You are on page 1of 1145

เล่มที่ 47 บทที่ 1383 ธนูมา

ธงสะบัด ที่ลานกว้างเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเข่นฆ่า ทหาร


ด้านหน้าสุดห่างจากประตูวังแค่สิบกว่าก้าว หากพวกเขาเริ่มบุก
พริบตาเดียวก็จะประชิดประตูเมืองได้เลย

ทหารค่ายเสวียนอู่ประมาณสองพันคนอยู่ด้านหน้าสุด ท่ามกลาง
ธงที่ปลิวไสวอยู่ มีคําว่า “เสวียนอู่” สองคํา มีการปักสัญลักษณ์กรงเล็บ
ของค่ายเอาไว้ด้วย

ด้านหลังค่ายเสวียอู่ เป็นทหารสวมชุดเกราะเรียบร้อย มียกธงคํา


ว่า “หู่” นอกจากค่ายหู่เสินแล้ว ไม่มีใครกล้าใช้ตัวอักษรนี้อีก ใช้ด้ายสี
ทองในการปักลายสัญลักษณ์ เหมือนต้องการผนึกมันเอาไว้ไม่ให้หลุด
ออกมา

“ค่ายเสวียนอู่ ค่ายหู่เสิน องอาจสมคําร�าลือ” ฉีหนิงมองธงลงมา


จากกําแพงวัง เขายิ้มแล้วพูด

ถึงแม้เขาจะยิ้ม แต่ว่าเขาก็อดเครียดไม่ได้

บนลานกว้างทหารของค่ายเสวียนอู่กับค่ายหูเ่ สินรวมแล้วก็
ประมาณสี่พันคน ค่ายหู่เสินเหมือนจะจ้องมาที่ด้านหน้าที่เป็นประตูวัง
พอมองตรงมา มีแสงของชุดเกราะ แสงของดาบ ทหารท้องที่ประจํา
การณ์อยู่น้อยกว่าสิบเท่า ถึงแม้ค่ายทหารหลวงจะเฝ้าอยู่ เป็นทหารที่
สามารถสู้ได้สิบต่อหนึ่ง แต่ทหารน้อยกว่า หากบุกเข้าวังจริง ฉีหนิงเองก็
ไม่รู้จะยื้อได้นานแค่ไหน

“พวกเขาคิดอยากจะใช้คนมากกว่าข่มน้อยกว่า” หวีเปียกู่พด
ู ว่า
“ทหารหลวงของเราองอาจกล้าหาญ ไม่มีทางกลัวพวกเขาหรอก?”

ในตอนนี้ เห็นทหารม้าตั้งแถว คนแรกถือธง กําลังวิ่งมาที่ประตูวัง


หวีเปียกู่ ยกมือขึ้น ทหารหลวงด้านข้างเล็งธนูไปที่ทหารม้า ขอแค่หวี
เปียกู่โบกมือ ธนูก็ยิงออกมา ทหารม้าพวกนั้นก็จะถูกยิงทะลุแน่นอน

รู้ว่าอันตราย ทหารม้าสามแถวยังคงบุกขึ้นมา ฉีหนิงรู้ว่าพวกเขา


ไม่ได้มาเพื่อตายเปล่า แล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งทําอะไร”

ทหารม้าสามแถวนั้นห่างจากประตูวังแค่นิดเดียว แล้วก็หยุดลง ม้า


เริ่มจามออกมา คนหน้าสุดเงยหน้ามองขึ้นไปบนกําแพงวัง เขาพูดว่า
“กบฏฉีหนิงจงฟัง ออกมาจากวังด้วยตัวเองเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นหากต้อง
บุกเข้าไปในวังหลวง จิ่นอีตระกูลฉีต้องถูกประหารทั้งหมด”

ฉีหนิงขมวดคิ้ว คนนั้นพูดเสียงสูงขึ้นมา “พี่น้องทหารหลวงอวี่ห


ลินฟังให้ดี ฉีหนิงสมคบคิดกับแคว้นศัตรู สังหารฮ่องเต้ พวกเจ้ารีบจับ
ตัวกบฏเอาไว้ แล้วจับพวกเขาออกมาจากวัง ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นผู้
สมรู้ร่วม และเป็นกบฏด้วย”

เสียงของเขาดังมาก ภายในวังเงียบสงบ เสียงของเขามันค่อยๆ


กระจายตัวออกไป

ทหารหลวงไม่ขยับอะไรเลย คนๆ นั้นยังคงตะโกนเสียงดัง ฉีหนิง


ถอนหายใจ แล้วหันไปพูดกับหวีเปียกู่ว่า “หวีเสี้ยวเว่ย เจ้ารู้ไหมว่า
ทําไมเขาถึงกล้าที่จะออกมาตะโกนแบบนั้น?”

“อาจเป็นเพราะเขาเห็นว่าคนของเขามากกว่า” หวีเปียกู่พูดว่า
“หรือไม่ก็คิดว่าพวกเราทําอะไรเขาไม่ได้”

“ใจกล้าไม่เบาเลย” ฉีหนิงยิ้ม “แต่ว่าการมาทําโอหังที่หน้าวัง


หลวงแบบนี้ มันไม่น่านับถือเลยนะ” เขาหันไปหยิบคันธนูจากมือของ
ทหารหลวงคนข้างๆ มา แล้วพูดเสียงเข้มว่า “เอาลูกธนูมา”

ทหารหลวงอวี่หลินนําลูกธนูมาให้เขา ฉีหนิงง้างธนูออก เขาไม่ได้


ลังเลใจเลย แล้วยิงธนูออกไปอย่างเต็มแรง เขายิงตรงไปที่ทหารม้าคน
ที่กําลังตะโกนอยู่ พอทหารม้าคนนั้นรู้ว่ามีธนูพุ่งมา ยังไม่ทันได้ต้ังตัว
ธนูก็ปักอกของเขาไปแล้ว ธนูดอกนั้นมันน่ากลัวมาก มันทําให้คนๆ นั้น
ถึงกับตกลงจากหลังม้า แต่แรงของลูกธนูมน
ั ยังไม่จางหายไป มันปักลง
บนพื้นพร้อมกับศพของทหารม้าคนนั้นด้วย
“เอาลูกธนูมา”

“เอาลูกธนูมา”

ฉีหนิงพูดแบบนีอ
้ ยู่สามครั้งต่อเนื่อง เขายิงธนูออกไปสามดอก
ทหารหลวงอีกสองคนยังไม่ทันได้เห็นหน้าเพื่อนที่ตายไป ก็ถก
ู ยิงตกลง
จากม้า ศพถูกปักลงบนพื้นไปพร้อมกับลูกธนู

“แข็งแกร่ง แข็งแกร่ง แข็งแกร่ง”

มีเสียงเสริมกําลังใจดังขึ้นทั่วกําแพงวังหลวง ถึงแม้จะมีแค่ไม่กี่ร้อย
คน แต่ว่าบรรยากาศฮึกเหิมมาก กําลังพลของทั้งค่ายเสวียนอู่กับค่ายหู่
เหินกว่าพันคนก็จริง แต่พอเห็นทหารม้าตรงหน้าตายแบบติดไปกับพื้น
ถึงสามคนในพริบตาเดียว ก็ถึงกับขนลุกขึ้นมา

สามารถยิงฆ่าคนได้แม่นยําถึงสามคนต่อเนื่อง มันไม่ได้ทําให้เหล่า
ทหารตะลึง ในค่ายทหาร มีคนเชี่ยวชาญแบบนี้เยอะมาก ต่อให้จะตก
ลงมาจากหลังม้าก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าการยิงปักศพลงกับพื้นที่หนา
มาก มันทําให้ทก
ุ คนอึ้งมาก ค่ายทหารทั้งสามกอง แทบจะไม่มีใครทํา
แบบนี้ได้เลย

หลายคนทําได้แค่ยืนมองศพสามศพนั้นอย่างเหม่อลอย เห็นเลือด
ไหลออกมา ก็ล้วนแต่ขนลุก
ทุกอย่างเงียบลง หลายคนเริ่มรู้สึกหวาดกลัว

ม้าสามตัวเหมือนกับถูกสะกดไปเช่นเดียวกัน แต่ไม่นานมันก็ร้อง
กระวนกระวายด้วยความตกใจ แล้ววิ่งไปทั่วลาน

ธงผืนใหญ่ตกลงบนพื้น

หลายคนเห็นธงที่อยู่ข้างศพนั้น มันคือ “ธงเสวียนอู่” มันเป็น


ตัวแทนแห่งเกียรติยศของค่ายเสวียนอู่ ธงที่ปลิวไสวอยูส
่ ูงในเวลานี้
หล่นกองอยู่กับพื้นแบบหมดสภาพ นั่นมันหมายความว่าเกียรติของ
พวกเขาถูกเหยียบย�า ทหารหลายคนเริ่มไม่พอใจและโมโห ทหารหลวง
เองก็ร้องด้วยความฮึกเหิม เหมือนกับแส้ที่ฟาดลงไปตรงหน้าของเหล่า
ทหารค่ายเสวียนอู่

ฉีหนิงชิงลงมือก่อน แต่ว่าเขารู้ดีว่า ธงผืนเดียวมันเกี่ยวพันกับ


เกียรติยศ สําหรับทหารที่อยู่นอกวังมันไม่ได้กระทบอะไรมาก

ค่ายเสวียนอู่ไม่ได้ขยับ

พูดกันจากใจ ทหารหลวงฆ่าทหารที่จะบุกเข้าวัง มันเป็นไปตามกฎ


ทุกคนรูด
้ ี ไม่มีราชโองการจากฮ่องเต้ ทหารขี่มา้ มาอยู่นอกวัง มันคือการ
ก่อกบฏ ทหารหลวงมีสท
ิ ธิและอํานาจหน้าที่ในการยิงสังหาร ถึงแม้จะมี
ประกาศว่าฉีหนิงเป็นกบฏก่อน การล้อมวังเป็นการปราบกบฏ แต่ทหาร
แคว้นฉูก
่ ็รู้ดีถึงความน่ายําเกรงของวังหลวง หากไม่มค
ี ําสั่ง ก็ไม่มีใคร
กล้ายิงธนูหรือทําอะไรไปที่วังหลวงเลย

“ไม่ไหวหรอก” ชื่อตันเหมยขยับเข้าใกล้ฉีหนิงแล้วพูดว่า “พวก


เขามีคนมาก เรายื้อไม่ได้นานนักหรอก”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้”

“ต่อให้ต้านอยู่ ก็ไม่น่าจะจบสวย” ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูด


ว่า “เซียวจ้าวจงไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ถ้าเจ้าไม่ตาย เขาไม่มีทางสั่ง
ถอนกําลังพลแน่ ในวังหลวง นอกจากทหารหลวงแล้ว ยังมีนางกํานัล
ขันที รวมแล้วก็ประมาณพันคน อาหารก็ย้ อ
ื ไม่ไหวหรอก แต่ว่าพวกเขา
อยู่ด้านนอกพวกเขามีเสบียงเต็มที่ ขอแค่ล้อมวังเอาไว้แบบนี้เรื่อยๆ ก็
ไม่มีทางไม่ชนะ” นางมองไปรอบๆ สายตาของทหารหลวงจับจ้องไปที่
ลานกว้าง นางกระซิบข้างหูฉห
ี นิงว่า “ถ้าเสบียงของเราหมดเมื่อไหร่
พวกเขาก็อาจจะหักหลังเจ้าได้นะ”

ชื่อตันเหมยท่องยุทธภพมานานหลายปี เจออะไรมาเยอะมาก ใน
สายตาของนาง ถึงแม้ทหารหลวงตอนนี้จะยอมฟังคําสั่งของฉีหนิง แต่
หากไม่มีเสบียงแล้วจริงๆ คนพวกนี้ไม่มีทางยอมตายไปพร้อมกับฉีหนิง
แน่
ฉีหนิงยิม
้ มุมปากแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรอถึงตอนนั้นหรอก ข้าแค่ไม่
อยากเห็นที่นี่ต้องนองเลือด”

ชื่อตันเหมยตะลึงไป ยังฟังไม่เข้าใจว่าฉีหนิงหมายความว่ายังไง
นางกําลังจะถาม ได้ยินเสียงสัญญาณมาจากด้านล่าง แถวทหารแยก
เป็นทางออกมา จากนั้นก็มีคนออกมาตามทางนั้น พวกเขาล้วนขี่ม้าตัว
ใหญ่ออกมา คนหน้าสุดไม่ค่อยสะดุดตาเท่าไหร่ แต่ว่าด้านซ้ายและขวา
นั้นล้วนแต่สวมชุดเกราะ ดูราวเหมือนกับเป็นแม่ทัพ จากนั้นก็มีทหาร
ถือโล่ว่ิงออกมาอีกประมาณสิบคน มาตั้งกําแพงป้องกันให้กับพวกเขา

ฉีหนิงเห็นทุกอย่างชัดเจน เขาหัวเราะแห้ง

ก่อนหน้านี้เขาชิงลงมือก่อน ฆ่าทหารม้าตายไปสามคน เหมือน


ตั้งใจทําให้อีกฝ่ายหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ตัววังหลวง

ฉีหนิงสายตาดีมาก ไม่ต้องมองอย่างละเอียด เห็นแค่โครงร่างก็รู้ว่า


คนที่อยู่หน้าสุดนั้นคือเซียวจ้าวจง

เซียวจ้าวจงในที่สุดก็ยอมออกมา

ฉีหนิงยังจําได้ครั้งแรกที่เขาได้พบกับเซียวจ้าวจง เขาเหมือนใบไม้
ที่กําลังจะร่วงหล่น ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่า วันนีเ้ ขากําลังนํากองทัพ
เผชิญหน้ากับวังหลวง
คนที่ดูเหมือนคนพิการ แต่กลับมีความคิดลึกซึ้งคิดแผนการร้ายได้
มากมาย ฉีหนิงอดชื่นชมไม่ได้เลย

บารมีราศีในวันนี้ มันเหมือนว่าเขาคือคนละคนกับวันนั้น แต่จุดที่


แข็งแกร่งที่สุดของเซียวจ้าวจง ก็คือไม่มีใครมองออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ตาม เขาสามารถรักษาความนิง่ ความสุขุมของเขาได้
วันนั้นที่ดูอ่อนแอเป็นยังไง วันนีก
้ ็เป็นแบบนั้น

เขาดึงม้าให้หยุด เซียวจ้าวจงเงยหน้ามองบนกําแพงวัง จะมอง


หาฉีหนิงจากเหล่าทหารหลวงไม่ใช่เรื่องยาก เซียวจ้าวจงมองไปที่ฉีหนิง
เขาก็ย้ม
ิ มุมปาก เขาตะโกนออกไปว่า “ฉีหนิง เกียรติและอนาคตของ
จิ่นอีตระกูลฉี มันต้องจบลงเพราะมือของเจ้า จนตอนนีเ้ จ้ายังไม่สํานึก
อีกเหรอ?”

วินาทีที่เซียวจ้าวจงเอ่ยปากขึ้น ฉีหนิงสะดุ้ง เขาขมวดคิ้วแน่น

หลายคนรู้ดีว่า เซียวจ้าวจงป่วยมีโรคประจําตัวมาตั้งแต่เล็ก
เพราะเหตุนีไหวหนานอ๋องจึงลงทุนลงแรงไปมากเพื่อหาหมอเก่งๆ มา
รักษาเขา แต่ว่าก็สู้ชะตาชีวิตไม่ได้ เซียวจ้าวจงก็เหมือนไม้ใกล้ฝ่ ัง
เพราะหลงไท่คิดว่าเขาอาจะอยู่ไม่นานแล้วเลยไม่ได้ระแวงเขา

ตอนนี้ฉห
ี นิงเพิง่ จะรู้ว่า อาการของเซียวจ้าวจงก่อนหน้านี้ อาจเป็น
แค่การแสดง หากบอกว่าเขาป่วยมาตั้งแต่เล็ก อาจะไม่ใช่เรื่องโกหก แต่
ว่ามันอาจจะหายแล้ว เพียงแต่ต้ังใจปิดบังเอาไว้ ก็เพื่อให้ฮอ
่ งเต้กับคน
อื่นๆ ไม่ระแวงเขา เพราะไหวหนานอ๋องมีเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียว
ทายาทคนเดียวป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย โอกาสที่ไหวหนานอ๋องจะชิง
บัลลังก์สืบทอดก็เป็นไปได้ยาก

ไม่ว่าเรื่องอาการป่วยของเขาจะจริงหรือเปล่า แต่ร่างกายของเขา
อ่อนแอมันคือเรื่องจริง

แต่ว่าเสียงของเซียวจ้าวจงในเวลานี้ มันมีแรงกําลังอย่างเต็มเปี่ ยม
ถึงแม้เขาจะพูดแค่ไม่กี่คํา แต่ว่าทหารที่อยู่ด้านหน้าก็ได้ยินเสียงของ
เขาอย่างชัดเจน

“กําลังภายในแก่กล้ามาก” ชื่อตันเหมยพูด
เล่มที่ 47 บทที่ 1384 ด้านล่างวังหลวง

เซียวจ้าวจงเจ้าเล่หม
์ าก แต่ฉห
ี นิงก็มองออก แต่ว่าเขากลับมีกําลัง
ภายในแบบนี้ได้ มันก็ยังทําให้ฉีหนิงแปลกใจ

เขาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เซียวจ้าวจงรู้เรื่องของเขาดีมาก การรู้


เขารู้เรา แต่ตัวเขากลับรู้เรื่องของเซียวจ้าวจงน้อยนิดมาก แค่จุดนี้จุด
เดียว เซียวจ้าวจงก็เหนือกว่าแล้ว ซื่อจื่อที่อ่อนแอคนนี้ ซ่อนความลับที่
ไม่มีคนรู้ไว้มากมาย

เขามองมาที่เซียวจ้าวจงที่อยู่ด้านล่าง เขายิ้มอีกครั้ง แล้วพูดว่า


“เซียวจ้าวจง เจ้ารู้ความผิดของเจ้าหรือไม่?”

กําลังภายในของเขาเปี่ ยมล้นมาก เมื่อเขาตะโกนออกไป ทหาร


ของทั้งสองฝั่งได้ยินอย่างชัดเจน

เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าลอบเข้าวังหลวงปลงพระชน์ฝ่า
บาท ตอนนี้ยังนําทหารหลวงก่อความวุ่นวายอีก หากท่านเหล่าโหวกับ
ท่านแม่ทัพใหญ่ได้รับรู้ คงปวดใจน่าดู พวกเขาจะคิดยังไง ตระกูลฉีมีคน
อกตัญญูเนรคุณบ้านเมืองแบบนี้ได้”
“ไหวหนานอ๋องเองก็ทรงหน้าตาดีมส
ี ง่าราศี แต่กลับมีลก
ู ชาย
เหมือนคนแคระอย่างเจ้า?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เซียวจ้าวจง
เจ้าบอกข้ามาตามตรงดีกว่า เจ้าใช่ลก
ู ของไหวหนานอ๋องจริงหรือ
เปล่า?”

คําพูดร้ายกาจแบบนี้ ฉีหนิงกลับพูดออกมาอย่างเรียบง่าย หลาย


คนถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไป

คําพูดด่าทอแบบนี้ มันยิ่งกว่าการเอาอาวุธมาเข่นฆ่ากันอีก

เซียวจ้าวจงปลายตากระตุก แต่ยังข่มอารมณ์เอาไว้ได้ แล้วพูดว่า


“เป็นถึงคนของจิ่นอีตระกูลฉี แต่กลับพูดจาต�าช้าแบบนี้ น่าผิดหวังจัง
เลยนะ”

“ถ้าเทียบกันแล้ว ข้าคิดว่าไหวหนานอ๋องน่าจะผิดหวังมากกว่า
นะ” ฉีหนิงพูดว่า “เพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายของตัวเอง ใช้พ่อแท้ๆ ของ
ตัวเองเป็นเครื่องมือ เซียวจ้าวจง เจ้ามันโหดเหี้ยม มันหาได้ยากมากนะ
แบบนี”
้ เขาถอนหายใจยาว แล้วพูดว่า “น่าเสียดายที่ไหวหนานอ๋องไม่
ฉลาดเลย ต่อให้ตายแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าลูกชายแท้ๆ ของเขาเองเป็นคน
ทําให้เขาต้องตาย”
เซียวจ้าวจงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ดีนี่นา คิดจะบุกวังหลวง มัน
ไม่ใช่เรื่องยาก ทหารในวังมีแค่ไม่เกินพันคน เจ้าจะทําให้พวกเขา
กลายเป็นกบฏกับเจ้าไปด้วยทําไม?”

ฉีหนิงเอามือวางไว้บนกําแพง แล้วจ้องไปที่เซียวจ้าวจงกําลังพูด
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พด
ู ว่า “เซียวจ้าวจง ยอมแพ้ซะเถอะ”

พอพูดแบบนี้ออกไป ไม่ว่าจะเป็นทหารหลวงหรือว่าทหารที่อยู่
ด้านล่าง ต่างคิดว่าฉีหนิงบ้าไปแล้ว ทหารข้างล่างล้อมวังหลวงเอาไว้
ทหารหลวงถูกล้อมด้วยกองกําลังที่มม
ี ากกว่าสิบเท่า ฉีหนิงเหมือนถูกขัง
อยู่ในหลุม แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ฉีหนิงยังบอกให้เซียวจ้าวจงยอม
แพ้ ทุกคนรู้สึกว่ามันบ้ามาก หลายคนรู้สึกว่าหูของพวกเขามีปัญหา
แน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะได้ยินอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน

ชื่อตันเหมยเองก็ตะลึงไป นางมองไปที่ฉีหนิง เห็นฉีหนิงกําลังยิม



อยู่ ท่าทางของเขาดูสบายๆ มาก

“หากเจ้ายอมลงมาจากม้าแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าวังหลวง ข้ารับรอง
ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าจะทูลกับฝ่าบาทเองว่า เจ้ายินดี
ไปเฝ้าหลุมศพฮ่องเต้ไท่จู่ที่สุสานหลวง หลายปีที่ผ่านมา เจ้าหลบอยู่แต่
ในจวนไหวหนาอนอ๋อง คิดว่าอาจจะเคยชินกับความเงียบเหงาและโดด
เดี่ยวแล้ว”
เซียวจ้าวจงรู้สึกว่าคุยกับฉีหนิงไม่รู้เรื่องแล้ว เขาพูดว่า “ส่งพระ
ศพของฝ่าบาทออกมา”

ฉีหนิงรู้สึกขํา เซียวจ้าวจงไม่ได้บอกว่าให้ส่งตัวฮ่องเต้ออกมา แต่


กลับบอกว่าให้สง่ พระศพของฮ่องเต้ออกมา ก็เพื่อทําให้ใครหลายคน
สงสัยว่าฮ่องเต้เป็นหรือตายกันแน่

ในเวลานี้เอง ฉีหนองเห็นด้านหลังกําลังทหารนั้นมีคนกลุ่มหนึ่ง
ปรากฎตัวขึ้น เดิมทีบรรยากาศกําลังตกอยู่ในความเงียบ ตอนนี้กลับเริ่ม
มีเสียงเอะอะโวยวายขึ้น

เซียวจ้าวจงเองก็รู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวมาจากด้านหลัง เขา
กระตุกเชือกม้าหันไปมอง เห็นเหล่าขุนนางถูกเหล่าทหารขวางทาง
เอาไว้ มีคนทั้งตะโกนวุ่นวายกันไปหมด เซียวจ้าวจงหันไปกระซิบข้างหู
ของแม่ทัพข้างๆ คนหนึ่ง แม่ทัพคนนั้นขี่ม้าออกไป ทหารเปิดทางให้เขา
ขุนนางหลายสิบคนเดินมุ่งหน้ามาหาเซียวจ้าวจง คนหน้าสุดก็คือท่าน
เสนาบดีหยวนมังกรแห่งกรมพิธีการ โดยมีหลูเซียวกับหยวนโม่เสียน
ประกบซ้ายขวา รวมทั้งขุนนางอีกหลายคนที่ตามมาด้านหลัง

เซียวจ้าวจงลงจากม้ามา แล้วเดินไปหา จากนั้นก็ยกมือคํานับพวก


ขุนนางก่อน
เสนาบดีหยวนเงยหน้ามองไปที่กําแพงวังก่อน แล้วพูดว่า “ท่าน
อ๋อง นี่ ...... นีม
่ น
ั เรื่องอะไรกัน?”

“ท่านเสนาบดีหยวน ฉีหนิงลอบปลงพระชนม์ฝา่ บาท ตอนนี้


ร่วมมือกับทหารหลวงควบคุมวังหลวงเอาไว้แล้ว” เซียวจ้าวจงพูดว่า
“เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ข้าได้รบ
ั ราชโองการ ให้นําทหารมากวาดล้าง
กบฏ”

เหล่าขุนนางสีหน้าเปลี่ยนไป หลูเซียวรีบถามเลยว่า “ท่านอ๋อง


ท่านบอกว่าฉีหนิงลอบปลงพระชนม์ฝา่ บาท แล้ว ...... แล้วตอนนี้ฝ่า
บาททรงอยู่ที่ไหน?”

“ฝ่าบาท ...... ทรงสิน


้ พระชนม์แล้ว” เซียวจ้าวจงดวงตาแดงก�า
พูดด้วยน�าเสียงสะอื้นว่า “ข้าได้รับคําสั่งให้ออกนอกเมืองไปเคลื่อน
กําลังพลมา เลยไม่กล้าเสียเวลา ......”

พอพูดแบบนี้ออกมา พวกขุนนางก็ตกใจกนมาก หลายคนเริ่ม


ร้องไห้ หลูเซียวรีบถามว่า “ฝ่าบาททรงถูกปลงพระชนม์ แล้วพระศพ
ของพระองค์ล่ะอยู่ที่ไหน?”

เซียวจ้าวจงพูดว่า “ยังอยู่ในวัง” เขาตะโกนเรียก “กุ้ยเห๋ออยูท


่ ี่
ไหน?”
มีคนเดินออกมาจากด้านหลัง เขาคือขันทีก้ย
ุ เห๋อ เขาน�าตาอาบ
หน้า แล้วคุกเข่าลง น�าเสียงของเขาสั่นเครือ “ไต้เท้า ..... ไต้เท้าทุกท่าน
ฝ่าบาททรงสวรรคตแล้ว ......”

เสนาบดีหยวนตะคอกออกไปว่า “มันเกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านอ๋องทรงหารือราชกิจอยูก
่ ับฝ่าบาท จู่ๆ ก็มีนก
ั ฆ่าโผล่มา ข้า
กับเหล่าองครักษ์ค้ม
ุ กันฝ่าบาทหลบหนี แต่ว่านักฆ่ามากันจํานวนมาก”
กุ้ยเห๋อปาดน�าตาแล้วพูดว่า “เราจําได้ว่าหัวหน้าขบวนการคือฉีหนิง
พวกมันโหดเหีย
้ มมาก ฝ่าบาททรงมอบธนูทองให้กับท่านอ๋อง สั่งให้
ท่านอ๋องสั่งทหารหลวงบุกเขาวังชั้นในไปสังหารนักฆ่า แต่ว่า ...... แต่ว่า
......”

“แต่ว่าอะไร?” หลูเซียวตะคอก

“แต่ว่ายังไม่ทันได้ส่ังทหารหลวงมาช่วย ฝ่าบาท ก็ ....... ก็ถก


ู ปลง
พระชนม์แล้ว” กุ้ยเห๋อร้องไห้แล้วพูดว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถใน
การช่วยฝ่าบาท สมควรตายยิ่งนัก สมควรตายยิ่งนัก .....”

ตอนนี้เหล่าขุนนางก็ร้องไห้กันมากขึ้น ขุนนางด้านหลังพูดขึ้นมา
ว่า “ท่านอ๋อง เราบุกเข้าวังไปจับตัวฉีหนิงเอาไว้กัน แล้วฉีกเขาออกเป็น
ชิน
้ ๆ” คนที่พูดคือโต้วขุย
เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ทหารหลวงมีไส้ศก
ึ ช่วยฉีหนิง
ควบคุมทหารหลวงเอาไว้ ข้าจนปัญญา เลยจําเป็นต้องเคลื่อนกําลังพล
มาจากนอกเมือง”

หลูเซียวพูดว่า “ท่านอ๋องก็นา่ จะทรงรู้ดี การเคลื่อนกําลังพล ต้อง


มีคําสั่งจากกรมกลาโหวก่อน คืนนี้ทหารเข้าเมืองมา ทางกรมกลาโหม
ไม่ได้รู้เรื่องเลย เรื่องนี้มน
ั ......?”

“ไต้เท้าหลู ปราบกบฏเป็นเรื่องเร่งด่วน จะเสียเวลาไม่ได้นะ”


โต้วขุยรีบพูดว่า “หรือว่าท่านอ๋องต้องไปหารือกับทางกรมกลาโหมก่อน
ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกกบฏไม่หนีกันไปแล้วเหรอ?”

“ถูกต้อง ท่านอ๋องทรงตัดสินใจได้เด็ดขาด ถึงได้สามารถล้อมตัวฉี


หนิงเอาไว้ได้” มีขุนนางเสริมขึ้นมา “ตอนนี้วังหลวงถูกล้อม พวกกบฏมี
ปีกก็หนีออกไปไม่ได้”

เซียวจ้าวจงพูดว่า “ไต้เท้าหลู ฝ่าบาททรงมอบธนูทองให้ข้า เดิมก็


เพื่อให้ขา้ รีบจัดการพวกกบฏ มันเสียเวลาไม่ได้จริงๆ หากไต้เท้าหลูคิด
ว่ามันผิดกฎหมาย หลังจบเรื่อง ข้าจะไปขอรับโทษเอง”

หลูเซียวถูกเขาตอบกลับแบบนี้ เขาก็ไม่รูจ
้ ะตอบยังไง

“เชิญธนูทองมา” เซียวจ้าวจงพูด
คนด้านหลังนําธนูทองมา หลังจากเซียวจ้าวจงรับมาแล้ว ก็ค่อยๆ
เปิดมันออก ธนูทองเป็นลูกธนูสีทอง แต่มันไม่ได้ยาวเหมือนกับธนูท่ัวไป
เหล่าขุนนางต่างรู้ดี ธนูทอง ป้ายทองและตราลัญจกรมันเป็นของสาม
สิง่ ที่แสดงถึงอํานาจในราชบัลลังก์ของฮ่องเต้ ป้ายทองมีไว้ให้ขุนนาง
เวลาออกไปทํางานนอกสถานที่ ส่วนธนูทองมีไว้เพื่อสั่งโยกย้ายทหาร
ทหารรอบเมืองหลวงเมื่อเห็นธนูทอง ก็เหมือนได้พบกับฮ่องเต้ เมื่อมีธนู
ทอง ก็สามารถสั่งเคลื่อนกําลังพลได้ในเวลาคับขัน

“ท่านอ๋อง ตอนที่นักฆ่าลอบเข้าไปปลงพระชนม์ องครักษ์ลับไม่


ออกมาคุ้มกันเลยเหรอ?” หลูเซียวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทําไมฝ่าบาทถึง
ให้ท่านอ๋องไปตามทหารหลวงด้วย?”

“องครักษ์ลับกระจายอยู่ท่ัววัง จํานวนคนมีไม่มาก หากมีนก


ั ฆ่า
จํานวนไม่มาก แค่องครักษ์ในวังไม่พอหรอก” เซียวจ้าจงพูดว่า “แต่คืน
นี้นักฆ่าที่เข้ามาในวังนั้นมีจํานวนมาก อีกทั้งยังกระจายตัวโจมตี
เพื่อที่จะรวบตัวพวกเขาได้หมด เลยจําเป็นต้องใช้ทหารหลวง”

“ในเมื่อสั่งเคลื่อนกําลังทหารหลวงแล้ว ทําไมท่านอ๋องยังต้องสั่งให้
ค่ายเสวียนอู่เข้าเมืองมาอีก?”

เซียวจ้าวจงหยิบจดหมายออกมา แล้วยื่นให้หลูเซียว หลูเซียวรับ


มาแล้วเปิดอ่าน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “ในค่ายทหารหลวงมีหนอน
บ่อนไส้เหรอ?” เขาเงยหน้ามองไปที่เซียวจ้าวจง “ท่านอ๋อง ท่านได้มา
จากไหน?”

เซียวจ้าวจงพูดว่า “ข้าไปถึงค่ายทหารหลวง ก็ส่งั ให้ฉือเฟิงเตียน


นําทหารเข้าไปในวังชั้นใน ตอนนี้กําลังจะออกปฏิบัติการ มีคนยัด
จดหมายฉบับนี้ให้ข้า ตอนนั้นคนเยอะมาก ข้าไม่รู้ว่าใครยัดมาให้ พอได้
เห็นเนื้อจดหมายด้านใน ก็ยังไม่ค่อยเชื่อ แต่ว่า ..... หากมันเป็นเรื่องจริง
ในวังก็จะต้องวุ่นวายแน่นอน ดังนั้นข้าถึงได้ไปโยกกําลังพลจากด้าน
นอกมา เพื่อป้องกันความผิดพลาด คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะก่อกบฏ”

หลูเซียวกับเสนาบดีหยวนมองหน้ากัน เหมือนจะสงสัยอยู่

“ท่านอ๋องทรงแน่ใจแล้วเหรอว่าฝ่าบาททรงเคราะห์ร้ายไปแล้ว?”
ท่านเสนาบดีหยวนนิ่งไป จากนั้นก็ถาม

เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องจริง
แต่ว่ากุ้ยกงกงเห็นด้วยตาตัวเอง เขาออกจากวังมารายงานน ข้าเองก็ไม่
อยากจะเชื่อ”

หลูเซียวมองไปที่ด้านบนกําแพงวัง แล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ในวังยัง


มีเหล่าพระสนมแล้วก็ท่านหญิงอยู่อีกจํานวนมาก หากท่านสั่งให้บุก
ทรงทราบหรือไม่ว่ามันจะเกิดผลยังไง?”
“ข้ารู้ดี” เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดังนั้นข้าเลยยังไม่ได้
สั่งให้บุก แต่ว่าแค่ล้อมเอาไว้ก่อน เพราะกังวลว่าฉีหนิงจะคลั่ง แล้วจะ
ส่งผลร้ายต่อฮ่องเฮากับเหล่าพระสนม”

เสนาบดีหยวนพูดว่า “ท่านอ๋องคิดจะทํายังไงต่อไป?”

“ข้าได้บอกให้ฉีหนิงมอบพระศพของฮ่องเต้ออกมาแล้ว” เซียว
จ้าวจงพูดอย่างจริงจังว่า “แต่ว่าเขาหัวรั้นมาก ยังดีที่พวกท่านมา
ทันเวลา หลังจากนี้ควรทํายังไง ข้าอยากจะหารือกับพวกท่าน เราต้อง
หาทางออกให้กับเรื่องนี้ เราจะให้พระศพเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
แล้วก็ต้องให้ฮองเฮากับพระสนมปลอดภัยด้วย สิ่งที่สําคัญที่สด
ุ คือการ
กําจัดโจรกบฏนีใ้ ห้เร็วที่สุด”

หลูเซียวจู่ๆ ก็ถามขึ้นมาว่า “ท่านอ๋อง อภัยที่ข้าน้อยต้องพูดตามตรง ฉี


หนิงลอบเข้าวังหลวงลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท เขาทําไปเพื่ออะไร?
เขาเป็นถึงกั๋วกงแล้ว อีกทั้งยังได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทด้วย
ทําไมต้องก่อกบฏ แล้วลอบเข้าไปปลงพระชนม์ฝ่าบาทด้วย?” เขาจ้อง
ไปที่เซียวจ้าวจงแล้วพูดว่า “เขามีเหตุผลอะไรที่ต้องทําแบบนั้น?”
เล่มที่ 47 บทที่ 1385 โอกาสเพียงครัง้ เดียว

เซียวจ้าวจงยังพูดไม่ทันจบ โต้วขุยก็พูดว่า “ไต้เท้าหลู พานักฆ่า


บุกเข้าวังหลวง ไม่ใช่กบฏงั้นเหรอ? ลอบปลงพระชนม์ฝา่ บาท ไม่ใช่
กบฏอย่างนั้นเหรอ?”

“เรื่องนั้นแน่นอน” หลูเซียพยักหน้า “ข้าถามว่าทําไมเขาถึงต้อง


ก่อกบฏ”

“งั้นเจ้าก็ควรจะไปถามฉีหนิง” โต้วขุยพูดว่า “ใครจะไปคิดว่าเขา


ยังมีใจคิดคดแบบนี้” เขายกมือคํานับเซียวจ้าวจงแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง
ฝ่าบาททรงประสบเคราะห์ เรื่องนี้จะยังประกาศออกไปไม่ได้ ตอนนี้
เหตุการณ์คับขัน ขอท่านอ๋องได้เห็นแก่ส่วนรวมด้วยเถอะ”

ขุนนางด้านข้างมีหลายคนพูดว่า “ขอท่านอ๋องทรงเห็นแก่ส่วนรวม
ด้วยเถอะ”

เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าโง่เขลา แต่ว่าตอนนี้แคว้นฉู่


ของเรากําลังตกอยู่ในอันตราย ตัวข้ายังคงมีสายเลือดของฮ่องเต้ไท่จู่อยู่
แคว้นมีภัย เพื่อปกป้องแผ่นดินของบรรพบุรุษ ไม่มีทางนิ่งดูดาย
แน่นอน” เขายกมือคํานับให้เหล่าขุนนางแล้วพูดว่า “ทุกท่าน
เหตุการณ์คับขัน ขอให้ทุกท่านร่วมแรงร่วมใจกับข้า ฝ่าวิกฤตนีไ้ ปให้
ได้”

“ท่านอ๋อง ข้ายินดีจะไปเจรจากับฉีหนิง” เสนาบดีหยวนพูดว่า “รู้


ด้วยเหตุผล ทําให้หวั่นไหวได้ ต่อให้ไม่สามารถทําให้เขาปลดอาวุธยอม
แพ้ได้ แต่ก็ต้องทําให้เขาส่งมอบฝ่าบาทกับฮองเฮาออกมา”

เซียวจ้าวจงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ได้เด็ดขาด ท่านเสนาบดีเป็น


ขุนนางคนสําคัญของแคว้นฉู่ ในเมื่อฉีหนิงกล้าจะลงมือกับฝ่าบาท
แสดงว่าเขาคลั่งมากแล้ว ทหารหลวงถูกเขาปิดหูปด
ิ ตา หากท่านไปด้วย
ตัวเอง เกิดเป็นอะไรขึ้นมา แล้ว ......”

“ข้าอายุขนาดนี้แล้ว จะมาเสียดายร่างกายเหี่ยวเฉาแบบนี้อีก
ทําไมกัน?” ท่านเสนาบดีหยวนพูดอย่างจริงจังว่า “ในวังหลวงตกอยู่ใน
อันตราย การเป็นขุนนาง จะมามัวกลัวตายอยู่ได้อย่างไร” เขาผลัก
หยวนโม่เสียนที่พยุงเขาอยู่ออก ไม่สนใจคําคัดค้านของเซียวจ้าวจง
เดินตรงไปที่ประตูเมือง เซียวจ้าวจงส่ายหน้า แล้วรีบสั่งออกไปว่า “คุ้ม
กันท่านเสนาบดีหยวน”

ทหารโล่รีบตามไปคุ้มกันท่านเสนาบดีหยวน หยวนโม่เสียนเห็นพ่อ
ตัวเองเดินไปก็ตามไปด้วย เขารู้ว่าพ่อของเขาหัวดื้อมาก เลยไม่ย่ น
ื มือ
ไปพยุง แค่เดินตามไปติดๆ เท่านั้น
บนกําแพงวัง ฉีหนิงเห็นเสนาบดีหยวนแล้ว สายตาของเขารู้สึกดี
ใจมาก เขาหันไปพูดกับหวีเปียกู่ว่า “ด้านล่างคือท่านเสนาบดีหยวน สั่ง
การออกไป ห้ามใครทําอะไรเด็ดขาด”

เสนาบดีหยวนเดินมาถึงด้านหน้า เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วพูด


ว่า “ฉีหนิง ทําไมเจ้าต้องกบฏด้วย?”

ถึงแม้เขาจะพูดเสียงดังสุด แต่ว่ากําแพงวังสูงมาก อีกทั้งเขาก็อายุ


มากแล้ว แรงกําลังไม่ได้มม
ี าก ทหารบนกําแพงแทบจะไม่ได้ยน
ิ แต่ว่าฉี
หนิงกําลังภายในแก่กล้า เขาได้ยินชัดทุกคํา หยวนโม่เสียนกังวลว่าฉี
หนิงจะไม่ได้ยิน กําลังจะพูดอีกครั้ง แต่กลับได้ยน
ิ ฉีหนิงพูดว่า “ไต้เท้า
หยวน เรื่องราวเป็นมายังไงมันอธิบายได้ไม่ชัดเจนเลย แต่ว่าผูน
้ ้อย
ไม่ได้เป็นคนทําร้ายฝ่าบาทแน่นอน”

“สถานที่ต้องห้ามในวัง เจ้าเป็นคนพาคนบุกเข้าไปใช่ไหม?”
เสนาบดีหยวนถาม

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ก็ไม่ผิด”

“ในเมื่อใช่ ถ้าไม่ใช่กบฏแล้วคืออะไร?” ท่านเสนาบดีหยวนพูด


ด้วยความโมโหว่า “ท่านเหล่าโหวทั้งสองรุ่นของจิ่นอีตระกูลฉีเป็นเสา
หลักของบ้านเมือง จงรักภักดีต่อแคว้นฉู่ สร้างผลงานได้มากมาย เจ้า
เป็นลูกหลานของพวกเขา ไม่คิดตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน แต่กลับ
สังหารองค์เหนือหัว ตอนนี้ข้าต้องการคําตอบเพียงอย่างเดียว ทําไมเจ้า
ถึงต้องทําแบบนี้ด้วย?”

ฉีหนิงมองเสนาบดีหยวนลงมาจากด้านบนกําแพง เขานิ่งไปนาน
หลังจากนั้นเขาถึงได้พด
ู ว่า “หากข้าบอกว่าข้าเข้าวังไปเพื่อตอบแทน
ความภักดีต่อแคว้นฉู่ คงไม่มีใครยอมเชื่อข้าสินะ”

ท่านเสนาบดีหยวนถอนหายใจแล้วพูดว่า “บนกําแพงคือทหาร
หลวงของแคว้นฉู่เรา ด้านล่างกําแพงคือค่ายเสวียนอู่กับค่ายหู่เสิน ล้วน
แล้วแต่เป็นผูก
้ ล้า หรือว่าเจ้าอยากจะเห็นพวกเขาเข่นฆ่ากันเองหรือ
ยังไง? ความเจ็บปวดของการต่อสู้กันเองแบบนี้ เจ้าอยากจะเห็นมันงั้น
เหรอ?” เขาชี้ไปที่ทางเหนือ แล้วตะโกนว่า “กองทัพฉินไหวกําลังต่อสู้
อยู่ที่แนวหน้า เมืองหลวงเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ เจ้าอยากจะทําลาย
แคว้นด้วยมือของเจ้าเองงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านเสนาบดีอยากให้ข้าทําเช่น
ไหร่?”

“หากเจ้ายังคงเป็นลูกหลานของจิ่นอีตระกูลฉี ยังเป็นขุนนางและ
คนของต้าฉู่อยู่ ก็ปลดอาวุธแล้วออกจากวังมาแต่โดยดี” ท่านเสนาบดี
หยวนพูดว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าสามารถอธิบายต่อหน้าเหล่าขุน
นาง”
ฉีหนิงพูดว่า “ไต้เท้าหยวน เซียวจ้าวจงคิดก่อการกบฏชิงบัลลังก์
ในมือมีอํานาจการทหาร หากข้าออกจากวังไปตอนนี้ มันไม่เป็นการ
รนหาที่ตายหรือ?”

“เจ้าบอกว่าไหวหนานอ๋องคิดชิงบัลลังก์ มีหลักฐานหรือเปล่า?”
ท่านเสนาบดีหยวนพูดว่า “หากเจ้ามีหลักฐาน เอามันออกมาได้เลย เชื่อ
ว่าเหล่าขุนนางเห็นแล้วก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง”

ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไต้เท้าหยวน สถานการณ์มน


ั เหนือกว่า
คน ต่อให้พวกท่านเห็นด้วยตาตัวเองแล้วมันจะยังไงล่ะ? เซียวจ้าวจง
ต้องการฆ่าข้าให้ตาย หากข้าไม่ตาย เขาก็ไม่สบายใจใ วันนี้ไม่ว่าข้าจะมี
เหตุผลแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางเลิกรา”

“ข้าต้องฆ่าเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว” เซียวจ้าวจงพูดขึ้นมา เขาอยู่บน


หลังม้าแล้วตอนนี้ แล้วขี่มันมาใกล้ๆ ท่านเสนาบดีหยวนที่มีทหารโล่ค้ม

กันอยู่ เขามองขึ้นไปบนกําแพงวัง สีหน้าของเขาไม่มอ
ี ารมณ์อะไรเลย
“ข้าเป็นลูกหลานของฮ่องเต้ไท่จู่ ไม่ว่าใครก็ตามคิดจะทําให้แคว้นฉู่
วุ่นวาย ข้าไม่มท
ี างออมมือให้แน่นอน”

ฉีหนิงยกมือชีไ้ ปที่เซียวจ้าวจงแล้วพูดว่า “เซียวจ้าวจง ข้าก็อยู่


ตรงหน้าเจ้าแล้วนี่ไง แน่จริงก็บุกมาเลย”
“เหมือนว่าเจ้าจะประเมินการตัดสินใจบุกวังของข้าต�าเกินไปนะ”
เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูดว่า “วังหลวงแตกแล้ว ก็สร้างใหม่ได้
หากกบฏไม่กําจัด ผลร้ายจะตามมามากมาย ข้าแค่ไม่อยากเห็นทหาร
แคว้นฉูข
่ องเราต้องหลั่งเลือดมากเกินไปเท่านั้น”

ฉีหนิงพยักหน้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้ ข้าว่าแม้แต่ตัว


เจ้าเองก็ไม่เชื่อล่ะมั้ง? เจ้าเคยเป็นห่วงว่าคนอื่นจะต้องหลั่งเลือด
เสียสละงั้นเหรอ?” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านเสนาบดีหยวน
เซียวจ้าวจงคิดกําจัดข้า ข้าไม่มีทางยอมให้เขาแบบนั้นแน่นอน แต่ว่าข้า
ไม่อยากทําร้ายคนอื่นในวังเพราะเรื่องนี้ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน
เรื่องหนึ่ง ไม่ทราบท่านจะรับปากข้าได้หรือไม่?”

“เจ้าว่ามา”

“ฮองเฮายังทรงประทับอยู่ในวังหลวง” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “หากจะบุกตีเข้ามาจริง เกรงว่าอาจะทําให้พระนางและเหล่าท่าน
หญิงในวังตกพระทัยได้ ดังนั้น ...... ข้าจะให้พระนางออกจากวัง แต่ว่า
ไต้เท้าหยวนต้องรับปากข้า หลังพระนางออกจากวังแล้ว ท่านต้อง
รับรองความปลอดภัยของพระนาง จะให้ใครทําร้ายพระนางไม่ได้
เด็ดขาด”
ท่านเสนาบดีหยวนพูดว่า “เจ้าจะให้ฮองเฮาออกจากวังงั้นเหรอ?
ถ้าอย่างนั้นก็ดี ข้ารับปากเจ้า หลังจากพระนางออกจากวังแล้ว ข้าจะทํา
ทุกอย่างอย่างเหมาะสม จะไม่ให้ใครมาทําอันตรายพวกนางได้เลย”

“ข้าไม่กลัวใครเลยนอกจากเซียวจ้าวจง” ฉีหนิงถอนหายใจพูด

เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดอยากจะใช้ข้ออ้างนี้ เพื่อประวิง


เวลาใช่ไหม? ต่อให้ย้ อ
ื เวลาได้ แล้วยังไง? หรือว่าจะมีทหารมาช่วยเจ้า
หรือไง?”

ท่านเสนาบดีหยวนหันกลับไปแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ให้ฮองเฮาได้


ออกจากวังมาก่อนเถอะ พวกพระนางจะได้ไม่ทรงตกพระทัย เรื่องนี้
..... ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”

เซียวจ้าวจงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไต้เท้าหยวนกล่าวถูกต้องแล้ว”
เขาหันไปพูดกับฉีหนิงว่า “เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามก็จะเช้าแล้ว ก่อน
ฟ้าสาง เจ้าจะต้องส่งพระนางออกจากวัง ไม่อย่างนั้นข้าคงจะต้องสั่งให้
บุกเข้าไปทันที”

ฉีหนิงเองก็ไม่ได้เสียเวลา เซียวจ้าวจงเองก็กระตุกม้าหันกลับไป

ท่านเสนาบดีหยวนไม่ได้ตามกลับไปในส่วนของทหาร แต่เขาพูด
ว่า “ข้าจะรอรับเสด็จฮองเฮาอยู่ตรงนี้”
หยวนโม่เสียนขยับปาก เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูด
ออกมา

ฉีหนิงมองไปที่หวีเปียกู่ แล้วพูดว่า “หวีเสี้ยวเว่ย ทางนี้ฝากเจ้า


ด้วยนะ ข้าจะไปเชิญฮองเฮาเสด็จออกนอกวังเอง”

หวีเปียกู่ยกมือคํานับแล้วพูดว่า “รับทราบ”

ฉีหนิงลงมาจากกําแพงวัง ชื่อตันเหมยตามเขามาด้วย นางขมวด


คิ้วแล้วพูดว่า “ทําไมถึงได้ปล่อยฮองเฮาออกไป? เจ้ามีแผนอะไรใช่
ไหม?”

“ฮองเฮาต้องเสด็จออกจากวัง เจ้าเองก็ต้องออกจากวังไปด้วย” ฉี
หนิงท่าทางจริงจังมาก “อย่างที่เจ้าบอก ทหารจํานวนมากล้อมเอาไว้
แบบนี้ หากเซียวจ้าวจงสั่งบุกวัง เรายื้อเอาไว้ได้ไม่นาน อีกทั้งเหมือน
เขาจะคุมสถานการณ์ทก
ุ อย่างไว้ในมือทั้งหมด หากวังแตก ข้าคิดวิธี
พลิกสถานการณ์อีกไม่ได้เลย”

“เจ้าจะให้ข้าออกจากวัง?” ชื่อตันเหมยตะลึงไป นางขมวดคิ้วแล้ว


พูดว่า “เจ้าจะให้ฮองเฮาออกจากวัง ก็เพื่อให้ขา้ ปะปนออกไปด้วยใช่
ไหม จะได้ออกไปได้อย่างปลอดภัย?”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ข้าจะให้เจ้ามาตายพร้อมกับข้าด้วยได้ยังไง
กันล่ะ”
ชื่อตันเหมยส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่ไป ในเมื่อข้า
บอกแล้วข้าจะร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้า ข้าก็จะไม่มว
ี ันทิ้งเจ้าไปไหน”

ฉีหนิงหยุดเดิน เขาคิดแล้วพูดว่า “เพียงแต่ว่าข้านึกถึงเรื่องสําคัญ


มาได้เรื่องหนึ่ง มันเป็นช่องโหว่เดียวที่เซียวจ้าวจงมี หรือก็คือ มันคือ
ช่องโหว่เดียวที่เราพอจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาได้”

“ช่องโหว่?”

“ฝ่าบาท” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “เซียวจ้าวจงเป็นคนหัวรั้น เขา


ยังเหลือโอกาสสุดท้ายให้เราอยู่ เขาคิดชิงบัลลังก์ เพราะเขาคิดว่า
บัลลังก์น่ันมันควรเป็นของเขา อดีตฮ่องเต้และฝ่าบาทองค์ปัจจุบันนั้น
แย่งชิงของๆ เขาไป ดังนั้นเขาต้องการให้ฝ่าบาทเห็นเขาชิงทุกอย่าง
กลับไป ก่อนที่เขาจะได้น่ังบัลลังก์ เขาไม่มีทางทําอะไรพระองค์
แน่นอน”

ชื่อตันเหมยฉลาดมาก ฉีหนิงพูดมาแบบนี้ นางเข้าใจความหมาย


ทันทีนางถามว่า “เจ้าหมายความว่าถ้าเจอตัวฝ่าบาท ก็จะสามารถ
แก้ไขสถานการณ์ท้ังหมดได้อย่างนั้นใช่ไหม?”

“ขอแค่ช่วยฝ่าบาทได้ อํานาจในมือของเซียวจ้าวจงก็จะสลายไป”
ฉีหนิงพูดว่า “เซียวจ้าวจงทําทุกอย่างด้วยวิธส
ี กปรก ไม่ได้มีการผูกมิตร
กับเหล่าทหารกลุ่มไหนจริงจัง ถึงแม้เขาจะมีอํานาจในมือตอนนี้ แต่ว่า
ในความเป็นจริงมันไม่พ่งึ พาไม่ได้เลย หากเหล่าขุนนางและทหารได้พบ
ฝ่าบาทเห็นว่าทรงยังมีชว
ี ิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นเรื่องโกหกที่เขาสร้างขึ้นมา
นั้น มันก็จะพังลงทันที”

ชื่อตันเหมยคิด แล้วพูดว่า “เซียวจ้าวจงเก็บฝ่าบาทเอาไว้ เขาเอง


ก็ต้องรูจ
้ ุดอ่อนข้อนี้ดี เหมือนคนฝึกยุทธ์ ล้วนีจุดตายของตัวเอง เวลา
ต่อสู้ ก็จะทําทุกอย่างป้องกันจุดนั้นอย่างดี ฝ่าบาทคือจุดตายของเซียว
จ้าวจง เขาต้องทําทุกอย่างคุ้มกันแน่ ฝ่าบาทไม่ได้อยูใ่ นวัง แล้วจะอยู่ใน
เมืองหลวงหรือเปล่า? เขาคงไม่ได้ถก
ู ส่งออกจากเมืองหลวงไปแล้วใช่
ไหม?”

“มันก็เป็นไปได้” ฉีหนิงพยักหน้า “แต่ว่าข้าเชื่อว่าทรงยังต้องอยู่


ในเมืองหลวงแน่นอน เซียวจ้าวจงเล่นละครฉากใหญ่ขนาดนี้ ก็อยากจะ
ให้ทรงได้เห็นใกล้ๆ ดังนั้นเขาน่าจะไม่สง่ ตัวพระองค์ไปไหน”

“ต่อให้ยังอยู่ในเมืองจริง แล้วทรงไปอยูท
่ ี่ไหนได้?” ชื่อตันเหมย
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ในเมืองหลวงมีคนเป็นล้านคน มีเขตเล็กเขตน้อย
ไปทั่ว มีบ้านเรือนนับไม่ถ้วน หากจะซ่อนใครเอาไว้ ให้ทหารนับพันไป
ค้น มันก็ใช่ว่าจะหาเจอนะ ......”

“ข้ากําลังคิดอยู่” ฉีหนิงนึก เขานิ่งไป แล้วพูดว่า “ที่ที่เป็นไปได้มันมีอยู่


แค่สองที่เท่านั้น”
เล่มที่ 47 บทที่ 1386 การต่อสูท
้ ต
ี่ ําหนักเฟิ่งอี๋

นอกตําหนักเฟิ่งอี๋ ตอนนี้มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา

องค์หญิงเทียนเซียงตั้งแต่มาจากแคว้นตงฉี ฮ่องเต้แคว้นฉีมก
ี าร
จัดนางกํานัลขันทีติดตามมาด้วยจํานวนมาก ขันทีนางกํานัลพวกนี้ก็อยู่
รับใช้องค์หญิงเทียนเซียงตลอด

ตอนทหารหลวงบุกเข้ามา มีคนเข้ามารายงานฮองเฮาแล้ว ฮองเฮา


รีบสั่งรวมคนในตําหนักให้มารวมตัวกัน ถึงแม้ในมือจะไม่มีอาวุธ แต่ก็มี
การหยิบเก้าอี้ไม้อะไรที่สามารถนํามาเป็นอาวุธ องครักษ์ของตําหนัก
คุ้มกันอยู่หน้าตําหนัก ทุกคนพร้อมใจกันป้องกัน

ที่จริงไม่ว่าใครก็รู้ดี ถ้าพวกทหารหลวงบุกเข้ามาในตําหนัก ทุกคน


ไม่มีใครขวางได้แน่นอน แต่ว่าพวกเขาภักดีกับฮองเฮามาก ถึงแม้จะมี
เหล่าขันทีมากมายวิ่งกันวุ่นวายไปหมด แต่ที่ตําหนักเฟิ่งอี๋ยังคงเป็น
ระบบระเบียบอยู่

ฮองเฮาไม่ได้กระวนกระวายเพราะการบุกเข้ามาของทหารหลวง
แต่ส่งั ให้คนออกไปสืบข่าว จนรู้ว่าทหารหลวงถอนกําลังออกไปแล้ว ถึง
ได้โล่งใจ ไม่นานก็ได้ยน
ิ ว่า ทหารหลวงทําการปิดประตูวังหลวง มีทท
หารอยูน
่ อกวัง มันทําให้นางตกใจมากทีเดียว
“ฮองเฮาพะยะค่ะ ......” ขันทีคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามา แล้วคุกเข่า
ลง “หูก
้ ๋ัวกงฉีหนิงขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”

“ฉีหนิง?” ฮองเฮาขมววดคิ้ว แล้วพูดว่า “ให้เขาเข้ามา”

ฉีหนิงเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าฮองเฮา เขาคุกเข่าลงง แล้วเข้า


ประเด็นเลย “ทูลฮองเฮา ทหารกบฏล้อมวังเอาไว้ กระหม่อมต้องทํา
การคุ้มกันวังหลวง แต่ว่าคนของพวกเขามีจํานวนมากเกินไป
กระหม่อมได้ทําการเจรจากับพวกเขาแล้ว ก่อนฟ้าสาง จะให้คนพาพระ
นางออกจากวัง พวกเขาจะหาที่ทางที่ปลอดภัยให้กับพระองค์พะยะ
ค่ะ”

ฮองเฮาลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “หูก
้ ๋ัวกง คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน
มาก นีม
่ น
ั เรื่องอะไรกัน ข้าได้ยน
ิ มาว่าเจ้าอยู่ชายแดนไม่ใช่เหรอ แล้ว
เจ้ากลับมาเมื่อไหร่ แล้วเข้าวังมาตอนไหน?”

ฉีหนิงมองซ้ายมองขวา ฮองเฮาเข้าใจความหมายของเขา นางโบก


มือ เห็นทุกคนออกไป พอทุกคนออกไปหมดแล้ว ฉีหนิงก็มองไปที่
ฮองเฮาแล้วพูดว่า “พระนางทรงทราบหรือไม่ว่าเซียวจ้าวจงคิดกชิง
บัลลังก์?”

“เซียวจ้าวจง?” ฮองเฮาขมวดคิ้ว “ไหวหนานอ๋องซื่อจื่อที่เพิง่ ได้


ตําแหน่งอ๋องไปคนนั้นเหรอ?”
“พะยะค่ะ” ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาทถูกคนจับตัวไว้ ตอนนี้เป็นหรือ
ตายยังไม่ทราบ กระหม่อมเข้าวังมาในคืนนี้ เดิมคิดจะช่วยฝ่าบาท
ออกไป แต่ว่ากลับตกหลุมพรางของเซียวจ้าวจง ถูกขังอยู่ในวัง เซียว
จ้าวจงยัดข้อหาปลงพระชนม์ให้กระหม่อม สั่งโยกย้ายทหารมาเพื่อ
สังหารกระหม่อม กระหม่อมไม่มีทางยอมก้มหัวให้พวกเขาแน่นอน
ดังนั้นจึงได้ตัดสินใจตายไปพร้อมกับวังหลวง แต่กระหม่อมกังวลว่าหาก
วังแตก ทหารกบฏบุกเข้ามาแล้ว อาจทําให้พระนางกับคนในวังหลัง
เดือดร้อน ดังนั้น ...... กระหม่อมจึงอยากทูลเชิญฮองเฮาเสด็จออกจาก
วังหลวงไปก่อน”

“เจ้าลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท?” ถึงแม้ฮองเฮาจะรู้สึกสงสัย แต่ก็


ยังนิ่งอยู่ “ทําไมเซียวจ้าวจงต้องยัดข้อหาแบบนี้ให้เจ้าด้วย? แล้วฝ่า
บาท ..... ตอนนีท
้ รงอยู่ที่ไหน?”

“กระหม่อมเองก็ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงอยู่ที่ไหน” ฉีหนิงพูดว่า
“เซียวจ้าวจงหาคนมาปลอมตัวเป็นฝ่าบาท แล้วใช้ฝ่าบาทตัวปลอด
ออกคําสั่งต่างๆ เขายึดเอาตราลัญจกรเอาไว้ แอบอ้างพระนามของฝ่า
บาทออกราชโองการต่างๆ ทําให้เหล่าขุนนางแยกแยะไม่ได้”

“ตัวปลอม?” ฮองเฮาสะดุ้ง สีหน้าท่าทางเหมือนเข้าใจอะไร


“อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ ....... คนๆ นั้นเป็นตัวปลอม”

ฉีหนิงถามว่า “ทรงรู้เหรอพะยะค่ะ?”
ฮองเฮาพูดว่า “ปกติแล้วเวลาฝ่าบาทเสร็จราชกิจแล้ว ก็จะมาพัก
ที่ตําหนักตลอด ต่อให้ทรงยุ่งแค่ไหน ก็จะไม่เคยไม่มาเกินสามวัน แต่ว่า
คราวนี้ทรงไม่มาที่ตําหนักเลยเดือนกว่า ข้าส่งคนไปหาพระองค์ ก็ทรง
บอกว่ายุ่งมาก ไม่มีเวลามาเลย” นางหยุดไป แล้วพูดว่า “เมื่อครึ่งเดือน
ก่อน ข้าไปเฝ้าพระองค์ด้วยตัวข้าเอง เห็นทรงกําลังตรวจฎีกาอยู่ ทรงไม่
พูดอะไรกับข้าเลย บอกแค่ว่าไว้จะหาเวลามาหาข้าเอง ที่แปลกก็คือ
ทรงมองแค่ครู่เดียว แล้วก็ไม่มองข้าอีกเลย”

ฉีหนิงพูดว่า “ที่พระนางได้เห็น คือฝ่าบาทตัวปลอม”

ฮองเฮาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเป็นเพราะแคว้นตงฉี ฝ่า


บาทเลยทรงห่างเหินข้า” นางลังเลแล้วถามว่า “เจ้าบอกข้าทีได้ไหม
แคว้นตงฉี ...... เกิดอะไรขึ้นใช่หรือเปล่า?”

“ทําไมทรงถามเช่นนีล
้ ่ะพะยะค่ะ?”

“เจ้าก็ไม่ต้องปิดข้าหรอก” ฮองเฮาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถึงข้า


จะอยู่แต่ในวังหลัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลยนะ เรื่องใหญ่แบบนี้ ต่อ
ให้ฝ่าบาททรงอยากจะปิดบังข้า มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในวังมีคนมากมาย
อยากจะได้ข้อมูลอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฮองเฮาก็ยังจะทรงเป็น
ฮองเฮาของแคว้นฉู่เหมือนเดิม ฝ่าบาททรงจริงใจต่อพระนางนะพะยะ
ค่ะ”

“ข้ารู้ว่าฝ่าบาทรู้สึกยังไงกับข้า” ฮองเฮาพูดว่า “ตอนที่ข้ามายัง


แคว้นฉู่ ก็ไม่ได้มาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นเพียงอย่างเดียว”
นางพูดว่า “ทําไมข้าจะไม่รู้ ผูห
้ ญิงแค่คนเดียว จะเปลี่ยนสถานการณ์ใต้
หล้านี้ไปได้ยังไง” นางเริ่มมีท่าทางกังวลใจ แล้วถามว่า “เจ้าสั่งให้คน
ตามหาฝ่าบาทจนทั่ววังหลวงแล้วหรือยัง?”

“ฝ่าบาทไม่ได้อยู่ในวังหลวงพะยะค่ะ” ฉีหนิงพูดว่า “กระหม่อม


คิดว่าฝ่าบาทน่าจะถูกนําตัวออกจากวังหลวงไปแล้ว ตอนนี้ตกอยู่ในมือ
ของเซียวจ้าวจงแล้ว”

ฮองเฮาหลับตา “ถ้าอย่างนั้น ฝ่าบาท ...... ก็ทรงตกอยู่ในอันตราย


สินะ?”

“เซียวจ้าวจงคิดชิงสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นของเขากลับไป ก่อนที่เขาจะ
ได้น่งั บัลลังก์ ฝ่าบาทน่าจะยังทรงปลอดภัยอยู่” ฉีหนิงพูดว่า
“กระหม่อมจําเป็นต้องให้พระนางออกจากวังหลวงไปก่อน ทรงรีบ
เตรียมตัวเถอะพะยะค่ะ”
“แล้วเจ้าจะอยู่ในวังหลวงต่อไปเพื่ออะไร?” ฮองเฮาพูดว่า “ฝ่า
บาทไม่อยู่ในวังหลวง เจ้าเฝ้าวังเอาไว้ เพื่อใครกันล่ะ?”

ฉีหนิงไม่แน่ใจเลยว่าฮองเฮาคิดยังไง เพราะแคว้นฉู่ยด
ึ แคว้นตงฉี
ไปแล้ว ฮองเฮามองเรื่องนี้ยังไง เขาไม่แน่ใจและไม่อยากตัดสิน เขาไม่
อยากให้มันมากระทบแผนของเขาในตอนนี้ เขาพูดแค่ว่า “เซียวจ้าวจง
คิดจะชิงบัลลังก์ข้น
ึ ครองราชย์ เขาต้องทํามันในวังหลวง ตอนนี้
กระหม่อมไม่มท
ี างเลือกอื่น เฝ้าได้หนึ่งวัน ก็ซ้ อ
ื เวลาไปได้อีกวัน อาจจะ
.....” เขายิ้มแล้วพูดว่า “หากกระหม่อมต้องตายในวังหลวง ก็ถือได้ว่าได้
ตอบแทนพระกรุณาของฝ่าบาทแล้ว ฮองเฮา กระหม่อมจะออกไปรอ
ด้านนอกนะพะยะค่ะ”

เขาก็ไม่รอให้ฮองเฮาพูดอะไร เดินออกไปเลย

ชื่อตันเหมยรออยู่ด้านนอก พอเห็นฉีหนิงออกมา นางก็ไม่ได้พูด


อะไร ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “เจ้าอยากพูดอะไร?”

“ถ้าวังแตก แล้วยังไม่เจอตัวเขา ข้าจะกลับมาพาเจ้าหนีไป


ด้วยกัน” ชื่อตันเหมยลังเล ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าพยายามอย่าง
สุดความสามารถ หากวังแตก เจ้าเองก็ไม่มีความจําเป็นต้องมาทิ้งชีวิต
ที่นี่”
ทั้งสองคนเดินไปที่ลับๆ ไม่มีคน ฉีหนิงพูดว่า “ข้าจะพยายามยื้อ
เวลาให้เจ้านานที่สุดเท่าที่ทําได้ การบุกเข้าวังหลวง มันเป็นเหมือน
สัญลักษณ์ของเซียวจ้าวจง ตอนที่วังแตก มันหมายถึงว่าเขาสามารถ
ทวงคืนของๆ เขาได้สําเร็จแล้ว ดังนั้นถ้าวังไม่แตก ก็ยังคงดึงความสนใจ
ของเขาได้อยู่ หลังจากออกจากวังไปแล้ว เจ้าจะต้องไปติดต่อกับพรรค
กระยาจก อย่าทําอะไรคนเดียว สองที่น้น
ั จะต้องลงมือไปพร้อมกัน จะ
ได้ไม่พลาด” เขาคิดแล้วพูดว่า “มีทหารหลวงคุ้มกันวังหลวง มีกําแพง
วังที่แข็งแกร่งมาก ยื้ออีกสักวันน่าจะไม่มีปัญหา ดังนั้นพวกเจ้าต้องลง
มือให้ไวที่สุด”

ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หาก ..... สองที่ที่เจ้าว่ามาไม่เจอ


ตัวล่ะ จะทํายังไง?”

“ก็ถือว่าข้าโชคไม่ดีแล้วกัน” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เดิมกัน


ระหว่างข้ากับเซียวจ้าวจง ข้าก็คงแพ้หมดรูป”

ชื่อตันเหมยรู้ว่าฉีหนิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก การที่
นางจากไปคราวนี้ ก็ไม่รูว
้ ่าจะได้พบกันอีกไหม นางกัดปาก แล้วก็โผเข้า
กอดฉีหนิง จูบปากของเขา ฉีหนิงโอบกอดเอวของชื่อตันเหมยเอาไว้
แล้วจูบกับนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พด
ู ว่า “เจ้าเองก็รบ
ี เตรียมตัว หาชุด
นางกํานัลมาเปลี่ยน ฮองเฮาจะออกเดินทางแล้ว เจ้าต้องปะปนออก
จากวังไปกับพวกเขา”
ชื่อตันเหมยรู้ว่านางมีหน้าที่สาํ คัญมาก นางพยักหน้า กัดปาก แต่ก็
หันหลังแล้วจากไปทันที

ฉีหนิงไม่สงสัยในตัวชื่อตันเหมยเลย ด้วยฝีมือของนาง การปลอม


ตัวปะปนเข้าไปไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เขาเงยหน้ามองฟ้า ใกล้เช้าแล้ว ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงคนดัง


ขึ้นมา “ท่านกั๋วกง ฮองเฮาให้ไปเฝ้าขเจ้าค่ะ” ฉีหนิงหันไปมอง เป็นนาง
กํานัลคนหนึ่งยืนอยู่ นางก้มหน้าลง ฉีหนิงคิดในใจฮองเฮาเก็บของ
เตรียมตัวเร็วจัง เขากําลังจะเดินไป ก็รู้สก
ึ ว่ามันมีลมวูบหนึ่งซัดเข้ามา
มือของนางกํานัลคนนั้นมันมีมด
ี สั้นโผล่ข้น
ึ มา กําลังพุง่ มาที่เขา ทั้งสอง
อยู่ใกล้กันมาก ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่านางกํานัลในตําหนักเฟิ่งอี๋จะมาลง
มือกับเขาแบบนี้ เขาตกใจมาก นางกํานัลคนนั้นไม่เพียงลงมือเด็ดขาด
แต่ยังเร็วมากด้วย ดูก็รูว
้ ่าไม่ใช่คนธรรมดา หากเป็นคนอื่น คงถูกแทงไป
แล้ว แต่ว่าเป้าหมายของนางกลับเป็นฉีหนิง

ไม่รอให้มีดสั้นมาถึง ฉีหนิงก็ย่ น
ื มือไปจับ นางกํานัลนั่นเหมือนคิด
ไม่ถึงว่าฉีหนิงจะมาชิงมีดในมือไป นางพลิกข้อมือเพื่อแทงมีดใส่มือของ
ฉีหนิง ฉีหนิงเองก็ไวพอ เหมือนคิดไว้แล้วว่านางจะต้องเปลี่ยนกระบวน
ท่าจู่โจม เลยพลิกตัวไปด้านหลังเพื่อหลบมีด จากนั้นก็ซัดฝ่ามือออกไป
ที่ข้อมือของนาง มือของนางเริ่มชา ทําให้มด
ี สั้นหลุดออกจากมือ แต่ว่า
นางก็ยังไม่ลดละ ยังคงบุกเข้าใส่อยู่ ฉีหนิงเองก็ไม่เกรงใจ ซัดฝ่ามือไปที่
หัวไหล่ของนาง ถึงแม้เขาจะไม่ได้ออกแรงเต็มที่ แต่ด้วยกําลังภายใน
ของเขา แรงที่ออกไปมันก็มก
ี ว่าครึ่ง ไม่มีใครทนไหวแน่ ยังดีที่ฉีหนิง
อยากจะจับเป็น เลยไม่ได้เอาชีวิตนางในทันที นางกํานับคนนั้นกระเด็น
ไปชนกับเสาต้นหนึ่ง แล้วก็หล่นลงมากระอักเลือด

เสียงมันทําให้ขน
ั ทีที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจ เลยมีคนวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็น
นางกํานัลดิ้นอยู่ที่พ้ น
ื ก็แปลกใจกันหมด ฉีหนิงค่อยๆ เดินเข้าไปหาแล้ว
พูดว่า “เจ้าเป็นใคร? ทําไมต้องฆ่าข้าด้วย?” พอเข้าไปใกล้ แล้วนาง
กํานัลนั่นเงยหน้าขึ้นมา ที่มม
ุ ปากของนางมีเลือดออก ใบหน้าของนาง
สวย ฉีหนิงเห็นหน้าของนาง หน้าของถอดสีทันที เขาหลุดออกมาว่า
“ทําไม ... ทําไมถึงเป็นเจ้า?”
เล่มที่ 47 บทที่ 1387 ดอกไม้นรกปลุกความทรงจํา

นางกํานัลลงมือสังหารฉีหนิง ถึงแม้ฉห
ี นิงจะได้เจอหน้าของนาง
เป็นครั้งที่สอง แต่ว่าเขาไม่ได้ไม่รู้จักนาง

ในใจของฉีหนิง มั่นใจมานานแล้วว่านางคือจั่วเซียนเอ่อร์

จั่วเซียนเอ่อร์หายตัวไปจากแม่น�าฉินไหว ฉีหนิงตามหานางไม่พบ
เลย แต่กลับมาเจอนางมาเป็นนากํานัลในวังหลวง รูปร่างของนาง
เหมือนจั่วเซียนเอ่อร์ไม่มีผิด มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เริม
่ แรกฉี
หนิงแค่สงสัย แต่พอรู้ว่าภูตเหยียนหมอมีความสามารถในการเปลี่ยน
หน้า เลยมั่นใจว่านางคือจั่วเซียนเอ่อร์

จั่วเซียนเอ่อร์เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาเข้าวังมา ก็เพื่อตามหาพิณเฟิง
หวง เพียงแต่คืนนั้นที่ลงมือ กลับกลายเป็นการช่วยคนอื่น ส่วนพิณถูก
ชื่อตันเหมยกับโม่อ่ิงร่วมมือกันแล้วชิงเอาไป

หลังจากที่จ่ัวเซียนเอ่อร์บาดเจ็บแล้วจากไป ฉีหนิงก็ไม่ได้เจอนาง
อีกเลย ไม่รู้ว่านางยังแฝงตัวอยู่ในวัง หรือว่าไปจากที่นน
ี่ านแล้ว

ตอนนี้เห็นนางปรากฏตัว อีกทั้งยังลงมือจะสังหารเขาด้วย ฉีหนิง


รู้สึกตกใจมาก พอได้เห็นหน้าของนาง ดวงตาอันมีเสน่ห์ตอนนีก
้ ําลัง
จ้องมาที่เขาด้วยความอาฆาต ฉีหนิงถึงแม้จะซัดฝ่ามือใส่นางแต่ก็ไม่ได้
มีอันตรายถึงชีวิต แต่กําลังภายในเขาแกร่งมาก มันเลยทําให้นาง
บาดเจ็บจากภายใน ริมฝีปากเลยมีเลือดไหลออกมา

จั่วเซียนเอ่อร์พูดว่า “ข้าไม่ใช่ค่ต
ู ่อสู้ของเจ้า ลงมือได้เลย”

“ทําไมเจ้าถึงได้คิดว่าข้าจะฆ่าเจ้า?” ฉีหนิงขมวดคิ้ว

จั่วเซียนเอ่อร์พูดว่า “เจ้า ...... เจ้าฆ่าพวกเขา ข้า ...... ข้าก็ไม่น่า


รอด”

ฉีหนิงตะลึงไป แต่ก็นก
ึ ขึ้นมาได้ว่า “พวกเขา” ที่นางหมายถึงคือ
ใคร เขาพูดว่า “เจ้าหมายถึงพวกของเหยียนหมอเหรอ?” เขาพูดว่า
“เซียนเอ่อร์ เจ้าเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นจริงๆ ด้วยเหรอเนี่ย”

หกภูตของตี้ฉาน ภูตเหยียนหมอ ภูตต้าลี่ กุมารฉือเป่า ถูกฉีหนิงฆ่า


ไปแล้ว เจ้าวิญญาณก็คือภูตเซ่อเทียน ก็กินยาพิษตายไป แต่ก็ตาย
เพราะฉีหนิง หกภูตของตี้ฉานตอนนี้ ตอนนี้เหลืออยู่แค่สองคนคือ
เทพธิดาต้าฉือกับเทพธิดาเป่าฉาน

“ข้าไม่รูว
้ ่าใครคือเซียนเอ่อร์” จั่วเซียนเอ่อร์พูดว่า “ข้าต้องการแค่
ชีวิตของเจ้า” นางพยายามดิ้น แต่เหมือนว่านางจะบาดเจ็บมาก ฉีหนิง
เห็นอยู่ เขารู้สึกเสียใจที่ลงมือรุนแรงไป เขาเดินขึ้นหน้าสองก้าว จั่ว
เซียนเอ่อร์กลับหลับตาลง เดิมคิดว่าฉีหนิงจะเอาชีวิตนาง แต่ว่าก็ไม่เห็น
ลงมือสายตาของเขาไม่ได้เห็นว่านางคือศัตรู แต่กลับเป็นสายตตาที่
เปี่ ยมไปด้วยความรัก นางตะลึงไป นางรู้ว่าความรู้สึกนีม
้ ันไม่ใช่เรื่อง
โกหก อีกทั้งเพียงแค่เขายกมือขึ้นมาก็เอาชีวิตนางได้แล้ว ไม่จําเป็นต้อง
เสแสร้งแกล้งทํา นางขมวดคิ้ว “ทํา ...... ทําไมเจ้าถึงไม่ลงมือ?”

“ข้าไม่รูห
้ รอกนะว่าเจ้าผ่านอะไรมาบ้าง แต่ว่าเจ้าจําเรื่องราวที่เรา
อยู่ด้วยกันไม่ได้เลยเหรอ?” ฉีหนิงเหลือบไปมองเซียนเอ่อร์ เขาดึงเสื้อที่
หน้าอกออก จั่วเซียนเอ่อร์เห็นเขากําลังจะดึงเสื้อออก อาจเป็นเพราะ
นางเป็นผู้หญิงนางเลยเขิน นางหันหน้าหนีไม่มองเขา ฉีหนิงดึงเสื้อออก
แล้วพูดว่า “เจ้ามองสิว่านี่คืออะไร?”

จั่วเซียนเอ่อร์หันกลับมามองด้วยความแปลกใจ เห็นฉีหนิงไม่ได้
เปิดหน้าอก แต่สิ่งที่อยูห
่ น้าอก มันเป็นเสื้อผ้าประหลาดตัวหนึ่ง สีดํา
สนิท ดูก็รู้ว่าทําจากหนังงู

“นี่คือเสื้ออูเหมิงหลิน” ฉีหนิงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ากังวลว่าข้า


จะมีอันตราย เลยมอบเกราะตัวนี้ให้ขา้ เจ้ายังจําได้ไหม?”

จั่วเซียนเอ่อร์คิด เหมือนนึกไม่ออก นางพูดว่า “เจ้าบอกว่าข้าเป็น


คนมอบมันให้เจ้างั้นเหรอ? ก็ได้ ในเมื่อเป็นของของข้า งั้นเจ้าก็คืนให้ขา้
สิ”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าจําอะไรไม่ได้เลยเหรอ? แต่หากเจ้า
อยากได้ ข้าก็จะให้เจ้า”

จั่วเซียนเอ่อร์ย่ น
ื มือออกไป แล้วพูดว่า “เอามา”

ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ลังเล เขาถอดเสื้อนอกออก แล้วถอดชุดอูเหมิง


หลินออก เขายื่นมันให้นางไป ขันทีรอบๆ ถึงกับตกใจ แต่ใครก็รู้ว่าเขา
คือกั๋วกง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก

เซียนเอ่อร์รับเสื้อมา เห็นฉีหนิงมองมาที่นางด้วยความอ่อนโยน
เหมือนจะรู้สึกแปลกใจ เหมือนคิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนิงจะถอดให้นางจริงๆ
นางอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “นี่ ...... นี่เจ้าให้ข้าจริงเหรอ?”

ฉีหนิงนั่งยองๆ ลงมา เขาเหลือบไปมองเซียนเอ่อร์ แล้วพูดว่า


“ดอกไม้บานหนึ่งพันปี โรยหนึ่งพันปี ดอกกับใบไม่ได้พบหน้ากัน
ความรูส
้ ึกไม่มส
ี าเหตุ พรหมลิขิตขีดชะตาชีวิต”

เซียนเอ่อร์ได้ยน
ิ ดังนั้น ก็สะดุ้ง เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ นางหลุด
ออกมาว่า “พลับพลึงสีเลือด”

“พลับพลึงสีเลือดเป็นดอกไม้ที่ยินดีที่จะไปที่นรก แต่กลับถูกเหล่า
ปีศาจขับไล่ แต่มันก็ยงั คงวนเวียนอยู่ที่น่ัน” ฉีหนิงมองไปที่เซียนเอ่อร์
ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาพูดว่า “เหล่าปีศาจเห็นแล้วก็อดสงสาร
ไม่ได้ เลยยอมให้นางเบ่งบานอยู่ที่ริมทาง นําทางให้กับเหล่าดวง
วิญญาณ”

เหล่าขันทีมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง

จั่วเซียนเอ่อร์เชี่ยวชาญเรื่องของดนตรี นางเล่นพิณได้ประทับใจ
มาก โดยเฉพาะเพลงพลับพลึงสีเลือด ตอนนั้นหลงไท่นัดพบราชาพิษที่
แม่น�าฉินไหว นางก็ได้เล่นเพลงนี้ ตอนที่ฟังก็เคลิ้มไป ท่วงทํานองมัน
เศร้ามาก ฉีหนิงรูว
้ ่ามันต้องไม่ใช่บทเพลงธรรมดาแน่ เพราะหากเล่น
แบบไม่ไร้ความรู้สึก มันไม่มีทางทําให้คนประทับใจได้เลย นอกเสียจาก
จะเล่นด้วยความรู้สึกแล้วเท่านั้น ถึงจะทําให้คนที่ได้ฟงั รู้สึกถึงอารมณ์
ได้

ฉีหนิงไม่รู้เรื่อดนตรี แต่ว่าก็สม
ั ผัสได้ถึงความเศร้า

เขารู้ว่าในเมื่อจั่วเซียนเอ่อร์เล่นบทเพลงนั้นได้ประทับใจ นั่นน่าจะ
เป็นเพราะว่านางรู้สึกร่วมไปกับมันด้วย เขาไม่ได้คาดหวังว่าพลับพลึงสี
เลือดจะทําให้จ่ัวเซียนเอ่อร์จําเรื่องของเขาได้ เพียงแต่คาดหวังว่าจะทํา
ให้นางรูส
้ ึกอะไรได้บ้าง

ไม่ผด
ิ อย่างที่คิดเลย เซียนเอ่อร์ได้ยินฉีหนิงพูดแบบนี้ เขาก็สะดุ้ง
แล้วพูดว่า “พลับพลึงสีเลือด ....... ดอกไม้บานพันปี โรยพันปี ...... ดอก
และใบไม่มีวันได้พบหน้ากัน ..... ความรูส
้ ึกไม่มส
ี าเหตุ พรหมลิขิตขีด
ชะตาชีวิต ......” ปลายตาของนาเหมือนจะมีน�าตาไหลออกมา

ฉีหนิงพูดกับนางอย่างอ่อนโยน “เซียนเอ่อร์ เจ้าอาจจะจําไม่ได้ว่า


ข้าเป็นใคร แต่ว่าข้าไม่มท
ี างลืมเจ้าได้เลย ข้าแค่อยากจะได้ฟังเจ้าเล่น
เพลงพลับพลึงสีเลือดอีกครั้งเท่านั้น ......” เขายื่นมือออกไปจับไปที่มอ

ของนาง นางสะดุ้ง เหมือนจะชักมือออกเล็กน้อย แต่ฉห
ี นิงกลับจับไว้
แน่น แล้วพูดว่า “พลับพลึงสีเลือดขึ้นตามริมน�าในยมโลก เป็นดอกไม้ที่
คอยนําทางเหล่าดวงวิญญาณไปสูน
่ รกภูมิ มีดอกแต่ไม่มีใบ มันคือ
ดอกไม้เพียงชนิดเดียวในนรก ได้ยินมาว่ามันสามารถปลุกความทรงจํา
ตอนยังมีชีวิตอยู่ได้ ชาตินี้เราไม่ได้เดินไปด้วยกันจนสุดทาง แต่ต่อให้
ชาตินี้เจ้าจะทําข้าไม่ได้เลย ไว้เราตายไปแล้ว ไปถึงริมแม่น�านยมโลก
พลับพลึงสีเลือดจะทําให้เจ้าจําเรื่องของเราได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะจําได้
ว่าข้าเป็นใคร ....”

เซียนเอ่อร์มองไปที่ฉห
ี นิงอย่างตะลึง ท่าทางของนางดูสบ
ั สน
น�าตาของนางไหลออกมา นางดึงมือออก ใบหน้าของนางดูเจ็บปวด
นางเอามือกุมไปที่หัว นางพูดว่า “หัวของข้า ข้า ....... ข้าปวดหัว ข้า
......” นางมองไปที่ฉห
ี นิงอีกครั้ง ทันใดนั้นเองนางก็ย่ น
ื มือออกไป แล้ว
จับไปที่หน้าของฉีหนิง แล้วพูดด้วยน�าเสียงสั่นเครือว่า “ความ .....
ความรูส
้ ึกนี้ ...... คุ้นเคยจังเลย ข้า ...... ข้า ....... เหมือนจะรู้สึกแบบนีม
้ า
ก่อน .....”
ฉีหนิงยกมือจับไปที่มือของนาง เอาหน้าแนบไปที่มือ ดวงตาของ
เขาแดงก�า เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าก็ต้องคุ้นเคยสิ เพราะเมื่อก่อน
เจ้าก็ทํากับข้าแบบนี้ เซียนเอ่อร์ เจ้า ..... เจ้านึกอะไรออกแล้วใช่ไหม?”
เห็นเซียนเอ่อร์ท่าทางเจ็บปวดมาก เขาก็ขยับเข้าไปใกล้ แล้วอุ้มนาง
ขึ้นมา

เหล่าขันทีต่างตกใจ คิดในใจว่านี่มน
ั ในวังหลวงนะ กั๋วกงน้อยกลับ
อุ้มนางกํานัลคนหนึ่งไว้แบบนี้ ใจกล้าเกินไปแล้ว

แต่ว่าฉีหนิงไม่ได้สนใจขันทีที่อยู่รอบๆ เลย การเคลื่อนไหวทางนี้


มันทําให้คนมามากขึ้น ด้านหน้าเหมือนจะมีขน
ั ทีนางกํานัลอีกจํานวน
หนึ่งที่มองฉีหนิงอุ้มนางกํานัล ทุกคนล้วนตกใจ มีนางกํานัลบาคนถึงกับ
หน้าแดง

เซียนเอ่อร์ถูกฉีหนิงอุ้มขึ้นมา ก็ตกใจ นางพยายามดิ้น แต่ว่า


สายตาที่นางเห็น กลับเป็นใบหน้าที่กําลังยิ้มให้กับนางอยู่ บรรยากาศ
รอบๆ เหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป มันเหมือนกลายเป็นภาพบนเรือ
สําราญ

ฉีหนิงเคยอุ้มนางแบบนีห
้ ลายครั้ง ความอ่อนโยนความหวานแบบ
นั้น มันวนเวียนอยู่ในหัวของนาง ภาพที่นางเคยอยู่กับฉีหนิงบนเรือมัน
ผุดขึ้นมา แต่ว่ามันไม่สมบูรณ์ นางเอามือกุมหัวเอาไว้ นางกัดฟัน ฉีหนิง
กลับขยับเข้าใกล้ “เซียนเอ่อร์ เจ้าอย่าเข้าใจผิด ที่จริง ...... ที่จริงข้า
กําลังทดสอบตัวเองอยู่ ดูว่าข้าจะอดทนได้มากแค่ไหน ที่จริง ...... ที่จริง
ต่อให้เจ้าสะดวก ข้าก็คิดว่าข้าทนไหว ......”

น�าเสียงที่อ่อนโยนมันเข้าไปในหูของเซียนเอ่อร์ เหมือนนางกําลัง
ย้อนกลับไปยังอดีต เซียนเอ่อร์หน้าแดงมาก “โหวเยว่เป็นคนดี ข้ารู้วว่า
โหวเยว่ไม่มีทางรังแกเซียนเอ่อร์แน่นอน”

ท่ามกลางสายตาของผูค
้ นมากมาย สิง่ ที่กําลังเกิดขึ้นมันน่า
เหลือเชื่อ

นางกํานัลคนนีเ้ พิ่งจะลงมือสังหารกั๋วกงน้อย แต่เขากลับไม่ฆา่ นาง


กลับอุ้มนางขึ้นมา สิง่ ที่พวกเขาสองคนกําลังแสดงออกมา มันเหมือน
คู่รักคู่หนึ่งที่รักกันมาก ไม่มีท่าทางจะให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย มีหลาย
คนรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นภาพหลอนก็ได้

แต่มแ
ี ค่ฉีหนิงกับเซียนเอ่อร์เท่านั้นที่รู้ คําตอบโต้ไปมานั้น มันคือ
คําพูดที่มันเคยเกินขึ้นมาแล้วในห้องบนเรือสําราญ

ฉีหนิงได้ยินเซียนเอ่อร์ต่อคําแบบไหนตอนนั้นออกมาไม่ผด
ิ เลยแม้แต่คํา
เดียว เขาก็รู้ทันทีว่านางพอนึกเรื่องในตอนนั้นออกบ้างแล้ว เขาดีใจมาก
เซียนเอ่อร์เหมือนได้สติกลับมา น�าตาของนางไหลออกมา เขายกมือจับ
ไปที่หน้าของฉีหนิง เสียงของนางสั่นแล้วพูดว่า “โหวเยว่ ...... ท่าน ......
ท่านกลับมาแล้วเหรอ”
เล่มที่ 47 บทที่ 1388 ความสงสัยในสายเลือด

ตอนนี้ใกล้เช้าแล้ว ภายในและภายนอกเริ่มมีการชักดาบ
เผชิญหน้ากัน

เสนาบดีหยวนยังไม่กลับไปในส่วนของทหาร ยังคงยืนอยู่หน้า
ประตูวังเหมือนเดิม ไต้เท้าหยวนอายุมากแล้วร่างกายเริม
่ เซ ต่อให้ต้อง
ยืนแค่ช่ว
ั ยามเดียว ก็กินแรงมากแล้ว หยวนโม่เสียนยืนอยู่ข้างกายของ
พ่อเขา เขาเห็นพ่อหัวรั้นมาก เขาก็เป็นห่วงพร้อมกับความสงสัยด้วย

เสนาบดีหยวนเป็นขุนนางมานานหลายปี ในราชสํานักที่ซับซ้อน
เขาไม่เคยล้มมาก่อนเลย เพราะคุณธรรมบารมีที่เขาสั่งสมมา แต่สง่ิ
สําคัญที่สุดคือเขาไม่เคยเข้าไปร่วมกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในราช
สํานักเลย

เสนาบดีหยวนอยู่ในกรมพิธีการมานานหลายปี ทุกอย่างที่เขาทํา
เป็นไปตามกฎหมายของแคว้นที่มีทุกอย่าง ไม่เคยให้ใครเจอ
ข้อผิดพลาดได้เลย เขาเป็นขุนนางเที่ยงตรง ต่อให้เป็นสีบ
่ รรดาศักดิ์โหว
สืบทอด ก็จะต้องไว้หน้าเขา
ตระกูลซือหม่ากับไหวหนานอ๋องสู้กันจะเป็นจะตาย ท่านเสนาบดี
หยวนกลับยังอยู่ปลูกผักที่บ้านอย่างสบายใจ ไม่สนใจเรื่องภายนอกเลย
เหมือนว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา

หยวนโม่เสียนทํางานใต้สังกัดของพ่อเขามานานหลายปี เขาเองก็
ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เหมือนกัน เรื่องอะไรที่ไม่
เกี่ยวกับเขา เขาจะไม่ยุ่งเลย ต่อให้มน
ั จะเกี่ยวกับเขา แต่ก็จะเขาไปยุ่ง
แค่สามส่วนเท่านั้น

แต่ว่าสิง่ ที่เสนาบดีหยวนทําในครั้งนี้ มันต่างกับเมื่อครั้งก่อนๆ ราว


กับเป็นคนละคน

เสนาบดีหยวนอายุมากแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะได้เกษียณ ไม่ว่า


เมืองหลวงจะเกิดอะไรขึ้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการอยูก
่ ับบ้าน หากเป็น
เมื่อก่อน คงไม่สนใจอะไร แต่ว่าคราวนี้พอเขารู้ว่ามีทหารบุกเข้ามาใน
เมืองหลวง เขาก็รีบแต่งตัว แล้วออกมาที่ประตูวังทันที

สิ่งที่ทําให้หยวนโม่เสียนสงสัยกว่าเดิมอีกคือ เหล่าขุนนางในราช
สํานัก ไม่มีใครเสนอตัวเลย แต่พ่อของเขากลับเสนอตัวเกลี่ยกล่อมฉี
หนิงให้ออกจากวัง
หยวนโม่เสียนไม่รู้เลยว่าพ่อของเขาทําไมถึงได้ทําแบบนี้ เขา
มองเห็นเสนาบดีหยวนหลับตาลง หนวดเคราของเขาปลิวไปตามลม แต่
เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรด้วย

ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง หยวนโม่เสียนหันไปมอง เขา


เห็นเซียวจ้าวจงยกเก้าอี้มา เขาก็ยกมือคํานับ เซียวจ้าวจงยิ้ม แล้ววาง
เก้าอี้ลงข้างๆ เสนาบดีหยวน แล้วพูดว่า “ท่านอายุมากแล้ว ยืนนานไม่
ไหวหรอก นั่งรอเถอะนะ”

เสนาบดีหยวนลืมตาขึ้นมา เขามองไปที่เซียวจ้าวจง เขาไม่ได้


ปฏิเสธ แต่น่งั ลงเลย

เซียวจ้าวจงโบกมือ ทหารโล่ก็เคลื่อนไหวพวกเขามาตั้งแถวเป็น
กําแพงคุ้มกันให้ เสนาบดีหยวนลูบเครา แล้วเหลือบมองไปที่เซียวจ้าว
จงแต่ไม่ได้พด
ู อะไร

เซียวจ้าวจงนิ่งไปแล้วพูดว่า “การนําทหารมาประชิดวังแบบนี้ มัน


ไม่ใช่ความต้องการของข้า แต่ขา้ จะไม่ทําก็ไม่ได้”

“ท่านอ๋องอยากจะฆ่าฉีหนิงให้ตาย เพราะแค่เขาปลงพระชนม์
แล้วก็เป็นกบฏอย่างนั้นจริงเหรอ?” เสนาบดีหยวนมองไปที่ตาของเซียว
จ้าวจงแล้วถาม
เซียวจ้าวจงไม่ได้พยักหน้าในทันที เขาลังเล แล้วถึงพูดว่า “ท่าน
เสนาบดีหยวนฉลาดนัก ข้านับถือยิ่งนัก ฉีหนิงปลงพระชนม์ฝา่ บาท
สมควรตาย เพียงแต่ ...... ข้าอยากจะฆ่าเขา มันไม่ใช่แค่วันนี้เท่านั้น
ก่อนหน้านั้น ข้าเองก็เคยอยากจะฆ่าเขามาแล้ว”

หยวนโม่เสียนตะลึงไป เขาขยับปาก แต่เขารู้ว่าในเวลาแบบนีม


้ ัน
ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาพูดอะไร

“ความหมายของท่านอ๋อง ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ” ท่านเสนาบดี


หยวนนิง่ มา “หรือว่าฉีหนิงก่อการกบฏมานานแล้วหรือ?”

เซียวจ้าวจงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนจะเคยก่อกบฏไหม ข้า


ไม่รู้ แต่ว่าตั้งแต่วันที่เขาเกิดมา มันก็กําหนดไว้แล้วว่าเขาไม่ควรมีชีวิต
อยู่ต่อไป หรือจะพูดว่า .....” เขานิ่งลง แล้วพูดว่า “หรือก็คือเขาไม่ควร
เกิดมาในจิ่นอีตระกูลฉี”

เสนาบดีหยวนเหมือนจะรู้สึกแปลกใจ

เซียวจ้าวจงเงยหน้ามองไปทางตะวันออก แล้วพูดว่า “ความคิด


กบฏของเขา มันเป็นชะตาฟ้า วันนี้ไม่ทํา ต่อไปเขาก็ต้องทํา”

เสนาบดีหยวนฟังออกว่าเซียวจ้าวจงเหมือนจะมีเจตนาแฝงใน
คําพูดของเขา เขาคิด แล้วพูดว่า “ไต้เท้าหลูเคยถามไปแล้วก่อนหน้านี้
ที่ฉีหนิงก่อกบฏ เขาทําไปเพื่ออะไร?” เขายกมือลูบเคราแล้วพูดว่า “ฉี
หนิงยึดซีเป่ยได้ สร้างผลงานให้แคว้นฉู่ ข้าคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ แรงจูงใจ
ในการก่อกบฏมันคืออะไรล่ะ?” เขาเหลือบไปมองตาของเซียวจ้าวจง
แล้วพูดว่า “ว่ากันตามตรง ถึงแม้เขาจะเป็นคนของจิ่นอีตระกูลฉี แต่
เขาก็ไม่ได้มีกําลังมากพอที่จําก่อกบฏ กองทัพฉินไหวไม่ได้อยู่ในมือของ
เขา บุกยึดซีเป่ยก็เป็นทหารของซีชวน เขานําทหารตีเป่ยฮั่น ทหารต้อง
ติดตามเขาแน่นอน แต่ว่าหากเขาจะก่อกบฏ ทหารพวกนั้นไม่มีทาง
ติดตามเขาแน่นอน”

เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้ารู้สึกว่าเขาไม่มีความสามารถ
มากพอที่จะก่อกบฏงั้นเหรอ?”

“อย่างน้อยข้าก็มองไม่ออกเลยว่าเขามีความสามารถตรงไหน?”
เสนาบดีหยวนถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากจะบอกว่าเขาไม่ได้มี
ความสามารถในการกบฏ มันก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่คิด แต่สงิ่ ที่
สําคัญที่สุดมันอยู่ที่ ทําไมเขาต้องกบฏ?” เขาเงยหน้ามองไปที่วังหลวง
“ตอนนี้เขาถูกล้อมอยู่ในวัง ไปไหนไม่ได้ ฉีหนิงไม่ใช่คนโง่ เขาลอบเข้า
วังมาเพื่อลอบปลงพระชนม์ ก็น่าจะคิดถึงผลที่จะตามมาได้ ผลแบบนี้
ข้าไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อะไรกับเขา แต่ว่ามันกลับกลายเป็นการ
เอาจิ่นอีตระกูลฉีมากลบฝังดินเท่านั้น”

“ข้าบอกไปแล้ว ตั้งแต่เขาเกิดมา ชะตาก็กําหนดไว้แล้วว่าเขาต้อง


กบฏ” เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูด
เสนาบดีหยวนพูดว่า “จิ่นอีโหวตระกูลฉีเป็นตระกูลขุนนางก่อตั้ง
แคว้น ท่านเหล่าโหวทั้งสองรุ่นเป็นเสาหลักของบ้านเมือง พวกเขาเป็น
ตระกูลผู้ทรงเกียรติของต้าฉู่เรา ดังนั้นข้าคิดไม่ออกเลยว่าความหมาย
ของท่านอ๋องมันคืออะไร” สายตาของเขาสงสัยมาก “ท่านอ๋องบอกว่า
เขาเกิดมาก็มีชะตาจะกบฏ ขออภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง ไม่ใช่แค่
ชาวบ้านจะไม่เชื่อ มันยังทําให้คนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี”

“เพราะฉีหนิงเดิมไม่ใช่คนของจิ่นอีตระกูลฉี” เซียวจ้าวจงพูด

เสนาบดีหยวนสะดุ้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป หยวนโม่เสียนที่ก้ม


หน้าไม่พูดอะไรยังเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าของเขาตกใจมาก

หลังจากนั้นอยูน
่ าน เสนาบดีหยวนก็พด
ู ว่า “ท่านอ๋อง ข้าฟังไม่
เข้าใจ ท่านพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“ฉีหนิงไม่ใช่คนของจิ่นอีตระกูลฉี” เซียวจ้าวจงพูดซ�าอีกครั้ง “เขา


ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี ดังนั้นความภักดีของตระกูลฉี มันไม่มท
ี าง
อยู่ในตัวเขา”

ถึงแม้เสนาบดีหยวนจะตกใจมาก แต่ว่าเขายังสามารถควบคุม
อารมณ์ได้ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ถึงแม้ฉห
ี นิงจะกบฏ แต่
...... บางอย่างมันพูดไม่ได้นะ ถึงแม้เขาจะกบฏ แต่ว่าท่านจิ่นอีเหล่าโหว
กับท่านแม่ทัพใหญ่ฉีเป็นขุนนางภักดีต่อบ้านเมือง พวกเขาสร้างผลงาน
ให้เรามากมาย ถึงแม้พวกเขาจะไม่อยูแ
่ ล้ว แต่ช่ อ
ื เสียงผลงานของเขา
จะให้ใครมาลบหลู่ไม่ได้นะ”

เซียวจ้าวจงบอกว่าฉีหนิงไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี มันเป็นเรื่อง
ใหญ่มาก

ตั้งแต่โบราณมา ไม่ว่าจะในวังหลวงหรือว่าชาวบ้านทั่วไป การมี


ลูกหลานสืบสกุลเป็นเรื่องที่สําคัญมาก จิ่นอีตระกูลฉีเป็นตระกูลใหญ่
การสืบสายเลือดมันเป็นเรื่องที่สําคัญมากๆ ฉีหนิงสืบทอดบรรดาศักดิ์
โหวมา ในสายตาของคนทั่วไป มันเป็นการสืบสายเลือดบริสท
ุ ธิ์

หากมีคนบอกว่าฉีหนิงไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี นั่นก็คือการลบ
หลู่จิ่นอีตระกูลฉีมากๆ

ท่านเสนาบดีหยวนอยู่กรมพิธก
ี ารมานาน เขาให้ความสําคัญกับ
เรื่องพวกนี้มาก เซียวจ้าวจงบอกว่าฉีหนิงไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี
ท่านเสนาบดีหยวนตกใจมาก แล้วก็โกรธด้วย หากเซียวจ้าวจงพูดลอยๆ
เพื่อโจมตีฉีหนิง งั้นเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ต�าช้ามาก

“ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ” เซียวจ้าวจงค่อยๆ พูด “ดังนั้น ข้าถึง


ไม่เคยได้บอกใครเลย เพียงแต่ท่านอยากรู้แรงจูงใจการกบฏของฉีหนิง
ข้าเลยจําเป็นต้องพูดความจริงออกมา”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ท่านเสนาบดีหยวนพูดว่า “ในเมื่อท่าน
อ๋องทรงพูดแบบนี้ แสดงว่ามีหลักฐานในมือสินะ?”

“อย่างน้อยก็มพ
ี ยานที่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้”

เสนาบดีหยวนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องเองก็ฟัง


คนอื่นเขามาอีกทีสินะ? พยานที่ท่านอ๋องว่ามานั้น ท่านมั่นใจหรือว่าเขา
ไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นมา?”

“ไม่มีทาง” เซียวจ้าวจงน�าเสียงมั่นใจมาก “ในสายตาของข้า คนที่


พูดความจริงเรื่องนี้ได้มีแค่คนเดียว ก็คือเขาคนนั้น หากรู้ว่าเขาเป็นใคร
ท่านก็จะไม่สงสัยในตัวข้าอีก”

“พยานที่ท่านอ๋งพูดถึงคือใครกัน?” ท่านเสนาบดีหยวนมองไปที่
เซียวจ้าวจง

เซียวจ้าวจงกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ว่าข้าจะเล่นลูกไม้อะไร
วันนี้บอกความจริงให้ท่านทราบ ก็เพราะข้าไม่มีทางเลือก หากพยานไม่
ยินยอม ข้าจะไม่มีทางบอกว่าเขาเป็นใครเด็ดขาด” เขาหยุดไปแล้วพูด
ว่า “ข้าหวังว่าท่านเสนาบดีหยวนจะเชื่อในคําพูดของข้า หากใช่ว่าไม่มี
ทางเลือก เพื่อปกป้องชื่อเสียงของจิ่นอีตระกูลฉีเอาไว้ ข้าก็ไม่คิดจะ
บอกใคร” เขาเห็นเสนาบดีเหมือนจะรี่ตาลง เซียวจ้าวจงก็พด
ู ว่า “ขอ
แค่ปราบกบฏและฆ่าฉีหนิงได้แล้ว จบเรื่องนี้เมื่อไหร่ ข้าจะขอร้องพยาน
ให้เขามาเล่าความจริงทุกอย่างให้ท่านเสนาบดีหยวนฟัง ไม่ทราบท่าน
รู้สึกว่าดีไหม?”

ท่านเสนาบดีหยวนนิ่งไป แล้วพูดว่า “สิ่งที่ท่านอ๋องกล่าวมา ข้ารับ


ไม่ได้จริงๆ แล้วก็คิดไม่ออกด้วย .....”

“ท่านเสนาบดีหยวนเป็นขุนนางมานานหลายปี ต่อให้ไม่ออกจาก
จวนเลย เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ท่านก็น่าจะพอรับรู้อยู่บ้าง” เซียว
จ้าวจงพูดว่า “เรื่องนั้นที่เกิดกับจิ่นอีตระกูลฉี คนอื่นอาจจะรู้ไม่มาก แต่
ว่าท่านน่าจะพอรู้อยู่บ้าง”

“ท่านอ๋องหมายความว่ายังไง?”

“ฮูหยินหลิ่วของท่านแม่ทัพใหญ่ฉีท้องแก่มาก ในเมืองทุกคนทราบ
ดีว่านางกําลังจะคลอด” เซียวจ้าวจงพูดว่า “ตอนที่นางตั้งครรภ์ คนใน
จวนยังพูดกันเลยว่าตระกูลฉีกําลังจะมีทายาทสืบสกุล แต่เท่าที่ข้ารู้มา
ไม่กี่วันก่อนที่นางจะคลอด คนในตระกูลฉีกลับนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูด
อะไรเลย แม่ทัพฉีเองจู่ๆ ก็กลับมา จากนั้นไม่นานก็มข
ี ่าวออกมาว่านาง
คลอดยาก ช่วยเด็กไว้ได้ แต่ว่า ....... นางตาย” เขาเหลือบไปมอง
เสนาบดีหยวน แล้วถามว่า “เรื่องนี้ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้าใช่ไหม?”

เสนาบดีหยวนกระพริบตา เหมือนกําลังนึกย้อยกลับไป หลังจาก


นั้นไม่นาน ก็พยักหน้า “ใช่ มีเรื่องแบบนี้จริง”
“หลังจากนั้นล่ะเป็นยังไง?” เซียวจ้าวจงยิ้ม “ยังไงนางก็เป็นฮูหยินของ
แม่ทัพใหญ่ อีกทั้งยังเป็นภรรยาหลวง หากตายไป ยังไงก็ต้องจัดพิธีศพ
อย่างสมเกียรติ แต่ว่าเท่าที่ข้าทราบมา พวกเขาเหมือนจะไม่ได้จัดงาน
ศพให้นาง ท่านเสนาบดีหยวน ไม่ทราบว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”
เล่มที่ 47 บทที่ 1389 จิตใจชั่วร้ายกัดกิน

เสนาบดีหยวนปลายตากระตุก สิ่งที่เซียวจ้าวจงพูดมานั้น ท่าน


เสนาบดีหยวนพอจะรู้มาบ้าง เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับตระกูลฉีน้น

คราวนั้น มันทําให้หลายคนสงสัย

แต่ว่าตระกูลขุนนางใหญ่ มักมีเรื่องลับที่ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว แล้วเรื่อง


นี้คนอื่นก็ไม่มใี ครกล้าจะไปวิจารณ์ อีกทั้งตอนนั้นจิ่นอีตระกูลฉีก็อยู่ใน
ยุครุ่งเรืองมาก ฉีจิ่งมีอํานาจการทหาร ประจําอยู่แนวหน้า เรื่องใน
ตระกูลฉี ใครก็ไม่กล้าพูด

อาจจะมีคนสงสัย แต่เมืองหลวงมีเรื่องแปลกมากมายอยู่แล้ว ไม่


นานก็มเี รื่องอื่นมาแทนที่ ไม่เกินครึ่งปี หลายคนก็ลืมเรื่องของตระกูลฉี
ไปแล้ว

วันนี้เซียวจ้าวจงจู่ๆ พูดขึ้นมา ท่านเสนาบดีหยวนนึกถึงเรื่องใน


ตอนนั้นขึ้นมา

“เรื่องของตระกูลฉีในตอนนั้นแปลกมาก คนในราชสํานักหลายคน
รู้เรื่องนี้ แต่ไม่มีใครพูดถึง” เซียวจ้าวจงพูดว่า “เพียงแต่ทุกคนก็รู้มาแค่
นี้ แต่ว่ามันมีเบื้องหลังอะไรนั้น ไม่มีใครรู้เลย” เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่า
มันก็ไม่แปลก เพราะเรื่องราวหลังจากนั้น ตระกูลฉีพยายามปกปิด เลย
ไม่มีคนนอกรู้”

ท่านเสนาบดีหยวนพูดว่า “ท่านอ๋องบอกว่าเรื่องในตระกูลฉีพวก
เขาไม่ได้ให้คนนอกรู้ แต่ว่าท่านอ๋องกลับเหมือนกับรูเ้ รื่องราวในเวลานั้น
เป็นอย่างดีเลยนะ”

“ตระกูลฉีถึงแม้จะพยายามปกปิด แต่ว่าเบื้องหลังนั่นมันกลับซ่อน
ภัยอันใหญ่หลวงเอาไว้” เซียวจ้าวจงพูดว่า “คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใน
ตอนนั้นมีไม่มาก นอกจากคนในตระกูลฉีแล้ว มันมีคนนอกอยูด
่ ้วย
......” เขาหยุดไปแล้วพูดว่า “ท่านเสนาบดีหยวน ข้าพูดได้แค่นี้ แต่ว่า
ท่านมีความรูก
้ ว้างขวาง ความคิดลึกซึ้ง วันนี้สิ่งที่ข้าพูดไปนั้นจริงหรือ
เปล่า ท่านก็ตัดสินเองก็แล้วกัน” เขาพูดต่อว่า “เพราะเหตุนี้ ฉีหนิงยังไง
ก็ต้องกําจัด”

ท่านเสนาบดีหยวนพูดว่า “ในเมื่อท่านอ๋องบอกว่าฉีหนิงไม่ใช่คน
ของตระกูลฉี อีกทั้งยังเป็นภัยใหญ่หลวงด้วย อีกทั้งยังอยากฆ่าเขามา
นานมากแล้ว แล้วทําไมถึงได้ไม่ลงมือล่ะ? เรื่องนี้ฝ่าบาททรงทราบ
หรือไม่?”

“เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อ พยานคนนั้นเป็นคนดี” เซียวจ้าวจงถอน


หายใจแล้วพูดว่า “เขารู้สึกว่าหากปกปิดเรื่องนีต
้ ่อไป แล้วปล่อยให้ฉี
หนิงเข้าใจว่าเขาเป็นคนของตระกูลฉี เขาอาจจะภักดีต่อแคว้นฉู่ ก็ไม่
จําเป็นต้องสังหารเขาก็ได้ ข้า ..... ถึงแม้ไม่กล้าขัด แต่ว่าคนเราก็มีความ
เมตตา ในเมื่อพยานคนนั้นยืนยันแบบนั้น อีกทั้งไม่ยน
ิ ดีที่จะออกมา
ยืนยัน ข้าก็ทําได้แค่คอยจับตาความเคลื่อนไหวของเขาเท่านั้น และหวัง
ว่าเขาจะสร้างผลงานให้กับแคว้นฉู่ อย่าได้คิดกบฏ”

ท่านเสนาบดีหยวนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าในหลายปีท่ีผา่ น
มา ท่านอ๋องจับตาความเคลื่อนไหวเขาอยู่ตลอดเลย?”

“ท่านเสนาบดีก็น่าจะรู้ดี ฉีหนิงเคยไม่ปกติมาก่อน เขาบ้าปัญญา


อ่อน ถ้าเขาเหมือนจะเป็นแบบนี้มาตลอด ก็อาจจะไม่เป็นภัยต่อแคว้น
ของเรา” เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าเมื่อหลายปีก่อน
กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ได้ยินมาว่าเขาถูกคนของหอเก้านภา
ลักพาตัวไป ต้องการพาเขากลับไปที่เป่ยฮั่น เพื่อข่มขู่ฉจ
ี ิ่ง ต่อมาคนของ
ตระกูลฉีก็ตามหาเขาจนเจอ แต่ไม่รู้ทําไม ฉีหนิงที่กลับมาในคราวนั้นถึง
ได้เปลี่ยนไปมาก”

ท่านเสนาบดีหยวนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เรื่องในตอนนั้น


ข้ารู้ แล้วก็ตกใจมากด้วย แต่ว่าเด็กคนนั้นอาจจะตกใจสุดขีด จนทําให้
สมองกระทบกระเทือนก็ได้”

เซียวจ้าวจงขยับไปพูดใกล้ๆ เสนาบดีหยวนแล้วพูดว่า “ท่านรู้


หรือไม่ว่าฉีหนิงทําไมถึงได้กลายเป็นคนปัญญาอ่อน?”
ท่านเสนาบดีหยวได้ยน
ิ เขาพูดแบบนี้ เหมือนเขารู้ว่าเรื่องนี้มน
ั ต้อง
มีอะไรแน่ๆ แต่ว่าเขายังนิ่งอยู่ เซียวจ้าวจงอยู่ตรงหนน้า ถึงแม้จะไม่ได้
เอ่ยปาก แต่สายตาของเขาเหมือนกําลังถามเขา

“นางหลิ่วคลอดลูกยากจนตา ฉีหนิงได้รับการเลี้ยงดูจากไท่ฮู
หยินมาตลอด” เซียวจ้าวจงยิ้มที่มุมปากแปลกๆ “หลายปีก่อน ไท่ฮู
หยินดูแลฉีหนิงเองเป็นอย่างดี แต่ว่าหลังจากนั้นนางก็ให้ฉีจิ่งรับอนุเข้า
มาใหม่ อีกทั้งอนุคนนั้นยังมีทายาทให้กับตระกูลฉี พอฉีหนิงอายุได้
ประมาณสี่ห้าขวบ ไท่ฮูหยินก็อนุคนนั้นรับหน้าที่ในการดูแลฉีหนิง
แทน”

เสนาบดีหยวนพยักหน้าแล้วพูดว่า “นางคืออนุที่คลอดคุณชาย
รองตระกูลฉี”

“ถูกต้อง” เซียวจ้าวจงพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา ตอนฉีหนิงตอนเด็กๆ


ข้าเองก็เคยเจอ เด็กคนนั้นฉลาดมาก มีพรสวรรค์ อายุน้อยๆ สามารถ
อ่านบทความโบราณได้ อีกทั้งอ่านรอบเดียวจําได้เลย ข้ายังจําได้ว่าแม่
ทัพใหญ่ฉีพูดว่า พอเด็กคนนั้นโตขึ้นมาอีกหน่อย ก็คิดจะให้ท่าน
อาจารย์จ่ัวชิงหยางได้อบรมต่อไป แต่ว่า ...... ต่อมาได้ยินมาว่าเด็กคน
นั้นเหมือนผีเข้า เริ่มไม่พูดไม่จา ดูปัญญาอ่อนนิดๆ ไม่มีคาดคิดมาก่อน
เลย”
เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเสนาบดีหยวนอาจจะคิดไม่ถึง ฉี
หนิงจากเด็กที่อัจฉริยะมากกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนไป มันก็คือมีคน
ทําอะไรกับเขาก็แค่น้น
ั ”

เสนาบดีหยวนสะดุ้ง เซียวจ้าวจงกระซิบข้างหูของเสนาบดีหยวน
“ฉีหนิงถูกไท่ฮูหยินเลี้ยงดูหลายปี กินยาตัวอยู่ตลอดเวลา ยานั่นมันทํา
ให้เขากลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนไป”

ทั้งสองคนคุยกันเสียงเบามาก พวกของโต้วขุยมองเห็นมาแต่ไกล
เห็นเซียวจ้าวจงกับเสนาบดีหยวนกําลังหารืออะไรกันอยู่ เขารู้สึกแปลก
ใจมาก แอบคิดในใจว่าอยู่หน้าวังที่มีทหารเป็นพันแบบนี้ มันไม่ใช่
สถานการณ์ปกติ ท่านอ๋องน้อยทําไมถึงได้ยังมีอารณ์มาคุยเล่นกับท่าน
เสนาบดีหยวนด้วย? ทั้งสองคนคุยอะไรกันอยู่

ทุกคนกําลังแปลกใจอยู่ แต่กลับไม่มใี ครกล้าเดินเข้าไปเลยแม้แต่


คนเดียว

ได้ยินว่าฉีหนิงกินยาจนปัญญาอ่อนไป ท่านเสนาบดีหยวนเหมือน
จะตกใจมาก เขาพูดว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้จะล้อเล่นไม่ได้นะ”

“ท่านเสนาบดีหยวนวางใจได้ สิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ ไม่มีคําไหนที่เป็น


เรื่องโกหก” เซียวจ้าวจงแล้วพูดว่า “อีกไม่นานข้าจะเอาหลักฐาน
ทั้งหมดมาให้ดแ
ู น่นอน”
“เจ้าบอกว่า ...... ฉีหนิงปัญญาอ่อนเพราะยา ใคร ...... ใครกันที่
เหีย
้ มโหดมากขนาดนั้น?” เสนาบดีหยวนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉีหนิง
ได้รับการดูแลจากไท่ฮูหยิน มีคนติดตามตลอดเวลา ใครจะวางยาเขา
ได้?”

“ก็ต้องไท่ฮูหยินอยู่แล้ว” เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “เรียนไต้เท้า


หยวนตามตรง หลังจากฉีหนิงไปอยูก
่ ับไท่ฮูหยินแล้ว อาหารของเขามี
พิษอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ฉีจ่ิงยังคงรักลูกคนนีข
้ องเขามาก ดังนั้นไท่ฮู
หยินก็ไม่ได้อยากจะให้ท่านแม่ทัพใหญ่รูว
้ ่าฉีหนิงถูกทําร้าย พิษนั่น
พิเศษมามก หลังกินแล้ว มันจะไม่มีผลในทันที แต่มันจะค่อยๆ สะสม
ค่อยๆ ทําลายสมองของเขา หมอเองก็ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุได้
หลังจากนั้นหลายปี เขาก็เริ่มมีอาการทางประสาท ไท่ฮูหยินก็รีบส่งตัว
เขาให้กับอนุของฉีจ่ิง ......” เขาพูดต่อว่า “อนุเองก็มีลก
ู ชาย ถึงแม้ฉี
หนิงจะเป็นบ้าไปแล้ว แต่ว่าฐานะมันก็ยังแตกต่างอยู่ ฉีหนิงไปอยู่กับ
นาง ก็ไม่ได้อยูด
่ ีกินดี”

ท่านเสนาบดีหยวนเจอะไรมามาก เขาอ่านใจคนได้ คําพูดของ


เซียวจ้าวจง มันทําให้เขาเหมือนคิดอะไรได้ ท่าทางของเขาเคร่งเครียด
ขึ้นมา ปากเขาขยับ แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ไท่ฮูหยินรู้มาแต่แรกแล้วว่าฉีหนิงไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี
ไม่อย่างนั้นทําไมนางถึงต้องลงมือกับหลานตัวเองอย่างเหี้ยมโหด
ด้วย?” เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แน่ว่านางอาจจะแค้นที่เขาไม่ใช่
สายเลือดของตระกูลฉี แต่ว่าเพราะท่านแม่ทัพใหญ่ ดังนั้นเลยไม่ได้ทํา
อะไรกับเขาซึ่งหน้า นางรู้ว่าอนุของแม่ทัพใหญ่จะต้องไม่ดีต่อฉีหนิง
แน่นอน แต่ก็ยังให้นางมาดูแลฉีหนิง นางอยากยืมมือของนางมาทรมาน
ฉีหนิงเท่านั้น นอกจากนี้ ......” เขาหยุดไป แล้วพูดต่อว่า “ถึงแม้ฉห
ี นิง
จะอยู่ในการดูแลของอนุ แต่อาหารก็ยังถูกวางยาเหมือนเดิม ท่านน่าจะ
รู้ว่าทําไมไท่ฮูหยินถึงได้ทําแบบนั้น” เขาพูดถึงตรงนี้ เซียวจ้าวจงก็ยม
ิ้
เยาะเย้ยมุมปาก

ไท่ฮูหยินกังวลฉีจิ่ง ดังนั้นเลยต้องแอบวางยาฉีหนิง พิษมันสะสม


มานานหลายปี ทําลายสมองไปหมดแล้ว ทําให้เขากลายเป็นคนปัญญา
อ่อน ฉีจิ่งเป็นคนฉลาด เด็กฉลาดคนหนึ่งจู่ๆ กลายเป็นบ้าไป มันเป็นไป
ไม่ได้เขาเลยสงสัย

ไท่ฮูหยินเองก็กังวลว่าฉีจิ่งนั้นจะรู้ความจริงสักวัน แล้วทําลาย
ความสัมพันธ์แม่ลก
ู เลยเอาฉีหนิงไปให้ฉงอี๋เหนียงดูแล หรือก็คือการหา
แพะรับบาป

หากฉีจิ่งรู้ว่าฉีหนิงเป็นบ้าเพราะยาพิษ จะต้องถามหาเอาความกับ
คนที่ดแ
ู ลฉีหนิงอย่างฉงอี๋เหนียงแน่นอน ส่วนฉงอี๋เหนียงจะกล้าบอกได้
ยังไงว่าไท่ฮูหยินเป็นคนสั่งกันล่ะ? อีกทั้งคนในจวนรู้กันหมดว่านาง
ทรมานฉีหนิงยังไง โหดร้ายยังไง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่จะไม่มี
ทางจะสงสัยไปถึงไท่ฮูหยินได้เลย

ผลที่ได้คือไท่ฮูหยินก็สมหวังทําให้ฉีหนิงกลายเป็นคนบ้าอย่าง
สมบูรณ์ หรือต่อให้ความแตก ก็มค
ี นรับหน้าแทน

“เรื่องนี้ในเมื่อเป็นเรื่องของตระกูลฉี แม้แต่แม่ทัพฉียังไม่รู้ความ
จริงเลย แล้วท่านอ๋องรูม
้ าได้อย่างไร?” ท่านเสนาบดีหยวนถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องอายุมากกว่าฉีหนิงไม่เท่าไหร่ ตอนที่เกิดเรื่อง ท่าน
อ๋องเองก็ยังเด็กอยู่ อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องสนใจเรื่องของตระกูลฉี
ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว?”

“ข้าบอกไปแล้ว ถึงที่มาที่ไหน เพราะว่ามีพยานท่านนั้นอยู่” เซียว


จ้าวจงพูดว่า “พยานท่านนั้นเป็นกังวลการเกิดมาของเด็กคนนั้น เลย
สนใจเรื่องของตระกูลฉีเป็นพิเศษ” เขาหยุดไปแล้วพูดว่า “พยานท่าน
นั้นในหลายปีที่ผ่านมา เคยลอบเข้าไปในจวนตระกูลฉีหลายครั้ง ซึ่งก็ไม่
มีใครรู้ เขารู้เรื่องการวางยามาตลอด เคยคิดจะไปหยุดยั้ง แต่ก็ไม่ได้ทํา
อีกทั้ง .... หากฉีหนิงเป็นบ้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มภ
ี ัยต่อตระกูลฉีแล้วก็ต้าฉู่
ด้วย ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย”

“ท่านหมายความว่า พยานที่ท่านว่ามีการติดต่อกับไท่ฮูหยินงั้น
เหรอ” ท่านเสนาบดีหยวนพูด “แล้วเขาก็ยังจับตาความเคลื่อนไหวของ
ฉีหนิงอยู่ตลอด?”
เซียวจ้าวจงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง หากฉีหนิงกลายเป็นบ้า
อาจจะไม่มีเรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาอีกก็ได้ แต่ว่าเมื่อหลายปีก่อน เพราะการ
ลักพาตัวไปในครั้งนั้น ฉีหนิงเหมือนกลายเป็นคนล่ะคน ....” สายตาของ
เขาเหมือนจะเป็นประกาย “ท่านเสนาบดีหยวน ฉีหนิงกลายเป็นคนบ้า
มันไม่ได้เกิดจากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แต่เป็นเพราะยาพิษ
ที่ส่งั สมมานานหลายปี ตามหลักการแพทย์แล้ว คนที่สมองเสียหาย
อย่างรุนแรง จะตกใจเพราะถูกจับตัวไปแล้วกลับมาปกติได้อย่างไร?”
เล่มที่ 47 บทที่ 1390 สิบสองชั่วยาม

ใกล้เช้าแล้ว ภายในวังหลวงนั้นยังไม่มค
ี วามเคลื่อนไหวอะไร แต่
เซียวจ้าวจงกลับยังอนุโลมให้

วังหลวงก็เหมือนของที่อยู่ในกํามือของเขาแล้ว มีทหารนับหมื่นคน
ล้อมเอาไว้ จะโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้ ขอแค่คําออกคําสั่งเท่านั้น

ท่านเสนาบดีหยวนนิ่งไป แล้วพูดว่า “ท่านบอกว่า ฉีหนิงถูกลักพา


ตัวไป มีคนช่วยเขา?”

“เรื่องนี้มันเป็นยังไง ข้าเองก็ไม่ทราบ” เซียวจ้าวจงถอนหายใจ


แล้วพูดว่า “แต่ว่าการที่ฉีหนิงหายเป็นปกติน้น
ั เรื่องนี้มันทําให้เรื่องราว
มันยุ่งยากขึ้น พยานคนนั้นพอได้ทราบข่าว ก็เป็นกังวลมาก แต่เขาไม่
สะดวกจะออกหน้าในเรื่องนี้ ดังนั้นการเฝ้าจับตามองเขา เลยกลายเป็น
หน้าที่ของเสด็จพ่อ”

“ท่านหมายความว่า .... ท่านเหล่าอ๋อง?”

เซียวจ้าวจงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง พยานท่านั้นเชื่อใจท่าน


พ่อมาก เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกใคร บอกแค่ท่านพ่อคนเดียว ท่านพ่ออยู่ใน
ราชสํานัก สามารถจับตาความเคลื่อนไหวของตระกูลฉีได้ เขาเลยไหว้
วานเรื่องนี้กับท่านพ่อ”

ท่านเสนาบดีหยวนคิดว่าการที่ให้ไหวหนานอ๋องทําเรื่องนี้ แสดงว่า
พยานท่านนั้นต้องไม่ธรรมดา

“ท่านอ๋อง ในเมื่อพยานท่านนั้นรู้ว่าฉีหนิงไม่ใช่สายเลือดของ
ตระกูลฉี แล้วทําไมถึงไม่ทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ?” ท่านเสนาบดีหยวน
ถามว่า “ถ้าฝ่าบาททรงทราบ คงไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเขา ฉีหนิงก็ไม่มีทางมี
อํานาจ แล้วก็จะไม่มีภัยอะไรต่อราชสํานักอีก”

“พยานท่านนั้นปิดบังความจริงมาตลอด ท่านพ่อก็มาทราบเรื่องนี้
ตอนที่ฉจ
ี ่ิงตายไปแล้ว” เซียวจ้าวจงพูดว่า “ตอนที่ฉีหนิงได้รับความไว้
ว่างพระทัยจากฝ่าบาท แล้วฉีหนิงเองก็ช่วยฝ่าบาทกําจัดซือหม่าหลัน
เพื่อส่วนรวม เขาถึงได้ปกปิดเรื่องนี้”

“อย่างนี้นี่เอง” เสนาบดีหยวนพยักหน้า ถึงแม้เซียวจ้าวจงพูด


อย่างมีเนื้อมีหนัง แต่ว่ามันก็เป็นความข้างเดียว อีกทั้งไม่มีหลักฐาน
เสนาบดีหยวนเลยยังสงสัยในคําพูดของเขาอยู่ เขานิ่งไปแล้วพูดว่า
“ท่านอ๋องทรงเล่าเรื่องนี้ให้ขา้ ฟัง ไม่ทราบเป็นเพราะสาเหตุใด?”

เซียวจ้าวจงพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าแค่อยากจะบอกกับท่านว่า ที่


ข้าทําทุกอย่างเพื่อฆ่าฉีหนิงนั้น ไม่เพียงเพื่อฝ่าบาท แต่เพื่อแผ่นดินของ
เราด้วย” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “เมื่อครู่ไต้เท้าหลูยังสงสัยอยู่ว่าฉีหนิง
ก่อกบฏเพราะอะไร”

“ท่านอ๋อง ขออภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง ต่อให้ฉีหนิงจะไม่ใช่


สายเลือดของตระกูลฉี ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีเหตุผลต้องก่อกบฏ
นะ” ท่านเสนาบดีหยวนพูดว่า “ท่านอ๋องอยากจะบอกว่า ตอนเด็กๆ ฉี
หนิงถูกทรมานจากไท่ฮูหยิน เลยแค้นแคว้นฉู่ของเรา เลยคิดอยากจะ
ก่อกบฏ?”

เซียวจ้าวจงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน นั่นมันเป็น


ความแค้นส่วนตัวของเขา อีกทั้งฝ่าบาทก็มีพระกรุณากับเขามาก เขาไม่
มีเหตุผลต้องก่อกบฏเพราะเหตุผลนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เข้าใจแล้ว”

“ไต้เท้า ในเมื่อฉีหนิงไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี แล้วเขามาจาก


ไหนล่ะ?” เซียวจ้าวจงพูดว่า “เขาเป็นลูกของนางหลิ่วจริง เพียงแต่พ่อ
ของเขาเป็นคนอื่นเท่านั้นเอง .....”

เสนาบดีหยวนปลายตากระตุกอีกครั้ง เซียวจ้าวจงกระซิบข้างหู
เขาว่า “หากฉีหนิงรู้ว่าพ่อแท้ๆ ของเขาเป็นใครเมื่อไหร่ เขาจะต้องคิด
กบฏแน่นอน เท่าที่ข้ารู้มา เขาเองก็เริม
่ สงสัยในสถานะของตัวเองแล้ว
อีกทั้งกําลังสืบหาชาติกําเนินของตัวเองอย่างลับๆ ด้วยหากข้าเดาไม่ผิด
เขาน่าจะรู้แล้วว่าพ่อของเขาเป็นใคร ดังนั้นเขาถึงได้คิดปลงพระชน์ก่อ
กบฏแบบนี้”

“พ่อของเขาเป็นใครกัน?” ท่านเสนาบดีหยวนรีบถาม

เซียวจ้าวจงยังไม่ทันพูดอะไร เขาก็ได้ยน
ิ บนกําแพงวังมีเสียงกลอง
ดังขึ้นมา คนด้านล่างมองขึ้นไป ไม่นานก็ได้ยน
ิ เสียงฉีหนิงตะโกนลงมา
ว่า “ไต้เท้า ฮองเฮาและท่านผู้หญิงในวังต่างมากันพร้อมแล้ว ตอนนี้
ออกจากวังได้”

ท่านเสนาบดีหยวนยกมือคํานับแล้วพูดว่า “กระหม่อมนอบรับ
เสด็จฮองเฮาออกจากวัง”

“ไต้เท้า ท่านผู้หญิงกับฮองเฮาพร้อมผู้ติดตามมีจํานวนเยอะมาก
ยังไงรบกวนท่านรับรองพระนางอย่างดีด้วย” ฉีหนิงมองไปที่เซียวจ้าว
จง แล้วพูดว่า “เซียวจ้าวจง หากพวกนางมีใครเป็นอะไรไปแม้แต่นิด
เดียว มันก็เป็นเพราะเจ้า”

เซียวจ้าวจงเอามือไขว้หลัง แล้วพูดว่า “นางกํานัลออกจากวังได้


ขันทีห้ามออกจากวังเด็ดขาด”

ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“เจ้าลอบเข้าวังมาลอบปลงพระชนม์ พานักฆ่าไปจํานวนมาก”
เซียวจ้าวจงพูดว่า “หากเจ้าสั่งให้พวกเขาปลอมตัวเป็นขันทีปะปน
ออกมา ก็เป็นไปได้ นักฆ่าที่ลอบเข้าวัง อย่าหวังจะได้ออกจากวังเลย
แม้แต่คนเดียว”

ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “มีเหตุผล” เขาพูดว่า “เปิดประตูวัง”

ประตูวังเปิดออก ฉีหนิงหลักๆ ต้องการให้ฮองเฮาออกนอกวัง ส่วน


พระสนมก็มีการจัดให้ออกจากวังด้วย พระสนมท่านหญิงมีจํานวนเยอะ
มาก ไม่มีทางรวมคนได้ภายในแค่ช่ว
ั ยามเดียว ถึงแม้คนที่ออกจากวังจะ
มีแค่ฮองเฮากับพวกท่านหญิง แต่ผู้ติดตามรับใช้ก็มีจํานวนไม่น้อย
ขบวนยาวๆ กําลังรออยู่ เมื่อประตูเปิดออก เหล่านางกํานัลก็ล้อมเกี้ยว
ของฮองเฮาออกมา

เซียวจ้าวจงไม่อนุญาตให้ขันทีออกจากวัง เหล่าขันทีเลยถอยหลัง
ไปกันหมด

ขบวนยาวๆ เดินออกจากวังมา นางกํานัลกว่าร้อยคนตามออกมา


ด้วย เซียวจ้าวจงกับท่านเสนาบดีหยวนคุกเข่าลงกับพื้น เหล่าทหาร
หลีกถอยเป็นทางให้

“ท่านอ๋อง จวนตระกูลซือหม่าถึงแม้จะถูกตรวจยึดทรัพย์ไปแล้ว
แต่ว่าในเรือนไม่ได้มีความเสียหายอะไร ถูกปิดตายมาตลอด” เมื่อเกี้ยว
ของฮองเฮาผ่านไปแล้ว ท่านเสนาบดีหยวนก็พูดกับเซียวจ้าวจงว่า “ข้า
คิดว่า ให้พระนางทั้งหลายไปพํานักที่น่ันก่อนชั่วคราว ไม่ทราบท่านอ๋อง
คิดเห็นเช่นไร?”

หลังตระกูลซือหม่าถูกกวาดล้างแล้ว จวนกั๋วกงเดิมก็ถก
ู ปิด ราช
สํานักก็ยังไม่ได้ไปจัดการอย่างละเอียด แต่ว่าซือหม่าหลันร�ารวยมานาน
กว่าสิบปี จวนซือหม่าเองก็ยึดพื้นที่จํานวนมาก มีเรือนจํานวนมาก
หลังจากฮองเฮาออกจากวัง ขบวนกว่าร้อยคน การจะหาที่พก
ั ในเมือง
หลวงสักที่มันก็ไม่ง่าย จวนซือหม่าเองก็เป็นสถานที่ที่ดี เซียวจ้าวจงพูด
ว่า “แล้วแต่ท่านเสนาบดีหยวนเลย”

“หยวนโม่เสียน” ท่านเสนาบดีหยวนตะโกนเรียก หยวนโม่เสีย


นรีบมาหาทันที เขาสั่งไปว่า “เจ้าคุ้มกันฮองเฮาไปที่จวนตระกูลซือหม่า
แล้วสั่งให้คนไปที่จวนผู้ว่าการเมืองหลวงเที่ยเจิง ให้ขานํากําลังทหารมา
คุ้มกันความปลอดภัยให้กับพระนางด้วย”

หยวนโม่เสียนยกมือคํานับแล้วรีบไปทันที

พอคนสุดท้ายออกจากวังมา ประตูวังก็ปิดทันที ฉีหนิงมองขบวน


เดินไป เขารู้ว่าชื่อตันเหมยอยู่ในนั้น แต่ว่าคนจํานวนเยอะมาก เขาไม่รู้
ว่าชื่อตันเหมยอยู่ที่ไหน พอขบวนพ้นสายตาไปแล้ว ฉีหนิงถึงได้เงยหน้า
มองฟ้า เขาเห็นทางตะวันออกเหมือนจะมีเส้นแสงอะไรบางอย่าง
ตอนนี้ฟา้ สางแล้ว

“ฉีหนิง ฮองเฮาออกจากวังไปแล้ว เจ้ายังไม่ยอมออกจากวังอีก?”


เซียวจ้าวจงมองไปที่ฉีหนิงที่อยู่บนกําแพงวัง “ข้าไม่มค
ี วามอดทนมาก
พอที่จะมานั่งรอเจ้านะ”

ฉีหนิงหัวเราะ แล้วยกมือชี้ไปที่เซียวจ้าวจงแล้วพูดว่า “เซียวจ้าว


จง เจ้ายังมีหน้ามาเสแสร้งอีก ฝ่าบาทรงสิ้นพระชนม์เพราะเจ้า เจ้ายัง
กล้ามาใส่ร้ายข้าอีก ไร้ยางอายสิน
้ ดี”

“หือ?” เซียวจ้าวจงกลับนิ่งมาก เขายิม


้ แล้วพูดว่า “เจ้ามีหลักฐาน
ไหมล่ะ?”

ฉีหนิงพูดว่า “ข้าส่งคนออกไปหาหลักฐานมาแล้ว อีกทั้งก็เจอแล้ว


เบาะแสแล้วด้วย แต่อีกไม่นานจะมีหลักฐานที่แน่นหนามากพอที่จะ
พิสูจน์ได้ว่าฝ่าบาทถูกเจ้าทําร้าย”

พวกของโต้วขุยเดินหน้าขึ้นมา เขาชี้ไปที่ฉีหนิงแล้วด่าว่า “ฉีหนิง


เจ้ามันโจรกบฏ จะตายอยู่แล้ว ยังใส่ร้ายคนอื่นอีก เจ้าพานักฆ่าลอบเข้า
วังมา ลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท กุ้ยกงกงเป็นพยานได้ เจ้ายังกล้า
ปฏิเสธอีกเหรอ?”
“ฉีหนิง เจ้าทําลายชื่อเสียงของตระกูลฉี” มีคนตะโกนขึ้นมา “หาก
เจ้ายังมียางอายอยู่บ้าง ก็รีบมอบตัวซะ แล้วขอขมาต่อหน้าท่านอ๋องกับ
เหล่าขุนนาง”

“หากเจ้ายังรั้นแบบนี้ ทหารจะบุกเข้าวัง หลังกําแพงแตก จะต้อง


ฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ แน่นอน”

มีกลุ่มคนรุมด่าฉีหนิงอย่างรุนแรง ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ที่นี่ไม่ใช่ตลาดสดนะ อย่าด่าแบบนี้กลางถนนสิ ยังไงก็เป็นขุนนางราช
สํานักกัน เห็นแก่หน้าตาตัวเองกันบ้าง” น�าเสียงของเขาไม่ได้ดังมาก
แต่ว่ามันก็ทําให้พวกขุนนางเงียบลง

ท่านเสนาบดีหยวนยกมือขึ้น เหมือนบอกให้ทก
ุ คนเงียบก่อน เขา
มองขึ้นไปด้านบน ทุกคนให้เกียรติเขามาก พอทุกคนเงียบหมดแล้ว เขา
มองขึ้นไปบนกําแพงวังแล้วพูดว่า “ฉีหนิง สถานการณ์ตอนนี้ เจ้าเองก็
เห็นแล้ว กําลังของเหล่าองครักษ์ ทําอะไรทหารที่อยู่นอกวังไม่ได้เลย
พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นทหารกล้าของแคว้นฉู่เรา เจ้าอยากจะลงมือ
เข่นฆ่าทหารของต้าฉูจ
่ ริงๆ เหรอ? รูว
้ ่าทําไม่ได้แต่ร้ันที่จะทําอีก ทําร้าย
คนอื่นก็เหมือนทําร้ายตัวเอง จะทําแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน?”

“ไต้เท้า ขอเรียนตามตรง ข้าอยูเ่ ฝ้าวังหลวง ไม่ได้ทําเพื่ออะไร แต่


เพื่อหาหลักฐานเท่านั้น” ฉีหนิงตะโกนว่า “ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทถูกเซียว
จ้าวจงทําร้าย เขาเป็นคนสองหน้า ที่จริงเขาต่างหากที่เป็นกบฏ”
“เจ้าบอกว่าท่านอ๋องทําร้ายฝ่าบาท มีหลักฐานหรือเปล่า?” ท่าน
เสนาบดีหยวนพูดว่า “ทุกคนเห็นกับตา เจ้าพานักฆ่าเข้าวัง ถ้าไม่ได้เป็น
อย่างนั้น แล้วทําไมเจ้าถึงได้ถก
ู ขังอยู่ในวังหลวงแบบนี้?”

“ไต้เท้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว” โต้วขุยพูดว่า “เขาพยายามจะหนี


ตาย รู้ท้ังรู้ว่ากําลังจะตายอยู่แล้ว กลับย้อนมาใส่ร้ายท่านอ๋อง น่า
ละลายจริงๆ กบฏแบบนี้ ต้องกําจัดให้สน
ิ้ ซาก” เขาเซียวจ้าวจงพูดว่า
“ท่านอ๋อง ไม่ต้องเสียเวลาคุยกับเขาแล้ว บุกเลยดีกว่า หลังวังแตก ก็จับ
เขามาตัดหัวเสียบประจานซะ”

เซียวจ้าวจงนิ่งมาก เขาไม่ได้พูดอะไรเลย

“ข้าได้หลักฐานบางอย่างมาแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ขอเวลาให้ข้าสัก


หน่อย ข้าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นฝีมือของเซียวจ้าว
จง” เขาจ้อไปที่เซียวจ้าวจง แล้วพูดว่า “เซียวจ้าวจง สิง่ ที่เจ้าทํา ยังไง
ทุกคนต้องรู้ความจริง”

เสนาบดีกรมกลาโหมหลูเซียวตะโกนขึ้นมาว่า “ฉีหนิง หากเจ้าไม่มี


หลักฐานแล้วใส่ร้ายท่านอ๋อง นั่นก็หมายความว่าเจ้าให้ร้ายคนอื่น เจ้า
บอกว่าเจ้ามีหลักฐานว่าฝ่าบาทถูกท่านอ๋องทําร้าย ถ้าอย่างนั้นก็เอา
หลักฐานออกมาสิ?”
“ไต้เท้าหลู ข้าบอกแล้ว ขอเวลาข้าอีกหน่อย” ฉีหนิงพูดว่า
“เพียงแต่ข้าแค่กังวลว่าท่านอ๋องจะกลัวข้าจะนําหลักฐานทุกอย่าง
ออกมา จะสั่งบุกวังซะก่อนนะสิ”

เซียวจ้าวจงพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าก็แค่อยากจะยื้อเวลาเอาไว้ก็เท่านั้น


เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถหาหลักฐานที่ขา้ ทําร้ายฝ่าบาทได้ ถ้าอย่างนั้นข้า
จะให้เวลาเจ้าอีกครึ่งวัน เพื่อแสดงความบริสุทธิใ์ จ ข้าอยากจะรู้
เหมือนกันว่าเจ้าจะมีลก
ู ไม้อะไรอีก”

“เซียวจ้าวจง เหมือนว่าข้าจะดูถูกเจ้าเกินไปหน่อย” ฉีหนิงยิม


้ แล้ว
พูดว่า “เอาอย่างนี้ ข้ากับเจ้ามาพนันกันหน่อยดีไหม ภายในสิบสองชั่ว
ยาม หากข้าหาหลักฐานออกมาได้ว่าเจ้าคือคนที่อยู่เบื้องหลังในครั้งนี้
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอีก หากข้าหาไม่ได้ ข้าจะออกจากวัง
จากนั้นก็แล้วแต่เจ้าจะจัดการ เจ้าคิดว่ายังไง?”

โต้วขุยพูดว่า “ท่านอ๋อง อย่าไปเสียเวลากับเขาเลย เขาแค่ถ่วง


เวลาเอาไว้เท่านั้น กําลังของเรามีมาก แค่ท่านอ๋องมีคําสั่งเราก็บุกได้เลย
ทําไมต้องไปเสียเวลาคุยกับเขาอีก อีกทั้งยังให้เขารอดไปได้อีกวันด้วย”

เซียวจ้าวจงเหลือบไปมองพวกหลูเซียวกับขุนนางอีกหลายคน แล้วก็
มองไปที่เสนาบดีหยวน จากนั้นก็เงยหน้ามองไปบนกําแพงวังแล้วพูดว่า
“ได้ หลังจากสิบสองชั่วยาม ข้าจะรอรับหัวของเจ้าเอง”
เล่มที่ 47 บทที่ 1391 ช่วงเวลาครั้งสุดท้าย

ฉีหนิงกับเซียวจ้าวจงนัดหมายกัน โดยกําหนดเวลาสิบสองชั่วยาม
เป็นเส้นตาย หากภายในสิบสองชั่วยามฉีหนิงไม่พบหลักฐานว่าเซียว
จ้าวจงทําร้ายฮ่องเต้ ฉีหนิงก็ต้องมอบตัว

ทุกคนต่างฟังเข้าใจชัดเจน หลูเซียวคิดว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้ง
นี้มันมีอะไรแปลกๆ อีกทั้งยังสงสัยด้วยว่าเซียวจ้าวจงกําลังแสดงละคร
อยู่ เซียวจ้าวจงมีอํานาจการทหารในมือ แค่ออกคําสั่ง ก็สามารถบุกเข้า
ไปในวังได้เลย อีกอย่างในสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่มใี ครขวางเขาได้ แต่
เซียวจ้าวจงกลับรับปากเงื่อนไขของฉีหนิง

หากในใจของเขาคิดไม่ซ่ อ
ื กังวลว่าฉีหนิงจะหาหลักฐานมาได้
เซียวจ้าวจงไม่นา่ จะให้เวลาฉีหนิง แต่ในเมื่อเซียวจ้าวจงกล้าให้เวลาเขา
รวมพวกของหลูเซียวกับขุนนางคนอื่นก็อดคิดไม่ได้ว่า หรือว่าเซียวจ้าว
จงจริงใจจริงๆ

เพราะไม่มไี ด้คิดอะไรไม่ดี เลยเปิดเผยและจริงใจ

“ท่านอ๋อง ทําไมถึงได้รบ
ั ปากเงื่อนไขของเขาล่ะ?” โต้วขุยอดไม่ได้
พูดว่า “เขาเจ้าเล่หม
์ าก เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ข้าน้อยคิดว่า ควร
จะบุกเข้าวังไปเลยน่าจะดีกว่า”
เซียวจ้าวจงยิ้ม ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เมื่อเราบุกวัง ทั้งสองฝ่าย
จะต้องบาดเจ็บล้มตาย ทหารหลวงชํานาญกาศึก ข้าไม่อยากเห็นทหาร
ของเร้าองฆ่ากันเองเพราะฉีหนิง” เขาเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า
“ในเมื่อเขาใส่รา้ ยข้าว่าทําร้ายฝ่าบาท ข้าก็จะให้เวลาเขาได้พส
ิ ูจน์ ข้าก็
อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขาจะหาหลักฐานที่มน
ั ไม่มีอยูจ
่ ริงออกมาได้
ยังไง ข้ารู้ว่าพวกขุนนางมีคนยังสงสัยในตัวข้าอยู่ ข้าก็อยากจะให้พวก
เขาพิสจ
ู น์ด้วยตาตัวเอง”

โต้วขุยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องเปิดเผยจริงใจ น่านับถือ


ยิ่งนัก”

ท่านเสนาบดีหยวนเองก็พูดว่า “ท่านอ๋องทรงใจกว้าง มีเวลาสิบ


สองชั่วยามเป็นเส้นตาย เพื่อไม่ให้เหล่าทหารต้องฆ่าฟันกัน มีเมตตา
มาก ถือเป็นบุญของต้าฉู่เราแล้ว”

“ไต้เท้า ในเมื่อให้เวลาเขาแล้วสิบสองชั่วยาม ข้าก็จะไม่โกงเวลา


เขาแม้แต่วินาทีเดียว” เซียวจ้าวจงพูดว่า “ไต้เท้าทุกท่านพักก่อนนะ ไต้
เท้าโต้ว ท่านดูแลกรมคลัง สิบสองชั่วยามไม่นานเกินไปหรอก ยังไงท่าน
สั่งให้คนจัดอาหารมาให้พวกทหารด้วยนะ”

โต้วขุยรีบพูดว่า “ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าน้อยจะพยายามอย่าง


เต็มที่”
ฉีหนิงมองลงมาที่เซียวจ้าวจงกับเหล่าขุนนางถอยออกไป เขามี
รอยยิ้มนิดหน่อย เขารู้ดี ในเมื่อเซียวจ้าวจงวางกับดักไว้ในวังหลวง ก็ไม่
มีทางทิ้งหลักฐานเอาไว้แน่นอน ไม่อย่างนั้นเซียวจ้าวจงไม่มีทางรับปาก
ไวขนาดนี้

เขาเองก็รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ท้ังหมด มันกะทันหันมาก ถึงแม้


เซียวจ้าวจงจะเตรียมการเอาไว้แล้ว แต่ไม่มีทางทําได้สมบูรณ์แบบโดย
ไม่มีช่องโหว่ คืนนี้ด้วยความกะทันหันของพวกเขา ยังไงมันก็เกิดช่อง
ถึงแม้ชอ
่ งนี้มน
ั จะไม่สามารถพิสูจน์ถึงความผิดของเขาได้ แต่ว่ามันก็ทํา
ให้เหล่าขุนนางเกิดความสงสัย เช่นการกระทําของค่ายเสวียนอู่กับค่าย
หู่เสินมันเร็วมาก มันทําให้ทุกคนเคลือบแคลงใจ เพราะเรื่องการปลง
พระชนม์ เซียวจ้าวจงสามารถสั่งให้ทหารเข้าเมืองมาได้ในระยะเวลา
สั้นๆ หากไม่ได้เตรียมกาไว้ก่อน ใครก็อยากที่จะเชื่อ

หากเซียวจ้าวจงปฏิเสธคําขอของเขา สั่งให้บุกทันที ก็จะทําให้


เหล่าขุนางรู้สก
ึ ว่าเขาคิดไม่ซ่ อ
ื กลัวว่าเขาจะหาหลักฐานออกมาได้

ถึงแม้เซียวจ้าวจงจะมีอํานจาจการทหารในมือ แต่หากเขาต้อง
หารให้เหล่าขุนนางสนับสนุนเขาขึ้นนั่งบัลลังก์ก็จะต้องขจัดความสงสัย
ในตัวของเหล่าขุนนางก่อน

เซียวจ้าวจงชิงบัลลังก์ ถึงแม้จะคิดวางแผนมานาน แต่เพื่อล่อลวง


และให้อดีตฮ่องเต้กับฮ่องเต้น้อยหลงไท่หลงเชื่อ เขากลับซ่อนทุกอย่าง
เอาไว้แน่นหนา เขามีฐานสนับสนุนในราชสํานักน้อยมาก ไม่มีอํานาจที่
แท้จริงในการผลักดันสนับสนุนให้เขาขึ้นนั่งบัลลังก์ ทําได้แค่วางแผน
เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

ในสถานการณ์แบบนี้ การกําจัดความเคลือบแคลงใจเป็นสิ่งที่เขา
ต้องทํา

ฉีหนิงคาดเอาไว้แล้วเขาเซียวจ้าวจงไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน เรื่อง
จริงก็เป็นไปตามนั้น

ชื่อตันเหมยแฝงตัวในขบวนของฮองเฮาออกจากวังไปแล้ว
หลังจากนี้ช่ อ
ื ตันเหมยก็จะทําตามแผนการที่เขาวางเอาไว้ ภายในสิบ
สองชั่วยาม มันเพียงแต่ที่จะทําตามแผนแล้ว

แต่สิ่งที่เขาคิดจะแม่นยําแค่ไหน ชื่อตันเหมยจะทําตามแผนได้
สําเร็จไหม ฉีหนิงไม่อาจควบคุมมันได้เลย

ครั้งนี้เซียวจ้าวจงคิดชิงบัลลังก์ ฉีหนิงกับเขาสู้กับเขาก็ตกเป็นรอง
มาแต่แรกแล้ว เซียวจ้าวจงอดกลั้นมานานหลายปี แม้แต่ฉห
ี นิงเองก็
ไม่ได้ระวังเขาเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าท่ามกลางสนามรบ เซียวจ้าว
จงหลบอยู่ในที่มืด ส่วนฉีหนิงอยู่ในที่แจ้ง แผนการของเซียวจ้าวจงกํา
เนินไปทีละก้าว ฉีหนิงเป็นผู้ถก
ู กระทําตลอด สนามรบครั้งนี้กําลัง
จะต้องใช้กําลังทหารฆ่าฟันกัน ฉีหนิงก็ยังตกเป็นรองเขาอยู่ เขารู้ดีหาก
ต้องการพลิกสถานการณ์ ก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียว เขายอมเดิมพันกับ
มัน

หวีเปียกู่ไม่เข้าใจว่าฉีหนิงคิดอะไรอยู่ เขาอดไม่ได้พูดว่า “กั๋วกง


เมื่อครบสิบสองชั่วยามแล้ว หาก ..... ไม่มห
ี ลักฐาน หรือว่าท่านจะ
......?”

“หวีเสี้ยวเว่ย ในเมื่อข้าตกลงกับเขาไว้แล้ว ก็จะไม่คืนคํา” ฉีหนิง


พูดว่า “ครบสิบสองชั่วยามเมื่อไหร่ หากข้าไม่มีหลักฐาน ก็จะออกจาก
วัง พวกเจ้าก็ไม่ต้องสู้กันอีกนะ ถึงเวลานั้นข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างไว้
เอง”

“กั๋วกง .....”

“ไม่ต้องพูดแล้ว” ฉีหนิงยกมือตบไปที่หว
ั ไหล่ของหวีเปียกู่ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า ถือเป็นเกียรติของข้า
มากแล้วนะ อดีตฮ่องเต้ทรงมองการณ์ไกลมากจริงๆ” เขามองลงไป
ด้านล่างแล้วพูดว่า “ที่นี่ฝากเจ้าไว้ก่อนนะ” เขาไม่พูดมากอะไรอีก เดิน
ลงจากกําแพงวังไป

เขาเดินลงไปด้านล่าง ในใจก็แอบขํา แอบคิดในใจว่าหากแผนการ


ของชื่อตันเหมยลล้มเหลว หลังจากสิบสองชั่วยาม เขาก็ต้องออกจากวัง
ไป เพียงแต่จะไม่มีทางยอมให้ใครมาฆ่าได้ง่ายๆ แน่ ถึงเวลาเขาต้องสู้
สักตั้ง อาศัยความสามารถของตัวเขาเอง สู้กันจนหยดสุดท้าย

ฉีหนิงบิดขี้เกียจ ขยับร่างกายนิดหน่อย จากนั้นก็เดินไปที่ห้องพัก


ห้องหนึ่ง นางกํานัลเห็นฉีหนิงมา ก็คํานับ ฉีหนิงโบกมือสั่งให้พวกนาง
ออกไปก่อน จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในฉากบังลม ด้านหลังฉากบังลมมี
เตียงอยู่ จั่วเซียนเอ่อร์นอนอยูบ
่ นนั้น

ก่อนหน้านี้นางลอบฆ่าฉีหนิง ระหว่างความเป็นความตาย ฉีหนิง


ไม่ได้ออมมือ แต่ยังทําร้ายนางอีก ถึงแม้จะไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็
อาการหนักไม่น้อย ฉีหนิงเดิมคิดอยากให้นางออกนอกวังไปพร้อม
ฮองเฮาด้วย แต่พอคิดว่าการเคลื่อนไหวอาจทําให้นางอาการหนักขึ้น ก็
เลยให้นางอยู่ในวังก่อน

เห็นฉีหนิงเข้ามา เซียนเอ่อร์ก็พยายยามจะลุกนั่ง ฉีหนิงรีบเดินตรง


เข้าไปหา แล้วนั่งข้างๆ เตียง แล้วจับมือของนางเอาไว้ “เจ้าอย่าเพิ่ง
ขยับ ระวังแผลด้วย” เขาหงุดหงิดขึ้นมาทันที “โทษที่ข้า ตอนนั้น ......”

เซียนเอ่อร์พูดแทรกขึ้นมา “มันเป็นความผิดของข้าเอง มันไม่


เกี่ยวกับโหวเยว่เลย” สายตาดวงนั้นกลับมามีความอ่อนโยนแล้ว ฉีหนิง
มองไปที่สายตาของนาง เขารูส
้ ึกอบอุ่นใจมาก เขาพูดว่า “เจ้าจําได้แล้ว
ใช่ไหม?”
“จําได้บางเรื่อง” เซียนเอ่อร์พูดว่า “แต่ว่า ...... ยังไม่หมด ข้าจําได้
แค่ว่า ...... โหวเยว่เป็นคนดี”

“ใช่ เป็นคนดี เป็นคนดี” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเป็นคนดีมากเลย เจ้าไม่


ต้องรีบร้อนนะ ค่อยๆ นึก” เขามองไปที่ใบหน้าที่ไม่ค้น
ุ เคยของนาง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าข้าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้ว โชคดีสวรรค์
มีตา ...... เซียนเอ่อร์ หน้าตาของเจ้าเปลี่ยนไป หากไม่ใช่ว่าข้าเจ้า
รูปร่างของเจ้าได้ คิดว่าข้าคงจําเจ้าไม่ได้แน่”

“โหวเยว่ ท่าน ...... ท่านไม่ชอบข้าที่เป็นแบบนี้ใช่ไหม?” เซียน


เอ่อร์ท่าทางเศร้ามาก

ฉีหนิงจับมือของนางเอาไว้ แล้วส่ายหน้า จากนั้นพูดว่า “ไม่ว่าเจ้า


จะเปลี่ยนไปแค่ไหน ในใจของข้าเจ้าก็เป็นผูห
้ ญิงที่สวยที่สุด ไม่ว่าเจ้า
จะเป็นยังไง ข้าก็ชอบทั้งนั้นแหละ”

เซียนเอ่อร์ยิ้ม ฉีหนิงลังเล แล้วถามว่า “เจ้าเป็นหกภูตของตี้ฉาน


เหรอ?”

เซียนเอ่อร์ก้มหน้าลง นางนิ่งไป แล้วเงยหน้าขึ้นมา “ข้าคือ


เทพธิดาต้าฉือ โหวเยว่ .... ท่านรู้มานานแล้วใช่ไหม?”
ฉีหนิงส่ายหน้า “ก็เพิ่งรู้เมื่ไม่นานมานี้แหละ เหยียนหมอแฝงตัวอยู่
ในเมืองหลวงมานาน รับคําสั่งจากตี้ฉานมา แอบช่วยเหลือเซียวจ้าวจง
ก่อกบฏ”

เซียนเอ่อร์ขยับปาก แต่ไม่ได้พด
ู อะไร

“เซียนเอ่อร์ เจ้าอย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้อยากจะรู้อะไรจากเจ้า”


ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเจ้าไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่ถาม เซียว
จ้าวจงพาทหารมาล้อมวังหลวงไว้แล้ว ข้ายังมีเวลาอีกสิบสองชั่วยาม
เมื่อครบกําหนดเวลา หากข้าไม่ออกจากวังไป เซียวจ้าวจงจะสั่งให้บุก
เข้าวังมาทันที เพื่อไม่ให้ทหารฆ่าฟันกันเอง พอครบกําหนดเวลา ข้าจะ
ออกไป เพียงแต่ข้างนอกนั่นมีทหารนับพันคน ข้าคงพาเจ้าไปด้วยไม่ได้
เจ้าจะต้องอยู่ในวังก่อน ขอแค่เจ้าไม่บอกว่าเจ้าเป็นอะไรกับข้า เซียว
จ้าวจงไม่ทําอะไรเจ้าแน่นอน รอเจ้าหายดีแล้วค่อยหาทางออกจาก
เมืองหลวงไป”

“สิบสองชั่วยาม?” เซียนเอ่อร์สะดุ้ง เขาจ้องไปที่ตาของฉีหนิง


“โหวเยว่จะออกจากวังหลังสิบสองชั่วยามเหรอ?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รูว
้ ่าจะรอดไปได้ไหม หาก
ข้ารอดมาได้ ข้าจะไปหาเจ้าแน่นอน ไม่อย่างนั้น ......” ท่าทางของเขา
เศร้าลง แต่ไม่นานก็ยม
ิ้ แล้วพูดว่า “ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้วนะ อย่างน้อย
ข้าก็ยังมีเวลาอยู่กับเจ้าอีกสิบสองชั่วยาม น่าเสียดายที่เจ้าบาดเจ็บ
ไม่อย่างนั้นข้าคงให้เจ้าเล่นพลับพลึงสีเลือดให้ข้าฟังแล้ว”

เซียนเอ่อร์ขยับร่างกาย เหมือนจะลงจากเตียง ฉีหนิงรีบพูดว่า


“เจ้าจําทําอะไร?”

“โหวเยว่ ท่านช่วยหาพิณมาให้ข้าหน่อยได้ไหม ข้า ...... ข้าจะเล่น


มันให้ท่านฟัง”

“ยัยเด็กโง่ เจ้าเจ็บหนักขนาดนี้ หากข้ายังให้เจ้าเล่นพิณอีก มันใจ


ร้ายเกินไปหน่อยไหม” ฉีหนิงหัวเราะ แล้วกดให้นางนอนลง แล้วพูดว่า
“สวรรค์เมตตาข้ามากแล้ว อย่างน้อยก่อนที่จะสู้ศึกสุดท้า ข้าก็ยังได้พบ
กับเจ้า รู้ว่าเจ้าปลอดภัย ข้า ...... ก็ไม่เสียใจอะไรอีกแล้ว”

เซียนเอ่อร์ก้มหน้าลงนานมาก สุดท้ายก็พูดขึ้นมาว่า “เรา ...... เป็น


เด็กกําพร้าที่ตี้ฉานเก็บมาเลี้ยง”

ฉีหนิงตะลึงไป ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เด็กกําพร้างั้นเหรอ?”

เซียนเอ่อร์พยักหน้า นางลังเล แล้วพูดว่า “เหยียนหมอกับเซ่อเทียน


เป็นชาวกู่เซี่ยง กุมารฉือเป่า ...... เป็นทายาทของเขาคุนหลุน”
เล่มที่ 47 บทที่ 1392 สิบปีเหมือนผ่านไปหนึ่งวัน

“ชาวกู่เซี่ยงงั้นเหรอ?” ฉีหนิงตะลึงไป

ก่อนหน้านี้ที่เขาไปยังแคว้นกู่เซี่ยง ฉีหนิงก็รู้เรื่องราวความลับ
ของต้าจงซือมาประมาทหนึ่ง และมั่นใจว่าต้าจงซือนั้นอาจถือกําเนิดมา
จากแคว้นกู่เซี่ยง

จากปากของซีเหมินอู๋เหิงในเวลานั้น ฉีหนิงรู้ว่าพวกเขามี
ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่ไม่ธรรมดาเลย

ตอนที่มอ
ู่ วินโหวยังเป็นองค์ชายอยู่ เขาแอบเดินทางไปยังแคว้นกู่
เซี่ยง ส่วนเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นหม้อหลันชางนั้นตอนนั้นยังเป็นทาสรับใช้
ของเขาอยู่ และได้เดินทางไปยังที่น่ันเช่นกัน แม้แต่เป่ยกงเหลียนเฉิง
เอง ก็ยังเดินทางไปในแทบนั้นเพื่อค้นหาศาสตร์ของกระบี่ ถึงแม้จะไม่มี
หลักฐาน แต่คิดว่าน่าจะไปที่แคว้นกู่เซี่ยง

ส่วนเจ้าลัทธิบัวดํานั้น หลังจากที่เขาจําทุกอย่างได้ เขาพาตัวเขา


ไปยังหน้าผาแห่งหนึ่ง เหมือนเขาจะคุ้นเคยเส้นทางนั้นมาก ดูก็รู้ว่าเขา
เคยมา

นั่นก็หมายความว่า ต้าจงซือในเวลลานั้นล้วนแต่มาที่แคว้นกู่เซี่ยง
ตี้ฉานมีความสามารถในระดับต้าจงซือ แต่นางกลับปลอมตัวสวม
รอยเป็นเฟิ่งอิ่งฮูหยิน จนถึงตอนนี้ฉห
ี นิงยังไม่รูฐ
้ านะที่แท้จริงของนาง
เลย และไม่มีหลักฐานว่านางไปที่แคว้นกู่เซี่ยงด้วย

แต่จ่ัวเซียนเอ่อร์กลับบอกว่าหกภูตตี้ฉานกลับมีสองคนเป็นแคว้นกู่
เซี่ยง นั่นมันเป็นหลักฐานว่าตี้ฉานนั้นไปที่แคว้นกู่เซี่ยงอย่างนั้นเหรอ?

จั่วเซียยนเอ่อร์เห็นฉีหนิงแปลกใจ นางก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตี้


ฉานเพื่อค้นหายาวิเศษตัวหนึ่ง ไปมาแล้วหลากหลายสถานที่ แล้วก็เคย
ไปที่แคว้นกู่เซี่ยงด้วย เหยียนหมอกับเซ่อเทียนตอนนีเ้ ป็นเด็กอยู่ เท่าที่
ข้ารู้มาสองคนนั้นเกือบตายไปแล้ว ตี้ฉานรับเลี้ยงพวกเขาไว้ พวกเขาถึง
ได้รอดตายมาได้”

“ค้นหายาวิเศษ?” ฉีหนิงแปลกใจเข้าไปใหญ่ “เซียนเอ่อร์เจ้ารู้ไหม


ว่านางต้องการหายาอะไร?”

เซียนเอ่อร์ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ยาวิเศษอะไร ข้า ...... ไม่รู้จริงๆ


เราติดตามนาง นาง ..... นางก็ไม่ได้บอกอะไรเรา บางครั้ง ...... บางครั้ง
นางนิ่งไปนั่งเศร้าๆ คนเดียว แล้วก็พูดอะไรแปลกๆ แต่เราก็ไม่กล้า
ถาม”

ฉีหนิงแปลกใจเข้าไปใหญ่ แต่ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ พวกต้า


จงซือจะมีวรยุทธ์ที่ร้ายกาจแค่ไหน แต่ก็มีผลข้างเคียงด้วย ไม่ร่างกาย
ร้อนเกินไป ก็จะหนาวเกินไป มันทําให้พวกเขาทรมานมาก ในเมื่อนางมี
ความสามารถอย่างต้าจงซือ นางก็ต้องทรมานด้วย

ฝ่าอ๋องกับหม้อหลันชางหายามาบรรเทาความเจ็บปวด อีกทั้งยัง
แอบแปลกเปลี่ยนของกันด้วย การที่นางออกค้นหายา มันก็เข้าใจได้

“แล้วเจ้าล่ะ .....?”

เซียนเอ่อร์มีผิวขาวและเป็นหญิงสาวชาวใต้โดยธรรมชาติเป็นไป
ไม่ได้ที่เธอจะเกิดมาในแคว้นกู่เซี่ยง เซียนเอ่อร์นิ่งไปแล้วพูดว่า “พ่อ
ของข้าเป็นพ่อค้า เขาเป็นชาวแคว้นฉู่ ในเวลานั้นแคว้นฉู่และฮั่นไม่ได้สู้
กันดุเดือดขนาดนี้ และเคยเปิดเส้นทางการค้าแลกเปลี่ยนกัน ท่านพ่อ
รับสินค้าหนังจากเป่ยฮั่นมาขายที่แคว้นฉู่ .....” นางเงยหน้ามองฟ้า
เหมือนกําลังนึกถึงเรื่องในอดีตอยู่ “เดิมทีการค้าของเรารุง่ เรืองมาก เรา
อาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ว่าไม่รูท
้ ําไมจู่ๆ ถึงได้ไปผิดใจกับ
ขุนนางคนหนึ่งได้ เลยถูกลงโทษ ก่อนท่านพ่อจะถูกจับ ให้เตรียมการให้
เราได้หนี หลังจากที่เราหนีไปได้ไม่นาน ท่านพ่อก็ถูกคุมตัวไป ท่านแม่
ข้าไปสืบข่าว ถึงได้รู้ว่าพวกเขายัดข้อหาสายลับให้กับท่านพ่อ ไม่เพียง
ถูกยึดทรัพย์ ท่านพ่อเองก็ตายในคุกด้วย ......”

ฉีหนิงรู้สึกว่าตัวของนางสั่น เลยจับมือของนางเอาไว้
“ท่านแม่พาข้าหนีไปทางเหนือ จนมาถึงพื้นที่หญ้า แต่ว่าไม่นาน
นางก็ปว
่ ยหนัก” เซียนเอ่อร์พูดว่า “เราอาศัยอยู่บนท้องทุ่งไม่มท
ี ี่พ่ึง ไม่
นานท่านแม่ก็ตายไป ข้าจําได้ว่าตอนนั้นข้าอายุสี่ขขวบ หลังจากทําศพ
ของแม่แล้ว ชายแก่เลี้ยงแกะคนหนึ่งมาช่วยทําศพให้ท่านแม่ แต่ว่าข้า
ต้องไปเป็นทาสของเขา .....” นางพูดว่า “ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก อีกทั้ง
ข้าก็ไม่สิทธิจะเลือก หลังฝังศพแม่ขา้ แล้ว ข้าก็ตามเขาไปเลี้ยงแกะ .....”

ฉีหนิงเข้าใจแล้วว่าทํามาเสียงดนตรีของนาง ถึงได้ลึกซึ้งมาก
เพราะนางถูกกระทํามาก่อน การใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่นา่ เชื่อเลยว่านางจะ
เคยใช้ชีวิตแบบนั้นด้วย

เด็กผูห
้ ญิงอายุสี่ขวบคนหนึ่ง พ่อแม่ตายหมด อาศัยอยู่บนท้องทุ่ง
เป็นทาสคนอื่น มันเป็นสถานการณ์ที่ย�าแย่มาก

เซียนเอ่อร์เห็นฉีหนิงมองมาที่นางอย่างเห็นใจ นางก็ย้ม
ิ แล้วพูด
ต่อว่า “ตาแก่น่น
ั ไม่ได้คิดดีอะไรหรอก เขา ......” พอพูดมาถึงตรงนี้แล้ว
สายตาของนางก็เปลี่ยนไป “คืนนั้นเขากลายเป็นเหมือนสัตว์ป่า ข้าวิ่ง
หนีด้วยเท้าเปล่า ทุ่งหญ้าใหญ่มาก ข้ามองไม่เห็นใครเลย เขาเหมือน
หมาป่าตัวหนึ่ง ที่วิ่งตามข้าตลอด หาก .... หากไม่ใช่เพราะตี้ฉาน ข้าคง
ตายไปแล้ว”

ฉีหนิงสะดุ้ง ถึงแม้เซียนเอ่อร์จะพูดง่ายๆ แต่เขาก็รู้ว่าค�าคืนนั้น


สําหรับนางแล้วมันเป็นฝันร้าย มันทําให้นางรูส
้ ึกซาบซึ้งใจต่อตี้ฉานมาก
“ตี้ฉานทําให้เขาขยับไม่ได้เลย จากนั้นก็เอาดาบพกของตาแก่น่ัน
ยื่นให้ขา้ ” เซียนเอ่อร์พูดว่า “ข้าก็เลยใช้ดาบนั่น ..... ตัดคอของตาแก่
นั่นไป”

ฉีหนิงสะดุ้ง เซียนเอ่อร์พูดว่า “โหวเยว่รู้สึกว่าข้าโหดเหีย


้ มมากเลย
ใช่ไหม อายุแค่น้น
ั ก็ฆา่ คนแล้ว”

“ข้าแค่โกรธที่ตัวเองไม่ได้อยูก
่ ับเขาตอนนั้น ไม่อย่างนั้นข้าจะลง
มือให้เอง” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตี้ฉานช่วยเจ้าไว้ นางเป็นผูม
้ ี
พระคุณของเจ้า”

“ถูกต้อง นางเป็นผูม
้ พ
ี ระคุณของข้า หากไม่ได้นาง ข้าคงตายไป
นานแล้ว” เซียนเอ่อร์พูดว่า “ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางก็รับเลี้ยงข้าไว้
นางไม่เพียงดูแลการใช้ชีวิตของข้า ยัง ..... สอนวรยุทธ์ข้าด้วย ตอนนี้
นางรับเลี้ยงเด็กมาสี่คนแล้ว หลังจากนั้นหนึ่งปี นางถึงได้รับต้าลี่มาเลี้ยง
อีกคน นางบอกว่าเราหกคนจะเป็นภูตข้างกายของนาง แล้วก็มอบชื่อ
ให้กับเรา บอกเราว่าบนโลกใบนี้ไม่มีความเป็นธรรมไม่มีความรู้สึกที่
เป็นจริง นางจะพาเราไปกําจัดมารร้ายบนโลกนี้ท้ังหมด”

ฉีหนิงพยักหน้า ภูตทั้งหกของตี้ฉานได้รบ
ั การช่วยเหลือตอนที่
เผชิญอันตราย พวกเขาต้องทุกข์ทรมานกันมาแต่เล็ก เลยโกรธแค้นโลก
ใบนี้มาก เลยถูกหลอกใช้ อบรมพวกเขาให้เป็นคนไม่ดี
“ตอนที่ตี้ฉานรับเลี้ยงเจ้า เหยียนหมอเองก็เหมือนจะอายุมาแล้ว
นะ” ฉีหนิงพูดว่า “ตอนนั้นตี้ฉานอายุเท่าไหร่กัน?”

“เหยียนหมอเป็นคนที่อายุมากที่สุดในบรรดาหกคน แล้วก็ติดตาม
ตี้ฉานมานานที่สุด” เซียนเอ่อร์พูดว่า “นางรับเลี้ยงข้า ตอนนั้นเหยียน
หมออายุสิบสองแล้ว วรยุทธ์เริ่มเห็นผล ดังนั้นเขาถือว่าเป็นพี่ใหญ่ของ
เรา เขาก็ถูกรับเลี้ยงมาเหมือนกัน ....” นางเหมือนจะคิด แล้วพูดว่า
“ส่วนตี้ฉานอายุเท่าไหร่ เราเองก็ไม่เคยรู้เลย ข้าจําได้ว่าตอนที่นางรับ
เลี้ยงข้า นางดูเหมือนคนอายุสามสิบเหมือนจะแก่กว่าเหยียนหมอ
ประมาณหนึ่ง แต่ว่าเหยียนหมอบอกว่า ตอนที่นางรับเลี้ยงเขา หน้าตา
ของนางก็แบบนี้ เหมือนว่านางไม่แก่ไปเลย”

ฉีหนิงเหมือนจะคิดถึงเป่ยกงเหลียนเฉิงกับหม้อหลันชางขึ้นมาอีก
พวกเขาเหมือนจะไม่แก่ลงไปเหมือนกัน หน้าตาของพวกเขายังดู
เหมือนตอนหนุม
่ ๆ เหมือนเวลาจะทําอะไรเขาไม่ได้เลย

“เซียนเอ่อร์ ตี้ฉานเคยได้รับบาดเจ็บบ้างไหม?” ฉีหนิงถาม “นาง


ออกตามหายาวิเศษ เพื่อมารักษาตัวเองหรือเปล่า?” เขาคิดว่าเซียน
เอ่อร์ติดตามนางมาตั้งแต่เล็ก หากนางต้องทรมานทางร่างกาย นางก็
ต้องรู้

เซียนเอ่อร์หยุดพูดไป เหมือนรู้สึกลําบากใจ ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อกี้ข้า


บอกเจ้าไปแล้ว หากเจ้าไม่อยากพูด ข้าจะไม่บังคับ”
“ที่จริง .....” เซียนเอ่อร์ลังเล แล้วถึงได้พูดว่า “นางตามหายา
วิเศษ เหมือนจะไปช่วยให้ใครคนหนึ่งคืนชีพขึ้นมา”

“คืนชีพ?”

เซียนเอ่อร์พยักหน้า “เท่าที่ข้ารู้มา ตี้ฉานไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย”


เขาคิด แล้วพูดว่า “ตี้ฉานดีกับข้ามาก บางครั้งนางก็แปลกๆ ชอบพูด
คนเดียว มีครั้งหนึ่ง ...... ข้าเห็นนางนั่งอยู่ริมสระน�าคนเดียว นั่งพูดอะไร
ที่ไม่มีใครฟังเข้าใจเลย”

“นางพูดว่าอะไรบ้าง?”

เซียนเอ่อร์เหมือนจะคิดแล้วพูดว่า “ข้าจําได้ว่านางพูดว่า” นาง


เลียนเสียงของตี้ฉานแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นอมตะ ขอแค่เจ้าลืมตา
ขึ้นมา ฟังข้าพูดสักคําสองคํา ชาตินี้ขา้ ก็สบายใจแล้ว ข้าจะต้องหาวิธใี ห้
เจ้าฟื้นขึ้นมาให้ได้ .....”

ฉีหนิงตะลึงไป เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นางจะให้ใครลืมตา


ขึ้นมา?”

เซียนเอ่อร์ส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ นางชอบพูดแบบนี้ตอนอยู่คน


เดียวบ่อยๆ แต่ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร เราไม่เคยรู้เลย อีกทั้งก็ไม่กล้าถาม
ด้วย แต่ว่า ..... ในเมื่อนางพูดแบบนี้ การตามหายาวิเศษ ก็น่าจะทําให้
คนๆ นั้นลืมตาขึ้นมา เหมือนเขาคนนั้นจะหลับไม่ต่ ืน ตี้ฉานถึงได้ตามหา
ยาที่ทําให้เขาตื่นขึ้นมาได้”

“ตี้ฉานพูดแบบนี้ นานเท่าไหร่แล้ว?”

“ตั้งแต่เหยียนหมอยังเด็กนางก็เป็นแบบนี้แล้ว ตอนที่ข้าอยู่กับนาง
ได้ยินมากว่าสิบครั้ง ......” เซียนเอ่อร์ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อย่างน้อยๆ
ก็น่าจะประมาณสามสิบปีแล้วล่ะ .......”

ฉีหนิงตกใจมาก “สามสิบปี? งั้น ...... งั้นก็หมายความว่า ในสามสิบปีที่


ผ่านมา นางตามหายาวิเศษนั่นมาตลอด คนที่นางพูดถึง ก็ยงั หลับอยู่
อย่างนั้นมาตลอดสามสิบปีง้ันเหรอ?” เขารู้สึกเหลือเชื่อมาก คนที่ทําให้
นางคิดถึงตลอดเวลาสามสิบปี อีกทั้งยังทําทุกอย่างเพื่อหายาวิเศษมา
ปลุกให้เขาตื่น คนๆ เป็นใครกันนะ ที่ทําให้นางยอมทําทุกอย่างมาก
ขนาดนี?้
เล่มที่ 47 บทที่ 1393 จวนผีสงิ

เซียนเอ่อร์ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตี้ฉานมีความรู้สึกลึกซึ้งกับคนๆ
นั้นมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ทําแบบนี้”

ฉีหนิงพยักหน้า เขานิ่งไปแล้วถามว่า “ตี้ฉานส่งพวกเจ้าแฝงตัวเขา


มาในเมืองหลวง แอบช่วยเซียวจ้าวจง นางทําแบบนี้ไปเพื่ออะไร? ใน
เมื่อนางต้องการตามหายาวิเศษ ทําไมถึงได้ไปเกี่ยวข้องกับเซียวจ้าวจง
ได้ล่ะ?”

“เมื่อสองปีก่อนข้ากับเหยียนหมอก็ได้รับคําสั่งจากนาง ให้มาที่
เมืองหลวง” เซียนเอ่อร์พูดว่า “ตอนนั้นเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไม
นางถึงได้ส่ังให้เรามาที่นี่ แต่ว่าคําสั่งของนางก็คือ ไม่ว่าเรื่องอะไรให้ฟงั
คําสั่งของเหยียนหมอก็พอ ส่วนเรื่องอื่น ตอนนั้นข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
นางหยุดไป แล้วพูดต่อว่า “เหยียนหมอแอบติดต่อกับเซียวจ้าวจง เรื่อง
นี้ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าต่อมาเหยียนหมอบอกข้าว่า ที่ตี้ฉานให้เรามาเมือง
หลวง เพื่อตามหาของชิ้นหนึ่ง ขอชั้นนั้นสําคัญมา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วย
อะไร ก็ต้องนํามันมาให้ได้”

“เจ้าหมายถึงพิณเฟิ่งหวง?”

เซียนเอ่อร์ตะลึงไป แล้วพูดว่า “โหวเยว่รู้แล้วเหรอ?”


“เพิ่งรู้มาเมื่อไม่นานนีแ
่ หละ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าก็
ไม่รู้ใช่ไหม ว่าทําไมนางถึงได้อยากจะได้พิณเฟิ่งหวง”

เซียนเอ่อร์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเกรงว่าเหยียนหมอเองก็ไม่รู้ว่า
พิณนั่นจะเอาไปทําอะไร เหยียนหมอบออกว่าพิณนั่นน่าจะซ่อนอยู่ใน
วังหลวงของแคว้นฉู่ อย่าได้รีบร้อน ทําได้ค่อยๆ ตามหา” เขาหยุดไป
แล้วพูดว่า “เขาบอกว่านอกจกตามหาพิณเฟิ่งหวงแล้ว ต้องช่วยทํางาน
ให้ท่านผู้หนึ่งด้วย ให้ขา้ คอยหาข่าวให้ แล้วที่ที่มีข่าวเยอะมากที่สุดนั้น
ก็คือแม่น�าฉินไหว”

ฉีหนิงเหมือนจะเข้าใจแล้ว “ดังนั้นเจ้าเลยปรากฏตัวในงานแข่งขัน
ราชินีดอกไม้ที่แม่น�าฉินไหวใช่ไหม?”

“ทุกอย่างเหยียนหมอจัดการเอาไว้หมดแล้ว เขาสร้างประวัติให้ข้า
ใหม่ ต่อให้มค
ี นตรวจสอบ ก็จะไม่เจออะไร” เซียนเอ่อร์พูดอย่างเศร้าๆ
ว่า “เดิมข้าก็ทําตามที่เขาสั่งทุกอย่าง เจอพวกคนใหญ่คนโตมากมาย
ได้ข่าวสารจากพวกเขามามาก แต่ว่า .....” หน้าของนางเริ่มแดง นางก้ม
หน้าลง

ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าคนแรกที่เจ้าเจอก็คือข้าจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อ”
“ที่จริง ...... ที่จริงเซียนเอ่อร์รู้ฐานะของโหวเยว่แล้ว ก็ ...... ก็รู้ว่า
ฐานะของท่านสูงส่ง อาจจะได้ข้อมูลไม่ได้เลย” เซียนเอ่อร์เหมือนพูด
อย่างเสียใจ

ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นที่เจ้าอยู่กับข้าหลังจากนั้น ก็เพื่อหาข่าว


จากข้างั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่แบบนั้น” เซียนเอ่อร์ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “หลายปีที่ผ่านมา


เซียนเอ่อร์เจอคนเลวปากไม่ดีมามาก แต่วันนั้น ...... วันนั้นโหวเยว่มา
หาข้าที่เรือสําราญ ข้า ...... ข้าคิดว่าโหวเยว่ก็คงไม่ต่างกับผู้ชายพวกนั้น
แต่ว่า ......” ใบหน้าของนางแดงก�า เหมือนกําลังนึกถึงเรื่องในวันนั้น

ฉีหนิงเองก็นก
ึ ถึงเรื่องในคืนนั้น ตัวเขาก็ถือว่าเป็นสุภาพบุรุษพอ
ไม่ได้มีอะไรที่เสียมารยาทเกินไป

“โหวเยว่น่าจจําได้ว่าคืนนั้นมีคนลอบเข้ามาทําร้าย ข้าถูกสกัดจุด
แล้วสลบไป” นางกัดฟันแล้วพูดว่า “ที่จริงเซียนเอ่อร์ไม่ได้หลับไป ตอน
ที่โหวเยว่ออกไป ท่านให้เกียรติข้ามก ไม่ได้คิดจะล่วงเกินข้าเลย อีก
อย่าง ...... ยังห่มผ้าให้ข้าด้วย ตอนนั้น ..... ตอนนั้น .....” นางไม่ได้พูด
ต่อ ฉีหนิงรู้ว่านางน่าจะเพราะการกระทําของเขา เลยเกิดความรู้สึกดี
ด้วย เขาคิดในใจว่าเขาก็ไม่ได้ไม่ชอบ แต่ว่ามันก็ไม่ดีที่จะฉวยโอกาส
“หากคืนนั้นข้า ..... ข้าคิดไม่ดีกับเจ้า เจ้าจะทํายังไง?” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูด

เซียนเอ่อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าฝึกวิชามาแขนงหนึ่ง มันสามารถทํา


ให้ผู้ชายรู้สึกว่ามีความสัมพันธ์ทางการกับข้าแล้ว แต่ในความเป็นจริง
ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย หากคืนนั้นโหวเยว่ ..... คิดจะมีอะไรกับข้า ข้าคง
ต้องลงมือ”

ฉีหนิงตะลึงไป เขาพูดด้วยความตกใจว่า “เซียนเอ่อร์มีวิชาแบบ


นั้นด้วยเหรอ?” แอบคิดในใจมันจะเป็นต้องเป็นเหมือนวิชาภาพลวงตา
อะไรแนวนั้นแน่ เทพธิหาเป่าฉานฮวาเสีย
่ งหรงเหมือนจะเชี่ยวชาญวิชา
สะกดจิต เซียนเอ่อร์เองก็เหมือนจะมีวิชาของตัวเอง

พอเขาคิดดีดีแล้ว ก็เหมือนเริม
่ เข้าใจหลายอย่าง หากคืนนั้นไม่ใช่
เขาที่ข้น
ึ เรือของนาง แต่เป็นผูช
้ ายคนอื่น เซียนเอ่อร์ต้อนรับพวกเขา
แล้วถ้าเป็นผู้ชายคนนั้นคิดจะทําอะไรนาง นางก็จะใช้วิชาของนางทํา
ให้ผู้ชายพวกนั้นสมหวัง แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย

เห็นเซียนเอ่อร์สีหน้าเริ่มซีดขาว เขาคิดว่านางกําลังบาดเจ็บ แล้ว


พูดว่า “เจ้าไม่ต้องพูดแล้วนะ พักก่อนเถอะ ข้า ......”

“โหวเยว่จะไปแล้วเหรอ?” เซียนเอ่อร์จับแขนของเขาเอาไว้
ท่าทางน่าสงสารมาก
ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ไม่ไป ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่ ครบสิบสอง
ชั่วยามเมื่อไหร่ ข้าอยากจะอยู่กับเจ้าอีกคงทําไม่ได้แล้ว ยังเหลือ
ช่วงเวลาสุดท้าย ข้าจะอยู่กับเจ้า”

“อาการของข้าไม่เป็นอะไรมาก” เซียนเอ่อร์พูดว่า “ข้าอยากจะ


คุยกับท่านให้มากกว่านี้”

ฉีหนิงพยักหน้า แล้วถามว่า “เซียนเอ่อร์รู้หรือเปล่าว่าตี้ฉานปลอม


ตัวเป็นฮูหยินของลู่ซางเฮ่อ แล้วอยู่ที่ซีชวน?”

เซียนเอ่อร์ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “ช่วงหลังๆ เราไม่ค่อย


ได้เจอตี้ฉานเลย ไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ไหนบ้าง ลู่ซางเฮ่อที่ท่านพูดถึง ข้า
เคยได้ยน
ิ แต่ก็ไม่ได้รู้จักมาก”

“ถ้าอย่างนั้น เรื่องของทางตงไฮ่ เจ้าก็ไม่รู้เรื่องเลยสินะ?” ฉีหนิง


พูด “เซ่อเทียนอยู่ตงไฮ่ตลอด น่าจะเป็นตี้ฉานที่ส่งไป”

“เซ่อเทียนอยู่ที่ตงไฮ่เหรอ?” เซียนเอ่อร์เหมือนตกใจมาก “ข้าไม่รู้


เรื่องนี้เลย เหยียนหมอไม่เคยบอกข้าเลย หลายปีก่อนตี้ฉานส่งเขา
ออกไป ข้าไม่รู้ว่าเขาไปไหน จนกระทั่งได้เจอเขาในวังเมื่อไม่นานมานี้
ข้าคิดว่าเขาอยูใ่ นวังตลอด”

ฉีหนิงคิดว่าคนของตี้ฉานได้รบ
ั คําสั่งให้ไปทํางานคนล่ะอย่าง แต่ไม่
รู้ว่าใครไปทําอะไร มีแค่เหยียนหมอที่เหมือนจะรู้มากที่สุด
“แล้วตอนนี้ตี้ฉานอยู่ในเมืองหลวงหรือเปล่า?” ฉีหนิงถาม

เซียนเอ่อร์ส่ายหัวแล้วพูดว่า “เหยียนหมอบอกว่าตี้ฉานมีเรื่องต้อง
ไปทํา ไม่อยู่ในเมืองหลวง เขายังบอกอีกว่าเซียวจ้าวจงคุมอํานาจใน
เมืองหลวงไว้หมดแล้ว ขอแค่กําจัดท่านได้ เขาก็สามารถขึ้นนั่งบัลลังก์
ได้แล้ว งานของเราก็ถือว่าเสร็จ”

“ดูท่าทางแล้วนางก็คิดให้พวกเจ้าช่วยเซียวจ้าวจงขึ้นครองบัลลังก์
จริงๆ” ฉีหนิงท่าทางเคร่งเครียดมาก “พวกเจ้าทํางานให้นาง เหมือนจะ
เป็นการช่วยเซียวจ้าวจง นางทําถึงขนาดนี้ เซียวจ้าวจงกับนางเป็น
อะไรกัน?”

“ข้าเองก็เพิง่ จะรู้ว่าเรากําลังช่วยเซียวจ้าวจงขึ้นบัลลังก์เมื่อไม่
นานมานี้เอง แต่ว่าทําไม เหยียนหมอบอกแค่ว่าเป็นคําสั่งของตี้ฉาน”
เซียนเอ่อร์พูดว่า “เซียนเอ่อร์เองก็ไม่รูว
้ ่าตี้ฉานทําไมให้ความสําคัญกับ
เซียวจ้าวจงมากขนาดนี้ คราวนี้ ...... คราวนี้เพื่อให้เขาได้ข้ึนครอง
บัลลังก์ พวกเขาสองคนถึงกับยอมมอบ ......” นางไม่ได้พูดต่อ

ฉีหนิงเองก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ากับพวกเขาไม่ถก
ู กัน ไม่ใช่
เขาตายก็คือข้า”

“ข้าเข้าใจ” เซียนเอ่อร์พูดแบบเศร้าๆ ว่า “หากตี้ฉานรู้ว่าท่านฆ่า


พวกเขา ต่อไป .....” นางรู้สึกเป็นกังวล
ฉีหนิงคิดในใจว่าไม่ใช่แค่เหยียนหมอกับเซ่อเทียน ยังมีกม
ุ ารฉือ
เป่ากับต้าลี่ด้วยที่เขาเป็นคนฆ่า ตี้ฉานเห็นเขาเป็นหอกข้างแคร่แล้ว
วันนี้ต่อให้รอดไปได้ ต่อไปก็ต้องถูกไล่ล่าอยู่ดี พอคิดถึงความน่ากลัว
ของตี้ฉานฉีหนิงก็ขนหัวลุก

บนตัวตี้ฉานมีความลับมากมาย นางเป็นใครมาจากไหน
นอกจากนี้นางกับเซียวจ้าวจงเป็นอะไรกัน ยังมีคนที่นางอยากจะช่วย
ให้ฟ้ นแล้
ื ว มันอะไรกันแน่?

ทหารล้อมวัง ชาวเมืองเหมือจจะรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ข่าววัง


หลวงถูกล้อมมันแพร่กระจายไปทั่วแล้ว มันไม่ใช่ในสถานการณ์ปกติ
ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันที่อากาศดี แต่ว่าแทบจะไม่มีคนบนถนนเลย ทุกคน
หลบอยูแ
่ ต่ในบ้านไม่กล้าออกมาข้างนอกปิดประตูกันแน่นมาก ไม่มใี คร
ได้เข้าออก แต่ว่าต่อให้ไม่ปด
ิ ประตู ก็ไม่มีใครออกมาข้างนอกเลย

เมืองหลวงที่เคยคึกคัก ตอนนี้เงียบสนิทเหมือนป่าช้า แทบจะไม่มี


เสียงอะไรเลย

จนถึงฟ้ามืด ก็แทบไม่เห็นเงาของใครเลยสักคน

จวนไหวหนานอ๋องเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่มากในเมืองหลวง ฮ่องเต้
ไท่จงกับอดีตฮ่องเต้ทรงให้ความดูแลไหวหนานอ๋องเป็นอย่างดี จวนไหว
หนานอ๋องมีแต่ขยายกว้างขึ้น ถือเป็นจวนที่ดีที่สุดในเมืองหลวงแล้ว
จวนของสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอดยังเล็กกว่ามาก

เมื่อก่อนจวนอ๋องมีแต่ความคึกคัก ไหวหนานอ๋องจัดงานเลี้ยงอยู่
บ่อยๆ แต่หลังจากเกิดเรื่องที่สุสานหลวง จวนไหวหนานอ๋องถูกตรวจ
ยึดทรัพย์ไป จวนแห่งนีก
้ ็ไม่ต่างจากจวนร้าง มีแค่เซียวจ้าวจงที่ถูกกัก
บริเวณแต่ยังได้รับความสําคัญอยู่ แต่มห
ี มอประจําตัวคอยดูแลอีกคน

ใกล้ๆ จวนไหวหนานอ๋อง มีทหารเฝ้าอยู่ตลอด เพื่อคุ้มกันซื่อจื่อ


แต่ให้ความเป็นจริงมันคือการเฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวในจวนอ๋อง

หลังจากที่เซียวจ้าวจงพลิกคดีของไหวหนานอ๋องเซียวจางแล้ว
ทหารรอบจวนก็ไม่มแ
ี ล้ว แต่เซียวจ้าวจงไม่ได้กลับมาที่จวนอ๋องอีก ใน
จวนอ๋องยังคงเงียบร้างเหมือนเดิม จวนอ๋องขนาดใหญ่แต่ไม่มีใครเลย
พอตกดึก มันเหมือนบ้านผีสิงเลย

จวนออกโดนยึดทรัพย์ ของสะสมของมีค่าถูกยึดไปหมด แม้แต่โต๊ะ


เก้าอี้ก็ถก
ู เอาไปแทบไม่เหลืออะไรเลย

ที่ดินศักดินาของไหวหนานอ๋องมันเยอะมาก อีกทั้งยังได้ของ
พระราชทานมาบ่อยๆ นอกจากนี้ไหวหนานอ๋องยังแอบให้คนไปทํา
การค้า ไหวหนานอ๋องก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในราชสํานัก ท่าน
อ๋องคนนี้ก็ไม่เคยผิดต่อตัวเอง ทุกอย่างในจวนเขาสั่งทําจากไม้อย่างดี
ทั้งหมด แม้แต่ขา้ วของเครื่องใช้ ก็ต้องเป็นของที่ดีที่สุด โต้วขุยพาคนมา
ตรวจค้น กวาดขอในจวนไปหมดแล้วนําไปออกขาย ได้เงินมามากมาย
ทําให้ในจวนอ๋องแทบจะร้าง

ประตูจวนปิดสนิท ช่วงเย็นมีคนของพรรคกระยาจกหลายคนเดิน
วนรอบจวนอยู่ หลังจากฟ้ามืดแล้ว ก็มเี งาของหลายคนโผล่ออกมาใกล้
จวน แล้วค่อยๆ เข้าใกล้จวนอ๋อง

ด้านหลังจวนอ๋องเป็นซอย ตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มา ทุกคนสวมชุด


ผ้าหยาบ มันก็ไม่ได้เรียบร้อยนัก แต่ก็สะอาด คนหน้าสุดผอมสูง สายตา
มีประกาย เขาคือผู้อาวุโสจูเซวี่ยแห่งพรรคกระยาจก แต่คราวนี้เขา
ไม่ได้ถือไม้เท้าประจําตัวของเขามาด้วย แต่ถือไม้เท้าสีดําธรรมดา คิดที่
ตามเขามา แต่ล่ะคนว่องไวมาก พวกเขาเดินมาที่ประตูหลังของจวน ผู้
อาวุโสจูเซวี่ยเงยหน้ามองฟ้า แล้วโบกมือให้สญ
ั ญาณ มีสองคนมุด
ออกมา ในมือมีตะขอเชือกพวกเขาโยนมันขึ้นไปเกี่ยวบนกําแพงจวน
แล้วปีนขึ้นไปบนกําแพง แล้วลงไปเปิดประตู ผู้อาวุโสจูเซวี่ยไม่ลังเลใจ
อีกเขาเข้าไปในจวนอ๋องทันที
เล่มที่ 47 บทที่ 1394 ไหว้วานสํานักคุ้มภัย

ประตูเมืองทางตะวันออก ทอดยาวตรงไปยังคฤหาสน์อันงดงาม
ด้านหน้าประตูแท่นบูชาหินสองแท่น ซ้ายและขวามีเสาธงสูงตั้งอยู่ มีธง
ที่ปักรูปพระอาทิตย์สีแดงปลิวไสว ถึงแม้ตอนนีฟ
้ ้าจะมืดแล้ว แต่โคมไฟ
ที่ประตูก็ยังคงเป็นสีแดงราวกับสีเลือดเช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ยามเช้า
ส่วนธงด้านซ้ายมือเป็นธงที่ปก
ั คําว่าสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ

บนประตูมีการประดับประดาเครื่องประดับรอบป้ายชื่อคําว่า
“สํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื ”

วังหลวงถูกล้อม สํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื ก็เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่ปิด
ประตูแน่นหนา ไม่ทําการค้า แต่ในเวลาแบบนี้ ก็ไม่มใี ครมาฝากทํา
ธุรกรรมอะไรหรอก

สํานักคุ้มภัยใหญ่สี่เจ้าในเมืองหลวง สํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื เป็นร้านที่
ใหญ่ที่สด
ุ ใครหลายคนก็รู้ดี เจ้าของสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื อย่างติงอี้ถูก็สนิม
สนมกับโต้วขุยไม่น้อย

ติงอี้ถูเคยเป็นทหารที่กองทัพฉินไหว เลยทําผิดกฎ ถูกไล่ออกจาก


กองทัพ ไม่มีตําแหน่ง ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ต่อมาได้รวบรวมคนที่ถูกไล่
ออกจากกองทัพมาส่วนหนึ่ง คนพวกนีม
้ ีความสามารถพอตัว จากนั้นก็
มาเปิดสํานักคุ้มภัยขึ้นมา

ในบรรดาสํานักคุ้มภัยใหญ่ท้ังสีแ
่ ห่ง สํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื เป็นสํานักที่
เปิดช้าที่สุด เส้นทางการขนส่งก็เหมือนจะถูกอีกสามเจ้าผูกขาดไปกัน
หมด เส้นทางสายพวกนั้นรับไม่ได้เลย สํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื เลยรับแต่งาน
เล็ก ซึ่งก็ลําบากมาก แต่ว่าต่อมาไม่รู้ว่าติงอี้ถูใช้วิธีอะไร ไปติดต่อ
โต้วขุยได้ ระหว่างการศึกแม่นา� ฉินไหว ช่วยขนส่งเสบียงอาหารให้กับ
กรมคลัง ชื่อเสียงของสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื ก็โด่งดังขึ้นมา ไม่เพียงทําให้
การค้าดีข้น
ึ ยังผูกขาดการค้าทางเหนือไว้ได้หมด

มันก็ไม่ใช่ว่าราชสํานักไม่มีทหารคุ้มกันเสบียง แต่ว่าสํานักคุ้ม
กันซวี่ร่ อ
ื ทําการค้าเรื่องการคุ้มกันเสบียงสิ่งของเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีก
ทั้งพวกเขาเสนอตัวเองไม่รับค่าจ้าง สําหรับกรมกลาโหมแล้ว ถ้าเสบียง
ไม่เสียหาย ได้กําลังคุ้มกันเพิ่มมันก็ดีกว่ามาก

หลังจากที่สํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื เริ่มมีฐานะขึ้น กรมคลังก็มอบหน้าที่
การขนส่งภาษีมอบให้กับติงอี้ถูด้วย ภายในเวลาไม่กี่ปี สํานักคุ้ม
กันซวี่ร่ อ
ื ก็โตมาจนเป็นสํานักที่มีความแข็งแกร่งมาก

ติงอี้ถูประจําอยู่ที่สํานักงานใหญ่ในเมืองหลวง ภายในสํานักมีคน
กว่าร้อยคน นอกจากคนบางส่วนที่เคยอยู่ในกองทัพมาก่อนแล้ว ยังมี
คนในยุทธภพส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งในช่วงสองปีที่ผา่ นมาก็ไม่เห็นติงอี้ถูออก
ส่งสินค้าด้วยตัวเองเลย

ทหารบุกเข้าวังหลวง สํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื เดิมทีคิดว่าคงไม่สามารถ
ทําการค้าได้อีก แต่ว่าพอฟ้ามืด กลับมีคนมาเคาะประตู มีชายวัย
กลางคนสวมชุดดูดี พร้อมคนติดตามสองคนมาที่สํานักคุ้มภัย บอกว่า
จะมาจ้างงาน ตามกฎของสํานักคุ้มภัย ถ้ามีแขกมาหาถึงที่ จะต้องเชิญ
เข้าไปดื่มชาในสํานัก หลังจากนั่งลงเอาน�าชามาให้แล้ว รองหัวหน้า
สํานักไป่หลีก็มาต้อนรับ “ข้ารองหัวหน้าสํานักคุ้มภัยไป่หลี ขอทราบชื่อ
ของท่านได้หรือไม่?” ระหว่างที่พูด ก็ประเมินอีกฝ่ายไปด้วย

สํานักคุ้มภัยมีแขก เชิญมานั่งที่ห้องรับแขก ดูเหมือนจะต้อนรับ


อย่างดี แต่ที่จริงแล้วมันเป็นการตรวจสอบสถานะของลูกค้า

คนของสํานักคุ้มภัยต้องเจอคนมากมาย เรื่องการสังเกตคนนั้นเก่ง
มาก จากเสื้อผ้าการกระทําของอีกฝ่าย สามารถบอกได้เลยว่าฐานะ
ตําแหน่งเป็นอย่างไร หากเป็นคนธรรมดา ก็จะหาจังหวะให้คนไล่ไป
หากพอมีฐานะ ก็จะให้รองหัวหน้าออกหน้า หากเป็นคนที่ร้ายกาจมาก
ก็จะให้ติงอี้ถูมารับหน้าเอง แต่ว่าคนที่จะให้ติงอี้ถูมารับหน้าเองนั้นมีไม่
มาก ส่วนมากก็จะเป็นไป่หลีที่มาดูแล

ชายคนนี้อายุประมาณสี่สิบ รูปร่างกํายํา แต่ว่าผิวคล�าหน่อย ดูไม่


เหมือนคนมีฐานะสูงอะไร แต่ว่าเสื้อผ้าของเขาดูราคาสูงมาก เวลาเดินมี
ราศีจับมาก ดูไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป เพราะแบบนี้ เลยให้ไป่หลี
ออกมาต้อนรับ

การที่ให้ไป่หลีมาต้อนรับก็ถือเป็นการให้เกียรติมากแล้ว แต่คนนั้น
ยกน�าชาขึ้นเมแล้วเหลือบไปมองไป่หลีแล้วถามว่า “หัวหน้าติงอยู่หรือ
เปล่า?”

“เอ่อ ......?” ไป่หลียิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้ามีงานต้องจัดการ


หากท่านต้องการว่าจ้างเรา ข้าตัดสินใจแทนได้เลย”

“ไปตามหัวหน้าติงมา” ชายคนนั้นพูด “งานของข้า ต้องคุยกับเขา


คนเดียวเท่านั้น”

ไป่หลีขมวดคิ้ว แต่ก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้ว งานของท่าน


ข้าตัดสินใจได้”

“เจ้าตัดสินใจไม่ได้หรอก” ชายคนนั้นก็ไม่ได้เกรงใจ “เจ้าไม่มส


ี ิทธิ
งานนีม
้ น
ั ใหญ่เกินไป จําเป็นต้องให้หัวหน้าติงมาคุยเอง”

สํานักคุ้มภัยเหมือนชาวยุทธ ต้องไว้หน้า อีกฝ่ายท่าทางไม่ดี ไป่หลี


เลยค่อนข้างโมโห แต่เขาจะพยายามฝืนยิ้ม “สํานักคุ้มภัยของเรารับ
งานมามาก สําหรับเราแล้ว การทํางานหนึ่งรอบสําคัญมาก ท่านบอกมา
เลยว่าต้องการให้เราทําอะไร ข้าจะทําตามที่ท่านต้องการทุกอย่างโดย
ไม่ขาดเลย”
เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแก้วแตก เขาขว้างแก้วลงพื้นจนแตก
ละเอียด ไป่หลีลก
ุ ขึ้น นอกประตูมีคนบุกเข้ามาหลายคน ท่าทางดุดัน

สํานักคุ้มภัยกําลังหนามาก ในหลายปีที่ผ่านมามีคนใหญ่คนโตมา
ใช้บริการมากมาน แต่ว่ายังไม่เคยเจอใครที่มาทําลายข้าวของที่นี่เลย

เห็นคนบุกเข้ามา ไป่หลีก็ยกมือห้ามเอาไว้ไม่ให้วู่วาม เขาจ้องไปที่


ชายคนนั้นแล้วพูดว่า “หากท่านจะจ้างงานเรา ท่านแจ้งความประสงค์
ของท่านมาได้เลย หากจะมาก่อเรื่อง สํานักของเราก็ไม่ได้กินหญ้าเป็น
อาหารนะ”

“เจ้าหูหนวกหรือยังไง?” ชายคนนั้นสายตาดุดันมาก เขามองไปที่


ไป่หลีแล้วพูดว่า “ข้าต้องการพบติงอี้ถู เจ้าไม่ได้ยินหรือยังไง?”

“เชิญ” ไป่หลียกมือส่งแขก

ชายคนนั้นไม่ได้มีท่าทางจะไปเลย ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาพูดว่า


“สํานักคุ้มภัยของเจ้าคิดจะปฏิเสธงานเหรอ? ในเมื่อวันนี้ข้ามาถึงที่แล้ว
พวกเจ้าจะรับงานก็รับไป จะไม่รับก็ต้องรับ”

ไป่หลีกําหมัดแน่น แล้วพูดว่า “มาหาเรื่องก่อกวน ก็ไม่เปิดตาดูว่า


ที่นี่มันที่ไหน” เขาพูดเสียงเข้มออกไป “จัดการเอาตัวพวกเขาออกไป”
คนในสํานักคุ้มภัยหลายคนไม่ลังเลใจเลย บุกขึ้นหน้าไปทันที มีคน
ยื่นมือไปคิดจะกระชากคนที่อยู่บนเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันโดนตัวเขา ก็ได้ยิน
เสียงตะคอกว่า “ทําอะไร?” ผู้ติดตามของเขาคนหนึ่งยื่นมือออกมาจับ
ไปที่หัวไหล่ แล้วกระชาก ก็ไม่รูว
้ ่าเขาใช้แรงตอนไหน ทําให้คนที่บุกมา
ถอยออกไปหลายก้าว คนอื่นเห็นดังนั้น ก็รู้ทันทีว่าไม่ได้มาดีแน่ แต่ละ
คนก็เลยชักดาบออกมา

ชายคนนั้นถอนหายใจ “ชื่อเสียงของสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื โด่งดังไป
ทั่ว คิดไม่ถึงว่าจะมีแค่ช่ อ
ื ข้ามาจ้างงานถึงที่ พวกเจ้ากลับชักดาบ
ออกมาต้อนรับ ทําไม คิดอยากจะให้มก
ี ารนองเลือดหรือยังไง?”

ไป่หลีกําลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้” ทุกคน


หันไปมอง เห็นคนสวมชุดสีม่วงมา ท่าทางของเขาดุดันมาก เขาคือ
หัวหน้าสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื ติงอี้ถู

เห็นติงอี้ถูมา คนอื่นก็ไม่กล้าทําอะไรอีก ติงอี้ถูสง่ สัญญาณไป ทุก


คนมองหน้ากัน แล้วก็ถอยออกไป

ติงอี้ถูมองไปที่ชายคนนั้น แล้วก็ยิ้มอ่อนๆ ยกมือคํานับ แล้วพูดว่า


“ข้าติงอี้ถู ขอถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้หรือไม่?”
“หัวหน้าติงหยิ่งไม่เบาเลยนะ” ชายกลางคนหัวเราะร่า เหมือน
ไม่ได้คิดจะลุกขึ้นด้วย “วันนี้ที่มาที่นี่เพราะมีงานใหญ่อยากจะไหว้วาน
ให้สาํ นักคุ้มภัยของท่านทํา นอกจาท่านแล้ว คนอื่นรับงานนีไ้ ม่ได้เลย”

ติงอี้ถูยิ้มแล้วพูดว่า “ได้เลย” เขานั่งลงตรงข้ามเขา ยิม


้ แล้วถามว่า
“ไม่ทราบว่าท่านอยากจะให้เราคุ้มกันไปที่ไหนเหรอ แล้วออกเดินทาง
เมื่อไหร่?”

“ไปเซียงหยาง” ชายคนนั้นพูดว่า “หัวหน้าติง ไม่ทราบว่าที่สํานัก


ของท่านส่งคนออกคุ้มกันได้สก
ั กี่คนในตอนนี?้ ”

“ขอแค่อยู่ในสํานัก ก็สง่ ออกทํางานได้ท้ังหมด” ติงอี้ถูพูดว่า


“นอกจากข้ากับไป่หลีแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกแปดคน แล้วก็
ยอดฝีมอ
ื อีกสิบคน หากท่านคิดว่ายังไม่พอ ข้าสามารถรวมกําลังพลมา
ให้ได้อีก ท่านคิดว่าคราวนี้ควรใช้คนสักเท่าไหร่?”

“มากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น” เขาหยิบกล่องออกมา แล้ววางไว้บน


โต๊ะ “นี่คือของที่ต้องการคุ้มกันไป”

ไป่หลีมองไปแล้วพูดว่า “งานของท่าน เราส่งคนคุ้มกันแค่คนเดียว


ก็ได้แล้ว”

“ของไม่ใหญ่ แต่สําคัญมาก” ชายคนนั้นพูดว่า “ความหมายของ


ข้าก็คือ ต้องการให้ทุกคนในสํานักคุ้มกันคุ้มกันทั้งหมด”
ไป่หลีจ้องไปที่คนๆ นั้นแล้วพูดว่า “คุ้มกันได้ แต่ว่าท่านรูห
้ รือไม่ว่า
การใช้คนจํานวนมากขนาดนั้น ค่าจ้างมันจะ ......”

“พวกเจ้าวางใจได้” ชายคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ขอแค่มน


ั ไปถึงที่
หมายได้ ค่าจ้างมันมากพอที่พวกเจ้าจะไม่ต้องรับงานอีกเลยตลอดทั้งปี
อย่างน้อยก็สห
ี่ า้ หมื่นตําลึง ......”

ไป่หลีตะลึงไป ติงอี้ถูนิ่งอยู่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “เงินค่าจ้างสีห


่ ้าหมื่น
ตําลึง ของของท่านคงล�าค่าและสําคัญมากเลยสินะ ถึงได้ต้องให้คนไป
คุ้มกันมากขนาดนั้น แน่นอนว่าเราจะเตรียมการให้เรียบร้อย ท่านแจ้ง
เวลาสถานที่ให้เรา วางเงินมัดจําทางเราจะออกใบจองให้”

“ถ้างั้นก็ดี” ชายคนนั้นพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ส่ังให้คนเตรียม


ตัวเลย อย่างช้าอีกหนึ่งชั่วยาม เราก็จะออกเดินทางทันที งานครั้งนี้ได้
ท่านคุ้มกันด้วยตัวเอง ยังไงก็ต้องสําเร็จ”

ไป่หลีเหมือนตกใจมาก “คืนนี้เดินทางเลยเหรอ? ยัง ...... ยังต้องให้


ท่านหัวหน้าไปเองด้วย”

“ถูกต้อง” ชายคนนั้นพยักหน้า “จะเสียเวลาไม่ได้เด็ดขาด ต้อง


ออกเดินทางทันที เราสามคนจะเดินทางไปด้วย” เขาหยิบเงินออกมา
“ข้าได้ยน
ิ มาว่าการคุ้มกันจะเก็บมัดจําแค่สองส่วน คิดตามสัดส่วนห้า
หมื่นตําลึง ก็ต้องวางเงินหนึ่งหมื่นตําลึง นี่คือเงินหนึ่งหมื่นตําลึง ส่วนที่
เหลือจะจ่ายให้หลังจากไปถึงที่หมายแล้ว”

ติงอี้ถูกลับยิ้มแล้วส่ายหน้า “คืนนี้ไปไม่ได้หรอก อีกทั้งงานนีข


้ ้าก็
จะไม่ไปเอง ข้าจะให้รองหัวหน้าไป่นาํ ขบวนไป อย่างเร็วพรุ่งนี้เช้าถึงจะ
ออกเดินทางได้”

ชายคนนั้นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “รอไม่ได้ คืนนีต


้ ้องออกเดินทางเลย
หลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วยามต้องออกเดินทางทันที”

ไป่หลีพด
ู ว่า “หรือว่าท่านไม่รู้ คืนนี้มก
ี ารปิดประตูเมืองทุกแห่งคืน
นี้ยังไงก็ออกไม่ได้ ท่านจะออกจากเมืองในคืนนี้ มันทําไม่ได้หรอก”

“คนอื่นออกไม่ได้ แต่สาํ นักคุ้มกันซวี่ร่ อ


ื ออกได้” ชายวัยกลางคนยิ้มแล้ว
พูดว่า “ได้ยินว่าท่านเป็นคนกว้างขวาง มีความสัมพันธ์ที่ดีกว่าขุนนาง
หลายคน คนอื่นออกไม่ได้ แต่ว่าสําหรับสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื แล้วมันไม่ใช่
เรื่องยากจริงไหม ไม่อย่างนั้นข้าจะยอมเสียเงินมากกมายมาจ้างพวก
เจ้าทําไมกัน?”
เล่มที่ 47 บทที่ 1395 ของขวัญใหญ่ช้น
ิ สุดท้าย

หลังจากที่ผู้อาวุโสจูเซวี่ยบุกเข้าไปในจวนไหวหนานอ๋องจากประตู
หลัง คนที่ติดตามเขามาก็ตามเข้ามาด้วย

พรรคกระยาจกเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า มันไม่ใช่แค่คําพูด
ลอยๆ ทั้งยี่สิบแปดสาขา ไม่ว่าจะสาขาไหนก็ไม่ต่างกับพรรคเล็กๆ
พรรคหนึ่งในยุทธภพเลย ในฐานะสาขาที่มีกําลังมากที่สุดของเจ็ดสาขา
ทางใต้ จํานวนคนของพวกเขามีไม่น้อย แต่ละคนก็ฝม
ี อ
ื ไม่ธรรมดาเลย

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนที่เก่งอะไรมากในบรรดาสี่ผู้
อาวุโส แต่เขาเป็นคนรอบคอบมาก

ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฉีหนิงไม่อยากให้พวกเขาต้องเข้ามาพัวพันด้วย
แต่ผู้อาวุโสจูเซวี่ยก็ยังแอบรวบรวมคนใกล้ๆ เมืองหลวงทั้งหมดมา คน
ที่ใช้ได้ตอนนี้มป
ี ระมาทสองร้อยคน

ฉีหนิงอาศัยการออกจากวังของฮองเฮา ให้ช่ อ
ื ตันเหมยได้ออกจาก
วังมาอย่างปลอดภัย หลังจากที่ช่ อ
ื ตันเหมยรอดไปแล้ว ก็รีบติดต่อไปยัง
พรรคกระยาจก จากนั้นก็ทําตามที่ฉห
ี นิงสั่ง หารือเรื่องรายละเอียดกับ
พรรคกระยาจก
ฉีหนิงคาดว่าถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ได้อยู่ในวัง แต่ยังคงต้องอยู่ในเมือง
หลวงแน่นอน และที่คม
ุ ขังก็นา่ จะมีสองที่ หนึ่งในนั้นก็มีจวนไหวหนาน
อ๋องด้วย

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยคืนนี้พามือดีของพรรคกระยาจกประมาณสิบคน
มาถึงจวนไหวหนานอ๋อง ก็เพื่อตามหาฮ่องเต้

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยไม่แน่ใจว่าฮ่องเต้จะอยู่ในจวนไหวหนานอ๋องหรือ
เปล่า แต่ว่าเขารู้ดีว่า หากฮ่องเต้ไม่ได้อยู่ที่นี่ ทุกอย่างก็จบ แต่หากฉี
หนิงเดาถูก ฮ่องเต้ถูกขังอยู่ที่นี่ เซียวจ้าวจงต้องจัดคนคุ้มกันแน่นอน
จะต้องเกิดการปะทะแน่นอน

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยถึงแม้จะอายุไม่น้อย แต่ครั้งนี้กลับเหมือนคนหนุ่ม
สติสมาธิกําลังสมบูรณ์ว่องไวมาก

คืนนี้บุกเข้าจวนไหวหนานอ๋อง ผู้อาวุโสจูเซวี่ยเตรียมก่อนไว้
ล่วงหน้าแล้ว หลังจากตกลงกับชื่อตันเหมยได้แล้ว เขาก็รีบส่งคนไปสืบ
ข่าวรอบจวนก่อน เมื่อแน่ใจว่าทหารรอบจวนถอนกําลังไปหมดแล้ว อีก
ทั้งไม่มก
ี ําลังซุม
่ อยู่ เขากับหัวหน้าสาขากุ่ยจินหยางไป๋เซิ่งเฮ่าแยกกัน
เป็นสองทาง และบุกเข้าไปในจวนพร้อมกัน

หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไปปฏิบัติการ ทุกคนกระทําการว่องไว
ตรงเข้าไปในส่วนกลางของจวน
จวนอ๋องมีเรือนหลายหลังมาก ต่อให้ฮอ
่ งเต้ถูกขังอยู่ที่นี่จริง จะ
ค้นหาก็ต้องใช้เวลา แต่ว่าความสามารถของศิษย์พรรคกระยาจกคือ
เชี่ยวชาญการสืบค้น ผู้อาวุโสจูเซวี่ยพาคนเข้ามาในเรือนแล้ว ก็มาที่
เรือนกลางก่อน ก็พบทันทีว่าเหมือนจะเงาคนเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า
พวกเขา พวกเขาหยุดเดิน จากนั้นก็ส่งสัญญาณเสียง มีคนตอบรับทันที
ผู้อาวุโสจูเซวี่ยถึงได้เดินขึ้นหน้าไป มีเงาเดินเข้ามาหา เขาคือไป๋เซิ่งเฮ่า

“ท่านผูอ
้ าวุโส” ไป๋เซิ่งเฮ่ายกมือคํานับแล้วพูดว่า “เรือนด้านหน้า
ไม่มีใครเลย จวนอ๋องเหมือนจะร้างคน”

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยหยักหน้าแล้วพูดว่า “ด้านหลังเองก็ไม่เจอใคร แต่


ว่ายังไงก็ยังต้องระวังตัวอยู่” เขาเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “ยังเหลือ
อีกห้าชั่วยาม ภายในห้าชั่วยาม จะต้องหาฝ่าบาทให้เจอ หัวหน้าไป๋ สั่ง
ให้คนของเราทําตามแผนได้เลย แต่ห้ามประมาทเด็ดขาด”

ไป๋เซิ่งเฮ่าพยักหน้ารับคํา แล้วก็ส่งสัญญาณมือให้กับศิษย์ของพวก
เขา

ก่อนหน้านี้มก
ี ารเตรียมการเอาไว้แล้ว ทั้งสองคนพาคนเข้ามาใน
จวนอ๋องประมาณหนึ่งร้อยคน ก็เพื่อป้องกันในจวนอ๋องมีซุ่มกําลังพล
แต่สิ่งที่สําคัญมากที่สด
ุ ก็คือเพื่อค้นจวนอ๋อง
ศิษย์พรรคกระยาจกเชีย
่ วชาญการสืบค้น ผู้อาวุโสจูเซวี่ยคิดไว้
แล้วว่าจวนอ๋องใหญ่มาก คิดจะหาฮ่องเต้ในจวนใหญ่ขนาดนี้ จะต้องใช้
คนจํานวนมาก

พวกเขาแบ่งศิษย์ออกเป็นสามคนหนึ่งกลุ่ม สิบกลุ่มรับผิดชอบกัน
หนึ่งพื้นที่ หากพบอะไรก็ให้ส่งสัญญาณทันที คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็จะมาช่วย
ทันที

ทุกคนก็ไม่ให้เสียเลา พริบตาเดียว คนกว่าร้อยคนก็กระจายตัว


ออกไปทันที ผู้อาวุโสจูเซวี่ยพาคนสองคนไปทางเรือนตะวันออก พอ
มาถึงเรือนหลังหนึ่ง หลังจากที่ท้ังสามเข้าไปแล้ว ก็ค้นจนทั่ว แต่ไม่พบ
ใครเลย ยังไม่ทันออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ที่นี่เงียบ
มาก ทําให้เสียงนั่นมันชัด ผู้อาวุโสจูเซวี่ยตกใจ รู้ทันทีว่าไม่ดีแน่ เขาได้
ยินเสียงมาจากทางตะวันตก เขาไม่ลังเลใจพาคนไปทางนั้นทันที เขา
เดินไปได้อีกระยะหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากตะวันออก

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “ในจวนอ๋องมีกําลัง


ซุ่มอยู่ พวกเจ้าต้องระวังตัวให้ดี” เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากทั้งสองที่ เขา
ไม่แน่ใจเลยว่าควรจะไปทางไหน คิดว่าศิษย์ส่วนมากยังไม่ได้ไปค้นที่
เรือนตะวันออก ทางนั้นกําลังคนน่าจะน้อยสุด ทางตะวันตกเฉียงใต้
น่าจะมีคนไปช่วยได้ทัน เขาเลยย้อนกลับไปที่ตะวันออกอีกครั้ง

ท่ามกลางความมืด ผู้อาวุโสจูเซวี่ยถือไม้เท้าสีดํา ลมพัดเย็นมาก


เขาได้ยน
ิ เสียงดังมาจากตะวันตก ผู้อาวุโสจูเซวี่ยสีหน้าไม่ดีเลย
เขาไม่มเี วลาไปห่วงทางนั้น เขาได้ยินเสียงต่อสู้ดังขึ้น เขาเคลื่อนที่ไว
มาก อาศัยแสงไฟ มองไปที่ภูเขาปลอมที่อยู่ไม่ไกลนัก ทางนั้นเหมือนมี
คนกําลังต่อสู้กันอยู่ ผู้อาวุโสจูเซวี่ยคําราม กระแทกไม้เท้า แล้วลอยตัว
ไปทางนั้น ตอนนี้ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุแล้ว ทางนั้นมีเงาของคนกลุ่ม
หนึ่งกําลังล้อมคนๆ หนึ่งอยู่ ผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ยยังไปไม่ถึง มีคนหนึ่งเหมือน
จะแทงถูกคนที่ถูกล้อมแล้วแผลหนึ่ง เงาพวกนั้นเหมือนเห็นว่าผู้อาวุโส
จูเซวี่ยมา ก็ไม่ได้อยู่ต่อ หันหลังไปทันที

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยรีบมาทันที เห็นมีศพนอนกองอยูบ
่ นพื้นสองศพ
จากการแต่งกาย เป็นคนของเขา คนที่ถก
ู แทงก็เป็นคนของพรรค
กระยาจก เขานอนอยู่ที่พ้ น
ื แต่ยังไม่ตาย เขายังชักอยู่ ผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ย
พยุงคนๆ นั้นขึ้นมา เขาหายใจโรยรินมาก “มี ..... มีกําลังซุ่ม ......”
จากนั้นก็ตายไป

จูเซวี่ยรู้ว่าพวกเขาสามคนตอนที่กําลังค้นหาถูกลอบโจมตี

เมื่อกี้เขาเห็นอีกฝ่ายมีประมาทสามสี่คน อีกอย่างที่อ่ ืนก็มด


ี ังตาม
กันมา นั่นแสดงว่าคนของเขาถูกลอบโจมตี แสดงว่าจวนอ๋องต้องมีการ
เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

จวนอ๋องมีกําลังซุ่มอยู่ แสดงว่าฮ่องเต้อาจจะถูกขังอยู่ที่นี่
“ตามข้ามา” ผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ยพูด เขาพาสองคนตามเสียงไป

ในจวนอ๋องเกิดการต่อสู้ข้ึน แต่ภายในวังหลวงกลับเงียบ

ถึงแม้จะมีกองกําลังทหารอยู่ แต่ไม่ว่าจะค่ายเสวียนอู่กับค่ายหู่เสิน
ก็เป็นทหารกล้าของแคว้นทั้งนั้น มีกฎทหารเข้มงวดมาก พวกเขาล้อม
วังเอาไว้ ตอนนี้ก็ประมาทหนึ่งวันแล้ว ไม่ว่าจะทหารในวังหรือว่านอก
วัง ก็ไม่ได้มีท่าทีเหนือยล้าเลย

เพื่อรักษาพลังงานเอาไว้ เซียวจ้าวจงได้ส่ังให้พวกเขานั่งลงกับพื้น
แต่พวกเขาก็ยังมีระบบระเบียบเหมือนดิม ไม่ได้ม่ัว

ไม่แค่พวกทหาร แม้แต่เหล่าขุนนาง ก็น่งั กับพื้นเหมือนกัน มีขุน


นางบางคนที่อยู่สบายมาก่อน อยู่มาหนึ่งวันแล้ว พวกเขารู้สึกอ่อนล้า
มาก อีกทั้งอยากจะกลับบ้านไปพัก แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ใครจะ
กล้ากลับ อีกทั้งเสนาบดีหยวนยังทนไหว คนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไรเลย

วังหลวงถูกล้อมไปหมด เซียวจ้าวจงไม่ได้แค่รออยู่หน้าประตู ช่วง


กลางวัน ก็ขี่มา้ วนรอบวัง เพื่อปลุกใจทหาร

ตอนนี้ฟา้ มืดแล้ว เซียวจ้าวจงขี่ม้าอยู่ ขันทีก้ย


ุ เห๋อเองก็ตามอยู่
ข้างๆ เขา ด้านหลังมีทหารกว่าสิบคนตามคุ้มกัน

เซียวจ้าวจงเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “ยามไฮ่แล้วใช่ไหม?”


