส่วนช่วยต่อสังขารปิศาจของเจ้า ส่วน ‘ศาสตร์
บูชายัญกระดูกคุกโลกันตร์’ ก็เหมาะสมกับเจ้าเช่นกัน เจ้าสมควรทดลอง
ฝึกปรือจากสองวิชานี้ก่อน”
ก่ อ นหน้ า นี้ ผู เ ยามอบศาสตร์ อ สู ร และเวทวิ ช าทั้ ง หมดที่ เ ก็ บ สะสม
เอาไว้ให้แก่จ่ัวม่อ ส่วนจู่เหยินคนก่อนของเว่ย ก็เป็นยอดยุทธ์ที่คลั่งไคล้
การต่อสู้ นางเที่ยวท้าประลองกับผู้คนนับไม่ถ้วนตั้งแต่ยังเยาว์วัย ส่งผลให้
เว่ ย เองก็ ก ลั บ กลายเป็ น มีค วามรู้ ค วามเข้ า ใจในทั ก ษะปิ ศ าจอย่ างลึกล้า
และเช่นเดียวกันกับผูเยา ทักษะปิศาจร้อยชนิดพันประเภทที่มันถือครอง
เว่ยไม่ได้สงวนสิ่งใดไว้อีกเลย
เหล่ายอดวิชาที่สามารถดึงดูดความสนใจจากผูเยากับเว่ยได้ ย่อมมิใช่
ธรรมดาสามัญ นอกเหนือจากช่วงเวลาที่ใช้ในการฝึกปรือ หลายวันมานี้
จั่วม่อยังใช้เวลาพลิกอ่านดูเวทวิชา ศาสตร์อสูรและทักษะปิศาจนับไม่ถ้วน
ยอดวิ ช าเหล่ า นี้ แ ม้ ว่ า เที ย บกั บ เทพวิ ช าแล้ ว จะอ่ อ นด้ อ ยกว่ า มาก เนื่ อ ง
เพราะพวกมันไม่ได้ทรงพลังอานาจเหมือนกั บเทพวิชา แต่ในด้านบังคับ
ควบคุมพลังนั้น นับว่ามีความต้องการที่ละเอียดอ่อนกว่ามาก
‘เริ่มต้นจากพลังทั้งสาม’ นี่เป็นผลลัพธ์ที่จ่ัวม่อ ผูเยาและเว่ยสรุ ปได้
จากการถกเถียงหารือในเรื่องการรังสรรค์พลังเทพใหม่
พวกมั น ล้ ว นเห็ น พ้ อ งต้ อ งกั น ว่ า วิ ถี ข องพลั ง เทพในปั จ จุ บั น นั้ น
แตกต่างจากพลังเทพของชนเผ่าโบราณในยุคบรรพกาลอย่างสิ้นเชิง
เมื่อวิถีทางนี้ถูกพิสูจน์ยืนยันแล้ว จั่วม่อก็ฝังตัวเองลงไปใน ‘หอคัมภีร์
ผูเว่ย’ ซึ่งอาจเป็นตัวตนที่เทียบเคียงได้กับหอคัมภีร์ของสี่มหาสานัก
ในแต่ละวัน มันนอนหลับพักผ่อนเพียงวันละสองชั่วยามเท่านั้น เวลา
ทั้งหมดใช้ไปกับการอ่านเคล็ดวิชาหรือฝึกฝีมือ ผูเยากับเว่ยยังผนึกกาลัง
กัน ช่วยมันออกแบบตารางการฝึกปรือที่เข้มงวดยิ่ง ตารางการฝึกปรือนี้
แจกแจงอย่ า งละเอีย ดยิบ ย่ อยจนถึง หน่ว ยหนึ่ งในยี่สิบ ของชั่ ว ยาม และ
เข้มงวดเคร่งครัดราวกับว่าเป็นบันทึกวิชาหลอมสร้างก็มิปาน
จั่วม่อกระทาตามแผนการฝึกปรือนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อใดที่มันเหน็ดเหนื่อยจนแทบอยากตาย จั่วม่อจะหันไปมองอากุ่ย
ซึ่งนัง่ เงียบๆ อยู่ไม่ห่างจากมัน แล้วมันจะอัดแน่นไปด้วยพลังอีกครัง้
มันไม่เคยมุ่งมั่นจดจ่อและพากเพียรพยายามถึงเพียงนี้มาก่อน
กระทั่งผูเยากับเว่ยยังลอบอัศจรรย์ใจ ซึ่งความจริงตารางการฝึกปรือ
ที่พวกมันคิดค้นออกมา มีเพียงความเป็นไปได้ในทางทฤษฏีเท่านั้น เมื่อ
ยามที่พวกมันคิดวางแผนออกมา ไม่ได้คาดคิดว่าจั่วม่อจะทาสาเร็จเสร็จ
สิน
้ จริง ๆ
แต่รอจนจั่วม่อฝึกปรือเสร็จสมบูรณ์ต้งั แต่ครั้งแรก พวกมันถึงกับลอบ
ประหวั่นใจ
เสี่ยวม่อเกอที่อยู่ต่อหน้าพวกมันนี้ ช่างดูแปลกตาอย่างน่าประหลาด
ใจเสียเหลือเกิน
วันแล้ววันเล่า จั่วม่อยังคงคร่าเคร่งฝึกปรืออย่างมุ่งมั่นขันแข็ง ไปตาม
แผนการฝีกฝีมือที่พวกมันทั้งสองวางไว้ให้อย่างสมบูรณ์แบบ
คราวนี้แม้แต่ผูเยากับเว่ยยังนิ่งขึงตะลึงงัน ถึงขั้นที่พวกมันไม่ทราบ
จะกล่ า วกระไรออกมา แต่ ใ นสายตาของจั่ ว ม่ อ เพี ย งเท่ า นี้ ยั ง ไม่ พ อต่ อ
ความต้องการของมัน
พลังฝีมือของมันรุดหน้าช้าเกินไป!
ผู เ ยากั บ เว่ ย เห็ นว่ า ระดั บ การรุ ด หน้า ในยามนี้ หากไม่ มี ก ารกระตุ้น
จากสถานการณ์ภายนอก เกรงว่าใกล้จะถึงขีดจากัดสูงสุดแล้ว สาหรับเรื่อง
การศึกษาค้นคว้าพลังเทพ พวกมันสมควรจัดอยู่ในแถวหน้าสุดของทั่วทั้ง
สามภพ
ในเมื่อวิธีการทั่วไปใช้การไม่ได้แล้ว เช่นนัน
้ พวกมันก็ต้องใช้วิธีการอัน
รุนแรง
ยกตัวอย่างเช่น การต่อสู้พิสูจน์เป็นตาย
จั่ ว ม่ อ ก าลั ง เฝ้ า รอให้ ก าลั งเสริ มจากวั ด เสวี ยนคงเดิ นทางมาถึ ง วั ด
เสวียนคงผู้ยิ่งใหญ่จะต้องไม่ยอมละทิ้งโอกาสอันดีงามที่จะได้ครอบครอง
พลังเทพ ดูจากการที่ พวกมันยิน ยอมส่งยอดคนด่ านฝ่ านซูอ อกมาคราว
เดียวถึงสองคน ก็เป็นที่เห็นได้ชัดเจน ว่าวัดเสวียนคงปรารถนาจะคร่ ากุม
พวกจั่วม่อให้จงได้
ทันใดนั้นจั่วม่อหยุดการผนึกเวทวิชาในมือ สีหน้าแปรเปลี่ยนวูบหนึ่ง
คิดถึงโจโฉ โจโฉก็มา!
หนึ่ง สอง สาม ... ...
สามสิบคน แต่ละคนล้วนเป็นหยวนอิง!
จั่วม่อตะลึงลานอยู่บ้าง วัดเสวียนคงช่างประเมินมันเอาไว้สูงนัก!
ขุ ม ก าลั ง อั น ยิ่ ง ใหญ่ เ กรี ย งไกรเช่ น นี้ กลั บ ไม่ ไ ด้ ท าให้ มั น หวาดหวั่ น
พรั่นพรึง ตรงกันข้าม มันรู้สึกเลือดลมเดือดพล่าน จิตวิญญาณการต่อสู้ลุก
โชนอยู่เต็มอก มันปรารถนาจะโถมเข้าเข่นฆ่าฟาดฟันกับฝูงโจรหัวโล้นใน
บัดดล
จั่วม่อสงบใจลงอย่างรวดเร็ว คิดเอาชัยสามสิบหยวนอิงจากวัดเสวียน
คงย่อมมิอาจใช้แต่กาลัง มันต้องใช้กลอุบาย
ชั่ววูบต่อมา เขิงเหลียนเอ๋อร์พลันหยุดฝึกฝีมือ หันมามองจั่วม่อด้วยสี
หน้าเคร่งขรึม จั่วม่อไม่กล่าวคาใด เพียงผงกศีรษะต่อนาง เขิงเหลียนเอ๋อร์
รู้ใจมัน ทะยานร่างขึ้นกลางอากาศในบัดดล จั่วม่อหันไปคว้าตัวอากุ่ย แล้ว
ดีดกายเหินตามขึ้นไป
“พวกมันอยู่ที่นั่น!”
เหล่าผู้อาวุโสวัดเสวียนคงระบุตาแหน่งของคนทั้งสามได้ในทันที พา
กันไล่ตามมาอย่างเร็วรี่
แต่แล้วเหล่าผู้อาวุโสวัดเสวียนคงกลับค้นพบในบัดดล ว่าคนทั้งสาม
ยังรวดเร็วยิ่ง กว่ า พวกมัน มาก ภายในชั่วพริ บตา ก็ห ลงเหลือเพียงรอยสี
ขาวจาง ๆ ทิ้งไว้ในท้องฟ้า ไม่มีร่องรอยของคนทั้งสามอีก
“รวดเร็วกระไรปานนี้!”
ผู้อาวุโสหลายคนอดทอดถอนชมเชยไม่ได้ อาศัยระดับความเร็วเช่นนี้
แทบจะทัดเทียมกับเซียนกระบี่แห่งคุนหลุนเลยทีเดียว
“นี่คือวิชา ’รอยฟ้า’!”ผู้อาวุโสที่รอบรู้กว้างขวางผู้ห นึ่งอุทานด้วยสี
หน้าประหลาดใจ
“รอยฟ้า?”
ผู้อาวุโสหลายคนงงงันวูบ พวกมันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยได้ยิน
นามนี้จากที่ใดมาก่อน แต่ยามกะทันหันยังนึกไม่ออก
“มันมาจากมหาสงครามพันปี เคล็ดวิชาลับของสานักเทพเดินหน!”
ประโยคนี้สะกิดความทรงจาของผู้อาวุโสที่เหลือทันที อย่างไรก็ตาม
มิใช่ผู้อาวุโสทุกคนที่มีความสนใจศึกษาเรื่องของสานักที่คงอยู่ต้ังแต่ครั้ง
มหาสงครามพันปี ดังนั้นมีคนร้องบอกว่า “เหล่าหลิน บอกกล่าวให้ละเอียด
กว่านี้ได้หรือไม่”
เหล่าหลินรีบขยายความอย่ างไม่ เ กี่ยงงอน “ส านักเทพเดินหนเป็ น
ส านักระดับกลางในยุ คก่ อนมหาสงครามพันปี พวกมันมีส องยอดวิ ช าที่
ทรงอานุภาพยิ่ง หนึ่งเรียกว่า ‘วิชาสังหารกลางหาว’ อีกหนึ่งเป็น ‘วิชารอย
ฟ้า’ นี้เอง รอยฟ้าเป็นยอดวิชาเหินหาวชั้นสูงสุดในยุคนั้น เมื่อผู้คนใช้ยอด
วิชานี้ออกมา จะทิ้งร่องรอยจาง ๆ ไว้บนท้องฟ้า ดังนั้นมันเรียกว่ารอยฟ้า
เมื่อใช้ออกพร้อมวิชาสังหารกลางหาว อานุภาพก็กลับกลายเป็นที่เลื่องลือ
ไปทั่ว แต่ทว่าส านักเทพเดินหนล้วนตกตายในมหาสงครามพันปี หรือว่า
เซี่ยวม่อเกอจะเป็นผู้สืบทอดของสานักเทพเดินหน?”
รอจนกล่าวมาจนถึงตอนจบ เหล่าหลินเผยสีหน้างุนงงสงสัยเล็กน้อย
“ทารกน้อยผู้นี้ประวัติความเป็นมาแปลกพิสดารยิ่ง ผู้อาวุโสไต้เทา
บอกว่ามันฝึกปรือทั้งสามวิถี ดูท่าจะไม่ผิดพลาดแล้ว อย่างไรก็ตาม พวก
เราไม่จาเป็นต้องเสียเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้ รอจนคร่ากุมมันได้ ยังกลัวว่า
มันจะไม่คายออกมาจนหมดเปลือกอีกหรือ” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งแค่นเสียง
อย่างเย็นชา
“ผู้อาวุโสผางกล่าวถูกต้อง!”
ผู้อาวุโสอื่น ๆ พากันพยักหน้าเห็นพ้อง
อาจเห็นได้ว่าผู้อาวุโสผางมีอานาจอิทธิพลอยู่ท่ามกลางผู้อาวุโสกลุ่ม
นี้ มั น กวาดตามองแวบหนึ่ ง จากนั้ น กล่ า วว่ า “ผู้ อ าวุ โ สสวี่ ผู้ อ าวุ โ สอู๋ ผู้
อาวุโสฮ่าว พวกเจ้าทั้งสามรวดเร็วที่สุดในสานัก โปรดล่วงหน้าไปก่อน เมื่อ
ไล่ ต ามพวกมัน ทัน อย่ า ได้ ป ะทะหัก หาญกั บ พวกมั น เพี ย งแค่ ไ ล่ ติดตาม
อย่าให้คลาดสายตาก็พอ คอยส่งตาแหน่งของพวกมันกลับมา เด็กน้อยผู้นี้
กลอกกลิง้ ยิง่ จงระมัดระวังให้มาก!”
สามผู้อาวุโสที่ถูกเอ่ยนามพยักหน้ารับคา พวกมันไม่กล่ าวมากความ
แยกย้ายทะยานออกไปกลางอากาศในบัดดล
สมแล้วที่พวกมันทั้งสามเป็นผู้มีฝีมือทางเวทวิชาเหินหาว อาศัยอาวุธ
เวทคู่ใจ พวกมันพลันเปลี่ยนเป็นลาแสงต่างสีสันสามสาย พุ่งหายวับไปใน
เส้นขอบฟ้า
ผู้ อ าวุ โ สที่ เ หลื อ ก็ ไ ม่ ชั ก ช้ า แต่ ล ะคนน าอาวุ ธ เวทเหิ น หาวของตน
ออกมา ไม่ ว่ า จะเป็ น ดอกบัว เมฆวิ เ ศษหรื อ สัต ว์ ป ราณ ผิ ด แผกแตกต่าง
ละลานตาไปหมด
วัดเสวียนคงแม้ไม่มีฝีมือทางการเหินหาว แต่จะอย่างไรเป็นหนึ่งในสี่
มหาสานัก ผู้อาวุโสแต่ละคนมั่งคั่งสมบูรณ์ ทั้งอาวุธเวทและสัต ว์ป ราณที่
พวกมันใช้ล้วนแล้วแต่เลิศล้า เปล่งประกายละลานตา เต็มไปด้วยกลิ่นอาย
น่าอัศจรรย์ ทั้งหมดไล่ตามไปอย่างไม่รีรอ
เวทวิชาที่จ่ว
ั ม่อใช้ออก เป็นยอดวิชา ‘รอยฟ้า’ จริง ๆ
นั บ ตั้ ง แต่ ที่ มั น คิ ด แผนการต่ อ สู้ เ พื่ อหล่ อ เลี้ ย งพลั ง เทพ มั น ก็ ค าด
คานวณรายละเอียดทั้งหมดไว้ล่วงหน้า เค้าพนันที่มันวางเดิมพันในครั้งนี้
ขึ้นอยู่กับว่าพลังฝีมือของมันต้องรุ ดหน้าได้ เร็ วพอที่จ ะเอาชีวิต รอดจาก
การต่ อ สู้ เรื่ อ งความอั น ตรายไม่จ าเป็ นต้อ งกล่า วถึง อี ก หากมั น พ่ า ยแพ้
เกรงว่าแม้แต่โอกาสจะสานึกเสียใจยังไม่มี
ความเร็ว เป็นหนึ่งในกุญแจสาคัญในการต่อสู้เดิมพันชีวิต หากปล่อย
ให้เหล่าผู้อาวุโสวัดเสวียนคงล้อมกักมันเอาไว้ได้ มันมีแต่หนทางตายสถาน
เดียว
เมื่อเทียบกับเหล่าผู้อาวุโสวัดเสวียนคงที่ร่ารวยอย่างล้นเหลือ อาวุธ
เวทเหิ น หาวของมั น ก็ เ รี ย กได้ ว่ า อ่ อ นด้ อ ยกว่ า มาก ดั ง นั้ น เมื่ อ มั น ค้ น พบ
เคล็ ด วิ ช ารอยฟ้ า ในกองเวทวิ ช าที่ ผู เ ยาสะสมไว้ มั น ก็ รี บ ฝึ ก ปรื อ อย่ า ง
ลิงโลดยินดี
‘รอยฟ้า’ รวดเร็วสุดเปรียบปาน สมแล้วที่เป็นยอดวิชาเหินหาวชั้น
สูงสุดเมื่อสามพันปีที่แล้ว
ระหว่างที่ด่ ืมด่าไปกับความสุขสบายในการเหาะเหินด้วยความเร็วสูง
จั่วม่อเริ่มลาดับขั้นตอนก้าวต่อไปในแผนการของมัน
เหล่าโจรหัวโล้นเอ๋ย จงเพลิดเพลินไปกับการต้อนรับขับสู้ของเกอเสีย
เถอะ!
บทที่ 684 ดักเชือด
“ตรงนี้ละ”
คนทั้งสามหยุดยั้งลงทัน ควั น ริ้วแสงหลายสายพวยพุ่ง ออกจากมื อ
ของจั่ ว ม่ อ อย่ า งพร้ อ มเพรี ย ง พุ่ ง ลงไปบนพื้ น จากนั้ น ละลายหายไปใน
พื้นดินโดยปราศจากสุ้มเสียง
จั่วม่อเผยสีหน้าพึงพอใจ ทั้งสามทะยานร่างไปข้างหน้าอีกช่วงหนึ่ง
จากนั้นหันกลับมา รอให้อีกฝ่ายติดตามมาถึง
ชั่วไม่กี่อึดใจให้ห ลัง เห็นจุดแสงสามสายปรากฏขึ้นในระยะไกล ชั่ว
พริบตาก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน ในตาแหน่ง
ไม่ห่างไกลจากคนทั้งสาม
สามผู้อาวุโสวัดเสวียนคงจ้องมองสามสหายอย่างระแวงระวัง พวก
มั น ทราบจากผู้ อ าวุ โ สไต้ เ ทาว่ า คนทั้ ง สามนี้ ร้ า ยกาจยิ่ ง ชนชั้ น หยวนอิ ง
ทั่วไปมิใช่คู่มือของพวกมัน กระทั่งมหาสมณะจี้เจิ้งผู้มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง ยัง
ตกตายภายใต้เงื้อมมือมารของคนทั้งสาม
สามอาวุโสไม่รุดหน้าอีก แต่เปลี่ยนตาแหน่งตั้งเป็นรู ปขบวนป้อ งกัน
ไม่ว่าจะอย่างไร หน้าที่ของพวกมันก็มีแค่เกาะติดคนทั้งสามเอาไว้ ป้องกัน
ไม่ให้หลบหนีลอยนวลไปได้เท่านั้น
จั่วม่อดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ สาดร่างพุ่งทะยานเข้าหาสามผู้
อาวุโสเป็นคนแรก พร้อมเปล่งเสียงตวาดดังกึกก้อง
“ฆ่า!”
เขิงเหลียนเอ๋อร์กับอากุ่ยหายวับไปกลางอากาศแทบจะพร้อมเพรียง
กัน
สามผู้อาวุโสตะลึงงันวูบหนึ่ง พวกมันรีบหมุนตัวหลบหนีทันที แต่แล้ว
ทันใดนั้นปรากฏลาแสงหลายสายสาดส่องออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของพวก
มันโดยไม่คาดคิด
ผิดท่าแล้ว!
นี่เป็นกับดัก!
สามผู้อาวุโสสีหน้าแปรเปลี่ ยนอย่างรุ นแรง เห็นประกายแสงชั้นแล้ว
ชั้นเล่าสอดประสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว แทบจะยึดครองม่านสายตา
ของพวกมั น ไปทั้ ง หมด ค่ า ยกลยั น ต์ ! ถึ ง กั บ เป็ น ค่ า ยกลยั น ต์ ! ออกจะ
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ประเมินฝ่ายตรงข้ามต่าทราม
ไปเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ตัดสินจากประกายแสงพร่างพราวตรงหน้าพวก
มันนี้ ก็บอกได้ทันทีว่านี่เป็นค่ ายกลยันต์ มิห นาซ้ายังเป็นค่ายกลยันต์ ใ น
ระดับชั้นที่สามารถเทียบเคียงได้กับค่ายกลป้องกันสานักของสานักเล็ก ๆ
แห่งหนึ่งเลยทีเดียว
เซี่ยวม่อเกอมีฝีมือทางค่ายกลยันต์ด้วย!
การค้นพบนี้ทาให้สามผู้อาวุโสตัว สั่นระริกด้วยความพรั่นพรึง เรื่องที่
เซี่ยวม่อเกอเชี่ยวชาญทั้งวิชาอสูร ปิศาจและเซียนมิใช่ความลับอีกต่อ ไป
แต่ ห ากบอกว่ า มั น ยั ง มี ฝี มื อ ทางค่ า ยกลยั น ต์ ด้ ว ย สามผู้ อ าวุ โ สก็ ไ ด้ แ ต่
แตกตื่นจนขวัญหนีดีฝ่อแล้ว ควรทราบว่าศาสตร์วิชาทางด้านค่ายกลยันต์
นั้นลึกล้าซับซ้อนสุ ดหยั่ ง คานวณ เป็นสาขาวิช าที่ ก ว้า งไพศาลจนแม้ แ ต่
เซียนยันต์เองยังยากจะฝึกปรือสาเร็จ ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่อสูรปิศาจผู้หนึ่ง
จะร่าเรียนจนแตกฉานได้?
แต่ ฝี มื อ เชิ ง ค่ า ยกลยั น ต์ ที่ เ ซี่ ย วม่ อ เกอส าแดงออกมา หาใช่ สิ่ ง ที่
สามารถดูถูกดูแคลนได้ไม่
หากเป็นเซี่ยวม่อเกอลอบเตรียมการไว้ล่วงหน้า ขุดหลุมพรางกับดัก
รอคอยให้ พ วกมั น แล่ น มาติ ด ร่ า งแหตาข่ า ยเอง เช่ น นั้ น พวกมั น คงต้ อ ง
ประสบชะตากรรมเลวร้ายแล้ว!
แต่หากเป็นค่ายกลกับดักที่เซี่ยนม่อเกอเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นเมื่อชั่วไม่กี่อึด
ใจก่ อ นหน้ า เช่ น นั้ น ฝี มื อ ทางค่ า ยกลยั น ต์ ข องเซี่ ย วม่ อ เกอก็ นั บ ว่ า น่ า
แตกตื่นสะท้านโลกแล้ว!
แต่ไม่ว่าจะเป็นทางใด ก็ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ลางดีสาหรับพวกมันแน่
ทว่าในยามนี้ไหนเลยจะใช่เวลามาไตร่ตรองข้อปลีกย่อยเหล่านี้ การ
หลบหนีออกจากหลุมพรางกับดักจึงจะเป็นสิ่งสาคัญมากที่สุด
สามผู้อาวุโสระเบิดแสงเจิดจ้าออกจากร่างอย่างพร้อมเพรียง หนึ่งใน
สามปรากฏอักขระพระสูตรเปล่งประกายรายล้อมทั่วร่าง อักขระพระสูตร
เหล่านั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นกงล้อแสงวงหนึ่งที่กลางอากาศ พุ่งจู่โจมเข้า
หาค่ายกลยันต์อย่างหักโหม!
สมณะเฒ่ า อี ก ผู้ ห นึ่ ง ปรากฏดอกบั ว ทองขึ้ น ที่ ใ ต้ ฝ่ า เท้ า เพี ย งชั่ ว
พริบตาเดียว ดอกบัวทองนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นจากพื้น ดิ นอย่ างพรัก พร้ อ ม
แผ่ ข ยายกว้ า งออกไปด้ ว ยความเร็ ว อั น น่ า ตระหนก เมื่ อดอกบั ว ทอง
เหล่ า นั้ น สั ม ผั ส ถู ก ม่ า นแสงของค่ า ยกลยั น ต์ พลั น เริ่ ม เติ บ โตขึ้ น อย่ า ง
รวดเร็ว เลื้อยปราดไปตามชั้นม่านแสงอย่างพิสดาร
ผู้อาวุโสคนสุด ท้ ายซั ดสร้ อยประค าสีอ าพัน ออกมาพวงหนึ่ง สร้อย
ประคาพอตกกระทบพื้น พลันแปรเปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปแปดองค์ แต่ละ
องค์สูงแปดจั้ง สีหน้าท่าทีผิดแผกแตกต่าง รายล้อมรอบกายมันเป็นวงกลม
จากนั้นพระพุทธรูปสามองค์บุกจู่โจมไปเบื้องหน้า
ภายในชั่วพริบตาเดียว สามผู้อาวุโสล้วนงัดทุกอย่างออกมาใช้โดยไม่
ออมรั้ง ด้วยหวังว่าพวกมันจะสามารถบุกฝ่าออกจากค่ายกลยันต์โดยเร็ว
ที่สุดเท่าที่จะทาได้
จั่วม่อเองก็ทราบดีว่าค่ายกลยันต์ชุดนี้คงไม่อาจทนรับการโจมตีข อง
สามผู้อาวุโสได้
ค่ายกลยันต์ชุดนี้ก่อตั้งขึ้นจากแผ่นจานค่ายกล ซึ่งในช่วงหลายวันมา
นี้มันทยอยหลอมสร้างขึ้นจากวัต ถุดิบที่มีอยู่ในมือ วัต ถุดิบเหล่านั้ นล้วน
แล้วแต่เป็นวัตถุดิบชั้นสูง ดังนั้นแผ่นจานค่ายกลจึงทรงอานุภาพไม่เบา แต่
ต่ อ หน้ า การจู่ โ จมอย่ า งสุ ด ก าลั ง ของสามผู้ อ าวุ โ สด่ า นหยวนอิ ง แห่ ง วั ด
เสวียนคง พวกมันไม่มีคุณค่าความหมายอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม จั่วม่อก็ไม่เคยคาดหวังว่าอาศัยแผ่นจานค่ายกลที่สร้าง
ขึ้นอย่างลวก ๆ จะสามารถล้อมกักสามผู้อาวุโสด่านหยวนอิงเอาไว้ ไ ด้อยู่
แล้ว แต่จุดมุ่งหมายในการถ่วงเวลาชั่วแวบของมัน นับว่าส าเร็จ ลุล่วงไป
ด้วยดี
แต่สิ่งที่ทาให้จ่ัวม่อประหลาดใจ ก็คือสามผู้อาวุโสถึงกับลงมือจู่โจม
ทาลายค่ายกลอย่างพร้อมเพรียง ทันใดนั้นมันค่อยตระหนัก ว่าเฒ่าหัวโล้น
ทั้งสามนี้หวาดระแวงต่อพวกมันเป็นอย่างยิง่ !
เผชิญหน้ากับการจู่โจมสุดกาลังของสามยอดคนด่านหยวนอิง แผ่น
จานค่ายกลของจั่วม่อป่นสลายเป็นผุยผงราวกับสร้างจากแผ่นกระดาษ
บึม!
เห็นพื้นดินบริเวณใต้ฝ่าเท้าของสามผู้อาวุโสระเบิดหายเป็นวงกว้ าง
ชั้นม่านแสงจากค่ายกลยันต์อันตรธานไปสิน
้
สามผู้ อ าวุ โ สยั งไม่ ทั นจะได้ ปิติ ยินดี เห็ น เงาร่ า งสองสายปรากฏขึ้น
ตรงหน้าพวกมันอย่างกะทันหัน
เป็นอากุ่ยกับเขิงเหลียนเอ๋อร์!
ผนวกกับจั่วม่อที่ยังคงรั้งอยู่ด้านหลังพวกมันทั้งสาม ก็ประกอบเป็น
ขบวนรูปสามเหลี่ยม ล้อมกักพวกมันเอาไว้ตรงกลาง
อย่ า งไรก็ ต าม คนทั้ ง สามเมื่ อ สามารถบุ ก บั่ น ขึ้ น มาจนกลายเป็ น ผู้
อาวุโสแห่งวัดเสวียนคง พลังฝีมือของพวกมันย่อมไม่รวบรัดธรรมดา
เห็นผู้อาวุโสที่อ ยู่ด้ านหน้ าสุด อักขระพระสูต รรอบกายพลัน ผสาน
รวมเข้ า กั บ ร่ า งของมั นในบั ด ดล คล้ า ยมี ชั้ น ทองค าหลอมเหลวอาบย้อม
ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พร้อมกันนั้นร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นอย่างเร็วรี่ รอ
จนสูงใหญ่กว่าสามจั้งค่อยหยุดยั้งลง
พุทธะร่างทอง!
ไม้เท้าพระธรรมสีทองด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของร่างจาแลงพระ
โพธิสัตว์ ดูโอ่อ่าอาจหาญอย่างบอกไม่ถูก
เสียงแค่นอย่างเย็นชาดังกึกก้ อ งดั่ งอัส นีบาตฟาดทลาย ผู้อาวุโสใน
ร่างจาแลงเงื้อไม้ เท้ าพระธรรมขึ้นสุดล้า แล้วหวดฟาดใส่อ ากุ่ย อย่ า งหั ก
โหม
ห่ ว งทองแดงบนยอดไม้ เ ท้ า พระธรรมพลั น ลุ ก ไหม้ ด้ ว ยเปลวไฟ
ร้ อ นแรง ประหนึ่ ง ว่ า มี วิ ญ ญาณคั บ แค้ น มากมายเหลื อ คนานั บ กรี ด ร้ อ ง
โหยหวนอยู่ภายในเปลวไฟประหลาดนี้ ชวนให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวนแทบ
ตาย นี่คือเพลิงนรกอเวจี!
ชั่วพริบตานั้น ไม้เท้าไม้ไผ่ด้ามหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือของอากุ่ย นี่
ก็คือไผ่ทะเลศพที่จ่ัวม่อมอบให้แก่นาง ทว่าไผ่ทะเลศพที่อยู่ในมือของนาง
ดูแตกต่างจากก่อนหน้านี้อยู่บ้าง เนื่องเพราะมีแก่นแกนภูตผียมโลกถูกฝัง
ลงไปยั ง ข้ อ ปล้ องที่ ส ามของท่ อ นไม้ ไ ผ่ ดู ผิ ว เผิ น เหมื อ นดวงตาอั นน่าขน
พองสยองเกล้าดวงหนึ่ง แก่นแกนภูตผียมโลกนี้ถือกาเนิดจากชนเผ่าภูตผี
ยมโลก จั่วม่อนับตั้งแต่เก็บกลับมาจากสนามรบปิดผนึกล้างเผ่าพันธุ์ ก็ไม่
ทราบจะใช้มันอย่างไรดี นึกไม่ถึงว่าพอตกอยู่ในมือของอากุ่ย จะกลายเป้น
สิ่งของที่ใช้การได้ดีไปแล้ว
เมื่ ออากุ่ ย โคจรพลั ง เทพเข้ า มาภายในไม้ เ ท้ า ไม้ ไ ผ่ แก่ น แกนภู ต ผี
ยมโลกพลั น เปล่ ง แสงลี้ ลั บ น่ า ขนลุ ก อากุ่ ย สะบั ด โบกไม้ เ ท้ า ไม้ ไ ผ่ อ ย่ า ง
ปลอดโปร่งคราหนึ่ง
ตัวประหลาดใบหน้าเขียวเขี้ยวยาวโง้งปรากฏขึ้นขวางตรงหน้าอากุ่ย
มันดูคล้ายเป็นส่วนผสมของครึ่ งวานรครึ่งมนุษย์ สองมือสองเท้าเต็มไป
ด้วยกรงเล็บยาวเฟื้ อย สิ่งที่ส ะดุดตาที่สุด คือแถวหนามแหลมยาวที่เรียง
รายตั้งแต่หลังศีรษะลงไปจนจรดปลายหาง ดวงตาของมันเปล่งแสงสีม่วง
น่าขนพองสยองเกล้าชนิดหนึ่ง
เมื่อตัวประหลาดผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏตัวออกมา พลันแหงนหน้ากู่คาราม
ดังสะเทือนฟ้า พลังอันดุดันไพศาลกวาดวาบออกเป็นวงกว้ าง ประหนึ่ ง
ภูเขาไฟระเบิดก็มิปาน!
พื ช พรรณในละแวกใกล้ เ คี ยง เหี่ ย วแห้ ง สลายเป็ นผุ ยผงด้ ว ยระดับ
ความเร็วที่มองเห็นได้ชัดตา
เพลิงอเวจีที่หวดฟาดใส่อ ากุ่ ยไหววู บ ในบั ด ดล ตัวประหลาดยื่ น มื อ
ออกคว้าหัวไม้เท้าของไม้เท้าพระธรรมอย่างแม่นยา
มั น ยั ง ปล่ อ ยให้ เ พลิง นรกอเวจีเ ผาผลาญฝ่า มื อ ของตนอย่ า งปลอด
โปร่ง ทีท่าคล้ายไม่ได้รู้สึกรู้สาอันใดกับเปลวไฟเลื่องชื่อนี้เลย
ทันใดนั้นในดวงตาดุร้ายของอมุษย์สาดประกายสีม่วงวูบ เพลิงนรก
อเวจีที่หัวไม้เท้าพระธรรมพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระแสเพลิงสายหนึ่ง ถู ก
ดู ด หายไปเข้ า ไปในฝ่า มื อของมัน ! ในเวลาเดี ย วกั น บนแขนขวาของมัน
พลันปรากฏลวดลายสีแดงเพลิงขึ้น
มหาสมณะสูงศักดิ์แห่งวัดเสวียนคงสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้ นยาก
ตัวประหลาดอันร้ายกาจนัก!
มั น ย่ อ มรู้ จั ก ไม้ ไ ผ่ท ะเลศพในมือ ของอากุ่ ยเป็ นอย่ า งดี ไผ่ ท ะเลศพ
สามารถฟู ม ฟั ก เลี้ ย งดู ตั ว ประหลาดที่ ดุ ร้ า ย แต่ ไ ม่ ส มควรให้ ก าเนิ ด ตั ว
ประหลาดที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ นี่สมควรเป็นฝีมือของเจ้าสิ่งที่คล้ายดวงตา
บนข้อไม้ไผ่ ซึ่งมอบพลังงานสีม่วงให้แก่อมุษย์!
มันนับว่าคาดเดาไม่ผิดพลาดไปเลย หากผู้เฒ่าไม้ไผ่ผู้เป็นเจ้าของไผ่
ทะเลศพอยู่ที่นี่ด้วย ต้องไม่ อาจจดจาไผ่ทะเลศพที่มันเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูได้
อย่ า งแน่ น อน แก่ น แกนภู ต ผี ย มโลกถื อ ก าเนิ ด จากชนเผ่ า ภู ต ผี ย มโลก
นับเป็นของวิเศษที่จับคู่กับไผ่ทะเลศพได้เหมาะเจาะพอดีเป็นที่สุด และ
ภ า ย ใ ต้ พ ลั ง อ า น า จ ข อ ง พ ลั ง เ ท พ มิ ดั บ สู ญ ข อ ง อ า กุ่ ย ไ ผ่ ท ะ เ ล ศ พ
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
อย่าได้เห็นว่าตัวประหลาดนี้ดูไม่ต่างไปจากในกาลก่อนมากนัก แต่
พลังของมันเพิม
่ สูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว!
เขิงเหลียนเอ๋อร์ต่อสู้กับผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งอย่างคู่คี่ก้ากึ่ง ท่าร่างของ
นางลี้ลับสุดหยั่งคาด พลังเทพจันทรายังพันเปลี่ยนหมื่นแปร ยากจะหยั่ง
คานวณถึงที่สุด ส่วนฝ่ายตรงข้ามนั้นวิชาแนวทางพุทธของมันกล้าแข็งยิ่ง
อาวุ ธ เวทคู่ ใ จก็ เ ลิ ศ ล้ า อย่ า งที่ ย ากจะพบพาน ยามกะทั น หั น จึ ง ไม่ มี ผู้ ใ ด
เหนือกว่าผู้ใด
จั่วม่อปะทะหักหาญกับศัตรูคนสุดท้าย
มันไม่ได้ใช้ถ้วยวิเศษของเสี่ยวม่อ โอกาสในการต่อสู้อันดีงามถึงเพียง
นี้ หาใช่สิ่งที่เพียงแค่ร้องขอก็จะพบพานไม่
สาหรับมัน ลาพังแค่ชัยชนะเพียงอย่างเดียวไม่มีคุณค่าความหมายอีก
ต่อไป กาแพงมหึมาปานภูเขาเลากาที่ขวางรั้งอยู่เบื้องหน้ามัน กระทั่งยอด
คนด่านฝ่านซูยังมิอาจข้ามผ่านไปได้
หาทางทาลายทัณฑ์เทวะมิดับสูญ จุดมุ่งหมายนี้เพียงพอจะกระหน่า
ฟาดผู้คนทั่วหล้าให้จมอยู่ในความสิ้นหวัง
จั่วม่อไม่ฟุ้งซ่านวุ่นวาย สมาธิจิตใจจดจ่อรวมรั้งถึงที่สุด พาตัวเองเข้า
สู่การต่อสู้ที่ไม่เคยทามาก่อน
ถึ ง ที่ สุ ด แล้ ว พลั ง เทพทั้ ง หมดก็ ล้ ว นแล้ ว แต่ เ ป็ น พลั ง ยุ ท ธ์ ช นิ ด หนึ่ง
เช่นกัน
คิดค้นพบการเปลี่ยนแปลงทั้งมวลที่บังเกิดขึ้นในพลังเทพ มีแต่ต้อง
เรียนรู้ผ่านการต่อสู้เท่านั้น
มั น ทั้ ง ไม่ ใ ช้ เ ทพวิ ช า ไม่ ใ ช้ ถ้ ว ยวิ เ ศษของเสี่ ย วม่ อ ทั้ ง ทั ก ษะปิ ศ าจ
ศาสตร์อสูรหรือเวทวิชาล้วนแต่ไม่ใช้ออก มันเพียงโคจรพลังเทพใส่หมัด
เท้าฝ่ามือ ใช้เพียงพลังเทพกับกาปั้ นลุ่น ๆ โรมรันพันตูกับผู้อาวุโสแห่งวัด
เสวียนคงที่อยู่เบื้องหน้า
ต่อหน้าพุทธะร่างทองสูงแปดจั้ง จั่วม่อดูเล็กกระจ้อยร่อยไปถนัดตา
ร่างเล็กจ้อยของมัน คล้ายว่าจะสามารถจมหายไปภายใต้ร่างมหึมา
ของพุทธะร่างทองได้ทุกเมื่อ
สิ่งที่มันใช้ต่อกรคือกระบวนท่าที่เรียบง่ายรวบรัดที่สุด ผนึกพลังเทพ
รวมรั้งอยู่ในหมัด แล้วต่อยออกไปอย่างทื่อด้าน
แต่ ล ะหมั ด ที่ ป ะทะกั บ พุ ท ธะร่ า งทอง ร่ า งใหญ่ โ ตมโหฬารถึ ง กั บ
สั่นสะเทือนเป็นระลอก
นี่คืออานุภาพแห่งพลังเทพ!
จั่วม่อเพิ่งจะเคยใช้พลังเทพอย่างทื่อด้านตรงไปตรงมาเช่นนี้เป็นครั้ง
แรก
ประสบการณ์ที่ไม่เคยผ่ านพบมาก่อน ไหลเวียนผ่านเข้ามาในใจมัน
ไม่ขาดสาย
พลังทั้งสามภายในร่างมัน คล้ายโซ่เหล็กสามเส้นที่แยกจากกันเป็น
เอกเทศ ทว่าแข็งแกร่งทนทานและยืดหยุ่นอย่างเหลือเชื่อ แต่ละหมัดที่มัน
โหมต่อยออกไป โซ่เหล็กทั้งสามจะกระหวัดรัดพันเข้าด้วยกัน กลายเป็น
สายโซ่เส้นเดียวที่ท้งั หนาหนักและทรงอานุภาพกว่าเดิมหลายเท่า!
ความรู้แจ้งไหลผ่านเข้ามาในใจมันไม่หยุดยัง้
“ซือฟู่!” หลินเชียนคารวะอย่างนอบน้อม
เจ้ า ส านั ก คุ น หลุ น คิ้ ว ขาวโพลนหลุ บ ต่ า ที ท่ า คล้ า ยก าลั ง หลั บ ตา
พั ก ผ่ อ นอย่ า งสบายอารมณ์ แต่ เ อ่ ย ปากว่ า “ฟั ง ว่ า หมู่ นี้ เ จ้ า คล้ า ยจะมุ่ ง
ความสนใจไปที่เรื่องของเหวยเสิ้งใช่หรือไม่?”
หลิ น เชี ย นสะท้ า นใจเล็ ก น้ อ ย ก้ ม ศี ร ษะพลางกล่ า ว “ใช่ แ ล้ ว ซื อ ฟู่
เหวยเสิ้งนิสิยใจคอเด็ ดเดี่ย วแน่ วแน่ อุทิศตนให้แก่กระบี่ โ ดยไม่ เสี ย ดาย
ชีวิต ศิษย์สังหรณ์ใจว่ามันจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของคุนหลุนเราในภาย
ภาคหน้า”
“ฮึ่ม!”
เจ้าสานักคุนหลุนแค่นเสียงอย่างเย็นชา บ่งบอกความไม่พอใจอย่ าง
ชั ด แจ้ ง สุ้ ม เสี ย งปานอั ส นี บ าตฟาดผ่ า นฟ้ า ประหนึ่ ง ค้ อ นเหล็ ก อั น หนัก
หน่วงหวดฟาดใส่หัวใจของหลินเชียนอย่างถนัดถนี่
หลินเชียนยิ่งก้มศีรษะต่ากว่าเดิม
“ครั้งนี้เจ้าลาดับความสาคัญไม่ถูกต้อง!” เจ้าสานักคุนหลุนลืมตาขึ้น
ช้ า ๆ ดวงตาคู่ นั้ น ดุ จ มหาสมุ ท รกว้ า งไพศาล ทะลั ก ล้ น ไปด้ ว ยเจตจ านง
กระบี่ เสียงกล่าวเนิบนาบคล้ายกึ่งต าหนิก่ึงสั่งสอน “เจ้าเป็นศิษย์ล าดั บ
แรกแห่งคุนหลุน แต่กลับตื่นตกใจไปกับแค่ศิษย์ส านักเล็ก ๆ ที่แทบไม่ มี
ผู้ใดรู้จัก เจ้าต้องจดจ าไว้ให้มั่นว่าเจ้าคือว่าที่เจ้าสานั กคุนหลุนในอนาคต
เจ้าก็คือคุนหลุน! เป็นภูเขาสูงสุดยอดที่ไม่ว่ าผู้ใ ดก็ ไม่อ าจข้า มผ่าน มีแต่
ต้องแหงนหน้ามองตลอดไป!”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” หลินเชียนตอบเสียงเบาต่า
เจ้ า ส านั ก คุ น หลุ น สุ้ ม เสี ย งผ่ อ นคลายลง “ข้ า ทราบว่ า เจ้ า ต้ อ งดู แ ล
เรื่องราวในสานักแทบทั้งหมด สาหรับเจ้าคงจะยากลาบากไม่น้อย”
หลินเชียนสั่นศีรษะระรัว “นี่เป็นหน้าที่ของศิษย์”
“นี่ก็คือสิ่งที่ข้าต้องการจะบอกต่อเจ้า เราคือคุนหลุน เซียนกระบี่แห่ง
คุนหลุน! เจ้าส านักคุนหลุนจะต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในส านัก! จงละ
วางทุกอย่างลง มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝีมือของเจ้า เจ้ าที่หวั่นวิตกต่อเหวยเสิ้ง
เพียงเพราะเจ้าไม่มีความเชื่อมั่นในพลังฝีมือของตนมากพอ หากพลังฝีมือ
ของเจ้ากล้าแข็งพอ กับแค่เหวยเสิ้ง ไยมิใช่เป็นเพียงมดปลวกในสายตา
ของเจ้าเท่านั้น?”
เจ้าส านักคุนหลุนเพ่งตามองหลินเชียน แล้วกล่าวเน้นย้าทีล ะคาว่า
“จดจาไว้ โลกนี้ถูกปกครองภายใต้กระบี่!”
หลินเชียนสะท้านขึ้นทั้งร่าง “ศิษย์จะจดจาให้ขึ้นใจ!”
“จงไปพบอาจารย์ อ าเว่ ย ของเจ้ า ที่ ห อกระบี่ นั บ ตั้ ง แต่ วั น นี้ ไ ป เจ้ า
จะต้องฝึกฝีมืออยู่กับมัน เจ้าจะออกจากหอกระบี่ได้ก็ต่อเมื่อพลังเทพของ
เจ้าบรรลุเข้าสู่ด่านพลังขั้นปฐพี”
หลินเชียนเงยหน้าขึ้ นในบัดดล สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
“พลังเทพ? หมายความว่า... ...”
เจ้ า ส านั ก คุ น หลุ น เหลื อ บมองหลิ น เชี ย น กล่ า วเสี ย งเย็ น ชา “มิ ผิ ด
เคล็ดฝึกปรือพลังเทพของสานักเราเริ่มเป็นรู ปเป็นร่างขึ้นแล้ว แม้ว่ายังมี
รายละเอียดปลีกย่อ ยอี กมากยั งต้อ งขัด เกลาให้ส มบูร ณ์ แต่ส ามารถเริ่ ม
ฝึกปรือได้แล้ว เรื่องครั้งนี้นับเจ้ามีความดีความชอบมากที่สุด ดังนั้นเจ้าจะ
เป็นคนแรกที่จะได้ฝึกปรือพลังเทพแห่งคุนหลุน นอกจากเจ้าแล้ว ผู้อาวุโส
ทั้งหมดก็จ ะเริ่มฝึกปรือเช่นกัน เพื่อที่จ ะได้ช่วยกันขัดเกลาเคล็ดฝึก ปรื อ
พลังเทพให้สมบูรณ์ไปด้วย รอจนเมื่อเคล็ดวิชาสาเร็จสมบูรณ์อย่างแท้จริง
จึงจะอนุญาตให้เหล่าศิษย์เอกคนอื่น ๆ เริ่มฝึกปรือด้วย”
ข่าวอันน่าแตกตื่นสะท้านโลกนี้ ทาเอาหลินเชียนตะลึงงันจนไร้วาจา
จะกล่าว
เจ้าสานักคุนหลุนมองดูสีหน้างุนงงของหลินเชียน อดแย้มยิ้มเล็กน้อย
ไม่ได้ มันรักใคร่ศิษย์ผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายยังอดกระตุ้นเตือนไม่ได้ “เรื่อง
นี้อย่าเพิง่ แพร่งพรายออกไป แต่จงตั้งใจฝึกปรือให้ดี”
สุ้มเสียงของมันจู่ ๆ กลับกลายเป็นเลื่อนลอย ราวกับราพึงราพันมา
จากสถานที่อันห่างไกลสุดแสน
“นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะเป็นยุคสมัยของพลังเทพ!”
