You are on page 1of 1570

บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร

บทที่ 401 คำสัญญาที่ดีที่สุด


เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้น สาวงามเริงระบำอย่าง
สนุกสนาน
เหล้าก็เป็นเหล้าอย่างดี อาหารก็เป็นอาหารอย่างดี
หลี่หงซิ่นกับเหว่ยซูถงถือเป็นเจ้าบ้านทางซีชวน ก็ต้อง
ยกเหล้ามาคารวะฉีหนิง
โต๊ะของฉีหนิง ถือว่าอยู่ด้านในห้อง แต่ว่าอยู่ใกล้
ประตู ก็สะดวกที่จะชมการแสดง ส่วนเหล่าขุนนาง
นั้นก็จะนั่งอยู่ภายนอก
ฉีหนิงรู้ว่าตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว หากเป็นหน้า
หนาว ไม่รู้ว่าคนที่นั่งด้านนอกจะทนไหวไหม
เมื่อดื่มไปแล้วเกินกว่าครึ่ง หลี่หงซิ่นก็พูดขึ้นมาว่า
“โหวเยว่คิดว่าการแสดงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เลวเลย” ฉีหนิงยิ้ม
หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “นี่แค่อาหารเรียกน้ำย่อย
เท่านั้น ข้าได้เชิญคณะละครมาด้วย เดี๋ยวหลังจาก
สางเมาแล้ว เรายังดูแสดงละครได้อีก เพียงแต่ไม่รู้ว่า
โหวเยว่จะชอบไหม?”
“อะไรที่ท่านอ๋องชอบ จะต้องเป็นของดีอยู่แล้ว” ฉี
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าอาจจะฟังไม่เข้าใจ ท่านอ๋อง
อาจจะต้องอธิบายให้ข้าฟัง”
อี๋ฟูนั่งอยู่ข้าง ๆ เริ่มแรกยังตื่นเต้นมาก เพราะมีขุน
นางท้องที่อยู่หลายคน งานใหญ่มาก นางไม่เคย
มาร่วมงานแบบนี้มาก่อน
แต่ตั้งแต่เริ่มงานมา นางไม่แม้แต่มองหลี่หงซิ่นเลย
หลี่หยวนสั่งหารชาวเหมียวถ้ำเฮยเหยียน อีกทั้งยังตัด
หัวของหย่ากันอีก ถ้ำเฮยเหยียนกับจวนสู่อ๋องก็ถือว่า
มีความแค้นต่อกัน
เมื่อผ่านมาอีกระยะหนึ่ง ก็เปลี่ยนการแสดง หลี่หงซิ่น
เชิญคณะการแสดงชื่อดังมามากมาย เพื่องานเลี้ยงใน
ครั้งนี้ สาวงามเริงระบำ ดึงดูดสายตาของทุกคนมาก
เขาเหลือบไปมองหลี่หงซิ่น เห็นหลี่หงซิ่นดูการแสดง
อย่างมีความสุข ในมือของเขาถือจอกเหล้า ขณะที่เขา
กำลังก้มหน้าดื่ม เขาก็ขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็เห็นเขาเงยหน้า
ขึ้นมา เสียงดนตรีบรรเลงเสียงดัง ในตอนนี้เอง ก็ได้
ยินเสียงดัง “ฟุ่บ” บนหลังคาเปิดออก มีคนปิดหน้า
คนหนึ่งลงมาจากฟ้า ในมือถือกระบี่กำลังจะแทงไป
ที่หลี่หงซิ่น
ตอนนี้สายตาของทุกคนกำลังถูกดึงดูดด้วยการแสดง
หลายคนยังนั่งวิจารณ์อยู่เลย ใครก็ไม่ได้ทันได้สังเกตุ
ว่าจะมีเหตุแบบนี้เกิดขึ้น
ซีเหมินฉางสื่อนั่งอยู่ด้านล่างของหลี่หงซิ่น สีหน้าก็
เปลี่ยนไป แล้วพูดว่า “มีนักฆ่า”
ตอนที่เขาพูดถึงนักฆ่า ตัวเขาก็ผลักตัวของหลี่หงซิ่น
ออก นักฆ่าคนนั้นเห็นหลี่หงซิ่นถูกผลัก ก็หันไปทำ
ร้ายซีเหมินเหิงเย่แทน
ซีเหมินเหิงเย่ร้องตะโกน จากนั้นก็ถอยหลัง แล้ว
ตะโกนว่า “คุ้มกันท่านอ๋องกับโหวเยว่”
นักฆ่าคนนั้นบีบจนซีเหมินเหิงเย่ถอนร่นไปจนล้มลง
กับเก้าอี้ นักฆ่าพลิกตัวกลับมา แล้วแทงไปที่หลี่หงซิ่น
เพลงกระบี่ของเขาร้ายกาจมาก รวดเร็วว่องไวมาก
หลี่หงซิ่นหน้าเสียไป เขาถูกซีเหมินเหิงเย่ผลักออก
พอเขายืนขึ้นมาได้ กระบี่ก็ปรี่เข้ามา เขาถอยหลังไป
อีกหลายก้าว กระบี่รวดเร็วแทงเข้าไปที่ไหล่ของหลี่หง
ซิ่น เลือดไหลออกมามาก
ตอนนี้มีคนได้สติแล้ว ก็ร้องตะโกนว่า “มีนักฆ่า มีนัก
ฆ่า”
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ฉีหนิงเองก็
ตกใจ เขาเดินมาบังตัวของอี๋ฟูทันที เห็นหลี่หงซิ่นถูก
แทงเข้าที่ไหล่ แล้วล้มลง เหมือนกำลังหลบนักฆ่าอยู่
เป็นถึงสู่อ๋อง ทำไมถึงได้น่าอนาถขนาดนี้
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกลงมาจาก
หลังคาอีก ด้านบนมีคนลงมาอีกคน ครั้งนี้เป้าหมาย
อยู่ที่ฉีหนิง
ฉีหนิงเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เขาจับมือของอี๋ฟูไว้ เขา
ถอยหลังไป นักฆ่านั่นไล่บี้ฉีหนิงอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฉีหนิงใช้มือข้างหนึ่งจับเก้าอี้มาตัวหนึ่ง แล้วโยนใส่นัก
ฆ่านั่น คนนั้นฟันเก้าอี้ขาดเป็นสองท่อน จากนั้นก็พุ่ง
เข้าหาฉีหนิงอีกครั้ง
“คุ้มกันโหวเยว่ คุ้มกันโหวเยว่” ซีเหมินเหิงเย่ตะโกน
เห็นหลี่หงซิ่นสถานการณ์คับขัน ก็เขวี้ยงเก้าอี้ไปที่นัก
ฆ่าที่กำลังจะลงมือกับหลี่หงซิ่น
หลี่หงซิ่นสภาพย่ำแย่มาก สีหน้าของเขาโกรธมาก ที่
ไหล่มีเลือดออก เห็นซีเหมินเหิงเย่กำลังปะทะกับนัก
ฆ่า เขาก็รีบถอยออกไป
ฉีหนิงมือเปล่า แต่นักฆ่าถือกระบี่บีบเข้ามาเรื่อย ๆ
สายตาภายใต้ผ้าปิดหน้านั้นเหี้ยมโหดมาก เขาลงมือ
อย่างไร้ปราณี แสดงว่าต้องการให้ฉีหนิงตาย
จู่ ๆ มีนักฆ่าโผล่มา เหล่าขุนนางในเรือนต่างก็ตกใจ
ทุกคนต่างหาที่หลบ วุ่นวายไปหมด
ตอนที่เหล่าขุนพลเข้ามาในงาน ต่างไม่ได้รับอนุญาต
ให้พกอาวุธ ต่างเข้ามือเปล่า แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์
คับขันแบบนี้ ทุกคนยกเก้าอี้ขึ้นมา แล้วบุกเข้ามาที่
ห้อง
ฉีหนิงไม่มีอะไรในมือเลย ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ เขาจูง
มือของอี๋ฟูแล้วถอยหลัง เมื่อเห็นนักฆ่าเข้ามาอย่างดุ
ร้าย เขาก็หยุดแล้วปล่อยมืออี๋ฟู จากนั้นก็เอียงตัวขึ้น
หน้าไป ใช่ มันคือท่าเท้าท่องคลื่น แล้วซัดหมัดเข้าไป
ที่นักฆ่า นักฆ่านั่นก็ฉลาด เอี้ยวตัวหลบ แล้วพุ่งกระบี่
เตรียมเข้าแทงฉีหนิง
ฉีหนิงสีหน้าจริงจัง หันหลังแล้วหลบไปอีกครั้ง นักฆ่า
นั่นคิดไม่ถึงเลยว่าวรยุทธ์ของฉีหนิงจะร้ายกาจแบบนี้
เขาออกอาวุธถึงสามครั้ง แต่ฉีหนิงก็หลบได้หมดเลย
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินอี๋ฟูร้องด้วยความตกใจ ฉีหนิง
รู้สึกได้ว่าเหมือนมีลมพัด เขาหันหลังกลับมา นักฆ่า
คนก่อนหน้านั้นพุ่งกระบี่มารวดเร็วมาก ฉีหนิงรู้สึก
ตกใจ เขารู้เขากำลังถูกจู่โจมทั้งหน้าและหลัง เพลง
กระบี่ของสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย หากเขามีกระบี่อยู่
ในมือ อาจจะพอสู้ได้ แต่ตอนนี้เขามีแต่มือเปล่า ยาก
มากที่จะรับมือกับสองคนนี้
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงร้อง ฉีหนิงรู้สึกว่าไม่ปกติ
แล้ว เขาหันหลังแล้วย่อตัวลง ปลายกระบี่พุ่งแทงมาที่
ศีรษะ ฉีหนิงฉวยโอกาสซัดหมัดออกไปส่วนอีกมือ
หนึ่งกำลังยื่นมือไปชิงกระบี่มา อีกฝ่ายกำลังบุกขึ้น
หน้า เหมือนจะถูกซัดด้วยหมัดของฉีหนิง หมัดของฉี
หนิงแรงมาก คน ๆ นั้นถูกซัดจนตัวลอย พร้อมกับ
การที่ฉีหนิงชิงกระบี่ในมือของเขามา
ฉีหนิงซัดหมัดจนนักฆ่าคนหนึ่งกระเด็นไป แต่รู้สึกว่า
เหมือนมีคมกระบี่พุ่งแทงมาจากทางด้านหลังนั้นมัน
หายไปแล้ว เมื่อเขาหันหลังกลับไป สีหน้าของเขาก็
เปลี่ยนไป
อี๋ฟูยืนบังอยู่หลังเขา อี๋ฟูเผชิญหน้ากับนักห่า กระบี่
ของนักฆ่าแทงทะลุตัวของอี๋ฟู
นักฆ่าคนนั้นคิดไม่ถึงว่าอี๋ฟูจะมาขวางเขา ทำให้เขา
ตะลึงไป
วินาทีนั้นในหัวของฉีหนิงว่างเปล่า เขารู้สึกเวียนหัว
มาก
ในตอนนี้ด้านนอกก็มีเหล่าขุนพลแม่ทัพต่างก็บุกเข้า
มา นักฆ่านั่นเห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็ชักกระบี่ออกมา
แล้วเตรียมหนี
สายตาของฉีหนิงแค้นดังไฟเผา เขาตะคอกว่า “ตาย
ซะเถอะ” จากนั้เขาก็ยกกระบี่แล้วปาออกไปเต็มแรง
เขาลงมือแรงมาก นักฆ่าเห็นกระบี่ลอยมา ก็ยกกระบี่
ขึ้นปัด กระบี่สองเล่มปะทะกัน นักฆ่าคิดไม่ถึงว่าฉี
หนิงอายุน้อย แต่มีกำลังภายในมากขนาดนี้ แรงกำลัง
ภายในกลุ่มใหญ่กระแทกมาที่ตัว ร่างกายของเขา
เหมือนจะฉีกขาด กระบี่ในมือจับแทบไม่อยู่จนหลุดไป
ทหารหลายคนบุกเข้ามา แล้วล้อมนักฆ่าไว้
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไปกอดอี๋ฟูไว้ อี๋ฟูหน้าซีด เลือดไหล
ไม่หยุด ตอนนี้นางเจ็บปวดมาก
เขารู้ว่า นักฆ่าสองคนร่วมมือกัน อี๋ฟูเห็นมีคนโจมตีที่
ด้านหลัง ก็เลยออกมาช่วยบังกระบี่ของนักฆ่าอีก
เพียงแต่เพลงกระบี่ของนักฆ่านั่นร้ายกาจมาก วรยุทธ์
ของอี๋ฟูธรรมดา จึงทำให้ถูกทำร้าย
หลี่หงซิ่นรอดจากนักฆ่ามาได้ ก็รีบเดินขึ้นหน้ามา
เห็นอี๋ฟูนอนจมกองเลือดอยู่ในอ้อมกอดของฉีหนิง ก็
รีบตะโกนว่า “เร็ว ตามหมอ ตามหมอ เร็ว”
ฉีหนิงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ไม่ รอไม่ได้ ข้าจะพานางไปที่โรงหมอเดี๋ยวนี้ เตรียม
รถ ไปโรงหมอ”
หลี่หงซิ่นรีบตะโกนว่า “เตรียมรถเร็ว ส่งโหวเยว่ไป
โรงหมอ”
ฉีหนิงอุ้มอี๋ฟู เขารู้สึกว่ามือไม้อ่อนมาก ยังดีที่มี
องครักษ์อยู่หลายคน เมื่อออกมาจากเรือนเจียนเจีย
ก็มีคนเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว ฉีหนิงอุ้มอี๋ฟูขึ้นรถม้า
เห็นอี๋ฟูลืมตาขึ้นมา ลมหายใจแผ่วเบา เห็นฉีหนิงตา
แดง เหมือนจะร้องไห้ นางคิดอยากจะยกมือขึ้นมา
แต่ไม่มีแรง นางพยายามฝืนพูดว่า "หนุ่ม......หนุ่มน้อย
เจ้า......เจ้าร้องไห้ทำไม......?
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วสะอื้น “เปล่า พี่อี๋ฟู เจ้า......เจ้าทำ
แบบนี้ทำไม......”
“เจ้าบอกว่า.......เจ้าบอกว่าจะแต่งงานกับข้า ก็......ก็
ถือว่าเป็นชายคนรักของข้า ข้า......ข้าจะ......จะยอม
เห็นเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาได้ยังไง......” อี๋ฟูลม
หายใจอ่อนแรงมาก แต่ก็ยังพูดว่า “อย่า......อย่า
ร้องไห้ ข้า......ข้าไม่ตายหรอก.......”
นางถูกแทงทะลุตัว ฉีหนิงไม่รู้ว่าถูกจุดสำคัญหรือ
เปล่า แต่ว่านางสีหน้าซีด ร่างกายหนาวเย็น รู้ว่า
น่าจะร้ายมากกว่าดี
“ข้าบอกว่าจะปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิต......” น้ำตา
ของฉีหนิงไหล “แต่สุดท้ายข้าก็ทำให้เจ้าต้อง
เดือดร้อน เมืองเฉิงตูอันตรายขนาดนี้ ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ
ข้าไม่ควรพาเจ้ามาด้วย......”
เห็นฉีหนิงรู้สึกโกรธ อี๋ฟูยกมือขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยกขึ้น
แค่ครึ่งเดียว ก็ไม่มีแรงแล้ว ฉีหนิงจับมือของนางไว้
เขารู้สึกว่ามือของอี๋ฟูหนาว ในใจกของเขาก็รู้สึก
เจ็บปวดมาก
“ข้า......ข้าได้อยู่ข้างเจ้า......ข้ามีความสุข.......” อี๋ฟูยิ้ม
ด้วยปากที่เปื้อนไปด้วยเลือด “ได้อยู่......อยู่กับเจ้าใน
หลายวันมานี้ ข้า......ข้ามีความสุขมาก แต่ว่า......”
นางสะดุ้ง เลือดไหลออกมาจากปากอีก สีหน้าของ
นางเจ็บปวดมาก แต่ก็ยังอดพูดไม่ได้ว่า “หนุ่ม......
หนุ่มน้อย ข้า......ข้าเป็น......เป็นเมียเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้า
......เจ้าไม่ต้องเสียใจนะ หากข้า......ข้าตายไป เจ้าก็
ร้องไห้ แล้ว......แล้วก็ลืมข้านะ.......ลืมข้าไป......”
ฉีหนิงเหมือนหัวใจถูกกรีดเป็นชิ้น ๆ เขาเอาหน้าแนบ
ไปที่หน้าของอี๋ฟู แล้วพูดว่า “เจ้าบอกเองว่า เจ้าจะให้
คำตอบกับข้า มันคือคำสัญญาที่ดีที่สุดที่ข้าเคยได้ฟัง
มา ชาวเหมียวรักษาสัญญา ดังนั้นเจ้าจะหลอกข้า
ไม่ได้นะ หากเจ้าหลอกข้า ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด
......”
อี๋ฟูหลับตาลง น้ำตาไหลออกมาจากปลายตา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
น้ำตาแห่งความภูมิใจ
บทที่ 402 แขกไม่ได้รับเชิญ
ตอนนี้ยังไม่มืดมาก คนในเมืองเฉิงตูเดินไปเดินมาบน
ถนน คนขับรถม้ากระตุกเชือกบังคับม้า นำฉีหนิงไป
ยังโรงหมอที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเฉิงตู
ทหารหลายคนขี่ม้าประกบ มีคนหนึ่งขี่ม้าเปิดทางให้
โรงหมอเทียนโซ่วเป็นร้านหมอที่ดีที่สุดในเมืองเฉิงตู
เมื่อมาถึงโรงหมอ อี๋ฟูก็แทบจะหมดลมแล้ว สีหน้า
ของนางขาวซีด ตัวเย็น หากไม่ได้รู้สึกว่านางยังมีลม
หายใจเฮือกสุดท้ายอยู่ คงคิดว่านางตายไปแล้ว
ทหารเข้าไปยังโรงหมอก่อน ภายในร้านรู้ว่ามีคนสูง
ศักดิ์มาเยือน ก็ไม่กล้าชักช้า มีคนนำฉีหนิงเข้าไปยัง
ห้อง ๆ หนึ่ง ฉีหนิงอุ้มอี๋ฟูนอนลงบนเตียง ท่าน
หมอเวียหมอใหญ่ประจำร้านพาผู้ช่วยอีกสองคนรีบ
เข้ามาในห้อง
ฉีหนิงเห็นหมอมา ก็รีบพูดว่า “ท่านหมอ ข้าไม่สนใจ
นะว่าท่านจะใช้วิธีอะไร แต่ว่าท่านจะต้องช่วยนางให้
ได้ หากช่วยนางได้ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงามเลย”
หมอเวียยกมือคำนับ ภายในห้องมีเทียนอยู่สองเล่ม
มันสว่างมาก หมอเวียเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสีหน้าซีด
เซียว อีกทั้งยังเห็นบาดแผลที่หน้าอกของนาง ก็ตกใจ
แล้วสั่งว่า “ห้ามเลือดก่อน”
ลูกมือทั้งสองคนของเขารีบช่วยอย่างเต็มที่ ที่จริงฉี
หนิงได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาแล้ว เขาใช้เสื้ออุด
ปากแผลเอาไว้ เพื่อไม่ให้เลือดไหลออกมามากเกินไป
แต่เพราะเขาไม่รู้เรื่องการแพทย์ เลยไม่ได้ทำอะไร
มาก
หมอเวียรู้ฐานะของฉีหนิงมาจากทหาร เขาหันไปบอก
ฉีหนิงว่า “โหวเยว่ โปรดรอสักครู่ ทางนี้ให้เป็นหน้าที่
ของเราเถอะ”
ฉีหนิงรู้ว่าเขายืนร้อนใจอยู่ข้าง ๆ อาจส่งผลต่อการ
ช่วยชีวิตอี๋ฟูได้ เขาเลยพยักหน้า เขาเห็นอี๋ฟูสีหน้าซีด
เซียวก็เจ็บปวดรวดร้าว จากนั้นก็ออกไปจากห้อง
เขาไปนั่งรอที่ห้องพักด้านข้างอยู่นาน ทันใดนั้นเองก็
ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบ เขารีบลุกขึ้น เขาเห็นหมอเวีย
เดินออกมาจากห้อง สีหน้าเคร่งเครียด
ฉีหนิงรู้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ เขารีบถามว่า
“เป็นยังไงบ้าง?”
หมอเวียส่ายหน้า แล้วถอนหายใจว่า “โหวเยว่
ข้าน้อยพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ว่า......” เมื่อพูด
จบ ฉีหนิงก็จับไปที่คอเสื้อของเขา แล้วตะคอกว่า
“ข้าไม่อยากได้ยินเจ้าพูดคำว่าแต่ เจ้าจะต้องช่วยนาง
ให้ได้”
หมอเวียรีบพูดว่า “โหวเยว่ แม่นางคนนั้นถูกแทงทะลุ
ตัว ถูกจุดสำคัญ ไม่มีทางรักษาได้แล้ว ข้าน้อย......
ข้าน้อยไม่ใช่เทพเจ้า ไม่สามารถทำให้นางฟิ้นคืนมา
ใหม่ได้นะขอรับ.....”
ผู้ช่วยที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “โหวเยว่ หมอเวีย
เป็นหมอที่ดีทสี่ ุดของเมืองเฉิงตู เขาพยายามอย่าง
ที่สุดแล้ว แต่ว่า......”
ฉีหนิงขาอ่อน รู้ว่าการที่หมอเวียพูดแบบนี้แล้ว ต่อให้
ฆ่าเขาให้ตาย ก็ไม่มีประโยชน์
“โหวเยว่ นาง......นางยังมีลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่
ท่าน......ท่านมีอะไรอยากจะพูดกับนางไหม.......”
หมอเวียเห็นดวงตาของฉีหนิงแดงก่ำ ก็รู้ว่าตอนนี้ฉี
หนิงรู้สึกยังไง
“ขอแค่ยังมีลมหายใจ ก็มีโอกาสรอดได้” ทันใด
นั้นเองก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นมา “ใครว่าบาดเจ็บที่
จุดสำคัญแล้วจะรักษาไม่ได้? หลักการแพทย์ มันก็คือ
การตายแล้วเกิดใหม่”
เสียงลอยมาอย่างกะทันหัน ทุกคนต่างตกใจแล้วหัน
ไปมอง ชายแก่ร่างเล็กอายุราวห้าสิบปีไม่รู้ว่าเข้ามาใน
โรงหมอได้ยังไง เขาสวมเสื้อผ้าขาด ๆ ที่เอวมีขวด
น้ำเต้าห้อยอยู่หนึ่งขวด ในมือถือถุงผ้าพาดบ่าอยู่หนึ่ง
ใบมองไปก็เหมือนกับขอทาน
“เจ้าเป็นใคร?” ผู้ช่วยเห็นขอทานมอมแมมบุกเข้ามา
ในโรงหมอ เขาก็ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “พูดเหลวไหล
อะไร ยังไม่รีบออกไปอีก”
ชายแก่ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไร้
ความสามารถเอง ยังจะมาเบ่งกล้ามอีก หากเป็นข้า
เมื่อสองปีก่อน เจ้าลุกจากเตียงไม่ได้แน่” เขาเดินไป
ยังห้องที่อี๋ฟูนอนอยู่
“เจ้าจะทำอะไร?” มีคนจะไปขวาง ฉีหนิงกลับพูดว่า
“อย่าขวางเขา”
ชายแก่พูดจาไม่ไว้หน้า แต่ว่าหมอเวียบอกว่าหมดทาง
ช่วยแล้ว ฉีหนิงคิดว่าขอแค่ยังมีหวังเขาจะไม่มีทาง
พลาดโอกาสนั้นแน่ เขายกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ผู้
อาวุโสท่านช่วยได้ใช่ไหม?”
ชายแก่ก็ไม่ได้พูดดี “ตอนนี้นางยังมีลมหายใจอยู่ ข้า
จะลองดู หากยังขวางทางอยู่แบบนี้ เสียเวลาไปอีก
หากนางหมดลมหายใจไปแล้ว ต่อให้ข้าเป็นเทพ ก็
ช่วยไม่ได้แล้ว” เขาเดินตรงเข้าไปในห้อง ชายแก่คน
นั้นเดินชนชายที่มาขวางไว้อย่างแรง ชายคนนั้นถึง
กลับร้อง “โอ้ย” ออกมา
ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าชายแก่คนนี้น่าจะไม่ธรรมดา
ถึงแม้ชายแก่คนนี้จะมาแบบกะทันหัน แต่ว่าในเมื่อยัง
มีโอกาส ฉีหนิงก็จะไม่ปล่อยมันไป เขาเดินตามชาย
แก่เข้ามาในห้อง
ชายแก่เดินตรงมาที่ริมเตียง เขามองไปทั่ว ๆ จากนั้น
ก็วางถุงผ้าเก่า ๆ ของเขาลง จากนั้นก็มองไปที่อี๋ฟู
แล้วก็ปลดขวดน้ำเต้าของเขาออกมา แล้วเหลือบไป
มองฉีหนิง แล้วสั่งว่า “ช่วยข้าเปิดปากนางที”
ฉีหนิงเองก็ไม่ลังเล นั่งลงริมเตียง แล้วเปิดปากของอี๋ฟู
อย่างระมัดระวัง ชายแก่เปิดจุดขวดน้ำเต้าออก
จากนั้นก็ป้อนน้ำนั่นเข้าปากของอี๋ฟูไป ฉีหนิงเดิมคิด
ว่าในขวดน้ำเต้านี่มันเป็นเหล้า แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้
กลิ่นของมมันแล้ว มันทั้งคาวและแสบจมูกมาก เขา
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นี่คืออะไร?”
ชายแก่ยิ้ม แต่ไม่ตอบ แต่ว่าหลังจากป้อนเข้าปากของ
อี๋ฟูแล้ว มันกลับติดนึบไปที่ปากของอี๋ฟู
ท่ามกลางแสงไฟ ฉีหนิงถึงได้เห็นใบหน้าของชายแก่
ชัด
เสื้อผ้าของเขามอมแมม ผมของเขาไม่ได้หวี มีผมขาว
เป็นย่อม ๆ ใบหน้าของเขาเรียบง่าย ถือว่าขี้เหร่
พอสมควร ดวงตาชั้นเดียวเล็ก ๆ แต่ว่าใบหน้าของ
เขาถึงจะดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คน
รู้สึกว่าน่ารังเกียจเลย
“ผู้อาวุโส ท่าน......ท่านช่วยอี๋ฟูได้จริง ๆ ใช่ไหม?”
เขารู้สึกว่าร่างกายของอี๋ฟูเย็นมาก แม้แต่ลมหายใจ
เขาก็สัมผัสมันไม่ถึง ฉีหนิงรู้สึกเครียดมาก
ชายแก่เงยหน้ามามอง แล้วพูดว่า “น่ารำคาญจริง
หากเป็นข้าเมื่อสองปีก่อน แล้วเจ้ามาพูดแบบนี้ เจ้า
คงได้ลุกจากเตียงไม่ได้แน่ หากนางไม่มีทางรอดแล้ว
ข้าจะเปลืองน้ำทิพย์เซียนของข้าทำไมให้เสียเวลา”
“น้ำทิพย์เซียน?” ฉีหนิงตะลึงไป “น้ำทิพย์เซียนมัน
คืออะไร?”
ชายแก่ยิ้มแล้วพูดว่า “น้ำทิพย์เซียนก็คือน้ำทิพย์
เซียน......” เขาเขยิบเข้าใกล้ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ถ้าข้า
บอกว่าข้าขโมยมาจากสวรรค์ เจ้าจะเชื่อไหม?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เชื่อ”
ชายแก่หัวเราะร่าออกมา ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงอี๋
ฟูไอ เหมือนจะสำลักน้ำทิพย์เซียน ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็
ดีใจมาก ชายแก่เก็บขวดน้ำเต้า แล้วหยิบยาเม็ดสีดำ
ออกมา แล้วป้อนเข้าปากของอี๋ฟูไป
จะว่าไปแล้วก็แปลก อีฟ๋ ูไออยู่พักใหญ่ แต่พอกินยา
เข้าไป ก็หยุดลงทันที
ชายแก่หันหน้ากลับไป เห็นหมอเวียกับลูกมือสองคน
ยืนมองงง ๆ อยู่ไม่ไกล ชายแก่ก็กวักมือแล้วพูดว่า
“เจ้าชื่อเวียชิงอวิ๋นใช่ไหม? ฝีมือการแพทย์เจ้าไม่เลว
เลย มาช่วยข้าดีกว่า”
เวียชิงอวิ๋นขมวดคิ้ว
อายุของเขากับชายแก่นี่พอ ๆ กัน อีกทั้งเขายังเป็น
หมอมือดีที่สุดในเมืองเฉิงตู ปกติเหล่าขุนนางเจอเขา
ยังต้องให้เกียรติเขาเลย
เขาเป็นคนก่อตั้งโรงหมอเทียนโซ่ว อีกทั้งยังเป็นหมอ
ใหญ่ของที่นี่ด้วย ปกติให้ลูกศิษย์เป็นคนรักษา
นอกจากอาการรุนแรงมากเท่านั้นเขาถึงจะลงมือ
ตรวจเอง หากวันนี้ไม่ใช่เพราะจิ่นอีโหวมาด้วยตัวเอง
เขาก็คงไม่ออกหน้า
แต่ว่าจู่ ๆ มีขอทานโผล่เข้ามา แล้วท่าทางเหมือน
เหนือกว่าเขาทุกอย่าง ทำให้เวียชิงอวิ๋นรู้สึกสงสัย
ตอนนี้เห็นชายแก่เรียกชื่อของเขา ก็รู้สึกอคติ แต่
ว่าจิ่นอีโหวอยู่ตรงนี้ ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เขาเดินหน้า
ขึ้นมา แล้วถามว่า “จะให้ข้าทำอะไร?”
“ทำอะไร?” ชายแก่เหลือบไปมอง “หากเป็นข้าเมื่อ
สองปีก่อน เจ้าลุกจากเตียงไม่ได้แน่ เจ้าเป็นหมอ เป็น
หมอต้องทำอะไรล่ะ? ก็ต้องช่วยคนไข้สิ” จากนั้นเขา
ก็กวักมือเรียกผู้ช่วยของเขาอีกสองคน “พวกเจ้า
ออกไป ฝีมือยังไม่ถึงขั้น เดี๋ยวจะเสียเรื่อง” จากนั้นก็
มองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าก็ด้วย ออกไปรอก่อน
หากข้ายังไม่ออกไป ห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด”
ฉีหนิงอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ยกมือคำนับแล้วพูดว่า
“รบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว” เขาหันไปยกมือให้เวียชิ
งอวิ๋นแล้วพูดว่า “ท่านหมอเวีย รบกวนท่านช่วยอย่าง
เต็มที่ด้วยนะ หากอี๋ฟูปลอดภัย ข้าจะตอบแทนท่าน
อย่างแน่นอน”
เขารู้ดีว่า หากไม่แน่จริง คงไม่กล้ามา ถึงแม้ชายแก่
ขอทานนี่จะไม่มีที่มาที่ไป ทำอะไรแปลก ๆ แต่ในเมื่อ
เขากล้าทำแบบนี้ แสดงว่าเขาน่าจะมีความสามารถ
พอตัว ตอนนี้หวังพึ่งหมอเวียไม่ได้แล้ว คงต้องฝาก
ความหวังไว้ที่ชายแก่ขอทานนี่
แต่ว่าชายแก่ขอทานกลับให้เวียชิงอวิ๋นเป็นลูกมือ
แสดงว่าคนเดียวก็ยากที่จะรักษาได้ ต้องมีผู้ช่วย เขา
เห็นเวียชิงอวิ๋นท่าทางหยิ่ง เกรงว่ากลัวจะกระทบต่อ
การรักษาของอี๋ฟู ดังนั้นก็เลยขอบคุณเวียชิงอวิ๋น
ล่วงหน้า เขาอาจจะเห็นแก่หน้าเขาบ้าง
เวียชิงอวิ๋นถึงแม้จะไม่พอใจชายแก่นี่ แต่เมื่อจิ่นอีโหว
พูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็รีบยกมือคำนับแล้วพูดว่า “มิ
กล้า โหวเยว่โปรดวางใจ ช่วยคน เป็นหน้าที่ของข้าอยู่
แล้ว หากมีความหวัง ข้าน้อยจะทำอย่างเต็มที่”
ฉีหนิงพยักหน้า เขามองไปมองอี๋ฟู เห็นอี๋ฟูยังหน้าซีด
อยู่ เขาก็รู้สึกปวดใจมาก เขาหันหลังแล้วเดินออกไป
ในใจก็ได้แต่ภาวนา หวังว่าสวรรค์จะมีตา ไม่ว่ายังไงก็
ขอให้อี๋ฟูฟื้นกลับมาให้ได้
ฉีหนิงกลับไปนั่งรอที่ห้องพักด้านข้างเหมือนเดิม ในใจ
ของเขารู้สึกหวาดกลัว ไม่นานเขาก็เห็นเวียชิงอวิ๋นอ
อกมา แล้วเรียกลูกศิษย์ของเขามา สั่งอะไรบางอย่าง
ศิษย์ของเขาก็รีบออกไป จากนั้นก็ไปเอาตะเกียงมาก
เวียชิงอวิ๋นรับมา หลังจากนั้นลูกศิษย์ของเขาก็ออกไป
ไม่นานนัก พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับน้ำอีกคนละ
สองถัง ไอความร้อนลอยขึ้นมา ด้านในมันคือน้ำอุ่น
เวียชิงอวิ๋นรับน้ำอุ่นไปสี่ถัง จากนั้นก็ปิดประตู
ฉีหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาของเขาจ้องไปที่ประตู
ตลอดเวลา ตอนนี้เขาก็ไม่มีใจจะไปคิดถึงเรื่องที่เจอ
ลอบสังหารในวันนี้ ก็ไม่สนใจว่าชายแก่ที่มาจะเป็น
ใคร เขาหวังแค่เมื่อพวกเขาออกมาจากห้อง เขาจะได้
ยินว่าอี๋ฟูปลอดภัยแล้วเท่านั้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 403 ไม่มีหลักฐานการตาย
ฉีหนิงรออยู่ที่ห้องรับรองด้านข้างครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็
ได้ยินเสียงของเวียชิงอวิ๋นร้องดังมา “เจ้าคิดจะทำ
อะไร?”
เสียงของเวียชิงอวิ๋นเหมือนจะตกใจมาก ฉีหนิงรีบ
ลุกขึ้นมา เขาขมวดคิ้ว แล้วเดินไปที่หน้าประตู แต่
พอนึกถึงชายแก่ขอทานบอกไว้ว่าห้ามรบกวน
เด็ดขาด เขาก็เลยเก็บมือกลับมา
เขาลังเล สุดท้ายก็กลับไปนั่งลงที่เก้าอี้
ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ภายในห้องก็เหมือนไม่มีความ
เคลื่อนไหวอะไร แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าคนเร่งเดิน
เข้ามา เป็นฉีเฟิงกับองครักษ์อีกสองคนนั่งเอง
“โหวเยว่” เห็นฉีหนิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ฉีเฟิงก็รีบเดินเข้า
มา
ฉีหนิงเห็นพวกฉีเฟิงเดินเข้ามา ก็ยกมือไม่ให้เสียงดัง
ฉีเฟิงพูดว่า “โหวเยว่ ข้าได้ยินว่าเรือนเจียนเจียมี
คนร้าย โหวเยว่ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข่าวแพร่ไปไวขนาดนี้เลย
หรอ?”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “หลังจากเหล่าขุนนาง
ออกมาจากเรือนเจียนเจีย ก็หนีกระเจิดกระเจิง
ตอนนี้ทั่วทั้งถนนรู้กันหมดแล้วว่าเรือนเจียนเจียเกิด
เรื่อง นักฆ่านั่นหมายจะปองร้ายท่านอ๋องกับโหวเยว่
ข้าเจอขุนนางสองคน ก็เลยถามเขา ก็เลยรู้ว่าโหว
เยว่อยู่ที่นี่ ก็เลยรีบมา” เขามองฉีหนิง เห็นบนตัวฉี
หนิงมีคราบเลือด ก็รีบถามว่า “” โหวเยว่ ท่าน
......?"
“ข้าไม่เป็นไร” รอยเลือดบนตัวเขามาจากตอนที่เขา
อุ้มอี๋ฟู เขาจ้องไปที่บานประตู “อี๋ฟูถูกทำร้ายได้รับ
บาดเจ็บ กำลังช่วยชีวิตอยู่”
ทุกคนตะลึงไป ฉีเฟิงสีหน้าเปลี่ยน “กล้าบุกเข้ามา
ลงมือถึงในเรือนเจียนเจีย บังอาจมากเกินไปแล้ว”
“เจ้าพอได้ข่าวสถานการณ์ของเรือนเจียนเจียบ้าง
ไหม?” ฉีหนิงถาม
ตอนที่เขาออกมาจากเรือนเจียนเจีย เขาคิดถึงแต่
ความปลอดภัยของอี๋ฟู ไม่ได้นึกถึงผลลัพธ์ของนักฆ่า
เลย เขาไม่มีเวลาไปสนใจ
ฉีเฟิงพูดว่า “เรือนเจียนเจียวุ่นวายมาก ได้ยินว่าสู่
อ๋องบาดเจ็บ ถูกคนคุ้มกันออกจากเรือนเจียนเจียไป
แล้ว ส่วนเรือนเจียนเจียถูกปิดล้อม เหมือนกำลัง
ค้นหาว่ามีนักฆ่าซ่อนตัวอีกหรือเปล่า” เขาหยุดไป
แล้วพูดว่า “ได้ยินว่ามีนักฆ่าทั้งหมดสามคน สองคน
ถูกสังหาร อีกคนฆ่าตัวตาย”
“ตายทั้งหมดเลยหรอ?” ฉีหนิงพูดอย่างเรียบ ๆ
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้ถามมาแล้ว บอกว่า
ตายทั้งหมด แต่บางคนก็บอกว่าไม่แน่ใจ
สถานการณ์เป็นยังไง ข้าน้อยเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
โหวเยว่ ท่านจะลองไปดูไหม?”
ฉีหนิงส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็น ไม่มีใคร
รอด นักฆ่าเป็นหรือตาย ไม่สำคัญ”
“ไม่สำคัญ?” ฉีเฟิงตะลึง “โหวเยว่ หากไม่มีใครรอด
เลย จะรู้ได้ยังไงว่าใครอยู่เบื้องหลัง?”
ฉีหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “ฉีเฟิง เรื่องอื่นเจ้ายังไม่ต้องไป
สนใจ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะต้องไปทำมี
เรื่องเดียวเท่านั้น”
“โหวเยว่ท่านหมายความว่า?”
“สะกดรอยตามคน ๆ หนึ่ง” ฉีหนิงพูดว่า “ยังไงเจ้า
ก็เป็นทหารองครักษ์ของจวนโหว ครั้งนี้เจ้าจะต้อง
จับตาความเคลื่อนไหวของคน ๆ นั้นให้อยู่มัด ไม่ว่า
เจ้าจะต้องใช้วิธีอะไรก็ตาม แต่ภายในสองวัน
จะต้องให้คำตอบกับข้า”
ฉีเฟิงเห็นฉีหนิงจริงจังมาก เลยรีบพูดว่า “โหวเยว่
ท่านวางใจได้ ขอแค่ท่านสั่งมา ต่อให้ต้องแหลก
เหลือแต่กระดูกข้าน้อยก็จะนำข้อมูลมาให้”
ฉีหนิงกวักมือให้เขาเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกระซิบที่ข้างหู
เขา ฉีเฟิงก็ไม่พูดมาก “โหวเยว่ ข้าจะไปจับตาดูเขา
ไม่ให้คลาดสายตาเลย” จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับอีก
สองคนว่า “พวกเจ้าสองคนคุ้มกันโหวเยว่ให้ดี อย่า
ให้โหวเยว่เป็นอะไรไปได้” จากนั้นก็ออกไปทันที
ฉีเฟิงเพิ่งเดินออกไป ก็มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดอยู่
ด้านหน้า ทหารกลุ่มหนึ่งมาเฝ้ารอบโรงหมอ จากนั้น
ก็เห็นเหว่ยซูถงรีบเดินเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นฉีหนิง
ก็รีบพูดว่า “โหวเยว่ ท่านเป็นยังไงบ้าง?” จากนั้นก็
หันไปพูดว่า “รีบเข้ามา”
จากนั้นก็เห็นคนที่แต่งกายเป็นหมอหลายคนเดินเข้า
มา เหว่ยซูถงพูดว่า “โหวเยว่ คนพวกนี้ข้าน้อยได้สั่ง
ให้พวกเขามา มีมาก อาจจะ......”
ฉีหนิงยกมือแล้วพูดว่า “รบกวนไต้เท้าเหว่ยที่ทำให้
เป็นห่วง ท่านหมอเวียกำลังรักษาอยู่ คนอื่นไม่ต้อง
แล้วล่ะ”
เขารู้ดีว่า ที่เหว่ยซูถงพาหมอมาหลายคน ก็แค่
อยากจะแสดงความกลัว เวียชิงอวิ๋นเป็นหมดมือดี
ที่สุดในเมืองเฉิงตู หากแม้แต่เขาก็ช่วยไม่ได้ มีหมอ
มาหลายคนก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตอนนี้ก็มีชายแก่
ขอทานช่วยอยู่ อีกทั้งก็พอมีหวัง ฉีหนิงไม่มีทางยอม
ให้ใครรบกวนแน่นอน
เหว่ยซูถงลังเล แล้วหันหลังสั่งให้พวกเขากลับไป
แล้วถึงนั่งลงข้าง ๆ ฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหว
เยว่ ข้าน้อยบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ได้คุ้มกันให้ดี มี
โทษควรตาย......”
ฉีหนิงยกมือขัด “ไต้เท้าเหว่ย ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูด
เรื่องนี้ สู่อ๋องเป็นยังไงบ้าง?”
เหว่ยซูถงสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องถูก
แทงเขาที่หัวไหล่ ตอนนี้ได้คุ้มกันไปรักษาที่จวน
แล้ว”
“ไต้เท้าเหว่ย นักม่าล่ะ?” ฉีหนิงดวงตาแดง แต่สี
หน้ายังนิ่งอยู่ น้ำเสียงของเขานิ่ง “ได้ยินว่าตาย
หมดแล้วหรอ?”
เหว่ยซูถงพูดว่า “เดิมคิดจะจับเป็น แต่ว่า......พวก
เขาขัดขืน มีสองคนถูกสังหารทันที อีกคนหนึ่งถูก
ล้อมไว้แล้ว แต่จู่ ๆ เขาก็ล้มลงตายทันที หลังจาก
เข้าไปตรวจสอบศพ ถึงได้รู้ว่าในปากของเขามียาพิษ
อยู่ เขากัดยาพิษนั้นฆ่าตัวตาย”
ฉีหนิงยิ้มแปลก ๆ “ถ้าอย่างนั้น นักฆ่าสามคนก็ตาย
อยู่ที่เรือนเจียนเจียหมดเลยสินะ ไม่มีหลักฐานใน
การตาย?”
เหว่ยซูถงสีหน้าไม่ดีเลย เขาพยักหน้า “โหวเยว่
โปรดวางใจ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าน้อยจะหาตัวคนร้าย
มารับโทษให้ได้”
“นักฆ่าพวกนี้ร้ายกาจมากเลยนะ” ฉีหนิงพูดว่า
“เรือนเจียนเจียน่าจะมีการตรวจสอบก่อนแล้ว อีก
ทั้งข้าเองก็เห็นว่าที่นั่นมีทหารอยู่เยอะแยะเต็มไป
หมด คิดไม่ถึงเลยว่า นักฆ่าพวกนั้นยังสามารถบุก
เข้ามาได้อีก ดูท่าทางแล้วเมืองเฉิงตูนี่อันตรายจริง ๆ
เลยนะ”
เหว่ยซูถงเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก “โหวเยว่ เป็น
ความบกพร่องของข้าน้อยเอง......”
ฉีหนิงไม่ได้สนใจ เขาถามต่อว่า “ไต้เท้าเหว่ย ท่าน
ว่าเป้าหมายของนักฆ่านั่นคือใคร? สู่อ๋อง หรือว่า
ข้า?”
เหว่ยซูถงคิดแล้วพูดว่า “ข้าน้อยคิดว่านักฆ่าน่าจะมี
เป้าหมายทั้งท่านอ๋องและโหวเยว่ พวกเขาเหมือนมี
การวางแผนเอาไว้แล้ว”
“หากข้าไม่ได้พอมีวิชาติดตัวอยู่บ้าง อีกทั้งอี๋ฟูยัง
ช่วยบังดาบให้ข้า ตอนนี้ข้าคงตายไปแล้ว” ฉีหนิง
พูดว่า “ที่ซีชวนมีคนเห็นข้าเป็นศัตรูเต็มไปหมดเลย
หรือไง?”
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “โหวเยว่ ระหว่างทางที่มาที่นี่
ข้าน้อยได้นึกถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อคืน” เขาหยุดไป
แล้วพูดว่า “นักฆ่าที่เรือนเจียนเจีย อาจจะมีความ
เกี่ยวข้องกับนักฆ่าปาดคอ คนพวกนั้นอาจจะเป็น
คนของกลุ่มนรกภูมิก็ได้”
“นรกภูมิ?”
“ถูกต้อง” เหว่ยซูถงพูดว่า “กลุ่มนรกภูมิคิด
อยากจะก่อความวุ่นวายในซีชวน ก่อนหน้านี้ลอบ
สังหารสู่อ๋องเขาพลาดไป แต่ว่าพวกเขาคงไม่ยอม
แพ้ คงได้ข่าวงานเลี้ยงที่เรือนเจียนเจียในคืนนี้ เลย
ลอบเข้าไปในเรือน ข้าน้อยได้สั่งให้คนไปสืบเรื่อง
ของนรกภูมิ เมื่อมีข่าว จะมารายงานให้โหวเยว่
มาก”
ฉีหนิงรู้สึกขำ แอบคิดในใจว่าหากเป็นนักฆ่าของ
นรกภูมิ หากพวกเขาอยากจะซ่อนตัว เจ้าจะตาม
เจอได้ยังไงกัน? นรกภูมอาศัยในซีชวนมานานแล้ว
แต่ว่าซีชวนชื่อสื่อกลับไม่รู้เรื่องเลย ตอนนี้จะ
มาตามหาร่องรอย มันไม่แปลกไปหน่อยหรอ
“ไต้เท้าเหว่ย ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านช่วยตามหา
ตัวคนร้ายด้วยล่ะกันนะ” ฉีหนิงนิ่งมาก แต่ว่ากลับมี
รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจนน่ากลัว “หากเจ้ารู้จักจวน
จิ่นอีโหว ก็น่าจะรู้หลักการของจิ่นอีโหวตระกูลฉี
ด้วย มีหนี้ต้องชดใช้ ดาบของข้าเตรียมเอาไว้
เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้รอฆ่าคนเพียงอย่างเดียว”
ถึงแม้เหว่ยซูถงจะกำลังเผชิญหน้ากับหนุ่มน้อยโหว
เยว่ แต่ว่าสายตาของฉีหนิงที่มองเขานั้น มันทำให้
เขาทำตัวไม่ถูก เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยจะทำ
อย่างเต็มที่ โหวเยว่ ข้าน้อยได้สั่งให้ทหารมาคุ้มกัน
ทีน่ ี่ไว้แล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน”
“ไม่ต้อง” ฉีหนิงพูดว่า “เรือนเจียนเจียเองทหารก็
มากมา ข้าก็ยังถูกลอบสังหารอยู่ดีไม่ใช่หรือไง มี
พวกเขาอยู่ก็ไม่มีประโยชน์” จากนั้นเขาก็กวักมือให้
เหว่ยซูถงเข้ามาใกล้
เหว่ยซูถงลังเล แต่ก็เดินเข้ามา ฉีหนิงยิ้มแปลก แล้ว
พูดว่า “ไต้เท้าเหว่ย เจ้าเชื่อไหมว่า หากข้าเอาชีวิต
มาทิ้งที่นี่ ใครจะเป็นคนแรกที่ตาย?”
“ข้าน้อย......ข้าน้อยไม่ทราบ”
“อย่าลืมนะว่า ถึงแม้ท่านพ่อของข้าจะสิ้นไปแล้ว
แต่ว่าตระกูลฉีของเรายังอยู่” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าบอก
เจ้าตรง ๆ เลยก็ได้นะ ตระกูลฉีจะฆ่าคน ไม่
จำเป็นต้องทำเปิดเผย หากข้าตายอยู่ที่นี่ คนที่จะ
ตายเป็นคนแรกก็คือไต้เท้าเหว่ย”
เหว่ยซูถงสะดุ้งแรงมาก
“ไต้เท้าเหว่ย เจ้าเป็นคนที่ราชสำนักส่งมา บนหัว
ของท่านยังมีคนที่เหนือกว่านะ” ฉีหนิงพูดว่า “ก็
เหมือนข้า ที่บนหัวของข้าก็มีคนที่เหนือกว่าเช่นกัน”
เหว่ยซูถงพยายามฝืนยิ้ม แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้า
น้อย......”
“เจ้าจะฟังเข้าใจไหม มันเรื่องของเจ้า” ฉีหนิงพูดว่า
“พาทหารของเจ้ากลับไป อย่ามารบกวนที่นี่อีก”
เขาชี้ไปที่ห้องที่ปิดอยู่ “ในห้องนั้นกำลังช่วยชีวิตคน
อยู่ หลายชีวิตขึ้นอยู่กับที่นั่น หากอี๋ฟูเป็นอะไรไป
ข้ารับรองได้ว่า จะต้องมีคนฝังไปพร้อมกับนางด้วย
แน่นอน”
เหว่ยซูถงฝืนยิ้ม ยกมือคำนับ แล้วรีบสั่งให้ทหาร
กลับไปให้หมด
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขามองไปที่ทหาร
องครักษ์สองคน “โจวซุ่น เจ้าเพิ่งจะหายดี เจ้า
กลับไปพักก่อนเถอะ ไม่ต้องมาเฝ้าหรอก”
โจวซุ่นเห็นฉีหนิงเป็นห่วงเป็นใยตัวเขา เขารู้สึก
ซาบซึ้งใจมาก “โหวเยว่ ข้าน้อยแข็งแรงดี อาการดี
ขึ้นมาแล้ว โหวเยว่ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ขอแค่แม่นาง
อี๋ฟูปลอดภัยก็พอ”
ฉีหนิงพยักหน้า ทันใดนั้นเปิดออก เห็นเวีย
ชิงอวิ๋นยกถังน้ำออกมา เขาปิดจมูกเอาไว้ผืนหนึ่ง
แล้วพูดว่า “ไปหยิบเหล้ามาไหหนึ่ง แล้วน้ำสะอาด
อีกสองถัง”
มีคนมารับถังไม้มา ฉีหนิงรีบเดินไปหา แล้วถามว่า
“ท่านหมอเวีย เป็นยังไงบ้าง?” เห็นประตูยังเปิดอยู่
มีกลิ่นคาวเลือดโชยมา เขาไม่ได้ที่จะมองไป สีหน้า
ของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหลุดพูดว่า “พวกเจ้า......
พวกเจ้าทำอะไรกัน?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 404 ไปมาไร้ร่องรอย
ฉีหนิงมองเห็นภายในห้องมีควันสีขาวเต็มห้องไป
หมด อี๋ฟูนอนอยู่บนเตียง ที่ช่องทางเหมือนถูกเปิด
ออก ช่องท้องมีเลือดไหลมาเป็นจำนวนมาก ชายแก่
กำลังใช้มีดรูปร่างหน้าตาแปลก ๆ สวมใส่ถุงมือ เมื่อ
ได้ยินเสียงฉีหนิง ก็หันมามอง เขาสวมผ้าปิดปาก
เขาโบกมือแล้วพูดว่า “ปิดประตู ใครก็ห้ามเข้ามา”
เวียชิงอวิ๋นพูดว่า “โหวเยว่ ท่านรอสักครู่” เขาพูด
จบก็ปิดประตู
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขาลังเล แล้วเดินกลับไปนั่ง
เหมือนเดิม
คราวนี้นั่งที ก็รอเป็นสองชั่วยาม เวียชิงอวิ๋นจะเปิด
ประตูมาเอาของบ้าง ลูกมือทั้งสองคนของเขาก็วิ่งไป
วิ่งมาหลายรอบ
ดึกมากแล้ว ในที่สุดประตูห้องก็เปิดออก เวียชิงอวิ๋
นเดินออกมาคนแรก เขาอายุไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่
ว่าตอนนี้สีหน้าของเขาดูเหนื่อยล้ามาก ฉีหนิงรีบเดิน
ขึ้นไปหา ยังไม่ทันพูดอะไร เวียชิงอวิ๋นก็พูดว่า “โหว
เยว่ ท่านไม่ต้องร้อนใจไป แม่นางคนนั้นรอดแล้ว”
ฉีหนิงดีใจมาก จากนั้นเขาก็เห็นชายแก่เดินออกมา
เขาถอดถุงมือกับหน้ากากออกแล้ว ขวดน้ำเต้า
แขวนไว้ที่เอวเหมือนเดิม แบกถุงเอาไว้บนบ่า
“ผู้อาวุโส......” ฉีหนิงรีบยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ผู้น้อง
ขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่......”
“ชื่อของข้าไม่สำคัญหรอก” ชายแก่ยิ้มแล้วพูดว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วง คนรอดแล้ว แต่ว่าหากครั้งต่อไป
ยังถูกแทงแบบนี้อีก ข้าคงมาช่วยไม่ทันนะ”
“ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่า......อี๋ฟูไม่เป็นอะไร
แล้วใช่ไหม?”
ชายแก่ไม่ได้พูดดีด้วย “วิชาแพทย์มีไว้ช่วยชีวิตคน
หรือว่าจะเอามาฆ่าคนหรือไง? หากเป็นเมื่อสองปีที่
แล้ว เจ้าลุกจากเตียงไม่ได้แน่ ข้าใช่เวลาตั้งสามชั่ว
ยาม หากนางไม่รอด แสดงว่าสวรรค์ต้องการชีวิต
นางแล้ว” เขายกมือ “ช่างเถอะ ข้ายังมีเรื่องที่ต้อง
ไปทำ ไม่พูดมากกับเจ้าแล้ว” เขาหันหลังแล้วเดินไป
ฉีหนหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าคน ๆ นี้จู่ ๆจะโผล่มา
หลังจากช่วยคนแล้ว ก็จะไปเลย เขารีบพูดว่า “ผู้
อาวุโสอย่าเพิ่งรีบไป”
“ทำไม ยังมีคนต้องการให้ช่วยอีกหรือ?” ชายแก่ยิ้ม
แล้วถาม
ฉีหนิงพูดว่า “ผู้อาวุโสช่วยชีวิตอี๋ฟูไว้ ผู้น้อยซาบซึ้ง
ใจนัก ไม่ว่ายังไง ท่านได้โปรดทิ้งชื่อแซ่ของท่าน
เอาไว้ได้ไหม”
ชายแก่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าก็อย่า
คิดว่าข้าจะว่างมาช่วยชีวิตคนให้เจ้าโดยเฉพาะ เจ้า
แค่โชคดี ที่ช่วงนี้ข้าอยู่ที่เมืองเฉิงตูพอดี หากข้าไม่
ได้มาเจอเข้า นางตายแน่นอน”
“ถูกแล้ว” ฉีหนิงพยักหน้า “หากไม่ใช่เพราะท่านผู้
อาวุโส อี๋ฟูคงไม่รอดแน่”
ชายแก่พูดว่า “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปทำ อยู่ต่อไม่ได้
แล้ว จริงสิ ถังนั่วน้อยยังอยู่กับเจ้าใช่ไหม? ดูแลนาง
ให้ดี หากเจ้าทำให้นางบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ข้าจะ
ไม่ปล่อยเจ้าไปแน่” พูดจบ เขาก็เดินไปเลย
ฉีหนิงสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมาอีกทีชายแก่ก็เดินไปที่
ประตูแล้ว เขารีบพูดว่า “ผู้อาวุโสแซ่หลีใช่ไหม?”
ชายแก่ไม่ได้ตอบอะไร เขาดูอ้วน ๆ เตี้ย ๆ แต่ว่าเขา
เดินได้ไวมาก ฉีหนิงตามออกมานอกประตู แต่ว่าเขา
ก็หายไปแล้ว
ฉีหนิงตะลึงไป แอบคิดในจ่าชายแก่นี่ว่องไวมาก แต่
ว่าในใจของเขาตอนนี้รู้แล้วว่า ชายแก่คนนี้น่าจะ
เป็นผู้เฒ่าหลีอาจารย์ของถังนั่ว
คน ๆ นี้รู้ว่าถังนั่วอยู่กับเขา แสดงว่าข่าวคราวก็ถือ
ว่ารวดเร็วใช้ได้
เมื่อนึดถึงอี๋ฟู ฉีหนิงก็รีบกลับไปที่ห้อง เห็นอี๋ฟูนอน
อยู่ที่เตียงไม้ มีผ้าห่มคลุมตัวอยู่ ฉีหนิงยื่นมือไปจับ
หน้าผากของอี๋ฟู ถึงแม้สีหน้าของนางจะซีดเซียว แต่
ว่าตัวของนางไม่เย็นแล้ว แต่ว่ายังคงสลบอยู่
“โหวเยว่ คน ๆนั้นให้แม่นางคนนี้กินยาไปหลายเม็ด
แม่นางคนนี้อาจจะต้องหลับไปอีกสักระยะหนึ่ง”
เวียชิงอวิ๋นพูดอย่างนอบน้อมว่า “ท่านหมอคนนั้น
วิชาแพทย์ล้ำเลิศ หาได้ยากจริง ๆ”
ฉีหนิงคิดว่าวิชาแพทย์ของถังนั่วยอดเยี่ยมมาก
อาจารย์ของนางก็ไม่ต้องพูดถึง คิดไม่ถึงเลยว่าท่านผู้
เฒ่าหลีจะมาได้ทันเวลา สวรรค์เห็นใจเขาจริง ๆ
“ข้าพานางกลับตอนนี้เลยได้ไหม?” ฉีหนิงถาม
เวียชิงอวิ๋นพูดว่า “ท่านหมอคนนั้นกำชับไว้ว่า ต้อง
ให้นางนอนอยู่อย่างนี้ก่อนสามชั่วยามอย่าขยับ ทุก
สามชั่วยาม ต้องให้นางกินยาด้วย” เขายื่นขวดยาให้
ด้วยสองมือ “โหวเยว่ ในนี่คือยาเม็ด แม่นางคนนี้
สามชั่วยามต้องกินหนึ่งเม็ด หลังจากผ่านไปสิบสอง
ชั่วยามแล้ว นางก็จะปลอดภัย พักอีกสักสิบวัน นาง
ก็จะหายดี ยานี้เข้าปากก็จะละลายเลย สะดวก
มาก”
ฉีหนิงรับยามา แล้วพูดว่า “ท่านหมอเวีย ลำบาก
ท่านแล้วนะ” เขารับขวดยามา แล้วหยิบตั๋วเงิน
ออกมา เขาไม่ได้สนใจว่าให้ไปเท่าไหร่ แล้วยัดไปให้
เขา “น้ำใจเล็กน้อย ท่านรับไว้นะ”
เวียชิงอวิ๋นเห็นฉีหนิงจ่ายหนัก ก็ไม่กล้ารับ เขารีบ
พูดว่า “มิกล้า โหวเยว่ คนที่ช่วยแม่นางคนนั้นคือ
ท่านหมอคนนั้น ข้าน้อยแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ ท่านหมอ
พูดไม่ผิด ช่วยคน เป็นหน้าที่ของข้า โหวเยว่จะให้
รางวัล ข้าน้อยรับไม่ได้จริง ๆ”
“เจ้าก็อย่าปฏิเสธเลย” ฉีหนิงหยิบตั๋วเงินมาสองใบ
“พวกเจ้ายืนช่วยอยู่ข้าง ๆ ข้าก็เห็นอยู่ ลูกศิษย์เจ้า
สองคนก็ออกแรงไม่น้อย เจ้าช่วยข้าตบรางวัลแทน
ข้าด้วยล่ะกัน”
เวียชิงอวิ๋นเห็นฉีหนิงยืนยัน เขารับมาด้วยสองมือ
“ขอบคุณโหวเยว่” ศิษย์ด้านข้างสองคนก็คำนับด้วย
เช่นกัน “ขอบคุณโหวเยว่”
ฉีหนิงพูดว่า “อี๋ฟูตอนนี้ยังขยับตัวไม่ได้ ต้องรอ
จนถึงเช้าถึงจะไปได้ ท่านหมอเวีย รบกวนท่านดูแล
นางไปพร้อมกับข้าด้วยแล้วกัน พอฟ้าสางแล้ว ข้าก็
พานางกลับ”
เวียชิงอวิ๋นพูดว่า “ได้ได้ได้”
ฉีหนิงรู้ว่าอี๋ฟูปลอดภัยแล้ว เขาก็โล่งใจ เมื่อเวีย
ชิงอวิ๋นได้รับรางวัล อีกทั้งจิ่นอีโหวก็มาที่ร้านของเขา
ด้วยตัวเอง เขารีบสั่งให้เตรียมอาหารไว้อย่างดี
ฉีหนิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ งานเลี้ยงไม่คืนแทบจะไม่ได้กิน
อะไรเลย พอเขานั่งลง เขาก็เรียกพวกของโจวซุ่นมา
นั่งกินด้วย เวียชิงอวิ๋นเดิมอยู่ข้าง ๆ แต่ฉีหนิงก็เรียก
เขามานั่งด้วยกัน เวียชิงอวิ๋นจะไปกล้านั่งร่วมโต๊ะ
กับจิ่นอีโหวได้ยังไง เขาเลยนั่งแค่ครึ่งก้น
“ท่านหมอเวีย เรื่องของสู่อ๋องซื่อจื่อเมื่อวานนี้เจ้ารู้
หรือเปล่า?” ฉีหนิงยิ้มแล้วถาม “เขาถูกท่านสู่อ๋อง
โบยอย่างหนัก ต่อมาได้เชิญท่านหมอมาดูอาการ
เจ้าเป็นหมอที่ดีที่สุดของเมืองเฉิงตู เจ้าไม่ได้ไปดู
อาการให้เขาหรอ?”
“ดูอาการหรอ?” เวียชิงอวิ๋นตกใจ เหมือนจะไม่รู้
เรื่องนี้มาก่อน “ข้าน้อยไม่รู้เรื่องนี้เลย”
“ปกติแล้วทางจวนสู่อ๋องหากมีอะไร ก็จะต้องมา
ตามเจ้าตรวจหรอ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วถาม
เวียชิงอวิ๋นพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอย่างได้ใจ “โหว
เยว่ ปกติแล้วข้าน้อยไปที่จวนสู่อ๋องบ่อยมาก ในจวน
ของท่านอ๋องหากมีใครป่วยไข้ ข้าน้อยจะเป็นคน
ตรวจเองทุกครั้ง เว้นเสียแต่ข้าน้อยจะไม่ได้อยู่ใน
เมืองเฉิงตู”
“อย่างนี้นี่เอง สู่อ๋องซื่อจื่อถูกโบย เจ้าไม่ได้เป็นคน
ไปรักษาหรอ?” ฉีหนิงถาม
เวียชิงอวิ๋นขมวดคิ้ว “โหวเยว่ ซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บ
หรอ? แต่ว่าเมื่อวานนี้ข้าน้อยได้ยินมาว่าซื่อจื่อไปดู
ละครที่โรงละครอยู่เลยนะ ยังตบรางวัลเป็นทองคำ
สองแท่งอีกด้วย”
“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นเมื่อคืน?” ฉีหนิงสีหน้า
เหมือนเดิม
เวียชิงอวิ๋นพยักหน้า “ไม่ผิดแน่ ซื่อจื่อกับท่านอ๋อง
ชอบดูละครมาก เพียงแต่ว่าท่านอ๋องไม่ค่อยออก
จากจวนเท่าไหร่ จะดูอยู่ในจวนเท่านั้น ซื่อจื่อไม่ช
อบอยู่แต่ในจวน ชอบออกมาเที่ยวเล่นนอกจวน อีก
ทั้งซื่อจื่อยังอายุน้อย ก็มักที่จะ......” เหมือนรู้สึกว่า
พูดมากเกินไป เลยหยุด
ฉีหนิงยิ้ม แต่สายตาของเขาเป็นประกาย
เช้าวันต่อมา ฉีหนิงป้อนนาให้อี๋ฟู แน่ใจแล้วว่าอี๋ฟู
ขยับตัวได้แล้ว ถึงได้อุ้มอี๋ฟูขึ้นอย่างระมัดระวัง โดย
มีโจวซุ่นช่วยประคอง เขาอุ้มอี๋ฟูขึ้นรถม้า แล้วสั่งให้
คนขับรถม้าขับไปอย่างช้า ๆ ไปจนถึงเรือนรับรอง
จากนั้นเขาก็อุ้มอี๋ฟูกลับเข้าห้องไป
ฉีหนิงเอาเก้าอี้มานั่งที่ริมเตียง แล้วมองไปที่อี๋ฟูที่
กำลังหลับอยู่ เมื่อเห็นสีหน้าอี๋ฟูเริ่มมีเลือดฝาดแล้ว
ก็เบาใจ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินโจวซุ่นมารายงานว่า “โหวเยว่
ฉางสื่อของจวนสู่อ๋องมาขอพบขอรับ”
ฉีหนิงพูดว่า “ไปบอกเขา สองวันนี้ข้าไม่พบใคร
ทั้งนั้น ไว้ข้าจะไปเยี่ยมท่านอ๋องด้วยตัวเอง ฝาก
เรียนท่านอ๋องด้วยว่า ขอให้ท่านอ๋องหายไว ๆ”
โจวซุ่นรับคำแล้วออกไป ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึง
กลับมารายงานว่า “โหวเยว่ ซีเหมินฉางสื่อบอกว่า
ท่านสู่อ๋องเป็นห่วงอาการของแม่นางอี๋ฟูมาก เดิมจะ
มาเยี่ยมด้วยตัวเอง แต่ว่ารักษาตัวอยู่มาไม่ได้ บอก
ว่าถ้าหายดีแล้วจะมาเยี่ยมอีกที ซีเหมินฉางสื่อยังให้
มาเรียนโหวเยว่ด้วยว่า ท่านสู่อ๋องได้สั่งให้คนออก
ตามล่าตัวคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แล้ว จะมีคำตอบ
ให้กับโหวเยว่แน่นอน เขายังเอาของขวัญมาด้วย”
ฉีหนิงพูดว่า “รู้แล้ว พวกเจ้าเฝ้าอยู่ด้านนอก หากไม่
มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามาในเรือนรับรองเด็ดขาด”
เขายิ้มอย่างแปลก ๆ
ฉีหนิงนั่งเฝ้าอี๋ฟูทั้งวัน ทุกสามชั่วยาม ก็จะป้อนยา
ให้นางหนึ่งเม็ด
เมื่อถึงกลางดึก ฉีหนิงนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ที่เก้าอี้
ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่ามือของเขาเย็น เขาระวังตัวอยู่
แล้ว ก็เลยลืมตาขึ้นมา เห็นอี๋ฟูลืมตามองเขาอยู่ มือ
ข้างหนึ่งของนางยื่นออกมาจากผ้าห่ม แล้วจับมาที่
มือของเขา ดวงตาอันสวยงามดวงนั้นกำลังจ้องมาที่
เขา
ฉีหนิงเห็นอี๋ฟูฟื้นขึ้นมา เขาดีใจมาก รีบจับมือของ
นางเอาไว้ แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “พี่อี๋ฟู เจ้า......
เจ้าฟื้นแล้ว ดี.......ดีจริง”
อี๋ฟูยังคงดูอ่อนเพลียมาก แต่นางกลับยิ้ม สายตา
ของนางดูทั้งรักและสงสารเขา นางพูดว่า “เจ้า......
ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้......เดี๋ยวก็......ไม่สบายหรอก
......”
ฉีหนิงขยับเข้ามาใกล้ แล้วจับมือของอี๋ฟู ยิ้มแล้วพูด
ว่า “ไม่เป็นอะไร ข้าแข็งแรงดี หนาวแค่ไหนก็ทำ
อะไรข้าไม่ได้หรอก พี่อี๋ฟู เจ้ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
“ข้า......ข้ารู้สึกขมปาก อีกทั้งยังรู้สึกว่ามันคาว......”
อี๋ฟูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้า......ข้ายังไม่ตายหรอ?”
“ยังไม่ตาย” ฉีหนิงเห็นอี๋ฟูพูดจาเริ่มมีแรง ในใจก็
รู้สึกนับถือผู้เฒ่าหลีมาก “เจ้าเพิ่งกินยาไป ปากก็
เลยรู้สึกขม ไม่เป็นไร ไว้เจ้าหายดีเมื่อไหร่ ข้าจะพา
เจ้าไปกินของหวานอร่อย ๆ นะ”
“ข้าหลับ......หลับไปนานแค่ไหน?” อี๋ฟูเห็นฟ้าด้าน
นอกหน้าต่างมืดสนิท “ข้าหลับไปนานมากเลยใช่
ไหม?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เปล่าเลย เจ้าหลับไปแค่
วันเดียว พี่อี๋ฟู เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วสวรรค์ไม่มีทาง
ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไป ก็เลยส่งเทพลงมาช่วยเจ้า”
“เทพ......?”
ฉีหนิงก็ไม่ได้ปิดนาง เล่าเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้นให้นาง
ฟัง อี๋ฟูฟังแล้วก็ตกใจ “มี......มีคนร้ายกาจแบบนี้
ด้วยหรอ......?” นางไอเล็กน้อย ฉีหนิงรีบพูดว่า
“อย่าเพิ่งพูดอีกเลย พักผ่อนก่อนนะ ท่านหมอบอก
ว่า เจ้าพักผ่อนแค่สิบวัน เจ้าก็จะหายดี”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงของฉีเฟิงดังมา “โหวเยว่
ข้าน้อยฉีเฟิง มีเรื่องมารายงาน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 405 จากลา
ฉีหนิงมองไปด้านนอก “รอเดี๋ยวนะ” เขาหันมาพูด
อย่างอ่อนโยนกับอี๋ฟูวา่ “เจ้าพักก่อนนะ ข้าออกไป
เดี๋ยวเดียว แล้วจะรีบกลับมา”
อี๋ฟูตอบรับ ฉีหนิงลุกขึ้น แล้วห่มผ้าให้อี๋ฟู เมื่อ
ออกมาข้างนอก เขาก็ปิดประตูด้วย แล้วเดินไปตรง
กลางลาน ฉีเฟิงเดินตามหลังมา แล้วพูดว่า “โหวเยว่
เจ้านั่นมันไม่ได้อยู่ในจวนอ๋อง เมื่อคืนเขาไปที่หอเริง
รมณ์ของเมือง รอบตัวเขายังมีพวกลูกเศรษฐีติดตาม
ไปด้วยจำนวนหนึ่ง”
“หรอ?” ฉีหนิงพูดว่า “เล่นละครกันจริง ๆ ด้วย”
“เมื่อคืนเขาไม่ได้กลับจวนอ๋อง นอนที่หอเริงรมณ์
นั่นเลย วันนี้เที่ยงถึงได้ออกมาจากที่นั่นแล้วกลับ
จวนอ๋อง” ฉีเฟิงพูดว่า “เมื่อกี้เขาก็ออกจากจวนอ๋อง
อีก แล้วก็เป็นยังหอเริงรมณ์เมื่อคืนนี้ ข้าแอบไปถาม
คนที่นั่นมา เจ้าเด็กนั่นหลับนอนในหอเริงรมณ์
มากกว่าสิบวันต่อเดือนเลย”
“ตอนนี้เขายังอยู่ที่หอเริงรมณ์?” ฉีหนิงถาม
ฉีเฟิงพยักหน้า “หากไม่มีอะไรผิดพลาด คืนนี้น่าจะ
นอนที่นั่นอีกคืน โหวเยว่ ทำไมจะต้องจับตาดูเจ้าบ้า
นั่นด้วย?”
ฉีหนิงไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่พูดว่า “ฉีเฟิง ข้ามี
เรื่องให้เจ้าไปทำ”
“โหวเยว่เชิญสั่งมาได้เลย”
“พรุ่งนี้เช้า เจ้าพาอี๋ฟูออกจากเมืองไป” ฉีหนิงพูดว่า
“ไปเตรียมหารถม้าที่สบายที่สุด แล้วคุ้มกันนาง
กลับไปที่ถ้ำเฮยเหยียน”
ฉีเฟิงอึ้งไป แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ส่งแม่นางอี๋ฟูไปจาก
ที่นี่หรอ? แล้ว......นางยังบาดเจ็บอยู่นะ เส้นทางไป
ถ้ำเฮยเหยียนไม่สะดวกเลย มันจะ......มันจะทรมาน
ไปหรือเปล่า?”
“อาการของอี๋ฟูไม่เป็นอะไรแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ขอ
แค่พักผ่อนให้มากก็พอ เมืองเฉิงตูอันตรายเกินไป
จะให้นางอยู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด พรุ่งนี้เจ้ากับโจวซุ่น
พานางกลับไป จริงสิ หลี่ถังยังไม่กลับมาหรอ?”
เขาสั่งให้หลี่ถังไปสืบเรื่องวัดที่เขาชิงเฉิง แต่หลี่ถังยัง
ไม่กลับมา
ฉีเฟิงพูดว่า “หลี่ถังทำอะไรรอบคอบ โหวเยว่ไม่ต้อง
กังวล”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วถามว่า “จริงสิ เจ้าบ้านั่นมัน
ออกจากจวนอ๋องเวลาไหน แล้วออกประตูไหน?”
“ประตูใหญ่ของจวนสู่อ๋องพระอาทิตย์ตกดินก็จะปิด
ทันที” ฉีเฟิงอธิบายต่อว่า “จวนอ๋องมีทั้งหมดสี่
ประตู ตอนกลางคืนจะมีคนคอยเดินสำรวจไปทั่ว
แม้แต่ประตูหลังก็ปิด ข้าเห็นหลี่หยวนออกมาจาก
ประตูทิศตะวันออก”
“ดี” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้ารีบไปเตรียมตัว พรุ่งนี้เช้า
ออกเดินทางทันที”
ฉีเฟิงเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ เขาลังเล
สุดท้ายก็ถามออกมาว่า “โหวเยว่ ท่าน......ท่านคิด
จะทำอะไร?”
“เรื่องของข้า เจ้ามีสิทธิถามหรอ?” ฉีหนิงหน้านิ่ง
“สั่งให้เจ้าไปทำอะไร ก็ไปทำ” เขายังกำชับอีกหลาย
เรื่อง จากนั้นก็หันกลับเข้าห้องไป แล้วปิดประตู เขา
เดินไปนั่งลงข้างตัวของอี๋ฟู เห็นอี๋ฟูลืมตาขึ้นมา เขาก็
พูดกับนางอย่างอ่อนโยนว่า “เสียงดังกวนเจ้าหรือ
เปล่า?”
อี๋ฟูส่ายหน้า กำลังจะพูด ฉีหนิงยกมือห้าม แล้วพูด
ว่า “ฟังข้าพูดก่อน”
อี๋ฟูตอบรับ ฉีหนิงพูดว่า “ข้าได้สั่งการเอาไว้
หมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้เจ้าออกจากเมืองเฉิงตู
ไปก่อน......”
สายตาของอี๋ฟูดูร้อนใจมาก ฉีหนิงพูดว่า “เจ้า
บาดเจ็บ อยู่ในเมืองเฉิงตูต่อไปไม่ดี ข้าสั่งให้คนของ
ข้าคุ้มกันเจ้ากลับไป”
“แล้ว......แล้วเจ้าไม่ไปกับข้าหรอ?” อี๋ฟูเหมือนจะ
ขยับตัว ฉีหนิงดันตัวนางไว้ แล้วพูดว่า “ข้ายังมีเรื่อง
ที่ยังทำไม่เรียบร้อย เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว จะรีบตามไป
พวกเจ้าเดินทางกันก่อน ไม่แน่พวกเจ้ายังไม่ถึงถ้ำ
เฮยเหยียน ข้าอาจจะตามไปทันแล้วก็ได้”
อี๋ฟูถึงแม้จะเป็นคนใจร้อน แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ นางรู้สึก
ว่ามันมีอะไร นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ได้......เจ้า
......จะไปเราต้องไปด้วยกัน ข้า......”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ฉีหนิงสีหน้าจริงจังมาก “ชาวฮั่นมี
คำพูดที่ว่า แต่งกับไก่ต้องอยู่อย่างไก่แต่งกับหมาก็
ต้องอยู่อย่างหมา ถึงแม้เราจะยังไม่ทำพิธีกัน แต่ว่า
เจ้าก็เป็นเมียข้าแล้ว ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าไป เจ้า
ก็ต้องไป ห้ามต่อรอง” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน
“เจ้าวางใจได้ ข้าบอกว่าจะรีบกลับไปหาเจ้า ข้าไม่
คืนคำแน่นอน”
อี๋ฟูเห็นฉีหนิงยืนยันหนักแน่น รู้ว่าตัวนางพูดอะไรไป
ก็คงไม่มีประโยชน์
เช้าวันต่อมา ฉีเฟิงเตรียมรถม้าไว้พร้อม ชาวเหมียว
ที่มาพร้อมกับอี๋ฟูและฉีหนิงก็พร้อมแล้วเช่นกัน โจ
วซุ่นกับองครักษ์อีกคนฉีหนิงก็สั่งให้ตามฉีเฟิงคุ้มกัน
อี๋ฟูกลับไปที่ถ้ำเฮยเหยียนด้วยเช่นกัน
ฉีหนิงอุ้มอี๋ฟูขึ้นรถม้าด้วยตัวเอง ยังไม่ทันจะออก
เดินทาง ก็เห็นเหว่ยซูถงมา เมื่อเห็นภาพนั้น เขาก็
ตกใจ แล้วถามว่า “โหวเยว่ ท่านจะกลับเมืองหลวง
แล้วหรอ?”
ฉีหนิงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ยังไม่เจอคนร้ายตัว
จริง ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น เพียงแต่อี๋ฟูบาดเจ็บหนัก
อาหารการกินนางก็ไม่คุ้น อีกทั้งที่ถ้ำเหมียวก็มีหมอ
ฝีมือดี ก็เลยจะส่งนางกลับไปพักก่อน”
เหว่ยซูถงพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง” เขาพูดอีกว่า
“ต้องการให้ข้าน้อยส่งกำลังทหารไปคุ้มกันด้วย
ไหม?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ต้องลำบากแบบนั้น
หรอก” เขาถามว่า “จริงสิ ไต้เท้าเหว่ยมาเช้าขนาด
นี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“อ๋อ มีเรื่องจะมาหารือกับโหวเยว่นิดหน่อย” เหว่ย
ซูถงพูดว่า “โหวเยว่เป็นผู้แทนพระองค์ที่ฝ่าบาททรง
ส่งมา ข้าน้อยเลยอยากจะเชิญโหวเยว่ให้ไปตรวจ
ตรากำลังพล ไม่ทราบว่าโหวเยว่มีแผนไว้แล้ว
หรือไม่?”
ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกัน คืนนี้ข้าจะไปพบ
กับไต้เท้าเหว่ยเอง”
เหว่ยซูถงก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาขอตัวกลับก่อน
ฉีหนิงส่งอี๋ฟูออกนอกเมือง หลังจากออกนอกเมือง
แล้ว เขาถึงขึ้นไปบนรถม้า แล้วถามว่า “ไหวหรือ
เปล่า?”
อี๋ฟูดวงตาแดงก่ำ นางกัดปาก แต่ไม่พูดอะไร
“ข้าบอกเจ้าแล้วไง ไม่ต้องกังวล” ฉีหนิงยื่นมือไปลูบ
ผมของอี๋ฟู แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “รอข้านะ ไว้
ข้าเจอเจ้าอีกครั้งข้าจะเอาของขวัญชิ้นใหญ่มาให้เจ้า
ด้วย” เขาจูบไปบนหน้าผากของอี๋ฟู อี๋ฟูจับมือฉีหนิง
เอาไว้ น้ำตาก็ไหลลงมา แล้วพูดว่า “เจ้าห้ามหลอก
ข้านะ”
“ไม่หลอกหรอก” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคน
ซื่อ ใคร ๆ ก็รู้ ไม่มีทางหลอกเจ้าหรอก”
อี๋ฟูเห็นเขาจริงจัง ก็อดขำไม่ได้ ฉีหนิงพยักหน้า
จากนั้นก็ลงจากรถม้ส แล้วหันไปกำชับฉีเฟิงอีกสอง
สามคำ ฉีเฟิงสีหน้าเคร่งเครียดแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ข้าน้อยส่งแม่นางอี๋ฟูไปถึงถ้ำเฮยเหยียนแล้ว จะรีบ
กลับมา”
ฉีหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “พวกเจ้ารอข้าที่ถ้ำเหมียว
หากข้ายังไม่กลับมา พวกเจ้าก็กลับเมืองหลวงไปได้
เลย”
“โหวเยว่......” ฉีเฟิงกลืนน้ำลาย เขาสะอื้น “เรา
ติดตามโหวเยว่มาเพื่อคุ้มกันท่าน หากโหวเยว่.....
โหวเยว่เป็นอะไรไป เราก็ไม่มีหน้าจะกลับไปอีก เรา
จะฆ่าตัวตายเพื่อรับผิดแน่นอน”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าอยู่ดีดี จะเป็นอะไรไป
ได้ยังไง? ปากเสียจริง ออกเดินทางได้แล้ว หากผม
ของอี๋ฟูหายไปแม้แต่เส้นเดียวนะ ข้าจะไม่ปล่อย
พวกเจ้าไว้แน่”
ฉีเฟิงคำนับ คนอื่นก็เช่นกัน จากนั้นก็ออกเดินทาง ฉี
หนิงรอจนไม่เห็นเงาของรถม้าแล้ว ถึงได้กลับเข้าไป
ในเมือง แล้วกลับไปที่เรือนรับรอง
วันนี้ทั้งวันฉีหนิงก็ไม่ได้ออกจากเรือนรับรองเลย อีก
ทั้งยังสั่งเจ้าหน้าที่ในเรือนไว้อีกว่า ไม่ว่าใครเขาก็ไม่
พบ
ตกเย็น ฉีหนิงเปิดประตูห้องออกมา ก็เห็นหลี่ถัง
กลับมาแล้ว
“โหวเยว่” หลี่ถังเดินเข้ามาในห้อง แล้วรีบรายงาน
ว่า “ข้าน้อยไปถึงยังเขาชิงเฉิง หาวัดแห่งนั้นจนเจอ
แกล้งปลอมตัวเป็นชาวบ้านที่ขึ้นไปไหว้พระ ตอน
กลางวันวัดแห่งนั้นก็ดูปกติดีไม่มีอะไรพิเศษ” เห็นฉี
หนิงสั่งให้เขานั่งลง เขาก็นั่งลงครึ่งก้น “แต่เมื่อคืน
ข้าได้แอบไปดู พบว่าภายในวัดกลางดึกมีเวรยามเฝ้า
อย่างแน่นหนา หลวงจีนในวัดเองก็มีการพาอาวุธ
เดินสำรวจโดยรอบ เดิมข้าคิดจะเข้าไป แต่ถูกพวก
เขาจับได้......” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกผิดมาก
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ......”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ต้องโทษตัวเอง ต่อมา
เป็นยังไง?”
“หลังจากข้าน้อยถูกจับได้ ก็เลยหนี ยังดีที่เขาชิงเฉิง
ค่อนข้างซับซ้อน หลวงจีนกว่าสิบคนไล่ล่าข้าน้อยขึ้น
ไปบนเขา ยังดีที่ข้าน้อยเอาตัวรอดมาได้” หลี่ถังพูด
ว่า “หลวงจีนพวกนั้นวรยุทธ์ไม่ธรรมดาเลย โหวเยว่
ข้าน้อยคิดว่าวัดแห่งนั้นดูไม่ธรรมดาเลย”
ฉีหนิงพูดว่า “เป็นถึงสู่อ๋องของซีชวนแต่บริจาคเงิน
สร้างวัด จะธรรมดาได้ยังไง?”
“โหวเยว่ เดิมข้าคิดจะหาโอกาสกลับไปสืบอีก แต่
กังวลว่า หากไม่กลับมา โหวเยว่อาจจะเป็นห่วงได้ ก็
เลยกลับมารายงานตัวก่อน” หลี่ถังพูดว่า “ให้
ข้าน้อยกลับไปสืบอีกครั้งไหม”
“ไม่ต้องแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าหลี่หงซิ่น
บริจาคเงินสร้างวัดหลายแห่ง เจ้าไปสืบมาที เขา
บริจาคสร้างวัดที่ไหนบ้าง จำไว้ ต้องระวังให้มาก”
หลี่ถังพูดว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จริงสิ โหวเยว่ พวก
ฉีเฟิงไปไหนกันหมด หรือว่า......?”
ฉีหนิงก็ไม่ได้ปิดบัง เขาเล่าเรื่องคราว ๆ ให้เขาฟัง
หลี่ถังกับฉีเฟิงเป็นองครักษ์ของจวนจิ่นอีโหว ครั้งนี้
ที่คัดเลือกมากด้วย มีแต่คนฝีมือไม่ธรรมดา อีกทั้งยัง
ฉลาดหัวไวทั้งนั้น หลี่ถังได้ฟัง ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้แปลก
มาก เขาเงยหน้าเห็นมีชุดดำวางอยู่บนโต๊ะ ก็ตกใจ
แต่ก็ไม่กล้าถาม
“เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบพักผ่อนซะ” ฉีหนิงพูด
ว่า “คืนนี้เจ้าก็อยู่พักที่นี่ แล้วจุดไฟเอาไว้”
หลี่ถังคิดแล้วพูดว่า “โหวเยว่จะออกไป?” เขาพูด
เสียงเบาว่า “หากโหวเยว่มีเรื่องอะไรสั่งให้ข้าน้อยไป
ทำก็ได้ โหวเยว่รออยู่ที่นี่จะดีกว่า”
“ไม่ต้อง” ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “มีบางเรื่อง ที่
ข้าต้องไปทำเอง เจ้าอยู่ที่นี่ ทำให้คนเข้าใจว่าข้าอยู่
ในห้องก็พอ”
หลี่ถังรู้ว่าฉีหนิงต้องการปิดบังสายตาของคนอื่น เขา
ก็รู้สึกกังวล “โหวเยว่......”
“ไม่ต้องพูดมาก” ฉีหนิงส่ายหน้า “เจ้ารออยู่ที่นี่
แหละ”
ฟ้ามืดแล้ว หลังจากที่มืดลงแล้ว ฉีหนิงก็เดินเข้าไปที่
หลังฉากบังลม เขาเปลี่ยนเป็นชุดชาวบ้านหยาบ ๆ
โผกผ้าสีดำบนหัว มองจากไกล ๆ ก็คือคนธรรมดา
คนหนึ่ง
หลี่ถังขมวดคิ้ว ฉีหนิงหยิบห่อผ้าสีดำที่อยู่บนโต๊ะ
จากนั้นก็ตบไหล่ของหลี่ถัง เขาไม่พูดอะไรมาก เปิด
ประตูแล้วก็ออกไป
เดิมหลี่ถังอยากจะตามไปด้วย แต่เขาก็ลังเล สุดท้าย
เขาก็นั่งลงที่เดิม หยิบถ้วยชาบนโต๊ะมาดื่ม แล้วบ่น
ว่า “โหวเยว่ ท่านต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 406 ข่มขู่
ค่ำคืนอันเงียบสงบและมืดสนิท แต่ดวงตาของฉีหนิง
กลับเปล่งประกายสว่างราวกับดวงดาว
จวนสู่อ๋องราวกับภาพวาดสีสัน เขาเหมือนสัตว์
ประหลาดที่เคลือบคลานเข้ามาในจวนยามค่ำคืน
ฉีหนิงนั่งยอง ๆ อยู่บนหลังคาจวน แล้วมองดูประตู
ทิศตะวันตกของจวนสู่อ๋อง
ข่าวที่ฉีเฟิงได้มาไม่ผิดเลย หลังพระอาทิตย์ตกดิน
ประตูใหญ่กับประตูหลังของจวนสู่อ๋องจะปิดลง และ
ไม่มีใครเข้าออกได้ ฉีเฟิงสืบได้ข่าวว่าทางประตูด้าน
ทิศตะวันออกนั้นมีคนยังเข้าออกได้ ฉีหนิงหลบซ่อน
ตัวอยู่บนหลังคา แล้วจ้องมาที่ประตูด้านทิศ
ตะวันออก
ส่วนสู่อ๋องซื่อจื่อเองก็ไม่ได้ให้ฉีหนิงต้องรอนาน
รถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่ด้านข้างประตูด้านทิศ
ตะวันออก ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออก ฉีหนิงเห็นสู่
อ๋องซื่อจื่อหลี่หยวนเดินออกมา รอบตัวมีองครักษ์
อีกสี่คน
หลี่หยวนขึ้นรถม้าไป คนขับรถม้าบังคับม้าออกไป
องครักษ์ทั้งสี่ขี่ม้าคุ้มกันไปด้วย ฉีหนิงลงมาจาก
หลังคา แล้วตามรถม้าไปอย่างห่าง ๆ
ตอนกลางคืนของเมืองเฉิงตูค่อนข้างเงียบสงบ รถม้า
วิ่งมาไม่เร็วมาก ฉีหนิงเองก็เร็วพอควร อีกทั้งกำลัง
ภายในของเขาก็มีมาก ทำให้ตามรถม้าได้ไม่คลาด
สายตาเลย
เดิมฉีหนิงคิดว่าหลี่หยวนจะไปที่สถานบันเทิงอีก แต่
พอเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง กลับรู้สึกว่าเขาออกนอก
เส้นทางไป เลี้ยวเลาะไปถึงห้าหกถนน แล้วมาหยุดที่
บ้านหลังหนึ่ง
บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็พอมีฐานะอยู่
ฉีหนิงซ่อนตัวท่ามกลางความมืด สายตาของเขาคม
เหมือนดาบ เขาขมวดคิ้วด้วย เห็นหลี่หยวนลงจาก
รถม้ามา ถึงแม้จะดึกมากแล้ว แต่ว่าเขาแต่งตัวด้วย
เสื้อผ้าของชนชั้นสูงจึงเห็นได้ชัดมาก เห็นเขาสั่ง
กำชับอะไรสองสามคำ จากนั้นรถม้าก็วิ่งกลับไป
องครักษ์ทั้งสี่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูบ้าน
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า บ้านหลังนี้น่าจะเป็นบ้านของ
คนธรรมดาทั่วไป ไม่น่าใช่บ้านของขุนนาง หลี่หยวน
เป็นชนชั้นสูง เขาจะมาที่นี่ทำไมกัน?
หรือว่าเขาจะได้รับคำสั่งของหลี่หงซิ่น มาเพราะมี
เรื่องต้องทำหรอ?
เขาเห็นองครักษ์เคาะประตู จากนั้นประตูก็เปิดออก
เห็นองครักษ์พูดอะไรสองสามคำ แต่ด้วยความห่าง
ฉีหนิงได้ยินไม่ชัด จากนั้นก็เห็นหลี่หยวนเข้าไปใน
บ้านหลังนั้นคนเดียว จากนั้นประตูใหญ่ก็ปิด
องครักษ์ที่เหลือเฝ้าอยู่ด้านนอก
ฉีหนิงตรงอ้อมไปที่ด้านข้าง จากนั้นก็ปีนกำแพงเข้า
ไป บ้านหลังนี้เงียบมาก ไม่มีองครักษ์ เขาแน่ใจว่านี่
เป็นบ้านของคนธรรมดา ไม่ใช่บ้านของขุนนาง บ้าน
แบบนี้ไม่มีทางเลี้ยงบ่าวไพร่ได้
หลังจากที่เขากระโดดลงมาจากกำแพง ก็หยิบผ้าสี
ดำมาปิดหน้าปิดตาไว้ จากนั้นก็ตรงเข้าไปในบ้าน
ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาเหนือชั้นมากแล้ว ยังไม่ทันได้
เข้าใกล้ตัวห้อง ก็เห็นหลี่หยวนเดินออกมาจากห้อง
โถงใหญ่ แล้วเดินตรงไปที่ทางเล็ก ๆ บ่าวไพร่อายุ
มากคนหนึ่งเดินขึ้นหน้าไปเตรียมจะพูดอะไรสักอ่าง
แต่หลี่หยวนกลับพูดว่า “ไปนอนซะ อย่าเดินไปเดิน
มา หากข้าเห็นเจ้าอีก ข้าจะจับเจ้าไปขังซะ”
น้ำเสียงของเขาเย็นชามาก อีกทั้งยังแฝงไปด้วย
ความข่มขู่ บ่าวไพร่สูงอายุไม่กล้าพูดอะไร ทำได้แค่
ถอยออกไป
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กบ้านี่ตั้งใจจะทำอะไร
กันแน่ เขาทำตัวเหมือนความมืด ตามหลี่หยวนไป
อย่างไม่มีเสียง
หลี่หยวนเดินอ้อมหลังห้องโถงมาถึงเรือนด้านหลัง
จากนั้นก็เดินไปที่หน้าห้อง ๆ หนึ่ง แล้วตั้งใจไอ
ออกมา จากนั้นก็เห็นประตูเปิดออก มีหญิงสาวอายุ
ราวสามสิบปีออกมาจากห้อง เมื่อเห็นหลี่หยวนก็
ตกใจมาก แล้วรีบพูดว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“เจ้าไม่รู้จักข้าหรอ?” หลี่หยวนเดินขึ้นหน้าไป ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าหลี่หยวน สู่อ๋องซื่อจื่อ ไต้เท้าอู๋ไม่อยู่
หรอ?”
ฉีหนิงหลบอยู่ในที่มืด เห็นหญิงคนนั้นถึงแม้อายุจะ
ไม่น้อยแล้ว แต่ว่าหน้าตางดงาม รูปร่างดี ถึงแม้จะ
อยู่ห่าง แต่ก็สามารถเห็นผิวขาวเนียนของนางได้ดี
หญิงคนนั้นได้ยินดังนั้น ก็รีบทำความเคารพ แล้วพูด
ว่า “ข้าน้อยไม่ทราบซื่อจื่อจะมา ซื่อจื่ออภัยด้วย”
หลี่หยวนเดินมาหยุดตรงหน้าของหญิงคนนั้น แล้ว
ยื่นมือไปพยุง แล้วพูดว่า “ไม่ต้องมากพิธี ข้ากับไต้
เท้าอู๋สนิทสนมกันดี อะไรกัน ไต้เท้าอู๋ไม่อยู่หรอ?”
“หลังจากช่วงบ่ายที่เขาออกไป จนตอนนี้ยังไม่
กลับมาเลย” อู๋ฮูหยินอธิบายต่อว่า “แต่ก่อนเขาไม่
เคยเป็นแบบนี้เลย พอถึงเวลานี้ เขาจะกลับมาถึง
จวนแล้ว”
“สงสัยคงมีเรื่องทำให้เสียเวลาล่ะมั้ง” หลี่หยวนยิ้ม
แล้วพูดว่า “เมื่อกี้ข้าได้บอกให้ท่านพ่อเลื่อน
ตำแหน่งให้ไต้เท้าอู๋เป็นหัวหน้าหน่วยการคลัง
อาจจะยุ่ง ๆ หน่อย”
“หะ?” อู๋ฮูหยินตะลึงไป จากนั้นรีบทำความเคารพ
แล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านซื่อจื่อ”
“ฮูหยินจำข้าไม่ได้เลยหรอ?” หลี่หยวนยิ้มหวาน
“เมื่อวานตอนกลางวัน ฮูหยินเหมือนจะไปที่ร้าน
ขายผ้า ข้าบังเอิญขี่ม้าผ่านไปทางนั้นพอดี ได้เห็นฮู
หยิน ตอนนั้นเหมือนฮูหยินเองก็จะเหลือบมองมาที่
ข้าด้วย”
อู๋ฮูหยินพูดว่า “เมื่อวานข้าน้อย......ได้ไปที่ร้านขาย
ผ้าจริง แต่ว่า......แต่ว่า......”
หลี่หยวนยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าไม่ได้เห็นข้าใช่ไหม?
ฮ่าฮ่า ข้ายังคิดว่าฮูหยินจะถูกใจข้าเข้าให้แล้วซะ
อีก”
คำพูดของเขามันน่ารังเกียจมาก อู๋ฮูหยินสีหน้าเริ่ม
เปลี่ยน รีบถอยหลังไปสองก้าว แล้วพูดอย่าง
หวาดกลัวว่า “ข้าน้อยไม่กล้า ท่านซื่อจื่อหากมีธุระ
อะไร รอนายท่านกลับมา ข้าน้อยจะแจ้งให้เขา
ทราบ ให้เขาไปพบท่านที่จวนเอง......”
ฉีหนิงยิ้มแห้งในใจ ก่อนหน้านี้เขายังไม่รู้ว่าหลี่หยวน
คิดจะทำอะไร แต่ในตอนนี้เขารู้แล้ว เจ้าบ้านี่มัน
บังอาจเกินไปแล้ว เมื่อวานได้เจออู๋ฮูหยินที่ตลาด
แล้วก็คิดถึงนางตลอดเวลา วันนี้เลยมาที่บ้าน
เพื่อที่จะลวนลามนาง
ไต้เท้าอู๋คนนั้นก็บังเอิญไม่อยู่บ้าน ฉีหนิงเดาว่า ไม่ว่า
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ที่ไต้เท้าอู๋กลับมาบ้านไม่
ตรงเวลาแบบนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับหลี่หยวนแน่
เจ้าบ้านี่มันกำเริบเสิบสาน โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ คิด
ไม่ถึงว่าจะเกี้ยวหญิงที ก็มีวิธีไม่ธรรมดาเลย
หลี่หยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รีบ ไม่รีบ ดึกขนาดนี้
แล้ว ไต้เท้าอู๋ก็น่าจะกลับมาแล้วล่ะ ข้าก็รออยู่นี่
แหละ ไต้เท้าอู๋จะได้ไม่ต้องเหนื่อยวิ่งไปวิ่งมา จริงสิ
ฮูหยิน ไม่ทราบว่าในห้องมีชาไหม ข้าอยากจะขอชา
ดื่มสักแก้ว”
อู๋ฮูหยินก้มหน้าลง แล้วพูดว่า “ท่านซื่อจื่อ เชิญท่าน
ไปรอที่ห้องโถงด้านหน้าก่อน ข้าน้อย......ข้าน้อยจะ
รีบสั่งให้คนนำชาไปให้”
หลี่หยวนยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าข้ารอไม่ไหวแล้ว หรือ
ว่าฮูหยินไม่รู้หรอว่าความรู้สึกเวลาหิวมันทรมานแค่
ไหน? ข้าไม่ไปที่โถงหน้าแล้ว อยู่ดื่มชาที่นี่แหละ”
เขาไม่พูดอะไรมาก เดินตรงเข้าห้องของนางไปเลย
อู๋ฮูหยินหน้าถอดสี เมื่อเห็นหลี่หยวนเดินเข้าห้องไป
สายตาของนางก็เริ่มกลัว จากนั้นก็ได้ยินหลี่หยวน
พูดว่า “ฮูหยินเข้ามาสิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
อู๋ฮูหยินกัดปาก นางลังเล แต่สุดท้ายก็เดินเข้าห้อง
ไปด้วยความหวาดกลัว พอเดินเข้าห้องไป หลี่หยวน
ก็หันมาปิดประตูทันที จากนั้นก็ลงกลอนด้วย
อู๋ฮูหยินหน้าเสีย แล้วรีบพูดว่า “ท่านซื่อจื่อ ท่านจะ
ทำอะไร?”
“ฮูหยินอย่าเพิ่งร้อนใจไป เรื่องนี้เป็นเรื่องลับที่ข้าจะ
หารือกับเจ้า จะให้คนอื่นได้ยินไม่ได้” หลี่หยวนยิ้ม
แล้วยื่นมือไปจับมือของอู๋ฮูหยิน อู๋ฮูหยินรีบถอยหลัง
เพื่อเว้นระยะห่างกับหลี่หยวน นางขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “ซื่อจื่อมีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”
หลี่หยวนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วมองไปที่อู๋ฮูหยิน เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินรู้หรือเปล่าว่า เมื่อวานที่ข้าได้
เห็นเจ้า ข้าลืมเจ้าไม่ได้เลย ข้าอยากจะเจอเจ้าอีกสัก
ครั้ง”
“ซื่อจื่อ ท่าน.....ท่านพูดอะไรให้เกียรติกันด้วย” อู๋ฮู
หยินก้มหน้า น้ำเสียงของนางเริ่มแข็ง “ข้าเป็นหญิง
แต่งงานแล้ว อยู่ห้องเดียวกับท่านสองต่อสองแบบนี้
มันไม่เหมาะ”
“ไม่มีอะไรไม่เหมาะทั้งนั้น” หลี่หยวนพูดว่า “ข้า
จัดการไว้แล้ว คืนนี้ ไม่มีใครมารบกวนเราแน่นอน”
อู๋ฮูหยินถอยหลังไปอีก แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่าน......
ท่านไม่ได้มาหานายท่านหรอ”
“หาเขา?” หลี่หยวนหัวเราะร่า “ข้าจะมาหาเขา
ทำไมกัน? ฮูหยินยังไม่เข้าใจอีกหรอ ข้าตั้งใจมาหา
เจ้าต่างหาก” เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปหาอู๋ฮูหยิน แล้ว
พูดว่า “ฮูหยิน ข้าเป็นคนให้ความสำคัญกับ
ความรู้สึกมาก ข้าลืมฮูหยินไม่ลงจริง ๆ วันนี้มาเพื่อ
ขอให้ท่านช่วย” เขายื่นมือไปจับมือของอู๋ฮูหยิน อู๋ฮู
หยินรีบถอยหลังไป หลี่หยวนหัวเราะแล้วพูดว่า
“เจ้ากลัวอะไร?”
“ซื่อจื่อ เชิญท่านออกไปดีกว่า” อู๋ฮูหยินเริ่มเสียง
แข็ง “หาก......หากท่านไม่ออกไป ข้าจะร้องให้คน
ช่วยแล้วนะ” น้ำเสียงของนางถึงแม้จะแข็งแต่ก็มี
ความหวาดกลัวแฝงอยู่
“ร้องให้คนช่วยหรอ?” หลี่หยวนหน้านิ่ง “ต่อให้ร้อง
ให้คนทั่วทั้งเมืองเฉิงตูมาแล้วยังไง? หรือว่าเจ้าไม่รู้
ผู้หญิงที่ข้าถูกใจ ไม่เคยมีคนไหนหลุดรอดไปได้ อย่า
ว่าแต่หัวหน้าหน่วยการคลังเลย ต่อให้เป็นเมียของ
ขุนนางใหญ่ ข้าก็ได้มาแล้วเป็นสิบคน” เขาลูบคาง
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่กินอะไรเปล่า ๆ
หรอก ขอแค่คืนนี้เจ้าปรนนิบัติข้าให้ดี ข้ารับประกัน
ว่าข้าจะเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้ไต้เท้าอู๋เอง ไม่งั้น
......” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการข่มขู่
อู๋ฮูหยินถอยหลังตลอด จนไปชนกับกำแพง ไปไหน
ไม่ได้
“เจ้าจะถอดเอง หรือจะให้ข้าถอดให้?” หลี่หยวน
ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุด ก็คือการ
ถอดเสื้อผ้าของผู้หญิง เจ้าจะลองดูไหม?”
“เจ้า.....เจ้ามันสารเลว” อู๋ฮูหยินโกรธมาก “ข้า......
ข้าจะไปแจ้งความ”
“แจ้งความ?” หลี่หยวนยิ้มแห้ง “ทั่งทั้งซีชวนเป็น
ของตระกูลหลี่ เจ้าจะไปแจ้งจับใคร? คืนนี้ข้าถูกใจ
เจ้า เป็นบุญของเจ้า แต่เจ้ามันไม่รู้จักรับมันไป เจ้า
อยากจะให้ข้าไม่พอใจ พรุ่งนี้สั่งให้จับเจ้าคนแซ่อู๋นั่น
ไปเฉือนแล้วไปให้หมากินหรือไง ถอดเดี๋ยวนี้”
อู๋ฮูหยินหน้าซีก ตัวสั่นไปทั้งตัว หลี่หยวนเหมือนจะ
ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินหน้าขึ้นไปสองก้าว แล้ว
จับมือของอู๋ฮูหยินไว้ แล้วขู่ว่า “ตระกูลหลี่ของเรา
อยากจะให้ใครอยู่ ให้ใครตายในซีชวนก็ได้ทั้งนั้น
เจ้าปรนนิบัติข้าให้ดี ทุกอย่างก็ราบรื่น ไม่งั้นข้าจะ
จับเจ้าไปที่หอนางโลม ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะไม่ได้
ปรนนิบัติข้าแค่คนเดียวแล้ว”
ทันใดนั้นเองก็เห็นอู๋ฮูหยินตาโต จ้องไปที่ด้านหลัง
ของหลี่หยวน หลี่หยวนคิดแค่ว่าอู๋ฮูหยินคงตกใจไป
กับคำพูดของเขา เขายิ้ม แล้วยื่นมือไปจับคางของอู๋
ฮูหยิน ในตอนนี้เอง เขาก็รู้สึกว่าหลังคอของเขามัน
หนาวทะลุไปถึงกระดูก ความหนาวนี่มันทำให้ขนลุก
ซู่
“ใคร......ใคร?” หลี่หยวนหน้าเปลี่ยนสี เหงื่อไหล
ออกมาจากหน้าผาก ยังไงเขาเองก็เกิดในจวนสู่อ๋อง
เรื่องวรยุทธ์อะไรก็พอมีบ้าง ในตอนนี้เขารู้ว่าที่คอ
ของเขามีมีดเล่มหนึ่งจี้อยู่
“นักฆ่าปาดคอ” น้ำเสียงเย็นชาดังมากจากด้านหลัง
จากนั้นหลี่หยวนก็รู้สึกเจ็บจากด้านหลัง มีดสั้นที่
ใหญ่ราวนิ้วหัวแม่โป้งแทงทะลุคอมาด้านหน้าของห
ลี่หยวน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 407 เมฆหมอกคือเสื้อผ้า ดอกไม้คือใบหน้า
จวนซีชวนชื่อสื่อกับจวนสู่อ๋องถึงแม้จะอยู่ในเมือง
เฉิงตูเหมือนกัน แต่ว่าจวนทั้งสองหลังนี้อยู่ไกลกัน
มาก จวนสู่อ๋องอยู่ทางด้านทิศใต้ ส่วนจวนชื่อสื่อนั้น
อยู่ทางทิศตะวันออก
ค่ำคืนที่เงียบสงัด เหว่ยซูถงซีชวนชื่อสื่อนั่งดื่มเหล้า
อยู่ที่ห้องโถงคนเดียว
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนดังมาจาก
ด้านหลัง มือเรียวเล็กสวยงามวางลงตรงไหล่ของเขา
เหว่ยซูถงเหมือนจะรู้ว่าเป็นใคร เขาไม่หันหน้า
กลับไปมอง ยังคงดื่มเหล้าอยู่เหมือนเดิม
“นายท่านมีเรื่องในใจหรอ?” หญิงคนหนึ่งอายุราว
ยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีนั่งลงตรงเก้าอี้ด้านข้างของเขา
ใบหน้าของนางงดงามไร้ที่ติ เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
ท่าทางของนางดูเย้ายวนเจ้าเล่ห์ เสียงของนางออด
อ้อน “เรื่องอะไรกันนะที่ทำให้นายท่านไม่สบายใจ
แบบนี้?”
เหว่ยซูถงเหลือบไปมองนาง เหมือนจะพูดอะไร แต่
สุดท้ายก็ไม่ได้พูด เขายกเหล้าขึ้นดื่มจนหมด กำลัง
จะยื่นมือไปเอากาเหล้ามาริน หญิงคนนั้นก็แย่งไป
แล้วรินเหล้าให้เหว่ยซูถง แล้วพูดว่า “นายท่านไม่รัก
ข้าแล้วหรอ? ช่วงนี้ ท่านแทบจะไม่ไปที่ห้องของข้า
เลยนะ?”
เหว่ยซูถงยิ้มแห้ง แล้วพูดว่า “ไปห้องเจ้า? เจ้า
ต้องการให้ข้าเข้าไปหรอ?”
“นายท่านไม่พอใจอะไรข้าหรอ?” หญิงคนนั้นยิ้ม
แล้วพูดว่า “หากข้าทำอะไรผิด นายท่านก็ลงโทษข้า
สิ”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ลงโทษ? ข้าไม่กล้าหรอก” เขาโบก
มือแล้วพูดว่า “เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่คน
เดียว”
หญิงคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “นายท่านอย่าเพิ่งรีบไล่ข้า
ไปสิ ข้ารู้ นายท่านคงกำลังเครียดเรื่องของจิ่นอีโหว
นั่นสินะใช่ไหม?”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฮวาเซียวหยง ข่าว
ของเจ้านี่มันรวดเร็วดีนะ”
ฮวาเซียวหยงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่านายท่านรู้สึก
ลังเล ที่จริงแล้ว......เห้อ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นาย
ท่านคิดว่าท่านจะย้อนกลับไปได้อีกหรอ?”
เหว่ยซูถงตบโต๊ะ แล้วลุกขึ้น ตะคอกว่า “หากไม่ใช่
นางปีศาจอย่างเจ้า ข้าจะ......ข้าจะมีสภาพแบบนี้ได้
หรอ” เขาโกรธมาก แต่ว่าสายตาของเขาก็จน
ปัญญา เขาถอนหายใจแล้วนั่งลง
ไม่ว่าเหว่ยซูถงจะโมโหหรือเย็นชา ฮวาเซียงหยงก็
ยังคงมีรอยยิ้มเสมอ นางพูดว่า “นายท่านท่านกำลัง
โทษข้าอยู่อย่างนั้นหรอ?” นางถอดเสื้อของนางออก
แล้วพูดอย่างเศร้า ๆ ว่า “หากท่านไม่ต้องการให้ข้า
อยู่ปรนนิบัติแล้ว ท่านคิดว่าข้ามันคือตัวซวย ท่านก็
ฆ่าข้าเลยสิ”
สายตาของเหว่ยซูถงเปี่ยมไปด้วยความต้องการจะ
ฆ่า เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของนาง จากนั้นเขาก็
โอบนางเข้ามาในอ้อมกอด แล้วพูดว่า “นังปีศาจ ข้า
จะฆ่าเจ้า......”
ฮวาเซียงหยงยังคงยิ้ม นางยกมือขึ้นมาลูบผมของ
เหว่ยซูถง แล้วพูดว่า “ข้าเป็นนังปีศาจของนายท่าน
ชีวิตนี้ของข้าก็เป็นของนายท่าน ทุกอย่างของข้า......
ขอแค่นายท่านต้องการ ก็เอามันไปได้เลย......”
ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกว่า “เรียน
ไต้เท้า จิ่นอีโหวมาขอพบขอรับ”
เหว่ยซูถงเดิมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมบนตัว
ของฮวาเซียงหยง เมื่อได้ยินคนมารายงานแบบนี้
เขาก็เงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้งผลักฮาเซียงหยงอ
อก แล้วพูดว่า “เจ้าออกไปก่อน”
ฮวาเซียงหยงคำนับ แล้วหันหลังจากไป เมื่อเดินไป
สองสามก้าว หันหลังกลับมามอง นางยิ้มแล้วเดิน
จากไปอีก
ขณะที่ฉีหนิงเดินเข้ามา เหว่ยซูถงกำลังจัดเสื้อผ้า
แล้วรีบเดินมาต้อนรับ “โหวเยว่ ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่
ทันได้ต้อนรับ ขอโหวเยว่อภัยด้วย”
ฉีหนิงไม่พูดอะไรมาก เปิดประเด็นเลย “ข้าบอกไป
แล้วนี่นาว่า คืนนี้ข้าจะมาหาเจ้า”
น้ำเสียงของเขาเย็นชามาก เหว่ยซูถงตะลึง แต่ก็ยัง
ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ ใช่ ใช่ โหวเยว่เชิญ” เขาสั่งว่า
“เด็ก ๆ ยกน้ำชามา”
เมื่อเข้ามาภายในห้อง ฉีหนิงก็มองไปรอบ ๆ แล้วพูด
ว่า “คุยกันที่นี่สะดวกไหม?”
เหว่ยซูถงเห็นฉีหนิงจริงจัง สีหน้าของเขาก็นิ่ง แล้ว
รีบพูดว่า “โหวเยว่โปรดวางใจ หากไม่มีคำสั่งของข้า
ไม่มีใครกล้าเข้ามา”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ” ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ
นั่งลงที่เก้าอี้เลย “ที่ข้ามาในวันนี้ หากมีใครมาได้ยิน
อาจไม่เป็นผลดีกับไต้เท้าเหว่ย เพราะฉะนั้นทางที่ดี
อย่าให้ใครมาได้ยินที่เราคุยกันจะดีกว่า”
เหว่ยซูถงเห็นฉีหนิงสีหน้าจริงจัง เขาก็ขมวดคิ้ว
ตอนนี้มีคนเอาน้ำชามาให้ เหว่ยซูถงสั่งว่า “หากไม่มี
คำสั่งของข้า ใครกห้ามเข้าใกล้ที่นี่เด็ดขาด”
บ่าวไพร่รับคำ แล้วถอยออกจากห้องไป จากนั้นก็
ปิดประตู
เหว่ยซูถงรู้สึกไม่สบายใจ ฉีหนิงนั่งลงตรงข้ามเขา
เขาถามว่า “โหวเยว่มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ไต้เท้าเหว่ย นักฆ่าที่เรือนเจี้ยนเจีย เจ้ามีส่วนร่วม
ด้วยหรือเปล่า?” สายตาของฉีหนิงคมกริบ จ้องไปที่
เหว่ยซูถง
เหว่ยซูถงสะดุ้ง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ทำไมถึงพูดแบบ
นี้? เอ่อ......เรื่องนี้มันเหลวไหลสิ้นดีเลย”
“มันไม่เหลวไหลเลย” ฉีหนิงพูดว่า “ไต้เท้าเหว่ย
จิ่นอีตระกูลฉีสามารถมีฐานะตำแหน่งมั่นคงในแคว้น
ฉู่ได้ นอกจากจะสร้างผลงานแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือสามารถแยกแยะใครคือมิตรใครคือศัตรูได้
เก่งมากอีกด้วย ไม่อย่างนั้น จิ่นอีตระกูลฉีคงไม่อยู่
มาจนถึงวันนี้” เขาเขยิบไปด้านหน้า “นักฆ่าที่เรือน
เจี้ยนเจีย เจ้ารู้ดีแก่ใจ เป้าหมายในวันนั้นไม่ใช่หลี่หง
ซิ่น แต่เป็นข้า”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ถูกทำร้าย
ข้าน้อยรู้ว่าท่านคงไม่พอใจมาก ข้าน้องได้สั่งให้คน
......”
“หรอ?” เขาไม่รอเหว่ยซูถงพูดจนจบ ฉีหนิงก็ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ไต้เท้าเหว่ยรู้สึกว่าเรายังจะหาคนร้าย
เจออีกหรอ?”
เหว่ยซูถงตะลึงไป ฉีหนิงพูดต่อว่า “เจ้ารู้ดีแก่ใจว่า
คนร้ายคือใคร แล้วยังจะมาแกล้งแสดงละครต่อหน้า
ข้าทำไมกัน?” เขาลุกขึ้น แล้วเดินไขว้หลัง แล้วเดิน
ไปที่ริมหน้าต่าง “ไต้เท้าเหว่ย เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้า
ก็น่าจะรู้ว่าข้ามาที่เมืองเฉิงตู ข้าไม่ได้มาเพื่อเยี่ยมสู่
อ๋อง”
เหว่ยซูถงเหมือนปลายตากระตุก ในตอนนี้เอง ก็ได้
ยินเสียงฉีหนิงตะคอกว่า “รนหาที่ตาย” เขาเห็นฉี
หนิงซัดหมัดออกไปที่นอกหน้าต่าง หน้าต่างนั่นทำ
จากไม้ ฉีหนิงกำลังภายในกล้าแกร่งมาก หมัดเดียว
ของเขา ก็สามารถทำให้หน้าต่างไม้ทะลุได้ จากนั้นก็
ได้ยินเสียงร้องของหญิงสาว ฉีหนิงพุ่งออกไปราวกับ
เสือดาว
เหว่ยซูถงหน้าถอดสี รีบตามไปดู
ฉีหนิงทำลายหน้าต่างแล้วพุ่งออกไป เขาเห็นร่าง
บอบบางร่างหนึ่งกำลังจะหนีไป เขาเคลื่อนที่ไปราว
กับเงา จากนั้นก็ยื่นมือไปจับ
เงานั่นคิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะมีวรยุทธ์ที่ร้ายกาจขนาดนี้
เขาถอยหลังไปหลายก้าว ฉีหนิงบีบเข้าใกล้ไปเรื่อย
ๆ เมื่อเหว่ยซูถงออกมา ฉีหนิงยื่นมือไปจับคอของ
นางไว้
คอของนางขาวมา ผิวเนียนนุ่ม สายตาของนางดูตื่น
ตกใจมาก อีกทั้งยังดูน่าสงสาร
“โหวเยว่......” เหว่ยซูถงร้องด้วยความตกใจ
คนที่ฉีหนิงจับได้นั้น ก็คืออนุของเหว่ยซูถงฮวาเซียง
หยง
ใบหน้าของฮวาเซียงหยงดูตกใจมาก สายตาของฉี
หนิงคมดังคมมีด เขาถามว่า “เจ้ารู้หรือเปล่า การรู้
มากเกินไป ก็จะตายเร็ว”
“ข้า......ข้าแค่ผ่านมาเท่านั้น......” ฮวาเซียงหยงพูด
ด้วยเสียงสั่นเครือว่า “นายท่าน ช่วย......ช่วยข้าด้วย
......”
เหว่ยซูถงรีบเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “โหวเยว่ นางเป็น
......นางเป็นอนุของข้าเอง โหวเยว่โปรดเห็นแก่ที่นาง
ไม่รู้ความ ปล่อยนางไปสักครั้งเถอะนะ”
“ไต้เท้าเหว่ย เจ้าคิดว่านางไม่รู้หรอ?” ฉีหนิงยิ้มแห้ง
“วรยุทธ์ของนางเมื่อกี้ ร้ายกาจกว่าเจ้ามากเลยนะ
แม้แต่องครักษ์ของไต้เท้าเองก็คงไม่มีใครเทียบได้”
มือของเขาก็ไม่ได้ผ่อนแรง กลับบีบหนักขึ้น แล้วจ้อง
ไปที่ฮวาเซียงหยง “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ฮวาเซียงหยงบีบน้ำตา แล้วพูดว่า “ข้าเป็น......ข้า
เป็นอนุของนายท่าน ข้าสมควรตาย ไม่ควร......ไม่
ควรเดินผ่านมาในเวลานี้เลย”
“ไม่ต้องมาแสร้งน่าสงสารเลย” ฉีหนิงพูดว่า “ข้า
พอจะรู้เรื่องของเจ้ามาบ้าง เจ้าเข้ามาเป็นอนุในจวน
ชื่อสื่อเมื่อปีที่แล้ว เท่าที่ข้ารู้มา เจ้าเข้ามาไม่ถึงหนึ่ง
เดือน ฮูหยินใหญ่ของไต้เท้าเหว่ยก็ตาย......” พอพูด
ถึงตรงนี้ ก็เหลือบไปมองเหว่ยซูถง เห็นเหว่ยซูถงยืน
ตัวสั่น สีหน้าของเขาแย่มาก ฉีหนิงจ้องไปที่ฮวาเซียง
หยงแล้วพูดว่า “ข้าอยากรู้จริง ๆ เจ้าเป็นใครมาจาก
ไหนกันแน่?”
เขาไม่มีท่าทางสงสารหรือเห็นใจเลย อีกทั้งยังเพิ่ม
แรงมือเข้าไปอีก ฮวาเซียงหยงหายใจไม่สะดวก
ใบหน้าของนางเริ่มแดง น้ำตาไหลลงมาราวกับสาย
ฝน
“ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะบีบคอเจ้าจนตาย” น้ำเสียงของ
ฉีหนิงดุดันมาก “ข้ารู้ว่าวรยุทธ์ของเจ้าไม่ธรรมดา
เจ้าจะสู้ก็ได้ ไม่งั้นข้าจะบีบคอเจ้าจนตาย”
ฮวาเซียงหยงเหลือบไปมองเหว่ยซูถง เห็นเหว่ยซูถง
ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ สีหน้าของเขาเหมือนคนที่ตายไป
แล้ว นางจ้องมาที่ฉีหนิง สายตาคู่นั้นมันมีเสน่ห์
ดึงดูดใจมาก บวกกับสีหน้าของนาง ทำให้ใครที่เห็น
ก็ใจสลายได้
ทันใดนั้นเอง ฉีหนิงก็รู้สึกว่าเขาตาลาย เวียนหัวหน้า
มืด เขารู้ว่าสถานการณ์แย่แล้ว กำลังแรงมือ ไม่รู้
ทำไมว่ามันอ่อนลง เขารู้สึกว่าคอขาวนั่นมันขยับ คอ
ของฮวาเซียงหยงก็หลุดออกจากมือของเขา
ความรู้สึกแบบนี้มันอยู่ที่ชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานแหนิง
ก็เห็นชัด เขาเห็นฮวาเซียงหยงถอยหนีจากเขาไป
หลายก้าวแล้ว
ฉีหนิงตะคอกแล้วพูดว่า “จะหนีไปไหน?” เขาพุ่งไป
ใส่ฮวาเซียงหยง วิชาตัวเบาของเขาร้ายกาจมาก
ฮวาเซียงหยงรู้ว่าฉีหนิงไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นาง
ไม่หันหลังกับมา แล้วหนีไปทางกำแพง นางกระโดด
ลอยตัวหนีไปทางกำแพง ฉีหนิงตะลึงไป ถึงแม้จะรู้
ว่านางมีวิชาตัวเบาที่ร้ายกาจมาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะ
ร้ายกาจได้ขนาดนี้ ฮวาเซียงหยงยิ้มแล้วมองลงมา
จากด้านบนแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว วรยุทธ์ของเจ้าแค่
นี้ คิดจะจับข้าหรอ?”
ฉีหนิงเงยหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นใครมาจากไหน
ก็ไม่รู้”
“หากไม่มีผู้ชายอย่างเหว่ยซูถง ก็คงไม่มีผู้หญิงอย่าง
ข้า” ฮวาเซียงหยงยิ้ม “หากเจ้าอยากจะฆ่า ไม่สู้ฆ่า
เหว่ยซูถงดีกว่า ฮูหยินของเขาตายยังไง ตัวเขารู้ดี
ที่สุด”
เหว่ยซูถงหน้าเสียมาก เขาตะคอกว่า “นังแพศยา
ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้า”
“ไม่มีวันปล่อยข้า?” ฮวายเซียงหยงใช้มือหนึ่งปิด
หน้าอกของตัวเอง แล้วพูดว่า “หากเจ้าฆ่าข้าได้ ข้า
คงตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว น่าเสียดายเจ้ามันแค่ผู้ชาย
ไม่เอาไหน ข้าแค่ใช้มารยานิดหน่อย เจ้าก็เหมือน
หมาที่ต้องคลายมาคุกเข่าต่อหน้าข้าแล้ว......ซีชวน
ชื่อสื่อ ที่ได้รับการแต่งตั้ง จะมีสักกี่คนที่รู้ ว่าเจ้ามัน
ก็ไม่ต่างอะไรกับหนอนตัวหนึ่งเท่านั้น......”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 408 จุดอ่อน
เหว่ยซูถงหน้าแดงมาก สายตาของเขาเหมือนจะกิน
คน เขากำหมัดแน่น ตัวสั่นไปทั้งตัว
ฮวาเซียงหยงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่าทางแบบนี้ ค่อย
เหมือนผู้ชายขึ้นมาหน่อย แต่น่าเสียดายไม่มี
ประโยชน์ เพราะเจ้ามันสวะ” นางเหมือนไม่ค่อย
อยากจะคุยกับเหว่ยซูถง นางมองมาที่ฉีหนิง ยิ้มแล้ว
พูดว่า “จิ่นอีโหว เจ้าคิดว่าเหว่ยซูถงไม่รู้หรอว่าข้า
เป็นใครมาจากไหน? เพื่อข้าแล้ว แม้แต่ฮูหยินของ
เขาเขายังทิ้งได้เลย เจ้าคิดว่ามีอะไรที่เขาไม่ได้อีกงั้น
หรอ?”
ฉีหนิงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“ข้าเองก็อยากจะบอกเจ้านะ แต่ว่าหากข้าบอกไป
แล้ว เจ้าก็ต้องตาย” ฮวาเซียงหยงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “ข้ายังไม่อยากให้เจ้าตายตอนนี้ แต่ว่าคนอื่น
จะอยากให้เจ้าตายไหม ข้าไปยุ่งไม่ได้ด้วยสิ”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าอยากเห็นข้าตาย เจ้ามีปัญญาไหม
ล่ะ?”
ฉีหนิงเพิ่งรู้เมื่อกี้ว่า ฮวาเซียงหยงมีวิชาตัวเบาที่ล้ำ
เลิศมาก อีกทั้งยังมีวิชาแปลกประหลาดที่ทำให้คน
ขาดสติได้ แต่นอกจากนี้ นางเหมือนจะไม่มีวิชาต่อสู้
เลย
ฮวาเซียงหยงยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่วางใจ หากมีวัน
หนึ่งที่ข้าจะเอาชีวิตเจ้า เจ้าอยากหนีก็หนีไม่พ้น”
มือของนางกางออก แล้วกระโดดลงไปจากกำแพง
ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว เหว่ยซูถงก็ตะโกนแล้ว
พูดว่า “เด็ก ๆ......”
“ไม่ต้องแล้ว” ฉีหนิงห้าม “เรียกคนมาเพื่ออะไร?
ไต้เท้าเหว่ยคิดว่าคนของเจ้าจะตามนางได้หรอ?”
ฮวาเซียงหยงวิชาตัวเบาร้ายกาจมาก ตอนนี้นึกมาก
แล้ว คิดอยากจะตามนาง ก็ลำบากมาก
เหว่ยซูถงกัดฟัน ฉีหนิงพูดว่า “ไต้เท้าเหว่ย ผู้หญิง
คนนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ เจ้าอย่าบอกนะว่าไม่
รู?้ ”
เหว่ยซูถงหน้าถอดสี ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ข้าน้อย......เห้อ ข้าน้อยพูดไม่ออก”
ฉีหนิงยิ้ม แล้วหันกลับเข้าไปในห้อง เหว่ยซูถงลังเล
แล้วก็เดินตามไป
หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว ฉีหนิงก็เดินไปนั่งลง เขา
ไม่พูดมาก ถามตรง ๆ เลยว่า “นางมาจากไหน?”
เหว่ยซูถงลังเลแล้วพูดว่า “เรียนโหวเยว่ ที่จริงแล้ว
......ที่จริงแล้วนางเป็นนักแสดงคนหนึ่ง”
“นักแสดง?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าในโลก
นี้นักแสดงแปลก ๆ มีมากขนาดนี้เลยหรอ เขาจ้อง
ไปที่เหว่ยซูถง เหว่ยซูถงอธิบายต่อว่า “เมื่อวันเกิด
ของข้าน้อยเมื่อปีที่แล้ว มีขุนนางไม่น้อยมาร่วมอวย
พร สู่อ๋องเองก็ให้เกียรติมาด้วยตัวเอง ข้าน้อย......
ข้าน้อยรู้ว่าสู่อ๋องชอบดูละครมาก ดังนั้น......”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้าเหว่ยก็เอาใจคนอื่น
เหมือนกันนะ”
“โหวเยว่ หลี่หงซิ่นก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้าถิ่นในพื้นที่ซี
ชวน ถึงแม้ในนามจะไม่ทำอะไรแล้ว แต่เขาก็ยังเป็น
หลักใหญ่ในซีชวนนะ” เหว่ยซูถงส่ายหน้าแล้วถอน
หายใจ เขานั่งลงแล้วพูดว่า “ข้าน้อยอยู่ที่ซีชวน
ถึงแม้จะเป็นซีชวนชื่อสื่อ แต่หากหลี่หงซิ่นต้องใจจะ
หาเรื่อง หลายเรื่องข้าน้อยเองก็ยากจะจัดการได้”
เขาหยุดไป แล้วพูดต่อว่า “ตอนนั้นข้าน้อยก็ออกตา
มหาคณะละครมา ฮวาเซียงหยงคือหนึ่งในนักแสดง
ในนั้น ข้าน้อยเองก็หน้ามืดไปชั่วขณะ ดังนั้น......
ดังนั้นก็เลยรับนางเอาไว้”
เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียง “ปึ้ง” ฉีหนิงตบโต๊ะ เหว่ย
ซูถงตกใจ เห็นฉีหนิงยื่นป้ายทองออกมา แล้วพูดว่า
“เหว่ยซูถง อยู่ต่อหน้าข้า เจ้ายังกล้าพูดกำกวมแบบ
นี้อีกหรอ ข้าถามเจ้าหน่อย นักฆ่าที่จวนเจี้ยนเจีย
เจ้าร่วมด้วยหรือเปล่า?”
“ข้าน้อย......ข้าน้อยเปล่า......” เหว่ยซูถงหน้าถอดสี
ฉีหนิงพูดว่า “นักฆ่าที่จวนเจี้ยนเจีย หลี่หงซิ่นใช้
แผนกลทุกข์กาย แต่เป้าหมายจริง ๆ คือข้า ข้าไม่
ตาย พวกเจ้าคงผิดหวังมากสินะ?”
“โหวเยว่......โหวเยว่ทำไมถึงพูดแบบนี้?” เหว่ยซูถง
ไม่กล้าสบตา
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าอายุน้อย คิดจะหลอกกัน
ง่าย ๆ หรอ?” เขาจ้องไปที่เหว่ยซูถง “เรื่องของนัก
ฆ่าปาดคอ เรื่องจริงมันเป็นยังไง?”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย......
ข้าน้อยไม่เข้าใจที่ท่านพูด นักฆ่าปาดคอ......นักฆ่า
ปาดคอเป็นนักฆ่าที่ออกอาละวาดไปทั่วเมือง
ในตอนนี้......”
“นักฆ่าปาดคอเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาเพราะข้า
เท่านั้น” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้
เรื่อง ไต้เท้าเหว่ยก่อนหน้านี้ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ เจ้า
เป็นคนท่าทงราชสำนักส่งมา บนหัวของเจ้ามีนาย
อยู่ นั่นก็คือฝ่าบาท เบื้องหลังของเจ้ายังมีต้นไม้ใหญ่
หนึ่งต้น นั่นก็คือฝ่าบาท”
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “ข้าน้อยเข้าใจ”
“เจ้าไม่เข้าใจ” ฉีหนิงส่ายหน้า “หากเจ้าเข้าใจ ก็คง
ไม่ยอมเป็นทาสของหลี่หงซิ่นหรอก” เหว่ยซูถงหน้า
ถอดสี “โหวเยว่ ข้าน้อย......” ไม่รอให้เขาพูดจบ ฉี
หนิงก็ยกมือขึ้นขวาง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้อง
อธิบาย ข้ามาที่ซีชวนในครั้งนี้ เพราะต้องการช่วย
เจ้านะ”
“ช่วยข้าน้อย?” เหว่ยซูถงตะลึงไป
ฉีหนิงนั่งผิงเก้าอี้ แล้วพูดว่า “ที่จริงไต้เท้าเหว่ยก็
น่าจะรู้ดีกว่าข้านะ เจ้ากำลังยืนอยู่ที่ริมหน้าผา อดีต
ฮ่องเต้ส่งเจ้ามาประจำที่นี่ แสดงว่าเจ้าเองก็น่าจะ
ฉลาดมีความสามารถ ในเมื่อเป็นคนฉลาด หลาย
เรื่องเจ้าเองก็น่าจะเห็นและเข้าใจมันได้ดี” เขาจ้อง
ไป “คืนก่อนที่เรือนเจี้ยนเจีย เจ้าอยู่ใกล้แค่นั้น เจ้า
อย่าบอกนะว่าเจ้ามองไม่ออก”
เหว่ยซูถงเหงื่อไหล เริ่มกระวนกระวาย
เขาเป็นขุนนางใหญ่ในซีชวน เดิมควรจะมี
ประสบการณ์ที่มากกว่า แต่ตอนนี้พออยู่ต่อหน้าฉี
หนิงที่เป็นเด็กหนุ่ม กลับเหมือนถูกสายตาของเขา
มองทะลุปรุโปร่ง
“ข้าขอถามเจ้าสักคำ เจ้าออกห่างจากราชสำนัก
ออกจากฝ่าบาท ไต้เท้าเหว่ยคิดว่าจะมีจุดจบยังไง?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้าเหว่ย ไม่ว่าเจ้ากับหลี่หง
ซิ่นจะเดินไปกันถึงจุดไหนแล้ว ไม่ว่าเจ้ากำลังหลอก
ใช้เขาหรือว่าเขาหลอกใช้เจ้า หรืออาจจะหลอกใช้
ด้วยกันทั้งคู่ มีอย่างหนึ่งที่เจ้าน่าจะรู้ดี ตำแหน่งของ
เจ้า มาจากราชสำนัก หลี่หงซิ่นเห็นเจ้าสำคัญ
อาจจะเป็นเพราะจุดนี้ หากไม่มีราชสำนัก เจ้าก็ไม่มี
อะไรเลย ค่าในตัวเจ้าในมุมมองของหลี่หงซิ่นก็จะไม่
เหลือ......อย่าคิดว่าเขาจะเห็นเจ้าเป็นคนของเขา”
คำพูดของฉีหนิงเหมือนเข็มที่แทงเข้าไปในใจของ
เหว่ยซูถง เหว่ยซูถงหน้าชา สีหน้าของเขาซีด เหงื่อ
ไหลออกมามาก แต่ว่าเขายังพยายามข่มใจ แล้วถาม
ว่า “โหวเยว่มาที่เฉิงตูในครั้งนี้ หรือว่า......หรือว่ามี
ราชโองการลับจากฝ่าบาทมาด้วย?”
ฉีหนิงยกชาขึ้นดื่ม แล้วย้อนถามว่า “เจ้าว่าไง?”
เหว่ยซูถงตะลึง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย......
ข้าน้อยพยายามอย่างเต็มที่แล้ว มีคนอยากให้......
อยากให้ข้าน้อยบุกโจมตีเขาเฮยเหยียนตั้งแต่ปีก่อน
แล้ว แต่ว่าข้าน้อยก็พยายามยื้ออย่างเต็มที่ รอจน
โหวเยว่มาถึง”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “เจ้าตั้งใจยื้อ?”
“โหวเยว่หรือว่าท่านมองไม่ออกเลย” เหว่ยซูถงแล้ว
พูดว่า “ไม่ทราบโหวเยว่เคยได้เห็นฎีกาของข้าน้อย
หรือไม่”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ในฎีกาอธิบายไม่
ชัดเจน เจ้าตั้งใจหรอ”
“โหวเยว่พูดถูกต้องแล้ว” เหว่ยซูถงลังเล แล้วหยุด
พูดไป แล้วถามว่า “โหวเยว่เห็นฎีกาแล้ว ท่านรู้สึก
เรื่องของถ้ำเฮยเหยียนมันแปลกไหม?”
ฉีหนิงพูดว่า “ไต้เท้าเหว่ย ฎีกาของเจ้า เหมือนจะ
พูดแต่ก็ไม่พูด ฝ่าบาททรงปรีชา ทำไมจะมองไม่
ออก” เห็นเหว่ยซูถงขมวดคิ้ว สีหน้าสับสน เขา
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไต้เท้าเหว่ย เรื่องมาถึงขั้นนี้
แล้ว เจ้ารู้ใช่ไหมว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
ที่จริงข้าเองก็มองออก ตอนนี้เจ้าเองก็อันตราย ผลที่
ตามมาเจ้าเองก็น่าจะมองออก ครั้งนี้ที่ข้ามาที่เมือง
เฉิงตูนี่ ก็เพื่อช่วยเจ้า”
เหว่ยซูถงก้มหน้าลง จากนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ข้าน้อยผิดต่อพระกรุณาของฝ่าบาท ผิด
ต่อราชสำนัก ที่จริง......ที่จริงควรจะตายไปแล้วด้วย
ซ้ำ”
ตอนที่ฉีหนิงออกจากเมืองหลวงมา ก็รู้สึกว่าเหว่ย
ซูถงนั้นมีอะไรแปลก ๆ การมาที่เมืองเฉิงตูในครั้งนี้
เดิมก็เพื่ออยากจะรู้ความจริง ตอนนี้ได้ยินเหว่ยซูถง
พูดมาแบบนี้ ในใจก็เริ่มมีเค้า จากนั้นก็พูดว่า “เจ้า
จะมีความผิดไหม สมควรตายหรือเปล่า ข้าตัดสิน
ไม่ได้ แต่ว่าหากเจ้าพูดความจริง มีใจปกป้องราช
สำนัก มีใจปกป้องฝ่าบาท เรื่องบางเรื่องอาจมี
ทางแก้ไข”
เหว่ยซูถงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าน้อยมีความผิด
ที่หนีไม่พ้น ขอเพียง......ขอเพียงหากราชสำนัก
ลงโทษข้ามา โหวเยว่จะช่วยขอร้องฝ่าบาท ให้ละ
เว้นครอบครัวของข้าที่เมืองหลวงไป”
“อ๋อ?” ฉีหนิงพูดว่า “ไต้เท้าเหว่ยมีครอบครัวอยู่ที่
เมืองหลวง?”
เหว่ยซูถงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยมีแม่ที่อายุมากแล้ว
กับลูกอีกสองคน ตอนนี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ราช
สำนักเป็นคนดูแล ที่จริงชื่อสื่อในทุกพื้นที่ ครอบครัว
ก็จะอยู่ในเมืองหลวงทั้งนั้น” เขาไม่พูดอะไรมากอีก
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที การให้ครอบครัวอยู่ในเมือง
หลวง ก็เหมือนการทิ้งตัวประกันเอาไว้
ฮ่องเต้น้อยครองราชย์ได้ไม่นาน ก็ไม่น่าใช่สิ่งที่
ฮ่องเต้น้อยทำ แต่น่าจะเป็นประสงค์ของอดีตฮ่องเต้
ไต้หล้ายังไม่สงบ ชื่อสื่อท้องที่ต่างเป็นทูตชายแดน
ทั้งนั้น ในสถานการณ์แบบนี้ การให้ครอบครัวอยู่ใน
เมืองหลวง บอกว่าจะดูแลให้ ที่จริงมันก็คือเป็นตัว
ประกัน เป็นวิธีการควบคุมเจ้าหน้าที่ท้องที่ ถือว่า
เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมมากเลย
“ไต้เท้าเหว่ย ข้าอยากรู้ว่า เมื่อกี้ที่เจ้าบอกว่ามีคน
อยากให้เจ้าบุกโจมตีถ้ำเฮยเหยียน คน ๆ นั้นคือหลี่
หงซิ่นใช่ไหม?” ฉีหนิงจ้องบีบ “ถ้ำเฮยเหยียนก่อ
กบฏ เจ้ากับหลี่หงซิ่นร่วมวางแผนการตลอดใช่
ไหม?”
“เรื่องนี้ข้าน้อยไม่เกี่ยวนะ” เหว่ยซูถงรีบพูดว่า
“โหวเยว่ ข้าน้อยไม่กล้าปิดบัง ไป๋ถังหลิงเดินทางไป
ยังถ้ำเฮยเหยียน ข้าน้อยไม่รู้เรื่องเลย ภายหลังเรื่อง
ที่ไป๋ถังหลิงถูกสังหารแพร่กระจายออกมา ข้าน้อย
เองก็ตกใจ เตรียมจะส่งคนไปสืบหาความจริงเรื่อง
นี้”
“แล้วทำไมภายหลังถึงได้หยุดไป?” ฉีหนิงพูดว่า
“เจ้าถ้ำเฮยเหยียนบอกว่า เขากังวลว่าทางการจะ
เข้าใจผิด เลยส่งคนมาส่งสารให้ ในสารแจ้งว่าไป๋
ถังหลิงยังไม่ตาย แต่ว่าเจ้ากลับยังสั่งให้ทหารไปล้อม
เขาเอาไว้อีก”
“เอ่อ......เอ่อเรื่องนี้เพราะข้าน้อยเลอะเลือนเอง”
เหว่ยซูถงพูดว่า “จดหมายฉบับนั้น ข้าน้อยได้เห็น
แล้ว แต่ว่า.....ตอนนั้นหลี่หงซิ่นมาพอดี บอกข้าน้อย
ว่า ถ้ำเฮยเหยียนคิดจะก่อกบฏ จำเป็นต้องส่งทหาร
ไปกวาดล้าง ข้าน้อยเลยมอบจดหมายให้เขาไป เขา
เห็น แล้วก็บอกว่าชาวเหมียวเจ้าเล่ห์ เชื่อไม่ได้”
“เจ้าอยู่ที่ซีชวนหลายปี ชาวเหมียวเป็นยังไงไม่รู้
หรอ?” ฉีหนิงพูด “หลี่หงซิ่นพูดแค่ไม่กี่คำ เจ้าก็
เปลี่ยนใจ สั่งทหารไปล้อมเลยหรอ?”
เหว่ยซูถงสีหน้าซีด มือทั้งสองสั่นเครือ เขาลังเล
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ พูดตามตรง หลี่หงซิ่น......หลี่
หงซิ่นมีจุดอ่อนของข้าน้อยในมือ เขา......เขาถึงแม้
จะไม่ได้พูดตรง ๆ แต่คำพูดของเขามันแฝงไปด้วย
คำข่มขู่ หากข้าน้อยไม่สั่งทหารไปล้อม เขาก็จะ......
ก็จะพูดเรื่องนั้นออกไป......”
“จุดอ่อน?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว “จุดอ่อนเรื่องอะไร?”
“เรื่องฮูหยินของข้าน้อย เขา......เขารู้ว่าฮูหยินของ
ข้าน้อยตายยังไง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เหว่ยซูถงก็
เหมือนจะดูอ่อนลง เขาพิงเก้าอี้ไป
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 409 นางปีศาจ
ฉีหนิงเห็นสีหน้าของเหว่ยซูถงดูสับสน ในใจก็รู้ดีว่า
เขากำลังสับสนในตัวเองมาก ราวกับว่าเป็นเรื่องที่
น่ากลัวมาก
เป็นถึงซีชวนชื่อสื่อ แต่กลับมีท่าทางแบบนี้ จึงทำให้
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
มีสามารถมาประจำการที่ซีชวนได้ และมาจับตาดูห
ลี่หงซิ่น ก่อนที่จะมาเจอเหว่ยซูถง ฉีหนิงคิดว่าเขา
เป็นคนที่เจ้าเล่ห์มาก แต่ว่าเห็นเขาตอนนี้แล้ว กลับ
รู้สึกว่าไม่เหมือนกับที่ฉีหนิงคิดเอาไว้เลย
ฉีหนิงรู้ว่าอดีตฮ่องเต้ไม่มีทางเลือกคนผิด การที่
เหว่ยซูถงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ จะต้องมีเรื่องอะไร
เกิดขึ้นแน่นอน
เห็นเหว่ยซูถงดูท่าทางกำลังสับสน ฉีหนิงจึงขมวดคิ้ว
ฉับ แล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย เจ้าเองก็ประจำการอยู่
ที่ซีชวนมานานหลายปี ซีชวนไม่เคยเกิดเหตุวุ่นวาย
ขึ้นเลย ฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ทรงชื่นชมเจ้ามากนะ
ฝ่าบาทเพิ่งครองราชย์ได้ไม่นาน เป็นช่วงที่ต้องการ
ใช้คน หากใต้เท้าเหว่ยจงรักภักดีกับฝ่าบาท ต่อให้
ทำผิดพลาดไป ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้”
“โหวเยว่ ข้าน้อยจงรักภักดีกับฝ่าบาทไม่มีทางเป็น
อื่น” เหว่ยซูถงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่เช่นนั้นข้าน้อยก็
คงไม่เขียนฎีกาถวายไปแบบนั้นแน่นอน”
“ในฎีกานั่น ไม่ได้บอกอะไรชัดเจน ตั้งใจเขียนวกวน
ทำให้งุนงง ฝ่าบาทรู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ อีกทั้งยัง
คิดว่าใต้เท้าเหว่ยน่าจะมีความลำบากใจ” ฉีหนิงพูด
ว่า “ฝ่าบาททรงให้ข้าเดินทางมาที่นี่ ก็เพื่อสืบให้รู้
ความจริง เจ้าวางใจได้ ขอแค่เจ้าจงรักภักดีกับทาง
ราชสำนัก ข้าไม่มีทางไม่ช่วยเจ้าหรอกใต้เท้าเหว่ย
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าพูดมาเถอะ ที่นี่มีแค่เจ้า
กับข้า ไม่มีใครอื่น”
เหว่ยซูถงได้ยินเสียงของฉีหนิงอ่อนลง ก็พูดว่า “โหว
เยว่...ที่จริงแล้ว...ฮูหยินของข้า...เป็นข้าสังหารเอง”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจหน้าถอดสีทันที แล้ว
พูดว่า “เจ้า...เจ้าฆ่าฮูหยินของตัวเองหรือ?”
เหว่ยซูถงตัวสั่นเทา แล้วรีบพูดว่า “โหวเยว่...โหว
เยว่อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าน้อยไม่ได้...ไม่ได้ตั้งใจ ข้า
น้อย...ข้าน้อยถูกคนให้ร้าย”
ฉีหนิงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าฮูหยินชื่อสื่อต้องตายอย่างมี
เงื่อนงำ แต่ว่าเหว่ยซูถงฆ่าภรรยาตัวเอง มันน่าตกใจ
เกินไป เขากำหมัดแน่นแล้วพูดว่า “ถูกคนให้ร้าย?
ใต้เท้าเหว่ย ข้าหวังว่าเจ้าจะมีเหตุผลที่ดีมาอธิบาย
นะ”
“โหวเยว่ ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่กล้าปิดบัง” เหว่ยซูถง
ยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “คืนนั้นข้าน้อยกับฮูหยินกำลัง
นั่งกินอะไรนิดหน่อยที่ห้องโถงเล็ก ฮวาเซียงหยงเอง
ก็ยืนรับใช้อยู่ข้างๆ เดิมทีก็ไม่มีอะไร แต่ว่า...แต่ว่า
พอได้ดื่มเหล้าเข้าไป ข้าน้อยก็รู้สึกว่าไม่มีสติ ตาลาย
หน้ามืด...”
ฉีหนิงอึ้งไป เพราะมันเหมือนอาการที่เขาเป็นเมื่อครู่
นี้
เหว่ยซูถงพูดต่อไปว่า “หลังจากที่ข้าน้อยได้สติ ก็
พบว่า...ก็พบว่าในมือข้าน้อยถือดาบอยู่ ฮูหยิน...ฮู
หยินกลับล้มลงจมกองเลือดอยู่ที่พื้นแล้ว...” เขา
หน้าซีด “ข้าน้อยคิดว่าอาจจะเป็นภาพหลอนก็ได้
แต่ว่าคิดไม่ถึงเลยว่า...”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่าใน
ขณะที่เจ้าไม่รู้สึกตัว เจ้าฆ่าฮูหยินของตัวเองอย่าง
นั้นหรือ?”
เหว่ยซูถงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็เพราะแบบนี้ ฮูหยิ
นอยู่กินกับข้าน้อยมานานกว่าสิบปี ความสัมพันธ์
ของพวกเรานั้นลึกซึ้งกันมาก...นางเป็นคนใจดีมี
เมตตา...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำตาของเขาก็ไหลลงมา
ฉีหนิงไม่พูดอะไร เหว่ยซูถงยกชายเสื้อมาเช็ดน้ำตา
แล้วพูดว่า “ตอนนั้นในหัวของข้าน้อยล้วนว่างเปล่า
ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ในตอนนั้นเอง หลี่หงซิ่นก็
โผล่มา”
“หลี่หงซิ่น?”
เหว่ยซูถพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว หลี่หงซิ่น
บริจาคเงินสร้างวัดมานานหลายปี ฝักใฝ่ในทางธรรม
มาก เพียงแต่การจะสร้างวัด ต้องได้รับการอนุญาต
จากทางการก่อน วัดที่เขาจะสร้างอยู่บนพื้นที่นา
ข้าน้อยเองก็ไม่กล้าออกหนังสือให้ เพื่อไม่ให้
ชาวบ้านครหา ดังนั้นช่วงนั้นเขาจึงมาที่จวนชื่อสื่อ
อยู่บ่อยๆ”
“เจ้าหมายความว่า เขามาพบเจ้าฆ่าคนพอดี?” ฉี
หนิงขมวดคิ้วมุ่น
เหว่ยซูถงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ตอนนั้นฮวา
เซียงหยงก็อยู่ข้างๆ ด้วย ข้าน้อยได้สติกลับมา กำลัง
คิดจะจัดการกับศพ หลี่หงซิ่นก็เข้ามาพอดี เขาเห็น
ศพของฮูหยิน และมองเห็นดาบอยู่ในมือของ
ข้าน้อย” เขายิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ
ฆ่าฮูหยิน แล้วยังถูกคนที่ไม่ควรจะเห็นมาเห็นเข้า”
ฉีหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันคิดไม่ถึงจริงๆ เขาถามว่า
“หลี่หงซิ่นเข้ามาในจวนชื่อสื่อไม่มีใครมารายงาน
เลยหรือ?”
“ข้าน้อยอยู่ที่ซีชวนมานานหลายปี ก่อนที่จะเกิด
เรื่อง ข้าน้อยก็มีแต่ไปที่จวนสู่อ๋องเท่านั้น เริ่มแรกยัง
มีการแจ้งอยู่ ต่อมาหลี่หงซิ่นได้ออกคำสั่งว่าข้าน้อย
สามารถเข้าออกจวนสู่อ๋องได้โดยไม่ต้องแจ้ง” เหว่ย
ซูถงพูดว่า “ดังนั้นข้าน้อยเลยออกคำสั่งไปว่า หากห
ลี่หงซิ่นมาที่จวนไม่ต้องแจ้ง”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง”
“หลี่หงซิ่นมาเห็นเข้า เขาก็ไม่ลังเล เขาช่วยข้าน้อย
จัดการศพของฮูหยิน” เหว่ยซูถงพูดว่า “ตอนนั้น
ข้าน้อยราวกับสูญเสียสติไปหมดสิ้น ทั้งเสียใจ ทั้ง
เจ็บปวด อีกอย่างเขามาเห็นเข้า ทำให้ใจข้ากระวน
กระวาย จึงขอให้เขาช่วยเหลือ เขาเตือนฮวาเซียง
หยงว่า ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป และยัง
รับปากฮวาเซียงหยงอีกว่า ขอแค่ฮวาเซียงหยงปิด
ปากให้สนิท หลังจากผ่านไปแล้วหนึ่งปี จะให้
ข้าน้อยยกนางขึ้นมาเป็นฮูหยินใหญ่อีกด้วย”
ฉีหนิงยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลก คิดในใจว่าเรื่องนี้มันดู
บังเอิญเกินไป เขาถามว่า “นอกจากเจ้าสามคนแล้ว
เรื่องนี้ยังมีคนอื่นที่รู้อีกหรือไม่?”
เหว่ยซูถงส่ายหน้า “ตอนนี้มีแค่สามคนเท่านั้นที่อยู่
ตรงนั้น หลี่หงซิ่นจัดการศพของฮูหยินทันที อีกทั้ง
ยังบอกอีกว่าข้าน้อยควรจะทำอย่างไร...” มือทั้งสอง
ข้างของเขาสั่นเทา “ข้าน้อยเหมือนถูกมนต์สะกด
ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่มันบงการ”
ฉีหนิงพูดว่า “เขาสั่งให้เจ้าปล่อยข่าวออกไปว่า ฮู
หยินใหญ่ตายเพราะโรคร้าย?”
เหว่ยซูถงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ซีชวนมีโรค
มากมาย หากบอกว่าฮูหยินป่วยเพราะติดโรค ก็
พอจะเข้าใจได้”
“เท่าที่ข้ารู้มา เจ้าฝังศพของฮูหยินเร็วมาก” ฉีหนิง
จ้องไปที่เหว่ยซูถงแล้วถามว่า “กลัวว่าหากปล่อยไว้
นานไป คนจะจับได้อย่างนั้นหรือ?”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ใช่แล้ว เพราะหลี่หงซิ่นมาเห็นเข้า
ข้าน้อย...ข้าน้อยทำได้แค่ยอมทำตามที่เขาบอก เขา
เหมือนกระตือรือร้นมาก ให้ข้าน้อยรีบฝังศพของฮู
หยิน ข้าน้อยรู้สึกกลัวมาก ก็เลย...ก็เลยรีบฝังศพ
ของฮูหยิน หวังว่าจะให้เรื่องนี้จบให้เร็วที่สุด”
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจคิดว่าหากไม่ได้ยินจาก
ปากของเหว่ยซูถง คงคิดไม่ถึงว่าจวนชื่อสื่อจะเกิด
เรื่องประหลาดแบบนี้ขึ้น
หลังจากเงียบไปได้พักหนึ่ง ฉีหนิงถามว่า “ใต้เท้า
เหว่ย เจ้าบอกว่าคืนนั้นเจ้าสังหารฮูหยินของตัวเอง
โดยไม่มีสติ แล้วต่อมาเจ้ารู้สาเหตุหรือไม่?”
เหว่ยซูถงกำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “เดิมทีข้าน้อยก็ไม่
แน่ใจ แต่ว่า...แต่ว่าคืนนี้ข้ามั่นใจแล้ว”
“อ๋อ?” ฉีหนิงพูดว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ฮวาเซียงหยง จะต้องเป็นนาง
ปีศาจแน่นอน นางแพศยานั่น...จิตใจโหดเหี้ยม คืน
นั้นมีแค่สามคนเท่านั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ จะต้องเป็น
นางแน่ๆ”
ฉีหนิงนึกถึงปฏิกิริยาของเขาเมื่อครู่ เขาจำได้ว่าตอน
ที่เขามองไปที่หน้าของฮวาเซียงหยง เขารู้สึกตาลาย
เวียนหัว เริ่มมีอาการไม่รู้สึกตัว เขาถามว่า “ข้าถาม
เจ้าหน่อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วฮวาเซียงหยง
เป็นใครมาจากไหน เจ้ายังคิดอยู่หรือว่านางมาจาก
คณะละคร?”
เหว่ยซูถงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้ว...ที่จริง
แล้วข้าน้อยเคยให้คนไปสืบประวัติของนางมา ตอน
นั้นที่ไปเจอคณะละครนี้ เท่าที่คนของคณะละคร
บอกมา ฮวาเซียงหยงเป็นคนเสนอตัวที่จะเข้ามาใน
ละครของพวกเขา การร่ายรำของนางงดงามมาก
อีกทั้งเสียงร้องก็ดีด้วย คนแบบนี้เสนอตัวเข้าคณะ
ละคร ไม่มีใครไม่ยอมรับนาง”
“แล้วนางเข้าคณะมาตอนไหน?” ฉีหนิงถาม
เหว่ยซูถงพูดว่า “ก่อนหน้าวันเกิดของข้าน้อย
จะต้องเตรียมการล่วงหน้าประมาณหนึ่งเดือน ต้อง
เตรียมหาคณะละครไว้ล่วงหน้าประมาณครึ่งปี
ข้าน้อยได้ยินมาว่าฮวาเซียงหยงเข้ามาในคณะช่วง
นั้นพอดี”
“ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่านางตั้งใจพุ่งเป้ามาที่เจ้า
โดยตรง” ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ในเมื่อเจ้ากับฮู
หยินก็มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เหตุใดจู่ๆ ถึงได้
อยากจะรับอนุเข้ามาในจวนเล่า?”
เหว่ยซูถงหน้าถอดสีพร้อมกำหมัดแน่น “โหวเยว่ ขอ
พูดตามตรง ตอนนั้น...ตอนนั้นที่ข้าได้พบนาง ก็...”
เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นางปีศาจนั่นมันเหมือน
ปีศาจจิ้งจอก ปกติข้าน้อยเป็นคนชอบอ่านหนังสือ
ไม่เคยทำอะไรเสื่อมเสียมาก่อน อีกทั้งยังไม่ชอบยุ่ง
เรื่องคาวโลกี แต่ว่า...แต่ว่าตอนนั้นมองไปที่นางแค่
ครั้งเดียวเท่านั้น ก็เหมือนถูกสะกด ในใจก็นึก
อยากจะได้นางมาครอบครอง”
ฉีหนิงเหมือนใช้ความคิดแล้วพูดว่า “ถึงแม้ฮวาเซียง
หยงจะหน้าตาไม่เลว แต่ก็ไม่ใช่เด็กสาว อีกทั้ง...อีก
ทั้งก็ไม่ได้ถือว่าหน้าตางดงามมาก หากมีสิบคะแนน
นางได้สักเจ็ด ใต้เท้าเหว่ยก็เจอคนมามาก มีผู้หญิง
แบบไหนบ้างที่ยังไม่เคยเจอ เหตุใดถึงมองนางแค่
ครั้งเดียว ก็หวั่นไหวได้เล่า? ใต้เท้าเหว่ยคงไม่ได้มี
อะไรปกปิดข้าอีกหรอกนะ?”
เหว่ยซูถงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “โหวเยว่ เรื่องมาถึงขั้น
นี้แล้ว ข้าน้อยก็เปิดใจกับท่านไปหมดแล้ว จะมีอะไร
กล้าปิดท่านอีกเล่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ความบังเอิญในคืนนั้น
เจ้าก็ไม่แน่ใจใช่หรือไม่ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ เจ้าเอง
ก็คิดว่ามันเป็นหลุมพราง?” ฉีหนิงจ้องไปแล้วพูดต่อ
“เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าฮวาเซียงหยงอาจจะเป็นคน
ของหลี่หงซิ่น?”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ข้าน้อยขอพูดตามตรง ข้าลองมา
คิดๆ ดูแล้ว ข้าน้อยเองก็คิดไม่เข้าใจ เหตุใดมันถึงได้
บังเอิญขนาดนั้นได้ ข้าน้อยเคยสงสัยว่าอาจจะเป็น
แผนของหลี่หงซิ่น แต่ว่า...” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“ตั้งแต่ฮวาเซียงหยงเข้ามาในจวนแล้ว นางก็ไม่เคย
ออกจากจวนเลยแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่
จะไปมาหาสู่กับหลี่หงซิ่น หลี่หงซิ่นจะรู้เรื่องที่
เกิดขึ้นในคืนนั้นล่วงหน้าได้อย่างไร ดังนั้นถึงแม้
ข้าน้อยจะสงสัย แต่ก็ไม่มั่นใจ”
“แล้วตอนนี้เจ้าเชื่อแล้วหรือ?”
“ฮวาเซียงหยงวรยุทธร้ายกาจขนาดนี้ หากนางจะ
ออกจากจวนไปกลางดึก ก็คิดว่าไม่น่าจะมีใครจับ
ได้” เหว่ยซูถงสีหน้าเด็ดขาด “ข้าน้อยสงสัยว่า เรื่อง
ในคืนนั้น น่าจะเป็นแผนของหลี่หงซิ่น ฮวาเซียงหยง
...น่าจะเป็นสายของหลี่หงซิ่น”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “เจ้าสงสัยว่าที่เจ้าขาดสติไป ก็
น่าจะเป็นเพราะฮวาเซียงหยงอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าน้อย...ข้าน้อยสงสัยว่านางอาจจะวางยาอะไร
บางอย่างในเหล้า” เหว่ยซูถงมีสติขึ้นมาไม่น้อย มือ
ทั้งสองข้างของเขาไม่สั่นแล้ว “ในยุทธภพมียาพิษ
มากมายหลายตัวที่สามารถทำให้คนขาดสติได้”
“ที่เจ้าพูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล” ฉีหนิงพูดว่า
“แต่ว่าตอนนี้ฮวาเซียงหยงหนีไปแล้ว เจ้าก็ไม่รู้ว่า
นางเป็นใครมาจากไหน ไม่มีทางหานางพบอีก”
เหว่ยซูถงพูดด้วยความแค้นว่า “ต่อให้นางจะหนีไป
สุดหล้าฟ้าเขียว ข้าน้อยก็จะต้องจับนางมาฉีกเป็น
ชิ้นๆ ให้ได้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 410 เบื้องหน้าเป็นมิตรเบื้องหลังเป็นศัตรู
ฉีหนิงถามว่า “ไป๋ถังหลิงถูกลอบสังหาร แล้วโยน
ความผิดไปให้ชาวเหมียว หลี่หงซิ่นบังคับให้เจ้าทำ
หรือ?”
เหว่ยซูถงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยไม่รู้
เรื่องนี้เลย ข้าน้อยแค่ได้ยินมาว่าถ้ำเฮยเหยียน
สังหารคนของทางการเพื่อก่อกบฏ ตอนนั้นข้าน้อย
เองก็ตกใจ ข้าน้อยแทบไม่อยากจะเชื่อ หลายปีมานี้
ถึงแม้ในบรรดาชาวเหมียวจะเกิดเหตุปะทะกันอยู่
บ่อยครั้ง แต่เพราะท่านเหมียวอ๋องปกครองได้อย่าง
มั่นคง ทำให้ชาวเหมียวเจ็ดสิบสองถ้ำอยู่กันอย่าง
สงบ ไม่มีเรื่องอะไรที่รุนแรงมาก” เขาหยุดไป แล้ว
พูดต่อว่า “ข้าน้อยเคยบอกไปแล้ว เดิมทีข้าน้อย
ตั้งใจส่งคนไปสืบหาความจริง แต่ว่าหลี่หงซิ่นมาหา
ข้าน้อย บอกว่าชาวเหมียวก่อความวุ่นวาย จะต้อง
ลงโทษให้หนัก”
“หลี่หงซิ่นมีจุดอ่อนของเจ้าอยู่ในกำมือ เจ้าเลยไม่
กล้าขัดคำสั่งเขา” ฉีหนิงหัวเราะเจื่อน
เหว่ยซูถงพูดว่า “ข้าน้อยเลอะเลือนเอง” เขาหยุด
ไปแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้าน้อยเองก็รู้สึกว่าหลี่หงซิ่น
น่าจะมีแผนอะไรอยู่ แต่ว่าไม่กล้าหักหน้าเขา หาก
เรื่องที่ข้าน้อยสังหารฮูหยินแพร่ออกไป ข้าน้อย...”
เขาถอนหายใจ เหมือนจนปัญญาจริงๆ
เป็นถึงซีชวนชื่อสื่อแต่กลับสังหารฮูหยินของตัวเอง
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตำแหน่งของเขาต้องหลุดแน่
อีกทั้งยังคงต้องได้รับการสอบสวน อนาคตของเขา
คงจบสิ้น
เห็นฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด เหว่ยซูถงก็พูดว่า “แต่
ว่าข้าน้อยเองก็รู้ ต่อหน้าคงไม่สามารถไปหักหน้า
ของหลี่หงซิ่นได้ แต่ว่าเรื่องที่เขาคิดไม่ซื่อ ข้าน้อยไม่
มีทางยอมให้เขาสมใจแน่” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียง
ของเขาก็หนักแน่นขึ้นมา “ถึงแม้ข้าน้อยจะสั่งให้
ทหารไปปิดล้อมถ้ำเฮยเหยียนไว้ แต่ไม่ได้ทำการบุก
โจมตี อีกทั้งยังเขียนฎีกาถวายเรื่องนี้ให้ราชสำนัก
ข้าน้อยรู้ว่า หากถวายฎีกาไปแล้ว ฝ่าบาทจะต้อง
มองออกแน่นอน จะต้องส่งคนมาที่นี่แน่”
ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยคำนวณได้อย่างแม่นยำ”
เขาแอบคิดในใจว่าถึงอย่างไรเหว่ยซูถงก็อยู่ใน
ตำแหน่งนี้มานาน ความคิดความอ่านของเขาถือว่า
ร้ายกาจพอสมควร
เหว่ยซูถงฟังออกว่าฉีหนิงนั้นประชด แต่ในตอนนี้ยัง
พูดว่า “หลี่หงซิ่นส่งคนมาเร่งเร้าให้ข้าบุกโจมตีถ้ำ
เฮยเหยียน ข้าน้อยหาข้ออ้างยื้อเวลาเอาไว้หลาย
ครั้ง ในตอนนั้นเองข้าน้อยก็เริ่มสงสัยแล้วว่าฮวา
เซียงหยงอาจจะเป็นคนของหลี่หงซิ่น ก็เลยเริ่มระวัง
ตัวมากขึ้น ข้าน้อยพยายามยื้อเวลาเอาไว้ หวังว่า
ราชสำนักจะส่งคนมา สวรรค์มีตา ในที่สุดโหวเยว่ก็
มา”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าคิดว่าเจ้าสร้างผลงาน
ให้กับราชสำนักสินะ”
“ข้าน้อยไม่ได้คิดแบบนั้น” เหว่ยซูถงส่ายหน้าแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ พูดตรงๆ ข้าน้อยเองก็รู้ดี หาก
ข้าน้อยเชื่อฟังคำสั่งของหลี่หงซิ่นทั้งหมด สุดท้าย
แล้วซีชวนก็จะวุ่นวาย ถึงเวลานั้นข้าน้อยก็หมด
ประโยชน์ หลี่หงซิ่นก็จะต้องกำจัดข้า ราชสำนักเอง
ก็ไม่มีทางปล่อยข้าไปเหมือนกัน”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้าเองก็เข้าใจหลักการนี้ดีนี่นา
ไม่ว่าเหว่ยซูถงจะมีสัมพันธ์อย่างไรกับหลี่หงซิ่น แต่
ในสายตาของชาวซีชวน เหว่ยซูถงก็คือตัวแทนของ
ราชสำนัก หากหลี่หงซิ่นก่อกบฏ คนแรกที่จะฆ่าก็
คือเหว่ยซูถง
ฉีหนิงรู้ว่าเหว่ยซูถงยอมเปิดใจกับเขาในคืนนี้ ไม่ใช่
สิ่งที่ออกมาจากใจ แต่เพราะเขารู้ว่ามันรุนแรงแค่
ไหนต่างหาก
หากราชสำนักส่งเจ้าหน้าที่ทั่วไปมา เหว่ยซูถง
อาจจะไม่เปิดใจมากขนาดนี้ แต่จิ่นอีโหวเป็นหนึ่งใน
สี่บรรดาศักดิ์โหวของต้าฉู่ ในสถานการณ์แบบนี้
เหว่ยซูถงอยากปีนขึ้นมาจากหลุม ก็ต้องเกาะขาของ
จิ่นอีโหวเอาไว้
“ตามที่เจ้าว่ามา หลี่หงซิ่นเตรียมจะก่อกบฏหรือ?”
ฉีหนิงถาม “ในมือของเจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
หลี่หงซิ่นเหมือนเนื้อร้ายที่อันตรายของราชสำนักมา
ตลอดหลายปี สำหรับราชสำนักแล้ว การที่หลี่หงซิ่น
ยังอยู่ ก็เหมือนอันตรายยังคงอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ก่อตั้งต้าฉู่มา ถึงแม้ความเคลื่อนไหวของทหาร
ตามชายแดน จะทำให้สุดท้ายหลี่หงซิ่นสวามิภักดิ์
ต่อต้าฉู่ แต่ว่าทหารของแคว้นก็ใช้ไปกับการรับมือ
ทหารของเป่ยฮั่นเป็นหลัก
ยี่สิบปีที่ผ่านมา ชาวเป่ยฮั่นไม่ได้ละทิ้งความ
พยายามในการยึดครองต้าฉู่ ส่วนต้าฉู่เองก็อยากจะ
กวาดล้างเป่ยฮั่นเพื่อรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง
ทั้งสองฝ่ายทำศึกมานานหลายปี เสียทั้งเงินและ
กำลังพลไปไม่น้อย
ก็เพราะอย่างนี้ ต้าฉู่ถึงได้ใช้วิธีการอย่าง
ประนีประนอมในการปกครองซีชวนมาตลอด
นโยบายการปกครองอย่างประนีประนอม ใช้กับหลี่
หงซิ่นเป็นหลัก
กลุ่มอำนาจในซีชวนแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม มีทั้ง
ชาวฮั่น ชาวเหมียว ชาวปาเหริน ในฐานะผู้นำของซี
ชวนมาก่อน หากราชสำนักทำการปลอบขวัญหลี่หง
ซิ่น ชาวบ้านในซีชวนก็จะรู้สึกซาบซึ้งราชสำนัก แต่
ว่าหากราชสำนักใช้กำลัง คิดจะแก้ไขปัญหาความ
มั่นคงในซีชวนกับหลี่หงซิ่น คงไม่ได้ผลที่ต้องการ
ท่านอ๋องซีชวนสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่ ใต้หล้าต่างรู้กัน
หมด หากแคว้นฉู่สังหารหลี่หงซิ่นโดยที่ไม่มีหลักฐาน
จะส่งผลที่เลวร้ายเกินจะคาดคิด เพราะทางเป่ยฮั่น
ยังไม่นิ่ง แม้แต่หลี่หงซิ่นยังถูกสังหารได้ ตั้งแต่นี้
ต่อไป คงไม่มีใครกล้าสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่อีกแน่
ราชสำนักส่งเหว่ยซูถงมาประจำที่ซีชวน ก็ต้องอยาก
ให้ไกล่เกลี่ยเรื่องราวต่างๆ ในซีชวน และจับตามอง
ความเคลื่อนไหวของหลี่หงซิ่น แต่อีกด้านหนึ่ง ก็
อยากให้เหว่ยซูถงหาหลักฐานที่หลี่หงซิ่นคิดไม่ซื่อต่อ
ราชสำนักด้วย
ราชสำนักแคว้นฉู่ต้องการกำจัดหลี่หงซิ่น ขอแค่มี
หลักฐาน ไม่มีทางใจอ่อนแน่นอน
ฉีหนิงเห็นว่าเหว่ยซูถงกับหลี่หงซิ่นมีความสัมพันธ์ที่
อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็เลยคิดอยากจะรู้ว่า
เหว่ยซูถงเจอหลักฐานการก่อกบฏของหลี่หงซิ่น
หรือไม่ เขาถามว่า “ใต้เท้าเหว่ย หากในมือของเจ้ามี
หลักฐานที่หลี่หงซิ่นคิดไม่ซื่อ ข้ารับประกันได้ว่าเจ้า
จะปลอดภัยไม่เป็นอะไรเลย ข้าสามารถทูลฝ่าบาท
ได้ว่า สิ่งที่เจ้าทำไปเพราะเสียสละตัวเองเพื่อหา
หลักฐานของหลี่หงซิ่น ไม่เพียงไม่มีโทษ แต่จะมี
ผลงานด้วย”
เหว่ยซูถงพูดว่า “โหวเยว่ ต่อให้ท่านไม่บอก ข้าน้อย
เองก็คิดแบบนี้ ตอนที่ข้าน้อยมาที่ซีชวนแรกๆ ก่อน
เดินทางมา อดีตฮ่องเต้ทรงกำชับไว้ว่า หากสามารถ
ตรวจสอบได้ว่าหลี่หงซิ่นคิดก่อกบฏจะถือว่าเป็น
เรื่องที่ดีมากๆ แต่ว่าหากไม่สามารถหาได้ ก็จะต้อง
ทำให้ซีชวนสงบให้ได้ จับตาดูหลี่หงซิ่นอย่าให้คลาด
สายตา” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “หลายปีมานี้
ข้าน้อยระลึกถึงคำสั่งลับนี้ของอดีตฮ่องเต้อยู่
ตลอดเวลา ไม่กล้าละเลย แต่ว่าหลี่หงซิ่นเจ้าเล่ห์
มาก ตั้งแต่เขาสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่ ก็อาศัยอยู่ที่เมือง
เฉิงตูตลอด เหมือนไม่สนใจในลาภยศอีกเลย”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ในมือของ
เจ้าก็ไม่มีหลักฐานเลยสินะ?”
“หลี่หงซิ่นต้องรู้อยู่แล้วว่าข้าน้อยต้องแอบ
ตรวจสอบเรื่องที่เขาจะก่อกบฏ” เหว่ยซูถงขมวดคิ้ว
“ดังนั้นหลายปีมานี้เขาระวังตัวมาก เขาแทบจะไม่
ออกไปไหนเลย อีกทั้งยังไม่ค่อยพบหน้ากับเหล่า
ลูกน้องเก่าด้วย...ข้าน้อยรู้ว่ามันแค่เปลือกหน้า แต่
ว่าหาจุดอ่อนเขาไม่ได้เลย”
“ตระกูลหลี่ปักหลักที่ซีชวนมากว่าร้อยปี รากฐาน
แน่นหนามาก คิดอยากจะหาจุดอ่อนของเขา มัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ฉีหนิงเองก็รู้ว่าหลายปีมานี้เหว่ย
ซูถงกับหลี่หงซิ่นน่าจะเป็นแอบหลอกกันไปหลอก
กันมา สู้กันแต่ไม่พูดซึ่งหน้า แต่เหว่ยซูถงกลับสู้หลี่
หงซิ่นไม่ได้
เหว่ยซูถงพยักหน้า แล้วพูดว่า “หลี่หงซิ่นระวังตัว
มาก แต่ว่าหลี่หยวนกลับทำตัวต่ำช้าเปิดเผยมากใน
เมืองเฉิงตู ข้าน้อยก็เคยคิดจะหาเบาะแสจากตัว
ของหลี่หยวน แต่ว่าเจ้าเด็กนั่นถึงแม้จะต่ำช้า แต่ไม่
มีใครกล้าไปแจ้งความดำเนินคดีกับเขาเลย ข้าน้อย
ทำได้แค่หลับตาข้างหนึ่งแล้วปล่อยผ่านไปเท่านั้น”
ฉีหนิงถามว่า “ใต้เท้าเหว่ย หลี่หงซิ่นมีทรัพย์สิน
เท่าไหร่ ได้ยินมาว่าเขาบริจาคเงินสร้างวัดมากมาย
เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีวัดไหนบ้าง?”
“นั่นจะต้องเป็นแผนปกปิดของเขาแน่” เหว่ยซูถง
พูดอย่างมั่นใจมากว่า “เขาแกล้งทำเป็นสนใจใน
ธรรมะ อีกทั้งยังไปสร้างวัดไปทั่ว อยากให้คนทั่วไป
เห็นว่าเขาไม่สนใจในลาภยศการเมืองแล้วมากกว่า”
เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “จนถึงตอนนี้ เขาสร้างวัดไป
แล้วมากกว่าสิบแห่ง นอกจากที่เขาชิงเฉิงที่ใหญ่กว่า
ปกติ วัดที่เหลือก็ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังไม่เคยจุด
ธูปหรือเทียนบูชาเลย ข้าน้อยเคยส่งไปดู วัด
บรรยากาศเงียบมาก ในวัดมีหลวงจีนอยู่แค่ไม่กี่คน
เท่านั้น”
ฉีหนิงคิด แล้วถามว่า “หลี่หงซิ่นเคยพูดถึงเรื่องกลุ่ม
นรกภูมิ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่?”
เหว่ยซูถงส่ายหน้าทันทีแล้วพูดว่า “ไม่เคยได้ยินมา
ก่อนเลย ข้าน้อยเพิ่งเคยได้ยินหลี่หงซิ่นพูดเรื่องนี้
ครั้งแรกตอนที่กินข้าวกับโหวเยว่ในวันนั้น” เขาหยุด
ไป แล้วพูดต่อว่า “แต่ว่าข้าน้อยคิดว่าเขาน่าจะสร้าง
เรื่องขึ้นมามากกว่า กลุ่มนรกภูมิที่พูดถึง มันไม่น่าจะ
มีอยู่จริง ที่เขาพูดถึงกลุ่มนี้ขึ้นมา แค่อยากให้
ข้าน้อยกับราชสำนักเบีย่ งเป้าไปที่กลุ่มนรกภูมิ
มากกว่า เขาจะได้ทำอะไรได้สะดวกมากขึ้น”
ฉีหนิงคิดในใจว่าหากเขาไม่ได้เคยเจอคนของกลุ่ม
นรกภูมิมาก่อน อาจจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลี่หง
ซิ่นสร้างขึ้นมาเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขารู้ว่า กลุ่มนี้
มันมีตัวตนอยู่จริง
“เรื่องของถ้ำเฮยเหยียน ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าก็รู้สึก
ว่าหลี่หงซิ่นอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่กลับหาหลักฐาน
ไม่ได้ เมื่อไม่มีหลักฐาน ราชสำนักก็ไม่มีทางเชื่อ” ฉี
หนิงพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ตอนนี้เจ้าพูดเรื่องพวกนี้
แล้วจะให้ข้ากลับไปรายงานฝ่าบาทอย่างไร”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ข้าน้อยรู้ดีว่าโทษหนัก หากฝ่าบาท
จะทรงลงอาญา ก็ขอให้โหวเยว่ช่วยพูดให้ทรงละเว้น
ครอบครัวของข้าน้อยด้วยเถอะ”
“เรื่องนักฆ่าที่เรือนเจียนเจีย เจ้าไม่รู้เรื่องจริงๆ
หรือ?” ฉีหนิงจ้องไปที่เหว่ยซูถง
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “ข้าน้อยสาบานได้ ข้าน้อยไม่รู้
เรื่องเลย โหวเยว่ ตอนนี้ข้าน้อยถึงได้เข้าใจว่า วันนั้น
ที่พวกเราเข้าเมืองเฉิงตูมา ที่หลี่หงซิ่นพูดเรื่องพวก
นั้นกับพวกเรา ก็เพื่อจัดฉากนักฆ่าที่เรือนเจียนเจีย”
เขาลังเล แล้วพูดว่า “ตระกูลหลี่กับตระกูลฉีมี
ความแค้นต่อกัน โหวเยว่อาจจะไม่รู้ ลูกชายคนโต
ของหลี่หงซิ่นตอนนั้นตายเพราะตระกูลฉี หลี่หงซิ่น
ให้ความสำคัญกับลูกชายคนโตคนนี้มาก หวังว่าเขา
จะสามารถสืบทอดตระกูลต่อไปได้ แต่กลับต้องมา
ตายไป เขาเลยแค้นใจตระกูลฉีมาก เกลียดเข้า
กระดูกดำ”
ฉีหนิงไม่พูดอะไร
“ครั้งนี้โหวเยว่มาถึงซีชวน หลี่หงซิ่นต้องคิดว่าเป็น
โอกาสที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นก็เลยอยากจะแก้แค้นเรื่อง
ในครั้งนั้น” เหว่ยซูถงสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า
“แต่ว่าเขาไม่กล้าสังหารโหวเยว่ตรงๆ เลยสร้าง
สถานการณ์ขึ้นมา เขาตั้งใจกระจายข่าวเรื่องนักฆ่า
ขุนนางออกไปทั่วเมืองเฉิงตู แล้วจัดเตรียมนักฆ่า
เอาไว้ที่เรือนเจียนเจีย เขากังวลว่าหากพุ่งเป้าไปที่
โหวเยว่เลยเขาก็หลุดข้อสงสัยไม่พ้น เลยแสร้งทำ
เป็นถูกทำร้ายด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้ หากราชสำนัก
เอาผิด หลี่หงซิ่นก็มีโทษแค่คุ้นกันบกพร่องเท่านั้น”
ฉีหนิงพยักหน้าพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยมองออกหรือ”
เหว่ยซูถงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเลอะเลือน
เอง คิดมาตลอดว่าหลี่หงซิ่นคงไม่กล้าขนาดนั้น แต่
ว่า...คนๆ นี้ใจคอโหดเหี้ยมมาก” เขามองไปที่ฉีหนิง
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ในเมื่อลี่หงซิ่นกล้าลงมือ เขา
จะต้องไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่ ท่านต้องระวังให้มาก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นถึงจิ่นอีโหว หลี่หงซิ่น
เป็นแค่อ๋องที่ตกอับ ใต้เท้าเหว่ย มีเจ้าคอยคุ้มกันข้า
เจ้าคิดว่าข้าจะกลับออกจากเมืองเฉิงตูไปไม่ได้เลย
หรือ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 411 สามเหลีย่ ม
เหว่ยซูถงเก็บสีหน้า แล้วพูดว่า “โหวเยว่โปรดวางใจ
ทหารในเมืองเฉิงตูทั้งหมดอยู่ในมือของข้าน้อย หลี่
หงซิ่นไม่มีทางทำอะไรได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ข้าน้อยจะส่งคนเฝ้าอารักขาโหวเยว่ จนกว่าโหวเยว่
จะเดินทางกลับเมืองหลวง”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย หากหลี่หงซิ่นก่อ
กบฏขึ้นมาจริงๆ เจ้าจะรับมืออย่างไร?”
“ก่อกบฏ?” เหว่ยซูถงพูดว่า “โหวเยว่ ขอข้าน้อย
พูดตามตรง ถึงแม้หลี่หงซิ่นจะรู้จุดอ่อนของข้าน้อย
แต่ว่าเขารู้ขอบเขตของข้าน้อยดี ไม่กล้าบีบคั้น
ข้าน้อยมากนักหรอก ส่วนข้าน้อยเองก็ไม่มีทางยอม
ให้เขาก่อกบฏแน่นอน ตอนนั้นที่หลี่หงซิ่น
สวามิภักดิ์ต้าฉู่ของพวกเรา ราชสำนักได้ทำการ
สลายกำลังพลของเขาไปหมดแล้ว ตอนนี้ทหารในซี
ชวนทั้งหมด นอกจากทหารที่ราชสำนักส่งมาประจำ
การณ์แล้ว ก็เป็นทหารที่รับเข้ามาใหม่ หลี่หงซิน่
มีจิ่นกวนเว่ยหนึ่งพันนายเท่านั้น ส่วนเบี้ยหวัดแล้วก็
การกินอยู่ของทหารจิ่นกวนเว่ย หลี่หงซิ่นเป็นคน
ดูแลเอง แต่วา่ อาวุธชุดเกราะของพวกเขา ราชสำนัก
เองก็ยังเป็นคนดูแลอยู่ โดยจะเปลี่ยนทุกๆ สามปี”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนัน้ ก็แสดงว่า อาวุธของหลี่หง
ซิ่น ใต้เท้าเหว่ยก็รู้ดีอย่างนั้นสินะ”
“ถูกต้องแล้ว” เหว่ยซูถงพูดว่า “ตอนที่สลายกำลัง
พลของเขา ก็ได้ยึดเอาอาวุธต่างๆ ของเขามาด้วย
เพื่อเพิ่มให้กับกองทัพของต้าฉู่ คนที่ยอมกลับบ้าน
ทำนา ราชสำนักยกเลิกการเก็บภาษีของพวกเขา
สามปี ในกองทัพของพวกเขา มีหลายคนที่ถูกบังคับ
มา ราชสำนักเองไม่อยากเห็นการนองเลือด ยอม
ปลดอาวุธให้แล้วก็ส่งพวกเขากลับบ้านเกิด พวกเขา
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณมาก ตลอดยี่สิบปีมานี้
ทหารพวกนั้นก็ตายกันไปหมดแล้ว หลี่หงซิ่นคิด
อยากจะให้พวกเขาจับอาวุธอีกครั้งก็คงทำไม่ได้
แล้ว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอาวุธชุดเกราะ ทหารพวก
นั้นก็แก่ตายไปหมด ใต้เท้าเหว่ยเลยคิดว่าหลี่หงซิ่น
จะไม่มที างก่อกบฏอย่างนั้นหรือ”
เหว่ยซูถงเหมือนจะมั่นใจในเรื่องนี้มาก เขาพูดว่า
“เรียนโหวเยว่ตามตรง ทหารต่างๆ ในซีชวนทั้งหมด
มีสี่หมื่นนาย ทหารพวกนี้รับเบี้ยหวัดจากทางราช
สำนัก ขุนนางทีค่ ุมพวกเขาต่างก็เป็นคนที่ราชสำนัก
ส่งมา ทุกคนฟังคำสั่งของข้าน้อยทั้งหมด” เขาหยุด
พูดไป แล้วพูดต่อว่า “เพื่อไม่ให้ซีชวนเกิดความ
วุ่นวาย อดีตฮ่องเต้จึงได้มีราชโองการว่า หากต้องทำ
การโยกย้ายกำลังทหารเกินหนึ่งพันนาย จะต้องทำ
การส่งเรือ่ งแจ้งทางราชสำนักก่อน และให้ทางกรม
กลาโหมเป็นผู้ดำเนินการสั่งโยกย้ายกำลังพล ต่อให้
เป็นข้าน้อย ก็สั่งเคลื่อนกำลังพลได้แค่สี่พันนาย เพื่อ
ทำการควบคุมความวุ่นวายเท่านั้น”
ฉีหนิงพยักหน้าพูดว่า “หมายความว่า หลี่หงซิน่ ไม่มี
อำนาจในการสั่งเคลื่อนกำลังพลหรือ?”
“ไม่มแี น่นอน” เหว่ยซูถงพูดว่า “ตอนที่อดีตฮ่องเต้
ส่งท่านจิ่นอีเหล่าโหวมาปราบปาสู่ ก็รู้ว่าหลี่หงซิน่
ไม่ใช่คนซื่อ หลังจากปราบซีชวนได้แล้ว ถึงแม้จะปู
บำเหน็จให้หลี่หงซิ่นไปจำนวนมาก อีกทั้งยัง
พระราชทานที่ดินให้อีกจำนวนมาก ให้เขาอยู่อย่าง
สุขสบาย อีกทั้งยังยอมให้เขาคงทหารจิ่นกวนเหว่ย
อีกหนึ่งพันนายด้วย แต่ว่าอดีตฮ่องเต้ก็ยังคงระวัง
คนๆ นี้มาก ไม่ยอมให้เขามีอำนาจทางทหารในมือ
เลย ถึงแม้ตอนนั้นหลี่หงซิ่นจะเสนอขอทีอ่ ยู่ในกับ
เหล่าทหาร ราชสำนักเองก็จัดการให้ แต่ว่าก็จัดให้
อยู่กระจัดกระจายออกไป อีกทั้งยังให้ตำแหน่ง
สำคัญอีก และถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา หลายปี
มานี้ คนพวกนี้ก็อยู่ในหน่วยทหารก็ไม่ได้มอี ำนาจทำ
อะไร”
ฉีหนิงคิด เหว่ยซูถงถามอย่างระมัดระวังว่า “โหว
เยว่ทา่ นกำลังกังวลอะไรอยู่หรือไม่?”
ฉีหนิงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าแค่กำลังคิดว่า นัก
ฆ่าที่เรือนเจียนเจียฆ่าข้าไม่สำเร็จ หลี่หงซิ่นคิดจะทำ
อะไรต่อไปอีก”
“ข้าน้อยจะส่งคนไปสืบให้รู้” เหว่ยซูถงพูดว่า “หาก
พบหลักฐาน ว่าหลี่หงซิน่ อยู่เบื้องหลังการลอบ
สังหารทีเ่ รือนเจียนเจีย ก็จะมีหลักฐานว่าหลี่หงซิ่น
คิดก่อการกบฏ ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะสามารถส่ง
คนไปจับเขาได้อย่างเปิดเผย กำจัดภัยใหญ่ไปได้”
“ในเมื่อหลี่หงซิ่นวางแผนแบบนี้ ก็ไม่มีทางให้ใคร
เห็นจุดอ่อนได้” ฉีหนิงพูดว่า “นักฆ่าพวกนั้นไม่รอด
เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งคนทั้งหลักฐานไม่มีเลย หลี่หง
ซิ่นไม่มีทางกังวลว่าจะตรวจเจอหลักฐานอะไร
แน่นอน” เขาคิด แล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ข้ายัง
อยากถามเจ้าเรื่องของวัดอีกหน่อย”
“โหวเยว่ หรือว่าท่านกำลังสงสัยว่าหลี่หงซิ่นบริจาค
เงินสร้างวัดจะมีปัญหา?” เหว่ยซูถงถาม
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าบอกว่าเขาบริจาคเงินสร้างวัดไป
แล้วกว่าสิบวัด แล้วรูท้ ี่ตงั้ หรือไม่?” เขาหยุดไปครู่
หนึ่ง ไม่รอให้เหว่ยซูถงพูดอะไร เขาพูดต่อว่า “เจ้ามี
แผนที่ของซีชวนหรือไม่?”
“มี” เหว่ยซูถงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู แล้วสั่งให้คน
ไปเอาแผนที่ซีชวนมา จากนั้นก็กลับมาที่ห้อง ฉีหนิง
รับแผนที่มา แล้วกางบนโต๊ะ
ในยุคนี้คอ่ นข้างล้าหลัง แผนที่ถอื ว่าเป็นของล้ำค่า
ชาวบ้านทั่วไปแทบจะไม่มีเลย
แต่ว่าเหว่ยซูถงเป็นซีชวนชื่อสื่อ ในจวนก็จะต้องมี
แผนทีอ่ ยู่แล้ว
บนแผนที่ อธิบายพื้นทีส่ ิบหกเขตในซีชวนอย่าง
ละเอียด โดยเฉพาะในพืน้ ที่ของเขตสู่จวิน ซึ่งแต่ละ
พื้นที่นั้นละเอียดมาก มีการทำสัญลักษณ์ไว้อย่าง
ชัดเจน
“ใต้เท้าเหว่ย วัดที่หลี่หงซิ่นไปสร้างไว้ เจ้าสามารถ
ระบุตำแหน่งบนแผนทีไ่ ด้หรือไม่?” ฉีหนิงมองไปที่
เหว่ยซูถง
เหว่ยซูถงเห็นฉีหนิงสีหน้าจริงจัง ก็รู้ว่าเรือ่ งนี้นา่ จะ
ไม่ธรรมดา เขาคิดแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อย
พอจะทราบว่าหลี่หงซิ่นบริจาคเงินสร้างวัดสิบแห่ง
พอจะจำได้บางส่วน แต่ว่า...ที่ตั้งของวัดนั้นอาจจะ
จำไม่ได้ทั้งหมด”
“เจ้าระบุตำแหน่งเท่าทีเ่ จ้ารู้มา” ฉีหนิงน้ำเสียง
จริงจัง “หากหลี่หงซิ่นบริจาคเงินสร้างวัดแค่สอง
สามที่ อาจจะปิดบังสายตาของคนอื่นได้ แสดงว่า
เขาอาจจะมุ่งไปทางธรรมจริง ตระกูลหลี่ของเขาตั้ง
รากฐานอยู่ในซีชวนมานานเกือบร้อยปี ในยุคของห
ลี่หงซิ่นถือเป็นยุคที่มอื เปื้อนเลือดมากที่สุด จะละ
จากการฆ่าฟันได้งา่ ยๆ หรือ”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้ว หยิบพู่กันขึ้นมา เขาคิด แล้วแต้ม
ลงไปบนแผนทีท่ ีละจุด
ฉีหนิงเห็นเขาแต้มหมึกลงบนแผนที่ เห็นได้ชัดว่าเขา
คุ้นเคยกับพื้นที่ซีชวนเป็นอย่างดี เขาแอบคิดในใจว่า
เหว่ยซูถงไม่ใช่คนที่ไม่เอาไหน เขารู้จักพื้นที่ของซี
ชวนอย่างดี รูว้ ่าเขาเองก็พยายามเสียสละอย่างมาก
ในการอยู่ที่ซีชวน
เหว่ยซูถงทำสัญลักษณ์ลงในแผนทีอ่ ย่างระวังอย่าง
ละแปดจุด แต่จุดที่เก้าเขากลับไม่ลง แล้ววางพูก่ ัน
ลง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ แปดจุดนี้ข้ามั่นใจ แต่ที่
เหลือนั้นข้าไม่แน่ใจเลย ยังมีอีกหลายที่ที่ข้าจำ
ไม่ได้”
เหว่ยซูถงเป็นซีชวนชื่อสือ่ ดูแลสิบหกเขตในซีชวน
ทั้งหมด มีเรือ่ งมากมายที่ต้องจัดการ หลี่หงซิ่น
บริจาคสร้างวัดกว่าสิบแห่ง ก่อนหน้านี้เหว่ยซูถงก็ไม่
ค่อยได้สนใจเรือ่ งนี้มากนัก แต่ว่ายังจำที่ตั้งได้ถงึ
แปดจุด ถือว่าไม่ธรรมดาเลย
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วมองอย่างละเอียด แล้วก็ชมี้ ือไป
เงยหน้าไปพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย เจ้าลองมองดูดีๆ
สถานที่ตั้งของวัด มันมีอะไรแปลกหรือไม่?”
เหว่ยซูถงมองตรวจสอบอย่างละเอียด ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “วัดที่ข้าน้อยทราบทั้งแปดแห่งนี้ มีหกแห่งที่
อยู่ใกล้เมืองเฉิงตู ส่วนอีกสองแห่ง มีหนึ่งทีท่ ี่อยู่เขต
ปาซี อีกหนึ่งที่อยูท่ ี่เขตเจียงหยาง...” ทันใดนั้นเอง
เขาก็เงยหน้าขึ้นมา “จริงสิ ข้าน้อยจำได้แล้ว วัดที่
เหลือ ถึงแม้ที่ตั้งแน่นอน แม้ข้าน้อยจะไม่มั่นใจ แต่
เหมือนจะอยู่ในเขตของปาซีกับเจียงหยาง”
“ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามันอยู่ที่ปาซีหรือว่าเจียงหยาง”
ฉีหนิงชี้ไปที่วัดที่อยู่ในเขตสู่จวิน “วัดทั้งหกแห่งนี้อยู่
ล้อมรอบเมืองเฉิงตูทั้งสีด่ ้าน อีกทั้งเหมือนทั้งหมด
จะสร้างหันหลังให้กับภูเขาทั้งหมด ใต้เท้าเหว่ย เจ้า
ไม่รสู้ ึกหรือว่าวัดทั้งหกแห่งนี้มันเหมือนกำลังล้อม
เมืองเฉิงตูเอาไว้ทั้งหมด”
เหว่ยซูถงมองอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาถึงกับสะดุ้ง
แล้วพูดว่า “โหวเยว่สายตาเฉียบแหลมมาก มันเป็น
อย่างนั้นจริงๆ ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่เคยสังเกตุจุดนี้มา
ก่อนเลย”
“มันก็ไม่แปลก” ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย หลีห่ ง
ซิ่นเริ่มบริจาคสร้างวัดทีแ่ รกตรงไหน?”
“หลี่หงซิ่นสร้างวัดแห่งแรก อยู่ตรงนี”้ เหว่ยซูถงชี้
ไปทีข่ ้างๆ เมืองเฉิงตูแห่งหนึ่ง “ที่นี่คอื เขาชิงเฉิง
เป็นวัดแห่งแรกที่หลี่หงซิ่นบริจาคเงินสร้างขึ้นมา”
เขาคิดแล้วพูดว่า “น่าจะเริ่มตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้ว”
“สี่ปี?” ฉีหนิงพูดว่า “เวลาแค่สี่ปี หลี่หงซิ่นบริจาค
เงินสร้างวัดถึงสิบแห่งเลยหรือ ใช้เงินไม่นอ้ ยเลย
นะ”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ตอนนัน้ เขาสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่ ราช
สำนักให้ที่ดินศักดินากับเขา อีกทั้งยังได้ทองคำ
มากมาย เพียงพอที่จะให้เขาเสวยสุขไปตลอดชีวิต
เท่าที่ขา้ น้อยทราบ หลีห่ งซิ่นยังแอบส่งคนออกไปทำ
การค้า ทุกปีจะมีรายรับเข้ามาอีก ในมือของเขามี
ทหารจิ่นกวนเว่ยอีกหนึ่งพันคน อีกทั้งยังเลี้ยงนักฆ่า
ไว้ด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ก็
ต้องใช้เงินมากพอสมควร หากไม่มรี ายรับเพิ่ม คิดว่า
ไม่น่าเพียงพอที่จะเลี้ยงพวกเขา”
“มิน่าเขาถึงได้มีเงินมากมายมาบริจาค”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หลี่หงซิ่นเป็นคนมือ
เติบ ตอนนี้เพื่อต้านราชสำนัก เขาใช้สมบัติของ
ตระกูลจนหมด ข้าน้อยเลยไม่รสู้ ึกว่ามันแปลก
หลายปีก่อนฮูหยินใหญ่ของเขาเสียไป จัดงานศพก็
เชิญขุนนางมาร่วมนับร้อยคน ตั้งแต่นั้นมา หลีห่ งซิ่น
ทุกสามถึงห้าวันก็จะเชิญหลวงจีนมาสวดมนต์
ข้าน้อยยังเคยเจออยู่หลายครั้ง เป็นนักบวชจริงๆ
ดังนั้นตั้งแต่เขาเริ่มบริจาคเงินสร้างวัดมา ข้าน้อยจึง
ไม่ได้สนใจมากนัก อีกทั้งข้าน้อยเองก็เคยส่งคนไป
ตรวจสอบ มันก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย ดังนั้น...”
ฉีหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่าหลี่หงซิ่นนี่เจ้าแผนการจริงๆ
ก่อนจะทำอะไร เขาคำนวณเอาไว้หมดแล้ว พอเริ่ม
ลงมือแล้วก็เดินไปตามเกมทีละขั้น ไม่มลี ะเลยแม้แต่
น้อย
“ใต้เท้าเหว่ย วัดทั้งหกแห่งนี้ล้อมเมืองเฉิงตูเอาไว้
เจ้าคิดว่ามันมีประโยชน์อะไรหรือไม่?” ฉีหนิงคิด
“เขาเลือกสร้างในตำแหน่งพวกนี้ คิดว่าไม่น่าจะใช้
เพราะความชอบอย่างเดียวแน่ ต้องมีการวางแผน
เอาไว้แล้วแน่นอน”
เหว่ยซูถงพยักหน้าพูดว่า “โหวเยว่พูดถูกแล้ว ก่อน
หน้านี้ข้าน้อยก็ไม่รสู้ ึกว่ามีอะไร แต่ตอนนี้ดูจากแผน
ที่แล้ว มันมีอะไรแปลกๆ จริงๆ” เขายกมือลูบเครา
“แต่ว่าวัดทั้งหกแห่งนี้ มันจะทำอะไรได้นะ?”
“ลองดูที่ปาซีกับเจียงหยางอีกทีสิ...” ฉีหนิงยกมือ
ขึ้นแล้วพูดว่า “เมืองเฉิงตูอยู่ที่เขตสู่จวิน เขตปาซี
กับสู่จวินอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนเขต
เจียงหยางอยูท่ างทิศตะวันออกเฉียงใต้” เมือ่ พูดถึง
ตรงนี้ เขาก็หยิบพู่กันขึน้ มา แล้วลากทั้งสามเขตโยง
มาเชื่อมกัน เหว่ยซูถงเห็นมันเป็นรูปสามเหลี่ยม
แล้วพูดว่า “นี่มัน...นีม่ ันกลยุทธ์การเคลื่อนทัพแบบ
สามเหลี่ยมนี่นา”
“สามเหลีย่ มนี่ สามารถโยงเอาทั้งเขตสู่จวิน เจีย้ น
เวย จื่อถง เจียงหยาง และปาซีเชื่อมไว้ด้วยกัน” ฉี
หนิงพูดว่า อีกทั้งทั้งห้าเขตนี้ ก็เป็นเขตหลักของซี
ชวนทั้งนั้น ใต้เท้าเหว่ย ตอนนี้พวกเรารู้แล้ว ว่ามัน
มันมีภัยร้ายแฝงอยูอ่ ย่างไรบ้าง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 412 ไร้ผู้สืบสกุล
เหว่ยซูถงตาโต สายตาของเขาแหลมคมขึ้นมา แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปตรวจสอบ
เรื่องนี้ทันที ว่าวัดพวกนีม้ ันมีอะไรแปลกหรือไม่”
เขาพูดจบ ก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ได้ จะไป
ตรวจสอบแบบเปิดเผยไม่ได้ หากวัดที่หลี่หงซิ่น
บริจาคเงินสร้างมันมีอะไรจริง จะต้องระวังให้มาก
จะบุกไปตรวจสอบเลยไม่ได้ เพราะอาจจะไม่ได้
อะไรเลย”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เมือ่ ครู่ใต้เท้าเหว่ยก็บอก
เองว่า วัดที่บริจาคสร้างมานั้นมีขนาดไม่ใหญ่มาก
คงไม่มีทางเอาไว้เลีย้ งกองกำลังทหารได้แน่”
“ไม่มที างแน่นอน” เหว่ยซูถงพูดว่า “วัดเล็กๆ แบบ
นั้น จะสะสมกำลังพลได้สักแค่ไหนเชียว? หากมีการ
ซ่องสุมกำลังจริง ต่อให้แค่รอ้ ยคน ทางข้าน้อยก็ต้อง
รู้”
“ใต้เท้าเหว่ยรู้สึกว่าวัดนี้มันมีอะไรน่าสงสัยหรือ?” ฉี
หนิงถามเหว่ยซูถง
เหว่ยซูถงคิด แล้วขมวดคิ้ว “โหวเยว่ ท่านว่า...วัด
นั่นจะมีการซ่อนอาวุธอะไรพวกนั้นหรือไม่?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย พวกเราเหมือนจะ
คิดตรงกันแล้วนะ ข้าคิดไปคิดมา วัดพวกนั้นอย่าง
มากก็ทำได้แค่แอบซ่อนอาวุธไว้เท่านั้นแหละ”
เหว่ยซูถงสีหน้าเคร่งเครียด “แต่ว่าเพื่อไม่ให้ซีชวน
เกิดความวุ่นวายอดีตฮ่องเต้ทรงมีราชโองการคำสั่ง
ห้ามติดอาวุธแล้วน่า ชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถผลิต
อาวุธได้ ส่วนชาวเหมียวเองก็มีอาวุธเอาไว้ล่าสัตว์
บนเขาเท่านั้น ซึ่งรูปแบบก็มีค่อนข้างจำกัด ทางการ
ก็เข้มงวดเรื่องนีม้ าก ข้าน้อยจะส่งคนขึ้นเขาไป
ตรวจสอบแต่ละถ้ำอย่างเข้มงวดทุกปี” เขาหยุดไป
แล้วพูดว่า “คำสั่งห้ามติดอาวุธเป้าหมายพุ่งมาทีห่ ลี่
หงซิ่นโดยเฉพาะ ทหารจิ่นกวนเว่ยของเขา ราช
สำนักก็เป็นคนจัดอาวุธให้เอง พวกเขาไม่มสี ิทธิผลิต
อาวุธเอง”
“หลี่หงซิ่นก็เหมือนเจ้าถิ่นของซีชวน” ฉีหนิงพูดว่า
“ตระกูลหลี่ของพวกเขาตั้งรกรากที่ซีชวนมานาน
หลายปี เขาคุ้นเคยที่นี่ดกี ว่าใต้เท้าเหว่ยมาก หาก
เขาจะแอบเล่นตุกติก ก็ไม่แปลก”
เหว่ยซูถงพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่พูดถูกต้อง
แล้ว ข้าน้อยจะรีบส่งคนแอบลอบเข้าไปที่วัด เพื่อไป
ดูว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ หากทำแบบนี้แล้วยังสืบ
ไม่ได้ ข้าน้อยจะหาข้ออ้างทำลายวัดซะ แล้วขุดดิน
ลงไปสักสามฉือ่ เพือ่ ดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่”
ฉีหนิงไม่ได้พูดทันที เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า
“ใต้เท้าเหว่ย ตามความเห็นของเจ้า หลี่หงซิ่นจะก่อ
กบฏในช่วงเวลาแบบนี้หรือไม่?”
เหว่ยซูถงคิด แล้วส่ายหน้า “ข้าน้อยคิดว่าไม่น่าจะ
เป็นไปได้ ตอนนี้หลี่หงซิน่ ไม่เหมือนหลี่หงซิ่นคน
เดิมคนนั้นแล้ว ตอนนั้นหลี่หงซิ่นคุมการเงินคุมทุก
อย่างในซีชวน ส่วนความสัมพันธ์ในตระกูลหลี่ในซี
ชวนเองก็สนิทสนมกันดี ถือว่าฐานะใช้ได้เลย
ทีเดียว” เขาหยุดแล้วพูดว่า “แต่ตอนนี้ขุนนางเกือบ
ครึ่งของซีชวนเป็นคนทีร่ าชสำนักส่งมา ส่วนการเงิน
การทหารในซีชวนก็อยู่ในมือของราชสำนัก หลีห่ ง
ซิ่นไม่มีทางกล้าก่อกบฏตอนนี้แน่นอน”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วจ้องไปที่เหว่ยซูถง แล้วถามว่า
“ใต้เท้าเหว่ยดูเหมือนจะมั่นใจว่าหลี่หงซิ่นจะไม่ก่อ
กบฏนะ?”
“อาจจะมีคิดที่จะก่อกบฏ แต่ก็ไม่มีกำลังมาก
พอที่จะทำได้” เหว่ยซูถงพูดอย่างแน่ใจ
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย หากท่าน
ยังลังเลไม่แน่ใจ ข้าคงเบาใจมากกว่านี้ แต่ว่าท่าน
แน่ใจแบบนี้ ข้ากลับไม่วางใจเลย”
“โหวเยว่หมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าเป็นถึงซีชวนชื่อสือ่ น่าจะรู้จักหลี่หงซิ่นดีกว่า
คนอื่น แม้แต่เจ้ายังแน่ใจว่าหลี่หงซิ่นไม่คิดกบฏ ถ้า
อย่างนั้นคนทั่วหล้าก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน” ฉีหนิง
พูดอย่างจริงจังว่า “แต่ก็เพราะอย่างนี้ เมือ่ หลีห่ งซิ่น
ก่อกบฏขึ้นมาจริงๆ พวกเจ้าก็ไม่มีทางรับมือได้ทัน”
เหว่ยซูถงถึงกับอึ้งไป เขาขมวดคิ้ว เหมือนใช้
ความคิด
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกว่า “เรียนใต้
เท้า สูอ่ ๋องส่งคนมาเชิญใต้เท้ากับโหวเยว่ไปพบ”
ทั้งสองมองไปข้างนอก พริบตาเดียว ตะวันก็ขึ้นแล้ว
คุยกันมาทั้งคืน เช้าเสียแล้ว
“สู่ออ๋ งรู้วา่ โหวเยว่อยู่ทนี่ ี่ด้วย?” เหว่ยซูถงขมวดคิ้ว
แล้วเดินเข้าใกล้ประตู
คนด้านนอกบอกว่า “คนที่มาแจ้งแค่ว่า หากโหว
เยว่อยู่ที่นี่ ก็เชิญโหวเยว่กับใต้เท้าไปพร้อมกัน ท่าน
อ๋องบอกว่าได้เรือ่ งของนักฆ่าแล้ว”
หว่ยซูถงกับฉีหนิงมองหน้ากัน แล้วพูดว่า “เจ้าไป
บอกคนที่มานะว่า เดี๋ยวข้าจะไปที่จวนท่านอ๋องเอง”
“ใต้เท้า คนที่มาบอกว่าท่านอ๋องไม่ได้อยู่ที่จวน แต่
อยู่ที่หอเป่าเฟิง” คนด้านนอกบอกว่า “ท่านอ๋องส่ง
คนมาแจ้งว่า นอกจากจะหารือเรือ่ งของนักฆ่าแล้ว
ยังอยากจะเชิญใต้เท้ากับโหวเยว่ไปทานข้าวเช้าที่หอ
เป่าเฟิงด้วย”
“อืม รู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน” เหว่ยซูถงสั่ง แล้วเดิน
กลับมา แล้วพูดว่า “โหวเยว่ หลี่หงซิ่นรู้ว่าท่านอยู่ที่
จวนชื่อสื่อ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่แปลก”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ต้องเป็นนางปีศาจฮวาเซียงหยง
แน่ นางเป็นพวกเดียวกับหลี่หงซิ่น เมื่อคืนหนีไป
จะต้องไปหาเขาแน่ หลีห่ งซิ่นถึงได้รู้ว่าโหวเยว่อยู่ที่นี่
หากโหวเยว่ไม่อยากเจอเขา ข้าน้อยไปคนเดียวก็ได้
นะ ข้าน้อยจะบอกเขาว่าเมื่อคืนข้าน้อยเชิญโหวเยว่
มาทานอาหารที่นี่ โหวเยว่เมาหนักมาก กลับไปพักที่
เรือนรับรองแล้ว”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วยิ้ม “เป็นถึงท่านอ๋องจะมาเชิญ
พวกเราเป็นกินข้าวเช้า เหตุใดพวกเราต้องเกรงใจ
ด้วย หากอาหารมือ้ นี้พวกเราไม่กิน หลี่หงซิ่นคงไม่
สบายใจแน่” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย
ในเมื่อมีนักฆ่าอุกอาจก่อเรือ่ งในเมือง ข้าคิดว่าพวก
เราน่าจะระวังให้มากจะดีกว่านะ เจ้าจัดเตรียม
ทหารไว้สักหน่อย เอาทีไ่ ว้ใจได้ ตามพวกเราไปที่หอ
เป่าเฟิงด้วยดีกว่า”
เหว่ยซูถงอึ้งไป แต่จากนั้นก็เข้าใจความหมายขึน้ มา
ทันที แล้วรีบพูดว่า “โหวเยว่วางใจได้ ข้าน้อยจะรีบ
ไปเลือกทหารฝีมือดีเดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อฉีหนิงมาถึงหอเป่าเฟิง แดดก็ส่องหัวพอดี คนใน
เมืองเฉิงตูก็เริม่ ตื่นนอนกันมาแล้ว
เว่ยซูถงเลือกทหารมือดีมาด้วยสามร้อยนาย ทั้งหมด
สวมชุดทางการ คุ้มกันทั้งสองคนมายังหอเป่าเฟิง
เมื่อมาถึงหอเป่าเฟิง ฉีหนิงถึงได้รู้ว่ามันคือภัตตาคาร
ที่เข้ามากินในวันแรกทีม่ าถึงเมืองเฉิงตู ตอนนัน้ ไม่ได้
สนใจชื่อของที่นี่มากนัก ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าที่นี่ชื่อว่าหอ
เป่าเฟิง
ด้านนอกหอเป่าเฟิง มีการคุม้ กันอย่างแน่นหนา
ทั้งหมดสวมชุดทหารจิ่นกวนเหว่ย รวมแล้วน่าจะมี
ประมาณหนึ่งร้อยคน
ท่าทางแบบนี้ ชาวบ้านทั่วไปมาเห็นก็ไม่มีใครกล้า
เข้าใกล้
เหว่ยซูถงกับฉีหนิงมองหน้ากัน จากนั้นก็โบกมือ
ทหารสามร้อยนายแยกตัวออกไป แล้วล้อมรอบ
ภัตตาคารเอาไว้ ทหารจิน่ กวนเว่ยหนึ่งคน จะถูก
ทหารทางการประกบหนึ่งคน
ทหารทั้งสองฝ่ายต่างพกดาบติดตัว คุมเชิงกันอย่าง
ดุดัน
ทหารอีกสิบนายติดตามฉีหนิงกับเหว่ยซูถงเข้าไป
ด้านใน เห็นซีเหมินเหิงเย่ฉางสื่อของจวนสูอ่ ๋องสวม
ชุดดำยืนอยู่หน้าห้องโถงใหญ่ เมื่อเห็นฉีหนิงเข้ามา
ก็รีบเดินเข้ามารับหน้า “โหวเยว่ ใต้เท้าชื่อสื่อ”
ท่าทางของเขาจริงจังมาก ไม่ยิ้มแม้แต่น้อย
“ซีเหมินฉางสื่อ ท่านอ๋องอยู่ด้านบนหรือ?” เหว่ย
ซูถงมองไปที่บันได
ซีเหมินเหิงเย่พยักหน้า แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องอยู่
ด้านบนคนเดียวกำลังรอพวกท่านทั้งสองทานอาหาร
เช้าร่วมกัน...” เขามองไปที่ทหารด้านหลังเหว่ยซูถง
อีกสิบคน ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใต้เท้าชื่อสือ่ นีม่ ัน
...?”
“โหวเยว่ถูกลอบทำร้ายที่เรือนเจียนเจีย เป็นเพราะ
ข้าละเลย เกือบทำผิดพลาดครั้งใหญ่” เหว่ยซูถงพูด
ว่า “ก่อนทีค่ นร้ายจะถูกจับได้ ข้าจะละเลยได้
อย่างไรกันละจริงหรือไม่?”
เหมินเหิงเย่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าพูดถูก แต่
ว่าท่านอ๋องเชิญท่านทั้งสองมาทานอาหาร กำชับไว้
ว่าไม่ให้ใครมารบกวน เอ่อ...”
เหว่ยซูถงกำลังจะพูด ฉีหนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อ
เป็นคำสั่งของท่านอ๋อง พวกเราก็ต้องทำตามจริง
หรือไม่” เขามองไปทีเ่ หว่ยซูถงแล้วพูดว่า “ใต้เท้า
เหว่ย ท่านอ๋องกำลังรอพวกเราอยู่ พวกเราขึ้นไปกัน
เถอะ”
เหว่ยซูถงลังเล สุดท้ายก็พยักหน้า
เมื่อทั้งสองขึ้นบันไดไปด้านบน ก็เห็นด้านบนมีโต๊ะ
เพียงโต๊ะเดียว หลี่หงซิน่ นั่งอยู่รมิ โต๊ะ ที่ไหล่มี
ผ้าพันแผลพันอยู่ บนโต๊ะมีอาหารเช้าอย่างง่ายๆ หลี่
หงซิ่นถือช้อน กำลังตักข้าวต้มมากิน
ภายในหนึ่งคืนเขาเหมือนจะดูแก่ลงไปกว่าสิบปี ดู
แก่ผิดปกติ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา เขาก็เงย
หน้าขึ้นมามองแต่ไม่ได้ลุกขึ้น
ฉีหนิงกับเหว่ยซูถงเดินมาที่ริมโต๊ะ ต่างก็ยกมือขึน้
คำนับ จากนั้นก็นั่งลง
“ตระกูลหลี่ตั้งรกรากทีซ่ ีชวนมานานนับร้อยปี เลือด
และกระดูกต่างซึมเข้ากับแผ่นดินนี้ไปแล้ว” หลีห่ ง
ซิ่นหยิบช้อน แต่ไม่เงยหน้าขึ้นมา เสียงของเขา
สะอื้น “ตอนที่ข้ายังเล็กๆ มักได้ยินท่านปู่เล่านิทาน
ให้ฟังหลายเรื่อง เรื่องทีฟ่ ังบ่อยที่สุดก็คอื เรือ่ งการ
สืบสกุล ข้าจำได้ว่าเขาบอกว่า สายเลือดของ
ตระกูลหลี่ ก็คอื การหมุนเวียนของแม่น้ำในซีชวน
กระดูกของตระกูลหลี่ ก็คือเส้นทางในทุกเทือกเขา
ของซีชวน ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน
ปู่เลย...”
ฉีหนิงกับเหว่ยซูถงนิ่งมาก ไม่พูดอะไร รับฟังอย่าง
เดียว
“ต่อมาพอข้าโตขึ้น ข้าถึงได้รู้ว่า ความหมายของ
ท่านปู่ ก็คือต้องการให้ตระกูลเป็นเหมือนแม่นำ้ ในซี
ชวนที่ไหลเวียนไปเรือ่ ยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด” หลี่หงซิ่น
ค่อยๆ พูดว่า “ตระกูลหลี่ของพวกเราถึงแม้จะไม่ได้
มีคนน้อย แต่ทผี่ ่านมา สายเลือดที่แท้จริงของพวก
เราก็มีไม่มาก รุ่นของท่านพ่อมีพี่น้องสองคน ท่านลุง
ตายเพราะศึกในสนามรบ พอมาถึงรุ่นของข้า ท่าน
พ่อมีลูกทั้งหมดสามคน เสียดายพี่ใหญ่ตายไปตั้งแต่
อายุยังน้อย ข้าสืบทอดตำแหน่งของท่านพ่อมา น้อง
สามเอาแต่รักสนุก สุดท้ายป่วยจนไม่สามารถลุก
จากเตียงได้อีกตั้งแต่อายุยังน้อย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลี่หงซิน่ ก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา เขา
กินข้าวต้มไปหนึ่งคำ แล้วพูดต่อว่า “ข้ามีลูกชาย
สองคน เดิมทีขา้ ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับลูกชาย
คนโต แต่ว่าตระกูลหลี่ของพวกเราเหมือนต้องคำ
สาป เขาอายุยังน้อยก็ต้องมาตายเพราะพิษบาดแผล
ทำให้คนหัวหงอกต้องมาส่งคนหัวดำก่อน”
เหว่ยซูถงขยับปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ใน
เวลาแบบนี้เขาไม่รู้วา่ ควรจะพูดอะไรดี
“ถึงแม้หลี่หยวนจะเป็นลูกชายคนรองของข้า แต่ว่า
ในเมื่อลูกชายคนโตตายไป ข้าเลยคิดจะฝาก
ความหวังการสืบทอดตระกูลหลี่ของพวกเราไว้ที่เขา
ข้าเลยตามใจเขาแทบจะทุกอย่าง” หลี่หงซิ่นมือสั่น
มือที่ถอื ช้อนของสั่นมาก เหมือนจะจับไม่ไหว เขา
ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ท่าทางของเขาดูอิดโรยมาก
แต่สายตาของเขานิ่งมาก “เขาทำเรื่องที่ผิดมากมาย
ข้าไม่ได้อบรมสั่งสอนเขาให้ดี เพียงแต่ข้าไม่เคยคิด
เลยว่า วันหนึ่ง ข้าจะต้องมาเสียลูกชายไปถึงสอง
คน” เขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลกๆ แล้วพูดว่า
“ข้าหลี่หงซิ่นถึงกับต้องมาไร้ผู้สืบสกุลแบบนี้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 413 คนร้ายตัวจริง
เหว่ยซูถงหน้าถอดสี แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่าน...
ท่านว่าอะไรนะ?”
หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยเจ้าไม่เข้าใจใน
สิ่งที่ข้าพูดหรอ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งว่า “เด็ก
ๆ ยกขึ้นมา”
ไม่นาน ก็เห็นทหารองครักษ์สองคนยกเปลขึ้นมา
แล้ววางลงอย่างระวัง
เหว่ยซูถงมองไป บนเปลมีผ้าขาวคลุมอยู่ ฉีหนิง
เหลือบมองไป แต่ไม่พูดอะไร
หลี่หงซิ่นค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วเดินตัวสั่นนั่งยองลง
ข้างๆ เปล แล้วเปิดผ้าขาวนั่นออก เหว่ยซูถงเดินขึ้น
หน้าไป แล้วมองอย่างละเอียด บนเปลคือสู่อ๋องซื่อจื่
อหลี่หยวนนั่นเอง
หลี่หยวนหน้านิ่ง ไม่มีเลือดฝาด ไม่มีลมหายใจ ดูก็รู้
ทันทีว่าคือคนตาย
“อ๊า...” เหว่ยซูถงถึงแม้จะเดาออก แต่ว่าเมื่อเห็นหลี่
หยวนจริงๆ ก็ยังตกใจมากอยู่ดี
หลี่หงซิ่นยื่นมือออกไปจับหน้าของหลี่หยวนด้วย
ความสั่นเครือ แล้วพูดว่า “เขาคือลูกชายของข้า ลูก
ชายที่เหลือเพียงคนเดียวของข้า ตอนนั้นข้าเองก็
ต้องมองดูลูกชายคนโตของข้าจากไปแบบนี้
เหมือนกัน ข้าแทบจะหมดเรี่ยวแรง เพียงแค่ตอน
นั้นข้ายังไม่ได้แก่มาก ผมบนหัวของข้าก็ยังไม่ขาว
แต่วันนี้ ผมของข้าขาวจนจะหมดแล้ว เป็นคนหัว
หงอกส่งคนหัวดำอย่างแท้จริงแล้ว...” เมื่อพูดถึงตรง
นี้ เขาก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลกๆ เสียงหัวเราะ
ของเขามันน่ากลัวหลอนไปถึงกระดูก
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง นี่...นี่มัน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลี่หงซิ่นเงยหน้าขึ้นมา แล้วย้อนถามกลับไปว่า “ใต้
เท้าเหว่ย หากลูกชายของเจ้าถูกฆ่าตาย เจ้าจะทำ
อย่างไร?”
การเปรียบเทียบของเขาแบบนี้ มันไม่เหมาะสมเลย
เหว่ยซูถงขมวดคิ้ว แต่ก็ยังพูดว่า “ก็ต้องตามล่าตัว
คนร้ายตัวจริงมาให้ได้ก่อน”
“แล้วถ้าเจอคนร้ายแล้ว ทำอย่างไรต่อ?” สายตา
ของหลี่หงซิ่นโหดเหี้ยมคมคายมาก
เหว่ยซูถงพูดว่า “หากเจอคนร้ายแล้ว ก็ต้อง
สอบสวน แล้วดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”
“พูดได้ดี” หลี่หงซิ่นหัวเราะแปลกๆ แล้วพูดว่า
“หากคนร้ายไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นขุนนาง
ราชสำนักล่ะ จะทำอย่างไร?”
“ขุนนางราชสำนัก?” เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ท่านอ๋อง ขอพูดตามตรง หากมีหลักฐานในมือ ต่อ
ให้จะเป็นขุนนางราชสำนัก มีโทษอะไรก็ว่าไป
ตามนั้น หากท้องที่ไม่สามารถเอาผิดได้ ก็ฝ่าบาท
ออกหน้าตัดสิน”
หลี่หงซิ่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยพูด
ถูกต้องแล้ว” เขาเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า
“วันนี้ที่เชิญใต้เท้าชื่อสื่อกับโหวเยว่มาที่นี่ ก็เพื่อทำ
เรื่องนี้ให้กระจ่าง” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ข้ารู้ตัว
คนร้ายที่ฆ่าหลี่หยวนแล้ว อีกทั้งยังอยู่ที่นี่อีกด้วย”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา เหว่ยซูถงก็ตกใจ ฉีหนิงขมวด
คิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าคนร้ายอยู่ที่นี่อย่าง
นั้นหรือ?”
หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง”
“ท่านอ๋องบอกว่าคนร้ายเป็นขุนนางราชสำนัก
ตอนนี้คนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็มีพวกเราแค่สามคน” ฉี
หนิงพูดว่า “ท่านอ๋องไม่มีทางเป็นคนร้ายได้แน่นอน
ถ้าอย่างนั้นคนร้ายก็อาจจะเป็นข้าหรือว่าใต้เท้า
เหว่ยคนใดคนหนึ่งสินะ ไม่ทราบว่าข้าเข้าใจถูกต้อง
หรือไม่?”
หลี่หงซิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่เข้าใจถูกต้องแล้ว”
ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้ม แต่ว่าสายตาของ
เขากลับเยือกเย็น
เหว่ยซูถงหน้านิ่งไปแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้จะ
ล้อเล่นไม่ได้นะ”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยคิดว่าข้าล้อเล่นอย่าง
นั้นหรือ?” เขาเอามือไขว้หลัง แล้วมองไปที่ฉีหนิง
แล้วถามว่า “โหวเยว่ เจ้าเป็นผู้แทนพระองค์ที่ราช
สำนักส่งมา หากข้าบอกตัวคนร้ายไปแล้ว ท่านจะ
ทำคดีนี้แบบไม่ลำเอียงได้หรือไม่”
ฉีหนิงสีหน้าจริงจัง แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ไม่ลำเอียง
ข้าทำได้อยู่แล้ว แต่ว่าจะให้ข้ามาตัดสิน เกรงว่าต่อ
ให้ข้าอยากจะทำให้แต่คงทำไม่ได้ ข้าไม่ใช่คนของ
กรมอาญา ข้าไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้เลย”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นพยานให้ข้าก็แล้วกัน” หลี่หง
ซิ่นพูด แล้วหันหน้าไปมองที่เหว่ยซูถง สายตาของ
เขาคมราวกับดาบ แล้วถามว่า “ใต้เท้าเหว่ย เจ้าอยู่
ที่ซีชวนมานานหลายปี ข้าให้ความร่วมมือในการ
ปกครองซีชวนกับเจ้ามาโดยตลอด ถึงแม้มีหลาย
เรื่องที่ข้ากับท่านอาจจะเห็นต่างกันบ้าง แต่ว่าข้าก็
เห็นแก่ส่วนรวมมาก่อนเสมอ ข้าอยากถามท่าน
หน่อย ข้าทำอะไรผิดต่อท่าน?”
จู่ๆ หลี่หงซิ่นถามมาแบบนี้ เหว่ยซูถงรู้สึกแปลกใจ
มาก เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องพูดแบบนี้
หมายความว่าอย่างไร?”
“ถึงแม้หลี่หยวนจะดื้อรั้นไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่คน
เลว” หลี่หงซิ่นพูดเสียงดังขึ้น “ใต้เท้าเหว่ย ข้า
อยากจะถามเจ้าหน่อย เขาไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ
หรือ เจ้าถึงได้ลงมือฆ่าเขาแบบนี้? หรือว่าข้าทำ
อะไรไม่ดี เจ้าถึงทำให้ข้าต้องไร้ทายาทสืบสกุลแบบ
นี้?”
เหว่ยซูถงถึงกับตะลึงไป เขาตาโต แล้วพูดว่า “ท่าน
อ๋อง ท่าน...ท่านหมายความว่า...ข้าฆ่าหลี่หยวน
อย่างนั้นหรือ?”
หลี่หงซิ่นยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยไม่มีทาง
ยอมรับแน่นอนอยู่แล้ว” น้ำเสียงของเขานิ่ง “พาตัว
เข้ามา”
เหว่ยซูถงสีหน้าประหลาดใจ ไม่นานนัก ก็เห็น
องครักษ์สองคนนำตัวคนๆ หนึ่งขึ้นมา เหว่ยซูถง
เห็นคนๆ นั้นเป็นหญิงอายุราวสามสิบปี ถึงแม้จะ
ไม่ได้สวยที่สุด แต่ก็ถือว่างดงามมาก มีความเป็น
ผู้หญิงอย่างมาก ใบหน้าของนางดูตื่นตระหนก
“ท่านอ๋อง นาง...?”
หลี่หงซิ่นเหลือบไปมองผู้หญิงคนนั้นแล้วพูดว่า “เจ้า
เล่าเรื่องทั้งหมดออกมา ข้าอยู่นี่ด้วย ไม่ต้องกลัว
อะไร”
หญิงคนนั้นคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยอู๋ซุน เป็นฮูหยิ
นของหัวหน้ากรมคลังอู๋ต้า”
“อ๋อ?” เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เจ้ารู้หรือว่า
เหตุใดซื่อจื่อถึงได้ถูกสังหาร?”
อู๋ฮูหยินก้มหน้า แล้วพูดว่า “ข้าน้อย...ข้าน้อยทราบ
...” นางเงยหน้ามามองหลี่หงซิ่น แล้วไม่กล้าพูดต่อ
ฉีหนิงถามขึ้นมาว่า “ท่านอ๋อง ฮูหยินของอู๋ต้าคนนี้
เหตุใดถึงได้รู้เรื่องการตายของซื่อจื่อได้เล่า? ซื่อจื่
อถูกสังหารที่ไหนกันแน่?”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “พูดตามตรง หลี่หยวนถูกสังหารที่
ตระกูลอู๋”
“ตระกูลอู๋?” ฉีหนิงพูดด้วยความประหลาดใจว่า
“อู๋ต้าเป็นแค่หัวหน้ากรมคลังท้องที่เล็กๆ ฐานะต่ำ
ต้อย ซื่อจื่อเป็นใครกัน เหตุใดถึงไปอยู่ที่ตระกูลอู๋ได้?
หรือว่าท่านอ๋องสั่งให้ซื่อจื่อไปที่นั่น?”
หลี่หงซิ่นมองไปที่อู๋ฮูหยิน แล้วพูดว่า “เจ้าพูดความ
จริงออกมาให้หมดก็พอ”
อู๋ฮูหยินยังคงก้มหน้า ตัวของนางสั่นเทาไม่หยุด ไม่
กล้าพูดอะไร
หลี่หงซิ่นยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเจ้าออกไปให้
หมด” องครักษ์ออกไปแล้ว หลี่หงซิ่นก็พูดว่า “ไม่มี
ใครอยู่แล้ว ยังไม่รีบพูดมาอีก”
อู๋ฮูหยินไม่มีทางเลือก ทำได้แค่ก้มหน้าแล้วพูดว่า
“เมื่อคืนซื่อจื่อ...ซื่อจื่อมาที่บ้านของข้าน้อย บอกว่า
...บอกว่าช่วงกลางวันได้เห็นข้าน้อย เขาก็ถูกใจ ดัง
นั้น...” ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว เรื่อง
น่าอับอายแบบนี้ จะมาพูดต่อหน้าผู้ชายหลายคน
นางก็รู้สึกอายมาก
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว” เขา
ถามว่า “เจ้าเห็นนักฆ่าปาดคอที่ฆ่าซื่อจื่อหรือไม่?”
อู๋ฮูหยินลังเลแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ...ซื่อจื่อใช้กำลังข่ม
เหงข้า ตอนที่ข้าน้อย...ข้าน้อยพยายามขัดขืน ซื่อจื่อ
โกรธมาก ผลักข้าน้อยไปชนกับโต๊ะ...” เมื่อพูดถึง
ตรงนี้ นางก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่จุดที่โดนชน น้ำเสียงของ
นางสั่นเครือแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้าน้อยล้มลง
ตาลายเวียนหัว จนลุกไม่ขึ้น ก็คิดว่า...” นางลังเล
ไม่กล้าพูดต่อ
หลี่หงซิ่นพูด “อ่ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่นแหละ ยังไม่รีบพูด
มาอีก”
อู๋ฮูหยินไม่กล้าขัดขืน ทำได้แค่พูดว่า “ตอนนั้น
ข้าน้อยทำได้แค่แกล้งสลบไป หวังว่า...หวังว่าซื่อจื่อ
จะยอมปล่อยข้าน้อยไป ในตอนนั้นเอง ข้าน้อยก็ได้
ยินเสียงซื่อจื่อร้องตะโกนออกมา ข้าน้อยไม่รู้ว่าเกิด
อะไรขึ้น อีกทั้งก็ไม่กล้าลืมตาด้วย ดังนั้น...ดังนั้นก็
เลยได้ยินแค่เสียงที่บอกให้ซื่อจื่ออย่าร้อง”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วถามว่า “แล้วหลังจากนั้นเล่า?”
“ข้าได้ยินซื่อจื่อถามคนๆ นั้นว่าเขาเป็นใคร ต้องการ
อะไร คนๆ นั้น...คนๆ นั้นตอบว่า...” อู๋ฮูหยินมองไป
ที่หลี่หงซิ่น แล้วพูดว่า “คนๆ นั้นบอกว่าท่านอ๋อง
รังแกเขามากเกินไป เลยต้องการสังหารซื่อจื่อ ให้
ท่านอ๋องได้ลิ้มรสของการไร้ผู้สืบสกุลดูบ้าง...”
อู๋ฮูหยินพูดถึงตรงนี้ หลี่หงซิ่นก็ตบโต๊ะ จากนั้นก็ได้
ยินเสียงโต๊ะแตกออก
อู๋ฮูหยินตกใจ ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้อง
กลัว แล้วต่อมาเป็นอย่างไร เล่าต่อสิ”
“ต่อมา...ต่อมาซื่อจื่อก็บอกว่าจะให้ทองคำของเขา
จำนวนมาก เพียงแต่...เพียงแต่คนๆ นั้นไม่ไว้หน้า
เขาเลย...” อู๋ฮูหยินเสียงสั่น ตัวสั่นไปทั้งตัว “คนๆ
นั้นบอกอีกว่า เขาได้รับการไหว้วานจาก...จากใต้เท้า
ชื่อสื่อให้มากำจัดเสี้ยนหนามของเขา...”
เหว่ยซูถงหน้าถอดสี แล้วตะคอกว่า “บังอาจ เจ้า
กล้าพูดจาเหลวไหลแบบนี้ได้หรือ”
“ใต้เท้าเหว่ย ท่านบริสุทธิ์ ก็ไม่ต้องโมโหใคร” ฉีหนิง
พูดเสียงนิ่งว่า “เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่มีทางกล้า
พูดจาเหลวไหลได้หรอก”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “ถูกต้อง หากนางพูดโกหกแม้แต่คำ
เดียว ข้าจะฆ่านางทิ้งทันที ใต้เท้าเหว่ย หากเจ้าถูก
ใส่ร้าย เจ้าก็ไม่ต้องร้อนใจไป”
เหว่ยซูถงพูดว่า “เจ้าเล่าต่อไปสิ คนๆ นั้นยังพูด
อะไรอีก”
“ซื่อจื่อถามเขาว่า เป็น...เป็นคนที่เหว่ยซูถงส่งมา
หรือไม่?” อู๋ฮูหยินพูดเสียงต่ำลง “เขาพูดว่า...เขา
พูดว่าซื่อจื่อรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังบอกให้ซื่อจื่อจำ
เอาไว้อีกว่า คนที่สังหารเขาก็คือ...คือนักฆ่าปาดคอ
เพราะข้าน้อยหลับตาอยู่ จากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียง
อะไรอีกเลย ผ่านไประยะหนึ่งถึงได้ลืมตาขึ้นมา ก็
พบว่า...พบว่าซื่อจื่อถูกฆ่าไปแล้ว...” พูดถึงตรงนี้ อู๋
ฮูหยินก็เหมือนจะรู้สึกกลัว
เหว่ยซูถงสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง
จะต้องมีคนใส่ร้ายข้าแน่นอน”
หลี่หงซิ่นโบกมือ บอกให้อู๋ฮูหยินออกไป แข้งขา
ของอู๋ฮูหยินไร้เรี่ยวแรง พยุงตัวเองแล้วเดินลงบันได
ไป หลังจากที่อู๋ฮูหยินเดินจากไป หลี่หงซิ่นนั่งลงบน
เก้าอี้ แล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ในเมืองเฉิงตูมีนักฆ่า
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ว่านักฆ่าปาดคอเป็นชื่อที่
ข้าใช้เรียกนักฆ่า นอกจากข้าแล้ว ไม่เคยมีใครเรียก
แบบนี้อีก”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องพูดแบบนี้
หมายความว่าอย่างไร?”
“โหวเยว่มาถึงเมืองเฉิงตู คืนนี้เลี้ยงอาหารโหวเยว่
แบบลวกๆ ตอนนั้นมีแค่พวกเราสามคนเท่านั้น” หลี่
หงซิ่นพูดว่า “ข้าพูดถึงนักฆ่าปาดคอบนโต๊ะอาหาร
ไม่มีใครคนอื่นได้ยินอีก เหตุใดนักฆ่าคนนั้นถึงได้รู้
เรื่องของนักฆ่าปาดคอได้เล่า? บนโลกใบนี้มีเรื่อง
บังเอิญขนาดนี้เลยหรือ?”
เหว่ยซูถงสีหน้านิ่ง “ท่านอ๋องคิดว่าข้าเป็นคนส่งนัก
ฆ่านั่นไปหรือ อีกทั้งยังตั้งใจบอกว่าเป็นนักฆ่าปาด
คออย่างนั้นสินะ?”
“หรือว่าไม่ใช่?” หลี่หงซิ่นพูด
ฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่อง
เข้าใจผิดก็ได้ ใต้เท้าเหว่ยไม่มีทางทำแบบนี้หรอก
ถึงต่อให้ใต้เท้าเหว่ยเป็นคนทำจริง นักฆ่านั่นทำไม
จะต้องเปิดเผยตัวตนต่อหน้าซื่อจื่อด้วย? มันไม่เป็น
การเผยเบาะแสให้สาวมาถึงตัวเองหรือ” เขามองไป
ที่เหว่ยซูถง แล้วพูดว่า “หากจะส่งนักฆ่าไปจริง ก็
จะต้องทำอะไรเด็ดขาดไม่ให้เหลือร่องรอยสิ เหตุใด
ต้องพูดอะไรมากมายขนาดนั้นด้วย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 414 กล้ำกลืนฝืนทน
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “ถูกต้อง ข้าคงไม่โง่ถึงขนาดส่ง
คนไปบอกฐานะของตัวเอง”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “แล้วเหตุใดฆ่าถึงเรียกนักฆ่าปาดคอ
ได้เล่า? นักฆ่าปาดคอ มีเพียงข้าเท่านั้นที่เรียกแบบนี้
ไม่มีใครคนอื่นรู้มาก่อน”
“ท่านอ๋อง วันนั้นคนที่ได้ยิน ไม่ได้มีแค่พวกเราสาม
คนนะ” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากจะพูดแบบ
นี้ แม้แต่ข้าเองก็ต้องถูกสงสัยเข้าไปด้วยสิ ข้ายังจำ
ได้ วันนั้นมีสาวใช้อีกหลายคน พวกนางยืนรับใช้อยู่
ข้างๆ คำพูดของท่านอ๋อง พวกนางเองก็ได้ยิน
เหมือนกัน”
หลี่หงซิ่นรีบพูดอย่างมั่นใจมากว่า “โหวเยว่วางใจได้
สาวใช้พวกนั้น ไม่มีทางพูดอะไรได้เลย”
เมื่อพูดแบบนี้ เหว่ยซูถงก็หน้าเสียไป “ท่านอ๋องพูด
แบบนี้มันก็แปลกนะ ถึงแม้ข้าน้อยจะเป็นซีชวนชื่อ
สื่อ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางราชสำนัก ท่านอ๋อง
สงสัยในตัวข้าน้อย แต่เชื่อมั่นในตัวของสาวใช้พวก
นั้น ความเชื่อมั่นในตัวข้ายังเทียบไม่ได้กับสาวใช้ต่ำ
ต้อยพวกนั้นเลยหรือ?”