“ท่านอ๋อง อีกนิดเดียวก็ยามไฮ่แล้ว” กุ้ยเห๋อพูด “เหลืออีกแค่หา้
ชั่วยาม ก็จะครบกําหนดเวลาสิบสองชั่วยามที่ฉีหนิงขอไว้แล้ว”

เซียวจ้าวจงพยักหน้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “คิดว่าท่านหูก


้ ๋ัวกงน้อยคง
กําลังร้อนใจอยู”

“เขาบอกว่าเขาหาหลักฐานได้ ปากเก่งอวดดีเกินไปแล้ว” กุ้ยเห๋อ


พูดว่า “ต่อให้จะให้เวลาเขาอีกสักร้อยยี่สิบชั่วยาม เขาก็ไม่มท
ี างสมหวัง
ได้”

“เจ้าผิดแล้ว” เซียวจ้าวจงส่ายหน้า “เขาไม่ได้กําลังหาหลักฐาน


หรอก แต่เขากําลังรอ”

“รอ?”

เซียวจ้าวจงหันไปมองเขา แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าฉีหนิงห่วงความ


ปลอดภัยของฮองเฮาจริงเหรอ ถึงได้ให้นางออกจากวัง?”

กุ้ยเห๋อตะลึงไป เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า


“ท่านอ๋องหมายความว่า ตอนที่ฮองเฮาออกจากวัง มีคนของฉีหนิง
ปะปนออกมาด้วยงั้นเหรอ?”

“ฉีหนิงลอบเข้าวัง คิดไม่ถึงแน่ว่าข้าจะล้อมวัง” เซียวจ้าวจงพูดว่า


“หลังจากที่ล้อมวังแล้ว เขาอยากให้คนของเขาออกจากวัง มันก็ไม่ทัน
การแล้ว เขาสู้แบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะสู้ให้ตายกันไปข้างหรอก แต่เขา
กําลังซื้อเวลาอยู่ คิดอยากจะหาทางพลิกสถานการณ์อยู่”

กุ้ยเห๋อพูดว่า “เขามีวิธพ
ี ลิกสถานการณ์เหรอ?”

“ในใจของเขา การที่ขา้ เก็บเขาเอาไว้มันคือจุดอ่อนของข้า” เซียว


จ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “เขาคิดจะใช้ชุดอ่อนนี้ของข้า พลิกโอกาสกลับมา
ชนะ” เขาเหลือบมองไปที่ก้ย
ุ เห๋อ แล้วพูดว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่าจุดอ่อนของ
ข้าคืออะไร?”

กุ้ยเห๋อพูดว่า “เซียว .....” เขาไม่ได้พูดต่อให้จบ เขาหันไปมอง


ทหารที่ติดตาม ทหารพวกนั้นไม่ได้เข้าใกล้แต่เว้นระยะ ไม่ต้องกังวลว่า
พวกเขาจะได้ยน
ิ อะไร

เซียวจ้าวจงพยักหน้า “ไม่ถก
ู ในใจของฉีหนิง รู้สึกว่าขอแค่หาเขา
เจอ ก็จะพลิกกลับมาชนะได้”

“ท่านอ๋อง ที่จริง ...... ข้าน้อยคิดว่า ที่จริงเราควร .....” กุ้ยเห๋อทํา


มือขึ้นมาทําท่าทาง แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็จะได้ไม่มีภัยตามมาที
หลัง”

“เจ้ารู้หรือเปล่า เวลายอดฝีมือสองคนสู้กัน สิ่งที่ดึงดูดพวกเขามาก


ที่สุดคืออะไร?” เซียวจ้าวจงพูด
กุ้ยเห๋อพูดว่า “ข้าน้อยโง่เขลา ท่านอ๋องชี้แนะด้วย”

“จุดอ่อน” เซียวจ้าวจงพูดว่า “ยอดฝีมอ


ื สองคนสู้กัน ตัวเองจะ
พยายามปกปิดจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้แล้วฉวย
โอกาส ส่วนสิ่งที่ต้องทําก็คือหาช่องโหว่น้น
ั ให้เจอ อีกฝ่ายก็ต้องอย่าง
นั้นเช่นกัน” เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วพูดว่า “ไม่ว่าฝ่ายไหนก็รู้ว่าอีก
ฝ่ายนั้นมีจุดอ่อน แต่การจะหามันให้เจอนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
จุดอ่อนของฉีหนิง ก็คือเขาไม่มท
ี างทิ้งคนๆ นั้น ข้าอ่านเข้าออก อีกทั้ง
ยังอาศัยจุดนี้ในการโจมตีเขา ดังนั้นเขาก็เหมือนเหมือนลูกไก่อยู่ในกํา
มือของข้า”

กุ้ยเห๋อพยักหน้า แต่ไม่ได้พด
ู อะไร

“เขารู้สึกว่าเขาเองก็หาจุดอ่อนของข้าเจอ คิดจะใช้มันในการตอบ
โต้ข้า แต่ว่า .... เขายังไม่เข้าใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่พบจุดอ่อนของอีกฝ่าย
แล้วจะทําการตอบโต้ หากไม่ระวัง ก็จะตกอยู่ในกับดัก” เซียวจ้าวจงพูด
ว่า “ฉีหนิงให้ฮองเฮาออกจากวัง ให้คนของเขาปะปนออกมา คนๆ นั้น
จะต้องออกมาพร้อมแผนการตอบโต้ด้วย เขาบอกว่าต้องการเวลาสิบ
สองชั่วยามเพื่อหาหลักฐาน เดิมก็เพื่อซื้อเวลาให้เขาได้ตอบโต้เท่านั้น”

กุ้ยเห๋อสีหน้าเปลี่ยนทันที “ในเมื่อท่านอ๋องรูแ
้ ผนการของเขาแล้ว
ทําไมถึงได้ ......?”
“เพราะข้าต้องการให้เขาได้รู้ว่า ละครฉากนี้ มีตัวเอกแค่คนเดียว
คนนั้นคือข้า” เซียวจ้าวจงพูดว่า “ความฉลาดของเขามันก็แค่ตัวตลกที่
อยู่ในกํามือของข้าเท่านั้น ให้เขาลงจากเวลทีก่อนที่ละครเรื่องนี้จะจบ
ลง มันจะทําให้เขาไม่สบายใจ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ก็ให้เขาเล่นมันต่อไป
เมื่อเวลามาถึง ก็จะให้เขาได้เห็นเลือดที่นองเต็มพื้น ข้าจะให้เขาได้
เข้าใจ เขามันก็แค่หนอนใต้เท้าของข้าตัวหนึ่งเท่านั้น เขาคิดจะ
พยายามดิ้นยังไง ก็แค่ตัวตลกอยู่ดี”

“ท่านอ๋องหมายความว่า เขาส่งคนออกจากวังไปตามหาคนๆ นั้น


งั้นเหรอ?”

เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “ด้วยความฉลาดของเขา จะต้องนึกถึง


จวนอ๋องแน่ อีกทั้งยังต้องใช้กําลังทั้งหมดที่เขามีตอนนี้พุ่งเป้าไปตาม
แผนแน่นอน”

“เขา ...... ยังมีกําลังพลอีกเหรอ?”

“กําลังที่รู้หรือไม่รู้ได้” เซียวจ้าวจงพูดว่า “ในเมื่อเป็นการสูค


้ รั้งสุดท้าย
เขาก็จะไม่มีทางเก็บกําลังที่เหลืออีกแล้ว สิบสองชั่วยามสุดท้ายนี้ เขา
คิดจะใช้จุดอ่อนของข้าในการตอบโต้ ส่วนข้าก็รอ ให้กําลังของเขามัน
วิ่งเข้าใส่ดาบของข้า อย่างน้อยก็จะได้จัดการกําลังกลุ่มนีใ้ นเมืองหลวง
ไปด้วยเลย” ท่าทางของเขาดูสบายมาก “ในเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของ
เขาเขายังมอบของขวัญใหญ่ให้ข้าขนาดนี้ ข้าจะปฏิเสธเขาได้ยังไง
ล่ะ?”
เล่มที่ 47 บทที่ 1396 ดาบในมือทีเ่ ปื้อนเลือด

ท่ามกลางแสงไฟ ผู้อาวุโสจูเซวี่ยไวมาก เขายังคงมองเห็นเงา


หลายคน เขาถือไม้เท้าสีดําเอาไว้ สายตาของเขาดุดันมาก

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยทําอะไรรอบคอบมาก หากใช่ว่าไม่มีทางเลือกเขา
จะไม่ปะทะเด็ดขาด แต่ว่าเขารู้ว่าคืนนี้เขาควรจะต้องลงมือ เขามานั่ง
อยู่ในตําแหน่งนี้ได้ เพราะเขามีประสบการณ์สูงและเพราะฝีมือของเขา
ก็ไม่ธรรมดา

ถึงแม้หลายปีที่ผ่านมาเขาจะไม่ค่อยจะสู้กับใคร แต่ผู้อาวุโสจูเซวี่
ยกลับไม่ได้ละเลยวรยุทธ์ของตัวเอง เวลาอยูค
่ นเดียว เขาก็ยงั คงฝึกวร
ยุทธ์อยู่ตลอดเวลา

เงาพวกนั้นเหมือนรู้ว่าด้านหลังของเขามีคนไล่ตามมา เมื่อวิ่งไปได้
ระยะหนึ่ง พอมาถึงศาลาแห่งหนึ่ง ก็หยุดลง จากนั้นก็หันกลับมา ผู้
อาวุโสจูเซวี่ยโดดลอยตัวตามมา แล้วจ้องไปยังอีกฝ่าย

อีกฝ่ายมากันสีค
่ น มีอาวุธครบมือ พวกเขามองหน้ากัน จากนั้น ก็
ได้ยินเสียงหัวเราะแปลกๆ ผู้อาวุโสจูเซวี่ยสะดุ้ง เขาหันไปมองตามเสียง
ท่ามกลางความมืด เห็นบนยอดศาลา มีเงาคนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น คนนั้น
ผมยาวสยาย ผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ยสายตาดีมาก คนๆ นั้นอายุประมาณ
สามสิบ หน้าตาดี เขาไม่รู้จักอีกฝ่าย จากนั้นก็ได้ยินเขาพูดว่า “พรรค
กระยาจกพรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้า มีคนมากสมคําร�าลือ คราวนี้ถึงกับ
กล้าบุกเข้ามาในจวนอ๋อง ใจกล้าไม่เบาเลย คิดจะกบฏเหรอ?”

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยพูดว่า “พรรคกระยจกอะไรกัน?”

“ผู้อาวุโสจูเซวี่ยจะปฏิเสธไปเพื่ออะไร” คนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า
“ถึงแม้ท่านจะไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักท่าน ผู้นําของเจ็ดสาขาทางใต้ ไม่ใช่
ท่านหรอกเหรอ?”

“เจ้าหมายถึงจูเซวี่ยเหรอ?” ผู้อาวุโสจูเซวี่ยพูดว่า “ข้าเองก็รู้จัก


เขา เขาเป็นพี่นอ
้ งของข้า เพียงแต่เขาเป็นคนของพรรคกระยาจก ข้า
กับเขาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยรู้ว่าอีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร ต่อให้เขาพูดไป
แบบนี้ อีกฝ่ายก็อาจจะไม่เชื่อ แต่ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่เชื่อ เขาก็ยังต้อง
พูดแบบนั้นอยู่ดี

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยรู้ดีว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในเมืองหลวง ใน
ฐานะพรรคในยุทธภพ มันไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย หากเรื่องใน
ครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉีหนิง ต่อให้จะเปลี่ยนกี่รัชกาล พวกเขาไม่มี
ทางพาคนของพรรคกระยาจกเข้ามายุง่ เกี่ยวแน่นอน เพราะมันจะ
นําพาความยุ่งยากมาให้ในภายหลัง
ถึงแม้เขาจะสั่งให้คนของเขาออกปฏิบัติการจนหมด แต่ว่ามีการ
เปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ถือว่าเป็นการปลอมตัว

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยรู้ว่าต่อให้ทําแบบนี้ ต่อไปก็อาจหนีไม่พน
้ แต่ถึงจะ
แบบนั้น อย่างน้อยต่อไปก็อาจจะกัดไม่ปล่อยแต่ก็อาจจะไม่มากเกินไป

คนนั้นยิม
้ แล้วพูดว่า “คนของพรรคกระยากจกอยู่ท่ัวใต้หล้า หาก
พวกท่านเป็นคนของพรรคกระยาจก ข้ายังคงกลัวอยู่สามคน ในเมื่อ
ไม่ใช่คนของพรรคกระยาจก ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายหน่อย” เขาพูดว่า “บุก
รุกจวนอ๋อง เป็นกบฏแน่นอน จับพวกเขาเอาไว้”

เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น มีธนูยิงพุง่ มาใส่ผอ


ู้ าวุโสจูเซวี่ย แต่ว่า
ผู้อาวุโสจูเซวี่ยเหมือนเตรียมรับมือไว้แล้ว เขาพูดว่า “ระวังกันให้ดี”
เขาดีดลอยตัว แล้วพุ่งไม้เท้าของตัวเองไปที่นก
ั ฆ่าพวกนั้น

ถึงแม้เขาจะไม่ได้เอาไม้เท้าประจําตําแหน่งของเขามาม แต่ไม้เท้า
ดํานั่นก็เป็นอาวุธที่ร้ายกาจมาก ไม้เท้าไม่เพียงเลือกใช้เท้าที่แข็งแรง
มาก เวลามันซัดออกไปมันก็หนักแน่นรุนแรง อีกฝ่ายโบกดาบมา เขา
แค่พลิกขอมือทําให้ไม้เท้าหมุน อีกฝ่ายมองจนตาลาย ไม้เท้ามันซัดไปที่
ข้อมือของอีกฝ่าย เสียงกระดูกแตกดังมาก อีกฝ่ายร้องเสียงหลง ไม่รอ
อีกฝ่าได้ต้ังตัว ผู้อาวุโสจูเซวี่ยก็ตวัดไม้เท้าขึ้นไปที่หน้าอกของเขาอย่าง
เต็มแรง ถึงแม้จะไม่เหมือนหอกแทงหน้าอก แต่ว่าก็ทําให้เขากระเด็นไป
ไกลมาก
ธนูยิงมารอบหนึ่งแล้ว จากนั้นก็มีคนโผล่ออกมากว่าสิบคน พวก
เขาไม่พด
ู อะไรเลย พุ่งเข้าหาผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ยทันที

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยสะดุ้ง คิดในใจว่าเหมือนอีกฝ่ายคิดไว้แล้วว่าพวก
เขาจะต้องบุกมาในคืนนี้ ที่จริงจวนอ๋องมันคือกับดัก เพื่อล่อให้คนของ
พรรคกระยาจกบุกเข้ามา

อีกฝ่ายเตรียมรับมือไว้แล้ว คืนนี้ยังไงก็ต้องนองเลือดแน่นนอน
พวกเขาคิดจะหนีคิดว่าไม่ง่ายแน่

คนของเขากระจายอยู่ท่ัวจวน อีกฝ่ายมีโอกาสจะโจมตีได้
ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องเรียกพวกเขามารวมตัวกันก่อน เขากวาด
ไม้เท้าไปที่พ้ น
ื จนเกิดเสียง มันเป็นเสียงสัญญาณที่ดังมาก ในจวนอ๋อง
เงียบมากอยู่แล้ว ทําให้เสียงมันดังไปไกลแล้วก็ชัดมาก พอคนของเขา
ได้ยินเสียง ก็รู้ว่ามีสญ
ั ญาณมาจากผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ย ก็รีบตามมาสมทบ

คนกว่าสิบคนล้อมผู้อาวุโสจูเซวี่ยกับผู้ติดตามเอาไว้ ทั้งสามคน
ต้องสู้กับคนจํานวนมากแบบนี้ มันไม่ได้เปรียบเลย

คนที่อยู่บนยอดศาลายืนมองอย่างเงียบๆ ไม่ได้ลงมืออะไร เขา


มองเห็นผู้อาวุโสจูเซวี่ยดูองอาจสง่างาม ทุกคนไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้
คนที่อยู่บนยอดศาลาก็หัวเราะแห้ง
ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงการเข่นฆ่าในจวนอ๋องเกิดขึ้น มีเสียงร้อง
โหยหวนดังมา

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยรู้ว่ามีกับดักจํานวนมากในจวนอ๋อง คนของเขาได้
ยินเสียงสัญญาณจะตามมาสมทบ คิดว่าไม่น่าจะราบรื่น น่าจะถูกขวาง
เอาไว้

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยซัดคนหนึ่งกระเด็นไป เขาลงมือก่อนหน้านี้ เขายัง


เหลือความปราณีมาก ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตอีกฝ่ายเลย แต่ว่าอีกฝ่ายกลับ
มีเจตนาสังหารแสดงออกมาชัดเจน เขารู้ว่าจะใจอ่อนไม่ได้แล้ว เขาซัด
ไม้เท้าซัดไปที่คอหอยของอีกคนหนึ่ง เขากระเด็นไป เหมือนกระดูกคอ
หอยแตกขาดไปด้วย คนนั้นหล่นลงมา จับไปที่คอหอย สีหน้าเจ็บปวด
มาก เขาดิ้น แล้วไม่ขยับอีกเลย เขาไม่ได้หายใจแล้วตายไปทันที

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยฆ่าไปแล้วคนหนึ่ง เขานิ่งมาก เขาพร้อมลงมือ


สังหารตลอดเวลาแล้ว ไม้เท้าดํามันพลิกแพลงได้หลากหลายมาก ถึงแม้
จะมีคนอยู่จํานวนมาก ไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้เลย แม้แต่คนที่อยู่กับผู้
อาวุโสจูเซวี่ย ก็เป็นยอดฝีมือ สูก
้ ับคนจํานวนมาก มันก็ไม่ได้กลัวเลย
เห็นผู้อาวุโสจูเซวี่ยฆ่าคนแล้ว พวกเขาก็เริ่มฮึกเหิม

คนบนยอดศาลาเห็นผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ยเริ่มได้เปรียบแล้ว เขาก็เริ่มมีสี
หน้าที่ดด
ุ ันมากขึ้น เขาโดดลอยตัวขึ้นเหมือนพญาเหยีย
่ ว แต่ไม่ได้รุก
เข้าใส่ผอ
ู้ าวุโสจูเซวี่ยในทันที แต่พุ่งไปหาคนของผู้อาวุโสจูเซวี่ยคนหนึ่ง
คนนั้นกําลังยกมือขึ้นมารับมือศัตรู เขารู้สึกว่ามีลมกําลังจู่โจมมาหาเขา
ปลายตาของเขาเห็นเป็นเงาดําๆ กําลังพุ่งมา ปฏิกิริยาของเขาก็ไว เขา
หมุนตัว แล้วตวัดดาบขึ้นไป แล้วฟันไปที่ส่วนล่างของเงาดํานั่น

ดาบกําลังจะฟันไปที่ขาของคนๆ นั้น เขากลับหมุนตัว หลบดาบไป


ได้อย่างง่ายดาย ศิษย์พรรคกระยาจกตกใจ ยังไม่ได้ทันคิดอะไร คนนั้น
ยื่นมือออกไป เขาใช้มอ
ื หนีบดาบของอีกฝ่ายเอาไว้ ศิษย์ของพรรค
กระยาจกตะคอกดึงดาบไปด้านหลัง แต่ว่าดาบของเขามันหักเป็นสอง
ท่อน

ศิษย์ของพรรคกระยาจกตกใจมาก

อีกฝ่ายใช้แค่สองนิว
้ ก็สามารถหักดาบของเขาได้แล้ว ทําให้เขา
ตะลึงไป เขาสะบัดแขน ศิษย์พรรคกระยาจกยังไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไร ก็
รู้สึกว่าคอเย็นๆ เขาถูกปาดคอไปแล้ว

ศิษย์พรรคกระยาจกเอามือปิดคอ เขาถอยหลังสองก้าว คนข้างๆ


รีบฟันดาบมาใส่หัวของศิษย์พรรคกระยาจก

ก่อนที่คนที่อยู่บนยอดศาลาจะลงมือ ศิษย์พรรคกระยาจกต่อสู้ก็
ไม่ได้เป็นรองเลย จูเซวี่ยกับศิษย์พรรคกระยาจกอีกคนคิดไม่ถึงเลยว่า
คนของพวกเขาอีกคนจะถูกตัดหัวในพริบตา พวกเขาทั้งตกใจและโกรธ
มาก จูเซวี่ยตะคอก ไม้เท้าของเขาพุ่งออกไปเหมือนลูกธนูไปยังคนที่อยู่
บนยอดศาลา คนๆ นั้นยิ้ม แล้วหลบไม้เท้าไปได้ง่ายๆ เขาพูดว่า “คืนนี้
จะไม่มีใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว จวนอ๋องจะเป็นที่ฝังศพของพวก
เจ้า แต่ว่าก็อย่าโทษเราเลยนะ จะโทษก็ไปโทษฉีหนิงที่ส่งพวกเจ้ามา
ตายเอง”

จูเซวี่ยคะคอกกลับไปว่า“เจ้าเป็นใคร?”

“จูเซวี่ย หากเจ้าคิดจะรักษาชีวิตคนของเจ้า ก็มีวิธีเดียว” คนๆ นั้น


พูดว่า “ยอมให้จับซะดีดีแล้วคุกเข่าลงที่เท้าของข้า ตั้งแต่นี้ต่อไป พรรค
กระยาจกก็จะต้องทําตามที่ข้าสั่ง ไม่อย่างนั้น ......”

“พูดจาโอหังนัก” จูเซวี่ยโจมตีต่ออย่างต่อเนื่อง “เราไม่มีอะไรเลย


แต่มีศก
ั ดิ์ศรี” เขาลงมือต่อเนื่องอีกหลายครั้ง ไม้เท้ากําลังจะเข้าใกล้เขา
แต่อีกฝ่ายก็หลบไปได้ ไม้เท้าแทบจะไม่แตะโดนตัวของอีกฝ่ายเลย จู
เซวี่ยคิดในใจว่าเขาฝีมือไม่ธรรมดาเลย ไม่กล้าประมาท

ที่ไม่ไกลมากมีเสียงการต่อสู้ที่รุนแรงมาก จูเซวี่ยรู้ว่าไม่เพียงแค่
เขาที่กําลังต้องเผชิญกับการต่อสู้ ในจวนอ๋องแทบทุกที่กําลังเกิดการ
ต่อสู้อย่างรุนแรงมาก

“เจ้ามันหัวรั้น ถ้าอย่างนั้นข้าจะถลกหนังเจ้า มาดูกันว่าหัวจะแข็ง


ได้แค่ไหนเชียว” คนที่อยู่บนศาลานั่นยิม
้ แห้ง ไม้เท้าพุง่ ไปที่คอหอยของ
เขา ครั้งนี้เขาไม่ได้หลบ แต่ยกนิว
้ ขึ้นมาแล้วหยุดไม้เท้าเอาไว้ แล้วก็ใช้
นิ้วทําให้มันหักเป็นสองท่อนเหมือนใช้กรรไกรตัด แล้วเดินขึ้นหน้าตาม
ไม้เท้ามา ทุกที่ที่เขาเดินผ่าน มันก็จะหลุดลงไปเป็นท่อนๆ เมื่อจูเซวี่ย
เก็บไม้เท้าของเขากลับมา มันก็เหลือแค่ไม่กี่ขอ

“นี่มันวิชาอะไรกัน?” จูเซวี่ยตะลึง

คนๆ นั้นหัวเราะร้าย แล้วพุ่งเข้าใส่จูเซวี่ย แล้วพูดว่า “ข้าจะฉีก


หนังของเจ้าออกมา แล้วดูสิว่ากระดูกของเจ้ามันแข็งแค่ไหน” เขายื่น
มือจะจับจูเซวี่ย

จูเซวี่ยรู้ว่านิ้วของเขาร้ายกาจมาก ไม่กล้ารับมือซึ่งหน้า เขาตวัดไม้


เท้าขวางออกไป คนๆ นั้นหลบ ไม่รอไม้เท้าเปลี่ยนกระบวนท่า ก็ใช้ฝา่
มือผ่าไม้เท้าจนหักเป็นสองท่อน จูเซวี่ยตกใจมาก คนๆ นั้นฉวยโอกาส
บุกมาตรงหน้าของจูเซวี่ย แล้วซัดฝ่ามือออกไป จูเซวี่ยพยายามหลบ
แต่ว่าไหล่ของเขาก็รู้สก
ึ ปวดขึ้นมา เขาดีดตัวเว้นระยะออกมาก่อน แล้ว
ก้มมองดูไปที่ตัว เขาพบว่าที่หว
ั ไหล่ของเขามันมีรอยฉีกขาดของเสื้อ ที่
ผิวของเขาก็เหมือนจะมีรอยแผล

ไม่ว่าจะเสื้อหรือผิวหนัง มันเหมือนถูกดาบคมๆ เล่มหนึ่งฟัน

จูเซวี่ยหันไปมองอีกฝ่าย อีกฝ่ายมีแค่ฝา่ มือที่เป็นเนื้อหนัง แต่ว่ามันคม


เหมือนดาบเลย
เล่มที่ 47 บทที่ 1397 ทหารสวรรค์มาจุติ

คนๆ นั้นยิ้มแปลกๆ เขาบุกขึ้นหน้าอีกครั้ง มือซ้ายซัดไปที่ผู้อาวุโส


จูเซวี่ย ถึงแม้ผอ
ู้ าวุโสจูเซวี่ยจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีวรยุทธ์ประหลาด เขาเลย
ไม่กล้าไปสัมผัสโดยมือของเขาเลย เขาพยายามหลบคนๆ นั้นก็ไม่ได้ถือ
ว่าไวมาก แต่ว่าอานุภาพฝ่ามือดาบของเขามันร้ายกาจมาก มันไม่เพียง
คมเหมือนดาบจริง กระบวนท่าของเขาแปลกมาก กระบวนท่าที่
เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่ว่าพออยู่ในมือของเขามันกลับทําออกมาได้
อย่างง่ายดาย

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยถอยหลังต่อเนื่อง ทําให้ไม่สามารถตอบโต้ได้เลย

จากนั้นเขาก็จะได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังออกมาต่อเนื่องไม่หยุด
ผู้อาวุโสจูเซวี่ยตกใจมาก ไม่รู้เสียงนั่นมันของศิษย์พรรคกระยาจก แต่
เสียงร้องแบบนี้ มันเหมือนมีการบาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัส เขาไม่รู้ว่า
ในจวนอ๋องมีกําลังซุม
่ อยู่จํานวนเท่าไหร่ คิดในใจว่าเดิมคิดว่าจะลอบ
เข้ามาในจวนอ๋องเพื่อช่วยฮ่องเต้ แต่ว่าจากสถานการณ์ตอนนี้ ช่วย
ฮ่องเต้เป็นไปไม่ได้ แม้แต่พรรคกระยาจกจะหนีรอดไปในคืนนี้ได้ไหม
มันเป็นปัญหามาก
จากปากของชื่อตันเหมย ฉีหนิงเฝ้าอยู่ในวังหลวง ความหวังเดียว
ของเขาคือการช่วยฮ่องเต้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาไม่อยากจะคิด
เลย

ตอนนี้ตกหลุมพราง ผู้อาวุโสจูเซวี่ยร้อนใจมาก คงไม่สามารถทํา


ภารกิจที่ฉีหนิงฝากฝังได้เลย ตอนนี้กลับต้องมาหาวิธพ
ี าคนของตัวเอง
ฝ่าวงล้อมออกไป แต่ว่าเขาถูกคนที่มีฝม
ี ือมากล้อมไว้แบบนี้ อย่าว่าแต่
ช่วยคนของตัวเองเลยแม้แต่ตัวเองยังจะไม่รอดเลย วรยุทธ์ของเขาสู้
ศัตรูไม่ได้เลย เขารู้สึกแย่มาก อีกฝ่ายใช้มือทําให้หัวไหล่ของเขาเป็น
แผล

ทันใดนั้นก็ได้ยน
ิ เสียงร้องดังขึ้นมา ผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ยมองไปที่ศษ
ิ ย์อีก
คนข้างตัวเขาคนของ เขาถูกแทงไปอีกคน จากนั้นก็เจออีกหลายคนบุก
เข้ามา คนของเขาถูกฟันไปอีกหลายแผล แล้วก็ล้มลงกับพื้น
พริบตาเดียวเขาก็นองจมกองเลือดอยูท
่ ี่พ้ น
ื แล้ว

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยโกรธมาก เขาตะคอก อีกฝ่ายกําลังซัดฝ่ามือดาบ


เข้ามา คราวนี้เขาไม่หลบ แต่กําหมัดขวา แล้วรับไปที่ฝ่ามือดาบของอีก
ฝ่าย

คนนั้นหัวเราะเสียงประหลาดออกมา เขาไม่ได้รับมันซึ่งหน้า แต่


หลับไปทางด้านซ้าย ตัวติดกับผู้อาวุโสจูเซวี่ย และเขาก็ซัดฝ่ามือดาบ
ไปที่ทองของผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ย ผู้อาวุโสจูเซวี่ยรู้สึกเจ็บมาก มันเหมือนมี
ดาบฟันมาที่หน้าท้องของเขาจริงๆ ผู้อาวุโสจูเซวี่ยพยายามจะลอยตัว
เว้นระยะออกมา คนๆ นั้นไม่ได้ตามไป ผู้อาวุโสจูเซวี่ยก้มหน้ามองดู ที่
หน้าท้องของเขามันมีรอยเลือด มันไหลออกมาจากบริเวณหน้าท้อง สี
หน้าของเขาเริม
่ ซีด เขารู้ว่าหากเขาเสียเลือดมากเกินไป อีกฝ่ายไม่ต้อง
ลงมือ เขาก็จะเสียเลือดจนตาย เขาเลยฉีกเสื้อออกแล้วเอามาพันแผลที่
หน้าท้อง เพื่อห้ามเลือด

คนรอบๆ ถืออาวุธพร้อมบุก ค่อยๆ เดินบีบเข้าหา แต่ล่ะคนจ้อง


เขาตาเป็นมันเลย

“ข้าบอกไปแล้ว ข้าจะถลกหนังของเจ้าออกมา ดูสิว่ากระดูกของ


เจ้ามันแข็งแค่ไหน” คนๆ นั้นพูด “พวกเจ้าถลกหนังของเขาออกมาสิ”

พอทุกคนได้ยน
ิ ดังนั้น ก็ยกดาบฟันเข้าใส่ผู้อาวุโสจูเซวี่ย ผู้อาวุโสจู
เซวี่ยเขารู้ว่าเสียความได้เปรียบไปแล้ว เขากําหมัดแนน่น แล้วใช้แรง
เฮือกสุดท้ายในการสู้ ดาบกําลังฟันลงมาแล้ว แต่ยังไม่ทันโดนตัว ก็มีธนู
ดอกหนึ่งพุ่งมาที่จุดไท่หยางของคนๆ นั้น มันแทงทะลุหัวเลย ให้คนๆ
นั้นล้มลงกับพื้น

คนอื่นยังไม่ทันได้สติ ก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรยิงมา มีเสียงร้อง


ต่อเนื่องหลายครั้ง คนที่บุกเข้าใส่ผู้อาวุโสจูเซวี่ยหลายสิบคน พริบต
เดียวก็ล้มตายไปกว่าหกคน คนอื่นเห็นเพื่อนจู่ๆ ก็ตายไป ก็ตกใจ แต่ล่ะ
คนหน้าเสียไป ถือดาบแล้วรีบมองไปรอบๆ
คนๆ นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขากวาดสายตาไปรอบๆ ในตอนนี้
เอง ก็เห็นเงาๆ หนึ่งเหมือนวิญญาณยืนอยู่ไม่ไกล พริบตาเดียว กลับมี
เงาถือธนูโผล่ออกมาหลายคน

คนๆ นั้นตกใจมาก

เขารู้ว่า พวกที่แอบลอบเข้ามาสังหารตอนที่พวกเขากําลังต่อสูก
้ ัน
อยู่ ที่น่ากลัวคือเขาไม่รู้ตัวเลย เพราะเขาสนใจแต่ผู้อาวุโสจูเซวี่ย แต่ที่
สําคัญกว่านั้นพวกเขาทําการอย่างลึกลับมาก

มีคนสวมหมวกปิดหน้า คลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ พกดาบ ดูจากการ


แต่งกายแล้ว เขาถึงกับเสียวสันหลัง ปากเขาพูดแค่สามคํา “จวนเสิน
โหว”

จู่ๆ ก็มีคนโผล่มา พวกเขาแต่งกายด้วยชุดของจวนเสินโหว

ในคนกลุ่มนั้น มีคนค่อยๆ เดินออกมา เขาเดินได้ชา้ มาก แต่ว่าแต่


ล่ะก้าวนั้นมันมีแรงกดดันมหาศาล เขาสวมหมวก คนๆ นั้นเลยมองเห็น
หน้าไม่ชัดรอจนเขาเดินออกมาได้หลายก้าวแล้ว ถึงได้ยินเขาพูดว่า
“จวนเสินโหวทํางาน วางอาวุธไม่ฆ่า ใครขัดขวาง ฆ่าไม่มีเว้น”

คนๆ นั้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยกมือคํานับอีกฝ่ายแล้วพูดว่า


“ที่แท้พี่น้องของจวนเสินโหวนี่เอง เราได้รับคําสั่งจากท่านอ๋อง ให้เฝ้า
อยู่ที่นี่ คืนนี้คนของพรรคกระยาจกแอบลอบเข้ามาในจวนอ๋อง ในเมื่อพี่
น้องของจวนเสินโหวก็มาแล้ว ก็จะได้จับพวกเขาไปได้เลย จวนเสินโหว
เป็นหน่วยงานที่ดูแลยุทธภพอยู่แล้วนีน
่ า พรรคกระยาจกเป็นสํานักใน
ยุทธภพ พวกท่านมาจัดการก็ดีเหมือนกัน”

คนๆ นั้นถามว่า “รับคําสั่งมาจากท่านอ๋องให้เฝ้าที่นี่ เฝ้าอะไร


กัน?”

“เฝ้าจวนอ๋องไง” คนนั้นขมวดคิ้ว

คนสวมหมวกพูดว่า “เจ้าเป็นใคร ทําไมท่านอ๋องถึงได้สง่ เจ้ามาเฝ้า


จวนอ๋อง?”

“เอ่อ ......?” คนๆ นั้นลังเล แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องจัดองครักษ์เฝ้า


จวนยังไง เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับจวนเสินโหวนี่นา?”

“พวกเจ้าสองกลุ่มฆ่ากันในจวนอ๋อง ใครถูกใครผิด เราก็ต้องถาม


ให้ชด
ั เจนก่อน” คนสวมหมวกพูด “คนของพรรคกระยาจกข้ารูแ
้ ล้ว
พวกเขาทําตามกฎเกณฑ์มาตลอด แต่ว่าเจ้าล่ะเป็นใคร? อาศัยคําพูด
ของเจ้าแค่ฝ่ายเดียว มันไม่สามารถพิสูจน์ได้นะว่าท่านอ๋องส่งเจ้ามา”

คนๆ นั้นพูดว่า “คําพูดของท่านข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจเลย พวก


ขอทานบุกเข้ามาในจวนอ๋อง นี่นะ
่ เหรอทําตามกฎเกณฑ์? บุกรุกจวน
อ๋อง ไม่ใช่กบฏแล้วเป็นอะไร?”
คนสวมหมวกนิง่ ไปนาน แต่คนด้านหลังเขากว่าสิบคนยกธนูง้าง
เอาไว้ไม่ขยับ คนของคนๆ นั้นก็ไม่กล้าวู่วาม พวกเขารู้ธนูของจวนเสิน
โหวมันไม่ใช่แค่ต้ังท่าให้สวยงามแน่

“เมื่อปีก่อนที่ตงไฮ่เกิดคดีข้น
ึ เรื่องหนึ่ง” คนสวมหมวกพูดว่า
“ตระกูลเจียงถือเป็นผูน
้ ําของเหล่าตระกูลใหญ่ของที่น่ัน ผลิตอาวุธบน
เกาะ เพื่อคิดก่อกบฏ ต่อมาถูกทางการกวาดล้าง พวกเขาได้รับการ
ลงโทษ พวกเขามีอํานาจมากในท้องที่ แม้แต่ในเมืองหลวง ก็มีคนของ
พวกเขาเป็นขุนนางหลายคน หลังเกิดเรื่องที่ตงไฮ่ ราชสํานักจัดการคน
ของพวกเขาในเมืองหลวงทั้งหมด แต่ว่าหนีรอดไปได้หนึ่งคน ราชสํานัก
ออกตามหามาตลอด จวนเสินโหวไล่ล่าตัวเขาอยู่ตลอด ขุนนางน้อย
ใหญ่ล้วนแต่มป
ี ระวัติอยู่ที่จวนเสินโหว นักโทษคนนี้น้น
ั ก็อยู่ในนั้นด้วย”

คนๆนั้นพอได้ยน
ิ แบบนั้น ปลายตาของเขาก็กระตุก เขาอดถอย
หลังไปไม่ได้

“หือ?” คนๆ นั้นตั้งสติอีกครั้ง เขายิ้มแล้วพูดว่า “จวนเสินโหวตาม


หาตัวเขาเจอไหมล่ะ?”

“ไม่” คนสวมหมวกแล้วพูดว่า “แต่ว่าจวนเสินโหวตัดสินใจแล้วว่า


ยังไงก็จะต้องตามหาให้เจอ” เขาเงยหน้ามอง เขาจ้องไปที่คนๆ นั้น
แล้วพูดว่า “ก็เหมือนกับท่าน วันนี้ในที่สุดก็เจอจนได้” จากนั้นเขาก็พูด
ว่า “เจียงซุยอวิน ชาวตงไฮ่ เคยทํางานในกรมกลาโหม ร่วมก่อกบฏ หนี
มาจนวันนี้ ใครที่พบร่องรอย จับได้ทันที”

คนๆ นั้นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าคือเจียงซุยอวินเหรอ?”

“สําเนาของเจ้าข้าเคยอ่าน ภาพรูปร่างของเจ้าก็มีอยู่” คนสวม


หมวกพูดว่า “ที่ข้ารู้ว่ามันมากกว่าที่เขาคิด” เขายกมือขึ้นมา ในมือมัน
เหมือนมีปา้ ยเพิ่มขึ้น “เหวินชวีเสี้ยวเว่ยหานเทียนซู่ รับบัญชาให้จับ
นักโทษหนีคก
ุ ”

คนสวมหมวกคือหนึ่งในเจ็ดดาวไถหานเทียนซู่

เจียงซุยอวินยังนิ่งอยู่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “หานเทียนซู่ การ


เคลื่อนไหวในคืนนี้ ไม่รู้ว่าชวีเสินโหวอนุญาตแล้วเหรอ?”

หานเทียนซู่กลับไม่ตอบ เขาจ้องไปที่เจียงซุยอวิน เขาเก็บป้าย เขา


ยกมือขึ้นมา เจียงซุยอวิน รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเอามือลง อีกฝ่ายก็จะ
ยิงธนูทันที ถึงแม้เขาจะมีมือดาบ แต่ก็ไม่ได้มีเนื้อหนังเป็นเหล็ก ธนูน่น

ยิงมาเมื่อไหร่ เขาไม่มีเกราะ มันก็ยังคงแทงทะลุได้อยู่

คืนนี้เดิมก็เป็นแผนการที่วางเอาไว้แล้ว คนของจวนเสินโหวมา มัน


เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง
เขาค่อยๆ เดิน เขารู้ว่าเมื่อกี้คนของจวนเสินโหวฆ่าคนของตัวเอง
ไป แยกมิตรศัตรูชัดแล้ว จวนเสินโหวไม่มีทางมาช่วยเขาแน่นอน วินาที
ที่หานเทียนซู่เอามือลง เขาหลบไปด้านข้าง หลังคนของตัวเอง พวกเขา
ใช้อาวุธปัดลูกธนู แต่ว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ธนูมาเร็วและ
แรงมาก เจ้าหน้าที่พวกนี้ถูกฝึกมาอย่างดี มีหลายคนถูกยิงล้มลง ทั้ง
สองฝ่ายเริ่มมีระยะต่อกัน

หากมีแค่คนของพรรคกระยาจก เจียงซุยอวินมั่นใจว่าเขารับมือ
ไหว แต่พอคนของจวนเสินโหวโผล่มา เจียงซุยอวินรู้ทันทีว่า
สถานการณ์มันรุนแรงแค่ไหน วิธีการของพวกเขา ไม่มใี ครเทียบได้เลย

หานเทียนซู่พาคนมา เหมือนจะไม่มาก แต่เจียงซุยอวินมั่นใจว่าอาจจะ


เป็นแค่ส่วนเดียว ในเมื่อจวนเสินโหวเข้ามาพัวพัน แสดงว่าต้องมีการ
รวบรวมคนมากกว่านีแ
้ น่ คนของจวนเสินโหวมีเท่าไหร่ ไม่มใี ครบอก
เป็นจํานวนชัดเจนได้เลย แต่หากจวนเสินโหวลงมือเต็มที่ มันก็เป็นกอง
กําลังที่น่ากลัวมาก เจียงซุยอวินมั่นใจมาก วินาทีที่คนของจวนเสินโหว
ออกมา เขาแพ้ราบคาบแน่นอน
เล่มที่ 47 บทที่ 1398 ดวงขัดกัน

เจียงซุยอวินเห็นสถานการณ์ไม่ดี เลยเอาคนมาเป็นโล่ จากนั้นก็รีบ


ถอย เขารู้จักจวนอ๋องเป็นอย่างดี เขาถอยไปไกลมาก ทิ้งคนของตัวเอง
ไปทั้งหมด แล้วก็วิ่งหนี ท่าทางของเขาว่องไวมาก

หลังจากยิงธนูไปแล้วรอบหนึ่ง คนของเจียงซุยอวินก็ล้มลงเกือบ
หมด จวนเสินโหวไม่ค่อยลงมือ แต่หากลงมือ ก็ไม่มีคําว่าปราณี

หานเทียนซู่ไม่ได้ตามเจียงซุยอวินไป แค่จ้องไปตามเงาของเขา

เจียงซุยอวินไวมาก เขาวิ่งไปที่กําแพงจวน กําลังคิดจะปีนกําแพง


หนี กลับได้ยินเสียงคําราม ตามมาด้วยเงาที่ลงมาจากบนกําแพง เจียง
ซุยอวินตกใจมาก เขารีบถอยหลังไปสองก้าว มีคนยื่นมือคิดจะมาจับ
เจียงซุยอวิน

ท่ามกลางแสงจันทร์ เจียงซุยอวินเห็นคนที่มาสวมชุดของจวนเสิน
โหว สวมหมวก แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือ ใบหน้าของเขามีแสงสีทองเปล่ง
ประกาย สวมหน้ากากสีทอง เขาลงมือไวมาก เจียงซุยอวินไม่มีเวลาให้
คิดมาก เขารีบซัดฝ่ามือของเขาออกไปทันที
เขาซัดฝ่ามือดาบของเขาไปที่ข้อมือของอีกคน เดิมคิดว่าฝีมือของ
เขาจะต้องทําให้อีกฝ่ายแขนขาดได้แน่นอน ใครจะคิดว่าเมื่อฟันลงไป
แล้ว มือของอีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก เจียงซุยอวินตกใจมาก
เขาทําอะไรแขนของอีกฝ่ายไม่ได้เลย แต่ว่าอีกฝ่ายซัดหมัดมาโดน
หน้าอกของเจียงซุยอวินเต็มๆ เขาถูกซัดเต็มแรงจนกระเด็นตกลงมา
อย่างแรงและกระอักเลือดออกมา

เขาใช้มอ
ื เปล่าในการรับมือ เดิมคิดว่าจะทําให้อีกฝ่ายแขนขาดได้
ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เสียท่าให้ แพราะไม่สามารถทําร้ายอีกฝ่ายได้
เลยถูกอีกฝ่ายําร้ายแทน

เขาพยายามลุกขึ้นมา หน้าอกของเขาเจ็บปวดมาก คนของจวน


เสินโหวล้อมเขาเอาไว้อยู่ เจียงซุยอวินมองไปรอบๆ เขาถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “จวนเสินโหวใช้จํานวนคนมากรังแกคนนน้อยสินะ”

หานเทียนซู่เดินขึ้นหน้า แล้วพูดว่า “จวนเสินโหวทํางาน ไม่เคย


เกรงใจกับพวกต�าช้า”

“ศิษย์พส
ี่ าม ในเมื่อคุณชายเจียงรู้สึกว่าเราใช้คนมากรังแกเขา ให้
ข้าลองปะทะฝีมือกับคุณชายเจียงหน่อยไหม” คนที่สวมหน้ากากค่อยๆ
เดินมา แล้วพูด เจียงซุยอวินอาศัยแสงจันทร์ มองไปที่หน้ากากของเขา
เจียงซุยอวินมือขวาของเขามันไม่ใช่เนื้อ แต่เป็นเหล็ก
หานเทียนซู่พูดว่า “น้องหกคิดอยากจะลงมือเองงั้นเหรอ?”

เจียงซุยอวินสะดุ้ง

เขาอยู่ในเมืองหลวงมานาน จวนเสินโหวเป็นสถานที่ที่เขาเองก็จับ
ตาดูอยู่ สถานการณ์ของจวนเสินโหว เขาเองก็รู้มาไม่นอ
้ ย

เจ็ดดาวไถของจวนเสินโหว พวกเขาไม่ค่อยเผยหน้า แต่ว่าใน


บรรดาเจ็ดคน คนที่ลึกลับที่สุดคือคนที่อยู่ลําดับหกอู่ชวีเสี้ยวเว่ย

ศิษย์คนโตเซวียนหยวนผ่อมีช่ อ
ื เสียงมาก ชวีเสีย
่ วชางคนที่รู้จักก็
มากเหมือนกัน แต่ว่าอู่ชวีเสี้ยวเว่ยเหมือนเป็นปริศนาที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่
เพียงไม่เคยมีใครเห็นหน้าเขา ชื่อของเขา ก็แทบจะไม่มีใครรู้

เคยได้ยน
ิ มาว่าเขาเป็นคนรับผิดชอบอาวุธทุกอย่างในจวนเสินโหว
ทั้งวิจัยพัฒนาผลิตอาวุธทุกอย่าง แต่ว่าจริงหรือไม่น้น
ั ไม่มีใครกล้าพูด
เลย อีกทั้งในจวนเสินโหวเองก็แทบไม่มใี ครเคยได้พบใบหน้าที่แท้จริง
ของเขาเลย เขาอยู่ในจวนเสินโหวไหม ก็ไม่มใี ครรู้

เจียงซุยอวินคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาร่วมวงในปฏิบัติการในครั้งนี้
ด้วย คืนนี้จวนเสินโหวทุ่มเทกําลังทั้งหมดออกปฏิบัติการแล้ว
เขายกแขนเหล็กของเขาขึ้นมา เขามองไปยังเจียงซุยอวิน เขา
หัวเราะแล้วพูดว่า “นานๆ ทีจะได้ออกมา อยากยืดเส้นยืดสายหน่อย
ศิษย์พี่สามอนุญาตด้วย”

หานเทียนซู่ “อือ” แค่น้น


ั อู่ชวีเสี่ยวเว่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณ
ศิษย์พี่สาม” สายตาใต้หน้ากากจ้องไปที่เจียงซุยอวิน แล้วพูดว่า “วิชาที่
ท่านเชีย
่ วชาญ น่าจะเป็นสองสุดยอดวิชาที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ข้า
อยากรู้ว่ามันมีอะไรพิเศษ วันนี้เลยอยากจะขอคําชี้แนะด้วย”

เจียงซุยอวินตกใจมาก

เหมือนเขาจะรู้ว่าเขาใช้วิชาอะไร สองวิชาที่เขาพูดถึงมันเป็นสุด
ยอดวิชาสําหรับเจียงซุยอวิน ตอนนั้นเขาได้สองวิชานั้นมาจากโม่อิ่ง
หลายปีที่ผ่านมาเขาแอบฝึกฝนมันอย่างลับๆ มาตลอด ตอนที่ชิง
ตําแหน่งผู้บัญชาการค่ายกิเลนดํา เขาใช้ไปแล้ววิชาหนึ่ง แต่ว่าการลง
มือในครั้งนั้น หลังจากจวนเสินโหวรู้เรื่องแล้ว ก็เหมือนจะทําการบันทึก
เข้าคลังข้อมูล

อู่ชวีเสี้ยวเว่ยไม่ได้พด
ู มาก เขาบุกขึ้นหน้าไปทันที เขาใช้มือเหล็กอ
ขอเขาไปจับเจียงซุยอวินมา เจียงซุยอวินรู้สึกว่าไม่มท
ี างหนีอีกแล้ว เขา
ทําได้แค่รับมือ คิดไม่ถึงเลยว่ามือของอีกฝ่ายจะมีปัญหา เขาจะไม่สก
ู้ ับ
แขนข้างขวาของเขา หากเขารวมเอาสองสุดยอดวิชาของเขาเข้า
ด้วยกัน อาจจะพอสู้อู่ชวีเสี้ยวเว่ยได้
ทั้งสองคนปะทะฝีมือกันไม่มีใครยอมใคร หานเทียนซู่เหมือจนจะ
มั่นใจในตัวศิษย์น้องของเขาคนนี้มาก เขาไม่ได้อยู่ดูการต่อสู้ แต่กลับ
เดินไปหาผู้อาวุโสจูเซวี่ย เห็นผู้อาวุโสจูเซวี่ยนั่งอยู่กับพื้น สีหน้าซีด
เซียว เขานั่งยองลง เห็นหน้าทองของผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ยเลือดไหลออกมา
ไม่หยุด ก็รีบเอายาให้เขาเม็ดหนึ่ง แล้วพูดว่า “นี่เป็นยารักษาบาดแผล
ทามันที่แผล มันห้ามเลือดได้ แล้วจะทําให้แผลฝืนให้เร็วขึ้นด้วย”

“พวกเจ้ารับคําสั่งมาจากท่านกั๋วกง ให้มาตามหาฝ่าบาทเหรอ?”
หานเทียนซู่ไม่ได้ลุกขึ้น แต่ถามผู้อาวุโสจูเซวี่ย

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยมองไปที่หานเทียนซู่ด้วยความระแวง

ช่วงที่ผ่านมาจวนเสินโหวทําตามคําสั่งของเซียวจ้าวจง ถึงแม้คืนนี้
พวกเขาจะออกมาช่วย แต่ผู้อาวุโสจูเซวี่ยก็ยังไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่
ตรงหน้านั้นเป็นมิตรหรือศัตรู เลยไม่กล้าบอกอะไร

“กั๋วกงอยู่เฝ้าที่วังหลวง ก็เพื่อรอให้เราค้นหาฝ่าบาทให้พบ” หาน


เทียนซู่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ชื่อตันเหมยแอบไปที่จวนเสินโหว นํา
ของของกั๋วกงมาด้วย เราได้รับคําสั่งให้ออกตามหาตัวฝ่าบาท” เขาหยุด
ไป แล้วพูดว่า “ท่านไม่ต้องสงสัยในตัวเราหรอกนะ ก่อนฟ้าสาง เรา
จะต้องหาตัวฝ่าบาทให้พบ”
ผู้อาวุโสจูเซวี่ยเห็นดังนั้น รู้สึกว่าเขาไม่ได้แกล้งแสดง อีกทั้งใน
เวลาแบบนี้ เขาก็ไม่ได้คิดจะทําอะไรเขา เขาเลยพยักหน้า “ถูกต้อง
ท่านกั๋วกง ...... สงสัยว่าฝ่าบาทอาจจะถูกคุมขังที่นี่ เลยให้เรามาช่วยฝ่า
บาท แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีกําลังซุ่มโจมตีอยู่” เขาพูดว่า “ในเมื่อที่นี่มี
กําลังซุม
่ อยู่ ฝ่าบาทก็อาจจะอยู่ที่นี่ก็ได้ เรา ...... เราต้องตามหาตัวฝ่า
บาทให้เจอ”

หานเทียนซู่นิ่งไป เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เพราะที่นี่มีกําลังซุ่มอยู่


จํานวนมาก โอกาสที่ฝา่ บาทจะอยู่ที่นี่มันน้อยมาก ที่นม
ี่ ีการวางกับดัก
เอาไว้อย่างดี หากข้าเดาไม่ผิด เซียวจ้าวจงน่าจะเดาได้ว่ากั๋วกงน่าจะส่ง
คนมาค้นที่จวนอ๋องด้วย เลยซ้อนแผน คิดจะจัดการพวกท่านไปพร้อม
กันด้วยเลย แต่ว่าในเมื่อเขาวางกับดักที่นี่ แสดงว่าเขาไม่กักตัวฝ่าบาท
ที่นี่แน่นอน”

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยตะลึงไป เขาพูดอย่างร้อยนใจ “แล้วฝ่าบาทอยู่ที่


ไหน? เวลาเหลือไม่มากแล้ว .....”

ในเวลานี้เอง ก็ได้ยินเสียงคําราม ผู้อาวุโสจูเซวี่ยเงยหน้าไปมอง


เห็นเจียงซุยอวินซัดฝ่ามือดาบไปที่หน้าอกของอู่ชวีเสีย
้ วเว่ย เขารู้ว่ามือ
ของเขามันคมแค่ไหน เขาหลุดออกมาว่า “ระวัง ......” แต่เจียงซุยอวิน
ซัดเข้าไปแล้ว ผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ยร้องออกมาตอนนี้ มันก็ไม่ทันได้
หานเทียนซู่ไม่ได้หันกลับไปดู เขาพูดว่า “ท่านรักษาตัวก่อนเถอะ
เรื่องอื่นเราจะจัดการต่อให้เอง”

เจียงซุยอวินซัดไปทีหน้าอกของอู่ชวีเสีย
้ วเว่ย เขาก้ฮก
ึ เหิมขึ้นมา
เขามั่นใจมากว่ามันจะทําให้หน้าอกของเขาฉีกขาดแน่นอน ไม่ตายก็
ต้องเจ็บหนัก

ใครจะคิดว่าอู่ชวีเสี้ยวเว่ยจะหัวเราะแปลกๆ ออกมา เขายื่นมือ


เหล็กของเขาออกไปแล้วจับไปที่คอของเจียงซุยอวิน เจียงซุยอวินคิดไม่
ถึงเลยว่าอีกฝ่ายถูกซัดไปแบบนั้นแล้ว จะยังลงมือได้อีก เขาถูกจับคอไว้
แบบนี้ เขารู้สถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขาพยายามโบกมือเพื่อฟันไปที่ตัว
ของอู่ชวีเสี้ยวเว่ย หากเป็นคนอื่น ร่างคงฉีกขาดไปแล้ว แต่ว่าของอู่ชวี
เสี้ยวเว่ยนอกจากเสื้อผ้าที่ฉก
ี ขาดแล้ว มันไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่
หยดเดียว เขาค่อยๆ บีบคอของเจียงซุยอวิน จนหายใจไม่ออก แรงของ
เขาก็เริ่มลดลง ตอนที่พยายามดิ้น ฝ่ามือดาบของเขาก็เริ่มค่อยๆ หยุด
ตามไป

“ข้าเคยแขนขาดไปข้างหนึ่ง ดังนั้นเลยอยากจะมีร่างกายที่ฟัน
แทงไม่เข้า” สายตาของอู่ชวีเสีย
้ วเว่ยใต้หน้ากากดุดันมาก “ถึงแม้มือ
ดาบของเจ้าจะคมคายแค่ไหน แต่ว่ามันทําอะไรข้าไม่ได้หรอกนะ
ตอนนี้เจ้ารู้แล้วหรือยังว่าทําไมข้าถึงอยากจะสู้กับเจ้า?”

เจียงซุยอวินเหมือนจะตกใจมาก
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ว่าเจ้าหน้าที่จวนเสินโหวคนนี้ เขาฝึกวิชากาย
เหล็กมานี่เอง

“ข้าแค่ต้องการทดสอบร่างกายว่าแข็งแกร่งแค่ไหนผ่านมือดาบ
ของเจ้าเท่านั้น” อู่ชวีเสี้ยวเว่ยพูดด้วยท่าทางได้ใจ “เหมือนว่าร่างกาย
ของข้าจะฟันแทงไม่เข้าจริงๆ ด้วยนะ”

เจียงซุยอวินเหมือนสิน
้ หวังแล้ว สายตาของเขาไม่มีความหวังอะไร
อีก

คนที่อยู่ตรงหน้าเขา เหมือนเกิดมาขัดดวงเขา เขาภูมิใจในสุดยอด


วิชาที่เขาได้มาตลอด แต่มันไม่ได้ผลกับคนที่อยู่ตรงหน้าเลย

อู่ชวีเสี้ยวเว่ยเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “คืนนีเ้ หมาะที่จะส่งเจ้า


ไปจริงๆ” เขาออกแรงบีบ กระดูกคอของเจียงซุยอวินหักลงทันที หัว
ของเขาตกลง แล้วก็ตายไป

พอเขาปล่อยมือ ร่างของเจียงซุยอวินก็เหมือนกับโคลนที่ไหลลงไป
กองกับพื้น

หานเทียนซู่หันไปสั่งคนของจวนเสินโหวว่า “ในจวนอ๋องยังมีพวก
ของพวกมันอยู่ ช่วยพี่น้องคนอื่นจัดการให้สิ้นซาก”
เขาพูดจบ ก็มค
ี นพูดขึ้นมาว่า “มีคน” ทุกคนมองไป เห็นมีกลุ่มคน
กําลังวิ่งมาทางนี้ เจ้าหน้าที่จวนเสินโหวยกธนูเตรียมยิงทันที คนพวก
นั้นยังไม่ทันเข้ามาใกล้ ก็ได้ยินคนพูดขึ้นมาว่า “ท่านจู ท่านจู”

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยได้ยินดังนั้น ก็รีบบอกกับหานเทียนซู่ว่า “คนกันเอง”


เล่มที่ 47 บทที่ 1399 ยมทูตมาเยือน

ท่ามกลางความมืด กลุ่มคนกําลังวิ่งมา คนหน้าสุดคือไป๋เซิ่งเฮ่า


พอเห็นคนของจวนเสินโหว แต่ไม่ได้แปลกใจ แต่กลับยกมือคํานับให้
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” เขาเหลือบไปมองผู้อาวุโสจูเซวี่ยที่อยู่บนพื้น
เขารีบเดินขึ้นหน้าไปหา เห็นเลือดที่ท้องของเขาไหล ก็รีบพูดว่า “ผู้
อาวุโส ท่าน ......?” ด้วยความร้อนใจ เลยไม่ได้สนใจการเรียกขาน

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เป็นไร โชคดีที่คนของจวนเสิน


โหวมาช่วยเอาไว้ได้ทัน”

ไป๋เซิ่งเฮ่าพูดว่า “ในจวนอ๋องมีกับดัก เราหลงกล พี่นอ


้ งของเราล้ม
ตายไปมาก หาก ..... หากไม่ได้จวนเสินโหวช่วยเหลือ ข้าเองก็ไม่อยาก
คิดเลย”

ผู้อาวุโสจูเซวี่ยพยักหน้า ไม่ผิดจากที่เขาคิดไว้เลย เขาถามว่า


“เหลืออีกกี่คน?”

“พี่น้องของเราตายไปหลายสิบคน แต่ว่าคนของจวนเสินโหว
ช่วยเหลือ เราได้กําจัดทหารพวกนั้นเกือบหมดแล้ว” ไป๋เซิ่งเฮ่าพูดว่า
“แต่ว่า ...... คนนั้นอยู่ที่ไหน เรายังไม่รู้เลย”
หานเทียนซู่พูดว่า “คนของพรรคกระยาจกไปทางเรือนตะวันตก
แล้วกัน ส่วยที่เหลือเดี๋ยวจวนเสินโหวของเราจัดการเอง ทุกคนเริ่ม
ค้นหา หากเจอฝ่าบาท ส่งสัญญาณทันที”

ไป๋เซิ่งเฮ่าได้ยินดังนั้น ก็รู้ว่าจวนเสินโหวน่าจะรู้แล้วว่าพรรค
กระยาจกกําลังหาอะไรอยู่ เขารู้เวลกะทันหันมาก มันไม่ทัน เขาพูดกับ
ผู้อาวุโสจูเซวี่ยว่า “ท่านอยู่รักษาตัวที่นี่ก่อน ข้าจะพาคนไปตามหาฝ่า
บาทเอง” เขาลุกขึ้น แล้วยกมือคํานับหานเทียนซู่ แล้วไม่เสียเวลา พา
คนไปทันที

ระหว่างที่จวนไหวหนานอ๋องเพิ่งผ่านศึกไปทางสํานักคุ้มกันซวี่ร่ ื
อบรรยากาศก็ตึงเครียด

ติงอี้ถูจ้องไปที่ชายวัยกลางคนคนนั้น สายตาของเขาเยือกเย็นมาก
แต่ว่าจู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา “ขอบคุณท่านมากที่เห็นเกียรติและ
ไว้วางใจสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื ของเรา ในเมื่อท่านยืนยันว่าจะต้อง
ดําเนินการให้ได้ ท่านก็สมควรจะบอกฐานะที่แท้จริงของท่านให้เราได้
รับรู้นะ ไม่อย่างนั้นพี่น้องของเราใครจะกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงให้ล่ะ จริง
ไหม”

ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่พ่อค้าธรรมดาคนหนึ่ง
เท่านั้น ไม่ใช่คนสําคัญอะไร ของสําคัญนั้นคือสิง่ ที่อยู่ในมือตอนนี้ที่
จําเป็นต้องรีบส่งไปให้เร็วที่สุด”
“ท่านไม่กล้าเผยตัว แต่วันนี้กลับมาที่นี่ คิดว่าเจตนาของท่าน
อาจจะเป็นอย่างอื่นจริงไหม?” ติงอี้ถูเอามือลูกขึ้นมาลูบเครา “ที่จริงจะ
หาตัวตนของท่านนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” เขาปรบมือ มีคนเข้ามา
หลายคน ติงอี้ถย
ู ิม
้ แล้วพูดว่า “ก่อนที่พวกเขาจะมาทํางานที่ เขาเคยอยู่
ยุทธภพมาก่อน รู้หลากหลายวิชาในยุทธภพเป็นอย่างดี ในเมื่อท่านไม่
อยากบอก ก็ให้พวกเขาประลองฝีมือกับท่านก็แล้วกัน”

ชายวันกลางคนถอนหายใจแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า สํานักคุ้ม


กันซวี่ร่ อ
ื จะต้อนรับลูกค้าแบบนี้นะเนีย
่ ?”

ติงอี้ถูสายตาเจตนาฆ่าชัดเจนมาก เขาพูดว่า “หามาเยี่ยงสหาย


จริง ก็จะต้อนรับอย่างดี แต่หากมาหาเรื่อง นั่นก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง”
เขาส่งสัญญาณ คนที่เข้ามาด้านในสามคนก่อนหน้านีก
้ ็ไม่ลังเลใจอีก
ฟันดาบในมือไปที่ชายวัยกลางคน

ชายวัยกลางคนดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ เขาลอยอยู่กลางอากาศ แล้ว


ถีบเก้าอี้ไปหาคนหนึ่ง

เก้าอี้ไม้สีแดงมันหนักมาก ตอนที่มันลอยไป ลมพัดวูบใหญ่ คน


หน้าสุดฟันดาบออกไป ฟันเก้าอี้จนขาดเป็นสองท่อน แต่กําลังยังไม่ลด
เขาฟันดาบไปด้านข้างอีก เพื่อฟันไปหาชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนหัวเราะแล้วก็หมุนตัวกลางอากาศ ดาบกําลังจะ
มาถึงตัวเขาเขาหมุนตัวหลบ ตอนที่ลมา เขาเหยียบไปบนปลายดาบ ไม่
รอให้คนนั้นเก็บดาบกลับไป เขาถีบไปที่ใบหน้าของคนๆ นั้น จากนั้นก็
กระเด็นไปไกล

เพื่อนอีกสองคนด้านหลังซ้ายคนขวาคนฟันมาจากด้านข้างพร้อม
กัน ชายวันกลางคนอาศัยแรงถีบ ดีดตัวไปด้านหลัง เขาไปหยุดอยู่ที่โต๊ะ
กลางห้องโถง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้าติง เจ้าหน้าที่ในสํานักคุ้ม
ภัยของท่านฝีมอ
ื ก็ไม่เท่าไหร่เลยนะ งานที่ข้าจะให้ท่านทํามันจะสําเร็จ
หรือเปล่า?”

“มาหาเรื่องจริงๆ ด้วย” รองหัวหน้าไป๋หลีตะคอก กําลังจะพุ่งขึ้น


หน้าไป ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมา จากนั้นก็มค
ี นวิ่งเข้ามาแล้ว
พูดว่า “หัวหน้าครับ ด้านนอก ...... ด้านนอกมีเจ้าหน้าที่ทางการมา
ขอรับ”

ติงอี้ถูตะลึงไป คิดในใจว่าในเวลาแบบนี้ทําไมถึงได้มีเจ้าหน้าที่
ทางการมาได้ เขารู้สึกสงสัยมาก ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดัง
ขึ้น ด้านนอกมีคนตะโกนว่า “รีบเปิดประตู นี่เจ้าหน้าที่จวนผู้ว่าการ
เปิดประตู”

เสียงจากด้านนอกดังขึ้นมา ไม่นานก็เหมือนจะมีความวุ่นวาย
เกิดขึ้น จากนั้นก็มีคนของทางการบุกเข้ามาด้านใน ติงอี้ถูเห็นคนที่มา
สวมชุดขุนนาง เขาไม่ดใู บหน้า เห็นแค่เสื้อผ้า ก็รู้ว่าเป็นผู้ว่าการเมือง
หลวงเถี่ยเจิง

ติงอี้ถูคิดไม่ถึงเลยว่าในเวลาแบบนี้เถี่ยเจิงจะพาคนมาหาเขาถึงที่
เขาตกใจมาก แต่ก็ยังยกมือคํานับแล้วพูดว่า “ไต้เท้าเถี่ยใช่หรือไม่?”

เถี่ยเจิงกวาดสายตามองไปในห้องโถงแล้วพูดว่า “หัวหน้าติง พวก


ท่านกําลังทําอะไรอยู่?”

ไป๋หลีกลับพูดว่า “ไต้เท้าเถี่ย พวกเขามาที่สํานักคุ้มภัยของเรา แต่


ตั้งใจมาหาเรื่อง คิดไม่ดี เชิญท่านจับพวกเขาไปสอบสวนด้วยเลย”

ชายวัยกลางคนกระโดดลงมาจากโต๊ะ แล้วพูดว่า “ไต้เท้าเถี่ย ท่าน


อย่าฟังพวกเขาใส่ร้ายข้านะ เราได้ยินมาว่าสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื นั้นมีเส้น
สายมาก ดังนั้นเลยอยากจะจ้างงานพวกเขา แต่ว่าพวกเขาไม่เพียงไม่
รับงาน แต่ยังใส่ความว่าข้ามาหาเรื่อง เอ่อ ....... มันใส่สก
ี ันมากเกินไป
หรือเปล่า ไต้เท้าพิจารณาด้วย”

เถี่ยเจิงขมวดคิ้ว ถามติงอี้ถูว่า “หัวหน้าติง ไม่รับงานไม่เท่าไหร่ มี


ลูกค้ามาหาถึงที่ ทําไมต้องหาเรื่องพวกเขาแบบนี้ด้วยล่ะ?”

พวกของติงอี้ถูเป็นใคร ก่อนหน้านี้ก็มีชายวัยกลางคนเข้ามาหา
เรื่อง หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเถี่ยเจิงพาคนมาถึงที่ เขาเริ่มรู้แล้วว่า
สถานการณ์ไม่ปกติ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้าเถี่ยพูดถูกต้องแล้ว” เขา
พูดกับชายวัยกลางคนว่า “ต้องขออภัยท่านมากจริงๆ สํานักคุ้มภัยของ
เรารับงานไม่ได้แล้ว หากท่านรูส
้ ึกว่าเราเสียมารยาท เราขอขมากับท่าน
ตรงนี้ ขอท่านอย่าได้ถือสาเลยนะ”

เถี่ยเจิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ก็ขอให้จบแค่นี้ล่ะกัน”

ติงอี้ถูพูดว่า “ไต้เท้าเถี่ยมาหาข้าถึงที่ ไม่ทราบมีเหตุอันใดหรือ?”

“ท่านหัวหน้าติง ท่านต้องไปกับข้า เรามีเรื่องต้องคุยกันที่จวนผู้ว่า


การ” เถี่ยเจิงนิ่งมาก

ติงอี้ถูขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไปจวนผู้ว่ากรา? ไต้เท้า ข้าน้อยไม่


เข้าใจ หรือว่าข้ายังมีตําแหน่งอยู่?”

“หัวหน้าติง ท่านจําเรื่องเมื่อสองปีก่อนได้หรือไม่ ขบวนสํานักคุ้ม


ภัยของท่านเดินทางจากเมืองฮุ่ยเจ๋อมายังเมืองหลวง ระหว่างทางถูก
ปล้น คนของท่านถูกฆ่าตายทั้งหมด สินค้าถูกปล้นไปไม่เหลือ?” เถี่ยเจิง
พูดว่า “คืนนี้ที่เชิญท่านไป ก็เพราะเรื่องนี้ เดิมเรื่องนี้จะส่งคนมาเชิญ
ท่านก็ได้ แต่ว่าบังเอิญข้าต้องผ่านมาแถวนี้พอดี ก็เลยมาเชิญท่านไป
ด้วยตัวเอง”

ติงอี้ถูพูดอย่างแปลกใจว่า “เรื่องเมื่อสองปีก่อนเหรอ?”
“ถูกต้อง” เถี่ยเจิงพูดว่า “เรื่องนี้เราได้เบาะแสมา แต่ว่าต้องให้
ท่านร่วมมือกับเราด้วย” เขายกมือขึ้นมา “เชิญ”

ติงอี้ถูกนิ่งไป เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า“ไต้เท้าเถี่ย ไม่ใช่ว่าข้าน้อย


จะล่วงเกินท่าน แต่ว่าคืนนี้ข้าน้อยมีเรื่องที่ต้องไปทําห พรุ่งนี้เช้า ข้าจะ
ไปหาท่านที่จวนด้วยตัวเอง ไม่ว่าท่านต้องการรู้เรื่องอะไร ข้าจะบอก
ท่านทุกอย่าง”

“ติงอี้ถู ไต้เท้าให้เกียรติเจ้ามากนะ เจ้าอย่ามาลีลา” มือปราบคน


หนึ่งด้านหลังของเถี่ยเจิงพูดขึ้นมา “ไต้เท้าไม่ได้มเี วลามากขนาดนั้นนะ
คืนนี้มีเวลามาจัดการเรื่องนี้ เจ้ากลับปัดแล้วปัดอีก มันหมายความว่า
ยังไง?”

“ก็ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น” ติงอี้ถูพูดว่า “เพราะมีธุระจริงๆ ไต้เท้า


เรื่องนี้มน
ั ก็ผ่านมาตั้งสองปีแล้ว ต่อให้อยากจะสืบต่อไป ก็ไม่เห็นต้อง
รีบร้อนเลย ไว้รอท่านว่างอีกครั้ง ก็ได้นน
ี่ า”

มือปราบนั่นพูดว่า “คดีฆ่าคนตาย จะสืบตอนนั้น เจ้ามีสิทธิ


ตัดสินใจงั้นเหรอ?”

เถี่ยเจิงหน้านิ่งลง แล้วไม่พด
ู อะไรอีก

ไป๋หลีพด
ู ว่า “ไต้เท้าเถี่ย ขบวนขนส่งนั่นข้าน้อยเป็นคนจัดการเอง
ข้าน้อยทราบเรื่องดีทุกอย่าง ข้าน้อยจะไปที่จวนผู้ว่าการกับท่านเอง สิ่ง
ที่ท่านหัวหน้ารูข
้ ้าน้อยเองก็รู้ท้ังหมด สิ่งที่เขาไม่รู้ ข้าเองก็รู้ หากคิดจะ
สอบสวนคดีนี้ ข้าน้อยเหมาะที่จะให้การทั้งหมด”

ติงอี้ถูพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ไป๋หลีรู้เรื่องในตอนนั้นดีที่สุด


ดังนั้น ......”

“ติงอี้ถู มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกนะ” เถี่ยเจิงพูดว่า “การ


สอบสวนเรื่องคดีในตอนนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ยังมีอีกเรื่อง ที่ท่านต้องไปกับ
ข้าด้วยตัวเอง” สายตาของเขาจ้องไปที่ติงอี้ถู “ได้ยินมาว่าสํานักคุ้ม
กันซวี่ร่ อ
ื อาศัยชื่อสํานักคุ้มภัยบังหน้า แอบลอบขนอาวุธ ไม่ทราบว่ามี
เรื่องนี้จริงหรือเปล่า?”

ติงอี้ถูสห
ี น้าเปลี่ยนไปทันที เขารีบพูดว่า “ไต้เท้า เรื่องนี้จะพูด
พร่อยๆ ไม่ได้นะ”

“ได้ยินมาว่ามีทหารในกองทัพฉินไหวบางคนใจกล้า แอบลักลอบ
ขโมยอาวุธออกมาจากค่าย แล้วให้สาํ นักคุ้มภัยของท่านขนส่งอาวุธเข้า
มาในเมืองหลวง” เถี่ยเจิงพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับขุนนาง
ทหารในกองทัพฉินไหว ยังมีเจ้าหน้าที่ในค่ายหู่เสินด้วย แต่ว่ามีสาํ นัก
คุ้มกันซวี่ร่ อ
ื เข้ามาพัวพันด้วย ก็ต้องสอบถามกันให้แน่ใจสิจริงไหม”

ติงอี้ถูหน้านิง่ แล้วพูดว่า “หากไต้เท้าจะพูดแบบนี้ ก็เอาหลักฐาน


ออกมาแสดงเลย หากท่านมีหลักฐานว่าสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื ทําเรื่องแบบ
นั้น ข้าก็ยินดีรับโทษ ไม่อย่างนั้น ......” สายตาของเขาเย็นชามาก “ไต้
เท้าถอนคําพูดไปดีกว่า”

“อยากได้หลักฐาน ก็ไปเอาที่จวนผู้ว่าการ” เถี่ยเจิงพูดว่า “ไปที่ถึง


จวนผู้ว่าการแล้ว ข้าจะเอาหลักฐานให้เจ้าเอง”

ติงอี้ถูกลับหันหลัง แล้วเดินไปที่เก้าอี้ แล้วนั่งลง จากนั้นก็พด


ู ว่า
“แล้วถ้าข้าไม่ไปล่ะ?”

หลังจากที่เขาพูดจบ มือปราบของจวนผู้ว่าการก็ชก
ั ดาบออกมา
กันหมด ติงอี้ถูพูดว่า “เด็กๆ” พริบตาเดียวก็มค
ี นกลุ่มใหญ่ว่ิงเข้ามา
ด้านใน คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นมือดีของสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื อย่างน้อยๆ ก็
น่าจะมีสักสีส
่ ิบห้าสิบคนได้

เถี่ยเจิงกวาดสายตามองไป จากนั้นก็ยม
้ิ แล้วพูดว่า “ติงอี้ถู เจ้าคิด
จะก่อกบฏหรือไง?”

“ไต้เท้าเถี่ยไม่มห
ี ลักฐาน แต่กลับกล้าที่จะใส่ร้ายว่าเราแอบขนส่ง
อาวุธ” ติงอี้ถูน่ังอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางของเขาสบายๆ “ข้าเป็นทหารมา
ก่อน ไม่ยอมให้ใครมาใส่ร้าย หากท่านคิดจะบีบคั้นข้า ก็มาเอาหัวของ
ข้าไปได้เลย” เขาเหลือบมองไปที่เถี่ยเจิง แล้วพูดว่า “ไต้เท้าเถี่ย ข้าคิด
ว่าท่านควรกลับไปที่จวนแล้วคิดดูให้ดีนะ พอถึงพรุ่งนี้แล้ว หากท่านยัง
คิดว่าข้ายังมีความผิดอยู่ ถึงเวลานั้นต่อให้ท่านไม่มาเชิญข้าด้วยตัวเอง
แค่ส่งคนมาเรียก ข้าจะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง แต่คืนนี้ .....
ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เล่มที่ 47 บทที่ 1400 สนับสนุน

ภายในบรรยากาศตึงเครียดมาก

ติงอี้ถูมีเจตนาขัดขืนชัดเจนมาก คนของสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื มี
จํานวนเยอะมาก อีกทั้งตัวของติงอี้ถูเองก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง หาก
ต้องลงไม้ลงมือขึ้นมาจริงๆ คนของจวนผู้ว่าการนั้นก็ไม่ได้เปรียบ

ทั้งภายในและภายนอกล้วนแต่ชักดาบออกมา

เถี่ยเจิงสายตาเย็นระเยือกมาก เขาจ้องไปที่ติงอี้ถู จู่ๆ เขาก็หัวเราะ


ขึ้นมา เขาหัวเราะเหมือนมีนัยยะ ติงอี้ถูขมวดคิ้ว เขาพบว่าเถี่ยเจิงกับ
ชายวัยกลางคนนั้นเหมือนจะส่งสายตาให้กัน เขาสะดุ้ง เขารู้ทันทีว่า
เกิดเรื่องไม่ดีแน่ คืนนีช
้ ายวันกลางคนกกับคนของเถี่ยเจิงตามๆ กันมา
มันต้องมีอะไรแน่นอน

ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงร้องดังมาก ติงอี้ถูสะดุ้ง เขารีบลุกขึ้นมา


สีหน้าของเขาตกใจมาก เขาหลุดออกมาว่า “ล่อเสือออกจากถ�า” เขา
หันหลังคิดจะไป เถี่ยเจิงตะคอกว่า “ติงอี้ถู คืนนี้เจ้าอย่าคิดจะไปไหนได้
เลย?”

ติงอี้ถูกลับพูดเสียงเข้มว่า “จับพวกเขาเอาไว้”
ไป๋หลีรอแค่คําสั่งจากติงอี้ถูเท่านั้น พอเขาออกคําสั่งมา เขาก็พูด
เสียงเข้มว่า “จับพวกเขาเอาไว้ให้หมด” ส่วนเขาออกพุ่งออกไปคนแรก
เลย เพื่อจับเถี่ยเจิง

เขารู้ว่าเถี่ยเจิงคือผู้นําของพวกจวนผู้ว่าการ ขอแค่จับเถี่ยเจิงได้
คนอื่นก็ไม่กล้าทําอะไรแล้ว

ติงอี้ถูไม่ได้สนใจว่าใครจะต่อสู้อะไรยังไง เขาฉวยโอกาสรีบออกไป
จากห้องโถง

วิชาตัวเบาของเขายอดเยี่ยมมาก เขาเหมือนเงาวิญญาณในยาม
ค�าคืน เมื่อผ่านเรือนต่างๆ ในสํานักไป ก็เห็นว่าด้านหน้ามีคนสองคน
เขาขึ้นหน้าไป ก็เห็นบนพื้นมีแต่ยอดฝีมือในสํานักของเขาล้มกองกับ
พื้น เขาตกใจมาก เขารู้ว่าตอนที่เขาอยู่ที่ห้องโถงนั้น มีคนแอบลอบเข้า
มาในสํานักคุ้มภัยของเขาแน่นอน

ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยน
ิ เสียงกระบอกไม้ไผ่ดังยาวสองครั้ง สีหน้า
ของเขาเปลี่ยนไปทันที

เขาทําสํานักคุ้มภัยขึ้นมา ท่องไปทั่วยุทธภพ เขารู้รหัสลับของชาว


ยุทธดี เสียงแบบนี้มันเป็นการส่งสัญญาณให้ถอย

ติงอี้ถูกําหมัดแน่น เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ในสํานักคุ้มภัยใหญ่มาก


มีเรือนอยู่มากมาย ไม่ได้มแ
ี ค่คลังสินค้า ยังมีคอกม้า สนามฝึก
ห้องอาหาร กับที่พักอีกจํานวนไม่น้อย ติงอี้ถูหน้าดุมาก เขาเดินผ่าน
กําแพงไปสองรอบ ในที่สุดก็มาถึงเรือนแห่งหนึ่ง เขามองไปรอบๆ เห็น
ว่าไม่มีใคร ถึงได้ผลักประตูเข้าไปในเรือน ด้านในมีกองฟืนเต็มไปหมด
มันคือห้องเก็บฟืนของสํานักคุ้มภัย ในสํานักมีคนกว่าร้อยคน แค่กินข้าว
หลายคน ห้องเก็บฟืนเลยค่อนข้างใหญ่ ภายในเรือนแทบจะมีฟืนที่ผ่า
เอาไว้แล้วเต็มไปหมดทุกที่ ปกติจะมีแค่บ่าวไพร่สองคนดูแลอยู่ ไม่ค่อย
มีใครมาที่นี่

ห้องเก็บฟืนมีพ้ น
ื ที่โล่งอยู่ครึ่งหนึ่ง อีกด้านมีการกางผ้าใบกันฝน
เอาไว้ เพราะกลัวว่าหากโดนฝนแล้วฟืนจะใช้ไม่ได้อีก เลยเอามาคลุม
เอาไว้ท้ังหมด

ติงอี้ถูเห็นในเรือนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติเลย เขาก็โล่งใจ ทันใด


นั้นเองก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหลุดออกมาว่า “แย่แล้ว ....” เขา
หันหลังกลับมา แล้วมองไปที่ประตูเรือน มีเงาคนกําลังเดินมาจากด้าน
นอก เงานั่นท่าทางอ้อนแอ่น สวมชุดปฏิบัติการกลางคืน ปิดหน้าปิดตา
แต่ว่าคนตาบอดก็มองออกว่าเป็นผูห
้ ญิง

“หัวหน้าติงก็ไม่ได้ฉลาดอย่างที่คิดเลย” ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามา
น�าเสียงของนางเย้ายวนมาก “เซียวจ้าวจงมอบหมายหน้าที่สาํ คัญ
ขนาดนีใ้ ห้เจ้า ดูท่าทางแล้วเขานี่โง่มากเลยนะ”
ที่หน้าประตูวัง เซียวจ้าวจงเอามือไขว้หลัง เงยหน้ามองฟ้า แล้วก็
ไม่ได้พด
ู อะไรอยู่นาน

เขาร่างกายเล็ก แต่ว่าอยู่ท่ามกลางคนนับพัน ไม่มใี ครไม่สนใจเขา

หลังจากนั้นอย่านาน เขาก็ก้มหน้าลง เหมือนกําลังคิดอะไรอยู่ เขา


ถามว่า “ตอนนี้เวลาอะไรแล้ว?”

“ทูลท่านอ๋อง เลยยามโฉ่วแล้ว” กุ้ยเห๋อพูดว่า “เหลืออีกสองชั่ว


ยามก็จะเช้าแล้วขอรับ”

“สองชั่วยาม .....” เซียวจ้าวจงพยักหน้า เหมือนคิดอะไรอยู่


หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พด
ู ว่า “ผู้บัญชาการฉิน”

ผู้บัญชาการค่ายเสวียนอู่ที่สวมชุดเกราะสีเทายืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้น
ว่า “ขอรับ”

“เจ้าดูเวลาให้ดี” เซียวจ้าวจงพูดว่า “ยามหยินเมื่อไหร่ ไม่ต้องรอ


ให้ข้าสั่ง เจ้าบุกเข้าวังหลวงได้เลย” ฉินฉงตอบทันทีว่า “รับทราบ”

“ท่านอ๋อง ข้าน้อยอยากอาสานําทหารบุกเข้าไปก่อนเลยขอรับ” ลู่


เสี่ยวเฉาผู้บัญชาการค่ายหู่เสินที่ยืนอยู่ด้านหลังของเซียวจ้าวจงอดพูด
ขึ้นมาไม่ได้ “ข้าน้อยได้ส่ังให้คนนําอุปกรณ์บุกวังมาแล้ว แล้วได้ส่งั การ
ไปแล้วว่า ครบสองชั่วยามเมื่อไหร่ ให้บุกทันที”
ค่ายหู่เสินไม่มีทางมีอาวุธหนักแบบนั้น อุปกรณ์บุกเมืองที่ว่านั้น
มันก็พวกบันไดที่เอามาจากคลังทหารเท่านั้นเอง

เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รีบ ผู้บัญชาการลู่ เจ้ามีโอกาสได้


สร้างผลงานแน่นอน เรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่ของค่ายเสวียนอู่เถอะนะ”

ลู่เสี่ยวเฉาเป็นสายที่เซียวจ้าวจงแอบส่งเข้าไปในค่ายหู่เสินมา
ตลอด หลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นคนของเซียวจ้าวจงเลย
หลังจากที่เสวียหลิงเฟิงถูกสังหารไป ลู่เสี่ยวเฉาก็มป
ี ระโยชน์ตามที่เขา
วางแผนเอาไว้ เขาได้ข้น
ึ มาเป็นผู้บัญชาการค่ายหู่เสิน กุมอํานาจทหาร
สามพันคนในมือ

เซียวจ้าวจงรู้ดีว่า มีล่เู สีย


่ วเฉาอยู่ ค่ายหูเ่ สินก็เป็นไพ่ไม้ตายของ
เขา

หลังจากฉินฉงได้รับตําแหน่ง ถึงแม้จะทําการล้างบางค่ายเสวียนอู่
ใหม่ แต่ว่ากลุ่มอํานาจในค่ายมันก็มัวไปหมดแต่แรก ในระยะสั้นๆ ไม่มี
ทางสามารถจัดระเบียบได้หมด เทียบกับค่ายหู่เสินที่ใสสะอาดกว่าแล้ว
ค่ายเสวียนอู่ทําให้เซียวจ้าวจงกังวลมากกว่า การบุกวังต้องให้ค่าย
เสวียนอู่ออกหน้า แต่ว่าการควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงหลังจาก
นั้น มันต้องเป็นหน้าที่ของค่ายหู่เสิน ดังนั้นเซียวจ้าวจงจึงไม่อยากเห็น
ค่ายหู่เสินเกิดความสูญเสียก่อนจะถึงเวลานั้น
ลู่เสี่ยวเฉาเองก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก

ในตอนนี้เอง ก็เห็นขุนนางหลายคนเดินเข้ามา เซียวจ้าวจงเหลือบ


ไปมอง เห็นพวกโต้วขุย เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้าโต้ว วันนี้เหนื่อย
หน่อยนะ”

ทหารกว่าหมื่นคนล้อมวังหลวงเอาไว้ เรื่องมันกะทันหัน ตลอดทั้ง


วัน เรื่องอาหารมีโต้วขุยคอยดูแล เขาเองก็ดูแลได้เป็นอย่างดี ทําให้
เซียวจ้าวจงพอใจมาก

“ท่านอ๋อง มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” โต้วขุยโค้งตัวลงแล้วพูด


ว่า “หากท่านอ๋องต้องการอะไร สั่งมาได้เลยทันที”

“ท่านทําได้ดีมากแล้ว” เซียวจ้าวจงพูดว่า “ท่านเองก็เหนื่อยมาก


แล้ว กลับไปพักก่อนเถอะนะ”

“ข้าไม่เป็นไรเลย” โต้วขุนเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่หยุดไป
เซียวจ้าวจงมองออก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้าโต้วมีเรื่องอะไรหรือ
เปล่า?”

โต้วขุยคิดแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทถูกโจรกบฏฉีหนิงปลงพระ


ชนม์ หลังวังหลวงแตกพ่าย จะต้องจัดการกับเขาอย่างเด็ดขาด เพียงแต่
......” เขาลังเล มองไปทางซ้ายและขวา ขุนนางหลายคนมองหน้ากัน
เซียวจ้าวจงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “มีอะไรพูดมาได้เลยนะ”
“ท่านอ๋อง แคว้นจะไม่มีผู้นําไม่ได้แม้แต่วันเดียว” โต้วขุยพูดอย่าง
จริงจังว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงสวรรคตแล้ว ข้าน้อยคิดว่า หลังจาก
จัดการกบฏเรียบร้อยแล้ว เรื่องแรกคือการมีฮอ
่ งเต้องค์ใหม่ ถึงจะ
สามารถคุมสถานการณ์ในราชสํานักได้ กองทัพฉินไหวอยู่ในช่วง
สงคราม หากไม่มีฮ่องเต้องค์ใหม่คอยบัญชาการ มันไม่เป็นผลดีต่อ
แคว้นเลย อาจทําให้ทหารไร้ความฮึกเหิมได้ ไม่แน่ว่าอาจเกิดภัยตามมา
อีกด้วย”

“ถูกต้องแล้ว” ขุนนางข้างๆ พูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็น


สายเลือดของฮ่องเต้ไท่จู่ ถึงแม้ฝ่าบาททรงอภิเษกแล้ว แต่ทรงไม่มีโอรส
ไม่มีผู้สบ
ื ทอดราชบัลลังก์ ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ มีท่านอ๋องคนเดียว
เท่านั้นที่เหมาะสมที่จะนั่งบัลลังก์นไี้ ด้ ......”

เซียวจ้าวจงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โจรกบฏยังไม่ถก
ู กําจัดไป มาพูด
เรื่องนี้ในเวลาแบบนี้ มันเร็วเกินไปหรือเปล่า? อีกอย่างข้าอยากกําจัด
กบฏเท่านั้น เรื่องการครองราชย์ ยังไงก็มีคนที่เหมาะสม”

“ท่านอ๋อง ภัยคราวนี้ มีเพียงท่านอ๋องที่ยอมออกหน้าช่วย”โต้วขุย


พูดอย่างจริงจังว่า “ท่านอ๋องทรงมีความสามารถ ไต้เท้าเหลียงพูดถูก
ท่านอ๋องเป็นสายเลือดขององค์ฮ่องเต้ไท่จู่ การนั่งบัลลังก์ ท่านอ๋อง
เหมาะสมแล้ว”

“ไต้เท้าโต้วทําไมถึงได้พูดเรื่องนี้ในเวลาแบบนีล
้ ่ะ?”
โต้วขุยพูดว่า “เมื่อครู่ขุนนางหลายคนได้หารือกันแล้ว ในฐานะขุน
นางของราชสํานัก ก็ต้องทําเพื่อแคว้นของเรา ทุกคนกังวลว่าหลังจาก
กําจัดฉีหนิงไปแล้ว เมื่อหลวงจะไม่สงบ ทุกคนคิดว่าแคว้นจะไม่มีฮอ
่ งเต้
ไม่ได้แม้แต่วันเดียว ในเวลาคับขันแบบนี้ จะต้องมีคนมากอบก็แผ่นดิน
ของเราเอาไว้” เขาหยุดไป ยกมือคํานับแลวพูดว่า “ข้ากับทุกครชนคิด
ว่าท่านอ๋องเหมาะสมกับการสืบทอดบัลลังก์ เหล่าขุนนางก็คิดว่าท่าน
อ๋องเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด ข้าคุมการคลัง หากต้องทําพิธีข้น

ครองราชย์ ก็ต้องจัดงบประมาณมาให้ เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ต้อง
เตรียมการไว้ล่วงหน้า ดังนั้น ...... ข้าก็เตรียมหารือเรื่องนี้กับท่านไต้เท้า
หยวนอยู่พอดี ไม่ทราบท่านอ๋องคิดเห็นเช่นไร?”

เซียวจ้าวจงนิ่งไป แล้วพูดว่า “ท่านเสนาบดีหยวนคิดยังไง?”

“ไต้เท้าหยวนอายุมากแล้ว เมื่อครู่พักผ่อนอยู่ เราเลยไม่กล้าไป


รบกวน” โต้วขุยพูดว่า “นอกจากพวกที่คิดไม่ดีแล้ว ขุนนางส่วนใหญ่ก็
สนับสนุนท่านอ๋องครองราชย์นะขอรับ”

“คิดไม่ดี?” เซียวจ้าวจงสีหน้าท่าทางนิ่งมาก “ไต้เท้าโต้วหมายถึง


ใครเหรอ?”

“พวกที่มีหลูเซียวเป็นผู้นํากลุ่ม” โต้วขุยพูดว่า “คนพวกนั้นเมื่อครู่


รวมกลุ่มกันพูดอะไรกันไม่รู้ เมื่อครู๋เราพูดถึงเรื่องที่ท่านอ๋องจะขึ้น
ครองราชย์ หลูเซียวบอกว่ารอวังแตกก่อน ทูลเชิญเสด็จฮ่องเฮากลับวัง
แล้วค่อยหารือว่าใครจะนั่งบัลลังก์ก็ไม่สาย” เขาพูดว่า “เขาไม่เคยคิดดี
เลย ยังมีพวกกรมกลาโหมอีก ข้าน้อยคิดว่าต้องตรวจสอบคนพวกนี้
หน่อยแล้ว”

เซียวจ้าวจงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ไต้เท้าหลูเองก็พูดถูกนะ ตอนนี้


ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้กัน”

“ท่านอ๋อง นอกจากกรมกลาโหมแล้ว หน่วยงานอื่นล้วนแต่


สนับสนุนท่านอ๋องนะขอรับ” โต้วขุยพูดว่า “เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นหู่ปอ
๋ เหวิ
นซื่อหลางแห่งกรมพิธีการ พอพูดถึงเรื่องนี้ จากท่าทางของเขา เหมือน
คิดเหมือนกันว่าท่านอ๋องเหมาะสมที่จะนั่งบัลลังก์ ในกรมพิธก
ี ารเขา
เป็นรองแค่ท่านเสนาบดีหยวนคนเดียว ......” เขาพูดต่อว่า “เสนาบดี
หยวนอายุมากแล้ว คิดว่าอีกไม่นานก็นา่ จะเกษียณ หลังจากท่าน
เกษียณแล้ว หู่ปอ
๋ เหวินก็มส
ี ิทธิข้ึนมานั่งตําแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการ
คนใหม่ ในเมื่อเขาเองก็สนับสนุนท่านอ๋อง ก็หมายความว่ากรมพิธก
ี าร
เองก็สนับสนุนท่านด้วย”

“ในเวลาที่ไม่ปกติก็ต้องทําทุกอย่างแบบไม่ปกติ” ไต้เท้าเหลียงพูด
ขึ้นมา “ท่านอ๋อง ตอนนีไ้ ม่ใช่เวลาปกติ ข้าน้อยคิดว่า หลังวังแตกแล้ว
ต้องรีบเรียกขุนางมาที่ตําหนักเฟิ่งเทียน ถึงเวลานั้นเราจะทําการ
สนับสนุนท่านอ๋องขึ้นครองราชย์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหากปล่อยให้
เวลาเนินนานไป”
โต้วขุยพูดว่า “ไต้เท้าเหลียงพูดถูกต้องแล้ว ถึงเวลานั้นหากใครกล้า
คัดค้าน นั่นก็หมายความว่าพวกเขาคิดไม่ซ่ อ
ื อาจเป็นพวกเดียวกับฉี
หนิง ก็จับเขาคุกตอนนั้นเลย” สายตาของเขาดูดุมาก
เล่มที่ 47 บทที่ 1401 ใครเข้าใกล้ฆ่าได้ทันที

เมื่อครบกําหนดระยะเวลายามหยิน บรรยากาศแห่งสงครามกําลัง
จะก่อตัวขึ้น ฉินฉงออกคําสั่งไป ทหารค่ายเสวียนอู่กว่าสามพันคน
เตรียมพร้อมกันเรียบร้อนแล้ว

บันไดที่เอามาจากคลังทหารถูกลําเลียงมาถึง โดยมีทหารถือโล่น้น

เป็นแนวหน้าให้ รับภารกิจแบกบันไดประชิดไป ส่วนมือธนูน้น
ั อยู่
ด้านหลัง หากมีการสั่งให้โจมตี มือธนูจะช่วยคุ้มกัน เพื่อกดดันมือธนูที่
อยู่บนกําแพงวัง แล้วผลักดันทหารเดินหน้าประชิดกําแพงวัง

ส่วนทหารม้าที่มีไม่มาก ถอยไปอยู่หลังสุด นี่เป็นศึกบุกวัง ทหารม้า


ไม่สามารถบุกใส่กําแพงวังได้ ต้องรอจนกว่ากําแพงจะแตกลงก่อน
ทหารม้าถึงจะทําการกวาดล้างทหารกบฏภายหลัง

ที่จริงพวกทหารม้านั้นรู้ดี ความสามารถของทหารหลวงไม่ได้มี
มาก มีการกระจายกําลังไปเฝ้าตามประตูท้ังสี่ด้าน แต่ละด้านมีทหาร
เฝ้าอยู่แค่ไม่กี่ร้อยคน พวกเขาต่อให้โจมตีดุดันแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้กําลัง
ของศัตรูที่มีมากกว่าพวกเขากว่าสิบเท่าได้ การบุกเข้าวังหลวง มันเหลือ
แค่เรื่องของเวลาเท่านั้น
ค่ายทหารเสวียนอู่ประตําการอยู่ใกล้ๆ กับเมืองหลวง ไม่ค่อยมี
โอกาสสร้างผลงาน ทหารให้ความสําคัญกับเรื่องของผลงานมาก หาก
ไม่มีผลงานติดตัว ต่อให้จะได้เลื่อนตําแหน่ง ก็ไม่มีใครยอมรับได้ ดังนั้น
เทียบกับทหารแนวหน้า กองกําลังใกล้เมืองหลวงแทบจะไม่มีโอกาสได้
ก้าวหน้าเลย

ฉีหนิงก่อกบฏในครั้งนี้ เขานําทหารหลวงก่อการ สําหรับค่าย


เสวียนอู่น้ันมันเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก ค่ายเสวียนอู่ทุกคนรูด
้ ี
หลังจากบุกวังกําจัดฉีหนิงแล้ว อาจจะได้ปูนบําเหน็จรางวัล หาก
สามารถสร้างผลงานได้ มันส่งผลดีต่ออนาคตแน่นอน

ถึงแม้จะรอมาตลอดทั้งวันแล้ว แต่เหล่าทหารก็ยังมีความฮึกเหิม
อยู่ หลังจากฉินฉงออคําสั่งไป ทหารนับพันก็เหมือนเสือร้าย รอแค่เวลส
แล้วออกตะคุบเหยื่อทันที

ศึกใหญ่กําลังจะมาถึง ขุนนางราชสํานักถูกจัดให้ไปอยู่ในส่วน
ด้านหลัง ไม่สามารถขึ้นไปด้านหน้าได้

ค่ายหู่เสินของลู่เสี่ยวเฉาถึงแม้จะไม่ได้รบ
ั ผิดชอบเป็นแนวหน้า แต่
ก็ยังคงรออย่างเข้มงวด รอแค่ค่ายเสวียนอู่ตีวังให้แตก แล้วก็ค่อยเข้าไป
หนุน
ฉีหนิงขึ้นไปอยู่บนกําแพงวัง ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่ก้านธูปเดียว
ทหารหลวงเห็นทหารที่อยู่ด้านล่างกําลังเตรียมความพร้อมในการบุกตี
วัง พวกเขาก็กําลังรออย่างเข้มงวด

“ท่านกั๋วกง ไม่ทราบว่า ......?” หวีเปียกู่มองเห็นฉีหนิงขึ้นกําแพง


วังมา เขารีบถาม เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมา ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หวี
เสี้ยวเว่ย ทําตามที่ข้าสั่งก่อนหน้านี้ พอถึงเวลา ข้าจะออกจากวัง ไม่ว่า
จะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับไว้คนเดียว ข้าจะไม่ให้ทหารคนไหนต้องมา
เดือดร้อนเพราะข้า” เขาหยิบกระบี่เงนออกมา แล้วยื่นให้กับหวีเปียกู่
หวีเปียกู่ตะลึงไป ไม่เข้าใจเจตนาของฉีหนิง ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “นี่คือ
ป้ายคําสั่งจูเจี้ยนของอดีตฮ่องเต้ เจ้ามีราชโองการของอดีตฮ่องเต้อยู่
หลังจากที่พวกเขาบุกเข้าวังมาแล้ว เจ้าก็อาศัยของสองสิ่งนี้ บอกว่าของ
สองสิ่งนี้มันอยูใ่ นมือของข้า เจ้าจําเป็นต้องทําตามรับสั่งของอดีตฮ่องเต้
ถึงเวลานั้นเซียวจ้าวจงจะไม่กล้าทําอะไรทหารหลวงอย่างแน่นอน”

หวีเปียกู่ตกใจแล้วพูดว่า “ท่านกั๋วกง ท่าน ...... ท่านคิดจะทํา


อะไร? ในเมื่ออดีตฮ่องเต้ทรงมีราชโองการ ต่อให้มีทหารบุกมาอีกกี่พน

คน ทหารหลวงของเราก็พร้อมจะตายไปพร้อมกับท่าน”

“ศัตรูมจ
ี ํานวนมากเกินไป ทหารหลวงไม่มีทางต้านไหวหรอกนะ
มันจะทําให้ทหารหลายคนต้องมาเดือดร้อนด้วยเปล่าๆ” ฉีหนิงส่าย
หน้า เงยหน้ามองฟ้า จากนั้นก็นิ่งไป แล้วพูดขึ้นมาว่า “คราวนี้เจ้ากับเห๋
อชิ่งต่างถูกลากเข้ามาพัวพันด้วย หากเซียวจ้าวจงไม่ยด
ั ข้อหาให้พวก
เจ้า พวกเจ้าก็ลาออกจากราชการ แล้วไปจากเมืองหลวงซะ”

หวีเปียกู่กลับพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านกั๋วกง ข้าอภัยที่ข้าต้องพูด


ตามตรง ขอถามสักคํา เซียวจ้าวจงก่อกบฏหรือไม่?”

ฉีหนิงตะลึงไป หวีเปียกู่พูดว่า “หากเซียวจ้าวจงไม่ใช่กบฏ ถ้า


อย่างนั้นกั๋วกงก็จะเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อกบฏ คนแรกที่ทหารหลวง
จะฆ่าก็คือท่าน หากท่านบริสุทธิ์ใจ เซียวจ้าวจงก็คือกบฏ ในเมื่อรู้ท้ังรู้
ว่าเซียวจ้าวจงก่อกบฏ ทหารหลวงต่อให้มก
ี ําลังน้อยแค่ไหน ก็จะต้องสู้
จนถึงวินาทีสด
ุ ท้าย” เขามองลงไปที่ด้านล่างกําแพง ทหารเต็มไปหมด
เหมือนมด หวีเปียกู่พด
ู ว่า “พวกเขาอาจจะสามารถบุกเข้ามาในวังได้
แต่การติดตามก่อกบฏนั้น ต่อให้วังแตก ทหารหลวงก็จะให้พวกเขาได้
ลิ้มรสความสูเญเสียเหมือนกัน”

ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จะทําแบบนั้นไปเพื่ออะไร?”

“หน้าที่ของทหารหลวง ก็คือการเฝ้ารักษาวังหลวงเอาไว้” หวีเปีย


กู่พูดอย่างจริงจังว่า “ทหารกบฏกลุ่มไหนก็ตามที่คิดจะบุกเข้ามาในวัง
แม้แต่เพียงก้าวเดียว ก้จะต้องข้ามศพของทหารหลวงอย่างเราไปก่อน
ไม่อย่างนั้น ...... จะเข้ามาไม่ได้เด็ดขาด”
เขาชักดาบออกมา ชูดาบขึ้น ตะโกนเสียงดังออกไปว่า “ใครก็
ตามที่เข้าใกล้วังหลวง ฆ่าได้ทันทีไม่มล
ี ะเว้น”

เหล่าทหารหลวงเองก็ชักดาบออกมาแล้วชูข้น
ึ เช่นกัน แล้วพร้อม
ใจเปล่งเสียงออกมาว่า “ใครเข้าใกล้วังหลวง ฆ่าทันทีไม่มล
ี ะเว้น”
พริบตาเดียวมันก็ดังกระจายไปไกล ถึงแม้พวกเขาจะมีไม่กี่รอ
้ ยคน
เสียงมันดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า

ทหารด้านล่างได้ยินเสียงที่กําแพงวังเหมือนคลื่นสั่นสะเทือน ล้วน
แต่ตกใจ ฉินฉงขี่ม้าอยูด
่ ้านหน้า เห็นบนกําแพงวังมีความฮึกเหิมมาก
เขายกดาบในมือของเขาขึ้นมา “สังหารกบฏ คือหน้าที่ในวันนี้ ค่าย
เสวียนอู่บุกขึ้นหน้า แล้วไม่มีถอย”

ทหารค่ายเสวียนอู่ยกหอกขึ้นแล้วพร้อมใจพูดว่า “ค่ายเสวียนอู่บุก
ขึ้นหน้า แล้วไม่มีถอย ค่ายเสวียนอู่บุกขึ้นหน้า แล้วไม่มถ
ี อย” เพราะมี
คนจํานวนมาก เสียงมันเลยดังสนั่นหวั่นไหวกลบเสียงของทหารหลวง
ไปจนหมด บรรยากาศแห่งการฆ่าฟันกําลังจะเริ่มต้นขึ้น

เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านหลังเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็รู้ว่าสงคราม
การเมืองกําลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว มีหลายคนอดที่จะถอยหลังไปไม่ได้
เสนาบดีหยวนแห่งกรมพิธก
ี ารกลับเดินขึ้นหน้าไป เขาตะโกนไปว่า “ข้า
ต้องการคุยกับฉีหนิง หลีกทางไป” แต่ว่าทางที่จะไปด้านหน้านั้นทหาร
ค่ายหู่เสินได้ปิดทางเอาไว้แล้ว เสียงของท่านเสนาบดีหยวนมีคนได้ยน

ไม่มาก ท่านเสนาบดีหยวนร้อนใจมาก คิดอยากจะเบียดขึ้นหน้าไป แต่
ว่าทหารค่ายหู่เสินถือโล่ต้ังเป็นกําแพงขวางเอาไว้ แทบจะสอดออกไป
ไม่ได้เลย หยวนโม่เสียนรีบพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าหน้าอันตราย อย่าไปเลย
นะ”

เสียงของทหารค่ายเสวียนอู่เริ่มเบาบางลง เสียงกลองเริม
่ ดังขึ้น
เสียงกลองศึกดังขึ้นเป็นจังหวะ ทหารค่ายเสวียนอู่เริม
่ มีกําลังใจฮึกเหิม
ขึ้นมาก

เซียวจ้าวจงอยู่ในวงล้อมของเหล่าทหารม้า เขามองไปที่ฉีหนิงที่
อยู่บนกําแพงวัง เขาไม่ได้ทวงถามหลักฐานที่ฉห
ี นิงจะหามาเลย เขาชัก
ดาบออกมายกดาบขึ้น แล้วพูดว่า “ใครก็ตามที่บุกเข้าวังได้เป็นคนแรก
จะได้รับบําเหน็จรางวัลหนึ่งพันตําลึงทอง และเลื่อนสามขั้น”

คําพูดของเซียวจ้าวนั้น ทําให้บรรยากาศของทหารนั้นฮึกเหิมมาก
ขึ้นไปอีก เสียงโห่ร้องตะโกนดังไปทั่วลาน ฉินฉงที่อยู่ด้านหน้าชี้ดาบ
ออกไปด้านหน้า เขาสั่งการออกไปว่า “บุก”

เสียงกลองศึกดังอย่างต่อเนื่อง ทหารโล่แบกกําแพงเดินขึ้นหน้าบีบ
ไปที่กําแพงวัง พลธนูด้านหลังเดินตามไปคุ้มกันเป็นระยะ ค่อยๆ เดิน
ขึ้นหน้าไป
ฉีหนิงเห็นพวกเขาเริ่มเดินหน้าแล้ว เขาก็กําหมัดแน่น เขามองไปที่
หวีเปียกู่ แล้วพูดว่า “ได้ ข้าจะสู้ไปกับพวกเจ้าจนถึงหยดสุดท้ายเลย”
เขาตะโกนว่า “พลธนูเตรียมพร้อม”

บนกําแพงวังนั้นล้วนแต่เป็นพลธนูมือดีของค่ายทหารหลวง พวก
เขาเตรียมธนูเอาไว้พร้อมแล้ว ตอนนี้เล็งไปที่ทหารด้านล่างพร้อมยิง
ตลอดเวลา

เสียงกลองดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมด้วยเสียงแตร มันดังมาจาก
ทุกประตูวัง เหมือนรู้ว่าเวลาในการบุกนั้นมาถึงแล้ว ทหารในแต่ละจุด
เริ่มที่จะเคลื่อนไหวในการบุกเข้าวังอย่างเต็มกําลัง

ทหารค่ายเสวียนอู่เริม
่ บุกเต็มกําลัง ทหารค่ายหู่เสินด้านหลังก็ตรึง
กําลังอย่างเต็มที่ ลู่เสี่ยวเฉาอยูบ
่ นหลังม้าถือดาบอยู่แถวหน้าสุด สายตา
เขาจ้องไปด้านหน้าอย่างดุดัน เขาอยู่ใกล้กับเซียวจ้าวจงมาก

ฉีหนิงเองก็ถือคันธนูไว้ในมือแล้วเหมือนกัน เขามองทหารที่กําลัง
เดินหน้าเข้ามา เขาก็ย้ม
ิ แห้งๆ ที่มุมปาก เขาง้างธนูข้ึนมา ไม่ได้ลังเล ยิง
ออกไปใส่ทหารโล่ทันที ทหารโล่ล้มลงทันที ทหารโล่ด้านข้างล้วน
แล้วแต่ตกใจ
ทหารโล่มีตกใจกันมาก เขารีบเอาโล่มากําบังกายเอาไว้อย่างดี
พอฉีหนิงยิงธนูออกไปดอกแรกแล้ว มือธนูที่เหลือก็ไม่ลังเลใจอีก ยิงธนู
ออกไปจํานวนมากราวกับสายฝน

พลธนูด้านหลังทหารโล่เห็นดังนั้นก็รีบยิงโต้ ธนูพุ่งสวนกันไปมา
แลกกลับมาด้วยเสียงร้อง และมีคนล้มลงเป็นระยะ

สงครามการเมืองได้เริ่มขึ้นแล้ว

เสนาบดีหยวนเห็นทั้งสองฝ่ายเริ่มปะทะกันแล้ว เขาเจ็บปวดใจ
มาก เขาตะโกนออกไปว่า “อย่าสู้กัน อย่าสู้กันเลย” แต่ว่าในเวลานีไ้ ม่มี
ใครสนใจเขาเลย

ถึงแม้ธนูบนกําแพงวังจะไม่สามารถยิงมาถึงด้านหลังได้ แต่ว่า
เหล่าขุนนางหลายคนก็ตกใจกลัวกันใหญ่ พวกเขาล้วนแต่ถอยหลังไป
หยวนโม่เสียกับขุนนางอีกคนรีบพยุงท่านเสนาบดีหยวนถอยหลังไป

ทหารโล่ด้านหน้าได้รบ
ั การคุ้มกันจากพลธนู ก็เดินหน้าต่อไป
ตอนนี้เข้าใกล้กําแพงวังมากแล้ว

ฉีหนิงยิงธนูออกไปอีกหลายดอก แต่ละดอกเอาชีวิตคนไปหลาย
คน เขาหันไปมองแสงทางตะวันออก ครบกําหนดเวลาที่นด
ั หมายกับ
เซียวจ้าวจงแล้ว
ขุนนางที่อยู่ด้านหลังหลายสิบคน พวกเขาถอยหลังไปสะเปะสะปะ
ในเวลานี้เอง ทางถนนกลับมีกลุ่มทหารม้ากําลังมุ่งหน้ามา จํานวนคนก็
ไม่นอ
้ ย แต่พวกเขาไม่ได้สวมชุดเกราะ ขุนนางหลายคนงงไปหมด คิดใน
ใจว่าทหารมาจากไหนกันอีก ทันใดนั้นเองก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “นั่น ......
นั่นคนของจวนผู้ว่าการนี่นา ......”

ทหารม้าที่มานั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของจวนผู้ว่าการเมืองหลวง ทหาร
ม้ากว่าสิบคนสีหน้าท่าทางดุดันเอาเรื่อง ด้านหลังของพวกเขา มีกลุ่ม
ยอดฝีมอ
ื ของจวนผู้ว่าการอีกกลุ่มใหญ่ที่มาพร้อมอาวุธครบมือ

จวนผู้ว่าการมีหน้าที่รก
ั ษาความสงบในเมืองหลวง เมืองหลวงใหญ่
มากจําเป็นต้องมีคนรักษาระบบระเบียบ ดังนั้นในจวนผู้ว่าการเองก็มี
เจ้าหน้าที่อยู่เกินร้อยคน เห็นเจ้าหน้าที่จวนผู้ว่าการมุง่ หน้ามาอย่าง
ดุดัน คนมีกว่าร้อยคน เหมือนว่าส่งคนในจวนนั้นออกมาจนหมด

โต้วขุยมองเห็นแต่ไกล สีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป เขาพูดด้วย


ความตกใจว่า “เถี่ยเจิงคิดจะทําอะไร?”

เจ้าหน้าที่จวนผูว
้ ่าการบุกประชิดเข้ามาใกล้ เหล่าขุนนางก็หลีก
ทางให้ เพราะกลัวจะเดือดร้อนไปด้วย ในเวลานี้เอง ก็ได้ยินคนพูด
ขึ้นมาอีกว่า “จวนเสินโหว ...... นั่นมันคนของจวนเสินโหวนี่นา”
ด้านหลังของเจ้าหน้าที่จวนผู้ว่าการนั้น มีเจ้าหน้าที่ของจวเสินโหวอีก
หลายคนสวมหมวกถืออาวุธตามมา คนของจวนเสินโหวถูกฝึกมาอย่าง
ดี มีระเบียบกว่าคนของจวนผู้ว่าการสักอีก เหล่าขุนนางเห็นดังนั้น ก็งง
กันหมด คิดไม่ถึงเลยว่า ในเวลาแบบนี้ จวนเสินโหวกับจวนผู้ว่าการจะมี
การร่วมมือกัน
เล่มที่ 47 บทที่ 1402 เสียความได้เปรียบไป

คนของผู้ว่าการเมืองหลวงดุดันเหมือนหมาป่า คนของจวนเสินโหว
ก็ดด
ุ ันเหมือนเสือ

เหล่าขุนนางหลีกทางให้ ทหารม้ากว่าสิบคนผ่านหน้าพวกเขาไป
ขุนนางทั้งสองฝั่งนั้นต่างยืนงงไปหมด พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่านี่มน
ั เกิด
อะไรขึ้นกันแน่ คนของจวนเสินโหวเดินตามเจ้าหน้าที่จวนผู้ว่าการไป
ติดๆ แสงกําลังสาดส่องลงมาสะท้อนที่ดาบ มันแสบตาเอามากๆ

หลังจากคนของจวนเสินโหวเดินผ่านไปแล้ว ก็มีคนอีกกลุ่มใหญ่
เดินตามหลังไปอีก คนด้านหน้าสุดมีหลายคนที่ขี่ม้า ล้อมด้วยทหารม้า
อีกห้าหกคนเท่านั้น คนนั้นขี่มา้ สีดํา สวมหมวก มีเสื้อคลุมตัวใหญ่ เถี่ย
เจิงขี่ม้าอยู่ข้างๆ คนๆ นั้น เหล่าขุนนางก็มอเห็นผู้หญิงอยู่ในกลุ่มนั้น
ด้วย มันยิ่งทําให้พวกเขานั้นงงหนักเข้าไปใหญ่ อีกทั้งด้านหลังยังมี
เหมือนกลุ่มคนที่แต่งกายเหมือนกับขอทาน คิดว่าน่าจะมีประมาณสอง
สามร้อยคนได้ ในมือพวกเขาเต็มไปด้วยอาวุธ บางคนถือหอกบางคน
ถือดาบ บางคนถือไม้

เหล่าขุนนางมองหน้ากัน พวกเขาคิดว่าเหมือนพวกเขาฝันไป
ทหารของจวนผู้ว่าการเดินหน้าไปจนถึงใกล้กําแพงกั้นของทหาร
ค่ายหู่เสิน จากนั้นก็หยุด พวกเขาไม่ได้คิดจะฝ่ามันเข้าไป

ลู่เสี่ยวเฉาผู้บัญชาการค่ายหู่เสินเหมือนรู้แล้วว่ามีความเคลื่อนไหว
ด้านหลัง เขาพูดกับเซียวจ้าวจงว่า “ท่านอ๋อง ด้านหลังมีความ
เคลื่อนไหว ข้าน้อยขอไปดูก่อน” เขากระตุกม้า แล้วก็ตรงไปทางนั้น
เห็นเจ้าหน้าที่จวนผู้ว่าการอยูด
่ ้านหลัง ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเจ้า
คิดจะทําอะไร?”

ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยน
ิ เสียงคนๆ หนึ่งดังขึ้น “เรามาปราบกบฏ”
มีเสียงดังมาจากด้านหลัง เขาคือเหวินชวีเสี้ยวเว่ยของจวนเสินโหวหาน
เทียนซู่

ลู่เสี่ยวเฉาไม่รู้จักหานเทียนซู่ แต่ว่าเห็นเขาแต่งกายด้วยชุดของ
จวนเสินโหว ก็ขมวดคิ้ว “พวกเจ้ารับคําสั่งจากใครมา?”

“ก็ต้องเป็นฝ่าบาทสิ” หานเทียนซู่สีหน้าเลือดเย็นมาก “ฝ่าบาทมี


รับสั่ง ให้สังหารกบฏได้ทันที”

“ฝ่าบาท?” ลู่เสี่ยวเฉาพูดว่า “ฝ่าบาทถูกฉีหนิงปลงพระชนม์ไป


แล้ว แล้วจะมีรับสั่งให้พวกเจ้าได้ยังไง? หากไม่มีคําสั่งจากท่านอ๋อง ใคร
ก็หา้ มทําอะไรเด็ดขาด”
ในเวลานี้ ด้านหลังก็มีการหลีกทางให้ คนที่สวมเสื้อคลุมสวมหมวก
กําลังเข้าใกล้เข้ามา ลู่เสี่ยวเฉามองเห็นคนนั้นก็รู้ทันทีว่าไม่ธรรมดา
แน่นอน เขาขมวดคิ้ว กําดาบในมือแน่น คนนั้นขี่ม้ามุง่ หน้ามา อยู่ไม่
ไกลจากลู่เสี่ยวเฉา จากนั้นเขาก็ถอดหมวกออก วินาทีที่เขาถอดหมวก
ออก คนด้านข้างก็พด
ู ออกมาด้วยความตกใจ “ฝ่า ...... ฝ่าบาท ......”

ใบหน้าของคนๆ นั้นปรากฎออกมา เขาคือฮ่องเต้แคว้นฉู่หลงไท่

เหล่าขุนนางสองข้างทางล้วนแล้วแต่ตกใจหน้าเสีย พวกเขาไม่
เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าหลายคนเห็นฮ่องเต้แล้ว ก็คก
ุ เข่าลง
ตามสันชาตญาณ

ลู่เสี่ยวเฉามองเห็นฮ่องเต้ ก็ตกใจหน้าเสีย หานเทียนซู่พูดว่า “ลู่


เสี่ยวเฉา ฝ่าบาททรงอยู่ที่นี่แล้ว เจ้ายังไม่คก
ุ เข่าลงอีก”

ลู่เสี่ยวเฉาปลายตากระตุก เหล่าทหารค่ายหู่เสินล้วนแต่มองหน้า
กัน

“เขาไม่ใช่ฝ่าบาท” ลู่เสี่ยวเฉายกดาบขึ้นมาแล้วชี้ไปที่หลงไท่ “ฝ่า


บาททรงสวรรคตไปแล้ว เขา ...... เขาเป็นตัวปลอม ทหาร มาจับพวก
กบฏพวกนี้เดี๋ยวนี้”

ทหารค่ายหู่เสินไม่มีใครกล้าขยับเลย ลู่เสี่ยวเฉาตะคอกออกไป
อย่างแรงว่า “ใครขัดขืน ฆ่าได้ทันที”
พอมีคําสั่งออกมา ทหารค่ายหู่เสินหลายคนก็จะบุกเข้าหาหลงไท่
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “ใครกล้า” น�าเสียงนั่นไม่ใช่ของหลง
ไท่ แต่มาจากด้านหลังของลู่เสี่ยวเฉา ลู่เสี่ยวเฉาถึงกับสะดุ้ง เขาหันหลัง
กลับไปมอง เขาให้ในกลุ่มทหาร มีคนกําลังเดินมา ร่างกายของเขาสูง
ใหญ่ สวมชุดเกราะ ถือดาบในมือ ใบหน้าของเขาธรรมดามาก ลู่
เสี่ยวเฮาเห็นอีกฝ่ายสวมชุดทหารของค่ายหู่เสิน ก็ขมวดคิ้ว สายตาของ
เขาดุมาก เขาพูดว่า “เจ้าว่าไงนะ”

คนๆ นั้น ค่อยๆ เดินมาทางลู่เสี่ยวเฉา แล้วพูดว่า “ลู่เสี่ยวเฉา ข้า


คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าติดตามข้ามานานตั้งหลายปี แต่กลับเป็นสายของ
เซียวจ้าวจง ยังพาทหารค่ายหู่เสินออกมาก่อการชั่วร้าย วันนี้ข้าจะ
กําจัดเจ้าซะ”

ลู่เสี่ยวเฉาแค่รู้สึกว่าเสียงของเขานั้นมันคุ้นมาก เขาถึงกับสะดุ้ง
เขาหลุดออกมาว่า “เจ้า ...... เจ้ายังไม่ตายเหรอ?”

คนๆ นั้นถอดหน้ากากหนังออกมา ภาพมันดูค่อนข้างจะหน้ากลัว


ทหารข้างๆ หน้าเสียไป แต่ว่าหลังจากฉีกหน้ากากหนังออกแล้ว ก็มี
ใบหน้าที่ทหารค่ายหู่เสินคุ้นเคยมากโผล่ออกมา เขาคือเสวียหลิงเฟิง
ทหารค่ายหู่เสินที่ก่อนหน้านี้ถก
ู ฆ่าไป

เสวียหลิงเฟิงยังมีชีวิตอยู่
ลู่เสี่ยวเฉาถึงกับตาโต อ้าปากค้าง เขาพูดอะไรไม่ออกเลย

เหล่าทหารเห็นหน้าของเสวียหลิงเฟิง ก็ต่างตกใจ ใครก็คิดไม่ถึงว่า


เสวียหลิงเฟิงจะยังไม่ตาย มีคนพูดขึ้นมาว่า “ท่าน ...... ท่านผู้
บัญชาการเสวีย ท่านผู้บัญชาการเสวียจริงๆ ด้วย ...... ท่านผู้บัญชาการ
เสวียยังไม่ตาย”

เสียงนี้มน
ั ทําให้เหล่าทหารนั้นสะดุ้งกันหมด หลายคนมีสห
ี น้าดีใจ
มมาก แล้วก็พูดว่า “ท่านผู้บัญชาการเสวีย ท่านผู้บัญชาการเสวีย”

เสวียหลิงเฟิงทํางานในค่ายหู่เสินมานานหลายปี เขามีผลงาน
มากมาย มาเป็นผู้บัญชาการค่ายหู่เสินก็เป็นที่ยอมรับ หลายปีที่ผ่านมา
เขาเห็นทหารของเขาเหมือนลูกเหมือนหลาน เขาเป็นคนตรงไปตรงมา
มีบารมีมากในค่ายหู่เสิน

ข่าวการเสียชีวิตของเสวียหลิงเฟิง ทําให้เหล่าทหารในค่ายนั้น
เสียใจมาก ลู่เสีย
่ วเฉาขึ้นมาแทนที่เขา ถึงแม้จะมีบารมีเหมือนกัน แต่ว่า
เทียบกับเสวียหลิงเฟิงแล้ว มันเทียบไม่ติดเลย

เหล่าทหารเห็นเสวียหลิงเฟิงไม่ตาย พวกเขาก็ดีใจกันมาก

หลายคนที่สนิทสนมกับเสวียหลิงเฟิงถึงกับน�าตาไหล มีทหารคน
หนึ่งวิ่งออกมา แล้วชี้ไปที่ล่เู สีย
่ วเฉา “ลู่เสี่ยวเฉา เจ้าบอกว่าท่านผู้
บัญชาการเสวียถูกสังหารไปแล้วนี่นา แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันเนีย
่ ? วันนี้
เจ้าต้องมีคําตอบให้กับทหารค่ายหู่เสินสามพันคน”

ลู่เสี่ยวเฉาหน้านิ่งไป เขามองไปที่ไกลๆ เขาพบว่าเซียวจ้าวจงไม่ได้


อยู่ที่เดิมแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน

เขาหัวเราะขึ้นมา แล้วลงจากม้า ในมือถือดาบ แล้วจ้องไปที่เสวีย


หลิงเฟิง “ในเมื่อยังอยู่ ทําไมถึงไม่โผล่หน้าออกมาล่ะ?”

“ถึงเวลาโผล่หน้ามาเมื่อไหร่ ข้าก็จะออกมาเอง” เสวียหลิงเฟิงชี้


ดาบออกไป “ข้าก็แค่อยากดูสว
ิ ่า พวกเจ้าคิดจะทําอะไรกันแน่ ในเมื่อ
เปิดหน้าไพ่มาแล้ว ก็ถึงเวลาจบเรื่องกันสักที”

ลู่เสี่ยวเฉายิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ถึงเวลาจบเรื่องกันสักที” เขา


ร้องคําราม แล้วก็บุกเข้าใส่เสวียหลิงเฟิง

เสวียหลิงเฟิงสายตาเยือกเย็น เขาเดินขึ้นหน้า แล้วก็ฟันดาบ


ออกไปปะทะด้วย ทั้งสองคนประลองกันทหารค่ายหู่เสินก็ล้อมวงพวก
เขาเอาไว้ กลัวว่าลู่เสี่ยวเฉาจะฉวยโอกาสหนีไป

ด้านหลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ท่านค่ายเสวียอู่ยังไม่รู้เรื่อง ฉินฉง


ยังคงมุ่งหน้าทําลายกําแพงวังอยู่ เขาบัญชาการทหารของเขาบุกโจมตี
อย่างหนัก ธนูพุ่งสวนกันไปมาจํานวนมากห ถึงแม้ทหารหลวงบน
กําแพงจะแปรมาเป็นมือธนูกันหมดแล้ว แต่ว่าทหารค่ายเสวียนอู่น้น
ั ยิง
ธนูสวนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีทหารโล่คอยคุ้มกันให้ตลอด

หลังบันไดหลังแรกประชิดกําแพงวังได้แล้ว ทหารด้านล่างรีบตั้ง
บันไดให้ม่น
ั คง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทหารด้านหลัง พวกเขากําลัง
บุกขึ้นกําแพงไป

กําลังของทหารเฝ้าเมืองนั้นมันมีน้อยเกินไป ฉินฉงตั้งใจเว้นระยะ
ในการโจมตีให้กว้างขึ้น เพื่อต้านอีกฝ่ายซื้อเวลาให้ทหารปีนขึ้นกําแพง
วังไป ทหารหลวงหลายร้อยคนจําใจต้องถอย พอเป็นแบบนี้ มันทําให้
กําลังการป้องกันของพวกเขาลดลงไปด้วย บันไดพาดที่กําแพงมากขึ้น
ทหารค่ายเสวียนอู่แต่ละคนกล้าหาญดุดัน พวกเขาเริ่มทําการบุกจาก
บันไดแล้ว

ฉีหนิงยิงธนูหมดไปสองชุดแลแว เขารูว
้ ่ายังไงก็สก
ู้ ําลังที่มีมากกว่า
สิบเท่าไม่ได้ ถึงแม้จะมีเครื่องยิงธนูอยู่แต่นอกจากเพิ่มคนตายมากขึ้น
มันก็ต้านอะไรไม่ได้เลย

เขาเงยหน้ามองไปที่ไกล เขาเหมือนจะเห็นทางค่ายหู่เสินเหมือน
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ตอนนี้ใกล้เช้ามืดแล้ว ถึงแม้ระยะจะไกล
แต่ฉห
ี นิงก็รู้ว่ามันเกิดความวุ่นวายขึ้น เขาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
เขาดีใจมาก “กําลังเสริมมาแล้ว กําลังเสริมมาช่วยแล้ว”
ครบเวลาสิบสองชั่วยามแล้ว เขาไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่เขาคิดเอาไว้
มันจะเกิดขึ้น ฉีหนิงคิดว่าสิ่งที่เขาเดิมพันเอาไว้มันจะล้มเหลว แต่ว่า
ตอนนี้ เขาเพิ่งรู้ว่านาทีที่เขารอคอยมันมาแล้ว

เสวียหลิงเฟิงลงมือเด็ดขาดมาก ถึงแม้ล่เู สี่ยวเฉาจะมีเพลงดาบที่


ยอดเยี่ยม แต่ว่าก็สู้เสวียหลิงเฟิงไม่ได้เลย หลังผ่านไปสิบกระบวนท่า ลู่
เสี่ยวเฉาก็เหลือแค่ท่าทาง แต่ว่าไม่มแ
ี รงในดาบแล้ว เสวียหลิงเฟิง
ตะคอกไปว่า “หากเจ้าถูกคนหลอกใช้ ข้ายังคิดว่าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่เจ้า
กลับยอมก่อกบฏ คิดไม่ซ่ ือแต่แรก ข้าจะปล่อยเจ้าไปได้ยังไง” จากนั้น
เขาก็ฟน
ั ดาบลงไป ลู่เสีย
่ วเฉายกดาบต้านเอาไว้ เสวียหลิงเฟิงฟันดาบ
ลงไปอีกครั้งอย่างแรง มันทําให้มือของลู่เสี่ยวเฉาเกิดอาการชา ลู่เสี่ยว
เฉารู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ เขาเลยคิดจะถอยหนี แต่ว่าคอของเขากลับ
เย็นขึ้นมา เสวียหลิงเฟิงเอาดาบพาดไปที่คอของเขาเรียบร้อยแล้ว

ลู่เสี่ยวเฉารู้ว่าเขาเสียความได้เปรียบของเขาไปแล้ว เขาปล่อย
อาวุธในมือลง ในตอนนีเ้ อง เขาถึงได้รู้ว่าที่คอของเขานั้นมันมีรอยแผล
ที่เลือดกําลังไหลออกมา

เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “เจ้าจะตายไหม ให้ทุกคนเป็นคนตัดสิน” เขา


มองไปรอบๆ แล้วตะโกนออกไปว่า “เขาสมควรตายหรือเปล่า?”

“ฆ่าเลย ฆ่าเลย ฆ่าเลย”


ทหารค่ายหู่เสินทั้งหมดพร้อมใจกันส่งเสียง

เสวียหลิงเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลู่เสี่ยวเฉา อย่าโทษข้าเลย


นะ” เขาปาดดาบไป เลือดพุ่งออกมา คอของลู่เสี่ยวเฉาขาด ลู่เสี่ยวเฉา
ถอยหลังไปแบบไม่มีทรงเลย จากนั้นก็ล้มลง มือปิดที่คอ ดิ้นอยูท
่ ี่พ้ น

ไม่กี่ทีแล้วก็แน่นิ่งไป

เสวียหลิงเฟิงมีดาบอยู่ในมือ เขามองไปที่ศพของลู่เสี่ยวเฉา เขา


หลับตา แต่ว่าไม่นานก็ลืมตาขึ้น เขามองไปที่ค่ายทหารเสวียนอู่ แล้ว
ตะโกนว่า “ตีฆ้อง ตีฆ้อง”

ด้านหน้ามีเสียงของฆ้องดังขึ้น เสียงมันแหลมมาก มันเริ่มกระจาย


ไปไกล ทหารหลวงได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้นมา ก็รูส
้ ึกแปลกใจ แต่มันตี
กลองคือการบุก ตีฆ้องคือการถอยมันเป็นคําสั่งที่ทหารใช้กัน หากขัด
ขืน ต้องรับโทษ ทหารด้านหน้าที่บุกอยู่น้น
ั หันกลับมามอง ทหารบน
กําแพงวังพอได้ยินเสียงฆ้อง ก็ไม่กล้าโจมตีต่อ

ฉีหนิงได้ยินเสียงฆ้อง แล้วเห็นทหารที่อยู่ด้านล่างเริม
่ ถอย เขารู้สึก
โล่งใจ แล้วก็รีบออกคําสั่งให้หยุดสู้

ในตอนนี้เอง กลับเห็นเงาของคนๆ หนึ่งที่ไม่ถอยแต่รุกขึ้นหน้ามา


อีก เขาไวมาก แฝงตัวอยู่กับเล่าทหาร เขาเหมือนปลาไหลที่มด
ุ ตามช่อง
มาที่วัง
เซียวจ้าวจง

ฉีหนิงหัวเราะแห้ง เขาหยิบธนูข้น
ึ มา แล้วเล็งไปที่เซียวจ้าวจง แล้วยิง
ออกไป ธนูดอกนั้นไวมาก มันพุ่งไปที่เซียวจ้าวจง
เล่มที่ 47 บทที่ 1403 เรื่องราวทีแ
่ ท่นบัลลังก์

ธนูของฉีหนิงนั้นแหลมคมมาก มันพุ่งทะลุผ่านอากาศ ตรงไปที่


เซียวจ้าวจง พริบตาเดียวก็จะถึงตัวของเซียวจ้าวจงแล้ว แต่เซียวจ้าวจง
กลับตวัดมือ ทําให้ธนูดอกนั้นมันเอนไปด้านข้าง ปักไปที่ทหารด้านข้าง

ฉีหนิงตกใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเซียวจ้าวจงจะมีกําลัง
ภายในแก่กล้าขนาดนี้ จากนั้นเขาก็ฝ่าฝูงชนออกไป จนมาถึงด้านล่าง
กําแพงวัง หลังจากทหารได้รับคําสั่ง พวกเขาก็ไม่ได้ยิงธนูลงไปอีก เซียว
จ้าวจงเลยสามารถประชิดกําแพงวังได้โดยง่าย เขากระโดดลอยตัวขึ้น
มาบนบันไดลิง จากนั้นก็ไต่ข้น
ึ มาเหมือนกับกําลังเหยียบเมฆ

ทหารของค่ายเสวียนอู่ถอยหลังออกไปจนหมด เซียวจ้าวจงกลับ
ทําสิง่ ที่ตรงกันข้ามกัน เขาไต่กําแพงบุกขึ้นไปคนเดียว ฉีหนิงไม่รู้จริงๆ
ว่าเข้าคิดจะทําอะไร

เซียวจ้าวจงขึ้นมาบนกําแพงวัง ทหารหลวงตกใจกันมาก ทหาร


รอบๆ เลยรีบวิ่งเข้าหาเขา

เซียวจ้าวจงกลับจับตัวทหารคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดมา แล้ว
โยนใส่เหล่าทหารที่กําลังบุกเข้ามา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น
เซียวจ้าวจงกางแขนออกเหมือนพญาเหยี่ยวกระโดดลงจากบนกําแพง
เข้าไปในวังหลวง

การกระทําของเซียวจ้าวจง ไม่เพียงทําให้เหล่าทหารทั้งหมดตกใจ
แม้แต่ฉห
ี นิงก็สห
ี น้าเปลี่ยนไปเช่นกัน

กําแพงวังหลวงทั้งหนาทั้งสูง ต่อให้วิชาตัวเบาร้ายกาจแค่ไหน คิด


จะโดดลงจากกําแพงไป ก็มีโอกาสไม่รอดทั้งนั้น วรยุทธ์ของฉีหนิงใน
วันนี้แทบจะไม่มีใครเทียบได้เลย ต่อให้เป็นอย่างนั้น เขาก็ยังไม่กล้า
เสี่ยงที่จะกระโดดลงไป ขณะที่เซียวจ้าวจงกระโดดกําแพงเข้าวังไป เขา
เองก็มาถึงขอบกําแพงอย่างรวดเร็ว เขาเห็นเซียวจ้าวจงลอยอยู่กลาง
อากาศ เขากําลังตกลงไปด้านล่างพร้อมทหารหลวงคนหนึ่ง ตอนนี้หา่ ง
จากพื้นอีกนิดเดียวเท่านั้น เซียวจ้าวจงกลับเหยียบไปบนร่างของทหาร
หลวงคนนั้น ทําให้รา่ งของเขาหล่นลงไปเร็วขึ้น เขายืมร่างโน้วถ่วงของ
ทหารคนนั้นลดแรงกระแทกตอนที่เขาลงไปถึงพื้น

ฉีหนิงเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาทําแล้ว หลังเซียวจ้าวจงลงไปถึง
พื้นแล้ว เขาก็ไม่หันกลับมามองเลย ตรงเข้าวังหลวงไปทันที

หวีเปียกู่ตกใจมาก เขารีบออกคําสั่งไปว่า “เข้าวังไล่จับเขามา


เดี๋ยวนี”

ฉีหนิงยกมือห้ามไว้แล้วพูดว่า “ช้าก่อน” เขานิ่งไป แล้วพูดว่า
“พวกเจ้าอยู่รอรับเสด็จฝ่าบาทที่นี่ ข้าจะไปไล่จับเซียวจ้าวจงเอง”

ฉีหนิงลงจากกําแพงวังแล้วตรงเข้าวังไป หลังจากเข้าวังไปแล้ว
ด้านหน้ามันเป็นลานกว้าง มันมีเส้นทางที่สามารถเดินตรงไปที่
ตําหนักเฉิงเทียน ซึ่งนั่นเป็นสถานที่ที่ปกติฮ่องเต้จะใช้เป็นที่เปิดประชุม
ของเหล่าขุนนาง เหล่าขันทีนางกํานัลบางส่วนหลบซ่อนตัวอยู่ใน
ตําหนัก ทหารที่สามารถสู้ได้ก็ข้น
ึ ไปบนกําแพงวังกันหมด ลานถนนอัน
กว้างขวางกลับไม่มีทหารเลยแม้แต่คนเดียวในเวลานี้

ฉีหนิงหยุดเดิน เขามองไปยังตําหนักเฉิงเทียน แล้วค่อยๆ เดินหน้า


ไปทีละก้าว

ลานถนนอันกว้างขวาง ร่างกายของฉีหนิงเหมือนจะเล็กมาก
จนกระทั่งไปถึงบันไดที่จะขึ้นไปยังหน้าประตูใหญ่ของตําหนักเฉิงเทียน
ประตูตําหนักเปิดอยู่ ทั้งที่ไม่มีการประชุมอยู่ในตําหนัก แต่มันกลับมา
บรรยากาศที่นา่ กลัวมาก

ท้องฟ้าฟากตะวันออกในเวลานี้เป็นสีแดง พระอาทิตย์กําลังจะขึ้น
แสงอาทิตย์มันกําลังส่องแสงเรืองรองมายังตําหนักเฉิงเทียน ทําให้
ตําหนักแห่งนี้เจิดจรัสมากมีบารมีน่าเกรงขามมาก
ฉีหนิงค่อยๆ เดินเข้าไปในตําหนักเฉิงเทียน เขามองเห็นเซียวจ้าว
จงยืนอยู่ที่หน้าแท่นบัลลังก์

เซียวจ้าวจงเหมือนกําลังมองดูตําหนักอยู่ มือของเขาไขว้หลัง
เอาไว้หนึ่งข้าง อีกข้างกําลังลูบไปที่มน
ั ท่าทางของเขาอ่อนโยนมาก
เหมือนกับว่าเขากําลังลูบไล้หญิงสาวคนหนึ่งอยู่

ฉีหนิงเดินมาถึงด้านหน้าหน้าแท่นบัลลังก์ เซียวจ้าวจงไม่ได้หน

กลับมามองฉีหนิงเลย เหมือนรู้อยู่แล้วว่าฉีหนิงต้องมาอยู่แล้ว เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าก็ได้ยน
ิ เรื่องความองอาจกล้าหาญและ
ปรีชาขององค์ฮ่องเต้ไท่จู่ ตอนนี้ข้ายังนึกแปลกใจเลยว่า กิจการงาน
ของคนเป็นพ่อลูกต้องสืบทอดสิ แต่ทําไมบัลลังก์ของเสด็จปู่ถึงไม่ได้
เป็นของท่านพ่อ? พอข้าโตขึ้นอีกหน่อย ข้าถึงเข้าใจว่า ในโลกนี้ มีเรื่อง
มากมายที่มันไม่มีเหตุผล ความยุติธรรมมันไม่ได้อยู่ในใจคน แต่มันอยู่ที่
กําลังความสามารถ หากไม่มีอํานาจไม่มีความสามารถ ต่อให้มส
ี มบัติ
มากมายมันก็ไม่มป
ี ระโยชน์ แต่ถ้ามีอํานาจความสามารถในมือ ไม่ว่า
ของสิ่งนั้นจะเป็นของเจ้าหรือเปล่า มันก็จะกลายเป็นของเจ้า”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “บัลลังก็ไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นจิตใจของคน”

“จิตใจของคน?” เซียวจ้าวจงอึ้งไป จากนั้นยิม


้ แล้วพูดว่า “เจ้า
หมายความว่า ได้ใจผู้คนก็จะได้ใต้หล้าอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ ข้าหมายความว่าแบบนั้น” ฉีหนิงตอบ

เซียวจ้าวจงหัวเราะ แล้วค่อยๆ เดินไปที่เก้าอี้มงั กร จากนั้นก็ลบ



มัน แล้วหันไปนั่งลง จากนั้นยิม
้ แล้วพูดว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ
หลายครั้ง มันก็มีหลายคนที่ไม่ได้ใจผู้คนแต่ก็ได้บัลลังก์มา แต่ได้ใต้หล้า
มาแล้วถึงได้ใจคน ขอแค่ข้าได้น่งั อยูบ
่ นบัลลังก์นี้ ก็จะมีหลายต่อหลาย
คนมาสยบที่ข้า เจ้าต้องเข้าใจนะว่า ในใต้หล้านีค
้ นที่ภักดีซ่ อ
ื สัตย์จริงๆ
นั้นมันมีไม่มาก หลายคนเปลี่ยนแปลงไปตามสายลมสถานการณ์ คราว
นี้เจ้าชนะ แต่หากว่าเจ้าแพ้ เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามันจะมีผลยังไง?”

ฉีหนิงไม่ได้ตอบ แค่มองไปที่เซียวจ้าวจงเท่านั้น

“เหล่าขุนนางต้าฉู่ที่ว่าภักดีท้ังหลาย ก็จะสนับสนุนให้ข้าเป็นโอรส
สวรรค์ทันที” เซียวจ้าวจงพูดว่า “”ต่อให้ในใจของพวกเขาจะสงสัย
หลายเรื่องที่เกิดขึ้นในคราวนี้ แต่เพื่ออนาคตของตัวเอง ไม่มีใครกล้า
พูดอะไรหรอก” เขาชี้ลงมาด้านล่าง “พวกเขาจะคุกเข่าใต้แทบเท้าของ
ข้า แล้วตะโกนโฮ่ร้องถวายพระพรต่อข้า แล้วก็จะละทิ้งเจ้าให้ข้าเจ้าที่
เป็นโจรกบฏให้สูญสิ้นตระกูลไป หลายต่อหลายคนจะต้องแย่งกันกําจัด
ตระกูลฉีของเจ้า เจ้าว่าจริงไหม?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “หากเจ้าชนะ ผลอาจจะเป็นแบบนั้น


จริง”
เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง ที่จริงข้าชอบเจ้ามากเลยนะ สิ่ง
ที่เซียวกวงโชคดีที่สุดในชีวิตเขา ก็คือการมีเจ้าคอยช่วยเหลือ” เขาเอน
ตัวมาด้านหน้า แล้วพูดว่า “หากข้าไม่เหลือจุดอ่อนเอาไว้ให้เจ้าเลย เจ้า
คิดว่าใครจะได้อยู่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายกัน?”

ฉีหนิงเข้าใจว่า “จุดอ่อน” ที่เซียวจ้าวจงหมายถึงนั้นคืออะไร เขา


พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากฝ่าบาทถูกเจ้าปลงพระชนม์ไปแล้วจริง
ไม่แน่ว่าผลที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นอีกหน้าหนึ่งก็ได้”

“เจ้าอาจจะกําลังหัวเราะเย้ยข้าในใจก็ได้ว่าข้าโง่” เซียวจ้าวจงยิม

แล้วพูดว่า “ทั้งๆ ที่ข้าจะสามารถจะบรรลุเป้าหมายโดนที่ไม่มช
ี ่องโหว่
อะไร แต่ทําไมยังเหลือโอกาสให้เจ้าได้ตอบโต้กลับมาได้อีก” เขาเอามือ
วางไว้ที่เก้าอี้มังกร แล้วเอามือดันหน้าด้านซ้ายเอาไว้ แล้วมองมาที่ฉี
หนิงแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็เดิมพันครั้งสุดท้ายเหมือนกัน เพียงแต่
ข้าคิดไม่ถึงว่า เจ้าจะอ่านไพ่ไม้ตายของข้าออกด้วย”

“คืนนั้น เจ้าสั่งให้โม่อิ่งพาคนไปล้อมฆ่าข้าที่ร้านชาหงอวิน เจ้าได้


เผยช่องโหว่ออกมาแล้ว” ฉีหนิงถอนหายใจ

เซียวจ้าวจงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด”

“คืนนั้นเจ้าต้องการจะให้ข้าตาย เจ้าแทบจะส่งคนออกมาจัดการ
ข้าหมด” ฉีหนิงพูดว่า “คนพวกนั้นคือกําลังพลที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองของ
เจ้า ทําเรื่องแบบนั้น แต่เจ้ากลับไม่ใช้คนของจวนเสินโหวกับคนของ
ผู้ว่าการเมืองหลวงเลยแม้แต่คนเดียว นั่นก็แสดงว่าเจ้าไม่ได้ใช้กําลัง
ทหารเลย”

เซียวจ้าวจง “หือ” คํานึง ฉีหนิงพูดต่อว่า “หากแค่ต้องการให้พวก


เขามาฆ่าข้า มันก็ไม่ได้มช
ี ่องโหว่อะไร เพียงแต่อาวุธของพวกเขามันทํา
ให้เห็นช่องโหว่อะไรบางอย่าง”

“อาวุธ?”

“อาวุธของคนพวกนั้น ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มาจากกองทัพฉิน
ไหว” ฉีหนิงพูดว่า “อาวุธของทหารในบริเวณเขตเมืองหลวง ล้วนแต่ทํา
มาจากเหล็กชั้นดี แกร่งกว่าของกองทัพแนวหน้าอย่างกองทัพฉินไหว
มาก อาวุธของทั้งสองอย่าง มองทีเดียวก็แยกออกแล้ว แต่ว่ามันก็
แน่นอนอยู่แล้ว อาวุธที่ทําจากเหล็กกล้าชั้นดี ไม่เพียงต้องใช้เหล็กอย่าง
ดีแล้ว การผลิตก็ไม่ใช่ธรรมดา กองทัพฉินไหวมีทหารกว่าแสนคน หาก
ต้องผลิตอาวุธแบบนั้นเหมือนกันทั้งหมด แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ข้า
เคยเห็นอาวุธของทหารกองทัพฉินไหวมาก่อน ข้าจํามันได้ดี คืนนั้น ใน
มือของคนพวกนั้น มันเหมือนกับของกองทัพไม่มีผด
ิ เลย”

เซียวจ้าวจงเหมือนจะเริ่มเข้าใจแล้ว “เจ้าเลยเดาว่าอาวุธพวกนั้น
น่าจะถูกแอบขนย้ายมาจากกองทัพฉินไหวงั้นเหรอ?”
“ราชสํานักมีคําสั่งปลดอาวุธมานานแล้ว ต่อให้เป็นจวนตระกูลขุน
นางจะมีอาวุธในมือก็มก
ี ารจํากัด อีกทั้งยังมีการบันทึกเอาไว้ทก
ุ อย่าง
แน่นอนว่า ต่อให้จวนขุนนางในเมืองหลวงจะมีอาวุธ ก็ไม่มีทางมีอาวุธ
แบบของกองทัพฉินไหวแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องทํามาจากเหล็กกล้า”
ฉีหนิงพูดว่า “ดังนั้นการค้นพบอาวุธแบบนี้ในเมืองหลวง ดูผิวเผินมัน
เหมือนไม่มีอะไร แต่ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ข้ารู้ในกองทัพฉินไหว
นั้น มันมีพวกหนอนบ่อนไส้ ที่แอบลักลอบขนย้ายอาวุธจากในค่าย
ออกมา แล้วไม่รูว
้ ่ามันหายไปไหนด้วย คืนนั้นพอเห็นอาวุธของกองทัพ
ฉินไหวมาอยู่ในเมืองหลวง ก็รู้ทันทีว่ามันต้องมีอะไรแน่ ในเมืองหลวงมี
การเฝ้าระวังตรวจตราอย่างเข้มงวด อาวุธพวกนี้ต้องขนย้ายมาจาก
ชายแดนแน่ อีกทั้งยังสามารถผ่านการเฝ้าประตูอันเข้มงวดมาได้ ทําได้
ยังไง?”

เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นเจ้าเลยคิดถึงติงอี้ถู”

“ติงอี้ถูเคยเป็นทหารในกองทัพฉินไหวมาก่อน ถึงแม้เขาจะถูกไล่
ออก แต่ว่าเขาจะต้องยังมีคนรู้จักอยู่ด้านในแน่นอน” ฉีหนิงถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “คนตายเพราะเงิน นกตายเพราะอาหาร หากติงอี้ถูซ้ อ
ื ตัว
คนในกองทัพ แล้วแอบขนอาวุธเข้ามาในเมืองหลวง มันไม่ใช่เรื่องยาก
สําหรับเขาเลย เขาอาศัยชื่อของสํานักคุ้มภัย เข้าออกเมืองหลวง ปกติมี
สินน�าใจให้ทหารประตูเมืองบ้าง มันก็เป็นเรื่องธรรมดา พอเวลานานไป
สินค้าที่ขนส่งผ่านสํานักคุ้มภัยของพวกเขานั้นมันก็ไม่ได้เข้มงวด
เหมือนกับของคนอื่น ในเมื่อเจ้าคิดจะก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง ก็
ต้องมีการสะสมอาวุธ เพื่อใช้ในยามจําเป็นอยู่แล้ว”

เซียวจ้าวจงยกนิ้วโป้งให้ “ฉลาดมาก เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนจะ


นึกออกกันได้นะ”

“ในเมืองติงอี้ถูแอบติดต่อกับเจ้าลับๆ ก็จะต้องมีส่วนร่วมกับ
แผนการของเจ้าอยู่แล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าเป็นถึงไหวหนานอ๋องซื่อจื่อ
ปกติแล้ว ยากที่จะมีการไปมาหาสูก
่ ับพวกสํานักคุ้มภัย ยิ่งไม่มีใครคิด
หรอกว่าเจ้าจะเอาตัวฝ่าบาทไปกักขังที่น่น
ั ดังนั้นเจ้ารูส
้ ึกว่าที่ซ่อนตัว
ของฝ่าบาทนั้นเป็นเรื่องที่ลับมาก แล้วก็ไม่มใี ครนึกถึงด้วย”

เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่สุดท้ายเจ้าก็เดาออก เจ้า


ควรจะไปเปิดบ่อนพนันนะ”

“ดวงการเดิมพันของข้ามันมักจะโชคดีแบบนีต
้ ลอด” ฉีหนิงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “หากคราวนี้ข้าเดิมพันพลาด ก็จะแพ้ท้ังกระดาน คิด
จะพลิกสถานการณ์ก็แทบจะไม่มีโอกาสเลย”

เซียวจ้าวจงนั่งอยู่บนบัลลังก์ เหมือนกําลังคิดอะไรอยู่ เขานิ่งไปแล้วพูด


ว่า “ตอนเด็กๆ ข้าถูกส่งเข้ามาอยู่ในวังเพื่อมาเป็นเพื่อเรียนหนังสือของ
เขา เจ้ารู้หรือเปล่าเพื่อนร่วมเรียนมันหมายถึงอะไร? ก็คืออยูข
่ ้างกาย
เขา อยู่ใต้ล่างเขาตลอดไป วิชาที่อาจารย์ส่งั สอน ก่อนที่เขาจะเข้าใจ ข้า
ห้ามเข้าใจก่อนเป็นอันขาด ข้าจะต้องทําเป็นไม่รู้ไม่เข้าใจแบบนั้น
ตลอดไป ต้องเรียนเข้าใจช้ากว่าเขาทุกอย่าง ตอนนั้นข้ายังคิดอยู่เลยว่า
ทําไมเรื่องที่ข้ารู้ข้าเข้าใจ จะต้องทําเป็นไม่เข้าใจต่อหน้าเขาด้วย แล้ว
ยังต้องให้เขามาชี้แนะให้ข้าเข้าใจอีก ทําไมเวลาเขาทําผิด ข้าถึงต้องรับ
โทษแทนเขา? ต่อมาข้าถึงได้รู้ว่า เพราะเขาเป็นรัชทายาท เขาคือคนที่
จะได้ข้น
ึ นั่งบัลลังก์นี้ เขาคือคนที่จะได้ครอบครองแผ่นดิน ดังนั้นข้าก็
เลยต้องเป็นแค่หมาตัวหนึ่ง เขาพูดอะไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น ข้าไม่มี
สิทธิจะไปปฏิเสธ เวลาอยู่ต่อหน้าเขา ไม่ว่าในใจของข้าจะเจ็บปวดแค่
ไหนก็ตาม แต่ข้าก็ต้องยิ้ม เพราะหากข้าโกรธ ไม่สามารถทําให้เขา
สบายใจได้ ข้าก็จะกลายเป็นคนที่คิดไม่ซ่ อ
ื ” เขายังคงยิ้มอยู่ แล้วพูดว
ว่า “ตําราที่เขาอ่านจบในสามปี แค่ใช้เวลาแค่สามเดือน”
เล่มที่ 47 บทที่ 1404 เผชิญหน้ากับฮ่องเต้

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “แล้วมันพิสูจน์อะไรได้? เจ้าจะบอกว่าเจ้า
ฉลาดกว่าฝ่าบาท? แต่ต้ังแต่โบราณมา ไม่เคยมีใครแยกความดีความ
เลวจากความฉลาดนี่ ฝ่าบาทอาจจะฉลาดไม่เท่าเจ้า แต่ทรงมี
อุดมการณ์ คิดที่ชาวประชามาก่อน เจ้าเทียบพระองค์ได้เหรอ? เจ้า
อาจจะมีความรู้มากกมายแต่ว่าเจ้าโหดเหี้ยมทําร้ายคนอื่นเพื่อ
ผลประโยชน์ตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ควรภูมิใจงั้นเหรอ”

เซียวจ้าวจงไม่ได้โกรธ ยังคงยิ้มอยู่ “เจ้ารู้หรือเปล่า ท่านพ่อของ


ข้ารูปร่างสูงใหญ่ หน้าตางดงาม แต่ทําไมถึงได้มีลก
ู ที่เหมือนคนแคระ
อย่างข้าได้?”

“ถึงแม้ท่านพ่อจะเป็นบุตรคนโตของฮ่องเต้ไท่จู่ แต่ว่าทรงถูกชิง
บัลลังก์ไป ตลอดชีวิตของเขา ต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงมาตลอด
เขากลัวว่าเขาจะต้องพบภัยเข้าสักวันหนึ่ง” เซียวจ้าวจงไม่ได้เสียงดัง
เขายังพูดเรียบง่ายแบบเดิม “เขารู้ตัวดี ขอแค่ทรงแสดงออกว่าอยากจะ
ได้อํานาจ เขาก็จะต้องถูกคนที่น่งั อยู่บนบัลลังก์สงสัยและหวาดระแวง
แล้วก็จะทรงมีอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นในหลายปีที่ผ่านมาเขาถึงได้เอา
ความสนใจของเขาทั้งหมดไปที่ทรัพย์สินเงินทอง ของเก่าของสะสมมี
ค่ามากมาย ถึงจะทําให้คนที่อยู่บนเก้าอี้มังกรตัวนี้คลายความระแวงใน
ตัวเขา ไม่คิดจะทําอะไรเขา ตอนนั้นหลังจากฮ่องเต้ไท่จงตาย มีข่าวลือ
ว่าคนที่ควรจะได้น่งั บัลลังก์ควรจะเป็นท่านพ่อ แต่ท่านพ่อไม่สนใจ จน
อดีตฮ่องเต้ได้ทรงเรียกท่านไปเฝ้า แล้วได้พด
ู เรื่องนี้ข้น
ึ มา หลังจากท่าน
พ่อกลับมาที่จวน ก็ป่วยหนัก ตอนนั้นท่านแม่ก็ท้องอยู่ ทรงเห็นท่านพ่อ
ล้มป่วย แล้วก็พด
ู อะไรที่ให้คนนอกรู้ไม่ได้อีก เลยไม่กล้าให้คนในบ้าน
ดูแล ตอนนั้นเป็นหน้าหนาว ท่านแม่ทรงดูแลท่านพ่ออยู่ถึงสิบวัน พอ
ท่านพ่อหายดี ท่านแม่กลับต้องล้มป่วยลง ......” ตําหนักเฉิงเทียนว่าง
เปล่า เสียงของเซียวจ้าวจงดังก้องไปทั่ว มันเหมือนรู้สก
ึ เจ็บปวดลึกๆ

“ท่านพ่อรู้ว่าท่านแม่ต้ังครรภ์ จะกินยาไม่ได้ แต่ว่าทรงรักท่านแม่


มาก เพื่อให้ท่านแม่หายดี เลยบังคับให้ท่านแม่ด่ ืมยา ......” เซียวจ้าวจง
ลุกขึ้นมา แล้วกางแขนออก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้แล้วนะ
ทําไมท่านพ่อถึงได้มีลก
ู รูปร่างเหมือนคนแคระอย่างข้า? นั่นก็เพราะ
อดีตฮ่องเต้คนนั้นเป็นคนประทานให้ไงล่ะ”

ฉีหนิงขมวดคิ้ว

เรื่องนี้ เขาไม่รูม
้ าก่อน เขาไม่มแ
ี น่ใจหรอกว่าที่เซียวจ้าวจงมี
รูปร่างแบบนี้เป็นเพราะยาที่แม่เขากินเข้าไปจริงหรือเปล่า แต่อย่าง
น้อยในใจของเซียวจ้าวจงนั้น คิดว่าคนที่ทําให้เขามีสภาพแบบนี้คือ
อดีตฮ่องเต้
“ข้าแปลกใจมากว่า ทําไมคําพูดของเขาไม่ก่ีคํา ถึงได้ทําให้ท่าน
พ่อหวาดกลัวขนาดนั้นได้ จนถึงขั้นล้มป่วย จากนั้นยังทําให้จวนไหว
หนานอ๋องให้กําเนิดตัวประหลาดอย่างข้าออกมาได้” เซียวจ้าวจงถอน
หายใจแล้วพูดว่า “พอโตขึ้นมาข้าถึงได้เข้าใจ เพราะเขาเป็นฮ่องเต้
ชีวิตของท่านพ่อกับครอบครัวของเราอยู่ในกํามือของเขา ท่านพ่อต้อง
เป็นทาสของเขาไปชั่วชีวิต ส่วนข้า ...... ก็เหมือนถูกกําหนดให้เป็นทาส
ของเซียวกวงไปชั่วชีวิตเหมือนกัน” เขายิ้มแห้งแล้วพูดว่า “แต่ว่า
บัลลังก์ของพวกเขา ชิงมาจากฮ่องเต้ไท่จู่ชัดๆ ในเมื่อแย่งของที่สมควร
เป็นของท่านพ่อไปแล้ว ทําไมยังกล้ารับมันอย่างหน้าตาเฉย ทําไมไม่คืน
ของที่สมควรเป็นของเราคืนมา?”

“บัลลังก์สมควรเป็นของผู้ที่มค
ี ุณธรรม” ฉีหนิงพูดว่า “ฮ่องเต้ไท่
จงกับอดีตฮ่องเต้มีชาวประชาเป็นบารมี ย่อมสามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์
นั้นได้”

เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจะไปรู้ได้ยังไง หากท่านพ่อกับข้า


นั่งบัลลังก์นแ
ี้ ล้ว เราจะไม่สามารถมอบความสุขความเจริญให้ชาว
ประชาได้?” เขาเอามือข้างหนึ่งลูบไปที่เก้าอี้ แล้วพูดว่า “ดังนั้นข้าเลย
ตัดสินใจ จะเอาทุกอย่างที่ควรเป้นของข้าคืน เมื่อข้าได้น่งั บนบัลลังก์นี้
แล้ว ข้าจะต้องบอกกับเซียวกวงด้วยตัวเองว่าข้านี่แหละฮ่องเต้ ไม่ว่า
ยังไง เขาก็ไม่มท
ี างเทียบข้าได้”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดังนั้นก่อนที่เจ้าจะได้น่ังบัลลังก์ เจ้า
ไม่มีทางสังหารฝ่าบาท เพราะว่าเจ้าอยากพิสูจน์ให้ฝา่ บาทรู้ว่าเจ้า
เหมาะที่จะนั่งบัลลังก์นี้มากกว่าอย่างนั้นใช่ไหม?”

“น่าเสียดาย ...... มันล้มเหลว” เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูดว่า


“ข้าประมาทเจ้าเกินไป” เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าหากเริ่มใหม่ได้อีก
ครั้ง ข้าก็ยังเลือกไม่ให้เขาตาย ข้ายังอยากให้ข้านั่งอยู่บนบัลลังก์นอ
ี่ ยู่ดี”

ฉีหนิงนิง่ ไปแล้วพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะตี้ฉาน ข้าเชื่อว่าเจ้าคงอยู่


ได้ไม่กี่ปห
ี รอก”

เซียวจ้าวจงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตี้ฉาน?”

“ถึงแม้เจ้าจะมีความคิดที่จะก่อกบฏ แต่เจ้าแค่คนเดียว เจ้าไม่มี


ทางทําได้หรอก” ฉีหนิงจ้องไปที่เซียวจ้าวจงแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้อง
ปฏิเสธหรอกนะ ตี้ฉานให้ความกล้าในการก่อกบฏแก่เจ้า หากไม่ใช่พวก
ลึกลับพวกนั้น เจ้าอาจจะยังยอดอดทนแบบนี้ต่อไปอีกก็ได้ ไม่มีทางมี
สภาพนีห
้ รอกนะ” เขาเอามือไขว้หลังสองข้าง แล้วพูดว่า “ดังนั้นถึงแม้
เจ้าเดินไปถึงปากเหวด้วยตัวเอง แต่ก็เป็นเพราะตี้ฉานช่วยผลักเจ้าจาก
ด้านหลังเหมือนกัน”

เซียวจ้าวจงยิม
้ แล้วพูดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องของตี้ฉานมาก
เหมือนกันนะ” เขาเอนหน้ามาเล็กน้อย เหมือนพูดอย่างสนใจมาก “ตี้
ฉานบอกกับข้าว่า เจ้าถูกขังไว้แล้ว ชาตินี้ท้ังชาติอาจจะไม่สามารถหนี
ออกจากที่น่น
ั ได้ แล้วเจ้าหนีออกมาได้ยังไงกัน?”

ฉีหนิงรู้ว่าเซียวจ้าวจงพูดถึงตอนที่เขาถูกขังที่เขาเย่ก่ย
ุ หลิง ดู
ท่าทางแล้ว ตี้ฉานกับเซียวจ้าวจงนั้นน่าจะสนิทสนมกันมากเลย เขา
ไม่ได้อธิบายอะไร แค่พูดว่า “เจ้ากับนางเป็นอะไรกัน? ในเมื่อนางอยาก
ให้เจ้านั่งบัลลังก์ขนาดนั้น ตอนนี้เจ้าก็หนีไม่รอดแล้ว ทําไมนางไม่
ออกมาช่วยเจ้าล่ะ?”

“หากนางออกมา เจ้ายังมีหน้ามายืนพูดอยู่อย่างนี้ล่ะ?” เซียวจ้าว


จงพูดด้วยน�าเสียงประชดประชันแล้วพูดว่า “เจ้าแพ้ให้นางนะ”

“นางเป็นใครกันแน่?”

“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนไป” เซียวจ้าวจงพูดว่า “ช้าเร็วนางต้องมาหา


เจ้าอยู่แล้ว เจ้ารอก่อนเถอะนะ อีกไม่นานหรอก” จากนั้นเขาก็หัวเราะ
แปลกๆ ออกมา “แม้แต่ตัวเองเจ้ายังไม่รู้ว่าเป็นใครเลย แล้วจะไปถาม
ว่านางเป็นใครไปทําไมกัน”

ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้า ...... หมายความว่าไง?”

เซียวจ้าวจงพูดว่า “หรือว่าเจ้ายังไม่รู้ตัว เจ้าไม่ใช่สายเลือดของ


จวนจิ่นอีโหว เลือดในกายเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับจวนจิ่นอีโหวเลย”
ฉีหนิงหน้าถอดสี เขาอดถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้ เขาตะคอกไปว่า
“เซียวจ้าวจง เจ้าหมายความว่าไง?”

“เจ้าบอกว่าไท่ฮูหยินของตระกูลฉีอยู่สวนมนต์ภาวนาในหอพระ
ไม่ออกไปไหน” เซียวจ้าวจงจ้องไปที่ฉีหนิงด้วยสายตาที่เปี่ ยมไปด้วย
รอยยิ้ม “แม้แต่คนในจวนจิ่นอีโหวเองก็แทบจะไม่เห็นหน้าของนางเลย
ฉีหนิง เจ้าบอกข้าทีสิ ไท่ฮูหยินตายหรือยัง?”

“เจ้ารู้อะไรมา?”

“อะไรที่เจ้ารู้ข้าอาจจะรู้ท้ังหมดเลยก็ได้ อะไรที่เจ้าไม่รูข
้ า้ ก็อาจจะ
รู้ด้วยเหมือนกัน” เซียวจ้าวจงพูดว่า “จริงสิ เจ้าคือจิ่นอีโหว ต้องดูแล
ตระกูลฉี แต่ว่าไท่ฮูหยินรู้ฐานะของเจ้า ดังนั้นเลยกลายเป็นอุปสรรคใน
การควบคุมตระกูลฉีของเจ้า เจ้าก็เลยฆ่านาง ...... อือ อาจจะยังไม่ตาย
แต่ว่าไม่สามารถเป็นอุปสรรคของเจ้าอีกแล้ว น่าจะเป็นแบบนั้น” เขา
พูดว่า “ทําไมเจ้าไม่ถามนางล่ะ ว่าเลือดในตัวเจ้าเป็นของใคร?”

ฉีหนิงตกใจมาก

เขาสงสัยการตายของจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อมาตลอด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเซียว
จ้าวจงจะรู้เรื่องนี้ สิ่งที่ทําให้เขาตกใจมากกว่านั้นก็คือ จากคําพูดของ
เซียวจ้าวจง เขาเหมือนจะรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น ฉีหนิงหันไปมอง เขามอง
ออกไป เห็นที่ลานด้านหน้าตําแหน่งเฉิงเทียน มีกองกําลังขี่มา้ จํานวน
มากกําลังเข้ามา

เซียวจ้าวจงนั่งลงบนบัลลังก์ เขาเองก็เห็นสถานการณ์ภายนอก
เป็นอย่างดี แต่เขายังคงนิ่ง สีหน้าท่าทางไม่มีเปลี่ยนแปลง

ไม่นาน ทหารม้าก็เข้ามาภายในตําหนักเฉิงเทียนกันครบ แต่ว่า


แยกออกเป็นสองทาง ดูจากสภาพเหมือนจะล้อมตําหนักเอาไว้ทุกด้าน
ทหารเดินเท้าเองก็แยกออกเช่นกัน ล้อมกลุ่มทหารม้าเอาไว้อีกที ส่วน
หนึ่งมีข้น
ึ มาตั้งกําลังบนขั้นบันไดที่จะขึ้นมาบนตําหนัก พอมาถึงหน้า
ประตูตําหนัก ฉีหนิงเห็นผู้บัญชาการหู่เสินเสวียหลิงเฟิงเดินนําหน้ามา
เหมือนเขารู้อยู่แล้วว่าเขายังอยู่ เขาแค่พยักหน้าให้ เสวียหลิงเฟิงยกมือ
หยุดทหารที่จะเข้ามาในตําหนัก แล้วมองไปที่เซียวจ้าวจงที่น่ังอยู่บน
เก้าอี้มังกร เขาชี้ดาบออกไป แล้วตะคอกว่า “โจรกบฏเซียวจ้าวจง ยังไม่
ลงมาจากบัลลังก์อีก?”

เซียวจ้าวจงหัวเราะ ไม่ได้สนใจเขา

ทหารหลายคนมาถึงหน้าตําหนักแล้ว แต่ไม่มใี ครเข้าไปในตําหนัก


คนจํานวนมาก ทุกคนอาวุธครบมือ
ไม่นานพวกเขาก็หลีกไปสองข้างทาง ฮ่องเต้น้อยหลงไท่กําลังเดิน
ตามบันไดขึ้นมา

หลงไท่สวมชุดธรรมดา เขาถอดหมวกออกแล้ว สีหน้าของเขาซีด


เซียว แต่ว่าท่าทางยังนิ่งอยู่ เขายืนอยู่นอกตําหนัก เขามองไปที่เซียว
จ้าวจงที่น่ังอยู่บนเก้าอี้มงั กร ท่าทางของเขานิ่งมาก จากนั้นก็เดินเข้ามา
ในตําหนัก คนด้านหลังก็เดินตามมา หลงไท่ยกมือห้ามไว้ ทุกคนเลยไม่
ตามเข้ามาในตําหนัก ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไป คุกเข่าลงแล้วพูดว่า
“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท”

หลงไท่มองไปที่ฉีหนิง เขาแค่พูดเบาๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ” เขาค่อยๆ


เดินหน้าขึ้นไป ฉีหนิงรู้ว่าวรยุทธ์ของเซียวจ้าวจงร้ายกาจมาก เพื่อ
ป้องกันเซียวจ้าวจงลงมือ เขาเลยเดินตามติดอยูข
่ ้างๆ หลงไท่

“เจ้ามาแล้วเหรอ?” เซียวจ้าวจงมองฮ่องเต้น้อยลงมาจากด้านบน
ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้ม “ข้ารออยู่เลย”

หลงไท่เงยหน้าขึ้นมามองเซียวจ้าวจง เขานิ่งไป หลังจากนั้นไม่


นานก็พด
ู ว่า “เก้าอี้ตัวนั้นมันนั่งไม่สบายเลยนะ”

เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ตอนนี้ข้านั่งแล้วสบายมาก เซียวก


วง เจ้ารู้หรือเปล่า เพื่อเก้าอี้ตัวนี้ ข้ารอมานานมากเลยนะ เพื่อให้เจ้าได้
เห็นมันด้วยตาของเจ้าว่าข้านั่งอยู่บนนี้อย่างสบายแค่ไหน ข้าต้องแลก
กับความลําบากมากมายเลย”

“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า ในใจของเจ้าจะมีความโกรธแค้นมากขนาดนี้”
หลงไม่พูดว่า “ที่ข้านั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น ข้าแค่อยากจะทําเพื่อแผ่นดิน
นี้ สร้างแผ่นดินที่สงบสุขให้กับพวกเขา ให้พวกเขาได้มก
ี ินมีใช้ไม่อด
ยากก็เท่านั้น”

“หากไม่มีเขา เจ้าก็ยังเป็นแค่นก
ั โทษที่ถูกขังอยู่เท่านั้น” เซียวจ้าว
จงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตัวเจ้าเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ยังคิดจะ
ปกป้องคนในแผ่นดินอีกเหรอ?”

“คุ้มครองพวกเขา มันเป็นเพราะคุณธรรมและความเมตตา” หลง


ไท่พูดว่า “เส้นทางของข้า ลําบากแน่นอน ต่อไปอาจต้องเจออะไรอีก
มาก แต่ขอแค่มค
ี ุณธรรมและเมตตา ได้ความช่วยเหลือของเหล่าขุน
นาง สักวันเป้าหมายของเราก็ลุล่วงได้” เขาเหลือบไปมองเซียวจ้าวจง
แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นสายเลือดของฮ่องเต้ไท่จู่ มีความสามารถ เดิม
สามารถช่วยข้าทําให้แผ่นดินเจริญรุ่งเรือง แต่ว่าเจ้าลุ่มหลงในอํานาจ
ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”

เซียวจ้าวจงปรบมือยิ้มแล้วพูดว่า “พูดได้ดี พูดได้ดี” เขานั่งบน


เก้าอี้มังกรแล้วพูดว่า “เซียวกวง บัลลังก์อยู่นแ
ี่ ล้ว เจ้ากล้ามาชิงกลับไป
หรือเปล่าล่ะ?”
หลงไท่ขมวดคิ้ว เซียวกวงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าเห็นหรือยัง
ฮ่องเต้ที่เจ้าปกป้องเขาด้วยชีวิต ไม่กล้าพูดอะไรเลย เจ้ายังจะปกป้อง
คนที่อ่อนแอไม่เอาไหนแบบนี้อยู่เหรอ?”

“กระบี่ที่ฝ่าบาทใช้คือกระบี่สวรรค์ มีไว้เพื่อความสงบของแผ่นดิน
ไม่ได้มีไว้เพื่อต่อสู้หา� หั่นกับใคร” ฉีหนิงพูดว่า “เซียวจ้าวจง หากเจ้า
อยากจะประลองความกล้า ข้าจะให้เจ้าได้สมหวังเอง”
เล่มที่ 47 บทที่ 1405 แสดงกระบีท
่ ต
ี่ ําหนักเฉิงเทียน

เซียวจ้าวจงพยักหน้ายิม
้ แล้วพูดว่า “ทั่วทั้งราชสํานัก คนที่กล้าสู้
กับข้าก็คงมีแต่เจ้า คนที่มีสิทธิสก
ู้ ับข้า ก็มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น” เขา
มองไปที่หลงไท่ แล้วพูดประชดประชันไปว่า “เซียวกวง ตอนที่เจ้าตก
อยู่ในอันตราย เขาเป็นคนช่วยเจ้าออกมา ตอนนี้เจ้าอ่อนแอไม่ยอมสู้ ก็
ยังเป็นเขาที่ยอมชักดาบออกมาสู้เพื่อเจ้า ข้าว่าเจ้ายกบัลลังก์ให้เขา
ดีกว่าไหม”

ฉีหนิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

เซียวจ้าวจงพูดต่อว่า “หู้ก๋ัวกงคนนี้ของเรา เกิดในตระกูลนักรบ


กองทัพฉินไหวเคยเป็นสายหลักของตระกูลฉีมาก่อน ต่อให้กองทัพฉิน
ไหวจะย้อนกลับมาช่วยไม่ทัน เขายังสามารถหาคนมาทําตามคําสั่งของ
เขาได้อยู่ดี บารมีของเขา ข้าว่าเจ้าไล่ตามเขาไม่ทันหรอกนะ”

หลงไท่พูดว่า “เซียวจ้าวจง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะยุให้คน


อื่นแตกกันอีกเหรอ? ดีหรือชั่ว เจ้าคิดว่าข้าแยกแยะไม่ได้ง้ันเหรอ?”

เซียวจ้าวจงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเจ้าแยกแยะได้จริง ทําไม


ก่อนหน้านี้ถึงได้เชื่อใจข้าแบบนั้นล่ะ? แต่ว่าในโลกนีส
้ ิ่งที่อ่านออกยาก
ที่สุดคือใจคน แต่เจ้ายังไม่มีสายตาแบบนั้น” เขาหันไปมองฉีหนิง ยิม

แล้วพูดว่า “ความฉลาดที่ข้ามี สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับเจ้า ในสายตาของ
คนมากมาย สิง่ ที่ข้าทํามันคือโทษประหาร ถ้าเช่นนั้น ก่อนที่จะตายได้สู้
กับเจ้า ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี” เขายกมือสองข้างขึ้นมา ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ข้าฝึกมาตั้งนานหลายปี ยังไม่เคยสูก
้ ับใครจริงๆ จังๆ เลย หากตายไป
แบบนี้ มันก็น่าเสียดายแย่”

พอพูดจบ เซียวจ้าวจงค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้

เสวียหลิงเฟิงที่รออยู่ด้านนอกก็พูดเสียงเข้มขึ้นมาว่า “คุ้มกันฝ่า
บาท” เขานําทหารส่วนหนึ่งเข้ามาด้านในตําหนัก มาคุ้มกันอยู่ข้างกาย
หลงไท่

เซียวจ้าวจงหัวเราะ เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “เซียวจ้าวจง เจ้าโจรกบฏ


โทษสมควรตาย ยังไม่ยอมมอบตัวอีก?” เขายกดาบขึ้นมา กําลังจําสั่ง
ให้ทหารบุกไป ฉีหนิงยกมือห้ามเอาไว้ “ช้าก่อน”

เสวียหลิงเฟิงตะลึงไป ฉีหนิงมองไปที่เซียวจ้าวจง แล้วพูดว่า “ใน


เมื่อข้ารับปากจะประลองกับเขา ใครก็ห้ามเข้ามายุ่งเด็ดขาด”

ฉีหนิงรู้ดีว่า วรยุทธ์ของเซียวจ้าวจงนั้นร้ายกาจมาก เขามาคน


เดียว เขากําลังตกอยู่ในอันตราย แต่หากจะจับเขา จะต้องแลกด้วยชีวิต
ของคนมากมายแน่ ทหารบุกเข้าไป รนหาที่ตายชัดๆ
เขาหันมา แล้วพูดกับหลงไท่ว่า “ฝ่าบาท ทรงประทานอนุญาต
ด้วย”

หลงไท่นิ่งไป แต่สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าอนุญาต” เขา


เหลือบมองไปที่เซียวจ้าวจง แล้วพูดเบาๆ กับเขาว่า “ระวังตัวด้วยนะ”

เซียวจ้าวจงหันหลังไป แล้วจับหัวมังกรบนเก้าอี้สีทองอร่าม
จากนั้นก็ใช้แรงบีบ เขาชักกระบี่ออกมา ด้ามกระบี่มันคือหัวมังกรนั่น

ทุกคนต่างตกใจ คิดไม่ถึงเลยว่า ในเก้าอี้มังกรนั้น จะมีซอ


่ นกระบี่
เอาไว้เล่มหนึ่ง

หลงไท่สีหน้าเคร่งเครียดมาก เซียวจ้าวจงถือกระบี่ในมือแล้วหัน
กลับมา กระบี่ในมือของเขาแสงสะท้อนสว่างมาก ดูก็รู้ว่าเป็นกระบี่ที่
คมมาก

“กระบี่สวรรค์ที่เขาพูดถึง อยูน
่ ี่แล้ว” เซียวจ้าวจงยิ้มแล้วพูดว่า
“กระบี่ที่ฮ่องเต้ไท่จู่เคยพกเป็นทําศึก ต่อมาได้ทําการซ่อมแซมใหม่
แล้วซ่อนเอาไว้ในเก้าอี้มังกรตัวนี้ เซียวกวง เรื่องนี้ เจ้าน่าจะรูด
้ ีนี่”

หลงไท่แค่จ้องไปที่เซียวจ้าวจง แต่ไม่พด
ู อะไร
“ฉีหนิง ข้ารู้ว่าเพลงกระบี่ของเจ้าร้ายกาจแค่ไหน วันนี้ข้าอยากจะ
เห็นฝีมอ
ื เพลงกระบี่ของเจ้า ว่ามันจะสมคําร�าลือหรือเปล่า” เซียวจ้าว
จงยกกระบี่สวรรค์ข้น
ึ มา แล้วค่อยๆ เดินลงมาจากแท่นบัลลังก์

ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงเซียวจ้าวจงจะประลองกระบี่กับเขา

เขามีกระบี่พีหลู แต่มันอยู่ในจวนตระกูลฉี เขาจะสั่งให้คนไปเอา


กลับมาไม่ได้ แต่ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง “ฉี ...... กั๋ว
กง”

ฉีหนิงหันกลับไป เห็นคนๆ หนึ่งเดินมาอยู่ด้านหลังเขา สวมชุดของ


จวนเสินโหว สวมหมวก พอมองดีดี นางคือซีเหมินจั้นอิง เขาดีใจมาก
เห็นนางยื่นกระบี่ในมือมาให้นางพูดว่า “นี่คือกระบี่ของศิษย์พี่หก
กระบี่ชางทรง”

ฉีหนิงตะลึงไป เจ็ดดาวไถของจวนเสินโหวเขารู้จักแทบทุกคน
ยกเว้นคนที่หก คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้กระบี่เป็นอาวุธ

เขากวาดสายตามองไป ท่ามกลางคนมากมาย ไม่ได้มีเพียงแค่


ทหารหลวงกับทหารหู่เสิน คนของจวนผู้ว่าการกับจวนเสินโหวก็อยูด
่ ้วย
แต่คนของพรรคกระยาจกไม่ได้ตามเข้ามาในวังด้วย คนจํานวนมาก
ขนาดนี้ เขาไม่รู้เลยว่าใครคือศิษย์พี่หก
“หนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่ อันดับที่แปดกระบีช
่ างทรง?” เสวียหลิง
เฟิงเหมือนจะแปลกใจ “ที่แท้อยู่ที่จวนเสินโหวนี่เอง”

ฉีหนิงได้ยินเขาพูดแบบนี้ ถึงได้รู้ว่ากระบี่เล่มนี้เป็นหนึ่งในสิบสุด
ยอดกระบี่ ถึงแม้อาจจะเทียบกระบี่ของเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เป็น
กระบี่หายาก

เขารับกระบี่มา ซีเหมินจั้นอิงเหมือนจะพูดอะไรแต่ไม่ได้พูด แต่


นางก็ยังถอยไป ฉีหนิงหันไป ชักกระบี่ออก แล้วโยนฝักไปให้เสวียหลิง
เฟิง เสวียหลิงเฟิงรับมาแล้วก็พูดว่า “ระวังตัวด้วยขอรับ”

เสวียหลิงเฟิงมีประสบการณ์พบเจอเรื่องอะไรมามากมาย เซียว
จ้าวจงพูดว่าจะประลองเพลงกระบี่กับฉีหนิง นั่นหมายความว่าเขา
มั่นใจในเพลงกระบี่ของเขามาก

“ฝ่าบาท ......” เสวียหลิงเฟิงหันไปโค้งให้หลงไท่ ถึงแม้จะไม่ได้พูด


อะไรอย่างอื่นอีก แต่หลงไท่เข้าใจความหมายของเขา

ฉีหนิงกับเซียวจ้าวจงล้วนแต่เป็นยอดฝีอมือทางด้านกระบี่ ทั้งสอง
คนประลองกระบี่กันไม่มีใครเดาได้เลยว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ เสวียหลิง
เฟิงกังวลว่าตอนที่พวกเขาประลองกัน หลงไท่เข้าใกล้เกินไปจะ
อันตราย
หลงไท่มองไปที่ฉีหนิง หลังจากนั้นก็พยักหน้า แล้วถอยห่างออกไป
พวกของเสวียหลิงเฟิงคุ้มกันหลงไม่ออกจากด้านในตําหนัก แล้วมายืน
รออยู่ด้านนอก ภายในตําหนักเฉิงเทียนเหลือแค่ฉห
ี นิงกับเซียวจ้าวจง
สองคนเท่านั้น

เซียวจ้าวจงเดินลงมาจากแท่นบัลลังก์ มือขวาของเขากางออก ใน
มือฉีหนิงก็มก
ี ระบี่ชางทรง ปลายกระบี่ชี้ลงพื้น

บรรยากาศในตําหนักเริ่มตึงเครียด

“กึก ......”

เมื่อเสียงดังขึ้น เซียวจ้าวจงก็บุกขึ้นหน้ามาสองก้าว แล้วออกกระบี่


ก่อน ปลายกระบี่แทงไปที่ฉห
ี นิง

ฉีหนิงเห็นอีกฝ่ายออกกระบี่ออกมาปกติ ไม่ได้มีอะไรพิสดาร แต่


เขารู้ว่าอีกฝ่ายคือเซียวจ้าวจง เขาเจ้าเล่หม
์ าก จะประมาทไม่ได้ เขา
เห็นอีกฝ่ายแทงกระบี่ตรงมา ปลายกระบี่ขยับเล็กน้อย แล้วก็ออกกระบี่
ไปรับมือเช่นกัน

ระหว่างที่เซียวจ้าวจงออกกระบีน
่ ้น
ั เขากลับพลิกกระบีข
่ ้น
ึ ด้านบน
เหมือนจะมีแต่ก็เหมือนไม่มี ฉีหนิงไม่รูว
้ ่าเพลงกระบี่ของเขาเป็นยังไง
เขาก็ไม่คิดจะบุกอย่างเดียวอยู่แล้ว เขาเห็นเซียวจ้าวจงตวัดกระบี่ข้ึน
แล้วลากลง ตอนที่มันขึ้นบนมันดูเบาเหมือนปุยเมฆ แต่ว่าตอนที่ลงมา
นั้น กลับมีพลังเหมือนผ่าฟ้าได้ กระบวนท่าที่เหมือนธรรมด แต่มันมี
อานุภาพมาก มันเหมือนก้อนหินที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า

ซีเหมินจั้นอิงมองอยู่ด้านนอก สีหน้าของนางเหมือนจะเสียๆ ไป
แต่ฉห
ี นิงก็หลบไปได้ข้างได้

คนที่ดูอยู่นอกตําหนัก ก็มีหลายคนที่เป็นยอดฝีมือด้านกระบี่ เห็น


สองคนนั้นเปิดกระบวนท่าแรกมาก เหมือนจะระวังตัวกันมาก ทั้งสอง
คนยังไม่ได้ใช้แรงทั้งหมดที่พวกเขามี

เพียงแต่หลังจากสิบกระบวนท่าไปแล้ว ทั้งคู่เหมือนจะเคลื่อนไหว
เร็วขึ้น กระบี่เริ่มมีกระบวนท่าที่แปลกตาพิสดารไป พวกเขาเริ่มหยั่งเชิง
กันแล้ว เพลงกระบี่ของฉีหนิงพลิกแพลงไปมาได้มากมาย เซียวจ้าวจง
เองก็ไม่ได้ด้อยกว่าเท่าไหร่ ภายในตําหนักเฉิงเทียน เขาปะทะดาบกัน
อย่างดุเดือด คนด้านนอกตําหนักแทบไม่มีใครมองออกว่าใครได้เปรียบ

ทุกคนไม่รู้เลย ฉีหนิงเหมือนจะตกใจมากพอสมควร

เพลงกระบี่ที่ฉีหนิงฝึก มันคือเพลงกระบี่ไร้นามของเป่ยกงเหลียน
เฉิง ตอนที่เขาสู้กับลู่ซางเฮ่อ เขาเกิดเข้าถึงเพลงกระบี่เข้าไปอีกขั้น เขา
ไม่จํากัดการใช้กระบวนท่าตามลําดับเพลงกระบี่ที่มี ปล่อยให้มันเป็นไป
ตามใจ
ถึงจะสามารถในสนใจในกระบวนท่าของมัน แต่เจตนารมณ์ของ
กระบี่น้ันยังคงอยู่

เซียวจ้าวจงออกกระบีม
่ าอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนไม่มอ
ี ะไร แต่ฉี
หนิงรู้ว่ามันมีแฝงนัยยะอยู่ กระบวนท่าธรรมดาๆ ที่เขาใช้ มันกลับมีแรง
กระตุ้นในการสังหารแรงมาก ขอแค่หาโอกาสได้ มันสามารถ
เปลี่ยนเป็นกระบวนท่าที่เอาชีวิตได้เลย เรื่องนี้ที่จริงเขาก็คาดการณ์ไว้
อยู่แล้ว เพราะเขาใช้กระบวนท่าบีบให้เซียวจ้าวจงเผยความสามารถ
จริงออกมา เมื่อเผชิญหน้ากับเพลงกระบี่ไร้นามของเขา เซียวจ้าวจงไม่
สามารถผ่อนคลายสบายๆ ได้อีก เพลงกระบี่ของเขาเองก็เริ่มเปลี่ยนไป

คนอื่นเริ่มแรกยังมองไปออกว่ามันคืออะไร แต่หลังจากหลาย
กระบวนท่าผ่านไปแล้ว ฉีหนิงกลับพบว่าเพลงกระบี่ของอีกฝ่ายนั้น มัน
เหมือนมีเงาเหมือนเพลงกระบี่ของเขาเลย

หรือว่าเพลงกระบี่ของเซียวจ้าวจงเองก็คือเพลงกระบี่ไร้นาม?

นี่ไม่ใช่คนแรก ตอนนั้นลู่ซางเฮ่อเองก็ใช้เพลงกระบี่นี้เหมือนกัน
เพียงแต่ล่ซ
ู างเฮ่อเน้นกระบวนท่ามากเกินไป เลยไม่เข้าถึงศาสตร์ของ
มันไม่เหมือนฉีหนิง แต่ว่ากระบวนท่าของเซียวจ้าวจงนั้น ถึงแม้จะมีเงา
ของเพลงกระบี่ไร้นาม แต่ฉห
ี นิงตกใจที่ว่า เซียวจ้าวจงนั้นก็ไม่ได้เน้นไป
ตามลําดับกระบวนท่าของเพลงกระบี่ ตอนที่เขาออกกระบี่ มีการ
เปลี่ยนแปลงพลิกแพลงไปมา เหมือนกับเขาเลย เขาเข้าถึงศาสตร์ของ
เพลงกระบี่เหมือนกัน

เซียวจ้าวจงไปฝึกเพลงกระบี่ไร้นามนีม
่ าจากไหน?

ฉีหนิงจับลู่ซางเฮ่อได้ ถึงแม้เขาจะได้ขอ
้ มูลมาจากปากของลู่ซาง
เฮ่อมากมาย แต่เขาลืมถามว่าเพลงกระบี่ของเขานั้นมาจากไหน
หลังจากลู่ซางเฮ่อตาย เขาจะไปถามมันก็ไม่ทันแล้ว ฉีหนิงคิดขึ้นมาได้
เขารู้สึกหงุดหงิดตัวเองมาก

วันนี้เซียวจ้าวจงใช้เพลงกระบี่แบบเดียวกัน ฉีหนิงตกใจมาก เขา


พลันนึกขึ้นมาได้ว่า ลู่ซางเฮ่อกับเซียวจ้าวจงสนิทสนมกับตี้ฉาน ทั้งสอง
คนใช้เพลงกระบี่แบบเดียวกัน เป็นไปได้มากว่า เพลงกระบี่นี้ตี้ฉานจะ
เป็นคนฝึกให้

แต่เพลงกระบี่นี้เป่ยกงเหลียนเฉิงเป็นคนคิดนะ ตี้ฉานไปรู้เพลง
กระบี่นี่มาจากไหน?

เพียงแต่ในเวลานี้มน
ั ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาคิดเรื่องนี้ เขาไม่กล้าคิด
มากอีก เห็นเซียวจ้าวจงใช้กระบวนท่าประหลาดบุกมาอีก เขารีบใช้
กระบี่ชางทรงไปรับ กระบี่ของพวกเขาสองคนปะทะกัน
ทั้งคู่ผลัดกันรับผลัดกันรุก ดูไปแล้วเหมือนร่วมกันแสดงกระบีอ
่ ยู่
เพลงกระบี่ของพวกเขาเหมือนพี่น้องสองคนกําลังฝึกกระบี่ด้วยกัน
เพราะกระบวนท่าอะไรต่างๆ คล้ายกันมาก

อู่ชวีเสี้ยวเว่ยที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนด้านนอกร้องตะโกนออกมา
สายตาของเขาใต้หน้ากากแปลกใจมาก หานเทียนซู่หน
ั ไปมอง แล้วถาม
ว่า “มีอะไรเหรอ?”

“พวกเขา ....... พวกเขาใช้เพลงกระบี่ของเทพกระบี”


่ อู่ชวีเสี้ยวเว่ยพูด
ว่า “กระบวนท่าของพวกเขาถึงแม้จะต่างกัน แต่ ...... แต่ล้วนเป็น
กระบวนท่าที่เทพกระบี่เคยใช้ท้ังนั้น”
เล่มที่ 47 บทที่ 1406 ไกลเกินเอื้อม

พอหานเทียนซู่ได้ยินว่าเพลงกระบี่ของทั้งสองคนนั้นมาจากเป่ยกง
เหลียนเฉิง ก็ตกใจมาก

“ก่อนที่เทพกระบี่จะเป็นต้าจงซือ เคยประลองกระบี่กับหลายๆ
คน หลังจากที่เขาสามารถบรรลุเพลงกระบี่ได้แล้ว มีหลายคนที่แอบ
เลียนแบบเพลงกระบี่ของเขา” อู่ชวีเสี้ยวเว่ยกระซิบ “ข้าเองก็พยายาม
ลอกเลียนแบบอยู่นานเหมือนกัน เพลงกระบี่น่ันที่จริง ...... มันธรรมดา
มากเลย” สายตาของเขาจ้องไปด้านใน น�าเสียงของเขาเหมือนจะ
แปลกใจ “เพลงกระบี่ของกั๋วกงกับเซียวจ้าวจง มันมีเงาเลือนลางของ
เพลงกระบี่ของเทพกระบี่ในคราวนั้นด้วย เพียงแต่ ...... มันดูเหมือน
ค่อยเหมือนเท่าไหร่”

หานเทียนซู่เหมือนยังอยากจะพูดอะไรอีก ทันใดนั้นเองก็ได้ยน

เสียงร้อง เขาหันเข้าไปมองด้านในตําหนัก พอมองเข้าไป สีหน้าของเขา
ก็เปลี่ยนไป เขาเห็นเซียวจ้าวจงไม่รู้ว่ามีสามร่างตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับ
เขามีสามคนกําลังโจมตีฉีหนิงอยู่
หานเทียนซู่รู้ การกลายภาพลวงตาแบบนี้มันมีอยู่ในยุทธภพ แต่
ว่าการทําให้มห
ี ลายภาพในเวลาเดียวกันนั้น มันขึ้นอยูก
่ ับความเร็วของ
คนๆ นั้นด้วย มันจึงจะเกิดภาพลวงได้

เซียวจ้าวจงเหมือนจะฝึกวิชานีม
้ าด้วย ตอนเขาใช้มันอานุภาพมัน
ดูรุนแรงมาก

ถึงแม้ฉห
ี นิงจะไม่สามารถทําได้ แต่ว่าท่าเท้าท่องคลื่นของเขาก็
พลิกแพลงได้มากมาย คนนอกตําหนักมองจนตาลาย พวกเขาคิดไม่ถึง
เลยว่าวรยุทธ์ของฉีหนิงจะน่ากลัวมากขนาดนี้ ยิง่ คิดไม่ถึงวรยุทธ์ของ
เซียวจ้าวจงนั้นจะเหลือเชื่อแบบไม่มใี ครคาดคิดแบบนี้

ภายในตําหนัก เงาลอยไปลอยมา ราวกับกําลังเริงระบําเพลงกระบี่


กันอยู่

เสวียหลิงเฟิงยืนอยู่ข้างหลงไท่ไม่หา่ ง เกรงว่าเขาจะโดนลูกหลงไป
ด้วย

ไม่มีมองเห็นกระบวนท่าของทั้งคู่อีกแล้ว อีกทั้งมองไม่เห็นตัวของ
พวกเขาด้วย เห็นแต่เงาสลับลอยไปลอยมา

ขณะที่ทุกคนกําลังตะลึง ภายในตําหนักก็เริ่มเงียบลง เงาที่ทําให้


คนตาลายมันหยุดลง ทุกอย่างชะงักไป ไม่มีลางอะไรมาก่อน ราวกับม้า
ที่กําลังวิ่งอยู่ในท้องทุ่งอย่างเร็ว แต่จู่ๆ ก็แน่นิ่งไปไม่ขยับอีก
ทุกคนมองเห็น ฉีหนิงกับเซียวจ้าวจงยืนเผชิญหน้ากัน กระบี่ของ
พวกเขาต่างฝ่ายต่างแทงเข้าร่างกายของอีกฝ่าย

ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีเงาของคนสองคนมุดออกมา เงาแรก


เป็นของซีเหมินจั้นอิง อีกเงาหนึ่งคือชื่อตันเหมย พอพวกนางวิ่งเข้ามา
ด้านในตําหนัก คนอื่นๆ เองก็ตามมาเช่นกัน เสวียหลิงเฟิงยกมือขึ้นแล้
ตะคอกห้ามเอาไว้ “อย่าขยับนะ”

ซีเหมินจั้นอิงกับชื่อตันเหมยมาถึงด้านในตําหนักแล้ว ใบหน้าของ
พวกนางตกใจกลัวกันมาก พวกนางยังไม่ทันเข้าใกล้ตัวของฉีหนิง ฉีหนิง
ก็ยกมือห้ามเอาไว้ เหมือนสั่งให้พวกนางอย่าเข้ามา ทั้งสองจึงได้หยุด
พวกนางมองหน้ากัน ต่างมีความร้อนใจ

เซียวจ้าวจงก้มหน้าลง เห็นกระบี่ของฉีหนิงแทงเข้าตรงหัวใจของ
เขาพอดี จากนั้นเขาก็เงยหน้าไปมองกระบี่ของเขา ถึงแม้มันจะแทงเข้า
ร่างกายของฉีหนิง แต่ว่ามันเอียงไปด้านข้างหัวใจแค่นิดเดียว

“สุดท้ายคนที่ชนะก็เป็นเจ้า” เซียวจ้าวจงถอนหายใจ เขาปล่อย


มือ แล้วถอยหลังไปสองก้าว ปลายกระบี่หลุดออกจากหน้าอกของเขา
เลือดพุง่ ออกมา ใบหน้าของเขาเหมือนจะสิ้นหวัง เขาถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “ฝึกเพลงกระบี่มันจะต้องมีพรสวรรค์ด้วย พรสวรรค์ของข้าสู้เจ้า
ไม่ได้จริงๆ”
“ทําไมเจ้า ..... ถึงใช้เพลงกระบี่นี้ได้?” ฉีหนิงยังปล่อยให้กระบี่ปัก
อยู่ที่หน้าอกของเขาต่อไป

เซียวจ้าวจงหันกลับมา แล้วเดินไปที่ที่แท่นบัลลังก์ แค่ว่าเดินไปได้


ไม่ก่ีก้าว เขาก็เหมือนสะดุด พอถึงขั้นบันไดที่จะขึ้นแท่นบัลลังก์ ก็ล้มลง

แต่เขายังไม่หยุด เขายังคงพยายามจะคลานขึ้นไป แต่ว่ามันกิน


แรงของเขามาก หลงไท่หน้าดุมาก เขาสั่งการออกไปว่า “จับเขาเอาไว้”

เสวียหลิงเฟิงเห็นสภาพของเซียวจ้าวจง เขาก็รู้ว่าน่าจะไม่
อันตรายแล้ว เลยโบกมือ แล้วเดินนําหน้าไปพร้อมกับทหารชุดเกราะ
อีกประมาณสิบคน

ซีเหมินจั้นอิงกับชื่อตันเหมยรีบวิ่งไปหาฉีหนิง แต่ตอนที่จะออกตัว
ชื่อตันเหมยกลับหยุดลง ซีเหมินจั้นอิงวิ่งไปถึงข้างตัวของฉีหนิง น�าตา
ของนางไหลลงมา แล้วพยุงฉีหนิงเอาไว้ “เจ้า ...... เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

“พยุงข้านั่งที” ฉีหนิงฝืนยิ้มแล้วพูด “ข้า ...... ข้าเจ็บหน้าอก”

ซีเหมินจั้นอิงพยุงฉีหนิงนั่งลงอย่างระวัง นางเห็นกระบี่สวรรค์ปัก
อยู่บนหน้าอกของฉีหนิง แต่นางไม่กล้าดึงออก ฉีหนิงหน้าซีดมาก เห็นซี
เหมินจั้นอิงน�าตานองหน้า นางก็ย้ม
ิ แล้วพูดว่า “อย่าร้องสิ แผลนิดเดียว
เอง ไม่เป็นไรหรอก”
เซียวจ้าวจงไม่ได้คลานขึ้นไปต่อแล้ว

กระบี่ของฉีหนิงปักตรงกลางหัวใจของเขาพอดี ถ้าเป็นคนอื่น ไม่มี


ทางฝืนได้แบบนี้แน่ เซียวจ้าวจงใช้กําลังภายในยื้อมันเอาไว้ แต่ว่าหัวใจ
มันไม่ใช่จุดธรรมดาทั่วไป เลือดลมมันไม่สามารถไหลเวียนได้
เหมือนเดิม แรงกําลังไม่สามารถไปถึงได้แล้ว เขาส่ายหน้า แล้วหัน
กลับมา พยายามฝืนนั่งบนขั้นบันได แล้วพูดว่า “ดูเหมือนใกล้ แต่มันก็
ไกลอยู่ดี”

เสวียหลิงเฟิงสั่งทหารบุกเข้ามา แล้วล้อมเซียวจ้าวจงเอาไว้ หอก


กว่าสิบเล่มชีไ้ ปที่เซียวจ้าวจง รอแค่คําสั่งของเสวียหลิงเฟิงเท่านั้น พวก
เขาก็พร้อมที่จะแทงเซียวจ้าวจงทันที

หลงไท่เดินมาในตําหนัก พวกของหานเทียนซู่ประกบติดเพื่อคอย
คุ้มกัน หลงไท่เดินมาหาฉีหนิง เขานั่งยองลงมาก แล้วถามว่า “เจ้าเป็น
ยังไงบ้าง?”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วง ไม่เป็นไรพะยะค่ะ ไม่มีอันตรายถึง


ชีวิต”

หลงไท่พยักหน้า แล้วลุกขึ้น จากนั้นเขาก็มองไปที่เซียวจ้าวจง แต่


ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ เขาก้มหน้าลงแล้วนิ่งไป เสวียหลิงเฟิงหันกลับมา
มองหลงไท่ รอคําสั่งจากเขา
ฉีหนิงรู้ดีว่ามาถึงขั้นนีแ
้ ล้ว เซียวจ้าวจงไม่มีเหตุผลรอดชีวิตอีกแล้ว
ต่อให้หลงไท่จะไม่ฆ่าเขา แต่ว่าเขาถูกแทงที่หัวใจ ยังไงก็ไม่รอด

หลังจากนั้นไม่นาน หลงไท่ก็เงยหน้าขึ้น เขาพยักหน้าให้เสวียหลิง


เฟิง เสวียหลิงเฟิงกําลังจะออกคําสั่ง ก็ได้ยน
ิ เสียงร้องคํารามมากจาก
ด้านหลัง เขาเห็นเซียวจ้าวจงใช้แรงเฮือกสุดท้าย วิ่งขึ้นหน้ามา เขาเอา
ตัวเองวิ่งเข้าหาหอกนับสิบ

ฉีหนิงสะดุ้ง หลงไท่กําลังจะยื่นมือออกไป เหมือนอยากจะคว้า


อะไร แต่ก็ชะงักแล้วเก็บมันกลับมา ร่างกายของเขาสั่นอย่างแรง

“หากข้าอยากตาย ...... ข้าจะตายเอง เจ้า ...... ไม่มีวันฆ่าข้าได้


หรอก” เซียวจ้าวจงเลือดไหลออกมาจากริมฝีปาก เขายิม
้ เหมือนกําลัง
เยาะเย้ย สุดท้ายหัวของเขาก็ตกลง แล้วตายไป

ภายในตําหนักเงียบลงทันที

ฉีหนิงรู้ว่าคําพูดสุดท้ายของเขานั้นมันไม่ผด
ิ เลย

ตอนที่ในนอกวังกําลังวุ่นวาย ด้วยฝีมือของเขา จะหนีไปก็ไม่ใช่


เรื่องยาก ไม่มใี ครตามจับเขาได้ด้วย

แต่เขาเลือกที่จะมาที่ตําหนักเฉิงเทียน เขาไม่ถอยแต่เลือกที่จะ
เดินหน้า เมื่อมาถึงที่ตําหนัก มันก็เหมือนกับมารนหาที่ตาย
ฉีหนิงเข้าใจความรู้สึกว่าเซียวจ้าวจงดี

เซียวจ้าวจงลําบากอดทนวางแผนมานานหลายปี ครั้งนี้ลงมือ
บัลลังก์มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าเลย

สําหรับเซียวจ้าวจงแล้ว มันเป็นการลงมือกับฮ่องเต้ครั้งแรก และ


ครั้งสุดท้าย ด้วยนิสัยของเซียวจ้าวจง ความอดทนของเขาในหลายปีที่
ผ่านมา ก็เพื่อการโจมตีครั้งนี้ครั้งเดียว เมื่อไหร่ที่พลาด ก็ไม่มีทางเหลือ
ทางอะไรได้อีก เมื่อแพ้เขาก็จะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง

ดังนั้นเขาเลือกที่จะมาที่ตําหนักใหญ่ในวังหลวง

ถ้าจะบอกว่ากระบี่ของฉีหนิงแทงเข้าตรงหัวใจของเขา ไม่สู้บอกว่า
เขาต้องการจะตายอยู่แล้วถึงจะถูก

ต่อให้อยากตาย เขาก็อยากจะตายให้ใกล้เก้าอี้มังกรมากที่สด

หลงไท่หลับตาลง พยายามข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ แล้วค่อยๆ หัน


หลังกลับไป ท่าทางของเขาดูหนักแน่น ไม่มีอาการอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป
อีก เขาเดินออกไปหน้าตําหนัก องครักษ์ชุดเกราะตามประกบอารักขา
อย่างใกล้ชิด

เมื่อออกมาจากตําหนัก หลงไท่ก็เดินไปด้านหน้า ทุกที่ที่เขาเดิน


ผ่าน ทหารสองข้างทางล้วนแต่คุกเข่าลง ที่ลานกว้างหน้าตําหนัก มีท่าน
เสนาบดีหยวนเป็นผู้นาํ ของเหล่าขุนนาง เห็นหลงไท่เดินออกมา ก็
คุกเข่าลง แล้วตะโกนทรงพระเจริญ

หลงไท่เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่พระอาทิตย์กําลังขึ้น

ภายในตําหนัก ซีเหมินจั้นอิงหยิบยารักษาแผลออกมา รอเอา


กระบี่ที่ปักอยู่ที่หน้าอกของฉีหนิงออกแล้วก็รบ
ี ใส่ยาให้เขา ยาของจวน
เสินโหวนั้นมีสรรพคุณดีมาก ทาให้แค่ครู่เดียวก็ห้ามเลือดได้แล้ว

ปกตินางกล้าทําทุกอย่าง แต่ว่าวันนี้เอามือไปจับกระบี่สองครั้ง แต่


ก็ยังไม่กล้าลงมือ

ชื่อตันเหมยยืนมองอยูห
่ ่างๆ อย่างร้อนใจ จนนางทนไม่ไหว เลย
เดินเข้าไป แล้วนั่งยองลง นางจับไปที่ด้ามกระบี่ ซีเหมินจั้นอิงตกใจ
แล้วพูดอย่างร้อนใจว่า “เจ้า ...... เจ้าจะทําอะไร?”

“ไม่ดึงกระบี่ออกแบบนี้ อาการของเขาจะหนักขึ้นนะ หลักการแค่


นี้เจ้าไม่รู้หรือไง?” ชื่อตันเหมยไม่ไปมองหน้านาง แต่หน
ั ไปพูดกับฉีหนิง
ว่า “ข้าจะดึงกระบี่ออกนะ มันจะเจ็บมาก เจ้าทนหน่อยล่ะกัน” จากนั้น
ถึงหันไปมองซีเหมินจั้นอิงแล้วพูดว่า “หลักจากดึงกระบี่ออกแล้ว เจ้าก็
รีบใส่ยาซะ อย่าเสียเวลาอีก”

ซีเหมินจั้นอิงพยักหน้า แต่ว่ายังพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าทํา


ระวังๆ หน่อยนะ อย่า ......” นางพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงฉีหนิงร้อง
“โอ้ย” ชื่อตันเหมยดึงกระบี่ออกอย่างเด็ดขาด ซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีหนิง
เลือดไหลออกมาไม่หยุด ก็ไม่ให้เสียเวลา นางฉีกเสื้อของฉีหนิงออก
แล้วรีบทายาให้กับฉีหนิง

นางทํางานในจวนเสินโหวมานานหลายปี การปฐมพยาบาล
เบื้องต้นเป็นหนึ่งในศาสตร์การเรียนของจวนเสินโหว

ชื่อตันเหมยเองก็เห็นว่าแผลนั่นมันห่างหัวใจนิดเดียว มันไม่
บาดเจ็บไปถึงหัวใจ นางถึงโล่งใจ เห็นซีเหมินจั้นอิงใส่ยาให้ฉห
ี นิงอย่าง
ระวัง นางขยับปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นางลุกขึ้น แล้วหันหลังเดินไป ฉี
หนิงเข้าใจความรู้สึกของชื่อตันเหมยดี คิดอยากจะห้ามนางเอาไว้ แต่ก็
คิดว่าที่นี่คือวังหลวง ไม่ใช่เวลามาจัดการเรื่องของชูส
้ าว เขาถอนหายใจ
เบาๆ แต่ก็จะแสดงออกไม่ได้มาก

เสวียหลิงเฟิงตอนนี้ก็เดินมาหา แล้วยกมือคํานับให้กับฉีหนิง ฉี
หนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ปราบกบฏคราวนี้ลงได้ ลําบากผูบ
้ ัญชาการเสวีย
แล้วนะ”

“หากไม่ใช่เพราะกั๋วกง ข้าน้อยอาจะไม่มีวันรอดกลับมา” เสวีย


หลิงเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ชวีเสี้ยวเว่ยรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นแผนของ
เซียวจ้าวจง แต่ว่าเพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาท เลยจําเป็นต้องลด
ศักดิ์ศรีแบบนั้น เซียวจ้าวจงส่งคนไปสังหารข้าน้อย เขารู้ว่าเหยียนหลิง
เซี่ยนไปเข้ากับเซียวจ้าวจงแล้ว ข้างกายของเขามีหูตาเต็มไปหมด
ดังนั้นเลยแอบมาหารือกับข้าน้อย เพื่อเล่นละครกัน หลอกใช้เหยียน
หลิงเซี่ยน ทําให้เซียวจ้าวจงมั่นใจว่าข้าน้อยตายไปแล้ว หลังจากที่
ข้าน้อยแกล้งตาย ก็รอแค่โอกาสในการลงมือเท่านั้น”

ฉีหนิงรู้เรื่องของชวีเสี่ยวชางแล้ว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสวีย


หลิงเฟิงสังเกตสีหน้าของเขา เหมือนว่ามันไม่ปกติ เขาเลยถามว่า “กั๋ว
กง คนของจวนเสินโหวมาอารักขาฝ่าบาท ทําไมไม่เห็นชวีเสี้ยวเว่ยเลย
เขา ......?”

“เขากับเหยียนหลิงเซี่ยนตายแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ชวีเสี้ยวเว่ยบุก


เข้าวังหลวงมาคนเดียว เพราะคิดว่าฝ่าบาทถูกขังอยู่ในวังหลวง คิด
อยากจะมาช่วยพระองค์ออกไป แต่กลับตกหลุมพราง ......”

เสวียหลิงเฟิงตะลึงไป เขาก้มหน้าลง ท่าทางของเขาเศร้ามาก แต่ก็


ไม่ได้พด
ู อะไร

สายตาของฉีหนิงมองไปด้านนอก เขาเห็นหลงไท่ที่ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์
แรกของวัน เขารู้ดี ถึงแม้เซียวจ้าวจงจะตายแล้ว แต่ว่าความวุ่นวายใน
คราวนี้มันยังไม่จบ หลังจากนี้ในราชสํานักจะเกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่
อนาคตของใครหลายคน อาจจะต้องจบมันแค่นี้
เล่มที่ 47 บทที่ 1407 ความคิดของราชา

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ไม่เกินสองวันก็จบลง

นี่เป็นการก่อกบฏที่เซียวจ้าวจงวางแผนมาทั้งชีวิต แต่ว่ากลับจบ
ลงแค่ภายในเวลาสองวัน คนที่ไม่รู้ความจริงอะไรก็รู้สก
ึ ว่ากบฏคราวนี้
มันก็ไม่เท่าไหร่ แต่ว่าคนที่มีส่วนร่วมหรือว่าคนที่รู้เรื่องราว ถึงแม้จะ
เป็นเวลาแค่สองวัน แต่มันเป็นสองวันที่อันตรายมาก

ตอนที่หลงไท่เดินออกมาจากตําหนักเฉิงเทียน ขุนนางหลายคน
ล้วนแต่ดีใจ แต่ก็มีบางส่วนที่เริ่มอกสั่นขวัญเสีย

อย่างน้อยกลุ่มที่มีโต้วขุยเป็นผู้นําก็มค
ี วามหวาดกลัวมาก พวกนี้
ไม่เพียงฟังคําสั่งของเซียวจ้าวจงตอนที่เกิดเรื่องกบฏ ยังหารือกันที่จะ
ให้เซียวจ้าวจงนั้นขึ้นสืบทอดบัลลังก์ด้วย มันถือเป็นโทษประหารชีวิต
ละเว้นไม่ได้

ในวันต่อมาฮ่องเต้มีประกาศราชโองการออกมาหลายฉบับ

ราชโองการฉบับแรกเป็นราชโองการที่มอบให้กับผู้บญ
ั ชาการค่าย
เสวียนอู่ฉินฉงที่คุกเข่าขออภัยโทษอยู่
ฉินฉงเปรียบเสมือนกําลังหลักของการกบฏในครั้งนี้ของเซียวจ้าว
จง เขาคุมกําลังพลกว่าหมื่นนายมาล้อมวังหลวงเอาไว้ อีกทั้งยังสั่งให้บุก
โจมตีวังหลวงด้วย ถึงแม้ท้ังสองฝ่ายจะเสียหายไม่มาก แต่ก็ทําให้ทหาร
ตายไปหลายร้อยคน ถือเป็นโทษหนักที่ให้อภัยไม่ได้

หลังจากทหารของค่ายเสวียนอู่ถอนกําลังออกมาแล้ว ฉินฉงเห็น
ฮ่องเต้ปรากฎตัว ก็รีบปลดอาวุธทันที จากนั้นคนของจวนผู้ว่าการเมือง
หลวงก็มาคุมตัวเขาไป

ตั้งแต่ก่อตั้งต้าฉู่มา ฉินฉงเป็นคนแรกที่หันดาบเข้าหาวังหลวง
ตอนที่ฉน
ิ ฉงถูกคุมตัวมาที่ตําหนัก ขุนนางหลายคนร้องขอให้ลงโทษเขา
สถานหนัก แต่สงิ่ ที่เกิดขึ้นมันเหนือความคาดหมายของทุกคน ฮ่องเต้ไม่
เพียงไม่ได้มีราชโองการประหารเขา ถึงแม้จะปลดเขาออกจากตําแหน่ง
แต่เขากลับถูกลงโทษด้วยข้อหาสั่งเคลื่อนกําลังพลโดยพลการแทน
แล้วถูกสั่งย้ายให้ไปอยู่ในกองทัพซีชวนแทน สําหรับครอบครัวของเขา
ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ส่วนทหารที่ติดตามเขาทั้งหมด
ไม่ได้รับการลงโทษแต่อย่างใด

ด้วยความผิดของฉินฉงนั้น ประหารทั้งตระกูลก็ไม่เกินไป แม้แต่


ฉินฉงเองก็คิดว่าเขาคงไม่รอดแน่ ดังนั้นหลังจากที่มีราชโองการลงมา
เหล่าขุนนางก็คิดว่าพวกเขาฟังผิด แม้แต่ฉินฉงเองก็ไม่อยากจะเชื่อหู
ตัวเอง
ส่วนราชโองการฉบับที่สอง น่าสนใจทีเดียว

ค่ายดาบดําเองก็ตามเข้ามาในเมืองหลวงเหมือนกัน แต่ว่าล้อมทาง
ประตูตะวันออกไว้ ตอนที่บุกเข้าวังมา ยังคงมีค่ายเสวียนอู่เป็นกําลัง
หลัก ค่ายดาบดําไม่ได้ลงมืออะไร ไม่เสียกําลังพลไปแม้แต่คนเดียวด้วย
ก็เหมือนแค่เข้ามาในเมืองหลวงแค่น้ัน หลังจากฮ่องเต้ปรากฎตัว การ
โจมตีวังก็ยุติทันที ทหารค่ายเสวียนอู่กับค่ายดาบดําก็รบ
ี ถอนกําลังออก
จากเมืองหลวงออกไปทันที

ในราชโองการ ฉวีเหยี่ยนจือไม่ได้รับการลงโทษแค่อย่างใด แต่ค่าย


ดาบดํากับค่ายกิเลนดําที่ก่อนหน้านี้ถก
ู ควบรวมไปนั้น ยังให้ฉวีเห
ยี่ยนจือเป็นคนดูแลต่อไป

ส่วนราชโองการฉบับที่สาม ยิง่ เป็นที่พด


ู ถึงอย่างหนักในกลุ่มขุน
นาง

ประหารแค่ผู้นาํ ที่เหลือไม่มีการเอาความผิดจากใครอีก

ในราชโองการฉบับนี้ ฮ่องเต้ประกาศไปว่า เหล่าขุนนางที่เข้ามา


พัวพันกับเรื่องในคราวนี้ ล้วนแต่ถูกเซียวจ้าวจงหลอกลวงปิดหูปด
ิ ตา
ทุกคนแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ เลยทําให้หลงผิด

นอกจากขุนนางส่วนน้อยแล้ว คนอื่นๆ ให้กลับไปทําหน้าที่ใน


ตําแหน่งของตนดังเดิม
ขุนนางหลายคนเดิมคิดว่าหลังจากเกิดกบฏคราวนี้ข้ึน ราชสํานัก
จะต้องเกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่ แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงใจกว้าง
และมีเมตตามากขนาดนี้

เซียวจ้าวจงก่อกบฏ จบลงแบบเรียบง่าย ที่จริงทุกคนก็รู้ดี หลัง


กําจัดเซียวจ้าวจงไปแล้ว ก็คงไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายอะไรขึ้นมา
อีก

ฮ่องเต้ไม่ได้ลงโทษกวาดล้างอะไรครั้งใหญ่ แต่มีการปูนบําเหน็จ
ความชอบให้ผท
ู้ ี่มีผลงานอย่างหนัก

กลุ่มแรกที่ได้รับบําเหน็จรางวัลคือค่ายทหารหลวงอวี่หลิน ฉือเฟิง
เตียนก่อกบฏถูกฆ่า ฮ่องเต้ดันคนที่สร้างผลงานในครั้งนีอ
้ ย่างสวีชิง่
ขึ้นมารับตําแหน่งผู้บัญชาการทหารหลวงอวี่หลิน และให้หวีเปียกู่น่ันไป
รับตําแหน่งผู้บญ
ั ชาการค่ายเสวียนอู่แทนที่ของฉินฉง

ฮ่องเต้ยังคงไม่ได้ประกาศเรื่องการตายของซีเหมินเสินโหว ทุกคน
ยังคงเข้าใจว่าเขาออกเดินทางท่องยุทธภพไปอยู่ หากชวีเสี่ยวชางยังอยู่
ตําแหน่งเสินโหวต้องเป็นของเขาแน่นอน แต่ว่าชวีเสี่ยวชางตายในวัง
หลวง เจ็ดดาวไถของจวนเสินโหวบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่าครึ่ง
เหลียนเจินเสี้ยวเว่ยหงเหมินเต้าเพิ่งจะออกจากเมืองหลวงไปได้ไม่นาน
อีกทั้งอยู่ไกลถึงซีเป่ย ดังนั้นตอนนี้ในจวนเสินโหวจึงให้เจ็ดดาวไถที่
เหลืออีกสองคนร่วมกันดูแลไปก่อน
ว่ากันตามตรง ไม่ว่าจะเป็นหานเทียนซู่หรือว่าเหวินชวีเสี้ยวเว่ยนั้น
ก็ยังไม่ถึงระดับที่จะสามารถรับตําแหน่งของเสินโหวได้ ดังนั้นฮ่องเต้จึง
ไม่ได้มีราชโองการแต่งตั้งใครเป็นเสินโหวในเวลานี้ แต่ว่ามีรบ
ั สั่งให้หาน
เทียนซู่ดูแลเรื่องในจวนเสินโหวไปก่อนชั่วคราว

ส่วนเจ้าหน้าที่ของจวนผู้ว่าการเมืองหลวงที่เกี่ยวข้องนั้น ล้วนแต่
ได้รับําเหน็จรางวัล แต่ว่าฮ่องเต้คิดว่าเถี่ยเจิงนั้นเหมาะสมที่จะนั่งอยู่ใน
ตําแหน่งเดิมแล้ว เลยไม่ได้เลื่อนขั้นให้ แต่มอบสิทธิให้เขาสามารถเข้า
วังมาเข้าเฝ้สได้ตลอดเวลา ซึ่งก่อนหน้านั้น มีแค่สี่บรรดาศักดิ์โหวสืบ
ทอดกับเสนาบดีท้ังหกกรมเท่านั้นที่มีสท
ิ ธินี้

แต่ที่ทําให้ทุกคนแปลกใจมากที่สุดคือ คนที่มผ
ี ลงานมากที่สด
ุ ใน
คราวนี้อย่างฉีหนิงนั้น ฮ่องเต้กลับไม่มีราชโองการปูนบําเหน็จรางวัล
อะไรออกมาเลย

สําหรับส่วนตัวของฉีหนิงแล้ว เขาไม่ได้สนใจเรื่องรางวัลของฮ่องเต้
เท่าไหร่ เขาเห็นฮ่องเต้ปลอดภัยดี เมืองหลวงกลับมาสูส
่ ภาวะปกติได้
เร็ว เขาก็พอใจแล้ว

กระบี่ของเซียวจ้าวจงนั้นไม่ได้เข้าจุดสําคัญของฉีหนิง แต่มันก็อยู่
กลางอก ถึงแม้จะไม่มอ
ี ันตรายถึงชีวิต อีกทั้งยังได้ยาของจวนเสินโหว
ปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว แต่ว่าอาการก็ไม่ได้จะหายไวขนาดนั้น เรื่อง
อื่นไม่เท่าไหร่ แต่เวลาจะลุกจะนั่งนั้น มันยังมีอาการปวดหน้าอกอยู่ ฉี
หนิงถูกหามลงเปลกลับมายังจวนหูก
้ ๋ัวกง หลายวันต่อมา เขาก็นอนพัก
ฟื้นอยู่อย่างนั้นไม่ได้ไปไหน

ทหารที่มาเฝ้าจวนหู้ก๋ัวกงก่อนหน้านี้ถอนกําลังออกไปหมดแล้ว ที่
จวนกลับคืนสภาพปกติแล้ว คนในจวนกว่าสองร้อยคนนั้นล้วนแต่ขวัญ
เสียกันหมด

ช่วงที่ถูกปิดจวน นอกจากคนที่สามารถออกไปจัดซื้ออาหารข้าว
ของเครื่องใช้ที่ออกไปได้แต่อยูใ่ นความดูแลของทหารแล้ว คนอื่นก็ไป
ไหนไม่ได้เลย ทุกคนหวาดกลัวกันมาก ไม่มีใครรู้ว่าภัยจะมาถึงตัว
เมื่อไหร่ จนกระทั่วฉีหนิงกลับมาที่จวน พวกเขาถึงได้รู้ว่าพ้นภัยแล้ว
พวกเขาดีใจกันมาก

ถังนั่วเองก็กลับมาแล้ว นางมาช่วยรักษาต้มยาให้ฉีหนิงด้วยตัวเอง
ซีเหมินจั้นอิงก็ดูแลอยูข
่ ้างกายเขาไม่หา่ งเลย

แต่ว่าเพราะกู้ชิงฮั่นไม่ได้อยู่ในจวน มันทําให้ฉห
ี นิงรู้สก
ึ เหมือนขาด
อะไรไป กู้ชิงฮั่นกับเถียนเสวียนหยงอยู่ในการดูแลของพรรคกระยาจก
ออกจากเมืองหลวงไปหลบภัย แม้แต่ฉห
ี นิงก็ไม่รู้ว่าพวกนางอยู่ที่ไหน
แต่ว่าเขาเข้าใจดี ในเมืองหลวงตอนนี้สงบแล้ว อีกไม่นานพรรค
กระยาจกต้องพาพวกนางกลับมาส่งในเมืองหลวงแน่นอน
ตอนเย็นของวันหนึ่ง พ่อบ้านหานก็รบ
ี มารายงานว่า คุณชายหยวน
มาขอเยีย
่ ม

ที่จริงสองสามวันที่ผ่านมามีคนมาขอเยีย
่ มเยอะมาก แต่ว่าถังนั่ว
บอกว่าฉีหนิงต้องพักฟื้น หากว่ามีคนมาเยี่ยมเยอะแยะมากมายขนาดนี้
อาจทําให้แผลหายช้า เลยสั่งให้พ่อบ้านหานปฏิเสธการเข้าเยี่ยม ขุน
นางในเมืองหลวงรู้ว่าฉีหนิงต้องพักฟื้น เลยไม่กล้ามารบกวนอีก แต่ว่า
ของเยี่ยมนั้นมีเยอะกองเป็นสองห้องเลย ฉีหนิงไม่ปฏิเสธการรับของ
พวกนี้ คราวนี้เขาใช้ชีวิตเขาแลกกับการปราบกบฎ ในวังยังไม่ได้ให้
บําเหน็จรางวัลอะไรมา ได้ของจากพวกขุนนางมาก็ไม่ได้รู้สก
ึ ต้องคิด
มากอะไร

ฉีหนิงพักมาหลายวันแล้ว ถึงแม้จะมีอาการเจ็บอยู่บ้าง แต่ลก


ุ ขึ้น
นั่งก็ไม่ได้มป
ี ัญหาอะไรแล้ว

“ให้คุณชายหยวนเข้ามาเถอะ”

หยวนหยงเข้ามาถึงในห้อง ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “กั๋วกงน้อย


เจ้ารู้หรือเปล่า ตระกูลหยวนของเราเกือบตายเพราะเจ้าแล้ว”

ฉีหนิงนั่งพิงอยู่ที่เตียง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะเอา


ของขวัญชิน
้ ใหญ่มาให้ข้าสักอีก ถึงได้ให้เจ้าเข้ามา ถ้าเจ้าจะมาหาเรื่อง
ออกไปเลยไป”
หยวนหยงเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ข้าเอาถั่งเช่า โสม เขากวางมาให้
ของดีดีท้ังนั้น อย่ามาว่าว่าข้ามามือเปล่าสิ” เขานั่งลงที่เก้าอี้ขอบเตียง
แล้วพูดว่า “เจ้าบอกให้ท่านปู่เขียนเทียบเชิญให้เถี่ยเจิง คิดจะลาก
ตระกูลหยวนลงน�าไปด้วยหรือไง หากเซียวจ้าวจงก่อกบฏสําเร็จ คิด
บัญชีทีหลัง ตระกูลหยวนเรากลายเป็นพวกเดียวกับเจ้าคนแรกเลยนะ”

ฉีหนิงพูดว่า “บ้านเมืองมีภัย ตระกูลหยวนสามรุ่นล้วนแต่ได้รบ



พระมหากรุณาธิคุณมา ก็ต้องออกแรงกันบ้างสิ ทําไม ท่านเสนาบดี
หยวนให้เจ้ามาคิดบัญชีกับข้าหรือไง”

“ไม่เลย” หยวนหยงหัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าเจ้ากับเซียว


จ้าวจงประลองฝีมือกัน หาได้ยากเลย น่าเสียดายข้าไม่ได้เห็นด้วยตา
ตัวเอง น่าเสียดายจริง เป็นไงบ้าง ดีข้ึนหรือยัง?”

“พูดแบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรแล้ว
ทําไมเจ้าถึงได้มอ
ี ารมณ์มาเยี่ยมข้าได้ล่ะเนี่ย?”

“ขุนนางราชสํานักล้วนแต่อยากจะมาเยี่ยมเจ้าที่จวน แต่ว่าถูก
ปฏิเสธกันหมด ข้าคิดว่าข้ากับเจ้าก็ถือว่าสนิทกันดี เจ้าคงไม่ปฏิเสธข้า
หรอก เลยพนันกับพวกเขา ด้วยเงินห้าพันตําลึง ว่าข้าเข้ามาได้
แน่นอน” หยวนหยงยิ้มแล้วพูดว่า “ยังดีที่เจ้ายังไว้หน้าข้าอยู่บ้าง ไม่ทํา
ให้ข้าต้องเสียเงินห้าพันตําลึงไป”
ฉีหนิงยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “เอาเงินมาเลย เจ้าอ้างชื่อข้าไปเดิม
พันแล้วชนะ เงินต้องเป็นของข้า”

หยวนหยงหดตัวกลับไปแล้วพูดว่า “เงินยังไม่ได้มาเลย ข้าเอาที่


ไหนมาให้เจ้าล่ะ? ครั้งนี้เจ้าสร้างผลงานใหญ่ ในวังต้องให้บําเหน็จ
รางวัลเจ้าเยอะแน่ ถึงเวลานั้นเจ้าคงได้เงินเยอะจนใช้ไม่หมดแล้ว จะมา
เอาอะไรกะแค่เงินห้าพันตําลึงล่ะ?”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าจนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เห็นเงิน


รางวัลจากในวังสักอีแปะเดียวเลย”

“น่าแปลกจริงๆ” หยวนหยงพูดว่า “ตามหลักแล้วเจ้าสร้างผลงาน


ใหญ่แบบนี้ ก็ควรได้บําเหน็จรางวัล เจ้าเป็นถึงกั๋วกงแล้ว ฝ่าบาทคงไม่
แต่งตั้งเจ้าเป็นอ๋องหรอก เพราะจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีอ๋องที่ไม่ใช่เชื้อสาย
เดียวกันเลย ในเมื่อแต่งตั้งเป็นอ๋องไม่ได้ ก็น่าจะมีอะไรพิเศษเยอะแยะ
ให้เจ้าถึงจะถูก”

ฉีหนิงเบะปาก แล้วพูดว่า “เทน�าให้กินหน่อย”

หยวนหยงเดินไปรินน�า แล้วยกมาป้อนให้ฉห
ี นิง จากนั้นก็พูดว่า
“ไม่ปูนบําเหน็จเจ้าก็ไม่เท่าไหร่ แต่ว่าฝ่าบาทกลับปล่อยพวกโต้วขุยไป
หมดด้วย ข้าได้ยินมาว่าตอนที่ทหารล้อมวัง โต้วขุยกับพวกแอบหารือ
กับเหล่าขุนนาง คิดสนับสนุนเซียวจ้าวจงขึ้นนั่งบัลลังก์ด้วย เขานี่มน
ั คน
สองหน้าชัดๆ ต�าช้าสุดๆ ควรจะเชือดคอมันไปซะ ยังมีพวกที่ฉวย
โอกาสพวกนั้นด้วย ตอนฝ่าบาททรงตกอยู่ในอันตราย แต่ล่ะคนหันไป
เข้ากับเซียวจ้าวจงกันหมด พอจบเรื่อง แต่ล่ะกันทูลให้สับร่างเซียวจ้าว
จงเป็นชิน
้ ๆ ด้วย ....... ขุนนางดีดีท้ังนั้น”

“ฝ่าบาทมีราชโองการ ว่าจะจัดการศพของเซียวจ้าวจงยังไง
ไหม?”

“ข้าได้ยน
ิ มาว่าฝ่าบาทรับสั่งให้คนฝังศพของเขาเป็นอย่างดี ถึงแม้
จะไม่สามารถฝังในสุสานหลวงได้ แต่ว่าทรงให้คนหาที่ใกล้ๆ สุสาน
หลวงฝังเขา”

ฉีหนิงพูดว่า “ทรงฉลาดมากเลยนะ เจ้าอย่าลืมนะว่า กองทัพฉินไหว


กําลังทําสงครามอยู่ ในเวลาแบบนี้ ต่อให้ฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ฝ่าบาท
ก็จะต้องทรงควบคุมสถานการณ์ในราชสํานักให้ม่น
ั คงและนิง่ ที่สุด
เซียวจ้าวจงก่อกบฏ หากคิดบัญชีคนที่เกี่ยวข้องจริงๆ คงมีนับไม่ถ้วน
เลย หากทรงกริว
้ ขึ้นมา ศพมีกองมากกว่าร้อยศพแน่นอน แต่ว่าตอนนี้
ไม่ใช่เวลาที่จะมากริ้ว ถึงแม้โต้วขุยจะเป็นพวกสองหน้า แต่ว่าเขาก็มี
ความสามารถในการจัดหาเสบียงจัดงบประมาณจริง ตั้งแต่กองทัพใหญ่
ของเราเคลื่อนพลไป โต้วขุยก็รับผิดชอบเรื่องส่งเสบียงมาตลอด หาก
จัดการเขาตอนนี้ ต้องมีปัญหาตามมาแน่ ตอนนี้ยังไม่มีใครแทนที่เขาได้
จริงๆ”
เล่มที่ 47 บทที่ 1408 อ๋องเหิงอี้

หยวนหยงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง เมื่อเป็นแบบนีแ


้ ล้ว เมื่อ
ปราบเหนือสําเร็จแล้ว พวกของโต้วขุยก็ชะตาขาดแล้ว?”

ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้ดี หากฮ่องเต้น้อยใจอ่อนต่อคนอื่น


มาก แต่พอหลังจากเรื่องนี้แล้ว เขาน่าจะไม่มีทางไว้ใจใครง่ายๆ อีก

เซียวจ้าวจงได้รบ
ั ความไว้เนื้อเชื่อใจจากฮ่องเต้มาตลอด อีกทั้ง
ยังให้เขาร่วมในการวางแผนการทหารด้วย แต่สุดท้ายกลับเป็นญาติ
สนิทคนนี้ที่เขาไว้ใจที่สุดคนนี้ที่ทรยศเขา สําหรับฮ่องเต้น้อยแล้วมันมี
ผลกระทบต่อเขามากทีเดียว

การศึกทางเหนือยังไม่ยุติ แต่กําลังอยู่ในช่วงเวลาสําคัญ ในเวลา


แบบนี้ หากฮ่องเต้ทําการกวาดล้างครั้งใหญ่ จะต้องเกิดความ
เปลี่ยนแปลงและสั่นคลอนเสถียรภาพของราชสํานักแน่นอน เซียวจ้าว
จงก่อกบฏมันก็ส่งผลต่อราชสํานักมากแล้ว หากยังเพิม
่ ความรุนแรงเข้า
ไปอีก ถ้าอย่างนั้นเรื่องสงครามก็จะลําบากมากขึ้นไปอีก

ฮ่องเต้ไม่ได้ไว้ใจพวกของโต้วขุยแล้ว แต่ว่าตอนนี้เขายัง
จําเป็นต้องใช้คนอยู่
ขอแค่ถก
ู ฮ่องเต้สงสัยและระแวงแล้ว ถ้าอย่างนั้นชะตาของพวก
โต้วขุยก็ถูกกําหนดไว้แล้ว

“จริงสิ การค้าที่ตงไฮ่เป็นยังไงบ้าง?” ฉีหนิงไม่อยากคุยเรื่อง


การเมืองของหยวนหยงอีก เลยเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าเป็นผู้ว่าการของ
กรมการค้าทางทะเล การค้าทางทะเลที่น่ันช้าไปหนึ่งวัน มันอาจจะเสีย
เงินมากมายเลยก็ได้นะ”

หยวนหยงพูดว่า “กั๋วกงน้อยยังบาดเจ็บอยู่ วันนี้เดิมทีก็ไม่ได้


อยากจะคุยเรื่องงานเลย แต่ในเมื่อถามมาเองแบบนั้น ถ้าอย่างนั้น ......
ข้าน้อยก็จะรายงานเดี๋ยวนี้เลย” เขาคิดแล้วถึงพูดว่า “ตอนนี้เดือนหก
แล้ว ตามแผนเดิมขบวนสินค้ารอบแรกจะออกเรือนในเดือนแปด ช่วง
นั้นลมกําลังดีเหมาะแก่การเดินเรือลงใต้ แต่ว่าทางตงไฮ่ยังไม่ได้รับ
ผลกระทบอะไรมากนัก สินค้าทั้งหมดขนไปที่ตงไฮ่แล้ว ถึงแม้จะ
เสียเวลาไปหลายวัน แต่ว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาด เดือนเก้าน่าจะออก
เรือได้”

“เจ้าอย่าดูถก
ู การค้ากับพวกหนานหยางเลยนะ” ฉีหนิงพูดอย่าง
เศร้าๆ “มันไม่เพียงจะเพิ่งพูลขุมกําลังทรัพย์ให้กับคลังหลวงของต้าฉู่
เรา แต่ยังสามารถคงความสัมพันธ์อันดีต่อพวกแคว้นหนานหยางได้
หากสามารถนําวัฒนธรรมของเราไปเผยแพร่ได้ และพวกเขารับ
วัฒนธรรมของเราไป อย่างน้อยเราก็รับประกันได้ว่าน่านน�าทะเลตอน
ใต้เราจะไม่มีปญ
ั หาอะไร” เขานิ่งไปแล้วพูดว่า “ให้ตงไฮ่เป็นท่าเรือใน
การทําการค้า ต่อไปยังเปิดให้ทําการค้าเสรีกับพวกหนานหยางได้อีก
มันก็จะได้ประโยชน์ท้ังสองฝ่าย อีกทั้งยังคงสภาพการค้าของตงไฮ่ไว้ได้
อีก ยังไงก็เป็นผลดีต่อชาวบ้าน”

หยวนหยงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แรกเริ่มเดิมทีการค้าทางทะเล
พวกนี้ มีพวกตระกูลใหญ่ในตงไฮ่ผูกขาดและคุมทุกอย่างเอาไว้ คนจาก
ด้านนอกจะเข้าไปทําการค้าอะไรก็ไม่ได้เลย ตอนนี้มีราชสํานักมาคุม
ถึงแม้จะยังให้สท
ิ ธิแก่พวกร้านค้าที่กําหนดอยู่ แต่ว่าหลังจากนี้พอ
ขบวนเรือมากขึ้นเรื่อยๆ การค้าเจริญมากขึ้น คนที่เข้ามาร่วมก็จะมาก
ขึ้นด้วย”

“ก่อนหน้านี้เคยบอกไปแล้ว ร้านค้าที่ร่วมลงทุนก็ให้สิทธิการค้ากับ
พวกเขาหลายปีหน่อย” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าสิทธิแบบนีไ้ ม่ใช่สิทธิถาวร
นะ”

หยวนหยงพูดว่า “พวกเขาเองก็เข้าใจจุดนี้ดี หลังจากนี้อีกสองสาม


ปี ก็จะต้องทําตามราคา ใครสินค้าดีราคาดี ก็จะได้สิทธินําเข้าสินค้าไป”
เขายิ้มแล้วพูดว่า “พวกพ่อค้าแม่ค้าฉลาดจะตายไป หลังตั้งกรมการค้า
ทางทะเลขึ้นมานะ พวกพ่อค้าในตงไฮ่ก็ไม่แข็งกระด้างอีก หลายคนคิด
ว่าคงต้องปิดร้านก่อนหน้านี้ ก็กลับมาตั้งหลักตั้งร้านใหม่ รอวันที่จะได้
เข้าร่วมทําการค้ากับทางการ”
ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “มันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่นา หยวนหยง ชาตินี้ท้ัง
ชาตินี่เป็นเรื่องดีเรื่องเดียวที่เจ้าทําเลยนะ พอที่จะให้สลักชื่อเอาไว้ให้
คนจดจําเลย”

“รออีกสักสองปีหลังการกรมการค้าเสถียรแล้ว ข้าคิดว่าข้าจะ
เดินทางไปที่หนานหยางเองสักครั้ง ข้าอยากเห็นบรรยากาศที่น่น
ั ”
หยวนหยงพูดว่า “น่าเสียดายกั๋วกงคงจะงานเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่อย่างนั้นถ้าได้ไปเป็นเพื่อนกัน มันก็น่าจะดีมากเลยนะ”

ฉีหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้านี่มันมีเป้าหมายแฝงน่ะเนี่ย”

หยวนหยงลุกขึ้นมา “กั๋วกงน้อย วันนี้ไม่รบกวนแล้วดีกว่า รอท่าน


หายดี ข้าค่อยจัดงานเลี้ยงรับขวัญท่าน”

ฉีหนิงยังไม่ได้พด
ู อะไร ก็เห็นพ่อบ้านหานโซ่ววิ่งหน้าตื่นเข้ามา
แล้วพูดว่า “กั๋วกงขอรับ มีคนจากในวังมากขอรับ ฝ่าบาททรงมีราช
โองการ”

“ในวังมีราชโองการมาเหรอ?” ฉีหนิงตะลึง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “มี


ราชโองการอะไร?”

“ฟ่านกงกงมาด้วยตัวเองขอรับ” หานโซ่วพูดว่า “ฟ่านกงกงพูดว่า


ราชโองการฉบับนี้ก๋ัวกงต้องไปรับด้วยตนเองขอรับ เขายังถามว่ากั๋วกง
สะดวกลุกเคลื่อนไหวหรือเปล่า?”
หยวนหยงพูดอย่างแปลกใจว่า “ฟ่านเต๋อไฮ่? ข้าคิดว่าเซียวจ้าวจง
ฆ่าเขาไปแล้วน่ะเนี่ย” เขาพูดกับฉีหนิงว่า “กั๋วกงน้อย ฟ่านเต๋อไฮ่เป็น
ขันทีคนสนิทของฝ่าบาท ในเมื่อเขามาอ่านราชโองการเอง แสดงว่าราช
โองการนี่ไม่ธรรมดาแน่”

ในเวลานี้เองซีเหมินจั้นอิงก็เดินเข้ามาในห้อง เห็นหยวนหยงอยู่
ด้วย ก็กําลังจะคํานับแบบผู้ชาย เห็นหยวนหยงตะลึงไป นางก้นก
ึ ขึ้นมา
ได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยูท
่ ี่จวนเสินโหว แต่เป็นฮูหยินของจวนจิ่นอีโหว
นางรู้สก
ึ เขิน แต่ก็ถอนสายบัวให้ แล้วหันไปพูดกับฉีหนิงว่า “ท่านพี่ ฟ่า
นกงกงรออยู่ที่สวนที่เรือนด้านหน้า ท่าน ....... ลุกไหวหรือเปล่า?”

ขอแค่ฉห
ี นิงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรรุนแรง มันก็ยังไม่มป
ี ญ
ั หาอะไร
นี่เป็นราชโองการแรกจากวังหลวงหลังจบเรื่องกบฏ ฉีหนิงเองก็ไม่รู้ว่า
ฮ่องเต้มเี จตนายังไง เขาพูดว่า “จั้นอิง ช่วยข้าแต่งตัวที ข้าจะออกไปรับ
ราชโองการ”

ซีเหมินจั้นอิงกับหานโซ่วช่วยกันพยุงฉีหนิงขึ้นมา จากนั้นก็ชว
่ ย
เขาแต่งตัว แต่เพราะกังวลว่าจะถูกแผลของเขา เลยทําค่อนข้างช้า หลัง
แต่งตัวแล้ว ฉีหนิงเก็บของนิดหน่อย ซีเหมินจั้นอิงถึงได้พยุงเขาไปยัง
เรือนด้านหน้า ตอนนี้ทุกคนมารวมกันอยู่ในเรือนแล้ว

ฉีหนิงเห็นฟ่านเต๋อไฮ่มาพร้อมกับขันทีอีกหลายคนกําลังรออยู่ ก็
รีบยกมือคํานับให้เขาแล้วพูดว่า “ทําให้ท่านกงกงต้องรอนานเลย”
ฟ่านกงกงเดินขึ้นมารับ มือขวาของเขาถือราชโองการ แล้วพูด
ด้วยความเป็นห่วงว่า “อาการของท่านเป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่
ไหม? ยังเช้าอยู่ ท่านไม่ต้องรีบก็ได้”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว เห็นท่านกงกงปลอดภัย ข้า
ก็ค่อยสบายใจหน่อย”

ฟ่านเต๋อไฮ่พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ท่านกั๋วกงยังเป็นห่วงข้าด้วยข้า
ซาบซึ้งใจจริงๆ โจรกบฏเซียวจ้าวจงสั่งให้คนจับข้าไปขังเอาไว้ ช่วงนั้น
ก็ทรมานอยู่เหมือนกัน ยังดีที่รอดมาได้ หากไม่ได้ท่านชั่วปราบกบฏ ข้า
เองคิดว่าก็คงไม่รอดแน่ขอรับ” เขาพูดเสียงเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านกั๋ว
กงสะดวกรับราชโองการเลยไหมขอรับ?”

“ไม่มีปญ
ั หาเลย” ฉีหนิงกําลังจะคุกเข่าลง ฟ่านเต๋อไฮ่ยิ้มแล้วพูด
ว่า “ฝ่าบาททรงมีราชโองการมาสองฉบับ ฉบับแรกมีแค่คําพูด ฝ่าบาท
มีรับสั่ง ให้ท่านยืนรับก็พอ” เขากระแอมไอ แล้วพูดด้วยน�าเสียงจริงจัง
ว่า “รับสั่งจากฝ่าบาท : ฉีหนิง อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

ฉีหนิงตะลึงไป แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “กระหม่อมสบายดี ขอบ


พระทัยที่ทรงห่วง”

“ข้ารู้ว่าช่วงหลายวันนี่เจ้าพักฟื้นอยู่ เดินเหินทําอะไรไม่ค่อย
สะดวก คุกเข่าก็ไม่ได้ ข้าเลยยังไม่มรี าชโองการมาถึงเจ้า” ฟ่านเต๋อไฮ่
พูดด้วยเสียงที่จริงจังมาก “อย่าโกรธข้าเลยนะที่ไม่ได้เยี่ยมเจ้า หลาย
วันนี้ข้ามีเรื่องให้ทําเยอะมาก รอเจ้าดีข้น
ึ กว่านี้ ข้าจะให้คนไปตามเจ้า
มาคุยด้วย คิดว่าตอนนีเ้ จ้าก็นา่ จะพอลงจากเตียงได้แล้ว ฝืนคุกเข่านิด
หน่อยน่าจะไม่มป
ี ญ
ั หาอะไร ดังนั้นวันนีเ้ ลยมีราชโองการมาให้เจ้า
หลังจากรับราชโองการแล้ว เจ้าก็พก
ั อีกสักสองสามวัน รอให้ดีข้ึนกว่านี้
แล้วค่อยเข้าวังมาอีกทีล่ะกันนะ”

คําพูดธรรมดาที่ออกมากจากปากฟ่านเต๋อไฮ่ แถมยังเป็นรับสั่ง
จากฮ่องเต้ด้วย ทุกคนต่างมองหน้ากัน มีคนอยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า
ได้แต่ก้มหน้าลง

หลังจากออกมาจากวันนั้น ฉีหนิงยังไม่เคยคุยกับฮ่องเต้เลย พอได้


ฟังคําพูดพวกนีแ
้ ล้ว เขาก็รู้สก
ึ ว่าสนิทสนมเหมือนเดิม เขายกมือคํานับ
แล้วพูดว่า “กระหม่อมรับบัญชา”

ฟ่านเต๋อไฮ่ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านกั๋วกง ราชโองการที่สอง ต้องให้


ท่าน ......”

ฉีหนิงรู้ความหมายของฟ่านเต๋อไฮ่ ซีเหมินจั้นอิงกับหานโซ่วค่อยๆ
พยุงเขาคุกเข่าลง คนในจวนคุกเข่าตามกันหมด ฟ่านเต๋อไฮ่กางราช
โองการออก แล้วประกาศว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่ง : กบฏเซียวจ้าวจงไม่
สํานึกในพระกรุณาธิคุณ ก่อการกบฏ สร้างความวุ่นวายในแผ่นดิน ทํา
ให้แผ่นดินเกือบต้องสูญสิน
้ ขณะที่แผ่นดินของเราตกอยู่ในอันตราย
หู้ก๋ัวกงฉีหนิงไม่เกรงกลัวอันตราย ปกป้องแผ่นดินปกป้ององค์เหนือหัว
จงรักภักดีฟา้ ดินเป็นพยานได้ ผลงานนี้ต้องได้รับรู้กันทั่ว มีเสาหลักที่
จงรักภักดีและกล้าหาญเช่นนี้ ถือเป็นบุญของแคว้นฉู่ เป็นโชคดีของ
ราษฎร เป็นโชคดีของข้า จึงถือโอกาสนี้เลื่อนบรรดาศักดิ์หก
ู้ ๋ัวกงฉีหนิง
เป็นอ๋อง นามว่าอี้เหิงอ๋อง จบราชโองการ”

ฉีหนิงได้ยินคําว่า “อี้เหิงอ๋อง” เขาตกใจมาก เขาเงยหน้าขึ้นมา


ฟ่านเต๋อไฮ่ยิ้มหน้าบานแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องรับราชโองการเถอะ”

ตอนนี้ไม่ใช่แค่ฉีหนิงที่ตกใจ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกใจทั้งหมด

ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นฉู่มา ขุนนางแม่ทัพมีช่ อ
ื มากมาย เชื้อพระวงศ์ก็
มาก แม้แต่พระญาติ คนที่ได้รบ
ั แต่งตั้งเป็นอ๋องก็มแ
ี ค่ไหวหนานอ๋องคน
เดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอ๋องที่ไม่ใช่สายเลือดเลย

สี่บรรดาศักดิ์โหวที่ก่อตั้งแคว้นมา มีผลงานตั้งมากมาย แต่


นอกจากซือหม่าหลันที่ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ คนที่เหลือก็เป็นได้แค่โหว

ฉีหนิงอายุยังไม่เกินยี่สบ
ิ เลย เข้าร่วมราชสํานักยังไม่เกินสองปีเลย
หลังจากเขาได้รับสืบทอดจิ่นอีโหวมา หลังจากนั้นก็ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์
เป็นหูก
้ ๋ัวกง เขายังเป็นหู้ก๋ัวกงได้ไม่เท่าไหร่ ราชโองการในวันนี้ ทําให้
เขาเลื่อนเป็นเป็นอ๋องอีก

พระกรุณาธิคณ
ุ สูงขนาดนี้ ไม่เคยมีใครได้มาก่อน
เห็นฉีหนิงตกใจไม่พด
ู อะไรเลย ฟ่านเต๋อไฮ่ก้มตัวลงมา แล้วพูด
เบาๆ ว่า “ท่านอ๋อง ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นมา ยังไม่เคยมีอ๋องที่นอก
สายเลือดเลยนะขอรับ ท่านอ๋องเป็นคนแรกเลย แสดงว่าฝ่าบาททรง
โปรดปรานท่านมากเลยนะ พระกรุณาธิคุณระดับนี้ ท่านอ๋องจะทําให้
ทรงเสียพระทัยไม่ได้นะขอรับ” เขาม้วนราชโองการยื่นไปให้ฉห
ี นิง

ฉีหนิงมองไปที่ราชโองการ แต่ยงั ไม่ได้ย่ น


ื มือไปรับ เขานิง่ ไป แล้ว
พูดว่า “กงกง ราชโองการของฝ่าบาทฉบับนี้ ข้า ...... รับไม่ได้จริงๆ”

“ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงเดาไว้แล้วว่าท่านต้องพูดเช่นนี”
้ ฟ่านเต๋อ
ไฮ่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงตรัสว่า ราชโองการฉบับนี้ยังไงท่านก็ต้อง
รับ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าท่านขัดราชโองการ โทษที่ขัดราชโองการนั้น
ท่านอ๋องน่าจะทรงทราบดี”

ฉีหนิงลังเล สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก เขายกมือขึ้นมาสองข้าง


แล้วรับราชโองการมา ในวังไม่ได้มีบําเหน็จรางวัลอะไรมาให้เลยใน
หลายวันที่ผ่านมา ฉีหนิงคิดว่าหลงไท่จะเลยตามเลย ใครจะรู้ว่าพอมาที
เอาซะสะเทือนเลยทีเดียว

บ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังเขาล้วนแต่ดีใจ

เป็นบ่าวไพร่ในจวนอ๋อง มันมีฐานะตําแหน่งดีกว่ากั๋วกงแน่นอน
หานโซ่วเองก็ดีใจมาก ในเมื่อกั๋วกงน้อยได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ ที่ดิน
ศักดินาอะไรต่างๆ ก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย การใช้ชีวิตในจวนอ๋องก็จะ
เป็นอีกระดับหนึ่ง

“นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท ในเมื่อท่านอ๋องรับบรรดาศักดิ์
อ๋องแล้ว จวนแห่งนีม
้ ันก็ไม่เหมาะกับฐานะ” ฟ่านเต๋อไฮ่พูดว่า “ตอนนี้
จวนที่ใหญ่ที่สด
ุ ในเมืองหลวง คือจวนไหวหนานอ๋อง ถ้าให้คนไป
ซ่อมแซมสักหน่อย ท่านอ๋องก็สามารถใช้ได้เลย นอกจากนี้ ก็มีจวนของ
ตระกูลซือหม่าก่อนหน้านี้ที่ค่อนข้างกว้างขวาง สามารถขยายพื้นที่ให้
ได้ ไม่ทราบท่านอ๋องคิดยังไงขอรับ? หากท่านอ๋องถูกใจที่ไหน เราจะให้
กรมโยธาเข้าไปจัดการให้ สามเดือนน่าจะเสร็จ ท่านอ๋องก็ย้ายไปอยู่ได้
เลย”

ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจและหนักแน่นว่า “กงกง ข้าได้รับพระกรุณามาก


ขนาดนีแ
้ ล้ว รับอะไรไม่ได้อีกแล้วล่ะ ข้าไม่กล้ารับพระราชทานจวนหลัง
ใหม่อีก จวนหู้ก๋ัวกงเองก็เป็นสถานที่อยู่อาศัยของตระกูลฉีมาถึงสามรุ่น
แล้ว ข้าเองก็ไม่ได้อยากย้ายไปไหน รบกวนกงกงทูลกับฝ่าบาทด้วย ข้า
ก็จะอยู่ที่นี่เป็นจวนอ๋องของข้า ข้าจะไม่ย้ายไปไหนเด็ดขาด”
เล่มที่ 47 บทที่ 1409 แม่เสือ

ฟ่านเต๋อไฮ่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงปรีชา เดาไว้แล้วว่าท่าน


อ๋องจะต้องตอบแบบนี้ แต่ว่าฝ่าบาททรงตรัสไว้แล้วว่า หากท่านอ๋อง
อยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป ก็จะทรงให้กรมโยธามาย้ายจวนด้านข้างออกไป
ให้ เพื่อขยายพื้นที่”

ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “กงกง ตอนนี้แคว้นของเรากําลังต้องใช้


เงิน ไม่ต้องทําอะไรแบบนี้หรอกนะ ตอนที่ข้าเข้าวังไปเข้าเฝ้า ข้าจะทูล
กับฝ่าบาทเรื่องนี้เอง”

ฟ่านเต๋อไฮ่พยุงฉีหนิงลุกมาด้วยสองมือ แล้วพูดว่า “วันนี้เป็นวัน


มงคลของท่านอ๋อง เป็นวันที่นา่ ยินดีนก
ั ท่านอ๋องพักผ่อนให้มากๆ นะ
ขอรับ ข้าจะกลับไปทูลรายงานกับฝ่าบาทแล้ว”

“กงกงอยู่ด่ ืมน�าชาก่อนไหม ......”

“ไม่ต้องหรอก ท่านอ๋องเกรงใจไปแล้ว” ฟ่านเต๋อไฮ่ยิ้มแล้วกลับไป


หลังจากที่เขากลับไปแล้ว คนในจวนทั้งหมดก็หันมาหาฉีหนิง แล้ว
พร้อมใจกันพูดว่า “ยินดีกับท่านอ๋องด้วย”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ” ถึงแม้จะมีบําเหน็จ
รางวัลใหญ่ขนาดนี้มา แต่ฉีหนิงเหมือนจะไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ เขากลับ
รู้สึกว่าฮ่องเต้ให้ทรัพย์สินเงินทองเขามันยังดีซะกว่า แต่ว่าฮ่องเต้ของ
เขาขี้เหนียวมาก ได้บรรดาศักดิ์อ๋องมาก็จริง แต่สมบัติมีมูลค่าไม่มม
ี าให้
สักชิ้นเลย

หานโซ่วโบกมือแล้วพูดว่า “ทุกคนแยกย้ายกันไปทํางานได้แล้ว”
หลังทุกคนแยกย้ายกันไป หานโซ่วถึงได้พูดกับฉีหนิงกับซีเหมินจั้นอิงว่า
“ท่านอ๋อง ฮูหยิน เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ เราควรจะจัดงานเลี้ยงฉลองนะ
ขอรับ ท่านอ๋องจะเชิญเหล่าขุนนางในเมืองหลวงมาร่วมยินดีด้วย
หรือไม่ขอรับ? ข้าจะได้ให้คนเตรียมเทียบเชิญ กําหนดวัน แล้วเริม

เตรียมงาน”

ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ท่านพี่ ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ว่า ......


ข้าคิดว่าเราไม่ควรดีใจออกนอกหน้าแบบนั้น”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ฮูหยินพูดถูก” เขาหันไปพูดกับหานโซ่วว่า
“งานเลี้ยงก็ไม่ต้องจัดดีกว่านะ สั่งให้คนในจวน อย่าไปพูดเรื่องนี้ข้าง
นอกด้วย ให้ทําตัวปกติเหมือนเดิม”

หานโซ่วตะลึงไป แต่ในเมื่อเจ้านายสั่งมาแบบนี้ เขาก็ต้องทําตาม


หยวนหยงอยู่ในกลุ่มคนด้วย ตอนนี้ก็เดินเข้ามาหา เขายกมือยิม

คํานับแล้วพูดว่า “ยินดีด้วยท่านอ๋อง เมื่อกี้ขา้ ยังรู้สึกน้อยใจแทนท่าน
อยู่เลย คิดไม่ถึงบําเหน็จรางวัลบทจะมาก็มาเลย ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นฉู่
ของเรามา ยังไม่มีฮ่องเต้พระองค์ไหนแต่งตั้งอ๋องที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์
เลยนะ พระกรุณาธิคณ
ุ สูงขนาดนี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลย”

ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “หลี่หงซิน
่ ของซีชวนก็มีบรรดาศักดิ์อ๋อง
เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? เขาก็เป็นอ๋องต่างสายเลือดนีน
่ า”

“ฮูหยิน ต้นตระกูลของหลี่หงซิน
่ อยู่ที่ซีชวน พวกเขาอยูท
่ ี่น่น
ั เรียก
ตนเองว่าอ๋องอยู่แล้ว” หยวนหยงพูดว่า “หลังจากสวามิภักดิ์กับเรา ราช
สํานักไม่ได้ปลดบรรดาศักดิ์ของเขาทิ้งไป ตําแหน่งสูอ
่ ๋องของเขา ถือได้
ว่าเป็นตําแหน่งสืบทอดมา ถึงแม้จะมีบรรดาศักดิ์อ๋องอยู่ แต่ว่าในราช
สํานักไม่มีใครเห็นเขาเป็นอ๋องจริงๆ สักคน มีแค่ในนามเท่านั้น แต่อี้เหิง
อ๋องเป็นบรรดาศักดิ์ที่ฝา่ บาททรงพระราชทานแต่งตั้งด้วยตัวเอง มัน
เทียบกับของท่านอ๋องไม่ได้เลย” เขายกมือคํานับอีกครั้งแล้วพูดว่า
“ท่านอ๋อง ข้าขอตัวกลับก่อนนะ ไว้ข้าจะมาเยีย
่ มท่านใหม่” จากนั้นเขา
ก็กลับไป

ซีเหมินจั้นอิงพยุงฉีหนิงกลับห้องพัก แล้วค่อยๆ พยุงเขาเอนตัวที่


เตียง จากนั้นก็น่งั ข้างๆ เขา แล้วพูดว่า “ท่านพี่ ฝ่าบาททรงแต่งตั้งท่าน
ให้เป็นอี้เหิงอ๋อง ท่านเหมือน ....... ไม่ค่อยดีใจเลยนะ?”
“เปล่านี่ ......” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพียงแต่ข้าคิดว่าข้า
อายุแค่นี้ก็ได้บรรดาศักดิ์อ๋องมา มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้”

“ไม่ใช่เรื่องดีง้ันเหรอ?” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ท่านพี่กังวลว่า


หลังจากได้เป็นอ๋องแล้ว จะมีคนในราชสํานักรู้สึกไม่พอใจอย่างนั้น
เหรอ?” นางพูดว่า “ท่านเอาชีวิตปกป้องฝ่าบาท ช่วยแคว้นฉู่เอาไว้
หากไม่ใช่เพราะท่าน เซียวจ้าวจงคงก่อกบฏสําเร็จไปแล้ว ผลงานใหญ่
แบบนี้ ได้บรรดาศักดิ์อ๋องแล้วยังไงล่ะ ขุนนางพวกนั้นมีใครทําได้
มากกว่าท่านหรือเปล่า?”

ฉีหนิงรีบพูดว่า “จั้นอิง เรื่องนี้เราคุยกันสองคนได้นะ แต่ว่าจะให้


ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด”

“เจ้าคิดว่าข้าโง่มาหรือไง?” ซีเหมินจั้นอิงมองบนใส่ฉห
ี นิง จากนั้น
ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่ว่าทําไมฝ่าบาทถึงได้มีรับสั่งให้เจ้าเลือกจวน
อ๋องด้วย? จวนไหวหนานอ๋องกับจวนตระกูลซือหม่าถึงแม้จะใหญ่ แต่
...... พวกเขาเป็นกบฏนะ เราไม่มีทางเลือกที่จะไปอยู่ในที่แบบนั้นอยู่
แล้ว”

ฉีหนิงยิม
้ แต่ไม่ได้พด
ู อะไร

“อี้เหิงอ๋อง?” ซีเหมินจั้นอิงพูดซ�า แล้วพูดว่า “ทําไมถึงได้ต้ังชื่อว่า


อี้เหิงล่ะ? ต้องการให้ท่านมีความภักดีมน
ี �าใจงั้นเหรอ?”
ฉีหนิงพูดว่า “คําว่าอี้ ความหมายของมันคือภักดีแน่นอนอยู่แล้ว
คําว่าเหิง ทรงอยากให้ข้ามีความภักดีตลอดไป”

ซีเหมินจั้นอิงคิดไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “จั้นอิง เอ่อ ...... แม่นางชื่อ


ตอนนี้อยู่ไหนเหรอ เจ้ารู้หรือเปล่า?”

วันที่ฉีหนิงถูกหามกลับมาที่จวนอ๋อง ระหว่างทางเขาก็ไม่เห็นชื่อ
ตันเหมยแล้ว ไม่รู้ว่านางไปไหน ฉีหนิงอยากจะถามตั้งหลายครั้งแล้ว
แต่ก็อดทนไว้ แต่หลายวันที่ผ่านมาไม่เห็นหน้าของนางเลย ฉีหนิงเลย
รู้สึกเป็นห่วง เลยอดถามไม่ได้

ในการปราบกบฏเซียวจ้าวจงคราวนี้ ถึงแม้ฉีหนิงจะวางแผนทุก
อย่าง แต่หากไม่ได้ช่ ือตันเหมยออกจากวังไปจัดการให้ ก็ไม่มท
ี างพลิก
สถานการณ์กลับมาได้แน่นอน

ฉีหนิงรู้ว่าผลงานของชื่อตันเหมยไม่ได้น้อยไปมากกว่าเขาเลย แต่
ว่านางเป็นศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น นางไม่มีทางเปิดเผยฐานะของ
ตัวเองแน่นอน

ซีเหมินจั้นอิงลังเล แล้วถามว่า “ท่านพี่ นาง ..... เป็นใครกันแน่?”

ก่อนจะเกิดกบฏขึ้น ซีเหมินจั้นอิงไม่เคยเจอชื่อตันเหมยมาก่อน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชื่อตันเหมย คนที่รู้ก็มีน้อยมาก
หลังจากชื่อตันเหมยออกจากวัง ก็ทําตามที่ฉห
ี นิงสั่ง ติดต่อกลุ่ม
อํานาจที่ช่วยเหลือพวกเขาได้ รวมถึงจวนเสินโหวด้วย

หลังชวีเสี่ยวชางตายไป ฉีหนิงนําป้ายคําสั่งจากตัวเขาออกมา ชื่อ


ตันเหมยนําป้ายคําสั่งนั่นไปที่จวนเสินโหว ทําให้พวกเขาเชื่อใจใ ปล่อย
หานเทียนซู่ออกมาจากคุก ซีเหมินจั้นอิงก็ถก
ู ยกเลิกการกักบริเวณ รวม
กับอู่ชวีเสี้ยวเว่ย ทั้งสามคนคือคนที่สามารถทํางานได้ในจวนเสินโหว
แล้วบุกไปที่จวนไหวหนานอ๋อง

ซีเหมินจั้นอิงเองก็ได้เจอชื่อตันเหมยตอนที่ไปส่งข่าวที่จวนเสินโหว
นั่นเป็นครั้งแรก

แต่ช่ อ
ื ตันเหมยหน้าตางดงามโดดเด่นกว่าใคร ไม่ว่าจะชายหรือ
หญิง แค่เจอครั้งเดียว ก็จําไม่มีวันลืม

ซีเหมินจั้นอิงรู้ว่าชื่อตันเหมยมาส่งข่าวมันคือเจตนาของฉีหนิง
เรื่องใหญ่แบบนี้ฉีหนิงมอบหมายให้สาวงามแบบนางไปทํา แสดงว่าเขา
เชื่อใจนางมาก แสดงว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องไม่ธรรมดา
แน่นอน

ซีเหมินจั้นอิงถึงแม้จะเป็นคนใจร้อน แต่ว่านางไม่ใช่คนโง่
ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงนั้นมันอ่อนไหวมาก พอฉีหนิงถามถึงชื่อ
ตันเหมยขึ้นมา น�าเสียงเหมือนจะเป็นห่วงนางมากด้วย มันทําให้ซีเห
มินจั้นอิงเดาได้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน

ฉีหนิงลังเล เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังหลวง

ซีเหมินจั้นอิงกับชื่อตันเหมยเห็นเขาบาดเจ็บหนัก วิ่งมาหาเขา
แทบจะพร้อมกัน แต่ช่ อ
ื ตันเหมยกลับหยุดไประหว่างทาง หลังจากนั้นก็
เป็นซีเหมินจั้นอิงที่ใส่ยาให้เขา ชื่อตันเหมยหลบไปยืนมองอยูห
่ ่างๆ นั่น
ไม่ใช่เพราะนางอยากจะห่างเหินกับเขา แต่เพราะให้เกียรติซีเหมินจั้น
อิงต่างหาก

ถึงแม้เมื่อเทียบกับซีเหมินจั้นอิงแล้ว ชื่อตันเหมยจะแต่งงานเป็น
สามีภรรยากับเขาก่อนก็จริง แต่คนที่ตระกูลจิ่นอีโหวจัดงานแต่งงาน
ออกหน้าออกตารับเป็นสะใภ้คือซีเหมินจั้นอิง

เขารู้ว่ายังไงเรื่องนี้ก็ปด
ิ ได้ไม่นาน ยังไงช้าเร็วก็ต้องบอกให้ซีเห
มินจั้นอิงได้รู้

ซีเหมินจั้นอิงเห็นฉีหนิงคิดนาน ไม่ตอบ ใบหน้าสวยๆ ของนางก็


เริ่มโมโห นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้ามีอะไรกับนางแล้วใช่ไหม? เจ้า
...... เจ้าอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออกนะ”

หลังจากที่ซีเหมินจั้นอิงแต่งงานมาแล้ว นางก็รู้ว่านางจะอารมณ์
ร้อนขี้โมโหแบบเดิมไม่ได้อีก ดังนั้นางเลยพยายามแก้ไขให้ดูอ่อนโยน
มากขึ้น อีกอย่างนางกับฉีหนิงยังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน เลยยังไม่มี
ปัญหาอะไรมากมาย

แต่ว่านางก็ยังคงมีความทรนงในตัวเองอยู่ หากมีเรื่องที่ทําให้นาง
โกรธจริงๆ นางก็เก็บอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ

ตอนนี้เหมือนว่านางจะลืมไปแล้วว่าฉีหนิงบาดเจ็บอยู่ นางขมวด
คิ้วหนักมา ใบหน้าของนางโมโหมาก ฉีหนิงสังเกตสีหน้าของนาง ดูก็รูว
้ ่า
ถ้าเขาไม่มีคําอธิบายให้ดี วันนี้เขาตายแน่ เขาพยายามฝืนยิม
้ แล้วยื่น
มือออกไปจับมือของนาง เดิมคิดว่าอยากจะทําให้บรรยากาศมันผ่อน
คลายขึ้น ใครจะคิดว่าซีเหมินจั้นอิงจะชัดมือหลบ ดวงตาสวยๆ ของนาง
กําลังจ้องไปที่ฉีหนิง สายตามันเต็มไปด้วยคําถามและต้องการคําตอบ
เหมือนว่านางกําลังสอบสวนผู้ต้องหาอยู่

ฉีหนิงพูดว่า “ข้าต้องอธิบายให้เจ้าฟังอยู่แล้ว แต่ว่า ...... เจ้าอย่า


มองข้าแบบนี้ได้ไหม ข้ารู้สึก ..... กลัวนะ”

ซีเหมินจั้นอิงลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “กลัว? ถ้าไม่ทําอะไรผิดมาจะ


กลัวทําไม เจ้ากลัว แสดงว่าเจ้าไปทําเรื่องอะไรไม่ดีมาใช่ไหม?” นางกัด
ฟัน แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “นาง ...... นางหน้าตาแบบปีศาจจิ้งจอก
สาวสวยแบบนั้น ดูก็รู้ว่าต้องทําให้ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่ละสายตาได้
เลย”
“นางเป็นองค์หญิง” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ปีศาจ
จิ้งจอกสาว”

“องค์หญิง?” ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป “องค์หญิงอะไรกัน?”

“เดิมทีนางเป็นลูกสาวของอดีตรัชทายาทของแคว้นตงฉี แต่เพราะ
การชิงอํานาจในวังหลวงแคว้นฉี พ่อของนางให้รา้ ย ตระกูลของนาง
ต้องตายทั้งหมด มีนางคนเดียวที่รอดมาได้” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “ดังนั้นนางกับราชสํานักแคว้นฉีเลยไม่ถก
ู กัน อีกทั้ง ......” เขาพูด
เสียงเบาลง “นางเป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นด้วย”

ซีเหมินจั้นอิงหน้าเปลี่ยนไปทันที นางหลุดออกมาว่า “ศิษย์ของ


เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นเหรอ” จากนั้นนางก็รีบเอามือปิดปาก เหมือนกลัวจะมี
ใครมาได้ยิน นางพูดเหมือนจะเข้าใจแล้วว่า “ที่แท้ ...... ที่แท้นางก็เป็น
ศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋นนี่เอง มิน่าวรยุทธ์ของนางถึงได้สงู ขนาดนั้น
......” นางพูดด้วยความสงสัยต่อว่า “นางเป็นศิษย์ของเจ้าเกาะไป๋อวิ๋น
แล้วเจ้าไปรู้จักกับนางได้ยังไง? ทําไม ..... ทําไมนางต้องแลกชีวิตเพื่อ
ช่วยเจ้าแบบนั้นด้วย”

ฉีหนิงพยายามทําให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น เพื่อไม่ให้แม่เสือ
ของเขาระเบิดความโกรธออกมา เขาพูดว่า “เรื่องนี้เดิมทีข้าควรจะ
บอกเจ้านานแล้ว แต่ว่า ...... มันเกี่ยวข้องกับทั้งเทพกระบี่กับเจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋น ก็เลย ......”
ซีเหมินจั้นอิงแปลกใจหนักเข้าไปใหญ่ “เทพกระบี?่ เจ้าเกาะ
ไป๋อวิ๋น?” นางเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว ความโกรธบนใบหน้าของนางเริ่ม
ผ่อนคลายลง กลายเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย นางขยับเข้ามา
ใกล้ฉีหนิงแล้วถามว่า “ท่านพี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ปิดบัง เขาเล่าเรื่องที่เดินทางไปเป็นราชทูตที่ตงฉี
ให้นางฟัง ตอนนั้นชื่อตันเหมยบุกเข้าไปปลงพระชนม์ฮ่องเต้แคว้นตงฉี
เขาช่วยชื่อตันเหมยเอาไว้ แล้วตกหลุมพรางที่ป่าไผ่วิญญาณ ถูกคนจับ
ตัวเอาไว้ ตอนที่ตกอยู่ในอันตราย เจ้าเกาะไป๋อวิ๋นกับเทพกระบี่ก็
ปรากฎตัวขึ้น แล้วช่วยพวกเขาเอาไว้ แต่ว่าทั้งสองคนกลับต้องการให้
เขากับชื่อตันเหมยแต่งงานกัน เรื่องในช่วงนี้มน
ั จะงงๆ นิดหน่อย ฉีหนิง
พูดแบบง่ายๆ ให้มันผ่านไป พูดได้ก็พด
ู พูดไม่ได้ก็ปล่อยไป มีการแก้
เนื้อเรื่องนิดหน่อย ทําให้ดูเหมือนว่าต้าจงซือสองคนบีบบังคับให้เขา
แต่งงานกับชื่อตันเหมย

พอเล่าเรื่องออกมาหมดแล้ว ซีเหมินจั้นอิงกลับไม่โมโหเลย แต่กลับพูด


อย่างตกใจว่า “เทพกระบี่ ...... ยังมีชว
ี ิตอยู่ง้ันเหรอ? พวกเขา ...... พวก
เขาบังคับพวกเจ้าแต่งงานกันด้วย?” พอคิดถึงประเด็นสําคัญ นางก็
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ต้าจงซือสองคนไม่มีอะไรทําแล้วหรือยังไง? ทําไม
ถึงได้มาบังคับให้พวกเจ้าแต่งงานกันแบบนี้ด้วย?”
เล่มที่ 47 บทที่ 1410 ฮ่องเต้ไม่มเี รื่องส่วนตัว

ฉีหนิงพูดอย่างจนใจว่า “ชื่อตันเหมยไม่มีญาติเหลืออีกแล้ว นาง


เองก็อายุมากแล้วด้วย ไม่ได้อายุน้อยอย่างเจ้า ท่านเจ้าเกาะเป็น
อาจารย์ของนาง คงเป็นห่วงเรื่องชีวิตบั้นปลายของนาง แต่เจ้าก็น่าจะรู้
วรยุทธ์ของจต้าจงซือเป็นยังไง ศิษย์ของพวกเขา ก็ไม่มีทางยอมรับใคร
ง่ายๆ หรอก ท่านเจ้าเกาะเห็นข้าเป็นหลานของเทพกระบี่ นิสัยก็พอใช้
เลยถูกใจข้า การแต่งงานครั้งนี้เขาก็ไม่ได้แจ้งข้าล่วงหน้า แต่ไปตกลง
กับเทพกระบี่เลย เทพกระบี่ก็ไม่รู้เกิดเป็นอะไรขึ้นมา รับปากไปซะ
อย่างนั้น ดังนั้น ......” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “การแต่งงานที่ต้า
จงซือเป็นคนจัดการ ต่อให้ขา้ มีสักสิบหัวข้าก็ไม่กล้าขัดหรอกจริงไหม?”

ซีเหมินจั้นอิงพูดด้วยความสงสัยว่า “เป็นแบบนี้จริงเหรอ?”

“จริงแน่นอน หากเจ้าไม่เชื่อ รอข้าเจอเทพกระบี่แล้ว ให้เขามา


อธิบายให้เจ้าฟังด้วยตัวเองเถอะ”

ซีเหมินจั้นอิงมองไปที่เขาแล้วพูดว่า “เจ้าแกล้งทําเป็นไม่ยินยอม
ใช่ไหม คนแซ่ช่ อ
ื นั่นเย้ายวนใจแบบนั้น เจ้าไม่ชอบหรือไง? คิดว่าเจ้าคง
มีความสุขสมเลยมากกว่า”
ฉีหนิงยิม
้ แต่ในใจของเขากลับกังวลมาก แอบคิดในใจว่าชื่อตัน
เหมยเขาสามารถอ้างชื่อของเป่ยกงเหลียนเฉิง ก็ถือว่าผ่านด่านไปได้
แต่ว่าอี๋ฟูที่อยู่ชายแดนเหมียว เขารับปากจะแต่งงานกับนางไปแล้ว ถึง
เวลานั้นจะอธิบายกับซีเหมินจั้นอิงยังไง?

อี๋ฟูยังไงก็เป็นผูห
้ ญิงบริสุทธิ์ แต่ฉีหนิงก็ยังไม่ลืมจั่วเซียนเอ๋อร์ด้วย

เซียนเอ๋อร์ตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่ในวัง ยังไม่ออกมา แต่หลังจาก


อาการหายดีแล้ว เขาจะไม่สนใจนางไม่ได้ มันเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก ถึง
เวลานั้นจะจัดการเรื่องของนางยังไงกันล่ะ? เซียนเอ๋อร์เคยเป็นนาง
คณิกามาก่อน ถึงแม้จะเปลี่ยนหน้าไปแล้ว แต่ยงั ไงจะพาผู้หญิงที่ไม่มี
ที่มากลับจวนมามันก็ใช่เรื่อง

เขารู้ว่าอี๋ฟูกับเซียนเอ๋อร์ยังไงก็ปด
ิ ไม่มิดแน่ รอซีเหมินจั้นอิง
อารมณ์ดีวันไหน แล้วเขากล้าพอที่จะอธิบายค่อยว่ากัน แต่ว่าเรื่องของ
เถียนเสวียหยง ยังไงเขาก็ไม่พด
ู แน่นอน

พอคิดแบบนี้แล้ว เหมือนว่าเขาจะกําลังจะมีชีวิตแบบหลายเมีย
เลยน่ะเนี่ย?

พอฉีหนิงคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผูห
้ ญิงพวกนั้น เขาก็
ขมวดคิ้ว เขารู้สึกกลุ้มมาก ซีเหมินจั้นอิงเห็นเขาเครียด ใครจะไปนึกถึง
ว่าเขากําลังคิดเรื่องผู้หญิงหลายคนอยู่ นางคิดว่าเขากําลังกังวลใจเรื่อง
ของชื่อตันเหมยอยู่ นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านเทพกระบี่ก็ถือว่า
เป็นคนของตระกูลฉี เป็นท่านปู่ของเจ้า ต่อให้เขาไม่ได้เป็นต้าจงซือ แต่
การแต่งงานที่เขาจัดให้ เรา ...... เราจะไปขัดไม่ได้หรอกนะ” นางลังเล
แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็รับนางเข้าจวนมาก็แล้วกัน เพราะครั้งนี้หาก
ไม่ใช่เพรานาง เราก็คงไม่รอด”

ฉีหนิงดีใจมาก แต่ว่ายังคงสีหน้าลําบากใจอยู่ เขาถอนหายใจแล้ว


พูดว่า “แล้วเจ้าจะน้อยใจหรือเปล่า?”

ซีเหมินจั้นอิงไม่พอใจนิดหน่อย แล้วพูดว่า “ข้ารู้เจ้าเป็นท่านอ๋อง


แล้ว แต่เจ้าก็เป็นสามีของข้าด้วย ท่านอ๋องคนอื่นจะมีเมียกี่คนข้าไม่สน
แต่ว่าเจ้า ......” คําพูดด้านหลังก็ไม่ได้พูดอะไร นางจ้องสายตาโหดมาก
ไปให้ฉห
ี นิง แล้วพูดว่า “เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงชื่อตันเหมยหรอก วันนั้น
นางไม่ได้ตามกลับมาด้วยก็จริง แต่ว่านางให้ฝากมาบอกเจ้าว่า นางยังมี
เรื่องต้องไปทํา เสร็จเรื่องเมื่อไหร่นางจะมาหาเจ้าเอง ตอนนี้เจ้าพอใจ
แล้วหรือยังล่ะ?”

ฉีหนิงจนปัญญา ทําได้แค่ส่ายหน้า ไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีก เขาถาม


ต่อว่า “แล้วเรื่องของพรรคกระยาจกทางราชสํานักว่ายังไงบ้าง?”

ฉีหนิงจําเป็นต้องใช้กําลังของพรรคกระยาจก เขาเองก็ไม่มี
ทางเลือก
พรรคกระยาจกเป็นพรรคในยุทธภพ ครั้งนี้เข้าร่วมการ
เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถึงแม้จะเป็นเพระความปลอดภัยของฮ่องเต้
แต่ว่าพรรคในยุทธภพมาเกี่ยวข้องกับการเมืองแบบนี้มน
ั เป็นเรื่อง
ต้องห้าม ฉีหนิงกังวลว่าฮ่องเต้อาจจะคิดอะไรกับพรรคกระยาจก หาก
ไม่ใช่เพราะเขายังบาดเจ็บอยู่ เขาคงไปขอบคุณพวกจูเซวียที่พรรค
กระยาจกแล้ว

“ผู้อาวุโสจูเซวียบาดเจ็บ โดนฟันที่หน้าท้อง ไส้ ..... แทบจะหลุด


ออกมาแล้ว” ซีเหมินจั้นอิงไม่เหมือนผูห
้ ญิงกุลสตรีท่ัวไป ที่ไม่กล้าพูด
เรื่องเลือดตกยางออก นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อาการของเขา อย่าง
น้อยก็ต้องรักษากันเป็นเดือนๆ เลย”

“เขาบาดเจ็บเหรอ?” ฉีหนิงตกใจมากเขาถามว่า “ใครเป็นคนทํา


เขา?”

ซีเหมินจั้นอิงเลยเล่าเรื่องที่จวนไหวหนานอ๋องอย่างละเอียดให้เขา
ฟัง ฉีหนิงพูดว่า “ที่แท้ก็เจียงซุยอวินนี่เองเหรอ? หลังตระกูลใหญ่ในตง
ไฮ่ล่มสลายกันไปหมด เขาก็หายตัวไปเลย คิดไม่ถึงว่าเซียวจ้าวจงจะ
โอบอุ้มเขาเอาไว้” เขารู้ วรยุทธของเจียงซุยอวินนั้นโม่อ่ิงเป็นคนสอน
โม่อ่ิงเพื่อซื้อตัวเหยียนหลิงเซี่ยน เลยถ่ายทอดวิชาให้เหยียนหลิงเซี่ย
นด้วย เพียงแต่พวกเขาตายไปเพราะการก่อกบฏในครั้งนี้ท้ังหมด

ไหวหนานอ๋องมีวางกับดักเอาไว้ ฉีหนิงรู้ดีแก่ใจ
เขามั่นใจว่าฮ่องเต้น่าจะถูกนําตัวไปซ่อนไว้สองแห่ง นอกจากจวน
ไหวหนานอ๋องแล้วก็นา่ จะเป็นสํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื เทียบกันแล้ว สํานัก
คุ้มกันซวี่ร่ อ
ื มันไม่สะดุดตามากกว่า ใครก็ไม่มท
ี างนึกถึง ดังนั้นหากให้ฉี
หนิงเดิมพันจริงๆ เขาก็ต้องเดิมพันว่าฮ่องเต้ถูกกุมขังอยู่ที่สํานักคุ้ม
กันซวี่ร่ อ
ื มากกว่า

เขารู้ว่าเซียวจ้าวจงเจ้าเล่หม
์ าก เลยให้กําลังหลักของพวกเขาไปที่
ไหวหนานอ๋อง เดิมคิดที่จะใช้เป็นแผนล่อ คนของพรรคกระยาจกกับ
จวนเสินโหวรวมกันมันมีมากพอ เลยให้พวกเขาไปที่จวนไหวหนานอ๋อง

ฉีหนิงเดาไว้แล้วว่าที่จวนไหวหนานอ๋องนั้นต้องเกิดการนองเลือด
แน่ แต่กําลังของพรรคกระยาจกกับจวนเสินโหวรวมกัน ก็น่าจะ
ได้เปรียบ ก็ไม่นา่ จะเสียเปรียบอะไร

ถึงแม้มน
ั จะเป็นเรื่องที่ฉีหนิงมีคิดเอาไว้อยู่แล้ว แต่ผู้อาวุโสจูเซวีย
บาดเจ็บ มันเหนือความคาดหมายของฉีหนิง

“ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่ได้อยู่ในจวนไหวหนานอ๋อง แต่ว่าที่น่ัน ก็ได้


อย่างอื่นมานะ” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าไหวหนานอ๋อง
เราเจอใครที่น่น
ั ?”

“ใคร?”

“รัชทายาทตงฉีต้วนเส้ากับผู้บญ
ั ชาการทหารเรือตงฉีเสินถูหลัว”
ฉีหนิงสะดุ้ง แล้วพูดว่า “พวกเขาเองเหรอ?”

ฉีหนิงกับทหารหลวงวันนั้นคุมตัวพวกเขากลับเมืองหลวง ระหว่าง
ทางเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ถึงแม้ฉีหนิงจะรอดมาได้ แต่ต้วนเส้า
กับเสินถูหลัวกลับหายไปไร้ร่องรอย วันนั้นโม่อ่ิงปรากฎตัวขึ้น ฉีหนิง
สงสัยว่าโม่อิ่งน่าจะคุ้มกันพวกเขาสองคนไปซ่อน แต่ว่าไม่รู้ที่ไหน

คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองคนจะไปซ่อนตัวอยู่ในจวนไหวหนานอ๋อง

“พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในไหวหนานอ๋อง ตอนที่เราตรวจค้นจวน เรา


ถึงได้เจอตัวพวกเขา” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “จวนเสินโหวเอาตัวพวกเขา
กลับมา น่าจะขังเอาไว้ที่จวนเสินโหว แต่จะจัดการยังไง ข้าไม่รู”
้ นาง
ลังเลแล้วพูดว่า “ฮองเฮาเป็นองค์หญิงแคว้นตงฉี หากรูว
้ ่าต้วนเส้าถูกขัง
อยู่ที่จวนเสินโหว นางต้องขอร้องฮ่องเต้แน่ๆ เลย”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสจูเซวียบาดเจ็บเพราะข้า ข้า


ต้องไปเยี่ยมเขา”

“ตอนนี้เจ้ายังไปไหนไม่ได้นะ” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “แม่นางถัง


บอกแล้วว่า เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก อีกอย่างฝ่าบาทเพิ่งจะแต่งตั้งให้
เจ้าเป็นอ๋อง เจ้ายังไม่เข้าวังไปเฝ้าพระองค์เลย แต่จะไปเยี่ยมผู้อาวุโสจู
เซวีย ฝ่าบาททรงทราบเข้า เกรงว่าจะไม่พอใจนะ”

ฉีหนิงคิดก็รู้สก
ึ ว่าที่ซีเหมินจั้นอิงพูดมานั้นมีเหตุผล
หลังจากนั้นสองวัน ซีเหมินจั้นอิงยังคงเอาอาหารป้อนข้าวป้อนน�า
เขาเองเหมือนเดิม แต่ว่าเรื่องการกินยาเปลี่ยนยาจะเป็นหน้าที่ของ
ถังนั่ว

ถังนั่วยังคงนิ่งเหมือนเดิม พูดแค่ไม่กี่คํา คราวนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาด


นี้ แต่นางก็ทําเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงดูสบายๆ เหมือนเดิม ทุก
ครั้งที่ฉห
ี นิงพบนาง ก็จะคิดถึงเรื่องที่เขาเชียนอูหลิง ก็เหมือนที่เขาปิด
เรื่องของซีเหมินอู๋เหิงกับซีเหมินจั้นอิง เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกเรื่องของ
เขาเชียนอูหลิงกับถังนั่วยังไงเหมือนกัน

ถังนั่วใฝ่ไปในทางการแพทย์ นางมั่นคงในการรักษาผูค
้ น แต่
เป้าหมายที่สําคัญที่สุดก็คือการช่วยให้แม่ของนางฟื้นขึ้นมา แต่ว่านาง
ไม่รู้เลยว่า ร่างกายของแม่นางได้สลายเป็นผุยผงไปแล้ว หากว่าถังนั่ว
หาวิธใี ห้ตายแล้วฟื้นมาได้จริงๆ แต่กลับช่วยแม่นางไม่ได้แล้ว หลีซีกงก็
ตายไปแล้วด้วย นางกับหลีซีกงมีสม
ั พันธุ์ลึกซึ้งกันมาก หากรูพ
้ ร้อมกัน
ว่าทั้งแม่แล้วก็อาจารย์ตายไปแล้วทั้งคู่ ฉีหนิงนึกไม่ออกเลยว่านางจะ
เจ็บปวดใจแค่ไหน แล้วจะรับมันได้ไหม เขาไม่มีทางเลือก เลยขอปกปิด
เรื่องนี้ไว้ก่อน

พื้นฐานร่างกายของเขาดี บวกกับยาที่ถังนั่วปรุงให้ประสิทธิภาพ
เยี่ยมมาก ตอนนี้เลยลงมาเดินได้แล้วอย่างไม่มป
ี ัญหา
ฉีหนิงคิดในใจว่าฮ่องเต้แต่งตั้งเขาเป็นอ๋องยังไงเขาก็ต้องเข้าวังไป
เฝ้า ถึงแม้จะบาดเจ็บกินเวลาพักฟื้นไปหลายวันแล้ว แต่ว่าจะให้
เสียเวลาแบบนีต
้ ่อไปอีกไม่ได้ ฮ่องเต้อาจจะไม่คิดอะไร แต่ว่าพวกขุน
นางอาจจะคิด

เช้าวันนี้ เขาเก็บของแต่งตัวเรียบร้อย แล้วตรงเข้าวังทันที

เมื่อมาถึงนอกวัง ทหารเฝ้าประตูวังเห็นฉีหนิงมา ก็ทําความเคารพ


ให้อย่างนอบน้อม ทหารหลวงบนกําแพงวังเองก็ก้มหน้าแสดงความ
เคารพอย่างสูงสุดแก่เขา หลังประตูวังเปิดแล้ว ตอนที่ฉีหนิงเดินเข้าไป
ในวัง ตลอดเส้นทางที่มีทหารหลวง ทุกคนเห็นฉีหนิงแล้วก็จะก้มหน้าลง
ทําความเคารพกันหมด

ฉีหนิงรู้ว่าหลังศึกคราวนี้ เขากับพวกทหารหลวงร่วมเป็นร่วมตาย
อีกทั้งยังพลิกสถานการณ์ ปราบกบฏได้ บารมีของเขาในใจของพวก
ทหารหลวงนั้นมันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมมาก

เพียงแต่ตอนที่เหล่าทหารทําความเคารพให้เขา ถึงแม้ใบหน้าของ
เขาจะยิ้มแย้ม แต่ในใจของเขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

หลังจากเข้าวังแล้ว ก็มข
ี ันทีมารับและนําทางฉีหนิงเข้าวัง ครั้งนี้
เขาไม่ต้องไปที่วังหลังอีกแล้ว ฮ่องเต้รอพบเขาอยู่ที่ห้องทรงอักษร พอ
เขามา ฮ่องเต้ก็เดินมารับเขาด้วยตัวเอง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้า
มันพวกหนังเหนียวกระดูกเหล็ก แผลแค่นี้ ใช้เวลาไม่กี่วันก็หายแล้ว
ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”

ฉีหนิงกําลังจะคุกเข่าลง ฮ่องเต้ก็จับมือของเขาเอาไว้ แล้วพูดว่า


“ไม่ต้องพิธีรีตรองหรอก”เขาจูงมือฉีหนิงแล้วไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วมองไปที่
ฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้วนะ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วง” ฉีหนิงยังลุกขึ้นคํานับแล้วพูดว่า
“ฝ่าบาทประทานบรรดาศักดิ์อ๋องให้ กระหม่อม ......”

“มันเป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับ” ฮ่องเต้น้อยพูดว่า “ข้ารู้ดี ตอนที่ตกอยู่


ในอันตราย คนที่คิดถึงข้าจริงๆ มันมีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น” เขานั่งลง
ข้างๆ ฉีหนิง นิง่ ไปแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าในสถานการณ์แบบนั้น เจ้ากับ
เซียวจ้าวจงต่อสู้กัน เป็นตายเท่ากัน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงไม่มใี คร
กล้าเผชิญหน้ากับเซียวจ้าวจงแบบนั้นแน่ เจ้า ...... เดิมจะหนีไปก็ทํา
ได้”

“หนีไป?” ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาทมีภัย กระหม่อมจะหนีไปได้ยังไง


ล่ะ ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องปกป้องชีวิตพระองค์เอาไว้ให้ได้”

“เพราว่าข้าเป็นฮ่องเต้ แล้วเจ้าเป็นขุนนางอย่างนั้นเหรอ?” ฮ่องเต้


จ้องไปที่ตาของฉีหนิง
ฉีหนิงไม่ได้ตอบในทันที เขานิ่งไปครูห
่ นึ่ง แล้วจ้องตาฮ่องเต้
กลับไปแล้วพูดว่า “เพราะท่านเป็นเพื่อนของข้า”

“เพื่อนงั้นเหรอ?” ฮ่องเต้ถามอีกครั้งว่า “เพราะเจ้าคิดว่าข้าเป็นเพื่อน


เจ้า เจ้าก็เลยอยู่ แล้วทําทุกอย่างแบบไม่คิดชีวิตเพื่อปกป้องข้างั้น
เหรอ?” เขาไม่รอฉีหนิงตอบ เขาพูดขึ้นมาก่อนว่า “เจ้าเคยได้ยน
ิ ไหมว่า
ฮ่องเต้ไม่มีเรื่องส่วนตัว ดังนั้นฮ่องเต้ก็ไม่มีทางมีเพื่อนด้วย”
เล่มที่ 48 บทที่ 1411 ฉางเล่อ

ฉีหนิงตะลึงไป แล้วรีบพูดว่า “กระหม่อมพูดจาล่วงเกินไป ขอฝ่า


บาททรง ......” เขายังพูดไม่จบ หลงไท่ก็ยกมือขึ้นมาขัดเอาไว้แล้วพูดว่า
“ข้ายังพูดไม่จบ”

ฉีหนิงทําได้แค่ฟังต่อไป

“ตอนที่ข้ายังเด็กช่วงที่เริ่มเข้าเรียน เพราะข้าเป็นรัชทายาท จะช้า


หรือเร็วก็ต้องได้สืบทอดบัลลังก์ปกครองประเทศ ดังนั้นเสด็จพ่อถึงได้
ให้ความสําคัญกับการเล่าเรียนของข้ามากๆ เลยหาเพื่อนเรียนมาให้ข้า
ข้ารู้ว่าเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นตอนนั้นข้าถึงได้เรียกเขาว่าเสด็จพี่
จ้าวจง”

ฉีหนิงพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ข้าอาศัยอยู่ในวัง นอกจากพวกขันทีแล้ว ก็มแ


ี ค่เซียวจ้าวจงคน
เดียวเท่านั้นเป็นเพื่อน ดังนั้นข้าเลยสนิทสนมและให้ใจกับเขามาก และ
คิดมาตลอดว่าเขาคือเพื่อนของข้า” หลงไท่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่
ตอนนี้ข้านึกย้อนกลับไปแล้ว ข้าอาจจะยังไม่เคยทําในสิ่งที่เพื่อนควรทํา
กับเขาเลย หลายๆ เรื่องข้าอาจจะมองและทําจากมุมของคนที่อยู่สูง
กว่า ไม่ได้คิดถึงความรูส
้ ึกของเขาเลย เพราะข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ
และถูกต้อง”

ฉีหนิงรู้ว่าเซียวจ้าวจงเดินมาถึงจุดนี้ มันเป็นเพราะแวดล้อมในวัย
เด็กส่งผลต่อเขา เขาพูดว่า “เรื่องในวัยเยาว์ ก็มบ
ี ้างที่คิดไม่รอบคอบ”

“ข้าโทษเขานะ แต่ข้าไม่โกรธเขา” หลงไท่พด


ู ว่า “ตอนนั้น
อาจารย์เคยบอกข้าว่า ฮ่องเต้ไม่มีเรื่องส่วนตัว ทุกอย่างต้องทําเพื่อ
แคว้น ดังนั้นไม่มีทางมีเพื่อน มีแค่ขุนนางกับราชาเท่านั้น” เขามองไปที่
ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ตอนที่เจ้าเข้าไปในจวนจิ่นอีโหว ข้าสนิทกับเจ้า ก็
ไม่ได้คิดเห็นเจ้าเป็นเพื่อน ตอนนั้นข้าอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลําบาก
มาก มีนอ
้ ยคนนักที่ยอมช่วยข้า อีกอย่างเจ้าได้ช่ อ
ื ว่าเป็นคนของจิ่นอี
ตระกูลฉี มันช่วยข้าได้มาก ดังนั้นข้าเลยจําใจต้องให้ความสําคัญกับ
เจ้า”

“กระหม่อมรับพระมหากรุณาธิคณ
ุ เป็นล้นพ้น แม้ตายก็ตอบแทน
ไม่หมด”

หลงไท่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดยังไง ข้าต้องการให้เจ้า


ช่วยให้ข้านั่งบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง เจ้าเองก็ต้องการให้ข้าช่วยให้เจ้ามี
ชีวิตที่สุขสบาย ดังนั้นในสายตาของข้า ระหว่างเรามันไม่มีความภักดี
หรือมิตรภาพอะไรเลย มันแค่ผลประโยชน์ร่วมเท่านั้น ข้าเคยคิดนะ
หากตระกูลซือหม่ามีอํานาจมากขึ้นไปจนข้าไม่อาจคุมได้ เจ้าอาจจะหนี
ไปก็ได้ ......”

ฉีหนิงคิดในใจว่าที่เจ้าเดาก็ไม่ผิดเลย ตอนที่มาเมืองหลวงใหม่ๆ
ข้าคิดแบบนั้นจริงๆ

“บนโลกใบนี้ทก
ุ คนล้วนแล้วแต่ทําเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง”
หลงไท่พูดว่า “หลังจากเซียวจ้าวจงคุมตัวข้าเอาไว้แล้ว ข้ารู้สึกสิ้นหวัง
มาก เพราะพอมองไปในราชสํานักแล้ว ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะ
กล้าออกมาสูก
้ ับเซียวจ้าวจงได้ แล้วคิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครที่จะยอม
สละชีวิตเพื่อช่วยข้า?” เขาพูดว่า “ข้าพูดกับเจ้าตรงๆ เลยนะ หลังจาก
ที่ข้าถูกขัง ตัวข้ายอมแพ้แล้วจริงๆ ข้าแค่รอว่าเซียวจ้าวจงจะมาตัดหัว
ของข้าเมื่อไหร่เท่านั้น วันที่ที่กุมขังเปิดออก แม่นางคนนั้นบอกว่ารับ
คําสั่งมาจากเจ้า ให้ออกตามหาตัวข้าแล้วช่วยข้าออกไป ข้าถึงได้เข้าใจ
ว่า ในโลกใบนี้ยงั มีคนที่นึกถึงข้าอยู่”

ฉีหนิงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ขุนนางทั่ว


ราชสํานักล้วนแต่ถูกเซียวจ้าวจงปิดหูปด
ิ ตา ไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนที่
ภักดีอีกหลายคน ทําทุกอย่างเพื่อช่วยฝ่าบาท”

หลงไท่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าผิดแล้ว อาจจะมีคนที่ไม่พอใจ


เซียวจ้าวจงอยู่ แต่หากต้องเดิมพันชีวิตคนในครอบครัวออกหน้ามา
ช่วยข้า ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่ายังจะมีใครอีก” เขาเหลือบไปมองฉีหนิง
แล้วพูดว่า “เซียวจ้าวจงคุมเมืองหลวงเอาไว้ท้ังหมด ในมือมีอํานาจ
การทหาร คิดจะสู้กับเขา โอกาสตายมีสูงมาก ที่จริงข้าก็รู้ดี ตอนที่เจ้า
ให้คนของพรรคกระยาจกช่วยพาครอบครัวของเจ้าออกจากเมืองหลวง
ไป เจ้าจะหนีไปด้วยเลยตอนนั้นก็ได้ แต่ว่าเจ้าก็ไม่ได้ทําแบบนั้น เจ้ายัง
อยู่เพื่อพลิกสถานการณ์ ทําให้ข้าเห็นแสงอรุณอีกครั้ง” เขายกมือวาง
ไปที่ไหล่ของฉีหนิง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ ตอนนั้นเจ้าไม่ได้อยู่ต่อ
เพราะเจ้าเป็นขุนนางที่ภักดีของข้า แต่เจ้าอยู่เพราะเจ้าเห็นข้าเป็น
เพื่อนของเจ้า”

ฉีหนิงลังเลแล้วพูดว่า “กระหม่อมขอบังอาจทูลว่า กระหม่อมคิด


จะหนีไปย่อมได้อยู่แล้ว แต่ว่าในใจของกระหม่อม กระหม่อมเห็นฝ่า
บาทเป็นสหาย ในเมื่อเป็นสหายกันแล้ว ก็ต้องมีน�าใจต่อมิตรสหาย หาก
หนีไปแบบนั้น ก็เท่ากับไร้คุณธรรม”

หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจ ดังนั้นข้าถึงได้แต่งตั้งให้เจ้า


เป็นอี้เหิงอ๋อง เจ้าเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า?”

“ฝ่าบาททรงอยากให้ข้าน�าใจต่อมิตร”

“เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว” หลงไท่พูดว่า “ข้าไม่เพียงต้องการให้เจ้า


มีน�าใจต่อมิตรสหาย ยังเป็นการสื่อเตือนใจให้ตัวข้าเองนั้นต้องมีน�าใจ
ต่อมิตรสหายด้วยเช่นกัน” เขาพูดต่อว่า “ถ้าเจ้าไม่ทรยศต่อข้า ข้า ......
ข้าก็จะไม่มีวันทรยศเจ้าเช่นกัน”
ฉีหนิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยกมือคํานับแล้วพูดว่า “กระหม่อมจะ
จงรักภักดีจนตาย เป็นสหายของพระองค์ตลอดไป”

“เจ้าจําในสิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้ให้ดีนะ” หลงไท่พูดว่า “ไม่ว่าต่อไป


จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นอีก ขอแค่เจ้ายังมี
น�าใจต่อมิตรเช่นข้า ข้าเองก็จะไม่ทําอะไรที่ผิดต่อเจ้าเช่นกัน” เขาเองก็
ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าเคยบอกกับเจ้าว่า ข้าอยาก
สร้างแผ่นดินอันสงบสุขรุ่งเรืองขึ้น ส่วนเจ้า ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
ต้องจําอุดมการณ์ของเราสองคนเอาไว้ให้ดี เรายังอายุน้อยด้วยกันทั้งคู่
ดังนั้นเรายังมีเวลามากพอที่จะบรรลุเป้าหมายด้วยกัน ข้าไม่อยากให้มี
อะไรมาเป็นอุปสรรคระหว่างเราสองคน”

ฉีหนิงคิดในใจว่าคําพูดของฮ่องเต้เหมือนจะกังวลเรื่องในอนาคต
มากห เลยพูดว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลไป เราสองคนร่วมแรงร่วมใจ
กัน ต้องสร้างแผ่นดินที่สงบรุ่งเรืองได้แน่นอน”

หลงไท่ขยับปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ สายตาของเขามันเหมือนมี


ความกังวลอยู่มากทีเดียว แต่เขาก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเชื่อใจเจ้า”
สายตาของเขา มันเหมือนเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินคนมารายงานว่า “ทูลฝ่าบาท ต้วนเส้ากับเสิน


ถูหลัวจากตงฉีมาถึงแล้วพะยะค่ะ กําลังรอเข้าเฝ้าอยูด
่ ้านนอก”
ฉีหนิงสะดุ้ง หลงไท่หน
ั ไปยิ้มให้กับฉีหนิง แล้วสั่งไปว่า “ให้เข้ามา”
จากนั้นเขาก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร แล้วสั่งให้ฉีหนิง
นั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง

ต้วนเส้ากับเสินถูหลัวเข้ามาในห้องทรงอักษรแล้ว พวกเขาสวมชุด
ธรรมดา สีหน้าของต้วนเส้าไม่ค่อยดีนัก แต่เสินถูหลัวนั้นยังคงเดินเข้า
มาอย่างองอาจ

ฉีหนิงเหมือนจะเข้าใจว่าฮ่องเต้ทําไมถึงให้สองคนนี้เข้าเฝ้าที่นี่
อย่างแรกคงอยากให้เขาได้เจอกับสองคนนี้ อย่างที่สองก็คงอยากให้เขา
อยู่ค้ม
ุ กันความปลอดภัยให้

หลงไท่ให้พวกเขาสองคนมาเฝ้า เหมือนต้องการปลอบขวัญพวก
เขา หากมีองครักษ์เต็มหน้าห้องทรงอักษรไปหมด มันเหมือนว่าฮ่องเต้ขี้
ขลาด แล้วก็จะทําให้อีกฝ่ายรูส
้ ึกไม่ดี แต่ว่าถ้าเขาอยูท
่ ี่นี่ มันทําให้หลง
ไท่ดูสบายๆ ด้วยวรยุทธ์ของเขา ไม่ต้องกลัวว่าเสินถูหลัวจะลงมือเลย

พวกต้วนเส้าเห็นฉีหนิง ก็ตกใจ แต่ก็ยังเดินขึ้นหน้ามา ต้วนเส้า


ลังเล แต่ก็ยังทําความเคารพให้หลงไท่อยู่ เสินถูหลัวเองก็เช่นกัน

“ที่ข้าให้พวกเจ้ามาเฝ้าในวันนี้ ไม่ได้มาเพราะเรื่องของการเมือง
แต่มาเพราะเรื่องของครอบครัว” หลงไท่ยกมือให้พวกเขาสองคนนั่งลง
ต้วนเส้านั่งลงตรงข้ามฉีหนิง เสินถูหลัวยืนอยู่ด้านหลังของต้วนเส้น เขา
เหมือนยกย่องว่าต้วนเส้านั้นฐานะสูงส่ง

ฉีหนิงรู้สึกขําในใจ แอบคิดในใจว่าแคว้นฉีล่มสลายไปแล้ว ชีวิต


ของพวกเขาสองคนก็อยู่ในกํามือของหลงไท่ แค่ดีดนิว
้ ทีเดียวตัวของ
พวกเขาก็แหลกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว มาถึงขั้นนี้ เขายังวางมาดกันอยู่อีก

“ฮองเฮารู้ว่าเจ้าอยู่ในเมืองหลวง นางเป็นห่วงเจ้ามาก” หลงไท่พูด


ว่า “ข้ารับปากฮองเฮาแล้ว จะดูแลพวกเจ้าอย่างดี”

ต้วนเส้นพูดว่า “ขอบพระทัย” แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เสินถูหลัวอดพูดไม่ได้ว่า “เราทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน คิดไม่


ถึงว่าเจ้ากลับกลืนน�าลาย ถึงกับกล้า .....”

ไม่รอให้เขาพูดจบ หลงไท่พูดว่า “โม่อิ่งเป็นพีน


่ ้องกับเจ้าเหรอ?”

เสินถูหลัวสะดุ้ง หลงไท่พด
ู ว่า “แคว้นของเราเป็นพันธมิตรกันจริง
แต่โม่อ่ิงกลับเข้ามาก่อความวุ่นวายในแคว้นฉู่ของเราตลอด อีกทั้งยัง
ร่วมก่อการกบฏด้วย แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน? ใครกันแน่ที่ทําลาย
ข้อตกลงความร่วมมือก่อนกัน?”

เสินถูหลัวถึงกับพูดไม่ออก
หลังจากทั้งคู่มาถึงเมืองหลวง ถึงแม้จะหลบอยู่ในจวนไหวหนาน
อ๋องตลอด แต่หลายวันที่ผ่านมาก็รู้เรื่องที่เซียวจ้าวจงก่อกบฏดี ทั้งสอง
ถูกโม่อ่ิงพาตัวมาซ่อนในจวนไหวหนานอ๋อง ต่อให้โง่แค่ไหน พวกเขาก็
เดาได้ว่าโม่อิ่งกับเซียวจ้าวจงต้องมีความสัมพันธ์กันแน่นอน และรู้ว่า
โม่อิ่งเองก็นา่ จะเข้าร่วมในการก่อกบฏคราวนี้ด้วย

ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งคู่ไม่รู้ว่าวิธก
ี ารพลิกสถานการณ์ของโม่อิ่ง
นั้นคืออะไร จนกระทั่งวันนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจทุกอย่างแล้ว

หากเซียวจ้าวจงทําสําเร็จ โม่อ่ิงทําตามข้อตกลงได้ เงื่อนไขหนึ่ง


ของโม่อ่ิง ก็คือให้เซียวจ้าวจงกอบกู้แคว้นตงฉีกลับมาก็ได้

น่าเสียดายที่เซียวจ้าวจงล้มเหลวทุกอย่างมันเลยหายไปทันที

โม่อิ่งเข้าร่วมก่อกบฏเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ฮ่องเต้หลงไท่ก็เหมือนจะ
รู้เรื่องนี้แล้ว อีกทั้งยังรู้ฐานะที่แท้จริงของโม่อิ่งด้วย พอโดนถามแบบนี้
เสินถูหลัวก็ตอบอะไรไม่ได้อีกเลย

“ข้าไม่ได้จะมาถามหาเอาเรื่องพวกนี้ในวันนี้” หลงไท่พูดว่า “ต้วน


เส้า เจ้าเป็นพี่ชายของฮองเฮา ข้าเห็นแก่นาง จะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นฉาง
เล่อโหว ส่วนเสินถูหลัว ข้าจะแต่งตั้งให้เป็นหย่งอันโหว ข้าจะสั่งให้คน
เตรียมจวนให้พวกเจ้าในเมืองหลวง หวังว่าต่อไปพวเจ้าจะภักดีต่อข้า”

เสินถูหลัวกําหมัดแน่น แล้วรีบพูดว่า “ข้าไม่รับ”


ฉีหนิงรู้สึกขํา เขาฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาเข้าใจความหมาย
ของฮ่องเต้ว่าคิดจะทําอะไร

แผ่นดินยังไม่สงบ ถึงแม้แคว้นฉีจะล่มสลายไปแล้ว แต่ว่าทางเหนือ


ยังคงมีเป่ยฮั่นที่ยังต้องกําราบอยู่ ถึงแม้กองทัพฉินไหวจะบุกไปแล้ว
ได้เปรียบ แต่บัลลังก์ของอีกแคว้นได้เจ้าของใหม่แล้ว อีกทั้งยังมีขุนพล
มากฝีมอ
ื อย่างจงหลีอ้าวอีก ภายในแคว้นฉู่เพิง่ จะเกิดความวุ่นวายไป
ถึงแม้จะจบเร็ว แต่ยังไงก็มีผลต่อแนวหน้าอยูด
่ ี ดังนั้นคิดจะจัดการเป่ย
ฮั่นโดยเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยังต้องยึดดินแดนของพวกเขาให้ได้มากท
ที่สุดก่อน เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการบุกเข้าไปในแคว้นอย่างเต็มตัว

ที่จริงแล้วหลังจากที่ซีเป่ยกับแคว้นตงฉีตกอยูใ่ นมือของแคว้นฉู่
แล้ว ความสมดุลทางตะวันตกเฉียงใต้มน
ั ก็หายไป ทางใต้เริ่มแข็งแกร่ง
กว่าทางเหนือ หากไม่มอ
ี ะไรผิดพลาด เรื่องการยึดเป่ยฮั่นนั้นมันก็ข้น
ึ อยู่
กับเวลาแล้ว

แต่ว่าตอนนี้ยังทําไม่ได้ ฮ่องเต้ละเว้นโทษประหารให้กับต้วนเส้า
อีกทั้งยังประทานบรรดาศักดิ์โหวให้เขาอีก ฮองเฮาคือหนึ่งในเหตุผลนั้น
แต่เพราะทุกอย่างมันยังไม่จบ เขาก็อยากจะทําให้พวกชาวเป่ยฮั่นได้
เห็นเป็นตัวอย่างด้วย
ในเมื่อต้วนเส้ายังได้เป็นถึงโหว ถ้าอย่างนั้นระหว่างทางที่ไปปราบ
เป่ยฮั่น อาจจะมีขุนนางของพวกเป่ยฮั่น ที่ยอมสวามิภักดิ์กับแคว้นฉูก
่ ็
ได้

แต่ว่าฮ่องเต้ก็ไม่ได้เกรงใจต้วนเส้าเท่าไหร่ พูดไปตรงๆ เลยว่า


บรรดาศักดิ์ของเขาได้มาเพราะฮองเฮา อีกทั้งยังประทานชื่อว่าฉางเล่อ
ด้วย อีกทั้งยังให้เสินถูหลัวมีบรรดาศักดิ์ถัดเทียมเขา มันคือการหยาม
เกียรติของต้วนเส้าถึงที่สุด ฮ่องเต้เหมือนอยากจะเตือนสติต้วนเส้าว่า
เขาไม่ใช่รัชทายาทตงฉีอีกต่อไปแล้ว เขาก็แค่นักโทษที่ถูกกุมขังอยู่ใน
แคว้นฉู่เท่านั้น
เล่มที่ 48 บทที่ 1412 ตอบแทนพระคุณด้วยชาสักถ้วย

เสินถูหลัวไม่ได้ยอมรับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์โหว หลงไท่ยิ้ม ฉี
หนิงเองก็ยิม
้ แล้วพูดว่า “จะได้รบ
ั บรรดาศักดิ์โหวจากแคว้นฉูข
่ องข้านั้น
มันไม่ง่ายเลยนะ ฝ่าบาททรงมีพระกรุณามากขนาดนี้ ท่านแม่ทัพเสิน
คิดว่าบรรดาศักดิ์โหวนีม
้ ันไม่ค่ค
ู วรกับท่านงั้นเหรอ?”

เสินถูหลัวไม่ได้พูดอะไร ต้วนเส้ากลับพูดว่า “ในเมื่อเป็นพระ


กรุณาของฝ่าบาท แม่ทัพเสินก็รับมันไปเถอะนะ”

เสินถูหลัวขยับปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ได้ยินมาว่าลิ่งหูซวี่ประจําการณ์อยู่ที่ผู่หยาง” ฮ่องเต้เหลือบไป
มองต้วนเส้าแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าฉางเล่อโหวคิดจะจัดการเรื่องนี้
ยังไง?”

ต้วนเส้ายิ้มมุมปาก แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงคิดให้ข้าไปพูดกับลิ่ง


หูซวี่ง้ันเหรอ?”

“ข้าจัไม่บังคับเจ้า” หลงไท่พูดว่า “เพียงแต่ว่าลิ่งหูซวี่กับทหาร


ของเขาถูกล้อมอยู่ในเมืองแบบนั้น หากไม่รีบจัดการ จุดจบของพวกเขา
ก็ไม่ดีแน่” เขาก็ไม่ได้พูดมา “อี้เหิงอ๋อง เจ้าส่งพวกเขาออกจากวังไปที
นะ”

ฉีหนิงลุกขึ้น ต้วนเส้าชะงักไป สุดท้ายก็ไม่ได้พด


ู อะไรอีก

ฉีหนิงส่งพวกเขาสองคนออกนอกวัง ด้านนอกวังมีคนของจวนเสิน
โหวรออยู่

ต้วนเส้ากับเสินถูหลัวหลังจากถูกพบตัวในจวนไหวหนานอ๋องแล้ว
ก็ถูกพากลับไปที่จวนเสินโหว แต่ว่าไม่ได้กักขังพวกเขาเอาไว้ในคุก แต่
จัดที่พักไว้ให้คนละห้อง แล้วมีการดูแลอย่างดี วันนี้ฝ่าบาทมีราช
โองการให้มาเฝ้า หานเทียนซู่เลยพาพวกเขามาที่วังหลวงด้วยตัวเอง

หานเทียนซู่เห็นฉีหนิงเดินมาพร้อมอีกสองคน ก็รีบยกมือคํานับ ฉี
หนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่สาม”

“อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?” หานเทียนซู่ถาม

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรล่ะ”

หานเทียนซู่ถึงได้หันไปพูดกับต้วนเส้าว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้จัดที่


พักให้กับทั้งสองท่านนีแ
้ ล้ว ไปส่งพวกเขาทีนะ” เขาเรียกให้รถม้ามา ต้
วนเส้าไม่พูดอะไรเลยก็ข้น
ึ รถไปทันที เสินถูหลัวนั้นก็ขม
ี่ ้าตาม หาน
เทียนซู่ลาฉีหนิง แล้วนําคนไปส่งต้วนเส้า
วันนี้ฉห
ี นิงเข้าวังมา ฮ่องเต้แทบไม่พูดเรื่องงานกับเขาเลย ในใจ
ของฮ่องเต้เห็นว่าเขายังไม่หายดี ดังนั้นเลยไม่อยากให้เขาเหนื่อยมาก
เกินไป

วันนี้ฮ่องเต้เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา มันทําให้ฉห
ี นิงรู้สึก
ปลง เพียงแต่ฉห
ี นิงยังรู้สึกว่าเหมือนฮ่องเต้ยังมีอะไรที่ไม่ได้พูดออกมา
อยู่ อีกทั้งฮ่องเต้ยังพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอยู่หลายครั้งด้วย
บอกว่าอย่าทรยศซึ่งกันและกัน คําพูดนี้ฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่ฉห
ี นิง
กลับรู้สก
ึ ว่ามันมีอะไรแฝงอยู่

แต่ว่าความคิดของฮ่องเต้ เขาก็เดาไม่ออก เขาเองก็ไม่ได้กลับจวน


ในทันที แต่ว่านั่งรถม้าไปยังสาขาที่ทําการของพรรคกระยาจก

หานเทียนซู่ส่งต้วนเส้าไปยังถนนเส้นหนึ่งที่เงียบมาก แล้วหยุดลง
ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง รอบๆ บ้านมีทหารของค่ายหู่เสินเฝ้าอยู่ ต้วนเส้าลง
จากรถม้า แล้วมองไปรอบๆ เขาไม่ได้พด
ู อะไร หานเทียนซู่พูดว่า
“ตั้งแต่วันนี้ไป ท่านทั้งสองก็พก
ั อยู่ที่นช
ี่ ่ัวคราวก่อนนะ ที่นี่จะมีคนคอย
คุ้มกันความปลอดภัยให้ท่าน ในจวนมีบ่าวไพร่ ถ้าต้องการอะไร ท่านก็
สั่งพวกเขาได้เลย” เขายกมือคํานับ แล้วก็พาคนกลับไป

ต้วนเส้าเข้ามาในจวน ห้องมีการทําความสะอาดอย่างดี มีบ่าวไพร่


ผู้ชายสีค
่ น สาวใช้อีกสีค
่ นรออยู่ด้านใน พอเห็นต้วนเส้ากับเสินถูหลัว
เข้ามา ก็คุกเข่าลงทันที ต้วนเส้าไม่ได้สนใจมองเลย แต่เดินตรงเข้าไปที่
ห้องโถง เสินถูหลัวเดินตามเข้าไป ต้วนเส้าหเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ สีหน้า
ของเขาดูแย่มาก เขาทุบโต๊ะอย่างแรง เสินถูหลัวเข้าใจความรู้สึกของต้
วนเส้าดี เขาก็ไม่ได้พด
ู มาก เดินไปสั่งคนที่อยู่ด้านนอก “ไปชงชามากา
หนึ่ง” จากนั้นก็เดินไปที่ริมโต๊ะ แล้วนั่งลงตรงข้ามต้วนเส้า เขานิง่ ไป
แล้วพูดว่า “รัชทายาท เรื่องมาถึงขั้นนีแ
้ ล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
ความหวังที่จะกอบกู้แคว้นฉีของเราคืนมา เกรงว่ามายากที่จะเป็นจริง”

ต้วนเส้าพูดว่า “ข้ารู้ หลงไท่รังแกกันเกินไปแล้ว ถึงกับกล้า ......”


เขากัดฟันแล้วพูดว่า “ทหารเฝ้าอยู่รอบๆ ขนาดนี้ เราคิดอยากจะ
ออกไปก็คงไม่ได้ แล้วกอบกู้แคว้นจะทําได้ยงั ไง?” เขารู้สึกหงุดหงิดมาก
อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ข้ายังคิดว่าโม่อ่ิงจะมีทีเด็ดอะไรมากกว่านี้ ที่แท้
.......” เขาไม่ได้พด
ู ต่อ แต่สีหน้าท่าทางของเขาโมโหหงิดหงุดเป็นที่สด

เสินถูหลัวนิง่ ไป แล้วพูดว่า “มันเป็นความผิดของกระหม่อมเอง


ตอนนั้นกระหม่อมเองก็คิดว่าโม่อิ่งอาจจะมีวิธีอะไรที่ทําให้เราพลิก
สถานการณ์ได้ ดังนั้นเลยยอมให้พวกเขาจับมา กระหม่อม ...... ควรจะ
ตายไปตั้งแต่ศก
ึ บนเรือแล้ว”

ต้วนเส้าพูดว่า “ท่านอย่าคิดมาก ข้าไม่ได้โทษท่านเลยนะ”

“ทรงมีเมตตา แต่กระหม่อมโทษสมควรตายจริงๆ” เสินถูหลัวถอน


หายใจแล้วพูดว่า “กองทัพเรือของเราอยู่ใต้การบังคับบัญชาของ
กระหม่อม ไม่เพียงไม่สามารถปิดน่านน�าได้ ยังเป็นเพราะประมาท ทํา
ให้ท้ังกองทัพตั้งล่มสลายไป โทษหนักแบบนี้ ไม่มีเหตุผลสมควรได้รับ
การอภัยโทษ”

ในตอนนี้เองสาวใช้ก็เอาน�าชามาให้ เสินถูหลัวรับชามา ต้วนเส้า


มองไปที่แผ่นหลังของเสินถูหลัว เขาเองก็เศร้าใจ รู้ว่าตอนนี้ในเมือง
หลวงแคว้นฉู่ นอกจากฮองเฮาที่อยู่ในวังแล้ว คนที่เดียวที่เขาพึ่งได้ก็มี
แค่เสินถูหลัว

ฮองเฮาอาศัยอยู่ในวังหลวง เขาอาจจะไม่มีโอหาสได้พบหน้านาง
คงมีแต่เสินถูหลัวเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนกันได้

เสินถูหลัวรับกาน�าชามา เหมือนกําลังคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็หน



กลับมา แล้ววางมันบนโต๊ะ เขารินน�าชาออกมาสองแก้ว แล้วพูดว่า
“ท่านมหาเสนาบดีลิ่งหูอยู่ที่ผู่หยาง สถานการณ์ที่น่ัน เขารู้ดีที่สุด จะทํา
ยังไง เขาสามารถคิดอย่างละเอียดรอบคอบได้ หากท่านเขียนจดหมาย
ไป เขาทําตามคําสั่งของท่าน อาจทําให้แผนของเขามันเสียระบบไปได้
อีกทั้งอาจทําให้ทหารกว่าหมื่นนายที่น่น
ั ถึงคราวจบสิ้น”

ต้วนเส้าขมวดคิ้ว เหมือนจะไม่ค่อยพอใจ “ข้าไม่ได้รับปากนี่นาว่า


จะเขียนหนังสือไปให้ท่านลิ่งหู”

“ก่อนหน้านีฉ
้ ีหนิงขอให้เราเขียนจดหมายไปหาท่านมหาเสนา
กระหม่อมเองก็เขียนจดหมายไปฉบับหนึ่ง ถึงแม้จะดูเหมือนการเกลี่ย
กล่อม แต่ว่าจดหมายนั่นมันแฝงนัยยะความหมายอยู่ คนอื่นอาจจะ
อ่านไม่เข้าใจ แต่ว่าท่านมหาเสนาต้องเข้าใจแน่” เสินถูหลัวค่อยๆ พูด
ว่า “กระหม่อมบอกเขาว่า สถานการณ์ให้แล้วแต่เขาจะตัดสินใจ ให้เขา
เลือกทางของเขาเอง”

ต้วนเส้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเราไปสมทบกับพวกเขาที่ผู่
หยางได้ เราอาจจะมีทางออก”

“รัชทายาท ผู่หยางเป็นพื้นที่ของพวกชาวเป่ยฮั่น ชาวบ้านที่น่น


ั ไม่
มีทางเชื่อฟังคําสั่งของเราได้หรอก” เสินถูหลัวถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ชาวเป่ยฮั่นก็คงไม่ยอมให้เราตั้งตนเป็นใหญ่ที่ผู่หยางหรอก”

ต้วนเส้าสีหน้าเคร่งเครียดมาก เขาพูดอย่างจนใจว่า “เราจะต้อง


นั่งรอความตายแบบนี้เหรอ?”

“วันนี้หลงไท่ประทานบรรดาศักดิ์โหวให้เรา มันคือเรื่องที่หยาม
เกียรติของเราอย่างถึงที่สุด” เสินถูหลัวพูดว่า “กระหม่อมแค่กังวลว่า นี่
อาจจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ตอนนี้ทรงกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียง
หมูของพวกเขาไปแล้ว เป็นตายอยู่ในกํามือของพวกเขา รัชทายาททรง
เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของแคว้นตงฉี เดิมไม่ควรต้องมารับการหยาม
เกียรติแบบนี”

ต้วนเส้าขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ที่นี่เพิ่งจะเกิดการก่อกบฏขึ้น หลงไท่
ยังไม่คลายความโมโห วันนี้หากทําให้เขาโกรธ เขาอาจจะ .....”

เสินถูหลัวกลับหัวเราะ ยกน�าชาขึ้นมาแล้วเดิมมันลงไปจนหมด
แก้ว จากนั้นก็วางถ้วยชาลง เขาใช้หลังมือเช็ดปาก แล้วพูดว่า “ในเมื่อ
เขาให้บรรดาศักดิ์โหว อีกไม่นานราชโองการก็นา่ จะมาแล้ว กระหม่อม
เป็นขุนนางของพระองค์ ไม่มีทางรับบรรดาศักดิ์โหวนีไ่ ด้แน่นอน
ไม่อย่างนั้นมันเป็นการไม่ให้เกียรติรัชทายาท”

“เรื่องมาถึงขั้นนี้ เราจะทํายังไงได้?” ต้วนเส้าแล้วพูดว่า “หรือว่า


เราจะขัดราชโองการงั้นเหรอ?”

เสินถูหลัวยิม
้ แล้วพูดว่า “กระหม่อมอยู่มาได้ถึงวันนี้ แค่อยากจะ
อยู่ช่วยพระองค์กอบกู้แคว้นฉี แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คง
เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีก กระหม่อมคงไม่มป
ี ระโยชน์อันใดกับ
พระองค์อีกแล้ว”

“ท่านอย่าพูดเช่นนั้นเลย” ต้วนเส้าคิด แล้วพูดว่า “มันยังมีโอกาส


เหลือยูน
่ ะ ท่านอย่าลืมสิว่า ...... ท่านราชครู?”

เสินถูหลัวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “รัชทายาท ถึงแม้ท่านเจ้าเกาะจะ


ได้รับการแต่งตั้งเป็นราชครู แต่ว่าเขาไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของ
การเมืองเลย ไม่ว่าเขาคิดจะกอบกู้บ้านเมืองของเราหรือเปล่า เขาก็ไม่มี
ทางยืนอยู่ข้างพระองค์แน่นอน แคว้นฉู่เองก็ยงั มีเป่ยกงเหลียนเฉิงอยู่
อีกคน หากเขาลงมือ เป่ยกงเหลียนเฉิงก็ไม่มีทางนิ่งดูดาย ดังนั้นอย่า
หวังเพิ่งท่านราชครูเลย”

ต้วนเส้นเองก็คิดว่าสิ่งที่เสินถูหลัวพูดนั้นก็มีเหตุผล ความหวัง
สุดท้ายของเขาเหมือนดับลงทันที เขายิ่งหงุดหงิดหนักเข้าไปใหญ่ เขา
กําลังจะยื่นมือไปหยิบน�าชามาดื่ม ยังไม่ทันแตะ เสินถูหลัวก็ย่ น
ื มือ
ออกไปจับมือของเขาเอาไว้ ต้วนเส้าตะลึงไป การกระทําของเขาดูเสีย
มารยาทมาก ถึงแม้จะถูกกักบริเวณ แต่เสินถูหลัวไม่เคยเสียมารยาทกับ
เขามาก่อน แต่คราวนี้กลับทําแบบนี้ ต้วนเส้รู้สึกแปลกใจมาก เสินถูหลัว
ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “รัชทายาททรงจะดื่มชาแก้วนีห
้ รือไม่ ต้องคิดดูให้
ดี ......” พูดยังไม่ทันจบ ต้วนเส้าก็พบว่า ที่ริมฝีปากของเสินถูหลัวนั้นมี
เลือดไหลออกมา

ต้วนเส้าตกใจมาก เขาหลุดออกมาว่า “นี่ท่าน ท่าน ......” เขา


เหมือนนึกอะไรได้ เขามองไปที่กาน�าชา “ในน�าชามีพษ
ิ งั้นเหรอ? พวก
เขา ...... พวกเขาคิดจะวางยาเราอย่างนั้นเหรอ?”

เสินถูหลัวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พิษในกากระหม่อมเป็นคนใส่เอง
ไม่ใช่พวกเขาหรอก”

ต้วนเส้าพูดอย่างตกใจว่า “ทําไมท่านถึงได้ทําแบบนี?้ ”
“กระหม่อมเป็นนักรบ เดิมควรตายในสนามรบ แต่กลับยังรอด
มาถึงวันนี้ มันถือว่าเป็นเรื่องน่าอายมากแล้ว” เสินถูหลัวเก็บมือของเขา
กลับมา “กระหม่อมจะไม่ยอมให้ชีวิตตัวเองตกอยู่ในมือของพวกแคว้น
ฉู่เด็ดขาด ตระกูลเสินได้รับพระกรุณามากมาย การตายในวันนี้ ก็ถือว่า
เป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินต้าฉีแล้ว ......” เขากระอักเลือดออก
มา แล้วก็ล้มลง

ต้วนเส้ารีบเดินขึ้นหน้า เห็นสีหน้าของเสินถูหลัวเริ่มคล�าแล้ว เขา


อยากจะพยุงกอดเขาขึ้นมา แต่ว่าเสินถูหลัวกลับตะคอกว่า “ทรงอย่า
แตะต้องนะพะยะค่ะ ระวัง ......” ทําให้ต้วนเส้าตกใจเก็บมือกลับไป
ทันที

“หากทรงต้องการอยู่อย่างสงบปลอดภัย ต่อไป ...... ต่อไปอาจจะ


ต้องทนน้อยเนื้อตําใจหน่อย กระหม่อม ....... ไม่อาจอยู่ภักดีต่อท่าน
ต่อไปได้อีก ทรง ...... อย่าได้ถือสา ......” เสินถูหลัวหายใจหอบมากแล้ว
ระหว่างที่หายใจเลือดก็ยังไหลออกมาไม่หยุด “แต่หากทนถูก ...... ถูก
หยามเกียรติแบบนี้ไม่ไหว ทรง ..... ทรงจะดื่มชากานี้ลงไปก็ได้ ......”

ต้วนเส้ากําหมัดแน่น ร่างกายของเขาสั่นไปทั้งตัว น�าตาของเขา


ไหลออกมาแล้วพูดว่า “ท่าน ...... ท่านทําแบบนี้ทําไม ......”

“รัชทายาท ...... ทรงรักษาพระวรกายด้วย ......” เสินถูหลัวถอน


หายใจ แล้วตายไปทันที
ต้วนเส้ายืนมองศพของเสินถูหลัวอยู่นานไม่ได้พูดอะไรเลย

เขารู้ว่าเสินถูหลัวเป็นคนตรงไปตรงมา วันนี้ในวังถูหยามเกียรติ
แบบนั้น เขาคงรับไม่ได้ ที่สําคัญอีกไม่นานนักในวังก็มรี าชโองการมา
อย่างเป็นทางการ หากเสินถูหลัวยอมรับ นั่นก็หมายความว่าเขาจะมี
ฐานะทัดเทียมกับต้วนเส้าทันที มันเป็นสิ่งที่เสินถูหลัวไม่อาจยอมรับได้
แต่หากขัดราชโองการ อาจทําให้เกิดความยุ่งยากขึ้น การตายของเสินถู
หลัว ที่จริงมันเป็นการเลี่ยงไม่ให้ต้วนเส้าลําบากใจ

ต้วนเส้าลุกขึ้น เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบถ้วยชา แล้วนิง่ ไป แล้วยกขึ้นมาริม


ปาก แต่ว่าสายตายังคงมองไปที่ศพของเสินถูหลัวที่หน้าคล�าไปหมด
ระหว่างความเป็นความตาย ต้วนเส้าไม่มีความกล้าพอที่จะดื่มชาถ้วย
นั้นลงไป เขาร้องตะโกนออกมา แล้วเขวี้ยงแก้วชาออกไป แก้วชาแตก
กระจายอยู่บนพื้น
เล่มที่ 48 บทที่ 1413 ผลงานเยอะจนสะเทือน

หลังเสร็จสิ้นการปราบกบฏ ผูอ
้ าวุโสจูเซวี่ยก็กลับมาที่ตรอกหลัวกู่
เพื่อพักรักษาตัว

ตอนที่ฉห
ี นิงมาถึงที่ทําการของสาขากุ่ยจินหยาง ยังไม่ถึงเที่ยง เขา
กลายเป็นคนคุ้นเคยของที่นี่ไปแล้ว พอเขามาที่สาขา ก็ไม่มีใครขวาง
เขาสักคน

พอออกมาจากวัง ฉีหนิงก็ตรงมาที่นี่เลย อย่างแรกก็เพื่อเยี่ยมผู้


อาวุโสจูเซวี่ย อีกอย่างก็เพื่อมาถามที่อยู่ของกู้ชิงฮั่นกับเถียนฮูหยิน

ในเมื่อเซียวจ้าวจงถูกปราบไปแล้ว พวกกู้ชงิ ฮั่นก็ไม่ต้องหลบอยู่


นอกเมืองหลวงอีก ฉีหนิงเองก็รู้ว่ากู้ชิงฮั่นนางถูกเลี้ยงในตระกูลใหญ่มา
ตั้งแต่เล็ก ไม่ค่อยได้รับความลําบากอะไร แต่คราวนี้ต้องหลบภัยไปอยู่
นอกเมือง อาจต้องทนลําบากมาก เขาอยากจะรีบรับพวกนางกลับเมือง
หลวงมาให้เร็วที่สุด แต่ว่าที่อยู่ของพวกนางไป๋เซิ่งเฮ่าคนเดียวที่รู้ แม้แต่
เขาก็ไม่รู้ว่าพวกนางอยู่ที่ไหน

ผู้อาวุโสจูเซวียพักฟื้นอยู่ ออกมารับไม่ได้ ไป๋เซิง่ เฮ่าเองก็ไม่ได้อยู่ที่


สาขา แต่สิ่งที่ฉห
ี นิงคิดไม่ถึงเลยก็คือคนที่ออกมาต้อนรับเขานั้นคือผู้
อาวุโสชิงหลงโหลวเหวินซือ
พอเห็นโหวเหวินซือ ฉีหนิงดีใจมาก ตอนที่พวกเขาได้เจอกันครั้ง
แรก พวกเขาคุยกันถูกคอ เลยสาบานที่เป็นพี่นอ
้ งกัน แต่หลังจากครั้ง
นั้นแล้ว ก็ไม่ได้มโี อกาสได้พบกันอีก พอได้มาพบกันอีกครั้ง ฉีหนิงก็ดีใจ
มาก โหวเหวินซือเองก็ดีใจมากเช่นกัน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้อาวุโสจูเซวี่ยเคยบอกว่า เพื่อป้องกันความ


ผิดพลาด เลยส่งจดหมายไปให้โหลวเหวินซือ ให้เขาพาคนมาช่วยใน
เมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาตามนัดจริงๆ

“พี่โหลว ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉีหนิงตามโหวเหวินซือเข้ามาใน


ห้อง แล้วพูดด้วยความดีใจ

โหวเหวินซือหัวเราะแล้วพูดว่า “ก่อนที่วังหลวงจะถูกปิดล้อม ข้าก็


มาถึงแล้ว คราวนั้นเราหารือกัน จะให้หัวหน้าไป๋ปลอมเป็นพ่อค้าไปที่
สํานักคุ้มกันซวี่ร่ อ
ื เพียงแต่ว่าข้าเห็นเขาดูไม่มีราศี ท่าทางของเขาดูไม่
ค่อยมีอันจะกิน ดังนั้นข้าก็เลยออกหน้าเอง” เขาเลยเล่าเรื่องในวันนั้น
ให้ฟังคร่าวๆ ฉีหนิงเลยเข้าใจ โหลวเหวินซือเองก็กลายเป็นหนึ่งคนที่มี
ผลงานมากในการปราบกบฏในครั้งนี้

ฉีหนิงจัดวางทุกอย่างในวังเรียบร้อย แต่รายละเอียดการ
ดําเนินการนั้นให้ช่ อ
ื ตันเหมยออกจากวังแล้วมาหารือกับพรรค
กระยาจกแล้วก็กลุ่มอื่นๆ อีกที หลังจากเขาบาดเจ็บจากในวังหลวง ก็
พักฟื้นมาจนถึงวันนี้ เลยไม่รู้ว่าโหวเหวินซือเองก็เข้าร่วมปฏิบัติการนี้
ฉีหนิงกับโหวเหวินซือได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างดีใจ แต่
เขาเป็นห่วงผู้อาวุโสจูเซวี่ยมากกว่า เลยเข้าไปเยี่ยมเขาในห้องก่อน พอ
เห็นผู้อาวุโสจูเซวี่ยนอนอยู่ที่เตียง ตอนนี้ยังลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ ถึงแม้
สีหน้าจะยังไม่ค่อยดี แต่ว่าใบหน้าของเขายังถือว่ามีเลือดฝาด ดูท่าทาง
กําลังฟื้นตัวได้ดีทีเดียว

ฉีหนิงมาในวันนี้ เขารู้สึกซาบซึ้งใจต่อพรรคกระยาจกมาก ครั้งนี้


หากไม่ใช่เพราะพรรคกระยาจกลงมือ ฉีหนิงเองก็ไม่มใี ครให้ใช้เลย
ตลอดทางที่มาที่นี่เขาคิดอยู่ตลอดว่าจะขอบคุณพวกเขายังไงดี เคยคิด
ว่าจะให้เงินทองกับพวกเขา แต่ว่าผู้อาวุโสจูเซวี่ยพาคนไปช่วย มันเป็น
เพราะน�าใจและคุณธรรม หากเขามอบเงินให้พวกเขา ก็เหมือนจะเป็น
การดูถก
ู พวกเขา เขาคิดในใจว่ามิตรภาพที่พวกเขามีเขาคงต้องจดจํา
เอาไว้ในใจแล้วค่อยตอบแทนกันในวันหน้า

ฉีหนิงอยู่พูดคุยกับเขาครู่หนึ่งเท่านั้น เพราะไม่อยากรบกวนการ
พักฟื้นของเขา จากนั้นเขาก็ตามโหลวเหวินซือออกมา แล้วไปนั่งกันที่
สวนด้านหลัง โหลวเหวินซือเลยถามเปิดประเด็นเลย “น้องฉี ได้ยน
ิ มา
ว่าฝ่าบาทมอบบรรดาศักดิ์อ๋องให้กับเจ้าเหรอ?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ พี่โหลวรู้แล้วเหรอ?”

“ข่าวของพรรคกระยาจกไวนะ” โหลวเหวินซือยิ้มแล้วพูดว่า
“เท่าที่ข้ารู้มา ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นฉู่มา เหมือจะไม่เคยมีอ๋องนอกเชื้อสาย
เลยนะ น้องฉีได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง ถือว่าเป็นแรกในประวัติศาสตร์
แคว้นฉู่เลย”

ฉีหนิงเป็นคนฉลาดมาก พอได้ยินโหลวเหวินซือพูดแบบนี้ แล้ว


ถามว่า “พี่โหลว ท่านอยากจะพูดอะไรหรือเปล่า?”

โหลวเหวินซือลังเล แล้วพูดว่า “น้องฉี ถึงแม้เจ้าจะเป็นอ๋องแล้ว


แต่ข้ากับเจ้าก็รู้จักกัน ไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นใคร แต่เพราะเรานิสย
ั เข้ากัน
ได้ ข้าถือคําว่ามิตรภาพมาก่อนสิ่งใด เลยเห็นเจ้าเป็นพี่น้อง”

“ถูกต้องแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเคารพพี่โหลว ก็เพราะพี่โหลวเป็น


คนตรงไปตรงมา ไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงอะไร”

โหลวเหวินซือหัวเราะแล้วพูดว่า “หากสิ่งที่ข้าพูดไป แล้วเจ้าไม่


ชอบฟัง เจ้าก็คิดซะว่าข้าไม่เคยพูดมาก่อยแล้วกันนะ น้องฉี ครั้งนี้เจ้า
สร้างผลงานใหญ่ ถือว่าเป็นผลงานปกป้องแคว้น ฝ่าบาททรงประทาน
บําเหน็จรางวัลให้ ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” เขานิ่งไป แล้วพูดว่า
“น้องฉีรู้หรือเปล่า ตอนที่ฮ่องเต้ไท่จู่สวรรคต ราชวงศ์ตระกูลเซียวยึด
ดินแดนทางใต้ได้แค่ครึ่งเดียว ทางใต้ยงั มีผู้มอ
ี ํานาจอยู่อีกหลายกลุ่ม
ก้อน คนที่รวบรวมแผ่นดินทางใต้จริงๆ นั้น คือฮ่องเต้ไท่จง”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ไท่จู่ยึดเอารากฐานของแผ่นดิน
ขึ้นมาได้ แต่คนที่รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งนั้นคือฮ่องเต้ไท่จง”
“จิ่นอีตระกูลฉีเป็นที่นับหน้าถือตาของฝ่ายการทหารแคว้นฉู่มาก
เป็นเพราะจิ่นอีเหล่าโหวปราบทางใต้บุกไปทําศึกทางเหนือ กําราบพวก
หัวดื้อทีละคนสองคน ตัวเล็กตัวน้อยไม่ต้องพูดถึง แค่ซช
ี วนที่เดียว ก็ไม่
มีใครเทียบได้แล้ว” โหลวเหวินซือพูดว่า “ข้าขอพูดตามตรงเลยนะ
หากเทียบกันด้วยผลงานแล้ว ผลงานของเจ้ามันเทียบท่านเหล่าโหว
ไม่ได้เลย หลังจากท่านพ่อกับท่านเหล่าโหวตายไป ฝ่ายเป่ยฮั่นที่มีฉางห
ลิงโหวประจําการณ์อยู่ที่ชายแดนแม่น�าฉินไหวนั้นเป็นขุนพลที่เก่งมาก
หากไม่ได้ท่านพ่อของเจ้า คิดว่าทั่งทั้งแคว้นฉู่คงไม่มีใครขวางเขาได้
แน่นอน ไม่แน่ว่าสถานการณ์ในตอนนีอ
้ าจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ก็ได้ ส่วนผลงานของเขา ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าเลย”

ฉีหนิงพยักหน้า เขาเข้าใจความหมายของเขา ถ้าเทียบผลงานกัน


แล้ว เขาไม่สามารถสู้จิ่นอีโหวทั้งสองคนได้เลย

“ต่อให้เป็นอย่างนั้น พวกเขาก็ได้แค่บรรดาศักดิ์โหวเท่านั้น” โหลว


เหวินซือพูดว่า “ส่วนเจ้าอายุก็ยังน้อย กลับได้รับบรรดาศักดิ์อ๋องแล้ว
นั่นเพราะเจ้าสร้างผลงานได้ แต่ลองคิดดูให้ดีดีแล้ว มันอาจจะมีเหตุผล
อื่นอีกก็ได้นะ”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “พี่โหลวหมายความว่าฝ่าบาทระแวง
ในตัวข้างั้นเหรอ?”
“น้องฉีเข้าใจเหตุผลก็ดีแล้วนะ” โหลวเหวินซือถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “ตั้งแต่โบราณมา ใครก็ตามที่น่งั อยู่บนบัลลังก์ สิ่งที่เขาจะกังวลมาก
ที่สุดคือมีคนมาชิงบัลลังก์ของเขาไป เซียวจ้าวจงเป็นเชื้อพระวงศ์ ก่อ
กบฏคราวนี้ข้ึนมา ฝ่าบาทไม่มท
ี างไม่รู้สึกอะไร เขาต้องระแวงทุกคน
แน่นอน เขามอบบรรดาศักดิ์อ๋องให้เจ้า เพราะตระกูลฉีมีผลงานสะสม
มามากมาย และเพราะความสามารถของตัวเจ้าเองด้วย แต่ที่สําคัญ
ที่สุด เพราะอยากปลอบขวัญเจ้ามากกว่า ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทจะทรง
ทําลายธรรมเนียมโบราณ ประทานบรรดาศักดิ์อ๋องให้เจ้าได้ยังไง?”

ฉีหนิงคิดตามวันนี้ตอนที่พบหลงไท่ เขาก็เหมือนพูดความในใจ
ออกมาหมด เขาดูเหมือนเดิม แต่ว่าคําพูดของเขาก็มีความกังวลอยู่
แล้วความกังวลนั้นมันเหมือนมาจากตัวของฉีหนิงด้วย

“น้องฉีลองคิดดูให้ดีนะ เจ้าอายุแค่นแ
ี้ ต่ได้เป็นถึงท่านอ๋องแล้ว
แล้วถ้าต่อไปเจ้าสร้างผลงานใหญ่ได้อีก ฝ่าบาทจะต้องปูนบําเหน็จ
รางวัลให้เจ้าอีก?” โหลวเหวินซือท่าทางจริงจังมาก “เขาคงไม่มอบ
บัลลังก์ให้เจ้าหรอกจริงไหม? เมื่อไหร่ก็ตามที่สร้างผลงานจนไม่อาจ
มอบรางวัลให้ได้แล้ว มันคือช่วงเวลาที่อันตรายมากที่สุด น้องฉี คําพูด
เหลวไหลของข้าในวันนี้ เจ้าจะฟังเข้าหูหรือเปล่าก็แล้วแต่เจ้า แต่ว่า
ตั้งแต่นต
ี้ ่อไป ไม่ว่าเจ้าจะทําอะไรก็ขอให้ระวังตัวให้ดี”

ฉีหนิงพยักหน้า เขารู้ว่าโหลวเหวินซือหวังดีกับเขา
ที่จริงฉีหนิงรู้ดีแก่ใจ ในเวลาแค่สองปี เขาเลื่อนบรรดาศักดิ์จากโหว
มาเป็นอ๋อง ดูเหมือนจะดี แต่ที่จริงมันเป็นก้าวกระโดดที่เร็วมากเกินไป
ซึ่งมันเหมือนจะไม่ดีเอาซะเลย อย่างที่โหลวเหวินซือพูดมา หากต่อไป
เขาสร้างผลงานใหญ่มากอีก ฝ่าบาทจะปูนบําเหน็จให้เขายังไง?

มองไปในราชสํานัก ไม่มีใครเทียบกับเขาได้เลย หลังจากปราบ


กบฏแล้ว เขาได้บรรดาศักดิ์อ๋อง เขากลายเป็นคนที่ในราชสํานักไม่มีใคร
กล้ามีปญ
ั หาด้วย สายตาทุกคนจับจ้องมาที่เขา ที่จริงมันถือเป็นเรื่องที่
อันตรายมาก

“พี่โหลวพูดถูก ข้าจะจําเอาไว้อย่างดี” ฉีหนิงพูดด้วยความ


ขอบคุณมาก

โหลวเหวินซือลุกขึ้น ยิม
้ แล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางกลับแล้ว
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกับเจ้าอีก” เขาลังเล แล้วพูดว่า “น้องฉี ช่วงนี้
เจ้าได้ขา่ วของท่นาประมุขบ้างไหม?”

ฉีหนิงพูดว่า “พีโ่ หลววางใจได้ ประมุขเซี่ยงอยู่ในช่วงเก็บตัวพัก


ฟื้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาจะออกมาเอง” พอนึกถึงเซี่ยงไป๋อิ่งรับ
เสี่ยวเตี๋ยเป็นศิษย์ ทั้งสองดูแลซึ่งกันและกัน ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาไป
อยู่ที่ไหน แต่ว่าเขาก็เข้าใจดี เซีย
่ งไป๋อิ่งเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาก
เรื่องของพรรคกระยาจก เขาต้องจัดการได้อย่างเหมาะสมแน่นอน
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?” โหลวเหวินซือพูดว่า
“พรุ่งนี้จากกัน ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันเมื่อไหร่ หากเจ้าไม่เป็นอะไร วันนี้เรา
จะได้ด่ ืมกันอย่างเต็มที่”

ฉีหนิงฟื้นตัวเร็วมาก ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะดื่มได้ไหม แต่พอคิดว่าจะต้อง


จากลากันแล้ว เขาก็รู้สก
ึ ว่าเสียดาย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าต้องดื่มกับพี่
ใหญ่อยูแ
่ ล้ว” ในตอนนีเ้ อง ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “ท่านทั้งสองจะดื่ม
ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนด้วยดีไหม?” ระหว่างเสียงดังขึ้น ก็เห็นคนๆ หนึ่งเดิน
เข้ามา เขาคือหัวหน้าสาขากุ่ยจินหยางไป๋เซิ่งเฮ่า

โหลวเหวินซือเห็นไป๋เซิ่งเฮ่ามา ก็รีบยิ้มแล้วพูดว่า “ดี ดี ดี ข้ากําลัง


คิดอยู่เลยว่าจะไม่มีใครรินเหล้าให้ หัวหน้าไป๋กลับมาได้จังหวะพอดี
เลย” เขาหันไปพูดกับฉีหนิงว่า “น้องฉี เจ้ารู้หรือเปล่าว่าหัวหน้าไป๋คอ
แข็งแค่ไหน? ในพรรคกระยาจกของเรา หากพูดถึงเรื่องกินเหล้านะ
อันดับหนึ่งคือท่านประมุข รองลงมาก็มีแค่ขา้ กับหัวหน้าไป๋นแ
ี่ หละ”

ไป๋เซิ่งเฮ่าเดินขึ้นหน้ามา ยกมือคํานับให้ฉห
ี นิง แล้วพูดว่า “ท่าน
อ๋อง”

ฉีหนิงคิดในใจว่าเรื่องที่เขาได้บรรดาศักดิ์โหวนั้นมันกระจายไปทั่ว
แล้ว เขาพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “หัวหน้าไป๋ เรื่องปราบกบฏในครั้งนี้
ความช่วยเหลือของท่านกับพี่นอ
้ งพรรคกระยาจก ข้า ......”
“ท่านอ๋องอย่าได้พูดแบบนี้เลย” ไป๋เซิ่งเฮ่าพูดแทรกขึ้นมา “เรา
ติดหนี้บุญคุณท่านอยู่แล้ว มีโอกาสได้ตอบแทน เป็นเรื่องที่หาได้ยาก
จริงสิ ข้าน้อยเพิ่งกลับเข้าเมืองหลวงมา ข้าไปรับเถียนฮูหยินกลับมา
เพื่อความปลอดภัย ข้าน้อยยังไม่ได้ให้นางกลับไปที่จวนของนาง พา
กลับมาพักที่นี่ก่อน กําลังจะให้คนไปแจ้งให้ท่านอ๋องทราบแล้วถามว่า
จะให้ส่งนางกลับไปที่จวนหรือเปล่าพอดีเลย”

ฉีหนิงพูดด้วยความดีใจว่า “กลับมาแล้วเหรอ? ดีจริงๆ พวกนาง


อยู่ที่ไหน?”

ไป๋เซิ่งเฮ่าหันไปแล้วพูดกับคนด้านนอกห้องว่า “ฮูหยิน ท่านอ๋อง


อยู่ที่นี่ด้วย”

ในตอนนี้เองก็เห็นเถียนฮูหยินที่สวมชุดกระโปรงเรียบง่ายเดินเข้า
มาในห้อง ถึงแม้จะเป็นเสื้อผ้าธรรมดา แต่ว่าความงามของนางมันก็
ยังคงอยู่ ชุดแบบนี้มันกลับทําให้นางดูดีไปอีกแบบหนึ่ง เถียนฮูหยินเห็น
ฉีหนิง สายตาสีหน้าของนางดูดีใจมาก นางเดินหน้าขึ้นมาแล้วทําความ
เคารพ ปากของนางขยับ แต่เห็นไป๋เซิ่งเฮ่ากับโหลวเหวินซืออยู่ด้วย
เลยไม่รูว
้ ่าจะพูดอะไรดี ฉีหนิงเห็นนางปลอดภัย ก็ดีใจมาก แต่ว่าเขา
กลับไม่เห็นกู้ชิงฮั่น เลยพูดถามอย่างแปลกใจไปว่า “ซานเหนียงอยู่
ไหน?”
เถียนฮูหยินกับไป๋เซิ่งเฮ่ามองหน้ากัน ท่าทางดูไม่ปกติเลย ฉีหนิง
เดาได้ทันทีว่ามันไม่ปกติ เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ทําไมซานเหนียงถึงไม่ได้มาด้วยกัน?”

“ฮูหยินสาม ...... ฮูหยินสามนาง ......” เถียนฮูหยินก้มหน้าลง นางพูด


เสียงเบามาก “นางตายแล้วเจ้าค่ะ”
เล่มที่ 48 บทที่ 1414 แผนการของสาวงาม

ฉีหนิงคิดว่าตัวเองฟังผิด สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เขาจับ


ไปที่มือของเถียนเสวียหยงแล้วพูดว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? ใคร ...... ตาย?”

ท่าทางของเขาตอนนี้เขาดุมาก เถียนเสวียหยงหน้าเสียไปทันที
นางตกใจกลัวมาก “ท่านอ๋อง ......”

“น้องฉี่ เจ้าใจเย็นก่อนนะ” โหลวเหวินซือกดไหล่ของฉีหนิงลง ฉี


หนิงรู้สก
ึ แน่นหน้าอกหายใจเริม
่ ไม่ออก แต่ก็ยงั พูดว่า “ฮูหยิน เจ้า ......
เจ้าอธิบายให้ขา้ เข้าใจหน่อย”

“ฮู ...... ฮูหยินสาม ...... นางตายแล้ว” เถียนเสวียหยงกัดปากแล้ว


พูด

ฉีหนิงอึ้งไป จากนั้นเขาก็เวียนหัวหน้ามืด ขาอ่อน ถอยหลังไปสอง


ก้าว แล้วก็จะล้มลง โหลวเหวินซือพยุงเขาเอาไว้ ฉีหนิงมองอะไรไม่เห็น
แล้ว แม้แต่ใบหน้าของเถียนฮูหยินก็ยังเลือนลาง เลือดลมในร่างกายเขา
มันวิ่งมัวไปหมด เหมือนว่ามีอะไรจะออกมาจากลําคอ เขาอ้วกแห้งแบบ
ไม่มีอะไรออกมา
เถียนเสวียหยงเห็นอย่างนั้น ก็ตกใจมาก เขาไม่สนใจว่าใครจะอยู่
ตรงนั้นบ้าง รีบเดินไปหาฉีหนิง แล้วพูดด้วยน�าเสียงสั่นเครือว่า “ท่าน
อ๋อง ท่าน ...... ท่านเป็นยังไงบ้าง?”

โหลวเหวินซือกับเถียนเสวียหยงพยุงฉีหนิงมานั่งลงที่เก้าอี้ ฉีหนิง
หน้าซีดมาก โหลวเหวินซือรู้ว่าฉีหนิงเลือดลมน่าจะผิดปกติ เลยซัดฝ่า
มือไปด้านหลังของเขาสองถึงสามครั้ง เพื่อช่วยให้เลือดลมของเขา
ไหลเวียนดีข้น
ึ หลังจากนั้นไม่นาน ฉีหนิงก็ได้สติกลับมา เขาหลับตา
จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาแล้วจ้องไปที่ไปไป๋เซิ่งเฮ่า แล้วถามว่า “ท่าน
หัวหน้าไป๋ ใครทําร้ายซานเหนียง? ซานเหนียง ...... ตอนนี้นางอยู่ที่
ไหน?”

ไป๋เซิ่งเฮ่าปลายตากระตุกสองที แต่ก็ยังกัดฟันพูดว่า “ฮูหยินสาม


เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านอ๋องมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ เช้าวัน
หนึ่งเถียนฮูหยินก็ไปพบว่าฮูหยินสามนั้น ...... ฮูหยินสามนั้นนอนอยู่บน
เตียงแบบหมดลมหายใจไปแล้ว ......”

“เป็นไปไม่ได้” ฉีหนิงลุกขึ้นมา “นางอยู่ที่ไหน? ข้าจะไปหานาง


เดี๋ยวนี”

โหลวเหวินซือสีหน้าเคร่งเครียด แล้วพูดว่า “น้องฉี เรื่องมันเกิดขึ้น


ไปแล้ว อย่าทําแบบนี้เลยนะ” เขาหันไปถามไป๋เซิ่งเฮ่าว่า “หัวหน้าไป๋
ศพของฮูหยินสามอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ที่ซ่อนตัวก่อนหน้านี้ขอรับ” ไป๋เซิ่งเฮ่าก้มหน้าลงแล้วพูดว่า
“ไม่มีคําสั่งจากท่านอ๋อง เราก็ไม่กล้าทําอะไร”

ฉีหนิงเจ็บปวดใจมาก ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีก เขาจับ


มือไป๋เซิง่ เฮ่าแล้วลากเขาออกไปข้างนอก โหลวเหวินซือพูดอย่างร้อนใจ
ว่า “น้องฉี นี่เจ้า ......”

“พี่โหลว ข้าต้องไปพบนาง” ฉีหนิงพูดแค่น้น


ั แล้วก็แทบจะ
กระชากลากตัวของไป๋เซิ่งเฮ่าออกไป โหลวเหวินซือส่ายหน้าแล้วถอน
หายใจ เถียนเสวียหยงเองก็มองฉีหนิงจากไป ท่าทางของนางดูสับสน
แต่ก็ถอนหายใจแบบเศร้าๆ

ที่นี่เป็นที่ทําการสาขาของพรรคกระยาจก ก็เลยมีมา้ เตรียมพร้อม


อยู่หลายตัวเผื่อไว้ในเวลาที่ต้องการใช้งาน ฉีหนิงตอนนี้คิดอยากจะไป
เห็นหน้ากู้ชิงฮั่นเท่านั้น ไป๋เซิง่ เฮ่ารู้ที่ซ่อนตัว เลยต้องให้เขาเป็นคนนํา
ทาง ทั้งสองขี่มา้ ออกไปจากตรอกหลัวกู่ แล้วออกนอกเมืองหลวงไป

หลังจากออกนอกเมืองไปทางตะวันตก ไป๋เซิง่ เฮ่ารู้ว่าฉีหนิงนั้น


ร้อนใจมาก เขาไม่พูดอะไรตลอดทางเลย เขาขี่ม้านําทางไปด้านหน้าไป
อย่างรวดเร็ว ออกจากเมืองหลวงตั้งแต่เที่ยง จนถึงกลางดึก พวกเขาขี่
ม้าห่างจากเมืองหลวงออกมาประมาณหลายร้อยลี้ อยู่นอกบริเวณของ
เมืองหลวงแล้ว มันดูไกลแบบไม่มีอะไรเลย จนกระทั่งมาถึงป่าไผ่แห่ง
หนึ่ง มันมีต้นไผ่หนาแน่นมาก ไป๋เซิง่ เฮ่าหยุดม้าลง แล้วหันไปพูดกับฉี
หนิงว่า “ท่านอ๋อง นี่เป็นสถานที่ลับมากของพรรคกระยาจกเรา หาก
ไม่ได้จําเป็นจริงๆ เราก็จะไม่มาที่นี่ ในระยะสิบลี้ จะไม่มีคนเลย มัน
ลึกลับมาก”

ฉีหนิงเห็นป่าไผ่ที่หนาแน่นแบบนี้ ไม่มถ
ี นน ม้าก็เข้าไปไม่ได้ ต้อง
ลงจากม้าแล้วเดินเข้าไป เขาเริ่มรู้สึกเจ็บปวดใจ สีหน้าของเขาไม่ดีเลย
เขาเปิดปากออกมาว่า “พาข้าไปที”

ไป๋เซิ่งเฮ่าเองก็ลงจากม้า แล้วผูกเอาไว้อย่างดี จากนั้นก็นําทางเขา


ไป

ฉีหนิงเดินเข้าไปในป่าไผ่ เป็นไปอย่างที่เขาคิด มันมีต้นไม้หนาทึบ


มาก เหมือนมันจะมีอายุหลายปีแล้ว น่าจะเป็นเพราะไม่มีใครเข้ามาเลย
มันถึงมีไม้เลื้อยมากกมาย แทบจะเดินไม่ได้ด้วยซ�า หากขี่มา้ เข้ามา คง
ลําบาก

ที่ลึกลับแบบนี้ คนทั่วไปไม่มท
ี างเข้ามาได้ เพราะต้องหลงแน่นอน

ฉีหนิงได้ยินไป๋เซิ่งเฮ่าบอกว่ามันเป็นสถานที่ลับของพรรค
กระยาจก เขาก็รู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าทําไมถึงได้มีที่ลึกลับแบบนี้ได้ แต่
ตอนนี้เขาแค่อยากจะพบหน้ากู้ชิงฮั่นเท่านั้น เขาไม่มอ
ี ารมณ์จะไปคิด
เรื่องอื่น เขาเดินอ้อมป่ามาครู่หนึ่ง ก็เริม
่ เห็นทางออก ที่แท้ในที่ลึกที่สด

ของป่านี้ มันเป็นที่โล่งแจ้ง แล้วยังมีบ้านพักอยู่สองหลัง อาศัยแสง
จันทร์ ข้างบ้านพักยังมีบ่อน�า บ้านพักสองหลังประตูปิดสนิท แต่ว่า
หน้าต่างยังเปิดอยู่ มีหลังหนึ่งที่ด้านในเหมือนจะมีแสงไฟ

ฉีหนิงตะลึงไป คิดในใจว่าที่นี่หา่ งจากเมืองหลวงกว่าร้อยลี้ ขี่มา้ ไม่


หยุดพักเลย กว่าจะถึงกว่าครึ่งวันเต็ม ไป๋เซิ่งเฮ่ามารับเถียนฮูหยินกลับ
เมืองหลวง แล้วกลับมาพร้อมกับเขา ไปกลับใช้เวลาหนึ่งวัน ต่อให้จุดไฟ
ทิ้งไว้ มันก็ไม่นา่ จะอยู่ถึงตอนนี้ได้ เขารู้สึกสงสัยมาก แต่ก็คิดว่าไป๋เซิง่
เฮ่าอาจจะให้คนเฝ้าศพของกู้ชิงฮั่นเอาไว้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว
ตรงไปที่บ้านไม้ ไป๋เซิง่ เฮ่าไม่ได้ตามไปด้วย เขาแค่ยน
ื มองฉีหนิงเดินไป
เท่านั้น

ฉีหนิงเดินไปถึงหน้าบ้านพักไม้ แล้วยื่นมือออกไปเปิดประตู ประตู


ไม้ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ หลังจากที่เปิดออกแล้ว ฉีหนิงก็รีบเข้าไปในห้อง
ทันที เขามองไปก็ถึงกับตะลึงไป

ในบ้านพักไม้ ตกแต่งแบบเรียบง่าย มีโต๊ะเก้าอี้ครบ ถึงแม้จะเรียบ


ง่าย แต่ก็สะอาด บนโต๊ะมีตะเกียงไฟจุดอยู่ ที่เก้าอี้ข้างโต๊ะมีคนๆ หนึ่ง
กําลังนั่งอยู่ ในมือกําลังถือหนังสืออยู่หนึ่งเล่ม หลังจากที่ฉห
ี นิงเข้า
มาแล้ว คนๆ นั้นก็เงยหน้าขึ้นมา สีหน้ารู้สึกแปลกใจมาก แต่ไม่นานก็มี
รอยยิม
้ รอยยิม
้ นั้นเป็นรอยยิม
้ ที่งดงามมาก ถ้านางไม่ใช่ก้ช
ู ิงฮั่นแล้วจะ
เป็นใครไปได้อีก?
ฉีหนิงรู้สึกตกใจแล้วก็งงมาก เถียนฮูหยินกับไป๋เซิ่งเฮ่าบอกว่านาง
ตายแล้ว เขาถึงขี่ม้าไม่หยุดพักเร่งเดินทางมาที่นี่ แต่ว่าพอมาถึงที่นแ
ี่ ล้ว
กลับเห็นนางยังอยู่ดี อีกทั้งยังยิ้มอย่างอ่อนหวานให้เขาด้วย ฉีหนิงกลัว
ว่าเขาจะตาลาย เขาเลยยกมือขึ้นขยี้ตา เห็นกู้ชิงฮั่นลุกขึ้นมา ถึงแม้นาง
จะใส่ชุดเหมือนกับเถียนฮูหยิน แต่ว่ารูปร่างของนาง โครงหน้าของนาง
มันยังคงอยู่ ฉีหนิงรู้สึกดีใจมากแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย เขาไม่พูด
อะไรเลย แต่รีบเดินเข้าไปจับมือของกู้ชิงฮั่นเอาไว้โดยที่นางไม่ทันตั้งตัว
แล้วกระชากนางเข้ามากอดแน่นมาก จากนั้นเขาก็พูดด้วยน�าเสียง
สะอื้นว่า “ท่าน ...... ท่านทําข้าตกใจหมดเลย”

กู้ชิงฮั่นถูกเขากอดจนหน้าแดง แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน แต่กลับเอามือ


ขึ้นมากอดตอบด้วย

หลังจากนั้นอยูพ
่ ักหนึ่ง ฉีหนิงถึงได้ปล่อยมือ แล้วจับไปที่หัวไหล่
ทั้งสองข้างของกู้ชิงฮั่น เขาจ้องไปที่ตาของนาง แล้วพูดว่า “ซานเหนียง
ท่านยังอยู่ดีนี่นา ทําไม ...... ทําไมพวกเขาถึงได้ต้องพูดแบบนั้นด้วย?”

เขารู้ดี หากกู้ชงิ ฮั่นไม่ส่ัง ไป๋เซิ่งเฮ่ากับเถียนเสวียหยงไม่มีทางไป


บอกเขาแบบนั้นแน่นอน

กู้ชิงฮั่นสั่งให้คนไปบอกเขาว่านางตายแล้ว เรื่องนี้มน
ั น่าเหลือเชื่อ
เกินไป
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่ตาของฉีหนิง เห็นตาของเขาแดงก�า ก็รู้ว่ามันเป็น
เพราะอะไร นางยกมือขึ้นมาจับหน้าของฉีหนิง แล้วพูดว่า “กู้ชงิ ฮั่นไม่
ตาย เจ้ากับข้าก็ไม่มีวันได้อยูด
่ ้วยกัน เด็กโง่ จนตอนนีเ้ จ้ายังไม่เข้าใจอีก
เหรอ?”

ฉีหนิงตะลึงไป เขาเห็นกู้ชิงฮั่นหน้าแดง ก็เริ่มจะเข้าใจอะไรบ้าง


แล้ว เขาจับมือของกู้ชงิ ฮั่นเอาไว้ แล้วพูดว่า “ซานเหนียงหมายความว่า
ให้คนทั้งโลกคิดว่าท่านตายไปแล้ว เราจะได้ ......”

“ยังจะเรียกซานเหนียงอีกเหรอ?” กู้ชงิ ฮั่นถอนหายใจเบาๆ ว่า


“ถ้าเจ้ายังเรียกข้าแบบนี้ เราไม่มีวันได้อยู่ด้วยกันนะ”

ฉีหนิงตอนนี้ถึงได้เข้าใจทุกอย่างแล้ว

กู้ชิงฮั่นให้คนไปแจ้งข่าวการตาย แสดงว่าต้องการให้ข่าวนี้
กระจายไปทั่ว เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ทุกคนรู้ว่าฮูหยินสามของตระกูลฉีน้ัน
ตายไปแล้ว กู้ชงิ ฮั่นก็จะสามารถใช้อีกฐานะหนึ่งอยู่กับฉีหนิง

เรื่องนี้ดไู ปเหมือนจะง่าย แต่ฉีหนิงรู้ดีว่า หากกู้ชงิ ฮั่นไม่ได้ตัดสินใจ


แน่วแน่แล้ว ไม่มีทางทําแบบนีแ
้ น่

การกระจายข่าวการตายออกไป ก็เท่ากับว่านางจะไม่สามารถใช้
ชีวิตแบบเดิมได้อีก อีกทั้งไม่สามารถไปพบกับครอบครัวของนางอีก
ด้วย มันเป็นการเลือกที่เจ็บปวดมาก
แต่หากไม่ทําแบบนี้ กู้ชิงฮั่นอาศัยอยู่ในจวนต่อไป ก็ไม่มีทางอยู่
กับฉีหนิงได้แน่นอน

การเลือกแบบนี้ แสดงว่านางได้คิดทบทวนหลายครั้งแล้ว ถึงได้


ตัดสินใจแบบนี้ออกมา

ฉีหนิงรู้ว่านางต้องเสียสละอะไรมากแค่ไหนในเรื่องนี้ เขารู้สึก
ซาบซึ้งใจมาก เขาโอบเอวนางอีกครั้ง แล้วพูดด้วยน�าเสียงอ่อนโยนว่า
“ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่าท่านพี่ กู้ซานเหนียงตายไปแล้ว ที่ยงั อยู่กับข้า
ก็คือท่านพี่ชิงฮั่น ท่านว่าดีหรือเปล่า?”

กู้ชิงฮั่นก้มหน้าลง หน้าของนางร้อนผ่าว แล้วก็อือแค่น้น


ั นางขยับ
ร่างกายเข้าไปใกล้หน้าอกของฉีหนิง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าปราบ
กบฏอยูใ่ นเมืองหลวง ข้ากังวลใจทุกวัน จนข้าคิดจนเข้าใจ หากไม่มีเจ้า
จริงๆ ข้าอยู่ต่อไปจะมีความหมายอะไร? ข้ารู้ว่าเจ้าจริงใจกับข้า แต่ข้า
ไม่กล้ายอมรับมัน ข้าเคยคิดว่าอยากจะไปบวช แต่เจ้ามันคนใจกล้า
บ้าบิ่นเกินไป หากข้าไปบวชจริง เจ้าคงตามไปพังสํานักชีแน่นอน”

“ท่านรู้ก็ดีแล้ว” ฉีหนิงลูบไปที่เอวของนางแล้วพูดว่า “ข้าเคยบอก


ท่านไปแล้วท่านเป็นคนที่ข้าต้องการ ต่อให้หนีไปสุดล่าฟ้าเขียวท่านก็
หนีข้าไม่พ้น” พอคิดว่านางเปิดใจยอมรับเขาแล้ว เขาก็รู้สก
ึ ดีใจมาก
เขากอดนางไว้แน่น แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “เรายังไม่กลับเมืองหลวง
แต่อยู่กันที่นี่ก่อน มีแค่ท่านกับข้า ดีหรือเปล่า?”
กู้ชิงฮั่นตัวแนบชิดกับฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่มีงานต้องทําหรือไง
กัน?”

“ช่างมันก่อนเถอะ” ฉีหนิงอุ้มนางขึ้นมา แล้วมองไปที่หน้าสวยๆ


ของนาง เขาใจเต้นแรงมาก เขาพูดว่า “อยู่กับท่านสําคัญกว่า”

กู้ชิงฮั่นครองโสดมานานหลายปี แต่ว่านางก็มีเลือดมีเนื้อ คนในจวนจิ่น


อีโหวยําเกรงนางมาก ใครก็ไม่กล้าพูดจาล้อเล่นกับนาง นางเก็บกดมา
นานหลายปี พอเจอฉีหนิงแหย่แกล้งเข้าให้ ก็ทําให้นางหวั่นไหวใจสั่น
พอถูกฉีหนิงกอด ได้กลิ่นกายที่ค้น
ุ เคยของฉีหนิง ในใจของนางก็รู้สก
ึ ว่า
มันอุ่นใจและหอมหวาน ฉีหนิงกอดนางมาถึงข้างเตียง กู้ชิงฮั่นเหมือน
จะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางพยายามดิ้น แล้วพูดว่า “อย่าทําอะไรเหลวไหล
นะ ตอนนี้ ...... ยังไม่ได้”
เล่มที่ 48 บทที่ 1415 ดอกไม้บานเมื่อไหร่ก็ควรเด็ดดอม

ฉีหนิงอุ้มกู้ชงิ ฮั่นเอาไว้ เขาได้กลิ่นหอมจากร่างกายของนาง ทําให้


เขาใจสั่น กําลังจะวางนางลงบนเตียง ก็รู้สึกว่ากู้ชิงฮั่นเหมือนจะปฏิเสธ
เขา เขาเลยรีบพูดว่า “ท่านพี่ ก่อนท่านจะออกจากเมืองหลวงท่าน
รับปากข้าไว้แล้วนะ หาก ...... หากว่าข้ารอดมาได้ .......”

กู้ชิงฮั่นยกมือปิดไปที่ปากของฉีหนิง แล้วจ้องไปที่เขา แล้วพูดว่า


“เราจะนั่งคุยกันดีดีไม่ได้หรือไง ......” จากนั้นก็ใช้นิ้วดีดไปที่หน้าผาก
ของฉีหนิง แล้วพูดว่า “ใจร้อนแบบนี้ไม่ได้เรื่องเลย”

กู้ชิงฮั่นเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางมีเสน่ห์นา่ ดึงดูด แค่ยิ้มก็แทบละลาย ฉี


หนิงจะไปทนไหวได้ยังไง เขารู้สก
ึ ว่าไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เขาวางกู้
ชิงฮั่นลงบนเตียง ท่ามกลางแสงไฟ ฉีหนิงคิดว่า กําลังจะขยับเข้าไปใกล้
กู้ชิงฮั่นกลับพลิกตัวหลบอย่างรวดเร็ว และเว้นระยะกับฉีหนิง และ
แกล้งทําเป็นโมโห นางยกมือชีไ้ ปด้านนอก ฉีหนิงก็เข้าใจทันที แล้วพูด
ว่า “ท่านรอเดี๋ยวนะ”

เขาเดินออกมาจากบ้านพักไม้ ท่ามกลางแสงจันทร์ เขาเห็นไป๋เซิ่ง


เฮ่ายืนรออยู่ใกล้กับป่าไผ่ เขาเลยเดินไปหา ไป๋เซิ่งเฮ่าเดินขึ้นมารับ ยก
มือคํานับแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่ได้ต้ังใจจะปกปิด เพียงแต่ว่า
......”

“ข้าเข้าใจ” ฉีหนิงอารมณ์ดีมากๆ ในเวลานี้ ไม่เหมือนตอนที่


เดินทางมาเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสามบอกให้เถียนฮูหยินกับเจ้า
ปกปิดเรื่องนี้ใช่ไหม?”

ไป๋เซิ่งเฮ่าพูดว่า “ฮูหยินสามสั่งมาแบบนี้ ข้าน้อยไม่กล้าขัด”

“หัวหน้าไป๋ นอกจากเจ้ากับเถียนฮูหยินแล้ว เรื่องนี้มใี ครรู้อีก


บ้าง?”

ไป๋เซิ่งเฮ่าส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีแล้วขอรับ”

ฉีหนิงคิด แล้วพูดว่า “หัวหน้าไป๋ ข้ามีเรื่องอยากจะรบกวนท่านสัก


เรื่องหนึ่ง ......”

“ท่านอ๋องวางใจได้ เรื่องนี้ข้าจะปิดปากให้สนิท ตั้งแต่นี้ต่อไป จะ


ไม่พด
ู อะไรเลยแม้แต่คําเดียว” ไป๋เซิ่งเฮ่าพูดอย่างจริงจังว่า “ฮูหยิ
นสามของตระกูลฉีตายไปแล้ว เรื่องนี้คือเรื่องจริงแท้แน่นอน”

ฉีหนิงยกมือจับไปที่หัวไหล่ของไป๋เซิ่งเฮ่า แล้วพูดว่า “เจ้าให้ใคร


ไปกระจายข่าวนี้ให้ท่ัว บอกว่าตอนที่เกิดเรื่องกบฏ ฮูหยินสามออกจาก
เมืองหลวงไปหลบภัย แต่เกิดล้มป่วยลงแล้วตายไป ไม่ต้องพูดละเอียด
แน่ชด
ั เอาแค่ให้รู้ว่านางตายแล้วก็พอนะ”

“ข้าน้อยเข้าใจ” ไป๋เซิ่งเฮ่าพูดว่า “ท่านอ๋อง แล้วต่อไป ......”

“เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ฉีหนิงพูดว่า “เจ้ากลับเมืองหลวงไปก่อนนะ


แล้วให้คนไปแจ้งที่จวนด้วยว่า ข้ามีเรื่องต้องจัดการ”

ไป๋เซิง่ เฮ่ายกมือคํานับแล้วพูดว่า “หากท่านอ๋องไม่มอ


ี ะไรจะสั่ง
เพิ่มเติม ข้าน้อยจะขอกลับเมืองหลวงก่อน ข้าจะทิ้งม้าเอาไว้ที่นี่หนึ่งตัว
นะขอรับ”

ฉีหนิงส่งไป๋เซิ่งเฮ่ากลับไปแล้ว ก็เดินกลับไปที่บ้านพักไม้ เห็นกู้ชิง


ฮั่นนั่งอยู่ที่โต๊ะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว รอบๆ ก็ไม่มค
ี น มันเป็นอะไรที่เขา
ใฝ่ฝันมานานมากที่จะได้อยู่กับกู้ชิงฮั่นตามลําพังแบบนี้ ตอนนี้มัน
กลายเป็นจริงแล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นมาก เขามองสาวงามที่ราวกับดอกไม้
ที่กําลังรอเขาอยู่ ฉีหนิงเดินเข้าไป แล้วจับมือกู้ชิงฮั่นเอาไว้ แล้วพูดว่า
“ตอนนี้ท่านเป็นของข้าจริงๆ แล้วนะ”

ท่ามกลางแสงไฟกู้ชิงฮั่นดูมีเสน่ห์มาก มันแผ่รังศีความมีเสน่ห์
ออกมา ทําให้เขาหวั่นไหว
“ภายในสองปีหลังจากนี้ข้าจะไม่โผล่หน้าไปไหน” กู้ชิงฮั่นพูด “รอ
ผ่านสองปีนไี้ ปก่อน ข้าค่อยกลับเข้าเมืองหลวงในฐานะอื่น ถึงเวลานั้น
ข้าจะหาที่พักในเมืองหลวง เจ้าจะไปหาข้าหรือเปล่าก็แล้วแต่เจ้า”

ฉีหนิงรู้ว่ากู้ชิงฮั่นถึงแม้จะเป็นฮูหยินสามของตระกูลฉี แต่คนที่เคย
เห็นหน้านางจริงๆ นั้นมีไม่มาก รออีกสักสองปีค่อยกลับเมืองหลวง มันก็
เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน

“ท่านพีค
่ ิดดีแล้วเหรอ?” ฉีหนิงเหลือบมองไปสายตาของกู้ชงิ ฮั่น
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพื่อข้าแล้ว ท่านเสียสละมากเกินไปแล้ว
นะ”

กู้ชิงฮั่นพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “เจ้าเองก็อย่าคิดมาก ข้าเองก็อยาก


เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตใหม่เท่านั้น หลังจากเจ้าแต่งงานแล้ว เรื่องในจวน
สุดท้ายก็ต้องโอนให้กับจั้นอิงไปดูแล ข้าอยู่ในจวนต่อไป หากเข้าไปยุ่ง
วุ่นวายเรื่องในจวนอ๋อง อาจทําให้คนนินทาได้ หลายปีที่ผ่านมาข้า
เหนื่อยกับเรื่องในจวนมามาก ข้าเหนื่อยมากแล้วจริงๆ”

ฉีหนิงเข้าใจความหมายของกู้ชงิ ฮั่นดี

กู้ชิงฮั่นหากกลับจวนคราวนี้ อย่างมากก็ดแ
ู ลบ้านได้อีกแค่สองปี
สุดท้ายก็ต้องมอบทุกอย่างให้กับซีเหมินจั้นอิง
กู้ชิงฮั่นอายุไม่ถึงสามสิบ ยังอายุยังไม่มากอยู่ในช่วงโตเต็มวัย หาก
มอบอํานาจทุกอย่างในจวนอ๋องแล้ว นางจะมีฐานะที่ดข
ู ะเขินมากใน
จวน นางไม่มีลก
ู ในจวนไม่มีที่พ่งึ ต่อไปอยู่ในจวนอ๋องก็เหมือนคนไม่มี
ตัวตน พูดได้เลยว่าอยู่คนเดียวจนแก่ตายไปก็ไม่เกินเลย

สําหรับกู้ชิงฮั่นแล้ว มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก

คราวนี้นางแวยโอกาส กระจายข่าวว่านางตายไปแล้ว เพื่อให้นาง


ได้ออกจากจวนจิ่นอีโหวมา ตั้งแต่นี้ต่อไป นางก็จะได้มีชีวิตใหม่

ฉีหนิงเชื่อว่ากู้ชิงฮั่นหลอกว่าตายแล้ว มันไม่ใช่แค่อารมณ์ช่ว
ั วูบ
นางทําทุกอย่างรอบคอบมาก เหมือนมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว

นางละทิ้งฐานะฮูหยินสามของตระกูลฉี ต่อไปก็สามารถปล่อยวาง
ความกังวลหลายเรื่อง แล้วอยูก
่ ับเขาได้

“แล้วทําไมเถียนฮูหยินถึงได้ช่วยท่านปกปิดเรื่องนี้ด้วย?” ฉีหนิง
รู้สึกแปลกใจ

กู้ชิงฮั่นได้ยินดังนั้น หน้าของนางก็แดง แล้วพูดว่า “นางเป็นคนดี


ในเมื่อข้าขอร้องให้นางช่วย นาง ....... นางก็ต้องรับปากสิ”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้นก็รู้ว่ากู้ชิงฮั่นแถ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วขยับ
เก้าอี้เข้าไปใกล้นาง แล้วนั่งลงข้างๆ กู้ชงิ ฮั่น กู้ชงิ ฮั่นมองไปที่เขา แล้ว
พูดว่า “อย่ามาทําแบบนี้นะ นั่งลงคุยกันดีดี”

“ท่านไม่ใช่ฮูหยินสามของตระกูลฉีแล้วนะ ทําไมต้องทําตามกฎอีก
ล่ะ?” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านคือท่านพี่ชิงฮั่น ในเมื่อเป็นพี่สาว
ก็สนิทสนมกันได้สิ”

ฉีหนิงพูดว่า “เถียนฮูหยินนางเป็นคนคิดมาก ไม่ใช่คนที่จะยอม


อะไรง่ายๆ หรือว่านางไม่รู้ หากโกหกเรื่องการตายของท่านแล้ว หากข้า
โมโหขึ้นมา นางรับไม่ไหวแน่ นางตั้งใจปกปิด แสดงว่าต้องมีสาเหตุอ่ ืน
แน่ ท่านพี่คนสวย ท่านบอกความจริงกับข้ามาดีกว่า นีม
่ ันเรื่องอะไรกัน
แน่?”

กู้ชิงฮั่นกลับจ้องฉีหนิงกลับไป แล้วพูดว่า “เจ้าจะให้ข้าบอกความ


จริงกับเจ้าก็ได้ แต่ว่าเจ้าต้องบอกข้ามาเรื่องหนึ่งก่อน หากเจ้าบอก
ความจริงข้ามา ข้าเองก็จะบอกความจริงกับเจ้าเหมือนกัน”

“ความจริง?” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านจะถามอะไร ข้าจะบอกความจริง


ทุกอย่างไม่ปกปิดแน่นอน”

กู้ชิงฮั่นพูดว่า “งั้นเจ้าบอกข้ามา เจ้ากับนางเป็นอะไรกัน?”


ฉีหนิงเห็นสีหน้าของกู้ชิงฮั่น สายตาดวงนั้นเหมือนจะมองเข้าทะลุ
ปรุโปร่ง เขารู้สึกกลัวขึ้นมา แต่เขาก็ยังพยายามข่มอารมณ์น่งิ แล้วพูดว่า
“ท่านพีเ่ องก็นา่ จะรู้ ข้าอาศัยนางหาเงินเพิ่ม นางเป็นแม่ค้า ข้าไม่
สามารถออกหน้าทําการค้าได้ เลยให้นางทําแทน”

“งั้นเหรอ?” กู้ชงิ ฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “นอกจากนีล


้ ่ะ?”

“นอกจากนี?้ ” ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรนี่”

กู้ชิงฮั่นกลับยื่นมือไปดึงหูของฉีหนิงแล้วพูดว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว
เจ้ายังคิดจะหลอกข้าอีกเหรอ หากเจ้าเห็นนางเป็นแค่แม่ค้า ทําไมยัง
ต้องจัดให้นางหนีมาหลบภัยนอกเมืองหลวงด้วย? คนที่มค
ี วามสัมพันธ์
ลึกซึ้งกับจวนจิ่นอีโหวนั้นมีต้ังเยอะ ก็ไม่เห็นเจ้าจะไปปกป้องคนอื่นด้วย
เลย”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ก็เพราะนางถูกขังอยู่กับท่าน ถูก


ช่วยออกมาด้วยกัน ดังนั้นก็เลยช่วยมาเลยทีเดียว โอ้ย ท่านพี่ท่านเบา
มือหนิ่ยสิ ......”

“ข้าถามเจ้าหน่อย แล้วถ้าเราถูกแยกขัง เจ้าจะให้คนไปช่วยนาง


ไหม?” กู้ชิงฮั่นไม่ย้ม
ิ แล้วตอนนี้ “คิดดีดีแล้วค่อยตอบ”

ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่อวันนี้ก้ช
ู งิ ฮั่นจู่ๆ ถามแบบนี้ข้น
ึ มา แสดงว่า
นางเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเถียนฮูหยินแล้ว เขา
กับเถียนฮูหยินมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันแล้ว แต่เรื่องนี้จะเปิดเผย
ไม่ได้ เถียนฮูหยินเองก็ไม่มีทางบอกใครได้เหมือนกัน

แต่ก้ช
ู ิงฮั่นพูดแบบนี้ ฉีหนิงมีความรู้สก
ึ ว่านางเหมือนจะรู้อะไร
มาแล้วแน่ๆ

ในหัวของเขามีภาพของเถียนฮูหยินโผล่ข้ึนมา ทําให้เขารู้สึกผิดกับ
นางมาก เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “นางเดือดร้อนเพราะข้า หาก ......
นางถูกจับตัวแยกต่างหากไป ข้าเองก็จะคิดหาวิธีช่วยนางอยูด
่ ี”

กู้ชิงฮั่นเก็บมือกลับมา ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้ายังเป็นคนที่เห็น


แก่ความสัมพันธ์เหมือนเดิมเลยนะ”

“ท่านพี่ ทําไม ...... ทําไมท่านถึงได้ถามแบบนี้?” ฉีหนิงลองถาม

กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่เขา แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง? ชายหญิง


ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา สายตามันไม่เหมือนกันหรอกนะ ตอนที่เราออกจาก
เมืองหลวงมา ถึงแม้นางจะไม่ได้พูดอะไรเท่าไหร่ แต่ว่าสายตาที่นาง
มองเจ้ามันไม่ปกติ” นางยกมือขึ้นมาเล่นผม แล้วพูดว่า “นางเองก็เป็น
ผู้หญิงลําบาก สามีถก
ู ฆ่า ต้องดูแลกิจการการค้าตามลําพัง มีวันนี้ได้ก็
ไม่ง่ายเลย” นางยิ้มอ่อนๆแล้วพูดว่า “ช่วงที่ข้ากับนางอยู่ที่นี่ พอได้รูจ
้ ัก
กันมากขึ้นแล้ว นางเองก็เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายมีเหตุผล ข้าตั้งใจพูดถึง
เจ้าต่อหน้านางบ่อยๆ ทุกครั้งที่นางได้ยินชื่อเจ้า ท่าทางของนางก็ไม่
ค่อยปกติ หากเจ้าแค่ให้นางช่วยทําการค้า ไม่มีทางเป็นแบบนี้แน่”

ฉีหนิงคิดในใจว่ากู้ชิงฮั่นฉลาดมาก สังเกตุคนเก่งอ่านใจคนได้ หาก


นางคิดจะอยากจะรู้อะไรจากเถียนฮูหยิน ก็คงมีวิธีรูม
้ าได้ง่ายๆ

“เจ้าเองก็ไม่ต้องปิดบังข้าหรอกนะ นางเล่าให้ข้าฟังหมดแล้วล่ะ”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “นางเป็นห่วงเจ้าขนาดนั้น คิดอยากจะรู้
อะไรจากปากนาง มันไม่ใช่เรื่องยากเลย”

ฉีหนิงพูดว่า “นางเล่าให้ท่านฟังแล้วเหรอ? เอ่อ .... เฮ้อ ข้า .......


ตอนนั้นเราอยู่ที่ตงไฮ่ เราอยู่ด้วยกันบ่อยมาก ดังนั้น ....... เราก็เลย
.......”

กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ดีนี่ ที่แท้พวกเจ้า ...... พวกเจ้าก็มีอะไรกันจริงๆ


ด้วย ไม่น่า ......”

ฉีหนิงวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เขาเข้าใจแล้วว่ากู้ชิงฮั่นกําลัง
หลอกถามเขาอยู่ แต่ว่าเขาไม่มส
่ ติ เลยถูกกู้ชงิ ฮั่นเล่นงานเข้าให้แล้ว
เขาน�าตาแทบจะไหล เขาคิดในใจว่าต่อให้เถียนฮูหยินจะเลอะเลือนแค่
ไหน ก็ไม่มีทางถูกกู้ชงิ ฮั่นหลอกถามเรื่องนี้แล้วเล่าเรื่องที่พวกเขามี
อะไรกันออกมาแน่ แต่กลับเป็นเขาเองก็หลุด เขาอยากจะตบปาก
ตัวเองแรงๆ สักที เขาเริ่มกังวล ไม่รู้ว่ากู้ชิงฮั่นจะจัดการกับเขายังไง
เล่มที่ 48 บทที่ 1416 อย่ารอจนดอกไม้โรยราถึงค่อยหักกิ่ง

ฉีหนิงต่อให้หน้าด้านแค่ไหน แต่ก็ตอนนี้ก็ยังรูส
้ ึกว่าหน้าของเขา
นั้นมันร้อนผ่าวมาก

กู้ชิงฮั่นเหมือนจะไม่พอใจ นางนั่งหันหลังให้เขา แล้วไม่พูดอะไร


อีกเลย รอบๆ ก็เงียบมาก เมื่อกี้ความเร้าร้อนพุง่ พล่านขึ้นมาเพราะ
ความมีเสน่ห์ของนางมันหายวับไปกับตา ฉีหนิงเหมือนคนที่แอบทํา
ความผิดมา เขาไม่รู้ว่าเขาควรเริ่มจากอะไรดี บรรยากาศในห้องมันเริ่ม
ตึงเครียด

หลังจากนั้นไม่นาน กู้ชงิ ฮั่นก็ยงั นั่งหันหลังให้ฉีหนิงอยู่ เขามอง


แผ่นหลังของนางรูปร่างดูงดงามมาก มันดูอวบอิ่ม อาจเป็นเพราะนั่งอยู่
มันดูดีมากเป็นพิเศษ

ฉีหนิงขยับเข้าไปใกล้ แล้วพูดว่า “โกรธข้าเหรอ?”

“ไม่ต้องมาคุยกับข้าเลย” กู้ชิงฮั่นไม่ได้พูดดีด้วย

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ข้าไม่ดีเอง ข้าขอภัยต่อท่านได้ไหม ท่าน
ปล่อยข้าไปสักครั้งเถอะนะ”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ข้าจะกล้าให้เจ้ามาขอโทษข้าได้ยังไง เจ้าเป็นถึง
ท่านอ๋อง ฐานะสูงส่ง มีเมียหลายคนก็เป็นเรื่องปกติ”

ฉีหนิงทําตัวไม่ถก
ู เลย เขาเองก็เข้าใจ ขุนนางจะมีหลายเมียมันเป็น
เรื่องปกติ แต่คนมีจิตใจ เขากับเถียนฮูหยินมีสัมพันธ์ลับกัน กู้ชิงฮั่น
หลอกถามออกมาได้จนสําเร็จ นางไม่มีทางพูดดีกับเขาแน่

ฉีหนิงทําหน้าลําบากใจ กู้ชิงฮั่นเห็นเขาไม่พด
ู อยู่นาน ก็หันหลัง
กลับมา สีหน้าของนางยังโกรธอยู่ นางถามว่า “ถ้าอย่างนั้นต่อไปเจ้ายัง
จะยุ่งกับนางอีกไหม?”

ฉีหนิงตะลึงไป ตอนนี้เหมือนแค่เขาตอบคําถามนี้ได้ เขาก็จะผ่าน


ประเด็นนี้ไปได้ แต่เขาเคยรับปากเถียนเสวียหยงแล้ว ถ้าหากตัดขาดกับ
นาง ไม่สนใจนางอีก เขาก็เป็นคนไร้เยื่อใยเกินไป ฉีหนิงคิดว่าเขาคงทํา
ไม่ได้ เขานิ่งไปพักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ตอนนี้นางมีกันอยู่แค่สองแม่ลูก ข้า
รู้ว่านางเห็นข้าเป็นที่พ่ึงเดียวของนาง หากไม่ไปสนใจนางอีกเลย ข้าคิด
ว่าข้าคงทําไม่ได้ ต่อไปหากว่านางเจอปัญหาอะไรขึ้นมาอีก ข้าก็ยังคง
จะออกหน้าปกป้องนางเหมือนเดิม”

กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองตาของฉีหนิง เห็นท่าทางของเขาจริงจังมาก
ท่าทางหนักแน่น นางก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า“หากนางรู้ว่าเจ้าเป็นห่วง
นางเหมือนกัน นางต้องดีใจมากแน่” นางยื่นมือออกไปจับมือของฉีหนิง
แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ต่อไปหากนางเจอปัญหาอะไร เจ้าต้องช่วย
นางนะ ข้าไม่ห้ามให้พวกเจ้าไปมาหาสูก
่ ันหรอกนะ แต่ว่าเรื่องนี้อย่าให้
ใครรู้ล่ะ ชื่อเสียงของนางจะได้ไม่เสียหาย”

ฉีหนิงตะลึงไป เขาคิดไม่ถึงว่ากู้ชิงฮั่นจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ เขาพูด


อย่างแปลกใจว่า “ท่านพี่ นี่ท่าน ......”

“ถ้าเจ้าคิดจะเอาใจข้า รับปากจะไม่ยุ่งกับนางอีก เจ้าก็เป็นคนที่


พึ่งไม่ได้ไม่มีเยื่อใยสิ” กู้ชิงฮั่นยิม
้ อ่อนแล้วพูดว่า “เจ้าตอบข้าแบบนี้ ก็
ถือว่าเป็นคนมีคณ
ุ ธรรมพอ ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ นางดูแลข้าดีมากเลย ที่
จริงข้ามองออกว่าพวกเจ้าต้องมีอะไรกันแน่นอน แล้วก็รู้เรื่องของพวก
เจ้ามาจากปากของนาง ตอนที่นางอยูต
่ งไฮ่ถูกคนจับตัวไป เจ้าไปช่วย
นางด้วยตัวคนเดียว ผู้หญิงคนหนึ่ง ขอแค่ต้องการคนที่เราเจอปัญหา
แล้วกล้าที่จะออกหน้ามาช่วยเราเท่านั้นแหละ เจ้าทําแบบนั้น ในใจนาง
จะไม่มีเจ้าได้ยงั ไงล่ะ?”

ฉีหนิงพูดว่า “ที่แท้นางก็บอกกับท่านจริงๆ” แต่จู่ๆ เขาก็รู้สก


ึ ว่า
มันแปลกๆ เขาคิดในใจว่าเถียนฮูหยินเป็นคนระวังตัวมาก ไม่มีทางหลุด
ความลับอะไรออกไปง่ายๆ แน่ เขารู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น
เขาถามวว่า “ทําไมนางต้องบอกกับท่านด้วย?”

กู้ชิงฮั่นท่าทางสบายๆ แล้วพูดว่า “ข้าถาม นางก็ตอบก็เท่านั้น”


“ไม่ ไม่น่าใช่” ฉีหนิงเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ข้ารู้แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ....... อย่างนีน
้ ี่เอง”

กู้ชิงฮั่นเหมือจะเริ่มหน้าแดง นางพูดว่า “เจ้ารู้อะไร?” สายตาของ


นางเป็นประกาย ตอนนี้นางไม่กล้ามองฉีหนิงเลย

ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าสิ่งที่เดาน่าจะไม่ผิด เขาขยับเข้าไปใกล้ เขา


พูดว่า “ท่านเองก็ถูกนางจับได้ใช่ไหม?”

เขารู้ดี กู้ชิงฮั่นกับเถียนเสวียหยงต่างเป็นผู้หญิงที่เขาอกเข้าใจ
ผู้อ่ ืน ไม่ได้เหมือนผู้หญิงวัยรุ่นทั่วไป โดยเฉพาะเรื่องของชายหญิง อายุ
อย่างพวกนางมันเป็นอะไรที่อ่อนไหวมาก กู้ชิงฮั่นกับเถียนเสวียหยง
อาศัยอยู่ที่นี่กันนานหลายวัน กู้ชิงฮั่นรู้ความลับของเถียนเสวียหยง
เถียนเสวียหยงเองก็นา่ จะรู้อะไรเกี่ยวกับกู้ชิงฮั่นแน่

หากเถียนเสวียหยงไม่ได้รู้เรื่องอะไร นางก็จะต้องเห็นกู้ชิงฮั่นเป็น
เหมือนฮูหยินสามของตระกูลฉี เป็นญาติผู้ใหญ่ของฉีหนิง ต่อให้นางใจ
กล้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางเล่าเรื่องลับระหว่างเขากับนางให้ก้ช
ู งิ ฮั่นฟังแน่
ในเมื่อนางเล่าให้ฟัง แสดงว่าพวกนางต้องรู้เรื่องของกันและกันไปแล้ว

พอคิดๆ ดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลอยู่
ฉีหนิงอยู่ปราบกบฏในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเถียนเสวียหยงหรือว่ากู้
ชิงฮั่น ก็รู้ว่าฉีหนิงต่อสูก
้ ับเซียวจ้าวจง มันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก จาก
กันที่เมืองหลวงคราวนั้น มันอาจจะไม่ได้พบกันอีกก็ได้

ด้วยสถานการณ์แบบนั้น ม่ายสาวทั้งสองเต็มไปด้วยความกังวล
เป็นห่วงเขาทั้งวันทั้งคืน พวกนางมองความรู้สก
ึ ของกันและกันออก จึง
คอยหยั่งเชิงดู จนอาจจะได้รู้เรื่องมา

กู้ชิงฮั่นถูกฉีหนิงถาม นางก็หน้าแดงมาก นางกัดฟันแต่ไม่ได้พด



อะไร ฉีหนิงเข้าไปกอดนางเอาไว้ แล้วพูดว่า “ข้าบอกความจริงกับท่าน
ไปแล้ว ท่านก็บอกเองว่าจะบอกความจริงกับข้าเหมือนกัน ท่านจะมา
เล่นแง่แบบนี้ไม่ได้นะ”

กู้ชิงฮั่นถูกเขากอดเอาไว้แน่นมา นางไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน นางรู้สึก


ร้อนไปบนหมดทั้งตัว ทําได้แค่พูดว่า “ข้าเองก็ ...... ไม่ได้ต้ังใจ .......”

“ไม่ต้ังใจ?”

“ตอนนั้นข้าไม่สบาย ตัวร้อนมาก นางอยู่ดูแลข้าตลอด ไม่ได้นอน


เลยทั้งคืน” กู้ชิงฮั่นหน้าแดงมากแล้วพูดว่า “คืนนั้นข้า ...... ข้าเพ้อ
เพราะพิษไข้ ......”

“เพ้อเหรอ?” ฉีหนิงพูดด้วยความแปลกใจว่า “แล้วเพ้ออะไร


ออกมาล่ะ?”
“ข้าไม่พูดแล้ว” ก็ชิงฮั่นเขินอายเป็นเด็กๆ เลย นางหันข้างไปไม่
มองหน้าฉีหนิง ท่าทางเขินของนางน่ารักมาก ฉีหนิงกอดนางด้วยมือ
ข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็เอามาป้องปาก แล้วหัวเราะ เขาพูดว่า “ถ้า
ท่านไม่พูด ข้าก็จะจักจี๋ท่านเดี๋ยวนี้เลย”

กู้ชิงฮั่นบ้าจี้ที่สุด ฉีหนิงพูดแค่นี้ นางก็รู้สึกจักจี๋ไปทั้งตัว นางรีบจับ


มือของฉีหนิงเอาไว้ แล้วพูดว่า “อย่า ...... อย่านะ ข้าบอกแล้ว” นาง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าข้าฝัน ในฝันข้าเป็นห่วงเจ้า
มาก กลัวว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีก ก็เลยละเมอออกมา ..... บอก ...... บอก
ออกมาว่าถ้าเจ้ารอดชีวิตมาได้ ข้า ...... ข้าจะแต่งงานกับเจ้า ......”

ฉีหนิงตะลึงไป เขานึกภาพตาม ภาพที่เถียนเสวียหยงคอยดูแลนาง


อยู่ แล้วนางก็ละเมอเพ้อออกมา สีหน้าท่าทางของเถียนเสวียหยงคงน่า
สนุกมากเลย

เรื่องหลังจากนั้น กู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้เล่าต่อ แต่ฉห


ี นิงก็พอจะเดาได้

เถียนเสวียหยงรู้ความลับของกู้ชิงฮั่น หลังจากนั้นก็นา่ จะมี


ปฏิกิริยาที่แปลกไป กู้ชงิ ฮั่นฉลาดจะตายไป นางต้องรูส
้ ึกได้ว่า
บรรยากาศมันไม่เหมือนเดิม หลังจากทั้งสองคนลองหยั่งเชิงกันไปแล้ว
สุดท้ายถึงได้เปิดเผยความลับของแต่ล่ะคนออกมา
อาจเป็นเพราะว่าพวกนางรู้สึกว่าฉีหนิงอยู่ในเมืองหลวงนั้น
อันตรายมาก หากฉีหนิงเป็นอะไรไป พวกนางคงต้องหลบไปให้ไกล
ที่สุด อาจเป็นไปได้ว่าต้องพึ่งพาอาศัยกันเลยก็ได้ พอคิดถึงจุดที่เสียใจ
มาก เลยเข้าหากันมากขึ้น เรื่องที่คนนอกรู้ไม่ได้ เลยยอมเปิดเผยมัน
ออกมา

กู้ชิงฮั่นปัดแขนของฉีหนิงออก แล้วลุกขึ้นมา จากนั้นก็มองไปที่


นอกหน้าต่าง นางบิดขี้เกียจ แล้วพูดว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าดูแลตัวเอง
ก็แล้วกันนะ ข้าจะไปพัก” ท่าทางการบิดขี้เกียจของนางมีเสน่หม
์ าก ทํา
ให้รูปร่างของนางเด่นชัด นางเดินไปที่เตียง เห็นฉีหนิงลุกขึ้น นางก็รีบ
พูดว่า “เจ้าอยู่เฉยๆ เลยนะ พื้นที่นี่เป็นไม้ ถ้าเจ้าจะนอนก็นอนบนพื้น
นั่นแหละ” จากนั้นนางก็ข้ึนเตียงแล้วนอนลง

ฉีหนิงขยับเข้ามาใกล้แล้วบิดขี้เกียจ “ช่วงนี้เหนื่อยมากเลย ท่านพี่


เข้าใจข้าหน่อยนะ ขยับที่ให้ข้าหน่อยสิ”

“เตียงมันเล็กเกินไป นอนสองคนไม่ได้หรอก” กู้ชิงฮั่นทําท่าทาง


เหมือนคนขี้เกียจ ขยับแค่นด
ิ เดียว แต่ว่าฉีหนิงรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์มาก
จากนั้นนางก็หลับตาลง

ฉีหนิงเห็นท่าทางของนางแล้วก็รู้สึกใจสั่น เขาพยายามจะไปที่ขอบ
เตียง ทําหน้าตาน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทําได้ กู้ชิงฮั่นเหลือบมามอง นาง
รู้สึกขํามาก แต่ก็แอบขยับเข้าไปด้านในแบบเนียนๆ ฉีหนิงสังเกตเห็น ก็
รีบขึ้นเตียงนอนแล้วขยับเข้าไปใกล้นาง กู้ชงิ ฮั่นเอามือปิดหน้าอกเอาไว้
นางหลับตาลงแล้วพูดว่า “ข้าง่วงมากแล้ว เจ้าอย่ากวนข้าล่ะ”

นางดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ฉห
ี นิงได้ยินนางหายใจแรงมาก แต่
พยายามจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ เขารู้ว่านางแกล้งทําเป็นไม่
มีอะไร แต่ว่าที่จริงนางกําลังตื่นเต้นมาก

ฉีหนิงเองก็ไม่ได้รีบร้อน เขาเอามือดันหัว แล้วเอนตัวนอนมองกู้ชิง


ฮั่น

จะไม่พด
ู ก็ไม่ได้ กู้ชิงฮั่นนี่เป็นผูห
้ ญิงที่สวยแบบหาได้ยากมากจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือว่ารูปร่าง ผิวพรรณ ล้วนแล้วแต่ดีหมดเลย

“เจ้ามองอะไร?” กู้ชิงฮั่นถามทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าแค่แปลกใจ ชาติที่แล้วท่าน


ทําบุญด้วยอะไรกันน้า ทําไมสวรรค์ถึงได้ดีกับท่านขนาดนี้ ให้ท่านเกิด
มาสวยไร้ที่ติจริงๆ”

“ปากหวานนักนะ” กู้ชงิ ฮั่นพูดว่า “หากเจ้าไม่นอน ก็ออกไปเดิน


เล่นเลยไป”

“ข้าไม่กวนท่านหรอก แค่มองท่านแบบนี้แหละ” ฉีหนิงพูดว่า


“ท่านก็นอนของท่านไป”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้ามองจ้องข้าแบบนี้ ข้าจะไปนอนหลับลงได้
ยังไง? เจ้า ...... เจ้าลงจากเตียงไปดีกว่า”

ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่สง่ เสียงหรอก ท่านหลับตาก็มอง


ไม่เห็นแล้ว พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าจิตใจไม่หวั่นไหว ก็ไม่มีอะไร
สั่นคลอนได้”

“พูดจาเหลวไหล เจ้าอ่านหนังสือธรรมมะมากี่เล่มกันเชียว ถึงมา


พูดอะไรแบบนี”
้ กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ถ้าเจ้าชอบธรรมมะมาก ก็ไปบวชเป็น
พระเลยไป”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ทําแบบนั้นได้ไง หากข้าไปบวช แล้วท่านทํา
ไง?”

ฉีหนิงไม่ใช่ชายหนุ่มที่ไม่ประสา ที่จริงเขารู้ กู้ชิงฮั่นตอนนี้แค่กําลังใช้


วิธีการที่ล�าเลิศมาก นางไม่เข้าหาก่อน แล้วก็ไม่ให้เขาเข้าหานางก่อน
ด้วย พูดจาเหมือนปกติทก
ุ อย่าง ในค�าคืนที่เงียบสนิท ชายหญิงอยู่ใน
ห้องกันตามลําพัง สภาพแบบนี้ มันก็ยังมีหวั่นไหวกันบ้าง
เล่มที่ 48 บทที่ 1417 ค�าคืนอันเงียบสงบ

ค�าคืนอันเงียบสงัด ฉีหนิงใช้มือดันหัวแล้วมองไปที่ก้ช
ู ิงฮั่น สายตา
ของเขามองไปที่ริมฝีปากของนาง เขาพบว่าตอนนี้แค่เขามองหน้าของ
นางใจของเขาก็จะเต้นแรงมากกว่าปกติอีก แต่ว่ายังไม่เคยมองปากของ
นางอย่างละเอียดเลย

ริมฝีปากของนางอวบอิ่ม แดงเล็กน้อย อวบอิ่มน่าหลงใหลมาก

ฉีหนิงหวั่นไหวมาก เขาอดเข้าไปใกล้ไม่ได้ กําลังจะขยับเข้าไปจูบ


ถึงแม้ก้ช
ู ิงฮั่นจะหลับตาอยู่ แต่เหมือนนางรู้ว่าฉีหนิงทําอะไรอยู่ทุกอย่าง
ฉีหนิงแค่ขยับเข้าใกล้ นางก็แกล้งหันตัวหลบทันที เอาแผ่นหลังงามๆ
ให้เขาแทน ฉีหนิงรู้สึกขํา แต่ว่าแผ่นหลังของนางนั้นก็สวยมากพอกัน
รูปร่างของนางเว้าโครงเหมือนงู ฉีหนิงคืนน�าลาย เขายื่นมือไปกอดเอว
ของนางแล้วขยับตัวเข้าไป เขาสัมผัสเรือนร่างของนางอย่างมีความสุข

กู้ชิงฮั่นสะดุ้ง แล้วรีบหดตัว ฉีหนิงได้กลิ่นหอมโชยมาจากกายของ


นาง เขากอดนางเอาไว้แล้วค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นไปตามร่างกายของนาง
ยังไม่ถึงหน้าอกของนาง นางก็เอามือมาจับมือของเขาเอาไว้ แล้วได้ยน

นางพูดด้วยน�าเสียงสั่นเครือ “ข้า ...... ข้ายังกลัวอยู่”

“กลัวอะไร?”
“ข้ารู้สึกว่า ...... ทําแบบนี้มันไม่ดี” กู้ชงิ ฮั่นน�าเสียงสั่นมาก “ถ้า
ยังไง ...... เจ้ารอก่อนดีไหม ไว้ขา้ พร้อมกว่านี้ ......”

“ท่านพีค
่ นสวยของข้า ข้าให้เวลาท่านมานานมากแล้วนะ” ถึงแม้
มือของฉีหนิงจะถูกจับเอาไว้ แต่เขาก็พยายามจะขึ้นไปด้านบน กู้ชิงฮั่น
สะดุ้งตัวสั่น มือของเขามันขึ้นไปบนจุดที่อ่อนไหวที่สุดของนาง ความ
รู้สึกนั้มน
ั ทําให้วิญญาณของฉีหนิงแทบหลุดจากร่าง “ท่านกลัวอะไร?
กลัวข้าเหรอ?”

ข้าก็แค่รู้สึกว่า ...... รู้สก


ึ ว่ามันไม่ค่อยดี” น�าเสียงของกู้ชิงฮั่นไม่ได้
นิ่งเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว อีกทั้งยังเสียงอ่อนลงด้วย “หนิงเอ๋อร์ ข้า
...... ข้ายังข้ามด่านในใจของข้าไปไม่ได้ ข้า ...... ข้ายังคิดว่าทําแบบนีม
้ ัน
ไม่ดีเท่าไหร่เลย ......”

ฉีหนิงรู้ว่ายังมีเวลาอีกเยอะ เขาต้องทํามันอย่างตรงไปตรงมา จะ
รีบร้อนไม่ได้ เพื่อไม่ให้นางตื่นกลัว ดังนั้นเขาเลยแค่เอามือแตะเอาไว้
ตรงนั้น ไม่ได้ทําอะไรไปมากกว่านั้น เขาพูดว่า “ซานเหนียงไม่อยู่แล้ว
ท่านคือท่านพี่ชงิ ฮั่นของข้า ต่อไปห้ามเรียกข้าว่าหนิงเอ๋อร์อีก”

“ไม่ให้เรียกหนิงเอ๋อร์ แล้ว ...... แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร?”

ฉีหนิบคิด แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “เรียกข้าว่า ...... พี่ชายตัวน้อย


ดีหรือเปล่า?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เหลวไหล เจ้า ..... เจ้ามาเป็นพี่ชายตัวน้อยเมื่อไหร่
กัน?” จากนั้นนางก็ร้อง “ว้าย” ออกมา ฉีหนิงออกแรงบนมือที่อยู่
ตรงหน้าอก ทั่วทั้งตัวนางเหมือนโดนไฟดูด ฉีหนิงพูดว่า “จะเรียก
ไหม?”

“ไม่” ก็ชิงฮั่นพยายามหดตัว “ไม่ ข้าไม่เรียก ให้ตายก็ไม่เรียก ......


ว้าย ......” ใบหน้าของนางแดงมาก มือของฉีหนิงข้างนั้นมันเกินเลยมาก
นางพูดอ้อนวอนไปว่า “อย่า ...... อย่าทําแบบนั้นเลยนะ ข้า ...... ข้า
...... ข้ายอมแล้ว ..... พี่ ...... พี่ชายตัวน้อย .....”

แค่เรียกแค่นี้ นางก็เขินจนหูแดงไปหมด แทบอยากจะแทรก


แผ่นดินหนี

นางรู้ว่าในเวลานี้นางห้ามอะไรฉีหนิงไม่ได้เลย คิดไม่ถึงเลยว่าแค่
เรียก ในใจก็คิดว่ามันกําลังเริ่มแล้ว ไม่รูว
้ ่าเจ้าตัวแสบจะแกล้งอะไรนาง
อีก

“ถ้าท่านกลัว ข้ามีวิธี รับรองท่านจะไม่กลัวอีกเลย” ฉีหนิงกระซิบ


ไปที่ข้างหูนาง “วิธีนี้ได้ผลแน่นอน”

กู้ชิงฮั่นพูดอย่างแปลกใจว่า “วิธีอะไร?”

“ปิดตาเอาไว้ แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจัง


กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอีกแล้วนะ ปิดตา มัน
...... มันจะมีประโยชน์อะไร?”

“ไม่เชื่อเราก็มาลองดูกัน” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านกลัวข้า พอปิดตาไป


แล้ว ท่านก็มองไม่เห็น เดี๋ยวท่านก็จะชินไปเอง พอไม่กลัวแล้ว ค่อยเอา
มันออก”

กู้ชิงฮั่นลังเลแล้วพูดว่า “แล้วใช้อะไรปิดตาล่ะ?”

ฉีหนิงพูดว่า “ข้ามีสายคาดเอว ......”

กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ข้าไม่เอาหรอก สกปรกจะตายไป” นางถอนหายใจ


แล้วก็ลก
ุ ขึ้นมานั่ง จากนั้นก็หันไปมองฉีหนิง ท่ามกลางแสงไฟ ผมเผ้า
ยุ่งเหยิง ใบหน้าแดงก�า ดูไปแล้วมีเสน่ห์มาก นางกัดปากแล้วพูดว่า “หัน
หน้าไป”

ฉีหนิงคิดในใจว่าอีกเดี๋ยวก็จะได้สัมผัสร่างกายกันแล้ว เขาก็ไม่รบ

ร้อนอะไร

เขาแกล้งทําเป็นหันหน้าไป กู้ชิงฮั่นค่อยๆ ปลดสายคาดเอวของ


นางออกมา นางรู้ว่าวิธข
ี องฉีหนิงมันเชื่อถือไม่ได้ แต่ก็ยังยอมทําตามที่
เขาว่า จากนั้นนางก็ย่ น
ื สายคาดเอวของนางให้กับฉีหนิง แต่ก็ไม่ได้พูด
อะไร ฉีหนิงรับมา แล้วก็หน
ั หลังไป คุกเข่าอยู่ด้านหลังของกู้ชงิ ฮั่น เขา
พูดอย่างจริงจังมากว่า “ท่านวางใจได้ ข้าบอกว่ามีประโยชน์ก็ต้องมี ข้า
ไม่หลอกท่านหรอก” เขาค่อยๆ เอาสายคาดเอวปิดตาของกู้ชิงฮั่น แล้ว
ถามว่า “ตอนนี้ยังกลัวอยู่หรือเปล่า?”

กู้ชิงฮั่นพูดว่า “กลัวสิ มัน ...... มันไม่ได้ผลหรอก ......” ยังพูดไม่ทัน


จบ นางก็รู้สึกว่าหัวไหล่ท้ังสองข้างของนางมันแน่นมาก จากนั้นก็
ตามมาด้วยเสียงร้องกรีด
๊ ของนาง ฉีหนิงกอดและกดทับนางลงบนเตียง

ท่ามกลางคืนที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องลงมาที่ป่าไผ่ ทุกอย่างดู


งดงาม

เรื่องราวที่เกิดในบ้านพักก็ไม่ต้องอธิบายละเอียดอะไรมากมาย
แล้ว จนกระทั่งเช้าวันต่อมา ฉีหนิงตื่นขึ้นมา

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ด้วยความที่ฉีหนิงก็พวกประสบการณ์สูง กู้ชิง


ฮั่นเองก็ไม่ใช่สาวใสไม่ประสา เริ่มแรกอาจจะยังเกร็งๆ แต่พอหลังจาก
นั้น นางก็ยอมตามใจฉีหนิงทุกอย่าง ยกเว้นสองท่าที่นางรู้สึกไม่ไหว
จริงๆ ถึงได้ปฏิเสธไป ที่เหลือก็ตามใจเขาแทบทุกอย่าง

ฉีหนิงกับเถียนฮูหยินมีอะไรกัน เขารู้ว่าข้อดีของม่ายสาวคืออะไร
แค่ส่งสายตา อีกฝ่ายก็เข้าใจจุดประสงค์เจ้าแล้ว

ถึงแม้เมื่อคืนจะใช้แรงไปเยอะมาก แต่เพราะกําลังภายในแก่กล้า
มาก เลยไม่ได้รูส
้ ึกเหนื่อยเลย จนกู้ชิงฮั่นต้องอ้อนวอนให้เขาหยุด เขา
ถึงเลิก
กู้ชิงฮั่นโสดเคว้งคว้างมานานหลานปี คราวนี้ได้รับการเติมเต็มนาง
มีความสุขมาก แต่ว่านางก็ทนแรงอันมหาศาลของฉีหนิงไม่ไหว จนกระ
ทั่เช้า ถึงได้อ้อนวอนขอร้องให้เขาหยุด ร่างกายของนางเหมือนแทบจะ
แหลกสลาย นางแทบไม่อยากขยับเลย นางเหนื่อยมาก ฉีหนิงตื่นแล้ว
แต่นางยังหลับอยู่

ฉีหนิงเห็นนางนอนแนบชิดอยู่ในอ้อมอกของเขา ถึงแม้จะยังหลับ
อยู่ แต่ว่าเหมือนว่านางจะมีรอยยิ้ม นางเหมือนกําลังฝันหวาน สบาย
กายสบายใจ ยิ่งมองก็ย่งิ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เขาอดขยับตัว
ไม่ได้ พอขยับ กู้ชิงฮั่นก็สะดุ้งตื่น นางสะลึมสะลือขึ้นมา นางก็เห็น
สายตาที่เต็มไปด้วยแรงปรานารถของฉีหนิง ที่จ้องนางเหมือนหมาป่าที่
กําลังรอตะคุบกระต่ายน้อย กู้ชงิ ฮั่นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นาง
รู้สึกกลัวขึ้นมา เลยรีบถอยห่างเขา จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาปิดตัว แล้วพูด
อย่างน่าสงสารมากว่า “ที่ห้องข้างๆ มีของกินอยู่ เจ้า ...... เจ้าไปอุ่นเอา
เองนะ ข้า ...... ข้ายังไม่อยากลุกตอนนี”

ฉีหนิงยิม
้ แบบร้ายมาก “ข้าหิวก็จริง แต่ว่าข้ายังไม่อยากกินอะไร
ข้าอยาก ......” เขาขยับเข้าไปใกล้นาง กู้ชิงฮั่นเอามือมาปิดหน้าอกของ
ตัวเอง แล้วขมวดคิ้วนิดหน่อย “ถ้าเจ้าทําอะไรเหลวไหล ข้าจะ ......”
“ท่านจะทําอะไร?” ฉีหนิงพูด “เมื่อคืนใครกันน้าที่บอกให้ข้ากิน
นางเข้าไปทั้งตัวเลย? ยังบอกอีกว่ากินให้อิ่มกินให้พอ ยังถามข้าอีกว่า
นางอร่อยหรือเปล่า ท่าน ......”

กู้ชิงฮั่นหน้าแดงไปถึงหู แล้วดึงผ้าห่มมาปิดหน้าเอาไว้ แล้วพูดว่า


“ข้าไม่ได้พูดสักหน่อย ข้าไม่ได้พูด เจ้าโกหก ......”

ฉีหนิงกลับดึงขอบผ้าห่มออก แล้วมุดเข้าไปในผ้าห่ม แล้วพูดว่า


“ถ้าท่านลืมแล้วก็ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยให้ท่านจําได้เองว่าท่านพูดอะไร
ไปบ้าง ......” ผ้าห่มถูกดึงออกอีกครั้ง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่หมด
แรงของกู้ชองฮั่น

หลังจากนั้นอีกหลายวัน ฉีหนิงกับกู้ชิงฮั่นก็อยูด
่ ้วยกันในป่าไผ่
ไม่ได้ออกไปไหนเลยแม้แต่ก้าวเดียว ภายในเวลาสั้นๆ ไม่ก่ีวัน ฉีหนิง
กลับรู้สก
ึ ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุด

ภายในบ้านพักไม้มีข้าวสารอาหารแห้งวัตถุดิบต่างๆ มากกมาย ที่


จริงกู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้เข้าครัวทําอาหารบ่อยหนัก ช่วงที่หลบภัย ส่วนมาก
เถียนฮูหยินก็เป็นคนทํา

แต่ว่าช่วงเวลาที่ได้อยูก
่ ับฉีหนิง กู้ชิงฮั่นกลับลงมือทํากับข้าวด้วย
ตัวเอง ฉีหนิงก็รู้ว่านางทําอาหารเองไม่บ่อย เขาเลยไปเป็นลูกมือให้เขา
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกว่ามันมีความสุขมาก
กู้ชิงฮั่นแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉีไม่นาน ก็ต้องเป็นม่ายอยู่ตาม
ลําพัง ต่อให้เป็นยังตอนมีชีวิตอยู่ก็หา่ งกันมากกว่า อยูด
่ ้วยกันรวมแล้ว
แค่ไม่กี่สิบวัน ในจวนตระกูลใหญ่แบบนั้น มีกฎเกณฑ์เต็มไปหมด จะ
บอกว่าให้เกียรติกันมันก็ใช่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่มีอิสระเลย
ไม่เหมือนอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้หรอก

สองวันแรกเหมือนจะเป็นฉีหนิงที่แกล้งนางเยอะกว่า แต่หลังจาก
นั้นก็เหมือนจะเป็นกู้ชงิ ฮั่นที่แกล้งเขา

กู้ชิงฮั่นเป็นคนฉลาด อีกทั้งยังมีเสน่หม
์ ากมายเลือกใช้ได้ไม่หมด
ด้วย นางรู้ว่าจะมัดใจฉีหนิงยังไง นางมีวิธีทําให้เขาต้องสยบให้กับนาง
แทบทุกครั้ง

ท่ามกลางแสงจันทร์ ฉีหนิงใช้มอ
ื ข้างขวางโอบเอวของกู้ชิงฮั่น แล้ว
นั่งอยู่นอกห้อง แล้วมองไปที่พระจันทร์

“เจ้าตัวแสบ เราอยู่ที่นน
ี่ านหลายวันแล้วนะ เจ้าควรกลับไปได้
แล้ว” กู้ชิงฮั่นถึงแม้อยากจะให้เวลาแบบนี้หยุดอยู่แค่นี้ แต่ก็รู้ว่าฉีหนิง
เป็นขุนนางคนสําคัญของแคว้น หากไม่กลับเมืองหลวงเป็นเวลานาน
อาจเกิดกระแสความวุ่นวายได้ นางพูดด้วยน�าเสียงอ่อนโยนว่า “หลาย
วันที่ผ่านมาข้ามีความสุขมาก ชาตินี้ท้ังชาติข้าจะไม่ลืมเลย”
ฉีหนิงได้ยินน�าเสียงของนางเหมือนจะไม่อยากแยกจากกัน เขาก็
ขมวดคิ้ว เขาก็ลังเลแล้วพูดว่า “ข้าจะกลับไปเตรียมเรือนเอาไว้หลัง
หนึ่ง ท่านกลับไปอยู่ที่น่น
ั ก่อน ......”

“ไม่ได้” กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ต้องไม่


ทําให้พลาด” นางหันไปมองฉีหนิง ใบหน้าของนางอ่อนโยนมาก “ข้า
กับเถียนฮูหยินตกลงกันไว้แล้ว นางกําลังจะไปทําการค้าทางทะเลที่ตง
ไฮ่ ข้าอยากจะไปที่น่น
ั ช่วยนางทําการค้า อยู่ที่น่น
ั สักสองปี แล้วค่อย
กลับเมืองหลวงมาหาเจ้าในฐานะอื่น”

“สองปี?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “นานเกินไป”

“ถ้าเทียบกับชีวิตในอนาคต เวลาสองปีไม่นานเลยนะ” กู้ชิงฮั่นยิม


้ แล้ว
พูดว่า “อีกอย่างตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าก็อยู่แต่ในจวนหลังใหญ่ ไม่เคย
ออกไปเจอโลกกว้างข้างนอกบ้างเลย ตงไฮ่มท
ี ะเล ข้าก็อยากจะไปเห็น
ว่ามันเป็นยังไงบ้าง กู้ชงิ ฮั่นไม่อยู่บนโลกนีแ
้ ล้ว ข้าเองก็อยากจะเปลี่ยน
การใช้ชว
ี ิตบ้าง” เขาจับมือของฉีหนิงเอาไว้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“เจ้าอยู่ในเมืองหลวงดูแลตัวเองให้ดี ไม่ต้องเป็นห่วงข้านะ ข้าจะดูแล
ตัวเองให้ดีเหมือนกัน” นางยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วหัวเราะแล้วพูดว่า
“ข้าจะรอวันที่ข้าจะได้กลับมาอยู่กับพี่ชายตัวน้อยของข้า” ดวงตาของ
นางเหมือนกับมีน�าใสๆ อยู่ภายใน
เล่มที่ 48 บทที่ 1418 ข่าวลือ

ตอนที่ฉห
ี นิงกับกู้ชิงฮั่นใช้ชีวิตราวกับโลกนี้มแ
ี ค่พวกเขาสองคนอยู่
ที่บ้านพักไม้ ฮ่องเต้หลงไท่กลับกําลังกริว
้ หนักอยู่ในวังหลวง

ถึงแม้กบฏเซียวจ้าวจงจะทําให้ราชสํานักระส�าหนักมาก แต่หลงไท่
ก็ไม่ได้ทําให้มันเป็นเรื่องใหญ่มากนัก เพราะว่าที่ชายแดนกําลังตึง
เครียด เขาต้องทําทุกอย่างให้จบลงโดยเร็วที่สุดเพื่อควบคุมสถานการณ์
ในเมืองหลวงนิง่ ที่สุด เขาพุ่งสมาธิท้ังหมดไปที่ชายแดน

ช่วงเย็น เสนาบดีกรมกลาโหมหลูเซียววิ่งหน้าตาตื่นเข้าวังมาขอ
เข้าเฝ้า อีกทั้งยังนําข่าวด่วนสําคัญจากชายแดนมาด้วย

หลูเซียวได้แต่ก้มหน้า สีหน้าของเขาแย่มาก ฮ่องเต้อ่านรายงาน


ด่วนที่หลูเซียวนํามาถวายให้ สีหน้าท่าทางก็เครียดมาก เขาตบโต๊ะ
อย่างแรง แล้วพูดด้วยความกริ้วว่า “เยว่หวนซานเป็นขุนพลชายแดน
ชํานาญการศึกมานานแล้วไม่ใช่เหรอ? ทําไมถึงได้ทําเรื่องผิดพลาด
แบบนี้ได้?”

หลูเซียวพูดว่า “ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้เยว่หวนซานส่งรายงานมาถึง


เราแจ้งว่าสถานการณ์ที่ชายแดนนั้นทางเราได้เปรียบอย่างมาก กองทัพ
ฮั่นเหมือนจะมีปัญหาเรื่องเสบียงอาหาร เลยไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไร
มากนัก กําลังหลักของพวกเขาอย่างจงหลีอ้าวนั้นก็ประจําการณ์
ปักหลักอยู่ที่เจิ้งจวิน มีการตั้งรับอย่างแน่นหนา บุกเข้าไปได้ยากมาก
กําลังพลที่อยู่ขนาบข้างนั้นเหมือนจะมีจํานวนมากกว่าเรามาก”

หลงไท่พูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ทําไมถึงไม่จัดการกําลังพลสองข้างนั้น


ก่อนล่ะ?”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” หลูเซียวยกมือคํานับแล้วพูดว่า
“ความคิดของเยว่หวนซาน คือการตัดกําลังทั้งสองข้างของจงหลีอ้าว
ก่อน แล้วค่อยบุกไปตรงกลางของเจิ้งจวิน กําลังพลทางตะวันตกเฉียง
ใต้ของเมืองเจิ้งจวินนั้นมีกําลังอ่อนที่สด
ุ ส่วนที่เมืองติ้งเห๋อที่เฉิงอี้ก็อ่อน
กําลังมาก บุกตีได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเยว่หวนซานถึงได้ส่ังให้เซียวผิงจื่อนํา
ทหารไปบุกเฉิงอี้ก่อน”

“เซียวผิงจื่อนําทหารม้าไปห้าพันคน กลับตายทั้งหมด ......” หลง


ไท่หน้าดําคล�าเครียดมาก “ทหารห้าพันนาย กลับต้องมาตาย ......”

“เยว่หวนซานมีการส่งสายไปตรวจสอบสถานการณ์ของเมืองเห๋อ
เฉิงก่อนแล้ว ในเมืองมีทหารประจําอยู่สองพันนายเท่านั้น” หลูเซียวพูด
ว่า “เซียวผิงจื่อเชี่ยวชาญการทําศึก ทหารห้าพันคนนั้นก็ล้วนแต่เป็น
ทหารฝีมือดี เซียวผิงจื่อยังทําหนังสือคํามั่นว่าจะปฏิบัติการรบครั้งนี้ให้
สําเร็จจงได้ .....”
“เขาทําหนังสือคํามั่นแล้วมันมีประโยชน์อะไร?” หลงไท่โยน
รายงานไปบนโต๊ะ แล้วพูดอย่างโมโหว่า “เขาตายในสนามรบไปแล้ว
หนังสือของเขามันแค่กระดาษเปล่า เยว่หวนซานไม่รู้เลยหรือไงว่า
แม่น�าสายนั้นมันมีปญ
ั หา?”

หลูเซียวพูดว่า “ปกติแล้วแม่นา� ไป๋ซู่น้น


ั มีน�าที่ต้ ืนมาก ทหารม้า
สามารถขี่ม้าข้ามแม่นา� ไปได้ เยว่หวนซานเองก็ระวังตัวมากแล้ว ส่งคน
ไปตรวจสอบจนแน่ใจ แม่น�าสายนั้นมันแห้งคอดไปนานกว่าสิบปีแล้ว
ระน�ามันต�าตลอดทั้งปี ที่นาหลายผืนใกล้บรเวณนั้นขาดน�าหลายปี
ติดต่อกัน” สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก แล้วพูดว่า “แต่ว่าที่เยว่หวน
ซานคิดไม่ถึงก็คือแม่น�าไป๋ซู่น้น
ั มีทะเลสาบไป๋หยางเป็นสายน�าหลัก พอ
เซียวผิงจื่อข้ามแม่น�าไป ทหารประชิดเมือง จงหลีอ้าวก็รีบส่งคนไป
ทลายฝายกั้นน�า คืนเดียวมันทําให้น�าในแม่น�าไป๋ซู่เพิ่งขึ้นสูงอย่าง
รวดเร็ว”

หลงไท่รู้สึกปวดหัวมาก สีหน้าของเขาก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร

“เยว่หวนซานพอได้ยินว่าแม่นา� ไป๋ซู่มรี ะดับน�าเพิ่มขึ้น ก็รู้ว่า


สถานการณ์ไม่ดีแล้ว เลยส่งคนไปช่วย” หลูเซียวพูดอย่างจริงจังว่า “จง
หลีอ้าวกลับสั่งให้ทหารเดินอ้อมเขจเฉิงอี้ ทหารของเขามีจํานวน
มากกว่าของเซียวผิงจื่อ เขาถูกทหารสุ่มโจมตี เลยทําได้แค่ต้องถอย แต่
กลับไม่สามารถกลับมาที่ค่ายได้เพราะถูกขวางโยแม่นา� หไป๋ซู่ ตอนนี้มน

ก็ไม่ทันได้ข้ามแม่น�าแล้ว ......”

หลงไท่โมโหมาก “ทหารตายไปกว่าพันคน ข้าไม่เพียงเจ็บปวด ที่


สําคัญที่สุดมันบั้นทอนกําลังใจของทหารฝ่ายเรามาก”

“ฝ่าบาท จะยังไงก็ตาม เยว่หวนซานก็ยังเป็นคนที่รู้สถานการณ์


ของชายแดนดีที่สุด” หลูเซียวพูดว่า “ทหารของเราบีบเข้าไปใกล้
เรื่อยๆ เรากําลังถลําเข้าไปในดินแดนของเป่ยฮั่น มันไม่ได้เป็นผลดีกับ
ฝ่ายเราเลย แต่มันกลับเป็นผลดีต่อกองทัพเป่ยฮั่นมากกว่า จงหลีอ้าว
คุ้นเคยกับดินแดนเป่ยฮั่นในทุกพื้นที่ เขาได้เปรียบเรื่องพื้นที่กับ
สภาพแวดล้อม” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ขออภัยที่กระหม่อมต้อง
ทูลตามตรง เรื่องนี้จะโทษเยว่หวนซานคนเดียวก็ไม่ได้ ราชสํานักเองก็
ไม่ได้มีแผนที่อย่างละเอียดของเป่ยฮั่นเลย แผนที่ในมือของเยว่หวน
ซานมันไม่สมบูรณ์ เราถึงเสียเปรียบพวกเขาแบบนี”

หลงไท่ลุกขึ้นมา แล้วเอามือไขว้หลัง จากนั้นก็ถามว่า “ข้าสั่งให้ไป


ตามอี้เหิงอ๋องมา ทําไมเขายังไม่มาพบข้าอีก?”

“ฝ่าบาท ได้ยินอี้เหิงอ๋องออกนอกเมืองหลวงไปทําธุระส่วนตัว
หลายวันแล้วพะยะค่ะ” หลูเซียวพูดว่า “คิดว่าน่าจะยังไม่กลับมา”
หลงไท่หงิดหงุดมาก “ข้าหาเขาเพราะมีเรื่องจะหารือด้วย เขา
กลับไปทําธุระส่วนตัว ส่งคนไปตามหาเขาให้เจอ” เขาพูดอีกว่า “จริงสิ
ทางเยว่หวนซาน ก็ส่งั ให้เขายังไม่ต้องเคลื่อนไหว จงหลีอ้าวไม่ใช่คน
ธรรมดา อย่าไปหลงกลเขาเด็ดขาด”

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” หลูเซียวเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แล้วก็หยุด


พูดไป สีหน้าท่าทางของเคร่งเครียดมาก

หลงไท่มองออกว่าเหมือนเขาอยากจะพูดอะไร “ท่านหลู ท่านมี


อะไรจะพูด ก็พด
ู มาได้เลย”

“ฝ่าบาท ทรงพูดถึงอี้เหิงอ๋อง กระหม่อมก็เลยนึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง


ขึ้นมา สองสามวันมานี่ ในเมืองหลวง ...... ในเมืองหลวงเกิดข่าวลือ
ขึ้นมาเรื่องนึง” หลูเซียวพูดอย่างระมัดระวัง

“ข่าวลือ?” หลงไท่ถามว่า “ข่าวลือเรื่องอะไร? เกี่ยวกับอี้เหิงอ๋อง


เหรอ?”

หลูเซียวพูดว่า “ใช่แล้วพะยะค่ะ ลือกันว่า อี้เหิงอ๋อง ...... ไม่ใช่


...... ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี”

หลงไท่สะดุ้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที “ใครเป็นคนปล่อยข่าว


แบบนี้กัน?”
“ข่าวลือกระจายไปทั่ว สืบหาคนเริ่มได้ยากมากพะยะค่ะ” หลู
เซียวพูดว่า “ไม่รู้ว่าใครเหมือนกันว่าใครไปแปะประกาศข่าวลือของอี้
เหิงอ๋องตามที่ต่างๆ ในเมืองหลวง ถึงแม้จะมีคนรีบฉีกมันออก แต่ว่า
ข่าวมันก็กระจายไปเร็วมาก ได้ยินว่าเถี่ยเจิงกําลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่
แล้วสั่งห้ามชาวบ้านพูดถึงเรื่อนี้อีก แต่ว่า ...... ก็ยังมีคนแอบพูดถึงเรื่อง
นี้กันอย่างลับๆ ......”

หลงไท่ปากขยับ แล้วพูดว่า “เซียวจ้าวจง เจ้าตายไปแล้วยังทําให้


คนอื่นเขาไม่สงบอีกนะ”

หลูเซียวได้ยินชัดเจน เขาพูดด้วยความสงสัยว่า “ฝ่าบาท ทรง


หมายความว่า ข่าวลือพวกนี้มาจากเซียวจ้าวจงอย่างนั้นเหรอพะยะ
ค่ะ?”

หลงไท่ยกมือขึ้นโบกแล้วพูดว่า “ข่าวลือที่จะทําให้ราชสํานัก
สั่นคลอนแบบนี้ ใจกล้ากันไม่เบาเลย สั่งการออกไป ข่าวลือแบบนี้ต้อง
จัดการอย่างเด็ดขาด ใครปล่อยข่าวหรือพูดถึงเรื่องนี้อีก ก็ให้ .....” พูด
ถึงตรงนี้ แล้วหยุดไป เหมือนกําลังคิดอะไรอยู่

หลูเซียวพูดว่า “ฝ่าบาท การสั่งห้ามพูดถึงเรื่องแบบนี้ จะต้อง


ตรวจสอบจัดการอย่างละเอียด แต่ว่าหากทําให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ จะ
ทําให้คนเชื่อได้ว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าปล่อยมันไป อาจจะ
เงียบไปเองก็ได้นะพะยะค่ะ”
หลงไท่นิ่งไป แล้วถามขึ้นมาว่า “ท่านหลู ข่าวลือพวกนี้ มีคนคิดว่า
มันเป็นเรื่องจริงด้วยเหรอ?”

“ไม่หรอกพะยะค่ะ” หลูเซียวพูดว่า “ก็แค่พวกที่โง่เขลา ได้ยน



อะไรนิดหน่อยก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ ฝ่าบาททรงไม่ต้องใส่พระทัยหรอก”

หลงไท่นิ่งไป แล้วพูดว่า “ท่านกลับไปก่อนเถอะ”

หลังจากหลูเซียวออกไปแล้ว สักพักใหญ่ ฮองเฮาก็มาที่ตําหนัก


พร้อมนางกํานัล พอเห็นฮองเฮามา หลงไท่ที่เดิมมีสห
ี น้าเคร่งเครียดก็
ผ่อนคลายลง เขายิ้มแล้วเดินมาหานาง พยุงมือของนางแล้วพูดว่า “ก็
บอกให้เจ้าพักอยู่ที่ตําหนัก อย่าออกไปไหน ถ้ามีอะไร ก็ให้คนมาบอก
ข้าก็ได้นี่นา ทําไมต้องมาด้วยตัวเองด้วย?” เขาจับไปที่ท้องของฮองเฮา
แล้วพูดว่า “อย่าทําให้เขาลําบากเกินไปนัก”

ฮองเฮาพูดว่า “ฝ่าบาททรงทราบว่าหม่อมฉันตั้งครรภ์ ก็เอาแต่


ห่วงเขา หม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ”

หลังเซียวจ้าวจงถูกปราบ ภายในวังก็กลับมาสูส
่ ภาพปกติอย่าง
รวดเร็ว และมีการรับฮองเฮากลับมาที่วังทันที หลังจากกลับวังแล้ว หลง
ไท่ก็มีเรื่องให้ดีใจเรื่องใหญ่เลยทันที ก็คือฮองเฮาตั้งครรภ์
สําหรับหลงไท่แล้ว มันคือเรื่องที่น่ายินดีมากๆ แต่ว่าเพิง่ จะผ่าน
เรื่องกบฏมาได้ไม่นาน หลงไท่เลยไม่ได้ประกาศให้ใครรู้ ต่อให้เป็นในวัง
เอง คนที่รู้ก็มีไม่มาก

หลงไท่พยุงฮองเฮานั่งลง ฮองเฮาพูดขึ้นว่า “หลายวันมานี่ฝา่ บาท


ทรงไม่ค่อยได้พก
ั เลย ถึงแม้ราชกิจจะมาก แต่ก็ต้องดูแลพระวรกายด้วย
หม่อมฉันสั่งให้คนต้มแกงบํารุงมาให้ ฝ่าบาททรงดื่มสักหน่อยนะเพคะ”
นางเรียกนางกํานัลเข้ามา จากนั้นนางก็ยกถ้วยน�าแกงให้กับหลงไท่ด้วย
ตัวเอง หลงไท่รับมือไป เขาไม่ใช้ช้อน แต่ยกซดเลย เห็นฝ่าบาททําแบบ
นี้ ฮองเฮาก็หันหน้าหลบไป ดวงตาของนางแดงก�าขึ้นมา

หลงไท่เห็นอย่างนั้น ก็รบ
ี ยื่นถ้วยไปให้นางกํานัล แล้วจับมือของ
ฮองเฮาเอาไว้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? ฮองเฮา ......
เจ้าร้องไห้ทําไม?”

“เปล่าเพคะ” ฮองเฮาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “หม่อมฉัน ...... หม่อมฉัน


แค่รู้สึกว่าฝ่าบาททรงดีกับหม่อมฉันมาก ดังนั้น ......”

หลงไท่หยิบผ้าเช็ดหน้าในมือของฮองเฮาขึ้นมา แล้วเช็ดน�าตา
ให้กับนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าเป็นเป็นฮองเฮาของข้า ข้าก็
ต้องดีกับเจ้าสิ”
“แต่ว่า ..... ฝ่าบาททรงไม่ระแวงหม่อมฉันบ้างเหรอเพคะ”
ฮองเฮาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นองค์หญิงแคว้น
ตงฉีนะเพคพ ต้าฉีของเราถูกแคว้นฉู่ตีแตกและยึดครองแล้ว เสด็จพี่
...... เสด็จพี่เองก็ถูกกักบริเวณอยู่ในเมืองหลวง ทรง ...... ทรงไม่สงสัยใน
ตัวของหม่อมฉันบ้างเลยเหรอเพคะว่าหม่อมฉันจะไม่ภักดี?”

หลงไท่ยิม
้ แล้วพูดว่า “ก่อนที่เจ้าจะมาที่แคว้นฉู่ เจ้าเป็นองค์หญิง
ของแคว้นตงฉีก็จริง แต่ว่าวินาทีที่เจ้าเข้ามาในแคว้นฉู่ เจ้าก็คือฮองเฮา
ของแคว้นฉู่ของเรา” เขาจับไปที่ท้องของฮองเฮา ดวงตาของเขาเป็น
ประกาย “หากเจ้าคลอดโอรสให้ข้า เขาก็จะเป็นองค์รัชทายาทของ
แคว้นฉู่ ต่อไปก็จะเป็นฮ่องเต้ของแคว้นฉู่ ข้ารูแ
้ ต่ว่าเจ้าคือฮองเฮาของ
ข้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะสงสัยในตัวของฮองเฮาของข้าได้ยังไงกัน
ล่ะ?”

ฮองเฮายิ้มหวาน นางหยิบถ้วยน�าแกงจากมือของนางกํานัลมา
แล้วหยิบช้อนขึ้นมา “หม่อมฉันป้อนนะเพคะ”

หลงไท่กินน�าแกงไปได้ครึ่งถ้วย ก็พูดว่า “เจ้ากลับไปพักก่อนดีกว่า


นะ เดี๋ยวข้าเสร็จงานแล้ว ข้าจะรีบไปหาเจ้า”

ฮองเฮาพยักหน้า แล้วก็หยุดไป หลงไท่สังเกตเห็น เขาเลยถามว่า


“เจ้ายังห่วงฉางเล่อโหวอยู่เหรอ?”
ฮองเฮาพูดว่า “หม่อมฉันได้ยน
ิ มาว่าเสินถูหลัวฆ่าตัวตาย หม่อม
ฉันกังวลว่า ......”