-จบเล่ม 7 มรสุมแดนปิศาจ-
ติดตามตอนต่อไปใน มหาศึกสามภพ เล่ม 8 ยุคใหม่
มหาศึกสามภพ
เล่ม 8 ยุคใหม่
เทียนหวน
ในถ้าลึกหลังภูเขาเทียนหวน จู่ ๆ ปรากฏล าแสงนับไม่ถ้วนพวยพุ่ ง
ออกมา ลาแสงเหล่านี้เปี่ ยมล้นไปด้วยพลังอันแกร่งกร้าวไพศาล ชั่วพริบตา
ที่สาดกระจายปิดฟ้าคลุมดิน ทั่วทั้งเทียนหวนล้วนแตกตื่นอลหม่าน
ปรากฏสุ้ ม เสี ย งชราภาพแต่ แ ฝงแววคลุ้ ม คลั่ ง อยู่ บ้ า ง ดั ง กึ ก ก้ อ ง
ออกมาจากภายในถ้า
“ฮ่าฮ่า! ยันต์เทพยดา! ตาเฒ่าผู้นี้ในที่สุดก็ทาสาเร็จ! ตาเฒ่าผู้นี้ทาได้
แล้ว! ยันต์เทพยดาโบราณ ฮ่าฮ่า ไม่ถูกต้ อง นับแต่นี้ไปสิ่งนี้จะถูกเรียกว่า
ยันต์เทพยดาแห่งเทียนหวน!”
เสียงหัวร่อบ้าคลั่งของเฒ่าชราที่คล้ายราพึงราพันกับตัวเองนั้น เมื่อ
กระทบโสตประสาทเหล่าผู้อาวุโสเทียนหวนที่กาลังเร่งรุดเข้ามา ล้วนนิ่งขึง
ตะลึงงันกันถ้วนหน้า
แต่ ชั่ ว วิ บ ตาถั ด มา เค้ า ความลิ ง โลดยิ น ดี แ ทบคลุ้ ม คลั่ ง ก็ฉ ายชั ดบน
ใบหน้าของทุกผู้คน
ยันต์เทพยดา!
ศิษย์เทียนหวนไม่ว่าผู้ใด ล้วนต้องเริ่มต้นด้วยการใช้ค่ายกลยันต์ ไหน
เลยจะไม่ล่วงรู้ความหมายที่แฝงเร้นอยู่ภายในสองคานี้ได้!
สถานการณ์ของเหล่าผู้อาวุโสวัดเสวียนคงเลวร้ายยิ่ง
เซี่ ย วม่ อ เกอเห็ น ได้ ชั ด ว่ า กลอกกลิ้ ง เจ้ า เล่ ห์ ยิ่ ง กว่ า ที่ พ วกมั น เคย
คาดคิดเอาไว้มาก การตายของสามผู้อาวุโสสะกิดเตือนพวกมัน ฝ่ายตรง
ข้ามแม้ไม่อาจปะทะหักหาญกับพวกมันทั้งหมดอย่างซึ่งหน้า แต่ยังมีขีด
ความสามารถในการเชือดพวกมันทิ้งทีละคน
ถื อ ครองความเร็ ว อั น น่ า แตกตื่ นสะท้ า นใจ พลั ง ฝี มื อ กล้ า แข็ ง ทั้ ง
กลอกกลิ้งและชั่วร้ายมากเล่ห์ ไม่ว่ามองจากมุมใดเซี่ยวม่อเกอก็ดู ท่ า จะ
สวมบทบาทเป็นนายพรานได้อย่างดีเยี่ยม
และเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นนายพรานฝีมือเลิศ แล้วพวกมันยังจะเป็น
สิ่งใดได้อีกเล่า นอกจากเหยื่อ?
เหล่ามหาสมณะสูงศักดิ์เริ่มสานึกเสียใจกับภารกิจครั้งนี้แล้ว
บทที่ 686 เทพปิศาจพลันปรากฏ สะท้านทั้งโลกหล้า!
เพื่อที่จะได้มีเวลาฝึกฝีมือมากกว่าเดิม พวกจั่วม่อเลือกที่จะโดยสาร
พาหนะปิศาจขนาดใหญ่
ฉลามเวหาที่เติบโตเต็มที่มีความยาวร่วมเก้าร้อยจั้ง ร่างกายภายนอก
แข็งแกร่งทนทาน สามารถต้านทานกระแสลมรุ นแรงบนท้องฟ้า ในบาง
แว่นแคว้นยังใช้ฉลามเวหาเป็นกาลังรบเสียด้วยซ้า นิสัยใจคอดุร้ายรุ นแรง
ของมันทาให้เหมาะต่อ การท าศึ กสงคราม ฉลามชนิดนี้เป็นสัต ว์ปิ ศ าจที่
อาศัยอยู่ได้ท้ังในท้องฟ้า ห้วงความว่างเปล่าและห้วงความโกลาหลด้าน
นอกภพทั้งสาม ยากจะมีสงิ่ ใดข่มขู่คุกคามพวกมันได้
ร่างกายที่ใหญ่โตมหึมาหมายความว่าภายในกายของมัน กว้างขวาง
มากพอที่จะใช้เป็นที่พานักชั่วคราว เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดส าหรับ
การเดินทางไกล
จั่วม่อไม่ขาดแคลนเงินทอง ดังนั้นเช่าบ้านทั้งหลังสาหรับพวกมันทั้ง
สาม
แต่แทนที่จะบอกว่าเป็นบ้านทั้งหลัง นี่เป็นที่พานักที่สร้างขึ้นด้วยบ้าน
น้อยสามหลังประกอบกัน และเพื่ออานวยความสะดวกในการฝึกฝีมือของ
เหล่ า นั ก เดิ นทาง ภายในลานบ้ า นยั งมี บ่ อเลือ ดส าหรั บใช้ ฝึก ปรื อสังขาร
ปิศาจอีกด้วย
น่าเสียดายที่บ่อเลือดไม่มีประโยชน์ใดกับจั่วม่อในตอนนี้อีก มันเพียง
หวังว่าจะไม่มีผู้ใดมารบกวนพวกมันเท่านั้น
หากมีเพียงเขิงเหลียนเอ๋อ ร์ล าพั งผู้เ ดีย ว ต่อให้นางชมชอบฝึ ก ปรื อ
มากเพียงใด ก็คงจะไม่โหมฝึกปรืออย่างบ้าคลั่งถึงปานนี้อย่างแน่นอน ทว่า
นางกลับต้องรั้งอยู่ข้างกายจั่วม่อ เมื่อใดที่จ่ัวม่อเริ่มฝึกปรือพลังเทพสุริยัน
กระแสพลั ง ในร่ า งของนางจะเคลื่อ นไปด้ ว ยตัว เองอย่า งไม่ อ าจควบคุม
พลังเทพจันทราของนางก็จะโคจรหมุนเวียนไปด้วย นางต้องไล่ตามจังหวะ
การฝึกปรือของจั่วม่ อให้ ทัน มิเช่นนั้นอาจต้องเสี่ยงอันตรายจากอาการ
ธาตุไฟเข้าแทรก
จนถึงตอนนี้นางค่อยเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าจั่วม่อเป็นตัวประหลาดถึง
เพียงไหน
มันดูคล้ายไม่มีวันอ่อนล้าสิ้ นเรี่ยวแรง แทบจะใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อ
การฝึ ก ฝี มื อ เคราะห์ ดี ที่ จ่ั ว ม่ อ มี เ รื่ องที่ จ าเป็ น ต้ อ งฝึ ก ปรื อ อยู่ ห ลายสิ่ ง
อย่างเช่นพลังทั้งสาม ดังนั้นนางจึงพอมีเวลาให้พักหายใจหายคอได้บ้าง
แต่ถึงกระนั้นนางยังรู้สึกแทบทานทนไม่ได้
แต่ เ มื่ อ ในที่ สุ ด นางก็ ไ ด้ ห ยุ ด พั ก และมี เ วลาตรวจสอบตั ว เอง กลั บ
ค้นพบอย่างตื่นตะลึงว่าภายในชั่วเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วัน พลังเทพของ
นางถึงกับกล้าแข็งขึ้นอีกหนึ่งในสิบส่วน!
ตลอดทั้งวันแห่งการพักผ่อนหย่อนใจ นางจ่อมจมลงไปในความตื่น
ตะลึงอย่างลึกล้า
ดวงตาคู่งามที่ลึกล้าดุจบ่อน้าโบราณเอ่อท้นไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก
นานัปการ
จั่ ว ม่ อ กลั บ ไม่ มี เ วลาจะจ่ อ มจมอยู่ กั บ ห้ ว งอารมณ์ ค วามคิ ด เวลา
ทั้งหมดของมันล้วนรีดเค้นทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่มี ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับ
การต่อสู้ มันจะทุ่มเทอย่างสุดกาลัง
จั่วม่อหอบหายใจหนัก ๆ ทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อราวกับว่าเพิ่งขึ้น
จากบ่อน้า สิบนิ้วที่ทิ้งห้อยอยู่ข้างตัวสั่นกระตุกไม่หยุดยั้ง
มันเพิ่งเสร็จสิ้นจากการฝึกปรือกระบวนท่าดรรชนีที่ยากเย็นแสนเข็ญ
อย่างยิ่งยวด พลังปราณในกายแทบถูกผลาญไปจนเกลี้ยงฉาด ถึงตอนนี้
มันสามารถควบคุมการแปรเปลี่ยนระหว่ างพลัง เทพและพลังทั้งสามได้
ดั่งใจปรารถนา
ในหมู่พลังทั้งสาม พลังที่อ่อนด้อยที่สุดของมันคือพลังปราณ และนี่
คือเป้าหมายหลักในการฝึกปรือของมันในช่วงนี้
ในแผนการฝึกฝีมือที่ผูเยามอบให้แก่มัน การฝึกปรือเวทวิชาเป็นส่วน
ที่ ส าคั ญ มากที่ สุ ด ‘เวทวิ ช าดรรชนี น้ า วเกาทั ณ ฑ์ ’ ‘เคล็ ด ห้ า ธาตุ ร่ ว ม
สัมพันธ์’ ‘เพลงกระบี่หมอกพิรุณโปรย’ ‘คัมภีร์พระสูตรร้อยโพธิสัตว์’... ...
เคล็ดวิชาเหล่านี้ล้วนมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงกระบวนท่า จั่วม่อ
เดิมทียังเข้าใจว่ากระบวนท่าดรรชนีของมันนับว่าดีเลิศไม่น้อย แต่รอจน
มั น พบเห็ น ข้ อ ก าหนดส าหรั บ ‘เวทวิ ช าดรรชนี น้ า วเกาทั ณ ฑ์ ’ ต้ อ งรู้ สึ ก
ศีรษะพองโต ใบหน้าเผือดขาวไร้สีเลือด
ทุกครั้งที่ฝึกฝนเวทวิชาสุดวิปลาสนี้ ไม่ต่างจากการถูกทรมาน
แต่ จ่ั ว ม่ อ ยั งคงยืนหยัด ฝึก ปรื อไม่ห ยุด ยั้ ง พลั ง ปราณของมัน เติบโต
อย่างก้าวกระโดด ยิ่งมายิ่งบริสุทธิ์ห มดจด ยิ่งนานยิ่งทรงอานุภาพ และ
ควบคุมได้อย่างสะดวกดายขึ้นทุกขณะ
แม้ว่ายังคงห่า งไกลจากความพอใจของผูเยา แต่จ่ัวม่อยังคงรู้สึกถึง
ความก้าวหน้าได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุ ดหน้าในด้านพลัง
เทพของมัน
พลังเทพของมันกลับกลายเป็นเชื่องเชื่อมากขึ้น ควบคุมบังคับได้ราว
กั บ เป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของร่ า งกายตน หลายสิ่ ง ที่ เ คยไม่ ชั ด เจนคล้า ยเปิ ดเผย
ออกมาด้วยตัวเอง ราวกับสายน้าไหลลงสู่ที่ต่าตามธรรมชาติ มันในยามนี้
สามารถกระทาท่วงท่าบางอย่างออกมาได้โดยไม่ต้องตั้งใจ
จั่วม่อ ผูเยาและเว่ยพากันคึกคักขึ้นอักโข ความรุดหน้าอย่างรวดเร็วนี้
แสดงให้เห็นว่าความคิดของพวกมันดาเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว
ในการส ารวจวิถีฝึ กฝีมือที่ไม่รู้จัก สิ่งที่ส าคัญมากที่สุดคือเส้นทางที่
ถู ก ต้ อ ง หากทิ ศ ทางผิ ด พลาดแต่ แ รก รอจนแล่ น ไปเผชิ ญ อุ ป สรรค นี่ มิ
เพียงแต่ห ลงทิศจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ยังอาจก่อเกิดอันตรายร้ายแรงตามมา
สถานเบาก็คือรับบาดเจ็บบอบช้าภายใน แต่ห ากทิศทางโดยคร่าว ๆ นั้น
ถูกต้องแม่นยาแล้ ว เช่นนั้นรายละเอียดที่ห ลงเหลือก็เป็นเพียงเรื่องของ
การมุมานะบากบั่นและสั่งสมประสบการณ์เท่านั้น
หลังจากผ่านไปชั่วสิบอึดใจ ลมหายใจของจั่วม่อค่อยสงบลง เหงื่อที่
อาบท่วมใบหน้าระเหยหายไป ความสามารถในการฟื้ นตัวของจั่วม่อนับว่า
เข้มแข็งเป็นที่สุด เนื่องเพราะสังขารปิศาจอันทรงพลังอานาจของมัน นี่
เป็นหนึ่งในเหตุผลสาคัญที่ทาให้มันยังยืนหยัดอยู่ได้จนถึงบัดนี้
พอเบือนหน้ากลับมา มันก็เห็นอากุ่ยนั่งเงียบ ๆ ไม่ห่างจากมัน สายตา
ของจั่วม่อเปลี่ยนเป็นนุ่มละมุนลง
ในเวลานี้เอง บังเกิดเสียงเอะอะดังออกมาจากนอกประตู
จั่วม่ออดขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่ได้
ศาสตร์วิชาในการปิดกั้นเสียงของเผ่าปิศาจนั้น หากเทียบกับซิว เจ่อ
แล้วเรียกได้ว่าอ่อนด้อยกว่ามาก วิธีใช้งานแผนผังปิศาจล้าหลังกว่าค่ายกล
ยันต์ไม่น้อย มิหนาซ้าปิศาจที่เข้าใจการใช้งานแผนผังปิศาจก็มีอยู่ไม่ม าก
นัก
จั่วม่อกวาดตามองไปยังห้องทางซ้าย ผนึกพลังใส่สองตา พบว่าเขิง
เหลียนเอ๋อร์กาลังอยู่ในช่วงเวลาสาคัญในการฝึกฝีมือของนาง
เสียงเอะอะที่ภายนอกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยัง้ ลงเลย กลับยิง่ โหวกเหวก
โวยวายเสียงดังกว่าเดิม
จั่วม่อตวัดมือวูบ ซัดเวทวิชาผนึกเสียงไปยังห้องหับของเขิงเหลี ย น
เอ๋อร์ จากนั้นก้าวเดินออกไปชมดู
เปิดประตูด้านหน้า มันเห็นกลุ่มคนรายล้อมเป็นวงอยู่ภายนอก ตรง
กลางวงคล้ายมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง กับผู้คนกลุ่มใหญ่
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ขายให้แก่เจ้า!” เด็กหนุ่มร้องตวาดด้วยสีหน้าโกรธ
ขึ้ง ขยุ้มจับก้อนหินที่อยู่ในมือแนบแน่น
“ฮ่ า ฮ่ า ฮ่ า เจ้ า ไม่ ข ายเช่ น นั้ น รึ ? เหยี ย มิ ไ ด้ มี ค วามอดทนพอที่ จ ะมา
หยอกล้อเล่นกับเจ้า ต่อให้เจ้าไม่อยากขาย เจ้าก็ต้องขาย!” ผู้กล่าววาจา
เป็นบุรุษหนุ่มในอาภรณ์หรู หรา สีหน้าเย่อหยิ่งลาพอง หมุนควงไม้เท้าสั้น
ด้ามหนึ่งเล่นอยู่ในมือ ไม้เท้าสั้นด้ามนั้นฝังไว้ด้วยอัญมณีล้าค่าละลานตา
มองปราดเดียวก็ทราบว่ามีค่าควรเมือง
นักบู๊องครักษ์ กลุ่มหนึ่งห้อมล้อมเด็กหนุ่มที่ขายก้อนหินไว้ต รงกลาง
ในสายตามีแต่ความดุร้ายหมายขวัญ
จั่วม่อไม่มีความคิดผดุงความยุติธรรม หากเป็นเวลาอื่น มันก็คร้านจะ
เหลื อ บตามองซ้ า สอง จนใจที่ ย ามนี้ เ ขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ อ ยู่ ใ นช่ ว งขั้ น ตอน
สาคัญ หากปล่อยให้นางถูกรบกวน อาจเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นได้
แต่ ร อจนสายตาของมั น กวาดผ่ า นก้ อ นหิ น เจ้ า ปั ญ หาก้ อ นนั้ น จั่ ว
ม่อม่านตาพลันหดแคบลงทันควัน
หินก้อนนั้นมีขนาดประมาณตะกร้าใบหนึ่ง เป็นสีฟ้าหมดจดทั้ง ก้อน
ทว่ามีเส้นสีแดงเลือดแผ่กระจายไปทั่ว ดูน่าขนลุกขนพองอยู่บ้าง
ก้อนหินนี้... ...น่าสนใจจริง ๆ!
มันสัมผัสได้ถึงกระแสพลังเทพจากก้อนหินที่ว่า เป็นคลื่นพลังเทพที่
อ่อนจางยิ่ง หากมิใช่ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้พลังเทพของจั่วม่อกลายเป็นหมดจด
และทรงอานุภาพกว่าเดิม บางทีมันอาจตรวจจับคลื่นพลังเทพจาง ๆ สาย
นี้ไม่พบ
นี่เป็นครั้งแรกที่จ่ัวม่อพบเห็น บางสิ่งที่ แฝงเร้นไว้ ด้ วยพลังเทพตาม
ธรรมชาติ หรือว่าเจ้าสิ่งนี้จะเก็บกักพลังเทพไว้เหมือนเช่นจิงสือที่เ ก็บ กัก
พลังปราณธรรมชาติเอาไว้?
ในเวลานี้ เ อง เห็ น นั ก บู๊ อ งครั ก ษ์ ผู้ ห นึ่ ง กล่ า วด้ ว ยสี ห น้ า ด าทะมึ น
“สหาย เพื่อก้อนหินโง่ ๆ นี่ พวกเราจะให้เจ้ามากถึงสองหมื่นม๋อเป้ย! เจ้า
ควรส านึกตัวบ้าง หากทาให้นายน้อยของเรามีโทสะ เจ้าอาจไม่ได้รับม๋อ
เป้ยแม้แต่ชิ้นเดียว!”
เด็ ก หนุ่ ม เจ้ า ของก้ อ นหิ น หน้ า แดงก่ า “ข้ า แค่ บ อกว่ า ข้ า จะขอ
แลกเปลี่ยน ไม่ได้ข าย ข้าเพียงแลกกับศาสตรามารเท่านั้น! ศาสตรามาร
ด่านถงหลิ่ง!”
“ศาสตรามารด่านถงหลิ่ง? ฮ่า เจ้าเพ้อฝันอันใด! ต่อหน้าเหยียยังกล้า
กล่าวเพ้อเจ้อเรียกราคาเกินจริง ใช่ราคาญในการมีชีวิตแล้วหรือไม่... ...”
นายน้อยผู้นน
ั้ แค่นเสียงอย่างเย็นชา
ในเวลานี้เอง สุ้มเสียงหนึ่งกล่าวขัดขึ้นกลางคัน “ข้าจะแลกเปลี่ยนกับ
เจ้าเอง”
ทุกผู้คนเงียบกริบลงในบัดดล
เด็กหนุ่มที่เร่ข ายก้อนหินไม่ได้มีทีท่าตื่นเต้นยินดีนัก กลับมองอย่าง
กังขา พลางเน้นย้าว่า “ศาสตรามารด่านถงหลิ่ง ข้าต้องการเพียงศาสตรา
มารด่านถงหลิ่งเท่านั้น!”
คนผู้นี้ส วมใส่อาภรณ์พ้ ื น เพธรรมดา ไม่มีใดโดดเด่ นสะดุ ดตา ผู้ที่มี
สารรู ปเช่นนี้ดูไม่คล้ายคนที่จ ะครอบครองศาสตรามารด่านถงหลิ่งแม้ แต่
น้ อ ย ควรทราบว่ า ศาสตรามารด่ า นถงหลิ่ ง แม้ แ ต่ ร ะดั บ ต่ า สุ ด ตาม
ท้องตลาดก็มีราคาค่างวดไม่น้อยกว่าสามหมื่นม๋อเป้ย
จั่ ว ม่ อ ไม่ เ ปลื อ งวาจามากความ ล้ ว งหยิ บ ศาสตรามารหลายเล่ ม
ออกมาทันที
“เคียวดาเล่มนี้จัดอยู่ด่านถงหลิ่ง หลอมสร้างขึ้นจากพลังงานฆ่ าฟัน
ฆ่าหนึ่งคน พลังงานฆ่าฟันจะเพิ่มพูนขึ้นหนึ่งส่วน เมื่อสั่งสมพลังงานฆ่า
ฟันได้ถึงระดับหนึ่ง จะสามารถให้กาเนิดวิญญาณภูต ส่วนนี่คืออาวุธเกอ
สวรรค์คราม จัดอยู่ในด่านถงหลิ่งเช่นกัน เบาดั่งขนนก เหมาะสาหรับการ
โจมตีที่อาศัยความเร็วสูง สามารถตัดผ่านช่องว่างมิติ ส่วนนี่คือขวานภูต
โลหิต น้าหนักหกพันจิน เหมาะสาหรับสังขารปิศาจประเภททรงพลัง ยาม
เมื่อฟาดฟันออกไปจะก่อ เกิ ดภูต ขวานท าร้ ายผู้คน เจ้าต้องการศาสตรา
มารแบบใดเล่า?”
จั่วม่อเมื่อสาธยายถึงศาสตรามารเล่มหนึ่ง ก็นาขึ้นมาโบกสะบัดฟาด
ฟันให้ดูรอบหนึ่ง มันมีศาสตรามารมากมาย ล้วนแล้วแต่ริบมาจากบรรดา
ยอดยุทธ์ปิศาจที่ถูกมันฆ่าทิ้งระหว่างทาง
ฝู ง ปิ ศ าจมุ ง รอบด้ า นปั่ นป่ ว นทั น ที หลายคนดวงตาเริ่ ม ร้ อ นผ่ า ว
กระทั่งนักบู๊องครักษ์เหล่านั้นยังหวั่นไหวใจ ทุกใบหน้าล้วนทอแววละโมบ
โลภมาก
ศาสตรามารสามเล่มนี้ ไม่ว่าเล่มใดก็ล้วนเป็นยอดศาสตราที่มีราคาค่า
งวดไม่น้อยกว่าห้าหมื่นม๋อเป้ย ทั้งสามเล่มรวมกันเป็นมูลค่ากว่าหนึ่งแสน
ห้าหมื่นม๋อเป้ย ความตื่นตะลึงที่พวกมันได้รับย่อมเป็นที่คาดคานวณได้
เด็ ก หนุ่ ม ที่ เ ร่ ข ายหิ น ตะลึ ง งั น นั บ ตั้ ง แต่ มั น เก็ บ ได้ หิ น ก้ อ นนี้ ก็ คิ ด
แลกเปลี่ยนกับศาสตรามารด่านถงหลิ่งมาโดยตลอด แต่รอจนผ่านเลยมา
กว่าครึ่งปี จนแล้วจนรอดมันไม่ได้ทาการค้ารายนี้เสียที หลายครั้งมันถึงกับ
สงสัยว่าตนเองเรียกราคาสูงเกินไปหรือไม่ และเมื่อศาสตรามารชั้นยอดทั้ง
สามอยู่ตรงหน้ามันจริง ๆ กลับไม่ทราบจะทาอย่างไรดี
เห็นอีกฝ่ายเอาแต่เหม่อมองอย่างโง่งม จั่วม่อได้แต่กระตุ้นเตือน “ว่า
อย่างไร เจ้าต้องการศาสตรามารเล่มใด?”
เด็ ก หนุ่ ม ที่ เ ร่ ข ายหิ นคล้ า ยสะดุ้ ง ตื่น ขึ้น จากฝั น รี บ ร้ อ งบอกว่ า “ข้ า
ต้องการอาวุธเกอสวรรค์คราม!”
จั่วม่อไม่เปลืองวาจาอีก โบกมือคราหนึ่ง อาวุธเกอสวรรค์ครามลอย
ไปหยุดตรงหน้าเด็กหนุ่ม แล้วโบกมืออีกวูบหนึ่ง ก้อนหินก็ห ลุดลอยออก
จากอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม ตรงดิง่ เข้าสู่มือของมัน
“หินก้อนนี้เจ้าได้มาจากที่ใด?” จั่วม่อถามต่อ
“เหวลึ ก แห่ ง หนึ่ ง ในอาณาจั ก รร้ อ ยปราณ” เด็ ก หนุ่ ม กอดรั ด อาวุ ธ
เกอสวรรค์ครามอย่างลิงโลด พลางตอบตามตรงด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ศาสตรามารด่านถงหลิ่ง! นี่คือศาสตรามารด่านถงหลิ่งจริง ๆ!
ได้รับศาสตรามารดั่งที่เคยใฝ่ฝันไว้ เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่าฝันไป
อาณาจักรร้อยปราณ!
จั่ วม่ อ รู้ จั ก ชื่ อนี้ นี่ เ ป็ น หนึ่ ง ในอาณาจั ก รซึ่ ง เป็ น ทางผ่ า นไปยั ง
อาณาจักรน้าพุปรโลก มันจดจ าเส้นทางทั้งหมดได้ขึ้นใจ อาณาจักรร้อ ย
ปราณอยู่ในหมู่อาณาจักรเหล่านัน
้ เอง
ในเวลานี้เอง สุ้มเสียงยะเยียบเย็นชากรีดร้องขึ้น
“นายน้อย ผู้น้อยนึกออกแล้ว หลายวันก่อนคฤหาสน์ของเราถู ก โจร
ลักเล็กขโมยน้อยลอบเข้าไปขโมยของ ศาสตรามารมากมายหายสาบสูญ
ไป อาวุธเกอสวรรค์ครามเป็นหนึ่งในศาสตรามารเหล่านั้น!”
ผู้ ที่ เ อ่ ย ออกมาเป็ น หนึ่ ง ในกลุ่ ม นั ก บู๊ อ งครั ก ษ์ ข องนายน้ อ ยผู้ นั้ น
ดวงตามันทอแววละโมบซึ่งไม่อาจปกปิดซ่อนเร้นได้
นายน้ อ ยที่ ก าลั ง พิ โ รธเดื อ ดดาลพลั น เข้ า ใจความนั ย รี บ แค่ น เสี ย ง
อย่างเย็นชา “ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าข้าไฉนรู้สึกว่าศาสตรามารเหล่านี้ดูคุ้น
ตานัก ที่แท้เป็นสมบัติในคฤหาสถ์ของข้าเอง! พวกเรา รีบจับโจร!”
เหล่านักบู๊องครักษ์เข้ารายล้อมจั่วม่อโดยพลัน
จั่วม่อสีหน้ายังคงสงบราบเรียบ แต่ลอบประหลาดใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึง
ว่าจะต้องมาเผชิญกั บเรื่องไร้ส าระเช่นนี้ ในตอนนี้เองมันพลันตรวจพบ
การเคลื่อนไหวภายในบ้าน เขิงเหลียนเอ๋อร์เสร็จสิ้นการฝึกฝีมือของนาง
ด้วยดี
จั่วม่อละวางศีลธรรมส่วนเสี้ยวสุดท้ายในใจลงทันที
มันยิ้มกว้าง เผยฟันขาวสะอาดสองแถว กล่าวปนหัวร่อว่า “ไม่กี่ วัน
ก่อน หัวขโมยบางคนที่ลอบเข้าไปในที่พักของข้า หยิบฉวยทรัพย์สินของ
ข้าไปมากมายทีเดียว ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!”
เหล่านักบู๊องครักษ์ล้วนมีสีหน้าตะลึงลาน พวกมันเคยแต่วางแผนใส่
ร้ายป้ายสีผู้อ่ ืนหลายครั้งหลายหน ไหนเลยมีผู้ใดกล้าใส่ร้ายป้ายสีพวกมัน
ด้วย นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว
ยังไม่ทันที่พวกมันจะได้มีปฏิกิริยาใด ร่างเบื้องหน้าพวกมันพลันหาย
วับไป
นักบู๊ผู้หนึ่งยังไม่ทันจะรู้ตัว พลันถูกตบใส่ใบหน้าอย่างถนัดถนี่ เพียะ
ร่างปลิวลิ่วไปราวกับถูกแรดคลั่งพุ่งชนเข้าเต็มรัก ก่อนจะร่วงฟาดฟื้นสติ
ดับวูบไปทันควัน
ความสามารถในการควบคุ มพลังทั้ งสามของจั่ว ม่อรุ ดหน้า ก้า วไกล
เช่นเดียวกันกับการควบคุมสังขารปิศาจที่เหนือล้ากว่าเดิมมาก
ร่างของมันหายวับดุจเงาผี แล้วปรากฏขึ้นตรงหน้านักบู๊องครักษ์ อีกผู้
หนึ่ง มือซ้ายตวัดตบ เงาฝ่ามือประดุจแส้ หวดฟาดใส่ใบหน้าตะลึงงันอย่าง
ถนัดถนี่
อีกร่างหนึ่งปลิวลิ่วไปดุจว่าวสายป่านขาด!
ร่างของจั่วม่อวูบไหวไปมาไม่หยุดยั้ง รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
เพี ย งชั่ ว กะพริ บ ตาเดี ย ว ไม่ มี นั ก บู๊ อ งครั ก ษ์ ค นใดยั ง ยื น อยู่ ไ ด้ ทั่ ว
บริเวณเงียบสงัดเสมือนตาย การต่อสู้ที่ยังไม่ทันจะเห็นชัดตาเมื่อครู่ ขู่ขวัญ
ผู้คนจนตระหนกตกใจกันถ้วนหน้า
นายน้อยผู้นั้นหน้าขาวซีดเหมือนแผ่นกระดาษ “ข้า... ... ข้ามาจาก
ตระกูลจี้แห่งอาณาจักรเวิ้งฟ้า ... ... เจ้า เจ้า... ...เจ้า... ...”
“เจ้ า ล่ ว งรู้ ฉ ายานามของข้า หรื อ ไม่ ?” จั่ ว ม่ อ กลั บ ถามอย่า งไม่มีปี่มี
ขลุ่ย พลางเดินตรงเข้าหานายน้อยผู้นน
ั้
“ฉายานาม... ...ฉายานามอั น ใด?” นายน้ อ ยที่ เ วทนาท าท่ า ราว
กระต่ายตื่นกลัว
“ผีดิบจอมลอกคราบ!” จั่วม่อแสยะยิ้ม
อ๊าก!
นายน้อยเป็นลมล้มพับไปด้วยความหวาดกลัวเกินเหตุ
ถึงกับขวัญอ่อนปานนี้เชียว จั่วม่อสั่นศีรษะอย่างระอาใจ แล้วสืบเท้า
เข้าไปหยุดอยู่ข้างกายนายน้อยตระกูล จี้ ด้วยฝีมือที่ห มดจดและชานาญ
การ ทาการปลดทรัพย์สินของพวกมันจนเกลี้ยงเกลา
ไม่ว่าจะเมื่อใด การลอกคราบผู้อ่ น
ื ทาให้มันเบิกบานใจได้เสมอ
บทที่ 689 เสินจิง1
1
ผลึกเทวะ
จั ว ม่ อ ชะงั ก กึ ก หั น กลั บ ไปมองดู ผู้ ก ล่ า วาจาแวบหนึ ง แล้ ว พลั น
กระจ่างแจ้งทันที ปิศาจหนุ่มผู้นี้มีพลังฝึกปรืออยู่ในด่านถงหลิ่ง ทั้งยังกายา
ล่าสัน ดูแกร่งกร้าวทรงพลังไม่น้อย นับว่าเหมาะเจาะพอดีกับศาสตรามาร
ที่ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ศาสตรามารในมือจั่วม่อส่วนมากได้มาจากบรรดา
ยอดฝี มื อ ใต้ ร่ ม ธงของอวี่ ไ สว้ ส่ ว นใหญ่ ล้ ว นเป็ น ศาสตรามารด่ า นเจี ย ง
ทั้งสิ้น แต่ในบรรดาศาสตรามารเหล่านั้น ยังมีศาสตรามารด่านถงหลิ่ง ซึ่ง
เลิศพิสดารอยู่หลายชิ้น
แน่นอนว่าศาสตรามารด่านถงหลิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยมีคุณประโยชน์อัน
ใดต่อจั่วม่อนัก แต่มันเองก็มีม๋อเป้ยอยู่มากมายแล้ว ดังนั้นกล่าวว่า “เพียง
แลกเปลี่ยนเท่านั้น”
อีกฝ่ายมีสีหน้าลาบากใจขึ้นมาทันที แต่พอเหลือ บเห็นก้อนหินในมือ
ของจั่ ว ม่ อ ค่ อ ยคึ ก คั ก ขึ้ น อัก โข บางที ต้ า เหริ นท่ า นนี้ อาจชมชอบสิ่งของ
แปลก ๆ กระมัง?
มันเคยพเนจรไปตามสถานที่ต่าง ๆ มากมาย แม้ว่าไม่มีส มบัติล้ า ค่า
แต่มีสิ่งของแปลกประหลาดไม่น้อย
มันรีบขนย้ายทุกสิ่งที่มีออกมาวางเรียงรายอยู่เบื้องหน้า จากนั้นกล่าว
อย่างเรียบ ๆ ร้อย ๆ ว่า “ต้าเหริน ทั้งหมดที่ผู้น้อยมีล้วนอยู่ที่นี่แล้ว”
ความคิดอ่านอันประเปรียวของอีกฝ่ายทาให้จ่ัวม่อรู้สึกทึ่งอยู่บ้าง คน
ผู้นี้ตอบสนองได้รวดเร็วไม่เลว
มันแม้ลอบชื่นชมฝ่ายตรงข้าม แต่ อาศัยความเขี้ยวลากดินในการทา
มาค้าขายของเสี่ยวม่อเกอ มันย่อมต้องพินิจดูสิ่งละอันพันละน้อยตรงหน้า
มันอย่างจริงจัง
ชายฉกรรจ์นี้ไม่ร่ารวย สิ่งของเกือบทั้งกองล้วนเป็นเศษชิ้นส่ว นของ
สิ่ ง ต่ า ง ๆ ศาสตรามารไม่ มี ชิ้ น ใดที่ ค รบถ้ ว นสมบู ร ณ์ แต่ อ ย่ า งไรก็ ต าม
จั่วม่อยังคงดวงตาเป็นประกายในบัดดล
นั่นเป็นเศษกระบี่หักชิ้นหนึ่ง เกรอะกรังไปด้วยสนิมทั่วทั้งชิ้น
จั่วม่อเมื่อสัมผัสถูกเศษกระบี่หัก พลังเทพภายในกายคล้ายถูกกระตุ้น
ทันควัน
สมบัติโบราณ!
จั่ ว ม่ อ ฉุ ก ใจวู บ เลื อ กหยิ บ เศษกระบี่ หั ก ชิ้ น นั้ น ออกมา และที่ เ หนื อ
ความคาดหมายก็คือ เศษกระบี่เบาราวกับขนนก มีเลศนัย! ไม่น่าแปลกใจ
ที่ ช ายฉกรรจ์ นี้ เ ก็ บ รั ก ษาไว้ กั บ ตั ว คนผู้ นี้ แ ม้ ไ ม่ ล่ ว งรู้ ที่ ม าของวั ต ถุ นี้ แต่
เพียงแค่น้าหนักกระบี่ที่เบาบางดั่งขนนกก็เพียงพอให้ผู้คนพิศวงสงสัยไม่รู้
วาย
“ข้าขอแลกกับสิ่งนี้”
จั่วม่อบอกอย่างไม่ลังเล มันโบกมือวูบ ขวานภูตโลหิตกลับกลายเป็น
ลาแสงสีแดงสายหนึ่ง ปักลงบนพื้นตรงหน้าบุรุษร่างใหญ่
ชายฉกรรจ์ลิงโลดยินดียิ่ง “ขอบคุณท่านมาก ต้าเหริน!”
หลั ง จากกล่า วจบค า มั น คล้ า ยกริ่ ง เกรงว่ า จั่ ว ม่ อจะส านึก เสียใจกับ
การค้ารายนี้ รีบหยิบฉวยขวานภูตโลหิต กวาดเก็บทรัพย์สินบนพื้นอย่าง
ลวก ๆ แล้วแล่นหายลับไปในทันที เศษกระบี่ หักเล่มนั้นมันได้รั บมาโดย
บังเอิญ นอกเหนือจากความเบาอย่างคาดไม่ถึงแล้ว ก็ไม่ได้มีอันใดพิ เศษ
แรกเริ่มเดิมทีมันยังเสาะหาคนช่วยตรวจสอบดู แต่นอกจากน้าหนักที่เบา
อย่างน่าประหลาดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถบอกอื่นใดได้อีก
คราครั้งนี้สามารถใช้เศษกระบี่หักที่ไม่มีประโยชน์ต่อมันแลกเปลี่ยน
กับศาสตรามารชั้นเลิศเล่มหนึ่ง นับว่าคุ้มค่าเหลือที่จะกล่าว!
ด้วยศาสตรามารเล่มนี้ พลังฝีมือของมันจะโลดทะยานดุจติดปีกบิน!
คนอื่น ๆ พอเห็นชายร่างใหญ่นั้นใช้เศษกระบี่หักสนิมเขรอะแลกกับ
ศาสตรามารชั้นยอดเล่มหนึ่ง ล้วนตาแดงฉาน
“ต้าเหริน ต้าเหรินขอรับ กรุณาดูที่นี่ มีสิ่งที่ท่านต้องการบ้างหรือไม่?”
“ต้าเหริน ลองดูนี่ด้วยเถิด!”
แต่ ล ะคนล้ ว นน าสิ่ ง ที่ พ วกมั น มี อ อกมาวางเรี ย งราย หวั ง ให้ จ่ั ว ม่ อ
แลกเปลี่ยนสิ่งของกับพวกมันสักชิ้นหนึ่ง เช่นนั้นพวกมันจะได้รับศาสตรา
มารด่านถงหลิ่งเล่มหนึ่ง ราคาแลกเปลี่ยนเช่นนี้หาไม่ได้จากที่ใดอีกแล้ว!
เพียงหินที่ไม่มีใครรู้จักก้อนหนึ่ง เศษกระบี่หักสนิมเกรอะชิ้นหนึ่ง ของ
ไร้ค่าในสายตาคนทั่วไปเหล่านี้ถึงกั บ แลกได้ศาสตรามารด่ านถงหลิ่ ง ชั้ น
ยอดสองเล่ม
ผู้โดยสารฉลามเวหาคนอื่น ๆ พอได้ฟังเรื่องนี้ พากันแห่มาไม่ขาดสาย
โอกาสอันดีเลิศเช่นนี้ จะให้พวกมันพลาดไปได้อย่างไร?
มหกรรมที่อึกทึกครึกโครมนี้ ย่อมต้องร้อนไปถึงเหล่านักบู๊องครักษ์
ของฉลามเวหา ราคาค่าโดยสารของฉลามเวหานั้นไม่อาจบอกว่าย่อมเยา
ดั ง นั้ น ตลอดการเดิ น ทางจึ ง ว่ า จ้ า งนั ก บู๊ อ งครั ก ษ์ ค อยรั ก ษาความสงบ
เรียบร้อยเป็นอย่างดี
แต่พวกมันพอเร่งรุดมาถึง พอดีเห็นภาพเหตุการณ์อันร้อนระอุ
ราคาค่ า โดยสารฉลามเวหานั้น นับ ว่ า แพงไม่ น้อ ย ดั ง นั้ น อาคั นตุกะ
ทั้ ง หลายที่ นี่ ล้ ว นแล้ ว แต่ พ อมี ฐ านะไม่ ม ากก็ น้ อ ย พวกมั น ค้ น พบอย่ า ง
รวดเร็ว ต้าเหรินท่านนี้ไม่มีความสนใจต่อสิ่งที่พ วกมัน คิด ว่า ดีเลยแม้ แ ต่
น้อย แต่ข้าวของจิปาถะที่ไม่ทราบที่มา มักจะดึงดูดใจมันได้ง่ายดายกว่าสิ่ง
อื่น
หลังจากหลายคนแลกเปลี่ยนศาสตรามารได้สมดังใจหมาย ฝูงชนยิ่ง
เดือดพล่านขึ้นมาทันที
ต้าเหรินท่านนี้ดูท่ามีรสนิยมแปลกพิลึก
จั่ ว ม่ อ มี ศ าสตรามารด่ า นถงหลิ่ ง อยู่ ไ ม่ น้ อ ย ในเมื่ อ มั น ไม่ ไ ด้ ใ ช้ ง าน
เช่นนั้นแลกเปลี่ยนกับสิ่งอื่นที่มีประโยชน์จะคุ้มค่ากว่า ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยว
ม่อเกอมีดวงตาแหลมคม ล่วงรู้วิธีการทาการค้า แน่นอนว่ามีแต่ได้กาไร หา
ได้ขาดทุนดังที่คนทั่วไปคาดคิดไม่
รอจนหัวหน้านักบู๊พิทักษ์ฉลามเวหาก้าวเดินเข้าไป ก็พบเห็นภาพการ
แลกเปลี่ยนอย่างคึกคัก ในถุงย่ามของอาคันตุกะท่านนี้ดูคล้ายมีศาสตรา
มารมากมายไม่รู้จักหมดสิ้นอยู่ภายใน แต่ละเล่มล้วนแล้วแต่มีคุณภาพโดด
เด่นเลิศล้า
หลังจากตะลึงลาน กระทั่งมันเองยังต้องครุ่นคิด แม้ว่าตัวมันจะบรรลุ
ด่านเจียงมาเป็นเวลานาน ศาสตรามารด่านถงหลิง่ ไม่มีประโยชน์อันใดต่อ
มันอีก แต่มันก็น่าจะขอแลกเปลี่ยนดูสักเล่มสองเล่ม จะได้ใช้เป็นของขวัญ
อันล้าค่าให้แก่ลูกหลานของมัน ศาสตรามารหลายเล่มที่เพิ่งแลกเปลี่ยนกัน
ไปนั้นล้วนแล้วแต่เลอเลิศ ไม่ต้องแปลกใจว่ากระทั่งบรรดานักบู๊องครักษ์
ลูกน้องของมันยังหวั่นไหวใจ
โชคดีที่หัวหน้านักบู๊อารักขาไม่ถึงกับหลงลืมหน้าที่ข องตน รีบสะกด
กลั้ น ความปรารถนาในใจ สิ่ ง ที่ มั น ต้ อ งท าคื อ รั ก ษาความสงบเรี ย บร้ อ ย
ป้องกันเหตุวุ่นวาย
“หัวหน้า ดูนั่น!” สมุนผู้หนึ่งพลันตะโกนก้อง
หั ว หน้ า นั ก บู๊ อ งครั ก ษ์ ง งงั น วู บ แล้ ว หั น มองไปตามปลายนิ้ ว ของ
ลูกสมุนที่ชี้บอก มันเห็นคนที่แทบจะเปลือยเปล่าทั้งร่างนอนแผ่หลาอยู่บน
พื้น รอประเดี๋ยว ...นั่นมิใช่นายน้อยจี้หรอกรึ?
หัวหน้านักบู๊องครักษ์หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
จบสิ้นแล้ว!
มันย่อมล่วงรู้ถึงความเย่อหยิ่งจองหองของนายน้อยจี้เป็นอย่างดี แต่
ตระกูลจี้แห่งอาณาจักรเวิ้งฟ้าทรงอานาจอิทธิพล ให้การปกป้องนายน้อย
ของพวกมันโดยไม่สนใจเหตุผล ไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านแข็งขืน แต่...นายน้อย
จี้ผู้นั้น...ถึงกับถูกลอกคราบจนเกลี้ยงเกลา... ...
หัวหน้านักบู๊พิทักษ์ฉลามเวหาไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อ ไป
อีก ในใจลอบฝืนยิ้มขมขื่น เรื่องนี้เมื่อเกิดขึ้นบนฉลามเวหาที่มันดูแล เกรง
ว่ายากจะหนีความรับผิดชอบแล้ว
อย่ า งไรก็ ต าม มั น ไม่ คิ ด ออกหน้า ทวงถามความยุติธ รรมให้แ ก่นาย
น้อยจี้ในทันที มันเมื่อ สามารถฝ่าฟันมาถึงระดับชั้นนี้ย่อมมีประสบการณ์
โชกโชน มั น ทราบดี ว่ า ผู้ ที่ ก ล้ า ลงมื อ กระท าเช่ น นี้ ต่ อ นายน้ อ ยจี้ แ ห่ ง
อาณาจักรเวิ้งฟ้าและบริวาร หากมิใช่ว่าตนเองมีพลังฝีมือแกร่งกร้าวเกรียง
ไกร ก็ ต้ อ งมี ฉ ากหลั ง อั น ยิ่ ง ใหญ่ ซึ่ ง ไม่ ว่ า จะอย่ า งไรคนผู้ นี้ ก็ มิ ใ ช่ ผู้ ที่ มั น
สมควรไปตอแยด้วย
แต่ครั้นจะปล่อยให้กลุ่มของนายน้อยจี้นอนกางแขนกางขาล่อนจ้อน
อยู่บนท้องถนน ก็เกรงว่าจะไม่ดีนัก จึงได้แต่กัดฟัน กล่าวว่า “หาเสื้อผ้ามา
คลุมให้พวกมันก่อน”
นักบู๊อารักขาฉลามเวหาบางคนถอดเสื้อชั้นนอกของตนออกมา คลุม
ร่างของเหล่าคนตระกูลจี้อย่างลวก ๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดลงมือขัดขวาง หัวหน้านักบู๊รักษาการณ์ค่อยถอน
หายใจอย่างโล่ งอก ซึ่งความจริง การหาผ้ าผ่อนปิ ด กายให้ แก่ นายน้ อ ยจี้
เป็ น การทดลองหยั่ ง ดู จิ ต เจตนาของต้ า เหริ น ท่ า นนี้ เมื่ อ ผู้ อ่ ื นไม่ ไ ด้ ห้ า ม
ปรามมั น หมายความว่ า ไม่ คิ ด สื บ สาวราวเรื่ องอี ก จึ ง หั น ไปสั่ ง การว่ า
“ประคองพวกมันกลับไปยังห้องหับ”
ซึ่งความจริง หาได้มีผู้ใดให้ความสนใจกับการกระทาของเหล่านักบู๊
พิทักษ์ฉลามเวหาไม่ ทุกผู้คนล้วนตื่นเต้นกระตือรือร้นต่อการแลกเปลี่ยน
กับจั่วม่อ แน่นอนว่าจั่วม่อล่วงรู้การเคลื่อนไหวทั้งหมด แต่คร้านจะแยแส
สนใจ ส าหรับมันนี่เป็นเพียงการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ห ากอีก
ฝ่ายยังไม่รู้ดีรู้ชั่ว กลับมารังควานหาเรื่องมันอีก มันก็ไม่รังเกียจที่จ ะมอบ
บทเรียนให้แก่ตระกูลจี้แห่งอาณาจักรเวิ้งฟ้าอย่างสาสม
ในไม่ช้า หัวหน้านักบู๊องครักษ์ก็ได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
จากคนในเหตุ ก ารณ์ สายตาที่ ม องไปยั ง จั่ ว ม่ อ กลั บ กลายเป็ น ทั้ ง นั บ ถื อ
เลื่อมใส ทั้งครั่นคร้ามยาเกรง
การค้าของจั่วม่อจบลงอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของมันช่าชองชานาญ จิตสานึกของมันยังสามารถกวาดผ่าน
สิง่ ของทั้งหมดแทบจะในทันทีที่ผู้อ่ น
ื นาออกมา หากมีสงิ่ ใดน่าสนใจ มันจะ
ค้นพบในบัดดล
วันนี้มันเก็บเกี่ยวได้ของดีหลายชิ้น ดังนั้นอารมณ์เบิกบานใจไม่น้อย
แต่จะให้เสียเวลาฝึกปรืออันล้าค่าของมันไปมากกว่านี้ก็ไม่คู่ควรแล้ว
มันบอกเลิกการค้าขาย หมุนตัวกลับเข้าไปในลานบ้าน เพิกเฉยต้องเสียง
ร้องเรียกของเหล่าผู้โดยสารที่ติดตามมาทางด้านหลังของมัน
หัวหน้านักบู๊พิทักษ์ฉลามเวหาอ้าปากอึกอัก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้
กล่าวสิ่งใดออกมา
เมื่อกลับเข้าไปในลานบ้าน จั่วม่อก่อตั้งอาคมหวงห้ามชุดใหญ่ในทันที
จากนั้นค่อยนาก้อนหินที่มีลายโลหิตออกมา เงยหน้าขึ้นกล่าวต่อเขิง
เหลียนเอ๋อร์ผู้กาลังจ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น “ขอยืมกระบี่ลิ้นปลา
หลีเขียวให้ข้าสักครู่”
เขิงเหลียนเอ๋อร์รีบส่งกระบี่ลิ้นปลาหลีเขียวให้แต่โดยดี
จั่วม่อถือกระบี่ลิ้นปลาหลี เขียว เริ่มเฉือนผิวหน้าของก้อนหิน อย่ า ง
เบามือ
ก้ อ นหิ น ถู ก ตั ด เฉื อ นออกมาชิ้ น แล้ ว ชิ้ น เล่ า ราวกั บ ขนมเปี๊ ยะ เขิ ง
เหลียนเอ๋อร์มีสีหน้าตื่นตะลึง ก้อนหินยิ่งถูกเฉือนเล็กลง ความประหลาดใจ
ของนางยิ่งเพิ่มพูน อากุ่ยเองก็สัมผัส ได้ถึงพลังเทพ ต้องขยับกายเข้ามา
เพ่งพิศดูก้อนหินในมือจั่วม่อโดยไม่รู้ตัว
พลังเทพ!