เขาหน้าเสียมาก เหมือนไม่พอใจแล้ว
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ซื่อจื่อถูก
สังหาร ท่านอ๋องเจ็บปวดมาก เจ้าก็อย่าใส่ใจคำพูด
ของเขามากนักเลยนะ” เขาหันไปหาหลี่หงซิ่นแล้ว
พูดว่า “ท่านอ๋อง นักฆ่าแทงทะลุคอหอยจนตาย
อาจเป็นไปได้ว่าเดิมทีเขาก็ชื่อนี้อยู่แล้วเช่นกัน เรื่อง
บังเอิญมันก็มีอยู่มาก ข้าเชื่อว่า ใต้เท้าเหว่ยไม่มีทาง
ทำอะไรแบบนี้หรอก คิดว่าน่าจะมีใครตั้งใจยุให้พวก
เราแตกกันแน่”
“ยุให้แตกกัน?” หลี่หงซิ่นมองไปที่ฉีหนิง
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอ๋องลองนึกดูนะ นักฆ่าตัวจริง
เวลาฆ่าคน ก็เหมือนที่ข้าบอกไปเมื่อครู่ ทำอะไร
เด็ดขาดไม่เหลือร่องรอย เมื่อครู่นางอู๋ซุนบอกว่า
นางแกล้งสลบ ได้ยินพวกเขาคุยกัน พวกเราลองนึก
ภาพตามกันดู ในเมื่อนักฆ่านั่นมีวรยุทธ์สูงมากขนาด
นั้น นางอู๋ซุนแกล้งหลับอยู่ข้างๆ เขาก็น่าจะเห็นนาง
แล้วไม่ใช่หรือ?”
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “ถูกต้อง โหวเยว่พูดถูกแล้ว หาก
นักฆ่ารู้ว่านางอู๋ซุนแกล้งหลับ ตั้งใจพูดพวกนั้น ก็
เพื่อให้นางอู๋ซุนเป็นพยาน เพื่อใส่ร้ายข้า”
ฉีหนิงพยักหน้า “ถูกต้อง เรื่องราวก็น่าจะเป็นแบบนี้
ท่านอ๋อง ครั้งที่แล้วท่านก็พูดเองไม่ใช่หรือ นักฆ่าที่
ออกอาละวาดในเมืองเฉิงตูเหิมเกริมมาก ตอนพวก
เราอยู่ที่เรือนเจียนเจียเอง พวกมันก็บุกเข้ามาได้
ตั้งใจสังหารท่านกับข้า อีฝูเองก็เกือบจะตายเพราะ
พวกมัน...นักฆ่านั่นอาจจะไม่พอใจที่พลาด เลยพุ่ง
เป้าไปที่ซื่อจื่อแทน”
หลี่หงซิ่นหน้าสั่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ทุกคนต่างคิดว่า นักฆ่าทำการผิดพลาด ก็เลยฆ่าตัว
ตายในที่เกิดเหตุ ในเมืองเพิ่มการคุ้มกันแน่นหนา
มากขึ้น คงไม่มีทางออกมาลงมืออีกในช่วงเวลานี้
แน่” ฉีหนิงพูดอีกว่า “แต่ว่านักฆ่านั่นเจ้าเล่ห์มาก
ยิ่งทุกคนคิดว่าพวกเขาไม่กล้าทำอะไร ก็กลับเลือกที่
จะลงมือในเวลานี้” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อฐานะสูงส่ง อย่างไรก็เป็นเป้าหมายอยู่แล้ว
เลยถูกฉวยโอกาสลงมือ”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ท่านอ๋องก็พูดเองไม่ใช่หรือ ที่ซี
ชวนมีกลุ่มนรกภูมิคิดจะก่อกบฏอยู่? นักฆ่าที่เรือน
เจียนเจีย น่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มนรกภูมิ เรื่องที่
ซื่อจื่อถูกสังหาร ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขา”
หลี่หงซิ่นอ้าปาก แต่ไม่ได้พูดอะไร ทำได้แต่หัวเราะ
เสียงแปลกๆ ออกมา
ฉีหนิงสีหน้าจริงจัง แล้วพยักหน้าพูดว่า “ใต้เท้า
เหว่ยพูดมามีเหตุผล ท่านอ๋อง ที่ซีชวนมีท่านอ๋องกับ
ใต้เท้าเหว่ยเป็นเสาหลักของที่นี่ ท่านอ๋องกับใต้เท้า
เหว่ยควรจะสามัคคีกันไว้ ซีชวนถึงจะเป็นปึกแผ่น
พวกที่คอยจะฉวยโอกาสอยู่ถึงไม่มีโอกาสได้ลงมือ
กลุ่มนรกภูมิอยากก่อความวุ่นวายในซีชวน หากพวก
ท่านทั้งสองมั่นคงแน่วแน่ พวกเขาไม่มีทางทำอะไร
ได้ เพราะฉะนั้น พวกเขาถึงได้คิดจะยุแยงให้พวก
ท่านแตกคอกัน”
“โหวเยว่พูดได้ตรงประเด็นมาก” เหว่ยซูถงพูดว่า
“หากข้ากับท่านอ๋องไม่ถูกกันแล้ว กลุ่มนรกภูมิก็จะ
มีโอกาส การที่พวกเขาส่งคนมาสังหารซื่อจื่อ ก็เพื่อ
โยนความผิดมาให้ข้า ยุให้ข้ากับท่านอ๋องผิดใจกัน
ท่านอ๋อง กลุ่มนรกภูมิมีใจคิดไม่ซื่อ ท่านอ๋องทรง
พิจารณาด้วย”
เหว่ยซูถงกับฉีหนิงพูดตอบรับกันไปมา ทำให้หลี่หง
ซิ่นถึงกับหน้าเสียไป เขากำหมัดแน่น แล้วพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้น การตายของหลี่หยวนก็ไม่เกี่ยวข้องกับ
ใต้เท้าเหว่ยเลยสินะ?”
“ไม่มีแน่นอน” เหว่ยซูถงพูดว่า “ข้ากับท่านอ๋องไม่มี
ความแค้นต่อกัน หลายปีมานี้ ข้าเคารพท่านอ๋อง
มาก แล้วจะทำร้ายซื่อจื่อไปเพื่ออะไร? ท่านอ๋อง
กลุ่มนรกภูมิเป็นคนร้ายตัวจริง ข้ากับท่านอ๋อง
ร่วมมือกัน หาตัวคนกลุ่มนั้นให้เจอ แล้วแก้แค้นให้
ซื่อจื่อไม่ดีกว่าหรือ”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ซื่อจื่อฐานะ
สูงส่ง คนทั่วไปไม่มีทางกล้าคิดร้ายแบบนี้แน่ มีเพียง
กลุ่มนรกภูมิเท่านั้นที่กล้าทำ”
หลี่หงซิ่นลุกขึ้นมา กำหมัดแน่น เขาเงยหน้าขึ้นมา
หัวเราะร่า ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็รู้ว่าเขามีกำลัง
ภายในที่ไม่ธรรมดาเลย
“ในเมื่อพวกเจ้าสองคนพูดแบบนี้แล้ว ดูท่าทาง
คนร้ายตัวจริงก็น่าจะเป็นกลุ่มนรกภูมิสินะ” สายตา
ของหลี่หงซิ่นราวกับคมดาบ แล้วพูดว่า “ใต้เท้า
เหว่ย ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยหน่อย”
“ท่านอ๋องพูดมาได้เลย หากทำได้ข้าน้อยจะทำอย่าง
เต็มที่”
“ข้าต้องการให้เจ้าเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับข้า”
หลี่หงซิ่นจ้องไปที่เหว่ยซูถง “ไม่ทราบว่าใต้เท้าเหว่ย
จะยินดีหรือไม่?”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เข้าเมืองหลวง? ท่าน
อ๋องทำไมถึงต้องการแบบนี้?”
“ข้าอายุมากแล้ว มีหลายเรื่องที่ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจ”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “หลี่หยวนถูกฆ่า มีคนเป็นพยานว่า
ใต้เท้าเหว่ยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เดิมทีข้าก็คิดจะให้ใต้
เท้าเหว่ยเข้าเมืองหลวงเข้าเฝ้าฝ่าบาทพร้อมข้า เพื่อ
สืบเรื่องนี้ให้กระจ่างอยู่แล้ว”
เหว่ยซูถงคิด เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “หากเป็นคำสั่ง
ของท่านอ๋อง ข้าน้อยก็ยินดีทำตาม เพียงแต่ที่ซีชวน
มีเรื่องอีกมากมาย หากไม่มีคำสั่งของฝ่าบาท
ข้าน้อยเองก็ไม่กล้าไปโดยพลการ ในเมื่อท่านอ๋อง
ยังคงสงสัยในตัวข้าน้อยอยู่ ข้าน้อยก็จะไม่พูดอะไร
อีก ต่อให้เข้าเมืองหลวงไป แล้วจะทำอะไรได้อีก?
ไม่ทราบว่าท่านอ๋องยังมีหลักฐานอย่างอื่นอีกหรือไม่
ว่าข้าน้อยเป็นคนร้าย?”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “เมื่อข้าไปถึงเมืองหลวงแล้ว ก็
จะต้องมีหลักฐานว่าใต้เท้าเป็นคนร้ายแน่”
เหว่ยซูถงตะลึงไป เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรขึ้นมา สี
หน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป
ฉีหนิงเองก็ฉลาด เขาฟังออก และเข้าใจความหมาย
ของหลี่หงซิ่น
หลี่หงซิ่นไม่มีทางคิดว่าเหว่ยซูถงจะเล่าเรื่องที่ฆ่าฮู
หยินของตัวเองให้เขาฟัง เขาตั้งใจทำแบบนี้ คิดว่าฉี
หนิงคงไม่เข้าใจ
เขาพูดแบบนี้ คือเขากำลังข่มขู่เหว่ยซูถงอยู่
ฉีหนิงนิ่งมาก เขาแอบคิดในใจว่า วันนี้หลี่หงซิ่นเบ่ง
บารมีที่หอเป่าเฟิง คิดว่าไม่ได้คิดจะสืบหาว่าใครคือ
คนที่สังหารหลี่หยวนหรอก แต่อยากจะเอาเรื่องนี้
เป็นเหตุผลให้เหว่ยซูถงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อม
เขามากกว่า
เหว่ยซูถงหน้าซีด เขามองมาที่ฉีหนิง เห็นฉีหนิงนิ่ง
ไม่พูดอะไร เขาก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “หากท่านอ๋อง
มีหลักฐานว่าข้าน้อยเป็นคนร้าย โหวเยว่เองก็อยู่ที่นี่
แล้ว ท่านก็เอาออกมาได้เลย โหวเยว่เป็นหนึ่งในสี่
บรรดาศักดิ์ใหญ่ของที่นี่ สามารถเป็นพยานได้”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย หากข้ายืนยันจะเข้า
เมืองหลวงไปพร้อมกับเจ้า เจ้าจะรับปากหรือไม่?”
พูดถึงตรงนี้ สายตาของเขาก็คมกริบมาก
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ที่ใต้เท้า
เหว่ยพูดมานั้นถูกต้องแล้ว หากไม่มีบัญชาจากฝ่า
บาท ราชทูตไม่สามารถเข้าเมืองหลวงโดยพลการได้
อีกทั้งท่านอ๋องก็พูดเองว่า กลุ่มนรกภูมิแอบวางแผน
ก่อกบฏ ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ของ
ทุกคนก็คือตามล่าตัวพวกมันออกมา ใต้เท้าเหว่ย
เป็นถึงซีชวนชื่อสื่อ จะไปจากเมืองในเวลาแบบนี้ได้
อย่างไรกัน? ท่านอ๋องท่านอย่าลืมนะว่า เรื่องของถ้ำ
เฮยเหยียนยังไม่จบดี ทหารล้อมเขาเฮยเหยียนมา
นานหลายเดือน สุดท้ายพิสูจน์ได้แล้วว่าพวกเขาถูก
ใส่ร้าย ชาวเหมียวเจ็บสิบสองถ้ำต้องไม่พอใจอยู่แล้ว
ในเวลาแบบนี้ใต้เท้าเหว่ยควรจะอยู่เพื่อปลอบขวัญ
พวกเขาให้เรียบร้อยก่อน”
เหว่ยซูถงเห็นฉีหนิงออกหน้า ก็พูดว่า “ถูกต้อง ชาว
เหมียวของเราจะต้องปลอบขวัญพวกเขา ข้าน้อย
เตรียมที่จะเดินทางไปพบท่านเหมียวอ๋องด้วย
ตัวเอง”
หลี่หงซิ่นตบโต๊ะอย่างแรก องครักษ์ด้านนอกชักดาบ
วิ่งเข้ามากว่าสิบนาย
เหว่ยซูถงสีหน้าเปลี่ยนทันที เขาตะคอกว่า “ท่าน
อ๋อง ท่านคิดจะทำอะไร?”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “ลูกชายข้าตายไปคนหนึ่ง เรื่องนี้จะ
ให้จบแบบนี้น่ะหรือ? ใต้เท้าเหว่ย ข้าแค่อยากให้เจ้า
เข้าเมืองหลวงไปพร้อมข้าเท่านั้น เรื่องในซีชวน ข้า
จัดการเอง”
เหว่ยซูถงเห็นหลี่หงซิ่นไม่ไว้หน้าเขาแล้ว ก็พูดว่า
“จัดการเอง? ใครจัดการ? ท่านอ๋องหรือ? ท่านอ๋อง
ขออภัยที่ต้องพูดตามตรง ซีชวนชือ่ สื่อคือข้า เรื่อง
ทุกเรื่องที่ซีชวน มีข้าเป็นคนดำเนินการ เหมือนจะ
ไม่ใช่ท่านนะ” เขายกมือชี้ไปที่เหล่าองครักษ์แล้วพูด
ว่า “พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร? ยังไม่ถอย
ออกไปอีก?”
ด้านล่างหอเป่าเฟิง มีคนที่เขาพามาด้วยสามร้อยคน
เขาก็ไม่กลัวหลี่หงซิ่น
หลี่หงซิ่นตั้งใจทำสายตาราวกับจะสังหารเหว่ยซูถง
ให้ได้ ในเวลานี้ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากตรงบันไดว่า
“ท่านอ๋อง ใต้เท้าเหว่ย พวกท่านต่างเป็นเสาหลัก
ของราชสำนัก มีอะไรค่อยๆ พูดคุยกันก็ได้ ไม่ต้อง
โมโหใส่กันหรอกนะ” ขณะที่พูด ก็มาพร้อมกับเสียง
ฝีเท้าเดินขึ้นมาด้านบน มีเงาของคนสองคนโผล่
ออกมา
ฉีหนิงเงยหน้ามองไป เขาถึงกับตกใจ มีสายตาคู่หนึ่ง
กำลังมองมาทางเขา ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “จั้นอิง
พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
สองคนที่เดินขึ้นมา เป็นคนรู้จักของฉีหนิงนี่เอง
คนที่เดินอยู่ด้านหน้านั่นก็คือจวีเหมินเซี่ยวเว่ยเซ
วียนหยวนผ่อแห่งจวนเสินโหว ด้านหลังของเซวียน
หยวนผ่อ ก็คือสาวน้อยก้นอวบอึ๋มซีเหมินจั้นอิง
นั่นเอง
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอพวกเขาสองคนที่นี่ใน
เวลาแบบนีไ้ ด้
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินฉีหนิงเรียกชื่อของนางอย่างสนิท
สนมต่อหน้าคนอื่น นางก็หน้าแดง แล้วจ้องไปที่ฉี
หนิง แต่ไม่ได้สนใจ
เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวมีเครื่องแบบเฉพาะของ
ตัวเอง หลี่หงซิ่นกับเหว่ยซูถงมองออกอยู่แล้วว่าเป็น
คนของจวนเสินโหว
แต่ว่าพวกเขาไม่รู้จักเซวียนหยวนผ่อ พวกเขาต่าง
ขมวดคิ้ว เซวียนหยวนผ่อเดินขึ้นหน้าสองก้าว แล้ว
ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยคือจวีเหมินเซี่ยว
เว่ยแห่งจวนเสินโหวเซวียนหยวนผ่อ คำนับท่านสู่
อ๋อง โหวเยว่และใต้เท้าเหว่ย” พูดจบ ก็หันไปพยัก
หน้าให้กับฉีหนิง
เซวียนหยวนผ่อแนะนำตัวเสร็จ เหว่ยซูถงกับหลี่หง
ซิ่นก็ต่างตกใจ
ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเห็นหน้าของเซวียนหยวนผ่อ
แต่ชื่อนี้ก็เคยได้ยินมาก่อน
ชื่อเสียงของซีเหมินเสินโหวแห่งจวนเสินโหวโด่งดัง
ไปทั่งหล้า เขาเป็นหนึ่งในเจ็ดดาวไถของจวนเสิน
โหว ขอแค่เป็นคนที่เรียนหรือมีความรู้ไม่มีใครไม่
รู้จัก
เซวียนหยวนผ่อเป็นลูกศิษย์คนโตของซีเหมินอู๋เหิง
ในสายตาของใครหลายคน หากซีเหมินเสินโหวลง
จากตำแหน่งไป เซวียนหยวนผ่อน่าจะเป็นคนที่สืบ
ทอดตำแหน่งของเขาแน่นอน
ใครหลายคนอาจจะไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของเจ็ด
ดาวไถของจวนเสินโหวทั้งหมด แต่ว่าคนที่ไม่รู้จัก
คือจวีเหมินเซี่ยวเว่ยแห่งจวนเสินโหวเซวียนหยวน
ผ่อนั้นแทบจะไม่มีเลย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 415 ความแค้นใหญ่หลวง
ถึงแม้เหว่ยซูถงจะเป็นซีชวนชื่อสื่อ แต่ก็พอรู้บารมี
ของจวนเสินโหว เขารีบยกมือคำนับ “ที่แท้ก็เซวียน
หยวนเซี่ยวเว่ยนี่เอง”
เซวียนหยวนผ่อร่างกายกำยำสูงใหญ่ ดุดันราวกับ
ราชสีห์ เมื่อเห็นศพของหลี่หยวนนอนอยู่บนเปลนอน
ที่พื้น เขาก็เดินเข้าไป นั่งลงแล้วตรวจดู จากนั้นก็พูด
ว่า “ท่านอ๋อง ท่านผู้นี้คือ...?”
“เขาคือลูกชายของข้าเอง” หลี่หงซิ่นน้ำเสียงเย็นชา
“ถูกคนชั่วช้าสังหารจนตาย”
เซวียนหยวนผ่อหยักหน้า แล้วพูดว่า “ดาบเดียวทะลุ
ถึงคอ ลงมือเด็ดขาดมาก กำลังภายในจะต้องล้ำลึก
มาก” เขาลุกขึ้น แล้วพูดว่า “เมื่อครู่เหมือนท่านอ๋อง
จะไม่ค่อยพอใจใต้เท้าเหว่ยนะ เป็นเพราะเรื่องที่
ซื่อจื่อถูกสังหารหรือ?”
หลี่หงซิ่นพูดว่า “ข้ามีพยานที่บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้อง
กับเหว่ยซูถง ข้าก็ต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูก
ชายข้าสิ”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “เรื่องนี้มีการเข้าใจผิดแน่ ท่าน
อ๋องอย่าเพิ่งโกรธเลย”
“ข้าบอกแล้ว ขอแค่ใต้เท้าเหว่ยเดินทางเข้าเมือง
หลวงไปพร้อมข้า ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยกัน” หลี่หง
ซิ่นพูดว่า “แต่ว่าใต้เท้าเหว่ยกลับหาข้ออ้างไม่ยอมไป
เหมือนจะอยากหลบเรื่องนี้”
เซวียนหยวนผ่อส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เดิมที
เรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกท่าน ข้าน้อยไม่ควรเข้ามายุ่ง
เกี่ยว แต่ว่าใต้เท้าเหว่ยคงไม่อาจไปจากที่นี่ชั่วคราว
แล้ว”
หลี่หงซิ่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้หมาย
ความว่าอะไรกัน?”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ท่านอ๋องน่าจะรู้อยู่ก่อนแล้ว
ว่า จวนเสินโหวแล้วประกาศสัญญาเลือดออกไปแล้ว
อีกทั้งรวบรวมชาวยุทธ์จากแปดพรรคสิบหกสำนักมา
เพื่อกวาดล้างพรรคบัวดำที่เขาเชียนอูหลิง พรรคบัว
ดำก่อความวุ่นวาย ราชสำนักโกรธมาก อีกทั้งพวกเขา
ยังไม่ยอมส่งมอบตัวคนร้ายออกมาด้วย ทางจวนเสิน
โหวจึงต้องใช้กำลังกับพวกเขา”
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ข้าเองก็ขอพูดอะไรที่เป็นการ
เสียมารยาทสักหน่อย จวนเสินโหวของพวกท่านดูแล
เรื่องของยุทธภพ เหว่ยซูถงเป็นคนของทางการ การ
กวาดล้างพรรคบังดำ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย เหตุใด
เขาถึงตามข้าเข้าเมืองหลวงไปไม่ได้?” หลี่หงซิ่นสี
หน้าไม่พอใจมาก
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “เหล่าชาวยุทธ์ได้เดินทางมา
กันถึงซีชวนแล้ว อีกทั้งยังตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆ กับเขา
เชียนอูหลิง ตอนนี้น่าจะมีอย่างน้อยสองพันคน อีกทั้ง
ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่จะเดินทางมาที่นี่ ยังเหลือ
เวลาอีกสามวัน กว่าจะถึงวันนัดหมาย ถึงเวลานั้น
อาจจะมีคนมากถึงสามพันคน”
หลี่หงซิ่นยิ้มแห้งแต่ไม่พูดอะไร
ฉีหนิงนิ่งมาก แต่ในใจของเขากำลังตกใจ เขาคิดในใจ
ว่าการกวาดล้างพรรคบัวดำ กระทบกับกลุ่มคนมาก
ขนาดนี้ได้เลยหรือ
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว บารมีของจวนเสินโหวในยุทธภพ
นั้นมันมากกว่าที่เขาคิดไว้มากทีเดียว
“คนสามพันคน บวกม้าอีกจำนวนมาก ต้องเสีย
เสบียงอาหารไปในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก ท่านอ๋อง
ก็เคยนำทัพออกศึก ข้าน้อยคิดว่าท่านน่าจะทราบ
เรื่องนี้ดี” เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “พื้นที่ของเขาเชียน
อูหลิงซับซ้อนมาก พวกเราเคยส่งคนไปสำรวจมาแล้ว
ที่นั่นมีแต่หน้าผาสูงชัน อันตรายมาก พรรคบัวดำเอง
ก็มีการเตรียมการไว้แล้ว การบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง
ครั้งนี้ น่าจะใช้เวลาพอสมควร”
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย จวนเสิน
โหวประกาศรวบรวมกำลังพลจากแปดพรรคสิบหก
สำนัก หลังจากที่ข้าน้อยได้รับข่าว ก็ได้ส่งจดหมายไป
ให้ท่านเสินโหวแล้ว ไม่ทราบว่าท่านเสินโหวได้รับ
จดหมายหรือไม่?”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยวาง
ใจได้ ท่านเสินโหวได้กำชับเอาไว้แล้ว ใต้เท้าเหว่ย
กังวลว่าชาวยุทธ์มากมายเข้ามายังพื้นที่ซีชวน จะก่อ
เรื่อง พวกเราเองได้เตรียมการรับมือเรื่องนี้ไว้
เรียบร้อยแล้ว พวกเราจะตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมา ใครก็
ตามที่ละเมิดกฎนี้ ทางจวนเสินโหวจะไม่ปล่อยพวก
เขาแน่นอน”
เหว่ยซูถงถึงได้เบาใจ แล้วพยักหน้า “ในเมื่อทางจวน
เสินโหวเตรียมการแบบนี้แล้ว ข้าน้อยก็เบาใจ”
“ใต้เท้าเหว่ย ขอแค่มีคนก่อความวุ่นวายขึ้น แล้วแจ้ง
มายังทางการ พวกเราจะลงโทษอย่างหนัก” เซวียน
หยวนผ่อพูดว่า “จวนเสินโหวประกาศสัญญาเลือด
เรื่องนี้ทูลขอพระบัญชาจากฝ่าบาทแล้ว กลุ่มชาวยุทธ์
เลวๆ แบบนั้น อย่างไรก็จะต้องกำจัด” เขายกมือ
คำนับเหว่ยซูถงแล้วพูดว่า “ถึงแม้เรื่องนี้จะใช้วิธีแบบ
ชาวยุทธ์ในการจัดการ แต่ว่ายังต้องขอให้ใต้ท้าเหว่ย
ช่วยด้วยอีกแรงหนึ่ง”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
“ใต้เท้าเหว่ยหากมีเวลา ข้าน้อยอยากจะขอพูดคุยถึง
รายละเอียดด้วย” เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า
“ตอนนี้มีเรื่องสำคัญต้องขอรบกวนให้ใต้เท้าเหว่ยช่วย
สักหน่อย”
เหว่ยซูถงเหลือบไปมองหลี่หงซิ่น แล้วพูดกับฉีหนิงว่า
“โหวเยว่ พวกเรากลับจวนกันก่อนเถอะ” เหมือนเขา
จะไม่สนใจสีหน้าของหลี่หงซิ่นแล้ว
เซวียนหยวนผ่อมองไปที่หลี่หงซิ่นแล้วยกมือคำนับ
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยขอตัวกลับก่อน” เขาทำราวกับ
ไม่ได้สนใจการตายของหลี่หยวนเลยแม้แต่น้อย
หลี่หงซิ่นพูดว่า “เจ้าไม่ต้องขอตัวหรอก ในเมื่อมีเรื่อง
ต้องหารือ บ้านเมืองสำคัญ ข้าก็ไม่รั้งพวกเจ้าเอาไว้”
เขาพูดเสียงนิ่งว่า “หามซื่อจื่อออกไป” เขาเหลือบไป
มองเหว่ยซูถง แล้วมองมาที่ฉีหนิง จากนั้นก็เดินจาก
ไป เหล่าองครักษ์หามร่างของหลี่หยวนตามไปด้วย
เหว่ยซูถงเห็นหลี่หงซิ่นลงไปแล้ว เขาจึงเดินไปที่ขอบ
หน้าต่าง เขาก็เห็นหลี่หงซิ่นนำทหารจิ่นกวนเว่ยจาก
ไป
ในใจของเขารู้ดีว่า ในเมื่อวันนี้แตกหักกับหลี่หงซิ่นไป
แล้ว ต่อไปก็ไม่มีทางกลับมาดีกันได้อีก
ฉีหนิงรู้ว่าหลี่หงซิ่นจากไปด้วยความแค้นใหญ่หลวง
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย สู่อ๋องเสียใจที่
สูญเสียลูกชายไป ในใจเขาคงเจ็บปวดมาก เจ้าก็อย่า
ใส่ใจมากเลยนะ”
“หลี่หยวนก่อกรรมทำเข็นในซีชวนมานาน ฆ่าคนเป็น
ผักปลา” เหว่ยซูถงพูดอย่างไม่ใยดีว่า “คนในซีชวนถ้า
มีสิบคน คงมีห้าคนแล้วที่อยากจะฆ่าเขา บุกเข้าบ้าน
คนอื่นกลางดึก แล้วคิดใช้กำลัง...” ทันใดนั้นเขาก็นึก
ขึ้นมาได้ว่าซีเหมือนจั้นอิงเป็นผู้หญิงอยู่ตรงนั้นด้วย
เลยไม่พูดต่อ
ฉีหนิงหันไปยิ้มให้เซวียนหยวนผ่อแล้วพูดว่า “เซวียน
หยวนเซี่ยวเว่ย หากมีเรื่องด่วนต้องหารือ จะอยู่ที่นี่
ต่อก็ได้ หากไม่สะดวก ข้าจะลงไปข้างล่าง”
“โหวเยว่คิดมากเกินไปแล้ว” เซวียนหยวนผ่อรีบพูด
ว่า “โหวเยว่อยู่ที่นี่ด้วย เป็นการดีเสียมากกว่า เรียน
โหวเยว่ตามตรง ที่ออกจากเมืองหลวงมาครั้งนี้
ข้าน้อยกับท่านเสินโหวได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทมาก่อน ฝ่า
บาทได้ทรงกำชับมาว่า โหวเยว่เองก็อยู่ที่ซีชวน การ
บุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง สามารถมาหารือกับโหวเยว่
ได้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าแทรกแซงเรื่องนี้ มันคงไม่ดี
เท่าไหร่นะ?”
ซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีหนิงสีหน้าจริงจัง ก็ไม่ได้พูดดีด้วย
ว่า “หากเจ้าไม่อยากยุ่ง ตอนนี้ก็ออกไปได้เลย เรื่องนี้
ก็ใช่ว่าจะไม่มีเจ้าไม่ได้”
เหว่ยซูถงไม่รู้ว่าฉีหนิงกับซีเหมินจั้นอิงเป็นอะไรกัน
แล้วไม่รู้ว่าซีเหมินจั้นอิงเป็นลูกสาวของซีเหมินอู๋เหิง
ด้วย เมื่อเห็นนางสวมชุดเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว
แต่กลับกล้าพูดแบบนี้กับจิ่นอีโหว เขาคิดว่าจวนเสิน
โหวทำไมถึงบังอาจมากขนาดนี้ เขาขมวดคิ้ว แต่เซ
วียนหยวนผ่อพอจะรู้ความสัมพันธ์ของซีเหมินจั้นอิง
กับซีเหมินจั้นอิงมาบ้าง แต่ซีเหมินจั้นอิงพูดจาแบบนี้
ต่อหน้าซีชวนชื่อสื่อ มันก็ไม่เหมาะ เขาขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ห้ามพูดจาเหลวไหล”
ซีเหมินจั้นอิงเองก็รู้ว่าตัวเองเสียมารยาทไป แต่ฉีหนิง
กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้ากับจั้นอิง
สนิทกันดี นิสัยของนางใจร้อนวู่วาม บางทีไม่รู้จักดู
สถานการณ์ ข้าไม่โทษนางหรอก ต่อให้เสียมารยาท
กับข้าจริง ข้ากลับไปบอกกับท่านเสินโหวเองได้”
ซีเหมินจั้นอิงกัดฟัน แล้วจ้องมาที่ฉีหนิง
เซวียนหยวนผ่อรู้ว่าศิษย์น้องเล็กของเขามีนิสัยเป็น
อย่างไร ในใจก็คิดว่าสองคนนี้เถียงกันขึ้นมาจริง
บรรยากาศจะแย่ไป เลยพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย วันนี้
ที่มาหา เพราะอยากให้ท่านช่วยเตรียมการเรื่อง
เสบียงอาหารให้” เขายกมือขึ้นมาคำนับ แล้วพูดว่า
“โหวเยว่ ใต้เท้าเหว่ยเชิญนั่งลงก่อน”
ฉีหนิงกับเหว่ยซูถงนั่งลง เซวียนหยวนผ่อกลับยืนอยู่
ข้างๆ เหว่ยซูถงพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ท่าน
เองก็นั่งลงเถอะ”
เซวียนหยวนผ่อยกมือคำนับ แล้วนั่งลงตรงข้ามพวก
เขา ซีเหมินจั้นอิงเองก็อยากจะนั่งลงข้างๆ เซวียน
หยวนผ่อ แต่ฉีหนิงกลับไอแล้วพูดว่า “จั้นอิง พวกเรา
จะหาเรือเรื่องสำคัญกัน เจ้าไปยกน้ำชามาให้พวกเรา
ที”
ซีเหมินจั้นอิงโกรธมาก “ที่นี่ก็มีคนรับใช้ เหตุใด
จะต้องให้ข้าไปด้วย”
“อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นคนของจวนเสินโหว หลักของ
ชาวยุทธ์เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร?” ฉีหนิงแกล้งขมวดคิ้ว
“ช่วงนี้เมืองเฉิงตูมีนักฆ่าออกอาละวาด หากมีใครคน
อื่นแอบวางยาพิษในชา พวกเราตรงนี้ก็ตายกันหมด
เลยนะ?”
ซีเหมินจั้นอิงกัดปาก เซวียนหยวนผ่อพูดขึ้นมาว่า
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไปยกน้ำชามาเถอะ”
ซีเหมินจั้นอิงเหมือนจะเกรงใจเซวียนหยวนผ่ออยู่บ้าง
แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง จากนั้นก็เดินไป
เหว่ยซูถงรู้สึกแปลกใจมาก แอบคิดในใจว่าเหตุใดฉี
หนิงกับแม่นางคนนี้พอเจอหน้ากันก็ทะเลาะกันเลย
หรือว่าสองคนนี้มีปัญหากันมาก่อนหรืออย่างไร? แต่
ว่าเป็นแค่เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว เหตุใดถึงได้มี
ปัญหากับจิ่นอีโหวได้นะ? แล้วเขาก็แอบรู้สึกว่าคำพูด
ของฉีหนิงเหมือนจะหยอกล้ออยู่ เขาก็พอจะเข้าใจ
อะไรขึ้นมา เขาคิดในใจว่าจิ่นอีโหวน่าจะรู้จัก
เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวนี้มาก่อนแล้วแน่นอน แล้ว
ก็อาจจะถูกใจนางเข้าให้แล้ว
จิ่นอีโหวฐานะสูงส่ง อีกทั้งยังเป็นหนุ่ม อย่างไรก็คงมี
อารมณ์แบบหนุ่มสาว
พอเขาเดาได้ ก็เข้าใจ
เมื่อซีเหมินเสินโหวลงไปด้านล่าง ฉีหนิงก็ขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย เหตุใดท่านเสิน
โหวถึงได้ให้นางมาด้วย?”
“เรียนโหวเยว่ ศิษย์น้องเล็กมีประสบการณ์ในยุทธภพ
น้อยมาก อีกทั้งไม่เคยเห็นการต่อสู้ใหญ่แบบนี้” เซ
วียนหยวนผ่ออธิบายต่อว่า “การโจมตีเขาเชียนอูหลิง
ในครั้งนี้ เป็นครั้งใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ท่าน
เสินโหวหวังว่าจะให้ศิษย์น้องเล็กได้ฝึกฝน
ประสบการณ์มากขึ้นจากเรื่องในครั้งนี้”
“อย่างนี้นี่เอง ท่านเสินโหวมาที่ซีชวนด้วยหรือไม่?”
เซวียนหยวนผ่อส่ายหน้าแล้วพูดว่า “การบุกโจมตีเขา
เชียนอูหลิงในครั้งนี้ ท่านเสินโหวสั่งให้ข้าน้อย
รับผิดชอบทั้งหมด แต่ว่าฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ให้
ข้าน้อยมาพบโหวเยว่หลังจากมาถึงซีชวนแล้ว เพื่อให้
หารือเรื่องนี้กับโหวเยว่ แล้วทำตามที่โหวเยว่สั่งในการ
บุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง”
ฉีหนิงรีบยกมือขึ้น “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย เรือ่ งนี้ เจ้า
อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังไป เรื่องใหญ่แบบนี้ ข้า
รับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ”
“โหวเยว่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว การนำทัพออกศึก จิ่นอี
ตระกูลฉีมีใครบ้างที่ทำไม่ได้? ท่านเหล่าโหวกับท่าน
แม่ทัพใหญ่ต่างก็เป็นขุนพลเลื่องชือ่ โหวเยว่มี
สายเลือดของพวกท่าน ก็คิดว่าไม่น่าจะยาก” เหว่ย
ซูถงยิ้มแล้วพูด
เหว่ยซูถงฉีกหน้าหลี่หงซิ่นไปแล้ว ในใจก็คิดว่าต่อไป
เขาคงลำบากแน่ ก็ต้องหาที่พึ่งใหม่ ต่อไปก็เหลือแค่
ราชสำนักแล้ว
เขาเป็นคนที่อดีตฮ่องเต้ส่งมาประจำที่นี่ ตอนนี้ฮ่องเต้
องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ขุนนางแต่ละยุคสมัยก็
แตกต่างกันเขาเข้าใจหลักนี้ดี ตำแหน่งของเขาจะ
มั่นคงหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ จิ่นอีโหวเป็นหนึ่งในสี่
บรรดาศักดิ์โหว ดูจากสถานการณ์แล้ว ฮ่องเต้องค์
ใหม่ไม่เพียงส่งจิ่นอีโหวมาเป็นผู้แทนพระองค์ อีกทั้ง
ยังให้ฉีหนิงบัญชาการบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิงด้วย
แสดงว่าเขาจะต้องเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ใหม่แน่
ต้นไม้ใหญ่แบบนี้ หากมีโอกาสเข้าพวกด้วย มันจะดี
มากเลย
อีกทั้งตอนนี้เขากับหลี่หงซิ่นก็ถือว่าเป็นศัตรูกันไป
แล้ว ฉีหนิงถึงแม้จะบอกว่าไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร แต่ก็
ช่วยเขาออกหน้าไม่น้อย หากมีโอกาส เขาจะไม่พลาด
เด็ดขาด
เขาอยู่ในสายการเมืองมาหลายปี ในใจเขารู้ดีว่า การ
มีที่พึ่งถือเป็นเรื่องดี เซวียนหยวนผ่ออายุราวสามสิบ
กว่า ฉีหนิงดูเด็กกว่ามาก ทั้งสองคนอายุห่างกับเขา
มาก อีกคนเป็นผู้สืบทอดของจวนเสินโหว อีกคนเป็น
คนโปรดของฮ่องเต้องค์ใหม่ หากสามารถผูกมิตรกับ
สองคนนี้ได้ เขาเองก็ไม่น่าจะมีภัยอะไรได้อีก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 416 เงื่อนไข
ถึงแม้เซวียนหยวนผ่อจะเป็นขุนนางราชสำนัก แต่
ปกติแล้วจวนเสินโหวไม่ยุ่งกับหน่วยงานอื่นเลย คน
ของจวนเสินโหวแทบจะไม่ไปมาหาสู่กับขุนนางคนอื่น
เลย ยุ่งแต่เรื่องในยุทธภพเท่านั้น
เขารู้ว่าเหว่ยซูถงอยากจะเอาใจฉีหนิง จึงพูดว่า “ใต้
เท้าเหว่ย ชาวยุทธมาตรงที่รวมตัวกันในซีชวน
เป้าหมายคือการเดินทางไปที่เขาเชียนอูหลิง พวกเขา
ไม่มีทางพกเสบียงอาหารไปด้วยแน่นอน เท่าที่ข้าได้
สำรวจมา เขาเชียนอูหลิงค่อนข้างกันดาร รอบๆ เขา
แทบจะไม่มีหมู่บ้านอะไรเลย คงไม่มีทางหาอาหาร
ได้มากขนาดนั้น”
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยไม่ต้อง
กังวล ที่ตั้งของเขาเชียนอูหลิง เป็นอยู่อาศัยของชาว
เฮยเหมียว ตรงนั้นมีตั้งหน่วยงานราชการไว้ ข้าจะรีบ
สั่งให้ทางท้องที่ส่งเสบียงอาหารเข้าไปให้ทันที”
“ขอบคุณใต้เท้าเหว่ย” เซวียนหยวนผ่อรีบขอบคุณ
แล้วพูดว่า “ตอนที่ใต้เท้าเหว่ยส่งเสบียงเข้าไป ต้อง
บันทึกไว้ให้ดี ถึงเวลาข้ากลับเมืองหลวงไปจะส่งบัญชี
นี้ให้กับกรมคลังเอง ราชสำนักจะทำการเบิกให้”
เหว่ยซูถงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
เซวียนหยวนผ่อมองไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “ไม่ทราบ
ว่าโหวเยว่มีคำสั่งอะไรในการบุกเขาเชียนอูหลิง
หรือไม่?”
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย จะบุกอย่างไร พวกเจ้าก็ทำ
กันไปเถอะนะ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาทมี
ราชโองการมา ข้าอยู่ดูด้วยข้างๆ ก็ได้ แต่จะให้ข้าเป็น
ผู้นำ คิดว่าคงเป็นเรื่องน่าขำนะ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่ว่า...ฝ่าบาทถึงแม้จะมีราช
โองการมา แต่ว่าครั้งนี้พวกเจ้าจวนเสินโหวตจัดการ
เรื่องนี้ด้วยวิธีของยุทธภพ หากทางการเข้าไปยุ่ง เกรง
ว่าเหล่าชาวยุทธ์คงไม่พอใจนะ”
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่า ถึงแม้แปดพรรคสิบหกสำนักจะถูก
จวนเสินโหวควบคุมให้เป็นตัวแทนของราชสำนัก แต่
คนพวกนี้สุดท้ายก็มักมาคิดบัญชีกับราชสำนักทีหลัง
ราชสำนักเองก็ไม่อยากจะปะทะกับกลุ่มชาวยุทธ์
ตรงๆ ดังนั้นก็เลยตั้งจวนเสินโหวขึ้นมา เพื่อเป็น
ตัวแทนในการสื่อสารกับทางกลุ่มชาวยุทธ์
เซวียนหยวนผ่อสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
จากนั้นก็พูดว่า “โหวเยว่รอบคอบจริงๆ ไม่ทราบโหว
เยว่อยากจะทำอย่างไร?”
“ที่จริงก็ง่ายมากเลย” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อ
พวกเจ้าเป็นคนของจวนเสินโหว ข้าก็ปลอมตัวเป็นคน
ของจวนเสินโหวซะก็หมดเรื่อง”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่ฉลาดมาก”
จากนั้นก็เห็นซีเหมินจั้นอิงเดินยกถาดขึ้นมา บนถาดมี
ถ้วยชาสามใบ นางยกขึ้นมาด้วยหน้าตาไม่พอใจ
ฉีหนิงเห็นนางเหมือนจะโมโห ในใจก็นึกขำ เลยตั้งใจ
ตบไปที่เก้าอี้ แล้วพูดว่า “จั้นอิง มานั่งตรงนี้มา”
ซีเหมินจั้นอิงไม่สนใจเขา แล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ เซ
วียนหยวนผ่อ
ฉีหนิงยกน้ำชาขึ้นดื่ม แล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยว
เว่ย การปลอมตัวเป็นคนของจวนเสินโหว จะว่าง่ายก็
ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่สำคัญที่สุดคือไม่ให้เหล่าชาว
ยุทธ์จับได้”
“โหวเยว่หมายความว่าอย่างไร?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้เรื่องกฎเกณฑ์อะไรของ
จวนเสินโหวเลย ยิ่งไม่รู้วิธีการเข้าหาชาวยุทธของจวน
เสินโหวด้วย เกิดพูดอะไรพลาดไป มันจะยุ่งยาก” เขา
มองไปที่ซีเหมินจั้นอิง ยิ้มแล้วพูดว่า “เซวียนหยวน
เซี่ยวเว่ย ข้าเห็นว่าจั้นอิงมาครั้งนี้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร
มาก ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางมาสอนข้าเรื่องกฎของจวน
เสินโหว เจ้าว่าดีหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฉีหนิง เจ้า
อย่ามาหาเรื่องข้าสิ หากเจ้าทำให้ข้าโมโห ต่อให้เจ้า
เป็นจิ่นอีโหว ข้าก็จะไม่เกรงใจเจ้าเด็ดขาด”
เซวียนหยวนผ่อขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก
ท่านเสินโหวสั่งเจ้าไว้ว่าอะไร เจ้าลืมไปแล้วหรือ
อย่างไร?”
ซีเหมินจั้นอิงรีบพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่เห็นหรือ
ว่าเขากำลังแกล้งข้าอยู่?”
“โหวเยว่ไม่ได้มีเจตนาร้าย ห้ามเสียมารยาทเด็ดขาด”
เซวียนหยวนผ่อเหลือบไปมองซีเหมินจั้นอิง
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย
ข้าบอกแล้ว จั้นอิงประสบการณ์น้อยเกินไป ยังต้อง
ฝึกให้มาก ข้าเพิ่งพูดไปไม่กี่คำ นางก็ควบคุมอารมณ์
ตัวเองไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้อาจจะเสียการใหญ่ได้
จริงสิ ฝ่าบาทให้ข้าร่วมการบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง
ด้วย เพื่อกันความผิดพลาด ข้าว่า อย่าให้จั้นอิง
ร่วมงานนี้ด้วยจะดีกว่า”
จากนั้นสีหน้าของซีเหมินจั้นอิงก็ถอดสี ส่วนเซวียน
หยวนผ่อก็ดูลังเล และฉีหนิงก็ยกน้ำชาขึ้นดื่ม
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอย่าไปฟังที่เขาพูดนะ” ซีเหมินจั้น
อิงเห็นเซวียนหยวนผ่อลังเล ก็รู้สึกว่าแย่แน่ “เขา
ตั้งใจแกล้งข้า ท่านอย่าไปกลัวเขา”
เซวียนหยวนผ่อไม่ได้สนใจนาง จากนั้นก็พูดว่า “หาก
โหวเยว่ต้องการแบบนี้ ข้าน้อยเองก็รับบัญชา”
ซีเหมินจั้นอิงร้อนใจจนจะร้องไห้ออกมา นางลุกขึ้น
แล้วชี้ไปที่ฉีหนิง “เจ้า...เจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว
นะ ข้า...” นางมองซ้ายมองขวา แล้วจับไปที่ดาบ ฉี
หนิงเห็นดังนั้น ก็รีบพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย
นางคิดจะทำอะไร? เหตุใดต้องชักดาบออกมาด้วย?”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “โหวเยว่ ศิษย์น้องเล็กเป็นคน
ใจร้อน ไม่ได้คิดจะล่วงเกินโหวเยว่เลย”
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ฉีหนิงนั่งแล้วมองไป
ที่จั้นอิงจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็ไม่ต้องกัดฟัน
ขนาดนั้น เรื่องการบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิงข้าจะไม่ยุ่ง
แต่ว่าเรื่องที่จะให้เจ้าร่วมด้วยหรือไม่ ข้าน่าจะพอ
ตัดสินใจได้อยู่ ที่จริงเจ้าจะร่วมงานนี้ด้วยก็ได้ เมื่อครู่
ข้าก็บอกไปแล้ว หากเจ้าอยู่ข้างกายข้า บอกข้า
เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของจวนเสินโหว เดิมทีคิดจะให้
โอกาสเจ้า แต่ท่าทีของเจ้าแบบนี้ เจ้าจะให้ข้าวางใจ
ได้อย่างไรกัน? การบุกเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้เป็น
เรื่องใหญ่ ด้วยนิสัยของเจ้า เกิดทำเสียเรื่อง ถึงเวลา
นั้นเจ้ารับผิดชอบ หรือว่าข้ากับเซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย
รับผิดชอบเล่า?”
เหว่ยซูถงอยู่ข้างๆ ตั้งใจยกชาขึ้นดื่ม ในใจก็แอบขำ
แอบคิดในใจว่าเรื่องบุกเขาเชียนอูหลิงเรื่องใหญ่แบบ
นี้ เดิมทีเป็นเรื่องที่เคร่งเครียดจริงจัง ใครจะคิดหนุ่ม
สาวสองคนเถียงกันไปมา อย่างกับเล่นละคร ในใจก็
แน่ใจว่า โหวน้อยคนนี้น่าจะถูกใจซีเหมินจั้นอิงแล้ว
แน่ๆ
แต่ในสายตาของเหว่ยซูถง เขาก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
ซีเหมินจั้นอิงหน้าตางดงามมาก รูปร่างก็ดี อีกทั้งยัง
เป็นเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวด้วย ถึงแม้จะไม่มี
ท่าทางของความเป็นผู้หญิงมากนัก แต่ก็ดูห้าวหาญ
เด็ดเดี่ยว
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกโกรธมาก ถึงแม้อยากจะพุ่งเข้าไป
ซัดหน้าฉีหนิงเดี๋ยวนี้เลย แต่ก็รู้ว่าเซวียนหยวนผ่ออยู่
ข้างๆ ไม่ทันได้ลงมือกับฉีหนิง เซวียนหยวนผ่อคง
ต้องห้ามแน่ นางน้อยเนื้อต่ำใจจนจะร้องไห้ออก
มาแล้ว
ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ
ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าอยากร่วมงานนี้หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงถึงแม้จะไม่อยากพูดกับฉีหนิงสักคำ แต่
ว่าก็อดที่จะพยักหน้าไม่ได้
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะรับปากได้
หรือไม่ว่า หากข้าให้เจ้าร่วมงานนี้ด้วย เจ้าจะยอมทำ
ตามคำสั่งข้าทุกอย่าง?”
ซีเหมินจั้นอิงแอบด่าในใจ แต่ในเวลาแบบนี้กลับไม่
กล้าพูดออกมา นางพูดแค่ว่า “หากเจ้า...หากเจ้าไม่
ตั้งใจแกล้งข้า ข้าก็...ก็จะทำตามคำสั่งของเจ้า”
“ได้ ใต้เท้าเหว่ยกับเซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยอยู่ที่นี่ด้วย
ให้พวกเขาสองคนเป็นพยาน” ฉีหนิงพูดว่า “ตั้งแต่
ตอนนี้เป็นต้นไป เจ้าก็จะเป็นองครักษ์ข้างตัวข้า สอน
กฎเกณฑ์ของจวนเสินโหวให้ข้า หากเจ้าขัดคำสั่งข้า
เมื่อไหร่ ข้าจะให้เจ้ากลับเมืองหลวงทันที ยกเลิกการ
เข้าร่วมงานนี้ของเจ้า เจ้าตกลงหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงมองไปที่เซวียนหยวนผ่อ เซวียนหยวน
ผ่อยกน้ำชาขึ้นดื่ม ไม่มองนาง ราวกับนางไม่เกี่ยวกับ
เรื่องนี้
ซีเหมินจั้นอิงจนปัญญา ทำได้แค่พยักหน้า
ถึงแม้นางจะเข้าจวนเสินโหวได้เพราะซีเหมินอู๋เหิง แต่
ก็ไม่ได้ถูกรับเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการ
การได้เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว และ
พิสูจน์ตัวเองให้พ่อของนางได้เห็น เป็นความฝันของ
นางมาตลอด
ยุทธภพสงบมานานหลายปี นางไม่มีโอกาสได้ร่วม
เรื่องของชาวยุทธมากนัก ครั้งนี้ซีเหมินอู๋เหิงรวบรวม
คนของแปดพรรคสิบหกสำนัก เพื่อกวาดล้างพรรคบัว
ดำ เป็นเรื่องใหญ่ของยุทธภพในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ซีเหมินจั้นอิงพยายามอย่างมาก เพื่อให้ซีเหมินอู๋เหิง
ยอมให้นางมาซีชวนด้วย
ตอนนี้คำพูดของฉีหนิงคำเดียวก็จะให้นางกลับไป
ถึงแม้นางจะรู้สึกโกรธมาก แต่ก็รู้สึกกลัวไปด้วย
ตอนนี้ฉีหนิงตั้งเงื่อนไขมา นางทำได้แค่รับปาก
เหว่ยซูถงเห็นดังนั้น ก็รู้สึกว่าแม่นางคนนี้น่าจะไม่ใช่
คนธรรมดาทั่วไปแน่ คิดว่าฉีหนิงเองก็ยอมผ่อนปรน
แล้ว ไม่สู้ช่วยอีกแรง เขายิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่
ข้าน้อยเห็นว่าแม่นางท่านนี้เฉลียวฉลาด มีนางอยู่ข้าง
กายท่าน น่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด จริงสิ เซวียนหยวน
เซี่ยวเว่ย พวกท่านเพิ่งมาจากเมืองหลวง หรือว่า...”
เซวียนหยวนผ่อวางแก้วชาลง แล้วพูดว่า “ทางจวน
เสินโหวได้ทำการส่งคนสองชุดล่วงหน้าไปยังเขาเชียน
อูหลิงแล้ว ข้ากับศิษย์น้องเล็กเป็นกลุ่มสุดท้ายที่
เดินทางมา แต่ระหว่างทางได้รับข่าวจากทางนั้นว่า
เรื่องเสบียงอาหารเป็นเรื่องเร่งด่วน อาจจะอยู่ได้อีก
ไม่กี่วัน บังเอิญผ่านมาทางเมืองเฉิงตู เลยเข้ามาหารือ
กับใต้เท้าเหว่ยก่อน อีกทั้งลองดูด้วยว่าท่านโหวเยว่อ
ยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่”
“อย่างนี้นี่เอง”
“ใต้เท้าเหว่ยเองก็รู้ ถึงแม้ทางจวนเสินโหวจะมีกฎตั้ง
เอาไว้แล้ว แต่ว่าคนพวกนั้นอย่างไรก็เป็นชาวยุทธ์ ป่า
เถื่อนไม่มีเหตุผล เกิดไม่มีอาหาร อาจจะไปรบกวน
ชาวบ้านได้” เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “คนนับพันคน
เกิดก่อเรื่องขึ้นมา มันก็วุ่นวายอยู่ดี”
“ถูกต้อง” เหว่ยซูถงพูดว่า “วันนี้ข้าจะรีบส่งคน
จัดการเรื่องเสบียงให้เรียบร้อย ภายในสามวัน ข้าจะ
ให้คนส่งเสบียงรอบแรกไปให้”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวน
ท่านแล้ว” เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วถามว่า “ไม่ทราบ
โหวเยว่ยังมีเรื่องอื่นต้องทำอีกหรือไม่? หากมีเรื่องที่
ยังต้องสะสาง ข้ากับศิษย์น้องเล็กจะรอท่านอยู่ที่เมือง
เฉิงตูก่อน”
“ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร” ฉีหนิงถามว่า “พวกเจ้า
ต้องรีบเดินทางทันทีเลยหรือ?”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “คราวนี้มีคน
จำนวนมากเดินทางมารวมตัวกัน เกรงว่าทางพรรค
บัวดำน่าจะรู้ข่าวแล้ว คิดว่าน่าจะทำการป้องกัน
รับมือที่เขาเชียนอูหลิงไว้แล้ว หากพวกเราเสียเวลา
แม้แต่วันเดียว พวกเขาก็จะมีเวลาเตรียมการมากขึ้น
อีกหนึ่งวัน หลังจากนี้อีกสามวัน ทุกคนก็จะมากัน
ครบ ข้าคำนวณไว้แล้ว หากขี่ม้าเร่งเดินทางไป
ภายในสามวันก็น่าจะไปถึงได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่เสียเวลาแล้ว
ล่ะ” เขามองไปที่เหว่ยซูถงแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย
เจ้าส่งคนไปที่ถ้ำเฮยเหยียน บอกฉีเฟิงว่า มีพระ
บัญชาให้ข้าไปที่เขาเชียนอูหลิง ให้พวกเขารอข้าอยู่ที่
ถ้ำเฮยเหยียน”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปแจ้งทันที”
ฉีหนิงลุกขึ้น แล้วมองไปเหว่ยซูถง จากนั้นก็เดินไปริม
หน้าต่าง เหว่ยซูถงเองก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามไป เซวียน
หยวนผ่อสายตาดีมากเขารีบพูดว่า “โหวเยว่ ข้ากับ
ศิษย์น้องเล็กจะออกไปเตรียมตัวก่อน จะไปรอท่าน
อยู่ด้านล่าง”
“พวกเจ้าไปที่เรือนรับรองของเมืองเฉิงตูก่อน ข้ายังมี
องครักษ์อีกคนอยู่ที่นั่น” ฉีหนิงพูดว่า “ข้ามีเรื่องจะ
พูดกับใต้เท้าเหว่ยนิดหน่อย พูดจบแล้วจะรีบตามไป
สมทบกับพวกเจ้า”
เซวียนหยวนผ่อยกมือคำนับ แล้วพาซีเหมินจั้นอิง
ออกไปทันที
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 417 ทางตัน
เหว่ยซูถงยืนอยู่ข้างๆ ฉีหนิง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ท่าน
มีอะไรจะสั่งอีกหรือ?”
ฉีหนิงเหลือบมองเหว่ยซูถง แล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย
หลี่หยวนถูกสังหาร เจ้าไม่ได้เป็นคนส่งคนไปใช่
หรือไม่?”
เหว่ยซูถงตะลึงไป แล้วรีบพูดว่า “โหวเยว่ เรื่องนี้ไม่
เกี่ยวกับข้าน้อยจริงๆ”
“ข้าเชื่อเจ้า แต่หลี่หงซิ่นอาจจะไม่เชื่อแบบนั้น” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ข้าต้องไป
จากเมืองเฉิงตูในวันนี้ แต่ว่า...กลับยังเป็นห่วงเจ้าอยู่”
“โหวเยว่กังวลหลี่หงซิ่นจะคิดร้ายกับข้าน้อยหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “หลี่หงซิ่นตอนที่กลับออกไป เขาเต็มไป
ด้วยความแค้น เขาจากไปแบบไม่พอใจ เรื่องนี้มันทำ
ให้ยุ่งยาก เจ้าเป็นซีชวนชื่อสื่อ เป็นตัวแทนราชสำนัก
ที่อยู่ในซีชวน ภาระสำคัญทุกอย่างอยู่ที่ท่านใต้เท้า
เหว่ย...” เขาหยุดไป ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากหลี่
หงซิ่นคิดร้ายกับเจ้าจริงๆ...”
สีหน้าของเหว่ยซูถงมีแต่ความนับถือ “ขอบคุณโหว
เยว่ที่เป็นห่วง โหวเยว่โปรดวางใจ ข้าน้อยอยู่อาศัยใน
ซีชวนมานาน คิดเรื่องการลอบสังหารไว้แต่แรกแล้ว
รอบกายข้าน้อยพอมียอดฝีมืออยู่บ้าง คิดจะลอบ
สังหารข้าน้อย ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก อีกทั้งหลี่หงซิ่น
กับข้าน้อยเพิ่งจะมีปากเสียงกันไป คนของจวนเสิน
โหวเองก็เห็น หลี่หงซิ่นคงไม่กล้าลงมือกับข้าน้อย
ในตอนนี้หรอก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่าหากเขาลงมือ
ตอนนี้ จะเป็นที่สงสัยได้ใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” เหว่ยซูถงพูดว่า “หลี่หงซิ่นเป็นคนทำอะไร
ระวังตัว ตอนนี้เขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการก่อกบฏ
หากลงมือสังหารข้าน้อยไป เท่ากับเขาก่อกบฏทันที
ราชสำนักเองก็ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ ต่อให้
ตอนนี้เขามีความกล้ามากแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าทำ
อะไรข้าน้อยหรอก”
“ระวังตัวไว้ให้มากก็ดีนะ” ฉีหนิงพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย
ซีชวนไปจากเจ้าไม่ได้ ข้าแค่กลัวว่าหากปล่อยเวลาให้
นานไป เขาจะต้องคิดวางแผนเล่นงานเจ้าแน่นอน”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้ว
ที่จริงแล้วในใจของเขาก็รู้ดีว่า หลี่หงซิ่นมีรากฐาน
มั่นคงที่ซีชวนมาก หากกัดไม่ปล่อยแล้วล่ะก็ จะต้อง
คิดวางแผนเล่นงานเขาตลอดเวลาแน่นอน ถึงเวลานั้น
ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
“ใต้เท้าเหว่ย คิดจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ มีเพียงวิธี
เดียว” ฉีหนิงพูดว่า
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “โหวเยว่ชี้แนะด้วย”
“หาหลักฐานมาให้ได้ แล้วจัดการหลี่หงซิ่นซะ”
ฉีหนิงพูดว่า “หากไม่กำจัดหลี่หงซิ่น สุดท้ายแล้วเขาก็
จะยังย้อนมาเป็นภัยกับใต้เท้าเหว่ยอีก”
“กำจัดเขา?”
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วพูดอีกว่า “ใต้เท้าเหว่ยก็รู้ดี หลี่
หงซิ่นในสายตาของราชสำนัก อย่างไรก็เป็น
ก้อนเนื้อร้าย พูดตามตรง ใต้เท้าเหว่ยก็อยู่ที่ซีชวนนี่
มานานหลายปี กลับไม่ช่วยราชสำนักกำจัดภัยร้าย
เลย ราชสำนักเองก็ต้องไม่พอใจ”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้ว
“อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์”
ฉีหนิงพูดว่า “ในเวลานี้ เป็นเวลาที่ดีที่ใต้เท้าเหว่ยจะ
สร้างผลงาน” เขามองไปที่เหว่ยซูถง แล้วพูดว่า “ใต้
เท้าเหว่ย เจ้ากับข้าก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว ที่จริง
แล้วฝ่าบาทเองก็กำลังสำรวจเหล่าขุนนางอยู่ เพื่อหา
คนที่ภักดีมีความสามารถ ข้าก็พูดตามตรง หากเจ้า
สามารถสร้างผลงานในเวลาแบบนี้ได้ ช่วยฝ่าบาท
กำจัดความกังวลใจ เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะละเลยใต้เท้า
เหว่ยได้หรือ? ต่อให้เจ้าจะมีเรื่องที่ให้ใครรู้ไม่ได้ ฝ่า
บาทกับราชสำนักเองก็ไม่เอาความหรอก อีกทั้งข้าเอง
ก็อยู่ข้างกายของฝ่าบาท อย่างไรก็ต้องช่วยเจ้าพูดอยู่
แล้ว”
เหว่ยซูถงพูดแล้วยกมือคำนับ “ข้าน้อยต้อง
ขอขอบคุณโหวเยว่ล่วงหน้า” เขาเขยิบเข้าใกล้ แล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ถึงแม้ข้าน้อยอยากจะหาหลักฐาน
ความผิดของหลี่หงซิ่น แต่ว่า...เขาเป็นคนทำอะไร
ระวังตัว คิดอยากจะหาหลักฐานที่มีน้ำหนัก ไม่ง่าย
เลย”
“ใต้เท้าเหว่ย เจ้าจะให้ข้าพูดดอะไรกับเจ้าอีกดี”
ฉีหนิงถอนหายใจ “ตอนนี้เขามีความผิดอยู่ซึ่งๆ หน้า
หรือว่าเจ้ามองไม่เห็น?”
เหว่ยซูถงขมวดคิ้ว ยังไม่ทันจะคิดได้ เขาพูดว่า
“โหวเยว่หมายความว่า...?”
“การบริจาคเงินสร้างวัด” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ใต้เท้าเหว่ย เมื่อคืนพวกเราก็คุยกันไปแล้วนะ
หลี่หงซิ่นบริจาคสร้างวัดพวกนั้น พื้นที่ที่เขาเลือกมันมี
ปัญหาอยู่”
เหว่ยซูถงกะพริบตา แล้วคิด เหมือนจะเข้าใจอะไร
ขึ้นมา แล้วพูดว่า “โหวเยว่หมายความว่าให้เอาเรื่อง
วัดมาเป็นเป้า?”
“ไม่แน่ว่าในวัดอาจจะมีอะไรก็ได้” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “เจ้าเป็นซีชวนชื่อสื่อ หลี่หงซิ่นมีรากฐานในซีชวน
ซึ่งแน่นหนากว่าเจ้าก็จริง แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าแน่ใจ
เจ้าอยู่ที่ซีชวนมานานหลายปี ก็น่าจะมีเส้นสายของ
ตัวเองไม่น้อย อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือ มีอำนาจใน
พื้นที่ซีชวนนี่คือเรื่องจริง ทุกอย่างมันอยู่ในมือของ
เจ้า” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “กระดาษใบเดียว ถึงแม้
มันจะสะอาด ใต้เท้าเหว่ยก็เขียนให้มันไม่สะอาดได้”
เหว่ยซูถงสายตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า “โหวเยว่พูด
ถูกต้องแล้ว ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย ขอพูดตามตรง เจ้า
กับหลี่หงซิ่นถือได้ว่ามีความแค้นอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้
แล้ว จิ่นอีตระกูลฉีกับซีชวนตระกูลหลี่เองก็ไม่อยู่ใน
โลกเดียวกัน หากมีโอกาสกำจัดซีชวนตระกูลหลี่ได้
ข้าก็จะพยายามช่วยใต้เท้าแน่นอน หากเจ้าสามารถ
หาหลักฐานความผิดของหลี่หงซิ่นมาได้ สังหารเขา
ก่อนแล้วค่อยแจ้งทีหลัง ข้ารับปากเจ้าตรงนี้ได้เลย
เจ้าไม่เพียงไม่ต้องรับโทษ อีกทั้งเจ้าจะได้รับการปูน
บำเหน็จด้วย” เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจที่ข้าพูด
หรือไม่?”
“ข้าน้อยเข้าใจ” เหว่ยซูถงพูดว่า “โหวเยว่ ในมือของ
ข้าน้อย มีคนที่พอใช้งานได้อยู่ หากจะลงมือกับเรื่องนี้
ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมาก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี” เขาถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “แต่ว่าเจ้าเองก็ต้องระวังตัว วันนี้แผน
ของหลี่หงซิ่น มันสื่อถึงสิ่งที่เขาต้องการจะทำแล้ว”
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “โหวเยว่หมายความว่าที่เขา
อยากจะให้ข้าเข้าเมืองหลวง?”
“ใต้เท้าเหว่ยมองออกหรือยัง?”
เหว่ยซูถงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว แต่ไม่
คิดว่าหลี่หงซิ่นจะโง่ขนาดนี้ เขาคิดจะอาศัยการตาย
ของหลี่หยวน บีบให้ข้าน้อยเข้าเมืองหลวง ดูผิวเผิน
เหมือนจะไปเพราะการตายของลูกชาย แต่ความเป็น
จริงแล้ว ข้าน้อยก็พอมองออกอยู่บา้ ง” เขามองซ้าย
มองขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร ก็พูดว่า “หากข้าน้อย
อยู่ในซีชวน เขาเองก็ไม่กล้าจะทำอะไร แต่หาก
ข้าน้อยไม่อยู่ที่ซีชวน มันก็ไม่แน่ ยังไม่ทันถึงเมือง
หลวง เขาจะต้องคิดหาวิธีกลับมายังซีชวนระหว่าง
ทางแน่”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยมองแผนของเขา
ออกแล้ว ข้าเองก็วางใจ” จากนั้นเขาก็ถามว่า “ใต้
เท้าเหว่ย ฉางสื่อที่อยู่ข้างกายหลี่หงซิ่นที่ชื่อซีเหมิน
เหิงเย่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน?”
เหว่ยซูถงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หลายปีก่อน ฉางสื่อ
คนก่อนจู่ๆ ก็ตายไป หลี่หงซิ่นก็ผลักดันซีเหมินเหิงเย่
มารับตำแหน่งฉางสื่อคนใหม่ของจวนสู่อ๋อง ได้ยินมา
ว่าเขาเป็นนักฆ่าคนหนึ่งของจวนสู่อ๋อง ไม่มีชื่อใน
ทะเบียนราช ข้าน้อยเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อของเขามา
ก่อน หลังจากที่เขารับตำแหน่งฉางสื่อของจวนสู่อ๋อง
หลายเรื่องในจวน ก็ได้เขามาเป็นคนจัดการทั้งหมด ปี
ที่แล้วสู่อ๋องซื่อจื่อเดินทางไปเมืองหลวง ซีเหมินเหิงเย่
เองก็ติดตามไปด้วย” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โหว
เยว่ เมื่อพูดมากันขนาดนี้แล้ว ข้าน้อยอยากจะขอ
เตือนโหวเยว่สักหน่อย หลี่หงซิ่นมักจะส่งคนไปยัง
เมืองหลวง เท่าที่ข้าน้อยทราบมา เหมือนจะไปส่งเงิน
ในราชสำนักมีขุนนางหลายคนที่รับสินบนของหลี่หง
ซิ่น เขามีคนอยู่ในราชสำนักด้วย”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าพอรู้มาบ้าง จริง
สิ ใต้เท้าเหว่ย เจ้าพอรู้หรือไม่ว่าหลี่หงซิ่นไปมาหาสู่
กับใครมากที่สุดในเมืองหลวง?”
เหว่ยซูถงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ค่อย
แน่ใจ สถานการณ์ในซีชวนแปลก อดีตฮ่องเต้สั่งกำชับ
ไว้มาก พอข้ามาถึงซีชวน ก็เหมือนเข็มที่ถูกตอกแน่น
อยู่ที่นี่ หากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ หรือไม่มีราชโองการ
ข้าเองก็กลับเมืองหลวงโดยพลการไม่ได้ หลังจากที่หลี่
หงซิ่นสวามิภักดิ์แล้ว มาจนถึงข้าน้อยก็ซีชวนชื่อสื่อ
รุ่นที่สามแล้ว ทุกรุ่น ไม่มีใครกล้าออกจากซีชวนไป
แม้แต่คนเดียว”
“อดีตฮ่องเต้ทรงพระปรีชามาก” ฉีหนิงพูดว่า “อดีต
ฮ่องเต้ทรงทราบอยู่แล้วว่าหลี่หงซิ่นเจ้าเล่ห์ เมื่อมี
โอกาส ก็จะทำอะไรโง่ๆ แน่นอน ดังนั้นเลยสั่งกำชับ
ให้ชื่อสื่อจับตามองเขาอย่างไม่ให้คลาดสายตา ไม่
ปล่อยให้เขามีโอกาส”
เหว่ยซูถงพูดว่า “หลี่หงซิ่นรู้ว่าราชสำนักอยากจะ
กำจัดเขา ทุกปีจึงยอมเสียเงินไปกับขุนนางราชสำนัก
หวังว่าพวกเขาจะช่วยพูดบ้าง เพื่อให้ซีชวนสงบ” เขา
พูดต่อว่า “ก็เพราะแบบนี้ ข้าน้อยถึงได้รู้ว่าเขามีใจ
ทะเยอทะยาน หากเขาไม่ทำอะไร ราชสำนักเองก็ไม่
ทำอะไรเขา เขาเองก็ไม่ต้องเสียเงินมากมายส่งไป
เมืองหลวง เขาเสียเงินมากมายขนาดนั้น ก็ยืนยันว่า
เขาคิดไม่ซื่อ อย่างไรก็ต้องลงมือในสักวัน”
ฉีหนิงคิดในใจว่าหลี่หงซิ่นไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ
ตอนนี้ดูไปแล้ว เหว่ยซูถงเองก็เป็นคนฉลาดใช้ได้ ไม่
แปลกใจที่อดีตฮ่องเต้ส่งเขามาอยู่ที่นี่
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นไปตามที่ฉีหนิง
ต้องการ
อีฝูถูกทำร้ายในเรือนเจียนเจีย ฉีหนิงเดาได้ว่าเรื่องนี้
น่าเกี่ยวข้องกับหลี่หงซิ่นแน่
ใครก็ตามที่ทำให้ฉีหนิงไม่พอใจ เขาก็จะคืนให้เป็น
หลายเท่า
เดิมทีเรื่องจิ่นอีตระกูลฉีกับซีชวนตระกูลหลี่ไม่ถูกกัน
ฉีหนิงยังไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เขาแค่ทำหน้าที่ของเขา
ในซีชวนอย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ในตอนนี้เขากลับช่วย
จิ่นอีตระกูลฉีหาทางแก้แค้นตระกูลหลี่ไปแล้ว หวัง
เพียงว่าจะสามารถช่วยฮ่องเต้น้อยได้
แต่ว่าพอเกิดเรื่องที่เรือนเจียนเจีย ทำให้ตระกูลหลี่
ของซีชวนมีความแค้นส่วนตัวกับฉีหนิงไปอีก
กับศัตรูแล้ว ฉีหนิงไม่เคยใจอ่อน อีกทั้งยังมีแต่ฆ่าให้
ตายเท่านั้นด้วย
การบุกเข้าบ้านตระกูลอู๋สังหารหลี่หยวน เป็นฝีมือ
ของฉีหนิง ส่วนคำสารภาพของนางอู๋ซุน ก็เป็นคำพูด
ที่ฉีหนิงเตรียมเอาไว้ แล้วสั่งให้นางพูดไปตามนั้น ฉี
หนิงมีแผนมากมายที่ทำให้นางยอมทำตาม ส่วนท่าที
ของนางอู๋ซุนเอง ก็ไม่ได้ทำให้ฉีหนิงผิดหวัง
ถึงแม้ฉีหนิงจะพอรู้ว่าความสัมพันธ์ของเหว่ยซูถงกับห
ลี่หงซิ่นจะคลุมเครือ แต่คิดไม่ถึงว่าเหว่ยซูถงจะถูกหลี่
หงซิ่นจับจุดอ่อนเรื่องสังหารฮูหยินของตัวมาเป็น
เครื่องมือในการบังคับเขา
เขาเลยอาศัยการตายของหลี่หยวน ทำให้เหว่ยซูถง
กับหลี่หงซิ่นมีความแค้นต่อกัน
การฆ่าหลี่หยวน ก็เพื่อแก้แค้นให้อฝี ู อีกทั้งยังทำ
เพื่อให้เจ้าถิ่นใหญ่สองฝ่ายไม่ถูกกัน ยิงปืนนัดเดียวได้
นกสองตัว
ฉีหนิงรู้ดีว่า ไม่ว่าเหว่ยซูถงหรือว่าจะเป็นหลี่หงซิ่น
ต่างก็เป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์ทั้งนั้น แต่ว่าคนพวกนี้ก็มี
จุดอ่อนที่เห็นชัด นั่นก็คือขี้สงสัย
เขาอาศัยการตายของหลี่หยวนมายุแหย่พวกเขา ที่
จริงแล้วอาจจะไม่ได้ทำให้พวกเขาแตกหักกันทีเดียว
แต่ว่าสองคนนี้ขี้ระแวงขี้สงสัย ทำให้พวกเขาเกิด
ความร้าวฉานกัน ว่าผลที่ที่ได้มา กลับดีกว่าที่เขาคิด
มาก
เหว่ยซูถงถูกหลี่หงซิ่นจับได้เรื่องสังหารฮูหยินของ
ตัวเอง ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ว่าในใจ
ของเขาก็ต้องเกลียดหลี่หงซิ่นมาก ครั้งนี้เขาแสดง
ท่าทางยืนอยู่ข้างเหว่ยซูถง เหว่ยซูถงมีคนหนุนหลัง ก็
ต้องเป็นปรปักษ์กับหลีห่ งซิ่นแน่นอน ส่วนหลี่หงซิ่นใช้
ภัตตาคารในการทวงถามความผิด ทั้งคู่ถือว่าฉีกหน้า
กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉีหนิงรู้ว่า เมื่อมาถึงขั้นนี้ ตระกูลหลี่ของซีชวนก็มาถึง
ทางตันแล้ว
ต่อไปเหว่ยซูถงก็จะทำทุกวิถีทางสู้กับหลี่หงซิ่นอย่าง
เอาเป็นเอาตาย หากเหว่ยซูถงชนะ นำหลักฐานมาได้
ตระกูลหลี่ของซีชวนก็ต้องตายแน่นอน แต่หากหลี่หง
ซิ่นจัดการกับเหว่ยซูถง ราชสำนักเองก็จะมีเหตุผล
อ้างได้ว่าตระกูลหลี่ของซีชวนคิดจะก่อกบฏ ไม่ว่าผล
จะเป็นอย่างไร หลี่หงซิ่นก็ถูกฉีหนิงวางหลุมพรางลาก
เข้าสู่ทางตันแล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 418 กฎของการเปื้อนเลือด
หลังจากที่ออกเดินทางจากเมืองเฉิงตู ทุกคนก็เร่ง
เดินทางไม่หยุด ตรงไปทิศตะวันตก จวนเสินโหว
นอกจากเซวียนหยวนผ่อกับซีเหมินจั้นอิงแล้ว ก็มี
เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวอีกสี่คนตามมาด้วย
ถึงแม้ฉีหนิงจะรู้ว่าจวนเสินโหวมีหนึ่งในเจ็ดดาวไถอยู่
แต่ว่าจริงๆ แล้วมีเจ้าหน้าที่กี่คน เขาไม่รู้เลย
แต่ว่าฉีหนิงเข้าใจดีว่า สามารถออกคำสั่งกับพรรคใน
ยุทธภพได้ นอกจากราชสำนักกับบารมีของซีเหมิน
เสินโหวแล้ว จวนเสินโหวเองก็มีความสามารถที่ร้าย
กาจมากจริงๆ
จวนเสินโหวต้องดูแลเหล่าชาวยุทธ์ในยุทธภพ แสดง
ว่าจะต้องมีหูตาของพวกเขาไปทั่วทุกที่ เพื่อให้ได้รับ
ข่าวคราวทุกอย่างในกำมือ
ตลอดเส้นทางเดินทางไปยังทิศตะวันตก ยิ่งเดินทาง
เข้าไปยังทิศตะวันตกมากแค่ไหน คนก็เริ่มน้อยลง
แทบไม่เห็นหมู่บ้านเลยด้วย
ยิ่งติดเขตชายแดนมากเท่าไหร่ รอบตัวก็อันตรายมาก
ขึ้นเท่านั้น เดิมทีพื้นที่ก็ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยอยู่
แล้ว นอกจากชาวเฮยเหมียวแล้ว แทบจะไม่มีหมู่บ้าน
ของชาวฮั่นเลย
ใกล้ถึงเขาเชียนอูหลิงเข้าไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็ได้ยิน
เสียงปะทะกันขึ้น เซวียนหยวนผ่อผ่อนความเร็วของ
ม้าลง แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อ้อม
ไปยังเนินเขาเล็กๆ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่
จำนวนอย่างน้อยก็ประมาณยี่สิบสามสิบคน
ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กัน ฝ่ายหนึ่งมีคนราวสิบเจ็ดสิบแปด
คน ทั้งหมดสวมชุดสีเทา อีกฝ่ายคนน้อยกว่า แต่ก็
น่าจะมีประมาณสิบคน ทั้งหมดสวมชุดสีม่วง พวกคน
ที่สวมชุดสีม่วงถึงแม้จะมีคนน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็น
รอง บนพื้นมีศพอยู่สองคน ทั้งหมดเป็นคนชุดเทา ทั้ง
สองต่อสู้กันอย่างดุเดือด เซวียนหยวนผ่อควบม้า
มาถึง ทั้งสองคนเหมือนจะไม่ทันได้สังเกตุเลย ยังคงสู้
กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฉีหนิงเห็นเสื้อผ้าของคนชุดม่วง ก็ขมวดคิ้ว แอบรู้สึก
ว่ามันคุ้นเคย
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเซวียนหยวนผ่อพูดว่า “เซวียน
หยวนผ่อแห่งจวนเสินโหวอยู่นี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ถึงแม้เสียงของเขาจะไม่ได้ดังมาก แต่น้ำเสียงของเขา
ก็หนักแน่น เสียงของเขาไม่โกรธแต่มีพลัง คนที่กำลัง
ต่อสู้กันอยู่ ได้ยินคำว่า “จวนเสินโหว” ต่างก็หยุด
แล้วถอยไป ถึงแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังยอมหยุด
เซวียนหยวนผ่อกระตุกเชือกม้า แล้วค่อยๆ เข้าไปใกล้
พวกของฉีหนิงก็ค่อยๆ ตามไป
การเดินทางมาในครั้งนี้ ฉีหนิงแต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่
ของจวนเสินโหว เขาเปลี่ยนเครื่องประดับเครื่องแต่ง
กายเป็นของจวนเสินโหวทั้งหมด หากไม่ใช่คนที่
คุ้นเคยหรือรู้จักดี ไม่มีใครดูออกว่าเขาคือจิ่นอีโหว
ห่างออกมาไม่กี่ก้าว เซวียนหยวนผ่อหยุดม้า ท่าทาง
นิ่งมาก เขากวาดสายตามองไป เห็นพวกของคนชุด
ม่วงกับพวกของคนชุดเทาต่างฝ่ายต่างมีคนเดินหน้า
ออกมาคนหนึ่ง แล้วยกมือคำนับเซวียนหยวนผ่อ
เซวียนหยวนผ่อมองไปที่ฝ่ายของคนชุดเทา เขาอายุ
ราวห้าสิบ รูปร่างผอมสูง ชายเสื้อของเขาปักลายนก
อินทรี แล้วถามว่า “พวกท่านเป็นคนของสำนักอินทรี
ฟ้าหรือ?”
คนชุดเทานั่นรีบพูดว่า “เจ้าสำนักอินทรีฟ้าโม่เทียนอิง
คำนับเซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย”
เซวียนหยวนผ่อไม่ได้สนใจ แล้วหันไปมองคนชุดม่วง
เขาเองก็อายุราวห้าสิบ ท่าทางดูเป็นคนไม่ดี เขาถาม
ว่า “ท่านเป็นคนของวังห้าพิษหรือ?”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้นก็สะดุ้ง
เขาเข้าใจแล้วว้เหตุใดเขาเห็นกลุ่มคนชุดม่วงแล้วถึงได้
รู้สึกคุ้นเคย ที่แท้ก็เป็นคนของวังห้าพิษนี่เอง
ตอนนั้นฉีหนิงเพื่อช่วยเสี่ยวเตี๋ย ออกเดินทางจาก
เมืองหุ่ยเจ๋อ ระหว่างทางพบคนของวังห้าพิษกำลังไล่
ล่าตัวมู่เสินจวินแห่งหอเก้านภา ต่อมาถึงได้รู้ว่า มู่เสิน
จวินได้ขโมย “ตำราหกเทพประสาน” มาจากวังห้า
พิษ คนที่ไล่ล่ามู่เสินจวินในวันนั้นก็สวมชุดสีม่วงแบบ
นี้เหมือนกัน
ฉีหนิงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หน้าผากของคนที่สวมชุด
ม่วง มีลายแมงมุมสีเขียวอยู่จริงๆ ด้วย
ชายแก่ชุดม่วงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสแห่ง
วังห้าพิษซือคงถูคำนับเซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย”
“ที่แท้ท่านก็ไม่ใช่โอวหยางเฉวียน” เซวียนหยวนผ่อ
พูด
ผู้อาวุโสแห่งวังห้าพิษซือคงถูรีบพูดว่า “ท่านเจ้าวัง
ป่วยหนัก ไปไหนมาไหนไม่สะดวก เลยสั่งให้ข้านำคน
มารับคำสั่งจวนเสินโหวแทน”
“ซือคงถู โม่เทียนอิง พวกท่านไม่มีอำนาจเคลื่อนไหว
ในเขตซีชวนนะ การมาที่นี่ในครั้งนี้ ก็เพระคำสั่ง
สัญญาเลือด” เซวียนหยวนผ่อไม่ได้ลงจากม้าเลย เขา
มองทั้งสองคนจากด้านบน “ตอนที่ประกาศสัญญา
เลือด จวนเสินโหวได้แจ้งอย่างละเอียดแล้ว เมื่อเข้า
มายังพื้นที่ซีชวน จะต้องทำตามคำสั่งของจวนเสินโหว
ทุกพรรคทุกสำนัก ห้ามต่อสู้กัน ข้าคิดว่าพวกท่านก็
น่าจะเห็นแล้ว”
ซือคงถูยกมือคำนับแล้วพูดว่า “เรียนเซวียนหยวน
เซี่ยวเว่ย วังห้าพิษไม่กล้าขัดคำสั่งของจวนเสินโหว
แน่นอน หลังจากเข้ามายังซีชวนแล้ว นอกจากจะช่วย
จวนเสินโหวบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิงแล้ว ก็ไม่ได้คิดจะ
สู้กับใครเลย” เขาเหลือบไปมองโม่เทียนอิง “แต่ว่า
สำนักอินทรีฟ้าไม่ฟังคำสั่งของท่าน พอพวกข้ามาถึง
ที่นี่ พวกเขาก็สร้างกับดัก แล้วลอบโจมตีพวกเรา
พวกเราเพียงพยายามขัดขืนเท่านั้น ขอท่านเซวียน
หยวนเซี่ยวเว่ยพิจารณาด้วย”
ฉีหนิงเห็นอยู่ ถึงแม้วังห้าพิษกับสำนักเทียนฟ้าจะดูไม่
ค่อยเชื่องเท่าไหร่ แต่ว่าอยู่ต่อหน้าเซวียนหยวนผ่อ ก็
เหมือนจะลดความโอหังลงไป ดูเคารพนบน้อมมาก
เมื่อซือคงถูพูดจบ โม่เทียนอิงก็พูดว่า “เซวียนหยวน
เซี่ยวเว่ย เมื่อครึ่งปีก่อนลูกชายข้าไม่ได้ตั้งใจ เกิดไป
ล่วงเกินคนของวังห้าพิษเข้า ข้าส่งคนนำของขวัญไป
มอบให้เพื่อเป็นการขอขมา พวกเขาเองก็รับของไป
แล้ว แต่กลับยังสังหารลูกชายของข้าจนตาย
ความแค้นเลือดแบบนี้ ข้าจะไม่แก้แค้นได้อย่างไรกัน”
ซือคงถูพูว่า “ลูกชายของเจ้าตายเพราะวังห้าพิษของ
พวกเรา เจ้ามีหลักฐานหรือไม่? หากมีหลักฐาน ก็เอา
มันไปให้ทางจวนเสินโหวช่วยตัดสินสิ เหตุใดต้องสร้าง
กับดักลอบโจมตีพวกเราด้วย?”
“พวกเจ้าวังห้าพิษมันเจ้าเล่ห์โหดเหี้ยม ถึงแม้ข้าจะไม่
มีหลักฐาน แต่ข้ารับประกันด้วยชีวติ ว่า คนร้ายต้อง
เป็นวังห้าพิษของพวกเจ้าแน่นอน” สายตาของโม่
เทียนอิงแทบจะทะลุออกมา ศิษย์ด้านหลังของเขา
กว่าสิบคนก็มีอารมณ์แค้นเคืองเช่นเดียวกัน
เซวียนหยวนผ่อมองไปที่ศพทั้งสองศพ แล้วถามว่า
“สองคนนี้ใครเป็นคนฆ่า? คนที่ลงมือ เดินออกมา”
ซือคงถูขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่กลุ่มคนชุดม่วง มีสอง
คนที่เดินออกมา
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “คนที่ละเมิดกฎ คนที่ฆ่าคน
ต้องตาย หากพวกเจ้าจะฆ่าตัวตาย ข้าก็จะให้โอกาส
เจ้าทำ ไม่เช่นนั้นข้าจะให้ทางจวนเสินโหวเป็นคน
ดำเนินการ”
ซือคงถูเหมือนอยากจะแก้ตัว แต่เซวียนหยวนผ่อพูด
ขึ้นมาว่า “ซือคงถู ท่านเป็นถึงผู้อาวุโส หากคนที่ฆ่า
คนไม่ตาย คนที่ต้องตายอาจจะเป็นท่านแทนนะ”
ซือคงถูสะดุ้ง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เซวียนหยวน
เซี่ยวเว่ย พวกเขาลงมือกับพวกเราก่อนนะ พวกเราก็
แค่ป้องกันตัว อีกทั้งพวกเราก็จัดการปัญหาส่วนตัวกัน
ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเลย หรือว่า...”
“หากเจ้าไม่ตาย คนที่ต้องตายก็จะเป็นโอวหยาง
เฉวียน” เซวียนหยวนผ่อไม่อธิบาย “ข้าจะมา
เสียเวลาที่นี่ไม่ได้”
ซือคงถูขยับปาก แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
คนชุดม่วงมองหน้ากัน คนที่ลงมือสังหารก็พลันหน้า
ซีด คนของสำนักอินทรีฟ้าต่างดีใจ
ซือคงถูหลับตา ไม่หันหน้ากลับมา แค่พูดว่า “คำสั่ง
ของท่านเซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย พวกเจ้าสองคนไม่ได้
ยินหรือ?”
ชายชุดม่วงสองคนกำดาบแน่น พวกเขาฆ่าคนอื่นไม่
กลัวเลย แต่ตอนนี้จะให้พวกเขาฆ่าตัวตาย กลับไม่มี
ความกล้า
เซวียนหยวนผ่อยกมือขึ้น เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว
สองคนก็กระโดดขึ้นมาจากหลังม้า แล้วพุ่งดาบไป
แทงชายสองคนนั้นจนเลือดพุ่ง ดาบแทงทะลุคอหอย
ของศิษย์วังห้าพิษ
เจ้าหน้าที่จวนเสินโหวสองคนลงมือได้อย่างเด็ดขาด
หนักแน่น เฉียบคม
เซวียนหยวนผ่อหันไปมองโม่อิงเทียน แล้วพูดว่า “วัง
ห้าพิษละเมิดกฎ ได้รับการลงโทษแล้ว โม่เทียนอิง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าควรทำ
อย่างไร”
คนที่อยู่ด้านหลังของโม่เทียนอิงถึงกับตกใจ แต่โม่
เทียนอิงกลับเดาเอาไว้แล้ว เขาไม่พูดอะไรมาก ยก
ดาบขึ้นมา ยื่นมือซ้ายออกไป ไม่พูดอะไรเลย จากนั้น
เขาก็ตัดมือของเขาลงไปทันที ซีเหมินจั้นอิงตกใจร้อง
“กรี๊ด” ออกมา แล้วหันหน้ากลับไป
“ท่านเจ้าสำนัก...” คนที่อยู่ด้านหลังต่างตกใจ
จากนั้นก็มีคนรีบเดินหน้าขึ้นมา
ดาบในมือของโม่เทียนอิงหลุดมือไป สีหน้าของเขาซีด
เซียว เหงื่อไหลออกมาไม่หยุด เขาเอามือปิดไปที่
บาดแผล ศิษย์ด้านหลังรีบเข้ามาพยุง มีคนเอายาห้าม
เลือดขึ้นมาให้โม่เทียนอิงกิน
ฉีหนิงเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขาก็พอจะรู้จักจวนเสินโหวมาบ้าง รู้ว่า
พวกเขามีฐานะอย่างไรในยุทธภพ แต่ว่าตอนนี้ได้เห็น
ด้วยตาตัวเอง ถึงได้รู้ว่าบารมีและความน่าเชื่อถือว่า
จวนเสินโหวในยุทธภพมันมีน้ำหนักแค่ไหน เซวียน
หยวนผ่อพูดแค่ไม่กี่คำ แทบจะไม่อธิบายอะไรเลย
ศิษย์ของวังห้าพิษสองคนก็ตายทันที อีกทั้งเจ้าสำนัก
อินทรีฟ้าก็แขนขาดไปข้างหนึ่งแล้ว
เซวียนหยวนผ่อพูดขึ้นมาว่า “ความแค้นของวังห้าพิษ
กับสำนักอินทรีฟ้า รอให้จบเรื่องซีชวนแล้ว ทางจวน
เสินโหวจะทำการสืบสวนเรื่องนี้เอง แต่ตั้งแต่ตอนนี้
เป็นต้นไป หากพวกเจ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังส่งคนไปลง
มืออีก ข้ารับประกันได้เลยว่า พวกเจ้าจะถูกกำจัด
ออกไปจากยุทธภพทันที” เขาไม่พูดมาก ควบม้าจาก
ไปทันที
เดินทางมาได้อีกระยะหนึ่ง ทุกคนก็เริ่มผ่อนความเร็ว
ซีเหมินจั้นอิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่
พวกเขา...พวกเขาทำไมถึงได้กลัวท่านขนาดนี้เล่า?”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “พวกเขาไม่ได้กลัวข้า ข้าเองก็
ไม่ได้ต้องการให้พวกเขามากลัว ข้าแค่ต้องการให้พวก
เขาเคารพกฎ ศิษย์น้องเล็ก ท่านเสินโหวอาจจะไม่ได้
บอกเจ้า หลังจากได้ก่อตั้งจวนเสินโหวขึ้นมาแล้ว เพื่อ
รักษาความเรียบร้อยของทางยุทธภพ เพื่อทำให้พวก
เขาหวาดกลัว พวกเราก็เสียสละอะไรไปมาก
เหมือนกัน คนของจวนเสินโหวเจ็บตายไปจำนวนมาก
ตอนนี้จวนเสินโหวตั้งกฎขึ้นมา ทุกข้อต้องหลั่งเลือด
ของผู้คนจำนวนมากตั้งขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็น
กฎข้อไหนของจวนเสินโหว ไม่ว่าใครก็ตามที่ละเมิด
มัน ก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนของพวกเขามา พวกเรา
อยู่เพื่อรักษาความเรียบร้อยและรักษากฎเหล่านั้น”
ซีเหมินจั้นอิงพยักหน้า
“เรื่องในวันนี้ หากไม่ลงโทษอย่างเด็ดขาด เรื่องนี้ก็จะ
แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว” เซวียนหยวนผ่อพูดว่า
“ตั้งแต่นั้นมา ชาวยุทธ์หากมีความแค้น ก็จะ
แก้ปัญหากันเอง เมื่อนานไป ยุทธภพก็จะวุ่นวาย
หลายปีมานี้ พวกชาวยุทธ์แก้แค้นกันเองโดยที่พวก
เราไม่รู้กม็ าก แต่หากถูกพวกเราจับได้ พวกเราก็ไม่มี
ทางปล่อยไป”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเขารู้ทั้งรู้ว่า
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จวนเสินโหวไม่มีทางปล่อยเขา
ไป เหตุใดยังกล้าละเมิดกฎอีก?”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “อาจเป็นเพราะพวกเขาคิดว่า
คงไม่มีใครรู้ อาจจะ...หลายปีที่ผ่านยุทธภพสงบมา
หลายปี พวกเขาก็เลยกล้ามากเกินไปแล้ว” เขาพยัก
หน้า เหมือนจะบ่นกับคำพูดของซีเหมินจั้นอิง “มี
หลายคนที่บังอาจมากเกินไปจริงๆ”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกว่าคำพูดของเซวียนหยวนผ่อมี
ความหมายแฝง แต่ก็นึกไม่ออก นางอดไม่ได้ที่จะ
เหลือบไปมองฉีหนิง เห็นฉีหนิงเหมือนกำลังคิดอะไร
อยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไร
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 419 ธงในยามค่ำคืน
ฉีหนิงคิดในใจว่า ถึงแม้แปดพรรคสิบหกสำนักจะ
เกรงกลัวบารมีของจวนเสินโหวมาก ไม่กล้าขัดคำสั่ง
ของสัญญาเลือด รวบรวมกำลังพลเดินทางมายังซี
ชวนกัน แต่ว่าอีกด้านหนึ่งยังคงมีจุดอ่อนในการ
เดินทางมาครั้งนี้อยู่
พรรคและสำนักในยุทธภพเหล่านี้ มีทั้งผลประโยชน์
มีทั้งความแค้นมาเกี่ยวข้อง ครั้งนี้มีคนมากกว่าพัน
คนบุกมาร่วมโจมตีเขาเชียนอูหลิง ดูผิวเผินเหมือน
จะมีบารมี แต่ว่าที่จริงแล้วภายในกลับซับซ้อนมาก
ไม่ได้ดูน่าเกรงขามอย่างที่คิดเลย
วังห้าพิษกับสำนักอินทรีฟ้าต่อสู้แก้แค้นส่วนตัว เป็น
แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ระหว่างพันคนที่มา ยังมีบุญคุณ
ความแค้นกันอีกนับไม่ถ้วน ใครก็อธิบายกันไม่ถูก
ถึงแม้จวนเสินโหวจะออกคำสั่งเด็ดขาด แต่ว่าฉีหนิง
นึกภาพไม่ออกเลยว่าคนพวกนี้จะทำตามที่จวนเสิน
โหวบอกได้จริงๆ
เขาเชียนอูหลิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก เป็นที่ตั้งของ
พรรคบัวดำ ภูเขาที่นี่พรรคบัวดำคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หากทั้งสองฝ่ายปะทะกันขึ้นมา ทางพรรคบัวดำก็
ได้เปรียบแน่นอน
ในสถานการณ์แบบนี้ หากแปดพรรคสิบหกสำนักยัง
มีความขัดแย้งภายใน คิดจะบุกเขาเชียนอูหลิงอย่าง
ราบรื่น เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากนี้ สิ่งที่ฉีหนิงนึกถึงมากที่สุดนั่นก็คือ
ความคิดของซีเหมินอู๋เหิง
ฉีหนิงรู้ว่า เรื่องพิษระบาดในเมืองหลวง หลายอย่าง
มันมีเงื่อนงำ ถึงแม้ส่วนผสมของพิษจะมาจากปาสู่
ของราชาพิษจิ่วซี แต่ว่าแผนพิษระบาดในเมืองหลวง
อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับพรรคบัวดำก็ได้
แต่ในเวลาแบบนี้กลับมีคนฉวยโอกาส อยากจะ
กำจัดพรรคบัวดำให้ถึงตาย
ไหวหนานอ๋องไม้ต้องพูดถึง คนที่ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลย
คือซีเหมินเสินโหวที่เหมือนอยากจะให้พรรคบัวดำ
ตายเหมือนกัน
ด้วยความสามารถในการสืบสวนของซีเหมินอู๋เหิง
ไม่มีทางไม่รู้ว่าเรื่องพิษระบาดในเมืองหลวงนั้นมี
เงื่อนงำ อีกทั้งเรื่องยังไม่เกี่ยวกับพรรคบัวดำด้วย
แต่ว่าซีเหมินอู๋เหิงกลับยืนยันหนักแน่นว่าพรรคบัว
ดำเป็นคนทำ อีกทั้งยังวางกับดักให้ชิวเฉียนอี้เข้ามา
ในจวนเสินโหวด้วย เป้าหมาที่แท้จริง ก็คือการกวาด
ล้างพรรคบัวดำ
เหตุใดซีเหมินอู๋เหิงถึงต้องทำแบบนี้ ฉีหนิงเดาไม่
ออกเลย
ที่จริงฉีหนิงก็ไม่ได้สนใจเรื่องบุญคุณความแค้นอะไร
ของพรรคบัวดำมากนัก เขาได้เจอหนึ่งในสี่ทูตของ
พรรคบัวดำอย่างราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี้ด้วยตัวเอง
คนๆ นี้ โหดเหี้ยมมาก เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับพรรค
บัวดำเท่าไหร่ พรรคบัวดำจะเป็นจะตาย ฉีหนิงก็
ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้น้อยสั่งให้เขาเข้าร่วมเรื่องนี้ด้วย แสดงว่าเขา
จะต้องรู้เรื่องอะไรมาแน่ ฉีหนิงคิดว่าในเมื่อฮ่องเต้
น้อยมีบัญชามา เขาก็ฉวยโอกาสนี้ออกมาจากเมือง
เฉิงตูซะ
ซีชวนชื่อสื่อเหว่ยซูถงกับสู่อ๋องหลี่หงซิ่นต่อไปต้องสู้
กันอย่างเอาเป็นเอาตายแน่ สถานการณ์ในเมืองเฉิง
ตูดูเคร่งเครียด ฉีหนิงหวังว่าเขาจะไม่อยู่ในเรื่องนี้
การอยู่ข้างนอกแล้วยืนมองเฉยๆ น่าจะเป็นตัวเลือก
ที่ดีที่สุด
ซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีหนิงเหมือนใช้ความคิดอยู่ นาง
เองไม่มีทางรู้ว่าฉีหนิงกำลังวางแผนอะไร
วันนี้เดินทางมาทั้งวันตอนนี้ก็เย็นแล้ว มองไป
ด้านหน้าก็เต็มไปด้วยหมอกหนา เซวียนหยวนผ่อ
ผ่อนความเร็วของม้าลง แล้วหันมาพูดว่า “โหวเยว่
ข้างหน้านั่นก็คือเขาเชียนอูหลิง”
ฉีหนิงยืดคอมองไป ตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมถึง
เรียกที่นี่ว่าเขาเชียนอูหลิง
มีเมฆหมอกหนาลอยปกคลุมเขาทั้งลูก ถึงแม้มองไป
แล้วจะเห็นหมอกหนา แต่มองจากที่นี่ไปดูไม่ไกล
เลย เขามองเห็นลักษณะของภูเขา มียอดเขาซ่อน
อยู่สูงตระหง่านเหมือนดาบ คมดาบชี้ไปที่ท้องฟ้า
และมันถูกล้อมรอบไปด้วยหมอก
“โหวเยว่ บนยอดเขานั่น มีหมอกหนาปกคลุมตลอด
ทั้งปี เหมือนจะไม่สลายไปเลย ดังนั้นจึงเรียกที่นี่ว่า
เขาเชียนอูหลิง” เซวียนหยวนผ่อดูเคารพฉีหนิงมาก
“จนถึงตอนนี้ พวกเรายังไม่เข้าใจในลักษณะสภาพ
ของเขาเชียนอูหลิงมากนัก รู้แค่เพียงบริเวณ
โดยรอบของมันเท่านั้น”
ฉีหนิงพูดว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย พวกเราไม่รู้ลักษณะสภาพ
ของเขาเชียนอูหลิง แล้วจะไปบุกโจมตีได้อย่างไร?”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่วางใจได้
ชาวยุทธ์ได้มารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว คนมาก
จะต้องมีคนที่ความสามารถรวมอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้
พวกเราได้รับแจ้งว่า มีคนจากสำนักอู่หาง ได้ลอบ
เข้าไปสำรวจพื้นที่ คนของสำนักอู่หางเชี่ยวชาญใน
การสำรวจพื้นที่มาก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง “เท่าที่
พวกเรารู้มา ที่ตั้งหลักของพรรคบัวดำตั้งอยู่บนยอด
เขา ขอแค่พวกเราบุกเข้าไปถึงยอดเขาได้ ก็น่าจะ
ชนะ”
ฉีหนิงมองไปด้านหน้าที่มีหมอกหนา ยอดเขาอยู่
ตรงไหน เขาไม่รู้เลย เขาถามว่า “เซวียนหยวนเซี่ยว
เว่ย เรื่องของจำนวนคน พวกเราได้เปรียบแน่นอน”
ฉีหนิงคิดในใจว่าจนถึงตอนนี้ จวนเสินโหวก็ยังรู้เรื่อง
ของพรรคบัวดำน้อยมาก
รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง จุดนี้จวนเสิน
โหวทำไม่ได้แน่นอน อีกทั้งทางพรรคบัวดำ กลับรู้
เรื่องของแปดพรรคสิบหกสำนักดี
อย่าบอกนะว่าทางจวนเสินโหวคิดจะอาศัยแค่มีคน
จำนวนมากโจมตีเท่านั้น?
ถึงแม้เย็นแล้วจะยังสามารถมองเห็นโครงร่างของ
เขาเชียนอูหลิงอยู่ แต่ว่าพอเร่งเดินทางไปถึงตีนเขา
ฟ้าก็มืดลงแล้ว ยังเหลือระยะทางอีกนิด ฉีหนิงเห็นมี
ไฟจุดอยู่ อีกทั้งยังเห็นกระโจมอีกมากมายด้วย
ท่ามกลางแสงไฟ เห็นคนจำนวนมาก บางคนดื่ม
เหล้า บางคนร้องเพลง อีกทั้งยังมีคนพูดคุยหัวเราะ
กัน บางคนก็ประลองยุทธ์กัน
ถึงแม้จะเห็นกระโจม แต่ว่ากระโจมก็มีความต่างกัน
ไม่เป็นระเบียบสักเท่าไหร่
ส่วนบนกระโจม ก็มีปักธงของตัวเอง ลมที่พัดแรง
มาก ทำให้ธงแต่ละอันปลิวไสวเป็นสีสัน
ฉีหนิงเห็นธงอยู่หลายอัน ก็รู้ว่าน่าจะเป็นธงของแต่
ละพรรคแต่ละสำนัก เมื่อมองไป ก็รู้ทันทีว่าน่าจะมี
มากกว่าสี่ห้าสิบธง
จวนเสินโหวประกาศสัญญาเลือดออกไป แปดพรรค
สิบหกสำนักถือเป็นตัวแทนของเหล่าวยุทธ พรรค
และสำนักเล็กๆ เองก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่เช่นกัน
จากขนาดธงเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ที่จริงก็พอจะมอง
ออกถึงฐานะทางยุทธภพของพวกเขาได้
ท่ามกลางธงมากมาย มีอยู่หนึ่งธงที่ดูใหญ่มากที่สุด
เหมือนเป็นพญาอินทรีที่อยู่กลางฝูงนกน้อย
ฉีหนิงอาศัยแสงไฟ มองไป บนธงเขียนคำว่า “สำนัก
กระบี่ทอง” ไว้ ตัวอักษรที่เขียนลงไปราวกับมังกร
และหงส์ที่เริงระบำอยู่
เซวียนหยวนผ่อควบม้ามาถึงค่าย มีคนถืออาวุธเดิน
ขึ้นมา แล้วตะคอกว่า “ใคร?”
เซวียนหยวนผ่อยกป้ายออกมา แล้วพูดว่า “เซวียน
หยวนผ่อแห่งจวนเสินโหว”
คนพวกนั้นเก็บอาวุธ แล้วยกมือคำนับ “คำนับเซ
วียนหยวนเซี่ยวเว่ย”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า แล้วลงจากม้า จากนั้นก็
หันไปมองฉีหนิง ฉีหนิงเข้าใจความหมายของเขา
เขารู้ดีว่าเมื่อเข้าไปในค่ายแล้ว ก็ไม่เหมาะที่จะแสดง
ฐานะโหวเยว่ของเขาออกมาได้ เซวียนหยวนผ่อเอง
ก็จะเรียกเขาว่าโหวเยว่ไม่ได้เช่นกัน
พวกเขาเดินเข้าไปในค่าย เมื่อเจ้าหน้าที่ของจวนเสิน
โหวปรากฏตัว ทุกคนรอบๆ ก็เงียบลง ทุกที่ที่เซวียน
หยวนผ่อเดินผ่าน ทุกคนต่างคำนับหมด
ฉีหนิงเห็นเหล่าชาวยุทธทำความเคารพอย่างนอบ
น้อม เขาก็แอบคิดในใจว่า จวนเสินโหวองอาจบารมี
แกร่งกล้าจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่มีคนจำนวนมาก
อยากจะเข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว
ในค่าย ด้านล่างธงของสำนักกระบี่ทอง มีกระโจม
ใหญ่ที่ดูดีมากอันหนึ่ง
ถึงแม้ครั้งนี้พวกเขาจะมาเพราะคำสั่งของจวนเสิน
โหว แต่ว่าที่จริงแล้วต่างคนต่างก็เบ่งบารมีกันเองอยู่
พยายามแสดงออกถึงฐานะของตัวเองในยุทธภพ
“พันธมิตรกระบี่ทองเป็นหนึ่งในแปดพรรคสิบหก
สำนัก” เซวียนหยวนผ่อรู้ว่าฉีหนิงรู้เรื่องในยุทธภพ
น้อยมาก เขาอธิบายต่อว่า “พันธมิตรกระบี่ทองอยู่
ในยุทธภพมาแล้วกว่าเจ็ดสิบปี ก่อตั้งโดยจูเกอชังสง
จูเกอชังสงมีเพลงกระบี่หมื่นสังหารที่เคยสะเทือนไป
ทั่วยุทธภพ ก่อนที่เขาจะก่อตั้งสำนักกระบี่ทอง
ขึ้นมา เขาบอกว่านอกจากสำนักกระบี่ทองแล้วก็
จะต้องไม่มีมือกระบี่คนอื่นอีก บีบให้มือกระบี่ทั่วทั้ง
ใต้หล้านั้นปลดกระบี่ของตัวเองทิ้งไป ไม่เช่นนั้นก็
จะต้องเข้าเป็นคนของสำนักกระบี่ทอง นอกจากสอง
ทางเลือกนี้แล้ว ก็คือต้องตายสถานเดียว”
“นอกจากสำนักกระบี่ทองแล้วก็จะต้องไม่มีมือ
กระบี่คนอื่นอีกอย่างนั้นหรือ?” ซีเหมินจั้นอิงยิ้ม
เจื่อนแล้วพูดว่า “พูดจาคุยโวโอ้อวดเสียใหญ่โต”
“ถูกต้องอวดดีมากเลย แต่ว่าตอนนั้นเพลงกระบี่
ของจูเกอชังสงก็ร้ายกาจมากจริงๆ” เซวียนหยวน
ผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราต้องเคยได้ยินสิบสุดยอด
กระบี่มา ในมือของจูเกอชังสงมีกระบี่จินเฟิงอยู่ ใต้
หล้าจัดอันดับให้กระบี่เล่มอยู่ในอันดับที่เจ็ดของสุด
ยอดกระบี่”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าที่แท้สำนักกระบี่ทองก็มีหนึ่ง
ในสิบสุดยอดกระบี่ด้วย
“อันดับเจ็ด?” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ก็ไม่ได้ถือว่า
ร้ายกาจมาก”
เซวียนหยวนผ่อส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก
จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก จูเกอชังสงถือครองกระบี่จิน
เฟิงมาแล้วกว่าเจ็ดสิบปี แค่เพลงกระบี่หมื่นสังหาร
อย่างเดียวเขาก็สามารถสร้างความสะเทือนไปทั่วใต้
หล้าแล้ว อีกทั้งสิบสุดยอดกระบี่นี้ก็เพิ่งจะมีการจัด
อันดับเมื่อห้าสิบปีที่แล้วนี่เอง ตอนนั้นจูเกอชังสงก็
ตายไปแล้วด้วย เขาได้มอบกระบี่จินเฟิงให้กับลูก
ชายคนโตของเขาจูเกอเทียนอิง เมื่อเทียบกับจูเกอ
ชังสงแล้ว เพลงกระบี่ของจูเกอเทียนอิงเองก็อ่อน
กว่ามาก หากยึดแค่การประเมินกระบี่ แล้วจูเกอชัง
สงยังอยู่ ถึงแม้จะไม่ติดในสามอันดับแรก ก็น่าจะ
สามารถติดในห้าอันดับแรกได้แน่ กระบี่จินเฟิงอยู่
ในมือของจูเกอเทียนอิง ยังคงสามารถติดในอันดับที่
เจ็ดได้ ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงพยักหน้า แล้วถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่
ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าจูเกอชังสงเป็นคนก่อตัง้
สำนักกระบี่ทอง แล้วเหตุใดตอนนี้มันถึงได้
เปลี่ยนเป็นพันธมิตรกระบี่ทองแล้วเล่า?”
“จูเกอชังสงก่อตั้งสำนักกระบี่ทองขึ้นมาจริง แต่ว่า
ตอนนั้นเขาบ้าคลั่งมาก บีบบังคับให้มือกระบี่หลาย
คนต้องปลดกระบี่ทิ้งไป ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปเป็น
หนึ่งในสำนักกระบี่ทอง เกิดการนองเลือดขึ้น
มากมาย สำนักกระบี่หลายสำนักถูกกวาดล้างไปจน
หมด” ไม่เสียแรงที่เซวียนหยวนผ่อเป็นศิษย์คนโต
ของจวนเสินโหว เขารู้เรื่องในยุทธภพดีทุกอย่าง
“ตอนนั้นเพลงกระบี่สำนักกระบี่ทองของจูเกอชังสง
โด่งดังมาก สำนักกระบี่หลายสำนักต้องการอยู่รอด
ต่อไป จึงยอมอยู่ใต้อาอาณัติของพวกเขา แต่ว่าชาว
ยุทธก็กลัวเสียหน้า ดังนั้นก็เลยมีคนเสนอว่าให้
เปลี่ยนชื่อจากสำนักกระบี่ทองมาเป็นพันธมิตร
กระบี่ทองแทน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ต่อให้พรรคและ
สำนักอื่นจะยอมสวามิภักดิ์ และยกให้จูเกอชังสง
เป็นเจ้าพันธมิตร จูเกอชังสงอยู่ในยุทธภพมานาน
หลายปี อายุก็มากขึ้นเรื่อยๆ เขารู้ดีว่าการที่สำนัก
กระบี่ทองมีความแค้นกับสำนักอื่นมากมันไม่เป็น
ผลดี ก็เลยยอมเป็นพันธมิตรกับอีกสิบเอ็ดสำนักและ
พรรคและกลายมาเป็นพันธมิตรกระบี่ทอง”
ฉีหนิงเริ่มสนใจเรื่องในยุทธภพขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “สำนักและเพลงกระบี่พวกนัน้ เป็นพันธมิตรกัน
มากกว่าสิบปี ก็ถือว่าซื่อสัตย์”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ถึงแม้เพลงกระบี่ของจูเกอ
เทียนอิงจะเทียบกับพ่อของเขาไม่ได้ แต่ว่าก็ถือเป็น
ยอดฝีมือคนหนึ่ง ผ่านประสบการณ์มานาน เหล่า
สำนักกับพรรคที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกระบี่ทองใน
ความเป็นจริงแล้วก็ถูกหลอมเข้าไปเป็นหนึ่งใน
พันธมิตรกระบี่ทองไปแล้ว ทุกคนถูกควบคุมโดย
ตระกูลจูเกอทั้งหมด ตอนนี้เจ้าพันธมิตรกระบี่ทอง
คนปัจจุบันคือจูเกอชางถิง เพลงกระบี่ของเขา
เหนือกว่าพ่อของเขามาก ตอนนั้นที่ตั้งสัญญาเลือด
พันธมิตรกระบี่ทองกลายเป็นหนึ่งในแปดพรรคสิบ
หกสำนัก ตอนนี้อำนาจบารมีของพวกเขาก็ไม่น้อย
เลย” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ในแปดพรรคสิบหก
สำนัก พวกเขาก็ถือเป็นผู้มีอิทธิพล”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 420 ยุทธภพมีความเป็นธรรม
ระหว่างที่พวกเขาคุยกัน ก็เดินมาถึงกระโจมของ
พันธมิตรกระบี่ทอง ภายในกระโจม มีคนนั่งอยู่
มากมาย เมื่อเห็นเซวียนหยวนผ่อเข้ามา ก็รีบ
ออกมาต้อนรับ
ฉีหนิงเห็นคนที่เดินมาคนแรกอายุราวห้าสิบ รูปร่าง
ผอมสูง มีเครายาว ท่าทางที่องอาจก็ยังมีความ
เคารพอยู่
ด้านข้างของเขา มีชายวัยกลางคนสองคนแต่งกาย
ด้วยชุดของเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว พวกเขารีบ
เดินขึ้นมา ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่”
เมื่อเห็นซีเหมินจั้นอิง พวกเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์
น้องเล็กก็มาด้วยหรือ”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า ซีเหมินจั้นอิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ศิษย์พี่หลัน ศิษย์พี่ติ้ง”
ฉีหนิงรู้ว่าถึงแม้จวนเสินโหวจะเป็นหน่วยงานราช
สำนัก แต่ว่าก็เอนเอียงมาทางยุทธภพมากกว่า
เจ้าหน้าที่จวนเสินโหวเองเรียกกันเองก็เรียกแบบพี่
น้อง
เจ็ดดาวไถของจวนเสินโหวคือศิษย์โดยตรงของซีเห
มินเสินโหว มีฐานะหลักในจวนเสินโหว ดังนั้นก็จะ
ไล่เรียงลำดับเจ็ดคนนี้เป็นหลัก นอกจากเจ็ดคนนี้
แล้ว เจ้าหน้าที่คนอื่นจะเรียกตามด้วยชื่อตัวสุดท้าย
ศิษย์พี่หลันกับศิษย์พี่ติ้ง ก็น่าจะเป็นคนที่ทางจวน
เสินโหวส่งมาดูแลก่อน
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย” ชายเครายาวยิ้มแล้วพูดว่า
“ทุกคนมารอท่านที่นี่กันหมดแล้ว”
“ทุกท่านรอนานแล้ว” เมื่ออยู่ต่อหน้าแปดพรรคสิบ
หกสำนัก เซวียนหยวนผ่อพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
เขายิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราเข้าไปคุยกันข้างใน
ดีกว่า”
ทุกคนกลับเข้าไปในกระโจม ฉีหนิงเห็นว่าใน
กระโจมมีโต๊ะยาววางอยู่ แล้วมีเก้าอี้อยู่หลายสิบตัว
สี่มุมในกระโจมมีตะเกียงตั้งอยู่ สว่างมาก มองจาก
ด้านนอกก็รู้ว่ามันไม่เล็ก เมื่อเข้ามาด้านใน ฉีหนิง
รู้สึกว่ามันกว้างขวางมาก สามารถรองรับคนได้มาก
ถึงสามสิบห้าสิบคนไม่น่าจะมีปัญหาเลย
ตามฐานะแล้ว ฉีหนิงควรจะนั่งตรงกลาง แต่ว่า
ตอนนี้ฉีหนิงปลอมตัวอยู่ เซวียนหยวนผ่อเลยต้องนั่ง
ตรงที่ประธานไป คนของจวนเสินโหวทั้งหมดนั่งอยู่
ทางด้านซ้ายมือของเขา ส่วนคนอื่นนั่งลงตรงทาง
ขวามือ ชายเครายาวนั่งลงทางด้านขวามือตำแหน่ง
แรก แสดงว่าเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ ฉีหนิงแอบคิดใน
ใจว่าหรือว่าคนๆ นี้อาจจะเป็นเจ้าพันธมิตรกระบี่
ทองจูเกอชางถิงก็ได้
เซวียนหยวนผ่อพูดกับคนๆ นั้นว่า “ท่านประมุขจู
เกอ ที่นี่มีสหายที่ไม่คุ้นเคยหลายคนเลย ท่าน
แนะนำให้พวกเรารู้จักที”
ภายในพันธมิตรกระบี่ทอง ถึงแม้จะเรียกเขาว่าเจ้า
พันธมิตร แต่ว่าในสายตาของจวนเสินโหว พันธมิตร
กระบี่ทองก็เป็นแค่สำนัก ๆ หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเซ
วียนหยวนผ่อก็ยังเรียกเขาว่าประมุขอยู่
จูเกอชางถิงรีบแนะนำให้รู้จักทีละคน ฉีหนิงรู้ดีว่า เซ
วียนหยวนผ่อทำแบบนี้ ไม่ได้ไม่รู้จักพวกเขาจริงๆ
หรอก คิดว่าอยากจะใช้วิธีนี้ให้เขาได้รู้จักคนพวกนี้
นอกจากจูเกอชางถิงแล้ว อีกเก้าคน มีสี่คนเป็นคน
ของแปดพรรคสิบหกสำนัก ส่วนคนที่เหลือ ถึงแม้จะ
ไม่จัดให้อยู่ในแปดพรรคสิบหกสำนัก แต่ก็เป็นพรรค
ที่มีอิทธิพลมากในยุทธภพ
หากเป็นพรรคเล็กกว่านี้ ก็ไม่มีทางมีสิทธิเข้ามา
หารือในกระโจมนี้แน่นอน
จวนเสินโหวกำกับดูแลเรื่องในยุทธภพมานานหลาย
ปี ไกล่เกลี่ยเรื่องในยุทธภพมาตลอด ซึ่งมัน
กลายเป็นสร้างบรรทัดฐานขั้นสูงให้กับชาวยุทธไป
แล้ว
หลังจากแนะนำไปแล้ว เซวียนหยวนผ่อก็มองไปที่
ศิษย์พี่หลัน แล้วถามว่า “ศิษย์น้องหลัน ตอนนี้
สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? ได้เรื่องของพื้นที่เขา
เชียนอูหลิงแล้วหรือยัง?”
ศิษย์น้องหลันลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “เรียนศิษย์พี่ใหญ่
ประมุขของสำนักอู่หางเมื่อคืนนี้ได้นำศิษย์ของเขา
ประมาณสิบสามคนลอบเข้าไปในเขาเชี่ยนอูหลิง
แล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวส่งกลับมา พวกเรากำลังรอ
ข่าวอยู่” จากนั้นเขาก็ส่งสายตาไปให้คนข้างๆ คน
ข้างๆ รีบลุกขึ้นไปหยิบรูปมา กางบนโต๊ะ ทุกคนต่าง
ลุกขึ้นยืน ศิษย์น้องเล็กหยิบไม้มาแล้วอธิบายต่อว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่คือแผนที่รอบบริเวณเขาเชียนอูหลิง
ที่เราสำรวจมาได้ พื้นที่โดยรอบของเขาเชียนอูหลิงมี
ระยะทางประมาณสี่ห้าสิบลี้ ค่ายของเราตั้งอยู่ที่ทาง
ทิศตะวันออกของเขาเชียนอูหลิง โดยเอาที่ตั้งจอง
พันธมิตรกระบี่ทองเป็นศูนย์กลางกำลังหลัก นำ
กำลังบุกเข้าทางทิศตะวันออก”
“ที่นี่มีกำลังพลทั้งหมดเท่าไหร่?” เซวียนหยวนผ่อ
ถาม
ศิษย์น้องหลันตอบว่า “ชาวยุทธ์ต่างเดินทางมาถึง
กันหมดแล้ว คนของแปดพรรคสิบหกสำนักตั้งค่าย
ตามทิศที่ตัวเองเดินทางมา ตอนนี้คนรวมแล้ว
ประมาณสองพันเจ็ดร้อยคน ทางด้านทิศตะวันออก
มีพันธมิตรกระบี่ทองกับอีกเก้าสำนักเป็นกำลังหลัก
บวกกับพรรคอื่นอีก รวมแล้วราวแปดร้อยคน”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า ศิษย์น้องหลันใช้ไม้ชี้ไปที่
ทางทิศเหนือของเขาเชียนอูหลิง แล้วพูดว่า “ทาง
ทิศเหนือมีสำนักเจี้ยนซานจวง ฮุ่นหยวนกวนกับเที่ย
กู่จงเป็นกำลังหลัก อีกทั้งพรรคและสำนักทั้งหมดที่
อยู่ในซีชวน การสำรวจรอบเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้
พวกเขาก็ออกแรงช่วยพวกเราไม่น้อยเลย ทางพวก
เขามีกำลังพลรวมประมาณเจ็ดแปดร้อยคน มีศิษย์
น้องเจ็ดคุมอยู่” เขาชี้ไม้ไปที่ทางใต้ “ทางใต้มีพรรค
กระยาจกกับพรรคหลิงจิ้วเป็นกำลังหลัก มีประมาณ
แปดร้อยคน มีศิษย์พี่สามคุมอยู่”
เซวียนหยวนผ่อจ้องไปที่แผนที่ แล้วถามว่า “แล้ว
ทางทิศตะวันตกล่ะ?”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทางนั้นมันเป็นทะเลสาบ” ศิษย์น้องห
ลันอธิบายต่อว่า “เขาเชียนอูหลิงด้านทิศตะวันตก
ติดกับทะเลสาบซิวหลัว ซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ไม่
เหมาะกับการบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง อีกทั้งทางทิศ
ตะวักตกเองก็มีหน้าผาสูง แทบจะไม่มีทางให้ปีนขึ้น
ไปได้เลย แต่ว่าเพื่อความปลอดภัย และไม่ให้คนของ
พรรคบัวดำหนีไปทางทิศตะวันตก พวกเราเลยจัดให้
พรรคสายน้ำกับพรรควาฬดำที่คุ้นเคยกับการทำศึก
ทางน้ำรับผิดชอบทางทิศตะวันตกไป ตอนนี้พวกเขา
กำลังรวบรวมไม้ เพื่อสร้างเรือ ถึงเวลานั้นพวกเรา
จะปิดล้อมเส้นทางน้ำส่วนของทะเลสาบซิวหลัว
เอาไว้ ไม่ให้คนของพรรคบัวดำหนีรอดไปได้”
ฉีหนิงมองไปที่แผนที่ แต่ไม่พูดอะไรเลย เขาคิดในใจ
ว่า จวนเสินโหวจะบุกเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้ ถือว่า
เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีทีเดียว
เซวียนหยวนผ่อมองไปที่จูเกอชางถิง แล้วถามว่า
“ท่านประมุขจูเกอ ทางท่านเตรียมพร้อมแล้วหรือ
ยัง?”
จูเกอชางถิงลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “เซวียนหยวน
เซี่ยวเว่ยวางใจได้ พรรคบัวดำทำร้ายกฎของยุทธภพ
ทุกคนต่างไม่พอใจ ครั้งนี้พวกเราได้รับคำสั่งจากทาง
จวนเสินโหวให้มาที่นี่ ก็จะต้องจัดการพวกเขาให้อยู่
หมัด เพื่อลบชื่อของพวกเขาออกไปจากยุทธภพ
ตลอดกาล ทุกคนรอฟังคำสั่งของเซวียนหยวน
เซี่ยวเว่ยอยู่ ขอแค่ท่านสั่งมาคำเดียว พวกเราพร้อม
ที่จะบุกทันที”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนั้นก็ดี ทุกท่าน
ที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างเป็นเจ้าสำนักไม่ก็ผู้นำของพรรค
ทั้งนั้น เป็นคนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพทั้งนั้น ข้าเองก็
ไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ทุกท่านก็รู้ดี พรรคบัวดำบังอาจ
เหิมเกริม กล้าวางยาพิษในเมืองหลวง ชาวบ้านผู้
บริสุทธิ์ต้องมาบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย ราชสำนัก
โกรธมาก ท่านเสินโหวเองก็โกรธมากเช่นกัน” สี
หน้าของเขาจริงจังขึ้นมา “ท่านเสินโหวดูแลยุทธภพ
ด้วยความมีเมตตามาโดยตลอด วิชาต่างๆ ของแต่
ละสำนัก อะไรที่บรรพบุรุษสร้างไว้ หากสามารถสืบ
ทอดต่อไปได้ ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่การกระทำของ
พรรคบัวดำ พวกเราไม่สามารถยอมให้อยู่ในยุทธภพ
ต่อไปได้”
“ถูกต้อง จะต้องลบชื่อของพวกมันออกจากยุทธ
ภพ”
“ทำร้ายชาวบ้าน ผิดหลักของยุทธภพ จะให้พรรค
มารแบบนี้อยู่ต่อไปไม่ได้อีก”
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย คนในยุทธภพรู้เรื่องที่พรรค
บัวดำก่อเรื่องในเมืองหลวงหมดแล้ว ทุกคนรู้สึก
เศร้าใจมาก ดังนั้นก็เลยคิดตรงกันว่าควรจะกำจัด
ซะ”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วย
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีราชสำนักคิด
จะส่งกำลังทหารมากวาดล้าง แต่คิดพิจารณาดูแล้ว
ว่าพรรคบัวดำเป็นพรรคในยุทธภพ อีกทั้งก็มีจวน
เสินโหวดูแลเรื่องในยุทธภพอยู่แล้วก็เลยสั่งให้ท่าน
เสินโหวจัดการเรื่องนี้ แต่ว่าฝ่าบาทมีรับสั่ง ไม่ว่า
พรรคหรือสำนักไหนที่มีคุณความชอบ จะมีการปูน
บำเหน็จรางวัลให้ ไม่ให้ทุกท่านต้องเสียแรงเปล่า”
จูเกอชางถิงลูบเคราแล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยว
เว่ย ข้าขอพูดตามตรง รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะ
ร้อยครั้ง ครั้งนี้แปดพรรคสิบหกสำนักและผู้ร่วม
อุดมการณ์มารวมตัวกันที่นี่ ก็เพื่อความเป็นธรรม
คนมาก ก็มีกำลังมาก ถือว่าหาได้ยากมากในร้อยปีที่
ผ่านมา” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แต่ว่าเท่าที่
ข้ารู้มา ถึงแม้พรรคบัวดำจะเพิ่งตั้งมาประมาณสิบปี
ชื่อเสียงในยุทธภพก็ไม่ได้มีมาก ถึงแม้ทุกคนจะได้
ยินมาว่าเจ้าลัทธิบัวดำจะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่ว่า
เรื่องราวนอกจากนี้ พวกเราก็รู้กันน้อยมาก...” เขา
มองไปที่ทุกคน ทุกคนก็พยักหน้า แล้วพูดว่า “ไม่
ทราบว่าทางจวนเสินโหวเองพอจะรู้เรื่องของพรรค
บัวดำหรือไม่? บนเขาเชียนอูหลิง มีคนอยู่จำนวน
เท่าไหร่?”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้ พรรคบัวดำมีคน
ไม่เกินสองร้อยคน”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยถามเซวียนหยวน
ผ่อมาก่อนว่า พรรคบัวดำมีกำลังพลมากเท่าไหร่ แต่
ว่าเซวียนหยวนผ่อเหมือนจะมีข้อมูลจำกัด
เกี่ยวกับเชาเชียนอูหลิง อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าพวกเขามี
คนเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้กลับพูดอย่างมั่นใจว่ามี
ประมาณสองร้อยคน เหมือนมีเงื่อนงำบางอย่าง
ฉีหนิงย้อนกลับไปคิด เขาก็เข้าใจทันที เซวียนหยวน
ผ่อไม่กล้าโกหกเขาแน่ แสดงว่าเขาก็ต้องโกหกคน
พวกนี้แทน
เมื่อได้ยินเซวียนหยวนผ่อพูดมาแบบนี้ ทุกคนก็
เหมือนจะคลายเครียด มีคนยิ้มแล้วพูดว่า “แค่มาร
ร้ายสองร้อยคน บุกเอาชนะได้ง่ายๆ เลย”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ถึงแม้พวกเราจะมีคน
มากกว่าถึงสิบเท่า แต่จะประมาทพวกเขาไม่ได้
เด็ดขาด พรรคบัวดำเห็นชาวเหมียวเป็นนาย
เชี่ยวชาญการใช้พิษ อีกทั้งเขายังอยู่ในภูมิศาสตร์ที่
เป็นต่อ พวกเขาคุ้นเคยกับเขาเชียนอูหลิงเป็นอย่างดี
คงมีการวางกับดักเอาไว้บนเขาแน่ ตอนที่ทุกคนบุก
เข้าไป จะต้องระวังให้มาก” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“เท่าที่จวนเสินโหวรู้ เจ้าลัทธิบัวดำวรยุทธ์ร้ายกาจ
มากจริงๆ อีกทั้งเขายังมีเสวียนหยางกับไท่อิ่นคุ้มกัน
อยู่ข้างกาย นอกจานี้ยังมีภูตทั้งสี่ คนพวกนี้วรยุทธ์
ไม่ธรรมดาเลย”
มีคนหนึ่งยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย
ต่อให้คนพวกนั้นมีความสามารถแค่ไหน แต่ว่าพวก
เราแปดพรรคสิบหกสำนักมีคนมากขนาดนี้ ทุกคน
ต่างมีความสามารถเหมือนกัน นอกจากพวกเขาจะ
หลบลงดิน ไม่เช่นนั้นอย่างไรพวกเราก็ต้องเห็น พวก
เราจะฆ่ามันให้หมดทุกคนเลย”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่
ผิดเลย พวกเรามียอดฝีมือมากมาย คิกอยากจะบุก
เขาเชียนหลิง ไม่ใช่เรื่องยาก” เขาพูดอีกว่า “ทุก
ท่านไปพักกันก่อน ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับท่าน
ประมุขจูเกอหน่อย ไว้พวกเราค่อยมาคุยกันอีกที
นะ” เขามองไปที่ซีเหมินจั้นอิงแล้วก็เจ้าหน้าที่ของ
จวนเสินโหวแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเองก็ไปพักก่อน
เถอะ” เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าอยู่ก่อน
นะ”
ทุกคนไม่กล้าขัดคำสั่ง ต่างออกจากกระโจมไป ไม่
นานนัก ในกระโจมก็เหลือแค่เซวียนหยวนผ่อกับฉี
หนิง แล้วก็จูเกอชางถิงแล้วก็หัวหน้าพรรคอีกสาม
คน ทั้งสี่คนนี้ล้วนเป็นคนของแปดพรรคสิบหกสำนัก
หลังจากคนอื่นออกไปแล้ว จูเกอชางถิงก็เหลือบมา
มองเซวียนหยวนผ่อ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เซ
วียนหยวนเซี่ยวเว่ย ครั้งนี้แปดพรรคสิบหกสำนักสั่ง
ให้พวกเราออกหน้า ข้ารู้ว่าท่านเสินโหวไม่มีทางให้
พวกเราเสียแรงเปล่าแน่นอน ตอนนี้พวกเราเหลือ
กันอยู่แค่นี้แล้ว มีอะไร ก็พูดกันตรงๆ เถอะนะ”
สายตาอีกสามคนเป็นประกายขึ้นมา ฉีหนิงเห็น
ความโลภจากสายตาคนพวกนั้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 421 ชาวยุทธ์ที่แท้จริงมีเหลือไม่มากแล้ว
เซวียนหยวนผ่อเองก็ไม่อ้อมค้อม เขาถามไปตรงๆ
เลยว่า “ท่านประมุขจูเกอ พันธมิตรกระบี่ทองของ
พวกท่านมีเงื่อนไขอะไร ว่ามาได้เลย”
จูเกอชางถิงยิ้ม เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะหยิบแผนที่
ออกมากางบนโต๊ะ ใช้ไม้อันหนึ่งขีดวงลงไปบนแผน
ที่สองวง จากนั้นก็ยื่นไม้ให้กับคนข้างๆ อีกสี่คนก็
วงกลมลงบนแผนที่เช่นกัน
ฉีหนิงรู้สึกสงสัย ไม่รู้ว่าคนพวกนี้คิดจะทำอะไรกัน
แน่
เซวียนหยวนผ่อลุกขึ้น แล้วกวาดสายตาไป จากนั้น
ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านประมุขจูเกอท่านจะโลภ
ไปหน่อยกระมัง?”
จูเกอชางถิงยิ้มแล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย
พวกเราต่างก็รู้ดี เขาเชียนอูหลิงไม่เหมือนที่อื่น เจ้า
ลัทธิบัวดำวรยุทธ์ไม่เพียงพวกเราคาดเดาไม่ได้
องครักษ์ที่คุ้มกันเขาสองคนกับทูตอีกสี่คนของเขาก็
ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ภูมิศาสตร์ของเขาเชียนหลิง
นั้นอันตรายมาก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“หากเราจะบุกขึ้นไปถึงยอดที่ตั้ง ข้าคิดว่า หากเรา
ไม่เสียกำลังพลมากถึงร้อยคน คงไปไม่ถึงที่นั่นแน่”
เซวียนหยวนผ่อไม่พูดอะไรเลย ท่าทางของเขายังนิ่ง
อยู่
“ในเมื่อครั้งนี้พันธมิตรกระบี่ทองเป็นหนึ่งในกำลัง
หลักในการโจมตี พันธมิตรกระบี่ทองของข้าก็ต้อง
ออกแรงมาก” จูเกอชางถิงสีหน้าจริงจังมากขึ้น
“พันธมิตรกระบี่ทองส่งยอดฝีมือที่ดีที่สุดมาหมด ข้า
นำคนมามากกว่าสี่สิบคน คนเหล่านี้ล้วนแต่มี
ชื่อเสียงในยุทธภพทั้งนั้น แต่ว่าถึงเวลานั้น หากรอด
ลงเขามาได้เกินครึ่ง ถือว่าเก่งมากแล้ว”
คนของเขาคนนั้นพยักหน้า สีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย หอเจียนหยางของพวกเรา
เองก็นำคนมากว่าสามสิบคน แต่ละคนเป็นยอดฝีมือ
ทั้งนั้น ข้าบอกพวกเขาว่า พรรคบัวดำไม่ใช่จะ
สามารถบุกโจมตีได้ง่ายๆ หากรอดมาได้ยี่สิบคน ก็
ถือว่าโชคดีมากแล้ว”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าทางแล้วทุกท่าน
จะไม่เชื่อมั่นในฝีมือของตัวเองเลยนะ”
“เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องความมั่นใจ” จูเกอชางถิงพูดว่า
“ก็เหมือนที่ประมุขหลงเกอพูดนั่นแหละ ถึงแม้
พรรคบัวดำจะไม่เคลื่อนไหวในยุทธภพ
ความสามารถของพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเราเองก็
พอรู้บ้าง พวกเขาได้เปรียบทางพื้นที่ ส่วนรอบๆ เขา
เชียนอูหลิงก็มีชาวเหมียวอาศัยอยู่ ไม่ว่าทางไหน
พวกเราก็ไม่ได้เปรียบเลย หากบอกว่าสามารถบุก
เข้าไปได้ง่ายๆ เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยเองก็คงไม่เชื่อ
เหมือนกัน”
ฉีหนิงฟังออกแล้วว่าพวกเขาต้องการอะไร
ดูท่าทางแล้วถึงแม้แปดพรรคสิบหกสำนักจะเชื่อฟัง
คำสั่งของสัญญาเลือด แต่ว่าพวกเขาก็เตรียมการมา
เพื่อบุกพรรคบัวดำมาแล้วอย่างดี เหล่าชาวยุทธ์ไม่
กล้าขัดคำสั่งของจวนเสินโหว แต่ว่าก็ไม่ได้เชื่อโดย
ไม่มีเงื่อนไข
ตอนนี้เขาเห็นพื้นที่ที่จูเกอชางถิงวงในแผนที่แล้ว ทั้ง
สองที่อยู่ในพื้นที่จิงหนาน
ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินมาว่า อิทธิพลของพันธมิตร
กระบี่ทองอยู่ในพื้นที่จิงเป่ย แต่บนพื้นที่มันคาบ
เกี่ยวไปที่เขตจิงหนาน แสดงว่าเขาต้องการขอพื้นที่
จิงหนานกับจวนเสินโหว
ก่อนที่ซีเหมินเสินโหวจะทำสัญญาเลือดกับเหล่าชาว
ยุทธ พรรคและสำนักต่างๆ ผสมโลงกันไปทั่ว แย่ง
ชิงพื้นที่กันไปมา เข่นฆ่าไม่เลือก นองเลือดกันไปทั่ว
ยุทธภพ
แต่หลังจากลงนามในสัญญาเลือดไปแล้ว เหล่าชาว
ยุทธเริ่มปักหลักมั่นคง โดยให้แปดพรรคสิบหกสำนัก
เป็นเสาหลักของยุทธภพ แบ่งขอบเขตพื้นที่อิทธิพล
กันอย่างชัดเจน
การบุกโจมตีพรรคบัวดำในครั้งนี้ เลือกประกาศกฎ
สัญญาเลือด ถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ
ยุทธภพอีกครั้ง สำหรับกลุ่มอิทธิพลที่ไม่ได้ขยาย
อาณาเขตมานาน ก็คิดจะฉวยโอกาสนี้ในการแบ่ง
พื้นที่ใหม่อีกครั้ง
เซวียนหยวนผ่อไม่ได้พูดอะไร เหมือนเขากำลังใช้
ความคิด
จูเกอชางถิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เซวียนหยวน
เซี่ยวเว่ย ไม่ใช่ว่าข้าจะคิดไม่ซื่อ พันธมิตรกระบี่ทอง
มีคนเท่าไหร่ เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยท่านเองก็น่าจะรู้
ดี คนพวกนี้มีครอบครัวที่ต้องดูแล ด้วยพื้นที่ที่
พันธมิตรกระบี่ทองมีอยู่ ในแต่ละปีมีรายรับไม่มาก
แต่ก็เพียงพอให้พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับ หากครั้ง
นี้มีพี่น้องของพวกเราตายกันไปมาก พวกเราเองก็
ต้องทำศพ ก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก หากไม่
ปลอบขวัญพวกเขา คิดว่าต้องเกิดความวุ่นวายแน่”
ประมุขหลงเกอพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านประมุขจู
เกอพูดถูกแล้ว เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย หลายปีมานี้
พวกเราทำตามกฎของจวนเสินโหวมาโดยตลอด
ไม่ได้ออกนอกอาณาเขตที่พวกเรามีเลย หากครั้งนี้
เป็นเหตุอื่น พวกเราเองก็คงไม่เรียกร้องแบบนี้ แต่ว่า
การบุกโจมตีพรรคบัวดำในครั้งนี้ ชัดเจนว่าพวกเรา
ต้องเสียหายไม่น้อย พวกเราต้องทำเพื่อพี่น้องของ
พวกเราเหมือนกัน”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านประมุขจูเกอ
พื้นที่ที่ท่านร้องขอ เป็นอาณาเขตของสำนักตั๊กแตน
กับตระกูลเสวีย แล้วท่านคิดว่าจะให้พวกเขาไปอยู่ที่
ไหนกัน?”
“เซวียนหยวนผ่อเซี่ยวเว่ย ขอพูดตามตรง สอง
พรรคนี้ครั้งนี้มาช่วย พาคนมารวมแล้วไม่ถึงสิบคน”
จูเกอชางถิงพูดว่า “สองสำนักนี้แทบจะไม่มีคนอยู่
แล้ว หากเป็นเหมือนแต่ก่อน คงถูกกำจัดไปจาก
ยุทธภพแล้ว บุกพรรคบัวดำในครั้งนี้ หากสองพรรค
นี้ออกแรง คงตายอยู่ที่นี่กันหมดแน่ ถ้าอย่างนั้นสอง
สำนักนี้คงล่มสลายไป หากยังเหลือรอดมา ก็แสดง
ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ในเมื่อไม่ได้ช่วยอะไร
แล้วจะเก็บพวกเขาไว้ทำไมอีก”
ประมุขหลงเกอถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลายปีมานี้
บางพรรคบางสำนักกินพื้นที่ไปโดยไม่มีประโยชน์
พวกสำนักคุ้มภัยเองก็ไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
ความสามารถของเหล่าสำนักคุ้มภัยยังเก่งกว่าพวก
เขาหลายเท่า สำนักกับพรรคแบบนี้ไม่มีรายรับที่
แน่นอน ก็เหมือนพวกหลอกกินไปวันๆ หนึ่ง ขาย
หน้าชาวยุทธ์นัก เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ก็เหมือน
พื้นที่ที่ข้าเรียกร้องไป ก็เป็นของสำนักเก้าพยัคฆ์ แต่
ว่าสำนักเก้าพยัคฆ์อาศัยการหลอกลวงประทังชีวิต
แล้ว วุ่นวายมาก หากเจี้ยนหยางเกอของพวกเรา
สามารถเข้าไปยึดพื้นที่นั้นได้ พวกเราสามารถทำให้
ที่นั่นสงบสุข”
เขาพูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังขึ้น
พวกเขามองหันไปทันที เห็นฉีหนิงที่นั่งไม่พูดไม่จา
อยู่จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
พวกเขาไม่รู้อยู่แล้วว่าฉีหนิงเป็นบรรดาศักดิ์โหว คิด
แค่ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวเท่านั้น ถึงแม้
ประมุขหลงเกอจะไม่ชักสีหน้า แต่ก็ขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “ไม่ทราบว่าท่านหัวเราะอะไร?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่มีอะไร พวกท่านคุยกันไป
ถือว่าข้าไม่อยู่ตรงนี้ก็ได้”
“น้องชาย เจ้าเป็นคนของจวนเสินโหว พวกเรา
เคารพเจ้า” จูเกอชางถิงพูดว่า “แต่ว่าหากเจ้าคิดว่า
สิ่งที่พวกเราพูดมาไม่มีเหตุผล ก็พูดออกมาได้เลย ใน
เมื่อเปิดใจคุยกันแล้ว พูดกันตรงๆ น่าจะดีกว่า”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่แปลกใจ คนที่อ่อนแอ
กว่าจำเป็นต้องถูกกลืนกินไปด้วยหรือ? ความหมาย
ของพวกท่านก็คือ ชาวบ้านที่ลำบากยากจน พอเกิด
ภัยพิบัติ พวกเขาก็ไร้ค่า ราชสำนักจำเป็นต้องกำจัด
พวกเขาทิ้งอย่างนั้นหรือ?”
คนที่อยู่ตรงนั้นนอกจากเซวียนหยวนผ่อที่ยังนิ่งอยู่
คนที่เหลือก็หน้าถอดสี
“เจ้าพูดอะไรอย่าให้มันเกินไปนัก?” ประมุขหลง
เกออารมณ์เสีย เขาพูดว่า “เรื่องนี้มันไม่ได้ใช้หลัก
เดียวกับที่เจ้าพูด”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงยกตัวอย่างผิดไปสินะ” ฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชอบอ้อม
ค้อม ตอนนี้ต้าฉู่ของพวกเรา แปดพรรคสิบหกสำนัก
เป็นกลุ่มชาวยุทธที่มีอำนาจและอิทธิพลมากที่สุด
ตั้งแต่ลงนามในสัตยาบันสัญญาเลือดแล้ว ยี่สิบปีที่
ผ่านมา ทุกคนมีพื้นที่อำนาจของตัวเอง ไม่ต้อง
ออกไปต่อสู้ให้เสียเลือดเสียเนื้อ ก็เพราะอย่างนี้
แปดพรรคสิบหกสำนักที่ได้พื้นที่ไปมากที่สุดในตอน
นั้น ถึงได้มีเวลาพักผ่อนอยู่กันอย่างสบาย มีชื่อเสียง
เกรียงไกรในยุทธภพ” เขาพิงเก้าอี้ เอามือกอดอก
ยิ้มแล้วถามว่า “จอมยุทธ์ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี่ต่าง
เป็นประมุขหัวหน้าของแปดพรรคสิบหกสำนัก ข้า
ขอบังอาจถามสักคำ หากตอนนั้นจวนเสินโหวไม่
แบ่งอาณาเขตให้กับพวกท่าน เพื่อคุมการเสียเลือด
และสร้างความสงบให้ยุทธภพ ไม่ทราบว่าแปด
พรรคสิบหกสำนักตอนนี้จะเหลือกันเท่าไหร่?”
พวกเขาทั้งหมดหน้าเสีย
“ค่ำคืนได้ยินเสียงดาบ คิดอยากจะร้องเป็นเพลง
ระบายความแค้นใจ ชาวยุทธ์ที่จริงจะเหลือสักกี่
คน” ฉีหนิงถอนหายใจ “ยุทธภพเปลี่ยนแปลงไปดัง
สายลม เท่าที่ข้ารู้มา หลายสำนักโด่งดังมากในยุค
หนึ่งเท่านั้น ไม่กี่ปีก็จะเงียบและตายไป” เขาพูดว่า
“หากไม่มีจวนเสินโหว พวกท่านทั้งสี่วันนี้จะได้มี
โอกาสมานั่งอยู่ตรงนี้หรือไม่ ยังไม่มีใครรู้เลย”
ประมุขหลงเกอกับอีกคนหนึ่งลุกขึ้นมา จูเกอชางถิง
ยังนั่งอยู่เหมือนเดิม เซวียนหยวนผ่อไม่พูดอะไร ยัง
นิ่งอยู่เหมือนเดิม
สายตาของประมุขหลงเกอโกรธมาก แต่ว่าฉีหนิง
สวมชุดของจวนเสินโหว เขาก็ยังยำเกรงอยู่ เขาข่ม
อารมณ์โกรธของเขาแล้วพูดว่า “จวนเสินโหวทำให้
ยุทธภพสงบมาหลายปีจริง แบ่งอาณาเขตให้พวกเรา
แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมา แปดพรรคสิบหกสำนักเองก็
ไม่ได้จ่ายเงินให้จวนเสินโหวขาดไปแม้แต่ตำลึง
เดียว”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าที่แท้ชาวยุทธ์พวกนี้ก็ยังต้อง
จ่ายเงินให้จวนเสินโหวด้วย คิดว่าน่าจะเหมือนกับ
การเรียกเก็บภาษี เขายิ้มแล้วพูดว่า “ประมุขหลง
เกอไม่ต้องร้อนใจไป ข้าก็แค่พูดเรื่องจริงให้ฟัง ทำไม
ท่านคิดจะคิดบัญชีกับจวนเสินโหวหรือ?”
ประมุขหลงเกอตะลึงไป สีหน้าก็เปลี่ยนไป แล้วรีบ
พูดว่า “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น?”
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้นก็ดี” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าก็แค่อยากจะบอกกับทุกท่านว่า ทุกอย่างที่พวก
ท่านมีในตอนนี้ เป็นของที่จวนเสินโหวให้ จวนเสิน
โหวให้ของพวกเจ้าได้ ก็สามารถเก็บคืนมาได้
เหมือนกัน ราชสำนักตั้งจวนเสินโหวขึ้นมา เพื่อให้
จวนเสินโหวดูแลทุกเรื่องในยุทธภพ นั่นแสดงว่า
เคารพในกฎของยุทธภพ ที่จริงแล้ว...พวกท่านแทบ
จะไม่มีสิทธิต่อรองเรื่องพื้นที่กับจวนเสินโหวด้วย
ซ้ำ”
จูเกอชางถิงยังคงนิ่งอยู่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่าง
นั้น แปดพรรคสิบหกสำนักรับคำสั่งให้บุกโจมตี
พรรคบัวดำ ไม่ว่าพี่น้องจะตายไปเท่าไหร่ ก็เป็นแค่
เรื่องของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”
“ยังไม่ทันได้ต่อสู้ ก็มานั่งคิดบัญชีกันแล้ว เหมือนจะ
รีบร้อนเกินไปหรือไม่” ฉีหนิงพูดว่า “ตายไปเท่าไหร่
ต้องจัดการอย่างไร ถึงเวลานั้นจวนเสินโหวจะให้
คำตอบกับพวกท่านเอง ข้าบอกไปแล้ว ของที่จวน
เสินโหวอยากจะให้ พวกท่านสามารถรับมันได้ แต่
หากเป็นของที่ไม่ได้ให้ พวกท่านก็อย่าฝันที่จะได้ไป”
จูเกอชางถิงหันไปมองเซวียนหยวนผ่อ แล้วถามว่า
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ท่านเองก็คิดแบบนี้หรือ?”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ที่เขาพูดก็มีเหตุผล
การโจมตีพรรคบัวดำในครั้งนี้ พวกเราต้องคุยเรื่อง
ปูนบำเหน็จตามผลงานอยู่แล้ว ใครมีผลงานมาก ก็
ได้รับมาก ถึงเวลานั้นต่อให้เป็นสำนักเล็กๆ อย่าง
สำนักตั๊กแตน สำนักตระกูลเสวียที่ทำผลงานได้มาก
จวนเสินโหวก็จะให้รางวัลมาก” สายตาของเขา
แหลมคม เขากวาดสายตามองไป “หากแปดพรรค
สิบหกสำนักไม่ได้ออกแรงหรือสร้างผลงานเลย ข้า
คิดว่าทางจวนเสินโหวเองก็คงต้องพิจารณาเรื่องนี้
อีกที”
เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้าง
นอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่...คน
ของสำนัก...สำนักอู่หางเหมินกลับมาแล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 422 ความขัดแย้งภายใน
เซวียนหยวนผ่อลุกขึ้นมา ก็เดินออกไปนอกกระโจม
ก่อนใคร เห็นศิษย์น้องหลันของจวนเสินโหวยืนอยู่
นอกกระโจม
ฉีหนิงเห็นศิษย์น้องหลันสีหน้าเคร่งเครียด ก็รู้สึกว่า
คงมีเรื่องไม่ดีแน่ เซวียนหยวนผ่อสัมผัสได้ เลยถาม
ว่า “คนของคนอู่หางเหมินอยู่ที่ไหน?”
ศิษย์น้องหลันเดินหน้าขึ้นมา แล้วกระซิบที่ข้างหู เซ
วียนหยวนผ่อสีหน้าเคร่งเครียด แล้วถามว่า “ตอนนี้
เขาอยู่ที่ไหน?”
ศิษย์น้องหลันเดินนำทางไป ทุกคนเดินตามศิษย์
น้องหลันมาถึงข้างๆ กระโจม ยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็
เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังล้อมอยู่ เมื่อเห็นเซวียนหยวน
ผ่อเดินมา ทุกคนต่างก็ทักทาย แล้วก็หลีกทางให้ เซ
วียนหยวนผ่อเดินหน้านิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไป เห็นคนๆ
หนึ่งนั่งอยู่ที่กองหญ้า ผมเผ้ายุ่งเยิง ตัวสั่นไปทั้งตัว
เซวียนหยวนผ่อขมวดคิ้ว คนข้างๆ รีบเดินเข้ามา
แล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย เขาเป็นคนของอู่
หางเหมิน” เขาชี้ไปที่กองหญ้า แล้วพูดว่า “คนของ
สำนักอู่หางมีเขาคนเดียวที่กลับมา”
เซวียนหยวนผ่อนั่งยองลงไป แล้วตรวจสอบอย่าง
ละเอียด จากนั้นก็ถามว่า “คนอื่นอยู่ที่ไหนกัน
หมด?”
“มีเขาคนเดียวที่กลับมา” มีคนพูด “เมื่อครู่พวกเรา
ได้เดินสำรวจไปรอบค่ายแล้ว เห็นมีเงาของคนโผล่
มา ตอนแรกคิดว่าเป็นคนของพรรคบัวดำ พอมอง
ดีๆ แล้ว ถึงได้เห็นว่าเขาใส่ชุดของสำนักอู่หาง เจ้า
สำนักอู่หางพาพวกเขามา ครั้งนี้ออกมาจากสำนักมา
กันหมด แต่เห็นเขาแค่คนเดียว”
ตอนนี้ฉีหนิงเองก็อยู่ในฝูงชนด้วย เขาเห็นคนๆ นั้น
ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั่วทั้งตัวมีแต่เลือด ชาวยุทธเห็น
เลือดกันมามาก ถึงแม้จะไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่ว่า
เขาตัวสั่นเหมือนเสียสติ ก็ทำให้คนตกใจอยู่ดี
“เจ้าชื่ออะไร?” เซวียนหยวนผ่อจ้องไปที่คนๆ นั้น
แล้วถามอีกว่า “ทำไมคนอื่นในสำนักอู่หางถึงไม่
กลับมาด้วย?”
คนๆ นั้นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ทำให้
ไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา แต่ว่าสีหน้าของเขา
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็พูดว่า “ผี...บน
เขา...บนเขามีผี พวกเขา...พวกเขาตายหมดแล้ว...”
ถึงแม้คนอื่นจะพอเดาได้บ้าง แต่พอได้ยินคนๆ นี้พูด
ออกมา ก็หน้าถอดสีกันหมด ทุกคนเริ่มซุบซิบพูดคุย
กันขึ้น
ศิษย์น้องหลันพูดเสียงเข้มว่า “อย่าเสียงดัง”
ทุกคนเงียบลง เซวียนหยวนผ่อถามว่า “เจ้า
หมายความว่า คนของสำนักอู่หางนอกจากเจ้าแล้ว
คนอื่นตายอยู่บนเขาทั้งหมดหรือ?”
“ตายหมดแล้ว...” เสียงของคนๆ นั้นสะอื้น “ถูก...
ถูกวิญญาณร้ายเอาชีวิตไปหมด วิญญาณนั่นจะฆ่า...
จะฆ่าทุกคน...”
เริ่มมีคนไม่พอใจแล้วพูดขึ้นมาว่า “วิญญาณร้าย
อะไรกัน ต้องเป็นคนของพรรคบัวดำแน่”
“พวกเจ้ามีคนรู้จักเขาหรือไม่?” เซวียนหยวนผ่อ
ถาม
คนข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “เขาเหมือนจะเป็นชุนเซิงของ
สำนักอู่หาง วรยุทธ์ของเขาไม่เลวเลย เป็นศิษย์คนที่
สามของท่านเจ้าสำนักอู่หาง”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า เขามองออกว่าซุนเซินเสีย
สติไปแล้ว เขาเลยสั่งว่า “พาเขาไปพักก่อน รอสัก
พัก แล้วค่อยพาตัวมารายงานสถานการณ์อย่าง
ละเอียดอีกที”
มีคนสองคนเดินมาพยุงตัวของชุนเซิงไปทันที
“ทุกคนแยกย้ายกันไปพักก่อน เติมพลังกันให้
เต็มที่” เซวียนหยวนผ่อลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ศิษย์
น้องหลัน เพิ่มกำลังสำรวจรอบค่ายให้มากขึ้น
ป้องกันคนของพรรคบัวดำแฝงตัวเข้ามา”
เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว จูเกอชางถิงก็
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถึงแม้สำนักอู่หางจะไม่ได้
เน้นวรยุทธ์มากนัก แต่ก็เชี่ยวชาญในการซ่อนตัว ใน
ยุทธภพ ไม่มีสำนักไหนที่สามารถหาข่าวได้ดีไป
มากกว่าพวกเขาแล้ว ถึงแม้เขาเชียนอูหลิงจะเป็น
ที่ตั้งของพรรคบัวดำ มีพื้นที่กว้างขวาง พื้นที่พิสดาร
ต่อให้นำคนพันคนบุกขึ้นไป ก็ไม่มีทางสำรวจจน
ครบทุกซอกทุกมุมของเขาเชียนอูหลิงหรอก...” เขา
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป แล้วพูดขึ้นมาว่า “ด้วยวิธีการ
ของสำนักอู่หาง พวกนั้นเจอพวกเขาได้อย่างไรกัน?”
เซวียนหยวนผ่อเหลือบไปมอง แล้วถามว่า “ท่าน
ประมุขจูเกอมีความเห็นว่าอย่างไร?”
จูเกอชางถิงไม่พูดอะไร จากนั้นก็ยกมือเชิญ เซวียน
หยวนผ่อเหมือนจะรู้ความหมายของเขา ถึงแม้ทุก
คนจะแยกย้ายไปแล้ว แต่ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ล้วนแต่
เป็นยอดฝีมือ มีบางอย่างใครมาได้ยินเข้าจะไม่ดี
พวกเขากลับเข้ามาในกระโจมอีกครั้ง จูเกอชางถิง
พูดว่า “ความสามารถในการพรางตัวของสำนักอู่
หาง ไม่เป็นรองใครเลยในยุทธภพ ก็เพราะอย่างนี้
ท่านประมุขของสำนักอู่หางถึงได้รับผิดชอบการสืบ
ข่าวของศัตรู แต่ว่าคนกว่าสิบคนพอขึ้นเขาเชียนอูห
ลิงไปแล้ว กลับมีรอดกลับมาแค่คนเดียว เซวียน
หยวนเซี่ยวเว่ย ท่านไม่คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกไป
หน่อยหรือ?”
“ดังนั้นข้าถึงอยากให้ท่านประมุขจูเกอชี้แนะด้วย”
เซวียนหยวนผ่อสีหน้าจริงจังมาก
ประมุขหลงเกอเหมือนจะใจร้อน ไม่รอให้จูเกอชา
งถิงได้พูด เขาก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านประมุขจู
เกอ ท่านหมายความว่า มีคน...มีคนแอบเปิดเผย
เรื่องที่สำนักอู่หางลอบขึ้นเขาเชียนอูหลิงหรือ?”
จูเกอชางถิงยิ้มแล้วพูดว่า “ใจคนเรายากจะคาดเดา
ได้ สำนักอู่หางเองก็สร้างศัตรูในยุทธภพไว้มาก แค่
ในค่ายของพวกเรา อย่างน้อยก็มีถึงสองสามสำนักที่
เคยมีปัญหากับสำนักอู่หางมาก่อน”
เซวียนหยวนผ่อท่าทางยังนิ่งอยู่ แล้วถามว่า
“ความหมายของพวกท่านคือ ที่สำนักอู่หางตาย
หมด เพราะพวกเรามีหนอนบ่อนไส้อย่างนั้นหรือ?”
ฉีหนิงนั่งอยู่ข้างๆ หลับตาเหมือนกำลังพักอยู่
“จวนเสินโหวประกาศสัญญาเลือด สั่งให้ทุกคนบุก
โจมตีเขาเชียนอูหลิง ในยุทธภพใครๆ ก็รู้ พรรคบัว
ดำก็น่าจะรู้เรื่องนี้นานแล้ว” จูเกอชางถิงพูดว่า
“หากว่าพรรคบัวดำเคลื่อนไหวลับๆ ซื้อตัวคนของ
สำนักต่างๆ ไว้เป็นไส้ศึก ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ยุทธภพ
กว้างใหญ่ สำนักก็มีมากมาย คนไม่ดีก็มีมาก”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ใจคนยากจะคาดเดา
เรื่องนี้ไม่ผิด แต่ว่าสำนักอู่หางโชคร้าย มันไม่น่าจะ
เกี่ยวกับหนอนบ่อนไส้นะ คนของสำนักอู่หางขึ้นเขา
เชียนอูหลิง ข้าว่าที่ค่ายนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องลับอะไร ใน
เมื่อไม่ใช่เรื่องลับ กับพรรคบัวดำเองก็ไม่น่าจะเป็น
เรื่องลับเช่นกัน” เขาพิงเก้าอี้ แล้วพูดว่า “พรรคบัว
ดำอยู่ในที่ลับ พวกเราอยู่ในที่แจ้ง เรื่องข่าวสาร
ข้อมูลของพวกเรามันก็เป็นเรื่องยากตั้งแต่แรกอยู่
แล้ว การสืบหาข่าวสารของสำนักอู่หางไม่เป็นสอง
รองใครในยุทธภพเลย พวกเขาไม่มีทางไม่ป้องกัน
อีกฝ่ายรู้ตัวแน่ เส้นทางที่พวกเขาเลือกขึ้นเขา
จะต้องเป็นความลับมากที่สุด ถึงแม้จะเป็นพวกเรา
ก็ไม่มีทางรู้ได้”
จูเกอชางถิงได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้า แล้วพูดว่า “เซ
วียนหยวนเซี่ยวเว่ยพูดถูกต้องแล้ว ข้าคงคิดมากไป
เอง”
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ในเมื่อการเคลื่อนไหวของ
พวกเขาเป็นเรื่องลับ เหตุใดถึงได้กลับมาแค่คนเดียว
ล่ะ?” ประมุขหลงเกอขมวดคิ้วพูดว่า “หรือว่าพวก
เขาบังเอิญไปเจอกับคนของพรรคบัวดำเข้า?”
“เรื่องนี้ความจริงเป็นอย่างไร มีเพียงรอให้ชุนเซิงได้
สติแล้วถึงจะถามได้” เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “สำนัก
อู่หางแทบจะล่มสลายไปหมด แต่ว่าชุนเซิงสามารถ
รอดกลับมาได้ ถือว่าโชคดีมากแล้ว”
เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงข้างนอกเอะอะวุ่นวาย
จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอีก
เซวียนหยวนผ่อหน้าถอดสี รีบเดินออกไปนอก
กระโจมอีกครั้ง พอออกมา ก็เห็นศิษย์น้องหลันเดิน
เข้ามา แล้วรายงานว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ มีคนถูกทำร้าย
...”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านประมุขของพรรคนกกระเรียนฟ้าถูกสังหาร”
ศิษย์น้องหลันพูดอย่างมั่นใจ
“ตายที่ไหน?” เซวียนหยวนผ่อขมวดคิ้วถาม
ศิษย์น้องหลันพูดว่า “อยู่ในกระโจมของพรรคนก
กระเรียนฟ้าเอง”
ถึงแม้พรรคนกกระเรียนฟ้าจะไม่ได้อยู่ในแปดพรรค
สิบหกสำนัก แต่ว่าอยู่ในยุทธภพก็ไม่ใช่พรรคเล็ก
ครั้งนี้พวกเขาก็นำคนมาช่วยกว่ายีส่ ิบคน
ธงของพรรคนกกระเรียนฟ้าเทียบไม่ได้กับธงของ
พันธมิตรกระบี่ทอง แต่ว่าก็ถือว่าสามารถมองเห็นได้
ชัด
ธงของพวกเขามีนกกระเรียนสีขาวปักอยู่ด้านบน ใต้
ธงมีศพนั่งพิงอยู่ที่เสาธง สายตาหลับสนิททั้งคู่
เหมือนหมดลมหายใจไปนานแล้ว
คนที่อยู่รอบๆ มีไม่น้อยเลย คนของพรรคนก
กระเรียนฟ้าต่างกัดฟันด้วยความโกรธ พอเซวียน
หยวนผ่อมาถึง ศิษย์น้องติ้งของจวนเสินโหวกำลัง
ชันสูตรศพของประมุขพรรคนกกระเรียนฟ้าอยู่
“ศิษย์น้องติ้ง บาดแผลอยู่ที่ไหน?” เซวียนหยวนผ่อ
สีหน้าเคร่งเครียด
ศิษย์น้องติ้งลุกขึ้นมา สีหน้าของเขาแย่มาก เขาลังเล
แล้วกระซิบที่ข้างหูของเซวียนหยวนผ่อ เซวียน
หยวนผ่อขมวดคิ้วแน่น เขามองไปรอบๆ แล้วถามว่า
“ท่านประมุขของสำนักหลูหยางเป่าอยู่ที่ไหน?”
ทุกคนตะลึงไป มีคนๆ หนึ่งเดินออกมา ยกมือคำนับ
แล้วพูดว่า “ข้าน้อยเฉียวซือเหมียว ไม่ทราบเซวียน
หยวนเซี่ยวเว่ยเรียกหาข้ามีอะไรจะสั่ง?”
“เมื่อครู่ท่านอยู่ที่ไหนหรือ?” เซวียนหยวนผ่อถาม
เฉียวซือเหมียวอึ้งไป เขาเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ
แล้ว เขารู้สึกว่าคำพูดของเขาเหมือนมีความหมาย
แฝง เขาพูดว่า “ตามที่ท่านเซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยสั่ง
ข้าก็กลับไปพักที่กระโจม พอได้ยินเสียง เดิมทีคิดว่า
เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยเรียกรวมพล ก็เลยรีบมา”
“เท่าที่ข้ารู้มา สำนักหลูหยางเป่าของตระกูลเฉียวมี
วิชาประจำตระกูลที่ชื่อว่ากรงเล็บสามแฉก เป็นวิชา
เฉพาะของตระกูลท่านเท่านั้น ไม่ทราบเรื่องนี้จริง
หรือไม่?”
เฉียวซือเหมียวยิ้มอย่างได้ใจขึ้นมา เขาพยักหน้าแล้ว
พูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยความรู้กว้างขวางนัก
ถูกต้อง กรงเล็บสามแฉกเป็นวิชาประจำตระกูลของ
พวกเรา ตอนนี้สืบทอดกันมารุ่นที่หกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า กรงเล็บสามแฉก
นอกจากท่านประมุขเฉียวแล้ว น่าจะไม่มีใครอื่นที่
เป็นอีกสินะ?” เซวียนหยวนผ่อพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม
เฉียวซือเหมียวถึงแม้จะรู้สึกว่าคำพูดของเซวียน
หยวนผ่อแปลกๆ แต่เขาก็ยังพูดว่า “ในเมื่อเป็นวิชา
ประจำตระกูล ก็ไม่มีทางถ่ายทอดให้คนนอก
แน่นอน กรงเล็บสามแฉกมีเพียงข้าที่เป็นเจ้าสำนัก
เท่านั้นที่มีสิทธิได้เรียน”
เซวียนหยวนผ่อเดินไปที่ธง แล้วนั่งลง จากนั้นก็เปิด
เสื้อตรงบริเวณหน้าอกของประมุขพรรคนก
กระเรียนฟ้าออก แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านมาดู
นี่ที นี่เป็นวิชาอะไรกัน”
เฉียวซือเหมียวลังเล จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไป เขา
มอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาถอยหลังไปสอง
ก้าว แล้วพูดว่า “ไม่...ไม่มีทาง มัน...มันจะเป็นไปได้
อย่างไร?”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ยอมรับแล้วสิวา่ ท่านประมุข
พรรคนกกระเรียนฟ้าถูกกรงเล็บสามแฉกสังหาร?”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา คนของพรรคนกกระเรียนฟ้าก็
หันไปจ้องที่เฉียวซือเหมียว มีคนตะโกนว่า “ที่แท้ก็
สุนัขลอบกัดอย่างเจ้าเองที่ฆ่าท่านประมุขของพวก
เรา” ศิษย์ของพรรคหลายคนเดินขึ้นหน้าแล้วล้อม
ตัวเฉียวซือเหมียวเอาไว้ ศิษย์ของเฉียวซือเหมียวเอง
ก็เดินออกมา แล้วตะคอกว่า “จะลงมือใช่หรือไม่?
สำนักหลูหยางเป่าไม่กลัวพรรคนกกระเรียนฟ้าอย่าง
พวกเจ้าหรอกนะ?”
ทุกคนรอบๆ เลยแตกตื่นตกใจกัน
จวนเสินโหวมีคำสั่งอยู่ก่อนแล้ว ห้ามสำนักและ
พรรคในยุทธภพต่อสู้กันเอง ใครทำละเมิดกฎ ถือว่า
ไม่เกรงกลัวจวนเสินโหว หลายปีก่อนมีสำนักและ
พรรคต่อสู้กัน จวนเสินโหวออกหน้าลงมือ กำจัด
สำนักและพรรคพวกนั้นออกจากยุทธภพไปเลย
พวกเขาลงมือได้เด็ดขาดมาก หลายปีที่ผ่านมาก็เลย
ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกัน
ตอนนี้แทบจะทุกสำนักและพรรคมารวมตัวกันอยู่
ที่นี่ ก็มาเพราะคำสั่งของจวนเสินโหว เพื่อบุกโจมตี
เขาเชียนอูหลิง มีสำนักและพรรคไม่น้อยที่มี
ความแค้นต่อกันมานาน แต่ว่าทุกคนก็ไม่กล้าวู่วาม
แต่ว่าพอได้ยินว่าประมุขพรรคนกกระเรียนถูกเฉียว
ซือเหมียวใช้กรงเล็บสามแฉกสังหารจนตาย ทุกคน
ต่างก็ตกใจ
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า สำนักหลูหยางเป่าจะกล้า
ละเมิดกฎยุทธภพสังหารคนในเวลาแบบนี้ได้ คิดว่า
จวนเสินโหวคงจะลงโทษสำนักหลูหยางเป่าตรงนี้
เลย
แต่ว่าคนที่รู้จักเฉียวซือเหมียวก็แอบคิดว่า เฉียว
ซือเหมียวไม่ใช่คนวู่วาม ทำไมถึงได้ฆ่าคนในเวลา
แบบนี้ได้? หรือว่าเขาบ้าไปแล้ว?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 423 เรื่องจริงหรือเท็จ
ทั้งสองฝ่ายชักดาบมาประจันหน้ากัน หากไม่มีคน
ของจวนเสินโหวอยู่ด้วย คงเกิดการนองเลือดไปแล้ว
เฉียวซือเหมียวถึงแม้จะตกใจมาก แต่ก็พยายาม
ควบคุมสติเอาไว้ แล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย
กรงเล็บสามแฉกเป็นวิชาประจำตระกูลของ
สำนักหลูหยางเป่าจริง แต่ว่าข้าสาบานต่อฟ้าได้เลย
ว่า การตายของประมุขพรรคนกกระเรียนฟ้า ไม่
เกี่ยวกับข้า หากข้าเป็นคนทำให้ประมุขพรรคนก
กระเรียนฟ้าตาย ขอให้ข้าไม่ได้ตายดี”
เขารู้ดีว่า หากโทษฆ่าคนตายตกเป็นของเขา
สำนักหลูหยางเป่าคงล่มสลายลงทันทีแน่นอน
สำนักหลูหยางเป่ามีศัตรูในยุทธภพก็ไม่น้อย
ในตอนนี้ไม่เพียงถูกคนของพรรคนกกระเรียนจับตา
มอง อีกทั้งยังมีคนของพรรคและสำนักอื่นๆ ก็
เตรียมพร้อมจะลงมือ แค่จวนเสินโหวสั่งมาคำเดียว
เท่านั้น คนของสำนักหลูหยางเป่าก็ตายไม่เหลือ
แน่นอน
คำสาบานของเขาร้ายแรงมาก หากไม่ใช่เพราะมี
อันตรายถึงชีวิต เขาไม่มีทางสาบานแบบนี้แน่นอน
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า แล้วยกมือขึ้น “เจ้ามาดู
ให้ดีๆ กรงเล็บสามแฉกเป็นวิชาที่ไม่เผยแพร่ให้คน
นอก เจ้ามองออกหรือไม่ว่ามันมีอะไรแปลก”
เฉียวซือเหมียวยกมือคำนับ แล้วเดินเข้าไป จากนั้น
ก็นั่งยองลง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก เขา
ตรวจสอบอย่างละเอียด บรรยากาศโดยรอบเงียบ
สนิท
หลังจากนั้นไม่นาน เฉียวซือเหมียวก็เงยหน้าขึ้นมา
แล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย นี่ไม่ใช่กรงเล็บ
สามแฉก”
“เจ้าจะบอกว่าเซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยดูผิดหรือ
อย่างไร?” คนของพรรคนกกระเรียนฟ้าตะโกน
“ท่านประมุขถูกกรงเล็บสามแฉกสังหารก็เห็นๆ กัน
อยู่ เจ้าอย่ามาแก้ตัวเลย”
เฉียวซือเหมียวพูดว่า “ทุกท่าน บาดแผลนี้หากมอง
ผิวเผิน คือกรงเล็บสามแฉกแน่นอน แต่ว่า...” เขา
พูดถึงตรงนี้ ก็ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เซวียน
หยวนเซี่ยวเว่ย หากท่านมองออกว่ามันคือกรงเล็บ
สามแฉก แสดงว่าท่านเองก็ต้องรู้ว่ากรงเล็บสามแฉก
ทำให้คนบาดเจ็บในรูปแบบไหน”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า เฉียวซือเหมียวพูดว่า
“ท่านประมุขพรรคกระเรียนฟ้าถูกซัดด้วยฝ่ามือ ชีพ
จรบริเวณที่ถูกซัด มีหลายสายที่ถูกเผาไหม้ แต่ว่า
กรงเล็บสามแฉกไม่ได้เป็นอย่างนั้น หลังจากถูกกรง
เล็บสามแฉกไปแล้ว มันจะวิ่งเข้าไปที่จุดหยางเอ้อ
เสวียน ไม่ได้ทำให้ชีพจรสลายแบบนี้ จะต้องมีคน
โยนความผิดให้สำนักหลูหยางเป่าแน่”
วิชาลับของแต่ละสำนัก ไม่มีใครเปิดเผยให้คนนอก
ได้รู้แน่ๆ แต่ว่าเพื่อล้างข้อกล่าวหาของตัวเอง เฉียว
ซือเหมียวกลับพูดออกมาตรงๆ
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าการที่เขาพูดแบบนี้ จะทำให้ชาว
ยุทธ์รู้เรื่องของกรงเล็บสามแฉกมากขึ้น แต่ว่าเขาไม่
มีทางเลือก
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็
แสดงว่ามีคนตั้งใจใส่ร้ายสำนักหลูหยางเป่าจริง”
“ข้าเองก็ไม่กลัวที่จะบอกความจริงออกไปแล้ว คนที่
ให้ร้ายข้า มีวรยุทธ์ที่เหนือกว่าข้ามาก” เฉียวซือเหมี
ยวพูดว่า “กำลังภายในของเขา มาจากจุดชื่อหยาง
กำลังภายในของสำนักหลูหยางเป่า เทียบไม่ได้กับ
เขาคนนั้นเลย”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
เมื่อเขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากทางด้าน
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกคนต่างมองตามเสียงไป
จากนั้นก็เริ่มมีคนวิ่งไปทางนั้น
เซวียนหยวนผ่อสีหน้าเคร่งเครียด คนนับร้อยพากัน
วิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นคนๆ หนึ่งเดิน
โซซัดโซเซเข้ามา เหมือนดื่มเหล้าจนเมา
“ศิษย์พี่รอง...” มีคนเดินออกมาจากกลุ่มฝูงชน แล้ว
เดินมาหาพวกเขาทั้งสองคน
“เป็นคนของเกาะพันใบ” มีคนบอกฐานะของคน
พวกนั้น
คนๆ นั้นเอามือปิดไปที่บาดแผล เห็นมีคนสองคน
เดินเข้ามาหา ก็หยุดเดิน ยกมือชี้ไปที่คนๆ หนึ่ง
ใบหน้าโกรธแค้นและหวาดกลัว แล้วพูดว่า “ซ่ง...ซ่ง
หลิน เจ้า...เจ้า...จะต้อง...จะต้องไม่ตายดี...”
จากนั้นเขาก็ล้มลงไปกับพื้น แล้วไม่ขยับอีกเลย
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเป็นคนที่ผ่านมีดผ่าน
ดาบเห็นเลือดมานับไม่ถ้วนอยู่แล้ว แต่ว่าพอได้เห็น
ภาพเหตุการณ์แปลกๆ แบบนี้ ก็ยังตกใจอยู่ดี
คนที่ถูกเรียกว่าซ่งหลินยืนอึ้งไป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
คนที่อยู่ข้างๆ รีบเข้าไปพยุงคนที่ล้มลง แล้วพูดว่า
“ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่รอง...” จากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง
ขึ้นมา ทุกคนต่างหันไปมอง มีคนกว่าสิบคนกำลังวิ่ง
มา เมื่อเห็นคนที่นอนกองลงกับพื้น มีคนหนึ่งไม่ขยับ
แล้ว เพราะตาย อีกคนนอนดิ้นทรมานอยู่ที่พื้น มี
เลือดไหลออกมาจากหน้าอก คิดว่าก็ไม่น่ารอดแล้ว
“เป็นคนของเกาะพันใบทั้งนั้น” มีคนตะโกนว่า
“ใครทำร้ายพวกเขา?”
คนที่ชื่อซ่งหลินมองไปที่คนที่นอนตายกับคนที่กำลัง
จะตายบนพื้น แล้วเดินขึ้นหน้า แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่
ห้า ท่าน...”
คนๆ นั้นเดิมทีเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้าย เมื่อ
เห็นหน้าซ่งหลิน ก็ไม่รู้ว่าเอาแรงมากจากไหน เขา
ยกมือขึ้นมา แล้วชี้ไปที่ซ่งหลิน ตะคอกใส่ว่า “เจ้า...
เจ้าคนสารเลว...สารเลว ทำไม...ทำไมต้อง...ต้องลง
มือโหดเหี้ยมกับ...กับพวกเราแบบนี้ด้วย...” จากนั้น
ก็กระอักเลือดแล้วตายไป
“เขาลงมือกับคนในสำนักของตัวเองหรือ?” ทันใด
นั้นเอง ซ่งหลินก็ถูกคนล้อมเอาไว้ ทุกคนจ้องไปที่ซ่ง
หลินด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
ซ่งหลินสีหน้าซีดเซียว เหงื่อไหลออกมาจาก
หน้าผาก แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ข้า...ข้า...ข้าไม่ได้...”
เกาะพันใบเป็นพรรคเล็กๆ ในยุทธภพ ครั้งนี้ส่งคน
มาแค่ไม่กี่คน นอกจากสามคนที่ตายไป ก็เหลือแค่
ซ่งหลินกับอีกคนเท่านั้น คนๆ นั้นชักดาบออกมา
แล้วชี้ไปที่ซ่งหลิน จากนั้นก็ตะคอกว่า “เจ้าคนแซ่ซ่ง
เจ้า...เจ้าฆ่าศิษย์พี่ของพวกเรา เหตุใดเจ้า...เหตุใด
เจ้าถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?”
“ศิษย์น้องจ้าว ไม่ใช่ข้านะ...” ซ่งหลินตัวสั่น ยกมือ
ขึ้นปาดเหงื่อ “เมื่อครู่ข้าก็อยู่กับเจ้าตลอดเวลา แล้ว
ข้า...ข้าจะไปฆ่าศิษย์พี่ไอย่างไรกัน?”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว” คนๆ นั้นตะคอก “ก่อนที่ศิษย์พี่
จะตาย พูดออกมาจากปาก จะผิดไปได้อย่างไร?”
เขาโกรธมาก ตะคอกว่า “ข้าจะแก้แค้นให้กับพวก
เขา” จากนั้นเขาก็พุ่งดาบเข้าฟันแขนของซ่งหลิน
ซ่งหลินยืนอยู่อย่างนั้น ไม่หลบ เขาพูดแค่ว่า “ไม่ใช่
ข้านะ...ไม่ใช่ข้า...”
ดาบกำลังจะถูกตัวเขา กลับมีเงาของคนๆ หนึ่งโผล่
ออกมา มีเสียงดังขึ้นมาว่า “เรื่องยังไม่กระจ่างเลย
เหตุใดต้องรีบร้อนด้วย” คนผู้นั้นจับไปที่ข้อมือของ
คนผู้นั้น ดาบห่างจากหัวของซ่งหลินไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ทุกอย่างหยุดลง
คนที่สามารถลงมือห้ามตรงที่เกิดเหตุนั้นมีอยู่
มากมาย ทุกคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในยุทธภพ
แต่ว่าการฆ่าฟันกันเองในพรรค เรื่องแบบนี้ไม่มีใคร
กล้าเข้าไปยุ่ง เพราะกลัวจะเป็นการยื่นมือเข้าไป
แทรกแซงเรื่องของภายในพรรคคนอื่น
ถึงแม้จวนเสินโหวจะมีคำสั่งห้ามต่อสู้แก้แค้นเรื่อง
ส่วนตัวเอาไว้ แต่ว่าเรื่องภายในไม่อยู่ในอำนาจของ
พวกเขา ถึงแม้ทุกคนสามารถขวางเรื่องนี้ได้ แต่ก็ไม่
มีใครกล้า
ในเวลานี้มีคนออกหน้า มีคนจำได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่
หนุ่มที่อยู่ข้างกายเซวียนหยวนผ่อ
นั่นก็คือฉีหนิงนั่นเอง
ฉีหนิงดูออกแล้วว่า เรื่องของประมุขพรรคนก
กระเรียนฟ้ากับเกาะพันใบ มันแปลกมาก มันมีข้อ
สงสัยมากมาย
หากซ่งหลินถูกฆ่าตายไป เกรงว่าสถานการณ์จะแย่
ไปกว่านี้แน่
ตอนนี้เขามีกำลังภายในที่กล้าแกร่งมาก อีกทั้งยังมี
ท่าเท้าท่องคลื่นด้วย หากคิดจะช่วยคน ง่ายยิ่งกว่า
พลิกฝ่ามือ
ศิษย์ของเกาะพันใบถูกจับข้อมือเอาไว้ ถึงแม้จะรู้ว่า
เป็นคนของจวนเสินโหวแต่ก็ยังพูดด้วยความโมโหว่า
“จัดการเรื่องภายใน ไม่อยู่ในขอบเขตคำสั่งของจวน
เสินโหว เรื่องของเกาะพันใบ คนนอกไม่มีสิทธิมา
ยุ่ง”
“ข้าเข้าใจ” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “จัดการเรื่อง
ภายใน ข้าไม่ยุ่งอยู่แล้ว แต่ว่าข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะ
ฆ่าคนบริสุทธิ์น่ะสิ”
“บริสุทธิ์?” ศิษย์ของเกาะพันใบยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า
“ศิษย์พี่ห้าของข้าชี้ตัวคนร้ายมาแล้ว จะฆ่าคน
บริสุทธิ์ไปได้อย่างไร?”
“ข้าขอถามเจ้าแค่สองสามข้อ หากเจ้ายังคิดจะฆ่า
เขาอยู่ ข้าก็จะไม่ขวาง” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าขอถามเจ้า
ด้วยวรยุทธ์ของซ่งหลิน หากสู้กันตัวต่อตัว เอาชนะ
ศิษย์พี่ของเจ้าได้หรือไม่?”
คนผู้นั้นตอบออกมาทันทีว่า “วรยุทธ์ของซ่งหลินเจ้า
คนสารเลวนี่ธรรมดามาก จะเทียบกับเหล่าศิษย์พี่ได้
อย่างไรกัน วรยุทธ์ของศิษย์พี่รองนอกจาอาจารย์
แล้ว ในเกาะพันใบไม่มีใครสู้ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น
คนของเกาะพันใบสามคนที่ถูกทำร้าย ไม่ว่าใครก็วร
ยุทธ์สูงกว่าซ่งหลินทั้งหมดเลยสินะ”
“ถูกต้อง”
“เจ้าเองก็เห็นแล้ว ตอนที่ศิษย์พี่ของเจ้าถูกทำร้าย
พวกเขาน่าจะอยู่ด้วยกันตลอด” ฉีหนิงสีหน้า
เคร่งเครียด “ซ่งหลินสู้กับใครคนใดคนหนึ่งก็ต้อง
ออกแรงมาก แล้วจะไปสู้แบบสามต่อหนึ่งได้อย่างไร
กัน เขาจะฆ่าคนที่มีวรยุทธ์เหนือกว่าเขาทั้งสามคน
ได้อย่างไรกัน?” เขายกมือชี้ไปที่ซ่งหลิน “เมื่อครู่เขา
ก็พูดอยู่ว่า ตอนที่เกิดเรื่อง เขาเองก็อยู่กับเจ้า
ตลอดเวลา หรือว่าเจ้าเห็นเขาหายตัวไปอย่างนั้น
หรือ?”
คนผู้นั้นอึ้งไป จากนั้นเขาก็เหมือนจะลังเล
เมื่อครู่ทุกคนต่างตกใจกับการตายของประมุขพรรค
นกกระเรียนฟ้า เดินออกมามุงดู สายตาของทุกคน
สนใจไปที่ประมุขพรรคนกกระเรียนกับเฉียวซือเห
มียยว คนข้างๆ เป็นใคร ไม่มีใครสนใจเลย
ซ่งหลินเห็นดังนั้น ก็รีบพูดว่า “ข้าสาบานได้ว่าข้าอยู่
กับศิษย์น้องจ้าวตลอดเวลา ตอนที่เกิดเรื่อง พวกเรา
ยังอยู่ที่มุมห้องของพรรคนกกระเรียนฟ้าอยู่เลย พอ
ได้ยินมีการเคลื่อนไหวตรงนี้ ถึงได้ตามทุกคนมา”
ฉีหนิงถามว่า “ซ่งหลิน วิชาตัวเบาของเจ้าเป็น
อย่างไรบ้าง?”
ซ่งหลินรู้สึกเขินอาย แล้วพูดว่า “ข้าน้อย...ข้าน้อย
เข้าสำนักช้า ฝึกแค่วิชาหมัดมวย ยัง...ยังไม่ได้ฝึก
วิชาตัวเบาเลย”
ที่จริงแล้วยอดฝีมือที่อยู่ในค่าย ต่างก็รู้ว่าวิชาตัวเบา
ของซ่งหลินธรรมดามาก ไม่ถือว่าร้ายกาจอะไรเลย
“ใช่แล้ว จากพรรคนกกระเรียนด้านโน้นมาถึงที่นี่
ถึงแม้จะไม่ไกลมาก แต่ก็ยังห่างอยู่พอสมควร” ฉี
หนิงพูดว่า “ซ่งหลินไม่เคยฝึกวิชาตัวเบามาก่อน ถ้า
อย่างนั้นก็ไม่มีทางจะมาก่อคดีได้รวดเร็วแบบนี้ และ
ย้อนกลับไปได้แน่”
ศิษย์ของเกาะพันใบนั่นขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ถ้า
อย่างนั้น ทำไม...ทำไมศิษย์พี่รองกับศิษย์พี่ห้าก่อน
ตาย ถึงได้บอกว่าซ่งหลินคือคนร้ายล่ะ?”
“พวกเขาไม่ได้พูดผิด” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเขาเห็น
คนร้ายจริง ซึ่งก็คือซ่งหลิน”
รอบตัวพวกเขาเริ่มส่งเสียงซุบซิบขึ้น แต่มีคนไม่น้อย
นิ่งอยู่ เหมือนว่าจะเดาอะไรได้
“คนร้ายตัวจริงที่ลงมือสังหารคนของเกาะพันใบ
น่าจะดูเหมือนซ่งหลิน แต่ไม่ใช่ซ่งหลินตัวจริง แต่
น่าจะปลอมตัวเป็นเขา หลอกศิษย์พี่ของเจ้า” ฉีหนิง
พูดว่า “ก็เพราะการตายของประมุขพรรคนก
กระเรียนฟ้า อีกฝ่ายอาศัยวิชาของสำนักหลูหยาง
เป่าสังหารประมุขพรรคนกกระเรียนฟ้า ใส่ร้ายพวก
เขา เพื่อยุให้ภายในเกิดการแตกแยก”
“วิชาแปลงโฉม” เซวียนหยวนผ่อเดินขึ้นหน้ามา
แล้วพูดว่า “มีคนลอบเข้ามาในค่าย ใช้วิชาแปลง
โฉม ปลอมเป็นซ่งหลิน สังหารคนของเกาะพันใบ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 424 เงาปีศาจ
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเซวียนหยวนผ่อ ก็เหมือน
จะมองไปที่คนข้างๆ ของตัวเอง จากนั้นก็เริ่ม
กระจายตัวเว้นระยะกัน
เจ้าพันธมิตรกระบี่ทองจูเกอชางถิงก็พลันสะดุ้งตกใจ
แล้วพูดว่า “หากมีคนใช้วิชาแปลงโฉมจริง ตอนนี้ก็
น่าจะยังอยู่ในค่าย ทุกคนรีบไปหาตัวมันให้เจอ อย่า
ให้มันหนีไปได้”
ในเวลานี้มีคนกระจายตัวแยกไปไม่น้อย เริ่มออก
ตามหาคน
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะขึ้นมา “แปด
พรรคสิบหกสำนัก อาหารชั้นดีชัดๆ ซีเหมินแห่งจวน
เสินโหว ยุทธภพมีแต่เสือป่วยๆ...”
เสียงนี้ดังมาอย่างกะทันหัน เต็มไปด้วยการประชด
ประชัน ทุกคนไม่มีใครรู้ว่ามันดังมาจากทางไหน
และใครเป็นคนพูด
เซวียนหยวนผ่อกระโดดขึ้นไปอย่างรวดเร็วราวกับ
ลิง จากนั้นก็พุ่งเข้าไปที่กลุ่มคน ยื่นมือเข้าไป เขาลง
มืออย่างรวดเร็ว แล้วจับไปที่คอเสื้อของคนๆ หนึ่ง
หลายคนเห็นฝีมือของเซวียนหยวนผ่อ ต่างตกใจ
และชื่นชม
ฉีหนิงไม่เคยเห็นฝีมือของเซวียนหยวนผ่อมาก่อน
แต่ตอนนี้เห็นเขารูปร่างกำยำล่ำสัน แต่เวลาลงมือ
กลับคล่องแคล่วว่องไว รวดเร็วดังสายฟ้า ตอนนี้ถึง
ได้รู้แล้วว่า วรยุทธ์ของเซวียนหยวนผ่อไม่ธรรมดา
เลย ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะเป็นหัวหน้าของเจ็ดดาว
ไถของจวนเสินโหว
คนที่ถูกจับคอเสื้อสะดุ้งตกใจ แล้วพูดว่า “เซวียน
หยวน...เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย...”
เซวียนหยวนผ่อปล่อยมือ ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงหัวเราะดังมาอีก “จวีเหมินเซี่ยวเว่ย เทียบไม่ได้
กับขี้สุนัขเลย น่าเสียดายจริงๆ เลย”
จากนั้นฉีหนิงก็เห็นจูเกอชางถิงพุ่งตัวออกไป ฝีมือ
ของเขาก็รวดเร็วไม่แพ้เซวียนหยวนผ่อเลย กระบี่
นำหน้า คนกับกระบี่แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เขา
พุ่งเข้าไปท่ามกลางฝูงชน
“เพลงกระบี่เจี้ยนเฟิง” ทุกคนต่างตกใจ
จูเกอชางถิงพลิ้วไหวราวกับวิญญาณ พริบตาเดียวก็
เข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้ว คนอื่นเหมือนจะ
กระจายตัวออกไป แต่ก็มีช่องไม่มาก แต่ว่าจูเกอชา
งถิงกลับสามารถสอดแทรกไปตามช่องแคบได้ เมื่อ
ทุกคนดึงสติกลับมาได้แล้ว กระบี่ในมือของจูเกอชา
งถิงก็จี้เข้าไปที่คอหอยของคนๆ หนึ่ง
คนๆ นั้นหน้าซีด ยืนตัวแข็งทื่อ หน้าตาดูหวาดกลัว
จูเกอชางถิงจี้กระบี่แล้วถามด้วยความดุดันว่า “เจ้า
เป็นคนพูดใช่หรือไม่?”
“ไม่...ไม่ใช่ข้า...” คนๆ นั้นถูกกระบี่เฟิงเจี้ยนจี้มาที่
คอ ถึงแม้กระบี่ยังไม่แตะโดนผิวหนัง แต่ก็รู้สึกได้ว่า
มันหนาวเย็นไปถึงกระดูกมาก
ทุกคนได้ยินคนๆ นั้นพูด น้ำเสียงไม่เหมือนกับเสียง
ที่ได้ยิน ก็รู้ว่าจูเกอชางถิงน่าจะจับผิดตัว
จูเกอชางถิงเก็บกระบี่กลับไป
“แมลงตัวน้อยนิด ยังคิดจะมาบุกเขาเชียนอูหลิงอีก
หรือ ไม่ประเมินความสามารถของตัวเองเลยนะ”
ท่ามกลางความมืด เหมือนเสียงจะดังมาจากที่ไกลๆ
“ซีเหมินอูเหิงเจ้าเต่าหัวหด ส่งพวกพูดมากอย่าง
พวกเจ้ามาตายแท้ๆ ฮึ มีกี่คนที่ขึ้นเขามาแล้วได้กลับ
ลงไปบ้าง ที่เห็นก็มีแค่ศพเท่านั้นแหละ...”
ฉีหนิงได้ยินเสียงนั่น ก็ขมวดคิ้ว คิดในใจว่าคนๆ นี้มี
ความเร็วที่น่าตกใจมาก เมื่อครู่เสียงยังอยู่แถวนี้อยู่
เลย แต่ว่าพริบตาเดียว เหมือนจะไปไกลมากแล้ว
ศิษย์น้องหลันกับศิษย์น้องติ้งเจ้าหน้าที่จวนเสินโหว
ได้ยินเสียง ก็ไล่ตามไป เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ไม่
ต้องตามไป ระวังเจอแผนล่อเสือออกจากถ้ำ”
จูเกอชางถิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยว
เว่ย น่าจะเป็นเจ้าพวกปีศาจพรรคบัวดำลอบเข้ามา
ก็ได้”
“วรยุทธ์ของคนๆ นี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเราเลย”
เซวียนหยวนผ่อขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “วิชาตัวเบาของ
เขาร้ายกาจมาก...”
จูเกอชางถิงพูดว่า “ด้วยวรยุทธ์ของเขา แสดงว่า
จะต้องเป็นคนไม่ธรรมดาในพรรคบัวดำ หรือว่า...?”
เขาหยุดไปกลางคันและไม่พูดต่ออีก
เซวียนหยวนผ่อถามว่า “ท่านจะบอกว่าเจ้าลัทธิบัว
ดำ?” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น่าจะไม่ใช่ ยอดฝีมือ
ของพรรคบัวดำมีมาก เจ้าลัทธิบัวดำไม่จำเป็นต้อง
ออกหน้าเองหรอก อีกทั้งด้วยวรยุทธ์ของเจ้าลัทธิบัว
ดำ ไม่จำเป็นต้องใช้ลูกไม้แบบนี้แน่”
“หากไม่ใช่เจ้าลัทธิบัวดำ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นสี่
ภูตของพรรคบัวดำแน่” จูเกอชางถิงพูดว่า “ทูตทั้งสี่
ของพรรคบัวดำ ทั้งทูตพิษ ทูตหมอ ทูตราคี ทูต
วิญญาณ คนพวกนี้ลึกลับมาก วิชาตัวเบาล้ำเลิศ
เชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉม คล้ายกับภูตปีศาจใน
ตำนานมาก”
ประมุขหลงเกอพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ทูต
วิญญาณเจ้าเล่ห์มาก เขาเชี่ยวชาญการแปลงโฉม
สามารถแปลงโฉมเป็นใครก็ได้...” เขาหยุดไปและ
ขมวดคิ้วมุ่น แล้วไม่พูดอะไรต่อ
เพียงแต่ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของเขาก็ต่างเข้าใจ
อะไรขึ้นมาบ้างแล้ว
หากคนที่มาเป็นทูตวิญญาณจริง อีกทั้งเขายัง
สามารถแปลงโฉมเป็นใครก็ได้ คนในค่ายมีกว่าร้อย
คน หากเขาสามารถแปลงโฉมเป็นใครก็ได้ หากไม่
ทันระวัง ก็อาจจะถูกทำร้ายได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่
อันตรายมาก เพราะไม่ว่าใครก็อาจจะมีสิทธิตายได้
ในทันที
ตอนนี้แต่ละคนก็เริ่มระแวงกันไปหมด ยืนออกห่าง
จากคนข้างตัว ไม่ว่าใครก็มองออก ทูตวิญญาณลง
มือทีเดียว สามารถทำให้ทุกคนเกิดความ
หวาดระแวงอย่างรุนแรง หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้
ต่อไป ถือเป็นข่าวร้ายในการบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง
เลย
พรรคบัวดำได้เปรียบด้านพื้นที่ หากแปดพรรคสิบ
หกสำนักร่วมแรงร่วมใจกัน อาจจะเอาชนะในการ
บุกโจมตีเขาเชียนอูหลิงได้ แต่ว่าหากหวาดระแวง
กันขนาดนี้ เรื่องการบุกโจมตีก็จะยากขึ้นไปอีก
เซวียนหยวนผ่อนิ่งไป จากนั้นก็สั่งว่า “ศิษย์น้องห
ลัน สั่งให้คนสำรวจให้ทั่ว ทุกคนห้ามไปไหนมาไหน
คนเดียวเด็ดขาด อย่างน้อยต้องมีห้าคนขึ้นไป เพิ่ม
ความระวังให้มากขึ้น นอกจากนี้หากเจอใครน่า
สงสัย ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่ ต้องจับตัวไว้ทันที แล้วส่ง
ตัวให้จวนเสินโหวสอบสวน”
ภายในค่ายมีแต่คนของยุทธภพ มีคนมีฝีมือไม่น้อย
แต่ว่าพรรคบัวดำลอบเข้ามาแค่คนเดียว แปลงโฉม
ฆ่าคน อีกทั้งยังพูดจาประชดประชันอีก ไปมาไร้
ร่องรอย ทุกคนก็รู้สึกว่าเสียหน้ามาก ในใจแอบรู้สึก
ว่าพอพรรคบัวดำลงมือทีเดียวก็สามารถสร้างความ
วุ่นวายในค่ายได้มากขนาดนี้ หากบุกขึ้นไป ไม่รู้ว่า
จะอันตรายแค่ไหน
ทุกคนต่างก็สลายตัวไป แต่ละคนเพิ่มความ
ระมัดระวังมากขึ้น เซวียนหยวนผ่อสีหน้า
เคร่งเครียด ทุกคนกลับไปที่กระโจมใหญ่อีกครั้ง แต่
พอเดินไปแค่ครึ่งเดียว ฉีหนิงก็รู้สึกว่าผิดปกติ เขา
มองซ้ายมองขวา แล้วหยุดเดิน จากนั้นก็ถามว่า
“จั้นอิงอยู่ไหน?”
เซวียนหยวนผ่อและคนอื่นหยุดเดิน จากนั้นก็มองไป
รอบๆ
ก่อนหน้านี้ซีเหมินจั้นอิงยังอยู่ แต่หลังจากที่มีคนถูก
ฆ่า คนในค่ายก็เดินไปเดินมามากมาย ฉีหนิงคิดว่าซี
เหมินจั้นอิงอยู่ข้างๆ เขา ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ซีเหมินจั้น
อิงหายตัวไป
เซวียนหยวนผ่อสีหน้าเคร่งเครียด แล้วถามว่า
“ศิษย์น้องติ้ง พวกเจ้าเห็นศิษย์น้องเล็กหรือไม่?”
เจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวต่างมองหน้ากัน ฉีหนิง
ขมวดคิ้ว คิดในใจว่าในเวลาแบบนีซ้ ีเหมินจั้นอิง
น่าจะอยู่กับกลุ่มเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวถึงจะถูก
ไม่มีทางไปไหนเองแน่ ตอนนี้นอกจากศิษย์น้องหลัน
ที่ไปดำเนินการเรื่องเสริมการป้องกัน เจ้าหน้าที่ของ
จวนเสินโหวที่เหลือทั้งหมดก็อยู่กับเซวียนหยวนผ่อ
มีเพียงซีเหมินจั้นอิงเท่านั้นที่ไม่อยู่
“ศิษย์น้องติ้ง เจ้าไปดูสิว่าศิษย์น้องเล็กอยู่กับศิษย์
น้องหลันหรือไม่” เซวียนหยวนผ่อสั่งด้วยเสียงเบาๆ
ว่า “พวกเจ้ารีบออกไปหาดูรอบๆ ค่ายเดี๋ยวนี้ อย่า
ให้แตกตื่น”
ถึงแม้จะไม่ค่อยมีคนรู้ฐานะที่แท้จริงของซีเหมินจั้น
อิง แต่ก็พอจะรู้ว่ามีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงของจวนเสินโหว
ตามเซวียนหยวนผ่อมาด้วย หากเรื่องของเจ้าหน้าที่
ของจวนเสินโหวหายไปแพร่ออกไป อาจส่งผลต่อ
จิตใจของคนอื่นๆ ในค่าย
ฉีหนิงก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกัน เขากลับมาใน
กระโจมใหญ่ จูเกอชางถิงยิ้มแล้วพูดว่า “พรรคบัว
ดำส่งคนมา แสดงว่าต้องการให้พวกเราระแวง
กันเอง ลดกำลังใจของพวกเรา”
ประมุขจูเกอพูดว่า “ที่จริงแล้วพวกเขาก็ถือว่าทำ
สำเร็จนะ พวกเรายังไม่ได้บุกขึ้นเขาเลย ก็ตายไป
แล้วหลายคน ในใจของทุกคนจะต้องไม่สงบแน่”
“นั่นอะไร?” ฉีหนิงไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขา ใน
ใจของเขาเป็นห่วงซีเหมินจั้นอิงอย่างเดียว เขากวาด
สายตาไปทั่ว เห็นเสาภายในกระโจมมีมีดสั้นปักอยู่
ใต้มีดเหมือนมีผ้าผืนหนึ่ง เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปดึงมีด
ออกมา แล้วหยิบผ้าขึ้นมา บนผ้ามีรอยเลือดเปื้อน
อยู่
เซวียนหยวนผ่อกับจูเกอชางถิงเดินเข้ามา เห็นบน
ผ้าหยาบนั่นมีอักษรเลือดเขียนไว้
“ท่านพี่ราคีชอบสาวงาม วันนี้ขอยืมไปชื่นชมสัก
หน่อย ชื่นชมพอใจแล้วจะส่งคืนให้”
นอกจากประโยคนี้แล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
ฉีหนิงเครียดมาก เซวียนหยวนผ่อเห็นดังนั้นก็ตาโต
ทันที
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ดูท่าเจ้าปีศาจของพรรคบัว
ดำจะเป็นคนจับตัวไป...” จูเกอชางถิงสีหน้า
เคร่งเครียด “พวกเราต้องรีบบุกไปช่วยหรือไม่?”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกดังมาว่า “ศิษย์
พี่ใหญ่ ชุนเซิงหายตัวไปแล้ว”
“เข้ามา” เซวียนหยวนผ่อเสียงเข้มมาก เห็น
เจ้าหน้าที่จวนเสินโหวคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วพูดว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไปตามหาศิษย์น้องเล็ก ได้เดินผ่าน
ไปที่สำนักอู่หาง พบว่าคนที่เฝ้าชุนเซิงไว้ล้มกองกับ
พื้นหมด เหมือนถูกลอบจู่โจมจากด้านหลัง ชุนเซิง
เองก็หายตัวไป”
สำนักอู่หางก็แทบจะล่มสลายไปแล้ว เหลือเพียงชุน
เซิงที่เสียสติกลับมา เซวียนหยวนผ่อสั่งให้คนเฝ้าไว้
คิดว่ารอเขาได้สติค่อยไปสอบถามเขา แต่คิดไม่ถึง
เลยว่าเขาจะหายตัวไป
ประมุขหลงเกอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่า...ชุน
เซิงจะถูกจับตัวไปเหมือนกัน?”
“ไม่” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเราถูก
หลอกกันหมด ชุนเซิงไม่ใช่ชุนเซิงตัวจริง”
เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ คนอื่นก็เหมือนเข้าใจ
ขึ้นมา จูเกอชางถิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ที่แท้...เขา
ปลอมตัวเป็นชุนเซิงลอบเข้ามาในค่าย”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงพูดว่า “ชุนเซิงน่าจะตายอยู่บนเขา
แล้ว ทูตวิญญาณแปลงโฉมเป็นชุนเซิงเข้ามาในค่าย
จากนั้นก็ฆ่าคนไปอย่างต่อเนื่อง...” เขาพูดว่า “ชั่ว
ช้าจริงๆ”
จากนั้นก็ได้ยินด้านนอกมีเสียงร้อนรนดังขึ้น “ศิษย์
พี่ใหญ่ ศิษย์น้องเล็กถูกพวกมันจับตัวไปแล้ว”
เซวียนหยวนผ่อรีบเดินไปหา แล้วกระชากคนๆ นั้น
มา แล้วถามว่า “มันเรื่องอะไรกัน?”
คนๆ นั้นพูดว่า “ทางทิศตะวันตก มีคนเห็น...มีคน
เห็นคนแบกกระสอบใบหนึ่งไปทางนั้น คนๆ นั้น
บอกว่า ดูจากขนาดของกระสอบ ด้านใน...ด้านใน
น่าจะเป็นคน”
ฉีหนิงกับเซวียนหยวนผ่อมองหน้ากัน เซวียนหยวน
ผ่อถามด้วยน้ำเสียงที่ดุมากว่า “แล้วเหตุใดไม่ขวาง
ไว้?”
“แล้วรูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร?” จูเกอชางถิง
รีบถาม
คนผู้นั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คนๆ นั้นสวมหมวก
ปกปิดใบหน้า เขาแต่งตัวเป็นคนของจวนเสินโหว
เลยไม่มีใครกล้าขวางเขา”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 425 คมดาบออกจากฝัก
เซวียนหยวนผ่อเดิมทีเป็นคนไม่แสดงความรู้สึกทาง
สีหน้า แต่ในตอนนี้สีหน้าของเขาเคร่งเครียดผิดปกติ
ฉีหนิงมองเห็นอยู่ เขาเข้าใจความรู้สึกของเซวียน
หยวนผ่อดี
ในฐานะผู้สืบทอดของจวนเสินโหว เซวียนหยวนผ่อ
ก็ถือว่าเป็นที่พึ่งของทุกคน การบุกเขาเชียนอูหลิงใน
ครั้งนี้ ซีเหมินอู๋เหิงไม่ได้ออกหน้า แต่ให้ศิษย์คนโต
อย่างเซวียนหยวนผ่อมาแทน ในสายตาของใคร
หลายคน ก็มองว่าเหมือนเสินโหวกำลังจะถ่ายโอน
อำนาจให้กับเสินโหวคนใหม่แล้ว
ซีเหมินเสินโหวอายุก็มากแล้ว อีกทั้งหลายปีมานี้ ซี
เหมินเสินโหวเองก็ไม่ค่อยมายุ่งเรื่องภายในจวนเสิน
โหวแล้ว ส่วนมากมอบหมายให้เซวียนหยวนผ่อไป
ดำเนินการ ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี ว่านี่คือการถ่ายโอน
อำนาจของเสินโหว ที่เหลืออยู่ที่เวลาเท่านั้น
การบุกเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้ เป็นการเคลื่อนไหว
ครั้งใหญ่ในยุทธภพในรอบยี่สิบกว่าปี ซีเหมินอู๋เหิง
มอบหมายเรื่องนี้ให้กับเซวียนหยวนผ่อ ก็เหมือน
มอบโอกาสใหญ่ให้กับเซวียนหยวนผ่อ และก็เหมือน
การทดสอบบทบาทที่ยิ่งใหญ่ด้วย
หลายคนเชื่อว่า หากสามารถกวาดล้างพรรคบัวดำ
ได้สำเร็จ เซวียนหยวนผ่อก็น่าจะได้รับมอบตำแหน่ง
เสินโหวอย่างเป็นทางการแน่นอน
ศึกคราวนี้ สำหรับเซวียนหยวนผ่อแล้วสำคัญมาก
เพราะผลลัพธ์จะต้องชนะเท่านั้น
ดังนั้นการที่ซีเหมินอู๋เหิงสั่งรวบรวมกำลังพลแปด
พรรคสิบหกสำนัก มามากกว่าพันคน หลายคนคิด
ว่าเซวียนหยวนผ่อต้องชนะแน่ เมื่อไหร่ที่ชนะ ใน
ฐานะผู้นำ เซวียนหยวนผ่อก็จะเป็นคนที่สร้าง
ผลงานมากที่สุด ชื่อเสียงของเขาก็จะโด่งดังไปทั่ว
ยุทธภพ หากได้รับตำแหน่งเสินโหวในเวลาแบบนี้
มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่เรื่องนี้มันเกินกว่าที่เซวียนหยวนผ่อกับซีเหมิน
เสินโหวคาดเอาไว้มาก
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า ซีเหมินอู๋เหิงเหมือนจะมั่นใจ
ในศึกคราวนี้มาก เพราะกลุ่มยุทธภพที่แข็งแกร่ง
ที่สุดในต้าฉู่มารวมตัวกันหมด เพื่อกำจัดพรรคบัวดำ
เล็กๆ ก็เหมือนหมาป่ามาสู้กับเสือ ถึงแม้จะต้องมี
การสูญเสียไปบ้าง แต่อย่างไรก็ชนะแน่
ดังนั้นซีเหมินอู๋เหิงถึงได้กล้าส่งตัวลูกสาวมาฝึกฝน
เพราะอยากจะให้นางได้ประสบการณ์บ้าง
แต่ว่ายังไม่ทันจะบุกเข้าเขาเชียนอูหลิง ก็ถูกฆ่าไป
แล้วหลายคน ทำให้เกิดความวุ่นวายภายใน ลด
กำลังใจลงไปมาก ตอนนี้ซีเหมินจั้นอิงตกไปอยู่ในมือ
ของพรรคบัวดำอีก ลางร้ายมากกว่าดี ใน
สถานการณ์แบบนี้ เซวียนหยวนผ่อก็เหมือนตกอยู่
ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก
ภายในกระโจมเงียบไป
หลังจากนั้นไม่นาน เซวียนหยวนผ่อก็พูดขึ้นมาว่า
“พรุ่งนี้ฟ้าสาง พวกเราจะบุกขึ้นเขาเชียนอูหลิง
ทันที” ท่าทางของเขาเคร่งเครียดมาก เขาเดินไปที่
ริมโต๊ะ แล้วหยิบแผนที่ของเขาเชียนอูหลิงมา แล้วชี้
ไปที่แผนที่แล้วพูดว่า “ทางทิศตะวันออกมีทางเข้า
หกช่องทาง ตรงนั้นมีคนอยู่ประมาณหกร้อยคน
แล้วจะแบ่งออกเป็นหกทาง ทางละแปดสิบคน ส่วน
คนที่เหลือให้รออยู่ที่ตีนเขา หากทางใดทางหนึ่งเกิด
เรื่อง ให้รีบส่งคนเข้าไปช่วยทันที และยิงธนู
สัญญาณแจ้ง”
“เขาเชียนอูหลิงมีพื้นที่ซับซ้อน หากพวกเราบุกเข้า
ไปตอนกลางคืน พวกเราจะเสียเปรียบ” จูเกอชา
งถิงพยักหน้า “บุกขึ้นเขาช่วงกลางวัน น่าจะ
มองเห็นเส้นทางได้ เป็นประโยชน์กับพวกเรา
มากกว่า”
“หกเส้นทาง ท่านประมุขจูเกอหนึ่งช่องทาง ท่าน
ประมุขหลงเกอหนึ่งช่องทาง ท่านประมุขถ้ำตวนมู่
หนึ่งช่องทาง และ ท่านประมุขหยางหนึ่งช่องทาง”
เซวียนหยวนผ่อออกคำสั่ง “ข้าจะนำคนขึ้นไปเอง
หนึ่งช่องทาง ส่วนอีกช่องทางให้ทางศิษย์น้องหลัน
รับผิดชอบ ทั้งหมดหกช่องทาง เป้าหมายของพวก
เราคือยอดเขาเชียนอูหลิง นอกจากนี้ให้ส่งคนเร่ง
เดินทางไปแจ้งข่าวให้คนที่อยู่ในตำแหน่งอื่นทราบ
พรุ่งนี้พวกเราจะเริ่มบุกขึ้นเขาเชียนอูหลิง”
จูเกอชางถิงยกมือคำนับและรับคำ
“ท่านประมุขจูเกอ พวกท่านไปเตรียมตัวกันได้เลย”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ออกคำสั่งไป ใครบุกเข้าถึง
ยอดเขาเชียนอูหลิงได้ก่อน จะมีรางวัลให้อย่างงาม
นอกจากนี้ใครก็ตามที่สามารถสังหารคนของพรรค
บัวดำได้ จะได้รางวัลตามที่ได้สังหารไป คนทั่วไป
ของพรรคหัวละห้าร้อยตำลึง หากสังหารทูตทั้งสี่
หรือเสวียนหยางไท่อิ่นได้ จะได้รางวัลเพิ่มเป็นสิบ
เท่า”
ฉีหนิงคิดในใจว่า หากทูตทั้งสี่รู้ว่าตัวเองมีค่าหัวห้า
พันตำลึง พวกเขาจะคิดยัอย่างไร
เขารู้ดีว่า เงินห้าพันตำลึงสำหรับขุนนางเศรษฐีมีเงิน
แล้วอาจจะไม่ใช่จำนวนที่มากเท่าไหร่ แต่สำหรับคน
ธรรมดาทั่วไปแล้ว มันเป็นเงินที่มากพอสมควรเลย
เพียงแต่ชาวยุทธ์พวกนีอ้ าจจะไม่ได้เห็นเงินทอง
สำคัญนัก
คนที่มาในคราวนี้ มาเพราะคำสั่งของจวนเสินโหวก็
จริง แต่ก็ยังมาพร้อมกับการสร้างชื่อเสียงให้กับ
ตัวเองด้วย
จวนเสินโหวเองก็เหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่กดทับ
ชาวยุทธ์ในยุทธภพอยู่ หลายปีที่ผ่านมา เหล่าชาว
ยุทธ์ไม่เคยต่อสู้กันเลย ในเมื่อเป็นอย่างนั้น วรยุทธ์
ของใครหลายคนเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้เลย
หลายคนฝึกวิชามาหลายปี วรยุทธ์ก้าวกระโดดไป
ไกล ไม่เคยบอกใคร อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้
แสดงฝีมือ ในใจก็รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ใน
ยุทธภพมากนัก เก็บซ่อนตัวมาหลายปี จู่ๆ ก็เหมือน
ได้โอกาสจากสวรรค์ คิดในใจกันว่าการบุกโจมตีเขา
เชียนอูหลิงในครั้งนี้จะต้องแสดงมันออกมาให้ทุกคน
ตกใจให้ได้
หากศึกคราวนี้สามารถสังหารยอดฝีมือของพรรคบัว
ดำได้ ไม่เพียงสามารถสร้างชื่อในยุทธภพได้ ผลงาน
ในครั้งนี้ ก็อาจจะสามารถสร้างสัมพันธภาพกับจวน
เสินโหวได้ ขยายพื้นที่อำนาจของตัวเอง
หลังจากพวกของจูเกอชางถิงออกไปแล้ว เซวียน
หยวนผ่อหันไปพูดกับฉีหนิงว่า “โหวเยว่ พวกเราบุก
ขึ้นเขา ท่านรอพวกเราอยู่ด้านล่างก็ได้ ไม่ทราบว่า
ท่านเห็นอย่างไร?”
ฉีหนิงรู้ว่าเซวียนหยวนผ่อเป็นห่วงว่าหากเขาขึ้นเขา
ไปด้วย เกิดเป็นอะไรขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าจะกลับไป
อธิบายอย่างไร เขายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าอยู่ที่
เมืองเฉิงตู เดิมทีข้าจะสั่งให้จั้นอิงกลับเมืองหลวงไป
ก็ได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วข้าก็ยอมให้นางอยู่ต่อ หาก
ตอนนี้นางปลอดภัยดี ข้าจะอยู่ที่ตีนเขานี่ก็ได้ แต่
ตอนนี้นางถูกจับตัวไป ข้าจะอยู่ร้อนใจข้างล่างนี่
ไม่ได้หรอกนะ”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “โหวเยว่วางใจ จั้นอิงต้อง
ปลอดภัยแน่”
“หืม?” ฉีหนิงถามว่า “เหตุใดถึงคิดแบบนั้น?”
“ข้ากำลังสงสัยว่าที่ทูตวิญญาณลอบเข้าค่ายมา
เป้าหมายที่แท้จริงอาจจะไม่ใช่สร้างความวุ่นวายใน
ค่ายของพวกเรา” เซวียนหยวนผ่อพูดว่า
“เป้าหมายของพวกเขา น่าจะเป็นจั้นอิง”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า พวกเขาตั้งใจ
เข้ามาฆ่าคนในค่าย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของ
พวกเรา จากนั้นก็ฉวยโอกาสจับตัวจั้นอิงไปอย่างนั้น
หรือ?”
“ถูกต้อง” เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า “พรรคบัวดำ
ไม่มีทางไม่รู้เรื่องที่แปดพรรคสิบหกสำนักจะบุก
โจมตีเขาเชียนอูหลิง พรรคบัวดำมียอดฝีมือมากมาย
คิดว่าคงมีคนคอยจับตาความเคลื่อนไหวของจวน
เสินโหวแล้ว ข้าคิดว่าพวกเขาคงสงสัยฐานะของจั้น
อิง ดังนั้น...”
ฉีหนิงพยักหน้า “พวกเขารู้ฐานะของจั้นอิง ดังนั้น...
ก็เลยมาจับตัวจั้นอิงไป คิดอยากจะใช้จั้นอิงเป็นตัว
ประกัน?”
“จั้นอิงอยู่ในมือของพวกเขา เท่ากับว่าในมือพวก
เขามีทางรอดเพิ่มขึ้น” เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “หาก
ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน พวกเขาสามารถนำ
ตัวจั้นอิงมาต่อรองได้ หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาจะ
ไม่มีทางทำอะไรจั้นอิงแน่”
ฉีหนิงเหมือนจะใช้ความคิด แล้วพูดว่า “หากเป็น
อย่างนั้นจริง ตอนนี้พวกเขาน่าจะยังไม่ทำอะไรจั้น
อิง” เขาถามว่า “หากท่านเสินโหวรู้เรื่องนี้แล้ว จะ...
จะยุติการโจมตีเขาเชียนอูหลิงหรือไม่?”
เซวียนหยวนผ่อส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นิสัยท่านเสิน
โหวข้ารู้ดี เรื่องอะไรที่ตัดสินใจไปแล้ว ก่อนที่จะ
เกิดผล ไม่มีทางรามือแน่ อีกทั้งครั้งนี้ได้ประกาศ
สัญญาเลือดไปแล้ว ชาวยุทธ์เองต่างก็เดินทางกันมา
หมด หากยุติเรื่องนี้กลางคัน จวนเสินโหวเองก็ไม่รู้
จะไปอธิบายให้พวกเขาเข้าใจอย่างไร” เขาหยุดไป
ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราทำได้
ในตอนนี้ก็คือ ต้องทำทุกอย่าง เพื่อบุกขึ้นไปถึงยอด
ฐานของพวกมันให้ได้ หากสามารถขึ้นไปที่นั่นได้
พรรคบัวดำจะต้องเอาตัวจั้นอิงมาเจรจากับพวกเรา
แน่ พวกเราเองก็สามารถเจรจาเงื่อนไขกับพวกมัน
เหมือนกัน”
ในคืนนี้บรรยากาศทุกอย่างอยู่ในการเตรียมตัว
การบุกโจมตีแยกออกเป็นหกช่องทาง ฉีหนิงยืนยัน
ว่าจะขึ้นเขาไปด้วย เซวียนหยวนผ่อเลยให้เขาไปกับ
ศิษย์น้องหลัน อีกทั้งยังเพิ่มจำนวนคนในช่องทางที่
เขาไปอีกยี่สิบคน เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยกับฉี
หนิง
ถึงแม้ทูตวิญญาณจะบุกเข้ามาก่อกวนภายในค่าย
แต่เรื่องที่ซีเหมินจั้นอิงถูกจับตัวไปจะแพร่ออกไป
ไม่ได้เด็ดขาด เพราะต่างก็เป็นชาวยุทธ์ ถึงแม้
กำลังใจจะลดลงไปเพราะทูตวิญญาณเข้ามาก่อกวน
แต่เพราะพวกเขาเป็นคนของแปดพรรคสิบหกสำนัก
ยอดฝีมือทั้งนั้น ทุกคนสามารถสงบใจลงมาได้
การบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง เป็นโอกาสการสร้าง
ชื่อเสียงที่ดีมาก ทุกคนต่างเตรียมพร้อมแสดงฝีมือ
อย่างเต็มที่
พวกเขาท่องยุทธภพกันมานาน ลวดลายในยุทธภพ
มีมากมาย เรื่องนี้แทบจะไม่ต้องเตือนกัน เซวียน
หยวนผ่อสั่งแค่ให้ระวังตัวให้มาก เป้าหมายอย่าง
เดียวก็คือฐานที่อยู่บนยอดเขา เรื่องอื่นเขาไม่ได้
กำชับอะไรมากอีก
ฟ้าเริ่มสาง ฉีหนิงเงยหน้ามองไป เห็นบนเขาเชียน
อูหลิงมีเมฆหมอกหนามาก แทบจะไม่สลายไป
เพราะเข้าใกล้เขาเลย
การบุกโจมตีแยกออกเป็นหกช่องทาง นอกจาก
ช่องทางที่ฉีหนิงไปที่มีคนกว่าร้อยคนแล้ว อีกห้า
ช่องทางมีช่องทางละแปดสิบคน ส่วนศิษย์น้องติ้งนำ
คนกว่าอีกร้อยคนรออยู่ที่ตีนเขา เพื่อเป็นกำลังเสริม
คนในแต่ละช่องทางเองก็ไม่ได้กระจายตัวออกไป
โดยพลการ
คนในยุทธภพ ฝึกวรยุทธกันมาหลายแขนงต่างกันไป
เชี่ยวชาญในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน บางคน
เชี่ยวชาญเพลงหมัดมวย บางคนเชี่ยวชาญเพลงดาบ
เพลงกระบี่ บางคนเชี่ยวชาญการใช้อาวุธลับ ดังนั้น
ในการบุกขึ้นเขา คนที่เชี่ยวชาญด้านอาวุธจึงเป็นทัพ
หน้า ตรงกลางจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านอาวุธลับ
ส่วนคนที่เชี่ยวชาญเพลงหมัดมวยจะอยู่ท้ายสุด
ฉีหนิงไม่เปิดเผยฐานะ ตลอดเส้นทางก็มีศิษย์น้องห
ลันเป็นผู้นำ
เส้นทางของเขาเชียนอูหลิงอันตรายมาก หลังจาก
แยกออกเป็นหกช่องทางแล้ว ฉีหนิงตามมากับขบวน
ของศิษย์น้องหลัน เดินขึ้นเขาไปตามแผนที่วางไว้
ชาวเหมียวเชี่ยวชาญการใช้พิษ ดังนั้นในแต่ละ
ช่องทาง ก็จะมียอดฝีมือด้านยาพิษติดตามไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีการปรุงยารักษาต่างๆ ติดไปด้วย
ถึงแม้ฉีหนิงจะมีท่าเท้าท่องคลื่นอันพิสดาร อีกทั้งยัง
มีกำลังภายในที่กล้าแข็งมาก ที่เทียบได้กับยอดฝีมือ
ชั้นสูง ด้วยกำลังภายในที่เขามี ก็เหมือนยอดฝีมือคน
หนึ่งในยุทธภพ อีกทั้งเขายังมีวิชาฝ่ามือดันภูเขาติด
ตัวด้วย แต่ว่าฉีหนิงก็รู้ดีว่า หากเจอศัตรูจริงๆ วิชา
พวกนี้ก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้เขาปลอดภัยได้
เขาเองก็มีเพลงกระบี่ไร้นามที่เขามั่นใจมาก ก่อนที่
จะขึ้นเขา เขาเลยขอกระบี่เล่มหนึ่งมาจากเซวียน
หยวนผ่อ ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับกระบี่ผีหลู แต่ก็คม
กริบ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาเลย
เมื่อมีกระบี่ติดตัว ฉีหนิงก็มั่นใจในตัวเองมากขึ้น
เพื่อความปลอดภัย ก่อนที่ทัพใหญ่จะบุกขึ้นไป มี
การสั่งให้สายสืบสองคนออกไปสำรวจเส้นทางก่อน
แต่ไม่ได้ห่างกันมาก ส่วนคนอื่นเองก็ระวังตัวกันมาก
หลายคนเป็นคนที่ท่องยุทธภพมานาน กับดักอะไร
แปลกๆ ก็พอจะมองออก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 426 เด็กน้อยบนเขา
เส้นทางบนเขาคดเคี้ยวมาก มันแทบจะไม่ใช่
ทางเดินของถนน ถึงแม้แต่ละคนจะท่องยุทธภพกัน
มานาน เจออะไรกันมาก็มาก แต่ว่าบนเขาอันตราย
แบบนี้ก็ไม่ได้เจอกันบ่อย
เดินขึ้นเขากันมาประมาณสองชั่วยาม ยังไม่ทันถึง
กลางเขาเลย หมอกก็ยังหนาอยู่ ทำให้ไม่เห็นว่ายอด
เขานั้นอยู่ที่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายอดมันสูงแค่ไหนด้วย
ฉีหนิงกำลังภายในแก่กล้า เลยไม่รู้สึกเหนื่อยมาก
เห็นหมอกหนา อีกทั้งยังมีสีเทาปกคลุมด้วย มัน
เหมือนหมอกพิษมาก
เดิมทีทุกคนคิดว่าการขึ้นเขาบุกโจมตี พรรคบัวดำคง
จะสร้างกับดักไว้ แต่ว่าเดินมาสองชั่วยามแล้ว ไม่
เจอใครเลย อีกทั้งกับดักอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น
การจะสร้างกับดักที่นี่มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ทุก
คนต่างระวังตัวกันมาก แต่กลับผ่านมันมาโดยง่าย
บนเขา เงียบมาก แม้แต่เสียงนกหรือสัตว์ป่าสักตัวก็
ไม่ได้ยิน
เดินมาอีกหนึ่งชั่วยาม ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ไม่รู้ว่า
เพราะหมอกบนเขาหนามาก อากาศมันเลยเหมือน
อึมครึมทั้งวัน
เดินไปเดินมา ฉีหนิงก็เริ่มรู้สึกว่ามีหมอกวนรอบตัว
แต่ว่าหมอกนี้บางมาก คนกว่าร้อยคนเริ่มรู้สึกว่ามอง
เห็นชัดขึ้น
ศิษย์น้องหลันพูดว่า “เดินขึ้นไปอีก หมอกตรงนี้หนา
มาก ทุกคนต้องระวังตัวให้มาก ตรงนี้อาจมีคนของ
พรรคบัวดำลอบจู่โจมได้”
มีคนคิดในใจว่า ตลอดทางที่ผ่านมาไม่มีใครมาขวาง
เลย ดูท่าทางแล้วคนของพรรคบัวดำคงกลัวจะ
สูญเสียมากเกินไป คงเพื่อเก็บกำลังความสามารถที่
แท้จริงเอาไว้ หมอกหนาวนรอบทั้งสี่ด้าน คนของ
พรรคบัวดำคุ้นเคยกับพื้นที่นี้ดี ยิ่งขึ้นไปสูง หากถูก
บดบังทัศนียภาพ พรรคบัวดำก็จะสามารถฉวย
โอกาสโจมตีได้ จะต้องระวังให้มาก
เส้นทางบนเขาเริ่มไม่เหมือนทางเดิน มันมีทั้งโขดหิน
ดินโคลนเต็มไปหมด ทุกคนเริ่มกระจัดกระจายมาก
ขึ้น ต่างคนต่างปีนป่ายขึ้นไป
หลังจากชีพจรของฉีหนิงทะลวงไปหมดทั้งสองเส้น
แล้ว กำลังภายในหมุนเวียนไปทั่วร่างกาย ร่างกาย
ของเขาเบาราวกับก้อนเมฆ ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับ
ยอดฝีมือที่แท้จริง แต่ว่าการปีนเขาแบบนี้ ก็ไม่ทำให้
เขาเสียแรงมาก
บางคนในกลุ่มวิชาตัวเบาล้ำเลิศ เคลื่อนไหวได้อย่าง
ว่องไว ปีนป่ายได้ราวกับลิง
เป้าหมายของทุกคนคือการกวาดล้างพรรคบัวดำ
แต่ว่าก็ยังอยากจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองด้วย ใน
เวลานี้ทุกคนต้องการแสดงความสามารถ เลยไม่มี
ใครยอมใครเลย
ในเวลานี้เห็นคนที่มีวิชาตัวเบาสิบกว่าคนกระโดดขึ้น
เขาไปอย่างกับฝูงลิง รวดเร็วว่องไว ถือว่าได้แสดง
ความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ
ฉีหนิงเองก็เห็น ในใจก็คิดว่าที่จวนเสินโหวเรียกรวม
พลชาวยุทธ์ ก็มีคนที่ร้ายกาจอยู่เหมือนกัน
เพราะแต่ละพรรคแต่ละสำนักต่างคัดเลือกที่คนที่มี
ฝีมือมา เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับสำนักและพรรค
ของตัวเอง การมาในครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะมียอดฝีมือร้าย
กาจทั้งหมด แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการรวมยอดฝีมือที่
มากที่สุดครั้งหนึ่ง
ฉีหนิงถึงแม้จะปีนเขาได้โดยไม่เหนื่อย แต่เมื่อเทียบ
กับวิชาตัวเบาสิบคนนั้นแล้ว ยังห่างชั้นมาก
จากนั้นก็ได้ยินคนพูดขึ้นมาว่า “ใคร?”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังลอยขึ้นมา ทุกคนก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคน
พูด ต่างก็เริ่มระวังตัวกันมากขึ้นไปอีก จากนั้นก็ได้
ยินศิษย์น้องหลันพูดขึ้นมาว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ตรงนั้นมีคน” คนด้านหน้าพูด “จะต้องเป็นคนของ
พรรคบัวดำแน่ ล้อมเขาเอาไว้ก่อน”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าหรือว่าพรรคบัวดำ
จะฉวยโอกาสนี้ลอบโจมตีจริงๆ? ตอนนี้ถึงแม้หมอก
รอบตัวจะไม่ได้หนามาก แต่ว่ามองไปแล้วก็ยังมัวอยู่
เหมือนกัน
สายตาการมองของฉีหนิงก็ไม่ได้แย่ ยังพอจะ
มองเห็นเงาของคนอีกฝ่าย จากนั้นก็เหมือนจะได้ยิน
เสียงร้อง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า “จับได้
แล้ว แย่ชะมัด แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง”
หลายต่อหลายคนรีบเดินขึ้นหน้าไป ฉีหนิงรีบปีนขึ้น
ไป พลิกตัวข้ามโขดหินไป ด้านหน้าสว่าง
ค่อนข้างมาก มันเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่มากอยู่
หลายคนไปรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น เขาเหลือบไป
มองเห็นศิษย์น้องหลันก็รีบไปตรงนั้นเช่นกัน เมื่อเข้า
ไปใกล้ ก็เห็นมีคนห้าหกคนกำลังล้อมคนๆ หนึ่ง
เอาไว้อยู่
เงานั่นเหมือนนั่งยองๆ ลงกับพื้น มองเห็นได้ไม่ชัด
มาก เขาเดินเข้าไปใกล้อีก ถึงได้รู้ว่าเงานั้นเป็นเด็ก
คนหนึ่ง
เด็กคนนั้นรูปร่างผอมโซ สวมเสื้อผ้าสีเทาหยาบ บน
หัวไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว เขานั่งลงอยู่กับพื้น และ
กอดเข่าเอาไว้ เขาก้มหน้าลง เหมือนจะรู้สึกกลัว
มาก
“ฮึ ที่แท้ก็เด็กที่ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นเอง” ด้านหลังมี
คนเดินเข้ามาอีกสิบกว่าคน พวกเขามองไปที่เด็ก
น้อย มีคนด่าว่า “บนเขามีแต่พวกของพรรคบัวดำ
ทั้งนั้น ฆ่าเขาซะก็หมดเรื่อง”
“เงยหน้าขึ้นมา” มีคนพูดว่า “ไอ้ตัวแสบ เจ้าเป็น
ใคร?”
เด็กน้อยนั่นเงยหน้าขึ้นมา ทุกคนเห็นหน้าเขาชัด
มาก เด็กคนนี้อายุแค่เจ็ดแปดขวบเท่านั้น หน้าตา
น่ารัก แต่ว่าตาซ้ายเหมือนจะปิดสนิท มองเห็นแค่
ตาขวาข้างเดียว
ทุกคนมองหน้ากัน ก็รู้สึกแปลกใจ
ศิษย์น้องหลันมองแล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใด
ถึงมาอยู่ตรงนี้?”
เด็กน้อยคนนั้นกะพริบตาปริบๆ เหมือนตกใจเพราะ
คนที่อยู่รอบๆ อาวุธพร้อมมือ เขาตกใจมาก ไม่กล้า
พูดอะไรเลย
ศิษย์น้องหลันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ยิ้มแล้วพูดว่า
“เด็กน้อย เจ้าไม่ต้องกลัวนะ พวกเราไม่ใช่คนเลว
เจ้าอยู่บนเขานี้หรือ?”
เด็กคนนั้นยังคงเหม่อลอย ไม่พูดอะไร
มีคนข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “ที่นี่ขนาดเราเดินขึ้นมายัง
เหนื่อยมาก เด็กตัวแค่นี้ ไม่มีทางปีนขึ้นมาเองได้แน่
จะต้องเป็นฝีมือของคนของพรรคบัวดำแน่” เขา
เดินหน้าขึ้นมา แล้วเอาดาบพาดไปที่บ่าของเด็กน้อย
แล้วตะคอกว่า “เจ้าตัวแสบ ถ้ายังไม่พูดอีก ข้าจะฆ่า
เจ้าซะ”
ฉีหนิงเห็นสายตาของเด็กคนนั้นหวาดกลัวมาก เขาก็
พูดขึ้นมาว่า “หยุดนะ” เขาเดินแทรกตัวออกมา
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เก็บดาบของเจ้าซะ”
คนๆ นั้นเห็นฉีหนิงแต่งกายด้วยเครื่องแบบของจวน
เสินโหว เขาขมวดคิ้วแล้วเก็บดาบไป
ไม่มีใครรู้ฐานะของฉีหนิง แต่ศิษย์น้องหลันรู้ ก็ไม่พูด
อะไร เห็นฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
อยู่บนเขานี้หรือ? หลงทางใช่หรือไม่?”
เด็กคนนั้นพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า เขายกมือขึ้น
ชี้ไปที่ปากของตัวเอง จากนั้นก็ร้องว่า “อ่าอ่า” ทุก
คนถึงได้รู้ว่า เด็กคนนี้เป็นใบ้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้จักเส้นทางบนเขานี้หรือไม่?” คน
ข้างๆ ยิ้มแล้วถาม แล้วหยิบเงินออกมาจากตัว “เจ้า
พาพวกเราขึ้นเขา เงินพวกนี้จะเป็นของเจ้า”
เด็กคนนั้นมองมาที่เงิน จากนั้นก็นิ่งไป
ศิษย์น้องหลันนิ่งมาก จากนั้นก็ยื่นมือไปจับข้อมือ
ของเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นตกใจมาก ศิษย์น้องหลัน
ใช้นิ้วตรวจชีพจรของเด็กคนนั้น จากนั้นก็ปล่อยมือ
“เขาไม่มีกำลังภายในอะไรเลย ไม่มีทางปีนขึ้นมาถึง
ที่นี่ได้ แสดงว่าใกล้ๆ นี้จะต้องมีทางเดินแน่ ทุกคน
ลองหาดู” เขาพูดเสริมมาอีกคำว่า “จะต้องระวังให้
มาก”
ตอนนี้ทุกคนแบ่งออกเป็นกลุ่มละห้าคน ออกสำรวจ
หาเส้นทางไปรอบๆ ไม่นานนัก ก็มีคนกลับมาพูดว่า
“ตรงนั้นมีทางเดิน แต่มันแคบมาก อาจเป็นทางขึ้น
เขาก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ศิษย์น้องหลันพูดด้วยน้ำเสียงที่
จริงจังว่า “ถึงแม้มันจะเล็ก ก็ต้องระวังการถูกซุ่ม
โจมตี”
“เด็กคนนี้ต้องเป็นลูกของคนในพรรคบัวดำแน่” มี
คนพูดขึ้นมาว่า “วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือมาเจอพวกเรา
ที่นี่”
ทันใดนั้นก็ได้ยินคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ทุกท่าน เขา
อาจจะเป็นเด็กที่พรรคบัวดำจับมาก็ได้กระมัง?”