“ข้าได้ส่งั ให้คนเตรียมจวนโหวเอาไว้ให้เขาแล้ว ถึงแม้จะให้เขา


ออกจากเมืองหลวงไปไม่ได้ แต่ว่าความสุขสบายข้าจะไม่ให้ขาดเลย
เจ้าก็อย่ากังวลไปเลยนะ” หลงไท่พูดว่า “ข้าก็ได้ส่งั ให้ทําศพให้เสินถู
หลัวอย่างดีแล้วเช่นกัน เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตงฉี ในฐานะ
ทหารคนหนึ่ง ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ด้วยนิสัยของเขา เขาเลือกทางนี้

ฮองเฮาเองก็รู้ว่าเรื่องนีม
้ ีบทสรุปไปแล้ว มันเปลี่ยนแปลงอะไร
ไม่ได้อีก นางแค่ “อือ” แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางเลยถามว่า
“ฝ่าบาททรงทราบไหมเพคะ ด้านนอกมีขา่ วลือว่า อี้เหิงอ๋องไม่ใช่
สายเลือดที่แท้จริงของตระกูลฉี”

หลงไท่ขมวดคิ้ว “ในวังเองก็เริม
่ มีพด
ู ถึงข่าวลือเรื่องนี้แล้วเหรอ?”
เล่มที่ 48 บทที่ 1419 สายเลือด

ฉีหนิงพากู้ชิงฮั่นกลับมาถึงเมืองหลวงก็เป็นช่วงเย็นแล้ว

ตามแผนของกู้ชิงฮั่น ก็คือจะไปที่ตงไฮ่โดยให้เถียนฮูหยินเป็นคน
จัดการให้ หลังจากนั้นก็จะอยู่ที่น่น
ั ชั่วคราว เรื่องนี้นางหารือกับเถียนฮู
หยินมาก่อนแล้ว เดิมคิดจะไปรอเถียนฮูหยินที่ใกล้ๆ เมืองหลวง ไม่เข้า
เมืองมา แต่ว่าฉีหนิงไม่ยอมให้นางอยูน
่ อกเมืองหลวงคนเดียว

กู้ชิงฮั่นเข้าเมืองหลวงมา นางกังวลว่าจะมีคนจํานางได้ ยังดีที่ฉี


หนิงมีหน้ากากหนังคนที่จงหย่าให้มาหลายชิน
้ หน้ากากนี้ทํามาอย่าง
พิเศษมาก ของในยุทธภพก็ยังหาได้ยากเลย มันจะเปลี่ยนไปตามโครง
หน้าของคนๆ นั้นด้วย

ดังนั้นตอนที่ฉีหนิงกลับเข้าเมืองหลวงมา ข้างกายของเขาก็มีชาย
หนุ่มไม่ค้น
ุ ตาเพิ่มมาอีกคน เลยไม่มีใครสงสัย

ช่วงเย็น ฉีหนิงระหว่างทางคิดเอาไว้แล้วว่าพอถึงเมืองหลวง เขา


จะหาโรงเตี๊ยมที่พักให้ก้ช
ู ิงฮั่นก่อน จากนั้นเขาก็จะไปแจ้งเรื่องนี้ให้
เถียนฮูหยินเอง แต่ก้ช
ู ิงฮั่นชื่นชอบบะหมี่เนื้อปลาของร้านหลิ่วฟางไจ๋
มาก ร้านนี้เป็นร้านบะหมี่เนื้อปลาที่ข้น
ึ ชื่อมากในเมืองหลวง นางยังเคย
สั่งให้คนไปซื้อให้นางกินที่จวนด้วย รสชาติไม่เลวเลย แต่พอซื้อกลับไป
กินที่จวนรสชาติเหมือนจะลดความอร่อยลงไปไม่น้อย ปกตินางก็ไม่
ค่อยได้ออกไปไหน ดังนั้นนางเลยอยากจะไปกินที่ร้านดูสักครั้ง

ก่อนที่นางจะจากเขาไปชั่วคราว อย่าว่าแต่บะหมี่ชามเดียวเลย ต่อ


ให้เป็นเรื่องที่ยากกว่านี้ ฉีหนิงก็จะพยายามทําให้

ตอนที่ฉห
ี นิงกลับมาถึงเมืองหลวง เขาก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุด
ธรรมดา เดิมก็เพราะกังวลว่าจะสะดุดตาเกินไป คนจะจําได้

ที่จริงร้านบะหมีม
่ ันก็ไม่ได้ไกลจากบ้านตระกูลเถียนมากนัก อยู่
ห่างกันสามสี่ซอยเท่านั้น พอกินบะหมี่เสร็จแล้ว อยู่กับกู้ชิงฮั่นสักพัก
เขาก็จะไปที่บ้านตระกูลเถียน

ช่วงเย็น ที่ร้านไม่ค่อยจะมีแขก ร้านบะหมี่นม


ี้ ด
ี ้วยกันสองชั้น มี
ของว่างมากมาย เดิมฉีหนิงอยากจะเหมาะห้องเดี่ยว แต่ว่าร้านของว่าง
เก่าแก่แบบนี้ ไม่ค่อยมีบริการเหมาห้องแยก ด้านบนชั้นสองมีอยู่เจ็ด
แปดโต๊ะ แยกห่างกันพอสมควร หากคนเยอะ ก็จะเอาโต๊ะมารวมกัน

ที่น่งั ตําแหน่งดีดีหน่อยมีคนนั่งเต็มแล้ว ฉีหนิงเลยต้องไปนั่งโต๊ะที่


อยู่ในมุม บะหมี่ปลาสองชามถูกยกมาให้ ฉีหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นดูมีความสุข
มาก เขาเองก็มค
ี วามสุขไปด้วย เขาแอบคิดในใจว่าในจวนโหว
กว้างขวาง ถึงแม้นางจะอยู่ในจวนอย่างมีฐานะ แต่ว่านางต้องเหนื่อย
กับการดูแลบ้านช่องตลอดเวลา นางอาจจะไม่ได้มีความสุขจริงๆ
เมื่อก่อนการที่จะเห็นนางมีความสุขแบบนี้มน
ั ก็น้อยมาก แต่บะหมี่ปลา
ธรรมดาชามเดียว กลับทําให้นางมีความสุขมากขนาดนีไ้ ด้

รสชาติของบะหมีป
่ ลาไม่เลวเลย ฉีหนิงยังสั่งอาหารมาอีกสองสาม
อย่าง

การใช้ชว
ี ิตแบบคนทั่วไป มันดูพิเศษและจริงมาก มันทําให้คนรู้สึก
ถึงการใช้ชีวิตที่แท้จริง

ตอนที่กินบะหมี่ กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงจ้องมาที่นาง แล้วจ้องกลับไป


แล้วเหยียบเท้าของเขา แล้วเบะปากไปด้านข้าง ฉีหนิงเข้าใจ
ความหมายของนาง

กู้ชิงฮั่นตอนนี้แต่งตัวเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ตอนกินบะหมี่ หากมี


ผู้ชายมานั่งจ้องเขาอยู่ หากมีคนอื่นเห็น มันก็จะแปลกๆ

ฉีหนิงเลิกมอง แต่หันไปมองข้างๆ แทน ข้างโต๊ะเขามีคนนั่งอยูส


่ าม
สี่คน พวกเขาไม่ได้สังเกตมาทางเขา มีคนหนึ่งเอนตัวไปด้านหน้านิด
หน่อย กําลังพูดคุยเรื่องอะไรกันสักอย่าง เมื่อกี้ฉห
ี นิงไม่ทันสังเกตเห็น
พวกเขา เลยไม่ได้สนใจว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่ตอนนี้เหมือนเขาจะ
ได้ยินชายมีเคราคนหนึ่งพูดว่า “มีคํากล่าวพูดได้ดีมาก ไม่มม
ี ล
ู หมาไม่ขี่
ในเมื่อมีเรื่องแบบนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงขนาดนี้ แสดงว่ามัน
ต้องมีมล
ู สิ”
“เจ้าแก่โจว เรื่องนี้เจ้าไปได้ยินมาจากไหน?” ชายตัวผอมข้างๆ
พูดขึ้นมา “อี้เหิงอ๋องตอนนี้ก็ใกล้ยี่สิบแล้ว ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาไม่เคย
มีข่าวลืออะไรเลยนะ แต่อยู่ดีดีก็มีข้น
ึ มาล่ะ”

ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนพูดถึงเขา เขาขมวดคิ้ว กู้ชิงฮั่นเห็นฉี


หนิงหน้าเสีย ก็อดสังเกตไปทางนั้นไม่ได้

“เจ้าลิงหวัง เจ้ามาอยู่เมืองหลวงกี่ปแ
ี ล้ว?” ตาแก่โจวทําหน้าแบบ
ภูมิใจมาก “เจ้าเพิ่งจะมาเมืองหลวงแค่เจ็ดแปดปี แต่รุ่นปู่ของข้าก็ย้าย
เขามาอาศัยในเมืองหลวงแล้ว ในเมืองหลวงข้ารู้ดีหมด เรื่องราวที่
เกิดขึ้นเมื่อก่อนมันอยู่ในนี้หมด ......” เขาพูดจบ ก็ชี้ไปที่หัวของตัวเอง

อีกคนก็ยิม
้ แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ยอมรับ พี่โจวเป็นคนเมืองหลวงแท้ๆ
เลย เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ถามพี่โจว ก็ได้เรื่องแล้ว เขาไม่มี
เรื่องอะไรที่ไม่รูห
้ รอก” เขาพูดอีกว่า “พี่โจว ท่านว่าอี้เหิงอ๋องไม่ใช่คน
ของตระกูลฉีจริงเหรอ?”

พอพูดแบบนี้ออกมา ฉีหนิงหน้าเสียหนักกว่าเดิมอีก เขาหันหน้าไป


เพื่อปกปิดสีหน้า กู้ชิงฮั่นเองก็หน้าเสียไปเหมือนกัน นางมองไปที่ฉีหนิง

“ในมือของเราไม่มีหลักฐาน ห้ามพูดเหลวไหล” ตาแก่โจวพูดเสียง


เบาๆ ว่า “แต่ว่าตอนที่อี้เหิงอ๋องเกิด ตระกูลฉีเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นนะ
พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ เท่าที่ข้ารู้ว่า แม่ของอี้เหิงอ๋องหลังจากที่คลอดเขา
แล้ว เห็นว่าเสียเลือดมากจนตาย ถึงแม้จะช่วยเด็กไว้ได้ แต่ว่าตัวนาง
กลับไม่รอด”

คนที่ถามคําถามพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็เหมือนจะเคย
ได้ยินท่านพ่อพูดถึงเหมือนกัน แต่ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่มี
ใครรู้เลย”

“หากบอกว่าคลอดยากเสียเลือดจนตาย มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
อะไร”ตาแก่โจวพูด “ในโลกนีม
้ ผ
ี ู้หญิงคลอดยากเสียเลือดจนตายในแต่
ละปีมากมาย แต่เรื่องที่แปลกมันอยู่ที่หลังจากที่ฮูหยินคลอดลูกแล้ว
ต่างหาก”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” เจ้าลิงหวังรีบถาม

ตาแก่โจวมองไปรอบๆ เห็นไม่มใี ครสนใจ ก็พูดเสียงเบาๆว่า “คน


เฒ่าคนแก่ในเมืองหลวงต่างรู้ดี ก่อนที่ฮูหยินท่านนั้นจะคลอด มีหลวง
จีนจากวัดต้ากวงหมิงมาที่จวน หลวงจีนพวกนั้นอาศัยอยู่ในจวนโหวตั้ง
หลายวัน หลังจากพวกเขากลับไป ไม่นานเรื่องที่ฮูหยินคลอดลูกยากเสีย
เลือดจนตายก็ถูกแพร่ออกมา แต่ว่าตระกูลฉีกลับไม่มีการจัดงานศพ
เลย”

“ใช่” คนที่ถามพูดว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยน


ิ มา ในจวนของ
พวกเขาพูดกันว่าฉีฉห
ู ยินตั้งครรภ์ ต่อมามีคนแอบไปสืบได้ความมาว่า
ก่อนที่นางจะคลอด คนในจวนเหมือนจะรู้กําหนดการคลอดของนาง แต่
ที่แปลกคือ พอใกล้คลอด พอไปสืบข่าวจากคนในจวน กลับไม่มีคนพูด
อะไรเลย ต่อมามีคนเห็นพวกหลวงจีนมาที่จวน เห็นว่าเป็นหลวงจีนชั้น
ผู้ใหญ่ของวัดต้ากวงหมิงด้วย ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้คลอด หลังจากนั้น
ไม่ก่ีวัน หลวงจีนก็กลับไป ผ่านไปได้ระยะหนึ่ง ก็ได้ยินว่าฉีฮูหยินตาย
แล้ว”

ตาแก่โจวพยักหน้าแล้วพูดว่า จิ่นอีตระกูลฉีเป็นขุนนางที่สร้าง
ผลงานให้ต้าฉู่ของเรามามากฉีฮูหยินตาย ทุกคนก็รอพิธีศพของนาง
อยากจะส่งศพนางกันทั้งนั้น แต่ว่าทางตระกูลฉีกลับไม่มก
ี ารจัดพิธี ทํา
ให้ทุกคนแปลกใจมาก แต่เพราะมันเป็นเรื่องภายในของตระกูลฉี ทุกคน
ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะไปถามมันก็ไม่ได้ ต่อมามีคนไปถามคน
ในจวนพวกเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเขากลับทําเหมือนไม่ได้ยินคน
ถามเลย พอถามมากเข้า ก็จะลงไม้ลงมือเลย

เจ้าลิงหวังพูดว่า “มันน่าแปลกนะ” เขาลูบไปที่คาง “หลวงจีนมาที่


จวน ก็อาจจะมาทําพิธีอะไรบางอย่าง แต่ว่าตามที่เจ้าพูดมา ฉีฮูหยิ
นตอนนั้นยังไม่ทันจะคลอด หลวงจีนพวกนั้นก็มาที่จวนแล้ว แล้วพวก
เขาไปที่จวนเพื่ออะไร? อย่าบอกนะว่ารูเ้ รื่องราวล่วงหน้า ว่าฉีฮูหยินจะ
ตายน่ะ ก็เลยมาเตรียมพร้อมไว้ก่อน?”
“สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มใี ครรู้ได้” ตาแก่โจวพูดว่า “เรื่อง
มันก็ผ่านมาตั้งยี่สิบปีแล้ว จู่ๆ ก็มีคนบอกว่าท่านอ๋องคนนั้นไม่ใช่
สายเลือดของตระกูลฉี เรื่องนี้มน
ั ก็แปลกนะ หากมีคนรู้ว่าท่านอ๋องไม่ใช่
สายเลือดของตระกูลฉี ทําไมต้องรอจนป่านนีถ
้ ึงค่อยมาเปิดเผยล่ะ?”

เจ้าลิงหวังพูดว่า “ข้าว่าต้องมีคนอยากใส่ร้ายท่านอ๋องแน่ๆ พวก


เจ้าลองคิดดูสิ ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นฉู่มา ยังไม่เคยมีท่านอ๋องต่างเชื้อสาย
ของราชวงศ์เลยนะ ท่านอ๋องตระกูลฉีท่านนั้นอายุยังไม่เต็มยี่สิบดีเลย
แต่กลับได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว นี่มันเรื่องที่สุดยอดเลยนะ ในราช
สํานักมันต้องมีคนที่อิจฉาตาร้อนกันบ้างล่ะ ถึงได้สร้างเรื่องแบบนี้
ขึ้นมา”

“ถ้าไม่ได้ท่านอ๋องปกป้องฝ่าบาท แผ่นดินต้าฉูข
่ องเราคงไม่ม่น
ั คง
ได้แบบนี้หรอก” ตาแก่โจวพูดเสียงต�าลงอีกว่า “ด้วยผลงานของเขา ได้
เป็นอ๋องก็สมเหตุสมผลดีแล้วนีน
่ า ถ้าไม่มีเรื่องแปลกๆ ของฉีฮูหยินก่อน
หน้านี้ คงไม่มีใครเชื่อข่าวลือเหลวไหลพวกนี้แน่ ปัญหามันอยูท
่ ี่เรื่องใน
ตอนนั้นนั่นแหละ ถึงแม้ไม่มใี ครกล้าพูดอะไร แต่ว่าในตอนนั้น เรื่องนี้ก็
มีพูดกันทั่วเมืองหลวงนะ สิบกว่าปีผ่านไป ถ้าไม่มีใครพูดถึงมันก็ไม่มี
อะไรหรอก แต่พอมีคนไปขุดขึ้นมาพูด ทําให้คนนึกถึงขึ้นมา ตอนนี้ข่าว
ลือมันแพร่ไปทั่วแล้ว พอทุกคนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ต่อให้ไม่
เชื่อทั้งหมด แต่ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ”
เจ้าลิงหวังยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าข้าว่าคงเป็นพวกไม่มอ
ี ะไรทํา เลย
สร้างเรื่องขึ้นมาก่อกวนมากกว่า ข้าไม่เชื่อหรอก เรื่องที่เกิดขึ้นในตอน
นั้น เราแค่ชาวบ้านก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย แต่ว่าคนของตระกูลฉีจะไม่รู้
อะไรเลยหรือไง? เรื่องภายในจวนพวกเขาก็ต้องรู้ดีกว่าใคร หากท่าน
อ๋องไม่ใช่สายเลือดของพวกเขา ตระกูลฉีจะมานั่งเลี้ยงเขาจนโตได้ยังไง
แล้วก็ไม่มีทางให้คนนอกมาสืบทอดบรรดาศักดิ์หรอกจริงไหม”

“เจ้าลิงหวังพูดมีเหตุผล” อีกคนพูดขึ้นมา “นีแ


่ หละประเด็นหลัก
ท่านอ๋องไม่ใช่สายเลือดตระกูลฉี คนนอกไม่รู้ ตระกูลฉีต้องรู้ ตระกูลฉี
ไม่มียอมให้คนนอกมาสืบทอดบรรดาศักดิ์ไปหรอก”

พวกเขาคุยกันอย่างออกรสออกชาต จากนั้นก็เหมือนได้ยินคนทํา
น�าเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจ เสียงนั่นทําให้พวกเขาตกใจ พวกเขามอง
ซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีใคร แต่ตาแก่โจวยังยิม
้ แห้งๆ แล้วพูดว่า “กิน
กันเถอะ เจ้าลิง วันนี้เจ้าเลี้ยงนะ ......” เขาก็ไม่กล้าพูดต่อไปอีก

ฉีหนิงกับกู้ชิงฮั่นต่างก็ได้ยินชัดทุกคํา พวกเขาไม่มีอารมณ์จะกิน
บะหมี่ต่อแล้ว หลังจากจ่ายเงินแล้วออกจากร้าน ฉีหนิงไม่พูดไม่จาเลย
บนถนน กู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้พูดอะไร เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฉีหนิงหาโรงเตี๊ยม
ใกล้ๆ แถวนั้น แล้วเปิดห้อง หลังจากเข้าห้องพักมาแล้ว กู้ชิงฮั่นก็ปด

ประตูลงกลอน นางเห็นฉีหนิงเดินไปหน้าต่างริมเตียง เขาเปิดหน้าต่าง
ออกเพื่อสูดอากาศ นางเดินไปหาเขา แล้วมองหน้าเขา แล้วพูดว่า “ก็
แค่คนไม่มีอะไรทําสร้างเรื่องขึ้นมาเท่านั้น เจ้าอย่าใส่ใจไปเลยนะ”

ฉีหนิงนิง่ ไปครูห
่ นึ่ง จากนั้นเขาก็หน
ั มาหากู้ชิงฮั่น เขาจ้องไปที่ดวงตาคู่
นั้น แล้วพูดว่า “ข้าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉีจริงๆ”
เล่มที่ 48 บทที่ 1420 สารภาพความจริง

กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรอยู่ ข่าวลือแบบ


นั้นเจ้าก็เชื่อเหรอ? มันชัดเจนอยู่แล้วนะว่ามีคนตั้งใจใส่ร้ายเจ้า”

“ข่าวลือนั่นมาจากไหน ข้ารู้ดี” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ก่อนที่


เซียวจ้าวจงจะตาย เขาบอกกับข้าว่าข้าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี อีก
ทั้งเขาก็ยังมีพยานบุคคลด้วย”

กู้ชิงฮั่นตะลึงไป นางพูดอย่างโมโหมาก “คําพูดของกบฏ เจ้าจะไป


เชื่อทําไม? พยานที่เขาว่าเป็นใคร ให้เขาออกมาพูดต่อหน้าสิ”

“ข่าวลือในวันนี้ เซียวจ้าวจงก็น่าจะสั่งให้คนปล่อย” ฉีหนิงพูดว่า


“เป้าหมายของเขา ข้าเองก็รู้ดี ข้าทําลายแผนการของเขา ทําให้เขาแพ้
ไม่เป็นท่า หลังจากเขาตายเขาไม่มีทางให้ทุกคนอยู่อย่างสบายแน่ เขา
ต้องการสั่นคลอนบารมีของข้าในแคว้นฉู่ ที่สําคัญ เขาคงคิดอยากจะใช้
วิธีนี้ ทําให้ฝ่าบาททรงระแวงในตัวข้า”

“ฝ่าบาทระแวงงั้นเหรอ?”
“ข้าเหมือนจะเข้าใจความหมายของฝ่าบาทแล้ว” ฉีหนิงเดินไปนั่ง
ที่โต๊ะ “ตอนนี้ข้าเข้าวังไปเฝ้าฝ่าบาท ถึงแม้ฝา่ บาทจะเปิดใจกับข้า
ทั้งหมด แต่ ...... ข้ากลับรู้สึกว่าฝ่าบาทเหมือนจะ ......”

“เหมือนอะไร?” กู้ชิงฮั่นเห็นฉีหนิงหยุดพูดไป ก็เลยถาม

“เหมือนว่าเขาจะระแวงในตัวข้า” ฉีหนิงพูดว่า “เขาเหมือนกังวล


ว่าในในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น มัน
จะเกิดกับตัวข้า”

กู้ชิงฮั่นรู้ดีว่าถ้าขุนนางคนหนึ่งถูกฮ่องเต้ระแวง มันไม่ใช่เรื่องที่ดี
เลย นางเลยพูดอย่างกังวลว่า “ฝ่าบาททรงระแวงในตัวเจ้างั้นเหรอ?
แล้วอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น? เจ้าคุ้มกันฝ่าบาท แม้แต่ชว
ี ิตก็ไม่สนใจ
หรือว่ามันยังทําให้ทรงเชื่อใจไม่ได้เหรอ? หรือว่าทรงล่วงรู้อนาคตได้
มองเห็นว่าเจ้าจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไงกัน?”

ฉีหนิงนิง่ ไปแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทคือคนที่ไม่สมควรจะระแวงและ


สงสัยในตัวข้ามากที่สด
ุ ในเมื่อเขามีปฏิกิริยาแบบนี้ ข้าเดาว่าน่าจะเป็น
เพราะชาติกําเนิดของข้าแน่”

“ชาติกําเนิด?”
“ตอนที่ฝ่าบาทถูกเซียวจ้าวจงจับตัวไป ทรงต้องรู้อะไรมาจากปาก
ของเซียวจ้าวจงแน่นอน” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “อาจเป็นเพราะ
คําพูดของเซียวจ้าวจง ทําให้ทรงระแวงสงสัยก็ได้”

กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เซียวจ้าวจงพูดอะไร?”

“ก็ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาติกําเนิดของข้านี่แหละ” ฉีหนิงพูดว่า
“แต่ตามหลักแล้ว ไม่ว่าเซียวจ้าวจงจะพูดอะไร ฝ่าบาทก็ไม่สมควรจะ
สงสัยหรือระแวงถึงจะถูก เพราะ ...... ทั่วทั้งราชสํานัก คนเดียวที่รู้ถึง
ชาติกําเนิดที่แท้จริงของข้าก็คือฝ่าบาท”

กู้ชิงฮั่นยิ่งฟังยิ่งงง นางเดินมานั่งข้างๆ ฉีหนิงแล้วถามว่า “เจ้าพูด


อะไรของเจ้า ข้า ..... ข้าฟังจนงงไปหมดแล้ว เจ้าบอกว่าเซียวจ้าวจงรู้
ชาติกําเนิดที่แท้จริงของเจ้า แล้วทําไมถึงได้บอกว่าฝ่าบาทเองก็ทรง
ทราบเหมือนกัน? อีกอย่าง ...... เจ้าเป็นสายเลือดของตระกูลฉี แล้วจะมี
ชาติกําเนิดอย่างอื่นอีกได้ยังไง?”

ฉีหนิงนิง่ ไป หลังจากนั้นสักพักใหญ่ เขาก็มองไปที่ตาของกู้ชิงฮั่น


แล้วพูดว่า “ท่านพี่ เมื่อกี้ข้าบอกท่านไปแล้ว ข้าไม่ใช่สายเลือดของ
ตระกูลฉีจริงๆ ท่านเชื่อข้าหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี?” กู้ชิงฮั่นยกมือขึ้นมาปิดหน้า
สายตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัย “หนิงเอ๋อร์ เจ้า ..... เจ้าคิดจะ
บอกอะไรกับข้ากันแน่? ข้า ...... ข้าฟังไม่เข้าใจเลย”

“มีอยู่เรื่องหนึ่ง เดิมทีขา้ ไม่ได้คิดอยากจะบอกใครเลย” ฉีหนิงถอน


หายใจแล้วพูดว่า “พูดง่ายๆ ก็คือ หากข้าจําเป็นต้องบอกจริงๆ ข้าก็คง
เลือกจะบอกท่านแค่คนเดียว แต่ว่า ...... ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านจะรับมันได้
ไหม มีหลายครั้งที่ข้าอยากจะบอกความจริงเรื่องนี้กับท่าน เพราะ ......
ข้าไม่อยากหลอกท่าน ......”

กู้ชิงฮั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ คําพูดของฉีหนิง ทําให้นางสับสน นาง


พยายามข่มอารมณ์ให้เย็นลง แล้วพูดว่า “เจ้าไม่อยากหลอกข้า มัน
หมายความว่ายังไง? เจ้า ...... เจ้าหลอกอะไรข้า?”

“หากข้าบอกว่าข้าไม่ใช่ผู้ดีมีตระกูล ท่านยังจะยอมอยู่กับข้าอีก
ไหม?” ฉีหนิงเหลือบมองไปที่ก้ช
ู ิงฮั่นแล้วถามว่า “หากข้ามีแต่ตัว ท่าน
จะยังยอมที่จะอยู่กับข้าหรือเปล่า”

กู้ชิงฮั่นตอบเขาแบบไม่ได้คิดลังเลเลย นางพูดอย่างเศร้าๆ ว่า


“หลายวันที่เราอยู่ด้วยกัน เจ้ายังไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าอีกเหรอ? ใน
ใจของเจ้ามีข้า ข้า ...... ข้าดีใจมาก ถึงแม้ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้ดีว่าเราไม่ควร
อยู่ด้วยกัน แต่ว่า ...... ตอนที่เจ้าไม่อยู่ ข้ากลับรูส
้ ึกว่าข้าไม่อยากแยก
จากเจ้าเลย” นางมองไปตาของฉีหนิง แล้วพูดว่า “ที่จริงข้าเองก็หวังว่า
เจ้าจะไม่ได้เป็นขุนนางผู้ดีมีตระกูลอะไรมากกว่า เพราะมันจะไม่ต้องมี
ห่วง เราก็จะได้อยู่ด้วยกันง่ายๆ”

ฉีหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก เขาจับมือกู้ชงิ ฮั่นเอาไว้ เขายิ้มแล้วพูดว่า


“ข้ารู้แล้วว่าท่านจริงใจกับข้า” สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมา แล้วพูด
ว่า “ข้าไม่ใช่ฉห
ี นิง ข้าแค่สวมรอยเป็นเขาเท่านั้น”

กู้ชิงฮั่นตะลึงตกใจหนักมา จากนั้นนางก็ย้ม
ิ แล้วพูดว่า “เจ้าพูด
เหลวไหลอะไรกัน เจ้าไม่ใช่ฉีหนิง แล้วใครกันล่ะฉีหนิง ข้า ......”
น�าเสียงของนางเริม
่ นิง่ ลง เพราะนางเห็นท่าทางของฉีหนิงจริงจังมาก
ไม่เหมือนคนกําลังล้อเล่น น�าเสียงของนางเริ่มสั่น “เจ้า ...... เจ้าพูดจริง
เหรอ? เจ้า ..... เจ้าเป็นตัวปลอมงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงพูดว่า “ท่านยังจําได้หรือเปล่า ตอนที่จ่ินอีโหวซื่อจื่อถูกคน


ของหอเก้านภาจับตัวไป พวกต้วนชางไฮ่ออกไปตามหา สุดท้ายก็ช่วย
ซื่อจื่อกลับมาได้?”

กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “จําได้” นางพูดด้วยความสงสัยว่า


“ทําไมถึงพูดเรื่องนี้ข้ึนมาล่ะ?”

“ข้าถามท่านหน่อย ก่อนที่จะถูกคนของหอเก้านภาจับตัวไป จิ่นอี


ซื่อจื่อเป็นยังไงบ้าง?” ฉีหนิงถอนหายใจว่า “แล้วหลังจากกลับมา เป็น
ยังไง?”
กู้ชิงฮั่นคิด จากนั้นนางก็สะดุ้ง แล้วพูดว่า “หรือว่า ......”

“ไม่มีใครสามารถใช้เวลาสั้นขนาดนั้น เปลี่ยนทุกอย่างเหมือนใหม่
ได้หรอก” ฉีหนิงพูดว่า “จิ่นอีซ่ อ
ื จื่อสติไม่ดี ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด แต่
ถูกวางยาตั้งแต่เด็ก พิษมันทําลายสมองของเขาไปหมดแล้ว หากจะ
ฟื้นฟูให้เป็นเหมือนเดิม ไม่เพียงต้องหาหมอเทวดา แต่ยังใช้เวลานาน
มากด้วย”

กู้ชิงฮั่นเหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นบ้าง นางพูดเสียงสั่นว่า “เจ้า


หมายความว่า ตอนที่กลับมา ก็ไม่ใช่ ......”

ที่จริงฉีหนิงแอบรู้สึกว่า เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ที่เขาอาศัยร่างอยู่กับจิ่นอี
ซื่อจื่อน่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน เขาอยากรู้ว่าชาติกําเนิดของพวกเขา
เป็นยังไงกันแน่ เขาเลยไม่ปกปิดเรื่องของเสี่ยวเตียวเอ๋อร์อีก เล่าเรื่อง
ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบให้นางฟัง กู้ชงิ ฮั่นฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ท้ังตกใจ
แล้วก็ตะลึงมาก สีหน้าของนางไม่ดีเลย

“พวกของต้วนชางไฮ่เข้าใจผิดคิดว่าข้าคือจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อ แต่ไม่รู้ว่า
ซื่อจื่อตัวจริงถูกสังหารไปแล้ว ข้าก็แค่เอาเสื้อผ้าของซื่อจื่อมาใส่
เท่านั้น” ฉีหนิงเข้าใจความรู้สก
ึ ว่ากู้ชิงฮั่นดี “ตัวจริงของข้า ก็แค่คน
เร่ร่อนไร้บ้านคนหนึ่งจากภัยสงครามเท่านั้น เข้าเมือหลวงมาก็เพื่อจะ
ตามหาเพื่อนเท่านั้น”
ถึงแม้ก้ช
ู ิงฮั่นจะสวมหน้ากากอยู่ แต่ว่าสายตาของนางนั้นตะลึง
มาก นางไม่รู้จะพูดอะไรเลย

“เดิมทีข้าคิดจะใช้อํานาจของตระกูลฉี ช่วยข้าตามหาเสี่ยวเตี๋ย” ฉี
หนิงพูดว่า “แต่ว่าข้าคิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์ในตระกูลฉีมันจะ
ซับซ้อนมากขนาดนี้ ข้าเคยคิดว่า ถ้ามีเรื่องอะไรเดือดร้อนมา ข้าก็จะ
หนีไปซะ แต่พอผ่านเรื่องราวมาสองสามครั้ง ข้ากลับมีความคิดใหม่
ขึ้นมา”

กู้ชิงฮั่นได้สติกลับมา ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แล้วทําไมเจ้าไม่หนี


ไปล่ะ?”

“เพราะท่าน” ฉีหนิงพูดว่า “ข้ากลัวว่าถ้าข้าหนีไปแล้ว ท่านคน


เดียวจะไม่มีใครช่วย จะถูกคนอื่นรังแก ข้าหลงรักท่านตั้งแต่ครั้งแรกที่
ได้พบ ข้าคิดว่าไม่ว่ายังไงก็จะต้องปกป้องท่าน เพราะมีท่าน ข้าถึงทิ้ง
ตระกูลฉีไปไม่ได้ จากนั้นมันก็ล่วงเลยมาจนถึงวันนี้”

“เจ้า ...... เจ้าพูดจริงเหรอ?” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าเป็นแค่คนเร่ร่อน


จริงเหรอ?”

“เรื่องนี้มีแค่ฝา่ บาทคนเดียวเท่านั้นที่รู”
้ ฉีหนิงพูดว่า “เมื่อกี้ข้าก็
บอกไปแล้ว ระหว่างทางที่กลับมาเมืองหลวง ข้าบังเอิญไปเจอฝ่าบาทที่
ตอนนั้นยังเป็นรัชทายาทอยู่กําลังถูกคนไล่ฆา่ แล้วก็บงั เอิญได้ช่วยชีวิต
เขาเอาไว้ พอมาถึงเมืองหลวง ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับพระองค์ ทรง
จับผิดข้าได้ แต่ว่าเขาต้องการอาศัยอํานาจของตระกูลฉีช่วยเขาสูก
้ ับ
คนในราชสํานัก ดังนั้นเลยช่วยข้าไว้”

กู้ชิงฮั่นลุกขึ้นมา แล้วเดินไปที่ริมหน้าต่าง แล้วก็ไม่พด


ู อะไรอีก

ตอนนี้ฟา้ มืดแล้ว ถนนนอกหน้าต่างแทบจะไม่มีคนแล้ว ตอนนี้สิ้น


เดือนหก อากาศค่อนข้างร้อน บรรยากาศในห้องมันร้อนกว่าข้านอกอีก
แทบจะไม่มีเสียงอะไรด้วย

ฉีหนิงลุกขึ้นมา แล้วเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของกู้ชิงฮั่น จากนั้นถอน


หายใจแล้วพูดว่า “เหลือเชื่อใช่ไหม? ท่าน ..... รับมันได้หรือเปล่า?”

กู้ชิงฮั่นหันกลับมา แล้วมองไปที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ไม่ว่าเจ้าจะ


เป็นใคร ข้าก็ยินดีที่จะอยู่กับเจ้า สองปีที่ผ่านมาคนที่คิดถึงข้าเป็นห่วง
ข้าจริงๆ ก็คือเจ้า ไม่ใช่ใครที่ไหน” น�าเสียงของนางเศร้ามาก “เพียงแต่
ว่า ...... ซื่อจื่อถูกฆ่า ข้ารู้สึกไม่ดีเลย เขา ...... เขาน่าสงสาร”

ฉีหนิงรู้ดีว่ากู้ชิงฮั่นรู้สึกตกใจกับเรื่องราวที่ได้ฟัง อีกทั้งยังเพราะ
การตายของจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อทําให้นางรู้สึกเสียใจ เขาเข้าไปกอดนางเอาไว้
แล้วพูดว่า “มันเป็นความลับที่ขา้ เก็บมันไว้ในใจนานมากแล้ว ไม่เคย
เล่าให้ใครฟังมาก่อนเลย วันนี้ได้พูดออกมาบ้าง รู้สึกเบาใจขึ้นเยอะ
เลย”
กู้ชิงฮั่นคิดแล้วพูดว่า “เราเข้าใจผิดว่าเจ้าเป็นซื่อจื่อ เพราะเจ้า
ไม่ใช่แค่หน้าตาเหมือนซื่อจื่อ แต่ ...... แต่เพราะที่หัวไหล่ของเจ้า มีรอย
แผลเป็นที่เหมือนกับซื่อจื่อด้วย”

“ปิ่นหยกลายดอกเหมย” ฉีหนิงปล่อยมือออกจากกู้ชงิ ฮั่น แล้วจูง


มือนางมานั่งลง “ช่วงสองปีที่ผา่ นมาข้ารู้สึกว่าชาติกําเนิดของจิ่นอี
ซื่อจื่อต้องทีอะไรมากกว่าที่เห็น ดังนั้นก็เลยแอบสืบอย่างลับๆ อยู่
ซื่อจื่อมีรอยแผลเป็นบนหัวไหล่เหมือนกับข้า ที่จริงมันคือตราประทับ
ท่านก็เคยเห็น มันเป็นรูปดอกเหมยถูกไหม?”

กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ ข้า ...... ข้าเห็นมันมานานแล้ว


...... ที่จริงข้านึกไม่ออกเลยว่าใครกันที่จะโหดร้าย ถึงขนาดประทับตรา
แบบนี้บนผิวหนังได้” นางพูดด้วยความสงสัยว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นคน
เร่ร่อน ก็ไม่ได้มค
ี วามเกี่ยวข้องกับจิ่นอีตระกูลฉี แล้วทําไมถึงไดมีรอย
แบบเดียวกับซื่อจื่อ แล้วยังอยู่ในตําแหน่งเดียวกันด้วย? แล้วปิ่นหยกรูป
ดอกเหมยอีกมันหมายความว่ายังไง?”

“หลิวซูอ
่ ีกมีป่ ินหยกรูปดอกเหมยอยู่ชน
ิ้ หนึ่ง มีคนเคยเห็น อีกทั้ง
นางก็เคยบอกกับปากว่า ปิ่นหยกดอกเหมยมันคือของแทนใจ ชายคน
รักของนางมอบให้นางเป็นของขวัญ” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าคิด
มาตลอด ว่าปิ่นนั่นท่านแม่ทัพใหญ่ฉีเป็นคนมอบให้นาง แต่ตอนนี้ข้า
เริ่มไม่ม่น
ั ใจแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด รอยแผลเป็นบนหัวไหล่ของข้ากับ
ซื่อจื่อ หลิวซู่อีกน่าจะเป็นคนประทับลงกับมือของนาง แต่ทําไมนางถึง
ได้ทําแบบนั้น ข้าไม่รู้ แต่ในเมื่อนางทําสัญลักษณ์บนหลังของพวกเรา
แบบนี้ แสดงว่ามันจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับชาติกําเนิดของข้ากับ
ซื่อจื่อแล้วก็เกี่ยวข้องกับคนที่มอบปิ่นหยกรูปดอกเหมยนั่นด้วย”

“เจ้าหมายความว่า รอบแผลเป็นประทับของเจ้า หลิวซู่อีเป็นคน


ทํางั้นเหรอ?” กู้ชิงฮั่นตกใจมาก “หรือว่า .......?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่สงสัยมาตลอด ข้าอาจจะ


เหมือนกับซื่อจื่อก็ได้ ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหลิวซู่อี ตอนนั้นหลิวซู่อี
อาจจะไม่ได้คลอดลูกแค่คนเดียว แต่ ...... เป็นลูกแฝด”
เล่มที่ 48 บทที่ 1421 คนคนนั้น

“แฝดเหรอ?” กู้ชิงฮั่นตกใจแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่า เจ้า ......


เจ้าเป็นสายเลือดของตระกูลฉีเหมือนกันงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงไม่ได้ตอบทันที เหมือนกําลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นเขาก็


พูดว่า “ฝ่าบาทรู้ว่าข้าเป็นใคร เขารู้ว่าข้าเป็นคนคนเร่ร่อน ถ้าอย่างนั้น
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทไม่สมควรจะหวาดระแวงหรือสงสัยในตัว
ข้าเลย แต่ตอนนี้เขามีความรูส
้ ึกแบบนั้น แสดงว่าเขาต้องรู้อะไรมา
อย่างน้อยก็รู้ว่าข้าไม่น่าจะเป็นแค่คนเร่ร่อนแน่นอน”

กู้ชิงฮั่นพูดว่า “หากเจ้าเป็นแฝดอีกคนของซื่อจื่อจริง แล้วทําไมถึง


ได้ไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอกได้ล่ะ?”

จิ่นอีตระกูลฉีเป็นตระกูลใหญ่ เป็นตระกูลที่เป็นเสาหลักของ
บ้านเมือง จะให้สายเลือดของตัวเองไปเร่ร่อนอยู่ด้านนอกได้ล่ะ?

“นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ความจริงให้ได้” ฉีหนิงถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “หากข้าเป็นสายเลือดของตระกูลฉีจริง ทําไมข้าถึงไปเร่รอ
่ น
อยู่ด้านนอกแบบนั้น? ต่อให้สงิ่ ที่ข้าเดามันจะเป็นเรื่องจริง ข้าเป็น
สายเลือดของตระกูลฉี แล้วฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ทรงยิ่งไม่
ควรระแวงข้าสิ” เขานิ่งไป แล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้ตัวตนที่แท้จริงของข้า
ก็แค่คนเร่ร่อน เรื่องนี้นอกจากข้ากับฝ่าบาทแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครรู้อีก
เซียวจ้าวจงยิ่งไม่น่าจะรู้ เขาน่าจะเป็นเข้าใจว่าข้าคือจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อฉีนหนิง
สิ แต่เขากลับบอกว่าข้าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี ความหมายที่
แท้จริง ก็น่าจะหมายถึงว่าจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อนั้นไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี
หากข้ากับซื่อจื่อเป็นฝาแฝดกันจริง ก็น่าจะหมายความว่าข้าก็
เหมือนกับเขาไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี”

เรื่องของสายเลือดมันค่อนข้างซับซ้อน หากกู้ชงิ ฮั่นไม่ได้มีสติ


อาจจะฟังแล้วงงได้

กู้ชิงฮั่นตกใจมากนางพูดว่า “พวกเจ้าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี
ทั้งคู่ มัน ...... มันจะเป็นไปได้ยังไง?”

“เดิมทีมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก ตามหลักแล้ว หากเราไม่ใช่


สายเลือดของตระกูลฉี คนของตระกูลฉีจะยอมให้ซ่ อ
ื จื่ออยู่ในตระกูลฉี
ได้ยังไง?” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าข้าลองเอาเรื่องราวมาเรียบเรียงใหม่ มัน
มีเรื่องหนึ่ง ที่ผิดปกติมาก ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เรื่องนี้อาจจะเป็น
เครื่องพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนเลยว่าซื่อจื่อไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี
จริงๆ”

“เรื่องอะไร?”
“ยายแก่ของตระกูลฉีวางยา” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านน่าจะรู้เรื่องนี้
ดีกว่าข้า ตอนนั้นท่านยังเจอเรื่องน่ากลัวแบบนั้นในจวนโหวด้วย”

กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ตอนซื่อจื่อเล็กๆ เขาฉลาด


มาก แต่ว่าไท่ฮูหยินวางยาในอาหารของเขามานานหลายปี ดังนั้นสมอง
ของเขาถึงได้เสียหายแบบนั้น”

“ซื่อจื่อเป็นลูกชายของภรรยาหลวงของตระกูลฉี เสือมันยังไม่กิน
ลูกของตัวเองเลย ยายแก่น่น
ั ให้ความสําคัญกับการสืบสายเลือดมาก
ตามหลักแล้ว ในเมื่อซื่อจื่อเป็นหลานชายคนโตของนาง ท่านเหล่าโหว
กับท่านแม่ทัพใหญ่ประจําอยู่ชายแดนแถบจะตลอดทั้งปี ซื่อจื่อเกิดมาก็
เสียแม่ไป ในฐานะท่านย่า ก็นา่ จะรักและเอ็นดูหลานชายคนนี้มากเป็น
พิเศษ” ฉีหนิงพูดว่า “แต่นางกลับทําในสิ่งที่ตรงกันข้าม ไม่เพียงไม่ได้
ดูแลเขาอย่างดี อีกทั้งยังวางยาพิษหลานชายตัวเองอีก ท่านไม่รู้สึกว่า
มันผิดปกติเหรอ?”

กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องนี้มน
ั ก็แปลกจริงๆ นั่นแหละ”

“ก่อนหน้านี้ข้าแค่รู้สึกว่ามันน่าจะมีเหตุผลอะไรที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้
แต่ก็คิดไม่ออกสักที” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่พอนึกทบทวนดู
แล้ว มันมีเหตุผลเดียวที่อธิบายเรื่องนี้อย่างดี ก็คือยายแก่น่น
ั รูอ
้ ยู่แล้ว
ว่าซื่อจื่อไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริงของตระกูลฉีมาตั้งแต่เขาเกิดแล้ว แต่
เพราะสาเหตุอะไรบางอย่าง ถึงฆ่าซื่อจื่อไม่ได้ดังนั้นนางถึงได้ใช้วิธีต�า
ช้า ทําให้เด็กที่ฉลาดมากคนหนึ่งกลายเป็นคนบ้า”

“ไท่ฮูหยินรู้ความจริงเรื่องนี้ง้ันเหรอ?”

“นางรู้” ฉีหนิงพูดว่า “ที่จริงตั้งแต่วันแรกที่ข้าเหยียบเข้าไปในจวน


จิ่นอีโหว ไท่ฮูหยินก็น่าจะรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร รู้ว่าข้าไม่ใช่จ่ินอีซ่ อ
ื จื่อที่
ถูกนางวางยา”

กู้ชิงฮั่นอึ้งไปออีก นางพูดว่า “ตอนนั้นข้ายังดูไม่ออกเลย นาง .......


นางมองออกได้ยังไงกัน?”

“ครั้งแรกที่ข้ามาที่จวน ก็เจอฉีอวี้สองแม่ลก
ู ร่วมมือกับท่านสาม
ของตระกูลฉีคิดจะชิงสิทธิในการสืบทอดบรรดาศักดิ์โหว ท่านพี่ยังจําได้
ไหม” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นทั่วทั้งตระกูลฉี นอกจาก
ท่านแล้ว คนอื่นๆ สนับสนุนฉีอวี้กันหมด”

กู้ชิงฮั่นไม่มีวันลืมเรื่องนั้น ฉีหนิงอาละวาดทั่วงานศพ ทําให้คน


แตกตื่นกันไปทั่ว

“คนสติไม่ดีคนหนึ่ง ไม่มีทางอะไรแบบนั้นได้หรอก” ฉีหนิงพูดว่า


“กลับมาถึงจวนวันแรก ก็ต่างกับคนก่อนหน้านีเ้ หมือนเป็นคนละคน
พวกท่านคิดว่าแค่ตกใจเลยเปลี่ยนไป แต่ยายแก่น่น
ั รูด
้ ี ซื่อจื่อถูกพิษ ไม่
มีทางฟื้นกลับมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่น้ันแน่ ดังนั้นพอนางรู้เรื่องที่
เกิดขึ้นในงาน คิดว่าก็นา่ จะรูแ
้ ล้วว่าข้าไม่ใช่ซ่ อ
ื จื่อ”

ไท่ฮูหยินถึงแม้จะเคยเป็นนายหญิงใหญ่ที่แท้จริงในจวนโหว แต่
นางมอบอํานาจทุกอย่างให้ก้ช
ู งิ ฮั่นแล้ว ไม่ค่อยออกมาพบใคร ทําตัว
ลึกลับมาก ต่อให้เป็นกู้ชิงฮั่น ก็ไม่ได้รู้จักอะไรในตัวนางมากนัก ตอนนี้
นางถูกข่มขู่ เลยรู้สึกหวาดกลัวไท่ฮูหยินมาก

“นางเจอข้าครั้งแรก ก็ขอลูบรอยแผลเป็น ตอนนี้ข้ายังคิดว่าข้า


โชคดี คิดว่าผ่านด่านนั้นมาได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “นางไม่ได้ยืนยันว่าข้าใช่ซ่ อ
ื จื่อหรือเปล่า แต่
ต้องการแน่ใจว่าข้าคืออีกคนหนึ่ง”

“เจ้าหมายความว่านางรู้ว่าเจ้าคือคนที่เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตั้งแต่
ตอนนั้นเหรอ?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเชื่ออย่างนั้น นางแน่ใจว่าข้าไม่ใช่


ซื่อจื่อ แต่พอแตะไปที่รอยแผลแล้ว ก็แน่ใจว่าข้าคือแฝดอีกคน”

กู้ชิงฮั่นพูดว่า “แล้วทําไมนางถึงไม่เปิดโปงเจ้าล่ะ?”

“เหตุผลง่ายๆ เพราะตอนนั้นข้ามีประโยชน์ต่อนางมากไงล่ะ” ฉี
หนิงพูดว่า “ท่านเหล่าโหวเสียไปนานแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ก็มาตาย
ตามไปอีก ตอนนั้นในราชสํานักซือหม่าก็เริ่มจะกุมอํานาจในราชสํานัก
แล้ว หากเขากุมอํานาจได้เบ็ดเสร็จ ก็จะต้องหาทางจัดการตระกูลฉีที่มี
ความเกี่ยวข้องกับฝ่ายทหารแน่ ตระกูลฉีในตอนนั้น มีท้ังศึกในศึกนอก
นางต้องการคนที่ทําให้ตระกูลฉีผ่านวิกฤตไปได้”

“ถึงแม้ฉีอวี้จะเป็นลูกอนุ แต่ยังไงก็เป็นสายเลือดที่แท้จริงของ
ตระกูลฉี หากนางมั่นใจว่าเจ้าไม่ใช่สายเลือดตระกูลฉี ทําไมยังให้เจ้าสืบ
ทอดบรรดาศักดิ์อีกล่ะ?”

“นี่คือความร้ายกาจของยายแก่น่ัน” ฉีหนิงพูดว่า “หากข้า


สามารถนําพาตระกูลฉีรอดพ้นวิกฤตไปได้ มันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หาก
ตระกูลฉีประสบเคราะห์รา้ ย ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะกลายเป็นแพะรับบาป
แทน ตอนนั้นข้าบาดเจ็บสาหัส ต้องให้วัดต้ากวงหมิงช่วยเหลือ ฉีอวี้อ
อกบวชแทนข้า ยายแก่น่น
ั ไม่เพียงไม่ขวาง แต่ยังสั่งให้เขาไปบวชด้วย
ตัวเอง นางทําแบบนั้น ไม่ใช่เพราะอยากจะปกป้องข้าหรืออะไร แต่
กลับกัน นางอยากจะปกป้องฉีอวี้ ผลักข้าไปที่ริมหน้าผาแทนเขา”

กู้ชิงฮั่นเหมือนจะเริ่มเข้าใจแล้ว “นางต้องการให้วิกฤตผ่านพ้นไป
แล้ว ค่อยหาโอกาสให้ฉอ
ี วี้มาแทนที่เจ้า”

“ข้าเชื่อว่านางมีวิธีด้วย” ฉีหนิงพูดว่า “นางอาจจะคิดวางแผน


จัดการข้าอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าข้าลงมือกับนางก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่นาง
คาดไม่ถึง” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า “นางกล้าทําแบบนั้น ในมือจะต้องมี
กําลังมากพอจะคุมสถานการณ์แน่ ท่านพี่จําหนิ่วโถวหม่าเมี่ยนได้
ไหม?”

ถึงแม้หนิ่วโถวหม่าเมี่ยนจะถูกฉีหนิงกําจัดไปแล้ว แต่พอพูดถึง กู้


ชิงฮั่นก็ยังเหมือนหวาดกลัว นางพยักหน้าแล้วพูดว่า “จําได้สิ”

ฉีหนิงพูดว่า “หนิ่วโถวหม่าเมี่ยนแฝงตัวอยู่ในจวนจิ่นอีโหว ทําตาม


คําสั่งของยายแก่น่ัน ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาสองคน น่าจะเป็นคน
ของวัดต้ากวงหมิง” เขาพูดว่า “วัดต้ากวงหมิงมีแต่นักบวช ทําไมถึงได้
ส่งยอดฝีมือสองคนปลอมตัวเข้ามาอยู่ในจวนจิ่นอีโหว?”

กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากไม่ใช่เพระเจ้าเจอซวะก่อน ข้า


เองก็ยังไม่รู้ว่าจวนจิ่นอีโหวมีคนของวัดต้ากวงหมิงอยู่ด้วย”

“ก่อนหลิวซู่อีจะคลอด วัดต้ากวงหมิงก็ส่งหลวงจีนมาอยู่ที่จวนจิ่น
อีโหวหลายวัน” ฉีหนิงพูดว่า “ส่วนยายแก่น่น
ั ยังให้คนของวัดต้ากวงหมิ
งแฝงตัวอยู่ในจวนอีกสองคน ท่านพี่ ท่านคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
เหรอ”

กู้ชิงฮั่นนิ่งไปแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ต้องมีอะไรเชื่อมโยงกันแน่”

“หนิ่วโถวหม่าเมี่ยนแฝงตัวอยู่ข้างๆ ยายแก่ มันเพราะอะไรกัน


ล่ะ?” ฉีหนิงสายตาแหลมคม แล้วพูดว่า “ข้าคิดไปคิดมา มันเป็นไปได้
แค่สองอย่าง อย่างแรก ก็คือสองคนนั้นเปรียบเสมือนดาบในมือของ
ยายแก่น่น
ั ในเวลาจําเป็น ก็มไี ว้ฆ่าคน”

“ฆ่าคน?”

“พูดง่ายอีกหน่อยก็คือ สองคนนั้นมีเอาไว้จัดการกับซื่อจื่อ” ฉีหนิง


พูดว่า “ในเมื่อซื่อจื่อไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี ถ้าอย่างนั้นพ่อที่
แท้จริงของเขาเป็นใคร? ฝ่าบาทน่าจะรู้ความจริงเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นถึงได้
ระแวงและสงสัยในตัวข้า ส่วนยายแก่น่ันต้องรู้ความจริงอยู่แล้ว ดังนั้น
นางถึงได้แค้นซื่อจื่อที่ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉีแบบนั้น ถึงแม้ไม่รู้ว่า
เพราะอะไรถึงได้ไม่ลงมือ แต่ในใจของนางต้องอยากจะฆ่าแน่นอน
ดังนั้นหนิ่วโถวหม่าเมี่ยนนางต้องเอาไว้ฆ่าคนแน่นอน”

“แล้วความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งล่ะ?”

“คุ้มกันความปลอดภัยของนาง” ฉีหนิงพูดว่า “ความจริงเรื่องที่


ซื่อจื่อไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี นางไม่มีทางเปิดเผยออกไปได้
เพราะมันส่งผลต่อชื่อเสียงของตระกูลฉี หากคนในโลกนี้รู้ว่าจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อ
ไม่ใช่ลูกชายของฉีจิ่ง มันไม่กลายเป็นเรื่องน่าขําของคนอื่นหรอก
เหรอ?” ฉีหนิงพูดว่า “ดังนั้นยายแก่น่น
ั ไม่มีทางเปิดเผยความจริงเรื่องนี้
ให้ใครรูแ
้ น่นอน แต่ว่าในความจริงนั้น มันก็มีความกังวลและหวาดกลัว
อยู่ลึกๆ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ นางกลัวว่าจะมีคนมาแก้แค้นนาง ดังนั้น
......”
“เจ้าหมายความว่า ไท่ฮูหยินกังวลว่าพ่อแท้ๆ ของเจ้ากับซื่อจื่
อจะกลับมาแก้แค้นงั้นเหรอ?”

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แค่คาดเดาเท่านั้น” ฉีหนิงพูดว่า “สิ่งที่ข้าพูด


มันแค่อธิบายไปตามน�าเท่านั้น แต่ความจริงจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า ข้า
ก็ไม่แน่ใจ แต่ว่ามีข้อหนึ่งที่ข้ามั่นใจ เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับวัดต้ากวง
หมิงแน่ เรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้น วัดต้ากวงหมิงต้องรู้เรื่อง หนิว
่ โถวหม่า
เมี่ยนแฝงตัวในจวนจิ่นอีโหว น่าจะไม่ใช่คําร้องขอจากยายแก่น่น
ั แต่
วัดต้ากวงหมิงต้องเสนอตัวเอง วัดต้ากวงหมิงน่าจะมีความกังวลว่าจะมี
คนใช้ซ่ อ
ื จื่อข่มขู่จวนจิ่นอีโหว กังวลจะมีคนมาแก้แค้น ดังนั้นเลยส่ง
ยอดฝีมอ
ื สองคนมาจับตาดูซ่ อ
ื จื่อพร้อมกัน เพื่อป้องกันคนมาแก้แค้น”

“หมายความว่า วัดต้ากวงหมิงมีคนรู้ความจริงเรื่องนี้เหรอ?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “วัดต้ากวงหมิงกลัวคนๆ นั้นมาก เขาคือพ่อ


แท้ๆ ของซื่อจื่อ ที่ฝ่าบาททรงหวาดระแวงในตัวข้า ก็เพราะคนๆ นั้น
เช่นกัน ดังนั้นคนๆ นั้นเป็นใครกันแน่ มันคือเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ที่สุด”
เล่มที่ 48 บทที่ 1422 กางปีกบินสูง

วัดต้ากวงหมิงตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นฉู่มา ก็ถูกตั้งแต่งเป็นวัดอาราม
หลวงของแคว้น นอกจากจะอนุญาตให้ชาวบ้านเข้ามากราบไหว้แล้ว
ราชสํานักยังมีการให้เงินสนับสนุนในการบํารุงรักษาวัดด้วย

ตั้งแต่วัดต้ากวงหมิงถูกสถาปนาให้เป็นวัดอารามหลวงจนถึงวันนี้
มีเจ้าอาวาสวัดมาถึงสีค
่ นแล้ว เจ้าอาวาสคนปัจจุบันคงฉานใต้ซือนั้นอยู่
ในตําแหน่งนานที่สุด อยู่มาประมาณสามสิบกว่าปีแล้ว ในวัดต่างยํา
เกรงท่านมาก ในยุทธภพก็รู้ดี หากไม่เพราะมีต้าจงซือ วรยุทธ์ของคง
ฉานไต้ซือก็พูดได้เลยว่าอยู่ในอันดับต้นๆ เลย

คงฉานใต้ซือบําเพ็ญตบะกล้าแกร่งมาก ท่านไม่ค่อยลงจากเขาเลย
ครั้งล่าสุดที่ลงจากเขาก็ตอนที่อดีตฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ท่านนําหลวง
จีนไปทําพิธีให้ในวังหลวง

ในใต้หล้านี้ คนที่สามารถให้ท่านเป็นผูน
้ ําในการทําพิธก
ี รรมให้น้ัน
มีเพียงฮ่องเต้องค์เดียวเท่านั้น

ตอนที่ฉห
ี นิงเดินทางมาถึงวัดต้ากวงหมิงนั้น มันเย็นมากแล้ว
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องมาที่วัดอารามหลวงนีอ
่ ีกครั้ง
แต่เขารู้ดีว่า ปริศนาที่มน
ั พัวพันอยู่รอบตัวเขานั้นถ้าคิดจะไขมันให้ได้
คําตอบ คงมีแค่ที่วัดต้ากวงหมิงเท่านั้น

เทียบกับเมื่อก่อนนี้ วัดต้ากวงหมิงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมาก

ฉีหนิงมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงอ๋อง มีสิทธิที่จะเข้าไปด้านในเพื่อกราบ
ไหว้บูชาอยู่แล้ว เขาเลยอ้างการกราบไหว้มาที่วัดต้ากวงหมิงอีกครั้ง

หากฉีหนิงเป็นแค่บรรดาศักดิ์โหว ขึ้นเขามาอาจจะไม่ได้ทําให้ใน
วัดต้ากวงหมิงมีอะไรมากนัก แต่ว่าเขาเป็นถึงอ๋อง การต้อนรับดูแลเขาก็
แตกต่างออกไป ตอนที่ฉีหนิงมาถึงในตําหนักใหญ่ จิ้งคงไต้ซอ
ื ก็ออกมา
ต้อนรับเขาด้วยตัวเอง

รองลงมาจากคงฉานไต้ซือ วัดต้ากวงหมิงยังมีสิบสามอรหันต์ของ
วัด จิ้งคงไต้ซือจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของสิบสามอรหันต์ หลังจากที่จ้ิง
เฉินไต้ซอ
ื ถูกสังหารไป จิ้งคงไต้ซือก็มีตําแหน่งเป็นรองแค่คงฉานไต้ซอ

การที่เขาออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ก็ถือว่าให้เกียรติฉีหนิงมากๆ แล้ว

ขุนนางราชสํานัก ในแต่ละปีมห
ี ลายคนที่มาไหว้พระขอพรที่นี่ แต่
ละครั้งก็จะพาคนมามากมาย บริจาคทําเงินก็ไม่น้อย คนที่มาคนเดียว
แบบฉีหนิงนั้น ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่
ฉีหนิงก็ทําตามกฎของวัด หลังจากกราบไหว้ขอพรแล้ว จิ้งคงไต้ซือ
ก็เชิญฉีหนิงไปพักที่ห้องรับรองด้านข้าง

ครั้งล่าสุดที่ฉห
ี นิงอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง เป็นช่วงที่มู่เย่อ๋องกําลัง
อาละวาด ตั้งแต่น้ันเป็นต้นมา เขาก็ไม่ได้มาที่นอ
ี่ ีกเลย แล้วก็มแ
ี ค่ครั้ง
นั้น ที่ฉห
ี นิงได้พบกับคงฉานไต้ซือ

จิ้งคงสั่งให้คนเอาน�าชามาให้ ฉีหนิงมองไปรอบๆ ในต้องตกแต่ง


เรียบง่าย เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้ข้น
ึ เขามาซะนาน ทุกอย่างยัง
เหมือนเดิม ตอนนั้นข้าบาดเจ็บสาหัส โชคดีได้วัดต้ากวงหมิงช่วยเหลือ
บุญคุณครั้งนั้น ข้าไม่มีวันลืมเลย”

จิ้งคงไต้ซือยิม
้ แล้วพูดว่า “อามิตตาพุทธ นั่นมันเป็นเพราะเรามี
วาสนาต่อกัน”

“จิ้งคงไต้ซือ วันนี้ที่ข้าขึ้นเขามาลําพัง ท่านคงนึกแปลกใจใช่


หรือไม่” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงนอกจากจะมาไหว้พระขอพรใน
วันนี้แล้ว ข้ายังมีบ้างเรื่องอยากจะขอคําชี้แนะจากทางวัดด้วย”

จิ้งคงไต้ซือพูดอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องเชิญกล่าวมา
ได้”

“เมื่อยี่สบ
ิ ปีก่อน ที่จวนจิ่นอีโหวเกิดเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่ง” ฉีหนิงรู้ดีว่า
อยู่ต่อหน้าหลวงจีนระดับสูงของวัดแบบนี้ ไม่จําเป็นต้องอ้อมค้อม เขา
พูดเข้าประเด็นเลย “ตอนนั้นท่านแม่ท้องแก่ใกล้คลอด ช่วเวลานั้น ทาง
วัดเหมือนจะมีส่งคนไปที่จวนจิ่นอีโหวของเราด้วย อีกทั้งยังอยู่ค้างที่
จวนหลายวัน ไม่ทราบว่าไต้ซือจําเรื่องนี้ได้หรือไม่?”

จิ้งคงไต้ซือสีหน้าไม่เปลี่ยน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ที่วัดของ


เรามีคนมากกว่าพันคน แต่ละวันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน หาก
ว่าในเมืองหลวงมีจวนขุนนางคนไหนต้องการให้ทําพิธใี ห้ ก็มก
ั จะมา
นิมนต์เราไปทั้งนั้น ในแต่ละปีเราลงเขาไปเพราะเรื่องนี้เยอะมาก เรื่อง
ที่ท่านอ๋องพูดถึงนั้น มันก็นานกว่ายี่สิบปีแล้ว นานขนาดนี้ อาตมาก็จํา
ไม่ค่อยได้แล้ว”

“ไต้ซือจําไม่ได้แล้วเหรอ?” ฉีหนิงคิดไว้แล้วว่าเขาต้องตอบแบบนี้
เขาก็ไม่ได้รีบร้อน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ทางวัดส่งหลวงจีนไปทําพิธีกรรม
ในเมืองหลวง แน่นอนว่ามันจํานวนเยอะมาก จําไม่ได้ก็เป็นเรื่อง
ธรรมดา เพียงแต่จวนจิ่นอีโหวในเวลานั้นเหมือนจะไม่ได้ไปทําพิธีกรรม
อะไร แต่เป็นช่วงที่จะมีการทําคลอดเด็ก ในสถานการณ์แบบนั้น ข้าไม่
เข้าใจว่าทําไมถึงได้มีหลวงจีนไปอยู่ที่จวนด้วย”

จิ้งคงไต้ซือส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อาตมาไม่ทราบจริงๆ” เขายกมือ


ขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องเชิญดื่มชา ท่านนั่งพักอยู่ที่นี่สักครู่ อาตมามี
เรื่องต้องไปจัดการนิดหน่อย” เขาพนมมือคํานับ แล้วก็กําลังจะเดิน
ออกจากห้องไป เขาเดินไปถึงหน้าประตู ฉีหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่าง
นั้น ไต้ซอ
ื เองก็ไม่ทราบเรื่องที่มห
ี ลวงจีนยอดฝีมือของวัดแฝงตัวอยู่ใน
จวนจิ่นอีโหวด้วยใช่หรือไม่”

เดิมจิ้งคงไต้ซือกําลังเปิดประตูกําลังจะออกไปแล้ว เขาถึงกลับ
สะดุ้ง เขาหยุดชะงักไป นิ่งไปสักพัก จากนั้นก็ปด
ิ ประตู แล้วหันหลัง
กลับมา เขาพนมมือแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องว่าอะไรนะ?”

“วัดต้ากวงหมิงส่งคนแฝงตัวเข้าไปในจวนของขุนนางของราช
สํานัก มีจุดประสงค์อะไรกัน?” ฉีหนิงพูดว่า “วัดต้ากวงหมิงเป็นวัด
อารามหลวง ได้รับการเคารพนับถือจากชาวบ้านทุกคนในแคว้นฉู่ ได้รับ
การคุ้มครองจากราชสํานัก แต่กลับทําเรื่องไม่สมควรเช่นนี้ จิ้งคงไต้ซือ
ตามกฎหมายของราชสํานัก ไม่มีข้อไหนเลยที่อนุญาตให้หลวงจีนของ
วัดต้ากวงหมิงแฝงตัวอยู่ในจวนของขุนนางผู้ใหญ่ในราชสํานักนะ ใคร
เป็นคนส่งพวกเขาไป? หากท่านไม่สามารถอธิบายให้ข้าเข้าใจได้ ข้าคง
ต้องทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้”

จิ้งคงไต้ซือขมวดคิ้วหนักมาก

ฉีหนิงยกถ้วยชาขึ้นดื่มแล้วพูดว่า “ในเมื่อวันนีข
้ ้าเองก็พูดแบบ
ตรงไปตรงมาแล้ว ไต้ซือก็น่าจะเข้าใจ หากไม่ได้คําตอบกลับไป เรื่องนี้
คงไม่จบง่ายๆ ไต้ซือลืมเรื่องในตอนนั้นแล้ว ก็อาจจะไม่รู้เรื่องที่มีหลวง
จีนแฝงตัวในจวนของขุนนางผูใ้ หญ่ด้วย ถ้าเช่นนั้น ฝากไต้ซือไปแจ้งคง
ฉานไต้ซือทีนะว่า ข้าอยากขอพบท่านก็พอแล้ว ข้าตรวจสอบมาแล้ว
ตอนที่ทางวัดส่งคนไปที่จวนจิ่นอีโหว คงฉานไต้ซือนั้นเป็นเจ้าอาวาส
ของวัดแล้ว ท่านไม่ทราบเรื่องนี้ แต่คงฉานไต้ซือต้องทราบเรื่อง
แน่นอน”

จิ้งคงไต้ซือขยับปาก แต่ไม่ได้พด
ู อะไร เขาพนมมือคํานับให้แล้วก็
ออกไป

ฉีหนิงพูดออกไปแบบนั้น เขาก็ไม่แน่ใจว่าคงฉานไต้ซือจะยอมมา
พบเขาหรือเปล่า แต่ฉห
ี นิงรู้ดี ในวัดต้ากวงหมิงคนที่ต้องรู้เรื่องในตอน
นั้นแน่นอน ก็มแ
ี ค่คงฉานไต้ซอ
ื คนเดียว

รออยู่พักใหญ่ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ก็มีเณรเอาตะเกียงมาจุดให้ แล้วก็


มาเปลี่ยนน�าชาให้ฉห
ี นิงอยู่หลายแก้ว

ฉีหนิงไม่ได้หงุดหงิดใจอะไร เขาก็น่งั รออย่างสบายๆ

หลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นจิ้งคงไต้ซือเข้ามาในห้อง ท่าทางของเขา


เรียบง่าย เขาพนมมือแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ตามอาตมามาทางนี”
้ เขาก็
ไม่พด
ู มาก หันหลังแล้วออกไปเลย

ฉีหนิงลุกขึ้นแล้วตามไป

จิ้งคงไต้ซือเดินนําหน้า ฉีหนิงเดินตามอยู่ด้านหลัง ทุกที่ที่เขาเดิน


ผ่าน เหล่าหลวงจีนต่างหยุดทําความเคารพ
วัดต้ากวงหมิงมีด้วยกันสามตําหนักใหญ่ ห้าหอ เจ็ดตําหนักเล็ก
หอเล็กอีกสิบแปดแห่ง มีพ้ น
ื ที่ค่อนข้างกว้าง แต่ว่าที่อยู่อาศัยของคง
ฉานไต้ซือนั้น ฉีหนิงไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน การเดินภายในวัดต้ากวงหมิงนั้น
จิ้งตงไต้ซือเดินไวมาก ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา เขาสามารถเดิน
ตามได้อย่างสบายๆ จะเดินนําหน้าแซงเขาก็ทําได้สบายๆ แต่ว่าเขาก็
เดินตามหลังไม่ไปนําหน้า และเว้นระยะเอาไว้

พวกเขาเดินผ่านประตูเทียนเต๋อ ลานจิ้งตูเหยา อู่หยวนจิ้ง เรือน


อี่น่ัว จากนั้นก็เดินผ่านลานปานนั่ว เข้าไปยังป่าที่มีต้นไม้หนาทึบแห่ง
หนึ่ง

ฉีหนิงรู้สึกแปลกมาก เส้นทางนี้เหมือนเขายิ่งเดินยิ่งคุ้น ตอนที่มา


อยู่ที่วัดต้ากวงหมิง เหมือนจิ้งคงไต้ซอ
ื เคยพาเขามา

ตอนที่ฟ้ามืดสนิทแล้ว เริ่มเห็นดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า แสงมัน


ส่องลงมา ทําให้ปา่ มันดูสงบมาก

“นี่มันป่าโบราณกู่หลินนี่” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไต้ซอ


ื พาข้า
มาที่นี่ทําไม?”

ตอนนี้ฉห
ี นิงจําได้แล้วว่า ที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ มันคือป่าโบราณกู่
หลินที่อยู่บนเขาจื่อจิง หากเขาเดาไม่ผด
ิ ในป่ามันมีบา้ นพักอยูห
่ ลังหนึ่ง
ตอนนั้นศพของจิ้งเฉินไต้ซือก็ถูกพบที่บ้านพักหลังนั้น
จิ้งคงไต้ซือไม่ได้ตอบอะไรเขา เขายังคงเดินหน้าต่อไป จากนั้น ฉี
หนิงก็เริ่มมองเห็นแสงไฟ ในป่ามันมืดสลัวๆ ทําให้ไฟตรงนั้นมันเด่นชัด
มาก หลังจากนั้นไม่นาน ก็เข้าใกล้ไปเรื่อยๆ บ้านพักไม้ในป่า มันมีแสง
ไฟส่องออกมา มันคือที่ที่จิ้งเฉินไต้ซือถูกฆ่าจริงๆ ด้วย

จิ้งคงไต้ซือหยุดเดิน แล้วพนมมือคํานับให้กับฉีหนิง จากนั้นก็หน



หลังเดินกลับไปทันที ฉีหนิงรู้สก
ึ แปลกใจมาก แต่เขาก็ไม่ได้คิดมาก
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยน
ิ เสียงดังออกมาจากในบ้านพักไม้ “ท่านอ๋องเชิญ
เข้ามาด้านในเถอะ”

ฉีหนิงลังเล แต่ก็ยังเดินไปที่ประตูบ้านพักไม้ เห็นมีโต๊ะตัวหนึ่งมี


ตะเกียงวางอยู่ ด้านข้างโต๊ะมีหลวงจีนเฒ่าคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ ด้านหน้า
โต๊ะเหมือนจะมีบทสวดมนต์วางอยู่ ในมือของเขาเลื่อนลูกประคําอยู่
เขาหันหน้ามามอง ใบหน้าของเขาดูใจดีมีเมตตามาก เขาก็คือเจ้า
อาวาสวัดต้ากวงหมิงคงฉานไต้ซือ

ฉีหนิงเห็นหน้าของหลวงจีนคนนี้ ในใจของเขาก็รู้สก
ึ นับถือมากๆ
เมื่อเข้ามาในบ้านพักไม้แล้ว เขาก็ยกมือคํานับคงฉานไต้ซือ คงฉานไต้ซื
อพูดอย่างเรียบง่ายว่า “คนที่พาคนไปที่จวนจิ่นอีโหวในเวลานั้น ก็คือ
ศิษย์น้องจิ้งเฉิน ท่านอ๋องน่าจะยังจําได้ ที่นี่คือที่ที่เขาตาย”

ฉีหนิงแอบตกใจนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าคงฉานไต้ซือจะเข้าประเด็น
เลย
คงฉานไต้ซือยกมือขึ้น เชิญให้ฉห
ี นิงนั่งลง ฉีหนิงค่อยๆ เดินไป
แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา จากนั้นก็เงยหน้าไปมองคงฉานไต้ซือที่มีท่าที
อ่อนโยนเป็นมิตรมาก เขานิ่งไป แล้วถึงพูดว่า “ไต้ซือน่าจะรู้ว่าวันนี้ขา้
ขึ้นเขามาเพราะอะไร?”

“มาจากที่ไหน แล้วจะไปที่ไหน”

ฉีหนิงท่าทางเคร่งเครียดมาก เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไต้ซือกล่าว


ถูกต้องแล้ว หากไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน ก็จะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปที่ไหน
จริงไหม?”

“มาแบบไม่ต้ังใจ แต่ไปกําหนดจากใจได้” คงฉานไต้ซอ


ื เหลือบ
มองมาที่ฉีหนิง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋อง ฟังนิทานจาก
อาตมาสักเรื่องก่อนดีไหม?”

ฉีหนิงพนมมือแล้วพูดว่า “น้อมรับฟัง”

“แม่ไก่ตัวหนึ่งฟักไข่จนแตกออกเป็นลูกไก่หลายตัว แต่ว่ามีอยู่หนึ่ง
ตัวที่แตกต่างจากตัวอื่นๆ เพราะมันเป็นไข่ของนกอินทรีที่ปะปนมา”
คงฉานไต้ซือท่าทางสงบนิ่ง น�าเสียงอ่อนโยน “นกอินทรีตัวน้อยเห็นแม่
ไก่เป็นดั่งแม่ของตัวเอง เห็นลูกไก่ตัวอื่นเหมือนพีน
่ ้องของตัวเอง นิสัย
การใช้ชว
ี ิตทําเหมือนกันทุกอย่างไม่มีเปลี่ยนแปลง วันเวลาผ่านไปทุก
วันทุกคืน ร่างกายของมันใหญ่โตมากกว่าลูกไก่ตัวอื่น แต่ว่ามันก็คิดแค่
ว่าอาจจะแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่เหมือนกัน ไม่ได้คิดมากอะไร แล้วก็
ไม่เคยสยายปักบินด้วย”

ฉีหนิงขมวดคิ้ว นิทานเรื่องนี้ฟังแล้วดูปญ
ั ญาอ่อนมาก เหมือน
นิทานหลอกเด็ก ไม่รู้ทําไมคงฉานไต้ซือถึงได้เล่าเรื่องนีใ้ ห้เขาฟัง

“จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาจากฟ้า คิดจะกินพวกไก่เป็น


อาหาร เหยี่ยวน้อยตัวนั้นพบว่าตัวมันนั้นหน้าตาเหมือนกับเหยี่ยวตัว
นั้นเลย มันเลยกางปีกของมันออก” คงฉานไต้ซือพูดว่า “ตอนนั้นมันถึง
ได้รู้ว่า มันกางปีกบนไปบนท้องฟ้าที่อยู่สูงได้ ......”
เล่มที่ 48 บทที่ 1423 การพูดคุยในป่ากู่หลิน

คงฉานไต้ซือเล่านิทานให้เขาฟัง เหมือนมันจะเป็นนิทานเด็ก

แต่ฉห
ี นิงรู้ดี หลวงจีนคนนี้คงไม่อยู่ดีดีมาพูดเรื่องแบบนี้แน่ เขา
เห็นใบหน้าของคงฉานไต้ซือใจดี เลยถามไปว่า “เหยี่ยวน้อยตัวนั้นที่ไต้
ซือพูดถึงนั้น ไม่ทราบว่าเป็นใครงั้นเหรอ?”

คงฉานไต้ซือยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง หากคิดจะปีนเขาสูง มัน


ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ จะต้องคิดให้มาก” เขาหยิบกาน�าชาบนโต๊ะขึ้นมา
แล้วรินใส่ถ้วย แล้วกันไปให้ฉห
ี นิงแล้วพูดว่า “ท่านได้รับสืบทอด
บรรดาศักดิ์ของจิ่นอีตระกูลฉี สร้างผลงานนับครั้งไม่ถ้วน ตอนนี้ท่านก็
ได้เป็นถึงท่านอ๋องแล้ว ถึงแม้เส้นทางที่ผ่านมามันจะไม่ได้ราบรื่นทุก
อย่าง แต่ว่าผลที่ได้มานั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย แต่ไม่ทราบว่าท่าน
อ๋องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ยังไง มีความยินดีหรือว่ากังวลมากกว่ากัน?”

ฉีหนิงตะลึงไป เขานิ่งไป แล้วถึงพูดว่า “ก็ไม่ได้ยน


ิ ดียินร้ายอะไร
มากมาย แค่พยายามมีชีวิตต่อไปเท่านั้น”

“แล้วชีวิตของท่านตอนนี้ ท่านมีห่วงอะไรหรือเปล่า?” คงฉานไต้ซื


อถาม “หากมีวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของท่านมันหายไปหมด ไม่ว่า
จะเป็นบรรดาศักดิ มิตรสหาย หรือแม้แต่ครอบครัว ท่านจะไม่ได้มีมน

อีกต่อไป ท่านจะรับได้หรือเปล่า?”

ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “รับไม่ได้ สิง่ ที่ข้าทําในตอนนี้ ก็เพื่อ


เปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้มันดีข้น
ึ ”

“เชิญดื่ม” คงฉานไต้ซอ
ื ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “นี่คือชาชิงฉา มันทํา
ให้สงบใจได้ มีประโยชน์ต่อร่างกายนะ”

ฉีหนิงยกมันขึ้นดื่ม จากนั้นก็วางลง เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ชาดี


มาก”

“ท่านอ๋องอยากจะรักษาสิง่ ที่อยู่ตรงหน้าของท่านเอาไว้ และ


เปลี่ยนแปลงให้มันดีข้น
ึ มันเป็นเรื่องที่ดี” คงฉานไต้ซอ
ื พูดว่า “ที่ท่าน
อ๋องขึ้นเขามาในวันนี้ คิดอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบแปดปีก่อน
สินะ”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ไต้ซือไม่ทราบรู้หรือไม่ว่า ใน


เมืองหลวง ตอนนี้มีข่าวลือมากกมา บอกว่าข้าไม่ใช่สายเลือดของ
ตระกูลฉี”

“แล้วในใจของท่านอ๋องนั้นคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”
ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าคืออี้เหิงอ๋องของแคว้นฉู่ เป็น
สายเลือดผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ของจิ่นอีตระกูลฉี”

“ในเมื่อท่านอ๋องคิดแบบนี้ แล้วจะไปสนใจคําพูดของคนอื่น
ทําไม?” คงฉานไต้ซือถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
มันผ่านไปนานแล้ว เส้นทางที่ท่านอ๋องจะเดินนั้นมันคืออนาคต แล้วจะ
สนใจเรื่องในอดีตทําไมกัน?”

“ไต้ซือ ไม่ทราบว่าธรรมมะมีที่มาจากไหนกัน?” ฉีหนิงยิ้มแล้วถาม

คงฉานไต้ซือยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องอยากจะบอกว่า สรรพสิ่งใน


โลก ล้วนแล้วแต่มีที่มา พระธรรมคําสอนมีที่มาจากชมพูทวีป ส่วนท่าน
อ๋องเองก็อยากจะรู้ว่าตัวท่านนั้นมาจากที่ไหนอย่างนั้นใช่ไหม”

“ถูกต้อง”

คงฉานไต้ซือก้มหน้าลงนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อสิบแปดปี


ก่อน ท่านพ่อของท่านอยู่ที่ชายแดน ท่านแม่ของท่านท้องแก่ใกล้คลอด
วันนี้ไท่ฮูหยินสั่งให้คนนําจดหมายมาให้ ......” เขาพูดถึงตรงนี้ แล้วก็
หยิบจดหมายที่เหลืองแล้วออกมา ฉีหนิงรับมันไปด้วยสองมือ เขามอง
ไปที่คงฉานไต้ซือ เขายิ้มแล้วพยักหน้าให้ ฉีหนิงเปิดเอาเนื้อจดหมาย
ออกมาอ่าน เขาขมวดคิ้วหนักมาก “ในจดหมายเขียนว่าท่านแม่กําลัง
จะคลอด แต่ว่ามีมารร้ายลอบเข้ามา ต้องการให้หลวงจีนไปคุ้มกัน ไต้
ซือ มารร้ายที่ว่านี่หมายถึงใครกัน?”

“ตอนที่อาตมาเห็นจดหมายฉบับนี้ ก็รู้ว่าถ้าไม่มท
ี างเลือก ไท่ฮูหยิ
นคงไม่ให้คนส่งจดหมายแบบนี้มาแน่” คงฉานไต้ซือพูดว่า “ตอนที่ไท่ฮู
หยินอายุยังน้อย นับถือเรื่องพระธรรมมากๆ นางเป็นคนจิตใจดี บริจาค
เงินให้วัดของเราทุกปี ดังนั้นอาตมาเลยส่งศิษย์น้องจิ้งเฉินกับหลวงจีน
อีกหกคนไป หวังว่าฉีฮูหยินจะคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย”

ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไร เขาแค่มองไปที่คงฉานไต้ซือเท่านั้น

“ไท่ฮูหยินพูดถูก” คงฉานไต้ซอ
ื พูดว่า “คืนที่ท่านแม่ของท่าน
คลอดลูก มารร้ายปรากฎตัวขึ้น คิดจะชิงเอาเด็กไป ศิษย์น้องจิ้งเฉินนํา
คนปราบจนมันล่าถอยไป เพียงแต่ว่า ...... มารร้ายมีวรยุทธ์ร้ายกาจ
มาก ชิงเด็กออกไปได้คนหนึ่ง”

ฉีหนิงสะดุ้ง แล้วรีบถามว่า “ไต้ซือ ตอนนั้นท่านแม่คลอดลูก


ออกมาสองคนใช่ไหม?”

คงฉานไต้ซือพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง นางคลอดลูกฝาแฝด


หลังจากเด็กสองคนคลอดออกมาแล้ว มารร้ายก็บุกเข้าจวนมา มีคน
หนึ่งถูกชิงเอาตัวไป มารร้ายไม่เพียงเอาเด็กไป อีกทั้งยังออกจากเมือง
หลวงไปได้อย่างราบรื่น หลังจากนั้น เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างไปอยู่ที่
ไหนไม่มีใครรู้”

ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ

ก่อนหน้านี้เขาสันนิษฐานว่าหลิวซู่อีน่าจะคลอดลูกแฝด แต่เขาไม่
มีหลักฐานมายืนยันความคิดของเขา ตอนนี้เขาได้คํายืนยันมาจากปาก
ของคงฉานไต้ซือแล้ว

ถ้าอย่างนั้น ที่เสีย
่ วเตียวเอ๋อร์มีหน้าตาที่เหมือนกันกับจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อ
อีกทั้งยังมีรอยแผลเป็นที่เป็นตราประทับเหมือนกัน ก็อธิบายได้ท้ัง
หมดแล้ว

ตามที่คงฉานไต้ซือพูดมา มารร้ายที่เอาเด็กไปคนหนึ่งในตอนนั้น
น่าจะเป็นเขาหรือก็คือเสี่ยวเตียวเอ๋อร์

ฉีหนิงจําได้ว่าเสี่ยวเตี๋ยเคยบอกว่า เสีย
่ วเตียวเอ๋อร์ถูกท่านพ่อถูพบ
อยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นพกกระบี่ไม่รู้เป็นหรือตาย ท่านพ่อถูช่วย
เสี่ยวเตียวเอ๋อร์เอาไว้ก่อน แล้วย้อนกลับไปที่ปา่ ผู้ชายคนนั้นก็หายตัว
ไปแล้ว

เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ใช้ชีวิตแบบนี้ชาวบ้านระดับล่างมาก ตอนที่เกิด
สงคราม เขาก็บา้ นแตกจนต้องเร่ร่อนไปทั่ว
หากเป็นไปตามที่คงฉานไต้ซอ
ื ว่ามา มารร้ายคนนั้น จะเป็นชายพก
กระบี่น่ันหรือเปล่า?

ผู้ชายพกกระบีบ
่ ุกเข้าไปในจวนจิ่นอีโหวที่มก
ี ารเฝ้าระวังหนาแน่น
ได้ แล้วยังชิงเอาทารกออกไปคนหนึ่งด้วย หลังจากนั้นก็หนีออกจาก
เมืองหลวงเจี้ยรเยี้ยได้ แสดงว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่

“แล้วในคืนนั้น ฉีฮูหยินก็สิ้นลมไป” คงฉานไต้ซือพูดว่า “มารร้าย


นั่นวรยุทธ์ร้ายกาจมาก ไปมาไร้ร่องรอย เพื่อไม่ให้เขาย้อนกลับมาอีก
แก้แค้น อาตมาเลยส่งหลวงจีนสองคนเข้าไปในจวนโหว โดยได้รับ
อนุญาตจากไท่ฮูหยินแล้ว โดยแอบคุ้มกันอยู่ในจวน”

“คุ้มกันใคร?” ฉีหนิงรีบพูดว่า “คุ้มกันไท่ฮูหยินงั้นเหรอ? ไต้ซอ



ทําไมถึงได้รู้สก
ึ ว่าคนๆ นั้นจะย้อนกลับมาทําร้ายไท่ฮูหยินอีกล่ะ? มาร
ร้ายที่ท่านพูดถึง ชิงเอาเด็จากตระกูลฉีไป ยังคิดทําร้ายไท่ฮูหยินอีก
ทําไมเขาต้องแค้นตระกูลฉีขนาดนั้นด้วย?”

คงฉานไต้ซือนิ่งไปไม่พด
ู ไม่จา

“ในจดหมาย ไท่ฮูหยินเรียกคนๆ นั้นว่ามารร้าย” ฉีหนิงสะบัด


จดหมายของไท่ฮูหยินที่ส่งให้คงฉานไต้ซืออกมา “หมายความว่า ก่อนที่
คนๆ นั้นจะมาชิงเอาตัวเด็กไปจากตระกูลฉี ไท่ฮูหยินก็ม่น
ั ใจแล้วว่าเขา
คือมารร้าย ทั้งสองฝ่ายมีความแค้นกันมาก่อนแล้ว จิ่นอีตระกูลฉีเป็น
หนึ่งในสี่บรรดาศักดิ์โหวสืบทอด ออกรบทําศึกมามากมาย มีหลายคน
เห็นตระกูลฉีเป็นศัตรู หากตระกูลฉีรู้ว่ามีศัตรูจะมาแก้แค้น แค่จัดการ
เฝ้าระวังจัดการเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” เขาหยุดไป แล้วพูดว่า
“แต่ทําไมไท่ฮูหยินต้องให้คนจากวัดต้ากวงหมิงมาช่วยด้วยล่ะ?”

คงฉานไต้ซือพนมมือขึ้น ฉีหนิงพูดต่อว่า “ค่ายหู่เสิน จวนผู้ว่าการ


จวนเสินโหว ล้วนแต่มก
ี ําลังคนมากมาย ตระกูลฉีจะส่งหนังสือไปขอ
ความช่วยเหลือจากหน่วยงานพวกนี้ มันไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่เท่าที่ข้ารู้
มา เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ไม่มีการโยกย้ายกําลังพล อีกทั้งแม้แต่
องครักษ์ของจวนก็ไม่ได้มีส่วนร่วม คนที่ได้พบกับมารร้ายในตอนนั้น มี
แค่หลวงจีนของวัดต้ากวงหมิงเท่านั้น ยังมีอีกเรื่องที่น่าแปลก จวนจิ่นอี
โหวประสบภัย แต่กลับคิดจะให้วัดต้ากวงหมิงมาช่วย มันน่าเหลือเชื่อ
ไปหน่อยไหม”

รอบๆ บ้านพักไม้มีเสียงดังเป็นระยะ มันเป็นเสียงลมปะทะกับ


ต้นไม้

“ข้าคิดทบทวนไปมา เหมือนจะเหตุผลเดียวที่พออธิบายได้” ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องนั้นมันต้องเป็นความลับมาก นั่นก็
หมายความว่า ไท่ฮูหยินอยากจะให้เรื่องนี้เป็นความลับที่สุด นางไม่ได้
โยกกําลังทหารมาเลย อีกทั้งองครักษ์ในจวนก็ไม่มีส่วนร่วม เพราะนาง
ไม่อยากให้ใครรูค
้ วามจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นนางเลยขอให้วัดต้ากวง
หมิงช่วย เพราะในสายตาของนาง คนที่ออกบวชน่าจะเก็บความลับได้
ดี”

คงฉานไต้ซือเหลือบมองไปที่ฉห
ี นิง เขายังคงไม่ได้พูดอะไร
เหมือนเดิม

“คนๆ นั้นจะเข้ามาในจวนตอนที่ท่านแม่กําลังทําคลอด เรื่องนี้


คาดการณ์วันเกิดเหตุล่วงหน้าไม่ได้มน
ั ทําให้งานของเขามันยากขึ้น ต่อ
ให้เขาโง่แค่ไหน ก็ไม่มท
ี างรู้ล่วงหน้าได้เลย” สายตาของฉีหนิงเริ่มดุดัน
“แต่ว่าการส่งจดหมายของไท่ฮูหยิน มันยืนยันได้ว่าไท่ฮูหยินมั่นใจว่า
คนๆ นั้นจะต้องมาในช่วงเวลานั้น ทําไมไท่ฮูหยินถึงได้ม่ันใจขนาดนั้น
ล่ะ? คนๆ นั้นเป็นใครมาจากไหน ไท่ฮูหยินรู้ดีทุกอย่าง นางนิมนต์หลวง
จีนให้ไปที่จวน ที่จริงแล้วนางต้องการให้ไปจับคนๆ นั้นมากกว่า”

เขายกถ้วยชาขึ้นมาแล้วดื่มอีก จากนั้นก็พูดต่อว่า “แต่ว่าเรื่องนี้ยัง


มีอีกจุดหนึ่งที่สาํ คัญมาก นั่นก็คือตอนที่มารร้ายปรากฎตัวขึ้น คนๆ นั้น
ทําไมไม่เลือกเวลาอื่น แต่ต้องเลือกตอนที่ท่านแม่คลอด? คนๆ นั้นรู้ได้
ยังไงว่าคืนนั้นท่านแม่จะต้องคลอด?” เขาต้องไปที่คงฉานไต้ซือ “หาก
ให้ข้าบอกเหตุผล ข้าบอกได้แค่ว่าเขานับเวลาช่วงเวลาที่จะคลอดตลอด
ส่วนไท่ฮูหยินก็รู้ดีว่าเขาต้องมาเพราะเด็กแน่นอน”
คงฉานไต้ซืออามิตตาพุทธแค่น้น
ั ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นข้า
แค่อยากจะถามไต้ซือว่า คนๆ นั้นเป็นอะไรกับท่านแม่ง้ันเหรอ? ข่าวลือ
ที่ว่าข้าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี มันไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยใช่ไหม”

“ท่านอ๋องอยากรู้ความจริงอย่างนั้นเหรอ?”

“ข่าวลือที่เกิดขึ้น มาจากเซียวจ้าวจง” ฉีหนิงพูดว่า “เรื่องในตอน


นั้นมันเป็นความลับมากๆ ต่อให้มีคนสงสัย แต่เรื่องจริงเป็นยังไง ในใต้
หล้านี้มรี ู้กันไม่กี่คน เซียวจ้าวจงไปรูม
้ าจากไหนว่าข้าไม่ใช่สายเลือด
ของตระกูลฉี? เรื่องนี้หากเป็นเรื่องจริง มันส่งผลต่อชื่อเสียงของ
ตระกูลฉีมาก ดังนั้นไท่ฮูหยินไม่มีทางให้ใครรู้เรื่องนี้แน่นอน ถ้าอย่างนั้น
...... ไต้ซือได้บอกเรื่องนี้กับใครหรือไม่?”

คงฉานไต้ซือถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอ๋องไล่ถาม


จนอาตมาจนมุมแล้ว ท่านอย่าได้หลบอีกเลยนะ”

ฉีหนิงสะดุ้ง ภายในห้องมีแค่เขากับคงฉานไต้ซือสองคน แต่ว่าคง


ฉานไต้ซือเหมือนกับกําลังพูดกับบุคคลที่สามอยู่ อีกทั้งยังเรียกเขาว่า
ท่านอาจารย์ด้วย มันยิ่งทําให้เขาตกใจเข้าไปใหญ่ เขามองซ้ายมองขวา
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมากจากด้านหลัง เขาหันไปมองทันท
ที เขาเห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง คนๆ นั้นสวมชุดสีเขียวอ่อน
ร่างกายสูบผอม เวลาที่เดินเบามาก หากไม่ใช่เพราะฉีหนิงมีการได้ยินที่
น่าทึ่ง ก็คงไม่มท
ี างได้ยน
ิ เสียงฝีเท้าของเขาแน่นอน
วัดต้ากวงหมิงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในเวลาแบบนี้ น่าจะปิดประตู
รับแขกไปแล้ว ไม่นา่ มีใครที่อยู่บนเขาในเวลาแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นในป่า
โบรานแบบนี้ด้วย แขกทั่วไปไม่มท
ี างเข้ามาถึงที่นี่ได้แน่นอน

ท่ามกลางแสงไฟ เขาเห็นใบหน้าของคนๆ นั้นชัดมาก ฉีหนิงสีหน้า


เปลี่ยนไปทันที เขาลุกขึ้น เหมือนไม่ค่อยกล้าเชื่อสายตาตัวเองเลย เขา
พูดว่า “ท่าน ...... ท่านอาจารย์จ่ัว”
เล่มที่ 48 บทที่ 1424 ใบไม้

คนที่เดินเข้ามาจากด้านนอก คือคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจั่ว
ชิงหยาง

จั่วชิงหยางถือเป็นนักปราญช์แห่งยุคของแคว้นฉู่ เหล่าบันทิตเห็น
เขามีบารมีและเป็นแบบอย่าง วิทยาลัยฉงหลินที่เขาก่อตั้งขึ้นมา
ทําลายกฎที่หา้ มผู้หญิงเล่าเรียนหนังสือ

หากเป็นคนอื่น คงไม่มท
ี างก่อตั้งวิทยาลัยแบบนี้ข้ึนมาแน่นอน ใน
โลกนีม
้ แ
ี ค่เขาที่ทําอะไรที่เหลือเชื่อแบบนี้

วิทยาลัยฉงหลินก็อยู่มาได้จนสิบปีแล้ว

การมีวิทยาลัยฉงหลิน เดิมก็ไม่ได้เป็นไปตามประเพณีโบราณ
ดังนั้นจึงตกที่น่งั ลําบากเสมอ จั่วชิงหยางคอยปกป้อง ทําให้วิทยาลัย
เดินหน้าต่อไปได้

หลังจากจั่วชิงหยางหายตัวไป ทางวิทยาลัยก็ปิด จนถึงตอนนี้ก็


ยังคงเป็นสถานที่ที่เงียบเหงาอยู่

จั่วชิงหยางคืนนั้นถูกลอบทําร้าย ตอนที่ฉีหนิงพบเขา เขาบาดเจ็บ


สาหัสมากแล้ว ฉีหนิงต้องการหายามารักษาเขา พอหันกลับมาอีกที เขา
ก็หายตัวไปแล้ว ตั้งแต่น้น
ั เป็นต้นมา เขาก็เหมือนหายไปไม่ได้ข่าวอะไร
เกี่ยวกับเขาอีกเลย

จวนเสินโหวแอบสืบเรื่องนี้อยู่ แต่ก็ไม่ได้พบคําตอบหรือเบาะแส
อะไรเลย

ส่วนทํานองเพลงนรกภูมิที่ทําให้ฉห
ี นิงสงสัย เขาก็ได้มาเพราะจั่ว
ชิงหยางเป็นคนบอก มันถูกซ่อนอยู่หลังป้ายแคว้นในวิทยาลัย ทํานอง
เพลงบทนั้นมันเต็มไปด้วยปริศนา เพราะฉะนั้นตัวของจั่วชิงหยางเองก็
เต็มไปด้วยปริศนาเช่นกัน

ก่อนหน้าคืนนั้น ฉีหนิงรู้แค่ว่าจั่งชิงหยางเป็นนักปราญช์เป็น
บัณฑิตใหญ่ เขามีกระบีก
่ ่เู หวิน เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดกระบี่

จั่วชิงหยางหายตัวไป มันทําให้ฉีหนิงเป็นกังวลมาก เขาสันนิษฐาน


ว่าจั่วชิงหยางอาจถูกศัตรูเอาตัวไป เป็นตายยังไงก็ไม่รู้

แต่ว่าจั่วชิงหยางมาปรากฎตัวต่อหน้าเขาในตอนนี้ มันทําให้ฉีหนิง
ตกใจมาก พอได้เจอกับเขา ฉีหนิงก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

จั่วชิงหยางค่อยๆ เดินเข้ามาด้านใน ใบหน้าของเขามีเลือดฝาด


ท่าทางดูดีมาก เหมือนว่าจะแข็งแรงแล้ว ใบหน้าของเขามีรอยยิ้ม เขา
พยักหน้าให้กับฉีหนิง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่อง
เยอะแยะที่จะพูด ไม่ต้องรีบร้อน นั่งลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เขายกมือ
ขั้นมาบอกให้ฉห
ี นิงนั่งลง ท่าทางของเขาดูสบายๆ ทั้งๆ ที่เจ้าของ
สถานที่น้ันคือคงฉานไต้ซือที่อยู่ข้างๆ แต่จ่ัวชิงหยางกลับทําตัวเหมือน
เป็นเจ้าบ้านมากกว่า

ฉีหนิงพยายามข่มอารมณ์ตกใจ เขาลังเล แต่สด


ุ ท้ายก็น่งั ลง เขา
ยังคงนั่งฝั่งตรงข้ามกับคงฉานไต้ซือ จั่วชิงหยางนั่งลงด้านข้างเขา

“ท่านอาจารย์จ่ัว ท่าน ...... มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ฉีหนิงสงบใจจนนิ่ง


จากนั้นก็เอ่ยปากถาม

จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือมองหน้ากัน จากนั้นก็เอามือลูบเครา
แล้วพูดว่า “เจ้ายังจําวันที่มีคนร้ายลอบเข้ามาในวิทยาลัยได้ไหม ที่ข้า
ถูกพวกเขาทําร้าย?”

“จําได้” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “คืนนั้น ท่านอาจารย์จู่ๆ ก็


หายไป ไม่รู้ไปไหน ข้าเป็นกังวลมาก”

“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าคนร้ายในคืนนั้นเป็นใคร?”

ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขาคิดขึ้นมาได้ว่าเจียงซุยอวินอยู่ในวิทยาลัยในคืน
นั้น เขาย้อนถามกลับไปว่า “เป็นพวกเจียงซุยอวินหรือเปล่า? ท่าน
อาจารย์ทราบหรือไม่ว่าคืนนั้นเจียงซุยอวินลอบเข้าไปในวิทยาลัย
ด้วย?”
จั่วชิงอหยางพยักหน้า แล้วพูดว่า “เป้าหมายที่เจียงซุยอวินเข้าหา
ข้า ข้ารู้ดีว่ามันคืออะไร เขามาเพราะทํานองเพลงนรกภูมิมาตั้งแต่แรก”

ฉีหนิงสะดุ้ง จั่วชิงหยางเปิดประเด็นทํานองเพลงนรกขึ้นมาเองเลย
ไม่ได้คิดจะปกปิดอะไร มันทําให้ฉห
ี นิงรู้สึกแปลกใจมาก

“แต่ว่าคนร้ายที่บุกมาในคืนนั้น ไม่ใช่คนที่เจียงซุยอวินส่งมา” จั่ว


ชิงหยางพูดว่า “เจียงซุยอวินยังมีอาจารย์ลับอยู่อีกคนหนึ่ง เขาเป็นคน
จากเกาะไป๋อวิน ......”

“โม่อิ่ง?” ฉีหนิงพูดออกมา

จั่วชิงหยางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง แคว้นตงฉีทําการวาง


แผนการมานานหลายปีแล้ว พวกเขาแอบสมคบคิดกับพวกตระกูลใหญ่
ในตงไฮ่ ส่วนการดําเนินการเรื่องนี้ก็คือโม่อิ่ง แคว้นตงฉีต้ังอยูต
่ รงกลาง
ระหว่างสองแคว้นใหญ่ มีกําลังน้อย พวกเขากังวลว่าจะถูกตีแตกเข้าสัก
วันหนึ่ง ดังนั้นถ้าภายในแคว้นทั้งสองแคว้นเกิดความวุ่นวายขึ้น มันก็จะ
ส่งผลให้กําลังของทั้งสองแคว้นลดลง และเกิดปัญหาขึ้น มันเป็นสิง่ ที่
พวกเขาอยากจะเห็น”

“เจียงซุยอวินเข้าวังมาเป็นขุนนาง ท่านอาจารย์เป็นคนแนะนํา
เสนอชื่อเขา” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ทราบว่าเขามี
แผนการหลังจากที่เขาเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว หรือว่ารูม
้ าก่อนหน้า
นั้น?”

จั่วชิงหยางลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงแผนการของเขา ข้าเป็น


คนหลอกล่อให้เขาทําเอง”

“หลอกล่อ?” ฉีหนิงตะลึงไป

“สองพ่อลูกตระกูลเจียงรู้ว่าทํานองเพลงนรกภูมิอยู่ในมือของข้า
เพราะเมื่อหลายปีก่อน ข้าพูดถึงเรื่องนี้กับพวกเขา” จั่วชิงหยางคิด แล้ว
พูดว่า “นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนแล้ว ตอนนั้นข้า
เดินทางไปที่ตงไฮ่ อยู่ค้างที่บ้านตระกูลเจียงหลายวัน เจียงม่านเทียน
ต้อนรับดูแลข้าเป็นอย่างดี”

ฉีหนิงรู้ว่าจั่วชิงหยางกับตระกูลเจียงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน
ตอนที่เจียงซุบอวินเล็กๆ เขาเคยได้รับการอบรมสั่งสอนความรู้จากจั่ว
ชิงหยาง

“เจียงม่านเทียนดื่มเหล้าเก่งมาก มีคืนหนึ่งที่ขา้ ดื่มเหล้าแต่งกลอน


แข็งกับเขา ดื่มกันจนเมามาย” จั่วชิงหยางพูดว่า “และก็ในคืนนั้น ข้าได้
พูดถึงเรื่องของทํานองเพลงนรกภูมิน่น
ั ออกมา”

ฉีหนิงมองไปที่คงฉานไต้ซือ เห็นเขายังคงนั่งพนมมือ ท่าทางนิ่ง


เรียบ
“ดังนั้นพอโม่อ่ิงได้ยินจากพวกเขาว่าทํานองเพลงนรกภูมิอยู่ในมือ
ของข้า เขาต้องคิดวิธีจะมาชิงมันไปให้ได้แน่นอน” จั่งชิงหยางพูดว่า
“หลังจากนั้นสิบปี มันก็เป็นไปตามแผนการที่ข้าคิดเอาไว้ โม่อิ่งลงมือ
จริงๆ”

ฉีหนิงยิง่ ฟังยิ่งงง แต่ว่าเขาก็รู้สก


ึ ได้ว่าเรื่องนี้มน
ั เหมือนเป็น
แผนการที่ซับซ้อนมาก เขาถามว่า “ท่านอาจารย์หมายความว่ายังไง
ท่านเดินทางไปที่ตงไฮ่เมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนดื่มเหล้าจนเมาหลุดความลับ
นั่นออกมา ไม่ได้เพราะความบังเอิญ ...... แต่ว่าตั้งใจงั้นเหรอ?”

จั่วชิงหยางพยักหน้า “ตอนนั้นข้ารู้แล้วว่าตระกูลเจียงสมคบคิดกับ
โม่อิ่ง ดังนั้นถึงได้ต้ังใจพูดแบบนั้นออกไปแบบไม่ชด
ั เจนมาก ถึงแม้จะ
ไม่ได้พด
ู ออกไปตรงๆ แต่ว่าเจียงม่านเทียนเป็นคนฉลาด เขาเดาได้ว่า
ข้าหมายถึงทํานองเหลงนรกภูมิ”

“ท่านอยากให้ตระกูลเจียงเอาข้อมูลนีไ้ ปบอกโม่อิ่งงั้นเหรอ?” ฉี
หนิงเหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว เขารีบส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ไม่ใช่โม่อ่ิงสิ ...... แต่เป็นท่านเจ้าเกาะ”

จั่วชิงหยางยิ้ม ฉีหนิงยิง่ แปลกใจเข้าไปใหญ่ “ทําไมท่านถึงได้ม่ันใจ


ว่าตระกูลเจียงต้องบอกเรื่องนี้กับโม่อ่ิงแน่นอน? อีกอย่างท่านเองก็เผย
เรื่องนี้ไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว แต่ทําไมโม่อ่ิงถึงได้ลงมือหลังจากนั้นนาน
ขนาดนั้นด้วย?” เขาสงสัยมาก “เป้าหมายที่เขาต้องการทํานองเพลง
นรกภูมน
ิ ่น
ั คืออะไรกันแน่?”

“เจ้ารู้ที่มาที่ไปของทํานองเพลงนั่นไหม?” จั่วชิงหยางเหลือบมอง
ไปที่ฉีหนิง

ฉีหนิงเหมือนจะนึกถึงตอนที่เขาไปเป็นราชทูตที่ตงไฮ่ ตอนนั้นลิ่งหู
ซีเคยพูดถึงที่มาที่ไปของทํานองเพลงนี่ให้เขาฟัง เขารู้ว่าจั่วชิงหยางกับ
คงฉานไต้ซือเป็นคนที่ฉลาดมาก อยู่ต่อหน้าพวกเขาสองคน จะมาเล่น
ลูกไม้อะไรไม่ได้ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าอยู่ตงฉี ได้ยินท่าน
มหาเสนาบดีลิ่งหูซีพูดถึง ท่านอาจารย์ เหมือนว่าเขาจะเป็นสหายเก่า
ของท่านนะ”

จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “เขากับข้าเรียนสํานักเดียวกันมาก่อน
เขาเป็นศิษย์น้องของข้า”

“เขาบอกกับข้าว่า ทํานองเพลงนรกภูมน
ิ ่ันประสกฝูผิงเป็นคน
เขียนขึ้น เขาเป็นคนมีความสามารถสูงมาก เขียนตําราออกมาทั้งหมด
สี่บท แบ่งเป็นภาคสวรรค์ นรก มนุษย์ ภูตผี ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ
แผนภูมเิ หอถูและลั่วซู มันสามารถคํานวณการหมุนเวียนของฟ้าดิน
และการเวียนว่ายตายเกิดของคนและภูตผี” ฉีหนิงพูดว่า “ประสกฝูผงิ
เคยพูดว่า จํานวนวันเวลาในนรกภูมิ ซ่อนความหมายที่ลึกซึ้งอยู่ใน
แผนผังแปดทิศ ส่วนตําราศาสตร์แห่งนรกภูมิ มันซ่อนอยู่ในตําราภาค
นรก”

จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นหลังจากเจ้าได้มันไปแล้ว
เจ้าเจอความลับอะไรไหม?”

“เอ่อ ......” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านอาจารย์ มันเป็นม้วนตําราที่ลึกซึ้ง


เข้าใจยากมาก ด้านในมันจะมีที่ซ่อนตําราภาคนรกอะไรนั่นหรือเปล่า
ข้ามองอะไรไม่ออกเลย”

“เพราะมันไม่มีเรื่องของตําราภาคนรกอยู่เลยังไงล่ะ” จั่วชิงหยาง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตําราเล่มนั้นจะมีอยู่จริงหรือเปล่า จนถึงตอนนี้
มันยังคงเป็นปริศนา ถึงแม้จะมีคนพูดกันมาว่าเขาเขียนตําราขึ้นมา
สี่บท แต่ว่าไม่เคยมีใครเห็นมันมาก่อนสักเล่มเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า
จะมีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”

ฉีหนิงตกใจมาก เขาพูดอย่างแปลกใจว่า “ไม่ ...... ไม่ได้พูดถึงใน


นั้นเลยเหรอ?”

“มีหรือไม่มีตําราพวกนั้นมันยังเป็นปริศนาอยู่เลย แล้วจะมีบอกใน
ม้วนทํานองนั่นได้ยังไงกัน?” จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้นที่ข้า
บอกกับเจียงม่านเทียน ข้าก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องตําราภาคนรกนะ”
“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อในม้วน
ทํานองนั่นมันไม่มีที่ซ่อนของตําราทั้งสีบ
่ ท แล้วทําไมลิ่งหูซีต้องบอกข้า
ว่าในนั้นมันมีเบาะแสด้วยล่ะ?”

จั่วชิงหยางพูดว่า “เพราะเขาเป็นห่วงว่าถ้าเจ้าไขปริศนาของมัน
ไม่ได้ เจ้าจะไม่สนใจมันแล้วทิ้งมัน ดังนั้นเลยบอกไปว่ามันมีไว้เพื่อการ
ตามหาตําราพวกนั้น เพื่อให้เจ้าเห็นว่ามันเป็นของมีค่า และรักษามันไว้
ให้ดี”

ฉีหนิงตกใจมาก “เขากลัวว่าข้าจะทิ้งมันไปไม่สนใจ เลยสร้างเรื่อง


มาหลอกข้างั้นเหรอเนี่ย?”

จั่วชิงหยางถอนหายใจแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องลิ่งหูเป็นคนทําอะไร
รอบคอบระวังตัว ถึงแม้ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มท
ี างทําแบบนั้นแน่ แต่ว่าศิษย์
น้องเขาก็ไม่วางใจ”

“เดี๋ยวก่อนนะ” ฉีหนิงยกมือขึ้นมาขัด เหมือนเขาจะคิดอะไรได้


“ม้วนทํานองนั่นท่านอาจารย์เป็นชี้นาํ ให้ข้าไปหา แล้วมอบให้ข้าดูแล
รักษามัน ลิ่งหูซีอยู่ไกลถึงตงฉี แล้วเขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง? แล้วยังสร้าง
เรื่องโกหกข้าอีก?” เขาเหลือบไปมองจั่วชิงหยาง เหมือนจะคิดอะไร
ขึ้นมาได้ “อย่าบอกนะว่าท่านกับลิ่งหูซีมีการติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา?”
ในหัวของเขาเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “ท่านอาจารย์ ...... หรือว่า
ท่านตั้งใจมอบมันให้กับข้า?”
“ถึงแม้ในนั้นจะไม่มีที่ซอ
่ นของตําราสีบ
่ ทนั่น แต่ว่ามันเป็นสิง่ ที่
ประสกฝูผิงเขียนขึ้นจริงๆ เรื่องนี้ไม่ผด
ิ แน่นอน” จั่งชิงหยางพูดอย่าง
จริงจังว่า “จะบอกว่ามันเป็นของล�าค่าหากยาก มันก็ไม่เกินจริง” พอ
พูดถึงตรงนี้ เขาก็ย่ น
ื มือออกมาตรงหน้าของฉีหนิง แล้วแบมือออก ฉี
หนิงไม่รูว
้ ่าเขาคิดจะทําอะไร พอก้มหน้าไปดู ก็เห็นว่าในมือของจั่วชิงห
ยางนั้น มันมีใบไม้สีเหลืองใบหนึ่งอยู่ ไม่ได้ใหญ่มาก มองไปแล้วก็
เหมือนใบไม้ธรรมดาทั่วไป ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก คิดว่าเขาจะเอา
ใบไม้มาวางไว้ในมือทําไม?

แต่ไม่นานนักเขาก็รูส
้ ก
ึ ว่ามันแปลกๆ ใบไม้นม
ี่ ันเหมือนเก็บมาจาก
ในป่า แต่ว่าอยู่ใต้แสงไฟ สีมันเหมือนจะผิดปกติ มันมีเงาสะท้อนอ่อนๆ
เหมือนว่ามันทํามาจากโลหะ

ในตอนนี้เอง คงฉานไต้ซือเองก็ย่ น
ื มือออกมาเช่นกัน เขาแบมือ
ออก บนฝ่ามือของเขาก็มีใบไม้แบบเดียวกับของจั่วชิงหยาง แต่ว่ามัน
เป็นสีออกขาว ฉีหนิงเองก็เจออะไรมามาก แต่ไม่เคยเห็นใบไม้สีขาวมา
ก่อนเลย

ใบหนึ่งออกเหลืองใบหนึ่งออกขาว ใบไม้สองใบ ฉีหนิงอึ้งไป ไม่รู้ว่ามัน


หมายความว่ายังไง
เล่มที่ 48 บทที่ 1425 สวรรค์ โลกมนุษย์ นรก

ใบไม้สองใบสีสน
ั แตกต่างกัน ฉีหนิงสงสัยมาก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปาก
ถาม

จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือในเมื่อเอาใบไม้ออกมาแบบนี้ แสดงว่า
ต้องมีสาเหตุแน่ ฉีหนิงรู้ดีต่อให้เขาไม่ถาม อีกฝ่ายต้องบอกเขาแน่นอน

“ประสกฝูผิงจะได้เขียนตําราสวรรคค์นรกอะไรหรือเปล่า ไม่มีใคร
พิสูจน์ได้ แต่มีเรื่องนี้ที่แน่นอน คือเขาเป็นปรมาจารย์ทางด้านดนตรีท่ี
ร้อยปีจะเจอสักคน” จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือเปล่า คน
โบราณรู้จักดนตรีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ฉีหนิงส่ายหน้า เขาคิดในใจว่าถ้าถามที่มาที่ไปของดนตรี เขาไม่รู้


จริงๆ

“การค้นพบดนตรีของคนโบราณ ในตอนนั้นมันยังไม่มีเครื่อง
ดนตรีเลย” จั่วชิงหยางพูดว่า “ตอนที่พวกเขาออกไปเก็บอะไรบนพื้น
พวกเขาพบว่ามันมีเสียงแปลกๆ มันทําให้รู้สึกสบายใจ อีกทั้งเครื่อง
ดนตรีช้น
ิ แรกๆ ในเวลานั้นก็คือใบไม้”
ฉีหนิงอึ้งไป แอบคิดในใจหรือว่าใบไม้สองใบนีจ
้ ะมีความเกี่ยวข้อง
กับดนตรีเหรอ?

คนหนึ่งเป็นผู้ออกบวช คนหนึ่งเป็นนักปราชญ์แห่งยุค ทําไมพวก


เขาสองคนถึงได้มาพูดถึงเรื่องของดนตรีกับเขาละ?

“ประสกฝูผิงเป็นคนที่รู้เรื่องดนตรี เขามีพรสวรรค์ด้านนี้มากๆ
ตอนเขาอายุยังน้อย ไม่ว่าจะเป็นดนตรีแนวไหนเขาก็เล่นได้หมด อีกทั้ง
ยังพูดกันว่าเขายังมีแต่งทํานองบทเพลงเอาไว้มากมายด้วย ไม่ว่าจะ
เป็นบทเพลงทํานองอะไร ก็เพียงพอให้คนตกตะลึงไปได้ แต่ว่าเขา
กลับไปเผยแพร่ทํานองเพลงของเขาให้คนทั่วไป ในเวลานั้นมีหลายคน
อยากจะได้ทํานองเพลงพวกนั้นมาก” จั่วชิงหยางถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ไม่ใช่เพราะเขาขี้เหนียวไม่ยอมให้ใครนะ แต่เพราะในสายตาของเขา
ทํานองที่เขาแต่งขึ้นนั้นมันไม่สมบูรณ์สักเพลงเลย เขาอยากทํามันให้
สมบูรณ์แบบ ในเมื่อมันมีข้อบกพร่อง เขาก็รู้สก
ึ ว่าไม่ควรเอาออกมา
เผยแพร่ หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปหลายสิบปี หลายคนคิดว่าเขาตาย
ไปแล้ว แต่บางคนก็คิดว่าเขาออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว จริงหรือเปล่า
ก็ไม่รู้ แต่ในช่วงเวลาสิบปีน้ันยังมีคนพูดถึงเขาอยู่ตลอด เพราะคนที่มี
ความสามารถเช่นเขาร้อยปีจะเจอสักคน คนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากให้เขา
เงียบหายไป”
“ในช่วงสิบปีน้ัน เขาศึกษาเรื่องของดนตรีอยู่ตลอดเลยเหรอ” ฉี
หนิงถาม

จั่วชิงหยางลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง แต่ว่าดนตรีที่แท้จริง


มันไม่ใช่แค่เกิดได้แค่ห้าเสียงเท่านั้น จังหวะมันคือหลักสําคัญ” เขาคิด
แล้วพูดว่า “ทํานองทําให้คนชื่นชม เพราะมันทําให้คนรู้สึกและสัมผัส
ถึง จิตใจของคนเปลี่ยนแปลงไปตามทํานองของบทเพลง ดังนั้นเพลง
หรือทํานองบทหนึ่ง มันไม่ใช่แค่ต้องมีจังหวะ ประสกฝูผิงคิดว่าบทเพลง
พวกนี้มน
ั ไม่เพียงต้องให้คนสัมผัสถึง ยังต้องทําให้เหล่าบรรดาสัตว์
สิ่งมีชีวิตต่างๆ สัมผัสได้ด้วย ดังนั้นเขาใช้เวลากว่าสิบปี แต่งทํานอง
เพลงอันศักดิ์สท
ิ ธิข้ึนสามบทเพลง”

ฉีหนิงฟังถึงตรงนี้ ก็พด
ู ขึ้นมาว่า “เสียงร้องของนกบนท้องฟ้า คลื่น
ทะเลสีครามในท้องทะเล”

จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือมองหน้ากัน สายตาของพวกเขาเป็น
ประกาย จั่วชิงหยางยิม
้ แล้วพูดว่า “เจ้ารู้เรื่องของพิณอูอวี่กับพิณเฟิ่ง
หวงแล้วใช่ไหม?”

จั่วชิงหยางถามมาแบบนี้ ฉีหนิงเหมือนจะนึกถึงเรื่องที่เจ้าเกาะ
ไป๋อวินหม้อหลันชางได้พณ
ิ เฟิ่งหวงไปแล้ว เขารู้สึกว่าเรื่องแปลก
ประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับจั่วชิงหยาง
“ใช่” ฉีหนิงพยักหน้า “มันเป็นพิณโบราณสองหลัง”

“ถูกต้อง” จั่วชิงหยางยิม
้ แล้วพูดว่า “แล้วเจ้ารู้หรือเปล่า พิณสอง
เล่มนี้คือพิณที่ประสกฝูผิงเป็นคนทําขึ้นมา แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ของเขา”

ฉีหนิงรู้สึกว่าวันนี้จ่ัวชิงหยางพูดอะไรแปลกๆ เยอะมาก ฟังแล้วก็


งงๆ เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านอาจารย์ช่วยพูดให้กระจ่างหน่อยได้
ไหม?”

“ประสกฝูผิงมันไม่ใช่แค่คนๆ เดียว” จั่วชิงหยางพูดว่า “บทเพลง


ศักดิ์สิทธิสามบทประสกฝูผิงแต่งขึ้น ส่วนพิณอีกสองหลัง เป็นประสกฝู
ผิงอีกคนทําขึ้น บทเพลงสามบทเกิดขึ้นประมาณสี่สิบปีไปแล้ว ถึงได้มี
พิณสองหลังนั้น” เขาเหมือนรู้ว่าฉีหนิงไม่เข้าใจแน่ “ประสกฝูผงิ คน
แรกแต่งบทเพลงสามบทขึ้นมา นอกจากเขาแล้ว ไม่มใี ครสามารถเล่น
เพลงของเขาได้เลย ดังนั้นหลังจากที่เขาตายไป บทเพลงพวกนั้นถูกสืบ
ทอดต่อกันมา แต่ว่าในช่วงสิบปีน้ัน ในความเป็นจริงแล้วมันไม่มใี คร
เล่นเลย”

“ท่านอาจารย์กําลังจะบอกว่า บทเพลงพวกนั้นมันกลับมาอีกครั้ง
หลังจากที่พิณสองตัวนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”

“ถูกต้อง” จั่วชิงหยางพูดว่า “ประสกฝูผิงคนที่สองเรียกตัวเองว่าฝู


ผิงน้อย เขาใช้เวลาลงทุนลงแรงมาก เพื่อสร้างพิณสองหลังนี้ข้น
ึ มา” จั่ว
ชิงหยางถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพราะเขามีความสามารถและ
พรสวรรค์ที่สูงมาก และเขาคือคนที่เข้าใจเจตนารมณ์ของประสกฝูผงิ
จริงๆ คนทั่วไปสร้างพิณขึ้นมา เพื่อความบันเทิง แต่ฝผ
ู ิงน้อยทํามัน
ขึ้นมาเพื่อให้สต
ั ว์และสิง่ มีชีวิตทั้งหลายได้บน
ั เทิงด้วย ดังนั้นเลยทําพิณ
ออกมาสองหลัง”

ฉีหนิงเหมือนจะเริม
่ เข้าใจอะไรขึ้นบ้างแล้ว เขาคิดแล้วถามว่า
“ท่านอาจารย์บอกว่าประสกฝูผิงทิ้งบทเพลงไว้สามบท หรือว่า ......
ทํานองนรกที่อยู่กับข้ามันจะเป็น ...... หนึ่งในสามบทนั้น?”

หลังจากที่เขาได้ทํานองนรกไป เขาเลยพยายามค้นหาความลับที่
ซ่อนอยู่ แต่ก็ค้นไม่เจอ ต่อมาลิ่งหูซีชี้นาํ เขา ทําให้เขาคิดว่าในทํานอง
มันมีที่ซอ
่ นของตําราสวรรค์นรก แต่สง่ิ ที่เขาเจอ ก็คือทํานองเพลงที่ได้
เถียนเสวียหยงช่วยแกะออกมา

ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นทํานองเพลง แต่เถียนเสวียหยงเองก็เคยบอก
ทํานองเพลงนี้มน
ั แปลกมาก เล่นได้ยาก ทําให้ฉีหนิงยังคงสงสัยว่ามันจะ
มีอะไรซ่อนอยู่อีกแน่

เขาเคยคิดคาดเดาไปหลายอย่าง แต่ไม่ได้คิดว่ามันคือทํานองเพลง
จริงๆ
“เสียงคํารามของคลื่นทะเล” จั่วชิงหยางพูดว่า “มันคือหนึ่งใน
สามบทเพลง”

“เสียงคํารามของคลื่นทะเล” ฉีหนิงพูดว่า “ที่แท้มันแค่หนึ่งเพลง


บทหนึ่ง” ทันใดนั้นเองเหมือนเขาจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “แต่ว่าในทํานอง
นั่น มันมีคําว่าตี้ฉานที่แปลว่านรกอยูส
่ องคํานะ มันหมายความว่า
ยังไง?”

“เพลงสามบท แบ่งออกเป็นสวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก” จั่วชิงห


ยางพูดว่า “มันเป็นชื่อที่ประสกฝูผิงตั้งขึ้นหลังแต่งเสร็จ ส่วนเสียง
คํารามของคลื่นทะเล เป็นชื่อที่ประสกฝูผิงน้อยตั้งขึ้น”

“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ให้ข้า


เป็นคนเก็บเอาไว้ ก็คือทํานองเพลงบทหนึ่ง ท่านเจ้าเกาะหม้อหลันชาง
ส่งคนมาทําร้ายท่าน คิดชิงทํานองเพลงนี้ไป เพราะเขาไม่รู้ความจริง
เขาไม่ได้อยากเพลงนั่นจริงๆ สินะ”

จั่วชิงหยางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “กลับกันเลย เขารู้ว่ามันคือทํานอง


นรก และรู้ว่ามันเป็นบทเพลงที่ประสกฝูผิงแต่งขึ้นด้วย เขาเป็นต้า
จงซือ เขาไม่มท
ี างสนใจของล�าค่าอื่นๆ หรอกจริงไหม? มีแค่ทํานองนรก
บทนี้เท่านั้นที่เขาต้องได้มันไป”
“แต่เท่าที่ข้ารู้มา หม้อหลันชางไม่ได้เก่งเรื่องดนตรีมาก เขาเองก็
ไม่ได้สนใจในศาสตร์นี้เท่าไหร่ ทํานองนรกถึงแม้จะมีมูลค่ามาก แต่
สําหรับเขาแล้วมันก็ไม่น่ามีแรงดึงดูดขนาดนั้นนะ?”

จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้าแกล้งเมาแล้วพูดคุยเรื่อง
ดนตรีกับเจียงม่านเทียน เขารู้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดี ดังนั้นตอนที่พูด
เรื่องดนตรี ข้ากับเขามีความชอบที่เหมือนๆ กัน ข้าเลยตั้งใจพูดถึง
ทํานองศักดิ์สิทธิสามบทของประสกฝูผิงขึ้นมา เขาเสียดายที่ไม่มีโอกาส
ได้ฟังมันสักครั้งในชีวิต ข้าเลยตั้งใจบอกไปว่า บทเพลงสวรรค์ กับโลก
มนุษย์น้น
ั คงหมดหวัง แต่ว่าทํานองนรกอาจจะ ......” เขายิ้มอย่างเจ้า
เล่ห์ “พอพูดถึงตรงนั้น ข้าก็แกล้งทําเป็นหยุดไป แต่ว่าตอนนั้นเขาก็
รู้สึกได้ว่าทํานองนรกน่าจะเกี่ยวข้องกับข้าแน่นอน”

ฉีหนิงพยักหน้า คิดแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์กับท่านเจ้าอาวาส


ล้วนถือใบไม้ในมือ คิดว่าน่าจะชื่นชมประสกฝูผิงมากเลยสินะ”

“เราชื่นชมเขามากจริงๆ” จั่วชิงหยางพูดว่า “แต่ว่าใบไม้พวกนีม


้ ัน
ก็คือตัวแทนของฝูผิง”

“ตัวแทนของฝูผิงงั้นเหรอ?”

“ฝูผิงในวันนี้ ไม่ใช่คน แต่เป็นแค่ช่ อ


ื ” จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า
“ข้ากับท่านไต้ซือ เป็นคนในฝูผิง”
ฉีหนิงอดยกมือขึ้นมาเกาหัว แล้วพูดว่า “พวกท่านมีความชอบ
ตรงกัน ก็เลย ......”

ไม่รอฉีหนิงพูดจบ จั่วชิงหยางสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา เขา


ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “การคงอยู่ของฝูผิง มีเรื่องเดียวที่ต้องทํา คนที่เข้า
ร่วมปฏิบัติการนี้ ทุกคนคือฝูผงิ ”

ฉีหนิงแปลกใจหนักกว่าเก่าอีก

ผู้นําทางศาสนากับนักปราชญ์แห่งยุคล้วนเป็นฝูผิง อีกทั้งยังมี
เป้าหมายต้องทําเรื่องหนึ่ง ฉีหนิงคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ กลุ่มนี้รวมตัวกัน
เพื่อทําอะไร? ทันใดนั้นเองเขาก็สะดุ้ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่าน
อาจารย์ ลิ่งหูซีต้ังใจหลอกล่อข้า เป้าหมายเพื่อให้ข้ารักษาทํานองนรก
เอาไว้ หรือว่า ..... เขาเองก็เป็นฝูผิง?”

คงฉานไต้ซือที่ไม่ได้พูดอะไรเลยก่อนหน้านี้ยิม
้ แล้วก็พด
ู ว่า “ท่าน
อาจารย์ ท่านอ๋องถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่ฉลาดมาก ต่อให้วันนี้ท่านไม่
พูด คิดว่าความจริงหลายอย่างไม่ช้าเขาก็ต้องสืบจนรู้ความจริงจนได้”

“เจ้าพูดถูกแล้ว” จั่วชิงหนางพูดว่า “ศิษย์น้องของข้าก็เป็นฝูผิง”

ฉีหนิงสูดหายใจเข้า เขาเพิ่งจะผ่านศึกกบฏเซียวจ้าวจงมา ตอนนี้


พอรู้ว่าคงฉานไต้ซือกับลิ่งหูซีเป็นพวกเดียวกัน ตอนนี้เขาเลยต้องระวัง
ตัวขึ้นมาอีก
ลิ่งหูซีเป็นมหาเสนาบดีแคว้นตงฉี ส่วนคงฉานไต้ซือก็เป็นเจ้า
อาวาสของวัดต้ากวงหมิงของแคว้นฉู่ วัดต้ากวงหมิงเป็นอารามหลวง
คงฉานไต้ซือนั้นเป็นผู้นาํ ในด้านนี้ ทั้งสองกับเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน มัน
น่าเหลือเชื่อเกินไป

จั่วชิงหยางเหมือนจะอ่านใจฉีหนิงออก เขายิม
้ แล้วพูดว่า “เจ้า
วางใจได้ ข้ากับไต้ซือไม่ได้ขายชาติ ไม่มีทางทําอะไรที่ผิดต่อแคว้นฉู่
หรอกนะ”

ฉีหนิงเขินมาก เขาลังเล แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ มีอยู่เรื่องหนึ่ง


ข้าเองก็ไม่อยากปกปิดท่าน” เขามองไปที่คงฉานไต้ซือ แล้วพูดว่า
“ทํานองนรกที่ท่านไหว้วานให้ข้าเก็บไว้น้ัน ตอนนี้ ...... ตอนนีม
้ ันไม่ได้
อยู่กับข้าแล้ว”

เดิมเขาคิดว่าพอเขาพูดแบบนีอ
้ อกมา จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือ
จะต้องตกใจหน้าเสียแน่

เพราะว่าจากคําพูดของจั่วชิงหยางนั้น ทํานองนรกนั่นมันมีค่า
สําหรับเขามาก

ตอนนั้นที่เขามอบมันให้เขาดูแล แต่เขากลับยกมันให้กับเป่ยกง
เหลียนเฉิง มันถือเป็นการผิดสัญญา
เมื่อกี้เห็นจั่งชิงหยางพูดถึงทํานองนรก เขาดูช่ น
ื ชมมันมาก ฉีหนิง
รู้สึกไม่ดีเลย คิดในใจว่าหากจั่งชิงหยางถามถึง เขาจะตอบยังไงดี แต่ว่า
จั่วชิงหยางกลับไม่ถามเลยสักคํา ฉีหนิงคิดในใจว่าต่อให้จ่ัวชิงหยางไม่
ถาม เขาเองก็ควรจะบอกความจริงให้เขาได้รู้

ใครจะคิดว่าจั่งชิงหยางพอได้ยน
ิ แบบนั้นแล้ว ท่าทางกลับนิ่งมาก อีกทั้ง
ยังมีรอยยิม
้ บนใบหน้าด้วย เขาถามว่า “เจ้าเอาให้เป่ยกงเหลียนเฉิงแล้ว
ใช่ไหม?” น�าเสียงของเขานิ่งมาก เหมือนเดาออกแล้วว่าทํานองนรกมัน
อยู่ในมือของเป่ยกงเหลียนเฉิงแล้ว ส่วนคงฉานไต้ซือนั้น ก็ท่าทางนิ่ง
เหมือนกัน เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
เล่มที่ 48 บทที่ 1426 ฝูผิง

ฉีหนิงฉลาดมาก จั่วชิงหยางถามมาแบบนี้ เขาเดาได้เลยว่าเรื่องนี้


ต้องมีอะไรเบื้องหลังแน่ เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่านมอบ
ทํานองนรกนี่ให้ข้า คงแค่อยากยืมมือข้า มอบมันให้กับเทพกระบี่สินะ”
เขานึกถึงตอนที่จ่ัวชิงหยางหายตัวไปแล้ว เขาก็กังวลใจมาตลอด แต่เขา
กลับอยูท
่ ี่วัดต้ากวงหมิงอย่างสบายใจ อีกทั้งยังเหมือนหลอกใช้เขา ฉี
หนิงก็รู้สึกไม่พอใจมาก

คงฉานไต้ซือพนมมือแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องอย่าได้โมโหเลย คนที่


เราจะรับมือด้วยนั้นล้วนแต่เป็นคนที่ฉลาดเป็นกรด ดังนั้นแต่ละก้าวที่
เราต้องการเดินเลยต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ จะให้อีกฝ่ายตามเราทัน
ไม่ได้ ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างที่ทําไปจะจบลง”

“คนที่ต้องการรับมืองั้นเหรอ?” ฉีหนิงคิดตามว่าคนพวกนี้มา
รวมตัวกัน มันถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา
แน่

คงฉานไต้ซือเป็นเจ้าอาวาสของวัดต้ากวงหมิง วัดต้ากวงหมิงเป็น
อารามหลวงของแคว้นฉู่ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มอํานาจในยุทธภพอันดับต้นๆ
พูดกันจากใจ คงฉานไต้ซือมีความสามารถมีฝม
ี ือแข็งแกร่งมากกว่าที่
เขาคิด สามารถทําให้คงฉานไต้ซือร่วมมือด้วยได้ อีกทั้งยังทําอย่าง
ระมัดระวังขนาดนี้ มันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่

ฉีหนิงพลันนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ประมุขพรรคกระยาจกเซี่ยงไป๋อ่ิงบาดเจ็บสาหัสซ่อนตัวอยู่ในถ�า
สุสาน เคยฝากเรื่องหนึ่งมาให้คงฉานไต้ซือ ฉีหนิงยังจําเรื่องในตอนนั้น
ได้ดี เซี่ยงไป๋อิ่งให้มาบอกคงฉานไต้ซอ
ื ว่า สิ่งที่พวกเขาสองคนตกลงกัน
ไว้น้น
ั เกรงว่าเขาอาจจะไม่สามารถทําให้ได้แล้ว

เซี่ยงไป๋อิ่งเองก็ไม่ได้บอกว่าพวกเขาตกลงหรือนัดหมายอะไรกัน ฉี
หนิงเองก็ไม่สะดวกที่จะไปถามหรือไปยุ่ง

แต่ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไปแล้ว เขาคิดว่าหรือว่าสิ่งที่ท้ังสองตก
ลงกันจะเกี่ยวข้องกับฝูผิง?

จั่วชิงหยางกลับไม่ได้ตอบในทันที สีหน้าท่าทางจริงจังมากขึ้น เขา


ถามว่า “วันนี้ที่เจ้าขึ้นเขามา เพราะต้องการรูถ
้ ึงชาติกําเนิดของเจ้าใช่
ไหม?”

ฉีหนิงนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที

เป้าหมายที่เขาขึ้นเขามาในวันนี้ ก็เพื่อถามเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนจิ่น
อีโหว พอถามจี้เอามากๆ คงฉานไต้ซือถึงได้เรียกจั่วชิงหยางออกมา
ฉีหนิงเห็นจั่วชิงหยางออกมา เขาตกใจมาก หัวข้อกาพูดคุยเลย
ตามน�าของจั่วชิงหยางไป เขาไม่ได้รีบร้อนจะถามเรื่องของหลิวซู่อี พอ
จั่วชิงหยางพูดถึงเรื่องชาติกําเนิดของเขาขึ้นมา ฉีหนิงพูดว่า "ถูกต้อง"
พอคิดว่าหลิวซูอ
่ ีกับฉีจ่ิงต่างเล่าเรียนวิชากับจั่วชิงหยาง แสดงว่าเขา
ต้องรู้ความจริงเรื่องนี้แน่นอน เขาเลยถามว่า “ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่อง
นี้บ้างไหม?”

จั่วชิงหยางนิ่งไป สุดท้ายก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าเองก็จะไม่ปิดเจ้า เจ้า


..... ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉีจริงๆ”

ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฉีหนิงจะสงสัยในเรื่องนี้มาก แต่เขาก็ไม่ได้ม่น
ั ใจ
พอจั่วชิงหยางพูดมาแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นฉีหนิงอาจจะไม่เชื่อ แต่สิ่งที่
จั่วชิงหยางพูดมา ฉีหนิงเชื่ออย่างสนิทใจ อย่างน้อยในเรื่องนี้ ฉีหนิงก็
ไม่ได้คิดว่าเขาโกหก

เขาเหลือบไปมองจั่วชิงหยาง แล้วพูดว่า “ตอนที่คนของวัดต้ากวง


หมิงไปอยู่ที่จวนจิ่นอีโหวนั้น ได้วางกับดักเอาไว้เพื่อป้องกันคนลอบเข้า
มาชิงเด็กไป คนๆ นั้น ......”

“คนๆ นั้นคือพ่อแท้ๆ ของพวกเจ้า” จั่วชิงหยางพูด

ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ
จั่วชิงหยางใช้คําว่า “พวกเจ้า” ไม่ใช่ “เจ้า” แค่คําเรียกขาน ฉีหนิง
ก็รู้สึกได้ว่าจั่วชิงหยางรู้อะไรมากกว่าที่เขารู้แน่นอน

สาเหตุที่เขาไม่ม่น
ั ใจเลยว่าเสี่ยวเตียวเอ๋อร์กับจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อจะไม่ใช่
สายเลือดของตระกูลฉี เพราะหลิวซู่อีเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลฉี แล้ว
จะมีสัมพันธ์ลับๆ กับชายคนอื่นได้ยังไง? หลิวซูอ
่ ีแต่งงานเข้าตระกูลฉี
สามีคนเดียวของนางก็คือฉีจิ่ง หลิวซู่อีคลอดลูก ก็ต้องเป็นลูกของฉีจิ่ง
หากหลิวซู่อีคลอดลูกออกมาแล้วไม่ใช่สายเลือดของตระกูลฉี ถ้าอย่าง
นั้นก็หมายความว่าหลิวซู่อีทําผิดศีลธรรมร้ายแรงที่ตระกูลใหญ่ไม่อาจ
ให้อภัยได้เลย

พริบตาเดียว ฉีหนิงก็เหมือนจะพอเข้าใจความรู้สึกของไท่ฮูหยิน
ขึ้นมา ว่าทําไมนางถึงได้ทํากับจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อแบบนั้น

ตระกูลฉีเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ ให้ความสําคัญกับเรื่องของ
สายเลือดมาก ส่วนผู้ชายในตระกูลฉีน้ันต่างออกรบทําศึก จวนจิ่นอีโหว
มีไท่ฮูหยินเป็นคนดูแลทั้งหมด อยู่ใต้จมูกของนาง หลิวซู่อีกลับมี
สายเลือดของคนอื่นได้ มันถือเป็นเรื่องที่นางรับไม่ได้ นางไม่มท
ี างยอม
ให้ตระกูลฉีเกิดเรื่องน่าอายแบบนี้แน่นอน ถึงได้ทํากับจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อแบบ
นั้น ซึ่งมันก็พอเข้าใจได้

“เขาเป็นใคร?” ฉีหนิงนิง่ ไปครูห


่ นึ่ง แล้วถาม
ทําให้หลิวซู่อีทรยศผู้ชายอย่างฉีจิ่งได้ แสดงว่าต้องไม่ใช่คน
ธรรมดาแน่ ผู้ชายคนนั้นรู้ท้ังรู้ว่าบุกเข้าไปในจวนตระกูลฉียังไงก็มก
ี ับ
ดัก แต่ก็ยังเสี่ยงไป แสดงว่าเขากับหลิวซู่อีน้ันรักกันมาก คนแบบนี้น้น

จะเป็นใครไปได้นะ?

จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือมองหน้ากัน แต่ไม่ได้พด
ู อะไร

ภายในห้องเงียบไป ฉีหนิงอดถามขึ้นใหม่ไม่ได้ “เขาเป็นใครกัน


แน่?”

“เขาคือฝูผิง” จั่วชิงหยางถอนหายใจแล้วพูด

ฉีหนิงตกใจมาก เขาพูดว่า “หมายความว่า เขา ..... เขาก็เป็นคนใน


กลุ่มฝูผงิ งั้นเหรอ?”

จั่วชิงหนางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฝูผิงในวันนี้ อันที่จริงก็เกิดมา


จากเขา หากไม่มเี ขา ก็คงไม่มก
ี ลุ่มฝูผงิ ในวันนี้”

ฉีหนิงเริ่มเข้าใจทันที ว่าจั่วชิงหยางพูดเรื่องของฝูผิงมาตั้งมากตั้ง
มาย เพราะสิ่งที่เขาต้องการจะบอกก็คือ คนๆ นั้นคือคนในกลุ่มของฝู
ผิง

ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจแน่ชัดแล้วว่า ฝูผิงมันคือกลุ่มๆ หนึ่ง


อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ เขารู้แล้วว่าสมาชิกในกลุ่มนีม
้ ีสามคน คง
ฉานไต้ซือ จั่วชิงหยาง ลิ่งหูซี ทั้งสามคนนี้ล้วนแต่ไม่ใช่คนธรรมดา
ดังนั้นคนที่จะเข้าร่วมในกลุ่มนีน
้ ้ัน ต้องเป็นคนไม่ธรรดาแน่นอน

กลุ่มๆ หนึ่ง ก็ต้องมีคนก่อตั้ง

ฟังจากความหมายของจั่วชิงหยาง เหมือนจะบอกว่าคนๆ นั้นคือผู้


ก่อตั้งกลุ่มฝูผิงนี่ข้ึนมา

สามารถดึงคนอย่างคงฉานไต้ซอ
ื เข้าร่วมกลุ่มได้ แสดงว่า
ความสามารถของเขานั้นมันไม่ธรรมดาเลย

“ท่านอาจารย์ บอกข้าทีได้ไหม ว่าเขาเป็นใครกันแน่ แล้วตอนนี้


เขาอยู่ที่ไหน?” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจัง

จั่วชิงหยางถอนหายใจแล้วพูดว่า “สิง่ ที่ข้าบอกกับเจ้าไปในวันนี้


ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะอยากจะให้เจ้ารู้ว่า คนที่เจ้ากําลังตามหา
ตัวอย่างเต็มที่น้ัน เขายังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งเขาจะต้องมายืนอยู่
ตรงหน้าของเจ้าแน่นอน”

ฉีหนิงฟังออกว่าจั่วชิงหยางหมายความว่ายังไง “ท่านไม่อยากบอก
ข้าว่าเขาเป็นใครงั้นเหรอ?”
“บอกเจ้าไหม ให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองเถอะ” จั่วชิงหยางพูดว่า
“แต่ว่าตอนนี้เจ้าเป็นอี้เหิงอ๋องของแคว้นฉู่ ฝ่าบาทเองก็ทรงคาดหวังใน
ตัวเจ้ามาก เจ้าก็อย่าได้ทําให้พระองค์ผิดหวังล่ะ”

ฉีหนิงคิดในใจว่าในเมื่อจั่วชิงหยางพูดมาแบบนี้แล้ว ดูท่าต่อให้เขา
ถามอะไรไปก็คงไม่ได้คําตอบอะไรแล้ว

แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ เรื่องนี้มน
ั เหมือนตั้งใจบอกกับเขา
เขาก้มหน้าลง แล้วพูดว่า “ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งยังไม่ค่อยเข้าใจนัก อยาก
ขอคําชีแ
้ นะกับคงฉานไต้ซือสักหน่อย”

“เชิญกล่าวมาได้เลย”

“ไต้ซือสั่งให้คนไปวางกับดักเอาไว้ที่จวนจิ่นอีโหว เพื่อรับมือกับ
คนๆ นั้น หลังจากนั้นก็ให้หนิ่วโถวหม่าเมี่ยนแฝงตัวเข้าไปอยู่ในจวน ก็
เพื่อป้องกันไม่ให้คนๆ นั้นกลับบมาแก้แค้นตระกูลฉีอีก” ฉีหนิงพูดว่า
“นอกจากนี้ เพราะมีคนรู้ฐานะที่แท้จริงของข้า รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร
ดังนั้นเลยระแวงข้ามาก อีกทั้งดูเหมือนหวาดกลัว ถ้าเป็นไปตามนั้น
คนๆ นั้นน่าจะเห็นวัดต้ากวงหมิงเป็นศัตรู พูดง่ายๆ ก็คือเหมือนต้าฉู่
ของเราจะหวาดกลัวเขามาก” เขามองไปที่จ่ัวชิงหยาง “แต่ว่าท่าน
อาจารย์กลับบอกว่า เขาคือคนของฝูผิง แสดงว่าเขาต้องเป็นพวก
เดียวกันกับพวกท่าน ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่ท่านทั้งสองพูดมามันไม่ดข
ู ัดแย้ง
กันหน่อยเหรอ?”
คงฉานไต้ซือส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เลย ไม่เลย ฝูผิงมีเรื่องต้องทํา
แค่เรื่องเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันทั้งนั้น
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เรามีอุดมการณ์เหมือนกันแค่อย่างเดียว”

“ท่านอาจารย์เริ่มแผนการของท่านที่ตงไฮ่เมื่อสิบปีที่แล้ว” ฉีหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แผนการของกลุ่มฝูผิง ก็ต้องมีมานานกว่าสิบปี
แล้ว สามารถทําให้พวกท่านมีอุดมการณ์จุดยืนได้ม่ันคงขนาดวางแผน
กันมาเป็นสิบปี แสดงว่าคู่ปรับของพวกท่านต้องไม่ธรรมดาแน่” เขา
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เมื่อกี้ท่านอาจารย์ก็บอกเองว่า แผนที่วาง
เอาไว้ที่ตงไฮ่ อยากจะให้ตระกูลเจียงนั้นนําเรื่องของทํานองนรกไปบอก
กับท่านเจ้าเกาะ จากนั้นท่านก็มอบทํานองนรกให้ข้า อาศัยข้านํามันไป
ให้กับเป่ยกงเหลียนเฉิง ดังนั้นคู่ปรับของกลุ่มฝูผิงก็นา่ จะเป็น ...... ต้า
จงซือ”

คงฉานไต้ซือกับจั่วชิงหยางเหมือนจะไม่ได้แปลกใจเลย พวกเขา
บอกเบาะแสออกไปเยอะมากพอสมควร หากว่าจนถึงตอนนี้ฉห
ี นิงยัง
คิดไม่ออกว่าคู่ปรับของกลุ่มฝูผิงเป็นใคร งั้นก็คงไม่ใช่ฉีหนิงแล้ว

สีหน้าของพวกเขานิ่งมาก พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเลย ฉีหนิงมองไป


แล้วพูดว่า “กลุ่มฝูผิงวางแผนจัดการกับต้าจงซือ แต่ว่า ......” เขาหยุด
ไปแล้วไม่ได้พูดอะไร จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้านึกอะไรขึ้นมาได้ล่ะ
พูดออกมาได้เลย”
“กลุ่มฝูผิงเห็นต้าจงซือเป็นคู่ปรับ แสดงว่าต้องเข้าใจต้าจงซือมา
กพอสมควร” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเขาไม่ได้แค่ฉลาด แต่วรยุทธ์ก็เหนือ
กฎเกณฑ์ไปแล้ว” เขามองไปที่คงฉานไต้ซือแล้วพูดต่อว่า “การจะ
รับมือกับต้าจงซือ ไม่ใช่แค่มีคนมากแล้วจะทําได้สําเร็จ ในสายตาของ
พวกเขา ไม่ว่าจะมีกี่คน มันก็ไม่ต่างอะไรกับมดตัวหนึ่งเท่านั้น”

“พูดต่อไปสิ”

“พวกท่านไม่ว่าจะเห็นต้าจงซือคนไหนเป็นศัตรู โอกาสชนะมัน
แทบไม่มีเลย ขออภัยที่ผู้น้อยต้องพูดตามตรง ในสถานการณ์ที่
ความสามารถมันเด่นชัดแบบนี้ แผนการที่มใี ม่ว่าจะวางไว้ยังไงมันก็ไม่
ได้ผลหรอก” ฉีหนิงนึกถึงความสามารถที่พวกต้าจงซือมีมน
ั น่าตกใจแค่
ไหน เขาก็พด
ู ว่า “แต่ว่าพวกท่านเหมือนจะเล่นงานแค่ต้าจงซือสองคน
ข้าคิดไม่ออกเลยว่ากลุ่มฝูผิงของพวกท่านจะไปชนะได้ยังไง” เขาเอน
ตัวขึ้นหน้าเล็กน้อย เขาจ้องไปที่ตาของจั่วชิงหยางแล้วพูดว่า “สิ่งที่ข้า
ไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ ท่านอาจารย์กับไต้ซือทําไมถึงได้เข้าร่วมกลุ่มฝู
ผิง ทําไมต้องเห็นพวกต้าจงซือเป็นศัตรูด้วย? ท่านทั้งสองก็เป็นคน
ฉลาดด้วยกันทั้งคู่ หรือว่าท่านไม่รู้ว่ามันไม่มีโอกาสชนะเลย”

จั่วชิงหยางยิม
้ แล้วพูดว่า “ที่เจ้าพูดมามันไม่ผิดเลย ไม่ว่าจะเป็น
ใคร ถ้าเห็นต้าจงซือเป็นศัตรู มันเป็นเรื่องที่โง่เขลามาก” เขาหยิบกาน�า
ชาขึ้นมา แล้วรินชาลงในถ้วยชา แล้วพูดว่า “อย่างที่เจ้าบอก การ
เห็นต้าจงซือเป็นนศัตรู โอกาสชนะแทบไม่มีเลย”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านเองก็รู้ แล้วทําไม ......?”

“เจ้าอยากจะรู้สาเหตุง้ันเหรอ?” จั่วชิงหยางรินชาไปแค่ครึ่งเดียว ก็วาง


กาลง เขายิ้มแล้วพูดว่า “แล้วเจ้ายินดีจะเข้าร่วมกลุ่มฝูผิงของเราด้วย
หรือเปล่าล่ะ?”
เล่มที่ 48 บทที่ 1427 หมากแห่งความเป็นความตาย

พริบตาเดียว ฉีหนิงก็เหมือนจะเข้าใจเป้าหมายของจั่วชิงหยางใน
วันนี้แล้ว

กลุ่มฝูผงิ ต้องการจัดการกับต้าจงซือ เรื่องนี้เป็นความลับใหญ่มาก


หากเป็นคนทั่วไปที่พด
ู ออกมา เกรงว่าจะมีแต่คนหัวเราะจนฟันร่วง ต่อ
ให้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพพูด ก็คงมีแต่คนที่ยิ้ม

แต่ว่าฝูผิงเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น

คนที่อยู่ในกลุ่ม มีแต่คนไม่ธรรมดาทั้งนั้น อีกทั้งลิ่งหูซีเป็นชาวง


ตงฉี หากคนในโลกรู้ว่าพวกเขาคิดจะจัดการกับต้าจงซือ ไม่มใี ครกล้า
หัวเราะออกมาแน่นอน

เรื่องนี้เป็นความลับแบบสุดยอด

ความลับสุดยอดแบบนี้ กลุ่มฝูผิงไม่มท
ี างเล่าเรื่องพวกนี้บอกกับ
คนนอกแน่นอน คนพวกนี้ทําอะไรระวังกันมาก ฉีหนิงถึงแม้จะยังไม่รูว
้ ่า
แผนการของพวกเขาคืออะไร แต่ก็แน่ใจว่า ทุกอย่างที่พวกเขาทํา
ระมัดระวังมาก ไม่ได้ทําอะไรให้เกิดช่องโหว่เลย เพราะศัตรูของพวก
เขาคือต้าจงซือ หากพลาดแม้แต่นิดเดียว ผลที่จะได้รับไม่มีใครกล้านึก
ถึง

แต่จ่ัวชิงหยางวันนี้บอกความลับสุดยอดแบบนีใ้ ห้เขาฟัง

ถึงแม้จ่ัวชิงหยางจะอายุมากแล้ว แต่เขาไม่ใช่คนที่จะมานั่งเล่า
เรื่องอะไรกับคนอื่นแบบไม่มส
ี าเหตุแน่

จากชาติกําเนิดของเขาโยงไปเรื่องของฝูผิง จากเรื่องของฝูผิงโยง
ไปถึงชาติกําเนิดของเขา สุดท้ายแล้วฉีหนิงก็เข้าใจ วันนีเ้ ป้าหมายของ
จั่วชิงหยาง ก็คือการชักชวนเขาให้เข้าร่วมกับกลุ่มฝูผิง

“ท่านอาจารย์เริ่มอยากจะให้ข้าเข้าร่วมกลุ่มฝูผิงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลังจากนั้นอยูน
่ าน ฉีหนิงก็เอ่ยปากถามขึ้นมา

จั่วชิงหนางลูบเคราแล้วพูดว่า “ไม่นานมานี่แหละ แต่ก็เป็น


ช่วงเวลาที่สําคัญมาก”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ในแผนการของฝูผิง ข้าสําคัญขนาดนั้นเลย
เหรอ?”

“แผนการของเราในแต่ละรายละเอียด เราคิดทบทวนมาแล้วอย่าง
ดี เพราะในแต่ละราละเอียดหากเกิดช่องโหว่ ก็อาจจะทําให้ทุกอย่างจบ
ลงได้” จั่วชิงหยางสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “หากแผนการของกลุ่มฝูผงิ
มันเป็นภาพวาด ถ้าอย่างนั้นมันก็ยังขาดลายเส้นสุดท้ายอยู่ แล้วเจ้าก็
เป็นลายเส้นสุดท้ายที่ทําให้มน
ั สมบูรณ์ได้”

“ลายเส้นสุดท้ายงั้นเหรอ?”

“หากได้ลายเส้นสุดท้ายนี้มา พูดได้เลยว่าแผนการของเรา
ใกล้เคียงกับคําว่าสมบูรณ์แน่นอน” จั่วชิงหยางพูดอย่างจริงจังมากกว่า
“แต่ว่าหากวาดมันไม่ดี ถ้าอย่างนั้นภาพที่วาดมากก่อนหน้านั้นทั้งหมด
ก็จะสูญเปล่า”

“ท่านอาจารย์บอกว่าคิดอยากจะให้ข้าเข้าร่วมกลุ่มฝูผงิ เมื่อไม่
นานมานี้ แต่ว่าแผนการทั้งหมดนี้มน
ั เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว”
ฉีหนิงพูดว่า “หรือว่าตอนที่วางแผนกัน ไม่ได้มีลายเส้นสุดท้ายที่
สมบูรณ์แบบเลย?”

“ไม่เลย” จั่วชิงหยางพูดว่า “อาจจะพูดได้เลยว่าหากไม่ได้เจ้า


ลายเส้นสุดท้ายนี้จนวินาทีสุดท้ายก็คงไม่สมบูรณ์”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ดังนั้นเพื่อป้องกันความผิดพลาด ท่านก็เลย
ต้องการให้ข้าเข้าร่วมแผนการของท่านด้วย” เขายกน�าชาขึ้นดื่มแล้ว
พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่า ในแผนการของพวกท่าน
ข้าทําหน้าที่อะไรงั้นเหรอ?”
“ลายเส้นสุดท้าย” จั่วชิงหยางพูดว่า “หลังจากเจ้าเข้าร่วมกลุ่มเรา
แล้ว เราจะทําการฝึกเจ้า รอจนเวลาที่เหมาะสม ก็สามารถดําเนินการ
ตามแผนการได้เลย”

“แล้วไอ้ลายเส้นสุดท้ายที่ได้น้น
ั มันคืออะไรล่ะ?” ฉีหนิงพูดว่า “ใน
เมื่ออยากจะให้ข้าเข้าร่วมกลุ่มด้วย ก็ต้องชี้แจ้งให้ข้ารูส
้ ิว่าแผนการของ
พวกท่านมันคืออะไร”

“คนที่เข้าร่วมแผนการนี้ที่จริงก็มห
ี ลายคน” จั่วชิงหยางพูดว่า “ข้า
ก็พูดกับเจ้าตามตรง คนที่รู้แผนการนี้ท้ังหมดทุกสัดส่วนนั้นมีอยู่สามคน
นอกจากพ่อแท้ๆ ของเจ้าแล้ว ก็คือข้ากับคงฉานไต้ซอ
ื เราสามคนคือ
คนที่คุมสถานการณ์ทุกอย่างเอาไว้ อีกทั้งแต่ละก้าวเดินของแผนการนี้
ก็จะมีคนดําเนินการอย่างเต็มที่ พวกเขาแค่ต้องเดินแผนการในส่วน
ของตัวเองเท่านั้น ไม่จําเป็นต้องรู้แผนการทั้งหมด”

“หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ท่านไม่ได้เชื่อใจคนที่เข้าร่วมแผนการนี้


เลยใช่ไหม?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพราะท่านกังวลว่าหาก
แผนการมันหลุดรอดไป จะทําให้ทุกอย่างสูญเปล่า”

จั่วชิงหยางพยักหน้าแล้วพูดว่า “มีความกังวลแบบนั้นจริง หรือจะ


พูดง่ายๆ ว่า คนรู้มากไป มันไม่ใช่เรื่องดี”
ฉีหนิงพูดว่า “หากข้าเข้าร่วมแผนการของกลุ่มฝูผิง ก็ไม่
จําเป็นต้องรู้แผนการทั้งหมด ขอแค่รอให้ถึงเวลา แล้วก็ทําตามท่านสั่งก็
พอ อย่างนั้นใช่ไหม?”

จั่วชิงหยางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง”

“ในหลายปีที่ผา่ นมา วัดต้ากวงหมิงส่งสายเข้าไปอยู่ในจวนจิ่นอี


โหว ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ฝูผิงท่านนั้นปรากฎตัวขึ้น ที่จริงก็คือป้องกันข้า”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “คงฉานไต้ซือ ท่านจะปฏิเสธหรือเปล่าว่า
ที่ไหวหนานอ๋องเซียวจางรู้ถึงชาติกําเนิดของข้า มันเกี่ยวข้องกับท่าน
ด้วย?”

คงฉานไต้ซือพนมมือแล้วพูดว่า “อาตมาก็จะไม่ปิดท่าน เพื่อ


ป้องกันความผิดพลาด อาตมาได้ทําการไหว้วานไหวหนานอ๋อง ให้เขา
เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของท่านในราชสํานัก เพื่อไม่ให้ท่านทําอะไรที่
เป็นภัยต่อแคว้นฉู่จริง”

ฉีหนิงยิม
้ “ที่เซียวจ้าวจงรู้เรื่องนี้ หลังตายไปยังสั่งให้คนปล่อยข่าว
ออกไปอีก ก็น่าจะเป็นแผนการของไต้ซือด้วยสินะ”

“อาตมากําชับกับไหวหนานอ๋อง ว่าเรื่องนี้หา้ มพูดกับใครเด็ดขาด”


คงฉานไต้ซือถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่อาตมาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า
ไหวหนานอ๋องจะผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับอาตมา บอกเรื่องนี้กับเซียวจ้าว
จง และก็คิดไม่ถึงด้วยว่าหลังจากที่เซียวจ้าวจงตายไป เขายังทําให้ห
ท่านอ๋องต้องวุ่นวายมากขนาดนี้”

ฉีหนิงก็ไม่ได้พด
ู อะไรให้มากความกับคงฉานไต้ซือ เขาหันไปมอง
จั่วชิงหยาง “ท่านอาจารย์ตอนนั้นจู่ๆ ก็หายตัวไป ข้ากังวลใจอยู่ตลอด
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านแค่หลอกใช้ข้าเพื่อให้ขา้ นําทํานองนรกนั่นมอบ
ให้กับเทพกระบี่ ในสายตาของท่าน ข้ามันก็แค่หมากตัวหนึ่งของ
แผนการของกลุ่มฝูผิงเท่านั้น ข้าน่าจะพูดไม่ผิดใช่ไหม ท่านอาจารย์?”

จั่วชิงหยางลังเลแล้วพูดว่า “มันไม่ใช่แค่เจ้า ข้ากับไต้ซือเอง ที่จริง


ก็เป็นหมากบนกระดานหมากรุกตานี้เหมือนกัน แต่ว่าหมากตานี้ยังไง
เราก็ต้องชนะ”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านกับไต้ซืออาจจะยังไม่ทราบ
ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกลียดการเป็นหมากให้คนอื่นหลอกใช้ที่สุด พวก
ท่านจะใช่หมากบนกระดานนีห
้ รือเปล่า ข้าไม่สนใจหรอกนะ แต่ข้าไม่
อยากให้ตัวเองต้องเป็นหมากของใคร” เขายิ้มแล้วพูดว่า “คู่ปรับของ
พวกท่านคือต้าจงซือ ส่วนข้าก็ไม่ได้มีความแค้นหรือปัญหาอะไรกับต้า
จงซือ เพราะฉะนั้นข้าไม่ได้มีเหตุผลต้องเห็นพวกเขาเป็นศัตรู ผู้อาวุโส
ทั้งสองเองก็ไม่จําเป็นต้องบังคับฝืนใจใครหรอกนะ”
จั่วชิงหยางพูดว่า “แผนการของฝูผิงท่านพ่อของท่านเป็นคนคิด
ขึ้นมานะ หรือว่าท่านไม่อยากจะช่วยท่านพ่อของท่านทําแผนการนีใ้ ห้
สําเร็จ?”

“จนตอนนี้ข้ายังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แค่คําพูดของ
ท่านอย่างเดียว ก็จะให้ข้าไปเป็นศัตรูกับต้าจงซือ ข้าเรียนตามตรงข้ารับ
ไม่ได้หรอกนะ” ฉีหนิงค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “ข้ารับปากกับพวก
ท่านตรงนี้ได้เลยว่า สิ่งที่ข้าได้ยินในวันนี้ข้าจะถือว่าข้าไม่เคยได้ยินหรือ
รับรู้อะไรทั้งนั้น หลังจากที่ลงเขาไปแล้ว จะไม่มเี รื่องที่ได้ยินบนเขาออก
จากปากของข้าแม้แต่คําเดียว หมากตัวใหญ่ที่อยู่บนกระดานอย่างพวก
ท่าน ใครจะแพ้จะชนะ มันจะไม่เกี่ยวข้องกับข้า” เขายกมือคํานับแล้ว
พูดว่า “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว วันนี้รบกวนมามาก ข้าขอตัวกลับก่อน”

เขาเองก็ไม่พูดมาก หันหลังแล้วกําลังจะเดินไป จั่วชิงหยางกับคง


ฉานไต้ซือมองหน้ากัน แล้วพูดขึ้นมาว่า “ช้าก่อน”

ฉีหนิงไม่ได้หน
ั หลังกลับมา เขาถามว่า “ท่านอาจารย์กังวลว่าข้าจะ
เอาแผนการของฝูผิงไปมองคนอื่นเหรอ?”

“ไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอก แต่กังวลว่าถ้าพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ก็
จะไม่มีโอกาสต่อไปอีก” จั่วชิงหยางถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ากับไต้ซือ
อายุก็มากแล้ว แผนการในครั้งนี้เราคิดวางแผนทํากันมากว่าสิบปี หาก
เราตายไป ไม่แน่ว่า ......”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว เขาฟังคําพูดนีแ
้ ล้วก็รู้สก
ึ งงๆ แต่ว่าเขาตัดสินใจไป
แล้ว เขาจะไม่ไปเข้าร่วมเป็นศัตรูกับต้าจงซือเด็ดขาด ดังนั้นเขารู้เรื่องนี้
น้อยเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น

ถ้าไม่เคยเห็นฝีมือของต้าจงซือมาก่อน ก็ไม่มท
ี างรู้ว่าต้าจงซือน่า
กลัวขนาดไหน

หลายคนในโลกรู้ว่าต้าจงซือน่ากลังแค่ไหน แต่ว่ามันก็แค่ความ
กลัวทางความคิด ส่วนสิ่งที่ฉห
ี นิงเห็นมันคือฝีมือของเขาจริงๆ เขารู้ว่า
พวกเขาไม่ต่างกับสัตว์ประหลาดเลย

ถ้าต้องไปเป็นศัตรูเขาพวกเขาเหล่านั้น มันเหมือนรนหาที่ตาย
ชัดๆ

อย่างที่ฉีหนิงพูดมา เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มีฝีมือที่แท้จริง แผนการ


สมบูรณ์แบบแค่ไหนมันก็ไม่มีผล ที่สําคัญคือ จนถึงตอนนี้ ฉีหนิงกับต้า
จงซือไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ดังนั้นเขาไม่มีเหตุผลกับแรงจูงใจอะไรที่
ต้องไปเสี่ยงกับแผนการแบบนั้น

เขาอยากรู้เรื่องของหลิวซู่อีกับท่านผู้น้น
ั อยู่ แต่หากเพื่อสืบชาติ
กําเนิดของตัวเองจะต้องไปเสี่ยงอะไร ฉีหนิงรู้สก
ึ ว่าให้มน
ั พอแค่นี้ดีกว่า

เขาอยากรู้ชาติกําเนิดของตัวเอง แต่ว่าก็ไม่ได้มเี หตุผลอะไรที่ถึง


ขนาดว่าจําเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร เพราะถึงแม้เขาจะมี
ร่างกายของเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ แต่ว่าวิญญาณสติของเขามันเป็นของอีก
คน ดังนั้นในใจของฉีหนิง คนๆ นั้นต่อให้เป็นพ่อแท้ๆ ของสองฝาแฝด
นั่น แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผูกพันธ์ทางสายเลือดอะไรกับเขา

รู้ท้ังรู้ว่ากล่องที่อยู่ตรงหน้าเขาอาจจะเป็นกล่องสมบัติมีราคา หาก
เปิดมันออกอาจทําให้เขาต้องเจออันตรายกับความยุง่ ยาก ฉีหนิงก็
พร้อมจะเดินหนี ไม่ไปเปิดกล่องสมบัติน้น

เมื่อออกมาจากบ้านพักไม้ เขาก็เดินลงจากเขาทันที ตลอดทางก็ไม่


มีใครรั้งเขาเอาไว้

หลังจากที่ฉห
ี นิงพากู้ชงิ ฮั่นกลับมาเมืองหลวง ก็ได้ยินข่าวลือเรื่อง
นี้ แม้แต่จวนอ๋องก็ไม่ได้กลับไป เขาจัดการเรื่องของกู้ชิงฮั่นเสร็จแล้ว ก็
เดินทางมาที่วัดต้ากวงหมิงเลย ที่จริงก่อนที่เขาจะขึ้นเขามา เขาไม่ได้
คาดหวังว่าจะรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย สุดท้ายจะไม่รู้ว่าคนๆ นั้น
เป็นใคร เขาเลยไม่ได้ผด
ิ หวังอะไรมาก เพราะว่ามันก็เป็นสิ่งที่เขาก็คิด
เอาไว้อยู่แล้ว สิง่ ที่เขาได้รับรู้มามันก็มากพอแล้ว เขาได้รับการยืนยัน
แล้วว่าเด็กแฝดสองคนนั้นไม่ใช่สายเลือดของจิ่นอีตระกูลฉี ดังนั้นเรื่อง
แปลกๆ ก่อนหน้านี้ในจวนจิ่นอีโหว มันก็อธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล
แล้ว

เขาไม่ผด
ิ หวัง แต่หลังจากลงเขาแล้ว เขากลับรู้สึกตื่นกลัว
ก่อนขึ้นเขา เขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนในโลกนี้ที่คิดจะกําจัดต้าจงซือ
อีกทั้งแผนการลับนี้มันดําเนินมากว่าสิบปีแล้ว สิ่งที่เขาตกใจมากที่สด

คือคนที่เข้าร่วมกระบวนการนีล
้ ้วนแต่เป็นคนที่ฉีหนิงคาดไม่ถึงเลย

คงฉานไต้ซือกับจั่วชิงหยางล้วนแต่เป็นคนมีฝม
ี ือ แต่เขาสองคน
กลับไม่ใช่คนต้นคิด คนต้นคิดจริงๆ คือพ่อของเด็กแฝดสองคนนั้น

นอกจากสามหัวเรือใหญ่แล้ว มหาเสนาบดัแคว้นตงฉีลิ่งหูซีเองก็
เข้าร่วม อีกทั้งประมุขพรรคกระยาจกเซีย
่ งไป๋อ่ิงเองก็เหมือนจะเป็นคน
ของกลุ่มฝูผิงด้วย ถ้าอย่างนั้นในแผนการนี้ยังอีกกี่คนที่เข้าร่วม?
แผนการนี้รายละเอียดมันเป็นยังไงกันแน่นะ?

ฉีหนิงอยากรู้ แต่ไม่อยากไปยุ่ง

เป็นศัตรูกับต้าจงซือ มันเป็นเรื่องน่ากลัวมาก หากพลาดไม่ระวัง


ตัวแหลกสลายได้เลย คิดจะเสียใจทีหลังก็แทบจะไม่มีเวลา

ตอนนี้เขาเป็นท่านอ๋องของแคว้นฉู่ นั่งเฉยๆ ให้สาวงามดูแล มีเงินทอง


ให้ใช้ มีอํานาจในมือ เขามีทก
ุ สิง่ ทุกอย่างในมือแล้ว ใครจะอยากจะไป
เสี่ยงอันตรายแบบนั้น แล้วจะไปสูก
้ ับคนที่แทบไม่มีโอกาสชนะแล้วก็
ไม่ใช่ศัตรูของตัวเองด้วยเพื่ออะไรกันล่ะ?
เล่มที่ 48 บทที่ 1428 ตกปลา

ตอนที่ฉห
ี นิงกลับไปถึงจวนจิ่นอีโหว ก็เป็นช่วงเช้าแล้ว

เขาออกไปจากเมืองหลวงในครั้งนี้ เขากับกู้ชิงฮั่นพรอดรักกันอยู่
หลายวัน จากนั้นก็ไปที่วัดต้ากวงหมิง รวมแล้วก็หลายวันอยู่ พอเข้า
จวนมา เขาก็รู้สก
ึ ว่าบรรยากาศมันผิดปกติมาก คนในจวนไม่มีใครกล้า
มองฉีหนิงเลยสักคนเดียว เอาแต่ก้มหน้าลง ฉีหนิงรู้สก
ึ สงสัยมาก เขา
เห็นพ่อบ้านหานโซ่วยืนอยู่ไม่ไกลเหมือนกําลังสั่งให้คนไปทําอะไรสัก
อย่าง เขาก็เลยเรียกเข้ามา หานโซ่วรีบเดินเร็วเข้ามาหา แล้วพูดว่า
“ท่านอ๋อง กลับมาแล้วเหรอขอรับ”

ฉีหนิงได้ยินน�าเสียงของเขา เหมือนมีเรื่องร้อนใจอะไรบางอย่าง
ยังไม่ทันได้ถาม หานโซ่วก็พูดขึ้นก่อนเลย “ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงสั่งให้
คนมาตามถึงสองครั้ง เหมือนจะมีเรื่องด่วนต้องการให้ไปเฝ้า”

ฉีหนิงตะลึงไป หานโซ่วขยับเข้าใกล้ มองซ้ายมองขวา แล้วพูดว่า


“สองสามวันมานี่ฮูหยินอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ท่านอ๋อง ...... ต้องระวัง
หน่อยนะขอรับ”

“อารมณ์ไม่ดีเหรอ?” ฉีหนิงตะลึงไป แล้วรีบถามว่า “เกิดอะไร


ขึ้น?”
“วันก่อนในวังหลวงส่งคนมา แล้วก็ส่งแม่นางคนหนึ่งมาด้วย”
หานโซ่วพูดว่า “แม่นางคนนั้นบอกว่ารักษาตัวอยู่ในวังหลวง ตอนนี้
อาการดีข้น
ึ มากแล้ว ดังนั้นเลยต้องการมาหาท่านอ๋อง นางบอกว่า .....
บอกว่าต่อไปจะขอติดตามท่านอ๋อง ยังบอกอีกว่านางชื่อจั่วเซียนเอ๋อร์
......”

ฉีหนิงถึงกับปวดหัวเลย เขารู้ทันทีว่าซีเหมินจั้นอิงอารมณ์ไม่ดี
เพราะอะไร เขาพูดว่า “แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหน?”

“ถึงแม้ฮูหยินจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่ได้หาเรื่องหรือทําให้นาง
ลําบากใจ” หานโซ่วพูดว่า “สั่งให้เราจัดเตรียมเรือนไว้ให้นาง แล้วก็ให้
แม่นางถังไปดูอาการให้นางด้วยขอรับ”

ฉีหนิงกังวลจริงๆ ว่าซีเหมินจั้นอิงจะโมโหแล้วอาละวาด ไม่ยอมให้


จั่วเซียนเอ๋อร์เข้าจวน พอได้ยินว่าจัดเตรียมที่อยู่ให้เรียบร้อยแล้ว เขาก็
โล่งใจ คิดในใจว่าในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนีแ
้ ล้ว มันคงเปลี่ยนแปลงอะไร
ไม่ได้อีกแล้ว ไว้ค่อยไปง้อซีเหมินจั้นอิงก็แล้วกัน

หานโซ่วยังไม่ทันพูดอะไร ฉีหนิงก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “โย่ว


ท่านอ๋องกลับมาแล้วเหรอ หลายวันมานี่ไม่เห็นหน้าเลย ท่านอ๋องหนีไป
ทํางานที่ไหนมานะ?” น�าเสียงอ่อนหวานมา ฉีหนิงหันไปมอง เขาเห็น
ชื่อตันเหมยกําลังเดินบิดตัวมาหาเขา
ฉีหนิงเห็นชื่อตันเหมย เขาก็ดีใจมาก เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ดูพูดเข้าสิ” ชื่อตันเหมยยิ้มหวานมีเสน่ห์มาก คนยังไม่มาถึงเข้า


ใกล้ กลิ่นหอมก็โชยมาก่อนแล้ว นางพูดว่า “ข้าเข้าพิธีแต่งงานกับเจ้า
แล้วนะ ข้าก็เป็นคนของตระกูลฉีแล้ว ฮูหยินเองก็จัดที่พักให้ข้าแล้วด้วย
ข้าอยากจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ท้ังนั้น” ระหว่างที่พูด นางก็เดินมาข้างๆ
ฉีหนิง แล้วก็เดินวนรอบตัวเขา ทําหน้ายิ้มๆ แล้วก็ดมๆ จากนั้นก็ถอน
หายใจแบบเศร้า “ท่านอ๋องหลายวันที่ผ่านมาคงจะยุ่งมากเลยล่ะสิ คิด
ว่าน่าจะไม่ค่อยได้พักเท่าไหร่ ต้องดูแลสุขภาพด้วยนะ”

คําพูดที่ฟังดูเหมือนห่วงใย แต่ว่ามันเข้าหูของฉีหนิง มันกลับทําให้


เขารู้สึกกลัว

หลายวันที่ผ่านมาเขาอยู่กับกู้ชงิ ฮั่นตลอด ทั้งสองพรอดรักกันทุก


วัน เลยไม่ค่อยได้พักดีดีจริงๆ อย่างที่ว่านั่นแหละ ชื่อตันเหมยพูดแบบนี้
ออกมา มันเหมือนว่านางรู้อะไรมา มันทําให้ฉห
ี นิงทําอะไรไม่ถูก แต่เขา
ก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นคนฝึกยุทธ์ ร่างกายแข็งแรงจะตายไป ต่อให้
พักผ่อนไม่ดีสก
ั สองสามวัน ก็ยงั ไหวอยู่ เจ้าเองก็เป็นคนฝึกยุทธ์ น่าจะรู้
ดีนี่นาว่าข้าน่ะร้ายกาจแค่ไหน”
คําพูดของเขาเองก็แฝงไปด้วยนัยยะ ชื่อตันเหมยฉลาดมาก ทําไม
จะฟังไม่ออก นางมองค้อนใส่เขา แล้วก็หน
ั ตัวกําลังจะเดินออกจากจวน
ไป ฉีหนิงรีบพูดว่า “เจ้าจะไปไหน?”

“ข้าก็มาที่เมืองหลวงตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้ไปเดินเที่ยวที่ไหนเลย”
ชื่อตันเหมยพูดว่า “ได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีของอร่อยตั้งมากมาย
สองสามวันนี่ขา้ เองก็ว่างอยู่ เลยอยากจะออกไปเดินเล่น หาอะไร
อร่อยๆ กินสักหน่อย จริงสิ ได้ยน
ิ ว่าเครื่องหอมในเมืองหลวงก็มีแต่ของ
ดีดีท้ังนั้น ข้าอยากจะไปดูสักหน่อย วันๆ อยู่แต่ในจวน น่าเบื่อจะแย่
แล้ว” นางยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย “ท่านอ๋องจะไปกับข้าด้วยหรือ
เปล่า?”

ฉีหนิงรู้ด้วยนิสย
ั ของชื่อตันเหมย ไม่มท
ี างอยู่ในจวนเฉยๆ อยู่แล้ว
แต่ว่าในวังตามตัวเขาเร่งด่วน เวลาแบบนี้เขาก็คงไปเที่ยวกับชื่อตัน
เหมยไม่ได้ เขาพูดว่า “เดี๋ยวข้าจะไปเข้าวัง ไว้วันหลังเถอะ”

ชื่อตันเหมยเหมือนจะรู้คําตอบอยู่แล้ว นางก็ไม่ได้พด
ู อะไรมา
กําลังจะเดินออกไป ฉีหนิงเรียกนางเอาไว้ก่อนแล้วถามว่า “เจ้ามีเงินติด
ตัวเหรอ?” เขารู้ว่าบนตัวของชื่อตันเหมยน่าจะไม่ได้พกเงิน เขาหยิบถุง
เงินออกมาแล้วโยนให้นาง ชื่อตันเหมยรับถุงเงินไป นางยิ้มแล้วเดิน
ออกไปเลย

“ฮูหยินไม่อยู่ในจวนเหรอ?” ฉีหนิงหันไปถามหานโซ่ว
หานโซ่วตอบว่า “เมื่อวานฮูหยินไปที่จวนเสินโหว แล้วก็ยังไม่
กลับมาเลยขอรับ”

ฉีหนิงคิดในใจว่าดูท่าทางซีเหมินจั้นอิงจะโกรธมาก เขากําลัง
อยากจะไปดูจ่ัวเซียนเอ๋อร์สักหน่อย ด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้นมาอีกว่า
“ท่านอ๋องขอรับ”

ฉีหนิงหันกลับมา เขาเห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา แต่งตัวด้วย


เครื่องแบบของจวนเสินโหว คนๆ นั้นยกมือขึ้นคํานับแล้วพูดว่า “ท่าน
อ๋อง ข้าน้อยเป็นคนของจวนเสินโหว รับคําสั่งให้มารอท่านอ๋องที่จวน
ขอรับ”

“จั้น ...... จั้นอิงให้เจ้ามางั้นเหรอ?”

“ข้าน้อยรับคําสั่งจากศิษย์พี่สามมาขอรับ” คนๆ นั้นพูดว่า “ฝ่า


บาททรงมีรับสั่ง หลังจากท่านอ๋องกลับจวนแล้ว ไม่ต้องเข้าวัง แต่ให้ตรง
ไปที่จวนเสินโหวเลยขอรับ ท่านอ๋องอวี้ต้องการพบท่านอ๋องขอรับ”

“อ๋องอวี้เหรอ?” ฉีหนิงตะลึงไป

ตั้งแต่จับตัวอ๋องอวี้มาจากเซียงหยาง เขาก็ถก
ู กักบริเวณอยู่ในจวน
เสินโหวตลอด ฉีหนิงไปพบเขาถึงสองครั้ง แต่ก็เป็นบัญชาของฮ่องเต้
เพราะว่าต้องการแผนที่ที่อยู่ในมือของเขา แต่ว่าอ๋องอวี้รู้ว่าหากแผนที่
ผืนนั้นตกอยู่ในมือของแคว้นฉู่ มันจะส่งผลร้ายต่อเป่ยฮั่น เขาเลยไม่พด

เรื่องของแผนที่เลยแม้แต่นิดเดียว

ฉีหนิงไปสองครั้งแต่ไม่ได้ผลเลย ดังนั้นเขาเลยไม่คิดอยากจะไป
ถามเรื่องแผนที่กับอ๋องอวี้อีก อีกทั้งก็ลืมไปแล้วด้วยว่ามีคนอย่างเขาอยู่
ใครจะคิดว่าตอนนี้อ๋องอวี้จะอยากเจอเขาขึ้นมา เขารูส
้ ึกแปลกใจมาก
ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เขาอยากจะพบข้าทําไม?”

คนๆ นั้นพูดว่า “หลายวันก่อนไต้เท้าหลูจากกรมกลาโหมไปพบกับ


เขา แต่ว่าเขาไม่พูดอะไรเลยกับไต้เท้าหลู ไต้เท้าหลูกลับไปแบบอารมณ์
เสียมาก แต่ว่าเมื่อวันก่อน อ๋องอวี้กลับพูดขึ้นมาว่าอยากจะพบท่านอ๋อง
แต่ว่าตอนนั้นท่านอ๋องไม่อยู่ที่จวน เราจึงรายงานเรื่องนีใ้ ห้ฝ่าบาททรง
ทราบ ฝ่าบาทจึงทรงรับสั่งให้เรามารอท่านอ๋องกลับมา แล้วให้รีบเชิญ
ท่านอ๋องไปพบกับอ๋องอวี้ ข้าน้อยจึงได้รับคําสั่งให้มารออยู่ตรงนี้ขอรับ”

ฉีหนิงพยักหน้า คิดในใจว่าหลูเซียวจู่ๆไปหาอ๋องอวี้ เรื่องนี้ต้องมี


อะไรแน่ อาจเกิดปัญหาที่ชายแดนแน่ ฮ่องเต้มค
ี ําสั่งให้เขากลับมาแล้ว
รีบไปหาอ๋องอวี้ทันที ดูแล้วน่าจะเรื่องเร่งด่วนมาก เขาก็ไม่เสียเวลาอีก
สั่งให้หานโซ่วไปเตรียมเสื้อผ้า หลังจากเขาเปลี่ยนชุดแล้ว ก็รีบไปที่จวน
เสินโหวทันที ส่วนจั่วเซียนเอ๋อร์น้น
ั รอเสร็จเรื่องแล้วค่อยแวะไปดูก็ยัง
ไม่สาย
พอถึงจวนเสินโหว ก็มีคนเข้าไปรายงาน เหวินชวีเสี้ยวเว่ยหาน
เทียนซุ่ก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเองแต่ก็ไม่ได้รีบร้อนพาเขาไปหาอ๋อ
งอวี้ แต่ว่าพาไปนั่งที่หอ
้ งรับรองก่อน ฉีหนิงมองซ้ายมองขวา แต่เขาก็
ไม่เห็นซีเหมินจั้นอิง

หลังจากน�าชามาแล้ว ฉีหนิงก็ถามขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่สาม ได้ยน


ิ ว่า
ไต้เท้าหลูมาหาอ๋องอวี้เหรอ?”

หานเทียนซู่พูดว่า “หลายวันที่ผ่านมาท่านอ๋องไม่อยูใ่ นเมืองหลวง


อาจจะยังไม่ทราบข่าว ทางชายแดนส่งรายงานมา ลูกน้องของท่านแม่
ทัพเยว่ในกองทัพฉินไหวเซียวผิงจื่อกับทหารอีกห้าพันคนตกหลุมพราง
ของพวกเป่ยฮั่น ตายทั้งหมด ......” เขายังพูดไม่ทันจบ ฉีหนิงก็ตกใจ
มากแล้ว เขาพูดว่า “ตายหมดเลยเหรอ?”

“เรื่องนี้ไม่ได้มีการเปิดเผยในวงกว้าง” หานเทียนซู่พูดว่า “ฝ่าบาท


ทรงกริ้วเพราะเรื่องนี้มาก” จากนั้นเขาก็เล่ารายละเอียดให้ฉห
ี นิงฟัง
คร่าวๆ ฉีหนิงได้ยินว่าจงหลีอ้าวปล่อยน�าจากทะเสสาบไป๋หยางมาที่
แม่น�าไป๋ซู่เห๋อ ตัดเส้นทางย้อนกลับของเซียวผิงจื่อ ทําให้ทหารกว่าห้า
พันนายจนมุมไม่มีทางหนี สีหน้าท่าทางของเขาก็เคร่งเครียดมาก

“เสียทหารไปกว่าห้าพันคน มันส่งผลต่อกําลังใจของทหารฝ่ายเรา
มาก” หานเทียนซู่พูดว่า “แต่จะว่ากันจริงๆ แล้ว มันก็เพราะเราไม่รู้
สภาวะแวดล้อมของที่น่ัน ถึงได้ตกหลุมพรางจงหลีอ้าวแบบนี”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่ทัพที่เชี่ยวชาญการทําศึกคนหนึ่ง
ก็ต้องรูจ
้ ักใช้แวดล้อมในการทําศึกอยู่แล้ว จงหลีอ้าวสามารถเป็นผู้
บัญชาการกองทัพใหญ่ของเป่ยฮั่นได้ เขาก็ต้องรู้เส้นทางทุกอย่างใน
เป่ยฮั่นเป็นอย่างดี” เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว เขาพูดว่า “ไต้
เท้าหลูมาพบอ๋องอวี้ เพราะแผนที่ใช่ไหม?”

หานเทียนซู่พูดว่า “ใช่แล้วขอรับ อ๋องอวี้ยอมทําการสํารวจพื้นที่


ทั้งหมดในแคว้นเป่ยฮั่น เพื่อเลี่ยงการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ เขาพาคนของ
เขาไปทําแผนที่ เท่าที่เรารู้มา มันเป็นแผนที่ที่สมบูรณ์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็น
เส้นทางบนเขา เส้นทางทางน�า เส้นทางบก ทุกซอกทุกมุมละเอียด
มากๆ ถ้าได้แผนที่น่น
ั มาอยู่ในมือ เราก็จะรู้ทุกที่ของแคว้นเป่ยฮั่น ไต้
เท้าหลูเดิมคิดว่าคงจะเกลี่ยกล่อมให้อ๋องอวี้บอกข้อมูลเกี่ยวกับแผนที่ได้
แต่ว่าอ๋องอวี้กลับไม่พด
ู อะไรกับเขาเลยแม้แต่คําเดียว ไต้เท้าหลูเห็นเขา
แบบนั้น ก็คิดว่าคงไม่ได้อะไรจากปากของเขาแน่นอน ก็เลยกลับไป”

“เขาเป็นคนบอกเองเหรอว่าต้องการพบข้า?”

“ใช่ขอรับ เมื่อตอนเช้าของวันก่อน คนที่นําอาหารไปให้เขามา


รายงานว่า เขาอยากให้เราไปเชิญท่านอ๋องมา” หานเทียนซู่พูดว่า
“ตั้งแต่เขาถูกกักบริเวณมาจนถึงตอนนี้ ไม่เคยพูดหรือขออะไรกับเรา
เลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปาก ให้เราไปเชิญท่านอ๋องมา แต่ว่าท่าน
อ๋องไม่อยู่ที่จวน เราเลยจําเป็นต้องทูลรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบ ฝ่า
บาทเลยมีรับสั่ง หลังจากที่ท่านอ๋องกลับมาแล้ว ให้ท่านอ๋องไปพบอ๋อ
งอวี้ทันที ประสงค์ของฝ่าบาท คืออยากจะให้ท่านอ๋องหาโอกาสเกลี่ย
กล่อมให้เขายอมบอกข้อมูลของแผนที่ หากเขามีข้อเรียกร้องอะไร ขอ
แค่ไม่เกินไป ท่านอ๋องรับปากเขาไปได้เลยขอรับ”

ฉีหนิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เขาถูกกักตัวอยู่ในจวนเสินโหว


เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือพูดคุยกับใครเลย นั่นก็หมายความว่า เขาไม่รู้เรื่อง
ที่เกิดขึ้นด้านนอกเลยใช่ไหม”

“เขาถือได้ว่าเป็นนักโทษคนสําคัญของเรา เรามีการจัดเวรยามเฝ้า
เขาตลอดทั้งวันทั้งคืน ข้าน้อยรับประกันได้เลยว่า เขาถูกตัดขาดกับโลก
ภายนอกอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาไม่มีทางได้รู้แน่นอน
ขอรับ” หานเทียนซู่พูดอย่างจริงจัง

ฉีหนิงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อเขาอยากพบข้า ข้าก็จะไปพบเขา”


เขามองซ้ายมองขวา แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่สาม จั้นอิง นาง
......”

หานเทียนซู่พูดว่า “ศิษย์น้องเล็กอารมณ์ไม่ดีนด
ิ หน่อย แต่ว่าท่าน
อ๋องไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีอะไรน่ากังวล”

ฉีหนิงพยักหน้า หานเทียนซู่พาฉีหนิงไปพบอ๋องอวี้ด้วยตัวเอง
เป่ยถังอวี้ถึงแม้จะถูกกักบริเวณ แต่ว่าที่อยู่อาศัยของเขาก็สวย
งดงาม ล้อมรอยด้วยสระน�า สระน�าตอนนี้มด
ี อกบัวเขียวชะอุ่มไปหมด
ในฐานะเชลยคนหนึ่ง ถือว่าแคว้นฉู่ดแ
ู ลเขาอย่างดีเลย

ฉีหนิงคุ้นทางมอง เขาเดินตรงมาที่นอกที่พัก เห็นเป่ยถังอวี้น้น



กําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กที่ริมสระ ในมือถือเบ็ดตกปลาอยู่ สวมหมวก
ด้วย นั่งตกปลาอย่างสบายอารมณ์เลย

ฉีหนิงค่อยๆ เดินเข้าไป เป่ยถังอวี้ได้ยน


ิ เสียงฝีเท้า เขาก็ไม่ได้หน

กลับมา เหมือนเดาออกว่าใครมา ฉีหนิงหยุดอยูห
่ ่างจากเขาสองสาม
ก้าว แล้วพูดว่า "ในสระมีปลางั้นเหรอ?"

“เดิมทีก็ไม่มห
ี รอก แต่ว่าหามาปล่อย มันก็เลยมี” เป่ยถังอวี้ยม
้ิ
แล้วพูดว่า “พวกเขาทําอะไรละเอียดดีนะ รู้ว่าข้าอยากจะมาตกปลาที่นี่
ก็ไปหาซื้อปลามาปล่อยให้ข้าตั้งสองถัง เจ้าควรรู้เอาไว้นะ ปลาที่เราตก
ขึ้นมาได้เอง มันรสชาติดีมากเลย”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “เหมือนท่านอ๋องจะเคยชินกับการใช้ชีวิต
แบบนี้แล้วเลยนะ”

“เคยชินไหมมันไม่ได้อยู่กับการตัดสินใจของข้า” เป่ยถังอวี้ยังคงนั่งตก
ปลาแบบนั้น เขาจ้องไปที่ปลาที่ลอยอยู่บนผิวน�า แล้วพูดว่า “จริงสิ
คราวนี้คนของพวกเจ้าบาดเจ็บล้มตายไปกันกี่คนแล้วล่ะ? อย่าประมาท
จงหลีอ้าวนะ ในบรรดาขุนศึกของเรา นอกจากเป่ยถังชิ่งแล้ว ไม่มีใครสู้
เขาได้เลยสักคนเดียวนะ”
เล่มที่ 48 บทที่ 1429 เบาะแส

คําพูดของอ๋องอวี้ ฉีหนิงไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่

หลูเซียวเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม เขามาหาเป่ยถังอวี้ด้วยตัวเอง
ด้วยความฉลาดของเขา คงเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น เขาต้องเดาได้ว่าที่
ชายแดนน่าจะมีปัญหา หากทัพฉู่ชนะต่อเนื่อง พวกเขาคงไม่อยากจะได้
แผนที่อยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ยิ่งไม่มีความจําเป็นต้องให้เสนาบดีกรม
กลาโหมมาเกลี่ยกล่อม

“ท่านอ๋องคาดการณ์ราวกับเทพเจ้าเลยนะ” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า
“จงหลีอ้าววางหลุมพราง ทําให้ทหารของเราบาดเจ็บล้มตายนับพันคน
เสียหายไปไม่นอ
้ ยทีเดียว”

เป่ยถังอวี้พูดว่า “พวกเจ้าบุกเข้าแผ่นดินของแคว้นเป่ยฮั่น จงหลี


อ้าวรู้ทุกพื้นที่ในแผ่นดินเป่ยฮั่น หากพวกเจ้าสามารถบุกไปถึงลั่วหยา
งได้อย่างราบรื่น นั่นถึงจะเป็นเรื่องที่น่าแปลก”

“แต่ว่าท่านอ๋องก็นา่ จะรู้ดี ตอนนี้จงหลีอ้าวเองก็เหมือนธนูที่


แข็งแกร่งแต่กําลังจะหมดแรง” ฉีหนิงพูดว่า “กองทัพแคว้นฉูบ
่ ุกไปถึง
ดินแดนส่วนกลางของแคว้นเป่ยฮั่นแล้ว ถึงจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร
แต่ก็ถือได้ว่าเข้าใกล้เมืองลั่วหยางเข้าไปทุกทีแล้ว”
หลังเขาพูดจบ เป่ยถังอวี้เหมือนจะเอนตัวไปด้านหน้า ฉีหนิงเห็น
ปลาที่ลอยอยู่น้น
ั มันมีการเคลื่อนไหว เป่ยถังอวี้ดึงคันเบ็ดขึ้นมาอย่าง
ชํานาญ ปลาตัวหนึ่งติดเบ็ด เป่ยถังอวี้เอาเบ็ดกลับมา แล้วหัวเราะร่า
จากนั้นก็เอาปลาออกมาใส่ในถังน�าข้างๆ จากนั้นเขาก็เอาเหยื่อใส่เบ็ด
ใหม่ แล้ววางลงไปในน�าใหม่ เขาก็ยังไม่มองฉีหนิงอยู่ดี เขาพูดว่า “ต่อ
ให้ต้าฮั่นจะเกิดการชิงบัลลังก์ แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่มันสงบลง ทุกคน
ก็ร่วมแรงรวมใจกัน แคว้นฉู่ของพวกเจ้าคิดว่าจะได้เปรียบอีกเหรอ”

“เราได้ยึดของแคว้นตงฉีมาเป็นของเราเรียบร้อยแล้ว” ฉีหนิงพูด
ว่า “ซีเป่ยเองก็อยู่ในกํามือของเราเรียบร้อยแล้ว แคว้นเป่ยฮั่นตอนนีก
้ ็
หายใจโรยรินมากแล้ว”

เป่ยถังอวี้ตะลึงไป ในที่สด
ุ เขาก็หน
ั มาหาฉีหนิง เห็นท่าทางของฉี
หนิงนิง่ มาก เขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แคว้นตงฉีล่มสลายแล้วงั้น
เหรอ?”

ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ปกปิดเขา เขาเล่าสถานการณ์ตอนนี้ให้เขาฟัง เป่ย


ถังอวี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่แท้ที่พวกเจ้าบุกไปเป่ยฮั่น ก็เพื่อหลอก
ล่อเรา ร้ายกาจมาก เจ้าเด็กพวกนั้นเอาแต่ชิงบัลลังก์กันเอง คิดว่าพวก
เจ้าจะฉวยโอกาสที่เป่ยฮั่นวุ่นวายไปโจมตี คิดไม่ถึงว่าเป้าหมายที่
แท้จริงของพวกเจ้าจะเป็นแคว้นตงฉีกับซีเป่ย”
“ข่าวที่ข้าได้รับมา ชวีหยวนกู่ตอนนี้กม
ุ อํานาจในราชสํานักแคว้น
ฮั่นเรียบร้อยแล้ว เป่ยถังเฟิงถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้ แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่น
เชิดของชวีหยวนกู่เท่านั้น” ฉีหนิงพูดว่า “กองทัพซีเป่ยทั้งหมดอยู่ใน
เมืองลั่วหยางทั้งหมด ได้ยินมาว่ากองทัพซีเป่ยก่อเรื่องมากมาในเมือง
ลั่วหยาง เป่ยถังเฟิงเองก็ไม่กล้าไปปราบปราม ขุนนางในแคว้นหลาย
คนมีจุดจบที่อนาถมาก”

เป่ยถังอวี้สีหน้าแย่มากตอนนี้ เขาพูดว่า “ชวีหยวนกู่เป็นพวกไม่


เอาไหน ก่อกรรมทําเข็ญในซีเป่ยตั้งมากตั้งมาย เขา ......” เขาไม่ได้พด

ต่อไป

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ชวีหยวนกู่เขามองว่าตัวเองไม่ต่างกับฮ่องเต้
ในท้องที่ตัวเอง ในพื้นที่ซีเป่ย เขามีอํานาจจะฆ่าใครก็ได้ อาศัยชื่อของ
ราชสํานักเป่ยฮั่น ขูดรีบทรัพย์สิน แต่ว่าทรัพย์สินพวกนั้นตอนนี้
กลายเป็นของกํานัลศึกของเราไปแล้ว” เขาหยุดไปแล้วพูดว่า “ทหาร
ของชวีหยวนกู่ปล้นสะดมในเมืองลั่วหยาง มันก็มแ
ี ค่สองความเป็นไปได้
เท่านั้น”

เป่ยถังอวี้วางเบ็ดตกปลาลง แล้วลุกขึ้นมา เขาเอามือไว้ด้านหลัง


ข้างหนึ่ง แล้วมองมาที่ฉีหนิง จากนั้นถามว่า “ความเป็นไปได้สองอย่าง
งั้นเหรอ?”
“องค์ชายของเป่ยฮั่นเข่นฆ่ากันเอง สุดท้ายแล้วเป่ยถังเฟิงได้รับ
ชัยชนะ แต่ว่ามันกลับกลายเป็นความพ่ายแพ้ของทั้งราชวงศ์เป่ยถัง” ฉี
หนิงพูดว่า “จากความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้นคราวนี้ ราชวงศ์เป่ยถัง
เกิดรอยร้าวและบอบช�าอย่างหนัก ชวีหยวนกู่อาศัยโอกาสนี้ ผลักดัน
สนับสนุนเป่ยถังเฟิงขึ้นนั่งบัลลังก์ แต่ว่าทหารในลั่วหยางทั้งหมด ตอนนี้
ก็อยู่ในมือของเขา หากไม่มค
ี ําสั่งจากเขา เป่ยถังเฟิงเองก็ไม่สามารถสั่ง
โยกย้ายทหารได้แม้แต่คนเดียว ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าเป่ยถังเฟิงไม่ต่าง
อะไรกับหุ่นเชิด ชาวบ้านในซีเป่ยถูกขูดรีด เท่าที่ข้ารู้มา หลังจากก่อตั้ง
แคว้นเป่ยฮั่นมา ทางราชสํานักเป่ยฮั่นไม่เคยมีประทานความเมตตา
อะไรไปถึงซีเป่ยเลย ที่จริงแล้วสําหรับชาวซีเป่ยนั้นพวกเขาไม่ได้รู้สึกดี
หรือประทับใจในราชสํานักเป่ยฮั่นเลย ถึงแม้ชวีหยวนกู่จะทําเรื่องชั่ว
ร้ายมากกมายที่ซีเป่ย แต่กับทหารซีเป่ยแล้วเขากลับใจกว้าง รูจ
้ ักซื้อใจ
คน ที่จริงการที่เขานําทหารซีเป่ยออกศึก ก็ไม่ต่างอะไรกับการพาฝูง
เสือฝูงหมาป่าไปที่ล่ัวหยาง ความโหดเหี้ยมของทหารเขาไม่มท
ี างฟัง
คําสั่งของเป่ยถังเฟิงหรอก พวกเขาเชื่อฟังแค่ชวีหยวนกู่คนเดียว
เท่านั้น” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง คนเราเมื่อมีอํานาจในมือ
เมื่อไหร่ ได้ลิ้มรสชาติอันหอมหวานของอํานาจแล้ว มันยากนักที่จะ
ปล่อยอํานาจนั้นไป”
เป่ยถังอวี้เป็นคนฉลาด เขาเข้าใจความหมายที่ฉีหนิงพูดมา เขา
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่า ...... ชวีหยวนกู่คิดจะชิงบัลลังก์
งั้นเหรอ?”

“ทหารซีเป่ยประจําการณ์อยู่ในพื้นที่กันดารอย่างซีเป่ยมาตลอด
ตอนนี้พอไปถึงลั่วหยาง เห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองลั่วหยาง เห็น
ความอุดมสมบูรณ์ ท่านคิดว่าคนพวกนั้นจะยอมเสียมันไปง่ายๆ
เหรอ?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนพวกนี้ต้องการรักษาทุกอย่าง
เอาไว้ ก็จะต้องรักษาชวีหยวนกู่เอาไว้ ในสายตาของพวกเขา หากชวี
หยวนกู่เป็นฮ่องเต้ ถ้าอย่างนั้นชีวิตที่สุขสบายมีพร้อมทุกอย่างมันก็จะ
ไม่หายไป ชวีหยวนกู่สามารถตั้งรากฐานในลั่วหยางได้ ก็พ่งึ พาอาศัย
ทหารของเขาเหล่านี้ หากทหารของเขาสนับสนุนเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ ต่อ
ให้ตัวเขาไม่คิด แต่ก็จําต้องตามเจตนารมณ์ของเหล่าทหารอยูด
่ ี”

เป่ยถังอวี้พูดว่า “ชวีหยวนกู่ก็แค่สุนัขรับใช้ตระกูลเป่ยถังของเรา
เท่านั้น เขามีสท
ิ ธิอะไรขึ้นนั่งบัลลังก์?”

“ตระกูลเป่ยถังเองก็ชิงแผ่นดินมาจากมือคนอื่นเหมือนกัน” ฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ความสามารถที่แท้จริง ตอนนี้ชวี
หยวนกู่มีความสามารถแบบนั้น เขาก็สามารถทําตามอําเภอใจยังไงก็ได้
ทหารของเขาเข่นฆ่าปล้นชิง ชาวบ้านก็คิดแค่ว่าทหารพวกนีค
้ ือทหาร
ของเป่ยถังเฟิง พวกเขาก็ต้องโกรธแค้นเป่ยถังเฟิงเป็นธรรมดา อีกทั้ง
เขายังสามารถฉวยโอกาสนี้เข่นฆ่าขุนนางจนเรียบได้ ถึงเวลานั้นเหล่า
ขุนนางของพวกท่านก็ถูกฆ่าจนขวัญกระเจิงกันหมดแล้ว หากเขาจะขึ้น
เป็นฮ่องเต้เอง คิดว่าก็คงไม่มีใครกล้าคัดค้านอีก”

เป่ยถังอวี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาเข้าใจดี สิ่งที่ฉีหนิงพูดมานั้น


อาจจะฟังดูไม่ดีเลย แต่มันก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นจริง

“แต่ว่า มันก็อาจจะเป็นไปด้านอีกอย่างหนึ่ง” ฉีหนิงพูดว่า “ชวี


หยวนกู่เคยชินกับชีวิตที่สุขสบายอยากทําอะไรก็ทําที่ซีเป่ย เขารู้ว่าหาก
เขาชิงบัลลังก์ที่ล่ัวหยาง อาจจะทําให้มีคนไม่พอใจได้ ถึงเวลานั้นอาจจะ
กลายเป็นเป้าก็ได้ เพื่อไม่ให้ยุง่ ยาก เขาก็กลับมาเป็นเจ้าถิ่นที่ซเี ป่ย
เหมือนเดิมดีกว่า เขายึดทรัพย์สินจากในลั่วหยางจนพอใจ แล้วบุกฝ่า
กลับมาที่ซีเป่ย มันก็เป็นไปได้” เขามองไปที่เป่ยถังอวี้ แลวพูดว่า “แต่
ว่าไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหน ลั่วหยางเละแน่นอน ตระกูลเป่ยถังก็
จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจะล่มสลาย เหล่าขุนนางในเมืองลั่งหยาง
ล้วนแต่มีฐานะทั้งนั้น ชวีหยวนกู่คิดจะปล้นสะดมทรัพย์สิน ก็ต้องพุง่
เป้าไปที่เหล่าขุนนาง ทหารซีเป่ยโหดร้ายป่าเถื่อน คนของเขาไม่ได้มี
ความกังวลอะไรด้วย”

เป่ยถังอวี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า เจ้า


อยากจะบอกข้าว่าครอบครัวของข้ากําลังตกอยู่ในอันตรายใช่ไหม?”
“ที่จริงก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยบอกท่านอ๋องไปแล้ว ครอบครัวของ
ท่านอยูใ่ นลั่วหยาง มีแต่จะรอการถูกคนมาเชือดเฉือนเท่านั้น อาจจะ
ต้องประสบภัยเมื่อไหร่ก็ได้” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านคิดว่าหากเป่ยถังเฟิง
เป็นฮ่องเต้แล้ว จะคิดถึงความสัมพันธ์ของท่าน แล้วปล่อยครอบครัว
ท่านไปอย่างนั้นเหรอ แต่ว่าท่านอ๋องลองคิดดูนะ ตอนนี้เป่ยถังเฟิงไม่
ต่างอะไรกับหุ่นเชิดของชวีหยวนกู่ เขาเองก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว แล้ว
จะมีปัญญาที่ไหนมาปกป้องครอบครัวของท่าน?”

เป่ยถังอวี้เหมือนจะขยับปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“พูดมาไกลประเด็นเกินไปแล้ว” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่า


ท่านอ๋องมีเรื่องอยากจะพบข้า พอข้ารู้ข่าวก็รบ
ี มาทันทีเลย ไม่ทราบว่า
ท่านอ๋องมีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ?”

เป่ยถังอวี้ไม่ได้ตอบในทันที เขาหันหลังแล้วเดินไปที่ห้องพัก ฉีหนิง


เดินตามเขาเข้าไป หลังจากทั้งสองนั่งลง เป่ยถังอวี้ถึงได้พด
ู ว่า “เจ้าเคย
บอกว่า เจ้าสั่งให้คนไปช่วยครอบครัวข้าที่ล่ัวหยางได้ พวกเจ้ามีปัญญา
ทําได้จริงๆ หรือเปล่า?”

“หากเร็วกว่านีส
้ ักหน่อย ข้าสามารถรับประกันกับท่านอ๋องได้
แน่นอน ว่าเราสามารถช่วยครอบครัวของท่านออกมาแล้วพามาที่
แคว้นฉูไ่ ด้อย่างไม่มีปัญหาอะไร” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่า
ตอนนี้ในลั่วหยางวุ่นวายมาก ครอบครัวของท่านจะยังปลอดภัยอยู่
หรือไม่ ข้าเองก็รับประกันอะไรกับท่านไม่ได้เลย” เขาเหลือบไปมอง
เป่ยถังอวี้ แล้วพูดต่อว่า “แต่ว่าขอแค่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ข้ารับรองได้
ว่า เราสามารถพาพวกเขาออกมาจากเมืองลั่วหยางแล้วพามาพบกับ
ท่านอ๋องที่เมืองเจี้ยนเยี้ยได้แน่นอน”

เป่ยถังอวี้นิ่งไป แล้วพูดขึ้นมาว่า “เงื่อนไขของพวกเจ้าคือแผนที่


ใช่ไหม?”

ฉีหนิงเห็นอีกฝ่ายไม่ได้อ้อมค้อมอะไร ก็พูดไปตรงๆ เลยว่า “หาก


ท่านอ๋องสามารถบอกเบาะแสกับเรา เราก็จะส่งคนไปแจ้งข่าวให้สาย
ของเราที่อยู่ที่น่ันให้หาวิธีช่วยพวกเขาออกมาทันที หลังจากที่แน่ใจ
แล้วว่าเบาะแสนั้นเป็นของจริง ข้ารับรองได้เลยว่า ขอแค่ครอบครัวของ
ท่านยังปลอดภัยดีในลั่วหยาง ข้าจะให้พวกเขาได้พบกับท่านเร็วที่สุด
เท่าที่เป็นไปได้ แน่นอนว่า ถึงเวลานั้นท่านอ๋องก็จะสามารถออกจาก
จวนเสินโหว แล้วใช้ชีวิตปกตินเมืองหลวงของเรา ฝ่าบาททรงต้องมี
บําเหน็จรางวัลให้กับท่านแน่นอน และจะต้องคุ้มกันความปลอดภัยของ
ท่านกับครอบครัวด้วย”

“หลังจากเราสํารวจสถานที่จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราก็ทําแผนที่
ออกมาทั้งหมดสามผืน” เป่ยถังอวี้พูดว่า “ผืนหนึ่งอยูใ่ นมือของฮ่องเต้
อีกผืนอยู่ในมือของแม่ทัพใหญ่ ซึ่งในตอนนี้ก็อยู่ในมือของจงหลีอ้าว
แล้วยังมีอีกผืนหนึ่งที่ซอ
่ นอยู่ในคลังสมบัติของวังหลวง แต่ว่าทั้งสามผืน
นี้ พวกเจ้าคิดจะไปชิงเอามานั้นมันยากมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”

ฉีหนิงรู้ว่าแผ่นดินยังไม่สงบ เพื่อป้องกันไม่ให้แผนที่แคว้นตกไปอยู่
ในมือของแคว้นฉู่ เลยไม่ได้ทําไว้หลายชุด

“อดีตฮ่องเต้จู่ๆ ก็มาสวรรคตไป ดังนั้นแผนที่ผืนที่อยู่กับเขาตอนนี้


ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกับใคร ผืนที่อยู่กับจงหลีอ้าว พวกเจ้าไม่มีทางได้มา
แน่นอน” เป่ยถังอวี้พูดว่า “ส่วนผืนที่อยู่ในคลังสมบัติหลวง ข้าไม่รู้ว่า
หลังจากที่ชวีหยวนกู่บุกเข้าลั่วหยางไปแล้ว ได้ทําการรื้อค้นคลังสมบัติ
หลวงไปแล้วหรือยัง แต่ว่าตอนที่เอาไปซ่อนในคลังสมบัติหลวง เพื่อ
ป้องกันความผิดพลาด เลยทําแผนที่ปลอมที่เหมือนมากออกมาวาง
ปะปนกับของจริง ของจริงมันมีแค่ผน
ื เดียวเท่านั้น นอกจากข้าไปแยก
เอง ไม่อย่านนั้นข้าก็บอกพวกเจ้าไม่ได้ว่าผืนไหนคือของจริง”

“คลังสมบัติหลวงงั้นเหรอ?”

“คลังสมบัติหลวงมีการเฝ้าระวังแน่นหนามาก” เป่ยถังอวี้ยิ้มแล้ว
พูดว่า “ข้ารู้ว่าจวนเสินโหวของแคว้นเจ้าเข้าไปได้ทก
ุ ที่ แต่พวกเขาไม่มี
ทางเข้าใกล้คลังสมบัติหลวงได้แน่นอน ตามความเห็นของข้า ไปชิงเอา
จากมือจงหลีอ้าวน่าจะดีกว่า อย่าคิดจะไปที่คลังสมบัติหลวงเลย การ
เข้าใกล้คลังสมบัติหลวง ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย”
ฉีหนิงคิดถึงแม้จะรู้ที่ซ่อนของแผนที่แล้ว แต่ว่าอย่างที่เป่ยถังอ
วี้พูดมา หากคิดจะไปเอามันมา มันยากยิ่งกว่ายาก

“แต่ว่าก็ไม่มใี ครรู้ว่า ที่จริงแล้วแผนที่มน


ั ไม่ได้มีแค่สามผืน มันยังมีอีก
หนึ่งผืน” เป่ยถังอวี้ยิ้มแบบเจ้าเล่ห์มาก “แผนที่ผืนที่สน
ี่ ี้มีข้าคนเดียว
เท่านั้นที่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
เล่มที่ 48 บทที่ 1430 เก้าตําหนัก

“เขาเก้าตําหนักงั้นเหรอ?”

ภายในห้องททรงอักษร หลงไท่เหมือนจะรู้สึกตกใจมาก “เป่ยถัง


อวี้บอกว่าแผนที่ผืนที่สอ
ี่ ยู่ที่เขาเก้าตําหนักงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงนั่งลงบนเก้าอี้ พยักหน้าแล้วพูดว่า “จากที่เขาว่ามา แผนที่


ผืนที่สี่น้น
ั เขาแอบคัดลอกเก็บเอาไว้ ตอนนั้นเขาเป็นคนสั่งให้วาดแผนที่
ขึ้นมา คนที่ร่วมทํางานนี้มีเยอะมาก มีแบ่งงานออกเป็นหลายกลุ่ม แต่
ละกลุ่มรับผิดชอบส่วนเล็กๆ แล้วสุดท้ายเขาก็เป็นคนมันมารวมเป็น
หนึ่ง แล้ววาดเป็นแผนที่ออกมา เขารู้ว่าแผนที่แบบนี้น้ันมันมีค่ามากแค่
ไหน หากถวายไปแล้ว เขาก็ไม่รูว
้ ่าจะมีโอกาสได้เห็นมันอีกไหม ดังนั้น
เขาเลยแอบคัดลอกแอบเก็บเอาไว้อีกหนึ่งผืน ไม่ได้คิดอะไรเป็นอื่นอีก
เขาแค่รูส
้ ึกว่าเขาเสียเวลาเสียแรงกายแรงใจไปมากเพื่อแผนที่นี้ ก็ควรมี
อยู่ในมือของเขาสักผืนก็เท่านั้น”

“เขาเก้าตําหนักชื่อนี้ขา้ เคยได้ยินมาก่อนนะ” หลงไท่ขมวดคิ้วแล้ว


พูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา เขาเก้าตําหนักตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลป๋อไฮ่ อยูใ่ น
ดินแดนของเหลียวตง แต่ว่าเป่ยถังอวี้เป็นเชื้อพระวงศ์เป่ยฮั่น อาศัยอยู่
ในลั่วหยางตลอด แล้วจะเอาแผนที่น้ันไปไว้ที่เขาเก้าตําหนักได้ยังไง
กัน?”

ฉีหนิงพูดว่า “เขาบอกว่าเขาฝากมันไว้กับคนที่เขาไว้จากที่สด
ุ คน
หนึ่ง นอกจาจะเห็นจดหมายลายมือของเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นคนๆ นั้นไม่
มีทางมอบแผนที่น้น
ั ให้กับใครเด็ดขาด” เขาหยิบจดหมายออกมาแล้ว
ยื่นไปให้ “ฝ่าบาท นี่เป็นจดหมายลายมือของเป่ยถังอวี้ เนื้อหาข้าได้
อ่านแล้ว เขาบอกอีกฝ่ายให้มอบแผนที่ให้ข้า”

“มอบให้เจ้างั้นเหรอ?” หลงไท่ตะลึงไป “เขาต้องการให้เจ้าเป็น


คนไปเอางั้นเหรอ?”

ฉีหนิงพูดว่า “ตามความหมายของเขา เหมือนกับว่าต่อให้มี


จดหมาย แต่ไม่ใช่ข้าไปเอา อีกฝ่ายก็ไม่มีทางมอบแผนที่ให้ เขายังบอก
ว่าคนๆ นั้นหากได้พบข้าแล้ว ก็จะรู้ทันที หากเป็นคนอื่น จะขึ้นไปบน
เขาแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”

หลงไท่พูดว่า “เป่ยถังอวี้ไม่รู้จะเล่นลูกไม้อะไร? เขาถูกกักบริเวณ


มานาน หากคิดจะมอบแผนที่ให้ คงให้มานานแล้ว แต่ว่ายื้อมาจน
ป่านนี้ แล้วจู่ๆ ก็ให้เจ้าไปหา แล้วบอกเบาะแสของแผนที่ ฉีหนิง เจ้าไม่
รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกเหรอ?”
“กระหม่อมเองก็รู้สึกแปลกๆ” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่าดูจากท่าทาง
การพูดของเขาในตอนนั้น ก็ไม่เหมือนโกหก อีกทั้งเขาก็ยังบอกว่า
อยากให้เราส่งคนไปช่วยครอบครัวของเขาที่ล่ัวหยางด้วย ในเมื่อเขา
ห่วงครอบครัวของเขามาก ก็นา่ จะไม่เอาชีวิตของพวกเขามาเป็นเดิม
พัน”

“เขายังมีเงื่อนไขอย่างอื่นอีกไหม?”

“เขาบอกว่าอยากให้เรารีบส่งไปลั่วหยาง หากข้าได้แผนที่มาแล้ว
ก็ต้องรีบให้เขาได้เจอกับครอบครัวโดยเร็วที่สุด” ฉีหนิงพูดว่า “นอกจา
นี้เขายังอยากให้เรารับประกันด้วยความพวกเขาจะมาถึงแคว้นฉู่อย่าง
ปลอดภัย และต้องให้พวกเขาได้อยู่อย่างสุขสบาย”

“หากเบาะแสที่อยู่ของแผนที่ที่เขาให้มานั้นมันเป็นจริง จะให้
บรรดาศักดิ์กับเขามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” หลงไท่พูดว่า “กองทัพ
ของเรายังตึงกําลังอยู่ที่ชายแดน หากไม่สามารถทะลวงฝ่าการป้องกัน
ของจงหลีอ้าวไปไม่ได้ มันจะทําให้ราชสํานักมีแรงกดดันมากขึ้น หากไม่
ไหวจริงๆ สุดท้ายก็ต้องถอนทัพชั่วคราว” เขาสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด
“หากได้แผนที่มาเร็วเท่าไหร่ เราก็จะรู้ว่าภูมป
ิ ระเทศของเขาเป็นยังไง
แผนที่น่น
ั สามารถสู้กับศัตรูได้เป็นหมื่นๆ คนเลย”

ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ ถ้ารอช้ากว่านี้ ทัพของ


เราก็จะเสียหายมากขึ้นไปทีละวัน กระหม่อมอยากจะขอประทาน
อนุญาต ให้กระหม่อมเดินทางไปที่เหลียวตง ไปเอาแผนที่มาจากเขา
เก้าตําหนัก”

“เจ้าให้ข้าทบทวนหน่อยเถอะนะ” หลงไท่สีหน้าจริงจังมาก “เป่ย


ถังอวี้พูดจริงหรือเปล่า เราก็ยังไม่แน่ใจ หากที่เขาเก้าตําหนักมันมีกับดัก
เขาตั้งใจล่อให้เจ้าไปที่น่น
ั ......”

“ฝ่าบาท เป่ยถังอวี้หลังจากที่ถก
ู เราจับที่เซียงหยาง ก็นานเกือบปี
แล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาถูกกักบริเวณอยู่ที่จวนเสินโหวตลอด เขา
ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับข้างนอกเลย อีกทั้งยังไม่สามารถติดต่อกับคนข้างนอก
ได้” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “กระหม่อมเชื่อว่าเขาไม่มีโอกาสจะไปวาง
กับดักอะไรที่เขาเก้าตําหนัก เขาตกอยู่ในมือของเราตั้งแต่ที่เซียงหยาง
ก็ได้ตัดการติดต่อจากโลกภายนอกไปแล้ว เขาไม่มีทางคิดได้หรอกว่าวัน
หนึ่งข้าจะไปที่น่ัน ดังนั้นการวางกับดักมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย”

หลงไท่คิด ถึงแม้จะรู้สก
ึ ว่าฉีหนิงพูดมานั้นก็มเี หตุผล แต่ว่าเขาก็ยัง
มีข้อสงสัยอยู่ เขาเลยถามว่า “เป่ยถังอวี้เป็นเชื้อพระวงศ์ของเป่ยฮั่น
เจ้าคิดว่าเขาจะทําเพื่อครอบครัวของตัวเองจนยอมละทิ้งของแคว้นเป่ย
ฮั่นเลยเหรอ? ครอบครัวกับบ้านเมือง อะไรสําคัญ หรือว่าเขาไม่รู้
เหรอ?”

“ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้สึกว่าแคว้นเป่ยฮั่นมาถึงทางตันแล้ว” ฉี
หนิงพูดว่า “องค์ชายเป่ยฮั่นแย่งชิงบัลลังก์กัน เข่นฆ่ากันเอง สูญเสียกัน
ไปมาก ชวีหยวนกู่อาศัยชื่อของเป่ยถังเฟิงยกทัพไปยังลั่วหยาง ตอนนี้
เป่ยถังเฟิงกลายเป็นหุน
่ เชิดของเขา เป่ยถังอวี้อาจจะคิดว่าตระกูลเป่ย
ถังมาถึงจุดจบแล้วก็ได้ เขาผิดหวังมาก รู้สึกว่าแคว้นเป่ยฮั่นหมดหนทาง
แล้วจริงๆ ถึงได้คิดอยากจะปกป้องครอบครัวของตัวเองแทน”

หลงไท่ขมวดคิ้วหนักมาก ฉีหนิงยกมือคํานับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท


หลังจากที่เราจับตัวเขาได้ ทรงดูแลเขาเป็นอย่างดี จะว่าไปแล้ว เพราะ
เราอยากจะได้แผนที่จากเขา ตอนนี้เขาอุตส่าห์ยอมเปิดปากแล้ว เราก็
ไม่ควรจะสงสัยในตัวเขาอีก ยอมทิ้งเบาะแสเดียวนี้ไปนะ”

หลงไท่เองก็รู้ว่าแผนที่น่น
ั สําคัญกับแคว้นฉู่มาก ตอนนี้มโี อกาส
แล้ว จะให้หลุดไปไม่ได้เด็ดขาด เขานิ่งไป แล้วพูดว่า “ข้าจะให้คนของ
จวนเสินโหวไปกับเจ้าด้วย พวกเจ้าปลอมตัวเข้าไปในเหลียวตง แล้วหา
โอกาสลงมือ หากเอาแผนที่มาได้ก็ดี แต่หากไม่ได้ ก็ไม่ต้องสนใจ ขอแค่
เจ้ากลับมาหาข้าอย่างปลอดภัยก็พอ”

“ฝ่าบาท หากมีคนไปจํานวนมาก มันอาจจะเป็นที่สะดุดตา


เกินไป” ฉีหนิงพูดว่า “ถึงแม้กระหม่อมจะฝีมอ
ื ไม่เท่าไหร่ แต่ว่าหากเจอ
อันตรายอะไรก็ป้องกันตัวเองได้ การไปเขาเก้าตําหนักในครั้งนี้ หากสิง่
ที่เป่ยถังอวี้พูดมาเป็นเรื่องจริง แล้วเราได้แผนที่มาก็เป็นเรื่องดี แต่หาก
ว่ามันเกิดเหตุสด
ุ วิสัยขึ้น กระหม่อมจะรีบหนีทันที”
“ฝีมือไม่เท่าไหร่ง้ันเหรอ?” หลงไท่ยิ้ม “ถ้าเจ้าฝีมือไม่เท่าไหร่ คน
ในใต้หล้าก็คงไม่มีใครเป็นวรยุทธ์แล้ว” เขาเองก็รู้สึกฉีหนิงมีวรยุทธ์สูง
มากๆ แล้ว ก็อย่างที่เขาพูด หากเจอเรื่องอะไรขึ้นมา เขาเอาตัวรอดได้
สบายๆ เขานิง่ ไปแล้วพูดว่า “การไปเหลียวตงในครั้งนี้ เจ้าต้องระวังตัว
ให้มาก ข้าจะรอเจ้าประสบความสําเร็จกลับมา” เขาลุกขึ้นมา แล้วเดิน
ไปหาฉีหนิง เขาจับแขนฉีหนิง แล้วยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่
อยากจะถามเจ้า เจ้าต้องตอบข้ามาตรงๆ นะ”

ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาทถามมา ยังไงกระหม่อมก็จะต้องตอบตาม


ตรงอยู่แล้ว”

“วันก่อนแม่นางที่ส่งไปที่จวนของเจ้า” หลงไท่พูดว่า “ฮูหยินของ


เจ้าหึงบ้างหรือเปล่า?”