ก้อนหินนี้เก็บกักพลังเทพเอาไว้จริง ๆ!
การตั ด เฉื อ นของจั่ ว ม่ อ ชะลอช้ า ลง เห็ น ได้ ชั ด ว่ า มั น ต้ อ งใช้ ค วาม
พยายามควบคุมกระบี่ลิ้นปลาหลีเขียวอย่างกินแรงอยู่บ้าง ยิ่งเฉือนลึกลง
ไปเท่าใด พลังเทพที่ประจุอยู่ในชั้นหินยิ่งหนาแน่นเข้มข้นขึ้นเท่านั้น ก้อน
หินก็ยิ่งแข็งแกร่งทนทานขึ้นกว่ า เดิ ม จั่วม่อถึงกับต้องโคจรพลังเทพเข้ า
หนุนเสริม เพื่อที่จะตัดเฉือนลึกลงไปอีก
และยิ่งตัดลึกลงไป สีเลือดก็ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ
จั่ ว ม่ อ ในที่ สุ ด ก็ ตัด เฉื อนส่ว นสุด ท้ า ยของผิว หน้า ก้ อนหินออกไปจน
หมด เห็นลูกบาศก์สีแดงพิสุทธิ์กระจ่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสาม
เสินจิง! (ผลึกเทวะ)
ชั่วพริบตานั้น จั่วม่อกับเขิงเหลียนเอ๋อร์แทบจะหยุดหายใจโดยพร้อม
เพรียง
เสินจิงก้อนนั้นมีขนาดเท่าผลเหอเถา เป็นสีแดงสดทั้งก้อน กระจ่างใส
และเป็นประกายแวววาม หมดจดงดงามยิ่ง สิ่งที่ชวนลุ่มหลงงมงายยิ่งไป
กว่ า นั้ น คื อ คลื่ นพลั ง เทพที่ แ ผ่ ซ่ า นออกมาเป็ น ระลอก ทั้ ง พิ สุ ท ธิ์ แ ละ
นุ่มนวลอย่างบอกไม่ถูก เอ่อท้นไปทั้งลานบ้าน หากมิใช่ว่ามีอาคมหวงห้าม
ที่จ่ว
ั ม่อจัดตั้งเอาไว้ล่วงหน้า ทุกผู้คนบนฉลามเวหาจะต้องถูกคลื่นพลังเทพ
นี้สะกิดความสนใจอย่างแน่นอน
“ที่แท้ในโลกนี้มีเสินจิงอยู่จ ริง ๆ... ...” จั่วม่อพึมพาแผ่วเบา สี หน้า
เคร่งขรึม มันย่อมทราบกระจ่างแก่ใจว่านี่หมายถึงสิ่งใด
ในภพเซี ย นของซิ ว เจ่ อ เหมื อ งจิ ง สื อ เป็ น แหล่ ง รายได้ ห ลั ก ของทุ ก
ส านั ก เป็ น ทรั พ ยากรที่ มี ค วามส าคั ญ สู ง สุ ด ในบรรดาทรั พ ยากรทั้ ง มวล
และเป็นเส้นชีวิตของสานักทั้งหมด
ประตูสู่ยุคสมัยแห่งพลังเทพได้บังเกิดรอยแตกร้าวขึ้นแล้ว รอจนถึง
ยามนั้น การค้นพบเสินจิงจะมีคุณค่าหาใดเทียบ!
ถื อ เสิ น จิ ง อยู่ ใ นมื อ พลั ง เทพของจั่ ว ม่ อ คล้ า ยถู ก ปลุ ก ให้ ต่ ื นขึ้ น มา
คล้ายลิงโลดพลุ่งพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แทบจะในทันทีที่ความคิด
บังเกิด พลังเทพสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเสินจิง แล่นผ่านฝ่ามือ แทรกซึม
เข้าไปในร่างกายของจั่วม่อในบัดดล
พลังเทพสายนี้เมื่อผ่านเข้าไปในร่างของจั่วม่อ พลันผสมรวมเข้ากับ
พลังเทพภายในกายมัน จั่วม่อรู้สึกแช่มชื่นสุขสบายอย่างบอกไม่ถูก
เสินจิงในมือของมันหม่นแสงลงเล็กน้อย
จริงดังคาด เสินจิงสามารถช่วยเหลือมันฝึกปรือพลังเทพ!
จั่วม่อลืมตาขึ้นทันควัน สองตาทอประกายเจิดจ้า มันส่งเสินจิงให้แก่
เขิงเหลียนเอ๋อร์โ ดยไม่กล่า วค าใด เพียงชั่วอึดใจต่อมา ก็เห็นเขิงเหลียน
เอ๋อร์สีหน้าแปรเปลี่ยน
พลังเทพของเขิงเหลี ยนเอ๋อร์เป็นขั้วตรงข้ามกับมันอย่างสิ้นเชิง แต่
นางก็สามารถใช้งานเสินจิงเช่นกัน นี่แสดงให้เห็นว่าพลังเทพที่อยู่ภ ายใน
เสินจิงมีคุณสมบัติเป็นกลาง ไม่สังกัดคุณลักษณะใดโดยเฉพาะเจาะจง
ของวิเศษนี้จะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ต่อการฝึกปรือพลังเทพ
ทุกชนิด
หากมั น มี เ สิ น จิ ง คอยช่ ว ยเหลื อ อี ก แรง การฝึ ก ปรื อ ของมั น จะยิ่ ง
รวดเร็ ว ดุ จ ติ ด ปี ก บิ น และหากมั น สามารถเสาะหาเสิ น จิ ง ได้ ม ากพอ
ความเร็วในการฝึกปรือของมันจะทวีคูณขึ้นหลายเท่า!
นี่หมายความว่าระยะเวลาที่มันต้องใช้ในการรุ ดหน้าจะลดน้อยลงไป
มาก
ทัณฑ์เทวะมิดับสูญของอากุ่ยอาจอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม!
จั่วม่อตกลงใจโดยแทบไม่มีอาการลังเล
“เราจะต้องไปสารวจดูหุบเหวลึกในอาณาจักร้อยปราณสักครา!”
2
เหิง – คานี้แปลว่ามั่นคง ถาวร ตลอดไป
3
เหิง – เป็นคนละคากับชื่อประมุขตระกูล เหิงคานี้แปลว่า แนวนอน ตามขวาง
จี้ซีใจสั่นสะท้าน โพรงปิศาจลึกล้าเป็นสถานที่ฝึกปรืออันโหดเหี้ ย ม
อามหิตที่สุดเท่าที่มีอยู่ในตระกูลจี้ เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดชั่วร้าย หลาย
ปี ม าแล้ ว ที่ ไ ม่ มี ผู้ อ าจหาญลงไปในโพรง การถู ก ส่ ง ไปที่ นั่ น บั ด นี้ ก ลั บ
กลายเป็นรู ปแบบการลงทัณฑ์ชนิดหนึ่งของตระกูล ผู้ที่กระทาผิดร้ายแรง
จะถูกโยนลงไปในโพรงปิศาจนั้น หากพวกมันสามารถเอาชีวิตรอดกลับมา
ได้ จะไม่ต้องรับโทษตายอีก
“นายน้อยอาจทระนงถือดีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้กระทาผิดหนักหนาสาหัส
อันใด... ...” จี้ซีอดกระตุ้นเตือนผู้เป็นนายไม่ได้ มันทราบดีว่าหากนายน้อย
ถูกโยนลงไปในโพรงปิศาจลึกล้า ไม่มีทางเอาชีวิตรอดกลับมาได้ด้วยพลัง
ของตนเป็นแน่
จี้ เ หิ ง เหยี ย ดยิ้ ม เย็ น ชา เผยฟั น ขาวสะท้ อ นประกายดุ ร้ า ยอ ามหิ ต
“หากมั น ไม่ มี ปั ญ ญาตะเกี ย กตะกายออกมา ก็ ไ ม่ มี คุ ณ สมบั ติ จ ะเป็ น
บุตรชายข้า”
จี้ซีนิ่งเงียบงันไป มันหยั่งทราบนิสัยใจคอของผู้เป็นนายเป็นอย่างดี
สิ่ ง ที่ ป ระมุ ข ผู้ นี้ ต กลงใจแล้ ว ไม่ ว่ า จะพยายามเกลี้ ย กล่ อ มอย่ า งไรก็ ไ ร้
ประโยชน์
จี้เหิงไม่มองดูจี้ซี กล่าวคล้ายราพึงกับตัวเอง “ส่วนเจ้าคนที่ลงมือต่อ
พวกเรา ให้อาเหิงตอบแทนมันให้ดี”
จี้ซีพยักหน้ารับทราบ จากนั้นหันเหหัวเรื่องว่า “นายท่าน เราไม่ได้รับ
ข่าวคราวจากคนที่ส่ง ไปยัง วิห ารเทพปิศ าจอี ก เกรงว่า ทั้ง หมดคงจบสิ้ น
แล้ว”
จี้เหิงดวงตาทอประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง ก่อนจะแค่นเสียงอย่างเย็น
ชา “วิหารเทพปิศาจถึงกับก่อกาเนิดพลังเทพสาเร็จ นับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง มี
ข่าวของเซี่ยวม่อเกอหรือไม่?”
วิหารเทพปิศาจสร้างแรงกดดันต่อมันไม่น้อย เพียงไม่กี่วันก่อน จอม
ปิศาจด่านไสว้ยังเป็นขุมกาลังอันแกร่งกร้าวเกรียงไกรที่สุดในแดนปิศาจ
แต่บัดนี้กลับไม่ใช่แล้ว
วิหารเทพปิศาจนับเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในยามนี้!
“ไม่มีขอรับ” จี้ซีสั่นศีรษะ “มันคล้ายหายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน
เท่าที่เราสืบเสาะมาได้ ขบวนผู้อาวุโสวัดเสวียนคงมาครั้งนี้เพื่อคร่ากุมตัว
เซี่ ย วม่ อ เกอ สามผู้ อ าวุ โ สตายใต้ เ งื้ อมมื อ ของพวกเซี่ ย วม่ อ เกอ แต่ แ ล้ ว
ระหว่างการไล่ล่าติดพัน คนจากวิหารเทพปิศาจพลันปรากฏตัวออกมา ที่
น่าแปลกคือวิหารเทพปิศาจกับเซี่ยวม่อเกอกลับไม่ลงมือต่อกัน”
จี้เหิงมีสีหน้าครุ่นคิด ชั่วอึดใจหนึ่ง ค่อยเงยหน้ากล่าวว่า “มุ่งเน้นไปที่
เซี่ยวม่อเกอให้มาก พลังเทพของมันแม้ไม่ร้ายกาจเท่าวิหารเทพปิศาจ แต่
มันไม่มีวิหารเทพ ดังนั้นสมควรฝึกปรือพลังเทพด้วยวิธีการอื่น”
“ขอรับ!” จี้ซีรับคา จากนั้นออกจากห้องไป
จี้เหิงจมลงไปในภวังค์ความคิด หลายอึดใจให้หลังค่อยผุดลุกขึ้น เปิด
ประตูออกจากห้อง พลิ้วกายขึ้นกลางอากาศ
ไม่นานหลังจากนั้น มันมาถึงหุบเขาที่อาพรางไว้เป็นอย่างดีแห่งหนึ่ง
รอบบริเวณอยู่ภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนา
มันคุ้นเคยกับสถานที่แห่ งนี้ม าก ลึกเข้าไปในหุบเขา เห็นวิห ารเทพ
หลังหนึ่งตั้งเด่นเป็นสง่า
วิหารเทพหลังนัน
้ แม้เห็นได้ว่ายังคงไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่แท่นบวงสรวง
และตัววิหารหลักเริ่มเป็นรู ปเป็นร่างแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพิ่งจะก่อสร้าง
ขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ อย่างน้อยสมควรกินเวลาเป็นสิบปี จี้เหิงเดินเข้าไปยัง
ใจกลางแท่ น บวงสรวงอย่ า งเชื่ องช้ า จากนั้ น กางสองแขนแผ่ ก ว้ า ง
ความรู้สึกแปลกพิสดารชนิดหนึ่งผุดพลุ่งขึ้น
ไม่มีผู้ใดทราบว่านับตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน มันก็เริ่มศึกษาค้นคว้าเรื่อง
พลังเทพแล้ว
แต่ สิ บ ปี ม านี้ ความก้ า วหน้ า ของมั น เชื่ องช้ า ยิ่ ง กล่ า วถึ ง พลั ง เทพ
นับเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุดในยุคนี้ เพื่อรักษาความลับเอาไว้ มันไม่เคย
แพร่งพรายเรื่องวิหารเทพออกไป
แต่ที่แท้นั่นกลับเป็นข้อผิดพลาด การปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ทัน ใด
ของวิหารเทพปิศาจ ราวกับหวดฟาดใส่กลางแสกหน้ามันอย่างถนัดถนี่
ที่แท้สิ่งสาคัญที่สุดก็คือศรัทธาความเชื่อจากผู้คน!
ดวงตาเย็นชาของมันทอประกายเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ คล้ายเพิ่งทาการ
ตัดสินใจเสี่ยงอันตรายประการหนึ่ง
จั่วม่อพอออกจากทะเลแห่งจิตสานึก ต้องครุ่นคิดใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน
การที่ ต้ อ งสู ญ เสี ย พลัง ฝีมื อ ทั้ ง หมดเป็ น เวลาหนึ่ งวั น ในแต่ล ะเดือน
เพื่อแลกกับความสามารถในการฝึ กฝนเวทวิช าเพิ่มขึ้นสามเท่ า นับเป็น
การค้าที่ได้กาไรดีงาม แต่นี่ก็กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ซ่อนเร้น หากมันต้อง
เผชิญกับอันตรายในวันที่สูญเสียพลังฝีมือทั้งหมด เช่นนั้นก็จบสิ้นแล้ว
ดูเหมือนว่ามันต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าที่เหมาะสม
แม้ว่าคาสัต ย์ส าบานจะสร้างจุดอ่อนแฝงเร้นให้แก่มัน จั่วม่อก็ยังคง
พึ ง พอใจเป็ น อย่ า งยิ่ ง ความสามารถในการฝึ ก ฝนเพิ่ ม ขึ้ น สามเท่ า นั่ น
หมายความว่าเวลาในการฝึกปรือของมันสมควรหดสั้นลงสองสามเท่าด้วย
ภายในลานบ้าน จั่วม่อเริ่มฝึกฝนเวทวิชาทันที
มันกาลังร่ายกระบวนท่าดรรชนี ‘เวทวิชาดรรชนีน้าวเกาทัณฑ์’ นี่เป็น
เวทวิชาดรรชนีที่ท้ังลึกซึ้งและซับซ้อนยิ่ง มีต้นกาเนิดมาจากกระบวนท่า
ดรรชนีอันผิดแผกแตกต่างหลายกระบวน คิดค้นขึ้นโดยสานักจากยุคก่อน
มหาสงครามพันปี เป็นวิชาสร้างชื่อของส านักที่ ว่านั้นเอง ในยุคปัจ จุบัน
เวทวิชาดรรชนีระดับสูงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ที่ห ลงเหลือก็มีเพียงเคล็ด
วิชาอันหยาบกระด้างเช่นเคล็ดเมฆฝนหล่นริน ซึ่งแฝงเร้นไว้ด้วยกระบวน
ท่าดรรชนีอันหยาบกร้าน
ซิวเจ่อในยุคสมัยนี้เชื่อว่าเมื่อความสามารถในการควบคุมพลังปราณ
บรรลุถึงระดับชั้นหนึ่ง พวกมันสามารถละทิ้งกระบวนท่าดรรชนีไปตลอด
กาล
ซึ่งหากว่ากันตามหลักการ สิง่ นี้นับไม่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์
แต่เวทวิชาดรรชนีที่มันกาลังฝึกปรือนี้ขัดแย้งกับหลักการที่ว่าอย่าง
สิ้นเชิง จิตเจตนาของการใช้กระบวนท่าดรรชนีนี้ ก็เพื่อช่วยให้ซิวเจ่อซึ่งมี
ด่านพลังฝึกปรือต่า สามารถใช้เวทวิชาระดับสูงกว่าด่านพลังของตนได้
นับตั้งแต่ที่จ่ว
ั ม่อเริม
่ ฝึกปรือเวทวิชาดรรชนีน้าวเกาทัณฑ์ มันก็ค้นพบ
ข้อแตกต่างนี้ในทันที
พลังปราณของมันคล้ายกลับกลายเป็นเฉียบไวกว่าเดิม หลายส่วนที่
มันไม่เข้าใจก่อนหน้านี้ ยิ่งมายิ่งกระจ่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากฝึกฝน
ไปอีกช่วงหนึ่ง กระบวนท่าดรรชนีของจั่วม่อกลายเป็นลื่นไหลดุจเมฆล่อง
น้าริน ไม่เงอะงะติดขัดเหมือนเช่นก่อนหน้านี้อีก
มีประสิทธิภาพมากตามที่คาด!
จั่วม่อคึกคักขึ้นอักโข การฝึกปรือพลังปราณมักจะเป็นเรื่องเจ็ บปวด
ส าหรับมันเสมอ แตกต่างจากยามฝึกปรือศาสตร์อสูรและทักษะปิศาจ ที่
มันทั้งสุขใจและลุ่มหลงงมงาย แต่บัดนี้ความเจ็บปวดที่ว่านั้นปลิวหายวับ
จั่วม่อในที่สุดก็ค้นพบความรู้สึกสุขสบายที่คล้ายคุ้นเคยคล้ายไม่คุ้นเคย
หลังจากโหมฝึกปรืออย่างบ้าคลั่งติดต่อกันถึงหกชั่วยาม จั่วม่อยังไม่
ชะลอช้าลงแม้แต่น้อย มันยังคงกระหายมากกว่าเดิมเสียอีก
ความรู้สึกนี้ช่างเลอเลิศนัก!
ด้ ว ยระดั บ ความเร็ ว เช่ น นี้ จั่ ว ม่ อ เชื่ อมั่ น อย่ า งเต็ ม เปี่ ยมว่ า ภายใน
ระยะเวลาอันสั้น มันสามารถยกระดับเวทวิชาของตนขึ้นเป็นชั้นหนึ่ ง ได้
อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นมันรู้สึกว่าฉลามเวหาเริ่มดิ่งลงต่า
พร้อมกันนั้น มีใครบางคนเคาะประตูที่ด้านนอกอย่างเกรงอกเกรงใจ
จิต ส านึกของจั่วม่อกวาดวาบออกไปในบัดดล ภาพของผู้มาปรากฏ
ขึ้นในจิตใจของมันอย่างชัดเจน คนผู้นน
ั้ คือหัวหน้านักบู๊พิทักษ์ฉลามเวหา
มันโบกมือวูบ ประตูพลันเปิดออกด้วยตัวเอง
“ต้ า เหริ น ผู้ สู ง ส่ ง ฉลามเวหาของเราบรรลุ ถึ ง เมื อ งปู้ โ จวแล้ ว ตาม
กาหนดการเดิม เราจะหยุดพักที่เมืองนี้เป็นเวลาสามวัน หากต้าเหรินรู้สึก
ว่าการอุดอู้อยู่แต่ในนี้น่าเบื่อหน่าย บางทีท่านอาจลองไปพักผ่อนหย่อนใจ
ในเมืองปู้โจว” หัวหน้านักบู๊พิทักษ์กล่าวอย่างนอบน้อม
มี วิ ธี ก ารมากมายที่ จ ะแจ้ง ต่ออาคั น ตุก ะทุ ก ท่ า นบนเรื อ แต่ หั ว หน้า
นักบู๊พิทักษ์ฉลามเวหายังคงตัดสินใจมาด้วยตัวเองเพื่อเป็นการให้เกี ย รติ
ยอดคนท่านนี้
ผู้ที่แกร่งกร้าวเกรียงไกรถึงเพียงนี้ คู่ควรที่จะได้รับการเทิดทูนบูชาใน
ลักษณะนี้
จั่วม่อพยักหน้ารับรู้ “เข้าใจแล้ว ขอบใจเจ้ามาก”
หัวหน้านักบู๊พิทักษ์เมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ไม่กล่าวอันใดอีก ค้อมกายคารวะ
แล้วล่าถอยไปเงียบ ๆ
“ฟั ง ว่ า เมื อ งปู้ โ จวเป็ น แหล่ ง ผลิ ต กระดู ก งู สั น เขาพิ สุ ท ธิ์ สิ่ ง นั้ น มี
ประโยชน์ต่อข้า” เขิงเหลียนเอ๋อร์พลันกล่าวขึ้น
“กระดู ก งู สั น เขาพิ สุ ท ธิ์ ?” จั่ ว ม่ อ เข้ า ใจทั น ที “เกี่ ย วข้ อ งกั บ สั ง ขาร
ปิศาจของเจ้าเช่นนั้นรึ?”
“อา” เขิงเหลียนเอ๋อร์พยักหน้าพลางอธิบายว่า “นี่เป็นความลับของ
ตระกูลเขี้ยวขาวของเรา ข้าล่วงรู้มาจากบิดาของข้า กระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์
สามารถช่วยเสริมสร้างสังขารปิศาจเขี้ยวขาวของพวกเรา แต่ทว่ากระดูกงู
สันเขาพิสุทธิ์นั้นหาได้ยากยิ่ง มีสถานที่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถผลิต
ได้ เมืองปู้โจวเป็นหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งนั้นเอง”
จั่วม่อพอฟัง จึงพยักหน้าพลางกล่าว “เช่นนั้นลองไปดูกันเถอะ หวัง
ว่าครั้งนี้เจ้าจะมีโชคลาภพอที่จะเสาะพบสักชิ้นสองชิ้น”
เขิงเหลียนเอ๋อร์แย้มยิ้มเบิกบาน กระทั่งภายใต้รูปโฉมที่แปรเปลี่ยน
เป็นธรรมดาสามัญ รอยยิ้มนี้ยังคงงดงามสุดเปรียบปาน
อสูร!
มีชนชาวอสูรขบวนใหญ่กาลังมุ่งหน้ามาทางด้านนี้อย่างช้า ๆ การพบ
เห็นชาวอสูรในแดนปิศาจถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ยากนักที่จะพบเห็น
อสูรเดินทางเป็นขบวนใหญ่โตเช่นนี้ มิหนาซ้ายังห้อมล้อมไปด้วยองครักษ์
ปิศาจชั้นสูงจานวนมาก จั่วม่อลอบราพึงอยู่ในใจ หรือว่าจะเป็นขบวนทูต
จากเผ่าอสูร?
โครงสร้างทางสังคมของอสูรและปิศาจนัน
้ แตกต่างกันอย่างสิน
้ เชิง
เผ่าอสูรแม้มีตระกูลใหญ่มากมาย แต่สภาผู้อาวุโสเป็นผู้ถือครองพลัง
อ านาจสู งสุด แห่ งภพอสูร ปกครองภายใต้ความเป็น อัน หนึ่ง อันเดียวกัน
ส่วนชนเผ่าปิศาจนั้นแบ่งแยกแผ่นดินออกเป็นแคว้นใหญ่น้อยนับไม่ถ้ วน
เหล่าวีรบุรุษนาพาตระกูลของตนปกครองแว่นแคว้นต่าง ๆ โดยไม่ขึ้นแก่
กัน
ชาวอสูรกลุ่มใหญ่ได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างดีเลิศถึงเพียงนี้ จั่วม่อ
เพิ่ ง จะเคยพบเห็ น เป็ น ครั้ ง แรก เมื อ งปู้ โ จวอยู่ ใ นขอบเขตอ านาจของ
ตระกูลทัง ยอดฝีมือที่มีช่ อ
ื เลื่องลือที่สุดของตระกูลทังเรียกว่าทังเฉิน อาศัย
พลังฝีมือด่านไสว้ของมันปกครองอาณาจักรมากมาย มิหนาซ้าตระกูลทัง
ยังเป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สามารถสืบย้อนไป
ถึงยุคมหาสงครามพันปี
ตระกู ล ทั ง ถื อ เป็ น ตระกู ล ที่ มี แ นวทางรั ก สงบตระกู ล หนึ่ ง พวกมั น
มุ่งเน้นการพัฒนาเขตปกครองของตนเป็นเรื่องส าคัญ ด้วยเหตุนี้เอง จึง
เป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชนชาวเผ่าปิศาจในแว่นแคว้นแถบนี้
หรือว่าตระกูลทังกาลังจะเป็นพันธมิตรกับพวกอสูร?
ความคิดนี้วาบผ่านในใจจั่วม่ อ แต่ก็ปัดทิ้งออกจากใจอย่า งรวดเร็ ว
ตระกูลทังจะเป็นพันธมิตรกับอสูรหรืออย่างไร หาได้เกี่ยวข้องกับมันไม่ มัน
เพียงหยุดพักเท้าในเมืองปู้โจวช่วงสั้น ๆ ย่อมไม่ต้องกังวลสนใจกับเรื่อง
เหล่านี้มากไป
ทันใดนั้นเอง พลังสภาวะสุดแหลมคมชนิดหนึ่งครอบคลุมลงบนท้อง
ถนนรอบกายมันอย่างฉับพลัน
จั่วม่อเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ หรือว่ามีคนจดจาพวกมันออก?
มันดึงรั้งอากุ่ยโดยที่ร่างท่อนบนไม่ข ยับเคลื่อนไหว คนทั้งสองคล้าย
ไถลบนแผ่นน้าแข็ง ลอยเลื่อนกลับไปทางด้านหลังตรง ๆ ท่าร่างของมัน
ปลอดโปร่งตามสบาย คล้ายไม่ลาบากกินแรงแม้แต่น้อย เขิงเหลียนเอ๋อร์
ตามติดด้านหลังโดยไร้เสียง ท่าร่างของนางลี้ลับเลื่อนลอย คล้ายมีคล้ายไม่
มี ประดุจเงาภูตพรายที่วูบไหวไม่หยุดยั้ง
“ฮะ!” อาเหิงสีหน้าทอแววตื่นตะลึง
ท่าร่างของฝ่ายตรงข้ามปลอดโปร่งลื่นไหลเหนือธรรมดา สามารถบุก
ฝ่าออกจากพลังสภาวะของมันอย่างสะดวกดาย ยากนักที่มันจะได้เผชิญ
กับสถานการณ์เช่นนี้
แต่จ ากนั้นมันแค่น เสียงอย่ า งเย็น ชา ร่างกลายเป็ นพร่ าเลื อนอย่ า ง
ฉับพลัน แล้วแยกออกเป็นร่างจาลองหกร่าง ร่างจาลองเปลี่ยนเป็นเงาสี
เทาหกสาย โถมทะยานเข้าหาคนทั้งสามจากทั่วสี่ทิศแปดทาง
สังขารปิศาจที่มีเอกลักษณ์พิเศษเช่นนี้ จั่วม่อเพิ่งจะเคยพบพานเป็น
ครั้งแรก อดรู้สึกสนใจอยู่บ้างไม่ได้
มันผายมือออกเล็กน้อย นิ้วทั้งห้ากรีดกรายด้วยจังหวะจะโคนอันลึก
ล้าพิส ดาร กลางฝ่ามือพลันบังเกิดพลังดูดรั้งอันกร้าวแกร่งขุมหนึ่ง เงาสี
เทาสายหนึ่งถูกแรงดูดนี้ฉุดรั้งตรึงติด เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ไม่มีปัญญา
ขยับเคลื่อนไหวอีก
‘ศาสตร์ผ นึกสายลม’ แม้ไม่ใช่ศาสตร์อสูรชั้นสูง แต่ใช้รับมือภายใต้
สถานการณ์เช่นนี้ นับว่ามีความสามารถอื่นที่เหมาะเจาะพอดี
ทักษะปิศาจของจั่วม่อนับเป็นชั้นหนึ่ง ศาสตร์อสูรจัดอยู่ชั้นสอง ส่วน
เวทวิชารั้งท้ายสุด ยังอยู่ในชั้นสาม ดังนั้นยามเผชิญศัต รู เวทวิชาของมัน
อ่อนด้อยเกินไป ทักษะปิศาจนับว่าดีที่สุด เพียงพอให้มันเอาชัยในการต่อสู้
นี้ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่มันจะสูญเสียโอกาสในการฝึกปรือไป ประโยชน์ที่
ได้รับจากการต่อสู้จริงมีประสิทธิภาพมากกว่า และชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่า
การฝึกฝนตามปกติมาก
ศาสตร์ อ สู ร ของมั น กล้ า แข็ ง พอที่ จ ะใช้ รั บ ศึ ก ทั้ ง ยั ง จ าเป็ น ต้ อ ง
ปรับปรุงแก้ไข ย่อมเหมาะที่จะใช้งานในตอนนี้เป็นที่สุด
เห็ น จั่ ว ม่ อ ใช้ ศ าสตร์ อ สู ร ออกมาโดยไม่ ค าดคิ ด เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์
ตระหนักรู้ในบัดดล นางรู้ใจจั่วม่อดีจึงไม่ลงมือ อากุ่ยเองก็คล้ายเข้าใจจิต
เจตนาของจั่วม่อ นางเพียงปล่อยให้จ่ัวม่อดึงรั้งไปตามสบาย ไม่ได้ลงมือจู่
โจมเช่นกัน
สาหรับจั่วม่อแล้ว การใช้ศาสตร์อสูรระดับต่าเช่นศาสตร์ผนึกสายลม
มันแทบไม่ต้องขบคิดเสียด้วยซ้า เพียงยกมือร่ายดรรชนี พลังศาสตร์อสูรก็
ก่อเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
เงาสี เ ทาที่ มั น คร่ า กุ ม เอาไว้ ค ล้า ยสร้ า งขึ้ นจากกลุ่ม หมอก รู ป โฉมดู
คล้ายคลึงกับคนผู้นน
ั้ มาก เพียงแต่โฉมหน้ารางเลือนพร่ามัว พวกมันแต่ละ
ตนแม้ท่าร่างรวดเร็ว ดุจ สายฟ้ าแลบ แต่จ่ัวม่อพบว่าการเคลื่ อนไหวของ
พวกมันยังคงแข็งกระด้างอยู่บ้าง
เห็นศาสตร์ผ นึกสายลมได้ผ ลเกิน คาด จั่วม่อกรีดดรรชนี ไม่ห ยุ ด ยั้ ง
ศาสตร์ผนึกสายลมอีกหลายขุมพุ่งเป้าไปยังเงาสีเทาที่เหลือ
ชั่วพริบตาที่ศาสตร์ผนึกสายลมของจั่วม่อใช้ออกมา อาเหิงอดขมวด
คิ้วไม่ได้ ... อสูร!
หากอยู่ในสถานการณ์อ่ น
ื มันไม่จาเป็นต้องห่วงกังวลอันใด และจะลง
มือฆ่าอีกฝ่ายโดยไม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า จนใจที่ข่าวการมาเยือนของคณะจีลี่
อวี่กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดในยามนี้ เรื่องแต่เก่าก่อนเช่นการจับมือ
เป็นพันธมิตรอสูรปิศาจ ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาสนทนากันอีกรอบ
เผ่าปิศาจใกล้ชิดกับเผ่าอสูร เป็นเรื่องธรรมดาที่ท้ังสองเผ่าพันธุ์จ ะ
กระชับความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกขัน
้ ผ่านการสมรส แต่เมื่อเทียบกับการคบหา
สมาคมอั น สนิ ท สนมกลมเกลีย วระหว่ า งผู้ คนทั่ ว ไปของทั้ งสองเผ่าพันธุ์
มุมมองและท่าทีของชนชั้นปกครองกลับไม่ได้ลงรอยกันถึงเพียงนั้น เพียง
เพราะว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์มีศัตรูกล้าแข็งร่วมกัน พวกมันจึงจาต้องยืนอยู่ฝั่ง
เดียวกันโดยคานึงถึงเรื่องนี้เป็นหลักใหญ่ แน่นอนว่ายังมีสาเหตุอีกประการ
หนึ่งที่ไม่อาจมองข้าม นั่นก็คือเผ่าปิศาจแบ่งออกเป็นหลายฝักหลายฝ่ าย
ไม่มีจอมราชันผู้ถือครองอานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่แท้จริง
แต่ ก ารมาอย่ า งเอิ ก เกริ ก ของจี ลี่ อ วี่ เป็ น เหตุ ใ ห้ เ รื่ อ งความสั ม พั น ธ์
ระหว่างอสูรปิศ าจถู กหยิ บยกออกมาวางไว้ต รงหน้ าผู้ คนอี ก ครั้ ง ในช่ ว ง
เวลาอันอ่อนไหวเช่นนี้ กลับปรากฏยอดยุท ธ์เผ่าอสูรผุดขึ้นอย่างกะทันหัน
อาเหิงไหนเลยจะไม่ระวังป้องกันได้
ตระกูล จี้กับตระกูล ทังมีความสัมพันธ์อัน ดีม าโดยตลอด แม้แต่ก าร
แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองตระกูลก็ยังมีการเสริมส่งอย่างแข็ง
ขั น แต่ อ ย่ า งไรก็ ต าม นี่ ไ ม่ ไ ด้ ห มายความว่ า มั น จะสามารถก่ อ เรื่ องใน
อาณาจักรของผู้อ่ ืนได้ตามใจชอบ หากตระกูลทังถือสาขึ้นมา อาจกระทบ
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็เป็นได้
ความคิดเหล่านี้ว าบผ่ านในใจของอาเหิง ในชั่ วพริ บตา แต่เงาร่า งสี
เทาที่เหลือบุกจู่โจมเข้าถึงระยะประชิดติดพันแล้ว ท่าร่างของพวกมันแม้
แข็งทื่ออยู่บ้าง แต่รังสีฆ่า ฟันที่แผ่ทะลักออกมาไม่ใช่เ รื่องหลอกลวงเลย
แม้แต่น้อย
ในเวลานี้ เ อง มื อ อี ก ข้ า งหนึ่ ง ของจั่ ว ม่ อ พลั น ยกขึ้ น กรี ด วาดเป็ น
วงกลมวงหนึ่ง
เป็นวงแหวนแสงสีเงินเจิดจรัสวงหนึ่ง!
ซู่ว เปรี้ยง!
เหล่าเงาร่างสีเทาคล้ายพุ่ง ชนถูกก าแพงสายฟ้ าผืนใหญ่ เห็นประจุ
สายฟ้านับไม่ถ้วนระเบิ ดออกมาอย่ างพร้อมเพรียง อสรพิษสายฟ้าแล่ น
พล่านไปทั่ว ห่าพิรุณสายฟ้ากลืน กิน กลุ่ม เงาร่า งสีเ ทาลงไปในบั ด ดล ไม่
หลงเหลือสิ่งใดทิ้งไว้เบื้องหลังแม้แต่เศษธุลี
อาเหิงม่านตาหดแคบลงอย่างฉับพลัน ศาสตร์อสูรอันร้ายกาจ!
“ฮะ! วงแหวนสายฟ้าแกนสวรรค์!”
สุ้มเสียงสดใสกระจ่างเสียงหนึ่งอุทานออกมาอย่างกะทันหัน อาเหิงใจ
สั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม คนผู้นี้เข้ามาใกล้ตัวมันตั้งแต่เมื่อใด มันถึงกับไม่ทัน
รู้สึกตัวแม้แต่น้อย รีบหันขวับไปมองด้วยสีหน้าแตกตื่นลนลานอยู่บ้าง แต่
รอจนโฉมหน้าของอีกฝ่ายปรากฏชัดในม่านสายตา ต้องแตกตื่นตะลึงลาน
เป็นคารบสอง ... อสูร!
“เจ้าเป็นใคร?” ผู้มามองจั่วม่อ พลางถามอย่างสนอกสนใจ “กล่าว
กั น ว่ า วงแหวนสายฟ้ า แกนสวรรค์ ห ายสาบสู ญ ไปนานปี นึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า จะ
ยังคงมีผู้ที่ฝึกวิชานี้อยู่ด้วย ช่างน่าสนใจนัก”
จั่วม่อกวาดตามองผู้มา ลอบประหลาดใจอยู่บ้าง คนผู้นี้ปรากฏกาย
อย่างเงียบเชียบดุจเงาผี หากมิใช่ว่าสัมผัส รับรู้ของจั่วม่อกล้าแข็งกว่ าคน
ทั่วไป เกรงว่ายากจะตรวจพบการคงอยู่ของคนผู้นี้ได้
ผู้มามิเพียงไม่แก่ชรา ซ้ายังหนุ่มแน่นยิ่ง สวมใส่อาภรณ์โอ่อ่าภูมิฐาน
เพียงมองปราดเดียวก็สามารถบ่งบอกศักดิ์ฐานะ รอยยิ้มอบอุ่นกระจ่างจ้า
คล้ายมากล้นด้วยไมตรีจิต
แต่จ่ัวม่อไม่ปริปากตอบแม้สักครึ่งคา อย่าได้เห็นว่าผู้อ่ ืนดูมากน้าใจ
ไมตรี จั่ ว ม่ อ สามารถรู้ สึ ก ได้ ถึ ง กลิ่ น อายเย็ น ยะเยี ย บชนิ ด หนึ่ ง แผ่ ซ่ า น
ออกมาจากร่ า งของคนผู้ นั้ น กลิ่ น อายนี้ เ บาบางยิ่ ง ทั้ ง ยั ง ปิ ด ซ่ อ นอย่ า ง
แนบเนียน ทว่าสัมผัสรับรู้ของจั่วม่อเหนือล้ากว่าคนทั่วไป มีความเฉียบไว
ต่อกลิ่นอายของอันตรายมากเป็นพิเศษ กลิ่นอายเย็นเยือกนี้บันดาลให้มัน
รู้ สึ ก ถึ ง อั น ตรายอย่ า งแรงกล้ า ประหนึ่ ง อสรพิ ษ ที่ ซุ่ ม ซ่ อ นอยู่ ใ นเงามื ด
ตระเตรียมคร่าชีวิตผู้คน ทั้งอามหิตและเลือดเย็นสุดบรรยาย
ที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด คื อ กลิ่ น อายอ ามหิ ต เลื อ ดเย็ น นี้ ก ลั บ ซ่ อ นอยู่ ภ ายใต้
รอยยิ้มอบอุ่นดั่งแสงตะวัน จั่วม่อไหนเลยจะไม่ขนหัวลุกเกรียวได้
“ท่ า นที่ นั บ ถื อ คื อ ?” อาเหิ ง เผยรอยยิ้ ม ถ่ อ มตน ขณะที่ ก วาดมอง
สารวจตรวจตราอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
“ข้าฟงซิ่นจื่อ” บุรุษหนุ่มแย้มยิ้มน้อย ๆ
อาเหิงสีหน้าแปรเปลี่ยน “ที่แท้ท่านที่นับถือคือฟงซิ่นจื่อ ล่วงเกินแล้ว
ล่วงเกินแล้ว! โปรดให้อภัยผู้น้องที่มีต าแต่ไร้แวว! ได้ยินนามของพี่ฟงมา
นาน ฟังว่าในบรรดายอดฝีมือรุ่นใหม่ท่ว
ั หล้า พี่ฟงจัดอยู่แถวหน้าสุด!”
ในใจมันเต็มไปด้วยความอับจนปัญญา ยิ่งไม่อยากพบเจอสิ่งใด กลับ
ต้องเผชิญพบกับสิ่งนั้นในทันที ฟงซิ่นจื่อคือผู้นาหน่วยองครักษ์ในขบวน
ของจีลี่อวี่ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือนามกระเดื่องในหมู่อสูร พลังฝีมือของมันลึก
ล้าสุดหยั่งถึง หากต้องประมือกันอาเหิงไม่มีความเชื่อมัน
่ ว่าจะได้ชัยแม้แต่
น้อย
ฟงซิ่นจื่อยิ้มพลางกล่าว “ความสามารถน้อยนิดไม่คู่ควรต่อการเอ่ย
ถึง ท่านทั้งสองมีข้อบาดหมางอันใด ใช่สามารถเห็นแก่หน้าผู้น้อง ยินยอม
เลิกราสักคราได้หรือไม่?”
อาเหิงใบหน้า เกลื่อ นไปด้ว ยรอยยิ้ ม “พี่ฟงในเมื่อออกปากเช่ นนี้ ผู้
น้องก็ไม่มีข้อขัดข้อง”
ในเวลานี้เอง จั่วม่อค่อยพบเห็นนายน้อยตระกูลจี้รีบรุ ดเข้ามาสมทบ
พลันเข้าใจกระจ่างว่าเป็นเรื่องราวใด มุมปากเผยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก “ผู้
น้องก็ไม่มีความเห็นอื่น”
ฟงซิ่นจื่อยินดียิ่ง “ประเสริฐ! ในเมื่อสามารถแก้ปัญหาอย่างสันติ พวก
เราไฉนไม่ร่าดื่มกันสักครา?”
นายน้อยตระกูลจี้ทาท่าคล้ายคิดกล่าวอันใดออกมา แต่อาเหิงปราย
ตาห้ า มปรามอย่ า งเฉี ย บขาด สายตาเย็ น เยี ย บของมั น ท าเอานายน้ อ ย
ตระกูลจี้รีบกลืนคาบริภาษกลับลงไปแทบไม่ทัน จากนั้นอาเหิงหันกลับมา
ปั้ นรอยยิ้มอีกครั้ง “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”
ฟงซิ่นจื่อหันมามองจั่วม่อ
จั่วม่อกลับสั่นศีรษะ “ขออภัยด้วย ผู้น้องยังมีเรื่องราวรัดตัว เกรงว่า
จะไม่มีเวลาร่าดื่มกับพี่ท่าน โปรดอย่าได้ถือสา”
กล่าวจบคา มันก็พาอากุ่ยกับเขิงเหลียนเอ๋อร์จากไปโดยไม่เหลียวมา
มองอีก
ฟงซิ่นจื่อดวงตาทอประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง แต่ไม่รอดพ้นไปจาก
สายตาของอาเหิง ซึ่งริมฝีปากจุดเป็นรอยยิ้มบางเบาแทบมองไม่เห็น ก่อน
จะเลือนหายไปทันควัน “พี่ฟง เช่นนั้นเราก็ไปร่าดื่มกันเถิด ไม่เมามายไม่
เลิกรา!”
ฟงซิ่นจื่อใบหน้ากลับมาแย้มยิ้มสดใสเจิดจ้าอีกครั้ง “ประเสริฐ!”
“ยินดีต้อนรับอาคันตุกะผู้มีเกียรติ มิทราบว่าท่านมาเพื่อซื้อหรือขาย
สมบัติ?” บุรุษชราถามอย่างสุภาพ
จั่วม่อพยักหน้า กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ร้านของเจ้ามีกระดูกงูสั น
เขาพิสุทธิ์หรือไม่?”
“กระดู ก งู สั น เขาพิ สุ ท ธิ์ ?” นั ย น์ ต าฝ้ า มั ว ของชาย ช รา ท อ แ วว
ประหลาดใจวูบหนึ่ง มันเงยหน้าขึ้นกล่าว “ร้านของเรามีกระดูกงูสันเขา
พิสุทธิ์อยู่บ้าง เชิญตามข้ามาทางด้านนี้”
กล่าวจบคามันก็หมุนตัวเดินนาเข้าสู่ด้านใน
คนทั้งสามเดินตามชายชราไป เพดานเหนือศีรษะประหนึ่งท้องนภา
ยามรัตติกาล ลาแสงพาดผ่านดุจดาวตกพาดผ่านฟ้า สะท้อนประกายบน
แผนผังปิศาจที่สลักเสลาไว้ท่ัวเพดาน ศาสตรามารมากมายลอยอยู่เหนือ
ท้องฟ้าดุจมวลหมู่ดารานับไม่ถ้วน
เส้นด้ายหลากสีทอดยาวลงมาจากศาสตรามารเหล่านั้น แกว่งไกวไป
มาเหมือนทะเลหญ้าอันแปลกตา
จั่วม่อฉุกใจคิด ยื่นมือออกไปคว้าจับเส้นด้ายสีเขียวที่ตรงหน้า ทันทีที่
มือของมันสัมผัสถูกเส้นด้ายแสง ศาสตรามารที่ล่องลอยเหนือศีรษะเล่ม
หนึ่งพลันเปล่งแสงวาบ จากนั้นปรากฏขึ้นในมือของจั่วม่อ
เขิงเหลียนเอ๋อร์รู้สึกว่าน่าเล่นยิ่ง นางดึ งเส้นด้ายแสงสีเงินเส้ น หนึ่ ง
ตะขอคู่หนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือของนาง
บุรุษชราไม่เร่งรัดพวกมัน เพียงอธิบายอย่างยิ้มแย้ม “นี่คือฟากฟ้า
สรรพศาสตราของร้านเรา ศาสตรามารที่พวกท่านถืออยู่นั้นไม่ใช่ของจริง
แต่กลิ่นอายนั้นคล้ายเหมือนกับของจริงไม่มีผิดเพี้ยน ท่านสามารถครวจดู
ได้ จ นกว่ า จะพอใจ หากท่ า นต้ อ งการศาสตรามารเล่ ม ใดเล่ ม หนึ่ ง ในนั้น
เพียงแต่ต้องจ่ายม๋อเป้ยตามราคาที่เหมาะสม มันจะลอยลงมาอยู่ในมื อ
ของท่านทันที”
จั่วม่อเชี่ยวชาญศาสตร์วิชาด้านแผนผังปิศาจ หลังจากยืนมองสารวจ
ตรวจตราฟากฟ้ า สรรพศาสตราอยู่ ชั่ ว ครู่ ก็ พ อจะมี ค วามเข้ า ใจคร่ า วๆ
เกี่ยวกับกลไกการทางาน มันแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วคลายมือ ศาสตรามารที่
อยู่ ใ นมื อ ของมั นกลับ กลายเป็ น ล าแสงสายหนึ่ง พุ่ ง กลั บ ขึ้ น ไปสู่ฟ ากฟ้า
สรรพศาสตราเบื้องบนศีรษะของพวกมัน
มันย่อมไม่มีความสนใจในศาสตรามารเหล่านี้
ไม่นานนัก บุรุษชราก็นาพาอาคันตุกะทั้งสามไปยังห้องดื่มชาอันเลิศ
หรู แห่งหนึ่ง ภายในห้องดื่มชาเห็นบุรุษวัยกลางคนหน้าขาวไร้หนวดเคราผู้
หนึ่งนั่งดื่มชาอย่างเฉื่อยชา
บุรุษวัยกลางคนพอเห็นคนทั้งสาม พลันเผยอยิ้มอย่างมีไมตรี มันผาย
มือพลางกล่าว “ท่านทั้งสามเชิญนั่ง”
จากนั้นมันรินน้าชาลงในถ้วย ยื่นส่งให้คนทั้งสามอย่างเปี่ ยมมารยาท
กลิ่นหอมจรุ งใจอบอวลไปทั่วห้อง ชายชราที่นาทางมีสีหน้าลุ่มหลงมึนเมา
บุรุษวัยกลางคนพอเหลือบไปเห็น ต้องยิ้มน้อย ๆ ออกมา แล้วรินน้าชาส่ง
ให้แก่ชายชราถ้วยหนึ่ง
บุ รุ ษ ชราปิ ติ ยิ น ดี ยิ่ ง รั บ ถ้ ว ยชาอย่ า งระมั ด ระวั ง พลางรี บ กล่ า วว่ า
“ขอบคุณท่านพ่อบ้านใหญ่!”