ศิษย์น้องหลันเงยหน้าขึ้น แล้วถามว่า “ท่านประมุข
ชิว หมายความว่าอย่างไร?”
คนที่พูดอายุประมาณห้าสิบปี เขาลูบเคราแล้วพูดว่า
“ข้าเคยได้ยินมาว่าพรรคมารบางพรรค มีการจับ
เด็กมาเพื่อฝึกวรยุทธ์ พรรคบัวดำถือว่าเป็นพรรค
มาร อาจเป็นอย่างนั้นก็ได้ พวกท่านก็เห็นดวงตา
ของเด็กคนนั้นบอดไปข้างหนึ่ง ชัดมากว่าถูกคนทำ
ร้ายมา อีกทั้งเขาก็พูดไม่ได้ หากไม่ได้เป็นมาตั้งแต่
เกิด ก็อาจจะถูกพิษจนกลายมาเป็นแบบนี้ก็ได้”
“ท่านประมุขชิวพูดมาก็มีเหตุผล” คนข้างๆ พูด
ขึ้นมาว่า “ทุกท่านยังจำพรรคพันธมิตรเจ็ดโลหิตได้
หรือไม่ ตอนนั้นในยุทธภพเองก็บอกว่าพวกเขาเป็น
พรรคมาร พวกเขาเลี้ยงนักฆ่าไว้มากมาย เพื่อ
รับจ้างฆ่าคน ข้ายังจำได้ว่า พรรคพันธมิตรเจ็ดโลหิต
มีการจับเด็กเล็กกับทารก เพื่อฝึกฝนนักฆ่าของพวก
เขา” เขาชี้ไปที่เด็กคนนั้นแล้วพูดว่า “เป็นไปได้
หรือไม่ว่าเด็กคนนี้จะถูกพรรคบัวดำจับตัวมา ถูก
ทรมาน คราวนี้พรรคบัวดำมัวแต่กังวลในการรับมือ
กับพวกเรา เด็กคนนี้เลยหนีออกมา?”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้แล้ว ทุกคนก็พยักหน้า รู้สึกว่า
ก็มีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน
อีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “พวกเราอย่าเพิ่งประมาท
เด็กคนนี้ไป ที่นี่คือบนเขาเชียนอูหลิง จะมีคนดีหรือ
อย่างไร ต่อให้เขาเป็นเด็กที่พรรคบัวดำจับตัวมาจริง
แต่ว่าอาจจะถูกกล่อมให้เป็นพวกไปแล้วก็ได้ เก็บ
เอาไว้อาจจะเป็นภัยได้ ข้าว่า ฆ่าเขาไปเลยจะ
ดีกว่า”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วย มีคนพูดว่า “ท่านประมุขชิวก็
แค่คาดเดา ข้าว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นคนของพรรคบัว
ดำมากกว่า แต่ว่าหลงทาง พรรคบัวดำไม่มีคนดีสัก
คน ฆ่าซะจะได้หมดเรื่อง”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหตุผลที่พวกเราโจมตี
พรรคบัวดำ เพราะพวกเขาวางยาพิษในเมืองหลวง
ทำร้ายชาวบ้าน เป้าหมายของจวนเสินโหว คือ
ต้องการนำตัวคนร้ายตัวจริงมารับโทษทางกฎหมาย
ต่อให้พรรคบัวดำจะมีความผิด แต่ว่าครอบครัวของ
พวกเขาไม่ควรถูกเชื่อมโยงไปด้วย”
ศิษย์น้องหลันพูดว่า “ถูกต้อง ทุกคนต่างเป็นชาว
ยุทธ์ฝ่ายธรรมมะ คนของพรรคบัวดำสมควรถูกฆ่า
แต่ว่าครอบครัวของพวกเขาไม่ควรเดือดร้อนไปด้วย
ถึงเวลานั้นพวกเราแค่จับครอบครัวของพวกเขา
เอาไว้ ทางจวนเสินโหวจะจัดการเอง”
ทุกคนเห็นฉีหนิงกับศิษย์น้องหลันที่เป็นคนของจวน
เสินโหวพูดแบบนี้แล้ว ก็ไม่กล้าที่จะเถียงอีก
หลังจากหารือกันแล้ว ทุกคนก็เดินไปตามทางเล็กที่
เจอ ทางตรงนั้นแคบมาก อีกทั้งด้านข้างยังมีโขดหิน
เต็มไปหมด แต่พวกเขาก็ยังคงส่งคนสำรวจเส้นทาง
ด้านหน้าก่อนเหมือนเดิม แล้วทุกคนก็เดินตามหลัง
ส่วนเด็กคนนั้นถูกนำตัวมาด้วย
พวกเขาเดินมาตามทางเดินอย่างระมัดระวัง ยิ่งสูง
หมอกยิ่งหนา เส้นทางที่มองเห็นก็สั้นลงเรื่อยๆ เข้า
ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ว่ารอบตัวยังหนาวอยู่ ยังดีที่พวก
เขาเป็นจอมยุทธ์ร่างกายแข็งแรง ซึ่งก็ทนไหว เมื่อ
เดินมาได้อีกหนึ่งชั่วยาม ก็ยังไม่เห็นคนของพรรคบัว
ดำสักคน แต่เส้นทางเดินกลับกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ด้านหน้ามีต้นสนเรียงเต็มไปหมด ด้านข้างมีโต๊ะ
เก้าอี้หิน พร้อมกับหมอกหนา ทำให้เหมือนดินแดน
พิศวงเลย
ทุกคนเดินเข้าไปตรวจสอบ รอบๆ ไม่มีเงาของใคร
เลยศิษย์น้องหลันสั่งให้คนนั่งพักกันก่อน จากนั้นก็
กินอาหาร ก่อนออกเดินทางมา ทุกคนได้พก
อาหารแห้งกันมา แม้แต่ฉีหนิงเองก็มีพกอาหารแห้ง
มา ศิษย์น้องหลันสั่งให้คนป้องกันไปรอบๆ ส่วนคน
ที่เหลือก็ให้นั่งพักกินอาหารใต้ต้นสน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 427 หมอกที่หนาทึบ
ฉีหนิงนั่งลงใต้ต้นสน ในใจก็นึกเป็นห่วงความ
ปลอดภัยของจั้นอิง
ถึงแม้เขาจะทะเลาะกับจั้นอิงทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
แต่ก็เป็นเพราะเขาอยากแกล้งนางเท่านั้น ในใจ
จริงๆ แล้วเขาก็รู้สึกดีกับซีเหมินจั้นอิงไม่น้อยเลย
ตอนนี้ซีเหมินจั้นอิงถูกจับตัวไป ถึงแม้เซวียนหยวน
ผ่อจะบอกว่าคนของพรรคบัวดำจะไม่กล้าทำอะไรซี
เหมินจั้นอิง แต่ว่าฉีหนิงก็ยังรู้สึกกลัวไม่น้อย
ทูตวิญญาณของพรรคบัวดำมาคนเดียวก็ทำให้ยอด
ฝีมือกว่าร้อยคนในค่ายวุ่นวายไปหมด อีกทั้งยังฉวย
โอกาสจับตัวซีเหมินจั้นอิงไปด้วย แสดงว่าพรรคบัว
ดำแข็งแกร่งมากจริงๆ
เขาเคยเจอทูตพิษชิวเฉียนอี้ของพรรคบัวดำ ชิ
วเฉียนอี้ในยุทธภพ ถือเป็นยอดฝีมือ หากทูตทั้งสี่วร
ยุทธ์เหมือนเขาทั้งหมด บวกกับเสวียนหยางไท่อิน
รวมถึงเจ้าลัทธิบัวดำที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร พวกเขา
อาศัยข้อได้เปรียบจากพื้นที่ ต่อให้จวนเสินโหวจะมี
คนกว่าพันคน แต่ก็อันตรายอยู่ดี
ข้างๆ ต้นสน เป็นหน้าผา แทบจะมองไม่ออกว่ามัน
ลึกแค่ไหน เพราะมีหมอกหนา
ฉีหนิงคิด แล้วหยิบขนมเปี๊ยะออกมา อากาศหนาว
มาก ทำให้เนื้อขนมแข็งไม่น้อย เขาเหลือบไปมอง
เด็กน้อยคนที่อยู่ข้างๆ ที่นั่งลงอยู่ใต้ต้นสน ไม่มีใคร
สนใจเขาเลย เขาเลยเดินไปหา แล้วยื่นขนมในมือให้
เขา เด็กน้อยคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา สายตาเหมือนจะ
ตกใจมาก
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เอาไปกิน ไม่ต้องกลัวนะ”
เด็กคนนั้นลังเลครู่หนึ่ง แล้วรับขนมมา ฉีหนิงนั่งลง
ข้างๆ เด็กคนนั้น เห็นใบหน้าของเขาน่ารัก แต่มี
บาดแผลที่น่ากลัวที่ตาข้างซ้าย ก็อดคิดไม่ได้ว่าใคร
กันนะที่กล้าลงมือโหดร้ายกับเด็กตัวแค่นี้ได้ลงคอ
หากเป็นคนของพรรคบัวดำที่ทำร้ายตาและทำให้
เขาพูดไม่ได้แบบนี้จริง ต่อให้พวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับ
การวางยาพิษในเมืองหลวง ก็ควรกำจัดทิ้ง
เขาเหมือนกำลังใช้ความคิด ทันใดนั้นเองก็เหมือนมี
คนมากระชากชายเสื้อเขา เขาหันหน้าไปมอง เด็ก
คนนั้นดึงชายเสื้อเขา เหมือนอยากจะพูดอะไร
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ เห็นเด็กคนนั้นยื่นมือชี้ไป ฉีหนิง
มองตามทางที่เขาชี้ เห็นตรงนั้นมีหมอกหนา มองไม่
เห็นอะไร ก็รู้สึกแปลกใจมาก เด็กคนนั้นลุกขึ้นมา
แล้วดึงเสื้อลากเขาไป ฉีหนิงไม่รู้ว่าเขาต้องการจะ
บอกอะไร ก็เลยลุกแล้วตามเขาไป
ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมาก แต่ก็ยังตามเขาไป คนรอบๆ มี
ไม่น้อยที่เห็นว่า เด็กคนนั้นดึงเสื้อของฉีหนิง ก็รู้สึก
แปลกใจ แต่ว่าเรื่องของเจ้าหน้าที่จวนเสินโหว ทุก
คนก็ไม่กล้าถามมากความ ก็ไม่มีใครสนใจ
เด็กคนนั้นพาฉีหนิงเดินไปประมาณสิบก้าว จากนั้น
ก็เห็นหินหน้าผาขวางเอาไว้ ฉีหนิงหันไปมอง ยังเห็น
กลุ่มคนกำลังกินอาหารกันอยู่ บางคนกำลังพูดคุย
กัน บางคนก็เดินสำรวจอยู่ ไม่มีใครสนใจที่จะมอง
มาทางนี้เลย ศิษย์น้องหลันมองมาบ้าง แต่ระยะมัน
ไกลพอสมควร อีกทั้งพอเข้าใกล้หิน หมอกก็บังตัว
ของศิษย์น้องหลันไปแล้ว มองได้ไม่ชัดเจน
เมื่อเขาก้มหน้าลง ก็เห็นเด็กคนนั้นชี้ไปที่กำแพงหน้า
ผา ฉีหนิงเดินไปเคาะ เห็นบนหน้าผามีภาพสลักอยู่
บนหน้าผา
เขารู้สึกแปลกใจมาก ทำไมเมื่อครู่ถึงมองไม่เห็น เขา
คงจะตาลาย เห็นภาพบนนั้นมันแปลกๆ มีใบหน้า
คนครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นกระดูก พอมารวมกันแล้ว
คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่ใช่
ภาพบนผนังหยาบมาก ไม่มีทักษะในการวาด แต่
กลับสื่อความหมายออกมาได้แปลกมาก
ฉีหนิงขยับเข้ามาใกล้ เขายื่นมือไปจับ บนมือของ
เขาเหมือนเปื้อนผงอะไรบางอย่างมาด้วย ภาพนี้
เหมือนสลักขึ้นได้ไม่นาน
เขารู้สึกสงสัยมาก ไม่รู้ว่าภาพนี้ต้องการสื่ออะไรกัน
แน่ กำลังคิดจะหันไปถาม ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าเอว
ของเขาเกิดอาการชาขึ้นมา เขาตกใจมาก จากนั้นก็
รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรทุบเข้าจากด้านหลัง ตาของเขา
เริ่มลาย แล้วมืดลง ถึงแม้ในใจจะรู้ว่าแย่แล้ว แต่ว่า
ปากของเขาส่งเสียงไม่ออก ขาของเขาอ่อนลง ทั้งตัว
ของเขากระโจนเข้าหาผนังหินผา จากนั้นเขาก็ไม่
รู้สึกตัว
ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฉีหนิงรู้สึกว่า
หนักหัวจนตื่นขึ้นมา เขาลืมตาขึ้น สะลึมสะลือ เขา
นอนอยู่บนโขดหินก้อนหนึ่ง
เขาแค่รู้สึกว่าเวียนหัวมาก เลยฝืนนั่งลง มองไป
รอบๆ เขาเห็นสระน้ำ น้ำในนั้นใสมาก ด้านบนมี
หมอกลอยอยู่ มันเย็นมาก
ฉีหนิงตกใจไม่น้อย อีกทั้งพอมองไปที่อื่น ถึงจะมี
หมอกหนา แต่ก็มองเห็นได้บ้าง หมอกพวกนั้น
เหมือนออกมาจากสระน้ำ เมื่อเทียบกับหมอกสีเทา
ก่อนหน้านี้ มันใสมาก รอบๆ ตัวเขาก็ไม่มีใครเลย
ศิษย์น้องหลันกับคนอีกกว่าร้อยคน หายไปไม่มี
ร่องรอย
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ อากาศที่หนาวเย็นสูดเข้าจมูก
และเข้าไปในร่างกายของเขา เขานั่งลงริมสระน้ำ
เขายื่นมือทั้งสองข้างลงไป น้ำเย็นเฉียบ เขานำน้ำ
นั่นมาล้างหน้า ตอนนี้เขามีสติขึ้นมากแล้ว จากนั้น
เขาก็ลุกขึ้น พบว่ารอบตัวเขามีแต่ผนังหน้าผา แทบ
จะมองไม่เห็นพระอาทิตย์เลย
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขาจำได้ว่าเดิมทีเขาตามคนกลุ่ม
ใหญ่ขึ้นเขามา แต่ตอนนี้เหมือนเขากลับมาโผล่อยู่
อีกที่หนึ่ง ที่ไม่คุ้นเคยเลย
เขาจำได้ว่าตอนที่เขาเข้าไปมองภาพที่ผนังหน้าผา
เหมือนว่าจะมีคนลอบทำร้ายเขาจากด้านหลัง
จากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แล้วสลบไปนาน
เท่าไหร่
ตอนนี้เขารู้สึกแปลกมาก ตามหลักแล้ว ตอนนั้นทุก
คนออกค้นหาไปทั่วแล้ว ก็ไม่เจอคนของพรรคบัวดำ
เลย แล้วคนของพรรคบัวดำจะมาลอบทำร้ายเขา
จากด้านหลังได้อย่างไร
อีกทั้งเดิมทีร่างกายเขาประสาทสัมผัสดีมาก อีกทั้งมี
กำลังภายในแก่กล้ามาก ทำให้สัมผัสอะไรได้
มากกว่าคนอื่น หากมีคนลอบทำลายจากด้านหลัง
จริง เหตุใดเขาถึงไม่รู้ตัวเลย ตอนนั้นชาวยุทธ์ตั้ง
มากมายก็อยู่ตรงนั้น ไม่มีทางไม่รู้สึก
ตอนนี้เขารู้แล้ว คนที่ลอบทำร้ายเขา วรยุทธ์ต้อง
แข็งแกร่งมากด้วย
ฉีหนิงส่ายหน้า คิดในใจว่าวรยุทธ์ของเขาธรรมดา
มาก ถึงแม้จะเจอเรื่องประหลาดหลายครั้ง ก็
สามารถผ่านมันมาได้ แต่ว่าหากเจอยอดฝีมือจริง
คงตายตั้งแต่ยังไม่เจอคู่ต่อสู้
เขาหันหลังกลับมา คิดจะหาทางออก ทันใดนั้นเองก็
เห็นเหมือนมีอักษรอยู่บนผนังหิน
ด้านซ้ายเขียนว่า “รอด” ด้านขวาเขียนว่า “ตาย”
อีกทั้งด้านข้างก็มีภาพของหัวลูกศร
ฉีหนิงมองไปทางซ้ายทีขวาที จากนั้นก็เข้าใจอะไร
ขึ้นมา
ทางซ้ายและขวามีทางเล็กๆ ทางหนึ่ง ท่ามกลาง
หมอก มีอักษรสองตัวบนผนัง แสดงว่ากำลังเตือนฉี
หนิงว่าทางซ้ายเดินไปจะรอด หากเดินไปทางขวาจะ
ตาย
เขายื่นมือไปจับตัวอักษร กลับกลายเป็นผุยผง เขา
ขมวดคิ้วแน่น อักษรสองตัวนี้ก็เหมือนเพิ่งจะสลัก
แต่ไม่เหมือนการสลักมาจากอาวุธหรือเครื่องมือ
ฉีหนิงรู้สึกสงสัยว่า ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสลักอักษร
เตือนเขา
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า คนที่สลักอักษร
พวกนี้ น่าจะเป็นคนที่ลอบทำร้ายเขา แต่ว่าคนที่
ลอบทำร้ายเขา กลับไม่ฆ่าเขา กลับส่งเขามายังที่
ประหลาดแบบนี้ อีกทั้งยังทิ้งคำเตือนไว้ให้ด้วย
แสดงว่ามันต้องมีอะไรแน่
เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
อากาศหนาวเย็นจับใจ ฉีหนิงรู้สึกหนาวขึ้นมาไม่
น้อย รู้ว่าที่นี่อยู่นานไม่ได้ เขาเดินไปทางซ้าย พอ
เดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็ขมวดคิ้ว คิดว่าอีกฝ่ายจะมาใจ
ดีบอกทางเขาได้อย่างไร หรือว่านี่จะเป็นหลุมพราง?
แต่ก็คิดอีกว่าอีกฝ่ายลอบทำร้ายเขาได้ จะฆ่าเขามัน
ก็ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ จะมาเสียเวลาวางแผนให้
เสียเวลาทำไม?
แต่ว่ามีอักษรนำทาง มันก็ทำให้ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ
ไม่น้อย เขาคิดไม่ออกเลยว่าเส้นทางตายนั้นมันจะ
เป็นอย่างไร? หรือว่าพอเดินเข้าไปแล้วจะมีกลไก
อะไรซ่อนอยู่?
นิสัยของฉีหนิง ยิ่งบอกให้เขาเดินไปทางรอด เขาก็
ยิ่งอยากรู้ว่าทางตายนั้นมันมีอะไร เขาเลยคิดจะเดิน
ไปทางตายดู ว่ามันจะมีอะไรแปลกประหลาดหรือไม่
หากเป็นที่อันตราย เดินกลับมาก็คงได้ หากออกไป
แบบนี้ เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็อดเดินไปทางขวาไม่ได้
บรรยากาศหนาวถึงกระดูก เขาอดไม่ได้ที่จะรีบเดิน
ไป เส้นทางนั้นแคบและคดเคี้ยวมาก เมื่อเดินมา
ระยะหนึ่ง ก็เหมือนไม่มีกลไกอะไรซ่อนอยู่ ก็แอบคิด
ในใจว่า หรือว่าคนนั้นตั้งใจหลอกให้กลัว
จากนั้นก็เดินไปอีกระยะหนึ่ง ด้านหน้าเป็นเส้นทาง
กว้าง เมื่อเดินตรงไป ก็เริ่มมืด ฉีหนิงระวังตัวมากขึ้น
คิดในใจว่าทางนี้จะมีกับดักอะไรหรือไม่ เมื่อเดิน
ออกมาจากทางนั้น หมอกก็กลับมาหนาอีกครั้ง แต่
อากาศหนาวก็ยังคงอยู่
เขาคิดในใจว่าหมอกพวกนี้เริ่มมีตอนกลางเขา ถ้า
อย่างนั้นตอนนี้ที่ที่เขาอยู่ก็น่าจะเป็นเลยกลางเขา
ขึ้นมาหน่อย ตอนนี้เขามองไม่เห็นอะไรเลย เลยไม่รู้
ว่าตัวเองนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง
ดังลอยมา เหมือนจะเป็นเสียงของผู้หญิง แต่ว่าได้
ยินไม่ชัดเท่าไหร่ ฉีหนิงหยิบมีดสั้นออกมาจาก
รองเท้า เขาซ่อนมีดสั้นไว้ในนั้น เพราะกลัวว่าหากมี
คนค้นตัวแล้วจะเจอ
จากนั้นเขาก็เดินไปตามเสียง แต่ว่าเสียงนั้นมัน
หายไปแล้ว ฉีหนิงขมวดคิ้ว เมื่อหันหลังกลับไปมอง
เห็นด้านหลังเขามีหมอกหนา ไม่เห็นเส้นทางที่เขา
เดินมา
เมื่อเสียงนั้นหายไป ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่าต้องเดินไปทาง
ไหน ฉีหนิงจำเป็นต้องคลำหาทางกลับไป แต่ว่าเขา
หามันไม่เจอแล้ว เขารู้สึกตกมาก เขาคลำหามัน
ท่ามกลางหมอกหนาอยู่นาน แต่ก็พบว่าเหมือน
ตัวเองอยู่ในพื้นที่ที่กว้างขวาง แต่ก็ไม่เจอทางเดิน
เลย
ในเวลานี้เขารู้ดีว่า เขากำลังหลงทางท่ามกลาง
หมอกหนาทึบ ตอนนี้แทบไม่รู้ทิศทางเลย
เขารู้สึกร้อนใจมาก หากหลงทางขึ้นมาจริงๆ ออกไป
ไม่ได้ ผลที่ตามมาเขาแทบไม่อยากคิดเลย เขา
อาจจะต้องตายอยู่ในนี้ก็ได้
ตอนนี้เขากลับนึกถึงว่า คนๆ นั้นบอกว่าทางนี้คือ
เส้นทางตาย อาจไม่ได้หมายความว่ามีกับดักอะไร
คิดว่าคงหมายถึงเมื่อเข้ามาแล้ว ก็จะต้องถูกขังอยู่ใน
นี้ก็ได้
ฉีหนิงเคยได้ยินมาว่า เขาเชียนอูหลิงอยู่ทางทิศ
ตะวันตก มีหมอกหนาทึบ ที่ไม่สลายไป หากเป็น
อย่างนี้ หมอกพวกนี้ก็จะลอยอยู่อย่างนี้ตลอดปี ไม่มี
ทางหายไปไหน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 428 หอคอย
เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าการเดินมั่วไปทั่วท่ามกลางหมอก
หนานั้นมันเสียเวลาเปล่า จึงตั้งสติ แล้วเดินตรงไป
ด้านใดด้านหนึ่ง ไม่แน่อาจจะพบทางออกก็ได้
ตอนนี้เขาไม่อยากคิดอะไรมากแล้ว เขากำมีดสั้น
ของเขาเอาไว้แน่น แล้วเดินไปตามความรู้สึกของเขา
เขาเดินไปท่ามกลางหมอกหนา ฉีหนิงเองก็ไม่รู้ว่า
เขาจะเดินไปถึงปลายทางตอนไหน เขาเดินอยู่นาน
มาก ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นผนังหน้าผาตรงหน้าของ
เขา เขารีบเดินไปด้านหน้า แต่ว่าผนังหินผากลับเป็น
ทางตัน ฉีนิงขมวดคิ้ว ด้วยความจนปัญญา เขาเลย
ต้องเดินย้อนกลับไปอีกทาง
เมื่อเดินผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ทันใดนั้นเอง
เขาก็รู้สึกผนังผานั้นมันยุบเข้าไป เขาก็รู้สึกแปลกใจ
มาก เมื่อมองไปดีๆ ก็เห็นว่ามันยุบเข้าไปเกือบเมตร
ราวกับว่ามันเป็นประตูหิน แต่ว่าบนผนังผานั้นไม่มี
รอยแยกเลย เขาจึงลองวัดดวงดู ใช้มือดันไปที่ผนัง
หิน ปรากฏว่ามันไม่ขยับเลย
เขาเก็บมือของเขากลับมา คิดในใจว่าหรือว่ามันจะ
เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ แต่ในใจลึกๆ ก็รู้สึก
แปลกใจไม่น้อย เขาจึงยืนตัวตรง เดินพลังลมปราณ
แล้วใช้มือซ้ายซัดเข้าไปที่ผนังหินอีกครั้ง ก็ยังคงไม่
ขยับเหมือนเดิม จากนั้นเขาก็ลองสลับมาใช้ข้างขวา
ดู เขารู้สึกว่าผนังหินเหมือนจะมีความเคลื่อนไหว
เล็กน้อย
ฉีหนิงรู้สึกดีใจมาก เขากำลังเครียดเรื่องหาทางออก
ตอนนี้เห็นว่าผนังหินแปลกๆ ความคิดแรกเลยคือ
ผนังหินอาจจะเป็นช่องทางเดียวที่เขาจะหนีออกไป
จากที่นี่ได้ เขาสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้
สองมือออกแรงดันอีกครั้ง เขารู้สึกว่ามันขยับ มัน
เป็นประตูหินอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย
ที่แท้ประตูหินนี่ก็ไม่ได้เป็นกลไกอะไรหรอก แต่หาก
ไม่ได้ใช้กำลังภายในที่มากพอ ก็จะไม่สามารถขยับ
มันได้เลย
หลังจากที่ฉีหนิงได้ฝึกพลังหกเทพประสานแล้ว ได้
ดูดกำลังภายในของมู่เสินจวินมา กำลังภายในของ
เขาแข็งแกร่งมาก ในยุทธภพเขาก็ถือเป็นยอดฝีมือ
คนหนึ่ง ฉีหนิงได้รับกำลังภายในของเขามา ก็ไม่ใช่
เรื่องธรรมดาอยู่แล้ว หลังจากนั้นเขาก็ได้ดูดของคน
อื่นๆ มาอีกมากมาย โดยเฉพาะของชิวเฉียนอี้ ที่ฉี
หนิงดูดมาไม่น้อยเลย ฉีหนิงก็ยังได้เคล็ดวิชาการเดิน
ลมปราณมาจากเซี่ยงเซียวเหยาด้วย ทำให้ตอนนี้
กำลังภายในของเขาไม่ธรรมดา ก็เพราะอย่างนี้ ถึง
ได้เปิดประตูหินนี้ได้
หลังจากที่ประตูหินถูกดันออกเป็นรอยแยก ฉีหนิง
ถึงได้เก็บมือกลับไป เมื่อสูดลมหายใจเขาลึกๆ ก็
ชะโงกหัวไปมองก่อน ภายในมืดมาก หลังจากที่เขา
เดินเข้าไปแล้ว ภายในไม่มีหมอกหนาอีก แต่เป็น
ทางเดินยาวเข้าไป
เขาเดินไปตามทาง รู้สึกว่ามันเป็นทางลาดลง ยิ่งเดิน
เหมือนจะยิ่งลงต่ำไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักก็มีทาง
บังคับให้เลี้ยวซ้าย ฉีหนิงแค่กังวลว่าที่นี่จะมีกับดัก
เขาระวังตัวมาก เมื่อเดินมาได้อีกระยะหนึ่ง ก็พบว่า
ทางเดินมันเป็นเกรียวหมุนลง ยิ่งเดินยิ่งแคบ จาก
ทางที่สามารถเดินได้สองสามคน ตอนนี้คนเดียวยัง
เดินได้ลำบาก
ก็ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน ฉีหนิงรู้สึกว่าเริ่มหายใจ
ลำบาก ยังดีว่าด้านหน้าเริ่มมีแสงสว่าง ในใจก็เริ่มดี
ใจ เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น สุดท้ายก็เดินออกจาก
ทางเดินได้แล้ว พอเดินออกมาจากทางเดินตรงนั้น
ก็รู้สึกว่าแสบตามาก แต่ก็พบว่ามันเป็นสวนดอกไม้
แห่งหนึ่ง
เขาเห็นต้นดอกเหมยต้นไผ่เต็มไปหมด ตั้งแต่ขึ้นเขา
มาแล้ว สิ่งที่เขาเห็นก็มีแต่หน้าผา อีกทั้งยังอยู่
ท่ามกลางหมอกหนา ตอนนี้ได้เห็นสิ่งสวยงาม ก็รู้สึก
สดชื่น เขามองไปรอบๆ ท่ามกลางต้นดอกเหมยต้น
ไผ่ มีภูเขาจำลองลูกหนึ่ง แต่รอบๆ ไม่มีคนเลย
ในสายตาถึงแม้จะเห็นว่ามันสวย แต่ว่าอากาศยังคง
หนาวยะเยือกอยู่
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าถึงแม้เขาเชียนอูหลิงจะอยู่ทาง
ทิศตะวันตก แต่ว่าตอนนี้ย่างเข้าเดือนสาม ตอนที่
อยู่เขาเชียนอูหลิงยังไม่รู้สึกหนาวขนาดนี้ แต่
หลังจากขึ้นเขามา อุณหภูมิทำไมถึงได้ลดลงขนาดนี้
ก็ไม่รู้ มันไม่ใช่ฤดูหนาว เขาจึงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่หนา
หากไม่ใช่เพราะร่างกายที่แข็งแรง หรือฝึกกำลัง
ภายในมา คงทนกับอากาศแบบนี้ไม่ได้แน่
เขาค่อยๆ เดินไปที่ภูเขาจำลองลูกนั้น ด้านหน้ามี
สระน้ำอยู่ เหมือนกับน้ำที่เขาเจอตอนที่เขาฟื้น
ขึ้นมาไม่มีผิด เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ใหญ่เท่านี้ ที่ฉีหนิง
ตกใจมากก็คือน้ำมันใสสะอาดมาก
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขาขยับเข้าไปใกล้ เห็นว่า
น้ำมันจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งแล้ว เขายื่นมือลงไป
ทดสอบความเย็น ฉีหนิงค่อยๆ เดินลงไป ซึ่งมัน
สามารถรับธารน้ำแข็งก็สามารถรับน้ำหนักของ
ร่างกายได้
ตอนที่เดินลงไป ฉีหนิงรู้สึกว่าเหมือนมันจะมีอะไร
ด้านล่าง เขาเลยนั่งยองลง แล้วมองไปภายในธาร
น้ำแข็ง
น้ำนี่สะอาดและใสมาก ต่อให้มันจับตัวจนเป็น
น้ำแข็งแล้ว แต่ก็ยังใสมาก มันไม่เหมือนน้ำแข็ง
ทั่วไป ที่เหมือนจับตัวเป็นก้อนแล้วก็จะมองไม่เห็น
อะไรเลย
เมื่อมองทะลุลงไป ฉีหนิงก็พบว่า ใต้สระที่ลึกลงไป
เหมือนกับมีกล่องใบใหญ่วางอยู่ ดูจากลักษณะแล้ว
เหมือนกับโลงศพ
แต่ในใจเขากลับรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่โลงศพ อีกทั้ง
วัสดุของโลงนั่นก็ไม่เหมือนกับไม้ มันเหมือนกับหิน
หยกมากกว่า
ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก คิดไม่ออกเลยเพราะโลงหินนี่
เหตุใดถึงได้มาอยู่ใต้สระแบบนี้ หรือว่ามันจะเป็นขุม
สมบัติอะไรหรือไม่ ถึงได้เอามาซ่อนไว้ตรงนี้ แต่ถูก
เขามาเจอเข้า?
เขารู้สึกว่าแปลกใจ คิดว่าจะทำลายน้ำแข็งนี่เอา
ขึ้นมาดูดีหรือไม่ แต่ว่าเขาก็เลิกคิดเรื่องนี้ไป
ด้วยกำลังภายในของเขา คิดจะทำลายธารน้ำแข็งนี่
ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่ในใจของเขารู้ดีว่า ที่นี่
น่าจะเป็นถ้ำๆ หนึ่ง เขาจะต้องไม่ตั้งใจบังเอิญมา
เจอสถานที่สำคัญของเขาเชียนอูหลิง ไม่แน่รอบๆ นี้
น่าจะมีคนอยู่ หากทำลายธารน้ำแข็งไปแล้ว เกิดมี
เสียงขึ้นมา จะต้องสะเทือนไปถึงคนอื่น ถึงเวลานั้น
อาจจะมีภัยก็ได้
สมบัติเป็นของดี แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้อันตราย
มาก การรอดไปจากที่นี่ได้สำคัญที่สุด
เมื่อเดินผ่านข้ามฝั่งมา ด้านหน้าก็เป็นป่าไม้ไผ่
ท่ามกลางป่าไม้ไผ่ มีดอกเหมยเป็นระยะๆ เขาเดิน
เข้าไปในป่าไม้ไผ่ ในนั้นมีทางแยกมากมาย เขาไม่รู้
เลยว่าควรจะเดินไปทางไหน ทำได้แค่เสี่ยงดวงเดิน
ไปทางหนึ่ง เดินไปได้ไม่ไกลมากนัก ก็มาถึงทางแยก
อีก เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง ฉีหนิงรู้แล้วว่า ป่าไผ่นี่
มันกว้างมาก อีกทั้งเส้นทางก็ยังตัดผ่านไปมา
ซับซ้อนมาก ก่อนหน้านี้เจอหมอกควันทำให้เสีย
ทิศทางไป ตอนนี้ถึงแม้จะไม่มีหมอกหนา แต่กลับมี
ป่าไผ่มาทำให้เสียทิศทางก่อน
ฉีหนิงรู้สึกเสียใจมาก หากรู้อย่างนี้ เดินไปทางรอด
แต่แรกก็หมดเรื่อง
เขาเดินอยู่อย่างนั้นประมาณเกือบครึ่งชั่วยาม ฉีหนิง
รู้สึกเหมือนเขาจะเดินวนกลับมาที่เดิม
ทันใดนั้นเองเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ คน
โบราณมีค่ายกลเขาวงกต หรือว่าป่าไผ่นี่จะเป็นค่าย
กลลับ?
เดินไปอีกระยะหนึ่ง ยิ่งเดินยิ่งทำให้ฉีหนิงมึนหัว เขา
แอบคิดในใจว่าเขาจะต้องมาตายที่นี่จริงๆ หรือ?
เมื่อเห็นเส้นทางในป่าไผ่ที่ลึกลับซับซ้อน ก็นึกไปถึง
แมงมุม
ตอนที่แมงมุมชักใย เมื่อเหยื่อติดกับ มันก็จะค่อยๆ
กินเหยื่อของมัน
ตอนนี้เขาถูกขังอยู่ในป่าไผ่ เหมือนแมงมุมกำลังล่า
เหยื่อ รอแมงมุมมากินเหยื่อของมัน? หากเขาไม่
สามารถออกไปจากป่าไผ่ได้ ไม่นานเขาก็จะถูกจับได้
ถึงเวลานั้นคงไม่ใช่เรื่องดี
สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก เขาไม่เดินไปตามทาง
แยกอีกแล้ว เขาเดินตรงไปเรื่อยๆ หวังว่าจะโชคดี
เหมือนตอนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา แต่ว่าทำแบบนี้
ก็ต้องเดินไปอีกกว่าครึ่งชั่วยาม ซึ่งยังคงมองไม่เห็น
ปลายทาง เขาแอบคิดในใจว่าป่าไผ่นี่น่าจะมีค่ายกล
แน่ หากไม่สามารถหาวิธีแก้ค่ายกลนี้ เกรงว่าชาตินี้
ก็คงออกไปไม่ได้แน่
แต่ว่าเขาไม่รู้เรื่องค่ายกลเลย อีกทั้งป่าไผ่นี่ก็ไม่
เหมือนค่ายกลทั่วไปด้วย ในเวลาสั้นๆ จะหาวิธีแก้
มัน ก็คงทำได้แค่ฝันไป
ขณะที่กำลังเครียดและหงุดหงิดอยู่นั้น ก็ได้ยิน
เสียงๆ หนึ่งดังมา มันเหมือนเสียงของผู้หญิง ฉีหนิง
ดีใจมาก รีบเดินไปตามเสียงนั่น พอเดินไปได้สิบกว่า
ก้าว เขาก็เห็นเงาของคนสองคนไม่ไกล เป็นผู้หญิง
ชาวเหมียวสองคน ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าของพวก
นาง แต่ว่าท่าทางของนางอ้อนแอ้น เสียงชัดเจน
แสดงว่าเป็นผู้หญิงแน่
หญิงทั้งสองนางถือถังน้ำคนละใบ เดินเรียงหน้าหลัง
ทะลุออกจากป่าไผ่ ระหว่างที่เดินก็พูดคุยกันไปมา ฉี
หนิงถึงแม้จะได้ยินเสียงชัด แต่ว่าพวกนางคุยภาษา
ท้องถิ่นกัน ซึ่งเขาฟังไม่ออกว่าพวกนางพูดอะไร
ฉีหนิงเคยได้ยินมาว่า พรรคบัวดำก่อตั้งโดยชาวเฮย
เหมียว แสดงว่าคนในพรรคส่วนมากต้องเป็นชาว
เฮยเหมียว แค่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้หญิงเข้าร่วม
พรรคบัวดำด้วย
ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าหญิงสองคนนี้เป็นคนของพรรค
บัวดำหรือแค่ครอบครัวของพวกเขา แต่ว่าเห็นพวก
นางสองคนเดินอยู่ในป่าไผ่ เขาก็รู้สึกดีใจมาก เขารู้
ว่าหากตามพวกนางไป จะออกจากป่าไผ่ก็ไม่ใช่เรื่อง
ยากแล้ว
เขาเดินเว้นระยะ เพื่อไม่ให้พวกนางรู้ตัว แต่ไม่กล้า
เว้นห่างมาก กลัวว่าจะคลาด เพราะมันจะกลายเป็น
เรื่อง
ครั้งนี้เดินไม่นานนัก เขาก็เริ่มเห็นแสงสว่าง เขาเดิน
ออกมาจากป่าไผ่แล้วจริงๆ ด้านนอกป่าไผ่เป็นแม่น้ำ
บนแม่น้ำมีหมอก หมอกของที่นี่ดูสดชื่นมาก กลาง
แม่น้ำ มีหอคอยที่ราวกับภาพวาดอยู่หลังหนึ่ง มัน
งดงามประณีตมาก มันอยู่ตรงกลางแม่น้ำ จากฝั่งถึง
ตรงนั้นมีสะพานไม้ไผ่พาดข้ามไป รอบหอคอยล้อม
ไปด้วยหมอก มันงดงามมากจริงๆ
หญิงชาวเหมียวทั้งสองคนเดินถือถังน้ำ ข้ามสะพาน
ไม้ตรงไปที่กลางแม่น้ำ
ฉีหนิงแอบตกใจ หอคอยกลางแม่น้ำ ที่งดงามราว
กับภาพวาด หมอกรายล้อม ราวกับดินแดนสวรรค์
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า บนเขาเชียนอูหลิง จะมีที่แบบ
นี้อยู่ด้วย
สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาตกใจก็คือหอคอยแห่งนี้มันเป็น
สิ่งก่อสร้างรูปแบบของชาวฮั่น ที่นี่มีชาวเฮยเหมียว
เป็นนายใหญ่ แล้วเหตุใดถึงมีสิ่งก่อสร้างแบบนี้ได้
ล่ะ?
ปาสู่อยู่ทางทิศตะวันตก อย่าว่าแต่สิ่งก่อสร้างแบบ
ชาวฮั่นเลย แม้แต่บ้านธรรมดาแบบชาวฮั่นยังไม่
ค่อยมีเลย ฉีหนิงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมาเจอหอคอย
ที่สวยมากขนาดนี้
ระหว่างที่เขาตกใจ เขาเห็นหญิงชาวเหมียวสองคน
นั้นถูกหมอกกลืนหายไปแล้ว เขากำมีดสั้นไว้แน่น
แล้วเดินออกมาจากป่าไผ่ เขามองไปรอบๆ อย่าง
ระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร เขาก็กัดฟัน จากนั้น
ก็รีบเดินไปที่ริมสะพานไม้ไผ่ เขาหยุดเดินก่อนจะ
ก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพานแห่งนั้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 429 โลกกลม
ฉีหนิงค่อยๆ เดินไปตามทางสะพานเดินไปยังกลาง
แม่น้ำ จากนั้นไม่นานเขาก็เข้ามาท่ามกลางหมอกอีก
ครั้ง ตอนนี้เขามองเห็นชัดแล้วว่า ที่กลางแม่น้ำนี้มี
เรือนสวยงามทั้งหมดสามหลัง ทั้งสามแห่งล้วนแต่มี
สะพานไม่ไผ่เชื่อมถึงกัน
ทางที่เดินมานั้นไม่ได้ยาวมาก จากนั้นก็ได้ยินเสียง
คนดังมาจากเรือนหลังหนึ่ง “ไม้อ่อนไม่ชอบชอบไม้
แข็งใช่หรือไม่ พวกเจ้าถอดเสื้อผ้าของนางออก
เดี๋ยวนี้”
ฉีหนิงสะดุ้งตกใจ เขารีบหลบไปใต้หน้าต่าง ที่
หน้าต่างมีช่องเปิดแง้มเอาไว้อยู่ ฉีหนิงแนบตัวชิด
กำแพง สายตาของเขามองรอดช่องตรงนั้นเข้าไป
เมื่อเขามองเห็นภายใน เขาถึงกับตกใจ แทบจะไม่
อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย
ภายในห้องมีเสาไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งมีคนถูกมัดติดเอาไว้
คนๆ นั้นคือซีเหมินจั้นอิง
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่า การที่เขาหลงไปหลงมา จะบุก
มาถึงที่นี่ อีกทั้งยังมาเจอซีเหมินจั้นอิงที่ถูกจับมา
ด้วย
บนเสาไม้เป็นรูปไม้กางเขน ซีเหมินจั้นอิงถูกตรึง
แขนออก เป็นรูปไม้กางเขน
ตรงหน้าของซีเหมินจั้นอิง มีเก้าอี้ใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอยู่
บนเก้าอี้มีคนนั่งอยู่ เก้าอี้ใหญ่มาก คนที่นั่งอยู่
เหมือนจะตัวเล็กๆ มันไม่เหมาะกันเลย
ฉีหนิงมองไป เขาก็จำได้ทันทีว่าคนที่อยู่บนเก้าอี้นั้น
ก็คือปีศาจน้อยอาเหน่า
โลกกลมจริงๆ ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าซีเหมินจั้นอิงจะ
ถูกปีศาจน้อยจับมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ปีศาจน้อยอาเหน่าถูกจวนเสินโหวจับที่
เมืองหลวง แล้วถูกชิวเฉียนอี้ช่วยออกมา ฉีหนิงยัง
จำได้ว่า คืนนั้นอาเหน่าถูกเขาทำร้าย หายใจโรยริน
ต่อมาชิวเฉียนอี้พาตัวนางกลับไป เป็นหรือตายก็ไม่รู้
ตอนนี้เห็นอาเหน่านั่งขัดสมาธิอยู่ที่เก้าอี้ ดูสดชื่น
มาก แสดงว่ายอดฝีมือของพรรคบัวดำคงมีมาก
จริงๆ อาการบาดเจ็บของปีศาจน้อยนี่ถึงได้หายเร็ว
ขนาดนี้
ภายในห้องนอกจากปีศาจน้อยอาเหน่าแล้ว ยังมี
สาวชาวเหมียวที่เจอก่อนหน้านี้สองคน ด้านหลัง
ของอาเหน่า มีชายรูปร่างใหญ่อีกสองคน หน้าตา
อัปลักษณ์ ฉีหนิงจำได้ พวกเขาคือต้ากุ่ยกับเสี่ยวกุ่
ยที่อยู่กับอาเหน่าในตอนนั้น
พออาเหน่าสั่ง ก็เห็นต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ยเดินขึ้นหน้าไป
พวกมันเดินไปข้างๆ ซีเหมินจั้นอิง ต้ากุ่ยยื่นมือที่มี
ขนหนาออกไป จับไปที่เสื้อของซีเหมินจั้นอิง คิดจะ
ฉีกมันออก ซีเหมินจั้นอิงตกใจมาก แล้วพูดว่า “อย่า
นะ...อย่ามาแตะต้องตัวข้า...”
ปีศาจน้อยหัวเราะสะใจ แล้วพูดว่า “ต้ากุ่ย รอ
ก่อน” นางเอียงคอมามองซีเหมินจั้นอิง ยิ้มหัวเราะ
แล้วพูดว่า “ครั้งที่แล้วเจ้าหนีไปได้ ครั้งนี้เทพเทวดา
ที่ไหนก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก เดิมทีข้าคิดว่าจะรอหาย
ดีก่อน แล้วค่อยไปคิดบัญชีกับเจ้าแล้วก็เจ้าคนสาร
เลวแซ่ฉีนั่น คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมารนหาที่ ข้าเลยไม่
ต้องไปหาเจ้า”
ฉีหนิงเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ แอบคิดในใจว่าอาเห
น่าเป็นศิษย์ของชิวเฉียนอี้ ราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี้
เป็นหนึ่งในทูตของพรรคบัวดำ ถ้าอย่างนั้นอาเหน่า
เองก็ต้องเป็นคนของพรรคบัวดำเหมือนกัน
ทูตทั้งสี่ของพรรคบัวดำถึงแม้จะมีตำแหน่งต่ำกว่า
เจ้าลัทธิหรือว่าเสวียนหยางไท่อิน แต่ว่าเขาก็เป็นคน
สำคัญภายในพรรค ศิษย์ในพรรคเองก็ต้องมี
ตำแหน่งไม่ธรรมดา การจะมีคนคอยรับใช้ ก็ไม่ใช่
เรื่องแปลกอะไร
ซีเหมินจั้นอิงกัดฟันแน่น แต่ไม่พูดอะไร
ปีศาจน้อยพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นลูกสาวของซีเห
มินอู๋เหิง ตอนนี้เจ้าอยู่ในมือของพวกเรา เขาจะต้อง
เป็นห่วงมากแน่” นางกระโดดลงมาจากเก้าอี้ เอา
มือไพล่หลัง แล้วเดินยิ้มไปข้างๆ ซีเหมินจั้นอิง
จากนั้นถามว่า “เจ้าอยากออกไปจากที่นี่หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ข้าตกอยู่ในมือของเจ้าแล้ว ก็
ไม่มีอะไรจะพูดอีก เจ้าจะฆ่าจะแกงก็ลงมือได้เลย
แต่ว่าพวกเจ้าเองก็จะต้องไม่ตายดีเหมือนกัน”
“ถ้าจะฆ่าเจ้าข้าคงทำไปแล้ว” ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูด
ว่า “แต่ว่าบางครั้งการอยากตายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ
ข้ารู้ว่าจวนเสินโหวพาคนมามากมาย พวกเจ้าคิดจะ
อาศัยคนมากรังแกคนน้อยใช่หรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้ามันปีศาจ ก่อ
กรรมทำเข็น ต้องฆ่าให้หมดถึงจะดี”
ปีศาจน้อยหัวเราะเสียงดัง ยกมือขึ้นก่อนจะตบไปที่
ก้นของซีเหมินจั้นอิง ซีเหมินจั้นอิงถึงกับร้อง “ว๊าย”
ปีศาจน้อยรีบพูดว่า “แค่ตบก้นเจ้าแค่นี้ ต้องร้อง
ตกใจขนาดนี้เลยหรือ ยังคิดจะบุกโจมตีพรรคบัวดำ
อีกหรือไม่? ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ ไม่ว่าพวกเจ้า
จะมากันเท่าไหร่ สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ที่เขาเชียนอูห
ลิงนี่ทั้งหมด ใครก็รอดไปไม่ได้ทั้งนั้น”
“พูดจาอวดดี” ซีเหมินจั้นอิงพูด
ปีศาจน้อยยืนเอามือไขว้หลัง แล้วพูดว่า “ข้าบอก
เจ้าแล้วนะ แต่เจ้าไม่เชื่อข้าเอง ถึงเวลาข้าจะพาเจ้า
ไปดู เจ้าก็จะรู้เองว่าข้าพูดจริงหรือไม่”
ฉีหนิงเห็นนางพูดอย่างมั่นใจ ไม่เหมือนพูดโอ้อวด
เลย แอบคิดในใจว่าเหตุใดนางถึงได้มั่นใจขนาดนั้น
นะ?
ถึงแม้เหล่าชาวยุทธ์บุกโจมตีเขาเชียนอูหลิงครั้งนี้จะ
ไม่ได้ราบรื่นมากนัก แต่ก็มีแต่ยอดฝีมือทั้งนั้นที่มา
ถึงแม้พรรคบัวดำจะมียอดฝีมือมากมาย แต่ว่าหาก
เจอกลุ่มคนที่แข็งแกร่งหลายคนแบบนี้ คิดจะรักษา
เขาเชียนอูหลิงนี่ไว้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
“ข้าขอถามเจ้า จวนเสินโหวของพวกเจ้าบุกโจมตี
พรรคบัวดำของพวกเรา มีเป้าหมายอะไร?” ปีศาจ
น้อยจ้องไปที่ซีเหมินจั้นอิงแล้วถามว่า “เจ้าเป็นลูก
สาวของซีเหมินอู๋เหิง จะต้องรู้สาเหตุแน่”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ข้าบอกไปแล้ว พรรคบัวดำก่อ
กรรมทำเข็นมากมาย จวนเสินโหวต้องการรักษา
ความสงบในยุทธภพ ก็ต้องกำจัดพวกเจ้าทิ้งไป”
“เจ้าโกหก” ปีศาจน้อยไม่ได้พูดดีด้วย “อาจารย์
บอกแล้ว ซีเหมินอู๋เหิงเป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์ จะต้องคิดไม่
ซื่อแน่ เขาต้องการทำอะไรกันแน่?”
“เจ้าหมายถึงเฒ่าพิษชิวเฉียนอี้น่ะหรือ?” ซีเหมินจั้น
อิงพูดว่า “ในเมื่อเขาบอกเจ้าแบบนี้ แล้วเจ้าจะมา
ถามข้าทำไมอีก?”
“ข้าจะถาม เจ้าจะทำไม?” ปีศาจน้อยพูดว่า “ขอแค่
เจ้าพูดความจริงมา ข้าจะปล่อยเจ้าลงเขาไปก็ได้
ไม่อย่างนั้น...” นางเหมือนคิดอะไรได้ “ไม่อย่างนั้น
หากทำให้ข้าโกรธขึ้นมา เจ้าจะต้องเสียใจแน่นอน”
นางหันหลังกลับไป แล้วเดินไปที่ข้างกายสาวชาว
เหมียวสองคน โค้งตัวลง แล้วยื่นมือเข้าไปในถังไม้
ถังไม้สองถังนั่นเป็นถังที่สาวชาวเหมียวสองคนถือมา
ฉีหนิงคิดว่ามันเป็นน้ำสะอาด แต่พอถึงริมแม่น้ำ เขา
ถึงได้รู้ว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น หากพวกนาง
ต้องการน้ำ น้ำที่ริมแม่น้ำก็สะอาดดี เหตุใดต้องไป
เอามาจากที่อื่นอีก
เห็นปีศาจน้อยหยิบของอย่างหนึ่งออกมาจากถัง มัน
คือน้ำแข็งนั่นเอง
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าปีศาจน้อยคิดจะทำอะไรกัน
แน่ จากนั้นก็เห็นปีศาจน้อยหยิบน้ำแข็งเดินไป
ตรงหน้าของซีเหมินจั้นอิง ยิ้มแล้วถามว่า “เจ้ารู้
หรือไม่ว่านี่คืออะไร?”
ซีเหมินจั้นอิงกับปีศาจน้อยเคยเจอกันมาก่อน รู้ว่า
สาวน้อยที่หน้าตาน่ารักคนนี้ถึงแม้จะดูสวย แต่
โหดเหี้ยมมาก นางรีบถามกลับว่า “เจ้า...เจ้าคิดจะ
ทำอะไร?”
เสียงของนางดูตื่นกลัวมาก
หากต้องสู้กันซึ่งหน้า ต่อให้อันตรายแค่ไหน ซีเห
มินจั้นอิงอาจจะไม่กลัวเท่านี้ แต่ว่าเมื่อต้อง
เผชิญหน้ากับเจ้าปีศาจน้อยที่ใจคอโหดเหี้ยม นางก็
รู้สึกกลัวมาก
“อาจารย์ของข้าคือราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี้ เป็นยอด
ฝีมือด้านพิษอันดับหนึ่งในใต้หล้าตอนนี้” ปีศาจน้อย
ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าติดตามเขามาตั้งแต่เล็ก ถึงแม้จะ
ใช้พิษไม่ได้เก่งเท่าเขา แต่นอกจากเขาแล้ว คนอื่นก็
ไม่ใช่คู่ปรับของข้าเลย เขาคืออันดับหนึ่ง ข้าคือ
อันดับสอง หากข้าจะใช้พิษจัดการกับเจ้า ข้ามีวิธี
เยอะแยะไป”
ซีเหมินจั้นอิงพูดด้วยความโกรธว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็
วางยาฆ่าข้าเลยสิ”
“อาจารย์บอกว่า ยอดฝีมือด้านพิษที่แท้จริง จะไม่ใช้
พิษพร่ำเพื่อ” ปีศาจน้อยแหย่นางเหมือนเล่นกับสัตว์
เลี้ยง นางพูดว่า “ยอดฝีมืออย่างข้า หากใช้พิษ
จัดการกับเจ้า มันชนะไม่สมศักดิ์ศรี ต่อให้ข้าไม่ใช้
พิษ ข้าก็มีวิธีมากมายทำให้เจ้าพูดความจริงออกมา
ได้ ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ซีเหมินอู๋เหิงสั่งให้บุกพรรค
บัวดำ คิดจะทำอะไรกันแน่? สารภาพความจริงมา
ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป ไม่อย่างนั้นข้าก็จะใช้กำลัง
บังคับให้เจ้าพูดแล้วนะ”
ซีเหมินจั้นอิงกัดฟันแน่น ปิดตา แต่ไม่พูดอะไร
ปีศาจน้อยยื่นมือไป แล้วกระชากเสื้อของซีเหมินจั้น
อิง ซีเหมินจั้นอิงกรีดร้องเสียงดัง ปีศาจน้อยโยน
ก้อนน้ำแข็งเข้าไปในเสื้อของซีเหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงร้องตกใจ สีหน้าของนางเปลี่ยนไป ฉี
หนิงแทบจะพุ่งเข้าไปหา แต่ในใจก็รู้ดีว่า ที่นี่คือ
พื้นที่ของพรรคบัวดำ ถึงแม้เขาจะเห็นแค่ไม่กี่คน แต่
ว่ายังมีอีกกี่คนที่ซุ่มอยู่ก็ไม่รู้ หากบุกเข้าไปแบบนี้
ถึงเวลานั้นไม่เพียงจะช่วยซีเหมินจั้นอิงไม่ได้ ตัวเขา
เองก็อาจจะตกอยู่ในมือของพวกเขาก็ได้
ครั้งที่แล้วเขาทำให้ปีศาจน้อยบาดเจ็บสาหัส บอกได้
ว่าสร้างความแค้นไว้กับนางแล้ว หากนางตกอยู่ใน
กำมือของเขา ฉีหนิงต้องสั่งสอนนางแน่นอน แต่ว่า
หากเขาตกอยู่ในกำมือของนาง แม้แต่ชีวิตก็คงไม่
เหลือแน่
นอกจากนี้ ฉีหนิงเองก็ยังคิดอย่างอื่นอยู่ด้วย
การบุกพรรคบัวดำในครั้งนี้ มีข้อสงสัยอย่างมากมา
ตั้งแต่แรก ซีเหมินอู๋เหิงจับปีศาจน้อยมา เพื่อล่อให้ชิ
วเฉียนอี้มาช่วย จากนั้นก็โยนความผิดไปให้พรรคบัว
ดำ ประกาศสัญญาเลือด เรียกรวมพลจากแปด
พรรคสิบหกสำนัก เพื่อบุกโจมตีพรรคบัวดำ
ฉีหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนจะมีเบื้องหลัง มันเหมือน
ไม่ง่ายอย่างที่เห็นว่า จวนเสินโหวต้องการกำจัด
พรรคบัวดำแน่
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขามาก ดังนั้นก่อนหน้านี้
เขาเลยไม่ได้ค่อยสนใจเรื่องนี้มากนัก
แต่ตอนนี้พอได้ยินปีศาจน้อยบีบคั้นถามซีเหมินจั้น
อิง เขาก็คิดว่าไม่แน่อาจจะได้ข้อมูลอะไรจากปาก
ของพวกนางก็ได้ ดังนั้นเลยพยายามข่มอารมณ์ หวัง
ว่าจะได้รู้ความจริง
ปีศาจน้องพอได้ยินซีเหมินจั้นอิงร้องตกใจ ก็ตบมือ
แล้วพูดว่า “เจ้าร้องดังๆ เลย ข้าได้ยินมาว่าผู้หญิง
ร้องเสียงดังมากเท่าไหร่ ผู้ชายก็ยิ่งชอบ” เขาหันไป
มองต้ากุ่ยกับเสี่ยวกุ่ย แล้วถามว่า “ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ย
พวกเจ้าชอบที่นางกรีดร้องหรือไม่?”
ต้ากุ่ยกับเสี่ยวกุ่ยทำหน้าตาประหลาด อ้าปาก ทั่ว
ทั้งปากมีแต่ฟันสีเหลือง
“ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะ ใต้พื้นดินของเขาเชียน
อูหลิงมีชั้นธารน้ำแข็ง ยิ่งขุดลงลึกเท่าไหร่ ไอเย็นก็
จะมีมากขึ้นเท่านั้น” ปีศาจน้อยเอามือไขว้หลัง แล้ว
เดินไปรอบๆ ตัวของซีเหมินจั้นอิง แล้วพูดว่า “ข้าให้
พวกนางไปเอาน้ำแข็งมา ให้เจ้าลองสัมผัสดูก่อน ข้า
เตรียมไว้สองถัง อีกเดี๋ยวพอถอดเสื้อผ้าของเจ้าออก
หมดแล้ว ค่อยเทน้ำแข็งลงบนตัวเจ้าให้หมด ดูสิว่า
เจ้าจะยอมสารภาพหรือไม่”
ตอนนี้ฉีหนิงถึงได้เข้าใจแล้วว่า มิน่าที่นี่ถึงได้หนาว
แม้แต่น้ำในสระยังกลายเป็นน้ำแข็ง ที่แท้ด้านล่างก็
มีความลับนี่เอง
“ดูเจ้าสิ...” ปีศาจน้อยยื่นมือไปกระชากเสื้อของซีเห
มินจั้นอิง ผิวขาวๆ ของนางโผล่ออกมา “ผิวของเจ้า
ทั้งขาวทั้งเนียน หากบาดเจ็บเพราะน้ำแข็งไป จะทำ
อย่างไร? จริงสิ เจ้าสารเลวแซ่ฉีนั่งชอบเจ้าใช่
หรือไม่? เขาคิดจะแต่งงานกับเจ้าหรือ หากเจ้าไม่ได้
มีผิวขาวเนียนแบบนี้แล้ว เขายังอยากได้เจ้าอยู่
หรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 430 ระหว่างความเป็นความตาย
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า การเลี้ยงดูในแต่ละที่สร้างคน
ที่แตกต่างกัน ปีศาจน้อยนี่หน้าตาน่ารักมาก หาก
เลี้ยงในแวดล้อมที่ดี นางจะต้องน่ารักน่าเอ็นดูมาก
แน่
แต่ว่าสาวน้อยน่ารักแบบนี้ กลับถูกเลี้ยงโดยพรรค
บัวดำ มีเฒ่าพิษชิวเฉียนอี้อบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก
ทำให้ดอกบัวกลายเป็นเมล็ดงาดำไปได้
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินปีศาจน้อยพูดจาไม่ให้เกียรติ ก็
พูดด้วยความโกรธว่า “เจ้ามันคนไร้ยางอาย”
“เจ้าด่าข้าหรือ?” ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
บอกว่าพรรคบัวดำของพวกข้าก่อกรรมทำเข็น ไม่ว่า
อะไรพวกข้าก็ทำได้ไม่ใช่หรือ? เหมือนเจ้าจะไม่ได้
กลัวข้าเลยนะ” นางหันไปมองสาวชาวเหมียวสอง
คนนั่น ทั้งสองคนหยิบน้ำแข็งออกมาจากถังอีก แล้ว
เดินไปยัดใส่ที่ตัวของซีเหมินจั้นอิง
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกว่าน้ำแข็งทำให้นางหนาวไปถึง
กระดูก แต่ว่าก็ยังกัดฟันอดทน เห็นสาวเหมียวสอง
คนหยิบน้ำแข็งมาอีก ในใจก็คิดว่าน้ำแข็งเย็นแบบนี้
หากมากเกินไป มันจะทำให้บาดเจ็บที่ผิวได้ ความ
หนาวแบบนี้มันทรมาน นางพยายามดิ้น แล้วพูดว่า
“หากเจ้าแน่จริง ก็ฆ่าข้าเลยสิ”
“เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้ว จะตายมันไม่ง่ายอย่างนั้น
หรอก” ปีศาจน้อยเดินไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วจ้องไปที่ซี
เหมินจั้นอิง “ข้ารับปากเจ้าแล้วว่าจะพาเจ้าไปดูศพ
ของคนพวกนั้น ก็ต้องไม่คืนคำสิ เจ้าไม่ต้องรีบร้อน
อยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อน ไม่นานนักหรอก เดี๋ยวข้า
จะพาเจ้าไปเอง”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “หากเจ้าไม่ฆ่าข้า เมื่อไหร่ที่พวก
เขาบุกมาถึงที่นี่ เจ้าคิดจะฆ่าข้าเจ้าก็จะไม่มีโอกาส
แล้วนะ”
ปีศาจน้อยถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าเหมือนจะไม่
เชื่อที่ข้าพูดเลยนะ ช่างเถอะ ข้าถามเจ้าหน่อย ตอน
ที่เจ้าอยู่ที่ตีนเขา เจ้าไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกหรือ?”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้า...หมายความ
ว่าอย่างไร?”
“ได้ยินมาว่าจวนเสินโหวเรียกรวมพลคนจากแปด
พรรคสิบหกสำนัก ที่แท้ก็มีแต่พวกที่ไม่เอาไหน
ทั้งนั้น” ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าจะโทษพวก
เขาก็ไม่ถูก พวกเจ้าไม่เคยมาที่เขาเชียนอูหลิง ไม่มี
ทางรู้หรอกว่ามันแปลกตรงไหน นี่ แม่สาวก้นใหญ่
เจ้าไม่เห็นหรือว่าบนเขาเชียนอูหลิงมันมีหมอก?”
“เจ้า...” ซีเหมินจั้นอิงได้ยินนางเรียกแบบนั้น ก็ทั้ง
โกรธทั้งอาย สายตาของนางเหมือนคมดาบ แล้วจ้อง
ไปที่ตาของปีศาจน้อยที่เป็นประกาย
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ชอบที่ข้าเรียกเจ้า
แบบนี้หรือ?” เขายืนอยู่บนเก้าอี้ แล้วหันหลังให้กับ
ซีเหมินจั้นอิง แล้วพูดว่า “เจ้าดูข้าสิ เมื่อเทียบกับข้า
แล้ว หากเจ้าก้นไม่ใหญ่แล้วเป็นอะไร? ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่
ยมือใหญ่แบบนั้น ก็ยังไม่แน่ว่าจะจับก้นเจ้ามิดเลย
ฮ่าฮ่า...” นางหันไปถามต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ยว่า “ต้ากุ่ย
เสี่ยวกุ่ย พวกเจ้าอยากลองจับดูหรือไม่?”
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าปีศาจน้อยทำได้ทุกอย่าง ตอนนี้ตก
อยู่ในกำมือของปีศาจน้อย หากยั่วนางมากเกินไป
นางอาจสั่งให้เจ้าอัปลักษณ์สองคนนั่นเข้ามาใกล้ก็ได้
นางรีบพูดว่า “ที่เจ้าพูดเรื่องหมอกหมายความว่า
อย่างไร?”
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “บอกแล้วพวกเจ้ามันโง่
พวกเจ้าดูไม่ออกเลยหรือ หมอกของเขาเชียนอูหลิง
มันแตกต่างตรงไหน?”
ฉีหนิงได้ยินจากข้างนอก ก็สะดุ้ง
ตอนที่เขายังไม่ขึ้นเขามา เขาก็รู้สึกว่าหมอกนั่นมัน
เหมือนจะเป็นสีเทา เพียงแต่ว่าเขาไม่มาที่นี่ คิดว่า
คงเป็นหมอกที่ลอยตัวอยู่ที่นี่มานาน เขากับคนอื่น
เลยไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่นัก
เมื่อได้ยินปีศาจน้อยพูดแบบนี้ ฉีหนิงเหมือนจะนึก
อะไรขึ้นมาว่า หมอกของเขาเชียนอูหลิงเหมือนจะมี
อะไรผิดปกติจริงๆ
ถึงอย่างไรซีเหมินจั้นอิงก็มาจากจวนเสินโหว ถึงแม้
จะไม่ได้เก่งมาก แต่ว่าตอนนี้นางเข้าใจว่า “หรือว่า...
หรือว่าพวกเจ้าทำอะไรกับหมอกนั่น?”
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าใช้คนมากรังแก
คนน้อย พาคนมามากขนาดนั้น พวกเราก็ต้องมีการ
รับมือบ้าง เดิมที พวกเราตั้งใจจะวางกับดักบนเขา
แต่ว่าพวกเจ้ามีหลายคนรู้เรื่องกับดักกลไก ต่อให้คน
ของพวกเจ้าจะตายไปบ้าง แต่ก็ขวางพวกเจ้าขึ้นเขา
ไม่ได้”
ถึงแม้นางจะมีนิสัยโหดเหี้ยม แต่เพราะอายุไม่มาก
นิสัยของเด็กยังคงมีอยู่ เวลาได้ใจอะไรมักจะเก็บ
อะไรไม่ค่อยอยู่ เพราะมันจะรู้สึกทรมาน
ตอนนี้ตัวอยู่ในที่เขาเชียนอูหลิง ซีเหมินจั้นอิงอยู่ใน
มือของนาง นางไม่มีทางคิดถึงว่าฉีหนิงจะบุกเข้า
มาถึงในนี้ได้ นางได้ใจแล้วพูดว่า “อาจารย์บอกว่า
ชาวฮั่นบอกว่านี่เรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
เจ้าน่าจะเข้าใจความหมายเรื่องนี้ดี”
ซีเหมินจั้นอิงตอนนี้รู้สึกว่าเรื่องที่ปีศาจน้อยพูดมา
นั้นไม่ใช่เรื่องโกหก นางตะคอกว่า “พวกเจ้ามีแผน
ร้ายอะไรกันแน่?”
“พวกเจ้าบอกว่าพรรคบัวดำเป็นปีศาจ ปีศาจก็ต้อง
ใช้แผนร้ายอย่างปีศาจสิ” ปีศาจน้อยพูดว่า “ปีที่
แล้ว พวกเรารู้ว่าพวกเจ้าต้องบุกมาแน่ๆ ดังนั้นพวก
เราเตรียมตัวไว้พร้อมอยู่แล้ว” นางยิ้มแล้วพูดว่า
“ชื่อเสียงของราชาพิษเป็นชื่อเรียกเล่นๆ หรือ
อย่างไร?”
“พวกเจ้า...พวกเจ้าวางยาพิษในหมอกหรือ?” ซีเห
มินจั้นอิงเหมือนรู้สึกตัวขึ้นมา
ปีศาจน้อยปรบมือแล้วพูดว่า “เจ้าเองก็ไม่โง่นี่
ถูกต้อง พวกเจ้าไม่ขึ้นเขามายังดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่
ขึ้นเขามา ข้ารับประกันว่าจะไม่มีใครรอดกลับไปสัก
คนเดียว”
ฉีหนิงเองก็ตกใจ แอบคิดในใจว่าหากพรรคบัวดำ
วางยาพิษในหมอกจริง ถ้าอย่างนั้นก็รู้ตัวยาก
ชาวเหมียวเชี่ยวชาญการใช้พิษ ใครๆ ก็รู้ บวกกับ
ทูตทั้งสี่เฒ่าพิษชิวเฉียนอี้ หากพรรคบัวดำวางยาพิษ
ก็ไม่เสียชื่อเสียงที่พวกเขามี
“เจ้าอย่าเพิ่งดีใจไป” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เจ้าคิดว่า
พรรคบัวดำของพวกเจ้าเชี่ยวชาญด้านพิษเป็นฝ่าย
เดียวหรือ? ในยุทธภพก็มีคนเชี่ยวชาญด้านพิษไม่
น้อย มาที่นี่ในครั้งนี้ มียอดฝีมือด้านพิษหลายคน
พวกเขาไม่ได้กินหญ้านะ”
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าอาจารย์จะไม่รู้
หรือ? ถึงแม้อาจารย์จะใช้พิษเก่งที่สุดในใต้หล้า แต่
ว่าเขามักจะพูดเสมอว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยัง
มีคน ในใต้หล้านี้มียอดฝีมือที่ใช้พิษเก่งมากมาย ใน
ใจของข้าเข้าใจว่า มันไม่ใช่ความจริง ในสายตาของ
เขา ในใต้หล้านี้ไม่มีใครเก่งเกินเขาแล้ว” นางหยุด
ไป แล้วไปนั่งที่เก้าอี้ “เขาก็รู้ หากพิษทั่วไป พวกเจ้า
น่าจะจับได้ ดังนั้นพิษที่ใช้คราวนี้ มันไม่ใช่พิษทั่วไป
ยอดฝีมือด้านพิษที่เจ้าบอก ไม่มีทางตรวจพบแน่”
“พวกเจ้าวางยาพิษในหมอก หรือว่าเจ้าไม่กังวลว่า
ตัวเจ้าจะถูกพิษหรือ?” ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกตกใจมาก
ปีศาจน้อยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “จะบอกว่าเจ้าฉลาด
แต่จู่ๆ เจ้าก็โง่ขึ้นมาอีก พิษที่พวกเราทำออกมา
พวกเราจะไม่มียาถอนได้อย่างไรเล่า?”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เขาเชียนอูหลิงกว้างเป็นสิบลี้
ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าจะสามารถวางยาพิษได้
ทุกที่”
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่เห็นต้องทำอย่างนั้น
พวกเราเดาเส้นทางที่พวกเจ้าจะขึ้นมาไว้ก่อนแล้ว
แล้ววางยาในบางจุด พอให้พวกเจ้ารับมันไปบ้าง
แล้ว” นางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า
“อีกทั้งยาพิษพวกนั้นก็ไม่ได้กำเริบทันที ต้องรออีก
ระยะหนึ่ง หากอาจารย์เดาไม่ผิด เมื่อพวกเจ้ามาถึง
ตำหนักหินดำ พิษจะเริ่มกำเริบ” นางยื่นมือชี้ไป
แล้วพูดว่า “ดูจากเวลา ก็น่าจะเป็นตอนนี้แหละ”
“พวกเจ้า...” ซีเหมินจั้นอิงทั้งโกรธทั้งร้อนใจ “ต่ำ
ช้า”
“คนมากรังแกคนน้อย ไม่ต่ำช้าหรืออย่างไร?”
ปีศาจน้อยไม่ได้พูดดี “อาจารย์บอกว่าจวนเสินโหวรู้
ว่าเรื่องวางยาพิษในเมืองหลวงไม่เกี่ยวข้องกับพวก
เราพรรคบัวดำ แต่ก็ยังบุกมาที่นี่อีก เพราะพวกเจ้า
ลงมือก่อน หากไม่ทำพวกเราก่อน พวกเราก็ไม่ตอบ
กลับ หากรังแกพวกเรา พวกเราก็จะตอบแทนคืนไป
สิบเท่า” นางกระโดดลงมาจากเก้าอี้ แล้วพูดว่า
“อาจารย์บอกพวกเราว่าพรรคบัวดำของพวกเราอยู่
แค่ที่ปาสู่ ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องของยุทธภพ แต่ว่าซีเห
มินอู๋เหิงคิดจะบุกโจมตีพวกเรามาตลอด แสดงว่าคิด
ไม่ซื่อ ข้าถามเจ้าหน่อย ซีเหมินอู๋เหิงคิดจะทำอะไร
กันแน่?”
ซีเหมินจั้นอิงหันหน้าไป ไม่มองปีศาจน้อยเลย
ปีศาจน้อยเหมือนจะเริ่มโมโห แต่ว่ายังยิ้ม แล้วพูด
ว่า “แม่สาวก้นใหญ่ เจ้าไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไร เมื่อ
ถึงเวลานั้นอย่างไรทุกคนก็ต้องถูกพวกเราจับอยู่ดี
ยังมีศิษย์พี่น้องของจวนเสินโหวของเจ้าด้วย ทุกคน
จะกลายเป็นนักโทษ ถึงเวลานั้นพวกเราจะจับมา
สอบสวนทีละคน อย่างไรก็จะต้องทำให้เรื่องนี้
กระจ่างให้ได้” นางหันไปหาต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ย แล้วพูด
ว่า “ต้ากุ่ย เสี่ยวกุ่ย พวกเจ้าชอบแม่สาวก้นใหญ่
แบบนี้หรือไม่?”
ต้ากุ่ยยิ้มกรุ้มกริ่ม ฟันเหลืองๆ ยื่นออกมา น่ากลัว
มาก
ปีศาจน้อยเห็นดังนั้น ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างไร
อาจารย์ก็ต้องเป็นศัตรูกับจวนเสินโหวของพวกเจ้า
อยู่แล้ว ต่อให้ข้าฆ่าเจ้าไป ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
นางเดินมาที่ซีเหมินจั้นอิง นางยื่นมือไปหยิกก้นของ
ซีเหมินจั้นอิง ซีเหมินจั้นอิงกรีดร้อง ปีศาจน้อยยิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าเป็นเมียของ
เจ้าคนแซ่ฉีแล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้ามันนางปีศาจข้า...ข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ” ซี
เหมินจั้นอิงกัดฟันแน่น
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคนแซ่ฉีนั่นทั้งเลวทั้ง
ลามก เจ้าจะต้องเป็นเมียเขาแล้วแน่ๆ อย่างไรเจ้าก็
ต้องตายอยู่แล้ว ข้าจะให้เจ้าเป็นเมียของต้ากุ่ยเสี่ยว
กุ่ยด้วย มีครั้งหนึ่งนะพวกเขาชอบผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง
พยายามแย่งกันให้นางมาเป็นเมีย แต่น่าเสียดาย
พวกเขาสองคนแรงเยอะ เลยฉีกนางออกเป็นสอง
ท่อน เลยไม่ได้เมีย...” นางมองไปที่ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ย
แล้วถามว่า “ต้ากุ่ย เสี่ยวกุ่ย พวกเจ้าเสียใจมากเลย
ใช่หรือไม่?”
ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ยทำสีหน้าเสียใจออกมา พวกเขามอง
หน้ากัน สายตาของพวกเขาโกรธมาก
ปีศาจน้อยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ครั้งนี้พวกเจ้าก็ไม่
ต้องแย่งกันนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเมียกันอีก เสี่ยว
กุ่ย เจ้าอายุน้อยกว่าต้ากุ่ย เจ้ายอมให้เขาก่อน แม่
สาวก้นใหญ่ให้เป็นเมียของต้ากุ่ยก่อน แล้วค่อยเป็น
เมียเจ้า ดีหรือไม่?”
ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ยมองหน้ากัน เสี่ยวกุย่ ลังเล แล้วพยัก
หน้า ต้ากุ่ยยิ้ม ยกมือขึ้นตบบ่าของเสี่ยวกุ่ยเพือ่ เป็น
การขอบคุณ
ฉีหนิงเห็นปีศาจน้อยทำแบบนี้ ในใจก็นึกรังเกียจ
มาก เห็นต้ากุ่ยกำลังเดินไปหาซีเหมินจั้นอิงแล้ว ก็รู้
ว่าสถานการณ์ไม่ดีแลว เขากำมีดสั้นในมือแน่น เขา
ไม่มีทางยอมให้ซีเหมินจั้นอิงเป็นอะไรไปแน่ ต่อให้
แลกด้วยชีวติ เขาก็จะต้องปกป้องนางให้ปลอดภัย
ให้ได้
สาวเหมียวสองคนนั้นทนมองไม่ไหวแล้ว พวกนาง
หันหลังไป ปีศาจน้อยยิ้ม แล้วทำหน้าเหมือนกับ
แปลกใจ
ซีเหมินจั้นอิงเห็นต้ากุ่ยยิ้มฟันเหลืองทำหน้าเจ้าเล่ห์
กำลังเดินเข้ามาหา สีหน้าของนางก็ซีดขาว แล้ว
ตะคอกว่า “เจ้า...หากเจ้าแตะต้องข้า ข้า...ข้าก็จะ
...” นางคิดจะด่า แต่ว่าถูกมัดอยู่ หากพูดอะไรไม่ดี
ไป อีกฝ่ายอาจจะเยาะเย้ยได้
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “ครั้งที่แล้วเจ้าสารเลวแซ่ฉี
นั่นมาช่วยเจ้าไว้ ดูสิว่าครั้งนี้จะมีใครมาช่วยเจ้าได้
อีกหรือไม่”
ต้ากุ่ยกำลังจะยื่นมือไปจับหน้าอกของตัวเอง ซีเห
มินจั้นอิงตกใจมาก แอบคิดในใจว่าต่อให้ตายก็จะ
ถูกหยามเกียรติไม่ได้ ต่อให้ต้องกัดลิ้นจนตาย
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยิน “เพล้ง” เสียงมันมากะทันหัน
ทุกคนต่างหันหน้าไป เห็นอะไรบางอย่างพุ่งมาจาก
หน้าต่าง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 431 สถานการณ์เลวร้าย
คนที่ลงมือก็คือฉีหนิง เขาเห็นจั้นอิงกำลังมีอันตราย
เขาก็ไม่ลังเลใจอีก ซัดหน้าต่างจนแตกกระจาย
แรงที่ซัดออกไปล้วนแต่เป็นกำลังภายใน ทำให้บาน
หน้าต่างถึงกลับปลิวเข้ามาด้านใน
แรงที่ซัดบานหน้าต่างเหมือนจะยังไม่ลดลง มันปลิว
เข้าไปหาปีศาจน้อย ทันใดนั้นเองก็เห็นเงาพุ่งเข้ามา
ขวาง เสี่ยวกุ่ยเอาตัวเองมาขวางเอาไว้ แล้วซัดบาน
หน้าต่างจนแตกออก
ในตอนนี้เองเสี่ยวกุ่ยถึงได้เห็นว่ามีเงาของคนกำลัง
พุ่งมาที่เขา คนยังมาไม่ถึง แต่คมมีดกลับตรงมายัง
หน้าอกของเขาแล้ว
ถึงแม้เสี่ยวกุ่ยจะตัวใหญ่ แต่เขาก็ไม่โง่ อีกทั้งยัง
ปราดเปรียวอีกด้วย เขาหลบไปด้านข้าง อีกทั้งยัง
ยื่นมือเพื่อไปจับตัวของฉีหนิงอีกด้วย
ฉีหนิงเดิมทีคิดจะหลบ แต่คิดว่าตอนนี้เขามีวิชาพลัง
หกเทพประสาน จึงตั้งใจทำตัวให้เชื่องช้าลง แล้ว
ปล่อยให้เสี่ยวกุ่ยมาจับไหล่ของเขา เขามีกำลัง
ภายในคุ้มกายอยู่ ถึงแม้แรงที่เสี่ยวกุ่ยตบมาจะไม่
เบา แต่ว่าฉีหนิงกลับแค่รู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่
บาดเจ็บไปถึงภายใน และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ดูด
กำลังภายในของเสี่ยวกุ่ยเข้ามาด้วย
เสี่ยวกุ่ยจับไปที่ไหล่ของฉีหนิง เดิมมั่นใจมากว่า
กระดูกของเขาจะต้องแตกละเอียด แต่คิดไม่ถึงว่าไม่
เพียงฉีหนิงไม่เพียงไม่เป็นอะไรเลย แรงของเขามัน
หนักเท่าก้อนหินก้อนใหญ่ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่า
มือของเขามีอาการชา เหมือนกำลังภายในของเขา
มันไหลออกมาจากแขน
มือขวาของฉีหนิงที่ถือมีดสั้นเอาไว้ เขาไม่ลังเลใช้มีด
สั้นในมือแทงเข้าไปที่ท้องของเสี่ยวกุ่ยทันที ถึงแม้
กำลังภายในของเสี่ยวกุ่ยจะยังไหลออก ถึงแม้เขาจะ
รู้สึกตกใจ แต่เขาก็ยังระวังฉีหนิงมาก เขาพยายาม
ใช้อีกมือหนึ่งสู้ แต่กลับถูกฉีหนิงจับเอาไว้ เมื่อเป็น
แบบนี้ ก็เท่ากับว่ากำลังภายในไหลออกมาทางมือ
ทั้งสองข้าง
พลังหกเทพประสานเป็นวิชาพิสดาร ตามร่างกายมี
จุดทั้งสิบเอ็ดจุดสามารถดูดกำลังภายใน มือก็ถือเป็น
อีกหนึ่งจุด
ซีเหมินจั้นอิงเดิมทีเตรียมจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายแล้ว
เพื่อไม่ให้ต้ากุ่ยหยามเกียรติของนางได้ แต่นางคิดไม่
ถึงว่าในเวลาแบบนี้ กลับมีคนบุกเข้ามาจากทาง
หน้าต่าง เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว ถึงได้รู้ว่าเป็นฉี
หนิง นางทั้งดีใจทั้งตกใจ
ปีศาจน้อยคิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีคนสามารถบุกเข้า
มาได้ ใบหน้าของนางดูตกใจมาก เมื่อเห็นว่าเป็นฉี
หนิง ก็ยิ่งตกใจหนักเข้าไปใหญ่ รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
สายตาตัวเองเลย
ครั้งก่อนนางบาดเจ็บเพราะฉีหนิง นางแค้นฉีหนิง
มาก ตอนนี้เห็นฉีหนิงปรากฏตัว ด้วยความตกใจ
นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
ต้ากุ่ยเห็นฉีหนิงบุกเข้ามาทางหน้าต่าง ก็ทิ้งซีเห
มินจั้นอิง แล้วเดินมาทางฉีหนิงแทน เห็นมือของ
เสี่ยวกุ่ยอยู่ที่ไหล่ของฉีหนิง เดิมทีคิดว่าฉีหนิงคง
กระดูกแตกไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าฉีหนิงกลับไม่เป็น
อะไรเลย เขารู้สึกตกใจ จากนั้นก็เห็นว่าเสี่ยวกุย่ ตัว
สั่น สีหน้าของเขาดูดุร้าย เขายกเก้าอี้ขึ้นมาตัวหนึ่ง
แล้วขว้างมาทางฉีหนิง
ฉีหนิงเอี้ยวตัวหลบทันที มือของเสี่ยวกุ่ยอยู่ที่ไหล่
ของฉีหนิง จึงถูกลากไปด้วย ต้ากุ่ยโหดเหี้ยมแทบจะ
ไม่มีปราณี ใครจะคิดว่าฉีหนิงจะลากเอาเสี่ยวกุ่ยมา
ด้วย เก้าอี้ถูกขว้างมาถูกหัวของเสี่ยวกุ่ย
ทำให้หัวของเสี่ยวกุ่ยแตก ยังดีว่าร่างกายของเขาไม่
ปกติตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ว่า
เมื่อหัวแตกเลือดมันก็ยังคงไหลออกมา
กำลังภายในของเสี่ยวกุ่ยก็ยังถูกดูดออกไปไม่หยุด
ขณะที่เขากำลังตื่นตระหนก คิดไม่ถึงว่าต้ากุ่ยจะ
ขว้างเก้าอี้มาโดนหัวเขาอีก เขาร้องคำรามออกมา
ราวกับสัตว์ป่า จากนั้นก็จ้องไปที่ต้ากุ่ย
ต้ากุ่ยเองก็แหมือนจะรู้สึกผิด ไม่กล้ามองไปที่เสี่ยว
กุ่ย เขากำหมัดแน่น แล้วซัดมาที่ฉีหนิง
ปีศาจน้อยเหมือนจะได้สติกลับมา แล้วรีบพูดว่า
“ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ย รีบจับตัวเขาไว้ อย่าให้เขาหนีไปได้”
หมัดของต้ากุ่ยหนักราวกับค้อน ฉีหนิงรีบถอยหลัง
หลบไป เสี่ยวกุ่ยถึงแม้กำลังจะไหลออก แต่ว่าตอนนี้
เขาก็พยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มี ล็อกตัวฉีหนิง
ไม่ให้ขยับ
ต้าเสี่ยวกุ่ยหน้าตาอัปลักษณ์โหดเหี้ยม แต่ว่าวรยุทธ์
ก็ไม่ด้อย มีความรวดเร็วว่องไวที่เป็นเลิศ ฉีหนิงถูก
เสี่ยวกุ่ยกระชากอย่างแรง ถึงแม้จะสามารถหลบ
หมัดของต้ากุ่ยได้ แต่ว่าการมีคนตัวโตอยู่ด้วย
อย่างไรก็หลบไม่ได้ถนัดนัก ต้ากุ่ยอ้อมไปด้านหลัง
ของฉีหนิง เขาร้องคำรามออกมาเสียงดังก่อนจะซัด
หมัดไปที่หลังของฉีหนิง
ฉีหนิงรู้สึกได้ว่าถูกลอบจู่โจมจากด้านหลัง เขาไม่
หลบแต่กลับขยับหลังของเขาให้กับต้ากุ่ย
ซีเหมินจั้นอิงเห็นดังนั้น ก็ตะโกนว่า “ระวัง...”
ต้ากุ่ยซัดหมัดเข้าใส่หลังของฉีหนิงอย่างแรง ฉีหนิง
เซไปเซมา รูสึกว่าด้านหลังของเขาเจ็บมาก แต่ก็ยัง
ฝืนได้อยู่ แต่ไม่นานนัก ต้ากุ่ยก็รู้สึกว่าแรงของเขา
มันหายไป คิดจะเก็บมือกลับมา ก็ทำไม่ได้แล้ว
พลังหกเทพประสานสามารถดูดกำลังภายในผ่านชีพ
จรสิบเอ็ดจุด ด้านหลังเป็นหนึ่งส่วน ฉีหนิงรู้ว่าต้ากุ่ย
ต้องการซัดหมัดมาที่หลังของเขา รู้ว่าหากหมัดไม่ถูก
จุดชีพจร ก็จะไม่สามารถใช้พลังหกเทพประสานใน
การรับมือได้ ก็เลยตั้งใจเอาชีพจรของตัวเองเข้าไป
รับ
ต้ากุ่ยไม่มีทางรู้ว่านี่มันคือแผน ที่ซัดหมัดใส่ฉีหนิงก็
หวังจะจัดการกับเขาเท่านั้น แต่พริบตาเดียวเขา
กลับมีสภาพไม่ต่างกับเสี่ยวกุ่ยเลย กำลังภายในของ
พวกเขาไหลออกมาไม่หยุด
ตอนนี้ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ยอยู่ด้านหน้าคนด้านหลังคน
หนีบฉีหนิงเอาไว้ตรงกลาง ทั้งสองรูปร่างสูงใหญ่ ฉี
หนิงสูงแค่หน้าอกของพวกเขาเอง ทั้งสามยืนเรียง
กัน พอมองไปแล้วมันก็ดูแปลกๆ
ปีศาจน้อยตกใจ แล้วพูดว่า “ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ย พวกเจ้า
เป็นอะไรไป?”
ที่จริงก่อนหน้านี้ฉีหนิงเคยใช้พลังหกเทพประสาน
กับปีศาจน้อยไปแล้ว ครั้งนั้นฉีหนิงดูดกำลังภายใน
ของชิวเฉียนอี้มาไม่น้อย แต่ว่าครั้งนั้นปีศาจน้อยแค่
คนที่ยืนมองอยู่ ไม่รู้เลยว่ามันมีอะไร ไม่รู้ว่าฉีหนิง
นั้นมีวิชาที่สามารถใช้กำลังภายในได้
ถึงแม้ชิวเฉียนอี้จะรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ว่าเขา
ก็เป็นถึงอาจารย์ แต่วันนั้นเกือบตายในมือของฉีหนิง
เรื่องน่าอายแบบนี้ เขาจะกล้าบอกคนอื่นได้อย่างไร
จนถึงตอนนี้ ปีศาจน้อยก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ยถึงจะไม่ถือว่าเป็นยอดฝีมือ อีกทั้งพวก
เขาสองคนสติก็ไม่ค่อยจะดี ตอนนี้ถูกฉีหนิงดูดกำลัง
ภายในไปอีก พวกเขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขารู้แค่
ว่าต้องออกแรง อยากจะเอามือออกมา
ฉีหนิงเดิมทีก็กำลังดูดกำลังภายในของเขาอยู่ เมื่อ
เขาสองคนออกแรง กำลังภายในก็ไหลออกมาเร็วขึ้น
ไม่นานนัก สีหน้าของทั้งคู่ก็ดูทรมานและแย่มาก
ปีศาจน้อยฉลาด เห็นสถานการณ์แบบนี้ ถึงแม้นาง
จะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้ว่าต้าเสี่ยวกุ่ยกำลัง
เสียเปรียบ นางหันกลับมา จากนั้นก็หยิบกระบอก
ไม้ไผ่ออกมา แล้วเล็งมาที่ฉีหนิง
ฉีหนิงเดาไว้แล้วว่าปีศาจน้อยจะต้องลงมือช่วย เห็น
นางกำลังเล็งกระบอกไม้ไผ่มา ก็รู้ทันทีว่านางกำลัง
จะใช้ลูกดอกอาบยาพิษ
ปีศาจน้อยไหว้ชิวเฉียนอี้เป็นอาจารย์ ชิวเฉียนอี้เป็น
ราชาพิษอันดับหนึ่งในใต้หล้าตอนนี้ ความสามารถ
ในการใช้พิษของปีศาจน้อยไม่ธรรมดาอยู่แล้ว หาก
ถูกลูกดอกพิษของนางเข้า ต้องแย่แน่นอน
ในตอนนี้ยังไม่มีใครบุกเข้ามา ฉีหนิงก็เบาใจไปไม่
น้อย เดิมเขาคิดว่าอาจจะมีกำลังซุ่มอยู่ คิดว่าตอนนี้
พรรคบัวดำน่าจะย้ายกำลังพลไปรับมือกับชาวยุทธ์
ที่บุกขึ้นเขามากันหมดแล้ว ที่นี่เลยเหลืออยู่ไม่กี่คน
ปีศาจน้อยเล็งกระบอกไม้ไผ่ไปหาฉีหนิง แต่กลับเห็น
ฉีหนิงเคลื่อนไหว เขาหมุนรอบเป็นวงกลม ต้าเสี่ยวกุ่
ยเองก็ถูกลากหมุนเป็นเกรียวไปด้วย
กำลังภายในของฉีหนิงในตอนนี้ มีมากกว่าต้าเสี่ยวกุ่
ยสองคนรวมกันอีก กำลังภายในของเขาทั้งสองถูก
ดูดไป พอเขาเคลื่อนไหว ถึงแม้ทั้งสองคนจะตัวใหญ่
แต่ฉีหนิงก็ไม่ได้ออกแรงมากเท่าไหร่
ปีศาจน้อยเห็นเงาของทั้งสามคนปนกันมั่วไปหมด
นางก็เล็งไปทางซ้ายทีขวาที หาเป้าที่แน่นอนไม่ได้
สักที
สีหน้าของนางร้อนใจมาก จากนั้นนางก็เปลี่ยนเป้า
ไปเป็นซีเหมินจั้นอิงแทน แล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้า
ปล่อยต้าเสี่ยวกุ่ยเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่านาง
ซะ”
ฉีหนิงหยุด แล้วจ้องไปที่ปีศาจน้อย จากนั้นก็พูดว่า
“หากเจ้าทำอะไรนาง ข้าจะให้ตายทั้งเป็นเลยคอย
ดู”
“เจ้า...เจ้าปล่อยพวกเขา ข้า...ข้าก็จะปล่อยแม่สาว
ก้นใหญ่นี่ไป” ปีศาจน้อยพูด
ต้าเสี่ยวกุ่ยถูกดูดพลังไปเกินครึ่ง ในหัวของพวกเขาก็
แทบจะไม่มีอะไรเลย พวกมันทรมานมาก ฉีหนิงพูด
ว่า “เจ้าเจ้าเล่ห์จะตายไป ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”
“แล้ว...แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไร?” ปีศาจน้อยถึงแม้
จะโหดเหี้ยม แต่นางก็เป็นห่วงต้าเสี่ยวกุ่ยมาก นาง
กัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าเข้ามาที่ถ้ำหมีฮวาได้ แต่อย่า
คิดจะได้ออกไปเลย”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าที่แท้ที่นี่มีชื่อว่าถ้ำหมีฮวาหรือ
เขาถามว่า “เจ้ารู้ทางออกหรือไม่?”
“ข้าต้องรู้อยู่แล้ว” ปีศาจน้อยพูดว่า “เจ้าปล่อย
ต้ากุ่ยเสี่ยวกุ่ยก่อน ข้าก็จะปล่อยแม่สาวก้นใหญ่นี่ไป
แล้วบอกทางออกให้เจ้าด้วย หากไม่มีข้านำทาง เจ้า
ไม่มีทางออกไปจากที่นี่ได้”
ฉีหนิงรู้ดีว่าปีศาจน้อยนี่ไม่มีทางรักษาคำพูดแน่ แต่
เขายังคงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ได้ ข้าจะปล่อยพวก
เขา เจ้ารับให้ดีล่ะ” เขาสะบัดมือซ้ายโยนตัวต้ากุ่ย
ไปชนกับตัวของปีศาจน้อย ปีศาจน้อยตกใจมาก รีบ
หลบไปด้านข้าง แต่คิดไม่ถึงว่าหลบต้ากุ่ยมาได้ แต่
กลับมีเงาอีกคนพุ่งมา นางเห็นแล้วแต่หลบไม่ทัน
ชนเข้าอย่างจัง หลังจากโยนต้ากุ่ยออกไปแล้วฉีหนิง
ก็โยนเสี่ยวกุ่ยตามไปติดๆ
เสี่ยวกุ่ยชนถูกตัวปีศาจน้อย ปีศาจน้อยตัวเล็ก จะ
รับน้ำหนักมันได้อย่างไร นางร้องโอดโอยเพราะถูก
ชนจนกระเด็น
สาวชาวเหมียวที่ยืนอยู่ข้างๆ สองคนหน้าถอดสี
พวกนางตกใจมาก เมื่อได้สติ ก็เห็นฉีหนิงเดินมานั่ง
ยองๆ ข้างตัวของปีศาจน้อยแล้ว เขาใช้เข่ากดลงไป
ที่หน้าท้องของปีศาจน้อย ในมือถือมีดสั้นจ่อไปที่คอ
ของปีศาจน้อย
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันอยู่ในเวลาแค่ชั่วขณะเดียว
เท่านั้น ชาวเหมียวทั้งสองไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน
แน่
ต้าเสี่ยวกุ่ยนอนกองอยู่ที่พื้น ไม่ขยับ พวกมันอ่อน
แรง เหมือนเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น
ปีศาจน้อยถูกเสี่ยวกุ่ยชนจนกระเด็นลอยมากระแทก
ลงพื้น รู้สึกเหมือนตัวจะแตก อีกทั้งตอนนี้ยังถูกเอา
มีดจ่อคออีก สายตาของนางรู้สึกหวาดกลัว เลือด
ของนางไหลออกมาจากปาก นางพูดด้วยความโกรธ
ว่า “ฉีหนิง เจ้าคนสารเลว เจ้าจะต้อง...จะต้องไม่
ตายดีแน่”
“หากตกอยู่ในมือของเจ้า ข้าคิดว่าอาจจะไม่ตายดี
จริง” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ในมือของข้า
ข้าก็จะไม่ให้เจ้าได้ตายดี” เขามองไปที่สาวชาว
เหมียวสองคน แล้วชี้ไปที่คนๆ หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้า
ไปแก้มัดให้นางเดี๋ยวนี้...” พูดจบ เขาก็ชี้ไปที่จั้นอิง
สาวชาวเหมียวคนนั้นลังเล ฉีหนิงพูดอีกว่า “ไม่
เข้าใจหรืออย่างไร? อยากให้ข้าลงมือฆ่าคนก่อนหรือ
อย่างไร?” เขาขยับมือ ปีศาจน้อยรู้สึกได้ทันที นาง
พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “ยังไม่รีบไปแก้มัดอีก ฮือ
ฮือฮือฮือ...”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 432 เชลย
สาวชาวเหมียวไม่กล้าขัดขืน รีบเดินไปแก้มัดให้ ฉี
หนิงทำมือให้กับสาวชาวเหมียวอีกคน ให้นางเอาถัง
น้ำแข็งมา
ปีศาจน้อยเหมือนรู้สึกได้ นางรีบพูดอย่างตกใจว่า
“เจ้า...เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ฉีหนิงเองก็ไม่พูดมาก หยิบน้ำแข็งออกมาจากถัง
ตอนที่เขาล้วงลงไปในถังเขายังรู้สึกได้ว่ามันเย็นมาก
เขาไม่พูดมาก หยิบน้ำแข็งใส่เข้าไปในเสื้อของปีศาจ
น้อย
ปีศาจน้อยพูดด้วยความตกใจว่า “ข้าจะ...ข้าจะฆ่า
เจ้า...อ๊า...” น้ำแข็งก้อนนั้นเข้าไปในเสื้อของนาง
แล้ว นางรู้สึกหนาวเข้าไปถึงกระดูก
ฉีหนิงพูดว่า “จงปฏิบัติต่อเขา เหมือนที่อยากให้เขา
ปฏิบัติต่อเรา ดูท่าทางวัฒนธรรมของพวกเราชาวฮั่น
เจ้าจะไม่เข้าใจเลยนะ”
วิธีมัดตัวซีเหมินจั้นอิงค่อนข้างซับซ้อน ต้องเสียเวลา
อยู่นาน ถึงจะแก้มัดออก ซีเหมินจั้นอิงแทบจะไม่ได้
ไปสนใจเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ย นางหลุดออกมาก็พุ่งเข้ามา
ถีบใส่ปีศาจน้อยทันที ปีศาจน้อยร้อง “โอ้ย” ซีเห
มินจั้นอิงเห็นกระบอกไม้ไผ่ตกอยู่ด้านข้าง ก็ไปเก็บ
มา จากนั้นก็เล็งมาที่ปีศาจน้อย
ปีศาจน้อยรู้ว่าภายในกระบอกไม้ไผ่นั่นมีพิษที่
ร้ายแรง ก็รีบพูดว่า “อย่าฆ่าข้า อย่าข้าฆ่าเลย...”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ช้าก่อน”
ซีเหมินจั้นอิงดวงตาแดงก่ำ นางพูดว่า “นางปีศาจนี่
โหดเหี้ยมนัก เหตุใดถึงไม่ฆ่านางซะ?”
“นางยังมีประโยชน์กับพวกเราอยู่” ฉีหนิงพูด “จั้น
อิง เจ้าจับพวกนางมัดก่อน” เขาให้ซีเหมินจั้นอิงจับ
สาวชาวเหมียวสองคนมัดเอาไว้
ซีเหมินจั้นอิงรอดมาได้ ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับฉี
หนิงมาก ถึงแม้นางจะโกรธมาก อยากจะฆ่าปีศาจ
น้อยให้ตายไปเดี๋ยวนี้เลย แต่ว่านางก็มีสติดี รู้ว่าหาก
ฆ่านางไปตอนนี้มันรีบร้อนมากเกินไป นางเลยเดิน
ไปริมน้ำ จากนั้นก็โยนกระบอกไม้ไผ่ลูกดอกพิษนั่น
ลงน้ำไป แล้วหยิบเชือกขึ้นมา จับสาวชาวเหมียว
สองคนมัดไว้ด้วยกัน
นางโตมากับจวนเสินโหว วิธีการมัดถือว่าดีมาก
ปีศาจน้อยอยู่ในมือของฉีหนิง สาวชาวเหมียวทั้งสอง
กลัวว่าปีศาจน้อยจะถูกทำร้าย ก็เลยไม่กล้าขัด ยอม
ให้ซีเหมินจั้นอิงมัด
หลังจากที่ซีเหมินจั้นอิงจับสาวชาวเหมียวสองคนมัด
แล้ว ก็หาอะไรมาอุดปากพวกนางเอาไว้ แล้วจับ
พวกนางยัดเข้าไปในห้องข้างๆ อีกห้องหนึ่ง ตอนที่
ออกมา นางเห็นต้าเสี่ยวกุ่ยดิ้นอยู่ที่พื้น ก็เดินไปเตะ
พวกเขาเพื่อระบายความโกรธ จากนั้นก็จับพวกเขา
มัดเอาไว้เช่นกัน
ฉีหนิงเห็นนางทำอะไรเด็ดขาด ก็แอบคิดในใจว่าแม่
สาวก้นใหญ่นี่ถึงแม้จะไม่ได้เก่งอะไรมากจากจวน
เสินโหว แต่ว่าฝีมือการมัดตัวคนร้ายของนางก็ใช้ได้
เหมือนกัน
ปีศาจน้อยพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “ข้าหนาว เจ้า...
เจ้าช่วยหยิบน้ำแข็งออกมาก่อนได้หรือไม่ เจ้าจะให้
ข้าทำอะไรก็ยอม”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าขอถามเจ้า ที่นี่เป็นห้องของใคร
กัน? เป็นที่อยู่ของเฒ่าพิษอย่างนั้นหรือ?”
ปีศาจน้อยรีบพูดว่า “ใช่ ใช่ ใช่ เจ้าฉลาดมาก ที่นี่
เป็นที่พักของอาจารย์ อาจารย์ข้าจะมาเมื่อไหร่ก็ได้
พวกเจ้า...”
ฉีหนิงเดิมทีคิดว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของชิวเฉียนอี้ แต่ว่า
พอปีศาจน้อยพูดมาแบบนี้ เขาเลยไม่เชื่อ เขายกมือ
ขึ้นแล้วตบไปที่หน้าของปีศาจน้อย แล้วพูดว่า
“จนถึงตอนนี้ เจ้ายังพูดโกหกอีกหรือ อยากจะให้ฆ่า
เจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่?”
สายตาของปีศาจน้อยมีแต่ความโกรธ ซีเหมินจั้นอิง
เดินมา แล้วพูดว่า “กรีดหน้าของนางก่อน ดูสิว่า
นางยังกล้าโกหกอีกหรือ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “คนของจวนเสินโหวมีวิธีดีๆ
เสมอเลย ใช่ กรีดหน้าของนางก่อน ดูสิว่านางจะมี
อะไรพิเศษหรือไม่” เขาทำท่าทางจะลงมือ
ปีศาจน้อยหลับตาลง แล้วรีบพูดว่า “ที่นี่...ที่นี่เป็นที่
พักของท่านเจ้าลัทธิ ไม่ใช่ของอาจารย์”
ฉีหนิงกับซีเหมินจั้นอิงตะลึง รู้ว่าในสถานการณ์แบบ
นี้ ปีศาจน้อยไม่มีทางโกหกแน่ ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้ว
ถามว่า “ที่นี่เป็นที่อยู่ของเจ้าลัทธิบัวดำหรือ?”
“ข้าไม่ได้โกหก” ปีศาจน้อยไม่กล้าลืมตา “ที่นี่คือถ้ำ
หมีฮวาของเขาเชียนอูหลิง คนธรรมดาไม่มีใครกล้า
เข้ามาที่นี่เลย”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ซีเหมินจั้น
อิงนั่งยองลงตรงข้ามกับฉีหนิงแล้วถาม
ปีศาจน้อยพูดว่า “ท่านเจ้าลัทธิ...ท่านเจ้าลัทธิชอบที่
ข้าฉลาด ดังนั้น...ดังนั้นเลยอนุญาตให้ข้ามาที่นี่ได้”
ฉีหนิงกับซีเหมินจั้นอิงมองหน้ากัน พวกเขาเชือ่ ครึ่ง
ไม่เชื่อครึ่ง ปีศาจน้อยเป็นศิษย์ของชิวเฉียนอี้ เป็น
คนสำคัญในพรรคบัวดำ ถึงแม้จะโหดเหี้ยม แต่ว่า
หน้าตาน่ารัก เหมือนตุ๊กตา หากไม่ใช่เพราะนิสัย
ของนาง นางก็ดูน่าเอ็นดูมาก
พรรคบัวดำเป็นพรรคลึกลับซับซ้อน เจ้าลัทธิบัวดำ
นิสัยเป็นยังไงไม่มีใครรู้ เขาอาจจะชอบปีศาจน้อย
จริงๆ ก็ได้ เลยตามใจนางมาก
ฉีหนิงกำลังจะพูด จากนั้นก็เหลือบไปเห็นหน้าอก
ขาวๆ ของซีเหมินจั้นอิง นางลืมที่จะจัดเสื้อผ้าของ
ตัวเอง
หางตาของซีเหมินจั้นอิงเหมือนจะแอบเห็นท่าทาง
ของฉีหนิงที่ดูเหมือนจะแปลกใจ นางมองตาม
สายตาของเขาไป เห็นท่าทางการนั่งของตัวเอง มัน
แสดงสัดส่วนอย่างเห็นได้ชัด นางรู้สึกอายมาก รีบ
เอามือดึงเสื้อมาปิด แล้วจ้องไปที่ฉีหนิง แต่ก็ไม่
สะดวกที่จะว่าอะไร
ฉีหนิงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วถามต่อว่า
“ในเมื่อเจ้าเป็นที่เอ็นดูของเจ้าลัทธิบัวดำ ก็ไม่แปลก
ที่เจ้าจะรู้ความลับมากมาย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า
เจ้าพาพวกเราออกไปได้ใช่หรือไม่?”
ปีศาจน้อยรีบพูดว่า “ข้ารู้เส้นทางในเขาเชียนอูหลิง
ดี พวกเจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็จะ
ออกไปจากที่นี่ไม่ได้”
“เรื่องที่เจ้าบอกว่าหมอกบนเขาเชียนอูหลิงมีพิษ
จริงหรือไม่?” ฉีหนิงพูดว่า “พิษในหมอกเป็นฝีมือ
ของเฒ่าพิษหรือ เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเขา แสดงว่า
จะต้องรู้ว่าถอนพิษอย่างไรใช่หรือไม่”
ปีศาจน้อยลืมตาขึ้นมา แล้วถามว่า “เจ้าอยากให้ข้า
ช่วยถอนพิษให้เจ้าหรือ?”
“ไม่ใช่ช่วยข้า แต่ช่วยตัวเจ้าเอง” ฉีหนิงพูดว่า
“หากไม่มียาถอนพิษ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ เจ้าน่าจะรู้ดี
นะว่า ที่คนของแปดพรรคสิบหกสำนักมายังเขา
เชียนอูหลิงนี่ ก็เพื่อกำจัดพรรคบัวดำ ข้าฆ่าเจ้า ก็ถือ
ว่าเป็นการกำจัดภัยให้ชาวบ้าน นอกจากเจ้าจะทำ
คุณไถ่โทษ ข้าถึงจะลองพิจารณาปล่อยเจ้าไป”
ปีศาจน้อยพูดด้วยท่าทางที่น่าสงสาร “แต่ว่า...แต่ว่า
ยาพิษของอาจารย์ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าต้องถอนอย่างไร
อาจารย์แค่...แค่เอายาให้พวกเรากินคนละเม็ด
เท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นบนตัวเจ้ามียาถอนพิษหรือไม่?” ฉีหนิง
ถาม
ปีศาจน้อยพูดว่า “ไม่มี ยาถอนพิษ...ยาถอนพิษนั่น
ไม่ได้มีมากขนาดนั้น...” นางรู้สึกว่าที่คอของนางเย็น
มาก คมมีดจ่อเข้าใกล้คอของนางไปอีกนางพูดด้วย
ความตกใจว่า “ข้า...ข้ายังมีอีกสองเม็ด...”
ฉีหนิงมองไปที่ซีเหมินจั้นอิงเพื่อให้นางไปค้นตัว ซีเห
มินจั้นอิงยื่นมือไปค้นตัวปีศาจน้อย ท่าทีของปีศาจ
น้อยดูน่าสงสารมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบนตัวของ
นางจะมีของแปลกๆ มากมาย นอกจากขวดยาสิบ
กว่าขวดแล้ว ยังมีขวดสีดำที่ทำจากไม้ อีกทั้งมีเข็ม
พิษ
“ขวดไหน?” ฉีหนิงถาม รู้ว่าปีศาจน้อยนี่เจ้าเล่ห์
เขาพูดว่า “เจ้าต้องคิดให้ดีนะ หากว่าโกหก ตาย
สถานเดียว”
ปีศาจน้อยไม่มีทางเลือกเลยพูดว่า “ในขวดไม้สีดำ
ขวดที่สองมียาอยู่สองเม็ด มัน...มันเป็นยาถอนพิษ”
ซีเหมินจั้นอิงรีบเปิดขวดออกดู กลิ่นของมันฉุนเข้า
จมูกมาก ซีเหมินจั้นอิงมองเข้าไป แล้วพยักหน้า ฉี
หนิงมองแล้วให้จั้นอิงเก็บเอาไว้ เขายกมือขึ้นมา
แล้วเข้าใกล้ปากนาง แล้วยัดอะไรบางอย่างเข้าไป
ปีศาจน้อยเดิมทีคิดอยากจะขัดขืน ฉีหนิงพูดว่า
“กลืนลงไป ไม่อย่างนั้นเจ้าตาย”
ปีศาจน้อยโกรธมาก สายตามีแต่ความแค้นเคือง แต่
ว่ามีดจ่ออยู่ที่คอ นางจึงทำได้เพียงจำยอมกลืนลงไป
แล้วถามว่า “เจ้า...เจ้าให้ข้ากินอะไรเข้าไป?”
“อย่าคิดว่ามีแต่พรรคบัวดำของพวกเจ้าเท่านั้นที่
เชี่ยวชาญด้านยาพิษ” ฉีหนิงพูดว่า “ในยุทธภพมีอีก
หลายคนที่เชี่ยวชาญพิษเหมือนกัน แม้แต่จวนเสิน
โหวเอง ก็มียาพิษเฉพาะของพวกเขา เมื่อครู่ที่ข้าให้
เจ้ากินคือยาสลายกระดูกเก้าอิมของจวนเสินโหว
เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันร้ายกาจแค่ไหน?”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกสงสัยมาก แอบคิดในใจว่าจวนเสิน
โหวมียาพิษที่ใช้ภายในเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่ว่า
นางไม่เคยได้ยินเรื่องยาสลายกระดูกเก้าอิมมาก่อน
แต่ทันใดนั้นเองก็เข้าใจความหมายของฉีหนิง รู้ว่า
เขาต้องการจะขู่ปีศาจน้อยแน่
ในเมื่อฉีหนิงพูดแบบนี้ นางก็รีบต่อบททันที
“ถูกต้อง ยาสลายกระดูกเก้าอิมเป็นยาพิษลับของ
จวนเสินโหว แม้แต่คนในยุทธภพเองน้อยคนนักที่จะ
รู้”
ปีศาจน้อยตกใจตาโต แทบจะร้องไห้ออกมา “พวก
เจ้า...พวกเจ้าวางยาพิษข้าหรือ? ฮือฮือฮือ...อาจารย์
จะต้องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”
“หลังจากกินยาสลายกระดูกเก้าอิมไปแล้ว ภายใน
สิบสองชั่วยามจะไม่เป็นอะไร แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่
เลยสิบสองชั่วยามไป อวัยวะภายในทั้งหมดก็จะ
เหี่ยวเฉาไป” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้ารู้หรือไม่
ว่าเหี่ยวเฉามันหมายความว่าอย่างไร? มันก็
หมายความว่าอวัยวะภายในของเจ้าจะถูกดูดน้ำจน
แห้ง เหมือนเนื้อแดดเดียว เครื่องในของเจ้ามันจะมี
สภาพอย่างไรบ้างน้า ยังจะรอดได้อีกหรือไม่?”
เขารู้ดีว่าปีศาจน้อยโตมากับยาพิษ ตอนที่พูดต้องดู
จริงจัง แล้วก็ต้องอธิบายสรรพคุณอย่างละเอียดด้วย
ปีศาจน้อยกัดฟันแล้วพูดว่า “ก็ต้องไม่รอดน่ะสิ”
“รู้ก็ดีแล้ว” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะให้โอกาส
เจ้า เจ้าพาพวกเราขึ้นเขาไปที่ฐานใหญ่ตรงยอดเขา
ไปถึงที่นั่นเร็วเท่าไหร่ เจ้าก็จะได้ยาถอนพิษเร็ว
เท่านั้น เจ้าคิดว่าดีหรือไม่?”
ปีศาจน้อยตะลึงไป แล้วพูดว่า “พวกเจ้า...พวกเจ้า
จะขึ้นเขา?”
ฉีหนิงพูดว่า “อย่าพูดมาก หากเจ้ารับปาก พวกเรา
ก็จะเดินทางทันที”
ปีศาจน้อยพูดว่า “ที่ฐานใหญ่ได้วางแหฟ้าตาข่ายดิน
พวกเจ้าขึ้นไปตอนนี้ มันรนหาที่ตายชัดๆ ข้าไม่ได้
หลอกพวกเจ้านะ คนที่บุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง
ตอนนี้หากไม่ตาย ก็ถูกจับหมดแล้ว อาศัยแค่พวก
เจ้าสองคน แทบจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราเลย”
อย่างนั้นหรือ? “ฉีหนิงพูดว่า” เจ้าหวังดีกับพวกเรา
ถึงขั้นเตือนให้พวกเราอย่าขึ้นเขาอย่างนั้นหรือ?"
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เจ้ากังวลว่าหลังจากที่พวกเรา
ขึ้นเขาไปแล้ว จะตายอยู่บนเขา ไม่มีใครให้ยาถอน
พิษเจ้าสินะ?”
ปีศาจน้อยคิดอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ เมื่อถูกซีเห
มินจั้นอิงจับทางได้ ก็ได้แต่พูดว่า ถึงอย่างไรข้าก็
บอกพวกเจ้าไปแล้ว เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกเจ้า"
“แหฟ้าตาข่ายดินที่เจ้าว่ามานั่นมันคืออะไร?” ฉี
หนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นอกจากหมอกพิษแล้ว ยัง
มีอะไรอีก?”
ปีศาจน้อยพูดว่า “ข้ารู้แค่ว่าพวกเขาวางแหฟ้าตา
ข่ายดินเอาไว้ แต่ว่ามันคือะไร ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าแอบ
ได้ยินมาตอนที่พวกเขาหารือกัน หลังจากนั้นก็ถูก
พวกเขาจับได้ แล้วสั่งไม่ให้ข้าไปแอบฟังอีก ข้า...ข้า
ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร แต่ว่า...แต่อาจารย์
บอกว่า คนที่บุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง จะไม่มีใคร
รอดไปได้เด็ดขาด จะทำให้พวกเจ้าได้รับกรรมที่
ตัวเองทำไว้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 433 ค่ายกลโบราณ
ฉีหนิงไม่พูดมาก เขายื่นมือไปกระชากตัวปีศาจน้อย
ขึ้นมา แล้วเอาเชือกให้ซีเหมินจั้นอิงมัดมือทั้งสอง
ข้างของนางเอาไว้ แล้วถึงพูดว่า “เดินนำทางไป
หากเจ้าตุกติก อย่าหาว่าข้าไม่ปราณีเจ้านะ”
คนเหมือนมีด ข้าเหมือนเนื้อปลา ปีศาจน้อยไม่มี
ทางเลือก ทำได้แค่เดินนำทางไปด้านหน้า
ซีเหมินจั้นอิงจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง ภายในห้องนี้
ไม่มีอาวุธอะไรเลย นางรู้สึกเสียดายที่เมื่อครู่ทิ้ง
กระบอกลูกดอกพิษไป ตอนนี้ทำได้แค่เดินตัวเปล่า
ตามฉีหนิงไป
เมื่อออกจากประตู พวกเขาก็เดินไปทางสะพาน
ทางด้านทิศใต้ หมอกด้านนอกยังคงหนาอยู่เช่นเดิม
“เดินไปทางนี้อีกไม่กี่ลี้ จะมีประตูถ้ำหิน เดินผ่านถ้ำ
หินไป ก็จะมีเชือกให้ปีนขึ้นไปด้านบน” ปีศาจน้อย
เหมือนอยากจะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ ตอนนี้
เหมือนจะให้ความร่วมมือมาก “พวกเจ้าต้องรักษา
คำพูดนะ หากข้าพาพวกเจ้าขึ้นไปด้านบนแล้ว พวก
เจ้าจะต้องเอายาถอนพิษให้ข้า แล้วปล่อยข้าไป”
ฉีหนิงพูดว่า “ระวังตัวเจ้าเองก่อนดีหรือไม่ หากข้ารู้
ว่าเจ้าพาข้าไปติดกับดัก หรือว่าไปเจอคนซุ่มจู่โจม
ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรกเลย”
“ที่นี่ไม่มีคนอื่น” ปีศาจน้อยเดินไปพรางพูดไปพราง
“ถ้ำหมีฮวาเป็นสถานที่ต้องห้าม หากไม่มีคำสั่งของ
ท่านเจ้าลัทธิ แม้แต่อาจารย์ก็เข้ามาไม่ได้” นางถาม
ขึ้นมาด้วยความมึนงง “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? น่า
แปลกจริงๆ”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเข้ามาที่ถ้ำหมีฮวาได้ ถือว่าโชค
ดี หากไม่ใช่เพราะสาวชาวเหมียวสองคนนั้น เขา
น่าจะหลงอยู่ในป่าไผ่นั่นจนตาย เขาถามว่า “ป่าไผ่
นั่นมันมีอะไร?”
ปีศาจน้อยเหมือนจะฟังเข้าใจ แล้วพูดว่า “เจ้ามา
จากทางนั้นหรือ? เจ้า...เจ้าเดินออกมาจากป่าไผ่นั้น
ได้ด้วย? มันคือป่าแห่งวิญญาณ ไม่มีใครเดินออกมา
จากที่นั่นได้” จากนั้นก็เข้าใจขึ้น แล้วพูดอย่าง
หงุดหงิดว่า “จริงสิ สาวใช้สองคนนั้นรู้วิธีการเดิน
เจ้าเดินตามพวกนางมาแน่ๆ”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าก็มีสมองเหมือนกันนี่นา”
“บัดซบจริง” ปีศาจน้อยอารมณ์เสียมาก “ไม่เอา
ไหนจริงๆ ถูกเจ้าเดินตามยังไม่รู้ตัว กลับไปจะจับ
พวกนางไปให้มังกรน้อยกินให้หมด”
ฉีหนิงรู้ว่ามังกรน้อยที่นางหมายถึงก็คืองูพิษ แอบคิด
ในใจว่าปีศาจน้อยนี่เกินเยียวยาแล้วจริงๆ
เมื่อเดินข้ามมาแล้ว ด้านหน้าก็เป็นป่าดอกเหมย ฉี
หนิงแอบคิดในใจว่าในป่าดอกเหมยคงไม่มีค่ายกล
อะไรอีกหรอกนะ เขาระวังตัวมาก เดินตามติดอยู่
ด้านหลังปีศาจน้อยอย่างไม่ให้คลาดสายตา
เมื่อเข้ามายังป่าดอกเหมย กลิ่นหอมของมันโชยมา
มองไปแล้วสวยงามมาก
“จั้นอิง เจ้าถูกจับตัวมาจากค่าย ทูตวิญญาณของ
พรรคบัวดำเป็นคนทำใช่หรือไม่?” ฉีหนิงหันไปมอง
ซีเหมินจั้นอิงที่อยู่ด้านหลังเขา เหมือนคิดอะไรขึ้นมา
ได้ จึงถามขึ้นมา
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินเขาถาม เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ
แต่ปีศาจน้อยพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเจอลั่วอู๋อิ่งหรือ?”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ลั่วอู๋อิ่งเป็นใครกัน?”
“เจ้าบอกว่าทูตวิญญาณไม่ใช่หรือ?” ปีศาจน้อยพูด
ว่า “ทูตวิญญาณก็คือลั่วอู๋อิ่ง ลั่วอู๋อิ่งก็คือทูต
วิญญาณ”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าที่แท้ทูตวิญญาณมีชื่อว่าลั่วอู๋
อิ่งนี่เอง ชื่อนี้ลึกลับดี เขาพูดว่า “ลึกลับจริงๆ ชื่อก็
แปลก”
“เขาเป็นทูตวิญญาณ ก็ต้องลึกลับสิ” ปีศาจน้อยพูด
ว่า “เขาลงจากเขาไปคนเดียว คนมากมายขนาดนั้น
ยังจับคนกลับมาได้ เจ้าว่าเขาเก่งหรือไม่เล่า? ตา
เฒ่านี่ปกติเห็นท่าทางแปลกๆ ที่แท้เขาก็กล้าไม่เบา
อาจารย์บอกว่าวิชาตัวเบาของเขาในใต้หล้านี้น่าจะ
อยู่ในอันดับสาม น่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าปีศาจน้อยพูดมาไม่ผิด ทูต
วิญญาณวิชาตัวเบาร้ายกาจมากจริงๆ กล้าก่อกวน
เหล่าชาวยุทธ์จนวุ่นวายกันไปหมดด้วย
เดินมาได้ระยะหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นจาก
ด้านหน้าไม่ไกล “ตาเฒ่าชุดเขียว ตกลงเจ้าหาทาง
ออกเจอหรือไม่ อย่าพาพวกเรามาตายกันที่นี่นะ”
ฉีหนิงตกใจ กระชากปีศาจน้อยไว้ แล้วดึงนางมา
หลบด้านหลังต้นดอกเหมย ซีเหมินจั้นอิงเองก็เร็ว
หลบหลังต้นไม้เหมือนกัน
ปีศาจน้อยได้ยินเสียงคน เดิมทีดีใจมาก แต่ไม่นาน
นักก็ขมวดคิ้ว ฉีหนิงยื่นหัวออกมามอง เห็นด้านหน้า
ไกลๆ มีเงาของคนหลายคนปรากฏขึ้น
เขาเห็นมีคนสามสี่คนกำลังเดินมา คนด้านหน้าสุด
สวมชุดสีเขียว น่าจะเป็นตาเฒ่าชุดเขียวที่พูดถึงเมื่อ
ครู่ ในมือของเขาเหมือนถืออะไรอยู่ มองเห็นไม่
ชัดเจน แต่ด้านหลังของเขา มีคนเดินตามมาอีกสอง
คน คนหนึ่งถือพิณ อีกคนตัวเล็ก สวมชุดสีขาวทั้งตัว
แม้แต่ผ้าโพกหัวก็สีขาว
ฉีหนิงหน้าถอดสี ตาเฒ่าชุดเขียวเขาไม่รู้จัก แต่ว่า
คนที่ตามตาเฒ่าชุดเขียวมาอีกสองคน ฉีหนิงรู้จัก
เป็นอย่างดี
เขาคือตาเฒ่าประหลาดดีดพิณกับเจ้าลิงขาวที่ฉีหนิง
เคยปะทะด้วย
ครั้งแรกที่เจออีฝูในคืนฝนตก และถูกลอบทำร้าย ก็
เป็นฝีมือของเฒ่าประหลาดดีดพิณกับเจ้าลิงขาว เจ้า
ลิงขาวฝึกผีดิบด้วยยาพิษขึ้นมาสองตัว ผีดิบหญิงถูก
ฉีหนิงสังหารไป แต่ว่าทั้งคู่ร้ายกาจมากเกินไป ฉีหนิง
กับอีฝูหลบหนีการไล่ล่าของพวกเขา จนกระทั่งหลง
เข้าไปในสำนักเฟิงเจี้ยน
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า จะมาเจอสองคนนั้นที่ถ้ำหมีฮวา
อีก
เขาแอบคิดในใจว่าพวกเขาเป็นคนของพรรคบัวดำ
อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้น เรื่องยุแยงให้ทางการกับ
ถ้ำเฮยเหยียนผิดใจกัน ก็เป็นฝีมือของพรรคบัวดำน่ะ
สิ?
ฉีหนิงหลบอยู่หลังต้นไม้ พวกเขาเหมือนจะไม่คิดว่า
หลังต้นไม้จะมีคนอยู่ เฒ่าชุดเขียวเดินนำทางอยู่
ด้านหน้า อีกสองคนเดินตามมาด้านหลัง มองซ้ายที
ขวาที เหมือนจะระวังตัวตลอดเวลา
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขาตกใจมาก จากนั้นเขาก็
สังเกตเห็นที่ด้านหลังของสองคนนั้น ยังมีอีกคนห้อย
ท้าย ท่าทางอ้อนแอ้น สายตาของฉีหนิงดีมาก เขา
มองออกว่านางเป็นผู้หญิง
คนที่เดินอยู่ท้ายสุด กลับเป็นฮวาเสี่ยงหรง
ฮวาเสี่ยงหรงแฝงตัวเข้าไปอยู่ในคณะละคร ตั้งใจ
ล่อลวงซีชวนชื่อสื่อเหว่ยซูถง แล้วคอยติดตามอยู่
ข้างกายเหว่ยซูถง หากคืนนั้นไม่ใช่เพราะฉีหนิงเปิด
โปงนาง ตอนนี้นางก็คงยังอยู่กับเหว่ยซูถง
ฮวาเสี่ยงหรงอาศัยวิชาตัวเบาของนางหนีรอดมาได้
ฉีหนิงเดิมทีคิดว่านางเป็นคนของหลี่หงซิ่น คิดว่า
น่าจะไปซ่อนตัวอยู่กับหลี่หงซิ่น ใครจะคิดว่านางจะ
มาปรากฏตัวที่นี่ด้วย
เท่าที่เห็นตอนนี้ ฮวาเสี่ยงหรงน่าจะเป็นพวก
เดียวกับเฒ่าดีดพิณ หรือพูดได้ว่า เรื่องของถ้ำเฮยเห
ยียน เบื้องหลังเป็นฝีมือของคนพวกนี้
เมื่อครู่ปีศาจน้อยก็บอกอยู่ว่า ถ้ำหมีฮวาเป็นสถานที่
ต้องห้ามของพรรคบัวดำ หากไม่ได้รับอนุญาตจาก
เจ้าลัทธิ คนอื่นจะเข้ามาที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด ฉีหนิงเดิน
หลงอยู่ในนี้ตั้งนาน นอกจากพวกของปีศาจน้อยแล้ว
ไม่เห็นมีคนอื่นอีกเลย หากจะบอกว่าปีศาจน้อย
ไม่ได้พูดโกหก แสดงว่าคนพวกนี้ก็ไม่มีสิทธิเข้ามา
ที่นี่
คนพวกนี้เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในป่า
ดอกเหมยเลย เฒ่าชุดเขียวนำทางอยู่ด้านหน้า
เหมือนคิดอยากจะทำลายค่ายกลของค่ายดอกเหมย
ให้ได้
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเฒ่าชุดเขียวพูดขึ้นมาว่า
“เจ้าคิดว่าที่นี่มันเป็นค่ายกลปกติหรืออย่างไรกัน?
ตั้งแต่โบราณมา มีค่ายกลเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
หลายค่ายกลเห็นกันได้บ่อย แต่ว่าบางค่ายกลก็
พิสดาร แก้ได้ยากมาก ค่ายกลที่คนโบราณทิ้งเอาไว้
ให้ ต่างมีลำดับขั้นตอนของมัน แต่ว่าค่ายกลโบราณ
บางอย่างก็ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เรื่องการถอดรหัสค่ายกลหรอก”
“เจ้าหมายความว่าค่ายกลโบราณร้ายกาจมากเลย
อย่างนั้นสินะ?” เฒ่าดีดพิณถาม
เฒ่าชุดเขียวพูดว่า “ค่ายกลโบราณไม่เห็นเดือนเห็น
ตะวัน เพื่อซ่อนความลับเอาไว้ ก็เพราะว่ามันมีความ
พิสดารซ่อนอยู่ แก้ได้ยากมาก นอกจากคนที่รู้ถึง
ความมหัศจรรย์ของมันเท่านั้น ถึงจะรู้ว่ามันซ่อน
อะไรเอาไว้ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะเรียนรู้กันได้
ในป่าดอกเหมยนี่ เป็นหนึ่งในค่ายกลโบราณ หาได้
ยากมาก หากเดินผิดแม้แต่ก้าวเดียว ก็อาจจะติดกับ
ยากที่จะหลุดรอดไปได้”
“ถ้าอย่างนั้น ความสามารถของเจ้าก็เป็นพรสวรรค์
น่ะสินะ?” เจ้าลิงขาวพูด “ค่ายกลโบราณแบบนี้ เจ้า
เองก็ถอดรหัสได้?”
เฒ่าชุดเขียวพูดว่า “ขอแค่เป็นค่ายกล ก็ต้องมีวิธีแก้
ในมือของข้าเหรินเฉียนโม่ ไม่มีค่ายกลอะไรที่ข้าแก้
ไม่ได้”
เฒ่าดีดพิณยิ้มแล้วพูดว่า “ตาเฒ่าชุดเขียว หากครั้ง
นี้พวกเราสร้างผลงานได้ ต่อไปข้าคงซานเสวียนก็จะ
เคารพเจ้า”
เจ้าลิงขาวพูดขึ้นมาว่า “อย่างไรคนของจวนเสินโหว
ก็ต้องกวาดล้างพรรคบัวดำจนสิ้นซากอยู่แล้ว รอ
พวกเขาทำการเสร็จ ดีไม่ดีอาจจะมาถึงที่นี่ด้วยก็ได้
พวกเราเสียเวลาอยู่บนเขานี้มาวันหนึ่งแล้ว หากช้า
กว่านี้ พวกเราจะกลับไปรายงานไม่ได้นะ”
ฉีหนิงฟังอย่างไม่ปะติดปะต่อ ถึงแม้จะได้ยินไม่ชัด
หลายคำ แต่ว่าก็พอจะฟังเข้าใจ เขาตกใจมาก แอบ
คิดในใจว่าคนพวกนี้ก็ไม่ใช่คนของพรรคบัวดำ แต่ว่า
ฉวยโอกาสที่พรรคบัวดำรับมือกับจวนเสินโหว ลอบ
ขึ้นเขาและมาที่ถ้ำหมีฮวา
ปีศาจน้อยบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามของพรรค
บัวดำ เขาใช้เวลากว่าครึ่งวัน คลำทางจนมาถึงที่นี่
ตอนนี้ยังมีคนอีกกลุ่มที่ลอบเข้ามา แสดงว่ามันก็
ไม่ได้ลึกลับอะไรขนาดนั้น
แต่ว่าคนพวกนี้เข้ามาที่นี่ เพื่ออะไรกัน?
เจ้าลัทธิบัวดำเป็นหนึ่งในห้าของต้าจงซือ วรยุทธ์
เป็นอย่างไรคาดเดาไม่ได้เลย หลายปีมานี้ ไม่เคยไป
ทำอะไรให้ใคร ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะจวนเสินโหว
รวบรวมคนจากแปดพรรคสิบหกสำนักมา เกรงว่า
คงไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในดินแดนของพรรคบัว
ดำแน่
คนพวกนี้บุกเข้ามาถึงที่นี่ แสดงว่าพวกเขาต้อง
วางแผนอะไรเอาไว้แน่
อีกทั้งพวกเขายังเตรียมตัวมาอย่างดี รู้ว่าจะต้องเข้า
มายังถ้ำหมีฮวา แล้วจะต้องแก้ค่ายกลโบราณในป่า
ดอกเหมยให้ได้ด้วย เลยตั้งใจพาคนที่ชื่อเหรินเฉียน
โม่มาด้วย
พวกเขาเลือกเวลาลงมือได้ดีมาก ก็เหมือนกับที่เจ้า
ลิงขาวพูด ตอนนี้พรรคบัวดำเอาแต่สนใจรับมือกับ
ทางจวนเสินโหว ไม่มีเวลามาสนใจตรงนี้ ถือเป็น
เวลาที่ดีในการลอบเข้ามา
เหรินเฉียนโม่เหมือนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับค่าย
กล พวกเขาเดินทะลุซ้ายทีขวาที จะว่าไปก็แปลก
เหมือนกัน เห็นชัดว่าพวกเขาอยู่กันไกลพอสมควร
แต่ทำไมเลี้ยวมาสองที กลับเข้ามาใกล้กับต้นไม้ที่ฉี
หนิงหลบอยู่แล้วล่ะ พออีกครู่หนึ่งก็ห่างออกไปไกล
อีก
ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็คิดว่าไม่ใช่ว่าคนพวกนี้จะร้ายกาจ
อะไรมากหรอก แต่เป็นเพราะค่ายกลในป่าดอก
เหมยนี่ต่างหากที่มันพิสดาร ยังดีที่มีปีศาจน้อยอยู่ใน
มือ ไม่อย่างนั้นคงต้องหลงอยู่ในถ้ำหมีฮวานี้แน่นอน
ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าลัทธิบัวดำ คิดว่าค่ายกล
ทั้งในป่าไผ่กับป่าดอกเหมยน่าจะเกี่ยวข้องกับพรรค
บัวดำแน่ หากเป็นอย่างนั้น เจ้าลัทธิบัวดำก็จะต้อง
เป็นคนที่น่ากลัวมาก คนๆ นี้วรยุทธ์เป็นอย่างไรคาด
เดาไม่ได้ แต่ว่าเขาเป็นหนึ่งในห้าของต้าจงซือ อีกทั้ง
ยังเชี่ยวชาญค่ายกลโบราณพิสดารแบบนี้ด้วย ไม่
แปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงเป็นใหญ่ในพื้นที่นี้ได้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 434 โลงน้ำแข็ง
เฒ่าชุดเขียวเหรินเฉียนโม่ไม่ได้เป็นคนธรรมดาจริงๆ
ไม่นานนักพวกเขาก็สามารถเข้าไปถึงป่าไผ่ได้
จากนั้นเงาของพวกเขาก็หายไป
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เหมือนกำลังใช้ความคิด ปีศาจน้อย
ถามขึ้นมาว่า “ฉีหนิง คนพวกนั้นเจ้าพามาหรือ?”
เมื่อได้ยินนางพูดแบบนั้น ฉีหนิงก็แน่ใจว่าคนพวก
นั้นไม่ใช่คนของพรรคบัวดำ ซีเหมินจั้นอิงกลับเดิน
เข้ามาใกล้ แล้วพูดว่า “คนพวกนั้นท่าทางลึกลับ
มาก เหมือนจะฉวยโอกาสเข้ามาที่นี่มากกว่า”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเห็นท่าทางของพวก
เขา เหมือนกำลังตามหาอะไรในถ้ำหมีฮวา”
“ป่าดอกเหมยนี่มีค่ายกลโบราณ คนที่สวมชุดสีเขียว
ถูกพามาเพื่อแก้ค่ายกล” ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ พวกเขามาที่นี่ คิดจะทำอะไรกัน
แน่?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วถามว่า “ปีศาจน้อย พวกเขาจะหา
อะไร เจ้าน่าจะรู้นะ?”
ปีศาจน้อยพูดว่า “ข้าไม่ใช่พยาธิในท้องของพวกเขา
เสียหน่อย จะไปรู้ได้อย่างไร? ที่นี่เป็นที่พักของท่าน
เจ้าลัทธิ พวกเขาคงคิดว่าที่นี่มีตำราเคล็ดวิชาเลย
มาตามหา”
ที่นางพูดมา ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เพราะเจ้าลัทธิบัวดำเองมีวรยุทธ์ที่คาดเดาไม่ได้เลย
เหล่าชาวยุทธ์หมายตาวรยุทธ์ที่อยากจะเล่าเรียน
หากหอคอยที่อยู่กลางแม่น้ำนั่นคือที่อยู่ของเจ้าลัทธิ
บัวดำจริง ตอนที่เหล่าชาวยุทธ์บุกขึน้ มาที่นี่ ต้อง
แอบมาหาตำราเคล็ดวิชาอะไรต่างๆ แน่
เพียงแต่เขาแค่คิดว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายแบบนี้ เพราะ
คนพวกนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน
หากบอกว่าคนพวกนี้เสียเวลาวางแผนเพื่อลอบเข้า
มาที่ถ้ำหมีฮวา แค่เพื่อเคล็ดวิชาของเจ้าลัทธิบัวดำ
มันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่
ซีเหมินจั้นอิงเองก็ไม่เกรงใจ นางเดินขึ้นหน้าไป แล้ว
ตบไปที่หน้าของปีศาจน้อย ปีศาจน้อยโกรธมาก
“เจ้า...เจ้าตบข้า?”
“ข้าไม่เพียงจะตบหน้าเจ้า แต่จะฆ่าเจ้าด้วย” ซีเห
มินจั้นอิงพูดว่า “ในเมื่อเจ้าลัทธิบัวดำรักและเอ็นดู
เจ้ามาก ยอมให้เจ้าเข้าออกที่นั่นได้ ค่ายกลโบราณ
ในป่าดอกเหมยเองเจ้าก็รู้จักวิธีเดินชัดเจน เจ้ายัง
กล้าพูดอีกว่าไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหน?”
นางเป็นคนของจวนเสินโหว ก็พอมีความรู้
ความสามารถในการแยกแยะที่ค่อนข้างดี
ปีศาจน้อยขบฟันแน่น จากนั้นก็รู้สึกว่าด้านหลังเย็น
มาก ฉีหนิงจ่อมีดสั้นมาที่หลังของนาง ปีศาจน้อย
โกรธมาก แต่ก็แอบคิดในใจว่า “พวกเจ้าสองคน รอ
ข้ารอดไปก่อนนะ ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่” แต่
ว่านางก็จนปัญญา “ที่ถ้ำหมีฮวาไม่มีของดีอะไร
หรอก ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร”
เมื่อได้ยินปีศาจน้อยพูดว่า “ของดี” ฉีหนิงก็นึกถึง
โลงน้ำแข็งขึ้นมา
ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามาในถ้ำหมีฮวา เขาไปเจอสระ
น้ำแห่งหนึ่ง ด้านล่างของสระน้ำ มันเหมือนมีของที่
คล้ายกับโลงศพอยู่ ตอนนั้นเขารู้สึกแปลกใจมาก
แต่ว่ากลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียเปล่า จึงไม่ได้
ทำลายน้ำแข็งดู ตอนนี้นึกขึ้นมาได้ คิดในใจว่าหรือ
ว่าคนพวกนั้นจะมาเพราะโลงน้ำแข็งนั่น?
ยิ่งคิดแบบนี้ ยิ่งคิดว่ามันเป็นไปได้
หากเดาไม่ผิด จะเข้ามายังถ้ำหมีฮวาเหมือนจะมีสอง
เส้นทาง ทางหนึ่งคือทางประตูหินที่เขาเข้ามา ส่วน
อีกทางเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างลึกลับ ไม่มีใครรู้ เขา
หลงไปหลงมาจนเข้ามาในนี้ได้ ส่วนอีกทางหนึ่งก็
น่าจะเป็นเส้นทางที่ปีศาจน้อยกำลังพาเดินไป และ
เป็นเส้นทางเดียวกับที่เหรินเฉียนโม่กำลังคลำเข้ามา
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “โลงน้ำแข็ง”
เขาตั้งใจพูดแบบนี้ เป้าหมายก็เพื่อดูปฏิกิริยาของ
ปีศาจน้อย หากปีศาจน้อยรู้เรื่องโลงน้ำแข็ง ก็
จะต้องมีปฏิกิริยาแน่
ไม่ผิดจากที่คิด เมื่อได้ยินฉีหนิงพูดถึง “โลงน้ำแข็ง”
ปีศาจน้อยถึงกับสะดุ้ง ซีเหมินจั้นอิงถามขึ้นมาว่า
“โลงน้ำแข็ง? โลงน้ำแข็งอะไรกัน?”
“ปีศาจน้อย หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องของโลง
น้ำแข็ง ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้เลย” ฉีหนิงพูด
ปีศาจน้อยพูดว่า “เจ้า...เจ้า...เห็นโลงน้ำแข็งแล้ว
หรือ”
ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องที่ข้ารู้มากกว่าที่เจ้าคิดอีก”
“โหวเยว่ โลงน้ำแข็งมันเรื่องอะไรกัน?” ซีเหมินจั้น
อิงงงไปหมด “หมายความว่า คนพวกนั้นลอบเข้ามา
ที่ถ้ำหมีฮวา เป็นเพราะต้องการตามหาโลงน้ำแข็งที่
เจ้าบอกหรือ?”
“ถ้ำหมีฮวานอกจากป่าดอกเหมยแล้ว ยังมีป่าไผ่
ด้วย” ฉีหนิงพูดว่า “ป่าไผ่นั่นมีค่ายกลโบราณที่ร้าย
กาจซ่อนอยู่เหมือนกัน ข้าเกือบหลงจนออกมาจากที่
นั่นไม่ได้แล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงถึงได้เข้าใจ “ป่าไผ่ที่ก่อนหน้านี้เจ้าเคย
พูดถึงใช่หรือไม่? สาวใช้สองคนนั้นพาเจ้าออกมา
หรือ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าโชคดี หากไม่ได้เจอ
สาวใช้สองคนนั่นที่ไปเอาน้ำแข็ง คิดว่าคงตายที่ป่า
ไผ่แห่งนั้นไปแล้ว”
ปีศาจน้อยอดไม่ได้จึงพูดว่า “เจ้ารู้ว่ามันร้ายกาจก็ดี
แล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “มีเจ้าอยู่ในมือข้า ต่อให้ค่ายกลร้าย
กาจแค่ไหนก็ไม่เป็นอะไรหรอก ปีศาจน้อย ค่ายกล
ในป่าดอกเหมยเจ้ารู้ดีทุกซอกทุกมุม ค่ายกลในป่าไผ่
เจ้าเองก็น่าจะคุ้นเคยดี ตอนนี้พาข้าย้อนกลับไป ไป
ดูสิว่าคนพวกนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว “พวกเรา...พวกเราต้องตาม
พวกเขาไปหรือ?” นางลังเล แล้วพูดว่า “โหวเยว่
พรรคบัวดำวางกับดักไว้บนเขา พวกเราควรจะ...
ควรจะไปแจ้งพวกเขาก่อนดีหรือไม่?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เท่าที่ข้าเดา จวนเสิน
โหวพาคนบุกขึ้นเขามา ตอนนี้น่าจะประมาณหนึ่ง
วันแล้ว ตอนนี้พวกเขาน่าจะขึ้นไปถึงตำหนักหินดำ
ตกหลุมพรางไปแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น...” ซีเหมินจั้นอิงดูเหมือนจะร้อนใจ
เพราะจวนเสินโหวพาคนมามากมาย จวนเสินโหวไม่
เหมือนหน่วยงานอื่น ทุกคนอยู่กันแบบพี่น้อง
ความสัมพันธ์ดีต่อกันมาก ซีเหมินจั้นอิงโตมาจาก
จวนเสินโหว ไม่เพียงแค่เจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว
แม้แต่กับเจ้าหน้าที่คนอื่นในจวนก็ดีต่อกันมาก
ตอนนี้พอรู้ว่าพวกเขาน่าจะติดกับแล้ว ก็รู้สึกร้อนใจ
มาก
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่าซีเหมินจั้นอิงจะรู้สึกอย่างไร เขา
พูดว่า “จั้นอิง หากจวนเสินโหวพ่ายแพ้จริง แสดงว่า
ทางตำหนักหินดำต้องถูกพรรคบัวดำควบคุมไว้
หมดแล้ว อาศัยแค่พวกเราสองคน ไม่มีทางพลิก
สถานการณ์ได้แน่”
ซีเหมินจั้นอิงพูดด้วยความร้อนใจว่า “แต่ว่าพวกเรา
จะไม่ช่วยไม่ได้ พวกศิษย์พี่ใหญ่...”
“ข้าเข้าใจ” ฉีหนิงพยักหน้า “ดังนั้นพวกเราจะต้อง
หาทางช่วยให้พวกเขารอดให้ได้”
“หะ?” ถึงแม้ปกติซีเหมินจั้นอิงเจอหน้าฉีหนิงจะ
เถียงกันไม่หยุด แต่ว่าลึกๆ แล้วนางก็รู้ว่าฉีหนิงไม่ใช่
คนไม่เอาไหนไม่รู้อะไรสักอย่าง คนๆ นี้ปกติเห็นว่า
เสเพลกะล่อน แต่ว่าเวลาเจอเหตุการณ์คับขัน เขา
กลับนิ่งมีสติ เมื่อคิดถึงความปลอดภัยของคนของ
จวนเสินโหว ซีเหมินจั้นอิงทำได้แค่ทำตามที่ฉีหนิง
บอก นางถามว่า “โหวเยว่ เจ้าคิดออกแล้วใช่หรือไม่
ว่าจะทำอย่างไร?”
“ครั้งนี้พรรคบัวดำวางแผนมาอย่างดี ข้าคิดไปคิดมา
ตอนนี้มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวที่อาจจะพลิกสถานการณ์
ของจวนเสินโหวได้” ฉีหนิงพูด
ปีศาจน้อยถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้นางพูดน้อยเท่าไหร่ยิ่ง
ดี แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่า “พวกเจ้าบุกขึ้นมาเอง พรรค
บัวดำของพวกเราก็ไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหารนะ ไม่มี
ทางปล่อยคนพวกนั้นไปหรอก”
“เจ้าลัทธิบัวดำเอ็นดูเจ้ามาก เอาเจ้าไปแลกเปลี่ยน
ถึง อย่างไรก็รักษาชีวิตคนได้บางส่วน” ฉีหนิงไม่ได้
พูดดีด้วย เขาพูดว่า “ถ้ำหมีฮวาเป็นสถานที่ต้องห้าม
ของพรรคบัวดำ อีกทั้งยังเป็นที่อาศัยของเจ้าลัทธิบัว
ดำ ใต้สระน้ำในถ้ำหมีฮวามีโลงน้ำแข็งซ่อนอยู่
ลึกลับมากขนาดนี้ สมบัติในโลงน้ำแข็งนั่น จะต้อง
เป็นของสำคัญของเจ้าลัทธิบัวดำแน่”
ปีศาจน้อยพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก “ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ในใต้หล้านี้ ไม่มีอะไรที่ท่านเจ้าลัทธิใส่ใจสักอย่าง
เดียว”
ฉีหนิงไม่ได้สนใจนาง เขามองไปที่ซีเหมินจั้นอิงแล้ว
พูดว่า “หากพวกเรานำของในโลงน้ำแข็งออกมา
อาจจะใช้มันเป็นตัวประกันได้ แล้วเจรจากับพรรค
บัวดำ”
ซีเหมินจั้นอิงเหมือนจะเข้าแล้ว นางพูดว่า “เจ้า
หมายความว่า ของในโลงน้ำแข็งนั่นสามารถแลกตัว
เชลยกับทางเจ้าลัทธิบัวดำหรือ?” ที่จริงนางก็ไม่รู้
หรอกว่าสถานการณ์ทางตำหนักหินดำเป็นอย่างไร
แต่ว่าปีศาจน้อยพูดอย่างมั่นใจว่า หากเหล่าชาวยุทธ์
พ่ายแพ้ให้กับพรรคบบัวดำ พวกเขาน่าจะโชคร้าย
มากกว่าดีมาก
ฉีหนิงเองก็ไม่เสียเวลา เขาพูดว่า “คนพวกนั้นเดิน
ผ่านป่าดอกเหมยไปแล้ว หากจะแก้ค่ายกลของป่า
ไผ่อีก พวกเราต้องไปถึงสระน้ำนั่นก่อนหน้าพวกเขา
ให้ได้ เพื่อนำเอาของในโลงน้ำแข็งนั่นมาก่อน” เขา
ยื่นมือไปกระชากไหล่ของปีศาจน้อย แล้วพูดว่า “ไป
นำทางไป” เป็นน้ำเสียงที่ไม่มีทางให้นางได้ต่อรอง
ปีศาจน้อยแอบด่าในใจ เดิมทีนางคิดจะหาทางหนี
แต่ว่าฉีหนิงทำตัวเหมือนเป็นเงาของนาง เดินอยู่
หลังนางมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังระวังตัวมากด้วย นาง
แทบไม่มีช่องทางให้หนีเลย ตอนนี้ถูกฉีหนิงควบคุม
นางไม่มีสิทธิขัดขืนเลย ทำให้นางจำใจต้องหัน
กลับไป
ปีศาจน้อยคุ้นเคยกับเส้นทางในป่าดอกเหมยมาก
ค่ายกลโบราณเหมือนจะทำอะไรนางไม่ได้ ตลอด
ทางที่เดินมาแทบจะไม่เห็นพวกของเหรินเฉียนโม่
เลย จนกระทั่งเดินออกมาจากดอกเหมย ฉีหนิงถึง
เร่งให้ปีศาจน้อยเดินข้ามสะพานข้ามมาอีกฝั่ง
จากนั้นก็เดินเข้าไปยังป่าไผ่
เขาหันกลับมามอง เขาถึงกับตกใจ เขาเห็นเงาตะคุ่ม
จากนั้นก็เห็นพวกของเหรินเฉียนโม่กำลังเดินออกมา
จากดอกเหมยแล้ว กำลังตรงมาทางนี้ พวกเขา
เหมือนกับกำลังตะลึงไปกับหอคอยกลางน้ำ
เหมือนกัน เลยไม่ทันได้สังเกตุเห็นพวกของฉีหนิง
ฉีหนิงรู้ว่าเวลามีน้อย จะเสียเวลาไม่ได้อีก เหริน
เฉียนโม่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกล เมื่อเข้ามายังป่า
ไผ่อีก อาจจะใช้เวลาไม่มาก
เขาบังคับให้ปีศาจน้อยนำทาง ปีศาจน้อยเองก็
เหมือนจะคุ้นเคยกับป่าไผ่ดี ไม่นานเท่าไหร่ ก็
สามารถเดินทะลุออกมาจากป่าไผ่ ฉีหนิงรู้สึกสดชื่น
มาก ก่อนหน้านี้เขาเดินอยู่ในป่าไผ่นานเกือบสองชั่ว
ยาม หาทางออกไม่เจอเลย แต่ว่าปีศาจน้อยใช้เวลา
แค่ไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็สามารถเดินออกมาได้แล้ว
เมื่อออกมาจากป่าไผ่ ก็เดินตามทางมาจนถึงสระน้ำ
เมื่อถึงริมสระน้ำ ซีเหมินจั้นอิงก็ถึงกับตกใจ ปีศาจ
น้อยพูดว่า “นี่คือที่ที่พวกเจ้าอยากจะมา เพียงแต่ว่า
อย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้านะ ที่นี่นอกจากท่าน
เจ้าลัทธิแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้ามาที่นี่เลย แม้แต่ข้าก็
ตามเขามาแค่ปีละครั้งเท่านั้น หากพวกเจ้าแตะต้อง
โลงน้ำแข็งนี่จริง ต่อให้ไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว เจ้า
ลัทธิก็จะต้องฆ่าพวกเจ้าแน่”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าคิดว่าจะขู่พวกเราได้หรือ? เจ้า
ลัทธิจะทำอะไรได้? ต่อให้เป็นถึงต้าจงซือ หรือว่าทุก
คนจะต้องกลัวต้าจงซือกันหมด?”
ปีศาจน้อยถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร
ข้าไม่สน แต่ว่าข้าขอเตือนพวกเจ้าก่อน เจ้าไม่กลัว
ท่านเจ้าลัทธิ เพราะไม่เคยเจอเขามาก่อน เมื่อไหร่ก็
ตามที่เจ้าได้เจอเขา เจ้าจะต้องเสียใจที่พูดแบบนี้
แน่”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 435 ปริศนาใต้สระน้ำ
ฉีหนิงมองไปที่ซีเหมินจั้นอิงแล้วพูดว่า “เจ้าเฝ้านาง
ไว้นะ ข้าจะไปดูสิว่าจะเปิดพื้นน้ำแข็งนั่นอย่างไร”
ซีเหมินจั้นอิงพยักหน้า จากนั้นก็กระชากตัวปีศาจ
น้อยมา ก่อนหน้านี้นางค้นตัวปีศาจน้อยไปแล้ว ยึด
เอาขวดยาพิษของนางมาหมด จากนั้นก็มัดมือทั้ง
สองข้างของปีศาจน้อยเอาไว้ ปีศาจน้อยจะบินหนี
เงื้อมมือของนางได้อย่างไร
ฉีหนิงเดินไปที่พื้นน้ำแข็ง และเดินไปยังกลางพื้นสระ
น้ำ คุกเข่าลงข้างหนึ่ง มันหนาวเย็นซึมเข้าไปถึง
กระดูก เขามองลงไป เห็นโลงน้ำแข็งนั่นยังอยู่ที่เดิม
ไม่ไปไหน
ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ยกมีดสั้นขึ้นมา กำลังจะ
แทงเข้าไปที่พื้นน้ำแข็ง ปีศาจน้อยเห็นดังนั้นก็ขมวด
คิ้วแน่น ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อเห็นมีดสั้นกำลังจะแทงลงไปบนหน้าพื้นน้ำแข็ง
ฉีหนิงได้ยินเสียงเคร่งขรึม เสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เจ้า
บังอาจมากนะ กล้าบุกเข้ามายังสถานที่ต้องห้ามของ
พรรคบัวดำ เจ้าไม่อยากมีชีวิตรอดแล้วอย่างนั้น
หรือ?”
ฉีหนิงตกใจจนต้องมองไปทางป่าไผ่ เดิมทีเขาคิดว่า
พวกของเหรินเฉียนโม่มาถึงแล้ว แต่ทางป่าไผ่ไม่มี
ความเคลื่อนไหวอะไรเลย ไม่เห็นมีใครมา ซีเห
มินจั้นอิงเองก็มองไปทางนั้น แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครมา
นางมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของใครเช่นกัน
“รีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ข้าไม่อยากมีเรื่องกับ
เจ้า” เสียงนั่นเย็นยะเยือกมาก “หากเจ้าทำลาย
อะไรในนี้แล้ว เจ้าจะต้องชดใช้มันด้วยชีวิต”
ฉีหนิงได้ยินเสียงนั่นถึงแม้จะดูเย็นชา แต่ไม่ได้
ประสงค์ร้ายกับพวกเขา เขาลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังคงไม่
เห็นใคร เขาพูดขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าท่านเป็น
ใคร?”
“ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ ก็หมายความว่าข้าคือเจ้าของที่นี่”
น้ำเสียงนั่นพูดออกมาอย่างราบเรียบ “ฉีหนิง ในโลง
น้ำแข็งนั่น ไม่ใช่ของๆ เจ้า เจ้าคิดจะเป็นขโมยอย่าง
นั้นหรือ? ฮึ เป็นถึงจิ่นอีโหวของต้าฉู่ แต่ทำอะไรไม่
คิดถึงฐานะของตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร?”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาแต่งตัวด้วยเครื่องแบบของจวน
เสินโหว เหล่าชาวยุทธ์ยังมองไม่ออกเลยว่าเขาเป็น
ใคร แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนๆ นี้ กลับรู้ฐานะของเขา
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ที่ข้าต้องขโมยของในโลง
น้ำแข็ง ก็เพราะไม่มีทางเลือก หากท่านอยู่ที่นี่ เหตุ
ใดไม่ออกมาพบหน้ากันเล่า”
“หากเจ้าเชื่อที่ข้าเตือน ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ข้าจะต้อง
ออกไปเจอเจ้าแน่นอน” เสียงนั่นพูดอีกว่า “แต่ว่า
หากเจ้าทำลายพื้นน้ำแข็งนั่นแล้วเอาของในโลงไป
ต่อไปเจ้ากับข้าจะถือว่าเป็นศัตรูกัน ถึงแม้เป่ยกง
เหลียนเฉิงจะมีเพลงกระบี่ที่ไร้ผู้ต้านทานได้ แต่ว่า
ลูกหลานของเขากลับทำตัวเป็นหมาขโมยไก่ ถึงเวลา
นั้นเขาก็คงไม่กล้าออกหน้ามาช่วยเจ้าหรอกนะจริง
หรือไม่?”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็ตกใจ
เขารู้ดีว่า เป่ยกงเหลียนเฉิงถึงแม้จะเป็นคนของจิ่นอี
ตระกูลฉี แต่ว่าในใต้หล้านี้คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่มาก
แสดงว่าคนๆ นี้รู้จักเป่ยกงเหลียนเฉิงเป็นอย่างดี
“ท่าน...ท่านคือเจ้าลัทธิบัวดำ?” ฉีหนิงตกใจ
เหล่าชาวยุทธ์กำลังบุกขึ้นเขามา ในฐานะผู้นำของ
พรรคบัวดำ เจ้าลัทธิบัวดำควรจะอยู่บัญชาการที่
ตำหนักหินดำถึงจะถูก เขามาทำอะไรที่นี่?
หากอีกฝ่ายคือเจ้าลัทธิบัวดำจริง อย่าว่าแต่ของใน
โลงน้ำแข็งจะเอาไปไม่ได้เลย คิดว่าการออกไปจาก
ที่นี่ก็คงยากเช่นกัน
ซีเหมินจั้นอิงหน้าถอดสี ปีศาจน้อยกลับเบะปาก
แล้วพดว่า “เสียงของท่านเจ้าลัทธิเพราะกว่าเขาตั้ง
เยอะ เขาไม่ใช่ท่านเจ้าลัทธิหรอก”
เสียงคนๆ นั้นพูดว่า “เสี่ยวอาเหน่า เจ้าบังอาจมาก
เลยนะ ท่านเจ้าลัทธิอนุญาตให้เจ้าเข้าออกถ้ำหมีฮ
วาได้ แต่ไม่ได้บอกให้เจ้าพาใครเข้ามาก็ได้นะ เจ้ารู้ดี
ว่าโลงน้ำแข็งมีความสำคัญมากแค่ไหน หรือว่าเจ้า
อยากเห็นโลงน้ำแข็งนี่ถูกทำลายไปจริงๆ?”
“พวกเขาจะฆ่าข้า ข้าก็ต้องเห็นชีวิตสำคัญก่อนสิ”
ปีศาจน้อยเหมือนจะไม่ได้สนใจ “จริงสิ แล้วเจ้าเป็น
ใคร? เหตุใดถึงได้รู้ว่าข้าคืออาเหน่า?”
ฉีหนิงตอนนี้รู้แล้วว่าเขาคนนั้นไม่ใช่เจ้าลัทธิบัวดำ ก็
เบาใจ
ถึงแม้เขาจะบอกว่าต้าจงซือไม่น่ากลัว แต่ว่าในใจ
ของเขาก็รู้ดีว่า แม้แต่ซีเหมินอู๋เหิงของเสินโหวยัง
เกรงกลัวต้าจงซือ แล้วเขาจะไปเหลืออะไร
วรยุทธ์ของต้าจงซือล้วนแต่เกือบเทียบได้กับสัตว์
ประหลาดแล้ว ยากจะคาดเดาความสามารถที่
แท้จริงของพวกเขาได้
น้ำเสียงของคนๆ นั้นก็เหมือนไม่สนใจปีศาจน้อย
เขาพูดอย่างเรียบเฉยว่า “จิ่นอีโหว ข้ารู้ว่าเจ้ากำลัง
คิดอะไรอยู่ เจ้ารู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามของ
พรรคบัวดำ ในโลงน้ำแข็ง อาจมีสมบัติล้ำค่าของ
พรรคบัวดำใช่หรือไม่? เจ้าคิดจะใช้ของในนั้น เพื่อ
เป็นตัวประกันต่อรองกับพรรคบัวดำถูกหรือไม่?”
ฉีหนิงตกใจมาก คิดในใจว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจาก
ไหนกัน แม้แต่เขากำลังคิดอะไรถึงได้รู้หมด
“เจ้าคิดได้แบบนี้ ก็ถือว่าฉลาดมากแล้ว” เสียงของ
คนๆ นั้นถอนหายใจ “เจ้าไม่รู้จักนิสัยของท่านเจ้า
ลัทธิ ดังนั้นถึงได้มีความคิดแบบนี้ได้ หากเจ้ารู้จัก
เขา คิดว่าคงไม่กล้าทำแบบนี้แน่”
ฉีหนิงฟังเสียงของเขาเหมือนจะแก่แล้ว ฟังแล้ว
เหมือนไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา เขาคิดแล้วพูดว่า
“ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“มีคำพูดหนึ่งที่สาวน้อยนั่นพูดถูก” เสียงนั่นพูดต่อ
ว่า “หากเจ้าแตะต้องหรือทำลายโลงน้ำแข็งนั่น เจ้า
ต้องตายแน่นอน เจ้าคิดว่าต้าจงซือเป็นแค่ชื่อที่มีไว้ขู่
คนอื่นเท่านั้นหรือ? ฮึ เป่ยกงเหลียนเฉิงมีเพลงกระบี่
ที่ไร้เทียมทานมาก แต่ถึงแม้จะเป็นเขา ก็ยังไม่กล้า
เผชิญหน้ากับท่านเจ้าลัทธิเลย เจ้าแค่เด็กน้อยคน
หนึ่งเท่านั้น กล้าเป็นปรปักษ์กับเขาหรือ?”
ฉีหนิงนิ่งไป เสียงนั่นถอนหายใจแล้วพูดอีกครั้ง “จิ่น
อีโหว ความแค้นของจวนเสินโหวกับพรรคบัวดำ
จวนจิ่นอีโหวอย่าเข้ามายุ่งเลย ซีเหมินอู๋เหิงเจ้าเล่ห์
มาก เขาหวังอยากจะให้เจ้าเข้ามายุ่งเรื่องวุ่นวายนี้”
ซีเหมินจั้นอิงได้ยินพ่อของตัวเองถูกใส่ร้ายป้ายสี
แล้วพูดว่า “คนที่ไม่แม้แต่จะปรากฏหน้ามาให้เห็น
ทำตัวลึกลับ มีสิทธิอะไรมาวิจารณ์คนอื่นแบบนี้?”
เสียงนั่นเหมือนไม่สนใจซีเหมินจั้นอิงเลย “จิ่นอีโหว
เป้าหมายของเจ้าคือเอาของจากในโลงศพ แต่ว่าข้า
จะบอกอะไรเจ้าให้นะ ต่อให้เจ้าได้มันไป ท่านเจ้า
ลัทธิบัวดำก็ไม่มีทางถูกเจ้าข่มขู่ได้หรอก อีกทั้งของที่
อยู่ในโลงน้ำแข็งนั่น สำหรับบางคนแล้วมันคือสมบัติ
ที่ล้ำค่า แต่สำหรับเจ้าแล้ว มันไม่ใช่เลย แทบจะไม่
คุ้มค่าทีเ่ จ้าจะเอาชีวิตมาทิ้งเพื่อแลกมันมา”
ฉีหนิงสูดหายใจเขาลึกๆ แล้วพูดว่า “ที่ท่านหวังดี
เตือนข้า เดิมทีข้าควรจะทำตาม แต่ว่า...”
“อะไรที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว ข้าจะไม่
เสียเวลากับเจ้าอีก” เสียงนั่นหยุดไป “ถึงแม้ข้าจะ
ไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า แต่ว่าหากเจ้ายังคิดไม่ได้
แบบนี้ จะโทษข้าไม่ได้นะ”
ในตอนนี้เอง ฉีหนิงก็ได้ยินเสียงดังมาจากป่าไผ่ “เห
รินเฉียนโม่ ครั้งนี้ข้านับถือเจ้าจริงๆ” เป็นเสียงของ
เฒ่าดีดพิณคงซานเสวียนนั่นเอง
ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหว
ได้รวดเร็วขนาดนี้ เสียงของคงซานเสวียนอยู่ไม่ไกล
นัก แสดงว่าพวกเขากำลังจะออกมาจากป่าไผ่แล้ว
เขาได้ยินเหรินเฉียนโม่พูดอย่างได้ใจว่า “ค่ายกล
โบราณของป่าไผ่กับป่าดอกเหมยถึงแม้จะมีความ
แตกต่าง แต่ว่าก็มีความคล้าย พวกเราสามารถแก้
ค่ายกลของป่าดอกเหมยได้ ป่าไผ่ก็ใช้เวลาไม่นาน
หรอก”
ซีเหมินจั้นอิงหน้าถอดสี แล้วมองมาทางฉีหนิง
ฉีหนิงเดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายอาจต้องใช้เวลานาน ตอนนี้
ได้ยินเสียงดังมาก รู้ว่าตอนนี้เวลามีน้อยมาก ไม่มี
เวลาให้เขาทำลายพื้นน้ำแข็งเอาโลงออกมาแล้ว
เขาเคยปะทะกับพวกเขามาก่อน รู้ว่าวรยุทธ์ของ
พวกเขาร้ายกาจมาก รับมือไม่ง่ายๆ เลย ถึงแม้จะสู้
กันตัวต่อตัว โอกาสชนะก็มีน้อยมาก อีกทั้งยังต้อง
มาสู้กับคนสี่คน ต่อให้เขายังมีซีเหมินจั้นอิงอยู่ ก็ไม่มี
ทางได้เปรียบ
เขาเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ คิดในใจว่าเสียงนั่น
เหมือนจะห้ามให้เขาทำลายโลงน้ำแข็ง ก็แสดงว่า
เขาเฝ้าอยู่ที่นี่ สถานการณ์ตอนนี้ เขาสามารถไป
ซ่อนตัวไว้ แล้วรอพวกเหรินเฉียนโม่เข้ามาถึงที่นี่
ในตอนนี้เขาถึงได้แน่ใจแล้วว่าพวกของเหรินเฉียนโม่
ก็มาเพื่อโลงน้ำแข็งนี่เหมือนกัน ถึงแม้จะเดาไม่ออก
ว่าทำไมพวกเขาถึงได้รู้เรื่องโลงน้ำแข็งในถ้ำหมีฮวา
ได้ แต่ว่าในเมื่ออีกฝ่ายมาเพื่อโลงน้ำแข็ง ก็จะต้อง
เกิดการปะทะกับเจ้าของเสียงเมื่อครู่แน่นอน
เสียงเมื่อครู่ ก็เหมือนไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ หาก
ทั้งสองฝ่ายสู้กันขึ้นมา ตัวเขาก็อาจจะเป็นฝ่ายที่ได้
กำไร
เมื่อเขาคิดถึงตรงนี้ ก็ไม่เสียเวลาอีก เขาเดินไปลาก
ปีศจาจน้อยมา แล้วพาซีเหมินจั้นอิง รีบเดินไปฝั่ง
ตรงข้ามกับป่าไผ่ อ้อมไปด้านหลังของภูเขาจำลอง
เดินไปสิบกว่าลี้ เขาก็รู้ว่ามันเป็นทางที่ก่อนหน้านี้
เขาเดินมา
ฉีหนิงพาซีเหมินจันอิงกับปีศาจน้อยเดินตามทางไป
แล้วให้ซีเหมินจั้นอิงคุมปีศาจน้อยไว้ แล้วกำชับว่า
หากไม่มีคำสั่งเขา ห้ามไปจากที่นี่เด็ดขาด จากนั้น
เขาก็ถือมีดสั้นไว้ในมือ แล้วเดินออกจากตรงนั้น ไป
หลบอยู่หลังภูเขาจำลอง เขาชะโงกหัวออกไปดู เห็น
มีคนเดินออกมาจากป่าไผ่ สวมชุดสีเขียว เขาคือเห
รินเฉียนโม่นั่นเอง
จากนั้นก็ตามมาด้วยคงซานเสวียนแล้วก็เจ้าลิงขาว
ฮวาเสี่ยงหรงเดินออกมาคนสุดท้าย ในป่าไผ่เขียว
ชอุ่ม ฮวาเสี่ยงหรงสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน
กลมกลืนไปกับป่าไผ่ ใบหน้ากับรูปร่างของนางดูเร้า
ร้อน แต่ว่าตอนนี้พออยู่ในป่าไผ่ กลับมีความเรียบ
ง่าย ซึ่งมันเหมือนรวมทั้งสองอย่างอยู่ในคนๆ เดียว
“ที่นี่แหละ” คงซานเสวียนเห็นสระน้ำก็ดูเหมือนจะ
ดีใจมาก “ของน่าจะอยู่ใต้พื้นน้ำแข็ง” เขาคือคน
แรกที่เดินไปที่นั่น เมื่อมาถึงตรงกลาง เขาก็นั่งลง
แล้วมองลงไปด้านล่างพื้นน้ำแข็ง จากนั้นก็หัวเราะ
ร่า “ใช่แล้ว ที่นี่แหละ เขายกฝ่ามือ เตรียมซัดลงไป
ที่พื้นน้ำแข็ง”
“ช้าก่อน” เจ้าลิงขาวพูดขึ้นมา เขารูปร่างเล็ก แต่ว่า
มีความว่องไวมาก เขาเคลื่อนที่ไปที่ข้างตัวของคง
ซานเสวียน แล้วยื่นมือไปขวางฝ่ามือของคงซาน
เสวียน แล้วพูดว่า “คงซานเสวียน เจ้าจะรีบร้อนไป
ไหน การทำลายน้ำแข็งแล้วนำโลงออกมาไม่ใช่เรื่อง
ที่เจ้าจะทำคนเดียวได้นะ”
คงซานเสวียนเหลือบไปมองเจ้าลิงขาว แล้วพูดว่า
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เหรินเฉียนโม่เดินมาที่พื้นน้ำแข็ง แล้วพูดว่า
“แผนการครั้งนี้ ข้ารับผิดชอบแก้ค่ายกล เรื่องของ
ข้าเสร็จแล้ว เรื่องหลังจากนี้ ก็เป็นหน้าที่ของพวก
เจ้าแล้วนะ” เขายกมือลูบเครา “ข้าไม่เถียงกับพวก
เจ้า อย่างไรรางวัล ก็มีของข้าด้วยส่วนหนึ่ง”
คงซานเสวียนพูดว่า “เจ้าลิงขาว เจ้าไม่ต้องมาแย่ง
ข้าคงซานเสวียนทำอะไรคิดเผื่อคนอื่นอยู่แล้ว ข้าจะ
เป็นคนทำลายพื้นน้ำแข็ง จากนั้นเจ้าก็ลงไปเอาโลง
ขึ้นมา”
เจ้าลิงขาวหัวเราะแปลกๆ ออกมา “แล้วเหตุใดต้อง
ให้ข้าลงไปเอาโลงขึ้นมาด้วย? ข้าทำลายพื้นน้ำแข็ง
ส่วนเจ้าลงไปเอาโลงขึ้นมา”
“เจ้าคล่องแคล่วว่องไว อยู่ในน้ำเคลื่อนไหวได้
สะดวกกว่า” คงซานเสวียนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าตัว
ใหญ่ แข้งขาเก้งก้าง เจ้าลิงขาว เอาโลงขึ้นมาผลงาน
ใหญ่ขนาดนี้ ข้าไม่แย่งกับเจ้า เจ้าควรจะขอบคุณข้า
ด้วยซ้ำ”
เจ้าลิงขาวพูดว่า “อย่าพูดมาก ข้าไม่มีทางลงน้ำ
เด็ดขาด นี่มันไม่ใช่น้ำจากน้ำแข็งธรรมดา ความเย็น
ของมันมาจากใต้พื้นดิน หากลงไปเอาโลงขึ้นมา
จะต้องใช้กำลังภายในจำนวนมาก เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้
หรืออย่างไร?”
ฉีหนิงรู้สึกขำ แอบคิดในใจว่าถึงแม้พวกเขาจะมา
ด้วยกัน แต่ว่าพวกเขากลับไม่ถูกกัน เหมือนไม่ใช่
อันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่ว่าตอนนี้เขาสงสัยมากเลยว่า ของในโลงน้ำแข็ง
นั่นมันคืออะไรกันแน่ เหตุใดเสียงของคนเมื่อครู่พูด
เหมือนว่ามันเป็นของล้ำค่า แต่ว่ากับเขาอาจจะไม่ใช่
อีกทั้งพวกของเหรินเฉียนโม่ก็ทุ่มเทออกมาตามหา
ถึงที่นี่?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 436 ทำลายน้ำแข็งเอาโลง
คงซานเสวียนค่อยๆ ลุกขึ้นมา พลันขมวดคิ้วแน่น
แล้วพูดว่า “เจ้าลิงขาว เจ้าอย่ามาทำแบบนี้นะ หรือ
ว่าพวกเราจะต้องสู้กันก่อน แล้วค่อยมาตัดสินว่าใคร
จะลงไป?”
เจ้าลิงขาวพูดว่า “สู้ก็สู้สิ ข้ากลัวเจ้าที่ไหน?”
เหรินเฉียนโม่พูดขึ้นมาว่า “หากพวกเจ้าจะสู้กัน ข้า
เตือนไว้ก่อนรีบๆ หน่อยก็ดีนะ ที่นี่เป็นรังของพรรค
บัวดำ หากเสวียนหยางไท่อินมา ใครก็ออกไปจาก
ที่นี่ไม่ได้แน่”
จากนั้นก็เห็นฮวาเสี่ยงหรงค่อยๆ เดินมา ใบหน้าของ
นางดูเย้ายวน ไม่เหมือนสาวน้อยใสซื่อ มีความเป็น
สาวใหญ่ นางเดินมาที่พื้นน้ำแข็ง จากนั้นก็ยกฝ่ามือ
ขึ้น สูดหายใจเข้า แล้วซัดมือลงไปที่พื้นน้ำแข็ง
พริบตาเดียว ก็ได้ยินเสียงแตกกระจายของน้ำแข็ง
ดังขึ้นมา ฮวาเสี่ยงหรงซัดฝ่ามือลงไปหลายที ทำให้
บนพื้นเป็นรู
ฉีหนิงเห็นกับตาตัวเอง เขาถึงกับตกใจ แอบคิดในใจ
ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงวิชาตัวเบาล้ำเลิศ แม้แต่กำลัง
ภายในก็แข็งแกร่งมากด้วย
ฮวาเสี่ยงหรงเก็บมือกลับมา เหรินเฉียนโม่ปรบมือ
ยิ้มแล้วพูดว่า “ยอดเยี่ยมมากนางฟ้า”
ฮวาเสี่ยงหรงพูดว่า “ตอนนี้ไม่ต้องเถียงกันแล้วนะ
พวกเจ้าสองคนลงไปเอาโลงขึ้นมาพร้อมกันเลย”
เจ้าลิงขาวกับคงซานเสวียนมองหน้ากัน พวกเขาไม่
กล้าขัดคำสั่งของฮวาเสี่ยงหรง คงซานเสวียนยกมือ
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าลิงขาว เชิญเจ้าก่อนเลย”
เจ้าลิงขาวจ้องไปที่ตาของคงซานเสวียน ครั้งนี้พวก
เขาไม่เถียงกันแล้ว พวกเขาเดินไปยังรูน้ำแข็งนั่น
กำลังจะกระโดดลงไป ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดัง
ขึ้นมาว่า “พวกปีศาจกระจอก กล้าแอบบุกเข้ามาใน
นี้ ที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้ามของพรรคบัวดำ พวกเจ้า
คิดจะมาก็มาได้หรือ?”
ใช่ เป็นคนเดียวกับที่คุยกับฉีหนิงก่อนหน้านี้
ฉีหนิงคิดในใจว่าสุดท้ายแล้วก็โผล่มาจนได้ เขาแน่ใจ
แล้วว่าคนๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่เฝ้าอยู่ที่นี่แน่นอน
แต่เขาก็รู้สึกแปลกใจว่า เหตุใดก่อนหน้านี้ ที่เขาผ่าน
มาที่นี่ ทำไมเสียงนี่ถึงไม่โผล่ออกมา เมื่อเขากลับมา
ที่นี่อีกครั้ง เพื่อที่จะทำลายน้ำแข็ง เสียงนั้นถึงได้โผล่
ออกมา ตกลงเขาเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลา หรือว่าเพิ่ง
จะมาเมื่อครู่กันแน่?
เสียงนั่นจู่ๆ ก็โผล่มา พวกของฮวาเสี่ยงหรงถึงกับ
ตกใจ ระหว่างที่กำลังตกใจ ก็มีของที่เหมือนดาวนับ
ไม่ถ้วนยิงมาจากทางป่าไผ่ มันลอยมาตามลมรวด
เร็วเหมือนสายฟ้า
ฮวาเสี่ยงหรงหน้าเสียไป แล้วพูดว่า “อาวุธลับ ระวัง
ให้ดี” นางดีดตัวขึ้นมา ตอนนี้นางดูเหมือนนกที่
กำลังโบยบิน อีกสามคนปฏิกิริยาไวมาก เจ้าลิงขาว
ดึงผ้าขาวมาแล้วจับไว้ในมือ แล้วสะบัดไปมา ปัด
อาวุธลับพวกนั้นออกไป กระดานหมากรุกเหล็กใน
มือของเหรินเฉียนโม่ก็เอามาป้องกันตัว คงซาน
เสวียนยังคงใช้พิณของเขาในการป้องกัน
ฉีหนิงเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา ในใจก็คิดว่าถือได้
ว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธภพเลย
เจ้าลิงขาวนิสัยดูใจร้อน เขาปัดป้องอาวุธพวกนั้น
แล้วพุ่งตัวไปยังป่าไผ่ราวกับลูกธนู
เขารูปร่างเล็ก แต่ว่ามีความว่องไว พริบตาเดียวก็
มาถึงริมป่าไผ่แล้ว เหมือนเขาจะดูออกว่าเสียงนั่นมา
จากทางไหน
ฮวาเสี่ยงหรงพูดขึ้นมาว่า “อย่าเข้าไปในป่านะ”
มีคนลอบยิงอาวุธลับออกมาจากป่าไผ่ สิ่งที่ฮวาเสี่ยง
หรงคิดก็คือคนของพรรคบัวดำมาถึงแล้วแน่ นาง
รู้สึกตกใจ แต่ก็รู้ว่าในป่าซ่อนกลไกลับเอาไว้ อีกฝ่าย
ตั้งใจล่อให้พวกเขาไปทางป่าไผ่นั่น
ถึงแม้เหรินเฉียนโม่จะสามารถแก้ค่ายกลโบราณใน
ป่าได้ แต่ฮวาเสี่ยงหรงกับคนอื่นไม่สามารถมอง
ความพิสดารของมันออก รู้แต่ว่าหากเข้าไปในป่า ก็
จะติดกับจากนั้นก็จะตกเป็นเหยื่อทันที
เจ้าลิงขาวเหมือนเริ่มรู้สึกตัว ในตอนนี้เอง ก็เห็น
เงาๆ หนึ่งลอยพุ่งมาจากป่าไผ่ แล้วจู่โจมใส่เจ้าลิง
ขาว เจ้าลิงขาวตกใจถอยหลังไป แล้วสะบัดผ้าขาว
ของเขาเพื่อปัดอาวุธลับ
ตัวเขาเบาหวิว ดีดตัวทีเดียว ก็ถอยไปเกือบสองจั้ง
ทุกคนเห็นเงานั้นปรากฏตัวออกมาจากป่าไผ่ แล้วไป
ยืนอยู่บนกิ่งไผ่ กิ่งไผ่โค้งงอลงมา
กิ่งไผ่สั่นเล็กน้อย คนๆ นั้นรูปร่างไม่ได้ดีนัก สวมชุด
สีเทาทั้งตัว บนหัวก็มีหมวกสีเทาปิดหน้า เหมือน
เหลือแค่ดวงตาอย่างเดียว
ฉีหนิงมองมาจากไกลๆ เขารู้สึกชื่นชมมาก แอบคิด
ในใจว่าวิชาตัวเบาของเขาร้ายกาจมาก สามารถยืน
อยู่บนกิ่งไผ่ได้เบาเหมือนปุยนุ่น
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินฮวาเสี่ยงหรงยิ้มแล้วพูดว่า
“วิชาตัวเบาของท่านร้ายกาจนัก ราวกับตั๊กแตนบน
ต้นรำข้าว”
คนๆ นั้นพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าควรจะมา ช่วง
นี้ข้าอยู่ในช่วงถือศีล หากไม่ใช่เหตุสุดวิสัยจริงๆ จะ
ไม่ฆ่าใคร หากพวกเจ้ากลับไปตอนนี้ ข้าจะปล่อย
พวกเจ้าไป”
ฮวาเสี่ยงหรงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราต้องไปแน่ แต่
ในเมื่อมาแล้ว ก็จะไม่กลับไปมือเปล่าแน่นอน”
“พวกเจ้าต้องการของในโลงน้ำแข็งนั่นหรือ” คนชุด
เทาพูดว่า “พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหน เหตุใดถึงได้
กล้าบุกมาที่เขาเชียนอูหลิงได้”
ฮวาเสี่ยงหรงไม่ตอบแต่ย้อนถามกลับไปว่า “หรือว่า
ท่านคือเจ้าลัทธิบัวดำ?”
คนชุดเทาพูดว่า “ที่นี่คือสถานที่ต้องห้ามของพรรค
บัวดำ นอกจากข้าแล้ว ไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาที่นี่”
นั่นหมายความว่าเขายอมรับว่าเขาคือเจ้าลัทธิบัวดำ
ฉีหนิงตะลึงไป แต่พริบตาเดียวก็เข้าใจ
เมื่อครู่ปีศาจน้อยบอกแล้วว่า คนชุดเทาไม่ใช่เจ้า
ลัทธิบัวดำ ตอนนี้เขาบอกว่าเขาคือเจ้าลัทธิบัวดำ
แสดงว่าเขาคิดอยากจะใช้ฐานะของต้าจงซือข่มขู่
พวกของฮวาเสี่ยงหรง
ฮวาเสี่ยงหรงยิ้ม แล้วเดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าว
แล้วพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา ในเวลานี้ของทุกปี จะเป็น
เวลาที่เจ้าลัทธิบัวดำเก็บตัว ได้ยินมาว่าวรยุทธ์ของ
เจ้าลัทธิบัวดำคาดเดาไม่ได้ ในเวลานี้ของทุกปี ก็จะ
เข้าฝึกกรรมฐาน หรือว่าข้อมูลของข้าจะผิด?”
ฉีหนิงตะลึงไป
คนชุดเทาหัวเราะเสียงแปลกๆ แล้วพูดว่า “หากข้า
ต้องการฝึกกรรมฐาน จะต้องเลือกเวลาด้วยหรือ?”
“ซีเหมินอู๋เหิงเลือกเวลานี้ในการบุกโจมตีเขาเชียน
อูหลิง แสดงว่าเขารู้เวลาที่เจ้าลัทธิเก็บตัวฝึกวร
ยุทธ์” ฮวาเสี่ยงหรงพูด “หรือว่าเขาจะเลือกเวลา
ผิด?” นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากท่านเป็นเจ้า
ลัทธิบัวดำจริง พวกเราคงไม่ใช่คู่ต่อสู้กัน คงต้องฆ่า
ตัวตายตรงนี้”
เฒ่าดีดพิณคงซานเสวียนยิ้มแล้วพูดว่า “นางฟ้าอย่า
ไปกลัวเขา วิชาตัวเบาของเขา ตามความเห็นของข้า
แล้ว ยังสู้วิชาตัวเบาของท่านไม่ได้เลย หากเขาเป็น
เจ้าลัทธิบัวดำจริง พวกเราเองก็ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
เขาเดินหน้าขึ้นมาสองก้าว ยิ้มแล้วพูดว่า “คนๆ นี้
ไม่แน่ก็อาจจะฉวยโอกาสบุกเข้ามาเอาของในโลง
น้ำแข็งนี่ด้วยก็ได้ เขาสวมรอยเป็นเจ้าลัทธิบัวดำ คิด
จะทำให้พวกเราตกใจกลัวแล้วกลับออกไปมากกว่า”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า ฮวาเสี่ยงหรงวางแผนเข้า
มาถึงที่นี่อย่างยากลำบาก อีกทั้งเลือกเวลามาแล้ว
อย่างดี แล้วจะถูกทำตกใจกลัวไปได้อย่างไร? คนชุด
เทาพูดจาหลอกให้ตกใจกลัว คิดว่าคงรู้ว่าคนพวกนี้
รับมือด้วยไม่ง่ายแน่
ฮวาเสี่ยงหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านบอกว่าท่าน
คือเจ้าลัทธิบัวดำ ถ้าอย่างนั้นก็คือต้าจงซือ ขอแค่
ท่านแสดงวิชาของท่านออกมา ก็แสดงว่าท่านคือเจ้า
ลัทธิบัวดำจริง พวกเราจะออกจากที่นี่ไปทันที” นาง
ส่งสัญญาณ คงซานเสวียนที่อยู่ข้างๆ เข้าใจ
ความหมาย เขายิ้ม แล้วเดินไปที่รูตรงพื้นน้ำแข็ง
แล้วยื่นขาเข้าไป
เจ้าลิงขาวก็ไม่ได้โง่ เขาเองก็เข้าใจความหมาย เลย
รีบวิ่งไปที่พื้นน้ำแข็ง พวกเขารู้ว่าคนชุดเทาน่าจะ
คุ้นเคยกับค่ายกลโบราณในป่าไผ่เป็นอย่างดี หาก
ปะทะกันขึ้นมาแล้วไม่ทันได้ระวังตัวอาจตก
หลุมพรางก็ได้ ในเมื่อคนชุดเทาใส่ใจโลงน้ำแข็งมาก
ขนาดนี้ การทำแบบนี้ก็อาจล่อให้เขาออกมาก็ได้
คนชุดเทาเห็นคงซานเสวียนกับเจ้าลิงขาวกำลังจะลง
ไปในพื้นน้ำแข็ง เขาก็พุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนู
เหรินเฉียนโม่รีบถอยหลัง ฮวาเสี่ยงหรงดีดตัวลอย
ขึ้นอย่างกับผีเสื้อ ออกไปรับมือกับคนชุดเทา
คนชุดเทาซัดฝ่ามือออกมา ฮวาเสี่ยงหรงใช้นิ้วพุ่งเข้า
ใส่ฝ่ามือของคนชุดเทา
ฉีหนิงเห็นฮวาเสี่ยงหรงกับคนชุดเทาทั้งคล่องแคล่ว
และว่องไว อีกคนเหมือนเทพ อีกคนเหมือนผีเสื้อ
ลงมือรวดเร็วฉับไว พริบตาเดียว ฝ่ามือทั้งสองก็ซัด
สลับกันไปมา กว่าสิบกระบวนท่า เมื่อเห็นพวกเขา
สองคนปะทะกัน คนชุดเทาเองก็เหมือนจะไม่ได้
เปรียบ แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นรอง
ฮวาเสี่ยงหรงหน้าตาสวยงามมาก ความอ่อนช้อย
ของตัวดีมาก คนชุดเทาเคลื่อนไหว ก็ไม่ได้ด้อยกว่าฮ
วาเสี่ยงหรงเลย
ฉีหนิงเห็นด้วยตาตัวเอง แอบคิดในใจว่าทั้งสองคน
นี้วรยุทธ์ไม่ได้ด้อยเลย แต่ว่าหากจะเทียบกันแล้ว
เหมือนจะด้อยกว่าตอนที่จิ้งคงไต้ซือกับชื่อตันเหมย
ประลองกัน ไม่ได้ดูร้ายกาจเท่าไหร่
คนชุดเทาลงมือร้ายกว่าฮวาเสี่ยงหรงมาก แต่ว่าวิชา
ตัวเบาของเหมือนจะสู้นางไม่ได้ ทั้งสองคนมีจุดเด่น
ที่แตกต่างกัน พอสู้กันแล้วก็แยกไม่ออกว่าใคร
เหนือกว่า
เหรินเฉียนโม่เห็นคงซานเสวียนกับเจ้าลิงน้อยอยู่ที่
พื้นน้ำแข็ง ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้ายังไม่รีบลงไป
เอาโลงน้ำแข็งขึ้นมาอีก ตรงนี้มีพวกเราอยู่ คนๆ นั้น
ไม่ได้น่ากลัวเลย” เขากระโดดลอยตัวจู่โจมไปหาคน
ชุดเทา
วรยุทธ์ของคนชุดเทากับฮวาเสี่ยงหรงไม่อาจตัดสิน
แพ้ชนะได้ เหรินเฉียนโม่จู่ๆ ก็เข้ามาร่วมวงด้วย
ตอนนี้กลายเป็นสองรุมหนึ่ง คนชุดเทาก็ไม่ได้เกรง
กลัว ซัดฝ่ามือออกไปอีกหลายครั้ง เหรินเฉียนโม่หา
โอกาสโจมตี ในมือของเขามีกระดานเหล็ก เขาใช้มัน
ฟาดใส่คนชุดเทา ทุกครั้งที่เขาออกกระบวนท่า ถือ
ว่าเหี้ยมมาก คนชุดเทาแทบจะเอาตัวไม่รอด
ฉีหนิงแอบดูอยู่หลังภูเขาจำลอง เดิมทีคิดว่าคนชุด
ดำเฝ้าอยู่ที่นี่ วรยุทธ์น่าจะไม่ธรรมดา แต่ว่าตอนนี้
คนชุดดำถูกฮวาเสี่ยงหรงกับเหรินเฉียนโม่รุม แต่
กลับตกเป็นรอง อีกทั้งยังถูกบีบจนล่าถอย เขาแอบ
คิดในใจว่าที่แท้เขาก็เหมือนกับเสือกระดาษ หาก
เจ้าลิงขาวกับคงซานเสวียนเข้าไปร่วมวงด้วย สี่รุม
หนึ่ง คนชุดเทาไม่ตายตรงนี้เลยหรือ
แต่ว่าในใจของเขาเองก็นับถือคนชุดเทาอยู่มาก
เหมือนกัน
คนชุดเทาเหมือนจะรู้ว่าวรยุทธ์ของตัวเองสู้อีกฝ่าย
ไม่ได้ แต่ว่าก็ยังออกมาสู้ เพื่อปกป้องโลงน้ำแข็งแล้ว
เขาไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรเลย
รู้ทั้งรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ยังจะสู้ คุณธรรมของคนชุดเทาทำ
ให้ฉีหนิงนั้นนับถือ
ทันใดนั้นเองก็เห็นเหรินเฉียนโม่เหมือนจะหาช่อง
เจอ เขาใช้กระดานเหล็กของเขาฟาดเข้าไปที่
ด้านหลังของคนชุดเทา คนชุดเทาเอนตัวไปด้านหน้า
หลายก้าว เขากระอักเลือดออกมา ฮวาเสี่ยงหรง
หลบไปด้านข้าง จากนั้นก็ใช้นิ้วพุ่งเข้าหาคนชุดเทา
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้น ตาของฉี
หนิงลายมาก เห็นเงาๆ หนึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้
รวดเร็วว่องไวมาก มันมาหยุดที่ด้านหลังของเหริน
เฉียนโม่ เหรินเฉียนโม่ยังไม่ทันได้หันหลังกลับไป เงา
นั่นก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่หลังของเหรินเฉียนโม่แล้ว เหริน
เฉียนโม่กระเด็นไปไกลมาก แล้วกระแทกไปบนพื้น
น้ำแข็ง เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ทั้งตัวไร้
เรี่ยวแรงไม่สามารถลุกขึ้นได้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 437 มหาเวทซีติ่ง
ฉีหนิงมองมาจากภูเขาจำลอง เขาก็ตกใจมาก เมื่อ
เทียบกับวรยุทธ์ของพวกฮวาเสี่ยงหรงแล้ว เงาที่จู่ๆ
โผล่ออกมา แข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก วิชาตัว
เบายิ่งไม่ต้องพูดถึง สามารถปรากฏตัวออกมาโดย
ไม่มีใครรู้ตัว วิชาตัวเบาของคนๆ นี้ น่าตกใจมากเลย
ทีเดียว
วรยุทธ์ของเหรินเฉียนโม่เองก็ไม่ธรรมดา แต่ว่ามีคน
มายืนอยู่หลังเขา เขากลับไม่รู้สึกตัวเลยแถมยังถูก
ซัดด้วยฝ่ามือจนได้รับบาดเจ็บ วรยุทธ์ของคนๆ นั้น
เด่นชัดมาก
ฮวาเสี่ยงหรงเตรียมที่จะจี้ไปที่จุดของคนชุดเทาแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงร้อง เหมือนรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว
นางก็ลอยตัวไปข้างๆ คนชุดเทาจึงได้โอกาสเอาตัว
รอด เมื่อเว้นระยะห่างฮวาเสี่ยงหรง ชายชุดเดารีบ
หยิบขวดยาออกมาจากหน้าอก แล้วหยิบยาออกมา
หนึ่งเม็ด แล้วกินเข้าไป คิดว่าน่าจะเป็นยารักษา
ตอนนี้ฉีหนิงเห็นหน้าของคนที่มาทีหลังชัดแล้ว เมื่อ
เห็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
คนๆ นั้นสวชุดสีดำทั้งตัว สีหน้าเย็นชา สวม
หน้ากากโลหะทอง หน้ากากนั่นรูปร่างประหลาด
ด้านซ้ายและขวามีเขาวัวงอกออกมา มันดู
ประหลาดมาก
ถึงแม้คนๆ นี้จะสวมชุดดำ แต่ว่ายังสามารถเห็น
รูปร่างของเขาได้ชัด หลังจากซัดฝ่ามือใส่เหรินเฉียน
โม่ไปแล้ว เขาก็ยืนเอามือไขว้หลังเอาไว้
ฉีหนิงมองไป ก็นึกถึงแม่ทัพหน้ากากโลหะที่เคยเจอ
ในเมืองหลวงขึ้นมา คนๆ นี้เครื่องแต่งกายกับความ
สง่า ดูเหมือนกับแม่ทัพหน้ากากโลหะคนนั้นไม่มีผิด
แม่ทัพหน้ากากโลหะเป็นคนที่จวนเสินโหวแอบตาม
สืบอยู่ คดีนี้แปลกประหลาดมาก แทบไม่มีใครใน
เมืองหลวงรู้เรื่องนี้เลย
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ในเมืองหลวงมีคนถูกทำร้าย
อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังถูกดูดเลือดจนหมดตัว
เหมือนกับถูกภูตผีปีศาจออกมาก่อคดี
เพื่อไม่ให้ชาวเมืองต้องแตกตื่น คดีนี้เลยถูกเก็บเป็น
ความลับ
คืนนั้นฉีหนิงบังเอิญไปเจอคนร้ายตัวจริงที่ก่อคดี
เหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นเพราะคดีนี้ ทำให้
เขาได้เข้าไปรู้จักกับจวนเสินโหว
หลังจากนั้นเป็นต้นมา แม่ทัพหน้ากากโลหะก็หาย
ตัวไป ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย ฉีหนิงเองก็ไม่ได้
ไปถามความคืบหน้าของเรื่องนี้
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า แม่ทัพหน้ากากโลหะกลับมา
ปรากฏตัวอยู่ที่เขาเชียนอูหลิงนี่
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า แม่ทัพหน้ากากโลหะจะมีวร
ยุทธ์ร้ายกาจขนาดนี้ สามารถแก้ค่ายกลโบราณของ
ถ้ำหมีฮวาได้ แล้วเข้ามาถึงที่นี่
ฮวาเสี่ยงหรงกับคนชุดเทาต่างก็ตกใจ แล้วจ้องไปที่
แม่ทัพหน้ากากโลหะ
แม่ทัพหน้ากากโลหะเหลือบไปมองทั้งสองคน แต่
ไม่ได้สนใจ เขาเห็นว่าพื้นน้ำแข็งเป็นรู มีมือสองมือ
กำลังยื่นออกไป จากนั้นก็หมุนมือ วาดรูปทรง
ตรงหน้าอกเป็นกระจกแปดเหลี่ยม จากนั้นก็ดันมือ
ลงไป ทันใดนั้นเองพื้นน้ำแข็งก็แตกออก รูเล็กๆ บน
พื้นน้ำแข็งเมื่อครู่ ตอนนี้มันแตกออกจนก้อนน้ำแข็ง
กระจาย
ฉีหนิงตกใจมาก จากนั้นก็ได้ยินเสียงฮวาเสี่ยงหรง
ร้อง เหมือนนางจะตกใจกับวรยุทธ์ของแม่ทัพ
หน้ากากโลหะมาก
จากนั้นก็เห็นแม่ทัพหน้ากากโลหะทำมือเป็นกรงเล็บ
และเห็นน้ำที่อยู่ด้านล่างพุ่งตัวขึ้นมาเป็นเสาขนาด
ใหญ่ ฉีหนิงตกใจมาก จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้อง
ตะโกนออกมา เจ้าลิงขาวกับคงซานเสียนที่ลงไปเอา
ของในโลงถูกน้ำดันออกมาจากด้านล่าง
เจ้าลิงขาวกับคงซานเสียนเหมือนจะทนไม่ไหว มือ
เท้าสะบัดไปมา ราวกับพวกเขาเป็นตุ๊กตาหุ่นเชิด
เมื่อน้ำมันพุ่งออกมาสองทาง ร่างกายของเจ้าลิงขาว
กับคงซานเสียนก็เหมือนแผ่นแม่เหล็ก แม่ทัพ
หน้ากากโลหะก็เหมือนแผ่นแม่เหล็กที่ดึงดูด ดึงพวก
เขาสองคนเข้ามา
ฮวาเสี่ยงหรงเห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็เตะก้อนน้ำแข็ง
ที่แตกออกจู่โจมแม่ทัพหน้ากากโลหะ จากนั้นนางก็
ดีดตัวขึ้น ซัดมือขวาเข้าใส่แม่ทัพหน้ากากโลหะ
แม่ทัพหน้ากากโลหะเก็บมือกลับมา เสาน้ำสองอัน
นั้นก็รวมมาเป็นหนึ่ง เจ้าลิงขาวกับคงซานเสียนชน
เข้าด้วยกัน แล้วตกลงมาบนพื้นน้ำแข็ง
ตอนนี้ฮวาเสี่ยงหรงมาอยู่ด้านข้างของแม่ทัพ
หน้ากากโลหะ มือของนางจับไปที่ไหล่ของแม่ทัพ
หน้ากากโลหะ
แม่ทัพหน้ากากโลหะยกมือขึ้นมา เขาทำอะไร
รวดเร็วมาก ซัดฝ่ามือไปใส่ฮวาเสี่ยงหรง ฮวาเสี่ยง
หรงปฏิกิริยารวดเร็วมาก นางพลิกมือแล้วไปจับ
ข้อมือของแม่ทัพหน้ากากโลหะ
แม่ทัพหน้ากากโลหะยิ้ม เขาแยกมือออก แล้วจับไป
ที่นิ้วของฮวาเสี่ยงหรงราวกับกรงเล็บเหยี่ยว เขา
ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่กระชาก ร่างกายของฮวา
เสี่ยงหรงก็ลอยปลิวออกไปไกล ตกลงไปกับพื้น นาง
ถึงกลับกระอักเลือดออกมา
ฉีหนิงจ้องตาโต
แม่ทัพหน้ากากโลหะใช้เวลาเพียงสั้นๆ แต่ทำร้ายคน
ไปถึงสี่คนแล้ว เขารู้ดีว่าวรยุทธ์ของฮวาเสี่ยงหรง
หากอยู่ในยุทธภพ ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่อยู่ต่อ
หน้าแม่ทัพหน้ากากโลหะ แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
ที่ฉีหนิงย้อนกลับมาที่นี่ เดิมทีคิดจะมาเอาของที่อยู่
ในโลง เพื่อเอาไปเจรจากับทางพรรคบัวดำ ใครจะ
คิดว่ายังไม่ทันเห็นของข้างใน ก็มาเจอคนประหลาด
ติดๆ กันแบบนี้ อีกทั้งยังร้ายกาจขึ้นทุกคนด้วย ใน
ใจของเขารู้ดีว่า ที่นี่ไม่มีของอย่างอื่น นอกจากโลง
น้ำแข็งนั่น แม่ทัพหน้ากากโลหะมาปรากฏตัวที่นี่
น่าจะไม่ใช่พวกเดียวกับคนชุดเทา ที่เป็นคนเฝ้าโลง
น้ำแข็ง เป้าหมายของเขา ก็น่าจะเป็นของที่อยู่ใน
โลงเช่นกัน
ตอนนี้ฉีหนิงรู้สึกสงสัยว่า ตกลงแล้วของในโลงนั่น
มันเป็นอะไรกันแน่ ถึงได้มียอดฝีมือหลายคนแย่งชิง
กันแบบนี้
แม่ทัพหน้ากากโลหะก่อคดีหลายคดีในเมืองหลวง
ถึงแม้จะหายไประยะใหญ่ แต่ฉีหนิงกลับคิดไม่ถึงว่า
เขาจะโผล่มาที่ซีชวนนี่
แม่ทัพหน้ากากโลหะวรยุทธ์คาดเดาไม่ได้ แต่
เหนือกว่าพวกของฮวาเสี่ยงหรงมาก ฉีหนิงรู้ว่า ต่อ
ให้คนชุดเทากับพวกของฮวาเสี่ยงหรงร่วมมือกัน ห้า
รุมหนึ่ง แม่ทัพหน้ากากโลหะก็อาจจะไม่เป็นรองได้
ตอนนี้เริ่นเชียนโม่นอนกองอยู่ที่พื้น เขาบาดเจ็บ
สาหัสมาก เจ้าลิงขาวกับคงซานเสียนฝืนลุกขึ้นมา
ฮวาเสี่ยงหรงเองก็ลุกขึ้นมานั่ง เช็ดคราบเลือดที่มุม
ปาก จากนั้นก็ยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าพวกเราไป
ล่วงเกินอะไรท่านหรือ เหตุใดต้องลงมือเหี้ยมโหด
กับพวกเราแบบนี้ด้วย?”
แม่ทัพหน้ากากโลหะเหลือบไปมองฮวาเสี่ยงหรง
แล้วพูดว่า “อาศัยพวกเจ้าไม่กี่คน ก็แอบลอบเข้ามา
ในนี้หรือ? นายของพวกเจ้าเป็นใคร?” เสียงของเขา
แหบแห้งมาก ทำให้คนฟังรู้สึกไม่ค่อยสบายหู
เท่าไหร่
ฮวาเสี่ยงหรงยิ้มพูดว่า “วรยุทธ์ของท่าน ร้ายกาจ
มาก พวกเราเทียบท่านไม่ได้เลย ใต้หล้าในเวลานี้
คนที่มีฝีมือเช่นท่านมีไม่กี่คน พอข้านึกถึงตรงนี้ ข้า
ว่าก็คงมีแค่ห้าต้าจงซือเท่านั้น ไม่ทราบ...ไม่ทราบว่า
ท่านผู้อาวุโสเป็นต้าจงซือท่านไหน บอกกล่าวกันได้
หรือไม่?”
“ห้าต้าจงซือ?” แม่ทัพหน้ากากโลหะหัวเราะเสียง
แปลกๆ ออกมา “วรยุทธ์ของพวกเจ้าแค่นี้ ยังคิดจะ
รู้จักต้าจงซืออีกหรือ?”
ฮวาเสี่ยงหรงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านผู้
อาวุโสไม่อยากบอก ข้าเองก็จะไม่ถามอีก ท่านผู้
อาวุโสเองก็มาเพราะของในโลงนี่หรือ?”
แม่ทัพหน้ากากโลหะย้อนถามกลับไปว่า “ใช่แล้วจะ
ทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม?”
“หากท่านผู้อาวุโสมาเพื่อของในโลงนี่ พวกเราก็คง
ต้องยอมให้ ไม่กล้าแย่งกับท่านหรอก” ฮวาเสี่ยง
หรงพูดว่า “หากผู้อาวุโสไม่ได้มาเพราะเหตุนี้ พวก
เราขอของในโลง หลังจากนั้นหากท่านผู้อาวุโส
ต้องการอะไร ถึงแม้วรยุทธ์ของพวกเราจะอ่อนด้อย
พวกเราก็จะพยายามอย่างเต็มที่”
แม่ทัพหน้ากากโลหะหัวเราะเสียงประหลาดออกมา
อีกครั้ง แล้วพูดว่า “ข้าต้องการอะไร ไม่จำเป็นต้อง
ให้ใครมายกให้ พวกเจ้าไม่คู่ควรยกอะไรให้ข้า”
“ถูกแล้ว” ฮวาเสี่ยงหรงพูดว่า “ข้าพูดผิดไปเอง ใน
เมื่อท่านผู้อาวุโสอยู่ตรงนี้ พวกเราไม่มีทางไม่
ประเมินความสามารถตัวเอง ก็ขอลาท่านตรงนี้”
นางพยายามลุกขึ้นมา แล้วคำนับแม่ทัพหน้ากาก
โลหะ จากนั้นก็ส่งสายตาไปให้คงซานเสียน แล้วนาง
ก็เดินไปพยุงเริ่นเชียนโม่ จากนั้นเตรียมจะจากไป
“หยุดเดี๋ยวนี้” แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดว่า “ข้าสั่ง
ให้พวกเจ้ากลับไปได้แล้วหรือ?”
ฮวาเสี่ยงหรงหน้าถอดสี แต่ก็ยังฝืนยิ้มแล้วพูดว่า
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสยังมีอะไรจะสั่ง?”
แม่ทัพหน้ากากโลหะยืนเอามือไขว้หลัง แล้วหัน
กลับมา จ้องไปที่ฮวาเสี่ยงหรง แล้วพูดว่า “เจ้านาย
ของพวกเจ้าเป็นใคร? พวกเจ้ารู้เรื่องโลงน้ำแข็งของ
ถ้ำหมีฮวาได้อย่างไร แล้วจะเอามันไปทำอะไร?”
ฮวาเสี่ยงหรงพูดว่า “สิ่งที่ผู้อาวุโสถาม ข้าก็ต้องตอบ
ตรงๆ แต่ว่า...พูดไปแล้วผู้อาวุโสท่านก็อาจจะไม่เชื่อ
พวกเราแค่มาทำตามคำสั่งเท่านั้น ของชิ้นนี้เอาไปใช้
อะไรพวกเราเองก็ไม่รู้”
“ฮึ” แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดว่า “บอกมาใครส่ง
พวกเจ้ามา?”
“เอ่อ...” ฮวาเสี่ยงหรงพูดว่า “ผู้อาวุโสเคยได้ยินชื่อ
ของสู่อ๋องหลี่หงซิ่นหรือไม่”
“หลี่หงซิ่น?” แม่ทัพหน้ากากโลหะยิ้ม “เจ้า
หมายความว่า หลี่หงซิ่นสั่งให้พวกเจ้ามา? พวกเจ้า
เป็นคนของหลี่หงซิ่นหรือ?”
ฉีหนิงอยู่ด้านหลังภูเขาจำลองได้ยินดังนั้นแล้วจึง
ขมวดคิ้วแน่น คิดไม่ถึงเลยว่าคนพวกนี้จะเป็นคน
ของหลี่หงซิ่น? ก่อนหน้านี้ เขาเคยสงสัยว่าฮวาเสี่ยง
หรงอาจจะเป็นคนของหลี่หงซิ่น แต่ว่าลึกๆ เขาคิด
ว่ามันอาจจะไม่ง่ายแบบนั้น อีกทั้งฮวาเสี่ยงหรงก็เจ้า
เล่ห์มาก การที่นางยอมรับง่ายๆ แบบนี้ อาจจะมี
เบื้องหลังอะไรก็ได้
ฮวาเสี่ยงหรงพูดว่า “ถูกต้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าสู่อ๋อง
ไปรู้เรื่องโลงน้ำแข็งของถ้ำหมีฮวามาจากที่ไหน เขา
บอกว่าในนี้มีสมบัติล้ำค่าอยู่ คราวนี้แปดพรรคสิบ
หกสำนักบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง พรรคบัวดำจะต้อง
จับตามองไปที่คนของจวนเสินโหว ดังนั้น...ดังนั้นสู่
อ๋องมั่นใจว่าเป็นเวลาที่ดีในการมาขโมยของ พวก
เราทำงานเพื่อรับเงินผู้อาวุโสอย่าได้เอาความพวก
เราเลยนะ”
แม่ทัพหน้ากากโลหะยิ้มแล้วพูดว่า “วรยุทธ์ของพวก
เจ้าในสายตาของข้าก็ไม่เท่าไหร่ แต่ว่าในยุทธภพก็
ถือว่าเป็นยอดฝีมือ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของพวกเจ้า
เลย หลี่หงซิ่นรับพวกเจ้าเข้าพวก เขาเองก็เก่งไม่
เบา” เขายิ้มแปลกๆ แล้วพูดต่อว่า “แต่ว่าข้าเองก็มี
นิสัยประหลาด เมื่อถูกใครเห็นเข้าแล้ว ไม่เคยให้ใคร
รอดไปได้ เจ้าสามารถพูดแก้ต่างได้ ฆ่าเจ้าไปก็น่า
เสียดาย แต่ว่าข้าเองก็ไม่เคยทำลายกฎของข้ามา
ก่อน”
ฮวาเสี่ยงหรงหน้าถอดสี แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดมา
แบบนี้ นั่นหมายความว่าเขาไม่ยอมปล่อยพวกเขา
ไป
“แต่ว่าในเมื่อพวกเจ้ามาเพื่อเอาของในโลงนั่น หาก
ให้พวกเจ้าตายไปแบบนี้ พวกเจ้าอาจจะมีอะไรค้าง
คาใจก็ได้” แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดว่า “ข้าจะให้เจ้า
สมใจ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นชัดๆ ว่าของนั่นมันคืออะไร
พวกเจ้าจะได้ตายตาหลับ” เขาเดินขึ้นหน้าไปสอง
ก้าว พื้นน้ำแข็งแตกออกหมดแล้ว แม่ทัพหน้ากาก
โลหะยืนอยู่ขอบพื้นน้ำแข็ง เขายกมือสองข้างขึ้นอีก
ครั้ง แล้วซัดลงไปด้านล่าง ฮวาเสี่ยงหรงเห็นน้ำด้าน
ในสระกำลังเคลื่อนไหวลอยตัวขึ้นมา แม่ทัพ
หน้ากากโลหะขยับแขนเล็กน้อย โลงน้ำแข็งที่อยู่
ด้านล่าง ก็ถูกแม่ทัพหน้ากากโลหะดูดมันขึ้นมา
คนชุดเทาที่ยืนมองอยู่ห่างๆ หลุดพูดออกมาว่า
“มหาเวทซีติ่ง” น้ำเสียงของเขาดูตกใจมาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 438 เจ้าลัทธิ
โลงน้ำแข็งลอยตัวขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำ จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงแม่ทัพหน้ากากโลหะร้องคำราม โลงน้ำแข็ง
หมุนเปลี่ยนทิศทางแล้วตั้งลงตรงพื้นน้ำแข็งที่ยังไม่
แตก
ฉีหนิงเห็นดังนั้นก็พลันตกใจ
วรยุทธ์ของแม่ทัพหน้ากากโลหะ ฉีหนิงคิดว่ามีน้อย
คนนักที่จะมีฝีมือแบบนี้ เขาตกใจมาก แอบคิดในใจ
ว่าหรือว่าที่ฮวาเสี่ยงหรงพูดมา แม่ทัพหน้ากากโลหะ
จะเป็นต้าจงซือจริงๆ?
แต่ว่าในเมื่อเป็นหนึ่งในต้าจงซือ เหตุใดต้องเข้าเมือง
หลวงไปก่อคดีดูดเลือดด้วยเล่า?
เขาเคยวิเคราะห์แล้ว แม่ทัพหน้ากากโลหะอาจเป็น
ขุนนางราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นขุนนางที่อยู่ในเมือง
หลวงด้วย แต่ว่าเท่าที่เขารู้มา ห้าต้าจงซือในใต้หล้า
นี้ ในต้าฉู่ก็มีแค่เป่ยกงเหลียนเฉิงคนเดียวเท่านั้น ไม่
เคยได้ยินมาว่ามีคนอื่นอีก
ในใจเขารู้สึกสงสัยมาก จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้อง คน
ชุดเทาพุ่งขึ้นหน้ามา แล้วจู่โจมใส่แม่ทัพหน้ากาก
โลหะ
ตอนนี้ไม่เพียงแค่ฉีหนิง แม้แต่พวกของฮวาเสี่ยงหรง
แต่ก็รู้สึกว่าคนชุดเทาเหมือนแมลงเม่าวิ่งเข้ากองไฟ
วรยุทธ์ของแม่ทัพหน้ากากโลหะเหนือกว่าคนชุดเทา
คนชุดเทาบุกมา อย่าว่าแต่ตอนนี้เขาเจ็บอยู่เลย ต่อ
ให้เขาไม่บาดเจ็บเลย ก็ไม่ใช่ศัตรูของแม่ทัพหน้ากาก
โลหะ
ไม่ผิดจากที่คิด แม่ทัพหน้ากากโลหะเห็นคนชุดเทา
พุ่งเข้ามาหา ก็กระโดดรับมือกับคนชุดเทา แม่ทัพ
หน้ากากโลหะลอยตัวข้ามศีรษะของเขาไป จากนั้นก็
ดึงผ้าปิดหน้าของเขาออก
คนชุดเทาอยู่ในอาการมึนงง แม่ทัพหน้ากากโลหะ
ลอยตัวห่างออกไปจากตัวเขาถึงสองจั้งแล้ว อีกทั้ง
ทิ้งผ้าปิดหน้าลงบนพื้น เขายืนเอามือไขว้หลัง แล้ว
มองไปที่คนชุดเทา เขายิ้มแล้วพูดว่า “สี่ทูตแห่ง
พรรคบัวดำ พิษแพทย์ราคีวิญญาณ หลีซีกง วรยุทธ์
ของเจ้าเมื่อเทียบกับวิชาแพทย์ของเจ้าแล้ว ห่างกัน
เยอะมากเลยนะ”
พวกของฮวาเสี่ยงหรงต่างตกใจ คิดไม่ถึงเลยว่าคน
ชุดเทานั้นจะเป็นทูตของพรรคบัวดำ
ฉีหนิงอยู่ด้านหลังพรรคบัวดำเห็นอย่างชัดเจน คน
ชุดเทาคือคนที่ช่วยชีวิตอีฝูไว้ที่เมืองเฉิงตู ในใจก็คิด
ว่าที่แท้ท่านผู้เฒ่าคือท่านหลีซีกงจริงๆ ด้วย
หลีซีกงเป็นยอดฝีมือระดับสูงในยุทธภพ พูดได้ว่า
เป็นหมอที่มีความสามารถ
ครั้งที่แล้วฉีหนิงก็แค่ลังเล ตอนนี้เมื่อเห็นหน้าเขา
ชัดๆ ถึงได้แน่ใจ แต่เมื่อเทียบกับชุดที่ขาดหลุดรุ่ย
หลีซีกงสวมชุดสีเทาชุดนี้ ดูสง่ากว่ามาก
เพียงแต่ว่าฉีหนิงคิดไม่ถึงว่าหลีซีกงจะเป็นทูตแพทย์
หนึ่งในทูตของพรรคบัวดำ
เขารู้สึกตกใจมาก แอบคิดในใจว่าหลีซีกงเป็น
อาจารย์ของถังนั่ว ในเมื่อเขาเป็นหนึ่งในทูตของ
พรรคบัวดำ หรือว่าถังนั่วเองก็เป็นคนของพรรคบัว
ดำด้วย?
ฉีหนิงรู้มาก่อนแล้วว่าถังนั่วกับเสี่ยวอาเหน่ามีความ
เกี่ยวข้องกัน เขารู้ว่าหลีซีกงกับเฒ่าพิษชิวเฉียนอี้
เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน เขาคิดว่าถังนั่วกับเสี่ยวอาเห
น่าถือว่ามีอาจารย์ปู่คนเดียวกันเท่านั้น
ตอนนี้คิดดูแล้ว หากถังนั่วเป็นคนของพรรคบัวดำ
จริง อีกทั้งยังรู้จักกับอาเหน่าอีก มันก็ไม่ใช่เรื่อง
แปลก
หลีซีกงค่อยๆ เดินไปยังขอบของโลงศพ ยืนขวางโลง
เอาไว้ แล้วพูดว่า “วรยุทธ์ของท่านร้ายกาจมาก ทั่ว
ทั้งใต้หล้าท่านจะไปที่ไหนก็ได้ แต่กลับลอบเข้ามา
ที่นี่ ทำเรื่องลึกลับแบบนี้”
“ลึกลับ?” แม่ทัพหน้ากากโลหะยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป ลึกลับตรงไหน?
แค่พรรคบัวดำ ไม่ได้อยู่ในสายตาของข้าเลย”
หลีซีกงพูดว่า “เจ้าไม่ต้องมาพูดจาแบบนี้หรอก ข้า
หลีซีกงอยู่ในพรรคบัวดำ วรยุทธ์ต่ำต้อย ถูกจัดให้
อยู่ในหนึ่งในสี่ทูต ก็เพราะความแก่ของข้านี่แหละ
เจ้าเอาชนะข้าได้ ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรเลย
ยอดฝีมือในพรรคบัวดำมีมากมาย ถึงแม้วรยุทธ์ของ
เจ้าจะสูง แต่หากคนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่ข้า เจ้าคงไม่มี
โอกาสเหิมเกริมแบบนี้ได้หรอก”
“อ๋อ?” แม่ทัพหน้ากากโลหะยิ้มแล้วพูดว่า “ยอด
ฝีมือในพรรคบัวดำมีมากมาย? หากข้าไม่ได้พูดผิด
เหมือนว่าท่านไม่ได้เป็นคนของพรรคบัวดำนานแล้ว
นะ”
หลีซีกงหน้าถอดสี ฮวาเสี่ยงหรงเองก็ขมวดคิ้ว
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่าแม่ทัพหน้ากาก
โลหะบอกว่าหลีซีกงเป็นหนึ่งในทูตทั้งสี่ของพรรคบัว
ดำ แต่ตอนนี้กลับบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนของพรรค
บัวดำนานแล้ว
“หากข้าพูดไม่ผิด หลายปีก่อน เจ้าออกแหกกฎออก
จากพรรคไปแล้ว” แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดด้วย
น้ำเสียงแหบแห้งว่า “พรรคบัวดำอยู่ทางทิศ
ตะวันตก ชาวยุทธภพรู้เรื่องของพรรคบัวดำน้อย
มาก ยิ่งเรื่องภายในของพรรค คนอื่นยิ่งรู้น้อยเข้าไป
ใหญ่อีก เจ้าเป็นทูตของพรรคบัวดำ คนที่รู้จักเจ้า
จริงๆ มีไม่มาก คนที่รู้ว่าเจ้าแหกกฎออกจากพรรค
ไป ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่”
หลีซีกงพูดด้วยความตกใจว่า “เจ้า...เจ้าเป็นใครกัน
แน่?”
“หลีซีกง วิชาแพทย์ของเจ้าร้ายกาจ ช่วยคนไว้
มากมาย ถือว่าสะสมแต้มบุญไว้เยอะมาก” แม่ทัพ
หน้ากากโลหะพูดว่า “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนมีเมตตา
วันนี้ข้าจะไม่เอาความกับเจ้า ขอแค่เจ้ายอมรับมาว่า
เจ้าไม่ใช่คนของพรรคบัวดำแล้ว วันนี้ข้าจะไม่ทำให้
เจ้าลำบากใจ เจ้าอยากจะไปไหน ข้าก็จะไม่ห้าม”
หลีซีกงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าควรจะต้องขอบคุณ
เจ้าอย่างนั้นสินะ”
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้น” แม่ทัพหน้ากากโลหะยิ้มแล้วพูด
ว่า “ข้าฆ่าคน ไม่เคยกลัวใครจะมาแค้นข้า แล้วก็ไม่
เคยต้องให้ใครต้องมาขอบคุณข้าด้วย” เขาหยุดไป
แล้วถามว่า “เจ้าแค่บอกข้ามาว่า เจ้าเกี่ยวข้องกับ
พรรคบัวดำหรือไม่?”
หลีซีกงหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าไปได้
ยินเรื่องเหลวไหลนี้มาจากไหน ตั้งแต่วันแรกที่ข้าหลี
ซีกงเข้าพรรคมาก็ได้สาบานแล้วว่าจะร่วมเป็นร่วม
ตายกับพรรคบัวดำ เรื่องที่แหกกฎออกจากพรรคไป
มันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ”
แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดว่า “เจ้านี่ก็หยิ่งในศักดิ์ศรี
ของตัวเองไม่เบาเลยนะ หรือว่าเจ้าอยากจะให้ข้าฆ่า
เจ้าจริงๆ หรืออย่างไร? ขอแค่เป็นคนของพรรคบัว
ดำ ข้าเจอคนหนึ่งก็จะฆ่าทิ้งคนหนึ่ง”
หลีซีกงตบไปที่หน้าอกของตัวเอง แล้วพูดว่า “ถ้า
อย่างนั้นเจ้าก็เริ่มจากการฆ่าข้าเลยสิ แต่ว่าคนไร้
ประโยชน์อย่างข้า ต่อให้ฆ่าให้ตายสักพันสักหมื่นคน
ก็ไม่ทำให้พรรคบัวดำเสียหายเท่าไหร่หรอก ข้าเคย
พูดไปแล้วว่า พรรคบัวดำมียอดฝีมือมากมาย ส่วน
ข้าเป็นคนที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น หาก
เสวียนหยางกับไท่อินคนใดคนหนึ่งอยู่ที่นี่แล้วล่ะก็
เจ้าอาจจะไม่ชนะก็ได้”
แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดว่า “เจ้าไม่พูดถึงทูตพิษ
ราคะ วิญญาณสามคนนั้นเลย ดูท่าทางแล้วแสดง
ว่าวรยุทธ์ของข้าเหนือกว่าพวกเขาสินะ เสวียนหยาง
กับไท่อิน...ฮึ ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?” ระหว่างที่
พูด เขาก็เดินไปทางหลีซีกง
หลีซีกงไม่มีท่าทางที่หวาดกลัวเขาเลย เมื่อครู่เขา
บาดเจ็บ แต่ว่าหลังจากกินยาลงไปแล้ว ก็ฟื้นฟู
กลับมาไม่น้อย สีหน้าของเขาเริ่มมีเลือดฝาดแล้ว
“หลีซีกง ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วนะ แต่เจ้าไม่รักษามัน
ไว้เอง” แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดว่า “เพื่อโลงน้ำแข็ง
โลงเดียว เจ้ากลับเอาชีวิตของเจ้ามาแลก ทำให้
การแพทย์ที่ร้ายกาจของเจ้าต้องจบลงตรงนี้ เจ้า
ต้องการแบบนี้หรือ?”
หลีซีกงพูดว่า “แม้แต่โลงน้ำแข็งยังรักษาไว้ไม่ได้
แล้วจะไปช่วยคนทั่วหล้าได้อย่างไร?”
แม่ทัพหน้ากากโลหะยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าอย่าง
นั้นเจ้าจะโทษข้าไม่ได้นะ”
หลีซีกงยกมือขึ้น แล้วพูดว่า “ถึงแม้พรรคบัวดำ
ชื่อเสียงจะไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าคนในพรรคไม่มีใคร
กลัวตาย หากใครกลัวตายก็ไม่มีทางได้เข้ามาอยู่ใน
พรรคแน่นอน”
ฉีหนิงเห็นแม่ทัพหน้ากากโลหะกำลังจะลงมือ เขาก็
ร้อนใจมาก
หลีซีกงช่วยชีวิตอีฝูไว้ สำหรับฉีหนิงแล้ว ก็ถือว่าเป็น
ผู้มีพระคุณ อีกทั้งเขายังเป็นอาจารย์ของถังนั่วอีก
หากเขาไม่ช่วย เขาก็ทนไม่ได้เหมือนกัน
แต่ว่าเขาเองก็รู้ดี วรยุทธ์ของเขา ต่อให้ออกไปช่วย
ก็ต้านแม่ทัพหน้ากากโลหะไม่อยู่ เขาก็ร้อนใจมาก
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น “หลีซีกง เจ้า
ไม่ห่วงว่าตัวเองจะตาย ยังปกป้องพรรคบัวดำอีก
ความแค้นที่ผ่านมา ข้าจะไม่เอาความเจ้าอีก” เสียง
นั่นลอยมาจากป่าไผ่ พริบตาเดียว ก็มีเงาๆ หนึ่งลอย
มายืนอยู่บนโลงน้ำแข็ง
คนๆ นั้นสวมเสื้อคลุมสีเทา บนหัวของเขาสวมผ้า
โพกหัวแบบชาวเหมียว บนหน้านั้นสวมหน้ากากสี
เหลือง แม่ทัพหน้ากากโลหะสวมหน้ากากสีเหลือง
คนๆ นี้สวมหน้ากากสีดำ
เสื้อคลุมขนสัตว์ขนาดใหญ่ปลิวไสว ถึงแม้จะอยู่ไกล
แต่ฉีหนิงก็เห็นชัดว่าบนเสื้อคลุมนั่นปักลายดอกบัวสี
ดำ
เขารูปร่างไม่สูง แม้จะยืนอยู่บนโลง ก็สูงกว่าหลีซีกง
ไม่เท่าไหร่ แต่ว่าเสื้อคลุมขนสัตว์ใหญ่ปลิวไสว ทำให้
เขาดูสง่าองอาจมาก
ฉีหนิงตะลึงไป พริบตาเดียวเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า คน
ที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ใหญ่แบบนี้ มีเพียงเจ้าลัทธิบัว
ดำเท่านั้น
สระน้ำแข็งนี่ก่อนหน้านี้เงียบสงบมาก พริบตาเดียว
ก็คึกคักขึ้นมา ยอดฝีมือจากหลากหลายที่ต้องพากัน
มาเหยียบที่นี่
แม่ทัพหน้ากากโลหะยืนนิ่งเหมือนกับรูปปั้น คนชุด
เทาเองก็ไม่ขยับ รอบๆ สระน้ำแข็งเย็นยะเยือกมาก
ทุกอย่างเงียบสงบ แม้แต่อากาศก็เหมือนจะหยุดนิ่ง
มันหนาวเข้าไปถึงกระดูก
“หากพรรคบัวดำไม่ได้อยู่ในสายตาของท่านเลย
แล้วอะไรที่จะไปอยู่ในสายตาของท่านได้?”
หลังจากนั้นไม่นานนัก เจ้าลัทธิบัวดำก็ทำลายความ
เงียบลง “ข้าเก็บตัว เดิมทีก็เป็นความลับ กลับคิดไม่
ถึงเลยว่าข่าวจะหลุดออกไปข้างนอกได้ ทำให้สหาย
หลายคนขึ้นมาเยี่ยมเยียนถึงที่นี่ บนเขาไร้ผู้นำ ทุก
ท่านมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ มันเป็นการเสีย
มารยาทไปหน่อยกระมัง?”
พวกของฮวาเสี่ยงหรงต่างมองหน้ากัน พวกเขา
วางแผนทุ่มเทกว่าจะลอบเข้ามาถึงถ้ำหมีฮวาได้ เดิม
ทีคิดว่าคงจะได้ของในโลงนั่นมาได้แน่ คิดไม่ถึงเลย
ว่าแม่ทัพหน้ากากโลหะคนเดียว ทำให้พวกเขาเกือบ
เอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้เจ้าของตัวจริงปรากฏตัวแล้ว
พวกเขารู้ว่าโชคร้ายมากกว่าดีแน่ การบุกเข้ามาใน
สถานที่ต้องห้ามของพรรคบัวดำ เจ้าลัทธิบัวดำไม่มี
ทางปล่อยให้ใครรอดไปแน่นอน
แม่ทัพหน้ากากโลหะถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าคือ
เจ้าลัทธิบัวดำหรือ?”