ฉีหนิงปวดหัวขึ้นมาทันที เขารู้ว่าหลงไท่พูดถึงจั่วเซียนเอ่อร์ นาง


รักษาตัวอยู่ในวังหลายวัน หลงไท่รู้แน่นอนว่านางเป็นใคร เขาคิดในใจ
ว่าทําไมต้องพูดถึงเรื่องนี้ด้วย เป็นถึงองค์เหนือหัว ไม่สนใจเรื่อง
การบ้านการเมือง แต่กลับมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของขุนนาง เขา
พูดว่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ กระหม่อมจะค่อยๆ จัดการเรื่องนี้
เอง”

หลงไท่หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า ฮองเฮาท้องแล้ว


......”
ฉีหนิงตะลึงไป จากนั้นเขาก็พูดด้วยความดีใจมาก “นีม
่ ันเรื่อง
น่ายินดีมากเลย ยินดีกับฝ่าบาทด้วยนะพะยะค่ะ”

“ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า เจ้าเองก็รีบๆ หน่อยนะ” หลงไท่พูดเสียง


เบาๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ก็ต้องไปซีเป่ย ตอนนี้
เพิ่งได้พก
ั ไม่กี่วัน ก็ต้องไปเหลียวตงอีก ข้ารู้สึกผิดกับพวกเจ้ามากเลย
นะ ก่อนที่จะไป ก็พยายามหน่อยล่ะ รีบทําให้ฮูหยินของเจ้าตั้งท้องซะ”

ฉีหนิงรู้สึกเขินมาก แล้วก็พูดว่า “กระหม่อมจะพยายามอย่าง


เต็มที่ ไม่ให้ช้าเลย”

หลังจากออกจากวัง ฉีหนิงก็ไม่ได้กลับไปจวนอ๋อง แต่ย้อนกลับไป


ที่จวนเสินโหว คราวนี้เขาไม่ได้ไปหาเป่ยถังอวี้ เขารู้ว่าฮ่องเต้หวัง
อยากจะได้แผนที่เร็วๆ อีกทั้งทหารชายแดนก็หวังที่จะรู้พ้ น
ื ที่ของแค้วน
ฮั่น ดังนั้นการเดินทางไปเขาเก้าตําหนัก ไปเร็วเท่าไหร่ย่งิ ดีเท่านั้น

แต่เพราะจั่วเซียนเอ่อร์ถูกส่งไปที่จวนอ๋อง เหมือนจะทําให้ซีเห
มินจั้นอิงไม่พอใจมาก สองวันที่ผ่านมานางก็ไม่ได้กลับจวนเลย ส่วนเข้า
ก็จะเดินทางแล้ว จะไปไม่ลามันก็ไม่ได้ ช้าเร็วก็ต้องผ่านเรื่องนีไ้ ปให้ได้
อยู่ดี การเดินทางจัดการให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า

ถึงแม้จวนเสินโหวจะมีการเฝ้ายามอย่างเข้มงวด แต่กับฉีหนิงมี
ข้อยกเว้น เจ้าหน้าที่หน้าประตูจําฉีหนิงได้ เลยไม่ได้ขวางเขา
ฉีหนิงเข้าไปด้านใน กําลังคิดอยู่เลยว่าจะทําให้ซีเหมินจั้นอิงหาย
โกรธยังไง แต่เขากลับได้ยินเสียงตื่นตระหนกดังขึ้น “แย่แล้ว ศิษย์น้อง
เล็ก ...... ศิษย์นอ
้ งเล็กคลั่งจะฆ่าคนแล้ว ......”

ฉีหนิงตกใจมาก เขาหันไปมองตามเสียง เขาเห็นเจ้าหน้าที่จวนเสิน


โหวสองคนวิ่งมาสภาพดูไม่ได้เลย เหมือนว่าด้านหลังมีปศ
ี าจตามล่าตัว
พวกเขาอยู่

กําลังนึกแปลกใจอยู่ ก็ได้ยินเสียงของซีเหมินจั้นอิงดังมา “หาน


เทียนซู่ เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก ......”

ฉีหนิงยิง่ ตกใจเข้าไปใหญ่ เขาเดินไปตามเสียงที่เขาได้ยิน จนมาถึง


นอกประตูบานหนึ่ง ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็มีคนวิ่งออกมาอีกสามสี่คน เขา
กําลังจะถาม กลับเห็นหานเทียนซู่วิ่งออกมา เหวินชวีเสี้ยวเว่ยที่ไม่ต่ ืน
กลัวกับอะไรเลย ตอนนี้กลับตื่นตระหนกอย่างมาก พอออกมาด้านนอก
เห็นฉีหนิง เขาเหมือนได้เจอตัวช่วย เขาพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่าน ...... ท่าน
ช่วยข้าด้วย ......” เขาหันกลับไปมองครู่หนึ่ง แล้วก็วิ่งมาอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้เองก็เห็นซีเหมินจั้นอิงถือดาบออกมา

ฉีหนิงเห็นซีเหมินจั้นอิงโกรธเหมือนแม่เสือเลย เขาก็รู้สึกหวั่นใจ
อยากจะรีบหาที่หลบเลย หานเทียนซู่เมื่อก่อนเป็นคนหัวแข็งไม่เบา แต่
ในเวลานี้กลับมาหลบอยู่หลังเขา เขาชี้ไปหาซีเหมินจั้นอิงแล้วพูดว่า
“ศิษย์นอ
้ งเล็ก ท่านอ๋อง ..... ท่านอ๋องอยู่ตรงนี้นะ เจ้าอย่าทําอะไร
เหลวไหลนะ เจ้า ...... เจ้าวางดาบลงก่อนนะ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน
นะ .....”

ฉีหนิงฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “จั้นอิง มัน ...... มันเกิดอะไรขึ้น? อยู่ดีดี


เจ้าถือดาบทําไม? ศิษย์พี่สามพูดถูกนะ คนกันเองทั้งนั้น มีอะไรเข้าใจ
ผิดกัน ก็ ...... ก็วางดาบลงก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ซีเหมินจั้นอิงไม่ได้สนใจฉีหนิงเลย สายตาของนางโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
นางจ้องมาที่หานเทียนซู่ที่อยู่ข้างหลังฉีหนิง แล้วพูดว่า “หานเทียนซู่
เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ นั่นเป็นใครกันแน่? หากวันนี้เจ้าไม่พูดให้
ชัดเจน ข้า ...... ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
เล่มที่ 48 บทที่ 1431 เดินทางไกล

หานเทียนซู่ถึงแม้จะเป็นผู้ดแ
ู ลจวนเสินโหวในเวลานี้ แต่ว่าการอยู่
ต่อหน้าซีเหมินจั้นอิงที่กําลังโมโหอยู่น้น
ั เขากลับหเมือนจะสูไ้ ม่ได้เลย

เห็นหานเทียนซู่ไม่พด
ู อะไรเลย ซีเหมินจั้นอิงก็ย่งิ โมโหหนักเข้าไป
ใหญ่ นางบุกขึ้นหน้ามา โบกดาบคิดจะฟันเขา ฉีหนิงขมวดคิ้ว แล้ว
ตะคอกเสียงเข้มว่า “หยุดนะ”

เสียงเขาตะคอกของเขาดุมาก ซีเหมินจั้นอิงง้างมือข้างไว้กลาง
อากาศ แล้วอึ้งๆ ไป ฉีหนิงฉวยโอกาสจับมือของนาง แล้วยึดดาบมา
เห็นนางกําลังโมโหอยู่ ก็ต่อว่าไปว่า “จั้นอิง ทําไมเจ้าเหลวไหลแบบนี้
ศิษย์พี่สามดูแลจวนเสินโหว แต่เจ้ากลับใช้ดาบจะฟันเขาในจวนแบบนี้
เจ้ายังรู้กฎเกณฑ์หรือเปล่า? กฎระเบียบของเจ้าหน้าที่จวนเสินโหวสั่งให้
ลงมือกับหัวหน้าได้ด้วยงั้นเหรอ?”

ซีเหมินจั้นอิงตะลึงไป จากนั้นก็นก
ึ ได้ว่า ตั้งแต่จวนเสินโหวก่อตั้ง
มา กฎระเบียบเข้มงวดมาก ความผิดแบบนี้ โทษหนักไม่ใช่เล่นเลย

“เขาเป็นศิษย์พข
ี่ องเจ้า อีกทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่ของจวนเสินโหว
ด้วย” ฉีหนิงเห็นซีเหมินจั้นอิงลังเล ก็รบ
ี พูดต่อว่า “หากเจ้ามีเรื่องอะไร
ก็พูดมาได้เลย แต่มาลงไม้ลงมือกับจวนเสินโหว มันเหลวไหลสิ้นดี”
ซีเหมินจั้นอิงกัดฟัน เขาจ้องไปที่หานเทียนซู่ที่อยู่ด้านหลังฉีหนิง
แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาบอกข้ามา โถเถ้ากระดูกที่อยูใ่ นห้องนั้น
เป็นของใครกันแน่? ทําไมเขาถึงต้องไปกราบไหว้ทุกวันด้วย?”

ฉีหนิงได้ยินดังนั้น ก็สะดุ้ง

หานเทียนซู่พยายามฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “มันไม่ได้ของใครคนใดคน
หนึ่ง มัน ...... มันเป็นของเหล่าศิษย์พี่รวมๆ กันน่ะ ข้า ......”

“ท่านโกหก” ซีเหมินจั้นอิงตัวเริ่มสั่น “พวกท่านจะเอากระดูกของ


หลายๆ คนมาใส่ในโถเดียวกันได้ยังไง? พวกท่านมีเรื่องปิดข้าใช่ไหม?”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉห
ี นิง แล้วพูดว่า “เจ้าเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยใช่หรือ
เปล่า?”

“รู้ ...... รู้เรื่องอะไร?” พอฉีหนิงได้ยินว่าหานเทียนซู่เข้ามากราบ


ไหว้ทก
ุ วัน เขาก็พอจะเดาออกแล้ว แต่ว่าเขาก็พยายามจะทําให้มันปกติ
ที่สุด

ซีเหมินจั้นอิงดวงตาแดงก�า “พวกเจ้าหลอกข้า ข้ารู้ พวกเจ้า .......


พวกเจ้ารวมหัวกันหลอกข้า ......” จากนั้นนางก็หน
ั หลังแล้ววิ่งไป ฉีหนิง
รีบพูดว่า “จั้นอิง” เขาทิ้งดาบแล้ววิ่งตามนางไป

ซีเหมินจั้นอิงวิ่งไปเร็วมาก นางวิ่งไปยังเรือนหลังหนึ่ง ฉีหนิงตาม


เข้าไปด้านใน เขาเห็นประตูหอ
้ งในเรือนมันเปิดอยู่ ซีเหมินจั้นอิงวิ่งเข้า
ไปด้านใน เขาตามเข้าไปด้านใน ในห้องมืดมาก ดานในมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง
ด้านบนมีกล่องสีดําวางอยู่ ดานในเหมือนจะใส่โถเถ้ากระดูก

ซีเหมินจั้นอิงค่อยๆ เดินไปที่รม
ิ โต๊ะ นางมองไปที่โถเถ้ากระดูก
น�าตาของนางค่อยๆ ไหลลงมา

หานเทียนซู่เองก็ตามมาในเวลานี้เช่นกัน นางยืนอยู่หน้าปากประตู
เขาลังเล แล้วก็เดินเข้ามาด้านใน

“พวกเจ้าบอกข้าว่าท่านพ่อออกเดินทางไปท่องยุทธภพ ต้องอยู่
ข้างนอกอีกนาน” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “ข้าเชื่อพวกเจ้ามาตลอด คิดว่า
มันคือเรื่องจริง แต่ว่าตอนนี้ข้าถึงได้เข้าใจแล้วว่า ทําไมศิษย์พี่รองต้อง
รับตําแหน่งเสินโหว หากท่านพ่อยังอยู่ ทําไมถึงได้สละตําแหน่งแล้ว
ออกเดินทางไป เขาจะต้องเรียกรวมพล แล้วมอบตําแหน่งเสินโหวให้
ศิษย์พี่รองด้วยตัวเองแล้วสิ ข้ามันโง่ ข้ามันโง่เอง พวกเจ้าถึงได้หลอกข้า
ได้ง่ายๆ แบบนี”
้ พอพูดถึงตรงนี้ นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนตัว
สั่น

ฉีหนิงเห็นทุกอย่าง เขารู้สึกทั้งสงสารและเห็นใจนาง เขาเดินขึ้น


หน้าไปหานาง แล้วตั้งใจจะกอดนาง แต่ว่านางกลับถอยหลังไป นางจ้อง
ไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้ารู้มานานแล้วใช่ไหม? แล้วทําไม ...... ทําไม
ต้องปิดบังข้าด้วย?”
ฉีหนิงท่าทางเศร้ามาก ไม่ได้พด
ู อะไร หานเทียนซู่พูดขึ้นมาว่า
“ศิษย์นอ
้ งเล็ก อย่าโทษท่านอ๋องเลย ท่านอ๋องก็กลัวว่าเจ้าจะเสียใจรับ
ไม่ได้ ก็เลยไม่ได้บอกความจริงกับเจ้า”

“พวกท่านคิดจะปิดบังข้าไปตลอดชีวิตเลยหรือยังไง?”

หานเทียนซู่พูดอย่างจริงจังว่า “ศิษย์นอ
้ งเล็ก ในเมื่อเจ้าอยากรู้
ความจริง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะบอกเจ้า ไม่ใช่แค่ท่านเสินโหวเท่านั้นที่
ตาย ยังมีศษ
ิ ย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องสี่ พวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว ศิษย์พี่รองเพราะ
ต้องการคุ้มครองความปลอดภัยของฝ่าบาท สละชีวิตตายอยู่ในวังหลวง
ศิษย์น้องห้าก็เดินทางกลับไปที่ซีเป่ยแล้ว ตอนนี้จวนเสินโหวสภาพเป็น
ยังไงบ้าง เจ้าลองมองดูให้ดีดีสิ นอกจาข้ากับศิษย์น้องหกที่พยายามคุม
ทุกอย่างเอาไว้ จวนเสินโหวในเวลานี้ไม่ใช่จวนเสินโหวเหมือนเมื่อก่อน
แล้ว”

ซีเหมินจั้นอิงอึ้งไป

ถึงแม้การตายของเซวียนหยวนผ่อ มีหลายคนในจวนเสินโหวที่
รับรู้ แต่ว่าไม่มีใครบอกซีเหมินจั้นอิงมาก่อน พอนางได้รับรู้ข่าวนี้ นางก็
ทําอะไรไม่ถก
ู ยืนแทบจะไม่ไหว ฉีหนิงรู้ทันทีว่านางแย่แน่ ก่อนที่นาง
จะล้ม เลยเดินขึ้นหน้าไปโอบเอวพยุงนางเอาไว้ เห็นนางหน้าซีดขาว
มาก เขารู้สึกสงสารนางจับใจ
หานเทียนซู่ยังคงมีสห
ี น้าเคร่งเครียดมาก เขาพูดต่อว่า “จวนเสิน
โหวในวันนี้ มันไม่ใช่แบบที่ท่านเสินโหวต้องการเห็นแน่นอน สภาพแบบ
นี้ข้าเองก็ไม่รู้จะคุมไหวหรือเปล่า ท่านเสินโหวกับศิษย์พี่ใหญ่ตายไป
แล้ว ทุกคนต่างเจ็บปวดและเสียใจมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านเสิน
โหวไม่ต่างกับท่านพ่อของเรา ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองก็ไม่ต่างกับ
พี่ชายแท้ๆ ของข้า ข้าเองก็เจ็บปวด แต่ว่าความเจ็บปวดมันจะอยู่นาน
กว่านีไ้ ม่ได้ ท่านเสินโหวทําให้จวนเสินโหวเป็นที่ยําเกรงทั่วยุทธภพ
หรือว่าเพราะเขาตาย เราก็จะกลายเป็นหน่วยงานที่ในยุทธภพดูถูกดู
แคลนไปงั้นเหรอ?” เขากําหมัดไว้แน่นแล้วพูดเสียงเข้มว่า “ขอแค่จวน
เสินโหวยังมีคนอยู่ต่อให้มแ
ี ค่คนเดียว ก็ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของ
ท่านเสินโหวต่อไป ปกป้องราชสํานัก ปกครองยุทธภพ ศิษย์น้องเล็ก
เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือเปล่า?”

ซีเหมินจั้นอิงเจ็บปวดมาก นางไม่มีแรงเหลืออีกแล้ว นางพิงอยู่บน


ตัวของฉีหนิง น�าตาอดไหลออกมาไม่ได้ นางพูดว่า “ท่านพ่อจากข้าไป
แล้ว ต่อไป ...... ข้าก็เหลือตัวคนเดียว ......”

ฉีหนิงกอดนางเอาไว้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ได้อยู่ตัวคน


เดียว เจ้ายังมีข้า มีศษ
ิ ย์พี่สาม แล้วก็ยังมีพี่น้องในจวนเสินโหวอีก จั้นอิง
เราทุกคนจะดูแลเจ้าเอง เจ้าต้องเข้มแข็ง เจ้าเติบโตมากับจวนเสินโหว
เจ้าก็ต้องรูส
้ ึกว่าไม่ว่าเมื่อไหร่เวลาไหน เจ้าก็ต้องเข้มแข็งต่อไป” เขา
มองไปที่หานเทียนซู่แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่สามพูดถูกแล้วนะ หากท่านเสิน
โหวรับรู้ จะต้องอยากจะเห็นพวกเจ้าปกป้องจวนเสินโหวเอาไว้ อย่าให้
ความตั้งใจและความพยายามของเขากว่าสิบปีที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า
นะ”

หานเทียนซู่เดินขึ้นหน้าสองก้าวแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ท่าน


อ๋องพูดถูกแล้ว พวกเขาจากไปแล้วก็จริง แต่เรายังอยูน
่ ะ ศิษย์น้องห้า
ยังไงสักวันก็ต้องกลับมา เราจะต้องทําให้จวนเสินโหวอยู่ต่อไปให้ได้
อย่าให้ท่านเสินโหวต้องผิดหวัง”

ซีเหมินจั้นอิงหันหลังกลับไป แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าโต๊ะบูชา ฉีหนิง


เห็นดังนั้น เขาเองก็คก
ุ เข่าตามไปด้วย

ซีเหมินอู่เหิงกับเซวียนหยวนผ่อตายไป มันส่งผลต่อสภาพจิตใจ
ของซีเหมินจั้นอิงมาก ฉีหนิงคอยปลอบใจอยู่ข้างๆ นางตลอดเวลา แต่ก็
เพราะเหตุนี้ นางเลยไม่ได้ไปสนใจหรือคิดเรื่องของจั่วเซียนเอ่อร์ พอ
นางรู้ว่าฉีหนิงต้องออกเดินทางไปเหลียวตง หลังจากที่นางกลับจวน
แล้ว ก็เก็บและจัดเตรียมสัมภาระด้วยตัวเอง

ตั้งแต่ออกเดินทางจากเมืองหลวง มีสองเส้นทางที่สามารถตรงไป
ยังเหลียวตงได้ ทางสายแรกเป็นการเดินทางทางบก ทางอีกสายหนึ่งคือ
เดินทางทางแม่น�าไปยังตงไฮ่ ขึ้นเหนือไปทางป๋อไฮ่
หากเดินทางไปทางบก เส้นทางค่อนข้างไกลพอสมควร ต้องขึ้น
เขาลงห้วย อีกทั้งยังต้องแผนดินแดนของแคว้นฮั่น ไปทางน�าเลย
สะดวกกว่า เพราะแม่น�าฉินไหวอยู่ในการดูแลของแคว้นฉูแ
่ ล้ว
กองทัพเรือตงฉีไม่มีอีกแล้วการเดินทางทางน�าจึงไม่มีอุปสรรค โจรสลัด
ในแม่นา� ก็อยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ของแม่น�า ทาง
ตะวันออกเฉียงเหนือไม่ค่อยมีเท่าไหร่

ฉีหนิงเดินทางไปเหลียวตงครั้งนี้ คนรู้เรื่องนี้นอ
้ ยมาก หลังจากเขา
จัดการเรื่องในจวนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่ได้ไปพบหรือหาใครเลย เขา
สวมหน้ากากที่จงหย่าให้เขามา แล้วขี่มา้ ออกเมืองหลวงเลย

ที่จริงกับคําพูดของเป่ยถังอวี้แล้ว ฉีหนิงก็ไม่ได้เชื่อซะทั้งหมด
เพราะอย่างที่หลงไท่พด
ู มันเหมือนมีอะไรแปลกๆ

แต่เขารู้ว่าแผนที่มันสําคัญกับแคว้นฉูม
่ าก ขอแค่แผนที่มันอยูท
่ ี่
เขาเก้าตําหนักจริง ต่อให้มก
ี ับดัก เขาก็ต้องลองเสี่ยงดู เพื่อชิงมันมาให้
ได้

เขาเชื่อในวรยุทธ์ของตัวเขาเองมาในตอนนี้

นอกจากว่าบนเขาเก้าตําหนักจะมีต้าจงซือ ไม่อย่างนั้นฉีหนิงก็ไม่
หวาดกลัวอะไร
แต่ว่าหากว่าบนเขามีต้าจงซืออยู่จริง มันก็เป็นเพราะชะตาฟ้า
กําหนดแล้ว

ฉีหนิงเดินทางไปตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทางนั้นมันมี
ท่าเรืออยู่ จะหาเรือสักลํามันไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ก่อนที่ฉห
ี นิงจะออกเดินทาง เขาได้สํารวจเส้นทางมาอย่างดีแล้ว
พอข้ามแม่น�าไป ก็เข้าเขตตงฉี จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่เขตเว่ยไฮ่จวิน

ตงฉีต้ังอยู่ค่ันกลางระหว่างสองแคว้นใหญ่มานาน แต่ว่าไม่เคย
หยุดทําการค้ากับทั้งสองแคว้นมาก่อน

แคว้นตงฉีกับเหลียวตงมีการค้ากันบ่อยครั้งโดยอาศัยทางเรือ เขต
เว่ยไฮ่จวินมีแต่ท่าเรือขนาดใหญ่ เรือสินค้าจะเทียบท่าที่เขตนั้น แล้ว
เดินทางไปยังท่าเรือราชสีห์ในเหลียวตง การเดินเรือราบรื่นมาก
เส้นทางไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ดังนั้นการค้าการขายในเส้นทางนีม
้ ันเลย
เจริญมาก ตงฉีกับเหลียวตงมีการค้าเจริญมากๆ

หลังจากกองทัพฉู่ยึดแคว้นตงฉีแล้ว ก็ไม่ได้จํากัดการทําการค้า ซึ่ง


สําหรับพ่อค้าในหลายคนในตงฉี ถึงแม้จะไม่มีแคว้นตงฉีแล้ว แต่พวก
เขายังคงต้องอยู่ต่อไป ดังนั้นการเดินเรือไปเหลียวตงยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง
ทุกวัน หากมีการลงทุนกับเรือสินค้าไปยังเหลียวตงบ้าง มันก็เรื่องปกติ
ฉีหนิงรู้เส้นทางพวกนี้อย่างดี พอถึงช่วงเย็นเขาก็มาถึงท่าเรือ เขา
ไปหาเช่าเรือมาลําหนึ่ง ให้ส่งเขาข้ามฟากไป

ที่จริงแล้วหลังจากกองทัพเรือตงฉีแตกพ่ายไป แม่นา� ย่านนี้ก็ถือ


เป็นของแคว้นฉู่ไปด้วย เลยมีหลายคนที่มาทําการอาชีพรับส่งคนข้าม
ฟากไป ได้ช่องทางหาเงินเพิ่มขึ้นอีก

ม้าของเขาถูกลําเลียงไปไว้บนหัวเรือ ฉีหนิงกําลังจะขึ้นเรือ ก็ได้ยิน


เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง “ช้าก่อน” น�าเสียงนั่นมันคุ้นหูมาก เขาอดเงย
หน้ามองไปไม่ได้ เห็นคนๆ หนึ่งจูงม้าเดินมาเหมือนจะข้ามฟาก
เหมือนกัน ท่าทางอ้อนแอ่น สวมหมวก ฉีหนิงเห็นแค่ท่าเดินกับรูปร่าง ก็
จําได้ทันที เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านจอมยุทธ์หญิงร้ายกาจจริงๆ
ตามข้ามาตลอดทาง ข้ากลับไม่รู้เรื่องเลย”

คนที่อยู่บนฝั่งเอาหมวกออก รอยยิ้มงดงามมาก นางพูดว่า “เจ้าก็


เดินทางแล้ว ข้าอยู่เมืองหลวงก็เบื่อแล้วเหมือนกัน เลยตามเจ้ามา มีข้า
อยู่กับเจ้าด้วย กลางวันก็ค้ม
ุ ครองเจ้าได้ กลางคืนก็มค
ี นให้เจ้ากอดนอน
ด้วย ไม่ดีหรือไง?”

คนเรือได้ยินผู้หญิงสวยๆ แบบนี้แต่กลับพูดแบบนี้ออกมา เขาก็


เสียวสันหลังแปลกๆแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
ตอนที่ฉห
ี นิงจะออกจากเมืองหลวง เขาก็ต้องบอกชื่อตันเหมยอยู่
แล้ว ตอนนั้นนางไม่ได้พด
ู อะไร ใครจะคิดว่านางจะวางแผนการเอาไว้
แล้วตามหลังเขามา ในเมื่อตามมาจนถึงที่นี่แล้ว จะให้นางกลับไปคง
เป็นไปไม่ได้

“บนเรือไม่มีที่แล้ว” คนเรือพูดว่า “เอาม้าขึ้นมาได้แค่ตัวเดียวนะ


แม่นาง ม้าของเจ้า ......”

“ม้าตัวนี้ก็ยกให้เจ้าก็แล้วกัน” ชื่อตันเหมยทิ้งเชือกม้า แล้วเดิน


ตรงขึ้นเรือเลย นางยิม
้ แล้วพูดว่า “ถือว่าเป็นค่าเดินเรือของเจ้าก็แล้ว
กันนะ”

คนเรือแทบจะไม่อยากเชื่อ เขาหยิกเนื้อตัวเองดูว่าเขากําลังฝันอยู่หรือ
เปล่า แต่ว่ามันก็เจ็บนะ
เล่มที่ 48 บทที่ 1432 ดนตรีและกระบีเ่ ป็นหนึ่งเดียวกัน

หลังจากขึ้นฝั่งที่ท่าเรือราชสีหแ
์ ล้ว ก็เข้าสู่พ้ น
ื ที่เหลียงตงแล้ว

ถึงแม้เหลียงตงจะเป็นพื้นที่ของแคว้นเป่ยฮั่น แต่เทียบกับซีเป่ย
แล้ว เป่ยฮั่นคุมเหลียงตงไม่อยูก
่ ว่าซีเป่ยอีก

เหลียวตงเป็นพื้นที่ที่มีภเู ขาค่อนข้างมาก หลายพื้นที่เป็นสถานที่


ล่าสัตว์ ชาวบ้านค่อนข้างป่าเถื่อน ตอนที่แคว้นฮั่นยึดพื้นที่เหลียวตง
แทบจะไม่ต้องออกแรงเลย หากบอกว่าซีเป่ยต้องใช้ทหารในการจัดการ
ทางเหลียวตงก็คงใช้การปลอบขวัญเป็นหลักมากกว่า

สําหรับเป่ยฮั่นแล้ว เมืองที่เป็นอันตรายสําหรับพวกเขาไม่ใช่
เหลียวตง แต่เป็นเส้นทางทางใต้หากคิดจะบุกเหลียวตง แคว้นฉู่ก็
จะต้องบุกขึ้นเหนือแน่นอน ดังนั้นตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นเป่ยฮั่นมา พวกเขา
เลยใช้นโยบายในการปลอบขวัญกับทางเหลียวตงมาตลอด ชาวเหลียว
ตงเองก็เปลือกนอกก็ยอมรับ แต่ในหลายพื้นกลับยังอยู่ในการปกครอง
ของตัวเองทั้งหมด

แต่ยังดีที่ว่าการค้าฝั่งนีค
้ ่อนข้างราบรื่น เหลียวตงเองก็ไม่เคยใช้
กําลังทหารด้วย
ภูเขาจํานวนมาก พื้นที่เหลียวตงมีประชากรค่อนข้างน้อย ที่จริงใน
หลายพื้นที่แทบจะไม่พบเจอผู้คนเลย เขาเก้าตําหนักตั้งอยู่ทางทิศตะ
วัตตกเฉียงใต้ของเหลียวตง หลังจากขึ้นมาจากท่าเรือแล้ว เดินทางอีก
สองสามวัน ก็จะไปถึงได้

แต่ว่าเขาเก้าตําหนักมันไม่ถือว่าเป็นยอดเขาสูง ในพื้นที่เหลียวตง
มียอดเขาสูงหกแห่งที่ข้ึนชื่อ เขาเก้าตําหนักมันไม่เหมือนจะอยู่ไกลมาก
อีกทั้งคนในท้องที่เองก็น้อยคนที่จะรู้ว่ามีเขาลูกนี้อยู่ด้วย

ฉีหนิงศึกษาตําแหน่งที่ต้ังของเขาเก้าตําหนักมาแล้ว แต่ว่า
รายละเอียดมันอยู่ที่ไหนแน่เขาเองก็ยงั ไม่ชด
ั ระหว่างทางเขาสอบถาม
อยู่เรื่อยๆ แต่ว่าคนที่รู้เรื่องนี้มน
ั มีน้อยมาก จนได้มาเจอกับคนตัดไม้คน
หนึ่งชายตัดไม้คนนั้นชีท
้ างให้ “เดินไปทางตะวันตกประมาณห้าหกสิบลี้
พอถึงที่น่ันแล้วถามคนแถวนั้นอีกทีนะ แต่ว่าที่น่น
ั มีคนค่อนข้างน้อย ได้
ยินมาว่าใกล้ๆ เขาเก้าตําหนักภายในสิบลี้ไม่มห
ี มู่บ้านอะไรอยู่เลย
หลายสถานที่มน
ั ร้างมากแล้ว แม้แต่ถนนก็ไม่มี แล้วพวกเจ้าจะไปที่น่น

ทําไมกัน?”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าที่น่ันทิวทัศน์สวยงาน ก็เลย
อยากจะไปดูสก
ั หน่อย”
“เขาเก้าตําหนักน่ะเหรอ? ทิวทัศน์ที่น่ันมันก็สวยจริงๆ แหละ แต่
ว่าเขาในเหลียวตงมีหลายที่ที่สวยกว่านั้นมากนะ” คนตัดไม้ย้ม
ิ แล้วก็
จากไป

ฉีหนิงทําตามคําชี้แนะจากคนตัดไม้ ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยขีม
่ า้ ตัว
เดียวกัน ไปทางทิศตะวันตก

ชื่อตันเหมยเอาม้าของนางมอบให้คนเรือไป ดังนั้นพวกเขาเลย
ต้องใช้ม้าตัวเดียวกันแทน เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาเกินไป หลังจากขึ้น
ฝั่งมาแล้ว ฉีหนิงก็ให้ช่ อ
ื ตันเหมยปลอมตัวเป็นผู้ชาย

เดินทางต่อมาอีกประมาณสี่หา้ สิบลี้ ระหว่างทางแทบไม่เจอคน


เลย อีกทั้งรอบๆ ก็ดูร้างมาก เป็นอย่างที่ชายตัดไม้พด
ู จริงๆ ใกล้ๆ เขา
เก้าตําหนักไม่มห
ี มู่บ้านอะไรเลย

แต่ก็โชคดีที่ได้เจอคนหนึ่ง ฉีหนิงเข้าไปถามทางกับเขา คนๆ นั้น


บอกทางไปเขาเก้าตําหนักให้ แล้วพูดว่า “ได้ยน
ิ มาว่าที่เขาเก้าตําหนัก
มันมีผด
ี ้วยนะ ถ้าพวกเจ้าไม่มีเรื่องอะไรจําเป็นต้องไป ก็อย่าเข้าไปใกล้
เลย หลายปีก่อนมีนายพรานกลุ่มหนึ่งไปล่าสัตว์แถวนั้น เห็นบนเขามี
ดวงไฟลอยไปลอยมา คนแถวนั้นรู้กันทั้งนั้นว่าที่น่ันมันเป็นภูเขาร้าง ไม่
มีใครเขาไปกันหรอก ตอนกลางคืนมันมักจะมีลูกไฟปรากฎขึ้น มัน
แปลกมาก นายพรานกลุ่มนั้นมีสองคนอยากจะขึ้นไปดูว่ามันคืออะไร
กันแน่ แต่ว่าคนอื่นไม่กล้า สองคนนั้นก็เลยไปกันสองคน เช้าวันต่อมา
พอนายพรานคนอื่นตื่นขึ้นมา ก็เห็นพวกเขาสองคนกลายเป็นศพแล้ว
เหมือนถูกควักหัวใจด้วยนะ ตั้งแต่น้น
ั เป็นต้นมา ใครก็ไม่กล้าไปอีกเลย”

ฉีหนิงขอบคุณคนๆ นั้น แล้วเดินหน้าไปที่เขานั้นอีก

ชื่อตันเหมยพูดว่า “นายพรานสองคนนั้นน่าจะถูกคนบนเขาฆ่า
เอา พวกเขาตั้งใจทําผีมาหลอกชาวบ้าน เพื่อไม่ให้เข้าไปใกล้”

ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “เขาเก้าตําหนักอยู่ในที่ค่อนข้างลึกลับ
ข้าแค่แปลกใจว่า เป่ยถังอวี้ทําไมถึงได้ซ่อนมันเอาไว้ที่นี่? บนเขานั่นมี
ใครอยู่กันแน่นะ?”

“วรยุทธ์ของเจ้ารับมือได้ทุกอย่างอยู่แล้ว” ชื่อตันเหมยไม่ได้สนใจ
เลย “นอกจากต้าจงซือ ก็คงต้องให้บนเขามีทหารหรือคนสักพันคน
เท่านั้นแหละ นอกนั้นเราก็ไม่เห็นต้องไปกลัวเลย”

สิ่งที่ช่ อ
ื ตันเหมยพูดว่ามันก็จริง

ความสามารถของฉีหนิงเกือบเทียบเท่าต้าจงซือแล้ว ส่วนชื่อตัน
เหมยเองก็เป็นยอดฝีมือชั้นสูง ทั้งสองคนร่วมมือกัน ในใต้หล้านี้
นอกจากต้าจงซือ ก็คงไม่มีใครสู้พวกเขาได้เลย

ตามคําแนะนําของชายคนนั้น เขาเดินทางไปอีกประมาณสิบลี้
เส้นทางมันแคบลงเรื่อยๆ เดินหน้าไปอีกไม่เท่าไหร่ก็เริม
่ มีโพรงหญ้า
หนา เรียกได้ว่าไม่มีพ้ น
ื ถนนแล้ว ด้านข้างเริ่มเป็นพื้นที่ภูเขา ตรงกลางมี
ทางเล็กๆ แคบๆ เส้นหนึ่ง ม้าตัวหนึ่งผ่านไปได้ เดินไปตามทาง
ประมาณครึ่งชั่วยาม ทางแคบลงเรื่อยๆ จนม้าเริ่มเดินผ่านไม่ได้
ด้านหน้ามันเป็นช่องที่เดินได้แค่คนเท่านั้น

“เราเดินผิดทางหรือเปล่า?” ฉีหนิงสงสัย

ชื่อตันเหมยพูดว่า “ถ้าตามที่คนๆ นั้นบอก ก็ที่นี่นะ แถวนี้ก็ไม่มี


ถนนด้วย หรือว่าเราต้องเดินไปอีก ด้านหน้าอาจจะเป็นเขาเก้าตําหนัก
แล้ว”

ตอนนี้เดือนแปดอากาศยังค่อนข้างร้อน ยังดีที่อยู่บนเขา มีภูเขาบัง


แดดให้ เลยพอจะเย็นอยู่ได้

เดินขึ้นหน้าไปอีกระยะหนึ่ง ก็ผ่านช่องแคบออกมาได้ ด้านหน้ามัน


ค่อนข้างกว้าง พอมองขึ้นบนไป ก็เป็นภูเขาที่มีต้นไม้หนาเขียวชะอุ่ม ใต้
แสงแดด มันดูสวยงามมาก

เขาสองคนมองหน้ากัน ในใจก็รูส
้ ึกแปลกใจ เขาที่อยู่ตรงหน้าพวก
เขาคือเขาเก้าตําหนักที่พวกเขาตามหา

ฉีหนิงนึกถึงคําที่เป่ยถังอวี้เคยพูดไว้ คนบนเขาเก้าตําหนักถ้าได้
เจอเขาก็จะรู้ว่าเขาเป็นใคร อีกอย่างคนๆ นั้นก็จะมอบแผนที่ให้เขา
ตอนที่เขาเดินทางออกจากเมืองหลวง เพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก เลยสวม
หน้ากากอีกหน้าหนึ่งมา ตอนนีม
้ าถึงเขาเก้าตําหนักแล้ว คิดในใจว่าหาก
สวมหน้ากากต่อ อีกฝ่ายจะจําเขาไม่ได้ มันจะยุง่ เขาเลยถอดหน้ากาก
ออก เผยหน้าที่แท้จริงออกมา

ชื่อตันเหมยยิม
้ แล้วพูดว่า “ในที่สุดก็ถอดออกสักที หลายวันมานี่
ข้ายังคิดว่าตัวเองทรยศเจ้าอยูก
่ ับชายคนอื่นตลอดเลย”

“ในใต้หล้านี้ยังมีชายคนที่สองที่เจ้าถูกใจเจ้าได้อีกเหรอ?” ฉีหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากว่าจะเข้าตาเจ้าได้ เจ้าควรรักษามันไว้ให้ดีถึงจะถูก
นะ”

ชื่อตันเหมยเชิดใส้เขา แล้วมองขึ้นไปบนเขา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า


“อาศัยอยู่ในป่าร้างทึบแบบนี้ ไม่น่าเบื่อตายเลยเหรอ หากเป็นข้ายอม
ตายดีกว่า”

ฉีหนิงคิดในใจว่าการซ่อนตัวอาศัยอยู่ในป่ามันฟังดูเหมือนจะดี แต่
ว่าป่าร้างๆ แบบนี้ คนทั่วไปไม่นา่ อยู่ได้

เขาเดินขึ้นหน้าไปอีกระยะหนึ่ง แล้วเหมือนจะได้ยินเสียงน�าไหล
เลยเร่งเดินเร็วขึ้น มันเหมือนเสียงน�าที่ไหลลงมาจากภูเขา ทั้งสองมอง
ไปตามเสียง แล้วเดินเข้าไปใกล้ เสียงน�ามันดังมากขึ้น จากนั้นพวกเขาก็
เห็นน�าตกขนาดใหญ่ที่เหมือนมังกรขาวตัวใหญ่ ไหลลงมา มันดูนา่ ทึ่ง
มาก
ริมน�าตก มีกระท่อมหลังหนึ่ง ในป่าแบบนี้ ทําไมยังเหมือนคน
อาศัยอยู่

ทั้งสองคนเดินเข้าไปใกล้ พบว่าน�าตกที่ไหลลงมาด้านล่างมัน
รวมกันเป็นเหมือนทะเลสาบ แต่ด้านข้างก็มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใต้ต้นไม้
มีคนนั่งขัดสมาธิอยู่

ฉีหนิงคิดในใจว่าหรือว่าคนๆ นั้นคือคนสนิทที่เป่ยถังอวี้พูดถึง เขา


เลยหันไปมองให้ช่ ือตันเหมยไม่ต้องตามเขาไป เขาเดินไปหาคนเดียว
จากนั้นก็หยุดอยู่ห่างๆ เขายกมือคํานับแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสข้าขอ
รบกวนสักหน่อย”

เสียงน�าตกดังมาก แต่ฉห
ี นิงกําลังภายในแก่กล้า เสียงของเขาเลย
สามารถผ่านไปในหูของคนๆ นั้นได้ยังสบายๆ

คนๆ นั้นไม่ได้พูดอะไร

ฉีหนิงแปลกใจ แอบคิดในใจว่าน�าเสียงของเขานั้นมันก็น่าจะดังพอ
ให้เขาได้ยินชัดก แต่ทําไมเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย? หรือว่าคนๆ
นั้นเหมือนจะไม่ได้ยิน เขาเลยเดินเข้าไปใกล้อีกแล้วพูดอย่างมีมารยาท
ว่า “ท่านผู้อาวุโส”

คนๆ นั้นก็ยังไม่ได้สนใจ
ฉีหนิงคิดในใจว่าหรือว่าคนๆ นั้นจะหูหนวก เขาเดินไปตรงหน้า
ของคนๆ นั้น แล้วก็น่งั ลงตรงก้อนหินที่อยู่ตรงข้าม ตอนนี้เขาเห็นหน้า
คนๆ นั้นชัดมาก คนนั้นอายุประมาณห้าสิบ ผิวออกคล�า หน้าตา
ธรรมดา ดูก็เหมือนคนตัดไม้ที่มานั่งพักผ่อนอยู่บนเขา แต่ว่าเขาหลับตา
อยู่ ท่าทางนิ่งมาก เอามือกอดอก ท่านั่งของเขาก็ดแ
ู ปลกๆ นิดหน่อย

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่า


จะมองเห็นด้วยหรือเปล่า?”

คนๆ นั้นยังคงไม่สนใจ ชื่อตันเหมยพูดว่า “ทําท่าทําทางแปลกๆ


มาดูกันสิว่าเจ้าจะหูหนวกจริงหรือเปล่า” นางดีดตัวขึ้น ลอยตัวมาอย่าง
รวดเร็ว

ฉีหนิงพูดว่า “อย่าลงมือ”

แต่ช่ อ
ื ตันเหมยลงมือเร็วมาก ตอนที่ฉีหนิงส่งเสียง นางก็ลอยตัวมา
อยู่ข้างๆ อีกคนแล้ว นางยื่นมือจจะไปจับหัวไหล่ของคนๆ นั้น มือกําลัง
จะสัมผัสถูกเนื้อตัวเขาแล้ว แต่คนๆ นั้นกลับหลบ พริบตาเดียวเขาก็
หายไปจากบนโขดหิน ชื่อตันเหมยจับได้แค่อากาศ

ฉีหนิงตะลึงไป
ชื่อตันเหมยวรยุทธ์ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมอ
ื ที่หาได้ยากในยุทธภพ
นางลงมือไวมาก แทบจะหาคนหลบการโจมตีของนางได้ยาก แต่ว่า
คนๆ นีก
้ ลับทําได้อย่างง่ายดาย เหมือนจะไวมากกว่าชื่อตันเหมยอีก

ชื่อตันเหมยเองก็หน้าเสียไปเหมือนกัน นางมองซ้ายมองขวา เห็น


คนๆ นั้นหลบไปนั่งอยูบ
่ นโขดหินอีกก้อนหนึ่ง

ฉีหนิงลุกขึ้น กําลังจะพูด คนๆ นั้นลืมตาขึ้นมา แล้วมองมาที่ฉห


ี นิง
จากนั้นก็ถามว่า “ในก่วงหลิงซ่าน มันมีเสียงซังอินอยูส
่ องเสียง หลังจาก
เป็นเสียงกงอินแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงไปต่อไปอีกสี่แบบ เจ้าว่าข้าพูด
ถูกหรือเปล่า? ข้าคิดมาตั้งครึ่งเดือนแล้ว คิดไม่ออกสักทีว่ามันเปลี่ยน
ยังไง”

เขาถามขึ้นมาแบบไม่มต
ี ้นสายปลายเหตุ ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยเอง
ก็ฟังแล้วงงๆ

“ท่านกําลังพูดถึง ...... ก่วงหลิงซ่านงั้นเหรอ?” ฉีหนิงได้ยินบท


เพลงนีม
้ าก่อน “ท่านพูดถึงการเปลี่ยนทํานอง หมายความว่ายังไง?”

“ในเพลงกระบี่ มันไม่ได้มก
ี ารเปลี่ยนแบบนี้” คนๆ นั้น ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ข้าคิดไม่ออกเลยว่าเพลงกระบี่จะรวมกับทํานองได้
ยังไง” เขายื่นมือออกมาวาดเป็นภาพแล้วพูดว่า “เสียงซังอินสลับ
เปลี่ยนเป็นเสียงกงอินมันไม่ผด
ิ อะไร เปลี่ยนเป็นเจียวอวี่ก็ไม่ผด
ิ แต่ว่า
ซังอินเปลี่ยนเป็นเจียวอินมันก็จะมีปญ
ั หา หากกงอินเปลี่ยนเป็นเฉิงอวี่
อินแล้วเปลี่ยนเป็นเฉิงเจียวอินได้ มันต้องมีอานุภาพมากแน่ๆ เลย แต่
ว่าเสียงกงอินจะเปลี่ยนไปเป็นเสียงเฉิงอินโดยตรง มันเหมือนจะมีชอ
่ ง
โหว่ ......” เขาส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยุ่งยาก ยุ่งยาก ยุ่งยาก
จริงๆ”

ถึงแม้เขาจะพูดแบบงงๆ แต่ฉห
ี นิงกลับฟังออก เขาเลยลองถาม
หยั่งเชิงดูว่า “ท่านหมายความว่า อยากจะให้ดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลง
กระบี่ คิดอยากจะ ...... รวมดนตรีและเพลงกระบี่ให้เป็นหนึ่งใช่ไหม?”

“เอ๋?” คนๆ นั้นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ด้วยเหรอ? ยอดไปเลย เจ้ามานั่งนี่


มา เรามาคุยกันว่าทํายังไง” สายตาของเขาเหมือนดีใจมาก
เล่มที่ 48 บทที่ 1433 เสื้อผ้าสีขาวเหมือนหิมะ

ฉีหนิงเหมือนเขินๆ ไป

คนที่อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนจะรู้เรื่องดนตรีเป็นอย่างดี แต่เขาเรื่อง
การฟังเพลงไม่มีปัญหา แต่จะให้มาพูดเรื่องดนตรีกับกระบี่ เขาแทบไม่
มีความรู้อะไรไปคุยกับคนอื่นได้เลย เขายิม
้ แล้วพูดว่า “ท่านเป็นผู้รู้ใน
ด้านดนตรี ผู้น้อยไม่เชี่ยวชาญด้านนี้เลย คิดว่าคงไม่อาจพูดคุยด้วยได้”

คนๆ นั้นทําหน้าเหมือนจะผิดหวัง เขาส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้พด


ู อะไร

“ผู้น้อยอยากจะถามท่านสักหน่อยว่าท่านรู้จักเป่ยถังอวี้หรือไม่?”
ฉีหนิงเปิดประเด็นเลย “ผู้น้อยได้รับการไหว้วานจากเขา ให้มาที่นี่”

คนๆ นั้นไม่เหมือนไม่ได้สนใจ เอาแต่พด


ู ว่า “กระบวนท่าแบบนี้
หากเจอมือกระบี่ก็ไม่เท่าไหร่ แต่หากเจอยอดฝีมือเข้า มันอาจจะ ......”

ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พูดกับเจ้าอยู่นะ เจ้าไม่ได้ยินหรือ


ไง? ถามเจ้าอยู่ว่ารู้จักเป่ยถังอวี้หรือเปล่า?”

คนๆ นั้นถอนหายใจแล้วชี้ไปบนเขาแล้วพูดว่า “พวกเจ้าขึ้นไปเลย


อย่าพูดมาก”
ฉีหนิงเห็นทางขึ้นเขาถึงแม้จะแคบ แต่ก็ยังมีทางเดินอยู่ มันอยู่
ใกล้ๆ กับน�าพุ มันเป็นทางที่เดินขึ้นเขาไป

เขารู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่าหรือว่าคนที่ป่ยถังอวี้ให้มาหานั้น
จะไม่ใช่คนที่อยู่ตรงหน้าเขา คนที่เขาต้องมาพบอยู่บนเขางั้นเหรอ?

เห็นคนที่สวมหมวกนั้นเหมือนจะคิดอะไรอยู่ เหมือนไม่มีอารมณ์
มาต่อปากต่อคํากับเขาเลย เขาเลยยกมือคํานับ แล้วพาชื่อตันเหมยเดิน
ไปตามทาง

บนเขามีแต่ต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบ เส้นทางขึ้นเขาก็แคบมาก รอบๆ


มีแต่เสียงนกเสียงกา บรรยากาศแบบป่าดงดิบเลย

เดินไปได้ครึ่งทาง ก็เห็นมีคนๆ หนึ่งยืนอยู่ คนๆ นั้นสวมชุดสีขาว


ราวกับหิมะ อายุไม่เกินยี่สิบปี หน้าตาดีทีเดียว เขาเอามือทับกัน
ตรงหน้าท้อง สวมหมวก ไม่ได้รวบผม ในป่าแบบนี้ เขาสวมชุดที่ดี
สะอาดมาก ถือว่าหาได้ยาก

ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยมองหน้ากัน จากนั้นก็ได้ยินคนๆ นั้นพูดว่า


“ข้าน้อยเกาซาน ท่านทั้งสองเชิญตามข้าน้อยมาทางนี้ขอรับ” เขาไม่
พูดอะไรมากกว่านั้นเลย หันหลังแล้วเดินขึ้นเขาไป

ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยรู้สก
ึ แปลกใจมาก หก แอบคิดในใจว่าหรือว่า
อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะมา ไม่อย่างนั้นทําไมกลางทางถึงได้มีคนมารอรับ?
แต่ในเมื่อมาแล้วก็เลยตามเลยแล้วกัน ถึงแม้ท้ังสองคนจะรู้สึกว่า
เขาเก้าตําหนักมันแปลกมาก แต่ว่าพวกเขาก็รบ
ั มือกับมันด้วยความ
สงบ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดี หากเกิดอะไรขึ้นมา ก็ต้องรับมือกันไปตาม
สถานการณ์ เขาตามคนๆ นั้นขึ้นเขาไป ยังไม่ถึงยอดเขา ก็ถก
ู พาเลี้ยว
ไปทางเล็กๆ อีกเส้นหนึ่ง ไม่นานนัก ก็เห็นบ้านพักที่ทําจากไม้ไผ่หลัง
หนึ่ง เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านพัก เกาซานก็บอกทั้งสองว่า “ท่านทั้งสอง
พักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน อาหารเย็นเดี๋ยวจะนํามาให้โดยเร็วที่สุดนะขอรับ”

ฉีหนิงยกมือคํานับแล้วพูดว่า “ขอถามพี่ชาย นายท่านของที่นี่เป็น


ใครกันหรือ? เราได้รับการไหว้วานจากท่านอ๋องอวี้ ให้มาพบท่าน”

“ท่านทั้งสองไม่ต้องรีบร้อนไป” เกาซานยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านทั้ง


สองดูเหนื่อยล้าเนื้อตัวมอมแมม แสดงว่าเดินทางมาไกล ในเมื่อมาแล้ว
ก็พักสักก่อนเถอะ นายท่านจะรอจนท่านพักผ่อนดีแล้ว ถึงจะมาพบ”

ฉีหนิงขมวดคิ้ว ชื่อตันเหมยเดินไปที่ด้านหลังของเกาซาน ยกมือ


จับไปที่หัวไหล่ของเขา แล้วพูดว่า “น้องชาย เจ้าเองก็รูว
้ ่าเราเดินทางมา
ไกล นายท่านของพวกเจ้าเป็นใคร นิสัยเป็นยังไง เจ้าก็น่าจะบอกเรา
หน่อยนะ ถ้าเรารู้ล่วงหน้า เวลาพบเขา เราจะได้ไม่เสียมารยาทไง”

ถึงแม้นางจะแต่งตัวเป็นชาย แต่เวลาพูด น�าเสียงยังคงเหมือน


ผู้หญิงอยู่ อีกอย่างหน้าตาของนางก็งดงามมาก ต่อให้สวมชุดผูช
้ าย
ปกปิด ก็ไม่อาจปิดได้มด

ด้วยเสน่ห์ของชื่อตันเหมมย ต่อให้เป็นหลวงจีนก็ไม่แน่ว่าจะ
ต้านทานได้ ยิง่ ไม่ต้องพูดถึงชายหนุม

ฉีหนิงรู้สึกขํา แต่ว่าเขาเองก็อยากจะรู้ว่านายใหญ่ของเขาเก้า
ตําหนักนั้นเป็นใคร พอชื่อตันเหมยใช้วิธีนี้ เขารู้สึกว่ามันก็มป
ี ระโยชน์
เหมือนกัน

ใครจะคิดว่าเกาซานจะนิ่งเหมือนเดิม เขานิ่งยิง่ กว่าหลวงจีนอีก


เขายิ้มแล้วพูดว่า “นายท่านจะมาพบพวกท่านในไม่ช้า ท่านทั้งสองไม่
ต้องร้อนใจไป” จากนั้นเขาก็ยกมือคํานับ ไม่พูดอะไรอีกแล้วเดินจากไป
เลย

ชื่อตันเหมยมองแผ่นหลังเกาซาน แล้วพูดแบบเศร้าๆ ว่า “เจ้าเด็ก


บ้านี่ต้องไม่ใช่ผช
ู้ ายแน่ๆ”

ฉีหนิงหัวเราะ แล้วเดินเข้าบ้านไป ภายในตกแต่งเรียบง่ายมาก


สะอาดมากด้วย บนโต๊ะมีพวกของว่าง ยังมีเหล้าด้วย มีตัวอักษรสีแดง
แปะเอาไว้ว่า “ไป่เฉาเหนียง” ภายในห้องไม่มก
ี ลิ่นอายของป่า แต่ยังมี
กลิ่นหอมของพวกดอกไม้ มันทําให้ผอ
่ นคลายมากๆ

ทั้งคู่เร่งเดินทางมาหลายวัน ก็รู้สึกว่าอ่อนเพลียมากจริงๆ ฉีหนิงนั่ง


ลงบนเก้าอี้ แล้วยืดแขนยืดขาออก ชื่อตันเหมยเดินไปนั่งบนเตียง แล้ว
เอนตัวนอนลงไป จากนั้นก็พด
ู ว่า “เราไม่ได้พก
ั ดีดีกันเลยตั้งหลายวัน
เรามานอนกอดกันสักหน่อยดีไหม?”

ฉีหนิงมองไปที่นาง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าอย่ามายั่วข้านะ


เราไม่รูอ
้ ะไรเลยเกี่ยวกับที่นี่ เกิดข้าทนไม่ไหวขึ้นมา ทําอะไรกับเจ้าลง
ไป แล้วใครมาเห็นเขา ชื่อเสียงข้าป่นปี้ แน่”

ชื่อตันเหมยหัวเราะ แล้วนอนตะแคงข้าง เอามืออิงหัวเอาไว้แล้ว


พูดว่า “เส้นทางที่เราขึ้นมาบนเขา อยู่ข้างๆ น�าตก ตอนที่ข้าขึ้นเขามา
สังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว นอกจากเส้นทางนั้น ที่อ่ ืนเหมือนมีแต่
เถาวัลย์ ที่น่น
ั เป็นทางขึ้นลงทางเดียวของเขาลูกนี้ เจ้าว่าคนบ้านั่นจะ
เป็นคนเฝ้าทางเข้าออกหรือเปล่า?”

ฉีหนิงได้ยินนางพูดว่า “เจ้าบ้า” ก็น่าจะหมายถึงชายคนที่น่งั อยู่ที่


ริมน�าตก เขาพูดอย่างแปลกใจว่า “คนเฝ้าทางเข้าออกเหรอ? คนๆ
นั้นวรยุทธ์ร้ายกาจมากเลยนะ น่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าเลย ยอดฝีมอ

อย่างเขา จะมาเฝ้าทางเข้าออกให้คนอื่นได้ยังไงกันล่ะ?”

“เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลไป” ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า
“คนๆ นั้นวรยุทธ์เหนือกว่าข้าก็จริง แต่ว่าข้าคิดไปคิดมา ในใต้หล้านี้
เหมือนจะมีคนที่ร้ายกาจแบบนั้นไม่มาก หากเขาเป็นแค่คนเฝ้า
ทางเข้าออกภูเขาลูกนี้ แสดงว่านายใหญ่ของที่นี่ก็ต้องร้ายกาจกว่าเขา
สิ?” เหมือนนางคิดอะไรได้ นางลุกขึ้นมานั่ง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อย่า
บอกนะว่า ...... คนที่อยู่บนเขาคือต้าจงซือน่ะ?”

“ต้าจงซือ?” ฉีหนิงส่ายหน้าพูดว่า “อาจารย์เจ้าไม่มท


ี างมาอยู่ที่นี่
แน่ เทพกระบี่ก็ไม่น่าอยูท
่ ี่นี่เหมือนกัน เป่ยถังหวนเยว่ .....” เขาสะดุ้ง
แล้วพูดว่า “หรือว่าเขาจะอยู่ที่นี่?”

ชื่อตันเหยมพูดว่า “มันก็ไม่แน่นะ เป่ยถังหวนเยว่หายไปตั้งหลาย


ปี แม้แต่ท่านเจ้าเกาะก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นหรือตาย หากเขาหลีกหนีความ
วุ่นวาย มาหลบอยู่ที่นี่ มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน”

ฉีหนิงพูดว่า “หากเป็นเป่ยถังหวนเยว่จริง เราก็ตกหลุมพรางของ


เป่ยถังอวี้เข้าให้แล้ว”

“มันก็ไม่แน่หรอก” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นหลายของ


เทพกระบี่ อาจารย์ของข้าคือท่านเจ้าเกาะ หากเขาต้องการจัดการกับ
เรา ก็ต้องคํานึงถึงต้าจงซืออีกสองคนด้วย อีกอย่างเราเองก็ไม่ได้มี
ความแค้นอะไรกับเขามาก่อน เขาจะลงมือกับเราทําไม? แต่ว่านายท่าน
ที่อยู่บนเขานี่ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เป่ยถังอวี้บอกว่าเป็นคนสนิทของ
เขา ข้าว่านายท่านของที่นี่อาจจะไม่ได้เห็นเป่ยถังอวี้อยู่ในสายตาด้วย
ซ�า” นางพูดอย่างสงสัยว่า “แต่ว่าทําไมเป่ยถังอวี้ต้องให้เรามาที่นี่
ด้วย?”
ฉีหนิงคิด แต่ก็คิดไม่ตก เขาพูดว่า “ยังไงก็ต้องไปพบเขาอยู่ดี ไว้รอ
พบแล้ว ทุกอย่างก็กระจ่างเอง”

ไม่นานนัก ก็มค
ี นสองคนยกอาหารมาให้ สองคนนั้นอายุประมาณ
สามสิบปี ดูแตกต่างกับเกาซานที่สวมชุดสีขาว คนพวกนี้สวมชุดสีเขียว
แขนสั้น ร่างกายดูกํายําแข็งแรง คิดว่าน่าจะเดินขึ้นลงเขาตลอด เลย
เหมือนได้ฝึกร่างกายไปด้วย

เมื่อจัดเรียงอาหารเรียบร้อยแล้ว พวกเขาสองคนก็เดินออกไป ไม่


พูดอะไรเลยตั้งแต่เข้ามาแล้วออกไป

อาหารมีสี่อย่าง น�าแกงหนึ่งอย่าง ผัดหน่อไม้ ผัดเห็ดหูหนูแล้วก็มี


ผัดผัก ยังมีแกงเห็ดป่าด้วย แต่ทุกอย่างมีแต่ผก
ั น่าจะเป็นของที่หาได้
จากบนเขา แล้วก็มีขา้ วที่เอากระบอกไม้ไผ่ใส่มาให้ ต้องเทมันลงชามอีก
ที ทั้งคู่ก็หิวกันจริงๆ ฉีหนิงตักข้าวใส่ถ้วยให้ช่ อ
ื ตันเหมย ชื่อตันเหมยเดิน
มานั่งลง แล้วมองอาหารบนโต๊ะ ยิ้มแล้วพูดว่า “อยู่ที่ไหนก็ต้องกินอย่าง
นั้นจริงๆ นะ อยู่บนเกาะตั้งหลายปีกินแต่ปลากินแต่ก้งุ พอขึ้นเขามาก็
ได้กินหน่อไม้ได้กินผัก” เขายิ้มให้ฉห
ี นิงแล้วพูดว่า “เจ้าว่าพวกเขาจะ
วางยาในอาหารให้เรากินหรือเปล่า?”

“ท่านจอมยุทธ์หญิงท่องยุทธภพมานานหลายปี มีประสบการณ์
มากมาย เจ้าลองตรวจสอบก่อนดีไหม?” ฉีหนิงหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้ว
คีบหน่อไม้เข้าปากไป เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “รสชาติไม่เลวเลย
นะเนี่ย ของดีจากป่าจริงๆ”

ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ออกเดินทางด้านนอก ต้อง


ระวังตัวด้วยสิ” นางหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ เจ้ากิน
เข้าไปแล้ว หากมีพิษจริง ข้ากินไปพร้อมเจ้าก็แล้วกัน”

หลังทั้งคู่กินข้าวเรียบร้อยแล้ว ชายชุดเขียวสองคนก็เหมือนจะกะ
เวลาดีมาก พวกเขาเข้ามาเก็บกวาดทําความสะอาดให้ จากนั้นก็ออกไป

ฉีหนิงเดิมอยากจะชวนชื่อตันเหมยออกไปเดินดูรอบๆแต่ก็คิดว่า
เขามาที่นี่เพื่อร้องขอบางสิ่งบางอย่าง เกาซานบอกให้พวกเขาพักกัน
ที่นี่ก่อน ความหมายเหมือนไม่อยากให้เขาเดินไปไหนต่อไหน ในเมื่อเขา
เป็นแขก เขาก็ไม่มีความจําเป็นทําให้เจ้าของสถานที่ไม่พอใจ เขาเลยรอ
อยู่ในบ้านพัก

ชื่อตันเหมยนอนลงบนเตียง หลังจากทั้งคู่ออกจากเมืองหลวงมา
เร่งเดินทางกันทั้งวันทั้งคืน ยังไม่ได้พก
ั กันดีดีเลย ชื่อตันเหมยเลยฉวย
โอกาสนี้พักเอาแรงให้เต็มที่

พอชื่อตันเหมยตื่นขึ้นมาแล้ว ฟ้าก็มืดลงแล้ว บนโต๊ะมีตะเกียงจุด


อยู่ ชื่อตันเหมยยืดเส้นยืดสาย แต่งตัวจนเรียบร้อย แล้วก็ออกจากห้อง
เห็นฉีหนิงนั่งอยู่นอกห้อง เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ยกมือชี้ข้น
ึ ไปบนเขา ชื่อ
ตันเหมยมองตามมือของฉีหนิงไป ท่ามกลางความมืด บนเขามันเหมือน
มีดวงไฟ ไฟนั่นมันไม่ได้มีที่เดียว แต่มน
ั มีหลายที่ เหมือนว่าบนเขามันมี
คนอาศัยอยู่

“ระหว่างทางมีคนบอกว่าบนเขามันมีผี คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเห็น
ดวงไฟพวกนั้นมากกว่า” ชื่อตันเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “เราจะขึ้นไปดูกัน
ไหมล่ะ?”

“ขึ้นไปเหรอ?”

“แล้วจะรออยู่แบบนี้ต่อไปหรือไง เขาบอกให้เรารอ เราก็รองั้น


เหรอ?” ชื่อตันเหมยพูดว่า “กองทัพแคว้นฉู่ของพวกเจ้ายังอยูท
่ ี่เป่ยฮั่น
นะ พวกเขารอแผนที่ไปช่วยแก้ไขสถานการณ์อยู่ ได้แผนที่มาเร็ว
เท่าไหร่ เราก็จะได้กลับไปเร็วเท่านั้นนะ” นางมองขึ้นไปบนเขาแล้วพูด
ว่า “ตั้งแต่ข้น
ึ เขามา คนที่อยู่ที่นี่แต่ละคนก็ท่าทางลึกลับแปลกๆ ไม่รูว
้ ่า
เล่นลูกไม้อะไรกันอยู่”

ในเวลานี้เอง ฉีหนิงก็เนดวงไฟที่หนึ่งสว่างขึ้นมา ไฟนั่นมันกําลังมา


ทางนี้ ไม่นาน ก็เห็นเกาซานคนสวมชุดขาวถือตะเกียงเดินมาหา แล้ว
โค้งคํานับให้ฉห
ี นิง จากนั้นแล้วพูดว่า “ท่านทั้งสองเชิญตามข้าน้อยมา
ทางนี้ขอรับ”
ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยมองหน้ากัน คิดในใจว่าดูท่าทางนายท่านใหญ่ของ
ที่นี่จะมาเชิญพวกเขาไปพบแล้ว
เล่มที่ 48 บทที่ 1434 เวทีละครยามค�าคืน

เกาซานถือตะเกียงเดินขึ้นเขาไป เขาสวมชุดสีขาว ตอนกลางคืน


แบบนี้มน
ั ดูแปลกมาก

เดินผ่านป่าไป รอบข้างมีแต่เสียงแมลง ไม่มีเสียงอย่างอื่นเลย เดิน


มาได้ระยะหนึ่ง ด้านหน้าก็เหมือนจะมีแสงไฟ แสงไฟนั่นมันสว่างมาก
พอเข้าไปใกล้ มันเป็นลานกว้างๆ แห่งหนึ่ง มีไม้ที่ว่างกระทะที่จุดไฟ
เอาไว้มากมาย น่าจะประมาณยี่สิบใบเห็นจะได้ มันทําให้ที่นด
ี่ ส
ู ว่างมาก

ตรงกลางลานนั้น มีเวทีต้ังอยู่ มีฉากด้านหลังด้วย ดูก็รูว


้ ่าเป็นลาน
ประลองยุทธ์ แต่ว่าดูแล้วก็เหมือนเวทีแสดงละครเหมือนกัน ทุกอย่าง
มันดูแปลกมาก

ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยมองหน้ากัน พวกเขารู้สก
ึ แปลกใจมาก ลาน
แห่งนี้มองดูแล้วก็เหมือนลานพิธีกรรมอะไรบางอย่าง

ด้านล่างเวทีมีเก้าอี้อยูส
่ องตัว เกาซานพาพวกเขาสองคนไปที่เก้าอี้
แล้วพูดว่า “ท่านทั้งสองเชิญนั่งก่อนขอรับ”

ฉีหนิงขมวดคิ้ว “นี่มันหมายความว่าไง? นายของพวกเจ้าอยู่ที่


ไหน?”
“ท่านทั้งสองเดินทางมาไกล นายท่านสั่งเอาไว้ว่า คืนนี้ให้
จัดเตรียมละครให้พวกท่านทั้งสองชมก่อน” เกาซานนิง่ มาก “คณะ
ละครนี้นายท่านเป็นผูฝ
้ ึกฝนด้วยตัวเอง เนื้อเรื่องก็นายท่านก็เป็นคน
เขียนขึ้นเองเช่นกัน”

“เจ้าจะให้ข้าดูละครที่นี่ง้ันเหรอ?” ชื่อตันเหมยพูดอย่างแปลกใจ
ว่า “เรื่องอะไร?”

เกาซานโค้งคํานับ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นก็หันหลังเดิน


ออกไป

ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยไม่รู้ว่านายใหญ่ของที่นี่คิดจะทําอะไร แต่คิด
ว่าในเมื่ออีกฝ่ายลงทุนสร้างเวทีข้ึนมาแล้ว แสดงว่าจะต้องมีอะไร
แน่นอน เลยไม่รบ
ี ร้อน รอดูก่อนว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

ฉีหนิงนั่งลงก่อน ชื่อตันเหมยลังเล แล้วก็น่ังลงข้างๆ นาง นางมอง


ไปที่เวที เต็มไปด้วยความสงสัย

ไม่นานนัก ก็เห็นชายชุดเขียวยกผ้าใบขึ้นไปบนเวที แล้วกางมัน


ออกแล้วติดไปที่ฉากหลัง ทําให้มันปรากฎฉากบรรยากาศ

ทันทีที่ติดฉากนั้นขึ้นไป ฉีหนิงก็หน้าเสียไปทันที
ภาพฉากนั่นมันวาดด้วยน�าหมึกดํา มันเป็นฉากบรรกาศใน
วิทยาลัยฉงหลิน มันเป็นภาพนอกวิทยาลัยฉงหลินที่ฉห
ี นิงคุ้นเคย แล้ว
ยังมีเขียนอักษรชัดเจนว่า “วิทยาลัยฉงหลิน” คนที่วาดภาพนีร้ ้ายกาจ
มาก ถึงแม้จะเป็นแค่หมึกดํา แต่บรรยากาศมันทําให้รู้สึกว่าอยู่ที่น่ัน
จริงๆ

ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นภาพบรรยากาศของวิทยาลัยฉง
หลิน เขาตกใจมาก

ชื่อตันเหมยเหลือบไปมองฉีหนิง เห็นฉีหนิงตกใจ ก็รู้ว่าต้องไม่


ธรรมดาแน่นอน

หลังจากคนตั้งฉากลงจากเวทีลง ก็มค
ี นอีกชุดขึ้นไปจัดโต๊ะให้ดู
เหมือนห้องหนังสือ หลังจากทุกคนลงจากเวทีแล้ว จากนั้นถึงเห็นคน
ออกมาจากหลังเวลที ฉีหนิงเห็นคนๆ นั้น ก็หลุดออกมาว่า “ท่าน .......
ท่านอาจารย์จ่ัว” คนๆ นั้นแต่งกายเป็นจั่วชิงหยาง แต่ว่าท่ามกลางแสง
ไฟสลัว ฉีหนิงเห็นว่าใบหน้าของเขายังแตกต่างจากจั่วชิงหยางอยู่
ถึงแม้จะมีหนวดเคราเช่นกัน ท่าทางดูมค
ี วามรู้เหมือนกัน แต่ก็ขาด
ความมีสง่าราศีในแบบที่เขามี

เขาแค่แต่งกายให้เหมือนจั่วชิงหยางเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะแต่งกายเหมือนจั่วชิงหยาง แต่ราศีที่เขามีน้น
ั มันไม่มี
ใครเลียนแบบได้

คนๆ นั้นค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเวที แล้วนั่งลงที่หลังโต๊ะ เขาหยิบ


ตําราเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน ถึงแท้เขาจะมีความสง่าไม่เท่าจั่วชิงหยาง แต่
ท่าทางหรือรายละเอีนดเล็กน้อยของเขาก็เหมือนจั่วชิงหยางมาก

ฉีหนิงสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดมาก คืนนี้เปิดการแสดงมาก็เป็น
ภาพจั่วชิงหยางอยู่ในวิทยาลัยฉงหลิน มันทําให้เขาตกใจมาก

เขาเก้าหนักที่อยู่ไกลถึงเหลียวตง ทําไมถึงต้องทําการแสดง
เรื่องราวในวิทยาลัยฉงหลินในแคว้นหนานฉูด
่ ้วย?

“จั่วชิงหยาง” ท่าทางของเขานิ่งมาก ฉีหนิงกําลังคิดว่าละครเรื่อง


นี้จะดําเนินต่อไปยังไง ทันใดนั้นเองก็มค
ี นเดินขึ้นมาอีกคน สวมชุดผ้า
แพร อายุประมาณยี่สิบ หน้าตาดี เขาเดินขึ้นมาแล้วตรงไปยืนตรงหน้า
“จั่วชิงหยาง” เขาวางตําราลง แล้วพูดจากับหนุ่มคนนั้น จากนั้นก็เห็น
ชายหนุม
่ คนนั้นกวักมือเรียก แล้วก็มีชายหนุ่มอีกคนสวมชุดผ้าหยาบ
เดินขึ้นมา แต่ว่าถึงจะอย่างนั้น ชายคนนั้นก็มีลักษณะองอาจ อายุ
ใกล้เคียงกับชายหนุ่มสวมชุดผ้าแพรคนนั้น หลังจากขึ้นมา เขาก็คก
ุ เข่า
ให้กับ “จั่วชิงหยาง”
จั่วชิงหยางลูบเคราแล้วถามอะไรบางอย่าง จากนั้นก็บอกให้เขาลุก
ขึ้น แล้วก็พูดอีกไม่กี่คน ชายหนุม
่ สองคนก็มส
ี ีหน้าดีใจมาก แล้วก็ยกมือ
คํานับจั่วชิงหยางพร้อมกัน จากนั้นก็ลงจากเวทีไป

ถึงแม้คนบนเวทีจะแสดงท่าทางเหมือนกําลังพูดจากันอยู่ แต่ว่า
พวกเขาก็ไม่ออกเสียง เหมือนว่ามันเป็นละครใบ้

พอชายหนุ่มสองคนเดินลงจากเวทีไป จั่วชิงหยางก็ลบ
ู เครา แล้ว
มองไปตามแผ่นหลังของชายหนุ่มสองคนนั่น หลังจากนั้นชายชุดเขียวก็
ขึ้นมา แล้วลากผ้าสีดํามาปิดเวที แล้วเปลี่ยนฉากใหม่

ชื่อตันเหมยดูแบบงงๆ แต่ฉห
ี นิงกลับมีสีหน้าจริงจัง เขายั่งอยูบ
่ น
เก้าอี้ จ้องไปที่เวทีอย่างเดียว

หลังจากเปิดผ้าดําออก ฉากบนเวทีก็เปลี่ยนไป มันกลายเป็นป่าไผ่


แห่งหนึ่ง จั่วชิงหยางนั่งอยู่บนเบาะ ชายหนุ่มสองคนเปลี่ยนเป็นชุดสี
อ่อนแขนยาว พวกเขานั่งอยู่ตรงข้ามจั่วชิงหยาง เหมือนจั่วชิงหยาง
กําลังพูดอะไรอยู่ ชายหนุ่มสองคนตั้งใจฟังกันมาก ไม่นานนัก ก็มีผห
ู้ ญิง
คนหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวที แม่นางคนนั้นอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี
สวมกระโปรงสีเขียวอ่อน รัดผ้าคาดเอว ผมยาวเก็บผมเรียบ ตอนที่ข้น

เวทีมานั้น เหมือนกลับว่าสามคนนั้นจะเห็น
ผู้หญิงคนนั้นแค่เดินขึ้นเวทีไป ฉีหนิงก็อดสะดุ้งไม่ได้ เขาจ้องไปที่
แม่นางคนนั้นไม่กระพริบตาเลย เขารู้สึกว่าแม่นางคนนั้นน่ารักมาก ดูใส
ซื่อ

ชื่อตันหมยดูละครที่เล่นแบบงงๆ ไปหมด แต่ว่านายใหญ่ของเขา


เก้าตําหนักเหมือนต้องการเล่นละครเรื่องนี้ ให้ฉีหนิงดูคนเดียว นางไม่
เข้าใจไม่เป็นไร คิดว่าฉีหนิงน่าจะเข้าใจ นางหันไปมองฉีหนิง อดถาม
ไม่ได้ว่า “แม่นางคนนั้นเป็นใครเหรอ?”

ฉีหนิงไม่ได้หน
ั มามองนาง แต่ยังมองแม่นางคนนั้นเหมือนเดิม แล้ว
พูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ ..... ว่าจะใช่นางหรือเปล่า?” เขาก็ยังไม่ได้บอกว่า
“นาง” ที่ว่านั้นเป็นใคร

จั่วชิงหยางจู่ๆ ก็หยุดลง เหมือนว่าเขาเห็นแม่นางคนนั้นแล้ว เขา


ยิ้มแล้วกวักมือเรียกนางมา แม่นางคนนั้นยิ้มแล้วเดินมาหาเขา ชาย
หนุ่มสองคนเองก็มองไปที่แม่นางคนนั้นเหมือนกัน จั่วชิงหยางเหมือน
จะเรียกให้นางมานั่งเรียนพร้อมกับชายหนุ่มสองคนนั้น ชายหนุม
่ คนที่
หน้าตาดูรูปร่างสูงหัวไวมาก แม่นางคนนั้นยังไม่ทันเดินมาถึง เขาก็ลก

ขึ้น แล้วชี้ไปที่เบาะนั่ง ส่วนตัวเขานั้นก็ขยับไปนั่งที่พ้ น
ื หลังจากแม่นาง
คนนั้นมาถึง ก็ยม
ิ้ ให้กับชายหนุม
่ รูปงาม นางก็ไม่ได้เกรงใจ นั่งลงตรง
กลางระหว่างสองคนนั้น
ทั้งสามคนตั้งใจเล่าเรียนกันมาก หลังเลิกเรียน จั่วชิงหยางก็เดินลง
เวทีไป หนุ่มสามสามคนก็น่ังกันเป็นสามเหลี่ยม แม่นางคนนั้นมีรอยยิ้ม
ตลอดเวลา นางดูสดใสมาก ชายหนุ่มรูปงามก็ยังคงยิ้มอย่างใจดี เวลาที่
พูด มักจะทําให้แม่นางคนนั้นหัวเราะได้เป็นระยะ ส่วนชายหนุ่มอีกคนดู
นิ่งมา เหมือนพูดไม่ค่อยเก่ง เขาเองก็ยม
้ิ เวลาที่ชายหนุ่มรูปงามพูดกับ
แม่นางคนนั้นอยู่ เขาเองก็มองไปที่แม่นางคนนั้นเป็นระยะ แต่ว่าเวลา
แม่นางคนนั้นมองมาที่เขา ชายหนุ่มคนนั้นก็จะหันหนีไปทางอื่น เหมือน
กลัวว่านางจะรูว
้ ่าเขาแอบมอง

ชื่อตันเหมยขยับไปกระซิบข้างหูฉห
ี นิง “สามคนนั้นเล่าเรียนกับ
อาจารย์คนเดียวกัน แต่ว่าผู้ชายสองคนนั้นเหมือนจะชอบผู้หญิงคน
เดียวกัน” นางหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “แต่ว่าใครชนะก็เห็นๆ กันอยู่”

“ใครชนะก็เห็นๆ กันอยู่เหรอ?” ฉีหนิงตะลึงไป

ชื่อตันเหมยยิม
้ แล้วพูดว่า “ที่จริงแม่นางคนนั้นชอบผู้ชายที่พูดเก่ง
นั่นมากกว่า ชายสองคนนั้นหน้าตาดีท้ังคู่ แต่ว่ามีคนหนึ่งพูดเก่ง ที่
สําคัญ เวลาที่เขาพูด แม่นางคนนั้นก็ฟงั แบบตั้งใจมาก เหมือนรู้สึก
สนใจและสนุกไปกับสิง่ ที่เขาพูด ผู้หญิงชอบผู้ชอบที่พูดจาเป็น แต่ไม่ได้
หมายความว่าจะชอบคนที่พูดจาเหลวไหลไม่มส
ี าระนะ ผู้ชายคนนั้น
พูดในสิง่ ที่นางสนใจ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาสองคนชอบในสิ่ง
เดียวกัน ส่วนผู้ชายที่เหมือนท่อนไม้น่ัน เขาก็ใช่ว่าจะพูดจาไม่เป็น
หรอก แต่อาจจะเป็นเพราะพอเห็นผูห
้ ญิงที่ตัวเองชอบแล้ว ก็รู้สึกเขิน
เลยไม่กล้าพูด”

ชื่อตันเหมยฉลาดมาก นางอ่านใจคนเก่ง

ฉลากที่สองจบลงที่พวกเขาสามคนพูดคุยและหัวเราะกัน หลังจาก
นั้นก็เปลี่ยนฉากที่สาม ภาพฉากหลังนั้นยังไม่เปลี่ยน ยังเป็นฉากในป่า
ไผ่ ชายหนุ่มสองคนกําลังประลองกระบี่กันอยู่ โดยมีแม่นางคนนั้นยืน
อยู่ข้างๆ

ฉีหนิงเชีย
่ วชาญเพลงกระบี่ เขามองกระบวนท่าของทั้งสองคน
ออก มันดูไม่ได้ร้ายกาจอะไร แต่ว่ามันมีเรี่ยวแรงมีอานุภาพ ดูจาก
ท่าทางแล้ว พวกเขาไม่น่าจะเป็นการต่อสู้ แต่น่าจะเป็นการประลอง
วิชาเฉยๆ

หลังจากที่ท้ังสองคนหยุดลง แม่นางคนนั้นก็เดินขึ้นมาพูดอะไร
บางอย่าง ชายหนุ่มสองคนหันมามองหน้ากัน ชายท่อนไม้ย่ น
ื กระบี่ใน
มือไปให้แม่นางคนนั้น จากนั้นชายหนุม
่ รูปงามก็ทําท่าทางให้ดู
เหมือนว่ากําลังเริ่มสอนนางฝึกกระบี่

ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ชายคนนั้นเดิมทีก็มีความหวัง
ไม่มาก ตอนนี้ยังไม่รู้จักฉวยโอกาสไว้อีก แม่นางคนนั้นเหมือนอยากจะ
ฝึกกระบี่ ถ้าอย่างนั้น ก็ควรจะสอนนางสิ แต่ว่าเขากลับปล่อยโอกาสให้
คนอื่นไปอีก” นางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ต่อให้ท้ังสองคนจะสนิทสนมแค่
ไหน แต่ในเมื่อชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ในสถานการณ์แบบนี้ ก็ควรเห็น
อีกฝ่ายเป็นศัตรู ควรจะเดินหน้าหน่อย”

ชายท่อนไม้ถอยไปยืนดูอยู่ข้างๆ เหมือนจะรู้ว่าแล้วว่าเขากับชาย
หนุ่มรูปงามจะเป็นศัตรูความรักกัน เขามองชายหนุ่มคนนั้นกับแม่นาง
ฝึกกระบี่ผ่านไปแต่ละกระบวนท่า เขาไม่เพียงไม่มีไม่พอใจ แต่เขากลับ
มีรอยยิ้มด้วย เขาจ้องมองแม่นางคนนั้นไม่ละสายตา ท่าทางของเขา
อ่อนโยนมาก

ตอนที่ชายรูปร่างอีกคนสอนเพลงกระบี่ให้กับแม่นางคนนั้น ชายสวม
ชุดเขียวหลายคนก็ข้น
ึ มาบนเวที ใช้ผ้าดําปิดอีก ฉากที่สามก็จบลงตรงนี้
เล่มที่ 48 บทที่ 1435 รอยนาบรูปดอกเหมย

ฉีหนิงเงยหน้ามองท้องฟ้า

ชื่อตันเหมยพูดว่า “คนในเนื้อเรื่องที่แสดง เจ้ารูจ


้ ักหมดหรือเปล่า?
นายใหญ่ของที่นี่ก็ลึกลับจัง เขาคิดจะทําอะไรกันแน่?”

ฉีหนิงพูดว่า “มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่


เข้าใจทั้งหมด แต่ว่าหลังจบละครเรื่องนี้แล้ว ไม่แน่ว่าสิ่งที่ข้าสงสัยในใจ
อาจจะได้รับการคลี่คลายก็ได้”

ระหว่างที่เขาพูด ฉากที่สี่ก็เริ่มต้นขึ้น

คนพวกนั้นทําอะไรไวมาก เหมือนว่าฝึกมาหลายครั้งแล้ว ไม่มี


ติดขัดเลย

ฉากที่สไ่ี ม่ได้อยูใ่ นป่าไผ่แล้ว แต่ว่าอยู่ที่ริมแม่นา� นอกจากแม่นา�


แล้ว ยังมีพระจันทร์ด้วย ท่ามกลางแสงไฟมันดูสมจริงมากๆ

ฉากนี้มแ
ี ค่ชายหนุ่มรูปงามกับแม่นางคนนั้น ชายหนุม
่ คนนั้นเล่น
พิณอยู่ใต้แสงจันทร์ แม่นางคนนั้นนั่งอยู่ข้างๆ บรรยากาศดูอบอุ่นมาก
คนที่แสดงเหมือนจะมีฝม
ี ือในการเล่นพิณพอสมควร เสียงพิณมัน
กังวาลไปทั่วเขาเก้าตําหนัก
เมื่อจบเพลง แม่นางคนนั้นนั่งพูดคุยกับชายหนุม
่ รูปงามอย่าง
สนุกสนาน ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน ทันใดนั้นเอง
ชายหนุม
่ คนนั้นก็ได้หยิบกล่องออกมาใบหนึ่ง แล้วยื่นให้กับแม่นางคน
นั้น แม่นางคนนั้นตะลึงไป นางลังเล แต่สุดท้ายก็รับมา นางเปิดกล่อง
ออก แล้วหยิบของในนั้นออกมา

ที่ที่ฉีหนิงนั่งอยู่ไม่ได้ใกล้กับเวทีมาก แต่ว่าสายตาของเขาดีมาก
เขาเห็นของที่แม่นางคนนั้นหยิบออกมา ในมือของแม่นางคนนั้น ฉีหนิง
เห็นแล้วก็หน้าถอดสีทันที แล้วพูดว่า “นั่นมัน ...... ปิ่นหยก”

“ปิ่นหยก?” ชื่อตันเหมยเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ

ฉีหนิงแม่หมอเหมียวเองก็ได้พด
ู ถึงปิ่นหยก ตอนนั้นแม่หมอเหมียว
เดินทางเข้าเมืองหลวง ได้เป็นเพื่อนกับหลิวซู่อี อีกทั้งแม่หมอเหมียวเอง
ก็รู้มาว่าปิ่นหยกเป็นของรักของหลิวซู่อี นางเก็บรักษามันอย่างดี หลิวซู่
อีเคยบอกนางว่าเป็นของที่คนรักของนางให้มา ตอนนั้นฉีหนิงยังคิดอยู่
เลยว่าคนที่มอบปิ่นหยกให้นางคือฉีจ่ิง แต่ตอนนี้เหมือนเขาจะเข้าใจ
แล้วว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง

ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า แม่นางคนที่อยู่บนเวทีแสดงเป็นหลิวซูอ
่ ี
แน่นอน
ส่วนชายหนุ่มสองคน คนที่นิ่งเหมือนท่อนไม้นา่ จะเป็นฉีจิ่ง ส่วน
ชายหนุม
่ รูปงามอีกคน น่าจะเป็นคนรักของหลิวซู่อี

การแสดงคงไม่อาจทําให้หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง แต่ว่า
รายละเอียดทุกอย่างที่แสดงให้เห็น มันทําให้เห็นเบาะแสหลักหลาย
อย่าง

ฉีหนิงก็รู้ ฉีจิ่งกับหลิวซูอ
่ ีเคยเล่าเรียนอยู่กับจั่วชิงหยาง แต่ว่าชาย
หนุ่มรูปงามนั่นเป็นใครมาจากไหน ฉีหนิงไม่รู้

แต่จากการแสดงที่เขาเห็น ฉีจิ่งกับชายหนุ่มรูปงามเหมือนจะสนิท
สนมกันดี ดังนั้นฉีจิ่งถึงได้แนะนําให้เขาให้กับจั่วชิงหยาง ส่วนจั่วชิงห
ยางเองก็รับชายหนุ่มคนนั้นเอาไว้ เพราะแบบนี้ ชายหนุ่มรูปงามนั่นถึง
ได้รู้จักกับหลิวซูอ
่ ี

ฉีจิ่งกับชายรูปงามเหมือนจะหลงรักหลิวซู่อีเหมือนกัน แต่ว่าใน
การแข่งขันครั้งนี้ ชายหนุ่มรูปงามเหมือนจะได้เปรียบ ในฉากที่สี่นี้
เหมือนหลิวซู่อีจะตัดสินใจแล้วว่าจะหนีไปกับชายหนุ่มรูปงาม

แต่ก็เพราะเหตุนี้ ฉีหนิงเองก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมา

หากทั้งสองคนรักกัน สุดท้ายก็น่าจะได้อยู่ด้วยกัน แต่ว่าในความ


เป็นจริงหลิวซู่อีกลายเป็นฮูหยินของฉีจิ่ง คนรักสองคนนี้เหมือนจะไม่ได้
ครองคู่กัน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงได้มค
ี วามเปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้
ในเมื่อหลิวซู่อีเลือกชายหนุ่มรูปงามแล้ว อีกทั้งยังรับของแทนใจ
มา ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปหาฉีจ่ิงได้อีก

เนื้อหาในฉากนีท
้ ี่จริงมีไม่มาก มันแค่บอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ได้
รู้

หลังจากการแสดงหลังจากนั้นอีกหลายฉาก ทําให้ฉห
ี นิงเริ่มจะ
เข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว

หลิวซู่อีเลือกที่จะรักกับชายหนุ่มรูปงามนั่นแล้วจริงๆ แต่ว่าใน
เรื่องราวนั้นมันกลับมีไท่ฮูหยินของจิ่นอีตระกูลฉีกับอีกคนหนึ่งปรากฎ
ในเนื้อเรื่องด้วย นอกจากนี้ ฉีหนิงมั่นใจว่าน่าจะเป็นคนในครอบครัว
ของหลิวซู่อี

พ่อของหลิวซู่อีเป็นขุนนางในเมืองหลวง ไท่ฮูหยินส่งคนไปสูข
่ อที่
บ้านของนาง พ่อของหลิวซู่พอใจกับการแต่งงานในครั้งนี้มาก ผูใ้ หญ่ท้ัง
สองฝ่ายเลยจัดการตกลงเรื่องการแต่งงานกัน แต่ว่าฉีจิ่งกับหลิวซู่อีน้น

ไม่ได้รับรู้ด้วย จนกระทั่งฉากหนึ่งที่พ่อของนางได้บอกเรื่องนี้กับนาง
แล้วนางปฏิเสธเสียงแข็ง ทําให้พ่อลูกทะเลาะกันอย่างรุนแรง

หากเป็นบ้านของขุนนางทั่วไป การแต่งงานมันคือเรื่องใหญ่ ต้อง


ทําตามคําสั่งของพ่อแม่ ลูกก็จะต้องทําตามขัดไม่ได้ แต่ว่าหลิวซู่อีไม่
เหมือนผู้หญิงทั่วไป ทําให้พ่อของนางเครียดมาก
เห็นหลิวซู่อีกับพ่อของนางทะเลาะกันอย่างหนัก มันก็ทําให้ฉีหนิง
มีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง

แต่ไม่นานเขาก็กลับมาเคร่งเครียดเหมือนเดิม

ฉากต่อมาเป็นเหมือนฉากจากกัน ชายหนุ่มหน้าตาดีน่น
ั เหมือนมี
เรื่องด่วนต้องจากไป เขามารอพบหลิวซู่อีที่ริมทะเลสาบ หลิวซู่อีไม่ได้
เล่าเรื่องที่พ่อแม่ของนางจะจับนางแต่งงานให้เขาได้รู้ ท่ามกลางแสง
จันทร์ คนรักกันสองคนที่ไม่อยากจะแยกจากกัน ในคืนนั้นพวกเขากอด
กันแน่นและนางก็ได้มอบกายแก่เขา ฉีหนิงรู้ดีว่าหลิวซู่อีทําแบบนี้
เพราะก่อนจะจากกัน นางอยากจะมอบทุกอย่างของนางให้กับชายคน
นั้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแต่งงานกับตระกูลฉี

เรื่องราวหลังจากนั้นดําเนินไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากชายคนนั้นจากไปแล้ว ก็เจ้าหน้าที่ของทางการมาจับพ่อ
ของหลิวซู่อีเข้าคุก ตระกูลหลิวทั้งตระกูลตกอยู่ในอันตราย พ่อของหลิว
ซู่อีติดคุก เพราะเหมือนไท่ฮูหยินตระกูลฉีอยู่เบื้องหลัง หลังจากนั้นก็
เป็นฉากที่ช่วยพ่อของนาง ตระกูลหลิวทั้งตระกูลคุกเข่าต่อหน้าของนาง
ถึงแม้จะเป็นแค่ละครใบ้ แต่ฉห
ี นิงก็มองออก ไท่ฮูหยินบงการอยู่
เบื้องหลังเรื่องนี้ นางจัดการให้พ่อของหลิวซู่อีต้องติดคุก ทําให้คนใน
ตระกูลของนางต้องมาร้องขอให้นางรับปากแต่งงาน ถึงจะช่วยพ่อของ
นางได้ แม่ของนางร้องไห้อย่างหนักจนสลบไป
ชื่อตันเหมยมองถึงตรงนี้ แล้วพูดว่า “ยายแก่น่น
ั ร้ายมาก หากให้
ข้ารู้นะว่าเป็นใคร ข้าจะฆ่านางซะ”

ฉีหนิงรู้สึกขํา แอบคิดในใจว่ายายแก่นช
ี่ ่ัวมาก เพื่อให้หลิวซู่อี
แต่งงานเข้ามา ถึงกับใช้วิธีการต�าช้าขนาดนี้

ยายแก่น่น
ั เหมือนจะรู้ว่าฉีจิ่งแอบรักหลิวซู่อี รู้ว่าหลิวซู่อีปฏิเสธ
การแต่งงานกับตระกูลฉี เลยใช้วิธีนี้

คนในตระกูลหลิวขอร้องนางอย่างหนัก หลิวซู่อีต้องการช่วยพ่อ
ของนาง เลยรับปากแต่งงาน จากนั้นพ่อของนางก็ได้รบ
ั การปล่อยตัว
ออกมา จากนั้นก็รีบจัดการเรื่องการแต่งงานทันที ฉีจิ่งเหมือนจะไม่รู้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก เขาเองก็ดีใจ
มาก

แต่สิง่ ที่เกิดขึ้นอีกเรื่องที่ทําให้ฉห
ี นิงตกใจมากกว่านั้นก็คือ

เรื่องที่พ่อของหลิวซู่อีติดคุกนั้น ที่จริงมันเป็นแต่การแสดงของพ่อ
ของนางกับไท่ฮูหยินเท่านั้น

พ่อของนางเหมือนรู้ว่าหากไม่จนตรอก นางไม่มีทางเปลี่ยนใจ
แน่นอน เลยทําการเล่นละครตบตานาง แกล้งถูกจับ ทําให้ตัวเองใกล้ถึง
จุดจบ ส่วนหลิวซู่อีเพื่อช่วยพ่อตัวเองแล้ว กลับตกหลุมพรางของคนแก่
เจ้าเล่หส
์ องคน
หลังแต่งงาน ฉีจิ่งก็ออกเดินทางไปทําศึกที่ชายแดน ส่วนหลิวซู่อีก็
ไม่ต่างอะไรกับนกในกรงทอง ไท่ฮูหยินเหมือนจะรู้นิสัยการคบค้า
สมาคมกับคนมากมายดี เลยสั่งให้คนจับตามองของนางตลอดเวลา
ไม่ให้นางออกไปไหนเลย อีกทั้งในปกติก็ยังยิม
้ แล้วพูดจากับนาง
ตลอดเวลา แต่ว่าหลังจากแต่งเข้าจวนมาแล้ว นางก็ไม่ได้มีรอยยิ้มให้กับ
นางอีกเลย

แต่ว่าไม่นานนัก ข่าวการตั้งครรภ์ของนางก็เหมือนจะรู้ไปถึงหูของ
ไท่ฮูหยิน หลังจากยายแก่รู้เรื่อง นางไม่เพียงไม่ดีใจ แต่ใบหน้าของนาง
กลับโหดเหี้ยมขึ้นมาแทน

ชื่อตันเหมยฉลาดมาก นางมองออก นางขยับเข้าไปใกล้ฉีหนิงแล้ว


พูดว่า “เด็กในท้องของแม่นางคนนั้น ไม่ใช่หลานของยายแก่น่ัน ตอนที่
คนรักของนางจากไป นางมอบกายให้กับเขาแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจาก
นั้น ตอนนางแต่งงาน น่าจะประมาณสองเดือนให้หลัง ยายแก่น่ันนับ
เวลาดูแล้ว ก็นา่ จะรู้ว่าเป็นของคนอื่น”

ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะมีต้นสายปลายเหตุแบบนี้

หลังจากหลิวซู่อีต้ังครรภ์ ไท่ฮูหยินจับตาความเคลื่อนไหวของนาง
มากกว่าเดิม ส่งคนตามติดนางทุกฝีก้าว ดูผิวเผินเหมือนจะดูแล แต่ว่า
หลิวซู่อีกลับไม่รู้สึกว่ามีอิสระ ทุกครั้งที่ไท่ฮูหยินเห็นหน้าหลิวซู่อี นางก็
มีแต่สายตาที่โกรธแค้น
ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ยายแก่นไี่ ม่ได้ลงมือทันที
แสดงว่าต้องการรอให้เด็กคลอดออกมาก่อน จากนั้นค่อยทรมานพวก
นางสองแม่ลูกแน่ๆ”

หลังจากนั้นการแสดงก็ดําเนินต่อไป จนกระทั่งเที่ยงคืน

“ทําไมชายคนนั้นไปแล้วถึงไม่กลับมาอีกเลยล่ะ?” ชื่อตันเหมยพูด
ว่า “ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่คนดี ผูห
้ ญิงตัวเองต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนั้น
ทําไมเขาถึงไม่กลับมาสักที”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “อีกไม่นานเขาก็จะกลับมาแล้ว”

ชื่อตันเหมยตกใจมาก แต่ว่าฉีหนิงก็ไม่ได้พูดอะไร

ตอนที่มห
ี ลวงจีนจํานวนหนึ่งขึ้นไปบนเวที ฉีหนิงก็รู้ทันทีว่านั่น
น่าจะเป็นหลวงจีนของวัดต้ากวงหมิง ด้วยการจัดการของไท่ฮูหยิน
เหล่าหลวงจีนแอบซ่อนตัวอยู่ในเรือนของหลิวซู่อี ไม่นานนัก ก็เห็นหมอ
ตําแยเข้ามา ฉีหนิงรู้ทันทีว่า ต่อไปจะเป็นค�าคืนที่สําคัญมาก เพราะมัน
คือคืนที่หลิวซู่อีคลอดลูก

หลิวซู่อีนอนอยูบ
่ นเตียง หมอตําแยดูแลอยู่ข้างๆ หลวงจีนก็อยู่
รอบๆ เรือนของนาง
จากนั้นก็มีคนเอาผ้าดํามาปิด ฉีหนิงจ้องอย่างไม่กระพริบตา ไม่
นานนัก ก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง ตอนที่เปิดผ้าออกมา ฉีหนิงก็พบว่า ข้างตัว
ของหลิวซู่อีน้น
ั มันมีเด็กทารกสองคนนอนอยู่ เด็กสองคนนั้นขยับมือ
ขยับขา พวกเขาใช้เด็กจริงๆ ทําการแสดง

ฉีหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

เพื่อแสดงละครในคืนนี้ นายใหญ่ของที่นี่ลงทุนมากๆ

ทันใดนั้นเองก็มเี งาดําๆ ขึ้นมาบนเวที คนๆ นั้นสวมชุดดําทั้งตัว


ปิดหน้าปิดตา ในมือถือกระบี่ หลังจากขึ้นไปบนเวทีแล้ว เขาก็ถูกหลวง
จีนจับได้ พวกเขาต่อสูก
้ ัน ชายชุดดําใช้กระบี่รับมืออย่างไม่เกรงกลัว

บนเวทีในเวลานี้ เป็นฉากการต่อสู้อย่างดุเดือด

ระหว่างที่ชายชุดดํากับหลวงจีนกําลังต่อสู้กันอยู่ หลิวซู่อีก็ลก
ุ ขึ้นมา
แล้วหยิบปิ่นหยกออกมา นางเอามันไปอิงไฟ จนรูปดอกเหมยบนปิ่น
หยกมันแดงขึ้น จากนั้นก็เอาไปนาบบนหัวไหล่ของเด็กทารกสองคนนั้น
ชื่อตันเหมยหน้าเสียไป แล้วพูดว่า “นาง ..... นางจะทําอะไร?”
เล่มที่ 48 บทที่ 1436 บนยอดเขา

ชื่อตันเหมยหน้าเสีย นางลุกขึ้นมา แต่ว่าคนบนเวทียังเล่นต่อไป


ไม่ได้หยุดเพราะปฏิกิริยาของชื่อตันเหมย

ชายชุดดํากําลังสู้กับหลวงจีนอยู่ วรยุทธ์ของเขาไม่ธรรมดาเลย แต่


เพราะสู้คนเดียว แล้วหลวงจีนที่ซ่อนตัวอยู่ในจวนนั้นก็ล้วนแต่เป็นยอด
ฝีมือ รวมมือกันดี ชายชุดดําเลยเป็นรองเยอะมาก

เห็นหลิวซู่อีกําลังจะนาบตราลงบนหัวไหล่ของเด็กทารกอีกคนหนึ่ง
ชื่อตันเหมยเองก็อดไม่ได้ ลอยตัวขึ้นไปบนเวที เมื่อนางขึ้นไปแล้ว ก็เดิน
ผ่านหน้าหลวงจีนไปหาหลิวซู่อีที่อยู่บนเวที เหล่าหลวงจีนไม่ได้สนใจชื่อ
ตันเหมยเลย นางอยากทําอะไรก็ปล่อยนางไป ไม่มีใครห้ามนางเลย
แม้แต่คนเดียว

ชื่อตันเหมยพูดอย่างโมโหใส่หลิวซู่อี “เจ้าคิดจะทําอะไร?”

หลิวซู่อีไม่ได้ทําอะไรต่อ ชื่อตันเหมยเห็นเด็กสองคนกําลังร้องไห้
เลยเดินเข้าไปใกล้ นางมองไปที่หัวไหล่ของเด็กทารก มันกลับไม่มีรอย
อะไรเลย ตอนนี้นางถึงได้เข้าใจว่า การแสดงบนเวทียังไงก็เป็นการ
แสดงวันยังค�า แต่ว่าพวกเขาแสดงได้เสมือนจริงมาก แต่ทารกไม่ได้เป็น
อะไรเลย
ฉีหนิงโล่งใจ ชื่อตันเหมยเหลือบไปมองหลิวซู่อี ไม่ได้พูดอะไร แล้ว
ก็ลงจากเวทีมา

หลิวซู่อีไม่ได้เสียสูญไปเพราะการก่อกวนของชื่อตันเหมย เมื่อชื่อ
ตันเหมยลงไปแล้ว นางก็ป่ ินหยกกประทับลงไปที่หัวไหล่ของทารกต่อ

ตอนนี้ฉห
ี นิงเข้าใจทุกอย่างแล้ว

จิ่นอีซ่ อ
ื จื่อกับเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เป็นพี่นอ
้ งท้องเดียวกัน หัวไหล่ของ
พวกเขามีรอยประทับเหมือนกัน อีกทั้งยังอยู่ในตําแหน่งเดียวกันอีก
เป็นเพราะหลิวซู่อีเป็นคนทํามันเองกับมือ

ชายชุดดําฆ่าหลวงจีนไปสองคน ส่วนตัวเขาเองนั้นก็บาดเจ็บหนัก
เขาบุกกเข้าไปในห้อง แล้วจับหมอตําแยเป็นตัวประกัน หมอตําแยกรี๊ด
ร้อง เหล่าหลวงจีนล้อมพวกเขาเอาไว้ เขาเลยบุกขึ้นหน้าไปไม่ได้อีก

ชายชุดดําเดินไปหาหลิวซู่อี หลังคลอดร่างกายของนางก็อ่อนแอ
มากอยูแ
่ ล้ว หลังจากนาบตราบนหัวไหล่ของเด็กแล้ว ตอนนี้นางอ่อน
แรงมาก ชายชุดดําถือกระบี่จ่อคอหมอตําแยเอาไว้ มือหนึ่งเอาผ้าปิด
หน้าออก เขาคือชายที่หลิวซู่อีมอบกายและชีวิตให้

ชายคนนั้นกอดหลิวซู่อีเอาไว้ เขาจับหน้าของนางเอาไว้ เหล่า


หลวงจีนล้อมตัวเขาเอาไว้ บรรยากาศตึงเครียดมาก
เห็นหลิวซู่อียกมือขึ้นมาอย่างยากลําบาก นางชี้ไปที่เด็กบนเตียง
ชายคนนั้นพยุงนางนั่งลง แล้วเดินไปที่เตียง ยื่นมือไปจับเด็กทารก
ในตอนนี้เอง ชื่อตันเหมยเห็นหลิวซู่อีกกลับหยิบมีดสั้นขึ้นมา ฉีหนิงเห็น
ดังนั้น ก็รู้ว่าแย่แน่ ชายชุดดํากลับเหลือบไปมองเห็นพอดี เขารีบร้อง
ออกมา หลิวซู่อีกลับเอามีดปักไปที่หน้าอกของนาง ชายชุดดํารีบขึ้น
หน้าไปกอดนางเอาไว้ แล้วส่งเสียงร้องคํารามออกมาราวกับปีศาจ

ฉีหนิงถึงกับอึ้งไป ในตอนนี้เขาถึงได้รู้ หลิวซู่อีฆ่าตัวตายไปตั้งแต่


คืนวันคลอดแล้ว

ชื่อตันเหมยน�าตาไหล แล้วกําหมัดแน่น

หลิวซู่อียกมือขึ้นมาจับหน้าของชายชุดดําเอาไว้ จากนั้นมือของ
นางก็ตกลง นางตายในอ้อมกอดของชายชุดดํา

ชื่อตันเหมยหันหน้าหนี นางทนดูต่อไปไม่ไหว

นางดูออก ชายชุดดําบุกเข้าจวนจิ่นอีตระกูลฉี ก็เพื่อช่วยหลิวซู่อี


แม่ลูก แต่เขามาคนเดียว สู้ศัตรูไม่ไหว แทบจะไม่มีโอกาสพานางกับลูก
หนีได้เลย ส่วนหลิวซู่อีก็มาฆ่าตัวตายไปอีก เพราะไม่ต้องการเป็นตัว
ถ่วงของเขา
ชายชุดดําวางนางลง แล้วเดินไปที่เตียง เขาก้มหน้าจูบหน้าผาก
ของทารกคนหนึ่ง แล้วอุ้มเด็กทารกอีกคนขึ้นมา ในมือถือกระบี่ เขามอง
ไปที่หลิวซู่อี แล้วก็บุกฝ่าวงล้อมของหลวงจีนออกไป

ฉีหนิงเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า

หลิวซู่อีนาบตราบนตัวของเด็ก เพราะรู้สถานการณ์ของชายชุดดํา
ดี ว่าเขาอย่างมากก็พาเด็กไปได้แค่คนเดียว ไม่สามารถพาเด็กออกไป
ทั้งสองคนได้ แม่หนึ่งกับลูกอีกสองยังไงก็ต้องเลือก การทิ้งตราเอาไว้บน
หัวไหล่ ก็เผื่อว่าสักวันหนึ่งสองฝ่ายอาจจะได้พบหน้ากันอีก

ชายชุดดําเดิมก็บาดเจ็บอยู่แล้ว ตอนนี้อุ้มเด็กอยู่ด้วย ยิ่งสู้ศัตรู


จํานวนมากไม่ไหว เขาถูกหลวงจีนจู่โจมตลอด เขาคลั่งเหมือนหมาป่า
พยายามบุกฝ่าออกไป เหล่าหลวงจีนก็ตามล่าตัวไม่หยุด ทันใดนั้นเอง ก็
มีเชือกหล่นลงมา ชายชุดดําคนนั้นยื่นมือไปจับ แล้วก็หนีไป

ฉีหนิงตะลึงไป ทันใดนั้นก็คิดได้ว่า เชือกนั่นอาจเป็นไปได้ว่ามีคน


มาช่วยเขาออกไป ทําให้ชายชุดดําหนีรอดไปได้

หลังจากชายชุดดําหนีไปแล้ว คนชุดเขียวก็เอาผ้าดํามาปิดฉาก
หลังจากเปิดมาใหม่ บนเวทีก็โล่งไม่มีอะไรเลย มันเป็นภาพเหมือนตอน
ที่ฉีหนิงเพิง่ มา ละครฉากใหญ่จบลงแล้ว
หลังจากทุกคนออกไปหมดแล้ว พวกนักแสดงเองก็กลับไปกันหมด
ตอนนี้เหลือแค่พวกฉีหนิงสองคนเท่านั้น ไม่มใี ครคนอื่นอีกเลย

ฉีหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องไปที่เวทีอันว่างเปล่า เขาดูเหม่อลอยมาก

ชื่อตันเหมยมองไปที่ฉห
ี นิง ใบหน้าของนางมีน�าตา นางยื่นมือไป
จับมือของฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้า ...... คือเด็กที่ถูกทิ้งเอาไว้คนนั้น
เหรอ?”

ฉีหนิงมองไปที่ช่ อ
ื ตันเหมย แต่ไม่ได้ตอบอะไร

ชื่อตันเหมยกับเขามีสม
ั พันธ์ทางกายกันแล้ว นางเห็นรอยที่หัวไหล่
ของเขามานานแล้ว ถึงแม้จะเคยถาม แต่ฉีหนิงก็ตอบแบบผ่านๆ ชื่อตัน
เหมยตอนแรกยังดูละครเรื่องนี้ไม่เข้าใจในตอนแรกเลย แต่พอหลิวซูอ
่ ี
นาบตราบนหัวไหล่ให้เด็กทารก ชื่อตันเหมยก็เข้าใจทุกอย่างทั้งหมด
ขึ้นมาทันที

ละครในคืนนี้ มันบอกเล่าเรื่องราวชาติกําเนิดของฉีหนิง

ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ฉีหนิงไม่ใช่สายเลือดของจิ่นอีตระกูลฉี แต่


เขามีพอ
่ อีกคน

“เจ้ารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วใช่ไหม?” ชื่อตันเหมยถามอีก
ถึงแม้ชาติกําเนิดของเขามันจะเหนือความคาดหมายมาก แต่ช่ อ

ตันเหมยก็แค่ตกใจ แต่ฉีหนิงจะมียศฐาบรรดาศักดิ์หรือไม่ ชื่อตันเหมย
ไม่ได้สนใจเลย

ฉีหนิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านีข


้ ้าก็แค่สงสัย แต่ข้าไม่รู้
ความจริงอะไรเลย”

“ถ้างั้นก็แปลกนะ” ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้าไม่รู้เรื่องเลย ถ้าอย่าง


นั้นคนนอกก็ไม่ควรรู้เรื่องนี้สิ ตระกูลฉีเป็นตระกูลใหญ่ในแคว้นฉู่ เรื่อง
แบบนี้ ไม่มีทางบอกใครแน่ ยิง่ ไม่มีทางให้ใครรูเ้ รื่องละเอียดขนาดนี้”
นางขมวดคิ้ว ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

“เจ้าเข้าใจเรื่องอะไร?”

“เรื่องราวบนเวทีเมื่อกี้เจ้าก็เห็นหมดแล้ว คนที่ล้อมชุดดําเอาไว้มี
แค่หลวงจีนวัดต้ากวงหมิง” ชื่อตันเหมยพูดว่า “แม้แต่องครักษ์ของจวน
จิ่นอีโหวเองก็ไม่ได้มส
ี ว
่ นร่วม ตระกูลฉีมีอํานาจในเมืองหลวงจะตาย
หากจะจับหรือฆ่าใครสักคน มันไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ว่าพวกเขากลับ
กลัวคนนอกรู้ ดังนั้นเลยไปให้หลวงจีนพวกนั้นช่วย หลวงจีนพวกนั้นไม่
มีทางบอกเรื่องนี้กับใครแน่ ดังนั้นคนที่รู้เรื่องของคืนนั้นละเอียดขนาดนี้
มันมีอยู่ไม่กี่คน” นางเงยหน้าขึ้นไปบนยอดเขา แล้วพูดว่า “คนที่รู้เรื่อง
ทุกอย่างละเอียดดี นายใหญ่ที่อยู่บนเขานี้อาจจะเป็น ......” นางลังเล
แล้วมองไปที่ฉห
ี นิงแล้วพูดว่า “พ่อแท้ๆ ของเจ้า”
ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าคิดว่าคนที่อยู่บนเขาคือชายคนที่พาเด็กไปอย่าง
นั้นเหรอ?”

“หลวงจีนจะพูดอะไรเหลวไหลไม่ได้ ตระกูลฉีไม่มีทางพูดกับคน
ภายนอก นอกจากคนชุดดําแล้ว จะเป็นใครไปได้อีก?” ชื่อตันเหมยถอน
หายใจแล้วพูดว่า “เขาไม่อยากเล่าเรื่องนี้ด้วยปากของเขาเอง ดังนั้น
เลยสร้างเวทีละครไว้ตรงนี้ แล้วให้เจ้าได้เห็นสิง่ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น”

ในเวลานี้เอง เขาก็เห็นเกาซานถือโคมไฟเดินมา แล้วพูดว่า “ข้าจะ


ส่งพวกท่านทั้งสองกลับไปพักนะขอรับ”

ฉีหนิงลุกขึ้น แล้วจ้องไปที่ตาของเกาซาน “พาข้าไปพบเขา”

“ท่านทั้งสอง .....”

ไม่รอเกาซานพูดจบ ฉีหนิงก็พด
ู ซ�าแบบดุๆ อีกครั้ง “พาข้าไปพบ
เขา” สายตาของเขาเหมือยปลายดาบ เขาจ้องไปที่ตาของเกาซาน เกา
ซานก้มหน้าลง ลังเลแต่สุดท้ายก็พูดว่า “ท่านทั้งสองตามข้ามา” เขาถือ
โคมไฟแล้วเดินไปทางด้านหลังของเวทีละคร

ฉีหนิงเดินตามเขาไป ชื่อตันเหมยเองก็เดินตามเขาไป
พอเดินอ้อมหลังเวทีไป มันมีทางเล็กๆ เส้นหนึ่ง มันเหมือนทางที่
จะขึ้นไปบนเขา เกาซานไม่ได้หน
ั หน้ากลับมาเลย เขาแค่ถือโคมไฟเดิน
นําทางไปเท่านั้น

เส้นทางบนเขาเดินยากมาก ต่อให้มถ
ี นน แต่ว่าการปีนขึ้นเขามันก็
ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าเกาซานเหมือนชํานาญมาก เขาเดินสบายมาก ส่วน
ฉีหนิงกับชื่อตันเหมย ก็เป็นยอดฝีมือ แค่ทางขึ้นเขา สําหรับพวกเขา
แล้วมันไม่ได้เป็นปัญหาเลย

เดินมาได้สักพัก ก็มาถึงยอดเขาเก้าตําหนัก ฉีหนิงมองเห็นมีบา้ น


ไม้อยูห
่ ลายหลัง รอบๆ บ้านไม้น้น
ั มีคอกไม้ไผ่ เหมือนจะมีการปลูกผัก มี
ทางเล็กๆ ตรงไปที่ประตูร้ว
ั จากรั้วมันมีทางแยกสองทาง ทางหนึ่งมัน
ยื่นขยายออกไป ฉีหนิงเดินตามทางเล็กๆ ไปจนสุดทาง มันเป็นหน้าผา
บนหน้าผามีต้นไม้ใหญ่ ใต้ต้นไม้มีพิณหลังหนึ่งวางอยู่ บนต้นไม่มแ
ี ขวน
โคมไฟเอาไว้ ไฟตรงนั้นสว่างมาก บวกกับแสงจันทร์ ทําให้เขามองเห็น
รอบๆ อย่างชัดเจน

มีคนยืนอยู่บนหน้าผา เขายืนหันหลัง สวมชุดผ่าวสีคล�า ปล่อยผม


สยาย บนหน้าผาลมแรงมาก ผมของเขาปลิวไสวราวกับเทพเจ้า

เกาซานไม่ได้เดินหน้าต่อไป เขายืนอยู่ใกล้ๆ ก้มหน้าลง ไม่ได้พด



อะไร ฉีหนิงมองไปที่เขา เขาเหมือนจะเข้าใจ ชายคนนั้นก็คือนายใหญ่
ของเขาเก้าตําหนัก
ตอนนี้เขาลืมไปแล้วด้วยซ�าว่าเขามาที่นี่เพื่อเอาแผนที่ เขาแค่
อยากรู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร เขามองไปที่ช่ อ
ื ตันเหมย ชื่อตันเหมยพยัก
หน้า ฉีหนิงค่อยๆ เดินไปที่หน้าผา แต่ช่ อ
ื ตันเหมยไม่ได้เดินตามไป

นางเดาได้ว่าชายคนนั้นน่าจะเป็นพ่อแท้ๆ ของฉีหนิง พ่อลูกพบ


หน้ากัน นางไม่ควรเข้าไปยุ่ง

ฉีหนิงเดินตามทางไป ลมพัดมาโดนหน้าเขาแรงมาก ทําให้เขามีสติ


เขาเดินไปหยุดห่างจากคนๆ นั้นไม่กี่ก้าว ปากของเขาขยับ แต่ว่าเขาเอง
ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรพูดว่าอะไรดี เขาลังเลใจ สุดท้ายก็ไม่พด
ู อะไร

คนๆ นั้นเอามือไขว้หลัง ยืนอยู่ริมหน้าผา เขาไม่ขยับเลย เหมือน


ก้อนหินก้อนหนึ่ง

“ข้ารู้ว่าข้าผิดต่อนาง” คนๆ นั้นเอ่ยปากขึ้นมา “ตอนนั้นข้าควรจะ


พานางมาด้วย ไม่ควรให้นางอยู่ในแคว้นฉู่ต่อแบบนั้น มันเป็นความ
ผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของข้า แล้วไม่มีทางชดใช้ได้ด้วย” ระหว่างที่พูด
เขาก็ค่อยๆ หันหลังกลับมา “ข้าตามหาเจ้ามาตลอดสิบเจ็ดปี”

ฉีหนิงมองหน้าของคนๆ นั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาตา


แทบหลุด

ชายคนนั้นอายุประมาณสี่สิบ แต่ว่าหน้าตาหล่อเหลา ดูสง่างาม ฉีหนิง


เคยเห็นหน้าจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อที่ตายไป เขาเองก็เคยส่องกระจกมองหน้า
ตัวเอง พวกเขามีหน้าตาเหมือนกัน คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนีห
้ น้าตาก็
คล้ายพวกเขามาก แค่อายุห่างกันเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น หน้าตาก็ยัง
เหมือนกันเจ็ดแปดส่วนเลย แค่เห็นหน้าตาของอีกฝ่าย ฉีหนิงก็แน่ใจมา
กว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็คือพ่อแท้ๆ ของจิ่นอีซ่ อ
ื จื่อกับเสี่ยวเตียว
เอ๋อร์
เล่มที่ 48 บทที่ 1437 แผ่นดินเจริญรุง่ เรือง

คนคนนั้นใบหน้ามีรอยยิ้ม ฉีหนิงเห็นความดีใจจากดวงตาของเขา
เหมือนว่าเขาจะดีใจมากที่ได้เจอฉีหนิง

“ไม่จําเป็นต้องพิสูจน์ความจริงอะไรอีกแล้ว ขอแค่เห็นหน้าของ
เราสองคน ทุกคนก็จะรู้ว่าเจ้าเป็นสายเลือดของข้า” คนคนนั้นยกมือ
เรียกฉีหนิงมา ฉีหนิงลังเล จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปหา คนคนนั้นมองฉี
หนิงทั้งตัว เขายิ้มแล้วพูดว่า “ดูดีแล้วก็เก่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้อีกนะ”

ฉีหนิงมองไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย

“สิง่ ที่เจ้าต้องเผชิญในสองปีที่ผา่ นมา ข้ารู้ทุกอย่าง” คนคนนั้นพูด


ว่า “บนตัวของเจ้ามีสายเลือดขององค์ฮ่องเต้ไท่จู่อยู่ เจ้าเป็นลูกหลาน
ขององค์ฮ่องเต้ไท่จู่ ต้องไม่ขี้ขลาดตาขาวแน่นอน”

“ฮ่องเต้ไท่จู่?” ฉีหนิงสะดุ้ง

คนคนนั้นเหลือบมามองฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าควรจะแซ่เป่ยถัง


สายเลือดของราชวงศ์เป่ยฮั่น”

ฉีหนิง “หะ” ใบหน้าของเขาตกใจมาก เขาหลุดออกมาว่า “ท่าน


...... ท่านเป็นใคร?”
“แผ่นดินเจริญรุ่งเรือง” คนคนนั้นพูดว่า “ข้าคือเป่ยถังชิ่ง”

เป่ยถังชิง่

ด้วยความตกใจ เขาถึงกับสูดหายใจเข้าลึกมาก

ชื่อของเป่ยถังชิง่ เขาต้องรู้จักแน่นอน

ขุนพลอันดับหนึ่งของเป่ยฮั่น คนที่สามารถสู้กับขุนพลใหญ่ของ
ตระกูลฉี ศัตรูตัวฉกาจในสนามรบของฉีจิ่ง เพราะมีคนอย่างเขา ถึงแม้
แคว้นฉูจ
่ ะอยู่ในช่วงที่แข็งแกร่งมากที่สุด ก็ยังไม่สามารถเหยียบเขา
ดินแดนของเป่ยฮั่นแม้แต่ก้าวเดียว เขาบัญชาการกองทัพใหญ่ของเป่ย
ฮั่น มันเหมือนมีกําแพงเหล็กกั้นอยู่ เขาสามารถสู้จนทัพของแคว้นฉู่
ต้องล่าถอยกลับ

ตอนนั้นกองทัพม้าอย่างค่ายกิเลนดําของฉีจิ่งก็ต้องพ่ายให้กับ
กองทัพเสวียหลันของเป่ยถังฉิง่ พูดได้ว่าแทบไม่เหลือใครเลย หลังจาก
ศึกนั้น ค่ายกิเลนดําก็แทบจะหายไป จนกระทั้งฉีหนิงก่อตั้งค่ายกิเลนดํา
ขึ้นมาใหม่

แคว้นฉูแ
่ ละฮั่นทําศึกแม่น�าฉินไหวยาวนานถึงสามปี ก่อนหน้านี้
เป่ยถังชิง่ บัญชาการกองทัพเป่ยฮั่น อีกฝ่ายต่อสูก
้ ันอย่างดุเดือด
บาดเจ็บล้มตายกันไปมากมาย ถึงแม้แคว้นฮั่นจะไม่ได้เปรียบบ แต่
แคว้นฉู่เองก็ไม่ได้เหนือกว่า
เมื่อทั้งสองฝ่ายสู้กันจนแทบหมดแรง จู่ๆ แคว้นฮั่นก็เปลี่ยนตัวผู้
บัญชาการ มันถือเป็นเรื่องต้องห้ามสําหรับกองทัพ หากไม่มีอะไร
สุดวิสัยจริงๆ พวกเขาไม่มีทางทําเรื่องแบบนี้แน่นอน

ยังดีที่ว่าคนที่มารับช่วงต่อจากเขานั้นคือเป่ยถังชิ่ง ถึงแม้เขาจะมี
ฝีมือสู้เป่ยถังชิง่ ไม่ได้ แต่ว่าก็เพียงพอที่จะรับตําแหน่งแม่ทัพใหญ่ได้ อีก
ทั้งตอนที่กองทัพฮั่นภายใต้การบัญชาการของเป่ยถังชิง่ มีกฎเกณฑ์
เข้มงวดมาก การต่อสู้แข็งแกร่ง มีการเฝ้าระวังตามแนวชายแดนแน่น
หนา เลยทําให้ไม่เกิดความวุ่นวายมากนัก

สิ่งที่สําคัญที่สด
ุ คือ ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่เป็นเหมือนลูกธนูพร้อมยิง
แต่ว่ากลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะบุกต่อไปได้อีก ฉีจิ่งอาการบาดเจ็บกําเริบ
ทําให้กองทัพฉูไ่ ม่สามารถเดินหน้าบุกต่อได้อีก

แต่หลังจากนั้นเป่ยถังชิง่ เองก็หายตัวไปไม่มีข่าวคราวอีกเลย

มีข่าวลือว่าเขาตายไปแล้ว บางข่าวลือบอกว่าฮ่องเต้เป่ยฮั่นกังวล
ว่าเขาจะมีอํานาจมากเกินไปเป็นอันตรายต่อบัลลังก์ของเขา เลยมีราช
โองการลับให้กักบริเวณไม่ก็ส่งั ลอบสังหาร แต่ว่าเรื่องจริงเป็นยังไง ก็ไม่
มีใครรู้ได้

ตอนที่ฉห
ี นิงอยูซ
่ ีเป่ย เคยได้เจอลูกน้องของเป่ยถังชิง่ มาก่อน
หลังจากที่เขาหายตัวไป คนของเขาก็ถูกกวาดล้างไปแทบหมด หลาย
คนกลัวว่าจะต้องตาย หนีเอาตัวรอดเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ไป ชื่อของเป่ย
ถังชิ่งในกองทัพก็ค่อยๆ เลือนหายไป

ต่อให้เคยเป็นคนสนิทของเขามาก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป่ยถังชิ่งนั้นเป็น
หรือตาย

ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่า เป่ยถังชิง่ จะมาอยู่ที่เขาเก้าตําหนักในเหลียว


ตง ยิ่งคาดไม่ถึงเลยว่า เป่ยถังชิง่ จะเป็นคนรักที่แท้จริงของหลิวซู่อี

และวินาทีน้น
ั ฉีหนิงก็นก
ึ ถึงท่าทีของฮ่องเต้น้อยหลงไท่ข้ึนมา

หลังจากจบเรื่องปราบกบฏเซียวจ้าวจง ฮ่องเต้น้อยเองก็เหมือนจะ
มีความระแวงต่อตัวเขา มันทําให้ฉห
ี นิงรู้สึกน้อยใจลึกๆ แต่ต่อมาเขาก็
ถึงได้รู้ว่า ที่ฮ่องเต้น้อยระแวงนั้น เพราะชาติกําเนิดของเขา ฉีหนิงสงสัย
เรื่องนี้มาตลอด ว่าชาติกําเนิดของเขามันเป็นยังไง ถึงได้ทําให้เขา
หวาดกลัวเขาถึงขนาดนั้น

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพ่อแท้ๆ ของเขาเป็นใคร ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ


เรื่องราวทั้งหมด

เป่ยถังชิง่ เป็นเชื้อพระวงศ์เป่ยฮั่น เคยเป็นศัตรูตัวฉกาจมากที่สุด


ของแคว้นฉู่ เป็รศัตรูค่อ
ู าฆาตเลยก็ว่าได้ ฮ่องเต้น้อยพอรู้ว่าฉีหนิงเป็น
สายเลือดของเป่ยถังชิ่ง จะไม่เกิดความระวังในตัวเขาได้ยังไงกันล่ะ?
หากเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหีย
้ มหน่อย เขาคงตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไปแล้ว ถึงแม้
ฮ่องเต้น้อยจะสงสัยในตัวของเขา แต่ฉห
ี นิงก็ยังคงเป็นคนสนิทที่เขา
ไว้ใจอยู่ ฉีหนิงลองคิดดูแล้ว ฮ่องเต้น้อยเหมือนจะให้ใจกับเขามากสุดๆ
แล้ว

หากว่าเขาเป็นฮ่องเต้ ขุนนางของเขากลายมาเป็นเชื้อพระวงศ์
ของแคว้นอื่น เขาก็ไม่รูเ้ หมือนกันว่าจะนิ่งดูดายแบบนี้ได้หรือเปล่า

ฉีหนิงนิง่ ไปนานมาก ถึงได้ถามขึ้นมาว่า “ท่านบอกว่าตามหาข้ามา


สิบเจ็บปี?”

“ที่จริข้าตั้งชื่อไว้ให้พวกเจ้าแล้ว” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “คนที่อยู่ที่จวน


โหวชื่อว่าเฟิง ส่วนเจ้าคนที่ข้าพาหนีมานั้น ข้าตั้งชื่อว่าอวิน”

ฉีหนิงสะดุ้ง “ท่าน ..... รู้ว่าข้าคือไม่ใช่คนที่อยู่ในจวน?”

ท่าทาของเขาดูเศร้ามาก เขานิง่ ไปนาน แล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเขาอยู่


ในตระกูลฉีถูกทรมาน จนสมองเสียหาย ...... เขาตายไปแล้วใช่ไหม?”

ฉีหนิงคิดในใจว่าเป่ยถังชิ่งเหมือนจะรู้เรื่องเยอะมากกว่าที่เขาคิด
อยู่ต่อหน้าเขา ฉีหนิงก็เลยไม่ได้ปกปิดอะไร เขาพยักหน้าตอบกลับไป

“เจ้ากลับไปที่จวนตระกูลฉีแทนที่เขา ก่อนและหลังมันต่างกันเป็น
คนละคนเลย หลังจากที่ข้าได้ข่าว ก็รูว
้ ่าจะต้องเป็นเจ้าแน่นอน” เป่ยถัง
ชิ่งพูดว่า “ตอนนี้ข้าพาเจ้าหนีออกจากเมืองหลวงเจี้ยนเยี้ย คนของ
วัดต้ากวงหมิงตามไล่ล่าตัวข้าตลอด ข้าบาดเจ็บสาหัสมาก แล้วก็สลบ
ไปในป่า หลังจากที่ต่ ืนมา เจ้าก็หายไปแล้ว ข้าออกตามหาจนทั่ว แต่ก็
ไม่เจอตัวเจ้าเลย” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในหลายปีที่ผ่านมาข้า
ไม่ได้หยุดตามหาเจ้าเลยนะ แต่ก็ไม่ได้ขา่ วคราวอะไรเลย จนกระทั่งเจ้า
กลับไปที่จวนจิ่นอีโหว ข้าถึงได้วางใจ”

ฉีหนิงคิดว่าตอนที่เขาสลบไป ท่านพ่อถูก็มาอุ้มเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ไป
หากเขารออยู่อีกสักวัน ท่านพ่อถูเองก็ยอ
้ นกลับไปแล้ว สถานการณ์ใน
ตอนนั้น เป่ยถังชิ่งไม่มท
ี างคิดว่าท่านพ่อถูจะย้อนกลับไปหรอก เขาออก
ตามหาจนทั่ว แต่ว่าเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ก็ได้ไปอยูก
่ ับชาวบ้านแล้ว คิดจะ
ตามหา มันยากมาก

“ท่านรู้ว่าเขาถูกทรมานที่น่ันตลอด ทําไมถึงไม่ไปช่วยเขา” ฉีหนิง


จ้องไปที่ตาของเป่ยถังชิง่ แล้วพูดว่า “ด้วยวรยุทธ์ของท่าน ในเมื่อครั้ง
แรกบุกเข้าจวนตระกูลฉีไปได้ ครั้งที่สองก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร”

“ข้าไม่อยากเสี่ยง” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “ข้ายอมสละชีวิตตัวเองเข้าไป


ช่วยแม่ของเจ้า ต่อให้ต้องตายข้าก็ไม่เสียใจเลย แต่ว่าแม่ของเจ้ากลับ
...... ตั้งแต่น้น
ั เป็นต้นมา ข้าเองก็มีเรื่องสําคัญมากที่ต้องทํา ข้าจะเอา
ตัวเองไปเสี่ยงอีกไม่ได้ อีกทั้งตระกูลฉีเองก็ป้องกันเพื่อไม่ให้ขา้
ย้อนกลับไปด้วย หลายปีก่อนในจวนจิ่นอีโหวมีคนแฝงตัวอยู่ตลอด หาก
ข้ากลับไปอีก โอกาสสําเร็จต�ามาก”
ฉีหนิงขมวดคิ้ว “สิ่งที่สาํ คัญกว่าต้องทํา? เรื่องอะไร?”

เป่ยถังชิง่ สีหน้าดุดันขึ้นมาแล้วพูดว่า “แก้แค้น” เขาหันมองไปที่


หน้าผา “หากไม่ใช่จิ่นอีตระกูลฉี ข้ากับแม่ของเจ้าไม่มีทางเป็นแบบนี้
แน่”

“การแก้แค้นที่ท่านว่า มันหมายความว่ายังไง?” ฉีหนิงถาม “แก้


แค้นยังไง?”

เป่ยถังชิง่ ไม่ได้ตอบในทันที เขานิ่งไปนาน แล้วหันกลับมา “ใกล้


เช้าแล้ว ข้าต้มโจ๊กเอาไว้ เจ้ากินเป็นเพื่อนข้าหน่อยนะ” เขาไม่ได้พูด
อะไรมาก เดินกลับไปที่บ้านไม้ ฉีหนิงท่าทางเคร่งเครียดมาก ลังเลนิด
หนึ่ง แต่ก็เดินตามไป

บนเขามีกลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าแรงมาก พอเข้าไปในสวน มันก็มี


แต่ต้นไม้สีเขียวๆ เป่ยถังชิง่ ยิม
้ แล้วพูดว่า “ปลูกผักบนยอดเขา ถึงแม้สี
อาจจะไม่สวย แต่รสชาติดีมากเลยนะ เจ้าเข้าบ้านไปรอก่อนเถอะ”
จากนั้นเขาก็เดินไปที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ฉีหนิงคิด แล้วก็เดินเข้าไปในบ้าน
หลังที่ใหญ่ที่สด
ุ ภายในบ้านตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่ว่าโต๊ะเตียงเก้าอี้
สะอาดมากไม่มีฝุ่นเลย

การตกแต่งแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับบ้านของชาวนาชาวสวย
ทั่วไปเลย เป่ยถังชิ่งอาศัยอยู่บนยอดเขาเขาใช้ชว
ี ิตแบบเรียบง่ายจริงๆ
ไม่นาน ก็เห็นเป่ยถังชิ่งยกถาดเข้ามา นอกจากกโจ๊กแล้วยังมีผัดผัก
อีกจานหนึ่ง เขาวางอาหารลงบนโต๊ะ แล้วก็น่งั ลงตรงข้ามฉีหนิง หลัง
จากฉีหนิงนั่งแล้ว เขาถึงได้พด
ู ว่า “นีเ่ ป็นข้าวที่ปลูกที่นี่ โจ๊กมันบํารุง
กระเพาะนะ เจ้าลองกินดู” เขายกชามขึ้นมาก่อน จากนั้นก็หยิบ
ตะเกียบขึ้น ท่าทางของเขาดูดีมีสง่ามาก ฉีหนิงคิดในใจว่ายังไงเขาก็
เป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ว่าจะกินหรือทําอะไรก็ได้รับการอบรมมาทั้งนั้น
ท่าทางของเขาเลยไม่เหมือนคนอื่น

โจ๊กรสชาติอ่อนมาก แทบจะไม่มีรสชาติเลยก็ว่าได้ ตอนที่เป่ยถัง


ชิ่งกินอาหาร เขาไม่พด
ู เลยแม้แต่คําเดียว ฉีหนิงเองก็เหมือนกัน หลัง
พวกเขากินกันเสร็จแล้ว ก็วางตะเกียบลง เป่ยถังชิง่ ถึงได้พด
ู ว่า “ตอนที่
ข้าหนุม
่ ๆ ชอบออกเดินทางไปทั่ว เพื่อเพิ่มความรู้ประสบการณ์ของ
ตัวเอง แคว้นฉูถ
่ ึงแม้จะเป็นแคว้นศัตรูของเป่ยฮั่น คดจะรวบรวม
แผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ก็ต้องรู้เขารู้เราให้ได้มากที่สุด ดังนั้นข้าถึงได้
เดินทางมาที่แคว้นฉู่” น�าเสียงของเขานิง่ มาก “ข้าอยู่ในเมืองหลวงเจี้ย
นเยี้ยอยู่หลายเดือน แล้วก็ได้เจอกับฉีจิ่ง ตอนนั้นข้ากับเขาเหมือนได้
รู้จักกันมานาน เขาชอบเรื่องยุทธศาสตร์การรบ ข้ากับเขาพูดคุยกันถูก
คอ คุยกันไม่หยุดเลยหลายวัน”

ฉีหนิงคิดในใจว่าเป่ยถังชิ่งนี่ก็ใจกล้าไม่เบา เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ รู้


ทั้งรู้ว่าสองแคว้นเป็นศัตรูกัน แต่ก็ยังกล้าเดินทางเข้ามาในเมืองหลวง
ของแคว้นฉู่ หากถูกจับได้ข้น
ึ มา คิดว่าเขาคงออกจากแคว้นฉูไ่ ปไม่ได้แน่
“ข้ารู้ว่าเขาเป็นศิษย์ของจั่วชิงหยาง แล้วก็รู้มาก่อนแล้วว่าจั่วชิงห
ยางเป็นใคร เขามีความรู้มากมาย ดังนั้นข้าเลยอยากจะเรียนรู้วิชาจาก
เขาบ้าง” เขานั่งตัวตรงมาก ถึงแม้เขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์ และเพราะ
อยู่ในกองทัพมานาน ท่าทางการนั่งการเดินของเขาก็ยังเป็นแบบทหาร
อยู่

“ดังนั้นท่านก็เลยให้เขาแนะนําท่านเข้าไปที่วิทยาลัยฉงหลินใช่
ไหม?”

เป่ยถังชิง่ พยักหน้า แล้วพูดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เจ้าเองก็


น่าจะรู้แล้ว” เขาหยุดไป “ข้าอยู่เรียนวิชากับจั่วชิงหยางประมาณครึ่งปี
จู่ๆ ก็ได้รับสารลับว่า ไท่เฮา ......” เขาหยุดไป แล้วมองมาที่ฉห
ี นิงแล้ว
พูดว่า “หรือก็คือท่านย่าของเจ้าจู่ๆ ก็มาตายไป เลยจําใจต้องแยกจาก
แม่ของเจ้า แล้วรีบเดินทางกลับไปที่ล่ัวหยาง หลังจากเสร็จงานศพของ
ไท่เฮาแล้ว ภายในวังหลวงแคว้นฮั่นก็เกิดเรื่องขึ้นติดกันหลายเรื่อง ข้าก็
ปลีกตัวไม่ได้เลย หลังจากนั้นหลายเดือน ข้าถึงได้รู้ว่าแม่ของเจ้าได้
แต่งงานเข้าตระกูลฉีไปแล้ว ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอะไรแน่ เลย
ทิ้งเรื่องทุกอย่างแล้วเดินทางไปแคว้นฉู่ แอบเข้าเมืองหลวงเจี้ยนเยี้ย ใน
คืนวันหนึ่งข้าได้แต่งตัวเป็นนักฆ่าลอบเข้าไปหาท่านตาของเจ้า ข้าได้
ถามความจริงจากปากของเขามา”
ฉีหนิงรู้ว่าท่านตาที่เขาพูดถึงนั้นน่าจะเป็นพ่อของหลิวซู่อี เป่ยถังชิ่งไป
หาพ่อของนางเพื่อถามหาความจริง เหมือนจะหาถูกคน
เล่มที่ 48 บทที่ 1438 ข้าจะยกแผ่นดินทั้งหมดให้เจ้า

เรื่องราวหลังจากนั้น เป่ยถังชิ่งไม่จําเป็นต้องเล่า ฉีหนิงก็รู้ดีอยูแ


่ ล้ว

แต่ถ้าว่ากันจากใจแล้ว ฉีหนิงก็นับถือความกล้าบุกเข้าจวนจิ่นอี
ตระกูลฉีของเป่ยถังชิ่งมาก

เป่ยถังชิง่ ต้องรู้อยู่แล้วว่าจวนจิ่นอีโหวต้องมีการเฝ้าเวรยามแน่น
หนาอยูแ
่ ล้ว แต่ก็ยังเลือกที่จะไป ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าเขารักหลิวซู่อี
แค่ไหน ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าเป่ยถังชิง่ นั้นมีความกล้าหาญแค่ไหน

หลิวซู่อีไม่อยากเป็นตัวถ่วงเป่ยถังชิ่ง เลือกที่จะฆ่าตัวตาย นั่นก็


แสดงให้เห็นว่านางไม่ได้เสียใจเลยที่เลือกผู้ชายคนนี้

“หนี้เลือดในครั้งนี้ ตระกูลฉีต้องรับผิดชอบ” เป่ยถังชิง่ พูดว่า


“เลือดก็ต้องล้างด้วยเลือด แค่ตระกูลฉียงั ไม่พอ ในเมื่อตระกูลฉีปกป้อง
แคว้นฉู่ ถ้าอย่างนั้นวิธีแก้แค้นที่ดีที่สุด ก็คือให้แคว้นฉูล
่ ่มสลาย ให้
ตระกูลฉีกับแคว้นฉู่ล่มจ่มไปด้วยกันให้หมด”

ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไร

แต่เขาตอนนี้เหมือนจะเข้าใจแล้ว ทําไมเป่ยถังชิ่งถึงได้บัญชาการ
กองทัพฮั่นเผชิญหน้ากับกองทัพฉีอย่างเอาเป็นเอาตายเลย นอกจากจะ
เป็นความแค้นของทั้งสองแคว้น มันยังมีความแค้นส่วนตัวของเขากับ
ตระกูลฉีด้วย

“ข้าสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเรื่องหนึ่ง” เป่ย
ถังชิ่งพูดว่า “ทั้งชีวิตของข้า ข้าติดค้างคนๆ เดียว นั่นก็คือแม่ของเจ้า
ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถชดใช้ให้แม่ของเจ้าได้แล้ว แต่ว่าสิ่งที่ข้าติดค้าง
นางเอาไว้ ข้าจะคืนให้เจ้า” เขาเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “ข้า
เตรียมของขวัญไว้ให้เจ้าชิ้นหนึ่ง”

ฉีหนิงตะลึงไป “ของขวัญ?”

“แผ่นดินทั้งหมดนี้” เป่ยถังชิ่งพูด “ข้าจะยกแผ่นดินทั้งหมดให้


เจ้า”

ฉีหนิงตกใจมาก

เขาเข้าใจว่าแผ่นดินทั้งหมดที่เขาหมายถึงนั้นคืออะไร

มันคือพื้นที่ที่มีคนลี้ภัยหลายพันล้านคน เป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขต
หลายพันลี้

แต่พอมันออกมาจากปากของเป่ยถังชิง่ มันเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ธรรมดาเรื่องหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเขาพูดจาเป็นเหตุเป็นผลพูดจารู้
เรื่อง ฉีหนิงคงคิดว่าเขาบ้าไปแล้วแน่ๆ
“เจ้าไม่ต้องตกใจไป” เป่ยถังชิง่ พูดว่า “ภายในสามปี ข้าจะทําให้
เจ้าได้น่งั บัลลังก์ ไม่ใช่แค่บัลลังก์ของเป่ยฮั่น แต่เป็นบัลลังก์ของทั่วทั้ง
แผ่นดิน”

ฉีหนิงมองไปที่เป่ยถังชิง่ ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สก


ึ ถึงลางสังหรณ์ที่
รุนแรง ลางสังหรณ์ของเขามันบอกเขาว่า เขาไม่ได้พูดเล่น ไม่แน่ว่าเขา
อาจจะคิดวางแผนเอาไว้นานแล้ว หากเป็นคนอื่นพูด ฉีหนิงอาจจะคิด
ว่าเขาเมา แต่ว่าเขารู้ดี สิ่งที่เป่ยถังชิ่งพูดมาคือความจริง

เป่ยถังชิง่ เคยเป็นขุนพลใหญ่ของกองทัพฮั่น สิง่ ที่เขาพูด ไม่มีคําว่า


ล้อเล่นแน่นอน

“แคว้นฉู่บุกขึ้นเหนือมา อาจจะยึดพื้นที่ได้บางแห่ง แต่ว่าไม่มท


ี าง
ชนะได้หรอกนะ” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “จงหลีอ้าวเอาชนะฉีจิ่งไม่ได้ แต่เขา
มีความสามารถมากพอที่จะเอาชนะเยว่หวนซานได้ เขาถอนกําลังไป
หลายร้อยลี้ ทิ้งแทบน่านน�าไป เจ้าคิดว่าเป็นเพราะเขากลัวเยว่หวน
ซานงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงสะดุ้ง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก

“ในบรรดาลูกน้องของข้าตอนนั้น มีหลายคนมากที่มี
ความสามารถ พอข้าออกมา คนที่สามารถแทนข้าได้ไม่ได้มแ
ี ค่จงหลี
อ้าวคนเดียว” เป่ยถังชิง่ พูดว่า “แต่ว่าในบรรดาแม่ทัพ คนที่เชี่ยวชาญ
การทําศึกแบบตั้งรับ ไม่มีใครเหนือกว่าจงหลีอ้าวเลย จงหลีอ้าวถอน
กําลังไป ไม่เพียงเพื่อพักแรงของทหาร แต่ยังทําให้เขาได้เว้นระยะจาก
กองทัพฉู่ด้วย เสบียงอาหารที่จะส่งให้ทางกองทัพฉู่ ต้องขนส่งจากทาง
ใต้มาเท่านั้น หากเพิม
่ ระยะทุกสิบลี้ แคว้นฉู่ก็จะต้องเพิม
่ การเดินทางมา
ขึ้น ด้วยขีดความสามารถของแคว้นฉูใ่ นตอนนี้ ถือว่าถึงขีดสุดแล้ว จง
หลีอ้าวไม่มีทางยอมให้ทัพฉู่ได้เดินขึ้นหน้ามาอีกแน่นอน เขาจะเฝ้า
ประจําการณ์อยู่อย่างนั้น”

ฉีหนิงรู้ว่ากองทัพฉู่หลงกลแผนของจงหลีอ้าว ตอนนี้กําลังใจทหาร
ลดลงอย่างมาก หากไม่สามารถบุกต่อได้ อีกไม่นาน เสบียงก็จะเป็น
ปัญหาขึ้นมาอีก หากไม่รีบจบศึก ก็ต้องถอนทัพ

“สุดท้ายแล้วแคว้นฉู่ก็จะต้องถอนทัพ ต้าฮั่นก็จะมีเวลามาก
พอที่จะเตรียมกําลังขึ้นมาใหม่” เป่ยถังชิง่ พูดว่า “เยว่หวนซานเป็น
ขุนพลอันดับหนึ่งของแคว้นฉู่ในเวลานีก
้ ็จริง แต่ว่าประสบการณ์ของ
เขายังน้อย หลังจากที่ขา้ ลงจากเขาแล้ว คิดจะทําลายกองทัพฉู่ ก็ไม่ใช่
เรื่องยากอะไร”

ฉีหนิงตกใจหนักกว่าเดิม

ที่จริงตอนที่ภายในแคว้นเป่ยฮั่นวุ่นวาย แคว้นฉู่มีความลังเลใน
การยกทัพบุก เหตุผลหลัก ก็เป็นเพราะเป่ยถังชิง่
แคว้นฉูร่ ู้ว่าเขาหายตัวไป แต่เป็นหรือตายไม่มีใครรู้ แคว้นฉู่ไม่อาจ
แน่ใจได้ว่า หลังจากพวกเขายกทัพบุกมาแล้ว เป่ยถังชิง่ จะปรากฎตัวขึ้น
หรือเปล่า ก็เหมือนที่ชาวเป่ยฮั่นกลัวตระกูลฉี แคว้นฉู่เองก็กลัวเป่ยถัง
ชิง่ เหมือนกัน

หากฉีจิ่งยังอยู่ เขาต้องสามารถรับมือกับเป่ยถังชิ่งแน่นอน แต่ฉจ


ี ่ิ ง
ตายไปแล้ว ในราชสํานักของแคว้นฉู่ ไม่มีใครสามารถรับมือกับเขาได้
เลยในเวลานี้

ฉีหนิงคิด แล้วถามว่า “คนทั้งโลกรู้ว่าท่านหายตัวไปหลายปี หลาย


คนยังเข้าใจว่าท่าน ......” เขาไม่ได้พด
ู จนจบ เป่ยถังชิ่งยิ้มแล้วพูดว่า
“เข้าใจว่าข้าตายแล้วใช่ไหม”

ฉีหนิงพยักหน้า “ในเมื่อท่านยังอยู่ ทําไมถึงไม่คุมกองทัพต่อ เยว่


หวนซานไม่ใช่ค่ต
ู ่อสู้ของท่าน ในเวลาน่าสิ่วน่าขวาน ทําไมท่านไม่ไปทํา
หน้าที่แทนจงหลีอ้าว เพื่อกู้สถานการณ์ล่ะ?”

เป่ยถังชิง่ พูดว่า “เจ้ารู้หรือเปล่า ในโลกนี้อะไรที่มีค่ามากที่สด


ุ ?”

ฉีหนิงพูดว่า “ของมีค่าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันแล้วแต่


บุคคล บางคนอาจจะรู้สึกว่าใบไม้ใบหนึ่งมีค่ามากก็ได้”

“พูดได้ดี” เป่ยถังชิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าสิ่งที่สําคัญที่สุด ก็คือ


ของที่เจ้าเคยมี แต่ว่ามันหายไป หลังจากที่มันหายไปแล้ว เจ้าถึงจะได้รู้
ว่าเจ้าขาดมันไม่ได้ แล้วก็คิดอยากจะได้มน
ั มาอีกครั้ง” พอพูดถึงตรงนี้
รอยยิ้มของเขาก็หายไป เขาหันไปมองนอกประตู ท่าทางของเขาดูเศร้า
มาก

ฉีหนิงรู้ว่าเขาน่าจะคิดถึงหลิวซู่อี เขาคิดในใจว่าเป่ยถังชิ่งรักหลิวซู่
อีมากจริงๆ

คําพูดของเขาทําให้ตัวเขาเองนั้นคิดถึงหลิวซู่อีข้ึนมา แต่ว่าฉีหนิงรู้
ว่า สิ่งที่เขาพูดมันไม่ได้หมายถึงหลิวซู่อี เขาเป็นคนฉลาดอยูแ
่ ล้ว เขารู้
ว่าเป่ยถังชิง่ น่าจะมีความหมายอื่นแฝง เขาพูดว่า “ตอนนั้นท่าน
บัญชาการกองทัพแคว้นฮั่นก็องอาจดีอยู่ ถึงแม้จําทําศึกกับแคว้นฉู่มา
ตั้งหลายปี แต่ก็ไม่ได้เปรียบ แล้วก็ไม่ได้เสียเปรียบ แต่ว่ากองทัพฮั่น
ภายใต้การนําทัพของจงหลีอ้าวเหมือนจะถดถอยลงเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็น
เพราะเขาต้องการออมแรงทหารหรือเปล่า แต่ว่าแผนการรบแบบนี้ มัน
ก็ทําให้ความฮึกเหิมของทหารถอยตามไปด้วย ท่านคิดว่าจะทําให้ทหาร
พวกนั้นจะคิดถึงความยิ่งใหญ่ในตอนที่ท่านอยู่ง้ันเหรอ”

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเหมือนแม่ของเจ้ามาก ฉลาดมาก”

“ท่านไม่ยอมลงจากเขาสักที เพราะหวังอยากจะเห็นกองทัพฮั่นถึง
จุดจบ แล้วออกไปกู้สถานการณ์อย่างนั้นเหรอ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วพูด
เป่ยถังชิง่ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เยว่หวนซานถึงแม้จะสูฉ
้ ีจิ่งไม่ได้
เลย แต่ว่าหากกองทัพฮั่นต้องถึงจุดจบแล้วจริง ต่อให้ข้าลงจากเขาไป
ตอนนั้น ก็แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก แคว้นกับสงครามของแคว้น มันไม่ใช่
แค่เรื่องของการขุนพลแม่ทัพใหญ่ แต่มน
ั เกี่ยวข้องกับหลายๆ ด้าน หาก
ต้องแพ้จริง ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้”

“แล้วท่าน ......?”

“เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะลงจากเขา พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้


ข้ายังลงจากเขาไม่ได้” เป่ยถังชิง่ พูดว่า “ตอนที่เจ้าขึ้นเขามา เจ้าน่าจะ
ได้เจอคนที่เฝ้าอยู่ปากทางขึ้นเขาแล้วสินะ?”

ฉีหนิงนึกถึงชายคนที่เหมือนจะคลั่งศาสตร์ของกระบี่คนนั้น เขา
พยักหน้าแล้วพูดว่า “วรยุทธ์ของเขาร้ายกาจมาก เหมือนจะเป็นมือ
กระบี่คนหนึ่ง”

“เหมือนเจ้าจะได้คุยกับเขามาแล้วสินะ” เป่ยถังชิ่งยิ้มแล้วพูดว่า
“หลังจากที่ข้าขึ้นมาอยู่บนเขาลูกนี้ เขาก็เฝ้าเขาลูกนีเ้ อาไว้ตลอด เขา
เก้าตําหนักมันคือคุก ข้าคือนักโทษที่เขาต้องคุมเอาไว้ ข้าจะทําอะไรบน
เขา จะเรียกใครขึ้นเขามาพบจะอะไรก็ได้ แต่สงิ่ เดียวที่ทําไม่ได้ก็คือ
ห้ามลงจากเขา เขาจะไม่ยุ่งเลยว่าข้าจะทําอะไร เรื่องเดียวที่เขาจะทํา
คือเฝ้าข้าไม่ให้ขา้ ลงจากเขา”
ฉีหนิงกหน้าถอดสี เขาพูดด้วยความตกใจว่า “ท่าน ...... ถูกขังอยู่
บนเขาเก้าตําหนักงั้นเหรอ?”

“ถ้าไม่อย่างนั้น เจ้าคิดว่ากองทัพฉู่จะบุกฝ่าแม่น�าฉินไหวมาได้ง้ัน
เหรอ?” เป่ยถังชิ่งพูดอย่างมั่นใจว่า “ข้ารู้ว่ามีขา่ วลือเกี่ยวกับตัวข้า
มากมาย หลายคนบอกว่าฮ่องเต้ฮ่น
ั ของเรากลัวข้าจะทําให้บล
ั ลังก์ของ
เขาสั่นคลอน ในมือของข้ามีอํานาจการทหารอยู่ เขากังวลว่าข้าจะกบฏ
ดังนั้นเลยมีราชโองการลับสั่งให้สังหารข้า แล้วก็ยังมีคนบอกว่าข้าถูกกัก
บริเวณ”

ฉีหนิงพยักหน้า คิดในใจว่าอย่างน้อยในราชสํานักแคว้นฉู่หลายคน
ก็คิดแบบนั้น

แต่ว่าเป่ยถังชิ่งรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่าง นั่นหมายความว่าถึงแม้เขา
จะอยู่บนเขา แต่ว่ายังมีสายลับที่คอยส่งข่าวคราวให้เขาอยู่ตลอด

“พวกเขาพูดถูกแค่ครึ่งเดียว” รอยยิ้มของเป่ยถังชิ่งหายไป ความ


โกรธแค้นเข้ามาแทนที่ น�าเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน “ฮ่องเต้ฮ่น

หวาดกลัวและกังวลในตัวข้าจริง แต่มน
ั ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่ข้ามีอํานาจ
การทหารหรอกนะ” เขานิ่งไปแล้วพูดว่า “เสด็จปู่ของเจ้ามีลก
ู ชาย
ทั้งหมดสามคน นอกจากข้ากับฮ่องเต้ฮ่น
ั แล้ว ยังมีเสด็จลุงของเจ้าเป่ย
ถังอวี้อีกคน ในบรรดาสามคน ข้าคือคนเล็กสุด แต่ว่าเป็นคนที่เสด็จปู่
ของเจ้าโปรดปรานมากที่สุด ตามหลักแล้ว ลูกคนโตควรสืบทอดบัลลังก์
ต่อ แต่ว่าเสด็จปูข
่ องเจ้าเคยคิดอยากจะแต่งตั้งข้าเป็นรัชทายาท ไม่ใช่
เพราะว่าทรงโปรดข้ามากที่สด
ุ หรอกนะ แต่มันยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ตอน
ที่ฮ่องเต้ฮ่น
ั ยังเล็กๆ เขาล้มป่วยลง ทําให้ตาข้างหนึ่งมองไม่เห็น แต่ว่า
หากดูจากเปลือกนอกแล้วมองไม่ออก แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้ประกาศให้คน
นอกรู้ คนที่รู้เรื่องนี้มไี ม่มาก แต่เสด็จปูข
่ องเจ้าคิดว่าคนที่จะมาปกครอง
แคว้นหรือใต้หล้า ไม่ควรเป็นคนพิการ”

ฉีหนิงแปลกใจมาก ฮ่องเต้ฮ่ันพิการทางสายตาข้างหนึ่ง เรื่องนี้เขา


ไม่เคยได้ยินใครพูดมาก่อนจริงๆ

“ฮ่องเต้ฮ่น
ั รู้ตัวว่าเขาไม่สมบูรณ์ และกังวลว่าข้าจะแย่งตําแหน่ง
รัชทายาทของเขาไป ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็เริ่มที่จะทําร้ายข้าแล้ว” เป่ยถัง
ชิ่งพูดว่า “แต่ว่าข้าชอบฝึกและศึกษาเรื่องกลการศึกมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่
เคยคิดที่จะไปเป็นฮ่องเต้เลย แล้วก็ไม่เคยคิดจะทําร้ายพี่น้องร่วม
สายเลือดเลยด้วย ข้าก็เลยทูลเสด็จปู่ของเจ้าไปด้วยตัวเองว่า ให้ต้ัง
ฮ่องเต้ฮ่น
ั เป็นรัชทายาท ข้ายอมเป็นแค่ขุนพลบัญชาการกองทัพฮั่น
เพื่อพิชิตใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง เป็นขุนพลอันดับหนึ่งในสนามรบ” พูดถึง
ตรงนี้ท่าทางของเขาก็อ่อนลง “ต่อมาฮ่องเต้ฮ่น
ั ก็ได้เป็นรัชทายาทสมใจ
ข้าเองก็บัญชาการกองทัพใหญ่ออกทําศึกกับกองทัพฉู่ แต่ก็อย่างที่ลือ
กัน ฮ่องเต้ฮ่น
ั กังวลอํานาจการทหารในมือของข้า ตอนศึกแม่น�าฉินไหว
ข้าอยู่ที่ชายแดน เขาก็ทํางานหนักจนเกินไป เขาร่างกายอ่อนแอมา
ตั้งแต่เล็กอยู่แล้ว ทําให้ร่างกายของเขาทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เขากังวลว่าเขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน หากให้
ท่านมีอํานาจการทหารต่อไป หลังจากที่เขาตายแล้ว ลูกชายของเขาจะ
ไม่สามารถสู้ท่านได้ ท่านจึงกลายมาเป็นตัวอันตรายต่อราชบัลลังก์มาก
ที่สุด”
เล่มที่ 48 บทที่ 1439 เทียนจู

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เขาอยากจะฆ่าให้ตายจริงๆ หลังจากที่ข้า


กลับเมืองหลวง เขาก็เรียกตัวข้าเข้าวังหลวง เขาวางกําลังเอาไว้ในวัง
เขาคิดจะฆ่าข้า มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ” สายตาของเขาดุดันมาก เขา
พูดว่า “ตอนนั้นที่ข้าไปขอร้องเสด็จพ่อให้ยกบัลลังก์ให้เขา ก็เพราะไม่
อยากให้ต้องมีปัญหากัน น่าเสียดายเขาไม่เพียงไม่ซาบซึ้งใจ แต่กลับคิด
จะฆ่าข้าด้วย ข้าจะยอมนั่งรอความตายได้ยังไง”

“ข้าไม่ยน
ิ มาว่าตอนที่ท่านกลับเมืองหลวง ไม่ได้พาคนมาด้วย” ฉี
หนิงพูดว่า “ท่านกลับเมืองหลวงมาคนเดียว ก็เหมือนรนหาที่ตาย เขา
คิดจะฆ่าท่าน แล้วท่านไม่ตอบโต้เลยเหรอ?”

“ชีวิตของข้า ไม่เคยยอมให้คนอื่นมาตัดสิน” เป่ยถังชิง่ พูดว่า


“ถึงแม้คนพวกนั้นจะเป็นคนที่เขาเลือกแต่นา่ เสียดายที่เขาทําผิดพลาด
ไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเขาอยากเห็นข้าตายด้วยตาของเขาเอง ดังนั้น
ตอนที่เกิดเรื่อง เขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย”

ตอนนี้พระอาทิตย์กําลังขึ้น แสงยามเช้ามันส่องเข้ามาที่สวนผัก
“กลยุทธ์การทําศึก จะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าก่อน ตอนนั้นข้ามี
แค่วิธีน้น
ั เท่านั้นที่จะรอดมาได้” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “ข้าฝ่าเข้าไป แล้วจับ
เขาเอาไว้”

ฉีหนิงสะดุ้ง ถึงแม้เขาจะเล่าแบบเรียบง่าย แต่ฉห


ี นิงรู้ดีว่าในวัง
หลวงวันนั้น เขาจะต้องลงมือกับมีขวัญกระเจิงแน่นอน

สามารถจับตัวฮ่องเต้ฮ่น
ั เอาไว้ได้ มันเป็นความผิดพลาดของ
ฮ่องเต้ฮ่น
ั จริงๆ แต่ว่าเป่ยถังชิ่งเองก็กล้าหาญไม่เบา หากเปลี่ยนเป็นคน
อื่น อาจจะทําไม่ได้ก็ได้

“มีเขาอยู่ในมือข้า ใครจะกล้าลงมือได้อีก?” เป่ยถังชิง่ พูดว่า “จับ


ฮ่องเต้เป็นตัวประกัน มันเป็นโทษหนัก แต่ว่าข้าจะยอมให้เขาจับไม่ได้
อีกทั้งจะตายในมือของเขาไม่ได้ด้วย เพราะว่าแค้นของแม่เจ้าข้าก็ยัง
ไม่ได้ไปแก้ แคว้นฉู่กับตระกูลฉีต้องล่มสลายในมือของข้า ข้าจะตาย
ไม่ได้เด็ดขาด”

“ในสถานการณ์แบบนั้น ผลมันมีแค่สองอย่าง ไม่เขาตาย ก็คือ


ท่านตาย” ฉีหนิงพูดว่า “แล้วทําไมท่านถึงได้มาอยู่ที่นี่?”

เป่ยถังชิง่ เหลือบมองไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้าน่าจะรู้เรื่องของต้า


จงซือใช่ไหม”
ฉีหนิงพยักหน้า เป่ยถังชิง่ แล้วพูดว่า “เป่ยฮั่นมูอ
่ วินโหวเป่ยถังฮ่
วนเย่เป็นเสด็จอาของข้า ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องใน
ราชสํานัก แต่ว่าครั้งนั้นเขากลับปรากฎตัวขึ้นมาในวัง”

“เขาช่วยท่านเอาไว้เหรอ?”

“ช่วยข้า?” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “ข้าหาจับตัวฮ่องเต้ฮ่น


ั ออกจาเมือง
หลวงไป ใครจะกล้าทําอะไรได้? ขอแค่ข้าออกจากเมืองหลวงไปได้ ก็จะ
มีคนมารอรับข้า เจ้าอย่าลืมนะว่า กองทัพใหญ่ของแคว้นฮั่นอยู่ในมือ
ของข้า หากพาพวกเขาบุกเข้าลั่วหยาง พวกเขาไม่มีทางคัดค้านข้า”

ฉีหนิงรู้สึกถอนหายใจเบาๆ ราชวงศ์เป่ยฮั่นมีลก
ู หลานเยอะแยะ
มากมาย แต่เพราเหตุนี้ กลับมีการต่อสู้แย่งชิงอย่างดุเดือด

เป่ยถังชิง่ เคยคิดจะยกทัพบุกลั่วหยาง ส่วนลูกชายของฮ่องเต้ฮ่น



เองก็ทําให้มน
ั เกิดขึ้นจริง เมื่อเทียบกับการต่อสู้ของเป่ยถังชิง่ กับฮ่องเต้
ฮั่นแล้ว เป่ยถังเฟิงกับพวกองค์ชายคนอื่นสู้กันเลือดพล่านมากกว่า

“หลังจากที่เสด็จอาปรากฎตัวขึ้น เขาก็ช่วยไกล่เกลี่ยให้เรา” เป่ย


ถังชิ่งพูดว่า “ด้วยวสถานการณ์ในตอนนั้น ในโลกนี้ ก็คงมีเขาแค่คน
เดียวที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้”

ฉีหนิงเหมือนจะเริ่มเข้าใจแล้ว “ท่านถูกขังอยูท
่ ี่เขาเก้าตําหนัก คือ
ผลของการไกล่เกลี่ยอย่างนั้นใช่ไหม”
เป่ยถังชิง่ พยักหน้า “ฮ่องเต้ฮ่น
ั รับปากจะไม่ฆ่าข้าอีก แล้วก็จะไม่
เอาเรื่องที่จับตัวฮ่องเต้ตัว แต่ว่าข้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนเขาเก้าตําหนัก
ตลอดชีวิต ห้ามลงจากเขาแม้แต่ก้าวเดียว หากข้าลงเขา ก็ถือว่าผิด
สัญญา ราชสํานักเป่ยฮั่นก็จะลงโทษประหารข้าทันที” เขายิม
้ แล้วพูด
ว่า “นั่นเป็นวิธแ
ี ก้ปัญหาเดียวในเวลานั้น ข้าเองก็ปฏิเสธไม่ได้”

ฉีหนิงคิดในใจว่าสถานการณ์ในตอนนั้น ทุกคนรู้ดีหากเป่ยถังชิง่
ออกจากลั่วหยางไปได้ ก็จะต้องเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่แน่ ภายใน
เป่ยฮั่นก็จะเกิดความวุ่นวาย ดังนั้นลั่วหยางไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีไป
ได้แน่นอน ต่อให้จับฮ่องเต้เอาไว้ เป่ยถังชิ่งคิดจะออกจากลั่วหยางไป
มันก็ยากยิง่ กว่ายาก

เป่ยถังชิง่ คิดอยากจะแก้แค้นให้หลิวซู่อี ต่อให้ต้องอยู่บนป่าบนเขา


เขาก็ไม่กลัว ขอแค่ยังมีชีวิต ยังไงก็มห
ี วัง

“ในหลายปีที่ผา่ นมา ท่านไม่ได้ลงจากเขาเลยเหรอ?”

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้วไง ที่ด้านล่างเขามีคนเฝ้าอยู่


ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเฝ้าได้ทุกมุมรอบเขา ข้ามีโอกาสหลายครั้งที่จะ
แอบออกจาเขาได้ แต่ว่าหากข้าลงเขา เจ้าบ้านั่นจะต้องตามล่าตัวข้าไป
สุดล่าฟ้าเขียวแน่นอน ถูกคนแบบนั้นเฝ้าคิดถึง มันไม่สบายหรอก แต่ว่า
สิ่งสําคัญกว่านั้นคือ เวลาที่ข้าจะลงจากเขามันยังมาไม่ถึง ต้องรอให้ถก

จังหวะเวลาก่อน ข้าจะลงจากเขาแล้วเดินผ่านหน้าเขาไปได้”
“เขา ...... เป็นใครกัน?” ฉีหนิงอยากรู้ว่าคนบ้าๆ บอๆ นั่นเป็นใคร
กัน

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วถามว่า “ในใต้หล้านี้ เพลงกระบี่ของใครร้ายกาจ


ที่สุด?”

“ก็ต้องเป่ยกงเหลียนเฉิงสิ” ฉีหนิงแทบไม่ต้องคิดเลย

ในหัวของฉีหนิง เป่ยกงกับกระบี่แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอแค่


พูดถึงกระบี่ ฉีหนิงก็จะนึกถึงเขาคนแรก ถ้าพูดถึงเป่ยกงเหลียนเฉิง ฉี
หนิงก็นก
ึ ถึงกระบี่ทันที

เป่ยถังชิง่ พูดว่า “เพลงกระบี่ของเป่ยกงเหลียนเฉิงไม่มใี ครเทียบได้


อยู่แล้ว แต่น่น
ั เพราะเขามีพลังของต้าจงซือ หากเขาไม่ใช่ต้าจงซือ
เพลงกระบี่ของเขาอาจจะไม่ใช่ที่สุด” เขายิ้มแล้วพูดว่า “คนที่มี
พรสวรรค์ในเพลงกระบี่ที่แท้จริง มีแค่คนที่อยู่ที่ตีนเขาเท่านั้น”

“คนบ้านั่นน่ะเหรอ?”

“เจ้าน่าจะเคยได้ยินสิบสุดยอดกระบี่มาสินะ” เป่ยถังชิง่ พูดว่า


“สิบสุดยอดกระบี่ มันเป็นกระบี่ที่หาได้ยากมาก อันดับหนึ่งในสิบสุด
ยอดกระบี่ มันคือกระบี่อะไร?”
“กระบี่เทียนจู”ฉีหนิงหน้าถอดสี “หรือว่าคนที่อยู่ข้างล่างนั่น
......?”

“ถูกต้อง เขาคือเจ้าของกระบี่เทียนจู มือกระบี่เทียนจู”

ฉีหนิงสูดหายใจลึกๆ

มือกระบี่เทียนจู เขาเคยได้ยินแน่นอน ตั้งแต่รู้เรื่องของสิบสุดยอด


กระบี่แล้ว เขาก็รู้ว่าเทียนจูถือเป็นอันดับหนึ่ง เจ้าของกระบี่เทียนจู เป็น
มือกระบี่ที่แข็งแกร่งมาก หากไม่นับเป่ยกงเหลียนเฉิง

ฉีหนิงรู้ว่ามือกระบี่เทียนจูอยู่ทางเหนือ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่
เหลียวตง แล้วมาเป็นผูค
้ ุมขังเป่ยถังชิ่ง

ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจแล้วว่า คนๆ นั้นทําไมถึงได้ดูเหมือนบ้ากระบี่


ขนาดนั้น ในเมื่อเขาเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งของใต้หล้านี้ ที่เขาจะเป็น
แบบนั้นมันก็ไม่แปลก

“คนอย่ามือกระบี่เทียนจู ทําไมเขาถึงได้มาเฝ้าเขาเก้าตําหนักแบบ
นี้ล่ะ?” ฉีหนิงพูดด้วยความสงสัยว่า “เขาทําตามคําสั่งของฮ่องเต้ฮ่น

เหรอ? แต่ว่าคนแบบเขา จะฟังคําสั่งของราชสํานักเหรอ”

“เขากับเป่ยถังฮ่วนเย่เป็นเพื่อนกัน เหมือนเขาจะเคยติดหนี้
บุญคุณของเป่ยถังฮ่วนเย่มาก่อน” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “มือกระบี่เทียนจู
เป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้น เขาติดหนีบ
้ ุญคุณ ก็จะต้องทําทุก
อย่างเพื่อทดแทน ข้าถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ เขาก็กังวลว่ามันจะขังข้าไม่ได้
เลยสั่งให้มือกระบี่เทียนจูมาเฝ้าข้าเอาไว้”

ฉีหนิงก็เข้าใจแล้ว เขาคิดว่าคนที่ทําให้คนอย่างมือกระบี่เทียนจู
ยอมมาเฝ้าที่นี่ ก็คงมีแค่ต้าจงซือเท่านั้น

กับเป่ยถังฮ่วนเย่กับมือกระบี่เทียนจูจะมีอะไรต่อกันมาก่อนนั้น คิด
ว่าคงไม่มีใครรู้ได้ แต่ว่าในเมื่อมือกระบี่เทียนจูรับปากเขาแล้ว คิดว่าก็
ต้องทําอย่างเต็มที่แน่นอน

ถึงแม้เป่ยถังชิ่งจะทําศึกในสนามรบมานาน แต่หากพูดถึงแค่เรื่อง
วรยุทธ์ เขาก็คงสู้มือกระบี่เทียนจูไม่ได้

“หากท่านต้องอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต หรือว่าเขาจะเฝ้าท่านแบบนี้ไปชั่ว
ชีวิตเลยหรือไง?”

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เขาอายุมากกว่าข้า หากต้องอยู่แบบนี้ไป


เรื่อยๆ จริงๆ คิดว่าเขาน่าจะตายก่อนข้านะ เพื่อตอบแทนบุญคุณของ
เป่ยถังฮ่วนเย่ เหมือนเขาคิดไว้แล้วว่าจะสละชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว” เขาหยุด
ไป แล้วพูดว่า “แต่ว่าเขาเองก็ไม่ได้ทําให้ข้าลําบากใจหนักหรอกนะ เขา
อยู่ที่นี่มาหลายปี ก็กลายเป็นเพื่อนข้าไปแล้ว ขอแค่ข้าอยู่บนนเขา ข้า
กับเขาก็ยังเป็นเพื่อนไม่ใช่ศัตรูกัน”
“ท่านบอกว่าขอแค่ท่านไม่ลงจากเขา เขาก็ไม่สนใจว่าท่านจะ
ติดต่อกับใครหรือว่าทําอะไรเลยงั้นเหรอ”

เป่ยถังชิง่ พูดว่า “เดิมเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบสอดรูส


้ อดเห็นอยู่แล้ว
หลายปีที่ผ่านมาข้ามีการติดต่อสื่อสารกับคนภายนอก คิดว่าเขาเองก็
น่าจะรู้ แค่ไม่อยากเข้ามายุ่งเท่านั้น” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ช่วงสองปีที่
ผ่านมาเขากําลังหลงไปกับเพลงกระบี่ใหม่ของเขา เขามีพรสวรรค์ด้าน
กระบี่มากเลยนะ เพลงกระบี่ของเขามันไปถึงขึ้นทําได้ตามใจแล้ว ไม่
ว่าบจะกระบวนท่าไหน ก็มีอนุภาพมากเลย คนเราเมื่อไปถึงจุดสูงสุด
แล้ว ก็จะรู้สึกว่าโดดเดี่ยว หวังอยากจะหาอะไรใหม่ๆ ทํา ข้าเล่นพิณอยู่
บนเขาทุกวัน เขาก็ชอบขึ้นมาบนเขา นั่งฟังข้าเล่นพิณ นานเข้า เขาก็
นึกอยากจะใช้เสียงดนตรีคิดเพลงกระบี่ใหม่ข้ึนมา จนถึงตอนนี้ เขา
สร้างมันไปแล้วกว่าหกสิบสี่วิชาแล้วนะ แต่ตอนนี้เขากลับกําลังเครียด
กับก่วงหลิงซ่าน”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “บ้ากระบี่จริงๆ ด้วย”

“ช่างมันเถอะ อย่าพูดถึงเขาเลย” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “เสด็จลุงของ


เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

ฉีหนิงตะลึงไป แต่เหมือนเขาก็นึกขึ้นได้ “เสด็จลุง” ที่เขาพูดถึง


คือเป่ยถังอวี้ที่ถูกขังอยู่ที่จวนเสินโหว เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถึงแม้
เขาจะไม่มีอิสระที่จะไปไหนมาไหน แต่ว่าการเป็นอยูข
่ องเขาสบายมาก
ไม่มีใครหาเรื่องหรือทําให้เขาลําบากใจ” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่าน
ติดต่อกับเขาตลอดเวลาเลยเหรอ?”

เป่ยถังชิง่ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เขาเป็นคนนิสัยอ่อนโยน ถึงแม้จะ


เป็นองค์ชาย แต่ว่าแม่ของเขาก็เป็นแค่พระนางเจาหยง วันที่เขาเกิด
มันก็กําหนดแล้วว่าเขาไม่มีวาสนากับราชบัลลังก์ เขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะ
ชิงบัลลังก์ด้วย เขาอยากเป็นแค่ท่านอ๋องที่อยู่สุขสบายเท่านั้น มีบาง
เรื่อง ข้าเองก็ไม่ได้อยากให้เขาเข้ามาพัวพันด้วยหรอก”

“แต่ว่าคราวนี้เขาใช้แผนที่เป็นข้ออ้าง ให้ขา้ มาที่เขาเก้า


ตําหนักน่ะ” ฉีหนิงพูดว่า “เขากําลังคิดอะไรอยู?่ ”

“ถึงแม้เขาจะเป็นคนรักความสบาย แต่เขาก็เป็นคนฉลาดมากนะ”
เป่ยถังชิง่ พูดว่า “เขากับข้าสนิทสนมกันมาก ข้าแอบปิดบังฐานะที่
แท้จริงแล้วลอบเข้ามาในแคว้นฉู่เพื่อเล่าเรียนหาความรู้ เรื่องนี้เขาก็รู้
อีกอย่างเขาก็รู้เรื่องระหว่างข้ากับแม่ของเจ้าด้วย เขาแค่เห็นหน้าเจ้า
เขาก็รู้ทันทีว่าเจ้าคือทายาทของข้า ยังไงก็ต้องหาทางให้เจ้ามาพบข้า
อยู่แล้ว”

“เขาถูกจับจะปีหนึ่งแล้วนะ ทําไมเขาไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?”

สายตาของเป่ยถังชิ่งเหมือนคิดอะไรลึกซึ้งอยู่ “เพราะเขารู้ว่ามัน
ยังไม่ถึงเวลา การที่เราสองพ่อลูกจะได้เจอกันมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
หรอกนะ แต่ว่าตอนนี้มน
ั ถึงเวลาที่ข้าจะลงจากเขาแล้ว ดังนั้นเขาเลย
หวังอยากจะให้เจ้าช่วยข้าอีกแรง พวกเราพ่อลูกร่วมแรงร่วมใจกัน เราก็
จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ ทุกอย่างในโลกก็จะอยู่ในมือของเรา”
เขาเหลือบไปมองฉีหนิงแล้วพูดว่า “หลังจากที่ข้าลงจากเขา ข้าจะเข้า
ไปคุมอํานาจการทหารก่อน จากนั้นก็จะยกทัพลงใต้ ภายในสามปี เรา
จะต้องรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้แน่นอน”

ระหว่างที่เขาพูด ดูทก
ุ อย่างเหมือนง่าย เหมือนว่าสถานการณ์ทุก
อย่างมันอยู่ในกํามือของเขาหมด

“ทหารกองทัพฮั่นตอนนี้อยู่ในมือของจงหลีอ้าว เขาจะยอมปล่อย
อํานาจในมือของเขาเหรอ?” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านออกจากกองทัพมา
นานหลายปีแล้ว คนของท่านก็ถูกกวาดล้างไปเกือบหมด ตอนนี้คนใน
กองทัพก็มแ
ี ต่คนของจงหลีอ้าวเท่านั้น ......”

“จงหลีอ้าวไม่นา่ กลัวหรอก” เป่ยถังชิง่ ยิ้ม ท่าทางของเขาจริงจังขึ้นมา


“เรื่องเดียวที่เป็นอุปสรรคในการลงเขาของข้า มีแค่ต้าจงซือเท่านั้น”
เล่มที่ 48 บทที่ 1440 สิง่ ทีไ่ ม่ควรมีอยูบ
่ นโลก

“ต้าจงซือ?” ฉีหนิงเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาทันที “ท่านจะบอก


ว่าเป่ยถังฮ่วนเย่จะขัดขว้างไม่ให้ท่านลงเขาเหรอ?”

“ตอนที่ข้าขึ้นเขามา เขาเป็นคนไกล่เกลี่ยจนได้ผลลัพธ์แบบนี้
ออกมา” เป่ยถังชิง่ พูดว่า “ต้าจงซือพวกนี้ ล้วนแต่เห็นตัวเองเป็นเทพ
เจ้า ในใจของพวกเขา ราชโองการของฮ่องเต้มันไม่ได้มีผลอะไรเลย มี
แต่คําพูดของพวกเขาเท่านั้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่มท
ี างยอมเห็นใคร
ขัดคําสั่งของพวกเขาแน่นอน”

ฉีหนิงคิดในใจว่าหากเป่ยถังฮ่วนเย่ขัดขว้างไม่ให้เจ้าลงเขา เจ้าคง
ไม่มีทางไปไหนได้แน่ อีกอย่างลงเขาไปก็เจอมือกระบี่เทียนจู คิดจะ
ผ่านด่านกระบี่เทียนจูก็ไม่ง่ายแล้ว

“การที่เป่ยถังฮ่วนเย่ยังอยู่ มันทําให้ขา้ ไม่สามารถลงเขาได้” เป่ย


ถังชิ่งพูดว่า “ข้าลงเขาไมได้ แค้นของแม่เจ้าก็ไม่มีวันได้แก้ ต่อให้ต้อง
ตาย ข้าก็คงตายตาไม่หลับ”

ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “วรยุทธ์ของต้าจงซือมันไปถึงจุดที่คาดเดา
ไม่ได้แล้ว จะสู้กับพวกเขา มันเป็นไปไม่ได้หรอก”
เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าผิดแล้ว ในสายตาของคนทั่วไป ต้า
จงซือเป็นอะไรที่อยู่สูงเอื้อมไม่ถึง อย่าว่าแต่ทําร้ายพวกเขาเลย แต่ว่า
พวกเขาไม่ใช่เทพเจ้า ต่อให้พวเขาร้ายกาจแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังมี
เลือดมีเนื้อ หากยังกินข้าว ก็ยังต้องนึกถึงความตาย”

“ท่านหมายความว่ายังไง?”

“พวกเขายังกลัวตาย” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “เราไม่ใช่ค่ต


ู ่อสู้ของพวก
เขาจริง แต่การจะกําจัดต้าจงซือ มันก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธ”

เป่ยถังชิง่ พูดแบบนี้ออกมา ฉีหนิงก็นก


ึ ถึงสิ่งที่ได้รับรู้มาจาก
วัดต้ากวงหมิง จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือสร้างกลุ่มฝูผิงขึ้นมา
เป้าหมายก็เพื่อกําจัดเหล่าต้าจงซือ ส่วนเป่ยถังชิง่ กลับมีความคิดแบบนี้
หรือว่าเขากับฝูผิงจะมีความเกี่ยวข้องกัน?

ไม่ต้องรอให้เขาคิดนาน เป่ยถังชิง่ ก็ย่ น


ื มือออกมา ในมือของเขามี
ใบไม้สแ
ี ดงใบหนึ่ง แค่เห็น ฉีหนิงก็สด
ู หายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ท่าน
เป็นคน ...... ของกลุ่มฝูผิงเหรอ?”

เป่ยถังชิง่ สีหน้าไม่เปลี่ยน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคือฝูผงิ ”

“ท่าน ......” ฉีหนิงอึ้งไป หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พด


ู ว่า “ที่แท้
...... กลุ่มฝูผิงก็เกิดจากท่านนี่เอง”
เป่ยถังชิง่ พูดว่า “เมื่อสิบแปดปีก่อน วันที่แม่ของเจ้าจากไป ข้า
แอบสาบานเอาไว้แล้วว่า ข้าจะเอาแผ่นดินทั้งหมดมาให้ลก
ู ของเราให้
ได้ ออกรบทําศึกข้าไม่เคยกลัว แต่ว่าต้าจงซือ มันทําให้เป้าหมายของข้า
มันเปลี่ยนแปลงไป” เขาหยุดไป สีหน้าของเขาจริงจังมาก “หาก
เส้นทางของเรามีอุปสรรค เราก็ต้องกําจัดมัน ต่อให้อุปสรรคนั่นจะ
เป็นต้าจงซือก็ตาม”

ฉีหนิงพูดอย่างสงสัยว่า “ท่านคิดจะชิงไต้หล้า ต้าจงซือจะมาขวาง


เหรอ? เท่าที่ข้ารู้มา ต้าจงซือไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสงครามการเมืองนี่นา”

“ตอนที่ฮ่องเต้ฮ่น
ั ถูกตั้งให้เป็นรัชทายาท มันก็เพราะข้ายอมให้
แล้วก็ยงั มีอีกสาเหตุหนึ่งด้วย เพราะเป่ยถังฮ่วนเย่” เป่ยถังชิง่ พูดว่า
“ฮองเฮาของฮ่องเต้ฮ่น
ั เป็นหลานสาวของฮูหยินเขา”

ฉีหนิงตะลึงไป

ราชวงศ์เป่ยฮั่นมีลก
ู หลานจํานวนมาก ญาติสายนอกบางสายก็นับ
กันไม่ถก
ู เหมือนกัน

แต่ฉห
ี นิงยังจําได้ว่า เป่ยถังฮ่วนเย่กับฮ่องเต้ฉงหมิงเป็นพี่น้องกัน
ส่วนฮ่องเต้ฮ่น
ั กับเป่ยถังชิ่งก็เป็นลูกชายของฮ่องเต้ฉงหมิง ดังนั้นเป่ยถัง
ชิง่ ก็นา่ จะต้องเรียกเป่ยถังฮ่วนเย่ว่าเสด็จอา
ฉหีนงิ ยังคิดว่าในเมื่อเป่ยถังฮ่วนเย่เป็นต้าจงซือ น่าจะไม่ได้
แต่งงาน แต่พอได้ฟังเป่ยถังชิ่งพูดแบบนี้แล้ว ก็คิดได้ว่าเป่ยถังฮ่วนเย่
ตอนนี้อายุก็มากแล้ว อีกทั้งราชวงศ์เป่ยฮั่นก็ลก
ู หลานเยอะ เขาเองก็
น่าจะแต่งงานนานแล้ว

ฮองเฮาของฮ่องเต้ฮ่น
ั เป็นหลานสาวของฮูหยินเป่ยถังฮ่วนเย่ นั่นก็
หมายความว่า เป่ยถังฮ่วนเย่ไม่เพียงเป็นอาของเขา แต่ยังเป็นอาเขย
ของเขาด้วย

“เขาสนับสนุนฮ่องเต้ฮ่ันเป็นรัชทายาทเหรอ?” ฉีหนิงเข้าใจ
เรื่องราวแล้ว

เป่ยถังชิง่ ยิม
้ แล้วพูดว่า “เป่ยถังฮ่วนเย่ไม่ได้พูดอะไร แต่การมีเขา
อยู่ มันก็เป็นสาเหตุหนึ่ง หลังจากที่ฮ่องเต้ฮ่น
ั ครองราชย์ เขาก็แต่งตั้ง
เป่ยถังฮ่วนเย่เป็นอ๋องทันที แต่เขาปฏิเสธ นั่นก็เพราะฮ่องเต้ฮ่น
ั อยากจะ
ซื้อใจเป่ยถังฮ่วนเย่” เขาหยุดแล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้เขาออกหน้า กัก
บริเวณข้าที่นี่ ก็เหมือนกับการกําจัดอุปสรรคชิ้นใหญ่ให้กับฮ่องเต้ฮ่น
ั ”

“กลุ่มฝูผิงมีมากว่าสิบปีแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ท่านถูกกักบริเวณ


ระหว่างทําศึกแม่น�าฉินไหว นั่นก็หมายความว่า ท่านวางแผนกําจัดต้า
จงซือมาก่อนหน้านั้นอีกเหรอ?”
“ข้าเคยบอกแล้ว ตั้งแต่ข้าหนีออกรอดมาจากแคว้นฉู่ ก็ได้
ตัดสินใจแล้ว ต้องบัญชาการกองทัพฮั่น กวาดล้างกองทัพฉู่กับจิ่นอี
ตระกูลฉีให้ได้” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “ตามแผนการของข้า ข้าต้องคุม
อํานาจการทหารให้ได้ก่อน หลังจากนั้นบุกตีความฉู่ ใช้อํานาจ
การทหารในมือ ย้อนกลับมาตีล่ัวหยาง เพื่อรวบรวมแผ่นดินให้เป็น
หนึ่ง”

ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าฮ่องเต้ฮ่ันกังวลว่าเขาจะกบฏ ถึงได้


ปลดอํานาจการทหารของเขาแล้วกักบริเวณ ตอนนี้ดไู ปแล้ว เหมือนสิง่
ที่ฮ่องเต้ฮ่น
ั กังวลมันจะไม่ผด
ิ เลย เมื่อสิบปีก่อน เขาก็คิดจะทําอยู่แล้ว

“จะชิงเอาอํานาจการทหารมาไม่ยาก” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “อํานาจ


การทหารมันอยู่ในมือของเชื้อพระวงศ์อยู่แล้ว ในบรรดาเชื้อพระวงศ์
คนที่รู้เรื่องกลศึกมีแค่ขา้ กับฮ่องเต้ฮ่ันเท่านั้น ฮ่องเต้ฮ่น
ั ออกไปรบเอง
ไม่ได้อยูแ
่ ล้ว ส่นแคว้นฉูต
่ อนนั้นก็แข็งแกร่งมาก เขาไม่มีทางเลือกต้อง
เลยจําเป็นต้องใช้ข้าออกไปรบ แต่ว่าการจะเอาทหารในมือบุกย้อนกลับ
ไปลั่วหยาง มันไม่ง่ายเท่าไหร่ เพราะเป่ยถังฮ่วนเย่ หากข้าบุกลั่วหยาง
เขาต้องออกหน้าแน่นอน” เขาถอนหายใจหนักมาก “ทหารเป็นพันเป็น
หมื่นข้าไม่เคยกลัวเลย แต่เป่ยถังฮ่วนเย่คิดจะให้ข้าตายวันนี้ ข้าคงอยู่
ไม่ถึงพรุ่งนี้แน่นอน”

ฉีหนิงเข้าใจแล้วว่าทําไมเป่ยถังชิง่ ถึงได้อยากจะกําจัดต้าจงซือนัก
เป่ยถังชิง่ จะทําเพราะลูกชายตัวเองจริงหรือเปล่า เมื่อสิบปีก่อน
เขาก็คิดที่จะชิงบัลลังก์ไปแล้ว แต่ว่าเขารู้ว่าการชิงบัลลังก์ของเขา
จะต้องผ่านด่านของเป่ยถังฮ่วนเย่ที่เป็นเหมือนภูเขาสูงใหญ่ที่ขว้างอยู่
ไปให้ได้ สําหรับเป่ยถังชิง่ ก้าวแรกในการชิงบัลลังก์ ก็คือการกําจัดเป่ย
ถังฮ่วนเย่ แต่ว่าคิดจะกําจัดต้าจงซือนั้น มันยากยิ่งกว่ายาก

ดังนั้นน เขาเลยก่อตั้งกลุ่มฝูผิงขึ้นมา

“ตอนศึกแม่นา� ฉินไหว ฮ่องเต้ฮ่น


ั ออกราชโองการต่อเนื่องถึงห้า
ฉบับ เร่งให้ข้ากลับเมืองหลวง ข้ารู้ว่าเขาคิดวางแผนจะทําอะไร” เป่ย
ถังชิ่งถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้าเองก็สามารถยกทัพย้อนกลับ
มาที่ล่ัวหยางได้ แต่ถ้าทําแบบนั้น กองทัพฉู่ก็จะฉวยโอกาสบุกเข้ามา
ทันที สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ ข้ากลัวว่ายังไม่ทันถึงลั่วหยาง เป่ยถังฮ่วนเย่ก็
มาตัดหัวข้าก่อน ข้าต้องตายแน่นอน พอกลับมาถึงเมืองหลวง ถึงจะรู้ว่า
คงแย่ แต่ว่ามันก็ยังมีโอกาสอยู่ ขอแค่ยงั มีชีวิตออยู่ ความพยายาม
ตลอดสิบปีของข้ามันก็ไม่สญ
ู เปล่า”

ฉีหนิงนิง่ ไปแล้วพูดว่า “ท่านก่อตั้งกลุ่มฝูผิงมา ก็เพื่อกําจัดเป่ยถังฮ่


วนเย่ แต่ว่าคนอื่นๆ ล่ะเขามีเป้าหมายอะไรกัน? จั่วชิงหยางกับคงฉาน
ไต้ซือ ทําไมต้องยอมเข้าร่วมกลุ่มกับท่านด้วย?”

“เพราะพวกเขารู้ว่า ต้าจงซือคือสิ่งมีชว
ี ิตที่ไม่ควรมีอยู่บนโลกใบนี้
ยังไงล่ะ” เป่ยถังชิง่ พูดอย่างจริงจังว่า “พวกเขาถูกเรียกว่าต้าจงซือ ก็
เพราะเลือดเนื้อของเขามันแทบจะไม่เป็นมนุษย์แล้ว พวกเขาอยู่เหมือน
ตัวประหลาด”

ฉีหนิงได้ยินหลายครั้งมากเรื่องที่ต้าจงซือคือตัวประหลาด เป่ยถัง
ชิ่งพูดต่อว่า “เจ้าน่าจะรู้ ต้าจงซือต่อให้อยู่เผชิญหน้าทหารนับพันนับ
หมื่น ก็ไม่บาดเจ็บอะไรเลย ในสายตาของพวกเขา เราก็เป็นแค่มดตัว
หนึ่งเท่านั้น เป็นตายอยู่ในมือของเขา”

ฉีหนิงนึกถึงเรื่องที่อยู่บนเขาต้าเสวียซานขึ้นมา ตอนนี้ที่ตําหนัก
เทพมีทหารหลายคนล้อมเจ้าลัทธิบัวดําเอาไว้ พวกเขาล้วนแต่เป็น
ทหารฝีมือดีของแคว้นกู่เซี่ยง แต่ว่าพอพวกเขาอยู่ต่อหน้าเจ้าลัทธิบว

ดํา มันก็เหมือนฝูงมดที่ถูกเหยียบ

เจ้าลัทธิบัวดําที่ตอนนั้นร่างกายอ่อนแอยังสามารถแสดงอนุภาพที่
น่ากลัวขนาดนั้นออกมาได้ หากพวกเขาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ความน่า
กลัวมันคงยากที่จะจินตนาการได้

“สิ่งที่นา่ กลัวกว่านั้นคือ คนพวกนี้ไม่ตาย” เป่ยถังชิง่ ถอนหายใจ


แล้วพูดว่า “พวกเขาสามารถอยู่โดยไม่แก่เฒ่าได้ตลอดไป วันเวลา
สําหรับพวกเขาแล้ว มันไม่มค
ี วามหมายเลย”

ฉีหนิวสะดุ้ง แล้วถามว่า “พวกเขาเป็นอมตะเหรอ?”


“เป่ยถังฮ่วนเย่ตอนนี้อายุกว่าหกสิบแล้ว” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “แต่ว่า
ผิวหนังหน้าตาของเขาอยู่แค่สามสิบเท่านั้น ตั้งแต่เขาเป็นต้าจงซือ
หลายสิบปีผ่านไปเขาไม่เคยแก่เลย แล้วก็เป็นอย่างนั้นมาเรื่อยๆ” เขา
เหลือบมองมาที่ฉีหนิง แล้วพูดว่า “พวกเขามีพลังสามารถกําชะตาชีวิต
ใครต่อใครได้ อีกทั้งยังไม่มีวันตาย เจ้าคิดว่าคนแบบนีค
้ วรมีชีวิตอยู่
ต่อไปอีกไหม?”

แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัวและอันตรายมาก

ฉีหนิงหน้าเสียไป แล้วถามว่า “ทําไมพวกเขาถึงได้เป็นอมตะล่ะ?”

“เรื่องนี้ยังเป็นปริศนาอยู่” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “อีกอย่างมันน่าจะเป็น


ความลับที่พวกเขาไม่มท
ี างเล่าให้ใครฟังได้ หากพวกเขาทําตัวสบายๆ
เป็นอมตะ ไม่ยุง่ กับเรื่องทางโลก มันก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครหรอก
เราเองก็ไม่คิดจะทําอะไรพวกเขา แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบ
นั้นเลย ข้าเคยบอกไปแล้ว พวกเขาไม่ใช่เทพ มีท
่ างละทิ้งทางโลกได้
หรอก พวกเขายังอยู่ในโลกมนุษย์ ขอแค่พวกเขายังอยู่ พวกเขาก็จะ
เป็นภัยต่อสิ่งมีชีวิตอื่นต่อไป”

“พวกเขาเป็นถึงต้าจงซือ หัวสูงจะตายไป จะมาคิดเล็กคิดน้อยกับ


เรื่องทางโลกทําไม?”
“ความเจ็บปวดและทรมาน มันมักทําให้นิสัยของคนเรา
เปลี่ยนไป” เป่ยถังชิ่งถอนหายใจแล้วพูดว่า “บ้านมีกฎบ้าน บ้านเมืองก็
มีกฎหมาย แต่ละสายก็ทําอะไรที่แตกต่างกันออกไป มันมีกฎเกณฑ์ของ
มันทั้งนั้น ขอแค่ทําตามกฎ ทุกคนก็อยู่รอดต่อไปได้ แต่หากผิดกฎหรือ
ทําลายกฎลง มันก็จะเป็นภัย ต้าจงซือพวกนี้ ก็เหมือนคนที่อยู่นอก
กฎเกณฑ์ ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง กฎของพวกเขาอาจจะกลายมาเป็นกฎ
ธรรมชาติของมนุษย์ก็ได้ เบื้องบนมีองค์เหนือหัว ชนชั้นล่างคือชาวบ้าน
จะกลายเป็นแค่มดตัวเล็กๆ ในสายตาของพวกเขา คิดจะฆ่าก็ฆ่า หลาย
คนไม่อยากเห็นภาพแบบนั้น จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซอ
ื คือสองคนที่
คิดแบบนั้น”

“ท่านบอกว่า ความเจ็บปวดและทรมาน มันมักทําให้นิสัยของ


คนเราเปลี่ยนไป พวกเขาบาดเจ็บเหรอ?” ฉีหนิงถาม

เป่ยถังชิง่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ต้าจงซือถึงแม้จะมีวรยุทธ์ที่น่า


กลัว แต่พวกเขาก็ได้รับความทรมาน เป็นความเจ็บปวดที่เราคนปกติ
ยากเกินจะจินตนาการได้” เขาพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา พวกเขาถึงแม้จะไม่
มีวันตาย แต่ว่าจะต้องทนทรมานเจ็บปวดอย่างมาก อีกทั้งความทรมาน
นั้นมันจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เรากังวลว่าพวกเขาจะทนความทรมาน
แบบนั้นไม่ไหว แล้วกลายเป็นบ้าหรือคลั่งไป หากคนพวกนั้นเกิดคลั่ง
ขึ้นมา เจ้าคิดว่าคนบนโลกจะเป็นยังไงล่ะ”
เล่มที่ 49 บทที่ 1441 พิณเฟิงหวง ขลุ่ยจื่อหลง และทํานองนรกภูมิ

ฉีหนิงรู้ดี หากต้าจงซือไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เข้าสู่สภาวะ


คลั่ง มันก็กลายเป็นภัยอันใหญ่หลวง

คําพูดของเป่ยถังชิ่งใช่ว่าจะไม่มเี หตุผล หากพวกเขายังอยู่ต่อไป


มันก็เป็นภัยของคนอื่นได้ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะควบคุมตัวเองได้สบ

ถึงยี่สิบปี แต่ใครจะรับประกันได้ล่ะว่าพวกเขาจะไม่บ้าขึ้นมาสักวัน

เพราะร่างกายของฝ่าอ๋องนั้นมีความร้อนมากเกินไป เลยอาศัยอยู่
บนยอดเขาต้าเสวียซานที่มีหม
ิ ะปกคลุมตลอดทั้งปี เลยใช้อากาศที่
หนาวเย็นลดความเจ็บปวดทรมานจากร่างกาย

หากความร้อนในร่างกายมันไม่ลดลง ต่อให้เป็นอมตะ ฝ่าอ๋องเองก็


ต้องอยู่บนยอดเขาแบบนั้นตลอดไป สิบปีห้าสิบปีหรือไม่ก็ร้อยปี อยู่ตัว
คนเดียวและมีอาการเจ็บปวด อาจะเป็นบ้าได้ เพราะต้าจงซือไม่ได้ไป
ถึงจุดนั้นโดยสติ แต่ว่าเพราะร่างกายของพวกเขาไม่เหมือนคนทั่วไป
แล้วถึงได้เหนือกว่าคนอื่น ต่อให้มีความอดทนมากแค่ไหน ก็อาจจะทน
ไม่ไหวเข้าสักวัน

ฝ่าอ๋องเองก็ไม่มีละเว้น
ห้าต้าจงซือ ถึงแม้จะมีพลังที่น่ากลัว แต่ก็ต้องทนทรมานกับความ
เจ็บปวดที่คนทั่วไปไม่อาจทนรับได้

ฉีหนิงเรียนวิชาการควบคุมพลังของฟ้าดินมาแล้ว แต่ว่ามันยัง
ไม่ใช่การเข้าสู่การเป็นต้าจงซือ พลังของเขาเทียบกับต้าจงซือไม่ได้เลย

แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น แต่เพราะการควบคุมพลังฟ้าดิน มันก็มี


ผลข้างเคียง เขาเรียนวิชานี้ได้ไม่นาน แต่เพราะใช้มันหลายครั้งจนเกิน
ขีดจํากัด ทําให้ตัวเองต้องบาดเจ็บ พวกต้าจงซือเองก็น่าจะมีสภาพที่
หนักกว่านั้น

พวกเขาก็ไม่ได้ต่างกับฝ่าอ๋องเลย

พวกเขารู้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้สมบูรณ์ หากอาการกําเริบ นอกจากจะ


เข้าสู่สภาวะอันตรายแล้ว ก็อาจจะทําให้ศัตรูฉกฉวยโอกาสได้ ดังนั้น
พวกเขาเลยมักจะอยู่แค่เพียงคนเดียว เพราะกังวลว่าคนอื่นจะฉวย
โอกาส พวกเขาไม่เพียงอยู่ตามลําพัง ยังต้องทนความทรมานที่อยู่ใน
ร่างกาย ไม่ชา้ ก็เร็วพวกเขาต้องขาดสติแน่นอน

อีกอย่างตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป ความเป็นไปได้นม
ี้ น
ั ก็มม
ี ากขึ้น

หากวันหนึ่งมีใครสักคนหนึ่งที่ขาดสติข้ึนมา มนุษย์คนอื่นก็จะต้อง
เผชิญกับภัยอันตราย ในหัวของฉีหนิงมีภาพของทหารแคว้นกู่เซี่ยงตาย
แขนขาขาดตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิบว
ั ดํา ในใจเขาก็เกิดความ
หวั่นใจ หากพวกเขาเกิดคลั่งเป็นบ้าขึ้นมาแล้วอาละวาดฆ่าคนไปมัว คง
ไม่มีใครต้านทานพวกเขาได้แน่

เขาคิดเรื่องนี้จนเข้าใจ เขาก็รู้ว่าจั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือนั้นคิด
อะไรอยู่

ยุทธภพในเวลานี้ ถึงแม้จะมีจวนเสินโหวดูแลในภาพรวม แต่ว่า


หัวหน้าของชาวยุทธที่จริงยังคงเป็นวัดต้ากวงหมิงกับพรรคกระยาจก
อยู่ คงฉานไต้ซอ
ื เองก็ถือเป็นผูน
้ ําในยุทธภพ เขาไม่มท
ี างไม่คิดถึง
ปัญหาของต้าจงซือ

เป้าหมายที่แท้จริงในการกําจัดต้าจงซือ อาจจะไม่ใช่เพื่อคนทั่วไป
แต่เพื่อกําจัดอุปสรรคให้ตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร พวกเขาก็มี
เป้าหมายเดียวกัน คือการกําจัดต้างจงซือ ดังนั้นกลุ่มฝูผงิ ก็เลยถือ
กําเนิดขึ้นมา

“ต่อให้พวกท่านร่วมมือกัน ขอแค่มีต้าจงซือคนใดคนหนึ่งลงมือ
พวกท่านก็ไม่มท
ี างต้านทานได้เลยนะ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“อีกอย่างพวกท่านไม่ได้เผชิญหน้ากับต้าจงซือแค่คนเดียวด้วย”

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “หากมีต้าจงซือแค่คนเดียว การก่อตั้ง


กลุ่มฝูผงิ มันก็ไม่มีความหมายหรือประโยชน์อะไร” สายตาของเขาคม
คายมาก “ในโลกนี้ คนที่จัดการต้าจงซือได้ มีแค่ต้าจงซือด้วยกัน
เท่านั้น”

ฉีหนิงตะลึงไป แล้วรีบพูดว่า “ท่านคิดจะให้พวกเขาฆ่ากันเอง


เหรอ?” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก ต้าจงซือพวกเขาก็รู้
ดี หากพวกเขาลงมือ ก็มีแต่เจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย ใครก็ไม่ได้ประโยชน์
ด้วยกันทั้งนั้น เพราะอย่างนั้นพวกเขาถึงได้ทําข้อตกลงเขาหลงซาน
ขึ้นมา”

“ถูกแล้วล่ะ” เป่ยถังชิง่ แล้วพูดว่า “คิดอยากจะให้พวกเขาฆ่า


กันเอง มันยากมาก คนพวกนี้ไม่เพียงวรยุทธ์ร้ายกาจ แต่ละคนยังฉลาด
กันมากๆ อีกด้วย คิดจะทําให้พวกเขาสูก
้ ันเอง มันแทบเป็นไปไม่ได้
เลย” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ว่าอะไรที่มอ
ี ยู่ในโลก มันก็มีจุดอ่อนด้วยกัน
ทั้งนั้น อีกทั้งในมนุษย์น้น
ั ก็มีจุดอ่อนมากกว่าสิง่ อื่นด้วย ต้าจงซือแทบไม่
มีจุดอ่อนเลย แต่ว่าจุดอ่อนอันน้อยนิดที่พวกเขามีมน
ั กลับทําให้พวกเขา
ถึงที่ตายได้เลย”

“ท่านหมายถึงอาการบาดเจ็บของพวกเขาเหรอ?”

“ถูกต้อง” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “อยากจะให้พวกเขาต่อสูก


้ ัน มีแค่
ความเป็นไปได้เดียว นั่นก็คือต้องให้พวกเขาแย่งชิงของสิ่งที่พวกเขาแต่
ละคนต้องการได้มาให้ได้ แล้วในความเป็นจริง มันก็มีพวกนั้นอยู่ด้วย”
ฉีหนิงเหมือนจะมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง เขาถามว่า “ของ
อะไรเหรอ?”

“ยาที่เอาไว้รักษาอาการของพวกเขา” เป่ยถังชิง่ พูดอย่างจริงจังว่า


“พวกเขาแต่ละคนต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด พวกเขาทํา
ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ยามารักษาอาการของพวกเขา ในสายตาของพวก
เขา ไม่มีของอะไรเลยที่พวกเขาต้องได้มาให้ได้ ยกเว้นของประเภทนี้ที่
จะสามารถทําให้พวกเขาต่อสูก
้ ันเองได้” เขาเหลือบมองไปที่ฉีหนิง แล้ว
พูดว่า “มันก็คือยาเม็ดเสวียนอู่”

ฉีหนิงรู้ว่ายาเม็ดเสวียนอู่น้ันคืออะไร

ใน “ตําราสมุนไพรร้อยตําหรับ” บันทึกเอาไว้ว่า ในใต้หล้านี้ มียา


ฤทธิ์เย็นที่หาได้ยากอยู่สามชนิด มียาเม็ดเสวียนอู่ หยกกระชาก
วิญญาณ และไข่มุกราตรี

ไข่มก
ุ ราตรีมันละลายไปอยู่ในตัวของฉีหนิงแล้ว หยกกระชาก
วิญญาณตอนแรกอยูก
่ ับแม่ของถังนั่วตลอด แต่หลังจากศึกที่เขาเชียน
อูหลิง หยกกระชากวิญญาณก็ตกไปอยู่ในมือของตี้ฉาน

มีแค่ยาเม็ดเสวียนอู่ ที่ฉห
ี นิงจะเคยได้ยน
ิ ชื่อ แต่ก็สงสัยว่ามันมีอยู่
จริงหรือเปล่า
ยาเม็ดเสวียนอู่ที่ว่า มันเป็นของที่มาจากตัวของสัตว์เทวะเสวียนอู่
มันเป็นสัตว์เทพในตํานาน มีอยู่จริงหรอืเปล่า มันยังคงเป็นคําถาม ยิ่ง
ไม่ต้องพูดถึงว่ายาเม็ดนั่นมันมีอยู่จริงไหม

“มันมียาเม็ดเสวียนอู่นี่จริงเหรอ?” ฉีหนิงอดถามไม่ได้

เป่ยถังชิง่ พูดว่า “ในตําราโบราณมีบันทึกไว้ว่า เสวียนอู่เป็นหนึ่งใน


สี่ของสัตว์เทวะ กล่าวกันว่าสัตว์เทวะไป่หห
ู่ รือว่าเสือขาวนั้นมักปรากฎ
ตัวอยู่บนเขาหลิงหนาน ส่วนสัตว์เทวะเสวียนอู่หรือว่าเต่าดํานั้นมีอยู่
จริงไหมนั้น มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย ตามบันทึกโบราณ สัตว์เทวะ
เสวียนอู่น้ันมักจะปรากฎในทะเลตะวันออกแถวๆ ตงไฮ่ ในตัวของมันมี
ยาเทวะอยู่หนึ่งเม็ด ยาเม็ดนั้นมันเกิดจากการดูดพลังของฟ้าดินแล้วแช่
แข็งมัน ตามตํานนานกล่าวอีกว่าขอแค่กินยาเม็ดนั้นเข้าไป ภายใน
ร่างกายจะเต็มไปด้วยพลัง ไม่ว่าโรคอะไรก็ตาม จะหายไปทันที อีกทั้ง
ยังทําให้อายุยืนด้วย” เขาพูดว่า “ต้าจงซือเป็นอมตะไปแล้ว พวกเขา
ไม่ได้สนใจเรื่องการมีอายุยืนหรอก แต่ว่ายานั่นมันสามารถทําให้ความ
ทรมานที่มีอยู่ในร่างกายหายได้ นั่นมันเป็สิ่งที่พวกเขาต้องการ
ต่างหาก”

“ท่านหมายความว่า ต้าจงซือล้วนแต่กําลังตามหายาเม็ดนีง้ ้ัน


เหรอ?”
“ในตําราโบราณระบุว่า สัตว์เทวะเสสวียนอู่น้น
ั จะปรากฎตัว
ออกมาทุกๆ สามสิบปี” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “เมื่อสามสิบปีก่อน ชาวประมง
ในตงไฮ่เคยเห็นมันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นมีขา่ วแพร่กระจายไปทั่วตงไฮ่
จนถึงปีนี้ มันครบสามสิบปีแล้วพอดี มันก็ถึงเวลาพิสูจน์ความจริงที่มี
บันทึกอยู่ในตําราโบราณแล้ว”

“งั้นก็หมายความว่า ปีนี้มันจะปรากฎตัวที่ตงไฮ่อย่างนั้นเหรอ?”

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป พวกเขาต้อง


ทนทรมานไปอีกสามสิบปี” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พวกเขาไม่มีทาง
ยอมพลาดโอกาสแบบนีแ
้ น่ ในหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาคิดหาทุก
วิถีทางเพื่อเตรียมพร้อมในการชิงยาเม็ดนี้มา”

ฉีหนิงพยักหน้า

จุดอ่อนที่ร้ายแรงมากที่สุดของต้าจงซือก็คือพลังชี่ในร่างกาย เพื่อ
ลดความทรมาน พวกเขาก็เลยต้องทําทุกอย่างเพื่อชิงยาเม็ดเสวียนอู่มา
ให้ได้

ยาเม็ดเสวียนอู่จะมีอยู่จริงไหม พวกเขาก็อาจจะไม่แน่ใจ แต่ขอแค่


ยังมีความหวัง ไม่ว่าจริงหรือเปล่า พวกเขาก็ต้องลองอย่างเต็มที่

“พวกเขารู้ว่ามียาแบบนี้อยู่ ดังนั้นตลอดสิบปีที่ผ่านมา พวกเขา


เลยสรรหาวิถีที่จะลดความเจ็บปวดของเขาลง เพื่อรอความหวังสุดท้าย
ของพวกเขา” เป่ยถังชิง่ พูดว่า “หน้าที่ขอกลุ่มฝูผิงก็คือ สร้าง
สถานการณ์แบบนี้ข้น
ึ มาให้มันเร็วขึ้น”

“เร่งให้มันเร็วขึ้น?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าไม่เข้าใจ


ความหมายของท่าน”

“สัตว์เทวะมันไม่มีทางขึ้นมารนหาที่เองหรอกนะ” เป่ยถังชิง่ พูดว่า


“ที่ตงไฮ่ ต่อให้สง่ ทหารทั้งกองทัพเรือออกไป ก็ไม่มีทางหามันเจอ
แน่นอน มีคํากล่าวที่ว่างมเข็มในมหาสมุทร การตามหาสัตว์เทวะที่ตงไฮ่
ก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอนอยูแ
่ ล้ว ต่อให้เป็นต้าจงซือ ก็
ไม่มีทางสูบน�าทะเลออกมาจนหมด แล้วให้มน
ั ปรากฎตัวออกมาหรอก”

“ถึงแม้จะหามันไม่เจอ แต่ล่อให้ออกมาได้” เป่ยถังชิ่งพูด

“ล่อมันออกมายังไง?”

“ทํานองเพลงนรก” เป่ยถังชิ่งพูด “จั่วชิงหยางเอาม้วนทํานองให้


เจ้า มันคือทํานองเพลงนรก ขอแค่เล่นมันบนเกาะที่สต
ั ว์เทวะเคย
ปรากฎตัว มันก็จะมาหาเอง”

ตอนนี้ฉห
ี นิงถึงได้รู้ว่าทํานองเพลงนรกนั่นมันมีไว้ทําไม ที่แท้ก็มีไว้
ล่อสัตว์เทวะนั่นเอง
“ประสกฝูผิงแต่งทําทองเพลงเทวะขึ้นมาทั้งหมดสามบท มีสวรรค์
โลกมนุษย์แล้วก็นรกภูมิ ได้ยินว่าทํานองเพลงนรกภูมน
ิ ้ันจะต้องใช้พณ

กับขลุ่ยร่วมเล่นด้วยกัน หลังจากเขาแต่งทํานองเพลงนรกภูมแ
ิ ล้ว เขา
เคยไปบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง เล่นทํานองนี้กับเพื่อนของเขาคนหนึ่งที่เป็น
นักเป่าขลุ่ยฝีมอ
ื ดี เดิมคิดว่าอยากจะไปเล่นท่ามกลางทะเลสบายๆ เท่
นั้น คิดไม่ถึงว่ามันจะสามารถล่อให้สัตว์เทวะออกมา” เป่ยถังชิง่ พูดว่า
“นักเป่าขลุ่ยคนนั้นเคยเขียนตําราเล่มหนึ่ง ชื่อว่า [แสงไฟคืนสายฝน
พร�า] ในนั้นมีพูดถึงวันที่พวกเขาสองคนไปอยู่บนเกาะสามวัน ในวันที่
สอง สัตว์เทวะปรากฎตัวขึ้นมาบนเกาะ แล้วก็มานั่งฟังทํานองเพลงที่
พวกเขาเล่นอย่างสงบ หลังจบเพลง มันก็กลับไป ในวันที่สามที่เขาเล่น
มันอีก มันก็ปรากฎตัวอีกครั้ง คราวนี้มันขึ้นมาอยู่บนเกาะถึงครึ่งวัน
แล้วถึงจากไป”

ฉีหนิงตกใจมาก “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”

เป่ยถังชิง่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “[แสงไฟคืนสายฝนพร�า] หลังเขียน


จบเล่มแล้ว ก็ไม่ได้เผยแพร่ให้คนนอกได้อ่าน คนที่ได้อ่านมันจริงๆ ก็มี
ไม่มาก ในตํารานั้นพูดถึงสัตว์เทวะ แต่ไม่ได้พูดถึงยาเม็ดเสวียนอู่ แต่ว่า
การปรากฎตัวของสัตว์เทวะ หลายคนคิดว่าเขาเขียนตามจินตนาการ
เท่านั้น จริงหรือเปล่า พวกเขาก็ไม่ม่น
ั ใจ ตําราเล่มนี้มีเหลือต่อมาไม่กี่
เล่มเท่านั้น แต่ว่าในคลังสมบัติหลวงของแคว้นเป่ยฮั่นมันดันมีอยู่เล่ม
หนึ่ง”
“ดังนั้นถ้าต้าจงซือจะล่อมันออกมา ก็ต้องทีทํานองเพลงนรกภูมิ
อย่างนั้นสินะ?”

เป่ยถังชิง่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “แค่ทํานองเพลงนรกภูมิ มันยังล่อ


สัตว์เทวะออกมาไม่ได้หรอก ต้องใช้พิณกับขลุ่ยเล่นคู่กันด้วย แต่ว่าใน
ใต้หล้านี้ การจะเล่นเพลงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงต้องเชี่ยวชาญ
การเล่นดนตรี ยังต้องการเครื่องดนตรีอีกสองอย่างด้วย มีแค่เครื่อง
ดนตรีสองอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะเล่นมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “หนึ่งในสองเครื่องดนตรี คือพิณเฟิง


หวงสินะ”

“ถูกต้อง” เป่ยถังชิง่ ยิม


้ แล้วพูดว่า “อีกชิน
้ หนึ่ง ก็คือขลุ่ยจื่อหลง พิณ
เฟิงหวง ขลุ่ยจื่อหลงกับทํานองเพลงนรกภูมิ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่ได้เลย”
เล่มที่ 49 บทที่ 1442 อกตัญญู

ตอนนี้ฉห
ี นิงเหมือนคนตรัสรู้เลย

ก่อนหน้านี้เขายังสงสัยไม่หายอยู่เลย ตอนนี้เขาได้คําตอบหลาย
ต่อหลายเรื่องแล้ว

เจ้าเกาะไป๋อวินหม้อหลันชางคิดทําทุกทาง สั่งให้โม่อิ่งแอบเข้า
เมืองหลวงมา นอกจากจะช่วยเซียวจ้าวจงชิงบัลลังก์แล้ว สิ่งที่สําคัญ
ที่สุดคือการหาโอกาสชิงเอาพิณเฟิงหวงไป ฉีหนิงไม่เข้าใจเลย ว่าด้วย
ความสามารถที่เขามี คิดจะอยากได้เครื่องดนตรีไปทําไม อีกทั้งยังต้อง
ได้มันไปให้ได้ด้วย

อีกทั้งเขายังสงสัยว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงทําไมถึงต้องมาเอาทํานอง
นรกจากเขาไปด้วย

ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว พวกเขาไม่ได้สนใจพิณเฟิงหวงหรือ
ว่าทํานองเพลงหรอก แต่พวกเขาต้องหารล่อให้สัตว์เทวะเสวียนอู่ แล้ว
ชิงเอายาเม็ดเสวียนอู่

“สามอย่างรวมเป็นหนึ่ง ก็จะได้ยาเม็ดเสวียนอู่มา ดังนั้นพวกเขา


จะต้องแย่งชิงของสามอย่างนั้นแน่นอน สุดท้ายก็ต้องลงมือกันเอง
แน่นอน” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “พิณเฟิงหวงอยู่ในวังหลวงแคว้นฉู่ มันก็
เหมือนอยู่ในมือของเป่ยกงเหลียนเฉิง ขลุ่ยจื่อหลงอยูใ่ นวังหลวงแคว้น
เป่ยฮั่น เป่ยถังฮ่วนเย่ก็น่าจะเอามมันไปด้วย คนที่อยู่เขาต้าเสวียนซาน
นั้นคิดว่าคงลงจากเขาไม่ได้ แต่ขอแค่เขาลงจากเขาไม่ได้ ก็ไม่น่าจะเป็น
อันตรายอะไรกับคนอื่น ส่วนเจ้าลัทธิบว
ั ดํา ลึกลับซับซ้อน คาดเดาไม่ได้
เรารู้เรื่องของเขาน้อยมากๆ ตามแผนของฝูผิง ตั้งใจให้ของสามชิ้นนี้
กระจายตกไปอยู่กับต้าจงซือสามคนที่เหลือ เพื่อล่อให้พวกเขาชิง
กันเอง หากเจ้าลัทธิบัวดํานั่นรู้เรื่องนี้ ก็จะต้องเข้าร่วมวงด้วยแน่นอน”

ฉีหนิงนิง่ ไปแล้วพูดว่า “อาจารย์จ่ัวได้หลุดเรื่องนี้ให้ตระกูลเจียง


เมื่อสิบปีก่อน ทําให้หม้อหลันชางรู้เรื่องของทํานองนรก มันคือหนึ่งใน
แผนการสินะ”

เป่ยถังเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ต้าจงซือที่อยู่ในจงหยวนสาม
คน เป่ยกงเหลียนเฉิงมีพิณเฟิงหวง เป่ยถังฮ่วนเย่มีขลุ่ยจื่อหลง มีแค่
หม้อหลันชางไม่มีอะไรในมือเลย ดังนั้นเราเลยคิดอยากจะให้เขาได้
ทํานองนรกไป เรายอมจะยกมันให้เขา แต่ว่าพวกเขาฉลาดมาก หาก
หม้อหลันชางได้มันไปง่ายๆมันกลับทําให้พวกเขาสงสัยได้ หม้อหลัน
ชางรู้ว่าทํานองเพลงอยูใ่ นมือของจั่วชิงหยาง ก็ไม่ได้ลงมือทันที เจ้ารู้
ไหมว่าเพราะอะไร?”
“เขากังวลว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งต
ู ่ ืน” ฉีหนิงพูดว่า “ทํานอง
นรกในมือของจั่วชิงหยาง แต่ว่ากลับไม่ได้พกติดตัวตลอดเวลา เรื่องชิง
ทํานองเพลง หม้อหลันชางไม่มท
ี างออกหน้าเองแน่ แต่หากส่งลูกศิษย์
ไป หากพลาด ก็อาจทําให้เป่ยกงเหลียนเฉิงจับได้ ดังนั้นหากไม่หมด
ทางเลือกจริงๆ เขาไม่มท
ี างลงมือแน่” เขายิ้มแล้วพูดต่อว่า “หม้อหลัน
ชางคิดว่าเขาเองยังมีไพ่ในมือที่ใช้ได้อยู่ หลังจากปล่อยไพ่ใบนี้แล้ว
อาจจะได้ทํานองนี้มาแน่ ดังนั้นเขาเลยยังไม่ลงมือ เพราะก่อนหน้านี้สบ

ปี มันยังมีเวลาเหลือมากพอที่สต
ั ว์เทวะปรากฎตัวอีกครั้ง หม้อหลัยชาง
มีเวลารอมากพอ”

“อือ” เป่ยถังชิง่ ยิม


้ เหมือนไม่ยม
้ิ

ฉีหนิงพูดว่า “โม่อิ่งรู้เรื่องทํานองเพลงมาจากปากคนของตระกูล
เจียง หลังจากที่หม้อหลันชางรู้เรื่อง ก็เลยหลอกใช้ความสัมพันธ์ของ
ตระกูลเจียงกับจั่วชิงหยาง เท่าที่ข้ารู้มา หลายปีที่ผ่านมา ตระกูลเจียงมี
การเขียนจดหมายมาหาจั่วชิงหยางตลอด เจียงม่านเทียนเห็นจั่วชิงห
ยางเป็นเพื่อนของตัวเอง ส่วนโม่อิ่งก็แอบติดต่อกับเจียงม่านเทียนอย่าง
ลับๆ เพื่ออาศัยมือของเขา เอาทํานองเพลงจากจั่วชิงหยางมา”

เป่ยถังชิง่ พยักหน้า ใบหน้าของเขามีรอยยิม


“ลูกชายของเจียงม่านเทียน เจียงซุยอวินได้รบ
ั การอบรมความรู้
มากจากจั่วชิงหยาง เขาเรียกจั่วชิงหยางว่าอาจารย์ ตลอดหลายปีที่ผ่าน
มาจั่วชิงหยางกับตระกูลเจียงมีความสัมพันธ์ที่ดีมาตลอด แล้วเขาก็หวัง
ว่าเจียงซุยอวินจะเข้ามายังเมืองหลวงได้ในสักวันหนึ่ง” ฉีหนิงพูดว่า
“ราชสํานักระมัดระวังป้องกันพวกตระกูลใหญ่ของตงไฮ่ตลอด คนของ
พวกเขาเข้ามาเป็นขุนนางในเมืองหลวงไม่มาก แต่ว่าได้บัณฑิตใหญ่
อย่างจั่วชิงหยางแนะนํา เจียงซุยอวินก็สามารถเข้าเมืองหลวงมาได้ ใน
ความเป็นจริง เจียงซุยอวินก็ได้รับการแนะนําจากเขาถึงได้เข้าเมือง
หลวงมา ที่ตระกูลเจียงทําแบบนี้ เพราะต้องการแทรกซึมเข้ามาในราช
สํานัก แล้วอีกเป้าหมายหนึ่ง ก็เพราะถูกโม่อิ่งบงการ ให้เข้าใกล้เจียง
ซุยอวินให้มากขึ้นด้วย แล้วหาโอกาสเอาทํานองนรกมา โม่อิ่งคิดว่าพวก
เขาทําสําเร็จแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้มันเป็นแผนที่จ่ัวชิงหยางวาง
เอาอไว้ จั่วชิงหยางกําลังตกปลาด้วยเบ็ด”

“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทําไมจั่วชิงหยางไม่ให้เจียงซุยอวินลงมือ
ล่ะ?” เป่ยถังชิง่ ย้อนถามว่า “แล้วทําไมทํานองนั่นถึงได้ไปอยู่ในมือเจ้า
แทนล่ะ?”