เขิงเหลียนเอ๋อร์พลันกล่าวว่า “ชาหน่อศิลาอันประเสริฐ!”
บุรุษกลางคนเผยสีหน้าทั้งประหลาดใจทั้งปลาบปลื้มยินดี “นึกไม่ถึง
ว่าคุณหนูท่านนี้จะเป็นผู้งมงายชาเช่นเดียวกันกับข้า! เสียคารวะแล้ว!”
เขิงเหลียนเอ๋อร์ยกถ้วยชาขึ้นจิบ หลังจากละเลียดอยู่ชั่วขณะ ค่อย
กล่าวอย่างใจเย็น “ฟังว่าร้านของเจ้ามีกระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์ใช่หรือไม่?”
บุรุษวัยกลางคนแย้มยิ้มน้อย ๆ “มิผิด ร้านรวงเล็ก ๆ ของเราโชคดีมี
กระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์อันครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ชุดหนึ่ง”
“กระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์ ชุ ดสมบู ร ณ์ ?” เขิงเหลียนเอ๋อร์ไม่อาจรั ก ษา
ท่วงท่าใจเย็นอีกต่อไป ทั้งยัง ไม่ปกปิดสีห น้าลิงโลดยินดี กระดูกงูสันเขา
พิสุทธิ์นับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว กระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์ชุดสมบูรณ์ยังเสาะหา
ได้ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่า
ปิศาจวัยกลางคนแย้มยิ้มจาง ๆ แล้วกล่าวต่อไปว่า “มิผิด กระดูกงูสัน
เขาพิสุทธิ์ชุดนี้มิเพียงครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งยังไร้ตาหนิ กล่าวตามความสัตย์
นับตั้งแต่ก่อตั้งร้านศาลาสมบัติหายากขึ้นมา พวกเราก็เพิ่งจะเคยพบพาน
กระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เป็นครั้งแรก”
“ว่าราคามาเถอะ” เสี่ยวม่อเกอกล่าวอย่างอาจหาญ
“เพียงแลกเปลี่ยนเท่านั้น” บุรุษวัยกลางคนยกถ้วยชาขึ้นจิบคราหนึ่ง
ก่ อ นกล่ า วสื บ ต่ อ “แลกเปลี่ ย นกั บ ของวิ เ ศษในระดั บ เดี ย วกั น หากเป็ น
ศาสตรามาร ก็จะต้องเป็นศาสตรามารปฐพี”
ศาสตรามารปฐพี!
จั่วม่อถึงกับตะลึงลานไปวู บหนึ่ง ศาสตรามารปฐพี เพี ยงต่า ชั้ น กว่ า
ศาสตรามารนภาขั้นหนึ่ง ทั่วทั้งแดนปิศาจ มีศาสตรามารปฐพีเพียงหนึ่ง
ร้อยแปดเล่มเท่านั้น กระบี่ลิ้นปลาหลีเขียวของเขิงเหลียนเอ๋อร์และเหรียญ
วิเศษใจอามหิตแต่เดิม ล้วนเป็นหนึ่งในศาสตรามารปฐพีท้งั ร้อยแปด
จั่วม่อได้ห ลอมสร้างเหรียญวิเศษใจอามหิตกลายเป็นถ้วยวิเศษของ
เสี่ยวม่อไปแล้ว และหากมันควักกระบี่ลิ้นปลาหลีเขียวออกมาแลก ไม่ต้อง
สงสัยเลยว่าตัวตนของพวกมันจะถูกเปิดเผยทันที
เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ว างถ้ ว ยชาโดยที่ ใ บหน้ า ไม่ เ ปลี่ ย นสี นางสั่ น ศี ร ษะ
พลางกล่าว “ราคาแพงเกินไปแล้ว”
“แน่นอนว่าราคานี้นับว่าแพงมาก” บุรุษวัยกลางคนไม่ปฏิเสธ พยัก
หน้าพลางกล่าว “แต่รับรองว่าคุ้มค่าสมราคาเป็นที่สุด”
เขิงเหลียนเอ๋อร์นิ่งงัน อีกฝ่ายกล่าวไม่ผิด กระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์ชุด
สมบูรณ์เรียกได้ว่าเป็นสมบัติที่มิอาจประเมินค่า
นางลุกขึ้นยืนพลางกล่าวกับจั่วม่อ “ไปกันเถอะ”
เสี่ยวม่อเกอกลับไม่ลุกขึ้นตาม มันหันไปกล่าวกับบุรุษวัยกลางคน “มิ
ทราบว่าร้านค้าของท่านต้องการศาสตรามารปฐพี หรือศาสตรามาร ‘ชั้น’
ปฐพี?”
ปิศาจวัยกลางคนมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย มันเข้าใจสิ่งที่เสี่ยวม่อเกอ
คิ ด กล่ า ว หรื อ ว่ า ผู้ อ่ ื นถื อ ครองศาสตรามารที่ ส ามารถเที ย บชั้ น ได้ กั บ
ศาสตรามารปฐพี?
ควรทราบว่าศาสตรามารปฐพีมีอยู่หนึ่งร้อยแปดเล่ม ทั้งหมดล้วนถูก
วิเคราะห์เจาะลึกและบันทึกรูปลักษณ์รายละเอียดของพวกมันเอาไว้อย่าง
ครบถ้วน คิดหาดูข้อมูลของพวกมันไม่ใช่เรื่องยาก
ศาสตรามารที่สามารถเทียบชั้นกับศาสตรามารปฐพี
หรือว่ามีปรมาจารย์ศาสตรามารท่านใดมีผลงานใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้?
ปิ ศ าจวั ย กลางคนงุ น งงอยู่ บ้ า ง แต่ ยั ง คงยิ้ ม พลางกล่ า วว่ า “หากมี
ศาสตรามารที่ บ รรลุ ถึ ง ระดั บ เดี ย วกั น กั บ ศาสตรามารชั้ น ปฐพี ราคานี้
สามารถยอมรับได้”
ซึ่งความจริงศาสตรามารปฐพีที่ไม่ถูกจัดอยู่ในทาเนียบศาสตรามาร
ปฐพี มีแต่จะขายได้ราคาสูงกว่าอย่างไม่มีข้อกังขา
ผู้ใดจะต้องการให้ศาสตรามารของพวกมัน เป็นสิ่งที่ผู้อ่ ืนล้วนล่วงรู้
รายละเอียดทุกประการกันเล่า
จั่ ว ม่ อ พลั น ยื น ขึ้ น “ประเสริ ฐ เช่ น นั้ น อี ก สองสามวั น เราจะกลั บ มา
ใหม่”
เห็นใบหน้าเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ ยมของจั่วม่อ บุรุษปิศาจกลางคนรู้สึก
เชื่อถืออย่างบอกไม่ถูก มันลุกขึ้นยืนส่งอาคันตุกะจากไป “ผู้น้อยจะรอคอย
การมาของพวกท่าน”
เมื่อออกจากศาลาสมบัติหายาก คนทั้งสามเดินไปตามท้องถนน
เขิงเหลียนเอ๋อร์กล่าวอย่างเยือกเย็น “นอกจากกระบี่ลิ้นปลาหลีเขียว
แล้ว พวกเราหาได้มีศาสตรามารปฐพีอ่ น
ื ใดอีกไม่”
“นั่นง่ายดายยิ่ง เราเพียงหลอมสร้างใหม่ขึ้นใหม่สักอัน” วาจาของ
จั่วม่อเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างล้นเหลือ
“หลอมสร้างขึ้นใหม่?” เขิงเหลียนเอ๋อร์ตะลึงลาน
นางไม่เคยนึกถึงคาตอบเช่นนี้มาก่อนเลย
จั่วม่อไม่ได้เพียงหยอกล้อเล่น
ส าหรับบุคคลที่รอบรู้เจนจัดในด้านแผนผังปิศาจ ศาสตร์วิชาหลอม
สร้าง ทั้งยังถือครองเพลิงเทพสุริยัน รวมถึงสมบัติมากมาย คิดหลอมสร้าง
ศาสตรามารสักเล่ม หาใช่เรื่องยากเย็นอันใดไม่
อย่ า งไรก็ ต าม หากคิ ด หลอมสร้ า งยอดศาสตรามารชั้ น ปฐพี จ่ั ว ม่ อ
จะต้ อ งทุ่ ม เทอย่า งสุด กาลัง ทว่ า มั น ก็ มิ ใ ช่ ว่ า ไม่ มีค วามมั่น ใจเอาเสียเลย
เนื่องเพราะมันเคยศึกษาวิเคราะห์เหรียญสมบัติใจอามหิต และกระบี่ลิ้น
ปลาหลีเขียวมาแล้ว
แน่นอนว่าพวกมันมิอาจนากระบี่ลิ้นปลาหลีเขียวออกมาแลกเปลี่ยน
ทั่วแดนปิศาจล้วนล่วงรู้ว่าอวี่ไสว้ต กตายใต้เงื้อมมือของพวกจั่ วม่อ หาก
เรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป เกรงว่าจะชักนาเภทภัยไม่สิ้นสุดดุจคลื่นยักษ์ ถ า
โถม
ปัญหาถัดไปก็คือ จั่วม่อจ าต้องหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีโดยใช้
วัตถุดิบที่มีอยู่ในมือ
มันมีวัตถุดิบชั้นเลิศไม่น้อย วัตถุดิบยิ่งคุณภาพสูง ยิ่งมีคุณค่าใช้ส อย
มากขึ้นและใช้งานได้หลากหลายกว่าเดิม หากเป็นวัตถุดิบระดับต่า อาวุธ
เวทและศาสตรามารใช้ วัต ถุดิ บที่ แตกต่า งกัน ไปคนละทาง แต่เมื่อมาถึ ง
อาวุธชั้นสูง ทั้งสองวิถีแทบจะแยกกันไม่ออกอีกแล้ว
จั่วม่อมีวัตถุดิบชั้นสูงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสมบัติที่มัน
ช่วงชิงมาจากร่างของมหาสมณะจี้เจิ้ง สินค้าเหล่านั้นล้วนเป็นวัตถุดิบชั้น
ยอด
จั่วม่อยังมีข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่ง นั่นคือมันมีศาสตรามารด่าน
เจียงอยู่เป็นจานวนมาก ในศึกกับอวี่ไสว้ ยอดยุทธ์ปิศาจด่านเจียงใต้ร่มธง
ของอวี่ไสว้แทบทั้งหมดล้วนจบชีวิตลงใต้เงื้อมมือพวกมัน ศาสตรามารของ
คนเหล่านั้นย่อมต้องตกอยู่ในมือของจั่วม่อเป็นธรรมดา นอกจากศาสตรา
มารบางเล่ ม ที่ จั ด สรรให้ แ ก่ ค นของมั น แล้ ว จั่ ว ม่ อ ยั ง คงถื อ ศาสตรามาร
จานวนมากอยู่กับตัว
ศาสตรามารที่ยังเหลือนี้ ในปัจจุบันไม่ได้มีประโยชน์ต่อจั่วม่อมากนัก
ยามนี้ มั น ไม่ ข าดแคลนม๋ อ เป้ย ดั ง นั้ น ยั ง ไม่ ถึง ขั้นที่ ต้อ งขายศาสตรามาร
เหล่ า นี้ อ อกไป ยิ่ ง ไปกว่ า นั้ น บรรดาวั ต ถุ ดิ บ ที่ มั น ต้ อ งใช้ ใ นครั้ ง นี้ ล้ ว น
แล้วแต่เป็นสมบัติล้าค่าที่ไม่อาจซื้อหาได้ด้วยม๋อเป้ย
ความเชื่อมั่นของจั่วม่อขึ้นอยู่กับศาสตรามารเหล่านี้เอง
ก่อนมหาสงครามพันปี วิธีการหลอมสร้างศาสตรามารมีอยู่มากมาย
หลายวิธี แต่บัดนี้สูญหายไปแทบหมดสิ้นแล้ว ตามคาของเว่ย สิ่งนี้เรียกว่า
‘งานฝีมื อ’ เว่ยมีประสบการณ์โชกโชน รอบรู้เจนจัดทางด้านนี้อย่างไม่มี
ผู้ ใ ดเสมอเหมื อ น มั น สามารถสื บ ย้ อ นกรรมวิ ธี ห ลอมสร้ า งศาสตรามาร
กลับไปได้ถึงยุคบรรพกาลเลยทีเดียว
นับตั้งแต่จ่ว
ั ม่อสัตย์สาบานต่อป้ายศิลาสุสาน ท่าทีของเว่ยก็ดีขึ้นมาก
จนน่ า หวั่ น ใจ ถึ ง กั บ แปรเปลี่ ย นจากสภาพซั ง กะตายก่ อ นหน้ า นี้ อ ย่ า ง
สิ้นเชิง หลังจากเพลิดเพลินไปกับการดูแลเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันอยู่สอง
สามวัน จั่วม่อได้ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าฝันร้ายได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เว่ย...ที่แท้เป็นคนช่างจ้อถึงเพียงนี้!
สวรรค์! หลังจากรู้จักมักคุ้นกับเจ้าผู้นี้มาเป็นเวลานาน จั่วม่อเพิ่ งจะ
ค้นพบว่าเว่ยเป็นคนช่างจ้อก็คราวนี้เอง กระทั่งผูเยาผู้ที่ภูต เทพต้องครั่น
คร้าม เมื่อเผชิญกับการพูดพล่ามไม่มีที่สิ้นสุดของเว่ยยังต้องถอยกรู ดเป็น
พัลวัน
จั่วม่อในที่สุดค่อยเข้าใจ อันใดเรียกว่าถูกภูตผีตามหลอกหลอน
“อาจั่ว เจ้าคิดใช้เคล็ดงานฝีมือศาสตราทบซ้อนเช่นนั้นรึ? ความคิดนี้
ไม่เลว แต่มีรายละเอียดหลายแห่งที่ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก มันยาวนานเกินไป
เจ้าอาจต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง โอ้ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ ข้ายังไม่เคยเล่า
ประวัติของเคล็ดงานฝีมือศาสตราทบซ้อนให้เจ้าฟังเลยใช่หรือไม่ ไอ๊หย่า
หย่า ข้าถึงกับหลงลืมเรื่องสาคัญเช่นนี้ไปเสียได้ ชราแล้ว ชราแล้ว ความจา
ของข้าเริ่มหลง ๆ ลืม ๆ แล้ว โอ้โอ้โอ้ กล่าวถึงเคล็ดงานฝีมือศาสตราทบ
ซ้อน นี่ต้องเริ่มกล่าวจากเมื่อสามหมื่นห้าพันปีที่แล้ว ครั้งนั้น... ...”
จั่วม่อรู้สึกราวกับมีแมลงวันฝูงหนึ่งบินหึ่ง ๆ อยู่รอบกาย
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“หยุด!” จั่วม่อตะโกนใส่เว่ย
เว่ยหุบปากฉับ ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว
จั่ ว ม่ อ นวดขมั บ อย่ า งเหนื่ อ ยใจ มั น ทราบว่ า นั บ ตั้ ง แต่ ที่ มั น เปล่ ง ค า
สาบานต่อป้ายศิล าสุส าน ระหว่างมันกับเว่ยก็เชื่อมโยงด้วยสายสัมพันธ์
ชนิดหนึ่ง นิสัยใจคอที่ซุกซ่อนอยู่ของเว่ยล้วนเผยออกมาหมดสิ้น
เมื่อสงบใจลง จั่วม่อเริ่มครุ่นคิด
มันตั้งใจจะใช้เคล็ดงานฝีมือศาสตราทบซ้อนจริงตามที่เว่ยกล่าว นี่
เป็ น หนทางที่ดี ที่ สุด ในเวลานี้ เคล็ ด งานฝี มือ ศาสตราทบซ้ อนคือ การนา
ศาสตรามารหลายชิ้ น มาหลอมสร้ า งทบซ้ อ นเข้ า ด้ ว ยกั น เพื่ อ สร้ า งเป็ น
ศาสตรามารเล่มเดียว กรรมวิธีหลอมสร้างศาสตราทบซ้อนที่หายสาบสูญ
ไปหลังจากมหาสงครามพันปี จั่วม่อเรียนรู้มาจากเว่ยเรียบร้อยแล้ว
บรรดาศาสตรามารที่ อ ยู่ ใ นมื อ ของมั น ล้ ว นแล้ ว แต่ มี คุ ณ ภาพดี เ ลิ ศ
หากมันใช้เคล็ดงานฝีมื อศาสตราทบซ้อน หากโชคดีอาจสามารถหลอม
สร้างศาสตรามารปฐพีสาเร็จ
อย่ า งไรก็ ต าม เว่ ย แม้ เ คยหลอมสร้ า งศาสตรามารหลายชิ้ น แต่ มั น
ไม่ ใ ช่ ช่ า งหลอมสร้ า งศาสตรามารที่ มี ฝี มื อ มี ห ลายสิ่ ง หลายสิ่ ง ที่ จ่ั ว ม่ อ
จาต้องค้นคว้าด้วยตัวเอง
เคราะห์ดีที่ในเมืองปู้โจวมีบ่อศาสตรามารสาหรับหลอมสร้างศาสตรา
มารโดยเฉพาะ
การหลอมสร้างอาวุธเวทโดยมากมักใช้ไฟ ดังนั้นผลลัพธ์ก็คือกระถาง
หลอมกลั่นทุกประเภท
ส่วนการหลอมสร้างศาสตรามาร จะเกิดขึ้นในบ่อศาสตรามาร
เมืองปู้โจวมีแม่น้านรกใต้พิภพที่เหมาะสมต่อการหลอมสร้างศาสตรา
มารเป็นที่สุด บ่อศาสตรามารโดยมากมักสร้างขึ้นด้วยแม่น้านรกใต้พิภพ
แม่น้านรกใต้พิภพเงียบสงบมาก กว้างราวยี่สิบลี้ ดูน่าตื่นตาตื่นใจไม่
น้อย น้าในแม่น้าเหนียวข้นราวกับแป้งเปียก สีดาสนิททว่ากระจ่างใส ไหล
เอื่อย ๆ อย่างเงียบเชียบ
เมื่อ เดินท่องไปตามล าน้า จะพบเห็นบ่อศาสตรามารน้อยใหญ่เรียง
รายตามชายฝั่ งไปตลอดทาง คล้ายยืดยาวไม่มีที่สน
ิ้ สุด
นอกจากนี้ ยั ง มีถ้า น้ อยใหญ่ นับ ไม่ ถ้ว น ขุ ด เพิ่ ม เติ ม ออกไปตามสอง
ฟากฝั่ งแม่น้า ผู้คนมักใช้ทักษะปิศาจชักนาน้าในแม่น้าเข้าสู่ถ้าของพวกมัน
ถ้ายิ่งอยู่ต่าเท่าใด น้าในบ่อน้าศาสตรามารก็จะยิ่งมากเท่านั้น และคุณภาพ
ดีขึ้นเท่ากัน แน่นอนว่าย่อมมีราคาแพงกว่าด้วย ส่วนถ้าที่อยู่สูงขึ้นไปตาม
ผนั ง ผานั้ น ราคาย่ อ มเยากว่ า มาก แต่ ผู้ ค นจะต้ องออกแรงชั ก นาน้ า ด้วย
ตนเอง
ในสถานที่แห่งนี้มีบ่อศาสตรามารอยู่สองประเภท หนึ่งคือบ่อศาสตรา
มารซึ่งถูกครอบครองโดยตระกูล ที่ ทรงอานาจในท้องถิ่น บ่อศาสตรามาร
เหล่านี้ไม่ได้เปิดกว้างแก่สาธารณชน ทว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตระกูล
เหล่านั้น ส่วนบ่อศาสตรามารอีกประเภทหนึ่งเปิดกว้างแก่ทุกผู้คน ผู้ใดที่มี
ปัญญาจ่ายม๋อเป้ยล้วนสามารถเข้าใช้งานได้ท้ังสิ้น บ่อศาสตรามารหล่านี้
เป็นกิจการของตระกูลทังนั่นเอง
เมื่ อ พวกจั่ ว ม่ อ เดิ นเข้า มา ปิ ศ าจชราผู้ ห นึ่ งตรงเข้า รั บ หน้า มั น สวม
อาภรณ์ที่มีตราสัญลักษณ์ของตระกูลทัง
“ท่านต้องการสิง่ ใด?”
“ข้าอยากได้บ่อศาสตรามารสักแห่ง” จั่วม่อตอบอย่างไม่อ้อมค้อม
“คุณภาพอย่างไร?” อีกฝ่ายถามต่อ
“คุณภาพดีเลิศที่สุด” จั่วม่อกล่าวอย่างไม่ลังเล
ปิศาจชรามีสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง ควรทราบว่าบ่อศาสตรามาร
คุณภาพดีเลิศที่สุ ดมิ เพี ยงแต่ ราคาแพงหู ดั บ แต่กระแสน้า ยังเชี่ย วกราก
และเปี่ ยมล้นสมบูรณ์ หากผู้ใช้ไม่มีพลังมากพอ พวกมันอาจไม่มีปัญญา
ควบคุมพลังงานในบ่อได้
หรือว่าคนผู้นี้เป็นปรมาจารย์หลอมสร้างศาสตราที่มีช่ อ
ื เสียง?
บทที่ 694 เคล็ดงานฝีมือศาสตราทบซ้อน
ในความคิดของจั่วม่อ หากมองเพียงด้านศาสตร์วิชาหลอมสร้าง ใน
บรรดาสามวิถีฝึกปรือหลักของโลก ต้องยอมรับว่าซิวเจ่อเหนือล้ากว่ า อีก
สองเผ่ า พั น ธุ์ม าก วิ ช าค่ า ยกลยั น ต์ ลึก ล้า ไพศาลเสียจนอสูร ปิ ศาจปิศาจ
เทียบไม่ติด
หากเทียบกันแล้ว แม้ว่าแผนผังปิศาจจะพัฒนาจนกลายเป็นระบบ
เฉพาะของตนเอง แต่ยังไม่ได้พัฒนาจนถึงขั้นสูงล้าสุดยอดเหมือนเช่นค่าย
กลยันต์ แต่กระนั้นทอดตาทั่วแดนปืศาจ ผู้ที่ล่วงรู้ศาสตร์วิชาแผนผังปิศาจ
สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้รอบรู้ ซึ่งมีจานวนเพียงน้อยนิด
เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับมุมมองที่ชนเผ่าปิศาจมีต่อศาสตรามารของ
พวกมัน
ศาสตร์วิชาหลอมสร้างศาสตรามารโดยทั่วไปมักเรียบง่ายและหยาบ
กระด้ า ง แต่ มี อ ยู่ สิ่ ง หนึ่ ง มี่ ซิ ว เจ่ อ ไม่ อ าจเที ย บเคี ย งได้ นั่ น ก็ คื อ วั ต ถุ ดิ บ
วัตถุดิบที่ใช้หลอมสร้างศาสตรามารมักจะต้องเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของ
ปิ ศ าจตนนั้ น เอง ยกตั ว อย่ า งเช่ น ขนนกหรื อ กรงเล็ บ ของตั ว เอง ดั ง นั้ น
ศาสตรามารแม้หลอมสร้างด้วยวิธีหยาบ ๆ แต่หลังจากผ่านการกลั่นเกลา
อย่างต่อเนื่องไม่เว้นแต่ละวัน ผนวกกับความสัมพันธ์อันเนื่องมาจากเป็น
ส่วนหนึ่งในร่างกายของตน ศาสตรามารจึงมักเป็นประดุจแขนขาที่แท้จริง
ของปิศาจผู้ใช้เอง
ทว่านั่นเป็นเพียงศาสตรามารชั้นธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
แต่ยอดศาสตรามารชั้นสูงเช่นศาสตรามารปฐพี กลับมิได้หลอมสร้าง
ง่ายดายถึงเพียงนั้น
ในบรรดาศาสตรามารปฐพี ท้ั ง หนึ่ ง ร้ อ ยแปดเล่ ม นอกเหนื อ จาก
ศาสตรามารไม่กี่เล่มที่ห ลอมสร้า งขึ้นโดยตัวผู้ ใ ช้เอง อย่างเช่นกระบี่ ลิ้ น
ปลาหลี เ ขี ย ว ส่ ว นใหญ่ ล้ ว นหลอมสร้ า งขึ้ น ด้ ว ยฝี มื อ ของป รมาจารย์
ศาสตรามาร
สาหรับเหล่าปรมาจารย์ศาสตรามาร การหลอมสร้างศาสตรามารชั้น
ปฐพีสักเล่มเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของพวกมัน ส่วนศาสตรามารนภา
ทั้ ง สิ บ สองเล่ ม นั้ น ผู้ ส ร้ า งล้ ว นเป็ น ยอดปรมาจารย์ ศ าสตรามารที่ มี
ความส าเร็ จ สู ง สุ ด ในยุ ค สมั ย ของพวกมั น นามแต่ ล ะนามเหล่ า นั้ น เป็ น
ตัวแทนของตานานเรื่องราวบทหนึ่ง
ในความเห็นของจั่วม่อ การหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีสักเล่มหาใช่
เรื่องยากเย็นอันใดไม่ มันเพียงต้องการวัตถุดิบที่จ าเป็นเท่านั้น แต่ต่อให้
มันไม่มีสิ่งใดเลยก็ตาม ยังคงสามารถกระทาสาเร็จได้ด้วยศาสตร์วิชานอก
สารบบอย่างเช่นวิธีทบซ้อนศาสตรา แต่การหลอมสร้างศาสตรามารนภา
อยู่นอกเหนือขีดความสามารถของมันอย่างสิ้นเชิง
บริ เ วณบ่ อ ศาสตรามารในเมื อ งปู้ โ จวเป็ น ที่ ชุ ม นุ ม ของปรมาจารย์
ศาสตรามารจานวนไม่น้อย หลายคนพานักอยู่ที่นี่นานหลายปีเพื่อหลอม
สร้างศาสตรามาร ตัวเมืองย่านนี้เมื่อนานมาแล้วได้พัฒนาเป็นแหล่งพานัก
ของเหล่าปรมาจารย์ศ าสตรามารอย่ างถาวร ทาให้ผู้คนมากมายค้ น พบ
หนทางทามาหากิน นี่หมายความว่าหากต้องการวัตถุดิบทั่วไป สามารถซื้อ
หาได้จากผู้ค้าในย่านนี้เอง
นี่ช่วยประหยัดเวลาให้แก่จ่ว
ั ม่อได้มากหลาย
หลังจากจับจ่ายใช้สอยไปกว่าสองล้านม๋อเป้ยสาหรับวัตถุดิบทุกชนิด
จั่วม่อก็เสร็จสิ้นการเตรียมการอย่างรวดเร็ว
สาหรับบ่อศาสตรามารชัน
้ สวรรค์นน
ั้ มีราคาค่าเช่าเดือนละห้าแสนม๋อ
เป้ย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ยังไม่ทันจะได้เริ่มต้นจั่วม่อก็ใช้จ่ายไปแล้ วกว่า
สองล้านห้าแสนม๋อเป้ย แต่จ่ัวม่อผู้มั่งคั่งร่ารวยไม่ได้รู้สึกรู้สาอันใดกั บเงิน
จานวนนี้แม้แต่น้อย
สองล้านห้าแสนม๋อเป้ย อันที่จริงเป็นเพียงราคาของศาสตรามารด่าน
เจียงที่เหนือธรรมดาอยู่บ้างแค่เล่มเดียวเท่านั้น
มันมีศาสตรามารด่านเจียงกองพะเนินอยู่ในแหวนมิติ ลาพังค่าใช้จ่าย
เล็กน้อยเพียงเท่านี้ ไหนเลยจะเพียงพอให้มันต้องเจ็บปวดใจได้
แต่จ่ว
ั ม่อแม้ไม่เจ็บปวดใจ นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้อ่ ืนจะไม่เจ็บปวดใจ
ด้วย บรรดาปรมาจารย์ศาสตรามารโดยรอบแม่น้านรกใต้พิภพพากันล่วงรู้
ในไม่ ช้ า ว่ า มี ค นมาใหม่ ซึ่ ง จั บ จ่ า ยวั ต ถุ ดิ บ มู ล ค่ า กว่ า สองล้ า นม๋ อ เป้ ย ใน
คราวเดียว
เมื่อพวกมันได้ยินว่าคนผู้นี้ยังเช่าบ่อศาสตรามารชั้นสวรรค์ด้วย ไหน
เลยจะไม่สะกิดความสนใจของทุกผู้คนได้
มี ก ารคาดเดาเกี่ ย วกั บ บุ ค คลผู้ นี้ อ ยู่ ส องประการ หากมิ ใ ช่ ลู ก ล้ า ง
ผลาญของตระกูลร่ารวย ก็ต้องเป็นยอดคนที่มีความสาเร็จสูงล้า!
จั่วม่อไม่มีเวลาว่างจะมาสนใจเสียงซุบซิบเหล่านี้ เวลาของมันกระชั้น
ยิง่ ฉลามเวหาเพียงหยุดพักในเมืองนี้ไม่กี่วันเท่านั้น
หากมิ ใ ช่ ว่ าในแขนเสื้อของมันซุ กซ่ อ นศาสตร์ งานฝี มือศาสตราทบ
ซ้อนอยู่ด้วย อีกทั้งกระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์ชุดสมบูรณ์ยังมีความส าคั ญ ต่ อ
เขิงเหลียนเอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง จั่วม่อย่อมไม่ยินยอมเสียเวลากับเรื่องนี้ เป็น
แน่
แต่เมื่อยามนี้มันเริ่มต้นลงมือแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องกระทาให้ดีที่สุด
คาว่า ‘สูญเปล่า’ ไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของเสี่ยวม่อเกอ
เขิงเหลียนเอ๋อร์กับอากุ่ ยยืนเฝ้าระวังอยู่ที่ด้านนอกบ่อศาสตรามาร
คอยป้องกันไม่ให้มีผู้ใดเข้าไปรบกวนจั่วม่อ
บ่อศาสตรามารชั้นสวรรค์มีขนาดกว้างราวครึ่งหมู่ น้าในบ่อสีดาสนิท
เหนียวข้น ไหลมาจากแม่น้านรกใต้พิภพ ก่อตัวเป็นวังน้าวนตามธรรมชาติ
ภายในบ่อ วังน้าวนหมุนด้วยความระดับความเร็วอันน่ าตระหนกดุจม้าป่า
ควบตะบึง แผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นเยือ ก มืดมนและหนักข้นออกมาไม่ ข าด
สาย ผู้ที่พลังฝึกปรืออ่อนแออยู่บ้างจะรู้สึกหนาวเยือกจนทนไม่ไหว และ
หากสัมผัสถูกเป็นเวลานาน อาจได้รับบาดเจ็บบอบช้าภายในได้ไม่ยาก
แต่สังขารปิศาจของจั่วม่อสุดหยางสุดแกร่งกร้าว ดังนั้นไม่ระคายผิว
แม้แต่น้อย
มันเดินวนสารวจตรวจตราไปรอบ ๆ บ่อศาสตรามาร แล้วพยักหน้า
อย่ า งพึ ง พอใจ น้ า ในแม่ น้ า นรกใต้พิ ภ พมี คุ ณ สมบั ติสุด หยิ นและบริสุทธิ์
มาก รายล้อมบ่อศาสตรามารชั้นสวรรค์เต็มไปด้วยแผนผังปิศาจมากมาย
ปริมาณน้าอันเปี่ ยมล้นสมบูรณ์ส ามารถช่ วยชะล้างกลั่นเกลาวั ต ถุ ดิ บ ทั้ ง
หายได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อขบคิดใคร่ครวญรอบหนึ่ง จั่วม่อเพิ่มแผนผังปิศาจใหม่อีกหลาย
ชุ ด ลงไปบนพื้ น ฐานของแผนผัง ปิ ศ าจดั้ ง เดิ ม วั ง น้ า วนอั น กึ ก ก้ อ งเกรี้ ยว
กราดเงียบกริบลงในบัดดล แต่ใจกลางของวังวนยิ่งมายิ่งลึกล้า แผ่ระลอก
คลื่นออกมาจากบริเวณใจกลางไม่ขาดสาย
จั่วม่อเริ่มโยนบรรดาวัตถุดิบลงไปในบ่อศาสตรามาร
น้าสีดาทว่าใสกระจ่างเริ่มกลายเป็นขุ่นคลั่ก วังวนคล้ายสามารถกลืน
กินทุกสรรพสิ่ง วัตถุดิบที่มันโยนลงไปล้วนหายสาบสูญโดยไร้ร่องรอย
รอจนวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายถูกโยนหายลงไปในน้า น้าในสระถึงกับกลับ
กลายเป็นสีแดงเข้ม
วั ง วนสี แ ดงเข้ ม ประดุ จ เนตรโลหิ ต ดวงมหึ ม า หมุ น คว้ า งไม่ ห ยุ ด ยั้ ง
ดึงดูดให้สายตาผู้คนมองมายังมันโดยไม่ได้ต้งั ใจ
จั่วม่อหลับตาลง ศาสตรามารด่านเจียงเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของ
มั น นี่ เ ป็ น หอกสั ม ฤทธิ์ เ ล่ ม หนึ่ ง เปล่ ง ประกายสี น้ า เงิ น สดสะท้ า นขวั ญ
วิญญาณผู้คน
จั่ ว ม่ อ โยนหอกสั ม ฤทธิ์ ที่ ค ลับ คล้ า ยกั บ อาวุ ธ เกอเล่ มนั้ น ลงไปในวัง
น้าวนสีแดงเข้ม
จากนั้นศาสตรามารด่านเจียงอีกสิบเอ็ดเล่มถูกโยนตามลงไปในบ่อ
ศาสตรามารอย่ า งต่ อ เนื่ อง วั ง น้ า วนสี แ ดงเข้ ม ยิ่ ง มายิ่ ง แดงฉาน จวบ
จนกระทั่งกลายเป็นสีแดงดุจโลหิตอย่างสมบูรณ์
รอจนศาสตรามารด่านเจียงเล่มสุดท้ ายถูกโยนลงไปในบ่อ ศาสตรา
มาร วังวนกลับหยุดชะงักลงอย่างฉับพลัน
จั่วม่อไม่กล้าคลายใจ สองมือผนึกท่ามุทราไม่หยุดยั้ง ลาแสงหลากสี
พวยพุ่งออกจากฝ่ามือ เข้าสู่บ่อศาสตรามารไม่ขาดสาย
หากซิวเจ่อที่มีฝีมือทางหลอมสร้างพบเห็นภาพเบื้องหน้า ทุกสิ่งที่บัง
เกิดขึ้นที่นี่จะทาให้พวกมันต้องอ้าปากค้าง
จั่ ว ม่ อ ถึ ง กั บ ใช้ ศ าสตร์ วิ ช าหลอมสร้ า งอาวุ ธ เวทเพื่ อหลอมสร้ า ง
ศาสตรามาร!
มิผิด จั่วม่อกาลังใช้ศาสตร์วิชาหลอมสร้างอาวุธเวทจริง ๆ แต่สิ่งที่มัน
ใช้ผิดแผกแตกต่างจากศาสตร์วิชาหลอมสร้างอาวุธเวททั่วไป เนื่องเพราะ
ประกายแสงที่ พ วยพุ่ ง ออกจากมื อ ของมั น ไม่ ใ ช่ เ วทวิ ช ายั น ต์ แต่ เ ป็ น
แผนผังปิศาจ!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันใช้ศาสตร์ทางด้านค่ายกลยันต์ด้วยแผนผัง
ปิศาจ
กระบวนการนี้กินเวลาไปร่วมหกชัว
่ ยาม
กระทั่งบุคคลที่ด้ ือด้านทนทานเยี่ยงจั่วม่อยังเผยทีท่าเหน็ดเหนื่อยอยู่
บ้าง
ผ่านไปหกชั่วยาม
ปุดปุด ปุดปุด!
บ่อศาสตรามารโลหิตคล้ายเดือดพล่านอย่างแช่มช้า ฟองอากาศผุด
ขึ้นบนผิวหน้าไม่ขาดสาย แล้วแตกระเบิดเบา ๆ
จั่วม่อสมาธิจิต ใจจดจ่อถึ งขี ดสุด มันไม่กล้าคลายใจแม้ แต่น้อ ย บ่อ
ศาสตรามารสีแดงเลือดที่แทบเท้ามันกลับกลายเป็นสีส้มอย่างรวดเร็ว มัน
สามารถมองเห็ น บรรดาศาสตรามารที่ ก้ น สระได้ อ ย่ า งชั ด เจน แต่ ท ว่ า
ศาสตรามารเหล่ า นั้ น ยามนี้ ห ดเล็ ก ลงกว่ า แต่ ก่ อ นมาก แต่ ก ลั บ เปล่ ง
ประกายเจิดจ้ากว่าเดิม หลังจากผ่านการชะล้างกลั่นเกลาด้วยน้าวิเศษใน
บ่อศาสตรามาร สิ่งเจือปนทั้งหมดก็ถูกกวาดล้างออกไป ศาสตรามารแต่ละ
เล่มมีคุณภาพเลิศล้ากว่าเดิม
เห็ น แผนผั ง ปิ ศ าจสว่ า งไสวไหลวนอบู่ บ นพื้ นผิ ว ของศาสตรามาร
เหล่านี้
จั่วม่อระบายลมหายใจยาวเหยียด จนถึงตอนนี้มันยังไม่มีข้อผิดพลาด
ในบ่อศาสตรามารยามนี้มีศาสตรามารสิบสองเล่ม พากันลอยตั้งตรง
อยู่ในน้า
จัวม่อไม่ได้ลงมือต่อในทันที แต่กลับนังลงขัดสมาธิท่าดอกบัวแทน ไม่
นานก็จมดิ่งลงไปในฌาณสมาธิ
สามชั่วยามให้ห ลัง มันค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง เค้าความเหนื่อยล้าบน
ใบหน้ า อั น ตรธานหายไป ดวงตาสาดประกายเจิ ด จ้ า มั น ฟื้ นคื น สู่ ส ภาพ
สมบูรณ์ดังเดิม
มันยกมือขึ้นในบัดดล
หนึ่งในศาสตรามารที่ก้นบ่อศาสตรามารเริ่มสั่นระริก บนผิวหน้าสระ
น้าที่ราบเรียบเหมือนกระจก พลันบังเกิดระลอกคลื่นเล็ก ๆ ที่เบาบางเป็น
อย่างยิ่ง
ศาสตรามารเล่มนั้นค่อย ๆ หลอมละลายช้า ๆ ครึ่งชั่วยามถัดมา ค่อย
เปลี่ยนเป็นโลหะหลอมเหลวกลุ่มหนึ่ง มีแผนผังปิศาจนับไม่ถ้วนล่องลอย
ไหลเวียนอยู่ยนพื้นผิว
จากนั้นศาสตรามารอีกชิ้นหนึ่งค่อยลอยขึ้นมา โลหะหลอมเหล่ากลุ่ม
นึ้คล้ายมีชีวิต พุ่งเข้าห่อหุ้มศาสตรามารที่กาลังลอยเข้าหาในบัดดล โลหะ
หลอมเหลวสีแดงฉานกลุ่มนี้คล้ายสัตว์ประหลาดที่หิวกระหาย ค่อย ๆ กลืน
กินศาสตรามารเล่มนั้นลงไปอย่างแช่มช้า
อีกครึ่งชั่วยามให้หลัง โลหะหลอมเหลวเติบโตขึ้นเป็นสองเท่า แผนผัง
ปิศาจบนพื้นผิวยิ่งมายิ่งกระจ่างจ้า ยิ่งนานยิ่งละเอียดซับซ้อน
จากนั้นมันก็เริ่มสวาปามศาสตรามารอีกเล่มหนึ่ง!
เวลาผ่านไปอย่างแช่มช้าด้วยประการฉะนี้เอง
น้าในบ่อศาสตรามารค่อย ๆ กลับกลายเป็นใสกระจ่างเป็นประกาย
ขึ้นอย่างช้ าๆ หยดน้าเล็ก ๆ คล้ายถูกแรงที่มองไม่เห็นดึงดูดออกมา ลอย
ขึ้นเหนือบ่อศาสตรามารไม่หยุดยัง้
จากนั้ น กลุ่ ม หมอกเริ่ ม ก่ อ ตั ว ขึ้ น บริ เ วณเหนื อ บ่ อ น้ า หมอกเหล่ า นี้
คล้ายมีชีวิตจิตใจ เริ่มผสานรวมเข้าด้วยกันทีละน้อย
กลุ่มหมอกที่ผนึกรวมรั้งเป็นทรงกลมเต้นเร่าอย่างแช่มช้าอยู่เหนือบ่อ
น้า ราวกับมังกรวารีเริงระบา
หมอกกลุ่มนี้ยงิ่ มายิง่ ประเปรียว พลังสภาวะเพิม
่ พูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่จ่ว
ั ม่อไม่ล่วงรู้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ไม่เพียงจากัด
อยู่ในบริเวณบ่อศาสตรามารของมันเท่านั้น แต่กาลังจะบังเกิดขึ้นกับแม่น้า
นรกใต้พิภพที่ด้านนอกห้องหลอมสร้างของมันอีกด้วย
ปรมาจารย์ศาสตรามารคนแล้วคนเล่าพากันโถมทะยานออกจากบ่อ
ศาสตรามารของพวกมัน เหล่าปรมาจารย์ศาสตรามารที่ล อยตัวอยู่ เหนือ
ฝั่ งของแม่น้านรกใต้พิภพ ยิ่งมายิ่งเพิ่มจานวนขึ้นเรื่อย ๆ แน่นขนัดละลาน
ตาไปหมด จนดูราวกับว่าปรมาจารย์ศาสตรามารทุกคนในพื้นที่ล้วนมากัน
พร้อมหน้า
พวกมันถลึงตามองผิวน้าอันกว้างไพศาลของแม่น้านรกใต้พิภพด้วยสี
หน้าแตกตื่นตะลึงลาน!
บทที่ 695 การปรากฏกายของศาสตรามารชั้นปฐพี
บนผิวแม่น้าอันกว้างใหญ่ซึ่งเคยสงบราบคาบจู่ ๆ บังเกิดริ้วสีเลือดขึ้น
อย่างฉับพลัน ผืนน้าสีดาใสกระจ่างถูกกลบกลืนด้วยสีแดงดุจโลหิตภายใน
ชั่วพริบตาเดี ย ว ผิวน้าราบเรี ยบกลั บกลายเป็ นพลุ่ง พล่านปั่ นป่ว นอย่ า ง
รุ น แรง ราวกั บ ว่ า มี สั ต ว์ ประหลาดอั นน่า สะพรึ ง กลัว ซ่ อ นตัว อยู่ ใ ต้แม่น้า
เลือด ก่อกวนคลื่นน้าให้ยิ่งมาสูงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สาดซัดกระทบฝั่ งไม่ข าด
สาย
เหล่าอาจารย์ศาสตรามารที่ล่องลอยอยู่เหนือ แม่น้า ไหนเลยจะเคย
พบเห็นแม่ น้านรกใต้พิภพมีส ภาพเช่นนี้มาก่อน ล้วนมีสีห น้าตื่นตะลึงสุด
ระงับ
“ทางนั้น! ดูทางนั้นเร็ว!”
ทันใดนั้นอาจารย์ศาสตรามารที่มีส ายตาแหลมคมพลันชี้ไปทางบ่อ
น้าศาสตรามารแห่งหนึ่ง ร้องอุทานด้วยสุ้มเสียงตื่นตระหนก สะกิดความ
สนใจของทุกผู้คน พวกมันล้วนหันไปมองตามทิศทางที่ คนผู้นั้นชี้บอกเป็น
ตาเดียว
ซี๊ด!
เสียงสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บดังระงมเหนือแม่น้าแทบเป็นเสียง
เดียวกัน
เห็ น เมฆหมอกด าหนาทึ บ ก าลัง รวมตัว กั นอยู่ เ หนือ บ่ อ ศาสตรามาร
แห่งนั้น ควรทราบว่าแม่น้านรกใต้พิภพอยู่ลึกลงมาสามลิบลี้ใต้พ้ ืนดิน การ
หลอมสร้างศาสตรามารจะก่อเกิดกลุ่มเมฆขึ้นมาได้อย่างไรกัน?
ทว่าหมู่เมฆดาหนาทึบก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกมันชัด ๆ
ครืน ครืน!
ทันใดนั้นเสียงฟ้าคารามต่าลึกดังกึกก้องอยู่ภายในชั้นเมฆ
เหล่าอาจารย์ศาสตรามารเหนือ แม่น้ าข้า มองดูเจ้ าเจ้ ามองดูข้ า สุ้ม
เสียงอัส นีคารนไม่มีอันตรายใด แต่พวกมันล้วนทราบว่านี่ห มายความว่า
อย่างไร มีตานานเล่าขานกันมานาน เมื่อศาสตรามารอันยิ่งใหญ่ถือกาเนิด
ในโลกหล้าจะก่อให้เกิดนิมิตแห่งฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่เสมอกัน
ยามนี้กาลังจะเกิดสิ่งใดขึ้น ย่อมไม่มีข้อกังขาอีกแล้ว... ...
“นั่ น มั น บ่ อ น้ า ชั้ น สวรรค์ ! เป็ น บ่ อ น้ า ชั้ น สวรรค์ แ ห่ ง นั้ น !” อาจารย์
ศาสตรามารอีกผู้หนึ่งตะโกนก้อง
“เป็นคนผู้นั้น!”
“ที่แท้เป็นมันเอง!”