คนเสื้อคลุมสีเทาพูดว่า “ถูกต้อง”
“หากข้าต้องการเอาของในโลงนั่น คงต้องตัดสินแพ้
ชนะกับท่านเจ้าลัทธิแล้วสินะ” แม่ทัพหน้ากาก
โลหะถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าการท้าประลอง
กับต้าจงซือนั่น ไม่ว่าใครก็ต้านไม่ได้ทั้งนั้น”
เจ้าลัทธิพูดว่า “ทุกคนคิดแบบนั้น”
แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดว่า “แต่ว่าเท่าที่เขารู้มา
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เจ้าลัทธิจะเก็บตัว วรยุทธ์ไม่อยู่
ในจุดที่สมบูรณ์พร้อม หรือก็คือ ความสามารถที่
แท้จริงของท่านเจ้าลัทธิ ก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง”
“ไม่แน่ตอนนี้ข้าอาจจะไม่มีวรยุทธ์เลยก็เป็นได้” เจ้า
ลัทธิยิ้มแล้วพูด
แม่ทัพหน้ากากโลหะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้า
อยากจะลองสักครั้ง ข้าอยากจะรู้ว่าข้าจะสามารถสู้
กับท่านได้หรือไม่? สามารถประลองกับต้าจงซือได้
ต่อให้ต้าจงซือจะเหลือวรยุทธ์แค่ครึ่งเดียว หรือต่อ
ให้ข้าต้องตายในมือของท่านเจ้าลัทธิ ข้าก็ตายอย่าง
ไม่เสียดายเลย”
เจ้าลัทธิยิ้มแล้วพูดว่า “อยู่อย่างมีความสุข ตาย
อย่างไม่หวาดกลัว ขอแค่เป็นคน ก็ต้องมีวันตาย
ด้วยกันทั้งนั้น”
แม่ทัพหน้ากากโลหะยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าลัทธิพูด
ได้ถูกต้องแล้ว อยู่อย่างมีความสุข ตายอย่างไม่
หวาดกลัว ในเมื่ออย่างไรก็ต้องตาย เหตุใดไม่ตายให้
ตัวเองไม่เสียใจทีหลังล่ะ สามารถสู้กับต้าจงซือได้
ตายก็ไม่เสียดายแล้ว”
“สามารถฝึกมหาเวทซีติ่งได้สำเร็จ ท่านเองก็ไม่ใช่
คนธรรมดา” เจ้าลัทธิพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา มหาเวท
ซีติ่งหายสาบสูญไปนานกว่าร้อยปีแล้ว ท่านได้มันมา
แสดงว่าความสามารถท่านก็ไม่เบาเหมือนกัน”
“มหาเวทซีติ่ง อยู่ต่อหน้าต้าจงซือก็แค่วิชาเล็กๆ ไม่
คู่ควรให้พูดถึง” แม่ทัพหน้ากากโลหะยิ้มแล้วพูดว่า
“หากวันนี้ได้เห็นวิชาที่เหนือชั้นของต้าจงซือมากก
ว่า ถึงจะถือว่าเป็นบุญที่แท้จริง” ระหว่างที่เขาพูด
เขาก็ยกมือขึ้น แล้วพุ่งตัวไปหาเจ้าลัทธิบัวดำ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 439 เพชรตัดเพชร
เจ้าลัทธิบัวดำไม่ได้รับซึ่งๆ หน้า แต่เขาดีดตัวลอย
ขึ้นและหลบไปด้านข้าง แม่ทัพหน้ากากโลหะ
เคลื่อนไหวราวกับวิญญาณ แล้วตะคอกว่า “ท่าน
เจ้าลัทธิชี้แนะด้วย” ระหว่างที่พูด เขาก็ได้ออก
กระบวนท่าไปแล้วกว่าเจ็ดถึงแปดท่า รวดเร็วว่องไว
มาก
เจ้าลัทธิเคลื่อนไหวราวกับวิญญาณไม่ต่างกัน เขา
หลบไปทางซ้ายทีขวาที เหมือนกำลังออมมือให้
ตอนนี้ฉีหนิงมองดูอย่างตั้งใจ เจ้าลัทธิบัวดำเป็นผู้นำ
พรรค เป็นหนึ่งในต้าจงซือ แม่ทัพหน้ากากโลหะ
ถึงแม้จะมาอย่างประหลาด แต่ว่าเขาก็กล้าที่จะท้า
ทายกับเจ้าลัทธิ แสดงว่าเขาเองก็ไม่ธรรมดา วรยุทธ์
ของทั้งคู่เกินกว่าจุดสูงสุดไปแล้ว สถานการณ์ที่หาได้
ยากแบบนี้ ฉีหนิงไม่อยากพลาด
คนชุดเทายังคงเฝ้าอยู่ที่โลงศพ พวกของฮวาเสี่ยง
หรงยืนอยู่ด้วยกัน พวกเขาเองก็จ้องไปที่ยอดฝีมือทั้ง
สอง
ทั้งสองคนเริ่มจากการกระบวนท่าที่รวดเร็วก่อน แต่
ก็ยังไม่ถึงสูงสุด ก็เก็บแรงกลับมา พวกเขาใช้วิธีนี้ใน
การหยั่งเชิงอีกฝ่าย ฝ่ามือทั้งสองรวดเร็วมาก ถึงแม้
จะเป็นกระบวนท่าทดลอง แต่ว่าขณะที่ลงมือมัน
แฝงไปด้วยวรยุทธ์ที่ลึกซึ้งมาก
ฉีหนิงดูอย่างสนุกสนาน เห็นทั้งคู่ทั้งผลัดกันรับและ
รุก ไม่มีกระบวนท่าไหนที่งดงามเลย
ฉีหนิงเคยเห็นยอดฝีมือประลองยุทธ์กันมาก่อน
ตอนที่เขาอยู่ที่วัดต้ากวงหมิงเขาก็เคยเห็นจิ้งคงไต้ซื
อประลองกับชื่อตันเหมยมาแล้ว นั่นก็ถือว่างดงาม
มากแล้ว แต่ว่าสิ่งที่เขาเห็นตอนนี้ เขากลับไม่เคย
เห็นมาก่อนมันทั้งพิสดารและพิศวง ตอนแรกเขาคิด
จะลองศึกษาดู แต่ว่าทั้งคู่เปลี่ยนแปลงกระบวนท่า
รวดเร็วมาก พลิกไปพลิกมาเห็นแค่เงาเท่านั้น
ผ่านไปครู่เดียว พวกเขาก็ประลองมาเกินกว่าร้อย
กระบวนท่าแล้ว ฉีหนิงตกใจมาก
เท่าที่เขาได้ยินมา วรยุทธ์ของต้าจงซือเกินกว่า
มนุษย์ปกติทั่วไป ตามหลักแล้ว เขาไม่ต่างอะไรกับ
ปีศาจ แต่ว่าเจ้าลัทธิที่อยู่ตรงหน้านี้ วรยุทธ์ไม่
ธรรมดาก็จริง แต่ว่าแม่ทัพหน้ากากโลหะสู้กับต้า
จงซือมากว่าร้อยกระบวนท่าแล้วแต่ก็ไม่ได้เป็นรอง
เลย ทำให้ฉีหนิงตกใจมาก
เขาแอบคิดในใจว่า หรืออาจเป็นเพราะเจ้าลัทธิ
ออกมาจากการเก็บตัวกลางคัน เหมือนที่แม่ทัพ
หน้ากากโลหะพูด วรยุทธ์ของเขาเลยลดลง ต่อให้
เป็นอย่างนั้น แม่ทัพหน้ากากโลหะสามารถสู้กับเขา
ได้อย่างสูสี ถือว่าไม่ธรรมดาเลย
ทั้งสองฝ่ายสู้กันเป็นร้อยกระบวนท่า ทันใดนั้นเอง
พวกเขาก็ถอยหลัง เว้นระยะกันประมาณห้าหกก้าว
ทุกคนต่างแปลกใจ แอบคิดในใจว่าหรือว่าทั้งสอง
คนนี้ตัดสินใจแพ้ชนะกันได้แล้ว? ไม่ว่าจะมอง
อย่างไร ก็มองไม่ออกว่าใครแพ้หรือชนะ
ฉีหนิงกำลังสงสัย กลับได้ยินทั้งสองคนเหมือนจะ
คำรามออกมาพร้อมกัน ทั้งสองคนราวกับนักล่าที่พุ่ง
เข้าหาอีกฝ่าย สลับกันออกหมัด ครั้งนี้สู้กันอีกกว่า
ยี่สิบสามสิบหมัด ต่างคนต่างถอยออกไปอีก มัน
ประหลาดมาก
หลีซีกงขมวดคิ้วแน่น แต่ว่าหลังจากนั้น ก็เหมือน
เข้าใจอะไรขึ้นมา
ฉีหนิงกำลังใช้ความคิด จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมา
เหมือนกัน
วรยุทธ์ของทั่งคู่สูงเกินกว่าคนทั่วไปมาก ใช้กระบวน
ท่าปกติไม่สามารถทำอะไรกันได้ รู้ว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะ
ร้ายกาจแค่ไหน อีกฝ่ายก็สามารถเอาตัวรอดได้
จะต้องออกกระบวนท่าพิสดารที่สุด เพื่อเอาชนะอีก
ฝ่ายเท่านั้น
ทั้งสองผลัดกันรุกและรับ ยากที่จะแยกแพ้ชนะได้
ทุกครั้งที่แยกออกจากกัน ก็เหมือนคิดกระบวนท่า
ต่อไปที่จะมารับมืออีกฝ่าย
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นทั้งสองลงมืออีกครั้ง ครั้งนี้
ทั้งสองฝ่ายลงมือรวดเร็วมาก ครั้งนี้ลงมือไม่
เหมือนกับการหยั่งเชิงอีกฝ่ายแล้ว ทั้งสองฝ่ายหยั่ง
เชิงจนรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ตอนนี้พวกเขาลง
มือไม่มีความปราณีอีกแล้ว พลังของฝ่ามือและหมัด
เต็มแรง พลิกแพลงไปมา ใช้กำลังที่แท้จริงในการ
ต่อสู้
ฉีหนิงจ้องไปที่ยอดฝีมือทั้งสอง กระบวนท่ามัน
พิสดารมาก มันดูสูงส่งร้ายกาจกว่าเพลงหมัดดัน
ภูเขาที่เซี่ยงเซียวเหยาถ่ายทอดให้เขาไม่รู้กี่เท่า เขา
อยากจะฝึกมันมาสักท่าสองท่า แต่ว่าทั้งคู่
เคลื่อนไหวเร็วมาก เห็นทั้งสองสลับสู้กันไปมา
สามารถมองเห็นบางท่า แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็มองไม่
ชัด ทำให้มันผ่านตาไป
ถึงแม้ฉีหนิงจะมีความจำที่น่าตกใจ แต่ว่ากระบวน
ท่าของทั้งคู่มันแปลกและพิสดารมากเกินไป อีกทั้ง
ลงมือรวดเร็วว่องไว ราวกับสายฟ้า หนึ่งกระบวนท่า
แทบจะผ่านไปเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
เขาแอบถอนหายใจเบาๆ เขารู้สึกว่าหากในชาตินี้
เขาสามารถมีวรยุทธ์แบบนี้ได้ เขาถือว่าไม่เสียชาติ
เกิด
แต่เขาก็รู้ดีว่า ในยุทธภพมียอดฝีมือมากมาย แต่ว่า
คนที่สามารถมีวรยุทธ์เกินมนุษย์ได้นั้นมันน้อยมาก
ห้าต้าจงซือ มันไม่ได้มีแค่ชื่อแน่นอน
ไม่เพียงต้องฝึกฝนอย่างมีวินัย ยังต้องมีพรสวรรค์ที่
ฟ้าประทานด้วย
ฉีหนิงเพิ่งได้สัมผัสวรยุทธ์ได้ไม่นาน ถึงแม้หลายครั้ง
ที่เขาได้มา ทำให้วรยุทธ์ของเขาก้าวกระโดดไปไกล
อยู่ในยุทธภพก็ถือว่ามีฝีมือไม่เบา แต่ว่าวรยุทธ์ของ
เขาก็ห่างชั้นกับสองคนนี้มาก เขารู้ว่าต่อให้เขาใช้อีก
ครึ่งชีวิตของเขามาฝึกฝน ก็อาจจะไม่มีทางถึงขั้นนั้น
ได้
ทั้งสองคนลอยตัวไปตามสายลม แสดงทักษะของ
พวกเขาบนสระน้ำแข็งนี้
ฉีหนิงกำลังนึกอยู่ ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกแปลกๆ
เขาเหลือบไปมอง เห็นฮวาเสี่ยงหรงกับเริ่นเชียนโม่
อีกสามคน กำลังเดินมาทางป่าไผ่ เขาไม่ทันได้
รู้สึกตัว พวกเขาก็เดินมาถึงริมป่าไผ่แล้ว
ฉีหนิงเข้าใจแล้วว่า พวกเขารู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดี
ก็เลยคิดจะฉวยโอกาสหนีไป
ยอดฝีมือทั้งสองสู้กัน แทบจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย
ถึงแม้หลีซีกงจะเห็น แต่ก็ไม่ห้าม แค่จ้องเฉยๆ
เป้าหมายของเขามีเพียงปกป้องโลงน้ำแข็งเท่านั้น
ไม่ได้สนใจว่าพวกฮวาเสี่ยงหรงจะหนีไปหรือไม่
ฉีหนิงยิ่งไปขวางไม่ได้เลย ทำใด้แค่มองพวกฮวา
เสี่ยงหรงฉวยโอกาสออกจากป่าไผ่ไป แอบคิดในใจ
ว่าผู้หญิงคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก
ยอดฝีมือทั้งสองสู้กันเกินกว่าร้อยกระบวนท่า ยิ่งสู้
ยิ่งช้าลง พวกเขาแยกออกจากกันอีกครั้ง ฉีหนิงก็ได้
ยินพวกเขาสองคนหัวเราะ
“ข้ารู้จักเจ้าแล้ว” แม่ทัพหน้ากากโลหะยิ้มแล้วพูด
ว่า “วรยุทธ์ของท่าน น่านับถือนัก”
เจ้าลัทธิเองก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเองก็รู้จักเจ้าแล้ว คิด
ไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของเจ้าไปถึงจุดนั้นแล้ว”
ฉีหนิงฟังแล้วก็เริ่มงง แอบคิดในใจว่าพวกเขาสอง
คนพูดอะไรกัน ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร
ขณะที่เขากำลังสงสัย ทันใดนั้นเองก็เห็น ทันใด
นั้นเองเขาก็เห็นว่า มือขวาของเจ้าลัทธินั้นเหมือนมี
ไอเย็นลอยออกมา ส่วนแม่ทัพหน้ากากโลหะก็กาง
มือซ้ายออกเป็นเหมือนกรงเล็บ ท่าทางดูประหลาด
มาก
เมื่อเห็นฉากนี้ ฉีหนิงเองก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
ทั้งสองคนสู้กันอยู่นาน ตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ ตอนนี้
มันเต็มไปด้วยไอสังหาร
สำหรับยอดฝีมือแล้ว ศาสตร์ในการต่อสู้ของพวกเขา
มันล้ำลึกไม่อาจคาดเดาได้เลย แต่ว่าความเย่อหยิ่ง
ทระนงในตัวเองนั้นมีอยู่อย่างเต็มที่ ไม่มีใครยอม
ง่ายๆ แน่
การต่อสู้ในวันนี้ สำหรับยอดฝีมือสองคนนี้แล้ว
อยากจะให้รู้ผลแพ้ชนะ แต่ว่าสู้กันมาก็พักใหญ่ ไม่มี
ใครล้มอีกฝ่ายได้เลย แสดงว่านี่คือครั้งสุดท้ายแล้วที่
จะแสดงความสามารถออกมา
ทันใดนั้นเอง ก็เห็นเจ้าลัทธิบุกขึ้นหน้าไปแล้ว เขา
ซัดมือขวาของเขาออกไป แม่ทัพหน้ากากโลหะเองก็
ร้องคำราม จากนั้นก็พุ่งเข้าหาเหมือนกัน ในตอนนี้
เอง ฉีหนิงได้ยินเสียงพื้นน้ำแข็งที่ทั้งคู่ยืนอยู่นั้นแตก
ออก
พื้นน้ำแข็งแตกอย่างรวดเร็ว มันแตกไปทางที่หลีซี
กงยืนอยู่ หลีซีกงใช้สองมือจับไปที่ใต้โลงน้ำแข็ง
จากนั้นก็ลากมันไปทางริมฝั่งน้ำแข็ง
ยอดฝีมือทั้งสองเปรียบเสมือนเงาลอยไปลอยมาอยู่
กลางธารน้ำแข็ง ฉีหนิงแทบจะมองไม่เห็นว่าพวก
เขาทำอะไร เขาเห็นแค่เงาทั้งสองพัวพันอยู่ด้วยกัน
กลายเป็นก้อนกลุ่มใหญ่ ห่างจากธารน้ำแข็งแค่คืบ
เดียว ไม่นานนักก็เห็นพวกเขาแยกออกจากกัน
จากนั้นเขาก็พุ่งตัวไปทางป่าไผ่ราวกับลูกธนู
ฉีหนิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าหลังจากเงาทั้งสอง
ไปทางป่าไผ่แล้ว ก็ไม่มีเสียงอะไรอีกเลย ไม่รู้ผลเป็น
อย่างไร
หลีซีกงตอนนี้มองไปทางป่าไผ่ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เห็น
ทางป่าไผ่มีเงาโผล่ออกมา แล้วกลับมายืนที่พื้นอีก
ครั้ง เขาคือเจ้าลัทธิบัวดำนั่นเอง
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเจ้าลัทธิบัวดำนั่นชนะแล้วหรือ
พอคิดแบบนี้ ก็เห็นเจ้าลัทธิบัวดำเดินขึ้นหน้ามา เขา
ดูไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลง เหมือนกำลัง
เดินลมปราณ ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าเจ้าลัทธิบัวดำ
น่าจะได้รับบาดเจ็บ
แม่ทัพหน้ากากดำสู้อยู่กว่าครึ่งวัน ไม่ว่าทั้งสองฝ่าย
ใครจะได้รับบาดเจ็บ มันก็คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย
ตอนนี้เขาเห็นรอบตัวของเจ้าลัทธิบัวดำมีกลุ่มหมอก
ควันลอยรอบตัว หมอกนั่นไม่ใช่ไอเย็นจากธาร
น้ำแข็ง แต่ว่ามันออกมาจากตัวของเจ้าลัทธิบัวดำ
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าลัทธิก็เก็บการเดินลมปราณ
แล้วลุกขึ้น จากนั้นเดินไปทางหลีซีกง
หลีซีกงเป็นทูตของพรรคบัวดำ เมื่อเจอเจ้าลัทธิ ฉี
หนิงคิดว่าเขาน่าจะทำความเคารพ แต่คิดไม่ถึงว่า
หลีซีกงกลับหันหลังให้ ไม่มองไปที่เจ้าลัทธิเลย
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกมาก เขาคิด
ขึ้นมาได้ว่าตอนที่เจ้าลัทธิปรากฏตัวออกมา เคย
บอกว่าเห็นแก่ที่หลีซีกงปกป้องพรรคบัวดำ บุญคุณ
ความแค้นที่ผ่านมาจะถือว่าแล้วกันไป แสดงว่าทั้งคู่
น่าจะมีปัญหากันมาก่อน
เจ้าลัทธิเองก็ไม่ได้สนใจหลีซีกง ใช้มือเดียวยกโลง
น้ำแข็ง จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป หลีซีกงหัน
กลับมาแล้วพูดว่า “ช้าก่อน”
เจ้าลัทธิเองก็ไม่ได้หันหลังกลับมา หลีซีกงถามว่า
“เจ้าจะเอาโลงน้ำแข็งไปไหน?”
เจ้าลัทธิพูดขึ้นมาว่า “เรื่องของข้า เจ้ามาถามได้
หรือ?”
“เรื่องอื่น อาจจะไม่เกี่ยวกับข้า” หลีซีกงพูดว่า “แต่
ว่าโลงน้ำแข็งนี่ อย่างไรข้าก็ต้องถาม หรือว่าเจ้าไม่รู้
หากนำโลงน้ำแข็งนี่ออกไปจากที่นี่ ผลที่เกิดขึ้นจะ
เป็นอย่างไร?”
เจ้าลัทธิพูดว่า “ผลเป็นอย่างไร ข้า...” เขาพูดไม่ทัน
จบ ขาของเขาก็อ่อนลง เขาเหมือนจะคุกเข่าลง โลง
ศพเซไปเซมา เหมือนกำลังจะหลุดจากมือของเขา
แล้ว หลีซีกงตกใจ แล้วรีบเดินไปพยุงเอาโลงลงมา
เจ้าลัทธิคุกเข่าลงข้างหนึ่ง มือข้างหนึ่งยันพื้นไว้
ร่างกายของเขาสั่นเทา
ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็ตกใจ จากนั้นก็เห็นหลีซีกงซัดฝ่า
มือไปบนตัวของเจ้าลัทธิหลายครั้ง ฉีหนิงขมวดคิ้ว
แอบคิดในใจว่าเจ้าลัทธิน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
ไม่อย่างนั้นด้วยฝีมือของต้าจงซือแล้ว ไม่มีทางยก
โลงน้ำแข็งนี่ไม่ไหว
ที่หลีซีกงลงมือ หรือว่าจะลอบทำร้ายเจ้าลัทธิ? ทั้ง
สองมีปัญหากันมาก่อน วรยุทธ์ของหลีซีกงเทียบกับ
เจ้าลัทธิไม่ได้เลย หากเป็นเมื่อก่อน คงไม่มีโอกาส
แต่ว่าในเวลานี้เจ้าลัทธิบาดเจ็บ เป็นโอกาสที่ดีที่หลี
ซีกงจะได้แก้แค้น
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 440 ใช้ทุกวิธีเพื่อบรรลุเป้าหมาย
ฉีหนิงกำลังคิดว่าหลีซีกงกำลังฉวยโอกาสลงมือกับ
เจ้าลัทธิ แต่ว่าเขากลับเห็นหลีซีกงหยิบขวดออกมา
จากหน้าอก แล้วยื่นไปให้กับเจ้าลัทธิ เจ้าลัทธิ
เหมือนจะลังเล เขามองไปที่ขวดยา จากนั้นก็หยิบ
ยาออกมากิน
เจ้าลัทธิเดินลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ
ลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “หลีซีกง เจ้ามีโอกาสฆ่าข้า
เหตุใดถึงไม่ลงมือ?”
หลีซีกงไม่ได้พูดดีด้วย “ข้ารู้แค่การรักษาคน ไม่รู้จัก
การฆ่าคน ฆ่าคนมันสะใจขนาดนั้นเลยหรือ?”
หลีซีกงไม่ใช่คนรูปร่างสูงใหญ่ แต่ว่าเขาตัวเล็กกว่า
เจ้าลัทธิ จากนั้นเจ้าลัทธิก็หัวเราะ แล้วพูดว่า
“ถูกต้อง ตั้งแต่เจ้าออกจากพรรคไปจนถึงตอนนี้ ไม่
เคยฆ่าคนเลยแม้แต่คนเดียว” เขาจับไปที่หน้าอก
ของเขา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตาเฒ่านั่นฝึกวิชากรง
เล็บพญาเหยี่ยวได้ ร้ายกาจมาก”
“กรงเล็บพญาเหยี่ยว?” หลีซีกงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“มันเหมือนมหาเวทซีติ่งเลยนะ เป็นวิชาที่หาย
สาบสูญไปแล้วไม่ใช่หรือ? เขาเป็นใครกันแน่ ทำไม
ถึงได้วิชาที่หายสาบสูญไปแล้วแบบนี้ได้นะ?”
เจ้าลัทธิเองก็ไม่ได้ตอบ เขาแค่พูดว่า “เขาเองก็
ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน เขาหนีไปแล้ว น่าจะไม่
กลับมาอีก หลีซีกง โลงน้ำแข็งนี่ยกให้เจ้าแล้วนะ”
เขาไม่พูดอะไรมากอีก หันหลังแล้วเดินไปทางป่าไผ่
หลีซีกงเองก็ไม่ได้ห้ามเขา
ฉีหนิงถึงได้ถอนหายใจ จากนั้นก็ได้ยินหลีซีกงพูดว่า
“ออกมาได้แล้ว”
ฉีหนิงตกใจ แต่ว่าเขาก็รู้ทันทีว่าหมายถึงเขา เขา
เดินออกมาจากหลังภูเขา แล้วเดินขึ้นหน้าไปคำนับ
แล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าหลี ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิต
ข้า”
หลีซีกงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องขอบคุณ
หรอก พวกเจ้ากล้ามากนะ กล้ามาถึงที่นี่ได้”
“เรียนท่านผู้เฒ่าตามตรง ข้าเองก็จับพลัดจับผลูถึง
ได้มาที่นี่” ฉีหนิงลังเล แต่พอนึกถึงหลีซีกงเป็นคนใจ
ดีมีเมตตา อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของถังนั่วด้วย เขา
เลยไม่ปิดบัง เล่าเรื่องที่ถูกคนลอบทำร้ายให้หลีซีกง
ฟังคร่าวๆ
หลีซีกงลูบเครา เหมือนพอใจกับความจริงใจที่ฉีหนิง
แสดงออกมา เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจว่า
ในโลงนั่นเป็นของมีค่าใช่หรือไม่ คิดอยากจะใช้ของ
นั่นเจรจากับพรรคบัวดำ เพื่อช่วยคนของจวนเสิน
โหว วิธีนี้ฉลาดมาก แต่ว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับพรรคบัว
ดำหรอกนะ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่มี
ทางเลือก” เขาลองถามไปว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่าน...
ท่านไม่ใช่คนของพรรคบัวดำแล้วจริงหรือ?”
หลีซีกงไม่ได้ตอบเขา แต่ย้อนกลับมาว่า “จิ่นอีโหว
การบุกเขาเชียนอูหลิงเป็นแผนของจวนเสินโหว
แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ตามเขามาด้วยเล่า?”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าน่าจะรู้ ก่อน
หน้านี้ในเมืองหลวงเกิดพิษระบาดขึ้น หลักฐานทุก
อย่าง ชี้มาที่ราชาพิษชิวเฉียนอี้ ดังนั้น...”
หลีซีกงพูดแทรกขึ้นมาว่า “ถึงแม้ชิวเฉียนอี้จะเป็น
คนหัวดื้อ ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ว่าอย่างไรเขาก็เป็น
จงซือด้านพิษ ไม่มีทางลงมือกับชาวบ้านธรรมดา
หรอกนะ” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าก็พอรู้
เรื่องมาบ้าง หนอนพิษของชิวเฉียนอี้ถูกขโมยไป
น่าจะมีคนตั้งใจใส่ร้ายเขา”
“จากข้อมูลบอกว่าหนอนพิษของชิวเฉียนอี้ถูก
เพาะเลี้ยงอยู่ที่ดินแดนหยินหยาง ที่นั่นเป็นรังของชิ
วเฉียนอี้ ใครจะมีปัญญาขโมยหนอนพิษของเขาไป
ได้?” ฉีหนิงขมวดคิ้วถาม
หลีซีกงพูดว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็กำลังสืบอยู่ ตอนนี้ข้า
เองก็พอจับต้นชนปลายได้แล้ว แต่ว่าก่อนที่ทุกอย่าง
จะกระจ่าง ยังแน่ใจอะไรไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้น ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายก็เข้าใจผิดกันน่ะสิ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด
ท่านจะ...?”
หลีซีกงเหมือนรู้ว่าฉีหนิงจะพูดอะไร เขายกมือขึ้นมา
“เจ้าอยากจะให้ข้าไปยุติการนองเลือดในครั้งนี้ใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ศึกในครั้งนี้ อย่างไรทั้ง
สองฝ่ายก็ต้องสูญเสียกันเป็นจำนวนมาก จะให้แค่
เรื่องเข้าใจผิดมาทำให้คนตายจำนวนมากแบบนี้ มัน
ก็...”
หลีซีกงหัวเราะแล้วพูดว่า “จิ่นอีโหว เท่าที่ข้ารู้มา
ฮ่องเต้ใหม่โปรดปรานเจ้ามากเลยนี่นา เขาเองก็คิด
จะสนับสนุนเจ้า คนที่ฮ่องเต้น้อยให้ความสำคัญ
แบบนี้ เหตุใดถึงได้เลอะเลือนได้เล่า?”
“ท่านผู้เฒ่า...”
“เจ้าคิดว่าเหตุนองเลือดที่กำลังจะเกิดขึ้นในครั้งนี้
เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือ?” หลีซีกงยิ้ม “จวนเสินโหว
รวบรวมคนแปดพรรคสิบหกสำนักบุกโจมตีพรรคบัว
ดำ เท่าที่ข้าเห็น มันก็แค่หลุมพรางที่ซีเหมินอู๋เหิง
วางไว้เท่านั้น”
“หลุมพราง?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว ในความเป็นจริงแล้ว
เขาเองก็สงสัยในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
หลีซีกงพูดว่า “ก่อนที่จะมีการก่อตั้งจวนเสินโหว
ขึ้นมา ยุทธภพไม่สงบ แต่ละพรรคฆ่าฟันกันไปมา
ยุทธภพมีแต่การนองเลือด หลังจากจวนเสินโหว
ก่อตั้งขึ้นมาแล้ว ตกมาอยู่ในมือของซีเหมินอู๋เหิง
ยุทธภพสงบ ซีเหมินอู๋เหิงให้เหล่าชาวยุทธลงนามใน
สัตยาบันสัญญาเลือด เพื่อควบคุมอำนาจในยุทธภพ
ถึงแม้เป้าหมายของเขาจะเพื่อความสงบของราช
สำนัก การที่ได้ภาพรวมออกมาเป็นแบบนี้ได้ ข้าเอง
ก็อยากจะปรบมือให้เขาจริงๆ”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “สัญญาเลือดยุติการนอง
เลือดในยุทธภพ มันถือว่าเป็นผลงานใหญ่”
“แต่ว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้ เหล่าพรรคกับสำนักพวกนั้น
มันมีพรรคกับสำนักที่ไหนดีหมดจดบ้าง? พวกเขาถูก
จวนเสินโหวกดไว้อย่างนั้น ไม่ใช่เพราะกลัวจวนเสิน
โหวจะลงมือกับพวกเขาหรอกนะ” หลีซีกงพูดว่า
“ตอนนั้นจวนเสินโหวทำสัญญาเลือดขึ้นมา ควบคุม
สถานการณ์ของยุทธภพเอาไว้ แต่ว่ามันก็แฝงภัยที่
ตามมาเหมือนกัน แต่ว่าในสถานการณ์อย่างตอนนั้น
มันก็เป็นวิธที ี่ดีที่สุดแล้ว”
“ภัยที่ตามมา?” ฉีหนิงคิด เหมือนจะเข้าใจบ้าง
“ท่านผู้เฒ่าหมายความว่าเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้
อย่างนั้นหรือ?”
สายตาของหลีซีกงแฝงไปด้วยความชื่นชม เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจสักทีนะ ถูกต้อง แปดพรรค
สิบหกสำนักมีตำแหน่งฐานะที่แน่นอนมากในยุทธ
ภพ หลายปีมานี้ พวกเขาสะสมความแข็งแกร่งมาก
ขึ้น ตอนที่ยังไม่มีจวนเสินโหว ชาวยุทธ์ฆ่ากันไปมา
ไม่มีพรรคหรือสำนักไหนมีกำลังความสามารถที่
แน่นอน แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่มีการฆ่าฟันกัน ทำ
ให้แปดพรรคสิบหกสำนักมันแข็งแกร่งมากขึ้น”
“ดังนั้นจวนเสินโหวเลยเริ่มที่จะหวาดกลัวพรรคกับ
สำนักพวกนี้ขึ้นมา?” ฉีหนิงพูดว่า “หรือว่า...หรือว่า
การบุกเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้...”
“แปดพรรคสิบหกสำนักมันแข็งแกร่งมากขึ้น มัน
ไม่ใช่สิ่งที่ซีเหมินอู๋เหิงอยากจะเห็น” หลีซีกงพูดว่า
“ต้าฉู่กับเป่ยฮั่นแย่งชิงความเป็นใหญ่ ช้าเร็วก็ต้อง
ทำศึกกัน หากจวนเสินโหวไม่สามารถควบคุม
สถานการณ์ในยุทธภพไว้ได้ ถึงเวลานั้นก็อาจจะเกิด
ความวุ่นวายได้ มันจะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ของ
ทัพฉู่ขึ้นมา”
ฉีหนิงพยักหน้า ที่ริมธารน้ำแข็งไอเย็นแรงมาก เขา
รู้สึกหนาวขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ธารน้ำแข็ง
เขาพบว่า พื้นน้ำแข็งที่แตกกระจายเมื่อครู่นี้ มันจับ
ตัวเป็นก้อนน้ำแข็งอีก ถึงแม้มันจะยังดูบางกว่า แต่
ว่ามันก็จับตัวเร็วมาก ถือว่าหาได้ยาก เห็นได้ชัดว่า
ธารน้ำแข็งนี้มันหนาวเย็นแค่ไหน มิน่าเขาถึงได้รู้สึก
หนาว
“แปดพรรคสิบหกสำนักในวันนี้ ไม่ใช่พวกที่ซีเห
มินอู๋เหิงอยากจะแตะต้องได้ง่ายๆ แล้ว” หลีซีกงพูด
ว่า “ถึงแม้แปดพรรคสิบหกสำนักจะมีคำสั่ง ไม่ให้
พรรคหรือสำนักไหนเป็นปรปักษ์กบั จวนเสินโหว
เปลือกหน้าทำตามคำสั่งของจวนเสินโหวทุกอย่าง
แต่ว่าหากจวนเสินโหวแตะต้องพรรคหรือสำนักไหน
ก่อน พวกเขาเองก็จะร่วมมือกัน ถึงเวลานั้นมันก็
ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของจวนเสินโหวแล้ว”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดังนั้นซีเหมินเสินโหว
เลยคิดวิธี ให้สองฝ่ายทะเลาะกัน มือที่สามก็จะได้
ประโยชน์ขึ้นมาอย่างนั้นสินะ?”
“พรรคบัวดำเคลื่อนไหวที่ทิศตะวันตกอย่างเดียว
ไกลสุดก็คือปาสู่” หลีซีกงลูบเคราแล้วพูดว่า “ชาว
ยุทธ์ที่รู้จักพวกเรามีไม่มาก แต่ว่าซีเหมินอู๋เหิงรู้ อีก
ทั้งเขายังรู้อีกด้วยว่า เจ้าลัทธิบัวดำเป็นหนึ่งในต้า
จงซือแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “กำจัดแปดพรรคสิบหกสำนักไม่ได้
จวนเสินโหวก็ไม่มีวิธีให้พวกเขาฆ่ากันเอง เพราะ
หากพวกเขาสู้กันก็หมายถึงการละเมิดกฎของ
สัญญาเลือด ถึงเวลานั้นยุทธภพก็จะวุ่นวายอีกครั้ง
นี่ก็คือผลร้ายที่มาจากสัญญาเลือดในคราวนั้น”
“ถูกต้อง” หลีซีกงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แต่ว่าพอ
มองไปทั่วแคว้นฉู่ ก็ไม่มีกลุ่มอำนาจไหนที่สามารถ
ลดทอนอำนาจความแข็งแกร่งของแปดพรรคสิบหก
สำนักได้เลย ซีเหมินอู๋เหิงคิดไปคิดว่า มีเพียงพรรค
บัวดำเท่านั้นที่พอจะทำได้” เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เพราะอย่างไรแล้วพรรคบัวดำก็มีต้าจงซือคนหนึ่ง
อยู่”
ในใต้หล้านี้มีต้าจงซือห้าคน ได้แก่ มู่อวินโหวแห่ง
เป่ยฮั่นเป่ยถังฮ่วนเย่ เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นแห่งตงฉีโม่ห
ลันชาง เจ้าเขาหิมะชิงจ้างจู๋รื่อฝ่าอ๋อง ทั้งสามคนนี้
ต่างเป็นชาวต่างเมือง จวนเสินโหวไม่มี
ความสามารถให้สามคนนี้มารับมือกับคนของแปด
พรรคสิบหกสำนักได้ อีกทั้งเป่ยกงเหลียนเฉิงก็เป็น
คนของจวนจิ่นอีโหว ในบรรดาต้าจงซือทั้งห้าคน มี
เพียงเจ้าลัทธิบัวดำเท่านั้นที่สามารถลดทอนอำนาจ
ของแปดพรรคสิบหกสำนักได้
หลีซีกงพูดว่า “การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ไม่ได้เพิ่งจะ
มาตัดสินใจ หากข้าเดาไม่ผิด ซีเหมินอู๋เหิงน่าจะ
วางแผนมานานแล้ว อีกทั้ง...” ทันใดนั้นเองสีหน้า
ของเขาก็เคร่งเครียดขึ้น
“ท่านผู้เฒ่าคิดว่าเรื่องพิษในเมืองหลวงเป็นฝีมือของ
ซีเหมินอู๋เหิงอย่างนั้นหรือ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “เขาน่าจะไม่ถึงขั้นต้องวางยาพิษหรอกกระมัง?
เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากซีเหมินอู๋เหิง
เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง เมื่อเขาถูกสาวจนถึงตัว ต่อ
ให้เขาเป็นเสินโหวของจวนเสินโหว ราชสำนักก็ไม่มี
ทางปล่อยเขาไป”
หลีซีกงพูดว่า “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก”
“พูดถึงเรื่องพิษระบาด ข้ายังต้องขอบคุณท่านผู้เฒ่า
ด้วย” ฉีหนิงยกมือคำนับแล้วพูดว่า “หากไม่ได้แม่
นางถังนั่ว ภัยครั้งนี้คงผ่านไปไม่ได้แน่”
หลีซีกงเห็นฉีหนิงพูดถึงถังนั่ว สายตาของเขาก็
เปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ข้างกายข้า ดูนางจะก้าวหน้าไป
มาก ฉีหนิง นางอยู่กับเจ้า เจ้าต้องดูแลนางให้ดี
หากผมของนางหลุดไปแม้แต่เส้นเดียว ต่อให้เจ้า
เป็นจิ่นอีโหว ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป” เขาตั้งใจดึง
หน้านิ่งแล้วพูดว่า “ปกติวรยุทธ์ข้าก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่
อาจจะไม่สามารถทำอะไรทั่วทั้งจวนจิ่นอีโหวได้ แต่
ว่าหากข้าขอร้องไปยังคนในยุทธภพให้พวกเขาช่วย
พวกเขาก็พอจะให้เกียรติข้าอยู่บ้าง”
ฉีหนิงรู้ดีว่า คนที่ท่องยุทธภพ มีใครคนไหนบ้างที่จะ
ไม่เจอภัยมาถึงตัว หากติดค้างบุญคุณของหมอ
เทวดาแล้ว ก็เหมือนมีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต
หลีซีกงพูดแบบนี้เขาไม่ได้พูดอะไรเกินจริงเลย
เขารู้ว่า ที่หลีซีกงตั้งใจทำหน้านิ่ง ไม่ใช่เพราะคิดถึง
ถังนั่ว แต่กังวลว่าถังนั่วจะถูกรังแก เขาเลยพูดอย่าง
จริงจังว่า “ท่านผู้เฒ่าโปรดวางใจ หากผมของแม่
นางถังหลุดหายไปแม้แต่เส้นเดียว ต่อให้ท่านไม่เอา
เรื่อง ข้าก็จะมาขอรับโทษจากท่านเอง”
หลีซีกงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ไม่ว่าพิษระบาดใน
เมืองหลวงจะเกี่ยวข้องกับซีเหมินอู๋เหิงหรือไม่ แต่ว่า
ภัยในครั้งนี้ ก็ทำให้จวนเสินโหวได้โอกาส” เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “เขาอายุมากแล้ว เขาก็ต้องหวังว่าก่อนที่
เขาจะยกตำแหน่งเสินโหวให้กับศิษย์ของเขา กลุ่ม
อำนาจในยุทธภพก็ควรจะอยู่ในการควบคุมของจวน
เสินโหว เขาเลยคิดแผนการนองเลือดครั้งนี้ขึ้นมา”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 441 ยืมมือฆ่าคน
ถึงแม้ฉีหนิงจะพอรู้เรื่องกฎเกณฑ์ของชาวยุทธ์ แต่ก็
ไม่ได้รู้ลึกขนาดนั้น แต่พอฟังที่หลีซีกงพูดมาแล้ว ใน
ใจเขาก็พอจะเข้าใจอะไรมากขึ้น ซีเหมินอูเหิงทำไม
ถึงได้ยังยืนยันหนักแน่นว่าพิษระบาดในเมืองหลวง
นั้นเป็นฝีมือของชิวเฉียนอี้
หนานฉู่กับเป่ยฮั่นจ้องทำศึกกันมานาน หลังจากศึก
แม่น้ำฉินไหว กำลังพลลดน้อยลงไปเยอะ ต่างฝ่าย
ต่างพักรักษาตัว รอวันกลับมาสู้กันอีกครั้งหนึ่ง
ฮ่องเต้ใหม่แคว้นฉู่ขึ้นครองราชย์ ทิศทางการเมืองใน
แคว้นยังไม่นิ่ง ราชสำนักแบ่งเป็นฝ่าย หากจวนเสิน
โหวไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในยุทธภพได้อีก
มันรังแต่จะเป็นภัยต่อแคว้นฉู่
การอาศัยเรื่องพิษระบาดในเมืองหลวง ดึงพรรคบัว
ดำเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แล้วประกาศรวบรวม
กำลังพลจากแปดพรรคสิบหกสำนัก ไม่ว่าจะเป็นคน
ของแปดพรรคสิบหกสำนักหรือว่าพรรคบัวดำ ก็
จะต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ สำหรับจวน
เสินโหวแล้ว เป็นสถานการณ์ที่พวกเขาคาดหวังให้
เกิดขึ้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เซวียนหยวนผ่อรับ
ช่วงต่อจวนเสินโหวเมื่อไหร่ อย่างน้อยก็สามารถ
ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
“จิ่นอีโหว เจ้ามาที่นี่ในครั้งนี้ เป็นเจตนาของซีเหมิน
อูเหิงอย่างนั้นหรือ?” หลีซีกงยิ้มแล้วพูดว่า “เขา
อยากให้เจ้าเข้ามาพัวพันเรื่องนี้หรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “เป็นเจตนาของฝ่าบาท” ทันใดนั้นเอง
ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ตอนที่ฮ่องเต้น้อยสั่งให้เขามาที่ซี
ชวน สั่งให้เขาตรวจสอบเรื่องของถ้ำเฮยเหยียน
เท่านั้น ไม่ได้บอกให้เขามาแทรกแซงเรื่องนี้เลย
ตอนที่เกิดเรื่องถ้ำเฮยเหยียน จวนเสินโหวก็เริม่ วาง
แผนการบุกโจมตีพรรคบัวดำแล้ว ฮ่องเต้น้อยก็ไม่ได้
สั่งให้เขาเข้าร่วมวางแผนด้วย
หลีซีกงเห็นฉีหนิงเหมือนกำลังใช้ความคิด เขาก็พูด
ว่า “ซีเหมินอู๋เหิงเป็นขุนนางคนสำคัญของแคว้นฉู่
คำพูดของเขาต่อหน้าฮ่องเต้ต้องมีน้ำหนักอยู่แล้ว
หากเขาทูลอะไรต่อหน้าฮ่องเต้...”
“ท่านผู้เฒ่าหลี ท่านหมายความว่า ที่ฝ่าบาททรง
รับสั่งให้ข้ามาที่เขาเชียนอูหลิง เพราะซีเหมินอู๋เหิง
เป็นคนไปทูลอย่างนั้นหรือ?”
หลีซีกงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ใช่ขุนนางราชสำนัก อีก
ทั้งก็ไม่เคยเข้าเฝ้าฝ่าบาทมาก่อน แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้จัก
ซีเหมินอู๋เหิงมา มันมีความเป็นไปได้”
“แต่ว่าทำแบบนี้แล้วเขาจะได้ประโยชน์อะไร?” ฉี
หนิงขมวดคิ้ว “หรือว่าเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าการบุกเขา
เชียนอูหลิงครั้งนี้อย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ ดังนั้นก็เลย
จะให้ข้ามาแบกความผิดนี้?”
หลีซีกงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นั่นไม่ใช่เป้าหมายที่
แท้จริงของเขาหรอก” เขาหยุดไป แล้วถามว่า “ฉี
หนิง เป่ยกงเหลียนเฉิงยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงอึ้งไป เห็นหลีซีกงจ้องมาที่เขาอย่างจริงจัง เขา
ลังเล แอบคิดในใจว่าหลีซีกงเป็นอาจารย์ของถังนั่ว
เขาดูเป็นคนใจดีมีเมตตามีคุณธรรม แต่ว่าคนเรารู้
หน้าไม่รู้ใจ อีกทั้งเขาก็ยังไม่มีความเกี่ยวพันกับ
พรรคบัวดำ เขาทำได้แค่พูดว่า “ท่านผู้เฒ่าหลี พูด
ตามตรง ท่านเทพกระบี่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ข้าเองก็
ไม่แน่ใจ”
หลีซีกงพูดว่า “จิ่นอีโหว ข้าขอพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง
หน่อยนะ หากเจ้าอยู่ในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย แล้วตาย
อยู่ที่เขาเชียนอูหลิง อีกทั้งเป่ยกงเหลียนเฉิงยังมีชีวิต
อยู่ หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร?”
ฉีหนิงพลันเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า “หรือว่าซีเห
มินอู๋เหิงคิดอยากจะยุให้เทพกระบี่กับพรรคบัวดำมี
ปัญหากัน?”
“เทพกระบี่เป็นหนึ่งในต้าจงซือ มีความสัมพันธ์ทาง
สายเลือดกับเจ้า ต่อให้เขาไม่ทำเพื่อเจ้า แต่เพื่อ
ชื่อเสียงของตัวเขาเอง ก็ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไป
ง่ายๆ” หลีซีกงพูดว่า “เมื่อแตะต้องจิ่นอีโหว ก็
เหมือนการกระตุกหนวดเสืออย่างเป่ยกงเหลียนเฉิง
ต้าจงซือสองคนก็จะต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย”
เขาลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “มีคนมองว่าต้าจงซือเป็น
สิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรมีอยู่บนโลกใบนี้ ซีเหมินอู๋เหิง
ควบคุมยุทธภพทางตอนใต้ แต่ว่าเขาไม่เคยควบคุม
ปาสู่ได้เลย สิ่งที่ถือว่าเป็นภัยต่อจวนเสินโหวมาก
นั่นก็คือต้าจงซือ”
“ยืมมือฆ่าคน” ฉีหนิงเข้าใจแล้ว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า การบุกเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้ ซี
เหมินอู๋เหิงจะมีแผนมากขนาดนี้ ถึงแม้สิ่งที่หลีซีกง
พูดมา จะเป็นแค่การคาดเดา และมันไม่มีหลักฐาน
แต่ว่าจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ว่า สิ่งที่หลีซีกงวิเคราะห์มา
นั้น มันมีเหตุผล
เขารู้มานานแล้วว่าซีเหมินอู๋เหิงไม่ใช่คนธรรมดา แต่
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการที่เขามายังเขาเชียนอูหลิงใน
ครั้งนี้ จะกลายมาเป็นหมากตัวหนึ่งในแผนของเขา
มันทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“ท่านผู้เฒ่าหลี ตอนนี้สถานการณ์ทั้งสองฝ่ายเป็น
อย่างไรบ้าง ท่านพอจะรู้หรือไม่?” ฉีหนิงถาม
หลีซีกงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องของจวนเสินโหว
กับพรรคบัวดำ ข้าไม่ยุ่ง” เขาหันหลัง แล้วเดินไป
ลากโลงน้ำแข็งมา แล้วจัดการวางโลงลงไปยังใต้พื้น
น้ำแข็งเหมือนเดิม ถึงแม้พื้นจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว
แต่ว่าพื้นน้ำแข็งมันบางมาก แต่โลงน้ำแข็งมันก็หนัก
มากพอสมควร พอวางลงบนพื้นแค่นั้นมันก็จมลงไป
ใต้พื้นผิวเหมือนเดิม
ฉีหนิงรู้สึกเสียใจมาก เสียเวลาตั้งนาน จนตอนนี้เขา
ยังไม่รู้เลยว่าของในโลงนั้นมันคืออะไร
หลีซีกงเห็นโลงน้ำแข็งลงใต้พื้นน้ำแข็งไปแล้ว เขาก็
วางใจ จากนั้นก็หันมาเห็นฉีหนิงกำลังจ้องไปที่พื้น
น้ำแข็งนั่น เขาพูดขึ้นมาว่า “ที่นี่เดิมทีเป็นสถานที่
ต้องห้าม แต่ว่าในเมื่อมีคนรู้แล้ว ก็ต้องหาที่ใหม่”
“ท่านผู้เฒ่า พวกเขาวางแผนการมาเพื่อเอาของที่
อยู่ในโลงนี้ ในโลงน้ำแข็งนี่...?”
หลีซีกงพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะถามอะไร บอก
เจ้าก็ได้ ของในนี้มันไม่มีประโยชน์สำหรับคนอื่นเลย
อีกทั้งไม่มีประโยชน์กับเจ้าด้วย” เขาหยุดไป เห็นฉี
หนิงยังงงอยู่ ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้างในนี้คือ
คนๆ หนึ่ง”
“หะ?” ฉีหนิงอึ้งไป “ข้างในนี้เป็นคน?” เห็นหลีซีกง
พยักหน้า เขาก็พูดอย่างแปลกใจว่า “เพื่อศพ พวก
เขากลับ...”
หลีซีกงหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “ศพ? ใครบอกว่าคน
ในโลงนี่เป็นศพ?”
ฉีหนิงอึ้งไป แอบคิดในใจว่าในเมื่อเป็นโลงศพ ข้าง
ในนี้ก็ต้องเป็นศพไม่ใช่หรือ?
หลีซีกงเหมือนไม่อยากอธิบายอะไรต่อ เขาโบกมือ
แล้วพูดว่า “พวกเจ้ารีบออกไปจากที่นี่ซะ ที่นี่ไม่ควร
อยู่นาน อากาศมันเย็น อยื่นานเข้า มันไม่ดีต่อ
สุขภาพ”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าหลี ข้ามีเรื่องอยากจะ
รบกวนท่านสักเรื่อง”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะขออะไรข้า” หลีซีกงพูดว่า
“เจ้ายังอยากให้ข้าออกหน้า แก้ไขสถานการณ์นี้ ข้า
บอกเจ้าตามตรงนะ อย่าว่าแต่ข้าไม่อยากเข้าไปยุ่ง
เรื่องนี้เลย ต่อให้ข้าออกหน้าไป มันก็ไม่มีประโยชน์
เจ้าคิดว่าคนแก่อย่างข้ามีความสามารถอะไรขนาด
นั้นเลยหรือ คำพูดของข้าไม่กี่คำจะทำให้เรื่องนี้ยุติ
ได้หรือ?” เขาถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ที่ตำหนักหิน
ดำตอนนี้นองเลือดกันไปถึงไหนแล้ว ฉีหนิง ข้าเตือน
เจ้าเลยนะล้มเลิกความคิดนี้เถอะ ทั้งคู่สู้กัน เกิด
พลาดขึ้นมา เจ้าจะเอาชีวิตของเจ้ามาทิ้งที่นี่เปล่าๆ”
เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “โหวเยว่ ท่าน
ไม่ต้องไปที่ตำหนักหินดำหรอก ข้า...ข้าไปเองก็ได้”
ฉีหนิงหันไปตามเสียง เห็นซีเหมินจั้นอิงลากปีศาจ
น้อยอาเหน่าออกมาจากด้านหลังภูเขา
อาเหน่ากัดฟันแน่น เมื่อเห็นหลีซีกง ก็อึ้งไป จากนั้น
ก็เรียก “ตาเฒ่าหลี รีบช่วยข้าเร็ว...”
หลีซีกงเหลือบไปมองนาง แต่ไม่สนใจ
“นี่ ตาเฒ่าหลี เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?” ปีศาจน้อย
พูดอย่างร้อนใจ “ข้าอาเหน่าน้อยอย่างไรเล่า? เจ้า
อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่เห็นข้านะ”
หลีซีกงหันหน้ากลับมา แล้วไม่ได้พูดดีกับนาง “เจ้า
เฒ่าพิษเลี้ยงพิษน้อยอย่างเจ้าออกมา อาเหน่าน้อย
ข้าถามเจ้าหน่อยสวนสมุนไพรข้าเจ้าเป็นคนทำลาย
ใช่หรือไม่?”
ปีศาจน้อยอึ้งไป เหมือนจะทำอะไรไม่ถูก
ฉีหนิงจำได้ ครั้งนั้นปีศาจน้อยไปหาถังนั่ว คิด
อยากจะได้ “ตำราสมุนไพรร้อยตำหรับ” จากมือ
ของถังนั่ว แต่กลับเสียเปรียบถังนั่วไปเสียอย่างนั้น
ก่อนที่จะกลับ นางเลยระบายความโกรธ ด้วยการ
ทำลายสวนสมุนไพร
ปีศาจน้อยทำท่าทางน่าสงสารแล้วพูดว่า “ตาเฒ่า
หลี ข้าผิดไปแล้ว เจ้าก็อายุมากแล้ว ก็ไม่ควรถือสา
เด็กอย่างข้าสิจริงหรือไม่”
“เด็กหรือ?” ฉีหนิงมองไปที่ปีศาจน้อย ถึงแม้ปีศาจ
น้อยจะหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณขาวเนียน แต่ว่า
หน้าอกก็ตั้งเต้าแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ได้เต็มที่ แต่ก็ถือ
ว่าเป็นสาวน้อยแล้ว เขาพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเนี่ยนะ
เด็ก? โหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์ ปีศาจชัดๆ”
ปีศาจน้อยพูดด้วยความน่าสงสารว่า “อาจารย์สอน
ข้าทั้งนั้น ไม่ได้เป็นความผิดของข้าสักหน่อย ตาเฒ่า
หลี เจ้ากับอาจารย์ข้าเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ก็
คงทนเห็นข้าถูกรังแกไม่ได้หรอกกระมัง? หากข้า
เป็นอะไรไป เจ้าเจออาจารย์ แล้วเจ้าจะบอกเขา
อย่างไร?”
“บอกเขาหรือ?” หลีซีกงถุยน้ำลายลงพื้น แล้วพูดว่า
“ข้ากับเขาตัดขาดกันไปนานแล้ว ไม่ใช่ศิษย์จาก
สำนักเดียวกันอีก เจ้าตัวแสบเจ้าจะเป็นจะตาย มัน
เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” เขาโบกมือ เหมือนกับ
รังเกียจมาก “รีบพานางไปให้พ้นเลย อย่าให้ข้าเห็น
พวกเขาอีก”
ฉีหนิงกังวลอยู่เลยว่าหลีซีกงจะให้เขาปล่อยอาเหน่า
ไป เห็นหลีซีกงพูดแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่พูดมากอีก
เขาจับไปที่ไหล่ของอาเหน่า แล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า
หลีไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ไปกับพวกข้าเสียดีดี”
ปีศาจน้อยเห็นหลีซีกงไม่ช่วย เดิมทีที่ทำหน้าน่า
สงสารก็เปลี่ยนไปดุดัน แล้วด่าว่า “ตาเฒ่าหลี เจ้า
มันคนเลว กล้าเห็นข้าถูกรังแกแล้วไม่ช่วยหรือ ได้
ข้าจะจำไว้ ไว้ข้ารอดมาได้ข้าจะจัดการเจ้า จริงสิ ยัง
มีศิษย์ของเจ้าด้วย จะทำให้พวกเจ้าต้องเสียใจ
แน่นอน”
หลีซีกงยืนมือไขว้หลัง แล้วหันหน้ากลับไป ทำ
เหมือนไม่ได้ยิน
ฉีหนิงพูดว่า “ก่อนเจ้าอยากจะทำร้ายคนอื่น รอดไป
ก่อนดีหรือไม่” เขาใช้แรงกระชาก ปีศาจน้อยถูก
กระชากจนสะดุดหลายก้าว จนเกือบล้ม นางหัน
หน้ามาพูดว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “พาพวกเราไปตำหนักหินดำ”
หลีซีกงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ซีเหมินจั้นอิง
ตะลึงไป แล้วก้มหน้าพูดว่า “โหวเยว่ ที่จริง...ที่จริง
แล้วท่านไม่ต้องขึ้นเขาไปกับพวกเราหรอก มัน
อันตรายเกินไป ท่าน...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใน
เมื่อที่นี่อันตราย ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปเสี่ยงอันตราย
คนเดียวได้อย่างไร ข้ารู้ว่าข้าพูดอะไร เจ้าก็ต้องขึ้น
เขาไปอยู่ดี”
ซีเหมินจั้นอิงมองไปที่ฉีหนิง ดวงตาอันงดงามของ
นางมันแฝงไปด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วพูดว่า “โหว
เยว่ ขอบ...ขอบคุณท่านมาก”
ปีศาจน้อยพูดว่า “เจ้าก้นใหญ่ เจ้าคิดว่าเขาคิดดี
หรืออย่างไร? เขาจะต้องอยากได้เจ้าเป็นเมียแน่
เห็นว่าเจ้าก้นใหญ่ ถึงได้ออกหน้าช่วยเจ้า ข้ามองดูก็
รู้ว่าเขาคิดอะไร”
ซีเหมินจั้นอิงทั้งโกรธทั้งอาย นางพูดด้วยความโกรธ
ว่า “หุบปากไปเลย” จากนั้นก็ทำท่าทางเหมือนจะ
ตบ
ปีศาจน้อยเคยถูกนางตบมาแล้วก่อนหน้านี้ นางเลย
พูดว่า “หุบปากก็ได้ ถึงอย่างไรที่ข้าพูดก็ไม่มีทาง
ผิด” เห็นฉีหนิงจ้องมาที่ตัวนาง นางก็ไม่กล้าพูด
อะไรอีก เบือนหน้าหนีไป นางแอบคิดว่าเมื่อไหร่ที่
หนีรอดไปจากตรงนี้ได้ ก็จะหาทางแก้แค้นแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 442 ชาวเหมียวมีสาวแรกรุ่น
ทั้งสามคนเดินออกมาจากป่าไผ่ ฉีหนิงกังวลว่าเจ้า
ลัทธิบัวดำอาศัยอยู่ที่หอคอยกลางน้ำแห่งนี้ จึงไม่ได้
เลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด แต่ว่าเลือกเส้นทางที่อ้อม
หอคอยกลางน้ำไป เมื่ออ้อมแม่น้ำมาแล้ว ก็มาถึงป่า
ดอกเหมย จากนั้นก็เดินทะลุป่าดอกเหมยไป
เมื่อออกจากป่าดอกเหมย เดินมาอีกไม่นาน ก็เจอ
ทางเดินเส้นหนึ่ง ซึ่งเดินมาอีกไม่นานก็เห็นหน้าผา
ปิดทางเดินด้านหน้าไว้ หน้าผานี้เรียบมาก ไม่
เหมือนกับหน้าผาอื่นๆ หากจะปีนขึ้นไปก็ไม่ใช่เรื่อง
ง่ายเลย
ยังดีที่มีเถาวัลย์อยู่ไม่นาน สามารถปีนขึ้นไปได้
ฉีหนิงหยิบมีดสั้นออกมาแล้วยื่นให้ซีเหมินจั้นอิง
แล้วให้ซีเหมินจั้นอิงปีนขึ้นไปก่อน จากนั้นถึงได้แก้
มัดให้กับปีศาจน้อย แล้วสั่งให้นางปีนขึ้นไป
เขารู้ดีว่าปีศาจน้อยเจ้าเล่ห์มาก ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึง
ได้ให้ซีเหมินจั้นอิงค้นตัวนางอย่างละเอียด เพื่อให้
แน่ใจว่าบนตัวนางไม่มีพิษอะไรหลงเหลืออีก
ฉีหนิงกับซีเหมินจั้นอิงจะขึ้นเขา จะทำอะไรบุ่มบ่าม
ไม่ได้
เขารู้ดีว่า ด้วยนิสัยของจั้นอิง เมื่อพวกพ้องลำบาก
อยู่บนเขา นางไม่มีทางหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวแน่
เพราะฮ่องเต้น้อยมีรับสั่ง ให้ฉีหนิงช่วยเซวียนหยวน
ผ่อ หากเขาไม่ทันได้ขึ้นเขา ก็กลับเมืองหลวงไปก่อน
ก็อาจจะไปรายงานราชสำนักได้ลำบาก อีกทั้งเขาก็
เข้าใจดีว่า ไม่ว่าจะไหวหนานอ๋องหรือจงอี้โหว
ตอนนี้ต่างจับตามาที่นี่ทั้งนั้น หากเขากลัวแล้ว
กลับไป สองคนนี้ต้องหาเรื่องเขาไม่เลิกแน่
ที่ตำหนักหินดำตอนนี้ต้องอันตรายมากแน่ ตอนนี้ฉี
หนิงแทบไม่รู้สถานการณ์ที่นั่นเลย แต่ว่ามีปีศาจ
น้อยอยู่ในมือ ก็เหมือนมียันต์คุ้มกายอยู่
ฉีหนิงแอบรู้สึกว่า ปีศาจน้อยสามารถไปมาในถ้ำ
หมีฮวาได้อย่างอิสระ ไม่น่าจะเป็นแค่ศิษย์ของชิ
วเฉียนอี้ อีกทั้งไม่ใช่เพราะเจ้าลัทธิบัวดำเอ็นดูนาง
มันจะต้องมีเบื้องหลังอะไรแน่ มีปีศาจน้อยอยู่ในมือ
ต่อให้ช่วยคนอื่นไม่ได้ แต่ว่าก็สามารถทำให้เขากับซี
เหมินจั้นอิงกลับออกไปอย่างปลอดภัย น่าจะไม่มี
ปัญหา
ซีเหมินจั้นอิงปีนอยู่ด้านบน แล้วมองลงมาด้านล่าง
ฉีหนิงถึงได้สั่งให้ปีศาจน้อยปีนขึ้นไป
เถาวัลย์ที่หน้าผาหนามาก เหมือนมันจะมีมานาน
แล้ว บนเขาเชียนอูหลิงหน้าผาแบบนี้มีมากมาย
เส้นทางตามหุบเขาก็มีจำนวนไม่น้อย ด้วย
ความสามารถของพรรคบัวดำ อยากจะทำทางเดิน
ขึ้นมาบนหน้าผา มันไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ว่าการที่
ใช้เถาวัลย์ขึ้นลง มันเหมือนตั้งใจไม่ให้ใครสามารถ
ขึ้นไปได้ง่ายๆ
ปีศาจน้อยปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว นางปีนไปถึง
กลางหน้าผา ฉีหนิงถึงได้ปีนตามขึ้นไป พอปีนขึ้นไป
ได้ไม่เท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงผิวปากดังขึ้น เขาเงยหน้า
ไปมอง เห็นปีศาจน้อยกำลังจับเถาวัลย์อยู่ แต่ไม่ได้
ปีนขึ้นไปอีกแล้ว แต่กำลังถอยลงมาที่เขา แล้วยิ้ม
ฉีหนิงรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ ในตอนนี้เอง ก็มี
เสียงเหยี่ยวดังมา เขาหันหน้ากลับไปมอง เห็นเงา
ดำๆ โผล่มา กำลังบินมาทางนี้
ซีเหมินจั้นอิงเงยหน้ามามอง ฉีหนิงกลับได้สติ เขารู้
แล้วว่านี่มันเป็นแผนของปีศาจน้อย เมื่อเห็นเหยี่ยว
ดำกำลังจะมาถึง ฉีหนิงก็รีบตะโกนไปว่า “จั้นอิง ตัด
เถาวัลย์ทิ้ง เร็วเข้าตัดเถาวัลย์ทิ้ง”
ซีเหมินจั้นอิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางรู้ว่าน่าจะมี
อะไรผิดปกติ นางไม่พูดอะไร ใช้มีดสั้นที่ฉีหนิงให้ตัด
เถาวัลย์ทิ้ง
ตอนนี้ฉีหนิงถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า ปีศาจน้อยไม่เพียง
เชี่ยวชาญด้านพิษ อีกทั้งยังเลี้ยงเหยี่ยวไว้ด้วย เขา
ยังจำได้ว่าเหยี่ยวตัวนี้ชื่อเฮยซ่าน เมื่อครู่ปีศาจน้อย
ผิวปาก แสดงว่านางรู้ว่าเหยี่ยวตัวนี้อยู่แถวนี้
ปีศาจน้อยอยู่ตรงกลางเถาวัลย์ ซึ่งเว้นระยะห่างจาก
ด้านบนและล่างพอสมควร แต่ว่าก็ถือว่าหลุดจาก
การควบคุมของฉีหนิงชั่วคราว นางฉวยโอกาสเรียก
เฮยซ่านมา เฮยซ่านมาเพราะเสียงผิวปากของนาง
มันกางกรงเล็บของมันออก เหมือนกำลังจะมาเอา
ตัวปีศาจน้อยไป
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าคนสารเลว ดูสิ
ว่าเจ้าจะเก่งแค่ไหน...”
ฉีหนิงเข้าใจแล้ว เฮยซ่านมีแรงเยอะมาก เมื่อจับตัว
ของปีศาจน้อยได้เมื่อไหร่ ร่างกายของปีศาจน้อยก็
เบามาก มันเพียงพอที่จะให้เฮยซ่านเอาตัวไปได้
ง่ายๆ
เฮยซ่านกำลังจะจับตัวของปีศาจน้อยได้แล้ว ท่าทาง
ของปีศาจน้อยได้ใจมาก แต่ไม่นานนักก็เหมือน
ร่างกายกำลังร่วงลง ซีเหมินจั้นอิงตัดเถาวัลย์ ทำให้
เถาวัลย์มันเลื่อนลงด้านล่าง ปีศาจน้อยร้อง “ว้าย”
นางหล่นลงมาตามเถาวัลย์ที่ถูกตัด
จากด้านล่างขึ้นไปด้านบน มันสูงพอสมควร ปีศาจ
น้อยอยู่ตรงกลางหน้าผา หากจากด้านล่างก็ไม่น้อย
ตอนนี้หล่นลงมา หากตกถึงพื้น ต้องบาดเจ็บสาหัส
แน่นอน
ฉีหนิงหล่นลงมาที่พื้นนานแล้ว เห็นเฮยซ่านยังคง
พยายามจะเอาตัวปีศาจน้อยไป เขาหยิบก้อนหิน
ขึ้นมาสองก้อน จากนั้นก็ใช้กำลังภายใน ออกแรง
เขวี้ยงก้อนหินนั้นใส่เฮยซ่าน
ปีศาจน้อยคุ้นเคยกับเขาเชียนอูหลิงมาก หากหนีไป
ได้ คิดจะหานางกลับมานั้นยากมาก อีกทั้งเด็กคนนี้
มีแค้นต้องชำระ นางจะต้องไปพาคนมาแก้แค้น
แน่นอน ถึงเวลานั้นฉีหนิงกับซีเหมินจั้นอิงอยากจะ
รอดออกไป ก็จะยากมากขึ้น
ฉีหนิงไม่ได้มีความปราณีอีกแล้ว ก้อนหินของเขาที่
เขวี้ยงไปทั้งสองก้อนรวดเร็วมาก เฮยซ่านเองก็เร็ว
เหมือนกัน แต่ก็ยังถูกก้อนหินก้อนหนึ่งอยู่ดี มันร้อง
ด้วยความเจ็บปวด แล้วก็ไม่มีแรงที่จะเข้าใกล้ปีศาจ
น้อยอีก เมื่อปีกของมันบาดเจ็บ ราวกับว่าแค่หนีไป
ก็ยังลำบาก
ปีศาจน้อยตอนนี้ตกลงมาราวกับก้อนหิน พอฉีหนิง
นึกถึงว่านางโหดเหี้ยมเจ้าเล่ห์แค่ไหน เขาก็อยากจะ
ให้นางตกลงมาตายๆ ไปซะ แต่ก็รู้ว่าตอนนี้นางยัง
ตายไม่ได้ ตอนที่ปีศาจน้อยตกลงมา เขาก็ยื่นมือไป
จับแขนของนาง แล้วหมุนหนึ่งรอบ เหมือนลดแรง
กระแทกของนาง
ปีศาจน้อยหน้าซีดขาว นั่งกองกับพื้นแล้วร้องไห้
เหมือนนางจะเสียใจมาก
“ไม่ต้องร้องเลย” ฉีหนิงโมโหมาก เขาด่านางว่า
“ถ้าร้องอีกข้าจะตบบ้องหูเจ้าแล้วนะ”
ปีศาจน้อยยังคงร้องอยู่ “ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว เจ้า
ฆ่าข้าเลยดีกว่า ฮือฮือฮือ พวกเจ้า...พวกเจ้ารังแก
กันเกินไปแล้ว พวกเจ้าทำร้ายข้าเกือบตาย เมื่อครู่
ข้าเกือบจะตายแล้วนะ...”
ซีเหมินจั้นอิงถามลงมาจากด้านบนว่า “โหวเยว่ เจ้า
เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉีหนิงเงยหน้าขึ้นไปแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร พวกเรา
จะขึ้นไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“ข้าไม่ขึ้น” ปีศาจน้อยพูดว่า “ให้ตายข้าก็ไม่ขึ้น เจ้า
คิดจะทำร้ายข้า ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก”
ฉีหนิงจับแขนของนาง เขารู้สึกว่าผิวของนางเนียน
นุ่มมาก เขาพูดว่า “อาเหน่า พรรคบัวดำกับราช
สำนักเป็นศัตรูกัน ทั้งสองฝ่ายจะมีการนองเลือด
หากข้าฆ่าเจ้าเพิ่มไปอีกคน มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย
นะ เจ้าอย่ามาเสแสร้งแกล้งทำอะไรต่อหน้าข้าจะ
ดีกว่า ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกนะ” เขากระชากนาง
ขึ้นมา แล้วพูดว่า “หากเจ้ายังจะร้องไห้อีก ข้าจะ
ทำลายหน้าเจ้าให้เสียโฉมเลยคอยดู” เขายกมือ
ขึ้นมา ในมือของเขามีก้อนหินอยู่ มันมีปลายแหลม
หากจะทำให้ใครเสียโฉมมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ปีศาจน้อยเห็นฉีหนิงดุและจริงจัง สายตาของเขามี
แต่ไอสังหาร ไม่เหมือนกับขู่ เขาเงยหน้ามองไป ไม่
เห็นเงาของเฮยซ่าน ก็เลยพูดว่า “เจ้าทำร้ายเฮย
ซ่าน ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
“คำพูดนี้เจ้าพูดมาแล้วหลายครั้งนะ รอเจ้ารอดไป
ได้ก่อนค่อยมาพูดเรื่องแก้แค้น” ฉีหนิงกระชาก
ปีศาจน้อยมายังเถาวัลย์อีกด้านหนึ่ง แล้วพูดว่า
“เมื่อครู่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ข้ารับประกันได้
เลยว่า หากเจ้าคิดเล่นลูกไม้อีก ข้าก็จะไม่ทนเล่น
อะไรพวกนั้นกับเจ้าแล้วนะ เจ้าฟังเข้าใจแล้วใช่
หรือไม่?”
ปีศาจน้อยเบะปาก สีหน้าไม่พอใจ แต่ไม่พูดอะไร
“เจ้าได้ยินหรือไม่?” ฉีหนิงตะคอก
ปีศาจน้อยยังรู้สึกกลัว เขาก้มหน้าแล้วพูดว่า “เหตุ
ใดต้องดุด้วย ขอแค่...ขอแค่พวกเจ้าไม่ทำอะไรข้า
ข้าก็จะเชื่อฟังเจ้า”
ฉีหนิงยกมือชี้ไปที่พูดว่า “ขึ้นไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะตาม
เจ้าอยู่ด้านหลัง” เขาเงยหน้าแล้วพูดว่า “จั้นอิง
หากเห็นเหยี่ยวบินมาอีก ก็รีบตัดเถาวัลย์เลยนะ”
ตอนนี้ซีเหมินจั้นอิงถึงได้รู้สาเหตุ นางพูดว่า “ข้ารู้
แล้ว”
ความหวังสุดท้ายของปีศาจน้อยทลายลงไปแล้ว
ด้วยความจนปัญญา ทำได้แค่ทำตามที่ฉีหนิงสั่งให้
ปีนเถาวัลย์ขึ้นไป ฉีหนิงปีนตามนางไป ปีศาจน้อย
คุ้นเคยกับที่นี่มาก นางปีนขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว ใน
ชาติที่แล้วฉีหนิงผ่านการฝึกมาแล้ว ทักษะการปีน
ป่ายของเขาก็ไม่ธรรมดา ทั้งสองคนปีนขึ้นไปเหมือน
จะไม่ได้ห่างกันมาก
ฉีหนิงเงยหน้าขึ้นไปมองเป็นระยะ แล้วท่าทางของ
เขาก็แปลกไป
ปีศาจน้อยแต่งกายด้วยชุดของชาวเหมียว มีสายรัด
สีฟ้ามัดอยู่ที่ขาอ่อน ส่วนที่ต้นขาไม่มีอะไรปิด นาง
สวมชุดกระโปรงสีเขียว ตอนนี้เขามองจากด้านล่าง
ขึ้นไป ก็เห็นขาทั้งสองข้างของนางอย่างชัดเจน ฉี
หนิงเดิมคิดว่าปีศาจน้อยน่าจะใส่ขาสั้นอยู่ด้านใน
เพราะเขาเคยเห็นอีฝูแต่งกายด้วยชุดชาวเหมียว ใน
กระโปรงด้านใน มันมีกางเกงขาสั้นอีกตัวหนึ่งอยู่
แต่ตอนนี้เมื่อมองไปแล้ว กลับพบว่าปีศาจน้อยแค่ใส่
สายรัดสีขาวรัดเอาไว้เท่านั้น ผู้หญิงชาวฮั่นแม้แต่คิด
ก็คงไม่กล้า ต่อให้เป็นสาวชาวเหมียวเองก็ไม่กล้า
ขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าปีศาจน้อยจะกล้าแต่งตัว
แบบนี้
ปีศาจน้อยกลับไม่รู้ตัวเลย ยังคงปีนขึ้นไปเรื่อยๆ
เวลาขาทั้งสองข้างสลับไปมา มันโล่งจนเห็นชัดมาก
ฉีหนิงรีบเก็บสายตากลับมา เขารู้สึกเขินมาก ในใจ
อดคิดไม่ได้เลย ปีศาจน้อยหน้าตาน่ารักมาก แต่ว่า
ตรงไหนที่ควรจะโตเต็มวัยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสาวรุ่น
เลย อายุน้อย ไม่เพียงหน้าตาสวย รูปร่างก็ดี หาก
ผ่านไปอีกสักปีสองปี เมื่อโตเป็นสาว ถึงเวลานั้น
ด้วยนิสัยของนาง จะต้องเป็นภัยกับยุทธภพแน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 443 กองกำลังทหารที่เกรียงไกร
เมื่อถึงหน้าผา ด้านหน้ามีหุบเขา ด้านซ้ายและขวา
เป็นยอดภูเขาสูง จำนวนภูเขาของเชียนอูหลิงเยอะ
มาก ลักษณะซับซ้อนอันตราย ยอดเขาแบบนี้ในที่
แห่งนี้มีอยู่มากมาย
ปีศาจน้อยเพิ่งจะยืนได้นิ่ง ซีเหมินจั้นอิงก็เดินปรี่เข้า
มาตบ แต่ปีศาจน้อยไหวพริบดี นางเอี้ยวตัวหลบ
แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “เหตุใดเจ้าต้องลงมือ
ด้วย?”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เมื่อครู่เจ้าคิดจะหนีอีกแล้วใช่
หรือไม่?”
ปีศาจน้อยพูดด้วยความโมโหว่า “หากเจ้าตกอยู่ใน
มือคนไม่ดี เจ้าไม่อยากหนีหรืออย่างไร? เจ้าไม่มี
ความสามารถเอง จะโทษคนอื่นได้อย่างไร”
ซีเหมินจั้นอิงเดินขึ้นหน้ามาอีก ฉีหนิงก็พูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องตีแล้ว อาเหน่า เจ้านำทางไป” เขาหน้านิ่ง
ทำให้ปีศาจน้อยหวาดกลัวเขาไม่น้อย
ซีเหมินจั้นอิงเบือนหน้าหนี ทั้งสองเดินหนีบปีศาจ
น้อยไว้ ถึงแม้ปีศาจน้อยจะเจ้าเล่ห์ แต่ว่าวรยุทธ์
ไม่ได้ร้ายกาจ ต่อให้สู้ตัวต่อตัวกับซีเหมินจั้นอิงก็
อาจจะเอาชนะไม่ได้ อีกทั้งข้างๆ ก็มีฉีหนิงอยู่ ก็
เหมือนควบคุมความเป็นความตายไว้ในมือ
ทางสามคนเดินผ่านหุบเขามา เมื่อออกจากหุบเขา
มา ฉีหนิงก็ขมวดคิ้ว
เขาเห็นศพที่กองกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นประมาณ
เจ็ดถึงแปดศพ เขาขมวดคิ้วเดินขึ้นหน้า จากนั้นก็
ตกใจ
เขาเห็นศพพวกนั้นนอนเกลื่อนกลาด ดูท่าทางแล้ว
ไม่เหมือนถูกฆ่า แต่เหมือนกับตกลงมา
จากเครื่องแต่งกายของพวกเขา ฉีหนิงเห็นก็รู้ทันที
ว่าเป็นคนของเหล่าสำนักที่มาโจมตีเขาเชียนอูหลิง
ศพพวกนั้นอนาถมาก พอเขาค่อยๆ เดินไป กลับไม่
เห็นศพของพรรคบัวดำเลย
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ปีศาจน้อยยิ้มอย่างได้ใจ “ข้าเคย
บอกพวกเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้านะ ขึ้นเขา
นั้นง่ายจะลงจากเขานั้นยาก พวกสารเลวที่โจมตี
พรรคบัวดำนั่น ไม่มีใครได้ลงจากเขาไปแน่”
“โหวเยว่ เจ้าดู พวกเขา...พวกเขาเหมือนไม่ได้ถูกฆ่า
นะ” ซีเหมินจั้นอิงนั่งยองๆ ลงมา นางตรวจสอบศพ
แล้วพูดว่า “กระดูกของเขาแตกหมด เหมือน...
เหมือนจะตกลงมาตาย” พูดจบ ก็อดที่จะเงยขึ้นไป
มองด้านบนไม่ได้
ที่นี่อยู่ในหุบเขาด้านหน้าและหลังเป็นยอดเขาสูงชัน
ทั้งหมด ซึ่งมันอยู่ตรงกลาง ที่มองไม่เห็นสุดปลาย
ของเขา
ฉีหนิงพยักหน้า แล้วเงยหน้ามองไป “พวกเขา
เหมือนจะตกลงมาจากบนนั้น”
ปีศาจน้อยยิ้มแล้วพูดอย่างได้ใจว่า “พวกเขาคิดจะ
เดินบนโซ่ตรวนแปดมังกร ก็ต้องตกลงมาแบบนี้
แหละ”
“โซ่ตรวนแปดมังกร?” ฉีหนิงตะลึงไป “มันคือ
อะไร?”
ปีศาจน้อยพูดว่า “พวกเขาอยู่บนเขา หากจะไปยัง
ตำหนักหินดำ...” นางชี้ไปทางยอดเขา “ตำหนักหิน
ดำอยู่บนยอดเขาดอกบัวนั่น คนนอกที่ไม่รู้ทาง ไม่มี
ทางเดินมาถึงหุบเขาตรงนี้ อีกทั้งไม่มีทางลงจากเขา
ได้ด้วย ต่อให้พวกเขารู้ก็ไม่มีประโยชน์ ตั้งแต่ขึ้นเขา
มาจนถึงยอดเขาดอกบัว ระหว่างทางต่างมีเล่ห์กล
ซ่อนอยู่ หากไม่ใช่คนของพรรคบัวดำ ไม่มีทางขึ้นไป
ได้แน่นอน”
นางพูดมันไปมา ฉีหนิงกลับดีใจ ตัวเขาสามารถมา
อยู่ที่หุบเขานี้ได้ อีกทั้งยังสามารถเดินมาถึงเขา
ดอกบัวได้ หากเขาไม่ได้เดินหลงเข้าไปที่ถ้ำหมีฮวาก็
ไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้ คนของแปดพรรคสิบหกสำนักก็
ไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้ ทำให้ต้องขึ้นเขามาจากทางอื่น
หรือก็คือ เขาดอกบัวมีลักษณะภูเขาพิเศษ ไม่
เชื่อมต่อกับยอดเขาอื่นเลย บรรยากาศรอบๆ มีแต่
เขา สถานที่ที่เขาอยู่ มันอยู่ลึกมาก
“เจ้าหมายความว่า หากจะขึ้นมายังเขาดอกบัวจาก
ทางอื่น จะต้องเดินผ่านโซ่ตรวนแปดมังกร?” ฉีหนิง
เงยหน้าขึ้นไปมอง “ระหว่างยอดเขา ใช้โซ่ตรวน
เชื่อมกันอย่างนั้นหรือ?”
ปีศาจน้อยพูดว่า “ถูกต้อง คนของแปดพรรคสิบหก
สำนักหากจะขึ้นเขาดอกบัวเพื่อไปตำหนักหินดำ ก็
จะต้องเดินข้ามโซ่ตรวน หากพลาด ก็จะตกลงมา”
นางชี้ไปยังศพที่อนาถนั่น “เจ้าพวกนั้น เดินขึ้นไป
บนโซ่ตรวนนั่น ถึงได้ตกลงมาแบบนี้”
หมอกหนาล้อมรอบเขา ฉีหนิงมองไม่เห็นโซ่ตรวน
ที่ว่านั่น แต่ว่าในใจก็รู้สึกตกใจ ระหว่างเขาทั้งสอง
ลูก ระยะห่างกันเกือบเมตร สามารถขึงโซ่ตรวน
เชื่อมกันได้ นึกไม่ออกเลยว่าทำออกมาได้อย่างไร
ในใจของเขาตอนนี้มีแต่ความตกใจ คนของแปด
พรรคสิบหกสำนักแยกกันบุกขึ้นเขามาที่ยอดเขา แต่
พอขึ้นมาถึงที่นี่กลับพบว่า เขาดอกบัวเป็นเขาที่
แยกตัวออกไปอีก ซึ่งมีโซ่ตรวนคั่นอยู่ หากต้องการ
กำจัดพรรคบัวดำ จะต้องบุกไปที่ตำหนักหินดำ
เท่านั้น ด้วยความจนใจ ก็จะต้องเดินข้ามโซ่ตรวนไป
แต่ว่าคนของพรรคบัวดำคุ้นเคยลักษณะเขาของที่นี่
เป็นอย่างดี ไม่มีทางให้พวกเขาเดินข้ามโซ่ตรวนแปด
มังกรมาได้ง่ายๆ หรอก ดังนั้นเมื่อเหล่าชาวยุทธ์ฝืน
ที่จะข้ามมา ก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนกลับไป ศพที่
อยู่ในหุบเขา ก็คือคนที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้
“โหวเยว่ พวกเขาน่าจะตายมาแล้วเจ็ดแปดชัว่ ยาม”
ซีเหมินจั้นอิงถึงแม้จะเป็นผู้หญิง แต่ว่านางก็เป็นคน
ของจวนเสินโหว ไม่เพียงไม่กลัวศพ อีกทั้งยัง
สามารถชันสูตรศพได้ด้วย นางเงยหน้าขึ้นมา “ยังมี
อีกศพตรงนั้น น่าจะตายมาแล้วสิบชั่วยาม น่าจะตก
ลงมาเมื่อวันก่อนแล้ว”
ฉีหนิงรู้ว่าถูกคนรอบทำร้าย เมื่อตื่นมาก็เจอธารน้ำ
อีกทั้งยังอยู่ทรมาทรกรรมที่ถ้ำหมีฮวาอยู่นาน คิดว่า
มันก็น่าจะผ่านไปแล้วสองวัน
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คนของแปดพรรคสิบ
หกสำนักเริ่มข้ามโซ่ตรวนแปดมังกรนี่ตั้งแต่วันก่อน
แล้วสินะ” ฉีหนิงเหมือนจะใช้ความคิด จากนั้นก็พูด
ว่า “เจ็ดแปดชั่วยามก่อน พวกเขาน่าจะยังบุกขึ้นไป
อยู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
แล้ว”
ปีศาจน้อยพูดว่า “ก็น่าจะตายไปหมดแล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าหมอก
นี่มีพิษ คนของแปดพรรคสิบหกสำนักจะต้องตาย
เพรายาพิษกันหมด? ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุใด
พวกเขาถึงยังบุกตำหนักหินดำได้อีก?”
ปีศาจน้อยเหมือนจะไม่ได้สนใจ “ข้าจะไปรู้ได้
อย่างไร? พวกเจ้าอาจจะมีคนที่ร้ายกาจอยู่ด้วยก็ได้
ที่สามารถถอนพิษนี้ได้ ตาแก่พวกนั้นก็ถือว่าพลาด
ไป” ตาแก่ที่นางหมายถึง น่าจะหมายเป็นเฒ่าพิษชิ
วเฉียนอี้
“อย่าเพิ่งพูดมาก พาพวกข้าขึ้นเขาเดี๋ยวนี้” ฉีหนิง
พูด
ยอดเขาดอกบัว อันตรายมาก
ปีศาจน้อยเดินนำพวกเขาสองคนมาถึงตีนเขา
ตอนนี้เขาเห็นทางข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยวเลี้ยวไป
มาราวกับงู ซีเหมินจั้นอิงอดไม่ได้จึงพูดว่า “โหวเยว่
ระวังนางจะวางหลุมพรางไว้”
ปีศาจน้อยพูดว่า “หากพวกเจ้าไม่กล้า ก็อย่ามาโทษ
ข้า”
“เหตุใดจะไม่กล้า” ฉีหนิงพูดว่า “หากมีอะไร
ผิดปกติแม้แต่นิดเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนเลย”
ปีศาจน้อยพูดว่า “ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นทางเดียวที่
สามารถไปยังตำหนักหินดำได้ ก่อนหน้านี้ทางขึ้น
เขาจะมีองครักษ์เฝ้าอยู่ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าจะมีคน
ขวางหรือไม่”
“มีองครักษ์ด้วย?”
“เจ้าคิดว่าที่นี่ที่ไหนกัน?” ปีศาจน้อยพูดว่า “วัง
หลวงของฮ่องเต้ของพวกเจ้ายังมีทหารหลวงเลย
ไม่ใช่หรืออย่างไร? บนตำหนักหินดำ เหตุใดถึงมี
องครักษ์บ้างไม่ได้เล่า?” เห็นฉีหนิงขมวดคิ้วนางก็
พูดว่า “ขึ้นเขาไปจากตรงนี้ ต้องผ่านทั้งหมดหกด่าน
ปกติแล้วจะมีคนเฝ้าอยู่ประมาณสามถึงสี่คน แต่ว่า
วันนี้พวกเจ้าบุกเขาเชียนอูหลิง คิดว่าคนเฝ้าน่าจะ
เยอะขึ้น”
ฉีหนิงคิด แล้วพูดขึ้นมาว่า “จั้นอิง เจ้าไปเอาชุดจาก
ศพมาสักสองชุด”
ซีเหมินจั้นอิงตกใจ แต่ก็เข้าใจความหมายที่ฉีหนิง
พูด นางรู้ว่าฉีหนิงขึ้นเขาเพราะเป็นห่วงนาง ในใจ
ของนางรู้สึกซาบซึ้งมาก นางก็ไม่พูดมาก เดินตรงไป
ถอดชุดจากศพมา ศพที่ตกลงมาจากด้านบนล้วนแต่
แหลกละเอียด บนเสื้อผ้าต่างมีรอยเลือด นางฝืน
เลือกเอาชุดที่มีเลือดน้อยที่สุดมาสองชุด ฉีหนิงให้ซี
เหมินจั้นอิงไปเปลี่ยนชุดแล้ว เขาถึงไปเปลี่ยน
เขากับซีเหมินจั้นอิงก่อนหน้านี้สวมชุดของทางจวน
เสินโหว หากคนมาเห็นก็จะถูกจับได้
ชาวยุทธ์มีชุดมากมาย ถึงแม้จะเป็นชุดของชาวฮั่น
แต่ว่าก็ยังดีกว่าชุดของจวนเสินโหวแน่
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าหากจะขึ้นเขา จะต้องผ่านอีกหก
ด่าน ยังดีว่าแต่ละด่านนั้นคนไม่มาก ตอนนี้ก็มีปีศาจ
น้อยเป็นตัวประกัน เมื่อมาถึงด่าน ค่อยหาโอกาส
กำจัดองครักษ์พวกนั้น แล้วค่อยขึ้นไปบนเขา
วรยุทธ์ของฉีหนิงนางเห็นด้วยตามาแล้ว รู้ว่าท่าน
โหวน้อยคนนี้นั้นเป็นเสือซ่อนเล็บ หากนางกับเขา
ร่วมมือกัน จัดการกับองครักษ์มันไม่ใช่เรื่องยาก
ทางขึ้นเขาแคบมาก แต่ว่าพื้นกลับเดินได้สะดวกดี
เขาเดินมาอีกไม่นาน ปีศาจน้อยก็พูดขึ้นมาว่า
“ด้านหน้านั่นก็จะเป็นด่านแล้ว จะข้ามไปได้หรือไม่
อยู่ที่ตัวพวกเจ้าแล้ว”
ฉีหนิงเข้าใกล้ปีศาจน้อย ป้องกันนางไม่ให้เล่นลูกไม้
จากนั้นก็เดินตามทางไปอีกสิบกว่าก้าว ทันใดนั้นเอง
ก็เห็นแผงกั้น แต่ว่าแผงกั้นถูกเปิดออกแล้ว มีคน
นอนพาดอยู่บนแผงกั้นไม่ขยับเลย บนพื้นก็มีศพอีก
หลายศพ
พวกเขาสวมชุดชาวเหมียว บนหัวโพกผ้าสีดำ อาวุธ
หล่นอยู่ที่พื้นเต็มไปหมด บนเสื้อผ้าของพวกเขา มี
สัญลักษณ์ดอกบัวสีดำ
“คนของพรรคบัวดำ?” เมื่อเห็นศพพวกนั้นนอนกอง
ที่พื้น ซีเหมินจั้นอิงถึงกับตกใจ นางเดินหน้าขึ้นมา
แล้วมอง “พวกเขาถูกคนสังหาร...” นางเอามีดสั้น
คืนให้ฉีหนิงไปแล้ว ตอนนี้นางมีแต่มือเปล่า ก็เลย
ฉวยโอกาสหยิบดาบขึ้นมาหนึ่งอัน
ฉีหนิงผลักปีศาจน้อยให้เดินขึ้นหน้าไป ซีเหมินจั้นอิง
ใช้ดาบตรวจสอบศพ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา “มี
ทั้งหมดสี่คน มีสามคนถูกสังหารด้วยอาวุธ ส่วนคนนี้
...” แล้วชี้ไปที่ศพ “เหมือนถูกฝ่ามือซัดเข้าอย่างแรง
น่าจะตรงไปทำลายชีพจรหัวใจจนแหลก”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “เช่นนัน้ ก็หมายความว่า มีคนบุกขึ้น
เขาแล้วสิ?”
ซีเหมินจั้นอิงนั่งยองๆ ลง แล้วตรวจสอบไปที่พื้น
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา “บนพื้นมีรอยเท้ามากมาย
หากข้าเดาไม่ผิด คนที่ขึ้นเขามาน่าจะมีสักสิบถึง
ยี่สิบคน”
ปีศาจน้อยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มันจะเป็นไปได้
อย่างไร? นอกจากคนของพรรคบัวดำแล้ว ไม่มีใครรู้
เส้นทางนี้มาก่อน”
“ปีศาจน้อย เจ้าอย่าคิดว่าคนของแปดพรรคสิบหก
สำนักจะโง่กันหมดสิ” ฉีหนิงพูดว่า “คนพวกนั้นบุก
โจมตีพรรคบัวดำ เหตุใดพวกเขาจะไม่รู้ว่าพรรคบัว
ดำวางกับดักหลุมพรางไว้? ต่อให้หลายคนจะหลงกล
แต่ว่าก็ต้องมีคนฉลาดที่สามารถหลบเลี่ยงมาได้”
ปีศาจน้อยพูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าชื่ออาเหน่า ไม่ได้
ชื่อปีศาจน้อย? ข้าไม่ได้เป็นปีศาจสักหน่อย”
ฉีหนิงไม่ได้สนใจนาง ทั้งสามคนเดินขึ้นเขาไป
ตอนนี้เดินผ่านมาแล้วหลายด่าน แต่องครักษ์ของแต่
ละด่านก็กลายเป็นศพไปแล้วทั้งนั้น หน้าตาของฉี
หนิงจริงจังมาก เขาพูดว่า “ด่านพวกนี้ไม่มีทางไม่
ติดต่อกัน หากถูกลอบโจมตี ก็จะต้องมีวิธีแจ้งให้
ด่านต่อไปรู้แน่ แต่ว่าด่านถูกตีแตกทั้งหมด แสดงว่า
คนที่บุกขึ้นมานั้นลงมือรวดเร็วมาก แทบจะไม่ปล่อย
โอกาสให้องครักษ์ส่งสัญญาณแจ้งเตือนเลย”
ซีเหมินจั้นอิงเองก็แปลกใจ “น่าจะเป็นคนของแปด
พรรคสิบหกสำนัก แต่ว่าคนของแปดพรรคสิบหก
สำนัก จะรู้เส้นทางนี้ได้อย่างไรกัน? แล้วพวกเขา
มาถึงตรงนี้ได้อย่างไรกัน?”
“จั้นอิง ตรงนี้ตายไปกี่คนแล้ว?”
ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
“อะไร?”
“เมื่อครู่ที่พวกเราเห็น ศพที่หุบเขานั่น คิดว่าน่าจะ
เกิดขึ้นเมื่อเจ็ดชั่วโมงที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีใคร
ตกลงมาจากโซ่ตรวนนั้นอีกเลย” ฉีหนิงพูดว่า
“องครักษ์ตรงนี้ตายเมื่อสิบชั่วโมงที่แล้ว หรือก็
หมายความว่า มีคนลอบขึ้นเขามาทางนี้ หลังจากที่
ขึ้นเขาไปได้แล้ว ก็บกุ โจมตีคนของพรรคบัวดำ
จากนั้นคนที่อยู่บนโซ่ตรวนก็สามารถผ่านทะลุขึ้น
เขาดอกบัวมาได้”
ซีเหมินจั้นอิงเข้าใจ “ถูกต้อง ต้องเป็นอย่างนี้แน่
โหวเยว่ คนของพวกเราได้เตรียมทหารฝีมือดีเอาไว้
พวกเขาคงสร้างผลงานใหญ่ไว้แน่” เมื่อนึกถึงกอง
กำลังทหารเกรียงไกลพวกนั้น ก็คิดว่าสถานการณ์
ไม่ได้รุนแรงอย่างที่ปีศาจน้อยคิด ก็โล่งใจ “ตอนนี้
ใครแพ้ใครชนะ ยังไม่มีใครู้ได้”
ฉีหนิงพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “แต่ว่าคนพวกนี้
เป็นคนของพรรคของสำนักไหนกัน?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 444 ยอดเขาดอกบัว
ฉีหนิงรู้สึกสงสัย เดินไปเดินมา ก็มาถึงด่านสุดท้าย
ด่านสุดท้ายมีองครักษ์อยู่แค่สองคน แต่ก็ถูกสังหาร
ตายหมด
ตอนนี้เขาอยู่ท่ามกลางหมอกหนา แต่ก็พอมองเห็น
ยอดเขาอยู่
ปีศาจน้อยกลับพูดด้วยอาการหอบว่า “ข้าเดินไม่
ไหวแล้ว พวกเราพักก่อนแล้วค่อยไปต่อได้หรือไม่
ในเมื่อพวกเจ้าบุกขึ้นเขาแล้ว พรรคบัวดำเกรงว่า
น่าจะแพ้แล้ว ไม่ต้องรีบหรอก”
นางพูดออกมาง่ายๆ เหมือนพรรคบัวดำจะแพ้หรือ
ชนะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย
ซีเหมินจั้นอิงกลับยังห่วงสถานการณ์บนเขาอยู่
ถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อย แต่ว่านางก็ไม่กล้าหยุด แล้วพูด
ว่า “เดินไม่ไหวก็ต้องเดิน ไป...”
ปีศาจน้อยกลับหลบ แล้วพิงผนังหิน แล้วพูดอย่าง
น่าสงสารว่า “ข้าขอร้องพวกเจ้าล่ะ ข้ายังเป็นเด็ก
อยู่ พวกเจ้าจะทนเห็นข้าเหนื่อยตายได้หรือ? พี่สาว
เจ้าสงสารข้าเถอะนะ ให้ข้าพักเถอะ ข้าเชื่อฟังพวก
เจ้ามาตลอดทางเลย พาพวกเจ้ามาถึงที่นี่ ต่อให้ไม่มี
ผลงาน แต่ก็ได้ออกแรงแล้วนะ”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียง “แกร็ก” เดิมทีฉีหนิง
กำลังคิดถึงสถานการณ์บนยอดเขาอยู่ เมื่อได้ยิน
เสียง ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ก็ตะคอกว่า
“ระวัง” เขาพุ่งตัวไปหาปีศาจน้อย
เขาเห็นปีศาจน้อยพิงตัวไปกับผนังเขา ผนังเขาหมุน
อย่างรวดเร็ว ซีเหมินจั้นอิงตกใจมาก ใครจะไปคิด
ว่าผนังผานี่จะมีเล่ห์กลซ่อนอยู่ นางคิดจะเดินหน้า
ไปแต่ก็ไม่ทันแล้ว เห็นปีศาจน้อยพิงผนังเขาไปใน
เขา ฉีหนิงปฏิกิริยาไวมาก พุ่งเข้าไปได้เหมือนกัน
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ซีเหมินจั้นอิงไม่คิดว่า
ผนังผามันจะมีปัญหา อีกทั้งคิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงจะ
รวดเร็วว่องไวแบบนั้น เมื่อนางได้สติกลับมา ก็เห็น
ผนังเขาปิดสนิทไปแล้ว นางเห็นร่องรอยบนขอบอยู่
บ้าง แต่หากไม่ตั้งใจมอง ก็แทบจะไม่เห็นเลย
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกหงุดหงิดมาก คิดไม่ถึงเลยว่า
สุดท้ายแล้วก็ยังตกหลุมพรางของปีศาจน้อยอยู่ดี
ปีศาจน้อยคุ้นเคยที่นี่เป็นอย่างดี ต้องรู้เรื่องเล่ห์กล
บนเขานี้อยู่แล้ว นางพาพวกเขาขึ้นมาโดยไม่บ่น แต่
กลับขอหยุด แสดงว่าวางแผนเอาไว้แล้วแน่นอน
ซีเหมินจั้นอิงใช้ดาบฟันไปที่ผนังเขา แล้วตะโกน
เรียก “ฉีหนิง ฉีหนิง เจ้าได้ยินข้าหรือไม่?”
ภายในไม่มีเสียงตอบกลับมาเลยซีเหมินจั้นอิงใช้มือ
ดัน แต่มันก็ไม่ขยับเลย นางร้อนใจมาก ไม่รู้ว่าฉีหนิง
ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
นางแนบหูไปกับผนัง นางไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
นางรู้ทันทีว่าเล่ห์กลนี่พิสดารมาก มันไม่เพียงเปิด
ออกไม่ได้ อีกทั้งยังไม่ได้ยินเสียงอะไรด้วย
พอนางคิดว่าผนังมีเล่ห์กลแฝงอยู่ นางหาอยู่นาน
เหมือนไม่ว่าจะสัมผัสไปทางไหน ก็ยังไม่เจอกลไก
อะไรซ่อนอยู่
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซีเห
มินจั้นอิงกังวลความปลอดภัยของฉีหนิง ดวงตาของ
นางแดงก่ำ แล้วบ่นพึมพำว่า “เจ้าขึ้นเขามาเพราะ
ข้า หาก...หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้า...” นางรู้สึกปวด
ใจมาก น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เขาจะต้องไม่เป็นอะไร” ซีเหมินจั้นอิงยกมือเช็ด
น้ำตา แล้วพูดกับตัวเองว่า “เขาฉลาดขนาดนั้น วร
ยุทธ์ก็สูง เขาจะต้องไม่เป็นอะไร...” นางแอบคิดใน
ใจว่าในเมื่อถูกขังอยู่ในนี้ อย่างไรนางก็ต้องหาทาง
ช่วยเขาออกมา นางคนเดียว คงไม่มีวิธี ต้องไปหา
คนมาช่วย
นางเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน หมอกหนามาก ในใจ
ของนางคิดว่าในเมื่อมีกองกำลังทหารบุกขึ้นไปจาก
ตรงนี้ หรือว่าคนของแปดพรรคสิบหกสำนักตอนนี้
จะได้เปรียบ คนของแปดพรรคสิบหกมีคนเก่ง
มากมาย จะต้องหามือดีมาช่วย จะต้องช่วยฉีหนิง
ออกมาจากผนังหินนี่ให้ได้ พอนึกถึงตรงนี้ ก็ไม่
เสียเวลาอีก นางกำดาบแน่น แล้วเดินผ่านทางแคบ
ตามเขาขึ้นไป
เมื่อเดินขึ้นเขาไป นางเป็นห่วงความปลอดภัยของฉี
หนิงมาก เลยไม่รู้สึกเหนื่อยเลย นางเดินเร็วมาก ไม่
ถึงหนึ่งชั่วยาม ก็มาถึงยอดเขาดอกบัว บนยอดเขา
ดอกบัวมีแต่ต้นสน นางหลบอยู่หลังก้อนหินใหญ่
แล้วมองไปด้านหน้า เห็นตรงสุดทางมีตำหนักหิน
ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซีเหมินจั้นอิงเห็นอย่างชัดเจน
ตำหนักหินตั้งเด่นเป็นตระหง่าน คิดว่าคนที่สร้างคง
ต้องทุ่มเททั้งแรงใจแรงกายมาก
ด้านนอกตำหนัก กลับเป็นเงาดำเต็มไปหมด มองไม่
ออกว่ามีคนมากเท่าไหร่ กำลังล้อมตำหนักหินนั่นอยู่
เห็นกลุ่มคน ซีเหมินจั้นอิงก็มีสติขึ้นมา นางมอง
เห็นชัดแล้วว่า คนที่ล้อมตำหนักเอาไว้ เป็นคนของ
แปดพรรคสิบหกสำนัก
เมื่อเห็นบรรยากาศแบบนี้ ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกว่า
อ่อนเพลียมาก เดินยังเดินไม่ไหว ในใจก็คิดว่าก่อน
หน้านี้เป็นห่วงฉีหนิง เลยฝืนเดินมา พอมาถึงตรงนี้
ร่างกายก็ฝืนไม่ไหวอีกแล้ว
“ใคร?” ซีเหมินจั้นอิงยืนขึ้นมาจากหลังก้อนหิน
กำลังจะเดินไป ก็ได้ยินเสียงตะคอกดังขึ้น เงาสอง
คนคนเดินขึ้นหน้ามา ซีเหมินจั้นอิงรีบถอยหลังไป
นางรู้สึกว่าขาของนางไม่มีแรง จากนั้นกระบี่เล่ม
หนึ่งก็ชี้มาที่คอของนาง
ซีเหมินจั้นอิงเห็นชายสองคนสวมชุดสีเขียวกำลัง
มองมาที่นาง
“สวรรค์มีทางเจ้าไม่เดิน นรกไร้ประตูเจ้ากลับมา”
คนข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “จะต้องเป็นคนของพรรคบัว
ดำแน่ ศิษย์พี่ ฆ่านางเลยดีกว่า”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยความโมโหได้ว่า
“บังอาจ ข้าเป็นคนของจวนเสินโหว ยังไม่เก็บกระบี่
อีก”
“จวนเสินโหว?” ทั้งสองคนต่างหัวเราะขึ้นมา “เจ้า
เป็นคนของจวนเสินโหว พวกข้าเองก็เป็นคนของหอ
เก้านภาแล้ว บังอาจมากเกินไปแล้ว กล้าสวมรอย
เป็นคนของจวนเสินโหวหรือ”
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าการบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิงในครั้ง
นี้ แบ่งออกเป็นสี่เส้นทาง เขาเชียนอูหลิงมีคนทุก
ด้าน นางขึ้นมาจากทางทิศตะวันออก ต่อให้เป็นคน
จากทางทิศตะวันออก ก็ใช่ว่าจะรู้จักนางกันทุกคน
นางขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยอยู่
ไหน? ข้าอยากพบเขา”
ทั้งสองมองหน้ากัน เห็นซีเหมินจั้นอิงสีหน้าจริงจัง
เหมือนไม่กลัวพวกเขาเลย ในใจก็แอบคิดว่าหาก
ผู้หญิงคนนี้เป็นคนของจวนเสินโหวจริงๆ พวกเขา
จะมีเรื่องไม่ได้เด็ดขาด คนที่ถือกระบี่จี้คอส่ง
สัญญาณให้อีกคน คนๆ นั้นเหมือนเข้าใจ จากนั้นก็
หันแล้ววิ่งกลับไปทันที
คนที่ถือกระบี่จี้คอ สีหน้าเหมือนทำอะไรไม่ถูก แล้ว
พูดว่า “แม่นางเป็นคนของจวนเสินโหวหรือ? แล้ว
เหตุใดถึงได้มาจากตีนเขาเล่า?”
ซีเหมินจั้นอิงไม่มีเวลามาพูดมากกับเขา นางถามว่า
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
คนที่ถือกระบี่จี้คอตอบว่า “ตำหนักหินดำถูกพวก
เราล้อมไว้หมดแล้ว คนของพรรคบัวดำอยู่ด้านใน
ตำหนัก พวกเราล้อมเอาไว้อย่างหนาแน่น ต่อให้มี
ปีกก็หนีไปไม่ได้”
ซีเหมินจั้นอิงคิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะ
กลายเป็นแบบนี้ไปได้ นางพูดด้วยความสงสัยว่า
“ยอดเขาดอกบัวบุกยึดได้ง่ายแบบนี้เลยหรือ?”
คนที่ถือกระบี่จี้คอพูดว่า “แม่นาง ก็ไม่ง่ายนะ คน
ของพวกเราก็ตายไปกว่าร้อยคน ปีศาจพวกนี้ ฆ่า
ชาวยุทธ์ไปมาก ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเราก็
จะต้องฉีกพวกมันออกเป็นชิ้นๆ ไม่ให้เหลือแม้แต่คน
เดียว”
ซีเหมินจั้นอิงเห็นตำหนักหินดำถูกล้อม ชาวยุทธ์
หลายคนเหมือนกำลังพักอยู่ มีคนคุยกัน เหมือนจะ
ไม่ได้สนใจมองมาทางนี้ นางก็พูดด้วยความสงสัยว่า
“ในเมื่อล้อมตำหนักหินดำไว้แล้ว แล้วเหตุใดไม่บุก
เข้าไป? เหตุใดถึงยังอยู่ข้างนอกอีกเล่า?”
คนที่ถือกระบี่จี้คอยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราก็อยากบุก
เข้าไป แต่ว่า...ลูบหน้าปะจมูก ปีศาจพวกนั้นจับคน
ของพวกเราไปไม่น้อย ตอนนี้ถูกพวกเขาจับเป็นตัว
ประกันเอาไว้ อีกทั้งตำหนักหินดำก็ไม่รู้ว่าใช้อะไร
ก่อสร้าง หินเป็นสีดำทั้งหมด แข็งเอามากๆ ดาบ
กระบี่ฟันแทงไม่เข้าเลย พวกเขาปิดประตูตำหนัก
หินดำไว้ พวกเราอยากเข้าก็เข้าไม่ได้เลย”
ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป แอบคิดในใจว่าเรื่องราวมันเป็น
อย่างนี้นี่เอง
ในตอนนี้เอง ก็เห็นคนรีบมาอย่างรีบร้อน คนที่เดิน
อยู่หน้าสุดก็คือชวีเหมินเซี่ยวเว่ยเซวียนหยวนผ่อ
ด้านหลังเป็นเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหวสองคน ซีเห
มินจั้นอิงจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือพั่วจวินเซี่ยวเว่ยเห
ยียนลิ่งเซี่ยน ส่วนอีกคนก็คือเหวินชวีเซี่ยวเว่ยหาน
เทียนซู่
เจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว เป็นคนที่ซีเหมินจั้นอิง
คุ้นเคยที่สุด อีกทั้งยังรักและเอ็นดูศิษย์น้องเล็กคนนี้
ของพวกเขามากๆ ด้วย
ซีเหมินจั้นอิงรู้ดีว่า ในบรรดาเจ็ดดาวไถของจวนเสิน
โหว อวี้ฉุนเซี่ยวเว่ยตอนนี้อยู่ที่แคว้นตงฉี ส่วนอู่ชวี
เซี่ยวเว่ยตอนนี้แฝงตัวเป็นสายสืบอยู่ในเป่ยฮั่น ส่วน
เรื่องภายในจวนเสินโหว มีทันหลางเซี่ยวเว่ยชวีเสี่ยว
ชางดูแล ส่วนเหลียนเจินเซี่ยวเว่ย มีหน้าที่คิดค้น
อาวุธและยาพิษในจวนเสินโหว แทบจะไม่ออกจาก
จวนเลย ครั้งนี้มีเซี่ยวเว่ยสามคนออกหน้าเป็นหลัก
ก็ต้องปรากฏตัวที่ยอดเขาดอกบัวแน่นอนอยู่แล้ว
“ศิษย์น้องเล็ก” เหยียนลิ่งเซี่ยนเห็นหน้าซีเหมินจั้น
อิง ก็ดีใจมาก วิ่งมาหาเป็นคนแรก “ข้าเป็นห่วงแทบ
แย่ ข้ายังคิดว่า...ฮ่าฮ่า เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
...” เขาดีใจแทบจะเป็นบ้า แทบอยากจะวิ่งเข้าไป
กอดศิษย์น้องเล็กของเขา แต่เขารู้จักนิสัยของนางดี
อย่าว่าแต่กอดเลย แตะแค่นิดเดียวนางก็โกรธเป็น
ฟืนเป็นไฟแล้ว
ซีเหมินจั้นอิงเห็นเหล่าศิษย์พี่ปลอดภัย นางก็โล่งใจ
แล้วก็เรียก “ศิษย์พี่เจ็ด” นางไม่ได้ดูตื่นเต้นดีใจเลย
นางไม่ได้เป็นห่วงความเปลอดภัยของคนอื่นมากนัก
ในใจของนางมีแต่ฉีหนิง
เหยียนลิ่งเซี่ยนเห็นศิษย์น้องเล็กของเขาเย็นชา ก็
รู้สึกกระอักกระอ่วน เขาเหลือบไปมองคนที่ใช้กระบี่
จี้หน้า เขาด่าต่อไปว่า “พวกเจ้าล่วงเกินศิษย์น้อง
เล็กใช่หรือไม่?”
คนที่ใช้กระบี่จี้หน้าตอนนี้แม้แต่ความคิดอยากจะ
ตายก็มีเป็นร้อยๆ ครั้ง เขาแอบคิดในใจว่าแม่นางคน
นี้เป็นศิษย์น้องเล็กของจวนเสินโหวจริงๆ ด้วย เขา
มาจากพรรคกับสำนักธรรมดา ไม่ถือว่าเป็นคนของ
แปดพรรคสิบหกสำนักด้วย ขนาดคนของแปดพรรค
สิบหกสำนักล่วงเกินคนของจวนเสินโหวยังไม่ตายดี
เลย แล้วพวกเขาจะไปเหลืออะไร เขาพูดว่า “แม่
นาง...ข้า...”
ซีเหมินจั้นอิงก็ไม่ได้ถือสา นางพูดว่า “ไม่เกี่ยวกับ
พวกเขาหรอก เจ้าไม่ต้องเสียงดังไป”
คนที่ใช้กระบี่จี้หน้ารู้สึกซาบซึ้งใจมาก เซวียนหยวน
ผ่อเดินขึ้นหน้ามา แล้วมองไปที่นาง สายตาของเขา
ดูดีใจมาก แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่เป็นอะไร
ก็ดีแล้ว”
หานเทียนซู่ปากแหลมหน้าเหมือนลิง หลังค่อม
หน้าตาไม่เป็นมิตร มีดวงตาคล้ายเหยี่ยว สายตาของ
เขาเหมือนเข็มแหลม ทำให้คนที่เห็นไม่ค่อยเป็น
ตัวเองเท่าไหร่ แต่ว่าเมื่อเขาเห็นซีเหมินจั้นอิง หาน
เทียนซู่ก็มีสีหน้าท่าทางที่อ่อนโยนอีกทั้งยังมีรอยยิ้ม
เขาพูดว่า “ข้าก็ว่าศิษย์น้องเล็กมีบุญ ไม่มีทางเป็น
อะไรไปได้หรอก ศิษย์น้องเล็ก น้องเจ็ดเป็นห่วงเจ้า
มากเลยนะ”
พั่วจวินเซี่ยวเว่ยเหยียนลิ่งเซี่ยนกับซีเหมินจั้นอิงอายุ
พอๆ กัน ทั้งคู่โตมาด้วยกัน ในสายตาของคนในจวน
เสินโหว ก็เหมือนคู่รักที่มีใจให้กันตั้งแต่เด็กๆ ซีเห
มินอู๋เหิงเองก็เอ็นดูเหยียนลิ่งเซี่ยนมาก หลายคนจึง
คิดว่าพวกเขาเกิดมาคู่กัน ซีเหมินอู๋เหิงอาจจะยกลูก
สาวของเขาให้กับเหยียนลิ่งเซี่ยนก็ได้ คนในจวน
ชอบแซวพวกเขาสองคนอยู่ประจำ
เหยียนลิ่งเซี่ยนได้ยินหานเทียนซู่พูดมาแบบนี้ ก็รู้สึก
เขิน แต่ว่าในใจกลับรู้สึกดีใจ เขาแอบเขยิบเข้าใกล้ซี
เหมินจั้นอิงแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ข้ารู้แล้ว ทูต
ราคะของพรรคบัวดำจับตัวเจ้าไป เจ้าวางใจได้ เมื่อ
บุกเข้าไปในตำหนักหินดำได้แล้ว ข้าจะจับตัวทูต
ราคะ มาให้เจ้าจัดการเอง”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 445 ผลงานใหญ่
เดิมทีเหยียนลิ่งเซี่ยนคิดว่าพูดแบบนี้แล้ว ศิษย์น้อง
เล็กของเขาจะต้องชอบใจมากแน่ แต่ซีเหมินจั้นอิง
เหมือนจะไม่ได้ยิน นางพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่
สาม ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องพวกท่าน”
เซวียนหยวนผ่อกับหานเทียนซู่ เห็นซีเหมินจั้นอิงสี
หน้าร้อนใจ เซวียนหยวนผ่อจึงรีบถามว่า “ศิษย์น้อง
เล็ก เกิดเรือ่ งอะไรขึ้น?”
“ฉี...ฉีหนิง” ซีเหมินจั้นอิงกัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่่า
“พวกท่าน...พวกท่านต้องรีบไปช่วยเขานะ”
เซวียนหยวนผ่อสะดุ้งตกใจ รีบเดินขึ้นหน้ามา แล้ว
พูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเจอโหวเยว่หรือ? เขาอยู่ที่
ไหน?”
หานเทียนซู่ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้า
ถูกทูตราคะของพรรคบัวด่าจับตัวไป แล้วหนีมาได้
อย่างไร?”
“ฉีหนิงช่วยข้าเอาไว้” ซีเหมินจั้นอิงไม่ทันได้อธิบาย
แล้วพูดว่า “ข้าเกือบตายในมือของพวกปีศาจนั่น ฉี
หนิงช่วยชีวิตข้าไว้ ตอนนี้เขาถูกขังอยู่ในกลไกที่
พรรคบัวด่าวางไว้ พวกท่านต้องรีบไปช่วยเขาออก
มานะ”
เซวียนหยวนผ่อขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “กลไก? ท่าน
โหวน้อยถูกขังอยู่ในกลไก? ศิษย์น้องเล็ก เกิดอะไร
ขึ้น เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป เล่ามาให้ละเอียดสิ”
ซีเหมินจั้นอิงร้อนใจราวกับไฟเผา จากนั้นก็เล่าเรื่อง
คร่าวๆ ให้พวกเขาฟัง
หานเทียนซู่พูดว่า “ปีศาจน้อยที่เจ้าว่านั่นใครกัน?
แล้วเหตุใดนางต้องพาพวกเจ้าขึ้นเขาด้วย?”
“ศิษย์พี่สาม เรื่องนี้ไว้ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทีหลังนะ
พวกท่านรีบไปหาคนไปช่วยฉีหนิงเถอะ” ซีเหมินจั้น
อิงพูดอย่างร้อนใจว่า “ในบรรดาคนพวกนี้ จะต้องมี
คนที่รู้เรื่องกลไกแน่ ท่านรีบสั่งให้พวกเขาตามข้า
ไป” พอพูดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกว่าตาลายเวียนหันว
ขาอ่อนแรงลง เกือบจะล้มสลบไป
เหยียนลิ่งเซี่ยนยื่นมือจะไปพยุง แต่เซวียนหยวน
ผ่อยื่นมือออกไปจับแขนของซีเหมินจั้นอิงไว้ก่อน
จากนั้นเขาก็สั่งว่า “เอาน้่ามา”
เหยียนลิ่งเซี่ยนรีบหยิบถุงน้่าออกมา แล้วป้อนน้่า
ให้กับซีเหมินจั้นอิง เซวียนหยวนผ่อพยุงซีเหมินจั้น
อิงไปนั่งพักที่โขดหิน ไม่นานซีเหมินจั้นอิงก็รู้สึกดีขึ้น
แต่ว่าใบหน้าของนางยังซีดเซียวอยู่
“เจ้าสาม เจ้าไปหาคนมา” เซวียนหยวนผ่อสั่งอีกว่า
“เอาแต่คนที่รู้เรื่องกลไกนะ แล้วเจ้าก็พาคนไปช่วย
ท่านโหวน้อย หากท่านโหวน้อยเป็นอะไรไป พวก
เราหนีความผิดไม่พ้นแน่”
หานเทียนซู่รับค่า แล้วรีบไปหาคน ซีเหมินจั้นอิงโล่ง
ใจ แล้วพูดว่า “พวกท่านไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เดี๋ยวข้า
พาไปเอง”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ท่านโหวน้อยมีบุญหนักศักดิ์
ใหญ่ ต้องไม่เป็นอะไรแน่ ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องร้อนใจ
ไปนะ วรยุทธ์ของเขาเหนือกว่าพวกเรามาก ปีศาจ
น้อยนั่นไม่มีทางท่าอะไรเขาได้หรอก”
เหยียนลิ่งเซี่ยนยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ศิษย์
น้องเล็ก เจ้าไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก ห่วงตัวเองก่อน
ดีกว่านะ...”
“หากข้าไม่ห่วงเขา แล้วจะให้ใครมาห่วง?” ซีเหมิน
จั้นอิงไม่ได้พูดดี “หากไม่ใช่เพราะข้า เขา...” ทันใด
นั้นเองเหมือนนางจะนึกขึ้นได้ หากบอกว่าฉีหนิงขึ้น
เขามาเพราะนาง มันก็ดูเหมือนฉีหนิงเห็นแก่ตัวมาก
เกินไป อาจจะเป็นขี้ปากของคนอื่นได้ “ปีศาจน้อย
คนนั้นเจ้าเล่ห์มาก ข้ากลัวเขาจะใจอ่อน เกิดตก
หลุมพรางของนางปีศาจน้อยได้” เขามองไปที่เห
ยียนลิ่งเซี่ยน แล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้อะไร ก็อย่ามา
พูดจาเหลวไหล”
เดิมทีเหยียนลิ่งเซี่ยนก็แค่หวังดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าซี
เหมินจั้นอิงจะเป็นแบบนี้ พอได้ยินซีเหมินจั้นอิงพูด
เป็นห่วงเป็นใยฉีหนิงมาก เขารู้จักกับซีเหมินจั้นอิง
มาตั้งแต่เล็ก รู้นิสัยของนางเป็นอย่างดี นางไม่เคย
เป็นห่วงใครมากขนาดนี้มาก่อน เขาก็รู้สึกไม่ค่อย
พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเดินไปยืนพิงต้นไม้
ข้างๆ
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องเจ็ดเขาไม่ได้มีเจตนาอื่น
หรอก” เซวียนหยวนผ่อฉลาดมาก เขามองออกอยู่
แล้ว เขาพูดว่า “เขาก็แค่เป็นห่วงเจ้า ถึงได้พูดแบบ
นั้นออกมา ต่าหนักหินด่าถูกพวกเราควบคุมเอาไว้
แล้ว คนของพรรคบัวด่าอยู่ด้านในนั้น หากโหวเยว่
ถูกขังอยู่ในกลไกนั่นจริง ก็น่าจะไม่เป็นไร”
ซีเหมินจั้นอิงพยักหน้า แล้วมองไปที่เหยียนลิ่งเซี่ยน
แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่เจ็ด ข้าไม่ควรพูดแบบนั้น เจ้า
อย่า...อย่าใส่ใจเลยนะ”
เหยียนลิ่งเซี่ยนฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ตั้งแต่เล็กจนโต
ข้าไม่เคยคิดมากอยู่แล้ว เจ้าอย่าคิดมากเลย”
“ศิษย์พี่ใหญ่ คนของพรรคบัวด่าอยู่ข้างในนั้น
หรือ?” ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเขามี
กันกี่คน?”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “รวมแล้วก็ไม่เกินร้อยคน
เหนือความคาดหมายของข้าไปมาก เดิมทีข้าคิดว่า
พรรคบัวด่าน่าจะมีคนมากกว่า...” เขาเหมือนก่าลัง
ใช้ความคิด แล้วพูดว่า “แต่ว่าพวกเขาแต่ละคนถูก
ฝึกมาอย่างดีหากไม่ได้ส่านักเฟิงเจี้ยน พวกเราคงบุก
มาถึงที่นี่ไม่ได้แน่”
“ส่านักเฟิงเจี้ยน?” ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป “ศิษย์พี่
ใหญ่ ตอนที่ข้าขึ้นมา มีองครักษ์ของพรรคบัวด่าถูก
ฆ่าตาย เหมือนมีคนบุกลอบโจมตีพวกเขา หรือว่า...
หรือว่าเป็นคนของส่านักเฟิงเจี้ยน?”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เจ้า
ส่านักเฟิงเจี้ยนลู่ซางเฮ่อพาคนบุกขึ้นมา ตอนนั้นคน
ของพวกเราก็พยายามบุกเหมือนกัน แต่ว่าพรรคบัว
ด่าใช้ธนูยิงคนของพวกเรา เสียหายไปไม่น้อยเลย
หากไม่ใช่เพราะลู่ซางเฮ่อ คิดว่าพวกเราคงต้องเสีย
ก่าลังพลไปมากกว่านี้ถึงจะบุกมาถึงที่นี่ได้”
“ลู่ซางเฮ่อ...” ซีเหมินจั้นอิงนึก แล้วพูดว่า “ชื่อของ
เขาไม่คุ้นหูเลย แต่ว่าส่านักเฟิงเจี้ยนข้าเคยได้ยินมา
ก่อน”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์เล่าให้เจ้าฟัง
เรื่องของสิบสุดยอดกระบี่ ค่าว่าเจี้ยนของส่านักเฟิง
เจี้ยน ก็หมายถึงหนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่กระบี่เฉิงอิ่ง
ที่อยู่ล่าดับที่หก เหนือกว่ากระบี่จินเฟิ่งของส่านัก
กระบี่ทอง อยู่หนึ่งขั้น”
“จริงด้วย” ซีเหมินจั้นอิงนึกขึ้นมาได้ “ท่านพ่อเคย
บอกว่า เพลงกระบี่ของเจ้าส่านักเฟิงเจี้ยนท่านเซี่ยง
ร้ายกาจมาก เคยเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งในเขตซี
ชวนด้วย” นางถามอย่างสงสัยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้า
ส่านักเฟิงเจี้ยนแซ่เซี่ยงไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใด...ลู่
ซางเฮ่อถึงได้กลายมาเป็นเจ้าส่านักเฟิงเจี้ยนได้เล่า?
ตระกูลเซี่ยงไม่มีผู้สืบทอดหรือ?”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ลู่ซางเฮ่อเป็นพี่น้อง
ร่วมสาบานกับท่านเจ้าส่านักน้อยของส่านักเฟิง
เจี้ยน ทั้งสองความสัมพันธ์ดีมาก ต่อมาไม่รู้ท่าไม
จู่ๆ เจ้าส่านักน้อยของส่านักเฟิงเจี้ยนก็หายตัวไป
ส่วนส่านักเฟิงเจี้ยนกับกระบี่เฉิงอิ่งก็ได้มอบให้ลู่ซาง
เฮ่อแทน”
“อย่างนี้นี่เอง” ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกตกใจ นางมองไปที่
ต่าหนักหินด่า แล้วถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อครู่ข้าได้
ยินมาว่าคนของแปดพรรคสิบหกส่านักถูกจับเป็นตัว
ประกัน พวกเขาจับไปกี่คน?”
เซวียนหยวนผ่อสีหน้าจริงจัง เขาพูดว่า “พวกเขาอยู่
ท่ามกลางหมอก ปล่อยพิษในอากาศ จู่ๆ ก็ถูกลอบ
ท่าร้าย ยังดีว่าบางคนมีก่าลังภายในแก่กล้า ถึงแม้
จะถูกพิษ แต่พวกเขาก็ฝืนสู้ไหว แต่ถึงอย่างนั้น ทาง
ของพวกเราเองก็เจ็บตายกันร่วมร้อยคน อีกทั้งยัง
ถูกจับตัวไปอีกสามสิบกว่าคน”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ในหมอกมีพิษ
จริงๆ ด้วย ศิษย์พี่ใหญ่ ในหมอกมีพิษ แล้วเหตุใด...
เหตุใดข้าเห็นทุกคนเหมือนไม่เป็นอะไรเลยเล่า?
หรือว่า...พวกท่านรู้วิธีถอนพิษหรือ?”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นเพราะ
ลู่ซางเฮ่ออีกเหมือนกัน ครั้งนี้ลู่ซางเฮ่อสร้างผลงาน
ใหญ่หลวงนัก หากไม่ได้เขา...” แต่เขาไม่ได้พูดต่อ
ซีเหมินจั้นอิงพูดขึ้นมาอย่างแปลกใจมาก “ท่านบอก
ว่าลู่ซางเฮ่อรู้วิธีถอนพิษอย่างนั้นหรือ?”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนั้นมี
หลายคนที่ถูกพิษ พิษในหมอกท่าให้คนไร้เรี่ยวแรง
หายใจติดขัด ไม่มีก่าลังมากพอที่จะต่อสู้ต่อ พรรค
บัวด่าฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาถูกพิษ ลอบโจมตี
พวกเรา ท่าให้พวกเราสูญเสียคนไปไม่น้อยเลย ตอน
นั้นพวกเราเกือบจะพ่ายแพ้แล้ว คิดไม่ถึงว่าลู่ซาง
เฮ่อตามมาเจอพวกเราเสียก่อน แล้วเอายาถอนพิษ
มาให้...”
“เขาเตรียมยาถอนพิษไว้หรือ?” ซีเหมินจั้นอิงตกใจ
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ เขาบอกแค่
ว่ามียอดฝีมือชี้แนะเขามา เขาก็เลยเตรียมการไว้
ล่วงหน้า อีกทั้งยังบอกอีกว่ายอดฝีมือคนนั้นขอไม่
เปิดเผยตัว ดังนั้นเขาเลยไม่สะดวกว่าเป็นใคร ลู่ซาง
เฮ่อสร้างผลงานใหญ่ ในเมื่อเขาไม่พูด ข้าก็ไม่อยาก
บังคับถาม”
“ตอนนี้คนพวกนั้นรู้สึกว่าเจ้าคนแซ่ลู่นั้นมีบุญคุณ
กับพวกเขาใหญ่หลวงมาก” เหยียนลิ่งเซี่ยนอดไม่ได้
ที่จะเขยิบเข้ามาใกล้ แล้วพูดว่า “พวกเขาเห็นลู่ซาง
เฮ่อเป็นผู้มีพระคุณ พวกเขาบอกว่าการบุกโจมตีเขา
เชียนอูหลิงในครั้งนี้ ลู่ซางเฮ่อมีผลงานมากที่สุด มัน
ก็เหมือนไม่เห็นจวนเสินโหวของพวกเราอยู่ใน
สายตาเลย” เห็นเซวียนหยวนผ่อจ้องมาที่เขา เขา
เลยไม่กล้าพูดต่อไปอีก
“ลู่ซางเฮ่อเอายามาช่วยทุกคน อีกทั้งยังรู้ลักษณะ
ของเขาแห่งนี้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ลอบขึ้นเขามา...” ซี
เหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกๆ
เหยียนลิ่งเซี่ยนยืนอยู่ข้างๆ พูดว่า “คนของพรรคบัว
ด่าอยู่ในต่าหนักหินด่า ประตูถูกปิดทุกด้าน พวกเรา
เข้าไปไม่ได้ พวกเขาเองก็ออกมาไม่ได้เช่นกัน” เขา
พูดอีกว่า “แต่ว่าครั้งนี้พวกเขาสู้กนั แต่ละพรรค
บาดเจ็บล้มตายไปกว่าร้อยคน หากไม่สามารถ
จัดการกับพรรคบัวด่าได้ คงไม่มีใครยอมแน่”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านจะท่าอย่างไรต่อไป?” ซีเห
มินจั้นอิงถามว่า “จะล้อมเอาไว้แบบนี้หรือ?”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “คนของพรรคบัวด่าหนีไป
ไหนไม่พ้น ในนั้นก็น่าจะมีอาหารและน้่าไม่มาก
พวกเขาคงทนได้ไม่นาน ข้าได้สั่งให้คนลงไปเอา
เสบียงอาหารกับน้่ามาแล้ว ซีชวนชื่อสื่อเหว่ยซูถง
รับปากข้าไว้ จะส่งเสบียงขึ้นมาบนเขาให้ ข้าได้จัด
คนรอรับเรื่องไว้ที่ด้านล่างแล้ว เสบียงของพวกเรา
จะไม่ขาด แต่ว่าคนของพรรคบัวด่าอาจจะทนได้ไม่
นาน”
เหยียนลิ่งเซี่ยนพูดว่า “ให้พวกมันหิวตายกันไปเลย”
“แล้วคนที่ถูกจับไปล่ะจะท่าอย่างไร?” ซีเหมินจั้นอิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าจะให้พวกเขาอดตายไป
ด้วย?” เหมือนนางคิดอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ ศิษย์พี่
ใหญ่ จวนเสินโหวของพวกเรามีคนถูกจับไปด้วย
หรือไม่?”
เซวียนหยวนผ่อสีหน้าเคร่งเครียด พยักหน้า แล้วพูด
ว่า “เหลียงติ้งกับหูเซิงถูกพวกเขาจับไป”
“ศิษย์พี่ติ้ง...ศิษย์พี่ติ้งถูกจับตัวไปหรือ?” ซีเหมินจั้น
อิงตกใจ เหลียงติ้งถึงแม้จะไม่ใช่หนึ่งในเจ็ดดาวไถ
ของจวนเสินโหว แต่ว่าก็อยู่ในจวนเสินโหวมานาน
ถือเป็นคนเก่าคนแก่ ท่างานดี วรยุทธ์ก็ไม่ได้แย่ ถือ
เป็นคนส่าคัญของจวนเสินโหว ครั้งนี้เขารับหน้าที่
เป็นกลุ่มแรกที่มาที่นี่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกจับตัวไป
เป็นตัวประกัน
เหยียนลิ่งเซี่ยนพูดว่า “หากเหลียงติ้งกับหูเซิงไม่ได้
อยู่ในมือของพวกเขา พวกเราคงเผาต่าหนักหินด่า
ไปแล้ว”
“นอกจากพวกเขาแล้ว ในแปดพรรคสิบหกส่านัก
ยังมีเจ้าส่านักต่างๆ ตกอยู่ในมือของพวกเขาด้วย”
เซวียนหยวนผ่อพูดอย่างจริงจังว่า “พวกเขาจับคน
ไป แสดงว่ามีเป้าหมายอยู่แล้ว เพราะจับไป
เฉพาะตัวเจ้าส่านักกับหัวหน้า คนธรรมดา พวกเขา
ไม่แตะต้องเลย”
เหยียนลิ่งเซี่ยนพูดว่า “จะยิงคนต้องยิงม้าก่อน จะ
จับโจรก็ต้องจับหัวหน้าก่อน คนพวกนั้นคงรู้จัก
เหตุผลนี้ดี” เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกมา ก็รู้สึกเหมือน
พูดผิด ดีที่เซวียนหยวนผ่อกับซีเหมินจั้นอิงไม่ได้
สนใจ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 446 ค่ายกลเหลียนซือ
หานเทียนซู่ทางานเร็วมาก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็
พาคนมาเจ็ดแปดคน นอกจากจะเป็นยอดฝีมือด้าน
ค่ายกลกลไกต่างๆ อีกทั้งยังมียอดฝีมือที่รูปร่างกายา
สูงใหญ่อีกสองคนด้วย ทั้งสองคนนี้มีอาวุธที่ไม่
ธรรมดา คนหนึ่งเป็นค้อน อีกคนเป็นตุ้มเหล็ก
ซีเหมินจั้นอิงเองก็ไม่รอช้า พาคนพวกนั้นลงไปช่วย
คน เซวียนหยวนผ่อก็ไม่ได้ห้าม อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้
เรื่องค่ายกลอะไรนั่นอยู่ที่ไหนด้วย จึงให้หานเทียนซู่
ลงเขาไปพร้อมกับนาง
ทุกคนตามซีเหมินจั้นอิงเดินตามทางเดินไป ซีเห
มินจั้นอิงได้ทาสัญลักษณ์เอาไว้แล้ว พอตรวจดูที่ผนัง
หิน ก็เห็นรอยดาบที่นางทาไว้ นางหันมาบอกหาน
เทียนซู่ว่า “ศิษย์พี่สาม ที่นี่แหละ ผนังหินนี่มันหมุน
ได้”
หานเทียนซู่พยักหน้า ด้านหลังมีคนๆ หนึ่งเดินขึ้น
หน้ามา เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วเอาหน้าแนบหิน
จากนั้นก็ใช้มือคลา เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หาน
เซี่ยวเว่ย หากข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นค่ายกล
เหลียนซือ”
“ค่ายกลเหลียนซือ?” หานเทียนซู่พูดว่า
“หมายความว่าอย่างไร?”
คนนั้นอธิบายว่า “ค่ายกลเหลียนซือ มันเป็นค่ายกล
หินแบบต่อเนื่อง เป็นค่ายกลที่ร้ายกาจมาก”
ซีเหมินจั้นอิงยังฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก ได้แต่ถามว่า
“แล้วเปิดได้หรือไม่?”
คนๆ นั้นพูดว่า “แม่นาง ผนังผานี่เดิมทีก็เป็นค่าย
กลอยู่แล้ว แต่ว่าหลังจากมีคนสัมผัสถูกค่ายกลไป
แล้ว ทาให้ผนังมันหมุนไปอีกด้านหนึ่ง ทาให้กลไก
ภายในก็เปลี่ยนไปด้วย ตามหลักของพวกเราแล้ว
มันถือว่าเป็นกลไกตายด้าน”
“กลไกตายด้าน?”
คนๆ นั้นพยักหน้าแล้วพูดว่า “คนที่ทาค่ายกลนี้
ขึ้นมาร้ายกาจมาก พวกเขาตั้งค่ายกลที่นี่ ก็เพื่อเป็น
ช่องทางหนี เมื่อเข้าไปแล้ว คนข้างนอกจะไม่มีทาง
เปิดมันได้อีก”
“ท่านหมายความว่า...หมายความว่าแม้แต่พวกท่าน
ก็เปิดมันไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” ซีเหมินจั้นอิงถึงกับ
สะดุ้ง
คนๆ นั้นถอนหายใจแล้วพูดว่า “อีกฝ่ายเตรียมตัว
มาอย่างดี ไม่อยากให้ใครเปิดค่ายกลนี้ได้ อีกทั้งนี่คือ
ค่ายกลเหลียนซือ ด้านหลังค่ายกลนี้ น่าจะมีผนังหิน
อีกหลายชั้นขวางอยู่ ต่อให้ทาลายผนังชั้นนี้ได้
ด้านหลังนั่นจะมีอีกกี่ชั้น ข้าเองก็ยังไม่รู้”
ซีเหมินจั้นอิงถึงได้เข้าใจแล้วว่า หลังจากที่ฉีหนิงเข้า
ไปแล้ว นางตะโกนเท่าไหร่ กลับไม่ได้ยินเสียงตอบ
รับอะไรกลับมาเลย หากเป็นแค่ผนังหินชั้นเดียว ไม่
มีทางไม่ได้ยินอะไร แต่พอพวกเขาอธิบายมาแบบนี้
แล้ว นางถึงได้รู้ว่า หลังจากที่ฉีหนิงเข้าไปแล้ว มันมี
ผนังหินหลายชั้นกั้นอยู่ ถึงไม่ได้ยินอะไรเลย
หานเทียนซู่เห็นซีเหมินจั้นอิงสีหน้าเคร่งเครียด สี
หน้าของนางดูร้อนใจ เขาพูดว่า “ในผนังนี่ มีคน
สาคัญมากคนหนึ่งถูกขังอยู่ในนั้น ถึงอย่างไรพวก
ท่านก็ต้องหาวิธีช่วยเขาออกมาให้ได้ หากทาได้ ข้ามี
รางวัลให้อย่างงาม”
คนๆ นั้นคิด แล้วพูดว่า “หากจะให้ทาลายกลไกนี้
น่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว คงต้องค่อยๆ ทาลายผนังหิน
นี่” เขายื่นมือไปจับผนังหิน แล้วพูดว่า “หานเซี่ยว
เว่ยท่านลองมาจับดูสิ ทั้งสองด้านนี้มันแทบไม่มี
อะไรต่างเลย แต่ว่าด้านในมันเป็นหยกแข็ง”
“หยกแข็ง?”
“หยกแข็งเป็นหินที่แข็งมาก ต่อให้มีแรงมากแค่ไหน
คิดอยากจะทาลายมันไม่ง่ายเลย” คนๆ นั้นพูดอย่าง
จริงจังมากว่า “คิดอยากจะทาลายกาแพงนี่ คงต้อง
ใช้เวลาถึงสองสามวัน”
คนที่ถือค้อนเหล็กด้านหลังเดินขึ้นหน้ามา แล้ว
ยกขึ้นมาลองฟาดเข้าไปดู เขาแรงเยอะมาก ถือค้อน
หนักกว่าร้อยกิโล พอหวดลงไปแล้ว มีเศษหินปลิว
ว่อน แต่ว่าพื้นผนังนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย มีแต่
เปลือกผนังที่หลุดออกมา เห็นสีของผนังที่อยู่ภายใน
แทน
ซีเหมินจั้นอิงร้อนใจดังไฟเผา แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่
สาม ทาอย่างไรดี? ถูกขังอยู่ในนี้ หากไม่มีอาหาร
ต้องอดตายแน่เลย”
คนข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “แม่นาง ท่านวางใจได้ ในเมื่อ
ที่นี่มีค่ายกล หากพวกเราเดาไม่ผิด ด้านในน่าจะมี
ช่องทางออกอยู่ อีกทั้งก็น่าจะมีอาหารสารองไว้ด้วย
พวกเราจะรีบเปิดประตูหินนี้ออก ก่อนที่อาหารที่อยู่
ด้านในจะหมด พวกเราน่าจะทาได้”
หานเทียนซู่ตบไหล่ซีเหมินจั้นอิง แล้วพูดอย่าง
อ่อนโยนว่า “ศิษย์น้องเล็ก ตอนนี้พวกเราคงทาได้
แค่นี้”
ซีเหมินจั้นอิงเองก็จนปัญญา นางพยักหน้า แล้วพูด
ว่า “ศิษย์พี่สาม ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้า...ข้าจะ
อยู่ที่นี่กับพวกเขา มีอะไรจะได้ช่วยได้”
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้
หรอก” หานเทียนซู่พูดต่อว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจ แต่
ว่าเจ้าก็ต้องดูแลตัวเองด้วย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป
เจ้าจะเหนื่อยเกินไปนะ เจ้ากลับขึ้นเขาไปกับข้าก่อน
พักสักหน่อย รอมีความคืบหน้า พวกเขาจะต้องรีบ
ส่งคนไปแจ้งพวกเราทันที”
มีคนพูดขึ้นมาว่า “แม่นางวางใจได้ หากเปิดได้
เมื่อไหร่ พวกเราจะรีบไปแจ้งทันที”
ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางอยู่ต่อก็
ช่วยอะไรไม่ได้ อีกทั้งการเปิดผนังหินนี่ก็ต้องใช้
เวลานาน เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็พยักหน้า จากนั้นนางก็
ตามหานเทียนซู่กลับขึ้นเขาไป เดินไปไม่กี่ก้าว นางก็
อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง นางหวังว่ามันจะรีบเปิด
ออกให้เร็วที่สุด แล้วนางก็จะเห็นฉีหนิงออกมาจาก
ตรงนั้น
เมื่อกลับมาถึงยอดเขา ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว คนบนยอด
เขาเยอะมาก เหล่าชาวยุทธ์ตัดต้นไม้ลงมา แล้วก่อ
ไฟ ถึงแม้จะมืด แต่ก็มีกองไฟส่องสว่างไปทั่วยอดเขา
ชาวยุทธ์ที่อยู่ด้านบน น่าจะมีราวสี่ห้าร้อยคน
คนที่มาที่เขาเชียนอูหลิงมีกว่าสองสามพันคน ตาย
และเจ็บไปหลายร้อยคน ตรงนี้ไม่ได้มีแค่คนที่
สามารถเดินผ่านโซ่ตรวนมาถึงที่นี่เท่านั้น คนสี่ห้า
ร้อยคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือของแต่ละพรรค
แต่ละสานัก ซีเหมินจั้นอิงยืนอยู่ที่ยอดเขา นางเห็น
หมอกหนาล้อมรอบ ก็เลยเดินไปที่หน้าผา นางเห็น
โซ่ตรวนที่เชื่อมยอดเขาเอาไว้จริงๆ
ถึงแม้จะมืด หมอกก็หนา แต่เพราะแสงของกองไฟที่
ก่อขึ้น แต่ก็ยังมองเห็นคนเฝ้าอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ซึ่ง
แน่นอนว่าเป็นคนที่ไม่สามารถเดินข้ามมาได้
เหยียนลิ่งเซี่ยนเอาอาหารกับน้ามา แต่ซีเหมินจั้นอิง
ไม่มีอารมณ์จะกินอะไร เหยียนลิ่งเซี่ยนกับหาน
เทียนซู่ต้องกล่อมอยู่นาน นางถึงได้ฝืนกิน นางรู้สึก
อ่อนเพลียมาก จึงพิงที่ใต้ต้นสนต้นหนึ่ง แล้วหลับไป
เมื่อไหร่ไม่รู้
ในความฝันหลังจากที่นางหลับไป นางฝันถึงภาพทุก
ครัง้ ที่นางกับฉีหนิงเถียงกัน เมื่อก่อนนางคิดว่า
ท่าทางเสเพลของฉีหนิงน่ารังเกียจมาก แต่ว่าใน
ความฝัน นางกลับรู้สึกว่ามีความสุข จนทาให้นางยิ้ม
ออกมาโดยไม่รู้ตัว
เหยียนลิ่งเซี่ยนนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ นางตลอดเวลา
หลังจากที่นางหลับไปแล้ว เขาถึงถอดเสื้อคลุมมาห่ม
ให้ซีเหมินจั้นอิง
ถึงแม้คนของพรรคบัวดาจะถูกขังอยู่ในตาหนักหิน
ดา แต่ว่าเหล่าชาวยุทธ์ก็ไม่ได้ประมาท ยังดีที่มีคน
มาก เลยสลับกันเฝ้าเวรยาม เพื่อป้องกันการถูกลอบ
โจมตีในช่วงกลางคืน
ลอบโจมตีตอนหลับ หลักการนี้พวกเขาเข้าใจดี
ซีเหมินจั้นอิงไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ในความฝัน
ของนาง นางเห็นก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงมาจากฟ้า
แล้วทุบไปที่หัวของฉีหนิง นางหัวใจแทบแตกสลาย
เลยสะดุ้งแล้วตะโกนออกมาว่า “ฉีหนิง...” นาง
สะดุ้งตื่นจากความฝัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้อนใจ
ของเหยียนลิ่งเซี่ยน “ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องเล็ก
เจ้าเป็นอะไรไป?”
ซีเหมินจั้นอิงลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าฟ้าสางแล้ว เห
ยียนลิ่งเซี่ยนกาลังมองมาที่นาง
นางเงยหน้าขึ้น พบว่ามีหลายคนกาลังมองมาทางนี้
นางรู้สึกอายมาก จากนั้นก็เห็นเซวียนหยวนผ่อเดิน
มาหา แล้วถามว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไม่เป็นไรใช่
หรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นไร” ซีเหมินจั้นอิงดึงเสื้อคลุมออก แล้วลุก
ขึ้นมา นางรู้สึกดีขึ้นมาก นางถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่
ทางนั้น...?”
เซวียนหยวนผ่อรู้ว่านางอยากจะถามอะไร เขาส่าย
หน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร”
ซีเหมินจั้นอิงรู้สึกผิดหวังมาก ในตอนนี้เอง ก็มีชาย
วัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรสีน้าเงินเดินมา ข้างๆ ตัว
เขาก็มีขอทานผมเผ้ายุ่งเหยิงเดินมาด้วย
เซวียนหยวนผ่อเห็นสายตาของซีเหมินจั้นอิง ก็หัน
หลังไปมอง ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นคานับแล้วพูด
ว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย”
“เจ้าสานักลู่ ท่านผู้อาวุโสไป๋หู่” เซวียนหยวนผ่อยก
มือคานับเหมือนกัน ถึงแม้เขาจะเป็นเซี่ยวเว่ยของ
จวนเสินโหว แต่ว่าเขาเป็นคนประสานงานติดต่อกับ
เหล่าชาวยุทธ์ เรื่องมารยาทจะให้ขาดไม่ได้
“ท่านนี้คือ...?” ชายวัยกลางคนมองไปที่ซีเหมินจั้น
อิงที่อยู่ด้านหลังของเซวียนหยวนผ่อ แล้วถามด้วย
ความสงสัย เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “นางคือศิษย์
น้องเล็กของข้าซีเหมินจั้นอิง”
“อ๋อ?” ชายวัยกลางคนรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็ลูก
สาวของท่านเสินโหวนี่เองหรือ? งามสง่าองอาจ
จริงๆ”
เซวียนหยวนผ่อมองไปที่ซีเหมินจั้นอิงแล้วพูดว่า
“ศิษย์น้องเล็ก ท่านนี้คือท่านเจ้าสานักลู่แห่ง
สานักเฟิงเจี้ยน ส่วนท่านนี้คือท่านผู้อาวุโสไป๋หู่แห่ง
พรรคกระยาจก”
ชายวัยกลางคนนั้นก็คือสานักเฟิงเจี้ยนลู่ซางเฮ่อ เขา
กับผู้อาวุโสไป๋หู่ยกมือขึ้นคานับซีเหมินจั้นอิง สองคน
นี้มีตาแหน่งในยุทธภพที่ไม่ธรรมดาเลย แต่กลับ
คานับซีเหมินจั้นอิงแบบนี้ เพราะนางเป็นลูกสาว
ของเสินโหวนั่นเอง
ซีเหมินจั้นอิงเองก็คานับกลับเช่นกัน เห็นลู่ซางเฮ่อ
ท่าทางซื่อ ส่วนผู้อาวุโสไป๋หู่ดูอ้วนนิดหน่อย ผมเผ้า
ยุ่งเหยิง แต่ว่าหน้าของเขาดูสะอาด
นางรู้ดีว่า พรรคกระยาจกคือพรรคอันดับหนึ่งใน
ยุทธภพ มีอานาจมาก ศิษย์พรรคกระยาจกมีอยู่ทั่ว
ใต้หล้า
พรรคกระยาจกมีผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหมดสี่คน ทิศ
ตะวันออกมีมังกรเขียวชิงหลง ทิศตะวันตกมีพยัคฆ์
ขาวไป๋หู่ ทิศใต้มีนกกระจอกแดงจูเชวี่ย ทิศเหนือมี
เต่าทมิฬเสวียนอู่ โดยพรรคกระยาจกแบ่งออกเป็น
ทั้งหมดยี่สิบแปดสาขา ผู้อาวุโสแต่ละท่านจะ
ควบคุมดูแลคนละเจ็ดสาขา
เขาเชียนอูหลิงอยู่ในพื้นที่ของปาสู่ ดินแดนปาสู่อยู่
ในเขตความรับผิดชอบของผู้อาวุโสใหญ่ไป๋หู่
การบุกเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้ พรรคกระยาจกใน
ฐานะพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า อีกทั้งยังเป็น
หัวหน้าของแปดพรรคสิบหกสานัก ก็ต้องส่งคนของ
พวกเขามาร่วมด้วย ก่อนหน้านี้ซีเหมินจั้นอิงก็รู้
พรรคกระยาจกกับทางสานักหลิงจิ้วนั้นบุกขึ้นเขา
เชียนอูหลิงจากทางทิศใต้
ก่อนหน้านี้ลู่ซางเฮ่อเอายาถอนพิษมาช่วยเหล่าชาว
ยุทธ์ อีกทั้งยังพาคนบุกทะลวงขึ้นมาบนยอดเขา
ดอกบัว ก็ถือได้ว่ามีผลงานใหญ่ แต่ว่าจากสีหน้า
ท่าทางของลู่ซางเฮ่อ ดูไม่มีความดีใจเลย สีหน้าของ
เขาดูกังวล เขาพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย พวก
เราล้อมพวกเขามาหนึ่งวันเต็มแล้ว พวกเราควรจะ
หาทางอื่น ให้พวกเขายอมโดยที่ไม่ต้องสู้ดีกว่า
กระมัง?”
“หือ?” เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ท่านเจ้าสานักลู่คิด
ว่าพวกเราจะเกลี้ยกล่อมพวกเขาให้ยอมแพ้ได้
หรือ?”
“พวกเขาไม่มีทางหนีแล้ว” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “หาก
พวกเราไม่ได้คานึงถึงตัวประกันที่อยู่กับพวกเขาแล้ว
ล่ะก็ ตาหนักหินดาคงกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ข้า
กังวลว่าหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกเขาจะต้อง
ตายแน่ แต่ว่าตัวประกันที่อยู่กับพวกเขาก็จะ
เดือดร้อนไปด้วยเหมือนกัน”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า แล้วพูดว่า “ในนั้นมีเจ้า
สานักที่อยู่ในแปดพรรคสิบหกสานักหกคน ถึง
อย่างไรก็จะต้องช่วยพวกเขาออกมา”
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ท่านคิดว่า
พวกเราควรจะเจรจากับพวกเขาดีหรือไม่?”
“เจรจา?” เซวียนหยวนผ่อขมวดคิ้วแน่น “เจรจา
อย่างไร?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 447 ลูกไก่ในกำมือ
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย สถานการณ์
ในตอนนี้ หากจะรักษาชีวิตพี่น้องของพวกเราที่ถูก
จับตัวไป ก็มีเพียงยอมถอยคนละก้าวเท่านั้น”
“ถอย?” เหยียนลิ่งเซี่ยนรีบพูดว่า “จวนเสินโหว
รวมกับแปดพรรคสิบหกสานัก อีกแค่ก้าวเดียวก็จะ
จัดการกับพรรคบัวดาได้แล้ว แต่ท่านกลับบอกให้
พวกเรายอมถอยอย่างนั้นหรือ? ฮึ เหลวไหลสิ้นดี”
“เจ้าเจ็ด อย่าพูดมาก” เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยนิ่งไป
แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสานักลู่พวกเราควรจะถอย
หรือ?”
ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “เซวียนหยวน
เซี่ยวเว่ย ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแต่เป็นห่วงตัว
ประกันเท่านั้น หากว่าไม่สะดวก ก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้
พูดก็แล้วกัน” เขายกมือคานับแล้วกาลังจะเดินกลับ
ไป เซวียนหยวนผ่อพูดขึ้นมาว่า “เจ้าสานักลู่ ในเมื่อ
ท่านก็พูดแล้ว เหตุใดไม่อธิบายมาให้หมดล่ะ”
ลู่ซางเฮ่อลังเล จากนั้นก็พูดว่า “คนที่อยู่ในมือของ
พรรคบัวดาน่าจะมีประมาณสามสิบคน เท่าที่พวก
เราได้สารวจดูแล้ว ทางของพวกเราเองก็น่าจะมีคน
ของพรรคบัวดาอยู่ประมาณร้อยสามสิบสี่สิบคน
พวกเราสามารถลองเจรจากับพวกเขาดู หากเขา
ปล่อยคนมาหนึ่งคน พวกเราก็ปล่อยคนของพวกเขา
กลับไปหนึ่งคน ใช้ชีวิตแลกชีวิต”
“ภายในตาหนักหินดา แน่ใจแล้วว่า ในบรรดาสี่ทูต
ของพรรคบัวดา อีกสามคนต้องอยู่ในนั้นแน่”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “เสวียนหยางไท่อินไม่ปรากฏ
ตัวเลย หากอยู่ในนั้นด้วย หรือว่าพวกเราต้องปล่อย
พวกเขาไปด้วยหรือ? คนของพรรคบัวดาหลายคน
เป็นพวกกระดูกแข็งทั้งนั้น หากปล่อยพวกเขาไป
ด้วยความสามารถของพวกเขาแล้ว จะต้องกลับมา
ยิ่งใหญ่อีกครั้งแน่นอน”
“พวกนั้นเราจะไม่ยอมปล่อยไม่ได้” ลู่ซางเฮ่อยิ้ม
แล้วพูดว่า “ขอแค่พวกเขาไม่ไป ต่อให้พวกเราใช้
ชีวิตแลกชีวิตคนในพรรคทั่วไป ก็ใช่ว่าไม่ได้ หาก
พวกเขายินดี ก็น่าจะเป็นเรื่องดี หากไม่ตกลง คน
ของพวกเขาเองก็น่าจะไม่ยอมเหมือนกัน”
เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ท่านหมายความว่าตั้งใจให้
พรรคบัวดารู้ว่ายังมีทางรอดได้ หากพรรคบัวดา
ปฏิเสธ ภายในของพวกเขาก็น่าจะเกิดความวุ่นวาย
ขึ้นอย่างนั้นน่ะหรือ?”
“ถูกต้อง” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ขอแค่กาจัดคนสาคัญ
ของพรรคบัวดา คนอื่นของพรรคบัวดาก็ไม่ได้มี
ประโยชน์” เขายกมือขึ้นลูบเครา “ต่อให้คนของ
พรรคบัวดาจะกล้ามากแค่ไหน อย่างไรก็เป็นคนมี
เลือดมีเนื้อ คนบนโลกนี้ไม่มีใครไม่กลัวตาย ขอแค่
ให้โอกาสรอดให้กับพวกเขา พวกเขาจะต้อง
พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้รอดไปได้แน่”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสานักลู่
หมายความว่า ใช้วิธีการเจรจา ให้พวกเขาเกิดความ
ขัดแย้งภายในอย่างนั้นหรือ?”
“หากทาได้สาเร็จ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี” ลู่ซางเฮ่อยิ้ม
“หากไม่สาเร็จ พวกเขาจะต้องเกิดความขัดแย้งแน่
มันถือเป็นโอกาสที่ดีสาหรับพวกเรา” เขาพูดว่า “
เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ข้ายินดีจะไปลองเจรจากับ
พวกเขาด้วยตัวของข้าเอง”
เซวียนหยวนผ่อนิ่งไป เหยียนลิ่งเซี่ยนพูดขึ้นมาว่า
“ต่อให้ต้องไปเจรจา ก็คงไม่รบกวนท่านเจ้าสานักลู่
หรอก ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่สามของข้าอยู่ที่นี่กันทั้ง
คู่”
ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกแล้ว ข้าก้าวก่ายมาก
เกินไปเอง”
“ท่านเจ้าสานักลู่ ในเมื่อท่านคิดมาแล้วว่าจะเจรจา
เช่นไร ก็ให้ท่านไปเจรจาก็ได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
เซวียนหยวนผ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ขอแค่พวกเขายินดี
ปล่อยคน พวกเราก็จะไม่ฆ่าแกงกัน แล้วพวกเราก็
สามารถปล่อยคนของเขาไปด้วย แต่ว่าทูตทั้งสี่กับไท่
อินเสวียนหยางของพรรคบัวดาพวกเราจะไม่ปล่อย
ไปแม้แต่คนเดียว”
ลู่ซางเฮ่อยกมือคานับยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินไป
เหยียนลิ่งเซี่ยนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่
เหตุใดท่านถึงให้เขาไปเจรจาล่ะ?”
“เขาไม่ได้เป็นตัวแทนของจวนเสินโหว” เซวียน
หยวนผ่อพูดว่า “หากเจรจาสาเร็จ หากมีคนอยาก
จะไล่แก้แค้น มันก็จะไม่เกี่ยวกับทางจวนเสินโหว”
เหยียนลิ่งเซี่ยนถึงได้เข้าใจ
ในฐานะจวนเสินโหว แต่กลับถูกพรรคบัวดาบีบจน
ไร้หนทาง อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น หากในเวลานี้ไป
เจรจากับทางพรรคบัวดา เท่ากับว่าเสียเกียรติเสีย
ศักดิ์ศรีไปจนหมด
“หากภายในพรรคบัวดาเกิดความขัดแย้งขึ้นมาจริง
สาหรับพวกเราแล้ว มันเป็นเรื่องที่ดีมาก” เซวียน
หยวนผ่อพูด
เหยียนลิ่งเซี่ยนพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เขาทาถึงขนาดนี้
มันก็เหมือนเขาได้ผลงานใหญ่ไปเลยนะ?”
“แล้วเขาทาผลงานในครั้งนี้น้อยหรือ?” เซวียน
หยวนผ่อนิ่งมาก “มีคนสร้างผลงานมากขึ้น ก็
เหมือนเพิ่มดอกไม้บนนุ่นเท่านั้น”
เหยียนลิ่งเซี่ยนพยักหน้า ซีเหมินจั้นอิงอดไม่ได้จึง
ถามขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เสวียนหยางไท่อินอยู่ใน
นั้นด้วยจริงหรือ?”
เซวียนหยวนผ่อเหมือนจะคิด แล้วพูดว่า “ที่จริงแล้ว
ข้าเองก็แปลกใจอยู่ จนถึงตอนนี้ ข้าเองก็เห็นแค่ทูต
ทั้งสี่ของพรรคบัวดาเท่านั้น แต่ไม่เห็นเสวียนหยาง
หรือว่าไท่อินเลย แม้แต่ต้าจงซือเอง ข้าก็ไม่เห็นเขา
โผล่ออกมา”
ก่อนหน้านี้ซีเหมินจั้นอิงอยู่ที่ธารน้าแข็ง ฉีหนิงสั่งให้
นางเฝ้าปีศาจน้อยไว้ ก็ไม่รู้เรื่องที่เจ้าลัทธิบัวดากับ
แม่ทัพหน้ากากโลหะสู้กัน อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าเจ้าลัทธิ
บัวดาได้รับบาดเจ็บสาหัส
เหยียนลิ่งเซี่ยนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่
หรือว่าพรรคบัวดาจะมีแผนร้ายอะไรอีก? เหตุใดเจ้า
ลัทธิบัวดาถึงได้ไม่โผล่ออกมาสักที?”
เซวียนหยวนผ่อคิด เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “เรื่อง
เป็นมาอย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้ การที่พรรคบัวดาตกอยู่
ในสภาพนี้ ตามหลักแล้ว เจ้าลัทธิบัวดาไม่น่าจะไม่มี
การเคลื่อนไหว เรื่องนี้จะต้องมีเบื้องหลังแน่”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงของหานเทียนซู่เดินมา
แล้วกระซิบบอกเขาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ภายในตาหนัก
หินดา เหมือนมีเสียงการต่อสู้”
“ต่อสู้?” เซวียนหยวนผ่อตกใจ
หานเทียนซู่พูดว่า “พวกเราได้จัดให้พี่น้องของพวก
เราที่หูไวคอยสังเกตความเคลื่อนไหวเอาไว้ เมื่อครู่
เหมือนจะมีเสียงของการต่อสู้ ถึงแม้จะไม่ค่อยดัง
แต่ว่ามีคนสู้กันแน่นอน...”
“หรือว่าพวกเขาจะมีความขัดแย้งภายใน” เหยียน
ลิ่งเซี่ยนพูดอย่างดีใจมากว่า “หากเป็นอย่างนั้นจริง
พวกเราก็สามารถบุกเข้าไปภายในตาหนักหินดาแล้ว
สินะ”
เซวียนหยวนผ่อพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อย่าเพิ่งได้
ใจไป มันอาจจะเป็นลูกไม้ของพรรคบัวดาก็ได้” เขา
เดินตรงไปที่ตาหนักหินดา ซีเหมินจั้นอิงกับคนอื่น
เองก็เดินตามเขาไปด้วยเช่นกัน
ตาหนักหินดาตั้งอยู่บนยอดเขาดอกบัว สร้างด้วยหิน
ดาก้อนใหญ่ ต่อให้มาในตอนกลางวัน ก็ให้ความรู้สึก
ที่อึมครึมมาก รูปแบบการก่อสร้างของมันประหลาด
มาก ด้านหน้ามีประตูหินขนาดใหญ่ปิดไว้ หินทั้ง
สองก้อนมีสลักภาพเอาไว้ มันเป็นภาพของดอกบัว
บนขอบประตู มีคนเอียงหูแนบแอบฟังอยู่ที่ประตู
หิน พวกเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เมื่อเห็นเซ
วียนหยวนผ่อ ก็มีคนหนึ่งวิ่งมารายงานว่า “เซวียน
หยวนเซี่ยวเว่ย ด้านในเหมือนมีเสียงต่อสู้กัน”
“มีเสียงอาวุธหรือไม่? มีการต่อสู้กี่คน?” เซวียน
หยวนผ่อถาม
คนๆ นั้นตอบว่า “ไม่เหมือนการต่อสู้เอาชีวิตกัน
เหมือนแค่ประลองฝีมือเท่านั้น อีกทั้งก็ไม่ได้ยินเสียง
อาวุธด้วย”
อีกคนเดินมารายงานว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย
นอกจากเสียงพวกนี้แล้ว ยังมีกลิ่นแปลกๆ ลอยมา
ด้วย”
“กลิ่น?”
“เหมือนเป็นกลิ่นน้ามัน” คนๆ นั้นพูดว่า “ตั้งแต่
เมื่อเช้าตรู่ กลิ่นมันค่อยๆ โชยออกมา แต่ว่ามันไม่ได้
แรงมาก แต่ว่าตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน กลิ่นนั่น
มันเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้พอยืนอยู่หน้าประตู
ใหญ่ ถึงได้กลิ่นฉุนของมันชัดเจน”
เซวียนหยวนผ่อรีบเดินขึ้นหน้าไป แล้วยืนอยู่หน้า
ประตู เขาปิดตาลง ตอนนี้หน้าประตูมีคนมายืน
รวมกันนับร้อยคน มีคนไม่น้อยถืออาวุธเตรียมไว้ใน
มือ ทั้งหมดมองมาที่เซวียนหยวนผ่อ หลังจากนั้นไม่
นาน เซวียนหยวนผ่อก็ลืมตาขึ้น แล้วเดินมา มีคน
จานวนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา
“ในนี้มีกลิ่นน้ามันจริงๆ” เซวียนหยวนผ่อสีหน้า
จริงจังมาก “เหมือนพวกเขาน่าจะรู้แล้วว่าไม่มีทาง
รอดแล้ว คิดจะเผาตาหนักหินดา”
เมื่อคาพูดออกมาจากปาก มีคนไม่น้อยที่รู้สึกดีใจ
แต่ก็มีคนไม่น้อยตกใจจนหน้าเสีย มีคนพูดขึ้นมาว่า
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย เจ้าสานักของพวกเราอยู่ใน
นั้นด้วย จะให้พวกเขาถูกเผาตายในนั้นไม่ได้นะ”
จากนั้นก็มีคนเดินออกมาจากฝูงชน คนที่พูดก็คือคน
ของสานักกระดูกเหล็ก สานักกระดูกเหล็กเป็นหนึ่ง
ในแปดพรรคสิบหกสานัก การบุกขึ้นเขาในครั้งนี้
เพราะเจ้าสานักกระดูกเหล็กถูกพิษ ถึงได้ถูกคนของ
พรรคบัวดาจับตัวไป
“ถูกแล้ว เจ้าสานักอยู่ในนั้น พวกเราต้องช่วยเขา
ออกมา” ครั้งนี้คนของสานักกระดูกเหล็กมาร่วม
ด้วยไม่น้อยเลย ตอนนี้เดินขึ้นหน้ามาด้วยความโกรธ
“ยังมีท่านประมุขของพวกเราด้วย เขาก็อยู่ในนั้น”
“ท่านหัวหน้าพรรคของพวกเราก็ด้วย พวกเราจะไม่
ยอมให้พวกเขาต้องเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
พริบตาเดียวก็มีคนมากกว่าสิบคนพูดขึ้นมา
มีคนยิ้มแล้วพูดว่า “พรรคบัวดาคิดจะเผาตัวเอง
หรือว่าพวกเราต้องไปขวางอีก? ตาหนักหินดา
แข็งแกร่งมาก พวกเราแทบจะบุกเข้าไปไม่ได้เลย
พวกเขาคิดจะเผาตัวเองตาย พวกเราเองก็จะได้ไม่
ยุ่งยาก”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” คนของ
สานักกระดูกเหล็กโมโหขึ้นมาทันที “หรือว่าพวกเจ้า
เห็นคนจะตายไม่คิดจะช่วยหรืออย่างไร?”
“คนจะตายไม่ช่วย? เป็นถึงเจ้าสานัก กลับถูกคนจับ
ตัวไป ต่อให้กลับออกมาได้ก็ขายขี้หน้าคนอื่น” มีคน
พูดขึ้นมาว่า “คิดว่าเจ้าสานักของพวกเจ้าน่าจะยอม
ตายอยู่ในนั้นมากกว่า หากว่าพวกเราไม่ห่วง จะมา
นั่งกินลมชมวิวกันอยู่แบบนี้หรือ หากล้อมกันต่อไป
แบบนี้ ช้าเร็วคงถูกเผาไปพร้อมกับตาหนักหินดา
แล้ว”
พริบตาเดียวทั้งสองฝ่ายก็เกิดปากเสียงกันขึ้น อีกทั้ง
บางคนก็เริ่มถืออาวุธแล้ว เตรียมจะลงมือ
สถานการณ์เริ่มวุ่นวาย
ระหว่างชาวยุทธ์ มีบุญคุณความแค้นแฝงอยู่ตลอด
การบุกขึ้นเขาครั้งนี้ ก็หวังที่จะเห็นพรรคและสานัก
อื่นกาลังพลลดลงบาดเจ็บ สานักกระดูกเหล็กเป็น
หนึ่งในแปดพรรคสิบหกสานัก หลายปีมานี้เหย่อ
หยิ่งอวดดีมากในยุทธภพ ทาให้หลายคนไม่พอใจ
มาก ตอนนี้เลยมีหลายคนอยากเห็นเจ้าสานัก
กระดูกเหล็กตายอยู่ในตาหนักหินดา
ไม่เพียงแค่เจ้าสานักกระดูกเหล็ก เจ้าสานักและ
ประมุขคนอื่นๆ ก็มีความแค้นกับสานักกับพรรคอื่น
ไม่น้อยเหมือนกัน ศิษย์ของพวกเขาต้องอยากให้
ช่วยเจ้าสานักหรือประมุขของตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่า
ในใจของพรรคและสานักอื่นก็หวังว่าพวกเขาจะไม่
รอด บางคนเป็นเพราะความแค้นส่วนตัว บางคนก็
คิดว่าหากพวกเขาตายไป พรรคของพวกนั้นก็
จะต้องตกต่าไปด้วย
เซวียนหยวนผ่อสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดด้วย
น้าเสียงเข้มว่า “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว”
ทุกคนเกรงกลัวอานาจของจวนเสินโหว พอได้ยิน
เสียงพวกเขาก็หยุด เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ตาหนัก
หินดายังไม่ถูกตีแตก คนของพรรคบัวดายังไม่ล่ม
สลายไป ศัตรูอยู่ตรงหน้า พวกเจ้ายังจะก่อความ
วุ่นวายขึ้นมาอีก หรือว่าคิดอยากจะให้พรรคบัวดามี
โอกาสชนะขึ้นมาอีก?”
ในใจของหลายคนคิดว่าพรรคบัวดาก็เหมือนลูกไก่
ในกามือ ไม่มีทางมีโอกาสชนะอีก พวกเขาไม่ได้คิด
มาก่อน แต่พอเซวียนหยวนผ่อพูดมาแบบนี้ ก็ไม่มี
คนกล้าเถียง
“เหล่าเจ้าสานักเพื่อกาจัดพรรคบัวดาแล้วถึงได้
มาถึงที่นี่ ขอแค่ยังมีโอกาส พวกเราจะต้องช่วยพวก
เขาแน่” เซวียนหยวนผ่อพูดเสียงนิ่ง เขากวาด
สายตามอง แล้วไปหยุดที่ลู่ซางเฮ่อ ไม่นานก็หนีไป
ลู่ซางเฮ่อเหมือนรู้ตัว จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไป แล้ว
ยกมือคานับแล้วพูดว่า “ทุกท่าน ไม่ทราบว่าจะฟัง
ข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
ลู่ซางเฮ่อมีผลงานมากที่สุดในครั้งนี้ ช่วยชีวิตคนมา
หลายคน ครั้งนี้ถือว่าได้ชื่อเสียงกลับไปไม่น้อย เหล่า
ชาวยุทธ์เห็นลู่ซางเฮ่อ ไม่รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 448 คำพูดของเด็กๆ
ลู่ซางเฮ่อยกมือคานับ ค่อยๆ พูดว่า “จอมยุทธ์ทุก
ท่าน เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ยพูดถูกแล้ว พวกเราเหล่า
ชาวยุทธ์มีอุดมการณ์เดียวกัน ถึงแม้อาจจะมีความ
บาดหมางกันบ้าง แต่ว่าที่มาที่นี่เพราะทุกคนมี
คุณธรรม อย่าให้เรื่องเล็กน้อยมาทาให้การใหญ่เสีย
เลย พรรคบัวดายังไม่ได้ถูกกาจัด ทุกคนต้องร่วมแรง
ร่วมใจกันถึงจะถูก”
ทุกคนไม่พูดไม่จา หลายคนพยักหน้า
“ไม่เพียงแค่เหล่าเจ้าสานักที่ถูกจับตัวไป เหล่าพี่
น้องคนอื่น หากพวกเรามีโอกาสแม้เพียงนิด พวก
เราก็จะต้องช่วยพวกเขาออกมาให้ได้” ลู่ซางเฮ่อพูด
อย่างจริงจังว่า “ครั้งนี้มีคนของพวกเราบาดเจ็บล้ม
ตายไปมากแล้ว จะให้มีใครตายอีกไม่ได้ พวกเขาถูก
จับตัวไป พวกเราจะไม่ช่วยอย่างนั้นเลยหรือ?”
“ท่านเจ้าสานักเป็นคนมีคุณธรรม ที่ท่านพูดมานั้น
ถูกแล้ว” มีคนพูดขึ้นมาว่า “ท่านเจ้าสานักลู่ ท่านว่า
พวกเราควรจะทาอย่างไร?”
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “การบุกกวาดล้างพรรคบัวดาใน
ครั้งนี้ หลักๆ ก็เพื่อกาจัดมารร้าย ทูตทั้งสี่ของพรรค
บัวดา ไท่อินเสวียนหยางคนพวกนี้ พวกเราไม่มีทาง
ปล่อยพวกเขาไปแน่ แต่ว่าข้ารู้สึกว่า หากอยากช่วย
ตัวประกัน พวกเราก็ควรหาทางอะลุ่มอล่วย ข้าคิด
ว่าพวกเราควรเจรจากับพวกเขา ให้พวกเขาปล่อย
คนของพวกเราออกมา พวกเราเองก็จะยอมใหคน
ของพวกเขาอยู่รอดต่อไป ใช้ชีวิตแลกชีวิต ทุกท่าน
เห็นเป็นประการใด?”
“ท่านเจ้าสานักลู่ คนพวกนั้นฆ่าคนไปมากมาย ศิษย์
ของข้าสองคนก็ตายด้วยมือของพวกเขา หรือว่าจะ
ให้พวกเขาตายเปล่า?” มีคนตะคอกออกมา
เมื่อมีคนพูดออกมาแบบนี้ ก็มีคนไม่น้อยเห็นด้วย
เพราะการบุกขึ้นเขาครั้งนี้ พวกเขาเสียหายไปไม่
น้อย ศิษย์พี่น้องของพวกเขาหลายคนถูกฆ่าตาย
หากปล่อยไปง่ายๆ พวกเขาไม่มีทางยอมแน่นอน
ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “พรรคบัวดากับชาวยุทธ์
อย่างพวกเราอุดมการณ์ต่างกัน อีกทั้งยังไม่เคยทา
สัตยาบันร่วมกับจวนเสินโหว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น
แล้ว หลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น ใครจะไปแก้แค้นอะไร
ก็ไม่มีใครห้าม แต่ว่าตอนนี้พวกเราจาเป็นจะต้อง
เจรจากับพวกเขาก่อน”
คาพูดของเขา ทุกคนเข้าใจ
สถานการณ์ในตอนนี้สามารถใช้ชีวิตแลกชีวิตได้
แล้วปล่อยพรรคบัวดาไปก่อน แต่หากมีใครไม่ยอม
เลิกรา ก็ไม่มีใครห้าม
ทุกคนตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไร เหมือนทุกคนรู้สึกว่า
คาพูดพวกนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัย
เห็นทุกคนไม่พูดอะไร ลู่ซางเฮ่อจึงพูดอย่างจริงจังว่า
“ไม่ทราบทุกท่านเห็นเป็นประการใด? ตัวประกันอยู่
ในนั้น พวกเขาหนีไปไหนไม่รอด อาจจะจุดไฟเผา
ตัวเองก็ได้ หากยังช้ากันอยู่ อาจไม่เป็นผลดีเลย”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ท่าน
เจ้าสานักลู่ ที่ทุกคนรอด แล้วมาถึงที่นี่ได้ จะว่าไป
แล้ว ก็เป็นเพราะท่าน ไม่อย่างนั้นทุกคนคงตายอยู่ที่
เขาเชียนอูหลิงนี่แล้ว ที่ท่านทาแบบนี้ก็เพราะคิดถึง
ตัวประกันที่ถูกจับไป ท่านมีเมตตานัก พวกเราเองก็
ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
“ถูกต้อง ท่านเจ้าสานักลู่ ขอแค่ไม่ปล่อยหัวหน้า
ของพวกมันไป คนอื่นในพรรคบัวดา พวกเราจะปิด
ตาข้างหนึ่งก็แล้วกัน”
พริบตาเดียวหลายคนก็เริ่มเห็นด้วย แต่ก็มีหลายคน
ที่หน้านิ่งไม่พูดไม่จา
ลู่ซางเฮ่อตอนนี้หันหลังกลับมา แล้วเดินไปที่ขั้น
บันไดหิน จากนั้นก็เดินไปที่ประตูดอกบัว แล้วพูดว่า
“เจ้าสานักเฟิงเจี้ยนลู่ซางเฮ่อ มาที่นี่เพื่อทาการ
เจรจากับพรรคบัวดา จะเป็นหรือตาย ขอให้ชี้แจง
มาด้วย” ขณะที่พูด กาลังภายในของเขา ก็แผ่
ออกมา หลายคนยืนมองอย่างชื่นชม แอบคิดในใจ
ว่าสานักเฟิงเจี้ยนบารมีแก่กล้าในซีชวนมาก ลู่ซาง
เฮ่อเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา
ภายในตาหนักหินดาไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทุก
คนต่างมองหน้ากัน
ลู่ซางเฮ่อพูดอีกครั้ง “สวรรค์มีเมตตาธรรม หรือว่า
พวกเจ้าอยากเห็นพี่น้องของพรรคบัวดาตายไร้ที่
ฝัง?”
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินคนพูดขึ้นมาว่า “คนของ
พวกเจ้าอยู่ในมือของพวกเรา ตอนนี้พวกเราจะเปิด
ประตู แต่หากมีใครบุกเข้ามาแม้แต่คนเดียว ตัว
ประกันทั้งสามสิบสามคน จะตายทันที คนของ
พรรคบัวดาของพวกเรา จะสู้จนตัวตาย”
ทุกคนต่างตะลึงไป คิดไม่ถึงเลยว่าพรรคบัวดาจะ
ยอมเปิดประตูก่อน มีหลายคนคิดว่า พรรคบัวดาคง
หมดทางหนีแล้ว แต่ว่าก็ยังคงกลัวตายอยู่ แสดงว่า
คงอยากจะเจรจากับลู่ซางเฮ่ออยู่
ลู่ซางเฮ่อมองไปที่เซวียนหยวนผ่อ เซวียนหยวน
ผ่อยกมือแล้วพูดว่า “ทุกคนถอยหลังไป ระวังพวก
เขาจะมีแผน”
เหล่าชาวยุทธ์ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แอบคิดในใจ
ว่าหากพรรคบัวดาคิดจะสู้จนตัวตาย เมื่อเปิดประตู
ออก จะต้องมีคนบุกออกมาแน่ ใครอยู่หน้าสุด
จะต้องปะทะกับคนของพรรคบัวดาอีก ทุกคนเลย
ต่างถอยหลังออกไป
ลู่ซางเฮ่อเองก็ถอยลงมาจากขั้นบันไดหิน แล้วเงย
หน้ามองไปที่ประตู
ไม่นานนัก ทุกคนก็ได้ยินเสียงของประตูหิน มันเปิด
ออกมาเล็กน้อย เหล่าชาวยุทธ์เตรียมอาวุธพร้อมมือ
บางคนก็ซ่อนอาวุธลับไว้ในมือแล้ว พร้อมจู่โจมทุก
เวลา
ประตูหินเปิดแง้มออกมา สามารถเข้าออกได้เพียง
คนเดียว ด้านในช่องแคบนั่นมืดมาก ใครก็ไม่เห็นว่า
ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง
เหล่าชาวยุทธ์ต่างมองหน้ากัน ในตอนนี้ ก็เห็นที่
ประตูหินมีคนเดินออกมาคนหนึ่ง เมื่อคนๆ นั้นเดิน
ออกมานอกประตูหิน ทุกคนถึงได้เห็นชัดเจนว่า คน
ที่ออกมานั้นไม่ได้สวมชุดของพรรคบัวดา แต่เป็นชุด
ของเหล่าชาวยุทธ์ทั่วไป เสื้อผ้าของเขาเปื้อนเลือด
แต่เลือดแห้งแล้ว คนๆ นั้นดูไปแล้วอายุน้อยมาก
น่าจะอายุไม่ถึงยี่สิบ
ทุกคนรู้สึกแปลกใจมาก ตอนนี้มีคนคิดว่า หรือว่าจะ
เป็นตัวประกันที่ถูกจับเข้าไป พรรคบัวดาปล่อยตัว
ประกันออกมาคนหนึ่งเพื่อแสดงความจริงใจ
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงของคนๆ หนึ่งดังขึ้นแล้ว
พูดว่า “ฉี...ฉีหนิง...” เงาของคนๆ นั้นเดินออกมา
จากกลุ่มฝูงคน พุ่งตรงมาทางชายหนุ่ม ทุกคนหันไป
มองที่ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้น
มีคนจาได้ว่า เงานั่นเป็นผู้หญิง เป็นเจ้าหน้าที่หญิง
ของจวนเสินโหว
คนที่บุกขึ้นหน้ามา คือซีเหมินจั้นอิงนี่เอง ส่วนคนที่
เดินออกมาจากประตูหิน ก็คือจิ่นอีโหวแห่งต้าฉู่ฉี
หนิง
เมื่อวานปีศาจน้อยแกล้งเป็นเหนื่อย จากนั้นก็สัมผัส
ไปที่กลไกบนผนังหินผา ทาให้นางหมุนตามหินนั่น
เข้าไปข้างใน ฉีหนิงได้ยินเสียงกลไก ก็รู้ว่า
สถานการณ์ไม่ดีแน่ เลยพุ่งตัวตามปีศาจน้อยไปโดย
ไม่ได้คิด
ปีศาจน้อยเองก็ไม่คิดว่าฉีหนิงจะฉลาดแล้วก็ไวมาก
ขนาดนี้ นางเห็นฉีหนิงพุ่งตัวเข้ามาตามช่องกับตา
ของนางเอง
ฉีหนิงรู้ดีว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอะไรแน่ ขอแค่ยัง
สามารถควบคุมปีศาจน้อยเอาไว้ได้ ทุกอย่างก็จะอยู่
ในกามือของเขา หลังจากพุ่งตัวเข้ามาในนี้แล้ว เขาก็
รีบจับไปที่ข้อมือของปีศาจน้อย ในตอนนี้เอง ผนัง
ผาก็ปิดสนิทจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านบน
ปีศาจน้อยตะโกนออกมาว่า “มีหินหล่นลงมา ไป
เร็ว”
ฉีหนิงถึงได้สติกลับมา ด้านหลังผนังผายังมีกลไกอีก
เขาไม่พูดมาก จับมือของปีศาจน้อยแล้วพุ่งไป
ด้านหน้า จากนั้นก็ได้ยินเสียง “กึกกึก” เดิมทีก็มี
การตั้งค่ายกลเหลียนซือไว้แล้ว หลังจากผนังหินปิด
ลง มันก็ไปโดนกลไกอื่นอีก ทาให้ก้อนหินที่อยู่
ด้านบนนั้นหล่นลงมา
ฉีหนิงกระชากตัวของปีศาจน้อยพุ่งไปด้านหน้า
หลายก้าว ด้านหลังของเขามีเสียงก้อนหินกลิ้งมา
หลายก้อน เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นก้อนหินขนาด
ใหญ่หล่นลงมาปิดทาง
ตอนนี้รอบๆ มืดสนิท แต่ฉีหนิงสายตาดีมาก พอจะ
เห็นเป็นโครงอยู่บ้าง ในใจของเขาโกรธมาก เขาออก
แรงในมือ ปีศาจน้อยพูดว่า “โอ้ย โอ้ย ปล่อยนะ
เจ้า...โอ้ย เจ้าทาข้าเจ็บนะ”
ฉีหนิงพอคิดว่าปีศาจน้อยเจ้าเล่ห์มาก เกือบทาให้
เขาตาย ก็รู้สึกโกรธมาก อยากจะฆ่านางไปเดี๋ยวนี้
เลย แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ฉีหนิงจะต้องสงบ
สติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ เขารู้ว่าเขากาลังติดกับ
อยู่ หากฆ่าไปตอนนี้ เกรงว่าอาจจะออกไปจากที่นี่
ไม่ได้เลย ตอนนี้มีเพียงปีศาจน้อยเท่านั้นที่พาเขา
ออกจากที่นี่ไปได้ เขาไม่ผ่อนแรง แต่พูดว่า “เจ้าเก่ง
นักนะ”
“โอ้ย ข้าเจ็บ ข้าอยากตาย...” ปีศาจน้อยร้องโอด
โอย ฟังจนน่าสงสาร
ฉีหนิงผ่อนแรงลง แต่ไม่ปล่อยมือ
ปีศาจน้อยพูดด้วยความโมโหว่า “ข้าจะไปเก่งสู้เจ้า
ได้อย่างไรกัน? เจ้าเป็นผู้ชาย ก็ได้แต่รังแกเด็กตัว
เล็กๆ อย่างข้า”
“เด็กหรือ?” ฉีหนิงพูดด้วยความโมโหว่า “ปีศาจ
น้อย ตรงไหนที่ควรโตเต็มวัยก็โตเต็มวัยแล้ว ขนตรง
นั้นก็ขึ้นแล้ว ยังเด็กอีกหรือ?” พอพูดแบบนี้ออก
มาแล้ว ก็รู้สึกเขินมาก
ปีศาจน้อยพูดว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้า...เจ้ารู้ได้
อย่างไรว่าขนของข้าขึ้นแล้ว?”
ฉีหนิงยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ เขาบอกไม่ได้แน่นอนว่าเขา
เห็นตอนที่เขาปีนเขาขึ้นมา เขารู้สึกขามาก แอบคิด
ในใจว่าปีศาจน้อยนี่ไม่รู้จักอายเลย อะไรก็กล้าพูด
ออกมาหมด
เขาไม่รู้ สาวชาวเหมียวเดิมทีก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย
อยู่แล้ว ส่วนปีศาจน้อยเอาแต่ใจมาตั้งแต่เล็ก ไม่มี
ใครคุมนางอยู่ เรื่องชายหญิงต้องมีระยะนางก็ไม่
ค่อยรู้อะไร ใสซื่อมาตลอดเลยไม่ค่อยกลัวอะไร
เท่าไหร่
“ข้ารู้แล้ว” ปีศาจน้อยพูดว่า “เจ้าแอบดูข้าใช่
หรือไม่? เจ้าแอบดูตั้งแต่เมื่อไหร่? หือ...รู้แล้ว
จะต้องเป็นตอนที่ปีนผาขึ้นมาแน่เลย เจ้าอยู่ข้างล่าง
ข้า ก็เลย...ก็เลยแอบดูของข้าใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าปีศาจน้อยนี่ก็ฉลาดไม่เบา เขา
ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ พอถูกปีศาจน้อยจับได้ ก็รู้สึก
หน้าแดงขึ้นมา เขาพูดว่า “อย่ามาพูดเหลวไหล ข้า
ไม่เคยดูของเจ้า ข้าแค่เดา”
“เจ้าเดา?” ปีศาจน้อยไม่เชื่อ “เจ้าเป็นคนลามก เจ้า
ต้องแอบดูข้าแน่ หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายจริง เจ้าก็
ยอมรับมา”
ฉีหนิงอดไม่ได้จึงพูดว่า “ข้าดูจริง แล้วเจ้าจะ
ทาไม?”
“ฉีหนิง เจ้าว่าของข้ามันน้อยหรือไม่?” ปีศาจน้อย
ถาม “ข้าเห็นของสาวใช้ของข้า ของพวกนางเยอะ
มากเลยนะ ข้าน้อยกว่าของพวกนางตั้งเยอะ มันไม่
เห็นสวยเลย”
ฉีหนิงแทบจะสาลักน้าลายตาย เขาอดไม่ได้จึงพูด
ขึ้นมาว่า “เจ้าเด็กบ้า รู้จักอายบ้างหรือไม่? เรื่อง
แบบนี้ก็พูดออกมาได้?”
ปีศาจน้อยไม่ได้พูดดีด้วย “ตอนนี้มาหาว่าข้าหน้าไม่
อายอีก? เจ้าแอบดูข้า หรือว่าเจ้ารู้จักอายกัน? พูด
ไปก็ไม่ได้ทาให้ใครตายนี่นา ฉีหนิง ผู้ชายอย่างพวก
เจ้ามีหรือไม่? น่าเกลียดหรือไม่?”
“หุบปากเลย” ความโกรธของฉีหนิงถูกปีศาจน้อย
พูดจนหายโกรธ แต่เขาก็ยังระวังปีศาจน้อยอยู่
กังวลว่านางจะเล่นลูกไม้อะไรอีก “ไม่ต้องพูดแล้ว
เจ้าเกือบทาให้ข้าตาย เจ้ารู้หรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 449 ความลับ
ปีศาจน้อยพูดอย่างน้อยใจว่า “ไม่พูดก็ไม่พูด มันจะ
อะไรนักหนา ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะพุ่งเข้ามานี่นา แต่ว่า
ข้าก็เตือนเจ้าแล้ว หากข้าไม่ตะโกนบอก เจ้าถูกหิน
ทับตายไปแล้ว ไม่ขอบคุณข้า แล้วยังจะมาโทษข้า
อีก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่ใช่ข้า เจ้าก็ถูกทับตาย
ไปแล้วเหมือนกัน อย่ามาแสร้งทาเป็นคนดีตรงนี้
อย่าพูดมาก ในเมื่อเจ้ารู้ว่าที่นี่มีกลไก ก็รีบเปิดออก
เลย”
“ไม่ได้”
ฉีหนิงตะคอก “ไม่ได้? ตอนนี้เจ้ามีสิทธิพูดหรือ”
เขาออกแรงในมือ ปีศาจน้อยรีบพูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่ง
ร้อนใจไปมันไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้ข้าไม่ได้เป็นคนตัดสิน
ใจสักหน่อย”
“หมายความว่าอย่างไร?” ฉีหนิงตะลึงไป
ปีศาจน้อยพูดว่า “กลไกนี่ มีเพียงท่านเจ้าลัทธิ
เท่านั้นที่รู้ มันเป็นความลับมาก ท่านเจ้าลัทธิถึงแม้
จะบอกข้า แต่ว่าข้าเองก็ไม่เคยเข้ามาเลย”
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ?” ฉีหนิงไม่ได้พูดดีด้วย
ปีศาจน้อยพูดว่า “ข้ารับประกันได้เลย ถึงแม้ก่อน
หน้านี้ข้าจะโกหกเจ้า แต่ว่าครั้งนี้ข้าพูดจริง ท่านเจ้า
ลัทธิบอกกับข้าว่า หากมีวันหนึ่งที่มีคนบุกมาโจมตี
พรรคบัวดา ก็ให้ข้ามาหลบอยู่ในนี้ ที่นี่ปลอดภัยมาก
ไม่มีใครรู้ เขายังแอบบอกข้าด้วยว่าต้องเปิดกลไกนี่
อย่างไร”
“ในเมื่อเขาสอนเจ้าเปิดกลไกได้ แล้วเหตุใดถึง
ออกไปไม่ได้?”
“ก็เขาสอนข้าเข้ามา แต่ไม่ได้สอนข้าออกไปอย่างไร
นี่นา” ปีศาจน้อยพูดอย่างจนใจว่า “เขาน่าจะคิดว่า
คงไม่มีใครบุกมาถึงยอดเขาดอกบัวได้ ข้าไม่รู้จริงๆ
ว่าต้องออกไปอย่างไร พี่ชาย เชื่อข้าสักครั้งเถอะนะ
ครัง้ นี้ข้าไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ หากข้าหลอกเจ้า ข้า
ยอมเป็นเต่าเลย”
ฉีหนิงไม่มีทางเชื่ออยู่แล้ว เขาพูดว่า “เจ้าลัทธิบัวดา
ดีกับเจ้าจริงๆ เลยนะ บอกแค่เจ้าคนเดียวเลยอย่าง
นั้นหรือ? ในเมื่อเขาบอกทางเข้ามาที่นี่ เหตุใดถึงไม่
บอกวิธีแบบนั้นแหละ”
“ข้าเองก็ไม่รู้ทาไม” ปีศาจน้อยทาหน้าทาตาน่า
สงสาร “เขานิสัยแปลกมากเลยนะ ถึงแม้เขาจะดีกับ
ข้า แต่ว่าไม่ได้ชอบเขา ข้าเองก็ถูกขังอยู่ในนี้ ยังถูก
เจ้าจับมาอีก หากข้าออกไปได้ ข้าจะหลอกเจ้าไป
ทาไมกัน?”
ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่าปีศาจน้อยพูดจริงหรือไม่ เขาหยิบมีด
ออกมาแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่รู้ เก็บเจ้าไว้แล้วก็
ไม่มีประโยชน์ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
ปีศาจน้อยรีบพูดว่า “อย่านะ เจ้าจะฆ่าคนไปเรื่อย
แบบนี้ไม่ได้”
“แล้วเจ้าฆ่าคนอื่นนักน้อยหรือ?” ฉีหนิงแอบคิดใน
ใจว่า หากปีศาจน้อยไม่รู้จริงๆ แล้วจะออกไป
อย่างไร ถ้าอย่างนั้นเขาจะต้องถูกขังอยู่ในนี้ตลอดไป
อย่างนั้นหรือ เขาพยายามมองเข้าไปด้านใน เหมือน
มันจะมีทางเดินอยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเดินไปทาง
ไหน
ปีศาจน้อยรู้ว่าฉีหนิงโกรธมากแล้วตอนนี้ นางเลย
พูดอย่างระวังมากว่า “ฉีหนิง เจ้าฉลาดนี่นา ต่อให้
ข้าไม่รู้ เจ้าก็น่าจะหาทางออกไปได้ใช่หรือไม่”
“หุบปากไปเลย” ฉีหนิงจับข้อมือของปีศาจน้อย
เอาไว้ ส่วนมืออีกข้างถือมีดสั้นของเขา แล้วเดินไป
ตามทางอย่างระมัดระวัง
ทางเดินนี้แคบมาก ฝืนเดินสองคนก็พอได้อยู่ พอ
เดินมาได้ระยะหนึ่ง ฉีหนิงก็รู้สึกแน่นหน้าอก เขา
รู้สึกว่าปีศาจน้อยเดินช้ามาก น้าเสียงของนางก็ไม่มี
แรงเหมือนกัน “ฉีหนิง ข้าหายใจลาบากมาก
ร่างกายไม่มีแรงเลย ไม่ได้กินอะไรมานานมากแล้ว
เจ้า...เจ้าแบกข้าไปได้หรือไม่?”
“เจ้าคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?” ฉีหนิงด่าว่า “เจ้าทา
ให้ข้าติดอยู่ในนี้ ยังมีหน้ามาให้ข้าแบกเจ้าอีกหรือ
ฝันไปเถอะ?”
“แต่ข้าเดินไม่ไหวแล้วนี่นา” ปีศาจน้อยพูดว่า “ถ้า
เช่นนั้นเจ้าก็เดินไปคนเดียว ทิ้งข้าไว้นี่แหละ ไม่ต้อง
สนใจข้า”
ฉีหนิงพูดว่า “ให้ข้าทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ เจ้าจะได้หนีไปคน
เดียวได้ใช่หรือไม่? เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ก่อนที่ข้าจะ
ออกไปจากเขาเชียนอูหลิง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย
เจ้าก็จะต้องอยู่กับข้า หากข้าต้องตายในนี้ เจ้าเองก็
ไม่รอดเหมือนกัน”
ปีศาจน้อยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็ชอบข้า
สินะ มิน่าล่ะ”
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?”
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าแม้ตายก็ไม่แยกจากกันหรือ
อย่างไร?” ปีศาจน้อยพูดว่า “เพลงของชาวเหมียว
เรา ในเนื้อเพลงเขียนไว้ว่าหากผู้ชายคนหนึ่งชอบ
ผู้หญิงคนหนึ่ง แม้ตายก็จะอยู่ด้วยกัน เจ้าอยากให้
ข้าตายพร้อมกับเจ้า แสดงว่าเจ้าก็ชอบข้า”
ฉีหนิงทั้งโกรธทั้งโมโห เขาพูดว่า “เจ้าตัวแสบ เด็ก
อย่างเจ้า ข้าชอบไม่ลงหรอก เจ้าทาให้ข้ารู้สึกขนลุก
เลยนะ”
“ตอนนี้มาบอกว่าข้าเป็นเด็กเสียแล้ว?” ปีศาจน้อย
จับผิดได้ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าข้าขนขึ้นแล้ว บอก
ว่าข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วเหตุใดเปลี่ยนไวเสียจริง”
ฉีหนิงไม่อยากจะสนใจนาง เขาเดินหน้าต่อไป เขา
รู้สึกว่าเหมือนกาลังเดินหมุนขึ้นด้านบน
ทางเดินนี้แคบมาก ที่สาคัญคืออากาศน้อย ยังดีที่ฉี
หนิงได้เรียนรู้การเดินปรับลมปราณ ระหว่างที่เดิน
ลมปราณ ก็ทาให้เขาฝืนได้อยู่ แต่ว่าปีศาจน้อย
เหมือนเดินลมปราณได้ไม่เก่งมาก เริ่มแรกยังเดิน
ตามอยู่ด้านหลัง แต่ว่ายิ่งเดินยิ่งช้า สุดท้ายแล้ว ฉี
หนิงก็รู้สึกว่าเหมือนกาลังลากของอะไรสักอย่างอยู่
เขาหยุดเดิน ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป?”
“พี่ชาย ข้าเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ” ปีศาจน้อยพูด
อย่างอ่อนแรง “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าที่นี่จะเป็นแบบนี้
ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่เข้ามา เจ้า...เจ้าแบกข้าเดินได้
หรือไม่ ข้าเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ” นางก็รู้ว่าฉีหนิง
น่าจะปฏิเสธ เลยรีบพูดว่า “หากเจ้าแบกข้า ข้า...ข้า
จะบอกความลับให้เจ้ารู้ เจ้าต้องอยากรู้แน่”
ฉีหนิงพูดว่า “ความลับอะไรกัน?”
ปีศาจน้อยพูดด้วยท่าทางร้องขอแล้วพูดว่า “เจ้า
แบกข้าก่อนสิ เจ้าวางใจได้ ครั้งนี้ข้าไม่หลอกเจ้า
แน่นอน วรยุทธ์ของข้าแย่จะตายไป อาจารย์สอนแค่
การใช้พิษกับวิชาตัวเบา แต่ว่าที่นี่ใช้วิชาตัวเบาก็
ไม่ได้”
ลมหายใจของคนเรามันปลอมกันได้ยาก ฉีหนิงก็
รู้สึกได้ว่านางหายใจหอบ แอบคิดในใจว่าหากเป็น
อย่างนี้ต่อไป ปีศาจน้อยอาจจะเดินต่อไม่ไหวจริงๆ
หรืออาจจะขาดใจตายอยู่ในนี้ก็ได้ เขาลังเล แล้วพูด
ว่า “เจ้าหันหลังไปก่อน ข้าจะมัดมือทั้งสองข้างของ
เจ้าก่อน”
ปีศาจน้อยหมดแรงแล้วจริงๆ นางก็ไม่ได้ขัดขืน ฉี
หนิงถอดสายคาดเอวของเขาออกมา แล้วมัดมือทั้ง
สองข้างของปีศาจน้อยเอาไว้ ตอนนี้เขาระมัดระวัง
ตัวปีศาจน้อยมาก เมื่อมัดเสร็จแล้ว ถึงได้พูดว่า
“บอกความลับของเจ้ามาก่อน แล้วข้าค่อยคิดว่าจะ
แบกเจ้าออกไปด้วยหรือไม่” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“ที่จริงแล้วเจ้าก็ไม่มีสิทธิจะมาต่อรองอะไรกับข้า
ที่นี่อากาศน้อย หากอยู่ที่นี่ต่อก็ต้องตายแน่นอน เจ้า
คิดให้ดีนะ”
ปีศาจน้อยจนปัญญาแล้วพูดว่า “เจ้าต้องรักษา
คาพูดนะ”
“มีแค่เจ้าเท่านั้นแหละที่ไม่รักษาคาพูด” ฉีหนิงไม่ได้
พูดดีด้วย “ว่ามา ความลับอะไร?”
“ที่จริง...ที่จริงแล้วตาเฒ่าหลีแหกกฎออกจากพรรค
ไปแล้วจริงๆ” ปีศาจน้อยพูดว่า “เขาไม่ใช่คนของ
พรรคบัวดาแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “ปีศาจน้อย เจ้าล้อข้าเล่นใช่กระมังื?
นี่น่ะหรือความลับของเจ้า?”
“เจ้าอย่าหัวเสียสิ” ปีศาจน้อยหายใจเบา “ยังมี...ยัง
มีเสวียนหยาง เขา...เขาหนีไปนานแล้ว”
“เสวียนหยาง? หนีไปแล้ว?” ฉีหนิงตะลึงไป เขา
รู้สึกตกใจมาก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เสวียนห
ยางหนีทาไมถึงหนีไป?”
“เสวียนหยางทาผิดต่อท่านเจ้าลัทธิ เขาหนีไปเมื่อ
หลายปีก่อน” ปีศาจน้อยพูดว่า "ข้าได้ยินมาว่าท่าน
เจ้าลัทธิส่งคนออกตามหาเขาไปทั่ว ต้องการฆ่าเขา
ให้ตาย แต่ว่า...แต่ว่าก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาเลย
หลังจากที่เสวียนหยางหนีไป ท่านเจ้าลัทธิยังสั่งให้
ฆ่าคนไปอีกหลายคน ทุกคนล้วนแต่เป็นคนของ
เสวียนหยางทั้งนั้น
ฉีหนิงตกใจมาก “เจ้าหมายความว่า พรรคบัวดาเคย
เกิดศึกภายในอย่างนั้นหรือ?”
ปีศาจน้อยเหมือนเห็นฉีหนิงตกใจแล้วนางก็พอใจ
นางพูดว่า “ถือว่าเป็นความลับได้แล้วใช่หรือไม่เล่า?
เจ้าต้องรักษาคาพูดนะ เจ้าต้องแบกข้า ข้าเดินไม่
ไหวแล้วจริงๆ”
แรงของฉีหนิงไม่ได้มีปัญหาอะไร อีกทั้งปีศาจน้อย
เองก็ตัวเล็ก ถึงแม้จะพอมีเนื้อมีหนังอยู่บ้าง แต่ก็
ไม่ได้หนักอะไร
หลังจากนั้นเขาก็อ้อมไปด้านหลัง แล้วแบกปีศาจ
น้อยขึ้นมา แล้วถามว่า “หลีซีกงเองก็ทาผิดกับท่าน
เจ้าลัทธิบัวดาด้วยหรือ ถึงได้แหกกฎออกจากพรรค
ไป?”
ปีศาจน้อยขึ้นหลังฉีหนิงแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็
ไม่รู้ รู้แต่ว่าหลังจากเสวียนหยางหนีไปแล้ว ท่านเจ้า
ลัทธิสั่งให้ฆ่าคน ตาเฒ่าหลีก็ไปหลังจากนั้นไม่นาน”
“แล้วไท่อินล่ะ?” ฉีหนิงถาม “พรรคบัวดามีเสวียนห
ยางไท่อินผู้คุ้มกันสองคนไม่ใช่หรือ เสวียนหยางหนี
ไป ไท่อินหนีไปด้วยหรือไม่?”
“เขาไม่ได้หนีไปหรอก” ปีศาจน้อยพูดว่า “ท่านเจ้า
ลัทธิเชื่อใจเขามาก อีกทั้งเรื่องภายในลัทธิ ท่านเจ้า
ลัทธิก็ยกให้ไท่อินเป็นคนดูแล ท่านเจ้าลัทธิเข้า
กรรมฐานบ่อยมาก ทุกครั้งก็มีไท่อินคอยคุ้มกันอยู่
ทุกครั้งที่ท่านเจ้าลัทธิเข้ากรรมฐาน ไท่อินก็จะตาม
ไปด้วย ส่วนเรื่องในพรรคก็ให้ทูตเป็นคนดูแล”
“เท่าที่ข้ารู้มา ครั้งนี้แปดพรรคสิบหกสานักบุกเขา
เชียนอูหลิง ก็เพราะท่านเจ้าลัทธิเข้ากรรมฐาน” ฉี
หนิงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ที่เจ้าลัทธิ
กับไท่อินไม่โผล่หน้าออกมาเลย เพราะมอบหมายให้
ทูตของพรรคบัวดาจัดการเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?”
ปีศาจน้อยไม่มีแรงแล้ว นางพูดว่า “ใช่ เจ้าลัทธิเข้า
กรรมฐานในเวลานี้ทุกปี แต่ละครั้งก็จะอยู่นานกว่า
สองเดือน ไม่ยุ่งเรื่องภายนอกเลย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าดูท่าทางแล้วหากเจ้าลัทธิบัวดา
แหกกฎออกมาจากการเข้ากรรมฐาน ความสามารถ
ของเจ้าลัทธิลดลงครึ่งหนึ่งแบบนัน้ แต่ยังสามารถทา
ให้แม่ทัพหน้ากากโลหะบาดเจ็บได้ แสดงว่า
ความสามารถของเจ้าลัทธิบัวดาก็น่าจะเหนือกว่าแม่
ทัพหน้ากากโลหะ
มิน่าล่ะที่เหล่าชาวยุทธ์สามารถบุกทะลวงเข้ามาถึง
ที่นี่ได้ ไม่ได้เป็นเพราะกองกาลังพิเศษนั่นอย่างเดียว
แต่ที่สาคัญที่สุดคือ ยอดฝีมือหลายคนของพรรคบัว
ดาไม่สามารถออกมาร่วมศึกได้ต่างหาก
วรยุทธ์ของเสวียนหยางเหนือกว่าทูตทั้งสี่ แสดงว่า
เขาไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าลัทธิเป็นหนึ่งในห้าต้าจงซือ
ในปัจจุบัน อีกอย่างยังมีไท่อินเป็นผู้คุ้มกันของเขา
ด้วย หากพวกเขาเหล่านี้ร่วมศึกในครั้งนี้ เหล่าชาว
ยุทธ์ไม่มีทางจบสวยแน่
ตอนนี้พรรคบัวดามีแค่เหล่าทูตทั้งสี่ อีกทั้งหลีซีกง
เองก็ไม่ยุ่งเรื่องนี้ ก็เหลือทูตเพียงสามคนเท่านั้น ทูต
ทั้งสามคนนี้ต้องเป็นยอดฝีมืออยู่แล้ว แต่ว่าใน
บรรดาคนของแปดพรรคสิบหกสานัก ก็มียอดฝีมือที่
เหนือกว่าพวกเขาสามคนอยู่ พรรคบัวดามีคนน้อย
กว่า จะไปสู้กับคนของแปดพรรคสิบหกสานักได้
อย่างไร
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 450 เพลิงโลกันตร์
ฉีหนิงแบกปีศาจน้อยเดินตามทางมากว่าครึ่งชั่วยาม
เดินขึ้นมาทางด้านบน ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าทางมัน
เริ่มกว้างมากขึ้น ไม่แคบเหมือนเมื่อครู่แล้ว ถ้าอย่าง
นั้น ตอนนี้ก็น่าจะหายใจได้สะดวกขึ้นแล้วสินะ
ปีศาจน้อยเองก็เชื่อฟังดี ไม่ได้ทรมานหรือก่อกวน
เขา
“คนในตาหนักหินดามีกี่คนกันแน่?” ฉีหนิงสูด
หายใจ
ปีศาจน้อยพูดว่า “ก็มีไม่เยอะหรอก ทูตของพรรคให้
ครอบครัวของคนในพรรคหนีออกไปจากที่นี่หมด
แล้ว ไปหลบอยู่ในที่ปลอดภัย อีกทั้งยังส่งคนไปคุ้ม
กันพวกเขาด้วย ที่เหลืออยู่ก็มีแต่คนที่วรยุทธ์ดี
หน่อย พวกเขาบอกว่าคนของจวนเสินโหวมากัน
เยอะมาก แพ้ชนะยังเดาไม่ได้ คนที่เหลืออยู่ที่นี่ ก็
ต้องเตรียมใจเอาไว้ว่าอาจจะต้องตาย” นางอดยิ้ม
ไม่ได้ “คนพวกนั้นตลกดีนะ เหตุใดต้องอยู่ด้วย พอ
คนพวกนั้นบุกขึ้นมาแล้ว ยังจะมีโอกาสชนะได้
อย่างไร หนีไปให้หมด ให้พวกเขาจับไม่ได้ไม่ดีกว่า
หรือ”
ฉีหนิงตกใจมาก แอบคิดในใจว่าที่แท้พรรคบัวดาก็
ได้แอบพาคนกลุ่มหนึ่งหนีออกไปแล้ว คนที่อยู่ที่เขา
เชียนอูหลิง ก็ถือว่ายากลาบากมากแล้ว
แสดงว่าพรรคบัวดาก็น่าจะหวังว่าจะอาศัยพิษใน
อากาศทาให้เหล่าชาวยุทธ์ไม่มีกาลังจะสู้ต่อ จากนั้น
ค่อยบุกออกมาโจมตี แต่ว่าแผนนี้กลับพลาดไป
จากนั้นก็เลยคิดใช้จุดเด่นของยอดเขาดอกบัวเป็น
ด่านชี้ชะตา หากไม่มีกลุ่มกองกาลังนั่น คิดจะบุก
ขึ้นมาที่นี่ คงยากกว่าขึ้นสวรรค์
ระหว่างที่พูด ทันใดนั้นเองพวกเขาก็พบว่าทางด้าน
หน้ามีทางแยก ฉีหนิงตะลึง แล้วถามว่า “ไปทาง
ไหนล่ะเนี่ย?”
ปีศาจน้อยรีบพูดว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า ข้าเอง
ก็เพิ่งมาครั้งแรก”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ทางแยกทั้งสองทางเป็นทางขึ้นไป
ด้านบนทั้งนั้น เขาแอบคิดในใจว่าหรือว่าทั้งสองทาง
จะเป็นทางออกทั้งคู่?
เขาเองก็ไม่ลังเล เดินตรงไปทางด้านซ้าย แอบคิดใน
ใจว่าหากเดินผิด ก็แค่เดินย้อนกลับมาทางเดิม ใน
เมื่อไม่แน่ใจว่าทางไหนเป็นทางที่ถูกต้อง ก็ต้องลอง
ดู
เมื่อเดินไปได้สักร้อยก้าว เหมือนด้านหน้าจะเป็น
ทางตัน ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเขาดวงไม่ดีเลย กาลัง
จะเดินย้อนกลับไป ทันใดนั้นเองก็เห็นว่าด้านหน้า
เหมือนมีอะไร เขาก็เลยเดินเข้าไปใกล้ เขาพบว่ามัน
เป็นประตูหินบานหนึ่ง ประตูหินปิดไม่ได้สนิทมาก
เหมือนมีช่องอยู่ ฉีหนิงยื่นมือไปกด แล้วเดิน
ลมปราณผลักประตู ประตูหินนั่นค่อยๆ เปิดออก
ภายในห้องมืดมาก ฉีหนิงถามว่า “เจ้ามีตะบันไฟ
หรือไม่?”
“เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร ของบนตัวข้าทั้งหมดถูกแม่
สาวก้นใหญ่นั่นค้นไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือในตัว
ข้าเลย” ปีศาจน้อยพูดว่า “ของดีดีตั้งหลายอย่างก็
ถูกนางทาลายไปหมด”
ฉีหนิงไม่ได้สนใจนาง เขาสงสัยว่า ที่นี่มันที่ไหนกัน
เขาเดินตรงเข้าไปด้านใน เขารู้สึกว่าข้างในนี้หนาว
มาก มันหนาวผิดปกติ เขารู้สึกแปลกใจมาก เขาคิด
ว่าที่ธารน้าแข็งนั่นหนาวมันก็ไม่แปลก แต่เหตุใดที่นี่
มันถึงได้หนาวไปด้วยล่ะ เขาวางปีศาจน้อยลง เพื่อ
ไม่ให้นางหนีไป ก็หันหลังปิดประตูทันที
ปีศาจน้อยนั่งลงกับพื้น แล้วพูดว่า “แก้มัดข้าที”
ฉีหนิงก็ไม่ได้สนใจนาง ตอนนี้เขามองไม่เห็นอะไร
เลย เขาแค่อาศัยสายตาที่ดีของเขา เหมือนจะเห็น
ว่าในนี้มีของมากมายหลายอย่าง เขาค่อยๆ เดิน
ทันใดนั้นก็เหมือนเขาเตะไปถูกอะไรสักอย่าง เขายื่น
มือไปหยิบ เหมือนมันจะเป็นก้อนหิน
เขาพยายามตั้งสติ แล้วคลาดู เหมือนบนก้อนหินนั้น
ยังมีของอย่างอื่นอีก มือของเขาก็ไว เหมือนคลาเจอ
ของอีกอย่างหนึ่งด้วย เขาพูดด้วยความยินดีว่า “ที่นี่
มีตะบันไฟ” เขาจุดไฟขึ้นมา รอบตัวเขาสว่างขึ้น
จากนั้นเขาก็เห็นว่าสิ่งที่เขาคลาเจอนั้นมันคือโต๊ะหิน
ตัวหนึ่ง บนโต๊ะหินมีตะเกียงวางอยู่ น้ามันใน
ตะเกียงมันแห้งแล้ว นอกจากนี้ ยังมีชุดเครื่องชา ซึ่ง
ทั้งหมดมันมีแต่ฝุ่น แสดงว่าเคยมีคนอยู่ที่นี่มาก่อน
เขามองไปรอบๆ พบว่ามันเป็นห้องหินขนาดใหญ่ ที่
มุมห้อง มีเตียงหิน เตียงหินทาจากหินสีดา ก็ไม่รู้
เหมือนกันว่าทามาจากอะไร มันดูเงามาก เขาอดที่
จะเดินเข้าไปไม่ได้ เขารู้สึกหนาวขึ้นมาอีก เมื่อมาถึง
ริมเตียง เขาก็ยื่นมือไปจับ มันเย็นมาก มันไม่ได้เย็น
เหมือนกับหินทั่วไป เหมือนกับมันเป็นก้อนน้าแข็ง
เลย
เขาเงยหน้าขึ้นมา พบว่าด้านบนมันเป็นหินงอกหิน
ย้อย น่าจะเกิดจากธรรมชาติ เมื่อหันกลับไปมอง ก็
เห็นปีศาจน้อยนางหดตัวพิงอยู่ที่กาแพง ท่ามกลาง
แสงไฟ นางดูตัวเล็กน่าเอ็นดูมาก ผิวขาวเนียน
ดวงตากลมโตเป็นประกาย ดูสวยน่ารักมาก
ปีศาจน้อยมองไปรอบๆ นางมองเห็นที่มุมห้องมีไห
วางอยู่สองใบ นางถามขึ้นมาว่า “ฉีหนิง ในไหนี้มันมี
อะไร?”
ฉีหนิงเดินไปดู เห็นด้านบนเป็นปูนปิดอยู่ มีแต่ฝุ่น
เขาก็ไม่ได้ไปแตะมัน เพราะชาวเหมียวเชี่ยวชาญ
การใช้พิษ ใครจะรู้ว่ามันจะมีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่
หากมีพิษก็ยิ่งไม่ควรไปแตะมัน เขาใช้มีดสั้นกรีดชั้น
ปูนที่ปิดอยู่ด้านบนออก มันมีกลิ่นน้ามันโชยออกมา
“น่าจะเป็นน้ามันตะเกียงที่สารองเอาไว้” ฉีหนิงยก
ไหมา แล้วเดินไปเติมที่ตะเกียง จากนั้นเขาก็เดินไป
จุดตะเกียง ภายในห้องหินก็สว่างขึ้นมา
ที่มุมห้องมีตะกร้าไม้ไผ่วางไว้อยู่ เขาก็เดินไปถีบที่
ปิดตะกร้าออก ด้านในมีอาหารแห้ง อาจจะเป็น
เพราะน่าจะหลายปีมาแล้ว มันเลยขึ้นราหมด
“ที่นี่มีคนอยู่มาก่อน” ฉีหนิงขมดวคิ้วแล้วพูดว่า
“ปีศาจน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่ที่ไหน?”
ปีศาจน้อยลุกขึ้น แล้วเดินเข้ามาใกล้ นางพูดด้วย
ความสงสัยว่า “ที่นี่เคยมีคนอยู่หรือ? เหตุใดต้องอยู่
ที่นี่ด้วย?” นางทาท่าทางรังเกียจแล้วพูดว่า “ถ้าเป็น
ข้านะ ให้ตายก็ไม่มีทางอยู่ที่นี่แน่ ฉีหนิง ในนี้มันมี
อะไรหรือ?”
“ของกิน หากเจ้าหิว ก็เอาไปรองท้องก่อนสิ” ฉีหนิง
พูดแหย่
ปีศาจน้อยจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าก็เอาไป
รองท้องก่อนสิ” นางหันหลังแล้วพูดว่า “แก้มัดให้
ข้าที”
ฉีหนิงใช้มีดของเขาตัดสายรัดเอวที่ปีศาจน้อยจน
ขาด ปีศาจน้อยขยับมือไปมา แล้วเดินไปรอบๆ ห้อง
จากนั้นก็เดินไปที่เตียงหิน จากนั้นก็สะดุ้งขึ้นมาทันที
แล้วพูดว่า “นี่มันอะไร?”
ฉีหนิงตะลึงไป แล้วเขยิบเข้ามาใกล้ เห็นปีศาจน้อย
นั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงหิน กาลังจ้องไปที่กาแพงหิน ฉี
หนิงขึ้นไปบนเตียงเหมือนกัน เขามองดู พบว่าบน
กาแพงนั่นเหมือนเป็นรูป มันมีฝุ่นบางๆ เกาะอยู่
มองเห็นไม่ชัด เขาใช้ชายเสื้อของเขาเช็ด จากนั้นสี
หน้าของเขาก็เปลี่ยนไป บนกาแพงมันมีตัวอักษร
เล็กๆ อยู่จานวนมาก
ตัวอักษรเริ่มจากทางขวาไปซ้าย ไม่มีตัวเลข ส่วน
ด้านบนยังมีภาพอยู่ด้วย เหมือนเป็นภาพของฝ่ามือ
ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมาก
ตอนนั้นที่เขาหลงเข้าไปที่เขาหัวกระบือถูกมู่เสิน
จวินไล่ล่าตัว หนีจนหลงเข้าไปในถ้าหิน อีกทั้งเขายัง
ฝึกท่าเท้าท่องคลื่นมาจากภาพบนผนังอีก หลังจาก
นั้นเป็นต้นมา เขาก็รู้ว่ามันมีประโยชน์มาก รู้ว่าท่า
เท้าท่องคลื่นที่จริงแล้วมันคือวิชาตัวเบาที่ใช้ในการ
เคลื่อนที่ มันลึกลับพิสดารมาก ตอนนี้เห็นว่าบนผนัง
มีตัวอักษรสลักอยู่ ก็นึกถึงภาพตอนที่อยู่บนเขาหัว
กระบือ แอบคิดในใจว่า หรือว่าเขาจะดวงดีมาเจอ
วิชาประหลาดบนยอดเขาดอกบัวอีกแล้ว
เขาเองก็ไม่อยากคิดมาก หยิบตะเกียงไว้ในมือ แล้ว
ขยับเข้าไปใกล้ผนังหิน ตอนนี้เขาเห็นได้ชัดแล้วว่า
บรรทัดแรกมันเขียนเอาไว้ว่า “ทั่วทั้งใต้หล้า วิชาไร้
เทียมทาน มีเพียงฝ่ามือเพลิงโลกันตร์ เย้ยยุทธจักร
ได้...” ฉีหนิงมองตามไป ไม่นานก็เห็นเคล็ดวิชาบน
ผนัง “สูดลมหายใจ” “จุดตันเถียน” “ดันฝ่ามือไปที่
ปอด” และตัวอักษรอีกมากมาย
ตอนที่อยู่ที่วัดต้ากวงหมิง หลวงจีนน้อยเจินหมิงได้
ถ่ายทอดวิชา “ชิงจิง” ให้เขา หลังจากนั้นเซี่ยงเซียว
เหยาก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาเดินลมปราณให้เขาอีก
เคล็ดวิชาพวกนี้ เขาพอจะเข้าใจอยู่บ้าง หลังจากที่
ได้อ่านแล้ว ก็พอจะรู้วิธีคร่าวๆ ปีศาจน้อยขยับขึ้น
หน้าไป ทั้งสองอ่านเคล็ดวิชาฝ่ามือเพลิงโลกันตร์
ด้วยกัน จนลืมเรื่องหนาวไปเลย
ฉีหนิงมองไปที่ภาพที่อยู่ด้านหลัง มันเป็นภาพของ
ฝ่ามือ มีทั้งหมดสิบภาพ มันสลับไปมาแปลกๆ เขา
อดที่จะทาตามไม่ได้
ทันใดนั้นเองข้างๆ ของเขาก็เหมือนมีคนเบียดมา
ปีศาจน้อยขยับเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขารีบขยับให้
จากนั้นก็ไปจาเคล็ดวิชาที่กาแพงนั่นใหม่
ตัวอักษรบนกาแพงมันชัดมาก มันไม่เหมือนกับการ
ใช้ของมีคมสลักเลย มันทาให้ฉีหนิงตกใจมาก
อักษรบนกาแพงมันดูพลิ้วไหวราวกับใช้พู่กันเขียน
ขึ้น ไม่มีความรู้สึกว่ามันมีสะดุดหรืออะไรเลย
เหมือนกับว่าเขียนมันออกมาอย่างต่อเนื่อง
อักษรแบบนี้ต่อให้เป็นของมีคมสลักขึ้นมา แต่มันก็
เหมือนลายมือของคนจริงๆ มันน่าตกใจมากเลย
เขาวางตะเกียงลงข้างๆ ในใจของเขาแอบท่องเคล็ด
วิชา จากนั้นก็เดินลมปราณตามเคล็ดวิชาบนผนัง
ฝ่ามือของเขาก็เริ่มทาตามภาพที่อยู่บนผนังไปโดยไม่
รู้ตัว น่าแปลก เดิมทีบนเตียงนี่ มันรู้สึกว่าหนาวมาก
แต่ว่าพอทาตามเคล็ดการเดินลมปราณบนผนังแล้ว
มันทาให้ชีพจรในร่างกายร้อนขึ้นมา ทาให้เขารู้สึก
อุ่นขึ้น แต่จากการไหลเวียนของลมปราณมันทาให้
ร่างกายร้อนอย่างรุนแรง
ฉีหนิงแปลกใจมาก ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังมา
จากด้านข้าง เขาหันไปมอง เห็นปีศาจน้อยกระอัก
เลือดออกมาพุ่งใส่กาแพง จากนั้นก็ล้มลง
ฉีหนิงตกใจมาก รีบพูดว่า “เป็นอะไรไป?”
ถึงแม้ปีศาจน้อยจะเจ้าเล่ห์มาก แต่ว่าเมื่อฉีหนิงเห็น
นางกระอักเลือด ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ เขารีบ
จับไปที่หัวไหล่ของนาง เห็นนางสีหน้าซีดเซียว แล้ว
ก็กระอักเลือดออกมาอีก ไม่เพียงแค่เตียงเท่านั้นที่มี
รอยเลือด แม้แต่เสื้อผ้าของนางเองก็เปื้อนเลือดไป
ด้วย
“มันเกิดอะไรขึ้น?” ฉีหนิงตกใจ
ปีศาจน้อยกระอักเลือดออกมาอีกเป็นครั้งที่สาม สี
หน้าของนางตอนนี้ซีดเหมือนหิมะ ฉีหนิงจับมือของ
นางไว้ มือของนางตอนนี้ร้อนดังไฟเผา เขาไม่รู้เลย
ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปีศาจน้อยเซตัวพิงมาที่
อ้อมกอดของเขา
ฉีหนิงมองไปที่หน้าของนาง นางสลบไปแล้ว ที่ปาก
มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ตัวของนางก็ร้อนเป็นไฟ
ร่างกายสั่นอยู่ตลอดเวลา ลมหายใจแผ่วเบามาก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 451 เผากาย
ฉีหนิงตกใจมาก ในตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรอย่าง
อื่นอีก เขายื่นมือล้วงเข้าไปในตัวของปีศาจน้อย เขา
ก็เจอผ้าเช็ดหน้า เขารีบหยิบมันออกมาแล้วเช็ด
เลือดที่ริมฝีปากให้กับนาง จากนั้นก็ถามว่า “อา
เหน่า เกิดอะไรขึ้น? เจ้าบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่?”
อาเหน่าเหมือนจะตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา เมื่อครู่
อากาศหายใจน้อย เหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรง แทบจะ
มองไม่ออกเลยว่านางบาดเจ็บ แต่ว่าตอนนี้อาเหน่า
กระอักเลือดออกมา ดูจากอาการแล้วเหมือนจะ
บาดเจ็บหนักมาก
อาเหน่าพยายามฝืนลืมตาขึ้นมา แล้วพูดด้วย
น้้าเสียงที่ไร้เรี่ยวแรงมากว่า “ข้า...ข้าก็ไม่รู้
เหมือนกัน...” พูดจบ ก็สลบไป
ฉีหนิงรู้สึกว่าตัวของอาเหน่าร้อนเหมือนไฟเผา
ตอนนี้ในห้องหินนี่ไม่หนาวอีกแล้ว เขานึกขึ้นมาได้
ว่าบนเตียงนี่มันมีไอหนาวแผ่ออกมาอยู่ตลอดเวลา
ก็เลยจับอาเหน่านอนลง เขายื่นมือไปจับหน้าผาก
ของนาง ก็ยังคงร้อนอยู่ เขาขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะดู
มีสติ แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ เขาเองก็ไม่รู้ต้อง
ท้าเช่นไร
อาเหน่าเริ่มหายใจแผ่วเบาขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน ฉี
หนิงก็จับไปที่หน้าผากอีกครั้ง ความร้อนก็ยังคงไม่
หายไป แต่ว่าอุณหภูมิเหมือนจะลดลงไปบ้างแล้ว
ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะเตียง
ทันใดนั้นเองก็เห็นตัวของอาเหน่าเหมือนจะสะดุ้ง
อาเหน่าน้อยลืมตาขึ้นมา แล้วยกมือ ฉีกเสื้อผ้าของ
ตัวเองออก แล้วพูดว่า “ร้อน...ร้อนเหลือเกิน ข้า...
ข้าจะตายแล้ว...”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าปกติเจ้าก่อกรรมท้าเข็นมาก
มาย ตอนนี้ทรมานแบบนี้ ก็สมควรแล้ว
แต่ว่านางอายุยังน้อย ในใจก็ยังรู้สึกเห็นใจ เขาพูดว่า
“เจ้าเชี่ยวชาญการใช้พิษไม่ใช่หรือ? แล้วรู้หรือไม่ว่า
ต้องรักษาอย่างไร?”
พอพูดออกมา ก็นึกขึ้นมาได้ว่า การใช้พิษกับวิชา
แพทย์มันไม่เหมือนกัน อาเหน่าน้อยเชี่ยวชาญการ
ใช้พิษ แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะรู้เรื่องการ
แพทย์ เขาอดที่จะนึกไม่ได้เลยว่า หากตอนนี้ถังนั่ว
อยู่ที่นี่ด้วย ก็น่าจะมีวิธีแก้
อาเหน่าน้อยเหมือนจะไม่ได้ยินที่ฉีหนิงพูดเลย นาง
ยังคงพยายามฉีกเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ แต่ว่านางไม่มี
แรง เสื้อผ้ามันเลยแค่ยับ แต่ไม่ขาด
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่านางจะต้องรู้สึกร้อนมากแน่ ถ้า
ถอดเสื้อผ้า อาจจะท้าให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงก็
ได้ เขาลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เขยิบเข้าไป แล้วพูด
ว่า “ข้าจะช่วยเจ้าถอดเสื้อผ้า แต่ข้าไม่ได้มีเจตนา
อื่นนะ” จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปถอดเสื้อให้อาเหน่า
น้อย ภายในมีเสื้อตัวในสีม่วงตัวหนึ่ง ซึ่งเขาไม่
สะดวกที่จะถอดเสื้อตัวในของนางอีก ถอดได้แค่เสื้อ
ตัวนอกเท่านั้น
ปีศาจน้อยยกขาของนางขึ้น แล้วยื่นมือไปถอด
กระโปรงออก กระโปรงของสาวชาวเหมียวเป็น
กระโปรงผ้าหยาบ ทั้งกว้างและหนา ฉีหนิงท้าได้แค่
ช่วยนางถอดกระโปรงชาวเหมียวนั่นออก ฉีหนิงเอา
สายตาของเขาหลบไป แล้วจับปีศาจน้อยนอนลง
เตียงหินนั่นเย็นมาก ตอนนี้ผิวของปีศาจน้อยแนบ
ชิดกับเตียง เหมือนมันจะเย็นมาก อาการดิ้นของ
นางก็เหมือนจะลดลงไปเยอะ
เตียงหินเป็นสีด้า ผิวของปีศาจน้อยขาวมาก เมื่อ
นอนลงไป ขาวด้าก็เห็นชัดเจน
ฉีหนิงเห็นนางเริ่มสงบลง เขาก็พลอยโล่งใจไปด้วย
เขาเขยิบเข้าไปลองทดสอบลมหายใจของนาง นาง
หายใจเบาบางมาก เหมือนจะหายใจไม่คล่องตัว ก็
รู้ทันทีว่านางน่าจะบาดเจ็บภายใน เขาเลยไม่รู้ว่า
ควรจะช่วยอย่างไร ตอนนี้คงท้าได้แค่รอนางฟื้น
ขึ้นมาก่อน ถามอาการแล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะท้า
อย่างไร
ภายในห้องหินเงียบมาก ฉีหนิงเองก็ไม่เหมาะที่จะ
หันไปมองปีศาจน้อย ก็เลยนั่งหันหลังให้กับปีศาจ
น้อยแทน
ตั้งแต่เขาเข้ามายังซีชวน เกิดเรื่องประหลาดขึ้น
มากมาย เขาเหมือนจะไม่ได้หลับเต็มอิ่มเลยสักวัน
เดียว ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยมาก เขาเลยนั่งไปที่มุม
หนึ่ง พิงผนังแล้วหลับไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน
เขาก็ลืมตาขึ้นมา แล้วเดินไปดูปีศาจน้อย เห็นนาง
นอนหันข้างไป หันหลังมาทางเขา เหมือนแมวน้อย
นอนหดตัวอยู่
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ปีศาจน้อยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เขา
จะทิ้งนางไปแบบนี้ก็ไม่ได้ เขารู้สึกเบื่อมาก เขาหัน
หลังกลับมา แล้วมองไปที่เคล็ดวิชาฝ่ามือเพลิง
โลกันตร์บนผนังหินอีกครั้ง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลง
จากนั้นก็อ่านเคล็ดวิชาที่อยู่ด้านบนตั้งแต่ต้นจนจบ
ความจ้าของเขาดีมากอยู่แล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เคย
ท่องเคล็ดวิชามาแล้ว พอท่องหลายครั้งเข้า ก็
สามารถจ้าทุกอย่างที่อยู่บนผนังได้แล้ว
เขาคิดว่านอกจากเรื่องนี้แล้วเขาก็ไม่มีอะไรท้าอีก ก็
เลยท่องเคล็ดวิชาแล้วเดินลมปราณดีกว่า
ไม่อย่างนั้นจะว่างเกิน เดิมทีคิดว่าวิชานี้ถูกสลักบน
ผนังหิน แสดงว่าน่าจะเป็นสุดยอดวิชา จะฝึกอาจจะ
ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครจะคิดว่าพอเดินลมปราณไปตาม
จุดที่เขียนไว้ หลังจากนั้นไม่นานพลังชี่ก็เริ่ม
ไหลเวียน เขารู้สึกว่ามือทั้งสองข้างของเขาก็รู้สึก
ร้อนขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าภายในจุดตันเถียนของเขา
เริ่มร้อนขึ้น เขาก็หยุดลง แต่คิดไม่ถึงว่าภายในจุด
ตันเถียนของเขากลับยังคงร้อนเหมือนเดิม เขารู้สึก
ทรมานมาก ฉีหนิงตกใจ เขาพยายามตั้งสติ จากนั้น
ก็รีบเดินลมปราณให้ความร้อนออกไปจากจุด
ตันเถียน ถึงท้าให้จุดตันเถียนนั้นร้อนน้อยลง
ฉีหนิงโล่งใจ แต่คิดไม่ถึงว่าที่จุดตันเถียนจะร้อน
ขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ความร้อนมันมาเร็วมาก ฉีหนิง
เดินลมปราณอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้หลังจากเดิน
ลมปราณแล้ว จุดตันเถียนกลับเย็นลงครู่เดียว
เท่านั้น หลังจากนั้นก็ร้อนขึ้นมาอีก เมื่ออุณหภูมิ
ร้อนขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อของฉีหนิงก็ไหลออกมาเหมือน
สายฝน แต่ตัวเขาเองกลับมองไม่เห็น ใบหน้าของ
เขา แดงเหมือนสีของเลือดแล้ว
ฉีหนิงรู้ว่าหากเขาเป็นแบบนี้ต่อไป มันไม่มีประโยชน์
มันอาจจะท้าให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก แต่ว่า
หากไม่เดินลมปราณ ร่างกายของเขาก็จะร้อน
ทรมานเหมือนไฟเผากาย
ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาจะไม่ได้สูงมาก แต่ว่าความ
เข้าใจของเขาดีมาก ทันใดนั้นเองเขาก็เข้าใจขึ้นมา
ว่า การที่เขาเดินลมปราณ อาจเป็นไปได้ว่ามันไม่ใช่
วิธีที่ถูกต้อง เขาเลยอดทนไว้ ไม่เดินลมปราณอีก แต่
ว่าในเวลานี้ เขาไม่มีทางเลือกแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้
เดินลมปราณแล้ว แต่ว่าความร้อนในจุดตันเถียนก็
ยังสูงขึ้นไม่มีท่าทีจะลดลง จุดตันเถียนของเขา
เหมือนหม้อ พลังชี่ในตัวเขาก็เหมือนน้้าในหม้อ ไม่รู้
ว่าไฟมันมาจากไหน โหมเผาไหมที่จุดตันเถียนของ
เขามาก
พลังชี่ที่เขาได้มา ส่วนมากมาจากการดูดของยอด
ฝีมือคนอื่นมาด้วยพลังหกเทพประสาน จากนั้น
อาศัยวิชาการเดินลมปราณที่เซี่ยงเซียวเหยา
ถ่ายทอดให้ รวมมันเป็นพลังชี่ แล้วน้ามาใช้ ตัวเขา
เองไม่เคยมีประสบการณ์ด้านก้าลังภายในเลย
นอกจากที่เซี่ยงเซียวเหยาถ่ายทอดให้แล้ว ก็ไม่มี
ยอดฝีมือคนไหนชี้แนะการฝึกก้าลังภายในให้เขาอีก
ตอนนี้ที่จุดตันเถียนเกิดอาการประหลาดขึ้น ถึงรู้ว่า
น่าจะเป็นเพราะเคล็ดวิชาบนผนังหิน แต่ว่าจะรับมือ
กับมันอย่างไร เขาไม่มีประสบการณ์เลย
เขารู้แค่ว่า ในตอนนี้หากเดินลมปราณต่อไป จะท้า
ให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
ทันใดนั้นเอง ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ที่ปีศาจน้อย
ตัวร้อนทั้งตัว กระอักเลือดออกมา หรือว่าจะเป็น
เพราะฝ่ามือเพลิงโลกันตร์นี่?
เมื่อครู่ปีศาจน้อยเองก็อ่านเคล็ดวิชานี้เหมือนกัน
แม้แต่ภาพของฝ่ามือนางก็เห็น เขาไม่ได้ไปสนใจ
นางในตอนนั้น ตอนนี้พอนึกย้อนดูแล้ว เด็กน้อยนั่น
ก็น่าจะฝึกตามเคล็ดวิชานั่น คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมี
ภัยแฝงอยู่ด้วยไม่เพียงฝึกไม่ส้าเร็จ แต่ว่ากลับท้าให้
ตัวเองบาดเจ็บด้วย
พอคิดได้แบบนี้ ฉีหนิงก็สะดุ้ง
ตอนนี้ความร้อนมันไม่ได้อยู่แค่จุดตันเถียน ชีพจร
รอบจุดตันเถียนเอง ก็เหมือนจะร้อนตามไปด้วย
ภายในจุดตันเถียนแทบจะระเบิดออกมา พลังชี่แผ่
กระจายออกมา มันกระจายออกไปตามชีพจรต่างๆ
ในร่างกาย ฉีหนิงรู้สึกว่าตัวเขาเหมือนถูกจุดไฟเผา
ตัวเอง เหมือนจะถูกไฟกลืนเข้าไป
ความทรมานแบบนี้ มันไม่ใช่คนธรรมทั่วไปจะเข้าใจ
ได้ ฉีหนิงกัดฟันแน่น ก่อนหน้านี้เขาเดินลมปราณ
เพื่อลดความทรมานในจุดตันเถียน ในตอนนี้พลัง
ของจุดตันเถียนแผ่กระจายออกไปแล้ว จะใช้วิธีเดิม
ก็ท้าไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขาไม่สามารถควบคุมพลังชี่
ของตัวเองได้แล้ว พลังชี่ที่ร้อนผ่าวก้าลังไหลไปทั่ว
ร่างกายเหมือนหนูวิ่ง ฉีหนิงรู้สึกว่าเส้นเลือดต่างๆ
เหมือนก้าลังจะถูกต้มจนเดือดไปหมดทั้งตัวแล้ว
เขารู้สึกหงุดหงิดมาก เดิมทีคิดว่าจะได้เจอวิชา
ประหลาด ใครจะคิดว่าผลจะเป็นแบบนี้ไป
หลังจากนั้นไม่นาน เหงื่อก็ท่วมตัวฉีหนิงไปหมด เขา
หน้ามืดตาลาย ตัวสั่นไปทั้งตัว เขาแอบคิดในใจว่า
“ข้าต้องตายอยู่ที่นี่แน่...” เขารู้สึกไม่พอใจ แต่ว่า
เขาก็ไม่รู้จะท้าอย่างไร ร่างกายของเขาอ่อนลง
จากนั้นก็เอนตัวนอนลงไปบนเตียง
ถึงแม้เขาจะหน้ามืดตาลาย แต่ว่าเขาก็ยังมีสติดี ฝ่า
มือเพลิงโลกันตร์เหมือนมีไว้ทรมานคน ท้าให้
ร่างกายของคนร้อนจนทนไม่ไหว แต่กลับยังคงท้าให้
คนมีสติรู้สึกตัวอยู่ หลังจากที่เขานอนลงบนเตียงหิน
แล้ว ฉีหนิงก็รู้สึกว่าแขนขาของเขาชาไปหมด คิด
อยากจะยกมือขึ้นมา แต่กลับควบคุมไม่ได้
ไม่นานนัก ไม่เพียงแค่แขนขา แม้แต่ช่วงล่างตั้งแต่
คอลงไปก็ไม่รู้สึกอะไรเหมือนกัน เขาไม่รู้สึกถึงความ
ร้อนอีกแล้ว เขาไม่รู้สึกอะไรแล้ว ตอนนี้เหลือแค่หัว
ของเขาเท่านั้นที่ยังขยับได้อยู่ เขาหันไปมอง เห็น
ปีศาจน้อยยังคงนอนอยู่ข้างๆ เขาเหมือนเดิม แต่ไม่
ขยับ เขาคิดจะเรียก แต่เขากลับพบว่า แม้แต่จะส่ง
เสียงเขาก็ท้าไม่ได้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 452 ละเมอ
ฉีหนิงจะแอบคิดอยู่เสมอว่า เขามาตั้งไกลจากโลก
อนาคตเหตุใดถึงได้มาตายด้วยวิธีแบบนี้ได้ ไม่ว่า
อย่างไรเขาก็คิดไม่ออกเลยว่า จะมาตายในห้องหิน
ประหลาดง่ายๆ ขนาดนี้ได้
เมื่อมาถึงยังโลกนี้เขาได้เห็นอะไรหลายอย่าง ทันใด
นั้นเองในหัวของเขามีภาพอะไรหลายอย่างผุดขึ้นมา
เขารู้สึกว่าเขาไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้จะทาอย่างไร
เขาเป็นคนแข็งกร้าว หากไม่สุดทางจริงๆ เขาไม่เคย
ยอม แต่ว่าในเวลานี้ เขารู้แต่เพียงว่าเขาทาได้แค่
หลับตาแล้วรอความตายเท่านั้น
เดิมทีเขาคิดว่าอาการชาที่เกิดขึ้นกับตัวเขาท้ายที่สุด
มันจะลามขึ้นมาถึงหัวของเขาด้วย ทาให้เขาไม่รู้สึก
อะไร จากนั้นก็ตายไป
แต่ว่าจะว่าไปแล้วมันก็แปลก ผ่านไปตั้งนาน อาการ
ชาเหล่านั้นมันก็ไม่ลามขึ้นมาสักที เขารู้สึกตกใจมาก
แอบคิดในใจว่าหรือว่าร่างกายของเขาจะมีธาตุไฟ
เข้ามาแทรกอย่างที่เคยได้ยินมา ช่วงล่างตั้งแต่คอลง
ไปไม่รู้สึกอะไร แต่ว่ามันไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต
หลังจากนั้น ก็แค่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงขยับไม่ได้ไป
ตลอดชีวิต?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกหดหู่
หากเป็นอย่างนี้จริง ตายไปน่าจะดีกว่า
ขณะที่เขากาลังหดหู่อยู่นั้น เขาก็รู้สึกขึ้นมาว่าเขา
หนาว ทันใดนั้นเอง เขาก็มีความรู้สึกกลับมาอีกครั้ง
ฉีหนิงทั้งดีใจทั้งประหลาดใจ กาลังคิดจะขยับตัว แต่
ก็รู้สึกว่าพลังชี่ในตัวมันก็ยังเหมือนไม่ปกติ แต่ว่าครั้ง
นี้มันไม่ได้เป็นพลังชี่ที่ไหลเวียนไม่มีเป้าหมาย แต่มัน
เหลือพลังชี่แค่สองเส้นเท่านั้น
พลังชี่เส้นหนึ่งร้อนมาก แต่อีกเส้นหนึ่งหนาวเย็น
มาก เส้นหนึ่งร้อนเส้นหนึ่งหนาวมันวิ่งหมุนเวียนอยู่
ภายในร่างกายของเขา ฉีหนิงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ก็เลยไม่กล้าขยับตัว จากนั้นไม่นาน เขาก็รู้สึกว่าพลัง
ชี่เย็นในร่างกายของเขามันเหมือนกาลังวิ่งไล่พลังชี่
ร้อนของเขาอยู่
ฉีหนิงลืมตาขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าพลังชี่ในร่างกายของ
เขาจะเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้ได้ เขาไม่รู้ว่าพลังชี่เย็น
มันมาจากไหน จากนั้นไม่นานพลังชี่เย็นก็ไล่ตาม
พลังชี่ร้อนทัน จากนั้นมันก็รวมเข้าด้วยกัน พริบตา
เดียวพลังชี่ร้อนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งยังไม่
รู้สึกถึงความเย็นอีกด้วย เหลือเพียงพลังชี่เส้นหนึ่ง
เท่านั้น อีกทั้งมันยังไหลเวียนไปยังจุดตันเถียนอีก
หลังจากความเย็นนั่นเข้าไปในจุดตันเถียนแล้ว มันก็
หายไป
ทุกอย่างเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
หากไม่ใช่ว่าเขาสัมผัสมันไปด้วยตัวเอง ฉีหนิงแทบ
จะไม่อยากเชื่อว่าจะมีเรื่องแปลกแบบนี้เกิดขึ้นกับ
ตัวเขา เขาลุกขึ้นมานั่ง แขนขาของเขากลับมาขยับ
ได้เหมือนเดิมแล้ว ตัวของเขาเหนียวเหนอะไปหมด
คงเพราะเหงื่อแน่นอน
เขานั่งทบทวนดู ก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาว่า เขารอด
มาได้ น่าจะเป็นเพราะพลังชี่เย็น เขามีอาการตัวชา
ไร้ความรู้สึกไปทั้งตัว พลังชี่นั่นน่าจะยังไหลเวียนไป
ทั่วร่างอยู่ และกลืนกินพลังชี่ร้อนเข้าไป
เพราะแบบนี้ เขาถึงได้มีความรู้สึกกลับมาอีกครั้ง
แต่ว่าเขาคิดไม่ออกเลยว่า พลังชี่เย็นนั่นมันมาจาก
ไหน ก่อนหน้านี้ที่เขาฝึกพลังชี่ ตามที่เซี่ยงเซียว
เหยาสอน พลังชี่ที่ดูดมาจากพลังหกเทพประสานมัน
รวมกันหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีพลังชี่นี้อยู่ใน
ร่างกายเขาด้วย แต่ว่าในเมื่อมันอยู่ในร่างกายของ
เขา มันก็ต้องเป็นของเขา
เขารู้สึกสงสัยมาก เขาราวกับไม่ค่อยได้รับรู้ถึงกาลัง
ภายในของตัวเองสักเท่าไหร่ ต่อให้คิดให้ตาย
อย่างไร เขาก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี
แต่ว่ามันก็เหมือนโชคดี หากไม่ใช่เพราะพลังชี่นั่น
ไม่เช่นนั้นเขาก็กลายเป็นศพไปแล้ว
เขาหันไปมองที่ผนังหิน แล้วก็แอบขา แอบคิดในใจ
ว่าที่ยอดเขาดอกบัวอยู่กลางเขา ก่อนหน้านี้มีคน
อาศัยอยู่ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับพรรคบัวดาแน่นอน
คนพวกนี้นิสัยโหดเหี้ยม ตั้งใจทิ้งเคล็ดวิชานี่ไว้บน
ผนัง ให้คนที่ไม่รู้คิดว่าเป็นเคล็ดสุดยอดวิชา แต่ว่าที่
จริงแล้วแฝงอันตรายเอาไว้ ขอแค่คนที่พอรู้วรยุทธ์
บ้าง ก็ไม่มีทางที่จะไม่ฝึกมัน
แต่พอฝึกฝนแล้ว ก็จะตกหลุมพราง แล้วตายอยู่ในนี้
คนที่ทิ้งเคล็ดวิชานี้ไว้ จะต้องเป็นคนที่ใจคอ
โหดเหี้ยมมาก ฉีหนิงหยิบมีดสั้นขึ้นมา เขาไม่พูด
อะไรมาก จากนั้นก็กรีดภาพฝ่ามือบนผนังนั่นจนเละ
ถึงแม้ผนังจะแข็ง แต่ว่าจะไปสู้ความคมของมีดสั้นนี้
ได้อย่างไร
ฉีหนิงเกือบตายเพราะมันแล้ว พอนึกแล้วเขาก็โมโห
ไม่นานนัก บนกาแพงก็เต็มไปด้วยรอยกรีด เคล็ด
วิชากับภาพฝ่ามือตอนนี้แทบจะมองไม่ออกแล้ว ฉี
หนิงยังไม่หายโมโห เขาต้องทาให้มันมองไม่เห็นเลย
เขาถึงจะพอใจ เขาแอบคิดในใจว่าเขาต้องลงโทษ
แทนสวรรค์ จะได้ไม่ไปเป็นภัยกับคนอื่นอีก
แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ที่นี่ลึกลับมาก ต่อให้มีคนเข้ามา
จริง ก็คงมีแต่คนของพรรคบัวดา เขาทาแบบนี้มัน
มากเกินไปหรือไม่ แต่ว่าในเมื่อทาลายไปแล้ว ก็ไม่
อยากไปคิดมากอีก
เขาถอนหายใจออกมา จากนั้นก็เก็บมีดสั้นกลับไป
จากนั้นก็หันหลังกลับไป เห็นปีศาจน้อยนอนหงาย
กลับมาแล้ว ขาของนางพันกันอยู่
เขารีบหลบตา ไม่หันไปมอง เขาคิดว่าเขาก็น่าจะอยู่
ที่นี่มาประมาณสองสามชั่วยามแล้ว รู้ว่าซีเหมินจั้น
อิงจะต้องร้อนใจมากแน่ เขาไม่รู้ว่าสถานการณ์บน
เขาเป็นอย่างไร เขาแอบเป็นห่วงซีเหมินจั้นอิงอยู่ไม่
น้อย แต่ว่าทางตรงนัน้ มันปิดตายไปแล้ว ออกไป
ไม่ได้แน่ ทาได้แค่เดินย้อนกลับไปทางแยกอีกทาง
หนึ่ง เพื่อหาดูว่าจะหาทางออกได้หรือไม่
ในนี้ไม่มีอาหาร ไม่มีน้า อากาศก็แย่ หากอยู่สักวัน
สองวันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่หากนานกว่านั้น
คงไม่รอดแน่
อีกทั้งปีศาจน้อยก็บาดเจ็บ ไม่รู้อาการเป็นอย่างไร
บ้าง
ฉีหนิงลงมาจากเตียงหิน เขาคิดว่าเขาจะมาตายในนี้
ไม่ได้ เขามองอาการของปีศาจน้อย ไม่รู้ว่าจะรอด
หรือไม่ เรื่องหนีไปจากที่นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาเลย
คิดว่าจะเดินออกไปตรงทางแยก เพื่อดูว่ามีทางออก
ไปหรือไม่ หากมีค่อยย้อนกลับมาพานางออกไป
กาลังคิดวางแผนอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินปีศาจน้อยพูด
ขึ้นมาว่า “ท่านแม่...ท่านแม่...”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาหันกลับไปมอง เห็นปีศาจน้อย
หดตัวเป็นก้อน ตัวสั่น ใบหน้าของนางเหมือน
เจ็บปวดทรมานมาก
ฉีหนิงอดเข้าไปใกล้นางไม่ได้ ใบหน้าของปีศาจน้อย
มีสีหน้าแปลกมาก เหมือนแม่นางน้อยที่กาลังถูก
ทรมานอย่างหนัก เดิมทีนางก็หน้าตาน่ารักอยู่แล้ว
พออยู่ในสภาพนี้ก็น่าสงสารเข้าไปอีก ใครที่เห็นก็
ต้องเห็นใจนางทั้งนั้น
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้า
อยู่กับเฒ่าพิษอย่างชิวเฉียนอี้ ถูกอบรมให้มีแต่ความ
ชั่วร้าย เจ้าก็เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากคนหนึ่งเลย
นะ” เขายื่นมือไปจับหน้าผากของปีศาจน้อย พอ
แตะไปเขาถึงกับตกใจ ความร้อนในตัวของปีศาจ
น้อยก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว ตอนนี้มีแต่ความ
หนาวเย็นราวกับน้าแข็ง ไม่แปลกเลยที่นางจะหดตัว
แล้วสั่นแบบนี้
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่าเขาฝึกฝ่ามือ
เพลิงโลกันตร์เกือบถูกเผาตาย แต่ทาไมปีศาจน้อย
ถึงได้กระอักเลือด แต่ไม่มีอาการชาเลย?