เป่ยถังชิง่ รู้ความลับเรื่อนี้ ฉีหนิงไม่ได้แปลกใจเลย ในเมื่อเขาเป็น


คนของกลุ่มฝูผงิ ถ้าอย่างนั้นพวกของจั่งชิงหยางก็ต้องมีการติดต่อกับ
เขาแน่นอน กลุ่มฝูผิงถึงแม้แต่ละคนจะมีฐานะที่แตกต่างกัน แต่มแ
ี ค่
เรื่องของต้าจงซือเท่านั้น ที่เขาร่วมมือกันได้ดี

“เพราะต้องการปกป้องฝูผิงเอาไว้”
“ปกป้องฝูผิง?”

“กลุ่มฝูผิงในเมืองต้องการเอาทํานองนรกให้กับต้าจงซือ แต่จะให้
ตรงๆ ไม่ได้” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่จริงทํานองนรกนั่นจะ
ให้ต้าจงซือคนไหนก็ไม่เป็นไรหรอก ที่สาํ คัญคือของสําคัญสามอย่าง
ต้องปรากฎออกมาพร้อมกัน แต่จะว่ากันไปแล้ว เพราะว่ามันมีการ
เปลี่ยนแปลง เจียงซุยอวินนั้นรีบร้อนลงมือเกินไป”

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดต่อไปสิ”

“เจียงซุยอวินโง่เกินไป หรืออาจเป็นเพราะข้า พออยู่ต่อหน้าจั่ว


ชิงหยางเขาเลยดูไม่เอาไหน” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้ว
หลังจากเขาเข้าเมืองหลวงแล้ว เขาต้องเข้าหาจั่วชิงหยางให้มาก ต้อง
สนิทสนมสุดๆ จากนั้นค่อยหาโอกาสหลอกถามที่ซ่อนของทํานองเพลง
แต่ว่าเขาอยู่ต่อหน้าจั่วชิงหยางกลับทําได้แย่มากก เขาเองก็รู้เรื่องนี้ดี
เพราะเป้าหมายของเขาคือการเข้าหาจั่วชิงหยางให้มาก แต่กลับกลัวว่า
จั่วชิงหยางจะจับได้ เลยรุกรี้รุกรนเกินไป จนเขาไม่กล้าถามเรื่องของ
ทํานองเพลงอีก ในเมื่อเขาไม่พด
ู จั่วชิงหยางก็ไม่มีทางเริ่มก่อน โม่อ่ิง
ได้รับคําสั่งจากหม้อหลันชางมา ก็จะต้องได้ทํานองนั่นไปให้ได้ ดังนั้น
เลยเร่งให้เจียงซุยอวินลงมือ เจียงซุยอวินเองก็ไม่มีทางเลือก เลยต้อง
ยอมเสีย
่ ง ส่งคนลอบเข้ามาในวิทยาลัยฉงหลิน คิดอยากจะชิงมันไป
แทน”
“เจ้าพูดถูกแล้วล่ะ จั่วชิงหยางเองก้คิดไม่ถึงว่าเจียงซุยอวินจะส่ง
คนเข้ามาชิงมันไป” เป่ยถังชิง่ พูดว่า “แต่ว่าเจียงซุยอวินลงมือ มันกลับ
เข้าทางของจั่วชิงหยาง เขาตั้งใจทําให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ เมื่อเจียง
ซุยอวินมาเจอเขา เขาก็จะได้บอกที่ซ่อนของทํานองเพลงนรก ใน
สถานการณ์ที่บาดเจ็บสาหัส ฝากฝั่งเอาไว้ มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ไม่มีใครสงสัยได้”

ฉีหนิงพูดว่า “เพียงแต่ว่าจั่วชิงหยางคิดไม่ถึงว่า คืนนั้นข้ากลับ


ปรากฎตัวขึ้น มันไม่ได้อยู่ในแผนการของเขา”

“มันเป็นเหตุสด
ุ วิสัยจริงๆ” เป่ยถังชิง่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอน
นั้นหลายคนรู้ว่า จั่วชิงหยางชื่นชอบเจ้ามาก อีกทั้งชอบมากกว่าเจียง
ซุยอวินศิษย์ของเขาด้วย เขาใช้แผนการทรมานกาย ทําให้ตัวเองเจ็บ
หนัก แต่ว่าเจียงซุยอวินยังไม่ทันมา แต่เจ้ากลับมาก่อน ในสถานการณ์
แบบนั้น เขาเลยจําเป็นต้องเอาทํานองนรกให้เจ้าไป”

“ดังนั้นที่ข้าได้ทํานองนั่นมา ก็ไม่ใช่เรื่องที่จ่ัวชิงหยางตั้งใจ แต่


เพราะข้ามาก่อนเจียงซุยอวินเท่านั้นใช่ไหม?”

“จั่วชิงหยางเปลี่ยนใจกะทันหัน มอบทํานองนั้นให้เจ้าไป มันถึงดู


สมเหตุสมเหตุ” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “หากเขาปิดบังเจ้า แล้วค่อยไปหา
โอกาสบอกเจียงซุยอวิน ในทางเหตุผลมันก็จะมีปัญหาทันที แผนของฝู
ผิงแต่ละก้าว จะให้มช
ี อ
่ งโหว่หรือผิดพลาดไม่ได้เลย ไม่ได้เด็ดขาด”
ฉีหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นที่เขาหายตัวไปในคืนนั้น ก็ตัดสินใจ
กะทันหันงั้นเหรอ?”

“ถ้ามอบให้เจียงซุยอวิน ทํานองเพลงสุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในมือ
ของหม้อหลันชาง จั่วชิงหยางเองก็สามารถอยู่รักษาตัวที่วิทยาลัยฉง
หลินได้” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “แต่มอบให้เจ้า เขาจําเป็นต้องหายไป เพราะ
การมอบให้เจ้าไป มันคือการมอบให้เป่ยกงเหลียนเฉิง จั่วชิงหยางกังวล
ว่าหากเขาได้มน
ั ไปแล้ว จะไปถามที่มาที่ไปจากเขา สําหรับคนในกลุ่มฝู
ผิงแล้ว จะพยายามไม่เข้าไปยุง่ เกี่ยวกับพวกเขา เพื่อไม่ให้พวกเขาจับ
ได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือหายตัวไป” เขายิ้มแล้วพูดว่า “อย่างที่เจ้าพูด
ทํานองนั่นอยู่ในมือของใคร มันไม่สําคัญเลย”

คนในกลุ่มฝูผิง แต่ละคนเป็นฉลาดมาก จั่วชิงหยางตัดสินใจ


กะทันหันแบบนั้น ก็ทําให้แผนการของพวกเขาดําเนินต่อไปได้
เหมือนกัน

“แต่ว่าเรื่องนี้มน
ั ไม่ได้เป็นไปตามแผนของพวกท่าน” ฉีหนิงพูดว่า
“เป่ยกงเหลียนเฉิงได้ทํานองนั่นไปจริง แต่ว่าพิณเฟิงหวง กลับไปอยู่ใน
มือของหม้อหลันชางแทน”

“ดังนั้นต้าจงซือก็ไม่ใช่เทพเจ้า” เป่ยถังชิ่งพูดว่า “เป่ยกงเหลียน


เฉิงคงคิดไม่ถึง ว่าหม้อหลันชางจะส่งคนเข้าไปแอบขโมยพิณในวัง เป่
ยกงเหลียนเฉิงมั่นใจตัวเองมากเกินไป ทําให้หม้อหลันชางนั้นมีโอกาส”
เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าคิดจะรับมือพวกเขา เดิมก็คุมไม่ได้ทก
ุ อย่างอยู่
แล้ว สถานการณ์มันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา”

“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านคิดจะทําอะไรต่อไป?” ฉีหนิงถาม “รอพวก


เขาฆ่ากันเอง แล้วค่อยมาเก็บกวาดส่วนที่เหลืองั้นเหรอ?”

เป่ยถังชิง่ เหลือบไปมองฉีหนิง เขาไม่ได้พูดอะไร สายตาของเขา


เหมือนกําลังคิดอะไรอยู่ ฉีหนิงกับเขาจ้องตากัน เขารู้สึกเหมือนถูกอ่าน
จนทะลุปรุโปร่ง หลังจากนั้นครูห
่ นึ่ง เป่ยถังชิ่งก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ตั้งแต่เจ้าเจอข้ามาจนถึงตอนนี้ เจ้าไม่เรียกข้าเลยแม้แต่คําเดียว เจ้า
เหมือน ...... เย็นชากับความสัมพันธ์ของเรามาก”

ฉีหนิงคิดว่าเจ้ากับเสี่ยวเตียวเอ๋อร์แล้วก็จิ่นอีซ่ อ
ื จื่อเป็นพ่อลูกกัน
นั่นมันก็ใช่ แต่เสียดายที่ข้าไม่ใช่เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ ไม่มีทางเห็นเจ้าเป็นาํ
พ่อหรอกนะ

“จะให้ขา้ ยอมรับความจริงเรื่องนี้ มันเร็วไปหน่อย” ฉีหนิงลังเล


แล้วพูดว่า “ข้าเกิดในแคว้นฉู่ โตในแคว้นฉู่ แต่พริบตาเดียวกลับ
กลายเป็นสายเลือดของชาวเป่ยฮั่น ข้าเองไม่รู้เลยว่าข้าควรจะรับเรื่อง
จริงเรื่องนี้ยังไง”
เป่ยถังชิง่ ยิ้ม “รอกําจัดพวกเขาได้เมื่อไหร่ เราพ่อลูกก็ค่อยมา
วางแผนปกครองไต้หล้ากัน หลังจากที่เจ้าครองราชย์แล้ว จะประจํา
การณ์ที่เมืองเจี้ยนเยี้ย ก็ใช่ว่าจะไม่ได้”

“ครองราชย์?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านหวังอยากให้ข้า


เป็นฮ่องเต้งงั้นเหรอ?”

เป่ยถังชิง่ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ได้หวัง แต่ต้องเป็น ไม่ว่าต้อง


แลกกับอะไร ข้าจะต้องให้เจ้าได้เป็นผูป
้ กครองไต้หล้านี้ให้ได้”

ฉีหนิงเหลือบไปมองตาของเป่ยถังชิ่ง แล้วพูดว่า “หากข้าไม่อยาก


ล่ะ?”

เป่ยถังชิง่ ตะลึงไป เหมือนเขาจะรู้สึกแปลกใจ หลังจากนั้นไม่นาน


หน้าตาของเขาก็ดุข้ึนมา “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่อยากเป็นฮ่องเต้ง้ันเหรอ?”

“การเป็นฮ่องเต้ ต้องสามารถทําให้คนในใต้ปกครองอยู่ดีกินดี ต้อง


มีความสามารถในการปกครอง ส่วนข้า ..... แน่นอนว่าไม่มี
ความสามารถแบบนั้น” ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อีกอย่างมันก็เป็น
ความหวังของท่าน ไม่ใช่ของข้า ท่านอยากจะยกแผ่นดินทั้งหมดให้ขา้
แต่ว่าข้าไม่เคยต้องการมันเลย”

เป่ยถังชิง่ ลุกขึ้นยืน สายตาของเขาดูดม


ุ าก เขาพูดว่า “เจ้าคิดจะ
อกตัญญูขัดต่อความปรารถนาของข้างั้นเหรอ?”
เล่มที่ 49 บทที่ 1443 ต้องการแค่ฮ่องเต้ทด ี นหนึ่งเท่านั้น
ี่ ค

ฉีหนิงนั่งอยู่แบบเดิม แค่เงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปที่เป่ยถังชิ่ง


เท่านั้น แล้วย้อนถามกลับไปว่า “ความปรารถนาของท่านงั้นเหรอ?”

“ที่ข้าอยู่มาจนถึงวันนี้ เหตุผลมีแค่เรื่องเดียว คือการแก้แค้นให้แม่


ของเจ้า จากนั้นก็ยกแผ่นดินทั้งหมดให้เจ้า” เป่ยถังชิง่ จ้องไปที่ตาของฉี
หนิงแล้วพูดว่า “ดังนั้นข้าถึงยอมอดทนต่อความเจ็บปวดทุกอย่าง
ตอนนี้เจ้ากลับบอกข้าว่า เจ้าไม่อยากเป็นฮ่องเต้?”

ฉีหนิงพูดว่า “หากท่านคิดอยากจะแก้แค้นให้ท่านแม่ ก็นําทัพใหญ่


บุกแคว้นฉู่สิ ไม่จําเป็นต้องให้ข้าเป็นฮ่องเต้”

“มันเป็นสิ่งที่ขา้ ติดค้างแม่ของเจ้าไว้ ดังนั้นข้าต้องชดเชยให้นางให้


ได้” เป่ยถังชิ่งถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่อย่างนั้นข้าคงนอนตายตาไม่
หลับ”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “เพราะต้องการชดเชยให้ท่านแม่ ดังนั้นเลย
จะให้ข้าเป็นฮ่องเต้ง้ันเหรอ? นั่นก็หมายความว่า ทางเดินของข้าท่านจะ
เป็นคนเลือกให้ง้ันสิ ท่านคิดจะให้ข้าทําอะไร ข้าก็ต้องทําตามนั้นงั้น
เหรอ?” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น่าเสียดายข้าไม่ใช่หุ่นเชิด ท่านเองก็
ไม่มีสิทธิมาสั่งให้ข้าทําอะไรตามใจของท่าน”
“เจ้า ......” เป่ยถังชิ่งสีหน้าแย่มาก

ฉีหนิงมองไปที่เป่ยถังชิง่ แล้วพูดว่า “ท่านบอกว่าท่านติดค้างท่าน


แม่ แป็นเพราะตอนนั้นไม่สามารถช่วยนางออกมางั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้น
ท่านก็คิดผิดมากแล้ว ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สด
ุ ของท่าน คือท่านไม่
ควรปรากฎตัวตรงหน้าของนาง”

“เจ้าว่าไงนะ?”

“ท่านเองรู้ดีแก่ใจ ตัวท่านเป็นองค์ชายของเป่ยฮั่น หากท่านแม่


ไม่ได้แต่งงานเข้าตระกูลฉี แต่ตามเจ้าไปเป่ยฮั่น ท่านคิดว่าผลที่จะ
เกิดขึ้นมันคืออะไร?” ฉีหนิงพูดด้วยน�าเสียงเย็นชามาก “ทั้งตระกูลของ
นางก็จะต้องเคราะห์ร้ายไปด้วย เพราะชาวแคว้นฉู่คงไม่ยินยอมให้
ครอบครัวที่แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์แคว้นเป่ยฮั่นอยู่ต่อไป ต่อให้พวก
เขารอดชีวิตมาได้ ก็ยังต้องถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ ความรักของพวก
ท่านดูผว
ิ เผินเหมือนจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความเป็นจริง พวกท่านไม่มี
ทางมีชว
ี ิตที่หอมหวานไปได้ตลอด ท่านคบหากับท่านแม่ ท่านคิดแต่ว่า
ใจตรงกัน แต่ไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมากับนางเลย หากตอนนั้นท่าน
รักนางจริงๆ ก็ควรคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับนางด้วย หรือพูดง่ายๆ หาก
ท่านรักนางจริง ท่านไม่ควรอยู่หรือคบกับนางเลยด้วยซ�า”

สีหน้าของเป่ยถังชิ่งแย่มาก ปากของเขาขยับ แต่ว่าไม่มเี สียงอะไร


ออกมา
“ด้วยฐานะของท่าน มันกําหนดไว้แล้วว่าความรักของท่านมันต้อง
มีผลที่ไม่ได้ดีนก
ั ตามมาอยู่แล้ว” ฉีหนิงไม่คิดว่าตัวเองเป็นลูกของเป่ย
ถังชิ่งจริงๆ แต่ว่าเขาพูดในมุมของคนนอก “ถึงแม้ขา้ ไม่แน่ใจว่า จนถึง
วินาทีสด
ุ ท้ายแล้วนางรูต
้ ัวตนที่แท้จริงของท่านหรือเปล่า ดังนั้นนางไม่
มีทางรู้ได้เลยว่าความรักของนางมันจะไม่มีทางสมหวัง แต่ว่าท่านคือ
คนที่รู้ทุกอย่าง แต่กลับไม่หยุดทุกอย่างมันเอาไว้ ยังฝืนที่จะเดินหน้า
ต่อไป ท่านเคยคิดหรือเปล่า เรื่องเศร้าที่มันเกิดขึ้นคนที่ผิดจริงๆ ก็คือ
ท่าน”

เป่ยถังชิง่ นั่งลง แล้วนิ่งไป

“หากไม่ใช่เพราะท่าน นางอาจจะคงยังแต่งเข้าตระกูลฉี แต่ว่า


สถานภาพของนางก็จะไม่เหมือนกัน” ฉีหนิงพูดว่า “ฉีจิ่งรักนางมาก
เขาไม่มท
ี างทําให้นางต้องเสียใจ หากไม่ใช่เพราะท่าน ไท่ฮูหยินคนนั้นก็
ไม่มีทางโกรธแค้นนางมากขนาดนั้นท่านไม่เพียงทําร้ายนาง แต่ยังทํา
ร้ายตระกูลฉี แต่ตอนนี้ท่านกลับโยนความผิดทุกอย่างให้ตระกูลฉี ยัง
คิดจะทําลายพวกเขาจนล่มจม ใครผิดกันแน่ ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะ
แม้แต่ตัวท่านข้าคิดว่าก็คงบอกไม่ได้เหมือนกัน”

เป่ยถังชิง่ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่าสิง่ ที่ข้าคิด


วางแผนมานานหลายปี มันต้องสูญเปล่าอย่างนั้นเหรอ?”
“มีอย่างหนึ่งที่ท่านอาจจะคิดไม่ผิด นั่นคือการรวบรวมแผ่นดินให้
เป็นหนึ่ง” ฉีหนิงพูดว่า “ชาวบ้านในจงหยวนทั้งหมด ตั้งแต่โบราณมา
จนถึงวันนี้ ก็หวังที่จะได้แผ่นดินสงบสุข ไม่มีสงคราม ไม่มีการต่อสู้แย่ง
ชิง ทุกคนต้องการชีวิตที่สงบสุขด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าเป่ยฮั่นหรือว่า
หนานฉูใ่ ครจะได้แผ่นดินทั้งหมดไป สําหรับประวัติศาสตร์แล้ว มันถือ
เป็นผลงานชิ้นใหญ่ แต่ว่าใครจะเป็นคนที่เดินไปถึงจุดสุดท้าย ก็ต้องดู
กันที่ฝีมอ
ื ทั้งสองแคว้นต่อสู้ฆ่าฟันกัน มันเป็นช่วงที่ทุกคนต่างต้องทน
ต่อความเจ็บปวด เส้นทางที่เดินไป จะต้องมีแสงสว่างรออยู่แน่นอน”
เขาพูดถึงตรงนี้ แล้วก็มองไปนอกบ้าน “สิ่งที่ข้าคิดก็คือ หลังจาก
รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งแล้ว จะนําพาฮ่องเต้ผู้ซ่งึ คิดถึงประชาชน ที่
ทําพวกเขามีชีวิตที่ดี ถ้าเทียบฮ่องเต้ของทั้งสองแคว้นในเวลานี้ ฮ่องเต้
แคว้นฉูค
่ ือคนที่เหมาะจะเดินหน้าไปจนถึงจุดนั้นมากที่สุด”

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดอยากจะให้ตระกูลเป่ยถังยก


แผ่นดินให้กับตระกูลเซียวงั้นเหรอ?”

“ฮ่องเต้จะแซ่อะไร มันไม่สาํ คัญ สิ่งสําคัญก็คือประชาดชนคิดยังไง


กับฮ่องเต้มากกว่า” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเขาไม่สนใจหรอกนะว่าใครจะ
ไปนั่งอยู่บนบัลลังก์ จะตระกูลเซียวตระกูลเป่ยถัง ขอแค่คนคนนั้น
สามารถมอบแผ่นดินที่สงบสุข นั่นก็ถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีในสายตาของ
พวกเขาแล้ว”
สายตาของเป่ยถังชิ่งเหมือนจะแปลกใจมาก

ในยุคนี้ ความคิดของวงศ์ตระกูลมันสําคัญกว่าประเทศชาติมาก
สําหรับเหล่าตระกูลใหญ่ ผลประโยชน์ของตระกูลมันเหนือกว่า
บ้านเมืองมาก

ในเมื่อฉีหนิงรูแ
้ ล้วว่าตัวเขาเป็นสายเลือดของตระกูลเป่ยถัง ก็ควร
จะปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลเป่ยถังก่อน เพราะราชวงศ์เป่ยถัง
คือตัวแทนของเป่ยฮั่น ให้ฮ่องเต้เป่ยฮั่นปกครองใต้หล้า ก็เป็นเรื่องที่
สมเหตุสมผลอยู่แล้ว

แต่ว่าฉีหนิงกลับไม่ได้สนใจผลประโยชน์ของตระกูลเลย มันเป็นสิ่ง
ที่เหนือความคาดหมายของเป่ยถังชิง่ มาก

ในบ้านไม้ เงียบลงทันที หลังจากนั้นอยูน


่ าน เป่ยถังชิ่งก็พูดว่า
“ดังนั้นเจ้าเลยคิดจะช่วยแคว้นฉู่รวบรวมแผ่นดินในเป็นหนึ่ง? ไม่สนใจ
สายเลือดที่ไหลอยู่ในตัวเจ้าเลยอย่างนั้นเหรอ?”

“ข้าสนแต่ว่าใครจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้” ฉีหนิงเหลือบไปมองเป่ยถัง
ชิ่ง “ในเมื่อข้าเป็นสายเลือดของตระกูลเป่ยถัง ถ้าอย่างนั้นถ้ากองทัพฉู่
บุกไปถึงลั่วหยางเมื่อไหร่ ข้าจะพยายามปกป้องตระกูลเป่ยฮั่นให้อยู่
รอดต่อไปให้ได้”
เป่ยถังชิง่ ได้ยินดังนั้น เขาก็หัวเราะร่าออกมา น�าเสียงหัวเราะของ
เขามันซับซ้อนมาก มันทําให้ฉห
ี นิงไม่รูเ้ ลยวว่าเขาหัวเราะเพราะอะไร

“แล้วเจ้ารู้หรือเปล่า เจ้าช่วยแคว้นฉู่ทําสงครามกับเป่ยฮั่น นั่นเจ้า


ก็กําลังจะทรยศต่อสายเลือดของตัวเอง เจ้ากําลังละทิ้งตระกูลเป่ยถัง?”
สายตาของเป่ยถังชิ่งดุมาก “ตระกูลเป่ยถังมีศก
ึ ภายใน มันเป็นเรื่องใน
บ้าน แต่ว่าการต่อสู้กับแคว้นฉู่ มันเป็นศึกนอกบ้าน มันเกี่ยวพันกับ
ผลประโยชน์ของตระกูล เจ้าคิดจะทรยศต่อตระกูลอย่างนั้นเหรอ?”

ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้คิดจะกลับเข้าตระกูลนีน
่ า
ดังนั้นก็ยังไม่ถือว่าข้าคือคนของตระกูลเป่ยถัง อย่างน้อยในเวลานี้ ข้าก็
ยังแซ่ฉอ
ี ยู่”

เป่ยถังชิง่ กําหมัดแน่น ฉีหนิงเห็นอยู่ เขาพูดว่า “หากท่านต้องการ


ใช้กําลัง ต่อให้ท่านรวบรวมคนทั้งหมดบนเขามา ก็อาจจะไม่ใช่ค่ต
ู ่อสู้
ของข้า”

เป่ยถังชิง่ คิดไม่ถึงเลยว่าผลที่ออกมาจะเป็นแบบนี้ เขาหัวเราะแล้ว


พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็มีลก
ู อกตัญญูสินะเนี่ย?”

ฉีหนิงไม่ได้อยากจะเถียงกับเขาแล้ว “ที่ข้ามาที่นี่ ไม่ได้มาเพื่อพบ


ท่าน ข้ามาเพราะแผนที่ ข้ารู้ว่าท่านมี หากท่านอยากจะชดเชย
ความผิดของท่านจริงๆ ก็มอบแผนที่น่น
ั มาให้ข้า”
เป่ยถังชิง่ เหลือบไปมองฉีหนิง “เจ้าต้องการแผนที่ง้ันเหรอ?”

“การรวบรวมแผ่นดิน มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น” ฉีหนิงพูดว่า


“เอาแผ่นที่ให้ขา้ มันจะทําให้สงครามจบเร็วขึ้น คนก็จะได้ตายน้อยลง
แผ่นดินก็จะสงบสุขเร็ว” เขาลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่านก็จะ
สามารถชดเชยความผิดพลาดตามที่ท่านต้องการ”

เป่ยถังชิง่ ยืนหันหน้าเข้าหาฉีหนิง เขาพูดว่า “เจ้าอยากจะให้ข้าม


อบดาบของข้าให้กับเจ้า จากนั้นก็ให้เจ้าเอาดาบเล่มนั้นย้อนกลับมา
แทงข้าอย่างนั้นเหรอ?”

“การเปรียบเปรยแบบนี้มันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นะ” ฉีหนิงจ้องเขา
กลับ “ในเมื่อท่านอยากจะชดเชยความผิดที่มต
ี ่อท่านแม่ให้กับข้า ก็ควร
จะถามข้าสิว่าข้าต้องการอะไร ท่านไม่ควรตัดสินใจเอาเองว่าจะให้อะไร
กับข้า ข้าไม่ต้องการแผ่นดินทั้งหมด ข้าต้องการแค่แผนที่เท่านั้น”

“หากข้าบอกเจ้าว่าเจ้าจะไม่ได้แผนที่ไป เจ้าจะทํายังไง”

ฉีหนิงพูดว่า “ข้าก็ลงจากเขา แต่ว่ามันจะทําให้ข้ายิ่งมั่นใจว่า


ความรูส
้ ึกผิดที่ท่านบอก มันก็แค่สิ่งที่ท่านหลอกตัวเองเท่านั้น เทียบกับ
ท่านแม่แล้ว ท่านห่วงแผ่นดินของตระกูลเป่ยถังมากกว่า ระหว่างท่าน
แม่กับแผ่นดิน ท่านเลือกแผ่นดิน”
เป่ยถังชิง่ ปลายตากระตุกหนักมาก เขาพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้า
ไม่มีสิทธิมาตัดสินความรู้สึกที่ข้ามีกับแม่ของเจ้าแบบนี้”

“ท่านคิดว่าข้าตัดสินท่านอยู่ง้ันเหรอ?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า


แค่กําลังพูดความจริงเท่านั้น หากท่านแม่ได้รับรู้ ข้าคิดว่าในใจของนาง
คงคิดว่านางสําคัญไม่เท่าแผนที่ผืนหนึ่งเลย ไม่รู้ว่าท่านแม่จะคิดเสียใจ
ที่ตัดสินใจแบบนั้นหรือเปล่า”

“ปึ้ ง”

เสียงดังมาก เป่ยถังชิ่งเตะโต๊ะลอยออกไปข้างนอก มันหล่นลงมา


จนแตกละเอียด

ฉีหนิงรู้ว่าเขาเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพเป่ยฮั่นมาก่อน เป่ยถังชิง่ มี
ความอดทนและใจเย็นมากพอ จู่ๆ มีอาการแบบนี้ นั่นเพราะเขาพูด
แทงใจดําเขาแน่นอน อีกทั้งเขายังพูดแทงเข้าไปในใจของเขาตรงๆ
และแรงมาก

แต่ฉห
ี นิงรู้ดี เป้าหมายของเขาในการเดินทางมาครั้งนี้ ก็เพื่อแผนที่
เท่านั้น

เมื่อรู้ฐานะที่แท้จริงของเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ มันทําให้เขาคลี่คลายข้อ
สงสัยลงได้ แต่ฉห
ี นิงไม่ใช่เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ ถึงแม้เขาจะมีร่างกายของเขา
แต่พวกเขามันคนละคนกัน หลังจากรู้ฐานะที่แท้จริงแล้ว ฉีหนิงแค่
เข้าใจ แต่ไม่ได้ต่ ืนเต้นหรือว่าดีใจอะไร

ฉีหนิงไม่ใช่คนใจกว้างมากขนาดนั้น แต่ก็เป็นคนที่เห็นใจคนอื่นอยู่

ตอนแรกๆ ที่เขามาถึงในโลกนี้ เขาเร่ร่อนอยู่ในเมืองฮุย


้ เจ๋อ เขา
เห็นความลําบากของชาวบ้านที่ต้องเร่ร่อนเพราะภัยของสงคราม เขา
เห็นผู้หญิงหลายคนต้องถูกหลอกไปขายด้วยตาของเขาเอง

สิ่งที่เขาเห็นมันแค่เศษเสี้ยวของความเป็นจริงเท่านั้น

ในสนามรบ มีหลายคนที่ต้องตาย ทหารของทั้งสองแคว้น ล้วนแต่


มีครอบครัว พวกเขาตายในสนามรบไม่เท่าไหร่ แต่ว่าสําหรับครอบครัว
ของพวกเขาแล้ว มันเป็นอะไรที่ใจสลาย

คนที่อยู่สูงเห็นแก่ผลประโยชน์ตัวเอง ต่อสู้แย่งชิง แต่ว่าเลือดมัน


กลับไหลออกมาจากตัวทหารและชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ทหารในสนามรบ
ต้องจากลูกจากเมีย ไม่มีใครสนใจความเจ็บปวดของพวกเขาเลย
หลังจากที่พวกเขาตาย แม้แต่ป้ายหลุมศพก็ยังไม่มีเลย

หากสงครามยืดเยื้อไป ค่าตอบแทนมันก็คือชีวิต

ฉีหนิงไม่อยากให้สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นต่อไปอีก เขาพยายาม
ช่วยฮ่องเต้น้อยหลงไท่ ก็หวังอยากให้สงครามมันจบลงเร็วที่สุด เพื่อคืน
ความสงบสุขให้กับทั่วทั้งแผ่นดิน เขาหวังว่าหลงไท่จะทําตามที่เคยบอก
เขาเอาไว้ เขาจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีเพื่อประโยชน์ของประชนชนทั่วไต้หล้า

ดังนั้น เขาถึงได้ยอมพยายามทุกอย่างเพื่อเขา

ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเป่ยฮั่นจะได้ไต้หล้าไปหรือว่าจะเป็นแคว้นฉู่ ฉีหนิง
ไม่ได้สนใจในจุดนั้นเลย อย่างที่เขาพูดไป เขาสนใจแค่ว่าหลังจาก
สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ชาวบ้านจะได้ฮ่องเต้ที่ดี หลงไท่ดูจะเหนือกว่า
เป่ยถังเฟิงเยอะมาก เพราะอย่างนี้ เขาเลยหวังว่าอยากจะช่วยเขาให้ได้
ไม่ว่ามันจะยากลําบากแค่ไหน ฉีหนิงก็จะฝ่าฟันมันไปให้ได้
เล่มที่ 49 บทที่ 1444 ลงจากเขา

ชื่อตันเหมยยืนรออยู่ที่ริมหน้าผา นางกําลังมองบรรยากาศเบื้อง
หน้า แสงแดดยามเช้ากําลังส่องมา ต้นไม้สีเขียวชะอุ่ม มีหมอกสีขาว
หนามาก

ชื่อตันเหมยรู้ว่านั่นมันไม่ใช่เมฆหมอก แต่ว่าเป็นทะเล มันอยู่ไกล


มาก

เขาเก้าตําหนักอยู่ระหว่างกลางระหว่างตงไฮ่ นางอยูบ
่ นยอดเขา
สูง ได้บรรยากาศของภูเขาและทะเล

ชื่อตันเหมยคิดไม่ถึงอยูแ
่ ล้วว่า ฉีหนิงจะได้มาเจอพ่อแท้ๆ ของเขา
ที่นี่ แต่ว่าในเวลานี้ ชื่อตันเหมยยังไม่รูว
้ ่าชายคนนั้นเป็นชางหลิงโหว
เป่ยถังชิง่ ผู้ชํานาญการสงคราม

ฉีหนิงพ่อลูกอยูใ่ นบ้านพักไม้อยู่นาน ชื่อตันเหมยถึงแม้จะอยากรู้


ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่ว่าเรื่องของพ่อลูก นางก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว

พอได้ยน
ิ เสียงฝีเท้าเดินมาจากด้านหลัง ชื่อตันเหมยหันหลัง
กลับไปมอง เห็นฉีหนิงเดินมานิ่งๆ นางเดินขึ้นหน้าสองก้าว นางมีหลาย
คําถามอยากจะถามเขา แต่ว่านางกลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คําเดียว
“เขาคือชางหลิงโหวเป่ยถังชิ่ง” ฉีหนิงไม่ได้ให้ช่ อ
ื ตันเหมยกสงสัย
ต่อไป “ในมือของเขาน่าจะมีแผนที่ไหม ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่
ว่าการจะได้แผนที่จากเขามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พูดง่ายๆ เลยก็คือไม่มี
ทาง”

ชื่อตันเหมยถึงกับหน้าเสีย นางพูดอย่างตกใจว่า “ถ้าอย่างนั้น .....


เจ้าก็เป็นคนของราชวงศ์เป่ยฮั่นน่ะสิ?”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วเดินไปริมหน้าผา แล้วมองท้องฟ้า เขานิ่งไป แล้วพูด
ว่า “คราวนี้เราคงต้องกลับมือเปล่าแล้วล่ะ ด้วยนิสัยของเขา หากเขาไม่
ยินยอม ก็ไม่มีอะไรบังคับเขาได้ เขาเองก็ไม่มีทางยอมมอบแผนที่
ออกมาแน่”

“จะบอกว่ากลับไปมือเปล่าก็ไม่ถูกสักทีเดียว” ชื่อตันเหมยถอน
หายใจแล้วพูดว่า “อย่างน้อยเจ้าก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร แล้วก็ได้เจอพ่อ
แท้ๆ ของเจ้าด้วย”

ฉีหนิงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้ปฏิเสธ

เป่ยถังชิง่ โกรธเพราะการตัดสินใจของฉีหนิงมาก และไม่มีประเด็น


ที่ต้องคุยกันต่อไป ส่วนฉีหนิงก็ไม่อยากอยู่พูดคุยกับเขาอีก เลยพาชื่อ
ตันเหมยลงจากเขา เกาซานรออยู่ที่ปากทาง พอพวกเขาสองคนเดินมา
ก็ไม่ได้พูดอะไร พาทั้งสองลงเขาไป
“เราจะกลับกันเมื่อไหร่?” ชื่อตันเหมยถาม

ฉีหนิงพูดว่า “อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไร้ความหมาย เราลงเขากลับกันวันนี้


เลยล่ะกัน”

“เจ้าไม่อยากอยู่กับเขาให้นานกว่านีห
้ น่อยเหรอ?” ชื่อตันเหมย
รู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่ากว่าพ่อลูกจะได้พบกันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่
ปฏิกิริยาของฉีหนิงกลับเย็นชามาก มันไม่ปกติ

ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วไม่พูดอะไร

ชื่อตันเหมยแอบคิดในใจว่าสองพ่อลูกน่าจะคุยกันไม่ราบรื่นแน่ๆ
แต่ว่านางก็ไม่สะดวกไปถามให้มากความ

ถึงแม้เป่ยถังชิง่ จะเล่ารายละเอียดแผนการของฝูผิงให้ฉห
ี นิงได้ฟัง
อีกทั้งอยากจะให้เขาเข้าร่วมด้วย แต่ฉีหนิงไม่ได้สนใจเลย

แผนของฝูผิงหลักๆ ก็คือการยุให้เหล่าต้าจงซือต่อสู้กันเอง แต่ว่า


การที่จะให้แผนการนีป
้ ระสบผลสําเร็จ มันมีเงื่อนไขหนึ่งที่ขาดไม่ได้ นั่น
ก็คือสัตว์เทวะเสวียนอู่ มันจะต้องมีและปรากฎออกมา

หากไม่พบสัตว์เทวะเสวียนอู่ พวกต้าจงซือก็ไม่มีทางสู้กัน

ถึงแม้ในตําราโบราณจะมีบันทึกว่าสัตว์เทวะเสวียนอู่จะปรากฎตัว
ออกมา แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ไม่มีใครรู้
หากสัตว์เทวะเสวียนอู่เป็นแค่ตํานาน หรือว่าทํานองเพลงนรกนั่น
ไม่สามารถล่อให้มันออกมาได้ ถ้าอย่างนั้นแผนการของพวกเขาก็จะ
กลายเป็นแค่กระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรเลย

แต่ว่าฉีหนิงเองก็เข้าใจได้ กลุ่มฝูผิงต้องเผชิญหน้ากับต้าจงซือ
พวกเขาเป็นเหล่าคนที่นา่ กลัวมาก มันไม่มแ
ี ผนการไหนที่สมบูรณ์แบบ
แน่นอน

การเดินทางมาที่เขาเก้าตําหนัก ถึงแม้จะไม่ได้แผนที่มาอย่างที่
ตั้งใจไว้ แต่ได้คลายข้อสงสัยที่มีมานาน ก็ถือว่าไม่ได้กลับไปมือเปล่า
เพียงแต่ไม่ได้แผนที่มาไว้ในมือเท่านั้น ฉีหนิงก็ไม่รู้จะกลับไปบอกหลง
ไท่ยังไง แต่ว่าเขาก็คิดว่า หลงไท่น่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นสายเลือดของ
เป่ยถังชิง่ การกลับเมืองหลวงไปคราวนี้ หากเขาบอกความจริงเกี่ยวกับ
เรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาเก้าตําหนักอย่างตรงไปตรงมา ถ้าหลงไท่รับได้ ทุก
อย่างก็ง่าย แต่หากหลงไท่มีท่าทีลังเล เขาก็ควรจะออกจากเรื่องพวกนี้
ให้เร็วที่สุด

แต่ว่าไม่ได้แผนที่กลับไป เส้นทางของกองทัพฉินไหวก็จะ
ยากลําบากมากขึ้นไปอีก

เขาไม่ได้อยู่บนเขาเก้าตําหนักต่อ ในใจเขาไม่ได้คิดจะไปเปลี่ยน
ความคิดเป่ยถังชิ่ง ให้มอบแผนที่ให้เขาเลย เพราะเป่ยถังชิ่งเป็นเชื้อ
พระวงศ์เป่ยฮั่น ในใจลึกๆ ของเขา ยังคงให้ความสําคัญกับ
ผลประโยชน์ของตระกูลอยู่ จะให้เขายกแผนที่ให้ด้วยตัวเองมันเป็นไป
ไม่ได้แน่นอน

เกาซานเดินมาส่งพวกเขาถึงตีนเขา เขาไม่ได้พูดอะไรเลย ฉีหนิง


พยักหน้าให้กับเกาซาน แล้วก็พาชื่อตันเหมยกลับออกไปทันที พอมาถึง
ปากทางขึ้นเขา พวกเขาเดินผ่านน�าตก ก็ยังคงเห็นมือกระบี่เทียนจูยัง
นั่งอยู่ที่น�าตก เหมือนว่าไม่เห็นสองคนนั้นเลย เขาไม่ได้ทักทายเลย

ฉีหนิงรู้ว่าคนบ้ากระบี่อย่างเขากําลังคิดวิธีรวบรวมดนตรีกับกระบี่
ให้เป็นหนึ่ง เขาเลยไม่ได้ไปรบกวน เดินตรงจากออกไปทันที พอเดิน
ผ่านทางเขาแคย ก็เดินไปหาที่ผูกม้าก่อนหน้านี้ ทั้งสองขึ้นเขาไปแค่วัน
เดียว ม้าที่ผูกเอาไว้ ก็มีหญ้าเป็นอาหารรอบๆ เลยกินจนจุใจ

พอออกจากเขาเก้าตําหนัก ทั้งสองก็ไม่เสียเวลาอีก ตรงกลับไปที่


ท่าเรือราชสีห์ ที่นี่มีเรือสินค้าจํานวนมาก หลักๆ ก็คือการส่งแขกข้ามท่า
ตอนที่เขามานั้นมาจากท่าเรือวเว่ยไฮ่ ดังนั้นพวกเขาเลยหาเรือเพื่อจะ
ข้ามไปยังที่เดิม

เรือสินค้ามีท้ังเล็กและใหญ่ เรือใหญ่จะจอดเทียบท่าหลายวัน
หน่อย แต่ว่าเรือเล็กจะจอดเทียบท่าแค่วันหรือสองวันเท่านั้น พอสินค้า
เต็มลําแล้วก็ออกเรือทันที ฉีหนิงเลยเร่งการเดินทาง เขาเลยไปหาเรือ
สินต้าขนาดเล็ก จะว่าเล็กเลยก็ไม่เล็ก เพราะบนเรือก็มค
ี นประมาณสิบ
สี่สิบห้าคน นอกจากนีก
้ ็ยังมีแขกที่จะไปที่ท่าเรือเว่ยไฮ่อีกเจ็ดแปดคน
บวกกับพวกฉีหนิงอีกสองคน บนเรือก็มค
ี นกว่ายี่สิบคน

ออกเดินทางจากท่าเรือราชสีห์ ต้องอยู่ในทะเลประมาณสามวันถึง
จะถึง นอกจากหัวหน้าเรือที่มีหอ
้ งพักส่วนตัวแล้ว คนอื่นต้องไปพักที่ใต้
ท้องเรือทั้งหมด

หากฉีหนิงมาคนเดียว เขาก็ไม่สนหรอกว่าจะท้องเรือหรือว่าที่ไหน
แต่ว่าชื่อตันเหมยมากับเขาด้วย ถึงแม้นางจะแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่ว่า
ยังไงนางก็เป็นผู้หญิง พักอยู่ใต้ท้องเรือในเวลากลางคืน อากาศมันอับ
มาก ฉีหนิงเองก็จะให้นางไปนอนเบียดกับผู้ชายคนอื่นไม่ได้ด้วย เขามี
เงิน ขอแค่มีเงิน หลายต่อหลายเรื่องก็คลี่คลายไปได้ง่ายๆ ฉีหนิงจ่ายค่า
เรือเกินไปสิบเท่า เพื่อให้หัวหน้าคนเรือจัดห้องเล็กๆ ให้พวกเขา แล้วให้
คนหาอะไรมาปูพ้ ืนให้

ถึงแม้จะเป็นห้องเล็กๆ แต่ว่าก็มีหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก ก็


มองเห็นทะเลได้

ช่วงเย็น พอสินค้าขนย้ายจนเต็มลําเรือแล้ว หัวหน้าคนเรือก็ส่ง


สัญญาณ เก็บสมอ ที่ท่าเรือมีเรือมากกว่าสิบลํา เมื่อมีเรือลําหนึ่งออกไป
ก็ไม่มใี ครสนใจอะไร เรือสินค้าพวกนี้ล่องไปมาบนทะเลตลอด ต่อให้
เป็นตอนกลางคืน พวกเขาก็รูเ้ ส้นทางอย่างดี
ถึงแม้พวกเขาจะต้องนอนด้วยกันในห้องเล็กๆ ข้างกายของฉีหนิง
มีสิ่งมีชว
ี ิตที่เย้ายวนใจเหลือเกิน แต่หลายวันที่ผ่านมาเขาอารมณ์ไม่ดี
มาก เขาไม่ยิ้มเลย เลยไม่มีอารมณ์จะไปพรอดรักหรืออะไรกับชื่อตัน
เหมย

ชื่อตันเหมยเองก็เข้าใจความรูส
้ ึกของฉีหนิงดี

ฉีหนิงเดินทางมาไกลถึงเหลียวตง ก็เพื่อแผนที่ แต่ต้องกลับไปมือ


เปล่า ถึงแม้จะได้รู้ว่าเป่ยถังชิ่งเป็นพ่อแท้ๆ ของเขา แต่ว่าพ่อลูกเจอ
หน้ากันครั้งแรกเหมือนจะมีปัญหากันทันที ไม่อย่างนั้นฉีหนิงไม่มี
ทางเดินทางกลับทันทีที่ออกมาจากบ้านไม้แบบนี้แน่

ทั้งคู่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน ฉีหนิงหลับตาอยู่ ชื่อตันเหมยม


องไปที่ค้ิวของฉีหนิง แล้วกระพริบตา นางเป่าไปที่ตาของเขา ฉีหนิงพูด
ว่า “อย่ามายั่วข้านะ เกิดข้ามีอารมณ์ข้น
ึ มา แล้วข้างนอกมีคนได้ยน
ิ เข้า
จะคิดว่าเราโรคจิตกัน”

ชื่อตันเหมยพูดว่า “ในหัวเจ้าคิดอะไรอยู่ ข้าไปยั่วเจ้าตั้งแต่


เมื่อไหร่กัน? หากข้าจะยั่วเจ้าจริงๆ เจ้าก็ไม่มีทางทนไหวหรอก” พูดจบ
นางก็ต้ังใจเอาหน้าอกเบียดเข้าใส่ฉห
ี นิง

ชื่อตันเหมยพูดถูก ด้วยรูปร่างหน้าตาที่เร้าร้อนของนาง หากจะยั่ว


เขา ไม่มีใครต้านทานไหว
ฉีหนิงลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางความมืด ในห้องไม่ได้จุดไฟ แต่ก็
ยังคงมองเห็นดวงตาของนางได้ เขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า “นอนไม่หลับ
เหรอ?”

“เจ้าก็นอนไม่หลับเหรอ?” ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้ายังคิดเรื่องที่เขา


เก้าตําหนักอยู่เหรอ?”

“ก็ไม่มอ
ี ะไรน่าคิดนี่” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าแค่รู้สึกว่า เดินทางกันมาตั้ง
ไกลถึงเหลียวตง แผนที่ก็ไม่ได้ กลับเมืองหลวงไปแล้ว ไม่รู้จะไปตอบฝ่า
บาทยังไงดี”

“จะโทษเจ้าก็ไม่ได้” ชื่อตันเหมยพูดว่า “ใครจะคิดว่าบนเขานั่นจะ


เป็นเป่ยถังชิง่ ล่ะ? แต่ว่าข้าเคยได้ยินมาว่าเขาเคยเป็นขุนพลอันดับหนึ่ง
ของเป่ยฮั่นเลยนะ หากบอกเรื่องนี้กับฮ่องเต้น้อยของพวกเจ้าว่าเป่ยถัง
ชิ่งถูกขังอยู่บนเขา ฮ่องเต้น้อยของพวกเจ้าก็นา่ จะตกใจไม่น้อย
เหมือนกัน”

ถึงแม้ฉห
ี นิงจะไม่ได้เล่าให้ช่ ือตันเหมยฟังอะไรมาก แต่ก็มีเล่า
คร่าวๆ เรื่องที่ทําไมเป่ยถังชิ่งถึงได้ถก
ู ขังอยู่บนเขาให้นางได้ฟงั ส่วน
เรื่องที่เป่ยถังชิง่ คิดอยากจะให้เขาเป็นฮ่องเต้ แล้วก็แผนการของฝูผิง ฉี
หนิงไม่ได้เล่า
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ของ
เป่ยฮั่น แต่คิดอยากจะช่วยแคว้นฉู่ทําสงคราม เจ้าว่ามันดีหรือเลปล่า?”

“ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ลําบากใจเรื่องนี้เหมือนกัน” ชื่อตันเหมยถอน
หายใจอย่างเศร้าๆ แล้วพูดว่า “แต่เจ้าเกิดและโตที่แคว้นฉู่ ฮ่องเต้น้อย
แคว้นฉู่เองก็เชื่อใจเจ้ามาก หรือว่าเจ้าคิดจะทิ้งเขา แล้วหันดาบหาเขา
แทนล่ะ? ตั้งแต่ข้ารู้ว่าชาติกําเนิดของเจ้า ข้าก็รูท
้ ันทีว่าเจ้าต้องตกที่น่ัง
ลําบากแน่ หากทํางานเพื่อเป่ยฮั่น นั่นก็ไม่ยุติธรรมต่อแคว้นฉู่ แต่หาก
ช่วยแคว้นฉู่ ก็จะอกตัญญูต่อเป่ยถังชิ่ง”

ฉีหนิงคิดในใจว่าหากเป็นปกติ สิ่งที่ช่ อ
ื ตันเหมยพูดมานั้นมัน
ถูกต้อง เพียงแต่เขาไม่สามารถยอมรับเป่ยถังชิง่ เป็นพ่อของเขาได้ เลย
พูดไม่ได้เต็มปากว่าอกตัญญู

“มันก็เหมือนตอนที่ข้าชิงเอาพิณเฟิงหวงจากวังหลวงแคว้นฉู่ไป
นั่นแหละ ตอนนั้นข้าไม่ยุติธรรมกับเจ้า แต่ว่า ...... เฮ้อ หากข้าไม่ทํา
แบบนั้น ข้าก็อกตัญญูต่อท่านเจ้าเกาะเหมือนกัน เจ้าจะให้ข้าเลือก
ยังไง?” ชื่อตันเหมยพูดแบบเศร้าๆ “ตอนนั้นข้าก็คิดอยู่ว่า หากไม่ใช่
ท่านเจ้าเกาะ ข้าคงไม่อยู่มาถึงวันนี้ การเอาพิณไปมอบให้เขาได้ ก็ถือว่า
ได้ตอบแทนบุญคุณทั้งหมดของเขา แล้วค่อยกลับมาไถ่โทษกับเจ้า”

ฉีหนิงยกมือขึ้นมากอดเอวของชื่อตันเหมย แล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าเข้า


ใจความลําบากใจของเจ้าแล้ว” เขาคิดแล้วถามว่า “แล้วท่านเจ้าเกาะ
เคยพูดถึงเรื่องสัตว์เทวะกับเจ้าบ้างไหม?”
เล่มที่ 49 บทที่ 1445 เรืออูเผิง

ชื่อตันเหมยพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “ทําไมจู่ๆ ถึงได้ถามเรื่อง


ของสัตว์เทวะขึ้นมา?”

ฉีหนิงพูดว่า “ก็แค่สงสัยน่ะ ตอนนั้นแม่นางถังบอกข้าว่า บนโลก


ใบนี้น้ันมันมียาวิเศษอยู่สามอย่าง ยาเม็ดเสวียนอู่น้ันคืออันดับหนึ่ง ได้
ยินมาว่ามันสามารถทําให้อายุยน
ื ได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า”

“ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนนะ” ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้าพูดถึง


สัตว์เทวะเสวียนอู ข้าเลยนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง”

“หือ?

“ข้าจําได้ว่ามันน่าจะเป็นเมื่อสิบปีก่อน จู่ๆ ท่านเจ้าเกาะให้ไปเชิญ


ท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งมาที่เกาะ” ชื่อตันเหมยยิม
้ แล้วพูดว่า “แต่ก็ไม่ได้ไป
เชิญดีดีหรอกนะ พ่อลูกสองคนนั้นถูกปิดตาตลอดทาง พวกเขาไม่รูด
้ ้วย
ซ�าว่าตัวเองมาที่เกาะไป๋อวิน ช่วงนั้นร่างกายของท่านเจ้าเกาะไม่ค่อย
จะดีนัก ข้าอยู่ดแ
ู ลข้างๆ ตลอดเวลา จําได้ว่าเหมือนท่านเจ้าเกาะจะ
ตามเขามาถามเรื่องของสัตว์เทวะกับคนนั้นโดยเฉพาะ”
ฉีหนิงมีสติข้ึนมาทีเดียว แต่ก็ยังถามต่อว่า “เชิญมาเพื่อถามเรื่อง
ของสัตว์เทวะโดยเฉพาะนั้นเหรอ?”

ชื่อตันเหมยยิม
้ แล้วพูดว่า “ผู้เฒ่าคนนั้นมีช่ ือเสียงมากในตงไฮ่ ได้
ยินมาว่าเป็นนักปราชญ์ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รู้เกือบหมดเลย ยังมีคนบอก
ว่าเขาเป็นบัณฑิตใหญ่ แต่ว่านิสัยดื้อรั้นหัวแข็ง” พอพูดถึงตรงนี้นางก็
หัวเราะ

ฉีหนิงพูดอย่างแปลกใจ “มีอะไรเหรอ?”

“ผู้เฒ่าคนนั้นจะเป็นบันทิตหรือเปล่าข้าไม่รู้หรอกนะ แต่ว่าวันนั้น
เขาพบท่านเจ้าเกาะ ท่านเจ้าเกาะเอ่ยปากพูด ผู้เฒ่าคนนั้นกลับไม่รู้เลย
ว่าท่านเป็นใคร คุกเข่าผงกหัวกลัวแบบสุดๆ ไปเลย เห็นว่าเขาเป็นคน
หัวแข็งมาดเยอะ แต่พอเจอเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่เป็นท่าเลย” ชื่อ
ตันเหมยหัวเราะตาเป็นเสี้ยวพระจันทร์เลย “แต่ว่าสัตว์เทวะเสวียนอู่
ตาเฒ่านั่นกลับพูดเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ เขาบอกว่าเขาอ่านตํารามา
หลายเล่ม เคยเห็นบันทึกว่ามันมีอยู่จริง เหมือนผ่านไปทุกๆ สิบกว่าปี
มันจะปรากฎออกมาครั้งหนึ่ง ข้ายังจําได้ว่าเขาบอกว่าเคยไปสอบถาม
ชาวประมงที่เคยเห็นสัตว์เทวะมาก่อนด้วย พูดซะเป็นจริงเป็นจังเลย
ตอนนั้นข้าเชื่อเลยนะ”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “แล้วตอนนี้ล่ะยังเชื่ออยู่หรือเปล่า?”
“ข้าอยู่ตงไฮ่มาก็นานหลายปีแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นเลยนะ” ชื่อตัน
เหมยพูดว่า “ทะเลกว้างใหญ่ ในทะลมีสัตว์อยู่ต้ังมากมาย หาก
ชาวประมงนั่นเห็นสัตว์พวกนั้น แล้วอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสัตว์เท
วะ มันก็เป็นไปได้”

ฉีหนิงพูดว่า “ดูท่าทางท่านเจ้าเกาะจะสนใจสัตว์เทวะเสวียนอู่
มากเลยนะ”

ชื่อตันเหมยลังเล แล้วพูดว่า “ถึงแม้ท่านเจ้าเกาะจะเป็นถึงต้า


จงซือ แต่ว่าร่างกายของท่านอ่อนแอมากนะ เว้นระยะ อาการก็จะ
กําเริบ แต่จะไม่ยอมบอกอะไรมาก ไม่ยอมให้เราไปตามหมอมาดูด้วย
คิดว่าเขาน่าจะรูว
้ ่าร่างของเขาไหวหรือไม่ไหว หากสัตว์เทวะนั่นมีอยู่จร
อง ยาเสวียนอู่ก็ต้องมีอยู่จริง ท่านเจ้าเกาะอาจจะคิดอยากจะได้ยา
เสวียนอู่ มารักษาตัวก็ได้นะ”

ฉีหนิงคิดในใจว่าเหล่าต้าจงซือพยายามปิดบังอาการบาดเจ็บของ
ตัวเอง แต่ว่าชื่อตันเหมยอาศัยที่เกาะมานานหลายปี อย่างน้อยก็พอ
มองออกอยู่บ้าง

ฉีหนิงคิด รู้ว่าประเด็นนีจ
้ ะคุยลึกกว่านี้ไม่ได้ เขากอดเอวของนาง
เอาไว้แล้วพูดว่า “รีบนอนเถอะ หลับสักตื่นก็เช้าแล้ว”
“ถ้าเจ้าไม่ชวนคุย ข้าก็หลับไปแล้ว” ชื่อตันเหมยกัดริมฝีปาก แล้ว
ขยับเข้าใกล้ฉีหนิงไปอีก “ตอนนี้เจ้าคิดจะนอนก็นอนเลยเหรอ? ไม่
สนใจข้าเลยว่างั้นเถอะ” ระหว่างที่พูด ฉีหนิงรู้สึกว่านางยกข้าขึ้นมา
เกี่ยวขาของเขา เหมือนตั้งใจถูไถ จิ้งจอกสาวตัวนี้ย่ว
ั ยวนเขามาก นาง
กระซิบข้างหูฉห
ี นิงว่า “ข้า ...... อยาก ......” ฉีหนิงถูกนางยั่วจนตัวร้อน
ผ่าวหมด เขาเลยจับนางกดกับพื้น

เช้าวันต่อมา ฉีหนิงออกมาเอาอาหารเช้า

ขึ้นเรือสินค้ามา ค่าจ้างก็ไม่ได้นอ
้ ยๆ แต่เหมาอาหารสามมือให้ด้วย

เมื่อคืนทั้งสองคนก็ไม่กล้าทําอะไรเสียงดังมาก ทําทุกอย่างเบามาก
ชื่อตันเหมยยังนอนไม่อ่ิม แต่ฉห
ี นิงยังบังคับลากนางลุกขึ้นมากินอาหาร
เช้า เพิ่งจะวางตะเกียบลง ก็ได้ยน
ิ เสียงฝีเท้าคนวิ่ง แล้วก็มีคนตะโกนว่า
“เร็วเข้า เร็วเขา รีบเร่งมือ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เห็นแล้วนะ”

ฉีหนิงรู้สึกแปลกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเปิดห้องออกไป ก็


บังเอิญเจอคนเรือวิ่งผ่านมาพอดี ฉีหนิงดึงแขนเขาไว้ คนๆ นั้นพยายาม
สะบัดมือของเขาให้หลุด แต่ฉีหนิงกลับจับแน่นมาก เขาคิดจะหนีก็หนี
ไม่ได้ เขาเลยพูดด้วยความโมโหว่า “ทําอะไรของเจ้า? ปล่อยข้านะ”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เจ้าก็ไปดูเองสิ” คนๆ นั้นไม่พด
ู ดีด้วย “บนทะเลมีเรือหน้าต่าง
แปลกๆ กําลังล่องมา”

ฉีหนิงปล่อยมือ คนๆ นั้นก็รีบวิ่งออกไปทันที ฉีหนิงหันไปหาชื่อตัน


เหมยแล้วพูดว่า “ข้าไปดูก่อนนะว่าเกิดอะไรขึ้น” จากนั้นเขาก็เดิน
ออกไป แล้วก็ปด
ิ ประตู จากนั้นก็เดินไปที่หัวเรือ เขาเห็นหัวเรือมีคนกว่า
สิบคน กําลังเกาะขอบเรือแล้วมองออกไปด้านนอก

ฉีหนิงแปลกใจมาก เขาเองก็เดินไปเกาะขอบเรือ แล้วมองตามไป


เขาเห็นทางทิศตะวันนตกเฉียงเหนือมีเรือลําหนึ่งจริงๆ รูปแบบของเรือ
ลํานั้น มันเหมือนเรือกอูเผิง มีกางผ้าใบ กําลังล่องไปทางทิศตะวันออก
เฉียงใต้ หรือก็คือมุ่งหน้ามาทางเรือสินค้า

เรือลํานั้นอยู่ห่างไม่ไกลนัก แต่ไม่นาน เรือทั้งสองลําก็จอดข้างกัน

มันคือทะเล เรือประมงทําได้แค่ออกจากฝั่งไม่ไกลมากเพื่อหาปลา
คิดจะออกห่างจากฝั่งกว่านั้น เรือประมงทั่วไปทําไม่ได้แน่นอน ต้องเป็น
เรือใหญ่ ไม่อย่างนั้นหากเจอพายุ เรือประมงทั่วไปที่มีลักษณะเล็กมัน
จะถูกซัดแตกหมด เรืออูเผิงหากเดินตามเส้นทางปกติก็ไม่เป็นไร แต่
หากอยูใ่ นทะเลแบบนี้ มันหาได้ยากมาก วันนีอ
้ ากาศดี แต่หากมีพายุ
เข้า เรือนั่นอันตรายมาก เพราะแบบนี้ พวกคนเรือถึงได้แปลกใจตื่นเต้น
กันมาก คงคิดไม่ถึงว่าจะมีเรือเล็กกล้ามากลางทะเลแบบนี้ ตอนนี้
อากาศยังดี แต่หากผ่านไปเกิดพายุก็คงแย่แน่นอน
พวกคนเรือไม่ได้กังวลว่าจะมีใครมาปล้น

ทะเลแถบนี้ไม่ค่อยมีโจรสลัด ต้องยกความดีความชอบให้กับ
กองทัพเรือตงฉี กองทัพของเสินถูหลัวยอดเยี่ยมมากสามารถคุมพวก
โจรสลัดอยู่หมัดเลย อีกอย่างเสินถูหลัวเองก็ไม่มีปรานีอะไรกับพวกโจร
สลัดเลย หากจับตัวได้ ไม่ว่าชายหญิงเด็กเล็กหรือคนแก่ เขาสั่งฆ่าทันที
เพราะความเด็ดขาดของเขา เลยทําให้พวกโจรสลัดไม่กล้ามาในย่านนี้
เลย

“พวกเจ้าดูน่น
ั สิ” มีคนพูดอย่างตกใจ “บนหัวเรือ ..... หัวเรือ
เหมือนจะมีคนถูกมัดอยู่นะ”

คนๆ นั้นสายตาดีใช้ได้เลย คนที่ใช้ชีวิตบนทะเล สายตาดีเป็น


ส่วนมากอยู่แล้ว คนอื่นเองก็มองเห็นเช่นกัน บนหัวเรืออูเผิง มีเสาปักอยู่
เสานั่นไม่สูงมาก แต่ว่าบนเสามีคนถูกมัดอยู่

สายตาของฉีหนิงดีกว่าคนอื่นมาก เขามองเห็นชัดมากกว่านั้น บน
เสามีคนถูกมัดเอาไว้จริงๆเชือกมัดแน่นหนามาก คนๆ นั้นไม่ขยับตัว
เลย เพียงแต่มองไม่เห็นหน้าเท่านั้น ไม่ใช่เพราะว่ามันไกล แต่เพราะคน
นั้นถูกเอาผ้ามาคลุมหัวเอาไว้

เรืออูเผิงล่องอยู่กลางทะเล ยังมีคนถูกคลุมหัวมัดไว้ที่หัวเรือ
สถานการณ์แบบนี้ ทําให้ฉห
ี นิงตกใจมาก
“สถานการณ์ไม่ดีแล้ว” ชายร่างกายกํายําที่เป็นหัวหน้าคนเรือพูด
ขึ้นมา “ทุกคนระวังตัวให้ดี อูโถว เจ้าพาคนไปจัดการเจ้านั่นที”

คนผอมๆ สูงๆ อีกคนรับปาก แล้วก็พาคนออกไปหยิบอาวุธมา

ฉีหนิงคิดในใจว่าบนเรือที่เขาจ่ายค่าจ้างนั้นเป็นแค่เรือขนสินค้า
อีกฝ่ายเป็นแค่เรืออูเผิงลําเล็กๆ ไม่มีทางเป็นโจรสลัดไปได้ นอกจากว่า
คนบนเรือมีคนที่อีกฝ่ายกําลังตามหาอยู่ ไม่อย่างนั้นเป้าหมายของอีก
ฝ่ายคงไม่ใช่เรือลํานีแ
้ น่นอน

บนเรือลํานี้ นอกจากคนเรือกับผู้ร่วมเดินทางอีกไม่กี่คน ก็ไม่มี


บุคคลสําคัญอะไรอีก ตอนนี้บนเรือ ฉีหนิงลองสังเกตดูแล้ว หากพวก
เขามีอะไรที่แตกต่างออกไป อย่างน้อยเขาก็ต้องดูออก

หากบนเรือมีคนที่มีฐานะแตกต่าง ก็มแ
ี ค่เขาคนเดียวเท่านั้น
ในตอนนี้

แต่ต้ังแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ฉีหนิงปกปิดฐานะตลอด เพราะมันไม่ใช่


แคว้นฉู่ ฉีหนิงทําอะไรระวังตัวมาตลอด เขาก็ไม่ได้ทําอะไรให้เขาจับ
ช่องโหว่ได้ ไม่มท
ี างมีใครรู้ว่าเขาอยู่บนเรือลํานี้

เรืออูเผิงกําลังเข้ามาใกล้ๆ ตอนนี้ฉห
ี นิงแขนเกร็งมาก เขาหันไป
มอง เห็นชื่อตันเหมยแต่งตัวเสร็แล้ว มาดึงชายแขนเสื้อเขา ฉีหนิงส่ง
สายตาให้นางมองไปที่เรือลําเล็ก ชื่อตันเหมยเองก็เห็น สายตาของนาง
รู้สึกแปลกใจมาก

พวกคนเรือพาคนพกมีดมาหลายคน แต่ไม่ได้เอาออกจากฝัก แล้ว


ก็เกาะเตรียมพร้อมที่ขอบเรือ รอคําสั่งจากหัวหน้าคนเรือเท่านั้น

เห็นเรือลํานั้นกําลังหเข้ามาใกล้ มีคนออกมาจากตัวเรือ คนๆ นั้นดู


ท่าทางคล่องแคล่ว เขาปรับผ้าใบหางเสือ เรือมีการปรับทิศทางเล็กน้อย
หัวหน้าคนเรือเห็นดังนั้น สีหน้าก็ค่อยๆ อ่อนลง อีกฝ่ายทําแบบนี้ แสดง
ว่ากําลังหลบเรือใหญ่ เหมือนไม่ได้มีเจตนาร้าย

เรือเล็กอยู่เทียบใกล้ๆ เรือใหญ่ ไม่ได้ไกลมาก บนเรือเป็นยังไงเห็น


ได้ชด
ั มาก

คนที่อยู่บนหัวเรือถูกมัดเอาไว้จริงๆ นอกจาเขาแล้ว ก็มค


ี นบังคับ
เรือ เขาสวมหมวกก้มหน้า คนบนเรือสินค้ามองลงไป แต่ไม่มใี ครเห็น
หน้าของคนๆ นั้นเลย เรืออูเผิงมันเหมือนปิดมิด ไม่รู้ว่าบนเรือนั้นมีกี่คน

ฉีหนิงกําลังสงสัย แต่ทันใดนั้นเองแขนของเขาก็เหมือนจะแน่นๆ
ชื่อตันเหมยจับมือของเขาไว้แน่น ฉีหนิงมองไปที่นาง เห็นสีหน้าของ
นางเต็มไปด้วยความตกใจ ร่างกายของนางสั่น ฉีหนิงรู้ทันทีว่า
สถานการณ์ไม่ปกติแน่ เขาเลยถามว่า “เป็นอะไรไป?”
ชื่อตันเหมยจ้องไปที่คนที่อยู่บนเสาไม่กระพริบตาเลย ปากของ
นางขยับ เสียงของนางสั่นมาก “ศิษย์พไี่ ป๋ นั่น ...... นั่นศิษย์พี่ไป๋”

ฉีหนิงตะลึงไป เขายังคิดตามไม่ทัน แต่ว่าชื่อตันเหมยกลับเดินขึ้น


หน้าแล้ว ฉีหนิงเดาออกว่าชื่อตันเหมยคิดจะทําอะไร เขาจับมือของนาง
เอาไว้ แล้วพูดว่า “ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าทําอะไรวู่วาม”

“รองเท้า” ชื่อตันเหมยยกมือชีไ้ ปที่รองเท้า “นั่น ...... ลายบนรองเท้า


นั่น ข้าเป็นคนปัก นั่นมันรองเท้าของศิษย์พี่ไป๋ ......”
เล่มที่ 49 บทที่ 1446 เชิญขึ้นเรือ

เรืออูเผิงค่อยๆ ล่องผ่านเรือขนสินค้าไป หัวหน้าคนเรือเห็นอีกฝ่าย


ไม่ได้มีเจตนาร้าย ก็เลยวางใจ

เพียงแต่เห็นมีคนถูกมัดบนเรือ หลายคนบนเรือก็รู้สก
ึ แปลกใจ แต่
คนเรือมีคําที่ต้องคํานึงตลอดเวลาที่อยูบ
่ นทะเล ถ้าเขาไม่หาเรื่องเราก็
ไม่ควรไปยุ่งกับเขา ไม่ว่าจะเป็นคนหรือว่าเกิดเรื่องอะไร ก็ห้ามไปยุ่ง
เกี่ยวเด็ดขาด

เรืออูเผิงมาอย่างแปลกๆ ในเมื่อหัวหน้าคนเรือรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พุ่ง
เป้ามาที่เรือสินต้า เขาก็เลยไม่ไปยุ่งด้วย

แต่ว่าสถานการณ์ของฉีหนิงกับชื่อตันเหมยนั้นแตกต่างไป

ฉีหนิงเข้าใจ “ศิษย์พี่ไป๋” ที่ช่ อ


ื ตันเหมยพูดถึงนั้น หมายถึงไป๋อวี่
เฮ่อ

ไป๋อวี่เฮ่อมีพรสวรรค์ในเพลงกระบี่มาก ตอนนี้เขาอยู่ในอันดับ
ต้นๆ ของมือกระบี่เลย เขากับชื่อตันเหมยมาจากเกาะไป๋อวินเหมือนกัน
ถือเป็นคนร่วมสํานัก แต่ว่าเมื่อปีก่อนไป๋อวี่เฮ่อถูกไล่ออกจากสํานัก ฉี
หนิงยังได้เจอเขาอยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวง เขารู้ว่าไป๋อวี่เฮ่อตาม
เป่ยถังเฟิงไปที่ซีเป่ย หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้ขา่ วอะไรอีกเลย

หากมีคนบอกว่าไป๋อวี่เฮ่อถูกจับมัด ฉีหนิงให้ตายก็ไม่มีทางเชื่อ แต่


ว่าสิ่งที่เขาเห็นในตอนนีม
้ ันคือความจริง มันทําให้ฉห
ี นิงตกใจมาก

ฉีหนิงเริ่มแรกยังจําไม่ได้ว่าเขาคือไป๋อวี่เฮ่อ อีกทั้งเขาก็ไม่มีทางนึก
ถึงหรอกว่าเขาจะถูกจับ แต่ช่ อ
ื ตันเหมยยืนยัน ฉีหนิงย้อนกลับไปมองดี
ดี ก็มองโครงร่างออก

เขาตกใจมากจริงๆ เพราะไป๋อวี่เฮ่อถูกจับมัด ยิง่ ไปกว่านั้นคงไม่มี


ใครนึกถึงว่าจะทีคนจัดการกับเขาได้ ใครกันที่ทําแบบนี้ได้?

เพลงกระบี่ของไป๋อวี่เฮ่อร้ายกาจทาก เขาเองก็เหย่อหยิง่ หาก


ไม่ใช่ค่ต
ู ่อสู้จริง ก็มแ
ี ต่ตายสถานเดียว ไม่มีทางยอมให้หยามเกียรติแบบ
นั้นแน่

คนที่สามารถจับตัวไป๋อวี่เฮ่อได้ แสดงว่าไป๋อวี่เฮ่อไม่สามารถทํา
อะไรได้จริงๆคงไม่มีแม้แต่โอกาส

ทันใดนั้นเองเรืออูเผิงก็ค่อยๆ ออกห่างไป ชื่อตันเหมยไม่มีทางนิ่งดู


ดายได้ นางพูดว่า “นั่นจะต้องเป็นศิษย์พี่ไป๋แน่ๆ ข้า ...... ข้าจะต้องไป
ช่วยเขา”
“แต่ว่าเจ้ารู้เหรอว่าใครจับเขาเอาไว้?” ฉีหนิงพูดเสียงให้เบาที่สุด
“คนที่จับเขาเอาไว้ได้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน”

“ข้าไม่สน” ชื่อตันเหมยพยายามสะบัดมือให้หลุด แล้วดีดตัวลอย


ไปที่ขอบเรือ คนรอบๆ ตกใจมาก ชื่อตันเหมยว่องไวมาก ตอนนี้นาง
เหยียบไปที่ขอบเรือนางเดินไปสองสามก้าวแล้วกระโดดตัวไปบนเรืออู
เผิง ในเวลานี้เอง ก็เห็นด้านหลังผ้าของเรืออูเผิง เหมือนมีของลอย
ออกมา มันไวมาก ซัดมาที่ช่ อ
ื ตันเหมย ชื่อตันเหมยหน้าเสียไป นางลอย
อยู่กลางอากาศ ทําให้หลบไม่ทัน นางโดนของนั่นซัดเข้าเต็มเปา ทําให้
นางปลิวลอยกลับมา กําลังจะตกลงมาที่พ้ น
ื เรือสินค้า ฉีหนิงก็มาโอบ
เอวนางเอาไว้ ทําให้ไม่กระแทกลงมาที่พ้ น
ื แต่ว่าชื่อตันเหมยก็ยังคง
กระอักเลือดออกมาอยูด
่ ี

ฉีหนิงตกใจมาก คนบนเรือก็ต่างหน้าเสียไป

ฝีมือของชื่อตันเหมย ทําให้ท้ังเจ้าของเรือแล้วก็ทุกคนตกใจ คิดไม่


ถึงว่าผู้ร่วมทางของพวกเขาจะมีคนที่รา้ ยกาจขนาดนี้ จนมีของลอยมา
ซัดชื่อตันเหมย เห็นนางกระอักเลือด ก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม คนเรือที่มีอาวุธ
กําดาบไว้แน่น ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจขนาดนี้ มีหลายคนที่
ออกมามุ่งดูเหตุการณ์เริม
่ หวาดกลัวต่างวิ่งกลับไปที่ที่พก
ั ของตัวเอง

“เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” ฉีหนิงสะดุ้งหนักมาก เขารู้ดีว่าวรยุทธ์ของชื่อ


ตันเหมยเป็นยังไง นางถือเป็นยอดฝีมอ
ื คนนึง ถึงแม้จะลอยอยู่กลาง
อากาศ แต่ด้วยความสามารถของนาง จะหลบมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่า
สิ่งที่ซัดออกมาจากเรืออูเผิง มันเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ฉีหนิงเห็นแค่มันวิ่ง
ผ่านมา เตือนยังไม่ทัน มันก็ซัดเข้าตัวของชื่อตันเหมยแล้ว เขาเป็นห่วง
นางมาก คิดในใจว่าคนที่อยู่บนเรือนั่นน่าจะเป็นยอดฝีมือแน่ๆ

“ไม่ ...... ไม่ใช่อาวุธลับ กํา ....... กําลังภายในแก่กล้ามาก” สายตา


ของชื่อตันเหมยตกใจมาก “ข้าไม่เป็นไร ...... ไม่เป็นไรมาก ......” ฉีหนิง
พบว่า มันมีแก้วเหล้าใบหนึ่งตกอยู่

แก้วนั่นทําจากกระเบื้อง มันขาวมาก ไม่มล


ี ายอะไร

อีกฝ่ายซัดแก้วเหล้าออกมา ไม่เพียงสามารถโจมตีช่ อ
ื ตันเหมยได้
ทันที อีกอย่างยังคํานวณระยะการตกของคนบนเรือ นี่มันไม่ใช่แค่ฝีมือ
ร้ายกาจ แต่ว่ามีการคํานวณกะเกณฑ์ที่น่ากลัวมากอีกด้วย

ผ้าม่านบนเรืออูเผิงยังไม่เปิดออก คนภายในเรือลํานั้นไม่ได้คิดจาก
ระยะของเรือ แต่เขาตัดสินตามความรู้สึก

ฉีหนิงถามต่อให้เขาฝึกอีกสักปี ก็ไม่มีทางทําได้แน่นอน

“ข้าไม่ได้เชิญพวกท่านขึ้นเรือ ต่อให้พวกเจ้าเป็นเทพเจ้าบน
สวรรค์ ก็ไม่มีทางได้เหยียบขึ้นมาได้” มีเสียงที่อ่อนโยนมากเสียงหนึ่งดัง
ขึ้นมา “แต่หากข้าเชิญให้พวกเจ้าขึ้นเรือมา ต่อให้พวกเจ้าจะไม่ข้ึนก็
ไม่ได้เหมือนกัน”
เสียงนั่นทําให้ทก
ุ คนหันมองหน้ากัน เหมือนจะตกใจมาก

เอาคนมัดไว้บนหัวเรือ ฝีมือร้ายกาจมาก หลายคนคิดว่าคนบนเรือ


จะต้องเป็นคนไม่ดีแน่นอน ใครจะคิดว่าเป็นผูห
้ ญิง

เสียงนั้นฟังแล้วดูอ่อนหวานมา แค่คําพูดเดียว ก็รู้แล้วว่าเป็น


ผู้หญิง

ฉีหนิงเองก็รู้สก
ึ แปลกใจ รู้สึกว่าลมหายใจของชื่อตันเหมยนิง่ สงบ
มาก น่าจะไม่มป
ี ัญหาอะไร คิดในใจว่าอีกฝ่ายลงมือทําร้ายชื่อตันเหมย
อีกทั้งยังจับไป๋อวี่เฮ่อมัดเอาไว้ที่หัวเรือ เขาไม่ควรจะทําอะไรวู่วาม

ไป๋อวี่เฮ่อไม่ขยับตัว เหมือนกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของเสา ไม่รู้


เรื่องที่เกิดขึ้นเลย

“ทําไม ..... ทําไมต้องทําร้ายศิษย์พี่ไป๋ด้วย?” ชื่อตันเหมยพูดด้วย


ความโกรธ “เจ้าเป็นใคร?”

เรืออูเผิงหยุดเคลื่อนไหว ภายในเรือก็เงียบไป ได้ยินผูห


้ ญิงคนที่พูด
เมื่อกี้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นคนของเกาะไป๋อวิน
เหมือนกันนี่เอง ดีจังเลยนะ ข้าจะได้พาพวกเจ้าไปพบท่านเจ้าเกาะหม้อ
พร้อมกันเลย”
ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าหรือว่าเขาจับไป๋อวี่เฮ่อเพื่อไปพบเจ้า
เกาะไป๋อวินหม้อหลันชาง?

ไป๋อวี่เฮ่อคือต้าจงซือ เกาะไป๋อวินสําหรับเขามันคือสถานที่
ต้องห้าม หาไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เกาะไป๋อวินเลยแม้แต่
ก้าวเดียว

ถึงแม้จะบอกว่าไป๋อวี่เฮ่อถูกไล่ออกจากสํานักแล้ว แต่ว่าไป๋อวี่เฮ่อ
ยังไงก็เป็นคนของเกาะไป๋อวิน กล้าลงมือกับเขาถือว่าใจกล้ามากแล้ว
เขายังคิดจะไปที่เกาะไป๋อวินด้วย ไม่รู้ไปกินดีหมีอะไรมา

ในโลกนี้ ใครจะกล้าบุกไปที่เกาะไป๋อวิน?

ฉีหนิงขมวดคิ้วหนักมาก เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีเงื่อนงํา หาก


ใครบนโลกนี้ที่กล้าไปที่เกาะไป๋อวิน เกรงว่าจะมีแต่ต้าจงซือเท่านั้นแล้ว
ล่ะ

ฝ่าอ๋องกับเจ้าลัทธิตายแล้ว ตอนนี้เหลือเจ้าเกาะ เทพกระบี่ แล้ว


ก็มู่อวินโหวสามคนเท่านั้นที่เป็นต้าจงซือ นอกจากนีย
้ ังมีตี้ฉานอีกคน
ฉีหนิงําม่กล้าแน่ใจว่านางจะไปถึงจุดต้าจงซือหรือยัง แต่ว่ามีอย่างหนึ่ง
ที่เขามั่นใจมาก นั่นก็คือนางมีความกล้ามากพอที่จะไปที่เกาะไป๋อวิน

ในเรือลํานั้นเป็นผู้หญิง ไม่มีทางเป็นเทพกระบี่กับมู่อวินโหวแน่
หรือว่าบนโลกนี้ยังมีคนอื่นที่เป็นต้าจงซืออีกงั้นเหรอ?

ทันใดนั้นเองคนเรือของเรืออูเผิงที่สวมหมวกก็เดินหน้ามาสองก้าว
แล้วทํามือเหมือนจะให้ช่ อ
ื ตันเหมยขึ้นเรือมา

ชื่อตันเหมยรู้ดีว่าอีกฝ่ายฝีมือเหนือกว่านาง หากขึ้นเรือไปก็เท่ากับ
ถูกควบคุมเอาไว้ แต่ว่านางจะปล่อยให้ไป๋อวี่เฮ่อตกไปอยู่ในมือของอีก
ฝ่ายไม่ได้เด็ดขาด

อีกอย่างคนๆ นั้น ถึงแม้จะน�าเสียงอ่อนโยน แต่ว่าเมื่อกี้ก็บอกแล้ว


หากใครที่เชิญให้ข้ึนเรือ ไม่ยอมขึ้นก็คงไม่ได้ ต่อให้อยากปฏิเสธคิดว่า
คงไม่สําเร็จแน่

ฉีหนิงลังเล แล้วพูดว่า “ท่านจะไปที่เกาะไป๋อวินอย่างนั้นเหรอ?


ในเมื่อท่านจะไปที่น่ัน ก็ควรจะมีมารยาทหน่อยนะ เอางี้ดีไหมท่าน
ปล่อยศิษย์พี่ไป๋มาก่อน อย่าให้ต้องหมางใจกันเลย หากพบกับท่านเจ้า
เกาะแล้ว มันจะไม่ดีนะ”

เขารู้ดีว่าการที่เขาพูดแบบนี้ อีกฝ่ายไม่ได้เอามาใส่ใจแน่

ในเรือมีเสียง “เอ๊ะ” ดังขึ้นมา จากนั้นก็เงียบไปสักพัก ก็ได้ยินคนๆ


นั้นพูดว่า “เจ้าเองก็ข้น
ึ เรือมาด้วยสิ” เขาเชิญฉีหนิงขึ้ยเรืออูเผิงด้วย

เรืออูเผิงถึงแม้จะเล็ก แต่ว่านั่งห้าหกมันก็ไม่มีปญ
ั หา
ฉีหนิงพอคิดว่าจะต้องกลับไปอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฮ่องเต้น้อย
ฟัง ได้ยน
ิ อีกฝ่ายบอกจะไปที่เกาะไป๋อวิน เขาคิดในใจว่าหากเขาขึ้นเรือ
ไป ก็ต้องไปที่เกาะไป๋อวินอย่างนั้นเหรอ? เมื่อไม่นานมานี่เขาเพิ่งจะฆ่า
โม่อิ่งไป ตอนนีท
้ ่านเจ้าเกาะคิดว่าน่าจะรู้เรื่องแล้ว คราวนี้จะให้ตามไป
ที่น่น
ั ด้วย มันไม่เป็นการรนหาที่ตายเหรอ? หากอยู่นอกเกาะ เจ้าเกาะ
อาจจะยังไว้หน้าเทพกระบี่บ้าง ไม่ทําอะไรเขา แต่เขาไปที่เกาะไป๋อวิ
นเอง มันไม่เป็นการส่งอ้อยเข้าปากช้าง?

“เรากับท่านไม่ได้ไปทางเดียวกัน” ในเมื่อฉีหนิงไม่ไปเกาะไป๋อวิน
เขาก็ไม่มีทางให้ช่ อ
ื ตันเหมยขึ้นเรือไปแน่นอน เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
จะไปเกาะไป๋อวิน เราก็ขอให้ท่านโชคดีล่ะกัน เราคงไม่ไป”

ชื่อตันเหมยมองไปที่ฉห
ี นิง ถึงแม้ฉีหนิงจะยิ้ม แต่ว่าสีหน้าของเขา
ดุมาก เขาส่ายหน้าให้กับนาง ความหมายคือบอกให้นางอย่าวู่วาม

คนในเรือยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเคยบอกแล้ว ถ้าไม่ได้ให้ข้น


ึ เรือ ใครก็
ขึ้นไม่ได้ ถ้าเชิญใครขึ้นเรือ ไม่อยากขึ้นก็ต้องขึ้น ข้าเชิญใครไม่เคยมี
ครั้งที่สอง คราวนี้ข้าจะถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เชิญพวกเจ้าขึ้นเรืออีก
ครั้ง”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “หากเราไม่ข้น
ึ ไปล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นคนบนเรือลํานั้นทั้งหมด ยกเว้นเจ้า จะไม่รอดแม้แต่
คนเดียว” เสียงของคนๆ นั้นอ่อนโยนมาก เสียงที่ไพเราะแบบนั้นกลับ
พูดอะไรที่มันโหดเหี้ยมมาก “พวกเขาจะต้องถูกฝังลงทะเลทั้งหมด
และสิง่ ที่จะเกิดขึ้น มันก็เป็นเพราะเจ้า ที่จริงมันก็ไม่มอ
ี ะไรนะ ในทะเล
มีปลามากมายที่มนุษย์นําไปกิน ตอนนี้ก็ให้คนพวกนีไ้ ปเป็นอาหารของ
พวกมันบ้าง มันก็แค่แลกกันเท่านั้นเอง”

บนเรือเกิดเสียงซุบซิบขึ้น

ฉีหนิงหน้าถอดสี เขารู้ดี อีกฝ่ายเหมือนจะล้อเล่น แต่ว่าเอาจริง


แน่นอน เขาเชื่อ ว่าอีกฝ่ายทําได้แน่นอน

“คิดจะฆ่าเรางั้นเหรอ?” คนเรือที่ร่างกายแข็งแรงมากคนหนึ่งอด
หัวเราะออกมาไม่ได้ “มันก็ต้องดูว่าเจ้ามีปัญญาหรือเปล่า”

คนเรือมีมากกว่าสิบคน ทั้งหมดเป็นคนร่างกายแข็งแรง อีกทั้งมี


อาวุธในมือ เรืออูเผิงเหมือนจะมีแค่ไม่กี่คน สิง่ สําคัญก็คือ หากคนบน
เรืออูเผิงเป็นผูช
้ าย คนบนเรือสินค้าอาจจะกลัวมากกว่านี้ แต่ฟังจาก
เสียงแล้วก็แค่ผห
ู้ ญิงคนหนึ่ง พวกเขาเลยไม่ค่อยกังวลนัก

ฉีหนิงคิดในใจว่าที่คนๆ นั้นพูดมาก็ไม่ผิด ถ้าเป็นคนอื่นที่ได้ยน



ยังไงก็เหมือนเรื่องล้อเล่น

แต่พอคนเรือพูดจบ ฉีหนิงรู้ได้ทันทีว่าแย่แน่ๆ
คนเรือพูดจบ ก็เหมือนคนสวมหมวกลอยตัวขึ้นมา กางแขนออกเหมือน
พญาเหยี่ยว ในมือมีกระบอกไม้ไผ่ ฉีหนิงพูดว่า “ระวัง” เขารู้ว่าคนที่
สวมหมวกบังคับเรือฝีมือต้องไม่ธรรมดาแน่ เขาไม่มท
ี างยอมเห็นคน
บริสุทธิต
์ ้องมารับเคราะห์ด้วย เขากําลังคิดจะไปขวาง แต่ว่ากลับมีของ
ลอยออกมาจากเรือมันเหมือนดาวกระจายซัดมาที่ฉห
ี นิง ฉีหนิงไม่รอช้า
รีบหลบ ของนั้นมันผ่านหน้าเขาไป พร้อมกับการมาถึงของคนสวม
หมวก ที่กระบอกไม้ไผ่ในมือของเขานั้นมันแทงไปคอของคนเรือคนนั้น
เล่มที่ 49 บทที่ 1447 คนในภาพ

คนที่สวมหมวกใช้กระบอกไม้ไผ่แทงทะลุคอ คนข้างๆ ตกใจตา


แทบหลุด ถึงแม้จะมีหลายคนที่ถือดาบอยู่ แต่ว่าตัวของเขาก็แข็งไป
หมด ไม่มีใครกล้าขยับเลย

คนๆ นั้นสะบัดมือ ศพของคนเรือที่ถูกแทงก็ลอยกระเด็นตกไปใน


ทะเล

คนเรือทําอะไรเด็ดขาด ตอนที่เขาสะบัด เขาก็กระโดดลอยกลับไป


ที่เรืออูเผิงด้วย

ฉีหนิงตกมาก คิดไม่ถึงว่าเขาจะฝีมือร้ายกาจมากกว่าที่เขาคิด แต่


ว่ายอดฝีมือแบบนี้ กลับลงมือฆ่าผู้บริสุทธิ์ มันทําให้ฉีหนิงค่อนข้าง
แปลกใจ เขารู้สึกโกรธมาก

แต่เขาก็เข้าใจ คนเรือลงมือฆ่าคน ไม่ใช่เพราะฆ่าง่าย แต่เขากําลัง


พิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาฆ่าคนได้จริงๆ โดยไม่ต้องกังวลอะไร หากเขา
ไม่ข้น
ึ เรือ คนพวกนี้ก็ต้องตายทั้งหมด
สายตาของฉีหนิงเริ่มเย็นชามากขึ้น หากวันนีไ้ ม่ข้น
ึ เรือไป คงต้อสู้
กับคนบนเรืออูเผิง ฉีหนิงยังไม่ม่น
ั ใจว่าจะเอาชนะได้ไหม ต่อให้สไู้ หว
อาจทําให้คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องด้วยต้องมาเดือดร้อน

ถึงแม้คนเรือถูกฆ่า แต่หว
ั หน้าคนเรือกับคนอื่นๆ ไม่มีเวลาให้โกรธ
แค้น แต่พวกเขาหวาดกลัวมากกว่า

ฉีหนิงเห็นชื่อตันเหมย ไม่ต้องพูดอะไรมาก เขาโอบชื่อตันเหมย


แล้วกระโดดขึ้นเรืออูเผิงไป เขายอดเยี่ยมมาก เหยียบลงบนเรือโดนที่
เรือยังไม่เซ ตอนนี้เขาอยู่ใกล้กับไป๋อวี่เฮ่อมาก ส่วนคนเรือก็ยังถือไม้ไผ่
อยู่เหมือนเดิม ยืนอยู่กับไป๋อวี่เฮ่อ

“ไปกันเถอะ” มีเสียงของผู้หญิงดังขึ้นมา คนเรือก็ไม่เสียเวลา เดิน


ไปบังคับเรือต่อ เรืออูเผิงไม่สนใจเรือสินค้าลํานั้นอีก พายเดินหน้าต่อไป

คนบนเรือสินค้าเห็นเรืออูเผิงล่องไปแล้ว อย่าว่าแต่ขยับเลย แม้แต่


พูดก็ไม่มีใครกล้า

ชื่อตันเหมยอยากจะไปเปิดผ้าคลุม อยากจะรู้ว่าไป๋อวี่เฮ่อนั้นเป็น
หรือตาย แต่นางรู้ว่าคนในเรือนั้นร้ายกาจมาก เลยไม่กล้าวู่วาม

คนในเรือไม่ได้พูดอะไรเลย จนกระทั่งไม่เห็นเรือสินค้าแล้ว ถึงได้


ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นชาวแคว้นฉู่ ทําไมถึงมาที่เหลียวตง?”
ระหว่างที่พูดผ้าม่านก็เปิดออก มีคนเดินออกมา
ฉีหนิงเห็นคนๆ นั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาพูดว่า “ทําไม ....
ทําไมถึงเป็นเจ้าล่ะ?”

คนๆ นั้นผิวขาว ผมสยายปกคลุมหลัง ใบหน้าเกลี้ยงเกลางดงาม


มาก สวมชุดกสีขาว ดูไม่แปดเปื้อนเลย ไม่ว่าจะมองจากตรงไหน ก็
เหมือนคนในภาพวาด

ดวงตาใสมีประกายระยิบระยับ

ชื่อตันเหมยมีหน้าตาที่งดงามและสวยงามมากอยู่แล้ว แต่ว่าพอ
อยู่ต่อหน้าคนๆ นั้น เหมือนนางจะตกเป็นรองไปเลย หรือว่าชื่อตันเหมย
จะสวย แต่ก็เป็นความงามแบบมนุษย์ แต่ว่าความงามของคนๆ นี้ มัน
เหมือนเทพนิยาย มันเป็นสองความรู้สก

ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่า จะได้เจอคนที่เขารู้จัก

คนๆ นีค
้ ือคนชุดขาวที่เขาเจอระหว่างทาง เป็นคนที่พาเขาเข้าวัง
เป็นคนที่ให้ฉห
ี นิงได้รู้ว่ามีงูขายักษ์อยูใ่ นวังหลวง แล้วก็ทําให้เขาได้ฝก

คัมภีร์เฉียนหยวน

ภายในร่างกายของฉีหนิงมีพลังชี่เย็น ตอนที่เผชิญอันตราย มันจะ


ออกมาช่วยชีหนิงตลอด เริ่มแรกฉีหนิงไม่รู้เลยว่าพลังชี่นี้มน
ั มาจากไหน
แต่ว่าต่อมาเขาก็คิดจนเข้าใจ มันน่าจะเป็นเพราะคนชุดขาวถ่ายทอด
วิชาคัมภีร์เฉียนหยวนให้เขาแน่ๆ อีกทั้งเขายังกินเลือดของงูขาวยักษ์
เข้าไปอีก ทําให้ร่างกายสะสามความเย็นมาก

ส่วนพื้นฐานกําลังภายในของฉีหนิง ที่จริงก็มาจากพลังชี่นี่แหละ

กําลังภายในของฉีหนิงในตอนนี้ มันได้มาจากพลังหกเทพประสาน
ทั้งหมด แต่เขาดูดกําลังภายในมาจากภายนอก มันกลับเข้ากับพลังชี่
เย็นของเขาได้ดีมาก ด้วยกําลังภายในที่เขามีในวันนี้ คนชุดขาวคือคนที่
มีผลงานมากที่สุด

เพียยงแต่ว่าหลังจากจากกันในครั้งนั้น ฉีหนิงก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย
อีกทั้งฉีหนิงก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของเขามาก่อนด้วย

เขาคิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่า คนชุดขาวคนนั้นจะมาอยู่ตรงหน้าของ


เขาในวันนี้

เขาเจอเรื่องประหลาดมากมาย แต่ในเวลานี้พอเขาพบคนชุดขาว
เขากลับรู้สึกตกใจมาก

พอชื่อตันเหมยได้ยินที่ฉห
ี นิงพูด นางเองก็ตกใจไม่น้อย แอบคิดใน
ใจว่าทําไมฉีหนิงถึงได้รู้จักผู้หญิงคนนี้ได้?

ชื่อตันเหมยมั่นใจในรูปร่างของตัวเองมาก แต่พอเห็นหน้าของคน
ตรงหน้า นางก็เหมือนจะรู้สึกด้อยลงไป นางอดไม่ได้คิดว่าทําไมบนโลก
นี้ถึงได้มีผู้หญิงคนนี้ที่งดงามมากขนาดนี้? หากแค่สวยก็ไม่เท่าไหร่ ที่น่า
กลัวกว่านั้นคือวรยุทธ์ของนางคาดเดาไม่ได้เลย

นางรู้เรื่องในยุทธภพพอสมควร ถึงแม้จะไม่สามารถรู้เกี่ยวกับทุก
พรรคหรือสํานักได้ แต่ว่ายอดฝีมือในยุทธภพนางก็รู้เกือบหมด

นอกจากต้าจงซือแล้ว ชื่อตันเหมยในยุทธภพคนที่มีฝม
ี ือร้ายกาจ
มากที่สด
ุ ก็มีแค่พวกไต้ซือในวัดต้ากวงหมิง แต่ฝีมือของคงฉานไต้ซือนั้น
เหมือนจะสู้คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เลย คนที่มีฝม
ี ือน่ากลัวขนาดนี้ อีกทั้ง
ยังเป็นผู้หญิงด้วย ทําไมนางไม่เคยรู้มาก่อน? หากมียอดฝีมือร้ายกาจ
ขนาดนี้ เจ้าเกาะไป๋อวินไม่มีทางไม่รู้เลย หากเจ้าเกาะรู้ ก็น่าจะมีบอก

คนที่กล้าใส่ชุดขาวแบบนี้มันมีไม่มาก เพราะหากคนที่ผิวคล�า
หน่อย มันจะดูไม่ดีทันที

แต่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่เพียงใส่มน
ั ได้พอดีตัว อีกทั้งยังเข้ากับ
ผิวมากด้วย

ชื่อตันเหมยเห็นหน้าของนางคิดว่าน่าจะประมาณยี่สบ
ิ ห้ายี่สบ
ิ หก
กําลังอยู่ในช่วงเต็มวัย ตอนนี้คนชุดขาวยิ้ม แล้วมองมาที่ฉห
ี นิง จากนั้น
ก็พูดว่า “เราไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ วรยุทธ์ของเจ้าก้าวหน้าไป
เยอะมากเลย” จากนั้นก็เหลือบไปมองชื่อตันเหมย ยิม
้ แล้วพูดว่า “ได้
ยินมานานแล้วว่าท่านเจ้าเกาะมีศษ
ิ ย์สามคน มีหนึ่งคนเป็นสาวงาม
วันนี้ได้เห็น สมคําร�าลือ มิน่าเขาถึงได้ถก
ู ใจเจ้า”

ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่? ทําไมถึงต้อง


ทําร้ายศิษย์พี่ไป๋ด้วย?” นางเหลือบไปมองไป๋อวี่เฮ่อ ไป๋อวี่เฮ่อยังคงไม่
ขยับเหมือนเดิม แอบคิดในใจว่าหรือว่าไป๋อวี่เฮ่อจะตายไปแล้ว คนที่
ผูกมัดหรือว่าจะเป็นศพ? พอคิดแบบนี้ สายตาของนางอคติมาก

“ก็น่าเสียดายนะ” คนชุดขาวพูดว่า “เพราะเขาถือได้ว่าเป็นมือ


กระบี่อันดับต้นๆ ในตอนนี้ อีกไม่นาน เขาก็จะประสบผลสําเร็จ แต่ว่า
นิสัยไม่ดีไปหน่อย ตั้งแต่โบราณนานมา กระบี่เป็นตัวแทนของชนชั้นสูง
คนหยาบสามารถไปฝึกดาบได้ แต่หากได้ฝึกกระบี่ นิสัยก็ควรจะเรียนรู้
กันบ้าง” คนๆ นั้นมองไปที่ไป๋อวี่เฮ่อ แล้วถอนหายใจแล้วพูดว่า “เป็น
มือกระบี่ แต่กลับทําเรื่องแบบที่พวกโจรสกปรกทํากัน เขาก็ไม่สมควร
จะเป็นมือกระบี่อีก”

ระหว่างที่เขาพูด เรืออูเผิงยังคงแล่นอยูบ
่ นทะเล อีกทั้งยังเคลื่อนที่
เร็วพอควรด้วย

ชื่อตันเหมยรู้สก
ึ แปลกใจมาก คิดในใจว่าไป๋อวี่เฮ่อเป็นคนหยิ่ง
ทรนงในศักดิ์ศรีมาก จะทําเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน? นางคิดว่านี่มันคือ
การใส่ความ
ฉีหนิงสงสัยมาก เขาพูดว่า “ท่านถ่ายทอดวรยุทธ์ให้ข้า ข้ารู้สึกซึ้ง
ใจมาก อยากจะหาโอกาสขอบคุณท่านสักครั้ง”

คนชุดขาวยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็ไม่ต้องมาขอบคุณอะไรข้าหรอก
วันนี้ระหว่างทาง เจ้าให้ข้าขึ้นรถไปด้วย ข้าก็ควรตอบแทนอะไรเจ้า
บ้าง” คําพูดเรียบง่ายมาก เหมือนว่าในใจของนาง การถ่ายทอดวิชา
คัมภีร์เฉียนหยวนนั้นมันไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไร

“เพียงแต่เมื่อกี้ท่านสั่งให้คนฆ่าคนบริสุทธิ์ไป มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
นะ?”

คนชุดขาวยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าให้ข้าขึ้นรถ ข้าตอบแทนเจ้าคืนเป็น


สิบเท่า เมื่อกี้คนนั้นพูดจาดูถก
ู ประชดประชัน ก็ต้องได้รบ
ั โทษเป็นสิบ
เท่าเหมือนกัน ปกติข้าแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดมาก หากมีใคร
ล่วงเกินข้า ข้าก็ปล่อยมันไว้ไม่ได้”

ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วถามว่า “ขอถามหน่อยได้ไหมท่านเป็นใคร


กันแน่?”

“จะรีบร้อนไปทําไม” คนชุดขาวยิ้มแล้วพูดว่า “สองสามวันนี้จะ


ไม่มีฝนเลย ไปเกาะไป๋อวินก็ใช้เวลาประมาณสองสามวัน พวกเจ้าก็พก

อยู่ที่หัวเรือนี่แล้วกันนะ” จากนั้นก็เหลือบไปมองไป๋อวี่เฮ่อ แล้วพูดกับ
ชื่อตันเหมยว่า “เขายังไม่ตาย แต่ว่าหากเจ้าแตะต้องแม้แต่ชายเสื้อเขา
เขาจะกลายเป็นศพทันที”

ชื่อตันเหมยรู้ว่าที่คนชุดขาวพูดข่มขูแ
่ บบนี้ ก็เพื่อเตือนไม่ให้นาง
ไปแก้เชือกให้ไป๋อวี่เฮ่อ แต่คนชุดขาวบอกว่า ไป๋อวี่เฮ่อยังไม่ตาย ชื่อตัน
เหมยก็โล่งใจ

คนชุดขาวถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าสวยมากนะ ถือว่างามแบบ


หาได้ยากเลย แต่ว่าหากไม่ทําใจให้สบาย มีแต่ความโกรธความแค้น มัน
จะทําให้เลือดลมไหลไม่ดี จะส่งผลต่อความงามของเจ้านะ ความสวย
ของผู้หญิงมันไม่ย้ังยืนนะ มันแค่ประมาณสิบกว่าปีเท่านั้น เจ้าต้อง
รักษามันไว้ให้ดีนะ” จากนั้นก็มองไปทางฉีหนิง แล้วพูดว่า “เจ้ากลับมา
จากทางเหลียวตง เจ้าไปที่เขาเก้าตําหนักมาเหรอ?”

ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่ารู้เรื่องไม่นอ
้ ยเลย เขาไม่ได้ตอบอะไร
กลับไป

“เขาอยู่ที่เขาเก้าตําหนัก เจ้าได้เจอเขาแล้ว แสดงว่าก็ต้องรู้เรื่อง


ทุกอย่างแล้วสินะ” คนชุดขาวถอนหายใจแล้วพูดว่า “ชาวแคว้นฉู่เลี้ยง
ดูองค์ชายเป่ยฮั่นถึงสิบกว่าปี หาได้ยากเหมือนกันนะ”

“เขา” ที่คนชุดขาวพูดถึง น่าจะหมายถึงเป่ยถังชิ่ง


ฉีหนิงแปลกใจมาก ถึงแม้คนชุดขาวจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่เหมือนว่า
จะรู้ความสัมพันธ์ของเขากับเป่ยถังชิ่ง เขาคิดในใจว่าคนๆ นี้รู้เรื่องมาก
จริงๆ เขากับเป่ยถังชิง่ เป็นพ่อลูกกัน ในโลกนีม
้ ีแค่ไม่กี่คนที่รู้ แล้วคนๆ
นี้ไปรูม
้ าจากไหน

คนๆ นี้เหมือนจะรู้เรื่องของเขาดีทุกอย่าง แต่เขากลับไม่รู้อะไร


เกี่ยวกับคนๆ นี้เลย

ตอนนี้แสงแดดส่องลงมาบนทะเล คนชุดขาวยิ้มอ่อนๆ ไม่ได้พูด


อะไรมากมาย หันหลังเข้าไปในห้องเรือ ตอนที่จะเข้าไป เขาหันมามอง
เห็นฉีหนิงกําลังมองมา ก็ย้ม
ิ หวานให้ แล้วเดินเข้าไปเลย แล้วปล่อยฉี
หนิงอยูต
่ รงหัวเรือ

คนเรือยังยืนอยู่ข้างหางเสือ เขาก็ไม่ได้สนใจสองคนนั้น ยืนเฝ้าอยู่


อย่างนั้น

ชื่อตันเหมยหันไปมองไป๋อวี่เฮ่อ เดินไปสองก้าว ยืนมืออกไปแต่แค่


ครึ่งเดียว ฉีหนิงก็ไอ ชื่อตันเหมยก็ชะงักไป นางคิดถึงคําพูดของคนชุด
ขาวขึ้นมา หากนางแตะต้องตัวของไป๋อวี่เฮ่อแม้แต่ชายเสื้อ ไป๋อวี่เฮ่อ
อาจตายได้ คําพูดของคนชุดขาว ไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน

นางเก็บมือกลับมา ตั้งแต่ลงจากเขามา นางยังไม่เคยรูส


้ ึกทําอะไรไม่ได้
มากขนาดนีม
้ าก่อน ไป๋อวี่เฮ่ออยู่ตรงหน้าของนางแท้ๆ ยื่นมือไปจับก็ถึง
แล้ว แต่นางกลับทําอะไรไม่ได้เลย นางทั้งโกรธทั้งจนใจ นางทําได้แค่
เรียกเขาเบาๆ “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ท่าน ...... ท่านเป็นยังไงบ้าง?”
เล่มที่ 49 บทที่ 1448 เหยียบฉลาม

ไป๋อวี่เฮ่อไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไร

ชื่อตันเหมยร้อนใจมาก ฉีหนิงตบไปที่ไหล่ของนาง แล้วก็ส่งสายตา


ให้ แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก

ชื่อตันเหมยเข้าใจ ตอนนี้ยังไม่รูอ
้ ะไรเกี่ยวกับคนชุดขาวเลย จะทํา
อะไรตอนนี้ไม่ได้ ตอนนี้ทุกคนอยู่บนเรือลําเดียวกัน เพื่อเดินทางไปที่
เกาะไป๋อวิน ยังมีเวลาสองถึงสามวันรอเวลา หาโอกาสลงมือทีหลังก็ไม่
สาย ต่อให้ไม่มีโอกาสลงมือ อย่างน้อยบนเกาะก็มีต้าจงซืออีกคนหนึ่ง
ตอนนั้นค่อยดูสถานการณ์อีกทีก็ไม่สาย

ท้องฟ้าปรอดโปร่ง บนทะเลสงบนิ่งมาก ท้องฟ้าสีครามส่องลงมา


บนทะเล ผิวทะเลเป็นสีคราม ดูสงบ ทําให้คนรูส
้ ึกสงบตามไปด้วย

ภายในห้องเรือคนชุดขาวไม่ได้ออกมาเลย ตอนเที่ยง คนเรือของ


เขาที่ท้ายเรือก็เอาอาหารออกมา มันคือปลาแห้ง เขาเองก็ไม่ได้สนใจ
พวกฉีหนิง นั่นกินปลาแห้งอยู่ท้ายเรือคนเดียว

ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยเห็นดังนั้น คิดในใจว่าอาหารบนเรือคิดว่า
พวกเขาก็คงไม่สนใจ คงต้องหากันเอาเอง
ฉีหนิงมีเงินติดตัว แต่ว่าต่อให้มีเงินมากแค่ไหน คิดว่าคงหาปลา
แห้งจากบนเรืออูเผิงไม่ได้สก
ั ตัวแน่นอน

แต่ว่าทั้งคู่ล้วนแต่เป็นยอดฝีมอ
ื ต่อให้ไม่กินอะไรสักสองสามวัน ก็
ไม่มีอันตรายถึงชีวิต

แต่ว่าในเมื่อคิดจะหาโอกาสลงมือ พวกเขาต้องมั่นใจว่ามีกําลัง
เพียงพอ ไม่กินอะไรหลายวัน ไม่มีอันตรายถึงชีวิตก็จริง แต่มันจะทําให้
กําลังแรงของพวกเขาลดลง ถึงเวลานั้นร่างกายก็จะอ่อนเพลีย คิดจะลง
มือ คิดว่าคงไม่มแ
ี รง

แต่ว่าทะเลใหญ่มาก ในน�ามีถึงแม้จะมีสัตว์นา� มาก แต่ว่าหากจะ


เอาพวกมันขึ้นมา มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่

ฉีหนิงหาไม้ไผ่ได้จากบนเรือ แล้วก็หยิบมีดสั้นพกของเขาออกมา
มัดไว้ตรงปลายทําให้เหมือนหอก จากนั้นก็น่งั ยองๆ อยูท
่ ี่ขอบเรือ รอให้
มีปลาโผล่มา เขาก็จะใช้มันแทงปลาขึ้นมาเป็นอาหาร

ฉีหนิงทําอะไร ขอแค่ไม่แตะต้องไป๋อวี่เฮ่อ คนเรือก็ไม่สนใจเขาเลย


ถือว่าให้อิสระมาก อีกอย่างของบนเรือ ฉีหนิงจะเอาไปทําอะไรก็ได้หมด
แต่ว่ามันก็มแ
ี ค่ไม่กี่อย่าง จะเอาไปใช้มน
ั ก็มไี ม่เยอะ

ถึงแม้จะไม่เห็นปลาเลยตลอดทั้งบ่าย แต่ช่ อ
ื ตันเหมยเองก็ไม่ได้มี
อารมณ์ไปจับปลา
ไป๋อวี่เฮ่อไม่เคยถูกหยามเกียรติมากขนาดนีม
้ าก่อน ชื่อตันเหมยรู้ดี
ว่าเขาทรนงในศักดิ์ศรีของเขาแค่ไหน อย่าว่าแต่การถูกหยามเกียรติ
แบบนี้เลย ต่อให้เป็นการแพ้ในการประลองกระบี่ เขาก็คิดมากนานมาก
หากตอนนี้แก้มด
ั เขาได้ ชื่อตันเหมยไม่รู้เลยว่าเขาจะจัดการกับความ
อัปยศแบบนี้ยังไง

นอกจากนี้ สิง่ ที่ช่ อ


ื ตันเหมยกังวลมากกว่าคือคนชุดขาวนั้นเป็นใคร
กัน

ในใต้หล้านี้ ไม่มใี ครกล้าบุกไปที่เกาะไป๋อวินเลย แต่คนๆ นี้จับตัว


เจ้าไป๋อวี่เฮ่อไปเกาะไป๋อวิน แสดงว่าเขาใจกล้ามาก ชื่อตันเหมยไม่รู้ว่า
ที่คนชุดขาวทําแบบนี้ จะทําให้เกาะไป๋อวินมีภัยหรือเปล่า

หลังจากฟ้ามืดแล้ว คนชุดขาวก็ยังคงไม่ออกมาเหมือนเดิม

พระจันทร์ส่องไปบนทะเล ทําให้มันมีเงาปรากฎออกมาบนผิวน�า
ทะเล

ฉีหนิงถึงแม้อยากจะหารือกับชื่อตันเหมยว่าควรทํายังไง แต่คนชุด
ขาววรยุทธ์ร้ายกาจมาก ตัวเขาต่อให้กระซิบ คนชุดขาวก็ต้องได้ยิน
แน่นอน ทั้งคู่เลยไม่คุยกันดีกว่า
ถึงแม้ทุกอย่างจะเงียบ ไม่มีเสียงอะไรเลย แต่ว่าทั้งคู่ก็ไม่สามารถ
ข่มตานอนได้เลย แต่ว่าคนเรือที่อยู่ท้ายเรือกลับผิงตัวเรือเหมือนจะ
หลับไปแล้ว

ทะเลกว้างใหญ่ แต่ฉห
ี นิงกลับรูส
้ ึกได้ถึงแรงกดดัน สายตายของ
เขามองไปบนทะเล ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นผิวน�ามีการเคลื่อนไหว แสง
จันทร์ส่องลงมา เหมือนปลาตัวใหญ่มากกําลังว่ายอยู่ใกล้ผิวน�า มัน
สะท้อนขึ้นมา ฉีหนิงเห็นดังนั้นก็ต่ ืนตัวขึ้นมาทันที เขาถือไม้ไผ่มัดมีดสั้น
ของเขาเอาไว้ เขาไม่พด
ู มาก เล็งไปที่หัวปลา แล้วก็ขว้างไปที่หัวของมัน

เขาก็ปฏิกิริยาไว แรงเขามากพอ ชื่อตันเหมยเห็นสถานการณ์ไม่


ค่อยปกติ นางเลยรีบหันไปดูด้วย ท่ามกลางแสงจันทร์ เห็นไม้ไผ่ตกลง
ไปในทะเลแต่ว่ามันมีการดีดดิ้นที่รุนแรงมาก จากนั้นก็เห็นหัวปลา
ขนาดใหญ่โผล่ข้น
ึ มา เขี้ยวของมันแหลมมาก มันกําลังพุ่งมาที่เรืออูเผิง

ฉีหนิงเห็นไม้ไผ่มันปักอยู่บนตัวของปลา เหมือนจะบาดเจ็บหนัก
มาก ปลาที่กําลังโมโหอย่างที่สด
ุ กําลังโจมตีมา

เมื่อกี้เขาเห็นหัวปลาโผล่ข้น
ึ มา คิดว่ามันเป็นโอกาสล่าเหยื่อ เขาไม่
มีความลังเล ตอนนี้ปลาตัวนั้นมันกําลังพุ่งมา ฉีหนิงกลับพบว่ามันเป็น
ฉลาม ตัวมันใหญ่มาก เขาสะดุ้ง ฉลามตัวนั้นมันพุ่งมาไวมาก แรงก็เยอะ
มากด้วย มันกําลังจะชนเรืออูเผิง คิดว่าเรือลํานี้มันน่าจะถูกชนแตกและ
จมลงไปในทะเล แล้วผลที่ตามมานั้นยากที่จะนึกภาพได้เลย
ตอนนี้ฉลามกําลังพุ่งมาแล้ว ฉีหนิงคิดอยากจะหาไม้ไผ่อีกอันมา
จัดการกับฉลาม แต่ว่าเขามีไม้ไผ่ในมืออันเดียว ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก
เลย

ชื่อตันเหมยเองก็หน้าเสียไปเหมือนกัน ได้ยินฉีหนิงคําราม เขา


กระโดดลอยตัวขึ้นไปบนตัวของฉลาม ฉลามตัวนั้นคิดไม่ถึงว่าจะมีคน
สามารถเหยียบขึ้นไปบนตัวของเขาได้ มันดิ้นอยู่บนทะเล ฉีหนิงจับหลัง
ของมันเอาไว้ แล้วใช้กําลังภายในของเขาซัดเขาไปที่หัวฉลามอย่างแรง
พริบตาเดียว เขาซัดไปสามถึงสี่หมัด ชื่อตันเหมยพูดว่า “ระวัง”

ฉลามเหมือนจะเจ็บมาก มันจมลงไปใต้ท้องทะเล ชื่อตันเหมยยืน


อยู่ริมเรือ นางร้อนใจมากๆเห็นฉลามพาฉีหนิงลงน�าไป พริบตาเดียวฉี
หนิงก็หายไปเลย

บนผิวน�ายังคงมีการเคลื่อนไหว แต่ไม่นานก็สงบลง แต่กลับมีเลือด


ลอยขึ้นมาจํานวนมาก มันค่อยๆ กระจายตัวออกไป ทําให้รอบๆ มีแต่
กลิ่นคาวเลือด

“ฉีหนิง ฉีหนิง” ชื่อตันเหมยตะโกนเรียกเขา ผิวน�ายังคงนิ่งอยู่ ฉี


หนิงถูกฉลามลากไปที่ไหนแล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้เลย

ชื่อตันเหมยเหมือนจะร้องไห้ออกมาแล้ว ทันใดนั้นเองนางก็เห็นฉี
หนิงโผล่ข้ึนมา เปียกไปหมดทั้งตัว นางเห็นฉีหนิงปลอดภัย นางดีใจมาก
ฉีหนิงวาดมาที่ขอบเรือ แล้วโยนเอาครีบของมันขึ้นมาบนเรือ ชื่อตัน
เหมยยื่นมือไปดึงฉีหนิงขึ้นเรือ พอฉีหนิงขึ้นเรือ ก็ย้ม
ิ แล้วพูดว่า “ฉลาม
ดุมากเลย แต่ว่าของดีนะเนี่ย ......” เขาหยิบครีบฉลามขึ้นมา แล้วพูดว่า
“เจ้าอยู่ตงไฮ่ต้ังหลายปี น่าจะรู้ ครีบปลามันบํารุงได้นะ เป็นของแพง
ด้วย”

ด้านหลังของปลาฉลาม หางปลากับอกปลา ล้วนแต่เป็นจุดที่มีครีบ


อยู่ ฉีหนิงตัดครีบของมันมา มันถือเป็นส่วนที่ใหญ่มากทีเดียว

ชื่อตันเหมยเหมือนจะตกใจมาก “ครีบปลา?”

ฉีหนิงเห็นหน้านางงงมาก ก็เลยเข้าใจทันที ครีบปลาหรือว่าหู


ฉลามในยุคปัจจุบันมันเป็นของมีราคา แต่ว่าในยุคนี้ มันอาจจะไม่ใช่
อาหาร เขาเลยอธิบายว่า “ในนีม
้ ส
ี ารอาหารเยอะมาก เดี๋ยวเจ้าลองดูก็
จะรู้เอง” เขาหันไปมองทะเล เห็นศพฉลามที่เขาฆ่ามันลอยขึ้นมาบนผิว
น�า

ฉีหนิงนั่งยองๆ ลง แล้วเอามีดสั้นตัดครีบปลาให้ช่ อ
ื ตันเหมย แล้ว
พูดว่า “เจ้าลองดูสิ”

ชื่อตันเหมยอาศัยบนเกาะมานานหลายปี กินอาหารทะเลมาก็มาก
แต่ว่านางไม่เคยกินครีบฉลามมาก่อนเลย ทําให้นางทําอะไรไม่ถูก นาง
ไม่ได้คิดจะยื่นมือไปรับมา ฉีหนิงก็ไม่ได้พูดมาก แต่ว่าด้านข้างกลับมีมือ
ขาวเนียนข้างหนึ่งยื่นมา ฉีหนิงหันไปมอง คนชุดขาวไม่รู้ว่ามายืนอยู่
ข้างๆ ตอนไหน ยื่นมือมาเอาครีบปลาไป ฉีหนิงตะลึงไป คนชุดขาวก็เอา
มันเข้าปาก หลับตาลง หลังจากนั้นไม่นาน ก็ยม
้ิ แล้วพูดว่า “ของดีจริง
ด้วย”

ฉีหนิงคิดในใจว่าข้าขึ้นเรือมาตั้งวันหนึ่งแล้ว เจ้าไม่คิดจะเอาน�ามา
ให้กินเลยเขาก็ไม่ว่า แต่ว่าครีบปลาฉลามเขาได้มาอย่างยากลําบาก เจ้า
ยังไม่คิดเกรงใจอีก

“เจ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น” คนชุดขาวยิม
้ แล้วพูดว่า
“ข้ากินของเจ้าไปหนึ่งชิ้น คืนให้เจ้าสิบก็ได้ ถึงเวลานั้นเจ้าคงกินไม่หมด
หรอกมั้ง” ระหว่างที่พด
ู เขาก็มองไปที่ทะเล ฉีหนิงมองตามไป พบว่า
รอบๆ ตัวฉลามตัวนั้นเหมือนจะมีการเคลื่อนไหว พอมองดูดีดี เขาก็สี
หน้าเปลี่ยนไปทันที พริบตาเดียว ศพของฉลามตัวนั้นกก็ถูกฉลามอีก
หลายตัวล้อมเอาไว้แล้ว มีฉลามตัวหนึ่งกําลังอ้าปาก แล้วใช้เขี้ยวกัดไป
ที่ศพของฉลามตัวนั้น

ชื่อตันเหมยพูดว่า “ฉลามพวกนี้ชอบกลิ่นคาวเลือดมาก ขอแค่


รอบๆ นี้ยังมีฉลามอยู่อีก พอได้กลิ่น มันก็จะรีบมาทันทีเลย”

ฉีหนิงตอนนี้ถึงได้สติข้น
ึ มา ตอนนี้เรืออูเผิงมันมีฉลามฝูงใหญ่ว่าย
ไปว่ายมาเต็มไปหมด เห็นศพฉลามกําลังถูกเพื่อนกัดแทะจนเละไปหมด
ฉีหนิงตกใจมาก แอบคิดในใจว่าหากพวกมันกินอิ่มแล้ว พุ่งมาที่เรือ เรือ
ล่มแน่ หลังจมลงไป คงสู้พวกมันไม่ได้แน่

หากมีฉลามแค่สามถึงห้าตัว ฉีหนิงเชื่อว่ากําลังของคนบนเรือนั้น
น่าจะจัดการได้ง่ายๆ แต่ว่าหากมาเป็นสิบจนถึงร้อย ไม่ไหวแน่ๆ

“ครีบฉลามพวกนี้รสชาติไม่เลวเลย” คนชุดขาวพูดว่า “มาเจอ


ฉลามในทะเลแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่หาได้ง่ายๆ วันนี้เราก็มาเก็บเสบียง
เผื่อเอาไว้ดีกว่า” พูดจบก็เห็นคนชุดขาวดีดตัวลอยขึ้นเหมือนเทพเจ้า
แล้วไปอยู่เหยียบบนหลังฉลามตัวหนึ่งท่ามกลางฝูงฉลาม

คนชุดขาวปรากฎตัวขึ้น ฝูงฉลามก็โจมตีเข้าใส่ทันที คนชุดขาว


หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ใช้แรงเหยียบหัวฉลามตัวหนึ่งไปอีกตัวหนึ่ง จาก
อีกตัวไปถึงอีกตัว ลอยไปลอยมา

พริบตาเดียว คนชุดขาวเหยียบฉลามไปถึงสิบกว่าตัว

ที่ทําให้ฉีหนิงรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาก็คือ ฉลามทุกตัวที่ถูกเขาเหยียบ มันจม


ลงทะเลกลายเป็นศพไปทันที ฉลามที่ถก
ู เหยียบตายไม่มีเลือดไหล
ออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว แต่กลับนอนลอยพุงชี้ฟ้าขึ้นมาบนผิวทะเล
ไม่ขยับอีกเลย ฉลามเวลาอยู่ในทะเลนั้นมันดุร้ายมาก คนชุดขาวกลับ
เหยียบมันตายเหมือนว่ามันเป็นมด ทําทุกอย่างง่ายดาย เหยียบฉลาม
ตายไปเป็นสิบตัว
เล่มที่ 49 บทที่ 1449 ทะเลหมอก

ฉีหนิงไม่ได้สนใจเรื่องการฆ่าฉลามมากิน

แต่ว่าผูห
้ ญิงที่ดเู หมือนเทพธิดา กลับลงมืออย่าโหดเหี้ยม เหยียบ
ฉลามตายไปสิบกว่าตัวเหมือนกับเหยียบฝูงมด ทําให้พวกเขารู้สึกตกใจ
มาก ผู้หญิงที่ท่าทางงดงามดั่งเทพธิ เดิมทีไม่ควรแปดเปื้อนด้วยเลือด
ด้วยซ�า

ฉลามสิบกว่าตัวที่มาเพราะกลิ่นคาวเลือด เดิมสามารถกินมื้อใหญ่
ได้ม้ อ
ื หนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งแบบนี้

พอเหยียบฉลามตัวสุดท้ายตาย คนชุดขาวก็ลอยตัวกลับมาที่เรืออู
เผิง สิ่งที่น่าตะลึงกว่านั้นก็คือ นางไม่เปียกเลย

ฉีหนิงถึงกับรู้สก
ึ หนาวไปทั้งตัว เขารู้ว่าคนชุดขาววรยุทธ์น่ากลัว
มาก ตอนนี้สิ่งที่เขาเห็นนั้น มันเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก

“นั่นครีบปลาทั้งหมดเลยนะ” คนชุดขาวยิ้มแล้วพูดว่า “เอามากิน


ได้ท้ังหมดเลยนะ ตัดครีบมันออกมา แล้วตากแห้ง จากนั้นก็ต้มด้วยน�า
ร้อน คิดว่าน่าจะอร่อยไม่แพ้กัน”

ศพของฉลามกว่าสิบตัวลอยอยู่บนทะเล แค่เห็นก็ตัวสั่นแล้ว
ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าคนเรือกลับหยิบถังหยาบออกมาหนึ่งใบ
กระโดดไปในทะเล แล้วตัดครีบลามออกมาทีละตัวแล้วเอามันใส่ถุง
จากนั้นถึงกลับขึ้นมาบนเรืออีกครั้ง

ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยมองหน้ากัน ไม่มใี ครพูดอะไรแม้แต่คนเดียว

เดิมทีฉห
ี นิงยังดีใจมากที่ตัดครีบฉลามมาเป็นอาหารได้ แต่ว่าใน
เวลานี้เขาเหมือนไม่อยากกินอะไรอีกแล้ว ถึงแม้คนชุดขาวจะมีความ
งดงามที่น่าทึ่งมาก แต่นางไม่ได้ให้เกียรติหรือเคารพต่อสิ่งมีชว
ี ิตเลย ฆ่า
คนเป็นผักปลา

ตลอดทั้งคืนทั้งสองคนนอนหลับไม่สนิทเลย รู้สึกว่าคนชุดขาวจะ
ไปเกาะไป๋อวินนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ กว่าจะหลับไปก็ดึกมากแล้วจริงๆ

หลังจากนั้นอีกสองวัน คนเรือก็จะเอาครีบปลาให้ฉห
ี นิงทุกวัน ฉี
หนิงกับชื่อตันเหมยเพื่อให้ร่างกายมีแรงอย่างเต็มที่ เลยจําเป็นต้องกิน
มัน แต่ว่าไป๋อวี่เฮ่อที่ถูกมัดเอาไว้น้น
ั เหมือนจะไม่ได้กินอะไรเลย

วันที่สามช่วงเย็น พระอาทิตย์กําลังจะตกดินแล้ว แสงพระอาทิตย์


ส่องมาบนทะเล ชื่อตันเหมยลุกขึ้นมา ชี้ไปด้านหน้าแล้วพูดว่า “นั่นก็
คือเกาะไป๋อวิน”
เรือกําลังจะเข้าใกล้เกาะแล้ว ฉีหนิงได้กลิ่นหอมๆ ลอยอยู่บนอา
กาษ พอมองไปไกลๆ เห็นบนเกาะไป๋อวินนั้นมีต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว
สดใส มันทําให้บนน�าทะเลเป็นสีมรกตไปด้วย

“เกาะนีไ่ ม่เล็กเลยนะ” ฉีหนิงชมพร้อมกับถอนหายใจ “เจ้าใช้ชีวิต


อยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ”

ชื่อตันเหมยเครียดมาตลอดทาง ตอนนีพ
้ อได้เห็นเกาะไป๋อวินที่
นางคุ้นเคย ใบหน้าของนางก็มรี อยยิ้มขึ้นมา “ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สิบกว่าปี
ทุกซอกทุกมุมของที่นี่ขา้ คุ้นเคยดี บนเกาะมีดอกหญ้าเต็มไปหมดเลย
ข้าปลูกมันเองกับมือ อีกเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปดูนะ บนเกาะยังมีผลไม้ที่
หากินที่อ่ ืนไม่ได้ด้วยนะ”

“ใช้ชีวิตบนเกาะ ก็ดูจะสบายดีนะ”

“ตอนนี้มันเลยฤดูของมันไปแล้ว ถ้ามาเร็วกว่านี้หน่อย ดอกไม้จะ


บานเต็มเกาะสวยมากเลย” ชื่อตันเหมยพูดว่า “แต่ว่ามาในเวลานี้ เป็น
ช่วงผลไม้สก
ุ พอดี”

“มิน่าเขาถึงได้ไม่ค่อยออกจากเกาะ” เสียงของคนชุดขาวดัง
ออกมาจากด้านหลัง “บรรยากาศบนเกาะไม่เลวเลยจริงๆนะ ถ้ารู้เร็ว
กว่านี้ น่าจะเยี่ยมเขาบ่อยๆ หน่อย”
ชื่อตันเหมยได้ยินเสียงนั้น จากเดิมที่พอจะสบายใจขึ้นก็เครียด
เหมือนเดิม

เรืออูเผิงเทียบฝั่ง ชื่อตันเหมยก็รีบพูดกับคนชุดขาวว่า “ถึงเกาะ


ไป๋อวินแล้ว เจ้าจะแก้มัดให้ศษ
ิ ย์พี่ได้หรือยัง?”

คนชุดขาวมองสํารวจเกาะไป๋อวินอย่างอารมณ์ดี หาดทรายสีขาว
ทางหินที่อยู่ไม่ไกลจากฝั่ง หินแกะสลักรูปร่างหน้าตาแปลกๆ พอผ่าน
ทางหินมา ก็เป็นป่าที่มต
ี ้นไม่หนาทึบ สถานการณ์ในเกาะ แทบจะมอง
ไม่ออกเลยว่ามีอะไรในนั้นบ้าง

คนเรือถอดสมอ คนชุดขาวพยักหน้า จากนั้นก็เห็นคนเรือหยิบเอา


แตรสังข์ออกมา แล้วเป่ามันขึ้นฟ้า เขามีกําลังภายในแก่กล้าเหมือนกัน
เป่าแตรได้ดังและกระจายไปไกลมาก

คนชุดขาวยืนอยู่ที่หัวเรือ แล้วมองไปด้านหน้า ฉหีนิงลังเล จากนั้น


ก็จูงมือชื่อตันเหมย กระโดดลงจากเรือ เดินไปบนหาดทราย คนชุดขาว
เองก็ไม่ได้สนใจ

หลังจากเท้าของเขาเหยียบลงบนทรายสีขาว ฉีหนิงก็รู้สึกว่า
ร่างกายของเขาผ่อนคลายไม่นอ
้ ยเลย
คนเรือนั่นเป่าแตรสัญญาณ ฉีหนิงรู้ว่าหมายความว่าไง พวกเขา
ต้องการบอกคนในเกาะว่ามีคนมา หากไม่ผด
ิ พลาดอะไร อีกไม่นานก็จะ
มีคนมา

ฉีหนิงนั่งลงบนหาดทราย เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า บนเกาะมีต้นไม้


หนาทึบมาก อากาศสดชื่น สูดลมหายใจเข้าไปทําให้ผ่อนคลายมาก เขา
แอบคิดในใจว่า เกาะไป๋อวินเป็นสถานที่ที่ดีมากจริงๆ อากาศบนเกาะ
ทําให้คนสบายอารมณ์มากๆ หากมาฝึกวรยุทธ์ที่ ถือเป็นสถานที่ที่ดีมาก
ที่หนึ่งเลย

รอครู่หนึ่ง ฉีหนิงก็เห็นเงาคนสองคนเดินมาตามเส้นทางหินกําลัง
มุ่งหน้ามาทางนี้

ทั้งสองคนเดินแทบจะเหมือนกันเลย ไม่ได้เร็วมาก ชื่อตันเหมยม


องไปที่ฉีหนิง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ทั้งสองเข้ามาใกล้มากแล้ว ฉีหนิงจําได้ พวกเขาคือลูกน้องของท่าน


เจ้าเกาะหวังหนูกับซาหนู เขาเคยเจอสองคนนีท
้ ี่ป่าไผ่วิญญาณ

หวังหนูกับซาหนูถึงแม้จะอยู่บนเกาะเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ใช่
ศิษย์ของท่านเจ้าเกาะ แต่เป็นบ่าวที่รับใช้ท่านเจ้าเกาะ

เห็นหวังหนูกับซาหนูเดินมา พวกเขาเห็นชื่อตันเหมย ก็โค้งคํานับ


จากนั้นก็มองไปที่เรืออูเผิง เห็นบนหัวเรือมีสาวงามหยดย้อยคนหนึ่งยืน
อยู่ ทั้งสองก็ตะลึงไป หวังหนูพด
ู ว่า “สหายของคุณหนูสามงั้นเหรอ?”
ซาหนูพด
ู ต่อว่า “หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าเกาะ จะพาคนนอก
มาที่นไี่ ม่ได้เด็ดขาด” หวังหนูพด
ู ว่า “คุณหนูสามรู้กฎบนเกาะนีด
้ ีนี่นา”
ซาหนูพด
ู ว่า “รูท
้ ้ังรู้ว่าผิดแต่ยังทํา ไม่ทราบมันเป็นเพราะเหตุผลอันใด
กัน?”

ชื่อตันเหมยขมวดคิ้ว เหลือบไปมองคนชุดขาวแล้วพูดว่า “เราถูก


เขาพาตัวมาต่างหาก”

หวังหนูกับซาหนูมองหน้ากัน สีหน้าแปลกใจมาก ซาหนูมองไปที่


ด้านหลังของคนชุดขาวเห็นไป๋อวี่เฮ่อถูกมัดอยูบ
่ นเสา สีหน้าของพวก
เขาก็เปลี่ยนไป “นั่นมันคุณชายรองไม่ใช่เหรอ?” สายตาของหวังหนู
เริ่มเปลี่ยนไป “กล้าจับคุณชายรองมัดเอาไว้แบบนั้น บังอาจเกินไปแล้ว
นะ” ซาหนูจ้องไปที่คนชุดขาวแล้วพูดว่า “คุณชายรองถูกเจ้าจับมัด
เอาไว้ใช่ไหม?” ซาหนูพด
ู ว่า “ยอมให้จับซะดีดี แล้วตามเราไปพบท่าน
เจ้าเกาะ” หวังหนูพูดว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่มท
ี างออกจากเกาะไป๋อวิน
ไปได้แน่นอน”

คนชุดขาวยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเกาะหม้อชอบดูละครตั้งแต่
เมื่อไหร่กัน? ไปหาตัวตลกสองคนนี่มาจากที่ไหนเนี่ย”
หวังหนูกําหมัดแน่น ซาหนูพูดว่า “เกาะไป๋อวินเป็นสถานที่ที่ท่าน
เจ้าเกาะใช้ฝึกตน ใครก็ตามที่มาที่เกาะ โดยที่ท่านไม่อนุญาต ก็ฆ่าได้
ทันที” พูดถึงตรงนี้ สายตาของพวกเขาก็เหลือบไปที่ฉห
ี นิง

ฉีหนิงคิดในใจว่า ข้าก็ถก
ู บังคับมาเหมือนกัน หรือว่าคิดจะลงมือ
กับข้าด้วยหรือไง?

ชื่อตันเหมยรู้ว่าหวังหนูซาหนูยังไม่รู้ว่าคนชุดขาวนั้นฝีมือแค่ไหน
หากลงมือ ด้วยความสามารถของพวกเขาสองคน ยังไงก็สู้คนชุดขาว
ไม่ได้ นางพูดกับสองคนนั้นว่า “ท่านเจ้าเกาะอยู่ไหน? ไปรายงานท่าน
เจ้าเกาะ มีแขกพาศิษย์พี่ไป๋มาที่เกาะ” เจตนาของนางต้องการให้พวก
เขาสองคนรีบไปรายงานให้หม้อหลันชางรู้ ว่าศัตรูที่มานั้นไม่ธรรมดา
เขาจับตัวไป๋อวี่เฮ่อมาที่เกาะ

คนชุดขาวกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนไปสิ


ไป๋อวี่เฮ่อของพวกเจ้าก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว เขาไม่ได้กินอะไรเลยมาหลาย
วัน ถึงแม้จะมีฝม
ี ือ แต่หากเป็นแบบนีต
้ ่อไป คิดว่าคงมีอันตรายถึงชีวิต
หากไม่มอ
ี ะไรผิดพลาด ตอนตะวันตกดินหากเขายังไม่ได้คลายจุดแล้ว
กินอาหาร ถ้าไม่พิการขยับไม่ได้ ก็ต้องหิวตายแน่นอน ดังนั้นพวกเจ้า
น่าจะคิดหาวิธีให้เขารอดไปได้ดีกว่านะ”

พอพูดแบบนี้ออกมา รวมถึงฉีหนิงด้วย ล้วนแต่ตกใจหน้าเปลี่ยนสี


ทันที
ฉีหนิงตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ทําไมไป๋อวี่เฮ่อถึงได้ไม่ขยับตัวเลย ที่
แท้ถูกสกัดชีพจรเอาไว้นี่เอง

หากไป๋อวี่เฮ่อสลบไปไม่รู้สึกตัว มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หาก


ถูกสกัดจุด แต่ยงั มีสติ ถ้าอย่างนั้นตลอดการเดินทางมาที่นี่ เขาจะต้อง
ทรมานมากแน่นอน

นิสัยอย่างไป๋อวี่เฮ่อ ถูกมัดเอาไว้บนเรือ ถูกทรมานหยามเกียรติ


แบบนั้น เขาจะต้องคลั่งแน่นอน อีกทั้งยังมีสติอยู่ตลอด ต้องทนหิว ทาง
ร่างกายก็ทรมานไม่ต่างกับจิตใจเลย

ชื่อตันเหมยโกรธมาก นางตะคอกออกไปว่า “เจ้าคิดจะทําอะไรกัน


แน่?”

“บ่าวของข้าคนนี้ได้ยน
ิ ชื่อของเกาะไป๋อวินมานาน รูว
้ ่าบนเกาะมี
ยอดฝีมอ
ื อยู่” คนชุดขาวพูดว่า “ในเมื่อเจ้าสองคนบอกว่าฆ่าได้ทันที ถ้า
อย่างนั้นก็ให้บา่ วของข้าประลองกับพวกเจ้าดีไหม หากพวกเขาชนะ
ไป๋อวี่เฮ่อก็จะคืนให้พวกเจ้าทันที ไม่อย่างนั้นก็ต้องรอท่านเจ้าเกาะของ
พวกเจ้ามาแก้มด
ั เขาเองแล้วกัน”

คนเรือหยิบไม้ไผ่เดินมาที่หัวเรือ แล้วกระโดดลงมาบนหาดทราย
แล้วยกไม้ไผ่ข้ึนมา

หวังหนูกับซาหนูมองหน้ากัน ใบหน้าของเขาดุมาก
ซาหนูพด
ู ว่า “เขาคิดอยากจะลองดีกับเรางั้นเหรอ?” หวังหนูพูด
ว่า “เราก็ให้เขาได้สมหวังก็แล้วกัน” ซาหนูพูดว่า “คนที่ข้น
ึ มาบนเกาะ
เดิมก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตอยู่แล้ว” หวังหนูพูดว่า “ในเมื่อเขาใจกล้า
ขนาดนี”
้ ซาหนูพด
ู ว่า “เราก็จะให้ร่างกายและกระดูกของพวกเขา
แหลกสลายไป”

หลังคําว่า “กระดูก” ออกมา หวังหนูกับซาหนูก็พุ่งไปหาคนเรือ


ทันที ทั้งสองให้ความร่วมมือกันดีมาก ลงมือทั้งจังหวะและความเร็ว
เหมือนคนๆ เดียวกันเลย ฉีหนิงรู้มันไม่ใช่เรื่องที่ทํากันได้ง่ายๆ มันไม่ใช่
แค่หลายเดือนหลายปี แต่การจะทําให้ได้แบบนี้ มันต้องฝึกฝนอย่าง
หนักมาก ทั้งสองคนต้องมีใจที่คิดตรงกันด้วย

ทั้งสองคนร่วมมือกัน อานุภาพมันไม่ใช่แค่สองรุมหนึ่ง แต่ว่าพวก


เขาคิดอ่านเหมือนกัน อานุภาพที่ออกมา มันเหมือนมียอดฝีมอ
ื อยู่หลาย
คนเลยทีเดียว

คนเรือวรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา แต่ฉห
ี นิงสงสัยมาก เขาจะเป็นคู่ต่อสู้
ของหวังหนูกับซาหนูได้ไหม

พวกเขาสองคนลงมือ คนเรือยังไม่เคลื่อนไหวอะไร พวกเขาสอง


คนประชิดเข้าไปใกล้แล้ว พริบตาเดียวหวังหนูกับซาหนูก็แยกออกจาก
กัน ไปซ้ายคนขวาคน จากนั้นก็ย่ น
ื มือจะไปจับคนเรือ แต่คนเรือกับใช้
แรงตวัดอาวุธไม้ไผ่ในมือเขาไปทางซ้ายที่หวังหนูอยู่ แล้วเอียงตัวไป
ด้านข้าง เผื่อหลบการจับของซาหนู

หวังหนูเห็นอาวุธไม้ไผ่ฟันมา เขาไม่ได้หลบ เขายื่นมือออกไปจับ


ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรแตกหัก อาวุธไม้ไผ่ถูกหวังหนูใช้
มือบีบจนแตกไป

คนชุดขาวเหมือนไม่ได้สนใจจะดูพวกเขาสู้กัน หรือจะบอกว่าฝีมือของ
พวกเขาไม่ได้ทําให้นางรูส
้ ึกสนใจ นางเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า ลม
ทะเลพัดโชยมา ทําให้ผมของนางถูกพัดลอยขึ้น มันพาดไปที่ใบหน้า
ของนาง เหมือนเทพนิยาย มันงดงามมากๆ
เล่มที่ 49 บทที่ 1450 สหายเก่า

หวังหนูกับซาหนูจู่โจมอย่างรุนแรง เหมือนอยากจะรีบจัดการคน
เรือให้ได้เร็วๆ คนเรือถึงแม้จะต้องรับมือกับสองคน แต่ก็ไม่ได้เป็นรอง
เลย อาวุธไม้ไผ่ในมือของเขายังคงอันตราย

ที่จริงหากจะว่ากันตามตรง วรยุทธ์ของหวังหนูกับซาหนู ก็คือว่า


เป็นยอดฝีมือในยุทธภพได้เลย ทั้งสองคนร่วมมือกัน สามารถไปถึงจุด
ของยอดฝีมือชั้นสูงด้วยซ�าไป แต่พวกเขาไม่ใช่คนในตงไฮ่ อีกทั้งวรยุทธ์
ก็ไม่ได้รับการถ่านทอดจากหม้อหลันชาง ชื่อตันเหมยคือศิษย์โดยตรง
ของเจ้าเกาะ ดังนั้นหวังหนูกับซาหนูลงมือกับชื่อตันเหมย อาจจะไม่ได้
เปรียบเท่าไหร่

คนเรือนั่นวรยุทธ์ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เขาเคลื่อนไหวได้อย่าง
คล่องแคล่ว ว่องไว หวังหนูกับซาหนูลงมือเหี้ยมโหด แต่ละกระบวนท่า
พุ่งไปที่จุดตายทั้งนั้น แต่คนเรือก็หลบได้หมด

สามสิบกระบวนท่าแรก หวังหนูกับซาหนูยังไล่บี้อีกฝ่ายอยู่ ถือว่า


ได้เปรียบอย่างมาก หลังผ่านสามสิบกระบวนท่าไปแล้ว เหมือนทั้งสอง
ฝ่ายเริ่มเสมอกัน หลังจากผ่านไปห้าสิบกระบวนท่า คนเรือเหมือนจะ
เริ่มเหนือกว่า หวังหนูกับซาหนูเริ่มพลาดกันมากขึ้น
ฉีหนิงมองเห็นทุกอย่าง ในใจของเขารู้ดี ไม่ถึงร้อนกระบวนท่า หวัง
หนูกับซาหนูต้องตกเป็นรองแน่นอน

ชื่อตันเหมยเองก็มองออกเช่นกัน นางหวังอยากจะให้หวังหนูกับ
ซาหนูจัดการกับคนเรือให้ได้ ถ้าอย่างนั้นคนชุดขาวก็จะต้องทําตามที่
ตกลงเอาไว้ ปล่อยตัวไป๋อวี่เฮ่อ นางรู้ว่าสภาพของไป๋อวี่เฮ่อแย่มากแล้ว
จะต้องทําการทําให้เลือดลมไหลเวียนให้เร็วที่สุด ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ว่า
เขาถูกสกัดจุด ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว เลือดลมไม่ไหลเวียนหลายวัน หาก
ปล่อยทิ้งไว้ในระยะยาว อาจจะทําให้ชพ
ี จรเสียหาย จนทําให้ขยับไม่ได้
แล้วก็กลายเป็นคนพิการไป

แต่ว่าความหวังของนางมันเหมือนจะไม่สมหวัง หวังหนูกับซาหนู
ไม่เอาชนะได้อย่างรวดเร็ว แต่คนเรือกลับดุดันมากขึ้น นางกับฉีหนิงคิด
เหมือนกัน ไม่เกินร้อยกระบวนท่า หวังหนูกับซาหนูต้องแพ้แน่นอน

ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง หวังหนูเหมือนจะจับไม้ไผ่


เอาไว้ แล้วใช้แรงบีบมันให้แตกออก

ซาหนูคําราม แล้วพุ่งมาจากด้านข้าง ใช้มือของเขาทําเป็นกรงเล็บ


เพื่อข่วนอีกฝ่าย

จากนั้นก็ได้ยินคนเรือคํารามเสียงออกมา เขากางแขนออก
ด้านข้าง ไม้ไผ่ในมือของเขามันกระจายตัวออกเหมือนแมงเม่า มัน
กระจายตัวออกเหมือนกําลังจะระเบิดเป็นดอกไม้ไฟ อาวุธไม้ไผ่
กลายเป็นอาวุธลับ พุ่งไปที่ตัวของหวังหนูกับซาหนู

หวังหนูกับซาหนูคิดไม่ถึงเลยว่าคนเรือจะสามารถเปลี่ยนไม้ไผ่น่ัน
เป็นอาวุธลับ อีกทั้งยังตกใจมากว่าคนๆ นั้นเหมือนจะใช้กําลังภายใน
ทั้งหมดในร่างกายในแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เศษไม้ไผ่ มันเล็กและ
แหลมคมกว่าเข็มเงินซะอีก

หวังหนูกับซาหนูถึงแม้จะรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่แล้ว คิดอยากจะ
หลบ แต่ว่าคนเรือลงมือไวมาก ไม้ไผ่พวกนั้นมันพุ่งมาเต็มกําลัง ซัดเข้า
ในเนื้อตัวของหวังหนูกับซาหนู

ฉีหนิงเองก็หน้าถอดสี

ว่าด้วยเรื่องของแรงกําลัง ที่จริงมันคือการรวบรวมพลังทั้งหมดที่มี
มาไว้ในจุดเดียว สามารถออกแรงทั้งหมดในร่างกายที่มีได้อย่าง
แข็งแกร่ง เทียบได้กับการออกหมัด มันคือการรวบรวมกําลังทั้งหมดไป
ที่หมัด แล้วปล่อยออกไป เป็นการโจมตีศัตรู

เช่นเดียวกัน การปล่อยอาวุธลับ นอกจากจะต้องเล็งให้แม่นและมี


ความรวดเร็วแล้ว สิ่งที่สาํ คัญอีกอย่างหนึ่งที่กําลัง วินาทีทีซัดอาวุธลับ
ออกไป จะต้องรวบรวมแรงทั้งหมดไปที่อาวุธลับ มันถึงจะมีแรงปล่อยที่
มีอานุภาพที่รุนแรง
หากซัดอาวุธลับด้วยสองมือ ที่จริงมันคือการแยกแรงออกเป็นสอง
ส่วน ทําให้กําลังแรงมันไม่ได้มีอานุภาพเท่าที่ควร

เศษไผ่ที่คนเรือซัดออกไปทั้งสองมือนั้น คิดว่าน่าจะมีประมาณ
ร้อยแผ่นได้ ก็เท่ากับว่าเขาซัดอาวุธลับออกไปทีเดียวร้อยชิ้น ต่อให้เป็น
ยอดฝีมอ
ื ชั้นสูงด้านอาวุธลับ คงไม่สามารถซัดออกไปได้มากขนาดนั้น
ต่อให้ทําได้ ก็อาจจะไม่สามารถส่งผลอะไรต่อศัตรูได้

แต่ว่าคนเรือกลับซัดออกไปได้เต็มกําลัง ต่อให้หวังหนูกับซาหนู
เป็นยอดฝีมือ ก็ไม่มีทางหลบได้แน่นอน

ฉีหนิงตะลึงมาก แอบคิดในใจว่าคนเรือฝีมือไม่ธรรมดาเลย คิดว่า


การเดินลมปราณของเขาน่าจะมีอะไร

หวังหนูกับซาหนูถูกซัดอาวุธลับใส่ตัว พวกเขาเจ็บกันมาก อีกทั้ง


ยังตกใจด้วย

หลังจากคนเรือจู่โจมสําเร็จ ก็กระโดดถอยกลับห่างออกมา เขาไม่


พูดอะไรเลย แต่ว่านี่ก็เป็นการบอกให้หวังหนูกับซาหนูรู้ว่า แพ้ชนะรู้ผล
แล้ว ไม่จําเป็นต้องสู้ต่อไปอีก

หวังหนูกับซาหนูจะยอมได้ยังไง พวกเขากําลังจะบุกเข้าใส่อีก
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “มีแขกพิเศษมาเยี่ยมเยือน ทําไมถึง
ได้บังอาจขนาดนั้น? ยังไม่ถอยออกไปกันอีก” น�าเสียงเรียบง่ายมาก ฉี
หนิงไม่กล้าหันไปมอง ฟังจากสําเนียง ก็รู้ว่าเป็นท่านเจ้าเกาะไป๋อ
วินหม้อหลันชางแน่นอน บนเกาะไป๋อวิน เกรงว่าคงไม่มใี ครพูดกับหวัง
หนูกับซาหนูได้แบบนี้แน่นอน

หวังหนูกับซาหนูได้ยน
ิ เสียงที่ดังขึ้นมา ก็ถอยหลังกันไป จากนั้นก็
หันหลัง แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม

พระอาทิตย์ตกดินแล้ว คลืนซัดเข้าฝั่งมาเป็นระยะๆ เรืออูเผิงลอย


เอนไปมาอยู่บนทะเล คนชุดขาวยืนอยู่บนหัวเรือ มองไปยังเส้นทางหิน
เห็นมีคนกําลังเดินมา เขาสวมชุดสีอ่อน ในมือมีไม้เท้าสีดํา ลมทะเลพัด
มา ระหว่างที่เขาเดิน ทําให้เขาดูมีสง่าราศีมาก

ชื่อตันเหมยเห็นเจ้าเกาะเดินมา ก็หันไปหาท่านเจ้าเกาะ แล้วก็


คุกเข่าลงข้างหนึ่งเช่นกัน

ท่านเจ้าเกาะค่อยๆ เดินมา ผมของเขาลอยขึ้น ใบหน้าเปี่ ยมไป


ด้วยรอยยิ้ม ทุกคนไม่มีใครกล้าขยับ มีแค่เจ้าเกาะที่เดินไปยืนอยู่ห่าง
จากหัวเรือประมาณห้าหกเก้า จากนั้นก็โค้งตัวคํานับ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“สหายเก่ามาเยือน ไม่ได้มาต้อนรับเสียมารยาทจริงๆ ต้องขออภัยด้วย
ขออภัยด้วย เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าโหวเยว่จะเดินทางมาด้วยตัวเอง
แบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งเจ้าสองคนนี้ออกมารับหน้าแน่นอน โหวเยว่
เป็นคนใจกล้า อย่าได้ถือสาเลยนะ”
ท่านเจ้าเกาะพูดคําว่า “โหวเยว่” ออกมา ฉีหนิงถึงกับสะดุ้ง
ใบหน้าของเขาตกใจมากๆ แม้แต่ช่ อ
ื ตันเหมยก็ยังอดเงยหน้าขึ้นมามอง
คนชุดขาวไม่ได้เลย สายตาของนางก็แปลกใจมาก

คนชุดขาวดูยังไงก็ผห
ู้ ญิง ทําไมท่านเจ้าเกาะถึงได้เรียกนางว่า
“โหวเยว่” ล่ะ? ในใต้หล้านี้ ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่ได้รับบรรดาศักดิ์
โหวมาก่อน แล้ว “โหวเยว่” ที่ว่านั่นมันมาจากไหน โหวเยว่ของแคว้นฉู่
หรือว่าของเป่ยฮั่นกัน?

ระหว่างที่ฉีหนิงกําลังแปลกใจ เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรออก ปาก


ของเขากระตุก ตาของเขาแทบหลุดออกมา สายตาของเขาเหมือนไม่
อยากจะเชื่อเลย

คนชุดขาวยืนอยู่บนหัวเรือ มองลงมามองเจ้าเกาะจากบนเรือ
หลังจากนั้นไม่ได้ เขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่เจอกันนานหลายปี
เจ้าไม่เปลี่ยนเลยนะ”

ท่านเจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “แต่โหวเยว่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก
ทีเดียว”

“เจ้าจะบอกว่าข้าภายนอกข้าเหมือนผูห
้ ญิงใช่ไหม?” คนชุดขาว
พูดอย่างติดตลกว่า “ที่จริงข้าชอบสภาพตอนนีม
้ ากเลยนะ เป็นผู้ชายไม่
ต้องระวังอะไรมากมาย รายะเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็ประมาท แต่ว่าผู้หญิง
ละเอียดอ่อนมา ทําให้ได้ร็เรื่องอะไรต่อมิอะไรที่เคยรู้เลยเห็นมาก่อน
เลย”

ฉีหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขามองไปหาชื่อตันเหมย ส่วนชื่อตัย


เหมยก็กําลังมองเขาเหมือนกัน สายตาของทั้งคู่ เหมือนรู้สึกว่ามันยาก
เกินจะเชื่อเลย

ฉีหนิงตอนนี้รู้แล้วว่าผูห
้ ญิงคนนี้เป็นใครแล้ว

ในใต้หล้านี้ “โหวเยว่” คนที่มีความสามารถน่ากลัวขนาดนี้ คิดว่า


คงมีแค่มู่อวินโหวเป่ยถังฮ่วนเย่คนเดียวเท่านั้น

ครั้งแรกที่ฉีหนิงได้พบเขา ก็ไม่สามารถแยกแยะได้แล้วว่าเขาเป็น
เพศอะไร จากภายนอก ตอนนั้นเป่ยถังฮ่วนเย่เองก็สวยราวกับเทพธิดา
แล้ว ท่าทางของเขาเองก็อ้อนช้อยมาก แต่ว่าเสียงไม่ได้อ่อนหวานเล็ก
แบบตอนนี้

พอมาเจอเขาอีกครั้ง ฟังจากเสียงของเขามันไม่เหมือนเดิม เสียง


ของเขาเมื่อก่อนมันแค่อ่อนโยน แต่ว่าไมได้เล็ก เหมือนเสียงผูห
้ ญิง แต่ก็
คล้ายกับผู้ชาย แต่ว่าพอเจอกันรอบนี้ เสียงของเขาเหมือนผูห
้ ญิงมากๆ
เพราะแบบนี้ ฉีหนิงถึงได้ม่ันใจว่าเขาเป็นผูห
้ ญิง

ในเมื่อเป็นผูห
้ ญิง ฉีหนิงไม่มท
ี างบอกว่าเขาเป็นต้าจงซือแน่นอน
ห้าต้าจงซือ ไม่มผ
ี ู้หญิงสักคน

แต่ว่าในเวลานี้ เขาเข้าใจแล้ว คนที่ดูเหมือน “สาวงาม” ที่


เลือดเย็น กลับกลายเป็นมู่อวินโหวเป่ยถังฮ่วนเย่ เขาตกใจมาก เขาไม่
เคยเจอามก่อน ต้าจงซิอย่างเป่ยถังฮ่วนเย่ ทําไมถึงได้กลายเป็นผู้หญิง
ไปได้?

เขาชอบชุดของผู้หญิง เลยตั้งใจแต่งตัวแบบนั้น หรือว่าเขา


กลายเป็นผู้หญิงไปแล้วจริงๆ ? หากแค่แต่งตัว แล้วเสียงทําไมถึงได้เป็น
แบบนั้นไปได้ล่ะ?

พอรู้ว่าเขาคือเป่ยถังฮ่วนเย่ ถ้าอย่างนั้นข้อสงสัยก่อนหน้านี้ก็
คลี่คลายลงหมดแล้ว

สามารถจับตัวไป๋อวี่เฮ่อไปมัดไว้บนหัวเรือได้ คงมีแค่ต้าจงซือที่ทํา
ได้ สามารถเหยียบฉลามจนตายได้ในทะเลเหมือนกับเหยียบมด ก็มี
แต่ต้าจงซือที่ทําได้

หากเขาไม่ใช่ต้าจงซือ คิดว่าคนที่มีวรยุทธ์แบบนี้ ไม่มีทางไม่มี


ชื่อเสียง และเขาไม่มีทางไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

“ท่านเจ้าเกาะ ศิษย์พี่ไป๋ ......” ตอนนี้สงิ่ ที่ช่ อ


ื ตันเหมยห่วงที่สด
ุ คือ
ความเป็นความตายของไป๋อวี่เฮ่อ หากคนชุดขาวเป็นแค่ยอดฝีมือคน
อื่น มีท่านเจ้าเกาะที่เป็นต้าจงซือออกหน้า ไป๋อวี่เฮ่อก็อาจจะยังรอด แต่
ว่าคนชุดขาวกลับคือเป่ยถังฮ่วนเย่ ในเมื่อเป็นต้าจงซือเหมือนกัน ต่อให้
ท่านเจ้าเกาะจะพยายามอย่างเต็มที่ ก็อาจจะช่วยคนมาจากมือของเป่ย
ถังฮ่วนเย่ไม่ได้

ท่านเจ้าเกาะเหลือบไปมองชื่อตันเหมย จากนั้นก็หน้านิ่งไป “ศิษย์


พี่ไป๋? ศิษย์พี่ไป๋อะไร? ศิษย์พี่ของเจ้าแซ่โม่ มีคนแซ่ไป๋โผล่มาตั้งแต่
เมื่อไหร่กัน?” เขาเห็นฉีหนิงที่อยู่ข้างๆ ชื่อตันเหมย เขาพูดว่า “ที่แท้ก็อี้
เหิงอ๋องนี่เอง เจ้าก็มากับเขาด้วยเหรอเนี่ย ดีจังเลยนะ ข้ามีเรื่อง
อยากจะพบเจ้าพอดีเลย”

ฉีหนิงนิง่ ไป

บรรดาศักดิ์อี้เหิงอ๋องนั้น ฮ่องเต้น้อยเพิง่ จะออกราชโองการแต่งตั้ง


ให้หลังจบเรื่องกบฏของเซียวจ้าวจง ท่านเจ้าเกาะสายข่าวไวมาก ใน
เมื่อรู้ว่าเขาเป็นอ๋องแล้ว แสดงว่าเรื่องการก่อกบฏของเซียวจ้าวจง เขาก็
น่าจะรู้ดี

โม่อิ่งช่วยเซียวจ้าวจงก่อกบฏ สุดท้ายกลับต้องตายด้วยมือของ
เซี่ยงเทียนเป่ย แต่ว่าบัญชีแค้นนี้ เจ้าเกาะน่าจะโยนบาปให้เขาแน่นอน

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าทางข่าวลือก็เป็นจริงสินะ เป่ย


ถังฮ่วนเย่ไม่ใช่คนของเกาะไป๋อวินแล้ว แสดงว่าก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ
เกาะไป๋อวินแล้วสินะ”
เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เขาเคยเป็นศิษย์ข้า แต่ว่าทําผิด
ร้ายแรง ถูกข้าขับออกจากเกาะไป๋อวินไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาออกจาก
สํานัก ไม่ว่าอะไรที่เขาทํามันก็ไม่เกี่ยวกับเกาะไป๋อวินอีก” เขามองไปที่
ไป๋อวี่เฮ่อที่ถูกมัด ยิม
้ แล้วพูดว่า “นั่นไป๋อวี่เฮ่อเหรอ? ไม่ทราบว่าเขาไป
ทําอะไรให้โหวเยว่ไม่พอใจงั้นเหรอ โหวเยว่ถึงได้ต้องพาเขากลับมาที่
เกาะไป๋อวินด้วยตัวเองแบบนี?้ ”

“โชคดีนะที่เขาถูกเจ้าขับออกจากสํานักแล้ว ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เขาทํา
อาจจะต้องทําให้เจ้าเกาะไป๋อวินอย่างเจ้าขายหน้ามาก” เป่ยถังฮ่วนเย่
ยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่โดดเด่นมีหน้ามีตาในยุทธภพ
เพลงกระบี่ก็ใช้ได้ แต่กลับทําเรื่องเหมือนโจรสกปรก ทําให้คนรูส
้ ึกหดหู่
ใจจริงๆ”
เล่มที่ 49 บทที่ 1451 จงซือไร้คุณธรรม

ชื่อตันเหมยได้ยินเป่ยถังฮ่วนเย่ว่าไป๋อวี่เฮ่อเป็นพวกโจรสกปรก ใน
ใจของเขารู้สึกโกรธมาก นางรู้จักนิสัยของไป๋อวี่เฮ่อดี อย่าว่าแต่เรื่อง
ขโมยของเลย ต่อให้เอาของมีค่ามาให้เขา เขายังไม่สนใจเลย

นางคิดอยากจะโต้แย้งไป แต่นางก็รูด
้ ีว่าต้าจงซือทั้งสองคุยกัน
นางไม่มส
ี ิทธิไปแทรก

เจ้าเกาะสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังยิม
้ เหมือนเดิม “ไม่ทราบว่าไป๋อวี่เฮ่อ
ไปทําอะไรผิดงั้นเหรอ ที่ทําให้โหวเยว่ไม่พอใจมากขนาดนี?้ ”

“เจ้าเองก็นา่ จะรู้ เด็กน้อยในแคว้นฮั่นสองสามคนทะเลาะกัน มัน


เป็นเรื่องของพวกเขา ใครมีความสามารถ ก็ได้เก้าอี้ตัวนั้นไป” เป่ยถังฮ่
วนเย่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ระหว่างพวกเขา อาจจะต้องมีการดึงคน
มาเป็นพวกแล้ว เป่ยถังเฟิงดวงดี ได้ไป๋อวี่เฮ่อมาเป็นพวก อาศัยไป๋อวี่
เฮ่อไปลอบสังหารเป่ยถังห่าว ดังนั้นเมืองลั่วหยางถึงเกิดความวุ่นวาย
ขึ้น เป่ยถังเฟิงฉวยโอกาสบุกเข้าไป ยึดลั่วหยางไว้แล้ว แล้วชิงบัลลังก์
......”

ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่าเป่ยถังห่าวตายเพราะไป๋อวี่เฮ่อ
เขารู้มานานแล้ว ชวีหยวนกู่อาศัยชื่อของเป่ยถังเฟิง ยกทัพซีเป่
ยบุกไปที่ด่านถงกวน แต่ด้านหลังกลับถูกขวาง ทําให้สถานการณ์ท้ัง
สองด้านคับขันมาก ด้วยสถานการณ์แบบนั้น หากกองทัพซีเป่ยไม่
สามารถยึดลั่วหยางได้ ถ้าอย่างนั้นกองทัพซีเป่ยก็อาจจะเกิดการ
เปลี่ยนแปลง ชวีหยวนกู่กับเป่ยถังเฟิงจะต้องพ่ายแพ้ยับแน่ ถ้าเป็น
อย่างนั้น เป่ยถังเฟิงอย่าว่าแต่เป็นฮ่องเต้เลย คิดว่าชีวิตก็ไม่นา่ รอด
เหมือนกัน

แต่ว่าในเวลาสําคัญ เป่ยถังห่าวกลับถูกสังหาร ลั่วหยางวุ่นวายมาก


ไร้ผู้นํา เมื่อเป็นแบบนั้น กองทัพซีเป่ยบุกเข้าเมืองมา ก็ยึดลั่วหยางได้
ทันที

ตอนที่ฉห
ี นิงได้ข่าว ยังสงสัยอยู่เลยว่าเป่ยถังห่าวถูกสังหาร เขา
ตายเพราะลูกน้องของเป่ยถังเฟิงหรือว่าตายเพราะคนของเขาเอง? แต่
ว่าข่าวที่ได้รับรายงานมา ไม่ได้บอกชัดว่าใครคือคนร้าย

แต่ตอนนี้พอได้ยินเป่ยถังฮ่วนเย่พูด เขาถึงได้รู้ว่า ไป๋อวี่เฮ่อคือ


คนร้ายที่สังหารเป่ยถังห่าว

หรือว่าที่เป่ยถังฮ่วนเย่มาในครั้งนี้ ก็เพื่อถามหาความรับผิดชอบที่
ไป๋อวี่เฮ่อสังหารเป่ยถังห่าว? หากเป็นฝีมือของไป๋อวี่เฮ่อจริง ถ้าอย่าง
นั้นในสายตาของเป่ยถังฮ่วนเย่ การลอบสังหารมันก็เป็นการกระทําที่ไม่
ต่างกับโจรสกปรก
ฉีหนิงอดเหลือบไปมองเจ้าเกาะ คิดในใจว่าต้าจงซือไม่เข้าไป
พัวพันเรื่องทางโลก แต่ว่าเจ้าเกาะเหมือนจะแอบเคลื่อนไหว

ลูกศิษย์ของเขาสามคน โม่อิ่งเคลื่อนไหวในแคว้นฉู่ตลอด แอบ


สมคบคิดกับเหล่าตระกูลใหญ่ในตงไฮ่ คิดจะทําให้แคว้นฉู่เกิดความ
วุ่นวายภายใน หลังจากนั้นก็ยงั ไปสมคบคิดกับเซียวจ้าวจง คิดก่อกบฏ
ชิงบัลลังก์ ส่วนชื่อตันเหมยก็ชว
่ ยโม่อ่ิงชิงพิณเฟิงหวง

ไป๋อวี่เฮ่อตอนนั้นถูกไล่ออกจากสํานัก แต่กลับไปเข้าหาเป่ยถังเฟิง
ฉีหนิงยังคิดอยู่เลยว่าตอนนั้นมันแปลกๆ ด้วยนิสัยเหย่อหยิง่ ของไป๋อวี่
เฮ่อนั้น จะยอมไปเป็นลูกน้องของเป่ยถังเฟิงได้ยังไง ตอนนี้เขาเข้าใจ
แล้ว ไป๋อวี่เฮ่อเองก็ช่วยเป่ยถังเฟิงฆ่าเป่ยถังห่าว ช่วยให้เป่ยถังเฟิงนั่ง
บัลลังก์

ไป๋อวี่เฮ่อสร้างผลงานใหญ่ได้ จะต้องได้รบ
ั ความไว้วางใจจากเป่ย
ถังเฟิงแน่นอน และมันก็จะส่งผลต่อการตัดสินใจต่างๆ ด้วย

ไป๋อวี่เฮ่อกับโม่อ่ิงคนหนึ่งขึ้นเหนืออีกคนลงใต้และเข้าร่วมในการ
ชิงดีชิงเด่นทางการเมือง เพียงแต่โม่อิ่งล้มเหลว แต่ไป๋อวี่เฮ่อทําสําเร็จ

ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว ตอนนั้นที่ท่านเจ้าเกาะไล่ไป๋อวี่เฮ่อออกจาก


สํานัก มันก็แค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น หลังจากไป๋อวี่เฮ่อไปแล้ว ก็บังเอิญ
ไปพบกับเป่ยถังเฟิงพอดี นั่นคือแผนการที่วางเอาไว้ก่อนแล้ว ไล่ไป๋อวี่
เฮ่อออกจากสํานัก เดิมก็เพื่อให้ไป๋อวี่เฮ่อได้ไปติดตามเป่ยถังเฟิง เพราะ
ถ้าหากไป๋อวี่เฮ่อยังเป็นศิษย์ของเขาอยู่ เป่ยถังเฟิงไม่มท
ี างเชื่อใจไป๋อวี่
เฮ่อได้ ยิ่งไม่มท
ี างให้เขาติดตามอยู่ขา้ งกายแน่นอน

สิ่งที่สําคัญที่สด
ุ คือ ไป๋อวี่เฮ่อถูกไล่ออกจากสํานัก ก็ตัดขาดกับทาง
เกาะไป๋อวินเลย ไม่ว่าเขาจะทําอะไร ก็ไม่เกี่ยวข้องกับท่านเจ้าเกาะอีก

ลอบสังหารเป่ยถังห่าวในลั่วหยาง ช่วยให้เป่ยถังเฟิงนั่งบัลลังก์ อา
จะเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นแผนการที่ท่านเจ้าเกาะคิดเอาไว้แล้ว แต่ว่า
สําเร็จหรือไม่ ท่านเจ้าเกาะเองก็ไม่แน่ใจ หากพลาด เป่ยถังฮ่วนเย่อาจะ
ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านเจ้าเกาะเลยไล่เขาออกจากสํานักไป
ก่อน เพื่อตัดสัมพันธ์ความเป็นศิษย์อาจารย์ของพวกเขา พอหากเป่ย
ถังฮ่วนเย่มาหาเขาถึงที่ ท่านเจ้าเกาะก็รบ
ั มือได้ง่าย

ฉีหนิงคิดในใจท่านเจ้าเกาะนี่คิดวางแผนอย่างรอบคอบ เพียงแต่
ในเมื่อไล่ไป๋อวี่เฮ่อไปแล้ว ทําไมไม่ไล่โม่อ่ิงไปด้วย ท่านเจ้าเกาะกลัวเป่ย
ถังฮ่วนเย่ หรือว่าไม่กลัวเป่ยกงเหลียนเฉิง?

แต่พอคิดๆ ดูแล้ว เป่ยถังฮ่วนเย่ยังไงก็เป็นเชื้อพระวงศ์เป่ยฮั่น อีก


ทั้งยังมีช่ อ
ื ดูแลหอเก้านภาอยู่ด้วย ในราชสํานักก็ยังพอมีเงาเลือนลาง
ของเขาอยู่ แต่เป่ยกงกับตระกูลฉีเหมือนจะไม่ได้มีเส้นทางเหมือนกัน
อีกทั้งเขาก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชสํานักด้วย เหมือนว่าเรื่องของ
แคว้นฉูจ
่ ะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาจะคิดถึง
เจ้าเกาะยังไงก็มีช่ อ
ื เป็นถึงราชครูของตงฉี เป่ยถังฮ่วนเย่เองก็เป็น
โหวเยว่ของเป่ยฮั่น ส่วนเป่ยกังเหลียนเฉิงนั้นไม่มีตําแหน่งอะไรเลยใน
แคว้นฉู่ หากเอาทั้งสามคนมาเทียบแล้ว เป่ยกงเหลียนเฉิงดูจะสบายสุด
ไม่ยุ่งกับเรื่องอะไรเลย

“ลอบสังหารองค์ชายแคว้นเป่ยฮั่นเหรอ?” เจ้าเกาะท่าทางสบายๆ
มาก เขายิม
้ แล้วพูดว่า “มิน่าโหวเยว่ถึงได้บอกว่าเขาไม่ต่างกับโจร
สกปรก เป็นถึงมือกระบี่ ก็ควรจะเผชิญกับศัตรูซ่ึงหน้า แต่กลับทําเรื่อง
ลับหลังอย่างการลอบสังหาร ถือว่าเป็นการกระทําของคนต�าช้าจริงๆ”

ชื่อตันเหมยได้ยินเจ้าเกาะพูดแบบนี้ นางก็รู้สก
ึ เสียใจ

นางฉลาดมาก เป่ยถังฮ่วนเย่พูดแบบนั้นออกมา ชื่อตันเหมยกับฉี


หนิงคิดตรงกัน เข้าใจทันทีว่าตอนนั้นที่ไป๋อวี่เฮ่อถูกไล่ออกจากสํานัก
นั้นน่าจะเป็นแผนการของท่านเจ้าเกาะ

ด้วยนิสย
ั ชองไป๋อวี่เฮ่อ ไม่มีทางยอมเป็นไปนักฆ่าให้ใครแน่นอน

ในฐานะมือกระบี่ที่มีนิสย
ั ทรนงตน ไม่มท
ี างลดตัวไปเป็นนักฆ่า
แน่นอน สิ่งที่ไป๋อวี่เฮ่อต้องการตลอดชีวิตของเขา ก็คือการได้เป็นสุด
ยอดมือกระบี่ หากไม่ใช่คําสั่งของท่านเจ้าเกาะ ไป๋อวี่เฮ่อไม่มีทางทิ้ง
ศักดิ์ศรีของเขา ไปลอบสังหารเป่ยถังห่สวแน่นอน
ในโลกนี้ คิดว่ามีแค่ท่านเจ้าเกาะคนเดียวเท่านั้นที่ไป๋อวี่เฮ่อจะยอม
ลดศักดิ์ศรีของตัวเองลง

ไป๋อวี่เฮ่อถูกพากลับมาที่เกาะไป๋อวิน แสดงว่าต้องถูกเป่ยถังฮ่
วนเย่ตรวจสอบมาแล้ว ดังนั้นถึงได้พาเขากลับมาถามหาความ
รับผิดชอบแบบนี้ ชื่อตันเหมยรู้เป่ยถังฮ่วนเย่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับ
ชีวิตเลย ใครจะเป็นจะตายในสายตาของเขามันไม่มีความหมาย ไป๋อวี่
เฮ่ออยู่ในมือของเขา คิดจะเอาชีวิตเขานั้น มันเป็นเรื่องแค่เพียงพริบตา
ตอนนี้คนที่จะช่วยไป๋อวี่เฮ่อได้มแ
ี ค่ท่านเจ้าเกาะเท่านั้น

ต้าจงซือมีศก
ั ดิ์ศรีกแบบต้าจงซือ

หากท่านเจ้าเกาะยอมพูดดีดีกับเป่ยถังฮ่วนเย่ หรือว่ายอมก้มหัวให้
เป่ยถังฮ่วนเย่ก็อาจจะยอมไว้ชีวิตไป๋อวี่เฮ่อก็ได้ เพราะในสายตาของ
เป่ยถังฮ่วนเย่ ชีวิตของไป๋อวี่เฮ่อไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาอยู่แล้ว
การที่เจ้าเกาะยอมอ่อนข้อให้ มันเป็นเรื่องที่ได้หน้ามาก

ทําให้ต้าจงซือยอมอ่อนข้อได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่ว่าไป๋อวี่เฮ่อติดตามท่านเจ้าเกาะมานาน จงรักภักดีต่อเขามาก
การกระทําในครั้งนี้ก็เป็นคําสั่งของท่านเจ้าเกาะ ชื่อตันเหมยหวัง
อยากจะให้เจ้าเกาะเห็นแก่ความเป็นศิษย์อาจารย์ ยอมช่วยเขา
แต่ว่าเจ้าเกาะไม่เพียงไม่พูดจาออกหน้าช่วยไป๋อวี่เฮ่อ อีกทั้งยัง
บอกว่าเขาทําเรื่องไม่สมควรจริงๆ อีก ชื่อตันเหมยรู้ว่าไป๋อวี่เฮ่อถูกสกัด
จุดไว้ด้วย เสียงที่อยู่รอบๆ ตัวเขาเขาต้องได้ยน
ิ อย่างชัดเจนมาก ถ้าเขา
ได้ยินสิง่ ที่เจ้าเกาะพูด ในใจของเขาจะเจ็บปวดแค่ไหนกัน

“หากแค่ลอบสังหารเป่ยถังห่าว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะ มัน


ก็แค่การละเล่นของพวกลูกหลาน เราก็ไม่ต้องยุง่ ก็ได้” เป่ยถังฮ่วนเย่ยิม

แล้วพูดว่า “แต่ว่าถ้าเขาจะผิดก็ผิดที่เขาไม่ยุง่ กับของที่ไม่ควรยุ่ง เพราะ
มันไม่สมควร”

ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยมองหน้ากัน สายตาของพวกเขาสงสัยมาก
ทันใดนั้นเองเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า หรือว่าเป่ยถังฮ่วนเย่ไม่ได้มาเพราะ
เรื่องการลอบสังหาร?

เจ้าเกาะนิ่งมาก เขายิม
้ แล้วถามว่า “ของที่โหวเยว่ว่ามันคืออะไร
เหรอ?”

“ลอบสังหารเป่ยถังห่าว มันก็แค่ซ้ ือใจเป่ยถังเฟิงเท่านั้น” เป่ยถังฮ่


วนเย่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เป่ยถังเฟิงโง่มาก เพียงแต่ไป๋อวี่เฮ่อสังหาร
เป่ยถังห่าวให้เขา ก็ยอมให้เขาติดตามใกล้ชด
ิ ไม่มก
ี ารระวังตัวเลย อีก
ทั้งยังยอมให้เขาไปไหนมาไหนก็ได้ในวังหลวง มอบป้ายทองให้เขา วัง
หลวงของเป่ยฮั่น ไม่มีที่ไหนเป็นที่ต้องห้ามของเขาเลย”
เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แน่ไป๋อวี่เฮ่ออยากจะติดตามเป่ยถังเฟิง
จริงๆ ก็ได้ เป่ยถังเฟิงนั่งบัลลังก์ หากได้รับความไว้วางใจเป่ยถังเฟิง
ไป๋อวี่เฮ่อก็จะได้รับความสุขสบายไปตลอด” เขาส่ายหน้าถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “เขาอาศัยอยู่บนเกาะมาตั้งแต่เล็ก มีชีวิตเรียบง่าย พอได้ไป
เจอชีวิตหรูหรา ก็อาจจะอดใจไม่ไหว”

“หากเขาทําเพื่อความสุขสบาย มันก็ไม่เป็นไรหรอก” เป่ยถังฮ่


วนเย่พูดว่า “แต่เขากลับจ้องจะเอาแต่ขลุ่ยจื่อหลง มันไม่สมควรเลย
นะ”

ฉีหนิงได้ยินคําว่า “ขลุ่ยจื่อหลง” เขาก็สะดุ้ง เมื่อหลายวันก่อน เขา


เพิ่งจะได้ยินเรื่องของขลุ่ยจื่อหลงจากปากของเป่ยถังชิ่ง

อยากได้ยาเสวียนอู่ ต้องรวบรวมของมาสามอย่าง นั่นคือพิณเฟิง


หวง ทํานองนรกและขลุ่ยจื่อหลง ส่วนขลุ่ยจื่อหลงนั้นมันกลับซ่อนอยู่ใน
วังหลวงเป่ยฮั่น

ตอนนี้ ฉีหนิงเข้าใจทุกอย่างแล้ว ไป๋อวี่เฮ่อไปอยู่กับเป่ยถังเฟิง


ช่วยเป่ยถังเฟิงสังหารเป่ยถังห่าว ช่วยเขานั่งบัลลังก์ เป้าหมายทุกอย่าง
ก็เพื่อเข้าไปในวังแล้วไปขโมยขลุ่ยจื่อหลง
ไป๋อวี่เฮ่อหลงใหลในเพลงกระบี่มาก ของที่เขาสนใจคือกระบี่ ไม่มี
ทางสนใจในขลุ่ยจื่อเหลงแน่นอน ของสามอย่างที่ว่านั้น มีแค่ต้าจงซือ
เท่านั้นที่สนใจ แล้วเจ้าเกาะก็เป็นหนึ่งในนั้น

ในหลายปีที่ผ่านมา เจ้าเกาะจะคิดอยากจะได้ของสามอย่างนี้มา
ตลอด ชื่อตันเหมยลอบเข้าวังแคว้นฉู่ไปตามหาพิณเฟิงหวง หลอกใช้
เจียงซุยอวินไปเอาทํานองนรก ส่วนไป๋อวี่เฮ่อเองก็กลายมาเป็นหมาก
อีกตัวของเจ้าเกาะ ไปเอาขลุ่ยจื่อหลงที่เป่ยฮั่น

การจะไปเอาของสามอย่างมา ท่านเจ้าเกาะไม่สะดวกออกหน้า
เลยต้องหลอกใช้ศิษย์ของเขาทั้งสามคน ให้พวกเขาไปออกตามหามา
ให้เขา

เป่ยถังฮ่วนเย่ไม่ได้สนใจเรื่องการแย่งชิงอํานาจ แต่ว่าต้าจงซือคน
นี้เหมือนอยากจะได้ของสามอย่างนั้นเหมือนกัน ขลุ่ยจื่อหลงอยู่ใน
วังเป่ยฮั่น นั่นก็ไม่ต่างกับการอยู่ในมือของเป่ยถังฮ่วนเย่ เจ้าเกาะส่งคน
ไปเข้าถ�าเสือ ไม่แปลกที่เป่ยถังฮ่วนเย่จะจับไป๋อวี่เฮ่อมาถามหาความ
รับผิดชอบที่เกาะไป๋อวิน

“ไม่สมควรจริงๆ” เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ขลุ่ยจื่อหลงเป็น


สมบัติชน
้ิ สําคัฯของวังหลวงเป่ยฮั่น เป็นของรักของโหวเยว่ ไป๋อวี่เฮ่อใจ
กล้าเกินไป อยากจะชิงเอาขลุ่ยจื่อหลงมาเป็นของตัวเอง สมควรตาย
จริงๆ”
เล่มที่ 49 บทที่ 1452 กระบีข
่ องข้าหักแล้ว

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเกาะรู้สึกว่าเขาสมควรตาย
เหรอ?”

“ท่านเจ้าเกาะ ......” ชื่อตันเหมยรู้ว่าคําพูดของต้าจงซือสามารถ


ตัดสินความเป็นความตายของใครก็ได้ กลัวก็แต่เป่ยถังฮ่วนเย่จะลงมือ
กับไป๋อวี่เฮ่อจริงๆ นางใช้สายตาอ้อนวอนไปที่เจ้าเกาะ หวังอยากจะให้
เจ้าเกาะเห็นแก่ความเป็นศิษย์อาจารย์ ช่วยชีวิตไป๋อวี่เฮ่อ

เจ้าเกาะกลับไม่แม้แต่จะมองชื่อตันเหมยเลย เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ไป๋อวี่เฮ่อกับเกาะไป๋อวินไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว จะเป็น
หรือตาย ก็แล้วแต่โหวเยว่จะจัดการเถอะ หากข้าพูดอะไรมากไป
อาจจะทําให้โหวเยว่รู้สึกว่าข้ากําลังปกป้องเขาอยู่”

เป่ยถังฮ่วนเย่พยักหน้าแล้วพูดว่า “มีเหตุผล” เขายกมือขึ้นมา ชื่อ


ตันเหมยถึงกับหน้าเสียทันที นางคิดว่าเป่ยถังฮ่วนเย่จะลงมือแล้วจริงๆ
นางตะโกนออกมาอย่างตกใจว่า “อย่านะ”

ในเวลานี้เอง กลับได้ยน
ิ เสียงหัวเราะดังขึ้น
เสียงหัวเราะมันแสบแก้วหูมาก เจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่วนเย่อดหันไป
มองไม่ได้เลย คนที่หัวเราะกลับเป็นฉีหนิง

เจ้าเกาะสีหน้าไม่เปลี่ยน เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วถามว่า “ฉีหนิง เจ้า


หัวเราะอะไร?”

“ก็ต้องหัวเราะในเรื่องที่น่าขําน่ะสิ” ฉีหนิงเหมือนจะหัวเราะไม่
หยุดเลย เขาชี้ไปที่เจ้าเกาะ แล้วก็ชี้ไปที่เป่ยถังฮ่วนเย่ แล้วพูดว่า “ที่แท้
พวกต้าจงซือ มันก็แค่นเี้ อง ก็แค่นี้เองเหรอเนี่ย”

การใช้นว
้ิ ชี้ไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง มันเสียมารยาทมาก อีกทั้งยังชี้
ไปที่ต้าจงซือด้วย น�าเสียงการพูดของฉีหนิงเป็นการประชดประชัน “ก็
แค่นี้เอง” มันฟังแล้วแสลงหูมาก

ชื่อตันเหมยเดิมก็กังวลความเป็นความตายของไป๋อวี่เฮ่ออยู่แล้ว
ตอนนี้เห็นฉีหนิงเป็นแบบนี้อีก นางก็ยง่ิ ทําอะไรไม่ถูก

“ก็แค่นเี้ องงั้นเหรอ อธิบายหน่อยได้ไหม?” เป่ยถังฮ่วนเย่ถาม

ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “มีแต่คนบอกว่าต้าจงซือเป็นคนที่สงู ส่ง


นัก ราวกับเทพเจ้า ตอนนี้ดูๆ ไปแล้ว มันก็แค่ขา่ วลือเท่านั้น” เขา
เหลือบไปมองเจ้าเกาะ แล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านทั้งสองเป็นคนสูงส่ง วร
ยุทธ์อยู่ในเหนือทุกสรรพสิ่งไปแล้ว แล้วจะมาพูดจาโกหกพกลมอีก
ทําไม? ท่านเจ้าเกาะ หรือว่าท่านกลัวมูอ
่ วินโหวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เจ้าเกาะหันมามองเขา สายตาของเขาเหมือนกับสายฟ้าพร้อม
ฟาดตลอดเวลา แต่ฉห
ี นิงก็ไม่ได้กลัว เขาพูดว่า “ไป๋อวี่เฮ่อหลงใหลใน
เพลงกระบี่ ขลุ่ยจื่อหลงเป็นแค่เครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง ไป๋อวี่เฮ่อจะไป
สนใจในตัวขลุ่ยจื่อหลงได้ยังไง? คนอย่างเขา หากไม่มใี ครสั่ง เขาจะเขา
ไปขโมยของในวังหลวงได้ยังไงกัน? กลับกัน เหมือนว่าท่านเจ้าเกาะจะ
ต้องการขลุ่ยจื่อเหลงนั่นมากกว่า มู่อวินโหวกับท่านรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ
ไป๋อวี่เฮ่อก็แค่ทําตามคําสั่งของท่านเท่านั้น แต่ว่าพวกท่านกลับทํา
เหมือนไม่รู้เรื่อง หากว่าท่านไม่ได้กลัวมูอ
่ วินโหวแล้ว ท่านเจ้าเกาะทําไม่
ถึงไม่กล้ายอมรับล่ะว่าตัวเองเป็นคนสั่งการ?”

ชื่อตันเหมยเห็นเจ้าเกาะคิ้วเริม
่ สั่น นางก็ตกใจ คิดในใจว่าเจ้าเกาะ
คิดจะลงมือแน่แล้ว

วรยุทธ์ของฉีหนิงร้ายกาจมากก็จริง แต่คิดจะสู้กับต้าจงซือ มัน


เหมือนรนหาที่ตาย

“ยังมีท่านอีกคน ยังไงท่านก็เป็นถึงโหวเยว่ เป็นต้าจงซือ รู้ท้ังรู้ว่า


คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือท่านเจ้าเกาะ แต่ก็ยงั ยอมให้เขาปัดความ
รับผิดชอบไปให้ไป๋อวี่เฮ่ออีก” ฉีหนิงถอนหานใจแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าใน
สายตาของท่าน ชีวิตคนมันก็เหมือนผักปลา การฆ่าไป๋อวี่เฮ่อก็ไม่ต่าง
กับการเหยียบมดตัวหนึ่งตาย แต่ว่าในเมื่อท่านรู้ท้ังรู้ว่าคนร้ายตัวจริง
เป็นใคร แต่ยังโยนความผิดให้คนอื่นอีก ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีความสง่า
งามของต้าจงซือเลย แม้แต่หญิงม่ายในเมืองยังรู้เลยว่าเป็นหนี้ต้องจ่าย
เป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม หรือว่าท่านไม่เข้าใจความหมายของ
หลักการนี้เลย?”

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าข้าควรจะถามหาเอาความ
กับเจ้าเกาะงั้นเหรอ?”

“ไม่จําเป็นต้องมาถามหาความรับผิดชอบหรือเอาความหรอก
พวกท่านคิดจะสู้กัน ใครจะชนะแน่ก็ยงั ไม่รู้เลย” ฉีหนิงพูดว่า “ข้ารู้ว่า
ท่านเจ้าเกาะไล่ไป๋อวี่เฮ่อออกจากสํานัก เพราะกังวลว่าสักวันโหวเยว่จะ
มาเอาเรื่องจากเขา แต่ว่าสําหรับพวกท่านทั้งสองแล้ว จะถามหาเอา
เรื่องหรือไม่ทํามันต่างกันยังไงเหรอ พวกท่านเคยเคารพหลักคุณธรรม
ของมนุษย์หรือยังไงกัน? การถามหาเอาความที่ว่า มันก็แค่สิ่งที่พวก
ท่านแค่พูดออกมาตามมารยาทเท่านั้น หรือว่าที่จริงแล้วต้าจงซือก็แค่
ชอบทําสงครามน�าลายกัน? เพราะกังวลว่าเถียงสู้กันไม่ได้ ถึงกับ ......
ท่าเจ้าเกาะ ไป๋อวี่เฮ่อกับท่านเป็นศิษย์อาจารย์กัน เพื่อทําให้ท่านพอใจ
เขาไม่สนใจในศักดิ์ศรีของตัวเอง ถึงกับไปขโมยขลุ่ยจื่อหลงในวังเป่ยฮั่น
ให้ ตอนนี้ท่านกลับไม่สนใจความภักดีของเขา เห็นเขากําลังจะตายยัง
ไม่คิดจะช่วย พูดตามตรง วันนีท
้ ่าทีของพวกท่านทั้งสองแล้ว มันน่า
ผิดหวังจริงๆ”
ฉีหนิงพูดแค่ไม่ก่ีคํา ทําให้ต้าจงซือทั้งสองเสียหน้ามาก พวกเขา
ยังคงนิ่งแต่ก็อับอาย

ฉีหนิงรู้ การมาที่เกาะไป๋อวิน ตัวเขาเองก็นา่ จะโชคร้ายมากกว่า


โชคดี เมื่อกี้เจ้าเกาะยังบอกว่าจะเอาเรื่องเขาอยู่เลย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่
ดีเท่าไหร่ ฉีหนิงรู้ดีว่าเขาตกอยู่ในอันตราย เขาคิดว่าจัดการหักหน้า
พวกเขาสองคนก่อนน่าจะดีกว่า

ทันใดนั้นเอง เป่ยถังฮ่วนเย่ก็หว
ั เราะออกมาอย่างเสียงดัง เสียง
หัวเราะอ่อนหวานมาก แต่ในเมื่อฉีหนิงรู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ชาย ได้ยิน
ผู้ชายคนหนึ่งหัวเราะแบบนี้ มันทําให้เขาขนลุก เจ้าเกาะเองก็หัวเราะ
ออกมาเช่นกัน

เสียงคลื่นยังดังเหมือนเดิม แต่ถก
ู เสียงหัวเราะของทั้งสองคนกลบ
ไปหมดเลย

“ท่านเจ้าเกาะคงไม่ได้เจอคนรุ่นหลังที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต�าแบบนี้
มานานหลายปีแล้วสินะ?” เป่ยถังฮ่วนเย่พูดไปด้วยหัวเราะไปด้วย

เจ้าเกาะเองก็หว
ั เราะแล้วพูดว่า “ความคิดคนหนุ่มที่เกรงกลัว
อะไร สมกับเป็นผู้กล้าวัยเยาว์จริงๆ เลยนะ”

เป่ยถังฮ่วนเย่พูดว่า “แม้แต่เขายังพูดแบบนี้เลย เราก็ไม่


จําเป็นต้องเปลืองน�าลายกันอีกแล้วนะ ที่จริงเจ้าน่าจะรูอ
้ ยู่แล้ว ไม่ว่า
ไป๋อวี่เฮ่อจะทําสําเร็จหรือเปล่า ขลุ่ยจื่อหลงยังไงก็ต้องมาปรากฎที่เกาะ
ไป๋อวินอยู่ดี”

“หากสําเร็จ ไป๋อวี่เฮ่อก็จะเอามันมาให้ หากพลาด โหวเยว่เองก็


จะต้องพาเขามาที่นี่” เจ้าเกาะพูดว่า “เรื่องนี้โอกาสสําเร็จมันมีแค่ส่วน
เดียวเท่านั้น ดังนั้นข้าเลยรอการมาของโหวเยว่โดยตลอด” เขายกมือ
แล้วพูดว่า “โหวเยว่ชอบดื่มชา ข้าได้ชาอย่างดีมาจากหลิ่งหนานมา
ปลูก บนเกาะมีปลูกใบชาเอาไว้ ในเมื่อโหวเยว่มาแล้ว ก็ควรจะได้ชม

มัน”

เป่ยถังฮ่วนเย่ลอยตัวขึ้นเหมือนก่อนเมฆแล้วมายืนบนหาดทราย
เขายิ้มแล้วพูดว่า “หลายปีผ่านไป เจ้ายังจําได้ว่าข้าชอบอะไร”

“เชิญ”

เจ้าเกาะยกมือเชิญ ทั้งสองหัวเราะกัน ไม่สนใจเรื่องอะไรเลย แล้ว


ก็เดินจากไปสองคน

หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว ฉีหนิงถึงได้สติกลับมา

หนิงกับชื่อตันเหมยมองหน้ากัน แล้วก็รู้สึกแปลกใจ เดิมคิดว่าฉี


หนิงพูดแบบนั้นออกไปต้องเดือดร้อนแน่ ใครจะคิดว่าต้าจงซือกลับไม่
เอาเรื่องเขา ชื่อตันเหมยโล่งใจ แล้วตบไปที่หน้าอก ทันใดนั้นเองนางก็
นึกขึ้นมาได้ว่า นางรีบวิ่งไปที่เรืออูเผิง คนเรือคราวนี้ก็ไม่ได้ขวางนาง
ชื่อตันเหมยรีบไปแก้มด
ั ให้ไป๋อวี่เฮ่อ แล้วเอาผ้าคลุมหัวออก
ใบหน้าของเขาซีดเซียวมาก เขาคือไป๋อวี่เฮ่อจริงๆ

ไป๋อวี่เฮ่อเองที่จริงก็เป็นคนหน้าตาดี แต่ว่าตอนนี้ดวงตาของคล�า
หก ใบหน้าไม่มีเลือดฝาด ผอมซูบด้วย ดูเหมือนผีเลย ที่น่ากลัวก็คือ ผม
ที่ดกดําของเขา ตอนนีม
้ ันเป็นสีขาวเหมือนหิมะเลย

ชื่อตันเหมยอึ้งไป ไป๋อวี่เฮ่อหลับตาอยู่ ไม่ขยับตัวเลย ชื่อตันเหมย


เห็นผมของเขาขาวสภาพดูไม่ได้เลย น�าตาของนางก็ไหลออกมา นางรู้
ว่าเขาถูกสกัดจุดเอาไว้ เลยขยับไม่ได้ นางเลยซัดฝ่ามือออกไปตามจุด
ในร่างกายของเขา ทําให้เลือดลมของเขาไหลเวียน แต่ก็มห
ี ลายจุดที่
ยากพอสมควรเลยจําเป็นต้องเดินกําลังภายใน เพื่อเปิดจุดทั้งหมดใน
ร่างกายของเขา วินาทีที่คลายจุดออก ไป๋อวี่เฮ่อก็ถึงกับขาอ่อนลง ชื่อ
ตันเหมยต้องพยุงเขาเอาไว้ ฉีหนิงเองก็รีบเดินเข้ามา แล้วช่วยพยุงอีกที
ทั้งสองพยุงเขาลงจากเรือมาที่หาดทราย ไป๋อวี่เฮ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ศิษย์
น้อง เจ้า ...... วางข้าลงก่อนเถอะ”

น�าเสียงของเขาอ่อนมาก ชื่อตันเหมยรู้หากถูกมัดอีกสองวัน เขา


ต้องตายแน่นอน

ทั้งสองคนพยุงเขามานั่งลงที่หาดทราย ชื่อตันเหมยเห็นหวังหนูกับ
ซาหนูอยู่ไม่ไกล ก็ส่งั ไปว่า “พวกเจ้ารีบไปเอาอาหารกับน�ามาเร็วเข้า”
ทั้งสองคนเห็นไป๋อวี่เฮ่อผมขาวหมด ก็ตกใจมากเหมือนกัน ได้ยิน
ชื่อตันเหมยสั่งมา พวกเขาก็ไม่รอช้า รีบไปหาอาหารมา

ไป๋อวี่เฮ่อนั่งขัดสมาธิบนหาดทราย แต่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมา เขา


พยายามจะหันหน้ามาทางทะเล ตอนนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ทุกอย่างมืดสนิท
มีแค่ลมทะเลที่พักมา ผมขาวของไป๋อวี่เฮ่อถูกพัดโชยขึ้น ใบหน้าของ
เขามันสูบผอมมาก

ฉีหนิงเห็นไป๋อวี่เฮ่อสภาพแบบนี้ เขาเองก็ตกใจ

เขาเคยเห็นตอนที่ไป๋อวี่เฮ่อสง่างามมาก เขามีราศีแบบคุณชายผู้
สูงศักดิ์ แต่ว่าเขาในตอนนี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย ไม่เพียง
หน้าตาไม่เหมือนเดิม สายตาก็ยังดูว่างเปล่า ไม่มป
ี ระกาย เหมือนคน
เสียสติไปแล้ว

ฉีหนิงรู้ว่านี่ไม่ใช่เพราะเขาหิว เป่ยถังฮ่วนเย่เองก็ไม่มท
ี างใช้กําลัง
ทารุณเขาแน่นอน แต่เป็นเพราะหลังจากถูกจับ เขาคงทนต่อผลกระทบ
ทางจิตใจไม่ไหวแน่ๆ

ชื่อตันเหมยจับมือไป๋อวี่เฮ่อเอาไว้ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ กลับมาที่


เกาะไป๋อวินแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว ท่านพักสักหน่อยนะ เดี๋ยวก็หาย
แล้ว” พูดถึงคําสุดท้าย น�าเสียงของนางก็สะอื้น

ชื่อตันเหมยรู้ดี เรื่องในครั้งนี้ ไป๋อวี่เฮ่อคนเดิมได้ตายไปแล้ว


การจะทําให้หสภาพร่างกายของเขาฟื้นตัวกลับมา ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ว่าจะให้กลับไปเป็นไป๋อวี่เฮ่อคนเดิม แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้อีก
สายตาของเขามันว่างเปล่าเรื่องครั้งนีม
้ ันส่งผลต่อจิตใจเขามากๆ จะให้
กลับไปเป็นเหมือนเดิม มันยากยิง่ กว่าขึ้นสวรรค์

“กระบี่ของข้าหักแล้ว” ไป๋อวี่เฮ่อลืมตาขึ้นมา เขามองไปที่ทะเล


พูดอย่างไม่มีความรู้สก
ึ อะไร

“กระบี่?”

ไป๋อวี่เฮ่อพูดซ�าเหมือนเดิม “กระบี่ของข้าหักแล้ว?”

ฉีหนิงเหมือนจะเข้าใจความหมายแล้ว กระบี่ที่เขาพูดถึง น่าจะ


เป็นกระบี่อูเหยาที่ไม่เคยห่างกายเขาเลย จัดอยู่ในอันดับที่สามของสิบ
สุดยอดกระบี่ มันคือกระบี่พกของรักของไป๋อวี่เฮ่อ

กระบี่อูเหยาหักแล้ว

การถูกหยามเกียรติขนาดนี้ สําหรับเขาแล้วมันถึงชีวิตเลย วินาทีที่


กระบี่อูเหยาหักก็เท่ากับว่าเขาได้ตายไปแล้ว

มือกระบี่คนหนึ่ง กระบี่ในมือของเขาเป็นสิ่งสําคัญในชีวิตมาก มัน


มากกว่าชีวิตของเขาเอง
กระบี่อูเหยาหัก ก็เท่ากับตัดเส้นทางในสายกระบี่ของเขาทิ้งไป
ด้วย สําหรับคนที่คลั่งไคร้กระบี่อย่างเขาแล้ว การตัดเส้นทางสายกระบี่
ก็เปรียบดังชีวิตที่ไร้ความหมาย ต่อให้ยังมีชว
ี ิตอยู่ต่อไป ก็แค่ศพเดินได้
เท่านั้น

เป่ยถังฮ่วนเย่ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่าไป๋อวี่เฮ่อ แต่ว่าผลในตอนนี้ มันเจ็บปวด


ทรมานกว่าการฆ่าเขาให้ตายซะอีก ต้าจงซือคนนั้น ทําให้ไป๋อวี่เฮ่อไม่
พบกับเส้นทางแห่งแสงสว่างอีกเลย
เล่มที่ 49 บทที่ 1453 ทะเลกลืนกระบี่

ชื่อตันเหมยหดหู่ใจมาก

ตอนที่นางถูกพามาที่เกาะไป๋อวิน ตอนนั้นนางยังเด็กมาก ถึงแม้จะ


มีศษ
ิ ย์พี่สองคน แต่โม่อ่ิงไม่ค่อยอยู่บนเกาะ อีกอย่างโม่อ่ิงเองก็อายุ
มากกว่าชื่อตันเหมยมาก เลยเหมือนคุยกันไม่ค่อยถูกคอ

ไป๋อวี่เฮ่อถึงแม้จะอายุมากกว่าชื่อตันเหมย แต่ก็มากกว่าไม่มาก
ถึงแม้เขาจะเป็นคนพูดน้อย แต่ว่าก็เป็นพวกแข็งนอกอ่อนใน พอเห็น
ชื่อตันเหมยอยูบ
่ นเกาะคนเดียวแล้วเหงา เลยมาดูแล ทั้งสองคนโตมา
ด้วยกัน ถึงแม้จะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แต่ก็เหมือน

สภาพของไป๋อวี่เฮ่อในตอนนี้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่ามือกระบี่คนนี้
เขาสิ้นหวังแล้วจริงๆ

กระบี่อูเหยาหักแล้ว สําหรับไป๋อวี่เฮ่อเท่ากับว่าเส้นทางสายกระบี่
ของเขาไปต่อไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีเส้นทางกระบีน
่ ําทางชีวิต ชื่อตันเหมย
ไม่รู้เลยว่าต่อไปเขาจะอยู่ยังไง

นางอดที่จะโกรธแค้นไม่ได้
เป่ยถังฮ่วนเย่ไม่มีทางไม่รู้ว่าการทรมานหยามเกียรติของมือกระบี่
คนหนึ่งแบบนี้ มันเท่ากับการทําลายชีวิตเขา

ท่าท่างของฉีหนิงเองตอนนี้ก็ไม่ปกติ

ก่อนหน้านี้เขากับต้าจงซือมีความเกี่ยวข้องกัน ว่ากันจากใจ ตอน


นั้นเจ้าเกาะกับเป่ยกงทําให้เขาได้แต่งงานกับชื่อตันเหมย ฉีหนิงยังรู้สก

ซาบซึ้งใจอยู่ เพราะตอนนั้นคิดจะให้ช่ อ
ื ตันเหมยมาเป็นผูห
้ ญิงของเขา
มันไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยตอนนั้นฉีหนิงก็ไม่ได้อคติอะไรกับต้าจงซือ

เพราะอย่างนั้น พอเขาได้รู้ถึงแผนการกําจัดต้าจงซือ ฉีหนิงถึงได้


ไม่ได้สนใจอะไรมาก

แต่พอได้เห็นสภาพของไป๋อวี่เฮ่อ คิดถึงความสง่างามของเขาใน
วันวาน เขาก็นก
ึ ถึงคําพูดของเป่ยถังชิ่งขึ้นมา

ต้าจงซืออยู่เหมือนตัวประหลาด พวกเขาไม่สนใจสิ่งมีชีวิตอื่นเลย
คนพวกนี้ไม่เคารกฎเกณฑ์ในโลก คิดแต่กฎของตัวเอง หากวันไหนเกิด
คลั่งขึ้นมา เข่นฆ่าผู้คนไม่เลือกหน้า ถ้าอย่างนั้นมันถือเป็นหายนะครั้ง
ใหญ่เลย

เป่ยถังฮ่วนเย่เหยียบหัวฉลามในทะเลตายไปสิบกว่าตัว คนเรือพูด
ไม่เข้าหูนิดเดียว ก็ตายแล้ว ส่วนไป๋อวี่เฮ่อก็ถูกเป่ยถังฮ่วนเย่ผลักตกเหว
ทั้งเป็น
แม้แต่ยอดฝีมืออย่างไป๋อวี่เฮ่อยังถูกต้าจงซือทําให้กลายเป็น
เหมือนศพเดินได้อย่างง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นคนธรรมดาทั่วไป ก็คงไม่ต้อง
พูดถึง

ฉีหนิงรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทีเดียว

วินาทีนเี้ ขาพลันนึกถึงอาวุธนิวเคลียร์ข้ึนมาเลย ถึงแม้อานุภาพ


ของต้าจงซืออาจจะสูค
้ วามน่ากลัวของอาวุธนิวเคลียร์ไม่ได้ แต่ว่าใน
โลกนี้ พวกต้าจงซือก็ไม่ต่างกับพวกต้าจงซือ การมีชีวิตอยู่ของพวกเขา
สําหรับโลกใบนีแ
้ ล้ว มันคือภัยร้าย

“กระบี่ของข้าหักแล้ว” ไป๋อวี่เฮ่อพูดซ�าขึ้นมาอีกครั้ง ชื่อตันเหมย


ทนเห็นเขาอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้ นางเบือนหน้าหนีไป คุมตัวเองไม่ให้
ร้องไห้ออกมาไม่ได้

“ฉีหนิง พานางไป” ไป๋อวี่เฮ่อมองไปที่ทะเล แล้วพูดว่า “ดูแลนาง


ให้ดี”

ฉีหนิงตะลึงไป เขารู้สึกเหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น จากนั้นเขาก็


เห็นไป๋อวี่เฮ่อพยายามจะลุกขึ้น เขารีบเข้าไปพยุง แต่ว่าไป๋อวี่เฮ่อกลับ
ปัดมือของพวกเขาออกแล้วเดินตรงไปที่ทะเล

ชื่อตันเหมยตกใจมาก นางเดินไปดึงไป๋อวี่เฮ่อเอาไว้ แล้วพูดด้วย


น�าเสียงสั่นเครือ “ศิษย์พี่ ท่าน ......”
“กระบี่ของข้าหักแล้ว” ไป๋อวี่เฮ่อพูดซ�าอีกครั้ง

ชื่อตันเหมยพูดเสียงสะอื้น “ท่าน ...... ท่านหาหรือทํากระบี่เล่ม


ใหม่ได้นี่นา ......”

“ไม่มีกระบี่ ก็ไม่มีไป๋อวี่เฮ่ออีกแล้ว” ไป๋อวี่เฮ่อบ่นพึมพําต่อว่า “ข้า


ไม่มีกระบี่อีกแล้ว ข้าไม่มีบ้านแล้ว ข้าต้องไป” เขาวะบัดมือออกจากชื่อ
ตันเหมย แล้วเดินหน้าต่อไป

กระบี่หมายถึงกระบี่อูเหยา บ้านนั่นก็หมายถึงเกาะไป๋อวิน

ไป๋อวี่เฮ่อโตที่นี่ เจ้าเกาะถือเป็นอาจารย์ของเขา แต่ว่าในความ


เป็นจริงเจ้าเกาะดูแลเขาเปรียบเสมือนพ่อของเขา แต่ว่าเจ้าเกาะกลับ
ไล่เขาออกจากสํานักเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว วันนี้ก็ไม่เห็นแก่
ความสัมพันธ์ ไม่เห็นว่าเขาเป็นศิษย์เลย ไม่สนใจความเป็นความตาย
ของเขา

ท่านเจ้าเกาะพูดเองว่า ส่งเขาไปที่วังหลวงฮั่น อัตราความสําเร็จ


มันมีแค่ส่วนเดียว นั่นก็หมายความว่า ไป๋อวี่เฮ่อแทบจะไม่มีโอกาสรอด
จากมือของเป่ยถังฮ่วนเย่ได้เลย ทั้งๆ ที่รู้ แต่เจ้าเกาะยังส่งเขาไปอีก
เป้าหมาย ก็เพื่อให้เป่ยถังฮ่วนเย่เอาขลุ่ยจื่อหลงมาที่เกาะไป๋อวิน

เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไป๋อวี่เฮ่อเลยกลายเป็นแค่เครื่องมือของเขา
เท่านั้น
ไป๋อวี่เฮ่อกลายเป็นแบบนี้ ถึงแม้เป่ยถังฮ่วนเย่จะเป็นคนลงมือ แต่
แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นผลจากการกระทําของเจ้าเกาะ

กระบี่อูเหยาหักแล้ว สําหรับไป๋อวี่เฮ่อนั้นมันเป็นอะไรที่ถึงตายมาก
ส่วนไป๋อวี่เฮ่อก็ได้รู้แผนการที่เจ้าเกาะวางเอาไว้ มันทําให้เขาสิน
้ หวังถึง
ที่สุด

ชื่อตันเหมยยังคิดจะยื่นมือไปดึงเขาเอาไว้ แต่ฉีหนิงกลับดึงมือของ
นางแล้วส่ายหน้า

ชื่อตันเหมยทนไม่ไหวอีกแล้ว นางโผเข้ากอดฉีหนิง แล้วร้องไห้


ออกมาอย่างหนัก

ฉีหนิงเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า

เขาเข้าใจความรู้สึกของไป๋อวี่เฮ่อดี ไป๋อวี่เฮ่อไม่อยากจะมีชีวิตอยู่
ต่อไปแล้ว ต่อให้เขาอยูต
่ ่อไป แต่ละวันมันคือความทุกข์ทรมาน สําหรับ
เขาแล้ว มันคือการทรมานให้ศพเดินได้ต้องใช้ชีวิตต่อไปแบบทุกข์ที่สุด
การเดินลงทะเลไป มันอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สด
ุ สําหรับเขา

ฉีหนิงเข้าใจ แล้วทําไมชื่อตันเหมยถึงจะไม่เข้าใจ
ไป๋อวี่เฮ่อตัดสินใจจะตาย ในโลกนีก
้ ็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความคิด
เขาได้ ชื่อตันเหมยไปดึงมือเขาไว้ แต่มน
ั จะยิ่งทําให้เขาทุกข์ทรมานใจ
ยิ่งขึ้นไปอีก

ไป๋อวี่เฮ่อค่อยๆ เดินลงทะเลไป ชื่อตันเหมยน�าตาอาบหน้าเปื้อน


หน้าอกฉีหนิงไปหมด นางไม่กล้ามองไปที่ไป๋อวี่เฮ่อ ฉีหนิงท่าทางดุดัน
มาก เขามองแผ่หลังของไป๋อวี่เฮ่อถูกทะเลกลืนหายไป สายตาของเขา
มองไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็แดงก�าเช่นกัน

ฉีหนิงกับไป๋อวี่เฮ่อไม่ได้รู้จักอะไรกันมาก แต่เขารู้ว่าไป๋อวี่เฮ่อรัก
ชื่อตันเหมยจริงๆอีกทั้งเขาเองก็มีอนาคตที่สดใสมาก แต่กลับต้องมา
กลายเป็นเครื่องมือในการห�าหั่นกันของพวกต้าจงซือ

หลังจากนั้นอยูน
่ าน ชื่อตันเหมยก็หยุดนร้อง ในที่สุดนางก็ยอมที่
จะมองไปที่ทะเล แต่ตอนนี้นางไม่เห็นไป๋อวี่เฮ่อแล้ว

หวังหนูกับซาหนูเอาอาหารกลับมาที่ชายหาด ไป๋อวี่เฮ่อก็ถูกทะเล
กลืนไปแล้ว พวกเขาเห็นชื่อตันเหมยร้องไห้อยูใ่ นอ้อมกอดของฉีหนิง
ทั้งสองคนก็มองหน้ากัน พวกเขาก็พอจะเดากันออก ท่าทางของพวก
เขาก็เศร้ามาก จากนั้นก็หน
ั หลังแล้วค่อยๆ เดินจากไป

ฉีหนิงจูงมือชื่อตันเหมยเดินเรียบไปตามชายหาด
พวกเขาเดินออกห่างจากเรืออูเผิงมามากแล้ว จากนั้นฉีหนิงก็หยุด
ลง เขาจูงมือชื่อตันเหมยนั่งลงบนหาดทราย เขาพูดว่า “สําหรับศิษย์พี่
ไป๋แล้ว มันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เจ้าเองก็อย่าสียใจเกินไปนะ”

ชื่อตันเหมยมองไปบนท้องฟ้า แล้วพูดว่า “ตอนเด็กๆ เขาเคยพา


ข้ามานั่งที่ริมหาดนี่ แล้วนั่งมองดาว” นางก้มหน้าลง นิ่งไปพักหนึ่งแล้ว
พูดขึ้นมาว่า “จนถึงวันนี้ ข้าเองก็ยังไม่รู้ชาติกําเนิดที่แท้จริงของเขาเลย
รู้แต่ว่าเขาเป็นเด็กกําพร้าที่ท่านเจ้าเกาะช่วยกลับมา เขาไม่เคยพูดถึง
ครอบครัวของเขาเลย บนเกาะนี้ นอกจากข้าแล้ว ก็ไม่มีใครสนใจเขา
เลย ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าเกาะเห็นเขาเป็นเหมือนลูก แต่ว่าวันนี้ข้าถึงได้
เข้าใจว่า ที่แท้ ...... ที่แท้เจ้าเกาะก็เห็นเขาเป็นแค่เครื่องมือ”

“ในสายตาต้าจงซือ คนในโลกนี้ไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องไปสนใจ
หรอก” ฉีหนิงพูดว่า “พวกเขาสนใจแต่ตัวเอง”

ชื่อตันเหมยมองไปที่ฉห
ี นิง ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าเกาะรอเป่ยถังฮ่วนเย่
ขึ้นเกาะมาเพื่อขลุ่ยจื่อหลง เป่ยถังฮ่วนเย่มา ก็คงเพื่อพิณเฟิงหวง จะว่า
ไปแล้ว พวกเขาก็ต่างมีเป้าหมายของตัวเอง”

“ทําไมพวกเขาต้องการเครื่องดนตรีพวกนั้นจัง?” ชื่อตันเหมย
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจาเกาะสั่งให้ข้ากับศิษย์พใี่ หญ่ไปเอาพิณเฟิงหวง
จากแคว้นฉู่มา แล้วยังสั่งให้ศษ
ิ ย์พี่ไป๋ไปเอาขลุ่ยจื่อหลงที่วังหลวงแคว้น
เป่ยฮั่น เครื่อง ...... เครื่องดนตรีสองตัวนี้มันเอามาใช้ประโยชน์อะไรกัน
แน่?”

“เพราทํานองนรก” ฉีหนิงไม่ได้ปิดบังต่อไปอีกแล้ว “เมื่อไม่นาน


มานี้ มีประสกฝูผิงคนหนึ่ง เขียนทํานองเทพขึ้นมาสามบท มีสวรรค์
โลกมนุษย์และนรก ทํานองนรกคือหนึ่งในสามบทเพลงนั่น แต่ว่า
ทํานองเพลงสามเพลงนี้มันไม่ธรรมดา ไม่เพียงต้องใช้คนเล่นที่มีฝีมือ
แต่ยังต้องใช้เครื่องดนตรีพิเศษถึงจะเล่นมันออกมาได้ ทํานองเพลงนรก
นั้นต้องใช้พิณและขลุ่ยร่วมเล่นด้วยกัน เครื่องดนตรีธรรมดาไม่สามารถ
เล่นเพลงนี้ได้ ทํานองเพลงของประสกฝูผิง มีแค่เขาคนเดียวที่เล่นได้
ไม่ว่าคนรุ่นหลังจะใช้อะไรมาเล่น ก็เล่นไม่ได้เลย”

เรื่องพวกนี้ ชื่อตันเหมยไม่รู้เลย

เจ้าเกาะสั่งให้ศษ
ิ ย์ของตัวเองไปตามหาเครื่องดนตรีเทพมา แต่
ไม่ได้บอกว่าเอามาใช้อะไร ถึงแม้ช่ อ
ื ตันเหมยจะสามารถนําพิณเฟิงหวง
กลับมาได้ แต่ว่าเจ้าเกาะจะเอาไปใช้ทําอะไร ชื่อตันเหมยไม่รู้เลย

“ทํานองเพลงสามบทนั้นปรากฎอีกครั้งหลังจากนั้นสิบปี โดยนัก
ดนตรียอดฝีมือคนหนึ่ง เขารู้ว่าเครื่องดนตรีธรรมดานั้นไม่สามารถ
บรรเลงมันออกมาได้ ดังนั้นก็เลยลงทุนทําพิณออกมาสองหลัง คือเฟิง
หวงกับไป่เหนี่ยว นอกจากนี้ยังมีขลุ่ยจื่อหลงอีก พิณเฟิงหวงกับขลุ่ยจื่
อหลงต้องบรรเลงพร้อมกัน ถึงจะสามารถเล่นบทเพลงนรกได้”ฉีหนิง
พูดว่า “พวกต้าจงซือล้วนแต่อยากจะได้ของสามสิง่ นีม
้ า เลยยอมทําทุก
วิถีทาง”

ชื่อตันเหมยเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว นางถามว่า “แล้ว


ทํานองนรกนั่นมันมีประโยชน์ยังไง?”

“ยาเม็ดเสวียนอู่” ฉีหนิงพูดว่า “ยาเม็ดเสวียนอู่ในตํานาน มัน


สามารถทําให้อายุยืนเป็นอมตะ อีกทั้งยังสามารถลดความเจ็บปวดใน
ร่างกายทั้งหมดด้วย บนโลกนีม
้ ย
ี าหลายขนานที่หลังจากกินแล้วรักษา
ได้หลายโลก แต่มันก็เป็นแค่การอวดอ้างสรรพคุณเท่านั้น แต่ว่ายาเม็ด
เสวียนอู่มันเป็นยาที่อยู่ในตัวของสัตว์เทวะเสวียนอู่ อาจจะได้ผลจริงๆ
ก็ได้”

ชื่อตันเหมยเหมือนจะเริ่มเข้าใจ “เจ้าหมายความว่า ต้าจงซือ


ต้องการใช้ยาเสวียนอู่ในการรักษาอาการของตัวเองงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พวกต้าจงซือล้วนแต่มีอาการบาดเจ็บ
ติดตัวมาทุกคนไม่มียกเว้น พวกเขาสามารถทะลวงขีดจํากัดของ
ร่างกายตัวเองได้อย่างกะทันหัน เป็นคนเหนือคน แต่เพราะแบบนี้ ทํา
ให้เกิดอาการข้างเคียงกับร่างกายของตัวเองอย่างมาก ต่อหใพวกเขาจะ
มีวิชาร้ายกาจแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทนความทรมานที่เกิดจาก
ร่างกายพวกเขาเองได้” เขาหยุดไปครูห
่ นึ่ง เหลือบไปมองชื่อตันเหมย
แล้วพูดว่า “ในหลายปีที่ผ่านมา ท่านเจ้าเกาะแอบติดต่อกับฝ่าอ๋องของ
เขาต้าเสวียนซานโดยตลอด พวกเขาทําข้อตกลงแลกบัวหิมะกับไข่มุก
ราตรี เรื่องนี้เจ้ารู้หรือเปล่า?”

ชื่อตันเหมยส่ายหน้า แต่ดวงตาของนางกลับเป็นประกายขึ้นมา
“ข้ารู้ว่าฮ่องเต้ตงฉีได้มอบไข่มุกราตรีให้ท่านเจ้าเกาะ ไข่มุกนั่นมันมา
จากหอยหิมะ มีแต่ในท้องทะเลลึกเท่านั้น เพื่อการนี้พวกเขาถึงกับ
รวบรวมคนมาค้นหาหอยหิมะโดยเฉพาะเลย แต่ละปีมีคนตายไป
มากมาย แต่ได้มาแค่เม็ดสองเม็ดเท่านั้น มันหายากมาก”

“ในร่างกายของท่านเจ้าเกาะมีไอร้อนมาก เวลาอาการกําเริบ ชีพ


จรของเขาจะเหมือนถูกไฟเผาไหม้ เจ็บปวดอย่างถึงที่สด
ุ ไข่มุกราตรี
อาจจะสามารถลดความเจ็บปวดทรมานจากความร้อนลงได้เล็กน้อย”
ฉีหนิงพูดว่า “ไข่มุกราตรีเป็นหนึ่งในสามสุดยอดยาฤทธิ์เย็น ท่านเจ้า
เกาะอาจจะคิดใช้ไข่มก
ุ ราตรีลดความร้อนในร่างกาย แต่มันไม่สําเร็จ
ส่วนในร่างกายของฝ่าอ๋องเองก็มีไอร้อนเหมือนกัน สถานการณ์ของเขา
มันรุนแรงมาก ไข่มก
ุ ราตรีทําอะไรเจ้าเกาะไม่ได้ ส่วนบัวหิมะเองก็ช่วย
อะไรฝ่าอ๋องไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นทั้งสองคนจึงแอบสมคบคิดกัน แอบ
แลกสมบัติล�าค่าของกันและกัน เพื่อลองดูว่ามันจะได้ผลไหม”

ชื่อตันเหมยคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องแปลกขนาดนี้ คิดถึงเรื่องที่
เกิดขึ้นเมื่อก่อน นางก็เข้าใจอะไรขึ้นมา “ดังนั้นตอนนี้พวกต้าจงซือเลย
มาคาดหวังเอากับยาเม็ดเสวียนอู่อย่างนั้นใช่ไหม?”
“ต้าจงซือมีร่างกายที่ไม่มีวันตาย แต่ว่าด้วยเวลาที่ผ่านไป ร่างกายของ
พวกเขามันแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดทรมานมันก็มีมาก
ตามไป จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว” ฉีหนิงพูดอย่างจริงจังว่า “พวกเขาเลย
พยายามทําทุกอย่างเพื่อให้ได้ยาเม็ดเสวียนอู่ ท่านเจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่
วนเย่มาพบกัน ก็เพื่อยาเสวียนอู่” เป้าหมายคือทะเลเขาพูดว่า “หากข้า
เดาไม่ผด
ิ เป่ยถังฮ่วนเย่กลายสภาพเป็นแบบนั้น น่าจะเป็นเพราะพลังชี่
ในร่างกาย”
เล่มที่ 49 บทที่ 1454 ตอนตัวเอง

ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้าว่าเป่ยถังฮ่วนเย่เป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง?”

“ข้าเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี” ฉีหนิงพูดว่า “ที่จริงเมื่อปีที่แล้วข้าเคย


เจอเขามาก่อน ตอนนั้นเขาก็แยกไม่ออกแล้วว่าเป็นผูช
้ ายหรือว่าผู้หญิง
แต่ว่าตอนนั้นเวลาที่เขาพูดมันยังมีกลิ่นอายของความเป็นผูช
้ ายอยู่
ดังนั้นเลยยังไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นผู้หญิง แต่ว่าแค่เวลาหนึ่งปี เสียงของ
เขาก็ไม่เหมือนเดิม เหมือนเส้นเสียงจะเปลี่ยนไป มันกลายเป็นเสียงของ
ผู้หญิงแบบสมบูรณ์แล้ว อีกอย่างเจ้าดูผว
ิ ของเขาสิ มันไม่เหมือนผิว
ผู้ชายแล้ว หากไม่ใช่เจ้าเกาะบอกว่าเขาคือเป่ยถังฮ่วนเย่ ข้าไม่มีวันเชื่อ
หรอกว่าเขาเป็นผู้ชาย”

ชื่อตันเหมยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่ได้มองเขาเป็นผูช
้ าย
อีกทั้งท่าทางของเขา ก็เหมือนผู้หญิงมาก” นางคิดแล้วพูดว่า “ผู้ชาย
คนหนึ่งหากแต่งตัวเป็นผู้หญิง ต่อให้แสดงดีแค่ไหน ก็มองออกได้ง่าย
แต่ว่าเขาไม่ว่าจะหน้าตาหรือว่าท่าทางเหมือนผูห
้ ญิงมาก หาได้ยาก
ทีเดียว”

“เจ้าคิดว่า เขากลายเป็นผู้หญิงไปแล้วหรือยัง?”

ชื่อตันเหมยนิง่ ไป แล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”


“ขันที” ฉีหนิงจู่ๆ ก็พด
ู ขึ้นมา

ชื่อตันเหมยสะดุ้ง แล้วพูดว่า “เจ้า ...... เจ้าพูดถูก เขา ...... เขาไม่


เหมือนผู้ชาย แต่ก็ไม่สามารถเป็นผูห
้ ญิงทั้งหมด เหมือน ...... เหมือน
ขันทีเลย แต่ว่า ...... แต่ว่าก็ไม่ค่อยจะเหมือนกับขันทีเท่าไหร่”

ฉีหนิงพยักหน้า เขาพูดว่า “ดูท่าทางสิ่งที่ข้าคิดเอาไว้มน


ั น่าจะไม่
ผิด”

“หมายความว่าไง?”

ฉีหนิงนิง่ ไปแล้วพูดว่า “เจ้ายังจํางูขาวยักษ์ในวังได้ไหม?”

“จําได้สิ แต่ว่าเจ้างูยักษ์น่น
ั มันเกี่ยวอะไรกับเป่ยถังฮ่วนเย่?”