เหล่าอาจารย์ศาสตรามารพากันระเบิดเสียงดังอึงอล นั่นคือคนลึกลับ
ที่ใช้จ่ายสองล้านห้าแสนม๋อเป้ยในรวดเดียว ผู้เช่าบ่อน้าศาสตรามารชั้น
สวรรค์ที่เคยตกเป็น เป้ า ให้พ วกมัน วิพ ากษ์ วิจ ารณ์ เมื่ อคนเหล่านี้เ ห็ น ว่ า
สถานที่ที่นิมิตแห่งฟ้าดินกาลังบังเกิดขึ้น ที่แท้เป็นบ่อน้าชั้นสวรรค์แห่งนั้น
ไหนเลยจะไม่แตกตื่นตกใจจนสุดระงับได้?
ครืน ครืน!
เสียงฟ้าคารามยิ่ งมายิ่ งถี่ก ระชั้น บางครั้งอาจมองเห็นสายฟ้ า แลบ
แปลบปลายอยู่ภายในชั้นเมฆหนา
ในเวลานี้ เ อง บั ง เกิ ด ไข่ มุ ก สี เ ลื อดค่ อ ย ๆ ลอยขึ้ น จากแม่ น้า นรกใต้
พิภพ ไข่มุกสีเลือดแต่ละเม็ดสุกใสเป็นประกาย กลมเกลี้ยงสมบูรณ์พร้อม
นี่เป็นภาพอันตื่นตาตื่นใจอย่างสุดจะบรรรยาย เห็นกลุ่มไข่มุกสีเลือด
แน่นขนัดล่องลอยเหนือพื้นผิวแม่น้า ไข่มุกสีโลหิต น้อยใหญ่เหล่านี้แ ม้ มี
ขนาดแตกต่างหลากหลาย แต่ล้วนกลมเกลี้ยงสมบูรณ์อย่างน่าประหลาด
อาจารย์ ศ าสตรามารที่ มี จิ ต ใจละเอี ย ดอ่ อ นบางคนยั ง สัง เกตพบว่ า เมื่ อ
ไข่มุกสีเลือดลอยขึ้นมา แม่น้านรกใต้พิภพที่เดิมทีถูกย้อมด้วยสีแดงฉานดั่ง
โลหิต ได้กลับคืนสู่สีสันดาสนิทกระจ่างใสดังเดิม
พื้นน้าค่อย ๆ กลับสู่สภาพสงบราบคาบเหมือนเช่นปกติ จนกระทั่งไม่
มีสีโลหิตหลงเหลืออยู่ในน้าอีก
ไข่มุกสีเลือดเหล่านี้มัน... ...
ขณะที่ทุกผู้คนยังจมอยู่ในห้วงสับสนตะลึงลาน เหล่าไข่มุกสีโลหิต ที่
ลอยนิ่งอยู่เหนือแม่น้า จู่ ๆ ลอยไปรวมกันในทิศทางของบ่อน้าศาสตรามาร
ชั้นสวรรค์อย่างพร้อมเพรียง
แทบจะในเวลาเดียวกัน สายฟ้าเจิดจ้าลามหึมาพลันสาดแสงบาดตา
ในหมู่เมฆ ส่องสว่างไปทั่วแม่น้านรกใต้พิภพ
ภาพเหตุการณ์ที่ชั่ ว ชีวิต ไม่อ าจลืม เลือนฉายชั ดอยู่ต รงหน้ าของทุ ก
ผู้คน พวกมันแทบลืมหายใจโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นเอง เหล่าไข่มุกโลหิตซึ่งล่องลอยปกคลุมน่านฟ้า พลันสาด
พุ่งเป็นลูกธนูสีโลหิตส่องสว่าง พาดผ่านแม่น้าอย่างพร้อมเพรียง
ลูกธนูโลหิต หนาแน่นประดุจ ห่ าพิ รุ ณ กรีดเป็นทางยาวเหนือ แม่ น้ า
ราวกับจะตัดแบ่งแม่น้านรกใต้พิภพออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
ลู ก ธนู โ ลหิต ทุ ก ดอกล้ว นพุ่ ง ตรงไปยั งบ่ อ น้า ศาสตรามารชั้ น สวรรค์
แห่งนั้นอย่างเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกัน!
หลายคนยามนี้ใจจดใจจ่อจนลืมหายใจไปแล้ว!
รอจนไข่มุกโลหิตเม็ดสุดท้ายหายลับเข้าไปในบ่อศาสตรามาร พลัน
บังเกิดเสาลาแดงดุจกระบี่เล่มมหึมาแทงทะลุชั้นเมฆ พวยพุ่งขึ้นสู่ด้านบน
ในบัดดล
ครืน ครืน!
พื้นปฐพีคล้ายไหววูบ สัน
่ สะเทือนเลื่อนลั่นอย่างรุนแรง
ภาพเสาล าแสงสีเลือดพุ่งทะลวงฟ้าประหนึ่งกระบี่ห ยาบหนาหลาย
สิ้บจั้งเล่มหนึ่ง บันดาลให้ทุกผู้คนแตกตื่นตระหนกจนปากอ้าตาค้าง
สววรค์!
กระบี่แสงมหายักษ์เล่มนั้น... ...ถึงกับแทงผ่านชั้นหินหนาสามสิบกว่า
ลี้ ทะลวงขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือศีรษะของพวกมันจริง ๆ!
สามสิ บ ลี้ ! แม่ น้ า นรกใต้ พิ ภ พแห่ ง นี้ อ ยู่ ลึ ก ลงมาจากพื้ นผิ ว โลกถึ ง
สามสิบลี้!
ภาพเหตุการณ์เขย่าขวัญสะท้านวิญญาณเบื้องหน้านี้ บันดาลให้ท่ัว
ทั้งแม่น้านรกใต้พิ ภพล้ วนหมดสิ้น เรี่ ย วแรงจะกล่ าววาจา ดินแดนใต้ ดิ น
แห่งการหลอมสร้างศาสตราอันกว้างใหญ่กลับกลายเป็นเงียบสงัดดุจป่าช้า
ยามเที่ยงคืน
และในเวลาเดียวกันนี้เอง เมืองปู้โจวที่เบื้องบนกาลังตกอยู่ในสภาพ
โกลาหลอลหม่าน
กระบี่แสงสีโลหิต เล่มมหึมาจู่ ๆ ระเบิดออกมาจากใต้พ้ ืนพิภพ แทง
ทะลวงชั้นเมฆ จู่โจมท้องนภา ไม่ว่าอยู่ในซอกมุมใดของเมือง ล้วนสามารถ
มองเห็นได้แต่ไกล
มีเพียงคนตาบอดเท่านั้นที่มองไม่เห็นภาพอันตระการตานี้
จี ลี่ อ วี่ เ พ่ ง ตาคู่ ง ามมองดู ฟ งซิ่ น จื่อ ผู้ มี ท่ า ที ผ่อ นคลายสบายใจ แล้ ว
กล่ า วเสี ย งเย็ น ชาอย่ า งไม่ ส บอารมณ์ “เจ้ า ไฉนดู ค ล้ า ยมี เ วลาว่ า งด้ ว ย
เป็นไร วันนี้ไม่ออกไปดื่มสุรากับผู้คนแล้วหรือ?”
ฟงซิ่ น จื่ อหั ว ร่ อ เสี ย งดั ง กั ง วาน “บางครั้ ง ข้ า ก็ ต้ อ งพั ก ผ่ อ นถนอม
ร่างกายบ้าง”
“อย่ า ได้ ลื ม เลื อ นภาระหน้ า ที่ ข องเรา” จี ลี่ อ วี่ ยิ้ ม เย็ น “พวกเรายั ง
เสาะหาเซี่ยวม่อเกอไม่พบเลย!”
“ไม่ต้องร้อนใจไป” ฟงซิ่นจื่อโบกมืออย่างเกียจคร้าน
“ไม่ ต้ อ งร้ อ นใจ?” จี ลี่ อ วี่ สุ้ ม เสี ย งแหลมสู ง ขึ้ น ทั น ที บนใบหน้ า งาม
พิลาสสุดเปรียบปานปรากฏเพลิงโทสะรุนแรง “เจ้ากาลังบอกให้ข้าไม่ต้อง
ร้อนใจ? จะไม่ให้ข้าร้อนใจได้อย่างไร นี่มันตั้งกี่วันเข้าไปแล้ว หน่วยข่าว
กรองมิใช่บอกว่าเซี่ยวม่อเกอกาลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แน่ ๆ หรอกหรือ? แล้ว
เหตุใดจนกระทั่งถึงบัดนี้ พวกเรายังไม่พบร่องรอยของมันเลยเล่า!”
ฟงซิ่นจื่อเริ่มรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ้าง มันย่อมล่วงรู้ว่าภารกิจ
ครั้งนี้จีลี่อวี่ไม่ยินยอมพร้อมใจเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่ปลอบโยนว่า “ร้อนใจไป
ก็ไม่มีประโยชน์อันใด นี่จะอย่างไรเป็นแดนปิศาจ หาใช่ภพอสูรของพวก
เราไม่”
“ดั ง นั้ น พวกเราก็ ไ ด้ แ ต่ ร อคอยอยู่ เ ช่ น นี้ ห รื อ ?” จี ลี่ อ วี่ เ ขม้ น มองฟง
ซิน
่ จื่อพลางกล่าวกระแทกแดกดัน
ฟงซิ่นจื่อเริ่มขุ่นเคืองใจเล็กน้อย แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า “หาก
เจ้ามีวิธีแก้ไขด้วยจะเป็นการดีที่สุด”
“แล้วสามคนนั้นเล่า? เจ้าไม่สงสัยพวกมันบ้างหรือ ?” จีลี่อวี่หันเหหัว
เรื่อง
แน่นอนว่าฟงซิ่นจื่อย่อมต้องสงสัยว่าพวกจั่วม่อทั้งสามคือกลุ่มของ
เซี่ ย วม่ อ เกอ แม้ ว่ า รู ป ลั ก ษณ์ จ ะไม่ เ หมื อ นกั น แต่ ส ตรี ส องนางเดิ น ทาง
ร่วมกับบุรุษหนึ่งคนพอดีส อดคล้องกับรายละเอียดของพวกเซี่ยวม่อเกอ
วันนั้นบุรุษนั้นยังใช้ศ าสตร์อสู รอี ก ด้ว ย ฟงซิ่นจื่อทราบว่ า เซี่ ยวม่อ เกอมี
ฝีมือทางศาสตร์อสูรถึงขั้นลึกล้าสุดหยั่งคาด ผู้ที่สามารถเอาชัยในศึกทลาย
คุก ไหนเลยเพียงแค่อธิบายว่า ‘มีฝีมือทางศาสตร์อสูร’ เท่านั้นได้?
ผู้ที่ท้งั สอดคล้องกับรายละเอียด ทั้งยังปรากฏตัวในช่วงจังหวะเวลาที่
เหมาะเจาะพอดีถึงเพียงนี้ ฟงซิ่นจื่อไหนเลยจะไม่สงสัยได้?
ทว่าสิง่ ที่เกิดขึ้นในภายหลังทาให้ฟงซิน
่ จื่อแปลกใจไม่น้อย
คนทั้งสามนั้นเริ่มแรกไปยังศาลาสมบัติหายาก จากนั้นไปที่แม่น้านรก
ใต้พิภพ ฟงซิ่นจื่อยังทราบด้วยว่าคนทั้งสามถึงกับเช่าบ่อศาสตรามารชั้น
สวรรค์ ใช้จ่ายเงินทองรวดเดียวถึงสองล้านห้าแสนม๋อเป้ย
เงื่อนงาทั้งหมดนี้ล้วนบ่งบอกว่าคนผู้นี้เป็นอาจารย์ศาสตรามารผู้หนึ่ง
ทั้งยังมีฝีมือในเชิงหลอมสร้างศาสตราไม่น้อย
ฟงซิ่นจื่อผิดหวังอยู่บ้าง แต่ไม่เผยออกมา เพียงกล่าวว่า “แน่นอนว่า
มันผู้นั้นน่าสงสัยที่สุด ฝีมือศาสตร์อสูรของมันเลิศล้าจนน่าหวั่นเกรง แต่
เวลานี้มันกาลังทาท่าว่าจะหลอมสร้างศาสตรามาร นี่อาจเป็นหนึ่งในวิธี
ปิดบังตัวตนของมัน”
“ปิดบังตัวตน?” จีลี่อวี่แค่นเสียงเย้ยหยัน “มันไฉนต้องปิดบังตัวตน
ด้วยเล่า?”
ฟงซิน
่ จื่อนิง่ งันไป
นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มันไม่อาจเข้าใจได้ เซี่ยวม่อเกอชื่อเสียงระบือลือ
ลั่ น ทั่ ว แดนปิ ศ าจ มี ส องแม่ ทั พ ชั้ น ยอดอยู่ ภ ายใต้ ร่ ม ธงของมั น เชื่ อว่ า
บรรดาขุ ม ก าลั ง ปิ ศ าจไม่ ว่ า ฝ่ า ยใดล้ ว นไม่ ก ล้ า ตอแยมั น โดยไม่ จ าเป็ น
กระทั่งสภาผู้อาวุโสแห่งภพอสู รยังมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ขุมกาลังของ
เซี่ยวม่อเกอสมควรเป็นหนึ่งในขุมกาลังที่กล้าแข็งที่สุดในใต้หล้า
ภายใต้ ส ถานการณ์ เ ช่ น นี้ เซี่ ย วม่ อ เกอไม่ มี ค วามจ าเป็ น ต้ อ งปิ ด บั ง
ตัวเอง จะอย่างไรไม่มีผู้ใดกล้าตอแยมัน
ในช่ ว งเวลาที่ ฟ งซิ่ นจื่ อยั งขบคิ ด ไม่ต กนี้ เอง พลั ง สภาวะอัน ยิ่งใหญ่
ไพศาลและข่มขวัญวิญญาณขุมหนึ่งพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยไม่มีเค้า
ลางล่วงหน้า
ฟงซิ่นจื่อสีห น้าแปรเปลี่ยนเล็กน้ อย กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลั ว นั ก
มันหัวใจกระตุกวูบ ร่างหายวับไปในบัดดล!
ชั่ ว พริ บ ตาถั ด มา ฟงซิ่ น จื่ อปรากฎร่ า งขึ้ น บนท้ อ งฟ้ า มั น เห็ น เสา
ล าแสงสีโลหิตต้นมหึมาแทงทะลวงท้องนภาอย่างโอ่อ่าอาจหาญ ต้องสูด
ลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ สายตาถึงกับเลื่อนลอยไปชั่ววูบหนึ่ง
ศาสตรามารปฐพี!
ถ้อยคาเหล่านี้วาบผ่านในใจมันดุจสายฟ้าฟาด
ฟงซิ่นจื่อถือเป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะที่มีความสาเร็จสูงสุดในหมู่อสูร
รุ่นเดียวกันทั้งหมด มันได้รับการอบรมบ่อเพาะจากตาหนักศาสตร์อสูรอัน
เที่ยงแท้และเลิศล้า ภูมิปัญญาความรู้ข องมันไม่ใช่สิ่งที่อสูรรุ่นราวคราว
เดี ย วกั น จะส ามารถ เป รี ย บ เที ย บ ไ ด้ เพี ย งพบเห็ น กลิ่ น อาย อั น น่ า
สะพรึ ง กลั ว นี้ ชั่ ว วู บ เดี ย ว ก็ ส ามารถตั ด สิ น ได้ โ ดยไม่ ลั ง เลใจว่ า สิ่ ง นั้ น คื อ
อะไร!
มีเพียงศาสตรามารปฐพี จึงจะถือครองรัศมีกลิ่นอายอันน่าประหวั่น
พรั่นพรึงถึงเพียงนี้ได้!
มันเคยได้ยินว่าเซี่ยวม่อเกอถือครองศาสตรามารนภาเล่มหนึ่ง นั่นคือ
กรงเล็บพิฆาตมังกรอันกระเดื่องดัง ทว่านั่นก็เป็นเพียงคาร่าลือ มันยังไม่
เคยได้ พ บเห็ น กั บ ตาตนเองมาก่ อ น แต่ ห ากเป็ น กลิ่ น อายสภาวะแห่ ง
ศาสตรามารปฐพี มันกลับเคยผ่านพบมาบ้าง กลิ่นอายสภาวะอันไม่มีผู้ใด
เสมอเหมือนของศาสตรามารปฐพีอัดแน่นอยู่ในบรรยากาศ คล้ายกดทับ
โลกหล้าจนแทบไม่อาจหายใจ
ศาสตรามารปฐพี เป็นศาสตรามารปฐพีจริง ๆ!
หรือว่ามีคนหลอมสร้างศาสตรามารชั้นปฐพีขึ้นมา?
ฟงซิ่นจื่อเหม่อมองเสาลาแสงสีเลือดซึ่งคล้ายเชื่อมฟ้าดินเข้าด้วยกัน
ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
เสาลาแสงสีโลหิตสาแดงรัศมีอยู่ร่วมครึ่งชั่วยามเต็ม
ทั่วทั้งเมืองปู้โจวกาลังเดือดพล่าน เสาล าแสงที่โดดเด่นสะดุดตาถึ ง
เพียงนั้นย่อมสามารถมองเห็นได้จากทุกซอกทุกมุมภายในเมือง ไม่ว่าจะ
เป็นเสาลาแสงที่ต้งั ตรงเชื่อมฟ้าดิน หรือจะเป็นกลิ่นอายสภาวะอันน่าพรั่น
พรึง ล้วนสาแดงชัดถึงพลังอานาจที่สามารถสัน
่ สะเทือนฟ้าดิน!
คนทั่วไปอาจเพียงคาดเดาว่าเป็นศาสตรามารปรากฏ แต่มีเพียงผู้ที่
รอบรู้ ก ว้ า งขวางเท่ า นั้ น จึ ง จะทราบว่ า มี ใ ครบางคนก าลั ง หลอมสร้ า ง
ศาสตรามารชัน
้ ปฐพี!
หากเป็นประการนี้ยังน่าตื่นตะลึงเสียยิ่งกว่าการคาดเดาแรกเสียอีก
ทั้งยังมีคุณค่าความหมายยิ่งกว่า!
อาจารย์ ศ าสตรามารซึ่ ง สามารถหลอมสร้ า งศาสตรามารชั้ น ปฐพี
แน่นอนว่าจัดอยู่ลาดับต้น ๆ ในบรรดาอาจารย์ศาสตรามารทั้งมวลในยุคนี้
ปรมาจารย์เหล่านี้ไม่ว่าคนใดก็นั่งอยู่ในตาแหน่งสาคัญในแดนปิศาจ พวก
มันล้วนเป็นเป้าหมายที่ทุกขุมกาลังไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด ก็จะต้องช่วง
ชิงตัวมาให้จงได้
ศาสตรามารปฐพีมีคุณค่าในทางปฏิบัติระดับสูงสุ ดในบรรดาศาสตรา
มารทั้งปวง อย่าได้เห็นว่าศาสตรามารนภาทรงพลานุภาพมากกว่า แต่อัน
ที่จริงไม่ได้หมายความว่าฝีมือหลอมสร้างศาสตรามารนภาจะสูงส่งหรือล้า
หน้ากว่าศาสตรามารปฐพี นี่เป็นเพียงปัญหาความแตกต่างของวัต ถุดิบที่
ใช้
หากจะให้ยกตัวอย่างก็เช่นกรงเล็บพิฆาตมังกร กรงเล็บพิฆาตมัง กร
นั้ น สร้ า งขึ้นจากกรงเล็บ คู่ ห น้า ของมัง กรดุ ร้ า ยตั วหนึ่ง มั ง กรนี้ โ หดเหี้ยม
อามหิต เข่นฆ่าสังหารผู้คนนับไม่ถ้วน ดังนั้นกรงเล็บคู่หน้าของมันถูกย้อม
จนกลายเป็นสีแดงฉานด้วยโลหิตของบรรดาผู้เคราะห์ร้าย แต่เพียงเท่านี้
ยังไม่มากพอที่จะหลอมสร้างให้มันกลายเป็ นศาสตรามารนภา สิ่งที่ทาให้
กรงเล็บข้างนี้มีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นศาสตรามารนภาอยู่ที่ศึกสุดท้าย
ระหว่างสองราชันมังกรด้วยกัน ในศึกสุดท้ายที่ต ายตกไปตามกันครั้งนั้น
กรงเล็บข้างนี้ได้ทะลวงหัวใจของมังกรที่ร้ายกาจสุดเปรียบปานอีกตัวหนึ่ง
ประจวบเหมาะกับที่อาจารย์ศาสตรามารผู้หนึ่งผ่านมาโดยบังเอิญ จึง
รีบตัดกรงเล็บข้างนั้นลงมา และเมื่อทาเช่นนั้น หัวใจของจ้าวมังกรอีกตน
หนึ่งยังคงติดคาอยู่ในกรงเล็บ ว่ากันว่าหัวใจมังกรในยามนั้นถึงกับยั งเต้น
อยู่ด้วยซ้า
และด้ ว ยเหตุ บั ง เอิ ญ ทั้ ง หลายทั้ ง ปวงนี้ เ อง ได้ ก่ อ ให้ เ กิ ด วั ต ถุ ดิ บ ที่
เหมาะสมส าหรั บ กรงเล็ บ พิ ฆ าตมั ง กรอั น สะท้ า นฟ้ า สะเทื อ นดิ น ในกาล
ต่อมา
หากไม่มีวัตถุดิบหายากที่หลายพันปีจะได้พบเห็นสักคราวเช่นดังที่ว่า
ศาสตรามารปฐพีก็เรียกได้ว่าเป็นศาสตรามารขั้นสูงสุดในบรรดาศาสตรา
มารทั้งปวงแล้ว
ศาสตรามารปฐพีแต่ละเล่มที่หลอมสร้างสาเร็จ ล้วนบ่งบอกถึงฝีมือที่
แท้จริงอันเลิศล้าของปรมาจารย์ศาสตรามารผู้หลอมสร้าง
มีแต่ชนชั้นที่บรรลุถึงขั้นนี้จึงนับเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริง ปรมาจารย์
นี่เป็นนามอันยิ่งใหญ่และมีหน้ามีตาที่สุด ซึ่งเพียงมอบให้แก่ยอดคนในหมู่
อาจารย์ศาสตรามารมากมายดุจดวงดาวบนท้องฟ้า
คุณค่าของพวกมันไม่ได้อยู่ที่ว่าพวกมันอาจหลอมสร้างศาสตรามาร
ปฐพีขึ้นมาอีกเป็นหนที่สอง ซึ่งความจริงปรมาจารย์ศาสตรามารส่วนใหญ่
ตลอดชั่วชีวิต ไม่เคยหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีได้อีกเป็นชิ้นที่สอง แต่
พวกมันยังคงได้รับความเคารพเทิดทูน เป็นเป้าหมายที่ทุกฝ่ายล้วนแย่งชิง
เนื่องเพราะพวกมันสามารถช่วยอบรมสอนสั่ง เพื่อยกระดับฝีมือของ
อาจารย์ศาสตรามารอื่น ๆ ได้อีกมากโข
ความก้าวหน้าในรู ปแบบนี้จึงจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และเป็นรากฐาน
อานาจให้แก่ขุมกาลังนั้น ๆ อย่างแท้จริง
ด้วยเหตุฉะนี้เอง เมืองปู้โจวยามนี้จึงเดือดพล่านปานจะบ้าคลั่ง!
... ...
เขิงเหลียนเอ๋อร์ยืนอารักขาอยู่ที่หน้าประตู สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่น
ตะลึง เสาลาแสงสีโลหิตอันน่าอัศจรรย์นี้มิเพียงขู่ขวัญทุกผู้คนจนแตกตื่น
ตระหนก กระทั่งนางเองยังต้องตะลึงลานจนอ้าปากค้าง
ศาสตรามารปฐพี!
มันถึงกับหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีขึ้นมาจริง ๆ!
จนกระทั่งถึงยามนี้ เขิงเหลียนเอ๋อร์ยังมีสีหน้าเลื่อนลอยอยู่บ้าง นี่เป็น
ศาสตรามารปฐพีอย่างแท้จ ริง! นางเป็นผู้ถือครองกระบี่ลิ้นปลาหลีเขียว
ชั้นปฐพีเช่นกัน ไฉนเลยจะไม่ทราบได้ ซึ่งความจริงนางไม่มีฝีมือทางกระบี่
ดังนั้นเมื่อจั่วม่อโยนกระบี่ลิ้นปลาหลีเขียวให้แก่นางอย่างง่าย ๆ ทาเอานาง
ต้องประหลาดใจไม่น้อย นางรักใคร่ห วงแหนกระบี่ลิ้น ปลาหลีเขีย วเป็ น
อย่างยิ่ง
เนื่องเพราะมันเป็นศาสตรามารปฐพี!
จากอดี ต จนถึ ง ปั จ จุบั น มี ศ าสตรามารปฐพี เ พี ย งหนึ่ ง ร้ อ ยแปดเล่ม
เท่านั้นที่เคยปรากฏขึ้นในแดนปิศาจ!
ดังนั้นเมื่อนางฟังข้อเรียกร้องของศาลาสมบัติหายาก นางจึงยอมตัด
ใจโดยไม่มีเงื่อนไข นี่มิใช่เพราะว่าชุดกระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์ที่สมบูรณ์ท้ัง
ชุดไม่มีค่ามากพอ แต่เป็นเพราะราคานัน
้ แพงเกินไป
ศาสตรามารปฐพีไม่อาจตีราคาค่างวดเป็นม๋อเป้ยได้ เนื่องเพราะไม่
เคยมีศาสตรามารปฐพีชิ้นใดผ่านเข้าสู่ท้องตลาดมาก่อน
รอจนเสาล าแสงระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า นางรู้สึกสมองขาวว่างเปล่าไป
หมด
นางอดเหลือบมองอากุ่ยอย่างนับถือเลื่อมใสไม่ได้ นับตั้งแต่ต้นจนจบ
อากุ่ยยังคงสงบเยือกเย็นผิดธรรมดา สุ้มเสียงอึกทึกที่ก่อกวนฟ้าดินแทบ
ถล่มทลายนี้ มิได้ทาให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ราวกับว่านาง
คุ้นชินกับเรื่องน่าอัศจรรย์เยี่ยงนี้เป็นอย่างดี
ทันใดนั้นเอง อากุ่ยเงยหน้าขวับ ดวงตาไร้ประกายพลันเปล่งแสงสี
ม่วงเจิดจ้า
เขิงเหลียนเอ๋อร์งงงันวูบ แต่นางก็ต อบสนองรวดเร็วยิ่ง ดวงตาสาด
ประกายคมกล้า ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “ออกมา!”
เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเหมือนเงาผี
“ฮ่าฮ่า แม่นางน้อย ๆ ช่างเข้มแข็งนัก... ...”
ผู้ ม ายั ง ไม่ ทั น จะกล่ า วจบประโยค อากุ่ ย ร่ า งหายวั บ ไปจากที่ อ ย่ า ง
ฉับพลัน ลงมือจู่โจมโดยไม่รีรอลังเลแม้สักแวบ
เขิงเหลียนเอ๋อร์ฝืนยิ้มเจื่อน อากุ่ยลงมือรวดเร็วเกินไปแล้ว! แต่นาง
เองแม้เป็นโฉมสะคราญล่มเมืองนางหนึ่ง ทว่ามิใช่คนขลาดเขลาลังเล พอ
อากุ่ ย ลงมื อ นางดวงตาสาดประกายเจิ ด จ้ า ลงมื อ จู่ โ จมประสานอย่ า ง
พร้อมเพรียง!
พวกนางอยู่ร่วมกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เขิงเหลียนเอ๋อร์ท ราบดีว่า
อากุ่ยมีความรู้สึกเฉียบไวต่อจิตมุ่งร้ายเป็นอย่างมาก หากนางจู่ ๆ ก็ลงมือจู่
โจมโดยไม่พูดพล่ามทาเพลง ย่อมหมายความว่านางตรวจพบจิต มุ่งร้าย
ของฝ่ายตรงข้ามอย่างแน่นอน!
อย่ า งไรก็ ต าม เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ ยัง คงไม่ ลืม เลือ นว่ า พวกนางไม่อาจ
เปิดเผยตัวตน ดังนั้นไม่ได้ใช้พลังเทพ แต่ใช้ทักษะปิศาจออกมา
ทั ก ษะปิ ศ าจของนางก็ มิ ใ ช่ ว่ า จะอ่ อ นด้ อ ย หลั ง จากหลายวั น มานี้
ฝึกปรือตามแนวทางของจั่วม่อ พลังทักษะปิศาจของนางก็รุดหน้า อย่ า ง
ก้าวกระโดด
นางยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย แผนผังปิศาจสีขาวนวลปรากฏขึ้นบนท่อน
แขนดุจรอยสัก แผ่คลุมทั่วแขนของนางอย่างรวดเร็ว นิ้วทั้งห้าแผ่กางออก
เล็กน้อย ทาท่าคว้าจับไปทางฝ่ายตรงข้ามอย่างพิสดาร
ฟ่อ!
สุ้มเสียงแผ่วเบาแต่แหลมคมแล่นฝ่า อากาศประหนึ่ง เสียงขู่ข องฝู ง
อสรพิษ บันดาลให้ผู้คนขนหัวลุกชี้ชัน
สายลมกวาดซัดเป็นระลอก
เห็นเงาสีขาวสายหนึ่งฉกวูบดุจงูขาวจู่โจมเหยื่อ
ศัต รู ผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าหวาดระแวงเงาสีข าวนี้เป็น อย่างยิ่ง พลันบิด
ร่างกลางอากาศอย่างพิสดาร ช่วยให้มันหลบรอดพ้นจากเงาสีขาวเหล่านี้
ได้อย่างฉิวเฉียด
แต่ก่อนที่มันจะได้ทันได้ปิติยินดี พลันบังเกิดสังหรณ์อันตรายอย่าง
แรงกล้า ต้องสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย สองแขนปกคลุม ด้วยแสงสีเขียว
อย่างฉับพลัน ร่างบิดเป็นเกลียวคล้ ายเชื อกถัก สองแขนฟาดจู่โจมกลั บ
หลังโดยไม่ออมรั้งยั้งมือ
เพียะ!
เสียงปะทะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่มันคล้ายถูกหวดฟาดอย่ า ง
รุ น แรง พลั น สะท้ า นขึ้ น ทั้ ง ร่ า ง พลั ง อั น น่ า แตกตื่ นสะท้ า นใจสายหนึ่ ง
ทะลวงผ่านประกายแสงสีเขียวบนฝ่ามือของมันเข้ามาอย่างลี้ลับ
ก่อนที่มันจะทันได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ม่านสายตาพลันพร่าเลือนวูบ
ร่างฟาดลงบนฟื้ นเสียงดังสนั่น!
ชั่ ว พริ บ ตานั้ น ความเจ็ บ ปวดมหาศาลที่ จู่ โ จมเข้ า มาอย่ า งฉั บ พลั น
ทันใด ทาเอามันแทบสติดับวูบ
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด มันค่อยฟื้นตื่นจากความงุนงง รู้สึกกระดูก
ทั่วร่างแทบหลุดเป็นชิ้น ๆ ไม่มีเรี่ยวแรงกระทั่งจะลุกขึ้นยืน
ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ปลิดชีวิตมัน!
นี่ ท าให้ มั น ขวั ญ วิ ญ ญาณกระเจิ ด กระเจิ ง เต็ ม ไปด้ ว ยความรู้ สึ ก
เหลือเชื่อ การโจมตีของอีกฝ่ ายร้ายกาจยิ่ง ทั้งยังลี้ลับสุดจะหยั่งคะเน มัน
ไม่อาจต้านรับแม้แต่กระบวนท่าเดียว ก่อนที่จ ะสูญเสียความสามารถใน
การต่อสู้แข็งขืน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มันต้องหน้าแดงก่าขึ้นมา มันมักทระนงถือดีในพลัง
ฝีมือของตนมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถถึ ง
เพียงนี้... ...
คนลึกลับตะเกียกตะกายขึ้นจากหลุม การโจมตีเมื่อครู่ถึงกับกระแทก
มันจมลึกลงไปในพื้นหิน
หากมิใช่ว่าสังขารปิศาจของมันกล้าแข็งพอ เกรงว่าเมื่อครู่คงต้องดับ
ดิ้นคาที่ไปแล้ว
เขิงเหลียนเอ๋อร์มองดูคนผู้นั้นอย่างสนอกสนใจ นางที่หยุดมือ ก็เนื่อง
เพราะอากุ่ ยพอโจมตีหนึ่งฝ่ามือแล้วกลับล่าถอย ไม่ล งมือสืบต่อ นี่ทาให้
นางประหลาดใจไม่น้อย อย่าได้เห็นว่าอากุ่ยปกติแข็งทื่อเหมือนหุ่นไม้ แต่
ยามเมื่อนางฆ่าคนไม่เคยมือไม้อ่อนมาก่อน
ยากนักที่จะเห็นนางไม่สังหารศัตรู ตายคามือ หรือว่าเพราะจิตมุ่งร้าย
ของศัตรูพลันสลายไปกลางคัน?
ในเมื่ออากุ่ยยั้งมือไว้ไมตรี เขิงเหลียนเอ๋อร์ก็ยินดีจะกระทาตาม เนื่อง
เพราะนางล่ว งรู้จิต เจตนาของจั่ วม่ อ ดี หากลงมือเข่นฆ่าผู้ คนในที่ แ ห่ ง นี้
เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม บุรุษที่มาโดยไม่รับเชิญนี้ค่อนข้างน่าสนใจอยู่บ้าง
จั่วม่อมองดูศาสตรามารในมือของมันอย่างลิงโลดยินดี
นี่เป็นหอกยาวเล่มหนึ่ง หรือหากจะกล่าวให้ถูกต้องไปกว่านั้น นี่เป็น
หอกงูส องหัวเล่มหนึ่ง ด้ามหอกคล้ายสร้างขึ้นจากอสรพิษหลากสีบิดพัน
กันเป็นเกลียว ลาตัวอสรพิษแบ่งออกเป็นลวดลายสีสันที่แตกต่างกันอย่าง
ชัดเจน หากมีคนนับดูอย่า งถี่ถ้วน จะพบว่าสีสันลวดลายที่แตกต่างกันบน
ด้ า มหอกนี้ มี ถึ ง สิ บ ชนิ ด กึ่ ง กลางศี ร ษะงู แ ต่ ล ะด้ า นมี จุ ด สี แ ดงที่ โ ดดเด่ น
สะดุดตายิ่ง สิ่งที่พิเศษพิสดารที่สุดก็คือ ศีรษะอสรพิษที่ปลายทั้งสองด้าน
สามารถแปลงเป็นอาวุธสิบชนิดที่ไม่ซ้ากัน
จั่วม่อใช้ศาสตรามารเล่มหนึ่งเป็นแกน และใช้ศาสตรามารที่แตกต่าง
กันสิบเล่มทบซ้อนเข้าไป ศาสตรามารที่ส ามารถแปลงร่างได้สิบรู ป แบบ
นับว่าแสดงฝีมือแท้จริงอันเลิศพิสดารของจั่วม่อออกมาอย่างเต็มที่
ซึ่งความจริงศาสตร์งานฝีมือศาสตราทบซ้อนแม้สามารถหลอมสร้าง
ศาสตรามารปฐพีออกมา แต่คุณสมบัติด้งั เดิมของศาสตรามารแต่ละชิ้นจะ
ถู ก ลบล้ า งไปสิ้น ทว่ า จั่ ว ม่ อ กลั บ หลอมรวมวิ ช าค่ า ยกลยั น ต์แ ละแผนผัง
ปิศาจบางส่วนเข้าด้วยกัน ประสบความสาเร็จในการรักษาคุณสมบัติที่เป็น
เอกลักษณ์ของศาสตรามารทั้งสิบเอาไว้ได้
มันตกลงใจขนานนามยอดศาสตรามารเล่มนี้ว่า หอกอสรพิษฟ้าสิบ
แปลง
หอกอสรพิ ษ ฟ้า สิบ แปลงนับ เป็ นศาสตรามารชั้ น ปฐพีชิ้ น แรกที่มัน
หลอมสร้างขึ้น ในกระบวนการทั้งหมดไม่มีข้อต าหนิใด ๆ ถึงกับสมบูรณ์
แบบจนเกินความคาดหมายของมันเสียอีก พลานุภาพของหอกอสรพิษฟ้า
สิบแปลงยังเหนือล้ากว่าที่มันคานวณเอาไว้มาก
กระทั่งในหมู่ศาสตรามารปฐพี ด้ วยกัน หอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงยั ง
นับว่าเป็นสินค้าชั้นเลิศที่ยากจะหาศาสตรามารเล่มใดเทียบเทียม
ชัว
่ วูบหนึ่งมันแทบไม่อาจหักใจขายทิง้ ไปเช่นนี้
แ ต่ จั่ ว ม่ อ สง บ ใ จล ง โ ด ยพลั น มั น สั่ น ศี ร ษะพ ล า ง หั ว ร่ อ ต ล อด
กระบวนการหลอมสร้างนี้มันก็นับว่าทากาไรได้มากมายมหาศาลแล้ว มัน
ไม่ เ พี ย งได้ เ รี ย นรู้ ศ าสตร์ ง านฝี มื อ ศาสตราทบซ้ อ น ยั ง ได้ รั บ การรู้ แ จ้ ง
มากมายเกี่ยวกับการหลอมสร้างศาสตรามาร อีกทั้งยังบรรลุความเข้าใจ
ใหม่ ๆ ในด้านแผนผังปิศาจหลายประการ ต่อไปในภายหน้ามันจะสามารถ
หลอมสร้างศาสตรามารที่ทรงพลังอานาจยิ่งกว่านี้อีก
ที่สาคัญไปกว่านั้น มันยังถือครองสุดยอดศาสตราไร้ผู้ต้านดังเช่นกรง
เล็บพิฆาตมังกรและสายใยสามพันอาวรณ์อยู่แล้ว หากมันละโมบไปเสีย
ทุกอย่าง สักวันอาจต้องสูญเสียทุกสิง่ ทุกอย่างไปจนหมด
หลักจากขบคิ ดอย่ างรอบคอบแล้ ว มันก็จัดระเบีย บสิ่ งที่ เพิ่ ง เรี ย นรู้
สาเร็จ แล้วส่งข้อมูลทั้งหมดกลับไปยังอาณาจักรทะเลเมฆผ่านทางผูเยา นี่
เป็ น ความเคยชิ น ที่ มั น เพาะสร้ า งขึ้ น ในระยะหลั ง เมื่ อใดก็ ต ามที่ มั น ได้
เรียนรู้เข้าใจสิ่งใหม่ ๆ มันจะจัดเรียงและแบ่งปันกับค่ายจินวูโดยเร็ว ที่สุ ด
เท่าที่จะเป็นไปได้
มันเพียงต้องการให้การสนับสนุนเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่อาณาจักรทะเล
เมฆ
หลังจากเสร็จสิ้นธุระเหล่านี้ จั่วม่อก็ถือหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงเดิน
ออกจากบริเวณบ่อศาสตรามาร
เ พิ่ ง จ ะ เ ดิ น อ อ ก ม า มั น เ ห็ น บุ รุ ษ ป ร ะ ห ล า ด ผู้ ห นึ่ ง ก า ลั ง เ พี ย ร
ประจบประแจงเขิงเหลียนเอ๋อร์อย่างเอาเป็นเอาตาย
เขิงเหลียนเอ๋อร์พอเห็นจั่วม่อ ดวงตาคู่งามก็เป็นประกาย ทันใดนั้น
หางตาเห็ น ร่ า งหนึ่ ง พุ่ ง วาบเข้ า มา เป็ น อากุ่ ย ปรากฏตั ว ขึ้ น ข้ า งตัว จั่วม่อ
อย่างฉับพลัน จั่วม่อลูบศีรษะอากุ่ยอย่างรักใคร่ กล่าวด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน
ว่า “ลาบากอากุ่ยแล้ว”
อากุ่ยสีหน้ายังคงแข็งทื่อดุจท่อนไม้
จั่วม่อหันไปมองเขิงเหลียนเอ๋อร์ และคนประหลาดนามฮวาหรู ไห่ที่
อยู่ไม่ห่างจากนางด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์
“คนผู้นี้ลอบเข้ามาด้อม ๆ มอง ๆ พวกเราจับมันได้” เขิงเหลียนเอ๋อร์
กล่าวด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย สายตาของนางจับแน่นอยู่ที่ห อกอสรพิษ ฟ้า
สิบแปลงไม่คลาดคลา
จั่วม่อยื่นส่งหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงให้แก่นาง
เมื่ อศาสตรามารเล่ ม ใหม่ เ ข้ า มาอยู่ มื อ เขิ ง เหลี ย นเอ๋ อ ร์ อ ดโห่ ร้ อ ง
ออกมาไม่ได้ “ศาสตรามารปฐพี!”
นางถือครองกระบี่ลิ้นปลาหลีเขียว คุ้นชินกั บศาสตรามารปฐพีเป็น
อย่างดี เมื่อศาสตรามารเข้ ามาอยู่ ในมื อ นางก็ส ามารถประเมิน ได้ อ ย่ า ง
ถูกต้องแม่นยาทันที แม้ว่าลาพังกลิ่นอายสภาวะที่สาแดงออกมาในทีแ รก
นางก็ล่วงรู้แล้วว่าเป็นศาสตรามารปฐพีเล่มหนึ่ง แต่มือเห็นกับ ตา ถืออยู่
กับมือ นางยังคงตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก นางยกขึ้นกวัดแกว่งสองสามรอบ
แล้ ว โห่ ร้ อ งชมเชย “ศาสตรามารอั น ยอดเยี่ ย ม! มิ ท ราบขนานนามว่ า
อะไร?”
ฮวาหรูไห่ผู้นน
ั้ จ้องมองหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงในมือเขิงเหลียนเอ๋อร์
ด้วยดวงตาลุกวาว น้าลายแทบไหลหยดย้อยลงมา
“หอกอสรพิษฟ้ าสิบแปลง” จั่วม่อตอบอย่างยิ้มแย้ม ร่างผ่อนคลาย
ลง
“นามอันประเสริฐ!” เขิงเหลียนเอ๋อร์เผยรอยยิ้มเบิกบานใจ จากนั้น
ยื่นส่งศาสตรามารเล่มใหม่คืนให้แก่จ่ว
ั ม่อ
จั่วม่อทันใดนั้นค่อยพบว่าสายตานับไม่ถ้วนล้วนจับจ้องมาที่มัน เป็น
ตาเดี ย ว ต้ อ งแปลกใจอยู่ บ้ า ง มั น เงยหน้ า ขึ้ นมอง เห็ น ผู้ ค นมากมาย
ล่องลอยอยู่เหนือแม่น้านรกใต้พิภพและบริเวณโดยรอบบ่อศาสตรามาร
ทั้งหลาย
นี่มัน... ...
จั่วม่อยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง ทั่วบริเวณคล้ายเดือดพล่านขึ้นมาใน
บัดดล
คนเหล่านี้จู่ ๆ โถมทะยานมาทางนี้ราวกับเสียสติ พวกมันแย่งชิงกัน
เสนอหน้าเป็นคนแรกด้วยสีหน้าตื่นเต้นระทึกใจ เสียงกู่ร้องตะโกนถาโถม
เข้ามาพร้อมกันดุจคลื่นยักษ์ลูกมหึมา
“ท่านปรมาจารย์! ท่านปรมาจารย์!”
“ท่ า นปรมาจารย์ โปรดรั บ ข้ า เป็ น ศิ ษ ย์ ด้ ว ย! โปรดรั บ ข้ า เป็ น ศิ ษ ย์
ด้วย!”
ฉากเบื้องหน้านี้โกลาหลอลหม่านสุดจะบรรยาย
สาหรับภาพเบื้องหน้านี้ จั่วม่อคุ้นเคยเป็นอันมาก
มันไม่เอ่ยปากกล่าววาจา เพียงแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างเยือกเย็น ภายใน
ชั่ ว ระยะเวลาสั้ น ๆ ฝู ง ชนที่ โ หวกเหวกโวยวายก็ ส งบลงอย่ า งรวดเร็ ว
บรรดาอาจารย์ศาสตรามารพากันมองดูจ่ว
ั ม่ออย่างเทิดทูนบูชา
ในเวลาเช่นนี้ ความเงียบสงบยังมีผลสะท้อนมากกว่าร้อยพันวาจา
แต่ มั น ยั ง คงปวดเศี ย รเวี ย นเกล้ า อยู่ บ้ า ง มั น จะอยู่ ใ นเมื อ งปู้ โ จวชั่ ว
ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ที่หลอมสร้างหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลง
ขึ้นมาก็เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนกับกระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์สาหรับเขิงเหลียน
เอ๋อร์ ไม่ได้คาดคิดว่าการหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีเล่มเดียวจะก่อเกิด
คลื่นลมโกลาหลได้ถึงปานฉะนี้
เหตุที่มันต้องปลอมตัวเปลี่ยนแปลงรู ปโฉม ก็เนื่องเพราะไม่ต้องการ
ดึ ง ดู ด ความสนใจของผู้ ค นมากเกิ น ไป มั น จะได้ เ ข้ า ถึ ง อาณาจั ก รน้ า พุ
ปรโลกโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทาได้
แต่คราครั้งนี้ก่อกวนเรื่องราวใหญ่โต คิดหลบลี้หนีหน้าจากไปเกรงว่า
ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
สาหรับบรรดาอาจารย์ศาสตรามารที่มองดูมันอย่างครั่นคร้ามยาเกรง
เหล่านี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่คิดรับมือเหล่าตระกูลสูงส่งในเมืองปู้ โจว
คงไม่ใช่เรื่องง่ายดาย จั่วม่อล่วงรู้พฤติการณ์ของเหล่าชาติตระกูลสูงส่งเป็น
อย่างดี
หากมันเปิดเผยตัวตน ฝ่ายตรงข้ามย่อมไม่กล้าหาเรื่องตอแยมัน แต่
เมื่อเป็นเช่นนั้น ร่องรอยของมันก็จะถูกเปิดเผยออกไป และจะติดตามมา
ด้ ว ยปั ญ หามากมายไม่ รู้ จั ก จบสิ้ น เรื่ องที่ มั น ถื อ ครองพลั ง เทพไม่ ใ ช่
ความลับอีกต่อไป หากก่อนหน้า นี้ผู้คนยังลังเลสงสัยในการคงอยู่ของพลัง
เทพ เช่ น นั้ น หลั ง จากที่ เ ทพปิ ศ าจสั ง หารขบวนผู้ อ าวุ โ สวั ด เสวี ย นคงทั้ ง
ขบวน ก็ได้สาแดงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพลังเทพให้ได้ประจักษ์กันไป
ทั่วหล้าแล้ว
คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก
อมตะวาจานี้จ่ัวม่อย่อ มเห็น ซึ้ง กระจ่ างดี พวกมันทั้งสามไม่ ไ ด้ อ่ อ น
ด้อย หากลอบเคลื่อนไหวเป็นการลับ พวกมันจะไม่ต้องเผชิญกับปัญ หา
ใหญ่ ศัต รู เข้มแข็งเดียวที่พวกมันอาจต้องพบเจอก็คือยอดฝีมือโดดเดี่ยว
ทระนงที่มักชมชอบกระทาการตามล าพัง ซึ่งไม่ยากที่พวกมันทั้งสามจะ
ผนึกกาลังกันรับมือ แต่หากร่องรอยของพวกมันถูกเปิดเผย เชื่อแน่ว่าเหล่า
ตระกูลสูงศักดิ์ท้ังหลายจะพากันทุ่มเทกาลังออกมาทั้งรัง เพื่อที่จะรีดเค้น
เอามรดกพลังเทพไปจากพวกมันโดยไม่เลือกวิธีการ
ไม่ว่ามองจากมุมใด การเปิดเผยตัวตนของพวกมันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี
อย่างแน่นอน
พอคิดได้เช่นนี้ จิตใจที่สงบเยือกเย็นของจั่วม่อเริ่มพลุ่งพล่านปั่ นป่วน
ขึ้ น มาทั น ที รี บ ลดเสี ย งลงกระซิ บ ถามเขิง เหลี ยนเอ๋อ ร์ “มี ค นล่ ว งรู้ เ รื่ อง
ประโยชน์ใช้งานของกระดูกงูสันเขาพิสุทธิม
์ ากน้อยเท่าใด?”