ทันใดนั้นเองเขาก็เหมือนเข้าใจขึ้นมา ที่เขาถูกทา
ร้ายหนัก อาจเป็นเพราะเขามีกาลังภายในที่กล้า
แกร่งมาก เขาใช้พลังหกเทพประสารดูดกาลัง
ภายในของยอดฝีมือมามากมาย ถึงแม้จะสลายมาใช้
แล้ว แต่ว่ากาลังภายในที่ยังเหลืออยู่มันก็น่าตกใจไม่
น้อย ก็เพราะแบบนี้ แรงสะท้อนของฝ่ามือเพลิง
โลกันตร์ถึงได้รุนแรง
ถึงแม้ปีศาจน้อยจะเป็นปีศาจตัวน้อยที่ชาญฉลาด มี
วิชาการใช้พิษที่ดี วิชาตัวเบาก็ใช้ได้ แต่ว่านางอายุ
ยังน้อย อายุยังไม่เกินสิบห้าสิบหกปีเลย กาลัง
ภายในยังน้อยมาก แต่ก็เพราะแบบนี้ แรงสะท้อน
มันถึงได้เอาชีวิตนางไม่ได้
“ท่านแม่...ข้าหนาว...” ดวงตาของปีศาจน้อยปิด
สนิท ริมฝีปากบ่นพึมพาว่า “ท่านแม่กอดข้าที...”
ฉีหนิงรีบพยุงปีศาจน้อยขึ้นมา แล้วช่วยใส่เสื้อผ้าให้
นาง จากนั้นก็เอากระโปรงมาสวมให้นางด้วย
ในตอนนี้ร่างกายของพวกเขาแนบชิดกัน เขาได้กลิ่น
หอมโชยมาจากตัวนาง เขารีบตั้งสติ เขารู้ว่าไม่ควร
ให้นางนอนบนเตียงหินอีกแล้ว เขาอุ้มนางแล้ว
ค่อยๆ วางนางลงบนพื้น
ปีศาจน้อยสะลึมสะลือ ฉีหนิงวางนางลง กลับรู้สึกว่า
คอของเขาแน่นขึ้นมา ปีศาจน้อยกาลังกอดคอเขา
เอาไว้แน่น
ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ปล่อย”
ปีศาจน้อยได้ยินที่ไหนกัน หลังจากที่ร่างกายของฉี
หนิงฟื้นฟูมาแล้ว ร่างกายของเขาก็อยู่ในอุณหภูมิ
ปกติ ปีศาจน้อยเห็นว่าร่างกายของฉีหนิงนั้นอุ่น ตัว
นางหนาวมาก พอฉีหนิงอุ้มนาง นางรู้สึกสบาย ก็
เหมือนกับคนจมน้าที่เจอขอนไม้ แล้วนางจะยอม
ปล่อยได้อย่างไร
ฉีหนิงเองก็ไม่สะดวกที่จะดึงตัวออก พอวางนางลง
กับพื้นแล้ว ร่างกายก็ถูกกระชากตามไปด้วย เขายก
มืออ้อมไปจับมือของปีศาจน้อยที่โอบคอเขาอยู่
ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าด้านล่างของเขาแน่น ปีศาจ
น้อยใช้คอของนางหนีบเข้ากับเอวของฉีหนิง แม้จะ
ไม่แรงแต่ก็ไม่เบา ฉีหนิงรู้สึกว่าร่างกายไม่มีแรงต้าน
เลยล้มทับตัวนางลงไป
ปีศาจน้อยครางออกมาเบาๆ เหมือนจะเจ็บที่ถูกทับ
ฉีหนิงรีบดันแขนยกตัวขึ้น ปีศาจน้อยก็ยังโอบคอ
ของเขาอยู่
ตอนนี้เมื่อมองลงมา เห็นใบหน้าของปีศาจน้อยขาว
ราวกับหิมะ ปากนิดจมูกหน่อย หน้าตาจิ้มลิ้ม ราว
กับไข่มุก แต่ว่าสีหน้าของนางซีดเซียว คางของนาง
แหลม ใบหน้ามีความอวบอิ่มแบบเด็กน้อย ดูไปดู
มาแล้วก็น่ารักมากเลย
กลิ่นกายของหญิงสาว โชยออกมาจากปีศาจน้อย
ลมหายใจของปีศาจน้อยมันมีกลิ่นอ่อนของดอกไม้
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าปีศาจน้อยอยู่กับสัตว์พิษทั้งวัน
แต่ลมหายใจของนางกลับบริสุทธิ์ขนาดนี้ได้ เขา
อยากจะเอาตัวออกจากนาง แต่พอเขาขยับ ปีศาจ
น้อยก็ออกแรงดึง เดิมทีด้วยความสามารถของฉีหนิง
อยากจะสะบัดให้หลุดจากปีศาจน้อยมันก็ง่ายยิ่งกว่า
พลิกฝ่ามือ แต่ว่าเห็นหน้าตาของนางน่ารัก เขาเลย
ไม่อยากฝืน เขาเลยหวังแค่ปีศาจน้อยจะเหนื่อยจะ
เมื่อย แล้วค่อยปล่อยไปเอง
ในตอนนี้เอง ขาของปีศาจน้อยก็ขยับมาบนกางเกง
ของฉีหนิง ปีศาจน้อยแค่ขยับเท่านั้น แต่ว่าสาหรับฉี
หนิงแล้ว มันคือการยั่วยวนเขา ฉีหนิงกัดฟันแน่น
แล้วพูดว่า “ปีศาจน้อย เจ้าอยู่นิ่งๆ หน่อย เจ้าจะมา
ลองดีกับข้าไม่ได้นะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่า ถึงแม้ปีศาจน้อยจะหน้าตาสวย ดู
เป็นอาหารที่น่าลิ้มลอง แต่ว่าหากเขาคิดไม่ซื่อใน
เวลาแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาฉวยโอกาส ซึ่งก็
ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานเลย ถึงแม้ฉีหนิงจะ
ไม่ใช่คนดีนัก แต่ในเรื่องแบบนี้ เขาทาไม่ได้จริงๆ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 453 หนีความเป็นความตายไปไม่พ้น
มือของปีศาจน้อยโอบคอของฉีหนิง ฉีหนิง
พยายามเอามือดันพื้นเอาไว้ ครู่หนึ่งพอไหว แต่
พอนานไป มันก็เมื่อย ฉีหนิงเลยเอียงตัวไปด้าน
ข้าง แต่ปีศาจน้อยก็ไม่ปล่อยมือของเขาเลย ถึง
ร่างกายจะถูกสะบัดไป แต่ว่าขาของนางยังพัน
เอาไว้ที่เอวของฉีหนิงอยู่
ฉีหนิงไม่รู้เลยจริงๆ ว่านางสลบจริงหรือว่า
แกล้งสลบ เขาเอียงไปอีกข้างหนึ่ง ร่างกายของ
เขานอนไปกับพื้น ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าบนตัว
มันหนักขึน้ ปีศาจน้อยพลิกกลับมาทับอยู่บนตัว
เขา
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดอยากจะผลักตัวนางลงไป
แต่ว่าปีศาจน้อยเหมือนกาวตราช้าง ติดหนึบอยู่
บนตัวของฉีหนิง ไม่ปล่อยมือเลย
ฉีหนิงถอนหายใจ สุดท้ายก็ปล่อย เพราะตัว
นางก็ร่างเล็ก ทับอยู่บนตัวเขา ก็ไม่ได้หนัก
เท่าไหร่ เขารับไหวอยู่แล้ว
เขาเองก็ไม่ไปคิดมากอะไร ก่อนหน้านี้เขา
ทรมานเพราะร่างกายร้อนเหมือนไฟเผามาแล้ว
เขารู้สึกเหนื่อยมาก เขาเลยหลับตาพักไปเลย
ดีกว่า
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนเหมือนกัน ทันใดนั้นก็ได้ยิน
เสียงร้อง เขาจึงตกใจตื่นขึ้นมา ฉีหนิงมี
ประสาทรับรู้ที่ไวมาก เขาลืมตาขึ้นมา เห็น
ปีศาจน้อยนอนอยู่บนตัวเขา มือข้างหนึ่งอยู่ที่
หน้าอกของเขา ครึ่งตัวบนห่างออกไปหน่อย
ใบหน้าของนางดูตกใจมาก
ฉีหนิงเองก็ตกใจเหมือนกัน เขารู้สึกว่าเหมือน
มือของเขาจะสัมผัสถูกอะไรลื่นๆ เขากลับ
พบว่าของๆ เขาไปอยู่บนตัวของปีศาจน้อย
ตั้งแต่เมื่อไหร่
สีหน้าของปีศาจน้อยตกใจสุดขีด ไม่นานนัก
หน้าของนางก็เริ่มดุขึ้น นางยกมือขึ้นมา แล้ว
ตบไปที่หน้าของฉีหนิง
ฉีหนิงจะยอมให้นางทาสาเร็จได้อย่างไร เขายก
มือขึ้นไปจับข้อมือของนางเอาไว้ แล้วตะคอกว่า
“เจ้าคิดจะทาอะไร?”
“ลามก บ้ากาม” ปีศาจน้อยพูดด้วยความโมโห
“เจ้า...เจ้ามันคนฉวยโอกาส เจ้ามันคนสารเลว
เจ้ากล้า...กล้ารังแกข้า...”
ฉีหนิงเดิมทีอยากต่อว่ากลับไป แต่ก็รู้สึกว่ามัน
ไม่เหมาะ เขาอดไม่ได้จึงพูดว่า “เจ้าอย่าพูดจา
เหลวไหล ข้า...เจ้าหนาวมาก อยากจะใช้ข้าเป็น
ตัวทาความอุ่นให้ เลยปีนขึ้นมาบนตัวข้าเอง”
ปีศาจน้อยพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้ายังจะมา
แก้ตัวอีก? ฉีหนิง ข้ารูอ้ ยู่แล้วว่าเจ้ามันคนคิดไม่
ซื่อ ตอนที่อยู่ที่หน้าผา เจ้าก็แอบดูของข้า
ตั้งแต่ตอนนั้น เจ้าก็คิดหาโอกาสรังแกข้าใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงแทบอยากจะร้องไห้ เขาหน้านิ่ง แล้วพูด
ว่า “หากข้าจะรังแกเจ้า เหตุใดต้องรอเจ้าสลบ
ไปก่อนด้วย? เจ้าอย่ามาพูดอะไรเหลวไหลนะ”
“เห็นไหมล่ะ เห็นไหมล่ะ” ปีศาจน้อยกัดฟัน
แน่น “เจ้ายอมรับแล้วใช่หรือไม่ว่าคิดจะรังแก
ข้า เจ้าคนสารเลว ลามก บ้ากาม ไร้ยางอาย ต่า
ช้า...”
“พอได้แล้ว” ฉีหนิงใช้แรงผลักปีศาจน้อยลง
จากตัวเขาไป จากนัน้ ก็ได้ยินเสียง “โอ้ย”
ปีศาจน้อยกลิ้งลงไปจากตัวเขา ฉีหนิงฉวย
โอกาสลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “เจ้าปีศาจน้อย ข้า
จะบอกเจ้าอีกแค่ครั้งเดียวนะ เจ้าปีนขึ้นมาบน
ตัวข้าเอง ข้าไม่ได้ทาเรื่องอย่างว่าแบบนั้นกับ
เจ้า เจ้าอย่ามาวอแวไม่จบไม่สิ้นแบบนี้นะ”
ปีศาจน้อยสูดลมหายใจเข้า แล้วพูดตัดพ้อว่า
“เจ้ารังแกข้า ตอนนี้ยังจะมาด่าข้าด้วย เจ้า...”
ยกมือชี้ไปที่ฉีหนิง นางกัดฟัน ดูไปแล้ว เหมือน
แค่นางออกแรง ก็สามารถพุ่งออกมากัดคอเขา
ขาดได้เลย
ฉีหนิงถอนหายใจ คิดว่าสภาพแบบเมื่อครู่ ก็ไม่
แปลกที่ปีศาจน้อยจะเข้าใจผิด ถึงแม้เขากับ
ปีศาจน้อยจะไม่ใช่คนแบบเดียวกัน แต่ว่าใน
เรื่องแบบนี้มันก็ควรจะอธิบายกันให้เข้าใจจะ
ดีกว่า เขาอดทนแล้วพูดว่า “อาเหน่า เจ้าลอง
นึกดูให้ดี เจ้าฝึกวรยุทธ์บนกาแพงนั่นใช่หรือไม่
จากนั้นธาตุไฟเลยเข้าแทรก ทาให้ภายในของ
เจ้าบาดเจ็บ? จากนั้นเจ้าก็สลบไปใช่หรือไม่?
ต่อมาเจ้าก็รู้สึกหนาว ข้าก็เลยช่วยอุ้มเจ้าลงมา
จากเตียง...ใช่ ข้ายอมรับ ข้าอุ้มเจ้าจริง แต่ว่า
ข้าก็แค่หวังดีกับเจ้านะ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่
พูดตรงๆ แบบไม่เกรงใจเลยนะ ด้วยฐานะของ
ข้า ข้าอยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็หาได้ง่ายๆ แต่
คงไม่มาถึงเจ้าแน่”
“ทาก็ทาไปแล้ว ตอนนี้ยังจะมาหาข้ออ้างอีก”
ปีศาจน้อยฝืนยืนขึ้นมา เหมือนว่าร่างกายของ
นางยังอ่อนแรงอยู่ นางพูดว่า “ท่านพ่อบอกว่า
หลังจากที่ข้าโตแล้ว ให้หาคนที่ข้าชอบ แต่ว่า...
เจ้ารังแกข้า ข้าเองก็ไม่ได้ชอบเจ้า ข้าไม่อยาก
เป็นเมียเจ้า”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “พูดจบหรือยัง? วอแวไม่เลิก
เลย ข้าบอกเจ้าตอนไหนว่าอยากได้เจ้าเป็น
เมีย? เจ้าอย่าฝันไปเลย”
“เจ้ายังกล้าดุข้าอีกหรือ?” ปีศาจน้อยเริ่มสะอื้น
ดวงตาของนางเริ่มแดง “เจ้ารังแกข้า ข้าจะ
ฟ้องท่านพ่อ ท่านพ่อ...ท่านพ่อจะต้องไม่ปล่อย
เจ้าไปแน่”
“พ่อเจ้า?” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านพ่อของเจ้าเป็น
ใครกัน?”
ปีศาจน้อยพูดว่า “ร้ายกาจมากก็แล้วกัน ต่อให้
เจ้าจะเป็นขุนนางที่ใหญ่แค่ไหนก็ตาม พ่อข้าก็
ไม่กลัวเจ้าหรอก ตอนที่ท่านพ่อไปฆ่าเจ้า ถึง
เวลานั้นเจ้าก็จะรู้ว่าพ่อข้าเป็นใคร?” นางก้ม
หน้า พบว่าเสื้อผ้าของนางยุ่งเหยิง นางรีบ
แต่งตัว สีหน้าของนางดุมาก
ฉีหนิงพูดว่า “ก่อนที่พ่อของเจ้าจะฆ่าข้า
รบกวนให้เขาตรวจสอบก่อนนะ ดูสิว่าเจ้ายัง
เป็นสาว...ฮึ เจ้าถูก...ทาไปแล้วหรือยัง ตัวเจ้า
ไม่รู้เลยหรืออย่างไร? เจ้าลองดูเองก่อนดีกว่า
กระมัง”
ปีศาจน้อยไม่ได้สนใจว่าเตียงหินจะหนาวเย็น
แค่ไหน นางลุกขึ้นไปนั่ง แล้วจ้องมาที่ฉีหนิง
แล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าว่ามา ตอนนี้จะทาเช่น
ไร?”
“จะทาอะไรเช่นไร?” ฉีหนิงเหลือบไปมอง “ขี้
เกียจพูดกับเจ้าแล้ว” เขาหันหลังแล้วเดินไป
ปีศาจน้อยรีบลุกขึ้นมา แต่ว่าตัวของนางเหมือน
ยังไม่ฟื้น ทรุดตัวนั่งลงไปอีก นางชี้หน้าใส่ฉีหนิง
“เจ้าคนแซ่ฉี เจ้าห้ามไปนะ เจ้าสารเลว รังแก
คนอื่น แล้วยังไม่สนใจข้าอีก”
ฉีหนิงได้ยินนางพูดคาก็รังแกสองคาก็รังแก ก็
รู้สึกโมโห เขาหันหลังกลับมา แล้วเดินขึ้นหน้า
มาหาปีศาจน้อยสองก้าว เขาจ้องไปที่ตาของ
นาง แล้วถามว่า “เจ้าบอกว่าข้ารังแกเจ้าใช่
หรือไม่?”
ปีศาจน้อยเห็นเขาหน้านิ่ง ก็รู้สึกกลัว นางถอย
หลังหดตัว ถึงแม้ในใจจะกลัว แต่ปากก็ยังแข็ง
อยู่ “หรือว่าไม่ใช่หรืออย่างไรกัน?”
ฉีหนิงพูดว่า “ได้ ในเมื่อเจ้าพูดแบบนี้ ไม่ยอม
เลิกราสักที ข้าจะรังแกเจ้าอีกครั้ง จากนั้นก็ฆ่า
คนปิดปากซะ จะได้ไม่มีใครรู้อีก” พูดจบ เขาก็
เดินขึ้นหน้า ทาหน้าโหดๆ มือสองข้างของเขา
จับไปบนร่างกายของปีศาจน้อย
ปีศาจน้อยกรีดร้อง จากนั้นก็หดตัวถอยหลัง ฉี
หนิงแสยะยิ้ม จากนัน้ ก็หันหลังกลับไป ไม่ได้
สนใจนางอีก แล้วเดินออกจากห้องหินไปเลย
ปีศาจน้อยลุกออกจากเตียงหิน จากนั้นก็วงิ่ ตาม
ไปแล้วก็ตะโกนว่า “เจ้าอย่าหนีนะ”
ฉีหนิงขี้เกียจจะสนใจนาง เมื่อเดินไปที่ประตูหิน
เห็นบนประตูหินเหมือนมีที่จับ ก็จับแล้วดึงออก
แล้วเดินออกจากประตูไปเลย จากนั้นก็ได้ยิน
เสียง “โอ้ย” ดังมาจากด้านหลัง คิดในใจว่า
ปีศาจน้อยคงแสร้งทาอีก เขาเลยเดินไปที่
ทางเดิน เมื่อเดินไปได้ระยะหนึง่ ก็ไม่เห็นปีศาจ
น้อยเดินตามมา เขาก็ลังเล แล้วเดินย้อนกลับ
ไปที่ห้องหินอีกครั้ง เขาเห็นปีศาจน้อยนั่งร้องไห้
หนักอยู่บนพื้น
ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ นาง
แล้วพูดว่า “เจ้าไม่เชื่อ?”
“ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ” ปีศาจน้อยพูดพลาง
ร้องไห้ไปด้วย “อาจารย์บอกว่า เด็กผู้หญิงมี
เพียงผู้ชายที่พวกนางชอบเท่านั้นที่แตะต้องนาง
ได้ ชาตินี้ทงั้ ชาติมีได้แค่คนเดียว เจ้ารังแกข้าไป
แล้ว ต่อไปข้าจะไปหาผู้ชายที่ข้าชอบได้อย่างไร
กันล่ะ?”
ฉีหนิงไม่มที างเลือก แล้วพูดว่า “อาจารย์เจ้าไม่
ค่อยได้สอนอะไรดีดีให้เจ้าเลย แต่ว่าคราวนี้เขา
พูดถูก” เขาแกล้งแหย่ไปว่า “เดิมทีคิดว่าเจ้าไม่
น่าจะอาย ตอนนี้ดูไปแล้ว เจ้าก็รู้อะไรดีอะไรไม่
ดีอยู่ ถูกคนข่มขืนแล้ว ยังรู้จักอายรู้จักร้องไห้”
ปีศาจน้อยเงยหน้าขึน้ มา แล้วพูดว่า “หากว่า
ข้าชอบเจ้า เจ้ารังแกข้าแบบนี้ข้าก็ไม่ร้องไห้
หรอก แต่ว่าข้าไม่ได้ชอบเจ้าสักหน่อย เจ้ามัน
คนลามกบ้ากาม ถูกเจ้ารังแก ข้าจะร้องไห้”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าบอกเจ้าตรงๆ เลยนะ ข้า
เกลียดเจ้ามาก เจ้ามันผู้หญิงโหดเหี้ยม ผูห้ ญิง
อย่างเจ้า ข้าไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย อย่าว่า
แต่แตะต้องเจ้าเลย ต่อให้เจ้าขอร้องให้ข้าแตะ
ต้องเจ้า ข้าก็ปฏิเสธ ข้าจะไม่เสียเวลากับเจ้าอีก
ตอนนี้ข้าจะไปแล้ว ที่นี่ไม่มีอาหารไม่มีน้า หาก
ว่าไม่เจอทางออก มีแต่ตายอย่างเดียว หากเจ้า
อยากตาย ก็อยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ” เขาลุกขึ้น
เตรียมจะเดินจากไป ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่า
ข้อมือของเขาถูกบีบแน่น ปีศาจน้อยยกมือ
ขึ้นมาจับมือของเขา
“ทาไม?” ฉีหนิงไม่ได้พูดดี
“เจ้าจะหนีไปแบบนี้ไม่ได้” ปีศาจน้อยพูดว่า
“เรื่องนี้หากเจ้าไม่อธิบายให้เข้าใจ ต่อให้เจ้าหนี
ไปสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็จะตามเจ้า”
ฉีหนิงหมดคาจะพูด เขาได้แต่พูดว่า “ตอนนี้ข้า
รู้แล้วว่าเจ้าเป็นคนแบบไหน เจ้ามันพวกไม่มี
เหตุผล” คิดอยากจะสลัดมือของปีศาจน้อย แต่
กลับถูกดึงไว้แน่น ปีศาจน้อยพูดว่า “ข้าเดินไม่
ไหว เจ้าแบกข้าที ถึงอย่างไรเจ้าก็เห็นของข้าไป
หมดแล้ว แตะก็แตะไปแล้ว ข้าไม่สน”
ฉีหนิงโกรธมาก คิดอยากจะสะบัดนางทิง้ ไป แต่
ว่าเห็นหน้านางยังซีดอยู่ เหมือนอาการยังไม่ดี
ถึงอย่างไรก็ทิ้งนางไว้ที่นี่ไม่ได้ อีกทั้งยังไม่พ้น
อันตราย ไม่รู้ว่าเดี๋ยวจะเจอคนของพรรคบัวดา
อีกหรือไม่ มีปีศาจน้อยอยู่ในมือ ก็เหมือนมีตัว
ประกัน เขาเลยหันหลังแล้วแบกปีศาจน้อยไป
ปีศาจน้อยขึ้นหลังของฉีหนิง รู้สกึ ว่าฉีหนิงเอา
มือจับไปที่ก้นของนาง ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ข้า
รู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่ใช่คนดี ก่อนหน้านี้ยังจับ
ไม่พอหรืออย่างไร? ยังมาจับก้นข้าอีก”
ฉีหนิงพูดว่า “หากเจ้าพูดอีกแค่คาเดียว ข้าจะ
ทิ้งเจ้าไว้ทนี่ ”ี่ เขาไม่พูดมากอีก เดินออกจาก
ห้องหินไป
เขาเดินกลับไปตามทางอีกครั้งจนมาถึงทางแยก
เดินเลี้ยวไปทางแยกอีกทาง แอบหวังในใจว่า
ทางนี้จะเป็นทางออกนะ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินปีศาจน้อยไอ ฉีหนิงถามว่า
“เป็นอะไรไป? อาการกาเริบหรือ?”
ปีศาจน้อยไอสองทีแล้วก็หยุด นางไม่ได้พูดดี
ด้วย “ใครให้เจ้ามายุง่ ” แต่ก็ยังพูดว่า “ข้าปวด
หน้าอก ร่างกายเหมือนไม่มีแรง”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าก่อนหน้านี้เจ้ากระอัก
เลือดออกมาถึงสามครั้ง ต่อให้ไม่บาดเจ็บ
กระอักเลือดตั้งสามครั้ง คนเราก็ต้องไม่มีแรง
อยู่แล้ว คิดว่าปีศาจน้อยอ่านเคล็ดวิชาแล้วก็ฝึก
เลย ความจาจะต้องดีมากไม่นอ้ ย เขาพูดว่า
“สมน้าหน้า ดูสิต่อไปจะกล้าศึกวิชามั่วอีก
หรือไม่ ไม่มีดอกสว่านเพชร ยังคิดจะทาเครื่อง
ลายครามอีก”
“ไม่มีดอกสว่านเพชร ยังคิดจะทาเครื่องลาย
ครามอีก?” ปีศาจน้อยพูดด้วยความแปลกใจ
“ฉีหนิง หมายความว่าอย่างไร? อะไรคือดอก
สว่านเพชรทาเครื่องลายคราม?”
ฉีหนิงพูดว่า “ไม่มีความสามารถ ก็อย่าไปฝึก”
แอบคิดในใจว่า ตัวเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่านาง
สักเท่าไหร่ เกือบจะตายไปแล้วด้วยซ้า
เมื่อพูดขึ้นมา ปีศาจน้อยก็รู้สึกโมโห แล้วด่าว่า
“ไม่รู้ว่าเจ้าคนสารเลวคนนั้นสลักเคล็ดวิชานั่น
ไว้ เกือบทาให้ข้าตายแล้ว ข้าต้องรู้ให้ได้ ข้า
จะต้องให้เขาไม่ได้ตายดีแน่”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 454 หลงเข้าถ้้าเสือ
ตลอดเส้นทางภายในหุบเขาอย่างไรอากาศก็ไม่
ได้ดี ฉีหนิงเดินมาตามทาง ปีศาจน้อยก็ยังบ่น
อยู่บนหลังเขาไม่หยุด แต่ฉีหนิงก็ไม่ได้ไปสนใจ
เดินมาประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ไม่ได้ยิน
เสียงของนางแล้ว เขาหันหน้าไปมอง ก็เห็นว่า
นางหัวพาดบ่าเขาหลับไปแล้ว
นางบาดเจ็ดไม่น้อย มาทรมานแบบนี้ คง
เหนื่อยแล้วหลับไป
เดินไปได้อีกประมาณครึ่งก้านธูป ทันใดนั้นเอง
ก็เห็นขั้นบันไดหินเดินขึ้นด้านบน ในใจตอนนี้ก็
ดีใจมาก แอบคิดในใจว่าในเมื่อมีขั้นบันได
แสดงว่าอาจจะเป็นทางออกก็ได้ เขารีบเดินขึ้น
หน้าไปตามขั้นบันได ขั้นบันไดนี้มีประมาณสาม
สี่สิบขั้น เมื่อมาถึงสุดทาง ก็พบว่ามันไม่มีทาง
เดินแล้ว มันเป็นทางตัน
ฉีหนิงรู้สึกผิดหวังมาก คิดไม่ถึงว่าผลที่ออกมา
จะเป็นอย่างนี้ เขาวางปีศาจน้อยลงอย่างระวัง
แล้วนั่งอยู่ที่ขั้นบันได ปีศาจน้อยยังคงหลับอยู่
เขาเดินไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย แล้วมองดู พบว่า
ที่ขวางทางอยู่นั้นเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ มันดู
ไม่ค่อยเหมือนหินทัว่ ไป
แผ่นหินดูเงามาก สีของมันออกเขียวมรกต ฉี
หนิงนึกอะไรขึ้นมาได้ ที่นี่ต้องเป็นทางออกแน่
ในเมื่อบนเขามีทางลับ มันก็ต้องปิดทั้งทางเข้า
ออกอยู่แล้ว จะให้มีแสงรอดเข้ามาไม่ได้อยูแ่ ล้ว
เขากาลังจะยกมือจไปดันแผ่นหินนั้นให้เปิด
ออก ทันใดนั้นเองก็พลันนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ยัง
ไม่รู้ว่าทางออกมันอยูต่ รงไหน หากอยู่ที่มุม ก็
แล้วไป แต่หากมันอยู่ในที่ประหลาด หรือแม้แต่
ในจุดที่คาดไม่ถึงขึ้นมาล่ะ เขาคิดว่าเขาควรจะ
ระวังตัว จึงเอาหูแนบไปที่แผ่นหินก่อน เขา
กลั้นหายใจ แล้วตั้งใจฟังอย่างละเอียด
ทุกอย่างเงียบมาก ไม่มีเสียงอะไรเลย
ฉีหนิงรออยู่นานมาก ถึงได้ยกมือแล้วเลื่อนแผ่น
หินออก แต่ว่ามันเหมือนไม่ขยับเลย เขาขมวด
คิ้ว แล้วเพิม่ แรงมากขึ้นไปอีก แต่แผ่นหินนั่นก็
ไม่ขยับเลย
ฉีหนิงคิดว่าหากเป็นแค่แผ่นหิน ไม่มีทางหนัก
แบบนี้ได้ หรือว่ามันจะมีกลไกอยู่อีก แต่ว่านี่
เป็นทางออกเพียงทางเดียว หากไม่ออกไปจาก
ตรงนี้ ก็ตอ้ งตายอยู่ในนี้ จากนัน้ เขาก็เหมือน
อยากจะใช้กาลังภายใน แต่ว่าก่อนหน้านีเ้ จอ
เรื่องมามากมาย ไม่รู้เดินกาลังภายในแล้วมัน
จะร้อนหรือไม่ เขาเลยไม่ลังเล
แต่เขาก็คิดอีกว่า ร่างกายของเขามีพลังชี่เย็น
โผล่ออกมา ต่อให้มีพลังชี่ร้อน พลังชี่เย็นก็คุ้ม
กันร่างกายเขาอยู่ ก็ไม่เห็นต้องกลัว เขาจึงเดิน
ลมปราณไปที่ฝ่ามือของเขา จุดตันเถียนและจุด
อื่นไม่ได้มีอาการอะไร เขาเลยเริ่มออกแรง
เพิ่มขึ้น แผ่นหินเริ่มมีความเคลื่อนไหวบ้างแล้ว
ฉีหนิงรู้สึกดีใจมาก เขาเลยไม่ลงั เลอีก ใช้กาลัง
ภายในดันอีก แผ่นหินเริ่มขยับออก ถึงแม้เขา
จะไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวอะไร แต่ว่าเขาก็ยัง
ระวังสถานการณ์ด้านนอก เขาไม่กล้าส่งเสียง
ดัง เขาค่อยๆ เลื่อนแผ่นหินออก จนมันมีช่อง
โผล่ให้เห็น เขาพบว่าด้านนอกยังคงมืดเหมือน
กัน เขาปล่อยแผ่นหินลง แล้วจับขอบเอาไว้
เขายื่นคอออกไปดู
ด้านนอกมืดมาก ที่นา่ แปลกก็คือ อากาศด้าน
นอกมันเหมือนมีกลิน่ หอมอ่อนๆ ฉีหนิงอยู่ใน
อากาศแย่มาก พอได้กลิ่นแบบนี้ เขาก็รู้สกึ
สบายตัว
เขาแน่ใจว่ารอบๆ ไม่มีคนแล้ว ถึงได้ออกมา
แล้วมองไปรอบๆ เขาถึงตกใจ
ที่นี่เหมือนจะเป็นห้องของหญิงสาว ภายในห้อง
ไม่ใหญ่มาก ตรงกลางมีเตียงหลังหนึ่ง บนเตียง
มีผ้าม่าน ภายในห้องตกแต่งเรียบง่าย แต่ว่า
สะอาด เหมือนไม่มีฝุ่นเลย เขาหันหลังกลับมา
มอง ตอนนี้เขาเห็นชัดแล้วว่า ที่เขาเลื่อนเมื่อ
สักครู่นี้มันไม่ใช่แผ่นหิน แต่มันเป็นโต๊ะเครื่อง
แป้งสาหรับผู้หญิง
เขาเคยเห็นโต๊ะเครื่องแป้งของผู้หญิงมาก็มาก
แต่ว่าทาจากหินดาแบบนี้ มันหายากมาก โต๊ะ
เครื่องแป้งหญิงสาวนี่สวยประณีตมาก ยังมี
กระจกทองแดงด้วย บนโต๊ะเครื่องแป้งไม่มี
เครื่องประดับอะไรอยู่เลย บนโต๊ะว่างเปล่า บน
เตียงเองก็ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ก็ไม่รวู้ ่าเป็นที่อยู่ของใครกัน แต่
ว่าที่แน่ใจ ที่นี่คือบนยอดเขาบัวดาแน่นอน
เขาคิดอยากจะกลับไปอุ้มปีศาจน้อยออกมา
ด้วย แต่คิดดูแล้ว ทีน่ ี่ก็แปลกมาก เขายังไม่
แน่ใจเลยว่าที่นี่ที่ไหน ถ้าอุ้มนางออกมาตอนนี้
คงไม่สะดวก เอาให้แน่ใจก่อนว่าที่นี่ที่ไหน แล้ว
ค่อยคิดอีกทีน่าจะดีกว่า
อีกทั้งปีศาจน้อยก็ยังไม่ตื่น ดูจากสภาพตอนนี้
คงนอนอีกหลายชั่วยาม แต่เขาก็ยังกังวลว่า
หากเขาเข้าไปดูแล้ว เกิดปีศาจน้อยตื่นมา
กลางคัน แล้วหนีไปจากที่นี่ เขาเลยเดินไปปิด
แผ่นหินอีกครั้ง
ในห้องนี้เป็นห้องของผู้หญิงแน่นอน หรือว่า
ทางลับนี้ ทาขึ้นเพือ่ ผู้หญิง? ฝ่ามือเพลิง
โลกันตร์อยู่ในห้องหิน ผู้หญิงเป็นคนทาหรือ?
ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมาก เขาเองก็ไม่รอช้า รีบเดิน
ไปที่ทางประตูห้อง แล้วมองลอดช่องไปดู ไม่มี
ร่องรอยของใครเลย มันเงียบมาก เขาถึงเปิด
ประตูออกไป เมื่อเดินออกไป แล้วกามีดสั้นไว้
ในมือ แล้วเดินคลาทางออกไป
รอบๆ มีทางเดินเต็มไปหมด เมือ่ เดินผ่านไป
สองทาง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเหมือนฝีเท้าคน ฉี
หนิงรีบหลบไปอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง ไม่นานนัก ก็
เห็นชายสวมชุดดาสามคนเดินมา ในมือถือดาบ
ดูจากเครื่องแต่งกาย ฉีหนิงจาได้ทันทีว่าเป็นคน
ของพรรคบัวดา
ฉีหนิงตกใจมาก สิง่ ที่เขากังวลทีส่ ุดก็คือ
ทางออกอยู่ในตาหนักหินดาของพรรคบัวดา
เมื่อครู่ลองเดินสารวจดู เขารู้สึกเหมือนที่นคี่ ือ
ภายในตาหนักของพรรคบัวดา ตอนนี้เห็นคน
ของพรรคเดินมา เขาเลยแน่ใจ
ทางเดินในทางลับนั่นมีแต่ทางเดินขึ้นบน แสดง
ว่ามันขึ้นมาบนยอดเขาดอกบัว เท่าที่ฉีหนิงรู้
ยอดเขาดอกบัว มันคือที่ตั้งของตาหนักหินดา
ไม่มีทางเป็นที่อื่นได้แน่
คนของพรรคบัวดาสามคนเดินผ่านไปอย่าง
รวดเร็ว ฉีหนิงขมวดคิ้ว เห็นพวกเขาหายไปใน
ความมืด เขาก็ไม่ลังเลอีก เขาเดินตามพวกเขา
ไปด้วย
เขาฝึกฝนท่าเท้าท่องคลื่นจนชานาญมากแล้ว
ตอนนี้ตามพวกเขาอยู่ด้านหลัง แทบจะไม่มี
เสียงเลย
คนของพรรคบัวดาสามคนนั้นเดินผ่านทางเดิน
ไปสองทาง แล้วมาหยุดอยู่หน้าประตู ฉีหนิงยื่น
หัวไปมอง หน้าประตูนั้นมีคนเฝ้าอยู่สองคน
ได้ยินคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ท่านทูตมีคาสั่ง
ภายในตาหนักหินดา เทน้ามันให้ทั่ว พวกเจ้าไป
เตรียมมา”
คนนั้นยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “คนของแปดพรรคสิบ
หกสานักล้อมตาหนักหินดาเอาไว้ ไม่ยอมถอย
ไป คงคิดอยากจะขังให้พวกเราตายอยู่ในนี้
แน่นอน ตาหนักหินดาเป็นสถานที่ศักดิ์สทิ ธิ์ที่
สาคัญมากของพวกเรา พวกเราจะไม่ยอมให้
พวกเขาบุกเข้ามาทีน่ ี่แม้แต่ก้าวเดียว ต่อให้ต้อง
ถูกเผาเป็นผุยผง ก็จะไม่มีทางยอมให้พวกเขา
มาลบหลู่เด็ดขาด”
อีกคนก็พูดขึ้นมาว่า “ในมือของพวกเรามีคน
ของพวกเขาเป็นตัวประกันอยู่ พวกเขาจะไม่นึก
ถึงชีวิตของพวกตัวเองเลยหรือ?”
“เจ้าคิดว่าพวกนั้นเป็นคนดีอย่างนั้นหรือ?” คน
นั้นพูดว่า “คนที่ถูกจับมา มีครึ่งหนึ่งเป็น
หัวหน้าพรรคหัวหน้าสานักทั้งนั้น ชาวฮั่นพวก
นัน้ ดูผิวเผินเหมือนจะเป็นพวกเดียวกัน แต่ว่าที่
จริงแล้วมันก็แอบสู้กนั เอง ตัวประกันที่พวกเรา
จับมา เกรงว่าคงมีหลายคนต้องตายอยู่ในนี้
แน่”
อีกคนก็พูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อพวกเขาอยากเห็น
ตัวประกันตาย พวกเราก็จะให้พวกเขาได้
สมใจ”
“ราดน้ามันก่อนเถอะ หากคนพวกนั้นไม่ยอม
ถอย ถึงเวลานั้นท่านทูตก็จะมีคาสั่งลงมา พวก
เราก็จุดไฟได้ทันที ข้าจะตายไปกับตาหนักนี”้
คนอื่นก็พูดออกมาพร้อมกัน “จะร่วมเป็นร่วม
ตายกับตาหนักศักดิ์สิทธิ์”
คนของพรรคบัวดาสามคนหันหลังกลับมา ฉี
หนิงรีบหลบ เมื่อคนของพรรคบัวดาสามคนไป
แล้ว เขาก็มองไปทางเดิมอีกครัง้ เห็นคนหนึ่ง
พูดว่า “ข้าไปเอาน้ามัน เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ”
เหลือเพียงคนที่เฝ้าอยู่คนเดียว อีกคนไปแล้ว ฉี
หนิงเห็นทั้งสองคนเฝ้าอยู่หน้าประตูไม่ไปไหน
เลย เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า คนพวกนี้เฝ้าที่นี่อย่าง
ไม่กะพริบตา หรือว่าในห้องนี้ คือตัวประกันที่
ถูกจับมา?
เขาไม่รู้สถานการณ์การศึกข้างนอกเลย แต่ว่า
เมื่อเห็นพวกเขาพูดคุยกัน เขาก็แน่ใจว่า ตอนนี้
เหล่าชาวยุทธ์ถูกกักอยู่ในตาหนักหินดา แต่ว่ามี
คนไม่น้อยตกอยู่ในมือของพรรคบัวดา ฟังจาก
ความหมายของพวกเขา ตัวประกันพวกนี้ก็
น่าจะมีฐานะไม่ธรรมดาเลย
ฉีหนิงคิด หากภายในตาหนักหินดาเป็นคนของ
พรรคบัวดาทั้งหมด เขามาเพียงคนเดียว ไม่มี
ทางออกจากที่นี่ได้แน่
ตาหนักหินดาดูเหมือนเตรียมจะจุดไฟเผา
ตัวเอง หากเขายังอยู่ในนี้ เขาก็จะต้องถูกไฟ
คลอกตายแน่
เขาสามารถกลับไปในทางลับตรงห้องผู้หญิงคน
นั้น ก็อาจจะหลบไฟได้ แต่ว่าหากตาหนักหินดา
ถูกเผา ทางออกทุกทางก็จะปิดหมด ถึงเวลานั้น
ก็หนีไปไหนไม่ได้อีก เหล่าชาวยุทธ์ก็ไม่มีทาง
มาตามหาซากหลังไฟไหม้แน่ เมื่อถึงเวลานั้น
เขากับปีศาจน้อยไม่มีทางรอดแน่นอน
ความหวังเดียวที่จะมีชีวิตรอด ก็คือหาตัว
ประกันพวกนั้นให้เจอ ถ้าเป็นไปได้ ต้องช่วย
พวกเขาออกมาให้ได้ คนเยอะกาลังมาก ถึง
เวลาต่อให้สู้คนของพรรคบัวดาไม่ได้ แต่ว่าคน
มาก ฉีหนิงอาจจะฉวยโอกาสหนีออกไปก็
เป็นไปได้เหมือนกัน
หากที่นี่เป็นที่กักขังตัวประกันจริง นั่นก็เป็น
โอกาสที่ดี หรือว่าเพราะว่าอยู่ในตาหนักหินดา
การจัดเวรยามเลยไม่เข้มงวด หากพลาดไปแล้ว
คงไม่มีโอกาสอีก
เขาเหมือนกาลังใช้ความคิด เขาเอาตัวแนบไป
กับกาแพง แล้วค่อยๆ เดินไปใกล้ๆ แต่ไม่มีคน
ของพรรคบัวดามองเห็นเลย ตรงทางเดินเองก็
ไม่มีการจุดไฟ มืดมาก ห่างจากเขาประมาณสิบ
ลี้ ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเขาก็ดีดตัว
พุ่งเข้าใส่คนที่เฝ้าหน้าประตูอยู่
คนที่เฝ้าอยู่รู้สึกเหมือนมีลมพุ่งเข้ามา พวกเขา
ไม่มีทางคาดคิดว่าภายในตาหนักหินดานัน้ จะมี
คนอื่นอยู่ด้วย เขาหันไปมอง เห็นเงาดาพุ่งเข้า
มาใส่เขา สายตาคู่หนึ่งกาลังจ้องมาที่คอของเขา
คนที่เฝ้าประตูรู้ว่าสถานการณ์แย่แล้ว แต่ก็
เตรียมรับมือไม่ทัน กาลังจะส่งเสียงเตือน มีดก็
แทงทะลุคอของเขาแล้ว เสียงของเขามันจุกอยู่
ที่คอหอย ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้
ฉีหนิงลงมือเด็ดขาดมาก ทั้งแม่นยาทั้งโหด
เหี้ยม สายตาของคนเฝ้าประตู เต็มไปด้วย
ความตกใจ ฉีหนิงดึงมีดสั้นของเขาออก คนเฝ้า
ประตูนั่นถึงกับเซแล้วล้มลง
ฉีหนิงมองไปที่หน้าประตูใหญ่ ประตูเหมือนจะ
หนักมาก ทามาจากไม้สีดา บนประตูลงกลอน
เอาไว้ เขามองผ่านช่องประตูเข้าไป ภายในห้อง
มีไฟจุดเป็นทางยาว มองเห็นชัดมาก ภายใน
ห้องมีเสาอยู่สิบกว่าต้น แต่ละต้นมีคนถูกมัด
เอาไว้ ดูจากเสื้อผ้าแล้ว น่าจะเป็นคนของแปด
พรรคสิบหกสานัก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 455 รนหาที่
ฉีหนิงหยิบมีดสั้นขึ้นมาตัดกลอน แล้วเดินเข้า
ไป
เขาเดินเข้าบ้านไปในวินาทีนั้น ก็ได้ยินเสียงร้อง
อยู่ภายในดังระงมเต็มไปหมด เขามองไปรอบๆ
เห็นคนที่ถกู มัดพวกนั้น มือสองข้างก็ถูกมัด ขา
ทั้งสองข้างก็ถูกมัด นอกจากนั้น ตาก็ถูกปิด ใน
ปากถูกยัดของเอาไว้ มองก็ไม่เห็น พูดก็ไม่ได้
แต่ว่าพวกเขายังคงได้ยิน เมื่อได้ยินว่ามีคนเข้า
มา ก็เลยมีปฏิกิริยา
ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่าคนที่ไปหยิบน้้ามันมาจะกลับมา
ตอนไหน ตัวเขาเสี่ยงตายฆ่าคนเฝ้าประตูไป
หนึ่งคน หากถูกจับได้ ไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร
ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจอย่างอืน่ เขาเดินไป
ลากศพนั่นเข้ามาในห้อง จากนั้นก็เก็บกลอนที่
เขาตัดขาด แล้วปิดประตู เขาเดินไปหาคนๆ
หนึ่ง ดึงของที่อุดปากของเขาออก เขาได้ยิน
คนๆ นั้นด่าออกมาว่า “เจ้าปีศาจชั่ว พวกเจ้า
...”
ยังไม่ทันพูดจบ ฉีหนิงก็ใช้มือปิดปากของเขา
แล้วพูดว่า “ข้าไม่ใช่คนของพรรคบัวด้า หาก
เจ้ายังตะโกนอีก พวกเขาก็จะเข้ามา”
คนนั้นเหมือนเบลอไป ฉีหนิงปล่อยมือออก คน
นั้นพูดว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้า...เจ้าเป็นใคร?”
ฉีหนิงถอดผ้าปิดตาของคนๆ นั้นออก คนๆ นั้น
กะพริบตาไปหลายที เหมือนว่าเขาถูกปิดตามา
นาน เหมือนยังไม่ชินกับแสง
สักพัก เขาก็เห็นฉีหนิงชัด เขาเห็นฉีหนิงไม่ได้
สวมเสื้อผ้าของพรรคบัวด้า เขาก็ถามว่า “เจ้า
เป็นใคร?”
ฉีหนิงเห็นคนๆ นั้นอายุราวห้าสิบ หน้าตาออก
หยาบ จึงถามว่า “เจ้าเป็นคนจากพรรคหรือ
ส้านักไหนกัน?”
“ข้าเจ้าส้านักกระดูกเหล็กหลัวจั้น” คนๆ นั้น
ถึงแม้จะถูกจับเป็นเชลย แต่ว่าท่าทางของเขา
ไม่ได้ลดลงเลย แต่ว่าน้้าเสียงเหมือนจะมีความ
กลัว “เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าเองก็ถูกจับมาที่นี่
เหมือนกันหรอ? ที่นี่มันที่ไหน?”
ที่แท้เขายังไม่รดู้ ้วยซ้้าว่าพวกเขาอยู่ทไี่ หน ฉี
หนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ที่นี่คือต้าหนักหินด้า
หรือก็คือฐานหลักของพรรคบัวด้า”
เจ้าส้านักกระดูกเหล็กหลัวจั้นพูดด้วยความ
โกรธว่า “คนของพรรคบัวด้าต่้าช้านัก กล้า
วางยาพิษพวกเรา พวกเราทั้งหมดถูกพิษ...”
“พิษในอากาศหรือ?”
“ถูกต้อง” หลัวจั้นพูดว่า “เจ้าพวกปีศาจนั่น
เจ้าเล่ห์นัก พวกเราป้องกันแทบตาย ระวัง
กลไกค่ายกลของพวกเขาทุกอย่าง แต่คิดไม่ถึง
เลยว่า พวกเขากลับวางยาพิษในอากาศ
หลังจากถูกพิษแล้ว พวกเราก็หายใจไม่ออก ไม่
สามารถเดินลมปราณได้ ร่างกายอ่อนแรง พวก
เราฝืนฆ่าคนของพวกมันไปสองคน แต่ก็ฝืนไม่
ไหว สุดท้าย...สุดท้ายก็ตกอยู่ในมือของพวกมัน
...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็รู้สึกอับ
อาย
ส้านักกระดูกเหล็กเป็นหนึ่งในแปดพรรคสิบหก
ส้านัก ในฐานะเจ้าส้านัก หลัวจัน้ ถือว่ามีชื่อ
เสียงมากในยุทธภพ แต่ว่าครั้งนี้กลับตกอยู่ใน
มือของศัตรู ท้าให้หลัวจั้นรู้สึกอับอายมาก
เขามองไปทางซ้ายและขวา พบว่าภายในห้อง
ยังมีอีกหลายคนถูกมัดอยู่ เขาก็ตกใจ เห็นคนๆ
หนึ่ง เขาก็พูดด้วยความตกใจว่า “เจ้าส้านัก
กิเลนท่านเจ้าส้านักเว่ยเองก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”
คนๆ นั้นหันหน้ามา ในปากร้อง “อืออือ” ฉี
หนิงรู้ทันทีว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นเจ้าส้านักเว่ย
ฉีหนิงก็ไม่พูดมาก เขากับแปดพรรคสิบหก
ส้านักไม่ได้รู้จักกันมากนัก ถึงแม้จะไม่ได้เกลียด
แต่ก็ไม่ได้ชอบมาก แต่ว่าตอนนี้หากอยากจะ
ออกไปจากที่นี่ อย่างไรก็ต้องช่วยพวกเขา เขา
ใช้มีดของเขาตัดเชือกมัดของหลัวจั้น แล้วถาม
ว่า “ท่านเจ้าส้านักหลัว ร่างกายของท่านเป็น
อย่างไรบ้าง...”
เขายังไม่ทันได้ถามจบ หลังจากถูกตัดเชือกออก
แล้วหลัวจั้นก็ทรุดลงกับพื้น ฉีหนิงรีบเดินไป
พยุง แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?”
หลัวจั้นหายใจหอบ แล้วพูดว่า “พิษ...พิษนี่
ร้ายแรงนัก ตอนนี้ยังไม่สลายไปเลย ร่างกาย...
ร่างกายข้ายังไม่มีแรงเลย แม้...แม้แต่จะยืนยัง
ยืนไม่นิ่งเลย...” น้้าเสียงของเขาดูโมโหมาก
ฉีหนิงตะลึง คิดแล้วในใจก็โกรธมาก เขาไม่
สนใจหลัวจั้น จากนั้นก็เดินไปหาเจ้าส้านักเว่ย
แห่งส้านักกิเลน จากนั้นก็ตัดเชือกให้เขา เจ้า
ส้านักเว่ยก็เหมือนกับหลัวจั้น ขาอ่อนทรุดลง
ฉีหนิงเดิมทีคิดจะรวบรวมก้าลังเพื่อสู้ ใครจะรู้
แต่ละคนแข้งขาอ่อนแรงหมด เห็นสองคนนี้ ก็รู้
ว่าคนอื่นคงไม่ได้ดีไปมากกว่ากัน
จากสถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้เขาช่วยตัด
เชือกให้กับทุกคนในนี้ เกรงว่าก็เสียแรงเปล่า
อีกไม่นาน คนของพรรคบัวด้าก็จะกลับมา เขา
ไม่มีเวลาเอาคนพวกนี้ซ่อนตัวไว้แน่ อย่าว่าแต่
ยอดฝีมือของพรรคบัวด้าเลย คนพวกนี้แค่คน
ธรรมดายังสู้ไม่ได้เลย
ที่ส้าคัญคือ เขาฆ่าคนไปแล้ว ตัดกลอนไปแล้ว
ด้วย นอกเสียแต่ว่าคนของพรรคบัวด้าจะโง่
ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องรู้ตัวแน่นอน ว่ามีคน
ลอบเข้ามาในนี้ ถึงเวลานั้นพวกเขาทั้งหมดก็จะ
ออกตามล่าตัวเขา พวกเขาคุ้นเคยกับต้าหนัก
หินด้าเป็นอย่างดี ต่อให้หลับตาคล้า คิดอยาก
จะหลบ มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ
ก้าลังคิดอยู่ เขาก็ได้ยนิ หลัวจั้นพูดว่า “น้องชาย
พวกเรา...พวกเราบุกเข้ามาในต้าหนักหินด้าได้
แล้วใช่หรือไม่ คนอืน่ อยู่ที่ไหน? เหตุใดไม่เห็น
พวกเขาเลย?”
ฉีหนิงถอนหายใจ แอบคิดในใจว่าเจ้ายังฝันอยู่
อีกนะ เขาพูดว่า “คนของแปดพรรคสิบหก
ส้านักล้อมที่นี่เอาไว้แล้ว แต่ว่าพวกเขายังไม่
สามารถบุกเข้ามาด้านในนี้ได้ อีกทั้งพรรคบัวด้า
เองก็เหมือนหมดหนทางแล้ว...”
“ดี” หลัวจั้นรีบพูดว่า “เจ้าพวกปีศาจ ในที่สุด
พวกมันก็ขวางทางวีรบุรุษอย่างพวกเราไม่ได้”
ฉีหนิงคิดในใจว่าดีตรงไหน พวกเจ้าเป็นตัว
ประกัน เป็นตายเท่ากัน เขาไม่กลัวทีจ่ ะท้าให้
พวกเขาเสียขวัญ “พรรคบัวด้าน่าจะยื้อไม่ไหว
แล้ว ก้าลังจะจุดไฟเผาต้าหนักหินด้า พวกเขา
คิดจะตายไปพร้อมกับต้าหนักนี”่
หลัวจั้นตะลึงไป แล้วพูดด้วยความตกใจว่า “ถ้า
เช่นนั้น...ถ้าเช่นนั้นพวกเรา.?”
“ก็จะต้องตายในกองไฟนี”้ ฉีหนิงถอนหายใจ
“ท่านเจ้าส้านักหลัว เดิมทีคิดว่าพวกท่านจะสู้
ได้ อย่างน้อยยังพอมีทางรอด แต่ดูจากสภาพ
แล้ว พวกท่านคงต้องตายไปพร้อมกับพรรคบัว
ด้าแล้วล่ะ”
เจ้าส้านักเว่ยเอาของที่อุดปากตัวเองออกแล้ว
พูดว่า “น้องชาย เจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดถึงไม่
ถูกพิษ?”
ฉีหนิงไม่อยากพูดมากอีก หากคนของพรรคบัว
ด้ามาถึง เขาคงกลายเป็นลูกไก่ในก้ามือ ต่อให้
หลบอย่างไรคงไม่พ้นแน่ เขาพูดว่า “ท่านทั้ง
สอง เอาอย่างนี้นะ ข้าเองก็ไม่มกี ้าลังจะช่วย
อะไรได้ ขอให้พวกท่านโชคดีแล้วกันนะ”
จากนั้นเขาก็ออกไปเลย
หลัวจั้นรีบพูดว่า “น้องชาย เจ้าหายาถอนพิษ
ให้พวกเราได้หรือไม่? ในเมื่อเป็นยาพิษ แสดง
ว่าต้องมียาถอน หากหายาถอนพิษมาได้ เมื่อ
ยาพิษของพวกเราถูกถอนออกไป พวกเราก็จะ
มีก้าลังกลับมา จะฝ่าออกไปก็ใช่ว่าจะไม่มี
โอกาส”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าที่หลัวจั้นเสนอมาก็ไม่เลว
แต่ว่ายาถอนพิษก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ต่อให้
มีเหลืออยู่ ก็น่าจะมีในมือของชิวเฉียนอี้ หาก
เขาต้องการเอายาถอนพิษในมือของชิวเฉียนอี้
มันคงไม่ง่ายแบบนั้น
“น้องชาย เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ แสดงว่าในต้าหนัก
หินด้านี่มีทางลับใช่หรือไม่?” เจ้าส้านักเว่ยเปิด
ผ้าปิดตาออก แล้วถามว่า “หากมีทางลับ พวก
เราอาจจะหนีออกไปได้”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่า หากทางลับมันหนีออก
ไปได้ จะบอกพวกเขาไปก็คงไม่เป็นไร แต่ว่า
ทางลับมันถูกปิดตายไปแล้ว รู้ไปก็ไม่มี
ประโยชน์ คนรู้ยิ่งมากยิ่งอันตราย เขายกมือ
ค้านับแล้วพูดว่า “ท่านทั้งสอง ข้าจะลอง
ออกไปหาดู ว่ามียาถอนพิษหรือไม่ พวกท่านรอ
อยู่ที่นี่กันก่อนนะ” เขาคิดในใจว่ารีบออกไป
จากที่นี่ก่อนจะดีกว่า ในเมื่อคนพวกนี้ไม่มีแรง
จะสู้ เขาก็ไม่ควรเสียเวลากับพวกเขาอีก
หลัวจั้นพูดด้วยความซาบซึ้งใจว่า “หากหนี
ออกไปจากที่นี่ได้ ส้านักกระดูกเหล็กจะไม่มีวัน
ลืมบุญคุณของน้องชายเลย”
เจ้าส้านักเว่ยเองก็พูดว่า “น้องชาย เจ้ามานี่ ข้า
มีของอย่างหนึ่ง เจ้าพกติดตัวไว้ อาจจะมี
ประโยชน์กับเจ้าก็ได้”
ฉีหนิงเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาเดินเข้าไปหา
แล้วนั่งยองๆ ลง จากนั้นก็ถามว่า “ท่านเจ้า
ส้านักเว่ย ท่านหมายความว่า...” พูดยังไม่ทัน
จบ กลับเห็นสายตาของเจ้าส้านักเว่ยแปลกไป
ฉีหนิงถึงกลับสะดุ้ง รู้ว่าสถานการณ์แย่มาก
ในตอนนี้เอง เขาก็รสู้ ึกว่าหน้าอกของเขาเจ็บ
เจ้าส้านักเว่ยซัดฝ่ามือใส่เขา
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าส้านักเว่ยจะยังมีก้าลัง
ภายในเหลืออยู่ อีกทั้งคิดไม่ถึงเลยว่าใน
สถานการณ์แบบนี้ เจ้าส้านักเว่ยจะกล้าลอบท้า
ร้ายเขา ถึงแม้เขาจะระวังตัวมาก แต่ว่า
พริบตาเดียวเขาก็ไม่อยากจะเชือ่ เขาคิดไม่ถึง
เลยว่า ฝ่ามือนั่นจะสามารถซัดจนฉีหนิงปลิวจน
กระอักเลือดออกมาได้
จากนั้นก็เห็นเจ้าส้านักเว่ยค่อยๆ ลุกขึ้นมา ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ต้าหนักศักดิ์สิทธิ์ คิดจะมาก็มา คิด
จะไปก็ไป ดูถูกพรรคบัวด้าของพวกเราเกินไป
หน่อยกระมัง”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา หลัวจั้นก็ตกใจ ฉีหนิงเอง
ตกใจยิ่งกว่า
ความหมายของเจ้าส้านักเว่ย ก็คือเขาเป็นคน
ของพรรคบัวด้าอย่างนั้นหรือ
ส้านักกิเลนเป็นหนึ่งในแปดพรรคสิบหกส้านัก
มีชื่อเสียงในยุทธภพ เจ้าส้านักกิเลน เหตุใดถึง
ได้เป็นคนของพรรคบัวด้าได้ล่ะ?
หลัวจั้นทั้งตกใจและสงสัย ฉีหนิงจับหน้าอก
เอาไว้ สายตาของเขาจ้องไปที่เจ้าส้านักเว่ย
จากนั้นก็หัวเราะออกมา “อย่างนี้นี่เอง...ฮ่าฮ่า
ฮ่า ข้า...ข้าประมาทเอง”
หลัวจั้นยังไม่เข้าใจ เลยถามว่า “น้องชาย เจ้า...
เจ้าเข้าใจอะไรหรือ?”
“เจ้า...เจ้าส้านักกิเลน ไม่มีทาง...ไม่มีทางเป็น
คนของพรรคบัวด้าแน่” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “เจ้าส้านักเว่ยคนนี้ ในเมื่อเป็นคนของ
พรรคบัวด้า ก็ไม่น่าจะ...ไม่น่าจะเป็นคนของ
ส้านักกิเลนแน่” สายตาของเขาเย็นชามาก
“เพียงแต่ว่าทูตของพรรคบัวด้าอย่างไร...
อย่างไรก็เป็นคนมีชื่อเสียง ลงมือ...ลงมือลอบ
ท้าร้ายแบบนี้ ไม่รู้สึกว่า...เสียเกียรติไปหน่อย
หรือ?”
หน้าอกของเขาถูกฝ่ามือซัด เขารู้สึกว่าเลือดลม
มันไหลเวียนมั่วไปหมด อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บและ
ทรมานมาก หายใจติดๆ ขัดๆ เวลาพูดรู้สึกกิน
แรงมาก
“ทูตของพรรคบัวด้า?” หลัวจั้นขมวดคิ้ว แล้ว
จ้องไปที่เจ้าส้านักเว่ย “เจ้าเป็น...เจ้าเป็นทูต
ของพรรคบัวด้าหรือ?”
เจ้าส้านักเว่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “วิญญาณไร้
รูปลักษณ์ ปีศาจไร้เงา ข้าเป็นทูตวิญญาณ จะ
ท้าอะไรก็ต้องลึกลับสักหน่อย ไม่เช่นนั้นมันเสีย
ชื่อแย่” เขายกมือปาดไปที่หน้า หน้าที่โผล่
ออกมามันไม่เหมือนกับหน้าของเจ้าส้านักเว่ย
เลยแม้แต่น้อย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 456 วิญญาณไร้รูปลักษณ์ ปีศาจไร้เงา
หลังจากที่ฉีหนิงมายังโลกนี้ คนที่ได้พบได้เห็น
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางศักดิ์ใหญ่ หรือว่าชาวยุทธ์
ขอทาน ต่างมีแต่คนที่เจ้าแผนการทั้งนั้น เพราะ
อย่างนั้น เขาเลยรู้ว่าโลกนี้ มันเหมือนป่าลึกลับ
มีการไล่ล่ากันเป็นวัฏจักร
เขาทาอะไรระวังตัวตลอด เพื่อป้องกันตกหลุม
พรางของคนที่คิดร้าย
แต่ว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่า ต่อให้เขาระวังตัวแค่
ไหน แต่ใจคนก็ยากแท้หยั่งถึง คนที่เจ้าเล่ห์มัน
มีมากเกินไป ป้องกันไปก็เหมือนไม่ได้ป้องกัน
เขาจะไปคาดถึงได้อย่างไร ว่าทูตวิญญาณของ
พรรคบัวดาจะปลอมตัวเป็นเจ้าสานักเว่ยแล้ว
แฝงตัวอยู่ในนี้
ใบหน้าของทูตวิญญาณขาวซีด เหมือนไม่มี
เลือดฝาดเลย แต่ว่าใบหน้าของเขาก็ธรรมดา
ทั่วไป หากไปอยู่ท่ามกลางฝูงคน ก็ไม่มีใคร
สังเกตเท่าไหร่
วิญญาณไร้รูปลักษณ์ ปีศาจไร้เงา
ฉีหนิงรู้ดีว่า ทูตวิญญาณของพรรคบัวดาวรยุทธ์
ต้องไม่ธรรมดา วิชาทีเ่ ชี่ยวชาญที่สุดก็คือวิชา
แปลงโฉม เขาสามารถแปลงเป็นใครก็ได้ จับผิด
ยากมาก อีกทั้งเขายังชานาญในการเดาใจคน
ด้วย สามารถหาเวลาได้ถูกจังหวะ
ก่อนหน้านี้เขาบุกไปที่ค่ายคนเดียว ไม่เพียงฆ่า
คนไปหลายคน อีกทัง้ ยังจับตัวซีเหมินจั้นอิง
ออกไปต่อหน้าต่อตาด้วย หากเทียบเรื่องความ
กล้า ไม่มีใครไม่กลัวเขา
หน้าอกของเขาตอนนี้ทรมานมาก เขาเกือบที่
จะกระอักเลือดออกมาอีก ยังดีวา่ ฉีหนิงข่มมัน
เอาไว้ ไม่ให้มันพุ่งออกมา
หลัวจั้นตาโต ทูตวิญญาณเอามือไขว้หลัง แล้ว
ยิ้ม เขาพูดว่า “น้องชาย ตาหนักหินดา
แข็งแกร่ง ในบรรดาตัวประกัน ก็ไม่มีเจ้าอยู่ ข้า
มีเรื่องอยากจะขอคาชี้แนะเจ้าหน่อย หากเจ้า
พูดความจริงมา ข้าก็จะตอบแทนเจ้า”
ฉีหนิงฝืนทนความเจ็บ สูดหายใจเขาลึกๆ จาก
นั้นเขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้า...เจ้าอยาก
ถามอะไร เจ้าอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าเข้ามา...เข้า
มาได้อย่างไร ทูตวิญญาณ ข้าว่าเจ้าเองก็...ก็
เป็นคนมีมารยาทอยู่ ไม่รู้ว่าของตอบแทนของ
ท่านมันคือ...คืออะไร?”
“น้องชายอยากได้อะไรล่ะ?” ทูตวิญญาณพูด
อย่างเรียบง่าย เหมือนกับคุยกับเพื่อน
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากข้าบอกว่าให้
ท่านปล่อยคนทั้งหมดไป ท่านจะยินดีหรือไม่”
“เจ้าน่าจะรู้ บนโลกใบนี้ มีหลายเรื่องมันก็ไม่
ค่อยจะยุติธรรมเท่าไหร่” ทูตวิญญาณพูดว่า
“สิ่งที่เจ้าอยากได้ มันจะต้องมีมูลค่าเท่ากับ
ความจริงที่เจ้าพูดมา หากเจ้าบอกข้าว่าเจ้าเข้า
มาได้อย่างไร มันไม่ได้มีค่ามากพอที่จะแลกกับ
ชีวิตใครได้เลย”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ต่อให้ข้าบอก...
บอกเจ้าไป แม้แต่ชีวิตข้าก็ไม่รอดอยู่ดีสินะ”
ตอนที่เขาพูด หน้าอกของเขาก็ปวด
“คนเราอย่างไรก็ต้องตาย แต่ว่าจะตายแบบ
ไหน มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน” ทูตวิญญาณ
ยังคงยิ้มแปลกๆ “น้องชายอายุยังน้อย คงไม่
อยากตายแบบน่าเกลียดใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “ทูตวิญญาณก็
คือทูตวิญญาณ จะว่าไปแล้ว ที่นี่มันน่ากลัว
เกินไป ตัวเองจะตายอยู่แล้ว ยังมาพูดจาอวดดี
ที่นี่ได้อีก” เขายิ้ม “ท่านเผยโฉมหน้าที่แท้จริง
ออกมา สาหรับคนในที่ลับอย่างท่าน มันถือเป็น
สิ่งต้องห้าม แต่ว่าท่านกลับไม่กลัวเลย แสดงว่า
ท่านตั้งใจจะฆ่าปิดปากอยู่แล้ว”
ทูตวิญญาณพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้ชาย
หนุ่มฉลาดอย่างเจ้ามีไม่มากแล้ว” เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ไม่คิดจะบอกข้าใช่
หรือไม่ว่าเจ้าเข้ามาทีน่ ี่ได้อย่างไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “ตาหนักหินดาอีกไม่นานก็จะจุด
ไฟเผาตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? รู้มากไปทาไม
ไม่มีประโยชน์จริงหรือไม่?”
ทูตวิญญาณพยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก
ตาหนักใกล้จะทลายลงแล้ว แล้วจะไปสนใจว่า
เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ทาไมกัน?” จากนั้นก็เห็นเขาพุ่ง
ตัวมาข้าง ๆ ฉีหนิง เขายกมือเตรียมซัดใส่ฉีหนิง
ฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “ข้ามาเพื่อเจรจา”
ฝ่ามือของเขาห่างหน้าผากของฉีหนิงแค่คืบ เขา
หยุดแล้วพูดว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ตอนนี้ความเจ็บปวดที่หน้าอกของฉีหนิงนั้น
หายไปแล้ว พลังชี่เย็นในร่างกายของเขามัน
กาลังไหลเวียนอยู่ ทุกที่ที่พลังชี่ไหลผ่านไป
ความเจ็บปวดก็ลดลง แม้แต่หายใจก็โล่งขึ้น
พลังชี่เย็นแบบนี้ฉีหนิงรู้จักดี ตอนที่เขาฝึกฝ่า
มือเพลิงโลกันตร์เกือบตายมาแล้ว พลังชี่นี้จู่ๆ ก็
โผล่มา ทาให้เขารอดตายมาได้
ตอนนี้พลังชี่นี้โผล่มาอีกแล้ว ฉีหนิงรู้สึกแปลก
ใจมาก แต่ก็แอบดีใจ เพราะพลังชี่นี้มักจะ
ออกมาตอนที่เขาทรมาน เหมือนเป็นเทพที่คอย
คุ้มครองเขาอยู่ พลังชี่เหมือนกาลังซ่อมแซม
ร่างกายของเขาอยู่ เขาไม่ได้แสดงออก เขาคิด
ว่ารอฟื้นฟูจนพอประมาณก่อน แล้วค่อยลอบจู่
โจมใส่ทูตวิญญาณ
วรยุทธ์ของทูตวิญญาณฉีหนิงเห็นมากับตา เขา
รู้สึกว่ามันหาได้ยากมาก คิดในใจว่าคนที่คิดค้น
มัน จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขาถูกทูต
วิญญาณซัดไปหนึ่งที แสดงว่าต้องการให้เขา
บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้หลอกล่อเขาไปสนใจเรื่อง
อื่นก่อน ค่อยหาโอกาสลงมืออีกที
ฉีหนิงจับไปที่หน้าอก เขาขมวดคิ้ว ทาท่าทาง
เหมือนเจ็บปวดมาก แล้วพูดว่า “เจรจา ข้ามา
เพื่อเจรจา”
ทูตวิญญาณคลายคิ้วที่ขมวดออก หลัวจั้นเจ้า
สานักกระดูกเหล็กรูส้ ึกแปลกใจ ทูตวิญญาณ
พูดว่า “เจรจาเรื่องอะไร?”
ฉีหนิงรู้ดีว่าการที่ทตู วิญญาณเปิดเผยใบหน้าที่
แท้จริงออกมาแล้ว แสดงว่าเขาตั้งใจจะสังหาร
แน่ ทาได้แค่ต้องใช้คาพูดให้เขาหยุดไปก่อน
เขาพูดว่า “เจรจาเรื่องความเป็นความตาย
อย่างไรเล่า”
เขาพอจะรูส้ ถานการณ์บนยอดเขาบัวดาแล้ว รู้
ว่าพรรคบัวดาถูกเหล่าชาวยุทธ์ล้อมเอาไว้แล้ว
ตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน สถานการณ์
แบบนี้สามารถฉวยโอกาสได้
“ความเป็นความตาย” ทูตวิญญาณยิ้มแล้วพูด
ว่า “เจ้าจะบอกข้าหรือว่าเจ้าเข้ามาได้อย่างไร
หรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ทูตวิญญาณ ที่นี่คือตาหนักหินดา
เจ้าเป็นทูตของพรรคบัวดา น่าจะรู้จักที่นี่
มากกว่าข้านะ แต่ว่าข้าเข้ามาทีน่ ี่ได้อย่างไรนั้น
เจ้าเคยคิดถึงสาเหตุนี้บ้างหรือไม่?”
ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทูตวิญญาณไม่
เข้าใจ เขาถามว่า “เจ้าว่ามา ข้าจะให้เจ้ามีชีวิต
อีกสักระยะหนึ่ง ไม่แน่ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็
ได้”
“ทูตวิญญาณ ข้าก็ไม่อ้อมค้อมแล้วนะ คนของ
แปดพรรคสิบหกสานักรู้เส้นทางลับแล้ว เหตุใด
ถึงไม่บุกเข้ามาอีกเจ้ารู้หรือไม่?” ฉีหนิงพูด
อย่างจริงจังว่า “จะว่าไปแล้ว ก็เพราะเป็นห่วง
ชีวิตของตัวประกัน ก็เลยยังไม่บุกเข้ามา เพื่อไม่
เห็นพวกเจ้าเอาชีวิตใครอีก”
ทูตวิญญาณพูดว่า “มีเส้นทางลับจริงหรือ?”
“มีสิ เจ้าเองก็พูดอยู่ ตาหนักหินดาแข็งแกร่ง
มาก หากไม่มีเส้นทางลับ ข้าจะเข้ามาที่นี่ได้
อย่างไรเล่า?” ฉีหนิงตั้งใจพูดให้ทูตวิญญาณ
รู้สึกอยากรู้ พลังชี่ในร่างกายของเขายังคง
ไหลเวียนอยู่ ความเจ็บทรมานของเขาลดลงไป
กว่าครึ่งแล้ว เขาแอบเดินลมปราณปรับกาลัง
ภายในจากจุดตันเถียน หวังว่าทูตวิญญาณจะ
อยากรู้แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ เขา
เขาอยากให้ทูตวิญญาณเข้าใกล้ แต่ก็จะให้เขา
มองออกไม่ได้ ทูตวิญญาณเป็นคนฉลาดมาก
เขายืนอยู่ห่างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความ
ว่า คนของแปดพรรคสิบหกสานักอยากจะ
เจรจา ก็เลยส่งเจ้ามาอย่างนั้นน่ะหรือ?”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงพูดว่า “วรยุทธ์ข้าก็ธรรมดา
ฐานะก็ต่าต้อย ยังดีที่รอดมาพูดได้ พวกเขาเลย
ส่งข้าเข้ามา ความเป็นความตายของข้า มัน
ไม่ได้สาคัญกับพวกเขาเลย ขอแค่ข้านา
ข้อความมาถึงได้ หากทูตวิญญาณไม่อยากฟัง
ก็ลงมือฆ่าข้าได้เลย”
ทูตวิญญาณพูดว่า “น้องชาย เจ้าอย่ามาลูกไม้
กับข้านะ หากเจ้าเล่นลูกไม้กับข้า มีแต่ตายกับ
ตายเท่านั้น”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ ตอนนี้ก็ลง
มือได้เลย”
“ดี ความกล้าพอตัว” ทูตวิญญาณยิ้มแปลกๆ
“พวกเขาให้เจ้ามาพูดอะไร?”
ฉีหนิงพูดว่า “สองเรื่อง เรื่องแรกอยากจะถาม
พวกเจ้าว่า มีเงื่อนไขอะไรถึงจะยอมปล่อยตัว
ประกันไป?”
“หืม?” ทูตวิญญาณยิ้ม “อีกเรื่องล่ะ?”
ฉีหนิงพูดว่า “อีกเรื่อง ให้พวกเจ้าส่งตัวชิวเฉียน
อี้มา สาเหตุที่บุกเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้ ก็
เพราะทูตพิษชิวเฉียนอี้วางยาพิษในเมืองหลวง
ทาร้ายประชาชน ราชสานักโกรธมาก ถึงได้สั่ง
ให้จวนเสินโหวรวบรวมคนของแปดพรรคสิบ
หกสานักมาปราบ หากพวกเจ้าส่งตัวราชาพิษ
จิ่วซีมา เรื่องนี้ก็จะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงอยู่”
ทูตวิญญาณยิ้มร้ายๆ “โอกาสเปลี่ยนแปลง
อย่างนั้นหรือ? มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคิดจะมา
ล้อเล่นกับข้าอีกหรือ?”
“ถึงตอนนีแ้ ล้ว ข้าจะมีอารมณ์ที่ไหนมาล้อเล่น
กับเจ้าได้อีก?” ฉีหนิงไม่ได้พูดดีด้วย “ชีวิตข้า
อยู่ในกามือของเจ้า ยังมีอะไรต้องปิดบังกันอีก
พูดกันตรงๆ ข้าได้ยินคนของจวนเสินโหวบอก
ว่า ฝ่าบาทมีราชโองการลับ หากไม่ได้ถึงที่สุด
จริงๆ ก็จะไม่ทาร้ายคนบนเขาเชียนอูหลิง
เด็ดขาด หากพรรคบัวดาส่งตัวคนร้ายออกมา ก็
จะไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกัน พรรคบัวดา
ก่อตั้งโดยชาวเฮยเหมียว ฝ่าบาททรงกังวลว่า
หากทาลายพรรคบัวดาไป ชาวเหมียวจะไม่
พอใจในราชสานักเหมือนกัน”
เขาพูดด้วยท่าทางที่จริงจัง ทูตวิญญาณยิ้มแล้ว
พูดว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า เจ้าเป็นแค่คน
ธรรมดา คนของจวนเสินโหวเหตุใดถึงต้องพูด
เรื่องพวกนี้กับเจ้าด้วย?” เขายกมือชี้ไปที่ฉีหนิง
จากนั้นก็พดู ว่า “เจ้ากล้าหลอกข้าอย่างนั้น
หรือ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากว่าข้าบอก
เจ้าว่า ข้ามีเพื่อนอยู่ที่จวนเสินโหว เจ้าก็คงไม่
เชื่อ แต่ว่านี่คือเรื่องจริง”
ทูตวิญญาณพูดว่า “ในเมื่อฮ่องเต้ของพวกเจ้ามี
รับสั่ง เหตุใดยังบุกขึน้ เขาเชียนอูหลิงมาอีก?”
“จวนเสินโหวไม่อยากจะสูก้ ับพวกเจ้าซึ่งๆ หน้า
แต่ว่าแปดพรรคสิบหกสานักไม่อยากพลาด
โอกาสสร้างผลงาน” ฉีหนิงคิดถึงเรื่อง
สถานการณ์ของยุทธภพที่หลีซีกงพูด เขาพูด
อย่างจริงจังว่า “ข้าพูดกับเจ้าตรงๆ เลย จวน
เสินโหวตอนนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว คนของแปด
พรรคสิบหกสานักแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หาก
ว่าแปดพรรคสิบหกสานักร่วมมือกันเมือ่ ไหร่
จวนเสินโหวเองก็รับมือไม่ไหวเหมือนกัน ทาให้
จายอมต้องบุกขึ้นเขามา จวนเสินโหวแค่
ต้องการรวบรวมแปดพรรคสิบหกสานัก ใช้คน
หมู่มาก กดดันพวกเจ้า จากนั้นค่อยเจรจากับ
พวกเจ้าอีกที ให้พวกเจ้าทาสัญญาลงเขา ไม่ได้
คิดจะโจมตีพวกเจ้าตั้งแต่แรก”
ทูตวิญญาณยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “พูดจาเหลวไหล
คนล้อมไปทั่วแบบนี้ อาวุธก็ครบมือ เจ้ายังบอก
ว่าไม่อยากบุกขึ้นมาอีกหรือ?”
“เดิมทีก็ไม่อยาก แต่ว่ามีคนบุกไปจับตัวลูกสาว
ของซีเหมินเสินโหวถึงในค่าย คนที่ลงมือ วิชา
ตัวเบาเป็นเลิศ ดูอย่างไรก็เป็นคนของพรรคบัว
ดาแน่นอน” ฉีหนิงแกล้งทาเป็นไม่รู้ว่าทูต
วิญญาณเป็นคนลงมือ “เขาคนนั้นบุกเข้าไปใน
ค่ายคนเดียว ไปมาไร้ร่องรอย ทาให้ชาวยุทธ์
กว่าร้อยชีวิตวุ่นวายกันไปหมด อีกทั้งยังจับตัว
ลูกสาวของซีเหมินเสินโหวไปด้วย ทาให้พวก
เขามีข้ออ้าง จาเป็นต้องบุกขึ้นเขาให้ได้ คนของ
จวนเสินโหวเองก็จนใจ”
สายตาของทูตวิญญาณเหมือนได้ใจ แต่สีหน้า
ยังคงนิ่งอยู่ “ยอดฝีมือที่เจ้าพูดถึง คือข้าเอง ข้า
เป็นคนไปจับตัวลูกสาวของซีเหมินอู๋เหิงมาเอง”
“เจ้าหรือ?” ฉีหนิงแกล้งตกใจ “ยอดฝีมือที่มี
วิชาตัวเบาล้าเลิศคนนั้น คือท่านหรือ?”
“ถูกต้อง” ทูตวิญญาณยืนเอามือไขว้หลัง “ชาว
ยุทธ์ผู้กล้า ในสายตาของข้า พวกนั้นไม่ต่าง
อะไรกับหมูหรอก”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 457 บัญชีเก่า
ฉีหนิงพูดว่า “วรยุทธ์ของทูตวิญญาณน่านับถือ
นัก วิชาแปลงโฉมของท่านก็น่าชื่นชมเช่นกัน
แต่ว่าอาศัยแค่กาลังของทูตวิญญาณเพียงคน
เดียว จะทาให้พรรคบัวดาผ่านวิกฤตินี้ไปได้
หรือ?”
ทูตวิญญาณพูดว่า “อย่างมากก็ตายไปพร้อม
กัน”
“แต่ว่าหากทูตวิญญาณยินดีที่จะเจรจา คนที่
อยู่ภายในตาหนักหินดานี่อีกหลายชีวิตจะรอด
ไปด้วย” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ทูตวิญญาณ
คงไม่อยากเห็นพรรคบัวดาล่มสลายไปแบบนี้
หรอกกระมัง?”
ทูตวิญญาณยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าเจ้ามา
เพื่อเจรจา เหตุใดถึงแอบมาช่วยคนแบบนี้?
ช่วยพวกเขาออกไป พวกเขาสามารถฝ่าออกไป
จากที่นี่ได้ มันเป็นแผนของเจ้าใช่หรือไม่”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ทูตวิญญาณ พูด
ตามตรง หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะทาอย่างไร?
เจรจาเรื่องความเป็นความตาย มันเป็นทาง
เลือกสุดท้าย หากมีโอกาสไม่ตอ้ งเจรจา อีกทั้ง
ยังสร้างผลงานได้ ใครจะไม่ทา? ข้าถูกส่งมา
เพื่อเจรจาจริง แต่ว่าหากข้าสามารถไม่ตอ้ ง
เจรจา ช่วยตัวประกันออกไปได้ อีกทั้งพาพวก
เขาฝ่าออกไปจากที่นี่ ก็จะมีผลงานใหญ่ ถึง
เวลานั้น...” เขาไม่ได้พูดต่อ
ทูตวิญญาณยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้า
อยากจะได้หน้ากับแปดพรรคสิบหกสานัก เพื่อ
มีชื่อเสียงในยุทธภพ?”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงพูดว่า “ตอนนี้ดูดูไปแล้ว ข้า
ไม่ได้ประเมินตัวเอง”
เขาพูดพลางเดินลมปราณ ตอนนี้กาลังภายในที่
จุดตันเถียนมันมากขึ้น บริเวณที่ถูกซัดตอนนี้ไม่
มีอาการอะไรแล้ว
หากไม่ใช่เพราะฝีมือของทูตวิญญาณร้ายกาจ
จริง ฉีหนิงคงลงมือไปนานแล้ว ว่าเขาลึกลับ
ซับซ้อนมาก จะลงมือง่ายๆ ไม่ได้ ทาได้แค่
อดทน
ทูตวิญญาณเหมือนกาลังคิด ฉีหนิงเหลือบไป
มองหลัวจั้น เห็นหลัวจั้นเองก็แอบเดินลมปราณ
อยู่เช่นกัน
“ที่เจ้าพูดมามันก็มีเหตุผล เจ้าก็ใจกล้าไม่เบา”
ทูตวิญญาณคิด มือไขว้หลัง แล้วเดินเข้ามาใกล้
ฉีหนิง ฉีหนิงรู้สึกดีใจมาก ทันใดนั้นเองก็เห็น
ทูตวิญญาณพุ่งตัวเข้าใส่ตัวเขาอย่างรวดเร็ว
ฉีหนิงสะดุ้งตกใจ เดิมทีเขาคิดว่าจะฉวยโอกาส
จู่โจมให้ทูตวิญญาณรับมือไม่ทนั แต่คิดไม่ถึงว่า
เขาจะฉวยโอกาสลงมือก่อน ฉีหนิงเพิ่งจะยกมือ
ขึ้นมา ก็รู้สึกว่าจุดชีพจรถูกจี้จุด ร่างกายของ
เขาขยับไม่ได้
ทูตวิญญาณยิ้มแล้วพูดว่า “น้องชาย เจ้าเจ้า
เล่ห์มากเลยนะ แอบเดินลมปราณแบบไม่ให้
ใครรู้เลย คิดว่าลูกไม้แค่นี้จะหลอกข้าได้หรือ
อย่างไรกัน อ่อนหัดจริงๆ”
ถึงแม้ฉีหนิงจะขยับไม่ได้ แต่ยังพูดได้อยู่ “ทูต
วิญญาณ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“หน้าของเจ้ามันค่อยๆ ดีขึ้น จะปิดข้าได้
หรือ?” ทูตวิญญาณยิ้ม “ทาไม คิดจะหาโอกาส
ลอบทาร้ายข้าใช่หรือไม่?”
ฉีหนิงถูกจับได้ ก็รู้สึกตกใจ แอบคิดในใจทูต
วิญญาณร้ายกาจมาก ในตอนนี้เอง ก็ได้ยิน
เสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา เห็นคนของพรรคบัว
ดาหลายคนบุกเข้ามาด้านใน เห็นภาพที่เกิดขึ้น
พวกเขาก็ตกใจ ทูตวิญญาณสั่งอย่างเรียบง่าย
ว่า “เฝ้าทีน่ ี่เอาไว้ให้ด”ี
คนเหล่านั้นคานับทูตวิญญาณ ฉีหนิงรู้สึกว่า
ด้านหลังของเขาแน่นขึ้นมา เขาถูกทูตวิญญาณ
หิ้วตัวลอย แล้วเดินออกไปทางประตู
ฉีหนิงไม่รู้ว่าทูตวิญญาณคิดจะทาอะไร เขารู้สึก
ว่าเหมือนมีลมวูบหนึ่งพัดมา ทูตวิญญาณหิ้วคน
ไว้ในมือ ความรวดก็ไม่ได้ลดลงเลย หลังจากนั้น
ไม่นาน เขาก็รู้สึกว่าตัวหนักๆ ทูตวิญญาณโยน
เขาลงกับพื้น ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา
ว่า “ลั่วอู๋อิ่ง นี่ใครกัน?”
ฉีหนิงรู้สึกว่ารอบตัวเขามันสว่างมาก จมูกของ
เขาได้กลิ่นของน้ามัน จากนั้นทูตวิญญาณก็จี้
คลายจุดบนตัวเขาออก เลือดลมกลับมาไหล
สะดวกอีกครั้ง
ร่างกายของเขายังมีอาการชาอยู่ แต่ก็ยังฝืนลุก
ขึ้นมาอยู่ เขามองไปรอบๆ เห็นว่าเขาอยู่ในห้อง
โถงขนาดใหญ่ ภายในห้องโถงยังคงใช้ก้อนหิน
ในการก่อสร้าง เสาทุกต้นมีตะเกียงแขวนเอาไว้
ทาให้ในห้องโถงสว่างมาก
ทางทิศตะวันตกของห้องโถง มีแท่นหิน บน
แท่นหินนั่นมีเก้าอี้สดี าขนาดใหญ่ราวกับบัลลังก์
บนเก้าอี้มหี นังสัตว์พาดอยู่ ด้านหลังเก้าอี้เป็น
กาแพงขนาดใหญ่ สลักสัญลักษณ์รูปดอกบัวสี
ดา ท่ามกลางแสงไฟ ดอกบัวนั่นมันเหมือนกับมี
ชีวิต
ภายในตาหนักเต็มไปด้วยคน น่าจะมีราวหกสิบ
เจ็ดสิบคน ฉีหนิงลุกขึ้นมา คนของพรรคบัวดา
หกสิบเจ็ดสิบคนก็จ้องมาที่ฉีหนิงทั้งหมด
“เฒ่าพิษ เจ้าคงคิดไม่ถึง ตาหนักเทพของพวก
เราแข็งแกร่งแค่ไหนไม่มีใครไม่รู้ แต่ยังมีหนูตัว
เล็กหลุดรอดมาได้อีกใช่หรือไม่?” ทูตวิญญาณ
ยิ้มแล้วพูดว่า “เขาบอกว่าเขามาเพื่อเจรจา คิด
อยากจะให้พวกเรารอดชีวิต เฒ่าพิษ เจ้าเชื่อ
หรือไม่?”
ฉีหนิงรีบหันหน้าไปมอง เขาเห็นคนที่ยืนอยู่ข้าง
เขาตอนนี้ ใบหน้าเหมือนทาน้ามันสีเหลือง
ใบหน้าซูบผอม ผมเผ้าหนวดเคราสีขาวโพลน
สายตาของเขากาลังจ้องมาที่ตัวเอง ใช่ เขาคือ
ราชาพิษจิ่วซีชิวเฉียนอี้
ผู้คนรอบๆ เต็มไปหมด ฉีหนิงยืนอยู่ตรงกลาง
เหมือนแพะน้อยท่ามกลางฝูงหมาป่า
ชิวเฉียนอี้มองมาที่ฉหี นิง เขายิ้มแปลกๆ แล้ว
พูดว่า “เจ้านี่เอง”
ฉีหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยกมือคานับ
จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับชิวเฉียนอี้ว่า “ท่านราชา
พิษ ไม่เจอกันนานเลยนะ ท่านสบายดีหรือไม่?
ท่านดูดีขึ้นมากเลยนะ”
ชิวเฉียนอี้ไม่ได้สนใจเขา เขามองไปที่ทตู
วิญญาณ ยิ้มแล้วถามว่า “ลั่วอู๋อิ่ง เจ้ารู้หรือไม่
ว่าเขาเป็นใคร?”
ทูตวิญญาณลั่วอู๋อิ่งพูดอย่างแปลกใจว่า “เฒ่า
พิษ เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือ?”
“รู้จักสิ ต่อให้ข้าลืมทุกคนไปหมด ก็ไม่มีทางลืม
เขาได้ลงแน่นอน” ชิวเฉียนอี้เดินขึ้นหน้ามา
“จิ่นอีโหวแห่งต้าฉู่ เหตุใดข้าจะจาเขาไม่ได้”
พอพูดออกมาแบบนี้ ทุกคนถึงกับสะดุ้ง ลั่วอู๋อิ่ง
เองก็ตกใจ “เขาคือ...เขาคือคนของจิ่นอี
ตระกูลฉีหรือ?”
ชิวเฉียนอี้รีบยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ฉีจงิ่ ตายไป
เขาเป็นลูกชายของฮูหยินใหญ่ของฉีจิ่ง สืบทอด
ตาแหน่งโหวได้ไม่นาน ตอนนี้เขาถือได้ว่าเป็น
คนดังในเมืองหลวงเลย”
ลั่วอู๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีคิดว่าเป็นหนูตัว
เล็กที่หลุดเข้ามา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นถึงโหวเยว่
จิ่นอีโหว เมื่อครู่ข้าล่วงเกินไป อย่าได้ถือสาข้า
เลยนะ” ถึงแม้ปากเขาจะเรียกโหวเยว่ แต่ใน
สายตาของเขาก็แค่กอ้ นเนื้อก้อนหนึ่ง
ฉีหนิงจัดเสื้อผ้าของตัวเอง ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่
เป็นไร คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด”
ลั่วอู๋อิ่งยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ฉีหนิงมองไปรอบๆ
แล้วถามว่า “เท่าที่ข้ารู้ พรรคบัวดามีไท่อนิ
เสวียนหยาง กับทูตอีกสี่คน ทูตวิญญาณกับทูต
พิษข้าก็ได้เจอแล้ว ไม่ทราบว่าท่านอื่นอยูท่ ี่
ไหน? จริงสิ ท่านเจ้าลัทธิอยู่หรือไม่ ข้าอยาก
พบเขาสักครั้ง”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เจ้าลัทธิเป็นคนที่เจ้าอยาก
พบก็จะได้พบหรือ?”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พบท่านเจ้าลัทธิ
ไม่ได้ ไท่อินเสวียนหยางก็เจอไม่ได้เหมือนกัน
หรือ? ข้ามาเพื่อเจรจานะ ก็ต้องคุยกับผู้นาสิ”
ลั่วอู๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เฒ่าพิษ โหวน้อยบอกว่า
คนของแปดพรรคสิบหกสานักส่งเขามาเจรจา
ขอแค่พวกเราส่งตัวเจ้าไปแล้วก็ปล่อยตัว
ประกัน พรรคบัวดาของพวกเราอาจจะไม่ต้อง
บาดเจ็บล้มตาย”
“ฮึ...” ชิวเฉียนอี้หัวเราะแห้ง “ข้าไม่เคย
เสียดายชีวิต หากสามารถถวายให้กับพรรคได้
ไม่เคยปฏิเสธ แต่ว่าคนของพรรคบัวดามีแต่สู้
จนตัวตาย ไม่มีทางทาอะไรที่ลดศักดิ์ศรีแบบ
นั้น” เขาจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ท่านโหว
น้อย บัญชีเก่าของพวกเรายังไม่ทันได้สะสาง
ข้ายังเสียใจอยูเ่ ลย คิดว่าบัญชีเก่าของพวกเรา
จะต้องสะสางกันชาติหน้าเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลย
ว่าเจ้าจะมาหาถึงที่ บัญชีค้างเก่าของข้าจะได้
สะสางสักที”
ราชาพิษจิ่วซีเป็นใหญ่ในปาสู่ บอกได้ว่าบารมี
นั้นมากมาย เขาเป็นราชาแห่งพิษ ไม่มีใครกล้า
เข้าใกล้เขาสักคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าจะไป
ผิดใจกับเขา นิสัยของเขาเหย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี
มาก แต่ว่าก่อนหน้านีเ้ ขาถูกฉีหนิงใช้พลังหก
เทพประสานดูดกาลังภายในไป เกือบจะตายใน
มือของฉีหนิงแล้ว หลายปีมานี้เขาไม่เคยเสีย
หน้ามากขนาดนั้นมาก่อน ในใจของเขารู้สึกไม่
พอใจ ตอนนี้เห็นฉีหนิงมายืนอยู่ตรงหน้า ก็เลย
คิดจะแก้แค้น
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ราชาพิษ ข้าคิด
ว่าท่านจะเป็นใหญ่ในปาสู่ โด่งดังสะเทือนไปใต้
หล้า น่าจะเป็นคนทีร่ ้ายกาจมากคนหนึ่ง คิดไม่
ถึงว่าท่านจะเห็นแก่เรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่อง
ส่วนรวม ข้าผิดหวังจริงๆ เลย ช่างเถอะ ถึง
อย่างไรข้าก็อยู่ที่นี่คนเดียว พวกท่านเป็นคน
ของพรรคบัวดาอยู่ทนี่ ี่ก็เกือบร้อยคน หากข้า
ตายอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร”
ลั่วอู๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เฒ่าพิษ โหวน้อยกาลังใช้
วิธีจี้ใจดาอยู่ น่าสนุกดีนะ”
ราชาพิษจิ่วซีก็ยมิ้ แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยคิด
มากเกินไปแล้ว ถึงแม้พวกเราจะคนเยอะ แต่ว่า
ไม่เหมือนกับพวกจวนเสินโหวกับคนของแปด
พรรคสิบหกสานักหรอกนะ ไม่มีทางใช้คนมาก
รังแกคนน้อยหรอก ความแค้นระหว่างพวกเรา
มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้น”
“ราชาพิษ ท่านคิดแต่เรื่องความแค้นระหว่าง
เจ้ากับข้า เจ้าไม่คิดถึงความอยูร่ อดของพรรค
บัวดาหรืออย่างไร?” ฉีหนิงส่ายหน้า “เพื่อ
ความปรารถนาของคนๆ เดียว จะต้องสละคน
ในครอบครัวลูกน้องของตัวเองไป ต่อให้ทา่ น
เป็นถึงราชาแห่งพิษ ใครเขาจะมานับถือท่าน”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เจ้าไม่ต้องมายุแหย่ให้แตกกัน
หรอกนะ คนของพรรคบัวดาทั้งหมดเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกัน ก่อนที่จะเกิดศึกนี้ พวกเรา
ได้เตรียมใจไว้แล้วว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกัน ไม่
มีทางหนีเอาตัวรอดแน่นอน”
“ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่กลัวตาย” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าครอบครัวของพวกเขา
ล่ะ? ที่นี่มีคนมากกว่าร้อยคน คงไม่ได้ตัวคน
เดียวทุกคนหรอกจริงหรือไม่? ใครๆ ก็มีพ่อแม่
มีลูกมีเมียด้วยกันทั้งนั้น พวกท่านตายอยู่ที่นี่
แล้วใครจะมาดูแลครอบครัวของพวกท่านกัน
ล่ะ? หากต้องตายจริงๆ พวกเจ้ายอมสูจ้ นตัว
ตาย ข้าเองก็นับถือในความกล้าหาญของพวก
ท่าน แต่ว่าหากว่าพวกท่านรู้วา่ ยังมีโอกาสที่จะ
รอดอยู่ แต่ว่ายังดื้อดึงที่จะไปตาย มันไม่เลอะ
เลือนเกินไปหน่อยหรือ?”
คนรอบๆ เริ่มมีอาการลังเล
พรรคบัวดาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ครอบครัว
ของคนในพรรคที่จริงแล้วก็อาศัยอยู่บนเขา
เชียนอูหลิงมาตลอด คนในพรรคเตรียมใจที่จะ
มาตายอยู่แล้ว แต่พอนึกถึงครอบครัว พวกเขา
ก็รู้สึกไม่อยากจากไป
ฉีหนิงสังเกตสีหน้าของพวกเขา เขารู้ว่าคาพูด
ของเขามันได้ผล ก็รีบพูดต่อว่า “พวกท่าน
จงรักภักดีกับพรรคบัวดา ก็เพราะท่านเจ้าลัทธิ
เท่าที่ข้ารู้มา ท่านเจ้าลัทธิบัวดาเป็นหนึ่งใน
ห้าต้าจงซือ วรยุทธ์ไร้เทียมทาน หากเขาอยู่ที่นี่
ด้วย ต่อให้คนของแปดพรรคสิบหกสานักอยู่ที่นี่
ก็อาจจะทาอะไรพวกท่านไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้ ข้า
ยังไม่เห็นท่านต้าจงซือเลย ขอพูดตามตรง เวลา
ความเป็นความตายแบบนี้ ท่านเจ้าลัทธิไปอยู่ที่
ไหน? ผู้คุ้มกันทั้งสองไปอยู่ที่ไหน? แล้วทูตคน
อื่นไปอยู่ทไี่ หน? แล้วพวกท่านจะมาตายเพื่อ
อะไร?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 458
“หุบปาก” ชิวเฉียนอี้ตะคอก เขายื่นมือไปจับฉี
หนิง ฉีหนิงคิดเอาไว้แล้วว่าชิวเฉียนอี้อาจจะลง
มือได้ตลอดเวลา เขาถอยหลังแล้วพูดว่า “บุก
ได้ด”ี
ชิวเฉียนอี้ลงมือรวดเร็ว ฉีหนิงรู้ว่าไม่เพียงต้อง
ระวังกระบวนท่าการจู่โจมของเฒ่าพิษ แต่ต้อง
ระวังพิษของเขาด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่เผชิญหน้า
โดยตรง ขาขวาของเขาถอยหลังเอี้ยวหลบไป
ด้านข้าง
ชิวเฉียนอี้เคยประมือกับเขามาแล้ว เขารู้ว่า
หนุ่มน้อยคนนี้ ไม่เพียงมีวรยุทธ์แปลก ไม่เพียง
สามารถดูดกาลังภายในของคนอื่นได้ ยังมีวิชา
เคลื่อนที่ที่พิสดารมากด้วย ท่ามกลางสายตาคน
มากมาย เขาจะประมาทไม่ได้
ถึงแม้พรรคบัวดาจะเข้าสู่วิกฤติ แต่ในฐานะ
ราชาแห่งพิษ ต่อให้ต้องตาย ก็ไม่ยอมเสียหน้า
เด็ดขาด เมื่อลงมือก่อนก็ทาเพือ่ แสดงความ
มั่นใจในวรยุทธ์ของตัวเอง ในเมื่อเขาได้รับ
ฉายาว่าราชาพิษ ไม่เพียงใช้พิษร้ายกาจ วรยุทธ์
ก็ดีเหมือนกัน แต่ละกระบวนท่ามันคือการเอา
ถึงชีวิต
พริบตาเดียว ชิวเฉียนอี้ก็ออกกระบวนท่าไป
แล้วกว่าเจ็ดแปดท่า ในสายตาของพรรคบัวดา
วรยุทธ์ของทูตพิษร้ายกาจไม่มีใครเทียบ เดิมที
พวกเขาคิดว่า หากเขาลงมือหนุ่มน้อยนี่ตายแน่
แต่คิดไม่ถึงว่าวิชาการเคลื่อนที่ของฉีหนิง จะ
สามารถหลบฝ่ามือของเฒ่าพิษได้อย่างต่อเนื่อง
ลั่วอู๋อิ่งยืนมองอยู่ข้างๆ สายตาของเขาก็เกิด
ความประหลาดใจ
เขาประหลาดใจที่ว่าทาไมฉีหนิงถึงได้หลบฝ่า
มือของชิวเฉียนอี้ได้ แต่ว่าที่น่าแปลกใจยิ่งกว่า
นั้นก็คือวิชาการเคลื่อนที่ของฉีหนิง
วรยุทธ์ของทูตวิญญาณลั่วอู๋อิ่งในยุทธภพ ถือว่า
อยู่ในขั้นทีส่ ูงมาก วิชาที่เขาภูมิใจมากที่สุดก็คือ
วิชาแปลงโฉม กับวิชาตัวเบาทีห่ าใครเทียบด้วย
ยาก ครึ่งชีวิตของเขามุ่งมั่นอยู่กับสองวิชานี้
ส่วนวิชาการต่อสู้อื่นๆ จึงไม่ได้ใส่ใจนัก
ตอนนี้พอได้เห็นฉีหนิงสลับหลบไปหลบมา
เหมือนถูกชิวเฉียนอี้บีบจนจมมุม แต่ว่าความ
เคลื่อนไหวของเขา มันเป็นวิชาตัวเบาแขนง
หนึ่ง
ซึ่งมันเป็นความชอบของลั่วอู๋องิ่ เขาไม่มีทาง
ปล่อยไปแน่นอน เขาไม่ได้สนใจที่พวกเขาต่อสู้
กัน เขาเอาแต่จับตามองการเคลื่อนที่ของฉีหนิง
อย่างเดียว เขาเห็นฉีหนิงเคลื่อนไหวไปมาพลิก
แพลงไปมามากมาย หลังจากก้าวไปหนึ่งก้าว
ลั่วอู๋อิ่งก็จะเห็นว่ามันพลิกแพลงไปมากกว่าสาม
ถึงสี่แบบ แต่ว่าเมื่อฉีหนิงก้าวเท้าถัดไปมัน
มักจะต่างจากที่ลั่วอูอ๋ ิ่งคิดเสมอ
มันก็เหมือนยอดฝีมือด้านหมากรุก เวลาที่คน
ประลองกัน มักจะมองออกเสมอว่าอีกฝ่ายเดิน
อย่างไร แต่มักจะมีหนึ่งก้าวเสมอที่คาดไม่ถึง
หลังจากนั้นก็ก็จะเดาทางไม่ได้แล้ว มันทัง้ น่า
แปลกใจ แล้วก็น่าสนใจมากด้วย
ลั่วอู๋อิ่งคิดพลาดทุกครั้ง ยิ่งมองเขาก็ยิ่งตกใจ
เมื่อฉีหนิงหลบชิวเฉียนอี้กว่าสามสิบกระบวน
ท่า ลั่วอู๋อิ่งก็อดชื่นชมออกมาไม่ได้ “เยี่ยม
เยี่ยมมา เยี่ยมมากจริงๆ”
ทุกคนมองไปที่เขา เหมือนไม่เข้าใจ พวกเขาคิด
แค่ว่าคงจะชมชิวเฉียนอี้
ชิวเฉียนอี้ออกกระบวนท่าไปแล้วกว่าสามสิบ
กระบวนท่า อีกทั้งยิ่งเร็วยิ่งดี แต่ว่าก็เหมือนทุก
ครั้ง โหวน้อยยังคงอาศัยการเคลื่อนที่ที่
ประหลาดนั่น หลบไปหลบมาราวกับวิญญาณ
ทุกครั้งห่างแค่คืบเดียว ฉีหนิงก็จะหลบได้
โดยง่าย ในห้องโถงนี่มันไม่เหมือนกับห้องไม้ที่
แคบมาก แต่ว่าที่นี่กว้างขวาง อีกทั้งคนของ
พรรคบัวดาพอเห็นชิวเฉียนอี้ลงมือกับฉีหนิง
พวกเขาต่างก็ถอยหลังลงไปอีก พอฉีหนิงใช้วิชา
ท่าเท้าท่องคลื่น มันก็เลยไหลลื่นเหมือนปลาใน
น้า
ชิวเฉียนอี้ไม่สามารถแตะตัวฉีหนิงได้แม้แต่
ปลายเล็บ ในใจก็โกรธมาก ในตอนนี้ได้ยินลั่วอู๋
อิ่งตะโกนแบบนั้นออกมาอีก เขาก็ไม่รู้ว่าลั่วอู๋
อิง่ ชมท่าเท้าท่องคลืน่ ของฉีหนิง คิดแต่ว่าเขา
กาลังประชดตัวเองอยู่ สีหน้าของเขาโกรธมาก
กว่าเดิม เขาลงมือเหี้ยมมากกว่าเดิม หวังว่า
อยากจะซัดฝ่ามือจนฉีหนิงตายไปเลย
ฉีหนิงรู้สึกตกใจ ถึงแม้เขาจะอาศัยท่าเท้าท่อง
คลื่นหลบชิวเฉียนอี้มากกว่าสิบกระบวนท่า แต่
ว่าชิวเฉียนอี้ลงมือยิง่ เร็วมากขึ้นยิ่งโหดกว่าเดิม
เหมือนเขาคิดอยากจะฆ่าเขาให้ตาย ตอนนี้เขา
อยู่ในถ้าเสือ เขาจะประมาทไม่ได้เลย
ในบรรดาคนของพรรคบัวดา มีแต่ยอดฝีมือ
ทั้งนั้น พวกเขายิ่งดูยิ่งเข้าใจ ชิวเฉียนอี้ลงมือ
โหดมาก แต่ว่าทาอย่างไรก็เหมือนทาอะไรชาย
หนุ่มคนนี้ไม่ได้เลย ชายหนุ่มหมุนไปหมุนมาใน
ห้องโถง ราวกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ทูตพิษเหมือน
ถูกยั่วให้โกรธ ถึงแม้จะเหี้ยม แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะ
ชนะ
ชิวเฉียนอี้ลงมือไปอีกสิบกว่ากระบวนท่า ลมพัด
วูบไปวูบมา การเคลื่อนที่ของเขาเริ่มช้าลง
หลายวันมานี้เหล่าชาวยุทธ์บุกขึน้ เขามา คน
ของพรรคบัวดาไม่มีใครได้พักผ่อนเลย ชิวเฉียน
อี้เป็นผู้นา หลายวันมานี้ เขาจึงเหนื่อยมาก เขา
อายุมากแล้ว เมื่อพักผ่อนไม่เต็มที่ มันไม่ใช่ว่า
วันสองวันจะสามารถฟื้นตัวได้
ฉีหนิงหลายวันมานีก้ ็ขึ้นเหนือล่องใต้มา แต่ว่า
เขาก็ได้พักมาบ้างแล้วในเส้นทางลับ อย่างไรก็มี
กาลังฟื้นฟูมาได้บ้างแล้ว เขาอายุยังน้อย ฟื้นตัว
ได้เร็ว ซึ่งชิวเฉียนอี้เทียบไม่ได้เลย พอปะทะกัน
เขาได้แต่ใช้ท่าเท้าท่องคลื่นวิ่งหนีไปหนีมา พอ
เดินวิ่งนานๆ มันก็เสียแรงไปเยอะเช่นกัน ชิ
วเฉียนอี้ไม่อยากเสียหน้า แต่ท้ายที่สุดแล้วก็
เหมือนวิ่งตามฉีหนิงอยู่ดี
เกือบจะร้อยกระบวนท่าแล้ว ชิวเฉียนอี้รู้สึกว่า
เริ่มไม่ไหว ฉีหนิงถึงแม้จะรู้สกึ เหนื่อย แต่ว่า
พลังของเขาก็มากกว่าชิวเฉียนอี้
ชิวเฉียนอี้มีฉายาราชาพิษ วิชาการใช้พิษไม่มี
ใครเทียบเขาได้ หากตอนนี้เขาใช้พิษ ฉีหนิงไม่มี
ทางต้านได้แน่ แต่ว่าตอนนี้อยูท่ ่ามกลางคนหมู่
มาก ชิวเฉียนอี้หากใช้พิษทาร้ายคน ก็แสดงว่า
เขายอมรับว่าวรยุทธ์เขาสู้ไม่ได้ สีหน้าของเขา
ตอนนี้เคร่งเครียดมาก เขาไม่มที างใช้พิษต่อ
หน้าคนอื่นแบบนี้แน่
ฉีหนิงรู้สึกว่าฝ่ามือของชิวเฉียนอี้อ่อนลง เขาก็รู้
ว่าตาเฒ่าพิษนี่เริ่มฝืนไม่ไหวแล้ว เขาก็รู้สึกดีใจ
มาก เขาเอียงตัวเหลือบไปมองชิวเฉียนอี้ ชิว
เฉียนอี้เห็นดังนั้น เขาก็ตกใจ ซัดฝ่ามือออกมา
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฉีหนิงตะโกนขึ้นมาว่า
“ระวัง”
ชิวเฉียนอี้กาลังจะซัดไปที่ด้านหลังของฉีหนิง
แต่พอฉีหนิงตะโกนมาแบบนี้ เขาก็หยุดไป
เหมือนนึกถึงเรื่องที่ถูกดูดกาลังภายในไปครั้งที่
แล้ว เขาคิดแค่ว่าฉีหนิงแค่เล่นลูกไม้ แต่ว่าฝ่า
มือของเขามันก็ชะงัก ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่า
ข้อมือของเขาถูกฉีหนิงจับไว้ ชิวเฉียนอี้สะดุ้ง
ตกใจ ฉีหนิงไม่ได้ดูดกาลังภายในของเขา แต่ว่า
กลับจับเขากระชากออกไป
ชิวเฉียนอี้ก็คิดว่าฉีหนิงจะดูดกาลังภายในเขา
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะกระชากตัวเขาออก
ไป ยังดีว่าเขาวรยุทธ์ดี เลยสามารถตั้งหลักยืน
ได้ ไม่ได้ล้มลงอย่างน่าอาย แต่ว่าถูกฉีหนิง
กระชากจนปลิวแบบนี้ มันก็ทาให้เขาขายหน้า
มากแล้ว เขาโกรธมาก คิดจะบุกเข้าใส่อีก แต่ฉี
หนิงถอยหลังไปแล้วสองก้าว และยกมือขึน้ พูด
ว่า “ราชาพิษ ร่างกายของท่านไม่เต็มที่ หาก
ท่านจะสู้อีก ก็พักก่อนดีหรือไม่?”
ลั่วอู๋อิ่งเดินขึ้นหน้าแล้วพูดว่า “ทูตพิษ โหวน้อย
ก็อยู่นี่ บัญชีเก่าค้างคาของพวกเจ้า จะสะสาง
เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก”
ชิวเฉียนอี้รู้สึกว่าสายตาของทุกคนกาลังมองมา
ที่เขาอยู่ เขารู้สึกโกรธมาก แต่ว่าก็ไม่สะดวกจะ
บุกขึ้นไป
“โหวเยว่เป็นเสือซ่อนเล็บจริงๆ” ลั่วอู๋อิ่งยิ้ม
แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าวิชาเคลือ่ นที่ของโหว
น้อย ท่านยอดฝีมือคนไหนเป็นคนถ่ายทอดให้
หรือ?”
ฉีหนิงได้ยินเขาถามแบบนี้ ก็เข้าใจความหมาย
ทันที เขายิ้มแล้วพูดว่า “แค่กลเล็กๆ ไม่คคู่ วร
ให้พูดถึง ทูตวิญญาณ ข้าว่าพวกเราอย่าเพิ่ง
สนใจเรื่องอื่นเลย มีเรื่องสาคัญมากกว่านี้ ข้า
อยากจะพบท่านเจ้าลัทธิมากจริงๆ ไม่ทราบว่า
ท่านเจ้าลัทธิอยู่ทไี่ หน?”
ลั่วอู๋อิ่งขมวดคิ้ว ฉีหนิงไม่รอให้เขาตอบ ฉีหนิงก็
พูดต่อว่า “หรือว่าท่านเจ้าลัทธิไม่อยู่ที่นี่จริงๆ?
ถ้า...ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ยากแล้ว”
ลั่วอู๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าลัทธิไม่อยู่ แต่ว่า
ข้ากับทูตพิษอยู่ อยากให้พวกเราปล่อยตัว
ประกันไป มันก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ในเมื่อท่านเป็น
ถึงจิ่นอีโหว ท่านก็สั่งให้คนของจวนเสินโหวพา
คนแปดพรรคสิบหกสานักออกไปจากเขาเชียน
อูหลิง แล้วให้คาสัตย์สาบานว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป
จะไม่มาเหยียบที่นี่อกี ถ้าทาได้ พวกเราก็จะ
ปล่อยคน”
“ทูตวิญญาณทาแบบนี้มันไม่ฝืนบังคับไปหน่อย
หรือ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้า
สามารถช่วยไกล่เกลีย่ ได้ ให้ทั้งสองฝ่ายประนี
ประนอมกันได้ แต่วา่ ทั้งสองฝ่ายต้องถอยกันคน
ละก้าว ไม่เช่นนั้นการเจรจาไม่มีผลสาเร็จ”
“ประนีประนอมกัน?” ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ต่อให้
ฮ่องเต้ของพวกเจ้ามาเอง ก็ใช่ว่าจะมีปัญญา
แก้ไขเรื่องนี้ได้ เป็นแค่โหว จะมีปัญญา
ประนีประนอมได้อย่างไร”
ฉีหนิงพูดว่า “แต่ละฝ่ายถอยกันคนละก้าว
อาจจะมีความเป็นไปได้ ราชาพิษ เรื่องนีเ้ กิด
ขึ้นมาเพราะพิษระบาดในเมืองหลวง ราชสานัก
คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่าน ตอนนั้นหากท่าน
ชี้แจงต่อให้ราชสานัก ไม่แน่เรื่องนี้อาจจะไม่
มาถึงจุดนี้ก็ได้”
“ให้ก้มหัวให้ฮ่องเต้ของพวกเจ้าหรือ?” ชิ
วเฉียนอี้ยมิ้ อย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “พรรคบัว
ดาของพวกเราอยู่ทางทิศตะวันตก ใช้ชีวิตของ
ตัวเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่เคยไปมาหาสูก่ ับ
ราชสานักมาก่อน ไม่เคยมีปัญหาต่างคนต่างอยู่
ครั้งนี้พวกเจ้าวางแผนการ หาข้ออ้างบุกโจมตี
พวกข้า ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบนะ จะได้หลงกล
พวกเจ้าง่ายๆ”
“หากจะให้ท่านเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับข้า
แล้วปล่อยตัวประกัน เพื่อรักษาชีวิตของทุกคน
เอาไว้ ท่านกล้าหรือไม่?” ฉีหนิงจ้องหน้าชิ
วเฉียนอี้แล้วถาม
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ข้าบอกไปแล้ว ข้ายอมตาย
เอง แต่หากจะมาฆ่าข้า ไม่มีทาง”
ฉีหนิงส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “ราชาพิษ
ข้าขอพูดตรงๆ นะ เรื่องในครั้งนีท้ ่านจะต้อง
เข้าใจก่อนว่า ไม่เพียงต้องสืบหาคนร้ายตัวจริง
ที่วางแผนวางยาพิษในเมืองหลวงให้ได้ อีกทั้ง
เหตุใดพรรคบัวดาของพวกเจ้าถึงได้แพ้ราบคาบ
ขนาดนี้ หรือว่าพวกจ้าไม่อยากรู้ความจริง?”
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” ชิ
วเฉียนอี้สะดุ้ง ลั่วอู๋อิ่งเองก็ขมวดคิ้ว
ฉีหนิงพูดว่า “ราชาพิษ เท่าที่ข้ารู้มา ท่าน
วางยาพิษในอากาศบนเขาเชียนอูหลิง ถูก
หรือไม่?”
“ถูกต้อง”
“แต่ว่าคนของแปดพรรคสิบหกสานัก มีคนส่วน
หนึ่งเท่านัน้ ที่ถูกพิษ เหตุใดคนอื่นถึงได้
ปลอดภัย?” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “พวกเขา
หายใจเอาอากาศนั่นเข้าไป เหตุใดถึงยังบุกขึ้น
มาถึงยอดเขาดอกบัวนี้ได้? นอกจากนี้โซ่ตรวน
แปดมังกร พวกท่านคิดว่าไม่มีทางพลาดแน่
เหตุใดถึงยังมีคนบุกฝ่าเข้ามาทางตีนเขาได้อีก
ล่ะ พวกท่านไม่ได้เข้มงวดในการป้องกันตรงนั้น
เพราะคิดไม่ถึงว่าจะมีคนรู้จักเส้นทางนั้น แล้ว
ใครกันที่จะรู้จักเส้นทางบนเขาเชียนอูหลิงได้ดี
ขนาดนี้กัน?”
ชิวเฉียนอี้กับลั่วอู๋อิ่งมองหน้ากัน สีหน้าของ
พวกเขาเคร่งเครียด
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผลที่มันเกิดขึ้น
ในตอนนี้ หากข้าเดาไม่ผดิ น่าจะเป็นเพราะ
ภายในพรรคบัวดา อาจจะมีไส้ศึก คนๆ นี้ ไม่
เพียงเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่ทาให้พรรคบัวดาแพ้
ราบคาบ อีกทั้งยังอาจเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง
การโยนความผิดให้กับท่านราชาพิษอีกด้วย
ราชาพิษ หรือว่าไม่อยากรู้ว่าใครที่อยู่เบื้องหลัง
แผนร้ายพวกนี?้ ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 459 ช่างเจรจา
ชิวเฉียนอี้กับลั่วอู๋อิ่งสีหน้าเปลี่ยนไป ทุกคน
รอบๆ ที่ได้ยิน ก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน ทุกคน
มองหน้ากัน
ลั่วอู๋อิ่งพูดว่า “โหวน้อย พรรคบัวดาของพวก
เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะมีไส้ศึกได้อย่างไร
กัน?”
“ทุกท่านทีอ่ ยู่ตรงนี้ต้องร่วมแรงร่วมใจกันอยู่
แล้ว” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในช่วง
เวลาความเป็นความตาย ข้าไม่มีเวลามาล้อเล่น
หรอกนะ เท่าที่ข้ารู้มา พรรคบัวดาก่อตั้งมากว่า
สิบปี อยู่ไกลถึงทางทิศตะวันตก คนที่รู้มีไม่มาก
สาหรับเรื่องที่เกิดในพรรคบัวดา แทบจะไม่มี
ใครรู้ แต่ว่าคนของพรรคบัวดา พวกท่านแน่ใจ
ได้อย่างไรกันว่า พรรคบัวดาเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกันจริง?”
สถานการณ์ตอนนี้ อันตรายมาก ฉีหนิงรู้วา่
ตัวเองเหมือนลูกไก่ในกามือ ความเป็นความ
ตายของเขามันไม่อยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว
ทางเดียวที่เขาทาได้ ก็คือต้องพูดให้พวกเขา
ยอมเจรจากัน
จวนเสินโหวนาคนของแปดพรรคสิบหกสานัก
มาจนถึงนอกตาหนัก พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าจิ่นอี
โหวหลงเข้ามาภายในถ้าหินดา ฉีหนิงรู้ดีว่า เมื่อ
ตัวเขาอยู่ในมือของศัตรูถูกแพร่ออกไป จวน
เสินโหวไม่มีทางนิ่งเฉยแน่ พวกเขาจะต้องทา
ทุกวิถีทางในการช่วยเขาออกไป
เพราะอย่างไรจิ่นอีโหวก็เป็นหนึง่ ในสี่
บรรดาศักดิ์โหวที่สืบทอด กันมาหากจวนเสิน
โหวรู้ว่าเขาอยู่ในนี้ ไม่มีทางนิ่งดูดายแน่นอน
ตอนนี้เขาหวังแค่เขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้
พรรคบัวดายอมเจรจากับจวนเสินโหว ต่อให้ไม่
สนใจในชีวิตตัวประกันเลย ตัวเขาก็อาจจะรอด
ไปได้
ฉีหนิงรู้ว่า หากคิดจะกล่อมคนพวกนี้ ไม่ใช่เรื่อง
ง่าย จะต้องมีเหตุผลที่เห็นภาพได้
ถึงแม้เขาพอจะรู้เรือ่ งมาจากหลีซีกงมาบ้าง ซีเห
มินเสินโหวคิดอยากจะลดทอนกาลังของแปด
พรรคสิบหกสานัก แต่ว่าเรื่องพิษระบาดใน
เมืองหลวงมันก็อีกเรือ่ งหนึ่ง
ฉีหนิงเองก็รู้สึกได้ว่าซีเหมินอู๋เหิงถึงแม้คิดจะยุ
ให้มีโอกาสต่อสู้กัน แต่ว่าก็ไม่มที างก่อเรื่องใน
เมืองหลวงแบบนั้นได้ ตามความคิดของเขา
จะต้องมีคนอีกกลุ่มหนึ่งสร้างเรือ่ งขึ้นมาแน่ ทา
ให้ซีเหมินอู๋เหิงนั้นมีข้ออ้าง
พรรคบัวดาถูกคนใส่ร้ายจริง สามารถโยงให้ต้า
จงซือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องของ
คนสองสามคนจะทาได้ แสดงว่าเบื้องหลัง
จะต้องมีกลุ่มอานาจใหญ่อยู่ ฉีหนิงจับจุดนี้ได้
เลยคิดจะเอามันมาเป็นความหวังของพรรคบัว
ดา อีกทั้งยังคิดว่าหากสามารถได้เบาะแสอะไร
จากพรรคบัวดาได้ ก็อาจจะเผยโฉมหน้าของคน
พวกนั้นออกมาได้
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เจ้า
พูดว่าหนอนบ่อนไส้ แล้วหนอนบ่อนไส้ที่เจ้าว่า
มันเป็นใครกัน?” เขาถามมาแบบนี้ แสดงว่าเขา
เองก็สงสัยเหมือนกัน
ฉีหนิงโล่งใจ เขายังกลัวอยู่ว่าพรรคบัวดาจะไม่
เล่นด้วย แต่ในเมื่อถาม แสดงว่ายังมีโอกาส เขา
กระแอมแล้วพูดว่า “ขอพูดตามตรง หากข้ารู้
ว่าเป็นใคร ก็ไม่มีทางปล่อยมันไปก่อเรื่องต่าช้า
แบบนี้หรอกนะ”
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าเป็นใคร แล้วพูดมาได้อย่างไร
ว่าพวกข้ามีไส้ศึก?” ชิวเฉียนอี้หน้าตาจริงจัง
ฉีหนิงยกมือคานับแล้วพูดว่า “ท่านทูตทั้งสอง
ไม่ทราบว่าจะขอคุยเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”
“คนของราชสานักอย่างพวกเจ้าทาอะไรลับๆ
ล่อๆ มีอะไรก็พูดตรงนี้แหละ” ชิวเฉียนอี้ไม่ได้
พูดดีด้วย “ที่นี่เป็นพี่น้องของพรรคบัวดาทั้งนั้น
มีอะไรพูดมาเลย”
ลั่วอู๋อิ่งกลับพูดว่า “เฒ่าพิษ ในเมื่อโหวน้อย
อยากจะคุยส่วนตัว แสดงว่าน่าจะมีเหตุผล
พวกเราก็อย่าขัดเจตนาของโหวน้อยเลยนะ”
เขาพูดว่า “โหวน้อย เชิญทางนี”้ เขาหันหลัง
เดินนาทางไป ฉีหนิงคิดในใจว่าลั่วอู๋อิ่งทาอะไร
ลึกลับก็จริง แต่ว่าเขาก็เห็นแก่ส่วนรวมเป็น
หลัก เขาเดินตามไป ชิวเฉียนอี้เองก็เดินตามไป
เหมือนกัน
ข้างห้องโถงมีห้องอีกห้องหนึ่ง ภายในตกแต่ง
เรียบง่าย หลังจากเข้ามาด้านในแล้ว ลั่วอู๋อิ่งถึง
ได้พูดว่า “โหวน้อย ที่นี่มีแค่พวกเราสามคน
แล้ว มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ได้ ในเมื่อราชาพิษถามข้าว่าหนอนบ่อนไส้นั่น
เป็นใคร เหตุใดข้าถึงได้แน่ใจว่ามี” ฉีหนิงพูดต่อ
ว่า “มีสองข้อ ก็สามารถยืนยันได้ ราชาพิษ พิษ
ที่ท่านวางในอากาศ มันร้ายกาจมาก ท่านเองก็
น่าจะรู้ฤทธิ์ของยาพิษของตัวท่านเองเป็นอย่าง
ดี”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ข้าใช้เวลาตั้งหลายปี ถึงได้
คิดค้นพิษในอากาศนีม้ าได้ เดิมทีก็คิดเอาไว้ใช้
ป้องกันคนบุกขึ้นมาบนเขาเชียนอูหลิง ในเมื่อ
ยาข้าเป็นคนทาขึ้นมา ก็ต้องรู้ถงึ สรรพคุณเป็น
อย่างดี” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “พิษนี่ข้าตั้งชื่อ
มันว่าพิษซ่อนหมอก เมื่อมันอยู่ในหมอกมันจะ
ไม่มีกลิ่น ไม่มีใครรู้ได้ เมื่อสูดดมเข้าไป ไม่เกิน
สามชั่วยาม พิษก็จะกาเริบ หายใจติดขัด ไร้
เรี่ยวแรง”
“แล้วมันอยู่ได้นานแค่ไหน?” ฉีหนิงถามว่า
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ฤทธิ์ของยาจะอยู่นานสามวัน
สามคืนไม่หายไปเลย”
“การใช้พษิ ของท่าน ไม่มีใครเทียบได้ ท่าน
ทุ่มเทคิดค้นยาพิษออกมา ก็ต้องไม่ให้ใครคิดค้น
ยาถอนพิษได้ง่ายๆ อยู่แล้วจริงหรือไม่”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ยอดฝีมือด้านพิษในโลกนี้ก็มี
ไม่น้อย แต่ละคนข้าก็รู้จักดี คนที่สามารถหายา
ถอนได้มีไม่เกินสามคน แต่ว่าพวกเขาอย่างเร็ว
ที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึงสิบหรือไม่ก็ครึ่งเดือนถึงจะ
ปรุงยาถอนพิษออกมาได้ เวลาสั้นๆ แบบนี้ ไม่
มีทางเป็นไปได้”
“แต่ในความเป็นจริง คนของแปดพรรคสิบหก
สานักเองก็ปลอดภัย” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “พวกเขาล้อมอยู่ด้านนอก ท่านไม่คิดว่า
มันแปลกหรือ”
ชิวเฉียนอี้ไม่พอใจฉีหนิงมากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้
ความโกรธของเขาค่อยๆ ลดลง เขาขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็กาลังสงสัยอยู่ หรือ
ว่าในยุทธภพยังมียอดฝีมือด้านพิษที่ข้าไม่รู้จัก
อีก? ต่อให้เป็นอย่างนั้นจริง ต่อให้เขาตรวจพบ
พิษในอากาศ จะรีบปรุงยาขึ้นมา มันก็ตอ้ งใช้
สมุนไพรหลายชนิดมาก จะหาสมุนไพรพวกนั้น
มาก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย อีกทั้งจะปรุงยาขึ้นมา
ต้องใช้เวลานานมาก ไม่มีทางทาได้ในเวลาสั้นๆ
หรอก”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นมันก็มี
แค่ความเป็นไปได้เดียว นั่นก็คอื มีการเตรียมยา
ถอนพิษไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังจากคนของแปด
พรรคสิบหกสานักถูกพิษแล้ว ถึงแม้จะมีบางคน
ที่ตายไป อีกทั้งพวกท่านก็จับตัวประกันมาไม่
นาน แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ยาถอนพิษที่
เตรียมไว้”
ชิวเฉียนอี้ขมวดคิว้ แน่นมาก “ข้าคิดค้นพิษซ่อน
หมอก ไม่มีใครรู้มาก่อน พวกเขาจะมารู้
ล่วงหน้าได้อย่างไรกัน?”
“พวกเขาไม่รู้ แต่ว่าคนของพรรคบัวดารู”้ ฉี
หนิงพูดว่า “ราชาพิษ คนของพรรคบัวดากินยา
ถอนพิษไว้อยู่แล้ว”
ชิวเฉียนอี้ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พิษซ่อนหมอก
ถูกโปรยกระจายอยู่กลางเขา บนยอดเขา
ดอกบัวนี่ไม่มีพิษ เพื่อป้องกันไว้ก่อน ข้าเลย
ไม่ได้แจกยาถอนพิษก่อน พอลั่วอู๋อิ่งลงเขาไป
จับตัวลูกสาวของซีเหมินอู๋เหิงมา พวกเราก็คิด
จะล่อพวกเขาขึ้นมาบนเขา ตอนนั้นข้าถึงได้
แจกยาถอนพิษให้ทุกคน”
ชิวเฉียนอี้มองไปที่ลั่วอู๋อิ่ง เขาพูดว่า “เฒ่าพิษ
เจ้าคงไม่ได้สงสัยว่าข้าจะเปิดเผยเรื่องยาถอน
พิษหรอกใช่หรือไม่?”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ข้าเอายาถอนพิษให้ไปไม่กี่
คน คนพวกนั้นก็ล้วนแต่เป็นคนที่จงรักภักดี
ทั้งนั้น ไม่มีทางเป็นอื่นได้”
ลั่วอู๋อิ่งขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตาเฒ่าพิษ หรือว่า
...” สายตาของเขาเหมือนจะแหลมคมขึ้นมา
ชิวเฉียนอี้สะดุ้ง แล้วพูดว่า "เขา...เขา...’’ แล้ว
ไม่ได้พูดต่อไป
ฉีหนิงมองออก แล้วพูดว่า “ท่านทั้งสองเดา
ออกแล้วหรือว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้?”
“ไม่มีทางเป็นไปได้” ชิวเฉียนอี้พูดอย่างมั่นใจ
มากว่า “เขาเข้าพรรคมากว่าสิบปี แล้วจะ...
แล้วจะทรยศพวกเราได้อย่างไร”
“เฒ่าพิษ เจ้าอย่าลืมนะว่า เรื่องในตอนนัน้
เหมือนมันจะผ่านไปแล้วก็จริง แต่ว่าบางคน
อาจจะยังไม่ลืม” ลั่วอู๋อิ่งพูดว่า “นอกจากอา...
ศิษย์ของเจ้าแล้ว คนที่ได้ยาถอนพิษไปก็มีแค่ข้า
กับต้วนชิงเฉิน”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าต้วนชิงเฉินเป็นใครกัน
อีก?
ชิวเฉียนอี้กาหมัดแน่น สีหน้าของเขาโกรธแค้น
มาก ลั่วอู๋อิ่งพูดต่ออีกว่า “ลักษณะของเขา
เชียนอูหลิง เจ้ากับข้ารู้ดี แปดพรรคสิบหก
สานักไม่มีทางรู้แน่ สามารถเดินอ้อมเขา บุก
ขึ้นมาจากตีนเขาได้ นอกจากมีคนเอาแผนที่ให้
พวกเขา บอกทางขึ้นเขาให้พวกเขาได้ร”ู้
ชิวเฉียนอี้สะดุ้ง แล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่า
คนที่เปิดเผยเรื่องพิษ บอกทางเข้า ก็คือต้วนชิง
เฉิน?”
“ต้วนชิงเฉินพาคนออกไปรับมือ จากนั้นก็ไม่ได้
ย้อนกลับมาอีกเลย หายไปอย่างไร้ร่องรอย”
ลั่วอู๋อิ่งพูดว่า “เจ้าคิดว่าตอนนีเ้ ขาอยู่ไหน?”
ฉีหนิงเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาถาม
ขึ้นมาว่า “ต้วนชิงเฉินคนนี้ เป็นผู้คุ้มกันไท่อิน
ของพรรคบัวดา? หรือว่าทูตราคะ?”
ลั่วอู๋อิ่งพูดว่า “เขาเป็นทูตราคะหนึ่งในทูตของ
พรรคบัวดา ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน ท่านโหว
น้อย พอท่านเตือนสติข้า ก็ทาให้ข้านึกขึ้นมา
ได้”
“หากเป็นเขาจริง ข้าจะต้องเอาชีวิตเขาให้ได้”
ชิวเฉียนอี้พูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าสารเลวนั่น
ทรยศพรรค จะต้องได้รับผลกรรมของมันแน่”
ฉีหนิงพูดว่า “ราชาพิษ ขอพูดอะไรไม่นา่ ฟัง
หน่อยนะ ชีวิตของท่านก็จะไม่รอดอยู่แล้ว ต่อ
ให้รู้ว่าไส้ศกึ คนนั้นเป็นใคร ก็คิดว่าคงไม่มี
ประโยชน์ ทูตราคะคนนั้น ในเมื่อกล้าทรยศ
พรรค แสดงว่าเขาต้องเตรียมการมาอย่างดีแล้ว
เขาคิดว่าพวกท่านไม่น่าจะรอดไปได้ เขาก็ไม่
ต้องกังวลว่าพวกท่านจะไปตามแก้แค้นเขา”
ชิวเฉียนอี้มองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “หากว่าข้า
ต้องตายที่นี่ เจ้าเองก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้า
ด้วย”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ชีวิตข้าอยู่ในมือ
ของพวกท่าน จะพูดอะไรได้อีก เพียงแต่เรื่องที่
ใครเป็นคนขโมยพิษของท่านไป แล้วใครใส่ร้าย
เรื่องวางยาพิษในเมืองหลวงให้ท่าน ทาให้พรรค
บัวดาเดือดร้อน ราชาพิษท่านไม่เคยคิดจะหา
คาตอบหรือ? คนของแปดพรรคสิบหกสานักกับ
พวกท่านนองเลือด ทัง้ สองฝ่ายบาดเจ็บล้มตาย
ใครกันที่อยากเห็นพรรคบัวดาล่มสลายจนถึงที่
ตายแบบนี้กัน?”
ลั่วอู๋อิ่งสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “ท่านโหว
น้อย ท่านไม่ได้บอกว่าพวกเขาส่งท่านมาเพื่อ
เจรจาหรอกหรือ?” สีหน้าของเขาสงสัย “ท่าน
เข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
“ทูตวิญญาณเดาถูกแล้ว คนของแปดพรรคสิบ
หกสานัก ไม่มีสิทธิสั่งอะไรข้าได้หรอก” ฉีหนิง
พูดอย่างจริงจังว่า “ที่จริงแล้วข้าได้รับพระ
บัญชามาจากฝ่าบาท ให้มาสืบเรื่องนี้
โดยเฉพาะ”
ลั่วอู๋อิ่งกับชิวเฉียนอีม้ องหน้ากัน เหมือนไม่
อยากจะเชื่อ
“ฝ่าบาทไม่อยากให้มีเรื่องหรืออะไรมาทาให้
ชาวเหมียวเกิดความวุ่นวายขึ้น พรรคบัวดา
ก่อตั้งมานานกว่าสิบปี ไม่เคยออกนอกเขตซี
ชวนเลย ครั้งนี้กลับบุกไปวางยาพิษถึงในเมือง
หลวง มันดูเชื่อได้ยาก” ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาท
ทรงปรีชา เดาว่าเรื่องนี้น่าจะมีเบื้องหลัง แต่ว่า
มีคนในราชสานักกลับคิดอยากจะให้เกิดความ
วุ่นวายขึ้น อีกทั้งยังนาหลักฐานมาได้ด้วย ฝ่า
บาทเองก็ไม่มีทางห้ามได้”
ทูตทั้งสองเหมือนจะเริ่มเชื่อแล้ว ชิวเฉียนอี้พูด
ว่า “ฮ่องเต้ของพวกเจ้าก็ไม่ได้เลอะเลือนนี่นา”
“ฝ่าบาทกังวลว่าเรื่องนี้มันอาจจะเป็นแค่
เริ่มต้นเท่านั้น” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ท่าน
ทั้งสองก็นา่ จะรู้ อดีตฮ่องเต้สวรรคตไป ฮ่องเต้
ใหม่ขึ้นครองราชย์ ราชสานักก็ยังไม่มั่นคง
ฮ่องเต้กังวลว่าจะมีคนคิดไม่ซื่อ ทาให้แผ่นดิน
ไม่สงบ ก็เลยมีราชโองการลับให้ข้ามาซีชวน ที่
จริงแล้วก็เพื่อให้ข้าหาโอกาสเข้าใกล้พวกท่าน
ดูให้แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ลั่วอู๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ของพวกเจ้าไม่
กังวลว่าพวกเราจะฆ่าเจ้าหรืออย่างไร?”
“ไม่เข้าถ้าเสือ ไหนเลยจะได้ลกู เสือ” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “หากไม่เสี่ยง จะเข้าใกล้พวกท่านได้
อย่างไรกัน แล้วจะสืบหาความจริงได้อย่างไร?
ท่านทูตทั้งสอง ต้วนชิงเฉินไปร่วมกับศัตรู ข้า
เข้าใจความรู้สึกของพวกท่านดี พวกท่าน
จัดการคนภายใน หาคนร้ายตัวจริงที่ใส่ร้าย
พรรคบัวดาออกมา ข้าเองก็อยากแบ่งเบาภาระ
ของฝ่าบาท หาคนทีอ่ ยู่เบื้องหลังแผนร้าย ไม่ว่า
จะมองจากมุมไหน ข้ากับพวกท่านสองคน ก็
เป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู อย่างน้อยพวกเราก็มีศตั รูคน
เดียวกัน”
ชิวเฉียนอี้หัวเราะแปลกๆ แล้วพูดว่า “โหวเยว่
เจ้านี่มันช่างเจรจาจริง อาศัยแค่คาพูด พวกเรา
ก็เป็นสหายกันแล้วหรือ เจ้าพูดมากขนาดนี้ ก็
แค่อยากรักษาชีวติ ไว้แค่นั้น อย่าคิดว่าข้าเป็น
เด็กสามขวบนะ”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ราชาพิษ ข้าขอถาม
เจ้าหน่อย ข้ารู้ว่าตาหนักหินดาของพวกท่าน
เป็นสถานที่สาคัญ หากไม่ได้อยากร่วมมือกับ
พวกท่าน เหตุใดข้าต้องมาเสี่ยงด้วย? ข้ากับ
ราชาพิษถึงแม้จะมีปัญหากันมาก่อน ในเมื่อรู้
อย่างนี้แล้ว การที่มาพบกับท่าน ไม่เป็นการ
รนหาที่ตายหรอกหรือ?”
ที่เขาพูดแบบนี้มันสาคัญมาก
ลั่วอู๋อิ่งกับชิวเฉียนอี้ไม่รู้ว่าเขาหลงเข้ามาใน
ตาหนักหินดา พอได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว ก็
เหมือนจะมีเหตุผล ถึงอย่างรืเขาก็เป็นถึงจิ่นอี
โหว หากไม่ได้ตั้งใจมา ก็ไม่มีใครสั่งให้เขาเข้า
มาที่นี่ได้
ฉีหนิงรู้ว่าคาพูดของเขามันได้ผล เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “ต้วนชิงเฉินทาให้พวกท่านต้องตกอยู่ใน
อันตราย ที่จริงพวกท่านยังมีอกี เรื่องที่ต้อง
กังวลเหมือนกัน”
“เรื่องอะไร?”
“พวกท่านต้องตกอยู่ในอันตราย หากข้าเป็น
เจ้าลัทธิพรรคบัวดา ไม่มีทางนิ่งเฉยแน่” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าท่านเจ้าลัทธิบัว
ดาไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลย ท่านทั้งสองไม่รู้สึก
ว่าแปลกหรือ?”
ชิวเฉียนอี้ถามว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไร?”
“ต้วนชิงเฉินเป็นหนึ่งในสี่ทูต อยู่ในระดับเดียว
กับพวกท่านทั้งสอง ข้าคิดว่าเขาก็น่าจะไม่ใช่
คนธรรมดา” ฉีหนิงพูดว่า “เขาทรยศพรรคบัว
ดา คนที่เขากลัวมากที่สุดน่าจะไม่ใช่พวกท่าน
แต่เป็นท่านเจ้าลัทธิ แต่ว่าเขาก็ยังเลือกที่จะ
เสี่ยง มันเพราะอะไรกัน? เขาไม่เพียงเดาได้ว่า
พวกท่านจะไม่มีทางหนี คิดว่าเจ้าลัทธิบวั ดาก็
น่าจะถูกเขาคิดร้ายไปด้วยเหมือนกัน”
ทั้งคู่สีหน้าเปลี่ยนไป ชิวเฉียนอี้ตะคอกออกมา
ว่า “เจ้าหมายความว่า ต้วนชิงเฉินคิดร้ายต่อ
ท่านเจ้าลัทธิหรือ เจ้าลัทธิก็...”
“ข้าก็แค่เดา” ฉีหนิงตั้งใจถอนหายใจ “หากไม่
คิดร้ายต่อท่านเจ้าลัทธิไปด้วย ต้วนชิงเฉินจะ
กล้าทาขนาดนี้หรือ?” ในใจของเขาก็คิดว่า ทั้ง
สองคนนี้ไม่รู้เรื่องทีท่ ่านเจ้าลัทธิกับแม่ทัพ
หน้ากากโลหะสูก้ ันจนบาดเจ็บ เลยเอาเรื่องนี้
มาใช้ “ท่านเจ้าลัทธิหากยังมีชวี ิตอยู่ ต้วนชิง
เฉินต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ก็ไม่มีทางสงบ
แน่”
ทูตทั้งสองหน้านิ่งไป เขามองหน้ากัน หลังจาก
เงียบไปนาน ชิวเฉียนอี้ก็จ้องมาที่ฉีหนิงแล้ว
ถามว่า “เจ้าคิดจะทาอย่างไร?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 460 ยาค้างคาวเลือด
ฉีหนิงก็ไม่อ้อมค้อม เขาพูดว่า “หากต้องการ
แก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายต้องถอย
คนละก้าว ก่อนหน้านี้ข้าได้ถามไปแล้วว่า ท่าน
ราชาพิษกล้าเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับข้า
หรือไม่?”
“เจ้าพูดไปพูดมา ก็คือจะให้จับข้าโดยไม่ต้องสู้
สินะ” ชิวเฉียนอี้ยิ้มแห้ง
ฉีหนิงพูดว่า “หลังจากที่ท่านเข้าเมืองหลวงไป
กับข้า ท่านสามารถไปชี้แจงข้อเท็จจริงกับฝ่า
บาทเองได้ เรื่องหนอนพิษที่ท่านเพาะเลี้ยง
หากหาคนร้ายที่ขโมยไปไม่ได้ ท่านก็ต้องให้
เบาะแสไป นอกจากนี้ ตัวประกันที่พวกท่านจับ
มาก็ต้องปล่อยไปด้วย ทาแบบนี้พรรคบัวดาถึง
จะพ้นวิกฤติไปได้”
“จับข้า แล้วปล่อยตัวประกันไป” ชิวเฉียนอี้
หัวเราะแล้วพูดว่า “โหวน้อย เจ้าพูดมาแค่สอง
สามคา เจ้าก็จะทาในสิ่งที่คนของแปดพรรคสิบ
หกสานักหลายร้อยหลายพันคนทาได้อย่าง
นั้นน่ะหรือ เจ้าฉลาดมากนะ จับข้าแล้ว ส่งตัว
ให้ฮ่องเต้ของพวกเจ้า ช่วยตัวประกัน ถึงเวลา
นั้นคงได้เลื่อนเป็นอ๋องเลยกระมัง?”
ฉีหนิงสีหน้าไม่เปลี่ยน เขาพูดว่า “หากไม่ทา
แบบนี้ ตัวประกันพวกนั้นก็จะกลายเป็นแพะรับ
บาป คนในตาหนักหินดาทั้งหมด ก็จะไม่มีใคร
รอดไปได้ ราชาพิษ อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่ตาย ตาม
ข้าเข้าเมืองหลวง ไม่เพียงช่วยพวกเขาได้ เจ้า
เองก็อาจจะรอดด้วย ไม่รู้ว่าท่านกล้าจะเสีย่ งดู
หรือไม่?”
ชิวเฉียนอี้จ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้า
อยากจะให้ข้าเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับเจ้า ก็
ใช่ว่าจะไม่ได้ เจ้าอยู่เป็นตัวประกันที่นี่ ให้คน
ของแปดพรรคสิบหกสานักถอยออกจากเขา
เชียนอูหลิงให้หมด ข้าก็จะเข้าเมืองหลวงไป”
“ไม่มีข้า ท่านเข้าเมืองหลวงไปจะมีประโยชน์
อะไร?” ฉีหนิงพูดว่า “ราชาพิษ ความเป็น
ความตายของเจ้า ที่จริงข้าไม่ได้สนใจเลย แต่ว่า
ข้ากินเบี้ยหวัดหลวง ก็ต้องสืบให้รู้ว่าใครอยู่
เบื้องหลังการใส่ร้ายพรรคบัวดา พวกเขามีแผน
ร้ายอะไรกับราชสานักอีกหรือไม่”
ลั่วอู๋อิ่งพูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านเชื่อหรือว่า
พิษระบาดในเมืองหลวงไม่เกี่ยวกับเฒ่าพิษ?”
“ราชาพิษเป็นยอดฝีมือด้านพิษอันดับหนึ่งในใต้
หล้า ในด้านการใช้พิษ ถือว่าเทียบได้กับต้า
จงซือ” ฉีหนิงพูดว่า “คนแบบนี้ ข้าไม่อยากเชื่อ
หรอกว่าจะไม่ห่วงฐานะตัวเอง ไปวางยา
ชาวบ้านได้”
ชิวเฉียนอี้สีหน้าผ่อนคลายขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าก็
มีหัวคิดเหมือนกัน”
“เฒ่าพิษ ที่โหวน้อยพูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
นะ” ลั่วอู๋อิ่งพูดว่า “มีคนขโมยหนอนพิษของ
ท่านไปวางยาในเมืองหลวง แล้วใส่ร้ายท่าน ซี
เหมินอู๋เหิงอาศัยข้ออ้างนี้มาลงมือกับพวกเรา
คนๆ นี้หากไม่กาจัด ต่อให้พวกเราตายอยู่ที่นี่
เกรงว่าคงตายตาไม่หลับอยูด่ ”ี
ชิวเฉียนอี้ไม่ได้พูดอะไร เหมือนจะใช้ความคิด
ฉีหนิงถามว่า “ราชาพิษ ต้วนชิงเฉินมีโอกาส
เป็นคนที่ขโมยหนอนพิษของท่านหรือไม่?”
ชิวเฉียนอี้ส่ายหน้าพูดว่า “หนอนพิษเพาะเลี้ยง
อยู่ที่ดินแดนหยินหยางที่ด่านไป๋ซา ถึงแม้ข้าจะ
เป็นคนของพรรคบัวดา แต่ว่าก็เป็นชาวไป๋
เหมียว ต้วนชิงเฉินเป็นชาวเฮยเหมียว ด่านไป๋
ซาเป็นพื้นที่ของชาวไป๋เหมียว ดินแดนหยินห
ยางเป็นสถานที่ตอ้ งห้ามของข้า อย่าว่าแต่ต้วน
ชิงเฉินเลย แม้แต่ลั่วอู๋อิ่งเองก็เข้าไปไม่ได้
เหมือนกัน”
ลั่วอู๋อิ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า “ดินแดนหยินหยาง
มีพื้นที่ประหลาด ไม่ด้อยไปกว่าเขาเชียนอูหลิง
เลยวิชาตัวเบาของต้วนชิงเฉินไม่ได้ร้ายกาจมาก
ไม่มีทางเข้าไปด้านในได้”
เขายอมรับว่าดินแดนหยินหยางเข้าไปยาก แต่
ก็ยอมรับว่าหากมีวิชาตัวเบาทีด่ ี คิดอยากจะ
เข้าไปในดินแดนหยินหยางนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ถึงแม้เขาจะไม่เคยเข้าไปที่ดินแดนหยินหยาง
แต่ว่าหากคิดจะเข้าไป มันก็ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่า
มือ
ชิวเฉียนอี้ฟังความหมายของลัว่ อู๋อิ่งออกอยู่แล้ว
เขาไม่ได้พูดดีด้วย “วิชาตัวเบาของเจ้าร้ายกาจ
หรือว่าเจ้าเป็นคนขโมยหนอนพิษของข้าไป?”
ลั่วอู๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เฒ่าพิษ ความสามารถ
ในการเข้าดินแดนหยินหยาง ข้ามีอยู่แล้ว แต่ว่า
ข้าไม่ชอบสัตว์มีพิษมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้เจ้า
มอบให้ข้า ข้าก็ไม่เอา”
“ถ้าอย่างนั้น หนอนพิษก็ไม่ใช่ต้วนชิงเฉินทา”
ฉีหนิงพูดว่า “ราชาพิษ ดินแดนหยินหยางอยู่
ในที่กันดาร คนที่รู้มีไม่มาก คนที่มี
ความสามารถในการขโมยหนอนพิษไปได้มีไม่
มาก ราชาพิษสงสัยใครบ้างหรือไม่?”
ชิวเฉียนอี้คิด แต่ไม่พูดอะไร
“เฒ่าพิษ ข้าว่าท่านโหวน้อยอยากจะช่วยหา
คนร้ายจริงๆ นะ” ลั่วอู๋อิ่งพูดว่า “หากพวกเรา
ตายไปแบบนี้ คงมีหลายคนได้ใจ หากไม่
สามารถหาคนร้ายตัวจริงมาได้ เจ้าจะไม่เสียใจ
จริงหรือ?”
ชิวเฉียนอี้พูดด้วยสีหน้านิ่ง “เจ้าอยากจะให้ข้า
เข้าเมืองหลวงไปพร้อมเขาหรือ?”
“ท่านโหวน้อย เงื่อนไขที่ท่านว่ามาหากพวกข้า
รับปากแล้ว ท่านเองก็ต้องรับเงือ่ นไขของพวก
ข้า” ลั่วอู๋อิ่งพูดว่า “หากเฒ่าพิษตามท่านเข้า
เมืองหลวง ท่านจะต้องให้แปดพรรคสิบหก
สานักพาคนถอยออกจากเขาเชียนอูหลิง อีกทั้ง
ก่อนเรื่องนี้จะกระจ่าง พวกเขาห้ามเหยียบมาที่
เขาเชียนอูหลิงโดยเด็ดขาด”
ฉีหนิงตอบอย่างเด็ดขาดว่า “ข้าบอกไปแล้ว ทั้ง
สองฝ่ายจะต้องถอยคนละก้าว หากพวกท่าน
ยอมถอย ข้าจะพยายามทาให้จวนเสินโหวยอม
เหมือนกัน ขอแค่ท่านลงเขาไปพร้อมข้า ข้าจะ
ทาให้คนของแปดพรรคสิบหกสานักออกจาก
เขาไปเอง หลังจากที่พวกเขาลงเขาไปกันแล้ว
พวกท่านค่อยปล่อยตัวประกัน”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “โหวน้อย เจ้าคิดว่าแค่คาพูด
ของเจ้า พวกเขาจะยอมหรือ? พวกเขาบุกเขา
เชียนอูหลิง บาดเจ็บล้มตายเป็นจานวนมาก คง
ไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่”
ฉีหนิงได้ยินคาพูดของเขา เหมือนจะอ่อนลงมา
มากแล้ว ก็รีบพูดว่า “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง หาก
พวกเขาไม่ยอม จะจัดการตัวประกันอย่างไร ข้า
จะไม่ยุ่งอีก”
“ท่านโหวน้อย เฒ่าพิษตามท่านเข้าเมืองหลวง
ไม่ใช่เพราะกลัวตายหรอกนะ” สายตาของลั่วอู๋
อิ่งแหลมคมมาก “เจ้าเข้าใจความหมายของ
พวกเราดี พวกเราอยากจะหาคนร้ายที่ใส่ร้าย
พรรคบัวดาของพวกเรา หากเจ้าสืบอย่างเต็มที่
พรรคบัวดาของพวกเราก็จะให้ความช่วยเหลือ
เต็มที่ แต่หากท่านเล่นลูกไม้กับพวกเรา พรรค
บัวดาคิดจะจัดการกับจวนจิ่นอีโหว มันก็ไม่ใช่
เรื่องยาก”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินมีคนข้างนอกพูดว่า “ท่าน
ทูต พวกเขามาเคาะประตู บอกว่าจะเจรจา”
ชิวเฉียนอี้รีบตามออกไป ฉีหนิงกับลั่วอู๋อิ่งเดิน
ออกไป เมื่อถึงหน้าประตู ก็ได้ยนิ ด้านนอกพูด
ว่า “สวรรค์มีเมตตาธรรม หรือว่าพวกเจ้าอยาก
เห็นพี่น้องของพรรคบัวดาตายไม่มีที่ฝังหรือ
อย่างไร?”
ชิวเฉียนอี้ มองไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “โหวน้อย
ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบนะ แต่ว่าวันนี้ข้าจะเชื่อเจ้า
สักครั้ง หากเจ้าหาคนร้ายตัวจริงมาได้ ปัญหา
ของพวกเราก่อนหน้านี้ ถือว่าแล้วกันไป พรรค
บัวดาจะไม่ยุ่งกับจวนจิ่นอีโหวอีก ข้าเข้าเมือง
หลวงกับเจ้าก็ได้ แต่ว่าเจ้าต้องออกไปบอกให้
พวกเขาถอยกลับออกไปให้หมด” เขายื่นมือ
ออกมา ในฝ่ามือของพวกเขามียาเม็ดสีแดงหนึ่ง
เม็ด “นี่คือยาค้างคาวเลือด เจ้ากินมันลงไปซะ”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ยาค้างคาวเลือด?
ยาพิษหรือ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ไม่เพียง
เป็นยาพิษ หลังจากกินยาค้างคาวเลือดเข้าไป
แล้ว เจ้าจะไม่ถูกสัตว์มีพิษทาร้าย มันก็ถอื ว่า
ของดี แต่วา่ หากภายในสามวันไม่ได้ยาถอนพิษ
ยมบาลก็ช่วยเจ้าไม่ได้ หากเจ้าหลอกข้า ข้าก็จะ
ตายไปพร้อมกับเจ้า”
ฉีหนิงเห็นท่าทางของเขา หากไม่กินยาพิษนี่เข้า
ไป เขาออกไปจากที่นี่ไม่ได้แน่ เขาคิดในใจว่า
ในจวนของเขายังมีถงั นั่วอยู่ วิชาแพทย์ของนาง
ร้ายกาจ ต่อให้กินยาค้างคาวเลือดไป ถังนัว่ อาจ
ช่วยถอนพิษได้ เขาไม่ลังเลหยิบยาค้างคาว
เลือดแล้วกินเข้าไปทันที
ชิวเฉียนอี้กับลั่วอู๋อิ่งมองหน้ากัน แล้วพยักหน้า
ชิวเฉียนอี้เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว แล้วตะโกน
ออกไปทางประตูว่า “คนของพวกเจ้าอยู่ในมือ
ของพวกข้า พวกข้าจะเปิดประตูเดี๋ยวนี้ หากมี
ใครคนใดคนหนึ่งบุกเข้ามา ตัวประกันสามสิบ
สามคนจะถูกฆ่าทั้งหมด คนของพรรคบัวดา จะ
สู้จนตัวตาย”
ตอนนี้คนของพรรคบัวดาทั้งหมดก็เดินขึ้นหน้า
มาเหมือนกัน ในมือของพวกเขามีอาวุธพร้อม
มือ จ้องไปที่ประตูหินดา ขอแค่มีคาสั่ง ก็จะสู้
ไม่คิดชีวิต
ชิวเฉียนอี้มองไปที่ลั่วอู๋อิ่งแล้วพูดว่า “ลั่วอู๋อิ่ง
ข้าจะตามเข้าเมืองหลวง เรื่องที่นี่ก็ฝากเจ้าด้วย
หลังจากที่พวกข้าออกไปแล้ว เจ้าก็รีบปิดประตู
เลยนะ หากพวกเขายอมถอย เจ้าค่อยปล่อยตัว
ประกันไป”
ลั่วอู๋อิ่งสีหน้าเคร่งเครียด ยกมือคานับแล้วพูด
ว่า “ตาเฒ่าพิษ เจ้ายอมสละตัวเอง ข้านับถือ
เจ้า เจ้าวางใจได้ ที่นขี่ ้าจัดการเอง หากเจ้าถูก
สังหาร ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าแน่นอน”
ชิวเฉียนอี้ไม่พูดมาก จากนั้นก็มีคนของพรรค
บัวดาสองคนเดินขึ้นหน้ามา อยู่ตรงที่ประตูคน
ละด้าน จากนั้นก็กดไปที่กาแพง ฉีหนิงเห็นที่
พวกเขากดนั้นมันยุบเข้าไป จากนั้นเสียงประตู
ก็เปิดออก ประตูใหญ่นี่ใช้กลไกนี่เอง
ฉีหนิงจัดเสื้อผ้า แล้วพยักหน้าให้กับลั่วอู๋องิ่
จากนั้นก็มองหน้ากับชิวเฉียนอี้ จากนั้นก็เดินไป
ที่ประตู ช่องประตูมันเดินออกได้แค่ทีละคน
เมื่อคนของพรรคบัวดาสองคนยกมือออกจาก
กาแพง ประตูมันก็ไม่เปิดอีก ฉีหนิงค่อยๆ เดิน
ออกมาจากประตู วินาทีที่เดินออกมา ก็รู้สึกว่า
อากาศบริสุทธิ์ แสงแดดสาดส่องเข้ามาบนตัว
เขา
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงเรียก “ฉี...ฉีหนิง
...” เขาเห็นท่ามกลางฝูงชนมีคนเดินออกมา มา
ยืนอยู่ข้างเขา
ฉีหนิงมองเห็นซีเหมินจั้นอิง เขายิ้ม แล้วพูดว่า
“จั้นอิง ไม่ต้องกังวลนะ ข้าไม่เป็นอะไร” เขา
เห็นนางดูอ่อนเพลียมาก สายตาของนางเต็มไป
ด้วยความดีใจ แอบคิดในใจว่านางดูเหมือนจะ
ห่วงเขามากจริงๆ เขาคิดอยากจะเข้าไปกอด
นาง แต่ว่ามีหลายสายตาจับจ้องอยู่ เขารู้ดีว่า
มันจะทาให้จั้นอิงเสียหาย
ถึงแม้สาหรับชาวยุทธ์จะไม่ได้ถือมาก แต่ว่า
อย่างไรซีเหมินจั้นอิงก็เป็นผูห้ ญิง หากถูกเขา
กอด อาจเกิดเสียงนินทาได้ ถึงแม้เขาจะชอบ
แกล้งจั้นอิง แต่ว่าเรื่องที่ทาให้นางเสียหาย เขา
ก็ไม่กล้าทา
แปดพรรคสิบหกสานักคนที่รู้จักฉีหนิงน้อยมาก
พวกเขาต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าหนุ่มคนนี้เป็น
ใครมาจากไหน แต่เจ้าสานักเฟิงเจี้ยนลู่ซางเฮ่อ
พอเห็นฉีหนิง ก็มองมาที่เขาอย่างตกตะลึง
จากนั้นก็มีคนตะโกนออกมาว่า “ทุกคนระวัง
ปีศาจพรรคบัวดาจะออกมาแล้ว”
คนที่เดินตามฉีหนิงออกมา ใบหน้าสีเหลือง
รูปร่างผอมสูง ใช่ เขาคือทูตพิษของพรรคบัวดา
ชิวเฉียนอี้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 461 จัดการกันแบบชาวยุทธ
ในบรรดากลุ่มคน มีคนไม่น้อยเดินออกมา
ด้านหน้า แล้วจ้องเขม็งไปยังชิวเฉียนอี้
แต่ว่าชิวเฉียนอี้กย็ ังนิ่งอยู่ ใบหน้าของเขาดูไม่
ค่อยพอใจเท่าไรนัก เขายืนเอามือไขว้หลัง
จากนั้นก็เดินหน้ามายืนข้างๆ ฉีหนิง ไม่นานเขา
ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง ประตูหินปิดลง
แล้ว
ซีเหมินจั้นอิงมองเห็นชิวเฉียนอี้ ก็ตกใจ อด
ไม่ได้ที่จะจับไปทีข่ ้อมือของฉีหนิง แล้วพูดว่า
“ระวัง”
ชื่อของราชาพิษใครก็รู้จัก คนปกติไม่มีใครกล้า
เข้าใกล้เขาเลย ครั้งที่แล้วซีเหมินจั้นอิงเคยเจอ
ชิวเฉียนอี้มาก่อน นางจึงจาชิวเฉียนอี้ได้
ฉีหนิงส่ายหัว บอกให้ซีเหมินจั้นอิงไม่ต้องกังวล
เซวียนหยวนผ่อเดินขึ้นหน้ามา ฉีหนิงจึงมองไป
ที่เขา ยิ้มแล้วถามว่า “เมื่อครู่เหมือนได้ยินมีคน
บอกว่าตั้งใจจะเจรจา ไม่ทราบว่าใครกัน?”
ลู่ซางเฮ่อเดินขึ้นหน้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยว
หลินจื่อ เจ้าเองหรือ เจ้าจาข้าได้หรือไม่?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่มันท่านลุงลู่นี่นา? เหตุ
ใดข้าจะจาท่านไม่ได้”
“ครั้งก่อนจู่ๆ เจ้าก็หายตัวไป อาจารย์เจ้า
ออกไปตามหาเจ้าหรือไม่?” ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยสี
หน้านิ่งสงบ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเองก็เป็น
ห่วงอยู่ ที่แท้เจ้าเองก็มาทีเ่ ขาเชียนอูหลิงนี่เอง”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านลุงลู่ อาจารย์สอนวรยุทธ์ให้
ข้าจริง เพียงแต่ข้ามันเป็นคนกะล่อนรักสนุก ไม่
ชอบอยูใ่ นกฎในเกณฑ์ ทาให้พวกท่านต้องเป็น
ห่วง”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นงงมาก แม้แต่เซวียนหยวน
ผ่อเองก็ขมดวดคิ้ว ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ท่านลุงลู่ เมื่อครู่ท่านเป็นคนบอกว่าจะเจรจา
หรือ?” ฉีหนิงมองไปที่ลู่ซางเฮ่อแล้วถามว่า
“ทูตพิษของพรรคบัวดาอยู่ตรงนี้แล้ว ท่าน
อยากจะเจรจาเช่นไร ท่านคุยกับเขาได้เลย”
ลู่ซางเฮ่อมองไปที่ราชาพิษ ชิวเฉียนอี้พยักหน้า
โดยไม่สบตากับเขาเลยแม้สักนิด
เหล่าชาวยุทธ์เห็นว่าในเวลานี้แล้ว ชิวเฉียนอี้
ยังคงเย่อหยิ่ง ก็รู้สึกโกรธมาก มีคนแอบกา
อาวุธลับเอาไว้ เพื่อรอโอกาส ที่จะลงมือกับชิว
เฉียนอี้
“ราชาพิษชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพ ข้าเจ้า
สานักเฟิงเจี้ยนลู่ซางเฮ่อ ได้ยินชื่อเสียงของท่าน
มานานแล้ว” ลู่ซางเฮ่อยกมือขึ้นคานับ “ราชา
พิษท่านยินดีจะเจรจากับพวกเราอย่างนั้น
หรือ?”
ชิวเฉียนอี้ไม่แม้แต่จะมองเขา เขาพูดว่า “เจ้า
สานักคนเก่าของสานักเฟิงเจี้ยน เพลงกระบี่
เยี่ยมยอด หลายปีก่อนหน้านั้นข้ามีโอกาสได้
พบกับเขาครั้งหนึ่ง แต่ไม่เห็นรู้วา่ เจ้าสานักเฟิง
เจี้ยนเปลี่ยนเป็นแซ่ล?ู่ ”
ลู่ซางเฮ่อขมวดคิ้ว แต่ก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “ราชา
พิษคงไม่ได้อยากจะพูดเรื่องเก่าก่อนของ
สานักเฟิงเจี้ยนหรอกใช่กระมัง พรรคบัวดาตก
อยู่ในวิกฤติแบบนี้แล้ว ท่านคงไม่อยากเห็น
พรรคของท่านต้องล่มสลายไปหรอกใช่หรือไม่”
“ข้าจะเจรจา ก็ไม่ขอเจรจากับเจ้าหรอกนะ”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “เรื่องการเจรจาของพรรคบัว
ดา พวกเราได้มอบหมายให้ท่านโหวน้อยไป
แล้ว”
พอคาว่า “ท่านโหวน้อย” ออกจากปากเขา มี
ไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจ คนของจวนเสินโหว
ทั้งหมดเข้าใจเรื่องนี้ดี เซวียนหยวนผ่อไม่เข้าใจ
แอบคิดในใจว่าท่านโหวน้อยนั้นเข้าไปยัง
ตาหนักหินดาได้อย่างไรกัน แล้วเหตุใดถึงได้
ออกมากับราชาพิษได้? เขางงมาก แต่ว่าก็รู้ว่าฉี
หนิงเปิดเผยฐานะของเขาไปแล้ว
“ท่านโหวน้อย?” ลู่ซางเฮ่อเองก็ตกใจ สายตา
มองไปที่ฉีหนิง “ราชาพิษ โหวน้อยที่เจ้าหมาย
ถึง หรือว่าจะเป็น...เสี่ยวหลินจือ่ ?”
ชิวเฉียนอี้ไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่ยืนไขว้หลัง
เงยหน้าขึ้น ทาราวกับไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสาย
ฉีหนิงกระแอมแล้วพูดว่า “ท่านลุงลู่ ราชาพิษ
พูดไม่ผิด ข้าแซ่ฉี มีชื่อคาเดียวว่าหนิง เป็นจิ่นอี
โหวของต้าฉู่”
ในบรรดาสี่บรรดาศักดิ์โหว จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่น
เป็นทหารเสาหลักของแคว้น ชื่อเสียงโด่งดัง
มาก ตอนนี้ฉีหนิงแสดงฐานะของตัวเองออกมา
ทุกคนต่างก็ตกใจ
คนของแปดพรรคสิบหกสานักถึงแม้จะไม่กิน
เส้นกับคนของราชสานักเท่าไหร่ แต่ว่ากับจิ่นอี
โหวพวกเขากลับมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ออกไป
จิ่นอีโหวเฝ้าชายแดน ปกป้องชาวบ้าน ผลงาน
การรบโด่งดัง แม้แต่เหล่าชาวยุทธ์เอง ก็เคารพ
นับถือจิ่นอีตระกูลฉีมาก
การตายของฉีจิ่ง ไม่มีใครในใต้หล้านี้ไม่รู้ อีกทั้ง
ทุกคนก็รู้ว่าจิ่นอีซื่อจื่อได้รับสืบทอดตาแหน่ง
โหวมาแล้วด้วย เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ชายหนุ่ม
คนนี้จะเป็นจิ่นอีโหวที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังคิดไม่
ถึงด้วยว่า จิ่นอีโหวจะออกมาจากตาหนัก
ศักดิ์สิทธิ์ของพรรคบัวดา
เซวียนหยวนผ่อเห็นฉีหนิงเปิดเผยฐานะ ก็
เดินหน้าขึ้นมาแล้วทาความเคารพ “โหวเยว่”
ถึงแม้จวนเสินโหวจะดูแลเรื่องของยุทธภพ แต่
อย่างไรก็ยังเป็นหนึ่งในหน่วยงานของราชสานัก
เจ้าหน้าที่คนอื่นของจวนเสินโหวเองก็ต่าง
คานับฉีหนิง
“เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ข้าได้คยุ กับราชาพิษ
แล้ว เขายินดีที่จะติดตามข้ากลับเมืองหลวง” ฉี
หนิงพูดว่า “พรรคบัวดาตกลงยอมปล่อยตัว
ประกัน แต่ว่าคนของแปดพรรคสิบหกสานัก
จะต้องถอนกาลังออกจากเขาเชียนอูหลิง”
“ไม่ได้” ผู้คน ณ ตรงนั้นก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ มี
คนตะโกนขึ้นมาว่า “โหวเยว่ พรรคบัวดาชั่วช้า
จะปล่อยพวกเขาไปไม่ได้”
ฉีหนิงพูดว่า “สาเหตุหลักที่บุกโจมตีพรรคบัว
ดา ก็เพราะราชาพิษวางยาในเมืองหลวง ทา
ร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ตอนนี้ราชาพิษก็ยอมเข้า
เมืองหลวงไปพร้อมข้าแล้ว เพื่อชี้แจงสิ่งที่
เกิดขึ้น พวกเราทุกคนก็ไม่จาเป็นต้องทา
สงครามนองเลือดอีก” เขาพูดอย่างจริงจังว่า
“อีกทั้งภายในตาหนักก็มีตัวประกันอีกหลาย
สิบคน ทุกท่านอยากให้พวกเขาตายไปโดยที่
พวกเราไม่ทาอะไรเลยหรือ?”
มีคนอีกหลายคนเดินหน้าขึ้นมา แล้วถามว่า
“โหวเยว่ ท่านเจ้าสานักของเราตอนนี้ปลอดภัย
ดีหรือไม่? พวกเราเป็นศิษย์ของสานักกระดูก
เหล็ก”
“ท่านเจ้าสานักหลัวจั้นใช่หรือไม่?” ฉีหนิงพูด
ว่า “พวกเจ้าวางใจได้ พวกเขาปลอดภัยดี”
คนของสานักกระดูกได้ยินดังนั้น ก็ต่างยินดี
“คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันทุกคน ตอนนี้
ปลอดภัยดี” ฉีหนิงพูดว่า “พรรคบัวดารับปาก
แล้วว่าเมื่อทุกท่านลงจากเขาไป ก็จะปล่อยตัว
ประกันทันที”
“โหวเยว่ พรรคบัวดาเจ้าเล่ห์มาก เมื่อพวกเรา
ลงจากเขา พวกเขาก็จะกลับขึ้นมาอีก” มีคน
บอกว่า “พวกเขากาลังใช้อุบายกับพวกเรา จะ
ให้เขาหลอกไม่ได้เด็ดขาด”
ฉีหนิงโกรธมาก แอบคิดในใจว่าข้ากินยาพิษ
ค้างคาวเลือดเข้าไป หากพวกเจ้าไม่ลงเขา จะ
จัดการพรรคบัวดาให้ได้ ชิวเฉียนอี้ไม่มีทางเอา
ยาถอนพิษให้ข้าแน่นอน หรือว่าจะให้ข้าตายไป
พร้อมกับพรรคบัวดาหรืออย่างไร? ที่เขากินยา
ค้างคาวเลือด ก็เพราะไม่มีทางเลือก ถึงแม้ที่
จวนจิ่นอีโหวจะมีถังนั่วอยู่ แต่ราชาพิษไม่ใช่คน
ธรรมดา ถังนั่วจะถอนพิษได้หรือไม่ ก็ยังไม่รู้
ตอนนี้เหล่าชาวยุทธ์เริ่มซุบซิบกัน คนของสานัก
กระดูกดากับพรรคทีถ่ ูกจับตัวไปเป็นตัวประกัน
ยอมรับเงือ่ นไขนี้ พวกเขาแค่ขอให้เจ้าสานัก
ปลอดภัย แต่ว่ามันก็เป็นจานวนน้อย พรรคกับ
สานักอื่นๆ กว่าจะบุกมาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่ง่ายๆ จะ
ให้พวกเขาถอนกาลังกลับ พวกเขาจึงรู้สกึ ไม่
พอใจ
เหล่าชาวยุทธ์ ตายและบาดเจ็บนับร้อยคน
พวกเขาอยากจะเห็นคนของพรรคบัวดาตายจน
ไม่เหลือ ตอนนี้ให้พวกเขาถอนกาลังไป พวก
เขาไม่มีทางรับปาก
เหล่าชาวยุทธ์กาลังเถียงกัน ลู่ซางเฮ่อยกมือ
ขึ้นมา ทุกคนจึงเงียบลง ฉีหนิงเห็นดังนั้น ในใจ
ของเขาคิดว่าลู่ซางเฮ่อพอมีบารมีกับเหล่าชาว
ยุทธ์มาก
“โหวเยว่ ท่านก็เห็นแล้ว จะให้ทุกท่านลงจาก
เขา เกรงว่าไม่มีใครจะยอมรับได้” ลู่ซางเฮ่อพูด
ว่า “พวกเราอยากช่วยตัวประกันจริง และ
พร้อมที่เจรจากับพรรคบัวดา แต่ว่าแค่ราชาพิษ
คนเดียว เราไม่อาจยอมได้”
ฉีหนิง “อ่อ” แล้วถามว่า “ท่านเจ้าสานักลู่คิด
จะเอาเงื่อนไขอะไรมาเจรจาล่ะ?” ตอนนี้เขาไม่
เรียกว่าท่านลุงแล้ว แต่เรียกเจ้าสานักแทน เพื่อ
เว้นระยะความสัมพันธ์
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ใช้ชีวิตแลกชีวติ คนของเรา
ถูกจับไปสามสิบกว่าคน พวกืเราจะปล่อยคน
ของพรรคบัวดาไปตามจานวน แต่ไม่รวมบุคคล
สาคัญของพรรคบัวดา ราชาพิษเอง ก็จะปล่อย
ไปไม่ได้เหมือนกัน”
ชิวเฉียนอี้โกรธมากแต่ก็ไม่พูดอะไร
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านคิดว่า
เงื่อนไขแบบนี้พวกเขาจะยอมรับได้หรือ?”
ในเวลานี้เองก็มีคนเดินออกมาจากฝูงชน แล้ว
พูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านเป็นถึงท่านโหวของ
ราชสานัก ข้าขอพูดตามตรง เดิมทีก็ควรจะช่วย
ราชสานักกาจัดพรรคบัวดา แล้วทาไมถึงได้
ออกหน้าช่วยพรรคบัวดาแบบนีล้ ่ะ? ท่านโหว
เยว่ทาแบบนี้ เกรงว่าจะเป็นที่ครหาได้นะ”
ฉีหนิงมองไป เหมือนจะจาได้ เขาคือเจ้า
พันธมิตรกระบี่ทองจูเกอชางถิง
จูเกอชางถิงถือกระบีจ่ ินเฟิงไว้ดว้ ยสีหน้า
เคร่งเครียด
ตอนที่บุกขึ้นเขา พันธมิตรกระบี่ทองเป็นกาลัง
หลัก ตายไปเกือบยี่สิบคน มีสองคนเป็นศิษย์
ของจูเกอชางถิง ตอนนี้เขารู้สึกโกรธมาก
ฉีหนิงพูดว่า “ราชาพิษยินยอมเข้าเมืองหลวง
เพื่อรับผิด พวกเขาเองก็ยอมตกลงปล่อยตัว
ประกันแล้ว เหตุใดพวกท่านยังจะไปฆ่าแกงกัน
อีก? หากข้ายังยืนยันให้พวกท่านลงจากเขาไป
พวกท่านจะไม่รับปากหรือ?”
“ขอพูดตามตรง ชาวยุทธ์ต้องจัดการแบบชาว
ยุทธ์สิ บางเรื่อง ราชสานักก็ไม่ควรยื่นมือมา
แทรกแบบนี”้ มีอีกคนเดินออกมาจากฝูงชน
เขาสวมชุดสีเขียว ดูไปแล้วก็สุขุมมาก “ครั้งนี้
บุกโจมตีที่เขาเชียนอูหลิง จวนเสินโหวเป็นคน
ประกาศสัญญาเลือดรวบรวมแปดพรรคสิบหก
สานักให้มาที่นี่ ทุกคนเองก็เลือกคนฝีมือดีที่สุด
มาตามคาสั่ง เราเสียหายกันไปก็ไม่น้อย กว่าจะ
บีบจนพรรคบัวดาจนมุมแบบนี้ได้ ตอนนี้ท่าน
โหวเยว่ไม่คิดแทนเหล่าชาวยุทธ์ พูดคาเดียว ก็
จะให้พวกเราถอนกาลังกลับ มันไม่ง่ายเกินไป
หน่อยหรือ?”
พวกเขาหลายคนมองออกว่าคนที่มาคือเจ้า
สานักตงถิงชวีชางเฟิง เจ้าสานักตงถิงเองก็เป็น
หนึ่งในแปดพรรคสิบหกสานัก ชวีชางเฟิงเป็น
คนมีชื่อเสียงในราชสานัก หลายคนเห็นเขาพูด
แบบนี้ก็เห็นด้วย
“ตอนนั้นจวนเสินโหวทาสัญญาเลือดกับเหล่า
ชาวยุทธ์ ก็เพื่อไม่ให้ยุทธภพเกิดความวุ่นวาย
ลดการนองเลือด” ฉีหนิงหน้านิ่ง “เรื่องในวันนี้
ในเมื่อสามารถเจรจาได้ เหตุใดยังต้องฆ่าแกง
กันด้วยล่ะ?”
จูเกอชางถิงพูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านเจ้า
สานักชวีพูดถูกแล้ว เรื่องของชาวยุทธ์ก็ควรจัก
การแบบชาวยุทธ์ ท่านโหวเยว่ถึงแม้จะมีฐานะ
สูงศักดิ์ แต่ว่าที่นี่ อย่างไรก็ต้องเอากฎของยุทธ
ภพมาคุยกัน” เขามองไปทีเ่ ซวียนหยวนผ่อ
แล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ท่านโหว
น้อยอยากให้พวกเราถอนกาลังไป ไม่ทราบว่า
ท่านคิดออย่างไร?”
เซวียนหยวนผ่อท่าทางจริงจังมาก “ข้าพูดตาม
ตรง ผู้นาในการบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิงในครั้ง
นี้ คือท่านโหวน้อย ข้าก็แค่ทาตามที่ท่านโหว
น้อยสั่ง ท่านโหวน้อยตัดสินใจอย่างไร จวนเสิน
โหวก็จะทาตามคาสัง่ ”
มีคนหัวเราะแปลกๆ ออกมา จากนั้นก็มีคนๆ
หนึ่งเดินออกมา ฉีหนิงกวาดสายตาไป ก็จาได้
ทันทีว่า เขาคือเจ้าสานักเจียวหยางเก๋อท่าน
หลงเกอ เขาเป็นคนใจร้อนบุ่มบ่าม เขาขมวด
คิ้ว แล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย แปด
พรรคสิบหกสานักทาตามสัญญาเลือดที่ทาไว้
กับจวนเสินโหว พยายามทาทุกอย่างอย่าง
เต็มที่ พวกท่านกลับไม่สนใจว่าพวกเราจะเป็น
จะตาย อาศัยแค่คาพูดของท่านโหวน้อย ก็จะ
ให้พวกเราถอนกาลังลงเขาไป” เขาเดินขึ้นหน้า
อีกสองก้าว “สานักเจียวหยางเก๋อของข้าตาย
ไปหกคน เจ็บหนักอีกห้าคน นอกจากจะจับตัว
คนของพรรคบัวดาออกมาให้ข้าฆ่าสิบเอ็ดคน
ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่ถอนกาลังเด็ดขาด”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 462 เงาโฉบมาราวกับพายุ
เจ้าพันธมิตรกระบี่ทองรีบพูดว่า “พันธมิตร
กระบี่ทองเจ็บตายไปกว่ายี่สิบคน ข้าขอแค่หัว
คนของพรรคบัวดายี่สิบคนก็พอ ข้าจะยอมกลับ
ลงเขาไป”
พันธมิตรกระบี่ทองกับเจียนหยางเก๋อเป็นสานัก
ในแปดพรรคสิบหกสานัก เมื่อทัง้ คู่พูดมาแบบนี้
แล้ว ทุกคนก็สนับสนุนตาม
“พรรคชิงเหมินของข้าตายไปสาม เจ็บไปสาม
ขอหกหัว”
“พรรคเราเจ็บมากกว่าพรรคชิงเหมินสองคน
ขอแปดหัว”
“พรรคสือซานถังตายไปสอง ขอแค่สองหัว”
พริบตาเดียวสถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น ต่าง
ฝ่ายต่างเริ่มพูดคาสองคา พริบตาเดียว ก็มีคน
ขอกันมากกว่าร้อยหัวแล้ว หากเป็นอย่างนี้
ต่อไป หัวของคนในตาหนักหินดาคงไม่น่าพอ
ฉีหนิงเหลือบไปมองเซวียนหยวนผ่อ เห็นเซ
วียนหยวนผ่อขมวดคิ้ว ไม่พูดไม่จา เขาก็ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ท่านประมุขหลงเกอ ท่านอยากได้หัว
คนสิบหัว เรื่องนี้ก็ไม่ยาก”
ชิวเฉียนอี้เงยหน้า ไม่พูดอะไร แม้แต่เหล่าชาว
ยุทธ์ เขาก็ไม่เคยได้ยิน เมื่อได้ยินฉีหนิงพูดมาได้
แบบนี้ ก็หนั หน้ากลับไปมอง
หลงเกออึ้งไป รอบๆ ต่างก็เงียบลง
ฉีหนิงเดินลงมาจากขั้นบันได ซีเหมินจั้นอิงลังเล
แล้วเดินตามฉีหนิง
ฉีหนิงเดินตรงไปหาหลงเกอ แล้วถามว่า “ท่าน
ประมุขหลงเกอ ข้าอยากให้พวกท่านถอนกาลัง
ไป พวกท่านกับร้องขอศีรษะของพวกเขา
แสดงว่าไม่ไว้หน้าข้าเลยนะ”
“โหวน้อย ข้าเป็นชาวยุทธ์นิสัยบุม่ บ่าม
แยกแยะความแค้นชัดเจน มีบญ ุ คุณมีต้อง
ทดแทนมีแค้นก็ต้องชาระ” ประมุขหลงเกอพูด
ด้วยน้าเสียงแข็งกระด้าง “ต่อให้คนของจวน
เสินโหวก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าก็ยืนยันคาเดิม ชาวยุทธ์
มีกฎของชาวยุทธ์ ต่อให้เป็นจวนเสินโหว ก็ไม่มี
ทางละเมิดกฎไปได้”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ไม่มีกฎก็ไม่มี
ระเบียบ ท่านมีกฎของท่าน ข้าเองก็จะใช้
อานาจมารังแกไม่ได้จริงหรือไม่?”
ประมุขหลงเกอตกใจ ไม่เข้าใจความหมายของ
ฉีหนิง
“แต่ว่าในเมื่อข้าออกหน้าแล้ว ก็ไม่อยากเสีย
หน้า” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านประมุขหลงเกอ เอา
อย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าอยากได้หัวคน ขอแค่ท่าน
ล้มข้าได้ ข้าจะเอามาให้ท่านด้วยตัวเองเลย
ไม่อย่างนั้นท่านก็อย่ามาบีบคั้นให้มันมากนัก
แล้วพาคนของท่านกลับลงเขาไปเสียดี
หรือไม่?”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไป
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีใครรู้ว่าฝีมือของฉีหนิง
เป็นอย่างไร เขายังดูหนุ่มอยู่ แอบคิดในใจว่าต่อ
ให้เขาจะเคยฝึกยุทธ์มาก่อน แต่อายุก็ยังไม่ถึง
ยี่สิบ จะมีฝีมือแค่ไหนกันเชียว?
ประมุขหลงเกอเป็นคนใจร้อน แต่ว่าก็เป็นคน
ของแปดพรรคสิบหกสานัก วรยุทธ์ของเขาก็
ไม่ได้แย่ แต่โหวน้อยคนนี้กลับกล้าท้าประลอง
กับประมุขหลงเกอ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่าเลย
ประมุขหลงเกออึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวน้อย ท่านเป็นคนพูดเองนะ หากท่านแพ้
ให้ข้า จะต้องเอาหัวของพวกเขามาให้ข้าสิบเอ็ด
หัว”
ฉีหนิงพูดว่า “เหล่าชาวยุทธ์อยูต่ รงนี้มากมาย
ข้าไม่มีทางคืนคา เพียงแต่ว่าท่านประมุขหลง
เกอเป็นผู้อาวุโสในยุทธภพ พูดอะไรมาแล้ว ก็
ห้ามคืนคานะ”
“ได้” ประมุขหลงเกอตอบรับอย่างรวดเร็ว
“หากข้าแพ้ให้ท่านโหวน้อย ข้าจะพาคนลงเขา
ทันที ไม่มคี ืนคา”
ลู่ซางเฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย
ทุกพรรคที่อยู่ที่นี่ เกินกว่าครึ่งก็เสียกาลังพล
ด้วยกันทั้งนั้น หรือว่าท่านจะสู้แบบนี้ไปทีละ
พรรคทีละสานักกัน? ต่อให้ท่านสามารถ
เอาชนะท่านประมุขหลงเกอได้ แต่ก็ยังมีอีก
หลายคนนะ ท่านจะสู้กับเหล่าชาวยุทธแบบนี้
ไปทุกคนเลยหรือ?”
หลายคนอดขาไม่ได้ แอบคิดในใจว่าโหวน้อยไม่
ประเมินความสามารถของตัวเองเลย เกิดและ
โตในตระกูลผู้ดี ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่า กลับกล้า
พูดจาโอ้อวดตนอยู่ตรงนี้ ประมุขหลงเกอส่งลูก
ศิษย์ไปคนเดียวก็คงเอาชนะได้แล้วมั้ง
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะไปกล้าท้าประลอง
กับจอมยุทธ์ทั่วหล้าได้อย่างไรกันล่ะ ในใต้หล้า
นี้ ก็ไม่มีใครกล้ามากขนาดนี้ แต่ว่าในเมื่อข้าได้
เจรจาความกับพรรคบัวดาไปแล้ว ราชาพิษก็
ยินยอมตามข้าเข้าเมืองหลวงแล้ว ข้าก็จะต้อง
ไม่กลับคาเช่นกัน”
“ท่านโหวน้อยกล้าหาญมาก” เจ้าสานักกระบี่
ทองจูเกอชางถิงลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “การ
รักษาสัตย์ เป็นสิ่งที่คนรุ่นข้านับถือยิ่งกว่า
อะไร”
ซีเหมินจั้นอิงก็ไม่รู้ว่าทาไมฉีหนิงถึงได้ยืนกราน
จะสู้กับเหล่าชาวยุทธ์แบบนี้ นางเกิดและโตมา
กับจวนเสินโหว รู้เรือ่ งชาวยุทธ์ก็ไม่น้อย เขารู้
ว่ามียอดฝีมือมากมายอยู่ที่นี่ ถึงแม้ฉีหนิงวร
ยุทธ์จะไม่แย่ แต่ว่าหากจะสู้กบั เหล่าชาวยุทธ์
แบบนี้ มันก็เกินไป นางอดไม่ได้จึงพูดขึ้นมาว่า
“โหวเยว่ ท่าน...ท่านอย่า...” พูดไปครึ่งหนึ่ง
แต่ก็คิดว่าหากพูดแบบนี้มันจะทาให้ฉีหนิงเสีย
หน้า นางไม่รู้จะทาอย่างไรดี นางมองไปที่เซ
วียนหยวนผ่อ หวังว่าเซวียนหยวนผ่อจะช่วย
เซวียนหยวนผ่อกลับนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นสิงโต
ทันใดนั้นเองก็มเี สียงดังมาจากกลุ่มชาวยุทธ์
“ใต้หล้ามีคนเก่งมากมาย ผ่านไปคนแล้วคนเล่า
อาศัยกาลังเพียงคนเดียว คิดอยากจะท้าทาย
ชาวยุทธ์แบบนี้ คนของจิ่นอีโหวตระกูลฉี กล้า
หาญเกินใครจริงๆ” เขาเดินออกมาจากฝูงชน
ทุกคนหันมองไป เห็นชายวัยสี่สิบปี สวมชุดผ้า
หยาบ มีหนวดเครา สายตาของเขาดูเป็น
ประกาย เดินออกมาช้าๆ แต่ว่าเขาเต็มไปด้วย
ความสง่าน่าเกรงขาม
หลายคนมองไปที่เขา ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจาก
ไหน แต่ดูสกปรกมอมแมม
ลู่ซางเฮ่อกับฉีหนิงมองไปที่คนๆ นั้น พวกเขา
ต่างก็ตกใจ เขาเดินมายืนตรงหน้าทุกคน ลู่ซาง
เฮ่อเดินขึ้นหน้ามาสองก้าว เหมือนจะดีใจมาก
“เซียวเหยา เจ้ามาทีน่ ี่ได้อย่างไร?” จากนั้นเขา
ก็ชี้ไปแล้วพูดว่า “ทุกท่าน ท่านนี้คือเจ้าของ
สานักเฟิงเจี้ยนที่แท้จริงเซี่ยงเซียวเหยา เป็นพี่
น้องร่วมสาบานของข้า”
ชายวัยกลางคนที่เดินออกมา ก็คือเซีย่ งเซียว
เหยา
เซี่ยงเซียวเหยายกมือคานับลู่ซางเฮ่อ ยิ้มแล้ว
พูดว่า “พี่ใหญ่” ในตอนนี้เองก็มีคนพูดด้วย
ความตกใจว่า “นั่นมัน...นั่นมันแหวนชิงมู่นี่นา”
ทุกคนเริ่มพูดคุยกัน จากนั้นก็มคี นออกมาจาก
กลุ่มคน คนที่เดินออกมาหน้าสุดรูปร่างอ้วน
ท้วม ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาคือผู้อาวุโสของพรรค
กระยาจกผู้อาวุโสไป๋หู่ ด้านหลังของเขา มีศิษย์
ของพรรคกระยาจกกว่ายีส่ ิบคนเดินตามมา ยืน
ห่างจากเซี่ยงเซียวเหยาสองสามก้าว จากนั้น
พวกเขาก็คุกเข่าลงข้างเดียว แล้วพูดพร้อมกัน
ว่า “คานับท่านประมุข”
ศิษย์ของพรรคกระยาจทาแบบนี้ ทาให้หลาย
คนสีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่ลู่ซางเฮ่อกับฉีหนิง
เองก็เช่นกัน
เซี่ยงเซียวเหยายกมือแบบสบายๆ แล้วพูดว่า
“ลุกขึ้นเถอะ”
ผู้อาวุโสไป๋หู่ลุกขึ้น แล้วมายืนอยู่ด้านหลังของ
เซี่ยงเซียวเหยา ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยความตกใจว่า
“เซียวเหยา นี่...นี่มันอะไรกัน? ประมุข? เจ้า...
เจ้าเป็นประมุขพรรคกระยาจก?”
เซี่ยงเซียวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ เดิมทีข้า
ไม่ควรจะปิดบังท่าน แต่ว่าเรื่องนี้พูดแล้วเรื่อง
มันก็ยาว แต่ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร ข้าก็ยังเป็นพี่
น้องร่วมสาบานของท่านเหมือนเดิม ตอน
หนุ่มๆ ข้าทาอะไรวู่วาม โชคดีที่ได้ประมุขพรรค
กระยาจกคนก่อนอย่างประมุขเฉียนชี้แนะวิชา
ให้ ถึงได้เข้าร่วมพรรคกระยาจก จากนั้นก็ได้รับ
ภาระยิ่งใหญ่ต่อจากท่านอาจารย์”
ฉีหนิงรูส้ ึกประหลาดใจมาก คิดไม่ถึงเลยว่า
เซี่ยงเซียวเหยาจะเป็นประมุขพรรคกระยาจก
ชื่อของประมุขพรรคกระยาจก ก่อนเจอเซี่ยง
เซียวเหยา ฉีหนิงพอได้ยินมาบ้าง เท่าที่เขารู้มา
นอกจากต้าจงซือแล้ว ก็ยังมียอดฝีมืออีก
มากมาย คงฉางไต้ซือแห่งวัดต้ากวงหมิงกับ
ประมุขเซีย่ งแห่งพรรคกระยาจก ก็ถือเป็นสุด
ยอดฝีมือแห่งยุค
เขารู้มาว่าประมุขพรรคกระยาจกมีชื่อว่าเซี่ยง
ไป๋อิ่ง คิดไม่ถึงว่าเซี่ยงไป๋อิ่งก็คือเซี่ยงเซียวเหยา
เซี่ยงเซียวเหยาก็คือเซี่ยงไป๋อิ่ง
เขาคิดไปถึงตอนที่เขาตกอยู่ในมือของชิวเฉียนอี้
เซี่ยงไป๋อิ่งตกลงมาจากหลังคา แล้วช่วยชีวิตเขา
ไว้
ประมุขพรรคกระยาจกคนนี้ไม่เพียงช่วยชีวิต
เขาไว้ ยังสอนวิชาเดินลมปราณ แล้วก็วิชาฝ่า
มือดันภูเขาให้เขาด้วย
ฉีหนิงไม่รู้เลยว่าทาไมเขาถึงได้ใจดีกับตนมาก
ขนาดนี้ ตอนนี้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นประมุขพรรค
กระยาจก ก็ทาให้ตกใจเป็นอย่างมาก
ชิวเฉียนอี้ที่เย่อหยิง่ มาตลอดตอนนี้ก็มองมาที่
เซี่ยงเซียวเหยา เขาจาได้ว่าเขาคือคนที่มาช่วยฉี
หนิงเอาไว้ วรยุทธ์ของเขากับเซีย่ งไป๋อิ่งห่างชั้น
กันมาก หลังจากวันนั้น เขาก็คิดมาตลอดว่าเขา
คือใคร ตอนนี้ถึงได้รแู้ ล้วว่าเขาคือประมุขของ
พรรคกระยาจก
เมื่อรู้ว่าเซี่ยงเซียวเหยาคือประมุขพรรค
กระยาจก ชิวเฉียนอี้ก็เบาใจไม่น้อย
ก่อนหน้านี้เขาแพ้ให้เซี่ยงเซียวเหยาอนาถมาก
อับอายไม่น้อย ตอนนี้รู้ฐานะอีกฝ่ายแล้ว ก็รู้สึก
ว่าการแพ้ให้กับประมุขพรรคกระยาจก มัน
ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย
พรรคกระยาจกเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า
เป็นผู้นาของแปดพรรคสิบหกสานัก ศิษย์ของ
พรรคกระยาจกมีอยู่ทั่วหล้า ยอดฝีมือในพรรค
ก็มีมากมาย ไม่ใช่ว่าพรรคไหนจะเทียบได้เลย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประมุขพรรคของพวกเขา
ไม่โผล่หน้ามาสักครัง้ วรยุทธ์ของประมุขพรรค
นั้นร้ายกาจมาก ได้ยินมาว่าใกล้เคียงกับต้า
จงซือแล้ว แต่ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ไม่ค่อยมี
คนรู้นัก อีกทั้งประมุขพรรคกระยาจกลึกลับ
ซับซ้อน ศิษย์ของพรรคเอง ก็มีน้อยคนที่ได้เจอ
ตอนนี้มีคนเตือนขึ้นมา จึงมีคนไม่น้อยมองไปที่
นิ้วซ้ายของเซี่ยงเซียวเหยา เขาสวมแหวนสี
เขียว แหวนนั่นไม่ใช่เงินไม่ใช่ทอง เหมือนมันจะ
ทามาจากไม้ ในยุทธภพกล่าวกันว่า มันเป็น
สมบัติล้าค่าของพรรคกระยาจก มันถือเป็น
ตัวแทนบ่งบอกถึงฐานะประมุขของพรรค มัน
คือแหวนชิงมู่
พรรคกระยาจกมีทั้งหมดยี่สิบแปดสาขา
อานาจไม่เพียงอยู่ในแคว้นฉู่ แม้แต่แคว้นตงฉี
กับเป่ยฮั่นเองก็มีสาขาอยู่ เขาเชียนอูหลิงอยู่
ทางทิศตะวันตก ถือเป็นพื้นที่การดูแลของไป๋หู่
ดังนั้นผู้อาวุโสไป๋หู่เลยเลือกยอดฝีมือมาร่วมรบ
ในครั้งนี้ด้วย
จวนเสินโหวทาสัญญาเลือดกับพรรคกระยาจก
ในความเป็นจริงสามารถควบคุมได้แค่พรรคที่
อยู่ในแคว้นฉู่เท่านั้น ทิศเหนือกับทิศตะวันออก
ไม่อยู่ในพื้นที่ของแคว้นฉู่ จึงไม่อยู่ในการ
ควบคุมดูแลของจวนเสินโหว จวนเสินโหวมีใจ
อยากเข้าหาแล้วก็ป้องกันไปพร้อมๆ กันด้วย
ท่าทางของประมุขพรรคกระยาจก ถือได้ว่ามี
ผลต่อคนของแปดพรรคสิบหกสานักมาก
เห็นว่าประมุขพรรคกระยาจกปรากฏตัว เซ
วียนหยวนผ่อเองก็รู้สึกแปลกใจมาก เขาเดินขึ้น
หน้า ยกมือคานับแล้วพูดว่า “จวีเหมินเซีย่ วเว่ย
เซวียนหยวนผ่อแห่งจวนเสินโหว คานับท่าน
ประมุขเซีย่ ง”
เซวียนหยวนผ่อเป็นหัวหน้าของเจ็ดดาวไถของ
จวนเสินโหว แต่ว่าเขารู้ดีว่า ประมุขเซี่ยงมี
ฐานะอย่างไรในยุทธภพ เขาคือคนที่มีฐานะ
เทียบเท่ากับคงฉานไต้ซือแห่งวัดต้ากวงหมิง
แม้แต่ซีเหมินอู๋เหิงเจอประมุขเซี่ยง ยังต้อง
เกรงใจเขาเลย ถึงแม้เขาจะอายุห่างประมุข
เซี่ยงไม่มาก แต่หากในมุมของยุทธภพแล้ว ก็ยัง
มีตาแหน่งฐานะต่ากว่าเซี่ยงเซียวเหยา
เจ้าพันธมิตรกระบี่ทองจูเกอชางถิงกับเจ้าสานัก
คนอื่นเห็นเซวียนหยวนผ่อนอบน้อมต่อเซี่ยง
เซียวเหยามาก ก็ไม่ได้แปลกใจ รู้สึกว่าสมควร
แล้ว หลายคนคิดว่า ประมุขพรรคกระยาจกไม่
ค่อยออกหน้า วันนี้มาอยู่ที่นี่ ถือว่าหายากมาก
แล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 463 สามรอบ
ประมุขพรรคกระยาจกเซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า ยิ้ม
แล้วถามว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย ท่านเสิน
โหวสบายดีหรือไม่? ไม่เจอเขามาหลายปีแล้ว”
เซวียนหยวนผ่อพูดอย่างมีมารยาทว่า “ท่าน
เสินโหวสบายดี เพียงแต่อายุมากแล้ว เดิน
ทางไกลไม่ค่อยไหว ครั้งนี้เลยสั่งให้ข้ามาที่นี่
แทน”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เซวียนหยวนเซี่ยวเว่ย
บัญชาการได้ดี แปดพรรคสิบหกสานักถึงได้บุก
มาถึงที่นี่ได้”
เซวียนหยวนผ่อเห็นเซี่ยงไป๋อิ่งยิ้ม ก็ไม่รู้ว่าเขา
คิดยังไง เขาทาได้แค่ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเพราะ
ทุกคนร่วมแรงร่วมใจมากกว่า”
เจ้าพันธมิตรกระบี่ทองเดินหน้าขึ้นมาสองก้าว
แล้วยกมือขึ้นคานับแล้วพูดว่า “ท่านประมุข
เซี่ยง ท่านสบายดีหรือไม่” ที่จริงเขาอายุ
มากกว่าเซี่ยงไป๋อิ่งมาก แต่ว่าเซีย่ งไป๋อิ่งมีฐานะ
สูงส่งมากในยุทธภพ เขาจึงไม่กล้าเสียมารยาท
แปดพรรคสิบหกสานัก ถึงแม้จะมีชื่อเสียงมาก
แต่พรรคกระยาจกถือเป็นใหญ่ในแปดพรรคสิบ
หกสานัก ไม่ว่าจะอานาจหรือบารมี ไม่มีพรรค
หรือสานักไหนเทียบได้เลย
หลังจากที่ทาสัญญาเลือดกันไปแล้ว จวนเสิน
โหวกับแปดพรรคสิบหกสานักก็อยู่กันอย่าง
สมดุล ทาให้ในยุทธภพสงบตลอด
แปดพรรคสิบหกสานักกับจวนเสินโหวอยู่กัน
อย่างสงบได้ เพราะมีพรรคกระยาจกอยู่
ศิษย์ของพรรคกระยาจกมีมากมาย ยอดฝีมือก็
เยอะ ประมุขพรรคเองก็เป็นสุดยอดฝีมือคน
หนึ่งในยุทธภพ หากไม่ใช่เพราะมีพรรค
กระยาจกอยู่ ด้วยอานาจของจวนเสินโหว มัน
คงไม่เพียงพอที่จะเหยียบเหล่าแปดพรรคสิบหก
สานักได้ เพราะมีพรรคกระยาจก แต่ละพรรค
จึงมีอานาจเป็นของตัวเอง
เจ้าพันธมิตรกระบี่ทองเป็นหนึ่งในเสาหลักของ
แปดพรรคสิบหกสานัก เขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้
ร้ายแรงแค่ไหน เขารูจ้ ักพรรคกระยาจกดี ขอ
แค่พรรคกระยาจกอยู่ข้างแปดพรรคสิบหก
สานัก ต่อให้จวนเสินโหวก็ไม่กล้าทาอะไร
เซี่ยงไป๋อิ่งถึงแม้จะเป็นประมุขพรรคกระยาจก
แต่ว่าเป็นคนสบายๆ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
เจ้าพันธมิตรจูเกอ ท่านเตรียมจะขอหัวคนกับ
ท่านโหวน้อยยี่สิบคนหรือ?”
จูเกอชางถิงอึ้งไป ในใจก็คิดว่าพรรคกระยาจก
ปกติไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับราชสานักเลย ศิษย์พรรค
กระยาจกไม่ถูกกับทางการมาโดยตลอด เซีย่ ง
ไป๋อิ่งไม่มีทางเข้าข้างจิ่นอีโหวแน่ เขาพยักหน้า
แล้วพูดว่า “ประมุขเซี่ยง ท่านโหวน้อยท่านนี้
พูดจาคุยโอ้อวดตน พูดมาคาเดียวก็อยากจะให้
พวกเราถอนกาลังลงเขาไป คนของแปดพรรค
สิบหกสานักสูญเสียไปมาก มาถึงตรงนี้ได้แล้ว
จะยอมได้อย่างไรกัน”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านเจ้า
พันธมิตรจูเกอพูดถูกต้องแล้ว ในเมื่อเป็นสัญญา
เลือด เรื่องในครั้งนี้ทั้งหมด ก็จะต้องทาตามกฎ
ของยุทธภพ ท่านโหวน้อยมีฐานะสูงส่งก็จริง
แต่ว่าที่นี่ พวกเราไม่แบ่งแยกยศศักดิ์”
“ท่านประมุขเซี่ยงพูดได้ด”ี มีคนตะโกนชื่นชม
เหล่าชาวยุทธ์ไม่เคยต้องถูกควบคุม มีเพียง
สัญญาเลือดเท่านั้น ทาให้พวกเขาทาอะไร
ระมัดระวังตัวมากขึ้น ถึงไม่กล้ามีปัญหากับ
ทางการ
พรรคกระยาจกเป็นผู้นาของยุทธภพ ในเมื่อ
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดมาแบบนี้ เหมือนตั้งใจผิดใจกับ
ราชสานัก ทาให้หลายคนรู้สึกดีใจมาก
ก่อนหน้านี้ที่ฉีหนิงออกมา เขาเสนอให้ทุกพรรค
ทุกสานักถอนกาลังพลลงเขาไป จากความเห็น
ของจวนเสินโหว ก็คอื ทาตามคาสั่งของโหวน้อย
มีหลายคนลังเล เมื่อเห็นประมุขหลงเกอออก
หน้า หลายคนก็สนับสนุนเขา แต่ว่าก็มีความ
ลังเลเหมือนกัน เพราะฉีหนิงเป็นจิ่นอีโหวของ
แคว้นฉู่ หากผิดใจกับเขาที่นี่ อาจจะไม่ใช่เรื่องดี
ตอนนี้เซี่ยงไป๋อิ่งออกหน้า ทุกคนกลับรู้สึกสะใจ
ในใจคิดว่าในเมื่อพรรคกระยาจกออกหน้าแล้ว
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นถึงจิ่นอีโหว ก็ไม่กลัวอะไรอีก
แล้ว
ฉีหนิงเห็นว่าเซี่ยงเซียวเหยาก็คือประมุขพรรค
กระยาจก เขาประหลาดใจมาก ตอนนี้เห็นเขา
พูดแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ว่าเห็น
เหล่าชาวยุทธ์เห็นด้วยกับที่เขาพูด ก็คิดในใจว่า
เมื่อเทียบกับลู่ซาเฮ่อก่อนหน้านี้ เหล่าชาวยุทธ์
เหมือนจะเคารพเซี่ยงเซียวเหยามาจากข้างใจ
จริงๆ
“ท่านประมุขเซี่ยง ข้าบอกไปแล้ว ในเมื่อคนที่
อยู่ที่นี่ทุกท่านเป็นชาวยุทธ์ ทุกอย่างให้ทาตาม
กฎของชาวยุทธ์” ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อครู่ท่านก็
ได้ยินแล้ว สาเหตุที่บุกโจมตีเขาเชียนอูหลิงใน
ครั้งนี้ เพราะมีคนสงสัยว่าราชาพิษชิวเฉียนอี้
เป็นคนวางยาพิษในเมืองหลวง ตอนนี้ชิวเฉียนอี้
รับปากเข้าเมืองหลวงชี้แจงเรื่องนี้ ส่วนพรรค
บัวดาเองก็รับปากปล่อยตัวประกันแล้ว
เป้าหมายของพวกเราก็ถือว่าสาเร็จแล้ว เหตุใด
จะต้องเข่นฆ่ากันอีก?” เขายิ้มแล้วพูดว่า “หาก
มีคนอาศัยการโจมตีเขาเชียนอูหลิงในครั้งนี้ ยุ
แหย่ให้เกิดความหมางใจกัน ข้าไม่มีทางยอม”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ทีท่ ่าน
พูดมานั้นข้าขอชื่นชม พรรคกระยาจกของข้า
เองก็ไม่ยอมให้ใครฉวยโอกาสในครั้งนี้ ยุให้เกิด
ความหมางใจเหมือนกัน”
“ท่านประมุขเซี่ยง ทุกพรรคทุกสานักบอกว่า
คนของพวกเขาตายไป ไม่ยอมลงเขา ความรู้สึก
ของพวกเขาข้าเข้าใจดี” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “จะว่าไปแล้ว พรรคบัวดาเองก็ตายกัน
ไปไม่น้อย ฆ่าฟันกันไปมา ไม่จบไม่สิ้น ในเมื่อ
ข้าออกหน้าเจรจาแล้ว ก็หวังว่าทุกท่านจะเห็น
แก่ข้าบ้าง หากไม่ได้จริงๆ ข้าเองก็จนปัญญา
จาเป็นต้องขอล่วงเกิน”
“ท่านโหวน้อยอยากจะจบเรื่องนี้อย่างสันติ ถือ
ว่าเป็นความคิดทีด่ ี แต่ว่าทุกคนก็พูดถูก ให้ถอน
กาลังไปแบบนี้ ไม่มีใครยอมได้” เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้ม
แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ได้ยินมาว่าท่านจะสู้
กับพวกเราชาวยุทธ์ด้วยตัวคนเดียวหรือ กล้าไม่
เบาเลยนะ น่านับถือจริงๆ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าท่านคิดว่าข้าอยากหรือ? หาก
ไม่ใช่เพราะชิวเฉียนอี้ให้ข้ากินยาพิษเข้าไป เขา
ก็ไม่มีทางทาแบบนี้แน่ ก่อนหน้านี้เจรจากับ
พรรคบัวดาถ้าเรื่องการเจรจาล่ม ชิวเฉียนอี้ก็ไม่
มีทางเอายาถอนพิษให้ข้าแน่ ข้ายังต้องตายไป
พร้อมกับพรรคบัวดาด้วย
เขารู้ดีว่าเหล่าชาวยุทธ์ที่อยูท่ ี่นี่มียอดฝีมือมาก
ท้าประลองคนเดียว เพราะจนปัญญาแล้วก็
มั่นใจด้วย
เมื่อครู่เขาสู้กับชิวเฉียนอี้ในตาหนักบัวดา ถึง
แม้วรยุทธ์ของชิวเฉียนอี้จะเหนือกว่าเขา แต่ว่า
เขาอาศัยแค่ท่าเท้าท่องคลื่น ก็ไม่ได้แพ้ให้กับ
อีกฝ่าย
วรยุทธ์ของชิวเฉียนอี้ในยุทธภพ ก็ถือว่าเป็น
ยอดฝีมือคนหนึ่ง หากชิวเฉียนอี้ยังทาอะไรเขา
ไม่ได้ เขาก็น่าจะลองดูสักครั้ง
“แต่ว่าท่านเจ้าสานักลู่เองก็พูดถูก” เซี่ยงไป๋อิ่
งพูดว่า “ศิษย์ที่บาดเจ็บล้มตายมีมาก ต่อให้เจ้า
มีวรยุทธ์ร้ายกาจแค่ไหน หากสู้ไปทีละคนทีละ
คน คงเหนือ่ ยตายก่อน”
เจ้าสานักหลงเกออดขาไม่ได้ “ประลองกับท่าน
โหวน้อยมันง่ายเหมือนกินข้าวนั่นแหละ” เมื่อ
พูดมาแบบนี้ หลายคนก็หัวเราะออกมา
ในสายตาของพวกเขา อย่างไรฉีหนิงก็เป็น
คุณชายลูกผู้ดีเท่านั้น
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ทุกท่าน ฟังข้าสักหน่อยได้
หรือไม่ ไม่รู้ว่าทุกท่านจะยินดีรบั ฟังหรือไม่?”
เจ้าพันธมิตรรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านประมุขเซีย่
งหากมีอะไรสั่งมาได้เลย พวกเราจะไม่คัดค้าน
ท่านประมุขเซีย่ ง เชิญ”
“ถูกต้อง ขอแค่ท่านประมุขเซีย่ งพูดมาคาเดียว
ทุกคนจะไม่คัดค้านเลย” ประมุขหลงเกอพูด
เซี่ยงไป๋อิ่งยกมือคานับ ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณ
ทุกท่านที่ให้เกียรติข้า ความรู้สึกของพวกท่าน
ทุกคน ข้าเข้าใจดี แต่ว่าความคิดของท่านโหว
น้อยเอง ก็แค่ไม่อยากให้นองเลือดกันอีก ถือว่า
น่านับถือ หากทุกท่านดาหน้ามาสู้กับท่านโหว
น้อยทีละคน โหวน้อยไม่มีทางมีแรงสู้ไหวหรอก
นะ หรือต่อให้พวกท่านชนะท่านโหวน้อย เรื่อง
นี้แพร่ออกไป แปดพรรคสิบหกสานักก็ไม่มีหน้า
จะมองใครติดหรอก”
ทุกคนต่างพยักหน้า ในใจก็คิดว่าที่เซี่ยงไป๋อิ่ง
พูดมาถูกต้องทุกคา หากสู้คนทีละคนแบบนี้
มันก็กลายเป็นสู้วน ชนะไปก็ไม่มีเกียรติ
เจ้าสานักตงถิงชวีชางเฟิงถามว่า “ท่านประมุข
เซี่ยงท่านคิดว่าทาเช่นไรดี?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นที่ผ่านมา
ทาเพื่อชาติบ้านเมือง ปกป้องชาวบ้าน ถึงแม้
พวกเราจะเป็นชาวยุทธ์ แต่ว่าพวกเราก็เคารพ
ต่อท่านจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นมาก”
ทุกคนพยักหน้าอีกครัง้ พวกเขาก็รู้ว่าจิ่นอีโหว
ทั้งสองรุ่นที่เซี่ยงไป๋องิ่ พูดถึง นั่นก็คือท่านจิ่นอี
เหล่าโหวกับจิ่นอีโหวฉีจิ่ง
“ท่านโหวน้อยเป็นคนของจิ่นอีตระกูลฉี อย่าง
ไรพวกเราก็ต้องให้เกียรติเขา” เซี่ยงไป๋อิ่งยิม้
แล้วพูดว่า “พวกเราไม่ควรทาให้ท่านโหวน้อย
ลาบากใจ อีกทั้งยังต้องไม่ให้ทกุ คนรู้สึกไม่เป็น
ธรรมด้วย เอาอย่างนีด้ ีหรือไม่ สู้วนกันช่างมัน
เถอะ พวกเราแปดพรรคสิบหกสานักเลือก
ตัวแทนมาสามคน สูก้ ับท่านโหวน้อยสามรอบ
เงื่อนไขก็ตามที่ท่านโหวน้อยพูดมา หากเขา
ชนะทุกคนถอนกาลังลงเขาไป หากว่าเขาแพ้
ท่านโหวน้อยก็จะไม่ทาให้ทกุ คนลาบากใจอีก
ไม่ทราบทุกท่านเห็นเป็นยังไง?”
เจ้าพันธมิตรจูเกอพูดขึ้นมาว่า “เป็นความคิดที่
ดีมาก ท่านประมุขเซี่ยง พันธมิตรกระบี่ทอง
ของข้าจะทาตามที่ท่านว่ามา เลือกมาสามคน
ประลองกับท่านโหวน้อย หากท่านโหวน้อย
ชนะ ข้าจะพาคนลงเขาทันที”
“อย่างนี้กด็ ีเหมือนกัน” ชวีชางเฟิงลูบเคราแล้ว
พูดว่า “แบบนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ลาบากใจกัน
เกินไป”
ในเมื่อเป็นข้อเสนอของประมุขพรรคกระยาจก
พันธมิตรกระบี่ทองกับสานักตงถิงก็เห็นด้วย
คนอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร ต่างก็เห็นด้วย
ในใจของพวกเขาคิดว่า ในบรรดาแปดพรรคสิบ
หกสานัก ยอดฝีมือมีตั้งมากมาย เลือกใครมาก็
ได้สามคน โหวน้อยก็ไม่มีทางชนะได้ถึงสาม
รอบหรอก เซี่ยงไป๋อิ่งกาลังเข้าข้างแปดพรรค
สิบหกสานักอยู่
“ท่านโหวน้อย ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นเช่นไร?”
เซี่ยงไป๋อิ่งมองไปที่ฉีหนิง
ฉีหนิงยิ้มแล้วมองไปที่เซี่ยงไป๋อิ่ง เขาคิดแล้วพูด
ว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดีมากเลย ไม่ทราบว่าสามท่าน
ไหนจะออกมาประลองกับข้า?”
ประมุขหลงเกอเดินขึน้ หน้ามาหนึ่งก้าว แล้ว
ตะโกนเสียงดังว่า “ข้ายินดีออกมาประลอง”
มีคนเห็นประมุขหลงเกอออกมาประลอง พวก
เขาก็คิดในใจว่า แพ้ชนะเห็นกันชัดแล้ว ประมุข
หลงเกอมีวิชา “ฝ่ามือสลายสายลม” ในยุทธ
ภพไม่มีใครไม่รู้จัก โหวน้อยดูท่าทางสุขมุ
เหมือนหนอนหนังสือ จะรับมือ “ฝ่ามือสลาย
สายลม” คิดว่าไม่นา่ จะถึงสิบกระบวนท่าก็แพ้
แล้ว
“ยังมีใครอีก?” ฉีหนิงกวาดสายตามองไป
เหล่าชาวยุทธ์มองหน้ากัน มียอดฝีมือหลายคน
นิ่งอยู่ เพราะในสายตาของพวกเขา โหวน้อย
คนนี้ไม่ประเมินความสามารถของตัวเองเลยต่อ
ให้ชนะเขาได้ ก็ไม่ได้หน้าอะไร ยิ่งคนที่มีฝีมือ
สูงๆ หน่อย ยิ่งดูถูกความสามารถของฉีหนิงเข้า
ไปใหญ่
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ขอร่วมด้วยก็แล้วกันนะ” เจ้า
สานักตงถิงชวีชางเฟิงเดินขึ้นหน้ามา เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ชนะต่อกันสามรอบ พวกเราถึงจะ
ถอนกาลังกลับ หากท่านโหวน้อยแพ้แม้แต่รอบ
เดียว อีกสองรอบท่านก็ไม่จาเป็นต้องสู้ต่อแล้ว
นะ”
เจ้าพันธมิตรกระบี่ทองหัวเราะออกมา แล้วพูด
ว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ขอร่วมด้วยก็แล้วกัน ไม่
ทราบทุกท่านคิดเห็นอย่างไร?”
สามคนที่เสนอตัวออกมา ล้วนแต่เป็นเจ้าสานัก
ของแปดพรรคสิบหกสานัก เป็นคนที่มีชื่อเสียง
มากในยุทธภพ ทุกคนแค่รู้สึกว่าไม่ว่าใครก็ตาม
ออกไปประลอง ก็ชนะแน่นอน ตอนนี้ยอดฝีมือ
สามคนลงประลองเอง ก็ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่ หลายคนมองไปที่ฉีหนิง แอบคิดในใจว่า
โหวน้อยนีไ่ ม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่าเลย อีกเดี๋ยวต้อง
กลายเป็นตัวตลกแน่
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 464 แปลกประหลาด
ตอนนี้ใบหน้าของซีเหมินจั้นอิงแทบดูไม่ได้
พรรคและสานักในยุทธภพมีมากมาย ถึงแม้ซีเห
มินจั้นอิงจะเกิดและโตมากับจวนเสินโหว แต่ก็
ไม่ได้รู้จักทั้งหมด แต่วา่ ผู้นาของบรรดาแปด
พรรคสิบสานักนางรูด้ ีทุกคน
จวนเสินโหวท่องยุทธภพมานานหลายปี เรือ่ งที่
รู้ลึกที่สุดก็คือ บรรดาแปดพรรคสิบหกสานัก
นางรู้ดีว่า สามคนที่เสนอตัวร่วมประลอง ไม่ว่า
ใครก็มีวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาเลย ชาวยุทธ์มีเป็น
ร้อยเป็นพันคน สามารถอยู่ในแปดพรรคสิบหก
สานักได้ถือว่าไม่ธรรมดา
ต่อให้ไม่พูดถึงประมุขหลงเกอกับชวีชางเฟิง แค่
เจ้าพันธมิตรกระบี่ทองคนเดียว ก็รับมือได้ยาก
แล้ว
ผู้ก่อตั้งพันธมิตรกระบี่ทองก็คือจูเกอชังสง เขา
มีเพลงกระบี่ที่สั่นสะเทือนไปทั่วยุทธภพ เคยได้
ชื่อว่าเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้ามาแล้ว
เพราะเพลงกระบี่นี้ ทาให้สานักและพรรคที่ใช้
กระบี่ถูกลืมไปหมด กลายมาเป็นพันธมิตร
กระบี่ทองอย่างทุกวันนี้
ตอนนี้พรรคและสานักกระบี่มีอยู่ไม่น้อย
พันธมิตรกระบี่ทองสืบทอดต่อกันมาจนถึงมือ
ของจูเกอชางถิง ถึงแม้เพลงกระบี่จะไม่สามารถ
เทียบได้กับจูเกอชังสงในตอนนั้นได้ แต่ว่าเขาก็
ถือเป็นสานักกระบี่อันดับหนึ่งในยุทธภพอยู่ ใน
ฐานะเจ้าพันธมิตรกระบี่ จูเกอชางถิงก็ต้องไม่
ธรรมดาอยู่แล้ว
ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะรู้ว่าวรยุทธ์ของฉีหนิงเอง
ก็ไม่ธรรมดา แต่ว่าเพราะว่าเขายังอายุนอ้ ย เมื่อ
เทียบกับยอดฝีมือทั้งสามแล้ว ไม่มีทางชนะได้
เลย นางอดไม่ได้ที่จะเดินขึ้นหน้าไป แล้วพูดว่า
“โหวเยว่ พวกเขา...” นางไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไร
ฉีหนิงรู้ว่าซีเหมินจั้นอิงเป็นห่วงเขา เขายิม้ แล้ว
ส่ายหน้า ในใจแอบคิดว่า เวลานางเป็นห่วงเขา
ขึ้นมา ก็อ่อนโยนน่ารักดีเหมือนกันนะ
ชิวเฉียนอี้ยืนอยู่บนขัน้ บันได มองดูสามคนที่
ออกมาประลอง สายตาของเขาเหมือนไม่พอใจ
มาก
ฉีหนิงถามไปที่เซี่ยงไป๋อิ่ง “ท่านประมุขเซี่ยง ได้
คนแล้วใช่หรือไม่?”
“สามท่านเสนอตัวเข้าร่วมประลอง ทุกคนไม่มี
ปัญหา ก็เป็นสามท่านนี”้ เซี่ยงไป๋อิ่งยิม้ แล้วพูด
ว่า “ท่านโหวน้อย ชาวยุทธ์อย่างพวกเราถือคา
สัตย์เป็นอย่างมาก หากท่านแพ้ให้กับใครคนใด
คนหนึ่ง ก็จะว่าพวกเราไม่ให้เกียรติท่านไม่ได้
แล้วนะ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากข้าชนะสามรอบได้ ก็
ขอให้ทุกท่านถอนกาลังลงจากเขาด้วย”
เจ้าพันธมิตรกระบี่ทองพยักหน้าแล้วพูดว่า
“ท่านโหวน้อย ทุกพรรคทุกสานักอยู่ที่นกี่ ัน
หมด ไม่มีใครกลับคาแน่นอน” เขาตะโกน
ขึ้นมาว่า “สหายทุกท่านพวกเราสามคนออกมา
ประลอง ไม่ทราบมีใครคัดค้านหรือไม่? หากมี
คนอื่นที่ดีกว่า พวกเราจะหารือร่วมกันอีกครั้ง”
ตอนนี้ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “มีท่านเจ้าพันธมิตร
ทั้งสามท่านออกหน้า ก็เพียงพอแล้ว” หลาย
คนคิด่าพวกเขาสามคนก็เสนอตัวเองไปแล้ว
ใครจะกล้าไปแย่งอีก
ประมุขหลงเกอเหมือนจะรอไม่ไหวแล้ว เขา
เดินหน้ามา ยืนห่างจากฉีหนิงไม่กี่ก้าว แล้วจ้อง
ไปที่ตาของฉีหนิง เขายกมือคานับแล้วพูดว่า
“ท่านโหวน้อย ในบรรดาพวกเราสามคน วร
ยุทธ์ของข้าอ่อนที่สดุ ขอคาชี้แนะกับท่านก่อน
เลยก็แล้วกัน” คาพูดของเขาดูถ่อมตัว แต่ว่า
น้าเสียงของเขามันปกปิดสิ่งที่เขาคิดไม่ได้เลย
จูเกอชางถิงกับชวีชางเฟิงเห็นประมุขจูเกอขอ
ประลองก่อน ก็ไม่มีใครไปแย่ง เขาถอยหลัง
ออกไป เหล่าชาวยุทธ์เองก็เช่นกัน
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้ว สายตาของนางเต็มไป
ด้วยความเป็นห่วง เซวียนหยวนผ่อพูดว่า
“ศิษย์น้องเล็ก” ซีเหมินจั้นอิงก็ไม่พูดอะไรอีก
ค่อยๆ เดินถอยออกมา แล้วมายืนข้างๆ เซวียน
หยวนผ่อ
ฉีหนิงยกมือคานับยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านประมุข
หลงเกอ ฐานะตามชาวยุทธ์ ข้าควรเรียกท่านว่า
ผู้อาวุโส อย่างไรก็ออมมือให้ข้าด้วยนะ”
ประมุขหลงเกอเห็นโหวน้อยรู้จักมารยาท ก็
พยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านวางใจได้ แค่ประลอง
เท่านั้น ไม่ทาให้ถึงแก่ชีวิตแน่นอน” เขาเดินเอา
มือไขว้หลัง แล้วยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งพร้อมพูด
ว่า “ท่านโหวน้อย เชิญ”
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ เขาดีดตัวขึ้นหน้ามา
ยกมือแล้วซัดเข้าใส่ประมุขหลงเกอ
ประมุขหลงเกอมีการขยับเล็กน้อย จากนั้นก็พูด
ว่า “บุกได้ด”ี เขาไม่หลบแต่กลับพุ่งเข้ารับมือ
เขาซัดฝ่ามือออกไป นั่นก็คือฝ่ามือสลายสายลม
ของเขานั่นเอง
ถึงแม้เขาจะขอประลองก่อน แต่ว่าการสูก้ ับ
หนุ่มรุ่นลูกรุ่นหลานแบบนี้ ในใจก็ยังรู้สึกอาย
อยู่ เขารู้วา่ อย่างไรก็ชนะ ก็ไม่ได้ได้หน้าอะไร
หากต่อสู้กับโหวน้อยนานเกินไป ก็จะขายหน้า
ก็เลยอยากจะรีบจัดการ เขาคิดว่าจะจัดการให้
จบภายในสิบกระบวนท่า
ฝ่ามือสลายสายลม มันมีกาลังของสายฟ้าและ
สายลม ประมุขหลงเกอคิดว่าฉีหนิงต้องหลบ
แน่ แต่ใครจะคิดว่าหนุ่มคนนี้กลับไม่กลัวฝ่ามือ
สลายสายลมของเขาเลย อีกทั้งยังบุกขึ้นหน้า
มาหาเขาอีก ฝ่ามือของเขาตอนนี้กาลังจะซัด
โดนตัวโหวน้อยแล้ว ประมุขหลงเกอรู้สึกตกใจ
มาก แอบคิดในใจว่าหากทาร้ายโหวน้อยไป
อาจเดือดร้อนได้
เขาคิดแค่ว่าที่หนุ่มน้อยคนนี้กล้าท้าประลองกับ
พวกเขา ก็น่าจะมีวรยุทธ์พอตัว แต่ว่าคงไม่แย่
ถึงขนาดกระบวนท่าเดียวก็แพ้เลย ตอนนี้เห็น
อีกฝ่ายไม่หลบไม่หนี ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง เหมือน
ตกใจว่าเขากาลังจะซัดโดนเข้าแล้ว จึงชะงักไป
การชะงักครู่เดียวของเขา ทาให้เขารู้สึกว่า
ตาลาย โหวน้อยรวดเร็วว่องไวมากราวกับ
วิญญาณ เขาหายไปแล้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามัน
จะกลายเป็นแบบนี้ เขาตะลึงไป จากนั้นก็ได้ยิน
คนตะโกนร้อง ประมุขหลงเกอรู้ว่าสถานการณ์
ไม่ดีแล้วแน่นอน เขารู้สึกเหมือนมีลมวูบหนึ่ง
ผ่านหน้าไป เขาตกใจมาก กาลังคิดจะหลบ แต่
กลับรู้สึกว่ามีฝ่ามือซัดมาที่หลังของเขาเต็มๆ
เขาสะดุดไปด้านหน้าสามถึงสี่ก้าว ถึงยืนได้นิ่ง
ประมุขหลงเกอไม่อยากจะเชื่อเลย พอเขายืน
ได้นิ่งแล้ว ก็รีบหันกลับมา เขาเห็นฉีหนิงยกมือ
คานับแล้วพูดว่า “ท่านประมุขหลงเกอ ออมมือ
แล้ว”
ทุกคนเริ่มซุบซิบกัน ประมุขหลงเกอรู้สึกว่าหน้า
ของเขาร้อนผ่าว คิดไม่ถึงเลยว่าผลจะออกมา
เป็นแบบนี้ อีกทั้งฉีหนิงพูดมาแบบนี้ได้ ถึงแม้
จะฟังดูเกรงใจ แต่ว่าได้บอกทุกคนไปแล้วว่า
ใครแพ้ใครชนะ
ประมุขหลงเกอหน้าแดงก่า เขาอยากจะไปสู้อีก
แต่เขาก็ก้าวขาไม่ออก
ถึงแม้เขาจะถูกฉีหนิงซัดไปที่ฝ่ามือ แต่ไม่ได้รับ
บาดเจ็บเลย มันก็สู้ได้ แต่ว่าเขาก็รู้ว่า เมื่อครู่สู้
กันแค่กระบวนท่าเดียว เขายังไม่รู้เลยว่าเกิด
อะไรขึ้น ก็ถกู โหวน้อยซัดฝ่ามือเข้าให้แล้ว ฝ่า
มือนั่นหากเป็นยอดฝีมือคนอื่น มันอาจทาให้
เขาบาดเจ็บสาหัสได้เลย
ประมุขหลงเกอแพ้อย่างแปลกประหลาด ส่วน
ฉีหนิงเองก็ชนะอย่างแปลกประหลาด
ประมุขหลงเกอตอนนี้จะรุกก็ไม่ได้จะถอยก็
ไม่ได้ เขาไม่รู้ต้องทาอย่างไร เขาเลยมองไปที่
เซี่ยงไป๋อิ่ง เซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้พูดอะไร แค่ส่าย
หน้าเท่านัน้ ประมุขหลงเกอเข้าใจความหมาย
ของเขา เขากัดฟันแน่น รู้สึกอับอายเป็นอย่าง
มาก จากนั้นก็กระทืบเท้า แล้วพูดว่า “พวกเรา
ไปกัน” เขาไม่พูดอะไรมาก เดินไปทางโซ่ตรวน
แปดมังกรทันที คนของเขาอีกสิบกว่าคนก็เดิน
ตามหลังเขาไป
จูเกอชางถิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ประมุขหลง
เกอ ท่าน...ประลองสามรอบยังไม่ครบ เหตุใด
ถึงรีบร้อนนักล่ะ?”