“เป่ยถังฮ่วนเย่เคยแอบลอบเข้าไปในวัง แล้วดื่มเลือดจากงูตัวนั้น”
ฉีหนิงพูดว่า “เขาคุ้นเคยเส้นทางในวังหลวงแคว้นฉู่อย่างดี ดังนั้นนั่น
ต้องไม่ใช่ครั้งแรกของเขาแน่ ก่อนหน้านั้น เขาน่าจะเคยไปหลายครั้ง”

“ดื่มเลือดจากงูกยักษ์น่น
ั เหรอ?”

ฉีหนิงพยักหน้า “งูประเภทนั้นเลือดน่าจะเย็น เลือดที่มฤ


ี ทธิ์เย็น
เป่ยถังฮ่วนเย่ด่ ืมมันเข้าไป จะต้องทําไปเพื่อต้านความร้อนเกินขีดจํากัด
ในร่างกายของเขาแน่” เขามองไปที่ช่ อ
ื ตันเหมย แล้วพูดว่า “เลือดงูขาว
มีเลือดเย็น อีกทั้งยังสามารถเพิม
่ กําลังภายในได้ด้วย แต่ว่าความเย็น
ของมันอาจจะเทียบกับไข่มก
ุ ราตรีกับบัวหิมะไม่ได้”

ชื่อตันเหมยพูดว่า “ถูกต้อง ไข่มก


ุ ราตรีกับบัวหิมะเป็นยาสมุนไพร
ฤทธิ์เย็น เลือดของงูยักษ์มันมีผลเหมือนกัน แต่ประสิทธิภาพน่าจะสู้
ไม่ได้”

“ฝ่าอ๋องใช้บัวหิมะในการคุมความร้อนใจร่างกาย เจ้าเกาะใช้ไข่มุก
ราตรี ถึงจะอย่างนั้น ก็ยงั ไม่ได้ผลมาก” ฉีหนิงพูดว่า “เลือดงูยก
ั ษ์สู้ยา
สมุนไพรสองตัวนั้นไม่ได้ ทําไมเป่ยถังฮ่วนเย่กลับยังสามารถต้านไอร้อน
ในตัวของเขาได้อยู่ล่ะ?”

ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าไอร้อนในร่างกายของเป่ย
ถังฮ่วนเย่น้อยกว่าคนอื่น?”

ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเองเมื่อกี้ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ต้าจงซือ


จะทรมานเพราะความเจ็บปวด แต่ข้ารู้ หากยิ่งแข็งแกร่งมาก ความ
ทรมานในร่างกายก็จะมากตาม เจ้าลัทธิบัวดําในร่างกายเป็นไอเย็น เขา
เลยฝึกวิชาเพลิงโลกัณฑ์ในการต้านทาน ความทรมานของเขา ก็น่าจะ
เบาบางลง ส่วนฝ่าอ๋องกับเจ้าเกาะพวกเขาน่าจะเหมือนกัน พวกเขา
ทรมานกับไอร้อนในตัว เจ้าเกาะยังอาศัยอยู่บนเกาะ แต่ว่าฝ่าอ๋องต้อง
อาศัยอยู่บนยอดเขาต้าเสวียซานตลอด ดังนั้นความทรมานของฝ่าอ๋อง
น่าจะรุนแรงกว่า”
ชื่อตันเหมยพยักหน้า ได้ยินฉีหนิงพูดต่อว่า “ในเมื่อมีความต่าง
หากเป่ยถังฮ่วนเย่บาดเจ็บน้อยหน่อย ถ้าอย่างนั้นการใช้เลือดงูต้านได้
ก็พอจะเข้าใจได้” เขาพูดว่า “แต่ว่าข้าตอนนีเ้ ข้าใจ ในบรรดาต้าจงซือ
คนที่บาดเจ็บน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นเป่ยถังฮ่วนเย่” เขากําหมัดแน่น “เขา
กลายสภาพเป็นแบบนี้ เพราะเลือกไม่ได้ เพราะหากไม่กลายเป็นแบบนี้
ร่างกายของเขาคงโดนเผาไหม้จนหมด”

ชื่อตันเหมยเหมือนจะเข้าใจแล้วก็ไม่เข้าใจ ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “เขาเพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ อาจจะ ...... ตอนตัวเองไปแล้วก็ได้”

ชื่อตันเหมยฝึกวรยุทธ์บนเกาะ ก็ได้อ่านหนังสือบ้าง นางรู้ว่า “การ


ตอน” หมายความว่ายังไง สีหน้าเสียไป นางพูดด้วยความตกใจว่า “เจ้า
...... เจ้าหมายความว่าเขา ......” นางรูส
้ ึกไม่อยากจะเชื่อเลย

ฉีหนิงพูดว่า “หลังจากตอนตัวเองแล้ว อาจจะสามารถลดความ


เจ็บปวดของตัวเองลงได้ แต่กลับต้องกลายเป็นคนไม่สมบูรณ์ มันเป็น
ค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่าย เพราะหลังจากตอนตัวเองความร้อนในตัว
มันลดลง ดังนั้นเขาต้องใช้เลือดงูมาต้านอีกแรง เพื่อเพิ่มกําลังภายใน
ของเขา ดังนั้นเขาเลยไม่เหมือนกับพวกขันที แต่เหมือนผู้หญิง
มากกว่า”

ชื่อตันเหมยกัดริมฝีปาก ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเป็นจริง เขา


...... เขาลงมือโหดร้ายมาก กล้าลงมือกับตัวเองแบบนั้น”
“แต่ว่ามันก็เพื่อรักษาชีวิตตัวเองเท่านั้นแหละ” ฉีหนิงพูดว่า “ยอด
ฝีมือทําอะไรเขาไม่ได้ แต่ว่าสวรรค์กลับลงโทษเขา เขาโหดเหี้ยม ไม่
สนใจชีวิตคนอื่น อาจเป็นเพราะต้องตอนตัวเอง เกิดความแค้นใจ เป็น
ถึงต้าจงซือ กลับต้องตอนตัวเองจนกลายเป็นขันที เขาอาจจะรับไม่ได้
พอเวลาเนินนานไป ในใจเลยไม่ปกติ”

สายตาของชื่อตันเหมยเหมือนจะหวาดกลัว นางพูดว่า “หากนิสัย


ของเขาโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ อาจทําให้คนอื่นเดือดร้อนมากกว่านี้ไปอีก”

“ถ้าต้าจงซือเกิดคลั่งขึ้นมา จะต้องเกิดหายนะแน่” ฉีหนิงพูดว่า


“แต่ว่าในใต้หล้านี้ จะมีใครหยุดพวกเขาได้ล่ะ?”

ตอนที่ไปที่วัดต้ากวงหมิง พอรูแ
้ ผนการของกลุ่มฝูผิง อีกทั้งยังเชิญ
เขาเข้าร่วม ฉีหนิงรู้สึกว่าความเป็นความตายของพวกเขามันไม่เกี่ยวกับ
เขา เขาไม่อยากไปยุ่งกับพวกตัวประหลาดนั่น ดังนั้นเลยปฏิเสธพวกจั่ว
ชิงหยางไป

แต่ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า เมื่อสิบปีก่อนกลุ่มฝูผิงก็เริ่มวางแผนการแล้ว
พวกเขามองการณ์ไกลกันมาก คิดว่าหากต้าจงซือทนความเจ็บปวดไม่
ไหว อาจจะคลั่ง แล้วก็ก่อหายนะขึ้นได้

จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือเป็นผู้อาวุโสมีประสบการณ์ มองการณ์
ไกลมาก ไม่อย่างนั้นพวกเขาเองก็ไม่มท
ี างเข้าร่วมกลุ่มฝูงผิงแน่นอน
เป่ยถังชิง่ สร้างกลุ่มฝูผิงมา แรงจูงใจของเขาไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่
ต้องการกําจัดเป่ยถังฮ่วนเย่ เพราะมีแค่นี้เท่านั้น เป่ยถังชิ่งถึงกล้าที่จะ
ลงมาชิงแผ่นดิน แต่จ่ัวชิงหยางกับคงฉานไต้ซือเหมือนจะทําเพื่อคน
อื่นๆ

ในเวลานี้เอง ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น ทั้งคู่อดที่จะหันไปมองไม่ได้

เสียงขลุ่ยเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ แต่มันก็รูส
้ ก
ึ ใกล้เหมือนกัน

ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วก็ลุกขึ้นมาพร้อมกัน ชื่อตันเหมยชมวดคิ้ว


แล้วพูดว่า “บนเกาะไม่มีคนที่เป่าขลุ่ยได้ จะต้องเป็นเป่ยถังฮ่วนเย่แน่ที่
กําลังเป่าขลุ่ย”

“สัตว์เทวะเสวียนอู่จะปรากฎตัวในแทบตงไฮ่ในปีน”
ี้ ฉีหนิงพูดว่า
“พวกเขาน่าจะเตรียมเดินทางไปตามหาสัตว์เทวะกัน เพื่อล่อให้สัตว์เท
วะออกมา จะต้องทําการบรรเลงเพลง แต่ว่าในมือของพวกเขาไม่มี
ทํานองนรก หากเป่ยกงเหลียนเฉิงไม่มา ทุกอย่างก็สูญเปล่า”

“ทํานองนรกอยู่ในมือของเป่ยกงเหลียนเฉิงงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่จริงทํานองนรกเดิมทีมันอยู่ในมือข้า
ต่อมาถูกเป่ยกงเหลียนเฉิงเอาไป ตอนนั้นข้าเองก็ไม่รูว
้ ่าทํานองนรกที่ว่า
มันไว้ทําอะไร เพิ่งจะมารู้เมื่อไม่นานมานี้แหละ”
ชื่อตันเหมยรู้สก
ึ แปลกใจมาก แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรมาก นางพูดแค่
ว่า “ในเมื่อเป่ยกงเหลียนเฉิงเอาทําลองนรกไป เขาก็จะต้องรู้ว่ามัน
สามารถล่อสัตว์เทวะได้ ต่อให้อยู่ในมือเขา เขาก็ทําอะไรไม่ได้ ยังไงก็
ต้องมาหาสองคนนั้นแน่นอน”

“ข้าได้ยน
ิ มาว่าที่ตงไฮ่มีเกาะร้างอยู่เกาะหนึ่ง สัตว์เทวะเคยไป
ปรากฎตัวที่น่น
ั มาก่อน หากต้องล่อมันออกมา พวกเขาต้องไปที่เกาะ
นั้นแน่นอน” ฉีหนิงพูดว่า “หากพวกเขาไปที่เกาะร้อาง เป่ยกงเหลียน
เฉิงก็จะต้องไม่พลาดแน่นอน”

ชื่อตันเหมยเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ นางพูดว่า “หากพวกเขา


ล้วนต้องการยาเม็ดเสวียนอู่ ถึงเวลานั้นสัตว์เทวะปรากฎตัวขึ้นมา พวก
เขาก็จะต้อง ......” นางไม่ได้พูดออกมา แต่ว่าความหมายที่ชัดเจนมาก

ฉีหนิงคิดในใจว่าสิ่งที่เจ้าพูดมามันคือผลลัพธ์ที่กลุ่มฝูผงิ ต้องการ
นั่นก็คือการให้ต้าจงซือเข่นฆ่ากันเอง

หากสัตว์เทวะเสวียนอู่มีอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นต้าจงซือคิดจะชิงยากัน
พวกเขาจะต้องไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถึงเวลานั้นจะต้องเกิดศึก
ประจัญบานครั้งใหญ่แน่

ตอนนี้คิดไปแล้ว แผนการฝูผิงจะสําเร็จหรือไม่ มันไม่ได้อยู่ที่


กลุ่มฝูผงิ ทําให้มน
ั เป็นความลับแค่ไหน แต่มันอยู่ที่สัตว์เทวะมีจริงหรือ
เปล่า หากเป็นแค่ตํานานเล่าขาน มันก็จะไม่ออกมา แผนการของกลุ่มฝู
ผิงก็ถือว่าล้มเหลว พวกต้าจงซือเกิดคลั่งขึ้นมา ก็ไม่รูว
้ ่าจะทําอะไรอีก
หรือเปล่า

เสียงขลุ่ยดังยาวนานมาก เสียงพิณเองก็ดังขึ้นมาเช่นกัน

ทั้งสองคนรู้ดี มันน่าจะเป็นการบรรเลงร่วมกันระหว่างเจ้าเกาะ
กับเป่ยถังฮ่วนเย่ สําหรับพวกเขาสองคนแล้ว ยาเม็ดเสวียนอู่ยังไงก็ต้อง
ได้มา พวกเขาถึงได้สนใจในเรื่องนี้มาก เป่ยถังฮ่วนเย่มาที่เกาะ ทั้งสอง
เลยเร่งรีบในการเล่นร่วมกันก่อน เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการล่อสัตว์
เทวะเสวียนอู่ ส่วนไป๋อวี่เฮ่อที่เพิ่งจะเดินลงทะเลไป ในสายตาของ
พวกต้าจงซือ เกรงว่ายังสู้แมลงวันไม่ได้เลย พวกเขาไม่สนใจอยู่แล้ว

“เราไปดูกันไหม?” ฉีหนิงพูดขึ้นมา

ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้ายังจะไปเจอพวกเขาอีก
เหรอ?”

การตายของไป๋อวี่เฮ่อ ทําให้ช่ อ
ื ตันเหมยแค้นเป่ยถังฮ่วนเย่มาก ใน
ใจลึกๆ ของนางก็ผิดหวังกับเจ้าเกาะด้วย นางไม่อยากจะเห็นหน้าพวก
เขาเลย
“ในเมื่อมาแล้วก็ทําใจให้สบายเถอะนะ ข้าอยากจะรู้ว่าบทสรุป
เรื่องนี้มน
ั จะเป็นยังไง” ฉีหนิงจูงมือของชื่อตันเหมย แล้วเดินไปตาม
เสียงดนตรี

พวกเขาเดินไปตามเส้นทางหิน ผ่านต้นไม้ใหญ่หนาทึบ ตอนนี้


กลางคืน กลิ่นน�าทะเลกับต้นไม้มันหอมมาก

พอเดินเข้าโซนป่า ชื่อตันเหมยก็บอกฉีหนิงว่าอย่าเดินมัว ให้เดิน


ตามรอยของนาง ฉีหนิงก็ไม่ได้ถามมาก รู้ว่าต้องมีอะไรแน่ เคยได้ยินมา
ว่าวังหลวงตงฉีมก
ี ารวางค่ายกลเอาไว้ ตอนนั้นคนที่ออกแบบก็คือเจ้า
เกาะ ท่านเจ้าเกาะเหมือนจะพอมีวิชาเรื่องการศึกษาเรื่องแผนผังแปด
ทิศ ดังนั้นนางเลยไม่สามารถลอบเข้าไปในวังหลวงแก้แค้นฮ่องเต้ตงฉี
ได้

ในเมื่อวังหลวงตงฉีมก
ี ารวางค่ายกล ถ้าอย่างนั้นบนเกาะไป๋อวิ
นเองก็ต้องมีการวางค่ายกลเอาไวเหมือนกัน

ป่าไม้โขดหินพวกนี้ น่าจะเป็นค่ายกลเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เขาไม่รู้


เรื่องค่ายกลเลย หากตกหลุมพราง มันก็จะยุ่งยาก ยังดีที่ช่ อ
ื ตันเหมย
อาศัยอยู่บนเกาะไป๋อวินมานาน เลยรู้เรื่องค่ายกลบนเกาะเป็นอย่างดี
เขาเดินตามนาง ไม่มป
ี ญ
ั หาแน่นอน
เล่มที่ 49 บทที่ 1455 ยายแก่สด
ุ หลอนบนเกาะ

เส้นทางในป่ามันอ้อมไปอ้อมมา อีกทั้งยังมีทางแยกมากมาย ชื่อ


ตันเหมยพูดว่า “บนเกาะมีการวางค่ายกลสิบแปดดาวเอาไว้ มันจะ
เหมือนเส้นชีพจรในร่างกายที่กระจายไปทั่ว หากเดินผิด ก็จะออกไป
ไม่ได้เลย”

เดินยิ่งลึก เสียงเพลงก็ยงิ่ ชัดขึ้น เดินตามชื่อตันเหมยมาระยะหนึ่ง


ทางก็เริม
่ กว้างขึ้น ด้านหน้าเป็นแปลงดอกไม้ หน้าตาประหลาด ฉีหนิง
คิดในใจว่าบนเกาะมันมีบรรยากาศที่สวยมากๆ แม้แค่สวนดอกไม้ยังมี
เลย เขากําลังจะเดินหน้าไป ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นที่แปลงดอกไม้น้ันมัน
มีเงาคนยืนอยู่ รูปร่างเล็ก ไม่สูง หลังโก่ง ตอนที่คนๆ นั้นยืนขึ้นมา
บังเอิญหันหน้าเขาหาพวกเขาสองคนทันที ฉีหนิงเห็นใบหน้าของคนๆ
นั้นแล้ว ก็ตกใจ จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นเอาเรื่อง

เห็นเงาของคนๆ นั้นเป็นยายแก่คนหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีหกสิบ


ผิวแห้งเหี่ยว ใบหน้าย่น

ยายแก่คนนั้นเห็นสองคนมา ก็ตกใจ นางหยิบตะกร้าแล้วก็คิดจะ


หนี ฉีหนิงลอยไปถีบหลังของนาง นางร้อง “โอ้ย” แล้วล้มลงไปที่แปลง
ดอกไม้ ฉีหนิงเหยียบหลังของนางเอาไว้ แล้วก้มตัวลงเล็กน้อย แล้วพูด
ว่า “ท่านหมอเหมียว สบายดีหรือเปล่า เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

ยายแก่ที่ว่าก็คือเหมียวอู๋จี๋

ตอนที่ฉห
ี นิงเดินทางไปที่ตงฉี ชื่อตันเหมยลอบเข้าวังไปสังหาร
ฮ่องเต้ตงฉีแล้วได้รับบาดเจ็บ ฉีหนิงช่วยนางเอาไว้ เลยพานางไปที่ปา่
ไผ่วิญญาณเพื่อให้ท่านหมอเหมียวรักษา ใครจะคิดว่าจะหลงกลเกือบ
ตายเพราะนางแล้ว ต่อมาเจ้าเกาะกับเป่ยกงเหลียนเฉิงปรากฎตัวขึ้น
แล้วแก้ไขสถานการณ์ไป หมอเหมียวก็ถูกนําตัวกลับมาที่เกาะไป๋อวิน

ยายแก่หน้าตาอัปลักษณ์มาก จิตใจเหี้ยมโหดด้วย ตอนนั้นเพื่อ


ประโยชน์ส่วนตัว นางฆ่าคนไปมากมาย

ชื่อตันเหมยเห็นยายแก่ นางก็พูดว่า “เจ้าอยู่บนเกาะจริงๆ ด้วย ข้า


ตามหาเจ้าตั้งนานแต่ก็ไม่เจอเลย แล้วเจ้ามาทําอะไรลับๆ ล่อๆ ที่นี่?”

ยายแก่ถูกเหยียบเอาไว้ ก็พูดด้วยเสียงน่าสงสาร “แม่นางไว้ชว


ี ิต
ข้าด้วย ข้าเปลี่ยนนิสัยเป็นคนใหม่แล้ว ข้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว พวก
เจ้าใจกว้าง ปล่อยยายแก่อย่างข้าไปเถอะนะ”

ฉีหนิงพูดว่า “ตอนนั้นเหมือนว่าเจ้าเองก็ไม่ได้ปล่อยเรานะ คนที่


ตายเพราะเจ้าก็มีไม่น้อย เจ้าแค่บอกว่าเจ้าเปลี่ยนไปแล้วก็จะจบงั้น
เหรอ?”
หมอเหมียววิชาแพทย์ถึงแม้จะร้ายกาจมาก แต่วรยุทธ์กลับ
ธรรมดามาก เมื่อกี้นางเห็นฉีหนิงกับชื่อตันเหมย ก็จําได้ทันที นางตกใจ
ขวัญกระเจิงมาก รู้ว่าตอนนั้นนางเกือบจะเอาชีวิตพวกเขาสองคน หาก
วันนี้ตกไปอยู่ในมือของพวกเขา คงไม่รอดแน่ นางร้องขออ้อนวอนไปว่า
“จะโทษข้าก็ไม่ได้ ข้า ...... ข้าก็แค่ทําตามคําสั่งเท่านั้น ......”

“หือ?”

“พวกเจ้าไปถามท่านเจ้าเกาะสิ” หมอเหมียวพูดด้วยน�าเสียง
สะอื้น “คําสั่งของท่านเจ้าเกาะ ต่อให้ขา้ ใจกล้ามากแค่ไหนก็ไม่กล้าขัด
หรอก”

ฉีหนิงตอนนั้นก็งงเหมือนกันว่าทําไมเจ้าเกาะต้องพานางกลับมา
กลับมาที่เกาะไป๋อวินด้วย เลยเดาไว้ว่านางน่าจะได้รับคําสั่งจากท่าน
เจ้าเกาะมา แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ ตอนนี้ได้ยินท่านหมอเหมียวยอมรับมา
แบบนี้ ก็มองไปที่ช่ อ
ื ตันเหมย แล้วเก็บขากลับมา หมอเหมียวลุกขึ้นมา
นั่ง เงยหน้ามองฉีหนิงแล้วพูดว่า “ที่ข้าพูดคือความจริงนะ ไม่ได้โกหก
เลย”

ชื่อตันเหมยจ้องไปที่นาง แล้วถามว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าทําตามคําสั่ง


ของท่านเจ้าเกาะงั้นเหรอ? ยุทธภพมีคํากล่าวที่ว่า ตะวันออกเหมียว
ตะวันตกหลีซี เจ้าเหมียวอู๋จี๋กับหลีซก
ี งต่างเป็นหมอที่มช
ี ่อ
ื เสียงมาก ก็
ควรจะช่วยเหลือผู้คนสิ แต่เจ้ากลับใช้วิชาแพทย์ ฆ่าคนบริสุทธิ์ ทุก
อย่างนี้เจ้าจะบอกว่าเป็นคําสั่งของท่านเจ้าเกาะเหรอ?”

“คือ ......” สายตาของเหมียวอู๋จี๋ ไม่กล้ามองชื่อตันเหมยเลย

ฉีหนิง “หือ” เหมียวอู๋จี๋รีบพูดว่า “แม่นางพูดถูกต้องแล้ว ท่านเจ้า


เกาะ ...... ท่านเจ้าเกาะไม่ได้ให้ข้าฆ่าคนบริสุทธิ์หรอก แต่ว่า ...... แต่ว่า
การจะหาสาเหตุของโรค มี ...... มีทางนีท
้ างเดียวเท่านั้น”

“เจ้าพูดแบบนีห
้ มายความว่ายังไง?”

เหมียวอู๋จี๋ลังเล แต่ก็พด
ู ว่า “เมื่อหลายปีก่อน ท่านเจ้าเกาะไปหาข้า
ข้าตกใจมาก แต่ว่า ...... อาการที่ท่านเจ้าเกาะเป็น มันไม่เหมือนปกติ
ข้าไม่เคยเจอมาก่อน ต่อมา ...... ต่อมาถึงได้รู้ว่าในร่างกายของท่านเจ้า
เกาะนั้นถูกพลังชี่ทําร้าย ต้องทําการพักฟื้น การพักฟื้นคือวิธก
ี ารฟื้นฟู
ร่างกายที่ดีที่สุด เพราะปัญหาของท่านเจ้าเกาะมันอยู่ที่ลมปราณ”

ชื่อตันเหมยพูดว่า “ลมปราณของท่านเจ้าเกาะมีปัญหาอะไรกัน
แน่?”

“หากลมปราณของคนเราอ่อนแอมากเกินไป ก็จะร้อนดังไฟเผา
ซึ่งมันไม่เป็นผลดีเลย” เหมียวอู๋จี๋พูดว่า “แต่ว่าหากลมปราณมันมาก
เกินไป ร่างกายก็จะรับไม่ไหว ท่านเจ้าเกาะ ...... ท่านเจ้าเกาะเป็นต้า
จงซือ ลมปราณของท่านมันไม่เหมือนกับคนทั่วไป ชีพจรก็ไม่ปกติ ก็
เหมือน ...... ก็เหมือนคนที่มีชพ
ี จรสวรรค์”

“เจ้าพูดว่าชีพจรสวรรค์ หมายถึงชีพจรในร่างกายไม่เหมือนคน
ทั่วไปอย่างนั้นใช่ไหม?” ฉีหนิงถาม

เหมียวอู๋จี๋รีบพูดว่า “ใช่ ใช่ คุณชายพูดถูกแล้ว คนที่มีชพ


ี จรสวรรค์
ก็คือคนที่เกิดมาจากท้องแม้ก็มีชีพจรประหลาดแล้ว คนแบบนี้จะมีชพ

จรหนากว่าคนอื่น ดังนั้นลมปราณก็จะไม่เหมือนคนทั่วไป เวลาฝึกวร
ยุทธ์ก็จะสามารถฝึกได้ดีกว่าและเร็วกว่าคนอื่น ลมปราณจะเต็มเปี่ ยม
อายุก็จะยืน แต่ต้ังแต่โบราณมามีแค่ไม่กี่คน มีบางคนต่อให้เป็นชีพจร
สวรรค์ ก็ไม่รู้วิธใี ช้มัน มันก็จะกลายเป็นของล�าค่าที่ไม่มีความหมาย”

ชื่อตันเหมยถามว่า “แล้วพวกต้าจงซือเป็นชีพจรสวรรค์หรือ
เปล่า?”

“คือว่า ......” ท่านหมอเหมียวเหมือนจะลังเล

ฉีหนิงพูดว่า “หากเจ้าพูดจาติดอ่างแบบนี้ หรือว่าโกหก ข้าจะเอา


ชีวิตเจ้าทันที? ไม่เชื่อก็ลองดู” สายตาของเขาจริงจังมาก หมอเหมียวไม่
กล้าขัดเขา “ใช่ ใช่ ใช่ ชีพจรของต้าจงซือเหมือนกับชีพจรสวรรค์ แต่ว่า
เหนือกว่าชีพจรสวรรค์ แต่ว่า ...... ชีพจรสวรรค์ของท่านเจ้าเกาะมัน
ไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด ตอนที่ขา้ ตรวจอาการตอนแรก ก็รู้ว่าชีพจรสวรรค์
ของเขาเกิดจากการเปลี่ยนแปลง แต่ว่าเปลี่ยนแปลงมายังไง ข้าไม่รู้”

“เจ้าบอกว่าเจ้าเกาะไปให้เจ้าตรวจอาการ แล้วทําไมถึงต้องฆ่าคน
บริสุทธิ์ด้วย?”

ท่านหมอเหมียวพูดว่า “อาการที่ท่านเจ้าเกาะเป็น ตอนนั้นข้าจน


ปัญญารักษาจริงๆ ข้าเกรงว่า ..... เกรงว่าท่านเจ้าเกาะจะโกรธแล้วก็ฆา่
ข้า เลยรับปากกับท่านเจ้าเกาะไปว่า จะหาวิธีการรักษามาให้ได้ ท่าน
เจ้าเกาะตอนนั้นก็เลยยอม เขาสั่งให้ขา้ ทํายังไงก็ได้หาทางรักษาให้ได้
หาก ..... หากรักษาเขาจนหายได้ เขาจะให้รางวัลข้าอย่างงาม ยังบอก
อีกว่าจะให้ข้าอยู่ไปอีกกี่สิบปีก็ได้ ข้า ..... ข้าเชื่อคําพูดของท่านเจ้าเกาะ
ดังนั้น .....”

“ดังนั้นเจ้าก็เลยตามหาคนที่มีชพ
ี จรใกล้เคียงกับท่านเจ้าเกาะ
อย่างนั้นสินะ คิดใช้พวกเขามาเป็นหนูทดลอง หาสาเหตุของโรค เพื่อ
หาวิธีรก
ั ษา?” ฉีหนิงพูดว่า เรื่องนี้ที่จริงก็เหมือนที่เขาคิดเอาไว้ผิด

เหมียวอู๋จี๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้องแล้ว คิดจะรักษาอาการ


ของท่านเจ้าเกาะ ก็ต้องหาสาเหตุให้เจอก่อน ข้าคงไม่อาจจะคลําหา
จากตัวท่านเจ้าเกาะหรอก เลยแอบไปหาชาวยุทธ ลองดูว่าพอจะหา
สาเหตุได้บ้างไหม ลมปราณของคนฝึกยุทธ อาจจะสู้ต้าจงซือไม่ได้ แต่ก็
ดีกว่าคนธรรมดา ข้าไม่มีทางเลือก ทํายังไงก็ไม่เจอชีพจรสวรรค์สักที
เลยต้องถอย” นางมองไปที่ฉห
ี นิงแล้วพูดว่า “แต่ครั้งนั้นได้พบกับ
คุณชายที่มีชีพจรใกล้เคียงกับชีพจรสวรรค์ ข้ารอมานานหลายปีถึงจะ
เจอ เลยดีใจมาก เพื่อหาทางช่วยท่านเจ้าเกาะ ทําให้เลอะเลือนไป
ดังนั้น ...... คุณชายกับแม่นางเป็นคนใจกว้างมีเมตตา ข้าเองก็รู้สํานึก
แล้ว พวกท่าน ..... พวกท่านก็ปล่อยข้าไปเถอะนะ”

“ต้องการรักษาท่านเจ้าเกาะเหรอ ข้าว่าเจ้าแค่กังวลว่าท่านเจ้าเกะ
จะฆ่าเจ้ามากกว่า แล้วก็คิดจะให้ท่านเจ้าเกาะทําให้เจ้าอยู่ไปได้อีก
หลายสิบปีก็เท่านั้น” ชื่อตันเหมยพูดว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย หากอาการ
ของท่านเจ้าเกาะไม่ได้รับการรักษา จะมีอันตรายถึงชีวิตหรือเปล่า?”

หมอเหมียวพูดว่า “หากมีกําลังภายในจากภายนอกจู่โจมร่างกาย
ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป คงทนไม่ได้แน่ แต่ว่าต้าจงซือถึงแม้จะมีอาการ
เจ็บปวดทรมานจนทนไม่ไหว แต่พวกเขาสามารถควบคุมมันได้ เลยไม่
มีอันตรายถึงชีวิต เพียงแต่ต้องทนทรมานแบบนี้ไปตลอดเท่านั้น”

“ควบคุมงั้นเหรอ?”

หมอเหมียวพยักหน้าแล้วพูดว่า “วรยุทธ์ของพวกเขายิ่งแข็งแกร่ง
มากเท่านั้น เส้นชีพจรก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้น ความสามารถของพวกเขาก็
จะน่ากลัวขึ้นไปอีก แต่ลมปราณหรือว่ากําลังภายในจากภายนอกก็จะ
แข็งแกร่งตามไปด้วย มันก็เหมือนกองไฟ ยิ่งเติมฟืนมากเท่าไหร่ ไฟมัน
ก็ลก
ุ โชนมากขึ้น หากไม่เติมฟืน ถึงแม้ไฟจะไม่มอด แต่ก็ไม่มีเพิม
่ การ
ฝึกฝนร่างกายก็เหมือนกัน หากไม่ต้องการมากขึ้น หรือไม่ฝก
ึ อะไร
เพิ่มเติมอีก ความทรมานมันก็จะลดลง”

ฉีหนิงพูดว่า “เจ้าหมายความว่าถ้าพวกเขาไม่ฝก
ึ วรยุทธ์อีก ความ
เจ็บปวดของเขาก็จะหายไปงั้นเหรอ?”

หมอเหมียวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่หายไป แต่เวลาที่อาการจะ


กําเริบมันจะเว้นระยะนานขึ้น ความเจ็บปวดมันก็จะเบาลง”

ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยมองหน้ากัน คิดในใจว่าพวกต้าจงซือนั้นก็ไม่
จําเป็นต้องได้ยาเม็ดเสวียนอู่ให้ได้ หากพักฟื้นโดยไม่ฝก
ึ วรยุทธ์ มันก็จะ
ทําให้ความเจ็บปวดลดน้อยลงได้เหมือนกัน

“เจ้ามาที่เกาะ แล้วเจอวิธีรักษาแล้วหรือยัง?”

หมอเหมียวพูดว่า “ถึงแม้ขา้ จะยังไม่สามารถช่วยรักษาอาการให้


ท่านเจ้าเกาะได้ แต่ก็ได้ปรุงยาออกมา หลังจากกินแล้ว มันสามารถลด
ลมปราณโจมตีภายในได้” แต่นางก็พด
ู ต่อว่า “แต่ว่าตอนนี้ท่านเจ้า
เกาะยังกินยาที่ข้าปรุงขึ้นอยู่ หากข้าตายไป ไม่มียาแล้ว ท่านเจ้าเกาะก็
จะ ......”

ประโยคด้านหลังนางไม่ได้พด
ู ต่อ เพื่อไม่ให้เป็นการข่มขู่บีบบังคัง
พวกฉีหนิงมากเกินไป
“วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่ต้ังแต่นี้ต่อไป เจ้าก็อยู่บนเกาะนี้
ให้ดีดีแล้วกัน” ฉีหนิงพูดว่า “วันไหนที่เจ้าออกจากเกาะนี้ นั่นคือวันตาย
ของเจ้า จําไว้ให้ดีล่ะ”

“ข้าจะจําให้ข้น
ึ ใจเลย จําให้ข้น
ึ ใจเลย” เหมียวอู๋จี๋ตอบรับ

ชื่อตันเหมยถอนนหายใจแล้วพูดว่า “ที่แท้หากต้าจงซือไม่ฝก
ึ วร
ยุทธ์ ก็ลดความเจ็บปวดได้ ก่อนหน้านี้เจ้าพูดไม่ผิดเลย วรยุทธ์ยิ่งสูง
มาก บาดเจ็บก็หนักขึ้น เป่ยถังฮ่วนเย่กับฝ่าอ๋องไม่ได้ควบคุมตัวเองเลย
ฝึกวรยุทธ์อยู่ตลอด ดังนั้น ...... ดังนั้นเขาเลยต้องทนทรมานมากกว่า”

“พวกเขาไม่อยากสูญเสียสิ่งที่มีอยู่ไป” ฉีหนิงพูดว่า “การเป็นต้าจงซือ


มีวิชาราวกับเทพเจ้า สามารถควบคุมชะตาชีวิตของใครก็ได้ ความรูส
้ ึก
แบบนี้พวกเขาชอบมันมาก เลยไม่อยากต้องทิ้งมันไป ถึงแม้พวกเขาจะ
มีความสามารถที่เหนือใคร แต่พวกเขาไม่ปล่อยวาง ยังโลภในสิ่งที่
ตัวเองมีอยู่”
เล่มที่ 49 บทที่ 1456 ขลุ่ยและพิณร่วมบรรเลง

ชื่อตันเหมยส่ายหัวแล้วพูดว่า “พวกเขาต้องไม่อยากเสียทุกอย่าง
ที่เขามีในตอนนีไ้ ปแน่นอน แต่ว่าสถานการณ์แบบนี้ พวกเขากลับไม่มี
ทางเลือก”

ฉีหนิงเข้าใจในความหมายของชื่อตันเหมยในทันที เขาพยักหน้า
แล้วพูดว่า “หากโลกนีม
้ ีแค่ต้าจงซือคนเดียว ต่อให้เขาไม่ฝึกวรยุทธ์ต่อ
เขาก็สามารถเป็นหนึ่งในใต้หล้า ไม่มีใครทําอันตรายอะไรเขาได้ แต่ใน
เมื่อมีต้าจงซือถึงหลายคน ใครก็ไม่กล้าหยุดแค่นี้หรอก”

ชื่อตันเหมยพูดว่า “สามารถทําให้ต้าจงซือรู้สึกไม่ปลอดภัย ก็คงมี


แต่ต้าจงซือด้วยกันนีแ
่ หละ ในใจของพวกเขา คงหวังอยากจะเป็นต้า
จงซือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นไม่เพียงจะได้ยิง่ ใหญ่ได้เพียง
หนึ่งเดียว สิ่งสําคัญก็คือจะไม่มอ
ี ะไรที่ทําให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย
ดังนั้นหากมีโอกาส ไม่ว่าต้าจงซือคนไหนก็จะไม่มีทางออมมือแน่นอน”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ต้าจงซือแต่ละคนมีความกังวล


ว่าต้าจงซือคคนอื่นจะลงมือกับตัวเอง ดังนั้นจึงแอบฝึกวิชาเพิม
่ เติมอยู่
ตลอดเวลา ถึงแม้การฝึกจะทําให้พวกเขาต้องทนทุกข์ความเจ็บปวด
ทรมาน แต่ว่าพวกเขากลัวว่าฝีมือของพวกเขาจะไม่เพียงพอ แล้วถึง
เวลาอาจจะถูกฆ่าเป็นผักปลาก็ได้”

พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็นก
ึ ถึงเจ้าลัทธิบัวดําขึ้นมา

เจ้าลัทธิบัวดําสูญเสียความทรงจํามานานหลายปี ระหว่างนั้นเขา
ไม่สามารถฝึกอะไรได้ แต่พอขึ้นเขาต้าเสวียซาน ได้รบ
ั ความทรงจําคืน
แล้ว กลับยังสามารถเอาชนะฝ่าอ๋องได้ ไม่รู้ว่าฝ่าอ๋องฝีมืออ่อนเกินไป
หรือว่าเจ้าลัทธิบัวดํานั้นมีพรสวรรค์มาก

แต่ว่าก่อนที่ต้าจงซือจะลงมือ ไม่มีรู้ว่าอีกฝ่ายมีฝีมือระดับไหน

เพราะยิ่งไม่รู้ ก็ย่งิ หวาดกลัวอีกฝ่าย การแอบฝึกวิชา มันก็เป็นเรื่อง


ที่เข้าใจได้

ฉีหนิงรู้สึกว่าต้าจงซือพวกนี้แข็งแกร่งอย่างที่เขาคาดเดาไม่ได้เลย
แต่ที่จริงแล้วพวกเขาเองก็นา่ สงสาร

พวกเขาไม่เพียงต้องทนทรมานเพราะอาการบาดเจ็บ แต่ยังต้อง
เป็นกังวลอยู่ทุกวี่วัน เกรงว่าจะต้องตายเพราะต้าจงซือ ดังนั้นพวกเขา
ยิ่งฝึกก็ยิ่งลําบาก แต่ก็ต้องทนฝืนต่อไปเรื่อยๆ เหมือนการดื่มยาพิษเพื่อ
ดับกระหาย

เสียงขลุ่ยและพิณหยุดไปครู่หนึ่ง แต่ว่ามันก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงขลุ่ยดูเร่งจังหวะมากขึ้น เสียงพิณเองก็บรรเลงเร่งตาม มันเริ่ม
เหมือนเสียงบรรยากาศในสนามรบ ฉีหนิงกําลังคิดจะออกจากที่นี่
เดินหน้าต่อไป แต่เขากลับไปเห็นชื่อตันเหมยใบหน้าและหูเริ่มแดง
ท่ามกลางแสงจันทร์ นางดูมีเสน่ห์มาก เขาแปลกใจ ทันใดนั้นเองชื่อตัน
เหมยตัวก็เริ่มเซเหมือนจะล้ม ฉีหนิงสะดุ้ง รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้วแน่
ตอนนี้เขาก็เริ่มเลือดลมไหลเวียนโกลาหล หน้าอกเริ่มแน่นเขาเลยรีบ
จับชื่อตันเหมยเอาไว้ แล้วพูดว่า “แปลงดอกไม้นี่มันมีพษ
ิ หรือเปล่า?”

แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ร่างกายของเขาพิษไม่สามารถทําอะไรได้
ต่อให้ในอากาศมีพษ
ิ ก็ไม่น่ามีผลอะไรกับเขา

ชื่อตันเหมยกลับหายใจหอบแล้วพูดว่า “เป็น ... เป็นเสียงดนตรี


...” นางรีบนั่งขัดสมาธิลง หลับตาแล้วเริ่มเดินลมปราณควบคุม ฉีหนิง
เหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมา ที่ท้ังคู่มอ
ี าการไม่สบายตัว เป็นเพราะเสียง
ขลุ่ยกับพิณ

เสียงขลุ่ยและพิณดังขึ้น เหมือนมันใกล้หูมาก ต้าจงซือสองคนเล่น


ดนตรีเคียงข้างกัน ฉีหนิงรู้ว่าเสียงมันดังไกลมาก ทั้งสองคนเดิน
ลมปราณควบคุมร่างกายเอาไว้ กําลังภายในของชื่อตันเหมยอ่อนกว่า
เขานิดหน่อย ดังนั้นเลยทนไม่ไหวก่อน

เขาเองก็เลยนั่งลง แล้วเดินลมปราณที่ได้เรียนมาจากวัดต้ากวง
หมิง
คัมภีร์วิชาชิงจิงสามารถเพิ่มสมาธิสงบลงได้ หลังจากสงบลงแล้ว
เขาก็รู้สก
ึ ว่าลมปราณของเขามันไม่น่งิ เลย เสียงดนตรีที่ปลุกเร้า มัน
เหมือนทําให้เขาอยากจะลุกขึ้นเต้นรํา ยังดีที่เดินลมปราณไปได้ครู่หนึ่ง
ทุกอย่างก็เริม
่ เข้าที ไม่ถูกกระตุ้นเพราะเสียงเพลงอีก

พอดนตรีหยุดลง ฉีหนิงถึงได้ลืมตาขึ้นมา เห็นใบหน้าของชื่อตัน


เหมยเริม
่ แดงลดลง เขาถึงได้โล่งใจ เขารีบเข้าไปพยุงนาง แล้วพูดว่า
“เป็นไงบ้าง?”

ชื่อตันเหมยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร” แต่ก็ยังตกใจเพราะ


สถานการณ์ของอีกฝ่าย แอบคิดในใจนีย
่ ังไม่ได้อยู่ต่อหน้าต้าจงซือนะ
แค่พวกเขาใช้กําลังภายในบรรเลงเพลง ยังทําให้เลือดลมไหลเวียนไม่
ปกติขนาดนี้ ความน่ากลัวของต้าจงซือนั้น มันสมคําร�าลือจริงๆ

“ด้านหน้ายังมีค่ายกลอีกไหม?” ฉีหนิงถาม

ชื่อตันเหมยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เราออกจากป่านีไ่ ป ก็ถือว่าออก


จากค่ายกลสิบแปดดาวแล้วล่ะ”

“งั้นก็ดี” ฉีหนิงเห็นสีหน้าของชื่อตันเหมยไม่ค่อยจะดีนัก ถึงแม้เขา


จะรู้ว่าเสียงดนตรีน่ันมันมีผลกระทบต่อชื่อตันเหมยไม่มาก แต่มันก็ทํา
ให้นางไม่สบายตัว หากเดินเข้าไปใกล้อีก แล้วเพลงดังขึ้นอีกครั้ง ชื่อตัน
เหมยอาจจะรับไม่ไหวอีกแล้ว เขาเลยพูดว่า “เจ้ารอตรงนี้ดีกว่า ข้าจะ
ไปดูเอง แล้วจะรีบกลับมา”

ชื่อตันเหมยพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าจะไปดูเพื่ออะไร พวก


เขา ......”

“เชื่อข้านะ ข้าไปดูไม่นานหรอก” ฉีหนิงค่อยๆ ให้นางนั่งลง แล้ว


ไม่พด
ู อะไรมากอีก หันหลังแล้วเดินต่อไป ชื่อตันเหมยถอนหายใจเบาๆ
แต่ก็ไม่ได้ขวางเขา

เมื่อเดินผ่านแปลงดอกไม้ไป ด้านหน้ามันสวยงามมาก มีสะพาน


น�าตก มีสวนดอกไม้ เหมือนอุทยานในวังหลวงเลย ฉีหนิงเห็น
บรรยากาศโดยรอบ ก็คิดว่าท่านเจ้าเกาะใช่ว่าจะเป็นคนที่ละกิเลสต่างๆ
ได้ หากปลงตก คงไม่คิดออกแบบอะไรแบบนี้ออกมาแน่ๆ

เมื่อเดินผ่านสะพานไป ก็เห็นศาลาที่สวยมากหลังหนึ่ง ตรงนั้นมี


เงาของคนสองคนอยู่ มองก็รู้ว่าต้าจงซือสองคนอยู่ตรงนั้น

ฉีหนิงคิดในใจว่าเขาไม่เข้าไปใกล้กว่านีจ
้ ะดีกว่า เลยพยายามมอง
ห้าก้อนหินใหญ่ กําลังจะนั่งลงมอง ก็ได้ยินเสียงของเป่ยถังฮ่วนเย่ดัง
ขึ้นมาว่า “ฉีหนิง เจ้ามานี่สิ”

ฉีหนิงคิดในใจว่าพวกเขามีตาหลังกันหรือไง แต่ว่าเขาคิดว่าพวก
เขาไม่ได้ตาดีหรอก แต่เพราะพวกเขาเป็นต้าจงซือ มีใครเข้าใกล้แล้วไม่
รู้ มันถือว่าเสียชื่อมาก ในเมื่อเป่ยถังฮ่วนเย่เรียกเขาแล้ว เขาก็ไม่ลังเลใจ
อีก เดินตรงไปที่ศาลาเลย

เขาไม่ได้มองไปที่คนอื่น มองแค่เครื่องดนตรีของสองคนนั้น

เห็นในมือของเป่ยถังฮ่วนเย่มีขลุ่ย ตัวขลุ่ยสีม่วง ไม่ได้มก


ี ารตกแต่ง
ประดับอะไรมากมาย ดูธรรมดาและโบราณมาก ดูก็รู้ว่าอายุมานาน
มากแล้ว เพียงแต่บนตัวขลุ่ยมีลายแกะสลักรูปลายมังกรพันไปรอบขลุ่ย

ส่วนเจ้าเกาะก็น่งั ขัดสมาธิอยู่ด้านหลังพิณโบราณ พิณนั่นมีสีทอง


ในศาลาที่มีแสงสลัวๆ ที่ด้านซ้ายของตัวพิณมีไม้แกะสลักหงส์อยู่ ส่วน
ตอนท้ายก็มีรูปแกะสลักหงส์พน
ั รอบๆ

ฉีหนิงรู้ว่ามันไม่น่าใช่สีเหลืองจากทองคํา แต่น่าจะเป็นไม้ชนิด
พิเศษ

ตอนที่ทํานองเทพปรากฎบนโลก ไม่มใี ครสามารถบรรเลงมัน


ต่อไปได้ ประสกฝูผิงน้อยเลยสร้างเครื่องดนตรีเป็นพิณกับขลุ่ยออกมา
การเลือกวัสดุมาทําน่าจะไม่ใช่ของธรรมดาแน่ คิดว่าน่าจะค้นหาวัสดุที่
เหมาะสมที่สุด และน่าจะใช้เวลานานมากด้วย

ฉีหนิงได้ยินเรื่องของพิณเฟิงหวงมานานมากแล้ว วันนีพ
้ อได้เห็น
มันไม่ธรรมดาสมคําร�าลือเลย
“นี่คือขลุ่ยจื่อหลงกับพิณเฟิงหวง เจ้ารู้จักเครื่องดนตรีสองชิ้นนี้
ไหม?” เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มอ่อนๆ

ฉีหนิงมองไปที่ขลุ่ยจื่อหลง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เคยได้ยินชื่อ


ขลุ่ยจื่อหลงมาก่อน แต่ว่าพิณเฟิงหวงเคยได้ยน
ิ คนพูดถึง ในโลกนีม
้ ีสด

ยอดพิณโบราณอยู่สองหลัง หนึ่งคือพิณเฟิงหวง อีกหนึ่งคือพิณอูอวี”

ท่านเจ้าเกาะเหลือบไปมองฉีหนิง แล้วพูดว่า “เหมยเอ๋อร์น่าจะเล่า


เรื่องของพิณเฟิงหวงให้เจ้าได้ฟงั แล้วสินะ?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “นางเป็นเมียข้า ข้าถาม นางก็ไม่ปกปิด


ข้าอยู่แล้ว” ไม่รอให้ท่านเจ้าเกาะพูดอะไร เขาก็รีบถามก่อนว่า “ข้าก็
แค่แปลกใจ ท่านเจ้าเกาะส่งให้นางไปยังแคว้นฉู่ ก็เพื่อพิณเฟิงหวงหลัง
นี้ ท่านเจ้าเกาะชื่นชอบเรื่องดนตรีง้ันเหรอ? พิณเฟิงหวงถูกซ่อนในวัง
หลวงแคว้นฉู่ หากท่านเจ้าเกาะส่งคนไปทูลขอ ฝ่าบาทก็อาจจะ
ประทานให้ก็ได้ ทําไมต้องทําให้มันวุ่นวายขนาดนั้นด้วยล่ะ?”

ท่านเจ้าเกาะพูดว่า “เจ้าคิดว่ามีแค่ข้าคนเดียวงั้นเหรอที่อยากจะ
ได้พิณหลังนี้? เป่ยกงเหลียนเฉิงเห็นมันเป็นของที่อยู่ในมือเขา หากข้า
ส่งคนไปขอ คิดว่าคงถูกเป่ยกงเหลียนเฉิงเอาไปนานแล้ว เขาคิดว่าพิณ
มันอยู่ในวังหลวง คงปลอดภัย ข้าก็จะเอามันมาแบบนีแ
้ หละ”
ฉีหนิงแกล้งทําเป็นสงสัยแล้วพูดว่า “ข้าแค่รู้ว่าท่านเทพกระบี่ชอบ
เป่ยขลุ่ย เขาชอบเล่นพิณด้วยเหรอเนีย
่ ?” เขามองไปที่ขลุ่ยจื่อหลง แล้ว
พูดว่า “เทียบกับพิณเฟิงหวงแล้ว ท่านเทพกระบี่น่าจะชอบขลุ่ยจื่อหลง
มากกว่านะ”

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง ได้ยน


ิ มาว่าจั่วชิงหยางเคยให้
ของกับเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้ายังจําได้ไหม?” เขาพูดเสริมอีกว่า “อย่าโกหก
พูดความจริงออกมา”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ที่แท้พวกท่านเองก็รู้เหรอเนี่ย?
ถูกต้อง ไม่รู้ว่าตอนนั้นใครอยากจะให้ท่านอาจารย์จ่ัวตายก็ไม่รู้ ตอนที่
ท่านอาจารย์กําลังจะตาย เขาได้มอบม้วนอะไรสักอย่างกับข้า พอข้า
ย้อนกลับไปหาเขา เขาก็หายไปแล้ว”

เป่ยถังฮ่วนเย่เหมือนจะไม่ได้สนใจว่าจั่วชิงหยางจะเป็นหรือตาย
เขาถามว่า “ม้วนนั่นเป่ยกงได้ไปแล้วหรือยัง?”

“ท่านรู้ง้ันเหรอ?” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าคิดมาตลอดเลยว่าม้วนนั่น


น่าจะมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ ใช้เวลาหาอยู่ต้ังนานก็หาไม่เจอ ต่อมาท่าน
เทพกระบี่มาหาข้า ในเมื่อเขามาขอ อีกอย่างม้วนนั่นมันก็ไม่มป
ี ระโยชน์
อะไรกับา้ ข้าก็เลยให้เขาไป”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “ม้วนนั่นอยูใ่ นมือเขา มันเป็นเรื่องที่ดี
มาก” เขาถามอีกว่า “ดนตรีเมื่อกี้ เจ้าได้ยน
ิ หรือเปล่า?”

ฉีหนิงพูดว่า “ข้าได้ยน
ิ มันที่ชายหาด เลยเดินมาดู”

“แล้วเจ้าคิดว่ามันเป็นยังไงบ้าง?” เป่ยถังฮ่วนเย่ถาม

ฉีหนิงลังเล ไม่ได้พูดอะไร เจ้าเกาะพูดว่า “พูดความจริง”

“ที่จริง ...... ตอนที่ข้าอยู่เมืองหลวงข้าเองก็ฟังบรรเลงดนตรีมา


เยอะ ขออภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง เสียงดนตรีที่ผู้อาวุโสทั้งสองบรรเลง
มัน ...... มันไม่ได้ไพเราะขนาดนั้น” ฉีหนิงพูดว่า “ข้าแค่พูดความจริง
พวกท่านอย่าโทษข้าล่ะ”

“เจ้าบอกว่าเสียงดนตรีของเรามันไม่เพราะอย่างนั้นเหรอ?” เป่ย
ถังฮ่วนเย่ขมวดคิ้ว แม้แต่เจ้าเกาะเองก็ชักสีหน้า

ฉีหนิงคิดในใจว่าข้าแค่บอกว่าพวกเจ้าเล่นไม่เพราะ พวกเจ้าก็คิด
จะลงมือกับข้างั้นเหรอ? เห็นพวกเขาสองคนขมวดคิ้ว เขาเลยต้องพูด
ว่า “มันก็ใช่ว่าจะไม่เพราะเลย เพียงแต่ ...... ดนตรีเปรียบเสมือง
ความรูส
้ ึกในจิตใจ หากไม่สามารถสัมผัสถึงอารมณ์ความดีใจความเสีย
ใจความเจ็บปวดตามทํานองเพลงได้ มันก็ไม่ถือว่าเป็นบทเพลงที่ดี”
เจ้าเกาะส่ายหัว ถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยว่ สรรพสิ่งในโลก
ล้วนแต่มีสิ่งที่ถนัดแตกต่างไป ถึงแม้เราจะเชี่ยวชาญไม่เหมือนกัน แต่
ว่าเรื่องของดนตรี เหมือนจะไม่มีใครมีพรสวรรค์เลย”

“นั่นสินะ ต่อให้มีทํานองเพลงนรกอยู่ในมือ ด้วยกําลังของเราสองคน ก็


อาจจะไม่สําเร็จ” เป่ยถังฮ่วนเย่พูดว่า “ประสกฝูผิงกับเพื่อนของเขา
ล้วนแต่เป็นนักดนตรี เราสองคนจะไปเทียบอะไรได้? ในเมื่อมีเงื่อนไข
เรื่องของเครื่องดนตรีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นนักดนตรีเองก็น่าจะเข้มงวด
เช่นกัน” เขาถอนหายใจ สีหน้าเหมือนจนปัญญา
เล่มที่ 49 บทที่ 1457 สามต้าจงซือกับเสวียนอู่

ฉีหนิงอยู่บนเกาะไป๋อวินไม่กี่วัน ต้าจงซือทั้งสองก็เตรียมตัวจะออก
เดินทางกันแล้ว

เกาะไป๋อวินมีเรือออกทะเลอยู่ลําหนีง่ เรือลํานีถ
้ ึงแม้จะไม่ได้ใหญ่
เท่าเรือขนสินค้า แต่ก็ใหญ่กว่าเรืออูเผิงของเป่ยถังฮ่วนเย่มาก นั่งได้กว่า
สิบคนโดยไม่มป
ี ัญหาอะไร

“มันเป็นเรืองที่ฮ่องเต้ตงฉีมอลบให้ท่านเจ้าเกาะ ท่านเจ้าเกาะตั้ง
ชื่อให้มน
ั ว่าชางไฮ่” ชื่อตันเหมยมองไปที่เรือลํานั้นที่เทียบท่าอยู่ทาง
ตอนใต้ของเกาะ นางอธิบายให้ฉห
ี นิงฟังว่า “เดิมทีเรือลํานีม
้ ก
ี ารตกแต่ง
ที่หรูหรามาก ทั้งทองคําทั้งเครื่องประดับ แต่ว่ามันหรูไป ท่านเจ้าเกาะ
ไม่ได้รับมันมา ต่อมามีการนํากลับไปตกแต่งใหม่ ถอดเอาพวก
เครื่องประดับหรูหราออกหมด ท่านเจ้าเกาะถึงได้รับเอาไว้”

ฉีหนิงแค่มองไปที่เรือลํานั้น ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ที่จริงวัสดุ


ที่นํามาสร้างนั้นหายากมาก การออกแบบต่างๆ ก็ใช้เวลาไม่นอ
้ ยเลย

“พวกเขาต้องการไปยังเกาะที่มีสัตว์เทวะเสวียนอู่ในตํานาน” ฉี
หนิงพูดว่า “เพียงแต่ว่าพวกเขารู้ได้ยังไงว่าเป็นเกาะไหน?”
“เรื่องนี้พวกเขาต้องเตรียมการจับสัตว์เทวะมานานหลายปีแล้ว
ต้องสืบจนรู้แล้วนแน่นอนว่าเกาะนั่นอยู่ที่ไหน” ชื่อตันเหมยเห็นเป่ย
ถังฮ่วนเย่กับเจ้าเกาะเดินมา นางก็หยุดพูด

เมื่อวันก่อนท่านเจ้าเกาะได้มีคําสั่งให้ซาหนูกับหวังหนูทําการ
เตรียมข้าวของที่จําเป็นในการออกเรือ แต่เขาไม่ได้บอกให้ช่ อ
ื ตันเหมย
ตามไปด้วย อีกทั้งก็ไม่ได้บอกให้ฉห
ี นิงตามไปด้วย

วันนี้เช้า คนเรือที่ติดตามเป่ยถังฮ่วนเย่มาก็ได้นาํ ครีบปลาฉลามที่


ตากแห้งแล้วพร้อมกับของใช้อย่างอื่นมาที่เรือชางไฮ่ พอนําของทั้งหมด
ขึ้นเรือแล้วก็ไม่ได้ลงมาอีกเลย เหมือนจะติดตามไปด้วย

คนเรือขึ้นเรือใหญ่ไปแล้ว ก็น่าจะเป็นเจตนารมณ์ของเป่ยถังฮ่วน
เย่ คนที่ควบคุมใบเรือก็คือหวังหนูกับซาหนูก็ไม่กล้าว่าอะไร หากท่าน
เจ้าเกาะไม่มีคําสั่งให้ไล่เขาลง พวกเขาสองคนก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก

เจ้าเกาะไม่ได้มเี จตนาจะไล่ใคร อีกทั้งยังบอกให้ช่ อ


ื ตันเหมยตาม
ไปด้วย แต่ไม่ได้พูดถึงฉีหนิง

แต่ว่าฉีหนิงรู้ว่าการเดินทางในครั้งนี้มันไม่ธรรมดา เขาไม่มีทาง
ปล่อยให้ช่ อ
ื ตันเหมยตามพวกเขาไปคนเดียวแน่นอน เขายืนยันจะตาม
ชื่อตันเหมยไปด้วย ชื่อตันเหมยทําไมจะไม่รู้ว่าฉีหนิงอยากจะตามไป
ปกป้องนางกันล่ะ นางรู้ว่าต่อให้หา้ มยังไง เขาก็ไม่ฟัง
ฉีหนิงรู้ดีแก่ใจ เป่ยถังฮ่วนเย่ให้คนเรือตามไป แสดงว่าเขาต้องมี
แผนอะไรในใจอีกแน่

สัตว์เทวะเสวียนอู่หากปรากฎตัวจริง ต้าจงซือจะต้องมีการลงมือ
กันแน่นอน ก่อนที่จะลงมือ ไม่มีใครรู้เลยว่าฝีมือของอีกฝ่ายเป็นใคร ใน
เมื่อเป็นถึงต้าจงซือแล้ว หากลงมือก็จะต้องให้รูแ
้ พ้รู้ชนะ

หลังจากที่ต้าจงซือลงมือแล้ว สถานการณ์ก็จะต้องตึงเครียด ถ้า


อย่างนั้นมันก็จะเกิดผลกระทบต่อบริเวณโดยรอบแน่นอน

หวังหนูกับซาหนูแล้วก็ช่ อ
ื ตันเหมยกับคนเรือคนเหล่านี้ในสายตา
ของต้าจงซือแทบไม่มค
ี วามหมาย แต่วว่าหากสถานการณ์ตึงเครียด
พวกเขาคนที่ไม่มีความหมายไม่ได้อยู่ในสายตา อาจกลายมาเป็นคนที่
ส่งผลว่าใครจะแพ้ชนะก็ได้

เรือชางไฮ่มห
ี วังหนูซาหนูเป็นคนบังคับเรือ ยังไงพวกเขาก็ต้องตาม
ไปด้วยแน่นอน เป่ยถังฮ่วนเย่ส่ังให้คนเรือของเขาไปด้วย ก็เพื่อหวังให้
เขาจัดการกับสองคนั้น เจ้าเกาะสั่งให้ช่ อ
ื ตันเหมยไปด้วย ก็เพื่อให้นาง
มาช่วยจัดการกับคนเรือของเป่ยถังฮ่วนเย่อีกที

ยังไม่ทันออกเรือ ต้าจงซือทั้งสองคนก็ต่างมีแผนการของตัวเอง
แล้ว
ต้าจงซือทั้งสองคนเดินผ่านหน้าชื่อตันเหมยไป ท่าทางนิ่งมาก ไม่มี
ใครมองใครเลย เดินตรงขึ้นเรือไปเลย

ชื่อตันเหมยคิดถึงเรื่องที่ไป๋อวี่เฮ่อฆ่าตัวตายไปแล้ว ท่านเจ้าเกาะ
กลับไม่ถามอะไรเลยสักคําเดียว นางรู้สก
ึ เสียใจมาก

ฉีหนิงตบไปที่แขนของชื่อตันเหมย ทั้งสองคนมองหน้ากัน พวกเขา


ไม่ให้เสียเวลาอีก เดินขึ้นเรือตามไป

หลังจากที่ท่านเจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่วนเย่ข้น
ึ เรือแล้ว ก็เดินไปที่หัว
เรือ แล้วมองลงมาที่ทะเลจากด้านบน

ฉีหนิงขึ้นเรือไป ก็ไม่มใี ครห้ามเขา ฉีหนิงอดคิดไม่ได้ว่า ท่านเจ้า


เกาะไม่ได้ส่งั ให้เขาตามไปด้วย หรือว่าเขาจะรู้ว่าหากให้ช่ อ
ื ตันเหมย
ตามไป ยังไงเขาก็ต้องตามไปด้วยอยุ่แล้ว

พอออกจากเกาะไป๋อวิน ก็เดินทางไปยังทิศใต้ ได้หวังหนูกับซาหนู


คอยบังคับเรือ แสดงว่าพวกเขาต้องรู้เป้าหมายอยู่แล้ว

โม่อิ่งตายที่เมืองเจี้ยนเยี้ย ไป๋อวี่เฮ่อเดินลงทะเลฆ่าตัวตาย ศิษย์


ของเกาะไป๋อวินทั้งสามคน ตอนนี้เหลือแค่ช่ อ
ื ตันเหมยคนเดียว พอ
คิดถึงเรื่องในอดีต ชื่อตันเหมยก็รู้สึกหดหู่ใจ หลายวันที่ผ่านมานางไม่
ยิ้มเลย ฉีหนิงเองก็เข้าใจความรู้สึกของนางดี เขาเลยอยู่กับนางแทบจะ
ตลอดเวลา
ถึงแม้ท้ังสองคนจะเป็นผัวเมียกันนานแล้ว แต่ว่าเวลาที่อยู่ด้วยกัน
จริงๆ มีไม่มาก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้กลับทําให้พวกเขามีเวลาอยู่
ด้วยกันจริงๆ

หวังหนูกับซาหนูไม่เพียงรับผิดชอบการเดินเรือ แต่เรื่องอาหารก็
เป็นหน้าที่ที่พวกเขาต้องหามาให้ คิดว่าพวกเขาคงเคยชินกับการรับใช้
เจ้าเกาะมานานหลายปีแล้ว บนเรือมีการจัดเตรียมทุกอย่างไว้อย่างเป็น
ระบบ

พอตอนเย็นของคืนที่สาม อากาศเริม
่ มีเมฆปกคลุมหนา บนทะเลมี
ลมพายุแรงมาก ต้าจงซือทั้งสองอยู่ในห้องของตัวเองบนเรือ ฉีหนิงกับ
ชื่อตันเหมยเองก็หลบอยู่ในท้องเรือ ส่วนหวังหนูกับซาหนูแล้วก็คนเรือ
ต่างก็ควบคุมใบเรือ เรือชางไฮ่ถึงแม้จะไม่เล็ก แต่พอเจอคลื่นพายุแบบ
นี้ก็ส่น
ั ไหวเหมือนกัน หากเป็นเรือลําอื่น คิดว่าคงถูกซัดเรือแตกไปแล้ว
แต่ว่าหวังหนูกับซาหนูแล้วก็คนเรือล้วนแต่มีฝม
ี ือในการควบคุมเรือ ทํา
ให้เรือไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

เมื่อพายุฝนสงบ อีกสองวันต่อมาอากาศก็ค่อนข้างมืดครึม ไม่มี


แดด

ฉีหนิงรู้ดีว่าต้าจงซือมีความสามารถในการควบคุมฟ้าดิน บนเรือ
มีต้าจงซือถึงสองคน ต่อให้เจอคลื่นยักษ์มากกว่านี้ เรือก็ไม่มป
ี ัญหา
อะไร เพียงแต่คลื่นพายุที่เจอ มันยังไม่เพียงพอให้พวกเขาลงมือ
เขาอดคิดไม่ได้ หากต้าจงซือทั้งสองคนต้องมาเผชิญหน้ากัน แล้ว
สัตว์เทวะเสวียนอู่ปรากฎตัวขึ้นจริง หากเกิดการปะทะกัน ผลจะออกมา
รูปแบบไหนกัน

หากมีแค่ต้าจงซือสองคน เกิดการปะทะกัน ใครแพ้ชนะก็นา่ จะมี


คนได้ยาเม็ดเสวียนอู่ไปแน่นอน แต่พอมีต้าจงซือสามคน อย่าบอกนะ
ว่าจะเกิดสงคราม?

ทันใดนั้นเองเขาก็นก
ึ ถึงเรื่องบนเกาะขึ้นมา ต้าจงซือบรรเลงเพลง
ด้วยกันสองคนเหมือนมันยังไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ไม่รู้ว่าถึงเวลา
ใครจะเป็นคนบรรเลงล่อสัตว์เทวะเสวียนอู่ออกมา? เขารู้ว่าเทพ
กระบี่เป่ยกงเหลียนเฉิงนั้นนอกจากจะมีเพลงกระบี่ที่ไร้เทียมทานแล้ว
ยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งคือการเป่ยขลุ่ย พิณกับขลุ่ยต้องบรรเลง
ร่วมกันขลุ่ยก็นา่ จะให้เป็นหน้าที่ของเป่ยกงเหลียนเฉิงเหมาะสมที่สุด
แต่ว่าพิณจะให้ใครเป็นคนมาลบรรเลงล่ะ?

เป่ยกงเหลียนเฉิงมีฝม
ี อ
ื ในการเป่าขลุ่ยมาก แต่ว่าต้าจงซือบนเรือ
อีกสองคนเหมือนจะไม่ถนัดเรื่องของดนตรีเลย ต่อให้เอาขลุ่ยจื่อหลง
ให้เป่ยกงเหลียนเฉิงไป หากไม่มีคนที่เชี่ยวชาญในการเล่นพิณมาร่วม
บรรเลงด้วย คิดอยากจะเล่นทํานองนรก มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เรือชางไฮ่ล่องอยู่บนทะเลไปอีกสองวัน ช่วงเย็น ฉีหนิงกับชื่อตัน
เหมยยืนอยู่บนหัวเรือ กลับมองเห็นด้านหน้ามีกลุ่มเงามืดๆ กําลังมุ่ง
หน้ามาทางนี้ เหมือนจะผ่านมาแล้วสองเกาะ แต่ก็ไม่ได้หยุดแวะเลย

ฉีหนิงคิดในใจว่าน่าจะเข้ามายังน่านน�าของกองทัพเรือตงไฮ่แล้ว
แต่ว่ายังห่างจากฝั่งไกลมาก หลังจากกองทัพเรือตงไฮ่ถก
ู โจมตีจน
กระทบสาหัส ก็อยู่ในช่วงหยุดพักฟื้น ระยะไกลจากฝั่งขนาดนี้ ไม่น่ามี
เรือของทางกองทัพมาสํารวจแน่นอน

“ตรงนั้นก็คือเกาะเสวียนอู่” ฉีหนิงได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง
เมื่อหันหลังกลับมา เห็นเป่ยถังฮ่วนเย่กับเจ้าเกาะออกมาจากห้อง กําลัง
เดินมาทางนี้

ฉีหนิงสะดุ้ง จ้องไปที่เงามืดๆ ไกลๆ นั่น แอบคิดในใจว่าเป้าหมาย


ของพวกเขาก็คือที่นี่นี่เอง

เรือกําลังเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ รูปร่างของเกาะมันเริ่มชัดเจนมากขึ้น
เมื่อเทียบกับเกาะไป๋อวิน เกาะแห่งนี้เทียบไม่ติดเลย ถึงแม้จะมีต้นไม้
หนาทึบ แต่ก็มน
ั ก็กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง บนเกาะเหมือน
เกาะร้าง มีแต่โขดหิน ขนาดก็ไม่เท่ากับเกาะไป๋อวิน มองด้วยตาเหมือน
จะเล็กกว่าเกาะไป๋อวินกว่าครึ่งหนึ่ง
บนทะเลมีเกาะแบบนี้อยู่เยอะแยะมากมาย ผู้คนก็น้อย แม้แต่นกก็
แทบจะไม่มี

เรือกําลังเข้าใกล้เกาะร้าง ไม่นานก็เริ่มเข้าที่ต้ ืน ไม่สามารถล่องเรือ


ไปได้อีก ฉีหนิงมองไปที่เกาะจากหัวเรือ เขาก็สะดุ้ง เขาเห็นบนโขดหิน
ก้อนหนึ่งนั้น มีเงาคนๆ หนึ่งยืนเอามือไขว้หลัง หันหน้าออกมาทางทะเล
ผมของเขามันปลิวไปตามลม

เจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่วนเย่เห็นเงานั่น ก็หน
ั มามองหน้ากัน ต่างก็ยิ้ม

เกาะแบบนี้ มันร้างมานานจนสภาพดูไม่ได้ แทบจะไม่มีคนอาศัย


แต่กลับมีคนมายืนอยู่ มันน่าตกใจมาก แต่ฉห
ี นิงกลับคิดขึ้นมาได้ว่า ใน
เมื่อเจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่วนเย่รีบร้อนที่จะมาที่เกาะเสวียนอู่ ถ้าอย่าง
นั้นต้าจงซืออีกคนก็คงไม่รอช้า มองจากโครงร่างแล้ว ก็คล้ายกับเป่ยกง
เหลียนเฉิงในความทรงจําของเขาอยู่เหมือนกัน

หลังจากพวกเขาลงจากเรือกันแล้ว ฉีหนิงก็สงสัย แอบคิดในใจว่า


สัตว์เทวะเสวียนอู่จะปรากฎตัวบนเกาะนี้จริงๆ เหรอ?

“จากกันครั้งเดียวผ่านไปยี่สิบปี ท่านพี่เป่ยกงสบายดีหรือเปล่า?”
น�าเสียงของเป่ยถังฮ่วนเย่อ่อนโยนมาก อีกทั้งยังดังไกลไปทั่ว

พอได้ยน
ิ เป่ยถังฮ่วนเย่พูดแบบนี้ ฉีหนิงถึงได้ม่น
ั ใจว่าเขาคือเป่ยกง
เหลียนเฉิง
ต้าจงซือสามคนมารวมตัวอยู่บนเกาะเสวียนอู่ มันเป็นเรื่องที่หาได้
ยากมาก

“ไม่เจอกันนานเลยนะ โหวเยว่สบายดีไหม?” น�าเสียงของเป่ยกง


เหลียนเฉิงนิ่งและชัดมาก เขายังคงยืนอยู่บนโขดหิน แต่ไม่ได้เดินมา
ต้อนรับ

เจ้าเกาะกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกงไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ท่าน


มานานแล้ว ก็ถือเป็นเจ้าของเกาะ เราเพิ่งมาถึงวันนี้ ก็ถือว่าเป็นแขก มี
แขกมาเยือน คนเป็นเจ้าเกาะทําไมถึงไม่มาต้อนรับล่ะ?”

เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ที่นี่ไม่มีเจ้าของ”

พอพูดจบ ฉีหนิงก็รู้สึกว่ามีเงาวิ่งผ่านหน้าไป เจ้าเกาะกับเป่ยกง


เหลียนเฉิงหายไปอย่างกับสายฟ้า พอหันไปมองพวกเขาอีกที ก็
พบว่าต้าจงซือทั้งสองได้ยืนอยูโ่ ขดหินคนละก้อนแล้ว โขดหินสามก้อน
หันหน้าเข้าหากัน ต้าจงซือยืนหันหน้ากัน

“ท่านพีเ่ ป่ยกงรูว
้ ่าเราจะมาเหรอ?”

เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดอย่างนิ่งๆ ว่า “หากพวกเจ้าไม่มา ข้าก็จะรอ


เป็นเพื่อนพวกเจ้าไปอีกสักสามสิบปี”
“สามสิบปี ......” เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “นานเกินไป นาน
เกินไป ข้าคิดว่าข้าอาจจะทนไม่ได้ถึงวันนั้น”

ด้านหลังของเจ้าเกาะมีพิณอยู่ เป่ยกงเหลียนเฉิงเหลือบไปมอง
แล้วถึงได้มองไปที่เป่ยถังฮ่วนเย่ แล้วถามว่า “เจ้าเอาขลุ่ยจื่อหลงมา
หรือเปล่า?”

เป่ยถังฮ่วนเย่หยิบขลุ่ยจื่อหลงออกมา เขาไม่คิดเลย ก็โยนไปให้เป่


ยกงเหลียนเฉิง เป่ยกงเหลียนเฉิงใช้สองนิ้วหนีบมันเอาไว้ แล้วมองมัน
อย่างละเอียด จากนั้นเขาก็ยิม
้ แล้วพูดว่า “ขลุ่ยจื่อหลง สมคําร�าลือ”

“ระหว่างทางที่มาที่นี่ขา้ ยังพูดอยู่เลยว่า ในใต้หล้านี้คนที่รู้จัก


เพลิดเพลินไปกับขลุ่ยจื่อหลง ก็คงมีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น” เป่ยถังฮ่
วนเย่ย้ม
ิ แล้วพูดว่า “ไม่เจอกันตั้งนาน ขลุ่ยจื่อหลงก็ถือเป็นของขวัญ
มอบให้ท่านพี่เป่ยกงก็แล้วกัน”

เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้เกรงใจ เขาจับขลุ่ยเอาไว้ในมือ จากนั้นก็


มองไปที่เจ้าเกาะ แล้วถามว่า “เจ้าเล่นพิณเป็นงั้นเหรอ?”

เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ได้นด
ิ หน่อย อย่าได้พูดถึงเลย”

“ในเมื่อเล่นไม่เป็น จะไปเสียเวลาไปเอามันมาทําไม?” เป่ยกงเหลียน


เฉิงพูดว่า “ดาบดีค่ค
ู วรกับวีรบุรุษ เจ้าไม่ใช่คนเล่นดนตรี แล้วเอาพิณ
เฟิงหวงมาเพื่ออะไร?”
เล่มที่ 49 บทที่ 1458 ความเสียใจ

เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “สัตว์เทวะเสวียนอู่จะปรากฎตัวทุกๆ
สามสิบปี หากในมือข้าไม่มีอะไรเลย คงไม่หน้าด้านพอจะมาร่วมวงด้วย
หรอก ตอนนี้พณ
ิ เฟิงหวงอยู่ในมือของข้า ขาดมันไปก็คงไม่ได้ ข้าก็มี
เหตุผลมากพอจะร่วมวงด้วยแล้ว”

เป่ยกงพูดว่า “ดังนั้นเจ้าก็เลยต้องส่งคนของเจ้าไปขโมยพิณเฟิง
หวงถึงในแคว้นฉู่อย่างนั้นน่ะเหรอ?”

“ท่านพีเ่ ป่ยกงเองก็อย่าได้ถือสาเลยนะ ถึงแม้พณ


ิ เฟิงหวงจะถูก
ขโมยมาจากแคว้นฉู่ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ต้องกลับไปมือท่านอยู่ดี” ท่าน
เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพื่อพิณเฟิงหวง ศิษย์ของข้าต้องตาย
อยู่ที่แคว้นฉู่ ใช้ชีวิตแลกกับพิณตัวนี้ไปแล้ว ท่านพี่เป่ยกงอย่าใจแคบ
นักเลยนะ”

ฉีหนิงได้ยินทุกอย่าง เขารู้สึกว่าหม้อหลันชางหน้าด้านเหลือเกิน
โม่อิ่งแฝงตัวในแคว้นฉู่ มันไม่ได้แค่พณ
ิ เฟิงหวงเท่านั้น

เป่ยกงกลับเหมือนจะไม่ได้สนใจ เขาพูดว่า “ประสกฝูผิงกับเพื่อ


ของเขาบรรเลงพิณและขลุ่ยในเกาะแห่งนี้ ล่อสัตว์เทวะออกมา
ประสบฝูผิงเป็นนักดนตรีที่ในร้อยปีจะหาได้สก
ั คน หลายคนรู้ช่ อ
ื เสียง
ของเขาดี แต่ว่าเพื่อนของเขานั้นแทบไม่มีใครรู้จัก”

เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านพีเ่ ป่ยกงพูดถูกแล้ว ข้าแองก็


สืบเรื่องของประสบฝูผิงมา แต่เรื่องของสหายเขานั้นแทบจะไม่มีเลย
ข้ากับโหวเยว่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องประสบฝูผิง โหวเยว่เองก็รู้เรื่องของ
สหายคนนี้มีนอ
้ ยมาก”

เป่ยถังฮ่วนเย่พูดว่า “ข้ารู้แค่ว่าสหายของเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์
มาก อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับทํานองนรกแล้วก็ขลุ่ยจื่อหลงด้วย”

ลมทะเลพัดโชยมา เป่ยถังฮ่วนเย่สวมชุดสีขาวปลิวไสว ผมของเขา


ลอยขึ้น ไม่ว่าจะมองยังไง เขาก็ดูเป็นสาวงามคนหนึ่ง น�าเสียงของเขา
อ่อนโยนมาก เขาพูดว่า “ประสกฝูผิงแต่งทํานองเพลงเทพขึ้นมาสาม
บท สวรรค์กับโลกมนุษย์ก็ไม่ต้องพูดถึง ส่วนบทนรกเขาใช้เวลาหลายปี
มาก เท่าที่ข้ารู้มา ทํานองเพลงนรกเดิมใช้แค่พณ
ิ โบราณบรรเลงอย่าง
เดียวก็ได้แล้ว ซึ่งเขาเองก็ค่อนข้างจะพอใจแล้ว เขาเลยไปชวนเพื่อน
ของเขามาช่วยฟัง หลังจากเพื่อนของเขาฟังแล้ว กลับไม่พด
ู อะไรเลย
สักคํา”

ฉีหนิงคิดในใจว่าเป้าหมายของพวกเขาในเมื่อสุดท้ายก็คือสัตว์เท
วะเสวียนอู่ แสดงว่าเขาก็จะต้องสืบหาข้อมูลของประสบฝูผิงทั้งหมดมา
จากทั่วทุกที่แน่นอน
เมื่อเทียบต้าจงซือทั้งสามคน เป่ยถังฮ่วนเย่เคยมีช่ อ
ื เป็นเจ้าของหอ
เก้านภา ถ้าอย่างนั้นในมือของเขาก็มีทรัพยกรมากพอ ไม่เหมือนเป่ยกง
เหลียนเฉิงที่ไม่เคยเข้าไปยุ่งกับเรื่องของราชสํานักหรือการเมืองเลย
สายลับของหอเก้านภา คิดว่าหากมีคําสั่งจากเขา ก็จะสามารถมีคน
จํานวนมากไปสืบหาข้อมูลของประสบฝูผิงมาให้ ดังนั้นเป่ยถังฮ่วนเย่
เลยรู้เรื่องของประสบฝูผิงมากเป็นพิเศษ

“ประสบฝูผิงเห็นเพื่อนของเขาไม่พูดอะไรเลยสักคํา ก็รู้ทันทีว่า
ทํานองเพลงนรกมันไม่สมบูรณ์” เป่ยถังฮ่วนเย่พูดว่า “พอเขาสอบถาม
เพื่อนของเขาก็ไม่ตอบ แค่บอกให้เขาบรรเลงให้เขาฟังใหม่อีกครั้ง
เท่านั้น ตอนที่ประสกฝูผิง เพื่อนของเขาก็เอาขลุ่ยขึ้นมาบรรเลงร่วม
ด้วย ประสกฝูผงิ ถึงได้รู้ว่าทํานองเพลงนรกจําเป็นต้องใช้พิณและขลุ่ย
เล่นด้วยกัน มันถึงทําให้ทํานองเพลงนี้มน
ั สมบูรณ์ เขาจึงได้แทรก
ทํานองของพิณและขลุ่ยรวมไว้ในบทเพลงเดียวกัน สองรวมเป็นหนึ่ง
หรือว่ากันง่ายๆ ในบรรดาทั้งสามบทเพลง ทํานองนรกไม่ใช่บทเพลงที่
ประสกฝูผิงแต่งขึ้นเพียงคนเดียว แต่มผ
ี ลงานของเพื่อนเขาด้วย”

“ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของประสกฝูผิง กลับยังต้องให้
สหายของเขาอย่างชางหลางมาช่วยแต่งทํานองเพิ่มให้ แสดงว่าฝีมือ
ด้านดนตรีของชางหลางนั้นต้องไม่ธรรมดาและไม่เป็นรองประสกฝูผิง”
เป่ยถังฮ่วนเย่พูดว่า “ทั้งคู่มีฝีมอ
ื ในด้านดนตรีไม่ธรรมดามากๆ การร่วม
บรรเลงระหว่างพิณกับขลุ่ยทําให้บทเพลงนรกมันเกินขีดจํากัดที่โลก
เคยมี”

เป่ยกงเหลียนเฉิงยิ้ม พยักหน้าแล้วพูดว่า “โหวเยว่กล่าวถูกต้อง


แล้ว พิณกับขลุ่ยร่วมบรรเลง สิ่งที่สําคัญคือกพิณกับขลุ่ยต้องเป็นหนึ่ง
เดียวกัน ถึงจะสามารถล่อสัตว์เทวะออกมาได้” เขากวาดสายตาไปที่ต้า
จงซืออีกสองคน ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถึงแม้ข้าจะสู้ประสบฝูผิงไม่ได้
แต่เรื่องของขลุ่ยข้าก็สามารถลองดูได้ แต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนใครจะ
มาเล่นพิณกันล่ะ?”

พอเขาถามแบบนี้ออกมา รวมไปถึงฉีหนิงด้วยที่ก็เข้าใจ เป่ยกง


เหลียนเฉิงกังวลว่าไม่มีใครจะร่วมบรรเลงกับเขาได้

เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่มพ
ี รสวรรค์ในเรื่องของดนตรีเลย คง
ช่วยอะไรไม่ได้”

เป่ยกงเหลียนเฉิงมองไปที่เป่ยถังฮ่วนเย่ เป่ยถังฮ่วนเย่เองก็ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ที่เจ้าเกาะพูดมา ก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดเหมือนกัน ข้าเกรง
ว่าจะไปถึงขั้นของท่านพี่เป่ยกงไม่ได้แน่ๆ”

“ถ้าอย่างนั้น ต่อให้เรามีของสามอย่างนี้ ก็ไม่สามารถบรรเลง


ทํานองนรกได้สินะ?” เป่ยกงเหลียนเฉิงขมวดคิ้วแล้วพูด
เจ้าเกาะพูดว่า “ท่านพีเ่ ป่ยกง เมื่อหลายปีก่อน ข้าก็คิดว่าอาจจะ
เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ท่านพี่เป่ยกงเป็นปรามาจารย์ในด้านขลุ่ย
ขลุ่ยจื่อหลงยังไงก็ต้องเป็นของท่านอยูแ
่ ล้ว แต่การจะหาปรมาจารย์
ด้านพิณ มันไม่ได้หากันได้ง่ายๆ”

“แค่ดีดพิณได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร” เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า


“สัตว์เทวะเสวียนอู่เป็นรอบๆ เกาะเสวียนอู่ แต่ว่าอยู่ใกล้หรือไกลแค่
ไหนจากเกาะ ไม่มีใครรู้ เวลาบรรเลง ต้องใช้กําลังภายในส่งเสียงออกไป
ให้ไกลที่สึด ไม่อย่างนั้นต่อให้บรรเลงเพลงได้ สัตว์เทวะเสวียนอู่ก็ไม่ได้
ยินหรอก มันก็เสียเวลาเปล่าที่จะมาที่นี่”

ฉีหนิงแอบคิดในใจว่าที่เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดนั้นก็ไม่ผด

ในโลกนีม
้ ีคนดีดพิณได้มากมาย แต่คนที่มีความสามารถสูงมากๆ
แบบที่พวกเขาต้องการนั้นมันมีไม่มาก มันใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ

เป่ยกงเหลียนเฉิงเชี่ยวชาญการเป่าขลุ่ยมาก แต่จะหาคนมา
บรรเลงร่วมกับเขานั้น มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากต้องมี
ความสามารถด้านดนตรีที่สูงแล้ว ยังต้องมีกําลังภายในที่ไม่ธรรมดา
ด้วย ซึ่งมันหาไม่ได้ง่ายๆ

เป่ยถังฮ่วนเย่กลับยิม
้ แล้วพูดว่า “รออีกสักสองวัน คนที่สมควรมา
ก็จะต้องมา”
เจ้าเกาะถามว่า “โหวเยว่ตามหาคนที่เหมาะสมแล้วงั้นเหรอ?”

“ก็อาจจะไม่เหมาะสมนัก แต่ลองก่อนได้นี่นา” เป่ยถังฮ่วนเย่พูด


ว่า “หากแม้แต่เขาก็ไม่เหมาะ คงไม่มีใครในโลกนี้เหมาะอีกแล้วล่ะ?”

ฉีหนิงสงสัยมาก ไม่รู้ว่า “เขา” ที่เป่ยถังฮ่วนเย่พูดถึงนั้นเป็นใคร

เป่ยกงเหลียนเฉิงก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาลอยตัวจากโขดหินมา
หาฉีหนิง เขาเหลือบมามองแล้วพูดว่า “เจ้าตามข้ามา” พูดจบ เขาก็
เดินไปที่ริมทะเล

ฉีหนิงลังเล แล้วพยักหน้าให้กับชื่อตันเหมย เหมือนตั้งใจบอกนาง


ว่าไม่ต้องกังวล จากนั้นก็เดินตามเป่ยกงเหลียนเฉิงไป

เป่ยกงเหลียนเฉิงมองออกไปนอกทะเล พอฉีหนิงเดินตามมาถึง ก็
พูดว่า “เจ้ามาทําอะไรที่นี่?”

ฉีหนิงรู้ดีว่าอยูต
่ ่อหน้าเป่ยกงเหลียนเฉิงเขาไม่จําเป็นต้องปิดบัง
อะไร เขาเลยเล่าเรื่องที่เขาเจอเป่ยถังฮ่วนเย่ที่ท่าน�าราชสีห์จนมาถึงที่นี่
ให้เขาฟังคร่าวๆ พูดจบ เขาก็มองไปที่โขดหิน เขาพบว่าต้าจงซืออีกสอง
คนหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

เกาะเสวียนอู่ไม่ได้ใหญ่เท่าเกาะไป๋อวิน แต่ก็ไม่ได้เล็กจนเกินไป
เดินรอบหนึ่งคิดว่าน่าจะใช้เวลาครึ่งวัน
“ตอนนี้เจ้าน่าจะได้รู้แล้วว่า การจะไปถึงจุดของต้าจงซือนั้น มัน
ไม่ใช่เรื่องที่ดี” เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “เป่ยถังฮ่วนเย่ถูกทรมานจน
แทบจะไม่เหลือความเป็นคนแล้ว เป็นผูช
้ ายก็ไม่ได้ผู้หญิงก็ไม่เชิง คน
บนโลกรู้แต่ต้องขึ้นไปอยู่ในที่สูงเพื่อมองไปไกลๆแต่กลับไม่รู้วิธีการขึ้น
ไปถึงจุดนั้น ว่ามันต้องแลกไปด้วยอะไรมากมายที่คนธรรมดาจะรับ
ไหว”

ฉีหนิงคิดในใจว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงพูดถูก

“เจ้าไปทําอะไรที่เหลียวตง?” เป่ยกงเหลียนเฉิงถาม

ฉีหนิงลังเล ก็ไม่รูเ้ หมือนกันว่าควรจะเล่าความจริงให้เขาฟังหรือ


เปล่า แต่ก็คิดว่าหากเป่ยกงอยากจะรูค
้ วามจริงแล้วลงมือไปสืบเอง ช้า
เร็วก็ต้องรู้อยู่ดี ถ้าอย่างนั้นเขาจะปิดไปเพื่ออะไร? เขาสามารถปิดบัง
ทุกคนได้ แต่เขาคิดว่าเขาปิดบังต้าจงซือไม่ได้

เขาเลยตัดสินใจเล่าเรื่องการเดินทางไปที่เหลียวตงเพื่อตามหา
แผนที่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไปแล้วบังเอิญไปรู้ชาติกําเนิดที่แท้จริงของเขา
ให้เป่ยกงเหลียนเฉิงได้รู้ ส่วนเรื่องแผนการของประสกฝูผิง เขาไม่ได้พด

ถึง

เดิมคิดว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงพอรูช
้ าติกําเนิดของเขาแล้ว จะตกใจ
มาก รู้ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงท่าทางนิ่งมา แล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นองค์
ชาติของเป่ยฮั่นนี่เอง? น่าสนใจดีนะ องค์ชายของเป่ยฮั่นอาศัยอยู่ใน
จวนโหวของแคว้นฉู่นานกว่าสิบปี นอกจากยายแก่ของตระกูลฉีแล้ว คิด
ว่าคนอื่นไม่น่าจะมีใครรู้เลย เรื่องนี้นม
ี่ น
ั เหลวไหลจริงๆ”

ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเองก็คิดว่าตัวเองเป็นชาวแคว้นฉีมาตลอด”

“จะชาวแคว้นฉูห
่ รือว่าชาวแคว้นฮั่นแล้วมันจะต่างกันตรงไหน?”
เป่ยกงพูดว่า “ชาติกําเนิดจะเป็นยังไงไม่สาํ คัญเลย สิง่ ที่สําคัญที่สุดก็คือ
เจ้าใช้ชว
ี ิตของเจ้ายังไงต่างหาก”

“ที่จริง ..... ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่านเรื่องหนึ่ง” ฉีหนิงหยุดไป


แล้วพูดอย่างระวังว่า “แต่ว่า ......”

“จะพูดอะไรก็พูดมา จะถามไม่ถามมันเรื่องของเจ้า จะตอบไม่


ตอบมันเรื่องของข้า เดิมมันก็ไม่เกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว จะลังเลไปทําไม”
เป่ยกงเหลียนเฉิงยืนเอามือไขว้หลัง

ฉีหนิงถามว่า “ข้าได้ยน
ิ มาว่าตอนท่านเป็นหนุ่มท่านชอบฝึกเพลง
กระบี่มาก แต่ว่า ......”

“แต่ว่าไม่ได้เรื่อง ทุกคนบอกกับข้าว่าข้าไม่มีทางทําอะไรสําเร็จได้
หรอก” เป่ยกงเหลียนเฉิงยิ้ม “เจ้าอยากจะถามข้าว่าคนที่ความสามารถ
ไม่เท่าไหร่ที่เป็นแค่ลก
ู อนุของตระกูลฉีอย่างข้า กลายมาเป็นต้าจงซือได้
ยังไงใช่ไหม?”
ฉีหนิงคิดในใจว่าเป่ยกงอ่านใจคนเก่งมากจริงๆ เขารู้สึกเขินมาก
เขาพยักหน้า

เป่ยกงมองไปที่ท้องทะเล เขานิง่ ไปนาน แล้วถึงพูดว่า “เรื่องบาง


เรื่อง เดิมก็ไม่ใช่สิ่งที่แรงของมนุษย์สามารถกําหนดได้ สิ่งที่คนเราทําได้
ก็คือการมุ่งมั่นและทําในสิ่งที่ตัวเองคิดต่อไปเท่านั้นเอง” เขาหันมามอง
ฉีหนิง แล้วพูดว่า “ต้าจงซือจะมาจากไหนไม่สาํ คัญ สิง่ ที่สําคัญคือต้า
จงซือจะเดินไปแบบไหนมากกว่า”

ฉีหนิงคิดในใจว่าเจ้าพูดแบบนี้ไม่พูดดีกว่า พูดให้ดูสงู ส่งแต่มน


ั ก็ไม่
มีสาระอะไรเลย เขามองไปที่ทะเลเหมือนกับเป่ยกง แล้วพูดว่า “ที่จริง
การเป็นต้าจงซือมันก็ใช่ว่าจะไม่ดีนะ สิง่ ที่คนทั่วไปเสียดายไม่ว่าจะเป็น
ความเสียใจ การเกิด การแก่ การเจ็บป่วย การตาย การจากลาเพราะ
ความรัก ความแค้น ความทุกข์หลายอย่างที่รุมเร้าตลอดเวลา ส่วนต้า
จงซือเหมือนว่าจะหลีกพ้นจากความทุกข์แบบนั้น ไม่มอ
ี ะไรที่ต้อง
เสียใจหรือว่าเสียดายเลย”

เป่ยกงยิม
้ แล้วพูดว่า “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าต้าจงซือไม่มีความเสียใจ
อะไร?”

“ถ้าอย่างนั้นท่านเทพกระบี่มอ
ี ะไรที่เสียใจบ้างไหม?” ฉีหนิงหันไป
มองเป่ยกง “วรยุทธ์ของท่านก็สูงมาก อีกทั้งยังดูหนุ่มแน่น คิดอยากจะ
ได้อะไรก็ได้”
เป่ยกงไม่ได้ตอบในทันที เขามองไปที่ทะเล หลังจากนั้นอยู่นาน ถึง
ได้พด
ู ขึ้นมาว่า “ในใจของข้าไม่เคยลืมผู้หญิงคนหนึ่งเลย หากจะบอก
ว่าเรื่องที่เสียใจหรือว่าเสียดาย ก็คงเป็นเรื่องของนาง”

ฉีหนิงสะดุ้ง

เขารู้ว่าเป่ยกงก็น่าจะมีเรื่องในอดีตที่ยากจะลืมเหมือนกัน

และน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดก่อนที่เขาจะเป็นต้าจงซือ เป่ยกงเหลียน
เฉิงเพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดสุดยอดของเพลงกระบี่ เขาออกเดินทางท่อง
ยุทธภพไปทั่ว หวังอยากจะได้พบคนที่สามารถอบรมเขาได้ ระหว่าง
ทางเขาได้ช่วยเหลือมู่เย่อ๋องที่กําลังจะตาย และเขาไปในหุบเขาจิ่งฉือ
ในหนานเจียง บังเอิงที่น่ันเป็นช่วงของงานเทศกาลหาคู่ และเขาก็ได้รบ

ผ้าโพกหัวของพี่สาวมู่เย่อ๋องมา

ตามกฎของประเพณีนี้ เป่ยกงและแม่นางคนนั้นจะต้องแต่งงาน
เป็นสามีภรรยากัน ส่วนแม่นางคนนั้นก็หลงรักเป่ยกงตั้งแต่แรกเห็น ใคร
จะคิดว่าเป่ยกงกลับไม่ได้คิดเรื่องระหว่างชายหญิงเลย หลังจากปฏิเสธ
การแต่งงาน เขาก็ถูกคนของตระกูลมู่จับไปขัง แต่กลับถูกแม่นางคนนั้น
แอบปล่อยตัวออกมา ส่วนแม่นางคนนั้นก็ทําผิดกฎร้ายแรงของตระกูล
ไม่สามารถอยู่ที่หุบเขาต่อไปได้อีก แม่นางคนนั้นเลยพาคนใช้ที่เป็นใบ้
ติดตามเป่ยกงเดินทางไปทั่ว
เรื่องในอดีตเรื่องนี้ฉห
ี นิงฟังมาจากมู่เย่อ๋อง มันก็เป็นเรื่องราวที่
เกิดขึ้นของเทพกระบี่ที่แทบจะไม่มีใครรู้

เขาเลยกําลังคิดว่าผู้หญิงที่เป่ยกงพูดถึงนั้น จะเป็นแม่นางมูห
่ รือเปล่า
นะ?
เล่มที่ 49 บทที่ 1459 เจีย
้ นเจีย

ฉีหนิงจําได้ว่ามูเ่ ย่อ๋องพูดว่า แม่นางมู่พาบ่าวรับใช้ที่เป็นใบ้


ติดตามเป่ยกงเหลียนเฉิงไป แต่เป่ยกงเหลียนเฉิงเหมือนจะไม่สนใจใยดี
เลย

เป่ยกงเหลียนเฉิงหลงไหลในการฝึกกระบี่มาก สําหรับเขาแล้ว การ


แบ่งสมาธิไปเรื่องของชายหญิง อาจทําให้เป็นอุปสรรคในการเดินทาง
สายกระบี่ของเขาก็ได้ ดังนั้นเขาเลยเย็นชากับแม่นางมูม
่ าก เพียงแต่แม่
นางมู่รักเขามาก อีกทั้งตามประเพณีของหนานเจียง ผู้ชายคนใดที่ได้ผ้า
โพกหัวไป ก็จะกลายเป็นชายเพียงคนเดียวของผู้หญิงคนนั้น นางเลย
ติดตามเขาไปทุกที่

ตอนที่มเู่ ย่อ๋องตามหาเป่ยกงเหลียนเฉิงจนพบ เขาแค่บอกว่าแม่


นางมู่กับเจ้าใบ้ตายไปแล้วเท่านั้น แต่ว่าตายยังไง มู่เย่อ๋องไม่รู้เลย

ฉีหนิงที่จริงก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าทําไมแม่นางมู่ถึงได้ตาย นาง
ติดตามเป่ยกงเหลียนเฉิงตลอด ต่อมามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“นาง ...... นางเป็นใครเหรอ?” ฉีหนิงถามอย่างระมัดระวัง


เป่ยกงเหลียนเฉิงนิ่งไป หลังจากนั้นถึงได้พด
ู ขึ้นมาว่า “ท่านแม่
ของข้า”

ฉีหนิงตะลึงไป เดิมเขาคิดว่าผู้หญิงที่ทําให้เขาเสียใจมาตลอดคือ
แม่นางมู่ ใครจะคิดว่าเขาจะพูดถึงแม่ของเขา

สําหรับเรื่องชาติกําเนิดของเป่ยกง ฉีหนิงเองก็พอรู้มาบ้าง

ได้ยินมาว่าแม่ของเป่ยกงเป็นนักร้อง ถึงแม้จะได้แต่งเข้ามาใน
ตระกูลฉีแล้ว แต่คนในตระกูลกลับไม่ต้อนรับนาง ในตอนนั้นตระกูล
ฉียัเป็นตระกูลใหญ่ในแทบจิงหนาน เหมือนพวกเขาคิดว่าอนุที่เป็น
นักร้องจะทําให้ช่ อ
ื เสียงของตระกูลฉีเสียหาย เลยไม่ต้อนรับนางออกไป
ไหนเลย คล้ายๆ กับการกักบริเวณนางอยู่แต่ในเรือน

ฉีหนิงหลงเข้าไปในเรือนที่เขาว่ากันว่าเป็นเรือผีสิง ด้านในเหมือน
ยังคงสภาพในสมัยก่อนเอาไว้

หลังจากเป่ยกงเหลียนเฉิงเกิด เขาก็อยูก
่ ับแม่ที่ถูกกักบริเวณใน
เรือนแค่สองคนเป็นชีวิตของกันและกัน ตระกูลฉีไม่ได้เห็นเป่ยกง
เหลียนเฉิงเป็นลูกหลานของพวกเขาเลย โชคยังดีที่ท่านเหล่าโหวเห็น
แก่ความเป็นพีน
่ ้องสายเลือดเดียวกัน เขายังดูแลพวกเขาสองแม่ลูก
อย่างดี
“นางลําบากเสียใจทั้งชีวิต ข้ากลับไม่มก
ี ําลังมากพอที่จะปกป้อง
นางได้เลย” เป่ยกงเหลียนเฉิงพูด “พอรอจนข้าสามารถที่จะดูแลนางได้
แล้ว นางกลับไม่อยู่แล้ว”

ถึงแม้เขาจะดูนงิ่ แต่ฉห
ี นิงสัมผัสได้ว่าเขาคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา

ถึงแม้จะเป็นต้าจงซือ แต่เป่ยกงเหลียนเฉิงเหมือนจะยังมี
ความรูส
้ ึกกับเรื่องของสายเลือดอยู่

“ท่านคิดแค้นตระกูลฉีมาตลอดเลยใช่ไหม?” ฉีหนิงถาม “ดังนั้น


เลยไม่ใช้แม้แต่แซ่ของตระกูลฉี?”

เป่ยกงเหลียนเฉิงหันมามองฉีหนิง แล้วย้อนถามว่า “เจ้าคิดว่าที่ข้า


เปลี่ยนแซ่ เพราะแค้นตระกูลฉีง้ันเหรอ?”

ฉีหนิงคิดแล้วพูดว่า “ตอนนั้นตระกูลฉีไม่ยุติธรรมกับท่านเลย
ดังนั้น ......”

“ไม่ได้รก
ั แล้วก็ไม่ได้แค้นด้วย” เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ที่ข้า
เปลี่ยนแซ่ ก็เพราะท่านแม่ แซ่ของข้าในตอนนี้ เป็นของท่านแม่” เขา
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ชีวิตคนเรามันลําบาก มีแต่ความโกรธแค้น แต่
ถ้าหากไม่แค้น ก็ไม่จําเป็นต้องปวดหัว วันที่แม่ของข้าตาย ข้ากับ
ตระกูลฉีเราก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ไม่แค้น ก็ไม่ต้องมานั่งคิดถึงอีก”
ฉีหนิงลังเล แล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับ
ตระกูลฉีแล้ว แล้วทําไม ...... ถึงได้ช่วยข้าที่ตงฉีล่ะ?”

“ปู่ของเจ้ามีบุญคุณกับข้ามาก” เป่ยกงพูดว่า “เขาตายไปแล้ว


อะไรที่ข้าติดค้างเขา ก็ต้องคืนให้กับลูกหลานของเขาสิ”

ฉีหนิงเหมือนจะกําลังคิดอะไรอยู่ เป่ยกงเหลียนเฉิงยิ้ม แล้วพูดว่า


“เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าพูดไหม?”

ฉีหนิงพูดว่า “เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็เหมือน ...... เหมือนจะไม่


เข้าใจ”

“อย่าเก็บความแค้นไว้ในใจ มันจะทําลายตัวเจ้าเอง” เป่ยกง


เหลียนเฉิงพูดว่า “หากคนอื่นมีบุญคุณกับเจ้า เจ้าก็ควรจะจํามันเอาไว้
ให้ข้ึนใจ เพราะโลกใบนีไ้ ม่ใช่ทก
ุ คนจะต้องดีกับเจ้าเพราะเขาติดค้าง
อะไรเจ้าหรอกนะ ไม่ว่าต่อไปเจ้าเลือกเส้นทางไหน อย่าเอาความแค้น
ติดตัวเจ้าไปด้วย เพราะมันจะทําให้เจ้าไม่มีความสุขเลยตลอดชีวิต”

ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เป็นต้าจงซือแบบเป่ยกงเหลียนเฉิงจะ
พูดแบบนี้กับเขา มันทําให้เขาอึ้งไปเลย

“เจ้าจํามู่เย่อ๋องได้ใช่ไหม?” เป่ยกงเหลียนเฉิงถาม

ฉีหนิงตะลึงไป พยักหน้าแล้วพูดว่า “จําได้”


เป่ยกงเหลียนเฉิงนิ่งไป แล้วถามว่า “ได้ข่าวของเขาบ้างไหม?”

ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ปกปิดเขา เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตงไฮ่ให้เขาฟัง

มู่เย่อ๋องรับฉีอวี่เป็นศิษย์ กลับคิดไม่ถึงว่าฉีอวี่จะเหี้ยมโหด ตอนที่มู่


เย่อ๋องรักษาตัวอยู่ ลงมือกับเขา ขโมยกําลังภายในของเขาไปจนหมด
แล้วก็ขงั ตัวเขาเอาไว้ทรมาน คิดอยากจะได้สด
ุ ยอดวิชาของตระกูลมู่
หากไม่ใช่เพราะฉีหนิงไปเจอ มูเ่ ย่อ๋องคงตายเพราะฉีอวี่ไปแล้ว

เพียงแต่เรื่องที่มู่เย่อ๋องเล่าเรื่องของเป่ยกงให้ฟัง ฉีหนิงไม่ได้พูด
ออกมา

หลังจากพวกตระกูลใหญ่ของตงไฮ่ถูกกําจัดไปแล้ว มู่เย่อ๋องเองก็
หายตัวไปไร้ร่องรอย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ข่าวคราวของมู่เย่อ๋องอีก
เลย

“สําหรับเขาแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร” เป่ยกงเหลียนเฉิง


ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เขาโกรธแค้นข้ามาตลอด ตอนนั้นข้าให้
วัดต้ากวงหมิงจับเขาขังเอาไว้ ก็อยากจะธรรมะกล่อมเกลาจิตใจของ
เขา เขาจะได้ลดความโกรธแค้นในใจลงได้บ้าง”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เขาเหมือนจะไม่ลดความแค้นที่มีต่อ
ท่านลงง่ายๆ นะ ถึงแม้กําลังภายในของเขาจะไม่เหลืออีกแล้ว แต่เขา
บอกว่าเขาจะฝึกฝนใหม่ ไม่ว่าจะกี่ปี เขาจะต้องแก้แค้นท่านให้ได้”
เป่ยกงเหลียนเฉิงยิ้มแล้วส่ายหน้า เขาพูดว่า “ความแค้นคนๆ หนึ่ง
อาจจะใช้เวลาสิบปียี่สิบปีหรือทั้งชีวิตได้ แต่การรักใครสักคนหนึ่งมันใช้
เวลาแค่เพียงเสี้ยววินาทีก็ได้แล้ว ความรักมันอาจจะละทิ้งได้ยากกว่า
ความแค้นก็ได้จริงไหม”

วันนี้เป่ยกงเหลียนเฉิงยอมพูดคุยเรื่องพวกนี้กับเขา ฉีหนิงยังรู้สก

แปลกใจมากๆ

เพราะเขาเป็นต้าจงซือ เขาอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง เขาไม่ค่อยยอม


บอกความคิดหรือความรู้สึกให้ใครฟังแน่นอน

ทันใดนั้นเอง ฉีหนิงกลับรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับต้าจงซืออีกสองคน เป่


ยกงเหลียนเฉิงเหมือนจะมีความเป็นมนุษย์มากกว่า ถึงแม้ภายนอก
อาจจะดูว่าเขาไม่มีความรู้สึกอะไร แต่ว่าในใจลึกๆ ของเขามันยังมี
ความรูส
้ ึกอยู่

ก็อาจจะเพราะการเป็นต้าจงซือ จะให้ใครรู้ความคิดอะไรไม่ได้
ดังนั้นหลายเรื่องมันเลยเหมือนเก็บอยู่ภายในจิตใจของเขา ไม่สามารถ
ระบายให้ใครฟังได้ หากคนๆ หนึ่งไม่สามารถระบายความรูส
้ ึกที่อยูใ่ น
ใจออกมาได้ ที่จริงมันก็เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งเหมือนกัน
เหล่าต้าจงซือรู้ดีแก่ใจ สงครามครั้งใหญ่มันอาจจะกําลังใกล้เข้า
มาแล้ว ก่อนที่มน
ั จะเกิดขึ้น เป่ยกงเหลียนเฉิงเหมือนอยากจะระบาย
ความทุกข์ที่เขามีออกมา แล้วฉีหนิงก็เหมือนจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด

ฉีหนิงรู้แล้วว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงรู้สึกยังไง เขาเลยถามต่อไปอีกว่า
“ท่านเทพกระบี่ ข้าอยากจะถามอะไรที่ไม่สมควรสักคําถามได้ไหม?”

“เจ้าว่ามาสิ”

“เท่าที่ข้ารู้มา มู่เย่อ๋องมาจากหนานเจียง” ฉีหนิงพูดเสียงเบามาก


“หนานเจียงเป็นพื้นที่ห่างไกลมาก ทําไมเขาถึงได้มีความแค้นกับท่าน
มากและหยั่งลึกขนาดนี้ล่ะ?”

เป่ยกงเหลียนเฉิงนิ่งไปนานมากถึงได้พูดขึ้นมาว่า “ตอนเล็กๆ ข้า


อยู่กับแม่สองคน เป็นดังชีวิตของกันและกัน ในเวลานั้นข้ามีความคิด
เพียงอย่างเดียว ชั่วชีวิตของข้า ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ จะได้ไม่มี
ใครในใต้หล้านีร้ ังแกเราสองแม่ลก
ู ได้อีก” เขายิ้มแล้วพูดว่า “เรือนที่เจ้า
เข้าไปในบ้านเก่าของตระกูลฉี ตอนเด็กๆ ข้าพบกระบี่เหล็กขึ้นสนิมเล่ม
หนึ่ง ไม่รู้ว่าใครมาทิ้งเอาไว้ นั่นเป็นครั้งแรกที่ขา้ ได้รู้จักอาวุธประเภทนี้
และมันเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในวัยเด็กของข้า”

ฉีหนิงตกตะลึงมาก แอบคิดในใจวาสนาของเป่ยกงเหลียนเฉองกับ
กระบี่มน
ั มีที่มาแบบนี้เอง
แต่พอคิดว่าแวดล้อมที่เป่ยกงเหลียนเฉิงอยู่ กระบี่เหล็กเล่มนั้นมัน
เป็นของเล่นเพียงชิ้นเดียวที่เขามี เขามีกระบี่เป็นเพื่อนเล่นของเขาทุก
วัน มันก็ต้องทําให้เขามีวาสนากับกระบี่อย่างเลี่ยงไม่ได้

“หลังจากนั้น ข้าก็ยกชีวิตทั้งหมดของข้าให้กับเส้นทางกระบี”
่ เป่
ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ชีวิตช่วงต้นของข้า ข้าใช้มันในการค้นหา
เส้นทางการเป็นสุดยอดมือกระบี่ สําหรับข้าแล้ว ในใต้หล้านี้ไม่มีอะไรมี
ความหมายไปมากกว่าเส้นทางกระบี่อีกแล้ว ดังนั้นข้าเลยไม่ได้สนใจ
ความรูส
้ ึกของใครเลย และเพราะเหตุนท
ี้ ําให้ขา้ ทําร้ายคนอื่นไป
มากมายเช่นกัน”

ฉีหนิงรู้สึกถอนหายใจในใจลึกๆแอบคิดในใจว่าการที่เขาพูดแบบนี้
ออกมา มันก็เหมือนว่าเขาได้กลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งแล้ว

“สิ่งที่ทําให้ขา้ เสียใจมากที่สุดในชีวิตก็คือการไม่สามารถดูแลท่าน
แม่ของข้าได้” เป่ยกงเหลียนเฉิงเสียงเบามาก เหมือนอยากจะระบายให้
ฉีหนิงฟัง แต่ก็เหมือนบ่นคนเดียว “แต่คนที่ข้าทําผิดด้วยมากที่สุดกลับ
เป็นผู้หญิงอีกคน”

ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เขามั่นใจว่า “ผู้หญิงอีกคน” ที่เขาพูด


ถึงนั้น น่าจะเป็นแม่นางมู่ สําหรับแม่นางมู่แล้ว เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้
รู้สึกเสียใจหรือเสียดาย แต่เขารู้สึกผิด
“มู่เย่อ๋องแค้นข้า ก็เพราะพี่สาวของเขาตายเพราะข้า” เป่ยกง
เหลียนเฉิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจี้ยนเจียก็
ตายเพราะข้าจริงๆ นั่นแหละนะ”

“เจี้ยนเจีย?” ฉีหนิงอึ้งไป

“บนต้นกกที่มีแม่คะนิ้งกําลังจับตัวกันเป็นน�าแข็งในยามเช้าเธอผู้
เป็นที่รักอยู่อีกฟากของแม่น�า” เป่ยกงเหลียนเฉิงท่องบทกลอนออกมา
“เจี้ยนเจียหรือว่าต้นกกที่จริงเป็นหญ้าที่ต้อยต�าอยู่ใต้น�า ตามประเพณี
ของคนหนานเจียง เวลาตั้งชื่อ ตั้งชื่อยิง่ ต�าต้อยไร้ค่ามากเท่าไหร่ คนที่
ใช้ช่ อ
ื นั้นก็จะเอาตัวรอดได้ดีมากเท่านั้น”

ฉีหนิงพยักหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ช่ ือของแม่นางมู่คนนั้น เขา


ถามว่า “นาง ...... นางตายยังไงเหรอ? หรือว่า ...... ป่วยตาย?”

เป่ยกงไม่ได้ตอบ เขาแค่มองไปที่ทะเล แล้วไม่พูดอะไรอยู่นานเลย

เขาไม่ได้พูดอะไร ฉีหนิงเองก็ไม่กล้าถามให้มากความ เขาทําแค่ยืน


อยู่ข้างๆ เป่ยกงเหลียนเฉิง ในใจคิดว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงรู้สึกผิดกับมู่
เจี้ยนเจียมากๆมิน่ามู่เย่อ๋องถึงได้ตามหาเขาเพื่อล้างแค้นหลายครั้ง เป่
ยกงเหลียนเฉิงถึงแม้จะทําร้ายเขา แต่ก็ไม่ฆ่าเขา ด้วยความสามารถ
ของเป่ยกงเหลียนเฉิง คิดจะฆ่ามู่เย่อ๋องมันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ หาก
เขารําคาญใจเขาก็สามารถจัดการเขาได้เลย แต่เขาไม่ฆ่ามู่เย่อ๋อง
เพราะในใจแล้วเขาก็รู้สึกผิดต่อมู่เย่อ๋องเหมือนกัน

“เวลาที่คนๆ หนึ่งกําลังปีนไปยังภูเขาสูง เขาก็คิดแต่เรื่องของการ


ปีนเขา ไม่ได้สนใจเรื่องหรือคนที่อยู่ รอบตัวเขาเลย” หลังกจานั้นอยู่
นาน เป่ยกงเหลียนเฉิงก็พูดขึ้นมาว่า “จนกระทั่งเมื่อเขาขึ้นไปบนยอด
เขาสําเร็จแล้ว พอมองไปรอบๆ ถึงได้รู้ว่าคนรอบข้างของเขาได้หายไป
จากเขาหมดแล้ว บนที่สูงมันไม่ได้หนาวเย็นเลย แต่ความหนาวเย็นที่มี
มันเป็นเพราะราคาของการปีนขึ้นบนยอดเขานั้นมันสูงมาก ทุกอย่างที่
เคยมี มันก็หายไปหมดมันคือค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไป หลังจากสูญเสีย
ทุกอย่างไปแล้ว ถึงได้รูว
้ ่าสิง่ ที่มันเคยมีน้ันมันถึงเป็นยสิง่ ที่สําคัญและมี
ค่าที่สุด” พอพูดถึงตรงนี้ เป่ยกงเหลียนเฉิงก็เหลือบไปมองฉีหนิง แล้ว
พูดว่า “อย่าทําร้ายคนที่เป็นห่วงเจ้า และอย่าทําเพื่อสิ่งที่ตัวเอง
ต้องการมากจนยอมละทิ้งสิ่งที่เจ้ามี”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

เป่ยกงเหลียนเฉิงยิ้ม แล้วไม่พด
ู อะไรอีกเลย จากนั้นเขาก็หันหลัง
เดินไขว้มือข้างหนึ่งแล้วเดินจากไป ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว
ท้องฟ้ากําลังมืด เขามองแผ่นหลังของเป่ยกงเหลียนเฉิง ฉีหนิงกลับรูส
้ ึก
ว่าต้าจงซือคนนีท
้ ้ังโดดเดี่ยวและเหงามาก

คําพูดของเป่ยกงเหลียนเฉิง ฉีหนิงเข้าใจดี
ไม่แน่ว่าหากย้อนเวลากลับไปให้เป่ยกงเหลียนเฉิงได้ เขาอาจจะเลือก
เส้นทางอีกเส้นหนึ่งก็ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่ใช่ต้าจงซือ แต่สง่ิ ที่เขามี
อยู่ในเวลานั้น มันมีค่ามากกว่าการเป็นต้าจงซือในเวลานี้
เล่มที่ 49 บทที่ 1460 ราชินี

ตอนที่ฉห
ี นิงอยูก
่ ับเป่ยกงเหลียนเฉิงที่รม
ิ ทะเล ชื่อตันเหมยเองก็ถูก
เจ้าเกาะไป๋อวินเรียกตัวไปเหมือนกัน

เกาะเสวียนอูไม่ได้เล็กมาก คิดอยากจะหาที่เงียบๆ พูดคุยกัน ไม่ใช่


เรื่องยาก

เจ้าเกาะนั่งลงอยู่บนโขดหินก้อนหนึ่ง แล้วมองคลื่นทะเลซัด ชื่อตัน


เหมยยืนอยู่ด้านข้าง นางมองแผ่นหลังของเจ้าเกาะ ในใจกลับไม่ได้รู้สก

เคารพรักเจ้าเกาะเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

หากไม่ใช่เพราะท่านเจ้าเกาะ ชื่อตันเหมยอาจจะตายไปแล้ว ชื่อ


ตันเหมยถึงได้รก
ั และเคารพเจ้าเกาะมาก หลายปีที่ผ่านมา เจ้าเกาะ
ดูแลชื่อตันเหมยอย่างดี หากไม่ใช่เพราะเขา ก็อาจจะไม่มีช่ อ
ื ตันเหมย
วันนี้

ในใจของชื่อตันเหมย ทุกคําพูดของท่านเจ้าเกาะ ล้วนเป็นเหมือน


ประกาศิต ต่อให้เจ้าเกาะจะสั่งให้นางไปตาย นางก็จะไม่ลังเลที่จะมอบ
ชีวิตให้
แต่ว่าวินาทีที่นางได้เห็นไป๋อวี่เฮ่อที่มีความรู้สก
ึ ซึ้งต่อนางเดินลง
ทะเลไปต่อหน้าต่อตา ชื่อตันเหมยกลับพบว่า ความรักและเคารพที่นาง
มีให้ท่านเจ้าเกาะนั้นมันเหมือนถูกทะเลกลืนไปพร้อมกับวินาทีที่ไป๋อวี่
เฮ่อถูกฝั่งลงทะเลไปแล้ว

“เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นตงฉี” เจ้าเกาะพูด “ตอนนี้แคว้นฉีถูก


บุกยึดไปแล้วไม่มแ
ี คว้นฉีอีกแล้ว เจ้าคิดแล้วรู้สึกยังไงบ้าง?”

ชื่อตันเหมยตะลึงไป ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าเกาะไม่เคยพูดเรื่อง


การเมืองกับนางเลย แต่วันนี้เจ้าเกาะแปลกไปกว่าปกติ ทําให้ช่ อ
ื ตัน
เหมยรู้สก
ึ แปลกใจ นางลังเล แล้วพูดว่า “เหมยเอ๋อร์ไม่สนใจเรื่อง
การเมือง”

เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าใน


ร่างกายของเจ้ามันก็มีเลือดของราชวงศ์แคว้นตงฉีไหลเวียนอยู่นะ หาก
พ่อแท้ๆ ของเจ้ายังอยู่ เขาไม่มท
ี างอยากให้แคว้นตงฉีมีจุดจบแบบนี้
แน่นอน”

ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผูท
้ ี่อ่อนแอก็จะถูกผู้ที่
แข็งแกร่งกว่ากลืนกิน มันเป็นมาตั้งแต่โบราณแล้ว ในบรรดาสามแคว้น
แคว้นตงฉีมก
ี ําลังอ่อนมากที่สด
ุ วันนีไ้ ม่ล่มสลาย พรุ่งนี้ก็อาจจะถูกกลืน
อยู่ดี”
“หือ?”

“ท่านเจ้าเกาะ ใต้หล้านีเ้ ดิมมันก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว ใต้


หล้าไม่เป็นหนึ่ง สงครามมันก็ไม่มีวันจบ” ชื่อตันเหมยพูดว่า “ขอแค่ใต้
หล้าทุกทิศรวมเป็นหนึ่ง ชาวบ้านถึงจะสงบสุข”

ท่านเจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นเจ้าคิดว่าสมควรให้แคว้นอื่นมา
เหยียบย�าแคว้นตงฉีเพื่อรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งอย่างนั้นเหรอ?”

ชื่อตันเหมยปากขยับ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นองค์หญิงแคว้นตงฉี เกิด


มามันก็ถูกกําหนดไว้แล้วว่าต้องมอบชีวิตเพื่อแคว้น ตอนนี้แคว้นตงฉี
ล่มสลายแล้ว แต่ในกายของเจ้ายังมีสายเลือดไหลเวียนอยู่ เจ้าสมควรที่
จะคิดเรื่องการกอบกู้แคว้น” เขาเงยหน้าขึ้นมามองท้องฟ้า แล้วพูดว่า
“เมื่อไหร่ก็ได้แผ่นดินทั้งหมดมาครอบครอง เจ้าเองก็จะกลายเป็น
ราชินี”

ชื่อตันเหมยหน้าเสียไป แล้วพูดออกมาอย่างตกใจ “ท่านเจ้าเกาะ


......”

“เจ้ารู้ไหมว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าทําไมถึงตาย?” เจ้าเกาะพูดว่า
“เขาคิดอยากจะช่วยแคว้นฉีรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง แต่แผนการ
ใหญ่ของเขายังไม่สาํ เร็จ กลับต้องมาตายอยู่ต่างแดน หรือว่าเจ้าคิดจะ
ให้เขาตายเปล่าแบบนี?้ ”

ชื่อตันเหมมยสะดุ้งมาก เขารูส
้ ึกว่าท่านเจ้าเกาะเหมือนกําลังเล่น
หมากรุกกระดานใหญ่อยู่ นางพูดว่า “ท่านเจ้าเกาะ เหมยเอ๋อร์ .....
เหมยเอ๋อร์ไม่เข้าใจความหมายของท่าน”

“คราวนี้หากสัตว์เทวะปรากฎตัวขึ้น จะต้องเกิดสงครามครั้งใหญ่
แน่นอน” เจ้าเกาะพูดว่า “หากข้าสามารถรอดออกไปจากเกาะเสวียนอู่
นี้ได้ ใต้หล้านี้ ก็จะต้องเป็นของแคว้นฉีแน่นอน”

ชื่อตันเหมยเป็นคนฉลาดมาก เจ้าเกาะพูดมาแบบนี้ นางจะไม่


เข้าใจได้ยังไง

สามแคว้นชิงความเป็นใหญ่ ต้าจงซือไม่ได้เข้าร่วมเรื่องการเมือง
ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อยากเข้าร่วม แต่เพราะมีต้าจงซือคนอื่นเป็น
อุปสรรคอยู่ ใครก็ไม่กล้าทําอะไรวู่วาม

หากใต้หล้านี้คงมีแค่ต้าจงซือคนนี้เท่านั้น ที่อยากจะเข้าร่วมวงการ
เอง อีกอย่างเหมือนเขาจะคอยช่วยแคว้นตงฉีมาตลอดด้วย

ความหมายของท่านเจ้าเกาะ เหมือนจะบอกว่าหากเหลือแค่เขา
คนเดียวที่รอดชีวิตออกไปจากเกาะ เขาจะกกอบกู้แคว้นตงฉี แล้ว
รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง
“เจ้ารู้หรือเปล่าทําไมข้าถึงได้ให้ฉีหนิงตามมาที่เกาะด้วย?” เจ้า
เกาะถามขึ้นมา

ชื่อตันเหมยพูดว่า “เหมยเอ๋อร์ ....... ไม่ทราบ”

“เขาเป็นเนื้อร้าย” เจ้าเกาะพูดว่า “ในเมื่อเป็นตัวยุ่งครางนีก


้ ็จะได้
จัดการไปให้หมดในคราวเดียว” เขาหันหน้ามามองชื่อตันเหมย “ข้ารู้ว่า
เขารักเจ้าไม่นอ
้ ย หากเจ้าลงมือกับเขา เขาจะต้องคาดไม่ถึงแน่นอน
......”

“ท่านเจ้าเกาะ ......” ชื่อตันเหมยสะดุ้ง “ท่าน ...... ท่านคิดจะให้ข้า


ฆ่าเขางั้นเหรอ?”

“เจ้าทําไม่ได้ง้ันเหรอ?” เจ้าเกาะพูดเสียงแข็ง

ชื่อตันเหมยเสียวสันหลัง เขาเดินหน้าขึ้นหนึ่งก้าว “ท่านเจ้าเกาะ


ข้ากับเขา ......”

“ตอนนั้นที่ข้ารับปากให้เจ้าแต่งงานกับเขา ข้าก็เตรียมแผนไว้
หมดแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าได้รับความไว้จจากเขา ก็จะสามารถลงมือ
ฆ่าเขาได้ทันที” เจ้าเกาะพูดว่า “หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าไปรักกับ
เขา?” เขาถามว่า “เจ้ามีเรื่องปกปิดข้า”
ชื่อตันเหมยตะลึงไป เจ้าเกาะพูดว่า “เจ้าน่าจะอยู่แคว้นฉู่ แต่
ทําไมถึงถูกเป่ยถังฮ่วนเย่พากลับมาที่เกาะไป๋อวิน? พวกเจ้าไปแคว้นฮั่น
มาใช่ไหม? แล้วไปแคว้นฮั่นทําไม?”

ชื่อตันเหมยขมวดคิ้ว เจ้าเกาะพูดว่า “ครั้งแรกที่ข้าได้พบเขา ข้าก็


รู้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนของตระกูลฉี หน้าตาของเขาเหมือนกับเป่ยถังชิ่ง
ไม่มีผิด เขาเป็นสายเลือดของราชวงศ์เป่ยฮั่นใช่ไหม?”

ชื่อตันเหมยสะดุ้ง

นางกับฉีหนิงถูกเป่ยถังฮ่วนเย่พามายังเกาะไป๋อวิน เจ้าเกาะไม่ได้
ถามอะไรเลยแม้แต่คําเดียว ชื่อตันเหมยคิดว่าท่านเจ้าเกาะอาจจะไม่รู้
เรื่อง คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้ความลับเรื่องนี้มานานแล้ว

ครั้งแรกที่ท่านเจ้าเกาะเจอฉีหนิง เป็นตอนที่ฉห
ี นิงมาเป็นราชทูตที่
ตงฉี นั่นก็หมายความว่า ท่านเจ้าเกาะรูช
้ าติกําเนิดของฉีหนิงตั้งแต่ตอน
นั้นแล้ว

“ชาติกําเนิดของเขา ข้าเล่าให้ศษ
ิ ย์พี่ใหญ่ของเจ้าฟังไปนานแล้ว
แต่ก็ส่งั ห้ามไม่ให้เขาทําอะไร มีความลับเรื่องนี้ในมือ รอเวลาที่
เหมาะสมแล้วค่อยลงมือ” เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ข้าคิดไม่
ถึงว่าฉีหนิงจะเก่งมากขนาดนี้ เซียวจ้าวจงคิดอยากจะชิงบัลลังก์ แต่
กลับตายลงอย่างรวดเร็ว อีกอย่างศิษย์พี่ของเจ้าเองก็ตายในแคว้นฉู่
ด้วย”

ชื่อตันเหมยเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางถามว่า “ท่านเจ้าเกาะ


หลังเซียวจ้าวจงตาย ข่าวลือที่กระจายไปทั่วแคว้นว่าฉีหนิงไม่ใช่
สายเลือดของตระกูลฉี หรือว่า ......?”

“ข้าสั่งให้ซาหนูส่งคนไปปล่อยข่าวลือในเมืองหลวงเอง” เจ้าเกาะ
พูดว่า “พอข่าวลือมันสะพัดขึ้นมา ฉีหนิงถึงได้สงสัยในชาติกําเนิดของ
ตัวเองมากขึ้น ส่วนราชสํานักแคว้นฉู่ ก็เริม
่ ระแวงฉีหนิง ฮ่องเต้มีความ
กังวล ต่อให้แคว้นฉู่ไม่ฆ่าเขา อย่างน้อยก็ไม่ให้ความสําคัญกับเขาอีก”

ชื่อตันเหมยถึงกับเสียวสันหลัง

นางคิดว่าข่าวลือที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเกี่ยวกับชาติกําเนิดของฉี
หนิง เป็นฝีมือกของเซียวจ้าวจงที่วางแผนเอาไว้ก่อนตายแล้ว นางไม่รู้
เลยว่าเบื้องหลังเรื่องนี้แล้วก็คือท่านเจ้าเกาะ

“ศิษย์พใี่ หญ่ของเจ้าตายเพราะเขา เกาะไป๋อวินก็จะให้เขาต้อง


พรากกจากครอบครัวของเขาเหมือนกัน” ท่านเจ้าเกาะพูด

ชื่อตันเหมยหมองไปที่แผ่นหลังของเจ้าเกาะ ทันใดนั้นนางรูส
้ ึกว่า
คนที่อยู่ตรงหน้าของนางนั้นมันแปลกหน้าเหลือเกิน
ในใจของนาง เจ้าเกาะไม่ต่างกับเทพเจ้าที่นางเคารพรัก แต่ว่าใน
เวลานี้นางพบว่า ต้าจงซือที่อยู่ตรงหน้าของนาง แต่เบื้องหลังเขากลับ
ทําเรื่องต�าช้าลงไปมากมาย นางรู้สึกเสียใจมาก นางถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “เจ้าเกาะเหมือนจะประเมินความรู้สึกของเขากับฮ่องเต้น้อยแคว้นฉู่
ต�าเกินไป”

“เพราะอายุยังน้อยเกินไป” เจ้าเกาะพูดว่า “หากเจ้าเด็กน้อย


แคว้นฉูน
่ ่ันโตกว่านี้อีกสักหน่อย เขาไม่มีทางปล่อยเนื้อร้ายของเขา
เอาไว้ขา้ งกายแบบนี้หรอก”

ชื่อตันเหมยหนิง่ ไปแล้วพูดว่า “ทําไมท่านถึงคิดจะฆ่าเขามาก


ขนาดนั้น?”

“เหตุผลอื่นยังไม่ต้องพูดถึงก่อน แค่เขามีสายเลือดของตระกูลเป่ย
ถัง ก็เก็บเขาเอาไว้ไม่ได้แล้ว” เจ้าเกาะพูด

ชื่อตันเหมยตะลึงไป เหมือนว่าคิดไม่ถึงว่านางจะได้ยน
ิ เหตุผลแบบ
นี้

ทําไมเป็นคนที่มส
ี ายเลือดของตระกูลเป่ยถังแล้วต้องตาย?

เจ้าเกาะเหมือนรู้ว่าชื่อตันเหมยกําลังคิดอะไรอยู่ เขาเหลือบไป
มองชื่อตันเหมย แล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือเปล่า ข้าเกิดที่แคว้นตงฉี เคย
เป็นทาสรับใช้ของชาวแคว้นเป่ยฮั่นมาก่อน เป็นทาสเดินหมากรุกของ
เป่ยถังฮ่วนเย่”

ชื่อตันเหมยตะลึง เรื่องอดีตของเจ้าเกาะ ถึงแม้ฉีหนิงจะรู้ แต่ช่ อ



ตันเหมยไม่รู้

“ตอนนั้นข้าได้สาบานกับตัวเอง สักวันหนึ่ง ข้าจะต้องสังหาร


ตระกูลเป่ยถังทั้งหมดให้สิ้นซาก” เจ้าเกาะพูดว่า “คนแรกที่ขา้ จะฆ่าก็
คือ เป่ยถังฮ่วนเย่”

ชื่อตันเหมยถึงได้เข้าใจ เจ้ากาะมีความแค้นในใจแบบนี้ ดูท่า


หลังจากที่ได้กลายเป็นต้าจงซือแล้ว ไม่ได้ท้ิงบุญคุณความแค้นลงเลย
มันทําให้ช่ อ
ื ตันเหมยรู้สก
ึ หวาดกลัว หากพวกเขาไม่ได้ทําข้อตกลงเขา
หลงซาน เพื่อควบคุมซึ่งกันและกันเอาไว้ คิดว่าคงเกิดหายนะแน่นอน

“ท่านเจ้าเกาะอยากจะฆ่าฉีหนิง มันง่ายยิง่ กว่าพลิกฝ่ามือ ทําไม


ต้องให้ข้าเป็นคนลงมือด้วย?” ชื่อตันเหมยเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปที่
คนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้า

ท่านเจ้าเกาะหันหน้าไปเหลือบมองชื่อตันเหมย แล้วพูดว่า “เจ้ารู้


หรือเปล่า คิดจะเป็นคนที่แข็งแกร่ง ก็ต้องมีความเหี้ยมโหดในตัวด้วย
หากเจ้ากลายเป็นราชินีเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ ก็ต้องมีใจเมตตา ข้ารู้ว่า
เจ้ากับฉีหนิงรักกันมาก มีแค่เจ้าคนเดียวที่ลงมือกับเขาได้ ถึงจะทําให้
เจ้าแข็งแกร่งขึ้น”

ชื่อตันเหมยพูดว่า “ดังนั้นเจ้าเกาะเลยคิดเอาไว้ก่อนแล้ว ให้เขามา


ที่เกาะนี้ เพื่อให้ข้าลงมือฆ่าเขาด้วยมือของข้าเองงั้นเหรอ”

“เราต้องจัดการตัวปัญหาที่ทําให้เราปวดหัวบนเกาะนีไ้ ปให้หมด
เมื่อเราออกจากเกาะนีไ้ ป โลกก็จะเป็นโลกใบใหม่” เจ้าเกาะพูดว่า
“โม่อิ่งกับไป๋อวี่เฮ่อบล้วนแต่เป็นเครื่องสังเวยที่ข้าสร้างขึ้นมาเพื่อ
เสียสละเพื่อโลกใบใหม่ ดังนั้นเราจะให้พวกเขาตายเปล่าไม่ได้”

ชื่อตันเหมยเก็ยสายตากลับมา เมื่อก่อนนางไม่เคยกล้าจ้องตาของ
เจ้าเกาะเลย ตอนนี้นางกลับจ้องไปที่ตาของเจ้าเกาะแล้วถามว่า “ศิษย์
พี่ใหญ่กับศิษย์พไี่ ป๋ เปรียบเสมือนดาบในมือของท่านเจ้าเกาะแค่น้ันเอง
เหรอ เป็นแค่เครื่องมือเพื่อไปถึงเป้าหมายอย่างนั้นเหรอ?”

“แต่ละคนเมื่อมีชีวิตก็มีมล
ู ค่าของตัวเองในการใช้ชีวิตทั้งนั้น”
ท่านเจ้าเกาะพูดว่า “มูลค่าในตัวของพวกเขา ก็คือการรับใช้ข้า หาก
พวกเขาไม่มีค่าให้ข้าได้ใช้งาน มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากเลย
นะ”

ชื่อตันเหมยพูดว่า “ในใจของท่านเจ้าเกาะ ข้าเองก็เหมือนกับพวก


เขา เป็นแค่หุ่นเชิดที่ต้องยอมให้ท่านชักใย”
เจ้าเกาะไม่ได้โกรธ สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย เขาพูดว่า “ถ้า
ออกจากเกาะนีไ้ ปได้ ข้าก็จะกลายเป็นเสมือนเทพเจ้าของใต้หล้านี้แล้ว
ส่วนเจ้าก็จะกลายเป็นผู้ส่งสารไปยังใต้หล้านี้ ข้าจะให้เจ้าปกครองใต้
หล้า เจ้าก็แค่นาํ พาพวกเขามากราบไหว้บูชาข้า เจ้าก็จะมีอํานาจเหนือ
ทุกอย่าง” สายตาของเขามันบีบคั้นมาก “ข้าต้องการราชินีผู้ปกครองที่
มีความกล้าตัดสินใจในการสังหาร ดังนั้นข้าบอกให้เจ้าทําอะไร เจ้าก็ทํา
ไปแบบนั้น ไม่จําเป็นต้องสงสัยอะไร เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือเปล่า?”

ชื่อตันเหมยไม่ได้หวาดกลัวเลย นางพูดว่า “เจ้าเกาะคิดอยากจะเป็น


เทพเจ้า ก็จะต้องรอดไปจากเกาะนี้ให้ได้ก่อน หรือว่าท่านมั่นใจมากเลย
ว่าชนะได้แน่นอน?”
เล่มที่ 49 บทที่ 1461 ท้าทาย

เจ้าเกาะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นต้าจงซือ ไม่มีใครกล้า


รับประกันได้ว่าจะมีใครรอดไปได้หรอก” เขายิม
้ มุมปาก “ข้าก็แค่ต้อง
เตรียมการเพื่อหนีรอดออกจากที่นี่ไปเท่านั้น”

ชื่อตันเหมยพูดว่า “หากข้าฆ่าฉีหนิง ออกไปจากหนีออกไปจาก


เกาะนี้ ท่านเจ้าเกาะคิดว่าข้าจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกเหรอ?”

“หากเรื่องแค่นี้เจ้ายังทําไม่ได้ แล้วจะเป็นราชินป
ี กครองใต้หล้านี้
ได้ยังไงกัน?” เจ้าเกาะพูดว่า “สิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ใช่ราชินีที่อ่อนแอ
ตัดสินใจไม่เด็ดขาด”

ชื่อตันเหมยยิม
้ แล้วพูดว่า “คนที่เจ้าเกาะต้องการคงไม่ใช่คนแบบ
ข้า หากแม้แต่เขาข้ายังฆ่าได้ลงคอ ข้าคิดไม่ออกเลยว่าข้าจะต้องปฏิบต
ั ิ
ต่อราษฎรของข้ายังไงได้อีก? เหมยเอ๋อร์ซาบซึ้งบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูข้า
มาอย่างดี เหมยเอ๋อร์เองก็ไม่กล้าขัดคําสั่งของท่านเจ้าเกาะมาก่อนเลย
แต่ครั้งนี้ ข้าคงไม่อาจทําตามที่ท่านต้องการได้”

ท่านเจ้าเกาะหน้านิ่งลงทันที
“ชีวิตของข้าท่านเจ้าเกาะเป็นคนช่วยไว้ หากท่านเจ้าเกาะ
ต้องการชีวิตข้ากลับไป ท่านไม่ต้องลงมือก็ได้ แค่บอกข้ามา เหมยเอ๋อร์
จะฆ่าตัวตายต่อหน้าท่านทันที” ชื่อตันเหมยจ้องไปที่ดวงตาของเจ้า
เกาะ

เจ้าเกาะมีสายตาคมอย่างดาบ เขาจ้องไปที่ช่ อ
ื ตันเหมยแบบไม่
กระพริบตาเลย เขาจ้องอยู่นานมาก จากนั้นเจ้าเกาะค่อยๆ หันหน้า
กลับไป มองไปที่ท้องทะเล แล้วไม่พด
ู อะไรเลย

พอฉีหนิงได้พบชื่อตันเหมยอีกครั้ง เขามองออกว่าสีหน้าของชื่อ
ตันเหมยไม่ดีเลย

ฟ้ามืดลงแล้ว ทั่วทั้งเกาะเสวียนอู่ถูกปกคลุมด้วยความมืด ไม่มแ


ี สง
สว่างเลยแม้แต่นิดเดียว

ฉีหนิงพาชื่อตันเหมยเข้าไปในป่าของเกาะ แล้วนั่งลงที่ใต้ต้นไม้
ใหญ่ต้นหนึ่ง ชื่อตันเหมยนั่งอิงอยู่ในอ้อมกอดของฉีหนิง นางไม่พด
ู อะไร
เลย ฉีหนิงรู้สึกได้ว่าร่างกายของชื่อตันเหมยหนาวเย็นมาก เขาเลยกอด
นางให้แน่นขึ้น หวังว่าอยากจะให้ความอบอุ่นของเขาจะช่วยลดความ
หนาวเย็นให้กับนาง

“เจ้าจะดีกับข้าแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรือเปล่า?” ชื่อตันเหมยจู่ๆ ก็
ถามขึ้นมา
ฉีหนิงตะลึงไป แต่เขาก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “หากเจ้ายินดี ชาติหน้าข้า
ก็จะยังดีกับเจ้าแบบนี้อีก กลัวแต่ว่าชาติหน้าเจ้าอาจจะไม่เจอข้าน่ะสิ”

ชื่อตันเหมยถอนหายใจแบบเศร้าๆ แล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รูว


้ ่ามัน
จะมีชาติหน้าอีกหรือเปล่า ชาตินี้ข้าได้อยู่กับเจ้า มันก็เพียงพอแล้ว”
นางขยับเข้าใกล้ฉีหนิงอีก เหมือนกังวลว่าฉีหนิงจะจากนางไป ฉีหนิงเอง
ก็ใช้มือโอบนางมาที่อ้อมกอด แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านช่องของ
ใบไม้ เขากําลังคิดว่า ไม่ว่าบนเกาะจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องปกป้อง
ชื่อตันเหมยให้หนีออกไปจากเกาะนี่อย่างปลอดภัยให้ได้

รอจนกระทั่งวันที่สามช่วงเย็น ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยกําลังนั่งอยู่บน
ชายหาด พวกเขามองเห็นบนทะเลมีเงาปรากฎขึ้น ฉีหนิงรีบลุกขึ้น แล้ว
มองออกไปเขาเห็นเรือลําหนึ่งกําลังมาทางนี้ เขาถึงกับสะดุ้ง แอบคิดใน
ใจว่าใครกันที่จะรู้ตําแหน่งของเกาะเสวียนอู่นี่อีก ใครกันที่กล้าเดินทาง
มาที่นี่? หรือว่าเรือลํานั้นแค่ผ่านมาแถวนี้เท่านั้น?

แต่ว่าเรือลํานั้นเหมือนกําลังตรงมาที่เกาะเสวียนอู่ เมื่อมันเทียบท่า
แล้ว ฉีหนิงก็เห็นคนๆ หนึ่งยืนอยู่บนหัวเรือ เขาสวมชุดสีเทา รูปร่างสูง
โปร่ง พอเห็นใบหน้าของเขาชัด ฉีหนิงก็ตกใจ คนที่มาคือเป่ยถังชิ่ง

เมื่อไม่นานมานีฉ
่ ีหนิงเพิ่งจะแยกจากเป่ยถังชิง่ ที่เขาเก้าตําหนัก รู้
ว่าที่เขามีมือกระบี่เทียนจูเฝ้าอยู่ เป่ยถังชิ่งคิดจะออกจากเขามันยาก
มาก คิดไม่ถึงเลยว่าเพิง่ จะแยกกันไม่นาน เขากลับมาที่เกาะนี้
เป่ยถังชิง่ ยืนอยู่บนหัวเรือ เขาต้องเห็นฉีหนิงอยูบ
่ นชายหาดอยู่
แล้ว สายตาของเขาตกตะลึงมาก เหมือนคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอฉีหนิง
ที่นี่ด้วย เขาขมวดคิ้วหนักมาก แต่เขาก็ยังกระโดดลงมาจากหัวเรือ แล้ว
เดินมาหาฉีหนิง ยังไม่ทันเดินไปถึง ฉีหนิงก็เห็นมือกระบี่เทียนจูก็อยูบ
่ น
หัวเรือด้วยเช่นกัน

เดิมทีเขายังแปลกใจอยู่เบนว่าเป่ยถังชิง่ มาปรากฎตัวที่เกาะเสวียน
อู่ได้ยังไง พอเห็นมือกระบี่เทียนจู เขาก็เข้าใจทันที

เป่ยถังชิง่ เหมือนจะไม่ได้ลงจากเขามาคนเดียว ดูท่าทางแล้ว น่าจะ


ถูกคุมตัวมาส่งมากกว่า

มือกระบี่เทียนจูเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งในเวลานี้ นอกจากเป่ย
ถังฮ่วนเย่แล้วก็ไม่มีใครสามารถสั่งการเขาได้อีก ในเมื่อเขาพาเป่ยถังชิง่
มาที่เกาะเสวียนอู่ นั่นก็แสดงว่าเป็นคําสั่งของเป่ยถังฮ่วนเย่แน่นอน

ถึงแม้การล่อสัตว์เทวะจะต้องใช้ของสามชิ้น แต่ว่านอกจากเป่ยกง
เหลียนเฉิงที่สามารถเป่ยขลุ่ยจื่อหลงได้ กลับยังไม่มีใครสามารถบรรเลง
พิณเฟิงหวงได้เลย

เป่ยถังฮ่วนเย่บอกว่ายังมีนักดีดพิณอีกคนที่เหมาะสม ฉีหนิงคิดไม่
ออกเลยว่าเป่ยถังฮ่วนเย่จะให้ใครมา ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เป่ยถังฮ่
วนเย่กําลังรอเป่ยถังชิ่งอยู่น่ันเอง
เป่ยถังชิง่ เป็นหนึ่งในสีศ
่ ิลปิน เขามีฝม
ี อ
ื ด้านการเล่นพิณมากห มี
เขาดีดพิณเฟิงหวง ถือเป็นคนที่เหมาะสมมากที่สุด

เป่ยถังชิง่ เดินมาตรงหน้าฉีหนิง ฉีหนิงแค่มองมาที่เขา เขาขยับปาก


เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พด
ู ออกมา เขาเดินผ่านหน้าฉีหนิง
ไป ฉีหนิงหันหลังกลับมา เขาไม่รู้เลยว่าเป่ยถังฮ่วนเย่น้ันมาอยูด
่ ้านหลัง
ของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

เป่ยถังชิง่ เดินไปหาเป่ยถังฮ่วนเย่ เห็นเป่ยถังฮ่วนเย่แทบจะ


กลายเป็นผู้หญิงไปแล้ว เขาเหมือนจะไม่ได้แปลกใจมากนัก เขาคํานับ
อย่างนอบน้อมแล้วพูดว่า “เสด็จอา”

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิม
้ อ่อนๆ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “วันนี้ข้าอยากจะ
ยืมฝีมือการดีดพิณของเจ้าสักหน่อย เลยตามตัวเจ้ามา”

“คําสั่งของเสด็จอา ข้าจะทําอย่างเต็มที่” เป่ยถังชิง่ อยู่ต่อหน้าเป่ย


ถังฮ่วนเย่กลับดูมีมารยาทมาก

ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงของมือกระบี่เทียนจูดังขึ้นมาจากหัวเรือ
“โหวเยว่ ข้อตกลงระหว่างเรา มีระยะเวลาจนถึงวันที่ชางหลิงโหวลง
จากเขา ข้าได้ทําตามสัญญาระหว่างเราแล้ว วันนี้ข้ามอบเขาให้กับโหว
เยว่ เราทั้งสองไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “หลายปีที่ผา่ นมาลําบากเจ้าแล้วนะ”


มือกระบี่เทียนจูพูดว่า “ไม่ทราบท่านเทพกระบี่อยู่บนเกาะด้วย
หรือไม่?”

เป่ยถังฮ่วนเย่หันหลังไป เห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงอยู่ที่โขดหินก้อน
หนึ่งด้านหลังไม่ไกลมากนัก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกง ท่านผูน
้ ี้
คือเจ้าของกระบี่เทียนจู”

เป่ยกงเหลียนเฉิงสีหน้าไม่มีความรู้สก
ึ เขาไม่ได้พูดอะไรเลย

มือกระบี่เทียนจูกระโดดลงมาจากบนหัวเรือ เขายกมือคํานับ
ให้กับเป่ยกงเหลียนเฉิงแล้วพูดว่า “ผู้น้อยคํานับท่านเทพกระบี่ ที่มาใน
วันนี้ ได้พบกับท่านเทพกระบี่ ถือเป็นเกียรติของข้านัก ข้ามีเรื่อง
อยากจะขอร้อง ขอท่านเทพกระบี่อนุญาตด้วย”

เป่ยกงเหลียนเฉิงมองไปที่มือกระบี่เทียนจู แต่ก็ไม่ได้พด
ู อะไร

“ผู้น้อยฝึกกระบี่มาจนถึงวันนี้ พอจะรู้ซ้ึงถึงความหมายศาสตร์
ของกระบี่แล้ว” มือกระบี่เทียนจูพูดอย่างนอบน้อมว่า “วันนี้ข้า
อยากจะขอคําชี้แนะจากท่านเทพกระบี่ ถึงตายข้าจะไม่เสียใจเลย”

ฉีหนิงสะดุ้ง แอบคิดในใจว่ามือกระบี่เทียนจูใจกล้ามาก กล้าขอท้า


ประลองกับเป่ยกงเหลียนเฉิง
มือกระบี่เทียนจูถึงแม้จะเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่ง แต่เขาเหมือนจะ
ลืมไปแล้ว ว่าคนที่เขากําลังเผชิญหน้าอยู่น้น
ั คือต้าจงซือ

แต่ฉห
ี นิงเองก็เข้าใจ คนที่อยู่บนที่สูงนั้นมันโดดเดี่ยว

มือกระบี่เทียนจูมีความสามารถในเพลงกระบี่มาก ในใต้หล้า ก็คง


มีแค่เป่ยกงเหลียนเฉิงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเหมือนยอดเขาลูกสุดท้ายที่
สูงสุด สําหรับคนที่คลั่งในสายกระบี่มาก มือกระบี่เทียนจูเลยเห็นเป่ยกง
เป็นคู่ต่อสู้สุดท้ายของเขา ในสายตาของมือกระบี่เทียนจู การท้าทาย
เทพกระบี่เขาไม่ได้ต้องการจะให้รู้แพ้หรือชนะ แต่การเอาชนะเทพ
กระบี่ได้ มันจะทําให้เขาเข้าสู่จุดสูงสุดของศาสตร์แห่งกระบี่ได้อย่าง
แท้จริง

สิ่งที่เป็นเรื่องปราถนาของคนฝึกกระบี่ คงเหมือนมือกระบี่เทียนจู
ที่ต้องการต่อสู้กับเทพกระบี่

แต่ว่าเหมือนว่าวันนี้มันไม่ใช่จังหวะที่ดีเท่าไหร่

การฝึกฝนของกระบี่เทียนจู ถึงแม้จะไม่สามารถเทียบได้กับต้า
จงซือ แต่หากเขาพยายามอย่างเต็มที่ เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่มีทาง
เอาชนะมือกระบี่เทียนจูง่ายๆ แน่ หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือหากมือกระบี่
เทียนจูลงมือ ก็จะทําให้เป่ยกงเหลียนเฉิงแสดงความสามารถที่แท้จริง
ออกมา
เหล่าต้าจงซือไม่มีใครกล้าทําอะไรก่อน เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้
ถึงความสามารถที่แท้จริง ดังนั้นท่านเจ้าเกาะกับเป่ยกงเหลียนเฉิงถึงได้
ให้ศษ
ิ ย์ของตัวเองลงมือ โม่อิ่งสู้กับเซี่ยงเทียนเป่ยในเมืองหลวง ที่จริงก็
คือต้าจงซือสองคนหยั่งเชิงความสามารถของอีกฝ่าย

คนบนเกาะรู้ดี ถ้าสัตว์เทวะเสวียนอู่จะปรากฎตัวขึ้น เหล่าต้าจงซือ


ไม่มีทางให้ยาเม็ดเสวียนอู่ตกไปอยู่ในมือของใครแน่นอน หากเกิดศึก
แย่งชิง จะต้องเกิดสงครามการต่อสู้ครั้งใหญ่มากแน่

หากเทพกระบี่ลงมือ ต้าจงซืออีกสองคนก็จะต้องสังเกตได้ อาจทํา


ให้รู้ความสามารถที่แท้จริงของเป่ยกงเหลียนเฉิงได้ รู้เขารู้เรารบร้อย
ครั้งชนะร้อยครั้ง ก่อนจะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ ถ้ามีคนรู้ความสามารถ
ที่แท้จริง ก็อาจจะตกเป็นรองได้

เป่ยกงเหลียนเฉิงก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกง มือกระบี่คนอื่นไม่เข้า


ตาท่านก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่ว่าเจ้าของมือกระบี่เทียนจูเป็นมือกระบี่
อันดับหนึ่งในตอนนี้ ข้ารู้ว่าฝีมอ
ื ของท่านสุดยอดมากแล้ว มือกระบี่
ทั่วไปอาจจะไม่อยู่ในสายตาของท่าน แต่ว่ามือกระบี่เทียนจูขอคําชี้แนะ
จากท่าน เขาจริงใจมากนะ เขามีความคิดนีม
้ าตั้งหลายปีแล้วนะ” เขา
เอามือสองข้างทาบที่อกแบบผู้หญิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่านพี่เป่
ยกงยังฝึกฝนเพลงกระบี่ไม่สาํ เร็จ ยังท่องยุทธภพไปทั่ว เพื่อหาผู้ที่มอ

ฝีมือในเพลงกระบี่เพื่อประลองด้วยเลย วันนี้มอ
ื กระบี่เทียนจูก็เหมือน
ท่านพี่เป่ยกงในตอนนั้น ไม่รู้ว่าตอนนั้นหากมีคนปฏิเสธคําขอการ
ประลองของท่าน ท่านจะคิดยังไงนะ”

ฉีหนิงแอบขําในใจ

ถ้าไม่พด
ู อะไร เป่ยถังฮ่วนเย่ก็เหมือนสาวงามคนหนึ่ง ตัวของเขา
มันมีความมีเสน่หแ
์ พร่ออกมา แต่ว่าน�าเสียงของเขาเวลาพูด กลับเชือด
เฉือน ตอนนี้เหมือนเขากําลังจะยุแหย่เป่ยกงเหลียนเฉิงกับมือกระบี่
เทียนจูให้ต่อสู้กัน

ฉีหนิงมองเห็นมือกระบี่เทียนจูยืดตัวตรง ใบหน้าของเขาจริงจัง
มาก เขารู้ว่ามือกระบี่เทียนจูเคารพนับถือเทพกระบี่มาก วันนี้เขาขอท้า
ประลอง ก็ดน
ู อบน้อมมาก

เมื่อมือกระบี่มาถึงจุดนี้แล้ว การลงมือก็ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อ


อุดมการณ์ของศาสตร์กระบี่

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มอ่อนๆ ดูสวยมาก แต่ฉห


ี นิงเห็นรอยยิ้มนั้นแล้ว
กลับรู้สก
ึ สะดุ้ง แอบคิดในใจว่าที่มือกระบี่เทียนจูมาส่งเป่ยถังชิ่งวันนีท
้ ี่
เกาะ จะเป็นแผนที่เป่ยถังฮ่วนเย่วางเอาไว้อยู่แล้ว เป่ยถังฮ่วนเย่คิด
อยากจะให้มอ
ื กระบี่เทียนจูท้าประลองกับเป่ยกงเหลียนเฉิงอยูแ
่ ล้วงั้น
เหรอ?
ด้วยความสามารถของมือกระบี่เทียนจูในเวลานี้ ได้เจอเป่ยกง
เหลียนเฉิง ยังไงก็ต้องร้องขอประลองฝีมือแน่นอน เป่ยถังฮ่วนเย่รู้เรื่อง
นี้ดี ดังนั้นเขาเลยฉวยโอกาสที่เป็นเวลาไม่ปกติ ตั้งใจให้พวกเขาได้เจอ
กัน เพื่อที่จะดูฝีมือของเป่ยกงเหลียนเฉิง

มือกระบี่เทียนจูเดินออกมาสามก้าว แล้วโค้งคํานับหนึ่งที จากนั้น


เขาก็เดินอีกสามก้าว แล้วก็โค้งคํานับอีกหนึ่งที จากนั้นก็เดินอีกสามก้าว
แล้วโค้งคํานับอีกหนึ่งที

เดินเก้าก้าวคํานับสามครั้ง ถือเป็นที่สด
ุ ของการให้เกียรติและให้
ความเคารพ

เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้พูดอะไรเหมือนเดิม แต่เขากลับเดินมา เมื่อ


ผ่านหน้ามือกระบี่เทียนจู แล้วก็หยุด แล้วพูดว่า “เจ้ามานี่” จากนั้นเขา
ก็เดินไปทางริมทะเล กระบี่เทียนจูหันหลังกลับแล้วเดินตามไป

ทุกคนเห็นดังนั้น ก็รู้ทันทีว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงน่าจะยอมรับคําท้า
ทายของมือกระบี่เทียนจูแล้ว แต่ว่าแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน

เป่ยกงเหลียนเฉิงเดินมาถึงริมทะเล เขาเอามือไขว้หลัง แต่ยังไม่ได้


มีเจตนาลงมือแต่อย่างไร มือกระบี่เทียนจูเดินไปอยู่ข้างๆ ของเป่ยกง
เหลียนเฉิง ยืนอยู่ข้างกัน

ทุกคนเองก็ไม่กล้าเข้าไป มองไปที่เงาแผ่นหลังของพวกเขาสองคน
เล่มที่ 49 บทที่ 1462 นรกทีไ่ ม่มข
ี อบเขต

ลมทะเลพัดโชยเย็นสบาย คลื่นซัดกระทบฝั่ง ทุกคนที่อยู่ที่


ชายหาดไม่มใี ครกล้าขยับ

ฉีหนิงเห็นเงาทั้งสองคน ยืนอยู่บนโขดหินที่รม
ิ ทะเล ไม่มีใครทํา
อะไร หลังจากนั้นอยู่นาน กลับเห็นมือกระบี่เทียนจูหันหน้าเข้าด้านข้าง
แล้วถอยหลังสามก้าว จากนั้นก็โค้งคํานับให้เขาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็
เดินตรงไปที่เรือของเขาโดยที่ไม่หันหลังกลับเลย ทุกคนดูแล้วก็ตกใจ
มือกระบี่เทียนจูกระโดดลอยตัวขึ้นไปบนหัวเรือ ส่งสัญญาณมือ จากนั้น
เรือของเขาก็ค่อยๆ ลอยออกจากฝั่งไป

ฉีหนิงตกใจมาก แม้แต่เป่ยถังฮ่วนเย่ยังตกตะลึงเลย

เรือล่องออกไปกลางทะเลแล้ว มือกระบี่เทียนจูยังคงยืนอยู่บนหัว
เรือ เขาโค้งคํานับเข้าฝั่งให้กับเป่ยกงเหลียนเฉิงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หัน
หลังเดินกลับเขาเรือไป

ผลลัพธ์แบบนี้ แทบไม่มีใครนึกถึงแน่นอน

มือกระบี่เทียนจูเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่ง ถึงแม้ไม่สามารถสูต
้ ้า
จงซือได้ แต่หากเป็นเรื่องของกระบี่ อาจจะสู้กับเป่ยกงเหลียนเฉิงได้
ดังนั้นทุกคนคิดว่าในเมื่อเป่ยกงเหลียนเฉิงรับคําท้าแล้ว อาจจะต้องมี
การลงมือสักหน่อย ใครจะคิดว่าในเวลาสั้นๆ มือกระบี่เทียนจูกลับจาก
ไปเอง อีกทั้งยังดูนับถือนอบน้อมกับเป่ยกงเหลียนเฉิงมากขึ้นไปอีก

ไม่มีใครรู้ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงใช้วิธีอะไรให้กระบี่เทียนจูยอมจาก
ไปแบบนี้ได้

แต่ฉห
ี นิงกลับเข้าใจ มือกระบี่เทียนจูเป็นมือกระบี่ เป่ยกงเหลียน
เฉิงเองก็เป็นมือกระบี่ คําพูดบางอย่างมมีแค่มอ
ื กระบี่ด้วยกันเท่านั้นที่
พูดกันเข้าใจ และก็มแ
ี ค่มือกระบี่ด้วยกันเท่านั้นที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายมี
ความสามารถลึกซึ้งแค่ไหน

ก่อนจากไปมือกระบี่เทียนจูน้ันมีท่าทีเคารพนับถือมากกว่าเดิม
มาก แสดงว่าเขายอมจากไปอย่างเต็มใจ

เมื่อเรือล่องไปจนแทบจะไม่เห็นแล้ว เป่ยกงเหลียนเฉิงก็หัน
กลับมา แล้วเดินไปที่เป่ยถังชิ่ง เขามองไป เป่ยถังชิ่งรู้ว่าคนที่อยู่
ตรงหน้าของเขาคือเทพกระบี่เป่ยกงเหลียนเฉิง เขาคํานับให้ “ผู้นอ
้ ย
คํานับท่านผู้อาวุโสเทพกระบี่”

เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าในใต้หล้ามีสส
ี่ ุดยอดศิลปิน
เจ้าเชี่ยวชาญการดีดพิณมากสินะ”
“แค่คําร�าลือเท่านั้น ผูน
้ ้อยชื่นชอบในดนตรี ดังนั้นเลยลงทุนไปกับ
การเล่นพิณ เพื่อความบันเทิงเท่านั้น” เป่ยถังชิง่ ยิ้ม

เป่ยกงเหลียนเฉิงพยักหน้า เขาเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “เจ้า


เล่นพิณ” แล้วพูดว่า “น้องหม้อ เอาพิณเฟิงหวงของเจ้าออกมาเถอะ”

น�าเสียงของเขาก็ไม่ได้ดังมาก แต่มันกลับดังไปไกล ไม่นานนักก็


เห็นเจ้าเกาะถือพิณเฟิงหวงเดินมา

เป่ยกงเหลียนเฉิงหยิบม้วนทํานองออกมา ฉีหนิงมองแล้วก็รูท
้ ันที
ว่าเป็นทํานองนรกที่เขามอบให้เป่ยกงเหลียนเฉิงไป มันคือทํานองนรก
หนึ่งในสามทํานองเพลงที่ประสกฝูผงิ แต่งขึ้น

“นี่คือทํานองเพลง” เป่ยกงเหลียนเฉิงยื่นทํานองให้กับเป่ยกง
เหลียนเฉิง เป่ยถังชิ่งยื่นสองมือไปรับมา

เจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่วนเย่มองหน้ากัน แล้วก็ยกมือคํานับให้กับเป่
ยกงเหลียนเฉิงแล้วพูดว่า “รบกวนท่านพี่เป่ยกงด้วย”

ทั้งสองคนถึงแม้จะเป็นต้าจงซือ แต่ในเรื่องของดนตรีน้ันพวกเขา
กลับมีความสามารถไม่ถึงขั้น คราวนี้ต้องการล่อสัตว์เทวะออกมา ก็ต้อง
อาศัยของเป่ยกงเหลียนเฉิง
ฉีหนิงคิดในใจว่าเป่ยถังชิ่งยังไม่เคยเห็นทํานองเพลงนรกมาก่อน
เลย อีกทั้งทํานองเพลงอันนี้มน
ั ก็ไม่ใช่ของธรรมดา ไม่เหมือนทํานอง
เพลงทั่วไป เป่ยถังชิ่งจะจําทํานองนี้ได้ท้ังหมด อาจจะต้องใช้เวลา คิด
ว่าวันนีอ
้ าจจะไม่สามารถเล่นมันได้

เป่ยกงเหลียนเฉิงมอบทํานองให้กับเป่ยถังชิ่งแล้ว เขาก็เดินออก
ห่างไปไม่ไกลนัก จากนั้นก็หยิบขลุ่ยจื่อหลงที่เป่ยถังฮ่วนเย่มอบให้เขา
ก่อนหน้านี้ออกมา มือหนึ่งถือขลุ่ยอีกมือหนึ่งก็ไขว้หลังเอาไว้

เป่ยถังชิง่ กลับกางทํานองออก กวาดสายตามองไป ใช้เวลาไม่ถึง


ครึ่งก้านธูป ก็เก็บทํานอง เจ้าเกาะเห็นดังนั้น ก็รู้สึกตกใจแล้วพูดว่า
“หลานชายจําได้หมดแล้วเหรอ?”

เป่ยถังชิง่ ยกมือคํานับแล้วพูดว่า “ผู้น้อยจําได้หมดแล้ว มันเป็น


ทํานองที่พิณกับขลุ่ยต้องเล่นร่วมกัน เพียงแต่ไม่ทราบว่าจะสามารถ
เล่นร่วมกับท่านเทพกระบี่ได้หรือไม่”

“สมแล้วที่เป็นคนที่มีพรสวรรค์” เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูด จากนั้นก็เดิน


ขึ้นหน้า มอบพิณเฟิงหวงให้กับเป่ยถังชิง่ เป่ยถังชิ่งม้วนเก็บทํานองเข้า
เสื้อไป แล้วรับพิณมาด้วยสองมือ จากนั้นเขาก็เดินไปหาเป่ยกงเหลียน
เฉิงที่อยูไ่ ม่ไกล แล้วหาสถานที่วางพิณเฟิงหวงลง จากนั้นก็หยิบม้วน
ทํานองคืนเป่ยกงเหลียนเฉิงไป เป่ยกงเหลียนเฉิงรับทํานองกลับมา แล้ว
พยักหน้าให้กับเป่ยถังชิง่ เป่ยถังชิ่งถึงได้เดินไปนั่งลงด้านหลังพิณเฟิง
หวง แล้วนําพิณเฟิงหวงวางไว้บนตักของเขา

เป่ยกงเหลียนเฉิงเองก็ไม่เสียเวลา เขาถือขลุ่ยด้วยมือสองข้าง ไม่


นานนัก เสียงเพลงที่บรรเลงจากขลุ่ยก็ดังขึ้น

เสียงขลุ่ยดังไปไกลไร้จุดหมายมาก แต่มน
ั กลับเหมือนอยู่ใกล้หน
ู ิด
เดียว แค่ได้ยินเสียงขลุ่ย พริบตาเดียวก็ทําให้คนรู้สึกถึงความเศร้า
เสียใจ ฉีหนิงหลับตาลง เขากลับคิดว่า เป่ยกงเหลียนเฉิงชื่นชอบดนตรี
มาก ฝีมอ
ื ของเขาสมคําร�าลือจริงๆ ไม่แน่ว่าที่จริงแล้วเป่ยกงเหลียนเฉิง
อาจจะไม่ได้มีพรสวรรค์ในสายกระบี่อย่างเดียวก็ได้ แต่เขามีพรสวรรค์
ทางด้านดนตรี

เสียงขลุ่ยทําให้เพลิดเพลินมาก อีกทั้งยิง่ ฟังมันก็ยิ่งเศร้า

ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงพิณดังขึ้น เป่ยถังชิง่ เริม


่ ดีดพิณแล้ว เสียง
มันไม่เหมือนกับขลุ่ยของเป่ยกงเหลียนเฉิง เสียงพิณมันแปลกมาก พอ
เสียงพิณมันดังเข้าหู มันทําให้คนรู้สึกถึงความน่ากลัง เหมือนว่าจะไม่ได้
เห็นแสงสว่างหรือว่าความมืดอีกตลอดไป มันทําให้รู้สก
ึ ขนลุกแบบ
ควบคุมไม่ได้เลย

อีกทั้งเสียงขลุ่ยกับพิณแทบจะกลืนเป็นเสียงเดียวกัน เสียงพิณมี
ขลุ่ย เสียงขลุ่ยก็มีพิณ ความเศร้ามันสลับความน่ากลัวอยู่ตลอดเวลา
ฉีหนิงเคยฟังบทเพลงมาก่อน แต่ว่าเขากลับไม่เคยได้ยินเสียงพิณ
กับขลุ่ยที่ประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย

ท่ามกลางเสียงดนตรี ตรงหน้าฉีหนิงเหมือนจะมีภาพของภูเขากอง
ศพกับทะเลสีเลือด ฟ้าดินเป็นสีดํา มีวิญญาณลอยไปลอยมาตรงหน้า
เขานับไม่ถ้วน อีกทั้งศพบางศพยังเคลื่อนไหวได้ด้วย มันกําลังเดินไป
เดินมา เหมือนศพเดินได้ เดินไปทั่วไม่มีจุดหมาย

แต่ฉห
ี นิงยังคงเหลือสติอยู่เล็กน้อย รู้ว่ามันน่าจะเกิดจากทํานอง
เพลงที่สร้างภาพหลอนขึ้นมาแน่ๆ เขาคิดจะสลัดภาพที่น่ากลัวตรงหน้า
ทิ้งไป ทําให้ตัวเองได้สติกลับมา คัมภีร์ชิงจิงจะทําให้คนมีสติ เดิมเขาก็
กําลังจะมีสติแล้ว แต่เสียงพิณกับขลุ่ยก็ดังเข้ามาเหมือนมาจากนรกก็ดัง
เข้าหูอีกครั้ง ภาพที่น่ากลัวแบบนั้นมันก็ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง

เสียงพิณยิ่งเล่นยิ่งแปลกขึ้น เสียงขลุ่ยก็ย่งิ เล่นยิ่งเศร้ามากกว่าเดิม

ศพที่คลานขึ้นมาจากพื้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีศพอีก
มากมายที่กําลังเดินมาที่เขา ฉีหนิงตกใจมาก คิดในใจว่าชื่อตันเหมยอยู่
ข้างๆ เขา ไม่รูว
้ ่านางจะต้านภาพลวงตานี้ได้หรือเปล่า เขาเลยหันไป
มอง กลับเห็นใบหน้าของชื่อตันเหมยเป็นใบหน้าที่เจ็บปวดมาก นางเอา
มือปิดหน้า ตัวสั่นไปทั้งตัว ฉีหนิงรู้ว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าของชื่อตันเหมย
น่าจะรุนแรงกว่าของเขามาก เขาเลยรีบเข้าไปกอดชื่อตันเหมย แต่เห็น
ชื่อตันเหมยจู่ๆ ก็เอามือที่ปิดหน้าเอาไว้ออก ใบหน้าสวยๆ ของนาง
ตอนนี้มน
ั กลับกลายเป็นใบหน้าที่น่ากลัว ฉีหนิงตกใจมาก ส่วนชื่อตัน
เหมยก็แยกเขี้ยว กําลังจะพุ่งมากัดฉีหนิง

ฉีหนิงรู้สึกตกใจมาก แต่ก็รบ
ี กระโดดเอาตัวออกห่าง แต่ช่ อ
ื ตัน
เหมยที่เหมือนผีอาฆาตก็ไม่เลิกรา นางพุ่งเข้าหาเขาอีก ฉีหนิงตอนนี้
แยกไม่ออกเลยว่านางคือชื่อตันเหมยหรือว่าวิญญาณอาฆาต ก็กลัวว่า
จะทําให้นางต้องเจ็บตัว เลยไม่กล้าลงมือ แต่จากนั้นเขาก็รู้สก
ึ ได้ว่าขา
ของเขานั้นเหมือนจะแน่นๆ พอก้มลงไปมอง ก็เห็นขาข้างหนึ่งของเขา
นั้นมันเหมือนมีผีร้ายกําลังรัดเอาไว้ รอบตัวเขาก็เหมือนกําลังมีผีอีก
หลยตัวพุ่งเข้ามา พยายามจะล้อมเขาเอาไว้ ฉีหนิงเหมือนถูกมัดขยับตัว
ไม่ได้เลย ส่วนชื่อตันหมยก็กําลังจะพุ่งมากัดคอของเขา

ฉีหนิงร้องตะโกนออกมา ภาพรอบตัวเขาก็หายไป เขามองไป


ทางซ้ายและขวา เขาพบว่าชื่อตันเหมยนั้นยังคงยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา
แต่ว่าตัวของนางยังคงสั่นอยู่ เป่ยถังฮ่วนเย่กับเจ้าเกาะเองก็ยืนมองเป่
ยกงเหลียนเฉิงอยู่ไม่ไกล

ฉีหนิงรู้สึกว่าเขาเปียกไปทั้งตัว เหมือนว่ามีเหงื่อไหลออกมา
มากมาย ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจ สิ่งที่เขาเห็นมันคือภาพลวงตาทั้งหมด

ทันใดนั้นเองซาหนูกับหวังหนูที่อยู่ที่ชายหาดก็ร้องตะโกนขึ้นมา
อย่างรุนแรง ทั้งสองคนเหมือนคนบ้า สะบัดแขนขาไปทั่ว ส่วนคนเรือ
ของเป่ยถังฮ่วนเย่ก็น่ังขัดสมาธิอยู่ที่ชายหาด แต่ว่ามือของเขาเองก็กาง
ออก เหมือนพยายามขวางไม่ให้ใครเข้ามาใกล้

ฉีหนิงรู้ว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ตกเข้าไปอยู่ในโลกของภาพลวง
ตา คนอื่นก็เข้าไปอยู่ในโลกภาพลวงตาที่น่ากลัวเหมือนกัน

เจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่วนเย่เป็นต้าจงซือ พวกเขาก็เลยต้านทานไหว
แต่ว่าคนอื่นไม่สามารถต้านได้เลย

เสียงดนตรีพอเข้าหู พอได้สติข้ึนมาฉีหนิงก็รู้สึกว่ารอบข้างเขามืด
ไปหมด เขาก็ตกใจ เขารู้ทันทีว่าเขากําลังตกเข้าไปในโลกนรกที่ไร้
พรหมแดน แต่บังเอิญที่ช่ อ
ื ตันเหมยร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ ฉีหนิงที่
กําลังจะตกเข้าไปในภวังค์ของภาพดวงตาอีกครั้งก็ได้สติกลับมา เห็นชื่อ
ตันเหมยเอามือปิดหู ตัวสั่นไปทั้งตัว ก็รู้ว่านางน่าจะถลําไปลึกมาก เลย
รีบเดินไปหานาง แล้วก็กอดนางเอาไว้แน่นๆชื่อตันเหมยลืมตาขึ้นมา
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พอเห็นหน้าฉีหนิง นางก็
ตะลึงไป ฉีหนิงพูดว่า “แค่ภาพลวงตา ทํานองนรกทําให้เราเห็นภาพ
ลวงตา”

วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฉีหนิงได้ฟงั ทํานองเพลงนรก คิดไม่ถึงว่ามันจะ


ร้ายกาจและรุนแรงมากขนาดนี้
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงพิณหยุดลง แต่เสียงขลุ่ยยังดังอยู่ แต่ว่า
พอไม่มเี สียงพิณ ความน่ากลัวมันก็หายไป มีแต่ความเศร้า และวินาที
นั้นเอง ซาหนูกับหวังหนูที่สะบัดมือไปมาอย่างบ้าคลั่งก็หยุดลง แล้วมอง
หน้ากันเอง ทั้งสองเหงื่อท่วมตัว ใบหน้าซีดขาว เหมือนคนที่ผา่ นความ
ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง

ฉีหนิงรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี เลยรีบมองไปที่เป่ยถังชิง่ เห็นเป่ยถังชิง่


นั่งอยู่ที่พ้ น
ื เฉยๆ ไม่ได้ดีดพิณต่อ ใบหน้าของเป่ยถังชิซ
่ ีดขาว ตัวสั่นไป
ทั้งตัว

เสียงขลุ่ยหยุดลง เป่ยกงเหลียนเฉิงมองมาที่เป่ยถังชิ่ง จากนั้นก็เงย


หน้ามองฟ้า แต่ไม่ได้พด
ู อะไร

หลังจากนั้นไม่นาน เป่ยถังชิ่งก็ยกพิณเฟิงหวงออกมาวางข้างๆเขา
ลุกขึ้น แล้วคํานับให้กับเป่ยกงเหลียนเฉิง จากนั้นก็เดินไปหาเป่ยถังฮ่วน
เย่ ยกมือคํานับแล้วพูดว่า “เสด็จอา ทํานองนรกอนุภาพร้ายกาจ ข้าไม่
อาจฝืนได้ ตัวเองตกเข้าสู่ภวังค์ ไม่อาจทําภารกิจของเสด็จอาให้สําเร็จ
ได้ สมควรตายยิ่งนัก”

ฉีหนิงตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ไม่เพียงแค่คนที่ยืนฟัง แม้แต่คนที่เล่นพิณ


อย่างเป่ยถังชิ่งก็เห็นภาพหลอนเหมือนกัน เมื่อคนเล่นพิณตกเข้าสู่ภาพ
ลวงตา ทํานองนรกก็ไม่สามารถบรรเลงต่อไปได้อีก
เป่ยถังฮ่วนเย่ส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลิขิตสวรรค์ ลิขิตสวรรค์
เป็นแบบนี้” เขาหันไปพูดกับเจ้าเกาะว่า “ท่านเจ้าเกาะ เราเสียเวลา
ลงทุนลงแรงไปมาก พอถึงเวลามันกลับเสียเปล่า ทํานองนรกร้ายกาจ
มาก เป่ยถังชิง่ เป็นนักดนตรีที่เก่งมาก แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานพลังของ
มันได้ ในใต้หล้านี้ คิดว่าคงไม่มใี ครสามารถร่วมบรรเลงกับท่านพี่เป่ยกง
ได้แล้วล่ะ”
เล่มที่ 49 บทที่ 1463 เสียงร้องทีโ่ หยหวน

เป่ยถังชิง่ ไม่สามารถบรรเลงเพลงร่วมกับเป่ยกงเหลียนเฉิงได้อีก
ถ้าอย่างนั้นแผนการทั้งหมด ก็ถือว่าเสียเปล่า

ฉีหนิงเห็นเป่ยถังชิ่งสีหน้าซีดเซียว ท่าทางเหมือนไม่ปกติ ก็รู้แล้ว


ว่าเขาพยายามอย่างเต็มความสามารถแล้ว

เป่ยถังชิง่ เป็นคนวางแผนการทั้งหมดของกลุ่มฝูผิง เป้าหมายของ


เขา ก็คือการให้เหล่าต้าจงซือฆ่ากันเอง การจะบรรลุเป้าหมายนี้ จะต้อง
ให้สัตว์เทวะเสวียนอู่ปรากฎตัวบนเกาะ ดังนั้นขอแค่ทนไหว เป่ยถังชิ่ง
ไม่มีทางทิ้งมันกลางทางแน่นอน

เพราะถ้าหากไม่สามารถล่อสัตว์เทวะเสวียนอู่ออกมาได้ ไม่เพียง
แผนการการกําจัดต้าจงซือที่มม
ี านานจะเสียเปล่า แผนที่กลุ่มฝูผิงวาง
ไว้กว่าสิบปีก็จะสูญเปล่าด้วย

ฉีหนิงกวาดสายตาไปที่ต้าจงซือทั้งสามคน เห็นสีหน้าของเป่ยกง
เหลียนเฉิงนิ่งมาก เป่ยถังฮ่วนเย่กลับมีสห
ี น้าเศร้า ส่วนเจ้าเกาะเองก็
ถอนหายใจ
“เรื่องนี้มันไม่ได้เป็นปัญหาที่กําลังภายในอ่อนหรือแข็งหรอกนะ”
ท่านเจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลานรักเจ้าเข้มแข็งมาก แล้วก็ฝน

มาได้ขนาดนี้ แต่มันยังขาดเรื่องของประสบการณ์”

ฉีหนิงเองก็เข้าใจดี ทํานองนรกสามารถทําให้คนเกิดภาพลวงตาได้
คิดจะต้านทานภาพลวงตานั้น จะต้องมีกําลังภายในที่แก่กล้ามาก แล้วก็
ต้องมีความแน่วแน่ที่สงู มากด้วย

ตัวของเขาเองก็ไม่ใช่คนที่มีความแน่วแน่ต�า แต่เมื่อกี้ยังเกือบต้าน
ไม่ไหวเลย หวังหนูกับซาหนูเองก็เริงระบํากระบี่อยู่บนชายหาด เป่ยถัง
ชิ่งกลับยังสามารถบรรเลงพิณได้อยู่ ถือว่าสุดยอดมากแล้ว แต่เหมือน
ทุกคนประเมินทํานองนรกเกินไป

“ดูท่าเราคงต้องรออีกสามสิบปีแล้วล่ะ” เป่ยถังฮ่วนเย่เองก็ถอน
หายใจ “หลายปีที่ผ่านมาเราทําทุกวิถีทางเพื่อค้นหาของสามอย่างนี้
แต่กลับลืมไปว่าทํานองนรกมันไม่ใช่ใครก็สามารถบรรเลงได้ ระยะเวลา
สามสิบปี กลับไม่รู้ว่าจะหาคนที่เหมาะสมได้รึเปล่า”

ในเวลานี้เอง กลับได้ยน
ิ ซาหนูพูดขึ้นมาว่า “มีเรือกําลังมา”

พอเสียงของเขาดังขึ้นมา ทุกคนก็หน
ั ไปมองกันหมด ตอนนี้ฟ้ามืด
แล้ว แต่บนทะเลกลับมีแสงไฟ ทุกคนรูด
้ ีว่า นอกจากเรือแล้ว บนทะเล
ไม่มีทางมีแสงไฟอย่างอื่นได้อีก
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าเกาะเสวียนอู่เป็นเกาะลับ แต่ว่าสอง
สามวันที่ผ่านมากลับมาคนมาอยู่ตลอด

ก่อนหน้านี้ก็มือกระบี่เทียนจูนําเป่ยถังชิง่ มาส่งให้ ซึ่งน่าจะเป็นการ


เตรียมการของเป่ยถังฮ่วนเย่ แต่ในเวลานี้ก็ไม่รูว
้ ่าใครกันที่มา

แสงไฟใกล้เข้ามา คนบนเกาะไม่มีใครขยับ รอจนเรือเข้ามาเทียบ


ฝั่ง มีเงาคนกําลังนําเหยียบแผ่นไม้พาดลงจากเรือ มีคนถือตะเกีบงเดิน
มาที่หัวเรือ แล้วเดินลงจากเรือด้วยแผ่นไม้น้น
ั ด้านหลังคนๆ นั้น มีเงา
ตามหลังลงมาจากเรือด้วย

ลมพัดโชยมา คลื่นซัดเข้ามาที่ชายหาด คนที่ถือโคมไฟกําลังเดิน


มา เป็นสาวสวมชุดชาวเหมียว รูปร่างดี ด้านหลังเป็นคนสวมหมวกมีผ้า
ปิดหน้าสีดํา สวมเสื้อคลุมสีดําตัวใหญ่ เวลาเดิน เอวบิดไปบิดมา ชัดเจน
ว่าเป็นผูห
้ ญิง

พอเห็นคนที่เดินถือโคมไฟด้านหน้ากําลังเดินมา ฉีหนิงกลับตกใจ
หน้าเปลี่ยนสี เขามองทีเดียวก็จําได้ สาวสวมชุดเหมียว คือหนึ่งในหก
ภูตของตี้ฉานเทพธิดาเป่าฉานฮวาเสี่ยงหรง

พอมองไปคนที่อยู่ด้านหลัง ฉีหนิงคุ้นเคยมาก พริบตาเดียวก็นก



ออก นางก็คือตี้ฉานนั่นเอง

ตี้ฉานมาที่เกาะเสวียนอู่ด้วยเหรอเนี่ย
ตี้ฉานมาถึงที่นี่ ไม่มีใครขยับเลย สายตามีแต่มองไปที่ตัวของนาง
ตอนที่ตี้ฉานเดินผ่านหน้าฉีหนิงไป ฉีหนิงได้กลิ่นหอมจากตัวของนาง
กลิ่นนี้มน
ั เป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่เขาคิดได้เป็นอย่างดี

ฉีหนิงมีความทรงจําที่หน้ากลัวมาก แต่ว่าการสัมผัสกลิ่นน่ากลัว
กว่า

ตอนนั้นเขาถูกขังเอาที่หอ
้ งลับในจวนของสํานักเฟิงเจี้ยน อยู่
ร่วมกับตี้ฉานที่ปลอมตัวเป็นซูอ
่ ิ่งฮูหยินระยะหนึ่ง บนตัวของตี้ฉานมี
กลิ่นหอมเฉพาะตัว ฉีหนิงเลยจําได้เป็นอย่างดี

หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ให้กับตี้ฉานที่เขาเชียนอูหลิง ฉีหนิงก็ไม่ได้
พบตี้ฉานอีกเลยล ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทําไมวตี้ฉานถึงได้ส่งคน
ของนางไปช่วยเซียวจ้าวจงชิงบัลลังก์ เขาอยากรู้มาตลอดว่านางไปอยู่
ที่ไหน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้มาพบกับนางที่นี่

ตอนที่นางเดินผ่านตัวของฉีหนิงไป ตี้ฉานมีเหลือบตามองเล็กน้อย
แต่ก็ไม่ได้หยุดเดิน

ฉีหนิงปากขยับ แต่ก็พด
ู อะไรไม่ออกสักคํา

ระดับฝีมืออย่างตี้ฉาน เหมือนเทียบเท่ากับต้าจงซือ แต่ว่าจะสู้ต้า


จงซืออีกสามคนได้ไหม ฉีหนิงเองก็ไม่แน่ใจ
“มีสหายมาจากแดนไกล” ทันใดนั้นเองท่านเจ้าเกาะก็หัวเราะแล้ว
พูดว่า “สุดท้ายเจ้าก็มาจนได้”

พอพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนตรงนั้นต่างก็สะดุ้ง ฉีหนิงรู้ว่าตี้ฉาน


เป็นใคร เขาตกใจมาก แอบคิดในใจว่าที่ตี้ฉานมาที่เกาะเสวียนอู่ เจ้า
เกาะไป๋อวินเป็นคนเตรียมการงั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า เจ้า
เกาะไป๋อวินกับตี้ฉานก็รู้จักกันมาก่อนสินะ

ตี้ฉานกลับเดินขึ้นหน้าไป แล้วโค้งคํานับให้ท่านเจ้าเกาะ นางไม่ได้


พูดอะไรเลย ท่านเจ้าเกาะพูดว่า “ท่านแม่หมอให้เกียรติเดินทางมา
ลําบากท่านแล้ว”

คําว่า “แม่หมอ” ทําให้ฉีหนิงสะดุ้งอย่างแรง เขาตกใจมาก

เป่ยถังฮ่วนเย่กลับถามว่า “ท่านเจ้าเกาะ ท่านผูน


้ ี้คือ?”

“นางคือแม่หมอเหมียว” ท่านเจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่หมอ


มีฝีมือในการดนตรีมาก การเล่นพิณถือว่าสุดยอด เพียงแต่นางไม่ค่อย
ลงจากเขา ถึงแม้ข้าจะส่งเทียบเชิญไปก็ไม่ได้แน่ใจว่าท่านจะมารึเปล่า”

ฉีหนิงจ้องไปที่เจ้าเกาะ สายตาของเขาดูดม
ุ าก

ท่านเจ้าเกาะเหมือนจะโกหกคําโต หลอกทุกคน เขาเหมือนไม่


อยากให้รู้ฐานะที่แท้จริงของตี้ฉาน
ฉีหนิงรู้อยู่แล้วแน่นอน แม่หมอเหมียวอาศัยอยู่ที่เขาสุริยันจันทรา
ไม่มีทางเดินทางมาที่เกาะไป๋อวินแน่นอน

คนที่อยู่ตรงนี้คือตี้ฉานแน่นอน ท่านเจ้าเกาะกลับดําเป็นขาว
ถึงกับบอกว่าตี้ฉานคือแม่หมอเหมียว

เพียงแต่แม่หมอเหมียวสําหรับคนภายนอกแล้ว เป็นสิง่ ที่ลึกลับ


มาก คนในใต้หล้าน้อยคนนักที่จะเคยใบหน้าที่แท้จริงของแม่หมอ
เหมียว ท่านเจ้าเกาะแน่ใจมากว่าเป่ยถังฮ่วนเย่กับเป่ยกงเหลียนเฉิงนั้น
ไม่รู้จักแม่หมอเหมียว ดังนั้นถึงได้กล้าหลอกแบบนี้

ฉีหนิงถึงกับเสียวสันหลัง

เจ้าเกาะให้ตี้ฉานมาที่เกาะเสวียนอู่ในเวลาแบบนี้ อีกทั้งยังปกปิด
ฐานะของตี้ฉานด้วย แสดงว่าต้องมีแผนการอะไรไว้แน่ เขาไม่รู้ว่าควร
จะเปิดโปงคําโกหกของตี้ฉานดีไหม แต่เขาก็คิดวว่าต่อให้เขาบอกไป ก็
ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตี้ฉานไม่ใช่แม่หมอเหมียว อาจจะทําให้มภ
ี ัยมาสู่
ตัวได้

เขาเลยอยู่นิ่งๆ ไม่ทําอะไร เขายืนดูอยูห


่ ่างๆ อยากจะรูเ้ หมือนกัน
ว่าเจ้าเกาะคิดจะทําอะไรกันแน่
เป่ยถังชิง่ กลับยกมือคํานับตี้ฉานแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็แม่หมอเหมียว
นี่เองที่ให้เกียรติมา ได้ยน
ิ ชื่อมานาน วันนี้ได้พบกันถือเป็นบุญของข้า
นัก”

ตี้ฉานทําความเคารพคืนไป นางเหมือนไม่ได้กังวลใจว่าฉีหนิงจะ
เปิดโปงนาง นางพูดว่า “ข้ามาช้าไป ท่านเจ้าเกาะโปรดอภัยด้วย”

“ไม่ชา้ เลย ไม่ชา้ เลย มาได้เวลาพอดี” เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า


“ท่านแม่หมอ ท่านนี้คือเทพกระบี่ท่านพี่เป่ยกง เขาเองก็เป็น
ปรมาจารย์ด้านดนตรีเช่นกัน วันนี้ท่านแม่หมอกับเทพกระบี่จะต้องร่วม
บรรเลงเพลงด้วยกัน” เขาหันไปยิ้มเป่ยกงเหลียนเฉิงแล้วพูดว่า “ท่าน
พี่เป่ยกง ท่านแม่หมอมีวรยุทธ์สูงมาก จิตใจก็นิ่งสงบ คิดว่าน่าจะช่วย
ท่านได้”

เป่ยกงเหลียนเฉิงมองไปที่ตี้ฉาน ท่าทางของเขานิ่งมาก แต่ก็ไม่ได้


พูดอะไร เขาหยิบทํานองนรกออกมายื่นให้กับตี้ฉาน ตี้ฉานยื่นมือไป
รับมา แล้วกางทํานองออก ฮวาเสี่ยงหรงยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วใช้ไฟ
ส่องทํานองเพลง

เป่ยถังชิง่ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปในการจดจําทํานองนรก ถือว่า


น่าทึ่งมากแล้ว แต่ตี้ฉานใช้เวลาสั้นกว่านั้นอีก นางใช้เวลาไม่ถึงครึ่งของ
เป่ยถังชิง่ แล้วก็เก็บทํานองคืนให้กับเป่ยกงเหลียนเฉิง พอเห็นพิณเฟิง
หวง นางก็เดินตรงไปที่น่ังลง ท่าเดียวกับเป่ยถังชิ่ง เอาพิณมาวางไว้บน
ตักของนาง

พวกของฉีหนิงรู้ถึงความร้ายกาจของทํานองนรกดี หากยังอยูต
่ รง
นี้ต่อไป เกรงว่าอาจจะถูกดึงไปอยู่ในโลกของภาพลวงตาอีก เขาเลยจูง
มือชื่อตันเหมย แล้วส่งสัญญาณ ชื่อตันเหมยเข้าใจความหมายของฉี
หนิงดี รู้ว่าฉีหนิงหมายความว่าไง นางลังเล แต่ก็พยักหน้า ทั้งสองคน
ถอยหลังไปหลายก้าว หวังหนูกับซาหนูกับคนเรือเองก็เว้นระยะให้ไกล
ขึ้น ต่างหาที่หลบ เพราะกลัวจะโดนภาพลวงตาโจมตีอีก

ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยเดินหลีกออกมาไกลระยะหนึ่ง พวกเขาไป
หลบอยูด
่ ้านหลังโขดหิน แล้วมองลงมาจากด้านบน พวกเขาสองคนมี
กําลังภายใจแก่กล้ามาก ถึงแม้จะมืดแล้ว แต่ก็ยังมองเห็นเงาได้อย่าง
ชัดเจน

“เจ้ารู้จักนางใช่ไหม?” ชื่อตันเหมยถาม “เมื่อตอนที่เจ้ามองนาง


ท่าทีของเจ้ามันไม่ปกติ”

ฉีหนิงคิดในใจว่าชื่อตันเหมยหัวไวมาก เขาลังเล แล้วพูดว่า “นาง


ไม่ใช่แม่หมอเหมียว”

“นางไม่ใช่แม่หมอเหมียวงั้นเหรอ?” ชื่อตันเหมยตกใจมาก “เจ้า


... เจ้าเคยพบแม่หมอเหมียวเหรอ?”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าอยู่ที่ดินแดนเหมียว เคยขึ้น
ไปที่เขาสุริยันจันทรา เลยได้มีโอกาสโฉมหน้าที่แท้จริงของแม่หมอ
เหมียว ทั้งสองคนมีใบหน้าที่แตกต่างกันมาก ข้าไม่มท
ี างดูผด
ิ แน่นอน”
แต่ในใจของเขากลับคิดว่า สําหรับเหล่าต้าจงซือแล้ว ตี้ฉานจะใช่แม่
หมอเหมียวรึเปล่ามันไม่สําคัญเลย สําคัญอยู่ที่สามารถบรรเลงพิณกับ
ขลุ่ยให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เพื่อล่อสัตว์เทวะให้ออกมานั่นคือเป้าหมาย
เพียงหนึ่งเดียว

ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นางไม่ใช่แม่หมอเหมียว แล้วนาง


เป็นใครกันล่ะ?”

ฉีหนิงกําลังคิดว่าควรจะบอกความจริงกับชื่อตันเหมยดีไหม ใน
เวลานี้เอง เสียงขลุ่ยก็ดังขึ้น ถึงแม้จะอยู่หา่ งออกมามากแล้ว แต่ว่ามันก็
ยังอยู่ในระยะที่ได้ยินเสียงอยู่ เสียงขลุ่ยมันเศร้าและชัดมาก เหมือนว่า
มาเป่าข้างหูยังไงอย่างนั้น

ฉีหนิงรู้ว่าตี้ฉานร้ายกาจมาก เลยไม่กล้าประมาท เขานั่งขัดสมาธิ


ลง ชื่อตันเหมยเองก็เช่นกัน

หลังจากเสียงขลุ่ยดังขึ้นแล้ว เสียงพิณก็ตามมา

เมื่อเทียบกับเป่ยถังชิ่งแล้ว เสียงพิณของตี้ฉานมันน่ากลัวกว่ามาก
ทําให้คนขนลุกได้ในทันที
ฉีหนิงนั่งกรรมฐาน แต่เสียงขลุ่ยและพิณในรอบนี้ เหมือนจะร้าย
กาจกว่าตอนที่เป่ยถังชิง่ กับเป่ยกงเหลียนเฉิงเล่นร่วมกันอีก ไม่นานนัก
ฉีหนิงก็รู้สึกว่ามีความหนาวเย็นแทรกแซงเข้ามาในกระดูก เหมือนว่า
เขาอยู่ในหน้าหนาว จากนั้นรอบตัวเขาก็เหมือนมีเงาของวิญญาณ
ปรากฎตัวขึ้น เสียงพิณและขลุ่ย มันกลายเป็นเสียงร้องโหยหวนของ
เหล่าวิญญาณ เสียงมันน่ากลัวมาก

วิญญาณบางตัวลงไปนอนดีดีด้ินอยู่บนพื้น บางตัวล่องลอยอยู่กลาง
อากาศ เสียงของพวกมันกรีดร้องอยู่ข้างหู ฉีหนิงตกใจมาก เขาพบว่าตัว
เขานั้นลอยอยู่กลางน�า พอเขาก้มหน้าลง ผิวน�าก็มีหน้าวิญญาณลอยอยู่
เต็มไปหมด มันน่ากลัวมาก ในใจลึกๆ ของฉีหนิงรู้ว่ามันคือภาพลวงตา
แต่ทุกอย่างมันดูเหมือนจริงมาก เหมือนว่าตัวเขากําลังอยู่ท่ามกลาง
นรกภูมิ
เล่มที่ 49 บทที่ 1464 สัตว์เทวะ

ฉีหนิงถูกทํานองเพลงดึงเข้าไปในโลกของภาพลวงตาแบบไม่
สามารถควบคุมได้ แต่เขายังคงมีสติอยู่ เขารู้ว่าเขาอยู่ในในโลกของ
ภาพลวงตา แต่ทํายังไงก็ออกไปไม่ได้

วิญญาณของท่วงทํานองล่องลอยู่กลางอากาศ รอบๆ เริม


่ มีศพโผล่
ออกมาจากพื้น ทุกอย่างมันดูเหมือนจริงมาก พริบตาเดียวทําให้เขาเริม

ไม่รู้ว่าเขาอยู่บนเกาะเสวียนอู่หรือว่าในนรกกันแน่

เขาลุกขึ้นยืนโดยที่เขาควบคุมไม่ได้ จากนั้นก็เดินไปท่ามกลาง
ความมืดเหมือนกับศพเดินได้ ร่างกายของเขามันไม่ฟงั ที่เขาสั่งการเลย

เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน รอบๆ ก็มด


ื สนิท เหมือนว่า
มันมืดแบบไม่มท
ี ี่สิ้นสุด

ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังขึ้นมา พวกวิญญาณ
เหมือนตกใจตื่นเพราะเสียงฟ้าผ่า ทันใดนั้นเองฉีหนิงก็พบว่าความมืด
มิดมันเหมือนมีรอยร้าวแยกออกมา แสงสว่างมันลอดเข้ามาได้ใน แสง
สว่างมันขยายตัวกว้างมากขึ้น ท้องฟ้าเริ่มสดใสมีแสงแดด
ฉีหนิงตะลึงไป กระพริบตาสองสามที แล้วมองไปรอบๆ เขาพบว่า
เขากลับมาในโลกของความจริงอีกครั้ง

เพียงแต่ตอนที่เขาตกอยู่ในภวังค์มันเป็นช่วงกลางคืน แต่ตอนนี้
มันเช้าแล้ว พระอาทิตย์ข้น
ึ แล้ว เสียงพิณกับขลุ่ยเองก็หายไปแล้ว
เหมือนกัน

นั่นก็หมายความว่า เขาตกอยู่ในโลกของภาพลวงตาทั้งคืน

เขายังไม่ไปคิดถึงเรื่องอื่น เขากันไปมองชื่อตันเหมย เห็นชื่อตัน


เหมยนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม แต่ว่าสีหน้าของนางซีดเซียว มีเหงื่อไหล
ออกมาราวกับสายฝน จากนั้นก็เห็นชื่อตันเหมยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขา
รีบเดินไปหาแล้วจับมือของนางเอาไว้ จากนั้นถามว่า “เจ้าเป็นยังไง
บ้าง?”

ชื่อตันเหมยพอเห็นหน้าฉีหนิง สายตาของนางก็ตกใจมา นางพูด


ว่า “ข้า ... ข้าเดินอยู่ในความมืดตลอด เหมือนเดินไม่มท
ี ี่สิ้นสุดสักที ...”

ฉีหนิงคิดในใจว่าเหมือนชื่อตันเหมยจะเข้าไปในโลกภาพลวงตาไม่
ต่างจากเขาเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ได้ยน
ิ เสียงประหลาดดังขึ้น มันคล้ายกับ
เสียงฟ้าผ่าที่เขาได้ยินเมื่อกี้เลย เขาอดหันไปมองไม่ได้ เขาเห็นในทะเล
มันมีเงาดําๆ กําลังเคลื่อนที่มายังฝั่ง พอมองดีดี มันเหมือนเกาะเล็กๆ
กําลังเคลื่อนที่เลย แต่พอมองอีกที มันก็เหมือนสิ่งมีชีวิต มันมีขนาด
เท่ากับเรือของเจ้าเกาะไป๋อวินเลย แต่เคลื่อนที่ช้า ทั่วทั้งตัวเหมือนมี
เกราะหนาๆ ชั้นหนึ่งห่อหุ้ม ตอนนี้ฉห
ี นิงเห็นชัดแล้ว มันคือเต่าทะเล
ขนาดใหญ่มากตัวหนึ่ง

ฉีหนิงเคยเห็นเต่าทะเล แต่กลับไม่เคยเจอเต่าทะเลที่ตัวใหญ่ขนาด
นี้มาก่อน อีกทั้งยังคิดไม่ถึงเลยว่าในโลกจะมีเต่าทะเลประเภทนี้อยู่ด้วย

เต่าทะเลค่อยๆ เดินขึ้นมาบนฝั่ง มันเคลื่อนที่ชา้ มาก อีกทั้งยังส่ง


เสียงร้องคํารามเหมือนฟ้าผ่าเป็นระยะด้วย

ชื่อตันเหมยลุกขึ้นยืน แล้วยืนมองไปที่เต่าทะเลยักษ์แบบอึ้งไป
แล้วพูดว่า “นั่น ... นั่นคือสัตว์เทวะเสวียนอู่ง้ันเหรอ?

“ที่แท้ ... สัตว์เทวะเสวียนอู่ก็มีจริงเหรอเนี่ย” ฉีหนิงตกใจมาก

เหล่าต้าจงซือเองตอนนีก
้ ็ล้วนแต่จ้องไปที่เต่าทะเลยักษ์ ไม่มใี คร
ทําอะไรเลย รอให้มันว่ายขึ้นมาบนฝั่งเท่านั้น ท่านเจ้าเกาะหัวเราะ
ขึ้นมา เสียงของเขาดังไปทั่ว เต่าทะเลที่กําลังว่ายขึ้นมาบนฝั่งเหมือนคิด
อะไรได้ มันหยุดชะงักไป เจ้าเกาะหยุดหัวเราะไป เขาเริ่มเห็นเต่าทะเล
ค่อยๆ ถอยหลังกลับลงทะเลไป

ฉีหนิงคิดในใจว่าเต่าทะเลยักษ์มข
ี นาดใหญ่มาก คิดว่าน่าจะอยู่มา
หลายร้อยปีแล้ว เหมือนจะมีจิตวิญญาณแล้ว
ทํานองนรกล่อให้สัตว์เทวะเสวียนอู่ออกมาได้จริง แต่ว่ามันกลับ
รู้สึกว่ามันไม่ปกติ เลยคิดจะหนีกลับไป พอได้เห็นสัตว์ทะเลที่มีอายุกว่า
ร้อยปีอยู่ตรงหน้า ฉีหนิงก็ถือว่าได้เปิดหูเปิดตา เขาคิดว่าเหล่าต้าจงซื
อคิดจะเอายาออกมาจากตัวของสัตว์เทวะ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงส่วน
ไหนของตัวมัน หากลงมือฆ่าเพื่อให้ได้ยาเม็ดมา มันก็ดูโหดเหีย
้ ม
จนเกินไป สัตว์เทวะที่อยู่มาเป็นร้อยปีต้องมาตายแบบนี้ ใครเห็นก็หดหู่
ใจ

ท่านเจ้าเกาะเห็นเต่าทะเลกําลังจะกลับลงทะเลไป แล้วพูดเสียง
เข้มว่า “ซาหนูหวังหนูอย่าให้มันหนีไป”

ซาหนูหวังหนูเองก็หลุดจากภาพลวงตาแล้ว พวกเขาอยู่ไม่ไกลจาก
เต่าทะเล พอเจ้าเกาะมีคําสั่ง พวกเขาสองคนก็พุ่งเข้าไป ขวางทาง
ด้านหลังของเต่าทะเลเอาไว้ เพื่อไม่ให้มันถอยหลัง

แต่เต่าทะเลเหมือนจะไม่ได้สนใจ มันยังถอยหลังต่อไป ซาหนูหวัง


หนูเห็นมันบีบเข้าหา ก็ไม่ได้ลังเลใจ ชิงลงมือก่อน ยังไม่ทันจะเข้าใกล้
มันเลย ก็เห็นเงาดําๆวิ่งผ่านหน้ามา ฉีหนิงเห็นชดมาก เต่าทะเลยกเท้า
หลังขึ้นมาข้างหนึ่ง แล้วสะบัดใส่ซาหนูหวังหนู ถึงแม้จะไม่ได้เร็วมาก
แต่ว่าอานุภาพน่าตกใจมาก ซาหนูหวังหนูต้องรีบหลบ แต่พอหลบได้ ก็
เห็นทรายกระเด็นขึ้นมา เห็นเต่าทะเลยักษ์ใช้เท้าอีกข้างเขี่ยทรายซัด
เข้าใส่
เป่ยถังฮ่วนเย่พูดว่า “อย่าให้มน
ั หนีไปได้” เขายกมือขึ้นสองข้าง
ก้อนหินหลายก้อนลอยขึ้นมา แล้วพุ่งไปหาเต่าทะเลยักษ์

ชื่อตันเหมยถึงแม้รู้ว่าต้าจงซือมีวรยุทธ์ร้ายกาจ แต่วันนี้ถึงได้เคย
เห็นต้าจงซือลงมือเป็นครั้งแรก พอเป่ยถังฮ่วนเย่ลงมือ ก็เห็นเขาใช้พลัง
อากาศควบคุมก้อนหินซัดไปที่เต่าทะเลยักษ์ ดวงตาของนางดูตกใจมาก

ก้อนหินพวกนั้นมันหนาและหนักมาก ต่อให้เป็นผู้ชายกํายํา
ร่างกายแข็งแกร่ง เกรงว่าต้องมีกว่าสิบคนถึงจะสามารถยกแบกได้ แต่
เป่ยถังฮ่วนเย่กลับควบคุมมันได้ง่ายๆ จนทําให้ช่ อ
ื ตันเหมยสงสัยว่าตัว
นางนั้นยังอยู่ในโลกของภาพลวงตารึเปล่า

“ซาหนูหวังหนูหลีกไป” ท่านเจ้าเกาะตะโกน

ซาหนูหวังหนูใช้มือปัดทรายอยู่ เห็นก้อนหินห้าหกก้อนปลิวมา
พวกเขาก็ตกใจหน้าเสีย ได้ยินเจ้าเกาะพูดแบบนั้น พวกเขาก็รบ
ี ถอยหนี
จากนั้นก็เห็นก้อนหินมันหล่นลงบนหาดทรายอย่างต่อเนื่อง ล้อมตัวของ
เจ้าเต่าทะเลยักษ์เอาไว้ เหมือนสร้างคุกขังมันเอาไว้ไม่ให้มันหนี

แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะใช้ขาถีบก้อนหินออก

เจ้าเกาะสีหน้าไม่สด
ู้ ีนก
ั เขาพุง่ ตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พอเห็นเขา
อีกที เขาก็ไปยืนอยู่บนหลังของเต่าทะเลแล้ว เขายกมือขึ้นมา เป่ยถังฮ่
วนเย่กลับตะโกนขึ้นมาว่า “อย่าฆ่ามันนะ” เขารีบลอยตัวไปอยู่ใกล้ตัว
เต่าทะเลยักษ์

เป่ยกงเหลียนเฉิงเก็บขลุ่ยจื่อหลงไป แล้วเอามือไขว้หลัง จากนั้นก็


ค่อยๆ เดินไป เขายืนห่างจากเป่ยถังฮ่วนเย่ห้าหกก้าว แล้วหยุดเดิน

ต้าจงซือสามคนยืนเรียงเป็นแถวเส้นเดียว เจ้าเกาะยืนอยู่บนหลัง
เต่าทะเลยักษ์ เป่ยถังฮ่วนเย่ยืนตรงข้ามกับเจ้าเกาะ เป่ยกงเหลียนเฉิง
ยืนอยู่หลังเป่ยถังฮ่วนเย่

“โหวเยว่ สัตว์เทวะเสวียนอู่มาตามที่คิดไว้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก”


เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่ายาเม็ดเสวียนอู่มีแค่เม็ดเดียว เราสามคน
ล้วนแต่อยู่ที่นี่ แล้วยาเม็ดเสวียนอู่ควรจะเป็นของใครกันล่ะ?”

ฉีหนิงคิดในใจว่าที่จริงแล้วเหล่าต้าจงซือล้วนแต่เผชิญกับปัญหา
ใหญ่ ก่อนที่สัตว์เทวะจะปรากฎตัว พวกเขาก็คิดถึงปัญหานีม
้ าก่อนแล้ว
แต่ยังไม่มีใครพูดอะไร ตอนนี้ในเมื่อเต่าทะเลยักษ์ปรากฎตัวขึ้นแล้ว ถ้า
อย่างนั้นยาเม็ดเสวียนอู่ควรจะเป็นของใคร มันก็เป็นเรื่องที่ต้อง
ตัดสินใจแล้ว

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้ม แล้วพูดว่า “ยาเม็ดเสวียนอู่มแ


ี ค่เม็ดเดียว แต่มัน
ก็ไม่ได้หมายความว่ามันกินได้คนเดียวนี่นา เราสามารถแบ่งมัน
ออกเป็นสามส่วน เราสามคนก็กินกันคนล่ะส่วน มันไม่ดีกว่ารึไง?”
“วิธีของโหวเยว่ ก็ถือเป็นวิธีที่ดี” เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า
“แต่ว่าเราต่างก็รู้ดี ยาเม็ดเสวียนอู่น้น
ั เป็นความหวังเดียวของเราสาม
คน หากแบ่งมันออกเป็นสามส่วน ฤทธิย
์ าก็จะลดอ่อนลง เกรงว่าอาจจะ
รักษาใครไม่ได้เลย มันไม่เสียแรงเปล่าเหรอ?”

เป่ยถังฮ่วนเย่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าคิดว่าควรทํายังไง?”

“แบ่งยากันสามคน ไม่สู้แบ่งแค่สอง” เจ้าเกาะพูดว่า “แบ่งน้อยลง


ไปคนนึง ฤทธิ์ยาก็จะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โอกาสรักษามันก็มีเพิม

มากขึ้น”

เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเกาะพูดมาก็มีเหตุผล” แต่


จากนั้นเขาก็สา่ ยหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าเราสามคน ใครจะ
ยอมถอยกันล่ะ? หรือว่าท่านเจ้าเกาะจะยอม?”

เจ้าเกาะส่ายหน้ายิม
้ แล้วพูดว่า “หลายปีที่ผ่านมา ข้าทุ่มเททุก
อย่างเพื่อให้ได้มน
ั มา ยามันอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว จะยอมถอยง่ายๆ ได้
ยังไง?”

“เจ้าเกาะไม่ยน
ิ ดี ข้าเองก็ไม่ยน
ิ ดี” เป่ยถังฮ่วนเย่ถอนหายใจแล้ว
ถามเป่ยกงเหลียนเฉิงว่า “ท่านพีเ่ ป่ยกง แล้วท่านคิดว่ายังไง?”

สีหน้าของเป่ยกงเหลียนเฉิงไม่มค
ี วามรูส
้ ึก เขาเอามือไขว้หลัง
ไม่ได้พด
ู อะไร
เป่ยถังฮ่วนเย่พูดว่า “ท่านพี่เป่ยกง ยาเม็ดเสวียนอู่ถึงจะดี แต่เจ้า
เกาะก็พด
ู ถูก แบ่งสามคน ไม่สู้แบ่งสองคน ท่านพี่เป่ยกงปกติไม่ชอบ
แย่งชิงอะไรกับใคร คราวนี้ก็ยอมถอยให้สก
ั ครั้ง ท่านคิดอย่างไร?
แน่นอน เราไม่มท
ี างให้ท่านถอยเปล่าๆ หรอกนะ ขอแค่ท่านพี่เป่ยกง
ยอมถอย ข้ากับเจ้าเกาะจะช่วยทําอะไรให้ท่านเรื่องนึงตามที่ท่าน
ต้องการ ไม่ว่าเรื่องอะไรหเราจะไม่ปฏิเสธเลย”

เจ้าเกาะลูบเครายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพีเ่ ป่ยกง ที่โหวเยว่พูด คือสิ่ง


ที่ข้าจะพูดเลย เราเป็นพี่น้องเป็นสหายกันมากว่าสิบปี หากท่านยอม
เราไม่ให้ท่านต้องเสียเปรียบหรอก หากท่านมีเรื่องอะไร เราจะทําให้
อย่างเต็มที่แน่นอน”

ฉีหนิงสีหน้าจริงจังขึ้นมา

เขารู้ว่าเมื่อสัตว์เทวะปรากฎตัวออกมา ต้าจงซือสามคนจะต้อง
เปิดศึกกันแน่นอน เรื่องนี้เลี่ยงไม่ได้

แต่ว่ามันไม่เหมือนคนสองคนแย่งชิงของชิ้นเดียว เพราะมันก็แค่
ไม่เจ้าตายก็ข้าตาย แต่นี่มันคือศึกของคนสามคน

แต่ตอนนี้เขาเหมือนจะเข้าใจแล้ว เป่ยถังฮ่วนเย่กับเจ้าเกาะ
เหมือนจะแอบตกลงกันล่วงหน้าไว้แล้ว ทั้งสองคนคิดจะร่วมมือกัน
กําจัดเป่ยกงเหลียนเฉิง หลังจากกําจัดเทพกระบีไ่ ปแล้ว ก็จะแบ่งยากัน
คนล่ะครึ่ง

แต่ที่เจ้าเกาะพูดมามันก็ถูก

ยาเม็ดเสวียนอู่มีแค่เม็ดเดียว หากแบ่งหลายคน ฤทธิย


์ ามันก็
จะต้องถูกทอนลงไป หากฤทธิย
์ าไม่เพียงพอ แผนการที่วางไว้มาหลาย
ปีมันก็จะเสียเปล่า

เป่ยถังฮ่วนเย่ไปถึงเกาะไป๋อวินก่อน แล้วตกลงกับเจ้าเกาะ ทั้งสอง


จะร่วมมือกันจัดการเป่ยกงเหลียนเฉิง คิดว่าน่าจะทําข้อตกลงเอาไว้
เรียบร้อยแล้ว

หากต้าจงซือสองคนร่วมมือกัน เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่มท
ี างรับมือได้
แน่

ว่ากันจากใจ ในบรรดาต้าจงซือสามคน ฉีหนิงเกลียดคนที่มีนส


ิ ัย
อย่างท่านเจ้าเกาะมาก อีกทั้งก็ไม่ชอบความเลือดเย็นของเป่ยถังฮ่วนเย่
ด้วย แต่เขากลับรู้สึกดีกับเป่ยกงเหลียนเฉิงไม่นอ
้ ย ตอนนี้เป่ยกงเหลียน
เฉิงกําลังจะต้องเผชิญกับศัตรูสองคน ฉีหนิงกําลังคิดว่าในสถานการณ์
คับขันแบบนี้ จะเข้าไปช่วยเขาดีไหม

แต่เขากลับไม่ได้ลืม ไม่ไกลจากตรงนั้น ยังมีตี้ฉานอยู่ด้วยอีกคน


เขามองไปที่ตี้ฉาน เห็นตี้ฉานยืนดูนิ่งๆ อยู่ไม่ไกลนัก ลมพัดโชยมาก ทํา
ให้เสื้อคลุมปลิวลอยขึ้น ทําให้เห็นรูปร่างที่สวยงามของนางชัดมาก
ทันใดนั้นเองฉีหนิงก็เหมือนจะเข้าใจแผนการของเจ้าเกาะทุกอย่างแล้ว
เล่มที่ 49 บทที่ 1465 กระบีส
่ วรรค์กลางอากาศ

ตี้ฉานมีความสามารถเทียบเท่าต้าจงซือ แต่เหมือนเป่ยกงเหลียน
เฉิงกับเป่ยถังฮ่วนเย่เหมือนจะไม่รู้

ในสายตาของพวกเขาสองคน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ว่าผูห
้ ญิงคนนี้
คือแม่หมอเหมียว แต่ในใจของพวกเขา ผู้หญิงคนหนึ่งไม่มีทางทําอะไร
พวกเขาได้แน่ ก็เหมือนเป่ยถังชิง่ ที่เคยเป็นสุดยอดขุนพลแห่งยุคมา
ก่อนที่อยู่ใกล้ๆ แต่เหล่าต้าจงซือก็ไม่ได้คิดว่าเป่ยถังชิ่งจะทําอะไรพวก
เขาได้เลย

ก็เพราะอย่างนี้ ในสายตาของเป่ยถังฮ่วนเย่กับเป่ยกงเหลียนเฉิง
บนเกาะมีแค่ต้าจงซือสามคนเท่านั้นที่จัดการกันได้ หากมีการลงมือกัน
จริง พวกเขาก็ไม่มีทางดึงใครเข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่สิ่งที่เจ้าเกาะรู้มานั้นเหมือนว่าจะไม่เหมือนอีกสองคน

เขาเรียกตี้ฉานมาที่เกาะเสวียนอู่ แน่นอนว่าเขาต้องรู้เรื่องของตี้
ฉานดี อีกทั้งเขาเองก็นา่ จะรู้ด้วย ว่าตี้ฉานมีความสามารถแบบต้าจงซือ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตี้ฉานเป็นกําลังเสริมที่ทางเจ้าเกาะเตรียมการ
เอาไว้
ตอนนี้เจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่วนเย่กําลังบีบให้เป่ยกงเหลียนเฉิงยอม
ถอย ก็เป็นกลยุทธ์ตลบหลัง เพราะเป็นต้าจงซือด้วยกันทั้งนั้น หากจะ
ลงมือกันจริง ต่อให้สองต่อหนึ่ง ก็ต้องมีความสูญเสียมากอยูแ
่ ล้ว การทํา
ให้เป่ยกงเหลียนเฉิงยอมถอยเอง ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก

ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเต่าทะเลยักษ์ร้องคํารามเสียงราวกับฟ้าผ่า
ออกมา ร่างกายของมันขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ถึงแม้เจ้าเกาะจะอยู่บนหลังของมัน แต่ก็ไม่อาจควบคุมไม่ให้มน

เคลื่อนไหวได้ เจ้าเกาะหน้าเสียไปทันที เขาไม่สามารถทรงตัวได้ ทําให้
ต้องลอยตัวขึ้น ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเป่ยถังฮ่วนเย่พูดว่า “ใช้ก้อนหิน
สร้างค่ายกลเร็ว” เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง เจ้าเกาะเองก็ลอยไป
ยืนอยู่ด้านข้างของเป่ยถังฮ่วนเย่ไม่ไกล จากนั้นก็ยกมือขึ้นเช่นกัน

และในวินาทีน้ันเอง ฉีหนิงก็เหมือนรู้สึกว่าที่เท้ามันเคลื่อนไหว พอ
เขาก้มหน้ามองลง เขาก็เห็นก้อนหินบนพื้นที่เขาเหยียบอยู่น้น
ั มันขยับ
เขารีบพูดเสียงเข้มว่า “ระวัง” เขาจับมือของชื่อตันเหมยไว้ แล้ว
กระโดดออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ตอนที่พวกเขาสองคนลอยตัวขึ้น
ก้อนหินมันก็หลุดออกมาจากพื้น แล้วพุ่งออกไป

พอทั้งคู่ลอยลงไปยืนบนก้อนหินอีกก้อนหนึ่ง หินก้อนมันก็
เคลื่อนไหวอีก
วินาทีน้น
ั เขาเห็นหินบนเกาะกําลังเคลื่อนไหวทั้งหมด จากนั้นก็
ค่อยๆ หลุดและพุ่งไป แล้วหล่นลงไปที่เต่าทะเลยักษ์ราวกับสายฝนที่
โปรยปราย

บนเต่าทะเลยักษ์มน
ั เหมือนมีเกราะกําแพงเหล็กอยู่ ก้อนหินหล่น
ใส่เกิดแค่เสียงเท่านั้น เต่าทะเลยักษ์เหมือนจะโมโหมาก มันส่งเสียง
คํารามออกมาดังมาก แล้วก็กระทืบเท้าอย่างรุนแรง ทําให้ก้อนหินมัน
ปลิวกระเด็นไปไกล แต่เหล่าต้าจงซือก็ยังควบคุมก้อนหินโจมตีมันอย่าง
ต่อเนื่อง พริบตาเดียว เหล่าก้อนหินจํานวนนับไม่ถ้วนเหมือนกับฝังเต่า
ทะเลยักษ์เอาไว้ เต่าทะเลยักษ์มรี ่างกายใหญ่มาก พอมีก้อนหินทับไว้ก็
เหมือนเป็นภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่ง เริม
่ แรกเต่ายักษ์ยังมีการขยับอยู่ แต่ไม่
นานมันก็ไม่มก
ี ารเคลื่อนไหวอีกเลย เต่าทะเลยักษ์อยู่ทับแบบนั้น ก็ไม่รู้
ว่ามันตายแล้วรึยัง

ฉีหนิงขมวดคิ้ว ชื่อตันเหมยเองก็ขมวดคิ้วหนักมากเหมือนกัน

การจัดการเต่าทะเลยักษ์ตัวหนึ่ง สําหรับต้าจงซือแล้วมันไม่ใช่เรื่อง
ลําบากอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต้าจงซือร่วมมือกัน

ในเวลานี้เอง ก็เห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง พลังชี่


มันเหมือนพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ลอยเหนืออากาศ มันกําลังหมุนราวกับพายุ
มังกร เป่ยถังฮ่วนเย่เองก็เริ่มกางแขนออก ผมยาวของเขาสยายออก
รอบตัวเขามีพลังชี่หมุนรอบอยู่
เจ้าเกาะเองก็ประสานมือไว้ที่หน้าอก ยกฝ่ามือขึ้นไปด้านบน มี
พลังชี่ข้น
ึ มาบนฟ้ามือ เหมือนมีเชือกกําลังหมุนรอบมือ

ก้อนหินเม็ดทรายบนหาดเริ่มเคลื่อนไหว แล้วก็หมุนเป็นพายุ

ฉีหนิงตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าต้าจงซือบทจะลงมือก็ทําเลย เขารู้ว่า


ตัวประหลาดพวกนี้สามารถทําให้ภูเขาถล่มดินทลายได้ เขารีบพูดเสียง
เข้มว่า “หลบเร็วเข้า” เขาดึงชื่อตันเหมยหันหลังแล้ววิ่งหนีทันที เพื่อให้
อยู่ห่างจากต้าจงซือให้ไกลที่สด

พอเขาวิ่งออกไปได้ระยะหนึ่ง เขามองลงมาจากที่สูง เขาเห็นบน


หัวของเป่ยกงเหลียนเฉิงมีกลุ่มพลังที่แปรสภาพเป็นกระบี่ ถึงแม้จะอยู่
ไกลมาก แต่ฉห
ี นิงก็เห็นมันอย่างชัดเจน เขาตกใจมาก แอบคิดในใจว่าที่
แท้เป่ยกงเหลียนเฉิงก็สามารถแปรพลังเป็นกระบี่ได้แล้ว

ซาหนูหวังหนูแล้วก็คนเรือไม่อาจรับแรงกระแทกจากพลังชี่ของ
พวกเขาได้ พวกเขาเลยวิ่งหนีไปหลบอยู่ในทะเล ส่วนเป่ยถังชิง่ กับฮวา
เสี่ยงหรงเองก็ไม่อาจต้านพลังได้เหมือนกัน ต่างก็หาที่หลบภัย มีแค่ตี้
ฉานที่ยงั ยืนดูต้าจงซือสามคนอยู่ไม่ไกล

ทรายหมุนเป็นพายุ มันล้อมเหล่าต้าจงซือไว้เหมือนเป็นกําแพง
เริ่มแรกยังพอจะมองสถานการณ์ออกอยู่ แต่ทรายมันหนาขึ้นเรื่อยๆ
แต่ท้ายที่สุดก็กลายเป็นกําแพงทรายขึ้นมาจริงๆ คนอื่นๆ ไม่สามารถ
มองเห็นแล้วว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น

ฉีหนิงคิดไม่ถึงว่าเจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่วนเย่ร่วมมือกันจัดการเป่ยกง
เหลียนเฉิง เป่ยกงเหลียนเฉิงต่อให้มฝ
ี ีมอ
ื สูงแค่ไหน แต่ต้องรับมือต้า
จงซือสองคนก็ไม่มีโอกาสชนะ

ในบรรดาต้าจงซือสามคน มีแค่เป่ยกงเหลียนเฉิงที่ไม่มีเจตนาร้าย
กับเขา หากเป่ยกงเหลียนเฉิงเป็นอะไรไป เกรงว่าแม้แต่เขาก็ไปจาก
เกาะนีไ้ ม่ได้ เขาร้อนใจมาก อยากจะออกไปช่วยเป่ยกงเหลียนเฉิง
เดี๋ยวนี้เลย แต่เขาก็รู้ดี ถึงแท้เขาจะมีฝก
ึ วิชาการควบคุมพลังฟ้าดินมา
เหมือนกัน แต่เทียบกับเหล่าต้าจงซือแล้ว มันห่างชั้นกันมาก ต่อให้เขา
ลงมือ คิดว่าก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้

ทรายปลิวว่อน ลมพัดโชยแรง

ชื่อตันเหมยสีหน้าตกใจมาก นางคิดไม่ถึงเลยว่าพอต้าจงซือลงมือ
จะมีอานุภาพร้ายแรงมากขนาดนี้

ตอนนี้มแ
ี ค่ฉห
ี นิงคนเดียวที่มองเห็น กระบี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
พลังฟ้าดินมันแปรสภาพเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ปลายกระบี่ชี้ลงด้านล่าง
มันมีเสียงแปลกๆ ลอยอยู่กลางอากาศ ฉีหนิงรู้ว่านั่นน่าจะเป็นสุดยอด
วิชาของเป่ยกงเหลียนเฉิง พลังกระบี่ปรากฎ นั่นหมายถึงการทําลาย
ล้างที่นา่ กลัว

แต่อีกฝ่ายเป็นต้าจงซือสองคน ด้วยความสามารถของเป่ยกง
เหลียนเฉิง การแปรพลังเป็นกระบี่เป่ยกงเหลียนเฉิงน่าจะทําได้ แต่การ
แบ่งพลังออกเป็นสองส่วนในกระบี่สองเล่ม อาจทําให้อานุภาพในการ
โจมตีลดลง กระบี่หนึ่งเล่มอาจมีผลที่นา่ กลัวต่อต้าจงซือคนใดคนหนึ่ง
แต่ว่าหากแบ่งเป็นสอง คิดว่าจะสู้ไม่ได้

“ดูเร็ว กระบี่ ... กระบี่ขยับแล้ว” ชื่อตันเหมยพูดด้วยความตกใจ

ฉีหนิงเห็นแล้ว กระบี่มน
ั หมุนอยู่กลางอากาศ ตอนนี้มน
ั กําลังบีบ
กดดันลงมาทีละนิด ไม่รู้ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงคิดอะไรอยู่ หรือว่ากระบี่
มันกําลังถูกพลังอะไรสักอย่างขัดขวาง

ฉีหนิงเหงื่อแทบไหล จากนั้นเขาก็เดินหน้าขึ้นไปสองก้าว ชื่อตัน


เหมยดึงเขาเอาไว้ แล้วพูดด้วยความร้อนใจว่า “เจ้าจะทําอะไร?”