เขิงเหลียนเอ๋อร์งงงันวูบ แต่นางเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง พลันเข้าใจ
ความหมายของจั่วม่อทันที นางตอบด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “มี
น้อยยิ่ง กระทั่งในตระกูลก็มีเพียงท่านพ่อกับข้าที่ล่วงรู้”
จั่วม่อคลายใจลงเล็กน้อย ข้อบกพร่องเดียวที่อาจเป็นไปได้ของพวก
มันมีเพียงเรื่องกระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์เท่านั้น หากมีคนล่วงรู้ประโยชน์ใช้
สอยที่กระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์มีต่อเผ่าปิศาจงูเขี้ยวขาว ย่อมจะต้องเพ่งเล็ง
สงสัยตัวตนของพวกมันได้โดยง่าย เรื่องที่มันมีสหายหญิงเป็นปิศาจงูเขี้ยว
ขาวยิ่งไม่ใช่ความลับอันใด
น้ า มาก่ อ ท านบกั้ น ทหารมาตั้ ง ทั พ สู้ จะอย่ า งไรมั น ก็ ไ ด้ แ ต่ เ ดิ น ไป
พลางคิดอ่านไปพลางเท่านั้น
จั่วม่อเมื่อคิดตก ก็พลันแย้มยิ้มเป็นปกติ
ทันใดนั้นเอง ฝูงชนที่ด้านหลังจู่ ๆ ปั่ นป่วนรวนเรขึ้นมา
“ขอแสดงความยินดี! ขอแสดงความยินดี! นึกไม่ถึงว่าท่านที่นับถือจะ
ถึ ง กั บ หลอมสร้ า งศาสตรามารชั้ น ปฐพี ขึ้ น มาเล่ ม หนึ่ ง จริ ง ๆ!” พ่ อ บ้ า น
ปิศาจวัยกลางคนเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาด้วยสีหน้าปลาบปลื้มยินดี มีองครักษ์
กลุ่มใหญ่คอยติดตามอารักขาอยู่ที่เบื้องหลัง
จั่วม่อไม่ได้คาดคิดว่าพ่อบ้านใหญ่แห่งศาลาสมบัติหายากจะมาเยือน
ถึงบ่อน้าศาสตรามารด้วยตัวเอง ต้องประหลาดใจอยู่บ้าง แต่มันสีหน้าสงบ
ราบเรียบ ไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย เพียงกล่าวอย่างใจเย็น “ล้วนพึ่งพา
บารมี ข องท่ า นพ่ อ บ้ า นช่ ว ยส่ ง เสริ ม ทุ ก อย่ า งจึ ง ด าเนิ น ไปอย่ า งราบรื่ น
ศาสตรามารปฐพี เล่มนี้ เ รีย กว่ าหอกอสรพิษฟ้ าสิ บ แปลง สามารถแปลง
เป็นศาสตรามารที่ผิดแผกแตกต่างกันสิบเล่ม ศาสตรามารแต่ละเล่มล้วนมี
พลังพิเศษเฉพาะของตนเอง”
กล่าวจบคา มันก็หยิบฉวยหอกอสรพิษฟ้าสิ บแปลง เริ่มส าแดงการ
เปลี่ยนแปลงบางประการ
บรรดาอาจารย์ศาสตรามารรอบด้านไหนเลยจะเคยพบเห็นศาสตรา
มารปฐพีข องแท้มาก่อน พากันทาคอยืดคอยาว เฝ้าจ้องมองด้วยดวงตา
เบิกกว้างแทบถลนออกมา ด้วยเกรงว่าจะพลาดรายละเอียดใดไป รอจน
พวกมันเห็นหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงทาการแปลงเป็นศาสตรามารทั้งสิบ
ไล่ไปทีชนิด ต้องแตกตื่นตะลึงลานจนปากอ้าตาค้างกันไปหมด
พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนจ้องมองหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงในมือของ
จั่วม่อด้วยดวงตาร้อนผ่าว มันปรารถนาจะหยิบฉวยศาสตรามารปฐพีเล่ม
ใหม่นี้ไปเสียเดี๋ยวนี้เลย ในฐานะพ่อบ้านใหญ่แห่งศาลาสมบัติหายาก มัน
ย่อมมีวิจารณญาณที่ดีกว่าคนทั่วไปมาก มิหนาซ้ามันยังเคยสัมผัสศาสตรา
มารปฐพีของแท้มาก่อน
เพียงมองปราดเดียว มันก็ล่วงรู้ทันทีว่าหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงเล่มนี้
ยังเหนือล้ากว่าศาสตรามารที่มันเคยสัมผัสในอดีตมาก
สายตาของมันยิ่งมายิ่ งร้ อนแรง แต่มันก็เป็นบุคคลอั นชาญฉลาดผู้
หนึ่ง ดังนั้นกล่าวอย่างยิ้มแย้ม ว่า “ข้านากระดูกงูสันเขาพิสุ ทธิ์ติด ตั ว มา
ด้วยแล้ว”
อันที่จริงด้วยนิสัยใจคอของเสี่ยวม่อเกอ หากไม่ฉวยโอกาสฟัน ก าไร
มหาศาลก็ไม่ใช่เสี่ยวม่อเกอแล้ว แต่คราครั้งนี้ อารามรีบร้อนอยากหลบลี้
หนีหน้าโดยไวที่สุด ดังนั้นมันไม่ต่อรองแม้สักครึ่งคา พยักหน้าพลางกล่าว
“ตกลง นี่เป็นของเจ้า”
พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนสีหน้าทอแววปิติยินดีมากกว่าเดิม
ชุดกระดูกงูสันเขาพิสุ ทธิ์ค รบชุ ดสมบู รณ์ พลันปรากฏขึ้น เบื้อ งหน้ า
จั่วม่อ เสียงทอดถอนอย่างตื่นตะลึงดังก้องไปทั่วบริเวณเป็นคารบสอง ชุด
กระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์ที่ส มบูรณ์ แบบถึงเพียงนี้ ยากยิ่งนักที่จ ะได้พบเห็น
ด้วยสายตาตนเอง
“ช้าก่อน!” เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นกลางคัน เป็ นคนประหลาดฮวาหรูไห่ผู้
นั้ น เอง อารมณ์ ร้ อ นใจบนใบหน้ า มัน เลือนหายไป แทนที่ ด้ ว ยความสงบ
เยือกเย็นชนิดหนึ่ง “ผู้น้อยฮวาหรู ไห่แห่งตระกูลฮวาอ่าวใต้ ข้าต้องการขอ
ซื้อศาสตรามารเล่มนี้... ...”
ยังไม่ทันที่มันจะได้กล่าวจนครบถ้วนกระบวนความ จั่วม่อคว้ากระดูก
งูสันเขาพิสุทธิ์ แล้วยัดหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงใส่มือของพ่อบ้านปิศาจวัย
กลางคนอย่างไม่แยแสสนใจ ฮวาหรูไห่ถึงกับสีหน้าแข็งค้าง
เจ้าผู้นี้ใช่ส มองผิดปกติห รือไม่ ? หรือมันไม่เข้าใจว่า นี่เป็นโอกาสให้
โก่งราคาแล้ว?
ฮวาหรู ไห่เลือดสูบฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว ต้องถลึงตามองจั่วม่ออย่าง
ขุ่นเคือง
จั่วม่อไม่แยแสสนใจมัน เมื่อถือครองกระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์อยู่ในมือ
มันชายตามองเขิงเหลียนเอ๋อร์แวบหนึ่ง ส่วนตัวมันคว้ามืออากุ่ย รีบแหวก
ทางออกไปอย่างรวดเร็ว
พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนยังคงจมอยู่ในความปลาบปลื้นยินดีที่ได้รับ
ศาสตรามารชั้นปฐพี ไม่ทันสังเกตว่าคนทั้งสามกาลังทาอะไร
“อาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ ไยต้องรีบร้อนเช่นนี้เล่า ตระกูลทังเราไม่ได้
ให้การต้อนรับขับสู้อย่างเหมาะสม ทาให้อาคันตุกะผู้ทรงเกียรติต้อ งขุ่ น
เคืองใจแล้ว นี่ถือเป็นความผิดพลาดของเรา ผู้น้อยทังเฉินขอน้อมรับผิด
ทุกประการ!”
สุ้มเสียงลุ่มลึกสบายหูดังกังวานอยู่ในโสตประสาทของทุกผู้คน ฉาก
เอะอะอึกทึกพลันเงียบกริบลงในบัด ดล ทุกผู้คนล้วนคาดการณ์ไว้แล้ ว ว่า
ตระกูลทังจะไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย ปล่อยให้ปรมาจารย์ศาสตรามารผู้หนึ่งหลุด
ลอยไปต่อหน้าต่อหน้า แต่เมื่อทังเฉินมาถึงกลับเกรงอกเกรงใจถึงเพีย งนี้
นับว่าเหนือความคาดหมายจนไร้วาจาจะกล่าวแล้ว
ชั่วอึดใจถัดมา สรรพเสียงจ้อกแจ้กจอแจระเบิดเป็นวงกว้าง
ทังเฉินเป็นใคร? มันก็คือประมุขคนปัจจุบันแห่งตระกูล ทัง ยากนักที่
จะเห็นมันปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ไม่ว่าผู้ใดก็นึกว่าถึงว่าคนผู้นี้จะมาด้วย
ตัวเอง นับเป็นการให้เกียรติปรมาจารย์หนุ่มเป็นอย่างสูงโดยแท้!
จั่วม่อแม้สีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจลอบฝืนยิ้มขื่น คราครั้งนี้คิดจากไป
เกรงว่าจะไม่ง่ายแล้ว
อย่าได้เห็นว่ าอี กฝ่ ายกล่ า ววาจาเกรงอกเกรงใจ แต่ต าแหน่ง แห่ ง ที่
ของมั น พอดี ปิ ด สกั ด เส้ น ทางของพวกจั่ ว ม่ อ อย่ า งสมบู ร ณ์ จั่ ว ม่ อ ได้ แ ต่
ชะงักเท้า จากนั้นค้อมกายคารวะอย่างไม่เป็นทางการ “ไม่กล้ารับ ไม่กล้า
รับ ข้ามีเรื่องราวรัดตัว ต้ องรีบร้อนเดินทาง ขอทังเซียนเซิงโปรดให้ อภัย
ด้วย”
ทังเฉินพอฟังต้องแย้มยิ้มวูบหนึ่ง ลากเสียงกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์
เกรงใจเกินไปแล้ว มีเรื่องราวเร่งด่วนอันใดเพียงบอกต่อตระกูลทังเราก็พอ
ได้รับใช้ท่านปรมาจารย์ ถือเป็นเกียรติต่อตระกูล ทัง ปรมาจารย์ให้เกีย รติ
มาเยือนที่นี่ นับเป็นโชควาสนาของเมืองปู้โจว ท่านปรมาจารย์กรุ ณารั้งอยู่
สักสองสามวัน ให้พวกเราได้ทาหน้าที่เป็นผู้เหย้าที่ดีสักครา”
เป็นบุคคลซึ่งยากจะรับมือดังที่คาด!
จั่วม่อในใจก่นด่าสาปแช่งทังเฉินไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันรอบ ใคร่หยิบฉวย
ถ้ ว ยสมบั ติ ข องเสี่ ย วม่ อ ออกมาเชื อ ดเจ้ า ผู้ นี้ ทิ้ ง เสี ย ให้ สิ้ น เรื่ องสิ้ น ราว
จากนั้นลอยนวลจากไป ดูท่าทางของทังเฉินแล้วจั่วม่อทราบว่าวันนี้อย่า
หมายจะจากไป ฝ่ายตรงข้ามตระเตรียมบังคับให้พวกมันรั้งอยู่ให้จงได้
จั่วม่อความคิดหมุนเร็วรี่ แล้วตกลงใจแสร้งทาเป็นคล้อยตามไปก่อน
หลังจากนั้นค่อยมองหาโอกาสเหมาะ ๆ ลอบหลบหนีจากไป
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว มันก็แสร้งทาเป็นอึกอักลังเล แล้วตอบกลับไปว่า
“เช่นนัน
้ คงต้องรบกวนประมุขทังสักหลายวันแล้ว”
ทังเฉินแผยรอยยิ้มพึงพอใจ “ท่านปรมาจารย์ เชิญ!”
ทังเฉินกวาดตามองหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงในมือของพ่อบ้านใหญ่
ศาลาสมบัติหายากแวบหนึ่ง แล้วโห่ร้องชมเชยออกมา “ศาสตรามารปฐพี
อันประเสริฐ!”
พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนไม่หลบเลี่ยงสายตาแหลมคมของทังเฉิน ยิ้ม
อย่างเยือกเย็นพลางกล่าว “ศาสตรามารนั้นย่อมประเสริฐ แต่ปรมาจารย์
กลับประเสริฐยิ่งกว่า”
ทังเฉินเป็นชนชั้นใด ไหนเลยจะไม่เข้าใจวาจายอกย้อนของอีกฝ่าย
แต่แสร้งทาเป็นไม่ได้ยินเสีย มันแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ตระกูลทัง
เราพอดีต้องการศาสตรามารปฐพีเล่มหนึ่ง เชิญระบุราคาเถอะ”
สุ้ ม เสี ย งของมั น เย็ น เยี ย บ แต่ เ ปล่ ง รั ศ มี ข องผู้ ค รองอ านาจออกมา
อย่างเต็มที่
ทว่าพ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนหาได้ห วั่นเกรงไม่ เพียงกล่าวด้วยสุ้ม
เสียงเฉื่อยชาทว่าแฝงไว้ด้วยเหลี่ยมคู “ผู้น้อยไหนเลยกล้ากระทาเกินเลย
กว่าอานาจที่มี ต้าเหรินหากต้องการสอบถามราคา ผู้น้อยจะเรียนบอกต่อ
เหล่าป่านให้เอง”
“เจ้าประเสริฐ ยิ่ง” ทังเฉินเขม้นมองพลางกล่ า วทิ้ ง ท้า ย แล้วสะบั ด
หน้าจากไป
จั่วม่อเผยสีหน้าครุ่นคิด
ดูท่าฉากหลังของศาลาสมบัติหายากมิได้อ่อนด้อยเลยแม้แต่น้อย
พวกจั่วม่อทั้งสามถูกจัดให้อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง นับเป็นคฤหาสน์ห ลัง
ใหญ่ที่มีทิวทัศน์งามเลิศ สิ่งอานวยความสะดวกพร้อมมูล พรั่งพร้อมด้วย
บ่าวไพร่หญิงรับใช้มากกว่าร้อยคน ในบริเวณอันใหญ่โตมโหฬารนี้มีเพียง
พวกมันสามคนพานักอยู่ภายใน
พื้นที่รอบนอกคฤหาสน์จัดกาลังป้องกันอย่ างแน่นหนา เต็มไปด้ว ย
ยอดยุทธ์ด่านเจียงหรือเหนือล้ากว่าของตระกูลทังมากกว่ายี่สิบคน มาทา
หน้าที่เป็นองครักษ์ อย่างแข็งขัน ทั้งยังมีแผนผังปิศาจมากมายจัดวางไว้
รอบด้าน หากคิดก่อตั้งค่ายกลยันต์เช่นค่ายกลเคลื่อนย้าย เรียกได้ว่าเพ้อ
ฝันไป
นี่ ท าให้ จ่ั ว ม่ อ ได้ แ ต่ ฝื น ยิ้ ม อย่ า งขมขื่ น ฝ่ า ยตรงข้ า มเห็ น ได้ ชั ด ว่ า มี
ประสบการณ์ อ ย่ า งโชกโชน หลั ง จาก ‘เชื้ อเชิ ญ ’ พวกมั น เข้ า พ านั ก ใน
ตระกูลทัง ก็ทาการจากัดบริเวณไว้ภายในเคหะสถาน สถานการณ์ของพวก
มันในยามนี้ไม่ต่างจากถูกคุมขังไว้ภายในบ้าน แม้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จากัดการ
เคลื่อนไหวของพวกมันก็ตามที
จั่ ว ม่ อ ยั ง ได้ รู้ ซึ้ ง ถึ ง แบบฉบั บ การวางอ านาจบาตรใหญ่ ข องประมุ ข
ตระกูลทังผู้นี้
ภายใต้การอารักขาอย่างหนักแน่นเข้มแข็งถึงปานนี้ ยากจะหลบรอด
ออกไปได้โดยไม่ถูกพบเห็น หากพวกมันใช้กาลังฝืนบุกฝ่าออกไป เป็นไป
ได้มากว่าความลับ ทั้งหมดของพวกมันจะถูกเปิ ดเผยออกมา ถึงตอนนั้น
เกรงว่าตระกูลทังไม่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าใด ก็จะต้องรั้งตัวพวกมัน
เอาไว้ให้จงได้
เขิงเหลียนเอ๋อร์ใบหน้างามสะคราญเต็มไปด้ว ยแววสานึกเสียใจและ
ขออภัย “หากมิใช่เพราะกระดูกงูสันเขาพิสุทธิ์... ...”
จั่ม่อสั่นศีรษะ กล่าวขัดกลางประโยค “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ผู้ใด
จะไปคาดคิดว่าศาสตรามารชั้นปฐพีเล่มเดียว จะก่อเกิดคลื่นลมใหญ่โตถึง
เพียงนี้”
จั่วม่อมองดูอากุ่ย รู้สึกร้อนใจเป็นกาลัง หากพวกมันต้องติด อยู่ ที่ นี่
เมื่อใดจะสามารถไปถึงอาณาจักรน้าพุปรโลกกันเล่า
ในเวลานี้เอง ความคิดหนึ่งพลันวาบขึ้นในใจ
มันคิดว่าเป็นความคิดอันประเสริฐทีเดียว
... ...
... ...
“ว่ า กระไร มั น จะหลอมสร้ า งศาสตรามารปฐพี ?” ทั ง เฉิ น ถามเสียง
หนัก ๆ
“ใช่ข อรับ! มันบอกว่ามันต้องการหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีเล่ม
ใหม่” บ่าวไพร่ที่มารายงานสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างสุด
ซึ้ง
“ศาสตรามารปฐพี!” กระทั่งทังเฉินยังหน้าเปลี่ยนสี แต่จ ากนั้นมัน
ต้องขมวดคิ้ว มันย่อมทราบดีว่ าการหลอมสร้ า งศาสตรามารปฐพี แ ต่ ล ะ
เล่มนั้นลาบากยากเข็ญเพียงใด ปรมาจารย์ผู้นี้เพิ่งจะหลอมสร้างศาสตรา
มารปฐพีสาเร็จเล่มหนึ่ง ยามนี้ยังคิดหลอมสร้างอีกเล่มหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
เรื่องนี้ทาให้มันรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
ศาสตรามารปฐพีเล่มหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกชั่วชีวิตของ
อาจารย์ศาสตรามารผู้หนึ่ง
ปรมาจารย์ ศาสตรามารส่ วนใหญ่ ชั่ วชี วิต เพียงหลอมสร้ างศาสตรา
มารปฐพีเล่มเดียว ผู้ที่สามารถหลอมสร้างสาเร็จถึงสองเล่มแทบนับได้ด้วย
นิ้วมือข้างเดียว มันไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดสามารถหลอมสร้างสาเร็จถึงสาม
เล่มมาก่อน
ทังเฉินที่บีบบังคับจั่วม่อมา มิใช่ว่าต้องการให้มันหลอมสร้างศาสตรา
มารปฐพีอีกเล่มหนึ่ง แต่ด้วยความหวังว่ามันจะยินดีรับหน้าที่เป็นเหล่าซือ
ช่วยฝึกอบรมค่ายศาสตรามารของตระกูลทัง
เมื อ งปู้ โ จวแม้ อุ ด มไปด้ ว ยทรั พ ยากร แต่ ฝี มื อ หลอมสร้ า งของเหล่า
อาจารย์ศาสตรามารไม่ได้สูงส่งนัก หากสามารถยกระดับฝีมือของอาจารย์
ศาสตรามารเหล่ า นี้ ขึ้ น มา ได้ ทรั พ ยากรมหาศาลที่ มี ก็ จ ะสามาร ถ
แปรเปลี่ยนเป็นศาสตรามารชั้นดีอย่างไม่รู้จักจบสิ้น พลังของตระกูลถังจะ
ทวีคูณขึ้นอีกขั้นในระยะเวลาอันสั้น
หรือว่าปรมาจารย์หนุ่มผู้นั้นได้แนวคิดใหม่ ๆ จากการหลอมสร้างครั้ง
ก่อน?
แม้ว่ามันจะไม่เชื่อว่าจั่วม่อจะสามารถหลอมสร้างศาสตรามารปฐพี
เล่มที่สองได้จริง ๆ ทังเฉินยังคงนึกยินดีที่จ่ัวม่อทุ่มเทให้กับการหลอมสร้าง
ศาสตรามารอย่างขยันขันแข็ง
“อา ให้ความร่วมมือกับมันอย่างเต็มที่” ทังเฉินสั่งการอย่างไม่ลังเล
“ไม่ว่ามันต้องการสิง่ ใด จงตอบสนองความพึงพอใจของมันให้มากที่สุด”
“ขอรับ!” บ่าวไพร่ผู้นั้นตอบอย่างรู้ความ อย่างไรก็ตาม สีหน้าของมัน
เปลี่ยนเป็นแปลกพิกลอยู่บ้าง “แต่...แต่ท่านปรมาจารย์มีคาขอแปลก ๆ
เรื่องหนึ่ง... ...”
“คาขอแปลก ๆ ... ...” ทังเฉินงงงันวูบ
เมืองปู้โจว ตาหนักทังเหวิน
นี่เป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีของปู้โจว ทั้งอึกทึกคึกคัก
และคลาคล่ า ไปด้ ว ยผู้ ค น โฉมสะคราญมากมายเดิ น กรี ด กรายอวดโฉม
กลิ่นสุราหอมหวนตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ผู้คนบ้างสนทนาปราศรัย บ้าง
ประสานมือคารวะทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ผู้ที่พอจะมีช่ ือเสียงอยู่บ้ างในละแวกเมืองปู้โจวล้วนได้รับเทีย บเชิญ
จากตระกูลทัง เหล่ายอดยุทธ์ลือนามในบริเวณโดยรอบรีบรุ ดเข้าร่วมงาน
โดยไม่บ่ายเบี่ยง
นอกเหนื อ จากอ านาจอิ ท ธิ พ ลของตระกู ล ทั ง ซึ่ ง ในละแวกนี้ ไ ม่ มี ผู้
เทียบเทียมแล้ว ผู้คนมากมายที่มาร่วมงานยังมาเพื่อบุคคลอีกผู้ห นึ่ง นั่น
คือปรมาจารย์ เ ซีย วอวิ๋น ไห่4 ส าหรับปรมาจารย์ห นุ่ มผู้ ซึ่ง เพิ่ งจะประสบ
ความสาเร็จในการหลอมสร้างศาสตรามารปฐพี การที่จะเนื้อหอมถึงเพียง
นี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใด
จากนั้นพวกมันยังได้ยินว่าปรมาจารย์เซียวอวิ๋นไห่ร้องขอให้จัดงาน
เลี้ยงครั้งนี้ หลายคนอดไม่ได้ต้อ งหันมาขบคิ ด ใคร่ค รวญสถานการณ์ อี ก
ครั้ง
แม้ว่าปรมาจารย์เซียวจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลบีบบังคับของตระกูล
ทัง แต่หากมีโอกาสพบหน้าสักครั้งสองครั้ง เพาะสร้างความสัมพันธ์ อันดี
ต่อกัน ยังทาให้หลายคนต้องหวั่นไหวใจขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดา
ยอดยุทธ์ผู้มีฝีมือกล้าแข็ง หากทว่าขาดศาสตรามารคู่ใจ พวกมันไม่ต่าง
จากแมลงวันที่กระสากลิ่นเนื้อสด รีบแห่แหนกันมาอย่างพร้อมหน้า
ฟงซิ่นจื่อใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นดุจ แสงตะวัน มันปฏิเสธ
การทอดสะพานของดรุ ณีโฉมสะคราญเผ่าปิศาจนับไม่ถ้วน เพียงถือสุรา
จอกหนึ่ง รั้งอยู่ข้างกายจีลี่อวี่
“เจ้าผิดพลาดแล้ว” สุ้มเสียงหวานเสนาะของจีลี่อวี่ติดจะเย้ยหยันอยู่
บ้าง “มันเป็นปรมาจารย์หลอมสร้างศาสตรามารคนใหม่”
4
เซียว – คานี้แปลว่าเงียบเหงา หมดอาลัยตายอยาก เป็นการเล่นเสียงกับเซี่ยวของเซี่ยวม่อเกอและเสี่ยวของ
เสี่ยวม่อเกอ อวิ๋นไห่แปลว่าทะเลเมฆ มีที่มาจากชื่ออาณาจักรทะเลเมฆ
ฟงซิ่ น จื่ อยั ก ไหล่ “อาจบางที เ ซี่ ย วม่ อ เกอก็ ล่ ว งรู้ วิ ช าหลอมสร้ า ง
ศาสตรามารกระมัง”
ปากแม้ เ อ่ ย ล้ อ เลี ย นอย่ า งไม่ อิ นั ง ขั ง ขอบ แต่ ใ นใจมั น เองยั ง ไม่ เ ชื่ อ
วาจาผี ส างเหล่ า นี้ เซี่ ย วม่ อ เกอเป็ น ยอดอั จ ฉริ ย ะผู้ ห นึ่ ง ความจริ ง ข้ อ นี้
กระทั่งฟงซิ่นจื่อผู้ถูกผู้อ่ น
ื เรียกขานว่าอัจฉริยะมาโดยตลอดยังต้องยอมรับ
นับถือในพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ของอีกฝ่าย หากทว่า แม้แต่ยอดอัจฉริยะ
ที่มีพรสวรรค์สูงสุดยังไม่อาจแตกฉานในทุกด้าน อย่าว่าแต่ศาสตร์แห่งการ
หลอมสร้ า งศาสตรามารยั ง ลึ ก ซึ้ ง คลุ ม เครื อ คิ ด ประสบความส าเร็ จ ใน
ศาสตร์ วิ ช าด้ า นนี้ นอกจากมี พ รสวรรค์ แ ล้ ว จ าต้ อ งสั่ ง สมฝี มื อ และ
ประสบการณ์ อ ย่ า งยาวนาน ประสบการณ์ ใ นอดี ต จะช่ ว ยหนุ น เสริ ม
พรสวรรค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งที่จะบรรลุถึง
ได้ด้วยพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว
“จะว่ า ไปแล้ ว เจ้ า ไม่ คิ ด ว่ า นี่ มั น แปลกประหลาดบ้ า งหรื อ ไร ?
ปรมาจารย์ ศ าสตรามารซึ่ งสามารถหลอมสร้ า งศาสตรามารปฐพี อย่ า ง
น้อยที่สุดก็สมควรมีช่ อ
ื เสียงเป็นที่รู้จักกันมาก่อนอยู่บ้าง แต่นี่อะไร กระทั่ง
นามของมั น ยั ง ไม่ มี ผู้ ใ ดเคยได้ ยิ น ได้ ฟั ง มาก่ อ นด้ ว ยซ้ า ไม่ แ ปลกเกิ น ไป
หน่ อ ยรึ ?” ฟงซิ่ น จื่ อกล่ า วราวร าพึ ง กั บ ตั ว เอง พลางเพ่ ง มองจั่ ว ม่ อ จาก
ระยะไกล
“มีผู้คนมากมายที่จ ากไม่มีอ ะไร แล้วทะยานขึ้นโด่งดัง คับ ฟ้า ในชั่ ว
ข้ามคืน นี่ไม่เห็นมีอันใดน่าแปลก” จีลี่อวี่ไม่เห็นพ้อง
“ก็อาจจะเป็นเช่นนัน
้ ” ฟงซิน
่ จื่อไม่ถกเถียงเรื่องนี้ต่อ
ในเวลานี้เอง คนผู้หนึ่งเบียดเสียดผู้คนตรงเข้ามา เรียกเสียงสบถด่า
เบา ๆ มาตลอดทาง พอเข้ามาถึงคนทั้งสองก็กล่าวอย่างคึกคักกระตือรือร้น
“ฮ่าฮ่า วันนี้ได้พบพานแม่นางโฉมงามถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นโชควาสนาของ
ข้านัก! แม่นางผู้งามเลิศจนหัวใจข้าแทบหยุดเต้น มิทราบสามารถประทาน
บอกนามอันไพเราะของเจ้าได้หรือไม่?”
จี ลี่ อ วี่ ใ นใจรั ง เกี ย จเดี ย ดฉั น ท์ อ ยู่ บ้ า ง แต่ บ นใบหน้ า ไม่ แ สดงสิ่ ง ใด
ออกมา เพียงแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน “คิดสอบถามชื่อผู้อ่ ืน เจ้าไม่สมควร
แจ้งนามของตนก่อนหรือ?”
จีลี่อวี่เดิมทีงามรัดรึงตรึงจิตอยู่แล้ว นางยามไม่แย้มยิ้ม ก็ราวกับไข่มุก
ที่สุกสว่างที่สุดในงานเลี้ยง แต่พอเผยรอยยิ้มออกมา ทั่วทั้งตาหนักจัดเลี้ยง
คล้ายสว่างไสวขึ้นมาทันที บรรดาอาคันตุกะโดยรอบล้วนตะลึงลานจนซึม
เซากันไปหมด
บุรุษหนุ่มกรุ ยกรายที่บุกเข้ามาสนทนากับนางเมื่อครู่ถึงกับตะลึง งัน
จนแทบลืมหายใจ นิ่งขึงอยู่ครึ่งค่อนวันค่อยได้ส ติรู้สึกตัว มันมีสีห น้าลุ่ม
หลงมึ น เมา ท าท่ า ราวกั บ หากจี ลี่อ วี่สั่ งให้มั นไปตายเสียตอนนี้ มั น จะไม่
ขมวดคิ้วนิ่วหน้าแม้แต่น้อย
“โอ้ โอ้ โอ้ ข้าน้อยสมควรตาย! ข้าวู่วามเสียมารยาทไปแล้ว สวรรค์
อภัยให้ไม่ได้! โปรดให้อภัยต่อความหุนหันหยาบคายของข้าด้วย ข้าฮวาหรู
ไห่แห่งตระกูลฮวาอ่าวใต้ เพียงสถานที่เล็ก ๆ สถานที่เล็ก ๆ เท่านั้น!”
ฮวาหรูไห่กล่าวถ่อมตนพลางโปรยยิ้มมีเสน่ห์ เสียงสูดลมหายใจอย่าง
ตกตะลึงดังขึ้นรอบด้าน ในที่นี้ยังจะมีผู้ใดไม่รู้จักตระกูลฮวา ตระกูล ฮวา
แห่งอ่าวใต้เป็นขุมกาลังที่ทัดเทียมกับตระกูลทังแห่งเมืองปู้โจว
“ยิ น ดี เ ป็ น อย่ า งยิ่ ง ที่ ไ ด้ พ บ ฮวาหรู ไ ห่ เ ซี ย นเซิ ง ! ข้ า จี ลี่ อ วี่ แ ห่ ง เผ่ า
อสูร!” จีลี่อวี่แย้มยิ้มปานบุปผาสะพรั่ง ดึงดูดสายตาบุรุษทุกรูปทุกนาม
“ยินดี ยินดี น่ายินดีจริง ๆ!” ฮวาหรูไห่ต่ น
ื เต้นเสียจนกล่าววาจาจับต้น
ชนปลายไม่ถูก
“ฮวาหรู ไ ห่ เ ซี ย นเซิ ง ก็ ม าเพื่ อ ท่ า นปรมาจารย์ เ ช่ น กั น หรื อ ?” จี ลี่ อ วี่
ถามด้วยท่าทีสนอกสนใจ
ฮวาหรู ไห่พยักหน้าระรัว “ใช่ ใช่แล้ว ข้าบังเอิญอยู่ในบริเวณบ่อน้ า
ศาสตรามารในตอนที่ปรมาจารย์หลอมสร้างศาสตรามารปฐพีสาเร็จพอดี
นิมิต แห่งฟ้าดินเมื่อยามที่ห อกอสรพิ ษ ฟ้าสิ บ แปลงถื อก าเนิ ด ข้าได้ช มดู
ด้วยสายตาตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ”
“หอกอสรพิษฟ้าสิบแปลง?”
“มิผิด นั่นเป็นยอดศาสตรามารอันเลิศล้าเล่มหนึ่ง สามารถแปลงเป็น
ศาสตรามารที่แตกต่างกันสิบชนิด ศาสตรามารปฐพีที่อัศจรรย์พันลึกถึง
เพียงนี้ข้าเพิ่งจะเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก น่าเสียดายที่ไปจบลงในมือของ
พวกศาลาสมบัติหายาก คิดซื้อของจากมือพวกมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ฮวา
หรูไห่กล่าวพลางสั่นศีรษะอย่างเศร้าเสียดาย
จี ลี่ อ วี่ พ ลั น กล่ า ว “ฟั ง ว่ า ท่ า นปรมาจารย์ ยั ง หนุ่ ม แน่ น ยิ่ ง หรื อ ว่ า
อาจารย์ศาสตรามารทั้งหมดล้วนแล้วแต่ยังอายุเยาว์?”
ฮวาหรู ไ ห่ ยิ้ ม พลางกล่ า วว่ า “ไยมิ ใ ช่ ครั้ ง แรกที่ ข้ า พบหน้ า ท่ า น
ปรมาจารย์ ยังต้องตะลึงงันไปชั่ว วู บ นึกไม่ถึงว่าปรมาจารย์จ ะมีอ ายุ อ า
นามไม่ต่างไปจากข้าเลย อย่างไรก็ตาม ชนชั้นปรมาจารย์อาจไม่ใช่มนุษย์
ปุถุชนเช่นเดียวกันกับพวกเรา”
“นั่นก็ใช่แล้ว” จีลี่อวี่แย้มยิ้มจาง ๆ หันเหสายตาไปยังศาสตรามารที่
จัดแสดงอยู่ใจกลางต าหนักอันกว้างขวาง “นั่นคงเป็นหอกอสรพิษฟ้ าสิบ
แปลงที่ว่ากระมัง?”
“อา!” ฮวาหรู ไห่หันไปมองหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงด้วยสายตาลุ่ ม
หลงมึ น เมายิ่ ง กว่ า ร าพึ ง ร าพั น ว่ า “สมบู ร ณ์ แ บบ! สมบู ร ณ์ แ บบอย่ า ง
แท้จริง! ฝีมือหลอมสร้างระดับนี้ ข้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย ช่างเลิศ
ล้านัก!”
จีลี่อวี่จ้องมองหอกอสรพิษฟ้าสิบแปลง กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวทว่า
แทบจะไม่มีตัวตนแผ่ซ่านออกมาจากหอก ปกคลุมทั่วทั้งตาหนัก บันดาล
ให้ผู้คนต้องสยิวกายอย่างหนาวเหน็บเป็นครั้งคราว
“นี่เป็นผลงานชิ้นเอกที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง” พ่อบ้านใหญ่แห่ง
ศาลาสมบัติหายากทอดถอนชมเชยไม่ขาดปาก
“ขอบคุณท่านมากที่ให้การสนับสนุน!” จั่วม่อประสานมือคารวะอีก
ฝ่ายอย่างซาบซึ้งใจ ซึ่งความจริงหอกอสรพิษฟ้า สิบแปลงเล่มนี้มันได้ทา
การซื้อขายกับศาลาสมบัติหายากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายที่ยินยอมนา
ออกมาจัดแสดง ก็เพียงเพราะว่าเป็นคาขอของจั่วม่อเท่านัน
้
“นี่ไม่นับเป็นอะไรได้” พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนกล่าวอย่างยิ้ ม แย้ม
จากนั้นลดเสียงกล่าวซ่อนความนัย “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ทราบว่า
ศาลาสมบัติหายากเราจะเป็นสหายของท่านปรมาจารย์เสมอ”
เมื่ อได้ รั บ ค าขอของจั่ ว ม่ อ มั น อดไม่ ไ ด้ ต้ อ งแตกตื่ นสุ ด ระงั บ แต่
หลั ง จากขบคิด ใคร่ ค รวญก็ ตัด สินใจทั น ที แม้ ว่ า มั น จะไม่ ล่ว งรู้ จิต เจตนา
แท้จริงของปรมาจารย์ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นโอกาสอันดีงามที่ สุดใน
การเพาะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อ่ น
ื
จั่วม่อยิม
้ รับ ชูถ้วยสุราให้แก่ฝ่ายตรงข้าม “เชิญ!”
“เชิญ!” พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนตอบสนองด้วยการชูจอกสุราด้วยสี
หน้าปิติยินดี การที่ปรมาจารย์ผู้หนึ่งยินยอมติดหนี้บุญคุณมัน หาใช่เรื่อง
ธรรมดาสามัญไม่
ทังเฉินซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนักบนใบหน้าปรากฏรอยยิม
้ ที่แทบมองไม่
เห็นวูบหนึ่ง ทันใดนั้นบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามากระซิบเสียงเบาต่าที่ริมหู
มัน ทังเฉินพยักหน้ารับรู้
มันผุดลุกขึ้นยืนโดยพลัน ยกสองมือขึ้น กล่าวด้วยสุ้มเสียงดังกัง วาน
“ท่านทั้งหลาย!”
ทั่วต าหนักเงียบกริบลงในบั ดดล สายตาทุกคู่หันมาจ้องมองทั ง เฉิ น
เป็ น ตาเดี ย ว ทั ง เฉิ น ผู้ นี้ ถื อ ครองอ านาจเบ็ ด เสร็ จ เด็ ด ขาดในเมื อ งปู้ โ จว
เพียงกล่าววาจาไม่กี่คา อาจส่งผลกระทบต่อเมืองปู้โจวอย่างรุนแรง
ทั ง เฉิ น ยิ้ ม อย่ า งกว้ า งขวาง “วั น นี้ นั บ เป็ น วั น ดี โ ดยแท้ ไม่ เ พี ย งมิ ต ร
สหายมากั น พร้ อ มหน้ า กระทั่ ง อาคั น ตุ ก ะผู้ ท รงเกี ย รติ ยั ง เดิ น ทางมาถึ ง
เช่นกัน”
ขณะที่มันกาลังกล่าววาจา เห็นผู้คนขบวนหนึ่งมุ่งมาจากประตูใหญ่
ตรงเข้าสู่ต าหนัก ผู้นาอยู่ด้านหน้าสุ ดเป็น บุรุ ษหนุ่ มซึ่ งใบหน้า เกลื่ อนไป
ด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ใบหน้าหล่อเหลาประดุจ หยกของมันเต็มไปด้วยความ
เชื่ อ มั่ น เมื่ อ เข้ า สู่ ต าหนั ก ก็ มุ่ ง ตรงมายั ง แถวหน้ า ซึ่ ง เป็ น ที่ นั่ ง ของเหล่ า
อาคันตุกะผู้ทรงเกียรติในงานเลี้ยง
ผู้คนพากันขยับเปิดทางให้แก่มันโดยไม่รู้ตัว
“ท่านอาทัง!” บุรุษหนุ่มเรียกหาพลางค้อมกายคารวะต่อทังเฉิน
ทังเฉินหัวร่ออย่างปลอดโปร่ง กล่าวว่า “มามา เข้ามาใกล้ ๆ มาให้เรา
ผู้เป็นอาชมดูเจ้าสักครา วีรบุรุษก่อเกิดแต่เยาว์วัยโดยแท้! อาตี๋มีบุตรชาย
อันประเสริฐเยี่ยงเจ้า ช่างน่าอิจฉาเลื่อมใสนัก!”
อาตี๋ ? เสียงซุบซิบถกเถียงแผ่วเบาดังขึ้นในกลุ่มคน ผู้คนพากันคาด
เดาว่าผู้ที่ถูกเรียกหาอย่างสนิทสนมว่าอาตี๋นี้ แท้ที่จริงคือผู้ใด
“ท่านพ่อมักจะบ่นถึงท่าน แต่น่าเสียดายที่เรื่องราวรัดตัว หลายปีมา
นี้ไม่อาจปลีกตัวมาเยี่ยมเยียนท่านอาทัง ท่านพ่อในใจรู้สึกผิดไม่น้อย” ซือ
กงจื้อ (คุณชายซือ) กล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม
“โอ้!” ทังเฉินบนใบหน้าปรากฏร่องรอยหวนราลึก จากนั้นกล่าวด้วย
อารมณ์ความรู้สึกว่า “เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน!”
จากนั้นพลันหัวร่อออกมา “วันที่ดีเช่นนี้กล่าวเรื่องหม่นหมองไปทา
อะไร” กล่าวจบคา มันก็หันเข้าหาผู้คนทั่วตาหนัก ผายมือไปทางบุรุษหนุ่ม
กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “ท่านทั้งหลาย ขอแนะนาให้รู้จัก นี่คือบุ ต รชาย
ของตี๋ไสว้ หลานชายของข้า ซือ!”
ฝูงชนเดือดพล่านขึ้นมาในบัดดล
ยามนี้พวกมันทราบชัดแล้วว่า ‘อาตี๋’ ที่ว่าคือผู้ใด ทุกผู้คนไม่มีผู้ใดไม่
รู้จักตี๋ไสว้ อ้อ แน่นอนว่าทุกผู้คนในที่นี้ไม่นับรวมจั่วม่อด้วย ตี๋ไสว้มีช่ อ
ื เสียง
ยิ่ ง ใหญ่ ก ว่ า ทั ง เฉิ น ไม่ ท ราบว่ า เท่ า ใด เป็ น หนึ่ ง ในจอมปิ ศ าจด่ า นไสว้ที่มี
อานาจอิทธิพลมากที่สุดในแดนปิศาจ
หลายคนมีสีหน้ากังขา แม้ว่าอานาจอิทธิพลของตระกูลทังในเมืองปู้
โจวนั้นไม่มีผู้ใดเทียบได้ แต่ที่ผ่านมามักเก็บเนื้อเก็บตัว ดูคล้ายพึงพอใจกับ
อาณาเขตของตน ไม่เคยมีความทะเยอทะยานที่จะแย่งชิงแผ่นดิน
ดังนั้นผู้คนมักเข้าใจว่าตระกูลทังเป็นเพียงขุมกาลังท้องถิ่นที่เข้มแข็ง
อยู่บ้าง แต่ตี๋ไสว้เป็นหนึ่งในจอมคนที่ทาศึกช่วงชิงแผ่นดิน ทั้งยังเป็นหนึ่ง
ในจอมปิศาจด่านไสว้ซึ่งมีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุด
เนื่องเพราะสถานะของสองตระกูลที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เมื่อเห็น
ว่าบุตรชายของตี๋ไสว้คารวะต่อทังเฉินอย่างนอบน้อมยิ่ง ราวกับบุตรหลาน
คารวะต่อญาติผู้ใหญ่ก็มิปาน หลายคนจึงอดตะลึงลานไม่ได้ ดูท่าสองจอม
ปิศาจด่านไสว้จะมีสายสัมพันธ์ที่ไม่รวบรัดธรรมดา
การมาถึงของซือกงจื้อทาให้งานเลี้ยงบังเกิดคลื่นลับหนุนเนื่อง หลาย
คนลอบครุ่นคิดว่าจาต้องประเมินขีดความสามารถของตระกูลทังใหม่อีก
ครัง้
นี่รวมถึงตระกูลจี้ด้วย
อาเหิ ง ที่ อ ยู่ ใ นมุ มหนึ่ง ดวงตาทอประกายวู บ ไหว ตระกู ล ทั ง เป็นขุม
กาลังที่ต ระกูล จี้ข องมันพากเพียรสานสัมพันธ์ มาเป็นเวลานาน ตระกูลจี้
หวังว่าจะใช้การแต่งงานระหว่างตระกูลกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสอง
ตระกูลให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม
เมื่อบุตรชายของตี๋ไสว้มาถึง ทาให้มันสูดได้กลิ่นอายของความแปลก
ประหลาดทันที
ในขณะเดียวกัน นายน้อยตระกูลจี้ยังคงจ้องมองปรมาจารย์เซียวอวิ๋น
ไห่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น
อาเหิ ง เมื่ อ รู้ สึ ก ตั ว พลั น สั ง เกตเห็ น สี ห น้ า ของนายน้ อ ยของมั น อด
ขมวดคิ้ ว นิ่ ว หน้ า ไม่ ไ ด้ ซื อ กงจื้ อที่ เ พิ่ ง มาถึ ง หล่ อ เหลาสง่ า งาม ทั้ ง ยั ง มี
ความส าเร็จสูงล้า เทียบกันแล้วนายน้อยของตระกูล พวกมันแทบไม่อาจ
พบหน้าผู้คน อาเหิงลอบสั่นศีรษะอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง
ปรมาจารย์เซียวอวิ๋นไห่ยามนี้เป็นอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติของตระกูล
ทัง ตระกูลทังมีแต่จะพิทักษ์มันประหนึ่งสมบัติล้าค่า พวกมันไม่มีโอกาสลง
มืออีกแม้แต่น้อย อย่าแต่ว่าพวกมันปรารถนาจะเพาะสร้างพันธมิต รกับ
ตระกูลทัง ต่อให้พวกมันไม่ไว้หน้าตระกูลทัง แต่หากคิดลงมือต่ออาคันตุกะ
ผู้สูงส่งของตระกูลทังในเมืองปู้โจว เท่ากับแส่หาที่ตายเท่านัน
้
มั น ตั ก เตื อ นด้ ว ยสุ้ม เสีย งเครี ย ดขรึ ม “นายน้ อ ย ท่ า นอย่ า ได้ หุ นหัน
พลันแล่นเป็นอันขาด!”
“เช่นนั้นจะปล่อยให้จบเรื่องลงเพียงเท่านี้หรือ?” นายน้อยตระกูล จี้
เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สุ้มเสียงคล้ายตะโกนออกมาจากความแค้นที่อัดแน่นใน
อก
อาเหิงกล่าวอย่างเย็นชา “หากนายน้อยล่วงเกินตระกูลทัง นายท่าน
ต้องไม่ยินดีแน่”
นายน้อยตระกูล จี้หน้ า เผือ ดสี เมื่อนึกถึงโทสะของผู้ เป็น บิ ด า พลัน
รู้สึกความเย็นสายหนึ่งแผ่ซ่านขึ้นมาจากเท้า ความเคียดแค้นเดือดดาลทั้ง
มวลหายวับไปทันที
อาเหิ ง หลั ง จากก าราบนายน้ อ ยของมั น เช่ น นี้ ก็ ไ ม่ เ หลื อ บมองนาย
น้อยของมันอีก แต่ให้ความสนใจอยู่กับซือกงจื้อ มันตกลงใจรั้งอยู่อีกชั่ว
ระยะเวลาหนึ่ง เพื่อสืบหาว่าซือกงจื้อไฉนมาเยือนเมืองปู้โจวอย่างปัจจุบัน
ทันด่วนเช่นนี้
ตระกูล ทังแม้เก็บเนื้อเก็บตัว แต่ขุมกาลังแท้ จ ริงของพวกมันไม่อาจ
หยั่ ง วั ด ได้ หากเป็ น พั น ธมิ ต รกั บ ผู้ ใ ด ตระกู ล ทั ง จะเป็ น ผู้ ช่ ว ยเหลื อ ชั้ น ดี
อย่างที่ยากจะหาได้อีก
อาเหิงทราบดีว่าตระกูลจี้แห่งอาณาจักรเวิ้งฟ้าไม่ได้มีอานาจอิทธิพล
เที ย บเท่ า กั บ ตี๋ ไ สว้ อย่ า งไรก็ ต าม มั น คาดคิ ด ไม่ ถึ ง ว่ า ทั ง เฉิ น จะปกปิ ด
ความสัมพันธ์นี้อย่างมิดเม้น พวกมันตระกูลจี้แม้พากเพียรสืบเสาะมานาน
แต่ไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ตระกูล จี้เริ่มเพาะสร้างไมตรีกับตระกูลทังมาเป็นเวลานาน แต่ท่าที
ของทังเฉินมักจะไม่ชัดเจนอยู่เรื่อยไป ที่แท้นี่ก็คือเหตุผลเบื้องหลัง
ไม่ ว่ า จะอย่ า งไร มั น ไม่ อ าจปล่ อ ยให้ ต ระกู ล ทั ง กั บ ตี๋ ไ สว้ จั บ มื อ เป็ น
พันธมิตรกันได้
อาเหิงดวงตาทอประกายเย็นเยียบ
ด้วยการมาถึงของอาคันตุกะที่ไม่คาดฝัน ย่อมไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นสอง
นายบ่าวของตระกูลจี้ที่หลบอยู่ในมุม
จั่วม่อเดิมทีเพียงเหลือบมองโดยไม่ได้ต้งั ใจ รอจนดวงตาของมันกวาด
ผ่านขบวนของซือกงจื้อ สายตาพลันชะงักกึกอยู่ที่สตรีนางหนึ่ง
ไม่ทราบเพราะเหตุใด ในใจของจั่วม่อรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
สตรีนางนี้... ...