ข้อตกลงก่อนหน้านี้คือ ฉีหนิงจะต้องชนะครบ
ทั้งสามรอบ แปดพรรคสิบหกสานักถึงจะถอน
กาลังลงเขาไป ตอนนี้ฉีหนิงชนะไปแค่หนึง่ รอบ
ประมุขหลงเกอก็ไม่มคี วามจาเป็นต้องถอน
กาลังไปตอนนี้
ประมุขหลงเกอรู้สึกว่าเขาเสียหน้ามาก เขา
เหลือบไปมองจูเกอชางถิง แต่ก็ไม่ได้สนใจ
ยังคงพาคนของเขาลงเขาไป
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังใน
ยุทธภพ ออกมาประลองคนแรก หวังว่าจะจบ
การประลองโดยเร็ว เป้าหมายของเขาสาเร็จ
แล้ว รอบนี้จบเร็วมาก แต่ว่าคนที่ชนะคือฉีหนิง
เขาไม่มีทางรู้ว่า ท่าเท้าท่องคลืน่ ของฉีหนิง
พิสดารแค่ไหน เดิมทีก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะชนะ
อยู่แล้ว ประมุขหลงเกอเริ่มประลองคนแรก ใน
ใจไม่ได้เห็นฉีหนิงอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นคงไม่คิดอยากจะจัดการให้รบี จบ
เขาคิดว่าฉีหนิงเกิดในตระกูลนักรบ อย่างไรก็มี
ความสามารถอยู่บ้าง แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะ
มีวิชาตัวเบาในการเคลื่อนที่ที่พสิ ดารแบบนี้ได้
ฉีหนิงเริ่มแรก ก็ไม่ได้คิดจะรับมือซึ่งๆ หน้าอยู่
แล้ว เพียงแค่อยากใช้ท่าเท้าท่องคลื่นในการทา
ให้เขางง
เพียงแต่เขาเริ่มไปแค่สองก้าว พอหันไป
ด้านหลังของประมุขหลงเกอ เขาพบว่าประมุข
หลงเกอราวกับยังไม่รวู้ ่าเกิดอะไรขึ้น โอกาสดีดี
แบบนี้ เขาไม่มีทางพลาดแน่นอน เขาเลยใช้
วิชาฝ่ามือดันภูเขาซัดไป ถึงแม้จะไม่ได้ออกแรง
แต่ก็มีแรงอยู่ประมาณสามสี่ส่วนเห็นจะได้ พอ
ซัดไปคิดไม่ถึงเลยว่าประมุขหลงเกอจะสะดุดไป
แบบนั้น
ฉีหนิงเองก็หัวไว รู้ว่าที่เขาทาได้มันเป็นเรื่อง
บังเอิญ หากไม่ใช่เพราะประมุขหลงเกอ
ประมาทศัตรูมากเกินไป คงไม่มีทางแพ้ใน
กระบวนท่าเดียวแน่
แต่เขาไม่รู้ว่า ตอนทีป่ ระมุขหลงเกอซัดฝ่ามือมา
เห็นว่ากาลังจะซัดถูกฉีหนิงแล้ว เขาจึงหยุด
ชะงักลง การชะงักของเขา ทาให้ฉีหนิงมีโอกาส
ลงมือ
ประมุขหลงเกอเป็นคนมีชื่อเสียงในยุทธภพ
หากสู้กับฉีหนิงขึ้นมาจริงๆ ฉีหนิงไม่มีทาง
เอาชนะง่ายๆ แบบนี้แน่
อีกทั้งหลังจากที่ถูกซัดไปแล้วหนึ่งฝ่ามือ หาก
เป็นการประลองจริงๆ แล้ว การถูกซัดไปหนึ่ง
ฝ่ามือก็ไม่ถือว่าแพ้ แต่ว่าประมุขหลงเกอเป็นถึง
เจ้าสานัก การถูกฉีหนิงซัดไปหนึ่งฝ่ามือ เขาเสีย
หน้ามาก ฉีหนิงเลยรีบพูดว่า “ออมมือ” ทาให้
ประมุขหลงเกอทาอะไรไม่ได้เลย
ที่จริงยอดฝีมือหลายคนก็พอจะมองออกอยู่ ฉี
หนิงอาศัยวิชาเคลื่อนที่อ้อมตัวประมุขหลงเกอ
เพื่อหาโอกาสลงมือ ทุกอย่างมันเป็นเรื่อง
บังเอิญ แต่ก็เป็นเพราะวิชาการเคลื่อนที่ของฉี
หนิงด้วยส่วนหนึ่ง แล้วก็ประมุขหลงเก
อประมาทศัตรูมากเกินไปด้วย แต่ว่าผลแพ้ชนะ
ของพวกเขาสองคนก็ออกมาแล้ว บอกได้เลยว่า
มันดูงงๆ ไปหมด ประมุขหลงเกอก็แพ้อย่างไม่
เต็มใจ
เห็นประมุขหลงเกอเสียหน้าจากไป พวกเขาก็
แอบซุบซิบกัน จูเกอชางถิงกับชวีชางเฟิงมอง
หน้ากัน จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
เงียบไปครูใ่ หญ่ ชวีชางเฟิงก็เดินขึ้นหน้ามา เขา
ไม่คานับหรือทาความเคารพ เขาพูดแค่วา่
“ท่านโหวน้อยเป็นเสือซ่อนเล็บนี่เอง มีวรยุทธ์
ที่เหนือความคาดหมายจริงๆ ข้าคือเจ้าสานัก
ตงถิงชวีชางเฟิง ขอคาชี้แนะด้วย”
ในคาพูดของเขากาลังแอบบอกว่าที่ฉีหนิงชนะ
นั้นมันเหนือความคาดหมาย ไม่ใช่เพราะวร
ยุทธ์ที่ร้ายกาจ
ฉีหนิงรู้ว่าหลังจากชนะประมุขหลงเกอแบบ
เหนือความคาดหมายไปแล้ว อีกสองคนจะต้อง
ระมัดระวังตัวมากขึ้นแน่นอน หากคิดจะหา
โอกาส ก็จะยากมากขึ้นไปอีก
ชวีชางเฟิงสวมเสือและหมวกสีเขียว ดูไม่ออก
ว่าท่าทางของเขามาดีหรือมาร้าย เขายกมือ
คานับแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสานักชวีออมมือ
ด้วย”
ชวีชางเฟิงแอบคิดในใจว่าท่าทางของเจ้าแบบ
เมื่อครู่ ยังคิดจะให้เขาออมมือให้อีกหรือ ให้คิด
ว่าศัตรูอ่อนแอกว่า เขาไม่มีทางหลงกลอีก
แน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 465 เก้ากระเรียน
สวีฉางเฟิงงอนิ้วมือทั้งสิบของเขา แล้วก้มหน้า
ลงเล็กน้อย จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไปเล็กน้อย ฉี
หนิงรู้ดีว่ารอบนี้มันไม่เหมือนรอบที่แล้วแน่นอน
รอบที่แล้วเป็นเพราะประมุขหลงเกอไม่รู้วร
ยุทธ์ของฉีหนิงจึงทาให้เขาประมาทฉีหนิงไป
ทาให้เขามีโอกาสจบการต่อสู้รอบที่แล้วอย่าง
รวดเร็ว แต่ว่ารอบนีก้ ับสวีฉางเฟิงไม่มีทางเป็น
แบบนั้นแน่
เขาจึงตัดสินใจว่าเมื่อประลองกับยอดฝีมือ จะสู้
ซึ่งหน้าก็ไม่มีทางชนะได้ คงต้องอาศัยท่าเท้า
ท่องคลื่นต่อสู้กับเขาไปก่อน
ท่าเท้าท่องคลื่นถึงแม้จะพิสดาร แต่ว่าชาวยุทธ์
ไม่มีใครรู้จกั วิชานี้
ทูตวิญญาณอย่างลั่วอู๋อิ่งเป็นยอดฝีมือขั้นสูง มี
วิชาตัวเบาล้าเลิศ แต่ก็ไม่รู้จักท่าเท้าท่องคลื่น
มาก่อน ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคนอื่นๆ ก็ไม่น่าจะ
รู้เหมือนกัน
มือของสวีฉางเฟิงราวกับภาพลวงตา ทั้งหมัด
กับฝ่ามือสลับไปมา พริบตาเดียว ก็เปลี่ยนไป
แล้วกว่าสิบกระบวนท่า ฉีหนิงถูกเขาจู่โจมอย่าง
รวดเร็ว แทบจะไม่มจี ังหวะได้สวนกลับเลย เขา
ทาได้แค่อาศัยท่าเท้าท่องคลื่นในการป้องกัน
เพียงแต่ว่าสวีฉางเฟิงลงมือรวดเร็ว การหลบ
หลีกของฉีหนิงจึงดูอนาถมาก
ฉีหนิงรู้ว่า ถึงแม้เขาจะมีพลังหกเทพประสาน
อยู่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่ควรใช้พลัง
หกเทพประสาน
คนของแปดพรรคสิบหกสานักเป็นพรรคและ
สานักคุณธรรม พลังหกเทพประสารถึงแม้จะ
ร้ายกาจ แต่ว่าการดูดกาลังภายในของคนอื่นมา
มันก็ถือว่าเป็นวิชามาร หากเหล่าชาวยุทธ์เห็น
เขาใช้พลังหกเทพประสารดูดกาลังภายในของ
คนอื่น ต่อให้เอาชนะสวีฉางเฟิงได้ อาจจะไม่ถกู
ยอมรับได้
ที่สาคัญพลังหกเทพประสานนั้นมันเป็นวิชาที่
แปลก หากเหล่าชาวยุทธเห็นเขาใช้วิชานี้ มันก็
จะถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นต้องระวัง
ไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นต่อไปอนุภาพของวิชานี้
อาจจะลดลงก็ได้
เหล่าชาวยุทธ์เห็นว่าฉีหนิงหลบไปหลบมา สวี
ฉางเฟิงลงมือไปแล้วกว่าสิบกระบวนท่า แต่ฉี
หนิงยังไม่บุกเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีคนอดไม่ได้
พูดว่า “นี่มันประลองยุทธ์ที่ไหนกัน? ข้าว่าโหว
น้อยกาลังแสดงวิชาการหนีเอาตัวรอด
มากกว่า”
ทุกคนรอบๆ ต่างหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ก่อนหน้านี้ฉีหนิงใช้เพียงกระบวนท่าเดียวใน
การเอาชนะประมุขหลงเกอ ถึงแม้จะแปลก
ประหลาด แต่ว่าพวกเขาก็ตกใจไม่น้อย แอบ
คิดในใจว่าหรือว่าพวกเขาจะมองผิดไป โหว
น้อยจะเป็นเสือซ่อนเล็บจริงๆ?
เพราะประมุขหลงเกอเป็นคนมีชื่อเสียงในยุทธ
ภพ ต่อให้ประมาทแค่ไหน ฉีหนิงจะลอบโจมตี
สักกระบวนท่า มันก็ไม่น่าจะง่ายแบบนั้นได้
แต่ว่าพอเห็นฉีหนิงประลองกับสวีฉางเฟิงแล้ว
ทุกคนกลับรู้สึกว่าเมือ่ ครู่มันแค่บังเอิญเท่านั้น
สวีฉางเฟิงลงมือรวดเร็วราวกับพายุ โหวน้อย
หลบซ้ายทีขวาที ไม่มีโอกาสได้สวนเลย พวก
เขาคิดว่าด้วยระดับของฉีหนิง ประมุขหลงเกอ
แพ้ให้เขา ก็น่าอับอายจริงๆ
สวีฉางเฟิงลงมืออย่างว่องไว เขาออกกระบวน
ท่าอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่สามารถทาอะไรฉี
หนิงได้เลย แต่ว่าฉีหนิงเองก็ไม่สามารถเข้าถึง
ตัวของสวีฉางเฟิงได้เหมือนกัน ยังดีว่ามีที่กว้าง
ท่าเท้าท่องคลื่นถึงได้เคลื่อนที่ได้สะดวก สวีฉาง
เฟิงเองก็ทาอะไรฉีหนิงไม่ได้เหมือนกัน
เหล่าชาวยุทธ์เริม่ สงสัย เห็นฉีหนิงหลบไปมา
ราวกับลูกแมวน้อยเจอเหยื่อ พวกเขาก็ส่าย
หน้าอย่างจนใจ แอบคิดในใจว่าเป็นถึงจิน่ อีโหว
ทาไมถึงได้อนาถขนาดนี้ เสียชื่อของจิ่นอีโหว
หมด
แต่บางคนก็ได้ใจ แอบคิดในใจว่าเดี๋ยวโหวน้อย
ก็คงกลายเป็นตัวตลกแล้ว คิดไม่ผิดเลย
ทันใดนั้นเองสวีฉางเฟิงก็ร้องคารามออกมา มือ
ขวาของเขาเอียงแล้วยืดแขนตรง มันดูทรงพลัง
อย่างมาก มีคนร้องออกมาเบาๆ ว่า “วิชาเก้า
นกกระเรียน”
หลายคนคิดว่าการประลองครั้งนี้มันก็ไม่มีอะไร
พิเศษ หลายคนจึงรู้สึกเบื่อ
สานักตงถิงสามารถเป็นหนึ่งในแปดพรรคสิบ
หกสานักได้ แสดงว่าจะต้องมีอะไรพิเศษ อีกทั้ง
วิชาเก้านกกระเรียนก็ถือเป็นสุดยอดวิชาของ
สานักตงถิงด้วย
กล่าวกันว่า วิชาเก้านกกระเรียนสืบทอดกันมา
แค่เชื้อสายเดียวตลอด มีเพียงเจ้าสานักตงถิง
เท่านั้นที่มศี ิษย์ได้เรียน เจ้าสานักในแต่ละรุ่น
หลังจากที่ได้คัดเลือกผู้สืบทอดคนต่อไปแล้ว ถึง
จะทาการถ่ายทอดวิชาเก้านกกระเรียนนี้ให้ อีก
ทั้งก่อนการถ่ายทอดวิชานี้ จะต้องทาพิธีก่อน
ด้วย ในนามแล้วมันคือพิธีรับมอบวิชา แต่ใน
ความเป็นจริงแล้วก็คือพิธีการยืนยันผูส้ ืบทอด
สานัก มีการเชิญยอดฝีมือที่มีบารมีไม่กี่คนเข้า
ร่วมงานเพื่อเป็นพยานเท่านั้น
หลังจากทาสัญญาเลือดแล้ว หลายปีที่ผ่านมา
ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวใดๆ ในยุทธภพ แต่ละ
พรรคแต่ละสานักไม่มีโอกาสได้แสดงความ
สามารถ วิชาเก้านกกระเรียนของสานักตงถิง
ไม่มีใครในยุทธภพเห็นมานานแล้ว
สวีฉางเฟิงลงมือจู่โจมต่อเนื่อง จนสุดท้ายก็ยัง
ทาอะไรฉีหนิงไม่ได้ เขาจึงเริ่มร้อนใจ
หากวรยุทธ์ของฉีหนิงเทียบเขาได้ ก็คงไม่ต่าง
กันมากนัก สวีฉางเฟิงทาได้แค่อดทน โหวน้อย
ถึงแม้จะมีชื่อเป็นจิ่นอีโหว แต่ว่าไม่มีชื่อในยุทธ
ภพเลย แต่ว่าสวีฉางเฟิงเป็นถึงเจ้าสานัก หาก
ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้า
ไปไว้ที่ไหน
อีกทั้งชื่อเสียงของสานักตงถิงก็เริ่มถดถอย
ไม่ได้มีอานาจเหมือนพรรคกับสานักอื่น ทาให้
บารมีของสานักตงถิงลดลงไปมาก
สวีฉางเฟิงมาร่วมบุกเขาเชียนอูหลิง เพื่ออยาก
สร้างชื่อเสียงให้มากขึ้น เพียงแต่ก่อนหน้านี้
แทบจะไม่มีโอกาสเลย ตอนนี้บกุ อย่างหนักแต่
ยังเอาชนะไม่ได้ เขาเลยคิดจะใช้วิชาเก้านก
กระเรียน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นความร้ายกาจ
ของมัน
ฉีหนิงสัมผัสได้ถึงลมที่แหลมคม จากนั้นก็ได้ยิน
หลายคนร้องตะโกนด้วยความตกใจ แอบคิดใน
ใจว่าเจ้าสานักชวีน่าจะใช้วรยุทธ์จริงๆ ของเขา
แล้ว เขาหลบไปข้างหนึ่ง ใครจะคิดว่าวิชาเก้า
นกกระเรียนจะต่อเนื่องมาเป็นชุด รอบแรกไม่
โดน ครั้งที่สองพุ่งมาอย่างรุนแรง ฉีหนิงฝืน
เอี้ยวตัวหลบไป เขารู้สึกว่าตาของเขาเริม่ ลาย
กระบวนท่าที่สามกาลังใกล้เข้ามาแล้ว แล้วก็
ต่อเนื่องไปด้วยท่าที่ห้าที่หก
พริบตาเดียว สวีฉางเฟิงกลายเป็นเหมือนเงาสี
เขียวโฉบไปโฉบมา เขาบีบจนฉีหนิงไม่สามารถ
หลบไปไหนได้ มีคนร้องตะโกนออกมาอย่าง
ต่อเนื่อง แม้แต่ชิวเฉียนอี้ที่อยู่ด้านบน ยังอด
มองลงมาไม่ได้ สายตาของเขาอดชื่นชมไม่ได้
เลย
ฉีหนิงขึ้นหน้าไม่ได้ ทาได้แค่ถอยหลัง เขา
เห็นสวีฉางเฟิงซัดกรงเล็บมาที่หน้าของเขา มัน
รวดเร็วมาก หูของเขาก็ได้ยินเสียงของซีเหมิน
จั้นอิงตะโกนด้วยความตกใจว่า “โหวเยว่ระวัง”
ฉีหนิงดีดตัวขึ้น สวีฉางเฟิงเห็นว่าตัวเขา
สามารถทาลายการเคลื่อนที่ของฉีหนิงได้แล้ว
เขาก็ดีใจมาก เลยรีบเร่งลงมือเข้าใส่อีกหลาย
กระบวนท่า
ฉีหนิงเห็นกรงเล็บลอยมา เหมือนเขาจะหลบไม่
พ้นแล้ว เขารู้ดีว่า วรยุทธ์ของสวีฉางเฟิงร้าย
กาจกว่าที่เขาคิดไว้อีก วิชาเก้านกกระเรียน ซัด
เข้าใส่เขากระบวนท่าแล้วท่าเล่า หากเขาไม่
หลบ คงยื้อไม่ได้ถึงตอนนี้ อาจจะถูกเขาทาร้าย
ไปแล้ว
วิชาเก้านกกระเรียน มันสามารถควบคุมอีกฝ่าย
ให้อยู่ในการโจมตีของมัน แต่เพียงจะต้องมีวิชา
ตัวเบาที่ร้ายกาจแล้ว กระบวนท่าของมันก็ยัง
มาจากแผนผังแปดทิศด้วย
สานักถิงเป็นสานักแห่งลัทธิเต๋า ศึกษาศาสตร์
ของแผนผังแปดทิศ ผู้ก่อตั้งได้ทาการศึกษาและ
คิดค้นวิชาเก้านกกระเรียนมาจากหนึ่งใน
ศาสตร์ของแผนผังแปดทิศ
หากเป็นวิชาอื่น ฉีหนิงสามารถใช้ท่าเท้าท่อง
คลื่นหลบได้ แต่ว่าวิชาเก้านกกระเรียน
เหมือนกับท่าเท้าท่องคลื่น มันมาจากศาสตร์
ของแผนผังแปดทิศเหมือนกัน การเคลื่อนที่
หลายอย่างมันแอบเหมือนกันจนน่าตกใจ
ทุกครั้งที่ฉีหนิงก้าวเท้าออกไป มันก็จะไป
ประจวบกับที่เจ้าสานักชวีออกกระบวนท่า
ออกมาพอดี ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป มันจะ
อันตรายมากๆ
ฉีหนิงแอบตกใจ เขากับชิวเฉียนอี้สู้กันใน
ตาหนัก ชิวเฉียนอีไ้ ม่สามารถรับมือกับท่าเท้า
ท่องคลื่นได้ ตอนนี้พอสู้กับเจ้าสานักสวีฉางเฟิง
เริ่มแรกยังหลบได้อยู่ แต่ว่าพออีกฝ่ายใช้วิชา
เก้านกกระเรียน ฉีหนิงรู้สึกว่าจะหลบแต่ละทีก็
กินแรงมาก เขารูส้ ึกว่าสามารถถูกทาร้ายเข้าถึง
ตัวได้ตลอดเวลา
ยังดีที่ว่าถึงแม้ท่าเท้าท่องคลื่นจะมาจากศาสตร์
ของแผนผังแปดทิศเหมือนกัน แต่ว่าคนที่คิดค้น
วิชานี้น่าจะเป็นคนสบายๆ มีหลายอย่างที่ไม่ได้
มีกฎเกณฑ์ ไม่อย่างนั้นฉีหนิงคงถูกทาร้ายไป
แล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ต่อให้เปลี่ยนมากแค่
ไหนมันก็กลับมาจุดเดิมอยู่ดี ยังไงท่าเท้าท่อง
คลื่นก็ยังมาจากแผนผังแปดทิศ สวีฉางเฟิงรู้สึก
ว่าการเคลือ่ นที่ของฉีหนิงมันเหมือนแผนผัง
แปดทิศ เขาเป็นถึงเจ้าสานัก สายตาของเขา
เฉียบแหลมมาก ก็ตอ้ งมองออกอยู่แล้ว
ตอนนี้มีตาหลายคูจ่ ้องมาที่พวกเขาสองคน
หลายคนเป็นยอดฝีมือ พวกเขารู้แล้วว่าฉีหนิง
น่าจะมีอันตรายแล้ว อาจจะแพ้ให้กับสวีฉาง
เฟิงได้ตลอดเวลา
สวีฉางเฟิงเห็นว่าการเคลื่อนทีข่ องฉีหนิงไม่
เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เขารู้ว่าน่าจะเป็นเพราะ
วิชาเก้านกกระเรียนของเขาแน่ ในใจก็นึกดีใจ
เขาลงมือจู่โจมไปอีกสิบกว่ากระบวนท่า ทาให้ฉี
หนิงถอยร่นไป ราชาพิษชิวเฉียนอี้เห็นอยู่ เขาก็
แอบส่ายหน้า แอบคิดในใจว่าฉีหนิงไม่มีทาง
ชนะแน่
ทันใดนั้นเองก็เห็นสวีฉางเฟิงซัดแขนออกไป มือ
ซ้ายเป็นหมัดมือขวาเป็นกรงเล็บ เข้าใส่ฉหี นิง ฉี
หนิงถอยหลัง ขาของเขาเหมือนจะสะดุดเล็กๆ
เกือบจะล้ม ซีเหมินจั้นอิงร้องตะโกน เหยียนลิ่ง
เซี่ยนอยู่ข้างๆ ซีเหมินจั้นอิงตลอด เขาเห็นซี
เหมินจั้นอิงจ้องฉีหนิงไม่ละสายตามาตั้งแต่เริ่ม
เขากามือแน่นมาก นางเป็นห่วงฉีหนิงมาก
ขนาดนี้ เขาจึงรู้สึกไม่พอใจมาก เขามองไปที่ฉี
หนิง แอบคิดในใจว่าฉีหนิงไม่ประเมินตัวเอง
เลย หากแพ้ให้กับสวีฉางเฟิงจริง ทุกคนในที่นี้
รวมถึงจั้นอิงด้วยก็จะเห็นการพ่ายแพ้ของเขา
เขาจึงนึกสะใจอยู่ในใจเงียบๆ
ฉีหนิงถอยหลังไป จนเกือบจะล้ม ถึงแม้จะฝืน
ยืนให้นิ่ง แต่ว่าร่างกายของเขามันก็ไม่สมดุล
กรงเล็บของสวีฉางเฟิงกาลังมาที่หน้าอกของฉี
หนิงแล้ว นิ้วทั้งห้าของเขาราวกับตะขอ คิดจะ
จับเสื้อของเขาไว้ ฉีหนิงรู้ว่าหากถูกจับเสื้อได้
เขาแพ้แน่ ทันใดนั้นเองเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้
เขายื่นแขนขวาออกมา กาหมัดขวา ไปรับกรง
เล็บของสวีฉางเฟิง
สวีฉางเฟิงเห็นฉีหนิงลงมือ คิดว่าน่าจะออก
กระบวนท่ามาแบบส่งๆ ในใจก็นึกขา เขาใช้นิ้ว
จับไปที่หมัดของฉีหนิง แล้วเลื่อนลงไปที่ขอ้ มือ
ของเขา ที่ข้อมือมีแต่ชีพจรสาคัญ ชาวยุทธ์เวลา
ประลองยุทธ์กัน หากถูกจับข้อมือก็เหมือนกับ
กาความเป็นความตายของอีกฝ่ายเอาไว้
สวีฉางเฟิงรู้ว่าอย่างไรฉีหนิงก็เป็นโหวของ
แคว้นฉู่ หากทาร้ายเขาอาจเป็นการไม่ไว้หน้า
เขา ซึ่งไม่เป็นผลดีกับสานักตงถิง หากเขาจับไป
ที่ข้อมือของฉีหนิงได้ ก็ไม่ต้องพูดอะไรอีก แพ้
ชนะก็จะมีผลทันที
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 466 ชื่อเสียงกระฉ่อน
เจ้าสานักชวีคิดว่าชนะแน่แล้ว อีกแค่นิดเดียก็
จะจับข้อมือของฉีหนิงได้แล้ว ฉีหนิงกลับหักข้อ
มือเอี้ยวตัวหลบ เหมือนกาลังสวนกลับ จากนั้น
ก็พลิกมือไปพันมือของเจ้าสานักชวีเอาไว้
ด้วยความที่สถานการณ์มันคับขัน ฉีหนิงเลยไม่
ลังเล ทามือเป็นรูปดอกบัว จากนั้นก็เลื้อยพัน
ขึ้นราวกับงู และดีดนิ้วเข้าไปที่หลังมือของเจ้า
สานักชวี เจ้าสานักชวีรู้สึกว่ามือของเขามี
อาการชา ในสายตาของทุกคน เขาไม่มีทาง
ยอมเด็ดขาด อีกมือหนึ่งก็ซัดเข้าหาฉีหนิง
ประมุขพรรคกระยาจกเซี่ยงไป๋อิ่งมองไปที่ฝ่า
มือของฉีหนิงที่กาลังพัวพันกับเจ้าสานักชวี มัน
พลิกแพลงไปมามากมาย เจ้าสานักชวีฝีมอื ร้าย
กาจเรื่องนี้ใครก็รู้ แต่ว่าฝีมือของฉีหนิงก็
ประหลาดไม่น้อยเช่นกัน
เซี่ยงไป๋อิ่งมองไปไม่กี่ครั้ง เขาก็อดอุทานออก
มาไม่ได้ว่า “เอ๋” สายตาของเขาประหลาดใจ
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเห็นพวกเขาเข้าหากันใกล้
มาก ก็คิดว่าแพ้ชนะคงรู้ผลแล้ว ใครจะคิดว่าฉี
หนิงกลับสามารถรับมือเจ้าสานักชวีได้ ทั้งสอง
สู้กันจนตาลาย หลายคนมองไม่เห็นเลยว่า
ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ไม่นานนักก็มีเสียง “แกรก” สองที ฉีหนิงกับ
สานักชวีถอยออกมาแบบทุลักทุเล ทุกคนแอบ
ร้องตะโกนด้วยความตกใจไม่ได้ เห็นเจ้าสานัก
ชวีถอยหลังมาหลายก้าว จากนัน้ ขาก็อ่อนลง
เขาทรุดลงกับพื้น ทุกคนต่างก็ตกใจ ศิษย์ของ
เขารีบวิ่งเข้ามาหา จากนั้นก็ตะโกนออกมาว่า
“เจ้าสานัก”
ฉีหนิงถอยหลังไปห้าถึงหกก้าว ยืนเซไปเซมา
แต่ก็ยังพอฝืนยืนอยู่ได้ แต่ว่าสีหน้าของเขาซีด
เซียว มือทั้งสองข้างของเขาสั่นเทา
ทุกคนไม่รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ ทุกคนมองหน้ากัน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเจ้าสานักชวีร้องด้วยความ
เจ็บปวดออกมา เขานั่งขัดสมาธิไปกับพื้น
จากนั้นยกมือขึ้นมาเดินลมปราณ
เจ้าพันธมิตรกระบี่ทองจูเกอชางถิงยืนอยู่หน้า
สุด ห่างจากเจ้าสานักชวีไม่ไกลมากนัก เขามอง
เห็นชัดที่สุด เพียงแต่ว่าร่างกายของเจ้าสานัก
ชวีสั่นมาก เขาอดไม่ได้ที่จะเดินขึ้นหน้ามาสอง
ก้าว แล้วถามว่า “เจ้าสานักชวี ท่าน...ท่านเป็น
อย่างไรบ้าง?”
เจ้าสานักไม่ได้ตอบ จูเกอชางถิงเห็นที่คอของ
เจ้าสานักชวีมีเหงื่อไหลออกมามาก ก็ตกใจ
ทันใดนั้นเองเจ้าสานักชวีก็ร้องออกมาด้วย
ความเจ็บปวด เห็นเขาสั่นไปทัง้ ตัว ใบหน้าของ
เขาแดงก่า
จูเกอชางถิงรู้ดีว่าผิดปกติแล้ว เขายื่นมือไปจับ
ไหล่ของเจ้าสานักชวี ถึงแม้จะมีเสื้อผ้ากั้นอยู่
แต่ว่าแค่แตะ ก็รู้สกึ ว่าตัวของเจ้าสานักชีนนั้
ร้อนดังไฟเผา
คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ทุกคนไม่ทัน
สังเกต ราชาพิษจิ่วซีมองเห็นทุกอย่าง ใบหน้า
ของเขาตกใจมาก เขาเดินขึ้นหน้าหลายก้าว
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจกลัว แล้ว
พูดว่า “ฝ่ามือ...ฝ่ามือเพลิงโลกันตร์...มัน...มัน
เป็นไปไม่ได้” จากนั้นเขาก็หันมองไปที่ฉีหนิง
ฉีหนิงใช้ฝา่ มือเพลิงโลกันตร์จริง
เมื่อครู่ตอนที่เจ้าสานักชวีกาลังจะลงมือ ฉีหนิง
คิดอะไรไม่ออก คิดได้อย่างเดียวก็คือฝ่ามือ
เพลิงโลกันตร์ที่เขาฝึกในห้องลับหินนั่น เขาก็ไม่
รู้ฝ่ามือเพลิงโลกันตร์จะได้ผลหรือไม่ แต่ก็ไม่มี
เวลาให้เขาคิดมากนัก
ตอนที่เขาอยู่ที่ห้องหินลับนั่น เขาเบื่อมาก เลย
ฝึกวิชานั่นจนชานาญ ตอนเขาซัดฝ่ามือออกไป
กาลังภายในก็ออกมาพร้อมกันด้วย หากไม่ใช่
เพราะเจ้าสานักชวีถอยออกห่างไปก่อน ฉีหนิง
อาจจะหยุดไม่ได้ แต่ว่าหลังจากที่เจ้าสานักชวี
ถูกฉีหนิงซัดฝ่ามือเข้าใส่แล้ว เขาเองก็ไม่กล้า
ยอมแพ้ ทั้งสองจึงประมืออยู่นาน ฝ่ามือเพลิง
โลกันตร์ของฉีหนิงก็ไหลออกมาเรื่อยๆ แม้แต่
เขาเองก็ห้ามมันไม่อยู่
ทุกคนเห็นแต่พวกเขาสู้กัน วิชาเก้ากระเรียน
ร้ายกาจ ส่วนฝ่ามือเพลิงโลกันตร์ของฉีหนิงก็
ประหลาด เจ้าสานักชวีเดิมทีคิดจะสู้กับฉีหนิง
จนถึงที่สุด แต่ไม่นานก็รู้ว่าฝีมือของโหวน้อยคน
นี้มันเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มาก ทุกครั้งที่ปะมือ
กับเขา เจ้าสานักชวีรู้สึกว่าผิวของฉีหนิงนั้นลุก
เป็นไฟ
ขณะที่เขากาลังตกใจ ฉีหนิงก็ซัดเข้าใส่ เจ้า
สานักชวีไม่มีเวลาให้คิด จากนั้นก็ซัดฝ่ามือมา
รับ กาลังภายในของพวกเขาไหลออกมาจากฝ่า
มือของอีกฝ่าย ทาให้ผลักทัง้ คู่ออกจากกัน
ฉีหนิงรู้สึกว่ากาลังภายในของชวีชางเฟิงนั้นพุ่ง
เข้าสู่ชีพจรของเขา มันทาให้เขารู้สึกปวด
เหมือนร่างจะแหลก เขาถอยหลังไปหลายก้าว
ตาลาย คิดว่าตัวเขาต้องแพ้แน่ เขาหายใจไม่ทัน
เลยไม่ได้ไปมองชวีชางเฟิง
เขาไม่รู้เลยว่าตอนนีช้ วีชางเฟิงนั้นทรมานมาก
แค่ไหน
หลังจากปะกันไปแล้ว ชวีชางเฟิงรู้สึกว่ามีกาลัง
ภายในพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา พริบตาเดียว
เท่านัน้ ไม่เพียงชีพจรทั้งหมดในตัว แม้แต่
อวัยวะในร่างกายของเขาทั้งหมดก็เหมือนถูกไฟ
เผา ความรู้สึกแบบนัน้ หากไม่ได้สัมผัสเอง ก็ไม่
มีทางรู้ว่ามันเจ็บปวดทรมานแค่ไหน
เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดา รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี
แน่ ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก รีบนั่งลงแล้วเดินลม
ปราณทันที คิดอยากจะลดความร้อนลง แต่ว่า
กาลังภายใน ทาให้ชีพจรร้อนมากขึ้นไปอีก มัน
ทาให้เจ็บและทรมานมากกว่าเดิมอีก
เขาตกใจมาก ตอนนีเ้ ขาไม่มีใจจะไปคิดเรื่องแพ้
ชนะแล้ว
จูเกอชางถิงเหมือนยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึน้
เขาไม่กล้าแตะ แต่ว่ามองไปที่เซี่ยงไป๋อิ่ง เขา
โฉบเข้ามาอย่างรวดเร็ว “อย่าขยับ” เขาใช้นิ้วชี้
ไปที่จุดชีพจรของชวีชางเฟิง จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นิ้วขวาของเขาจี้ไปอีก
หลายที่ แต่ละที่เป็นชีพจรสาคัญบนตัวของชวี
ชางเฟิงกว่าสิบจุด จากนั้นก็ซัดฝ่ามือไปทีจ่ ุด
ตันเถียนของชวีชางเฟิงทันที
ทุกคนเห็นเซี่ยงไป๋อิ่งลงมือรวดเร็ว พริบตา
เดียวก็จี้ไปที่ชีพจรของชวีชางเฟิงมากกว่าสิบ
จุด ฝีมือร้ายกาจมาก อดคิดในใจไม่ได้ว่า พรรค
กระยาจกเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า ใครก็
รู้ว่าประมุขพรรคกระยาจกใกล้จะเป็นต้าจงซือ
แล้ว ตอนนี้ได้เห็น สมคาล่าลือจริงๆ วรยุทธ์
ของประมุขเซี่ยงนั้นร้ายกาจนัก
ฉีหนิงหลับตา ค่อยๆ หายใจ คนอื่นไม่รู้ว่าชีพ
จรของเขาตอนนี้ว้าวุน่ มาก เห็นเขายืนนิ่งอยู่
แบบนั้น ในใจก็แอบคิดว่าหรือว่าโหวน้อยจะ
ชนะอีกแล้ว
เดิมฉีหนิงรู้สึกทรมานมาก หน้าอกของเขาปวด
จนยากจะบรรยาย ราวกับอยากจะอ้วกออกมา
ในตอนนี้เอง เขาก็รสู้ ึกว่าพลังชี่เย็นที่จุดตันเถีย
นของเขามันกาลังไหลไปทั่วร่างกายของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มรู้สึกเย็นสบายขึ้น
ชีพจรที่เหมือนจะแหลกสลายก็ค่อยๆ ทุเลาลง
ไม่นาน ฉีหนิงก็เหมือนรู้สึกว่าเขาดีขึ้นมาแล้ว
แม้แต่สีหน้าเองก็ดีขึ้น
เมื่อเซี่ยงไป๋อิ่งหยุดมือ ชวีชางเฟิงสีหน้าก็ดีขึ้น
ไม่น้อย เขาสูดหายใจเขา แล้วลืมตาขึ้นมา เขา
เห็นเซี่ยงไป๋อิ่ง ฝืนลุกขึ้นยืน แล้วคานับเขา
“ขอบคุณท่านประมุขเซีย่ งมาก”
ประมุขเซีย่ งส่ายหน้า เห็นชวีชางเฟิงยืนไม่นิ่ง รู้
ว่าเขายังไม่หายดีทั้งหมด ก็พูดกับศิษย์ของชวี
ชางเฟิงว่า “ท่านเจ้าสานักชวีกาลังภายใน
บาดเจ็บรุนแรงมาก ภายในหนึ่งเดือนห้ามเดิน
ลมปราณเด็ดขาด พวกเจ้าต้องดูแลเขาให้ดี
ด้วย”
ทุกคนตอบรับ แล้วยกมือคานับ
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดง่ายๆ ไม่กี่คา แต่ก็ทาให้ทุกคน
ตกใจ
ชวีชางเฟิงเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ
เซี่ยงไป๋อิ่งกลับบอกว่าให้ชวีชางเฟิงพักหนึ่ง
เดือนเต็มห้ามเดินลมปราณ แสดงว่าภายใน
บาดเจ็บเป็นอย่างมาก
บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เป็นเพราะฉีหนิง
ก่อนหน้านี้หลายคนคิดว่าการที่ฉีหนิงเอาชนะ
เจ้าสานักหลงเกอได้ มันเป็นเพียงเหตุบังเอิญ
เท่านั้น แต่ในตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่า โหวน้อย
เป็นเสือซ่อนเล็บ แม้แต่เจ้าสานักตงถิงยังแพ้
ให้กับเขาเลย
ตอนนี้ฉีหนิงดีขึ้นมากแล้ว เห็นอาการของชวี
ชางเฟิง เขาก็พอจะรู้ เขารีบเดินเข้าไปหา แล้ว
พูดว่า “เจ้าสานักชวี ท่าน...ท่านไม่เป็นอะไรใช่
หรือไม่?”
คนของสานักตงถิงพยุงชวีชางเฟิงอยู่ เห็นฉีหนิง
เดินเข้ามา ก็ต่างมองด้วยสายตาโกรธแค้น ชวี
ชางเฟิงยิ้ม แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยเป็นเสือ
ซ่อนเล็บจริงๆ ที่แท้ท่านก็มีวิชาร้ายกาจกับตัว
อยู่ ข้าไม่มีตาเอง มองไม่ออก เสียใจจริงๆ รอบ
นี้ ข้ายอมแพ้อย่างเต็มใจเลย”
หลายคนรู้สึกนับถือชวีชางเฟิงมาก แอบคิดใน
ใจว่าชวีชางเฟิงเป็นถึงเจ้าสานัก แพ้ให้กับโหว
น้อยที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย มันก็ถือว่าเสียหน้า
มากแล้ว แต่ว่าเขากลับกล้าที่จะยอมรับ ถือว่า
น่านับถือมาก
ชวีชางเฟิงกลับไม่รู้เลยว่า ฉีหนิงเพิ่งฝึกฝ่ามือ
เพลิงโลกันตร์นี้ได้ไม่นาน กาลังภายในเองก็มี
ข้อจากัด หากเปลี่ยนเป็นยอดฝีมืออย่างเซี่ยงไป๋
อิ่งใช่ฝ่ามือเพลิงโลกันตร์แล้วล่ะก็ ชวีชางเฟิงคง
ตายไปแล้ว
ชวีชางเฟิงเดิมทีคิดว่าตัวเขาลงมือได้อย่างดี
แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าผลจะออกมาแบบนี้ ในใจ
ของเขาก็รู้สึกผิดหวัง เขาส่ายหน้า มองไปที่จูเก
อชางถิง เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านประมุขจู
เกอ ฝากท่านด้วยนะ” จากนั้นศิษย์ของเขาก็
พยุงเขาไปพักด้านข้าง
ตอนที่จูเกอชางถิงเห็นชวีชางเฟิงพ่ายแพ้ ก็รู้ว่า
ตัวเขาเลี่ยงที่จะออกไปประลองไม่ได้แล้ว
ชวีชางเฟิงแพ้ให้กับฉีหนิง จูเกอชางถิงตกใจ
มากเลยทีเดียว เขารู้ทันทีว่าเพลงหมัดมวยของ
ฉีหนิงนั้นร้ายกาจแค่ไหน
เขารู้ดีว่า หากเป็นเพลงหมัดมวย เขาอาจจะสู้
ชวีชางเฟิงไม่ได้ ชวีชางเฟิงถึงขึน้ พ่ายแพ้ เขาก็
ไม่มีทางเอาชนะฉีหนิงได้แน่
ยังดีที่พันธมิตรกระบีท่ องของเขาขึ้นชื่อเรือ่ ง
เพลงกระบี่ เขาเลยไม่จาเป็นต้องสู้ด้วยเพลง
มวย
เขาถือกระบี่เฟิงเจี้ยนแล้วเดินขึ้นหน้ามาสอง
ก้าว จากนัน้ ก็จ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ท่าน
โหวน้อยเอาชนะมาได้ถึงสองรอบ สมกับเป็น
ทายาทแห่งตระกูลนักรบ น่านับถือนัก
พันธมิตรกระบี่ทองของข้าถนัดเพลงกระบี่ ไม่
ทราบจะขอคาชี้แนะท่านสักสองสามกระบวน
ท่าได้หรือไม่?”
ฉีหนิงเห็นจูเกอชางถิงถือกระบี่มา เขาก็เดาได้
ว่าเขาน่าจะมาขอประลองกระบี่ ได้ยินเขาพูด
แบบนี้ ก็ไม่ผิดจากทีเ่ ขาคิดนัก เขาคิดในใจว่าจู
เกอชางถิงเป็นเจ้าพันธมิตรกระบี่มอง เพลง
กระบี่ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ยังดีว่าเขามีฝึก
เพลงกระบี่ไร้ชื่อในภาพเคล็ดวิชามา ตอนนี้เขา
ก็ฝึกจนชานาญแล้ว ก็ไม่เป็นไรที่จะลองดูสักตั้ง
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเซี่ยงไป๋อิ่งถามขึ้นมาว่า
“ท่านเจ้าพันธมิตรจูเกอ ใต้หล้าในตอนนี้ ไม่
ทราบว่ายอดฝีมือด้านเพลงกระบี่สามอันดับ
แรกมีใครบ้างหรือ?”
จูเกอชางถิงคิดไม่ถึงว่าเซี่ยงไป๋อิ่งจะถามมา
แบบนี้ เขาสะดุ้ง แล้วพูดว่า “ท่านประมุขเซี่ยง
หากพูดถึงเพลงกระบี่ ในยุทธภพนี้มีอยูไ่ ม่น้อย
เลย มือกระบี่หลายคนถึงแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียง
แต่ก็ร้ายกาจ หากจะจัดอันดับมันก็พูดยากนะ”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ตั้งแต่พันธมิตรกระบี่
ทองก่อตั้งมา หากจะพูดถึงมือกระบี่ คงไม่มีใคร
เทียบพันธมิตรกระบี่ทองได้ ท่านพูดถูก มียอด
ฝีมือหลายท่านไม่เผยชื่อ ท่านบอกทุกคนไปแค่
ว่า คนที่แข็งแกร่งมากที่สุดในสายกระบีเ่ ป็นใคร
ก็พอ”
จูเกอชางถิงคิดแล้วพูดว่า “หากเป็นเพลงกระบี่
เป่ยกงเหลียนเฉิงก็ตอ้ งเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ห้าต้ง
จงซือของใต้หล้านี้ เป่ยกงเหลียนเฉิงถือว่าเป็น
เทพกระบี่ ในใต้หล้านี้ไม่มีใครสามารถเอาชนะ
เพลงกระบี่ของเขาได้”
“ต้าจงซือเหนือมนุษย์ไปแล้ว ไม่ต้องนับพกเขา
หรอก” เซี่ยงไป๋อิ่งยิม้ แล้วพูดว่า “บอกแค่มือ
กระบี่ในยุทธภพตอนนี้ก็พอ”
“หากไม่นับเทพกระบี่ เพลงกระบี่ที่ร้ายกาจ
ที่สุด ก็น่าจะเป็นเจ้าของกระบีเ่ ทียนจู” จูเก
อชางถิงรู้สึกงงมาก แอบคิดในใจว่าเขากาลังจะ
ประลองกระบี่กับฉีหนิง ทาไมเซี่ยงไป๋อิ่งถึง
ได้มาคุยเรื่องของมือกระบี่ได้ แต่ว่าฐานะของ
อีกฝ่ายไม่ธรรมดา เขาทาได้แค่พูดว่า “สิบสุด
ยอดกระบี่ในใต้หล้านี้ กระบี่เทียนจูอยู่ในอันดับ
หนึ่ง กล่าวกันว่าเจ้าของกระบี่เทียนจูตอนนี้อยู่
ที่เป่ยฮั่น ถูกคนขนานนามว่ามือกระบี่เทียนจู
เพลงกระบี่ของเขา ถือว่าเหนือชั้นมาก”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้ายิม้ แล้วพูดว่า “มือกระบี่
เทียนจูหนึ่งคนแล้ว แล้วยังมีใครอีก?”
“เอ่อ...” จูเกอชางถิงเหมือนกาลังนึก เซี่ยงไป๋อิ่
งถามขึ้นมาว่า “ไป๋อวี่เฮ่อจากตงไห่ ไม่ทราบว่า
นับอยู่ในสามอันดับแรกได้หรือ?”
“ไป๋อวี่เฮ่อ?” จูเกอชางถิงขมวดคิ้ว “ข้าเคยได้
ยินชื่อคนๆ นี้มาบ้าง ถึงแม้จะไม่เคยเจอเขา แต่
ได้ยินว่าเขาเป็นลูกศิษย์คนที่สามของโม่หลัน
ชางเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นแห่งตงไห่ อีกทั้งเมื่อหลายปี
ก่อนเขาเอาชนะมือกระบี่ที่มีชื่อเสียงไปได้ถึงสิบ
หกคน อีกทั้งยังเอาชนะได้ในสามกระบวนท่า
ด้วย สิบสุดยอดกระบี่อันดับสามกระบี่อเู หยา
ได้ยินมาว่าอยู่ในมือของเขา”
“ถ้าอย่างนั้น หากเป็นไป๋อวี่เฮ่อเป็นหนึง่ ในสาม
ของมือกระบี่ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใช่หรือไม่”
เซี่ยงไป๋อิ่งถาม
จูเกอชางถิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากเขาติด
หนึ่งในสาม ก็น่าจะไม่มีปัญหา”
เซี่ยงไป๋อิ่งถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น
รอบสุดท้าย การประลองกระบี่ของท่านเจ้า
พันธมิตรกับโหวน้อย ก็ไม่มีความจาเป็นต้อง
ประลองแล้ว”
พอพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนก็เริ่มซุบซิบกัน
จูเกอชางถิงขมวดคิ้ว หากคนอื่นเป็นคนพูด เขา
คงไม่พอใจแน่ แต่ว่าคนที่พูดเป็นเซี่ยงไป๋องิ่ จู
เกอชางถิงเลยไม่ได้ออกอาการอะไรมาก เขา
ฝืนพูดว่า “ท่านประมุขเซี่ยง ข้าไม่เข้าใจความ
หมายของท่าน พวกเราตกลงกันไว้แล้วนีน่ า ว่า
ท่านโหวน้อยจะต้องชนะการประลองสามรอบ
ขอแค่ชนะครบทั้งสามรอบ พวกเราจะถอน
กาลังทันที ตอนนี้ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะเลย เหตุใดถึง
ไม่ประลองแล้วล่ะ?”
“ท่านเจ้าพันธมิตรจูเกอหากท่านจะประลอง
วิชาอื่นกับท่านโหวน้อย รอบนี้อย่างไรก็ต้อง
ดาเนินต่อไป” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดขึ้นมาว่า “มีเพียง
เพลงกระบี่เท่านั้น ท่านไม่จาเป็นต้องประลอง
แล้ว” เขาจ้องไปที่ตาของจูเกอชางถิง แล้วพูด
ว่า “เพราะหนึ่งในสามของยอดฝีมือด้านเพลง
กระบี่อย่างไป๋อวี่เฮ่อ เคยประลองกับโหวน้อย
มาแล้ว อีกทั้ง โหวน้อยใช้แค่กระบวนท่าเดียว
ก็สามารถเอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้แล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 467 ชนะโดยไม่ต้องสู้
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดแบบนิ่งๆ แต่ว่าคนที่ได้ยิน กลับ
เหมือนถูกหินกระแทกที่หัว ทุกคนตกใจมาก
แม้แต่ชิวเฉียนอี้เองก็สะดุ้ง
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเป็นหนึ่งในห้าต้าจงซือ ในยุทธ
ภพกล่าวกันว่าเขาเป็นราชครูแห่งแคว้นตงฉี วร
ยุทธ์สูงมาก อยู่ในฐานะที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย
ได้ยินมาว่าเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นอาศัยอยู่ที่เกาะ
ถึงแม้จะเป็นราชครูของแคว้นตงฉี แต่ว่าไม่เคย
เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย หลายปีที่ผา่ นมา
เขาแทบจะไม่ยุ่งเรื่องอะไรเลย แม้แต่ลูกศิษย์
ของเขา ก็เจอตัวได้ยาก
เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นมีลูกศิษย์สามคน หนึ่งคนที่ชาว
ยุทธ์ได้ยินชื่อมากที่สุดก็คือไป๋อวี่เฮ่อ
ไป๋อวี่เฮ่อมีชื่อเสียงมากในรอบสองสามปีทผี่ ่าน
มา เขามาจากเกาะไป๋อวิ๋น ออกเดินทางตามหา
ยอดฝีมือด้านกระบี่ไปทั่วใต้หล้า อีกทั้งยัง
สามารถใช้เวลาไม่กี่ปี เอาชนะยอดฝีมือด้าน
กระบี่ที่มีชื่อเสียงไปมากมาย คนที่ไป๋อวี่เฮ่อไป
หา ล้วนแต่มีจุดเด่นของตัวเองทั้งนั้น
มือกระบี่ที่ไป๋อวี่เฮ่อประลองด้วย ไม่มีใครมี
ข้อยกเว้น ไม่มีใครสู้เขาได้เกินสามกระบวนท่า
ก็เพราะอย่างนี้ เพลงกระบี่ของไป๋อวี่เฮ่อถึงได้
รับการยอมรับจากคนในยุทธภพ นอกจากเทพ
กระบี่เป่ยกงเหลียนเฉิงกับมือกระบี่เทียนจูแล้ว
ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครสามารถเหนือกว่า
เขาได้อีก
ไป๋อวี่เฮ่อไปหาถึงที่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในฐานะ
อะไร ขอแค่ประลองกระบี่ ไม่เอาถึงชีวิต ถือ
เป็นลูกผู้ชายไม่น้อย
ภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นมือกระบีค่ นไหนเมื่อได้
ยินว่าไป๋อวี่เฮ่อมาขอประลอง ต่างไม่กลัวแต่
กลับยินดี สามารถได้รับเลือกให้ประลองด้วย
ในความเป็นจริงก็เหมือนการได้ยอมรับในฝีมือ
กระบี่ หากเขาไม่ไปหา กลายเป็นเหมือนเรื่องที่
เสียหน้ามาก
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไป๋อวี่เฮ่อเอาชนะมือ
กระบี่ไปได้ถึงสิบหกคน ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงแค่
ไหน ในสองปีที่ผ่านมาก็หายไปเลย ส่วนไป๋อวี่
เฮ่อก็อาศัยจุดนี้ กลายเป็นมือกระบี่ที่ได้รับการ
ยกย่องมากในเหล่ามือกระบี่ในยุทธภพ
พันธมิตรกระบี่ทองเป็นสานักกระบี่อันดับหนึ่ง
ในยุทธภพ ไป๋อวี่เฮ่อเดินทางไปขอประลองเป็น
เรื่องที่ต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ทุกคนรู้ว่า คู่ปรับ
ของไป๋อวี่เฮ่อในตอนนี้ไม่ใช่จเู กอชางถิง แต่เป็น
อาของจูเกอชางถิง จูเกอชวนนั่นเอง ถึงแม้จูเก
อชางถิงจะเป็นเจ้าพันธมิตรกระบี่ทอง แต่ว่าใน
สายตาของไป๋อวีเ่ ฮ่อ เพลงกระบี่ของจูเกอชวน
นั้นเหนือกว่าจูเกอชางถิง
ไป๋อวี่เฮ่อใช้แค่สองกระบวนท่าในการเอาชนะจู
เกอชวน แล้วก็จากไป ตั้งแต่นนั้ เป็นต้นมา จูเก
อชวนก็ออกจากยุทธภพไป แต่จูเกอชางถิงใน
ฐานะเจ้าพันธมิตรกระบี่ทอง กลับไม่มีโอกาสได้
ประลองกับไป๋อวี่เฮ่อ
ตอนนี้เซี่ยงไป๋อิ่งบอกว่าฉีหนิงสามารถเอาชนะ
ไป๋อวี่เฮ่อได้โดยใช้แค่กระบวนท่าเดียว ถือเป็น
เรื่องที่น่าจะตกใจมาก ทุกคนรูส้ ึกเหมือนว่ามัน
เป็นไปไม่ได้
หากคาพูดนี้ออกมาจากปากคนอื่น เหล่าชาว
ยุทธ์คงลังเลที่จะเชื่อ แต่ว่ามันดันออกมาจาก
ปากประมุขพรรคกระยาจก ใครจะกล้าไม่เชื่อ?
ด้วยฐานะของเซีย่ งไป๋อิ่งในยุทธภพ ไม่มที าง
พูดจาเหลวไหลโกหกต่อหน้าทุกคนแน่
ทุกคนเหมือนโดนระเบิด ไม่มีใครพูดอะไรเลย
ครู่ใหญ่ เงียบเป็นเป่าสากก็ไม่ปาน
บางคนกาลังคิดว่า เพลงกระบีข่ องจูเกอชางถิง
สู้จูเกอชวนไม่ได้ อีกทั้งจูเกอชวนยังแพ้ให้ไป๋อวี่
เฮ่อภายในสองกระบวนท่า ส่วนไป๋อวี่เฮ่อก็แพ้
ให้กับฉีหนิงภายในหนึ่งกระบวนท่า ถ้าอย่างนั้น
เพลงกระบี่ของจูเกอชางถิงก็ต้องอ่อนกว่าฉี
หนิงประมาณหนึ่ง ไม่ใช่คู่ปรับของเขาแน่
เหล่าชาวยุทธ์ตอนนีเ้ ข้าใจแล้วว่า โหวเยว่หนุ่ม
น้อยคนนี้ ที่แท้ก็เป็นยอดฝีมือทีน่ ่ากลัวมากคน
หนึ่งเลย
เดิมทียังมีใครหลายคนแอบเยาะเย้ยฉีหนิงอยู่
ในใจ คิดว่าเขาไม่ประเมินความสามารถตัวเอง
ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่า
แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่า ทาไมโหวน้อย
ถึงได้กล้าท้าทายเหล่าชาวยุทธ์แบบนี้ ไม่แปลก
ใจเลยว่าทาไมโหวน้อยถึงได้มีความมั่นใจมาก
ขนาดนี้
จูเก๋อฉางถิงขมวดคิ้วนิดหน่อย เขาเห็นฉีหนิง
เอาชนะสวีฉางเฟิงด้วยตาตัวเอง รู้ว่าคนๆ นี้ไม่
ธรรมดา ตอนนี้เซี่ยงไป๋อิ่งพูดมาแบบนี้อีก เขา
รู้สึกลังเลใจ แล้วก็รู้สกึ โมโหด้วย แอบคิดในใจ
ว่าเหล่าจอมยุทธ์อยู่ทนี่ ี่นับร้อยคน ตัวเลือกมีตั้ง
มากมาย เมื่อครู่เขาไม่น่าเสนอตัวเลย
เดิมเขาไม่คิดด้วยซ้าว่าฉีหนิงจะชนะมาจนถึง
รอบที่สาม ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจาเป็นจะต้อง
ออกไปประลองด้วยตัวเองด้วย เดิมเขาคิดว่า
เขาเป็นถึงเจ้าพันธมิตรกระบี่ทอง เสนอตัวไป
ประลอง ก็เพื่อแสดงท่าทีของพันธมิตรกระบี่ให้
ทุกคนได้เห็น แต่ในตอนนี้ แม้แต่ไป๋อวี๋เฮ่อก็
ไม่ใช่คู่ปรับของโหวน้อย แล้วเขาจะไปสู้ได้
อย่างไรกัน?
ไป๋อวี่เฮ่อแพ้ให้กับฉีหนิงในหนึ่งกระบวนท่า
เพลงกระบี่ของเขาเทียบไป๋อวีเ๋ ฮ่อไม่ได้ ไม่มี
ทางยื้อเกินหนึ่งกระบวนท่าแน่นอน ที่นี่มีคน
มากมาย หากพ่ายแพ้ให้กับฉีหนิงจริงพันธมิตร
กระบี่ทองจะต้องอับอายมาก คิดว่าคงกลาย
เป็นตัวตลกในสายตาของชาวยุทธ์แน่
เขาลังเลมาก แต่ว่าสีหน้าของเขายังนิ่งอยู่ จึง
แสร้งทาเป็นพูดว่า “ท่านประมุขเซีย่ ง วรยุทธ์
ของท่านโหวน้อย ทุกคนก็เห็นกันอยู่ เป็นเสือ
ซ่อนเขี้ยวเล็บ หากไม่สู้ก็ยอมแพ้ คนอื่นไม่
หัวเราะข้าแย่เลยหรือ”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา หลายคนก็พยักหน้า แอบ
คิดในใจว่ารู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่จูเก๋อฉางถิงก็ไม่กลัว ก็
ถือว่าใจสู้
เซี่ยงไป๋อิ่งฉลาดมาก ทาไมเขาจะไม่รู้ว่าจูเก๋อ
ฉางถิงคิดอะไรอยู่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเจ้า
พันธมิตรจูเก๋อ ท่านโหวน้อยไม่ใช่ศัตรูของพวก
เรา ไม่จาเป็นต้องถือกระบี่เข้าหากันเลยนะ”
“ท่านประมุขเซี่ยงพูดถูก” จูเก๋อฉางถิงหวังที่จะ
ให้เซี่ยงไป๋อิ่งช่วยเขาหาทางออก เขาพูดว่า “ใน
เมื่อท่านประมุขเซี่ยงเองก็พดู แบบนี้แล้ว ข้าเอง
ก็คงไม่จาเป็นต้องไม่ประเมินตัวเอง ท่านโหว
น้อย ท่านคิดอย่างไร?” เขาพูดมาถึงขั้นนีแ้ ล้ว
ก็ค่อนข้างชัดเจน
ฉีหนิงเองก็พอจะมองออก เขาคิดว่า หากต้อง
ประลองกับจูเก๋อฉางถิงจริง เขาเองก็ไม่ได้กลัว
เพราะเขารู้ว่าอนุภาพของเพลงกระบี่บนภาพที่
เขาศึกษามานั้นเป็นอย่างไร
ตอนที่อยูท่ ี่วัดต้ากวงหมิงสามารถเอาชนะไป๋อวี่
เฮ่อได้ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ หากได้สู้กบั
ไป๋อวี่เฮ่ออีกครั้ง เพลงกระบี่ไร้ชื่อในมือของฉี
หนิง โอกาสชนะน่าจะมีน้อยมาก วันนี้หากต้อง
ประลองกับจูเก๋อฉางถิงจริง เขาก็คิดว่ามีโอกาส
ชนะแค่ห้าสิบห้าสิบเท่านั้น
เดิมทีเป้าหมายของเขาก็คือการให้คนของแปด
พรรคสิบหกสานักถอนกาลังลงจากเขาไป การ
ประลองกระบี่ไม่ใช่สงิ่ ที่เขาอยากจะทาอยูแ่ ล้ว
ในเมื่อจูเก๋อฉางถิงขอยอมแพ้ไม่ขอสู้ เป็นเรื่อง
ที่แทบจะร้องขอ เขายกมือขึ้นแล้วคานับ “ท่าน
เจ้าพันธมิตรจูเก๋อ ตอนที่เอาชนะไป๋อวี่เฮ่อได้ที่
วัดต้ากวงหมิง เป็นเพราะข้าโชคดีมากกว่า
เพลงกระบี่ของข้าไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น
อาจจะเอาชนะท่านไม่ได้ด้วยซ้า ท่านยอมจบ
แบบนี้ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเราไม่ใช่
ศัตรูกัน แต่หากต้องการประลองจริงๆ ข้าเองก็
ไม่ขัด”
จูเก๋อฉางถิงรอแค่ประโยคนี้ อีกทั้งฉีหนิงก็
พูดจานอบน้อมกับเขา แอบคิดในใจว่าโหวน้อย
ก็เป็นคนมีเหตุผลมีมารยาทไม่น้อย เขาตั้งใจ
หัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยพูดถูกต้อง
แล้ว ในเมื่อท่านประมุขเซี่ยงเองก็พูดมาแล้ว
เพลงกระบี่ของโหวน้อยร้ายกาจมาก พันธมิตร
กระบี่ทองของข้า มียอดฝีมือด้านเพลงกระบี่
มากมาย ภายภาคหน้ามีโอกาส คงได้ขอคา
ชี้แนะกับท่าน”
เมื่อเหล่าชาวยุทธ์ได้ยินดังนั้นก็เข้าใจ แอบคิด
ในใจว่ารอบสุดท้ายฉีหนิงไม่ต้องสู้ก็ชนะ แต่ว่า
จูเก๋อฉางถิงก็ไม่ได้ถือว่าเสียหน้ามาก เหมือน
ต่างฝ่ายต่างให้เกียรติเซี่ยงไป๋อิ่งมากกว่า
ชิวเฉียนอี้เห็นฉีหนิงเอาชนะได้ทั้งสามรอบ
เหนือความคาดหมายมาก พรรคบัวดารอดพ้น
วิกฤติได้ เขาเริ่มผ่อนคลายลง
ถึงแม้เขากับฉีหนิงจะมีปัญหากันมาก่อน แต่ว่า
สิ่งที่ฉีหนิงทา มันช่วยพรรคบัวดาเอาไว้หลาย
ร้อยคน ในใจของเขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย
เห็นเหล่าชาวยุทธ์เริ่มซุบซิบกัน เขาก็พูดขึน้ มา
ว่า “ท่านโหวน้อยเอาชนะได้สามรอบแล้ว พวก
เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ชิวเฉียนอี้พูดจาเย็นชา น้าเสียงไม่มีมารยาทเสีย
เท่าไหร่ หลายคนก็รสู้ ึกไม่พอใจ แทบอยากจะ
เอามีดพุ่งเข้าไปสับเขาเป็นชิ้นๆ แต่ว่าตกลงกัน
ไว้แล้ว เลยทาเป็นไม่เห็นไม่ได้ยิน
เซวียนหยวนผ่อที่ไม่พูดอะไรเลยตอนนี้ก็เดิน
หน้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “คนในยุทธภพ พูดคา
ไหนคานั้น ไม่มีกลับคา ในเมื่อท่านโหวน้อย
ชนะ คนของแปดพรรคสิบหกสานักจะถอน
กาลังลงเขาทันที ชิวเฉียนอี้ หลังจากพวกเราลง
จากเขาไปแล้ว พวกเจ้าจะต้องปล่อยตัวประกัน
ทันที”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “พวกเจ้าจะรักษาคาพูด
หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ว่าคนของพรรคบัวดาพูดจา
หนักแน่นดังภูเขา ไม่มีคืนคา”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าเองก็ควรลงเขาไปพร้อมพวก
เราด้วย” เซวียนหยวนผ่อพูดว่า “ในเมื่อเจ้าตก
ลงจะเข้าเมืองหลวง พวกเราก็ต้องจับตัวเจ้า
กลับไป”
“จับ?” ชิวเฉียนอี้หัวเราะเสียงดัง “ข้าตกลงจะ
ไปเมืองหลวง แต่ไม่ได้ไปกับพวกเจ้าสักหน่อย
จวนเสินโหวอยากจะจับตัวข้ากลับไป น่าขาสิ้น
ดี” เขามองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ข้ากับท่าน
โหวน้อยตกลงกันแล้ว ข้าจะเข้าเมืองหลวงไป
พร้อมเขาเท่านั้น”
ซีเหมินจั้นอิงคิดในใจว่าชิวเฉียนอี้เป็นราชาพิษ
อันดับหนึ่งในปาสู่ วิชาการใช้พษิ ของเขาร้าย
กาจมาก หากเขาตามฉีหนิงเข้าเมืองหลวง ก็
แสดงว่าจะต้องอยู่กับฉีหนิงตลอดเวลา นัน่ ก็จะ
มีโอกาสวางยาพิษเขา นางเดินขึน้ หน้ามาสอง
ก้าว แล้วพูดกับฉีหนิงว่า “โหวเยว่ ท่านจะอยู่
กับเขาไม่ได้นะ”
ฉีหนิงรู้ว่าซีเหมินจั้นอิงเป็นห่วงอะไร เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “หากเขาจะทาร้ายข้า ข้าคงออกมา
จากตาหนักหินดาไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อข้าบอก
ไปแล้วว่าจะพาเขาเข้าเมืองหลวง ก็จะต้อง
รักษาคาพูด พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ถึงแม้ราชา
พิษจะใช้พิษร้ายกาจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึง
จงซือด้านพิษนะ ข้าเชื่อว่าเขาต้องรักษาคาพูด
ของเขาแน่นอน”
ซีเหมินจั้นอิงคิดในใจว่าราชาพิษโหดเหี้ยม จะดี
ได้อย่างไรกัน คนของพรรคบัวดาจะรักษา
คาพูดได้อย่างไร แต่ว่าในเมื่อฉีหนิงพูดมาขนาด
นี้แล้ว นางก็ไม่พูดอะไรอีก
ชิวเฉียนอี้ได้ยินฉีหนิงพูดแบบนี้ สายตาของเขา
มีแต่ความชื่นชม เขาพูดว่า “ข้าชิวเฉียนอี้พูด
คาไหนคานั้น ข้าจะเข้าเมืองหลวงไปกับโหว
น้อยเพื่อชี้แจงเรื่องนี้ เรื่องนี้ใครเป็นคนฆ่า ใส่
ร้ายพรรคบัวดา ข้าจะต้องสืบให้กระจ่างแน่ แต่
หลังจากที่เข้าเมืองหลวงไปแล้ว พวกเจ้ามี
หลักฐานว่าข้าเป็นคนทาจริง ไม่ต้องรอให้พวก
เจ้าลงมือหรอก ข้าจะจัดการตัวเองทันที”
ท่าทางของเขาจริงจังมาก เลยไม่มีใครไม่เชื่อ
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า “ราชาพิษ ใน
เมื่อเจ้าก็พดู แบบนี้แล้ว คนของแปดพรรคสิบ
หกสานักก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก เรือ่ งในวันนี้ ที่ข้า
เสนอให้ประลองสามรอบ ถือว่าข้าเป็นคนต้อง
การจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้เอง หวังว่าจะสามารถยุติ
เรื่องนี้ได้อย่างสงบ หากราชาพิษรักษาคาพูด ก็
เป็นเรื่องทีด่ ี แต่ว่าเจ้าไม่รักษาคาพูด ข้าเองก็
จะไม่นิ่งเฉยแน่นอน”
เขาพูดถึงขนาดนี้ ในใจของทุกคนก็สะดุ้ง แอบ
คิดในใจว่าความหมายของประมุขพรรคกระยา
จกกาลังปกป้องฉีหนิงอยู่นี่นา หากชิวเฉียนอี้ไม่
รักษาคาพูด ทาร้ายฉีหนิง พรรคกระยาจกก็จะ
ถือว่าพรรคบัวดาเป็นศัตรูที่ต้องตายกันไปข้าง
หนึ่ง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 468 ความกังวลของราชาพิษ
เหล่าชาวยุทธ์กลับลงเขาไป แต่ว่าพวกเขาไม่ได้
เต็มใจเลย แต่ว่าตกลงกันไว้ก่อนแล้ว เลยไม่
กล้ากลับคา ทันใดนั้นเองก็มีคนพูดขึ้นมาว่า
“จะอยู่กันอีกทาไม? รอให้คนของพรรคบัวดา
มาเลี้ยงข้าวพวกเราหรือ?” ระหว่างที่พดู ก็เห็น
คนออกเดินทางลงเขาไป คนทีอ่ ยู่ด้านหลังก็
เดินตามกันไป
คนของพรรคอื่นเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทุก
คนค่อยๆ กลับกันไป
โซ่ตรวนแปดมังกรลอยอยูก่ ลางอากาศ คนที่
วิชาตัวเบาดีหน่อยก็ลอยแตะโซ่ตรวนข้ามไป
ไม่อย่างนั้นก็ต้องเดินอ้อมไป
ไม่เกินครึ่งชั่วยาม บนยอดเขาบัวดาก็ไม่มีคน
เหลืออยู่อีก
ลู่ซางเฮ่อเดินมาหาเซี่ยงไป๋อิ่ง สีหน้าของเขาดู
ตื่นเต้นมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “เซียวเหยา
ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ที่แท้เจ้าก็กลายเป็น
ประมุขพรรคกระยาจกนี่เอง พีช่ ายอย่างข้าดีใจ
กับเจ้าจริงๆ พี่ใหญ่รู้ ว่าด้วยนิสยั และ
ความสามารถของเจ้า ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ทา
อะไรได้สาเร็จแน่ แต่ว่าพี่ใหญ่เสียใจในหลายปี
ที่ผ่านมา กลับไม่รู้วา่ เจ้าเป็นถึงประมุขพรรค
กระยาจกเลย”
เซี่ยงไป๋อิ่งดูนอบน้อมกับลู่ซางเฮ่อมาก เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่คงไม่โกรธที่ข้าปกปิดท่านใช่
หรือไม่”
“ไม่ ไม่” ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าเข้า
ใจความคิดเจ้า หากเจ้าบอกฐานะของตัวเอง
คงกลัวว่าพี่ใหญ่ไม่ยอมสนิทสนมกับเจ้าใช่หรือ
ไม่ เจ้าอย่าคิดมาก อย่าว่าแต่เจ้าเป็นประมุข
พรรคกระยาจกเลย ต่อให้เจ้าเป็นเจ้ายุทธภพ
เจ้าก็ยังเป็นน้องชายของข้าเหมือนเดิม”
เซวียนหยวนผ่อเดินไปที่ข้างตัวของฉีหนิง ยก
มือแล้วพูดเบาๆ ว่า “โหวเยว่ การระวังผูอ้ ื่นนั้น
มิควรขาด ชิวเฉียนอีร้ ับปากว่าจะตามท่านเข้า
เมืองหลวง จวนเสินโหวของพวกเรายินดีติด
ตามไปคุ้มครองท่าน ป้องกันคนคิดไม่ซื่อ”
“ชิวเฉียนอี้ตอนนี้อยากจะล้างข้อครหามาก
ที่สุด” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หากเขาคิดร้ายกับ
ข้า พรรคบัวดาคงรนหาที่ตายเอง”
เซวียนหยวนผ่อพยักหน้า ในใจก็รู้ว่าในใต้หล้า
นี้ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าชิวเฉียนอี้จะตามฉีหนิง
เข้าเมืองหลวง เขาไม่มีทางทาอะไรฉีหนิงแน่
ยกเว้นว่าชิวเฉียนอี้จะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ซีเหมินจั้นอิงเขยิบเข้ามาใกล้ แล้วพูดว่า “โหว
เยว่ ท่านไม่กลับเมืองหลวงพร้อมพวกเรา
หรือ?”
“กลับพร้อมกันต้องดีอยู่แล้ว” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “แต่ว่าข้ายังต้องกลับไปที่ถ้าเฮยเยียนก่อน
อาจต้องเสียเวลาไปอีกหลายวัน”
ฉีหนิงยังไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับอีฝู อีฝูได้เสีย
เป็นผัวเมียกับเขาแล้ว เขาคงต้องไปจัดการ
อะไรให้เรียบร้อยก่อน หากอีฝูยินดีเข้าเมือง
หลวงไปพร้อมกับเขาก็จะดีมาก
เซวียนหยวนผ่อคิดแล้วพูดว่า “โหวเยว่ เพื่อ
เป็นการป้องกัน พวกเรารอท่านอยู่ที่เมืองเฉิงตู
ก็ได้ ท่านเสินโหวสั่งให้ข้ามาที่นี่ เดิมทีก็เพื่อส่ง
รายงานให้ทางราชสานัก หากพวกเขากลับไป
มือเปล่า คง...”
ฉีหนิงเข้าใจความหมายของเซวียนหยวนผ่อดี
จวนเสินโหวทาการใหญ่โตแบบนี้ เดิมทีคดิ จะ
กาจัดพรรคบัวดาให้สิ้นซาก แต่ว่าเพราะเขา
เป้าหมายของจวนเสินโหวถึงได้ล่มไป แต่ว่าการ
สั่งรวบรวมคนของยุทธภพมามากขนาดนี้ หาก
เซวียนหยวนผ่อกลับเมืองหลวงไปตอนนี้ เขา
จะเสียหน้า ถึงแม้ชิวเฉียนอี้รับปากจะเข้าเมือง
หลวงไปด้วย แต่ไม่ได้กลับไปพร้อมกับจวนเสิน
โหว แต่หากจวนเสินโหวกลับไปพร้อมกับเขา
อาจจะบอกได้ว่าจับตัวชิวเฉียนอี้เข้าเมืองหลวง
ได้ ก็ยังไม่เสียหน้ามากเท่าไหร่
“ถ้าอย่างนั้น หลังจากลงเขาแล้ว พวกเจ้าก็ไป
รอที่เมืองเฉิงตูก็แล้วกัน ข้าเสร็จเรื่องแล้ว จะ
รีบไปหาพวกเจ้าทันที” ฉีหนิงพยักหน้า
เซวียนหยวนผ่อยกมือคานับแล้วพูดว่า “ถ้า
อย่างนั้นพวกข้าจะไปรอโหวเยว่ที่เมืองเฉิงตู”
เขาเหลือบไปที่ชิวเฉียนอี้ แต่ไม่พูดอะไร
จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้คนของจวนเสินโหวตาม
เขาลงเขาไป
หานเทียนซู่กับเหยียนลิ่งเซี่ยนสีหน้าไม่คอ่ ยดี
เขาฝืนคานับฉีหนิง เซวียนหยวนผ่อเดินไปคุย
กับเซี่ยงไป๋อิ่งเล็กน้อย
ซีเหมินจั้นอิงเดินตามหลังมา แต่ว่าเดินช้าลง
เมื่อผ่านตัวของฉีหนิง นางก็กัดปากเหมือน
อยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรดี
ฉีหนิงเห็นคนของจวนเสินโหวคนอื่นเดินไปแล้ว
เขาเขยิบเข้าไปใกล้นาง เขายิม้ แล้วพูดว่า
“ทาไม ไม่อยากจากข้าไปหรือ?”
ซีเหมินจั้นอิงหน้าแดง นางขมวดคิ้ว แล้วพูด
เสียงเบาๆ ว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหล หากเจ้า...
หากเจ้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะ...”
“เจ้าจะฆ่าข้าให้ตายใช่หรือไม่ ท่านจอมยุทธ์
หญิงจั้นอิง?” ฉีหนิงหัวเราะ
ซีเหมินจั้นอิงทั้งเขินทั้งโกรธ คิดในใจว่าในเวลา
คับขันอันตราย เวลาฉีหนิงทาอะไรจริงจังขึ้นมา
ก็ดูดีเป็นทีพ่ ึ่งได้ แต่ว่าเวลาปกติพูดจากะล่อน
ไม่มีหลักไม่มีลอย แทบจะเป็นคนละคนกันเลย
นางจ้องไปที่ฉีหนิง จากนั้นก็กระทืบเท้าแล้ว
เดินบิดสะโพกไป แต่พอเดินออกไปไม่กี่ก้าว
นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง นางเห็นฉีหนิงยืน
ยิ้มกรุ้มกริ่มมองมาทีน่ าง นางมองตามสายตา
เขา เห็นว่าเขากาลังมองมาที่ก้นของนาง นาง
ทั้งโกรธมาก แล้วแอบด่าว่า “หน้าไม่อาย”
ฉีหนิงมองไปที่ก้นอันอวบอิ่มของซีเหมินจัน้ อิง
ด้วยสายตาที่ชื่นชม ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง
มาจากด้านหลัง เขาหันหลังมองไป เห็นชิว
เฉียนอี้มายืนอยู่ด้านหลังเขาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ราชาพิษ ข้อตกลงระหว่างเรา ข้าทาตามแล้ว
นะ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขั้นต่อไปก็ดูสิว่าท่าน
จะทาอย่างไรต่อ”
ชิวเฉียนอี้จ้องไปที่ตาของฉีหนิง แล้วถามว่า
“โหวน้อย ข้ามีเรื่องอยากจะขอคาชี้แนะ
หน่อย”
“เรื่องอะไร?”
“วรยุทธ์ทเี่ จ้าใช้เอาชนะสวีฉางเฟิง ใครเป็นคน
ถ่ายทอดให้เจ้า?” ชิวเฉียนอี้สายตาคาดหวัง
“เจ้าเจอคนๆ นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ฉีหนิงตะลึงไป เห็นชิวเฉียนอี้สหี น้าจริงจังมาก
สายตาของเขาดูร้อนรน เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมี
อะไร เขารู้ทันทีว่าชิวเฉียนอี้คงดูออกแล้วว่านั่น
คือฝ่ามือเพลิงโลกันตร์
ถึงแม้เขาจะมีพลังหกเทพประสานกับท่าเท้า
ท่องคลื่นที่หาได้ยาก อีกทั้งกาลังภายในยังแก่
กล้ามากด้วย แต่ว่าในเพลงหมัดมวย เขามีแค่
ฝ่ามือดันภูเขาที่เซี่ยงไป๋อิ่งถ่ายทอดให้
ฝ่ามือดันภูเขาเป็นวิชาที่เน้นการโจมตี ใช้กับ
ชาวยุทธ์ธรรมดากับคนทั่วไป แต่ว่าหากเจอ
ยอดฝีมือชัน้ สูง มันไม่มีอนุภาพมากพอ
วิชาเก้านกกระเรียนของสวีฉางเฟิงไม่ใช่วิชา
ธรรมดา ฉีหนิงไม่มีทางเลือก ถึงได้ใช้มัน ตอนนี้
ได้ยินชิวเฉียนอี้เดินเข้ามาถาม ก็ตกใจ แอบคิด
ในใจว่าเขาฝึกวิชานี้ในห้องหิน น่าจะเป็นวิชา
ของทางพรรคบัวดา ชิวเฉียนอี้เป็นทูตของ
พรรคบัวดา เขาต้องดูออกอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าคาถามของชิวเฉียนอี้แปลกมาก ใน
เมื่อเขาจาได้ว่าเป็นเพลิงโลกันตร์ ทาไมยังถาม
ว่าใครเป็นคนถ่ายทอดให้เขาอีก?
“ราชาพิษพูดแบบนีห้ มายความว่าอย่างไร?” ฉี
หนิงคิด แล้วถามว่า “ราชาพิษจาวิชานี้ได้?”
สายตาของชิวเฉียนอีร้ าวกับคมดาบก็ไม่ปาน
เขาเดินขึ้นหน้ามา แล้วพูดว่า “โหวน้อย เรื่องนี้
สาคัญมาก จะล้อเล่นไม่ได้นะ วิชาที่เจ้าใช้ มา
จากไหน?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าคนพวกนี้ไม่รู้เรื่องทางลับใน
ตาหนักหินดา แสดงว่าไม่รู้เรื่องเคล็ดวิชาฝ่ามือ
เพลิงโลกันตร์บนกาแพงห้องหินด้วยแน่ ฉีหนิง
รู้สึกอยากรู้ว่าใครเป็นคนสลักวิชามารอันตราย
แบบนี้ไว้ในห้องหิน เขาอยากรู้เรื่องนี้จากปาก
ชิวเฉียนอี้ เขาเลยถามว่า “ข้าได้มาด้วยความ
บังเอิญ ขายหน้าท่านจริงๆ”
“บังเอิญ?” ชิวเฉียนอี้สีหน้าจริงจัง “เขาคนนั้น
ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
ฉีหนิงคิดว่าข้าได้มาจากที่ห้องหิน ไม่ใช่คน
ถ่ายทอดให้ข้า ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า
คนๆ นั้นเป็นใคร แต่ว่าสีหน้าของเขายังนิง่ อยู่
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษอยากรู้ว่าคนๆ นั้น
อยู่ที่ไหน?”
“ข้า...” ชิวเฉียนอี้หยุดไป ในตอนนี้เอง ก็ได้ยิน
เสียงของประตูใหญ่ของตาหนักหินดาเปิดออก
เซี่ยงไป๋อิ่งกับลู่ซางเฮ่อยืนคุยกันอยู่ไม่ไกล ผู้
อาวุโสไป๋หู่กับศิษย์พรรคกระยาจกอีกสิบกว่า
คนก็ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่ได้กลับลงเขา แต่คนของ
จวนเสินโหวนั้นเดินไปถึงหน้าผาทางลงแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ทุกคนต่างก็หัน
หลังกลับมามอง
มีคนๆ หนึ่งเดินออกมาจากประตู เขากวาด
สายตามองไป แล้วถึงเดินหน้าขึ้นมา ฉีหนิงเห็น
ใบหน้าของคนๆ นั้นไม่คุ้นเลย แต่ว่าเสื้อผ้าของ
เขามันคือของทูตวิญญาณลั่วอู๋อิ่ง
ฉีหนิงตะลึงไป แต่ก็เข้าใจได้ทันทีว่า ลั่วอู๋อิ่งไม่
เคยใช้ใบหน้าที่แท้จริงมาเจอใคร ตอนนี้ก็เลย
แปลงโฉมใหม่
ชิวเฉียนอี้เห็นลั่วอู๋อิ่งเดินออกมา ก็รีบเดินเข้า
ไปหา แล้วไปคุยกันสองคนข้างๆ ฉีหนิงเห็น
ลั่วอู๋อิ่งสะดุ้ง แล้วมองมาที่เขา ถึงแม้ลั่วอูอ๋ ิ่งจะ
แปลงโฉมไปแล้ว แต่ว่าดวงตาของเขาไม่เปลี่ยน
เลย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ทั้งสองคนคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ชิวเฉียนอี้ก็เดินมา
อีกครั้ง แล้วพูดว่า “โหวน้อย คนๆ นั้นอยู่ที่
ไหน โปรดบอกข้าเถอะ” เขายื่นมือออกมา บน
มือของเขามียาอยู่เม็ดหนึ่ง “นี่คือยาถอนพิษ
ของยาค้างคาวเลือด หากเจ้าบอกข้า ยาเม็ดนี้
ข้าจะให้เจ้าทันที”
ราชาพิษจิ่วซีท่องยุทธภพมานาน อยู่ต่อหน้า
เหล่าชาวยุทธ์ก็ยังนิ่งอยู่ แต่ในตอนนี้เขากลับมี
ท่าทีร้อนใจมาก
ฉีหนิงรู้ว่าเรื่องนี้น่าจะสาคัญต่อราชาพิษมาก
ตอนนี้เขากังวลมากที่สุดคือพิษของค้างคาว
เลือดในร่างกาย เมื่อเห็นราชาพิษเสนอยาถอน
พิษมา แสดงว่าเขาอยากจะรู้ความจริงมาก เขา
พูดว่า “ราชาพิษ หากข้าบอกไปว่าได้วิชามา
จากไหน ท่านก็จะให้ยาถอนพิษข้าเลยใช่
หรือไม่?”
“ข้ารักษาคาพูดแน่นอน”
ฉีหนิงคิด แล้วพูดว่า “ภายในตาหนักหินดา มี
ห้องนอนอยู่ห้องหนึ่ง เหมือนจะเป็นห้องของ
ผู้หญิง ไม่ทราบว่าราชาพิษรู้หรือไม่?”
ชิวเฉียนอี้ตะลึงไป เขาขมวดคิว้ แล้วพูดว่า “เจ้า
...เจ้าเข้าไปในห้องนั้นหรือ?”
“ภายในห้อง มีโต๊ะเครื่องแป้งที่ทาจากหินอ่อน
เจ้าให้คนไปเลื่อนหินอ่อนนั่น ภายในจะมี
เส้นทางลับอยู่เส้นหนึ่ง พูดตามตรง คนๆ นั้นที่
ท่านพูดถึง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใคร แต่ว่าที่กลางเขา
มันมีห้องหินลับอยู่ห้องหนึ่ง วิชานี้ ข้าได้มาจาก
ห้องหินนั่น” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “วิชา
นี้มันถูกสลักไว้บนผนังหิน ทาร้ายคนมาก ข้า
เองก็เกือบตายเพราะมันแล้ว ข้าก็เลยทาลาย
เคล็ดวิชาทั้งหมดบนกาแพงนั่นไปแล้ว แต่ว่า
ร่องรอยการทาลาย พวกท่านน่าจะยังพอ
มองเห็นอยู่”
ชิวเฉียนอี้ตกใจแล้วพูดว่า “เส้นทางลับ? เจ้า
หมายความว่า...?” สายตาของเขาเหมือนยากที่
จะเชื่อ
“จริงสิ ศิษย์ของท่านเองก็อยู่ในนั้น” ฉีหนิงพูด
ว่า “นางเองก็ฝึกวิชานั่นเหมือนกัน แต่มันย้อน
มาทาร้ายตัวนางเอง ตอนนี้นางบาดเจ็บหนัก
มาก ตอนนี้ท่านส่งคนไปช่วยนางน่าจะยังทัน”
เขายื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “ข้าพูดความจริง
ไปหมดแล้ว ราชาพิษห้ามกลับคานะ”
ชิวเฉียนอี้เองก็เด็ดขาด เอายาถอนพิษวางใน
มือของฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าจะบอกว่า วิชา
ฝ่ามือนั่นไม่ได้มีใครถ่ายทอดให้ แต่ว่าเจ้า
บังเอิญได้ฝึกมันมาจากในถ้าหรือ?”
ฉีหนิงรู้ว่าถึงแม้ชิวเฉียนอี้จะใช้พิษได้ร้ายกาจ
แต่ว่าเวลาทาอะไรก็มีหลักการน่านับถือ ยา
ถอนพิษนี่ไม่ใช่ของปลอม พอกินเข้าไปแล้ว มัน
รู้สึกสบาย เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านสั่งให้
คนไปดูก็จะรู้ ถ้านั่นมันร้างมานานหลายปีแล้ว
แต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนน่าจะยังมีคนอยู่ แต่ว่า
เป็นใครนั้น ข้าไม่รู้ ราชาพิษ คนๆ นั้นใครกัน
หรือ?”
ชิวเฉียนอี้ก็ไม่ได้ตอบเขา เขาเดินไปพูดกับลั่วอู๋
อิ่ง ลั่วอู๋อิ่งก็พยักหน้า แล้วก็คุยอะไรบางอย่าง
กับชิวเฉียนอี้ จากนัน้ เขาก็ยกมือคานับให้ฉีหนิง
แล้วเดินกลับเข้าไปในตาหนักหินดา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 469 วิชาคุ้มกาย
ลู่ซางเฮ่อกับเซี่ยงไป๋อิ่งคุยกับสักพัก พวกเขาก็
ไม่ได้เสียเวลาต่อ พาคนของตัวเองกลับลงเขา
ไป เซี่ยงไป๋อิ่งสั่งให้ผู้อาวุโสไป๋หู่พาคนลงไป
ก่อน ส่วนตัวเขาเดินมาหาฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “โหวน้อย สงครามไร้การนองเลือด เจ้า
สร้างผลงานใหญ่เลยนะ”
ฉีหนิงยกมือคานับถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่าน
ประมุขเซีย่ ง วันนี้โชคดีได้ท่านช่วย...ที่แท้...ที่
แท้ท่านก็เป็นประมุขพรรคกระยาจกหรือ”
เซี่ยงไป๋อิ่งหัวเราะ แล้วพูดว่า “เจ้าจะลงเขา
หรือยัง? ไปด้วยกันดีหรือไม่?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาเป็นถึงประมุขพรรค
กระยาจก แต่กลับมาเชิญเขาลงเขาด้วยกัน
น่าจะมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาแน่ เขาพยักหน้า
แล้วพูดว่า “น่าเสียดายที่ตีนเขาไม่มีร้านเหล้า
ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องดื่มเหล้ากับท่านประมุขสัก
หน่อย”
“อยากกินเหล้า จะกินที่ไหนก็ได้” เซี่ยงไป๋อิ่ง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษ บนเขาเชียนอูหลิงเป็น
สถานที่ของพรรคบัวดา ท่านช่วยเอาเหล้ามาให้
พวกเราสักสองสามไหได้หรือไม่ น่าจะไม่ใช่
เรื่องยาก”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ท่านประมุขเซี่ยงไม่กลัวข้าจะ
ใส่ยาพิษลงไปหรืออย่างไร?”
“ท่านคิดว่าหากท่านเอาเหล้าพิษมาให้ข้า แล้ว
จะวางยาข้าสาเร็จหรือ?” เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูด
ว่า “อีกทั้งโหวน้อยเชื่อมัน่ ใจตัวท่านขนาดนี้ ข้า
ไม่มีทางคิดหรอกว่าท่านจะวางยา”
ชิวเฉียนอี้พูดว่า “ที่เขาเชียนอูหลิงของดีอย่าง
อื่นไม่ค่อยมี แต่ถ้าเป็นเหล้า หาได้มากมาย”
เขาหันหลังแล้วเดินไป ฉีหนิงกับเซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้
ห้ามเขา
ทั้งคู่เดินมาถึงริมหน้าผา เห็นบนโซ่ตรวนตอนนี้
ไม่มีใครแล้ว คนของแปดพรรคสิบหกสานัก
ตอนนี้กลับลงไปกันหมดแล้ว เซี่ยงไป๋อิ่งยืน่ มือ
ออกมา แล้วจับไปที่แขนของฉีหนิง ฉีหนิงรู้สึก
ว่าร่างกายของเขามันตกลงมาจากหน้าผาแล้ว
เซี่ยงไป๋อิ่งยกตัวฉีหนิง แล้วกระโดดลงไปบนโซ่
ตรวน เมื่อรักษาสมดุลของร่างกายได้แล้ว ก็
ค่อยๆ ไต่ไป ฉีหนิงรูส้ ึกว่าหนาวมาก อากาศ
เย็นมันตีหน้าเขา ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกว่า
เหมือนร่างกายสะเทือน ทันใดนั้นเขาก็ลงมา
จากหน้าผาแล้ว
ฉีหนิงลงมาบนพื้นแล้ว ก็รู้สึกทั้งตกใจและชื่น
ชม แอบคิดในใจว่าวรยุทธ์ของเซี่ยงไป๋อิ่งราว
กับเทพจริงๆ สมคาล่าลือ
หน้าผานี้สูงมาก เซี่ยงไป๋อิ่งเดินไปนั่งที่เก้าอี้
จากนั้นก็หยิบถุงหนังวัวออกมา เขาเปิดจุกแล้ว
ดื่มไปคาหนึ่ง จากนั้นก็โยนให้ฉีหนิงอีก เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “นี่คือกู่เฉิงเซาที่นายพรานชาวเหนือ
ชอบกัน เจ้าลองดู ไม่ใช่ของมีค่าอะไรนัก”
ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ เขาหยิบมันมาแล้วดื่ม
มันเข้าไป เมื่อดื่มเข้าไปแล้วเขากลับรู้สึกร้อน
คอ เมื่อเหล้าผ่านคอเข้าไปในคอของเขารู้สึก
เหมือนจะขาดออกจากกัน เขาไม่เคยกินเหล้าที่
แรงขนาดนี้มาก่อน เขาสาลักออกมา เซี่ยงไป๋
อิ่งหัวเราะ แล้วกวักมือเรียกฉีหนิงมา หยิบ
เหล้ามาจากฉีหนิงจากนั้นก็ดื่มเข้าไป จากนั้นก็
ถามว่า “ตอนที่เจ้าฝึกวิชานั่น ร่างกายของเจ้ามี
ตรงไหนไม่สบายหรือไม่?”
ฉีหนิงอึ้งไป จากนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าเซีย่ งไป๋
อิ่งน่าจะพูดถึงฝ่ามือเพลิงโลกันตร์ ในใจเขาคิด
ว่าหรือเซี่ยงไป๋อิ่งจะรู้จักวิชานั้น เขาถามว่า
“ท่านประมุขเซี่ยง ท่าน...ท่านรู้จักฝ่ามือเพลิง
โลกันตร์ด้วยหรือ?”
“ฝ่ามือเพลิงโลกันตร์?” เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูด
ว่า “ที่แท้วิชานั้นชื่อว่าฝ่ามือเพลิงโลกันตร์นี่เอง
โหวน้อย ข้าไม่ได้เคยได้ยินชื่อวิชานี้มาก่อน แต่
ว่า...เจ้าสามารถฝึกมันได้ โดยที่เจ้าไม่เป็นอะไร
เลย ข้าแปลกใจมาก”
ฉีหนิงคิดในใจว่ายอดฝีมือก็คือยอดฝีมือ เซี่ยง
ไป๋อิ่งพูดเพียงแค่คาเดียวก็ตีความแตกเลย เขา
รีบพูดว่า “ท่านประมุขเซี่ยงพูดถูกแล้ว ที่จริง...
ที่จริงข้าเองก็เกือบตายเพราะมันมาแล้ว” ใจ
คนยากแท้หยั่งถึง ฉีหนิงไม่เคยเชื่อใจใครง่ายๆ
แต่ว่าสาหรับเซี่ยงไป๋อิ่ง ฉีหนิงไม่ได้รู้สึกแย่ ฉี
หนิงเลยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เขาเจอมาให้ประมุข
เซี่ยงฟัง
เซี่ยงไป๋อิ่งเห็นฉีหนิงเล่าออกมาทั้งหมด ท่าที
ของเขาก็อ่อนโยนขึ้น เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า
“อย่างนี้นี่เอง เจ้ารอดมาได้ นับว่าโชคดี หาก
เป็นคนอื่น คงตายไปแล้ว”
“ประมุขเซี่ยง ท่านเป็นผู้อาวุโสในยุทธภพ วร
ยุทธ์ก็สูง ท่านว่าพลังชี่เย็นในร่างกายของข้ามัน
มาจากไหน?” ฉีหนิงรู้สึกว่าพลังชี่เย็นนัน่ มัน
แปลก ไม่รู้โผล่มาจากไหน ถึงแม้ตอนนี้มันไม่มี
อันตรายต่อเขา แต่ว่าเรื่องของกาลังภายใน ฉี
หนิงรู้เรื่องน้อยมาก ตอนนี้มีโอกาส ลองขอคา
ชี้แนะจากเซี่ยงไป๋อิ่งดู
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดแค่ว่า “เจ้ายื่นมือออกมา”
ฉีหนิงยื่นมือไป เซี่ยงไป๋อิ่งตรวจชีพจรเขาดูฉี
หนิงรู้สึกว่ามีกาลังภายในลูกหนึ่งกาลังไหลเข้า
ไปในชีพจรของเขา เขาไม่กล้าเดินกาลังภายใน
ไม่อย่างนั้นพลังหกเทพประสานของเขามันจะ
ดูดพลังไป ตอนนี้เซี่ยงไป๋อิ่งก็เรียกกาลังภายใน
กลับมา
กาลังภายในที่อ่อนโยนนั่นมันวิ่งผ่านไปตาม
ร่างกายจนสุดท้ายก็เข้าไปในจุดตันเถียน ฉีหนิง
รู้สึกว่าร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย บอกไม่ถูก
เหมือนกันว่าสบายแบบไหน ก็ไม่รู้ว่าเซี่ยงไป๋อิ่ง
จะทาอะไร จากนั้นไม่นานเขาก็รสู้ ึกว่าชีพจร
ของเขานั้นเกิดอาการชา ไม่นานกาลังภายใน
ของเซี่ยงไป๋อิ่งนั้นก็พุ่งกระจายไปทั่วร่าง มันทา
ให้ชีพจรของเขาพลุ่งพล่าน เจ็บปวดอย่างบอก
ไม่ถูก
ฉีหนิงตกใจมาก แอบคิดในใจว่าเซี่ยงไป๋อิ่งคิด
จะทาอะไร ท่าทางของเขานิ่งมาก กาลังภายใน
ที่ผ่านไปแต่ละจุด เหมือนมันจะระเบิดออก
ในตอนนี้เอง ฉีหนิงรู้สกึ ว่าพลังชี่เย็นในจุด
ตันเถียนของเขามันออกมา จากนั้นมันก็พุ่งเข้า
ปะทะกับกาลังภายในของเซี่ยงไป๋อิ่ง
กาลังภายในสองตัวเหมือนกับปะทะกันอยู่ที่จุด
ชีพจรทางแขนด้านซ้าย ฉีหนิงรูส้ ึกว่าที่จุดเทียน
ฟู่ของเขามันเต้นแรงมาก เหมือนจะระเบิด
ออกมา ในตอนนี้เอง เซี่ยงไป๋อิ่งถึงได้เก็บมือ
ของเขากลับมา กาลังภายในทีเ่ ต้นรุนแรงที่จุด
เทียนฟู่มันหายไปแล้ว พลังชี่เย็นย้อนกลับไปที่
จุดตันเถียน
ฉีหนิงเหงือ่ ไหลออกมามาก เซี่ยงไป๋อิ่งสีหน้า
ตกใจมาก แล้วถามว่า “โหวน้อย นอกจากข้า
แล้ว มีคนถ่ายทอดการเดินลมปราณให้เจ้าอีก
หรือไม่?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีนะ ข้ารู้วิธกี าร
เดินลมปราณได้ ก็เพราะท่านเป็นคนสอน”
“น่าแปลก” เซี่ยงไป๋อิ่งขมวดคิว้ สีหน้าของเขา
สงสัย “ร่างกายของเจ้ามีพลังชี่แท้อยู่ มันเป็น
กาลังภายในแก่กล้าและร้ายกาจมาก แม้แต่ข้า
เอง ก็ไม่มีมากขนาดนั้น”
ฉีหนิงตกใจ เขาคิด แล้วถามว่า “จริงสิ ท่าน
ประมุขเซีย่ ง ตอนทีข่ ้าไปที่วัดต้ากวงหมิงที่เขา
จินซาน มีคนสอนกาลังภายในให้ข้า แต่ว่า...ข้า
ฝึกมันได้อ่อนมาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะวิชา
นั้นหรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “กาลังภายใน
ของวัดต้ากวงหมิง ข้ารู้จักดี กาลังภายในของ
พวกเขามันเป็นกาลังภายในบริสุทธิ์ มันคือ
กาลังภายในฉุนหยาง แต่ว่ากาลังภายในของ
เจ้ามันเป็นกาลังภายในฉุนหยิน วิชาของ
วัดต้ากวงหมิงเป็นวิชาสายธรรม ไม่มีทางมีวิชา
กาลังภายในแบบนี้แน่นอน”
พอฉีหนิงได้ยินคาว่า “ฉุนอิน” เขาก็เริ่มกระวน
กระวาย แล้วถามว่า “มันจะมีผลอะไรกับข้า
หรือไม่?”
“เจ้าไม่ต้องกังวลนัก” เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้ม “ฉุนหยิน
ฉุนหยาง ที่จริงมันก็เหมือนกัน เพียงแต่วธิ ีการ
ฝึกไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ร่างกายคนเราก็มี
แบ่งหยินหยาง พลังชีน่ ี้มันมาจากฉุนหยิน หาก
ต่อไปจะฝึกกาลังภายในประเภทนี้ ก็ไม่เป็นไร
แต่ว่ามันจะไปขวางการฝึกกาลังภายในของ
วัดต้ากวงหมิง กาลังภายในของวัดต้ากวงหมิง
เป็นฉุนหยาง มันขัดกัน ต่อไปหากเจ้าจะฝึก
กาลังภายในฉุนหยาง กาลังภายในฉุนหยินของ
เจ้ามันจะกลืนไปหมด ทาให้ชีพจรเจ้ามัน
บาดเจ็บ”
“ถ้าอย่างนั้น กาลังภายในของวัดต้ากวงหมิงข้า
ก็ฝึกไม่ได้แล้วสิ?” ฉีหนิงตกใจ
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดอย่างจริงจังมากว่า “ไม่เพียง
กาลังภายในของวัดต้ากวงหมิง ต่อไปขอแค่เป็น
กาลังภายในฉุนหยาง ไม่ว่าจะของที่ไหน เจ้าก็
อย่าได้ไปฝึก เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ตอนที่ฝึกฝ่ามือ
เพลิงโลกันตร์ พลังชีฉ่ ุนหยางช่วยเจ้าเอาไว้ แต่
ว่าเจ้ากลับไม่รู้ว่า พลังชี่นี่มันซ่อนอยู่ในตัวเจ้า
มาตลอด การที่เจ้าฝึกฝ่ามือเพลิงโลกันตร์ ทา
ให้มันปะทุออกมา แล้วจัดการล้างชีพจรใน
ร่างกายของเจ้าทั้งหมด ตอนนี้ร่างกายของเจ้า
ไม่มีพลังชี่หยางอีกแล้ว”
ฉีหนิงยกมือลูบหัว เขายังไม่ค่อยจะเข้าใจ เขา
พูดว่า “ประมุขเซี่ยง ในเมื่อร่างกายของข้าเป็น
พลังชี่ฉุนหยาง เหตุใดถึงได้ฝึกฝ่ามือเพลิง
โลกันตร์ได้อีกล่ะ? ฝ่ามือเพลิงโลกันตร์เป็นพลัง
ชี่ฉุนหยางหรือ?”
“ไม่ใช่” เซี่ยงไป๋อิ่งยิม้ แล้วพูดว่า “ฉุนหยินฉุน
หยาง ไม่ได้หมายความว่าฉุนหยางคือความ
ร้อน แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าฉุนหยินมันคือ
ความเย็น ว่ากันง่ายๆ ก็คือ วิธีการฝึกฝนมันไม่
เหมือนกัน การใช้เดินลมปราณชีพจรไม่เหมือน
กัน ฝ่ามือเพลิงโลกันตร์ฟังจากชื่อมันเหมือนใช้
พลังชี่หยาง แต่ในความเป็นจริงใช้พลังชี่หยิน
มากกว่า แล้วใช้พลังชี่หยินผลักพลังออกมา
พลังชี่ฉุนหยินของเจ้าหลบซ่อนอยู่ภายในไม่
ออกมา ตอนที่ฝึกฝ่ามือเพลิงโลกันตร์ เคล็ดมัน
คือการเดินลมปราณของฉุนหยาง ทาให้ดันเอา
พลังชี่ที่ซ่อนอยู่ออกมา เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเสือ
สองตัวอยู่ถ้าเดียวกันไม่ได้?”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า “เคล็ดวิชา
ของฝ่ามือเพลิงโลกันตร์ ต้องใช้พลังฉุนหยิน
ตอนที่ข้าฝึกพลังชี่ของข้าไม่ยอมให้กาลังภายใน
ที่เกิดจากฝ่ามือเพลิงโลกันตร์เข้าไป เลยเกิด
การ...กลืน”
“ถูกต้อง” เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้าแล้วยิ้ม “มันคือ
หลักการนีแ้ หละ ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะฝึกพลังฉุนห
ยางอะไร ก็จะถูกกลืนไปทั้งหมด กลืนหนึ่งส่วน
พลังภายในของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน ต่อไป
กาลังภายในของเจ้าก็จะไม่เหมือนคนอื่น คน
อื่นสะสมจากน้อยไปมาก แต่เจ้าจะแข็งแกร่ง
ด้วยการกลืน สาหรับพลังชี่แล้ว ก็เหมือนได้มา
อย่างง่ายๆ เพียงแต่เจ้าฝึกวิชาการกลืนให้ดีก็
พอ”
ฉีหนิงได้ฟงั เซี่ยงไป๋อิ่งอธิบายแล้ว เขาก็รู้สึกว่า
พลังชี่เย็นนี่มันเหมือนไม่ใช่ของดีเลย ใบหน้า
ของเขาดูกังวลใจ
เซี่ยงไป๋อิ่งทาไมจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ “เจ้า
ไม่ต้องกังวลไป ที่จริงแล้วมันก็เป็นวิชาล้าลึก
วิชาหนึ่ง ในยุทธภพ มีน้อยคนนักที่รู้จักวิชา
แบบนี้ อีกทั้งเมื่อครู่ข้าก็ลองแล้ว มันไม่ได้มี
ผลร้ายต่อร่างกายเจ้า อีกทั้งไม่ว่าจะมีพลังอะไร
เข้าไป มันก็จะจัดการด้วยตัวมันเอง
เพราะฉะนั้น ในความเป็นจริงแล้ว มันก็เหมือน
กาลังปกป้องคุ้มครองเจ้าของของมันอยู”่
“ปกป้องคุ้มครอง?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า “พลังชี่หยินใน
ตัวเจ้า เป็นของๆ เจ้า เจ้าก็เหมือนกับร่าง
กาฝากของมัน เมื่อไหร่ก็ตามทีร่ ่างกายของเจ้า
ได้รับบาดเจ็บ มันจะคุ้มครองเจ้า เจ้าเข้าใจ
หรือยัง?”
ฉีหนิงคิดว่าก่อนหน้านี้ที่เจอมา พลังชี่หยิน
เหมือนจะเป็นอย่างที่เซี่ยงไป๋อิ่งว่ามา มัน
ปกป้องคุ้มครองเขา ก่อนหน้านีม้ ันกลืนเอาไฟ
ความร้อนจากฝ่ามือเพลิงโลกันตร์ไป เมื่อครู่
หลังจากที่สวีฉางเฟิงทาร้ายเขา พลังนี้ก็กลับมา
รักษาเขาอย่างรวดเร็ว เหมือนมันเป็นพลังคุ้ม
กายจริงๆ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 470 หนึ่งชีวิตกับชะตาแคว้น
ฉีหนิงรู้ดีเรื่องวรยุทธ์ของเซี่ยงไป๋อิ่ง ในเมื่อบอก
ว่าพลังชี่เย็นนี่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แสดงว่าไม่มี
อะไรน่าห่วง เขาก็เบาใจไม่น้อย เขาถามว่า
“ท่านประมุขเซี่ยง หากจะฝึกพลังชี่ฉุนหยางจะ
ถูกพลังชี่ฉุนหยินกลืนไป หากไม่ระวังไปฝึกพลัง
ฉุนหยางขึ้นมา มันจะเป็นอย่างไร?”
ฉีหนิงวางแผนไว้แล้ว ในเมื่อพลังชี่ฉุนหยินคุ้ม
กายเขาอยู่ ต่อไปวิชาพลังชี่ฉุนหยางของวัด
ต้ากวงหมิงก็ไม่มีความจาเป็นต้องฝึกอีก
เพียงแต่เขานึกถึงพลังหกเทพประสานขึ้นมา
เมื่อเดินพลังหกเทพประสาน มันไม่ได้สนใจ
หรอกว่ากาลังภายในมันจะเป็นฉุนหยินหรือ
ฉุนหยาง มันดูดมาหมด
หากวันไหนไปดูดเอาฉุนหยางเข้ามา มันไม่รู้จะ
เป็นอย่างไร
เซี่ยงไป๋อิ่งอธิบายต่อว่า หลักการไม่เหมือนกันก็
อยู่ร่วมกันไม่ได้ หากมีพลังชี่ฉุนหยางเข้าไปใน
ชีพจรแล้ว พลังชี่ฉุนหยินไม่มยี อมมันแน่ มัน
ขัดกัน ข้าศัตรูหนึ่งหมื่นสูญเสียแปดพัน พลังชี่ห
ยินต้องการจัดการพลังชี่หยาง อย่างไรก็ต้องมี
บาดเจ็บบ้าง หลังชี่หยางในร่างกาย ไม่เพียงไม่
มีประโยชน์ต่อร่างกาย ยังทาให้เสียงพลังชี่มาก
อีก ต่อไปเจ้าต้องระวังให้มาก กาลังภายใน
ทั่วไปก็แล้วไป แต่ในยุทธภพคนที่ฝึกพลังฉุนห
ยางนั้นมีมาก หากมีกาลังภายในที่แก่กล้า แล้ว
ต่อสู้กับเจ้า เจ้าต้องระวังให้มาก"
ฉีหนิงพอจะเข้าใจแล้ว เขาพยักหน้า “ขอบคุณ
ท่านประมุขเซีย่ งที่ชี้แนะ”
“เวลาไม่มคี นอื่น เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าประมุข
เซี่ยงหรอก” เซี่ยงไป๋อิ่งสีหน้าใจดีมีเมตตา
“เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาเซี่ยงก็พอ”
“ท่านอาเซี่ยง?” ฉีหนิงตะลึงไป
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจาไว้ให้ดี ฝ่ามือ
เพลิงโลกันตร์เป็นวิชามาร ต่อไปอย่าใช้วิชานี้
อีก ชาวยุทธ์ไม่มีคนยอมรับวิชาแบบนี้ หากมี
คนพอมองออกแล้ว มันไม่ดีต่อชื่อเสียงของ
เจ้า”
ฉีหนิงได้ยินเซี่ยงไป๋องิ่ พูดด้วยความมีเมตตา
เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจ อดไม่ได้จึงถามว่า “ท่าน...
ท่านอาเซี่ยง เหตุใดท่านถึงได้ดีกับข้าแบบนี้
ล่ะ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งตะลึงไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
เป็นโหวเยว่ ข้าเป็นแค่ขอทาน จะไปกล้าผิดใจ
กับเจ้าได้อย่างไรกัน”
ฉีหนิงรู้ว่าเขากาลังแหย่เล่น แต่สายตาของเซี่ยง
ไป๋อิ่งนั้นมันมีแต่ความอ่อนโยน เขาพูดขึ้นมาว่า
“อีกไม่ถึงครึ่งปี เจ้าก็จะเต็มสิบแปดใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงตะลึงไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเซี่ยง
ไป๋อิ่งพูดอย่างเสียใจขึ้นมาว่า “พริบตาเดียวก็
เกือบยี่สิบปีแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก...” เขา
ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
ฉีหนิงไม่รู้ว่าทาไมเซีย่ งไป๋อิ่งถึงได้เสียใจแบบนี้
เซี่ยงไป๋อิ่งอายุไม่เกินสี่สิบ ยี่สิบปีก่อน ก็แค่
หนุ่มน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ฉีหนิงรู้สึกว่าที่เซี่ยงไป๋
อิ่งเสียใจมันไม่น่าใช่เรื่องปกติ เขาถามอย่าง
ระวังว่า “ท่านอาเซี่ยงรู้อายุข้าด้วยหรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งมองไปที่ฉีหนิง แต่ไม่ได้พูดอะไร
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “เรื่องของเจ้า ข้ารู้
อะไรไม่มากหรอก แต่ก็ไม่น้อยเหมือนกัน...”
เขาพูดว่า “วันนี้เจ้าเสนอตัวท้าทายเหล่าชาว
ยุทธ์ คงไม่ได้จะแค่สลายความขัดแย้งแค่นั้นใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงรู้สึกเขิน คิดในใจว่าอยู่ต่อหน้าประมุข
พรรคกระยาจก เขาควรจะพูดตรงๆ ดีกว่า เขา
พูดว่า “ข้าหลงเข้าไปในตาหนักหินดา จาใจ
ต้องหาทางออกมาจากที่นั่น ชิวเฉียนอี้เจ้าเล่ห์
มาก ให้ข้ากินยาพิษ หากคนของแปดพรรคสิบ
หกสานักไม่ถอนกาลัง ชิวเฉียนอี้ไม่มีทางให้ยา
ถอนพิษกับข้า”
“ต้องอย่างนี”้ เซี่ยงไป๋อิ่งยิม้ แล้วพูดว่า “อายุ
แค่นี้ กล้าท้าทายกลับเหล่าชาวยุทธ์ ไม่รู้ฟา้ สูง
แผ่นดินต่าเลย ที่แท้เจ้าก็ต้องการรักษาชีวิต
ตัวเอง แต่ว่านิสัยอย่างนี้ ก็เหมือนกับคนๆ หนึ่ง
ไม่มีผิดเลย กล้าบ้าบิน่ ไม่รู้จักกลัว”
“คนๆ หนึ่ง?” ฉีหนิงตะลึงไป แล้วรีบถามว่า
“ท่านอาเซี่ยง ท่านหมายถึงใคร?”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร แต่ว่าเจ้า
ทาแบบนี้ ก็ถือว่าทันการ คนของแปดพรรคสิบ
หกสานักในที่สุดก็ถอนกาลัง”
“ท่านอาเซี่ยงเองก็อยากเห็นแปดพรรคสิบหก
สานักถอนกาลังหรือ?” ฉีหนิงถาม “หรือว่า
ท่านเองก็คิดว่าพรรคบัวดาถูกใส่ร้าย?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “พิษระบาดในเมืองหลวง จุด
ที่น่าสงสัยมีมาก ชิวเฉียนอี้ถึงแม้จะเป็นคนที่ใช้
พิษได้ดุจเทพ แต่คนๆ นี้เขาไม่ได้บ้า ไม่มีทาง
ทาเรื่องแบบนี้แน่ แต่ว่าเรื่องนี้ อย่างไรก็มีส่วน
เกี่ยวข้องกับชิวเฉียนอี้แน่นอน หากจะสืบหา
ความจริง อย่างไรก็ต้องได้เบาะแสของชิวเฉียน
อี้”
ฉีหนิงคิดในใจว่าประมุขพรรคกระยาจกไม่
ธรรมดาจริงๆ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่จริง
แล้วฝ่าบาทกับข้าเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันมี
เบื้องหลัง”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “แหล่งข่าวของพรรคกระยา
จก ดีที่สดุ ในใต้หล้านี้ แต่ว่าในเรื่องนี้ กลับไม่
เจอเบาะแสอะไรเลย” เขานิ่งไป เหมือนกาลัง
คิด จากนั้นก็พูดว่า “ต้าจงซือคนนั้นไม่ยอมโผล่
หน้าออกมาเลย น่าแปลกจริงๆ”
“ท่านอาเซี่ยงหมายถึงท่านเจ้าลัทธิบัวดา
หรือ?” ฉีหนิงรีบถาม
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า “พรรคบัวดา
ก่อตั้งมาโดยท่านเจ้าลัทธิ ครั้งนี้คนของแปด
พรรคสิบหกสานักบุกไปถึงตาหนักหินดา เป็น
ตายเท่ากัน เขากลับไม่โผล่มาเลย มันดูไม่ค่อย
สมเหตุสมผลเท่าไหร่”
ฉีหนิงนิ่งไป ในที่สุดก็เล่าเรื่องที่เขาขึ้นเขาไป
แล้วถูกตีสลบ จากนัน้ ก็หลงเข้าไปในถ้าหมีฮวา
เจอโลงน้าแข็งให้เขาฟังจนหมด
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ่งฟังยิ่งตกใจ แล้วถามว่า “เจ้า
หมายความว่าเจ้าลัทธิบัวดาบาดเจ็บอย่างนั้น
หรือ?”
“บาดเจ็บสาหัสด้วย” ฉีหนิงพูดว่า “แม่ทัพ
หน้ากากโลหะฉวยโอกาสที่วรยุทธ์ของเขาลดลง
เหลือครึ่งเดียวลงมือ ทั้งคู่ปะทะกันอย่างรุนแรง
คิดว่าน่าจะเจ็บทั้งคู”่
“แม่ทัพหน้ากากโลหะ?” เซี่ยงไป๋อิ่งขมวดคิ้ว
“เจ้าลัทธิบัวดาเป็นหนึ่งในห้าต้าจงซือ วรยุทธ์
เหนือมนุษย์ไปแล้ว คนในใต้หล้านี้ นอกจากต้า
จงซือด้วยกันแล้ว มีใครทาร้ายเขาได้อีก?
นอกจากว่าแม่ทัพหน้ากากโลหะคนนั้นจะ
เป็นต้าจงซือเหมือนกัน”
“ท่านอาเซี่ยง ท่านจะบอกว่ามีต้าจงซืออีกคน
หนึ่งบุกเข้าถ้าหมีฮวาหรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้า แล้วก็ส่าย
หน้าอีก ท่าทางมึนงงมาก “ต้าจงซือไม่ได้ถอื
เป็นมนุษย์ หากต้าจงซือสองคนสู้กัน ไม่มีใคร
จะเอาชนะใครได้แน่นอน จะต้องบาดเจ็บทั้งคู่
ไม่มีใครชนะ” เขาคิดแล้วพูดว่า “ถึงแม้วรยุทธ์
ของพวกเขาจะเหนือจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่า
จะไม่มีศัตรู ในบรรดาต้าจงซือทั้งห้าคนก็คือ
ศัตรูของพวกเขากันเอง ไม่มีใครอยู่ต่าหรือ
เหนือกว่าใครทั้งนั้น”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง ท่านหมายความว่า
หากไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาไม่มี
ทางลงมือเด็ดขาด เพื่อให้โอกาสคนอื่นอย่างนั้น
ใช่หรือไม่?”
สายตาของเซี่ยงไป๋องิ่ เต็มไปด้วยความชื่นชม
เหมือนรู้สกึ ว่าฉีหนิงหัวไวมาก เข้าใจสิ่งทีเ่ ขา
พูดในเวลาสั้นๆ ได้ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า
“เจ้าลองคิดดู หากต้าจงซือสองคนสู้กัน
บาดเจ็บทั้งคู่ แล้วรู้ไปถึงต้าจงซือคนอื่น พวก
เขาจะพลาดโอกาสแบบนี้ไปหรือ?”
“จริงด้วย ในเมื่อเป็นถึงต้าจงซือแล้ว ใครก็
อยากเป็นใหญ่ในใต้หล้าทั้งนั้น” ฉีหนิงพยัก
หน้า “พวกเขาไม่กล้าทาอะไรกันเอง แต่หากมี
ใครบาดเจ็บ พวกเขาก็จะฉวยโอกาสทันที หาก
สามารถลดจานวนต้าจงซือลงได้ ก็เท่ากับลด
อันตรายที่มีต่อเขาลง”
“ถูกแล้ว” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ดังนั้นที่ใต้หล้าไม่
เกิดเหตุอะไร ก็เป็นเพราะความสมดุลของต้า
จงซือทั้งห้าคนด้วย” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ต้า
จงซือทั้งห้าคน อยู่ตงฉีหนึ่งคน เป่ยฮั่นหนึ่งคน
อยู่ที่ต้าฉู่เราหนึ่งคน ในสามแคว้นต่างมีตา้
จงซือ หากไม่สมดุล เจ้ารู้สึกว่าใต้หล้านี้จะมีถึง
สามแคว้นหรือไม่?”
ฉีหนิงตะลึงไป แล้วพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง หรือ
ว่าแคว้นตงฉีอยู่แทรกกลางมาจนถึงตอนนี้ ก็
เพราะ...ก็เพราะต้าจงซือ?” เขารู้สึกตกใจกับสิ่ง
ที่ได้ยินมาก
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าการฝึกวรยุทธ์ของต้าจงซือนั้น
ราวกับเทพเจ้า แต่อย่างไรก็เป็นมนุษย์มีเลือดมี
เนื้อ คงไม่ได้เหมือนกับสัตว์ประหลาดอย่างที่
เล่ากัน
แต่ว่าพอเซี่ยงไป๋อิ่งพูดมาแบบนี้ อานาจของต้า
จงซือมันเกี่ยวพันกับการเมืองด้วย
“ถึงแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ว่าการเมืองของต้า
จงซือ มันก็เป็นเรื่องจริง” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดอย่าง
จริงจังว่า “หากตงฉีไม่มเี จ้าเกาะไป๋อวิ๋นโม่หลัน
ชาง คิดว่าคงไม่มีแคว้นตงฉีอยูแ่ ล้ว หนึ่งคนสู้
กับทหารนับหมื่น มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่า
หากตงฉีไม่มีโม่หลันชาง จงซือแคว้นอื่นหากบุก
เข้าไปที่วังของตงฉีแล้วสังหารฮ่องเต้ตงฉี มันก็
ไม่ใช่เรื่องยาก”
ฉีหนิงตกใจมาก คิดในใจว่าที่แท้ต้าจงซือก็น่า
กลัวขนาดนี้เลย
ก็อย่างที่เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า หากไม่มีต้าจงซือ
ฮ่องเต้ของแคว้นอาจถูกสังหารได้ตลอดเวลา
ไม่เพียงแคว้นจะเข้าสู่ความวุ่นวาย อีกทั้ง
อานาจของแคว้นก็จะลดลง การล่มสลายของ
แคว้นมันก็อยู่ไม่ไกล
“การเป็นอยู่ของต้าจงซือ ทาให้แคว้นคงอยู่
ต่อไปได้” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “หลายปีที่ผ่านมา
ต้าจงซือแต่ละคนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย
หากข้าเดาไม่ผดิ พวกเขาน่าจะทาข้อตกลงกัน
ไว้แล้ว ขอแค่ไม่มีต้าจงซือคนไหนเข้าไปยุ่งเกี่ยว
การเมือง คนอื่นๆ ก็จะไม่ยุ่งเช่นกัน จะดีจะร้าย
ให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ ราชสานัก ขุนนาง
ทั้งหลายไปจัดการกันเอาเอง” สีหน้าของเขา
จริงจังขึ้นมา “แต่หากมีต้าจงซือคนใดคนหนึ่ง
ตายไป เจ้าคิดว่าความสมดุลนี้จะยังคงอยู่
หรือไม่?”
ฉีหนิงเองก็สีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน สิ่งที่เซี่ยง
ไป๋อิ่งพูดมาวันนี้ เหมือนมันลึกลับซับซ้อนมาก
เหมือนเขาจะนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้มีคน
หลายคนมาถามหาเป่ยกงเหลียนเฉิงว่าตาย
หรือยัง เขาสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดทุกคนดูจะ
เป็นห่วงเรื่องการตายของเป่ยกงเหลียนเฉิงนัก
ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจ การตายของเป่ยกง
เหลียนเฉิงเกี่ยวพันกับชะตาของแคว้นฉู่ ไม่
แปลกใจเลยที่แต่ละคนจะอยากรู้เรื่องนี้
ถ้าอย่างนั้น การคงอยู่ของต้าจงซือก็เป็นเรื่องที่
น่ากลัวไม่น้อย
“หนึ่งชีวิตกับชะตาแคว้น เพราะฉะนั้นต้าจงซือ
แต่ละคนไม่มีทางเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย
หรอก” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดอย่างจริงจังว่า “แม่ทัพ
หน้ากากโลหะที่ปะทะกับเจ้าลัทธินั่น ข้าคิดดู
แล้ว คิดว่าเขาไม่น่าจะใช่ต้าจงซือหรอก...” เขา
กะพริบตา แล้วบ่นว่า “สามารถสู้กับต้าจงซือ
แล้วบาดเจ็บได้ทั้งคู่ แม่ทัพหน้ากากโลหะเป็น
ใครมาจากไหนกันนะ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 471 อยู่นอกเรือ่ งนี้
ในวันนี้ฉีหนิงได้ยินเซีย่ งไป๋อิ่งอธิบายแบบนี้ เขา
ถึงได้รู้ถึงความน่ากลัวของการคงอยู่ของต้า
จงซือ
เซี่ยงไป๋อิ่งสงสัยตัวตนที่แท้จริงของแม่ทัพ
หน้ากากโลหะ ฉีหนิงเองก็สงสัยไม่ต่างกัน ด้วย
ประสบการณ์ในยุทธภพของเซีย่ งไป๋อิ่ง เขา
เหมือนจะรู้จักเหล่าต้าจงซือเป็นอย่างดี หากใน
ยุทธภพมีแม่ทัพหน้ากากโลหะ เซี่ยงไป๋อิ่งไม่มี
ทางที่จะไม่รู้แน่นอน
“จริงสิ ท่านอาเซี่ยง ท่านรู้เรื่องโลงน้้าแข็งที่ถ้า
หมีฮวาหรือไม่?” ฉีหนิงนึกถึงโลงน้้าแข็งขึ้นมา
จึงอดถามไม่ได้
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินเลย ถึงอย่าง
ไรเขาเชียนอูหลิงแห่งนี้ก็เป็นฐานที่ตั้งของพรรค
บัวด้า เป็นพื้นที่ของต้าจงซือ ใครจะกล้าบุกเข้า
ไปกัน? ถ้้าหมีฮวาทีเ่ จ้าว่ามา ข้าไม่เคยได้ยินมา
ก่อน แม่ทัพหน้ากากโลหะเหมือนจะรู้จักที่นี่ดี
คิดว่าน่าจะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เจ้า
บอกว่าในโลงน้้าแข็งมีคน มันน่าแปลกมาก แม่
ทัพหน้ากากโลหะนั่นจะเอาคนไปท้าอะไร?”
ฉีหนิงเองก็คิดไม่ตกเช่นกัน “เจ้าลัทธิบัวด้าให้
ความส้าคัญกับโลงนั้นมาก แสดงว่าคนในนั้น
จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า “หมอเทวดาอย่างหลีซีกง
เท่าที่ข้ารู้มา เขาเป็นคนใจดีมีเมตตา การที่ท้า
ให้เขาปกป้องสิ่งนั้นได้โดยไม่สนใจชีวิตของ
ตนเอง น่าจะไม่ใช่คนเลว” เขาคิดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “เจ้าลัทธิบัวด้าบาดเจ็บ เรื่องนี้มีคน
รู้ไม่มาก เจ้าก็ห้ามเล่าให้ใครฟังล่ะ”
ฉีหนิงพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว แต่ว่าแม่ทัพ
หน้ากากโลหะน่าจะหนีไปแล้ว กลัวแต่ว่าเขา
จะปล่อยข่าวนี้ไป”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เช่นนั้นก็ท้าอะไรไม่ได้”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ห้าต้าจงซือหลายปีมานี้อยู่
ด้วยกันอย่างสงบ หากเรื่องที่เจ้าลัทธิบัวด้า
บาดเจ็บแพร่ออกไป ข้าคิดว่าคงเกิดเรื่องแน่”
เขาหยิบถุงหนังวัวมาดื่ม แล้วยกมือขึ้นมาเช็ด
ปาก แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เรื่องนี้ เจ้าอย่าเข้า
ไปยุ่งจะดีกว่า จริงสิ หลังจากชิวเฉียนอี้ตามเจ้า
เข้าเมืองหลวงไปแล้ว เจ้าคิดจะท้าอย่างไร
ต่อไป?”
“ก็ต้องไปทูลฝ่าบาทให้ทรงทราบ แล้วรอมี
รับสั่งลงมา” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรง
ให้ข้ามาซีชวน พาชิวเฉียนอี้กลับไปแล้ว ก็ถือว่า
ภารกิจข้าส้าเร็จแล้ว”
เซี่ยงไป๋อิ่งหัวเราะ แล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่มี
เรื่องอะไร ถ้าอย่างไรข้ากลับเมืองหลวงพร้อม
เจ้าดีหรือไม่?”
ฉีหนิงดีใจมาก “หากได้ท่านอาเซี่ยงเดินทางไป
พร้อมกัน เป็นเรื่องทีด่ ีมากไม่น้อย” เขาเข้าใจ
เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นถึงประมุขพรรคกระยาจก ไม่มี
ทางว่างแน่นอน เขาจะตามเขากลับเมืองหลวง
คิดว่าคงอยากจะคุ้มครองเขา เพื่อป้องกันชิ
วเฉียนอี้ หรืออาจจะกลัวเกิดอะไรเปลี่ยนแปลง
ขึ้น
ฉีหนิงคุยกับเซี่ยงไป๋องิ่ อยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่เห็นชิ
วเฉียนอี้เลย เขาคิดในใจว่าเขาคงไม่คืนค้า
หรอกกระมัง เขาก้าลังคิดอยู่ๆ ก็มีเงาๆ หนึ่ง
โฉบมา แล้วมายืนอยู่ริมผา เงาร่างนั้นก็คือชิ
วเฉียนอี้นั่นเอง
ชิวเฉียนอี้ถือไหเหล้ามา จากนัน้ ก็โยนมาให้ “นี่
คือเหล้าไป๋เฉ่าทีห่ ายาก พวกเจ้ากล้าดื่มมัน
หรือไม่”
ฉีหนิงกับเซี่ยงไป๋อิ่งรับมากันคนละไห เซี่ยงไป๋อิ่
งดื่มเข้าไปโดยไม่คิดอะไร ชิวเฉียนอี้รู้สึกตกใจ
มาก จากนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นความ
นับถือ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าท่องยุทธภพมา
นาน คนที่ข้านับถือมีไม่เกินสามคน ประมุข
เซี่ยง วันนีข้ ้ายอมให้เจ้า เจ้าดื่มเหล้าของข้าลง
ไปโดยที่ไม่คิดอะไรเลย ถือว่ากล้าหาญยิ่งนัก
หากเป็นคนธรรดาทั่วไป คงไม่มีใครกล้าดื่มมัน
เข้าไปแน่นอน”
เซี่ยงไป๋อิ่งยกมือเช็ดริมฝีปาก ยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าเริ่มดื่มเหล้าตั้งแต่อายุสิบเอ็ด ตอนนีก้ ็
สามสิบปีมาแล้ว เหล้าทีถ่ ูกปากข้ามีแต่กู่เฉิงเซา
เท่านั้น ข้าคิดว่าชาตินี้คงมีแต่กู่เฉิงเซาเท่านั้นที่
เป็นเพื่อนข้า วันนี้ข้าถึงได้รู้ว่า นอกจากกู่เฉิง
เซาแล้ว ยังมีเหล้ารสดีแบบนี้ด้วย” จากนั้นเขา
ก็ดื่มเข้าไปอีก
ฉีหนิงไม่ได้สนใจอะไรในเหล้ามากนัก ในเมื่อชิ
วเฉียนอี้มาแล้ว เขาเองก็ไม่ควรเสียเวลาอีก ทั้ง
สามก็ลงเขาไปพร้อมกัน
เซี่ยงไป๋อิ่งเหลือบไปมองชิวเฉียนอี้ ชิวเฉียนอี้
พูดว่า “เหลือเวลาแค่ชั่วยามเดียวฟ้าก็จะมืด
แล้ว หลังจากฟ้ามืดแล้ว ตัวประกันจะถูกปล่อย
ตัว”
ฉีหนิงเข้าใจดี คนของแปดพรรคสิบหกส้านัก
ไม่ได้เชื่อในตัวของพรรคบัวด้า ส่วนคนของ
พรรคบัวด้าเองก็ไม่ได้เชื่อใจคนของแปดพรรค
สิบหกส้านัก
แปดพรรคสิบหกส้านักยังไม่ได้กลับไปทันที แต่
ว่ายังรอตัวประกันอยู่ พรรคบัวด้าจะรอให้ฟ้า
มืดลงแล้วถึงจะปล่อยคน ก็เพื่อยื้อเวลา และ
ป้องกันไม่ให้แปดพรรคสิบหกส้านักกลับค้า
พวกเขาจะใช้เวลาตั้งค่ายกลกับดักขึ้นมาใหม่
เพื่อป้องกันแปดพรรคสิบหกส้านักขึ้นเขามา
ใหม่
เมื่อเข้าใกล้ค่าย หานเทียนซู่ของจวนเสินโหวมา
รอรับอยู่แล้ว เขายกมือค้านับแล้วพูดว่า “ท่าน
โหวน้อย ท่านประมุขเซี่ยง”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า หานเทียนซู่พูดว่า “จวน
เสินโหวได้เรียกคนของแปดพรรคสิบหกส้านัก
หารือกันอยูใ่ นค่าย ก้าลังรอท่านโหวน้อยกับ
ท่านประมุขเซีย่ งอยู่ เชิญขอรับ”
ชิวเฉียนอี้ไม่รอทั้งคู่พดู อะไร เขาหันมาพูดกับฉี
หนิงว่า “โหวน้อย ข้าเป็นคนของพรรคมาร คน
ของแปดพรรคสิบหกส้านักไม่มีทางยอมร่วม
เสวนากับข้า หากเจ้าเชื่อใจข้า ข้าจะไปรอเจ้าที่
เมืองเฉิงตู เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หานเทียนซู่เหลือบไปมองชิวเฉียนอี้ แล้วพูดว่า
“ราชาพิษเจ้าไปพร้อมพวกเราจะดีกว่านะ ข้า
จะให้คนดูแลเจ้าเอง”
“ปกติข้าไปไหนมาไหนท้าอะไรคนเดียวมา
ตลอด ใครให้ข้าท้าอะไร ข้าไม่เคยท้า” ชิว
เฉียนอี้ไม่ได้ไว้หน้าหานเทียนซู่เลย “ข้ามี
สัญญากับโหวน้อย จะอยู่จะไป ให้โหวน้อยเป็น
คนตัดสินใจ จวนเสินโหวของพวกเจ้าไม่มสี ิทธิ
มาถามเรื่องนี”้
ฉีหนิงรู้ว่า ถึงแม้ชิวเฉียนอี้จะนิสัยไม่ดีนัก แต่ว่า
เขาเป็นคนหน้าบางแล้วก็เชื่อถือได้ อีกทั้ง
ก่อนที่เขาจะไปเมืองเฉิงตู เขาต้องไปที่เขาเฮย
เหยียนก่อน หากมีราชาพิษไปด้วยมันก็จะไม่
ค่อยสะดวก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ราชาพิษท่าน
ไปไหนมาไหนคนเดียวจนเคยฉินแล้ว ข้าไม่
ชอบบังคับใคร ท่านก็ไปรอข้าที่เมืองเฉิงตู
เถอะ”
ชิวเฉียนอี้กลัวว่าฉีหนิงจะปฏิเสธ ไม่อย่างนั้น
เขาก็จะเสียหน้า เมื่อได้ยินฉีหนิงพูดแบบนี้แล้ว
ก็แสดงว่าฉีหนิงเชื่อใจเขามาก เขาก็ดีใจมาก
เขาพูดว่า “เจอกันทีเ่ ฉิงตู ไม่เจอไม่กลับ” เขา
ไม่พูดอะไรมากอีก หันหลังแล้วจากไปทันที
หานเทียนซู่เดิมทีคดิ อยากจะขวาง แต่ในเมื่อ
โหวน้อยรับปากเขาแล้ว ก็พูดมากอีกไม่ได้ เขา
ท้าได้แค่พูดว่า “ท่านโหวน้อย ท่านไม่กลัวเขา
หนีไปหรือ?”
“หากเขาจะหนี เขาก็คงไม่ลงเขามาพร้อมข้า
หรอก” ฉีหนิงพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย
หานเทียนซู่เลยไม่พูดอะไรอีก เขายกมือแล้ว
พูดว่า “โหวเยว่ ประมุขเซี่ยง เชิญขอรับ”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้ายิม้ แล้วพูดว่า “จวนเสินโหว
เรียกคนของแปดพรรคสิบหกส้านักหารือ
ร่วมกัน ข้าไม่ไปยุ่งจะดีกว่า มีผอู้ าวุโสไป๋หู่อยู่
แล้วก็พอ”
หานเทียนซู่ตะลึงไป เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วมองไปที่
ฉีหนิง “โหวเยว่จะเข้าร่วมหรือไม่?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าจวนเสินโหวยังมีเรื่องอะไรที่
ต้องหารืออีก เห็นเซี่ยงไป๋องิ่ ไม่ได้สนใจเรือ่ งนี้
เขาคิดว่าในเมื่อเขาเอาชนะพวกของประมุข
หลงเกอได้บนเขา พวกเขาคงมีอคติต่อเขาไม่
น้อย หากเขาไปนั่งอยู่ด้วย มันคงไม่ค่อยดี
เท่าไหร่ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หานเซี่ยวเว่ย
ข้ายังมีเรื่องต้องท้าอีก การหารือในวันนี้กไ็ ม่
ร่วมแล้วกัน มีเซียวหยวนเซี่ยวเว่ยอยู่ก็
พอแล้ว” เขาไม่รอหานเทียนซู่พดู อะไร เขาก็
พูดต่อว่า “ไม่ทราบว่าหานเซี่ยวเว่ยจะให้ม้าข้า
ยืมสักสองตัวได้หรือไม่ หลังกลับเมืองหลวงไป
ข้าจะเอาไปคืนให้ที่จวน”
หานเทียนซู่รีบพูดว่า “ข้าน้อยจะไปเตรียมมา
ให้” เขายกมือค้านับ แล้วหันหลังเดินไป
“ท่านอาเซี่ยง เหตุใดท่านไม่เข้าร่วมล่ะ?” ฉี
หนิงหันไปมองเซี่ยงไป๋อิ่ง
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคนขี้เกียจ งาน
แบบนั้น ข้าไม่ค่อยชอบ อีกทั้งเรื่องที่พวกเขา
หารือกัน ข้ารู้ว่าเรื่องอะไร”
“หืม?” ฉีหนิงพูดด้วยความตกใจว่า “ท่านรู้
หรือว่าพวกเขาคุยเรือ่ งอะไรกัน?”
“ส่งทหารไปออกศึก ก็ต้องจ่ายเบี้ยเลี้ยง แบ่ง
ผลงาน จริงหรือไม่” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “คนของ
แปดพรรคสิบหกส้านักถูกจนเสินโหวเรียกมาก
เจ็บตายกันไปนับร้อย อย่างไรจวนเสินโหวก็
จะต้องให้ค้าตอบกับพวกเขา ไม่อย่างนั้นคน
ของแปดพรรคสิบหกส้านักจะยอมกลับไปง่ายๆ
ได้อย่างไร”
ฉีหนิงคิดถึงก่อนที่จะบุกขึ้นเขาเจ้าพันธมิตร
กระบี่ทองจูเก๋อฉางถิงกับพวกขอเจรจาเงื่อนไข
กับจวนเสินโหวขึ้นมา “พวกเขาอยากจะแบ่ง
พื้นที่ใหม่หรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหัวยิ้มแล้วพูดว่า “ครั้งนี้คนของ
แปดพรรคสิบหกส้านักสูญเสียไปมาก จวนเสิน
โหวอาจจะต้องชดเชยเป็นเงินทองให้ แต่การจะ
แบ่งเขตใหม่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ซีเหมินอูเ๋ หิง
ล้าบากแค่ไหนกว่าจะให้มีวันนีไ้ ด้ จะให้ใครมา
ท้าลายง่ายๆ ได้อย่างไร? มีคนฉวยโอกาส
อยากจะได้พื้นที่เพิ่มเติม มันเป็นสิ่งที่ซเี หมินอู๋
เหิงคิดเอาไว้อยู่แล้ว หากแบ่งพืน้ ที่ใหม่ ทุก
อย่างก็จะเสียระบบการปกครองไปหมด ความ
วุ่นวายก็จะเกิด ถึงตอนนั้นจวนเสินโหว
อยากจะให้เป็นอย่างวันนี้อกี คงยาก ซีเหมินอู๋
เหิงไม่มีทางโง่แบบนั้นหรอก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าสมแล้วที่เป็นคนเก่าคนแก่ของ
ยุทธภพ มองทะลุปรุโปร่ง เขามองออกอยู่แล้ว
ซีเหมินอู๋เหิงคิดอะไรอยู่
เขารู้ดีว่า เรื่องในยุทธภพ มันไม่ได้มีประโยชน์
กับเขามากนัก เซียวหยวนผ่อรอให้เขามาเข้า
ร่วม คิดว่าคงอยากเอาเผือกร้อนมาให้เขา
มากกว่า เขาเลี่ยงได้ก็ถือว่าดี
หลังจากนั้นไม่นาน หานเทียนซู่ก็จูงม้ามาสอง
ตัว แล้วมอบให้กับฉีหนิง “โหวเยว่ ศิษย์พี่ใหญ่
สั่งพวกเราเอาไว้ว่าให้รอโหวเยว่ที่เมืองเฉิงตู
เมื่อโหวเยว่ท้าธุระเสร็จแล้วมาถึงเมืองเฉิงตู
พวกเราจะคุ้มกันโหวเยว่เข้าเมืองหลวง จริงสิ
โหวเยว่ยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่ ทางจวนเสิน
โหวของพวกเราพร้อมจะท้าตามทุกอย่าง”
“ขอบใจนะ” ฉีหนิงคิดว่าเขาไปจากที่นี่ให้เร็ว
ที่สุดจะดีกว่า เขาขึ้นม้า ยิ้มแล้วพูดว่า “หาน
เซี่ยวเว่ย เจ้าช่วยบอกจั้นอิงที ไว้กลับไปถึง
เมืองหลวงแล้ว ข้าจะไปหานาง”
หานเทียนซู่อึ้งไป ไม่รู้เลยว่าควรตอบว่าอะไร
เซี่ยงไป๋อิ่งเองก็ขึ้นม้าแล้วเหมือนกัน ทั้งสอง
บังคับม้า แล้วไปยังทิศตะวันออก พวกเขาควบ
ม้าออกไปราวเจ็ดแปดลี้ ทันใดนั้นเองก็ได้ยิน
เสียงฝีเท้าม้ามาจากด้านหลัง ฉีหนิงหันไปมอง
เห็นม้าห้าหกตัวก้าลังวิ่งมาทางนี้ มีคนตะโกน
ว่า “เซียวเหยา ช้าก่อน” เสียงนั่นก็คือลู่ซาง
เฮ่อ
เซี่ยงไป๋อิ่งบังคับม้าให้ช้าลง ลู่ซางเฮ่อพริบตา
เดียวก็ตามมาทัน เขายิ้มแล้วพูดว่า “เซียวเหยา
เจ้าจะไปไหน? พวกเราตกลงกันไว้แล้วนะ เจ้า
ไม่ได้จะไปไม่ลาอีกใช่หรือไม่?”
“พี่ใหญ่ท่านเข้าใจผิดแล้ว” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า
“ในเมื่อรับปากพี่ใหญ่แล้ว ก็ไม่กลับค้าหรอก
เพียงแต่...”
“เซียวเหยา เจ้าลังเลแบบนี้ ไม่เหมือนเจ้าเลย
นะ” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “น้องเซียวเหยา
ของข้าไม่เคยคิดมาก ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าเจ้า
จะเป็นประมุขพรรคกระยาจกหรือไม่ แต่วันนี้
เจ้าจะไปไหนไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะ
พาเจ้าไปหาพี่สะใภ้ให้ได้เลย”
ฉีหนิงมองไปที่คนที่อยู่ด้านหลังของลู่ซางเฮ่อ
เห็นพวกเขาก็มองมาที่ตัวเอง มีบางคนสีหน้าไม่
ค่อยพอใจ ซึ่งเป็นคนที่เจอกันที่ส้านักเฟิงเจี้ย
นก่อนหน้านี้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 472 ตำหนักอิ่งเฮ่อ
ตอนนี้ลู่ซางเฮ่อมองมาที่ฉีหนิง ยกมือคานับ
แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย บนเขาดอกบัวท่าน
กล้าหาญองอาจยิ่งนัก น่ายินดีกับท่านจริงๆ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ขายหน้าพวกท่านแล้ว
ท่านเจ้าสานักลู่ จวนเสินโหวเรียกรวมพลหารือ
เหตุใดท่านไม่ไปเข้าร่วมล่ะ?”
“ไม่ใช่ทุกพรรคที่จะอยากได้รางวัลจากจวนเสิน
โหวทั้งหมดหรอกนะ” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า
“สานักเฟิงเจี้ยนของข้า ไม่ได้มเี ป้าหมายอะไร
อย่างอื่น พวกเราอาศัยอยู่ในดินแดนซีชวน
พรรคบัวดาอยู่ใกล้พวกเราแค่นี้ กระทาการ
โหดเหี้ยม หากเราสามารถฉวยโอกาสนี้กาจัด
พวกเขาไปได้ พื้นที่ซชี วนก็จะสงบลงไม่นอ้ ย ซี
เหมินเสินโหวทาอะไรเปิดเผยยุติธรรมตลอด
เรื่องที่ทุกคนออกแรงกาลังไปเท่าไหร่นั้น ท่าน
เสินโหวน่าจะรู้ดี ข้าเชื่อว่าต่อให้ไม่เข้าร่วม
หารือ ท่านเสินโหวก็ไม่มีทางเอาเปรียบพวกเรา
แน่”
เขาพูดมาแบบนี้ก็ถือว่าพูดตรงๆ
ฉีหนิงพยักหน้า ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
โหวน้อย ข้าจะพาน้องชายของข้ากลับไปอยู่ที่
บ้านสักสองสามวัน ไม่ทราบว่าท่านโหวน้อย
สนใจไปด้วยกันหรือไม่? หากท่านโหวน้อยไม่
รีบกลับเมืองหลวง ข้าก็ขอเชิญท่านไปด้วยกัน
เลย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่อพี่น้องร่วมสาบานจะไป
ราลึกความหลังกัน เขาไม่มีความจาเป็นจะต้อง
ไปด้วย อีกทั้งเขาก็เป็นห่วงอาการของอีฝดู ้วย
คิดอยากจะรีบไปที่ถาเฮยเหยี
้ ยน กาลังจะ
ขอบคุณและปฏิเสธไป ก็ได้ยินคนข้างหลังลู่ซาง
เฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยจับตัวชิวเฉียน
อีก้ ลับเมืองหลวงไปได้ สร้างผลงานใหญ่ ราช
สานักจะต้องปูนบาเหน็จให้ท่านอย่างงาม
แน่นอน ไม่แน่อีกสักระยะ ท่านโหวน้อยอาจได้
เลื่อนยศ คงไม่มีอารมณ์อยู่ที่ซีชวนนี่หรอก”
ฉีหนิงมองไปที่คนๆ นั้น จาได้วา่ เหมือนเขาจะ
แซ่หง
คนแซ่หงถึงแม้จะยิ้ม แต่คาพูดของเขาเต็มไป
ด้วยคาประชดประชัน
ฉีหนิงรู้ดีว่า เขาเอาชนะชาวยุทธ์ได้สามรอบ ทา
ให้คนของแปดพรรคสิบหกสานักต้องถอนกาลัง
หลายคนไม่พอใจมาก
แต่ว่าเจ้าคนแซ่หงนี่พดู จาแปลกๆ มันทาให้ฉี
หนิงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าสานักลู่มีใจเชิญข้า หากข้าปฏิเสธ คง
เหมือนดูถูกพวกท่าน มันเป็นเรื่องที่ไม่ดเี ลย ซึ่ง
ปกติข้าไม่ทาแบบนั้น เจ้าสานักลู่ ครั้งที่แล้วที่
สานักเฟิงเจี้ยนข้ายังสนุกไม่เต็มที่เลย ครั้งนี้จะ
ไปรบกวน จะต้องเอาให้เต็มที่แน่นอน”
“โหวเยว่ทา่ นเข้าใจผิดแล้ว” ลู่ซางเฮ่อรีบพูดว่า
“ครั้งนี้ที่เชิญท่านไป ไม่ใช่สานักเฟิงเจีย้ น แต่
เป็นตาหนักอิ่งเฮ่อ”
“ตาหนักอิ่งเฮ่อ?” ฉีหนิงตกใจ
ลู่ซางเฮ่อยิม้ แล้วพูดว่า “ฮูหยินข้ามีชื่อว่าซู่อิ่ง
ข้ามีชื่อว่าซางเฮ่อ เลยตั้งชื่อตาหนักอิ่งเฮ่อ เมื่อ
สิบกว่าปีกอ่ น ข้าได้ซอื้ เรือนเอาไว้หลังหนึง่ ที่
นั่นเงียบสงบมาก ฮูหยินข้าเป็นสาวงามอันดับ
หนึ่งของซีชวน ยินดีแต่งงานกับคนหยาบอย่าง
ข้า ถือเป็นบุญนัก อะไรที่ข้าทาได้ ข้าก็จะหาสิ่ง
ที่ดีที่สุดมาให้นาง”
คนที่อยู่ด้านหลังหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านเจ้า
สานักลู่เป็นคนมีเมตตา ความสามารถก็โดดเด่น
เสียดายไม่ค่อยมีคนในยุทธภพรู้ ท่านเจ้าสานัก
ลู่รักฮูหยินมากขนาดนี้ คิดว่าในโลกนี้คงหา
ผู้ชายเช่นท่านยากแล้ว”
เจ้าสานักหงเหมินยิม้ แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสานัก
ลู่ก็บอกแล้ว ฮูหยินลูถ่ ือได้ว่าเป็นสาวงามอันดับ
หนึ่งของซีชวน ท่านเจ้าสานักลูไ่ ด้กอดสาวงาม
ขนาดนี้ น่าอิจฉายิ่งนัก มีคู่แบบนี้ เจ้าสานักลู่ก็
ต้องหวงเป็นธรรมดา ฮ่าฮ่าฮ่า...” คนอื่นก็
หัวเราะ
ฉีหนิงเหลือบไปมองเซี่ยงไป๋อิ่ง เห็นเซี่ยงไป๋อิ่ง
ยังนิ่งอยู่ แต่ว่าสายตาของเขาดูเศร้าหมอง เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่รักและเอ็นดูพี่สะใภ้แบบ
นี้ หาได้ยากนัก”
“เซียวเหยา เจ้าอย่าพูดแบบนี้ ข้าเป็นคนหยาบ
รู้แค่ว่าข้าต้องให้นางมีกินมีใช้แบบสบาย” ลู่
ซางเฮ่อพูดอย่างจริงจังว่า “หากต่อไปเจ้ามีเมีย
ก็จะต้องเป็นผู้ชายทีด่ ีแน่นอน หลายปีก่อนเจ้า
เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ มีอะไรที่พี่ชายอย่างข้าตามทัน
บ้าง”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ที่นี่เป็นป่าเป็นเขา พวกเราอย่าเพิ่งพูดกัน
เลย” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “รอให้ถึงตาหนัก
อิ่งเฮ่อก่อน พวกเราค่อยกินไปดื่มไปคุยไป
เซียวเหยา ครั้งที่แล้วที่สานักเฟิงเจี้ยน เจ้ารีบ
กลับไป ข้ายังมีอีกหลายอย่างทีอ่ ยากคุยกับ
เจ้า”
พวกเขาเดินทางต่อไปทางทิศตะวันออก เส้น
ทางเดียวกับที่ไปเมืองเฉิงตู ตลอดการเดินทางลู่
ซางเฮ่อดูแลอย่างดี พอถึงจุดๆ หนึ่งก็จะสั่งให้
คนดินทางไปเตรียมที่ทางเอาไว้ล่วงหน้า
อาหารสามมื้อไม่ขาด คนที่ตามมาถึงแม้จะเป็น
ชาวยุทธ์ในซีชวน แต่ว่าตลอดทางเขาก็เชื่อฟังดี
ฉีหนิงต้องการไปที่ถาเฮยเหยี
้ ยน เดิมทีก็ต้อง
ผ่านเมืองเฉิงตูอยู่แล้ว ดังนั้นมันก็ถือว่าเป็น
ทางผ่าน ในเมื่อพวกของลู่ซางเฮ่อก็จัดการทุก
อย่างให้อย่างดี เขาก็ถือได้ว่าจริงใจอยู่มาก
เมื่อถึงวันที่สาม ลู่ซางเฮ่อก็พาคนเดินไปทางใต้
ที่แท้ตาหนักอิ่งเฮ่อก็อยู่ทางทิศใต้ของเมืองเฉิงตู
ระหว่างทางอีกสามคนก็ขอตัวแยกกลับไปบ้าน
ใครบ้านมัน ส่วนเจ้าสานักหงเหมินกับอีกคน
หนึ่งก็ตามไปทีต่ าหนักอิ่งเฮ่อด้วย
ก่อนที่ฟ้าจะมืด พวกเขาเดินผ่านถนนใหญ่
มายังเรือนหลังใหญ่หลังหนึ่ง ด้านหลังเรือนนี้
เป็นภูเขาลูกหนึ่ง ด้านหน้าเป็นทะเลสาบน้าใส
รอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าร่มรื่น ด้านหน้า
ประตูมีสิงโตหินตั้งอยู่สองตัว ดูท่าทางลู่ซางเฮ่อ
จะร่ารวยไม่น้อยเลย
ลู่ซางเฮ่อเคาะประตู บ่าวไพร่เห็นเจ้าสานัก
กลับมา ต่างก็ยินดี มีคนมาจูงม้าไปแล้ว ลู่ซาง
เฮ่อพาทุกคนเข้าไปด้านใน เมื่อมาถึงห้องโถง ฉี
หนิงเห็นว่าด้านในห้องโถงมีภาพแขวนอยู่ บน
ภาพเป็นผู้เฒ่าคนหนึง่ ในมือถือกระบี่ อีกมือ
ลูบเครา สายตามองบน รวมๆ แล้วดูไม่ธรรมดา
เลย
ฉีหนิงกาลังคิดว่าทาไมในห้องโถงของสานักอิ่ง
เฮ่อถึงได้แขวนภาพแบบนี้เอาไว้ คนในภาพเป็น
ใครกัน เขาก็เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งเดินขึ้นหน้ามา แล้ว
คุกเข่าลงกับพื้น แล้วก้มหัวคานับ
ฉีหนิงเห็นดังนั้นก็ตกใจมาก ลู่ซางเฮ่อถอน
หายใจแล้วพูดว่า “เซียวเหยา หลังจากที่ข้าได้
ซ่อมแซมสานัก ก็ได้หาคนมาวาดภาพเหมือน
ของพ่อบุญธรรมขึ้น พ่อบุญธรรมไม่ได้มีภาพ
อะไรทิ้งไว้เลย ข้าทาได้แค่อาศัยภาพจาที่ข้ามี
ต่อพ่อบุญธรรมสั่งให้วาดขึ้น มันอาจจะดูไม่
สมจริงนะ”
“นี่คือท่านพ่อ” เซี่ยงไป๋อิ่งเงยหน้าขึ้น แล้วมอง
ไปที่ภาพ เสียงของเขาสะอื้น “พี่ใหญ่ เอ่อ...
ลาบากท่านแล้ว...” พูดจบ เขาก็โขกศีรษะลง
อีกเก้าครั้ง
ฉีหนิงเข้าใจในทันที ที่แท้คนทีอ่ ยู่ในภาพนั้นก็
คือท่านเจ้าสานักเซี่ยงคนเก่านี่เอง
เขาคือผู้อาวุโสรุ่นก่อนในยุทธภพ อีกทั้งยังเป็น
พ่อของเซีย่ งไป๋อิ่งด้วย ฉีหนิงเองก็ไม่กล้าเสีย
มารยาท เขาเดินหน้าขึ้นมา แล้วคานับภาพวาด
นั้น
หลังจากที่เซี่ยงไป๋อิ่งโขกศีรษะไปแล้วเก้าครั้ง ลู่
ซางเฮ่อก็ได้ยื่นมือไปพยุงเขาขึน้ มา ดวงตาของ
เซี่ยงไป๋อิ่งแดงก่า เขายิ้มแล้วพูดว่า “เซียวเหยา
อกตัญญู หลายปีมานี้ ได้พี่ใหญ่...เฮ้อ”
“เซียวเหยา เจ้าอย่าพูดแบบนี้ ไม่เช่นนั้นพี่ใหญ่
จะโกรธแล้วนะ” ลู่ซางเฮ่อพูดอย่าจริงจังว่า
“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน พ่อบุญ
ธรรมไม่รังเกียจฐานะที่ต่าต้อยของข้า รับข้า
เป็นลูก ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ข้าก็คิดว่าข้า
เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเซี่ยง หลายปีที่ผ่านมา
เจ้าออกท่องยุทธภพ ตอนนี้ได้เป็นถึงประมุข
พรรคกระยาจก ทาการใหญ่ได้แล้ว หากท่าน
พ่อบุญธรรมได้รับรู้ ไม่รู้ว่าจะดีใจแค่ไหน” เขา
เอามือไพล่หลังแล้วมองไปที่ภาพ “ท่านพ่อบุญ
ธรรมอบรมสั่งสอนข้ามาตลอด ถึงแม้เขาจะไม่
อยู่แล้วกว่ายี่สิบปี แต่ว่าคาสั่งสอนของท่าน ข้า
จาได้เสมอ ภาพของพ่อบุญธรรมอยู่ตรงนี้ ทุก
ครั้งที่ข้าเข้าออก ก็จะนึกถึงคาสอนของท่าน
ตลอด หากไม่ใช่เพราะคาสอนพวกนั้น ตอนนี้
ข้าเองก็ไม่รู้ว่ะเป็นอย่างไรแล้ว”
เซี่ยงไป๋อิ่งฝืนยิ้ม แต่ว่าฉีหนิงดูออก ท่าน
ประมุขพรรคกระยาจกผู้รอบรู้คนนี้ ตอนนี้เขา
อ่อนไหวมาก
“เซียวเหยา เจ้าดูด้านข้างรูปของท่านพ่อบุญ
ธรรมสิ มีพื้นที่ว่างอยู่” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทาไม?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “พี่ใหญ่ชี้แนะด้วย”
“ท่านพ่อบุญธรรมท่องยุทธภพมานาน ตั้ง
รากฐานอยู่ที่ซีชวน ก่อตั้งสานักเฟิงเจี้ยนมาเอง
กับมือ” ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยความเสียใจมากว่า
“ท่านเป็นวีรบุรุษผู้ยงิ่ ใหญ่ แต่มีเพียงแต่รูปภาพ
รูปเดียว ข้าคิดว่ามันยังขาดอะไรอยู่ ตอนที่สั่ง
ให้คนวาดรูป ก็อยากจะแต่งโคลงกลอนให้กับ
ท่าน”
เซี่ยงไป๋อิ่ง “กลอน?”
“ถูกต้อง” ลู่ซางเฮ่อพยักหน้ายิม้ แล้วพูดว่า
“เจ้าก็รู้ข้าเป็นแต่จับมีดจับดาบ แต่งกลอน
อะไรกับเขาไม่เป็นหรอก ถึงแม้ซู่อิ่งจะเก่งเรื่อง
วิชาการบ้าง แต่อย่างไรนางก็เป็นผู้หญิง สิ่งที่
นางคิดคงไม่เหมาะกับความองอาจแข็งแกร่ง
ของท่านพ่อบุญธรรมหรอก ข้าก็เลยรอเจ้า
กลับมา แล้วทาให้มันสมบูรณ์”
เซี่ยงไป๋อิ่งตะลึงไป “พี่ใหญ่ ท่าน...ท่านลาบาก
เกินไปแล้ว”
“เจ้าคิดว่าข้าลากเจ้ากลับมาที่นี่ เพื่อเจอ
พี่สะใภ้เจ้าอย่างเดียวหรืออย่างไร” ลู่ซางเฮ่อ
ยิ้มแล้วพูดว่า “การแต่งโคลงกลอนไม่ได้จะ
เสร็จในวันเดียว ข้าผิดต่อพ่อบุญธรรม เพราะ
ฉะนั้นอย่างไรครั้งนี้ต้องลากเจ้ากลับมาทาให้
มันสมบูรณ์ให้ได้” เขาเดินไปตบไหล่เซี่ยงไป๋อิ่ง
“เจ้าเก่งเรื่องนี้ ผ่านไปสิบแปดปีแล้ว เจออะไร
มาก็มาก ตอนนี้น่าจะเก่งกว่าตอนนั้นจริง
หรือไม่”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ ลาบาก
ท่านจริงๆ ข้าเสียใจ แต่ว่ากลอนนี่ ข้าคิดว่าไม่
ว่าใครก็น่าจะทาได้ ยกเว้นข้า”
“หืม?” ลู่ซางเฮ่อพูดด้วยความแปลกใจว่า
“เพราะอะไร?”
“ความประสงค์ของท่านพ่อ ก็คือให้ข้าทาลาย
วรยุทธ์แล้วมุ่งเน้นไปทางวิชาการ” เซี่ยงไป๋อิ่ง
พูดด้วยความเศร้าว่า “พี่ใหญ่ท่านเองก็น่าจะจา
ได้ ตอนที่ท่านพ่อมีชวี ิตอยู่ในช่วงปลาย เขา
หวังว่าตระกูลเซี่ยงจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพ
อีก แต่ว่าตอนนี้ข้ายังคงอยู่ในยุทธภพ อีกทั้ง
...” เขาส่ายหน้า “หากท่านพ่อรับรู้ คงไม่ยินดี
แน่ คิดว่าต้องโกรธข้าแน่ ดังนั้นกลอนบทนี้ ข้า
ไม่กล้าแต่ง อีกทั้งไม่วา่ ท่านพ่อจะเป็นอย่างไร
ในฐานะที่เป็นลูก ก็ไม่มีทางวิจารณ์ได้หรอก”
ลู่ซางเฮ่อลูบเครา “ที่แท้เจ้าก็กลัวแบบนี้นี่เอง
ข้าคิดไม่รอบคอบเอง เอ่อ...”
ท่านประมุขหงเหมินยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ท่าน
เจ้าสานักลู่ ท่านประมุขเซี่ยงมีความกังวล มันก็
ไม่แปลก” เขาเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า
“ท่านอย่าลืมสิ ท่านโหวน้อยอยูก่ ับพวกเราที่นี่
ด้วย ปกติพวกเราเชิญคนสูงศักดิ์มาไม่ได้ ถ้า
อย่างนั้นท่านลองให้ท่านโหวน้อยช่วยสิ?”
อีกคนก็รีบพูดว่า “ท่านเจ้าสานักหงเหมินพูด
ถูก ชื่อเสียงของจิ่นอีโหวกระฉ่อนไปไกล ท่าน
โหวน้อยเป็นคนของจิ่นอีตระกูลฉี จะต้องเก่ง
ทั้งบุ๋นบู๊ วรยุทธ์ของโหวน้อยพวกเราก็ได้เห็นไป
แล้วบนยอดเขาดอกบัว น่าชื่นชมนัก ตอนนี้
ลองให้โหวน้อยแสดงฝีมือด้านวิชาการดูบ้างดี
หรือไม่”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 473 สิบเก้าสังหารหนึ่ง
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าความรู้น้อย จะไปกล้า
ทาให้ขายหน้าคนอื่นแบบนั้นได้อย่างไร” เขา
ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรกับเจ้าสานักหงเหมิน
หากเป็นคนที่น่านับถือเขาคงแทนตัวเองว่า
ผู้น้อยไปแล้ว แต่ว่ากับคนพวกนี้ เขาเองก็ไม่
อยากเกรงใจ
เจ้าสานักหงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยต้องมี
ความสามารถแน่ ท่านอายุยังน้อย จะต้องเขียน
ออกมาได้ดีแน่นอน ต้องคู่ควรกับภาพท่านเจ้า
สานักเฒ่าแน่ เพราะมันจะต้องผ่าน
ประสบการณ์มาแล้วอย่างโชกโชน”
คาพูดของเขามันแฝงไปด้วยการประชดประชัน
เหมือนเยาะเย้ยว่าฉีหนิงความรูน้ ้อย ไม่มี
ประสบการณ์ของคนที่มีบารมีสูง อาศัยแค่ชื่อ
ของจิ่นอีโหวเท่านั้น คนอื่นเลยไม่กล้าล่วงเกิน
“ชาวยุทธ์ซีชวนมีมากมายราวกับทารก หิมะที่
ถูกเงาและเมฆหมอกปกคลุม อานม้าสีเงินส่อง
สว่างบนม้าขาว วิ่งเริงร่าราวกับดวงดาว สิบเก้า
สังหารหนึ่ง พันลี้ไม่เหลือร่องรอย งานเสร็จตัว
หายลอยละล่อง ซ่อนผลงานและชื่อเสียงไว้”
เจ้าสานักหงเหมินพูดจบ ฉีหนิงก็ท่องกลอน
ออกมา
บทกลอนนี้มาจาก “เส้นทางแห่งจอมยุทธ์”
ของหลี่ไท่ไป๋ แต่เนื่องจากต้องการให้เข้ากับ
สถานการณ์ ฉีหนิงเลยมีเปลี่ยนคาจากเดิม
เล็กน้อย
พอฉีหนิงท่องออกมา ทุกคนก็ตะลึงกันหมด
พวกเขาถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลย
จากนั้นก็เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งปรบมือขึ้นมา หัวเราะ
ร่าแล้วพูดว่า “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก สิบเก้า
สังหารหนึ่ง พันลี้ไม่เหลือร่องรอย ฮ่าฮ่าฮ่า...
งานเสร็จตัวหายลอยละล่อง ซ่อนผลงานและ
ชื่อเสียงไว้ ท่านโหวน้อย ยอดเยี่ยมมาก”
ฉีหนิงคิดในใจว่า กลอนบทนี้กล่าวขานไปนับ
ร้อยปี ก็ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ลู่ซางเฮ่อรู้สึกตกใจมาก เขาพูดว่า “เป็นบท
กลอนที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ เซียวเหยา คิดไม่
ถึงเลยว่าท่านโหวน้อยไม่เพียงจะวรยุทธ์ร้าย
กาจ ด้านวรรณกรรมเองก็น่าชืน่ ชมนัก”
“ท่านเจ้าสานักลูก่ ล่าวเกินไปแล้ว” ฉีหนิงหน้า
ไม่แดงใจไม่สั่น เขายิ้มแล้วพูดว่า “กลอนบทนี้
จะคู่ควรกับท่านผู้เฒ่าเจ้าสานักเซี่ยงหรือไม่
ตอนนั้นท่านเป็นถึงมือกระบี่อันดับหนึ่งในซี
ชวน เมื่อลงมือ สิบเก้าสังหารหนึ่งคนต้องมีแน่
อีกทั้งท่านยังมีชื่อเสียงที่ใสสะอาด คิดอยาก
ออกจากยุทธภพเงียบๆ ซ่อนผลงานและ
ชื่อเสียงน่าจะเหมาะสมกับท่าน”
ลู่ซางเฮ่อยิม้ แล้วพูดว่า “ถูกต้อง บทกลอนดีๆ
แบบนี้ เหมาะสมคู่ควรกับท่านพ่อบุญธรรมมาก
พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปหานักเขียนอักษรมือดี มา
เขียนบทกลอนนี้”
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ภายในสานักได้ทาการจุด
ตะเกียงไฟแล้ว มีคนนาน้าชากับของว่างมาให้
แล้ว ที่ซีชวนมีชาดีแน่นอน ในถ้วยชามีใบชา
ลอยอยู่ กลิ่นของมันหอมมาก ของว่างเองก็ทา
มาอย่างดี ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับจวนจิ่นอีโหวก็
เถอะ
“ไปบอกฮูหยิน ว่ามีแขกมา ให้นางมาที่หอ้ งโถง
สักหน่อย” ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เจ้าบอกนางว่า ข้า
มีเรื่องให้นางประหลาดใจ จริงสิ สั่งให้คนรีบ
เตรียมงานเลี้ยง จัดทีส่ วนดอกไม้นะ”
บ่าวไพร่รับคา แล้วก็ออกไป
ในห้องโถงสว่างไสว ลู่ซางเฮ่อยิม้ แล้วพูดว่า
“เซียวเหยาเจ้าจาตอนที่พวกเราไปล่าสัตว์กัน
ได้หรือไม่?”
“จาได้แน่นอน” เซี่ยงไป๋อิ่งวางถ้วยชาลง เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ท่านเก่งเรื่องธนู ข้ายังจา
ได้ว่า พวกเราไปล่าสัตว์ด้วยกัน ทุกครั้งท่านจะ
ล่าได้มากกว่าข้าเสมอ”
ลู่ซางเฮ่อยกถ้วยชาขึน้ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าได้ยินที่เขาพูดแล้วใช่หรือไม่ ข้ามันคน
หยาบ ตอนนั้นล่าสัตว์เป็นเรื่องบันเทิง แต่ว่า
น้องชายข้าคนนี้ถึงแม้วรยุทธ์จะสูง แต่ก็เป็นคน
สบายเกินไป ไม่ชอบฆ่าฟันใคร ข้ายิงธนูสบิ
ดอก เขายิงแค่ดอกเดียว เวลาล่าสัตว์เขาสู้ข้า
ไม่ได้เลย”
เจ้าสานักหงเหมินยิม้ แล้วพูดว่า “ข้าเองก็เคยได้
ยินมา ว่าตอนนี้ท่านเจ้าสานักน้อยตระกูลเซี่ยง
เป็นคนง่ายๆ สบายๆ คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านเจ้า
สานักน้อยกลับกลายมาเป็นประมุขพรรค
กระยาจกในวันนี้ได้” อีกคนพูดขึ้นมาว่า “ท่าน
เหอ ท่านเองก็มเี พื่อนอยู่ในพรรคกระยาจก
เคยเห็นคนที่เก่งแบบนี้อีกหรือไม่?”
จอมยุทธ์เหอลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “ประมุข
เซี่ยงเป็นหนึ่งในคนทีห่ าได้ยาก ข้ามีเพื่อนอยู่ใน
พรรคกระยาจกก็จริง พวกเขาต่างเป็นคนไม่มี
พิธีรีตอง ไม่เรื่องมาก พูดจาหาสาระไม่ได้ ไม่
รู้จักหนังสือสักตัว ฮ่าฮ่าฮ่า ประมุขเซี่ยงเป็นคน
พื้นที่ซีชวน เข้าพรรคกระยาจกได้ ถือได้ว่าไม่
ธรรมดาเลย”
ฉีหนิงได้ยินที่พวกเขาคุยกัน ก็คิดในใจว่า คน
พวกนี้เหมือนกาลังท้าทายอานาจผู้ยิ่งใหญ่
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านจอมยุทธ์เห๋อมี
เพื่อนในพรรคกระยาจก ก็ถือว่าเป็นเพื่อนข้า
ด้วย เพียงแต่ว่าคนที่ท่านรู้จักมันแค่ส่วนน้อย
มันไม่ได้หมายความถึงทั้งพรรค หากรู้จักกัน
มาก จอมยุทธ์เหอก็จะรู้ คนที่มีความสามารถ
นั้นมีอยู่ไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านบุ๋นหรือบู๊ก็
ตาม”
เซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้เป็นคนสนใจในความคิดคนอื่น
ที่มีต่อตัวเอง หากคนอื่นพูดจาล่วงเกินเขา เขา
ไม่มีปฏิกิริยาอะไร อย่างมากก็แค่ยิ้ม แต่ว่า
คาพูดของจอมยุทธ์เหอมันเกี่ยวพันกับพรรค
กระยาจก ในฐานะของประมุขพรรคกระยาจก
เขาต้องรักษาชื่อเสียงของพรรคกระยาจกไว้
ลู่ซางเฮ่อเหมือนเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศมันไม่ดี
แล้ว เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสานักหง
เหมิน จอมยุทธ์เหอ พวกเจ้าเป็นเพื่อนของข้า
เซียวเหยาเป็นน้องชายข้า เมื่อเข้ามาใน
ตาหนักอิ่งเฮ่อ ก็เป็นคนๆ เดียวกัน ถึงแม้ชาว
ยุทธ์จะเป็นคนหยาบ พูดจาก็ควรมีขอบเขต
หากทาให้น้องชายข้าไม่พอใจ ข้าก็ไม่พอใจ
เหมือนกัน”
เจ้าสานักหงเหมินกับจอมยุทธ์เหอมองหน้ากัน
พวกเขาก็รสู้ ึกอับอายขึ้นมา
ในตอนนี้เอง ก็มีบ่าวไพร่เข้ามารายงานว่า
“ท่านเจ้าสานัก ฮูหยินบอกว่าไม่ค่อยสบาย ขอ
พักสักหน่อยแล้วค่อยออกมาพบ”
“ฮูหยินไม่สบายหรือ?” ลู่ซางเฮ่อรีบพูดว่า
“เป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?” เขาเดินไปที่หน้า
ประตู แต่เหมือนคิดอะไรได้ เขาหันหลังมาแล้ว
พูดว่า “เซียวเหยา พวกเจ้าดื่มชากันไปก่อนนะ
ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวมา”
เซี่ยงไป๋อิ่งเองก็ดูเป็นกังวล เขาถามว่า “พี่ใหญ่
ซู่อิ่ง...พี่สะใภ้นางเป็นอะไรไป?”
“คงไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวล ข้าไปดูก่อน” ลู่ซาง
เฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้เชิญหมอที่มีฝีมือ มา
อยู่ในจวนด้วย หากฮูหยินเป็นอะไร จะรักษาได้
ทันท่วงที” เขาถามบ่าวไพร่ว่า “ลู่เซิง อาหาร
จัดเสร็จแล้วหรือยัง?”
บ่าวไพร่ที่ชื่อลู่เซิงรีบตอบว่า “ท่านเจ้าสานัก
จัดเรียบร้อยแล้วขอรับ ไปรับประทานได้เลย”
“ดี เจ้าพาแขกของข้าไปที่สวนดอกไม้ที” ลู่ซาง
เฮ่อสั่ง “ข้าจะไปดูฮูหยินก่อน แล้วจะรีบตาม
ไป” เขายกมือคานับ แล้วก็จากไป
เจ้าสานักหงเหมินลูบเคราถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “เจ้าสานักลู่ให้ความสาคัญกับมิตรภาพมาก
อยู่กับพวกเราไม่เคยถือตัวเลย แต่ว่าพอเป็น
เรื่องการดูแลฮูหยิน กลับพิถีพิถันนัก”
ลู่เซิงเดินขึ้นหน้ามายกมือคานับแล้วพูดว่า
“จอมยุทธ์ทุกท่าน เชิญตามข้าน้อยไปที่สวน
ขอรับ”
ครั้งที่แล้วฉีหนิงไปที่สานักเฟิงเจี้ยน ได้ประมือ
กับพ่อบ้านชุดเขียว ถึงแม้จะเป็นแค่พ่อบ้าน
แต่วรยุทธไม่ธรรมดาเลย ตอนนี้พอเห็นลู่เซิง
เขาก็มอง เห็นลู่เซิงหน้าตาธรรมดา เคารพนอบ
น้อมดี ก็คิดว่าน่าจะไม่เป็นวรยุทธ์
ทุกคนเดินตามลู่เซิงไป จนมาถึงสวนดอกไม้
ภายในสวนดอกไม้ดสู ดชื่น ดอกไม้บานอยู่ไม่
มาก แต่กลับดูเรียบง่ายสบายตา ฉีหนิงเห็น
ภายในสวนดอกไม้ตกแต่งสวยงาม แสดงว่าลู่
ซางเฮ่อก็ลงทุนกับสวนนี่ไม่น้อยเลย
ริมสระน้า มีศาลาอยู่ตั้งอยู่ ลู่เซิงเชิญพวกเขา
มาที่ศาลาริมน้า ภายในมีการจุดตะเกียงไฟ
สว่างไสวสวยงาม ทัง้ สี่ด้านมีฉากบังลมขนาด
ใหญ่กั้นอยู่ ตรงกลางมีโต๊ะไม้สีแดงเลือดหมู
บนโต๊ะมีอาหารว่างวางอยู่
หลังจากพวกเขานั่งลงแล้ว ลู่เซิงก็ถามว่า “ทุก
ท่าน ไม่ทราบจะให้นาอาหารมาเลยหรือไม่
ขอรับ?”
เจ้าสานักหงเหมินมองไปที่เซี่ยงไป๋อิ่งแล้วถาม
ว่า “ท่านประมุขเซี่ยง พวกเราจะกินกันก่อน
หรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งเหมือนจะไม่ได้ยิน เขาเหมือนกาลัง
คิดอะไรอยู่ เจ้าสานักหงเหมินขมวดคิ้ว จากนั้น
ก็กระแอม แล้วพูดกับลู่เซิงว่า “รอท่านเจ้า
สานักลู่มาก่อนก็แล้วกัน”
ลู่เซิงรับคา แล้วถอยออกไป
ฉีหนิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ เขารู้สึกเบือ่ มาก หากไม่ใช่
เพราะเซี่ยงไป๋อิ่ง เขาคงไม่มีทางนั่งร่วมโต๊ะกับ
เจ้าสานักหงเหมินแน่นอน เขารู้ดีว่า หากเซี่ยง
ไป๋อิ่งไม่ได้ไว้หน้าลู่ซางเฮ่อ พวกเขาสองคนไม่มี
ทางได้มานั่งร่วมโต๊ะกับประมุขพรรคกระยาจก
แน่นอน
ฉีหนิงเห็นเซี่ยงไป๋อิ่งเหมือนมีเรือ่ งในใจ คิดว่า
น่าจะเป็นเพราะฮูหยินลู่แน่ เขาพอจะเดาได้
เซี่ยงไป๋อิ่งกับลู่ซางเฮ่อเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
กัน พวกเขาจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
มากกับฮูหยินลู่ เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นคนนิสัยสบายๆ
ไม่ชอบผูกมัด แต่ว่าหลังจากทีม่ าถึงที่ตาหนักอิ่
งเฮ่อ เขาเหมือนจะดูจริงจังสุขมุ ขึ้นมาก
เจ้าสานักหงเหมินกับจอมยุทธ์เหอนั่งคุยกัน ฉี
หนิงไม่ได้สนใจพวกเขา แล้วก็ไม่คุยกับพวกเขา
ด้วย ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเจ้าสานักหงเหมินพูด
ขึ้นมาว่า “ท่านประมุขเซีย่ ง ได้ยินมาว่าอีกไม่กี่
เดือน พรรคกระยาจกจะมีงานชุมนุมชิงมู่ที่จัด
ขึ้นสามปีครั้ง ไม่ทราบว่างานนีจ้ ัดขึ้นที่ไหน
หรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งเงยหน้ามามอง เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านเจ้าสานักหงเหมินอยากจะเข้าพรรค
กระยาจกหรือ?”
เจ้าสานักหงเหมินตะลึงไป จอมยุทธ์เหอพูดว่า
“ท่านประมุขเซี่ยงอารมณ์ขันเชียว สานักชีชิง
ของท่านเจ้าสานักหงเหมินถึงแม้จะสู้พรรค
กระยาจกไม่ได้ แต่ว่าก็เป็นสานักที่มีชื่อในแถบ
ซีชวนนี้ เป็นถึงเจ้าสานัก จะเข้าร่วมพรรค
กระยาจกได้อย่างไร”
“ในเมื่อท่านเจ้าสานักหงเหมินไม่ได้อยากจะ
เข้าพรรคกระยาจก แล้วจะถามทาไมว่างาน
ชุมนุมชิงมู่จัดขึ้นที่ไหน?” เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูด
ว่า “ในเมือ่ ท่านเจ้าสานักมีเพื่อนเป็นคนของ
พรรคกระยาจก ก็น่าจะรู้ งานชุมนุมชิงมู่ของ
พรรค มีแต่ศิษย์ของพรรคเท่านั้นที่เข้าร่วมได้”
เจ้าสานักหงเหมินรูส้ ึกอับอายขึ้นมาจึงพูดแก้
เขินว่า “ข้าก็แค่อยากรู้เฉยๆ”
ฉีหนิงเดิมทีก็ไม่ค่อยจะถูกชะตากับเจ้าสานักหง
เหมินอยู่แล้ว เขาเลยตั้งใจพูดว่า “เจ้าสานักหง
เหมินคิดอยากจะรู้เรือ่ งภายในของพรรค
กระยาจก แสดงว่าคนอื่นๆ ก็สามารถสอบถาม
เรื่องภายในของสานักชีชิงได้เหมือนกัน? จริงสิ
เจ้าสานักหงเหมิน สานักของท่านมีกันกี่คน
แล้วเลือกผู้สืบทอดคนต่อไปหรือยัง? ท่านเองก็
อายุมากแล้ว น่าจะคิดเรื่องผู้สืบทอดคนใหม่ได้
แล้วนะ”
เจ้าสานักหงเหมินหน้านิ่งไป แต่เพราะเขาก็
ท่องยุทธภพมานาน ไม่นานเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ขอบคุณโหวน้อยที่เป็นห่วง ทีจ่ ริงเรื่องงาน
ชุมนุมชิงมู่ของพรรคกระยาจก ก็ไม่ใช่ความลับ
อะไร อีกไม่นาน คนก็รู้กันทั่วแล้ว พรรค
กระยาจกแบ่งออกเป็นฝ่ายใต้กับฝ่ายเหนือ
ถึงแม้จะเป็นพรรคเดียวกัน แต่ว่าทั้งสองฝ่ายก็
ไม่ได้ถูกกัน เรื่องนี้กไ็ ม่ได้เป็นความลับอะไร”
เซี่ยงไป๋อิ่งเดิมทีก็ไม่ได้สนใจอะไรพวกเขาสอง
คนมากนัก แต่พอได้ยินแบบนี้แล้ว สายตาของ
เขาก็เปลีย่ นไป จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าสานักหง
เหมินทาไมถึงกล่าวเช่นนี?้ ข้าเดินทางขึ้นเหนือ
ล่องใต้ ไม่เคยได้ยินว่าพรรคกระยาจกทั้งสอง
ฝ่ายไม่ถูกกันนะ เจ้าสานักหงเหมินไปเอาข้อมูล
พวกนี้มาจากไหน?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 474 หญิงผู้เลอโฉม
เจ้าสานักหงเหมินยิม้ แล้วพูดว่า “ท่านประมุข
เซี่ยงท่านถามอะไรที่ท่านรู้อยู่แก่ใจแบบนี้ไป
ทาไมกัน ไปถามใครในยุทธภพดูก็ได้ มีใครบ้าง
ไม่รู้เรื่องนี?้ ”
“อย่างนั้นรึ?” เซี่ยงไป๋อิ่งสีหน้านิ่งมาก “ตั้งแต่
ก่อตั้งพรรคกระยาจกมา ถึงแม้จะมีปากเสียง
กันบ้าง แต่ไม่เคยมีเรื่องอย่างที่เจ้าสานักหง
เหมินว่า พี่น้องพรรคกระยาจกไม่กินเส้นกัน
วันนี้ท่านพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าคงต้องสืบให้รู้
ความจริง ว่ามันออกมาจากปากใคร?” เขาจ้อง
ไปที่เจ้าสานักหงเหมิน แล้วพูดว่า “เรื่องท่าน
เป็นคนพูดมากความไปเอง หรือว่าเบื้องหลังมี
คนคอยปล่อยข่าวลืออยู”่
เจ้าสานักหงเหมินอึง้ ไป เซี่ยงไป๋อิ่งถึงแม้จะดูนิ่ง
แต่ว่าสายตาของเขาทั้งดุและดูเฉียบคม ทาให้
เขารู้สึกไม่ค่อยสบาย เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านประมุขเซี่ยง ข้าคงพูดมากไปเอง”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเจ้าสานักหงเหมินนีก่ ็กล้า
บ้าบิ่นเกินไปแล้ว สานักชีชิงเป็นแค่สานักเล็กๆ
แต่กลับกล้าพูดจาแบบนี้ต่อหน้าเซี่ยงไป๋อิ่ง เขา
รู้ว่า คนพวกนี้อาศัยความเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
กับเซี่ยงไป๋อิ่ง ต่อให้พดู อะไรผิดไป เซี่ยงไป๋อิ่งก็
คงไม่ทาอะไรพวกเขาแน่
เซี่ยงไป๋อิ่งหยิบเม็ดทานตะวันขึ้นมา จากนั้นก็
พูดว่า “ถึงแม้พรรคกระยาจกจะมีแต่ขอทาน
แต่ว่าหากมีใครคิดจะแทงข้างหลังพวกเรา ข้า
ไม่มีทางยอม” น้าเสียงของเขาเรียบง่าย แต่ให้
ความรู้สึกข่มขู่อยู่บ้าง
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงของลูซ่ างเฮ่อหัวเราะ
มาจากด้านหลังฉากบังลม “ฮูหยิน ข้าไม่เคย
โกหกเจ้าเลยนะ วันนี้พอเจ้าได้เจอคนที่มา เจ้า
จะต้องดีใจมากแน่ เจ้าไม่มีทางทายถูกแน่ว่า
เป็นใคร”
เจ้าสานักหงเหมินกับจอมยุทธเหอได้ยินเสียง ก็
ต่างลุกขึ้นมา เซี่ยงไป๋อิ่งสะดุ้ง แต่ไม่ได้ลกุ ขึ้นมา
ฉีหนิงหันไปมอง เห็นฉากบังลมด้านหลังเซี่ยง
ไป๋อิ่ง ลู่ซางเฮ่อเดินมาก่อน แล้วจูงอีกคนเข้ามา
คนๆ นั้นค่อยๆ เดินออกมาจากฉากบังลม เป็น
สาวรุ่นคนหนึ่ง
นางสวมชุดสีส้มออกแดง คลุมด้วยผ้าแพรที่ปัก
ด้วยขนกระต่าย มีผ้าคาดเอวสีส้มปักด้วยหยก
น้างาม ผมรวบปักปิ่นลายปะการัง ใบหน้า
งดงาม ราวกับภาพวาด ผิวเนียนราวกับผิวไข่
นางเป็นผู้หญิงที่สวยมาก แต่สิ่งที่ใครก็ไม่อาจ
ลืมได้เลยคือดวงตาของนาง
ฉีหนิงได้พบนาง ก็ตกตะลึงไป
เขาเจอคนสวยมาก็มาก ไม่ว่าจะกู้ชิงฮั่นหรือว่า
เถียนฮูหยิน ต่างก็เป็นหญิงงามหายากทั้งนั้น
แม้แต่แม่หมอของถ้าชางซีเองก็งดงาม
แต่ว่าเมื่อเทียบกับผูห้ ญิงคนนี้ ผู้หญิงคนอื่นก็
เหมือนจะเทียบไม่ติดเลย
หญิงคนนั้นสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ตั้งแต่จมูกลง
มา เหมือนไม่อยากให้คนอื่นเห็นใบหน้าของ
นางทั้งหมด แต่ว่ามันก็ยังไม่อาจปกปิดโครง
หน้าที่งดงามได้เลย
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่เจ้าสานักหงเหมินชมว่านาง
เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของซีชวน ตอนนัน้ เขา
ไม่ค่อยเชื่อ แต่ในตอนนี้ เขาคิดว่าไม่ได้พูด
เกินไปเลย ฮูหยินลู่งดงามมากจริงๆ พูดได้ว่าใน
ซีชวนคงมีคนสวยแบบนี้ไม่กี่คนแน่
เจ้าสานักหงเหมินกับจอมยุทธเหอเห็นฮูหยินลู่
เดินมา ก็คานับ แล้วพูดว่า “คานับฮูหยิน”
ฮูหยินลู่ก็ทาความเคารพกลับ ท่าทางของนาง
งดงามมาก นางพูดว่า “เจ้าสานักหงเหมิน ท่าน
จอมยุทธ์เหอ” เหมือนกับว่าพวกเขาสองคนมา
ที่นี่บ่อย ฮูหยินลู่ถึงได้จาได้
ลู่ซางเฮ่อยกมือยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ท่านนี้คือ
ท่านจิ่นอีโหว”
ฮูหยินลู่สายตาเหมือนจะเป็นประกาย แล้ว
คานับ “คารวะโหวเยว่”
“มิกล้า” ฉีหนิงรีบทาความเคารพคืน “ฉีหนิง
คานับฮูหยิน” เห็นลู่ซางเฮ่ออยู่กับลู่ฮูหยิน
ใบหน้าของลู่ซางเฮ่อดูดีขึ้นมา ท่าทางก็ไม่ได้
หยาบมาก แต่ในสายตาของฉีหนิง กลับรู้สึกว่า
พวกเขาสองคนเหมือนไม่ได้รักกัน ลู่ซางเฮ่อ
เหมือนไม่ได้เหมาะสมคู่ควรกับลู่ฮูหยินเลย
“นายท่านอยากให้ขา้ มาพบโหวเยว่หรือ?” ลู่ฮู
หยินยิ้มอย่างอ่อนโยน “ท่านจิ่นอีเหล่าโหวมา
ปราบซีชวน ชื่อเสียงเกรียงไกร ข้าน้อยเคยได้
ยินมาบ้าง”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “อย่างไรก็ต้องมา
เจอท่านโหวน้อย แต่ว่าคนที่ฮูหยินอยากเจอคง
ไม่ใช่ท่านโหวน้อยหรอกจริงหรือไม่” แล้วเขาก็
มองไปที่เซี่ยงไป๋อิ่งทีย่ ังไม่ลุกขึ้นมา “เซียวเหยา
ยังไม่มาคารวะพี่สะใภ้เจ้าอีก”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา ลู่ฮูหยินถึงกับสะดุ้ง
สายตาของนางมองไปที่เซี่ยงไป๋อิ่ง
เซี่ยงไป๋อิ่งค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วหันหลังไป เขา
ยิ้มอ่อนๆ ดูเหมือนลังเล แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้”
ลู่ฮูหยินสะดุ้ง สายตาของนางมองไปที่เซี่ยงไป๋
อิ่ง เซี่ยงไป๋อิ่งกลับก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับ
นาง
ฉีหนิงยืนอยู่ข้างๆ ตอนแรกเขาก็แค่เดา แต่พอ
ให้ฉากแบบนี้แล้ว เขาก็รู้ทันที
เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นผู้ชายอกสามศอก ท่องยุทธภพ
ไปทั่ว อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ต่อให้เป็นชาวยุทธ์
เองจะมีสักกี่คนที่กล้ามีปัญหากับเขา? เซี่ยงไป๋
อิ่งจะกลัวใครได้?
แต่ในตอนนี้ คนที่สบายๆ อย่างเซี่ยงไป๋อิ่ง พอ
อยู่ต่อหน้าลู่ฮูหยินผูเ้ ลอโฉม กลับไม่กล้าแม้แต่
จะสบตานาง
ฉีหนิงรู้ดีว่ามันคืออะไร ผู้ชายอย่างเซี่ยงไป๋อิ่
งไม่กล้าเงยหน้าต่อหน้าผู้หญิง แสดงว่านางต้อง
เป็นผู้หญิงที่เซี่ยงไป๋อิ่งรู้สึกผิดด้วยแน่นอน
ภายในศาลาริมน้าเงียบลงทันที ฉีหนิงรู้สึกว่า
บรรยากาศกดดันแปลกๆ หลังจากนั้น ก็ได้ยินลู่
ฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “หลายปีมานี้...เจ้าสบายดี
หรือไม่? ข้า...พี่ใหญ่ของเจ้าคิดถึงเจ้าตลอด
เวลาเลยนะ”
เซี่ยงไป๋อิ่งเงยหน้าขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
สบายดี ขอบคุณ...ขอบคุณพี่สะใภ้ที่เป็นห่วง”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ข้า
บอกเจ้าแล้วว่าเจ้าจะต้องประหลาดใจแน่ ข้า
ไม่ได้โกหกเจ้าใช่หรือไม่ หลายปีที่ผ่านมาเซียว
เหยาเขาไปสร้างผลงานใหญ่มาด้วยนะ ตอนนี้
เขาเป็นถึงประมุขพรรคกระยาจก พรรคอันดับ
หนึ่งในใต้หล้าเลยนะ เซียวเหยาของพวกเรา
เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้วนะ ฮ่าฮ่าฮ่า
...” เขาหัวเราะอย่างสะใจ เหมือนว่าดีใจที่เห็น
น้องชายของตัวเองกาลังเสียใจอยู่
ลู่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “หากท่านลุงลู่ได้รับรู้
จะต้องดีใจมากแน่”
คาพูดของลู่ฮูหยินเหมือนเป็นคนใจกว้างใจดี
แต่ฉีหนิงกลับรู้สึกว่ามันเป็นแค่คาพูดตาม
มารยาทเท่านั้น อีกทัง้ ยังดูห่างเหินด้วย
ฉีหนิงรู้ดีว่าตอนนี้เซีย่ งไป๋อิ่งน่าจะรู้สึกสับสน
มาก เขาเลยคิดอยากจะทาลายบรรยากาศอึด
อัดนี้ลง “ท่านเจ้าสานักลู่ ข้ารูส้ ึกหิวแล้ว พวก
เรากินกันเลยดีหรือไม่?”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “แย่จริง ท่านโหว
น้อย ต้องขออภัย ลู่เซิง รีบสั่งให้คนเอาอาหาร
มา ฮูหยิน เมื่อก่อนเวลามีแขกมา เจ้าไม่เคย
มาร่วมโต๊ะเลย แต่ว่าวันนี้เซียวเหยากับท่าน
โหวน้อยอยู่ที่นี่ด้วย เซียวเหยาเองก็ไม่ใช่คนอื่น
ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี เจ้าก็อยูก่ ินข้าวกับพวก
เราด้วยกันที่นี่เถอะนะ”
ลู่ฮูหยินส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “สองวันนี้ขา้
รู้สึกไม่ค่อยสบาย วันนี้คงไม่สะดวกจะอยู่ด้วย
เจ้าสานักหงเหมิน พวกท่านเดินทางมา
เหนื่อยๆ ก็กินกันให้เต็มที่นะ” นางทาความ
เคารพแล้วก็เดินกลับเข้าไป
เซี่ยงไป๋อิ่งยืนมองแผ่นหลังของนางที่เดินจากไป
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ค่อยๆ นั่งลง ใบหน้าของ
เขาดูเศร้าหมองเป็นอย่างมาก
ลู่ซางเฮ่อเดินไปส่งลู่ฮูหยิน จากนั้นก็ย้อนกลับ
มา แล้วนั่งลง “เซียวเหยา พี่สะใภ้เจ้าไม่ได้เจอ
กันมาตั้งหลายปี สงสัยคงดีใจมากไปหน่อย ให้
นางตั้งสติสักหน่อย เจ้าเองก็อยู่ที่นี่หลายวัน
หน่อยข้าจาได้ว่าเจ้าชอบโจ๊กธัญพืชที่ซู่อิ่งทา ไว้
ข้าจะให้พี่สะใภ้เจ้าทาให้เจ้ากินนะ”
“ไม่...ไม่เป็นไร” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “วันนี้แค่ได้
พบกัน ก็ดีมากแล้ว พี่ใหญ่ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไป
ทาอีก โหวน้อยเองก็ต้องรีบกลับเมืองหลวง คง
ไม่สะดวกอยู่นาน พรุ่งนี้คงต้องออกเดินทางเลย
วันหลังหากมีเวลา ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่าน
ใหม่”
ลู่ซางเฮ่อขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ทาอะไรไม่
ถูกใจหรือดูแลไม่ทั่วถึงหรือ? เจ้าเองก็รู้วา่ ข้า
เป็นคนหยาบ หากดูแลไม่ดี เจ้าก็บอกข้า ข้ากับ
พี่สะใภ้เจ้าอยู่ที่นี่ ที่นคี่ ือบ้านของเจ้า กลับมา
บ้าน อยู่แค่คืนเดียวก็จะไปแล้ว หากมีใครรู้เข้า
เขาจะได้หาว่าข้าลู่ซางเฮ่อไม่เห็นพี่น้องสาคัญ
ไล่น้องชายตัวเองออกจากบ้านไปน่ะสิ”
“พี่ใหญ่อย่าพูดแบบนั้น” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “พี่
ใหญ่ดีกับข้าเหมือนข้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของ
ท่าน จะดูแลไม่ดีได้อย่างไร ข้า...”
“ท่านประมุขเซี่ยง ท่านเจ้าสานักลู่ตั้งใจจริง
แบบนี้ ท่านก็อย่าทาร้ายจิตใจเขาเลยนะ” เจ้า
สานักหงเหมินยิ้มแล้วพูดว่า “พวกท่านพี่น้อง
สองคนนานๆ ได้เจอกันที ท่านโหวน้อยเองก็มี
กิจมาก ก็คงไม่เสียเวลาพวกท่านพี่น้องจะราลึก
ความหลังกันหรอก หากโหวน้อยต้องเร่ง
เดินทาง พรุ่งนี้ข้ากับจอมยุทธ์เหอจะคุ้มกันไป
ส่งที่เมืองเฉิงตูให้เอง ระยะทางจากที่นี่ไปก็
น่าจะไม่เกินหนึ่งวัน”
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “เซียวเหยา เจ้าก็อยู่หลายวัน
หน่อย ท่านโหวน้อยเองก็เหมือนกัน ท่านไม่ได้
มีโอกาสมาที่นี่บ่อยๆ จะต้องให้ข้าได้ต้อนรับ
ท่านนะ จริงสิ เซียวเหยา เจ้าจาเขาไป๋หม่าที่อยู่
ไม่ไกลจากที่นี่ได้ไหม? พรุ่งนี้พวกเราขึ้นเขาไป
ล่าสัตว์กัน ท่านโหวน้อยอยู่แต่ในเมืองหลวง
ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ง่ายๆ อย่างไรก็อยู่เที่ยว
ก่อนนะ”
เซี่ยงไป๋อิ่งถึงกับพูดไม่ออก
บนโต๊ะมีสุรามากมาย เซี่ยงไป๋อิ่งชอบดื่มอยู่
แล้ว บวกกับเขาอารมณ์ไม่ดี เขาเลยดื่มเข้าไป
มาก ฉีหนิงไม่ใช่คนชอบดื่ม พอถึงเที่ยงคืน เขา
เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งเมามากแล้ว เจ้าสานักหงเหมิน
กับจอมยุทธ์เหอเองก็มึนๆ กันหมดแล้ว
หลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว ลู่ซางเฮ่อสั่งให้คน
พาเซี่ยงไป๋อิ่งกับฉีหนิงไปพัก ที่ตาหนักอิ่งเฮ่อนี่
กว้างขวางมาก มีหลายห้องหลายเรือน ลู่เซิงพา
พวกเขามาที่ห้องรับรอง ห้องของทั้งคู่อยู่ตดิ กัน
ฉีหนิงพยุงเซี่ยงไป๋อิ่งเข้าไปในห้องด้วยตัวเอง
จากนั้นก็พยุงเขานอนลง เดิมคิดจะกลับไปที่
ห้องข้างๆ แต่คิดว่าเซี่ยงไป๋อิ่งก็เมาไม่เป็นท่า
อยู่ดูแลเขาในห้องจะดีกว่า
เขานั่งงีบที่เก้าอี้ ด้วยความสะลึมสะลือไม่รู้ว่า
นอนไปนานแค่ไหน พอลืมตาขึน้ มา ก็พบว่า
เซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้อยู่ที่เตียงแล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 475 คู่รักที่โตมาด้วยกัน
เมื่อฉีหนิงเห็นว่าเตียงว่างเปล่า เขาก็พลันตกใจ
ขึ้นมาทันที รีบหันมองไปที่หน้าประตูห้อง เขา
จาได้ว่าหลังจากที่เขาเข้ามาที่ห้องนี้แล้ว ประตู
มันล็อคอยู่ อีกทั้งเขาเองก็เป็นคนตื่นตัวง่าย ต่อ
ให้หลับอยู่ ก็ระวังตัวเป็นอย่างดี หากมีคนแอบ
เข้าห้องมา เขาจะต้องรู้แน่นอน แต่ว่าตอนนี้
ประตูห้องมันแง้มเปิดเล็กน้อย เขาก็ตกใจมาก
เขาลุกขึ้น ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดนตรี
บรรเลงดังขึ้นมา เมื่อตั้งใจฟัง มันคือเสียง
บรรเลงของกู่เจิง
ฉีหนิงค่อยๆ เดินออกจากห้องไป เขาเห็นเซี่ยง
ไป๋อิ่งนั่งพิงเสาอยู่ตรงบริเวณทางเดิน ในมือถือ
ถุงหนังวัว เขากาลังเงยหน้ามองพระจันทร์ราว
กับกาลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ฉีหนิงเห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก เขา
คงจะคิดมากไปเอง เซี่ยงไป๋องิ่ ถือเป็นสุดยอด
ฝีมือคนหนึ่งในยุทธภพ ถึงแม้เขาจะเมาเพราะ
ฤทธิ์เหล้าแต่ก็ไม่มีใครสามารถทาอะไรเขาได้
เสียงบรรเลงดนตรีดังลอยมา เหมือนจะมาจาก
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทีต่ าหนักอิ่งเฮ่อ
หลังจากฟ้ามืดแล้ว แถวนี้ก็จะเงียบสงบมาก
ดังนั้นเสียงดนตรีกู่เจิงที่บรรเลงอยู่นี้จึงได้ยนิ
อย่างชัดเจน
ฉีหนิงไม่ได้เชี่ยวชาญด้านดนตรีขนาดนั้น เห็น
เซี่ยงไป๋อิ่งยืนนิ่งไม่ขยับตัว ราวกับกาลังนัง่
เหม่อมองพระจันทร์อยู่อย่างนั้น เมื่อฉีหนิงนั่ง
ลงข้างๆ เขา เขาถึงได้หันหน้ากลับมามอง แล้ว
ก็ยิ้มให้ฉีหนิง
ฉีหนิงรู้ดีว่าเซี่ยงไป๋องิ่ ได้พบคนที่ไม่ได้เจอกันมา
นานหลายปี จึงทาให้เขาสับสน เขาออกมากิน
เหล้าคนเดียวกลางดึกราวกับอยากจะระบาย
ความในใจออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกู่เจิงนัน่ ก็หายไป เซี่ยง
ไป๋อิ่งหยิบถุงหนังวัวออกมา แล้วดื่มเข้าไปอึก
ใหญ่
ฉีหนิงพูดเบาๆ ว่า “ท่านอาเซี่ยง คืนนี้ทา่ นดื่ม
มากแล้วนะ อย่าดืม่ อีกเลย มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงตื่น
ขึ้นมาล่ะ?”
“จู่ๆ ก็ตื่นเอง” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอา
เซี่ยง ท่านคงไม่ได้ตื่นเพราะเสียงกู่เจิงหรอก
กระมัง?”
เซี่ยงไป๋อิ่งอึ้งไป เขายิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ท่านอาเซี่ยง เสียงกู่เจิงนั่นใครเป็นคนบรรเลง
หรือ?” ฉีหนิงถามด้วยความสงสัย “ดึกๆ ดื่นๆ
แบบนี้ ทาไมถึงยังไม่นอนนะ?”
“ซู่...ลู่ฮูหยิน” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “นางฝึกเล่น
ดนตรีและอ่านเขียนวาดภาพมาตั้งแต่เล็ก กู่เจิง
เป็นสิ่งที่นางชอบมากที่สดุ ”
“ท่านรู้จักกับนางมาตั้งแต่เล็กแล้วหรือ?” ฉี
หนิงถามด้วยความประหลาดใจ
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า แล้วพูดว่า “พ่อของลู่ฮู
หยินเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งในยุทธภพ พ่อของ
นางเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับพ่อของข้า ท่านลุง
ลู่นิสัยตรงไปตรงมา โชคร้ายไปมีเรื่องกับกลุ่ม
ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งเข้า ตระกูลลู่ถูกฆ่าล้าง
ตระกูล ท่านลุงลู่กับฮูหยินฝ่าวงล้อมด้วยแรง
เฮือกสุดท้ายออกมา แล้วมายังสานักเฟิงเจี้ยน”
ฉีหนิงตะลึงไป เซี่ยงไป๋อิ่งมองไปที่พระจันทร์
แล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้าอายุสิบเอ็ด ลู่ฮูหยินเอง
ตอนนั้นก็ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุหกขวบ
เท่านั้น พอท่านลุงลูม่ าถึงสานักเฟิงเจี้ยน ก็ได้
ฝากฝังลู่ฮูหยินกับท่านพ่อ จากนั้นเขาก็ตายไป
เพราะพิษบาดแผล ท่านพ่อออกหน้าแก้แค้น
ให้กับตระกูลลู่ ส่วนลู่ฮูหยินก็อยู่ที่ตระกูลเซี่ยง
นับจากนั้นเป็นต้นมา ท่านพ่อก็เห็นนางเหมือน
ลูกแท้ๆ ของตัวเอง...”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขาสอง
คนทันที เขาอดถามไม่ได้ว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่าน
อาเซี่ยงกับลู่ฮูหยินก็เป็นคู่รักที่โตมาด้วยกัน
สินะ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งสะดุ้ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ข้าเห็น
นางเป็นแค่น้องสาวคนหนึ่ง อีกทั้ง...ตอนนี้นาง
ก็แต่งงานแล้ว นางมีชีวิตที่ดี ข้าเองก็วางใจ”
ฉีหนิงรู้ดีว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างที่เซี่ยงไป๋อิ่ง
เล่า หากเซี่ยงไป๋อิ่งเห็นนางเป็นแค่น้องสาว ไม่
มีทางที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน แล้วจะไม่กล้า
มองหน้าลู่ฮูหยินแบบนั้น
“ท่านอาเซี่ยง เสียงกู่เจิงเมื่อครู่ เหมือน...
เหมือนมันจะดูเศร้าๆ” ฉีหนิงพูดว่า “ความสุข
มันอยู่ที่ใจ หากว่า...ข้าพูดอะไรไปทาให้ท่านไม่
พอใจอย่าโกรธข้าเลยนะ ถ้าลู่ฮูหยินมีความสุข
จริง ทาไมเสียงดนตรีของนางมันถึงฟังดูเศร้า
เช่นนั้น?”
เซี่ยงไป๋อิ่งขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อย่าพูด
เหลวไหล เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก จะไปรู้อะไร”
ตอนนี้เขาดูเหมือนผูใ้ หญ่ต่อว่าเด็ก
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง ข้า
ไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ หลายเรื่องข้าก็พอ
มองออกอยู่”
“เจ้ามองอะไรออกบ้าง?” เซี่ยงไป๋อิ่งเหลือบไป
มองฉีหนิง แล้วพูดด้วยน้าเสียงไม่ค่อยดีวา่
“อะไรที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่เรื่องของเรา ก็อย่า
ไปมอง อย่าไปฟัง เจ้าไม่เคยเรียนมาหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “บางเรื่อง ถึงจะตาบอดก็ยัง
มองเห็นเลย” เขาเขยิบเข้าไปใกล้ “ท่านอา
เซี่ยง ท่านชอบลู่ฮูหยินใช่หรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งหน้าถอดสี เปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา
ทันที แล้วพูดว่า “อย่าพูดเหลวไหล”
“ท่านอาเซี่ยง เดิมทีข้าเองก็ไม่ควรพูด” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ระหว่างทางที่มาที่นี่
ท่านดูใจลอย หลังจากที่ท่านได้พบลู่ฮูหยินแล้ว
ท่านก็เอาแต่ดื่มเหล้า ท่านเป็นถึงประมุขพรรค
กระยาจก มีอะไรบ้างที่ไม่เคยพบไม่เคยเจอ แต่
ตอนนี้ท่านกลับใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซึ่งดู
ไม่เป็นท่านเลย” เขามองไปที่เซี่ยงไป๋อิ่ง ส่าย
หน้าแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่พูดแล้ว แต่ว่า
เมื่อครู่ท่านก็พูดเอง ลู่ฮูหยินนางแต่งงานไปแล้ว
อะไรที่ควรปล่อยท่านก็ต้องปล่อย”
เซี่ยงไป๋อิ่งขมวดคิ้ว แล้วจ้องไปที่ตาของฉีหนิง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ส่ายหน้า แล้วพูดว่า
“ข้าขึ้นเหนือล่องใต้ ดูแลพรรคบัญชาการพรรค
กระยาจก คิดไม่ถึงเลยวันนี้ต้องให้เด็กน้อย
อย่างเจ้ามาสั่งสอนข้า” เขาหยิบถุงหนังวัว
ขึ้นมาดื่ม แต่พบว่ามันหมดแล้ว เขาโยนไปให้ฉี
หนิง แล้วพูดว่า “ไปเอาเหล้ามาให้ข้าที”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง ดึกมากแล้ว ข้าจะ
ไปหาเหล้ามาให้ท่านได้อย่างไร? ข้าไม่รู้ว่า
ตาหนักอิ่งเฮ่อนีเ่ ก็บเหล้าไว้ที่ไหนบ้าง”
เซี่ยงไป๋อิ่งเหลือบไปมองเขาแล้วพิงเสา เอามือ
กอดอก หลับตาลง แล้วไม่พูดอะไรอีก
ฉีหนิงเดาได้ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งกับลู่ฮูหยินน่าจะเป็น
คนรักที่โตมาด้วยกันแน่นอน ตอนนั้นประมุข
พรรคกระยาจกก็น่าจะชอบลู่ฮูหยินแล้ว แต่
ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลู่ฮูหยินถึงได้ไป
แต่งงานกับลู่ซางเฮ่อได้
ถึงแม้ลู่ซางเฮ่อจะเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ วร
ยุทธ์เก่งกาจ นิสัยสบายๆ แต่ว่าเรื่องนี้เขากลับ
ยังปล่อยวางไม่ได้ หรือว่านี่อาจจะเป็นจุดอ่อน
ของเซี่ยงไป๋อิ่ง
เช้าวันต่อมา ลู่เซิงได้มาเชิญทั้งคู่ไปกินข้าวเช้า
มีบ่าวไพร่สองคนมาดูแลพวกเขาล้างหน้าล้าง
ตา ลู่เซิงพาพวกเขามายังห้องอาหาร เห็นลู่ซาง
เฮ่อมารออยู่แล้ว เห็นพวกเขาสองคนเข้ามา ก็
ยิ้มแล้วพูดว่า “เซียวเหยา ท่านโหวน้อย เมื่อ
คืนข้าได้สั่งให้คนเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว
เดี๋ยวพวกเรากินข้าวเสร็จ พวกเราจะไปล่าสัตว์
กันที่เขาไป๋หม่า ช่วงนี้ เหมาะกับการล่าสัตว์
มาก คืนนีพ้ วกเราล่าอะไรได้ก็มาทาอาหารเย็น
กัน”
ฉีหนิงมองไป เห็นภายในห้องอาหารมีเพียงลู่
ซางเฮ่อคนเดียว ก็เอ่ยปากถามว่า “เจ้าสานัก
หงเหมินล่ะ?”
“พวกเขากลับไปตั้งแต่เช้าแล้ว” ลู่ซางเฮ่อยิ้ม
แล้วพูดว่า “เซียวเหยา พวกของเจ้าสานักหง
เหมินเป็นคนแบบนี้แหละนะ แต่ว่าเขาไม่ใช่คน
เลว แค่ชอบคิดเล็กคิดน้อยแค่นั้น บุกขึ้นเขา
เชียนอูหลิงในครั้งนี้ คนของสานักเขาบาดเจ็บ
ไปสองคน เขาเลยไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ อาจจะ
พูดอะไรล่วงเกินไปบ้าง อย่าใส่ใจเลยนะ”
อาหารเช้าดีมาก ลู่ซางเฮ่อรู้นิสัยของเซี่ยงไป๋อิ่ง
ดี เขาเตรียมเหล้าเอาไว้ให้เซีย่ งไป๋อิ่งด้วย
“ในเวลานีข้ องทุกปี ข้าจะหาเวลาขึ้นเขาไป๋
หม่าไปล่าสัตว์” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นั่น
มีสัตว์ป่ามากมาย ถือเป็นลานล่าสัตว์ที่ดีมาก
เลย”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดัง
ขึ้น “ฆ่าสิ่งมีชีวิตมากเกินไป มันก็ไม่ดี อย่าไป
ล่าสัตว์ให้มากเลย” ลู่ฮูหยินยกถาดเข้ามา
“เซียวเหยา พี่สะใภ้เจ้าลุกขึ้นมาทาโจ๊กธัญพืช
ให้เจ้าแต่เช้าเลยนะ” ลู่ซางเฮ่อลุกขึ้น แล้วไป
ยกถาดจากมือลู่ฮูหยินมา “มา เจ้าลองกินดู
รสชาติยังอร่อยเหมือนเดิมหรือไม่”
บนถาดมีโจ๊กอยู่สามถ้วย ลู่ซางเฮ่อยกมาให้
เซี่ยงไป๋อิ่งกับฉีหนิงด้วยตัวเอง ส่วนเขาก็ยกให้
ตัวเองด้วย จากนั้นเขาก็มองไปที่ลู่ฮูหยินแล้ว
พูดว่า “ฮูหยิน ที่นไี่ ม่มีคนอื่น นั่งลงกินด้วยกัน
เถอะนะ”
ครั้งนี้ลู่ฮูหยินไม่ได้ปฏิเสธ นางนั่งลงข้างๆ ลู่ซาง
เฮ่อ ถึงแม้จะไม่มีคนอื่น แต่ว่าลู่ฮูหยินก็ยงั เอา
ผ้าปิดหน้าเอาไว้
“พี่เซียวเหยา ท่านลองกินดู” ลู่ฮูหยินพูดด้วย
น้าเสียงที่อ่อนโยนมาก “ข้าไม่ได้ทาโจ๊กมา
หลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังถูกปากท่านหรือไม่”
เซี่ยงเซียวเหยายิ้ม แล้วยกถ้วยโจ๊กขึ้นมา
จากนั้นก็ยกซดหมดถ้วย แล้ววางถ้วยเปล่าลง
เห็นลู่ฮูหยินมองมาที่เขา เขารีบพูดว่า “รสชาติ
เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าพูดอะไรไม่ตรงกับใจเลย ไม่ได้
เจอกันตั้งสิบแปดปี ต่อให้เก่งแค่ไหน จะจา
รสชาติเมื่อสิบแปดปีก่อนได้อีกหรือ?
ลู่ฮูหยินยิ้ม เวลานางยิ้มนางงดงามมาก
สามารถทาให้คนหวั่นไหวได้ นางพูดว่า “รสมือ
ข้าแย่ลงไปมาก ท่านตั้งใจปลอบใจข้ามากกว่า”
เซี่ยงไป๋อิ่งรีบพูดว่า “เปล่า รสชาติเหมือนเดิม
จริงๆ”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “เซียวเหยา ถ้าเจ้า
ชอบ เจ้าก็อยู่นานๆ หน่อย แล้วให้พี่สะใภ้เจ้า
ทาให้กินทุกวันเลย” เขามองไปที่ฉีหนิง แล้ว
พูดว่า “ท่านโหวน้อยท่านลองชิมดู”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพยักหน้า
หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว พวกเขาก็เริ่มเตรียมตัว
ลู่ซางเฮ่อพาคนของตาหนักไปอีกสี่ห้าคน ออก
เดินทางไปล่าสัตว์บนเขาไป๋หม่าด้วยกัน เขาไป๋
หม่าอยู่ห่างจากตาหนักประมาณสิบลี้ ซึ่งถือว่า
ไม่ไกล หลังจากที่ทุกคนขึ้นเขาไปแล้ว ลู่ซาง
เฮ่อให้คนปล่อยเหยีย่ ว เพื่อล่อให้สัตว์ออกมา
ฉีหนิงเป็นคนสองภพ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้
ขึ้นเขาล่าสัตว์ เขารู้สกึ ตื่นเต้นมาก ฝีมือธนูของ
ลู่ซางเฮ่อร้ายกาจมาก เวลาแค่ชั่วยามเดียว ก็
ยิงกระต่ายได้ถึงสองตัว ไก่ป่าอีกสามตัว แล้วก็
กวางอีกหนึ่งตัว แต่ยังไม่ได้หมูป่าเสือหรือว่า
หมาป่า ฉีหนิงเองก็ได้กวางหนึง่ ตัวกับไก่ป่าสอง
ตัว แต่ว่าเซีย่ งไป๋อิ่งเหมือนจะไม่ได้มีอารมณ์
ขนาดนั้น แต่ก็ได้กวางตัวเล็กมาตัวหนึ่ง
ออกล่าสัตว์มาได้สองชั่วยาม ก็เที่ยงแล้ว ลู่ซาง
เฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย หากพวกเรา
เข้าไปลึกกว่านี้ พวกเราอาจจะเจอหมูป่า หมา
ป่า ก็ได้นะ ฟ้ายังไม่มืด พวกเราค่อยกลับ
ออกมาก่อนมืดดีกว่า” เขามองไปที่เซี่ยงไป๋อิ่ง
แล้วถามว่า “เซียวเหยา เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ
หรือ? วันนี้เจ้าได้กวางตัวเล็กตัวเดียวเองนะ
พยายามหน่อย”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “พี่ใหญ่ เมื่อคืนข้าดื่มหนักไป
หน่อย รู้สึกเวียนหัว ข้า...ข้าอยากจะลงเขาไป
พัก ไว้ข้ารอพวกท่านกลับมา ข้าคงไม่เข้าไปใน
ป่าลึกแล้วนะ”
“หะ?” ลู่ซางเฮ่อตะลึงไป “ไม่สบายหรือ? ถ้า
อย่างนั้นพวกเราพอแค่นี้ก็ได้ กลับไปทีจ่ วน
ก่อน”
เซี่ยงไป๋อิ่งรีบพูดว่า “ไม่เป็นไร ท่านโหวน้อยไม่
ค่อยได้ออกมาล่าสัตว์ เขากาลังสนุกเลย ข้าลง
ไปพักก่อนก็พอ”
“เอ่อ...” ลู่ซางเฮ่อขมวดคิ้ว ฉีหนิงรู้ดีว่าเซี่ยงไป๋
อิ่งวรยุทธ์สูง กินเหล้าคอแข็งมาก จะปวดหัวไม่
สบายเพราะดื่มเหล้าเยอะได้อย่างไร เขารูส้ ึกว่า
มันแปลก เขาเดินเข้าไปใกล้ ยังไม่ได้พูดอะไร
เซี่ยงไป๋อิ่งก็พูดว่า “ท่านโหวน้อย ออกมาล่า
สัตว์ หากไม่ได้หมูป่า ถือว่าเสียแรงเปล่า วันนี้
พวกเจ้าต้องพยายามเข้านะ” จากนั้นก็ส่งสาย
ตาไปให้ฉีหนิง ฉีหนิงก็เข้าใจทันที เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ท่านเจ้าสานักลู่ ท่านประมุขเซี่ยงไม่
ค่อยสบาย พวกเราอย่าทาให้เขาลาบากใจเลย
นะ ครึ่งวันแล้วเขาเพิ่งได้กวางน้อยแค่ตัวเดียว
เอง แสดงว่าการล่าสัตว์อาจจะไม่ใช่ทางถนัด
ของเขา พวกเราเข้าป่าไปกันเถอะ ไปล่าหมูป่า
มาสักตัว”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 476 ขุยมู่หลาง
ลู่ซางเฮ่อยังเหมือนจะเป็นห่วง “เซียวเหยา เอา
อย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าเข้าป่าไปกับโหวน้อย เจ้า
กลับไปพักที่ตาหนักก่อน ในตาหนักมีหมอ ไป
ให้เขาตรวจดู”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง
อย่าให้ข้าต้องทาให้ท่านต้องหมดสนุกเลย” เขา
ไม่พูดอะไรมาก หันหลังแล้วลงจากเขาไปทันที
ลู่ซางเฮ่อขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เซียวเหยากาลัง
ภายในล้าเลิศ คอแข็งมากด้วย ทาไมจู่ๆ ถึงได้
ไม่สบายได้นะ?”
“เจ้าสานักลู่ ประมุขเซี่ยงมีเรื่องต้องทามาก
มาย ช่วงนีค้ งเหนื่อยมากเกินไป พอกลับมาถึง
ตาหนักอิ่งเฮ่อก็เหมือนกับได้กลับมาบ้าน รู้สึก
สบายผ่อนคลาย พอผ่อนคลาย เลยเริ่มไม่
สบาย” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “คนที่ยุ่งตลอด
เวลา จู่ๆ ได้พัก มันก็ไม่ง่ายเลยนะ”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “โหวน้อยพูดถูก
ต้องแล้ว เซียวเหยาร่างกายแข็งแรง ไม่ได้มี
ปัญหาอะไร” เขายกมือแล้วพูดว่า “โหวเยว่
พวกเราไปล่าหมูป่ากันเถอะ”
พวกเขาเดินเข้าไปในป่าลึก ในใจของฉีหนิงกลับ
ยังมีความสงสัยอยู่เล็กน้อย
เขารู้ดีว่า ด้วยวรยุทธ์ของเซี่ยงไป๋อิ่ง ต่อให้ไม่
สบาย ก็สามารถเดินลมปราณปรับเลือดลมให้
ฟื้นฟูกลับมาได้ เมื่อครู่เซี่ยงไป๋อิ่งส่งสายตาให้
เขา เพื่อให้เขาตามลู่ซางเฮ่อขึน้ เขา แล้วเขาก็
แสร้งทาเป็นไม่สบายรออยู่ที่ตีนเขา เห็นได้ชัด
ว่ามันเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
เซี่ยงไป๋อิ่งกับลู่ซางเฮ่อเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
กัน เหตุใดถึงต้องหาข้ออ้างเพือ่ จากไปด้วยล่ะ?
เขาจะไปไหนกันแน่?
ฉีหนิงเต็มไปด้วยความสงสัย เขาคิดอะไรไม่
ออกเลย
พอขึ้นเขาเข้าป่าลึกมาสัตว์ป่ามีมากกว่าเดิม
จริงๆ ทุกคนเองก็ดวงดีไม่เบา เจอหมูป่าเข้า
หนึ่งตัว ลู่ซางเฮ่อล่าสัตว์บ่อย จึงเกิดความ
ชานาญแล้ว สั่งการเพื่อล่าหมูป่าตัวนั้นมา พอ
ตกเย็น ไม่เพียงได้หมูป่ามา ยังได้สัตว์อื่นมาอีก
ไม่น้อยเลย หมูป่าได้ชายร่างกายาสองคนหาม
ทุกคนล้วนแต่พกสัตว์ป่า ได้กลับมาไม่น้อยเลย
ตอนที่ลงเขามา ไม่เห็นแม้แต่เงาของเซี่ยงไป๋อิ่ง
ทุกคนคิดว่าเขาอาจจะกลับไปที่ตาหนักแล้ว
กลับมาถึงที่ตาหนักอิง่ เฮ่อ ฟ้ายังไม่มืดเลย
พอกลับมาถึงตาหนัก ก็เห็นลู่เซินเดินขึ้นหน้า
มารับ ลู่ซางเฮ่อให้คนไปจัดการสัตว์ป่า เขาจึง
ถามลู่เซิงว่า “เซียวเหยาร่างกายเป็นอย่างไร
บ้าง? ได้ตามหมอมาดูหรือไม่?”
ลู่เซิงตอบว่า “ท่านประมุข ท่านโหวน้อย ท่าน
ประมุขเซีย่ งกลับไปแล้ว ไปได้ประมาณหนึ่งชั่ว
ยามแล้ว”
ลู่ซางเฮ่อตะลึงไป ฉีหนิงเองก็ตกใจ ลู่เซิงหยิบ
จดหมายออกมาสองฉบับ แล้วยื่นให้ “ท่านเจ้า
สานัก ท่านโหวน้อย นี่เป็นจดหมายที่ประมุข
เซี่ยงทิ้งเอาไว้ให้ เขาสั่งให้ข้ารอพวกท่าน
กลับมา แล้วมอบให้กับพวกท่าน” เขาตบหัว
หนึ่งทีแล้วพูดว่า “จริงสิ ยังมีคนของพรรค
กระยาจกรออยู่ด้วย” เขารีบเดินไป
ฉีหนิงเปิดจดหมายออกอ่าน ภายในมีอักษรไม่กี่
คา “มีเรื่องด่วน ไว้เจอกันที่เมืองหลวง” ชื่อเขา
ก็ไม่ได้ทิ้งไว้เลย
ลู่ซางเฮ่ออ่านจดหมายในมือของเขา เขาก็
ขมวดคิ้ว “เซียวเหยาเขาคิดจะทาอะไร ไปไม่
ลา เรื่องใหญ่แค่ไหน ก็ไม่น่าจะรีบร้อนไปแบบ
นี?้ ” สีหน้าของเขาไม่พอใจมาก
ในตอนนี้เอง ก็เห็นลูเ่ ซิงพาขอทานคนหนึ่งเดิน
มา ขอทานคนนั้นในมือถือคทาไม้ เขาเดิน
ขึ้นมาคานับแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ท่านเจ้าสานัก
ข้าน้อยอู๋อี้จากพรรคกระยาจกสาขาขุยมูห่ ลาง”
“ท่านเจ้าสานัก เป็นอู๋อี้ท่านนี้ที่เป็นผู้ส่ง
จดหมายมาให้ ท่านประมุขเซีย่ งพอได้เห็น
จดหมาย ก็ทิ้งจดหมายไว้ให้พวกท่าน แล้วก็รีบ
จากไปทันที” ลู่เซิงพูดว่า “แม้แต่กับฮูหยินเขา
ก็ไม่ได้ไปลาเช่นกัน”
ลู่ซางเฮ่อสีหน้าเคร่งเครียด แล้วถามว่า “ท่านอู๋
อี้ มีเรื่องรีบร้อนอะไรกัน เหตุใดจะต้องให้
ประมุขของพวกท่านรีบร้อนไปแบบนี้?”
“ท่านเจ้าสานักลู่ ข้าได้รับคาสัง่ จากผู้อาวุโสไป๋
หู่ ให้ขี่ม้าเร็วมาส่งสารให้” อูอ๋ พ้ี ดู ว่า “ในพรรค
เกิดเรื่องขึ้น ผู้อาวุโสไป๋หไู่ ม่อาจตัดสินใจได้ รู้ว่า
ท่านประมุขอยู่ที่นี่ เลยสั่งให้ข้าน้อยมา
รายงาน”
“เรื่องใหญ่?” ลู่ซางเฮ่อรู้สึกไม่พอใจมาก “ฟ้า
ถล่มลงมาหรืออย่างไร?”
อู๋อี้รีบพูดว่า “ข้าน้อยแค่มาส่งสารเท่านั้น เรื่อง
ใหญ่ในพรรค ข้าน้อยไม่กล้าถาม”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ วัน
นี้เซี่ยงไป๋อิ่งหาข้ออ้างเพื่อกลับมา ตอนนีย้ ังทิ้ง
จดหมายไว้แล้วจากไปอีก ฉีหนิงไม่รู้ว่ามัน
บังเอิญ หรือว่าเซี่ยงไป๋อิ่งเป็นคนสั่งให้ทาเรื่องนี้
แต่ว่าที่เซี่ยงไป๋องิ่ ทาแบบนี้เขามีเป้าหมายอะไร
กันแน่?
เขามาที่ตาหนักอิ่งเฮ่อ เดิมทีเพราะเซี่ยงไป๋อิ่ง
ตอนนี้เขากลับไปแล้ว เขาจะอยู่ต่อไปทาไมอีก
“ลาบากน้องอู๋อี้แล้ว” อู๋อี้แค่ศิษย์ทั่วไปใน
พรรคกระยาจก ไม่ใช่คนระดับเดียวกับลูซ่ าง
เฮ่อ แต่ว่าลู่ซางเฮ่อเองก็ไม่ได้ถือตัว เขาสัง่ ว่า
“ลู่เซิง จัดที่พักให้กับน้องอู๋อี้ด้วย คืนนี้...”
ไม่รอให้ลู่ซางเฮ่อพูดจบ อู๋อี้ก็พูดว่า “ท่านเจ้า
สานักลู่ ท่านประมุขสั่งให้ข้าน้อยอยู่เพื่อชี้แจง
เหตุผลให้ท่านทราบ พวกท่านเองก็กลับมาแล้ว
ข้าน้อยเองก็ได้อธิบายสาเหตุไปแล้ว คงต้องรีบ
กลับไปยังสาขา”
ลู่ซางเฮ่อยิม้ แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวว่า
ประมุขของพวกเจ้าจะต่อว่าหรอกนะ ฟ้าจะมืด
แล้ว พักสักคืนเถอะ”
“ความเมตตาของท่านเจ้าสานักลู่ ข้าน้อย
ขอรับด้วยใจ” อู๋อี้รีบพูดว่า “ในพรรคเกิดเรื่อง
ใหญ่ ถึงข้าน้อยจะตาแหน่งต่าต้อย แต่หากใน
พรรคต้องการให้ทาอะไร ข้าน้อยก็จะต้องทา
อย่างเต็มที่” เขายกมือคานับแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยขอตัวก่อน”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ไม่รั้งเจ้าไว้นะ” ลู่ซางเฮ่อพูด
ว่า “ลู่เซิง ไปเตรียมเงิน ให้น้องอู๋อี้พกติดตัวไป
ด้วย”
อู๋อี้รีบพูดว่า “มิกล้า มิกล้า”
“น้องอู๋อี้ไม่ต้องเกรงใจไป รอสักครู่นะ พรรค
กระยาจกมีแผ่นดินเป็นบ้าน หากมาถึงบ้าน
แล้วไม่รับ มันไม่เหมาะนะ” ลู่ซางเฮ่อหัวเราะ
แล้วสั่งให้ลู่เซิงไปหยิบเงินมา อู๋อี้ทาได้แค่ยกมือ
แล้วพูดว่า “ข้าน้อยขอบคุณท่านเจ้าสานักลู”่
ลู่ซางเฮ่อมองมาที่ฉีหนิง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“พรรคกระยาจกเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น มันเรื่อง
อะไรกันแน่? พรรคกระยาจกเป็นพรรคอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า ในใต้หล้านี้ ยังมีใครกล้ามีเรื่อง
กับพรรคกระจกอีก?”
ฉีหนิงเองก็ไม่เข้าใจ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเจ้า
สานักลู่ หากพรรคกระยาจกเกิดเรื่องจริง ข้า
เองคงต้องไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น อู๋อี้ ข้าไปกับ
เจ้า”
ลู่ซางเฮ่อรีบพูดว่า “ท่านโหวน้อย หรือว่าท่าน
เองก็จะจากไปด้วยอีกคน?”
“ท่านเจ้าสานัก อะไรที่ควรกิน อะไรที่ควรดื่ม
ข้าก็ได้ทาตามความประสงค์ของท่านไปแล้ว
ข้าไม่ได้ผิดคาพูดแล้วนะ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านเองก็รู้ ข้ายังต้องรีบกลับไปถวายรายงาน
กับฝ่าบาทอีก ในเมื่ออู๋อี้ก็อยู่ที่นดี่ ้วย ข้าจะได้
กลับไปพร้อมเขาเลย”
“ท่านโหวน้อย ทาแบบนี้ไม่ได้” ลู่ซางเฮ่อรีบ
พูดว่า “หรือว่าพอเซียวเหยาไปแล้ว ท่านก็ไม่
เห็นข้าเป็นเพื่อนแล้วอย่างนั้นหรือ? นี่ฟา้ ก็มืด
แล้ว หากท่านจะไปจริงๆ พรุ่งนี้ข้าจะส่งท่านไป
ที่เมืองเฉิงตูเอง”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วยิม้ “เจ้าสานักท่านเกรงใจ
เกินไปแล้ว ในเมื่อได้รู้จักกัน ต่อไปอาจจะต้อง
รบกวนบ่อยๆ จะมาเสียดายวันเวลาแค่สอง
สามวันแบบนี้ได้อย่างไร ต่อไปหากท่านไปเมือง
หลวง จะต้องไปหาข้าที่จวนจิ่นอีโหวนะ”
ลู่ซางเฮ่อถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ข้าเสียใจ
จริงๆ ดูแลไม่ทั่วถึง หากว่ามีโอกาสได้ไปเมือง
หลวง ข้าจะต้องไปเยี่ยมท่านแน่นอน”
ลู่เซิงหยิบเงินมา ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ไปหยิบภาพ
[แม่น้าสวรรค์] ของข้ามาที” เขาหันไปมองฉี
หนิงแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าโหวเยว่ฐานะสูงส่ง เงิน
ทองอะไรก็คงไม่สาคัญ ที่ตาหนักนี้ก็ไม่ได้มี
อะไรที่ควรจะมอบให้ แต่ว่ามีภาพหายากอยู่
ข้าจะมอบให้ท่านเป็นที่ระลึก”
ฉีหนิงรีบพูดว่า “ท่านเจ้าสานัก หากท่านทา
แบบนี้ต่อไปข้าคงไม่กล้ามาเหยียบตาหนักอิ่ง
เฮ่อ พวกเราเป็นเพื่อนกัน หากยังเกรงใจเช่นนี้
มันห่างเหินเกินไปนะ”
ลู่ซางเฮ่อ ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวน้อยองอาจมาก
ข้าเองก็ไม่ค่อยชอบแบบนี้เท่าไร”
ตะวันตกดินแล้ว ลู่ซางเฮ่อส่งฉีหนิงไปหลายสิบ
ลี้ ฉีหนิงยกมือแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสานักกลับ
เถอะ หากวันหน้ามีเวลาพวกเราค่อยพบกัน
ใหม่”
ลู่ซางเฮ่อลงจากม้า แล้วพูดว่า “โหวเยว่ยืนยัน
ว่าไม่ให้คนคุ้มกันไป ข้าเองก็ไม่อยากบังคับ
โหวเยว่โชคดีนะ รักษาตัวด้วย”
ฉีหนิงยกมือคานับตอบกลับไป จากนั้นก็ควบม้า
ไปพร้อมกับอู๋อี้
ทั้งสองควบม้าไปยังเส้นทางที่ไปยังเมืองเฉิงตู
พวกเขาเดินทางไปนับสิบลี้ ฉีหนิงผ่อนความเร็ว
ลง อู๋อี้เองก็หยุดม้า แล้วถามว่า “โหวเยว่มีเรื่อง
อะไรอีกหรือไม่?”
“อู๋อี้ เจ้าเป็นศิษย์ของสาขากุยมู่หลางหรือ?” ฉี
หนิงยิ้มแล้วถามว่า “ท่านผู้อาวุโสไป๋หู่รู้ได้อย่าง
ไรว่าท่านประมุขเซีย่ งอยู่ที่ตาหนักอิ่งเฮ่อ?”
“ข้าน้อยไม่ทราบ ข้าน้อยแค่รับคาสั่งของท่านผู้
อาวุโส ให้มาที่ตาหนักอิ่งเฮ่อ” อูอ๋ พ้ี ดู
ฉีหนิงเหมือนใช้ความคิด ในใจคิดว่าเขา
กับเซี่ยงไป๋อิ่งมายังตาหนักอิ่งเฮ่อ มีไม่กี่คนที่รู้
เท่านั้น ตอนนั้นลู่ซางเฮ่อขี่ม้าตามมา ผู้อาวุโส
ไป๋หู่ไม่ได้อยู่ด้วย แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเซี่ยงไป๋
อิ่งมาที่ตาหนักอิ่งเฮ่อ? หรือว่าเซี่ยงไป๋อิ่งเป็น
คนจัดการ เขาบอกผูอ้ าวุโสไป๋หู่ก่อนแล้วว่าเขา
จะมา?
แล้วที่เซี่ยงไป๋อิ่งทาแบบนี้ มันเพราะอะไรกัน?
ฟ้ามืดแล้ว เขาเห็นด้านหน้ามีไฟ พอเข้ามาใกล้
ก็พบว่ามันคือโรงเตี๊ยม พื้นที่ซีชวนกว้างขวาง
แต่คนมีไม่มาก หลายที่เป็นที่รกร้าง แต่ว่า
เส้นทางไปที่เมืองเฉิงตู ต่างก็มีโรงเตี๊ยม
สามารถแวะพักได้ตลอดเวลา
“สาขาขุยมู่หลางอยูท่ ี่ไหน?” ฉีหนิงลงจากม้า
แล้วถามอู๋อี้ “อยู่ในเมืองเฉิงตูหรือ?”
“เอ่อ...” อูอ๋ อ้ี ง้ึ ไป เขายิม้ แล้วพูดว่า “อยู่ใกล้
กับเมืองเฉิงตู โหวเยว่อยากจะไปที่สาขาขุยมู่
หลางหรือ?”
“ไม่สะดวกหรือ?” ฉีหนิงถาม “ประมุขของ
พวกเจ้าจะกลับเมืองหลวงพร้อมข้า แต่ว่ามีกิจ
ธุระซะก่อน ข้าจาเป็นต้องถามเขาว่าตกลงยัง
จะไปเมืองหลวงกับข้าหรือไม่”
“ท่านประมุขเกรงว่าจะไปไม่ได้แล้ว” อู๋อี้พูดว่า
“โหวเยว่ พรรคกระยาจกของพวกเรามีแต่
ขอทาน สกปรกเกินไป ให้ข้าน้อยไปส่งท่านที่
เมืองเฉิงตูก่อน จากนั้นค่อยกลับไปรายงานกับ
ท่านประมุข หากท่านประมุขต้องการจะไป
เมืองหลวง ก็จะต้องส่งคนไปแจ้งท่านโหวเยว่
แน่นอน”
“หืม?” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้ากาลังตัดสินใจแทน
ท่านประมุขของพวกเจ้าหรือ?”
อู๋อี้ตะลึงไป แล้วรีบพูดว่า “มิกล้า มิกล้า”
เมื่อเข้ามาในโรงเตี๊ยม ก็สั่งอาหารมา ฉีหนิงคิด
ว่าจะเร่งเดินทางไปยังสาขาขุยมู่หลางดีหรือไม่
อู๋อี้ไปสั่งให้เถ้าแก่ไปเตรียมอาหารมาเลีย้ งม้า
อาหารมาแล้ว แต่กลับไม่เห็นอู๋อี้กลับมา ฉีหนิง
อดไม่ได้ที่จะเดินไปมอง เห็นม้าสองตัวยังผูกอยู่
แต่อาหารม้ากลับถูกทิ้งไว้ข้างๆ อู๋อี้กลับหายไป
แล้ว
ฉีหนิงรู้สึกว่ามันผิดปกติ เขาตามหาไปรอบๆ
โรงเตี๊ยม อู๋อี้หายตัวไปแล้วจริงๆ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 477 ล้อมโจมตี
ฟ้ามืดแล้ว และอู๋อี้กห็ ายตัวไป ฉีหนิงรู้สึกว่า
เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงา เขาพยายามคิด เรื่องที่
เกิดขึ้นในวันนี้มันน่าแปลกเอามากๆ
ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าการที่เซี่ยงไป๋อิ่งจากไปมัน
ไม่ปกติ แต่เมื่อคิดถึงตอนที่เขาไป๋หม่า เซี่ยงไป๋
อิ่งหาข้ออ้างเพื่อจากไป เขาก็รู้สึกว่าหรือว่า
เรื่องนี้จะเป็นแผนของเซี่ยงไป๋อิ่ง แต่หากว่า
พรรคกระยาจกเกิดเรื่องจริง ต้องการให้เซี่ยงไป๋
อิ่งไปจัดการ ก็ไม่ควรส่งศิษย์พรรคธรรมดามา
พรรคกระยาจกฝั่งตะวันออกมีเจ็ดสาขาใหญ่ ผู้
อาวุโสไป๋หู๋เป็นผู้ควบคุมทั้งเจ็ดสาขานี้ ต่อให้
เขาไม่สามารถปลีกตัวมาได้ ก็น่าจะส่งคนที่มี
ตาแหน่งมาเชิญถึงจะถูก
ประมุขพรรคกระยาจกไม่ค่อยปรากฏตัวสักเท่า
ไหร่ หาตัวจับยาก ผู้อาวุโสหรือว่าหัวหน้าสาขา
ก็แล้วไป แต่ว่าศิษย์ทั่วไป ไม่น่าจะรู้ร่องรอย
ของประมุขพรรคได้
อู๋อี้หายตัวไป ต้องมีอะไรแน่ เมื่อครู่รอบๆ ก็ไม่
ได้มีใครเลย อู๋อี้ไม่มที างถูกจับตัวไปแน่ จะต้อง
แอบหนีไปแน่นอน
ในเมื่อเขาเป็นศิษย์พรรคกระยาจก ทาไมถึงได้
หนีไปกลางทางแบบนี้?