จั่วม่อกล้าเอาศีรษะเป็นประกันว่ามันไม่เคยพบเห็นสตรีนางนี้มาก่อน
อย่างแน่นอน มันไม่อาจอธิบายได้ว่าสิ่งใดในตัวนางที่ชวนให้เคยคุ้นครุ่น
คะนึงนัก ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ท่าทีของนาง ลักษณะการพูดจา ท่วงท่ายก
มือวางเท้าหรือกลิ่นอายสภาวะ ล้วนไม่มีสิ่งใดให้คุ้นเคยแม้แต่น้อย อีกทั้ง
จั่วม่อยังมัน
่ ใจเป็นที่สุดว่าไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน
แต่ความคุ้นเคยอันแปลกประหลาดยังคงติดตามหลอกหลอนในใจ
มัน ไม่อาจสลัดทิ้งไปได้อีก
ช่างน่าแปลกเสียจริง
จั่ ว ม่ อ ระงั บ ความรู้ สึ ก แปลกประหลาดในใจ สี ห น้ า กลั บ เป็ น ปกติ
ประสานมือคารวะทักทายกับซือกงจื้อด้วยรอยยิม
้ น้อย ๆ “กงจื้อ ยินดีที่ได้
พบ”
ซือกงจื้อแย้ มยิ้มตอบ “ระหว่างทางได้ยินว่า ท่ านปรมาจารย์ ห ลอม
สร้างศาสตรามารปฐพีเล่มหนึ่ง ซือใคร่คิดชมดู จึงเร่งรุ ดเดินทางตลอดทั้ง
วันทั้งคืนโดยไม่ได้พักค้างแรม เมื่อได้พบหน้าปรมาจารย์ ค่อยรู้สึกว่าการ
ลาบากตรากตราครั้งนี้ไม่สูญเปล่าแล้ว!”
ทังเฉินแสร้งบันดาลโทสะ “ที่แท้หลานชายอันประเสริฐมิได้รุดมาพบ
หน้าเราผู้เฒ่า เป็นเราผู้เฒ่าหลงสาคัญตัวผิดไปเอง!”
ผู้คนรอบข้างพอฟังต้องหัวร่อครืนใหญ่
ทังเฉินเองก็แย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าและท่านปรมาจารย์อ ายุ
อานามไล่ เ ลี่ ย กั น จะต้ อ งสนทนากั น อย่ า งถู ก คอกว่ า เฒ่ า ชราเช่ น ข้ า
หลานชายอันประเสริฐ เจ้าต้องขอคาชี้แนะจากท่านปรมาจารย์ให้มากเข้า
ไว้ นี่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเองอย่างแน่นอน”
“ท่านอาสั่งสอนถูกต้อง” ซือกงจื้อรับคาอย่างเรียบ ๆ ร้อย ๆ
จั่ ว ม่ อ ยิ้ ม พราย “ประมุ ข ทั ง เกรงอกเกรงใจเกิ น ไปแล้ ว ” มั น ลอบ
ประหลาดใจไม่น้อย ทังเฉินผู้นี้คล้ายปฏิบัติต่อซือ กงจื้อดุจบุตรหลานของ
ตนจริ ง ๆ ดู ท่ า สายสั ม พั นธ์ ร ะหว่ า งทั้ งสองตระกู ล จะไม่ ร วบรั ด ธรรมดา
ดังเช่นเปลือกนอกเสียแล้ว
ซื อ กงจื้ อเหลี ย วมองหอกอสรพิ ษ ฟ้ า สิ บ แปลงซึ่ ง จั ด วางไว้ ก ลาง
ต าหนั ก ใหญ่ อดกล่ า วไม่ ไ ด้ “นี่ คื อ ผลงานที่ เ ลื่ องลื อ ไปทั่ ว ของท่ า น
ปรมาจารย์ใช่หรือไม่?”
“สิ่งนี้เรียกว่าหอกอสรพิษฟ้ าสิ บ แปลง” พ่อบ้านปิศาจวั ยกลางคน
สอดปากเข้ามาอย่างโอ่อ่าผ่าเผย “ซือกงจื้อต้องการทดลองดูหรือไม่?”
“ได้หรือ?” ซือถามอย่างตื่นเต้นยินดี
“ย่อมแน่นอน!” พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนวางท่าใจกว้าง “ด้วยน้าใจ
ของท่านปรมาจารย์ ศาลาสมบัติเราจึงได้ครอบครองของวิเศษเช่นหอก
อสรพิษฟ้าสิบแปลงเล่มนี้ กงจื้อสามารถทดลองดูจนกว่าจะพอใจ”
ถึงตอนนี้กระทั่งคนตาบอดยังมองออก ว่าพ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนผู้
นี้คิดสานไมตรีต่อซือกงจื้อ
ซือกงจื้อสีหน้าตื่นเต้นยินดี มันย่อมต้องการทดลองยอดศาสตราเล่ม
นี้ดูสักครา
ชิงฮวาเสวี่ยเพ่งมองปรมาจารย์ เซียวอวิ๋นไห่ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
อย่างไม่คลาดสายตา ดวงตาคู่งามเจิดจรัสดุจหมู่ดาวประชันประกาย นาง
ต้องพยายามสงบใจอย่างสุดความสามารถ
เป็นมัน!
เป็นมันเอง ไม่ผิดแน่!
ชิงฮวาเสวี่ยไม่อาจสะกดกลั้นความลิงโลดยินดีในใจของนางได้
แทบจะเพียงแวบแรกที่มอง นางก็จดจาจั่วม่อออกในทันที แม้ว่ารู ป
โฉมจะผิดแผกแตกต่าง แม้ว่ามันจะใช้นามที่ไม่คุ้นหู แต่ดวงตาของชิงฮวา
เสวี่ยก็ไม่ได้ผิดพลาดไปเลย นางคุ้นเคยกับแบบฉบับการกล่าววาจา สีหน้า
ท่าที และการเคลื่อนไหวการยกมือวางเท้าของมันเป็นอย่างดี ช่วยไม่ได้ที่
นางคุ้นเคยกับมันมากจนเกินไป เนื่ องเพราะนางไม่เพียงแต่ประมือกับมัน
รอบหนึ่ง นางยังเฝ้ารวบรวมภาพมายาทุกชุดในท้องตลาดที่เกี่ยวข้องกับ
มัน ทั้งยังเฝ้ามองดู ศึกษาทบทวนซ้า ๆ ซาก ๆ โดยไม่เคยเบื่อหน่าย
นี่เป็นมันเอง!
เซี่ยวม่อเกอ!
งานเลี้ ย งสั ง สรรค์ ที่ เ ดิ ม ที อึ ก ทึ ก ระคายหู แ ละน่ า เบื่ อหน่ า ย บั ด นี้
กลายเป็นสวยสดงดงาม สบายหูสบายตาไปเสียหมด ชิงฮวาเสวี่ยดวงตา
ไม่ได้คลาดคลาไปจากมันแม้สักแวบเดียว
“เจ้ า ก าลั ง มองอะไรอยู่ รึ ?” สหายนางหนึ่ ง กระเซ้ า มาจากด้ า นข้าง
สหายผู้นี้เรียกว่าหนิงซินเอ๋อร์ เป็นโฉมสะคราญที่งดงามที่สุด ในตระกู ล
สาขาของตระกูลหนิง และด้วยเหตุนี้จึงถูกเลือกมาเช่นกัน
ชิ ง ฮวาเสวี่ ย คล้ า ยสะดุ้ ง ตื่นขึ้น จากฝัน ใบหน้ า ของนางแดงซ่ านดุจ
เปลวเพลิง
“อ้อ เจ้าชมชอบเซียวอวิ๋นไห่หรอกรึ?” หนิงซินเอ๋อร์ไม่ปล่อยปละละ
เว้นนาง “มันแม้ไม่หล่อเหลา แต่เมื่อสามารถทะยานขึ้นเป็นปรมาจารย์
ตั้ ง แต่ ยั ง เยาว์ วั ย อนาคตของมั น ก็ ย าวไกลไร้ ขี ด จ ากั ด แล้ ว ฮิ ฮิ หากเจ้ า
สามารถจั บ มั น กลั บ ไปได้ ตระกู ล ชิ ง ฮวาคงได้ แ ย้ ม ยิ้ ม จนหุ บ ปากไม่ ล ง
ทีเดียว”
ชิงฮวาเสวี่ยฟื้ นคืนความเยือกเย็นของนางทันที นางชายตามองหนิง
ซินเอ๋อร์ แล้วโต้กลับอย่า งแหลมคม “แล้วเจ้ามิใช่ห มายตาเซี่ย วม่ อ เกอ
หรอกหรือ?”
“เซี่ยวม่อเกอ?” หนิงซินเอ๋อร์ขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงเย้ยหยันตัวเอง “ข้า
ย่อมต้องการมัน แต่เมื่อมีโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งเผ่าอสูรยืนอยู่เบื้อง
หน้า พวกเราก็ ได้ แต่ ท าใจให้ส บาย วางตัวเป็นดอกไม้ป ระดั บ ให้ แ ก่ น าง
เท่านั้น”
ถ้อยคาอันเผ็ดร้อนเจือไปด้วยความริษยาและความผิดหวัง
ชิงฮวาเสวี่ยนิ่งงันไป นางเข้าใจความรู้สึกของหนิงซินเอ๋อร์เป็นอย่าง
ดี ในบรรดาโฉมงามทั้งหลายที่ถูกคัดเลือกมา นอกจากนางแล้วไม่มีผู้ใ ด
ยินยอมพร้อมใจ เบื้องหน้าจีลี่อวี่ผู้สะคราญปานหยาดฟ้ามาดิน พวกนาง
ทั้งหลายประดุจหิ่งห้อยสู้แสงจันทรา ไหนเลยจะประชันขันแข่งได้ ทุกผู้คน
ล้ ว นมั่ น ใจว่ า หากเซี่ ยวม่ อ เกอจะตกลงไปในบ่ ว งเสน่ห าของสตรีสักนาง
นางผู้นั้นย่อมต้องเป็นจีลี่อวี่ พวกนางเหล่านี้แม้มาจากตระกูลสาขาของแต่
ละตระกูล แต่ล้วนมีบุรุษนับไม่ถ้ วนหมายปอง รวมถึงบรรดาบุต รหล าน
ของตระกูลหลักด้วย ผู้ใดยินดีเดินทางรอนแรมหลายพันหลายหมื่นลี้ เพียง
เพื่อทาตัวเป็นดอกไม้ประดับให้แก่ผู้อ่ ืน?
“ข้าสังหรณ์ใจว่าเซี่ยวม่อเกออาจไม่หลงเสน่ห์ของคุณหนูจี” ชิงฮวา
เสวี่ยโพล่งออกมาอย่างกะทันหัน
“อาจเป็ น ได้ ” หนิ ง ซิ น เอ๋ อ ร์ เ บ้ ป าก “แต่ ห ากกระทั่ ง โฉมสะคราญ
อั น ดั บ หนึ่ ง มั นยั งไม่ หลงเสน่ห์ แล้ ว พวกเรายั ง จะหลงเหลือความหวั งใด
เล่า”
ชิงฮวาเสวี่ยนิ่งงันอีกครา
หนิ ง ซิ น เอ๋ อ ร์ เ อี ย งคอ ทั น ใดนั้ น เปลี่ ย นสี ห น้ า เป็ น ตื่ นเต้ น เร้ า ใจ
“เซี ย วอวิ๋ น ไห่ ผู้ นี้ ก ลั บ เป็ น เป้ า หมายอั น ประเสริ ฐ หากสามารถช่ ว งชิ ง
ปรมาจารย์ศาสตรามารที่มีฝีมือสูงล้าถึงเพียงนี้ไปเข้ากับฝ่ายของเรา ข้าว่า
เบื้องบนจะต้องยินดีปรีดาเป็นแน่ ไม่เลวไม่เลว!”
“เช่นนั้นเจ้าอาจทดลองดู” ชิงฮวาเสวี่ยคล้ายยิ้มไม่เชิงยิ้ม
“ลืมไปเสียเถอะ มันไม่หล่อเหลาพอ” หนิงซินเอ๋อร์เอ่ยโดยไม่ขบคิด
“แต่ซือกงจื้อสิ ทั้งสุภาพอ่อนโยนและโอ่อ่าผ่าเผย! ภูมิหลังตระกูลของมัน
ยังเลิศล้ายิง่ !”
ชิงฮวาเสวี่ยพอฟัง อดแย้มยิ้มไม่ได้
ในเวลานี้ เ อง เซี ย วอวิ๋ น ไห่ พ ลั น เอ่ ย ขึ้ น อย่ า งกะทั น หั น “ท่ า น
ทั้งหลาย”
ทั่วบริเวณเงียบสงัดลงทันควัน ผู้คนหันมามองอย่างสนอกสนใจ ทุก
ผู้คนในที่นี้เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ต่อปรมาจารย์ศ าสตรามารคนใหม่
เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะมันยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้
เซียวอวิ๋นไห่ใบหน้าเกลื่อนด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ไม่มีทีท่าประหม่าอาย
สุ้มเสียงดังสดใสกังวาน
“ประการแรก ข้าต้องขอขอบคุณประมุขทัง ซึ่งยินยอมเห็นด้วยกับคา
ขออันไร้เหตุผลของข้า และช่วยจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ตามประสงค์ของ
ข้า ทั้งยังต้องขอขอบคุณศาลาสมบัติหายากที่ให้การสนับสนุนในงานวันนี้
ข้ า จะไม่ ก ล่ า วมากความ คราครั้ ง นี้ ที่ เ ชื้ อ เชิ ญ ทุ ก ท่ า นมาพบหน้ า เนื่ อ ง
เพราะมีข้อร้องขอบางประการ!”
“ท่านปรมาจารย์ปรารถนาสิ่งใด โปรดเรียนบอก หากศาลาสมบัติหา
ยากของเราสามารถกระท าได้ จะไม่ ข อบ่ า ยเบี่ ย ง” พ่ อ บ้ า นปิ ศ าจวั ย
กลางคนแย้มยิม
้ อย่างเฉิดฉัน สุ้มเสียงของมันแม้ไม่ดังกังวาน แต่ได้ยินถนัด
ชัดเจนทั่วทั้งตาหนัก
ทังเฉินดวงตาทอแววขุ่นเคืองวูบ ศาลาสมบัติหายากถึงกับฉวยโอกาส
กล่าววาจาตัดหน้ามัน ทาให้มันเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง มันยังล่วงรู้ว่านี่คือ
การตอบโต้ของเซียวอวิ๋นไห่เนื่องจากถูกบีบบังคับมายังตระกูลทัง
ปรมาจารย์ ชนชั้นปรมาจารย์มักเจ้าอารมณ์และยากจะเอาใจ ถือเป็น
เรื่องธรรมดา
บนใบหน้ามันยังประดับด้วยรอยยิ้มดุจ เดิม “ท่านปรมาจารย์ โปรด
กล่ า วมาเถิ ด ตระกู ล ทั ง เราแม้ ไ ม่ ใ ช่ ต ระกู ล สูง ศั กดิ์ แต่ เ รื่ อ งที่ เ รากระท า
ไม่ได้ เกรงว่าจะมีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านัน
้ ”
ถ้ อ ยค าเหล่ า นี้ แ ม้ ก ล่ า วอย่ า งเฉื่ อ ยชา แต่ แ สดงชั ด ถึ ง อ านาจบารมี
ผู้อ่ น
ื เดิมทีคิดกล่าวสักคาสองคา พอฟังถึงกับหุบปากสนิทแทบไม่ทัน
ทั่วบริเวณเงียบกริบลงอย่างผิดธรรมชาติ
ทว่าจั่วม่อไม่ส ะทกสะท้าน เพียงกราดมองรอบด้ านอย่ างเคร่ ง ขรึ ม
“ผู้น้องต้องการสิ่งที่เรียกว่าหญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณ หนึ่งต้นสามารถ
แลกเปลี่ยนกับศาสตรามารปฐพีหนึ่งเล่ม”
วา!
ฝูงชนเดือดพล่านขึ้นทันที!
บางคนอดใจไม่ไหว ร้องถามอย่างกังขา “ปรมาจารย์ ท่านใช่ยึดถือ
เป็นจริงเป็นจังหรือไม่?”
จั่วม่อตอบอย่างไม่ลังเล “ย่อมแน่นอน!”
“หรือว่าท่านคิดใช้หอกอสรพิษฟ้าสิบแปลงมาทาการแลกเปลี่ยน?”
อีกคนอดรนทนไม่ได้ ร้องถามเสียงดัง “นั่นมิใช่ว่าขายให้แก่ศาลาสมบัติหา
ยากไปแล้วรึ?”
พ่ อ บ้ า นปิ ศ าจวั ย ก ลางคนยั ง มี สี ห น้ า ประหลาดใจเช่ น กั น มั น
คาดการณ์ไว้แล้วว่าเซียวอวิ๋นไห่เมื่อกระทาเช่นนี้ ย่อมต้องมีจุดมุ่งหมาย
ของตน แต่มันไหนเลยจะคาดคิดว่ าอีกฝ่ายจะประกาศก้องต่อหน้าผู้คนว่า
ต้องการซื้อหาหญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณ มิห นาซ้าราคาที่จ่ายยังเป็น
ศาสตรามารปฐพีเล่มหนึ่ง!
มั น ในฐานะคนท าการค้ า ย่ อ มรู้ จั ก หญ้ า ไหมย้ อ นเงาคื น วิ ญ ญาณ
อย่างไรก็ต าม ของสิ่งนี้ห าได้จ ากอาณาจักรน้าพุปรโลก แม้ว่าผลิต ได้ไ ม่
มากนัก แต่ก็ไม่นับว่าเป็นของหายากอันใด ราคาที่ปรมาจารย์เซียวตั้งขึ้น
เป็นมูลค่าที่ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้ มันตกลงใจทันที หลังจากออกไป
จากที่แห่งนี้ มันจะส่งคนไปเสาะหาหญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณในบัดดล
รอจนได้ ยิ น ว่ า มี ค นถามถึ ง หอกอสรพิ ษ ฟ้ า สิ บ แปลง ปฏิ กิ ริ ย า
ตอบสนองของมันรวดเร็วยิ่ง “ศาลาสมบัติหายากยินดีวางหอกอสรพิษฟ้า
สิบแปลงเป็นหลักประกัน”
ศาสตรามารปฐพีเล่มหนึ่งแม้ล้าค่า แต่ห ากใช้ศาสตรามารปฐพีเล่ม
หนึ่งแลกกับมิตรภาพของปรมาจารย์หลอมสร้าง รับรองว่าไม่ใช่การค้ าที่
ขาดทุนอย่างแน่นอน!
จั่วม่อประหลาดใจยิ่ง มันผงกศีรษะให้พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนด้วย
สายตาซาบซึ้งใจ
พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนหัวใจพองฟูขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อสังเกตเห็นทังเฉินที่ด้ านข้ างมี ใ บหน้า เขีย วคล้ า ต้องอดภาคภูมิ ใ จใน
กระบวนท่าอันหมดจดงดงามของตนในครั้งนี้ไม่ได้ ทังเฉินเอยทังเฉิน ครา
ครั้งนี้เจ้ากระทาเกินเลยไปแล้ ว ถึงกับคิดใช้กาลังบังคั บข่มขู่ปรมาจารย์
หลอมสร้างซึ่งมีศักยภาพไร้ขีดจากัดผู้ห นึ่ง ช่างมิทราบในสมองเจ้ามีสิ่งใด
ผิดปกติหรือไม่? พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนหยามดูแคลนพฤติการณ์นี้มาก
แต่กระทั่งมันเอง พอได้ยินประโยคถัดไปของเซียวอวิ๋นไห่ยังต้องงง
งันวูบ
“ขอบคุ ณ ส าหรั บ ความมี น้า ใจของศาลาสมบั ติ ห ายาก แต่ ศ าสตรา
มารเล่มนี้ข้าได้ขายไปยังศาลาสมบัติห ายากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็น
สมบั ติ ข องศาลาสมบั ติห ายากอย่า งสมบู ร ณ์ ข้ า จะน ามาแลกเปลี่ยนกับ
ผู้อ่ น
ื ได้อย่างไรกัน”
จั่วม่อกราดสายตามองรอบด้านด้วยสีหน้าเชื่อมั่นถือดี สุ้มเสียงของ
มันไม่ดังนัก แต่สะท้านทั่วบริเวณ แต่ละคาเปี่ ยมล้นไปด้วยพลัง
“สามวันให้หลัง ข้าจะเริ่มหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีอีกเล่มหนึ่ง!”
จั่วม่อสีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ สุ้มเสียงหนักแน่นมัน
่ คง
“หากข้ามีโชคดี หลอมสร้างศาสตรามารปฐพีสาเร็จ ข้าจะทิ้งไว้ให้แก่
ศาลาสมบัติหายากช่วยจัดการให้ ทุกท่านสามารถนาหญ้าไหมย้อนเงาคืน
วิญญาณมาแลกเปลี่ยนศาสตรามารได้ทุ กเมื่ อ! เรื่องนี้ต้องรบกวนศาลา
สมบัติของท่านแล้ว!”
พ่อบ้านปิศาจวัยกลางคนปากอ้าตาค้าง สีหน้าตะลึงงัน แต่แล้วตั้งสติ
ได้ทันควัน รีบพยักหน้ารับคา “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา!”
ทังเฉินสีหน้าดาทะมึน สาหรับระเบิดลูกโตที่เซียวหยุนไห่โยนออกมา
อย่างกะทันหันนี้ มันไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แม้แต่น้อย
แต่แล้วมันก็ส งบใจลงทันทีเช่นกัน มุมปากยกยิ้มจาง ๆ เต็มไปด้วย
ร่องรอยเหยียดหยามดูแคลน
ดังที่คาดไว้ นี่ละหนาความหุนหันพลันแล่นของบุรุษหนุ่มเลือดระอุ!
เพิ่ ง จะมี ค วามส าเร็ จ อยู่บ้ า ง กลั บ ไม่ รู้ จั ก ประเมิ นขีด ความสามารถ
ของตนแล้ว หรือมันคิดว่าจะสามารถหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีอีกเล่ม
หนึ่งได้จริง ๆ?
อย่ า งไรก็ ต าม ส าหรั บ ตระกู ล ทั ง แล้ ว เรื่ อ งนี้ มี แ ต่ จ ะเป็ น ประโยชน์
เหลือคณา มันจะตั้งตารอชมดูว่าหากเซียวอวิ๋นไห่หลอมสร้างศาสตรามาร
ปฐพีไม่สาเร็จ เดรัจฉานน้อยนี้จะมีปัญญาสะสางเรื่องราวได้อย่างไร!
ถึ ง ยามนั้ น ในเมื อ งปู้ โ จวนอกจากตระกู ล ทั ง แล้ ว เกรงว่ า ไม่ มี ผู้ ใ ด
สามารถช่วยเจ้าได้! แม้แต่ศาลาสมบัติหายากก็ไม่สามารถ!
ทังเฉินสายตายะเยียบเย็นชาและมืดมน
ทุกผู้คนล้วนนิ่งขึงตะลึงลานอยู่กับที่ คาประกาศของปรมาจารย์เซียว
บันดาลให้พวกมันถึงกับลืมเลือนความสามารถในการกล่าววาจาไปเลย
หลอมสร้างศาสตรามารปฐพีอีกเล่มหนึ่ง ? ล้อกันเล่นหรือไร? มันคิด
ว่ า ศาสตรามารปฐพี เ ป็ น สิ่ ง ของเยี่ ย งไรกั น ? เข้ า ใจว่ า คิ ด จะหลอมสร้ า ง
เมื่อใดก็หลอมสร้างได้สาเร็จดังใจนึกกระนั้นหรือ?
เซียวอวิ๋นไห่เสียสติไปแล้ว!
ศาสตรามารปฐพีอีกเล่มหนึ่ง! เซียวอวิ๋นไห่!
ชั่วขณะนี้ หัวข้ออันร้อนแรงที่สุดไม่มีใดเกินเรื่องนี้ ทั่วแดนปิศาจพา
กั น มุ่ ง ความสนใจมายั ง ข่ า วที่ ว่ า เซี ย วอวิ๋ น ไห่ ป ระกาศจะหลอมสร้ า ง
ศาสตรามารปฐพีอีกเล่มหนึ่ง กล่าวตามความสัตย์ แม้ว่าศาสตรามารปฐพี
จะล้ า ค่ า และยากที่ จ ะพบพาน แต่ ยั ง ไม่ ถึ ง ขั้ น ที่ จ ะก่ อ กวนเป็ น คลื่ นลม
ใหญ่ โ ตถึ ง เพี ย งนี้ ทว่ า ค าสั ญ ญาที่ โ อ้ อ วดเกิ น จริ ง ของเซี ย วอวิ๋ น ไห่ น่ า
แตกตื่นตระหนกมากเกินไป
ผู้คนต่างไม่ล่วงรู้อายุที่แท้จริงของเซียวอวิ๋นไห่ แต่มันนับเป็นหนึ่งใน
กลุ่มปรจารย์หลอมสร้างศาสตรามารที่อายุน้อยที่สุดไม่ผิดแน่ อนาคตของ
มันในภายภายหน้าเรียกได้ว่ายาวไกลไร้ขีดจากัด ทว่าปรมาจารย์ศาสตรา
มารที่มีศักยภาพอย่างน่าอัศจรรย์ผู้นี้จู่ ๆ กลับประกาศว่าจะขอแลกเปลี่ยน
ศาสตรามารปฐพี กั บ หญ้ า ไหมย้ อ นเงาคื น วิ ญ ญาณ ทั่ ว แดนปิ ศ าจแทบ
เดือดพล่านด้วยระเบิดลูกนี้
บ้างจ้องมองอย่างเย็นชาและแค่นเสียงเย้ยหยัน ผู้คนส่วนมากตัดสิน
ว่านี่เป็นเพียงเรื่องชวนหัว ดังนั้นเพียงเฝ้าจับตารอชมดูความสนุกสนาน
ในขณะที่พลังเทพเริ่มเผยโฉมราไรในครรลองสายตาของผู้คน บัดนี้
ทักษะปิศาจไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นพลังยุทธ์ชั้นสูงสุดอีกต่อไป แต่ศาสตรา
มารปฐพีกลับยังคงเป็นหนึ่งในยอดศาสตราที่เข้มแข็งที่สุด ด้วยจานวนอัน
น้อยนิด ความยากเย็นในการหลอมสร้าง อานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาลที่พวก
มันถือครอง ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลให้ศาสตรามารปฐพียังคงล้าค่าอย่างที่
มิอาจประมาณได้
ก่อนหน้าที่จะปรากฏเซียวอวิ๋นไห่ ไม่มีปรมาจารย์ศาสตรามารท่านใด
กล้ า ประกาศว่ า พวกมั น จะต้ อ งหลอมสร้ า งศาสตรามารปฐพี ชิ้ น ที่ ส อง
สาเร็จอย่างแน่นอน
ตลอดหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของเผ่าปิศาจ ศาสตรามารปฐพี
ไม่เคยมีมากเกินกว่าสองร้อยชิ้น
แต่จู่ ๆ มีคนกระโดดออกมาประกาศก้ องไปทั่ วหล้า ว่ามันสามารถ
หลอมสร้ า งศาสตรามารปฐพี เ ล่ ม ที่ ส อง แม้ ว่ า คนผู้ นี้ จ ะเป็ น อาจารย์
ศาสตรามารที่เพิ่งกลายเป็นปรมาจารย์ด้วยการหลอมสร้างศาสตรามาร
ปฐพีชั้นเลิศเล่มหนึ่งก็ตาม ผู้คนยังอดไม่ได้ให้ต่ น
ื ตะลึงจนไร้วาจาจะกล่าว
หญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณแม้ล้าค่า แค่คุณค่าของมันไหนจะเทียบ
ได้ กั บ ศาสตรามารปฐพี สิ่ ง ของนี้ ที่ ห าได้ ย าก เพี ย งเพราะว่ า หาได้ จ าก
อาณาจักรน้าพุปรโลกเท่านั้น สถานที่แห่งนั้นทั้งรกร้างห่างไกลและยากต่อ
การเก็บเกี่ยว
แต่สาหรับชาติตระกูลสูงศักดิ์และกลุ่มธุรกิจ การค้าขนาดใหญ่ที่ท รง
อานาจอิทธิพล เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาสาหรับพวกมันแม้แต่น้อย
อย่ า งไรก็ ต าม คนจ านวนมากยั ง เพี ย งแสดงที ท่ า ว่ า จะเฝ้ า รอชมดู
เท่านั้น เนื่องเพราะพวกมันไม่เชื่อว่าเซียวอวิ๋นไห่จ ะมีปัญญาหลอมสร้ าง
ศาสตรามารปฐพีอีกเล่มหนึ่ง
แต่จ ะอย่างไร ยังคงมีขุมกาลังเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งเริ่มเสาะหาหญ้าไหม
ย้ อ นเงาคื น วิ ญ ญาณเป็ น การใหญ่ เป้ า หมายของพวกมั น เพี ย งต้ อ งการ
สร้างไมตรีคบหากับปรมาจารย์เซียวเท่านั้น หาได้คาดหวังในศาสตรามาร
แม้แต่น้อยไม่ ในความเห็นของพวกมัน หญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณแม้
เป็นวัต ถุล้าค่า แต่หากสามารถใช้ส ร้างความสัมพันธ์อันดีกับปรมาจารย์
ศาสตรามารผู้หนึ่งได้ ยังคงคุ้มค่าโดยไม่มีขาดทุน
เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องที่ผู้คนนิยมชมชอบ
คนหนุ่มที่เพิ่งจะกลายเป็นปรมาจารย์ผู้ห นึ่ง กลับไม่ล่วงรู้ ขีด จ ากั ด
ของตัวเอง แส่ห าความอัปยศใส่ตัวให้ผู้คนทั่วหล้าได้หัวร่อเย้ยหยัน ย่อม
เป็นสิ่งที่ผู้คนล้วนเฝ้ารอชมดูอย่างใจจดใจจ่อ บางคนถึงกับเริ่มวางเดิมพัน
กันว่าเซียวอวิ๋นไห่จะหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีเล่มใหม่ได้สาเร็จหรือไม่
นานแล้วที่ไม่มีเรื่องสนุกสนานเช่นนี้ให้ ชมดู ผู้คนทั่วแดนปิศาจพากัน
สนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องนี้ช่างสนุกสนานน่าสนใจนัก!
ในห้องหนังสือ
“หลานอั น ประเสริ ฐ เจ้ า เห็ น ว่ า อย่ า งไร?” ทั ง เฉิ น ถามไถ่ ซื อ กงจื้ อ
อย่างสนอกสนใจ
ซือกงจื้อมีสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นฝืนยิ้มพลางสั่นศีรษะ “ผู้หลานไม่รู้
จริง ๆ เซียวอวิ๋นไห่ผู้นี้ยากจะหยั่งคานวณโดยแท้ ถึงกับประกาศก้องต่อ
หน้าผู้คนทั้งหมด นี่มันช่าง... ...นี่มันช่าง... ...”
มันไม่ทราบจะใช้ถ้อยคาใดมาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้
ทังเฉินยิ้มพราย “หลานอันประเสริฐ อย่าได้ถูกมันปั่ นหัวเอาแล้ว คาด
ว่าเจ้าผู้นี้ไม่ชมชอบการปฏิบัติ ที่ได้รับในหลายวันมานี้ ไม่เต็มใจที่จะต้อง
อยู่ในตระกูลทัง ดังนัน
้ จงใจแสดงพฤติการณ์โอหังเพื่อดึงดูดสายตาผู้คน”
“แต่หากมันไม่มีความเชื่อมั่น ไฉนเลยจะกล้ากล่าวหนักถึงเพียงนี้ ?”
ซือกงจื้อสีหน้างุนงง
“นี่ เ ป็ น กระบวนท่ า ชั้ น ต่า ที่ เ กิ ด จากความหวาดวิ ต ก” ทั ง เฉิ น กล่ าว
อย่ า งเย็ น ชา “คนหนุ่ ม เลื อดลมร้ อ นระอุ มัก หุ นหั นพลันแล่น เรื่ อ งนี้ เ ป็น
ประโยชน์ส าหรั บเรา เดรัจฉานน้อยนี้ แม้ ไ ม่ป ระมาณตน แต่มันมีฝีมื อ ที่
แท้จริงอยู่บ้าง หากเราสามารถช่วงใช้มัน จะเป็นผลดีต่อพวกเราอย่างใหญ่
หลวง”
“ท่านอากล่าวถูกต้อง” ซือกงจื้อผงกศีรษะรับ
ทังเฉินไม่คิดสนทนาเรื่องนี้สืบต่อ พลันหันเหหัวเรื่องว่า “ข้าสังเกต
พบว่าคนในขบวนของเจ้าส่วนหนึ่งดูเหมือนไม่ใช่เผ่าปิศาจ”
เห็นสีห น้าคล้ายยิ้มไม่เชิงยิ้มของทังเฉิน ซือกงจื้อหน้าแดงวูบ บอก
กล่าวตามความสัต ย์ “ท่ านอาอาจยังไม่ทราบ พวกมันเป็นทูต จากเทียน
หวน”
ทั ง เฉิ น สี ห น้ า แปรเปลี่ ย น “บิ ด าเจ้ า ตั้ ง ใจจะเป็ น พั น ธมิ ต รกั บ เทียน
หวนเช่นนั้นรึ?”
“ใช่แล้วท่านอา” ซือกงจื้อผงกศีรษะ
ทังเฉินนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “ด้วยพลังของเทียนหวน พวก
เจ้าสองฝ่ายจับมือเป็นพันธมิต ร นับว่ าไม่เลว นับแต่โบราณกาล คบไกล
โจมตีใกล้ถือเป็นยอดกลยุทธ์ พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายไม่มีความขัด แย้ ง ด้ า น
ผลประโยชน์ ลอบช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางลับย่อมเป็นผลดีต่อทั้ง
สองฝ่าย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายห่างไกลกันเกินไป หากคิดเป็นพันธมิตร
จริง ต้องมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี!”
ทั ง เฉิ น พอกล่ า วถึ ง ตรงนี้ อดแย้ ม ยิ้ ม ไม่ ไ ด้ “ตั ว ตนของสตรี นางนั้น
เกรงว่าไม่ใช่สามัญธรรมดา”
ซือกงจื้อกล่าวว่า “นางเป็นหลานสาวของเจ้าสานักเทียนหวน!”
ทั ง เฉิ น ผงกศี ร ษะ “นั บ ว่ า มี ศั ก ดิ์ ฐ านะเท่ า เที ย มกั น ! ข้ า เห็ น ว่ า เจ้ า
คล้ายชมชอบนาง เป็นไร ข้าจะจดหมายถึงบิ ดาเจ้า ช่วยกล่าวแทนให้ แก่
เจ้าสักคาดีหรือไม่”
ซื อ กงจื้ อปิ ติ ยิ น ดี ยิ่ ง รี บ ค้ อ มกายคารวะอย่ า งซาบซึ้ ง “ผู้ ห ลาน
ขอบคุณท่านอา!”
ทั ง เฉิ น ประคองซือ กงจื้อ ลุก ขึ้น “ข้ า กั บ บิ ด าเจ้ า สร้า งความสัมพันธ์
ผ่านประสบการณ์เสี่ยงชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นหลานชายแท้
ๆ ของข้า ไม่จ าเป็นต้องมากมารยาท” จากนั้นกล่าวอย่าเคร่งเครียด “มี
เรื่องบางประการจาต้องกระตุ้นเตือนบิดาเจ้า”
ซือกงจื้อรีบกล่าว “ท่านอาโปรดบ่งบอก”
หลังจากเงียบงันไปชั่วอึดใจ ทังเฉินกล่าวเสียงหนักอึ้งเคร่งขรึม “บิดา
เจ้าคงทราบเรื่องวิหารเทพปิศาจแล้วกระมัง ข้าเห็นว่าบิดาเจ้ายุ่งวุ่น วาย
อยู่กับการจัดตั้งขุมกาลัง หากเป็นในอดีต นี่เป็นทางเลือกที่ถูกต้อง แต่ยาม
นี้เกรงว่าจะไม่เหมาะนัก”
ซื อ กงจื้ อมี สี ห น้ า ไตร่ ต รอง “ท่ า นอาหมายความว่ า สมควรใ ห้
ความสาคัญกับพลังเทพมากกว่านี้ใช่หรือไม่?”
“ถูกแล้ว!” ทังเฉินผงกศีรษะ “เจ้าก็เคยเห็นพลานุภาพของพลังเทพ
แล้ว นี่เป็นพลังยุทธ์ที่กล้าแข็งกว่าทักษะปิศาจ พลังปราณและศาสตร์อสูร
เทพปิศาจเพียงหนึ่งตนก็เพียงพอจะเข่นฆ่าสังหารบรรดาสมณะอาวุโสวัด
เ ส วี ย น ค ง ทั้ ง ข บ ว น นี่ เ ป็ น พ ลั ง เ ชิ ง ก ล ยุ ท ธ์ ที่ ส า ม า ร ถเ ป ลี่ ยน พลิ ก
สถานการณ์ของใต้หล้า เจ้าสมควรทราบกระจ่างถึงพลังอานาจของขบวน
ผู้อาวุโสวัดเสวียนคง จะมี สักกี่ขุมกาลังกันที่สามารถยกขึ้นเทียบกับพวก
มันได้?”
ทังเฉินไม่ปล่อยให้ซือกงจื้อมีเวลาได้ขบคิดตาม กล่าวสืบต่อว่า
“ในเวลานี้เจ้าไม่อาจถูกทิ้งล้าหลัง! ทางด้านนี้ผู้ที่สามารถก้าวน าอยู่
เบื้องหน้าจึงจะมีเปรียบ วิหารเทพปิศาจเป็นศัตรูตัวฉกาจสาหรับทุกผู้คน”
ซื อ กงจื้ อมิ ใ ช่ บุ ต รหลานล้ า งผลาญ มั น แม้ ก รุ้ ม กริ่ ม กรุ ย กราย แต่ มี
ความเข้ า ใจเรื่ อ งการศึ กสงคราม มั น เห็ น พ้ อ งกับ ทั ง เฉิน แต่ ยั ง คงฝืนยิ้ม
“เรื่องนี้มิใช่ว่าท่านพ่อไม่ต้องการ แต่ท่านไม่อาจล่วงล้าผ่านประตูเข้า ไป
ได้ ผู้หลานทราบว่าท่านพ่อเริ่มก่อตั้งวิหารเทพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ผล
ที่ได้ยังคงไม่สู้ดีนัก”
“วิหารเทพปิศาจหลบซ่อนตัวและพัฒนาตัวเองยาวนานกว่าสองร้อย
ปี แน่นอนว่าย่อมมิใช่เรื่องง่ายดาย” ทังเฉินกล่าว “บางทีเจ้าอาจแสวงหา
ความก้าวหน้าจากหนทางอื่น”
ซื อ กงจื้ อฉลาดปราดเปรื่ อง หลั ง จากขบคิ ด แวบหนึ่ ง พลั น เข้ า ใจ
ความหมายในประโยคนั้น “ท่านอากาลังกล่าวถึงเซี่ยวม่อเกอกระมัง?”
“มิผิด!” ถังเฉินมีสีหน้าชมเชย “พวกเซี่ยวม่อเกอทั้งสามล้วนถือครอง
มรดกเคล็ด วิ ช าพลัง เทพ พวกมันแม้ไ ม่อ่ อนด้อย แต่ห ากเทียบกั บ วิ ห าร
เทพปิศาจนับว่ายังรับมือง่ายกว่ามาก หากพวกเราทุ่มเทกาลังเข้าจัดการ มี
ความเป็นไปได้มากว่าเราอาจได้รับสิ่งที่ปรารถนาเสียที”
“เซี่ยวม่อเกอราวกั บภูต ผีต นหนึ่ง ยามนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ร่องรอยของ
มัน” ซือกงจื้อเพ่งตามองทังเฉินตลอดเวลา เมื่อสังเกตพบรอยยิ้มที่แทบ
มองไม่เห็นจุดขึ้นที่มุมปากของทังเฉิน พลันสะท้านขึ้น “นอกเสียจากว่า...
...”
ทังเฉินมีสีหน้ากระหยิ่มยินดี “ข้าเฝ้าจับตาดูเซี่ยวม่อเกอมาโดยตลอด
ไม่นานมานี้พวกมัน ทั้งสามกลั บหายสาบสู ญไปอย่า งกะทันหัน ข้าจึงไป
ยังเอี้ยนเหมินไห่ ขอให้หมอผีใหญ่ซางหมิงอี่ช่วยทานายให้ หมอผีใหญ่เคย
ติดหนี้บุญคุณข้าในอดีต ดังนัน
้ มันสละอายุขัยห้าปี ฝืนทานายให้แก่ข้า จน
ล่ ว งรู้ ว่ า พวกเซี่ ย วม่ อ เกอทั้ ง สามสมควรอยู่ ใ นละแวกไม่ ใ กล้ ไ ม่ ไ กลจาก
เมืองปู้โจวนัก”
ซือกงจื้อสองตากระจ่างวูบ “ละแวกเมืองปู้โจว!”
“มิ ผิ ด แรกเริ่ ม เดิ ม ที ข้ า สงสั ย ว่ า เซี ย วอวิ๋ น ไห่ คื อ เซี่ ย วม่ อ เกอ มั น มี
หญิ ง รั บ ใช้ ส องนางที่ ส อดคล้ อ งกั บ รายละเอี ย ดของเซี่ ย วม่ อ เกอพอดี
อย่างไรก็ต าม อย่าว่าแต่ หลอมสร้างศาสตรามารปฐพี ข้าไม่เคยได้ยินมา
ก่อนว่าเซี่ยวม่อเกอมีฝีมือทางด้านหลอมสร้างศาสตรามารด้วย ข้าที่จงใจ
วางอานาจบาตรใหญ่ ข่ มขู่บีบคั้นมันทุกวิถีทาง เหตุผลหนึ่งก็เพื่อทดสอบ
หยั่งเชิงมันเอง แต่จากปฏิกิริยาของมัน ดูท่าจะมิใช่คนที่เราต้องการตัวนั้น
แล้ว”
ซือกงจื้อเงี่ยหูฟังอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่าจะตกหล่นรายละเอียด
ใดไป มันหวนคิดถึงพฤติการณ์ของเซี่ยวอวิ๋นไห่ แล้วเห็นพ้องกับข้อตัดสิน
ของผู้ เ ป็ น อา เซี ย วอวิ๋ น ไห่ ผู้ นั้ น ไม่ มี ท่ ว งท่ า สภาวะของยอดคนวี ร บุ รุ ษ
แม้แต่น้อย มันแม้เข้มแข็งเช่นกัน แต่พฤติการณ์กลับหุนหันบุ่มบ่าม เทียบ
กับเซี่ยวม่อเกอผู้ลี้ลับพิสดารแล้วนับว่าห่างไกลกันมาก
ทังเฉินดวงตาทอประกายลึกล้า “เซียวอวิน
๋ ไห่แม้มิใช่เซี่ยวม่อเกอ แต่
กลับเหมาะที่จะเป็นเหยื่อล่อ ฟังว่ากรงเล็บพิฆาตมังกรของเซี่ยวม่อเกอ
คล้ายได้รับความเสียหายอย่างหนัก เซี่ยวอวิ๋นไห่เป็นปรจารย์ศาสตรามาร
ซึ่งเพิ่งจะผุดเด่นขึ้นมา อาจเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่สามารถซ่อมแซมกรง
เล็บพิฆาตมังกร หากเซี่ยวม่อเกอล่วงรู้ข่าว มันจะต้องไม่ยอมพลาดโอกาส
นี้ อ ย่ า งแน่ น อน ข้ า ที แ รกยั ง ครุ่ น คิ ด หาวิ ธี เ ผยแพร่ ข่ า วคราวออกไปให้
แนบเนี ย น นึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า เซี ย วอวิ๋ น ไห่ จ ะดึ ง ดู ด ความสนใจด้ ว ยตั ว มั น เอง
นับว่าช่วยเหลือพวกเราได้มากทีเดียว”
ซื อ กงจื้ อมี สี ห น้ า นั บ ถื อ เลื่ อมใส “มิ น่ า เล่ า ท่ า นอาจึ ง ยอมอดทนอด
กลั้ น สนั บ สนุน เซี ยวอวิ๋ น ไห่เ ป็ น อย่ า งดี ท่ า นอาปราดเปรื่ อ งเจ้ า อุ บ าย นี่
เรียกว่าตั๊กแตนจับจักจั่น ท่านเป็นนกกระจิบตามติดอยู่เบื้องหลังโดยแท้!”
ทังเฉินสีหน้าเป็นปกติไม่เปลี่ยนแปลง “เราเพียงแค่ต้องจับตามอง
เซียวอวิ๋นไห่ และรอคอยเซี่ยวม่อเกอมาติดกับ! อย่างไรก็ตาม เมื่อเซี่ยวม่อ
เกอปรากฎตั ว เราจ าต้ อ งมี ย อดฝี มื อ มากพอที่ จ ะจั ด การกั บ พวกมั น ทั้ ง
สาม”
ซื อ กงจื้ อทราบดี ว่ า นี่เ ป็ นโอกาสที่ ห าได้ ย ากยิ่ง ดั ง นั้ น ผงกศี ร ษะรับ
อย่างไม่ลังเล “ท่านอาไม่ต้องวิตก ข้าจะส่งจดหมายออกไปทันที ทั้งท่าน
อาฉินและท่านอาจงล้วนอยู่ในละแวกใกล้เคียงนี้เอง!”
ทังเฉินสีหน้าคลายใจลงทันควัน “หากเหล่าฉินกับเหล่าจงมาถึง ข้าก็
ไม่ อั น ใดต้ อ งวิ ต กแล้ ว เรื่ องนี้ เ ป็ น ความลั บ สุ ด ยอด หลานอั น ประเสริ ฐ
อย่าได้บอกต่อผู้ใด รวมถึงหลานสะใภ้เทียนหวนในอนาคตของข้าด้วย”
ประโยคสุดท้ายกลับกระเซ้าเย้าแหย่อย่างเบิกบานใจ
ซือกงจื้อหน้าแดงวูบ จากนั้นกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านอาไม่ต้องห่วง ผู้
หลานล่วงรู้ความสาคัญเป็นอย่างดี จะไม่ปริปากบอกผู้ใดแม้สักครึ่งคา”
ทังเฉินพยักหน้า “เอาเถอะ ข้ารั้งตัวเจ้าไว้สนทนานานพอดูแล้ว อย่า
ปล่อยให้กงจู่น้อยของเทียนหวนต้องรอนานเกินไป”
แตกต่างจากผู้อ่ น
ื ซึ่งเฝ้ารอดูเซียวอวิ๋นไห่เป็นที่หัวร่อเยาะของผู้คนทั้ง
แผ่ น ดิ น ชิ ง ฮวาเสวี่ ย กลั บ เต็ ม ไปด้ ว ยความเชื่ อ มั่ น ในตั ว มั น โดยไม่ มี ข้ อ
กังขา มีเพียงนางที่ล่วงรู้ว่าเซียวอวิ๋นไห่ก็คือเซี่ยวม่อเกอ อาศัยความเข้าใจ
ที่นางมีต่อเซี่ยวม่อเกอ หากเซี่ยวม่อเกอกล้ าประกาศอย่างโจ่งแจ้ง ย่อม
หมายความว่ามันมีความมั่นใจอย่างเปี่ ยมล้น
เมื่อกลับจากงานเลี้ยง ชิงฮวาเสวี่ยสงบใจลงอย่างสมบูรณ์ จมอยู่ใน
ห้วงภวังค์ความคิดของตน
บัดนี้นางพบเซี่ยวม่อเกอแล้ว เช่นนั้นสมควรทาอย่างไรต่อไป?
หาทางเข้าใกล้มันเช่นนั้นหรือ?
แต่จะพาตัวเข้าใกล้มันด้วยวิธีใดกันเล่า?
ชิงฮวาเสวี่ยรู้สึกอับจนปัญญาอยู่บ้าง
... ...
แต่ สิ่ ง ที่ ไ ม่ มี ผู้ ใ ดคาดคิ ด เซี ย วอวิ๋ น ไห่ ผู้ ซึ่ ง ประกาศก้ อ งว่ า จะใช้
ศาสตรามารปฐพีเล่มหนึ่งแลกกับต้นหญ้าไหมย้อนเงาคืนวิญญาณต้นหนึ่ง
ยามนี้กาลังประสบปัญหายุ่งยากใจด้วยเรื่องที่ ไม่เกี่ย วข้องกันเลยแม้ แ ต่
น้อย
สตรี ที่ ดู ธ รรมดาสามั ญ นางนั้ น กลั บ ให้ ค วามรู้ สึ ก รู้ จั ก มั ก คุ้ น แก่ มั น
อย่างน่าประหลาด
จั่ ว ม่ อ เชื่ อ มั่ น ในประสาทสัม ผัส ของตนอย่ า งแน่ นแฟ้ น มั น ล่ ว งรู้ ว่า
ความรู้สึกคุ้นเคยที่น่าประหลาดนี้จะไม่ปรากฏขึ้นโดยไร้สาเหตุ
มันต้องเคยมีส่วนเกี่ยวพันกับสตรีนางนี้อย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะหวนนึกทบทวนเท่าใด ก็ไม่อาจค้นพบเบาะแสที่เกี่ยวข้อง
กับสตรีนางนั้นได้เลยแม้แต่น้อย
ในทะเลแห่งจิต ส านึก สามแนวร่วมต่างวัยถกเถียงกันอย่ างออกรส
แต่ท้ังผูเยาและเว่ยล้วนแน่ใจว่าพวกมันเองก็ไม่เคยพบพานสตรีนางนี้มา
ก่อนเช่นกัน
ช่างน่าแปลกเสียจริง... ...
ทั น ใดนั้ น เอง จั่ ว ม่ อ พลั น ตั ว แข็ ง ทื่ อ ความคิ ด อั น อาจหาญประการ
หนึ่ ง ผุ ด ขึ้ น ในใจ ความคิ ด นี้ พ อปรากฏขึ้ น ก็ ยึ ด ครองทุ ก ซอกทุ ก มุ ม ใน
วิญญาณร่างกายของมันไป
ในเมื่อแม้แต่ผูเยากับเว่ยยังแน่ใจว่าไม่เคยพบนาง เช่นนั้นสตรีนางนี้
เป็นไปได้ว่าปรากฏขึ้นก่อนที่มันจะพบพานผูเยากับเว่ย
เช่นนั้นอาจเป็นไปได้ว่า... ...
เป็นไปได้ว่า...นางปรากฏขึ้นก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนโฉมหน้าลบความ
ทรงจาใช่หรือไม่?
บทที่ 701 ตลาด
เมื่อจั่วม่อเข้าใจว่าสตรีที่ดูสามัญธรรมดานางนั้นอาจมาจากช่วงเวลา
ก่อนที่มันจะถูกลบความทรงจาเปลี่ยนแปลงรู ปโฉม จิตใจของมันก็ไม่อาจ
สงบลงได้อีก
เนื่องเพราะอีกสามวันให้ห ลัง มันจะเริ่มหลอมสร้างศาสตรามารอีก
ค รั้ ง ‘ ก า ร คุ้ ม ค ร อ ง ’ ข อ ง ต ร ะ กู ล ทั ง ก็ ค ล้ า ย ผ่ อ น ค ล า ย ล ง ไ ม่ น้ อ ย
นอกเหนื อ จากองครั ก ษ์ ไ ม่ กี่ น ายแล้ ว เวลาทั่ ว ไปจั่ ว ม่ อ ก็ มี เ พี ย งอากุ่ ย ที่
ติดตามอยู่ข้างกายไม่ยอมห่าง
จั่วม่อคือผู้ที่ชาวเมืองปู้โจวล้วนรู้จักกันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก
ที่มันประกาศอย่างโอ่อ่าอาจหาญว่าจะหลอมสร้างศาสตรามารปฐพี เล่ม
ใหม่ มันก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดของผู้คนทั้งเบื้องสูงเบื้อง
ต่าในเมืองปู้โจว
ดังนั้นเมื่อจั่วม่อเดินไปตามท้องถนน ผู้คนมักเข้ามาคารวะทักทายมัน
อยู่เนือง ๆ แน่นอนว่ายังมีพวกที่ล อบชี้มือมายังมันพลางซุบซิบนินทาใน
ระยะไกลอีกด้วย
แต่จ่ว
ั ม่อไหนเลยจะมีอารมณ์แยแสสนใจคนเหล่านั้น ในจิตใจของมัน
อัดแน่นไปด้วยความคิดนานัปการ
บางทีมันสมควรหาโอกาสสืบหาความเป็นมาของสตรีนางนัน
้ ดู?
ทั น ใดนั้ น องครั ก ษ์ ผู้ ห นึ่ ง พลั น แนะน าว่ า “ต้ า เหริ น ที่ นี่ เ ป็ น ตลาด
วัตถุดิบที่ใหญ่โตที่สุดในเมืองปู้โจว แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งของส่วนมากในที่นี้
ล้วนเป็นวัตถุดิบสามัญทั่วไปทั้งสิ้น” องครักษ์นั้นกล่าวพลางมีสีหน้างุนงง
สงสั ย อยู่ บ้ า ง โดยทั่ ว ไปแล้ ว ผู้ ที่ จ ะมายั ง ตลาดส าหรั บ วั ต ถุ ดิ บ สามั ญ
ธรรมดามักมีแต่อาจารย์ศาสตรามารระดับต่าเท่านั้น พวกมันขัดสนเงิน
ทอง ไม่มีม๋อเป้ยมากพอที่จะซื้อหาวัตถุดิบหายากซึ่งมีราคาแพง
ศาสตรามารอันล้าเลิศย่อมต้องการวัตถุดิบที่ล้าเลิศเช่นกัน
แม้ว่าปรมาจารย์ศาสตรามารที่มีฝีมือมากที่สุด ยังไม่อาจหลอมสร้าง
ศาสตรามารปฐพีด้วยวัต ถุดิ บสามั ญได้ เมื่อปรมาจารย์เซีย วอวิ๋นไห่ ร้ อ ง
ขอให้พวกมันพามาเที่ยวชมตลาดสาหรับวัตถุดิบทั่วไป เหล่าองครักษ์จาก
ตระกู ล ทั ง ได้ แ ต่ งุ น งงสงสั ย กั น ถ้ ว นหน้ า ในความเห็ น ของมั น ที่ ท่ า น
ปรมาจารย์ต้องการสมควรเป็นวัตถุดิบชั้นดีเลิศที่สุด ปรมาจารย์เซียวมิใช่
ว่าคิดหลอมสร้างศาสตรามารปฐพีหรอกรึ?
แต่ เ บื้ องบนสั่ ง การลงมาอย่ า งเฉี ย บขาด ให้ พ วกมั น อ านวยความ
สะดวกให้แก่ปรมาจารย์เซียวอย่างสุดความสามารถโดยไม่มีเงื่อนไข
จั่ ว ม่ อ สลั ด ความคิ ด ฟุ้ ง ซ่า นออกจากใจ พยั ก หน้ า รั บ “ลองเข้ า ไปดู
กัน”
พวกมันพอก้าวเข้าไปในบริเวณตลาด เสียงเอะอะอึกทึกพลันซัดโถม
เข้าหาดุจ ระลอกคลื่น ร้านค้าแผงลอยถูกจัดระเบียบอย่างเรียบร้อย เห็น
วั ต ถุ ดิ บ มากมายมหาศาลกองเรี ย งรายสุ ด ลู ก หู ลู ก ตา สุ้ ม เสี ย งต่ อ ราคา
ถกเถียงและก่นด่าสาปแช่ง ดัง ก้อ งอยู่ในอากาศ ทุกแห่งหนคล้ายเต็ ม ไป
ด้วยผู้คนที่ตะโกนจนคอพอง ใบหน้าแดงก่า
องครักษ์จากตระกูลทังตัวแข็งทื่ออย่างช่วยไม่ได้ ในฐานะองครักษ์ที่
ดีที่สุดในหมู่องครักษ์ท้งั มวลของตระกูลทัง สถานที่ที่พวกมันมักผ่านเข้าไป
ล้วนแล้วแต่โอ่อ่างดงาม นานมากแล้วที่พวกมันไม่ได้เหยียบย่างเข้าไปใน
สถานที่อันสับสนวุ่นวายและสกปรกโสโครกถึงเพียงนี้
หั ว หน้ า องครั ก ษ์ เ หลื อ บตามองปรมาจารย์ เ ซี ย วแวบหนึ่ ง เห็ น
ปรมาจารย์หนุ่มผู้นั้นใบหน้าสงบราบเรียบ ปราศจากเค้าอึดอัดราคาญใจ
ซึ่งความจริงเมื่อพบเห็นฉากอันสนิทสนมคุ้นเคยที่เบื้องหน้า จั่วม่อไม่
เพียงรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ แต่ยังตื่นเต้นเร้าใจอยู่บ้าง ความคิดฟุ้งซ่าน
ถูกปัดทิ้งไปหมดสิ้น
ประหนึ่ ง ว่ า ถู ก ฉี ด ด้ ว ยเลื อ ดไก่ ก็ มิ ป าน มั น สองตาแดงฉาน จิ ต
วิญญาณการต่อสู้ลุกโชนขึ้น
รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงต่อราคา! ต่อ อีก! ลดให้อีกหน่อยเถอะ! ต่อ
ราคา ต่อราคา ต่อราคา!
“หนึ่งร้อยแปดสิบม๋อเป้ย ? ล้อข้าเล่นหรือไร! แค่สินค้าคุณภาพปาน
กลาง อ้อ ยังมีตาหนิอีกสามแห่ง คุณภาพเท่านี้เพียงเรียกได้ว่าดีกว่าทั่วไป
เล็กน้อยเท่านั้น เจ้ากล้าเรียกราคาหนึงร้อยแปดสิบม๋อ เป้ยเชีย วรึ ? หนึ่ง
ร้อย? อย่าได้ล้อเล่นแล้ว ของเช่นนี้ข้าให้เจ้ามากที่สุดแปดสิบม๋อเป้ย... ...”
“สิบห้าม๋อเป้ย ข้าต้องการหนึ่งร้อยชิน
้ เจ้าจะขายหรือไม่? ไม่ขาย? ดี!
ไปกันเถอะพวกเรา!”
“ข้าจะไม่กล่าววาจามากความแล้ว เจ้ายังคงมีกาไร อย่านึกว่าข้าไม่
ล่วงรู้... ...”
หัวหน้าองครักษ์ถึงกับอ้าปากหวอ ปรมาจารย์เซียวเมื่อลงมือต่อราคา
กลั บ ไร้ เ ที ย มทานถึ ง ปานนี้ มั น บั ง เกิ ด ความรู้ สึ ก ว่ า เรื่ อ งตรงหน้ า ยากจะ
เข้ า ใจมากเกิ น ไป ปรมาจารย์ ผู้ ยิ่ ง ใหญ่ ก ลับ ถกเถี ยงกั บ ผู้อ่ ื นคอเป็นเอ็น
เพียงเพื่อม๋อเป้ยไม่กี่ชิ้น นี่ นี่ นี่... ...
ชนชั้นปรมาจารย์มิใช่ว่าสมควรนั่งเอกเขนกอยู่ในห้องส่วนตัว ดื่มสุรา
ชั้นเลิศ โอบซ้ายกอดขวา กรีดนิ้วเลือกเฟ้นสมบัติอย่างโอ่อ่าสง่างามหรอก
หรือ?
จั่วม่อหลงลืมตัวอย่างสิ้นเชิง มุ่งมั่นต่อราคาอย่างเอาเป็นเอาตาย ใน
ใจปลอดโปร่งสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่แล้วในไม่ช้ามันก็ค่อย ๆ ค้นพบว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง
“สิบม๋อเป้ย! ขายหรือไม่?”
“ขาย ขาย ขาย!”
จั่วม่อเหม่อมองเจ้าของร้านอย่างงุนงง เจ้าของร้านผู้นั้นสีหน้าตื่นเต้น
ลิงโลดราวกับว่าปรารถนาจะขายออกไปในบัดดล นี่ไม่ถูกต้องแล้ว สิบม๋อ
เป้ยเห็นได้ชัดว่าต่ากว่าราคาทุนอย่างแน่นนอน มันเพียงกดราคานาทาง
เป็นด่านแรกสาหรับการต่อรอง นึกไม่ถึงว่าเจ้าของร้านจะตกลงทันควัน มี
บางอย่างแปลก ๆ แล้ว!
หรือว่าสินค้านี้มีปัญหา?
จั่ ว ม่ อ พลิ ก สิ น ค้ า กลั บ ไปกลั บ มาเป็ น ร้ อ ยตลบ กลั บ ยิ่ ง งุ น งงมาก
กว่าเดิม ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย!
มันระงับความสับสนงุนงง หยิบวัตถุดิบนั้นสองร้อยชิ้น จากนั้นสายตา
มองไปยังวัตถุดิบชนิดอื่น “เจ็ดม๋อเป้ย ขายหรือไม่?”
“ขาย ขาย ขาย!” เจ้าของร้านพยักหน้าระรัว
จั่ ว ม่ อ หั น ขวั บ อดด่ า ทอไม่ ไ ด้ “เจ้ า ท าการค้ า เยี่ ย งนี้ ไ ด้ อ ย่ า งไร?
เจ็ดม๋อเป้ยยังขาย? เจ้าเสียสติไปแล้วรึ! เจ้าสิ่งนี้ต้นทุนไม่ต่ากว่าสิบม๋อเป้ย
สมองเจ้าใช่มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”
เจ้าของร้านผงกศีรษะรับด้วยรอยยิม
้ โง่งม
จั่วม่ออึ้งงัน เจ้าคนผู้นี้...หรื อ ว่ าปั ญ ญาอ่ อนจริ ง ๆ? มันเงยหน้า ขึ้ น
มอง ความตื่นเต้นเร้าใจพลันลดถอยลงอย่างรวดเร็ว มันค้นพบความแปลก
ประหลาดจากสภาพโดยรอบทั น ที สุ้ ม เสี ย งเอะอะอึ ก ทึ ก ในตลาดเงี ย บ
หายไปอย่างสิ้นเชิง
นี่มันอะไรกัน... ...
จั่ ว ม่ อ รี บ กวาดตามองไปรอบ ๆ เมื่ อ เห็ น สายตาของผู้ ค นจ้ อ งมอง
มายังมันเป็นตาเดียว พลันเข้าใจทันที แค่กแค่กแค่ก มันกระแอมไอแล้วรีบ
เชิดหน้ายืดอก วางท่าโอ่อ่าผ่าเผย ชี้มือไปยังสิ่งที่ซ้ ือมาเมื่อครู่ กล่าวต่อ
องครักษ์ว่า “อ้อ นาของเหล่านัน
้ มาด้วย”
“ทราบแล้ว!” หัวหน้าองครักษ์หน้าร้อนฉ่า คราครั้งนี้อับอายขายหน้า
มากแล้ว! มันเงยหน้าขึ้นลอบมองปรมาจารย์ เห็นท่านปรมาจารย์สีหน้า
สงบราบคาบราวกับว่าไม่มีสงิ่ ใดเกิดขึ้น สมแล้วที่เป็นชนชั้นปรมาจารย์ ...
หนังหน้าหนากว่าคนทั่วไปมาก!
ทันใดนั้นเอง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวตรงเข้ามาด้วยสีห น้าลิ ง โลด
ยินดี “คารวะท่านปรมาจารย์! ยินดีต้อนรับท่านผู้สู งส่ง! ท่านปรมาจารย์
มาเยือนสถานที่ต่าต้อยนี้นับเป็นเกียรติของพวกเรา!”
“ทุกท่านสบาย ทุกท่านสบาย!” จั่วม่อแย้มยิม
้
“ท่านปรมาจารย์โปรดมอบรายการสิ่งของให้แก่พวกเราเถิด พวกเรา
แม้ไม่ค่อยมีสิ่งที่ดี แต่วัตถุดิบระดับต่าของพวกเรานั้นมีคุณภาพไม่เลวเลย
ทีเดียว!” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างนอบน้อม
จั่วม่อมาเพราะต้องการใช้วัตถุดิบระดับต่าเหล่านี้ ดังนั้นตระเตรียม
รายการสิ่ ง ของมาล่ ว งหน้ า แต่ นึ ก ไม่ ถึ ง ว่ า จะต้ อ งน าออกมาใช้ ภ ายใต้
สถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถลิ้มรสความสุขสมจากการต่อ ราคา
ได้อีก แต่พอดีช่วยให้มันไม่ต้องเปลืองแรง จั่วม่อส่งใบรายการสิ่งของให้แก่
ชายวัยกลางคนผู้นั้น
ชายวั ย กลางคนนั้ น คล้ า ยจะมี อิ ท ธิ พ ลในที่ แ ห่ ง นี้ มั น ส่ ง ใบรายการ
ให้ แ ก่ บ่ า วรั บ ใช้ ที่ ด้ า นหลั ง บ่ า วรั บ ใช้ นั้ น รี บ ออกไปรวบรวมวั ต ถุ ดิ บ ใน
รายการโดยไม่รีรอ
“ท่ า นปรมาจารย์ ต้ อ งการลู ก มื อ หรื อ ไม่ ข อรั บ ?” ชายวั ย กลางคน
ซักถาม
หั ว หน้ า องครั ก ษ์ ต วาดอย่ า งไม่ พ อใจ “คิ ด เป็ น ลู ก มื อ ขอ งท่ าน
ปรมาจารย์หรือ พวกเจ้ามีคุณสมบัติใด? เฮอะ!”
เหล่าอาจารย์ศาสตรามารโดยรอบพากันเงียบกริบ วาจาของหัวหน้า
องครักษ์ตระกูลทังแม้ฟังระคายหูไปบ้าง แต่เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง
อาจารย์ศาสตรามารในสถานที่เช่นนี้ไหนเลยจะมีฝีมือสูงส่งอันใด
ที่คิดไม่ถึงคือจั่วม่อ กลับหวั่น ไหวใจ “หากพวกมันมีพรสวรรค์ อาจ
สามารถร่าเรียนจากข้าได้”
วาจาของมันแม้อวดโอ่ถือดี แต่เห็นได้ชัดว่าส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
อาจารย์ ศ าสตรามารทั่ ว บริ เ วณกลายเป็ นตื่น เต้นยิ น ดี จ นออกนอก
หน้า หลายต่อหลายคนมีสีหน้ามุ่งมาดปรารถนา กระทั่งชายกลางคนผู้นั้น
ยั ง ตื่ นเต้ น ยิ น ดี อ ยู่บ้ า ง แต่ มั น มี ป ระสบการณ์ โ ชกโชน ยั ง คงรั ก ษาความ
เยือกเย็นเอาไว้ได้ “เช่นนั้นทาอย่างไรจึงจะตัดสินได้ว่ามีพรสวรรค์ดังเช่น
ที่ท่านปรมาจารย์เอ่ยถึง?”
หลังจากขบคิดเล็กน้อย จั่วม่อกล่าวว่า “ใช้ศาสตรามาร ระดับใดไม่
สาคัญ แต่นามาให้ข้าชมดูก็พอ”
หัวหน้าองครักษ์ตระกูลทังดวงตาทอประกายเหยียดหยาม แต่ในยาม
นี้มันไม่เอ่ยอันใดออกมา ไม่เช่นนั้นพฤติการณ์ของมันจะเท่ากับไม่ไว้หน้า
ท่านปรมาจารย์ เหล่าอาจารย์ศาสตรามารที่นี่ไหนเลยจะยังมีคนดี มีฝีมือ
หลงเหลื อ เนื่ อ งเพราะอาจารย์ ศ าสตรามารในเมื อ งปู้ โ จวที่ มี พ รสวรรค์
แทบทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลทังแต่แรก
คางคกคิดรับประทานเนื้อหงส์หรือ?
เพ้อฝันเกินไปแล้ว!
แต่มันขบคิดไม่เข้าใจ ท่านปรจารย์ถึงกับเห็นพ้องด้วยกับเรื่องน่าเบื่อ
ที่ไร้คุณค่าความหมายเช่นนี้ด้วยหรือ?
ในตระกู ล ทั ง มี อ าจารย์ ศ าสตรามารนั บ ไม่ ถ้ ว นที่ ป รารถนาจะเป็ น
ลูกมือของท่านปรมาจารย์ ปรมาจารย์หนุ่มผู้นี้แม้ชอบโอ้อวดเกินจริง แต่
ยังคงเป็นปรมาจารย์ที่มีฝีมือแท้จริง!
ในศีรษะของปรมาจารย์ขบคิดสิ่งใด มันไม่อาจเข้าใจได้
ศาสตรามารถูกนามาวางอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กองพะเนินอยู่ เ บื้อง
หน้าจั่วม่อ หัวหน้าองครักษ์ เหลื อบมองแวบหนึ่ง จากนั้นแค่นเสียงอย่าง
เย็นชา กระทั่งศาสตรามารด่านเจี้ยวสักเล่มยังไม่มี
จั่วม่อไม่สนใจเสียงแค่นเย้ยหยันของหัวหน้าองครักษ์ สายตาของมัน
กวาดมองผ่านเหล่าศาสตรามารอย่างจริงจัง
ทันใดนั้นสายตาของมันหยุดลงที่ศาสตรามารมีดสั้นเล่มหนึ่ง
มันกวาดมองปราดทั่วมีดสั้นเล่มนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเงยหน้าขึ้น
ถาม “ผู้ใดหลอมสร้างศาสตรามารเล่มนี้?”
เด็กหนุ่มที่มีผิวพรรณซีด เซีย วอยู่ บ้างก้า วออกมาจากกลุ่มคนอย่ า ง
ขลาดอาย มันใบหน้าแดงก่า ตื่นเต้นยินดีสุดระงับ “เรียนท่านปรมาจารย์
เป็นผู้น้อยเอง!”
จั่ ว ม่ อ สอบถามมั น สองสามประโยค เด็ ก หนุ่ ม ตอบค าถามอย่ า ง
คล่องแคล่วจัดเจน จั่วม่อยืนยันได้แน่นอนแล้วว่าเด็กหนุ่มผิวซีดผู้นี้เป็นผู้
หลอมสร้างมีดสัน
้ เล่มนี้จริง
จั่วม่อพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นับแต่วันนี้ เจ้าเป็นลูกมือของข้า”
โอ!
ผู้ ค นโดยรอบร้ อ งอุ ท านอย่ า งตื่ นตะลึ ง เด็ ก หนุ่ ม สี ห น้ า ทอแวว
เหลือเชื่อ จากนั้นเปลี่ยนเป็นลิงโลดยินดี ชายวัยกลางคนเองก็ต่ ืนเต้นสุด
ขีด แทบโถมเข้าไปกอดรัดเด็กหนุ่มให้สาแก่ใจ จากนั้นมันกล่าวอย่างเคร่ง
ขรึม “หยาไจ่ (เจ้าต้นอ่อน) เจ้าต้องตั้งใจร่าเรียนจากท่านปรมาจารย์ให้ดี!”
บรรดาสหายของเด็กหนุ่มโถมเข้าแสดงความยินดี ทุกผู้คนล้วนทราบ
ว่าโอกาสนี้อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของหยาไจ่ไปตลอดกาล
หัวหน้าองครักษ์ มีสีหน้าไม่สู้ ดีนัก มันนึกไม่ถึงว่าปรมาจารย์เซีย วจะ
คัดเลือกลูกมือผู้หนึ่งจากสถานที่นี้จริง ๆ ในฐานะยอดฝีมือตระกูลทัง มัน
ย่ อ มวางตระกู ล ทั ง ไว้ เ ป็ น ล าดั บ แรก ตระกู ล ทั ง มี อ าจารย์ ศ าสตรามาร
มากมายที่เฝ้ารอโอกาสนี้ แต่คนนอกกลับสอดแทรกเข้ามาก่อน เรื่องนี้แม้
ไม่ใช่ความผิดพลาดของมัน แต่จะอย่างไรไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบ
ได้
ดั ง นั้ น มั น อดกล่ า วทั ด ทานไม่ ไ ด้ “ท่ า นปรมาจารย์ นี่ เ กรงว่ า จะไม่
เหมาะ... ...”
จั่วม่อสีหน้ายะเยียบเย็นชา “ข้าทาอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยรึ?”
ได้ยินประโยคนี้ หัวหน้าองครักษ์หัวใจแทบกระดอนออกจากอก รีบ
กล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ล้อเล่นแล้ว ผู้น้อยมิบังอาจ แต่ปรมาจารย์มีศักดิ์
ฐานะสูงส่ง ความปลอดภัยของท่านควรมาเป็นอันดับแรก คนผู้นี้ไม่ทราบ
เป็นใครมาจากไหน... ...”
หยาไจ่หน้าเผือดสี ผิวพรรณที่ซีดเซียวอยู่แล้วยิ่งดูซีดลงไปอีก
จั่ ว ม่ อ ตวาดขั ด ค าหั ว หน้ า องครั ก ษ์ ก ลางประโยค “ข้ า ย่ อ มมี ธ รรม
เนียมปฏิบัติของข้าเอง!”
หัวหน้าองครักษกัดฟันแน่น ยังคงยืนกราน “หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นกับ
ท่านปรมาจารย์ ท่านประมุขกล่าวโทษลงมา ผู้น้อย... ...”
“อากุ่ย โยนมันออกไปให้พ้นหน้า” จั่วม่อกล่าวเสียงเย็น
อากุ่ยผู้ยืนนิ่งเงียบงันอยู่ไม่ห่างกายจั่วม่อ พลันหายวับไปในบัดดล
หัวหน้าองครักษ์ตะลึงงัน ยังไม่ทันจะได้มีปฏิกิริยาใด พลันรู้สึกลาคอ
ตึงวูบ ไม่อาจเกร็งกาลังต้านทานได้ วู้ม ร่างของมันปลิวลิ่วออกจากย่าน
ตลาดแล้วร่วงลงฟาดพื้นเสียงดังสนั่น เนิ่นนานยังไม่อาจลุกขึ้นได้
บรรดาองครักษ์อ่ ืน ๆ สีหน้าแปรเปลี่ยน พวกมันแทบชักอาวุธลงมือ
แต่พอเห็นว่าอากุ่ยกลับไปยืนข้างกายจั่วม่อ คล้ายไม่เคยขยับเคลื่อนไหว
แม้แต่น้อย ต้องพากันหน้าซีดเผือด จิตวิญญาณการต่อสู้ที่เพิ่งปะทุขึ้นมา
ดับมอดลงทันควัน
พลังเทพมิดับสูญของอากุ่ยเปี่ ยมอานุภาพเลิศล้า ไร้สีสัน ไร้ประกาย
ลี้ลับสุดจะหยั่ง
“เจ้าเรียกว่าอะไร?” จั่วม่อถามเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน คล้ายกับว่า
ใบหน้ายะเยียบเย็นชาเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตากระนั้น
หย่าไจ่รวบรวมความกล้า “ท่านปรมาจารย์ ข้าไม่มีช่ อ
ื ทุกคนเรียกข้า
ว่าโต้วหยา (ถั่วงอก) หรือไม่ก็หยาไจ่ (เจ้าต้นอ่อน)”
“ไม่มีช่ อ
ื ? บิดามารดาเจ้าเล่า?” จั่วม่อถามสืบต่อ
“พวกท่านเสียชีวิตแต่แรก” หยาไจ่กล่าวเสียงแผ่ว
จั่วม่อประหลาดใจอยู่บ้าง จู่ ๆ ก็นึกถึงตัวเองขึ้นมา จมลงไปในห้วง
อารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย แต่แล้วมันเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ตบไหล่
ผอมบางของหยาไจ่ “แนวคิดของเจ้าไม่เลว แต่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง
ที่นี่มีบ่อศาสตรามารเล็ก ๆ สักแห่งหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนทราบว่าจั่วม่อก าลังจะชี้แนะหยาไจ่ อดปลาบปลื้ม
ยินดีไม่ได้ รีบกล่าวว่า “มีมีมี!
จั่วม่อมองดูใ บหน้ า ที่ เต็ม ไปด้ ว ยความกระหายของบรรดาอาจารย์
ศาสตรามารรอบด้ า น ยิ้ ม พลางกล่ า วว่ า “พวกเจ้ า ล้ ว นติ ด ตามมาชมดู
เถอะ”
เหล่าอาจารย์ศาสตรามารชั้นต่าโห่ร้องดังสะท้านเมือง!
จั่วม่อในยามนี้เองก็คาดคิดไม่ถึง ว่าเมตตาจิต ที่บังเกิดขึ้นโดยไม่ได้
ตั้งใจครั้งนี้จะนามาซึ่ง... ...
บทที่ 702 หิมะเลือดระอุแห่งชิงฮวา
บ่อน้าศาสตรามารขนาดเล็กในตลาดเป็นบ่อน้าคุณภาพต่า ปกติมีแต่
อาจารย์ ศ าสตรามารชั้ น ต่ า ซึ่ ง ขั ด สนเงิ น ทองเท่ า นั้ น จึ ง จะใช้ ง านบ่ อ น้ า
ระดับต่านี้ แน่นอนว่าย่อมไม่เคยได้ผลลัพธ์ที่ดีงามอันใด
ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในตลาดรู้สึกอับอายขายหน้ า อยู่
บ้าง บรรดาอาจารย์ศาสตรามารที่ติดตามมาล้วนมีสีหน้าลาบากใจ การที่
จะให้ชนชั้นปรมาจารย์ผู้หนึ่งใช้งานบ่อน้าศาสตรามารระดับต่าเช่นนี้ ไย
มิใช่เท่ากับดูแคลนศักดิ์ฐานะของปรมาจารย์อย่างรุนแรง
แม้เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ แต่พวกมันก็ไม่มีบ่อน้าศาสตรามารที่
คุณภาพดีกว่านี้อีกแล้ว ทุกผู้คนพากันลอบมองสีหน้าจั่วม่ออย่างไม่ค่อย
แน่ใจนัก
ทว่ า จั่ ว ม่ อ กลั บ ไม่ แ ยแสสนใจมากความ เพี ย งเหลื อ บมองบ่ อ น้ า
ศาสตรามารแวบหนึ่ง แล้วรั้งสายตากลับมา
มันหันกลับมาประจันหน้ า กั บกลุ่ มคน มือข้างหนึ่งชูมีดสั้น ที่ห ยาไจ่
เป็นผู้หลอมสร้างเล่มนั้นให้ทุกคนได้เห็นกันชัด ๆ
“แนวคิ ด ที่ แ ฝงเร้ น อยู่ ใ นมี ด สั้ น เล่ ม นี้ น่ า สนใจยิ่ ง เบื้ องต้ น มั น
ประกอบด้วยวัตถุดิบหลัก ๆ สามชนิด กระดูกไม้ขาว ศิลาน้าแข็งครามและ
ผลึกรวมประกาย”
ทุกผู้คนเงี่ยหูฟังอย่างใจจดใจจ่อแทบไม่กล้าหายใจ ด้วยเกรงว่าจะตก
หล่นถ้อยคาใดไป
“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งหมดล้วนรู้จักวัตถุดิบทั้งสามชนิดนี้ดี คนทั่วไป
มั ก จะใช้ ก ระดู ก ไม้ ข าวเป็ น วั ต ถุ ดิ บ พื้ น ฐาน จากนั้ น ใช้ ศิ ล าน้ า แข็ ง คราม
หนุนเสริมเพื่อให้มันมีคุณลักษณะเย็นยะเยือก สุดท้ายใช้ผลึกรวมประกาย
เพื่อหลอมรวมสองวัตถุดิบเข้าด้วยกัน”
อาจารย์ศาสตรามารบางคนพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นวิธีการพื้นฐาน
ซึ่งแม้แต่อาจารย์ศาสตรามารที่โง่งมที่สุดยังล่วงรู้ ดังนั้นพวกมันกระหาย
ใคร่รู้ยิ่ง วัตถุดิบยิ่งพื้นฐานมากเท่าใด ยิ่งยากจะสรรค์สร้างสิ่งใหม่ ๆ มาก
ขึ้นเท่านั้น วัตถุดิบพื้นฐานทั้งสามชนิดนี้ยังจะสามารถนามาหลอมรวมกัน
ด้วยวิธีการอื่นได้อย่างไร พวกมันไม่อาจขบคิดคาดเดาได้เลยจริง ๆ
“แต่แนวคิดของหยาไจ่ออกนอกกรอบที่นิยมปฏิบัติกันนี้ มันกลับใช้
ผลึ ก รวมประกายเป็ น รากฐาน จากนั้ น ค่ อ ยใช้ ก ระดู ก ไม้ ข าวและศิ ล า
น้าแข็งครามเป็นวัตถุดิบเสริมสร้างความแข็งแกร่ง”
เสียงอุทานอย่างแตกตื่นดังระงม ทุกผู้คนรู้สึกว่าสูตรหลอมสร้างนี้ท้งั
เหลือเชื่อ ทั้งไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
“ ห า ก ใ ห้ ก ล่ า ว จ า ก มุ ม ม อ ง วิ ช า ห ล อ ม ส ร้ า ง ศ า ส ต ร า ม า ร ต า ม
ขนบธรรมเนียมเดิม สิ่งนี้เรียกได้ว่าขั ดกั บหลัก เหตุผ ลอย่ างสิ้นเชิ ง ผลึก
รวมประกายแม้เป็นวัตถุดิบชั้นต่าที่คุณภาพดีเยี่ยม แต่กลับมิใช่วัตถุดิบที่
สามารถใช้เป็นพื้นฐานของศาสตรามาร เนื่องเพราะมันอ่อนนิ่มเกินไป”
เหล่าอาจารย์ศาสตรามารพากันพยักหน้าตามโดยไม่รู้ตัว
“ด้ ว ยเหตุ นี้ เ อง หยาไจ่ จึ ง ใช้ กิ่ ง ไม้ ใ บก ายานหลอมละลายใยอาพัน
ทองค าเพื่ อชุ บ สร้ า งผลึ ก รวมประกายอี ก ทอดหนึ่ ง ช่ ว ยให้ ผ ลึ ก รวม
ประกายเมื่ อ ผสานรวมเข้ า กั บ กระดู ก ไม้ ข าวและศิ ล าน้ า แข็ ง ครามแล้ ว
กลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้น”
อาจารย์ศาสตรามารบางคนพอฟังต้องมีสีหน้าครุ่นคิด
“นี่เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่น่าชื่นชม” ถ้อยคาของจั่วม่อทาให้เจ้า
ถั่วงอกหน้าแดงฉาน เจ้าถั่วงอกไหนเลยจะไม่ล่วงรู้ว่ามีดสั้นของมันฝีมือ
หลอมสร้างย่าแย่เพียงใด
จั่ ว ม่ อ เปลี่ ย นหั ว ข้ อ ทั น ที “แต่ เ พื่ อ ที่ จ ะท าให้ ค วามคิ ด สร้ า งสรรค์ นี้
สัมฤทธิ์ผล จาต้องมีทักษะวิชาหลอมสร้างที่ดีด้วย กระดูกไม้ขาวมักถูกใช้
เป็นพื้นฐานของศาสตรา แต่มีไม่กี่คนที่จดจาได้ว่ามันยังมีคุณสมบัติอ่ น
ื นั่น
ก็คือ ‘เส้นใยไม้’”
ฝู ง ชนทั้ ง หมดเงี ย บกริ บ แต่ ล ะคนมี สี ห น้ า ยกย่อ งเทิ ด ทู น หากก่ อ น
หน้านี้ยังมีคนกังขาในขีดความสามารถของปรมาจารย์หนุ่มในคาร่าลืออยู่
เล็กน้อย บัดนี้ความลังเลสงสัยทั้งหมดล้วนอันตรธานหายไปสิน
้
กระทั่งวัต ถุดิบพื้นฐานที่สุด เมื่อกล่าวจากปากของปรมาจารย์เซียว
กลับเพียบพร้อมไปด้วยการเปลี่ยนแปลงนานัปการ
“ในสายตาของคนมากมาย ‘เส้นใยไม้’ เป็นคุณลักษณะที่แทบไม่มี
ประโยชน์ใช้สอย แต่หากรู้จักใช้ให้ดี จะได้ผลลัพธ์เหนือธรรมดา”
เมื่ อกล่ า วแยกแยะเสร็ จ สิ้ น มั น ก็ เ ริ่ ม โยนวั ต ถุ ดิ บ ลงไปในบ่ อ น้ า
ศาสตรามาร
โยนลงไปชิ้ น หนึ่ ง มั น ก็ บ่ ง บอกชื่ อของวั ต ถุ ดิ บ ชนิ ด นั้ น จากนั้ น
อรรถาธิบายว่าเหตุใดจึงต้องใช้วัต ถุดิบชนิดนี้ รวมถึงจุดที่ต้องมุ่งเน้นให้
ความสาคัญอย่างละเอียดถี่ถ้วน เหล่าอาจารย์ศาสตรามารไม่กล้าส่งเสียง
แม้สักครึ่งคา พวกมันประดุจลูกศิษย์ลูกหาตัวน้อยของจั่วม่อ ตั้งอกตั้งใจ
รับฟังด้วยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธา
อาจารย์ศาสตรามารระดับต่าไม่มีศักดิ์ฐานะในสังคม รายได้น้อยนิด
ทามาหากินอย่า งยากล าบาก มีชีวิต แร้นแค้นขั ดสน ฝีมือหลอมสร้า งทั้ ง
หยาบกร้านทั้งขาดพร่อง ซึ่งหมายความว่าพวกมันไม่มีปัญญาหลอมสร้าง
ศาสตรามารที่ ล้ า เลิ ศ ออกมาได้ ดั ง นั้ น หาเงิ น ได้ จ ากั ด ยิ่ ง ซึ่ ง ยั ง ส่ ง ผล
ต่อเนื่องให้พวกมันไม่มีหนทางขัดเกลาฝีมือให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ทุกผู้คนล้วนตระหนักแน่แก่ใจ สาหรับพวกมัน นี่เป็นโอกาสทองที่พัน
ปียากจะพบพาน
ชนชั้นปรมาจารย์ผู้หนึ่งที่ชั่วชีวิตนี้พวกมันอาจไม่มีวันอาจเอื้อมถึงตัว
กาลังชี้แนะพวกมันอย่างจริงจัง นี่อาจจะเป็นบทเรียนที่ส าคัญ ที่ สุ ด และ
เป็นบทเรียนเดียวในชีวิตของพวกมัน
สายตาของพวกมั น ที่ จั บ จ้ อ งไปยั ง จั่ ว ม่ อ เต็ ม ไปด้ ว ยความส านึ ก
ขอบคุณและเทิดทูนบูชาจากใจจริง
ทั้งทักษะฝีมือที่จ่ัวม่อแสดงให้เห็น ทั้งเนื้อหาเคล็ดความทุกคาที่มัน
กล่ า วออกมาทั้ ง ที่ ต้ั ง ใจและไม่ ไ ด้ ต้ั ง ใจ คนเหล่ า นี้ พ ากั น จดจ าจนขึ้ น ใจ
ตลาดที่ปกติอึกทึกครึกครื้น บัดนี้เงียบกริบจนหากมีเข็มตกสักเล่มคงได้ยิน
ถนัดชัดเจน สุ้มเสียงของจั่วม่อเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังกังวานไปทั่วบริเวณ
บรรดาเจ้าของร้านก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากรบกวน พวกมันไหนเลยจะไม่
ล่วงรู้ถึงความลาบากยากแค้นของอาจารย์ศาสตรามารชั้นต่าเหล่านี้ บาง
คนยังเป็นสหายของพวกมันเสียด้วยซ้า
พวกมันแม้ไม่เข้ าใจหลั กวิ ช าอันลึ กล้ า แต่คล้ายถูกความปรารถนา
และความเลื่อมใสศรัทธาระบาดใส่ พากันนิ่งรับฟังไปด้วยอย่างเคลิบเคลิ้ม
มึนเมา
ในชั่ ว ขณะนี้ สถานที่ ชั้ น ต่ า ซึ่ ง เพี ย งรู้ จั ก แต่ ม๋ อ เป้ ย กลั บ กลายเป็ น
ปราศจากศักดิ์ฐานะทางสังคม ไม่มีผู้ใดสูงส่ง ไม่มีผู้ใดต่าต้อย
ยามนี้ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ หลังจากนี้อีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง เหล่าอาจารย์
ศาสตรามารผู้มี แ บบฉบั บ ใหม่เ อี่ ยมและไม่ เ หมือ นผู้ ใดจะถือ ก าเนิ ดจาก
ตลาดร้านถิ่นแห่งนี้เอง
พวกมันเพียงต้องการวัต ถุ ดิ บเรีย บง่า ยที่ ใ ช้ง านได้ จ ริ ง จุดมุ่งหมาย
ของพวกมันมีเพีย งการมุ่ งมั่ นสร้ า งสรรค์สิ่ง ใหม่ ๆ แนวทางปฏิบัติ อ ย่ า ง
ขยันขันแข็งเพียงหนึ่งเดียวของพวกมัน คือการเผยแพร่ทักษะวิชาหลอม
สร้างศาสตรามารออกไปให้กว้างไกลที่สุดโดยไม่สนใจศักดิ์ฐานะสูงต่า
พวกมันมีนามอันพิเศษเฉพาะที่จ ะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พวกมันคือ
เหล่าอาจารย์ศาสตรามารแห่งตลาดร้านถิ่น
5
ใช้เรียกคนที่อยู่ลาดับสาม
6
ในที่นี้นอกจากแปลว่าหัวหน้าแล้ว ยังใช้เรียกคนที่อยู่ลาดับแรกด้วย
“ข้าถามว่าเกิดเรื่องอันใด?” เหล่าต้าใบหน้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน
ดวงตาดุร้ายถมึงทึง มันนั่งอยู่บนหลังพาหนะปิศาจที่คล้ายภูเขาขนาดย่อม
ลู ก หนึ่ ง สี่ เ ท้ า ใหญ่ โ ตของพาหนะปิ ศ าจตั ว นั้ น ประดุ จ หลอมสร้ า งจาก
เหล็ ก กล้ า หางยาวอวบหนาเต็ ม ไปด้ ว ยหนามแหลมเรี ย งเป็ น แถว เขา
หยาบหนาเท่าท่อนแขนงอกออกมาจากกึ่งกลางหน้าผาก เปล่งประกายสี
น้าเงินสดใส
นี่คือแรดเขาน้าเงินหางดาบ ดุร้ายกระหายเลือด หิวโหยการต่อสู้เป็น
พิเศษ เป็นยอดพาหนะปิศาจที่ทรงพลังในการบุกจู่โจม
“ปรมาจารย์... ...”
เหล่ า ต้ า เข้ า ใจในบั ด ดล สี ห น้ า แปรเปลี่ ย นทั น ควั น ดวงตาสาด
ประกายเย็นเยียบ กล่าวอย่างดุดันว่า “ในดินแดนของตระกูลทังเรา ต่อให้
เป็ น ปรมาจารย์ ผู้ ห นึ่ ง ก็ ไ ม่ มี คุ ณ สมบั ติ ที่ จ ะมาวิ่ ง วุ่ น อาละวาดได้ ต าม
อาเภอใจ”
เหล่ า ต้ า ผู้นี้ เ ห็นท่ า ที ยโสโอหัง ของเซี ยวอวิ๋ นไห่เ ป็ นที่ ขัด ตามานาน
แล้ว ตระกูลทังอุตส่าห์ดูแลปรนนิบัติมันเยี่ยงอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ แต่ตัว
บัดซบนั้นยังหยิ่งยโสโอหัง! ต่อให้วันนี้มันอาจต้องถูกท่านประมุขลงทัณฑ์
ก็จ ะขอสั่งสอนเจ้าคนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่าให้ได้ซาบซึ้งไปถึงทรวง ว่ามัน
ยืนอยู่บนดินแดนของผู้ใด!
“พี่ใหญ่ ระวังสาวใช้ของมันด้วย!” หัว หน้าองครักษ์ผู้พลาดท่าเสียที
กัดฟันกระตุ้นเตือน
“ไม่ต้องวิตก ข้าจะบดขยี้นางเอง” เหล่าต้ากล่าวเสียงเย็นเยียบ
มันพอกล่าวจบคา ก็หยิบฉวยหอกยาวที่แขวนอยู่ข้างอานม้าขึ้นมา
สายตาเพ่งมองไปยังส่วนลึกของตลาด สุ้มเสียงของเซียวอวิ๋นไห่ดังสะท้อน
แผ่ว ๆ มาจากภายใน รอบข้างเงียบงันผิดปกติ แต่มันไม่แยแสสนใจ เนื่อง
เพราะมันเชื่อมั่นในพลังฝีมือของตนอย่างเปี่ ยมล้น
มั น กระตุ้ น แรดเขาน้ า เงิ น หางดาบที่ อ ยู่ ใ ต้ ร่ า ง แรดมหึ ม าเริ่ ม ควบ
ตะบึง แต่ละย่างก้าวพื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนเบา ๆ
ครึ่ก ครึ่ก!
แรดเขาน้าเงินหางดาบเริ่มมุ ดศีรษะลงต่า นอสีน้าเงินวาบประกาย
คร่าขวัญสะท้านวิญญาณผู้คน เสียงกู่คารามแหบต่าดังออกมาจากปาก
ลมหายใจที่เริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ เผยให้เห็นว่ามันกาลังผนึกกาลัง ทั่ว
ร่าง
เหล่าต้าบนหลังแรดปิศาจกระชับ ด้ ามหอกแนบแน่น มั่นคง ใบหน้า
เย็นยะเยียบของมันคล้ายสลักขึ้นจากหินผา
จิต วิญญาณกระหายเลือดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจากพาหนะปิศาจของ
มัน บันดาลให้เหล่าต้าสองตาแดงฉานในทันที
ความเย็ น เยี ย บที่ รู้ สึ กได้ จ ากด้ า มหอกยาวในมื อ ช่ ว ยขจั ด ความคิด
ฟุ้งซ่านส่วนเสี้ยวสุดท้ายในใจของมันออกไป