ฉีหนิงนิ่งไป เขาไม่ได้ลังเลใจอีก รีบปลดม้า
แล้วควบกลับไปทางตาหนักอิ่งเฮ่อทันที เขาไม่
รู้ว่าสาขาขุยมู่หลางอยู่ที่ไหน ลูซ่ างเฮ่อเป็น
ผู้กว้างขวางในซีชวน อีกทั้งเขายังคุ้นเคยกับ
พรรคกระยาจกดีด้วย
เขาควบม้าออกไปได้ประมาณห้าหกลี้ ฉีหนิงก็
รู้สึกว่าตัวเขากาลังทรุดลง ม้าทีเ่ ขาขี่มามันล้ม
ลงไปข้างหน้า ฉีหนิงตกใจมาก รีบดีดตัวลอย
ขึ้น เขาเห็นม้าล้มลง พอเขาลงมายืนที่พื้นได้
เขาคิดว่าม้าอาจจะแค่สะดุดอะไรบางอย่าง แต่
ว่าเขาเองก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลย จากนั้น
ไม่นานเขาก็เห็นม้านอนดิ้นอยู่บนพื้น ปากของ
มันสาลักฟองสีขาวออกมามากมาย
ม้าตัวนี้เป็นของจวนเสินโหว แข็งแรงมาก ไม่มี
ทางเหนื่อยจนอยูใ่ นสภาพนี้แน่นอน เขาเห็นม้า
ดิ้นอยู่บนพื้นสักพักจากนั้นก็แน่นิ่งไป ฉีหนิง
เดินเข้าไปดู พบว่ามันตายแล้ว เขาเอามือไป
เปิดตาของมัน พบว่าดวงตาของมันกลายเป็นสี
ดา
ฉีหนิงเห็นดังนั้นก็ตกใจมาก ในตอนนี้เขาเข้าใจ
แล้วว่า ม้าตัวนี้ไม่ได้เหนื่อยตาย แต่ว่าถูกพิษจน
ตาย
ฉีหนิงขมดคิ้ว เขาใช้ความคิด ที่ม้าตัวนี้ถกู พิษ
ตาย จะต้องเป็นฝีมอื ของอู๋อี้แน่นอน คนๆ นี้ไม่
เพียงหนีไป แต่ก่อนไป ยังวางยาพิษม้าด้วย
ค่าคืนที่หนาวเย็น รอบๆ มีแต่พื้นที่ร้าง ไม่มีใคร
เลย ฉีหนิงเงยหน้ามองพระจันทร์ ห่างจาก
ตาหนักอิ่งเฮ่อราวสิบลี้ ไปที่เมืองเฉิงตูนั้นไกล
ออกไปอีก ฉีหนิงรู้ดีว่า เป้าหมายที่อู๋อี้วางยาม้า
ก็เพื่อให้เขาไม่สามารถตามไปได้
เขาทาให้เขาเสียเวลา มันเพื่ออะไรกันนะ?
เขารู้สึกว่าฐานะของอู๋อี้น่าสงสัย ฉีหนิงเริม่ รู้สึก
เป็นห่วงเซี่ยงไป๋อิ่งขึ้นมา ใจคนยากแท้หยั่งถึง
ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนวางแผน?
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไม่ลังเลใจอีก เขาเดิน
ไปตามทางที่ไปตาหนักอิ่งเฮ่อ พลังงานของเขา
มีเต็มที่ เขาเดินไปไม่หยุด
เดินไปไม่ถึงสิบลี้ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า ฉี
หนิงรีบหลบเข้าพุ่มหญ้าไป แล้วอาศัยแสง
จันทร์มองไปยังกลุ่มคนที่ขี่ม้ามา คนพวกนี้สวม
ชุดดาปิดหน้า ยังไม่ทนั เข้ามาใกล้ คนที่นามาก็
พูดขึ้นว่า “สัญลักษณ์อยู่ทางนี”้ จากนั้นเขาก็
กระตุกเลี้ยงไปอีกทาง
เสียงฝีเท้าม้าห่างออกไปอีก จากนั้นเสียงก็
หายไป
ฉีหนิงเห็นพวกนั้นพรางตัว มีแต่กลิ่นอายสังหาร
รู้เลยว่าน่าจะไม่ใช่คนดี ขณะทีเ่ ขากาลังคิด ก็
ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาอีก มีคนอีกประมาณ
สามคนมา ฉีหนิงจ้องไป เมื่อเห็นคนที่อยู่บน
หลังม้า เขาถึงกับสะดุ้ง เขาจาได้ดีเลย ใน
บรรดาม้าสามตัว มีสองคนที่เป็นคนคุ้นเคย คน
หนึ่งคือเฒ่าดีดพิณคงซานเสวียน อีกคนคือเจ้า
ลิงขาว
สองคนนี้เมื่อสองวันก่อนแอบลอบขึ้นเขาเชียน
อูหลิง เพื่อจะไปขโมยของในโลงน้าแข็ง ต่อมา
ถูกยอดฝีมอื ทาร้ายจนหนีไป ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่าพวก
เขาเป็นหรือตาย แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอพวก
เขาที่นี่อีก
ในบรรดาทั้งสามคน มีอีกคนหนึ่งที่สวมชุดสีเทา
ปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิด
ทั้งสามมาถึงทางเล็กๆ ฉีหนิงรู้ว่าน่าจะมีอะไร
หากเป็นแค่คนชุดดาธรรมดา ฉีหนิงคงไม่สนใจ
แต่ว่าพวกของคงซานเสวียนมาปรากฎตัวที่นี่
ด้วย เขารู้สึกว่ามันน่าสงสัย เขาลังเลครู่หนึ่ง
แล้วเดินออกมาจากพุ่มไม้ แล้วเดินตามทาง
เล็กๆ นั่นไป
เดินตามทางไปประมาณเจ็ดแปดลี้ ก็เห็นป่า
เล็กๆ ผืนหนึ่ง เขาไม่พบคนพวกนั้นแล้ว ฉีหนิง
เดินผ่านป่าไป ด้านหน้าเหมือนจะเป็นหุบเขา
กาลังคิดว่าพวกนั้นไปทางไหน ก็ได้ยินเสียงร้อง
โหยหวนดังลอยมา ฉีหนิงรีบเร่งฝีเท้าไปตาม
เสียง เขาได้ยินเสียงการต่อสู้ เขาเดินเข้าไปใกล้
แล้วหลบอยู่หลังก้อนหินใหญ่ แล้วแอบมองไป
ท่ามกลางแสงจันทร์ กลางหุบเขา มีเงาของคน
ราวยี่สิบคน มีทั้งสูงทั้งเตี้ย ทั้งผอมทั้งอ้วน
ปะปนกันไป กระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังมี
อีกราวสี่ห้าคนที่กลายเป็นศพกองอยู่บนพืน้
แล้ว เขาได้ยินเสียงคนร้องขึ้นอีก จากนั้นก็เห็น
เงาลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็กระแทกลง
กับพื้นอย่างแรง คนๆ นั้นนอนดิ้นอยู่บนพืน้ สัก
พัก จากนั้นก็แน่นิ่งไป
ฉีหนิงถูกม้าตัวหนึ่งบังเอาไว้จึงทาให้มองไม่เห็น
เลยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น กาลังสงสัยอยู่ ก็มี
คนตะโกนขึ้นมาว่า “ทุกคนอย่าเพิ่งลงมือ ล้อม
เอาไว้ก่อน ฤทธิ์ยากาลังจะกาเริบแล้ว ไม่ว่า
อย่างไรก็หนีไม่รอดหรอก”
ฉีหนิงได้ยินเสียงของคนๆ นั้น เหมือนว่าพวก
เขากาลังจะไล่ล่าคนๆ หนึ่งอยู่
คนพวกนีค้ ือกลุ่มคนชุดดาที่เขาเจอเมื่อครู่ อีก
ทั้งเขายังเห็นคงซานเสวียนกับเจ้าลิงขาวด้วย
ทั้งคู่ยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง เว้นระยะจากกลุ่มคนชุด
ดา
“ได้ยินมาว่าประมุขพรรคกระยาจกฝีมือร้าย
กาจ วันนี้ได้พบ สมคาร่าลือจริงๆ” มีคนๆ หนึ่ง
หัวเราะขึ้นมา “พี่น้องของพวกเราฝีมือก็ไม่เท่า
ไหร่ หากเป็นประมุขเจ้าสานักคนอื่นในยุทธภพ
พวกเราจะรับมือก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าท่าน
ประมุขเซีย่ งพริบตาเดียวก็ทาร้ายพี่น้องของ
พวกเราได้ พวกเขาได้ตายด้วยมือของท่าน ถือ
ว่าเป็นบุญนัก”
ฉีหนิงได้ยินคาว่า “ประมุขเซีย่ ง” สามคานี้ เขา
ก็สะดุ้งแล้วก็ตกใจมาก ที่แท้คนที่พวกเขาไล่ล่า
คือเซี่ยงไป๋อิ่งนี่เอง
“ประมุขเซี่ยง ท่านเองก็รู้ พรรคกระยาจกของ
พวกท่านเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า วันนี้
พวกเราล่วงเกินท่าน ถือว่าผิดใจกับพรรค
กระยาจก” เขาพูดต่อว่า “วันนี้ จะมีใครกล้า
ผิดใจกับพรรคกระยาจกอีก รนหาที่ชัดๆ ดังนั้น
ในเมื่อพี่น้องของพวกเราลงมือไปแล้ว อย่างไร
วันนี้ท่านก็จะไม่มีทางรอดไปจากที่นี่ได้
ไม่อย่างนั้นพวกเราเองก็คงไม่มีใครรอดไป
เหมือนกัน”
“ถูกต้อง ประมุขเซีย่ ง ถึงแม้พวกเราจะต้องการ
สังหารท่าน แต่ว่าพวกเราก็นบั ถือท่านมากนะ”
อีกคนก็พูดว่า “กาลังภายในของท่านเองก็
เหลือไม่มากแล้ว อีกเดี๋ยวกาลังภายในของท่าน
ก็จะใช้ไม่ได้อีก ตายอย่างทรมาน ไม่สู้ฆ่าตัว
ตายตายอย่างลูกผู้ชายดีกว่า พวกเรารับปาก
ท่าน เมื่อท่านฆ่าตัวตายแล้ว พวกเราจะช่วยฝัง
ศพให้ท่านอย่างดี”
ฉีหนิงตกใจมาก เขาคิดในใจว่าเหตุใดเซี่ยงไป๋
อิ่งถึงได้ถูกคนพวกนี้ไล่ล่าสังหารแบบนี้ได้นะ?
หลังจากที่เซี่ยงไป๋อิ่งลงจากเขาไป๋หม่ามา มัน
เกิดอะไรขึน้ กันแน่นะ?
คนพวกนี้เป็นใครกัน? คงซานเสวียนกับพวก
เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้ คนพวกนีน้ ่าจะเป็นพวก
เดียวกับคงซานเสวียนแน่ แล้วเหตุใดพวกเขา
ถึงต้องลงมือกับประมุขพรรคกระยาจกด้วย?
พรรคกระยาจกเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า
แม้แต่จวนเสินโหวเองยังเกรงกลัวพรรค
กระยาจกไม่น้อย เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นประมุขพรรค
มีตาแหน่งในยุทธภพสูงมาก คนพวกนี้กลับ
ต้องการสังหารประมุขพรรคกระยาจก สงสัยไป
กินดีหมีมาแน่
คนพวกนี้ก็รู้ดี หากล่วงเกินพรรคกระยาจก มี
แต่ผลร้าย ดังนั้นการไล่ล่าตัวในคืนนี้ พวกเขา
ต้องทามันให้สาเร็จ ไม่มีทางปล่อยเซี่ยงไป๋อิ่งไป
แน่ ด้วยอานาจบารมีของพรรคกระยาจก ต่อ
ให้พวกเขาลึกลับแค่ไหน พรรคกระยาจกก็สืบ
หาตัวได้แน่ ถึงเวลานั้นพวกเขาก็เดือดร้อน
แน่นอน
ตอนนี้เขาถูกบังจึงมองไม่เห็นว่าเซี่ยงไป๋องิ่ เป็น
อย่างไรบ้าง คนพวกนี้อาวุธพร้อมมือ แต่ไม่กล้า
บุก แต่ว่าล้อมเอาไว้
บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็
ได้ยินเสียงร้องดังขึ้นมา มีเงาของคนสองคนบุก
เข้าไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง ไม่
นานนัก ก็ได้ยินมีคนพูดว่า “เขาไม่ไหวแล้ว เขา
ไม่ไหวแล้ว...”
ฉีหนิงตกใจ รู้ว่าตอนนี้เซี่ยงไป๋องิ่ กาลังตกอยู่ใน
อันตราย จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องอีก ทุกคน
ก็เหมือนกาลังถอยหลัง ตอนนี้มันพอจะมีช่อง
บ้าง ฉีหนิงมองรอดช่องไป เห็นคนหนึ่งยืนอยู่
ตรงกลาง เซไปเซมา ในมือของเขาถือดาบ เขา
คือเซี่ยงไป๋อิ่งจริงๆ
เซี่ยงไป๋อิ่งเหมือนคนเมา เขาเดินเซไปเซมา ราว
กับจะล้มลงไปกองกับพื้นก็ไม่ปาน
ที่ขาของเซี่ยงไป๋อิ่ง มีศพนอนอยู่สองศพ เซี่ยง
ไป๋อิ่งน่าจะเป็นคนฆ่า
ทันใดนั้นเองก็เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งถอยหลังไปสอง
ก้าว แล้วก็ล้มตัวนั่งลง เหมือนเขากาลัง
พยายามจะลุกขึ้น แต่เขาลุกไม่ขึ้น ฉีหนิงได้ยิน
คนพวกนัน้ พูด รู้เลยว่าเซีย่ งไป๋อิ่งไม่ได้เมาแน่
แต่ว่าถูกวางยา
เขาตกใจมาก เซี่ยงไป๋อิ่งวรยุทธ์สูงส่ง มี
ประสบการณ์ในยุทธภพก็มาก ตอนที่รับมือกับ
ราชาพิษ แม้แต่ชิวเฉียนอี้ยังไม่สามารถวางยา
เขาได้เลย แล้วพิษทีเ่ ซี่ยงไป๋อิ่งโดนนั้น มันมาได้
อย่างไร?
เซี่ยงไป๋อิ่งนั่งกองอยู่ที่พื้น ทุกอย่างรอบๆ เงียบ
สนิท จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “ประมุข
เซี่ยง พวกเราบอกแล้วให้ท่านฆ่าตัวตาย ท่าน
กลับไม่เชื่อพวกเรา ตอนนี้อยากจะฆ่าตัวตาย
ท่านเองก็ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่
ฆ่าคนเลย จะฆ่าตัวตายยังทาไม่ได้”
“ทุกคนไม่ต้องแย่งกัน” อีกคนหัวเราะแล้วพูด
ว่า “ทุกคนมีดาบในมือ ได้เฉือนกันทุกคน
ผลงานทุกคนได้กันทั่วหน้าแน่นอน”
ระหว่างที่พูด คนที่เดิมทีถอยหลัง ตอนนีต้ ่างถือ
อาวุธในมือแน่น ทุกคนค่อยๆ เดินไปหาเซี่ยงไป๋
อิ่ง วงล้อมค่อยๆ เล็กลง ฉีหนิงรูด้ ีว่าตอนนีช้ ีวิต
องเซี่ยงไป๋อิ่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากเขาไป
ช่วย เขาเองก็จะตกอยู่ในอันตราย แต่ว่าจะให้
เขามองดูเซี่ยงไป๋อิ่งถูกทาร้าย เขาก็ทาไม่ได้
เขากัดฟันแน่น จากนั้นก็เดินออกมาจากก้อน
หิน เขาพูดว่า “คนมากรังแกคนน้อย หน้าไม่
อายจริงๆ ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าทาอะไรเขา
แน่”
เมื่อเขาพูดจบ คนพวกนั้นถึงกับตกใจ สายตา
นับสิบก็พลันหันมามองฉีหนิง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 478 รวมร่าง
ฉีหนิงค่อยๆ เดินไป เมื่อคงซานเสวียนกับเจ้าลิง
ขาวเห็นฉีหนิงก็จาได้ทันที เจ้าลิงขาวร้องออก
มาด้วยเสียงที่ประหลาด เขาพูดว่า “เจ้าเด็กบ้า
เจ้าชดใช้ผดี ิบของข้ามานะ ข้าจะฆ่าเจ้า”
ฉีหนิงเหลือบไปมองเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “ลิงน้อย
ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้ายังดูตัวไม่โตเลย”
เจ้าลิงขาวเกิดมาตัวเล็ก นั่นถือเป็นปมด้อยของ
เขา เขาเกลียดคนว่าเขาเตี้ยมากที่สุด เมื่อได้ยิน
ฉีหนิงพูดมาแบบนี้ เขาก็โกรธจนแทบบ้า เขา
ร้องคารามลั่น เตรียมพุ่งเข้าใส่ทันที คงซาน
เสวียนมองไปรอบๆ ท่าทางของเขาดูระแวง
จากนั้นก็พดู ว่า “ช้าก่อน ระวังเป็นหลุมพราง”
อยู่ๆ ฉีหนิงก็เห็นว่า ทุกคนต่างก็ตกใจขึ้นมา
กะทันหัน คงซานเสวียนเหมือนจะระแวงหนัก
มาก คิดในใจว่าที่ชายหนุ่มคนนีม้ าโผล่ที่นี่ได้
จะต้องไม่ธรรมดา คนของเขามีมาก ชายหนุ่ม
คนนี้หากมาแค่คนเดียว ก็เหมือนรนหาที่ตาย
ใกล้ๆ จะต้องมีคนซุ่มอยู่แน่นอน
เซี่ยงไป๋อิ่งเห็นฉีหนิงโผล่มาก็ขมวดคิ้วแน่น เขา
เองก็ตกใจไม่น้อย
ฉีหนิงเห็นคงซานเสวียนพูดมาแบบนี้ เขาก็
หัวเราะแล้วพูดว่า “เฒ่าประหลาดดีดพิณ
ฉลาดกว่าเจ้าลิงน้อยจริงๆ พวกเจ้าอาศัยคน
มากรังแกคนน้อย กล้าคิดร้ายกับประมุขเซี่ยง
ไม่กลัวตายเลยหรืออย่างไรกัน”
เมื่อได้ยินคงซานเสวียนเตือน ทุกคนก็มองไป
รอบๆ คิดว่าใกล้ๆ นีน้ ่าจะมีคนอืน่ อยู่แน่นอน
“น้องชาย เจ้าไม่ใช่คนของพรรคกระยาจก
ความแค้นของคนในยุทธภพ เจ้าอย่ามายุ่งจะ
ดีกว่า” คงซานเสวียนยิ้มแล้วพูด
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดกลับไปว่า “ข้าเองก็ไม่ได้อยาก
ยุ่ง เพียงแต่ว่าพวกเจ้าใช้คนมากมารังแกคน
น้อย มันหน้าขายหน้าไปหน่อยกระมัง ตาเฒ่า
ดีดพิณ เอาอย่างนี้ดหี รือไม่ เจ้ากับข้ามาสู้กัน
หากเจ้าชนะ เรื่องนี้ข้าจะไม่ยุ่ง หากเจ้าแพ้ ก็
พาทหารกุ้งหอยปูปลาของเจ้ากลับไป เจ้าว่า
อย่างนี้เป็นอย่างไร?”
เจ้าลิงขาวพูดด้วยเสียงแหลมว่า “เจ้าเด็กบ้า
คนที่ควรจะหนีน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า ข้าจะฉีก
เจ้าเป็นชิ้นๆ”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าไม่ได้คุยกับเจ้า แค่เด็กตัว
เล็กๆ ผู้ใหญ่เขาจะคุยกันเด็กอย่ามาพูดแทรก”
ตอนที่เขาพูด เขาก็เดินไปหาเซี่ยงไป๋อิ่ง
ทุกคนเห็นคงซานเสวียนกับเจ้าลิงขาวรู้จักฉี
หนิง พวกเขาก็งงว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครมา
จากไหนกัน จึงไม่มีใครกล้าทาอะไรบุ่มบ่าม
เห็นฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้เซี่ยงไป๋อิ่ง ก็มีคน
ตะคอกว่า “พวกเราต้องการชีวติ ของเซี่ยงไป๋อิ่ง
เจ้าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้เลยจะดีกว่า”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามาเพื่อดื่มเหล้ากับ
ประมุขเซีย่ ง เจ้ายุ่งอะไรด้วย” เขาเดินผ่าน
หน้าคนๆ นั้น สายตาที่มองมาทางฉีหนิงเต็มไป
ด้วยความไม่ใจ จากนั้นก็ยื่นมือไปคิดจะจับฉี
หนิง แต่ฉหี นิงหลบหายไปอย่างรวดเร็ว เขาก็
ตกใจมาก เห็นฉีหนิงหลบได้ แล้วไถลตัวเข้าไป
ในวงล้อมแล้ว
ฉีหนิงใช้ทา่ เท้าท่องคลื่น วรยุทธคนที่อยู่ตรงนี้
ไม่มีใครอ่อนเลย แต่เห็นฉีหนิงแสดงฝีมือ พวก
เขาต่างก็ตกใจ
ฉีหนิงเดินไปหาเซี่ยงไป๋อิ่ง เขานัง่ อยู่ที่พื้น เดิม
ทีกาลังขมวดคิ้ว เมื่อเห็นฉีหนิงเดินมา เขาก็ยิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้าไม่กลัวตายหรืออย่างไรกัน?”
“ข้ามากินเหล้า” ฉีหนิงนั่งลงข้างๆ เซี่ยงไป๋อิ่ง
แล้วถามว่า “ท่านขยับตัวได้หรือไม่?”
“จะขยับได้หรือไม่มนั ไม่สาคัญแล้ว” ถึงแม้
เซี่ยงไป๋อิ่งจะอยู่ในอันตราย แต่ว่าสีหน้าของ
เขาไม่เปลี่ยนไปเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฆ่าไป
แล้วกว่าสิบคน ก็ถือว่าใช้ได้”
สีหน้าของเขาซีดเซียว ลมหายใจเริ่มแผ่วเบา
ฉีหนิงรู้ดีว่า หากเขาไม่ได้ถูกพิษ ไม่มีทางเป็น
แบบนี้แน่ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอย่าพูด
แบบนี้ ทหารกุ้งหอยปูปลาพวกนั้น ต่อให้รวม
ตัวกัน พวกเขาก็ไม่มที างทาอะไรท่านได้แม้แต่
ปลายผมหรอก หากพวกเขาถูกสังหารหมด
แล้วท่านผมหลุดไปเส้นหนึ่ง ก็ถือว่าเสมอ หาก
หลุดไปสองเส้น พวกเราเสียเปรียบนะ”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า เขาพูดว่า “เจ้าพูดมามี
เหตุผล”
ฉีหนิงมองไปที่ถุงหนังวัวของเซี่ยงไป๋อิ่งทีอ่ ยู่ตรง
เอว เขายื่นมือไปจับ ด้านในเหมือนจะมีเหล้า
เติมมาใหม่แล้ว เขาถอดมันออกมา เซี่ยงไป๋อิ่
งพูดว่า “มา ป้อนข้าสักคาก่อน” ฉีหนิงหัวเราะ
แล้วยื่นมันเข้าไปให้ เซี่ยงไป๋อิ่งกระดกเหล้าดื่ม
อึกหนึ่ง ฉีหนิงเองก็ไม่ได้รังเกียจ เอามาดืม่ ต่อ
อีกอึกเช่นกัน
ทั้งสองคนทาเหมือนรอบข้างไม่มีใคร มาแสร้ง
ทาเป็นดื่มเหล้ากันอยู่ตรงนี้ ทุกคนจ้องไปที่พวก
เขา ทันใดนั้นเองก็มีคนตะโกนออกมาว่า “ฆ่า
ให้หมดอย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว” พูดจบ
ก็มีคนขึ้นหน้ามา พุง่ เข้าสังหารพวกเขาสองคน
ฉีหนิงรู้แล้วว่าเซี่ยงไป๋อิ่งไม่มีแรงจะฆ่าใครแล้ว
เขาไม่พูดมาก ดึงตัวเซี่ยงไป๋อิ่งมา แล้วแบกขึ้น
หลัง จากนั้นก็หยิบดาบในมือของเซี่ยงไป๋อิ่งมา
แล้วพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง พวกเราฝ่าออกไปกัน
เถอะ”
นักฆ่าพวกนั้นบุกเข้ามาแล้ว ตวัดกระบี่เข้าใส่ฉี
หนิง ฉีหนิงรีบใช้ท่าเท้าท่องคลืน่ พุ่งหลบไป
ด้านข้าง
เขาวางแผนเอาไว้แล้ว หากใช้พละกาลังและ
ความสามารถของเขา น่าจะสู้คนพวกนี้ไม่ได้
ความหวังเดียวของเขาตอนนี้คือพุ่งตัวไปที่ฝูง
ม้า หากได้ม้ามาสักตัว ต่อให้อีกฝ่ายฝีมือเก่ง
กาจแค่ไหน คิดอยากจะทาได้ตามเป้าหมายก็
น่าจะยากขึ้น
ทุกคนต่างพุ่งเข้าไปขวาง แต่ว่าฉีหนิงหลบซ้าย
ทีขวาที เลี้ยวไปอ้อมมา ราวกับวิญญาณ ดาบ
ในมือก็ตวัดไปมาเป็นระยะ อาวุธของคนอื่นต่าง
ฟันเข้ามาที่พวกเขาสองคน แต่ว่าเขาก็หลบได้
อย่างรวดเร็วทุกครั้ง
ในตอนนี้เอง ก็เห็นมีคนๆ หนึ่งพุ่งเข้ามา ในมือ
ของเขามีดาบเล่มยาว เขาตะคอกว่า “จะไป
ไหน” เขากาลังจะแทงกระบี่มาที่ฉีหนิง ฉีหนิง
กาลังคิดจะหลบ กลับได้ยินเซี่ยงไป๋อิ่งกระซิบ
ข้างหูเขาว่า “ดาบที่สองของเขาจะแทงเข้าที่
ซี่โครงซ้ายของเจ้า เจ้าต้องหลบไปทางด้านขวา
ของเขา แล้วใช้ดาบฟันไปที่จุดต้าฉุยของเขา”
ฉีหนิงถูกกลุ่มคนล้อมเอาไว้ เดิมทีก็รู้สึกกังวลใจ
แต่พอได้ยินเซี่ยงไป๋อิ่งคอยชี้แนะ เขาก็นิ่งขึ้น
คนๆ นั้นดาบแรกแทงไม่ถูกเขา ดาบที่สองเขาก็
แทงมาที่ซี่โครงข้างซ้าย ฉีหนิงได้ทาตามที่เซี่ยง
ไป๋อิ่งบอก หลบไปทางด้านขวา เขารู้จักจุดชีพ
จรตามร่างกายของมนุษย์ดี เขาไม่ได้สนใจอะไร
อีก ตวัดดาบแทงไปที่จุดต้าฉุยทันที
ฉีหนิงคิดว่าคนๆ นั้นจะต้องป้องกันตัวแน่ แต่
ใครจะคิดว่าพอพุ่งเข้าไปแล้ว คนนั้นเหมือนยัง
ไม่ทันตั้งตัว ดาบจึงแทงเข้าไปบนตัวเขาอย่าง
แรง ทาให้คนๆ นั้นร้องออกมา ไม่นานเขาก็
ถอยล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที
ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่ามันจะมีผลแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้
เขาไม่มีเวลามากพอที่จะมาคิดอะไรแบบนี้ ทาง
ซ้ายและขวามีคนพุ่งเข้ามาหาอีก เซี่ยงไปอิ๋งรีบ
พูดว่า “ไปทางซ้ายถอยหลังไปทางขวา แทงไป
ที่จุดเทียนทู จากนั้นถอยไปครึ่งก้าว แล้วหัน
หลังไปแทงที่จุดซื่อไห่”
ฉีหนิงก็หัวไว เขาไม่มเี วลาให้คิดอะไร ทาตามที่
เซี่ยงไป๋อิ่งชี้แนะ เขาไม่ได้มองเลยว่าอีกฝ่ายมา
ท่าไหนอย่างไร เขาจ้องไปที่จุดเทียนทู แล้วแทง
ดาบใส่ทันที เขาลงมือได้อย่างง่ายดาย คนๆ
นั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ไม่นานก็ลง
ไปนอนกองกับพื้นอีกคน
ฉีหนิงเองก็ไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตาย เขาทา
ตามที่เซี่ยงไป๋อิ่งบอกต่อ ถอยไปครึ่งก้าว แล้ว
หันหลังไปแทงที่จุดซือ่ ไห่ของคนที่อยู่ด้านขวา
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา เสียงของ
เซี่ยงไป๋อิ่งก็ไม่ได้เบามาก เขาบอกกระบวนท่า
ให้ฉีหนิงรู้ แต่ว่าคนๆ นั้นกลับหลบไม่ทัน เขา
ถูกฉีหนิงฟันเข้าที่จุดซื่อไฮ่ จากนั้นก็ล้มลง
พริบตาเดียว ฉีหนิงได้สังหารไปแล้วสามคน ทุก
คนต่างตกใจ แม้แต่ฉีหนิงเองก็ตกใจมากเช่นกัน
คิดไม่ถึงว่าการที่ทาตามที่เซี่ยงไป๋อิ่งบอกแล้ว
มันจะร้ายกาจมากขนาดนี้
“ฆ่าเจ้าขอทานนั่นก่อน” มีคนตะโกนออกมา
เหมือนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากไม่ฆ่าเซี่ยงไป๋อิ่ง
ถึงแม้เขาจะไม่มีกาลังภายในแล้ว แต่ว่ารูปแบบ
วรยุทธต่างๆ เขารู้มากมาย อีกทั้งเขาก็มอง
กระบวนท่าที่อีกฝ่ายจะใช้ออกหมด ตอนนี้ฉี
หนิงก็ราวกับเป็นเสมือนแขนขาของเซี่ยงไป๋อิ่ง
ส่วนเซี่ยงไป๋อิ่งเองก็เหมือนเป็นมันสมองของฉี
หนิง ตอนนี้เขารวมร่างกัน อานุภาพของพวก
เขาน่ากลัวมาก
ดาบสิบกว่าเล่มกาลังพุ่งเข้ามาที่ด้านหลังของฉี
หนิงที่แบกเซี่ยงไป๋อิ่งอยู่ ฉีหนิงเอี้ยวตัวหลบไป
ด้านข้าง แต่ก็เห็นว่ามีดาบอีกเล่มกาลังพุง่ มา
จากนั้นเขาก็ได้ยินเซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “พุ่งชนเข้า
ไปที่หน้าอกของเขา” ถึงแม้จะอยู่ในวงล้อมของ
คนชุดดาที่อันตราย แต่ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งกลับไม่ตื่น
ตระหนกเลย ฉีหนิงเอี้ยวตัวชนไป เขาใช้หัวไหล่
ชนไปที่หน้าอกของเขา คนๆ นั้นร้องออกมา
ด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ลอยกระเด็น
ออกไป
ตอนที่คนๆ นั้นปลิวไป มีดาบอีกสามเล่มกาลัง
พุ่งเข้ามา สองเล่มพุ่งมาที่ฉีหนิง อีกเล่มพุ่งมาที่
เซี่ยงไป๋อิ่งที่อยู่ดา้ นหลัง
เซี่ยงไป๋อิ่งรีบตะคอกว่า “งอเข่าลงให้เหมือนลิง
เอียงดาบยกขึ้นฟ้า ตวัดให้เป็นวงกลม”
สถานการณ์คับขัน เซี่ยงไป๋อิ่งไม่มีเวลามาก
พอที่จะอธิบายมาก เลยพูดแค่สั้นๆ แต่ฉีหนิงก็
หัวไวพอที่จะเข้าใจได้ เขารีบงอเข่าทั้งสองลง
เอียงดาบยกขึ้นฟ้า แล้วหมุนตัว จากนั้นเลือดก็
กระจายออกเป็นวงกว้าง เขาเห็นข้อมือของ
พวกมือดาบสามคน ถูกฟันจนขาดออกหมด
ดาบในมือร่วงกระจัดกระจาย
ตอนนี้คนรอบๆ หน้าเสียกันหมด เขาแทบไม่
อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนที่ร้ายกาจได้มาก
ขนาดนี้ พริบตาเดียวไม่รู้เลยว่าควรจะทา
อย่างไรดี
จากนั้นก็มีคนตะโกนว่า “ไม่ต้องกลัว ใช้อาวุธ
ลับเล่นงานพวกเขา ทุกคนระวังด้วย” หลังพูด
จบ ก็มีดาวกระจายหลายอันซัดออกมา คน
พวกนั้นใช้อาวุธสั้นทาอะไรฉีหนิงไม่ได้ จึงใช้
อาวุธลับแทน
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “กระโดดให้สูงที่สุดเท่าที่ทา
ได้”
ฉีหนิงรู้สึกได้ว่าเหมือนมีลมล้อมมาทั้งสี่ด้าน
เขารู้ว่าอาวุธลับซัดมาแล้ว เขาเองก็คิดเหมือนที่
เซี่ยงไป๋อิ่งคิด จากนั้นเขาก็ดีดตัวขึ้นไป กาลัง
ภายในของเขาไม่ธรรมดาเลย ถึงแม้จะแบก
เซี่ยงไป๋อิ่งเอาไว้ แต่เขาก็ยังสามารถลอยตัวขึ้น
ไปได้อย่างกับพญาเหยี่ยว อาวุธลับผ่านขาของ
เขาไป อันตรายมากทีเดียว
ฉีหนิงเห็นว่าคนพวกนี้เหี้ยมโหดอย่างมาก
อย่างไรก็จะเอาชีวิตของเขากับเซี่ยงไป๋อิ่งให้ได้
ถึงแม้พวกเขาจะตายกันไปไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยัง
มีอีกยี่สิบกว่าคน เมื่อเห็นเซี่ยงไป๋อิ่งชี้แนะ ก็
ระวังตัวกันมากขึ้น ไม่กล้าทาอะไรบุ่มบ่าม
ฉีหนิงเห็นว่ามีฝูงม้าอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากลง
มาถึงพื้นแล้ว ก็รีบพุ่งไปที่ฝงู ม้าทันที ทันใด
นั้นเองก็รู้สึกเหมือนมีฝ่ามือกาลังซัดเข้ามาอย่าง
แรง ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าแย่แน่ เขาเห็นมีเงา
อยู่ห่างจากเขาแค่คืบเดียว ฝ่ามือของคนๆ นั้น
ซัดมาทั้งสองมือกาลังของเขาทาให้ฉีหนิงตกใจ
ฉีหนิงไม่สามารถใช้ดาบรับมือได้ กาลังคิดจะ
หลบ ก็รู้สึกว่ามีความเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านไป
จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีลมร้อนพัดผ่านมาอีก
ตอนนี้มันเข้ามาใกล้ตัวเขามากขึ้นแล้ว และ
รู้สึกถึงสายตาอันดุดันนั้นด้วย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 479 ปกป้องพระจันทร์
คนๆ นั้นสวมชุดสีเทา ปิดหน้าปิดตา เขาคือคน
ชุดเทาที่มาพร้อมกับพวกเจ้าลิงขาว
ฉีหนิงเห็นเขาเคลื่อนที่รวดเร็วว่องไว พริบตา
เดียวก็มาถึงตรงหน้าเข้าแล้ว เขาก็ไม่ลังเล ตวัด
ดาบพุ่งเข้าใส่เขาทันที เดิมทีคิดว่าเขาจะต้อง
หลบแน่นอน ใครจะคิดว่าเขาจะใช้ฝ่ามือของ
เขามารับมือ ปล่อยให้ฉีหนิงแทงเข้าใส่หน้าอก
ของเขา
ฉีหนิงตกใจมาก แอบคิดในใจว่าหรือว่าเขา
อยากตาย? สถานการณ์คับขัน ฉีหนิงก็ไม่ได้
ออมมือ ดาบของเขากาลังจะแทงเข้าไปที่
หน้าอกของคนๆ นั้น แล้ว คนๆ นั้น กลับเก็บ
มือพาดอกเป็นรูปกากบาท หักดาบในมือของฉี
หนิง
ฉีหนิงตกใจมาก คนๆ นั้นมองมาด้วยสายตาที่
ประหลาด เขาบุกขึ้นหน้ามาอีก มือข้างหนึ่งซัด
มาจากด้านหลังของฉีหนิง อีกข้างหนึ่งซัดมาที่
หน้าอกของฉีหนิง ฉีหนิงรู้ว่าวรยุทธ์ของเขาร้าย
กาจมาก จึงรีบถอยหลังหลับไป จากนั้นก็ใช้
ดาบที่หักขว้างไป
คนชุดเทาซัดพลังออกมาจากฝ่ามือ ดาบที่หัก
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ตัวเขา ก็ถูกพลังจากฝ่ามือ
ซัดกระเด็นไป จากนั้นเขาก็บีบเข้าหาอีก
คนๆ นั้นรวดเร็วว่องไวมาก เขาทาได้แค่ซัดฝ่า
มือไปรับ ฉีหนิงยังคงใช้กระบวนท่าของฝ่ามือ
เพลิงโลกันตร์อยู่ ขณะที่ฝ่ามือของทั้งสองคน
ปะทะกัน ฉีหนิงรู้สึกได้ว่ามันมีกาลังภายในอัน
ร้ายกาจออกมาจากฝ่ามือนั้น พลังชี่ในร่างกาย
ของฉีหนิงเองก็ปล่อยพลังออกมาคุ้มกันหัวใจ
ของเขา ทาให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ
เพียงแต่ว่าเมื่อรับมือกับฝ่ามือทัง้ สองข้าง
พริบตาเดียวทาให้ทวั่ ทั้งตัวเขาสั่นเทา เขาถอย
หลังไปหลายก้าว อธิบายไม่ถูกว่าทรมานหรือ
ไม่ เขาเกรงว่าชายชุดเทาจะลงมืออีก เขาจึงรีบ
ใช้ท่าเท้าท่องคลื่นวิ่งไปทางฝูงม้า
ชายชุดเทารับมือกับฉีหนิง เขาเองก็ถอยหลังไป
สองสามก้าว สายตาของเขาดูตกใจมาก เหมือน
คิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะมีกาลังภายในที่แก่กล้ามาก
ขนาดนี้ กาลังคิดจะตามไป แต่ว่าร่างกายของ
เขาสั่นไม่หยุด เขายกมือกุมไปที่หน้าอก สายตา
ของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ จากนั้นเขาก็
ตะโกนว่า “อย่าให้พวกเขาหนีไปได้”
ตอนนี้ฉีหนิงฝ่าออกจากวงล้อมมาได้แล้ว ทุก
คนรีบไล่ตามมา ฉีหนิงรีบดีดตัวลอยขึ้นไปยัง
หลังม้าตัวหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ถึงแม้ด้าน
หลังของเขาจะแบกคนอยู่ แต่เขากลับสามารถ
ใช้วิชาตัวเบาได้แบบนี้อีก เขาคิดว่าอาจจะเป็น
เพราะตอนนี้ตกอยู่ในอันตราย จึงทาให้ร่างกาย
มีแรงมากกว่าปกติ
เขากระตุกเชือกม้า แล้วหมุนหัวม้าให้มันวิง่ ไป
คนด้านหลังไล่ตามมา ฝูงม้าทั้งหมดต่างพากัน
ตกใจ เลยวิ่งกระจัดกระจายกันไป ทาให้ไป
ขวางทางของพวกเขาเอาไว้ ฉีหนิงบังคับม้าให้
วิ่งออกไป ตอนนี้ดึกมากแล้ว เขาจาทางที่เขา
มาได้ เขาควบม้าไปทางนั้น ด้านหน้าเป็นป่า
เขาจึงไม่ได้ลังเลใจแม้แต่น้อย ควบม้าตรงเข้า
ไปในป่าด้านหน้าทันที
เขาได้ยินเสียงม้าวิ่งตามมามากมาย เขาจึงหัน
หลังไปมอง เห็นกลุ่มคนเมื่อครูก่ าลังขี่ม้า
ตามมา
เขาเหมือนไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ จาก
เซี่ยงไป๋อิ่ง เขาถามว่า “ท่านอาเซี่ยง ท่านเป็น
อย่างไรบ้าง? ยังทนไหวหรือไม่?” แต่เขาไม่ได้
ยินที่เซี่ยงไป๋อิ่งตอบ เขาหันไปมอง เห็นเซี่ยงไป๋
อิ่งสีหน้าซีดเซียว ตาของเขาหลับสนิท ร่างกาย
ของเขาเซไปเซมา หากไม่ใช่ว่ามือของเขาโอบ
ตัวฉีหนิงอยู่ เซี่ยงไป๋อิ่งอาจจะตกม้าไปแล้ว
ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้หยุดพักมาดูอาการของ
เซี่ยงไป๋อิ่ง เขารีบควบม้าไปอย่างรวดเร็ว คนที่
ตามมาห่างไม่ไกลมาก เพราะยังสามารถได้ยิน
อย่างชัดเจน
ไม่นานนัก เขาก็เห็นว่ามีทางแยก ฉีหนิงเอี้ยว
ตัวหลบไปโอบเซี่ยงไป๋อิ่งเอาไว้ จากนั้นก็ดีดตัว
ออกจากหลังม้า ม้าตัวนั้นยังคงวิ่งต่อไป ฉีหนิง
อุ้มเซี่ยงไป๋อิ่งลงพื้นมาแล้ว ก็รีบวิง่ เข้าไปยังพุ่ม
หญ้า
ม้าเกือบสิบตัววิ่งมา พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นฉี
หนิงกับเซี่ยงไป๋อิ่งทีอ่ ยู่ที่พุ่มหญ้าเลย ต่างก็ควบ
ม้าวิ่งตามไป เมื่อพวกเขาไปจนไม่เห็นเงาแล้ว ฉี
หนิงก็แบกเซี่ยงไป๋อิ่งเดินไปทางทิศใต้ เขากลัว
ว่าคนพวกนั้นจะกลับมาอีก เขาเลยเดินไม่หยุด
ยังดีที่เขามีพลังภายในที่แข็งแกร่งมาก เขาเดิน
ต่อเนื่องไปกว่าสิบลี้ จากนั้นขาของเขาก็เริ่ม
อ่อนลง ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน
เซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้สติ ถึงแม้จะวิ่งหนีมาได้กว่าสิบ
ลี้แล้ว แต่ว่าฉีหนิงก็ยังคงไม่หยุด เขาเดินต่อไป
ยังทางที่สลับซับซ้อน
เขาเดินมาได้อีกสิบลี้ มันเริ่มไม่มีทางเดินแล้ว
มันเป็นพื้นที่ป่ารกร้าง ทันใดนั้นเองก็ได้ยนิ เสียง
อะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง อาศัย
แสงจากพระจันทร์ พบว่ามันเป็นน้าตก เขา
กาลังหิวน้าพอดี เขาจึงแบกเซี่ยงไป๋องิ่ เดินตรง
ไป แล้วค่อยๆ วางเซี่ยงไป๋อิ่งลงที่โขดหินอย่าง
ระวัง แล้วก็ใช้มือรองน้าขึ้นมาดื่ม เขาเห็นที่เอว
ของเซี่ยงไป๋อิ่งยังมีถุงหนังวัวอยู่ ก็เดินไปถอด
มันมาจากเอวของเขา ยังมีเหล้าเหลืออีก
ครึ่งหนึ่ง เขาเอามันไปเติมน้าจนเต็ม จากนั้นก็
กลับไปพยุงตัวเซี่ยงไป๋อิ่งขึ้นมาดื่ม
เซี่ยงไป๋อิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็ดื่มน้า ฉี
หนิงเอาน้าช่วยล้างหน้าให้เขา สีหน้าของเซี่ยง
ไป๋อิ่งดีขึ้นไม่น้อย เขายิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้...
วันนี้ขอบใจเจ้ามากนะ...” ก่อนหน้านี้เวลาเขา
พูดเขาดูมีพลังมาก แต่ตอนนี้เขาแทบจะไม่มี
เรี่ยวแรงแม้แต่พูดออกมา
ฉีหนิงรีบถามว่า “ท่านอาเซี่ยง ท่าน...ท่านดีขึ้น
บ้างหรือไม่? ไม่รู้ว่าพวกเราหลุดจากพวกนั้น
หรือยัง พวกเขาเป็นใครกัน”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ข้าบาดเจ็บที่
ชีพจรภายใน ตอนนี้ยากที่จะฟืน้ ตัวได้”
“ท่าน...ท่านบาดเจ็บที่ชีพจรภายในหรือ?” ฉี
หนิงตะลึงไป แล้วรีบถามว่า “แล้ว...แล้วใคร
เป็นคนทาร้ายท่าน? คนพวกนัน้ หรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ข้าถูกพิษ ชีพจรที่จุดตันเถีย
นถูกพิษสกัดเอาไว้ ตอนนี้ไม่สามารถเดิน
ลมปราณได้เลย ตอนที่ถูกพวกนั้นไล่ล่า ข้าเลย
จาเป็น...จาเป็นต้องเปลี่ยนชีพจร ฝืนเดิน
ลมปราณ แต่การทาแบบนี้ มันทาให้กาลัง
ภายในฝืนได้ไม่นาน” ถึงแม้เขาจะเจ็บ แต่ก็ยัง
หัวเราะได้ “แต่หากข้าไม่ทาแบบนี้ คงรอไม่ทัน
เจ้ามาถึงแน่ ข้าคงกลายเป็นผีคาดาบของคน
พวกนั้นไปแล้ว”
ฉีหนิงถึงได้รู้ว่า เซี่ยงไป๋อิ่งเมื่อครู่สลบไป เป็น
เพราะบาดเจ็บที่ชีพจรภายใน เขาถามว่า “แล้ว
ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร?”
“เปลี่ยนเส้นชีพจร มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ยาไม่
อาจฟื้นฟูได้” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ข้าต้องพักสอง
ถึงสามเดือน อาจจะช่วยฟื้นตัวได้”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ด้วยฝีมือของเซี่ยงไป๋
อิ่ง จะฟื้นฟูร่างกายต้องใช้เวลาถึงสามเดือน
แสดงว่าเขาต้องบาดเจ็บหนักมากแน่นอน
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า การเปลี่ยนชีพจรของ
เซี่ยงไป๋อิ่งเขาทาเพื่อเอาตัวรอด แต่ว่ามันเป็น
สิ่งที่เขาไม่มีทางเลือก แสดงว่าตอนนั้นเขาเองก็
นึกถึงเรื่องความตายแล้ว
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าหากต้องพักฟื้นสามเดือน
เขาก็จะต้องหาสถานที่ที่ปลอดภัย อีกทัง้ เรื่องที่
เซี่ยงไป๋อิ่งบาดเจ็บ จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด ใจ
คนมันยากแท้หยั่งถึง เซี่ยงไป๋อิ่งหนีจากคนพวก
นั้นมาได้ พวกเขาไม่มีทางยอมแน่ เขาจะต้อง
ทาทุกวิถีทางเพื่อตามหาเซี่ยงไป๋อิ่ง หากมีคนรู้
ว่าเขาบาดเจ็บ ยุทธภพต้องวุ่นวายแน่นอน
“ท่านอาเซี่ยง ท่านพักก่อน ข้าจะส่งท่านไปที่
พรรคกระยาจก” ฉีหนิงพูดว่า “คนพวกนั้นไม่มี
ทางยอมแน่ พวกเราต้องไปที่พรรคกระยาจก
ให้พรรคกระยาจกคุ้มกันท่าน คนพวกนั้นจะได้
ไม่มีทางเลือก”
เซี่ยงไป๋อิ่งหัวเราะ แล้วพูดว่า “หลายปีก่อน
คนๆ นั้นช่วยชีวิตข้าไว้ คิดไม่ถึง ผ่านไปเกือบ
ยี่สิบปี เจ้าก็ยังมาช่วยข้าไว้อีก น่าสนุกดีนะ”
“อ๊า?” ฉีหนิงไม่เข้าใจ “คนๆ นั้น? ท่านอา
เซี่ยง ท่านหมายถึงใครหรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้า เหมือนเขาจะหายใจติดขัด
จากนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วกระอักเลือดออกมา ฉี
หนิงตกใจมาก รีบเข้าไปพยุงทันที เซี่ยงไป๋อิ่ง
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ดูท่าข้าจะไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้เดินลมปราณอะไรไม่ได้เลย ข้าฝึกวรยุทธ
ตั้งแต่หกขวบ เริ่มฝึกกาลังภายในตอนแปดขวบ
สามสิบกว่าปี ไม่เคยบาดเจ็บหนักขนาดนีม้ า
ก่อน ตอนนี้ข้าแย่กว่าคนพิการอีก”
ในคาพูดของเขา มันดูเศร้าหมอง ฉีหนิงเข้าใจ
ความรู้สึกของเขาดี เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นยอดฝีมือมี
ชื่อเสียง แต่ตอนนีก้ าลังของเขาเทียบกับคน
ธรรมดายังไม่ได้เลย เขาคงรู้สึกแย่มาก
“ท่านอาเซี่ยง ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป เมื่อถึง
พรรคกระยาจกแล้ว พักสักสองสามเดือน ท่าน
ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า
“คืนนี้เจ้าพวกนั้น จะไม่มีใครหนีไปได้”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้ม เงยหน้ามองพระจันทร์ เหมือน
คิดอะไรบางอย่าง
ฉีหนิงถามว่า “ท่านอาเซี่ยง ท่าน...ท่านถูกพิษ
ได้อย่างไรกัน? แม้แต่ราชาพิษจิ่วซียังไม่กล้า
วางยาท่านเลย ในใต้หล้านี้ยังมีใครกล้าวางยา
ท่านอีก?”
เซี่ยงไป๋อิ่งทาเพียงแค่ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งไม่ยอม
พูด จึงแอบคิดในใจว่าเซีย่ งไป๋อิ่งกาลังคิดอะไร
อยู่ ขณะที่เขากาลังรูส้ ึกแปลกใจ เขาก็เห็นเซี่ยง
ไป๋อิ่งยื่นมือออกมา ระหว่างนิว้ มือของเขา มันมี
กระดาษแผ่นหนึ่งหนีบอยู่ ฉีหนิงตะลึงงัน เขา
เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้าให้เขา เขาก็รับมัน
มาแล้วเปิดออกดู บนกระดาษไม่มีตัวหนังสือ มี
เพียงภาพของพระจันทร์ แล้วก็มีเส้นตีอยู่บน
ภาพของพระจันทร์ ภาพมันดูแปลกมาก ฉีหนิง
มองไม่ออกเลยว่ามันมีอะไร
“นี่คือคาสัญญาที่ข้ากับซู่อิ่งมีให้กันตอนเด็กๆ”
เซี่ยงไป๋อิ่งเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “ตอนที่
พ่อนางตาย ได้ฝากฝังนางไว้กับตระกูลเซี่ยง
ตอนที่นางมาที่ตระกูลเซี่ยง ซู่อิ่ง...ซู่อิ่งขี้กลัว
มาก อาจเป็นเพราะนางรู้สกึ ว่าตัวเองเป็นแค่
คนอาศัย ทาอะไรก็ต้องระวังสีหน้าท่าทางของ
คนอื่นตลอดเวลา”
ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไรมาก แอบคิดในใจว่าที่แท้ก็
เป็นภาพที่ลู่ฮูหยินวาดนี่เอง ลายเส้นของผู้หญิง
ถึงแม้มันจะดูแปลก แต่ว่าพอมองดูก็สบายตาดี
“ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น ในจวนมีญาติมากันมากมาย
เด็กบางคนก็นิสัยทะเล้นขี้เล่น เมื่อเห็นซู่อิ่ง
กาลังวาดภาพอยู่ ก็เลยไปกวน อีกทั้งยังแย่ง
พู่กันของนางมาวาดด้วย” เซี่ยงไป๋อิ่งระลึก
ความหลัง เขายิ้มตลอดเวลา “ข้ายืนดูอยู่ข้างๆ
จึงเดินเข้าไปตีเด็กคนนั้น เห็นว่านางกาลังวาด
รูปพระจันทร์อยู่ ข้าก็เลยหยิบพู่กันมาขีดเส้น
แล้วบอกนางว่า ต่อไปหากใครรังแกนางอีก ไม่
ว่าจะสุดหล้าฟ้าเขียว ขอแค่มองภาพนี้ ข้าจะ
มาคอยปกป้องนาง พระจันทร์ก็คือนาง ขีดเส้น
นั้น ก็เปรียบเสมือนข้าจะช่วยแบกฟ้าให้นาง
เอาไว้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 480 การเลือกที่ยากลาบาก
เซี่ยงไป๋อิ่งค่อยๆ เล่ามันออกมา ฉีหนิงนึกภาพ
ตาม ลู่ฮูหยินซู่อิ่งตอนเด็กถูกฝากเลี้ยง ในใจก็
แอบกลัว แต่ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งกลับออกหน้าและ
รับปากว่าจะคอยปกป้องนาง บอกว่าพวกเขา
เป็นคู่รักที่โตมาด้วยกัน ไม่ผดิ เลยจริงๆ
“ท่านอาเซี่ยง ที่เขาไป๋หม่าจู่ๆ ท่านก็จากไป
เพราะ...ภาพนี้หรือ?” ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาบ้าง
แล้ว
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ตอนที่ออกจากตาหนักไปยัง
เขาไป๋หม่า ซู่อิ่งอาศัยตอนที่พวกเจ้าไม่ทัน
สังเกต วาดภาพนี้แล้วยัดใส่มือข้า”
ฉีหนิงเข้าใจทันที เหตุใดตอนอาหารเช้า ลู่ฮู
หยินถึงได้ยอมอยู่กินข้าวด้วย ทีแ่ ท้ก็เพราะ
ต้องการยัดกระดาษแผ่นนี้ให้เซี่ยงไป๋อิ่ง
เขานึกขึ้นมาได้ ตอนเช้า มันเหมือนจะมีชว่ งที่ลู่
ซางเฮ่อกาลังคุยกับตัวเขาอยู่พอดี เลยไม่ทันได้
สังเกตุพวกเขาสองคน
“ลู่ฮูหยินยัดกระดาษแผ่นนี้ให้ท่าน หรือว่านาง
มีอะไรที่ไม่กล้าพูดกับท่านต่อหน้าลู่ซางเฮ่อ?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “นางกับลู่ซางเฮ่อเป็นสามี
ภรรยากัน ลู่ซางเฮ่อเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับ
ท่าน แล้วมันจะมีอะไรที่พูดไม่ได้อีกล่ะ?” เขา
หยุดไป แล้วถามว่า “หลังจากที่ท่านลงเขาแล้ว
ท่านกลับไปที่ตาหนักหรือไม่?”
“ไม่” เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นางบอก
ว่านางจะไปรอข้าที่สวนท้อของตาหนักที่ห่าง
ออกไปทางทิศตะวันออกอีกสิบลี้ ข้าไม่รู้วา่ มัน
เกิดอะไรขึน้ แต่ว่าหากเดือดร้อน ข้าไม่มีทาง
ปฏิเสธ”
“บอกว่าให้ท่านไปทีส่ วนท้อ” ฉีหนิงเหมือนจะ
เข้าใจ “แล้วท่านได้พบกับฮูหยินลู่หรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไปถึงสวน
ท้อ แต่ว่าซู่อิ่งไม่ได้อยู่ที่นั่น ข้ารออยู่เกือบหนึ่ง
ชั่วยาม ซู่อิ่งถึงได้มา”
“นางมาแค่คนเดียวหรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า “แค่คนเดียว ที่นางมาช้า
เพราะต้องหลบคน เพื่อไม่ให้คนในตาหนักอิ่ง
เฮ่อรู”้
“นางเป็นถึงฮูหยินของตาหนัก จะกลัวอะไร?”
ฉีหนิงอึ้งไป ทันใดนัน้ ก็เข้าใจทันที ลู่ฮูหยินกับ
เซี่ยงไป๋อิ่งเคยมีสัมพันธ์กัน แอบมาเจอหน้ากัน
สองคน หากมีใครรู้เข้า มันจะทาให้พวกเขาเสีย
ชื่อเสียง เขาถามต่อไปว่า “พอลู่ฮูหยินเจอท่าน
แล้ว นางบอกท่านหรือไม่ว่านางเดือดร้อนเรื่อง
อะไร”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นางไม่ได้มเี รื่อง
อะไรเดือดร้อนเลย แต่เป็นข้าที่เดือดร้อน”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาไม่เข้าใจ เซี่ยงไป๋อิ่งพูดต่อไป
ว่า “ซู่อิ่งบอกให้ข้ารีบไปจากตาหนักอิ่งเฮ่อ
แล้วหลังจากนี้ ห้ามกลับมาที่ซชี วนอีก”
“เพราะอะไร?” ฉีหนิงตะลึง
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ข้าเองก็อยากจะถามให้รู้
เรื่อง แต่ว่าซู่อิ่งไม่ยอมอธิบาย เอาแต่ไล่ข้าให้
รีบไป ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” เมื่อพูดถึงตรงนี้
เซี่ยงไป๋อิ่งก็ยิ้ม “ข้าท่องยุทธภพมานานหลายปี
ไม่เคยมีความรู้สึกกลัวจนต้องหนีเลย แต่พอซู่อิ่
งพูดมาแบบนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน
กลัวว่าแม้แต่นางเองก็ตกอยู่ในที่นั่งลาบากเช่น
กัน ข้าเลยจาเป็นต้องถามให้รู้เรื่อง”
ฉีหนิงพยักหน้า “ถูกต้อง นางบอกให้ท่านรีบ
หนีไป แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ท่านอา
เซี่ยง แล้วต่อมาท่านได้ถามอย่างละเอียด
หรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งกลับไม่ได้ตอบทันที เขาเงยหน้ามอง
พระจันทร์อยู่นาน ถึงได้พูดขึ้นมาว่า “มีคนคิด
จะฆ่าข้า”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเรื่องนี้ข้ารู้ ก่อนหน้านี้
พวกคนชุดดาต้องการฆ่าท่านให้ตายก็เห็นกัน
อยู่ เขาถามว่า “ท่านรู้หรือไม่คนชุดดาพวกนั้น
มาจากไหนกัน? ลู่ฮูหยินรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนั้น
จะฆ่าท่านหรือ?”
“ซู่อิ่งบอกข้าว่า พี่ใหญ่เชิญข้าไปที่ตาหนักอิ่ง
เฮ่อ ไม่ใช่เพื่อระลึกความหลังอะไรหรอก”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เขาถูกคนบีบบังคับให้พาข้า
ไปที่นั่น ที่จริงแล้วตาหนักอิ่งเฮ่อถูกวางกับดัก
เอาไว้หมดแล้ว”
ฉีหนิงพูดด้วยความตกใจว่า “ท่านหมายความ
ว่าลู่ซางเฮ่อต้องการสังหารท่านหรือ?” เขา
ตกใจมาก แอบคิดในใจว่าพวกเขาสองคนเป็นพี่
น้องร่วมสาบานกัน ลู่ซางเฮ่อกลับทาเรื่องเลว
ร้ายได้ขนาดนี้ คิดจะฆ่าน้องชายร่วมสาบาน
ของตัวเอง
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ซู่อิ่งบอกข้าว่า
พี่ใหญ่กินยาพิษเข้าไป อีกสองสามวัน พิษก็จะ
กาเริบ หากเขาไม่เอาชีวิตข้า เขาก็ต้องตาย”
ฉีหนิงอึ้งไป เขารู้สกึ ว่าเรื่องนี้มนั ซับซ้อนเกินไป
แล้ว เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใครเอายาพิษให้
ลู่ซางเฮ่อกินกัน?”
“ก่อนที่พี่ใหญ่จะไปทีเ่ ขาเชียนอูหลิง มีคนบุก
เข้าไปในตาหนักอิ่งเฮ่อ จับซู่องิ่ เป็นตัวประกัน”
เซี่ยงไป๋อิ่งสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเขาใช้ซู่อิ่ง
เป็นตัวประกัน บีบบังคับให้พี่ใหญ่หาโอกาส
สังหารข้า ไม่อย่างนัน้ พวกเขาก็จะฆ่าซู่องิ่ แทน
จากนั้นพวกเขาก็บีบบังคับให้ซู่อิ่งกินยาพิษลง
ไป เพื่อข่มขู่พี่ใหญ่”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ลูฮ่ ูหยิน
นาง...”
“ไม่” เซี่ยงไป๋อิ่งรู้ว่าฉีหนิงจะถามอะไร เขาส่าย
หน้าแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ไม่ได้ให้ซู่อิ่งเป็นอะไรไป
เขาเสนอตัวกินยาเอง อีกทั้งยอมรับเงื่อนไขของ
พวกเขาด้วย”
ฉีหนิงเข้าใจแล้ว ว่าทาไมลู่ซางเฮ่อถึงได้
กระตือรือร้นที่จะให้เซี่ยงไป๋อิ่งไปที่ตาหนักอิ่
งเฮ่อให้ได้
“ท่านอาเซี่ยง ท่านเป็นถึงประมุขพรรค
กระยาจก ใครจะคิดร้ายกับท่านได้?” ฉีหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เป็นศัตรูกับพรรค
กระยาจก คนพวกนั้นไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว
กระมัง ด้วยวรยุทธ์ของท่าน ต่อให้เจ้าสานักลู่
จะมีแผนการอะไร ก็ทาอะไรท่านไม่ได้หรอก”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้า เขาพูดว่า “พี่ใหญ่เป็นคนดี
มีคุณธรรม เขาไม่ได้คดิ จะทาร้ายข้าตั้งแต่แรก”
“อะไรนะ?” ฉีหนิงอึ้งไป
“พี่ใหญ่พาข้ามาทีต่ าหนักอิ่งเฮ่อ ก็เพื่อให้ข้าพา
ซู่อิ่งหนีไป” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เขาคิดจะตาย
ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ว่าเขาเป็นห่วงซู่อิ่ง เลยคิด
จะให้ข้าหาโอกาสแล้วพาซู่อิ่งหนีไป ใน
ตาหนักอิ่งเฮ่อมีแต่คนของมันเต็มไปหมด เขา
ทาอะไรต้องระวังมาก เลยหาโอกาสให้พวกเรา
หนีไป”
ฉีหนิงตกใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าลู่ซางเฮ่อจะเป็น
คนดีขนาดนี้
“ถ้าอย่างนั้น ที่ไปล่าสัตว์ที่เขาไป๋หม่า ก็มีคน
ของพวกเขาด้วยสินะ?” ฉีหนิงสีหน้าเคร่ง
เครียด
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ซู่อิ่งบอกข้าว่า พี่ใหญ่พาข้า
ไปล่าสัตว์ที่เขาไป๋หม่า เพราะต้องการให้คน
พวกนั้นคิดว่าพี่ใหญ่กาลังหาโอกาสสังหารข้า
แต่ว่าที่จริงแล้วพี่ใหญ่คิดอยากจะอยู่กับข้าก่อน
ตายก็เท่านั้น” เขาดวงตาแดงก่า “แต่ว่าข้า
กลับไม่รู้ความหวังดีของเขาเลย”
“ถ้าอย่างนั้น...ท่านอาเซี่ยงถูกพิษได้อย่างไร
กัน?” ฉีหนิงสงสัย
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ลู่ฮูหยินวางยาพิษในโจ๊ก
ธัญพืช”
“อะไรนะ?” ฉีหนิงสะดุ้ง แทบจะลุกขึ้นมา
ทีเดียว
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่โทษนาง
นาง...เฮ่อ นางกับพี่ใหญ่แต่งงานกันมาหลายปี
พี่ใหญ่รกั และเอ็นดูนางมาก ที่จริงแล้วซู่อิ่ง
สุขภาพไม่ดีมาตลอด เพื่อไม่ให้นางเป็นอะไรไป
พี่ใหญ่เลยไม่ให้นางมีลูก พี่ใหญ่เป็นคนดีมี
คุณธรรม เพื่อปกป้องซู่อิ่ง เขายอมไม่มีผู้สืบ
สกุล เขาดูแลซู่อิ่งอย่างดี ข้าเทียบเขาไม่ได้
เลย”
ฉีหนิงเข้าใจทันที “ถ้าอย่างนั้น ลู่ฮูหยินทาไปก็
เพราะ...เพราะอยากปกป้องเจ้าสานักลู่ ถึงได้
...” เขาไม่ได้พูดต่อ
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า แล้วพูดว่า “คนพวกนั้น
วางหลุมพรางไว้ตั้งแต่แรก คิดอยากจะสังหาร
ข้า พวกเขารู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนลงมือ พวก
เขาจาเป็นต้องทาลายวรยุทธ์ของข้าก่อน พวก
เขาเอายาพิษพิเศษอย่างหนึ่งให้กับซู่อิ่ง หลัง
จากถูกพิษแล้ว ชีพจรที่จุดตันเถียนจะถูกสกัด
ไม่สามารถใช้กาลังภายในได้ เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่รู้”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเขารู้
ความสัมพันธ์ของทานกับท่านเจ้าสานักลู่ แสดง
ว่าพวกเขาก็น่าจะส่งคนไปสืบเรื่องของท่านมา
ในใต้หล้านี้ หากจะมีใครที่ท่านจะไม่ระวังตัว
เลย นั่นก็คือลู่ฮูหยิน”
เซี่ยงไป๋อิ่งถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็หัวเราะ
ออกมาได้อย่างเสียงดัง แล้วพูดว่า “ศัตรูร้าย
กาจจริงๆ รู้จุดอ่อนของข้าดีทีเดียว” เขาหยุด
ไป ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซู่อิ่งกับพี่ใหญ่เป็น
ผัวเมียกันหลายปี นางไม่มีทางเห็นพี่ใหญ่ถูก
พิษตายไปหรอก ดังนั้นที่นางวางยาพิษในโจ๊ก
นางเองก็ไม่มีทางเลือก ข้าไม่โทษนางหรอก”
ฉีหนิงถอนหายใจ
ลู่ฮูหยินยัดกระดาษให้เขา เพราะไม่อยากเห็น
เซี่ยงไป๋อิ่งถูกทาร้าย แต่ก็ไม่อยากเห็นลู่ซางเฮ่อ
ถูกพิษตาย ในใจของนางคงสับสนมาก
ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่านางจะตัดสินใจ
อย่างไร มันก็ไม่ผิดเลย
“แต่ว่าซู่อิ่งเป็นคนมีเมตตามาตัง้ แต่เกิด หลัง
จากวางยาพิษข้าแล้ว นางกลับทนไม่ได้ที่จะ
เห็นข้าถูกทาร้าย ดังนั้น...ก็เลยเอากระดาษให้
ข้า แล้วหาโอกาสเพื่อมาพบข้าที่สวนท้อ” เซี่ยง
ไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “นางบอกให้ข้าหนีไป
เพราะกลัวว่าข้าจะถูกทาร้าย แต่ว่าตอนนัน้ ข้า
ได้กินยาพิษไปแล้ว ถึงแม้พิษจะไม่กาเริบ
ในทันที แต่ว่าข้าจะหนีไปแบบนี้ได้อย่างไรกัน”
ฉีหนิงถามว่า “แล้วท่านเลยอยูต่ ่อ?”
“ถึงแม้ข้าอยากจะอยู่ต่อ แต่ซู่อิ่งเอาชีวิตของ
นางมาขู่ขา้ ” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “นางวางยาข้า
โดยไม่มีทางเลือก นางรู้สึกเสียใจมาก กังวลว่า
จะเป็นอันตรายถึงชีวติ ข้า ดังนั้นนางเลยอยาก
ให้ข้าหนีไปทันที หากข้าไม่ยอมไป นางก็จะฆ่า
ตัวตายต่อหน้าข้า ข้า...ข้าไม่มีทางเห็นนางทา
แบบนั้นได้แน่ ข้าเลยแกล้งรับปากนางไป”
ฉีหนิงรีบถามว่า “ตอนที่ข้ากับเจ้าสานักลู่
กลับไปถึงตาหนัก ข้าเห็นผู้อาวุโสไป๋หู่ส่งคนนา
จดหมายมาให้ บอกว่าในพรรคกระยาจกเกิด
เรื่องใหญ่ ให้ท่านต้องรีบไปสะสาง”
เซี่ยงไป๋อิ่งขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มีเรื่องแบบนี้
ด้วยหรือ?”
ฉีหนิงหยิบจดหมายออกมา แล้วเอาให้เซี่ยงไป๋
อิ่งดู ฉีหนิงพูดว่า “นี่จดหมายทีท่ ่านทิ้งไว้ให้ ข้า
กับเจ้าสานักลู่ได้คนละฉบับ”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่ลายมือ
ข้า”
“นี่เป็นเด็กรับใช้ของพรรคกระยาจกเอามาให้”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “ในเมื่อไม่ใช่ของท่านอาเซี่ยง
แสดงว่าคนนั้นโกหก”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น คนที่เจ้า
ว่าก็น่าจะเป็นพวกเดียวกับพวกนั้น” สายตา
ของเขาเป็นประกายขึ้น “คนทีม่ าส่งจดหมาย
คนนั้นชื่ออะไร?”
“เขาชื่อว่าอู๋อ”ี้ ฉีหนิงตอบ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่
เขาหายตัวไประหว่างทางให้ฟัง เซี่ยงไป๋อิ่งพยัก
หน้าแล้วพูดว่า “ถูกแล้ว อู๋อี้ไม่ใช่คนของพรรค
กระยาจก แต่เป็นคนของพวกเขาเหมือนกัน
พวกเขาวางแผนเอาไว้ เพื่อล่อเจ้าออกจาก
ตาหนักอิ่งเฮ่อ”
“ล่อข้าออกจากตาหนัก?” ฉีหนิงตะลึงไป
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เป้าหมายของคนพวกนั้นคือ
ข้า พวกเขาต้องการจัดการกับพรรคกระยาจก
เจ้าเป็นจิ่นอีโหว พวกเขาไม่อยากให้เจ้าต้องเข้า
มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าเป็นคนของจิ่นอี
ตระกูลฉี เป็นจิ่นอีโหวของแคว้นฉี
เปรียบเสมือนตัวแทนของราชสานัก คนพวก
นั้นกังวลว่าเจ้าจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
แล้วจะกลายเป็นภัยทีหลังได้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 481 แข่งกันดื่ม
จิ่นอีโหวตระกูลฉีเป็นหนึ่งในโหวใหญ่ของแคว้น
ฉี ไม่ว่าจะมีศตั รูในราชสานักหรือไม่ แต่ว่า
อย่างไรก็ยังถือเป็นตัวแทนของราชสานัก หาก
จิ่นอีโหวถูกทาร้าย ก็เหมือนราชสานักถูกตบ
หน้า ทางแคว้นก็จะต้องทาทุกวิถีทางในการหา
ตัวคนร้ายแน่นอน เพื่อรักษาเกียรติและบารมี
ของราชสานักเอาไว้
ฉีหนิงเพียงใช้ความคิด ก็รู้ทันทีว่าที่เซีย่ งไป๋อิ่ง
พูดมานั้นไม่ผิดเลย
คนที่ควบคุมตาหนักอิ่งเฮ่อ ถึงแม้จะถูกวางกับ
ดัก และต้องการสังหารประมุขพรรคกระยาจก
ให้ตาย แต่ว่าก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากมี
ปัญหาอะไรกับจวนจิน่ อีโหวเลย อีกทั้งก็ไม่
อยากมีปญ
ั หากับราชสานักด้วย
พวกเขารู้ดีว่า หากบอกว่าเซี่ยงไป๋อิ่งไปจาก
ตาหนักอิ่งเฮ่อแล้ว ฉีหนิงไม่มีทางอยู่ที่นั่นต่อ
แน่
พวกเขาตั้งใจจัดฉากเรื่องศิษย์ของพรรค
กระยาจกขึ้น เพื่อแจ้งข่าวลวงให้ฉีหนิงทราบ
เป้าหมายก็คือล่อฉีหนิงออกมา เพื่อไม่เข้ามายุ่ง
เกี่ยวกับเรือ่ งนี้
หากเรื่องเป็นอย่างทีว่ ่ามา การที่อู๋อี้หายไป
ระหว่างทาง ก็อธิบายได้แล้ว ฉีหนิงให้อู๋อี้พา
เขาไปยังพรรคกระยาจก แต่เขาไม่ได้เป็นคน
ของพรรค ต่อให้รู้ว่าสาขากุ่ยมู่หลางอยู่ทไี่ หน
เขาก็ไม่สามารถพาฉีหนิงไปที่นั่นได้ ไม่อย่างนั้น
เขาจะถูกจับได้ทันที ทาให้เขาต้องหนีไป
ระหว่างทาง
คนพวกนัน้ คิดมาอย่างรอบคอบ แต่พวกเขานึก
ไม่ถึงว่าฉีหนิงจะตามเซี่ยงไป๋อิ่งไปที่ตาหนักอิ่ง
เฮ่อด้วย ทาให้ต้องวางแผนใหม่
หรือว่าการกระทาของลู่ซางเฮ่อ ที่เชิญฉีหนิงไป
ที่ตาหนัก ก็หวังที่จะให้มีโอกาสพลิก
สถานการณ์
“ท่านอาเซี่ยง แล้วตอนนั้นท่านอยู่ที่ไหน?” ฉี
หนิงถาม
เซี่ยงไปอิ่งพูดว่า “ข้ารับปากซู่องิ่ ว่าข้าจะไป
จากที่นั่น ถึงทาให้นางวางใจได้ ข้าเดินจากมา
ต่อหน้านาง นางคิดว่าข้าไปแล้วจริงๆ แต่ว่าข้า
ออกมาครึ่งทาง ก็ซ่อนตัว เตรียมที่จะแอบ
กลับไป” เขายิ้มแห้งแล้วพูดว่า “แต่คนพวกนั้น
มีสาย ต่อให้ซู่อิ่งระวังตัวแค่ไหน ก็ถูกพวกเขา
จับได้อยู่ด”ี
“พวกเขารู้ ว่าลู่ฮูหยินมาพบท่าน แล้วจะต้อง
เล่าความจริงให้ท่านฟังแน่” ฉีหนิงพูดว่า
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ดังนั้นพวกเขาก็จะต้องรู้ว่า
ข้าจะย้อนกลับไปที่ตาหนัก แล้วจะต้องเจอพวก
เขาระหว่างทางด้วย”
ฉีหนิงพยักหน้า เขารู้ว่าในเมื่อพวกเขาหลอกใช้
ลู่ซางเฮ่อสองผัวเมียในการวางแผนร้าย แสดง
ว่าพวกเขารู้จุดอ่อนของเซี่ยงไป๋อิ่งเป็นอย่างดี
แล้วก็รู้จักนิสัยเขาดีมากด้วย เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นคน
ดีมีคุณธรรม หากรู้ความจริงแล้ว ก็ไม่มีทางหนี
ไปแบบนั้นแน่
ต่อให้รู้ว่ามันคือกับดัก ก็จะต้องกลับไป นิสัย
ของเซี่ยงไป๋อิ่ง คนพวกนั้นคานวณไว้หมดแล้ว
“ข้ารู้ว่าพวกเขาวางกับดักไว้ ขอแค่ข้าปรากฏ
ตัว แล้วล่อพวกมันออกมา พวกมันก็จะไม่ทา
อะไรพี่ใหญ่กับซู่อิ่ง” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ตอนที่
ข้ากลับไปที่ตาหนักฟ้าก็มืดแล้ว ในตาหนัก
เงียบมาก แต่ว่าพี่ใหญ่กับซู่อิ่งกลับถูกมัดเอาไว้
บนต้นไม้ใหญ่...”
“ใช้วิธีต่าช้ามาก” ฉีหนิงพูดว่า “หากรู้ว่าพวก
นั้นเป็นใคร จะต้องให้พวกเขาไม่ได้ตายดี” เขา
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าสานักลู่กับฮูหยินถูก
มัด ท่านอาก็คงต้องออกไปช่วย”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “พอข้าเข้าไปในเรือน ก็มีคน
กลุ่มหนึ่งโผล่ออกมา พวกเขาไม่พูดอะไรแม้แต่
คาเดียว ก็บุกเข้าโจมตีข้าทันที ข้าไม่อยากต่อสู้
กับพวกเขาบนตาหนัก เพราะกลัวว่าจะทาให้พี่
ใหญ่กับซู่อิ่งต้องบาดเจ็บไปด้วย พวกเขารู้วา่ ข้า
ถูกพิษ จึงไล่สังหารข้า...”
ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ ว่าทาไมเซีย่ งไป๋อิ่งถึงได้ถูกไล่
ฆ่ามาแบบนี้
“พี่ใหญ่กับซู่อิ่งไม่รจู้ ะเป็นอย่างไรบ้างตอนนี”้
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “หวังว่าพวกเขาจะไม่
เดือดร้อนเพราะข้านะ”
ฉีหนิงถอนหายใจ
เซี่ยงไป๋อิ่งบาดเจ็บสาหัส จนมีสภาพแบบนี้
อย่างไรลู่ซางเฮ่อสองผัวเมียก็มสี ่วน หากไม่ใช่
เพราะโจ๊กพิษของลูฮ่ ูหยิน กาลังภายในของ
เซี่ยงไป๋อิ่งคงปกติดี ต่อให้คนพวกนั้นจะมีมาก
แค่ไหน ก็คงทาอะไรเขาไม่ได้ แต่ว่าเขา
ในตอนนี้ไม่เพียงไม่โทษสองผัวเมียนั่น แต่กลับ
เป็นห่วงพวกเขาด้วย
ฉีหนิงรู้สึกว่าเซีย่ งไป๋อิ่งเป็นคนดีมาก เขาพูดว่า
“ท่านอาเซี่ยง หากพวกเขาไม่อาจสังหารท่าน
ได้ คงไม่กล้าลงมือกับท่านเจ้าสานักลู่กับฮู
หยินหรอก หากท่านตาย คนพวกนั้นคงฆ่าคน
เพื่อปิดปากแน่ พวกเขาสองคนไม่น่าจะรอด
แต่ว่าหากท่านยังมีชีวิตอยู่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็
ยังเกรงกลัวท่านไม่น้อย หากทาร้ายพวกเขา
ตอนนี้ ก็จะกลายเป็นความแค้นที่ใหญ่โตขึ้น
แล้วไม่มีทางพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้อกี ใน
เมื่อพวกเขาวางแผนร้ายแบบนี้ได้ คงไม่ใช่คนโง่
ดังนั้นตอนนี้พวกเขาน่าจะไม่เป็นอะไร”
เซี่ยงไป๋อิ่งรู้ว่าที่ฉีหนิงพูดนั้นคือเรื่องจริง เขาจึง
ยิ้มขึ้นมา ฉีหนิงพูดขึ้นมาอีกว่า “ตอนนี้สิ่ง
สาคัญทีส่ ุดคือหาที่ปลอดภัยให้ท่านก่อน พวก
เราต้องหนีจากการตามล่าของพวกเขาให้ได้
แล้วไปถึงพรรคกระยาจกให้เร็วที่สุด ขอแค่ไป
ถึงพรรคกระยาจกได้ ต่อให้พวกเขากล้าบ้าบิ่น
แค่ไหน ก็ไม่น่ากล้ามีปัญหากับพรรคกระยาจก
แน่”
“สาขาขุยมู่หลางตั้งอยู่ที่เขตซินผิง ไม่ไกลจาก
เมืองเฉิงตู” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดมานาน ตอนนี้เขาไม่
มีแรงเหลืออีกแล้ว “ขอแค่พวกเรารีบเดินทาง
ไปยังเขตซินผิง ก็จะไปถึงสาขาขุยมู่หลางได้ง่าย
แล้ว”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกเรายังไป
ที่นั่นไม่ได้ คนพวกนั้นกาลังตามหาพวกเราอยู่
พวกเขาต้องคิดว่าพวกเรากลับไปที่นั่นแน่
ดังนั้นตอนนี้เส้นทางที่จะไปที่นั่น พวกเขาต้อง
วางกับดักไว้แล้วแน่นอน”
เซี่ยงไป๋อิ่งมองฉีหนิงด้วยสีหน้าชื่นชม เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้าฉลาดมาก เหมือนกับคนๆ นั้น
ไม่มีผิดเลย”
ฉีหนิงได้ยินเขาพูดถึง “คนๆ นั้น” บ่อยมาก ใน
ใจก็นึกสงสัย ตอนนีไ้ ด้ยินเขาพูดถึงอีก ก็อด
ถามไม่ได้วา่ “ท่านอาเซี่ยง คนๆ นั้นที่ท่านพูด
ถึงใครกันหรือ? เขา...เขามีความสัมพันธ์อะไร
กับข้าหรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งนิ่งไป สุดท้ายก็ถามว่า “เจ้าคิดถึงแม่
ของเจ้าบ้างหรือไม่?”
“หะ?” ฉีหนิงตะลึงไป เขาพูดอย่างแปลกใจว่า
“ท่านอาเซี่ยง หรือว่าท่านจะรูจ้ ักหลิว...รู้จัก
ท่านแม่ของข้าด้วย?” เขารู้สึกแปลกใจมาก
หลิวซู่อีเป็นถึงฮูหยินของแม่ทัพใหญ่ เซี่ยงไป๋อิ่ง
เป็นคนของพรรคกระยาจก ทั้งสองคนมีฐานะที่
แตกต่างกันมาก แล้วไปรู้จักกันได้อย่างไร?
ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้เซี่ยง
ไป๋อิ่งเคยพูดขึ้นมาว่า เมื่อยี่สิบปีก่อนมีคนช่วย
ชีวิตเขาเอาไว้ หรือว่าคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้คือ
หลิวซู่อ?ี เขาก็นึกขึ้นมาอีกว่าเซี่ยงไปอิ๋งออก
จากบ้านมาตั้งแต่เมื่อสิบแปดปีก่อน แล้วมอบ
สานักเฟิงเจี้ยนให้กับลู่ซางเฮ่อ นั่นก็หมายความ
ว่า เมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนที่เซี่ยงไป๋อิ่งยังเป็น
เซี่ยงเซียวเหยา และยังเป็นเจ้าสานักน้อยของ
สานักเฟิงเจี้ยนอยู่ เขายังไม่ได้มีสัมพันธ์อะไร
กับพรรคกระยาจก
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ได้รูปร่างสูง
ใหญ่เหมือนท่านแม่ทัพใหญ่ เพราะเจ้าเหมือน
แม่ของเจ้า เจ้าไม่เพียงหน้าตาเหมือนนาง ทั้ง
นิสัยและความฉลาด ก็เหมือนแม่ของเจ้าด้วย”
ในใจของฉีหนิง หลิวซู่อีเป็นเหมือนปริศนาในใจ
ของเขา จวนจิ่นอีโหวไม่เคยพูดถึงหลิวซู่อีเลย ฮู
หยินท่านแม่ทัพใหญ่คนนี้กลายเป็นที่หวาดกลัว
ของคนในจวนจิ่นอีโหว เรื่องนี้ก็เป็นเรือ่ งที่ฉี
หนิงแปลกใจมากพออยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ได้
ข้อมูลมาจากปากของจั่วชิงหยางครูใหญ่ของ
วิทยาลัยฉงหลิน ตอนนั้นหลิวซูอ่ ีก็เป็นหนึง่ ใน
นักเรียนของวิทยาลัยฉงหลิน ฉีหนิงรู้สึกสนใจ
ในตัวของฮูหยินของแม่ทัพใหญ่คนนี้มาก
สิ่งที่ทาให้เขาคิดไม่ถึงเลย ก็คือแม้แต่แม่หมอ
ของเผ่าเหมียวก็เหมือนจะรู้จักกับหลิวซู่อเี ป็น
อย่างดี แต่ไม่พูดออกมาหมด หากประมุขพรรค
กระยาจกมีความสัมพันธ์กับหลิวซู่อีอีก ฉีหนิง
คงแปลกใจมากกว่านี้
เขารู้ว่าหลิวซู่อีเกิดในตระกูลขุนนาง ก็ถือเป็น
หญิงตระกูลผู้ดี ลูกขุนนางผู้ดี มีข้อจากัดมัดตัว
มากกว่าหญิงสาวชาวบ้าน
แต่ว่าคุณหนูตระกูลขุนนางคนหนึ่ง จะไปรู้จัก
คนร้ายกาจในยุทธภพแบบนี้ได้อย่างไรกัน
“ที่จริงเจ้าควรเรียกข้าว่าท่านลุงเซี่ยงถึงจะถูก”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ข้าอายุมากกว่าแม่ของเจ้า
หลายปี นางเรียกข้าว่าพี่ แต่เสียดาย...” เขา
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แม่เจ้าเจ้าเล่ห์มาก ข้าหลง
กลนาง แต่ว่าข้าเซี่ยงไป๋อิ่งพูดคาไหนคานั้น ดัง
นั้น...เรื่องนั้น...เหอเหอ...” ถึงแม้เขาจะหมด
แรง บาดเจ็บสาหัส แต่ว่าเมื่อพูดถึงหลิวซู่อี สี
หน้าของเขาก็มีแต่รอยยิ้ม
ฉีหนิงรู้สึกอยากรูเ้ รื่องของหลิวซู่อีมาก สาหรับ
เขาแล้ว ต่อให้รู้มากกว่านี้ก็ยังดี กลัวแต่เซี่ยงไป๋
อิ่งจะไม่ยอมพูดเหมือนกัน เขาถามว่า “ท่านอา
เซี่ยง ท่านฉลาดขนาดนี้ จะหลงกลท่านแม่ได้
อย่างไร?”
เซี่ยงไป๋อิ่งนิ่งไป แล้วถามว่า “เสี่ยวหลินจือ่ เจ้า
รู้หรือไม่ ตอนนั้นข้าต้องดื่มเหล้าวันละ
เท่าไหร่?”
ฉีหนิงส่ายหน้า เซี่ยงไป๋อิ่งหัวเราะแล้วพูดว่า
“ตั้งแต่อายุสิบสาม จนได้เจอแม่เจ้า ข้าจะต้อง
ดื่มเหล้าวันละหนึ่งไห ตอนนั้นข้าเป็นพี่นอ้ งร่วม
สาบานกับพี่ใหญ่ลู่ ก็เพราะเหล้า ตอนนั้นข้า
เป็นแค่ขี้เมาคนหนึ่งเท่านั้น หากวันไหนทีไ่ ม่ได้
กินเหล้าสักไห ก็จะรูส้ ึกไม่สบายตัว”
ฉีหนิงรู้ดีว่าไหที่เขาพูดถึงน่าจะเป็นไหใหญ่
หากแบ่งใส่ถุงเหล้า อย่างน้อยก็ต้องมีเจ็ดแปด
ถุง เขาคิดในใจว่าหากเซี่ยงไป๋องิ่ พูดมาคือเรื่อง
จริง ตอนเขายังหนุ่มก็ถือว่าเป็นคนคอแข็งจน
น่าตกใจเลย
“ตอนที่ข้ายังหนุ่มข้าเสเพลมาก ชอบท่องเที่ยว
ไปเรื่อยๆ” เซี่ยงไป๋อิ่งหัวเราะแล้วพูดว่า
“ระดับการกินเหล้าของข้าในตอนนั้นแทบไม่มี
ใครเทียบได้ ต่อมาข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสจูเชวี่ย
ของพรรคกระยาจกกินเหล้าเก่งมาก ข้าเลยไม่
ยอม คิดอยากจะรู้ว่าเขาจะเก่งแค่ไหนกันเชียว
ก็เลยเดินทางไปหาเขาที่เมืองหลวงคนเดียว”
ฉีหนิงรู้จักผู้อาวุโสจูเชวี่ยที่เซี่ยงไป๋อิ่งพูดถึงดี
เขาก็คือผู้อาวุโสจูเชวี่ยที่อยู่ประจาเมืองหลวง
คนนั้น
พรรคกระยาจกมีสี่ผู้อาวุโสช่วยประมุขพรรคใน
การบริหารทั้งยี่สิบแปดสาขา ผู้อาวุโสจูเชวี่ย
เป็นตาแหน่งในพรรคกระยาจก ไม่ใช่แค่ตัว
บุคคล
“ผู้อาวุโสจูเชวี่ยก็เป็นคนสบายๆ พอได้ยินว่าข้า
อยากจะแข่งดื่มเหล้ากับเขา ก็รับปากทันที”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้มีเงินมาก
พอที่จะซื้อเหล้า ดังนัน้ ก็เลยเอาเงินที่มีจ้างให้
พวกเขาขนเหล้ามายี่สิบไห...”
ฉีหนิงตาโต เหล้ายี่สบิ ไหมันมากพอให้พวกเขา
เอามาอาบน้าได้เลยนะ
“ข้าได้ทาการตกลงกันไว้ก่อนแล้ว จะไม่ใช้
กาลังภายในในการขับพิษเหล้าออกมา” เซี่ยง
ไป๋อิ่งเหมือนสีหน้าดีขนึ้ “ตอนนั้นรอบๆ มีศิษย์
พรรคกระยาจกอยู่สิบกว่าคน พวกเขามาดูข้า
กับผู้อาวุโสจูเชวี่ยแข่งดื่มเหล้ากัน อาวุโสจูเชวี่ย
ก็สมคาร่าลืม เขาดื่มเก่งมาก ข้าแข่งกับเขาอยู่
ราวสองชั่วยาม...” เขามองไปทีฉ่ ีหนิง เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนชนะ?”
ฉีหนิงเห็นเขามีท่าทีได้ใจมาก คิดในใจว่ายังต้อง
เดาอีกหรือ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ก็ต้องท่านอา
เซี่ยงสิ”
เซี่ยงไป๋อิ่งหัวเราะ แต่กลับถ่อมตัวแล้วพูดว่า
“อาวุโสจูเชวี่ยฟุบลงไปก่อน ข้า...ข้าชนะเขานิด
เดียว เพียงแต่ตอนนั้นข้ายังมึนๆ เหมือนจะล้ม
แต่ว่าลูกผู้ชายจะมาขายหน้าศิษย์พรรค
กระยาจกไม่ได้ ข้าเลยฝืนออกจากสาขาไปก่อน
ข้าเองก็ไม่รู้ตอนนั้นข้าเดินไปทีไ่ หน จากนัน้ ...
จากนั้นก็ล้มลง” ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอน
นั้นเป็นฤดูหนาว อีกทั้งคืนนั้นหิมะก็ตกหนัก ข้า
เมาจนไม่รู้เรื่องอะไรเลย หากไม่มีใครเดินผ่าน
มาเห็น ข้าคงหนาวตายไปแล้ว” เขายิ้มอย่าง
อ่อนโยนแล้วพูดว่า “แต่ว่าแม่ของเจ้า นางช่วย
ข้าเอาไว้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 482 แข่งวาดภาพ
แสงจันทร์ส่องกระทบผิวน้ำ น้ำตกไหลลงมำไม่
หยุด ถึงแม้ฉีหนิงเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่
พอได้ยินเซี่ยงไป๋อิ่งพูดมำแบบนี ในใจของเขำก็
รู้สึกตกใจมำก
ควำมข้องใจหลำยอย่ำงของฉีหนิงก็เหมือนจะ
คลี่คลำยไป
เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นประมุขพรรคกระยำจก ฉีหนิงไม่
เคยได้ยินว่ำมีควำมเกี่ยวข้องอะไรด้วย แต่วำ่
ประมุขเซีย่ งคนนีไม่เพียงออกหน้ำช่วยเขำ อีก
ทังยังถ่ำยทอดวิชำเดินลมปรำณกับวรยุทธ์ให้
เขำอีก ท้ำให้ฉีหนิงคิดไม่ตก ตอนนีพอได้ยิน
เรื่องเซี่ยงไป๋อิ่งกับหลิวซู่อี เข้ำก็พอจะเข้ำใจ
อะไรบ้ำงแล้ว
“ตอนนันแม่ของเจ้ำอำยุยังไม่ถึงยี่สิบ” เซี่ยงไป๋
อิ่งยิมแล้วพูดว่ำ “ข้ำยังจ้ำได้ ตอนนันนำงเล่ำ
เรียนเป็นศิษย์ของจั่วชิงหยำงแห่งวิทยำลัยฉง
หลิน วันนันเป็นวันที่นำงก้ำลังจะกลับบ้ำน
ระหว่ำงทำงพบข้ำนอนเมำสลบอยู่กลำงหิมะ
ตอนนันข้ำหมดสภำพมำก เหมือนกับขอทำน
เลย ที่จริงแล้วฤดูหนำวของทุกปี บนถนนมีคน
นอนตำยอยู่ไม่น้อยเลย”
ฉีหนิงพูดว่ำ “นำงเห็นท่ำนนอนอยู่บนกองหิมะ
เลยช่วยท่ำนไว้หรือ?”
“ตอนที่ข้ำตื่นขึนมำ ข้ำก็อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่ง
หนึ่งแล้ว” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่ำ “หลังจำกที่ตื่นขึน
มำแล้ว ข้ำก็ไปถำมเถ้ำแก่โรงเตี๊ยมว่ำมันเกิด
อะไรขึน เถ้ำแก่บอกข้ำว่ำ คุณหนูซื่อหลำง
ตระกูลหลิวพำข้ำมำ” เขำยิมแล้วพูดว่ำ “ติด
ค้ำงบุญคุณใหญ่ขนำดนี ข้ำเซี่ยงไป๋อิ่งมีบุญคุณ
ต้องทดแทน ก็ต้องไปขอบคุณนำง”
“แล้วต่อมำล่ะ?” ฉีหนิงรีบถำมว่ำ “ท่ำนได้พบ
นำงหรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่ำ “ก็ต้องได้พบสิ แต่เพรำะนำง
เป็นคุณหนูตระกูลขุนนำง ข้ำก็เลยไม่เหมำะจะ
พบหน้ำตรงๆ เลยฝำกคนเอำของขวัญไปมอบ
ให้นำง แม่ของเจ้ำไม่เพียงรับของที่ข้ำฝำกไปให้
ยังเอำภำพที่นำงวำดเองมำมอบให้ด้วย เจ้ำรู้
หรือไม่ว่ำนำงวำดรูปอะไรให้ขำ้ ?”
ฉีหนิงส่ำยหน้ำ เซี่ยงไป๋อิ่งยิมแล้วพูดว่ำ “เป็น
ภำพวันที่หิมะตกหนัก มีหมูตัวหนึ่งนอนกองอยู่
ที่พืนหิมะ ด้ำนข้ำงหมูตัวนัน มีเหล้ำไหใหญ่วำง
อยู่ด้วย”
ฉีหนิงอึงไป จำกนันก็หลุดหัวเรำะออกมำ แอบ
คิดในใจว่ำภำพของหลิวซู่อีเป็นกำรประชดที่ไป๋
เซี่ยงอิ่งเป็นผีขีเมำ อีกทังเมำแล้วเหมือนหมู
ด้วย นำงทะเล้นมำกจริงๆ
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่ำ “แม่ของเจ้ำวำดภำพได้ดีมำก
น่ำเสียดำยฝีมือภำพแบบนันจริงๆ เพรำะข้ำ
วำดภำพนันเอง ฮ่ำฮ่ำฮ่ำ ตอนนันข้ำเองก็สนใจ
เรื่องดนตรีภำพวำดอยู่เหมือนกัน เลยวำดภำพ
ให้คนน้ำกลับไปให้นำง ในภำพเป็นรูปตอนที่ข้ำ
กับคนของพรรคกระยำจกแข่งดื่มเหล้ำกัน
ดังนันถึงได้เมำหลับอยู่บนถนน”
ฉีหนิงคิดในใจว่ำคนมีควำมสำมำรถไม่เหมือน
ใครจริงๆ คุยกันยังคุยผ่ำนภำพ
“เป็นอย่ำงนีอยู่หลำยวัน แม่ของเจ้ำใช้วิธีนีคุย
กับข้ำ ในเมื่อนำงช่วยชีวิตข้ำ ข้ำก็ควรจะ
อธิบำยเรื่องนีให้นำงรู”้ เซี่ยงไป๋อิ่งยิมแล้วพูดว่ำ
“ข้ำจ้ำได้ดีเลยวันนันช่วงบ่ำย ข้ำก้ำลังดื่มเหล้ำ
อยู่ที่ร้ำนเหล้ำ มีชำยหนุ่มคนหนึ่งมำนั่งลงตรง
ข้ำมข้ำ ตอนนันข้ำชอบไปไหนมำไหนท้ำอะไร
คนเดียว จู่ๆ มีชำยหนุ่มหน้ำตำนุ่มนิ่มมำนั่งตรง
ข้ำมข้ำ เจ้ำไม่คิดว่ำมันแปลกหรือ?”
“ท่ำนอำเซี่ยง หรือว่ำคุณชำยคนนัน...คือท่ำน
แม่ข้ำปลอมตัวเป็นชำยมำอย่ำงนันหรือ?” ฉี
หนิงยิมแล้วถำม
เขำเห็นเซี่ยงไป๋องิ่ พูดถึงเรื่องเก่ำขึนมำ หน้ำ
ของเขำก็มแี ต่รอยยิม เหมือนอำรมณ์จะดีไม่
น้อยเลย ในใจก็คดิ ว่ำเซี่ยงไป๋อิ่งบำดเจ็บสำหัส
หำกยังสำมำรถอำรมณ์ดีแบบนีได้ เป็นผลดีกับ
บำดแผลของเขำมำก อีกทังฉีหนิงเองก็สนใจ
เรื่องของหลิวซู่อีมำก อยำกจะรูเ้ รื่องจำกปำก
ของเซี่ยงไป๋อิ่งบ้ำง
เซี่ยงไป๋อิ่งยิมแล้วพูดว่ำ “ถูกต้อง นำงปลอมตัว
เป็นผู้ชำย ข้ำมองทีเดียวก็รู้ อีกทังตอนนันข้ำก็
รู้ว่ำนำงคือแม่ของเจ้ำ” เขำเหมือนก้ำลังนึก
แล้วพูดว่ำ “ถึงแม้ข้ำจะรู้ว่ำเป็นนำง แต่ว่ำนำง
เป็นคุณหนูตระกูลขุนนำง วิ่งมำหำข้ำที่ร้ำน
เหล้ำ มันก็ท้ำให้ข้ำตกใจมำก”
“ท่ำนแม่คงไม่แข่งดื่มเหล้ำกับท่ำนหรอก
กระมัง?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ำยหน้ำแล้วพูดว่ำ “แม่ของเจ้ำไม่
ชอบคนดื่มเหล้ำ นำงมำหำข้ำ เพื่อให้ข้ำเลิก
เหล้ำ”
“ท่ำนอำเซี่ยงก็ยังกินเหล้ำจนถึงตอนนี แสดงว่ำ
ท่ำนแม่เกลียกล่อมท่ำนไม่ส้ำเร็จ”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ำยหน้ำแล้วพูดว่ำ “เจ้ำผิดแล้ว แม่
เจ้ำท้ำให้ขำ้ ไม่ดื่มเหล้ำอีกจริงๆ แต่ว่ำพยำธิ
เหล้ำในท้องข้ำจะยอมได้อย่ำงไร แต่ว่ำแม่เจ้ำ
ฉลำดมำก ตอนนันข้ำอยำกจะเป็นพีน่ อ้ งร่วม
สำบำนกับนำง แม่เจ้ำเองก็สบำยๆ ไม่ได้
รังเกียจข้ำเลย นำงรับปำกเป็นพี่น้องร่วม
สำบำนกับข้ำ แต่ว่ำนำงจะต้องเป็นพี่สำว ข้ำ
ต้องเป็นน้องชำยของนำงเท่ำนัน” พอพูดถึง
ตรงนี เขำก็หัวเรำะ แล้วพูดว่ำ “ข้ำอำยุมำก
กว่ำนำงตังหลำยปี นำงกลับจะมำเป็นพี่สำว
ข้ำ”
“แล้วต่อมำล่ะ?”
“แต่ว่ำแม่ของเจ้ำเป็นผู้มีพระคุณของข้ำ ข้ำจะ
ปฏิเสธนำงมันก็ไม่ด”ี เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่ำ “แม่
ของเจ้ำเลยเสนอให้ข้ำแข่งวำดภำพกับนำง ใคร
วำดได้ดีกว่ำ คนนันก็เป็นพี่ นำงยังเพิ่มเงือ่ นไข
ด้วย หำกว่ำนำงชนะ ตังแต่นัน ข้ำห้ำมกินเหล้ำ
อีก” เขำส่ำยหน้ำแล้วพูดว่ำ “หำกไม่แตะเหล้ำ
เลย ข้ำไม่มีทำงรับปำกแน่ แม่ของเจ้ำก็
เตรียมกำรไว้แล้ว นำงรู้ว่ำให้ข้ำเลิกเหล้ำไปเลย
คงเป็นไปไม่ได้ นำงเลยเตรียมถุงเหล้ำมำ ให้ข้ำ
รับปำก หำกนำงชนะ ตังแต่ตอนนัน ข้ำกินได้
มำกสุดก็แค่ถุงเหล้ำนีเท่ำนัน หำกเกินกว่ำนัน
ข้ำก็จะไม่ใช่ลูกผู้ชำยอีก”
ฉีหนิงตะลึงไป เขำหยิบถุงเหล้ำมำ เมื่อเห็นถุง
เหล้ำที่ท้ำจำกหนังวัว ถึงแม้มันจะแข็งแรง แต่
ว่ำมันก็เก่ำมำกแล้ว แสดงว่ำเขำต้องใช้มำนำน
หลำยปี เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่ำ “ถุงเหล้ำที่อยู่ในมือ
เจ้ำตอนนี เป็นของทีน่ ำงมอบให้ข้ำตอนนัน ข้ำ
รักษำมันไว้อย่ำงดี” พอพูดถึงตรงนี สีหน้ำของ
เขำก็เปลี่ยนไป
ฉีหนิงพยักหน้ำ แล้วถำมว่ำ “ท่ำนอำเซีย่ งวำด
ภำพสู้ท่ำนแม่ไม่ได้หรือ?”
“เอำกันตำมตรง ถึงแม้แม่ของเจ้ำจะวำดภำพ
ได้ดี แต่ก็ยังเทียบข้ำไม่ได้” เซี่ยงไป๋อิ่งถอน
หำยใจแล้วพูดว่ำ “ตอนนันข้ำเป็นหนุ่มทะนง
ตัว ข้ำแอบคิดในใจว่ำแม่ของเจ้ำเป็นแค่ผู้หญิง
อยำกจะแข่งวำดภำพ อย่ำงไรข้ำก็ชนะแน่ ก็
เลยตอบลงตกเงื่อนไขของนำงทังหมด นำงบอก
ว่ำนำงจะเป็นคนคิดหัวข้อเอง ข้ำเห็นนำงอำยุ
น้อยกว่ำ ก็เลยยอมอ่อนให้ อีกทังก็แค่แข่งวำด
ภำพ ไม่ว่ำนำงจะมำไม้ไหน ข้ำก็ไม่มีทำงแพ้
นำงแน่”
ที่จริงแล้วฉีหนิงรู้ดีวำ่ กำรแข่งขันครังนีหลิวซู่อี
ชนะ เพียงแต่ว่ำเซี่ยงไป๋อิ่งเหนือกว่ำหลิวซูอ่ ี
แล้วท้ำไมถึงได้แพ้ให้นำงล่ะ?
เซี่ยงไป๋อิ่งเบะปำก บอกให้ฉีหนิงป้อนน้ำให้เขำ
หน่อย หลังจำกนันเขำก็พูดต่อว่ำ “ตอนนันใน
ร้ำนเหล้ำมีคนอยู่ประมำณเจ็ดแปดคน ทุกคนก็
มำมุงดูพวกเรำกัน แม่ของเจ้ำเป็นคนคิดหัวข้อ
ข้ำกับนำงวำดภำพคนละภำพ โดยให้วำด
ภำพเหมือน ภำพของใครเหมือนกว่ำกัน ก็เป็น
ฝ่ำยชนะ โดยให้คนที่อยู่ในร้ำนเป็นคนตัดสิน”
“แล้วพวกท่ำนวำดใครหรือ?” ฉีหนิงถำม
เซี่ยงไป๋อิ่งจ้องไปที่ตำของเขำแล้วพูดว่ำ “เจ้ำ
ว่ำใคร? นำง...นำงจะใช้ข้ำเป็นแบบ”
“หะ?” ฉีหนิงอึงไป จำกนันก็กลันหัวเรำะไว้ไม่
อยู่
“ไม่แปลกใจเลยว่ำท้ำไมเด็กคนนันถึงได้ตังกฎ
ประหลำดแบบนัน อีกทังยังนั่งตรงข้ำมข้ำด้วย
นอกจำกกระดำษใบหนึ่งกับพู่กนั แล้ว ห้ำมใช้
ของอย่ำงอื่นอีก เจ้ำลองนึกดู นำงนั่งอยู่ตรง
ข้ำมข้ำ เห็นข้ำชัดเจน ข้ำ...ข้ำจะใช้กระจกก็
ไม่ได้ แล้ว...แล้วจะไปเห็นสภำพตัวเองได้
อย่ำงไรกัน?” เซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้พูดดี “แม่ของเจ้ำ
วำงแผนไว้ตังแต่แรกแล้ว ข้ำ...ข้ำหลงกลนำง
เข้ำให้เต็มๆ เลย”
ฉีหนิงหัวเรำะ แอบคิดในใจว่ำหลิวซู่อีฉลำด
จริงๆ เขำรู้ดีว่ำคนเรำมักจะจ้ำรูปร่ำงหน้ำตำ
ของตัวเองได้ดี แต่ว่ำหำกต้องวำดภำพตัวเอง
ออกมำ มันยำกยิ่งกว่ำยำก ยิ่งเป็นของใกล้ตัว
ยิ่งมองไม่เห็น
“ตังแต่นันเป็นต้นมำ ท่ำนอำเซี่ยงก็เลยกลำย
มำเป็นน้องชำยร่วมสำบำนกับท่ำนแม่” ฉีหนิง
ยิมแล้วพูดว่ำ “ตังแต่นันเป็นต้นมำ ท่ำนก็...
ท่ำนก็ใช้ถุงดื่มเหล้ำแทน?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่ำ “ก็ใช่นะสิ เริ่มแรกให้ดื่มเหล้ำ
วันละถุง มันก็ไม่ค่อยชินเท่ำไหร่ แต่ว่ำลูกผู้ชำย
ค้ำไหนค้ำนัน ก็ต้องไม่คืนค้ำ” เขำหยุดไป ยิม
แล้วพูดว่ำ “หำกว่ำตอนนันข้ำชนะ เจ้ำต้อง
เรียกข้ำว่ำท่ำนลุงเซีย่ ง ไม่ใช่ทำ่ นอำเซี่ยง”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่ำหลิวซู่อีกับเซี่ยงไป๋อิ่งจะมี
ที่มำที่ไปแบบนี เขำสงสัยเรื่องที่หลิวซู่อีเป็นคน
ต้องห้ำมในจวนจิ่นอีโหว เลยถำมว่ำ “ท่ำนอำ
เซี่ยง แล้วตอนที่ท่ำนแม่แต่งงำน ท่ำนไปร่วม
งำนด้วยหรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่ำ “ข้ำกับแม่ของเจ้ำเป็นพี่น้อง
ร่วมสำบำนกัน เดิมทีนำงแต่งงำน ข้ำก็ต้องไป
ร่วมงำน แต่ว่ำ ครังนันข้ำบังเอิญไปก้ำจัดคนชั่ว
กลับมำไม่ทันงำน เลยให้คนส่งของขวัญไปให้
แทน ข้ำผิดต่อแม่ของเจ้ำจริงๆ แต่ว่ำ...แต่ว่ำข้ำ
เคยรับปำกแม่ของเจ้ำไว้ ลูกคนแรกของนำง
คลอดออกมำเมื่อไหร่ ข้ำจะรีบไปหำนำงทันที”
“แล้ว...แล้วท่ำนได้มำหรือไม่?” ฉีหนิงรีบถำม
เซี่ยงไป๋อิ่งหน้ำเศร้ำ แล้วพูดว่ำ “ตอนที่แม่เจ้ำ
ตังท้อง นำงอยู่ในจวนจิ่นอีโหวตลอด ที่จวนไม่
ยอมให้นำงออกไปพบใครเลย ถึงแม้ข้ำอยำกจะ
เข้ำไปพบนำงในจวน แต่ว่ำข้ำไม่ได้มีสัมพันธ์
อะไรกับจวนจิ่นอีโหวเลย” เขำหยุดไป แล้วพูด
ว่ำ “แม่ของเจ้ำเป็นลูกคุณหนู ตอนนันข้ำเซี่ยง
ไป๋อิ่งชื่อเสียงก็ไม่ค่อยดีเลยในยุทธภพ ดังนัน
กำรที่นำงยอมเป็นพีน่ ้องร่วมสำบำนกับข้ำ
แทบจะไม่มีใครรู้เลย ข้ำเองก็ไม่อยำกให้นำง
ต้องเสื่อมเสีย”
“ตอนนันข้ำท่องไปทัว่ ยุทธภพ สองปีแรก ข้ำ
จะไปหำแม่เจ้ำปีละครังสองครัง พูดคุยเรือ่ ง
ภำพเรื่องดนตรีบ้ำง ต่อมำ...ต่อมำ ข้ำมอบ
ส้ำนักเฟิงเจียนให้กับพี่ใหญ่ลู่ อีกทังยังเข้ำพรรค
กระยำจกแบบงงๆ เรื่องก็มีให้ท้ำมำกขึน เลยได้
เจอกันน้อยลง” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่ำ “ข้ำจ้ำได้ว่ำปี
ที่ข้ำไปจำกส้ำนักเฟิงเจียน แม่เจ้ำตังท้องเจ้ำ
พอดี ข้ำเลยตังใจเข้ำเมืองหลวง แต่ว่ำไม่ได้เจอ
แม่เจ้ำเลย เดิมข้ำคิดว่ำรอเจ้ำคลอดออกมำแล้ว
ค่อยไปเยี่ยม แต่ว่ำ...” พูดถึงตรงนี เขำก็ส่ำย
หน้ำแล้วพูดว่ำ “ชีวิตคนเรำสันนัก มีข่ำวมำ
จำกทำงจวนจิ่นอีโหวว่ำ แม่ของเจ้ำร่ำงกำย
อ่อนแอ หลังจำกที่คลอดเจ้ำแล้ว ก็...” น้ำเสียง
ของเขำสะอืน เขำไม่สำมำรถพูดต่อไปได้อีก
ฉีหนิงตกใจ “ท่ำนหมำยควำมว่ำ...ท่ำนแม่...?”
เซี่ยงไป๋อิ่งดวงตำแดงก่้ำ เขำพยักหน้ำ “ได้ยิน
มำว่ำตอนที่แม่ของเจ้ำคลอดเจ้ำนัน ไม่สำมำรถ
รักษำชีวิตสองคนได้ ถึงแม้จะช่วยเจ้ำมำได้ แต่
ว่ำแม่ของเจ้ำกลับ...กลับตำยไป” เขำเหลือบไป
มองฉีหนิง แล้วพูดอย่ำงจริงจังว่ำ “เพื่อรักษำ
ชีวิตของเจ้ำแล้วแม่ของเจ้ำยอมสละชีวิตของ
ตัวเอง”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 483 ชีวิตและความตาย
ฉีหนิงฟังถึงตรงนี้ ก็ถึงกับสะดุ้ง
ตัวของเขานั้น ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับจิ่น
อีตระกูลฉีเลยแม้แต่หยดเดียว แต่พอคิดว่าหลิว
ซู่อียอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องลูกน้อยของ
นาง ในใจก็รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย
ทันใดนั้นเองเขาก็เหมือนจะคิดอะไรได้ หากว่า
หลิวซู่อีตายเพราะคลอดยาก เหตุใดทางจวน
จิ่นอีโหวถึงไม่มีข่าวคราวอะไรเลยล่ะ
ฉีหนิงรู้ว่า ในยุคนี้อะไรหลายอย่างมันเทียบกับ
ยุคสมัยใหม่ไม่ได้เลย ผู้หญิงที่ตายเพราะคลอด
ลูกยากมีมากมาย สาหรับในยุคนี้มันเป็นเรื่อง
ธรรมดามาก ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือ
ว่าบ้านตระกูลขุนนางเชื้อพระวงศ์ เรื่องแบบนี้
เกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัว
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เป็น
เรื่องที่สะเทือนใจมากกว่า
หลิวซู่อีเพื่อผู้สืบทอดตระกูลฉี ถึงกับเสียสละ
ชีวิตตัวเอง ตามหลักแล้ว ตระกูลฉีควรจะยก
ย่องและสงสารฮูหยินท่านแม่ทัพใหญ่คนนี้ถึง
จะถูก ไม่มีทางไม่สนใจและตั้งใจจะปกปิดเรื่อง
นี้แน่นอน แต่ว่าการแสดงท่าทีของจิ่นอี
ตระกูลฉีนั้น กลับสั่งไม่ให้คนในจวนพูดถึงหลิว
ซู่อีเลย หากนางแค่คลอดลูกยากจนตายไปจริง
แล้วเหตุใดจวนจิ่นอีโหวถึงได้ไร้เยื่อใยกับนาง
ขนาดนี้ล่ะ?
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสีย
เลย
“ท่านอาเซี่ยง เอ่อ...ท่านเคยเห็นศพของท่าน
แม่หรือไม่?” ฉีหนิงรีบถามต่อ “หากท่านแม่
ตายไปแล้ว ทางจวนจิ่นอีโหวก็จะต้องจัดงาน
ศพให้ส”ิ
เซี่ยงไป๋อิ่งนึก แล้วส่ายหน้า “เรื่องนี้ก็เป็นเรื่อง
ที่ข้าสงสัยมานานเหมือนกัน ทีจ่ ริง...เป็นเพราะ
เรื่องนี้ ข้าเคยไปหาพ่อของเจ้าด้วยนะ”
“ได้ยินว่าแม่ของเจ้าคลอดลูกยากจนตาย ข้า
เสียใจมาก เลยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ต้องการไป
พบหน้านางเป็นครั้งสุดท้าย แต่ว่าทางจวนจิ่นอี
โหวปฏิเสธทุกคนที่จะเข้าไปพบศพของนาง”
เซี่ยงไป๋อิ่งสีหน้าเคร่งเครียด “อย่างไรแม่เจ้าก็
เป็นฮูหยินใหญ่ของท่านแม่ทัพ ถึงแม้ข้ากับนาง
จะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน แต่...ตระกูลฉีเองก็
ปฏิเสธ ข้าเองก็จะบุกเข้าไปไม่ได้ ข้าเลยคิด
แอบลอบเข้าไปในจวนจิ่นอีโหวกลางดึก เพียง
แต่ตอนนั้นวรยุทธ์ข้าไม่ได้เป็นอย่างวันนี้ อีกทั้ง
จวนจิ่นอีโหวเองก็รักษาความปลอดภัยอย่าง
แน่นหนามาก จนถึงขั้นให้คนของจวนเสินโหว
มาคุ้มกัน”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกมาก
หากหลิวซู่อีคลอดยากจนตายไป ต่อให้ปิดข่าว
อย่างไร ไม่อยากให้ใครรบกวนอย่างไร ก็ไม่มี
ความจาเป็นในการขอกาลังพลจากจวนเสินโหว
มาคุ้มกันแบบนี้
จวนเสินโหวเป็นหน่วยงานพิเศษ ไม่ยุ่งเกีย่ วกับ
หน่วยงานอื่น ขึ้นตรงกับฮ่องเต้คนเดียวเท่านั้น
และดูแลแค่เรื่องในยุทธภพ จวนจิ่นอีโหวเป็น
บรรดาศักดิ์ใหญ่ของแคว้น หากไม่ได้มีกรณี
พิเศษอื่น ไม่มีทางขอกาลังพลจากจวนเสินโหว
มาแน่นอน
“วันนั้นข้าเสียใจมาก หากไม่ได้ไปส่งศพนาง ข้า
คงผิดต่อความสัมพันธ์พี่น้องของพวกเรา”
สายตาของเซี่ยงไป๋องิ่ อ่อนโยนมาก “ดังนั้นข้า
เลยคิดว่ารอวันไหนที่ตั้งขบวนศพ ข้าจะไปส่ง
นาง แต่ว่า...แต่ว่าข้ารออยู่ที่เมืองหลวงเกือบ
ครึ่งเดือน จวนจิ่นอีโหวกลับไม่มีความเคลื่อน
ไหวอะไรเลย ไม่มีการจัดงานศพอะไรเลย...”
เขาขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “คนของจวนเสินโหว
คุ้มกันอยู่นานกว่าครึ่งเดือนกว่าจะถอนกาลัง
ไป”
ฉีหนิงมีสีหน้าที่เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
เมื่อสิบแปดปีก่อน ตอนที่ท่านจิ่นอีเหล่าโหวยัง
มีชีวิตอยู่ ฉีจิ่งยังไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ที่ชื่อเสียง
เกรียงไกรสะเทือนใต้หล้าเช่นนี้ แต่ในฐานะ
สะใภ้ใหญ่ของจวนจิน่ อีโหว คลอดลูกยากจน
ตาย อย่างไรก็ต้องฝังศพอย่างสมเกียรติ ต่อให้
ทางจวนจิน่ อีโหวไม่ทาอะไร ครอบครัวของหลิว
ซู่อีก็ไม่น่าจะนิ่งนอนใจเช่นนี้
“ในใจของข้าสงสัยว่า เหตุใดแม่ของเจ้าตาย
งานศพก็ไม่จัดให้นางดีๆ ทาแบบนี้กับนางได้
อย่างไร” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ตอนนั้นข้าเป็น
หนุ่มเลือดร้อน เลยบุกเข้าไปในจวนของจิน่ อี
โหว ได้พบกับฉีจิ่ง พ่อของเจ้าอนุญาตให้ข้าเข้า
ไปในจวน ข้าได้เล่าเรือ่ งที่ข้าสาบานเป็นพี่น้อง
กับแม่ของเจ้าให้เขาฟัง แต่เขารู้มาก่อนแล้ว ข้า
ถามเขาว่าเหตุใดเขาถึงไม่จัดงานศพให้แม่ของ
เจ้า เขากลับบอกแค่ว่าแม่เจ้าเป็นคนของ
ตระกูลฉี จะจัดการอย่างไร ก็เป็นเรื่องของ
ตระกูลฉี ไม่เกี่ยวกับคนนอก”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่าจะเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เลย
อดถามไม่ได้ว่า “ท่านอาเซี่ยง แล้วต่อมาล่ะ?
ท่านได้พบศพของท่านแม่หรือไม่?”
“ฉีจิ่งบอกข้าแค่ว่าต่อไปอย่ามายุ่งเรื่องของ
ตระกูลฉีอีก แล้วก็ไม่ให้ข้าถามอะไรอีก” เซี่ยง
ไป๋อิ่งพูดว่า “หลังจากที่ข้าออกมาจากจวน
ตอนกลางดึกก็แอบเข้าไปในจวนอีก ภายใน
จวนเงียบมาก เหมือนแม่เจ้าไม่เคยอยู่ที่นั่นมา
ก่อน ข้าไม่พบศพของแม่เจ้าในจวนเลย แต่ว่า
ข้าได้เจอเจ้า”
“ท่านเห็นข้าหรือ?”
“เจ้ายังใส่ผ้าอ้อมอยู่เลย” สายตาของเซี่ยงไป๋
อิ่งอ่อนโยนมาก เขามองไปที่ฉีหนิง “ตอนนั้น
ไท่ฟูเหรินกาลังดูแลเจ้าอยู่ ข้าแอบเห็นเจ้า ข้า
ไม่เจอแม่เจ้า จึงไม่เหมาะที่จะอยู่ในจวนต่อ
หลังจากนั้นสองปี ข้าแอบเข้าไปในจวนจิ่นอี
โหวปีละสองสามครั้ง คิดอยากจะหาร่องรอย
ของแม่เจ้า แต่ว่าข่าวคราวกับเรือ่ งของแม่เจ้าก็
หายไปอย่างไร้ร่องรอย ข้ายังเคยไปจับตัวบ่าว
ไพร่ในจวนมาสอบถาม คนในจวนของจิ่นอีโหว
กลับไม่มีใครรู้เลยว่าแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าจวนจิ่นอีโหวในตอนนั้นจะ
มีเรื่องประหลาดแบบนี้ได้ เขาขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “ท่านอาเซี่ยง ท่านแน่ใจแล้วหรือ...ว่าท่าน
แม่ตายแล้ว?”
“ที่จริงแล้วจนถึงตอนนี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าแม่ของ
เจ้าเป็นหรือตาย” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “หลายปีที่
ผ่านมา ข้าตามหาข่าวของแม่เจ้ามาตลอด แต่
ไม่มีเลย ต่อมาข้ารับสืบทอดตาแหน่งประมุข
พรรคกระยาจก ก็แอบสั่งให้คนไปตามสืบ ก็ไม่
มีข่าวเหมือนกัน” เขานิ่งไป แล้วพูดว่า “แม่
ของเจ้าเป็นคนร่าเริง หากนางยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่
มีทางที่จะไม่มขี ่าวอะไรเลยแบบนี้ อีกทั้งตากับ
ยายของเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ แม่ของเจ้าไม่มที างไม่
ไปเยี่ยมพวกเขา”
“จริงสิ ท่านตา...ท่านตาของเจ้าตอนนี้อยู่ที่
ไหน? ยังอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่?” ฉีหนิงนึกถึง
ครอบครัวของหลิวซูอ่ ีขึ้นมา เพียงแต่เขาไม่เคย
รู้จักตระกูลหลิวมาก่อนเลย
เซี่ยงไป๋อิ่งขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เคยเจอ
ท่านตาท่านยายหรือ?” เขาเหมือนเข้าใจอะไร
ขึ้นมาได้ เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “จริงสินะ
เมื่อก่อนเจ้า...อืม อย่างนี้นี่เอง”
ฉีหนิงรู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร
จิ่นอีซื่อจื่อตัวจริง ถูกคนคิดว่าเป็นบ้า สมองใช้
การไม่ได้ เซีย่ งไป๋อิ่งติดตามจวนจิ่นอีโหว
ตระกูลฉีมาก่อน เรื่องนี้เขาก็ต้องรู้
ไม่ว่าใครก็รู้ จิ่นอีซื่อจื่อถูกจับตัวไป หลังจาก
กลับเมืองหลวงแล้ว สมองของเขาก็กลับมาใช้
งานได้
แต่ไม่มีใครรู้ว่าจิ่นอีโหวฉีหนิงคนนี้ ไม่ใช่จิ่นอี
ซื่อจื่อคนนัน้
จิ่นอีซื่อจื่อนั่นสมองไม่ปกติ ก็ไม่มีทางรู้เรือ่ ง
ก่อนหน้านี้แน่ เซี่ยงไป๋อิ่งน่านึกถึงจุดนี้ขึ้นมาได้
เขาพูดขึ้นว่า “ท่านตาของเจ้าเป็นซื่อหลางของ
กรมพิธีการ หลังจากที่แม่เจ้าคลอดเจ้าได้ไม่ถึง
ครึ่งปี ท่านตาของเจ้าก็ถวายฎีกาของลาออก
จากตาแหน่ง ราชสานักเองก็อนุญาต ข้าจาได้
ว่าตอนนั้นท่านตาของเจ้าอายุแค่สี่สิบกว่าเท่า
นั้นเอง ยังไม่ถึงห้าสิบ แต่ขอลากลับบ้านเก่าที่
เยว่หยาง”
“ท่านตาเป็นคนเยว่หยางหรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า แล้วพูดว่า “ข้าไม่สะดวกที่
จะไปหาท่านตาของเจ้า เลยส่งคนไปเฝ้าดู หวัง
ว่าจะพบร่องรอยของแม่เจ้าบ้าง” เซี่ยงไป๋อิ่
งถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าแม่ของเจ้า ก็ไม่
เคยปรากฏตัวที่เยว่หยางเลย หลายปีมานี้ข้า
เองก็ยังหวังว่า แม่ของเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า
...จนถึงตอนนี้ แม่ของเจ้าอาจจะตายไปแล้ว
จริงๆ ก็ได้”
เดิมทีฉีหนิงอยากจะรู้เรื่องของหลิวซู่อีจากปาก
ของเซี่ยงไป๋อิ่ง แต่พอหลังจากได้ยินเรื่องราวใน
วันนี้แล้ว เขากลับมีข้อสงสัยเต็มไปหมด
ตระกูลใหญ่ มีหลายคนที่มีความลับมากมาย
แต่ว่าเรื่องของหลิวซูอ่ ีประหลาดขนาดนี้ ก็ถือ
ว่าหาได้ยาก
พอคิดว่าหลายปีมานี้เซี่ยงไป๋อิ่งนึกถึงหลิวซู่อี
ตลอดเวลา พยายามตามหามาตลอด ฉีหนิงก็
รู้สึกซาบซึ้งใจมาก เขาถามว่า “ที่ท่านอาสอน
วรยุทธ์ข้า เป็นเพราะท่านแม่นี่เอง”
เซี่ยงไป๋อิ่งถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนเจ้า
เล็กๆ ข้าแอบไปหาเจ้าหลายครั้ง ที่จริงข้า
อยากจะสอนวรยุทธ์เจ้าตั้งแต่ตอนนั้น แต่ว่าจิ่น
อีโหวยังเป็นเสาหลักของราชสานัก หากสอนวร
ยุทธ์เจ้าไปแล้ว ถูกคนของตระกูลฉีจับได้ มันจะ
เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ข้าเป็นคนของพรรคกระยาจก
ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับราชสานักมาก่อน ใน
ตอนนั้นพรรคกระยาจกได้เซ็นสัญญาเลือดกับ
จวนเสินโหว ชาวยุทธ์ก็ไม่เคยไปมาหาสู่กับขุน
นางราชสานักอีกเลย หากมีคนรู้ว่าข้าถ่ายทอด
วรยุทธ์ให้เจ้า มันไม่เป็นผลดีกับพรรค
กระยาจก”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้น
สมองข้าก็ไม่ปกติด้วย ต่อให้ท่านอาเซี่ยงสอน
อะไรข้าไป ข้าก็เรียนไม่ได้เรื่องหรอก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...” เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ตอน
นั้นข้าเองก็แปลกใจ แอบคิดในใจว่าแม่เจ้า
ฉลาดขนาดนั้น เหตุใดเจ้าถึงได้เป็นเด็กปัญญา
อ่อนได้ ยังดีทตี่ อนนี้เจ้าเองก็ฉลาดไม่แพ้กับแม่
เจ้าแล้ว หากแม่เจ้ารู้ จะต้องดีใจมากแน่ๆ”
เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ปีก่อนเจ้าถูกจับตัวไป
จากเมืองหลวง ตอนนั้นข้าไม่อยู่ในเมืองหลวง
พอกลับมาถึง เจ้าก็ปลอดภัยดีแล้ว ข้าถึงได้โล่ง
ใจ ต่อมาเกิดโรคระบาดในเมืองหลวง เจ้าก็
ได้มาช่วยพรรคกระยาจกเอาไว้อีก พรรค
กระยาจกเป็นหนี้บุญคุณเจ้า ข้าเองก็กาลังสืบ
หาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ บังเอิญไปพบกับ
ชิวเฉียนอี้ในเมืองหลวง ข้าเลยตามเขาไป
อยากจะรูว้ ่าเขาจะมีลูกไม้อะไรอีก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ตอนที่ข้าถูกจับตัวไป
จากเมืองหลวง ท่านอาก็ตามข้ามาตลอดทาง
เลย”
“หากไม่ใช่แบบนั้น ข้าไม่ใช่เทพ จะไปโผล่ได้
ถูกเวลาขนาดนั้นได้อย่างไร” เซี่ยงไป๋อิ่งยิม้ แล้ว
พูดว่า “ก็ไม่ใช่เพราะแม่เจ้าทั้งหมดหรอก เจ้ามี
บุญคุณกับพรรคกระยาจก พรรคกระยาจกแยก
บุญคุณความแค้นชัดเจน หากเจ้าเดือดร้อน
อย่างไรข้าก็ต้องช่วย” เขาถามว่า “ผู้อาวุโสจู
เชวี่ยให้ป้ายคาสั่งจูเชวี่ยกับเจ้าแล้ว เจ้าเก็บไว้
แล้วใช่หรือไม่?”
“อ๊า?” ฉีหนิงนึกขึ้นมาได้ ตอนนัน้ ผู้อาวุโสให้
คาสั่งจูเชวี่ยให้ป้ายคาสั่งเขามาด้วย บอกว่ามัน
คือป้ายคาสั่งจูเชวี่ย สามารถสั่งศิษย์เจ็ดสาขา
ทางตอนใต้ได้ทั้งหมด ตอนนั้นคิดว่าผู้อาวุโสจู
เชวี่ยเห็นว่าเขามีบุญคุณกับพวกเขา เลยมอบ
ให้ พอได้ยินแบบนี้แล้ว ถึงได้เข้าใจ “ท่านอา
เซี่ยง ป้ายคาสั่งจูเชวี่ยท่านบอกให้เขามอบให้
ข้าหรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่ได้รับการ
อนุญาตจากประมุขพรรค อาวุโสจูเชวีย่ จะกล้า
เอาของสาคัญแบบนี้มอบให้คนอื่นได้อย่างไร?
ป้ายคาสั่งจูเชวี่ยสามารถสั่งศิษย์ของพรรค
กระยาจกทั้งหมดเจ็ดสาขาทางตอนใต้ หากให้
คนที่ไม่ดีไป แล้วเอาไปใช้ในทางที่ผิด ผลรับ
อาจจะไม่คาดคิด” พูดถึงตรงนี้ เซี่ยงไป๋อิ่งก็เริ่ม
ไอ ฉีหนิงรีบพยุงเขาแล้วตบหลังให้ เขาพูดด้วย
ความเป็นห่วงว่า “ท่านอาเซี่ยง อาการของ
ท่านหนักมากใช่หรือไม่ หากไม่ไหวจริงๆ พวก
เราไปที่สาขาขุยมู่หลางเลยดีหรือไม่”
เซี่ยงไป๋อิ่งไอ ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ
ออกไปตอนนี้ พวกเขาจะเจอพวกเราได้ ข้า...
ข้าไม่เป็นไร”
“ท่านอาเซี่ยง ก่อนหน้านี้ที่ท่านชี้แนะให้ข้า
รับมือกับพวกเขา เหมือนท่านจะรู้จักวรยุทธ์
ของพวกเขาดี” ฉีหนิงพูดว่า “หรือว่าท่านรู้แล้ว
ว่าพวกเขามาจากไหน?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 484 ชิงมู่ลอยอยู่บนฟ้า
เซี่ยงไป๋อิ่งสีหน้าเคร่งเครียดมาก เหมือนเขา
กาลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า
“วรยุทธ์ของคนพวกนั้นไม่ได้พิเศษอะไร แต่ว่า
ถ้าจะเรียนก็ซับซ้อนมาก แต่ละคนมีวิชาติด
ตัวอย่างละหกเจ็ดวิชา แต่ละวิชามีเอกลักษณ์
ของตัวเอง คนที่ล้อมข้าไว้ในคืนนี้ ไม่ว่าคนไหน
หากท่องยุทธภพ ก็จะต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียง
มากแน่”
“แล้ว...แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขามาจาก
ไหน?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พวกเขาเตรียม
ตัวมากันดีแล้ว ถึงแม้ข้าจะมองออกว่าพวกเขา
ใช้วรยุทธ์อะไร แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นใคร
มาจากไหน” เขาพูดว่า “พวกเขาวางแผนกัน
ขนาดนี้ คงคิดเอาไว้แล้วว่าหากสังหารข้าไม่
สาเร็จ ก็จะให้ข้ารูไ้ ม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใครมา
จากไหน”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าด้วยประสบการณ์
ของเซี่ยงไป๋อิ่ง ยังเดาไม่ได้เลยว่าพวกเขาเป็น
ใคร ดูท่าทางพวกเขาจะวางแผนมารัดกุมมาก
“จริงสิ วรยุทธ์ของคนสุดท้ายนั้นแปลกมาก”
เซี่ยงไป๋อิ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ตอนที่คน
ชุดเทานั้นซัดฝ่ามือมา ราวกับฝ่ามือหยินหยาง
ไม่มีผิด”
“ฝ่ามือหยินหยาง?” ฉีหนิงรีบถามว่า “มัน
เป็นวรยุทธ์ของสานักไหนกัน?”
“เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ในยุทธภพมีพรรคหนึ่ง
เป็นพรรคของลัทธิเต๋า มีชื่อว่าลัทธิหยินหยาง
พวกเขามีช่วงเวลาที่รุ่งเรืองช่วงหนึ่งในยุทธ
ภพ” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ถึงแม้ลัทธิหยินหยาง
จะประกาศว่าพวกเขาเป็นลัทธิเต๋า แต่ก็ก่อ
กรรมชั่วมากมาย ฝ่ามือหยินหยางเป็นสุดยอด
วิชาของลัทธิพวกเขา เพียงแต่ว่าการจะฝึกวิชา
นี้มันโหดเหี้ยมมาก ต้องใช้เลือดของเด็กน้อยทั้ง
ผู้ชายผู้หญิงในการฝึก เริ่มแรกก็ไม่มีใครรู้ ต่อ
มามีคนตรวจพบ ชาวยุทธ์จึงร่วมมือกัน กาจัด
ลัทธินี้ไปจนหมดสิ้น ลัทธิหยินหยางถูกสังหาร
จนหมดไม่เหลือ ฝ่ามือหยินหยางก็หายสาบสูญ
ไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าได้ยินผู้อาวุโสในยุทธ
ภพกล่าวถึงวิชานี้ วันนี้คนๆ นั้นใช้วิชาเหมือน
กับฝ่ามือหยินหยางในตอนนั้นเลย”
“ในเมื่อฝ่ามือหยินหยางก็หายสาบสูญไปนาน
มากแล้ว คนๆ นั้นจะฝึกฝ่ามือหยินหยางมาอีก
ได้อย่างไรกัน?” ฉีหนิงถามด้วยความสงสัย
“หรือว่าเขาจะเป็นคนที่รอดมาในคราวนั้น?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “จะเป็นคนที่
รอดมาได้ในคราวนั้นหรือไม่ อันนี้ข้าไม่แน่ใจ”
ฉีหนิงเห็นเขาดูเหนื่อยล้ามากแล้ว ก็รู้ว่าเขาพูด
มานานแล้ว คงจะอ่อนเพลียมาก เขาเลยพูดว่า
“ท่านอาเซี่ยง พวกเราหาที่พักที่ปลอดภัยก่อน
เถอะ ที่นี่มนี ้าตก ไม่แน่คนพวกนั้นอาจจะ
ตามมาที่นี่ก็ได้ พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่นาน”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า ฉีหนิงแบกเซี่ยงไป๋อิ่งขึ้น
หลัง แล้วเดินเข้าไปในป่าลึก เขาเดินอยู่
ประมาณหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็เจอถ้า ฉีหนิง
วางเซี่ยงไป๋อิ่งลง จัดเก็บอะไรนิดหน่อย จากนั้น
ถึงได้พยุงเซี่ยงไป๋อิ่งเข้าไปพัก เซี่ยงไป๋อิ่ง
สูญเสียกาลังภายในไปหมด ตอนนี้เขาเหนื่อย
มาก หลังจากเข้าไปในถ้าแล้ว ไม่นานก็หลับไป
ฉีหนิงกังวลว่าจะมีคนตามมาเจอ เลยเฝ้าอยู่ที่
ปากถ้าจนถึงเช้า ตอนนี้เขารู้สึกเพลียมาก เมื่อ
หันกลับไปมองในถ้า ก็เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งตื่นขึ้นมา
เมื่อไหร่ไม่รู้ ตอนนี้นั่งขัดสมาธิอยู่ เหมือนกาลัง
เดินลมปราณ ฉีหนิงจ้องไปที่เขาอย่าง
เคร่งเครียด เห็นสีหน้าของแดงจากนั้นก็
เปลี่ยนเป็นซีดขาว เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง ไม่
นานนักบนหน้าผากของเขาก็มไี อร้อนออกมา
เหงื่อของเขาออกมามากราวกับน้าฝน จากนั้น
เขาก็เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งล้มลงไป จากนั้นก็กระอัก
เลือดออกมา ฉีหนิงตกใจมาก รีบพูดว่า “ท่าน
อาเซี่ยง ท่าน...”
เซี่ยงไป๋อิ่งยกมือขึ้นมา เพื่อบอกให้ฉีหนิงไม่ต้อง
กังวล เขายกมือขึ้นมาเช็ดเลือด จากนั้นก็พูดว่า
“พิษนี่ร้ายกาจมาก ไม่สามารถเดินลมปราณได้
เลยแม้แต่นิดเดียว คิดว่าภายในสองสามเดือน
ไม่น่าจะฟืน้ ฟูได้” เห็นฉีหนิงดูโทรมลง เขาก็รู้
ว่าฉีหนิงน่าจะเฝ้าอยู่ที่ปากถ้าทัง้ คืน เขาพูด
ด้วยความอ่อนโยนว่า “ลาบากเจ้าจริงๆ”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง ท่านหิวหรือ
ไม่ ข้าไปหาอะไรให้ทา่ นกินก่อนดีกว่า”
เซี่ยงไป๋อิ่งรู้ว่าตอนนีว้ รยุทธ์ของฉีหนิงไม่ได้อ่อน
แต่ว่าเขายังอ่อนประสบการณ์ วิธีการรับมือกับ
ศัตรูยังอ่อนมาก เขากังวลว่าหากฉีหนิงออกไป
คนเดียวแล้วถูกคนตามมาเจอจะแย่เอาได้ เขา
ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เจ้าเพลียมาก พัก
ก่อนเถอะ”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร”
“ตอนนี้อาเซี่ยงไม่มีแรงเลย หากพวกมันตาม
มา ต้องพึ่งเจ้าคนเดียวนะ” เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้ว
พูดว่า “เจ้าต้องออมแรงให้มาก หากไม่มีแรง
เต็มที่ ถึงเวลานั้นพวกก็เราจะไม่ใช่คู่ปรับของ
พวกเขานะ”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่เซีย่ งไป๋อิ่งพูดมาก็ถูก เขาไม่
พูดมากอีก เดินไปหลับตรงผนังถ้าด้านใน
หลายวันมานี้ลาบากมาก เขาหลับตา แล้วก็
หลับไปโดยไม่รู้ตัว พอตื่นขึ้นมา ก็เย็นมากแล้ว
เขาตกใจมาก แอบคิดในใจว่าทาไมเขาถึงได้
หลับไปนานมากขนาดนี้
เขาหันไปมองเซี่ยงไป๋อิ่งที่นั่งอยู่ตรงปากถ้า ใน
มือของเขายังคงถือแผ่นกระดาษที่ลู่ฮูหยินให้
เขามา เขามองไปที่กระดาษแผ่นนั้นด้วยอาการ
เศร้าหมอง ราวกับไม่รตู้ ัวว่าตอนนี้เขาตื่นแล้ว
ฉีหนิงแอบถอนหายใจ รู้ว่าถึงแม้ลู่ฮูหยินจะ
แต่งงานไปแล้ว แต่ว่าความรู้สึกของเซีย่ งไป๋อิ่ง
ที่มีต่อลู่ฮูหยินนั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลย ครั้งนี้ลู่ฮู
หยินวางยาพิษเขา ถึงแม้จะไม่มีทางเลือก แต่
ว่าในเวลาที่ลู่ฮูหยินมีอันตรายมากที่สุด นาง
กลับเลือกที่จะช่วยลู่ซางเฮ่อ หัวใจคนเรามี
เลือดมีเนื้อ ในใจของเซี่ยงไป๋อิ่งก็คงจะสับสนไม่
น้อย
หากจะถามว่าความรู้สึกบนโลกใบนี้คืออะไร
หากไม่มีความรู้สึก ร่างกายของคนเราจะเป็น
แบบไหนกัน
ฉีหนิงค่อยๆ เดินไปใกล้ๆ เซี่ยงไป๋อิ่งรู้สึกตัว
แล้ว เขารีบเก็บกระดาษ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตื่น
แล้วหรือ?”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง ข้าหลับลึกเกินไป
แล้ว”
“หลับได้ จะได้มีแรงมีสมาธิเต็มที”่ เซี่ยงไป๋อิ่ง
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าหายใจสม่าเสมอ ลมหายใจ
แข็งแกร่ง กาลังภายในของเจ้าไม่อ่อนเลย”
ฉีหนิงคิดในใจว่าแม้แต่ประมุขพรรคกระยาจก
ยังชมเขาแบบบนี้ แสดงว่ากาลังภายในของเขา
ก็ใช้ได้ เขาเห็นว่าด้านนอกเย็นมากแล้ว ก็พูดว่า
“ท่านอาเซี่ยง พวกเราออกเดินทางคืนนี้ดีหรือ
ไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ถึงแม้จะยังอันตรายอยู่ แต่
ว่าจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว พี่ใหญ่ลู่ยัง
อยู่ในมือของพวกเขา พวกเขาอาจจะใช้พวก
เขาสองคน มาต่อรองเงื่อนไขกับข้าก็ได้ หาก
พวกเขาไม่เจอข้าอาจจะไปหาข้าที่พรรค
กระยาจก ข้าอยากจะรู้นักว่าพวกมันจะมีลูกไม้
อะไรอีก”
ฉีหนิงรับคา เขาเองก็ไม่ให้เสียเวลาอีก เขาแบก
เซี่ยงไป๋อิ่งขึ้นหลังแล้วเดินกลับไปทางเดิม เขา
ความจาดีมาก เขารู้ว่าตอนเขามานั้นเขาเดิน
ทางไหน ระหว่างทางเขาก็ระวังตัวตลอดเวลา
เพื่อป้องกันถูกเจอตัว รอบๆ เปลี่ยวมาก พวก
เขาไม่เจอใครเลยตลอดทาง
ฉีหนิงรู้ว่าเส้นทางไปยังสาขาขุยมู่หลางนัน้ ยัง
ไกลพอสมควร หากเขาแบกเซี่ยงไป๋องิ่ แบบนี้
ต่อไป มันจะถูกสังเกตได้ง่าย เขาต้องหาวิธีอื่น
เขาเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปเจอหมู่บ้าน ฉี
หนิงเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวนาตื่นกันเช้ามาก
เมื่อเห็นฉีหนิงแบกคนเข้ามาในหมู่บ้าน ก็รู้สึก
แปลกใจ ฉีหนิงบอกไปว่าเซี่ยงไป๋อิ่งเป็นท่านอา
ของเขา เขาป่วยหนักมาก อยากจะไปหาหมอ
ในเมือง และถามว่าจะหาจ้างรถม้าได้จากที่
ไหน
ชาวบ้านก็ใจดีมาก บนตัวฉีหนิงก็มีเงินอยู่ไม่
น้อย เขาขอให้ชาวบ้านไปหารถม้ามาให้ จาก
นั้นก็กินอาหารในหมู่บ้านจนอิ่ม ยังไม่ถึงเที่ยง
รถม้าก็มาถึง ฉีหนิงจ่ายให้ชาวบ้านคนนั้นอย่าง
งาม จากนั้นก็พยุงเซีย่ งไป๋อิ่งขึ้นรถม้า แล้วสั่ง
ให้คนขับรถม้าไปยังเขตซินผิง
เพราะเซี่ยงไป๋อิ่งบาดเจ็บหนัก ฉีหนิงเลยสั่งให้
เขาไม่ต้องขับรถเร็วจนเกินไป พอตกเย็น ก็
มาถึงเขตซินผิง
เขตซินผิงห่างจากเมืองเฉิงตูประมาณยี่สิบลี้
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเฉิงตู หากจะลงไปยัง
ตอนใต้ของซีชวนจะต้องผ่านเขตนี้ ถึงแม้เขตนี้
จะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ผู้คนผ่านทางไปมาก็มีไม่
น้อย ตอนนี้เย็นแล้ว เขตซินผิงก็ยังคึกครื้นอยู่
เขตเล็กๆ เทียบไม่ได้กับเมืองเฉิงตู แต่ว่า
โรงเตี๊ยมร้านอาหารก็มีอยู่ไม่น้อย
สาขาขุยมู่หลางตั้งอยู่ที่เรือนเก่าหลังหนึ่งทาง
ตอนเหนือของเขตซินผิง ขณะที่บอกทางรถม้า
ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ฉีหนิงลงจากรถมาก่อน เมื่อ
เห็นขอทานสามสี่คนนั่งอยู่ที่กาแพงเรือนเก่า
เมื่อเห็นรถม้ามา พวกเขาก็ตื่นตัวกันมาก
ฉีหนิงยกมือแล้วพูดว่า “ท่องไปทั่วหล้า แปด
ทิศเฝ้าหยินหยาง”
มันเป็นรหัสลับของพรรคกระยาจก บนรถม้า
เซี่ยงไป๋อิ่งได้สอนเขาแล้ว ขอทานพวกนั้นลุก
ขึ้นมา มีคนหนึ่งใช้ไม้เท้าเคาะไปที่พื้นสามที ฉี
หนิงก็พูดอีกว่า “อย่าถามทางข้า ใต้หล้านีข้ ้า
จะไปไหนก็ได้”
มีขอทานคนหนึ่งเดินขึ้นหน้ามา ยกมือคานับ
แล้วถามว่า “บนศีรษะของน้องชายเป็นเมฆ
อะไร?”
ฉีหนิงรู้ว่าที่เขาถามแบบนี้ อีกฝ่ายกาลังถามว่า
เขามาจากสาขาไหน ยกตัวอย่างเช่นหากฉีหนิง
เป็นคนของสาขาจิงมู่เสวียน เขาก็แค่ตอบไปว่า
“จิงลอยอยู่บนฟ้า” เท่านั้นก็ได้แล้ว แต่ว่า
ตอนนี้ประมุขพรรคกระยาจกมาที่นี่ ฉีหนิงทา
ตามที่เซี่ยงไป๋อิ่งบอก เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ชิงมู่ลอยอยู่บนฟ้า”
ประมุขพรรคกระยาจกมีแหวนชิงมู่เป็น
สัญลักษณ์ ในพรรคกระยาจก หากได้ยินคาว่า
“ชิงมู่” นั่นก็หมายถึงประมุขพรรค ไม่ผิดจากที่
คาด ขอทานพวกนั้นพอได้ยินฉีหนิงพูด ก็ตกใจ
มองหน้ากัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไอมาจากรถ
ม้า มีนิ้วยื่นออกมาจากทางหน้าต่าง เหล่า
ขอทานมองไป เห็นบนนิ้วมีแหวนชิงมู่อยู่ ก็
ตกใจหนักมาก มีคนหันหลังวิง่ เข้าไปในเรือน
เก่า ส่วนคนอื่นๆ ก็ขอบคุณคนรถ คนขับรถม้า
แปลกใจมาก ไม่กล้าอยู่ต่อนาน ไม่อยาก
เดือดร้อน จึงรีบขับรถจากไป
พอรถม้าจากไป ก็มีเสียงฝีเท้าของคนเดินมา มี
คนออกมาจากเรือนเก่าประมาณห้าหกคน คน
ด้านหน้าสุดตัวเล็กและอ้วน เขาคือผู้อาวุโสไป๋หู่
เมื่อเห็นฉีหนิงพยุงเซี่ยงไป๋อิ่งมา อาวุโสไป๋หไู่ ม่
พูดมาก เขาคุกเข่าลง แล้วพูดว่า “คานับท่าน
ประมุข” ขอทานคนอื่นก็ไม่ลังเล คุกเข่าลง
แล้วพูดพร้อมกันว่า “คานับท่านประมุข”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ” แล้วส่ง
สัญญาณให้ฉีหนิงพยุงเขาเข้าเรือนเก่าไป ฉีหนิง
พยุงเซี่ยงไป๋อิ่งเข้าไปในเรือน ขอทานสี่คนเฝ้า
อยู่ด้านนอก อาวุโสไป๋หู่กับคนอื่นเดินตามฉี
หนิงเข้าไป หลังจากนั้นก็ปิดประตู อาวุโสไป๋หู่
โค้งตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็นาทางพวกเขาสอง
คนไปยังห้องโถง
ห้องโถงด้านในกว้างมาก ถึงแม้จะดูเก่า แต่ก็
สะอาด ซึ่งมันดูขัดกับภาพลักษณ์ของพรรค
กระยาจกมาก ฉีหนิงพยุงเซี่ยงไป๋อิ่งไปนั่งที่
เก้าอี้ อาวุโสไป๋หู่เห็นสีหน้าของเซี่ยงไป๋อิ่งไม่
ค่อยดี ก็พูดว่า “ท่านประมุข ท่าน...ท่าน
บาดเจ็บ?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 485 พรรคกระยาจกเขตซินผิง
เซี่ยงไป๋อิ่งนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ แล้วถามว่า “ผู้
อาวุโสไป๋หู่ มีคนมาหาข้าที่สาขาขุยมู่หลาง
หรือไม่?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่รีบพูดว่า “ท่านประมุข หลังจาก
ศึกที่เขาเชียนอูหลิง ข้าก็พาศิษย์ในพรรค
กระยาจกกลับมาที่ซินผิงเลย จนตอนนี้ยังไม่มี
ใครมาถามหาท่านประมุขเลย”
ฉีหนิงยืนถามอยู่ข้างๆ “ผู้อาวุโสไป๋หู่ ท่านได้ให้
คนเอาจดหมายไปส่งที่ตาหนักอิ่งเฮ่อให้ประมุข
เซี่ยงหรือไม่?”
“ตาหนักอิ่งเฮ่อ?” ผู้อาวุโสไป๋หู่อึ้งไป เขาส่าย
หน้าแล้วพูดว่า “หลังจากที่ท่านประมุขไปจาก
ตาหนักอิ่งเฮ่อแล้ว ข้าไม่รู้ว่าท่านประมุขไปไหน
ท่านประมุขไปทีต่ าหนักอิ่งเฮ่อหรอกหรือ?”
“ถ้าอย่างนั้น คนที่ชื่ออู๋อี้ เจ้าไม่ได้เป็นคนส่งไป
ใช่หรือไม่?” ฉีหนิงถามว่า
ผู้อาวุโสไป๋หู่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อูอ๋ ้ี? ข้าจา
ไม่ได้ว่ามีคนที่ชื่อนี้ในพรรคด้วย”
ฉีหนิงเดิมทีก็แน่ใจอยู่แล้วว่าอู๋อี้เป็นตัวปลอม
ตอนนี้พอได้ยินผู้อาวุโสไป๋หู่พูดออกมาอย่างนี้
แล้ว เขารู้ทันทีเลยว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นไม่ผิดเลย
“ผู้อาวุโสไป๋หู่ เจ้ารีบส่งคนไปยังตาหนักอิง่ เฮ่อ
ที” เซี่ยงไป๋อิ่งสั่งความ “หาคนที่ฉลาดหน่อย
ไปสืบดูสถานการณ์ของตาหนักอิ่งเฮ่อ แต่ว่า
อย่าให้คนในตาหนักรู้เป็นอันขาด”
ผู้อาวุโสไป๋หู่เหมือนจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามมาก
เขายกมือคานับแล้วพูดว่า “ข้าจะไปจัดการ
เดี๋ยวนี้เลย ท่านประมุข สีหน้าของท่านไม่ดีเลย
ท่านจะเข้าไปพักที่ด้านหลังก่อนหรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งก็ไม่พูดมากอีก เขาลุกขึ้นยืน จากนั้น
ผู้อาวุโสไป๋หู่จึงเดินนาทางไปทางด้านหลัง
ด้านหลังห้องโถงมีเรือนรับรองอยู่ ด้านซ้ายมือ
เป็นคอกม้า มีม้าสองตัวผูกอยู่ ด้านหลังเป็น
ห้องพักเรียงรายเป็นแนวยาว ผู้อาวุโสไป๋หนู่ า
เซี่ยงไป๋อิ่งกับฉีหนิงเข้าไปในห้อง ภายใน
ห้องพักสะอาดมาก ฉีหนิงค่อยๆ พยุงเซี่ยงไป๋
อิ่งให้นอนลง ผู้อาวุโสไป๋หู่ไปรินน้าชามาให้ด้วย
ตัวเอง แล้วถามว่า “ท่านประมุขท่านเป็น
อย่างไรบ้าง?”
เซี่ยงไป๋อิ่งก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย เขาพูด
ว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่ ข้าอาจจะต้องพักอยู่ที่นสี่ ัก
ระยะหนึ่ง ที่นี่มีคนอยู่เท่าไหร่?”
อย่างไรผู้อาวุโสไป๋หู่ก็เป็นชาวยุทธ์ เมื่อได้ยิน
เซี่ยงไป๋อิ่งถามมาแบบนี้ เขาก็เหมือนจะเข้าใจ
อะไรขึ้นมา เขารีบพูดว่า “ท่านประมุขโปรด
วางใจ ที่เขตซินผิงเป็นที่ตั้งของสาขาขุยมู่หลาง
มีมือดีอยู่หลายสิบคน ข้าจะสั่งให้คนไปรวมไพร่
พลมือดีมาที่นี่อีก เพือ่ รักษาความปลอดภัย
ให้กับท่านประมุข”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า เขาไม่ใช่คนกลัวตาย แต่ว่า
เขาก็รู้ดีว่า ตอนนี้เขาแทบจะไม่มีแรงเลย หากมี
คนบุกเข้ามาทาร้าย เขารับมือไม่ได้แน่
คนพวกนัน้ กล้าที่จะลงมือกับประมุขพรรค
กระยาจก แสดงว่าต้องมีความสามารถพอตัว
อาศัยแค่ศิษย์ส่วนหนึ่งไม่กี่คนคุ้มกัน ไม่มีทาง
ทาให้เซี่ยงไป๋อิ่งปลอดภัยได้
เซี่ยงไป๋อิ่งรู้ว่า ขอแค่เขายังมีชีวิตอยู่คนพวกนั้น
ไม่มีทางลงมือกับลู่ซางเฮ่อสองผัวเมียแน่ ชีวิต
ของเขา เกีย่ วพันถึงความเป็นความตายของ
สองคนนั้น
ยอดฝีมือในพรรคกระยาจกมีมากมาย แค่
โยกย้ายยอดฝีมือบางส่วนมาที่นี่ อีกฝ่ายก็ไม่
กล้าทาอะไรแล้ว
ผู้อาวุโสไป๋หู่ออกไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน
เขาก็กลับมา แล้วพูดว่า “ท่านประมุข ข้าได้ส่ง
คนไปสืบข่าวที่ตาหนักอิ่งเฮ่อแล้ว อีกทั้งยังส่ง
คนไปเลือกมือดีของพวกเรามาจากบริเวณรอบ
เขตซินผิงแล้ว ทางเมืองเฉิงตูของพวกเรายังมี
มือดีอีกหลายคน ข้าเตรียมให้คนเดินทางไปคัด
มาคืนนี”้
ฉีหนิงเห็นผู้อาวุโสไป๋หู่จัดเตรียมการไว้เรียบ
ร้อย ก็เบาใจ แอบคิดในใจว่าในเมื่อเซี่ยงไป๋อิ่ง
มาถึงพรรคกระยาจก ก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว
ถึงแม้จะมีโอกาสที่อีกฝ่ายจะบุกมาสังหารเซี่ยง
ไป๋อิ่งที่นี่ แต่นั่นก็หมายความว่าจะต้องเผชิญ
หน้าโดยตรงกับทางพรรคกระยาจก ในยุทธภพ
คนที่กล้าเป็นปรปักษ์กับพรรคกระยาจกคงมีไม่
มากนัก อีกฝ่ายหากจะลงมือจริง คิดว่าก็คงต้อง
คิดหน้าคิดหลังไม่น้อย
คืนนี้ฉีหนิงได้พักค้างคืนอยู่ที่นี่ เช้าวันต่อมา ผู้
อาวุโสไป๋หู่จัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ จากนั้นก็
เข้ามารายงานว่า “ท่านประมุข พี่น้องของพวก
เราที่ส่งไปกลับมาแล้วกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้ทั่วทั้ง
เขตซินผิงมีแต่คนของพวกเรา สาขาขุยมูห่ ลาง
ได้ควบคุมเขตซินผิงเอาไว้หมดแล้ว ข้าได้ออก
คาสั่งไปแล้วว่า หากมีใครเห็นคนน่าสงสัยเข้า
มา หรือคนต่างถิ่นทีน่ ่าสงสัย ให้จับตามองพวก
เขาเอาไว้ให้ด”ี
เมื่อถึงช่วงกลางวัน ผู้อาวุโสไป๋หกู่ ็มารายงานอีก
ว่า “ท่านประมุข ตอนนี้ในเขตซินผิงของพวก
เรามีพี่น้องของเราทั้งหมดรวมแล้วประมาณสี่
ร้อยคน ในถนนแต่ละสายมีแต่สายของเรา
นอกจากนีด้ ้านนอกเขตพวกเราก็ได้ส่งคนไปเฝ้า
เอาไว้ด้วย เพื่อป้องกันคนน่าสงสัยเข้ามาใน
พื้นที่”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าไม่แปลกใจเลยว่าทาไม
พรรคกระยาจกถึงได้เป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้
หล้า การจัดการดาเนินการของพวกเขามันน่า
ตะลึงมาก
เมื่อคืนนี้ทั่วทั้งเขตซินผิงมีคนแค่ประมาณหนึ่ง
ร้อยคน แต่ว่าเวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน ตอนนี้
เพิ่มมาอีกร้อยกว่าคน หูตาของพรรคกระยาจก
มีอยู่ทุกที่ การรับรู้ข่าวของพวกเขาแม่นยามาก
คงไม่มีกลุ่มอานาจไหนที่สามารถเทียบได้เลย
ตอนนี้พื้นที่เขตซินผิงทั้งหมดอยู่ในการควบคุม
ของพรรคกระยาจกแล้ว หากคนพวกนั้นคิดจะ
บุกเข้ามาทาร้ายประมุขพรรคกระยาจก คง
รนหาที่ตายเอง
ตกเย็น ผู้อาวุโสไป๋หู่กเ็ ข้ามารายงานอีกครัง้
“ท่านประมุข พี่น้องของพวกเราที่ส่งไปยัง
ตาหนักอิ่งเฮ่อกลับมาแล้ว”
เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นห่วงสถานการณ์ที่ตาหนักอิง่ เฮ่อ
มากที่สุด เขาฝืนลุกขึน้ แล้วถามว่า
“สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ภายในตาหนักอิ่งเฮ่อไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คน
เดียว” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดต่อว่า “ข้าได้ส่งพี่น้องที่
หัวไวสี่คนไปสืบข่าว พวกเขาเร่งเดินทางตลอด
ทั้งคืน จนถึงนอกตาหนักอิ่งเฮ่อ โดยไม่ให้ใครรู้
แต่ว่าตลอดทั้งคืน ภายในตาหนักอิ่งเฮ่อไม่มี
การจุดตะเกียงเลย จนถึงวันนี้กไ็ ม่มีความ
เคลื่อนไหวใดๆ พี่น้องของพวกเราคนหนึ่งแกล้ง
เข้าไปใกล้เพื่อขอทาน ก็พบว่าประตูของ
ตาหนักเปิดแง้มเล็กน้อย แต่ด้านในไม่มีใครอยู่
เลยแม้แต่คนเดียว”
“ไม่มีใครเลยหรือ?” เซี่ยงไป๋อิ่งขมวดคิ้ว
ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “พวกเขาเข้าไปตรวจสอบ
แล้ว ภายในตาหนักไม่มีใครจริงๆ แต่ว่าด้านใน
ห้องโถงเละเทะมาก เหมือนมีคนรื้อตู้กับข้าว
ของภายในตาหนัก”
สีหน้าของเซี่ยงไป๋อิ่งเคร่งเครียดมาก ฉีหนิงรู้ว่า
เขารู้สึกอย่างไร เขาพูดว่า “ท่านประมุขเซี่ยง
ท่านไม่ต้องกังวลไป ภายในตาหนักอิ่งเฮ่อไม่มี
ใครเลย แสดงว่าเจ้าสานักลูก่ ับฮูหยินน่าจะยัง
ปลอดภัยอยู”่
“เจ้าสานักลู่มีอันตรายหรือ?” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูด
ด้วยความตกใจว่า “ท่านประมุข มันเกิดอะไร
ขึ้น? เจ้าสานักลู่ของตาหนักอิ่งเฮ่อ เป็นบุคคลที่
มีชื่อเสียงมากในซีชวนของเรา เขามีสหายไปทั่ว
ซีชวน เป็นคนดีมีคุณธรรม ไม่เคยได้ยินว่ามี
ความแค้นกับใครมาก่อนเลย”
เซี่ยงไป๋อิ่งเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความ
แค่สั่งไปว่า “สั่งให้คนจับตาดูไว้ หากมีความ
เคลื่อนไหวอะไร ให้รบี มารายงานทันที”
“ท่านประมุขโปรดวางใจ ที่นั่นยังมีคนของเรา
อยู่อีกสามคน หากมีอะไรคืบหน้า จะรีบมา
รายงานทันที” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดอย่างนอบน้อม
จากนั้นก็เขยิบเข้ามาใกล้ แล้วพูดเสียงเบาว่า
“ท่านประมุขบาดเจ็บหนักมากเลยใช่หรือไม่?
จะให้....จะให้ข้าไปตามคนมาช่วยหรือไม่?”
เขาไม่ได้บอกว่าจะไปตามหมอ แสดงว่าเขารู้
ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งที่เป็นยอดฝีมือ หากบาดเจ็บสาหัส
แบบนี้ หมอธรรมดาทั่วไปคงรักษาไม่ได้ คงคิด
จะไปเชิญสหายในยุทธภพมาช่วยรักษา
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหัวแล้วพูดว่า “เรื่องนี้จะให้ใครรู้
ไม่ได้ จะได้ไม่วุ่นวาย” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ไปรวบรวมคนมามากมาย ทาให้คนในเขต
แตกตื่นหรือไม่?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่รีบพูดว่า “ท่านประมุขวางใจได้
ก่อนการดาเนินการข้าได้คิดไว้แล้วว่า หากพี่
น้องของเรามากันมาก อาจเกิดความแตกตื่น
เลยบอกให้พวกเขาปลอมตัวกันเข้ามา ตอนนี้
ในตัวเขตมีคนกว่าร้อยคน มีไม่น้อยที่แต่งกาย
เป็นนักท่องเที่ยวต่างแดน ส่วนพี่น้องคนอื่นเฝ้า
ระวังอยู่ที่นอกพื้นที่ ควบคุมถนนหนทางทุกเส้น
พวกเขามีการซ่อนตัวอย่างดี ไม่มีใครพบเห็น
แน่นอน”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า แล้วพูดว่า “ลาบากเจ้า
แล้วนะ”
ฉีหนิงเห็นผู้อาวุโสไป๋หู่จัดการได้อย่างมีระบบ
ความปลอดภัยของเซี่ยงไป๋อิ่งน่าจะไม่มีปัญหา
อะไรอีก เขาจึงได้วางใจแล้วพูดว่า “ท่าน
ประมุขเซีย่ ง ในเมื่อทางนี้ได้จัดการทุกอย่าง
เรียบร้อยแล้ว ข้าคงขอตัวกลับไปที่เมืองเฉิงตู
ก่อน คนของจวนเสินโหวยังรอข้าอยู่ ข้าต้องไป
กาชับอะไรกับพวกเขาสักหน่อย อีกอย่าง...”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทียังคิดจะเข้า
เมืองหลวงไปพร้อมเจ้า ตอนนีค้ งไม่ได้แล้ว ที่นี่
เป็นสาขาของพรรคกระยาจก ข้าไม่เป็นไร
หรอก เจ้าอย่าเสียเวลาอีกเลยนะ ไว้ข้าหายดี
แล้ว ข้าจะไปหาเจ้าที่เมืองหลวงเอง”
ฉีหนิงยื่นมือไปจับมือของเซี่ยงไป๋อิ่ง แล้วพูด
เบาๆ ว่า “ท่านอาเซี่ยง ข้าจะรอท่านที่เมือง
หลวงนะ ท่านต้องรักษาตัวให้ด”ี
เซี่ยงไป๋อิ่งเผชิญอันตรายในคราวนี้ อีกฝ่ายก็พุ่ง
เป้ามาที่พรรคกระยาจก ฉีหนิงรู้ว่าในยุทธภพ
แผ่นดินสกปรกมีมากมาย เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นถึง
ประมุขพรรคกระยาจก อย่างไรก็จัดการเรื่องนี้
ได้แน่นอน ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าเซี่ยงไป๋อิ่งนั้น
ปลอดภัย เขาก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่านักฆ่าพวก
นั้นเป็นใคร
เขาเป็นห่วงอีฝูที่ถ้าเฮยเหยียนมาก อีกทั้งพวก
ของฉีเฟิงก็รอเขาอยู่ที่นั่นด้วย อีกทั้งยังมีคน
ของจวนเสินโหวกับชิวเฉียนอี้ที่รออยู่ที่เมืองเฉิง
ตูอีก หลังจากเรื่องที่เขาเชียนอูหลิงแล้ว ยังต้อง
รีบกลับเมืองหลวงไปรายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้
น้อยรู้อีก เขาจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพยักหน้าพูดว่า ผู้อาวุโสไป๋หู่
ยกมือคานับแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ขอบคุณ
ท่านมากทีค่ ุ้มกันท่านประมุขมาถึงที่นี่ บุญคุณ
ของท่านโหวน้อย พรรคกระยาจกของพวกเรา
จะไม่มีวันลืมเลย”
ฉีหนิงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาบอกลาเซี่ยง
ไป๋อิ่ง แล้วออกจากห้องมา ผู้อาวุโสไป๋หู่เดิน
ตามออกมาด้วย เขาสั่งให้คนเตรียมรถม้าไว้ ผู้
อาวุโสไป๋หู่ยังไปส่งฉีหนิงออกนอกเขตซินผิง
ด้วยตัวเองอีกด้วย ขณะที่รถม้าวิ่งไปภายในตัว
เขต ฉีหนิงเห็นว่าภายในเขตซินผิงปกติมาก ไม่
เห็นร่องรอยว่ามีคนของพรรคกระยาจกกลุ่ม
ใหญ่เข้ามาเลย เขาแอบคิดในใจว่าศิษย์พรรค
กระยาจกปลอมตัวได้เนียนมาก ในถนนแต่ละ
สาย น่าจะเป็นคนของพรรคกระยาจกทั้งหมด
เมื่อออกนอกเขตพื้นที่มาแล้ว ผู้อาวุโสไป๋หู่ก็
ส่งออกไปอีกประมาณสิบลี้ ถึงได้ขยับเข้าใกล้
รถม้าแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย รักษาตัวด้วย
จากนี่เดินต่อไปทางทิศเหนืออีกประมาณยี่สิบลี้
ก็จะถึงเมืองเฉิงตูแล้ว”
ฉีหนิงเปิดผ้าม่านหน้าต่างออกมาแล้วพูดว่า “ผู้
อาวุโสไป๋หู่ ฝากท่านประมุขเซีย่ งด้วยนะ”
“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดต่อ
ว่า “คนพวกนั้นกล้าลอบสังหารท่านประมุข ก็
เหมือนต้องการเป็นศัตรูกับพรรคกระยาจก ไม่
ว่าพวกมันจะหนีไปทีไ่ หน พรรคกระยาจกไม่มี
ทางปล่อยพวกมันไปอย่างแน่นอน”
ฉีหนิงยิ้มแล้วยกมือคานับ คิดในใจว่าอย่างไรก็
เป็นเรื่องของพรรคกระยาจก เขาไม่ควรพูด
อะไรมากอีก เขาบอกลาผู้อาวุโสไป๋หู่ แล้วก็นั่ง
รถม้ามุ่งหน้าไปทางเหนือ
เดินทางออกไปประมาณสิบลี้ พระอาทิตย์ก็ตก
ดินแล้ว ก่อนฟ้าจะมืดสนิท ด้วยความเร็วแบบ
นี้ น่าจะไปถึงเมืองเฉิงตูได้แน่
ฉีหนิงนั่งพิงอยู่ในรถม้า หลับตาพักผ่อน ทันใด
นั้นเอง เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา สีหน้าของเขา
เคร่งเครียดมาก จากนั้นก็รีบเปิดผ้าม่าน มอง
ไปที่คนขับรถม้าแล้วพูดว่า “หยุดรถก่อน”
คนขับรถม้าดึงเชือกให้ม้าหยุด แล้วหันกลับไป
พูดว่า “ท่านโหวน้อย มีอะไรหรือไม่?”
“เจ้าเป็นคนของพรรคกระยาจกหรือ?” ฉีหนิง
จ้องไปที่ตาของเขาแล้วถาม
คนขับรถม้าพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเป็น
คนของสาขาขุยมู่หลาง รับคาสั่งจากท่านผู้
อาวุโส ให้ไปส่งท่านโหวน้อยกลับไปยังเมืองเฉิง
ตูอย่างปลอดภัย”
“ข้าถามเจ้าหน่อย ภายในเขตซินผิงตั้งแต่เมื่อ
คืนจนถึงตอนี้ มีคนมากี่คนแล้ว?” ฉีหนิงถาม
อย่างจริงจัง “มีคนของพรรคกระยาจกจานวน
มากเข้ามายังเขตซินผิงหรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 486 ย้อนกลับมา
คนขับรถม้าอึ้งไป แล้วพูดตอบกลับไปว่า
“ข้าน้อยไม่ทราบ ข้าน้อยเป็นแค่ศิษย์ธรรมดา
ในสาขาขุยมู่หลางเท่านั้น ไม่ได้มีความสามารถ
อะไรมากมาย ทาได้แค่บังคับรถม้า หากมีการ
ใช้รถ ข้าน้อยก็จะถูกเรียกมาใช้งาน ส่วนเรื่อง
อื่น.....เรื่องอื่นข้าน้อยไม่ทราบแล้ว”
ฉีหินงเห็นคนขับรถม้าเหมือนตกใจไม่รู้เรื่อง ไม่
เหมือนคนโกหก เขาพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าไม่ต้องตกใจไป ไม่มีเรื่องอะไรหรอก” เขา
หยิบเงินให้เขาไป คนขับรถรีบรีบปฏิเสธทันที
“ข้าน้อย....ข้าน้อยไม่กล้ารับ”
“ข้าให้รางวัลเจ้า เจ้ารับไปเถอะ” ฉีหนิงยิ้ม “ที่
จริงแล้วข้าไม่ได้จะไปเมืองเฉิงตูหรอก ข้ายังมี
เพื่อนรอข้าอยู่ เจ้าเองก็ไม่ต้องไปส่งข้าทีเ่ มือง
หรอกนะ”
คนรถรีบพูดว่า “ผู้อาวุโสสั่งไว้ว่า จะต้องไปส่ง
โหวเยว่ให้ถึงเมือง ไม่อย่างนั้น....ไม่อย่างนั้น
ข้าน้อยจะถือว่าสะเพร่าต่อหน้าที่” เขาพูดอีก
ว่า “โหวเยว่จะไม่เข้าเมือง ข้าน้อยขอไปส่งท่าน
ตามที่ท่านจะไปเถอะนะ”
“ไม่ต้องหรอก” ฉีหนิงเอาเงินยัดให้คนรถไป
“เงินนี่จะว่าเยอะก็ไม่ แต่ว่าก็สามารถให้เจ้าไป
ท่องเที่ยวในเมืองเฉิงตูได้ทั้งคืน เจ้าก็ส่งข้าแค่
ตรงนี้ ส่วนเจ้าก็เข้าเมืองไปเที่ยวเถอะนะ”
คนรถได้เงินมา ก็พูดอย่างนอบน้อมว่า “ท่าน
โหวน้อย ที่นี่ข้างหน้าไม่มหี มู่บ้านด้านหลังไม่มี
ร้านค้า ให้ข้าได้ไปส่งท่านอีกหน่อยเถอะนะ”
“เพื่อนของข้าคนนั้นเป็นคนแปลกไม่ชอบพบ
หน้าคนอื่น” ฉีหนิงลงจากรถม้า “เจ้าไปที่เมือง
เฉิงตูเถอะ หากผู้อาวุโสไป๋หู่ถามเจ้า ข้าจะบอก
เองว่าเจ้าไปส่งข้าแล้ว อีกทั้งข้ายังให้เจ้าค้างที่
นั่นคืนหนึ่งด้วย”
คนรถพูดอย่างซาบซึง้ ใจว่า “ในเมื่อโหวเยว่
ต้องการแบบนี้ ข้าน้อยรับคาสั่งก็แล้วกัน”
จากนั้นเขาก็ยกมือคานับ แล้วบังคับม้าไปทาง
เมืองเฉิงตู
ฉีหนิงหลบอยู่หลังพุ่มไม้ประมาณครึ่งชั่วยาม
ไม่เห็นคนรถย้อนกลับมาแล้ว ก็น่าจะไปเมือง
เฉิงตูแล้ว จึงไม่เสียเวลาอีก เขาย้อนกลับไปยัง
พื้นที่เขตซินผิง
ตอนที่ฉีหนิงกลับไปถึงเขตซินผิง ฟ้าก็มดื มาก
แล้ว แต่ว่าภายในเขตพื้นที่ในเต็มไปด้วยแสงไฟ
ในเขตเล็กเทียบไม่ได้กับในเมืองใหญ่ มันมีถนน
อยู่หลายเส้นทาง ตอนนี้ดึกมากแล้ว ตอนที่ฉี
หนิงเข้ามาภายในเขตเมืองซินผิง กลับไม่เห็นว่า
มีพรรคกระยาจกขวางเขาเลย ด้วยนิสัยตืน่ ตัว
ของฉีหนิง เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีคนของพรรค
กระยาจกจับตามองเขาอยู่
ถึงแม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่บนถนนมีคนเดินไปเดิน
มา ฉีหนิงเดินไปร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง แล้วซื้อ
เสื้อผ้ามาหนึ่งชุด เป็นเสื้อผ้าธรรมดาแบบ
หยาบ เขาเดินไปตามถนน มันดูปกติมาก ไม่
เห็นมีคนมากเหมือนที่เจอในตอนเย็นเลย
หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปที่ร้านน้าชา แล้วนั่ง
ลงมองไปรอบๆ
เขตซินผิงเป็นเมืองผ่านทางที่จะไปยังเมืองเฉิงตู
หลังจากที่ตกดึกแล้วทุกคนก็จะหาที่พัก เพื่อ
ความปลอดภัย ก็จะไม่เร่งเดินทางต่อ หาก
เทียบกับเขตอื่นๆ ที่นี่ดูจะเจริญกว่ามาก
หลังจากค่าแล้ว ร้านอาหารร้านน้าชาต่างก็
คึกคัก
ตามถนนเต็มไปด้วยแสงไฟ ฉีหนิงมองเห็นทุก
อย่างชัดเจนมาก สายตาของเขาก็เฉียบคม เขา
พยายามมองหาคนของพรรคกระยาจก
ถึงแม้ขอทานทุกคนจะไม่ใช่คนของพรรค
กระยาจกทั้งหมด แต่ว่าพื้นที่เขตซินผิงก็เป็น
ที่ตั้งของสาขาขุยมู่หลาง ขอทานที่อยู่ในเขตนี้
ต่อให้ไม่ใช่คนของพรรคกระยาจก แต่ก็หนี
ความเกี่ยวข้องไม่พ้น
หากจะแยกคนของพรรคกระยาจกออก มันก็
ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ฉีหนิงนั่งดื่มชา ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็เห็นคนของ
พรรคกระยาจกสามกลุ่มเดินมา ทุกครั้งจะต้อง
เดินมากันเป็นกลุ่มสองสามคน
ที่นี่คือถนนที่เจริญที่สุดของเขตซินผิง คนของ
พรรคกระยาจกปรากฏตัวที่นี่ มันเหมือนเป็น
เรื่องปกติมาก บนถนนแทบจะไม่มีใครสนใจ
แต่ฉีหนิงพบว่า คนของพรรคกระยาจกพวกนี้ดู
ไปแล้วสบายๆ ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาจริงจังหรือ
ทาหน้าที่อะไรเลย
คนของพรรคกระยาจกพวกนี้ดูไม่เหมือนกาลัง
จับตามองใครอยู่เลย อีกทั้งเมื่อผ่านทางมาที่นี่
ยังพูดคุยหยอกล้อกันตลอด
ฉีหนิงยิ้มแห้งออกมา
ผู้อาวุโสไป๋หู่รวบรวมคนของพรรคกระยาจกมา
เพื่อคุ้มกันเซี่ยงไป๋อิ่ง หากในพื้นที่เขตซินผิงมี
คนของพรรคกระยาจกจานวนมากเข้ามาจริง
ต่อให้ปลอมตัว ก็จะต้องมีความแตกตื่น เพราะ
ที่นี่เป็นเขตเมืองเล็ก จู่ๆ มีคนกว่าร้อยคนเข้า
มา หากไม่มีใครรู้ มันเหลือเชื่อเกินไป
อีกทั้งคนของพรรคกระยาจกถูกสั่งให้เคลือ่ น
กาลังพลมาที่เขตซินผิง ต่อให้พวกเขาไม่รู้ความ
จริง แต่ก็ต้องแปลกใจกันบ้างล่ะ แล้ว
บรรยากาศที่นี่จะต้องเคร่งเครียดกว่า
แต่สิ่งที่ฉีหนิงเห็น มันแทบจะไม่มีอะไรผิดปกติ
เลย
ผู้อาวุโสไป๋หู่บอกว่าได้วางกาลังพลไว้หมดแล้ว
ในทุกมุมในพื้นที่เขตมีคนคอยจับตาดูอยู่ตลอด
เวลา แต่ฉีหนิงไม่รู้สกึ เลย สีหน้าท่าทางของคน
ในพรรคกระยาจกปกติมาก ไม่ได้สนใจเรือ่ งราว
ที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย มันไม่ตรงตามที่ผู้อาวุโสไป๋
หู่บอกเลย
ฟ้าเริ่มมืดลงไปอีก คนบนถนนเริ่มลดน้อยลง
แล้ว ฉีหนิงออกจากร้านน้าชา แล้วตรงไปยัง
ทางสาขาขุยมู่หลาง
ขณะที่กาลังจะถึง เขาก็หลบอยูห่ ลังต้นไม้ เมื่อ
มองไปบรรยากาศโดยรอบ ที่หน้าประตูเรือน
เก่าก็ยังคงเป็นขอทานกลุ่มเดิมที่เฝ้าอยู่ เขาไม่
สามารถแอบเข้าไปได้ ฉีหนิงอ้อมไปทางประตู
หลัง ทางนี้เองก็มีขอทานสองคนเฝ้าอยู่ เขารู้ว่า
หากจะเข้าเรือนเก่าหลังนี้ ไม่ว่าจะประตูหน้า
หรือประตูหลังก็ต้องมีคนเฝ้าอยู่แล้ว หากเขา
เข้าไปใกล้ พวกเขาก็จะรู้ตัว
เขาอ้อมไปที่กาแพงด้านข้าง ถึงแม้เรือนหลังนี้
จะเก่า แต่กาแพงนี้มนั ก็ไม่ได้เตีย้ แต่มันก็ไม่ได้
กินแรงฉีหนิงมากนัก เขากระโดดข้ามกาแพงไป
เรือนเก่าเงียบสงบมาก ฉีหนิงกระโดดลงมาจาก
กาแพง เขาจาได้ว่าที่พักของเซี่ยงไป๋อิ่งอยูท่ ี่
ไหน เขาก็เข้าไปใกล้ที่นั่นราวกับว่าเขาเป็นเงา
ร่างหนึ่ง
ด้วยฝีมือของเขาตอนนี้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสไป๋หู่
ก็ไม่ใช่คู่ปรับของเขาเลย ศิษย์ที่เหลือของพรรค
ก็ไม่ต้องกลัวอะไร
เข้าใกล้ที่พักของเซี่ยงไป๋อิ่ง ฉีหนิงมองมาจากที่
ไกลๆ เห็นที่นอกประตูใหญ่ มีคนของพรรค
ประมาณสีค่ นเฝ้าอยู่
เขาขมวดคิ้ว แล้วอ้อมไปที่ด้านหลังห้องพัก
อย่างระวัง ที่ด้านหลังห้องไม่มีใคร ตรงหน้าต่าง
ค่อนข้างสว่างจากไฟในห้อง เขาเขยิบเข้าไป
ใกล้หน้าต่าง ลมพัดโชยมา ฉีหนิงยื่นนิ้วไปจิ้มที่
กระดาษหน้าต่างจนเป็นรู เขามองรอดผ่านช่อง
ไป เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งยังคงนอนอยู่บนเตียง ไม่ได้มี
ความเคลื่อนไหวอะไร เหมือนเขาจะหลับสนิท
เขาก็โล่งใจ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนดัง
ขึ้น ฉีหนิงรีบตั้งสติ เห็นผู้อาวุโสไป๋หู่เดินเข้ามา
ภายในห้องพัก แล้วค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เตียง
จากนั้นก็ได้ยินเซี่ยงไป๋อิ่งถามขึน้ มาว่า “ใคร?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่ถอยหลังสองก้าว จากนั้นก็ยกมือ
คานับแล้วพูดว่า “ท่านประมุข ข้าเอง”
“อ๋อ?” เซี่ยงไป๋อิ่งถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
“เรียนท่านประมุข เมื่อครู่เพิ่งจะได้รับรายงาน
ว่า ได้ส่งท่านโหวน้อยไปยังเมืองเฉิงตูเรียบร้อย
แล้ว” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “ท่านโหวน้อยยัง
บอกให้คนฝากมาบอกท่านด้วยว่า ให้ท่าน
ประมุขรักษาตัวให้ดี”
ฉีหนิงแอบขาในใจ เขาดูออกว่าต้องมีปัญหาแน่
ตอนนี้พอได้ยินผู้อาวุโสไป๋หู่พูด ก็แน่ใจแล้วว่าผู้
อาวุโสไป๋หู่ต้องมีปัญหาแน่
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ข้าต้องอยู่ที่นอี่ ีกสองสามวัน
เจ้าไปจัดคนช่วยส่งข้ากลับเมืองหลวงแบบลับๆ
ที”
ผู้อาวุโสไป๋หู่รีบพูดว่า “ท่านประมุขจะไปแล้ว
หรือ? ท่านประมุข บาดเจ็บหนักมาก จะเดิน
ทางไกลไม่ได้หรอก อีกทั้งทั่วทั้งเขตซินผิงก็อยู่
ในการควบคุมของพวกเราไปหมด ไม่ต้องกลัว
เรื่องความปลอดภัย”
“ข้ารู้ดีว่าควรจะทาอย่างไร ไม่ต้องถามมาก”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูด “ผู้อาวุโสไป๋หู่ ข้ามาซีชวนครั้งนี้
เห็นคนของพวกเราโอหังไม่น้อยเลย อีกทั้งยังมี
คนแก่งแย่งชิงดีด้วย เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่รีบพูดว่า “เรียนท่านประมุข ข้าได้
ยินมาบ้าง ข้าเองก็ได้สั่งลงโทษลูกศิษย์ที่ทรยศ
ไปไม่น้อยแล้ว”
“บ้านเมืองมีกฎหมาย ในพรรคก็มีกฎพรรค”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “พรรคกระยาจกยืนยัดมา
จนถึงวันนี้ได้ เพราะเหล่าผู้นารุ่นก่อนๆ ของ
พรรคตั้งกฎของพรรคขึ้นมา หากละเมิดกฎของ
พรรคไม่ลงโทษอย่างเข้มงวด พรรคกระยกจก
ไม่มีทางมาจนถึงวันนี้ได้เลย”
“ข้าเข้าใจ” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดอย่างนอบน้อมแล้ว
พูดว่า “ตอนประชุมสาขาในแต่ละปี ได้กาชับ
พวกเขาตลอด พรรคกระยาจกของเราเป็น
พรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า ในยุทธภพมีคนจับ
ตามองเราอยู่มากมาย คนของพรรคกระยาจก
ทาอะไรตรงไปตรงมามีคุณธรรม ช่วยเหลือ
ชาวบ้านที่ตกยาก แต่หากมีการต่อสู้แก่งแย่งชิง
ดีกันขึ้นมา ชื่อเสียงของพรรคกระยาจกเราก็จะ
เสื่อมเสีย ถูกคนด่าประนามกันไปทั้ว เมื่อมีคน
ทาผิดกฎพรรค ก็จะต้องลงโทษอย่างร้ายแรง”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เจ้ารู้ดีแบบนี้ ข้าก็วางใจ”
เขาหยุดไป แล้วถามว่า “ได้ยินมาว่าเมื่อครึง่ ปี
ก่อน มีการเปลี่ยนหัวหน้าสาขาจุ่ยฮั่วโหว จริง
หรือไม่?”
“เรียนท่านประมุข เป็นเรื่องจริง ข้าเตรียมจะ
รายงานเรื่องนี้กับท่านประมุขอยู่พอดี” ผู้
อาวุโสไป๋หู่รีบพูดว่า “หัวหน้าเหลียงของ
สาขาจุ่ยฮั่วโหวชอบดื่มสุรามาก มันทาลาย
สุขภาพเขาเมื่อหลายปีก่อน ข้าห้ามเขาอยู่
หลายครั้ง แต่เขาไม่ฟงั เลย วันหนึ่งของครึ่งปีที่
แล้วเขาดื่มหนักมากเกิดตายไปกะทันหัน ตอน
นั้นมีคนเห็นกว่าสิบคน”
เซี่ยงไป๋อิ่งถามต่อว่า “เขาตายเพราะเหล้าอย่าง
นั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “เดิมทีเรื่องนี้
ควรจะรีบรายงานให้ท่านประมุขทราบทันที แต่
ว่าท่านประมุขไม่ได้อยู่ในพื้นทีซ่ ีชวนเลย ข้าเอง
ก็ไม่ได้พบท่านมากว่าครึ่งปีแล้ว เลยไม่ได้
รายงานให้ท่านทราบ หลังจากหัวหน้าเหลียง
ตายไป ทางสาขาจุ่ยฮั่วโหวก็เหมือนมังกรไม่มี
หัว ข้าเลยสั่งให้คนทางานแทนที่หัวหน้าคนใหม่
ไปก่อน เมื่อเจอท่านประมุข ค่อยให้ท่าน
ตัดสินใจอีกที”
เซี่ยงไป๋อิ่งถามว่า “หัวหน้าสาขาคนใหม่ได้ยิน
มาว่าแซ่เฉา?”
“ถูกต้อง” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “เขาชื่อเฉาเวย”
“เฉาเวย......” เซี่ยงไป๋อิ่งนิ่งไป แล้วพูดขึ้นมาว่า
“เมื่อเจ็ดปีก่อน ข้าจาได้ว่าเจ้ารับลูกศิษย์มาคน
หนึ่ง เหมือนจะชื่อเฉาเวย”
ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “เรียนท่านประมุข หัวหน้า
สาขาจุ่ยฮั่วโหว คือลูกศิษย์ของข้าเอง เขา
ติดตามข้ามานานหลายปี วรยุทธ์ก้าวหน้าไป
มาก อีกทัง้ เขาเองก็ฉลาด ก่อนหน้าที่เขาจะเข้า
พรรคกระยาจก เฉาเวยเคยเรียนหนังสือมา
ก่อน ก็ถือว่าเก่งทั้งบุน๋ และบู๊ หลังจากที่หัวหน้า
เหลียงตายไป ในสาขาจุ่ยฮั่วโหวเองหาคนที่
เหมาะสมไม่ได้เลย ข้าเห็นว่าเฉาเวยทาหน้าที่นี้
ได้ เลยให้เขาไปหน้าที่หัวหน้าสาขาจุ่ยฮั่วโหว
ชั่วคราวก่อน”
“แล้วเขาดูแลสาขาจุ่ยฮั่วโหวเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยงไป๋อิ่งถาม “เจ้าเคยไปดูบ้างหรือไม่?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “เฉาเวยเป็นคนฉลาดหัวไว
ทนลาบากได้ ตอนนีท้ างสาขาจุ่ยฮั่วโหวเองก็มี
ระบบระเบียบเป็นอย่างดี คนที่เคยเรียน
หนังสือมาไม่เหมือนใครจริงๆ ท่านประมุข ข้า
ไม่ได้อวยเขา ไม่ได้ลาเอียงคนของตัวเอง สาขา
ทั้งเจ็ดของไป๋หู่ ตอนนี้ที่ข้าภูมิใจมากที่สุด ก็คือ
สาขาจุ่ยฮั่วโหว”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เฉาเวยเปิดร้านเงิน
เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่? เขาฉุดลูกสาวของเจ้าบ้าน
ตระกูลหานมาเป็นภรรยาของตัวเอง เจ้ารู้เรื่อง
นี้ด้วยหรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 487 ก่อกบฏ
ฉีหนิงได้ยินและได้เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน
จากด้านนอกหน้าต่าง เดิมทีคิดว่าผู้อาวุโสไป๋หู่
จะตกใจหน้าซีด แต่ใครจะคิดผู้อาวุโสไป๋หู่กลับ
นิ่งมาก เขาส่ายหัวยิม้ แล้วพูดว่า “ท่านประมุข
ข้าคิดว่าท่านคงจะหลงเชื่อข่าวลือผิดๆ มา นิสัย
ของเฉาเวย ข้ารู้ดี ไม่มีทางทาเรื่องแบบนั้น
แน่นอน พรรคกระยาจกของพวกเราชื่อเสียง
เกรียงไกร เฉาเวยทาเพื่ออนาคตของพรรคมา
ตลอด อาจจะไปผิดใจกับใครเข้า เลยมีคนใส่
ร้ายเขาแบบนี”้
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เรื่องนี้ข้าไม่ได้พูดเพราะฟัง
คนอื่นมา ข้ามาถึงซีชวน ก็ได้ยนิ เรื่องนี้ จึงแอบ
สืบดู และดูเหมือนว่าจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ให้เฉาเวยมาชี้แจงด้วยตัวเอง”
ผู้อาวุโสไป๋หู่ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ข้าไม่สงสัยในตัว
ของเฉาเวย”
“หากเรื่องนี้เป็นความจริง เจ้าคิดจะจัดการ
อย่างไร?” เซี่ยงไป๋อิ่งยังคงพูดอย่างเรียบเฉย
ผู้อาวุโสไป๋หู่รีบพูดว่า “หากเรื่องนีเ้ ป็นความ
จริง ก็จะต้องจัดการด้วยกฎของพรรค หัวหน้า
สาขา เมื่อทาผิดกฎ ต้องให้ท่านประมุขเป็นคน
ตัดสิน”
เซี่ยงไป๋อิ่งตอบรับ แล้วพูดว่า “เจ้าออกไปก่อน
เถอะ”
ผู้อาวุโสไป๋หู่กลับไม่ได้ออกไป แต่เดินขึ้นหน้าไป
หนึ่งก้าว แล้วพูดว่า “ท่านประมุข ข้ายังมีอีก
เรื่องหนึ่ง อยากจะขอคาชี้แนะจากท่าน
ประมุข”
“เรื่องอะไร?” เซี่ยงไป๋อิ่งรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว
ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “อาการบาดเจ็บของท่าน
ประมุข เหมือนจะหนักมาก คิดว่าอาจต้องใช้
เวลาสามถึงห้าเดือนถึงจะฟื้นกลับมาได้” เขา
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “หลังจากศึของเขา
เชียนอูหลิง สถานการณ์ของยุทธภพเหมือนจะ
ไม่สงบเหมือนดังเดิมแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป คิดว่า
น่าจะเกิดเรื่องขึ้นอีกมากมาย”
“หืม?” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “แล้วจะอย่างไรล่ะ?”
“ท่านประมุข พรรคกระยาจกเป็นพรรคอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า หากยุทธภพเกิดอะไรขึ้นแม้แต่
นิดเดียว พรรคของพวกเราก็ต้องถูกโยงเข้าไป
แน่นอน” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดอย่างจริงจังว่า
“ตอนนี้ท่านประมุขก็อยู่ในช่วงรักษาอาการ
บาดเจ็บ ข้าขอบังอาจถามสักหน่อยเถอะว่า
หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา พรรคกระยาจกควร
จะทาอย่างไร?”
ฉีหนิงได้ยินจากนอกหน้าต่าง เขาถึงกับสะดุ้ง ผู้
อาวุโสไป๋หู่พูดเช่นนี้ออกมาต่อหน้าเซี่ยงไป๋อิ่ง
ถือว่าไม่มีมารยาทมาก
“ตั้งแต่พรรคกระยาจกก่อตั้งมา ผ่านร้อนผ่าน
หนาวมามาก ต่อให้เกิดกรณีฉุกเฉินขึ้น ก็
สามารถจัดการได้” เซี่ยงไป๋อิ่งนิ่งมาก “ข้ารู้ว่า
ควรจะทาอย่างไร เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
“ท่านประมุข ในฐานะที่ข้าเป็นหนึ่งในสี่ผู้
อาวุโสของพรรค จะไม่คิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้” ผู้
อาวุโสไป๋หู่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านประมุข
รักษาตัวอยู่ คงไม่เหมาะถ้าจะเอาเรื่องเล็กเรื่อง
ใหญ่มากวนใจท่าน หากรบกวนท่านรักษาตัว
ข้าคิดว่าอีกหลายปีท่านก็คงยังไม่หายดี”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่ เจ้ามีอะไรก็พดู
มาตามตรงเถอะ ไม่ต้องพูดอ้อมไปมาหรอก
นะ”
“ท่านประมุขอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ผู้อาวุโสไป๋หู่
รีบพูดว่า “ข้าก็แค่ทาเพื่อพรรคกระยาจก
เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “ท่านประมุข ท่านมอบอานาจการ
บริหารพรรคให้คนอื่นทาแทน ในช่วงที่ท่าน
รักษาตัวอยู่ดหี รือไม่ ทาแบบนี้แล้ว ท่านเองก็
สามารถรักษาตัวได้อย่างราบรืน่ เรื่องในพรรค
เองก็จะได้ไม่ติดขัดไปด้วย ท่านว่าจริงหรือไม่?”
“หาคนมาทาแทน?” เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า
“ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดมามีเหตุผล เพียงแต่ว่าเจ้ามี
คนที่เหมาะสมหรือไม่?”
“ข้าจาได้วา่ เมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้ว ตอนนั้นท่าน
ประมุขเถียนเองก็บาดเจ็บสาหัส เรื่องภายใน
พรรคไร้คนจัดการ ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด” ผู้
อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “นั่นเป็นช่วงที่พรรค
กระยาจกของพวกเราลาบากมาที่สุดใน
ประวัติศาสตร์ของพรรค ชื่อเสียงของพรรคเริ่ม
ถดถอย เพราะกฎพรรคอ่อนแอลง ศิษย์ใน
พรรคหลายคนเริ่มเหิมเกริมโอหัง ไม่เพียงถูก
มองว่าเป็นศัตรูของเหล่าชาวยุทธ์ อีกทั้งยังถูก
บีบคั้นจากเจ้าหน้าทีท่ างการด้วย....”
เซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้พูดอะไร เขาฟังอย่างเงียบๆ
“ก็เพราะเป็นช่วงเวลาอันตราย ผู้อาวุโสไป๋หู่ใน
ตอนนั้นเลยเสนอตัว และได้รับมอบแหวนชิงมู่
จากมือของท่านประมุขเถียน ตัง้ แต่ตอนนั้น
เป็นต้นมาก็เริ่มทาการพลิกสถานการณ์ใหม่
ทั้งหมด เขาใช้เวลาไม่ถึงห้าปี ก็สามารถนา
พรรคกระยาจกกลับมายิ่งใหญ่ในใต้หล้าได้
เหมือนเดิม กลายมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งใน
ยุทธภพอย่างทุกวันนี”้ ผู้อาวุโสไป๋หู่ถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “สามารถเสนอตัวออกมาในเวลาคับ
ขันได้ ก็ถือเป็นวีรบุรุษ”
ฉีหนิงรู้สึกขา คิดไม่ถงึ ว่าผู้อาวุโสไป๋หู่กลับกล้า
ที่จะพูดมาตรงๆ แบบนี้ เขาคิดในใจว่าผู้อาวุโส
ไป๋หู่คงเห็นเซี่ยงไป๋องิ่ ไร้เรี่ยวแรง เลยไม่มีความ
เกรงกลัวเช่นดังเดิมแล้ว
เซี่ยงไป๋อิ่งไม่โกรธแต่กลับหัวเราะ “ผู้อาวุโสไป๋
หู่ ความหมายของเจ้าก็คือให้ขา้ มอบแหวนชิงมู่
ให้เจ้า ให้เจ้าเป็นผู้นาของพรรคกระยาจกอย่าง
นั้นหรือ?”
“ท่านประมุข ท่านอย่าเข้าใจผิด” ผู้อาวุโสไป๋หู่
ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้มีใจอยากจะได้แหวน
ชิงมู่เลย เพียงแต่ตอนนี้มีเรื่องมากมายต้อง
จัดการ ไม่อยากให้ทา่ นต้องเป็นอะไรไปด้วย”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เจ้าต้องรู้ก่อนนะว่า แหวน
ชิงมู่มันแสดงถึงการเป็นประมุขพรรค ท่าน
ประมุขเถียนในตอนนั้นมอบแหวนวงนี้ให้กับผู้
อาวุโสไป๋หู่ในตอนนั้น เพราะผู้อาวุโสไป๋หู่ใน
ตอนนั้นเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือ
ความสามารถเขาถือว่าเป็นที่หนึ่ง อีกทั้งตอน
นั้นท่านประมุขเถียนเองก็ป่วยหนักเกินเยียวยา
แล้ว เลยคิดอยากจะมอบตาแหน่งประมุขพรรค
ให้กับผู้อาวุโสไป๋หู่ในตอนนั้น” เขาหยุดไป แล้ว
พูดต่อว่า “แหวนชิงมู่เป็นสัญลักษณ์ของ
ประมุขพรรค ประมุขพรรคในแต่ละรุ่น ไม่เพียง
จะต้องถูกระบุโดยประมุขคนก่อนหน้า อีกทั้ง
ยังต้องสามารถเอาชนะสี่ผู้อาวุโสของพรรค
แล้วจะต้องสร้างผลงานใหญ่ให้พรรคสามเรื่อง
ไม่อย่างนั้นไม่มีทางได้แหวนชิงมู่ไปครอบครอง
ได้”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็คิดในใจว่าจะเป็นประมุข
พรรคกระยาจกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ท่านประมุขพูดถูกต้องแล้ว ข้ารู้เรื่องนี้ด”ี ผู้
อาวุโสไป๋หู่ยิ้ม “ข้าไม่ได้อยากจะเป็นประมุข
พรรคเลย แต่ว่าหากพูดถึงวรยุทธ์ของข้า ใน
บรรดาสี่ผู้อาวุโสของพรรค ข้าก็อาจจะไม่ได้
ด้อยไปกว่าอีกสามคนเลย หากพูดถึงผลงาน ข้า
เองก็เข้ามาในพรรคกว่าสามสิบปีแล้ว ผลงาน
ของข้าก็มีนับไม่ถ้วน ไม่อย่างนัน้ คงอยู่ใน
ตาแหน่งนี้ไม่ได้หรอก”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “แสดงว่าที่เจ้ามาหาข้าใน
วันนี้ ก็คิดอยากจะได้แหวนชิงมู่สินะ”
“ท่านประมุข ข้าได้ยนิ คนพูดกันว่า หากชาติมี
ภัยทหารก็ต้องออกหน้ากู้วิกฤติ” ผู้อาวุโสไป๋หู่
พูดต่อว่า “หากเกิดเรื่องเอาแต่มุดหัว ไม่กล้า
รับภาระ มันถือว่าขี้ขลาด ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่
ทหาร แต่ในเวลาคับขัน ความกล้าออกหน้า
รับภาระก็ถือว่ายังมีอยู”่ เขาเดินขึ้นหน้าหนึ่ง
ก้าว ห่างจากเตียงประมาณสามสี่ก้าว “ท่าน
ประมุข ข้าขอบังอาจ รับผิดชอบภาระใหญ่นี้
ขอท่านประมุขอนุญาตด้วย”
การกระทาของผู้อาวุโสไป๋หู่ คิดจะชิงตาแหน่ง
ประมุขพรรคชัดๆ
เซี่ยงไป๋อิ่งก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม เขาพูดว่า “เจ้า
มีใจอยากจะรับภาระนี้จริงๆ ก็ถือว่ากล้าดี แต่
ว่าเจ้าน่าจะรู้นะว่า ตอนที่ท่านประมุขเถียน
มอบแหวนชิงมู่ให้กับผู้อาวุโสไป๋หู่ในตอนนั้น ผู้
อาวุโสอีกสามคนก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย วันนี้ต่อ
ให้ข้าให้เจ้าไปแล้ว เจ้าก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้
หรอก”
“เรื่องนี้คงไม่รบกวนท่านประมุขหรอก” ผู้
อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “มีแหวนชิงมู่อยู่ในมือ ข้ามี
ทางให้คนในพรรคยอมรับได้” เขายื่นมือ
ออกไปแล้วพูดว่า “ท่านประมุข ท่านมอบ
แหวนชิงมู่ออกมาเถอะ”
เซี่ยงไป๋อิ่งถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไป๋หู่ เจ้าเข้า
พรรคมาสามสิบกว่าปี ก็เป็นคนเก่าคนแก่ของ
พรรคแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าไม่เคยสงสัย
ในความจงรักภักดีของเจ้าเลยนะ”
“ท่านประมุขเซี่ยง ขอพูดตามตรง วรยุทธ์ของ
ท่านข้านับถือมาก” ผู้อาวุโสไป๋หู่ถอนหายใจ
“แต่ว่านิสัยของท่าน ข้ากลับไม่ชอบ ด้วยฐานะ
ของพรรคกระยาจกในยุทธภพ คนของแปด
พรรคสิบหกสานักจะทาอะไรก็ยึดถือพวกเรา
เป็นหลัก ตอนนั้นจวนเสินโหวนาสัญญาเลือด
ออกมา ทาข้อตกลงกับทางแปดพรรคสิบหก
สานัก เพราะตอนนั้นเกิดการเข่นฆ่ากันมาก
มาย ทาให้ทุกพรรคตกลงที่จะทาสัญญาเลือด
ด้วยความจนใจ แต่วา่ หลังจากที่ท่านขึ้นรับ
ตาแหน่งประมุขพรรคแล้ว สภาพของพรรค
กระยาจกก็ฟื้นกลับมาแล้ว แปดพรรคสิบหก
สานักเองก็แข็งแกร่งมากแล้ว ขอแค่พรรค
กระยาจกพูดคาเดียว คนของแปดพรรคสิบหก
สานักจะต้องเห็นด้วยแน่นอน ถึงเวลานั้น
สัญญาเลือดมันก็แค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสไป๋หู่ไม่เพียงอยากจะชิง
ตาแหน่งประมุขพรรค แต่เขายังคิดจะร่วมมือ
กับแปดพรรคสิบหกสานักในการต่อต้านราช
สานักด้วย
“จวนเสินโหวกดหัวแปดพรรคสิบหกสานักมา
นานหลายปี ทุกคนได้แต่โกรธแค้นแต่ไม่กล้า
พูดออกมา” ผู้อาวุโสไป๋หู่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า
“ตอนนี้ซีเหมินอู๋เหิงก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่งแล้ว
จวนเสินโหวไม่ได้เหมือนเดิมอีก ศึกของเขา
เชียนอูหลิงในครั้งนี้ เดิมเป็นแผนที่ตาเฒ่าซีเห
มินอู๋เหิงต้องการลดอานาจของแปดพรรคสิบ
หกสานัก ท่านไม่เพียงไม่ยับยั้ง แต่กลับให้ข้า
พาคนไปร่วมด้วย ประมุขเซี่ยง เพื่อเอาใจราช
สานัก ท่านพยายามจริงๆ เลยนะ”
เซี่ยงไป๋อิ่งถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพราะเรือ่ งนี้
ทาให้เจ้าอยากจะชิงตาแหน่งประมุขอย่างนั้น
หรือ?”
“ชิงตาแหน่ง?” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “สี่ผู้อาวุโส
ของพรรคกระยาจก ข้าวรยุทธ์สูงที่สุด
ประสบการณ์ของข้าก็มากที่สุด คนในมือของ
ข้าก็เยอะที่สุด หลังจากที่ประมุขเถียนลงจาก
ตาแหน่ง เดิมทีควรจะเป็นข้าที่ได้ตาแหน่ง
ตอนนั้นเจ้าก็เป็นแค่หัวหน้าสาขาเล็กๆ เท่านั้น
แต่ประมุขเฉียนกลับมอบตาแหน่งให้เจ้า เจ้า
คิดว่าทุกคนพอใจอย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็ไม่พอใจตั้งแต่ตอน
นั้น แต่ว่าข้าจาได้ว่าหลังจากทีข่ ้าเป็นประมุข
พรรคแล้ว ผู้อาวุโสไป๋หู่ เจ้าเป็นคนแรกเลยนะ
ที่สาบานกับข้าว่าจะจงรักภักดี ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้
อาวุโสไป๋หู่ยืดได้หดได้ น่านับถือจริงๆ”
น้าเสียงของเขาเต็มไปด้วยการประชดประชัน
ตอนนี้ผู้อาวุโสไป๋หู่หน้าเสียเป็นอย่างมาก เขา
พูดว่า “ท่านเป็นคนของสานักเฟิงเจี้ยน ไม่
เพียงมีวรยุทธ์ประจาตระกูลมา อีกทั้งยังแอบ
ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเจ้าเฒ่าเฉียนชุนชิว
ด้วย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างไร
กัน?”
“หุบปาก” เซี่ยงไป๋อิ่งตะคอกใส่ทันที แต่ว่าเขา
อ่อนแรงมาก จึงดูไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ว่า
น้าเสียงยังฟังออกว่าไม่พอใจมาก “ไป๋หู่ เจ้า
กล้าลบหลู่ประมุขเฉียนหรือ ไม่อยากมีชีวติ
ต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”
“ท่านประมุขเซี่ยง ในเมื่อข้าขอแหวนชิงมู่จาก
ท่านแล้ว ก็ไม่ได้คิดจะถอยอีก” ผู้อาวุโสไป๋หู่
พูดว่า “เฉียนชุนชิวเดิมทีก็มีตาแต่ไร้แวว ที่
มอบพรรคกระยาจกให้ท่าน หากให้ข้าเป็น
ประมุขพรรค พรรคกระยาจกไม่มีทางอยูใ่ ต้เงา
ของจวนเสินโหวแน่ ศิษย์ของพรรคกระยาจกมี
อยู่ทั่วหล้า ไม่ว่าจะเป็นเป่ยฮั่นหรือว่าหนานฉู่
ก็มีคนของพรรคกระยาจกทั้งนั้น สถานการณ์
แบบนี้ มันควรจะเป็นทั้งสองแคว้นมาขอร้อง
พวกเรามากกว่า แต่พออยู่ในมือของเจ้า พรรค
กระยาจกกลับต้องถูกกดอยู่ใต้เงาของจวนเสิน
โหว เจ้าทาให้ชื่อเสียงของพรรคกระยาจกต้อง
สูญสิ้น เจ้าควรจะสละตาแหน่งได้แล้ว”
“ไป๋หู่ ดูท่าทางเจ้าไม่คิดจะกลับตัวแล้วสินะ”
เซี่ยงไป๋อิ่งถอนหายใจแล้วพูดว่า “ความรูส้ ึกดีๆ
ในหลายปีที่ผ่านมา เป็นเจ้าเองที่ไม่ต้องการ
ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจะเป็นกบฏของพรรค
กระยาจก ไม่ว่าใครที่ได้พบเห็นก็สามารถ
สังหารได้ทันที” เขาพูดจบ ผู้อาวุโสไป๋หู่กร็ ู้สึก
เหมือนมีเงาพุ่งเข้ามา เซี่ยงไป๋อิ่งลอยตัวขึ้นมา
จากเตียง จากนั้นก็พงุ่ จู่โจมเข้าใส่ผู้อาวุโสไป๋หู่
ทันที
ฉีหนิงมองมาจากด้านนอก เมื่อเห็นดังนัน้ สีเขา
ก็ตกใจไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าเซี่ยงไป๋อิ่งจะ
ขยับไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือ เห็นเขา
ลงมือก็ไม่ถือว่าช้า ดูไม่เหมือนคนที่ถูกสกัด
กาลังภายในไว้เลยแม้แต่น้อย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 488 คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น
เซี่ยงไป๋อิ่งจู่ๆ ก็ลุกขึน้ มาบุกโจมตีกะทันหัน ฉี
หนิงตกใจมาก ผู้อาวุโสไป๋หู่กลับไม่ได้ตกใจเลย
เขาดีดตัวลอยขึ้นแล้วถอยไปด้านหลัง
แต่เซี่ยงไป๋อิ่งก็ร้ายกาจไม่เบา เขายื่นมือจะไป
จับผู้อาวุโสไป๋หู่ ในตอนนี้ ก็ได้ยินเสียงธนูยิงมา
จากด้านหลังหน้าต่างที่ผู้อาวุโสไป๋หู่ยืนอยู่ ผู้
อาวุโสไป๋หู่เหมือนจะเตรียมตัวมาอย่างดี เขา
ย่อตัวลง หลบอยูใ่ ต้หน้าต่างราวกับคางคก ธนู
พวกนั้นยิงเข้าไปหาเซี่ยงไป๋อิ่ง
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มาอย่างกะทันหัน
เซี่ยงไป๋อิ่งสะบัดมือขวา ธนูหลายดอกถูกปัดทิ้ง
ไป แต่ว่าในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังมาจาก
หน้าต่างอีก มีเงาของหลายคนบุกเข้ามาทาง
หน้าต่าง ในมือของพวกเขามีอาวุธครบมือ แล้ว
บุกเข้าใส่เซี่ยงไป๋อิ่งทันที
ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ผู้
อาวุโสไป๋หู่เหมือนจะรู้มาก่อนแล้วว่าเซี่ยงไป๋อิ่ง
ต้องลงมือแน่นอน เขาเลยเตรียมกาลังพลเอาไว้
ด้านนอกก่อนแล้ว
คนที่บุกเข้ามาทางหน้าต่างมีด้วยกันสี่คน ในมือ
มีอาวุธสี่อย่าง คนหนึ่งมือถือไม้เท้าเหล็กปลาย
แหลม คนหนึ่งถือโล่เหล็กแหลม อีกสองคนถือ
ค้อนเหล็ก
ฉีหนิงเข้าใจ อาวุธลักษณ์พิเศษของพวกเขาสี่
คน จะต้องทามาจากวัสดุอย่างดี พวกเขาไม่
ได้มาดีแน่นอน
เซี่ยงไป๋อิ่งบุกขึ้นหน้าไปอีก จากนั้นก็ชิงเอา
ค้อนในมือของคนหนึ่งขึ้นมา เขาไม่ได้ลังเล
แม้แต่น้อย ออกแรงฟาดไปที่หัวของคนผูน้ ั้นจน
หัวแตกเลือดไหลทะลักออกมา
คนอื่นอีกสามคนก็ไม่เกรงกลัว พวกเขาฟาด
ค้อนเหล็กเข้าใส่เซี่ยงไป๋อิ่งอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ถือโล่เหล็กอ้อมไปด้านหลังของเซี่ยง
ไป๋อิ่ง แล้วฟาดโล่นั้นลงไปอย่างแรง เซี่ยงไป๋อิ่ง
กลับหลบโล่นั้นได้ในชั่วพริบตา ในเวลาเดียวกัน
อีกคนก็ฟาดค้อนเหล็กลงมาพอดี และกาลังจะ
ฟาดลงมาใส่คนที่ถือโล่พอดี คนถือค้อนนั่นเห็น
ว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็รีบหยุดมือ เซี่ยงไป๋อิ่งจึง
สามารถยื่นมือไปจับค้อนในมือของคนผู้นั้นได้
อย่างง่ายดาย ทาให้คนผู้นั้นรับมือไม่ทัน ค้อน
จึงฟาดลงบนหัวของคนที่ถือโล่อย่างรุนแรง จึง
ทาให้ศรีษะของคนถือโล่นั้นแตกเลือดไหล
ทะลักออกมาเต็มใบหน้า
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา วรยุทธ์ของ
เซี่ยงไป๋อิ่งร้ายกาจมาก ขณะที่คนถือค้อนฟาด
พวกเดียวกันตายไป เขาก็อ้อมไปด้านหลังของ
คนถือค้อน แล้วใช้ค้อนฟาดลงไปที่หลังของ
คนๆ นั้นเช่นกัน คนถือค้อนอีกคนกระดูกหลัง
หัก ล้มลงกับพื้น และไม่ขยับตัวอีก
คนที่ถือไม้เท้าปลายแหลมเห็นเพื่อนสามคน
ตายกลายเป็นศพอยู่ที่พื้น ก็ตกใจ ไม่กล้าขึ้น
หน้าอีก เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่เซี่ยงไป๋อิ่
งกลับพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว แล้วใช้ค้อนในมือ
ฟาดลงไปที่เขา คนๆ นั้นใช้ไม้เท้าปลายแหลม
ขึ้นมาต้านทานเอาไว้ แต่คนๆ นั้นไม่สามารถ
ต้านพลังฟาดนี้ของเขาได้ ทาให้ตัวลอยปลิวไป
ชนกับกาแพง กาแพงถึงกับยุบเข้าไป เขา
กระอักเลือดออกมาคาหนึ่ง แล้วล้มนอนแน่นิ่ง
ไปกับพื้น
ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง ในใจเขาก็รู้สึกชื่นชมนับถือ
มาก ไม่แปลกใจเลยว่าทาไมในยุทธภพถึงได้
เกรงกลัวเซี่ยงไป๋อิ่งนัก ไม่เพียงเพราะเขาเป็น
ประมุขพรรคกระยาจก แต่ว่าเพราะวรยุทธ์ของ
เขาล้าเลิศจริงๆ สี่คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาแน่
แต่ว่าพริบตาเดียว เซี่ยงไป๋อิ่งก็สามารถจัดการ
ได้หมด
แต่เขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา แอบคิดในใจว่าในเมื่อ
เซี่ยงไป๋อิ่งสามารถจัดการนักฆ่าสี่คนนั้นได้
เหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ทาไมก่อนหน้านี้ถึง
ได้เหมือนบาดเจ็บล่ะ?
ขณะที่กาลังสงสัย ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง
หัวเราะแบบเย้ยหยันขึ้น เสียงหัวเราะนั่นเป็น
ของผู้อาวุโสไป๋หู่ ขณะที่นักฆ่าสี่คนนั้นบุกเข้า
มาทางหน้าต่าง เขาก็ถอยไปทีร่ ิมหน้าต่าง แต่
เขาไม่ลงมือ ตอนนี้กลับหัวเราะออกมาอีก
เสียงหัวเราะนั่นมันประหลาดมาก
ฉีหนิงรู้สึกว่ามันต้องมีอะไร ตอนนี้เองเขาก็มอง
ไปที่เซี่ยงไป๋อิ่ง เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งยืนเซไปเซมา
เหมือนจะยืนไม่นงิ่ ไม่เหมือนตอนที่สู้กับอีกสี่
คนเมื่อครู่เลย จากนัน้ เซี่ยงไป๋อิ่งก็กระอัก
เลือดออกมา ขาอ่อนแรงล้มลงคุกเข่าไปกับพื้น
ฉีหนิงตกใจมาก เมื่อครู่เขาเห็นชัดเลยว่า สี่คน
เมื่อครู่ทาอะไรเซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้เลย แล้วทาไม
เซี่ยงไป๋อิ่งถึงได้บาดเจ็บหนักขนาดนี้ได้
ผู้อาวุโสไป๋หู่ยืนเอามือไขว้หลัง พูดอย่างได้ใจว่า
“คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นท่านประมุขเซี่ยง ทาให้
ข้าเปิดหูเปิดตาจริงๆ เลยนะ สุดยอดวิชาของ
พรรคกระยาจก วิชาหมัดเมากับคัมภีร์เปลี่ยน
เส้นเอ็น มันถือเป็นสุดยอดวิชาขั้นเทพ วิชา
หมัดเมาข้าเคยได้เห็นมาก่อน ส่วนคัมภีร์
เปลี่ยนเส้นเอ็น เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
เซี่ยงไป๋อิ่งหายใจหอบอย่างรุนแรง “ไป๋หู่ เจ้า
.....”
ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดแทรกขึ้นมาว่า “ท่านคงอยาก
จะรู้ว่าทาไมข้าถึงได้รู้ว่าท่านยังมีแรงสู้อยูส่ ินะ?
ท่านประมุขเซีย่ ง ความจาของท่านไม่ดีเลยนะ
ข้าเข้าพรรคกระยาจกตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ตอนนี้
ก็มีสามสิบหกปีแล้ว ข้าเริ่มตั้งแต่ศิษย์พรรค
ธรรมดา จนมาถึงตาแหน่งในวันนี้ ท่านเข้า
พรรคมาไม่ถึงยี่สิบปี คิดว่าจะสู้ข้าได้หรือ? เรื่อง
ภายในพรรคกระยาจก จะปิดข้าได้หรือ”
“ที่แท้เจ้าก็รู้เรื่องของคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นอยู่
แล้ว” เซี่ยงไป๋อิ่งถอนหายใจ
ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “วิชาหมัดเมากับคัมภีร์
เปลี่ยนเส้นเอ็น เป็นวิชาที่ประมุขพรรคทุกรุ่น
ต้องฝึกฝน วิชาหมัดเมาคนใต้หล้าทุกคนรูด้ ีว่า
เป็นสุดยอดวิชาของพรรคกระยาจก แต่วา่ คนที่
รู้จักวิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นมีไม่กี่คนเท่านั้น
วิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นมีอานุภาพร้ายกาจ
อีกทั้งยัง....” หลังจากที่เขาหัวเราะอย่างได้ใจ
สักพัก ก็พดู ว่า “ยังดีที่เมื่อหลายปีก่อนข้าได้รู้
ความร้ายกาจของคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นมาก่อน
ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ตกอยู่ในกามือของข้าแบบ
นี้หรอก”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่แท้พรรคกระยาจกมีสองสุด
ยอดวิชานี่เอง วิชาหมัดเมาเขาไม่เคยได้ยนิ มา
ก่อน แต่ว่าเขาเคยได้ยิน “คัมภีร์เปลี่ยนเส้น
เอ็น” เซี่ยงไป๋อิ่งเคยพูดว่า หลังจากที่เขาถูกพิษ
เขาไม่สามารถเดินลมปราณได้ ทาให้ต้อง
เปลี่ยนชีพจร แล้วสู้กับพวกนักฆ่า แต่ว่าการ
เปลี่ยนชีพจรในร่างกายมันส่งผลเสียกับร่างกาย
มันเป็นวิธีตอนที่ไม่มที างเลือก ซึ่งมันยื้อได้ไม่
นานนัก
หากเดาไม่ผิด การเปลี่ยนชีพจรที่ว่า น่าจะมา
จากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น
เขาคิดทุกอย่างในหัว จากนั้นก็เริ่มเข้าใจอะไร
มากขึ้น ก่อนหน้านี้เซี่ยงไป๋อิ่งบาดเจ็บสาหัส
มาก จู่ๆ ลงมือ คิดว่าคงใช้วิชาคัมภีร์เปลี่ยน
เส้นเอ็น พอนึกย้อนไปถึงคาพูดของเขาก่อน
หน้านี้ หากเดาไม่ผดิ เซี่ยงไป๋องิ่ ได้ใช้แรงเฮือก
สุดท้ายของเขาไปแล้ว ถึงแม้จะสังหารนักฆ่าสี่
คนได้ แต่ว่าร่างกายของเขาก็บาดเจ็บหนัก
ไม่ผิดจากที่คิด ผู้อาวุโสไป๋หู่พดู อย่างได้ใจว่า
“ท่านคิดจะลงมือสังหารข้า แต่น่าเสียดายที่ข้า
คิดไว้แล้วว่าท่านจะต้องลงมือ กระบวนท่า
สุดท้ายของคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นมีชื่อว่าทลาย
ชีพจร มันสามารถผลักดันอานุภาพทีร่ ้ายกาจ
จนน่าตกใจ แต่ว่าหากไม่สาเร็จ ท่านก็จะหมด
หนทางทันที” ตอนนี้เขาเดินมือไขว้หลังไปยืน
ตรงหน้าของเซี่ยงไป๋อิ่ง จากนัน้ ก็โค้งตัวลง มอง
ไปที่เซี่ยงไป๋อิ่งที่คุกเข่าอยู่ “ท่านประมุขเซี่ยง
ตอนนี้ท่านกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ต่อให้จับ
ท่านไปทิ้งไว้กลางถนน เด็กสามขวบก็ถือมีดมา
สังหารท่านได้ ฮ่าฮ่าฮ่า....ตอนที่ท่านรับ
ตาแหน่งสืบทอดมาจากท่านประมุขเฉียน เคย
คิดหรือไม่ว่าวันนึงท่านจะตกอยู่ในสภาพนี้?”
เซี่ยงไป๋อิ่งยกมือจะไปจับผู้อาวุโสไป๋หู่ ผู้อาวุโส
ไป๋หู่ยกขาขึ้นถีบใส่หวั ไหล่ของเซี่ยงไป๋อิ่ง เซี่ยง
ไป๋อิ่งถูกถีบล้มหงายหลังไป ผู้อาวุโสไป๋หู่เดินขึ้น
หน้าไปอีก จากนั้นก็ยื่นมือเข้าไปในเสื้อของ
เซี่ยงไป๋อิ่ง จากนั้นก็ถอยหลังมาสองก้าว
ท่ามกลางแสงไฟ ก็เห็นเขาถือแหวนชิงมู่อยู่
ผู้อาวุโสไป๋หู่ได้แหวนชิงมู่มาอยู่ในมือ เขา
ตื่นเต้นมาก จากนั้นก็หัวเราะว่า “นี่น่ะหรือ
แหวนชิงมู่ ฮ่าฮ่าฮ่า....แหวนชิงมู่อยู่ในมือของ
ข้าแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า...ข้าคือประมุขพรรค ข้าคือ
ประมุขพรรคกระยาจกแล้ว......” เขาหัวเราะได้
ใจมาก เหมือนไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีใครมาได้
ยินหรือไม่
ฉีหนิงรู้สึกโกรธมาก ผู้อาวุโสไป๋หู่ต่าช้านัก
ตอนนี้เขาแทบอยากจะบุกเข้าไปฆ่าเขาเดี๋ยวนี้
เลย
“ไป๋หู่ เจ้า.....เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป” เซี่ยงไป๋อิ่ง
พยายามลุกขึ้นมานั่งกับพื้น “มีแค่แหวนชิงมู่
เจ้าก็เป็นประมุขไม่ได้หรือ....ผู้อาวุโสอีกสามคน
ไม่มีทางยอมหรอก?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่สวมแหวนชิงมู่กับนิว้ เขาพูดอย่าง
ได้ใจว่า “เรื่องนี้ก็คงไม่รบกวนท่านเป็นกังวล
หรอกนะ ในเมื่อมีแหวนชิงมู่อยู่ ตาแหน่ง
ประมุขพรรค อย่างไรก็อยู่ในมือข้าแล้ว”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่ตาหนัก
......ตาหนักอิ่งเฮ่อ เป็นฝีมือของเจ้าทัง้ หมดเลย
สินะ?”
“ตาหนักอิ่งเฮ่อ?” เซี่ยงไป๋อิ่งหัวเราะแล้วพูดว่า
“ท่านประมุขเซี่ยงของข้า ตอนที่ตาเฒ่าเฉียน
มอบตาแหน่งประมุขพรรคให้ท่าน ยังชมว่า
ท่านเป็นคนฉลาด แต่ดูตอนนี้ ท่านนี่โง่จริงๆ
เลยนะ” เขาเขยิบเข้าใกล้ แล้วพูดว่า “ท่านยัง
คิดว่าเจ้าสานักลู่พี่น้องร่วมสาบานที่รักของท่าน
เห็นท่านเป็นพี่น้องจริงๆ หรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านนี่มันโง่จริงๆ เลยนะ ทั้งที่ท่านเองก็รู้ดีอยู่
แก่ใจ เหตุใดถึงไม่กล้ายอมรับล่ะ?” ผู้อาวุโสไป๋
หู่พูดประชดว่า “ท่านเห็นเจ้าสานักลู่เป็นพี่น้อง
แต่ว่าเขาไม่เคยเห็นท่านเป็นพีน่ ้องเลย” เขา
สวมแหวนชิงมู่แล้วเดินรอบตัวเซี่ยงไป๋อิ่ง
จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฮูหยินของลูซ่ าง
เฮ่อ เป็นคนรักที่โตมากับท่าน แต่ว่าตอนนั้น
ท่านรู้ว่าลู่ซางเฮ่อมีใจให้นาง เพื่อความสัมพันธ์
พี่น้อง ท่านยอมให้คนรักของตัวเองไปอยู่กับคน
อื่น ไม่เพียงแค่นั้น ยังมอบสานักเฟิงเจี้ยนให้เขา
เป็นของขวัญแต่งงานอีก ฮ่าฮ่าฮ่า.....เซี่ยงไป๋อิ่ง
ไม่สิ ต้องเรียกว่าเซี่ยงเซียวเหยา ท่านว่าท่านโง่
หรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยายามจะลุกขึ้นมา แต่ว่าเขาไม่มี
แรงแล้ว เขาทาได้แค่นงั่ อยู่ที่พื้น ขยับอะไร
ไม่ได้เลย
“ท่านคิดว่าลู่ซางเฮ่อไม่รู้หรือว่าท่านเป็น
ประมุขพรรคกระยาจก?” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า
“ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง ตั้งแต่วันที่เจ้า
ขึ้นเป็นประมุขพรรคกระยาจก ลู่ซางเฮ่อก็รู้
เรื่องของท่านดีทุกอย่าง เขาได้ผหู้ ญิงของท่าน
มา อีกทั้งยังอาศัยสานักเฟิงเจี้ยนสร้างฐานะ
ของตัวเองในยุทธภพซีชวน ถึงได้มีทุกอย่าง
อย่างตอนนี้ ตอนนั้นเขาเป็นแค่คนเร่ร่อนคน
หนึ่งในยุทธภพเท่านั้น แต่เพราะความสัมพันธ์
กับท่าน เขาไม่เพียงชิงหญิงงามอันดับหนึ่งในซี
ชวนไปจากมือท่าน อีกทั้งยังกลายเป็นคนที่มี
ชื่อเสียงของยุทธภพซีชวน ทุกอย่างเป็นเพราะ
ท่านเป็นคนให้ ท่านคิดว่าเขาควรจะกลัวใคร
มากที่สุดล่ะ?”
“เจ้า......” เซี่ยงไป๋อิ่งโมโหมาก เขาโกรธมาก
จนไอออกมาอย่างรุนแรง
ผู้อาวุโสไป๋หู่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่จริงท่าน
ฉลาดนะ เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตาหนักอิ่งเฮ่อ ก็ใช่ว่า
ท่านจะเดาไม่ออก เพียงแต่ว่าท่านไม่กล้าที่จะ
เชื่อว่ามันเป็นแผนของพี่น้องร่วมสาบานของ
ท่านเท่านั้นเอง ท่านกลัวความจริง ท่านถึงได้
หลอกตัวเองอยู่แบบนี้” เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัว
หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ลู่ซางเฮ่อกลัวทุกอย่างที่
เขามีตอนนี้จะหายไป กลัวว่าวันหนึ่งท่านจะ
กลับมาทวงทุกอย่างจากเขาคืน ดังนั้นตั้งแต่
ท่านออกจากซีชวนไป เขาก็ส่งคนไปสืบหาข่าว
ของท่าน เขาทุ่มเททั้งเงินและกาลังคนอย่าง
มาก ถึงได้รู้ว่าท่านเข้าพรรคกระยาจก จากนั้น
หลายปี เรือ่ งทุกอย่างของท่าน เขาก็รู้ดีทุก
อย่าง สิบเอ็ดปีก่อน ท่านได้สืบทอดตาแหน่ง
ประมุขพรรคกระยาจก ข้าแค้นใจมาก แต่ว่า
เมื่อเทียบกับความแค้นของลู่ซางเฮ่อแล้ว ข้าคง
เทียบไม่ติด”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 489 คนจัญไรมาพบกัน
ภาพสถานการณ์ภายในห้อง ฉีหนิงไม่พลาดเลย
แม้แต่นิดเดียว พอเขาฟังมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึก
โกรธมาก
เขารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยา
ลู่ซางเฮ่อดี เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นคนรักในมิตรภาพ
มาก ถึงแม้จะมีตาแหน่งฐานะในยุทธภพสูงแค่
ไหน แต่ว่าอยู่ต่อหน้าลู่ซางเฮ่อ เซี่ยงไป๋อิ่งก็ยัง
เคารพเขามาก
ตอนนี้พอได้ยินจากปากของผู้อาวุโสไป๋หู่แล้ว ฉี
หนิงก็เชื่อในการคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้
เซี่ยงไป๋อิ่งกับลู่ซางเฮ่อเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
กัน แต่หลังจากที่ลู่ซางเฮ่อมีใจให้กับลู่ฮูหยินที่
เป็นคนรักที่โตมาด้วยกันกับเซี่ยงไป๋อิ่ง เซี่ยงไป๋
อิ่งรู้สึกว่าลู่ซางเฮ่อเป็นผู้ใหญ่สุขุมเหมาะสมกับ
ลู่ฮูหยินมากกว่า ก็เลยยอมให้ลู่ซางเฮ่อได้
สมหวัง อีกทั้งยังยกสานักเฟิงเจี้ยนให้เขาด้วย
แต่พอตอนนี้นึกย้อนกลับไป ตอนที่เซี่ยงไป๋อิ่ง
ไปจากซีชวน ก็น่าจะเป็นเพราะต้องการลด
ความเจ็บปวดของตัวเองมากกว่า
เขารักลู่ฮูหยิน หากยังอยู่ที่ซีชวนต่อไป เขาต้อง
มองดูลู่ซางเฮ่อสองผัวเมียรักกัน มันเป็นความ
เจ็บปวดที่ทรมาน
เรื่องที่เกิดในตาหนักอิ่งเฮ่อ มันมีข้อสงสัยมาก
มาย ฉีหนิงเองก็คิดไม่ถึงว่าลู่ซางเฮ่อจะเป็นคน
ต่าช้ามากขนาดนี้ แอบคิดจะทาร้ายพี่น้องร่วม
สาบานของตัวเองแบบนี้
เขาไม่ได้รู้จักลู่ซางเฮ่อมาก แต่เซี่ยงไป๋อิ่งกับลู่
ซางเฮ่อเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ก็น่าจะรู้จัก
เขาดีกว่าใคร
ฉีหนิงรู้สึกว่าที่ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดมีเหตุผลมาก
ด้วยความฉลาดของเซี่ยงไป๋อิ่ง ไม่มีทางไม่รู้ว่าลู่
ซางเฮ่อคิดอะไร แต่เขาให้ความสาคัญกับคาว่า
พี่น้องมาก แม้มีความสงสัย แต่สุดท้ายก็เลิกคิด
ไป เพราะไม่กล้าที่จะเชื่อว่าพี่นอ้ งร่วมสาบาน
ของเขาจะแอบแทงข้างหลังเขาแบบนี้
ผู้อาวุโสไป๋หู่เหมือนตั้งใจจะแดกดันเซี่ยงไป๋อิ่ง
เขาพูดต่อไปว่า “พอท่านได้เป็นประมุขพรรค
กระยาจก มีคนในอาณัติมากกว่าแสนคน ถึงแม้
ลู่ซางเฮ่อจะสามารถตั้งหลักได้ในซีชวน มีชื่อ
เสียงมีฐานะ แต่ว่าเมื่อเทียบกับท่านประมุข
เซี่ยงแล้ว มันก็ยังห่างไกลมาก” เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “เขารู้วา่ ท่านยังคงคิดถึงลู่ฮหู ยินอยู่ตลอด
เวลา เขากังวลว่าสักวันหนึ่งท่านจะกลับมาทวง
ทุกอย่างคืนไป ประมุขเซี่ยง ในเมื่อท่านทาให้
คนๆ หนึง่ หวาดกลัวตลอดเวลา ท่านคิดว่าเขา
ยังเห็นท่านเป็นพี่น้องอีกหรือ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งหลับตาลง เขาไม่พูดอะไร แต่รา่ ง
กายของเขาสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา
“อยากจะให้เขาสงบ ก็ต้องกาจัดท่านให้ตายไป
ซะ” ผู้อาวุโสไป๋หู่ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากับเขารู้จัก
กันไม่ถึงสิบปี แต่สนิทสนมกันมาก แต่คนที่รู้ว่า
ข้ากับเขารู้จักกันมีไม่มากนัก เฮ้อ ทุกครั้งที่ลู่
ซางเฮ่อเจอหน้าข้า เขาก็จะมาถามเรื่องของ
ท่าน ความคิดของเขา เหตุใดข้าจะเดาไม่ออก”
ฉีหนิงเองก็ถอนหายใจ
ผู้อาวุโสไป๋หู่อยากจะได้ตาแหน่งประมุขพรรค
กระยาจกมาก ส่วนลู่ซางเอ่อก็กลัวจะเสียทุก
อย่างไป ทัง้ สองคนนีค้ ิดอยากจะฆ่าเซี่ยงไป๋อิ่ง
ให้ตาย คนเลวสองคนมาพบกันจริงๆ อาจจะ
เป็นไปได้ว่า สองคนนี้แอบสมคบกันมาตั้งแต่
เมื่อหลายปีก่อนแล้วก็ได้
ผู้อาวุโสไป๋หู่เป็นหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสของพรรค
กระยาจก แต่คิดอยากจะชิงอานาจ ลู่ซางเฮ่อ
เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเซี่ยงไป๋อิ่ง แต่กลับ
แอบแทงข้างหลังเขา ฉีหนิงรู้สึกว่าตอนนีเ้ ซี่ยง
ไป๋อิ่งแทบจะไม่ได้คิดถึงความเจ็บปวดบนร่าง
กายของเขาเลย แต่ความเจ็บปวดภายในใจของ
เขา น่าจะมีมากกว่า
“ไม่สิ......” เซี่ยงไป๋อิ่งเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
เขาพูดว่า “ต่อให้เจ้ากับลู่ซางเฮ่อรวมหัวกัน
พวกเจ้าก็ไม่อาจหาญกันขนาดนี้แน่ เจ้ารู้ดี
อาศัยแค่แหวนชิงมู่ ไม่มีทางได้ตาแหน่งประมุข
พรรคมาได้อยู่แล้ว แต่ว่าเจ้ากลับมั่นใจขนาดนี้
แสดงว่าเบื้องหลังเจ้า จะต้องมีคนอื่นอีก”
ผู้อาวุโสไป๋หู่อึ้งไป เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่าน
ประมุขเซีย่ ง ท่านฉลาดขนาดนี้ ทาไมถึงได้ถูกลู่
ซางเฮ่อหลอกอีกล่ะ?” เขาไม่ตอบคาถาม
“ใคร?” น้าเสียงของเซี่ยงไป๋อิ่งดุดัน “คนที่
หนุนหลังพวกเจ้าเป็นใคร?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เซี่ยงไป๋อิ่ง
ก่อนที่เจ้าจะตาย ข้าเล่าความจริงเกี่ยวกับลู่ซาง
เฮ่อให้เจ้าได้รู้แล้ว ถือว่าไม่ผิดต่อเจ้า ข้าว่าเจ้ารู้
น้อยเท่าไหร่ยิ่งดีกับตัวเจ้าเท่านั้น ตายไปจะได้
สบายใจ” เขาลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ ยกนิ้วมือที่
สวมแหวนชิงมู่ขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “วันที่
สิบแปดเดือนหก งานชุมนุมชิงมู่ ถึงเวลานั้นข้า
ก็กลายเป็นประมุขพรรคกระยาจกอย่าง
สมบูรณ์” เขาส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ที่จริงแล้วข้าอยากให้เจ้าได้เห็นด้วยตาของเจ้า
เอง ว่าข้าทาให้พรรคกระยาจกรุ่งเรืองมากแค่
ไหน แต่น่าเสียดายหากเจ้าไม่ตาย ลู่ซางเฮ่อก็
ไม่มีทางสบายใจ ข้าเองก็ไม่สบายใจ”
“ความเลวจะทาลายตัวเจ้าเอง” เซี่ยงไป๋อิ่ง
หลับตา “ไป๋หู่ เจ้าคิดอยากจะได้ตาแหน่ง
ประมุขพรรคไป เจ้ามันฝันเฟื่องมากเกินไป
แล้ว”
ผู้อาวุโสไป๋หู่หัวเราะ แล้วพูดว่า “เจ้าสานักลู่ พี่
น้องร่วมสาบานของเจ้าคนนี้ปากแข็งจริงๆ เลย
จะตายอยู่แล้ ยังพูดจาเรื่อยเปื่อยอีก หลายสิบ
ปีมานี้ เจ้าคิดตลอดเวลาว่าจะทาอย่างไรให้เขา
หายไปจากโลกนี้ ตอนนี้เจ้าจะทาอย่างไรก็ได้
เพื่อจะเอาชีวิตเขา เจ้ามาลงมือด้วยตัวเอง
ดีกว่ากระมัง”
ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดออกมาแบบนี้ ไม่เพียงเซีย่ งไป๋
อิ่งที่ขมวดคิ้ว แม้แต่ฉีหนิงเองก็หน้าเสียไป
จากนั้นก็ได้ยินเสียงผลักประตูเข้ามา ชายวัย
กลางคนสวมชุดที่ทาจากผ้าแพรสวมหมวกเดิน
เข้ามา เขาก็คือลู่ซางเฮ่อ
ขณะที่เซี่ยงไป๋อิ่งเห็นหน้าลู่ซางเฮ่อ เขาถึงกับ
ตัวสั่น แล้วกระอักเลือดออกมา สีหน้าของเขา
ซีดเซียว
ลู่ซางเฮ่อรีบเดินเข้าไปข้างๆ เซีย่ งไป๋อิ่ง จากนั้น
ก็พยุงตัวเขาขึ้น เขาทาท่าทางดูเป็นห่วงมาก
“เซียวเหยา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบาย
ตรงไหนหรือไม่?”
ริมฝีปากของเซี่ยงไป๋อิ่งเต็มไปด้วยเลือด เขาหัน
หน้าไปมองลู่ซางเฮ่อ แต่ไม่พูดอะไร
ลู่ซางเฮ่อถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เรื่องมาถึงขั้น
นี้แล้ว เจ้าก็อย่าโทษข้าเลยนะ” เขาตบหลังของ
เซี่ยงไป๋อิ่ง แล้วพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “เจ้า
วางใจได้ ในเมื่อเจ้ายกซู่อิ่งให้ข้าแล้ว ข้าก็
รับปากว่าจะดูแลนางอย่างดี ข้าไม่มีวันคืนคา”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ยังดีกับนาง
อยู่บ้าง”
“ตอนนั้นข้าร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้า ข้า
เห็นเจ้าเป็นน้องชายข้าจริงๆ” ลู่ซางเฮ่อพูด
ด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ในเวลานั้นถ้าให้ข้าไปตาย
แทนเจ้าได้ ข้าก็ไม่ลังเลเลย”
“ข้ารู้ด”ี
“เจ้าก็น่าจะรู้ ข้าเห็นหน้าซู่อิ่งครั้งแรก ข้าก็
ตัดสินใจทันที ไม่ว่าข้าต้องแลกกับอะไร ข้าก็จะ
ให้นางมาเป็นผู้หญิงของข้าให้ได้” ลู่ซางเฮ่อ
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพื่อนางแล้ว ข้าแลกได้
ทุกอย่าง รวมถึงชีวติ ข้าด้วย เซียวเหยา ตอน
นั้นเจ้ายอมให้ขา้ สมหวัง ข้ารู้สกึ ซาบซึ้งใจมาก
ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นข้าเป็นพี่ชายมาตลอด ที่จริง.....ที่
จริงข้าไม่เคยคิดอยากจะฆ่าเจ้าเลย”
“ที่จริงเจ้าไม่จาเป็นต้องอธิบายอะไรอีก” เซี่ยง
ไป๋อิ่งพูด
ลู่ซางเฮ่อส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หากข้าฆ่าเจ้าไป
แบบนี้ ข้ารู้สึกไม่ดี มีบางเรื่อง อย่างไรก็ตอ้ งพูด
กันให้ชัดเจน หากเจ้าปล่อยวางได้ ข้าเองก็จะ
ได้ปล่อยวางเช่นกัน” เขาตบไปที่ไหล่ของเซี่ยง
ไป๋อิ่งอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ ในคืนวันแต่งงาน ข้าได้ตัวนาง
แต่ว่าในความฝันของนาง กลับมีแต่เจ้า อีกทั้ง
ยังละเมอชือ่ ของเจ้าออกมาด้วย.....”
เซี่ยงไป๋อิ่งตะลึงและตัวสั่น สีหน้าของลู่ซางเฮ่อ
เริ่มออกอาการโกรธแค้น เขากาหมัดแล้วพูดว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นข้ารู้สึกอย่างไร ผู้หญิงที่
กาลังมีอะไรกับเจ้าอยู่ กลับเรียกชื่อของผู้ชาย
อีกคน เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอัปยศอดสูมากแค่
ไหน”
ตอนนี้ฉีหนิงโกรธมาก คิดไม่ถึงเลยว่าบนโลกนี้
จะมีคนหน้าด้านไร้ยางอายมากขนาดนี้
เซี่ยงไป๋อิ่งเพียงแค่มองไปที่ลซู่ างเฮ่อเท่านั้น
“ข้ารู้ หากเจ้าไม่ตาย ซู่อิ่งไม่มีทางเป็นของข้า
จริงๆ” ลู่ซางเฮ่อกาหมัดแน่นแล้วพูดว่า “นาง
เป็นผู้หญิงของข้า ข้าไม่มีทางยอมให้ใครมาพา
นางไปจากข้าเด็ดขาด”
“นางก็อยูก่ ับเจ้าแล้ว ขอแค่เจ้าดีกับนาง นาง
ไม่มีทางไปจากเจ้าแน่นอน” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า
“สิ่งที่เจ้าทาในวันนี้ คิดว่านางคงต้องเสียใจมาก
แน่”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะด้วยเสียงแปลกๆ “เจ้าคิดว่า
เจ้ารู้จักนางดีอย่างนัน้ หรือ?” เขาถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เรื่องที่ผา่ นไปแล้ว ก็อย่า
ไปพูดถึงอีกเลย เซียวเหยา ในเมื่อเจ้าให้ขา้ ได้
สมหวัง ไหนๆ ก็เป็นคนดีแล้ว ก็เป็นให้มันสุดๆ
วันนี้เจ้าก็ให้ข้าได้สมหวังอีกสักครั้งเถอะนะ”
เขายื่นมือมา ในมือของเขามีขวดยาอยู่ขวดหนึ่ง
“ในนี้ใส่เหล้าเอาไว้ ถึงแม้จะไม่มาก แต่ว่าเหล้า
นี่แรงมาก หลังจากที่เจ้ากินเหล้าขวดนี้ลงไป
เจ้าไม่เพียงจะทาให้ข้าสมหวัง อีกทั้งเรื่อง
กวนใจทั้งหลายมันก็จะสลายไปด้วย”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้ม แล้วถามว่า “จะให้ข้ากินมันก็ได้
ขอแค่เจ้าอย่าหลอกนางอีก”
“หลอกนาง?” ลู่ซางเฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
หมายถึงสิ่งที่นางพูดกับเจ้าที่สวนดอกท้อน่ะ
หรือ?”
“นั่นก็เป็นเรื่องที่เจ้าตั้งใจบอกกับนาง” เซี่ยงไป๋
อิ่งพูดว่า “ในสายตาของนาง เจ้าเป็นคนที่นึก
ถึงเรื่องพี่น้องมาก่อน อีกทั้งยังเป็นสามีที่ยอม
สละชีวิตเพื่อพี่น้องได้”
ผู้อาวุโสไป๋หู่หัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าสานักลู่
เป็นคนดีมีคุณธรรม ชาวยุทธ์ตา่ งรู้ดี ไม่วา่ จะ
กับเพื่อนหรือกับครอบครัว หลังจากเจ้าตายไป
ก็ไม่มีเหล่าชาวยุทธ์คนไหนมองเขาเปลี่ยนไป
หรอกนะ เจ้าสานักลูก่ ็ยังคงเป็นคนดีมีคุณธรรม
ในยุทธภพเหมือนเดิม” เขาหัวเราะ แล้วพูดว่า
“ที่เขาเชียนอูหลิง เจ้าสานักลู่สร้างผลงานใหญ่
ได้ ในยุทธภพต่างรู้ดี ไม่แน่อีกไม่กี่ปี เจ้าสานัก
ลู่อาจจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในยุทธ
ภพก็ได้”
ลู่ซางเฮ่อหัวเราะแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่.....ไม่
สิ ควรจะเป็นท่านประมุขเสวียถึงจะถูก ท่าน
ประมุขเสวียจะได้ปกครองพรรคกระยาจก
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปแล้ว ท่านก็จะกลายเป็น
ประมุขของพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า ข้าไม่
กล้าเทียบกับท่านหรอก”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ลู่ซางเฮ่อเอา
ขวดโยนให้เซี่ยงไป๋องิ่ ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“เซียวเหยา เจ้าวางใจเถอะ หลังจากเจ้าตาย
ข้าจะฝังศพเจ้าอย่างดี ที่ข้ามีวันนี้ได้ จะว่าไป
แล้ว ก็เป็นเพราะเจ้ามอบให้ทั้งนั้น มีบุญคุณ
ต้องทดแทน ข้าเข้าใจเรื่องนีด้ ี”
หลังจากที่เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงดังมาจาก
หลังคา ลู่ซางเฮ่อกับผู้อาวุโสไป๋หู่เงยหน้าขึ้นไป
มองพร้อมกัน เห็นกระเบื้องกาลังร่วงลงมา
จากนั้นก็มีเงาของคนร่วงลงมา สองคนนี้วรยุทธ์
ไม่ด้อยเลย รู้ว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ลู่ซางเฮ่อ
ไม่สนใจใครเลย พุ่งตรงไปที่เซี่ยงไป๋อิ่งก่อน
ผู้อาวุโสไป๋หู่ไม่พูดอะไรมาก เขาถอยหลังไป
จากนั้นก็ยกมือขึ้นมา แล้วซัดออกไปอย่างแรง
แต่ว่าคนที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นกลับเอีย้ วตัว
แล้วลงพื้นมาอย่างนุม่ นวล ผู้อาวุโสไป๋หู่ยังเห็น
ไม่ชัดว่าเป็นใคร คนๆ นั้นก็เดินเอี้ยวตัวไถลมา
ที่ผู้อาวุโสไป๋หู่
ผู้อาวุโสไป๋หู่ร้องคาราม จากนั้นก็ซัดฝ่ามือ
ออกไป คนๆ นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วว่องไว ผู้
อาวุโสไป๋หู่ซัดฝ่ามือไป คนๆ นั้นก็หลบได้อย่าง
ง่ายดาย เขาอ้อมหลบไปทางด้านหลังของผู้
อาวุโสไป๋หู่
ผู้อาวุโสไป๋หู่ตกใจมาก รู้ว่าหากอีกฝ่ายไปอยู่ที่
ด้านหลังของเขา เขาจะต้องตกอยู่ในกามือของ
อีกฝ่ายแน่นอน เขาคิดจะหลบ แต่ทันใดเขาก็
รู้สึกว่าด้านหลังของเขานั้นรู้สึกเจ็บ เหมือนมี
อะไรแหลมๆ ทิ่มหลังเขาอยู่ จากนั้นเสื้อผ้าของ
เขาก็เหมือนจะถูกกระชาก ทาให้เขาหลุดไป
ไหนไม่ได้อีก ความเจ็บที่อยู่ตรงหลังของเขา
มันทาให้หลังคอของเขาเย็นไปหมด เหมือนมี
คมมีดกาลังจอคออยู่
ผู้อาวุโสไป๋หู่ถึงกับขวัญกระเจิง อีกฝ่ายลงมือ
เฉียบขาดมาก หากตอนนี้คมมีดแทงเข้าหลังคอ
เขา เขาตายทันทีแน่นอน
วรยุทธ์ของเขาก็ไม่ได้อ่อน ถือว่าเป็นคนที่มี
ชื่อเสียงมากในยุทธภพ แต่ว่าอีกฝ่ายลอบโจมตี
มา อีกทั้งยังเคลื่อนที่พิสดารด้วย เขาไม่ทันได้
ตั้งตัว เลยถูกควบคุมตัวได้ภายในสามกระบวน
ท่าเท่านั้น
“วรยุทธ์แค่นี้ ยังคิดจะเป็นประมุขพรรค
กระยาจกอีกหรือ” เสียงประชดประชันดังมา
จากด้านหลัง “ข้าว่าตาแหน่งผู้อาวุโสของพรรค
ก็คงใช้แผนการได้มามากกว่า ไม่ประเมิน
ความสามารถตัวเองเลย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 490 ข้อเสนอดีๆ
ผู้อาวุโสไป๋หู่ได้ยินเสียง ก็ถึงกับสะดุ้ง เขาหลุด
พูดมาว่า “ท่าน......ท่านโหวน้อย?” คนที่อยู่
ข้างหลังเขา คือฉีหนิงนี่เอง
ฉีหนิงเห็นไป๋หู่กับลู่ซางเฮ่อคนจัญไรสองคนนี้
เขาคิดว่าการที่เซี่ยงไป๋อิ่งตกอยู่ในกามือของ
พวกเขา หากไม่รีบช่วย เขาต้องตายแน่ๆ
แต่ว่าเขาเองก็รู้ดี ลู่ซางเฮ่อเป็นคนมีชื่อเสียง ผู้
อาวุโสไป๋หู่ก็เป็นคนมีตาแหน่งในพรรค
กระยาจก วรยุทธ์ของพวกเขาสองคนไม่ออ่ น
เลย อีกทั้งที่นี่ยังเป็นสาขาขุยมู่หลางด้วย ใน
เมื่อผู้อาวุโสไป๋หกู่ ล้าลงมือกับเซี่ยงไป๋อิ่งที่นี่
แสดงว่าที่นี่น่าจะถูกเขาควบคุมไว้หมดแล้ว
เขามีตัวเลือกแค่ไม่ยุ่งเรื่องนี้ หรือหากลงมือ ก็
จะต้องสาเร็จ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะมีอันตรายไป
ด้วย
แผนของลู่ซางเฮ่อกับผู้อาวุโสไป๋หู่นั้นเป็นแผนที่
จะให้ใครรู้ไม่ได้ หากเขาตกอยู่ในกามือของ
พวกเขาด้วย ต่อให้เขาจะมีชื่อเป็นจิ่นอีโหว ก็
อาจจะไม่รอดเช่นกัน
ก่อนที่เขาจะลงมือ เขารู้ว่าต่อให้เขาลงมือ
สาเร็จ อย่างไรก็ต้องควบคุมคนๆ หนึ่งไว้ก่อน
ในระหว่างสองคนนี้ เขาเลือกเป้าหมายได้แค่
คนเดียวเท่านั้น เขาคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดเขาก็
เลือกผู้อาวุโสไป๋หู่ วรยุทธ์ของเขาตอนนี้ร้าย
กาจมากแล้ว เขากระโดดขึ้นไปบนหลังคาโดย
ไม่มีเสียเล็ดลอดออกมา
ลู่ซางเฮ่อกับผู้อาวุโสไป๋หู่ถึงแม้จะเป็นคนที่
ตื่นตัวไว แต่ว่าดึกขนาดนี้ อีกทั้งที่นี่เป็นสาขา
ของขุยมู่หลางด้วย เขาเลยประมาท อีกทั้งพวก
เขาวางแผนทาร้ายเซีย่ งไป๋อิ่ง เมื่อสาเร็จแล้ว ก็
ไม่ระวังอะไรอีก เขาพุ่งเป้าไปที่เซี่ยงไป๋อิ่งคน
เดียว ไม่มีทางคิดถึงว่าจะมีคนลอบทาร้ายแน่
ผู้อาวุโสไป๋หู่ถูกมีดจี้คออยู่ มีดสั้นนั่นแหลมคม
มากราวกับว่าจะทิ่มทะลุคอตลอดเวลา
“ท่านโหวน้อย นี่ท่านคิดจะทาอะไร?” ลู่ซาง
เฮ่อตอนนี้อยู่อยูข่ ้างๆ เซี่ยงไป๋อิ่ง มือของเขาจับ
ไปที่หัวของเซี่ยงไป๋องิ่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
ไปยังเมืองเฉิงตูแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วจะกลับมา
ยุ่งเรื่องนี้ทาไมอีก?”
วินาทีที่ฉีหนิงลงมาจากหลังคา ลู่ซางเฮ่อไม่ได้
สนใจอะไรใครเลย สิ่งแรกที่เขาทาคือคุม
ตัวเซี่ยงไป๋อิ่งเอาไว้
เขารู้ดีว่า หากมีคนบุกมา จะต้องเป็นเพราะ
เซี่ยงไป๋อิ่งแน่ ขอแค่เซี่ยงไป๋อิ่งอยู่ในมือของเขา
อีกฝ่ายไม่ว่าจะมาไม้ไหน เขาก็รับมือได้
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าสานักลู่ ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้เลย
ว่าอะไรคือการแก้แค้นที่ไร้ยางอาย วันนี้ได้พบ
ท่าน ข้าถึงได้เข้าใจความหมายของคาๆ นี้”
“ท่านโหวน้อยชมเกินไปแล้ว” ลู่ซางเฮ่อยิม้
“แต่ว่าข้าคิดไม่ออกเลย ท่านไปที่เมืองเฉิงตู
แล้วไม่ใช่หรือ ทาไมยังย้อนกลับมาอีก?”
“เรื่องนี้ก็คงต้องถามผู้อาวุโสไป๋หู่แล้วล่ะ” ฉี
หนิงพูดว่า “เดิมทีข้าก็คิดจะไปที่เมืองเฉิงตูนั่น
แหละ แต่ว่าก่อนไป ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดมาคาหนึ่ง
ซึ่งมันแปลกมาก”
ผู้อาวุโสไป๋หู่อึ้งไป แล้วถามว่า “อะไร?”
“ก่อนที่จะไป ท่านให้คามั่นสัญญาเป็นมั่นเป็น
เหมาะว่า พวกคนที่คิดจะฆ่าท่านประมุขต่อให้
หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว พรรคกระยาจกก็ไม่มี
ทางปล่อยพวกเขาไปแน่” ฉีหนิงพูดว่า “ตอน
แรกข้าเองก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าพอไปถึงกลาง
ทาง ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้ข้ากับประมุข
เซี่ยงไม่เคยบอกเรื่องที่ถูกลอบฆ่าเลยแม้แต่คา
เดียว เจ้าจะรู้เรื่องที่พวกเราถูกลอบฆ่าได้
อย่างไร?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่ตะลึงไป ฉีหนิงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่สู้กับประมุขเซี่ยงไม่
ได้มาคนเดียว เหตุใดถึงได้มั่นใจว่ามาเป็น
กลุ่ม?”
ลู่ซางเฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่
ท่านโหวน้อยของพวกเราคนนีฉ้ ลาดกว่าที่ท่าน
คิดไว้มากเลยนะ ท่านอยู่ต่อหน้าเขาพูดมาก
เกินไปแค่คาเดียว เขาก็มองทะลุปรุโปร่งเลย”
“ถ้าแค่คาเดียว ข้าก็อาจจะไม่แน่ใจ” ฉีหนิงพูด
ว่า “แต่ว่าคืนนั้นผู้อาวุโสไป๋หู่กลับบอกว่า ใน
ตัวเขตซินผิงมีศิษย์ของพรรคกระยาจกเข้ามา
เพิ่มกว่าร้อยคน แต่ว่าไม่ได้รู้สึกเลย ศิษย์พรรค
กระยาจกในตัวเมืองเขตซินผิงไม่ได้มีการ
เข้มงวดเลยแม้แต่น้อย มันน่าสงสัยเกินไป”
ลู่ซางเฮ่อยิม้ แล้วพูดว่า “ท่านเข้าใจผู้อาวุโสไป๋
หู่ผิดแล้ว ที่จริงก่อนที่พวกท่านจะมายังเขตซิ
นผิง ผู้อาวุโสไป๋หู่ได้สั่งย้ายคนมาที่นี่จริง
เพียงแต่จานวนไม่ได้มากเท่าที่ท่านคิดเท่านั้น”
ฉีหนิงพูดว่า “พวกเจ้าคิดอยู่แล้วว่าประมุขเซี่ยง
จะต้องมาที่เขตซินผิงนี่ พวกเจ้าวางกับดัก
เอาไว้แล้วสินะ”
“ท่านโหวน้อย ขอพูดตามตรง ข้ากับผู้อาวุโส
ไป๋หู่ไม่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับท่านเลย” ลู่ซาง
เฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านเป็นคนของ
ราชสานัก พวกเราเป็นชาวยุทธ์ ที่จริงพวกเราก็
ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอยู่แล้ว ยุทธภพ
เปลี่ยนผันไปมามากมาย ไม่ใช่เรื่องที่ท่านโหว
น้อยจะเข้าใจได้ ข้าว่า ท่านอย่ามายุ่งเรื่องนี้เลย
จะดีกว่า”
“เช่นนั้นหรือ?”
“ท่านโหวน้อย ที่จริงในราชสานัก มันก็เพียง
พอให้จิ่นอีตระกูลฉีมีกินมีใช้ไปตลอดแล้ว” ลู่
ซางเฮ่อมองไปที่ฉีหนิง เขานิ่งมาก “แต่ว่าท่าน
กลับจะมามีเรื่องแค้นเคืองกับชาวยุทธ์ มันไม่ได้
มีประโยชน์อะไรกับจิ่นอีตระกูลฉีเลยนะ” เขา
ก้มหน้าลงไปมองเซี่ยงไป๋อิ่ง เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านคิดว่าเซี่ยงไป๋องิ่ เป็นคนเห็นแก่มิตรภาพ
ขนาดนั้นเลยหรือ? ตอนนั้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขา
รักเขายังยกให้คนอื่นได้เลย ดูเหมือนจะเห็นแก่
พี่น้อง แต่หากคิดดูดีดี มันก็คนเลือดเย็นไร้
หัวใจไม่ใช่หรืออย่างไร?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่เองก็พูดว่า “ท่านโหวน้อย เจ้า
สานักลู่พูดถูก พวกเราไม่อยากเป็นศัตรูกับท่าน
ตอนที่ท่านอยู่ที่ตาหนักอิ่งเฮ่อ ท่านเจ้าสานักลู่
ไม่อยากให้ท่านมายุ่งเรื่องนี้ หวังดีวางแผนให้
ท่านจากไปแล้ว พอมาถึงที่เขตซินผิง ข้าก็ส่ง
ท่านจากไปอย่างเคารพ พวกเราไม่ได้มีความ
แค้นต่อกัน ท่านไม่จาเป็นต้องทาให้พวกเรา
ลาบากใจเลย”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้าอาจจะ
ไม่รู้นิสัยข้า ข้าเป็นคนทาอะไรตามใจตัวเอง
มาก อะไรที่ขวางหูขวางตาข้า ข้าก็ชอบไปยุ่ง
เทียบกับพวกเจ้าแล้ว ข้าชื่นชมนิสัยของท่าน
ประมุขเซีย่ งมากกว่า เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ ใน
เมื่อข้าเข้ามายุ่งแล้ว ก็จะยุ่งจนถึงที่สุด”
ลู่ซางเฮ่อยิม้ แล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อยคิดจะทา
อย่างไรล่ะ?”
“เจ้าสานักลู่ เจ้าเองก็พูดถูกคาหนึ่ง พวกเราไม่
เคยมีความแค้นต่อกัน ดังนั้นก็ไม่จาเป็นต้อง
เสียเลือดเสียเนื้อกัน” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
ไปแล้วย้อนกลับมา ก็แค่ต้องการพาตัวประมุข
เซี่ยงไปเท่านั้น ผู้อาวุโสไป๋หู่อยู่ในมือของข้า ข้า
ก็จะไม่ให้เจ้าต้องเสียเปรียบ พวกเรามาแลกตัว
กันดีหรือไม่?”
ลู่ซางเฮ่อส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย
ท่านรู้ดีนี่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หากเซี่ยงไป๋อิ่งรอด
ไปได้ในวันนี้ หากวันไหนเขาฟื้นกลับมาได้ ท่าน
คิดว่าข้าจะรอดไปได้อย่างนั้นหรือ? เงื่อนไข
ของท่าน มันก็เหมือนกับการเอาชีวิตข้า” เขา
พูดว่า “ท่านโหวน้อย ข้ารู้ว่าวรยุทธ์ของท่าน
ร้ายกาจ แต่ว่าด้านนอกนี่ มียอดฝีมือของพวก
เราอยู่เป็นจานวนมาก ท่านต้องยอมรับนะว่า
หากเราไม่ยอมปล่อยท่านไป ท่านก็ไม่มีทาง
รอดกลับออกไปได้”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พวกเจ้าวางแผนมา
อย่างดี เรื่องนี้ข้าเชื่อเจ้า”
ลู่ซางเฮ่อยิม้ แล้วพูดว่า “ข้าเลยรู้สึกว่า น้าหนัก
การเจรจาของท่านมันก็ไม่ได้สูง ค่าตอบแทนที่
ท่านจะเรียกก็ไม่ควรสูงไปนัก เซี่ยงไป๋อิ่งไม่มี
ทางรอดไปได้ แต่ว่าท่านโหวน้อยท่านสามารถ
จากไปอย่างปลอดภัยได้ ขอแค่ท่านตกลง เรื่อง
ในคืนนี้ ท่านก็ถือว่าไม่เคยได้เห็นไม่เคยได้ยิน
ข้าจะส่งท่านกลับออกไป พร้อมกับมอบ
ของขวัญให้อีก”
“หลายปีที่ผ่านมาข้าเองก็พอมีสมบัติมากมาย”
ลู่ซางเฮ่อยิม้ แล้วพูดว่า “ถึงแม้ขา้ จะเทียบไม่ได้
กับตระกูลเจียงของตงไห่ แต่ว่าในมือก็มี
ทรัพย์สินอยู่ไม่น้อย ขอแค่ท่านรับปาก ข้าจะ
มอบเงินจานวนห้าแสนตาลึงให้ท่านทันที ไม่
ทราบว่าท่านโหวน้อยเห็นเป็นประการใด?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าสานักลู่ใจกว้างจริงๆ
เลยนะ”
“ท่านโหวน้อย ถึงแม้ข้าจะอยู่ซชี วน แต่ว่าเรื่อง
ในเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะไม่รู้เลย” ลู่ซางเฮ่อยิ้ม
แล้วพูดว่า “สี่บรรดาศักดิ์ใหญ่ของแคว้นฉู่ จงอี้
โหว จินเตาโหว จิ่นอีโหวและอู่เซียงโหว ทีด่ ูติด
ดินมากที่สุดก็คือ จวนจิ่นอีโหวของท่าน” เขา
ยกมือลูบเครา ยิ้มแล้วพูดว่า “จวนจิ่นอีโหวอยู่
อย่างติดดินมาตลอด รายรับที่ได้เมื่อเทียบกับ
โหวท่านอื่น ก็น้อยกว่ามาก แต่ว่ารายจ่ายของ
พวกท่านก็มีมาก เห็นว่าที่ผ่านมาทางจวนจิ่นอี
โหวเองก็เกิดเรื่อง เงินทองกาลังขาดมือ ท่าน
โหวน้อย เงินห้าแสนตาลึง มันมากกว่ารายได้ที่
จวนจิ่นอีโหวได้รับในหลายปีเลยนะ อีกทั้งข้า
ขอรับประกันกับท่านด้วยว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้า
จะส่งของขวัญแบบนี้ไปให้ท่านทุกปี รับประกัน
ว่าจวนจิ่นอีโหวของท่านจะมีเงินใช้ไม่ขาดมือ
แค่ขอให้ท่านยอมเป็นสหายของข้าเท่านั้นก็
พอ”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เงื่อนไขข้อเสนอของ
ท่านเจ้าสานักลู่ ยั่วยวนดีเหลือเกิน”
“เซี่ยงไป๋อิ่งตอนนี้ก็เป็นคนพิการไปแล้ว” ผู้
อาวุโสไป๋หู่ไม่พลาดโอกาสนี้จึงรีบพูดว่า “ท่าน
โหวน้อยทาไมจะต้องมาเสียเวลากับคนพิการ
แบบนี้ แล้วพลาดเงื่อนไขดีๆ แบบนี?้ ท่านโหว
น้อย พอเซี่ยงไป๋อิ่งตายไป ข้าก็จะได้เป็นผู้นา
ของพรรคกระยาจก ข้ารับรองกับท่านได้เลยว่า
ตั้งแต่นี้ต่อไป พรรคกระยาจกจะคอยช่วยเหลือ
จวนจิ่นอีโหว หากทางจวนจิ่นอีโหวมีอะไรให้
ช่วย พวกเราจะทาให้อย่างเต็มที่”
“เจ้าสานักลู่จะให้เงินข้าไม่ขาดมือ ท่านผู้อาวุโส
ไป๋หู่ได้เป็นประมุขพรรคกระยาจกแล้ว ในมือก็
มีคนกว่าแสนคน” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“หากได้เป็นสหายกับท่านสองคน จวนจิ่นอีโหว
คงเหมือนเสือติดปีก ฐานะในราชสานักของข้า
คงมั่นคงมากแน่เลย”
ผู้อาวุโสไป๋หู่คิดว่าฉีหนิงรับปากแล้ว เขายิ้มแล้ว
พูดว่า “ท่านโหวน้อยฉลาดนัก”
“แต่ว่าหากข้ารับปากทาตามข้อเสนอของพวก
ท่านสองคน ข้าก็คงกลายเป็นคนอย่างพวกท่าน
สินะ?” ฉีหนิงพูดว่า “ไม่มียางอาย ต่าช้าเลว
ทราม ไร้มนุษยธรรม ไม่ต่างอะไรกับหมูกับหมา
ใช่หรือไม่?”
ลู่ซางเฮ่อกับผู้อาวุโสไป๋หู่เดิมคิดว่าข้อเสนอดีๆ
ของพวกเขา ชายหนุ่มคนนี้อย่างไรก็ไม่ปฏิเสธ
แน่ แต่พอฟังมาถึงตรงนี้ สีหน้าของพวกเขาก็
เปลี่ยนไป
ลู่ซางเฮ่อหน้านิ่งไป เขาพูดว่า “ท่านโหวน้อยดู
ท่าท่านจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับพวกเราสินะ?”
“เจ้าสานักลู่ เมื่อครู่ทา่ นก็บอกเองว่ามูลค่าการ
เจรจาของข้ามันต่าเกินไป ข้าไม่กล้าคล้อยตาม
หรอกนะ” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่
อยู่ในมือของข้า เขตซินผิงเป็นพื้นที่ของพรรค
กระยาจก ท่านว่ามูลค่าของข้าต่าเกินไป นั่น
เป็นเพราะท่านไม่ได้เห็นชีวิตของผู้อาวุโสไป๋หู่
อยู่ในสายตาของท่านเลย หรือเป็นเพราะว่า
ท่านไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสไป๋หู่สามารถควบคุมคน
ของเขาได้?”
ลู่ซางเฮ่อขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสไป๋หู่เองก็ตากระตุก
เช่นกัน
“ผู้อาวุโสไป๋หู่ ข้าจะไม่เจรจากับเจ้าสานักลู่แล้ว
นะ” ฉีหนิงพูดว่า “ชีวิตของเจ้าอยู่ในมือของข้า
จะเป็นจะตาย อยู่ที่ท่าน” มีดในมือของเขา
ขยับบาดเนือ้ เล็กน้อย เลือดไหลซึมออกมา
“ท่านลองถามเจ้าสานักลู่ดู เขาอยากเอาชีวิต
ของประมุขเซี่ยง หรือว่าเอาชีวิตของท่าน พวก
ท่านเป็นเพื่อนกัน มีอะไรก็คุยกันนะ อย่า
ทะเลาะกันล่ะ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 491 รอดจากปากเสือ
ผู้อาวุโสไป๋หู่รู้สึกว่าคมมีดมันทิม่ แทงเข้ามาใน
ผิวเนื้อของเขา เขารู้ดวี ่าในสถานการณ์ตอนนี้
ฉีหนิงไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน สีหน้าของเขาซีด
เซียว เขามองไปที่ลซู่ างเฮ่อ
ลู่ซางเฮ่อขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านโหวน้อย ข้า
บอกไปแล้ว เซี่ยงไป๋อิ่งจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“ข้ารู้เจ้าไม่มีทางปล่อยเขาไป แต่ว่าเจ้าก็ควร
จะนึกถึงชีวิตของผู้อาวุโสบ้างนะ” ฉีหนิง
หัวเราะ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ใครก็ได้มานี่ที ผู้
อาวุโสไป๋หู่ถูกลอบทาร้าย”
ลู่ซางเฮ่อกับผู้อาวุโสไป๋หู่ต่างก็หน้าถอดสี
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายเข้ามาที่ห้อง
ประตูห้องถูกถีบออก ด้านนอกมีคนมากกว่าห้า
หกคนบุกเข้ามา พวกเขาเห็นสถานการณ์
ภายในห้องแล้ว ต่างก็ตกใจ มีคนตะโกนออกมา
ว่า “ปล่อยท่านผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสานักลู่ ท่าน
ดูสิ ท่านไม่สนใจชีวิตของผู้อาวุโสไป๋หู่ แต่ว่า
ศิษย์พรรคกระยาจกเป็นห่วงเป็นใยมากเลย
นะ”
ฉีหนิงรู้ดีว่า ผู้อาวุโสไป๋หู่อยู่ที่ซีชวนมานาน
หลายปี อย่างไรก็ต้องมีคนที่ภักดีของเขาแน่
คนพวกนี้เห็นผู้อาวุโสไป๋หู่เป็นเหมือนที่พึ่ง หวัง
ว่าจะช่วยสนับสนุนให้พวกเขาก้าวหน้าได้ พวก
เขาไม่มีทางเห็นผู้อาวุโสไป๋หถู่ ูกฆ่าไปต่อหน้าต่อ
ตาแน่นอน
ถึงแม้ฉีหนิงอยากจะฆ่าผู้อาวุโสไป๋หู่ให้ตายไป
ซะเดี๋ยวนี้ แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ หากเอา
ชีวิตของผู้อาวุโสไป๋หแู่ ล้ว มันอาจจะยังไม่ใช่
เวลาที่เหมาะสม ตอนนี้ผู้อาวุโสไป๋หถู่ ูกจับเป็น
ตัวประกัน อย่างไรก็ต้องช่วยเซี่ยงไป๋อิ่งก่อน
ตอนที่เขาลงมาจากหลังคา เขามีความมั่นใจ
แปดส่วนในการควบคุมผู้อาวุโสไป๋หู่ หกส่วนใน
การควบคุมลู่ซางเฮ่อ สุดท้ายเขาก็เลือกผู้
อาวุโสไป๋หู่เป็นเป้าหมายในการลงมือ ไม่ใช่
เพราะผู้อาวุโสไป๋หู่รับมือง่ายกว่า แต่เพราะ
สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ผู้อาวุโสไป๋หู่มีค่าสูงกว่า
ลู่ซางเฮ่อ
ไม่ว่าจะเป็นลู่ซางเฮ่อหรือว่าผู้อาวุโสไป๋หู่ ต่าง
อยากจะเห็นเซี่ยงไป๋อิ่งตาย สองคนนี้รู้ดีว่า
หากเซี่ยงไป๋อิ่งรอดไปได้ จะต้องกลายเป็นภัย
ภายหลังแน่นอน
หากควบคุมตัวของลูซ่ างเฮ่อ ผู้อาวุโสไป๋หู่ไม่มี
ทางปล่อยเซี่ยงไป๋อิ่งไปเพราะลูซ่ างเฮ่อแน่นอน
ที่นี่เป็นพื้นที่ของผู้อาวุโสไป๋หู่ หากจะต้องสละ
ชีวิตลู่ซางเฮ่อไปฉีหนิงก็ไม่มีทางทาอะไรได้
แต่กลับกันหากได้ผู้อาวุโสไป๋หู่ไว้ในมือ ศิษย์
ของพรรคกระยาจกอยู่ที่นี่ทั้งหมด ลู่ซางเฮ่อไม่
มีทางไม่นึกถึงชีวิตของผู้อาวุโสไป๋หู่
ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดขึ้นมาว่า “เจ้าสานักลู่ เซี่ยงไป๋
อิ่งใช้วิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น จนกลายเป็นคนพิการ
ไปแล้ว เขาไม่มีทางฟื้นวรยุทธ์ขึ้นมาอีก ต่อให้
ปล่อยเขาไป พวกเราก็ไม่มีทางเป็นอะไร วันนี้
พวกเราก็เห็นแก่หน้าของท่านโหวน้อย ปล่อย
เจ้าคนพิการนี่ไปซะ”
ลู่ซางเฮ่อเกลียดเซี่ยงไป๋อิ่งเข้ากระดูกดา จะเชื่อ
คาพูดของผูอ้ าวุโสไป๋หู่ได้อย่างไรกัน แต่ว่าที่นี่
เป็นพื้นที่ของพรรคกระยากจก หากไม่สนใจ
ชีวิตของผู้อาวุโสไป๋หู่ วันนี้เขาก็อาจจะรอดออก
จากที่นี่ไม่ได้ เขากาลังครุ่นคิดอยู่ ไม่แม้แต่จะ
พูดอะไรออกมา
ฉีหนิงกระแอม แล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้มีความ
อดทนในการรอนานขนาดนั้นนะ ผู้อาวุโสไป๋หู่
เจ้าพูดอีกทีส”ิ มีดจี้เข้าไปที่คอของเขาอีก
ผู้อาวุโสไป๋หู่รู้สึกได้ว่าที่หลังคอของเขาเจ็บมาก
เขารีบพูดว่า “ท่านเจ้าสานักลู่ ท่าน.....ท่าน
ปล่อยเขาไปเถอะนะ”
ลู่ซางเฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่
หากเซี่ยงไป๋อิ่งไปแล้ว เกิดวันหนึ่งเขาย้อนกลับ
มา พวกเราจะไม่รอดกันเลยนะ”
“เขาไม่มีทางทาอย่างนั้นได้แน่” ผู้อาวุโสไป๋หู่
เห็นลู่ซางเฮ่อลังเลครูห่ นึ่ง ในใจลึกๆ ก็รู้สกึ
โมโห แต่ว่าเซี่ยงไป๋องิ่ อยู่ในมือของลู่ซางเฮ่อ
จะต่อว่าเขาตอนนี้ก็ไม่ได้ เขาฝืนพูดต่อไปอีกว่า
“อย่างไรท่านโหวน้อยก็มีฐานะสูงศักดิ์ พวกเรา
......พวกเราจะไม่ให้เกียรติเขาไม่ได้นะ” เขาส่ง
สัญญาณ ให้ศิษย์ของพรรคถอนกาลัง ล้อมเป็น
วงกลมไว้ ซึ่งล้อมตัวของลู่ซางเฮ่อเอาไว้ด้วย
ลู่ซางเฮ่อมองซ้ายมองขวา จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูด
ว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดถูก ในเมื่อท่านโหวน้อย
เอ่ยปากแล้ว พวกเราก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง” เขา
เก็บมือกลับมา แล้วก้มมองไปที่เซี่ยงไป๋องิ่
“เซียวเหยา ข้าไม่เคยคิดอยากจะฆ่าเจ้าอยู่แล้ว
ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะมาพรากซู่อิ่งไปจากข้า
เท่านั้น ขอแค่เจ้าไม่มาแย่งนางไป ตั้งแต่นตี้ ่อไป
ข้าก็ยังคงเห็นเจ้าเป็นน้องชายของข้าอยู”่
เซี่ยงไป๋อิ่งหลับตา เพียงแค่ยิ้มออกมา และไม่
พูดอะไรอีก
ฉีหนิงก็ไม่ได้สนใจลู่ซางเฮ่อ เขาสั่งว่า “ผู้อาวุโส
ไป๋หู่ รีบให้คนไปเตรียมม้ามาเร็วเข้า หรือจะ
ต้องให้ข้าออกคาสั่งเอง? จริงสิ อย่าคิดจะเล่น
ลูกไม้อะไรบนม้านะ ไม่อย่างนัน้ คนที่จะ
เดือดร้อนก็คือเจ้า”
ผู้อาวุโสไป๋หู่อยู่ในมือของเขา ถึงแม้เขาจะโกรธ
มาก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก เขาสั่งให้คนไป
เตรียมม้ามา
ฉีหนิงใช้มดี คุมผู้อาวุโสไป๋หู่ไว้ แล้วสั่งให้ศิษย์
พรรคกระยาจกคนหนึ่งแบกเซี่ยงไป๋อิ่งขึน้ หลัง
จากนั้นก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องไป ลู่ซางเฮ่อ
จ้องไปด้วยสายตาแหลมคม เขาค่อยๆ เดินตาม
ไป จนกระทั่งออกนอกเรือนเก่า มีคนเตรียมม้า
เอาไว้พร้อมแล้ว ฉีหนิงสั่งให้คนอุ้มเซี่ยงไป๋อิ่ง
ขึ้นบนหลังม้า เซี่ยงไป๋อิ่งฟุบอยู่บนหลังม้า ฉี
หนิงสั่งให้คนจูงม้ามา เขายังไม่ขึ้นหลังม้า แต่
กลับเดินไปที่ทางออกนอกเขต
ตอนนี้ดึกมากแล้ว บรรยากาศโดยรอบเงียบ
สงบ ร้านเหล้าร้านอาหารในเมืองต่างก็ปิดกัน
หมดแล้ว ศิษย์พรรคกระยาจกกว่าสิบคนจ้อง
ตาไม่กะพริบ ลู่ซางเฮ่อเองก็เดินตามหลังมา มี
ศิษย์คนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “คนเจ้าพาไปแล้ว
ผู้อาวุโสเจ้าก็ต้องปล่อยเขากลับมา ไม่อย่างนั้น
ใครก็ไปจากที่นี่ไม่ได้ทั้งนั้น”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ากับผู้
อาวุโสไป๋หู่ถูกคอกัน ข้าคิดว่าเขาเองก็เคารพข้า
ไม่น้อย ให้เขาส่งข้าออกนอกเขตอย่างปลอดภัย
คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
ในเขตซินผิงอย่างไรก็ถูกผู้อาวุโสไป๋หู่ควบคุมไว้
หมดแล้ว หากยังไม่ออกนอกเขตไป ต่อให้มีม้า
เร็วในมือ ก็อาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้
ฉีหนิงก็รู้ว่าหากจะจับตัวผู้อาวุโสไป๋หู่ไว้ตลอด
เวลาคงไม่ได้ คนสนิทของผู้อาวุโสไป๋หู่คงไม่มี
ทางยอม เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือช่วย
เซี่ยงไป๋อิ่งก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน
คนกลุ่มหนึ่งเดินตามฉีหนิงจนออกนอกเขตซิน
ผิงมา ฉีหนิงมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีกับดัก
อะไร อีกทั้งอีกฝ่ายก็เดินเท้าตามมา หากเขาขี่
ม้าจากไป อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะหาม้ามาได้ทันการ
สิ่งสาคัญที่สุด ฉีหนิงได้ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม
สังเกตุดูแล้วว่าม้ามีความผิดปกติหรือไม่
หากมีการเล่นตุกติกกับม้า เวลาผ่านมานาน
ขนาดนี้แล้ว ก็น่าจะต้องมีปฏิกิรยิ าอะไรแล้ว
เขาเห็นม้าตัวนี้ยังคงปกติดีอยู่ ไม่มีอาการใดๆ
ในใจก็คิดว่าอีกฝ่ายก็ยังนึกถึงชีวิตของผู้อาวุโส
ไป๋หู่อยู่ เลยไม่กล้าทาอะไร
“พวกเจ้าไม่ต้องตามมาส่งแล้ว” ฉีหนิงหัวเราะ
ยกมือสั่งให้ทุกคนอย่าเข้ามาใกล้ เขาเดินไปจูง
ม้ามาเอง จากนั้นก็ควบคุมผู้อาวุโสไป๋หู่เดิน
ออกห่างสักระยะหนึ่ง หลังจากรู้สึกว่าห่างได้
ระยะพอประมาณแล้ว ก็ใช้ฝ่ามือซัดเข้าไปที่
หลังของผู้อาวุโสไป๋หู่ แรงที่ซัดไปนั้นแรง
พอสมควร ผู้อาวุโสไป๋หู่ถลาออกไปหลายก้าว
จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา ศิษย์พรรค
กระยาจกรีบวิ่งขึน้ หน้ามาพยุง จากนั้นก็ได้ยิน
เสียงฝีเท้าม้าวิ่งออกไป ฉีหนิงขึ้นบนหลังม้า
แล้วควบม้าจากไปท่ามกลางความมืด
ศิษย์พรรคกระยาจกไปพยุงผู้อาวุโสไป๋หู่ ผู้
อาวุโสไป๋หู่หน้าซีดเผือด เขาจ้องเงาของฉีหนิงที่
จากไปไกลแล้วอย่างโกรธแค้น เขายกมือเช็ด
เลือดที่ริมฝีปาก แล้วพูดว่า “เจ้าคนแซ่ฉี แค้นนี้
ช้าเร็วข้าจะต้องคิดบัญชีกับเจ้าแน่”
ลู่ซางเฮ่อเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่
ขอแค่แผนการใหญ่ของพวกเราสาเร็จ จิ่นอี
ตระกูลฉีอย่างไรก็ต้องไม่เหลือซากแน่ ถึงเวลา
นั้นท่านอยากจะฉีกเขาเป็นหมื่นเป็นแสนชิ้น ก็
ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”
ผู้อาวุโสไป๋หู่ไม่พูดไม่จา ลู่ซางเฮ่อถามขึ้นมาว่า
“ผู้อาวุโสไป๋หู่ ข้าไม่ได้เป็นห่วงเจ้าคนแซ่ฉีนั่น
เท่าไหร่ เขาเป็นคนของราชสานัก หากเขาจะ
มาแก้แค้นพวกเรา ก็เท่ากับว่าราชสานัก
แทรกแซงเรื่องในยุทธภพ พวกเราสามารถให้
กลุ่มของยุทธภพสู้กับทางราชสานักได้ เพียงแต่
.....” เขาหยุดพูด ไม่ได้พูดต่อ
ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “เจ้ากังวลเซี่ยงไป๋องิ่ ?”
“ชีวิตของผู้อาวุโสไป๋หู่อย่างไรก็สาคัญที่สดุ ” ลู่
ซางเฮ่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “วันนี้เป็นเพราะ
ผู้อาวุโสไป๋หู่ ถึงต้องยอมปล่อยเซี่ยงไป๋อิ่งไป
ตอนนี้ข้ากังวลว่าหากวันหนึ่งเขากลับมายิง่ ใหญ่
อีกจะทาอย่างไร”
“เจ้ากังวลว่าเขาจะกลับมาฆ่าเจ้าสินะ” ผู้
อาวุโสไป๋หู่ไม่ได้พดู ดีด้วย “เทียบกับข้าแล้ว
เขาคงเกลียดเจ้ามากกว่า”
ลู่ซางเฮ่อยืนเอามือไขว้หลัง ยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้
อาวุโสไป๋หู่ พวกเราก็เป็นเหมือนมดที่อยูบ่ น
เชือกเส้นเดียวกัน อย่ามาโทษใครเลย หากเขา
กลับมาจริงๆ ข้าตาย ท่านเองก็ไม่น่ารอด ครั้งนี้
เขาหนีรอดไปได้ ท่านคิดว่าท่านจะได้ตาแหน่ง
ประมุขพรรคอีกหรือ?”
“แหวนชิงมู่อยู่ในมือของข้าแล้ว ยังมี.....งาน
ชุมนุมชิงมู่ ตาแหน่งประมุขพรรคอย่างไรก็ต้อง
เป็นของข้า” ผู้อาวุโสไป๋หู่มีความมั่นใจมาก เขา
สั่งไปว่า “ใครก็ได้ ประกาศคาสั่งไป๋หู่ออกไป
ตามล่าตัวจิ่นอีโหวฉีหนิงให้เจอ แจ้งทุกคนว่า ฉี
หนิงจับตัวประมุขพรรคไป อีกทั้งยังวางยาพิษ
ท่านประมุขด้วย คิดอยากจะควบคุมพรรค
กระยาจกของพวกเรา เราจะต้องช่วยท่าน
ประมุขออกมาให้ได้”
คนของพรรคกระยาจกพูดพร้อมกันว่า
“ขอรับ”
“ช้าก่อน” ลู่ซางเฮ่อยกมือห้ามไว้ “ผู้อาวุโสไป๋
หู่ จะทาแบบนี้ไม่ได้นะ”
“หืม?” ผู้อาวุโสไป๋หู่เหลือบไปมองลู่ซางเฮ่อ
“เจ้าสานักลู่คิดว่าข้าทาแบบนี้ไม่เหมาะหรือ?”
ลู่ซางเฮ่อพูดว่า “ด้วยอานาจของท่านในซีชวน
จะตามหาสองคนนั่นไม่ใช่เรื่องยาก แต่วา่ หาก
ทาแบบนี้ไปแล้ว เรื่องที่เซี่ยงไป๋อิ่งถูกลอบทา
ร้ายก็จะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้
อาวุโสไป๋หู่ เซี่ยงไป๋อิ่งท่องยุทธภพมานานหลาย
ปี มีสหายในยุทธภพมากมาย หากรู้เรื่องนี้แล้ว
เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป อีกทั้ง
หากผู้อาวุโสอีกสามท่านรู้เรื่องนีเ้ ข้า ท่านว่า
พวกเขาจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้หรือไม่เล่า?”
ผู้อาวุโสไป๋หู่ขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้คนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น” ลู่ซางเฮ่อ
กาลังใช้ความคิด “อย่างไรก็ต้องตามหาอยู่แล้ว
แต่ว่าท่านต้องส่งคนสนิทของท่านไปเท่านัน้
ท่านสามารถส่งเขาไปตามสืบอย่างลับๆ ตา
หนักอิ่งเฮ่อเองก็จะช่วยท่านอีกแรง” เขาหยุด
ไป แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่ ท่านแน่ใจนะว่าวร
ยุทธ์ของเซี่ยงไป๋อิ่งจะฟื้นกลับมาไม่ได้อีก
แล้ว?”
“วิชาคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเป็นสุดยอดวิชาของ
พรรคกระยาจก” ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดว่า “การ
เปลี่ยนชีพจร ร้ายกาจมาก แต่หากใช้คัมภีร์
เปลี่ยนเส้นเอ็นซ้าไปมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กระบวนท่าทาลายชีพจร ชีพจรของเซี่ยงไป๋อิ่ง
ก็จะฉีกขาดราวกับคนพิการ ต่อให้เขารอดมาได้
อยากมากก็ได้แค่พูดจา คิดจะยกมือหรือว่าเดิน
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” เขาหัวเราะแห้ง “ข้า
อยู่ในพรรคกระยาจกมาสามสิบกว่าปี ข้ารู้เรื่อง
นี้ดี เซี่ยงไป๋อิ่งกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ไม่ได้
มีอันตรายต่อพวกเราอีก”
“ถ้าเรื่องนีเ้ ป็นเรื่องจริง ข้าเองก็มีแผน” ลู่ซาง
เฮ่อยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อใช้แผนนี้แล้ว เซี่ยงไป๋อิ่ง
ก็จะไม่สามารถไปพบใครได้อีก ไม่อย่างนั้นคน
ที่จะเอาชีวิตเขาก็จะมีมากเหมือนขนวัวเลย ต่อ
ให้เป็นผู้อาวุโสอีกสามคน ก็จะเห็นเขาเป็นดัง
คนที่ตายไปแล้วเช่นกัน”
ผู้อาวุโสไป๋หู่ตะลึงไป เขารีบพูดอย่างดีใจว่า
“เจ้าพูดจริงหรือไม่? รีบว่ามา เจ้ามีแผนอะไร”
ลู่ซางเอ่อยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องร้อนใจไป ผู้
อาวุโสไป๋หู่ พวกเรากลับไปกันก่อน แล้วข้าจะ
ค่อยๆ บอกท่านเอง ขอแค่พวกเราร่วมมือกัน
ด้วยฐานะของท่านกับข้า อย่างไรก็ไม่มีทางมี
ช่องโหว่อะไรแน่นอน”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 492 ฝากฝัง
ฉีหนิงขี่ม้าจากมาอย่างรวดเร็ว เขาควบม้า
มากกว่ายี่สิบลี้ เขารู้สึกว่าเซี่ยงไป๋อิ่งเต็มไปด้วย
เหงื่อ เขาเลยขี่ม้าเลี้ยวอ้อมเข้าไปในป่าแห่ง
หนึ่ง จากนั้นก็ลงจากม้า เขาแบกเซี่ยงไป๋อิ่งลง
จากม้าด้วย จากนั้นก็ค่อยๆ วางเขาลงบนพื้น
เบาๆ สีหน้าของเซี่ยงไป๋อิ่งซีดเซียว แววตาของ
เขาเริ่มหม่นลง เหมือนคนที่เฉาตายไปแล้ว
อย่างไรอย่างนั้นเลย
ยอดฝีมืออันดับต้นๆ ของยุทธภพ ประมุขพรรค
กระยาจกพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า จะต้องมี
สภาพแบบนี้ ฉีหนิงรู้สึกหดหู่ใจมาก
“ท่านอาเซี่ยง ท่านไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
ฉีหนิงพูดว่า “พวกเรารีบไปเมืองเฉิงตูกัน ข้าจะ
ไปหาหมอมาดูอาการให้ท่าน”
เขารู้ว่าอาการของเซี่ยงไป๋อิ่ง หมอทั่วไปไม่มี
ทางรักษาได้ ต่อให้เป็นทูตหมอของพรรคบัวดา
หลีซีกง ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาให้หายได้
เซี่ยงไป๋อิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขาส่ายหน้า “ไป
ไม่ได้.....ไปเมืองเฉิงตูไม่ได้.....”
“ไปเมืองเฉิงตูไม่ได้?” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอา
เซี่ยง ลู่ซางเฮ่อกับผูอ้ าวุโสไป๋หู่ไม่มีทางเลิกรา
ง่ายๆ แน่ พวกเขาจะต้องออกตามหาพวกเรา
อานาจในซีชวนของพวกเขามีมาก ถ้า......”
“จวนเสินโหว......” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดอย่างไร้
เรี่ยวแรงว่า “จวนเสินโหวจะต้องสาวความยืด
แน่นอน......”
ฉีหนิงตะลึงไป แต่ว่าทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมา
ทันที
ฉีหนิงต้องการพาเซี่ยงไป๋อิ่งไปเมืองเฉิงตู ก็
เพราะอยากจะเจอกับเซวียนหยวนผ่อที่นดั
หมายเอาไว้ เซี่ยงไป๋อิ่งกลัวว่าตัวเขาจะตกไป
อยู่ในมือของจวนเสินโหว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา จวนเสินโหวกับแปดพรรค
สิบหกสานักต่างระแวงต่อกันมาตลอดหาก
ประมุขพรรคกระยาจกตกไปอยู่ในมือของจวน
เสินโหว ซีเหมินอู๋เหิงจะต้องฉวยโอกาสนีท้ าให้
เป็นเรื่องใหญ่แน่ เซี่ยงไป๋อิ่งไม่อยากให้เขา
กลายเป็นเครื่องมือของจวนเสินโหว
ฉีหนิงรู้สึกหดหู่ใจ เขาแอบคิดในใจว่าเซี่ยงไป๋
อิ่งคิดได้รอบคอบมากขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นคนที่
ฉลาดมาก แต่ทาไมพอกับเรื่องของลู่ซางเฮ่อ
เขากับให้ค่ากับความสัมพันธ์มากเกินไป จน
เกิดเรื่อง
เขากังวลว่าผู้อาวุโสโป๋หู่จะส่งม้าเร็วตามมา
เพราะข่าวสารของทางพรรคกระยาจกรวดเร็ว
ว่องไวมาก ที่นี่จะอยูต่ ่อไปอีกไม่ได้แล้ว ตอนนี้
ดึกมากแล้ว เขาแบกเซี่ยงไป๋อิ่งขึ้นหลัง ทิ้งม้าไว้
ในป่า จากนั้นก็เดินทางต่อ กาลังภายในของเขา
แก่กล้ามาก ถึงแม้จะแบกเซี่ยงไป๋อิ่งเอาไว้ แต่ก็
เดินได้อย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ตอนนี้เขารูส้ ึกว่าเซี่ยงไป๋อิ่งไม่เพียงไม่มี
แรง มือเท้าของเขายังอ่อนปวกเปียกอีกด้วย
เขารู้สึกแปลกใจมาก เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มี
เวลามาสนใจอย่างอื่นอีก
เขาเดินมาประมาณหนึ่งชั่วยาม จนมาถึงถนน
เส้นหนึ่ง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้า ฉีหนิงหันหลัง
ไปมอง เขาเห็นคนขีม่ ้าผ่านมาสองคน ฉีหนิง
ขมวดคิ้ว ยังดีที่ตอนที่ม้าผ่านหน้าเขาไปนั้น
พวกเขาไม่เห็นฉีหนิง ฉีหนิงจึงรีบวิ่งตามไป
หลายวันมานี้เขาได้ต่อสู้ในสถานการณ์จริง
หลายครั้ง เขาพอจะรูแ้ ละเข้าใจในวรยุทธ์ของ
ตัวเองดี เขาวิ่งตามไปเร็วมาก จากนั้นก็ดดี ตัว
ขึ้น แล้วพูดว่า “ขออภัยด้วยนะ” เขายกเท้า
แล้วถีบคนบนหลังม้าลงไปกลิ้งกับพื้น จากนั้น
เขาก็ลอยตัวขึ้นไปนัง่ แทน จากนั้นก็ควบม้าจาก
ไป
ฉีหนิงขี่ม้าวิ่งอย่างรวดเร็ว เขากาลังคิดว่าจะไป
ที่ไหนดี ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ จึงยิ้มขึ้นที่
มุมปาก
............
พระอาทิตย์สาดส่องมายังบนเขาเฮยเหยียน
แสงส่องทะลุผ่านต้นไม้ใบหญ้า ลงบนตัวของ
ชายสองสามคน ชายหนุ่มเหล่านั้นนั่งอยูใ่ ต้
ต้นไม้ใหญ่ สีหน้าของพวกเขารูส้ ึกกังวลใจมาก
“พี่เฟิง พวกเราควรกลับไปดูที่เมืองเฉิงตูหรือไม่
ลองไปดูว่าโหวเยว่จะกลับไปที่เมืองเฉิงตูแล้ว
หรือยัง?” ชายคนหนึง่ ถามขึ้นมาด้วยความ
กังวลใจ
“พี่เฟิง” คนนี้นั่นก็คือองครักษ์ประจาตัวของฉี
หนิง ฉีเฟิง สีหน้าของเขาเคร่งเครียด เขาหันไป
ถามอีกคนว่า “หลีถัง เจ้าแน่ใจนะว่าโหวเยว่ไป
ที่เขาเชียนอูหลิง?”
หลีถังพยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ไปกับคน
ของจวนเสินโหวเดินทางขึ้นเขาเชียนอูหลิงไป
สั่งให้ข้ามารวมตัวกับพวกเจ้าที่นี่ อีกทั้งยัง
กาชับนักกาชับหนาว่า เมื่อเขาเสร็จเรื่องทาง
นั้นแล้ว ก็จะมารวมตัวกับพวกเราที่น”ี่
“ตามหลักแล้ว ตอนนี้เรื่องก็น่าจะจบแล้วนี่นา”
ฉีเฟิงพูดอย่างกังวลว่า “นี่ก็ผ่านไปหลายวัน
แล้ว เหตุใดโหวเยว่ยังไม่กลับมาอีก”
“เจ้าวางใจเถอะ แม่นางอีฝูยังอยู่ที่นี่ ต่อให้โหว
เยว่ไม่ได้คิดถึงพวกเรา แต่ก็ต้องคิดถึงแม่นาง
อีฝูแน่” หลีถังยิ้มแล้วพูดว่า “พรรคบัวดาบน
เขาเชียนอูหลิงร้ายกาจมาก ต่อให้จวนเสินโหว
รวบรวมคนจากแปดพรรคสิบหกสานักมา คิด
อยากจะกาจัดพรรคบัวดา ก็ไม่ใช่จะทากัน
ง่ายๆ พวกเรารออีกสักสองสามวันก็ได้ ข้างกาย
ของโหวเยว่ก็มีคนของจวนเสินโหวไปด้วย คน
ของจวนเสินโหวไม่กล้าให้ใครทาอะไรโหวเยว่
หรอก”
“ราชสานักนี่ก็แปลก” โจวซุ่นตัดพ้อแล้วพูดว่า
“เดิมทีให้โหวเยว่มาตรวจสอบเรื่องของถ้าเฮย
เหยียน โหวเยว่ก็พอจะได้เรื่องอะไรแล้ว อีกทั้ง
ยังล้างมลทินให้กับถ้าเฮยเหยียนแล้วด้วย เรื่อง
นี้ที่จริงก็จบแล้ว แต่พอมีราชโองการมา โหว
เยว่เลยต้องไปเขาเชียนอูหลิงอีก เรื่องของจวน
เสินโหว เหตุใดต้องให้โหวเยว่ไปยุ่งด้วย”
หลีถังหันไปนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“จะว่าเจ้าฉลาด แต่บางทีเจ้าก็โง่มากเกินไป
ท่านเหล่าโหวกับท่านแม่ทัพใหญ่ชื่อเสียงเกรียง
ไกร มีอานาจบารมีไม่น้อยในราชสานัก หากพูด
ถึงจิ่นอีตระกูลฉี ใครจะกล้าทาอะไรได้ ตอนนี้
ท่านโหวน้อยสืบทอดบรรดาศักดิ์โหวแล้ว ถึงแม้
ท่านจะฉลาด แต่เพราะอายุยังน้อย ไม่มี
ประสบการณ์ ฝ่าบาทให้โอกาสท่านโหวน้อย
สร้างผลงาน ท่านจะได้เป็นโหวเยว่ที่ผู้คนนับถือ
จริงๆ”
ฉีเฟิงเองก็นั่งลงใต้ต้นไม้เช่นกัน เขาตบบ่าของ
โจวซุ่น ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้ว
หากว่าง ก็ลองเอาหนังสือมาอ่านบ้าง ก่อนหน้า
นี้หลีถังเองก็เป็นแต่ถอื อาวุธ ต่อมาไปเรียน
หนังสือกับท่านบัณฑิต ความรู้เยอะกว่าเจ้ามาก
แล้วตอนนี”้
โจวซุ่นมองไปที่หลีถงั เหมือนจะไม่ค่อยพอใจ
“เจ้าไม่พอใจอีก” ฉีเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท
เพิ่งขึ้นครองราชย์ จงอี้โหวอารักขามีคุณ
ความชอบ ไหวหนานอ๋องมีพรรคพวกมาก ตอน
ที่ท่านแม่ทัพยังอยู่ มีผลงานการศึกมากมาย ถึง
สามารถควบคุมอานาจของพวกเขาได้ แต่ว่า
หลังจากที่ท่านแม่ทพั ใหญ่ตายไป จิ่นอีโหวก็ไม่
ได้สาคัญกับราชสานักมากขนาดนั้นแล้ว ท่าน
โหวน้อยอยากจะทาให้จวนจิ่นอีโหวกลับมา
เหมือนเดิม ฝ่าบาทเองก็มีใจอยากจะสนับสนุน
ท่านโหวน้อย เลยคิดอยากจะให้ท่านโหวน้อย
สร้างโอกาส ครั้งนี้บุกเขาเชียนอูหลิง ก็อยากจะ
ให้ท่านโหวน้อยฝึกฝน หากสร้างผลงานได้
ผลงานนั้นก็เป็นของท่านโหวน้อย แต่หาก
พลาด จวนเสินโหวก็เป็นคนรับผิดชอบไป พวก
เขาหนีความรับผิดชอบไปไม่พ้นหรอก”
โจวซุ่นพูดว่า “ท่านโหวน้อยก็น่าจะพาพวกเรา
ไปด้วย หากพวกเราสร้างผลงานได้ ท่านโหว
น้อยเองก็ได้หน้าไปด้วย”
ฉีเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นี่ก็เป็นความฉลาด
ของท่านโหวน้อย จะว่าไปแล้ว ก็เพื่อปกป้อง
พวกเราด้วย หากพวกเราไปกับท่านด้วย
อาจจะทาได้แค่ยืนอยูข่ ้างๆ เท่านั้น? เจ้าอย่า
ลืมนะ ว่าเจ้าลัทธิบัวดาเป็นหนึ่งในห้าต้าจงซือ
อีกทั้งพวกเขายังอยู่ในยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบ
หากจะบุกไปจริง อย่างไรก็ต้องมีคนตาย ท่าน
โหวน้อยอยู่ที่นั่น ไม่จาเป็นต้องบุกไปเอง แต่ว่า
หากพวกเราไปด้วย ก็ต้องบุกไปสังหารด้วย
ท่านโหวน้อยเป็นห่วงพวกเรา ก็เลยให้พวกเรา
รออยู่ที่น”ี่
หลีถังถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่ค่อยสบาย
ใจเลย พี่เฟิง ต้าจงซือเท่าที่ได้ยินมาว่าต่างเป็น
เหมือนเทพ พวกเขาจะร้ายกาจแค่ไหนกัน
เชียว? หากเป็นอย่างที่เขาว่ากันมา คนของ
แปดพรรคสิบหกสานักคงจัดการพวกเขาไม่ได้
หรอก”
ฉีเฟิงคิด เขาพูดว่า “เรื่องบุกเขาเชียนอูหลิง
ครั้งนี้ ซีเหมินเสินโหวเป็นคนวางแผน หากไม่มี
ความมั่นใจ เขาก็คงไม่ส่งคนมากมายขนาดนั้น
ไปตายหรอกกระมัง ต่อให้เขาไม่สนใจความ
เป็นความตายของคนแปดพรรคสิบหกสานัก
คนของจวนเสินโหวมากขนาดนั้น เขาคงไม่มี
ทางไม่สนใจหรอก”
หลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ฟ้าก็เริ่มมืดลง
ฉีเฟิงเห็นว่าฉีหนิงยังไม่มาสักที พวกเขารู้เลยว่า
เขาเสียเวลาเปล่าไปอีกทั้งวัน ตอนนี้มีคนมา
เชิญพวกเขาไปกินข้าว พวกเขามาถึงถ้าเฮยเห
ยียน ต่างได้รับการต้อนรับอย่างดี คนของถ้า
เฮยเหยียนดูแลพวกเขาอย่างเป็นมิตร อาหาร
สามมื้อ แต่ละมื้อราวกับงานเลีย้ ง ทาให้พวก
เขาเริ่มเกรงใจเอามากๆ
จากบนเขาตามทางลงมา จะมีเส้นทางที่ตรงไป
ที่ถ้า ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังมาว่า “พวก
เจ้านี่สบายใจดีจริงๆ เลยนะ”
พวกเขาหันหน้ากลับมา เห็นมีคนกาลังยิ้มแล้ว
มองมาทางนี้ มีชาวเหมียวคนหนึ่งอยู่ด้านหน้า
กาลังนาทางเขามา เขาก็คือฉีหนิงนั่นเอง
พวกเขาเห็นหน้าฉีหนิง ก็ต่างตกใจด้วยความดี
ใจ ก็รีบเดินหน้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “ท่านโหว
น้อย ท่านกลับมาแล้ว”
พวกเขาเห็นฉีหนิงแบกของมา มีเสื้อคลุมสีดา
คลุมเอาไว้ ฉีเฟิงรีบพูดว่า “โหวเยว่ เอาให้ข้า
เถอะ” เขากาลังจะไปแตะ ฉีหนิงส่ายหน้าแล้ว
พูดว่า “ไม่ต้อง ข้าแบกเองดีกว่า ข้าต้องการ
พบปาเย่ลี่เดี๋ยวนี้ พาข้าไปที”
เจ้าถ้าเฮยเหยียนปาเย่ลี่ได้รับรายงานว่า โหว
น้อยกลับมาแล้ว ก็รีบออกจากห้อง เห็นฉีหนิง
เดินมา เขาไม่พูดอะไรมาก เดินขึ้นหน้าไป
คานับ แล้วพูดด้วยความซาบซึ้งใจว่า “โหวเยว่
ปาเย่ลี่.....ปาเย่ลี่ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณของ
ท่านอย่างไรดี ท่าน......”
ฉีหนิงส่ายหน้าพูดว่า “ท่านเจ้าถ้าปาเย่ลี่ ข้ามี
เรื่องจะหารือกับท่าน ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
ปาเย่ลี่เห็นฉีหนิงสีหน้าจริงจัง เขารู้ว่าเรื่องนี้
น่าจะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เขารีบพาฉีหนิงเข้าห้อง
ไป ฉีหนิงสั่งให้พวกของฉีเฟิงรออยู่ด้านนอก
เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาใกล้
ภายในห้องเหลือแค่ปาเย่ลี่กับฉีหนิง ฉีหนิงถึง
วางคนที่อยู่ด้านหลังลงกับพื้นอย่างระมัดระวัง
ปาเย่ลี่เขยิบเข้ามาใกล้ ฉีหนิงเปิดผ้าออกเล็ก
น้อย เขาเห็นภายในผ้าเป็นคนๆ หนึ่งนอนอยู่ สี
หน้าของเขาดูซีดเซียว ขยับตัวไม่ได้เลย ก็ไม่รู้
ว่าเป็นหรือตาย
“โหวน้อย นี่มัม......?”
“ท่านเจ้าถ้าปาเย่ลี่ ความสัมพันธ์ของถ้าเฮย
เหยียนกับจวนจิ่นอีโหวนั้นลึกซึ้งมาก” ฉีหนิง
พูดอย่างจริงจังว่า “ทั่วทั้งซีชวน ข้าเชื่อใจพวก
ท่านแค่สองคนเท่านั้น”
เหตุใดปาเย่ลี่จะฟังไม่เข้าใจ เขาพูดด้วยสีหน้า
จริงจังว่า “โหวเยว่ ถ้าเฮยเหยียนทั้งหกถ้า
สามารถรอดมาได้ เป็นเพราะท่านโหวเยว่ อีก
ทั้งโหวเยว่ยังช่วยชีวติ อีฝูไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นถ้า
เฮยเหยียนหรือว่าข้าปาเย่ลี่ ก็แทบจะทดแทน
บุญคุณของท่านไม่หมด หากท่านโหวเยว่มี
อะไรจะสั่ง พูดมาได้เลย ต่อให้ต้องบุกน้าลุยไฟ
ปาเย่ลี่ก็จะไม่ลังเลใจเลย”
ฉีหนิงเองก็ไม่พูดมาก เขาชี้ไปที่เซี่ยงไป๋อิ่งแล้ว
พูดว่า “เขาเป็นเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกับข้า
แต่ตอนนี้มีหลายคนอยากจะฆ่าเขา เขาบาด
เจ็บสาหัส ต้องรักษาอาการระยะยาว อาการ
ของเขาตอนนี้ ไม่สามารถเดินทางลาบากได้ ข้า
ไม่สามารถพาเขาไปจากซีชวนในตอนนี้ได้”
“ความหมายของโหวเยว่ข้าเข้าใจดี” ปาเย่ลี่พูด
ว่า “คนผูน้ ี้ท่านก็มอบให้ข้าดูแลเถอะ ข้าไม่รู้ว่า
เขาบาดเจ็บเพราะอะไร แต่ว่าข้าจะให้หมอยาที่
ดีที่สุดรักษาเขาเอง อีกทั้งข้ารับประกันได้เลย
ว่า จะไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ถ้าเฮยเหยียนโดย
เด็ดขาด”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 493 นุ่มนวลอ่อนโยน
ฉีหนิงยื่นมือไปตบบ่าทั้งสองข้างของปาเย่ลี่
แล้วพูดเบาๆ ว่า “หมอยาเชื่อใจได้หรือไม่?”
ปาเย่ลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “โหวเยว่วางใจได้ หลัง
จากทีต่ ามหมอยามาแล้ว ข้าจะให้เขาอยูข่ ้าง
กายของสหายท่านนีต้ ลอดเวลา ก่อนที่อาการ
ของสหายท่านนี้จะดีขึ้น หมอยาจะไม่ห่างตัว
เขาเด็ดขาด”
ฉีหนิงพยักหน้า ปาเย่ลี่เขยิบเข้าไปใกล้ แล้ว
มองเซี่ยงไป๋อิ่งอย่างละเอียด เขาถึงกับสะดุ้ง
ตกใจ จากนั้นก็ยื่นมือไปจับมือของเซี่ยงไป๋อิ่ง
มือของเขาอ่อนยวบราวกับงู ไม่มีแรง เขาหลุด
พูดออกมาว่า “ชีพจรของ......ของเขา......”
ผิวของเซี่ยงไป๋อิ่งหยาบมาก แต่ในตอนนี้ทั่วทั้ง
แขนของเขา มีแต่ชพี จรโผล่ออกมาจนแดงไป
หมด ถึงแม้วรยุทธ์ของปาเย่ลี่จะไม่ได้ร้ายกาจ
มาก แต่เขาก็รู้เรื่องชีพจรเป็นอย่างดี เขามอง
ครู่เดียว ก็รู้ทันทีว่าชีพจรของเขามีปัญหา
ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจังมาก เขาพูด
ว่า “เขาบาดเจ็บที่ชีพจร ไม่สามารถขยับตัวได้
เลย แม้แต่ใบไม้แผ่นเดียวก็หยิบจับไม่ได้”
ปาเย่ลี่พูดด้วยความตกใจว่า “ใครกันช่างโหด
ร้ายขนาดนี้?” เขาไม่รู้ว่ามันมาจากที่เซี่ยงไป๋อิ่ง
ใช้คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น พอพูดออกมา ก็รู้ตัวว่า
อาจจะพูดมากเกินไป เขาพูดว่า “โหวเยว่ ชาว
เหมียวเราเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ท่านไม่ตอ้ ง
กังวลไป พวกเราอาจจะมีทางช่วยเขาได้”
ฉีหนิงได้ฟงั ที่ปาเย่ลี่พูดปลอบใจ ก็ฝืนยิม้ แล้ว
พูดว่า “ที่ถ้าเฮยเหยียนคนพลุกพล่านมากเกิน
ไป ความปลอดภัยของคนๆ นี้ส้าคัญมาก ท่าน
เจ้าถ้้ามีสถานที่ลับ ที่ไม่มีคนรู้หรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งบาดเจ็บสาหัส ถึงแม้ฉีหนิงอยากจะ
พาเขาออกจากซีชวน แต่ว่าเส้นทางในซีชวนก็
เดินทางล้าบาก เพราะเป็นเส้นทางภูเขา และ
แม่น้า อาการของเซีย่ งไป๋อิ่งในตอนนี้ แทบจะ
เดินทางไปไหนไม่ได้ เขาเร่งเดินทางมาที่ถา้ เฮย
เหยียนภายในสองวัน อาการของเซี่ยงไป๋อิ่งก็
แย่มากแล้ว
หากเป็นคนอื่น บาดเจ็บขนาดนี้ คิดว่าไม่น่าจะ
ทนไหว แต่ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งฝึกวรยุทธ์มานานหลาย
ปี อีกทั้งวรยุทธ์ก็สูงมาก ชีพจรร่างกายของเขา
มันไม่เหมือนกับคนทั่วไปแล้ว
ทั่วทั้งซีชวน ฉีหนิงแทบไม่รู้จักใครเลย อีกทั้ง
ศัตรูก็มีมากกว่าด้วย
ต้าหนักอิ่งเฮ่อของลู่ซางเฮ่อ พรรคกระยาจก
สาขาซีชวนของผู้อาวุโสไป๋หู่ อีกทั้งกลุ่มคนที่อยู่
เบื้องหลังของฮวาเซียงหรงก็ยังเป็นปริศนาอยู่
ยังมีพวกของหลี่หงซิน่ อีก ไม่ว่าทางไหนก็เป็น
คู่ปรับของเขาทั้งนั้น คนพวกนีม้ ีรากฐานในซี
ชวนที่มั่นคง มีหูตามากมาย คิดอยากจะให้
เซี่ยงไป๋อิ่งปลอดภัย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เขาแอบพาเซี่ยงไป๋องิ่ มาที่ถ้าเฮยเหยียน เพราะ
เขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้ว เขาคิดว่าคนพวกนั้น
ไม่น่าจะคิดว่าถ้้าเฮยเหยียนจะเข้ามายุ่งเรือ่ งนี้
ได้ ดังนั้นต่อให้เซี่ยงไป๋อิ่งจะรักษาตัวอยู่ทนี่ ี่ ก็
ต้องหาที่ปลอดภัยให้เขา
ปาเย่ลี่คิด แล้วพูดว่า “โหวเยว่ สถานที่ลกึ ลับ
ในถ้้าเฮยเหยียน มันก็มีไม่น้อย แต่หากเป็นที่ที่
ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ คิดไปคิดมา คงมีแค่ที่
เดียวเท่านั้น”
“ที่ไหน?”
“ถ้้าบรรพชน”
“ถ้้าบรรพชน?” ฉีหนิงตะลึงไป
ปาเย่ลี่อธิบายต่อว่า “สถานที่ฝงั ศพของชาว
เหมียวเราไม่เหมือนกับของชาวฮั่น แม้แต่ชาว
เหมียวต่างเผ่าเองก็ไม่เหมือนกัน การฝังศพของ
ชาวฮวาเหมียวเราจะฝังในถ้้า น้าศพใส่โลงแล้ว
น้าเข้าไปวางในถ้้า จากนั้นทุกปีก็จะท้าการ
กราบไหว้บูชากันที่นอกถ้้า แต่ว่าจะไม่เข้าไปใน
ถ้้าโดยเด็ดขาด”
ฉีหนิงคิดในใจว่าถึงแม้ที่นั่นจะดูวังเวง ใครได้
ยินก็จะรู้สกึ ไม่ค่อยดีเท่านั้น แต่หากพูดถึงเรื่อง
ลึกลับแล้ว มันถือว่าเป็นสถานที่ที่ดีมากๆ เลย
“ท่านเจ้าถ้้า ในเมื่อถ้้าบรรพชนเป็นสถานที่พัก
ของเหล่าชาวเหมียวที่สิ้นชีพไปแล้ว พวกเรา
......พวกเราเข้าไปรบกวนแบบนั้น มันจะ......?”
ฉีหนิงฟังจากค้าพูดของปาเย่ลี่ แสดงว่าถ้้า
บรรพชนจะต้องเป็นสถานที่ศักดิ์ของเหล่าชาว
เหมียวมาก จะเข้าไปรบกวนไม่ได้ แอบคิดในใจ
ว่าหากน้าตัวเซี่ยงไป๋อิ่งไปรักษาตัวที่นั่น จะท้า
ให้ปาเย่ลี่ล้าบากใจหรือไม่
ปาเย่ลี่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่ช่วยถ้้าเฮย
เหยียนหกถ้้าเอาไว้ หากเหล่าบรรพชนได้รับรู้
ก็ต้องซาบซึ้งใจต่อท่านแน่นอน ตอนนี้ท่าน
เดือดร้อน พวกเขาเองก็ต้องช่วยเหลือเต็มที่
ต้องยอมรับปากแน่นอน”
ฉีหนิงรู้ว่าปาเย่ลี่แหกกฎของชาวเหมียวเพื่อเขา
เขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า
“ขอบคุณมาก”
“โหวเยว่เกรงใจเกินไปแล้ว” ปาเย่ลี่ลุกขึน้ มา
จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าประตู แล้วมองท้องฟ้า
เมื่อเห็นฟ้ามืดแล้ว ก็หันกลับมาพูดว่า “อีกหนึ่ง
ชั่วยาม คนในถ้้าก็จะเริ่มกลับไปพักกัน ถึงเวลา
นั้นข้ากับโหวเยว่สองคนก็พาสหายท่านนีไ้ ปที่
ถ้้าบรรพชนกัน ไม่มีใครรู้แน่นอน”
ฉีหนิงพยักหน้า คิดในใจว่ายังเหลือเวลาอีกหนึ่ง
ชั่วยาม เขาถามขึ้นมาว่า “อีฝูตอนนี้อยู่ที่ไหน
ข้าอยากไปเยี่ยมนาง” เขาดึงเสื้อคลุมสีด้าห่อ
ตัวเซี่ยงไป๋อิ่งเหมือนเดิม
ปาเย่ลี่พูดว่า “โหวเยว่เชิญตามข้ามา” เขาน้า
ทางฉีหนิงออกจากห้องมา ฉีหนิงสั่งให้พวกของ
ฉีเฟิงเฝ้าที่หน้าห้องเอาไว้ แล้วเดินตามปาเย่ลี่
ไปยังอาคารลอยฟ้าที่อยู่ไม่ไกลนัก ปาเย่ลี่พา
ฉีหนิงมาถึงด้านล่าง ภายในห้องเงียบมาก หน้า
ประตูห้องมีหญิงชาวเหมียวชราคนหนึ่งเฝ้าอยู่
เมื่อเห็นปาเย่ลี่มา นางก็ท้าความเคารพ ปาเย่ลี่
สั่งให้นางกลับไปก่อน จากนั้นถึงได้พูดกับฉีหนิง
ว่า “โหวเยว่ น้องหญิงอยู่ด้านในนี้ อาการ
บาดเจ็บดีขึ้นมากแล้ว ไม่ได้มีปญ ั หาอะไร
มากมาย”
ฉีหนิงโล่งใจ ปาเย่ลี่รตู้ ัวเลยขอตัวออกไปก่อน ฉี
หนิงเดินเข้ามาในห้อง ภายในเงียบมาก เขา
เห็นอีฝูก้าลังนอนห่มผ้าอยู่ที่แท่นหิน สาวชาว
เหมียวคนนี้เหมือนก้าลังหลับอยู่ ฉีหนิงค่อยๆ
เดินเข้าไปใกล้ เขานัง่ ขัดสมาธิลงข้างๆ ตัวนาง
ใบหน้าของอีฝูมีเลือดฝาดขึ้นมาแล้ว เหมือนจะ
ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เขามองไปที่ใบหน้าอัน
งดงาม ผิวพรรณที่เนียนนุ่ม ปากเล็กๆ ที่น่า
หลงใหลของนาง
ฉีหนิงเห็นนางเหมือนก้าลังยิ้มที่มุมปาก ราวกับ
ก้าลังฝันอยู่ ดูน่าเอ็นดูมาก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือ
ไป คิดอยากจะจับหน้าผากของนาง แต่ยังไม่
ทันแตะโดน ก็กังวลว่าเขาจะท้าให้นางตื่น เขา
ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เก็บมือกลับมา เขายิ้ม
แล้วมองไปที่อีฝู แล้วนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น
ทันใดนั้นเองก็เห็นอีฝูเหมือนขยับตา จากนั้น
เขาก็เห็นนางลืมตาขึ้นมา ภายในห้องสว่างมาก
อีฝูกะพริบตาสองที นางหันหน้ากลับมาก็เห็น
เงาของคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ นาง จึงตกใจ
ขึ้นมาทันที นางเห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งก้าลังยิ้ม
แล้วมองมาที่นาง สีหน้าของนางก็เริ่มเปลี่ยนไป
แต่ว่าพอเห็นชัดว่าเขาเป็นใคร นางก็ถึงกับ
สะดุ้ง ปากเล็กๆ ของนาง กลับพูดอะไรไม่ออก
เลย
ฉีหนิงยื่นมือไปจับมือของอีฝู แล้วพูดอย่าง
อ่อนโยนว่า “ตื่นแล้วหรือ? หรือว่ารู้ว่าข้า
กลับมา เลยตื่น?”
อีฝูจ้องหน้าฉีหนิงไม่กะพริบตาเลย นางเห็น
ชัดเจนแล้ว ดวงตาของนางก็เริม่ แดงก่้า
จากนั้นน้้าตาก็ไหลออกมา ฉีหนิงยื่นมือไปเช็ด
น้้าตาให้นาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ท้าไม
เห็นหน้าข้าแล้วร้องไห้แบบนีล้ ่ะ? พี่อีฝูของข้า
เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากเลยนะ ไม่ร้องไห้ง่าย
ขนาดนี้หรอกจริงหรือไม่?”
อีฝูลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นนางก็โผเข้ากอดฉีหนิง
น้้าตาของนางไหลพรากลงมา แล้วพูดว่า
“ท้าไมเจ้าถึงเพิ่งมา ท้าไมเจ้าถึงเพิ่งจะมา
ตอนนี้......”
ฉีหนิงโอบเอวของนาง แล้วตบหลังนางเบาๆ
แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “น้องชายสุดที่รักของ
เจ้าคนนี้มีเรื่องใหญ่ต้องไปท้า เสร็จงานแล้ว
เดิมทีก็อยากจะกางปีกแล้วบินมาหา แต่ว่าข้า
กางแขนเท่าไหร่ก็ไม่มีปีกออกมาเลย ข้าจน
ปัญญา ก็เลยต้องวิ่งมาแทน พี่อีฝู ท่านดูข้าสิ
ตอนนี้ข้าเหนื่อยจนไม่มีแรงเลยนะ จะกอดเจ้า
ยังกอดไม่ไหวเลย”
อีฝูร้องไห้ไปด้วยหัวเราะไปด้วย จากนั้นก็พูดว่า
“พูดเหลวไหล ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะวิ่งมา”
แต่นางก็ยงั ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้า
เหนื่อยหรือไม่? กินอะไรมาหรือยัง?”
“ก่อนหน้านี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว แต่ว่าพอเห็นหน้า
พี่อีฝูแล้ว ข้าก็สดชื่นขึ้นมาเลย ไม่รู้สึกว่าเหนื่อย
ว่าหิวเลย” ฉีหนิงใช้สองมือโอบกอดอีฝูเอาไว้
เขามองมาที่อีฝู น้้าตาของสาวงามมันเป็นของ
ล้้าค่า อีฝูเห็นเขายิ้มแล้วมองมาที่ตัวเอง ก็
เหมือนจะอาย นางพูดด้วยใบหน้าสีที่แดงเรื่อ
ว่า “เจ้า......เจ้ามองอะไร?”
“ข้าเร่งเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน ก็เพื่อมาพบหน้า
พี่อีฝูของข้า” ฉีหนิงพูดอย่างน้อยใจว่า “ท้าไม
พอข้ามาถึงแล้ว ถึงไม่ยอมให้ข้ามองแล้วล่ะ? พี่
อีฝู เจ้าบอกข้ามาตามตรง หลายวันมานีเ้ จ้า
คิดถึงข้าหรือไม่?”
อีฝูหน้าแดงมาก นางก้มหน้าแล้วพูดว่า “ไม่
ใคร......ใครจะไปคิดถึงเจ้า เจ้า......เจ้ามันคน
หลงตัวเอง”
“เฮ้อ......” ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “แต่
ว่าข้าคิดถึงพี่อีฝูของข้าทุกวันทุกเวลาเลยนะ ที่
แท้ข้าก็คิดไปเองคนเดียวหรือนี่ โอ้ย ข้าปวดใจ
มากเลย ตรงนี้......” เขาแกล้งท้าเป็นรู้สึกเจ็บ
อีฝูรู้ว่าเขาแกล้งท้า นางก็นึกข้า แต่ว่าได้พบ
หน้าเขา ในใจของนางก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่
ถูก นางยื่นมือไปจับหน้าของฉีหนิง สายตาของ
นางจ้องไปที่ดวงตาของฉีหนิง นางพูดด้วย
ความอ่อนโยนว่า “ข้า.....ข้าคิดถึงเจ้าทุกวัน
กลัวแต่เจ้า......เจ้าจะไม่รักษาค้าพูด”
ฉีหนิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เขากอดอีฝเู อาไว้ อีฝูก็
ซบอยู่ที่หัวไหล่ของฉีหนิง นางพูดว่า “เห็นเจ้า
กลับมาอย่างปลอดภัย ข้า......ข้าดีใจมาก”
“ข้าเห็นเจ้าปลอดภัย ข้าเองก็ดีใจเหมือนกัน”
ฉีหนิงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “แผลของเจ้าเป็น
อย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว” อีฝูพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็น
ห่วงหรอก”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่อีฝู ตอนพวกเราแยกกัน
ที่เมืองเฉิงตู ข้าให้ค้ามั่นสัญญากับเจ้าไว้ เจ้าจ้า
ได้หรือไม่?”
“จ้าได้ส”ิ ทั้งสองคนกอดกันอยู่ พวกเขาต่าง
รู้สึกถึงความอบอุ่นของอีกฝ่าย ไม่อยากแยก
ออกจากกันเลย อีฝพู ูดว่า “เจ้าบอกว่าพอเจ้า
กลับมา เจ้าจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับข้า”
ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเป็นชายหนุ่มคนจริงใจพึ่งพา
ได้ พูดค้าไหนค้านั้น ข้าเอาของขวัญมาให้เจ้า
แล้ว เจ้าจะต้องชอบมันแน่นอน”
อีฝูพูดอย่างแปลกใจ “ของขวัญอะไร?” นางไม่
เห็นว่าฉีหนิงจะถืออะไรมาเลย
ฉีหนิงกระซิบไปทีห่ ูของนาง แล้วพูดว่า “หลี่หง
ซิ่นท้าร้ายเจ้า ข้าไม่มที างปล่อยเขาไปแน่ เพียง
แต่ไม่มีโอกาสลงมือก้าจัดเขา ข้าก็เลยจัดการ
กับลูกชายของเขาแทน เขาท้าร้ายถ้้าเฮย
เหยียนของพวกเจ้ามาตลอด อีกทั้งอีกหลาย
ชีวิตที่หลี่หยวนติดค้างไว้ ข้าลงมือสังหารเขา
ด้วยตัวข้าเอง ต่อไปเขาจะก่อกรรมกับใครอีก
ไม่ได้แล้ว”
อีฝูถึงกับสะดุ้ง จากนัน้ ก็รีบพูดว่า “แล้ว......
แล้วเจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
“เจ้าเห็นข้าเป็นอะไรหรือ?” ฉีหนิงปล่อยอีฝู
แล้วกางแขนออก เขายิ้มแล้วพูดว่า “พี่อีฝู
ของขวัญชิน้ นี้เจ้าชอบหรือไม่?”
ชาวเหมียวรักจริงเกลียดจริง แยกแยะบุญคุณ
ความแค้นชัดเจน สู่ออ๋ งซื่อจื่อหลี่หยวนก่อ
กรรมท้าเข็ญมากมาย ถ้้าเฮยเหยียนถูกกดขี่
รังแกมาโดยตลอด อีกทั้งชาวถ้้าอีกหลายคน
ต้องสังเวยชีวิตด้วยน้า้ มือของหลี่หยวน ทั่วทั้ง
ถ้้าเฮยเหยียนเกลียดหลี่หยวนเข้ากระดูกด้า
ถึงแม้อยากจะอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ แค่ไหน
แต่เพราะคนของสู่ออ๋ งมีทั่วซีชวน ถ้้าเล็กๆ
อย่างถ้้าเฮยเหยียนจะไปก้าจัดเขาได้อย่างไร
อีฝูได้ยินว่าฉีหนิงสังหารหลี่หยวนได้ นางรู้สึกดี
ใจมาก ได้ระบายความแค้นที่ยิ่งใหญ่ออกไปได้
สักที แต่นางก็กังวลฉีหนิงจะโดนร่างแหไปด้วย
นางพูดเสียงเบาว่า “แล้ว......แล้วจะไม่ท้าให้
เจ้าเดือดร้อนใช่หรือไม่?”
อีฝูรู้ดีว่า ตระกูลฉีกับตระกูลหลีม่ ีความแค้นต่อ
กันมาก่อน แต่ด้วยนิสัยของฉีหนิง ยังไม่มคี วาม
รู้สึกถึงขึ้นจะไปลงมือฆ่าหลีห่ ยวนได้ ฉีหนิงลง
มือ ทั้งหมดก็เพราะนาง นางทัง้ ดีใจทั้งซาบซึ้ง
ใจ
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าท้าอะไรไม่มีใครจับได้
อยู่แล้ว ต่อให้พวกเขาจะสงสัย แต่ก็ไม่มี
หลักฐาน” สายตาของเขาดุดันมาก เขาพูดว่า
“หลี่หงซิ่นท้าให้เจ้าบาดเจ็บ ครั้งนี้ให้ลกู ชาย
ของเขามาชดใช้ หากมีโอกาส ข้าจะต้องลงมือ
ฆ่าหลี่หงซิ่นด้วยตัวข้าเอง” จากนั้นเขาก็ยิ้ม
แล้วพูดว่า “พี่อีฝู ข้ามอบของขวัญชิ้นโตให้กับ
เจ้า เจ้าไม่มีอะไรตอบแทนข้าหน่อยหรือ?”
ท้าไมอี๋ฟูจะไม่รู้ว่าฉีหนิงหมายความว่าอะไร
นางกัดปากเบา ๆ จากนั้นก็จับหน้าฉีหนิง แล้ว
ก็ใช้ปากของนางจูบไปที่ปากของฉีหนิง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 494 ถ้้ำบรรพชน
ฉีหนิงกับอีฝูอยู่กันตามลาพัง พวกเขาสองคน
หวานกันมาก ฉีหนิงเล่าเรื่องที่เขาไปสังหารหลี่
หยวนให้อีฝูฟังคร่าวๆ ช่วงเวลาแห่งความสุข
เหมือนจะผ่านไปเร็วมาก ขณะที่ทั้งคู่กาลังพูด
คุยกันอย่างสนุกสนาน ก็ได้ยินเสียงของปาเย่ลี่
ดังขึ้นมาว่า “โหวเยว่ ได้เวลาแล้ว”
อีฝูถามว่า “มีอะไรหรือไม่?”
“ไม่มีอะไร ข้ากับพี่ชายเจ้ามีเรื่องต้องคุยกันนิด
หน่อย” ฉีหนิงจับมือของอีฝเู อาไว้แล้วพูดว่า
“ไว้เสร็จเรือ่ งแล้ว ข้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า
นะ” เขายังไม่อยากให้อีฝูรู้อะไรมาก ไม่ใช่ว่า
เขากลัวอีฝูจะไปบอกใคร แต่หากอีฝูรู้ นางจะ
ต้องถามเขาแน่ มันจะทาให้เสียเวลาเปล่า
อีฝูก็ไม่ได้ถามอะไรมากความ เพราะคิดว่าฉี
หนิงเป็นถึงจิ่นอีโหว ปาเย่ลี่เป็นเจ้าถ้าเฮยเห
ยียน พวกเขาสองคนมีเรื่องหารือกัน มันไม่ใช่
เรื่องแปลกอะไร นางดึงมือของฉีหนิงเอาไว้
แล้วพูดว่า “เจ้า......เจ้ารีบกลับมานะ ข้าจะรอ
เจ้า” นางไม่อยากให้ฉีหนิงจากนางไปเลย
ฉีหนิงรู้ดีว่าเวลาผู้หญิงตกอยู่ในห้วงของความ
รักแล้ว นางก็จะเต็มไปด้วยความอ่อนโยน หาก
เป็นเมื่อก่อน อีฝูไม่มีทางเป็นแบบนี้แน่นอน
เขาจูบไปที่หน้าผากของอีฝูไปทีหนึ่ง จากนั้นจึง
เดินออกจากห้องไป
ที่เขาเฮยเหยียนตอนนี้เงียบมาก คนในถ้าต่างก็
พากันนอนเร็วมาก นอกจากคนที่คอยเดินตรวจ
ตราในยามวิกาลแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะเข้านอน
กันหมด อีกทั้งยังมองไม่เห็นแสงไฟด้วย
ฉีหนิงกับปาเย่ลี่กลับมาถึงอาคารของเขา ก็เห็น
ผู้เฒ่าชาวเหมียวคนหนึ่งอายุราวห้าสิบปีด้าน
หลังแบกตะกร้ากาลังยืนรออยู่ เมื่อเขาเห็น
ปาเย่ลี่เดินมา ก็ทาความเคารพ ปาเย่ลี่แนะนา
ว่า “โหวเยว่ นี่คือท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอหมอยาของ
ถ้าเราวิชาแพทย์ของเขาเก่งกาจมาก”
ฉีหนิงรู้ว่าน่าจะเป็นคนที่ปาเย่ลี่ไปตามมา เขา
เดินหน้าขึ้นไป แล้วคานับ “ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอ”
ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอได้ยินปาเย่ลี่เรียกฉีหนิงว่า
โหวเยว่ เหตุใดเขาจะไม่รู้จัก เขารีบทาความ
เคารพทันที “โหวเยว่เป็นผู้มีพระคุณของถ้าเฮย
เหยียน พวกเราระลึกถึงบุญคุณของท่านเสมอ”
ฉีหนิงยิ้ม ทั้งสามเดินเข้าไปในห้อง ปาเย่ลี่เล่า
รายละเอียดคร่าวๆ ให้ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอฟัง
เบาๆ ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอรีบพูดว่า “ท่านเจ้าถ้า
วางใจได้ เจ๋อเกอเข้าใจดี ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะไม่
ไปไหนเลย” เขาเดินเข้าไปใกล้ แล้วเปิดผ้าคลุม
ออก เขามองไปทีเ่ ซี่ยงไป๋อิ่ง เห็นสีหน้าของ
เซี่ยงไป๋อิ่งแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็เปิด
ปากของเซี่ยงไป๋อิ่ง แล้วหยิบไม้ไผ่ยาวออกมา
แล้วยัดไปที่ใต้ลิ้นของเซี่ยงไป๋อิ่ง จากนั้นก็ดึง
ออกมาดู สีหน้าของเขาจริงจังมาก เขาพูดว่า
“เขาบาดเจ็บหนักมาก ชีพจรเสียหายอย่าง
รุนแรง ข้ารักษาชีพจรของเขาไม่ได้ แต่สามารถ
ให้เขามีชีวิตต่อไปได้”
ฉีหนิงเองก็รู้ดี ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอวิชาแพทย์
สูงส่ง ก็ไม่อาจจะรักษาเซี่ยงไป๋อิ่งให้หาย
เหมือนเดิมได้ แต่ว่าสามารถให้เขามีชีวิตต่อไป
ได้ มันก็ดีมากแล้ว เขายกมือคานับแล้วพูดว่า
“รบกวนท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอแล้ว”
ปาเย่ลี่พูดว่า “อย่าเสียเวลาอีกเลยพวกเรารีบ
ไปที่ถ้าบรรพชนดีกว่า” เขาหยิบเชือกเถาวัลย์
มา ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปทาอะไร
ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอแบกตะกร้าของเขา ส่วนฉี
หนิงเองก็แบกเซี่ยงไป๋อิ่ง และปาเย่ลี่ก็นาทางไป
เมื่อออกมาจากห้อง ฉีหนิงก็สั่งว่า “ฉีเฟิง พวก
เจ้ารออยู่ที่นี่นะ อย่าไปไหน” เขาไม่ได้อธิบาย
อะไรมาก แล้วเดินตามปาเย่ลี่ขึ้นเขาไป
ปาเย่ลี่นาทางไป ฉีหนิงเดินตามหลังปาเย่ลี่
ส่วนท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอก็เดินอยู่ท้ายสุด เริม่ แรก
ยังพอจะเห็นถนนหนทางบ้าง แต่พอเดินไป
เรื่อยๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ถนนก็เริ่มแคบลง เมื่อ
เดินไปจนถึงยอดเขา ก็ไม่มีทางเดินอีกแล้ว เดิน
ต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ก็มาถึงริมหน้าผา
ฉีหนิงมองไปรอบๆ เขาก็รู้สกึ แปลกใจ ปาเย่ลี่
เดินไปที่ริมหน้าผา เห็นฉีหนิงมองไปอย่าง
แปลกใจ เขาเลยอธิบายว่า “โหวเยว่ ถ้าบรรพ
ชนอยู่ที่ถ้าที่ยื่นออกมาจากหน้าผา พวกเรา
จะต้องใช้เถาวัลย์โรยตัวลงไป” เขาใช้เถาวัลย์
ผูกกับหินริมหน้าผา จากนั้นก็กระตุกเชือกให้
มั่นใจว่าแน่นแล้ว “ข้าจะลงไปก่อน โหวเยว่ผูก
สหายท่านนี้ให้ดี ข้าจะลงไปรอรับด้านล่าง”
ฉีหนิงเข้าใจขึ้นมาทันที ที่แท้ถ้าบรรพชนก็อยู่
ในที่ลึกลับแบบนี้นี่เอง
ปาเย่ลี่โรยตัวลงไปตามเชือก หลังจากนั้นไม่
นาน ก็เห็นเชือกมีความเคลื่อนไหว ฉีหนิงรู้ว่า
ปาเย่ลี่น่าจะถึงถ้าบรรพชนแล้ว เขาดึงเชือก
ขึ้นมา แล้วมัดเซี่ยงไป๋อิ่งเอาไว้กับเชือก จากนั้น
ก็ค่อยๆ ปล่อยตัวเขาลงไป ไม่นานนัก เขาก็
รู้สึกว่าเหมือนเชือกจะตึง เขารู้ทันทีว่าปาเย่ลี่
น่าจะรับตัวเขาไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นานนัก
เชือกก็สั่นอีกครั้ง ฉีหนิงบอกให้ท่านผู้เฒ่าเจ๋อ
เกอลงไปก่อน
ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอถึงแม้จะอายุเกินครึ่งร้อยไป
แล้ว แต่ว่าร่างกายของเขายังแข็งแรงมาก ไม่
นานนัก เขาก็ลงมาด้านล่างอย่างรวดเร็ว ฉีหนิง
จับเชือกเถาวัลย์เอาไว้ แล้วก็ลงตามไปเป็นคน
สุดท้าย ถ้าอยู่ห่างจากหน้าผาประมาณสามถึงสี่
เมตร ปาเย่ลี่ช่วยรับตัวฉีหนิงมา จากนั้นฉีหนิงก็
เข้ามาภายในถ้า ก็รู้สกึ ถึงอากาศที่เย็นยะเยือก
อยู่ภายในถ้าแห่งนี้
ปาเย่ลี่แบกตัวเซี่ยงไป๋อิ่งด้วยตัวเอง ท่านผู้เฒ่า
เจ๋อเกอถือไฟเอาไว้ในมือ ทั้งสามเดินเข้าไปใน
ถ้าพร้อมกัน เห็นเส้นทางในถ้านั้น คดไปเลี้ยว
มา เดินไปไม่ถึงยี่สิบก้าว หันกลับมาอีกทีก็ไม่
เห็นปากถ้าแล้ว
พวกเขาเดินเข้าไปอีกประมาณสิบก้าว ฉีหนิงก็
เห็นว่าด้านหน้าเริ่มมีโลงศพตั้งอยู่สองข้างทาง
เขารู้ทันทีว่าน่าจะขุดเลาะถ้านีข้ ึ้นมา เพื่อวาง
โลงศพ
เดินไปอีกระยะหนึ่ง เริ่มมีโลงศพวางเรียงราย
นับสิบโลงอยู่ภายในถ้า บรรยากาศวังเวงมาก
ฉีหนิงรู้ดีว่าหากปาเย่ลี่ไม่หวังดี คงไม่มีทางเข้า
มาในนี้แน่ เดินไปอีกระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึง
ห้องหินขนาดใหญ่ ตรงกลางมีโลงศพขนาด
ใหญ่ตั้งอยู่ ปาเย่ลี่ค่อยๆ วางเซี่ยงไป๋อิ่งลง จาก
นั้นก็คุกเข่าลงคานับโลงใหญ่ ท่านผู้เฒ่าเจ๋อ
เกอวางตะกร้าของเขาลงแล้วก็คุกเข่าลงเช่นกัน
ฉีหนิงรูว้ ่าคนที่อยู่ในโลงใหญ่นี้ไม่น่าจะใช่คน
ธรรมดาทั่วไป เขาเองก็คุกเข่าลงกราบไหว้
เช่นกัน
ปาเย่ลี่ลุกขึ้นมา แล้วอธิบายว่า “นี่คือท่านเหล่า
เซียนของถ้าเฮยเหยียน ท่านเป็นคนพาคนใน
เผ่ามาตั้งรกรากที่เขาเฮยเหยียนแห่งนี้”
ฉีหนิงพยักหน้า ปาเย่ลี่พูดว่า “ที่นี่เป็นที่ลกึ ลับ
ที่สุดของพวกเรา ไม่มีใครมาเจอแน่นอน ตั้งแต่
วันนี้เป็นต้นไปท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอก็จะเฝ้าอยู่ที่นี่
ข้าจะเป็นคนมาส่งอาหารกับยาที่ต้องใช้ด้วยตัว
ข้าเอง โหวเยว่ท่านไม่ต้องเป็นกังวล”
บรรยากาศในถ้าบรรพชนวังเวงมาก แต่ว่าฉี
หนิงกลับรู้สึกอุ่นใจ เขาพูดด้วยความซาบซึ้งใจ
มาก “ท่านเจ้าถ้า ครั้งนี้ลาบากท่านแล้ว”
“โหวเยว่อย่าพูดแบบนี้” ปาเย่ลี่หันไปมองท่าน
ผู้เฒ่าเจ๋อเกอ แล้วถามว่า “ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอ
อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น จะมีผลร้ายต่อสหาย
ท่านนี้หรือไม่?”
ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อาการ
ของเขา อากาศหนาวเย็นแบบนี้เป็นผลดีกับเขา
มาก ชีพจรของเขาเสียหาย อากาศยิ่งหนาว
เลือดลมจะเดินได้ช้า มันเป็นผลดีต่อการรักษา
อาการของเขา แต่ว่าต้องใช้สมุนไพรจานวน
มากอยู่ แล้วก็ต้องค่อยๆ พักฟืน้ ”
“รบกวนท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอแล้ว” ฉีหนิงพูด
อย่างซาบซึ้งใจอีก เขาแอบคิดในใจว่าให้เซี่ยง
ไป๋อิ่งอยู่ทนี่ ี่ มันปลอดภัยที่สุดแล้ว ลู่ซางเฮ่อต่อ
ให้ชั่วช้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางคิดได้หรอกว่าเซี่ยง
ไป๋อิ่งจะซ่อนตัวอยู่ที่ถ้าเฮยเหยียน
“โหวเยว่ ข้าจะไปเอาผ้าห่มกับอาหารมา”
ปาเย่ลี่พูดว่า “ท่านรออยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ หากมี
อะไร ท่านก็บอกท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอได้เลย” เขา
คานับ แล้วก็ออกไป
ฉีหนิงรู้ว่าปาเย่ลี่เป็นคนแยกแยะบุญคุณ
ความแค้น เขาทาอะไรเด็ดขาดรวดเร็ว ไม่พูด
มาก
เมื่อปาเย่ลี่ออกไปแล้ว ท่านผูเ้ ฒ่าเจ๋อเกอก็หยิบ
สมุนไพรออกมาจากตะกร้าของเขา จากนั้นก็ใช้
ก้อนหินบดจนน้าออกมา จากนั้นก็ป้อน
ให้กับเซี่ยงไป๋อิ่ง ทาอย่างนี้อยู่สามครั้ง ท่านผู้
เฒ่าเจ๋อเกอถึงหยุด ฉีหนิงรู้ว่าสมุนไพรนี่น่าจะ
เป็นผลดีกับเซี่ยงไป๋องิ่ เขาหันไปยิ้มให้ท่านผู้
เฒ่าเจ๋อเกอ ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงเซี่ยงไป๋
อิ่งไอขึ้นมา เสียงไอของเขาไร้เรี่ยวแรงมาก
ท่านผู้เฒ่าเจ๋อเกอพูดว่า “อย่าให้เขาพูดอะไร
มากนะ” จากนั้นเขาก็ถอยออกไป
ฉีหนิงรีบไปพยุงเซี่ยงไป๋อิ่งนั่งขึน้ มา จากนั้นก็
ลูบหลังให้เขาเบาๆ
เซี่ยงไป๋อิ่งไออยู่ระยะหนึ่ง แล้วก็หยุด เขา
ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นฉีหนิง จึงฝืนยิ้ม
เล็กน้อย แล้วพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เด็กดี
เจ้า.....เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้อีกแล้ว......”
“ท่านอาเซี่ยง ท่านอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ข้าให้
หมอดูอาการท่านแล้ว เขารักษาท่านได้”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีข้า
คิดจะใช้คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นกาจัดเจ้าสารเลว
ไป๋......ไป๋หู่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาซ้อนแผน
ไป๋หู่เข้าพรรคมานานกว่าสามสิบปี เขาไม่พอใจ
ข้า ข้าเองก็รู้ดี เพียงแต่......เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึง
ว่าเขาจะกล้าทรยศ......” เขาไอขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านอาเซี่ยง ไป๋หู่เขาไม่กล้าขนาดนั้นหรอก
จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเขาแน่นอน” ฉีหนิงพูด
ต่อว่า “เขาจะต้องมีคนหนุนหลังเขาอยู่แน่ เขา
ถึงกล้าลงมือกับท่านแบบนี้ ส่วนลู่ซางเฮ่อ เขา
เองก็ไม่ได้มีความสามารถมากพอจะหนุนหลัง
ใครเขาได้”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้า แล้วพูดว่า “พรรค
กระยาจกสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ก็เพื่อ
ช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจนไม่ให้ต้องถูกรังแก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราก็.....ก็ไม่เคยรังแก
หรือเอาเปรียบใครก่อน ในวันนี้พรรคกระยาจก
ได้เป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว มีคนใน
พรรคมากกว่าแสนคน ยอดฝีมอื มีมากมายนับ
ไม่ถ้วน ข้ากังวลว่า......กังวลว่าหากไป๋หู่ช่วงชิง
ตาแหน่งไปได้ เขาจะอาศัยพรรคกระยาจก
สร้างความวุ่นวาย ไม่เพียงใต้หล้าจะไม่สงบ แม้
แต่.....แม้แต่พรรคกระยาจกเองก็จะถูกเขา
ทาลายไปด้วย......”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง ท่าน
หมายความว่าไป๋หู่คดิ จะใช้พรรคกระยาจกก่อ
ความวุ่นวายอย่างนั้นหรือ?”
“ไป๋หู่ไม่ได้มีความสามารถกับแผนการขนาดนั้น
หรอก” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ความสามารถของ
เขาก็ธรรมดาทั่วไป หากอาศัยแค่ตัวเขา ก็ไม่
......ไม่มีทางทาได้หรอก ผู้อาวุโสทั้งสี่ของพรรค
กระยาจก ชิงหลงเป็นคนที่มีความสามารถมาก
ที่สุด แต่วา่ เขาเป็นคนใจร้อนมุทะลุมากที่สุด จู
เชวี่ยเป็นคนเจ้าแผนการ แต่......แต่เขาใจอ่อน
เกินไปทาการใหญ่ไม่ได้ มีเพียงแค่......แค่เสวียน
อู่เท่านั้นที่เก่งทั้งสองด้าน ความคิดรอบคอบ
เดิมทีเขาเป็นคนที่เหมาะสมทีจ่ ะสืบทอด
ตาแหน่งมากที่สุด......”
“แล้วผู้อาวุโสเสวียนอู่ภักดีกับท่านหรือไม่?” ฉี
หนิงถาม “หากเชื่อถือได้ ข้าจะไปหาเขา แล้ว
เล่าความจริงให้เขาฟัง ให้เขาคุม้ ครองท่าน”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้า แล้วพูดว่า “เสวียนอู่กับไป๋
หู๋ไม่ถูกกัน เขา......เขาสองคนมีพวกที่แบ่งเป็น
สองฝ่ายฝั่งละกว่าแสนคน หากบอกเรื่องนี้กับ
เขาไป พรรคกระยาจกจะต้องแตกแยก ภายใน
พรรคก็จะวุ่นวายทันที......”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง เรื่องภายในพรรค
กระยาจก ข้าไม่รเู้ รื่องหรอก ต่อไปจะทา
อย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาหยุดพูด
จากนั้นก็พดู ว่า “ตอนนี้ท่านควรจะพักรักษาตัว
ให้ดีก่อน หลังจากฟื้นฟูแล้ว ค่อยว่ากันดีกว่า
นะ”
“ถึงแม้นิสัยของข้าจะไม่ค่อยดีนัก หลายเรื่องก็
ปลงได้มาก แต่ว่า......แต่ว่าครั้งนี้คงไม่มีโอกาส
แล้ว” เสียงของเซี่ยงไป๋อิ่งอ่อนลง เขาพูดอย่าง
เศร้าใจว่า “ข้าคิดว่าข้าจะมองใจคนออก ไม่ว่า
เรื่องอะไรข้าก็สามารถควบคุมมันได้ ข้าจริงใจ
คบหากับทุกคนเสมอ ใครจะคิด......สุดท้ายจะ
มาตายแบบนี้ เด็กดี ต่อไปเจ้าต้องจาเอาไว้ให้ดี
ใจคนยากแท้หยั่งถึง อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ อีก”
ฉีหนิงรู้ดีว่าลู่ซางเฮ่อแทงข้างหลังเขาแบบนี้ มัน
ทาให้เซี่ยงไป๋อิ่งใจสลายถึงกับหมดหวัง เขาพูด
ปลอบใจว่า “ท่านอาเซี่ยง ลู่ซางเฮ่อเป็นคนต่า
ช้า อย่าไปสนใจเขาเลย ข้าจะต้องหาทางฉีกเขา
เป็นชิ้นๆ แน่ ให้เขาตายโดยไร้ที่ฝังไปเลย”
เซี่ยงไป๋อิ่งถอนหายใจ แล้วพูดว่า “กับดัก
เบื้องหลังนี่จะต้องมีกับดัก มันเป็นแผนร้าย......
ไป๋หู่ไม่มีทางมีความสามารถแบบนี้ได้ แต่ว่า
คนร้ายตัวจริงต้องการยืมมือของไป๋หู่ควบคุม
พรรคกระยาจก ให้พรรคกระยาจกมาเป็น
เครื่องมือของพวกเขา เรื่องนี้......เรื่องนี้
อันตรายมากกว่า หากพวกเขาสมหวัง ผล.......
ผลที่ตามมาข้าแทบไม่อยากคิดเลย”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 495 ไหว้วาน
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านอาเซี่ยง ท่าน
พอจะเดาได้หรือไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
เป็นใครกัน? คนพวกนี้คิดจะทาอะไรกันแน่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถึงแม้ข้าจะเชื่อ
ว่าไป๋หู่ถูกหลอกใช้ แต่ว่าคนทีอ่ ยู่เบื้องหลังเขา
คิดจะทาอะไร ข้าคิดไม่ออกเลย” เขาหยุดไป
แล้วพูดขึ้นมาว่า “ไป๋หู่เป็นผู้อาวุโสของพรรค
กระยาจก ตาแหน่งในยุทธภพของเขาก็ไม่ได้ต่า
ต้อย เจ้าสานักกับประมุขพรรคทั่วไป แทบจะ
ไม่ได้อยู่ในสายตาของไป๋หู่เลย ทาให้...ทาให้ไป๋
หู่ยอมเชื่อฟังได้ อีกฝ่ายไม่เพียง...ไม่เพียงต้องมี
อะไรดึงดูดใจไป๋หู่อีกทั้งยังมีข้อเสนอที่ดีในการ
ให้เขาทรยศได้ ฐานะของคนผู้นั้นต้องไม่
ธรรมดาแน่ ไม่อย่างนั้นไป๋หู่ไม่มีทางกล้าเสี่ยง
แบบนี้แน่”
“ตาแหน่งสูง?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ใน
ยุทธภพ ยังมีคนที่ฐานะสูงกว่าผู้อาวุโสพรรค
กระยาจก คิดว่ามีไม่กี่คน นอกจากเหล่า
ประมุขกับเจ้าสานักในแปดพรรคสิบหกสานัก
แล้ว ยังมีไม่กี่คนที่พอจะเป็นไปได้”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดเรื่องพวกนี้ ท่าทางของเขาก็ดู
อ่อนล้ามากแล้ว
ชีพจรของเขาเสียหายมาก แทบจะไม่มีแรงจะ
ทาอะไรเลย เขาอ่อนแอกว่าคนปกติเสียอีก ฉี
หนิงเห็นเขาอ่อนเพลียมาก จึงรีบพูดว่า “ท่าน
อาเซี่ยง ท่านอย่าพูดอีกเลยนะ ท่านพักก่อน
เถอะ จริงสิ ที่นี่ปลอดภัยมาก ไม่ต้องห่วงว่าจะ
มีใครตามมาเจอ”
“เฮ้อ คิดไม่ถึงตลอดยี่สิบปีที่ข้าเซี่ยงไป๋อิ่งท่อง
ยุทธภพมา วันนี้จะตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจาก
หมาอย่างนี้” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดเยาะเย้ยตัวเอง
“เด็กดี ข้าเป็นเหมือนคนพิการแล้ว แต่ว่ามีสอง
เรื่อง ที่ข้าอยากจะให้เจ้าไปทาให้ข้าหน่อย”
“ท่านอาเซี่ยงมีอะไรพูดมาได้เลย” ฉีหนิงรีบพูด
ว่า “ต่อให้ต้องบุกน้าลุยไฟ ข้าจะทาจนสาเร็จ
ให้ได้”
เดิมทีฉีหนิงก็เป็นคนเห็นค่าความสัมพันธ์อยู่
แล้ว เซี่ยงไป๋อิ่งประสบเหตุร้ายทาให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลง ในใจของเขาทั้งเสียใจและก็เห็น
ใจ ได้ยินเขาจะฝากฝังสองเรื่อง เขาคิดว่าหาก
ไม่ใช่ว่าไม่มีทางเลือก เซี่ยงไป๋อิ่งไม่มีทางขอร้อง
คนอื่นแบบนี้แน่นอน
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้มอย่างชื่นชม แล้วพูดว่า “เรื่องแรก
เจ้า...เจ้าไปที่วัดต้ากวงหมิง ไป...ไปหาคงฉางไต้
ซือ...”
“เจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิงคงฉางไต้ซือ?” ฉีหนิง
ตกใจ คิดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะรู้จักกันด้วย? แต่
ว่าพอนึกได้ว่า ถึงแม้วัดต้ากวงหมิงจะเป็นวัด
หลวง แต่ว่าก็มีฐานะในยุทธภพอยู่ไม่น้อยเลย
อีกทั้งวัดต้ากวงหมิงยังเป็นผู้นาทางศาสนา
ดูแลวัดทั่วทั้งใต้หล้า ชื่อเสียงไม่ได้ด้อยไปกว่า
พรรคกระยาจกเลย
คงฉางไต้ซือเป็นเจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิง เซี่ยง
ไป๋อิ่งเป็นประมุขพรรคกระยาจก ทั้งสองคน
เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ จะรู้จักกัน ก็
ไม่ใช่เรื่องแปลก
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เจ้าเคยเป็นศิษย์ของวัด ไป
ขอ...ขอพบคงฉางไต้ซือได้”
“ได้” ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง
พอพบคงฉางไต้ซือแล้ว ให้ข้าบอกอะไรเขา”
เขาเหมือนคิดอะไรขึน้ มาได้ เขารีบพูดว่า
“ท่านอาเซี่ยงท่านจะให้ข้าไปแจ้งคงฉานไต้ซือ
ให้เขาส่งคนมารับท่านหรือ คนของวัดต้ากวง
หมิงเยอะแยะมากมาย หากไปพักฟื้นที่นนั่ ไม่มี
ใครกล้าเข้าใกล้แน่นอน”
เซี่ยงไป๋อิ่งยิ้ม แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้ากลัวตาย
อย่างนั้นหรือ? ข้าเป็นคนพิการไปแล้ว ชีวิตข้า
มันไม่สาคัญอีกแล้ว” เขามีสีหน้าจริงจังขึ้น
มาแล้วพูดว่า “เด็กดี เจ้าเขยิบเข้ามาใกล้ๆ”
เขาคิดจะขยับตัว แต่ว่าเขาทาไม่ได้
ฉีหนิงเอียงหูเข้าไปใกล้ เซี่ยงไป๋อิ่งกระซิบ แล้ว
พูดว่า “ตอนที่เจ้าไปหาคงฉางไต้ซือ บอกเขา
ตามนี้ เขาก็จะให้เจ้าเข้าพบ”
“แล้วหลังจากที่ได้พบแล้วล่ะ?” ฉีหนิงถาม
“ต้องบอกที่อยู่ของท่านให้คงฉานไต้ซือรู้
หรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ห้ามบอกใคร
เด็ดขาด ถึงแม้ข้าจะกลายเป็นคนพิการไปแล้ว
แต่หากตกไปอยู่ในมือของใคร มันก็ยังต้องเกิด
ความวุ่นวายแน่ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ตอนนี้
อยู่ที่นี่ไปก่อนดีที่สดุ ” เขามองไปที่โลงที่ใหญ่
ที่สุดที่อยู่ตรงกลาง เขายิ้มแล้วพูดว่า “พวกเรา
อยู่ในถ้าบรรพชนของถ้าเฮยเหยียนหรือ?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาไม่ได้บอกเซี่ยงไป๋อิ่งเลยว่า
ตอนนี้อยู่ที่ไหน เซี่ยงไป๋อิ่งฉลาดมาก มอง
ทีเดียวก็รู้เลย
“มีแค่ชาวฮวาเหมียวเท่านั้นที่จะมีถ้าบรรพชน
แบบนี”้ เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ความสัมพันธ์ของ
เจ้ากับถ้าเฮยเหยียนแน่นแฟ้นมาก ก็คงมีเพียง
ที่นี่เท่านั้นที่เจ้าจะมาได้”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง ขนาดท่านยังเดา
ออกเลยว่าข้าจะมาทีน่ ี่ แล้วคนพวกนั้น...”
“พวกเขาอาจจะสงสัย แต่ไม่มีทางคิดได้หรอ
กว่าข้าจะซ่อนตัวอยู่ในถ้าบรรพชน” เซี่ยงไป๋
อิ่งพูดว่า “ตอนนี้ที่นี่ถือว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว”
เขาหยุดไป แล้วพูดต่อว่า “เจ้าแค่บอกท่านคง
ฉางไต้ซือว่า ข้าถูกคนชั่วทาร้าย ที่ตกลงกับเขา
เอาไว้ เกรงว่าจะไม่สามารถทาได้แล้ว”
“ที่ตกลงเอาไว้?” ฉีหนิงอึ้งไป เขาแอบคิดในใจ
ว่าประมุขพรรคกระยาจกกับเจ้าอาวาส
วัดต้ากวงหมิงจะมีข้อตกลงอะไรกันนะ?
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เจ้าไม่จาเป็นต้องรู้หรอกว่า
มันคืออะไร มันดีต่อตัวเจ้าเอง”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเซี่ยงวางใจได้ หลังจาก
กลับไปที่เมืองหลวงแล้ว ข้าจะรีบไปหาท่านคง
ฉางไต้ซือทันที แล้วบอกเรื่องที่ท่านไหว้วาน ใน
เมื่อเขาเป็นเจ้าอาวาสของวัดต้ากวงหมิง เขาก็
น่าจะเป็นคนมีคุณธรรม ถึงเวลานั้นข้าจะเล่า
เรื่องของลู่ซางเฮ่อกับไป๋หู่ให้ท่านฟัง...”
เซี่ยงไป๋อิ่งรีบพูดว่า “ไม่ต้องพูดอะไรมาก แล้ว
ก็ห้ามพูดถึงไป๋หู่กับลูซ่ างเฮ่อเด็ดขาด”
ฉีหนิงตะลึงไป เห็นเซี่ยงไป๋อิ่งสีหน้าเคร่งเครียด
มาก คิดในใจว่าในเมื่อเขากับคงฉานไต้ซือรู้จัก
กัน คงฉานไต้ซือเป็นคนในฝ่ายธรรมะ หากเข้า
มาช่วยเรื่องนี้ ลู่ซางเฮ่อกับไป๋หู่ก็ไม่มีทางต้าน
ได้แน่นอน
แต่เขาก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ ไป๋หู่เป็น
คนทรยศของพรรคกระยาจก ลู่ซางเฮ่อกับเซี่ยง
ไป๋อิ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ถึงแม้เซีย่ งไป๋อิ่ง
จะสูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมด แต่ว่าเขาก็คงไม่
อยากให้วัดต้ากวงหมิงเข้ามาแทรกแซงเรื่อง
ภายในของพรรคกระยาจก ส่วนความแค้น
ส่วนตัวของเขากับลู่ซางเฮ่อ เขาก็ไม่อยากให้คน
ของวัดต้ากวงหมิงมายุ่งเหมือนกัน
“ท่านอาเซี่ยง ท่านวางใจได้ ข้าจะไม่พูดอะไร
มาก” ฉีหนิงเข้าใจความหมายของเซี่ยงไป๋อิ่ง
เขารีบพูดว่า “นอกจากเรื่องนี้ ยังมีเรื่องอะไร
อีกหรือไม่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้พูดในทันที เขานิ่งอยู่นาน แล้ว
พูดว่า “เรื่องนี้อาจจะลาบากใจเจ้าหน่อย...”
“ท่านอาเซี่ยง ท่านมีอะไรก็พดู มาได้เลย” ฉี
หนิงพูดว่า “ขอแค่ข้าทาให้ได้ ข้าจะทาให้ ต่อ
ให้ทาไม่ได้ ข้าก็จะช่วยหาวิธีแก้ไขให้”
เซี่ยงไป๋อิ่งลังเล แล้วถึงพูดว่า “เดือนหกวันที่
สิบแปด ที่กู่หลงจงเมืองเซียงหยาง พรรค
กระยาจกจะจัดงานชุมนุมชิงมู่ขึ้น ผู้อาวุโสทั้งสี่
กับเหล่าผู้นาของทั้งยี่สิบแปดสาขา จะมา
รวมตัวกันที่กู่หลงจง ผู้นาจากทั้งสี่ภาค ก็มักจะ
มีเรื่องผิดใจกันตลอด งานชุมนุมชิงมู่มันคือการ
ตกรางวัลแล้วก็ลงโทษใหญ่ของพรรค ทุกคน
สามารถพูดอะไรก็ได้ นอกจากนี้ยังจะมีการ
คัดเลือกคนที่ไว้วางใจใหม่ๆ ขึน้ มาด้วย”
“กู่หลงจง?”
เซี่ยงไป๋อิ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า “งานชุมนุมชิงมู่
สามปีจัดขึ้นหนึ่งครั้ง แต่ละครั้งมักจะมีปญ
ั หา
ไม่มากก็น้อย แต่ว่าก็ไม่เคยกลายเป็นปัญหา
ใหญ่โตเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ว่าในงานครั้งนี้
พวกของไป๋หู่จะต้องก่อเรื่องใหญ่โตแน่นอน
หากพวกเขาทาสาเร็จ ผลที่ตามมาไม่อยากจะ
นึกเลย”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง ไป๋หู่
ถึงแม้จะเป็นคนทรยศ แต่ยังมีผู้อาวุโสอีกสาม
ท่าน พวกเขาไม่มีทางยอมให้ไป๋หู่ได้ตาแหน่ง
ประมุขพรรคไปได้แน่นอน”
“ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกไปแล้ว จูเชวี่ยเขาเป็นคน
ไม่เด็ดขาด ไป๋หู่มีคนคอยหนุนหลัง หากเขาทา
สาเร็จ จูเชวี่ยก็อาจจะไม่กล้าทักท้วงอะไร วร
ยุทธ์ของชิงหลงถึงจะดี แต่ว่าเขาเป็นคนพูดตรง
ใจร้อน เป็นผู้นาฝั่งตะวันออกเจ็ดสาขาก็จริง
แต่เขาเองก็ทาอะไรที่ไม่ควรทาไว้มาก อย่างไร
ไป๋หู่ก็ต้องเอาจุดนีม้ าเป็นประโยชน์แน่” เซี่ยง
ไป๋อิ่งสีหน้าเคร่งเครียดแล้วพูดว่า “เสวียนอู่
ถึงแม้จะทาอะไรรอบคอบ มีทั้งกาลังและ
อานาจมากพอที่จะสูก้ ับไป๋หู่ได้ แต่ว่าอายุเขา
ยังน้อย ประสบการณ์ในพรรคกระยาจกของ
เขาเทียบกับไป๋หไู่ ม่ได้เลย”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “จูเชวี่ยคงต้องเอาตัวรอด
ไว้ก่อน ชิงหลงนิสยั ไม่ดี เสวียนอู่ประสบการณ์
ยังน้อย ท่านอาเซี่ยงกังวลว่าพวกเขาจะไม่มี
ความสามัคคีกัน”
“สันดานคนเรามันแก้กันยาก” เซี่ยงไป๋อิ่งถอน
หายใจแล้วพูดว่า “คนพวกนีห้ ัวสูง ต่อหน้าข้า
เคารพข้าก็จริง แต่จะให้พวกเขาไปก้มหัวให้คน
อื่น มันยาก”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดแค่คร่าวๆ แต่ฉีหนิงก็เข้าใจแล้ว
ว่า สี่ผู้อาวุโสของพรรคกระยาจก ไม่ถูกกันเลย
แต่ก่อนมีเซี่ยงไป๋อิ่งคุมอยู่ พวกเขาก็ไม่ค่อยกล้า
จะทาอะไร แต่หากไม่มีเซี่ยงไป๋องิ่ อยู่ด้วย คน
พวกนี้ไม่มีทางยอมให้ใครได้
“ท่านอาเซี่ยง แล้วท่านอยากจะให้ข้าทา
อะไร?” ฉีหนิงถาม “ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าผู้
อาวุโสเสวียนอู่มีความสามารถมากพอที่จะสืบ
ทอดตาแหน่งของประมุขพรรค หรือว่า...ท่าน
คิดจะให้ข้าช่วยเสวียนอู่?”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เดือนหกวันที่
สิบแปด เจ้าไปร่วมงานชุมนุมชิงมู่แทนข้าที”
“หะ?”
เซี่ยงไป๋อิ่งจ้องไปทีฉ่ ีหนิง แล้วพูดว่า “เสวียนอู้
ประสบการณ์ยังน้อยมาก ข้าคิดอยากจะให้เขา
ฝึกฝนอีกสักระยะ แล้วถึงมอบภาระนี้ให้เขา
ดูแล” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แต่
ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ หากต้องไป
แย่งชิงตาแหน่งประมุขพรรค ไป๋หู่จะต้อง
คัดค้านแน่ ชิงหลงกับจูเชวี่ยก็คงไม่เห็นด้วย”
เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “ในงานชุมนุมชิงมู่
ตาแหน่งประมุขพรรคจะให้ตกอยู่ในมือของคน
สารเลวอย่างไป๋หไู่ ม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนัน้
พรรคกระยาจกแย่แน่นอน”
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเซี่ยงวางใจได้ ในงาน
ชุมนุมชิงมู่ของพรรคกระยาจก ข้าจะต้องไปแน่
แล้วก็จะต้องหยุดไป๋หู่ในการชิงตาแหน่งประมุข
พรรคให้ได้แน่นอน”
“เจ้าไม่เพียงจะต้องหยุดยั้งเขา แต่...แต่เจ้า
จะต้องชิงตาแหน่งประมุขพรรคมาไว้ในมือให้
ได้ด้วย” เซี่ยงไป๋อิ่งพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้า
จะต้องไปชิงตาแหน่งประมุขพรรคกระยาจกมา
ให้ได้”
ฉีหนิงยังไม่ทันเข้าใจความหมาย จากนั้นเขาก็
นึกขึ้นได้ เขาถึงกับสะดุ้ง แล้วพูดว่า “ท่าน...
ท่านจะให้ข้าเป็นประมุขพรรคกระยาจกหรือ?”
เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย
ถึงแม้เขาจะเป็นจิ่นอีโหวตัวปลอม แต่ตอนนี้
เขาก็ได้รับบรรดาศักดิ์สืบทอดมาแล้ว เป็นจิ่นอี
โหวของแคว้นฉู่ จะให้เขาไปชิงตาแหน่งประมุข
พรรคกระยาจก มันเหลวไหลเกินไป ฉีหนิงอด
คิดไม่ได้เลยว่า เซี่ยงไป๋อิ่งไม่เพียงบาดเจ็บที่ชีพ
จร สงสัยจะบาดเจ็บไปถึงสมองด้วยแน่
เซี่ยงไป๋อิ่งจ้องไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ตก
ลงหรือ?”
“ท่านอาเซี่ยง...” ฉีหนิงรู้สึกว่าหนักหัวขึน้ มา
ทันที ไม่เพียงยกมือเกาหัว เขายังพูดด้วยความ
เขินอายว่า “ข้า...ข้าเป็นคนของราชสานัก เรื่อง
นั้น...”
“เจ้าหมายความว่า เจ้าดูถูกข้าหรือ?” เซี่ยงไป๋
อิ่งพูด
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาเซี่ยง ท่านอย่าเข้าใจข้า
ผิดนะ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่
...เฮ้อ เพียงแต่ว่าจะให้ข้าไปชิงตาแหน่งประมุข
พรรคกระยาจก มัน...มันดูเป็นไปไม่ได้ ข้าไม่ใช่
คนของพรรคกระยาจก อีกทั้ง...อีกทั้งข้าก็ไม่รู้
เรื่องของพรรกระยาจกเลย เมื่อครู่ท่านก็พูดเอง
ว่าผู้อาวุโสเสวียนอู่เก่งทั้งสองด้าน เพียงแค่
ประสบการณ์ยังน้อยเกินไปเท่านั้น เลยเป็น
อุปสรรคของการชิงตาแหน่งประมุข แต่ว่าข้า
ไม่ได้เป็นแม้แต่ศิษย์ในพรรค จะไปทาให้พวก
เขายอมรับได้อย่างไรกัน”
เซี่ยงไป๋อิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าการชิง
ตาแหน่งประมุขพรรคกระยาจกเป็นเรื่องของ
ยุทธภพเท่านั้นหรือ? เจ้าฟังให้ดนี ะ การชิง
ตาแหน่งประมุขพรรคกระยาจกในครั้งนี้ มัน
เกี่ยวพันกับชีวิตของอีกหลายคน อีกทั้งยัง
เกี่ยวพันกับสถานการณ์ของใต้หล้าทั้งหมดด้วย
มันไม่ใช่แค่เรื่องของยุทธภพอย่างเดียว มันถือ
เป็นเรื่องการเมืองด้วย” สายตาของเขาแน่วแน่
มาก เขาพูดอย่างจริงจังว่า “เพราะเจ้าคือจิ่นอี
โหว ดังนั้นตาแหน่งประมุขพรรคกระยาจก
อย่างไรเจ้าก็ต้องเอามาให้ได้”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 496 วิชาเพลิงดับนภา
ฉีหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มนั เหนือความคาดหมาย
เกินไป เขาคิดในใจว่าเขามีบรรดาศักดิ์โหว ต่อ
ให้ยินยอมทาตามที่เซี่ยงไป๋อิ่งบอกไปชิง
ตาแหน่งประมุขพรรคกระยาจก แต่ทางราช
สานักกับพรรคกระยาจกก็ไม่มที างยอม
ตอนนั้นที่แปดพรรคสิบหกสานักลงนามใน
สัญญาเลือดกับจวนเสินโหว ดูเหมือนราชสานัก
จะเข้ามายุง่ เกี่ยวกับยุทธภพ แต่หากดูอย่าง
ละเอียดแล้ว ที่จริงแล้วชาวยุทธ์ก็ไม่เคย
อยากจะให้ราชสานักเข้ามาแทรกแซงเรื่องของ
พวกเขาเท่าไหร่
จวนเสินโหวดูแลเรื่องในยุทธภพ ถึงแม้พวกเขา
จะเป็นหน่วยงานหนึ่งของราชสานัก แต่ว่าพวก
เขาไม่เคยใช้ฐานะของราชสานักในการจัดการ
เรื่องภายในยุทธภพเลย อีกทัง้ ยังเคารพกฎของ
ยุทธภพเป็นอย่างดีด้วย ดังนั้น ชาวยุทธ์แค่ไป
เกี่ยวข้องกับจวนเสินโหวเท่านั้น หน่วยงานอื่น
ในราชสานักไม่มีสิทธิยุ่งเรื่องของชาวยุทธ์เลย
กลุ่มอานาจในยุทธภพต่อต้านการแทรกแซง
ของราชสานักมาก จิน่ อีโหวเป็นถึงหนึ่งในสี่
บรรดาศักดิ์โหวที่มีอทิ ธิพลมากที่สุดในแคว้นฉู่
ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า หากคนแบบนี้ไปชิง
ตาแหน่งประมุขพรรคกระยาจก คนของพรรค
กระยาจกต้องคัดค้านแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่
มีทางให้ฉีหนิงไปชิงตาแหน่งประมุขพรรคไป
แน่นอน
มามองในมุมของราชสานักบ้าง พวกเขาเองก็ไม่
มีทางให้บรรดาศักดิ์ใหญ่ของพวกเขาไปเป็น
หัวหน้ากลุ่มขอทานแน่ ต่อให้พรรคกระยาจก
จะเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ว่าโหวเยว่
จะเป็นประมุขพรรคกระยาจก มันเหมือนเป็น
การหมิ่นเกียรติของราชสานักไปหน่อย
หากเป็นช่วงก่อนหน้าที่เขาจะเข้าเมืองหลวง ได้
กลายเป็นประมุขพรรคกระยาจก มีคนในการ
ควบคุมกว่าแสนคน ฉีหนิงคงไม่ปฏิเสธ แต่ว่า
ตอนนี้เขาเป็นจิ่นอีโหวแล้ว ตาแหน่งประมุข
พรรคกระยาจกเขาไม่มีทางไปแตะต้องแน่นอน
นอกจากเขาจะละตาแหน่งโหวไป แล้วเข้า
พรรคกระยาจกไปเลย
“ท่านอาเซี่ยง ข้ารู้ว่าท่านกาลังกังวลอะไรอยู”่
ฉีหนิงพูดว่า “ท่านกังวลว่าหากไป๋หู่สามารถ
ควบคุมพรรคกระยาจกไว้ได้ เขาจะก่อเรื่อง
กลุ่มอานาจในยุทธภพจับตาการเคลื่อนไหวของ
พรรคกระยาจก หากพรรคกระยาจกเริ่มทา
อะไรขึ้นมาก่อน ยุทธภพเองก็จะวุ่นวาย ใต้หล้า
ก็จะไม่สงบ”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “ถูกต้อง ยุทธภพเดือด
เมื่อไหร่ ราชสานักก็ไม่สงบ คนที่เดือดร้อนมาก
ที่สุดก็คือประชาชน”
ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านอาเซี่ยง หากให้
ข้าไปหยุดยั้งไม่ให้ไป๋หู่ทาการสาเร็จ ข้าไม่
ปฏิเสธ แต่ตาแหน่งประมุขพรรค.....ข้าไม่ได้มี
เจตนาอื่นนะ แต่ข้าไม่เหมาะจริงๆ”
เซี่ยงไป๋อิ่งเหลือบมองไปที่ฉีหนิง จากนั้นเขาก็
ก้มหน้าลง เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “เดิมที
เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องที่ลาบากเจ้าอยู่แล้ว”
“ท่านอาเซี่ยง ที่จริงแล้วหลังจากที่ท่านหาย
แล้ว ตาแหน่งประมุขพรรคยังคงให้ท่านเป็นอยู่
นะ” ฉีหนิงพูดว่า “ข้ามีความคิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะ
ดีหรือไม่”
“หืม?” เซี่ยงไป๋องิ่ ถามว่า “มีความคิดอะไร?”
ฉีหนิงนั่งอยู่ข้างๆ เซี่ยงไป๋อิ่ง แล้วพูดว่า “ข้าจะ
เป็นประมุขพรรคหรือไม่ มันไม่สาคัญเลย พวก
เราแค่ต้องหยุดไป๋หู่ให้ได้เท่านัน้ จากนั้นก็หา
คนมาทาหน้าที่ประมุขพรรคแทนชั่วคราว มัน
ไม่ดีกว่าหรือ?”
“ประมุขพรรคชั่วคราว?”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาเซี่ยงให้ความ
สาคัญผู้อาวุโสเสวียนอู่ แต่การขึ้นเป็นประมุข
พรรคของผู้อาวุโสเสวียนอู่มันมีอุปสรรค เพราะ
เขาประสบการณ์น้อยเทียบไม่ได้กับไป๋หู่แล้วก็
คนอื่น แต่เขามีความสามารถเป็นที่ยอมรับได้
ถ้าอย่างนั้น พวกเราสามารถใช้งานชุมนุมชิงมู่
ผลักดันให้ผู้อาวุโสเสวียนอูรับตาแหน่งประมุข
พรรคชั่วคราว ในช่วงที่ท่านอาเซี่ยงพักรักษาตัว
เรื่องภายในพรรคกระยาจกก็ให้ผู้อาวุโสเสวียอู่
เป็นผู้ดาเนินการไป หลังจากท่านอาเซี่ยงหายดี
แล้ว ค่อยมอบตาแหน่งให้ผู้อาวุโสเสวียนอู่
อย่างเป็นทางการอีกที”
เซี่ยงไป๋อู๋เหมือนจะคิด แล้วพูดว่า “ประมุข
ชั่วคราว แต่ไม่ใช่ประมุขที่แท้จริง”
“ถูกต้อง” ฉีหนิงพูดว่า “ขอแค่ไม่ใช่ประมุขที่
แท้จริง คนอื่นก็ไม่มที างคัดค้าน อีกทั้งหากผู้
อาวุโสเสวียนอู่สามารถขึ้นมาเป็นประมุขพรรค
ชั่วคราวได้จริง ท่านอาเซี่ยงสามารถใช้โอกาสนี้
ทดสอบเขาดู ว่าเขาเหมาะที่จะรับหน้าที่นี้จริง
หรือไม่ ถึงเวลานั้นท่านอาเซี่ยงค่อยมอบ
ตาแหน่งประมุขพรรคให้เขาก็ยงั ไม่สายนี่นา”
เซี่ยงไป๋อิ่งคิดแล้วพูดว่า “เด็กดี เจ้าโขกศีรษะ
ให้ข้าสามครั้งเถอะ”
ฉีหนิงอึ้งไป ไม่รู้ว่าทาไมเซี่ยงไป๋อิ่งจู่ๆ ถึงให้เขา
ทาแบบนี้ แต่ว่าเห็นเขาสีหน้าจริงจัง เขาลังเล
ไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็คุกเข่าลง แล้วโขกศีรษะ
ให้เซี่ยงไป๋อิ่งสามครั้ง
เซี่ยงไป๋อิ่งขยับตัวไม่ได้ แต่สีหน้าของเขามีแต่
รอยยิ้ม “ดี ลุกขึ้น ลุกขึ้น” เขาถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “ช่วงนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะนะ ข้ามีวิชาที่
คิดค้นขึ้นเองอยากจะถ่ายทอดให้เจ้า ข้าคิดค้น
มันออกมาอย่างยากลาบาก เดิมข้าคิดจะรับ
ศิษย์ที่เหมาะสมแล้วถ่ายทอดให้เขา แต่ขา้ ก็ยัง
ไม่เจอใครที่ข้าคิดว่าเหมาะสมเลย หากไม่
ถ่ายทอดในตอนนี้ วิชานี้คงหยุดอยู่แค่น”ี้
ตอนนี้ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ ที่เซี่ยงไป๋อิ่งให้เขาโขก
ศีรษะให้เขาสามที ก็เหมือนว่าได้ไหว้ครูแล้ว ถึง
ได้ถ่ายทอดวิชาให้เขาได้
จากใจจริงแล้ว ฉีหนิงเองก็ชื่นชมวรยุทธ์ของ
เซี่ยงไป๋อิ่งมาก เขาเรียนรู้มากมันก็ไม่เป็น
ผลร้ายอะไร ถึงแม้วรยุทธ์ในตัวเขามันจะมีมั่ว
ไปหมด แต่ว่าไม่เคยมีวิชาไหนที่มีคนชี้แนะมา
ก่อน ถึงแม้เซีย่ งไป๋อิ่งจะเป็นคนพิการในตอนนี้
แต่ว่าก่อนหน้านี้นอกจากห้าต้าจงซือแล้ว เขา
คือคนที่เก่งกาจอันดับต้นๆ เลย ได้เขาเป็นคน
ถ่ายทอดวิชาให้ เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจเอื้อมมา
ก่อนเลย
ส่วนทางเมืองเฉิงตู ถึงแม้เขาจะมีนัดกับทาง
เซียวหยวนผ่อของจวนเสินโหว แต่ว่าในเมื่อ
เซี่ยงไป๋อิ่งจะถ่ายทอดวรยุทธให้เขา คงต้องให้
พวกเขารอไปอีกสักหน่อยแล้ว
กลางดึก ปาเย่ลี่นาผ้าห่มและอาหารกับน้ามา
ให้ เขาร่างกายแข็งแรง นาของมาแต่ละครั้งไม่
น้อยเลย
ผู้เฒ่าเจ๋อเกอบอกชื่อสมุนไพรทีเ่ ขาจะใช้กับ
ปาเย่ลี่อีก ปาเย่ลี่รับคาแล้วก็รีบนามาส่งให้
หลังจากนั้นหลายวัน ฉีหนิงนอกจากจะอยู่กับ
อีฝูเป็นครั้งคราวแล้ว กลางวันเขาก็จะนอน
ส่วนกลางคืนพอคนหลับหมดแล้ว เขาก็จะแอบ
มาที่ถ้าบรรพชน
ถึงแม้เซี่ยงไป๋อิ่งจะไม่สามารถขยับได้ แต่ว่าเขา
ยังสามารถสอนผ่านคาพูดได้ ฉีหนิงทาตามที่
เขาบอก หากทาผิด เซี่ยงไป๋อิ่งก็จะบอกทันที ฉี
หนิงฟังเคล็ดวิชานี้มันพิสดารมาก กระบวนท่า
แปลกประหลาด เขาคิดในใจว่ามันจะต้องเป็น
วิชาที่ร้ายกาจมากแน่
เขาความจาดีมาก อีกทั้งยังฉลาดด้วย ในด้าน
การต่อสู้ มันเป็นสิ่งที่เขาถนัดอยู่แล้ว ทุกครั้ง
ที่มาที่ถ้าบรรพชน เขาไม่พักเลย เซี่ยงไป๋อิ่งก็จะ
สอนเขาตั้งแต่เริ่มจนจบ แต่หากฉีหนิงทาผิด
เขาก็จะตาหนิทันที ความเข้าใจของฉีหนิงสูง
มาก แต่ว่าวิชานี้มันแปลกพิสดารมาก เซีย่ งไป๋
อิ่งก็ไม่สามารถแสดงให้เห็นเอง ทาได้แค่
ถ่ายทอดด้วยปาก บางกระบวนท่าก็เสียเวลาไป
กว่าครึ่งชั่วยามเลย
วิชาแพทย์ของผู้เฒ่าเจ๋อเกอสู้หลีซีกงไม่ได้ แต่
ว่าจะทาให้เซี่ยงไป๋อิ่งมีสติไม่อ่อนเพลีย ไม่ใช่
เรื่องยาก ทุกครั้งที่เซี่ยงไป๋อิ่งถ่ายทอดวิชาให้
เฒ่าเจ๋อเกอก็หลบออกไปอยู่หน้าถ้า
ชื่อของวิชานี้แปลกมาก ทุกเจ็ดกระบวนท่าย่อย
จะกลายเป็นหนึ่งกระบวนท่า วันแรกฝึกได้เจ็ด
กระบวนท่าเรียกว่าเพลิงดับนภา วันที่สอง
เรียกว่าน้าทลายทัพ วันที่สามเรียกว่าลมพัดเท
วะ วันที่สี่เรียกว่าดินคืนพสุธา เมื่อวันที่ห้ามาถึง
ก็เรียกว่าดวงดาวเคลื่อนจักรวาล
ถึงแม้ในแต่ละคืนจะมีแค่เจ็ดกระบวนท่าเท่านั้น
แต่ว่าจะฝึกมันก็ไม่ง่ายเลย ไม่เพียงเพราะเซี่ยง
ไป๋อิ่งไม่สามารถแสดงให้เห็น อีกทั้งกระบวนท่า
ของมันก็พสิ ดารมาก ยังดีว่าฉีหนิงเป็นคนเข้าใจ
อะไรง่าย ห้าคืนติดต่อกัน เขาก็สามารถจับจุด
ได้
คืนวันที่หก ฉีหนิงมาถึงที่ถ้าบรรพชน เดิมทีคิด
ว่าคงได้เรียนหนักอีกคืนแน่ แต่เซี่ยงไป๋องิ่ กลับ
บอกว่า “ห้าวันติดแล้ว เจ้าเองก็ฝึกวิชานีจ้ น
เป็นแล้ว ห้าคืนที่ผ่านมาข้าสอนแค่กระบวนท่า
ให้เจ้า แต่ข้าไม่ได้สอนการใช้กาลังภายในไป
พร้อมกันด้วย เมื่อกระบวนท่านีไ้ ม่มีกาลัง
ภายในมันก็เหมือนไม่มีวิญญาณ ตั้งแต่คืนนี้ไป
ข้าจะสอนการเดินลมปราณของวิชานี้ให้”
เริ่มตั้งแต่คืนนี้ เซี่ยงไป๋อิ่งก็คอ่ ยๆ สอนการเดิน
ลมปราณในแต่ละกระบวนท่าอย่างละเอียด
ให้กับฉีหนิง
การเดินลมปราณของกระบวนท่าในวิชานี้แต่
ละท่าไม่เหมือนกันเลย หนึ่งกระบวนท่ามีเจ็ด
กระบวนท่าย่อย การเดินลมปราณก็เหมือนกัน
เลยแม้แต่ท่าเดียว
กาลังภายในของฉีหนิงแก่กล้ามาก พื้นฐานของ
เขาแน่นมาก เซี่ยงไป๋อิ่งบอกเคล็ดวิชากับเขา
เขาทาตาม ทาแบบนี้ติดต่อกันสามครั้ง
ติดต่อกัน เขาก็เข้าใจแล้ว
“วิชานี้มันไม่ได้ง่ายอย่างข้าสอนไปหรอกนะ”
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดว่า “เพลงหมัดเหมือนกัน บางคน
สามารถทาลายก้อนหินได้ บางคนอาจทาอะไร
ไม่ได้เลย กระบวนท่าเดียวกัน คนที่เข้าใจได้ดี
สามารถใช้มันอย่างมีอานุภาพ คนที่ความเข้าใจ
ต่ามันก็จะเป็นแค่การออกหมัดธรรมดา หากมี
เวลาว่าง เจ้าฝึกฝนให้มาก จะได้คล่อง”
เซี่ยงไป๋อิ่งบาดเจ็บสาหัส กลับไม่กลัวลาบาก
ฝืนสอนเขาติดต่อกันหลายคืน ฉีหนิงรู้สึก
ขอบคุณเขามาก เขาคุกเข่าลง แล้วพูดว่า
“ท่านอาเซี่ยง ข้าจะตั้งใจฝึกฝน ไม่ทาให้ท่าน
ต้องผิดหวังที่ท่านมีคุณกับข้าแบบนี”้
“อย่าบอกว่ามันเป็นบุญคุณอะไรเลย” เซี่ยงไป๋
อิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะแม่เจ้า ยี่สิบ
ปีก่อนข้าคงตายไปแล้ว อีกทั้งหากครั้งนีไ้ ม่ได้
เจ้าช่วยเอาไว้ ข้าเองก็คงไม่รอดมาจนป่านนี้ ข้า
เสียดายวิชานี้กลัวไม่มีคนสืบทอด เลยถ่ายทอด
ให้เจ้า แต่จะได้ผลแค่ไหน มันอยู่ทตี่ ัวของเจ้า
เอง”
ฉีหนิงพยักหน้าอย่างนับถือ เซีย่ งไป๋อิ่งพูดขึ้นมา
ว่า “เจ้าอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว ควรจะไปได้
แล้ว”
“ท่านอาเซี่ยง.....”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก” เซี่ยงไป๋อิ่งยิม้
แล้วพูดว่า “ข้าอยู่ทนี่ ี่ ปลอดภัยมาก เจ้ายังมี
เรื่องที่ต้องไปทา ก็อย่ามาเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก
เลย” เขาเอาผ้าขึ้นมาห่มแล้วหลับตา “กลับไป
ได้แล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว อยากจะนอน”
ฉีหนิงรู้ดีว่าหากจากไปคราวนี้ คิดว่าคงไม่ได้
เจอหน้ากันอีกพักใหญ่เลย หลายวันมานี้ได้
รู้จักเซี่ยงไป๋อิ่งมากขึน้ เขาเลยรู้สึกไม่อยากจาก
ไป เขาอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับได้ยินเซี่ยง
ไป๋อิ่งนอนกรนขึ้นมา เขารู้ว่าเซี่ยงไป๋องิ่ ตั้งใจทา
เขาไม่อยากพูดจาที่เหมือนเป็นการจากลามาก
นัก เขาโขกศีรษะสามครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้น แล้ว
เดินไปห่มผ้าให้เซี่ยงไป๋อิ่ง จากนั้นก็จากไป
ฉีหนิงฉวยโอกาสที่คนในถ้ายังไม่ตื่นกัน ไปยัง
ห้องพักของอีฝู เขามองเห็นอีฝูนั่งอยู่ที่บันได
นางกาลังนั่งกอดเข่าอยู่ เหมือนกาลังเหม่อลอย
เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหา อีฝูเห็นฉีหนิงเดินมา ก็
รีบลุกขึ้น แล้วเดินมาหาเขา นางยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนอีกแล้วใช่หรือไม่?”
อีฝูฉลาดมาก สองวันแรกที่ฉีหนิงไปฝึกวรยุทธ์
นางก็เริ่มรู้สึกแปลกใจ พอวันที่สาม นางก็ไล่
ถามอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้ฉีหนิงจะบอก
ไปว่าในถ้าบรรพชนนั้นมีคนซ่อนอยู่ แต่ไม่ได้
บอกฐานะที่แท้จริงของเซี่ยงไป๋อิ่ง พออีฝูได้รู้ว่า
ในถ้าบรรพชนมีคนซ่อนตัวอยู่ นางก็ตกใจ รู้ว่า
เรื่องนี้คงต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก ฉีหนิงเองก็
ไม่ได้พูดอะไรมากอีก นางก็เลยไม่ถามต่อ
คืนนี้ เขาอ่อนเพลียมาก ฉีหนิงคิดว่าต้องจาก
เซี่ยงไป๋อิ่งไปแล้ว เขารู้สึกเศร้ามาก เขาจับมือ
ของอีฝูเอาไว้ แล้วนั่งลงที่บันได เขาพูดอย่าง
อ่อนโยนว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าเองก็ไม่ได้นอน
ทั้งคืน? ทาแบบนี้ได้อย่างไรกัน เจ้าเพิ่งจะหาย
เจ็บ ต้องดูแลตัวเองดีๆ สิ”
“เจ้าเห็นข้าเป็นลูกคุณหนูผู้ดีหรืออย่างไรกัน?”
อีฝูยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเกิดบนเขา ไม่ได้ถูกเลี้ยง
แบบไข่ในหินสักหน่อย แผลเล็กแค่นี้ไม่เป็น
อะไรหรอก”
ฉีหนิงถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วยิ้ม เขาจับมือ
ของอีฝูไว้แน่น แล้วพูดว่า “พี่อีฝู พรุ่งนี้ข้าต้อง
ไปแล้ว ข้าต้องกลับเมืองหลวงแล้วนะ”
เดิมทีอีฝูยังยิ้มอยู่ พอได้ยินดังนั้น นางก็สะดุ้ง
จากนั้นหน้าของนางก็เปลี่ยนสีไป
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 497 ข่าวร้ายที่น่าตกใจ
อีฝูได้ยินฉีหนิงจะกลับเมืองหลวง สีหน้าของ
นางก็เปลี่ยนไป แต่ไม่นานนักนางก็ฝืนยิ้มออก
มา แล้วพูดว่า “เจ้ามาที่ซีชวนก็นานแล้ว เรื่อง
ทางนี้ก็เสร็จหมดแล้ว ก็...ก็ควรจะกลับไปได้
แล้ว ครอบครัวเจ้าที่เมืองหลวงจะต้องคิดถึงเจ้า
มากแน่”
“ไม่ใช่ข้าคนเดียวหรอกที่กลับไป ฉีหนิงจับมือ
ของอีฝูไว้แน่น แล้วพูดว่า” ข้าคิดว่าจะไปบอก
พี่ชายของเจ้าเรื่องของเรา ให้เขายกเจ้าให้ข้า
แล้วตามข้ากลับไปเมืองหลวง ไปพบคนในจวน
ข้าด้วยกัน ข้าจะไปแจ้งกับท่านไท่ฟูเหริน แล้ว
เตรียมเรื่องแต่งงานของพวกเรา พอทางนัน้
จัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ค่อยส่งคนมาแจ้ง
พี่ชายเจ้า จากนั้นค่อยให้พี่ใหญ่เจ้ากับผู้อาวุโส
ในเผ่าเดินทางเข้าเมืองหลวง จริงสิ ยังมีทา่ น
เหมียวอ๋องด้วย ครั้งนี้ข้าไม่มีเวลากลับไปพบ
เขาแล้ว คงต้องรอจนวันที่พวกเราแต่งงาน
ค่อยเชิญเขาไปงานแต่งของพวกเรา"
อีฝูตะลึงไป น้้าตาของนางไหลออกมาจากตา
“เจ้า...เจ้าคิดจะแต่งผู้หญิงบ้านป่าอย่างข้า
หรือ?”
“ผู้หญิงบ้านป่า?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้หญิง
บ้านป่าแล้วจะอย่างไรเล่า? พี่อีฝูของข้าทั้ง
จิตใจดีมีเมตตา เข้มแข็ง อีกทั้งสวยราวกับ
ดอกไม้แบบนี้ ได้แต่งงานกับเจ้า เป็นบุญของข้า
มากกว่า ข้ากลัวแต่เจ้าจะรังเกียจข้า ไม่อยาก
แต่งงานกับข้ามากกว่า”
อีฝูกัดปากแน่น แล้วโผเข้าไปในอ้อมกอดของฉี
หนิง เสียงของนางสัน่ เครือ “เจ้าพูดมาแบบนี้
ข้า...ข้าดีใจมากเลยนะ”
“ไว้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกเราไปหาพี่ชาย
ของเจ้ากัน” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเตรียม
อะไรทั้งนั้น พอถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะ
จัดเตรียมให้เจ้าทุกอย่าง”
อีฝูพูดว่า “แต่ว่า...แต่ว่าข้ายังไปกับเจ้าตอนนี้
ไม่ได้”
ฉีหนิงตะลึงไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าไม่
อยากแต่งงานกับข้าหรือ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” อีฝูพูดด้วยความเศร้าว่า
“ผู้หญิงชาวเหมียวเรามีใจเดียวตั้งแต่เกิดจน
ตาย ในเมื่อข้า...ข้าเป็นคนของเจ้าแล้ว ชาตินี้
ทั้งชาติ ก็จะมีเจ้าเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว ต่อให้
เจ้าอยากหนีไป ก็หนีไม่รอดหรอก”
ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ถูกแล้ว”
อีฝูพูดว่า “แต่ว่าก่อนหน้านี้เขาเฮยเหยียนถูก
ทหารล้อมเอาไว้นาน จนถึงตอนนี้คนในถ้้ายัง
รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเลย อีกทั้ง...อีกทั้งคนร้าย
ตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายถ้้าเฮยเหยียน
ของพวกเราก็ยังหาไม่เจอ ครั้งนีเ้ จ้าท้าลายแผน
ของพวกเขา พวกเขาอาจจะย้อนกลับมาท้าร้าย
พวกเราอีกก็ได้ พี่ใหญ่...พี่ใหญ่เป็นคน
ตรงไปตรงมา ข้างกายเขาก็ไม่มีคนคอยช่วยที่
เชื่อถือได้ ข้า...”
“เจ้ากังวลว่าหากเกิดอะไรขึ้นมา ท่านเจ้าถ้้า
ปาเย่ลี่คนเดียวจะรับมือไม่ไหว?” ฉีหนิงขมวด
คิ้วพูดว่า “เจ้าพวกสารเลวพวกนั้นยังจะกล้าท้า
ร้ายถ้้าเฮยเหยียนอีกหรือ?”
อีฝูถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าพวกเขาคง
ไม่ท้าร้ายถ้้าเฮยเหยียนอีก แต่ว่า...หากยังไม่
เจอตัวคนร้าย ต่อให้ข้าเข้าเมืองหลวงไปกับเจ้า
ตอนนี้ ข้าเองก็ไม่สบายใจ หลายปีที่ผ่านมา ข้า
อยู่กับพี่ใหญ่มาตลอด ช่วยกันดูแลถ้้าเฮยเห
ยียนของพวกเราด้วยกัน พี่ใหญ่เคยชินกับการมี
ข้าช่วยเขาดูแลทุกเรื่อง...” นางเห็นฉีหนิงสีหน้า
ไม่ค่อยดี เลยจับมือเขาเอาไว้ แล้วพูดอย่าง
อ่อนโยนแล้ว “เจ้าอย่าร้อนใจไปเลย ในเมื่ออีฝู
เป็นผู้หญิงของเจ้าแล้ว ใจของข้าดวงนีก้ ็จะอยู่ที่
เจ้าคนเดียว จนวันที่ต้องตาย ข้าก็จะมีแค่เจ้า
คนเดียว”
ฉีหนิงพูดแทรกขึ้นมา “อย่าพูดเหลวไหล”
อีฝูยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเองก็อยากเข้าเมืองหลวง
ไปกับเจ้า แต่ว่าสถานการณ์ของถ้้าเฮยเหยียน
ในตอนนี้ ข้ายังไปจากพี่ใหญ่ไม่ได้ พี่ใหญ่เองก็
ยังขาดข้าไม่ได้ หากข้าไปตอนนี้ พี่ใหญ่ไม่มี
ทางขวางแน่ แต่ว่า...” นางถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “เจ้าเข้าใจข้าหรือไม่?”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า ต้องหาตัว
คนร้ายที่ใส่ร้ายถ้้าเฮยเหยียนให้เจอก่อน เจ้าถึง
จะไปใช่หรือไม่?”
อีฝูพูดว่า “อย่างน้อยในตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลา
ที่ดีที่ข้าจะไปจากที่นี่ ข้าอยากอยู่กับเจ้า แต่ว่า
ข้าจะทิ้งพีใ่ หญ่กับถ้้าเฮยเหยียนไปแบบนี้ไม่ได้”
ฉีหนิงถอนหายใจ จากนัน้ เขาก็ก้าหมัดแน่น
เขาพูดด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจังว่า “พี่อีฝู เจ้า
วางใจเถอะนะ เรื่องนี้ต่อให้พวกเขาจะหยุดมัน
แค่นี้ ทางราชส้านักเองก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขา
ไปแน่ หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวงไปแล้ว ข้า
จะไปเข้าเฝ้า ข้าทูลให้ฝ่าบาทละเว้นภาษีให้
พวกเจ้า อีกทั้งยังจะขอให้ทางราชส้านักส่งคน
มาตรวจสอบเรื่องนี้ หากไม่เจอคนร้ายตัวจริง
ข้าไม่รามือแน่นอน”
สายตาของอีฝูมีแต่ความซาบซึ้งใจ ฉีหนิงโอบ
อีฝูมาไว้ในอ้อมกอด แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“ข้ารู้นิสัยเจ้าดี เจ้าเป็นผู้หญิงที่มีความ
รับผิดชอบสูง ในเมื่อเจ้าเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว
อย่างไรข้าก็ต้องแบ่งเบาภาระของเจ้า ขอเวลา
ข้าสักหน่อย ข้าจะต้องหาตัวคนร้ายตัวจริง
ออกมาให้ได้”
อีฝูพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าท้าได้แน่ เมื่อหาคนร้ายตัว
จริงออกมาได้แล้ว ข้าจะไปอยู่กับเจ้าแน่นอน”
ฉีหนิงกอดอีฝูแน่น จากนั้นก็จูบลงบนหน้าผาก
ของนาง
พอฟ้าสาง ฉีหนิงก็ไปพบปาเย่ลี่ ก้าชับอยู่หลาย
เรื่อง จากนั้นเขาก็เตรียมตัวลงจากเขาเฮยเห
ยียนพร้อมกับพวกฉีเฟิง แล้วเดินทางไปยังเมือง
เฉิงตูก่อน
ปาเย่ลี่กับอีฝูน้าคนส่งฉีหนิงลงเขาเฮยเหยียน
ด้วยตัวเอง ฉีหนิงกับอีฝูต่างไม่อยากจากกันเลย
ตอนที่ลงมาจากเขาเฮยเหยียน ฉีเฟิงได้แบก
ของสิ่งหนึง่ มาด้วย เขาใช้ผ้าคลุมสีด้าคลุมเอาไว้
ทุกคนไม่รู้ว่ามันคืออะไร หลังจากลงจากเขา
แล้ว พวกเขาก็ขี่ม้ามุง่ หน้าไปยังเมืองเฉิงตูเลย
ระยะทางไม่ใช่แค่วันเดียว ก่อนตกเย็นมาเร่ง
เดินทางมาถึงเมืองเฉิงตูแล้ว หลังจากที่เข้า
เมืองมาแล้ว ฉีหนิงสั่งให้พวกของฉีเฟิงไปยัง
เรือนรับรอง ส่วนตัวเขาก็ไปที่จวนชื่อสื่อ
เหว่ยซูถงพอได้รับรายงาน ก็รบี ออกมาต้อนรับ
เขายกมือค้านับแล้วพูดว่า “โหวเยว่ล้าบากแล้ว
รีบเข้ามาดื่มช้าด้านในก่อน”
ทั้งสองเข้าไปในห้องโถง หลังจากที่นั่งลงแล้ว
เหว่ยซูถงก็สั่งให้คนถอยไปให้หมด เขาเดินมา
นั่งลงที่เก้าอี้ข้างฉีหนิง แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“เห็นโหวเยว่ปลอดภัยกลับมา ข้าน้อยก็โล่งใจ
หลายวันมานี้ข้าส่งคนไปตามหาท่าน แต่ว่าไม่มี
ข่าวคราวเลย ข้าเป็นห่วงมากเลย”
“ท้าให้ใต้เท้าเหว่ยต้องเป็นห่วงแล้ว” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “เรื่องที่เขาเชียนอูหลิง อย่างไรก็
รบกวนใต้เท้าเหว่ยดูแลต่อด้วย”
เหว่ยซูถงยกชาขึ้นมา เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะจบเร็วแบบนี้ ได้
ยินมาว่าท่านราชาพิษจิ่วซีคนนัน้ ยอมเข้าเมือง
หลวงเอง ทั้งหมดนี้ก็เป็นผลงานของโหวเยว่
เท่านั้น ถึงแม้จะไม่สามารถก้าจัดพรรคบัวด้าไป
ได้ แต่ว่าการที่ชิวเฉียนอี้สามารถเข้าเมืองหลวง
ได้ ก็ถือว่าสามารถรายงานผลต่อราชส้านักได้
แล้ว”
“ใต้เท้าเหว่ย หลีห่ งซิ่นช่วงนี้มีความเคลื่อนไหว
อะไรบ้างหรือไม่?” ฉีหนิงยกชาขึ้นดื่มแล้วถาม
พอพูดถึงหลี่หงซิ่น เหว่ยซูถงก็หน้าเสีย เขาวาง
ถ้วยชาลง แล้วพูดว่า “ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดจะท้า
อะไร หลังจากที่หลี่หยวนตายไป ทางจวนสู่อ๋อง
ก็ติดผ้าขาวทั่วทั้งจวน ข้าน้อยคิดว่าเขาจัดงาน
ศพ ก็เลยส่งคนไปค้านับศพ ใครจะคิดว่าที่หน้า
จวนสู่อ๋องกลับปิดประตูสนิท ขุนนางน้อยใหญ่
กับเหล่าเศรษฐีผู้ดีต่างถูกขวางไว้ที่หน้าจวน”
“หืม?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท้าไมล่ะ?”
เหว่ยซูถงพูดว่า “ข้าน้อยส่งคนไปสืบมา ถึงได้รู้
ว่าหลี่หงซิ่นไม่ได้คิดจะฝังหลี่หยวน หลีห่ งซิ่นสั่ง
ให้คนท้าโลงทองแดงขึ้นมา แล้วน้าศพหี่หยวน
ใส่ไว้ในนั้น อีกทั้งยังหาสมุนไพรมาจากยอด
ฝีมือมากมาย แล้วเทลงบนตัวศพของหลี่หยวน
เพื่อไม่ให้ศพเน่าเปื่อย ดูเหมือนว่าโลงศพนีจ่ ะ
ตั้งอยู่กลางห้องโถงของจวนสู่อ๋อง”
“โลงทองแดง?”
เหว่ยซูถงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยได้ยินมา
ว่า หลี่หงซิน่ คิดจะเก็บศพของหลี่หยวนเอาไว้
เขาบอกว่าหากไม่พบตัวฆาตกร เขาก็จะไม่ฝัง
ศพหลี่หยวน” เขายกมือลูบเครา แล้วพูดว่า
“เขาตั้งใจพุ่งเป้ามาที่ข้าน้อย อะไรคือการไม่
พบฆาตกรไม่ฝังศพ เขาต้องการเอาชีวิตข้าน้อย
แล้วฝังไปพร้อมกับลูกชายเขาต่างหาก”
ฉีหนิงพูดว่า “เขากล้าขนาดนั้นเลย หากเขา
กล้าแตะต้องใต้เท้าเหว่ยแม้แต่ปลายเล็บ ราช
ส้านักไม่มีทางปล่อยตระกูลหลีไ่ ปแน่”
เหว่ยซูถงได้ยินฉีหนิงพูดแบบนีแ้ ล้ว เขาก็ดีใจ
มาก รีบพูดว่า “โหวเยว่วางใจได้ หลี่หงซิ่นคิด
อยากจะคิดร้ายกับข้าน้อย เขาไม่ได้มี
ความสามารถขนาดนนั้น” เขาพูดว่า “ในเมื่อ
จะหักหน้ากัน ข้าน้อยก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ
เขาอีกต่อไป ข้าน้อยได้ออกค้าสัง่ ไปแล้ว ให้
ตรวจสอบทหารในซีชวนทุกนาย ข้าน้อยจะ
ฉวยโอกาสนี้ ก้าจัดคนของตระกูลหลี่ที่แอบ
แทรกแซงเข้ามาในกลุ่มทหารซีชวนให้หมดไป”
“ใต้เท้าเหว่ยคิดจะก้าจัดหนอนบ่อนไส้ในกลุ่ม
ทหาร ท่านท้าถูกแล้ว แต่ว่าอย่ารีบร้อน
จนเกินไป ไม่อย่างนัน้ หลี่หงซิ่นมันจะรู้ตัวได้” ฉี
หนิงพูดว่า “ค่อยๆ ท้า อย่าไปรีบร้อน จับตา
เขาเอาไว้ อย่าให้เขามีโอกาสเคลื่อนไหว เขา
เองก็จะไม่กล้าท้าอะไร”
“ข้าน้อยได้ส่งฎีกาไปถวายรายงานให้กบั ฝ่า
บาทได้ ได้ชี้แจงความจริงเรื่องของถ้้าเฮยเห
ยียนให้ทรงทราบ” เหว่ยซูถงพูดว่า “ข้าน้อย
เขียนชี้แจงอย่างละเอียด ว่าถ้้าเฮยเหยียนถูก
คนใส่ร้ายป้ายสี หลี่หงซิ่นพยายามเร่งให้ใช้
ก้าลังทหาร เพื่อปกป้องสถานการณ์ไว้ เลยส่ง
ทหารไปล้อมเอาไว้ แต่ว่าคิดว่ามันผิดปกติ เลย
ไม่ได้ใช้ก้าลังทหารบุกในทันที ยื้อเวลา
จนกระทั่งท่านโหวน้อยมาถึงซีชวน ตรวจสอบ
ความจริงจนกระจ่างแล้วว่า ถ้้าเฮยเหยียนถูกใส่
ร้ายป้ายสีจริง อีกทั้งยังตรวจสอบพบว่าหลี่หง
ซิ่นมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ สังหารขูดรีด
ชาวบ้านของถ้้าเฮยเหยียนไปมาก ท้าให้ไม่
สามารถจ่ายภาษีได้ ข้าน้อยได้เสนอถวายฎีกา
ให้ยกเว้นภาษีถ้าเฮยเหยียนเป็นเวลาห้าปี
ข้าน้อยกังวลว่าฝ่าบาทจะทรงเป็นกังวล ดังนั้น
...”
ฉีหนิงรู้ดีว่าฎีกาฉบับนี้เขาท้าเพื่อแก้ต่างให้
ตัวเอง อีกทั้งยังต้องการซื้อใจเขาด้วย เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ค้าพูดในฎีกาของใต้เท้าเหว่ย มัน
เป็นความจริงทุกประการ หลังจากที่ข้ากลับไป
เข้าเฝ้าแล้ว ข้าจะอธิบายเอง ถ้าไม่ใช่ใต้เท้า
เหว่ยท้าการรอบคอบ ไม่ได้ท้าให้เกิดการฆ่าผู้
บริสุทธิ์ นีก่ ็ถือเป็นผลงาน อย่างไรก็ต้องทูลให้
ฝ่าบาททรงทราบ”
เหว่ยซูถงรีบลุกขึ้นมา ยกมือค้านับแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยขอบคุณท่านโหวเยว่”
ฉีหนิงยกมือยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ย พวก
เรามันคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้
หรอก ซีชวนมีความส้าคัญต่อความปลอดภัย
ของต้าฉู่เรา หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวงไป
แล้ว ที่นี่ก็ฝากท่านด้วยนะ”
“ภักดีต่อราชส้านัก ภักดีต่อฝ่าบาท ถึงตาย
ข้าน้อยก็ยินดี” เหว่ยซูถงพูดอย่างจริงจัง
จากนั้นก็นั่งลง แล้วพูดว่า “โหวเยว่ ข้าน้อยได้
ส่งคนไปแอบสืบเรื่องที่หลี่หงซิน่ บริจาคเงิน
สร้างวัดอย่างลับๆ พบว่ามันน่าแปลกจริงๆ”
ฉีหนิงตื่นตัว แล้วถามว่า “เจออะไรบ้าง?”
“ไม่พบอะไรเลย” เหว่ยซูถงพูดว่า “แต่ก็เพราะ
แบบนี้ มันเลยเป็นจุดที่น่าแปลกมากที่สุด
ข้าน้อยได้รับรายงานมาว่า วัดที่หลี่หงซิ่น
บริจาคเงินสร้าง เดิมจะมีพระจ้าวัดอยู่ทุกแห่ง
แต่ว่าภายในเวลาแค่คืนเดียว วัดพวกนั้นกลับ
ว่างเปล่าไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่คนสักคนก็ไม่
เห็น เข้าไปค้นภายใน ก็ไม่พบอะไรสักอย่าง แต่
ว่ากลับพบรอยล้อรถ”
“รอยล้อรถ?”
เหว่ยซูถงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง วัดที่
พวกเราเจอ ทั้งหมดมีรอยล้อรถหลงเหลือทุก
แห่ง นั่นก็หมายความว่า ก่อนที่ข้าน้อยจะส่งคน
ไปสืบค้น มีของบางอย่างได้ถูกเคลื่อนย้าย
ออกไปจากวัด แต่ว่ารอยล้อรถพวกนั้นมัน
หายไปไร้ร่องรอยเมื่อผ่านไปครึ่งทาง ไม่รู้ว่าไป
ทางไหนต่อ”
ฉีหนิงหยิบชามาดื่ม เหมือนจะใช้ความคิด
หลังจากนั้นไม่นานก็พูดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้จะ
ปล่อยไปไม่ได้ ต้องสืบต่อไป จะต้องสืบให้ได้ว่า
พวกเขาขนย้ายของอะไรออกไป แล้วขนไปไหน
ใต้เท้าเหว่ย ของในวัดจะมาเคลื่อนย้ายตอนที่
พวกเราเริ่มสงสัยแบบนี้ หลี่หงซิ่นเจ้าเล่หม์ าก
จริงๆ ท่านต้องระวังตัวให้มาก”
เหว่ยซูถงรีบพูดว่า “ท่านโหวเยว่วางใจได้
ข้าน้อยฝึกนักฆ่าฝีมือดีอยูก่ ลุ่มหนึ่ง พวกเขา
เชี่ยวชาญการติดตามและการสืบหาข้อมูลมาก
เรื่องนี้ข้าน้อยไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน” เขา
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เพียงแต่ช่วงนี้ซี
ชวนอาจจะวุ่นวายมากสักหน่อย เพราะพรรค
กระยาจกน่าจะมีเรื่อง”
“พรรคกระยาจก?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว
“หมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าลัทธิบัวด้าสังหารประมุขพรรคกระยาจก
พรรคกระยาจกจะยอมได้อย่างไรกัน?” เหว่ย
ซูถงยกน้้าชาขึ้นดื่ม “ช่วงนี้ศิษย์ของพรรค
กระยาจกเคลื่อนไหวกันถี่มาก ข้าน้อยได้ส่งคน
ไปติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่าง
เข้มงวดแล้ว เพื่อไม่ให้พวกนั้นก่อความวุน่ วาย
ให้กับชาวบ้าน”
ฉีหนิงพูดด้วยความตกใจว่า “เจ้าลัทธิบัวด้า
สังหารประมุขพรรคกระยาจก? เรื่อง...เรื่องนี้
เกิดขึ้นเมื่อไหร่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 498 กลับผิดเป็นถูก
ฉีหนิงได้ยินเหว่ยซูถงบอกว่าเจ้าลัทธิบัวดา
สังหารประมุขพรรคกระยาจกเซี่ยงไป๋อิ่งตาย
เขาก็ตกใจมาก แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย
เขาเพิ่งจะเร่งเดินทางจากถาเฮยเหยียนมายัง
เมืองเฉิงตูแบบไม่หยุดพักเลย หลังจากเข้าเมือง
มาแล้ว ก็ตรงมายังจวนชื่อสื่อเลย ตอนทีอ่ อก
จากเขาเฮยเหยียนมา เซี่ยงไป๋อิ่งก็ยังปลอดภัย
ดี เหตุใดพอมาถึงเมืองเฉิงตู เซี่ยงไป๋อิ่งถึงได้ถูก
เจ้าลัทธิบัวดาสังหารแล้วล่ะ
อีกทังเขายังรู้ดีว่า ตอนที่อยู่ที่หบุ เขาหมีฮวา
เจ้าลัทธิบัวดากับแม่ทัพหน้ากากโลหะต่อสู้แล้ว
บาดเจ็บด้วยกันทังคู่ จากสถานการณ์แล้ว เจ้า
ลัทธิบัวดาบาดเจ็บหนักมาก เหตุใดอยู่ๆ ถึงได้
ออกจากเขาเชียนอูหลิง แล้วไปสังหารเซี่ยงไป๋
อิ่งที่ถาเฮยเหยียนได้ล่ะ
อีกทังหากเรื่องนีเป็นเรื่องจริง เหตุใดเหว่ยซูถง
ถึงได้รู้ข่าวเร็วขนาดนีได้
“โหวเยว่ โหวเยว่” เห็นฉีหนิงตะลึงไป เหว่ย
ซูถงก็รีบเรียกเขา “ท่าน...ท่านไม่เป็นอะไรใช่
หรือไม่?”
ฉีหนิงถามว่า “ใต้เท้าเหว่ย ท่านได้ข่าวนีมาจาก
ไหน? ได้ข่าวมาหลังจากจบเรื่องหรือ?”
“โหวเยว่ไม่ได้ยินข่าวเรื่องนีเลยหรือ?” เหว่ย
ซูถงรู้สึกแปลกใจมาก “เท่าที่ข้าน้อยรู้มา เรื่อง
นีแพร่กระจายไปทั่วแล้ว ตอนที่เข้าเมืองมา
โหวเยว่ท่านไม่เห็นคนของพรรคกระยาจกตาม
ตรอกซอกซอยเลยหรือ?”
หลังจากที่ฉีหนิงเข้าเมืองมา ก็ตรงมาที่นี่เลย
เขาไม่ได้ไปสนใจว่าศิษย์ของพรรคกระยาจก
เคลื่อนไหวอะไรกัน เขาถามว่า “เพิ่งได้ข่าวมา
หรือ?”
“ไม่ ข้าน้อยได้ข่าวมาประมาณสองสามวัน
แล้ว” เหว่ยซูถงพูดว่า “เหมือนเรื่องนีจะ
เกิดขึนไม่ถึงครึ่งเดือน ข้าน้อยมีสายในซีชวน
มากมาย เลยได้ข่าวเร็ว จริงสิ เซียวหยวนเซี่ยว
เว่ยของจวนเสินโหวตอนนีก็อยูท่ ี่เมืองเฉิงตูด้วย
เขาเหมือนกาลังสืบเรือ่ งนีอยู่เหมือนกัน”
ฉีหนิงได้ยินว่าเหว่ยซูถงได้ข่าวนีมาสองสามวัน
แล้ว อีกทังบอกว่าเรื่องนีเกิดขึนไม่ถึงครึ่งเดือน
ก็รู้ว่าเรื่องนีเป็นเรื่องโกหก สองวันก่อนเขาเพิ่ง
จะฝึกวรยุทธ์มากับเซี่ยงไป๋อิ่ง ถึงแม้เขาจะ
พิการไปแล้ว แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ดี จะไปถูก
เจ้าลัทธิบัวดาสังหารได้อย่างไรกัน
แต่ว่าฉีหนิงกลับรู้สกึ ได้ว่า ในเมือ่ ในซีชวนเริ่มมี
ข่าวการตายของเซี่ยงไป๋อิ่งเป็นเพราะเจ้าลัทธิ
บัวดา เบืองหลังเรื่องนีต้องไม่ธรรมดาแน่ เขา
รู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องนีต้องเป็นฝีมือของไป๋หู่กับลู่
ซางเฮ่อแน่นอน
ในตอนนีเอง ก็ได้ยินคนเดินมารายงานว่า
“เรียนใต้เท้า เซียวหยวนเซี่ยวเว่ยแห่งจวนเสิน
โหวมาขอพบขอรับ”
เหว่ยซูถงยิมแล้วพูดว่า “เซียวหยวนเซี่ยว
เว่ยรอโหวเยว่กลับเมืองหลวงมาหลายวันแล้ว
รอเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นโหวเยว่กลับมาสักที เขานัด
กับโหวเยว่ไว้แล้ว จะกลับไปก่อนก็ไม่ได้ เลยให้
เหวินชวีเซีย่ วเว่ยหานเทียนซู่นาคนกลับเมือง
หลวงไปรายงานตัวก่อน ส่วนตัวเขารออยูท่ ี่
เมืองเฉิงตูเหมือนเดิม เขาบอกว่าหากข้าน้อยได้
พบโหวเยว่ ให้รีบส่งคนไปแจ้งเขาด้วย” เขาสั่ง
ให้คนไปเชิญเซียวหยวนผ่อเข้ามา
ไม่นานนัก ก็เห็นเซียวหยวนผ่อเดินเข้ามาด้าน
ใน ขณะที่เดินเข้ามานันมีมีราศีของมังกรที่น่า
ยาเกรงมาก พั่วจวินเซี่ยวเว่ยเหยียนหลิงเซี่ยน
กับซีเหมินจันอิงก็มาด้วย
เหว่ยซูถงลุกขึนมา เดินขึนหน้าไปคานับเขายิม
แล้วพูดว่า “เซียวหยวนเซี่ยวเว่ย”
เซียวหยวนผ่อยกมือคานับกลับ แล้วหันไป
คานับให้ฉีหนิงแล้วพูดว่า “โหวเยว่”
ฉีหนิงลุกขึน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ซีเหมินจัน
อิงก็อดพูดขึนมาไม่ได้ว่า “เจ้าหายไปไหนมา?
ให้พวกเรารอเจ้าอยู่ที่นี่เกือบสิบวัน ข้าว่าเจ้ามัว
แต่ห่วงเที่ยว เลยลืมไปแล้วว่ายังต้องกลับไป
รายงานตัวที่เมืองหลวงอีก” นาเสียงของนางไม่
พอใจมาก
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไปเที่ยวเล่นมา?” ฉีหนิงรู้
ดีว่าซีเหมินจันอิงเป็นคนใจร้อน พวกเขารออยู่
ที่เมืองเฉิงตูสิบวันแล้ว สาหรับคนใจร้อนอย่าง
นาง มันก็ทรมานมากอยู่ เขายิมแล้วพูดว่า “ข้า
มีเรื่องต้องไปจัดการ เลยเสียเวลาไปหน่อย”
“เจ้าจะมีเรื่องอะไร” ซีเหมินจันอิงไม่ได้พูดดี
ด้วย “ก็ไม่รู้ไปเที่ยวเล่นกับใครที่ไหนมา...” พอ
พูดถึงตรงนี เหมือนรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดมาก
เกินไป อีกทังสถานการณ์ตอนนีมันก็ไม่ค่อย
เหมาะสมสักเท่าไหร่ หากอยู่กันตามลาพัง นาง
จะพูดประชดเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าตอนนีซี
ชวนชื่อสื่อกับเซี่ยวหยวนผ่ออยูด่ ้วย พูดน้อย
เท่าไหร่ยิ่งดีเท่านัน อย่างไรนางก็ยังต้องไว้หน้า
ฉีหนิงบ้าง นางเบือนหน้าหนีไป เหมือนโกรธ
มาก
ฉีหนิงเองก็ไม่เหมาะจะต่อล้อต่อเถียงกับซีเห
มินจันอิงต่อหน้าทุกคน เขาคิดในใจว่าแม่สาว
ก้นโตคนนีนี่ดิบใช้ได้เลย อ่อนโยนนุ่มนวลได้ไม่
เกินสามนาที
เซียวหยวนผ่อเองก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เขายิม
แล้วพูดว่า “โหวเยว่จัดการธุระเรียบร้อยแล้ว
หรือ? ข้าน้อยมาที่นเี่ พื่อจะบอกท่านว่า ข้าน้อย
คงกลับเมืองหลวงไปพร้อมกับท่านไม่ได้แล้ว”
“หืม?” ฉีหนิงตะลึงไป แอบคิดในใจว่าพวกเจ้า
รอข้าที่เมืองเฉิงตู ไม่ได้จะกลับไปเมืองหลวง
พร้อมข้าหรอกหรือ แล้วเหตุใดตอนนีถึงได้มา
กลับลาแบบนีล่ะ ทาแบบนีไม่ได้รอเสียเทีย่ ว
หรอกหรือ แต่ว่าเหมือนเขาจะนึกอะไรขึนมาได้
คิดว่าเรื่องนีอาจจะเป็นเพราะเรื่องของพรรค
กระยาจกแน่ เขาเลยถามว่า “เซียวหยวนเซี่ยว
เว่ยเป็นเพราะเรื่องของท่านประมุขพรรค
กระยาจกหรือไม่?”
เซียวหยวนผ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่า
เจ้าลัทธิบัวดาสังหารประมุขพรรคกระยาจก
เซี่ยงไป๋อิ่ง เรื่องนีเป็นคดีใหญ่มากของยุทธภพ
ข้าน้อยจาเป็นต้องสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่อง
นี ศิษย์น้องเล็กกับศิษย์น้องเจ็ดจะตามโหวเยว่
กลับเมืองหลวงเอง” เขาลองถามหยั่งเชิงดูว่า
“โหวเยว่ทา่ นทราบหรือไม่ว่าตอนนีชิวเฉียนอี
อยู่ที่ไหน?”
“ในเมื่อเขาบอกข้าว่าจะมารอข้าที่เมืองเฉิงตู
เขาไม่ผิดคาพูดแน่นอน เขาน่าจะมาหาข้าเอง
แหละ” หลังจากที่ฉีหนิงนั่งลงแล้ว ก็บอกให้
เซียวหยวนผ่อนั่งลงด้วย
เหยียนหลิงเซี่ยนกับซีเหมินจันอิงตาแหน่งต่า
กว่าฉีหนิงกับเหว่ยซูถง เลยนั่งไม่ได้ พวกเขาได้
แต่ยืนอยู่ด้านหลังของเซียวหยวนผ่อ
เมื่อได้ยินฉีหนิงพูดอย่างมั่นใจว่าชิวเฉียนอีไม่
ผิดคาพูดแน่นอน ซีเหมินจันอิงก็อดพูดไม่ได้ว่า
“เจ้าคิดว่าชิวเฉียนอีจะรักษาคาพูดจริงๆ หรือ?
ข้าว่าเขาคงหาที่ซ่อนตัวไปแล้วล่ะ เจ้าคงไม่ได้
เจอเขาแล้วแน่นอน”
“ศิษย์น้องเล็ก ห้ามพูดเหลวไหล” เซี่ยวหยวน
ผ่อตาหนินางเล็กน้อย แล้วหันมายิมแล้วพูด
กับฉีหนิงว่า “โหวเยว่ ที่จริงแล้วหากเขาอยู่ที่นี่
ด้วย ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะถามเขาสักหน่อย”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจดี เจ้าคิด
จะสืบเรื่องประมุขพรรคกระยาจกถูกสังหาร
โดยเจ้าลัทธิบัวดาจากชิวเฉียนอีใช่หรือไม่ เซียว
หยวนเซี่ยวเว่ย เจ้าไปได้ยินเรื่องนีมาจาก
ไหน?”
เซียวหยวนผ่อลังเลแล้วพูดว่า “ท่านโหวเยว่
เคยพบกับผู้อาวุโสไป๋หู่มาก่อน เขาเป็นผูด้ ูแล
เจ็ดสาขาพรรคกระยาจกฝั่งตะวันตก เป็นหนึ่ง
ในสี่ผู้อาวุโสของพรรคกระยาจก ประสบการณ์
ของเขาสูงมาก ทั่วทังพรรคกระยาจก นอกจาก
ประมุขเซีย่ งแล้ว เขาก็น่าจะเป็นคนที่รองลงมา
จากเขา หลายวันก่อน จู่ๆ ก็มีการเคลื่อนไหว
จากคนของพรรคกระยาจกตามท้องถนน มัน
มากผิดปกติ จากนันผู้อาวุโสไป๋หู่ก็มาหา
ข้าน้อย”
“เขามาหาเจ้า?” ฉีหนิงขมวดคิว
เซียวหยวนผ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง
ข้าน้อยได้ข่าวที่ท่านประมุขเซี่ยงถูกลอบสังหาร
มาจากเขา”
“เขาเห็นกับตาตัวเองหรือ?” ฉีหนิงแอบขาใน
ใจ เขาคิดว่าเซี่ยงไป๋อิ่งหนีรอดไปได้ ผู้อาวุโสไป๋
หู่กับลู่ซางเฮ่อกังวลว่าเซี่ยงไป๋อิ่งจะกลับมาแก้
แค้น เลยวางแผนชั่วแบบนีออกมา
เซียวหยวนผ่อพูดว่า “ผู้อาวุโสไป๋หู่ไม่ได้เห็นว่า
ท่านเจ้าลัทธิบัวดาเป็นคนลงมือ แต่ว่าเขาได้รู้
ความจริงมาจากปากประมุขเซี่ยง” เขาหยุดไป
ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โหวเยว่เมื่อสิบวันก่อน
ท่านได้ไปที่ตาหนักอิง่ เฮ่อมาหรือไม่?”
ฉีหนิงพยักหน้า
“ได้ยินมาว่าตอนนันโหวเยว่ได้เดินทางไปที่นั่น
กับท่านประมุขเซี่ยง” เซียวหยวนผ่อพูดว่า
“ท่านเจ้าสานักก็ดูแลต้อนรับพวกท่านเป็น
อย่างดี อีกทังข้าน้อยยังได้ยินมาว่า ก่อนที่ท่าน
ประมุขเซีย่ งจะเข้าพรรคกระยาจก เขาเป็นเจ้า
สานักน้อยของสานักเฟิงเจียนมาก่อน เป็นพี่
น้องร่วมสาบานกับลูซ่ างเฮ่อ มีความเป็นมิตร
กันมา”
พอฉีหนิงได้ยินคาว่า “ลู่ซางเฮ่อ” เขาก็รู้สึก
รังเกียจมาก แต่ว่าท่าทางของเขายังนิ่งอยู่ เขา
ยิมแล้วพูดว่า “กราบไหว้เป็นพีน่ ้องร่วมสาบาน
เรื่องนีเรื่องจริง แต่วา่ เป็นมิตรที่ดีหรือไม่ เรื่องนี
ข้าเองก็ไม่รู้ เซียวหยวนเซี่ยวเว่ย เหตุใดถึงได้
พูดถึงเจ้าตาหนักอิ่งเฮ่อขึนมาล่ะ?”
เซียวหยวนผ่อไม่ได้รีบตอบในทันที เขาลุก
ขึนมา แล้วเดินมาตรงหน้าของฉีหนิง จากนันก็
หยิบจดหมายขึนมาฉบับหนึ่ง แล้วยื่นให้ฉีหนิง
ด้วยสองมือ ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก เขายื่นมือ
ไปรับมา เห็นว่าจดหมายเปิดอ่านแล้ว ด้าน
นอกมีคาว่า “พี่ชายร่วมสาบาน” เขาหยิบ
จดหมายด้านในออกมา แล้วอ่าน เขาขมวดคิว
หนักมาก
“โหวเยว่ นี่เป็นจดหมายที่ได้มาจากมือของลู่
ซางเฮ่อ เป็นจดหมายลายมือของท่านประมุข
เซี่ยง” เซียวหยวนผ่อเดินกลับไปนั่งทีเ่ ดิม
“ข้าน้อยรู้ว่าประมุขเซี่ยงกับลู่ซางเฮ่อเป็นพี่
น้องร่วมสาบานกัน หลังจากได้ทราบเรือ่ ง ก็ได้
เดินทางไปหาลู่ซางเฮ่อ ทางลู่ซางเฮ่อเองก็ได้
มอบจดหมายฉบับนีออกมา เนือหาภายใน
จดหมาย โหวเยว่กไ็ ด้เห็นแล้ว เท่าที่ทราบมา
วันนันลู่ซางเฮ่อกับโหวเยว่แล้วก็ท่านประมุข
เซี่ยงได้ขึนเขาไป๋หม่าไปล่าสัตว์กัน ระหว่างทาง
มีคนเห็นไม่น้อย น่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก”
ฉีหนิงขมวดคิวแล้วพูดว่า “มีเรื่องนีจริง”
“ระหว่างที่ล่าสัตว์ จู่ๆ ประมุขเซี่ยงก็บอกว่าไม่
สบาย ขอตัวกลับก่อน” เซียวหยวนผ่อเหลือบ
ไปมองฉีหนิงแล้วพูดว่า “แต่พอพวกท่านล่า
สัตว์กลับมา ประมุขเซี่ยงก็ไปแล้ว เหลือ
จดหมายไว้แค่ฉบับเดียว”
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วว่าจดหมายฉบับนีเป็นของปลอม
วันนันมีคนปลอมจดหมายฉบับนีขึนมา ฉีหนิง
เอาให้เซี่ยงไป๋อิ่งดูแล้ว เขายืนยันแล้วว่ามันเป็น
ของปลอม จดหมายนั่นก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เขาเลยไม่ได้เก็บไว้ วันนีมีจดหมายแบบนีโผล่
ออกมาอีก แสดงว่าต้องมีแผนอะไรแน่
“ในจดหมายเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ประมุข
เซี่ยงมีนัดหมายกับใครคนหนึ่งไว้ เลยขอตัวไป
ก่อน” เซียวหยวนผ่อพูดว่า “ประมุขเซี่ยงจะไป
พบกับใคร เขาไม่ได้เขียนระบุไว้ชัดเจน แต่หลัง
จากเกิดเรื่องนีขึนมาแล้ว เท่าที่ข้าเดา ประมุข
เซี่ยงน่าจะไปหาเจ้าลัทธิบัวดา” เขาหยุดไปครู่
หนึ่ง แล้วถามว่า “โหวเยว่ ไม่ทราบว่า ที่ข้าพูด
มาทังหมดนันมีจุดไหนที่ไม่ถูกต้องหรือไม่?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าที่เจ้าว่ามามันไม่ผิดเลย แต่ว่า
จุดสาคัญหลายจุดมันไม่ได้เป็นอย่างที่เล่ามา
แต่ก็ไม่รู้จะต้องแก้ต่างเช่นไร
เขารู้ว่าเรื่องนีมันแปลก อีกทังยังซับซ้อนด้วย
เขาไม่รีบร้อนพูดอะไร เขาอยากจะฟังที่เซียว
หยวนผ่อคิดก่อน เขายิมแล้วพูดว่า “เจ้าพูด
ต่อไป”
“หลังจากที่ประมุขเซี่ยงจากไปสามวันแล้ว ก็ไป
โผล่อยู่ที่เขตซินผิง” เซียวหยวนผ่อพูดว่า “เขต
ซินผิงเป็นที่ตังของสาขาขุยมู่หลางของพรรค
กระยาจก ตอนนันผูอ้ าวุโสไป๋หู่ก็อยู่ที่นั่นด้วย
ตอนที่เขาได้พบกับประมุขเซี่ยง ประมุขเซี่ย
งบาดเจ็บสาหัส เหลือแค่ลมหายใจสุดท้าย
แล้ว”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าเรื่องนีก็จริง เขาไม่ได้พูด
อะไร เซียวหยวนผ่อพูดต่อไปว่า “ตามที่ผู้
อาวุโสไป๋หู่เล่ามาตอนนันมีพี่น้องในพรรคเห็น
กันหลายคน ตอนนันประมุขเซีย่ งไม่มีทางรอด
แล้วแน่นอน แต่ว่าก่อนตาย ได้บอกกับพวกเขา
ว่า เจ้าลัทธิบัวดาเป็นคนทาร้ายเขา อีกทังเขา
ยังมอบแหวนชิงมู่ให้กับผู้อาวุโสไป๋หู่ด้วย ให้เขา
จัดการเรื่องหลังจากนีให้เรียบร้อย”
ฉีหนิงขมวดคิวแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนัน ประมุข
เซี่ยงก็ตายอยู่ที่เขตซินผิงสินะ” เขายิมแล้วถาม
ว่า “ในเมือ่ เป็นอย่างนัน ศพของประมุขเซี่ยงก็
ควรจะอยู่ในมือของผู้อาวุโสไป๋หู่สิ จริงหรือไม่
เรื่องนีเป็นคดีใหญ่ของชาวยุทธ์ เซียวหยวน
เซี่ยวเว่ยเป็นคนของจวนเสินโหว ก็ควรจะไปดู
ให้แน่ใจ คิดว่าท่านก็น่าจะได้เห็นศพของท่าน
ประมุขเซีย่ งแล้วสิ”
เซียวหยวนผ่อส่ายหน้า สีหน้าของเขาเคร่ง
เครียดมาก แล้วพูดว่า “ข้าน้อยไม่ได้พบศพเลย
เพราะศพของท่านประมุขเซี่ยงถูกคนขโมยไป”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 499 ลำบำกทั้งสองด้ำน
ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดว่า
“ศพถูกขโมยอย่างนั้นหรือ? ผู้อาวุโสไป๋หู่เป็น
คนบอกหรือ?”
เซียวหยวนผ่อพูดว่า “ประมุขเซี่ยงใช้ลมหายใจ
เฮือกสุดท้ายของเขา เร่งเดินทางไปยังสาขา
ขุยมู่หลาง บอกเกี่ยวกับคนร้ายตัวจริง อีกทั้งยัง
สั่งเสียเรื่องราวในพรรคกระยาจกไว้จนเรียบ
ร้อย แล้วก็ตายไป” เขาสีหน้าเคร่งเครียดมาก
“ผู้อาวุโสไป๋หู่รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก หากเรื่อง
ที่ประมุขพรรคกระยาจกแพร่ออกไป ต้องเกิด
ความวุ่นวายแน่ เลยปิดข่าวเรื่องนี้ไว้ เขารู้ว่า
ประมุขเซีย่ งกับลู่ซางเฮ่อเป็นพี่น้องร่วมสาบาน
กัน เดิมทีไม่อยากให้เรื่องนี้มีคนนอกมายุ่งเกี่ยว
แต่ประมุขเซี่ยงกับลูซ่ างเฮ่อมีความสัมพันธ์ที่ดี
ต่อกัน เขาถูกทาร้าย ผู้อาวุโสไป๋หู่เลยอยากให้ลู่
ซางเฮ่อเป็นคนจัดการเรื่องงานศพให้”
ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าหลังจากที่เซี่ยงไป๋อิ่งหนี
รอดไปได้ เจ้าคนสารเลวสองคนนี้ต้องวางแผน
กันแน่ เขาถามว่า “แล้วศพของประมุขเซีย่ งถูก
ขโมยได้อย่างไร?” เขาอยากรู้ว่าสองคนนี้คิดจะ
เล่นลูกไม้อะไรกันอีก
“ผู้อาวุโสไป๋หู่เก็บศพของประมุขเซี่ยงไว้ในที่ลับ
อีกทั้งยังให้ศิษย์มือดีของพรรคเฝ้าไว้อย่างดี”
เซียวหยวนผ่อพูดขึ้นมาว่า “จากที่เขาว่ามา
เขาเตรียมจะส่งข่าวไปแจ้งกับผู้อาวุโสอีกสาม
คน แต่ว่าหลังจากที่ลู่ซางเฮ่อมาถึง ทั้งสองก็พา
กันไปดูศพของเซี่ยงไป๋อิ่ง กลับพบว่าศพของ
เขาไม่อยู่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้น ศิษย์พรรคอีกหาก
คนที่เฝ้าอยู่ตรงนั้น ทั้งหมดถูกสังหารเรียบ”
ฉีหนิงเข้าใจทันทีศิษย์หกคนนั่นต้องตายด้วย
น้ามือของไป๋หู่แน่นอน แอบคิดในใจว่าสองคน
นี้เหี้ยมโหดนัก เพื่อวางแผนฉากโกหกนี้แล้ว
กล้าฆ่าคนของพรรคให้ตายเปล่าไปถึงหกคน
แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเขาสองคนกล้าคิดจะสังหาร
ประมุขพรรคกระยาจก แค่คนในพรรคหกคน
มันไม่ถือเป็นสาระสาคัญเลย
“ก็หมายความว่า นอกจากผู้อาวุโสไป๋หู่กับคน
ของพรรคกระยาจกไม่กี่คนแล้ว ไม่มีใครได้เห็น
ศพของท่านประมุขเซี่ยงเลยสินะ” ฉีหนิงพูดว่า
“ที่ประมุขเซี่ยงสั่งเสียไว้ก่อนตาย ก็เป็นเพียง
คาพูดฝ่ายเดียวของผู้อาวุโสไป๋หู่สินะ”
เหว่ยซูถงแก่ประสบการณ์ ทาไมเขาจะฟังไม่
ออกว่าฉีหนิงกาลังสงสัยอะไร เขาลูบเคราแล้ว
พูดว่า “เซียวหยวนเซียวเว่ย เดิมเรื่องในยุทธ
ภพ ข้าเองก็ไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งนัก แต่เพราะ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในพื้นทีซ่ ีชวน ข้าขอบังอาจพูด
อะไรหน่อยได้หรือไม่”
เซียวหยวนเซี่ยวเว่ยรีบพูดว่า “คดีนี้ ต่อไปยังมี
เรื่องต้องรบกวนท่านอีกมาก ใต้เท้าเหว่ยมีอะไร
ชี้แนะมาได้เลย”
เหว่ยซูถงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าแค่มีข้อสงสัยอยู่
หลายจุด ข้อแรก แปดพรรคสิบหกสานักบุก
โจมตีเขาเชียนอูหลิง พริบตาเดียวก็สามารถบีบ
จนพรรคบัวดาจนหนทางได้ พรรคบัวดาเองก็
น่าจะพอรู้ความสามารถของพวกเขาแล้ว คิด
จะต้านทานกาลังของแปดพรรคสิบหกสานัก
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ชิวเฉียนอี้ยอมเข้า
เมืองหลวง แสดงว่าพวกเขาไม่อยากจะสู้กัน
ต่อไปอีก ถ้าอย่างนั้น เจ้าลัทธิบัวดาทาไมถึงยัง
คิดจะสังหารท่านประมุขเซี่ยงอีกล่ะ? ทาแบบนี้
มันไม่เป็นการทาให้เรื่องเสียหายไปกันใหญ่
หรือ?”
“พรรคบัวดาเจ้าเล่หโ์ หดเหี้ยม ถึงแม้เจ้าลัทธิ
บัวดานั่นจะเป็นถึงต้าจงซือ แต่ว่าไปไหนมา
ไหนลึกลับ เขาอาจจะแค้นที่แปดพรรคสิบหก
สานักบุกโจมตีเขาเชียนอูหลิง ก็เลยอยากจะแก้
แค้นก็ได้” หลังจากที่เหยียนลิ่งเซี่ยนเข้ามายัง
ห้องโถง เขาก็ไม่พูดอะไรเลย สุดท้ายเขาก็อด
พูดไม่ได้ “พวกปีศาจไปมาราวกับวิญญาณ ก็คง
ทาอะไรที่ไร้คุณธรรมอยู่แล้ว”
“สิ่งที่พั่วจวินเซี่ยวเว่ยพูดมาก็พอจะมีเหตุผลอยู่
บ้าง” เหว่ยซูถงก็ไม่อยากไปผิดใจเขา เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “หากเจ้าลัทธิบัวด้าต้องการสังหาร
ท่านประมุขเซีย่ งจริง ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายของ
เขาก็บรรลุแล้ว ทาไมยังต้องขโมยศพไปด้วย?
แน่นอนว่า ก็มีความเป็นไปได้วา่ ศพของประมุข
เซี่ยงไม่ใช่พรรคบัวดาเป็นคนขโมยไป แต่นอก
จากพรรคบัวดาแล้ว ในใต้หล้านี้ ยังมีใคร
สามารถบุกเข้าไปในสาขาของพรรคกระยาจก
อีกทั้งสังหารคนของพรรคกระยาจก ขโมยศพ
ของท่านประมุขเซี่ยงไปได้อีกล่ะ?”
เหยียนลิ่งเซี่ยนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกเลย
ฉีหนิงคิดว่าเหว่ยซูถงไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ฟัง
แค่นี้ก็รู้เลยว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน
เซียวหยวนผ่อนิ่งไป จากนั้นก็พดู ว่า “ใต้เท้า
เหว่ยพูดถูกแล้ว เริ่มแรกข้าเองก็สงสัยแบบนี้
เหมือนกัน ต่อมาถึงได้รู้ว่า พรรคบัวดาเหมือน
จะมีแผนร้ายอื่นอยูเ่ บื้องหลัง”
“หืม?” ฉีหนิงยกถ้วยชาขึ้นมา แล้วถามว่า
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ตายไม่เห็นศพ อีกทั้งยังปิดข่าวเรื่องนี้ ชาว
ยุทธ์มีไม่กคี่ นที่รู้ว่าประมุขเซี่ยวถูกลอบสังหาร”
เซียวหยวนผ่อพูดว่า “ใต้เท้าเหว่ยพูดถูกแล้ว
เมื่อไม่เห็นศพ ข้าก็ไม่มีทางเชื่อว่ายอดฝีมือ
อย่างประมุขเซี่ยงจะถูกลอบสังหาร”
ฉีหนิงพยักหน้า เซียวหยวนผ่อพูดว่า
“เป้าหมายที่พรรคบัวดาขโมยศพไป ก็เพื่อให้ผู้
อาวุโสไป๋หู่ไม่สามารถยืนยันได้วา่ ประมุขเซีย่ ง
นั้นถูกสังหารไปจริงๆ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เซียวหยวนเซี่ยว
เว่ย เจ้าพูดแบบนี้ ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เจ้า
อยากจะบอกว่า เจ้าลัทธิบัวดาสังหารท่าน
ประมุขเซีย่ ง เพราะกลัวว่าจะมีคนในยุทธภพรู้
ว่าประมุขเซี่ยงถูกลอบสังหาร เลยขโมยศพไป
พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าลัทธิบัวดากลัวคนอื่นจะรู้ว่า
เขาเป็นคนสังหารอย่างนั้นน่ะหรือ?”
“เป็นถึงต้าจงซือ ในเมื่อทาแล้ว คงไม่มีทางไม่
กล้ารับหรอก นี่...นี่มันผิดวิสัยของยอดฝีมอื
นะ” เหว่ยซูถงพูด
เซียวหยวนผ่อพูดว่า “ถูกต้อง ข้าเองก็บอกไป
แล้ว พรรคบัวดามีแผนร้ายมากกว่านั้น” เขา
หยุดไป แล้วพูดว่า “ก่อนประมุขเซี่ยงจะตาย
เขาได้บอกผู้อาวุโสไป๋หู่ว่า หลังจากที่พรรคบัว
ดาสังหารประมุขเซีย่ งแล้ว จะหาคนมาควบคุม
พรรคกระยาจกแทนประมุขเซีย่ ง”
เหว่ยซูถงหน้าถอดสี ถึงแม้ฉีหนิงจะรู้แผนของ
ไป๋หู่อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังขมวดคิว้ แล้วถามว่า
“หาคนมาควบคุมพรรคกระยาจกแทนประมุข
เซี่ยง? ฝันมากเกินไปหน่อยกระมัง พรรคบัวดา
มีความสามารถหาคนมาแทนประมุขเซี่ยงได้
หรือ”
เซียวหยวนผ่อถามว่า “โหวเยว่ ทูตวิญญาณ
ลั่วอู๋อิ่งของพรรคบัวดา ท่านยังจาได้หรือไม่
วิชาแปลงโฉมของเขา ติดหนึ่งในสามอันดับ
แรกในยุทธภพเลย”
ฉีหนิงเข้าใจความหมายของเขาทันที “เจ้า
หมายความว่า พรรคบัวดาสังหารประมุขเซี่ยง
แล้วก็ให้ลวั่ อู๋อิ่งแปลงโฉมเป็นประมุขเซี่ยง
ควบคุมพรรคกระยาจก?”
“ก่อนที่ประมุขเซี่ยงจะตาย เขาไม่มีแรงจะพูด
อะไรอีกแล้ว แต่ว่าสิ่งที่ได้มา ก็เป็นแบบนี”้
เซียวหยวนผ่อพูดว่า “เรื่องยังไม่แพร่ไปทัว่ ยุทธ
ภพ แต่ว่าผู้อาวุโสไป๋หู่ได้ส่งสารไปยังทุกสาขา
ในซีชวนแล้ว หากมีคนที่หน้าเหมือนประมุข
เซี่ยงโผล่มา ให้ฆ่าได้ทันที”
ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าไป๋หใู่ ช้วิธีที่โหด
เหี้ยมมาก ถ้าอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยงไป๋อิ่ง
ตัวจริงหรือตัวปลอม หากเจอศิษย์ของพรรค
กระยาจกพวกเขาก็จะคิดว่าเป็นคนของพรรค
บัวดาปลอมตัวมา ก็จะลงมือสังหารเขาในทันที
ไป๋หู่รู้ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งสูญเสียวรยุทธ์ไปแล้ว ดังนั้น
ต่อให้เจอคนของพรรคกระยาจก เขาก็ไม่กังวล
ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งจะมีแรงสู้
แต่พอนึกถึงตรงนี้ เซี่ยงไป๋อิ่งประเมินไป๋หู่ว่า
เขาความสามารถธรรมดาทั่วไป แผนชั่วๆ แบบ
นี้ คิดว่าน่าจะมาจากลู่ซางเฮ่อแน่นอน
ฉีหนิงรู้ว่า แค่เขาบอกเซียวหยวนผ่อว่าเซี่ยงไป๋
อิ่งซ่อนอยู่ที่ถ้าบรรพชนที่เขาเฮยเหยียน แล้ว
ไปหาเขาพร้อมกับเซียวหยวนผ่อ แผนชั่วของ
ไป๋หู่ก็จะเปิดเผยทันที
แต่ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งสั่งย้าแล้วย้าอีกว่า ห้ามบอก
เรื่องนี้กับใครเด็ดขาด แม้แต่คงฉางไต้ซือของ
วัดต้ากวงหมิงก็ห้ามบอก ฉีหนิงก็เลยไม่กล้าพูด
อะไร
เขารู้ดีว่า เมื่อมีคนรู้ทซี่ ่อนตัวของเซี่ยงไป๋อิ่ง
เขาก็จะถูกควบคุมไว้ในมือแน่นอน แล้วพรรค
กระยาจกจะต้องวุ่นวาย ในฐานะประมุขพรรค
กระยาจก เซี่ยงไป๋อิ่งจะต้องนึกถึงความเป็น
ความตายของพรรคมาก่อน เขาไม่อยากเห็น
พรรคต้องถูกเป็นเครื่องมือของใคร เพียง
เพราะว่าเขา
จวนเสินโหวกับกลุม่ อานาจในยุทธภพระแวงกัน
มาตลอด หากจวนเสินโหวรู้ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งยังมี
ชีวิตอยู่ อีกทั้งสูญสิน้ วรยุทธ์ไปแล้ว ด้วยนิสัย
ของซีเหมินอู๋เหิง คิดว่าคงไม่พลาดโอกาสนี้
แน่นอน เซี่ยงไป๋อิ่งไม่ได้เชื่อใจคงฉางใต้ซือเสีย
ทีเดียว อีกทั้งยังไม่อยากพัวพันกับจวนเสินโหว
ด้วย
ฉีหนิงรู้สึกว่า แผนของลู่ซางเฮ่อกับไป๋หู่นนั้ มันมี
ช่องโหว่หลายอย่าง แต่ตอนนี้เขาเองก็ตกอยู่ใน
แผนการร้ายนี้ด้วย
แผนการครั้งนี้ของพวกเขาร้ายกาจมาก ไม่
เพียงทาให้เซี่ยงไป๋อิ่งไปไหนไม่ได้เลย อีกทั้งตัว
เขาเองก็กลายเป็นตัวละครหนึ่งในนั้นด้วย
บนยอดเขาบัวดา ทุกคนเห็นจิ่นอีโหวพยายาม
ทุกอย่างเพื่อยุติสงครามในครั้งนี้ หากเรื่องนี้จบ
แบบนี้มันก็ดีไป แต่หากเกิดศึกขึ้นมาอีก พรรค
บัวดากับแปดพรรคสิบหกสานักจะแก้แค้นกัน
ขึ้นมา ทุกคนจะพุ่งเป้ามาที่จิ่นอีโหวทันที
ตัดรากถอนโคน ไม่ให้กลับคืนมาอีก หากไม่
สามารถตัดรากถอนโคนได้ ทุกคนก็จะรู้สึกว่า
เป็นเพราะจิ่นอีโหว
ลู่ซางเฮ่อรู้จักนิสยั เซี่ยงไป๋อิ่งเป็นอย่างดี เขารู้
ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งบาดเจ็บหนัก ไม่มีทางเปิดเผยที่
ซ่อนตัวแน่นอน เพื่อไม่ให้จวนเสินโหวฉวย
โอกาส อีกทั้งเรื่องภายในของพรรคกระยาจก
เซี่ยงไป๋อิ่งก็คงไม่อยากให้ใครมาแทรกแซง
เพราะอย่างนี้ ต่อให้เซี่ยงไป๋อิ่งยังอยู่ ก็ออกมา
เปิดเผยแผนร้ายของไป๋หู่ไม่ได้
กลุ่มอานาจของยุทธภพกับราชสานักต่างมี
ความซับซ้อน ระแวงกันไปมา ลูซ่ างเฮ่อเป็นคน
เก่าคนแก่ในยุทธภพ เขามองจุดนี้ออกอยู่แล้ว
เขาถึงกล้าเสี่ยง เดินแผนการที่ชั่วร้ายขนาดนี้
หากเปิดเผยแผนการร้ายของสองคนนั้น เท่ากับ
ว่าฉีหนิงยืนยันว่าเซี่ยงไป๋อิ่งยังมีชีวิตอยู่ เซี่ยง
ไป๋อิ่งจาเป็นจะต้องโผล่หน้าออกมา แต่ว่า
ตอนนี้เซี่ยงไป๋อิ่งจะออกหน้าไม่ได้เด็ดขาด ฉี
หนิงรู้สึกว่าไม่ว่าจะทางไหนก็ล้วนลาบาก
ทั้งหมด
เห็นฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียด ทุกคนคิดว่าเซี่ยง
ไป๋อิ่งถูกลอบทาร้าย ซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีหนิง
เป็นแบบนี้ ในใจของนางก็ไม่สบายใจ
นางเห็นเวลาที่ฉีหนิงกระล่อน ตอนแรกก็ไม่
พอใจ นางอดไม่ได้จะต้องต่อว่า แต่พอเห็นฉี
หนิงเหมือนมีเรื่องหนักใจ นางก็ใจอ่อน เป็น
ห่วงเขาขึ้นมา
ฉีหนิงรู้ว่าเรื่องนี้มันมีอะไรซับซ้อนแค่ไหน
เป้าหมายตอนนี้ของเขาก็คือการคุ้มครองให้
เซี่ยงไป๋อิ่งปลอดภัย เรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป
เขาถามว่า “เซียวหยวนเซี่ยวเว่ยท่านคิดจะ
ตรวจสอบเรื่องของพรรคบัวดาต่อไปอย่างนั้น
หรือ?”
“พรรคบัวดาแม้แต่ศพก็ขโมยไปแล้ว พวกมัน
จะยอมรับได้อย่างไรกัน?” เหยียนลิ่งเซี่ยนรีบ
พูดว่า “หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นก็ควร
กาจัดพวกมันไป ไม่ให้เหลือรอดไปแม้แต่คน
เดียว พวกมันเป็นปีศาจร้าย เดิมทีก็ไม่ควร
ปล่อยไปอยู่แล้ว ตอนนี้กลายมาเป็นภัยร้าย
ประมุขพรรคกระยาจกตายไป ยุทธภพต้อง
วุ่นวายแน่”
คาพูดของเขามันพุ่งเป้ามาที่ฉีหนิง เขาต่อว่าฉี
หนิงวันนั้นออกหน้า ทาให้พรรคบัวดารอดไปได้
“หุบปาก” เซียวหยวนผ่อตะคอกไปว่า “เจ้ามี
สิทธิออกเสียงตรงนี้หรือ?” เขายกมือขึ้นแล้ว
พูดว่า “ออกไปเดี๋ยวนี”้
เหยียนลิ่งเซี่ยนถูกเซียวหยวนผ่อต่อว่าอย่างแรง
เขารู้สึกอับอายมาก เขาก้มหน้า แล้วรีบเดิน
ออกไปทันที
ฉีหนิงคิดในใจว่าเหยียนลิ่งเซี่ยนยังอายุน้อย มี
ความเลือดร้อนพูดจาไม่น่าฟังบ้างก็พอจะเข้าใจ
ได้ แต่ว่าในฐานะเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว
เขาก็น่าจะเข้าใจกฎและมารยาทมากกว่านี้
เหว่ยซูถงเป็นซีชวนชื่อสื่อ เซียวหยวนผ่อพูดจา
อะไรตรงนี้ยังต้องระวัง แต่ว่าเขาเอาความกล้า
จากไหนมา ถึงกล้าพูดจาเสียมารยาทกับเขา
ขนาดนี?้
เขามองไปที่ซีเหมินจัน้ อิง บังเอิญเห็นซีเหมิน
จั้นอิงเองก็กาลังมองมาที่เขา สายตาของพวก
เขาประสานกันพอดี ซีเหมินจั้นอิงถึงกับสะดุ้ง
แล้วก็รีบหลบตาทันที ฉีหนิงหันมองไปที่เหยียน
ลิ่งเซี่ยนที่เดินออกไปที่หน้าประตู จากนั้นก็หัน
กลับมามองซีเหมินจั้นอิงใหม่ เขาเป็นคนฉลาด
อยู่แล้ว เขาก็เข้าใจอะไรขึ้นมาทันที จากนั้นเขา
แสยะยิ้มขึ้นมา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
บทที่ 500 น่าขนลุก
หลังจากที่เหยียนลิ่งเซี่ยนออกไปแล้ว เซียว
หยวนผ่อก็ยกมือขอโทษฉีหนิง “โหวเยว่
เหยียนลิ่งเซี่ยนอายุยังน้อย พูดจาอะไรไม่ระวัง
ขอโหวเยว่กับใต้เท้า อย่าได้ถือสา”
เหยียนลิ่งเซี่ยนโตกว่าฉีหนิงหลายปี ฉีหนิงกลับ
มีท่าทางเหมือนผู้ใหญ่กว่า ยกมือยิ้มแล้วพูดว่า
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คนหนุ่มก็มีผิดพลาดกันได้
ทั้งนั้น จั้นอิงเองก็ทาผิดบ่อย? ข้ายังไม่เคยโทษ
นางเลย”
ซีเหมินจั้นอิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วมันเกี่ยว
อะไรกับข้าด้วย? เจ้าอย่าพูดอะไรเหลวไหลนะ”
เหว่ยซูถงมองออกว่าโหวน้อยเหมือนจะมีใจ
ให้กับแม่นางก้นโตคนนี้ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เซียวหยวนเซี่ยวเว่ย ท่านต้องอยู่ตรวจสอบคดี
ที่ซีชวน หากมีอะไรให้ช่วย บอกมาได้เลยนะ
หากข้าทาให้ได้ ข้าจะช่วยอย่างเต็มที”่
“ขอบคุณใต้เท้าเหว่ยมาก” เซียวหยวนผ่อรีบ
ขอบคุณ แล้วถึงถามฉีหนิงว่า “โหวเยว่ หากชิ
วเฉียนอี้มาถึงเมืองเฉิงตูแล้ว ไม่ทราบว่าจะฝาก
ท่านถามอะไรเขาสักหน่อยได้หรือไม่?”
ฉีหนิงพูดว่า “เซียวหยวนเซี่ยวเว่ย เจ้าเองก็รู้
ท่านราชาพิษของเราคนนี้เย่อหยิ่งมากแค่ไหน
แม้แต่ข้ายังเอาเขาไม่ค่อยจะอยูเ่ ลย หากเขา
ยินดี ก็ดีไป แต่หากเขาไม่ยินดี ข้าเองก็จน
ปัญญา” เขาหยุดไป ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าเรื่อง
นี้มันเกี่ยวพันกับพรรคบัวดา ชิวเฉียนอี้เองก็
ต้องชี้แจงออกมาให้ได้”
เซียวหยวนผ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น
ก็ดี ก็ไม่รู้ว่าจะได้ออกเดินทางเมื่อไหร่?”
“ข้าอยากจะกลับเมืองหลวงวันมะรืนนี้เลย แต่
ว่าชิวเฉียนอี้ยังไม่ได้มาหาข้า หากข้ายังไม่ได้พา
เขากลับไปด้วย ข้าก็กลับเมืองหลวงไม่ได้
เหมือนกัน” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หวัง
ว่าราชาพิษจะมาหาข้าไวๆ”
ซีเหมินจั้นอิงประชดไปว่า “เขาเป็นราชาพิษ
แห่งดินแดนซีชวน เจ้าเชื่อเขาจริงๆ หรือ หรือ
ว่าหากเขาไม่มาที่เมืองเฉิงตูเลย เจ้าก็จะรอ
ต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ”
“ข้าบอกไปแล้วว่าจะพาเขากลับเมืองหลวงไป
ด้วย ไม่อย่างนั้นข้าก็เท่ากับบกพร่องต่อหน้าที่
ล่ะสิ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าอยู่ที่เมือง
เฉิงตูนี่ก็ใช่ว่าจะไม่ดีนะ ที่นี่ของกินก็อร่อย สาว
ซีชวนก็สวย ยังมีใต้เท้าเหว่ยคอยดูแล ข้าคงไม่
ลาบากหรอก ใต้เท้าเหว่ย เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
เหว่ยซูถงยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกแล้ว”
ซีเหมินจั้นอิงเหลือบไปมองฉีหนิง แต่ไม่พูด
อะไร
“ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยก็ขอตัวลาก่อน” เซียว
หยวนผ่อลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ตอนที่โหวเยว่ออก
เดินทาง ข้าน้อยจะมาส่ง” เขาพาซีเหมินจั้นอิง
กลับไป
เหว่ยซูถงกับฉีหนิงลุกขึ้นเดินไปส่งพวกเขาที่
หน้าประตู เห็นเซียวหยวนผ่อกลับไปแล้ว เหว่ย
ซูถงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ประมุขพรรคกระยาจก
ตายไปคนที่ดีใจที่สุดคงไม่ใช่พรรคบัวดา แต่คง
เป็นจวนเสินโหวสินะ”
ฉีหนิงได้ฟงั ก็ถึงกับตกใจ เขาเหมือนนึกอะไร
ขึ้นมาได้ เขาถามว่า “ใต้เท้าเหว่ยทาไมถึงพูด
แบบนี?้ ”
เหว่ยซูถงเองก็พูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่
พอฉีหนิงถาม เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยพูด
เหลวไหลไป โหวเยว่...โหวเยว่อย่าได้ถือสา”
“ใต้เท้าเหว่ยพูดอะไร” ฉีหนิงพูดว่า “ข้ากับใต้
เท้าเหว่ยเป็นคนกันเอง ระหว่างพวกเรายังมี
อะไรต้องกลัวกันอีก”
เหว่ยซูถงรู้สึกดีกับโหวน้อยมาก เขายิ้มแล้วพูด
ว่า “โหวเยว่ ท่านเองก็รู้ ในบรรดาแปดพรรค
สิบหกสานัก พรรคกระยาจกมีกาลังอานาจมาก
ที่สุด ตอนนั้นจวนเสินโหวทาสัญญาเลือดกับ
พรรคต่างๆ จะว่าไปแล้ว พรรคกระยาจกก็มี
ผลกระทบมากที่สุด หากไม่ได้พรรคกระยาจก
คนของแปดพรรคสิบหกสานักคงไม่มีใครมานั่ง
คุยกับจวนเสินโหวหรอก”
ฉีหนิงพยักหน้า เหว่ยซูถงพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ประมุขเซี่ยงแห่งพรรคกระยาจก วรยุทธ์ล้า
เลิศ คนในยุทธภพเคารพเขามาก แต่เพราะ
อย่างนี้ ทาให้จวนเสินโหวยิ่งกลัว โหวเยว่ท่าน
ลองคิดดูนะ หากวันหนึ่งประมุขเซี่ยงเกิดอยาก
จะเป็นปรปักษ์กับจวนเสินโหวขึ้นมา ชาวยุทธ์
เองก็จะต้องก่อความวุ่นวายตามเขาไปด้วย”
“เรื่องนี้จริง” ฉีหนิงเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เมื่อ
เทียบกับสัญญาเลือดแล้ว เซี่ยงไป๋อิ่งได้ใจชาว
ยุทธ์มากกว่าซีเหมินเสินโหวมากกว่า
“ถึงแม้ข้าจะไม่ได้สนใจเรื่องของยุทธภพมาก
นัก แต่ว่าข้าก็ได้ยินมาว่าประมุขเซี่ยงเป็นคนที่
มีความสามารถมาก ประมุขเซี่ยงปกครอง
พรรคกระยาจกมานานหลายปี ชื่อเสียงโด่งดัง
ไปทั่ว” เหว่ยซูถงยิ้มแล้วพูดว่า “อสรพิษไม่มี
ผู้นาไม่ได้ หากประมุขเซีย่ งตายไป ภายใน
พรรคกระยาจกก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
ทันที อานาจที่เคยมีก็จะลดลง นี่คือสิ่งที่จวน
เสินโหวอยากเห็นมากที่สุด”
ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็หมายความว่า จวนเสิน
โหวยินดีที่จะเชื่อว่าประมุขเซี่ยงถูกลอบสังหาร
ไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เหว่ยซูถงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ต้อง
ถามก็รู้กันอยู่ หากพรรคกระยาจกวุ่นวาย จวน
เสินโหวมีโอกาสจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องประมุข
พรรคกระยาจกคนใหม่แน่นอน อีกทั้งยังฉวย
โอกาสนี้ หาคนที่สนิทสนมกับจวนเสินโหว มา
ปกครองแล้วอยู่ในการควบคุมของจวนเสินโหว
ถ้าอย่างนั้น จวนเสินโหวก็สามารถควบคุมยุทธ
ภพได้มากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีของราช
สานัก”
ฉีหนิงสะดุ้ง เหว่ยซูถงไม่เสียแรงที่เป็นขิงแก่
พอเขาพูดแบบนี้ออกมา ก็ทาให้ฉีหนิงตื่น ตัว
เขาเหมือนจะเข้าใจอะไรมากขึน้ แล้ว
จวนเสินโหวของซีเหมินเสินโหว มีหน้าที่ยิ่ง
ใหญ่มาก พวกเขามีหน้าที่ในการควบคุม
สถานการณ์ของกลุ่มอานาจในยุทธภพให้ดี
เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นภัยต่อราชสานัก
พรรคกระยาจกของเซี่ยงไป๋อิ่ง เป็นกลุ่มอานาจ
ที่ใหญ่มาก มีคนไปทั่วทั้งเหนือใต้ หากพรรค
กระยาจกกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของราชสานัก
แคว้นฉู่ ไม่เพียงเป็นข่าวดีของต้าฉู่ อีกทั้งยัง
เป็นภัยต่อเป่ยฮั่นด้วย เพราะในเป่ยฮั่นเองก็มี
กลุ่มอานาจของพรรคกระยาจกเหมือนกัน คน
พวกนี้รู้เรื่องของเป่ยฮั่นดี หากต้าฉู่ได้พวกเขา
ไปเป็นพวก ต้าฉู่ก็เหมือนกับได้หูตาในเป่ยฮั่น
เพิ่มมากขึ้น แล้วก็จะรู้เรื่องของพวกเขาราวกับ
อยู่ในกามือ
แต่ว่าการที่เซี่ยงไป๋อิ่งยังอยู่ มันทาให้ซเี หมิน
เสินโหวไม่สามารถคุมพรรคกระยาจกได้ หาก
เซี่ยงไป๋อิ่งตายไป ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสาหรับซี
เหมินเสินโหวเลย
ทันใดนั้นเองฉีหนิงก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
หรือว่าทั้งหมดนี้ มันจะเป็นแผนของซีเหมินเสิน
โหว?
เซี่ยงไป๋อิ่งพูดชัดอยู่แล้ว ด้วยนิสัยของไป๋หู่ หาก
ไม่มีคนหนุนหลัง เขาไม่มีทางกล้าชิงตาแหน่ง
แน่ อีกทั้งต่อให้ลู่ซางเฮ่อจะกลัวเซี่ยงไป๋องิ่ แค่
ไหน แค่เขาคนเดียว คิดว่าก็คงไม่กล้าลงมือ
กับเซี่ยงไป๋อิ่ง
ไป๋หู่กับลู่ซางเฮ่อชั่วร้าย พวกเขาร่วมมือกันทา
ร้ายเซี่ยงไป๋อิ่ง เซี่ยงไป๋อิ่งมั่นใจว่าจะต้องมีคน
อยู่เบื้องหลังนี้แน่นอน
สามารถให้ไป๋หู่ฟังคาสั่งได้ คนทีอ่ ยู่เบื้องหลัง
พวกเขาจะต้องมีฐานะและอานาจมาก เพียง
พอที่จะทาให้ไป๋หู่ยอมทาตามได้ พอฉีหนิงคิด
มาตลอดว่าอาจจะเป็นกลุ่มอานาจในยุทธภพที่
อยู่เบื้องหลัง อีกทั้งน่าจะเป็นคนในแปดพรรค
สิบหกสานักด้วย แต่พอเหว่ยซูถงพูดมาแบบนี้
แล้ว เขากลับคิดอะไรขึ้นมาได้ คนที่อยู่เบื้อง
หลังของไป๋หู่ หรือว่าจะเป็นจวนเสินโหว
ถึงแม้เรื่องนี้มันจะเชือ่ ได้ยาก แต่หากคิดดีๆ
แล้ว มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ตาแหน่งของซีเหมินเสินโหว เหนือกว่าชาวยุทธ์
ทุกคนในยุทธภพ มันเพียงพอที่จะสามารถคุย
เงื่อนไขกับผู้อาวุโสไป๋หู่ได้
ความสามารถของไป๋หู่ธรรมดา หากฟังคาสั่ง
ของจวนเสินโหวจริง วางแผนสังหารเซี่ยงไป๋อิ่ง
ก็หมายความว่าทุกอย่างก็จะอยู่ในการควบคุม
ของจวนเสินโหว ด้วยอานาจของจวนเสินโหว
การสนับสนุนไป๋หเู่ ป็นประมุขพรรค จวนเสิน
โหวก็สามารถควบคุมพรรคกระยาจกผ่านมือ
ของไป๋หู่ได้
หากเรื่องเป็นอย่างนีจ้ ริง ความคิดของซีเหมินอู๋
เหิงเองก็น่ากลัวจนน่าขนลุก
ฉีหนิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นไปได้ ถ้าเป็นอย่าง
นั้นจริง สถานการณ์เมื่อครู่ก็อนั ตรายมาก
เขาช่วยเซี่ยงไป๋อิ่งไว้ได้ อย่างไรไป๋หู่ก็ต้องราย
งานให้จวนเสินโหวได้รู้ หลังจากที่จวนเสินโหว
ได้รู้แล้ว ก็จะต้องทาทุกวิถีทางเพื่อหาตัวเซี่ยง
ไป๋อิ่งให้เจอ
ถ้าอย่างนั้นการที่เซียวหยวนผ่อมาหา ก็เท่ากับ
ว่าเขาอยากจะรู้ที่อยู่จากปากของฉีหนิง
หากตอนนัน้ เขาวู่วาม เปิดเผยแผนร้ายของไป๋หู่
ไป แล้วบอกที่อยู่ของเซี่ยงไป๋องิ่ จวนเสินโหว
จะต้องหาทางกาจัดเซี่ยงไป๋อิ่งแน่นอน
หากจวนเสินโหวควบคุมไป๋หู่ไว้ในมือจริงๆ
แสดงว่าพวกเขาก็หวังว่าเซี่ยงไป๋อิ่งจะไม่รอด
หากเซี่ยงไป๋อิ่งยังมีชวี ิตอยู่ ต่อให้จะพิการแล้ว
ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะไม่ฟื้นตัวขึ้นมาได้
มีแต่คนตายเท่านั้นถึงจะปลอดภัยที่สดุ ฆ่าเซี่ยง
ไป๋อิ่งแล้ว ก็จะไม่มีภยั อะไรอีก จวนเสินโหวก็
จะควบคุมพรรคกระยาจกไว้ในมือได้จริงๆ
ฉีหนิงรู้สึกว่ามีเหงื่อไหลออกมามาก
เขารู้ดีอยู่แล้ว การที่ซเี หมินอู๋เหิงทาแบบนี้ มัน
มีประโยชน์ต่อตาแหน่งของเขามาก เมื่อแผน
ของซีเหมินอู๋เหิงทาสาเร็จ ก็ถือว่าสร้างผลงาน
ใหญ่ให้กับราชสานัก ซีเหมินอู๋เหิงเองก็จะมี
ผลงานมากที่สุด
หากฉีหนิงไม่ได้รู้จักเซี่ยงไป๋อิ่ง เขาคงยังชื่นชม
ในฝีมือของซีซีเหมินอู๋เหิงอยู่แน่นอน
แต่ว่าเซี่ยงไป๋อิ่งเอ็นดูเขามาก อีกทั้งยังช่วยชีวิต
เขาจากมือของชิวเฉียนอี้ด้วย ซ้ายังถ่ายทอดวร
ยุทธ์ให้เขาอีก พวกเขามีความสัมพันธ์เป็นศิษย์
อาจารย์ ด้วยความสัมพันธ์ของเขากับเซี่ยงไป๋
อิ่ง จะให้ทาเพื่อจวนเสินโหวสมหวังแล้วละทิ้ง
เซี่ยงไป๋อิ่ง เขาก็ทาไม่ได้
เขากาลังเหม่อลอย แล้วก็เหมือนจะได้ยินเสียง
เรียก จากนั้นก็ได้สติคืนมา เขายิ้มแล้วพูดว่า
“พอไม่มีท่านประมุขเซี่ยงแล้ว จวนเสินโหวก็
จะได้โอกาสดันประมุขพรรคคนใหม่ มันมี
ประโยชน์ต่อราชสานักมากจริงๆ”
เหว่ยซูถงยิ้มลูบเคราแล้วพูดว่า “สิ่งที่ผู้อาวุโส
ไป๋หู่คนนั้นพูดมา มีชอ่ งโหว่มากมาย ด้วยความ
ฉลาดของจวนเสินโหว ไม่มีทางมองไม่ออก แต่
ว่าจวนเสินโหวยอมที่จะเชื่อว่าเซี่ยงไป๋อิ่งตายไป
แล้ว ต่อให้สิ่งที่ผู้อาวุโสไป๋หู่พูดมาไม่เป็นความ
จริงจวนเสินโหวก็จะเห็นว่ามันคือเรื่องจริงอยู่
ดี”
ฉีหนิงคิดขึ้นมาได้ว่า ไป๋อิ่งกับลูซ่ างเฮ่อคิดร้าย
ต่อเซี่ยงไป๋อิ่ง เขารู้ความจริงตั้งแต่ต้นจนจบ แต่
ว่าทางจวนเสินโหวไม่มีทางให้ความจริงเรื่องนี้
หลุดออกไปได้ ถ้าอย่างนั้น จวนเสินโหวก็คงจับ
ตามองเขาแน่นอน เขาก็จะกลายเป็นเป้าหมาย
ใหม่ของจวนเสินโหว
เมื่อออกมาจากจวนชื่อสื่อ ฉีหนิงคิดตลอดทาง
ว่าใครอยู่เบื้องหลังครั้งนี้กันแน่ เขาคิดทบทวน
ว่าซีเหมินอู๋เหิงจะเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
จริงๆ หรือ พริบตาเดียว เขาก็กลับมาถึงเรือน
รับรอง ตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว พวกของฉีเฟิงรอ
อยู่นอกเรือนรับรอง เมื่อเห็นฉีหนิงมาถึง ก็เดิน
ขึ้นมารับม้าทันที แล้วพูดว่า “โหวเยว่ คนของ
แปดพรรคสิบหกสานักมารอพบท่านอยู”่
“คนของแปดพรรคสิบหกสานัก?” ฉีหนิงอึง้ ไป
จากนั้นก็ลงจากม้า เขาขมวดคิว้ แล้วพูดว่า
“ใครกัน? พวกเขามาหาข้าทาไมกัน?”
---------------------------------

You might also like