“เขาไม่ใช่ค่ต
ู ่อสู้ของสองคนนั้น” ฉีหนิงพูดว่า “ข้า ... ข้าจะไปช่วย
เขา”

“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ” ชื่อตันเหมยพูดด้วยความตกใจว่า “หากเจ้า


ไปก็ไม่ต่างกับรนหาที่ตายนะ ไม่มีใคร ... ไม่มีใครรับมือต้าจงซือได้ห
รอกนะ”
นางพูดจบ ก็มีเสียงดังขึ้นบนหาดทราย ในเวลานี้เอง เดิมกระบี่ที่
ลอยอยู่กลางอากาศมันก็พุ่งลงมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า จากนั้นก็
มีเสียงเหมือนระเบิดดังขึ้น พริบตาเดียวแผ่นดินแทบไหว ฉีหนิงสัมผัส
มันได้อย่างชัดเจน

แต่ก็แค่พริบตานั้น กําแพงทรายเหมือนจะทลายลงด้วย ทุกอย่าง


กลับสูป
่ กติแค่ช่ว
ั วินาทีเท่านั้น

ฉีหนิงตาแทบหลุดออกมา ต้าจงซือสามคนยืนกันคนละมุม ไม่มี


ใครเคลื่อนไหว

ฉีหนิงตะลึงไป เขาหันไปมองตาชื่อตันเหมย แล้วหันกลับมามอง


สถานการณ์ สักพักใหญ่แล้ว ก็ยังไม่มีใครเคลื่อนไหวอะไร

เป่ยกงเหลียนเฉิงเอามือไขว้หลัง เหมือนไม่ได้รับอันตรายอะไร ฉี
หนิงก็โล่งใจ เขาคิดว่าหรือพลังของเจ้าเกาะกับเป่ยถังฮ่วนเย่จะไม่
สามารถทําอะไรเป่ยกงเหลียนเฉิงได้?

เขาอดที่จะเดินหน้าไปไม่ได้ คิดอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใด


นั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมา มันเป็นเสียงแสบแก้วหูมาก มันเป็น
เสียงของเป่ยถังฮ่วนเย่
ฉีหนิงขมวดคิ้ว คิดในใจว่าเป่ยถังฮ่วนเย่หัวเราะอะไรกัน เขายังไม่
คิดอะไรมาก กลับเห็นเป่ยถังฮ่วนเย่เคลื่อนไหว เขาเดินขึ้นหน้ามาสอง
ก้าว แล้วก็ล้มลง ฉีหนิงเห็นดังนั้น ก็สะดุ้ง ชื่อตันเหมยเองก็หน้าเสียไป

“ดี ดีมาก” ใบหน้าขาวๆ ราวกับหยกของเป่ยถังฮ่วนเย่ ในเวลานี้


กลับซีดเซียว เขาส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “หม้อหลันชาง ตอน
นั้นเจ้าเป็นทาสหมากรุกของข้า ตอนประลองหมาก มักมีการเดินที่ข้า
คาดไม่ถึงตลอด วันนี้เจ้าเองก็ทําให้ขา้ คาดไม่ถึงเหมือนกัน”

เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝีมือหมากของโหวเยว่ร้ายกาจ
มาก ในโลกนีม
้ ีไม่กี่คนที่สามารถเดินสู้ท่านได้ ตอนนั้นโหวเยว่ถูกใจข้า
มันก็เพราะข้าชนะท่านได้สองครั้ง ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มีชีวิตรอดมาถึง
วันนี้หรอก”

ตอนนี้ฉห
ี นิงเข้าใกล้มากแล้ว เขามีการได้ยน
ิ ที่นา่ ทึ่ง ต้าจงซือพูด
อะไรไม่ได้ต้องมานั่งกังวล ฉีหนิงเองก็พอจะได้ยน
ิ ที่พวกเขาคุยกัน เขา
ตะลึงมาก แต่ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว

“ดังนั้นเจ้าก็เลยอยากจะฆ่าข้าด้วยมือของเจ้าเองสินะ?”

เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นโหวเยว่ดูแลข้าเป็นอย่าง
ดี หากไม่ได้โหวเยว่ ข้าคงไม่มีวันนี้ ร่างกายของข้าก็คงเหี่ยวเฉาไปตาม
กาลเวลาแล้ว ข้าไม่มีทางโกรธเกลียดท่าน มีแต่ความซาบซึ้งใจเท่านั้น”
เขาชะงักไป แล้วพูดต่อว่า “ฝีมอ
ื ของข้ากับท่านพี่เป่ยกงเทียบเท่ากัน
ในบรรดาเราสามคน โหวเยว่มีฝีมือสูงที่สุด ดังนั้นเราเองก็ไม่มี
ทางเลือก”

“หือ?” เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าฝีมือของข้า


เหนือกว่าพวกเจ้างั้นเหรอ?”

“โหวเยว่ตอนตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหา แน่นอนว่ามันผลจากการฝึก
ในตอนนั้น” เจ้าเกาะพูดว่า “หลังจากโหวเยว่ตอนตัวเองแล้ว ก็สามารถ
ขจัดปัญหาความเจ็บปวดได้ ฝีมือก็น่าจะเหนือกว่าเราขั้นหนึ่ง ข้ากับ
ท่านพี่เป่ยยกงหากต้องต่อสู้กับโหวเยว่ ยังไงก็สู้ไม่ได้” เขาส่ายหน้า
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากข้ากับโหวเยว่ร่วมมือกันกําจัดท่านพี่เป่ยกง
ถ้าอย่างนั้นเกิดโหวเยว่หน
ั กลับมาเอาชีวิตข้า ข้าไม่กลายเป็นหาหลุม
ศพให้ตัวเองเหรอ?”

เป่ยถังฮ่วนเย่พยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก ยาเม็ดเสวียนอู่


สามารถลดความเจ็บปวดได้รึเปล่า เราก็ไม่รู้ หากทําได้ ก็คงมีคนเดียวที่
ได้มันไป” เขาพูดว่า “เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าสองคนจะแอบ
สมคบคิดกันมานานแล้วเท่านั้น”

“โหวเยว่ม่ันใจว่าเราจะไม่มีทางร่วมมือกัน เพราะว่าเราสองคนมี
ปัญหาส่วนตัวกันมาก่อน” เจ้าเกาะพูดว่า “ข้าส่งคนไปชิงพิณเฟิงหวง
ในวังหลวงแคว้นฉู่ โหวเยว่ก็เลยคิดว่าอาจทําให้ท่านพีเ่ ป่ยกงโกรธ
แน่นอน เลยคิดว่าเราสองคนไม่น่าจะร่วมมือกันได้”

“นั่นมันเป็นละครฉากหนึ่งของพวกเจ้าเท่านั้น” เป่ยถังฮ่วนเย่ถอน
หายใจแล้วพูด

เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “โหวเยว่ทราบหรือไม่ เพื่อวันนี้


แล้ว ลูกศิษย์ของข้าสองคนต้องตายไป ข้าต้องเสียอะไรไปมากมาย”
เขาเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “โม่อ่ิงเป็นศิษย์รักของข้า เขาเดินทางไป
แคว้นฉูพ
่ ัวพันกับการชิงบัลลังก์และก่อกบฏ ก็เพื่อให้โหวเยว่รู้ว่าข้าส่ง
คนไปก่อกวนในแคว้นฉู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ โหวเยว่ก็จะได้ไม่รู้สก
ึ ว่าข้ากับ
ท่านพี่เป่ยกงจะร่วมมือกันได้ การชิงพิณเฟิงหวงมาจากในพื้นที่คม
เขี้ยวของท่านพีเ่ ป่ยกง ส่งคนไปทําให้แคว้นฉู่เกิดความวุ่นวาย ทั้งสอง
เรื่อง มันคือสิง่ ที่จะทําให้โหวเยว่รู้สึกว่าข้ากับท่านพี่เป่ยกงมีปัญหากัน
หนักมาก ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางร่วมมือกันได้เด็ดขาด”

ฉีหนิงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาตก


ตะลึงเอามากๆ
เล่มที่ 49 บทที่ 1466 ยามค�าคืน

โม่อ่ิงเข้ามาพัวพันเรื่องเซียวจ้าวจงก่อกบฏ ฉีหนิงคิดว่าเป็นการทํา
ข้อตกลงกันระหว่างโม่อ่ิงกับเซียวจ้าวจง เป้าหมายก็เพื่อให้ตงฉีได้รับ
ผลประโยชน์มากที่สด

หลังจากแคว้นตงฉีล่มสลายไปแล้ว โม่อิ่งหวังว่าอยากจะให้เซียว
จ้าวจงขึ้นครองราชย์ เพื่อที่จะได้กอบกู้แคว้นตงฉี แต่ตอนนี้พอได้ฟัง
เจ้าเกาะพูดมาแบบนี้ ฉีหนิงถึงได้เข้าใจ สิ่งที่โม่อ่ิงทําทุกอย่างในแคว้นฉู่
มันมีเป้าหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าเกาะกับเป่ยกงเหลียนเฉิงนั้นแอบทํา
ข้อตกลงกัน ชื่อตันเหมยเดินทางไปขโมยพิณเฟิงหวง โม่อิ่งช่วยเหลือ
เซียวจ้าวจง ทุกอย่างเจ้าเกาะวางแผนขึ้นมาเพื่อหลอกล่อเป่ยถังฮ่วนเย่
เพื่อให้เป่ยถังฮ่วนเย่เข้าใจว่าเจ้าเกาะกับเป่ยกงเหลียนเฉิงนั้นแอบต่อสู้
กันอยู่

ส่วนเป่ยถังฮ่วนเย่เหมือนจะตกหลุมพรางของเจ้าเกาะจริงๆ

ต้าจงซือเผชิญหน้ากันสามคน หากเกิดสถานการณ์ที่ต้องสู้สองต่อ
หนึ่ง คนที่อยู่โดดเดี่ยวยังไงก็จะต้องตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ ส่วนเป่ย
ถังฮ่วนเย่ถูกเจ้าเกาะวางกับดักเอาไว้ จึงคิดว่าเจ้าเกาะกับเป่ยกงเหลียน
เฉิงมีปญ
ั หาผิดใจกัน เขาจึงร่วมมือกับเจ้าเกาะเพื่อจัดการเป่ยกงเหลียน
เฉิงมันก็สมเหตุสมผลอยู่

ยอดฝีมอ
ื ขั้นสูงเผชิญหน้ากัน ขอแค่ประมาทแม้แต่นด
ิ เดียว ออก
ได้ท้ังสองหน้าหรือแม้กระทั่งตัดสินความเป็นความตายเลย ส่วนเป่ย
ถังฮ่วนเย่มีปัญหาเรื่องการอ่านเกม ทําให้เกิดผลที่ตามมาที่ร้ายแรงมาก

ตอนที่ต้าจงซือสามคนลงมือ ฉีหนิงถูกกําแพงทรายบัง ทําให้มอง


ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สงิ่ ที่พวกเขาพูดคุยกัน กลับทําให้ฉีหนิง
พอจะเข้าใจว่าเมื่อกี้มน
ั เกิดอะไรขึ้น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนที่เป่ยถังฮ่วนเย่เล็งเป้าไปที่เป่ยกงเหลียน
เฉิง เดิมเจ้าเกาะที่ควรจะร่วมมือโจมตีกับเขากลับเล็งเป้ามาที่เขาแทน
ในจังหวะที่เขาไม่ทันระวังตัว เป่ยถังฮ่วนเย่อาจจะสามารถต้านพลัง
กระบี่ของเป่ยกงเหลียนเฉิงได้ แต่ไม่สามารถงต้านการลอบโจมตีของ
เจ้าเกาะได้

ต้าจงซือลงมืออย่างเต็มที่ ซึ่งสามารถตัดสินแพ้ชนะได้ในชั่ว
พริบตา

หากเป่ยถังฮ่วนเย่มีการป้องกัน รู้ว่าเจ้าเกาะกับเป่ยกงเหลียนเฉิง
จะจัดการเขา ถ้าอย่างนั้นต่อให้สู้กันสองต่อหนึ่ง เจ้าเกาะกับเป่ยกง
เหลียนเฉิงอาจจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูงแน่นอน แต่เจ้าเกาะกลับจู่
โจมเขาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว จ่ายค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อยเพื่อแลกกับ
ผลประโยชน์ที่สูง

เจ้าเกาะวางแผนมานานหลายปี ถึงกับยอมเสียสละชีวิตลูกศิษย์
ของตัวเอง ก็เพื่อเสี้ยววินาทีวันนี้

เป่ยถังฮ่วนเย่พยายามลุกขึ้นมา เจ้าเกาะกับเป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้
เคลื่อนไหวอะไร เป่ยถังฮ่วนเย่ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ที่จริงจุดจบแบบนี้ มัน
ก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น” เขาเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “เราควรจะ
ตายกันไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว อยูม
่ าได้นานขนาดนี้ เคยมีความสุข
จริงๆ ที่ไหนกันล่ะ” เขาไม่สนใจใครอีกเลยค่อยๆ เดินไปที่ริมทะเล แต่
ว่าเขาเดินไม่ค่อยไหว ฉีหนิงรู้ว่าหลังจากที่เป่ยถังฮ่วนเย่บาดเจ็บสาหัส
แสดงว่าเขาไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เขาอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายฝืนอยู่เท่านั้น

ในใต้หล้านี้ ไม่มใี ครที่เจอต้าจงซือโจมตี แล้วจะรอดไปได้ ต่อให้


เป็นยอดฝีมือขั้นสูงแค่ไหนก็ตาม คิดว่าอาจตายได้เพียงเสี้ยววินาที เป่ย
ถังฮ่วนเย่สามารถฝืนมาได้ แสดงว่าวรยุทธ์ของเขามันน่ากลัวมากจริงๆ

เขาเดินไปได้แค่เจ็ดแปดก้าว เป่ยถังฮ่วนเย่ก็สะดุด เดินไปอีกสามสี่


ก้าว เขาก็ล้มลงกับพื้น ไม่ขยับอีกเลย

เป่ยถังชิง่ เห็นเป่ยถังฮ่วนเย่พ่ายแพ้ล้มลง ก็เดินออกมา เขามองไป


ที่ศพของเป่ยถังฮ่วนเย่ ท่าทางของเขาดูเศร้า
เจ้าเกาะถอนหายใจ ส่ายหน้า ฉีหนิงเห็นอยู่ เขารู้สึกขําในใจ แอบ
คิดในใจว่าทุกอย่างมันเป็นผลลัพธ์ที่เจ้าเกาะต้องการอยู่แล้ว ในเวลานี้
กลับเสแสร้งแกล้งทําเป็นเสียใจ

ทันใดนั้นเองก็เห็นคนเรือที่ติดตามเป่ยถังฮ่วนเย่มาด้วยเดินมาข้าง
ศพของเขา เขายืนห่างจากศพไม่กี่ก้าว แล้วคุกเข่าลง จากนั้นก็โขก
ศีรษะให้เขาหลายที่

ทุกคนเห็นด้วยตาตัวเอง คิดในใจกันว่าคนเรือน่าจะเป็นบ่าวรับใช้
ของเป่ยถังฮ่วนเย่ เขาภักดีต่อเป่ยถังฮ่วนเย่มาก

ฉีหนิงรู้จักคนเรือนานกว่าทุกคนบนเกาะ เขารู้ว่าคนเรือมีวรยุทธ์
ร้ายกาจแค่ไหน คนของเจ้าเกาะอย่างหวังหนูซาหนูไม่ใช่ค่ต
ู ่อสู้ของเขา
แต่ว่าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

คนเรือดูไม่เหมือนมือกระบี่เทียนจู

มือกระบี่เทียนจูเคยรับบุญคุณจากเป่ยถังฮ่วนเย่ ดังนั้นเพื่อตอบ
แทนบุญคุณ ถึงได้ยอมทําตามคําสั่งของเป่ยถังฮ่วนเย่ ไปเฝ้าเขาเก้า
ตําหนัก แต่ต้ังแต่ฉีหนิงรู้จักคนเรือมา คนเรือรับใช้เป่ยถังฮ่วนเย่เหมือน
บ่าวไพร่ อีกทั้งเคารพนอบน้อมเขามาก เหมือนไม่ได้ทําเพราะตอบแทน
บุญคุณ
หลังจากคนเรือโขกศีรษะเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลุกขึ้นมา แล้วหันมา
พูดกับเจ้าเกาะว่า “เขาตายแล้ว ข้านําศพเขาไปได้หรือไม่ ข้าจะหาที่ที่
เหมาะสมให้เขาได้หลับสบายตลอดไป”

เจ้าเกาะพยักหน้า แล้วพูดว่า “เจ้าภักดีกับโหวเยว่มาก หากเขา


รับรู้ เขาต้องดีใจมากแน่นอน”

คนเรือยิ้มอ่อนๆ เงยหน้ามองฟ้า เขานิ่งไปครูห


่ นึ่ง แล้วถึงพูดว่า
“ก็ไม่ได้ภักดีอะไรหรอก ทําเพื่อความกตัญญูเท่านั้น”

พอพูดแบบนี้ออกมา ไม่เพียงฉีหนิง แม้แต่เป่ยกงเหลียนเฉิงก็สี


หน้าเปลี่ยนไป

เจ้าเกาะพูดด้วยความตกใจมากว่า “เจ้าเป็นใครกัน?”

“เขาคือท่านพ่อของข้า” คนเรือพูดว่า “คนเป็นลูกมาเก็บศพพ่อ


สมควรเรียกว่ากตัญญู”

เป่ยถังชิง่ สะดุ้ง แล้วพูดว่า “เจ้า ... เจ้าเป็นทายาทของเสด็จอางั้น


เหรอ?” สีหน้าของเขาตกใจมาก

ฉีหนิงเองก็ตกใจหน้าเสีย เขาคิดว่าคนเรือเป็นคนรับใช้ของเป่ย
ถังฮ่วนเย่มาตลอด อีกทั้งเป่ยถังฮ่วนเย่ก็มล
ี ักษณะเหมือนผู้หญิง ไม่ว่า
ยังไงเขาก็คิดใม่ถึงว่าเป่ยถังฮ่วนเย่จะมีทายาทสืบสกุลเหลืออยู่ด้วย
เป่ยถังชิง่ เหมือนตกใจมาก แสดงวส่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า
ราชวงศ์เป่ยถังมีคนแบบนี้อยู่ด้วย

“เจ้าเป็นคนในราชวงศ์เป่ยถัง ทําไม ... ทําไมเสด็จอาไม่เคยพูดถึง


มาก่อนเลย?” เป่ยถังชิง่ อดถามขึ้นมาไม่ได้

คนเรือเหลือบไปมองเป่ยถังชิง่ แล้วพูดว่า “ทําไมเขาต้องพูดให้


ท่านฟังด้วยล่ะ? ตอนนั้นเขาออกเดินทางท่องยุทธภพ อาการบาดเจ็บ
กําเริบ ท่านแม่ของข้าพาเขากลับมาดูแลเขาอยู่นาน หลังจากเขาไป
แล้ว เขาจะกลับไปหาท่านแม่ปีละครั้ง ท่านแม่ไม่เคยรู้ฐานะที่แท้จริง
ของเขาเลย จนกระทั่งท่านแม่ตายไป เขาถึงได้บอกความจริงกับข้า
ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าเขาเป็นเชื้อพระวงศ์เป่ยถัง แต่ก็ไม่เคยคิดอยากจะไป
ข้องเกี่ยวอะไรด้วยเลย หลายปีที่ผ่านมาอาการของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่เชื่อใจใครเลย ข้าก็ต้องอยู่ดูแลข้างกายเขาสิ”

เป่ยถังฮ่วนเย่ดูแล้วเหมือนหญิงสาวสวยอายุประมาณสามสิบปี
แต่กลับมีลก
ู ชายที่อายุประมาณสี่สิบกว่า มันน่าตกใจมากจริงๆ

“ที่มาเกาะเสวียนอู่คราวนี้ มีผลลัพธ์แค่สองอย่าง” คนเรือพูดว่า


“อย่างแรกเราสองพ่อลูกกลับไปได้อย่างปลอดภัย เขาได้ยาเม็ดเสวียน
อู่ไป ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอีก ส่วนผลอีกอย่าง ก็
เป็นอย่างที่เห็น มันเป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ระหว่างทาง
ที่มา เขาสั่งเสียข้าเอาไว้ หากผลออกมาเป็นแบบนี้ ให้นําศพเขากลับไป
กลับไปที่น่น
ั ให้นําศพของเขาฝังไว้ข้างๆ ท่านแม่ ไม่ต้องมีอะไร
เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เป่ยถังอีก”

เป่ยถังชิง่ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เสด็จอามีสายเลือดของราชวงศ์เป่ย


ถัง จะฝังศพแบบนั้นได้ยังไงกัน”

คนเรือพูดว่า “ในเมื่อเขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เป่ยฮั่น
ท่านเองก็ไม่มส
ี ท
ิ ธิตัดสินเรื่องที่ไปของเขาอีก” เขาเดินขึ้นหน้าอุ้มศพ
ของเป่ยถังฮ่วนเย่ข้ึนมา หันหลังแล้วเดินจากไปทันที แต่เขาเดินไปที่
เรือชางไฮ่ของท่านเจ้าเกาะ

ตอนนี้มเี รือจอดเทียบหาดอยู่สองลํา ลําแรกเป็นเรือที่ตี้ฉานนั่งมา


ส่วนอีกลําคือเรือชางไฮ่

ซาหนูกับหวังหนูเห็นคนเรือขึ้นเรือชางไฮ่ไป ก็คิดจะขวาง เจ้าเกาะ


ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรือลํานั้น ยกให้โหวเยว่ไปเถอะ”

ซาหนูกับหวังหนูไม่กล้าขัด ยืนมองคนเรือขึ้นเรือไป

เจ้าเกาะมองไปที่เป่ยกงเหลียนเฉิง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อ


โหวเยว่ตายแล้ว ยาเม็ดเสวียนอู่ก็เหลือให้เราสองคนแบ่งกันแล้วล่ะนะ”

เป่ยกงเหลียนเฉิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ยาเม็ดเสวียนอู่ต้องมีคนได้ไป
เพียงคนเดียวเท่านั้น”
เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพีเ่ ป่ยกง หลายปีก่อนเราตกลงกันไว้
แล้วนะ หากโลกนี้มียาเม็ดเสวียนอู่จริง เราสองคนจะแบ่งกันคนละครึ่ง
หรือว่าท่านพี่เป่ยกงจะกลับคํา?”

“เจ้ากับข้าต่างรูด
้ ีแก่ใจ ข้อตกลงนี้ มันมีข้น
ึ เพื่อไม่ให้โหวเยว่ได้ยา
ไป” เป่ยกงเหลียนเฉิงสีหน้าไม่เปลี่ยน “เจ้าเองก็ไม่ได้คิดจะยกมันให้
ใครแต่แรกแล้วด้วย”

เจ้าเกาะพูดว่า “ท่านพีเ่ ป่ยกงพูดแบบนี้ ใส่ร้ายข้าชัดๆ”

เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้โต้เถียง เพียงแต่เงยหน้ามองฟ้า หลังจาก


นั้นไม่นาน ถึงได้พูดขึ้นว่า “เจี้ยนเจีย เจ้าคิดจะร่วมมือกับเขาเพื่อ
สังหารข้าอย่างนั้นเหรอ?”

พอพูดมาแบบนี้ คนอื่นยังไม่เท่าไหร่ แต่ฉห


ี นิงกลับตกใจสุดขีด

เขารู้ว่าเจี้ยนเจียเป็นใคร

นางคือผู้หญิงที่มอบหัวใจทั้งหมดที่มีให้กับเป่ยกงเหลียนเฉิง แต่เป่
ยกงเหลียนเฉิงกลับไม่สนใจ นางเป็นพีส
่ าวของมู่เย่อ๋อง ก่อนหน้านีไ้ ม่
นานฉีหนิงได้ยินเรื่องของนางมาจากเป่ยกงเหลียนเฉิง เขาพูดชื่อเจี้ย
นเจียออกมา เป่ยกงเหลียนเฉิงรู้สึกผิดกับนางมาก แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
บ้าง มันยังเป็นปริศนาอยู่
แต่เป่ยกงเหลียนเฉิงกลับพูดชื่อ “เจี้ยนเจีย” ออกมา มันทําให้ฉี
หนิงตกใจมาก เพราะเขารู้มาว่า เจี้ยนเจียตายไปนานหลายปีแล้ว อีก
ทั้งเป่ยกงเหลียนเฉิงยังพูดเองด้วย

เทพกระบี่แห่งยุค ไม่มท
ี างพูดโกหกแน่นอน ในเมื่อเขาบอกว่า
เจี้ยนเจียตายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ผด
ิ แน่ ถ้าเช่นนั้น ทําไมในเวลานี้
เขาถึงได้พูดถึงเจี้ยนเจียขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งยังบอกอีกว่าเจี้ยนเจียกับ
เจ้าเกาะจะร่วมมือกันฆ่าเขาด้วย?

หรือว่าเจี้ยนเจียยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งอยู่บนเกาะแห่งนี้?

ฉีหนิงจําได้ ถึงแม้เจี้ยนเจียจะอายุน้อยกว่าเป่ยกงเหลียนเฉิง แต่ก็


ไม่มาก เป่ยกงเหลียนเฉิงอายุเกือบแปดสิบแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจี้ยนเจียก็
น่าจะอายุประมาณเจ็บสิบกว่า แต่ว่าบนเกาะมีผู้หญิงอยู่แค่สามคน
นอกจากตี้ฉานแล้ว ก็มแ
ี ค่ช่ อ
ื ตันเหมยกับฮวาเสี่ยงหรง ทั้งสามคนนี้ไม่
ว่าใครก็อายุไม่ถึงเจ็ดสิบ ถ้าเช่นนั้น เจี้ยนเจียมาจากไหนกันล่ะ?

เจ้าเกาะสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แต่ก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกงเลอะ


เลือนไปแล้วเหรอ? ผ่านไปนานหลายปีแล้ว ท่านยังไม่ลืมแม่นางหม้อ
อีกเหรอ” เขาส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “น่าเสียดายนะ ที่นางตาย
ไปบนเขาต้าเสวียซานตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แล้วตอนนี้จะยังอยู่ได้ยังไง
กัน? เพียงแต่ ... ตอนนั้นแม่นางหม้อรักท่านมาก ข้ายังอิจฉาเลย แต่
ท่านพี่เป่ยกง ...” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ขออภัยที่ข้าต้องพูดกันตรงๆ
ท่านพี่เป่ยกงคนที่ท่านทําผิดด้วยตลอดชีวิตของท่านก็คือแม่นางหม้อ
นางตายบนเขาต้าเสวียซาน มันเป็นเพราะท่าน”
เล่มที่ 49 บทที่ 1467 ตัวตนทีแ
่ ท้จริง

ฉีหนิงได้ยินเจ้าเกาะพูดแบบนั้น ก็ตกใจมาก แอบคิดในใจว่าแม่


นางมู่ตายที่เขาต้าเสวียซานเหรอเนี่ย

แต่เจ้าเกาะบอกว่าแม่นางมู่ตายที่เขาต้าเสวียซาน มันเหมือนจะ
ขัดแย้งกับที่เป่ยกงเหลียนเฉิงพูด แม่นางมู่เจี้ยนเจียยังอยู่หรือตายไป
แล้วกันแน่ หากยังอยู่ แล้วเจี้ยนเจียที่อยู่บนเกาะคือใครกันแน่?

ระหว่างที่เขากําลังคิด สายตาของฉีหนิงก็ไปหยุดที่ตี้ฉาน

หากจะบอกว่าเจี้ยนเจียอยู่บนเกาะนี้จริง คนที่มีความเป็นไปได้
มากที่สด
ุ คิดว่าน่าจะคือตี้ฉาน

ตี้ฉานแปลงโฉมหน้าเป็นซู่อิ่งฮูหยิน แต่ว่าที่มาที่ไปที่แท้จริงของ
นางนั้น ฉีหนิงไม่รู้เลย

ตี้ฉานหลบอยู่แต่ในที่มด
ื ราวกับวิญญาณ ต่อให้คนรอบกายของ
นางเอง ก็รู้เรื่องของนางน้อยมาก

ฉีหนิงได้รู้ความลับของนางมาจากปากของจั่วเซียนเอ๋อร์บ้าง รู้ว่า
นางเริ่มสะสมกําลังพลตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ในบรรดาหกภูตของตี้
ฉาน มีสองคนเป็นชาวกู่เซี่ยง กุมารฉือเป่าเป็นทายาทของเขาคุนหลุน
แสดงว่านางเคลื่อนไหวในแคว้นกู่เซี่ยงมานานแล้ว

ตี้ฉานสิบกว่าปีเหมือนแค่วันเดียว นางดูไม่แก่เลย เพราะอย่างนี้ ฉี


หนิงถึงได้สงสัยว่านางจะเป็นต้าจงซือแล้วรึเปล่า

ตอนนี้ตี้ฉานดูอายุแค่สามสิบกว่าเท่านั้น อีกทั้งยังมีเสน่ห์มากด้วย
แต่ฉห
ี นิงก็รู้ นั่นไม่ใช่อายุที่แท้จริงของนาง หากเจี้ยนเจียยังอยู่ ก็น่าจะ
เป็นยายแก่อายุราวเจ็ดสิบแล้ว การจะมีอายุที่ไม่ตรงกับใบหน้าที่อ่อน
วัยกว่าแบบนี้ได้ บนเกาะมีแค่ตี้ฉานคนเดียวเท่านั้น

แต่ว่าตี้ฉานจะเป็นเจี้ยนเจียจริงเหรอ?

หากนางคือเจี้ยนเจียจริง แต่เป่ยกงเหลียนเฉิงก็บอกเองว่านางตาย
ไปแล้ว แต่นางกลับยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งตอนนี้ยังมาที่เกาะเสวียนอู่ด้วย
งั้นเหรอ?

ทันใดนั้นเอง ฉีหนิงก็สะดุ้ง เขาเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

จั่วเซียนเอ๋อร์เล่าว่า ตี้ฉานเหมือนจะเฝ้าคุ้มกันคนๆ หนึ่งอยู่ คนๆ


นั้นเหมือนจะหลับมาแล้วกว่าสามสิบปี ตี้ฉานตามหายาวิเศษที่จะทําให้
เขาตื่นขึ้นมาให้ได้ แต่ก็ยงั หาไม่เจอ
คนๆ นั้น ฉีหนิงไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตี้ฉานมาที่เกาะนี้ คิดว่านางก็
น่าจะมาเอายาเม็ดเสวียนอู่แน่

ตามตํานานยาเม็ดเสวียนอู่มีสรรพคุณทําให้คนตายฟื้นคืนได้ หาก
คนที่ตี้ฉานเฝ้าคุ้มกันอยู่น้น
ั สลบไป ยาเม็ดเสวียนอู่อาจทําให้เขาฟื้น
ขึ้นมาก็ได้

เป่ยกงเหลียนเฉิงเงยหน้ามองฟ้า เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หน



หน้ากลับมาหาตี้ฉาน แล้วพูดว่า “ดวงตาของเจ้ายังไม่เปลี่ยนเลย อีกทั้ง
ท่าทางการดีดพิณของเจ้า ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยตลอดสิบปีที่ผ่านมา” เขา
ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้ายังมีชีวิตอยู่ มันเป็นเรื่องที่ดีมาก
จริงๆ”

เป่ยกงเหลียนเฉิงปกติเป็นคนไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทาง ไม่ว่า
ใครก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดเมื่อกี้ มันทําให้คน
รู้สึกได้ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงนั้นรูส
้ ึกโล่งใจมาก

ตี้ฉานเดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าว นางมองมาที่เป่ยกงเหลียนเฉิง
น�าเสียงของนางอ่อนโยนมาก “ที่แท้ท่านก็จําดวงตาของข้าได้?”

เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าเองที่ผิดต่อ


เจ้า”
“ท่านเป็นเทพกระบี่ที่สูงศักดิ์” น�าเสียงของตี้ฉานอ่อนโยนมาก
“ไม่จําเป็นต้องรู้สึกผิดต่อข้าเลย ในสายตาของท่าน บนโลกใบนี้ไม่มี
อะไรที่ควรค่าแก่การใส่ใจ”

ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แอบคิดในใจว่าตี้ฉานคือแม่นางมู่เจี้ยน
เจียจริงๆ เหรอเนี่ย

เป่ยกงเหลียนเฉิงก้มหน้าลง แล้วนิ่งไป จากนั้นก็พูดว่า “เขายังมี


ชีวิตอยู่รึเปล่า?”

ตี้ฉานได้ยินดังนั้น กลับหัวเราะขึ้นมา ไม่เหมือนท่าทีสภ


ุ าพเหมือน
เปลือกนอก อีกทั้งหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วย“ท่านยังจําเขาได้เหรอเนี่ย?
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ... ท่านยังจําเขาได้อีกเหรอเนี่น? ในสายตาของท่านเขาสู้
หมายังไม่ได้เลย? ท่านจะยังจําเขาได้อยู่อีกเหรอ?”

จากคําพูดของนางนั้นมันเต็มไปด้วยการประชดประชัน

ฉีหนิงได้ยินคําว่า “เขา” จากปากของทั้งสองคน หรือว่าจะเป็นคน


ที่ตี้ฉานเฝ้าคุ้มกันอยู่

“ที่จริงต่อมาข้าลองทบทวนดูแล้ว จะโทษท่านก็ไม่ได้” ตี้ฉาน


หัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หยุด นางพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “ข้ารักท่านข้าง
เดียวมาตั้งแต่เริ่ม ข้าคิดแต่เพียงว่าเวลามันอาจจะทําให้ท่านเปลี่ยนได้
แต่ข้ากลับลืมไปว่า เกิดมาเป็นก้อนหิน จะมาเปลี่ยนเพื่อคนอื่นได้ยังไง
กัน ทุกอย่างมันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าเองก็ติดตามท่านไปเหมือน
หมาตัวหนึ่ง ตามท่านไปแคว้นกู่เซี่ยง ตามท่านขึ้นเขาต้าเสวียนซาน ทุก
อย่างมันท่านไม่ได้เต็มใจเลย มันเป็นทางที่ข้าเลือกเอง เรื่องราวที่
เกิดขึ้นหลังจากนั้น มันเป็นสิง่ ที่ข้าสมควรรับ”

เจ้าเกาะรีบพูดว่า “แม่นางมู่ เจ้ามีใจรักต่อท่านพี่เป่ยกงมาก ความ


รักนั้นฟ้าดินรับรู้ เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า
หรอกนะ” เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ใครจะไปคิด ตอนนั้นเราทุกคนจะ
ไปยังแคว้นกู่เซี่ยง แล้วใครจะไปคิด ว่าเรา ...” เขาถอนหายใจแล้วพูด
ว่า “หากไม่ได้เกิดเรื่องนั้นขึ้น ไม่แน่ว่าอาจมีผลลัพธ์อีกอย่างหนึ่งก็ได้”

ฉีหนิงร้อนใจมาก แอบคิดในใจตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น พวกเขามี


บุญคุณความแค้นอะไรกันแน่?

เขารู้ว่าเจ้าเกาะไม่พด
ู ถึงเรื่องในตอนนั้น แสดงว่ามันเกี่ยวข้องกับ
การที่พวกเขากลายเป็นต้าจงซือแน่นอน เลยอยากจะให้เขาพูดออกมา

แต่เขาก็รู้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมันเป็นเรื่องที่ลับมาก หากไม่


มีอะไรผิดพลาด พวกเขาไม่มีทางพูดออกมาแน่นอน เขานิ่งไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง อย่างนี้นี่เอง ...” เขาพยายามเข้าไปใกล้ตี้ฉาน
ทําท่าทางเหมือนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
ตี้ฉานเหลือบไปที่เขา ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ายังรอดมาถึงตอนนีไ้ ด้ เก่ง
มากทีเดียว”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “มิน่าทําไมเจ้าลัทธิถึงได้รู้สึกผิดต่อ
ท่านนัก ที่แท้พวกท่านก็รู้จักกันมาก่อนนี่เอง ตี้ฉานที่แท้ก็ไม่ใช่ตี้ฉาน
แต่เป็นคนของตระกูลมู่แห่งหนานเจียง”

ตี้ฉานพูดว่า “เจ้ารู้สึกตระกูลมูแ
่ ห่งหนานเจียงด้วยเหรอ?”

“รู้จักสิ” ฉีหนิงพูดว่า “ในเมื่อท่านเป็นคนของตระกูลมู่แห่งหนาน


เจียง ก็ต้องรู้สึกมู่เย่อ๋องสินะ หากข้าเดาไม่ผด
ิ มู่เย่อ๋องน่าจะเป็น
น้องชายของท่าน”

ตี้ฉานขมวดคิ้ว ฉีหนิงพูดต่อว่า “ตอนนั้นท่านปล่อยเทพกระบี่ไป


ติดตามเทพกระบี่ออกจากหนานเจียง ทําให้คนในเผ่าของท่านโกรธ มู่
เย่อ๋องพาคนออกตามหาพวกท่าน แต่คิดถึงความเป็นพีน
่ ้อง เลยยอม
ปล่อยพวกท่านไป”

สายตาของตี้ฉานดุมาก “เจ้ารูเ้ รื่องนี้ได้ยังไง?” เขาเหลือบไป


มองเป่ยกงเหลียนเฉิง

“เทพกระบี่ไม่ได้เป็นคนบอกข้า” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้า


ได้พบกับมู่เย่อ๋อง อีกทั้ง ... ยังช่วยชีวิตเขาเอาไว้ด้วย”
มู่เย่อ๋องถูกฉีอวี้ทําร้าย ขังเอาไว้บนเกาะตงไฮ่ ตอนนั้นฉีอวี้ติดตาม
ลู่ซางเฮ่อก่อกรรม เพียงแต่ท้ังสองคนไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของตี้ฉาน เลย
ไม่มีทางรู้เลยว่ามู่เย่อ๋องนั้นเป็นน้องชายของตี้ฉาน เลยไม่ได้รายงาน
เรื่องนี้กับนาง

สายตาของตี้ฉานเหมือนจะแปลกใจ นางพูดว่า “ตอนนี้เขาเป็น


ยังไงบ้าง?”

“อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังอยู่” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูด

เจ้าเกาะพูดขึ้นมาว่า “มู่เย่อ๋องคิดว่าแม่นางมูต
่ ายไปแล้ว เลยผูก
ใจเจ็บกับท่านพี่เป่ยกง” เขามองไปที่เป่ยกงเหลียนเฉิงแล้วพูดว่า “ถึง
แม้วรยุทธ์ของมู่เย่อ๋องจะเทียบกับท่านพี่เป่ยกงไม่ได้ แต่เพื่อแก้แค้น
หลายสิบปีที่ผ่านมาเขาทําทุกวิถีทาง คิดจะแก้แค้นให้กับแม่นางมู่” เขา
ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “เท่าที่ข้ารู้มา เมื่อสิบปีก่อน ท่านพี่เป่ยกงทํา
ให้เขาบาดเจ็บ แล้วขังเขาเอาไว้ที่วัดต้ากวงหมิง สิบปีต่อมาเขาหา
โอกาสหนีออกมาได้ แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความแค้นนี้ เขาตามหาท่านพี่เป่
ยกงอีกครั้ง โชคดีที่ท่านพี่เป่ยกงยังออมมือ เขาเลยแค่บาดเจ็บ ไม่ได้มี
อันตรายถึงชีวิต”

ฉีหนิงรู้สึกขํามาก เขารูว
้ ่าเจ้าเกาะต้องการกระตุ้นความแค้น
ระหว่างตี้ฉานกับเป่ยกงเหลียนเฉิง เขาเลยรีบพูดว่า “ท่านเจ้าเกาะพูด
ถูกแล้ว ท่านเทพกระบี่ออมมือให้จริง แต่ว่า ... ในเมื่อท่านเจ้าเกาะกับผู้
อาวุโสมูร่ ู้จักกันมาก่อน ทําไมไม่บอกเรื่องที่มู่เย่อ๋องแต่แรก ต้องมาพูด
เอาตอนนี้ล่ะ?”

เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางมู่มีเรื่องสําคัญต้องทํา หากไม่มี


สมาธิ มันไม่เป็นผลดีต่อแม่นางมู่”

“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “เรื่องสําคัญที่ว่าของผู้อาวุโส
มู่ คือการร่วมมือกับท่านเจ้าเกาะเพื่อให้ได้ยาเม็ดเสวียนอู่ แล้วเอาไป
ช่วยคนให้รอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ”

เจ้าเกาะย้อนถามกลับไปว่า “เจ้ารู้เหรอว่าเขาเป็นใคร?”

ฉีหนิงมองไปที่ตี้ฉาน เขาลังเลครู่หนึ่ง แล้วถึงพูดว่า “ตอนที่ท่านผู้


อาวุโสมูอ
่ อกจากหนานเจียง ไม่ได้มาคนเดียว มีคนติดตามนางมาด้วย
อีกคน เท่าที่ข้ารู้มา คนๆ นั้นเป็นทารกที่ถูกทิ้ง ตระกูลมู่บังเอิญช่วยไว้
จากนั้นก็กลายเป็นบ่าวติดตามของตระกูลมู่ คนๆ นั้นพูดไม่ได้มาตั้งแต่
เล็ก ดังนั้นเลยถูกเรียกว่า ... หย่าหนู”

“หย่าหนู” สองคํา เป่ยกงเหลียนเฉิงกับตี้ฉานถึงกับสะดุ้งพร้อมกัน

เจ้าเกาะพูดว่า “เหมือนเจ้าจะรู้มาไม่นอ
้ ยเลย”

“ผู้อาวุโสหย่าหนูเชื่อฟังคําสั่งของผู้อาวุโสมู่มาก อีกทั้งยังเป็นห่วง
ความปลอดภัยของผู้อาวุโสมากด้วย ช่วงเวลาที่ผู้อาวุโสมู่ติดตามท่าน
เทพกระบี่ ผู้อาวุโสหย่าหนูก็ติดตามผู้อาวุโสมู่ตลอดเวลา เพื่อคุ้มกัน
ความปลอดภัยให้ผู้อาวุโสมู่” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องที่
เกิดขึ้นหลังจากนั้น ข้าไม่รู้ แต่ข้าคิดว่าผู้อาวุโสหย่าหนูคงจะประสบ
เคราะห์ร้าย ส่วนผู้อาวุโสมู่คิดอยากจะช่วยผู้อาวุโสหย่าหนู เลย
อยากจะได้ยาวิเศษไปช่วยเขา นั่นก็คือยาเม็ดเสวียนอู่ ท่านเจ้าเกาะ
น่าจะรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นเลยทําข้อตกลงกับผู้อาวุโสมู่ โดยมีเงื่อนไขคือการ
ช่วยผู้อาวุโสหย่าหนู แลกกับการที่ผู้อาวุโสมู่ทําทุกอย่างที่ท่านเจ้าเกาะ
อยากจะทํา”

เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าเรื่องที่ข้าอยากจะทํา แล้วมัน


เรื่องอะไรกันล่ะ?”

“ก็เช่นว่าวางแผนให้เซียวจ้าวจงชิงบัลลังก์” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านเจ้าเกาะอยากจะช่วยให้เซียวจ้าวจงได้น่งั บัลลังก์ จากนั้นก็ใช้
เซียวจ้าวจงเป็นหุ่นเชิดในการควบคุมแคว้นฉู่ แต่ท่านจะไม่ออกหน้า
เอง ดังนั้นเลยหลอกใช้กําลังของผู้อาวุโสมูใ่ นการช่วยเซียวจ้าวจง”

เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉีหนิง ถึงแม้ว่าเจ้าจะฉลาด แต่


บางครั้งการฉลาดเกินไป ข้ากับแม่นางมู่เป็นสหายเก่ากัน กับหย่าหนู
เองก็เป็นสหายเก่าเช่นกัน หากมีทางที่จะช่วยหย่าหนูได้ ข้าไม่มีลับลม
คมในอะไร แล้วจะไปสร้างเงื่อนไขกับแม่นางมู่แบบนั้นได้ยังไง?” เขา
ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “อวดฉลาดเกินไปแล้ว”
ตี้ฉานเหลือบไปมองฉีหนิง จากนั้นก็พด
ู ว่า “ข้าอาศัยอยู่ในจวน
ไหวหนานอ๋องแปดปีเต็มๆ เรื่องนี้เจ้ารู้รึเปล่า?”

ฉีหนิงตะลึงไป ตี้ฉานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนที่ไหวหนานอ๋อง


เซียวจางยังเป็นหนุ่มเขาเป็นคนที่องอาจมาก ท่องยุทธภพไปทั่ว เขา
เคยช่วยข้าตอนที่ข้าลําบาก ไม่สนใจว่าต้องเสียเงินไปเท่าไหร่ ข้าได้รับ
ความเมตตาจากเขา ก็ต้องช่วยให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง เขา
อยากชิงบัลลังก์ ข้าก็จะช่วยเขาชิงบัลลังก์”

ฉีหนิงตกใจมาก คิดไม่ถึงเลยว่าไหวหนานอ๋องจะเคยช่วยตี้ฉานเอาไว้
เล่มที่ 49 บทที่ 1468 เรื่องในตอนนั้น

ฉีหนิงคิดมาตลอดว่าตี้ฉานให้ความช่วยเหลือในการชิงบัลลังก์
เบื่องหลังจะต้องมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์บางอย่าง ไม่อย่างนั้น
ด้วยความสามารถของตี้ฉานแล้ว นางจะยอมช่วยเหลือเซียวจ้าวจงพ่อ
ลูกได้ยังไงกัน

แต่เป้าหมายของตี้ฉานคืออะไร ฉีหนิงสงสัยมาตลอด

ตี้ฉานมีฐานที่ม่น
ั ที่ซีชวน แต่ว่าในแทบตงไฮ่กับเมืองหลวง นาง
กลับมีสง่ คนของนางไป ฉีหนิงคิดว่าตี้ฉานอยากจะหลอกใช้เซียวจ้าวจง
ให้นางขึ้นเป็นฮ่องเต้ซะเอง

ในเวลานี้ตี้ฉานอธิบาย บอกว่านางเคยได้รับความช่วยเหลือจาก
เซียวจาง ถึงได้ย่ น
ื มือเข้าช่วย มันทําให้ฉห
ี นิงยิ่งแปลกใจและสงสัยเข้า
ไปใหญ่

ความสามารถของตี้ฉานฉีหนิงรู้ดี เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ตี้ฉาน


จะได้รับความช่วยเหลือจากเซียวจาง

ตี้ฉานเหมือนจะมองออกว่าฉีหนิงไม่เชื่อ นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่


เชื่องั้นเหรอ?”
ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ด้วยความสามารถของผู้อาวุโสมู่ ข้า
... เฮ้อ ข้านึกไม่ออกเลยว่าท่านให้เขาช่วยอะไร”

ตี้ฉานยังยิ้มอยู่ นางถามว่า “ฉีหนิง เจ้าอยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่


เขาต้าเสวียนซานในตอนนั้นมากเลยใช่ไหม?”

ฉีหนิงตะลึงไป จากนั้นก็เหลือบไปมองเป่ยกงเหลียนเฉิงกับเจ้า
เกาะ เห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงยืนเอามือไขว่หลังอยู่ เขาก้มหน้าลงเหมือน
กําลังคิดอะไรอยู่ ส่วนเจ้าเกาะก็ยืนอยูใ่ กล้ๆ กัน สายตาของเขาจ้องไป
ที่เป่ยกงเหลียนเฉิง

“ถ้าเจ้าชอบฟังเรื่องราวมาก ข้าก็จะเล่าเรื่องให้เจ้าฟังดีไหม?” ตี้


ฉานยิม
้ แล้วพูด

ฉีหนิงรู้ว่าตี้ฉานจะเล่าเรื่องอะไร แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น
ในตอนนั้นของพวกเขา นั่นก็หมายความว่ามันคือความลับที่ยง่ิ ใหญ่
ที่สุดเรื่องหนึ่ง เขาแปลกใจมาก ไม่เข้าใจว่าทําไมตี้ฉานถึงได้เปลี่ยนใจ
เล่าให้ฟงั

แต่ว่าเห็นตี้ฉานเหมือนจะเหลือบไปมองเป่ยกงเหลียนเฉิงนิดนึง
เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที ตี้ฉานจะเล่าเรื่อง ไม่ใช่แค่ต้องการให้เขารู้ แต่
เป้าหมายที่สําคัญที่สุดคือ เล่าให้เป่ยกงเหลียนเฉิงฟัง
ระหว่างตี้ฉานกับเป่ยกงเหลียนเฉิง มีความเกี่ยวพันกันมากว่าสิบปี
ไม่ว่าตี้ฉานกับเป่ยกงเหลียนเฉิงจะรักกันหรือว่าแค้นเคืองกัน ในโลกนี้
เป่ยกงเหลียนเฉิงก็เป็นหนึ่งในคนที่ตี้ฉานเป็นห่วงมากคนหนึ่ง

ก่อนที่ตี้ฉานจะมาที่เกาะเสวียนอู่ ไม่ใช่แค่เพื่อยาเม็ดเสวียนอู่ ใน
เมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ แน่นอนว่านางก็คงอยากจะจัดการเรื่องราว
ระหว่างนางกับเป่ยกงเหลียนเฉิงให้จบสักที ดังนั้นนางเลยไม่ได้รบ
ี ร้อน
ที่จะลงมืออะไร

“เจ้ารู้ว่าข้ากับหย่าหนูตัดขาดกับคนในตระกูล แล้วออกจากหนาน
เจียงใช่ไหม” ตี้ฉานมองมาที่ฉห
ี นิง แล้วพูดว่า “หลังจากนั้นหลายปี ข้า
กับหย่าหนูก็เหมือนหมาสองตัว ติดตามเทพกระบี่ไปทั่ว แต่ว่าตอนนั้น
เขายังไม่ใช่เทพกระบี่แบบตอนนี้ เขาเป็นแค่มอ
ื กระบีท
่ ี่ต้องการค้นหา
ที่สุดของศาสตร์แห่งกระบี่เท่านั้น ตอนนั้นพอข้าได้พบกับเขา ข้าก็หลง
รักเขาทันที เขาได้ผา้ คาดหัวของข้าจากหน้าผาสูง ข้าก็ตัดสินใจทันทีว่า
ไม่ว่าเป็นหรือตาย ข้าก็คือคนของเขาแล้ว ต่อให้เขาจะไม่พด
ู หรือมอง
ข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าก็จะไม่โกรธไม่แค้นเขา ตอนนั้นข้าคิดว่า เขาคิดแต่
จะค้นหาที่สุดของศาสตร์แห่งกระบี่ ไม่สนใจเรื่องของชู้สาว แต่หากวัน
หนึ่งเขาสมหวังในศาสตร์ของกระบี่แล้ว ได้เห็นว่าข้ายังอยู่เบื้องหลังเขา
เขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”

ฉีหนิงถอนหายใจเบาๆ
ความรูส
้ ึกมันคือสิ่งใดกัน ตายไปก็อาจจะยังไม่รู้ว่าคืออะไร มู่เจี้ยน
เจียเป็นผู้หญิงที่ม่น
ั คงในความรักมากในเวลานั้น

“ข้าคิดแบบนี้ แล้วก็ทําแบบนี”
้ ตี้ฉานพูดว่า “เขาท่องไปทั่วยุทธ
ภพ ข้าก็ติดตามเขาไปทุกที่เหมือนเงาของเขา เขาไม่ได้ขับไล่ข้า เพราะ
ในสายตาของเขา แทบจะไม่มข
ี ้ากับหย่าหนูอยู่เลย ...” พอพูดถึงตรงนี้
นางก็นงิ่ ไปครูห
่ นึ่ง แล้วถึงพูดว่า “ก็เหมือนกับที่ข้าไม่ได้สนใจหย่าหนู
คนที่เป็นห่วงข้าเลยแม้แต่นิดเดียว”

ฉีหนิงถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง

ตี้ฉานพูดแบบนีม
้ ันก็ไม่ผิด ตอนนั้นเป่ยกงเหลียนเฉิงแทบจะไม่
สนใจมู่เจี้ยนเจียเลย แต่ในสายตาของนาง หย่าหนูก็ไม่ต่างกับเงาของ
นาง ในสายตาของนางมีแค่เป่ยกงเหลียนเฉิง เลยไม่สนใจเลยว่าจะมี
หย่าหนูอยู่ด้วยรึเปล่า

“ในปีน้น
ั เทพกระบี่เดินทางไปที่ซีชวน อยู่ที่น่น
ั กว่าครึ่งปี เขาก็ได้
ยินว่าที่แคว้นกู่เซี่ยงมีมอ
ื กระบี่ฝีมือดีคนหนึ่ง เพลงกระบี่ของแคว้นกู่
เซี่ยงเองก็ไม่เหมือนกับที่จงหยวน อีกทั้งในหลายปีที่ผ่านมา เพลงกระบี่
ของเขาก็ไม่ได้ก้าวหน้าเท่าไหร่ เขาเลยคิดอยากจะไปลองดูเพลงกระบี่
จากต่างแดน เพราะอาจจะทําให้เขาก้าวหน้าขึ้นได้” ตี้ฉานเงยหน้ามอง
ฟ้า “การเดินทางไปที่แคว้นกู่เซี่ยงนั้นมีสองเส้นทาง ทางแรกตรงไปซี
ชวนผ่านฮั่นตง ข้ามเขาฉินหลิงไปยังซีเป่ย แล้วเปลี่ยนไปนั่งเรือเข้า
ดินแดนแคว้นกู่เซี่ยง เส้นทางนีม
้ ันไกลมาก เทพกระบี่รู้ว่ามีมอ
ื กระบี่ใน
แคว้นกู่เซี่ยง จิตใจมีแต่คิดจะมุง่ หน้าไปที่แคว้นกู่เซี่ยง เขาอยากจะไป
ให้ถึงโดยเร็วที่สุด เลยเลือกอีกเส้นทางหนึ่ง”

ฉีหนิงเหลือบไปมองเป่ยกงเหลียนเฉิง เห็นเขายังคงเอามือไขว้หลัง
หลับตาลง ใบหน้าไม่มค
ี วามรูส
้ ึก แต่ฉห
ี นิงรู้ว่าในใจของเขามันกําลัง
สับสนอยู่แน่นอน

“อีกเส้นทางหนึ่งคือเดินทางในทิศตะวันตก แล้วปีนเขาเพื่อเข้าไป
ยังแคว้นกู่เซี่ยง เส้นทางนี้ถึงแม้จะใกล้ แต่มน
ั อันตรายมาก หากไม่ระวัง
อาจจะหลงป่า หรือไม่ก็ตกลงมากระดูกแตก” ตี้ฉานพูดว่า “เทพกระบี่
เลือกเส้นทางนี้ แต่เขารู้ว่าหากไปอย่างบุ่มบ่ามแบบไม่รู้อะไรเลย คิดว่า
คงไปไม่ถึงแคว้นกู่เซี่ยงแน่นอน ดังนั้นเลยหาคนนําทางมาคนหนึ่ง เขา
เป็นชาวเหมียว ร่างกายกํายํา หัวไว รู้เส้นทางบนเขาเป็นอย่างดี การมี
เขานําทาง ทําให้การเดินทางราบรื่นขึ้นเยอะมาก” นางยิ้ม “ข้ายังจําได้
ดีเขามีช่ อ
ื ว่าโม่ฝ”

ฉีหนิงสะดุ้ง ชื่อนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันคือชื่อของเจ้าลัทธิบัว


ดํา ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจ้าลัทธิบว
ั ดํากับมู่เจี้ยนเจียเกี่ยวข้องกันยังไง เจ้า
ลัทธิเคยเป็นคนนําทางให้พวกเขานั่นเอง

“เราเดินทางกันลําบากมาก กว่าจะไปถึงแคว้นกู่เซี่ยง” ตี้ฉานถอน


หายใจแล้วพูดว่า “พอผ่านชายแดนเหมียวเข้าสู่แคว้นกู่เซี่ยงแล้ว เรา
เหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่ เสื้อผ้าของเราขาดรุ่ย เหมือนคนป่า พอ
ชาวบ้านที่เลี้ยงสัตว์ในทุ่งกว้างเห็นเรา ก็คิดว่าเราคือตัวประหลาด มีคน
หลายสิบคนมาล้อมเราเอาไว้”

ฉีหนิงขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าหากมาต่างถิ่นแล้วฆ่าใครไป เกรง


ว่าจะรนหาที่ตายมากกว่า แต่ก็คิดว่าตอนนั้นเพลงกระบี่ของเป่ยกง
เหลียนเฉิงยังไม่ก้าวหน้าเป็นผลสําเร็จเท่าไหร่ หากคนกว่าสิบคนมา
ล้อม แพ้ชนะก็ยังตัดสินไม่ได้

จากนั้นเขาก็ได้ยน
ิ ตี้ฉานพูดต่อว่า “ชาวบ้านพวกนั้นเชีย
่ วชาญการ
ขี่ม้ายิงธนูมาก อีกทั้งยังมีคนมากกว่า เราถูกขวาง หากเรายอม พวกเขา
ก็ไม่ทําอะไรเรา แต่ว่าเทพกระบี่เป็นใคร จะยอมลดกระบี่ของตัวเองได้
ยังไง? ในเวลานั้นเขาถือกระบี่ในมือ แต่กลับทําอะไรไม่ได้ ในเวลาคับ
ขัน บังเอิญได้พบกับขบวนคณะทูต ...”

หลังจากตี้ฉานพูดจบ ฉีหนิงก็เริ่มเดาได้แล้วว่า คณะทูตที่ว่าน่าจะ


เป็นคณะทูตจากเป่ยฮั่น

ตอนนั้นหลังจากที่เป่ยฮั่นบุกยึดซีเป่ยได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถ
ควบคุมซีเป่ยได้ทุกท้องที่ เพื่อป้องกันไม่ให้แคว้นกู่เซี่ยงรุกรานเข้ามาใน
ดินแดนของพวกเขา พวกเขาเลยส่งคณะทูตไปเจรจาขอเป็นพันธมิตร
ของแคว้นกู่เซี่ยง โดยเสนอผลประโยชน์ทางการค้าให้ แล้วคนที่เป็น
ราชทูตในคราวนั้นก็คือเป่ยถังฮ่วนเย่
แล้วในคณะทูต ก็ยังมีทาสหมากรุกอย่างเจ้าเกาะหม้อหลันชางอยู่
ด้วย

ฉีหนิงเข้าใจแล้วว่าเหล่าต้าจงซือไปรวมตัวที่แคว้นกู่เซี่ยงได้ยงั ไง
คณะทูตบังเอิญไปเจอพวกของเป่ยกงเหลียนเฉิง นอกจากฝ่าอ๋องแล้ว
ต้าจงซืออีกสี่คนก็อยูก
่ ันครบเลย

“ตอนนั้นหากไม่ใช่ว่าเราบังเอิญไปพบ คิดว่าน่าจะเกิดการนอง
เลือดแน่นอน” เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูด “ท่านพี่เป่ยกง ตอนนั้น
เหมือนว่าท่านจะติดหนี้บุญคุณของโหวเยว่นะ”

เป่ยกงเหลียนเฉิงยังคงนิ่งเหมือนเดิม ตี้ฉานกลับพูดต่อว่า “คณะ


ทูตเข้ามาพัวพันด้วย ชาวบ้านพวกนั้นไม่กล้ามมีปัญหากับคณะทูต
ชาวบ้านได้บอกให้เราเดินทางติดตามไปกับคณะทูตจะดีกว่า เพราะรู้ว่า
เทพกระบี่ต้องการพบมือกระบี่ใหญ่ ยังรับรองกับเราอีกว่าเขาต้องได้
พบมือกระบีใ่ หญ่แน่นอน”

เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางมู่ วันนั้นถึงแม้เจ้าจะเดินทางมา


ไกลเนื้อตัวอาจไม่สะอาด แต่ว่าเจ้าก็ยังงดงามอยู่ ตอนนั้นโหวเยว่ยังชื่น
ขอบสาวงามมากเป็นพิเศษอยู่”
เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ความหมายก็ชัดเจนมากแล้ว เขาต้องการบอก
ว่าตอนนั้นเป่ยถังฮ่วนเย่ถูกใจในความงามของมู่เจี้ยนเจีย ถึงได้ยอมให้
ติดตามคณะทูตไปด้วย

ฉีหนิงไม่ชอบเจ้าเกาะเอามากๆ แอบคิดในใจว่าเป่ยถังฮ่วนเย่
ถึงแม้จะตายไปแล้ว แต่ยังไงเขาก็เป็นต้าจงซือเหมือนกัน หลังตายเจ้า
เกาะยังหยามเกียรติเขาอีก ไม่ว่าจะจริงหรือเปล่า การแสดงออกของ
เขามันก็ต�าช้ามากเกินไป

ตี้ฉานไม่ได้สนใจ นางพูดต่อว่า “มู่อวินโหวสามารถตามหามือ


กระบี่ใหญ่จนเจอได้ เทพกระบี่ก็ยินยอมเดินทางไปพร้อมเขาอยู่แล้ว”

เจ้าเกาะส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่นางมู่ การเดินทางเข้า


เมือง ต้องใช้เวลากว่าสิบวัน โหวเยว่ดูแลเจ้าเป็นอย่างดีตลอดการ
เดินทาง เทียบกับเป่ยกงเหลียนเฉิงที่ไม่ยุ่งกับใครเลย ที่จริงหากเจ้ากับ
โหวเยว่ก็ลงเอยกันได้ หลายคนต้องอิจฉาเจ้าแน่ โหวเยว่ชอบเจ้ามาก
จริงๆ ในตอนนั้น เจ้าเองก็รู้เรื่องนี้ดีนน
ี่ า” เขามองไปที่ท้องทะเล แล้ว
พูดว่า “เขาคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว หากรู้ว่าเจ้ายังอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึก
ยังไง”

“มีโหวเยว่คอยออกหน้าให้ การตามหามือกระบี่ใหญ่ในแคว้นกู่
เซี่ยงก็ไม่ใช่เรื่องยาก” ตี้ฉานพูดว่า “น่าเสียดายเทพกระบี่กลับไม่ใช่คู่
ต่อสู้ของมือกระบี่ใหญ่คนนั้น”
เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “ศึกครั้งนั้นมือกระบี่ใหญ่ได้เปรียบมาก
เพลงกระบี่ของเขาประหลาดมาก ท่านพี่เป่ยกงแพ้ให้กับเขา ก็ไม่ถือว่า
ถูกหยามเกียรติ หลายปีผ่านไป ท่านพี่เป่ยกงก็กลับไปประลองกับเขา
อีกครั้ง แต่คราวนี้ท่านพี่จัดการกับเขาได้ภายในกระบวนท่าเลย”

ฉีหนิงเองก็พอฟังออกอะไรบ้าง

เป่ยกงเหลียนเฉิงเดินทางไปถึงแคว้นกู่เซี่ยงตั้งไกล เพราะได้ยน
ิ ว่า
ที่น่น
ั มีมอ
ื กระบี่ใหญ่ คิดว่าอยากจะประลองด้วย แต่สุดท้ายกลับแพ้
เจ้าเกาะพูดถึงว่าผ่านไปหลายปี นั่นก็หมายความว่าหลังจากที่เป่ยกง
เหลียนเฉิงประสบความสําเร็จในสายกระบี่แล้ว

ฝ่าอ๋องแอบติดต่อกับเจ้าเกาะเป็นการส่วนตัว การตายของมือ
กระบี่ใหญ่ เจ้าเกาะก็ต้องรู้แน่นอน

“หากทุกอย่างมันจบแค่นี้ เทพกระบี่หลังจากนั้นก็ยังหมกหมุน
่ อยู่
กับเส้นทางกระบี่ของเขา ก่อนที่เขาจะได้เป็นเทพกระบี่ เคยประลองกับ
คนไปทั่ว แพ้มากกว่าชนะ การแพ้ให้กับมือกระบี่ใหญ่ เลยไม่ใช่เรื่อง
ใหญ่อะไร” ตี้ฉานพูดอย่างเศร้าๆ “และแล้วเรื่องที่เกิดในคืนวันนั้น มัน
ก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปหมด”

เจ้าเกาะเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วพูดว่า “ชะตาฟ้าลิขต


ิ พวกเราถูกลิขิต
ให้ต้องเขาไปพัวพันเรื่องนี้ท้ังหมด ไม่มีใครหนีชะตากรรมไปได้” เขา
ส่ายหน้า สีหน้าของเขาดูหดหู่
เล่มที่ 49 บทที่ 1469 ลูกไฟ

ตี้ฉานเสียงอ่อนโยนมาก ทุกคนเฝ้าจับตามองไปที่นาง ฉีหนิงตั้งใจ


ฟังเรื่องราวที่ไม่มีใครรู้ในตอนนั้นอย่างตั้งใจ

ตอนนี้เป่ยถังชิง่ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “มันเกิด


อะไรขึ้นกันแน่ ต่อมาทําไมทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนไป”

ตี้ฉานไม่ได้สนใจเป่ยถังชิ่งเลย แต่กลับมองไปที่เจ้าเกาะ เจ้าเกาะ


เห็นดังนั้น ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “คืนนั้นท้องฟ้าแปรปรวน บนฟ้า
เหมือนมีลก
ู ไฟตกลงมา อีกทั้งยังตกไปทางเมืองหลวง หลายคนเห็นมัน
พุ่งไปที่เขาต้าเสวียซาน”

“ลูกไฟเหรอ?” ฉีหนิงตะลึงไป

ตี้ฉานพูดว่า “มันเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ ที่พุ่งตกลงไปที่เขาต้า


เสวียซาน ตอนนั้นเหมือนว่าฟ้าดินสะเทือนไปหมด”

ฉีหนิงสะดุ้ง เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ลูกไฟขนาดใหญ่ตกลงมา


ที่เขาต้าเสวียซาน ลูกไฟที่ว่านั่นน่าจะเป็นอุกาบาทหรือเปล่า? มัน
อาจจะเป็นไปได้

หรือว่าต้าจงซือพวกนี้ มีความเกี่ยวข้องกับลูกไฟที่ว่านั่น?
เป่ยถังชิง่ พูดว่า “ท้องฟ้าแปรปรวน อีกทั้งยังมีลูกไฟตกไปที่เขาต้า
เสวียซานด้วย อ๋องกู่เซี่ยงไม่มีทางพลาด เขาได้สง่ คนออกไปตามหารึ
เปล่า?”

“แน่นอน” เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “อ๋องกู่เซี่ยงคิดว่ามีสมบัติอะไร


ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า เลยสั่งให้คนออกค้นหาทั่วภูเขา อีกทั้งเขายัง
กังวลว่าเราจะเข้าไปแทรกแซง แอบขโมยสมบัติของเขาไปจากเขาต้า
เสวียซาน ดลยสั่งให้คนเฝ้าเราเอาไว้ เกรงว่าเราจะหนีข้น
ึ เขาไป”

“แต่พวกเจ้าก็ยงั ไปที่เขาต้าเสวียซานกันใช่ไหม” ฉีหนิงพูด

เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “แผนการหลอกล่อของโหวเยว่ หลังจาก


เกิดเรื่องขึ้น อ๋องกู่เซี่ยงห่วงแต่ทางเขาต้าเสวียซาน เลยไม่ได้สนใจทาง
คณะทูตเลย โหวเยว่เลยพาคนคณะทูตเดินทางกลับ อ๋องกู่เซี่ยงแสร้ง
ทําทีเป็นรั้งตัวเอาไว้ แต่ไม่นานก็รับปาก หลังจากคณะทูตออกเดินทาง
แล้ว อ๋องกู่เซี่ยงยังสั่งให้คนมาส่งออกจากเมืองหลวงกว่าร้อยลี้ หลังจาก
นั้นก็ยังให้สายลับแอบติดตามตลอด เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ออกจาก
ดินแดนของกู่เซีย
่ งไปแล้ว”

เป่ยถังชิง่ พูดว่า “พวกเจ้าใช้คณะทูตเพื่อปกปิด แล้วแอบออกจาก


คณะทูตไป สายลับของแคว้นกู่เซี่ยงไม่อาจเข้าใกล้ได้มากนัก เลยคณะ
ทูตกลับออกไปแล้ว เลยคิดว่าพวกเจ้าออกจากแคว้นไปพร้อมคณะทูต
ด้วยสินะ”
“สมแล้วที่เป็นขุนพลมือหนึ่งแห่งเป่ยฮั่น แผนการการหลอกล่อ
ของโหวเยว่น้ันท่านน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี” เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า
“โหวเยว่พาข้ากับผู้ติดตามไปด้วยสองคนออกจากคณะทูตไป ท่านพี่เป่
ยกงกับพวกรวมสี่คนก็ออกจากคณะทูตไปด้วยเช่นกัน” เขายกมือลูบ
เคราแล้วพูดว่า “โม่ฝูยังไม่มีพ้ น
ื ฐานวรยุทธ์เลย ถึงแม้จะรู้ว่าการ
เดินทางไปที่เขาต้าเสวียซานจะอันตรายมาก แต่เขาก็ยังตามไปด้วย ใจ
กล้ามากเลยทีเดียว หากตอนนั้นเขาเดินทางกลับไปพร้อมกับคณะทูต
ไม่แน่ว่ามันอาจเป็นเรื่องดีสําหรับเขาก็ได้”

เป่ยถังชิง่ ยิ้มแล้วพูดว่า “โม่ฝูเป็นคนนําทางของเทพกระบี่ การ


ติดตามเทพกระบี่ไปนั้นมันก็ถือว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว เพียงแต่เสด็จอา
พาเจ้าเกาะขึ้นเขาต้าเสวียซานไป เรื่องนี้คาดไม่ถึงจริงๆ”

“ข้าเป็นทาสของเขา อยู่รับใช้เขาทั้งวันทั้งคืน พาข้าไปที่เขาต้า


เสวียซานด้วย มันอาจเป็นรางวัลแก่ขา้ ก็ได้” เจ้าเกาะพูดว่า “พวกเรา
ปลอมตัวเป็นชาวกู่เซี่ยง พอเข้าไปใกล้เขาต้าเสวียซาน ห่างประมาณ
ร้อยกว่าลี้ ถึงแม้เราจะรู้ว่ามีลก
ู ไฟตกมาที่เขาต้าเสวียวาน แต่อยูต
่ รงจุด
ไหน ไม่มีใครรู้ อ๋องกู่เซีย
่ งสั่งกําลังพลกว่าพันคนค้นหาทั่วภูเขา อีกทั้ง
ยังปิดเส้นทางเข้าออกเข้าทั้งหมด คนทั่วไปอย่าว่าแต่ข้น
ึ เขาเลย เข้า
ใกล้ยังยาก”

“ถ้าอย่านั้นพวกท่านขึ้นเขาไปได้ยังไง?” ฉีหนิงถาม
เจ้าเกาะพูดว่า “ท่านพีเ่ ป่ยกงหาชาวเหมียวมานําทางให้จนเขา
สามารถเดินออกจากเขาของชายแดนเหมียว เราเองก็หาคนมานําทาง
ขึ้นเขาต้าเสวียซานเหมือนกัน ใกล้ๆ เขาต้าเสวียซานนั้นมีวัดอยู่ไม่น้อย
ถึงแท้จะเทียบตําหนักเทพไม่ได้ แต่ว่าอ๋องกู่เซีย
่ งก็เคารพเหล่านักบวช
พวกนี้มาก โหวเยว่ส่งอครักษ์ไปที่วัดแห่งหนึ่งในกลางดึกแล้วจับ
นักบวชคนหนึ่งมาช่วยนําทางให้ จากนั้นก็ฆ่าปิดปากพวกลามะในวัดที่
เหลือเพื่อปิดปาก หากพูดถึงความเหี้ยมโหดแล้ว โหวเยว่ไม่เป็นรองใคร
เลย”

“นักบวช?” ฉีหนิงปลายตากระตุก เขาพูดว่า “หรือว่าจะเป็น ...


ฝ่าอ๋อง?”

“ในเวลานั้นเขาเป็นแค่ลามะคนหนึ่งเท่านั้น ลามะแบบเขา มีเป็น


หมื่นในดินแดนแคว้นกู่เซี่ยง” จากน�าเสียงของเจ้าเกาะเหมือนจะไม่
ค่อยพอใจ “ท่านพี่เป่ยกงท่านยังจําได้ไหม ตอนที่ฝ่าอ๋องถูกจับตัวมา
เขาเหมือนตกใจฉี่แทบราด”

เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้สนใจเชา ยังคงหลับตาไม่พด
ู อะไร
เหมือนเดิม

“ฝ่าอ๋องเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้ ดังนั้นเลยยอมพาพวกท่าน
ขึ้นเขาไปงั้นเหรอ?”
“เหมือนว่าเราจะหาถูกคนด้วยนะ” เจ้าเกาะยิ้มแล้วพูดว่า “เขาต้า
เสวียซานมีทางขึ้นเขาหลายที่ที่ถูกปิด แต่ว่าเขาขนาดใหญ่ ต่อให้มส
ี ัก
หมื่นคนมันก็ปด
ิ ไม่มิดหรอก เจ้านักบวชรู้จักเส้นทางบนเขาเป็นอย่างดี
เขาพาเราไปทางลัด” พอพูดถึงตรงนี้ รอยยิม
้ บนใบหน้าของเขาก็
หายไป เขาส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากรู้ว่าการขึ้นเขาครั้งนั้น
จะไม่ต่างกับการไปแวะที่นรกมา เราอาจจะไม่ได้ร้อนรนอยากจะขึ้นเขา
ไปดูสมบัติแบบนั้นก็ได้”

ฉีหนิงคิดถึงความอันตรายบนเขา เขาก็เสียวสันหลัง

วันนั้นเขาถูกซีเหมินอู๋เหิงพาขึ้นเขาไป ยิ่งปีนสูงเท่าไหร่ อากาศมัน


ก็น้อยลงเท่านั้น ความหนาวเย็นมันทิ่มแทงไปถึงกระดูก หากไม่ใช่
เพราะมีกําลังภายในแก่กล้า คิดว่าคงหนาวตายบนเขาไปแล้ว

เส้นทางบนเขาก็เดินยาก ถูกหิมะปกคลุมไปหมด เดินทีเหมือน


เหยียบอากาศ เพราะถ้าเดินพลาดมันคือตกหน้าผาลงไปเลย อีกทั้งยังมี
หิมะถล่มอยู่เป็นระยะ เขาต้าเสวียซานหากมองมาจากที่ไกลๆ มันจะ
เป็นสีขาวดูสบายตาและงดงามมาก แต่ว่าหากอยู่บนเขา มันไม่ต่าง
อะไรกับอยู่ในนรกเลย

“หากไม่ใช่เพราะหย่าหนู เกรงว่าเจ้าเกาะคงไม่ได้มายืนพูดอยู่
อย่างนีห
้ รอกจริงไหม?” ตี้ฉานพูด
เจ้าเกาะพยักหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้าเดินพลาด
เกือบจะหน้าผาตาย หย่าหนูรีบจับมือของข้าเอาไว้ แล้วพยายามดึงข้า
ขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะท่านพี่เป่ยกงปฏิกิริยาไวรีบจับขาของหย่าหนู
เอาไว้ ข้ากับหย่าหนูก็คงตกเหวตายไปแล้ว” เขามองไปบนท้องฟ้าแล้ว
พูดว่า “เดิมทีเขาจะปล่อยมือเพื่อรักษาชีวิตตัวเองก็ได้ แต่ว่าหย่าหนูก็
ไม่ได้ทําแบบนั้น ข้าติดหนี้ชีวิตเขาจริงๆ”

ในที่สุดเป่ยกงเหลียนเฉิงก็พูดขึ้นมา “หากไม่ใช่เพราะหย่าหนูผลัก
ข้าออก ข้า ... อาจจะถูกก้อนหิมะทับตายไปแล้วก็ได้” น�าเสียงของเขา
เรียบเฉย ไม่มอ
ี ารมณ์ความรู้สก
ึ อะไรเลย แต่ว่าสิ่งที่เขาพูดมันพิสูจน์
แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเกาะหรือว่าเป่ยกงเหลียนเฉิง เรื่องที่เกิดขึ้นที่
เขาต้าเสวียซานนั้น หย่าหนูชว
่ ยพวกเขาเอาไว้ โดยไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง
เลย

บนเขาต้าเสวียซานที่กว้างใหญ่ ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ สถานที่


ที่อันตรายและหนาวเหน็บ หากต่างคนต่างไป คงไม่มีใครรอดไปจาก
เขานี้ได้แน่นอน

เพราะในเวลานั้นคนกลุ่มนี้ อย่าว่าแต่ต้าจงซือเลย ยอดฝีมือขั้นสูง


สักคนก็ไม่มี
“พวกเจ้าหาลูกไฟเจอไหม?” เป่ยถังชิ่งเหมือนจะไม่ค่อยสนใจ
เรื่องที่พวกเขาเจอบนเขาต้าเสวียซานเท่าไหร่ อยากจะรู้แต่ว่าลูกไฟ
ที่ว่านั่นมันคืออะไร

เจ้าเกาะเหลือบไปมองเป่ยถังชิ่งแล้วพูดว่า “หากไม่เป็นเพราะได้
เจอลูกไฟนั่นจะมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกันล่ะ?”

ก่อนหน้านี้ฉห
ี นิงเดาว่ากลุ่มคนพวกนี้ได้เป็นห้าต้าจงซือ อาจเป็น
เพราะลูกไฟเป็นเหตุ ตอนนี้พอเจ้าเกาะพูดมาแบบนี้ ฉีหนองเหมือนจะ
แน่ใจแล้ว ลูกไฟนั่นคือจุดเริม
่ ต้นของต้าจงซือ

“ลูกไฟนั่นมันเป็นอะไรกันแน่?” เป่ยถังชิ่งจี้ถาม

เจ้าเกาะเริ่มไม่พอใจ เขาพูดว่า “ชางหลิงโหวเหมือนจะสนใจเรื่อง


นี้มากเลยนะ หรือว่าเจ้าก็จะขึ้นเขาไปค้นหาของดีแบบนี้ด้วย? ความลับ
เรื่องนี้พวกเจ้าได้รับรู้กันวันนี้ พวกเจ้าคิดเหรอว่าจะมีโอกาสรอดไปจาก
เกาะนีไ้ ด้อีก?”

เป่ยถังชิง่ ขมวดคิ้ว ฉีหนิงกับชื่อตันเหมยสายตาแปลกใจมาก

ฉีหนิงรู้สึกขําในใจ เมื่อกี้เขาได้ประเมินแล้วว่า วันนี้ตี้ฉานกับเจ้า


เกาะในเมื่อพูดความลับเรื่องนี้ออกมา ก็ไม่มีทางให้คนที่ได้ยินเรื่องนี้
ออกไปจากเกาะนีไ้ ด้แน่นอน
ปริศนาของต้าจงซือ เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็อยากจะรู้ท้ังนั้น เพราะ
ตั้งแต่โบราณนานมา ไม่มีใครสามารถทะลวงขีดจํากัดของร่างกาย ไปสู่
จุดสุดยอดของวรยุทธ์ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่าว่าแต่หนึ่งเลย จะ
ใช้คําว่ามหัศจรรย์มาบรรยายยังได้เลย แต่ว่านีม
่ าพร้อมกันถึงห้าคน มัน
จะบอกว่าบังเอิญมันก็อธิบายไม่ได้ เรื่องนี้ยังไงก็ต้องมีความลับอะไร
ซ่อนอยู่แน่นอน

เหล่าต้าจงซือปิดปากสนิทมากมากว่าสิบปี วันนี้ในเมื่อเจ้าเกาะ
ไม่ได้ปกปิดมันอีกต่อไป นั่นแสดงว่าเขาคิดวิธีจัดการปัญหาเอาไว้
เรียบร้อยแล้ว เขาจะต้องปิดปากพวกฉีหนิงให้สนิทอย่างแน่นอน

“มันเป็นแค่ก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น” เจ้าเกาะนิ่งไปแล้วถึงพูดว่า
“ก้อนหินขนาดใหญ่มากก้อนหนึ่ง”

“ก้อนหินงั้นเหรอ?” ฉีหนิงสะดุ้ง ที่เจ้าเกาะพูดมา เหมือนจะยืนยัน


สิ่งที่เขาคิด

ตี้ฉานถอนหายใจแล้วพูดว่า “เป็นก้อนหินสีดําเงางามก้อนใหญ่
มาก”

“มันเหมือนไข่ไก่ขนาดใหญ่มากก้อนหนึ่ง แต่มน
ั ทาสีดําสนิท แล้ว
เอานน�ามันมาทาเคลือบไว้” เจ้าเกาะรีบพูดต่อว่า “หากไม่ใช่เพราะเรา
ไปลูบมันถึงได้รู้ว่ามันเป็นก้อนหิน ไม่อย่างนั้นเรายังคิดว่ามันเป็นแป
ลือกไข่ที่ตกลงมาจากสวรรค์ หินสีดําก้อนนั้นมันตกลงมาจากฟ้าทําให้
เกิดหลุมขนาดใหญ่ หิมะรอบๆ ละลายไปเกือบหมด หินงอกหินย้อยที่มี
ก็มีร่องรอยการเกิดไฟไหม้ เราจึงมั่นใจว่ามันคือลูกไฟที่อ๋องกู่เซี่ยงเห็น
ตอนมันอยู่บนฟ้ามันมีกลุ่มไฟขนาดใหญ่ห่อหุม
้ มันอยู่ พอตกลงมาบน
เขาแล้ว ไฟมันก็ดับไป เลยกลายเป็นหินสีดําขนาดใหญ่”

ชื่อตันเหมยที่ไม่ได้พูดอะไรเลยแต่แรกก็พด
ู ขึ้นมาว่า “เขาต้า
เสวียซานใหญ่มาก อ๋องกู่เซี่ยงสั่งให้คนออกค้นหาไปทั่ว พวกเขาเป็นคน
ของแคว้นกู่เซี่ยง รู้จักเขาต้าเสวียซานดีกว่าพวกท่าน แต่ว่าสุดท้ายก้อน
หินนั่นกลับเป็นพวกท่านที่พบก่อน มันเหมือนเป็นลิขิตสวรรค์เลยนะ”

เป่ยถังชิง่ พูดว่า “หากมันเป็นแค่ก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น แล้ว


ชะตาชีวิตของพวกท่านจะเปลี่ยนไปได้ยังไงกันล่ะ? ก้อนหินนั่นมันมี
ความลับอะไรกันแน่?”

ฉีหนิงแน่ใจแล้วในตอนนี้ หินสีดําก้อนใหญ่ที่เจ้าเกาะพูดถึงนั้น มัน


คือหินอุกาบาทที่ตกลงมาจากฟ้า ระหว่างที่ตกลงมา เกิดการเสียดสีกับ
ช่องอากาศทําให้เกิดไฟเผาไหม้ ดังนั้นคนในเมืองหลวงกู่เซี่ยงถึงได้เห็น
ว่าเป็นลูกไฟตกลงมาที่เขาต้าเสวียซาน ที่น่น
ั เป็นสถานที่ที่หนาวมาก
หินอุกาบาทตกลงมายังไงไฟก็ต้องดับอยู่แล้ว
นั่นก็หมายความว่า หลังจากคนพวกนีก
้ ลายเป็นต้าจงซือแล้ว อีก
ทั้งยังมีความสามารถในการรักษาความหนุ่มสาวเอาไว้ ก็เป็นเพราะหิน
อุกาบาทก้อนนีส
้ ินะ?

“ตอนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าหินก้อนนั้นจะนําพาอะไรมาบ้าง” ตี้ฉานพูดว่า
“รอจนกระทั่งมันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทุกอย่างก็ไม่อาจแก้ไขได้
อีก”
เล่มที่ 49 บทที่ 1470 ถูกทิ้ง

ตี้ฉานพูดถึงตรงนี้ ฉีหนิงก็เริ่มคาดเดาที่มาที่ไปของต้าจงซือได้แล้ว

ก้อนหินก้อนนั้น ฉีหนิงเชื่อว่ามันคือหินอุกาบาท มันมี


ส่วนประกอบอะไรบ้าง ฉีหนิงไม่รู้ แต่เขามั่นใจมากว่า มันะต้องเป็นสิง่ ที่
ทําให้พวกเขาเหล่านี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิง่ ใหญ่ในชีวิตเลย

ก้อนหินอุกาบาทันอาจจะปล่อยรังสีอะไรบางอย่างออกมา แล้ว
เข้าไปในร่างกายของพวกเขา แต่ว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่รู้ตัว

ฉีหนิงเชื่อว่ามันเหมือนรังสีนิวเคลียร์ แต่มันไม่ใช่รังสีนว
ิ เคลียร์
แน่นอน เพราะถ้าเป็นรังสีนิวเคลียร์ พวกเขาน่าจะตายกันไปนานแล้ว
ไม่มีทางยังอยู่มาได้ถึงตอนนี้

การยิงรังสีแบบนั้นมันเป็นการทําลายชีวิตและร่างกายมนุษย์ ไม่
ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อร่างกาย

ฉีหนิงรู้ว่า ต้าจงซือสามารถมีร่างกายที่เหนือมนุษย์ได้ ที่จริงแล้ว


เพราะพวกเขามีเส้นชีพจรไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาสามารถ
รับแรงปะทะจากพลังฟ้าดินได้ อีกทั้งยังสามารถเดินลมปราณควบคุม
พลังฟ้าดินด้วย
แต่ว่ายังไงพวกเขาก็ยังมีร่างกายเป็นมนุษย์ พอพื้นฐานทั่วไปของ
ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเลยทําให้รา่ งกายของพวกเขามีพลังที่
น่ากลัว แต่ก็ต้องทนทุกข์เพราะเหตุนี้ด้วย

ตามตํานานเล่าขานในยุทธภพ ไม่เคยมีต้าจงซือที่เป็นเหมือนตัว
ประหลาดแบบนี้มาก่อน แต่ว่าในยุคนีก
้ ลับมีต้าจงซือปรากฎตัวหลาย
คนพร้อมกัน ฉีหนิงไม่รูว
้ ่าทําไมถึงได้เกิดอัศจรรย์แบบนี้ข้ึนได้ แต่ว่า
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ต้าจงซือเกิดขึ้นในสถานที่เดียวกัน เกิดการ
เปลี่ยนแปลงทางร่างกายเหมือนกัน เป็นเพราะก้อนอุกาบาทก้อนนั้น
นี่เอง

ตี้ฉานพูดถูก ก้อนอุกาบาทนั่นถึงแม้จะทําให้พวกเขาเกิดการ
เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในทันที หลังจากได้รบ
ั รังสีเข้า
ร่างกายไปแล้ว มันจะต้องใช้เวลาในการกระจายตัว ทําให้ร่างกายของ
คนเราค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป พวกเขาไม่พบความผิดปกติอะไรในตอน
ที่อยู่เขาต้าเสวียซาน รอจนร่างกายเริ่มเปลี่ยนมันก็หนีไม่พ้นแล้ว

“ถึงแม้เราจะเจอก้อนหินสีดําบนเขา แต่ว่าใครก็ไม่รู้ว่ามันมีไว้ใช้
ประโยชน์อะไร อีกทั้งต่อให้มันเป็นของล�าค่า เราก็ไม่สามารถนํามัน
ออกจากเขาต้าเสวียซานได้” ตี้ฉานพูดว่า “อ๋องกู่เซี่ยงส่งคนนับพันคน
ค้นหาทั่วเขา แต่เรากลับเจอก่อน อาจเป็นเพราะชะตาที่ถูกเราใช้ไปจน
หมด เรายังไม่ทันออกจากที่น่น
ั ภูเขาก็เริ่มถล่ม”
ทุกคนตะลึงไปกันหมด

“อาจเป็นเพราะตอนที่มน
ั หล่นลงมาบนเขา ทําให้ปก
ี สองข้างบน
เขามันแตกหัก ตอนเราพบหินก้อนนั้นของเราไม่นาน หิมะก็เริ่มถล่มลง
มาแล้ว” ตี้ฉานมองไปที่เป่ยกงเหลียนเฉิง แล้วพูดว่า “หากเราอยู่ที่น่น

ต่อไป ยังไงก็ต้องตายแน่ ดังนั้นหย่าหนูก็เลยแบกข้าขึ้นหลังแล้ววิ่งหนี
ส่วนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว” ปากของนางเริม
่ แปลกไป
“หลังจากหิมะถล่มลงมาแล้ว หินทั้งสองข้างก็เริ่มหล่นลงมาราวกับสาย
ฝร องครักษ์ที่ติดตามโหวเยว่มาสองคนถูกหินทับจนตาย หากพวกเขา
ไม่ตาย บนโลกอาจจะมีต้าจงซือเพิ่มอีกสองคน”

เจ้าเกาะถอนหายใจ แล้วส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดอะไร

“โม่ฝูถก
ู หินทับที่ขา ส่วนพวกเจ้าก็หนีเอาตัวรอดไปหลบกันหมด
ไม่มีใครสนใจเขาเลย” ตี้ฉานน�าเสียงอ่อนโยนมาก เหมือนว่าเรื่องที่
เกิดขึ้นมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลย “หย่าหนูเติบโตมาที่หนานเจียง
เขาเป็นคนว่องไวมาก เขาอาศัยบนเขาตั้งแต่เล็ก ดังนั้นพอถึงเวลาคับ
ขัน เขาถึงได้คล่องแคล่ว สามารถออกจากที่อันตรายได้โดยใช้เวลาไม่
นาน เขาหันกลับไปเห็นโม่ฝูถก
ู หินทับ แต่ไม่มใี ครไปช่วยเลย อาจต้อง
ตายแน่ เขาเลยวางข้าลง แล้ววิ่งกลับไปช่วยโม่ฝู ทําให้โม่ฝูรอดชีวิตมา
ได้” พอพูดถึงตรงนี้ ตี้ฉานก็เงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “เราทุกคนขึ้น
เขาไปพร้อมกัน ทุกครั้งที่เจออันตราย หย่าหนูเป็นคนเดียวคนแรกที่ไป
ช่วยพวกเจ้าโดยไม่คิดชีวิต เพราะว่าในใจของเขา เห็นพวกเจ้าเป็น
สหาย”

ฉีหนิงตอนนี้ก็เริม
่ เดาได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ท่าทางของเขา
เคร่งเครียดมาก

“ถึงแม้โม่ฝูจะถูกช่วยออกมาได้ แต่ว่าหย่าหนูกลับถูกหินตกใส่
แทน หินมันทับจนเขาขยับตัวไม่ได้เลย” น�าเสียงของตี้ฉานยังคงนิ่ง
เรียบ “พวกเจ้าเห็นไหมว่าเขายกมือขอให้ช่วยอยู่? เขาเห็นพวกเจ้าเป็น
สหาย ตอนที่พวกเจ้ามีภัย เขาไม่สนใจชีวิตไปช่วยพวกเจ้า ดังนั้นเขาถึง
ได้คิดว่าถ้าเขามีภัย พวกเจ้าเองก็จะไปช่วยเขาโดยไม่คิดชีวิต
เหมือนกัน” พูดถึงตรงนี้ นางก็หัวเราะแบบร้ายๆ ออกมา “เขาร้องเสียง
ดังแบบนั้น แต่ว่าพวกเจ้าแค่มอง เห็นเขาเหมือนหมาตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่
มีใครยอมออกไปช่วยเขาเลยแม้แต่คนเดียว”

เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม่นางมู่ ตอนนั้นสถานการณ์คับ


ขัน เราเองก็ ...” เขาเหมือนรู้สึกว่าไม่ว่าจะหาเหตุผลอะไร ก็ไม่สามารถ
อธิบายเรื่องที่เห็นคนกําลังจะตายต่อหน้ากลับไม่ช่วยไม่ได้เลย เขาทํา
ได้แค่สา่ ยหัว

ตี้ฉานถอนหายใจเศร้าๆ แล้วพูดว่า “เขาเข้าใจที่พวกเจ้าไม่ชว


่ ย
เขา เขาเลยไม่รอ
้ งอีกเลย เขาแค่มองมาที่ข้า ข้ารู้ว่าเขาไม่อยากให้ข้าไป
ช่วยเขา เขาหวังที่จะให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ตลอดชีวิตของเขาเขาแทบไม่
ยิ้มเลย แต่ว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่งดงามที่สุดที่ขา้ เคยเห็น ตอนนั้นข้าถึงได้
เข้าใจว่า ที่แท้สงิ่ ที่สําคัญที่สุดในชีวิตของข้าก็อยู่ข้างกายของข้ามา
ตลอด แต่ว่าข้ากลับมองไม่เห็นมันเลย ตอนที่ข้ามองเห็นมัน เขากลับ
จากข้าไปแล้ว” ถึงแม้ใบหน้าของนางยังคงนิง่ เรียบ แต่น�าเสียงของนาง
เหมือนจะสะอื้น “ข้าไม่ต้องการให้เขาจากไป ต่อให้สวรรค์จะไม่เห็นใจ
เขา แต่ว่าข้าจะไม่ยอมปล่อยมือเขาไป”

ชื่อตันเหมยดวงตาแดงก�า น�าเสียงของนางสะอื้นเหมือนกัน
“ดังนั้นท่านก็เลยกลับไปช่วยเขาอย่างนั้นเหรอ?”

เจ้าเกาะพูดว่า “แม่นางมู่ ตอนนั้นข้าเห็นเจ้าวิ่งออกไป ข้าเองก็


อยากจะวิ่งออกไปเหมือนกัน แต่ว่าในตอนนั้น หิมะบนเขามันถล่มลงมา
อีก หันไปอีกทีขา้ ก็ไม่เห็นเจ้าแล้ว อีกอย่างหิมะก็ปด
ิ เส้นทางด้วย ข้า
อยากจะช่วยก็ทําไม่ได้” เขาพูดว่า “พอเราถอยไปยังที่ปลอดภัยแล้ว
กลับไปที่เดิมอีกครั้ง ก็ไม่เห็นพวกเจ้าแล้ว ในสถานการณ์แบบนั้น เรา ...
เฮ้อ เราก็คิดว่าพวกเจ้าตายไปแล้ว”

“หากเราตายอยู่บนเขาต้าเสวียซาน ความลับในวันนั้นก็จะไม่มี
ใครรู้อีก” ตี้ฉานยิ้มแล้วพูดว่า “ความองอาจน่าเกรงขามของต้าจงซือ
ไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้าบนโลกใบนี้ แต่ใครจะรู้ล่ะว่า ต้าจงซือก็เป็นแค่
คนที่ไม่รู้จักบุญคุณคนเป็นแค่คนที่ต�าช้าคนหนึ่งเท่านั้น”

ฉีหนิงถอนหายใจเฮือกใหญ่
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เจ้าลัทธิบัวดําทําไมถึงบอกว่าต้าจงซือล้วน
แต่เป็นคนต�าช้า ซึ่งนั่นมันหมายรวมถึงเขาด้วย

บนเขาต้าเสวียซาน ทุกคนประสบภัยกัน ล้วนแต่ได้หย่าหนูคอย


ช่วยเหลือคนที่เขาคิดว่าเป็นสหายของเขาตลอด ก็อย่างที่ตี้ฉานพูด
หย่าหนูทําแบบนั้น ก็เพราะเขาเห็นทุกคนเป็นเพื่อน แต่ว่าพอเขาต้อง
ประสบเคราะห์บ้าง พวกเขาห่วงแต่ตัวเอง ไม่มใี ครยอมช่วยเขาสักคน

ฉีหนิงคิดถึงตอนที่เขาอยู่บนเขาต้าเสวียซาน เจ้าลัทธิพาเขาไปที่
หุบเขาแห่งหนึ่งบนเขา เขาคุกเข่าลงตรงหน้าหุบเขานั้น ตอนนั้นฉีหนิง
ยังไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง

แต่ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว เจ้าลัทธิพาเขาไปที่น่น
ั คิดว่า
น่าจะเป็นที่ที่เกิดหิมะถล่มในตอนนั้น หุบเขานั่นถูกหินปิดทางเข้าออก
อุกาบาทยักษ์ก็ถูกฝังลงไปที่น่น
ั ด้วย ส่วนเจ้าลัทธิคิดว่ามู่เจี้ยนเจียกับ
หย่าหนูเองก็ถูกฝังอยู่ในนั้น หย่าหนูมบ
ี ุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
หลังจากความทรงจําของเขากลับมา เขาเลยไปยังที่เกิดเหตุในเวลานั้น
การคุกเข่าในครั้งนั้น ที่จริงมันคือการคารวะหย่าหนู หรืออาจจะเป็น
การสํานึกผิดที่ตอนนั้นเขาไม่ได้กลับไปช่วยหย่าหนูก็ได้

เจ้าลัทธิรู้สึกผิดต่อหย่าหนู แล้วก็รู้สึกผิดต่อตี้ฉานด้วย
เพราะเหตุนี้ เจ้าลัทธิพอได้เห็นว่ามู่เจี้ยนเจียยังมีชีวิตอยู่ เขาถึงได้
ตกใจมาก อีกทั้บยังบอกว่าชีวิตของเขาเป็นของตี้ฉาน นางเอามันไปได้
ทุกเมื่อ

ฉีหนิงไม่รู้เลยในตอนนั้นว่าเจ้าลัทธิกับตี้ฉานมีความเกี่ยวข้องอะไร
กัน แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว ในใจของเจ้าลัทธิ มู่เจี้ยนเจียกับหย่าหนูคือคนๆ
เดียวกัน เขาถูกหินทับขา หย่าหนูไปช่วยเขาโดยไม่คิดชีวิต ทําให้เขา
รอดมาได้ บุญคุณของหย่าหนู ก็เท่ากับตี้ฉานมีบุญคุณกับเขา ดังนั้นเจ้า
ลัทธิติดหนี้บุญคุณชีวิตตี้ฉาน

“ที่จริงคนอื่นคิดว่าพวกเจ้าตายไปแล้ว แต่พวกเจ้ากลับยังรอดมา
ได้” เป่ยถังชิ่งถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านกับผู้อาวุโสหย่าหนูลงจาก
เขามา ไม่มีใครรู้เลยเหรอ”

“ตอนที่หิมะถล่มลงมา พวกเขาคิดแต่จะเอาตัวรอดอย่างเดียว ข้า


วิ่งไปยกหินออก พอหันกลับมา เส้นทางก็ขาดไปแล้ว” ตี้ฉานพูดว่า “ข้า
แบกหย่าหนูข้น
ึ มา รอบๆ มีแค่หินที่หล่นลงมาก คิดว่ายังไงก็คงตายแน่
แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเรายังไม่ตาย ข้าถูกขังอยู่ในนั้นกับหย่าหนูหกวัน
สุดท้ายก็ทําลายหินออกมาได้” นางทําหน้าประหลาดมาก “พวกเจ้ารู้
ไหมว่าหกวันที่เราอยู่ในนั้นเรารอดมาได้ยังไง?”

ฉีหนิงเคยอยู่บนเขามาก่อน รู้ว่าบนเขาอากาศมันน้อยมาก อีกทั้ง


ยังอากาศหนาวมากด้วย คนทั่วไปไม่มท
ี างทนไหว หลังหิมะถล่มลฃงมา
ตี้ฉานกับหย่าหนูถูกขังอยู่ในหุบเขาหิน ไม่มีอาหารกับน�าเลย ไม่มีทาง
ทนได้เกินสองวัน ทนได้ถึงหกวัน มันน่าเหลือเชื่อมาก

“หิมะมันลดความหิวน�าได้ แต่ทําให้อิ่มท้องไม่ได้” ตี้ฉานยิม


้ แล้ว
พูดว่า “ต้องการให้อ่ิมท้อง ทําได้แค่ต้องกินเนื้อเท่านั้น”

“กินเนื้อเหรอ?” ชื่อตันเหมยหลุดพูดออกมา

ทุกคนเหมือนจะตกใจมาก

คนที่อยู่บนเกาะเสวียอู่ ไม่มีใครโง่เลยสักคนเดียว สถานการณ์


แบบนั้น ตี้ฉานกับหย่าหนูแค่หมั่นโถวยังหาไม่ได้เลย จะมีเนื้อกินได้
ยังไง? ทุกคนรู้ดี เนื้อที่นางหมายถึงนั้น มันคืออะไร

“หย่าหรูอดทนอยู่กับข้าถึงหกวัน ที่จริงแล้วตอนที่หม
ิ ะถล่มลงมา เขา
ถูกหินทับใส่ เขาบาดเจ็บสาหัสมากแล้ว” ตี้ฉานค่อยๆ พูดว่า “แต่ว่าเขา
ไม่พด
ู อะไรเลยแม้แต่เขาเดียว เขารอจนข้าหาทางออกไปได้ เขาก็ทนไม่
ไหวอีกต่อไป เขาล้มลง การล้มลงของเขาในคราวนั้น เขาก็ไม่เคยลุก
ขึ้นมาได้อีกเลย”
เล่มที่ 50 บทที่ 1471 บุญคุณความแค้น

เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตี้ฉานค่อยๆ เล่าออกมาจน


หมด มันทําให้พวกฉีหนิงคิดว่าเรื่องราวมันก็เหมือนเกิดขึ้นตรงหน้า

“เขา ... ยังอยู่ใช่ไหม?” หลังจากเป่ยกงเหลียนเฉิงนิ่งไปนานใน


ที่สุดก็เอ่ยปากถามขึ้นมา

ตี้ฉานยิม
้ แล้วพูดว่า “เทพกระบี่ยังสนใจอยู่อีกเหรอว่าเขาจะเป็น
หรือตาย?” น�าเสียงของนางอ่อนโยนมาก แต่ว่ายิง่ เป็นแบบนี้ มันก็ยงิ่
แสดงให้เห็นว่านางกับเป่ยกงเหลียนเฉิงนั้นห่างไกลกันมาก

ตี้ฉานในวันนี้ เหมือนไม่ใช่ผห
ู้ ญิงที่เป็นเงาติดตามตัวเขาเหมือนใน
อดีตอีกแล้ว

ฉีหนิงรู้ดีว่า หากไม่มีอะไรผิดพลาด เกรงว่าหย่าหนูนา่ จะยังมีชีวิต


อยู่

หลายสิบปีที่ผ่านมาตี้ฉานพยายามหาทางช่วยชีวิตคนๆ หนึ่ง คิด


ว่าก็คงเป็นหย่าหนู

“หากยาเม็ดเสวียนอู่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ เจ้าก็เอามันไปได้
เลย” เป่ยกงเหลียนเฉิงเหลือบไปมองเต่ายักษ์
เจ้าเกาะกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกงคิดวางแผนเอาไว้อย่างดี
เลยนะ รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย กลับแสร้งทําตัวเป็นคนดีข้ึนมา”
เขาส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากท่านทําเพื่อหย่าหนูจริง ทําไม
ตอนนั้นท่านถึงได้หนีเอาชีวิตรอดโดยไม่ช่วยเขาล่ะ? ท่านไม่เพียงไม่
สนใจหย่าหนู แม้แต่ตอนที่แม่นางมู่วิ่งออกไปช่วยเขา ท่านก็ไม่สนใจ
เลยแม้แต่นิดเดียว ยาเม็ดสวียนอู่ไม่ใช่ของท่าน ท่านมีสิทธิอะไรมาบอก
ยกให้คนอื่น? อีกอย่างข้ากับแม่นางมูต
่ กลงกันไว้แล้ว ไม่เพียงจะนํายานี่
ไปช่วยหย่าหนู ยังจะจัดการบัญชีเก่าด้วย”

“บัญชีเก่า?” เป่ยกงเหลียนเฉิงยิ้มมุมปาก

เจ้าเกาะพูดว่า “ท่านไร้ความรูส
้ ึก วันนีด
้ ูเหมือนจะยอมยกยาเม็ด
เสวียนอู่ให้ แต่ว่ามันก็เป็นเพราะสถานการณ์บังคับ แม่นางมูพ
่ ูดถูก
ท่านมันเลือดเย็น ในโลกนี้มน
ั จะมีใครที่ท่านห่วงอีกงั้นเหรอ?” เขาจ้อง
ไปที่เป่ยกงเหลียนเฉิง แล้วพูดอีกว่า “ท่านอย่าลืมนะว่า ตลอดสิบปีที่
ผ่านมาแม่นางมู่ฝึกวิชาอย่างยากลําบากมาตลอด นางก็ถือเป็นต้า
จงซือคนหนึ่งแล้ว ข้ากับแม่นางมู่ร่วมมือกัน ท่านคิดว่าท่านจะรอดไป
ได้อีกงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงสะดุ้ง เขารู้ว่าเรื่องที่เขาเดาเอาไว้มันกําลังจะเป็นจริงแล้ว
เมื่อกี้เป่ยกงเหลียนเฉิงกับเจ้าเกาะร่วมมือกันรับมือกับโหวเยว่ เสีย
แรงไปมากแล้ว เพราะการรับมือต้าจงซือ ต่อให้เจ้าเกาะลอบโจมตี
พวกเขาก็ต้องเสียแรงไปเยอะพอสมควร

เมื่อเทียบกันแล้ว เป่ยกงเหลียนเฉิงเสียแรงไปมากกว่าเจ้าเกาะ
มาก

เป่ยกงเหลียนเฉิงกับเป่ยถังฮวนเย่เผชิญหน้ากัน ใช้พลังอากาศ
แปลงเป็นกระบี่แล้วโจมตี ส่วนเจ้าเกาะลอบโจมตีจากด้านข้าง ทั้งสอง
คนหนึ่งอยู่ที่แจ้งคนหนึ่งอยู่ที่ลับ เจ้าเกาะเสียแรงไปเทียบกับเป่ยกง
เหลียนเฉิงไม่ได้เลย

ตอนนี้เจ้าเกาะกับเป่ยกงเหลียนเฉิงเผชิญหน้ากัน เป่ยกงเหลียน
เฉิงไม่ได้ม่น
ั ใจเลยว่าจะชนะ ส่วนการปรากฎตัวของตี้ฉาน หากนาง
ร่วมมือกับเจ้าเกาะจริง เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่มีเหตุผลที่จะรอดไปได้เลย

เจ้าเกาะมาที่เกาะแห่งนี้คราวนี้ เหมือนจะวางแผนทุกอย่างเอาไว้
อย่างรอบคอบ

ชื่อตันเหมยนึกถึงเรื่องที่เจ้าเกาะพูดกับนางตอนที่อยู่ที่เกาะไป๋อ
วิน ตอนนั้นเจ้าเกาะอย่างให้นางเป็นราชินี แล้วนําทุกคนในใต้หล้ามา
กราบไหว้บูชาเขา ชื่อตันเหมยตอนนั้นรูส
้ ึกสงสัย
การชิงยาเม็ดเสวียนอู่ เหล่าต้าจงซือต้องต่อสูก
้ ันเอง เจ้าเกาะทําไม
ถึงได้ม่น
ั ใจขนาดนั้น

ตอนนี้นางเข้าใจทั้งหมดแล้ว

ก่อนหน้านีเ้ ริม
่ จากการร่วมมือกับเป่ยกงเหลียนเฉิงกําจัดเป่ยถัง
ฮวนเย่ แล้วค่อยร่วมมือกับตี้ฉานกําจัดเป่ยกงเหลียนเฉิง สุดท้ายเขา
ค่อยกําจัดตี้ฉานอีกที ทุกอย่างมันอยูใ่ นแผนที่เจ้าเกาะคิดเอาไว้ เพื่อ
การนี้เจ้าเกาะลงทุนลงแรงมานานหลายปีทีเดียว

ชื่อตันเหมยรู้สก
ึ หดหูใ่ จ

หลายปีที่ผ่านมา เจ้าเกาะเหมือนกับเทพเจ้าในใจของนาง นาง


เคารพยําเกรงเขามาก อีกทั้งตลอดสิบปีที่ผ่านมานิสัยของเขาเป็น
เสมือนผู้สูงส่งที่หาได้ยาก แต่ตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว ความ
เคารพยําเกรงในหลายปที่ผ่านมาของนาง กลับกลายเป็นคนที่ต�าช้า
มากที่สด
ุ ถึงแม้ความสามารถจะเป็นต้าจงซือ แต่กลับไม่มีคุณธรรม
อะไรเลยสักนิดเดียว

เห็นสีหน้าท่าทางของเจ้าเกาะเหมือนจะได้ใจ ชื่อตันเหมยกลับ
รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้มองไปที่เจ้าเกาะเลย แต่เขากลับมองไปที่ตี้
ฉาน เขานิ่งไปนานมาก แล้วถามว่า “เจี้ยนเจีย เจ้าอยากได้ชีวิตข้าอย่าง
นั้นเหรอ?”

ตี้ฉานไม่ได้ตอบ แต่พูดว่า “ข้าพาหย่าหนูลงจกาเขาต้าเสวียนซาน


เขาก็ไม่ฟ้ นขึ
ื ้นมาอีกเลย แต่ยังมีลมหายใจอยู่ เขาบาดเจ็บสาหัสมาก
หากไม่ได้เจอท่านผู้เฒ่าจูฮูหม่าตัน เกรงว่าคงตายไปนานแล้วท่านผู้
เฒ่าจูฮูหม่าตันใช่ยาสมุนไพรของเขา ทําให้หย่าหนูยงั มีลมหายใจอยู่ ข้า
อยู่กับหย่าหนูเป็นเวลาเกือบสิบปี คิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะฟื้นขึ้นมา”

ฉีหนิงคิดในใจว่าท่านผู้เฒ่าจูฮูหม่าตันน่าจะเป็นชาวแคว้นกู่เซี่ยง
ตอนนั้นตี้ฉานพาหย่าหนูที่ใกล้หมดลมหายใจลงจากเขา ในตอน
สถานการณ์คับขัน นางไม่อาจออกจากแคว้นกู่เซี่ยงได้ เลยต้องอยู่ใน
แคว้นเพื่อรักษาตัว ส่วนหย่าหนูไม่ฟ้ นเลยตลอดหลายปี
ื แต่ยงั มีลม
หายใจอยู่ ตอนนั้นเขาก็น่าจะกลายเป็นเจ้าชายนินทราแล้ว

“หย่าหนูยังไม่ฟ้ น
ื แต่ว่าท่านผู้เฒ่าจูฮูหม่าตันกลับตายไปแล้ว” ตี้
ฉานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในสิบปีน้น
ั ข้าก็พบว่าร่างกายของข้ามัน
ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป เหมือนพวกท่านไม่เพียงสามารถรับร่างกดดัน
ของอากาศได้ แต่ใบหน้าของข้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง ร่างกายไม่มีเหี่ยว
ย่น”

ประโยคสุดท้ายเหมือนพูดให้เจ้าเกาะกับเป่ยกงเหลียนเฉิงฟัง
คนที่เคยได้พบได้เห็นก้อนหินยักษ์ก้อนนั้นแล้วรอดลงมาจาก
เขาต้าเสวียนซานได้ ร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ตี้ฉานเองก็ไม่มี
ยกเว้น

“ตลอดสิบปีที่ผา่ นมาข้าตามหาหมอมีช่ อ
ื ทั่วแคว้นกู่เซี่ยง แม้แต่
บัวหิมะก็ไม่สามารถทําให้หย่าหนูฟ้ ืนขึ้นมาได้” ตี้ฉานพูดว่า “ข้าไม่มี
ทางเลือก ทําให้ต้องเดินทางกลับมาที่ซช
ี วนอีกครั้ง หวังว่าจะได้เจอยา
วิเศษในพื้นที่ซีชวน”

ฉีหนิงพูดขึ้นมาว่า “ตอนนั้น ท่านกลับมาพร้อมกับฐานะตี้ฉานแล้ว


ใช่ไหม? ท่านรับเด็กกําพร้ามาเลี้ยงในแคว้นกู่เซี่ยง หลังจากนั้นก็กลาย
มาเป็นภูตทั้งหกของท่าน”

“ข้าได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่งบนเขาต้าเสวียนซาน” ตี้ฉานยิ้มแล้ว
พูดว่า “ในโลกนีไ้ ม่มีเจี้ยนเจียอีกแล้ว นรกมันว่างเปล่า มีแต่พวกภูตผี
ปีศาจในโลกมนุษย์เท่านั้น ในเมื่อข้ารอดมาได้ แน่นอนว่าก็ต้องการ
กําจัดพวกปีศาจร้ายไป เรื่องพวกนี้ มันก็ต้องเป็นหน้าที่ของตี้ฉานสิ”

น�าเสียงของตี้ฉานนิ่งตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ฉีหนิงกลับเข้าใจ
นาง ตอนนั้นพวกเป่ยกงเหลียนเฉิงทิ้งหย่าหนู ทําให้หย่าหนูจะเป็นคนก็
ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง แต่คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สด
ุ กลับไม่ใช่หย่าหนู แต่
เป็นมู่เจี้ยนเจีย
มู่เจี้ยนเจียเปลี่ยนตัวเองเป็นตี้ฉาน ในใจลึกๆ ของนาง มันมีแต่
ความโกรธแค้นที่ไม่ได้จางหายไปเลย

นางเรียกตัวเองว่าตี้ฉาน นั่นก็เพื่อล้างแค้น หาโอกาสกําจัดคนที่อยู่


ในเหตุการณ์วันนั้นทั้งหมด ในสายตาของนาง เหล่าต้าจงซือที่ถอดทิ้ง
หย่าหนูก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจ

“ตอนนั้นข้าพาหย่าหนูไปหาสมุนไพรบนเขาจื่อขุ่ย กลับอาการ
กําเริบกลางทาง” ตี้ฉานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้าสลบไป พอ
ข้าตื่นขึ้นมา ก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งพกดาบมาด้วย เขาจ้องมองมาที่
ข้า ตอนนั้นข้าแทบไม่คิดอะไรเลย คิดอยากจะฆ่าเขาทันที ตอนนั้นข้า
ไม่รู้เลยว่า หลังจากที่ขา้ สลบไป ไหวหนานอ๋องคือคนที่บังเอิญมาเจอข้า
แล้วช่วยข้าเอาไว้ คนที่ถูกฆ่าตายเป็นผู้ติดตามของเขา ข้าลงมือทําร้าย
คนไป บังเอิญไหวหนานอ๋องมาเห็นเข้า แต่เขาไม่ได้ต่อว่าข้าเลย เขายัง
อธิบายทุกอย่างให้ข้าฟังด้วย แล้วก็รูถ
้ ึงอาการของหย่าหนู เขาเลยเสนอ
จะพาพวกเรามาที่เมืองหลวง แล้วหาหมอมารักษาบาดแผลให้กับหย่า
หนู ตอนนั้นข้าเองก็ไปตามหาหมอฝีมอ
ื ดีมากจากซีชวนมากมาย อีกทั้ง
ยังใช้สมุนไพรไปมากกมาย แต่หย่าหนูก็ไม่ได้ดีข้น
ึ เลย ไหวหนานอ๋องมี
เส้นสายอยู่มาก ข้าหวังว่าเขาจะหาคนมารักษาหย่าหนูได้จริงๆ”
เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถึงแม้ตอนนั้นไหวหนานอ๋องจะยัง
เป็นหนุม
่ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ตอนนั้นเห็นเจ้าลงมือ รู้วรยุทธ์ของเจ้า เลย
อยากให้เจ้ามาเป็นพวก”

ฉีหนิงคิดในใจว่าที่เจ้าเกาะพูดมานั้นไม่ผิด

ตี้ฉานพาหย่าหนูออกตามหาสมุนไพร กลางทางกลับอาการกําเริบ
อาการที่ว่านั่นน่าจะเหมือนกับพวกต้าจงซือ กะทันหันแบบนั้น อาการ
มันทําให้นางต้องสลบไป ไม่อย่างนั้นก็คงเป็นเพราะนางไม่เหมือนกับ
ผู้ชาย ไม่สามารถรับแรงสะท้อนที่มก
ี ับร่างกายได้ ถ้าอย่างนั้นก็เพื่อแก้
แค้น หักโหมที่จะฝึกวิชา ทําให้มก
ี ารผลข้างเคียงรุนแรง

ไหวหนานอ๋องไปพบเข้าระหว่างทาง เริม
่ แรกยังไม่รู้วรยุทธ์ของ
นาง แต่ไปเจอสาวสวยหมดสติระหว่างทาง เลยอยากจะเป็นวีรบุรุษ
ช่วยสาวงามขึ้นมา

หลังจากที่ตี้ฉานฟื้นขึ้นมา นางลงมือฆ่าคนทันที ไหวหนานอ๋องถึง


ได้รู้ว่าผูห
้ ญิงที่นางช่วยเอาไว้น้น
ั เป็นยอดฝีมือขั้นสูง เลยมีใจคิด
อยากจะให้มาเป็นพวก เลยเสนอตัวช่วยตี้ฉานหาทางช่วยหย่าหนูให้ฟ้ น

มันก็แค่วิธีการดึงนางมาเป็นพวกเท่านั้น

“เขาจะคิดยังไง มันไม่สาํ คัญ หากเขาสามารถช่วยหย่าหนูได้ ต่อ


ให้ข้าต้องแลกด้วยชีวิตก็ไม่เป็นไร?” ตี้ฉานพูดว่า “ไหวหนานอ๋องพา
เราแอบเข้าเมืองหลวงมา จากนั้นก็ให้เราพักอยู่ที่จวนไหวหนานอ๋อง
หลังจากที่มาถึงเมืองหลวงได้ไม่นาน ลูกชายของไหวหนานอ๋องเซียว
จ้าวจงก็เกิด ข้ากับหย่าหนูอยู่ในจวน นอกจากไหวหนานอ๋องกับเชคน
สนิทของเขาสองคนแล้ว ไม่มีใครรู้อีกเลย หลังจากนั้นสองปี ไหวหนาน
อ๋องก็ไปพาหมอมีช่ อ
ื ฝีมือดีมารักษาหย่าหนู แต่เขาก็ไม่ดีข้น
ึ เลย แต่ก็
ทําให้หย่าหนูยงั มีลมหายใจได้ต่อไป”

“ในเมืองหลวงมีข่าวลือว่า เซียวจ้าวจงร่างกายไม่แข็งแรง อาการ


กําเริบบ่อยๆ มีอาการคุ้มคลั่งเป็นประจํา” ฉีหนิงพูดว่า “ทุกคนเข้าใจว่า
เขาอยู่ได้ไม่นาน แต่ไม่นานมานี้เขากลับคิดชิงบัลลังก์ ทําให้ความจริง
ถูกเปิดเผย ที่เขาเป็นโรคมันแค่การแสดง อีกทั้งเขายังมีวรยุทธ์ร้ายกาจ
มากด้วย ผู้อาวุโสมู่ ทุกอย่างนีม
่ ันเกี่ยวข้องกับท่านใช่ไหม”

ตี้ฉานยิม
้ แล้วพูดว่า “ไหวหนานอ๋องอยากจะหาหมอฝีมือดีมา
รักษาให้หย่าหนู หากมีหมอมากมายเข้าออกจวนไหวหนานอ๋อง มันจะ
ทําให้คนอื่นสงสัยได้ ฮ่องเต้แคว้นฉู่ระแวงท่านอ๋องมาก แอบส่งคนมา
จับตาความเคลื่อนไหวของเขาตลอดเวลา หากไม่ระวัง ข้ากับหย่าหนูก็
อาจจะถูกเปิดเผยได้ ใช้ซ่ อ
ื จื่อเป็นเป้า ทําให้คนคิดว่าท่านอ๋องตามหา
หมอมาเพื่อรักษาซื่อจื่อ เวลาหมอเข้าออกไหวหนานอ๋อง มันก็อธิบาย
ได้ หลังจากหมอเข้ามาในจวนแล้ว ก็ไปตรวจอาการของซื่อจื่อก่อน
จากนั้นท่านอ๋องก็จะให้เขาไปดูอาการให้หย่าหนู แต่บอกหมอไปว่าเป็น
คนในจวนเท่านั้น ท่านหมอก็คิดไมม่ถึงว่าคนที่เขารักษาจริงๆ คือหย่า
หนู”

“ที่แท้มน
ั เป็นแผนตบตางั้นเหรอ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ดังนั้นเซียวจ้าวจงป่วย มันเป็นแผนตั้งแต่แรกสินะ”

“ตอนซื่อจื่อสามขวบ เขาก็เป็นศิษย์ของข้าแล้ว เขาเป็นลูกศิษย์


เพียงคนเดียวของข้า” ตี้ฉานพูดว่า “เขามีพรสวรรค์มาก ข้าแค่สอน
วิธีการเดินลมปราณแค่นิดเดียว แล้วช่วยใช้ยานิดหน่อย ก็ไม่มใี ครดู
ออกแล้วว่าใครแกล้งป่วย”

ฉีหนิงเข้าใจแล้วว่าทําไมเซียวจ้าวจงที่อยู่แต่ในจวนถึงได้มีวรยุทธ์
ร้ายกาจขนาดนีไ้ ด้? ที่แท้เบื้องหลังของเซียวจ้าวจง ก็มีต้าจงซือคอย
ชี้แนะให้นี่เอง

“ท่านอ๋องอดทนมานานหลายปี ใช้ยาดีหายากไปมากมายเพื่อให้
หย่าหนูยังหายใจอยู่” ตี้ฉานพูดว่า “ในเมื่อเขามีบุญคุณกับข้า ข้าก็ต้อง
ตอบแทนเขา”

“ดังนั้นท่านเลยให้หย่าหนูอยูใ่ นจวนไหวหนานอ๋อง ส่วนตัวท่านก็


กลับไปที่ซีชวน จากนั้นก็รวบรวมพวกชาวยุทธกับพวกคนที่ประหลาด
ในท้องที่ มาช่วยพวกเขาสองพ่อลูกชิงบัลลังก์” ฉีหนิงพูดว่า “ถึงแม้
ท่านคิดจะจัดการกับต้าจงซือ แต่เวลามันยังมาไม่ถึง กังวลว่าพวกเขา
จะจับได้ เลยกระทําการอย่างลับๆ เคลื่อนไหวแต่ในซีชวน หลายปีก่อน
เลยแอบสลับตัวกับซู่อิ่งฮูหยิน เพื่อหลอกใช้ล่ซ
ู างเฮ่อ เพื่อจะได้รวบรวม
กําลังคนให้มากขึ้น” เขาส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านต้องการ
ตอบแทนบุญคุณของไหวหนานอ๋อง ดึงคนหลายคนเข้ามาพัวพัน ทําให้
เกิดการนองเลือดขึ้นมากมาย ...”
เล่มที่ 50 บทที่ 1472 กระบีเ่ หาตั้ง

ตี้ฉานพูดว่า “ขอแค่หย่าหนูปลอดภัย ต่อให้ข้าต้องฆ่าคนทั้งโลก


ข้าก็จะทํา”

ฉีหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ในใจของเขาก็เข้าใจดี ในหลายสิบปีที่


ผ่านมา ในใจของตี้ฉานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ถูกทิ้งที่เขาต้าเสวียน
ซาน เมล็ดพันธุค
์ วามแค้นที่ถูกหว่านเอาไว้น้น
ั ตามกาลเวลาที่ผ่านไป
มันค่อยๆ เติบโตเป็นต้นความแค้นใหญ่ที่มีรากฝั่งลึกในจิตใจของนาง
มาก

ปริศนาที่ฉีหนิงสงสัยมานาน วันนี้เขาได้พบคําตอบและความจริง
ทั้งหมดแล้ว

เป่ยกงเหลียนเฉิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ไม่ได้พูดอะไร

ตี้ฉานเหลือบไปมองเป่ยกงเหลียนเฉิง หลังจากนั้นอยูน
่ าน ถึงได้
พูดขึ้นมาว่า “ตอนนั้นหย่าหนูชว
่ ยชีวิตท่าน ท่านติดหนีบ
้ ุญคุณเขา ท่าน
ยอมรับมันรึเปล่า?”

เป่ยกงเหลียนเฉิงพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าติดหนีบ


้ ุญคุณเขา แล้วก็
ติดค้างเจ้าด้วย”
“วันนี้ท่านยินดีจะชดใช้สิ่งที่ท่านติดค้างเราเอาไว้ให้เรารึเปล่า?”

เป่ยกงเหลียนเฉิงพูดว่า “ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร ขอแค่ข้าทําได้


พูดมาได้เลย”

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าช่วยข้าทําอะไรสักอย่างได้ไหม?” ตี้ฉานถาม

เป่ยกงเหลียนเฉิงพยักหน้า “เจ้าว่ามาได้ หากข้าทําได้ ข้าจะทํามัน


อย่างเต็มที่”

ตี้ฉานหันไปมองเจ้าเกาะ จากนั้นก็พูดว่า “เขาปากหวานก้นเปรี้ยว


เป็นคนที่ต�าช้าที่สุดในใต้หล้านี้ ...” นางยังพูดไม่ทันจบ เจ้าเกาะก็หน้า
เปลี่ยนสีแล้ว จากนั้นก็ได้ยินนางพูดต่อว่า “ตอนนั้นนอกจากโม่ฝูแล้ว ก็
มีเขานีแ
่ หละ ที่อยู่ใกล้หย่าหนูที่สุด ตอนนั้นโม่ฝูบาดเจ็บที่ขา เดินเหิน
ไม่สะดวก เอาตัวเองยังไม่รอดเลย อีกทั้งโม่ฝูก็ตายไปแล้ว อะไรที่เขา
ติดค้างไว้ถือว่าหมดไปแหละ แต่ถ้าในตอนนั้นเขาออกไปช่วย หย่าหนูก็
อาจจะมีความหวังรอด แต่เขาเห็นหย่าหนูโบกมือให้ กลับนิ่งเหมือนไม่
เห็นไม่ได้ยินอะไร หย่าหนูต้องเป็นแบบนี้ เขาคือคนที่ต้องรับผิดชอบ
มากที่สด
ุ ”

เจ้าเกาะปลายตากระตุก แม้แต่ฉีหนิงเองก็ตกใจเช่นกัน

ตี้ฉานเหมือนจะมีข้อตกลงร่วมกับเจ้าเกาะ วันนี้ร่วมมือกันต้องการ
จัดการเป่ยกงเหลียนเฉิง คิดไม่ถึงเลยว่าตี้ฉานจะพูดแบบนี้ออกมา
“คนแบบนี้ จะให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไงกัน” น�าเสียงของตี้ฉาน
อ่อนโยนมาก อีกทั้งยังยิ้มหวานอ่อนๆ “เทพกระบี่ช่วยข้าฆ่าเขาได้
ไหม?”

เป่ยกงเหลียนเฉิงมีสีหน้าตกใจ เขาก็คิดไม่ถึงว่าตี้ฉานจะให้เขา
จัดการเจ้าเกาะ

เจ้าเกาะเหมือนจะมองออกแล้ว คําพูดของตี้ฉาน เหมือน


เตรียมการมาก่อนแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาคิดอยากทํา เขาพูดว่า “แม่นางมู่
พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? เจ้าไม่เห็นข้อตกลงของเราอยู่ในสายตา
เลยหรือยังไง?”

“เทพกระบี่ตกลงหรือไม่?” ตี้ฉานไม่ได้สนใจเจ้าเกาะเลย นางจ้อง


ไปที่เป่ยกงเหลียนเฉิงอย่างเดียว

เป่ยกงเหลียนเฉิงนิง่ ไป แล้วหันไปมองเจ้าเกาะ

เจ้าเกาะหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกง พวกเราเข้าใจผิด


ท่านมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเลยนะ ข้าคิดว่าท่านเย็นชา ไม่มีเยื่อใย
ตอนนี้ข้าถึงได้เข้าใจ ผูห
้ ญิงคนนี้ใจคอโหดเหี้ยมไม่ต่างจากอสรพิษ นาง
กําลังคิดจะยุให้เราฆ่ากันเองนะ นางคิดจะนั่งดูเสือสองตัวทะเลาะ
กันเอง แล้วได้ผลประโยชน์ไปคนเดียว”
ที่จริงไม่ว่าใครก็เข้าใจดี ตี้ฉานหเป่ยกงเหลียนเฉิงจัดการเจ้าเกาะ
มันคือการให้ต้าจงซือสองคนห�าหั่นกันเอง

“ท่านพีเ่ ป่ยกง คราวนี้ที่เรามาที่เกาะ ก็เพื่อยาเม็ดสวียนอู่นะ” เจ้า


เกาะถอนนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าสาบานต่อฟ้าได้เลย ยาเม็ดเสวียนอู่
มันจะเป็นของท่าน ข้าจะไม่แย่งกับท่านเลย แต่ว่าผูห
้ ญิงคนนี้ใจคอ
โหดเหี้ยม หากไม่กําจัด จะต้องเป็นภัยคราวหลังแน่นอน ท่านน่าจะ
เข้าใจดี นางแค้นท่านมาก หากเราฆ่ากันเอง ไม่ว่าสุดท้ายใครจะชนะ ก็
จะต้องเป็นเป้าต่อไปแน่นอน ถึงเวลานั้นหากนางลงมือ ยังไงก็เอาชีวิต
ได้ง่ายๆ ทั้งนั้น หากท่านชนะข้า นางก็จะลงมือกับท่านทันที ไม่มีทาง
ออมมือแน่นอน”

เป่ยกงเหลียนเฉิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ข้ารู้”

เจ้าเกาะพูดว่า “ในเมื่อท่านพี่เป่ยกงเข้าใจ เราก็อย่าหลงกลนาง


เราสองคนมาร่วมมือกันจัดการนาง ไม่ใช่เรื่องยากเลย”

เป่ยกงเหลียนเฉิงพยักหน้าอีกครั้ง “หากตอนนี้ข้ากับเจ้าร่วมมือ
กัน ในใต้หล้านีไ้ ม่มีใครเป็นศัตรูของเราแน่นอน”

“กําจัดนาง ยาเม็ดเสวียนอู่ก็จะเป็นของท่านพี่เป่ยกงทันที ข้าจะ


ไม่พด
ู อะไรอีกเลย” เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ารับรอง ตั้งแต่นี้
ต่อไป จะไม่ออกจากเกาะไป๋อวินอีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว ใต้หล้านี้จะเป็น
ของท่านพี่เป่ยกงคนเดียวเท่านั้น”

ฉีหนิงรู้สึกขํามาก แอบคิดในใจว่าหม้อหลันชางพูดจาน่าละอายมา
เลยทีเดียว

แผนการเดิมของเจ้าเกาะคือการร่วมมือกับตี้ฉานกําจัดเป่ยกง
เหลียนเฉิง กลับคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์มันจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด พอ
มาถึงช่วงเวลาคับขัน ตี้ฉานไม่เพียงจะไม่ร่วมมือกับเจา อีกทั้งยังบอก
ให้เป่ยกงเหลียนเฉิงฆ่าเขาด้วย หากเป่ยกงเหลียนเฉิงลงมือจริง ก็อย่าง
ที่เขาพูด ไม่ว่าใครจะชนะ ผู้ชนะคนสุดท้ายจริงๆ ก็คือตี้ฉาน

เจ้าเกาะเหมือนรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีต่อเขามากแล้ว ก่อนหน้านี้ยัง
คิดจะจัดการเป่ยกงเหลียนเฉิงอยู่ตลอด พริบตาเดียวก็เปลี่ยนท่าทีต่อ
เขาไป

แม้แต่ชาวยุทธทั่วไปยังมีศก
ั ดิ์ศรีมากกว่านี้เลย ไม่มีทางพลิกหน้า
กลับกลอกแบบไร้ยางอายแบบนี้แน่นอน แต่เจ้าเกาะยังทําสีหน้า
เหมือนคนมีคณ
ุ ธรรม ไม่ใช่แค่ฉีหนิง คนอื่นๆ ก็รู้สึกว่ามันหน้าไม่อายต�า
ช้ามากๆ
เป่ยกงเหลียนเฉิงนิ่งไปนาน แล้วหันไปพูดกับตี้ฉานว่า “ตลอดชีวิต
ของข้าติดค้างเจ้าไว้มากที่สุด ตอนนี้ข้าทําได้แค่ช่วยเจ้าจัดการเรื่องให้
เรื่องเดียวเท่านั้น”

ตี้ฉานพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “ท่านแค่ช่วยข้าเรื่องเดียว ก็ไม่เสียแรงที่


ข้าเคยทําอะไรแบบนั้นให้ท่านแล้ว”

เป่ยกงเหลียนเฉิงก็ไม่พูดอะไรมากอีก เขาหันหน้าไปหาเจ้าเกาะ
แล้วพูดว่า “การต่อสู้ระหว่างเรา เดิมมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยูแ
่ ล้ว” เขา
เอามือไขว้หลังข้างหนึ่ง ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง เจ้าเกาะสีหน้าจริงจังขึ้น
มาแล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกงท่านจะยอมให้นางหลอกใช้ท่านจริง
เหรอ?”

“เชิญ” เป่ยกงเหลียนเฉิงไม่พด
ู อะไรอีก

ฉีหนิงถอนหายใจ เขารู้ว่าที่เป่ยกงเหลียนเฉิงทําแบบนี้ เพราะเขา


รู้สึกผิดต่อตี้ฉานมาก

แต่ก็ไม่ได้มีเวลาให้เขาคิดอะไรเยอะมาก เขาเห็นเป่ยกงเหลียนเฉิง
ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง มีพลังมารวมตัวอยู่บนฝ่ามือของเขา พวกของฉีหนิง
จนปัญญา ทําได้แค่ถอยหลังไป เพื่อไม่ให้ถูกลูกหลง

ก่อนหน้านี้เป่ยกงเหลียนเฉิงกับเจ้าเกาะร่วมมือกันจัดการเป่ยถัง
ฮวนเย่ เจ้าเกาะลอบลงมือกับเป่ยถังฮวนเย่ ทุกอย่างมันเหมือนเกิดขึ้น
ในชั่วพริบตา คราวนี้เป็นต้าจงซือสองคนเผชิญหน้ากันเอง ทั้งสองฝ่าย
เดิมพันกันด้วยชีวิต คนอื่นๆ รู้ดีว่า การต่อสู้ในครั้งนี้มน
ั น่ากลัวกว่านั้น
มาก

คราวนี้ไม่มีทรายหรือก้อนหินปลิวลอย ต้าจงซือสองคนยืนหันหน้า
เข้าหากันบนโขดหิน เหมือนว่าทุกอย่างสงบมาก

ฉีหนิงหลบไปไกลประมาณหนึ่ง เห็นตี้ฉานยังยืนอยู่ไม่ไกลจากเป่
ยกงเหลียนเฉิง ในใจของเขาเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่า ตี้ฉานจะมีลูกไม้
อะไรรึเปล่า แกล้งให้เป่ยกงเหลียนเฉิงกับเจ้าเกาะต่อสูก
้ ัน แล้วลอบลง
มือทีหลัง ก็เหมือนที่ทํากับเป่ยถังฮวนเย่

แต่ก็คิดว่าหากเป็นแบบนั้นจริง เป่ยกงเหลียนเฉิงจะโทษตี้ฉานก็
ไม่ได้

หากเป่ยกงเหลียนเฉิงไม่ได้รู้สก
ึ ผิดกับตี้ฉาน ก็ถก
ู ตี้ฉานยุให้ไปฆ่า
เจ้าเกาะ ในเมื่อเขาเลือกแล้ว แสดงว่าเขาก็รู้ดีว่าเขาจะเป็นยังไง

พลังชี่รวมตัวกัน ไม่นานก็แปรเป็นกระบี่เล่มหนึ่งเหนือศีรษะ
ของเป่ยกงเหลียนเฉิง

ใช้พลังแปลงกระบี่ ในใต้หล้านี้ ก็มีแค่เป่ยกงเหลียนเฉิงคนเดียว


เท่านั้นที่ทําได้ ในใต้หล้านี้คนที่ต้านพลังของต้าจงซือได้ก็มแ
ี ค่ต้า
จงซือคนเดียวเท่านั้น
“เริ่ม”

เป่ยกงเหลียนเฉิงตะคอก กระบี่บนศีรษะของเขามันก็หมุน มันเร็ว


มากและเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ฉีหนิงจ้องไปที่กระบี่เล่มนั้น เขาพบว่า ตอน
ที่กระบี่มันหมุน มันแยกตัวออกจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด
จนถึงสุดท้ายแยกออกเป็นกระบี่เป็นสิบเล่ม กระบี่เหล่านีล
้ ้อมวงเป็น
วงกลม มันหมุนจนเกิดเสียง

สําหรับต้าจงซือสองคนแล้ว การต่อสู้คราวนี้ตัดสินความเป็นความ
ตาย การลงมือก็ต้องทําถึงที่สด

ยอดฝีมอ
ื ที่แท้จริง ขอแค่อีกฝ่ายลงมือ ก็จะสามารถรู้ถึงฝีมือที่
แท้จริงของอีกฝ่ายได้ ก่อนหน้านี้ท้ังสองคนร่วมมือกันกําจัดเป่ยถังฮวน
เย่ ในความเป็นจริงแล้วมันทําให้อีกฝ่ายรู้ถึงฝีมือของกันและกันไปแล้ว
ดังนั้นสําหรับทั้งสองคน ก็ไม่จําเป็นต้องหยั่งเชิงอะไรกันอีก

“กระบี่เหาตั้ง ไป”

พอคําว่า “ไป” ออกมา กระบี่สิบเล่มก็พุ่งไปหาเจ้าเกาะเหมือนลูก


ธนู ทั้งๆ ที่เป็นกระบี่ที่แปลงมาจากพลังชี่ แต่ฉห
ี นิงกลับเห็นรูปร่างของ
มันอย่างชัดเจน มันเหมือนกระบี่สิบเล่มที่พุ่งออกไปจริงๆ

ฉีหนิงตกใจมาก
เขารู้ดี กระบี่พุ่งออกไปกว่าสิบเล่ม แต่ละเล่มมันแฝงอานุภาพที่ไร้
ขีดจํากัด ต่อให้เป็นคงฉานไต้ซอ
ื ของวัดต้ากวงหมิง ก็คงยากที่จะรับมือ
กระบี่พลังชี่นี้ได้สักเล่ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถูกโจมตีพร้อมกันหมดสิบ
เล่ม

ถึงแม้ความน่าเกรงขามของเจ้าเกาะจะพังทลายลงในใจของชื่อ
ตันเหมยไปแล้ว แต่ว่าพอเห็นกระบี่กว่าสิบเล่มลอบโจมตีไปที่เจ้าเกาะ
ชื่อตันเหมยก็ยงั ร้องออกมาด้วยความตกใจ ในใจลึกๆ นางก็กังวลความ
ปลอดภัยของเจ้าเกาะอยู่ดี

วินาทีที่เจ้าเกาะถูกกระบี่แทง ร่างกายของเขาก็เซ พริบตาเดียว


เท่านั้น ร่างกายของเขาก็เหมือนระเบิด เห็นเงาแยกออกหลายร่าง
ระหว่างที่เงาแยกออก ระหว่างที่คนกําลังตาลาย บนหาดทรายก็มีเงา
ของเจ้าเกาะเต็มไปหมด เหมือนว่ามีเจ้าเกาะอยู่หลายคน แต่ว่ามัน
เลือนลาง เหมือนวิญญาณ ต่อให้เป็นสายตาที่มองอะไรชัดอย่างฉีหนิง
ก็แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าเงาไหนคือเจ้าเกาะตัวจริง

ตาฉีหนิงแทบหลุดออกมาจากเบ้า

เขารู้ดี นี่มันไม่ใช่เพราะเจ้าเกาะแยกร่างได้หรอก แต่เป็นเพราะ


ความเร็วที่สูงมาก การเคลื่อนที่ที่ไหวมาก ทําให้เกิดเงากว่าสิบเงา มัน
เป็นเศษเงาตอนที่เจ้าเกาะเคลื่อนที่ เพราะความเร็วมากเกินไป ส่วนร่าง
จริงก็เคลื่อนที่ออกไปแล้ว แต่ว่าเงามันยังเหลืออยู่ปลายตา
เจ้าเกาะหลบกระบี่ได้ เกิดเสียงขึ้นที่ชายหาดอย่างต่อเนื่อง กระบี่
แต่ละเล่มมันหล่นลงมา มันให้บนพื้นเป็นหลุม

ขณะที่พวกฉีหนิงกําลังงงอยู่ว่าเงาไหนคือเจ้าเกาะที่แท้จริง วินาที
นั้น เขากลับเห็นเงาสะเปะสะปะจํานวนมาเข้าไปใกล้ร่างกายของเป่
ยกงเหลียนเฉิง ตอนนี้รอบข้างตัวของเป่ยกงเหลียนเฉิงต่างมีเงาของเจ้า
เกาะอยู่ ฉีหนิงเห็นดังนั้น เขาก็ต่ ืนกลัวขึ้นมา แต่ว่าเขายังไม่ทันได้คิด
อะไร เงาพวกนั้นก็หายไป จากนั้นทุกคนก็เห็นว่า เจ้าเกาะยืนอยู่
ด้านหน้าเป่ยกงเหลียนเฉิงแล้ว ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ไม่มก
ี ารหยุด
พักใดๆ เจ้าเกาะก็กําหมัดขวา แล้วชกไปที่หน้าอกของเป่ยกงเหลียนเฉิง

กระบี่พลังชี่ยังไม่หายไป

ถึงแม้กระบี่พวกนั้นจะทําอะไรเจ้าเกาะไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้จางหายไป ตอน


ที่เจ้าเกาะชกหมัดออกไปใส่เป่ยกงเหลียนเฉิง กระบี่พวกนั้นก็เหมือนว่า
มีชีวิต มันหมุนไปกลับมา จากนั้นก็ได้ยน
ิ เป่ยกงเหลียนเฉิงสั่งว่า
“กลับมา” กระบี่กว่าสิบเล่มก็พุ่งเข้ามาทางด้านหลังของเจ้าเกาะ
เล่มที่ 50 บทที่ 1473 เฒ่าประมงได้กําไร

ยอดฝีมอ
ื ที่สุดในใต้หล้าทั้งสองคน ครั้งนี้ปะทะแบบเผชิญหน้ากัน
ครั้งแรก มันทําให้คนตื่นตกใจกันมาก

หมัดอันหน้ากลัวของเจ้าเกาะ ซัดเข้าใส่หน้าอกของเป่ยกงเหลียน
เฉิง

กระบี่สิบเล่มก็แทงเข้าด้านหลังของเจ้าเกาะ พริบตาเดียวเหมือน
ทุกอย่างหยุดนิง่ ไป ร่างกายของเป่ยกงเหลียนเฉิงแข็งเป็นหิน จากนั้นก็
กระเด็นปลิวไปไกลหลายสิบลี้ หลังจากหยุดร่างกายได้แล้วเขาก็ยืนอยู่
กับที่

เจ้าเกาะเซไปมา เดินหน้าขึ้นมาสองก้าว ขาของเขาอ่อนลง เขา


คุกเข่าลงกับพื้น เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปที่เป่ยกงเหลียนเฉิง จากนั้น
เขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “นี่ ... คือผลสินะ ...” พูดจบ เขาก็กระอัก
เลือดออกมา

ชื่อตันเหมยหลุดพูดออกมาว่า “ท่านเจ้าเกาะ ...” นางคิดจะวิ่งไป


ฉีหนิงกลับจับมือของนางเอาไว้ แล้วพูดว่า “ระวัง”
ฉีหนิงรู้ดีว่า ถึงแม้ต้าจงซือทั้งสองคนต่อสู้กันไม่ได้เกิดภาพฟ้าถล่ม
ดินทลาย แต่พวกเขายังไงจะต้องมีแผนสุดท้ายเหลืออยู่อีกแน่นอน

คนในใต้หล้า เกรงว่าจะไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เป่ยกงเหลียนเฉิง
อีกได้แน่ เพราะเขาอาจจะสามารถโจมตีด้วยกระบวนท่าที่รุนแรง
มากกว่าเดิม

เพราะหมัดของเจ้าเกาะกะเอาถึงตาย

การจะให้วรยุทธไปจนถึงจุดสูงสุด ภาพลวงตาที่ทําให้ตาลายพวก
นั้นในสายตาต้าจงซือมันเล็กน้อยมาก กระบวนท่าที่เอาถึงตาย มันกลับ
สู่พ้ น
ื ฐานไปหมด

ขอแค่มค
ี วามเร็วที่มากพอ ถึงจะสามารถเงาลวงได้มากขนาดนั้น
มีแค่การสร้างเงาลวงที่ซับซ้อน ถึงจะทําให้เจ้าเกาะมาปรากฎตัวต่อ
หน้าเป่ยกงเหลียนเฉิงได้ แล้วก็มีแค่มาอยู่ตรงหน้าเป่ยกงเหลียนเฉิง
เท่านั้น เจ้าเกาะถึงสามารถซัดหมัดที่น่ากลัวแบบนั้นออกไปได้ นั่นมัน
ไม่ใช่หมัดธรรมดาแน่นอน

กระบี่พลังชี่แทงถูกเจ้าเกาะ เจ้าเกาะไม่มีทางรอดไปแน่นอน แต่


ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงเองก็ถูกหมัดซัด เขาเองก็บาดเจ็บสาหัสมากเช่นกัน

ถึงแม้ต้าจงซือจะมีวรยุทธ์เหนือคนทั่วไป แต่ยังไงร่างกายของพวก
เขาก็ยังเป็นมนุษย์อยู่
“เสียดายที่เจ้าเป็นคนฉลาดมาทั้งชีวิต แต่สุดท้าย ... สุดท้ายกลับ
เลอะเลือนแบบนี้” เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดด้วยน�าเสียงอ่อนแรงว่า
“เจ้าอย่าลืมนะ นางรอดมาจากเขาต้าเสวียซาน วรยุทธ์ไม่ต่างอะไร
กับต้าจงซือแล้ว ...”

เป่ยกงเหลียนเฉิงยืนอยู่กับที่ ร่างกายเอียงไปมา แต่สด


ุ ท้ายก็ฝืนไม่
ไหวล้มลง

“นี่แหละคือผลลัพธ์” เจ้าเกาะเห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงล้มลง “เจ้า


เอาชนะข้าไม่ได้ ข้าเองก็เอาชนะเจ้าไม่ได้เหมือนกัน สุดท้ายนางคือคน
ที่ชนะไป ...” สายตาของเขามองไปที่ตี้ฉานแล้วพูดว่า “มู่เจี้ยนเจีย เจ้า
ชนะแล้ว ในใต้หล้านี้ ... เหลือเจ้าเป็นต้าจงซือเพียงคนเดียวเท่านั้นแล้ว
ไม่มีใครเป็นศัตรูของเจ้าอีกแล้ว ...” พูดจบ เขาก็กระอักเลือดออกมาอีก
ครั้ง

ฉีหนิงรู้ว่าเจ้าเกาะมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยกําลังของ
เจ้าเกาะ ต่อให้มีเลือดดันขึ้นมา เขาเองก็สามารถควบคุมการไหลเวียน
ของเลือดได้ ไม่ถึงขั้นกระอักเลือดออกมา ในเมื่อตอนนี้กระอัก
เลือดออกมาหลายครั้ง นั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถควบคุมการ
หมุนเวียนของเลือดในร่างกายอีกแล้ว

นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
กระบี่เหาตั้งแทงทะลุร่างกายของเจ้าเกาะ ร่างกายภายในถูกพลัง
ชี่โจมตีอย่างรุนแรง ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่อาจหายใจได้ แต่ร่างกายของเขา
มันรับไม่ไหวแล้ว

เป่ยกงเหลียนเฉิงเองก็ล้มลงอยู่ที่พ้ ืน เขามองไปยังท้องฟ้า ไม่ได้


พูดอะไร

ตี้ฉานท่าทีนิ่งมาก เขามองเห็นต้าจงซือสองคนบาดเจ็บหนัก
ท่าทางของนางยังคงนิ่ง นางถอนหายใจแล้วพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “เจ้าคิด
ว่าคนบนโลกเห็นต้าจงซือเป็นเทพเจ้าหรือยังไงกัน? ในใจของพวกเขา
ต้าจงซือมันก็แค่กลุ่มคนประหลาด กลุ่มคนที่ไม่สมควรอยู่บนโลกใบนี้
เท่านั้น”

“ดังนั้นเจ้าเองก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เช่นกัน?” เจ้าเกาะ
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าหย่าหนูยังมีชีวิตอยู่ อยากจะช่วยเขา น่า
เสียดายที่ข้าไม่เชื่อเรื่องโกหกพวกนี้หรอกนะ มันผ่านไปสิบปีแล้ว ต่อให้
มียาวิเศษจริง หย่าหนูก็ไม่มีทางรอดมาจนถึงวันนี้หรอก มู่เจี้ยนเจีย เจ้า
บอกว่าคิดอยากจะเอายาไปให้หย่าหนู ให้พูดตามตรง เจ้าอยากจะได้
มันเองมากกว่า” เขาพยายามลุกขึ้นมานั่ง ถึงแม้เขาจะไม่ไหวแล้วก็ตาม
แต่เขาก็ยังพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ “ในโลกใบนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ
ใจคน ที่มันน่ากลัว เพราะความปรารถนา มู่เจี้ยนเจีย มองข้ามสิ่งมีชว
ี ิต
ควบคุมพวกเขาเอาไว้ในมือของตัวเอง ความปรารถนาแบบนี้เจ้าเองก็
หนีมน
ั ไม่พ้นหรอก”

ตี้ฉานยิม
้ แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้ามองข้ามดูถก
ู สิ่งมีชว
ี ิตงั้นเหรอ?”

“ท่านพีเ่ ป่ยกง ท่านไร้ความรูส


้ ึกมาทั้งชีวิต แต่กลับมามีเยื่อใย
อะไรในตอนนี้กันล่ะ” เจ้าเกาะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านทําร้ายตัว
ท่านเอง แล้วก็ทําร้ายข้าด้วย มู่เจี้ยนเจียในวันนีไ้ ม่ใช่ผห
ู้ ญิงในตอนนั้น
อีกแล้ว ท่านมองไม่ออกเลยเหรอ โง่จริงๆ ...”

ตอนที่เขาพูด ผิวหน้าของเขามันก็เริม
่ ฉีกขาด เหมือนแก้วที่แตก
ออก ใบหน้าที่สมบูรณ์มน
ั ฉีกเป็นรอยแผลออกมา

ตี้ฉานถอนหายใจอีกครั้ง แล้วร้องคํารามเสียงดังฟังชัดออกมา

เสียงคํารามของนางเหมือนนกนางแอ่น ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
แต่คิดไม่ถึงเหมือนกันว่านางจะร้องแบบนี้ออกมา

ฉีหนิงขมวดคิ้ว ในตอนนี้เอง เรือที่อยู่ใกล้ฝ่ ัง ก็มเี งาปรากฎตัวขึ้น

มันเป็นเรือที่ตี้ฉานนั่งมาที่เกาะ ก่อนหน้านี้ฮวาเสี่ยงหรงกับตี้ฉาน
ลงมาจากเรือพร้อมกัน เพราะตี้ฉานปรากฎตัวขึ้น เลยไม่มีใครสนใจเรือ
ลํานั้นอีกว่ายังมีใครอยู่บนเรืออีกบ้าง แต่ตอนนี้ฉีหนิงมองเห็นชัดเจน
มันมีหลายคนอยู่บนหัวเรือ คนแรกสวมจีวร เป็นหลวงจีนรูปหนึ่ง
ด้านข้างหลวงจีนก็เป็นชายสวมชุดสีเขียวคนหนึ่ง ทั้งสองเดินเคียงข้าง
กันลงมาจากเรือ สายตาทุกคนจ้องไปที่พวกเขา ฉีหนิงเห็นพวกเขา เขา
หลุดพูดออกมาว่า “พวก ... พวกเขาเองเหรอ”

เมื่อกี้ฉห
ี นิงไปหลบการต่อสู้ของต้าจงซือ ตอนนี้อยู่หา่ งจากหาด
ประมาณหนึ่ง ถึงแม้จะมองไม่เห็นหน้าชัดเจน แต่จากโครงร่างแล้วก็ท่า
เดิม ทําให้เขารูว
้ ่าสองคนนั้นเป็นใคร

หลวงจีนที่อยู่ด้านหน้า คือคงฉานไต้ซอ
ื แห่งวัดต้ากวงหมิง อีกคนก็
คือจั่งชิงหยาง

ฉีหนิงตาแทบหลุดออกจากเบ้า ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย

เขารู้ดี สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นสิ่งที่กลุ่มฝูผงิ ต้องการมาก


พวกเขาลงทุนวางแผนกันมาหลายปี ก็เพื่ออาศัยเรื่องยาเม็ดเสวียนอู่ทํา
ให้เหล่าต้าจงซือฆ่าฟันกันเอง

พวกเขารู้ว่ามีแค่ต้าจงซือเท่านั้นที่สามารถจัดการต้าจงซือได้
ดังนั้นเลยเริ่มวางแผนกันตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว

คงฉานไต้ซือกับจั่วชิงหยางเหมือนเป็นแกนหลักของกลุ่มฝูผิง
ถึงแม้คนที่ก่อตั้งกลุ่มนีจ
้ ะเป็นเป่ยถังชิง่ แต่เรื่องราวดําเนินมาถึงวันนี้ได้
คงฉานไต้ซือกับจั่วชิงหยางก็ถือว่าเป็นผู้ดําเนินการและควบคุม
แผนการทั้งหมดในมือ
แต่ว่าฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่า ทั้งสองคนนี้จะนี้จะมาที่เกาะเสวียนอู่
ด้วย ถ้าสองคนนี้มาที่นท
ี่ ําให้ฉห
ี นิงแปลกใจ ถ้าอย่างนั้นที่พวกเขาลงมา
จากเรือของตี้ฉานนั้น มันทําให้ฉห
ี นิงเสียวสันหลังยิ่งกว่า มันทําให้เขา
หนาวขึ้นคอเลย

ทั้งสองคนกับตี้ฉานเกี่ยวข้องกันด้วยอย่างนั้นเหรอ?

หรือว่าตี้ฉานเองก็เป็นของกลุ่มฝูผิง?

ฉีหนิงรู้สึกมึนงงไปหมด สิ่งที่เขาเห็น มันทําให้เขาไม่อยากจะเชื่อ


เลย

คงฉานไต้ซือเดินไปที่ชายหาด เขาเห็นต้าจงซือสองคนใกล้จะตาย
แล้ว ก็พนมมือขึ้น “อามิตตาพุทธ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม”

เจ้าเกาะเก็บสายตากลับมา ถึงแม้ท้ังสองคนปรากฎตัวจะน่าตกใจ
แต่เจ้าเกาะเหมือนจะนิง่ มาก เหมือนเขาเข้าใจอะไรขึ้นมา เขาหัวเราะ
ร่าแล้วพูดว่า “อย่างนีน
้ ี่เอง อย่างนี้นี่เอง ท่านพี่เป่ยกง เราทําได้ทก

อย่าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกคนพวกนี้เล่นงานเอาได้ ฮ่าฮ่าฮ่า ... ที่แท้
ก็มีคนของวัดต้ากวงหมิงเข้ามาพัวพันด้วย แม่นางมู่ของท่าน ร่วมมือ
กับพวกเขามาเอาชีวิตเรา”
เสียงหัวเราะของเขา มันทําให้ใบหน้าของเขาฉีกออกมากขึ้นไปอีก
เลือดมันไหลออกมาจากบาดแผลจํานวนมาก เลือดอาบทั่วใบหน้าของ
เขา มันน่ากลัวมากๆ

“อามิตตาพุทธ ที่แม่นางมู่ทําไปก็เพื่อทุกสรรพสิ่ง ถึงได้ทําแบบนี”



คงฉานไต้ซือถอนหายใจแล้วพูดว่า “วรยุทธ์ของท่านทั้งสองไม่มีใคร
สามารถต้านทานได้ หากคิดดีก็เป็นบุญของคนทั่วทั้งใต้หล้า แต่หาก
คิดร้ายมันก็เป็นภัยต่อคนในใต้หล้าได้เช่นกัน”

“คงฉาน อย่ามาพูดอะไรทําให้ดูดีมีคุณธรรมหน่อยเลย” ร่างกาย


ของเจ้าเกาะเหมือนแก้วที่แตกแล้ว มันเริ่มฉีกขาดมากขึ้นเรื่อยๆ เลือด
ไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ภาพแบบนี้มันน่ากลัวมากๆ ทําให้คน
ไม่กล้ามองไปที่เขาตรงๆ ใครก็รู้ว่าเจ้าเกาะในตอนนีจ
้ ะต้องทรมาน
แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแน่นอน แต่นา� เสียงของเขาไม่ได้ส่น
ั ไหวเลย
เขาพูดประชดว่า “วัดต้ากวงหมิงเป็นผู้นําในหมูช
่ าวยุทธมาตลอด ตัว
ประหลาดอย่างพวกเราอยู่ หลวงจีนอย่างพวกเจ้าก็โงหัวไม่ข้น
ึ สินะ
พวกเจ้าแอบคิดร้ายแต่แรก ก็อย่ามาทํามาพูดดีหน่อยเลย”

ชื่อตันเหมยถึงแม้จะผิดหวังกับเจ้าเกาะมาก แต่พอเห็นเจ้าเกาะ
อยู่ในสภาพแบบนี้ นางก็เจ็บปวดใจมาก นางทนไม่ไหวอีกต่อไป สะบัด
มือฉีหนิงออก แล้ววิ่งไปหาเจ้าเกาะ ฉีหนิงหน้าเสีย เลยรีบตามไป
ชื่อตันเหมยวิ่งไปหาเจ้าเกาะ เห็นรอบตัวเจ้าเกาะมีแต่รอยเลือด
นางก็ตกใจมาก

นางรู้ว่ากระบี่พลังชี่ของเทพกระบี่แทงทะลุเจ้าเกาะ ตอนนี้
ร่างกายของเขามันดูน่ากลัวมากน่าจะเป็นเพราะกระบี่พวกนั้น นางยืน
อยู่ห่างจากเจ้าเกาะหลายก้าว จากนั้นก็คุกเข่าลง น�าตาอาบหน้า “ท่าน
เจ้าเกาะ ...”

เจ้าเกาะมองไปที่ช่ อ
ื ตันเหมย ถอนหายใจยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าคิด
อยากจะกอบกู้ต้าฉีของเรากลับมา แล้วให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้หญิง คิดไม่
ถึงว่าจะกลายเป็นแบบนีไ้ ปได้ ...” ตอนที่เขายิ้ม เลือดก็ไหลออกมาจาก
ปาก เขาส่ายหน้าด้วยความจนใจ “ถึงแม้ตลอดชีวิตของข้าจะมีวรยุทธ์
ที่สูงที่สด
ุ แต่ข้ากลับคิดไปเองว่าอ่านใจคนออก แต่ว่าในนาทีสด
ุ ท้าย ก็
ยังตกหลุดพรางคนอื่นอยู่ดี ในโลกนี้ สิง่ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ... ใจคน ...”
เขามองไปที่เป่ยกงเหลียนเฉิงที่นอนอยูโ่ ดยไม่ขยับอะไรเลย เขาก็ย้ม

แล้วพูดว่า “ท่านพี่เป่ยกง กระบี่เหาตั้งของท่าน ร้ายกาจมากจริงๆ ข้า
... ยอมแพ้” หลังจากพูดจบ เขาก็น่งิ ไปไม่มล
ี มหายใจอีกเลย
เล่มที่ 50 บทที่ 1474 ข้อตกลง

ต้าจงซือสามคนมารวมตัวกันที่เกาะเสวียนอู่ ฉีหนิงคิดไว้แล้วว่า
การต่อสู้มันเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็น
แบบนี้

ต้าจงซือที่เตรียมพร้อมสําหรับการนีม
้ านานหลายปี แต่ไม่มส
ี ก
ั คน
ที่เป็นผูช
้ นะเลย คนที่ชนะจริงๆ คือตี้ฉาน หรือจะให้พูดตรงๆ ก็คือคนที่
ชนะจริงๆ ก็คือกลุ่มฝูผงิ

ฉีหนิงอดมองไปที่เป่ยถังชิ่งไม่ได้ เห็นเป่ยถังชิง่ มองไปที่ตี้ฉาน


สายตาของเขามันแปลกมาก

คงฉานไต้ซือเห็นเจ้าเกาะตายไป ก็พนมมือขึ้น แล้วหลับตาสวด


มนต์ เหมือนอยากจะสวดส่งศพให้เขา หลังจากนั้นพักหนึ่ง ก็หน
ั ไปพูด
กับตี้ฉานด้วยน�าเสียงอ่อนโยนว่า “ประสกมู่ ผลออกมาแบบนี้ มันจะทํา
ให้ท่านปล่อยวางความแค้นที่ยาวนานกว่าสิบปีได้หรือเปล่า?”

“ได้รับการชี้แนะจากไต้ซือมาหลายปี ข้าซาบซึ้งใจมาก” ตี้ฉานพูด


ว่า “ตอนนั้นข้าย้อนกลับมาที่จงหยวน ข้าคิดแค่สองอย่าง อย่างแรกก็
คือการทําให้หย่าหนูฟ้ นขึ
ื ้นมา อย่างที่สองก็คือการทําทวงความ
ยุติธรรมคืนให้กับหย่าหนู”
จั่วชิงหยางที่ไม่พูดอะไรเลยตอนนี้พูดขึ้นมาว่า “สองเรื่องนี้ ตอนนี้
ก็สําเร็จแล้ว คนที่ทอดทิ้งพวกเขาเอาไว้ตอนนั้น ได้รับผลกรรมแล้ว
ส่วนหย่าหนู มียาเม็ดเสวียนอู่อยู่ คิดว่าน่าจะฟื้นกลับมาได้”

ตี้ฉานพยักหน้า ฉีหนิงเหมือนจะทนไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่าน ... ก็


เป็นคนของฝูผิงเหรอ?”

ตี้ฉานเหลือบไปมองฉีหนิง แต่ไม่ได้พด
ู อะไร

จั่วชิงหยางยกมือลูบเคราแล้วพูดว่า “หย่าหนูอาศัยยาสมุนไพร
ถึงแม้จะยังไม่ตาย แต่ว่าชีพจรของเขามันไม่ทํางานเป็นเวลานาน
ต่อมาไหวหนานอ๋องหาหมอมารักษามากมาย แต่ก็ไม่อาจทําให้เขาดีข้น

ได้ ยาสมุนไพรก็ไม่อาจต่อชีวิตให้เขาได้” เขามองไปที่คงฉานไต้ซือ
แล้วพูดต่อว่า “เมื่อหลายปีก่อนไหวหนานอ๋องแอบไปหาคงฉานไต้ซอ

แล้วขอร้องให้คงฉานไต้ซือช่วยเหลือ”

ฉีหนิงสีหน้าจริงจังมาก คิดในใจว่าที่แท้วัดต้ากวงหมิงก็มีความ
เกี่ยวข้องกับตี้ฉานมานานแล้ว

แต่ในใจก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ วัดต้ากวงหมองเป็นวัดหลวง
ตามหลักแล้ว คงฉานไต้ซือน่าจะรักษาผลประโยชน์ของฮ่องเต้มากกว่า
อีกทั้งปกป้องตัวฮ่องเต้ด้วย
ไหวหนานอ๋องคิดไม่ซ่ อ
ื อีกทั้งตี้ฉานก็แอบช่วยเหลือไหวหนานอ๋อง
ด้วย พวกเขาเป็นภัยต่อฮ่องเต้ คงฉานไต้ซือช่วยไหวหนานอ๋อง อีกทั้งรู้
เรื่องของตี้ฉานมานานแล้ว มันไม่สมควรเลย

“แผนการของฝูผิงเริ่มขึ้นไม่กี่ปี หย่าหนูก็ถูกส่งมาที่วัดต้ากวงหมิง
แล้ว หากไม่ได้ไต้ซือช่วยเหลือ หย่าหนูอาจจะตายไปแล้วก็ได้” จั่วชิงห
ยางพูดแล้วก็ถอนหายใจ

ฉีหนิงพูดว่า “วัดต้ากวงหมิงช่วยหย่าหรู พวกท่านก็จะต้องสืบที่มา


ที่ไหนว่าทําไมหย่าหนูถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ เมื่อเป็นอย่างนั้น
ความลับของผู้อาวุโสมู่ พวกท่านเองก็นา่ จะรู้ดี”

“ข้าเคยบอกกับเจ้าไปแล้ว การมีอยู่ของกลุ่มฝูผิง มีเป้าหมายเพียง


อย่างเดียว นั่นก็คือการกําจัดต้าจงซือ” คงฉานไต้ซือพูดว่า “พวกเราลง
มือกับต้าจงซือ ประสกมู่รู้แผนการของเรา ดังนั้นเลยไม่ได้ปกปิดเรา”

ฉีหนิงพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แผนการของกลุ่มฝูผิงที่จริงมันก็เป็น


แผนที่ไม่มีบทสุดท้าย แผนการนี้อย่างน้อยๆ มันสามารถเปลี่ยนไปได้
สองอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนมันสามารถทําให้แผนการก่อนหน้านี้
เสียแรงเปล่าได้ อย่างแรกก็คือสัตว์เทวะไม่มีอยู่จริง ถึงแม้จะมีตํานาน
เล่าขานกันมานาน อีกทั้งพวกท่านก็สามารถหาของสามอย่างให้ตกไป
อยู่ในมือของต้าจงซือได้ แต่หากสัตว์เทวะไม่ปรากฎตัว หรือว่ามันไม่มา
ที่เกาะ แผนการของกลุ่มฝูผิงก็เป็นแค่เรื่องตลก”
จั่วชิงหยางถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูกแล้ว แผนการของ
กลุ่มฝูผงิ มันก็เหมือนการวางเดิมพันมาตั้งแต่แรก” พูดถึงตรงนี้ เขาก็
มองไปที่เป่ยถังชิ่ง แล้วพูดว่า “การเผชิญหน้ากับต้าจงซือพวกนี้
นอกจากเดิมพันแล้ว ยังจะทํายังไงได้อีก?”

“มันยังมีอีกอย่างหนึ่ง ก็คือต่อให้สัตว์เทวะเสวียนอู่ปรากฎตัวขึ้น ก็
อาจจะทําให้แผนของพวกท่านไม่สําเร็จได้” ฉีหนิงพูดว่า “ต้าจงซือสาม
คนชิงยาเม็ดเสวียนอู่กัน คนที่อยู่รอดคนสุดท้ายก็จะมีอยู่หนึ่งคน หาก
ไม่สามารถกําจัดได้หมด แผนการของกลุ่มฝูผงิ ก็ยังคงเสียเปล่าอยู่ดี
แล้วต้าจงซือคนสุดท้ายใครจะเป็นคนรับมือ?” สายตาของเขามองไป
ที่ตี้ฉาน แล้วพูดว่า “พวกท่านอาจจะลงทุนลงแรงไปมาก จนกระทั่ง
ท่านผู้อาวุโสมูป
่ รากฎตัวขึ้น พวกท่านถึงได้พบแผนการรับมือ”

จั่วชิงหยางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เหล่าต้าจงซือต่อสู้กันเอง


ไม่ว่าใครจะชนะ ก็จะต้องเสียหายหนักมาก แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น การ
เผชิญหน้ากับต้าจงซือที่เสียแรงไปมาก เราก็อาจจะไม่ใช่ค่ต
ู ่อสู้ของเขา
อยู่ดี”

“แต่พวกท่านพอรู้เรื่องในอดีตของผู้อาวุโสมูแ
่ ล้ว ก็รู้ว่านางมี
ความแค้นกับเหล่าต้าจงซือ” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสมู่
เป็นห่วงผู้อาวุโสหย่าหนู วัดต้ากวงหมิงยื่นมือเข้าช่วยหย่าหนู ก็
เหมือนว่าผู้อาวุโสมู่ติดหนี้บุญคุณวัดต้ากวงหมิงอย่างมาก อีกทั้งนางก็มี
ความแค้นกับเหล่าต้าจงซืออยู่แล้ว ดังนั้นนางเลยกลายมาเป็นคนที่
กลุ่มฝูผงิ ขาดไม่ได้เลย” เขาหันไปมองเป่ยถังชิง่ แล้วถามว่า “ท่านรู้
เรื่องของท่านผูอ
้ าวุโสมูห
่ รือเปล่า?”

เป่ยถังชิง่ ปลายตากระตุก แต่ฉห


ี นิงสังเกตอาการของเขา มองออก
ว่าเป่ยถังชิ่งไม่รู้จักตี้ฉานมาก่อนเลย นั่นก็หมายความวา การที่ตี้ฉาน
เข้าร่วมกลุ่มฝูผงิ นั้น ต่อให้เป่ยถังชิง่ รู้ว่ามีคนอย่างนางในกลุ่ม แต่ก็ไม่
เคยมีโอกาสได้พบหน้า สิ่งสําคัญที่สุดคือ เป่ยถังชิ่งน่าจะไม่รู้ด้วยว่าตี้
ฉานมีความแค้นกับเหล่าต้าจงซือ

“ตอนที่ข้าอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง พวกท่านให้ขา้ เข้าร่วมกลุ่มฝูผงิ ” ฉี


หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจเลยว่าเป็นเพราะอะไร
แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว พวกท่านกังวลว่าผู้อาวุโสมู่คนเดียวจะไม่อาจ
จัดการได้ อีกทั้งคงรู้มาว่าข้าเองก็สามารถควบคุมพลังฟ้าดิน ดังนั้นเลย
คิดอยากจะให้ข้ามาช่วยผู้อาวุโสมู่รับมือกับเหล่าต้าจงซือ เพื่อป้องกัน
ความผิดพลาด ท่านอาจารย์จ่ัว ข้าพูดถูกไหม?”

จั่วชิงหยางมองไปที่เป่ยกงเหลียนเฉิงที่ไม่ขยับตัว เขาพยักหน้า
แล้วพูดว่า “หากรู้ว่าผลจะเป็นแบบนี้ เราก็คงไม่ให้เจ้ามาเข้าร่วมหรอก
นะ”

“หรือว่าพวกท่านไม่รู้ว่าผู้อาวุโสมู่ช่วยไหวหนานอ๋องชิงบัลลังก์
อยู?่ ” ฉีหนิงพูดว่า “ราชสํานักดีกับพวกท่านไม่น้อย พวกท่านรู้ว่าผู้
อาวุโสมูเ่ ป็นกําลังเสริมของไหวหนานอ๋อง แต่กลับยังให้นางเข้าร่วม
กลุ่มฝูผงิ หากจะว่ากันตามตรง พวกท่านก็ไม่ต่างกับกบฏ”

จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเคยบอกไปแล้วว่า กลุ่มฝูผิงนอกจาก


การร่วมมือกันทําตามแผนการแล้ว เรื่องอื่นเราจะไม่ยุง่ เกี่ยวต่อกัน”
เขาหยุดไป เอามือไขว้หลัง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าเทียบกับบัลลังก์
แล้ว ชีวิตของไพร่ฟ้าสําคัญมากกว่า”

ฉีหนิงรู้สึกขํา

ตี้ฉานคือคนที่ไหวหนานอ๋องแนะนําให้คงฉานไต้ซือรู้จัก เพราะ
เหตุนี้จึงได้เข้าร่วมกลุ่มฝูผิง ถ้าอย่างนั้นคงฉานไต้ซือกับจั่วชิงหยางก็
ต้องรู้ว่าตี้ฉานกับไหวหนานอ๋องมีความสัมพันธ์กันไม่น้อย ตี้ฉาน
รวบรวมกําลังพลให้ไหวหนานอ๋องสองพ่อลูกในซีชวน อีกทั้งยังก่อ
กรรมทําเข็ญมาก คนอื่นไม่รู้ แต่ว่าสองคนนี้จะต้องรู้แน่นอน

พวกเขารู้ว่ามีตี้ฉานอยู่ รู้ว่าต้องเป็นภัยต่อราชบัลลังก์แคว้นฉู่ แต่


กลับไม่ทําอะไรเลย อีกทั้งยังช่วยปกปิดเรื่องของนางอีก

ท่าทีแบบนี้ มันก็คือกบฏ

แต่ก็อย่างที่จ่ัวชิงหยางพูดมา พวกเขาไม่ได้สนใจว่าใครจะได้น่งั
บัลลังก์แคว้นฉู่ ต่อให้รู้ว่าเซียวจ้าวจงจะกบฏ แต่กลับไม่ทําอะไรเลย ทุก
อย่างที่ทํา เพราะตี้ฉานเป็นคนสําคัญในแผนการของกลุ่มฝูผงิ
ก่อนจะกําจัดต้าจงซือ พวกเขาจะต้องคุ้มครองตี้ฉาน

“คงฉานไต้ซือ ท่านอาจารย์จ่ัว ผลที่ท่านเห็นในตอนนี้ สมใจท่าน


หรือยังล่ะ?” ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าอ๋องกับเจ้าลัทธิตายไปแล้ว วันนี้เหลือต้า
จงซืออีกสามคน ตายไปแล้วสองคน อีกคนหายใจรวยริน ห้าต้าจงซือห้า
คนฆ่ากันเอง สุดท้ายก็เป็นไปตามแผนการของกลุ่มฝูผงิ จะไม่เหลือเลย
แม้แต่คนเดียว” เขาเหลือบไปมองตี้ฉาน ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่า
ในใต้หล้านี้ไม่ได้มีต้าจงซือแค่หา้ คน ผู้อาวุโสมู่เองก็เป็นต้าจงซือ
แผนการของกลุ่มฝูผิงคือการกําจัดต้าจงซือให้มีเหลืออยู่ ผู้อาวุโสมู่ยงั
อยู่ แผนการของกลุ่มฝูผิงมันกลายเป็นเรื่องตลกเหรอ?”

ตี้ฉานยิม
้ มุมปาก แล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะยุให้เราแตกกันงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “มิกล้า ข้าแค่แปลกใจเท่านั้น”

“ประสกมู่ถึงแม้จะเป็นต้าจงซือ แต่นางไม่ได้มีความ
ทะเยอทะยาน” คงฉานไต้ซือพนมมือแล้วพูดว่า “ตอนนี้ประสกมู่ได้สม
ปรารถนาแล้ว นางฝักใฝ่ในธรรมมะ ตั้งแต่นี้ต่อไป ในโลกนีไ้ ม่มีต้าจงซื
ออีกแล้ว” พูดจบ เขาก็มองไปที่ตี้ฉาน สายตาของเขาเหมือนคิดอะไร
อยู่
ตี้ฉานยิม
้ แล้วพูดว่า “ไต้ซือโปรดวางใจ ข้าจะทําตามข้อตกลงของ
เรา ในเมื่อสมปรารถนาแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปข้าจะไม่ฝก
ึ วรยุทธ์อีก ข้าจะ
ทําลายวรยุทธ์ของข้าเอง”

พอพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกใจหมด

ตี้ฉานถึงกับตกลงกับคงฉานไต้ซือว่าจะทําลายวรยุทธ์ของตัวเอง
ทั้งหมด มันเหนือความคาดหมายมาก

ในเมื่อห้าต้าจงซือไม่อยูแ
่ ล้ว ตี้ฉานก็จะกลายเป็นต้าจงซือเพียงคน
เดียวที่เหลืออยู่ ไม่มีใครสู้นางได้อีก แต่นางยินยอมที่จะทําลายวรยุทธ์
ของตัวเองทิ้งไป มันเหลือเชื่อมากจริงๆ

“ประสกมู่วางใจ วัดต้ากวงหมิงมีคัมภีร์รักษากายมากมาย
หลังจากเจ้าทําลายวรยุทธ์แล้ว ฝึกตามคัมภีร์ ภายในสามปี ท่านจะฟื้น
กลับมาดังเดิม ไม่ต้ังเจ็บปวดทรมานอีก” คงฉานไต้ซือเหมือนจะพอใจ
มาก

ฉีหนิงคิดในใจว่าดูท่าทางทั้งสองฝ่ายน่าจะทําข้อตกลงร่วมกันไว้
แล้ว

ในเมื่อตี้ฉานไปถึงขั้นต้าจงซือแล้ว ถ้าอย่างนั้นนางก็ไม่อาจ
หลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไปได้ ถึงแม้ยา
เม็ดเสวียนอู่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่นางอยากจะใช้ยานั่นไว้ช่วยหย่าหนู
นางไม่มท
ี างกินเองแน่

หลังจากกลุ่มฝูผิงกําจัดต้าจงซือไปแล้ว ตี้ฉานทําลายวรยุทธ์ของ
ตัวเองทิ้งไป ส่วนคงฉานไต้ซือก็รับปากว่าจะใช้คัมภีร์ของทางวัดต้ากวง
หมิงรักษาอาการให้กับตี้ฉาน

ตี้ฉานทําลายวรยุทธ์ตัวเอง แล้วรักษาอาการ ก็เหมือนได้เริ่มต้น


ชีวิตใหม่

“ไต้ซือ ยาเม็ดเสวียนอู่ทําให้หย่าหนูฟ้ นขึ


ื ้นมาได้จริงรึเปล่า?” ตี้
ฉานนิ่งไป แล้วพูดว่า “ขอแค่เขาฟื้นขึ้นมาได้ ข้าจะทําลายวรยุทธ์
ทันที”

จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “ยาเม็ดเสวียนอู่เป็นของล�าค่าหายาก
สามารถทําให้คนตายฟื้นคืน ช่วยหย่าหนูได้”

“บนโลกใบนี้ไม่มีของอะไรสามารถช่วยให้คนตายฟื้นคืนได้” เสียง
ของเป่ยกงเหลียนเฉิงดังขึ้นมา “ยาเม็ดเสวียนอู่สามารถช่วยรักษา
อาการ แต่ไม่ทําให้คนตายฟื้นคืน” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “จั่วชิงห
ยาง หย่าหนูตายไปนานแล้วใช่ไหม?”

จั่วชิงหยางสีหน้าเปลี่ยนไปทันที คงฉานไต้ซอ
ื เองก็ปลายตา
กระตุก
“ยังไม่ตาย” จั่วชิงหยางรีบพูดว่า “ตอนนั้นไหวหนานอ๋องไม่มี
ทางเลือก เลยส่งหย่าหนูมาที่วัดต้ากวงหมิง หลายปีที่ผา่ นมาคงฉานไต้
ซือช่วยรักษาอาการให้เขา ถึงแม้จะไม่อาจทําให้เขาฟื้นขึ้นมาได้ แต่ก็
ยังทําให้เขาหายใจต่อไปได้อีก รอแค่ได้ยาเม็ดเสวียนอู่มาช่วยให้เขาฟื้น
เท่านั้น”

สายตาของตี้ฉานเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาทันที เขาจ้องไปที่คงฉานไต้ซอ

แล้วก็มองไปที่เรือใหญ่
เล่มที่ 50 บทที่ 1475 เลีย
้ งลูกเสือลูกจระเข้

คงฉานไต้ซือสีหน้าท่าทางนิ่งมาก ตี้ฉานพูดว่า “ในหลายปีที่ผ่าน


มา ข้าได้พบกับหย่าหนูสามครั้ง ท่านก็บอกว่าเขายังอยู่ ไม่มีทางเป็น
เรื่องโกหกแน่”

คงฉานไต้ซือพนมมือแล้วพูดว่า “อามิตตาพุทธ ประสกมู่ อาตมา


เคยรับปากเจ้า จะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา ตอนนี้ความปรารถนาของ
เจ้าบรรลุแล้ว อาตมาไม่ได้มีอะไรจะร้องขออีก ขอแค่เจ้าจะสามารถทํา
ตามที่รับปากอาตมาไว้”

ตี้ฉานพูดว่า “ข้าไม่กลับคําแน่นอน แต่ว่าข้าต้องเห็นหย่าหนูฟ้ น



ขึ้นมากับตาตัวเองก่อน ถึงจะทําลายวรยุทธ์”

“ประสกมู่ ข้อตกลงของเราตอนนั้นมันไม่ใช่แบบนี้นะ” จั่วชิงห


ยางพูดว่า “ตอนนั้นเราตกลงกันว่า วินาทีที่พวกต้าจงซือไม่อยู่แล้ว เจ้า
ก็จะทําลายวรยุทธ์เลย แล้วมุง่ หน้าเข้าหาทางธรรม ไต้ซือรับปากท่าน
เอาไว้แล้ว จะช่วยให้เจ้าได้ยาเม็ดเสวียนอู่ แต่ว่ายานั่นจะทําให้หย่าหนู
ฟื้นขึ้นมาได้ไหม ไม่มีใครรับประกันได้หรอกนะ เราเองก็แค่พยายาม
อย่างเต็มที่เท่านั้น”
ตี้ฉานพูดว่า “เมื่อกี้เจ้าเพิ่งพูดเองว่า ยาเม็ดเสวียนอู่ทําให้คนฟื้น
ได้ ยังไงก็ช่วยหย่าหนูได้แน่นอน”

จั่วชิงหยางพยักหน้าพูดว่า “ข้ายอมรับว่าข้าพูดแบบนั้นจริง แต่ก็


หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น ถึงแม้มันจะเป็นแค่ตํานาน แต่ว่าเราไม่เคยมี
ใครเห็นมันด้วยตาว่ามันได้ผล คนนอกก็ไม่มใี ครรู้ว่าหลังจากกินยานี่ไป
แล้ว มันจะได้ผล ไม่แน่ว่าอาจจะกินแล้วฟื้นในสามถึงห้าวัน หรืออาจจะ
สามหรือห้าเดือน เรื่องนี้เราเองก็ไม่สามารถมั่นใจได้”

“ข้ารับปากพวกท่านว่า เมื่อข้าแก้แค้นได้ และหลังจากได้รับยา


เม็ดเสวียนอู่มาแล้ว ข้าก็จะทําลายวรยุทธ์” ตี้ฉานพูดว่า “แต่หากพวก
ท่านไม่สามารถช่วยหย่าหนูได้ ข้อตกลงของเรามันก็เป็นโมฆะ”

จั่วชิงหยางสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาพูดว่า “ท่าน


พูดแบบนี้หมายความว่าไง? หรือว่าจะกลับคํา?”

ตี้ฉานส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ได้จะกลับคํา พวกท่านช่วยหย่าหนู


ไม่ได้ ข้าก็จะพาเขาไปหาหมอมารักษา การทําลายวรยุทธ์ มันทําให้ข้า
ทําอะไรไม่สะดวก”

“ประสกมู่ เจ้ากําลังจะผิดข้อตกลงนะ” จั่วชิงหยางถอนหายใจ


แล้วพูดว่า “เจ้าอย่าลืมไป ความเป็นความตายของหย่าหนูอยู่ในมือของ
เรานะ”
ตี้ฉานพูดว่า “ท่านคิดจะข่มขู่ข้างั้นเหรอ?”

จั่วชิงหยางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่างั้น
เพียงแต่ ...” เขายังพูดไม่ทันจบ ทุกคนก็เห็นตี้ฉานลอยตัวขึ้นไปบนเรือ
ทุกคนที่เห็นก็ตกใจกันมาก คงฉานไต้ซือเองก็ลอยขึ้นไปเหมือนกัน
เหมือนจะขวางนางเอาไว้ ทันใดนั้นก็ได้ยินตี้ฉานพูดว่า “หลีกไป”
จากนั้นนางก็ซด
ั ฝ่ามือใส่คงฉานไต้ซือ

คงฉานไต้ซือรู้ว่าตี้ฉานร้ายกาจแค่ไหน ไม่กล้ารับมือตรงๆ เขารูส


้ ึก
ว่ามีลูบมาใส่ ยังไม่ทันคิดอะไรมาก ตี้ฉานก็ผา่ นหน้าเขาไปแล้ว ไม่ได้
วุ่นวายอะไรกับเขามาก

ตี้ฉานเร็วมาก พริบตาเดียวก็ลอยไปบนเรือแล้ว จั่วชิงหยางพูด


ออกมาว่า “แย่แล้ว”

ตี้ฉานเดินเข้าไปในห้องท้องเรือ ในเรือทุกอย่างเงียบไป จั่วชิงหยาง


กับคงฉานไต้ซอ
ื มองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาดูตกใจมาก

ฉีหนิงเองก็เดินขึ้นหน้าไป แล้วถามแบบเสียงเข้มว่า “ท่านอาจารย์


จั่ว หย่าหนูอยู่บนเรือรึเปล่า?”

จั่วชิงหยางพยักหน้า สายตาของเขาดูตกใจมาก “ไต้ซอ


ื เรา ...”
คงฉานไต้ซือไม่รอเขาพูดจนจบ ก็พูดขึ้นมาว่า “ทุกอย่าล้วน
เป็นไปตามกรรม สุดท้ายก็ปิดไม่อยู่”

ฉีหนิงเหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว เขาพูดว่า “ไต้ซือ หรือว่า ... ผู้


อาวุโสหย่าหรูตายไปแล้วจริงๆ?”

“เมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ไหวหนานอ๋องนําตัวหย่าหนูมาส่งให้เราที่
วัดต้ากวงหมิง” คงฉานไต้ซือสีหน้าเคร่งเครียดมาก “อาการของเขา
ตอนนั้นหนักมาก หย่าหนูบาดเจ็บสาหัสมานานหลายปี ใช้ยาสมุนไพร
หลายอย่างถึงแม้จะทําให้เขายังหายใจอยู่ แต่เขาก็คือคนเป็นที่ตายไป
แล้ว อีกทั้งการใช้ยาจํานวนมากบวกกับอาการของเขา มันทําให้ชีพจร
ของเขาเสียหายหนักมาก ตอนที่ส่งมาที่วัด เขาเหลือแค่ลมหายใจ
สุดท้ายแล้ว”

ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าตอนที่ผู้อาวุโสหย่าหนูไปที่
วัดต้ากวงหมิง เขาก็ตายแล้วงั้นเหรอ?”

คงฉานไต้ซือส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อาตมาพยายามรวบรวมคนมา
เพื่อถ่ายทอดกําลังภายในเข้าไปในร่างกายของเขา อีกทั้งยังให้เขากิน
ยาของทางวัดด้วย เพื่อให้เขายังหายไปต่อไปได้อีก แต่ว่ามันก็ย้ ือได้ไม่
นาน” เขาพนมมือแล้วพูดว่า “อาตมาแอบคิดอกุศล ตอนนั้นแผนการ
ของฝูผิงดําเนินไปแล้ว อีกทั้งก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของประสกมูด
่ ้วย ตอน
นั้นเราก็รู้ทันทีว่า หากไม่มีความช่วยเหลือจากนาง แผนการของฝูผิงไม่
มีทางสําเร็จแน่นอน”

จั่วชิงหยางกลับพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ไต้ซืออย่าพูดแบบนั้น
ท่านไม่ได้คิดอกุศล แต่ท่านทําเพื่อทุกสรรพสิ่งในใต้หล้า ท่านมีเมตตา
ต่างหาก”

“หย่าหนูอยูใ่ นวัดแค่ปก
ี ว่า ก็ตายแล้ว” คงฉานไต้ซือแล้วพูดว่า
“เราแค่กังวลว่าหากประสกมู่รูว
้ ่าหย่าหนูตายแล้ว ก็จะออกจากแผน
ของกลุ่มฝูผิง ด้วยความจนใจ เลยต้องปกปิดเรื่องการตายของหย่าหนู”

“แล้วปิดบังนางได้ยังไง?” ฉีหนิงสีหน้าเคร่งเครียดมาก “นางจะไป


หาเขาทุกปีห หรือว่านางไม่รู้เลย?”

จั่วชิงหยางถอนหายใจแล้วพูดว่า “เราให้นางมองอยู่ไกลๆ ศพของ


หย่าหนู เราใช้ยารักษาเอาไว้ ทําให้เหมือนยังมีชีวิตอยู่ นางคิดอยากจะ
ช่วยเขามาก เลยฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเรา ดังนั้นไต้ซือจัดการ
ยังไง นางไม่เคยมีปญ
ั หา ทําตามตลอด”

ฉีหนิงพูดว่า “พวกท่านไม่คิดเลยเหรอว่าเรื่องนีส
้ ักวันนางจะจับ
ได้?”

“เราเองก็ข้น
ึ หลังเสือมาแล้ว” จั่วชิงหยางพูดว่า “หากบอกนางไป
ว่าหย่าหนูตายแล้ว เราเองไม่รูจ
้ ริงๆ ว่านางจะทําอะไรบ้าง เกิดแผนการ
ของเราพังเพราะนาง ถ้าอย่างนั้นทุกอย่าง ...” เขาถอนหายใจ สีหน้า
แบบจนปัญญา

ตอนนี้ฉห
ี นิงเลยเพิ่งจะเข้าใจ คงฉานไต้ซือกับจั่วชิงหยางคิดจะใช้
นางเป็นอาวุธ แต่ว่าหากใช้มันอย่างไม่ระวัง อาวุธชิ้นนี้มันย้อนกลับมา
ทําร้ายตัวเองได้

“ที่เราอยากให้เจ้าเข้าร่วมกลุ่มฝูผิง ไม่ใช่เพราะอยากให้เจ้ามา
จัดการกับต้าจงซือ” จั่วชิงหยางพูดว่า “เราแค่กังวลว่าจะเกิด
สถานการณ์อย่างตอนนี้ข้น
ึ มา คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นจริง ตามความคิด
ของเรา ต่อให้ตี้ฉานสามารถจัดการกับต้าจงซือจนบาดเจ็บได้ ยังไงนาง
ก็ต้องบาดเจ็บ แต่ถ้านางเกิดผิดคําพูดขึ้นมา เราเลยจําเป็นให้เจ้ามา
ช่วยเรากําจัดนาง แต่สถานการณ์ในตอนนี้ มันอันตรายมากกว่าที่เรา
คิด”

ฉีหนิงพูดว่า “พวกท่านต้องการให้ข้าเข้าร่วมกลุ่มฝูผิง เพื่อให้ขา้


มาจัดการตี้ฉานอย่างนั้นเหรอ?”

จั่วชิงหยางพยักหน้า คงฉานไต้ซอ
ื ก็พนมมือขึ้นมาแต่ไม่พูดอะไร
เลย
“พวกเจ้าเลี้ยงเสือไว้จัดการกับเสือตัวอื่น” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “แต่ว่าท้ายที่สุดแล้ว พวกท่านก็ไม่สามารถควบคุมเสือตัวนั้นไว้
ได้ เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้แท้ๆ เลย”

เป่ยถังชิง่ เดินเข้ามาใกล้ แล้วยกมือคํานับให้จ่ัวชิงหยาง “ท่าน


อาจารย์” จากนั้นก็ยกมือคํานับคงฉานไต้ซือ “ไต้ซือ”

เป่ยถังชิง่ แอบเข้ามาในแคว้นฉู่ ด้วยการแนะนําของฉีจิ่ง เขาได้ไป


เป็นศิษย์ของจั่วชิงหยาง จั่วชิงหยางถือเป็นอาจารย์จริงๆ ของเขา

จั่วชิงหยางพยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าลงจากเขาแล้วเหรอ? ตอนนั้น


เราก็คาดเอาไว้แล้วว่า การบรรเลงพิณกับขลุ่ย เป่ยกงเหลียนเฉิงเป่า
ขลุ่ยได้ แต่ไม่มีใครสามารถเล่นร่วมกับเขาได้แน่ ยังไงก็ต้องให้เจ้าลง
จากเขา”

เป่ยถังชิง่ พยักหน้า แล้วมองไปที่เรือที่ไม่มีความเคลื่อนไหว เขา


ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อาวุธลับของท่านอาจารย์ คือนางอย่างนั้นเหรอ?”

“ฐานะของนางพิเศษ ตอนที่ทําข้อตกลงกับเรา เราได้รบ


ั ปากนาง
ฐานะของนางจะมีแค่ขา้ กับไต้ซือสองคนเท่านั้นที่รู้ จะไม่มีใครรู้เรื่อง
ของนางอีกเป็นคนที่สาม” จั่วชิงหยางแล้วพูดว่า “ดังนั้นเลยไม่ได้บอก
เรื่องของนางให้เจ้าได้รู”

เป่ยถังชิง่ ท่าทางนิ่งมากแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ทําแบบนี้ ต้องมี
เหตุผลแน่นอน” เขาขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “ถึงแม้จะกําจัดพวกหม้อหลัน
ชางแล้ว แต่ว่า ... วรยุทธ์ของตี้ฉานเองก็ไปถึงจุดต้าจงซือแล้ว แผนการ
ของเรา ยังไม่สมบูรณ์ อีกทั้ง ...” เขามองซ้ายมองขวา แล้วพูดว่า “หาก
นางยกเลิกข้อตกลง เราจะรับมือกับนางยังไงดี?”

คงฉานถอนหายใจแล้วพูดว่า “อาตมาทําได้แค่เกลี่ยกล่อมให้นาง
วางอาวุธลง นอกจากนี้ เกรงว่า ...”

ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากในห้องท้องเรือ
ทันใดนั้นเองก็เงาของหลานคนกระเด็นออกมาจากเรือ พวกฉีหนิงตกใจ
มาก เห็นเงาพวกนั้นสวมชุดหลวงจีน มองทีเดียวก็รู้ว่าเป็นหลวงจีนของ
วัดต้ากวงหมิง พวกเขาลอยอยู่กลางอากาศ ฉีหนิงกําลังคิดว่าตงตกลง
ไปในน�าแน่ แต่กลับได้ยน
ิ เสียงประหลาดอีก หลวงจีนที่ลอยอยู่กลาง
อากาศ เหมือนกับระเบิด ร่างกายแตกกระจายกลางอากาศ ไม่ต่างกับ
น�าจิ้มเนื้อเลย

ชื่อตันเหมยกับฮวาเสี่ยงหรงถึงแม้จะมีประสบการณ์เจออะไรกัน
มามากมาย แต่ไม่เคยเห็นใครที่แรกแตกสลายกลางอากาศแบบนี้มา
ก่อน ภาพที่พวกนางเห็นมันน่ากลัวมาก ทําให้พวกนางต่างร้องออกมา
ด้วยความตกใจ
ส่วนคนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปหมด คงฉานไต้ซือพูดด้วยความ
ตกใจว่า “แย่แล้ว” เขาดีดตัวขึ้นไปบนเรือ แล้วตะคอกว่า “อย่าทําแบบ
นั้นนะ”

เขายังไม่ทันได้เข้าใกล้เรือ ก็ได้ยินเสียงฉีกขาดดังขึ้น ครั้งนี้ไม่ได้มี


ใครกระเด็นออกมา แต่เป็นเรือที่แตกกระจายออกจนหมด เรือลําใหญ่
พริบตาเดียวหายวับไปกับตา เรือลําใหญ่ไม่เหลือชิน
้ ดีเลย ทุกคนเห็น
ของชิ้นหนึ่งปลิวออกมาจากเรือ ฉีหนิงเห็นชัดมาก มันเป็นเหลี่ยมๆ
เหมือนโลงศพ แต่ว่ามันเป็นสีขาว เหมือนทํามาจากหยกขาว

โลงหินลอยมา ตี้ฉานก็อยู่ข้างๆ

คงฉานไต้ซือกําลังจะไปที่เรือ เห็นโลงหินกําลังพุ่งมาที่เจา เขา


ไม่ได้หลบ แต่ย่ น
ื มือออกไปหยุด มือของตี้ฉานข้างหนึ่งอยู่ที่ขอบโลง คง
ฉานไต้ซือยังไม่ทันแตะถูกโลง ตี้ฉานก็ใช้แรงดันมาออกมา โลงเลยชน
เข้ากับคงฉานไต้ซืออย่างจัง มันรวดเร็วมาก คงฉานไต้ซือถูกชนกระเด็น
ไปด้านหลัง ฉีหนิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาลอยตัวไป พยุงหลังของคง
ฉานไต้ซือเอาไว้ แต่ว่าเขาเองก็ยากจะต้านแรงที่ซัดมาไว้ได้ เขาเลย
ถอยหลังไปพร้อมกับคงฉานไต้ซือ ตอนที่ตกลงมาถึงพื้น ทั้งสองคนถอย
หลังไปหลายก้าวทีเดียว

“ไต้ซือ ท่าน ...?”


ฉีหนิงยังพูดไม่ทันจบ คงฉานไต้ซือก็กระอักเลือดออกมา
เหมือนว่าโลงศพที่ชนมาถูกเขา มันทําให้ภายในของเขาบาดเจ็บ

เป่ยถังชิง่ กับจั่วชิงหยางเหมือนจะตกใจมาก

วรยุทธ์ของคงฉานไต้ซือ แทบจะไม่มีใครสูไ้ ด้เลยในยุทธภพแต่


ว่าตี้ฉานลงมือทีเดียว คงฉานไต้ซือก็ไม่สามารถหลบได้เลย วรยุทธ์
ของตี้ฉานน่ากลัวมาก

“ปึ้ ง”

โลงหินตกลงมาบนชายหาด ตี้ฉานลงมาที่พ้ น
ื แล้วยืนอยู่ข้างโลงหิน
ใบหน้าของนางงดงามมาก รูปร่างของนางดีกมา แต่ตอนนี้ใบหน้าที่
งดงามของนางมันเต็มไปด้วยความเลือดเย็น นางจ้องไปที่คงฉานไต้ซือ
แล้วพูดว่า “พวกเจ้าหลอกข้ามาตลอดเลยเหรอ?”
เล่มที่ 50 บทที่ 1476 รอยสักบนฝ่ามือ

ฉีหนิงพยุงคงฉาน คงฉานกลับคอยๆ ผลักออก เดินขึ้นหน้าสอง


ก้าว พนมมือแล้วพูดว่า “ประสกมู่ หย่าหนูไม่ได้จากไปไหน เขาก็แค่ไป
เวียนว่ายตายเกิด ถึงแม้ร่างกายของเขาจะไม่มก
ี ลิ่นอายชีวิตแล้ว แต่เรา
สามารถสวดภาวนาให้เขาไปสูภ
่ พภูมิท่ีดีได้ มีชว
ี ิตแล้วยังไง ตายแล้ว
ยังไง เป็นหรือตายก็แค่การเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น”

ตี้ฉานพูดว่า “เจ้าเคยรับปากกับข้า ว่าจะช่วยให้ข้าได้ยาเสวียนอู่


มา แล้วทําให้เขาฟื้นขึ้นมา”

“อาตมาโกหกเอง” คงฉานไต้ซือถอนหายใจแล้วพูดว่า “ศาสนามี


ศิษย์หา้ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามพูด
โกหก ห้ามดื่มสุรา อาตมารูท
้ ้ังรูว
้ ่าหย่าหนูใกล้ตายแล้ว แต่กลับไม่ได้
บอกความจริงออกไป ทําผิดศีล ไม่อาจให้อภัยได้ อามิตตาพุทธ ...”

ตี้ฉานจับไปที่โลงศพ สายตาของนางมองไปก้อนหินยักษ์ที่ทับบน
ตัวของวสัตว์เทวะเสวียนอู่แล้วถามว่า “ยาเม็ดเสวียนอู่จะทําให้เขาตาย
แล้วฟื้นไหม?”

จั่วชิงหยางส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หย่าหนูตายไปหลายปีแล้ว ตอนนี้


รักษาร่างกายให้ไม่เน่าไม่เปื่อยได้ เพราะเราใช้ยาสมุนไพร คนตาย
เหมือนตะเกียงที่ดับแล้ว เขาตายไปหลายปีแล้ว อย่าว่าแต่โลกนี้ไม่มย
ี า
ที่ทําให้คนตายฟื้นคืนเลย ต่อให้มีอยู่จริง เขาตายไปหลายปีแล้ว เกรงว่า
ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ประสกมู่ หย่าหนูไม่มีความรู้สึกตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน
แล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะอยากไปเวียนว่ายตายเกิดนานแล้ว ไม่อยากทน
ทรมานต่อไปแบบนี้อีก ถึงแม้เจ้าจะหวังดี คิดจากจะให้เขาฟื้นขึ้นมา
แต่ว่า ...”

เขายังพูดไม่ทันจบ ตี้ฉานก็หน้าเปลี่ยนสี มือขวาของนางก็ยกขึ้น


มา ฉีหนิงสังเกตการเคลื่อนไหวของตี้ฉานตลอด เห็นนางขยับมือขวา
คิดในใจว่าแย่แน่แลล้ว เขากับจั่วชิงหยางอยู่ใกล้กันมาก เลยรีบไปขวาง
หน้าจั่วชิงหยางเอาไว้ ไม่ผิดอย่างที่เขาคิดมันมีแรงลมที่แข็งกร้าวพุ่งมา

แรงกําลังนั่นมันมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเลย หากไม่ใช่เพราะฉีหนิง
รู้ตัวเร็ว คิดว่าคงซัดถูกจั่วชิงหยางไปแล้ว ด้วยกําลังความสามารถของ
จั่วชิงหยาง แทบจะต้านอะไรไม่ได้เลย

มีกลุ่มกําลังลอบโจมตีมา ฉีหนิงเองก็เดินลมปราณ แล้วยกสองมือ


ขึ้นต้าน ถึงแม้จะหยุดกําลังนั้นไว้ได้ แต่ว่าร่างกายของเขาก็สะเทือน
เขารู้สึกว่าภายในของเขาเหมือนจะแตกสลายออกจากัน เขารู้สึก
พะอืดพะอม เกือบจะอ้วกออกมา แต่ก็ยังพยายามดันมันกลับเข้าไป
ตี้ฉานจ้องไปที่ฉีหนิงแล้วพูดว่า “เจ้าอยากจะตายพร้อมกับพวก
เขาด้วยเหรอ?” น�าเสียงของนางเย็นชามาก มันเต็มไปด้วยการข่มขู่ แต่
ฟังจากคําพูดของนาง เหมือนนางไม่ได้อยากจะฆ่าฉีหนิง

“ผู้อาวุโสมู่ ท่านฟังคําพูดจากใจของข้าหน่อยได้ไหม?” ฉีหนิงเดิน


ขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว แล้วยกมือคํานับ

ตี้ฉานเหลือบไปเห็นฉีหนิง แล้วถามว่า “อะไรนะ?”

“เรื่องที่เกิดขึ้นบนเขาต้าเสวียซานในวันนั้น มีบางคนเขารู้สก

สํานึกแล้วจริงๆ อีกอย่างข้าเองก็รู้สึกนับถือนิสย
ั ของท่านผู้อาวุโสหย่า
หนูมาก” ฉีหนิงมองไปที่ตี้ฉาน แล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่านทั้งสองลงจาก
เขามา ผู้อาวุโสหย่าหนูบาดเจ็บสาหัสสลบไป จากนั้นก็ไม่ฟ้ ืนกลับมาอีก
เลย มันทําให้คนรู้สึกเห็นใจมากจริงๆ แต่ว่าท่านเองก็น่าจะรู้ดี เป็นหรือ
ตายฟ้าเป็นผู้ลิขต
ิ จะยากดีมีจนสวรรค์ก็เป็นคนกําหนด มีบางเรื่อง
กําลังของคนอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เรื่องความเป็นความ
ตาย มันไม่ใช่ส่งิ ที่คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ผู้อาวุโสหย่าหนูสลบ
ไปนานกว่าสิบปี เหลือลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ ถือได้ว่าแปลกมากแล้ว
แต่ว่ายังไงเขาก็ยังมีร่างกายเป็นมนุษย์ ถึงแม้จะใช่สมุนไพรยื้อมาได้ แต่
อยู่ในสภาพสลบแบบนั้น ร่างกายมันก็ต้องอ่อนกําลังลงจนกระทั่งตาย
ไป มันไม่ใช่สงิ่ ที่มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้” เขามองไปที่คงฉานไต้
ซือ แล้วพูดว่า “คงฉานไต้ซือหลอกท่านมานานหลายปี ท่านรู้สก
ึ โกรธ
มาก รู้สก
ึ แค้นใจ แต่ตามความเห็นของข้า ท่านไม่เพียงไม่สมควรโกรธ
แค้นท่านไต้ซือ แต่ยังสมควรจะขอบคุณเขาอีกด้วย”

คงฉานไต้ซือกับจั่วชิงหยางมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกตกใจกันมาก
ตี้ฉานเองก็พูดอย่างไร้ความรู้สก
ึ ว่า “ทําไมเขาจะต้องขอบคุณเขา
ด้วย?”

“ผู้อาวุโสมู่ตามหายาวิเศษมารักษาผู้อาวุโสหย่าหนูตลอด แต่กลับ
ทําอะไรไม่ได้ ไหวหนานอ๋องเลยจําเป็นต้องส่งเขาไปที่วัดต้ากวงหมิง
เพราะในสายตาของเขา ในโลกนี้ความหวังเดียวที่พอจะช่วยผู้อาวุโส
หย่าหนูน้ัน มีแค่วัดต้ากวงหมิงที่เดียวเท่านั้น” ฉีหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “วัดต้ากวงหมิงคือผู้นําของเหล่าชาวยุทธ ในวัดมียอดฝีมือ
มากมาย ยอดฝีมือที่ข้าหมายถึง ไม่ได้หมายถึงเรื่องของวรยุทธ์ แต่เป็น
เรื่องของการรักษา” เขาหันไปถามคงฉานไต้ซือว่า “ไต้ซือ ข้าพูดถูกรึ
เปล่า?”

คงฉานไต้ซือพนมมือแล้วพูดว่า “ในวัดมีหอยาอยู่จริงๆ ด้านในมี


ยอดฝีมอ
ื ด้านนีม
้ ากมาย ไม่ถึงขั้นหมอเทวดา แต่หลายคน ร่วมมือกัน
ไม่ว่าอาการแบบไหนพวกเขาก็เอาอยู่”

“ไต้ซืออยากให้ท่านเข้าร่วมกลุ่มฝูผงิ เลยพยายามให้เสนอเงื่อนไข
ที่ท่านพึงพอใจ” ฉีหนิงมองไปที่ตี้ฉานใหม่ “ท่านหวังว่าวัดต้ากวงหมิง
จะช่วยผู้อาวุโสหย่าหนูได้ หากไต้ซือทําได้ เขาต้องทําอย่างเต็มที่ ไม่มี
ทางละเลยเด็ดขาด”

คงฉานไต้ซือพูดว่า “ช่วยชีวิตคนดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ต่อให้


ประสกมู่ไม่เข้าร่วมกลุ่มฝูผิง อาตมาก็จะช่วยอย่างเต็มที่”

“ผู้อาวุโสหย่าหนูไปอยู่วัดต้ากวงหมิงได้ไม่นานก็ตายไป ไม่ใช่
เพราะวัดต้ากวงหมิงไม่พยายามทําอะไรเลย แต่เป็นเพราะ ... เฮ้อ ขอ
อภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง เพราะมันถึงเวลาของเขาแล้ว ต่อให้ฮ่ว
ั ท้อ
เซียนซืออยู่ ก็ชว
่ ยอะไรไม่ได้” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส
หย่าหนูตายไป ความรูส
้ ึกของท่านข้าเข้าใจดี แต่ว่าเรื่องนี้จะโทษไต้ซอ

กับท่านอาจารย์จ่ัวไม่ได้” ฉีหนิงท่าทางจริงจังมาก “กลับกันการที่ไต้
ซือปิดบังเรื่องนี้กับท่าน อย่างน้อยก็ทําให้ในหลายปีที่ผ่านมาท่านมี
ความหวัง ทําให้ท่านไม่เสียใจและเจ็บปวดเหมือนหลายปีก่อนหน้านี้
อีกทั้งท่านเองก็คิดอยากจะแก้แค้นตลอดเวลา หากไม่ได้กลุ่มฝูผิงคอย
ช่วยเหลือ ขอถามท่านสักคําว่าท่านจะรับมือกับเหล่าต้าจงซือได้ไหม
ท่านจะสามารถแก้แค้นให้ผู้อาวุโสหย่าหนูได้รึเปล่า?”

ตี้ฉานเหลือบไปมองฉีหนิง ไม่ได้พด
ู อะไร

“ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าถ้าให้พด
ู กันตามจริง ผูอ
้ าวุโสมูส
่ มควรที่จะ
ขอบคุณท่านไต้ซือกับท่านอาจารย์จ่ัวด้วยซ�าไป” ฉีหนิงพูดว่า “พวก
เขาไม่เพียงช่วยท่านแก้แค้น อีกทั้งยังลดความทุกข์ของท่านมานาน
หลายปีด้วย”

ทุกอย่างเงียบไป ทันใดนั้นเองตี้ฉานก็หว
ั เราะขึ้นมา เสียงหัวเราะ
ของนางไม่เพียงแฝงไปด้วยความโกระ แต่ยังแฝงไปด้วยความเสียใจ
ทุกคนรูด
้ ีว่าไม่มใี ครเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้อีก ได้ยินนางหัวเราะแบบนี้
แล้วก็ขนลุก นางลงมือโดยไม่มีใครรู้ได้ ใครก็ไม่กล้าลงมือกับนางเลย
ในตอนนี้

“พวกเขาหลอกข้ามานานหลายปี เจ้ากลับบอกให้ขา้ ขอบคุณพวก


เขางั้นเหรอ?” ตี้ฉานพูดว่า “หากตอนนั้นพวกเขาช่วยไม่ได้ บอกกับข้า
ตรงๆ ก็ได้ ข้าก็จะพาหย่าหนูไปหาหมอฝีมือดีที่อ่ ืน ก็มีความหวัง
เหมือนกัน”

ฉีหนิงพูดว่า “ท่านรู้ดีแก่ใจ มันแทบไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว


หากมีความหวังจริง ผู้อาวุโสหย่าหนูทําไมไม่ฟ้ นขึ
ื ้นมาเลยตลอดหลาย
ปีที่ผ่านมา? ก่อนที่เขาจะไปที่วัดต้ากวงหมิง ผู้อาวุโสไปมาทั่วทุกที่ หา
หมอฝีมอ
ื ดีมามากแค่ไหน อีกทั้งยังได้รับความช่วยจากไหวหนานอ๋อง
อีก แต่ก็ไม่เป็นผลเลย ตอนที่ส่งไปที่วัดต้ากงหมิงนั้น ผูอ
้ าวุโสหย่าหนูก็
เหลือเวลาไม่มากแล้ว ต่อให้บอกความจริงท่านไป ตลอดสิบกว่าปีที่
ผ่านมาท่านยังหาสักคนมารักษาไม่ได้เลย แล้วคิดว่าในเวลาสั้นๆ แบบ
นั้นท่านจะหามาได้เหรอ?”
ตี้ฉานไม่พอใจมาก ในเวลานี้เอง ฉีหนิงก็ได้ยินเสียงเป่ยกงเหลียน
เฉิงพูดขึ้นมาจากด้านหลังว่า “ขอแค่ร่างกายยังไม่เสียหาย ก็อาจ ... ก็
อาจจะฟื้นกลับมาได้”

พอพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนก็มองไปที่เขา เห็นเป่ยกงเหลียนเฉิง


พยายามลุกขึ้นมานั่ง เมื่อกี้สายตาทุกคนมองไปที่ตี้ฉานคนเดียว ไม่รู้
ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่

เป่ยกงเหลียนเฉิงถูกเจ้าเกาะซัดหมัดเข้าใส่ที่หน้าอก ใครก็รู้ว่า
หมัดนั้นมันอานุภาพร้ายแรงแค่ไหน ดังนั้นถูกคนเข้าใจว่าเป่ยกงเหลียน
เฉิงนั้นบาดเจ็บสาหัสใกล้ตายแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขายังฝืนได้ถึงตอนนี้ ฉี
หนิงคิดว่าหรือว่าฝีมือของเป่ยกงเหลียนเฉิงจะเหนือกว่าเจ้าเกาะ หมัด
ของเจ้าเกาะไม่ได้ทําให้เป่ยกงเหลียนเฉิงถึงแก่ชีวิต

แต่สิ่งที่ทุกคนตกใจยิ่งกว่าคือ เป่ยกงเหลียนเฉิงกลับพูดว่าขอแค่
ร่างกายยังไม่เสียหายก็สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก เรื่องนี้มน
ั น่าเหลือเชื่อ
เกินไป หากเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ คงไม่มีใครเชื่อ แต่พอมันออกมาจาก
ปากของเป่ยกงเหลียนเฉิง ทุกคนก็เลยลังเล ฉีหนิงแอบคิด หรือว่าจะมี
วิชาที่ทําให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ?

ตี้ฉานเดิมสีหน้าดุดันเอาเรื่อง พอได้ยินเป่ยกงเหลียนเฉิงพูดมา
แบบนี้ นางก็เหมือนจะดีใจ นางมองไปที่เป่ยกงเหลียนเฉิงแล้วถามว่า
“ท่านบอกว่าหย่าหนูฟ้ นกลั
ื บมาได้เหรอ?”
เป่ยกงเหลียนเฉิงถอนหายใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองฟ้า

คนที่ตี้ฉานเป็นห่วงและใส่ใจมากว่าครึ่งชีวิตนั้นก็คือหย่าหนู คิดหา
วิธีทําทุกอย่างให้เขาได้ฟ้ นขึ
ื ้นมา ตอนนีไ้ ด้ยินว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงมีวิธี
ท่ามกลางความสิ้นหวัง เหมือนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง นางเดินไป
หาเป่ยกงเหลียนเฉิง ยืนห่างจากเขาไม่กี่ก้าว นางมองไปที่เป่ยกงเหลียน
เฉิงแล้วพูดว่า “ท่านพูดว่าอะไรนะ?”

เป่ยกงเหลียนเฉิงยกมือขึ้นมาอย่างยากลําบาก แล้วพูดว่า “เจ้า


มองที่รอยสักบนฝ่ามือของข้าสิ”

ฉีหนิงเห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงยกมืออย่างยากลําบาก ก็รูท
้ ันทีว่าเขา
เองก็ใกล้จะไม่ไหวแล้ว ท่าทางที่คนทั่วไปสามารถทําได้ แต่ตอนนี้ต้า
จงซือคนนี้ทําได้อย่างลําบากแสนเข็น

ทุกคนได้ยินว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงให้ตี้ฉานไปดูรอยสักบนฝ่ามือของ
เขา ก็รูส
้ ึกแปลกใจจ ไม่รู้ว่าการฟื้นคืนชีวิตนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับรอย
สักบนฝ่ามือของเขา

ตี้ฉานเองก็รู้สก
ึ สงสันย เรื่องฟื้นคืนชีวิตมันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ
แต่หินก้อนเดียวที่ตกลงมาจากฟ้ามันยังทําให้พวกเขาอยู่เปลี่ยนแปลง
ไปได้ แล้วเรื่องตายแล้วฟื้นมันจะเป็นไปไม่ได้ได้ยังไง
อีกทั้งเรื่องนี้ก็ออกมาจากปากของเป่ยกงเหลียนเฉิงด้วย ตอนนั้นตี้
ฉานก็รก
ั เป่ยกงเหลียนเฉิงมาก ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ติดตามเขา
มานานหลายปี นิสัยของเขานางก็พอรูจ
้ ักอยู่บ้าง รู้ว่าเป่ยกงเหลียนเฉิง
ไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาเหลวไหล ในเมื่อเขาบอกว่ามีวิธี คิดว่าไม่ใช่เรื่อง
โกหก นางเลยเดินเข้าไปใกล้ ก้มหน้ามองไปที่ฝ่ามือของเขา

“ความลับเรื่องของการตายแล้วฟื้นคืนชีวิต อยู่ที่รอยสักบนฝ่ามือ
นี่แหละ” เป่ยกงเหลียนเฉิงหายใจโรยริน “หย่าหนู ...”คําพูดด้านหลัง
เขาไม่ได้พูดจนจบ เขาก็พุ่งตัวออกไปเหมือนยิงกระสุน มันรวดเร็วมาก
ทุกคนต่างตกใจ ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงจะทําแบบนี้ แม้
แต่ตี้ฉานเองก็ยงั ตกใจหน้าถอดสี

“ปึ้ ง”

ฝ่ามือของเป่ยกงเหลียนเฉิง ซัดเข้าไปที่หน้าอกของตี้ฉานเต็มๆ ตี้


ฉานถอยหลังไปหลายก้าว หลังจากที่เป่ยกงเหลียนเฉิงซัดฝ่ามืออกไป
เขาก็ล้มลงกับพื้น ร่างกายเขาไม่ขยับลุกไม่ข้น
ึ อีกเลย เขาใช้แรงกําลังที่
เขาเหลืออยู่ซัดฝ่ามือนั้นออกไป ตอนนี้เขาไม่มีแรงเหลืออยู่อีกต่อไป
แล้ว

ตี้ฉานถอยไปหลายก้าว ก็รู้สึกคอขมๆ ถึงแม้จะพยายามคุมเอาไว้ไม่ให้


กระอักเลือดออกมา แต่ว่าก็ยังมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก หน้าอก
ของนางเหมือนมันจะขาดแยกออกจากกัน มันเจ็บเข้าไปลึกมาก ไม่มี
ใครคาดคิดว่าเป่ยกงเหลียนเฉิงจะยังมีแรงจนเฮือกสุดท้ายแบบนี้ ยิ่งไม่
มีใครคาดคิดเลยว่า เป่ยกงเหลียนเฉิงจะลงมือแบบนี้กับตี้ฉาน
เล่มที่ 50 บทที่ 1477 ฉวยโอกาส

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกใจ

ก่อนหน้านี้ไม่นาน เพื่อชดเชยความผิดที่มีต่อตี้ฉาน เป่ยกงเหลียน


เฉิงยอมต่อสู้กับเจ้าเกาะ ใครก็รู้ การตัดสินใจต่อสู้กับตี้ฉาน ไม่ว่าใครจะ
แพ้หรือชนะ สิง่ ที่จะตามมาสู่เขานั่นก็คือความตาย เดิมเขาเลือกที่จะ
ร่วมมือกับเจ้าเกาะจัดการตี้ฉานได้ แต่เขาก็ไม่ได้เลือกทําแบบนั้น

เป่ยกงเหลียนเฉิงเหมือนจะคิดอยากจะชดเชยความรูส
้ ึกผิดที่มี
ต่อตี้ฉานจริงๆ

ในเมื่อเขายอมสละชีวิตเพื่อชดเชยให้กับนางแล้ว เลยไม่มีใครคิด
ว่าเขาจะลงมือกับตี้ฉานแบบนี้ มันเหลือเชื่อมากเกินไป แม้แต่ตี้ฉานก็
คิดไม่ถึงว่าเขาจะทําแบบนี้กับนาง

ด้วยวรยุทธ์ของนาง หากระวังตัว เดินลมปราณเพื่อคุ้มกันหัวใจ


เอาไว้ แรงเฮือกสุดท้ายของเป่ยกงเหลียนเฉิง ก็อาจจะทําอะไรตี้ฉาน
ไม่ได้ แต่ว่าตี้ฉานไม่คิดเลยว่าเขาจะลงมือกับนาง หรือพูดง่ายๆ ตี้ฉาน
ไม่คิดว่าการที่เขาบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ จะมีแรงมาทําอะไรนางได้ เลย
ประมาทในการป้องกันตัว
หากเป่ยกงเป็นคนอื่นใครก็ได้ในโลก ตี้ฉานอาจจะระวังตัวมากกว่า
นี้ แต่เขากลับคือเป่ยกงเหลียนเฉิง

นางเป็นห่วงว่าจะมีวิธท
ี ําให้หย่าหนูฟ้ ืนกลับมาได้ไหม คิดอยากจะ
รู้ความลับบนฝ่ามือของเป่ยกงเหลียนเฉิง ความสนใจของนางพุ่งเป้าไป
ที่รอยสักบนฝ่ามือ พอเป่ยกงเหลียนเฉิงลงมือจู่โจม ตี้ฉานยังคงไม่ต่าง
กับคนทั่วไปมีเลือดมีเนื้อ หากเป่ยกงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่ามือที่ซัด
ออกไปโดยที่ตี้ฉานไม่ได้ระวังตัวอาจทําให้นางตายไปหลายรอบแล้วก็
ได้ แต่เป่ยกงทําได้แค่ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย ถึงแม้เขาจะลงมืออย่าง
เต็มกําลังแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถทําให้นางตายได้ในทันที

อวัยวะภายในของตี้ฉานถูกซัดจนได้รับบาดเจ็บ ทําให้ชีพจรทั้ง
แปดสายสั่นสะเทือน

ต้าจงซือมีความสามารถในการควบคุมพลังดินฟ้าอากาศ แต่ก็
ไม่ได้ทําได้ดังใจ มันต้องให้ร่างกายหลอมรวมเป็นหนึ่งไปกับอากาศ
โดยรอบ ทําให้อากาศพวกนั้นเป็นส่วนหนึ่งในลมปราณภายในร่างกาย
ถึงจะสามารถใช้พลังฟ้าดินได้

แต่หากร่างกายเกิดความผิดปกติ การเดินลมปราณไม่สามารถ
เป็นไปได้อย่างราบรื่น ก็จะไม่สามารถใช้พลังฟ้าดินอีกได้

นั่นก็คือจุดอ่อนของต้าจงซือ
ต้าจงซือที่รอดมาจากบนเขาต้าเสวียนซานในเวลานั้น ถึงแม้จะมี
ความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดิน แต่เพราะร่างกายที่
เปลี่ยนแปลงไป หากอยู่อย่างปกติก็ไม่มป
ี ัญหาอะไร แต่หากอยู่ใน
สภาวะถูกพลังตีกลับ มันจะทําให้รา่ งกายเกิดความผิดปกติ ซึ่งมันก็จะ
เป็นเวลาที่อ่อนแรงมากที่สุด ดังนั้นเวลาที่พวกเขาอาการกําเริบ ก็เลย
จะพยายามไม่ให้ใครรับรู้ แล้วให้ผ่านพ้นช่วงร่างกายอ่อนแรงที่สุดไป
ก่อน

ตอนที่หยินอู๋จี้โจมตีเจ้าลัทธิบัวดํา ก็ฉวยโอกาสตอนที่เขาอาการ
กําเริบ ถึงลงมือ เจ้าลัทธิในเวลานั้นภายในเกิดความผิดปกติ แทบจะไม่
สามารถควบคุมพลังฟ้าดินมารับมือเขาได้เลย ถึงได้ทําให้พวกของห
ยินอู๋จี๋น้น
ั ทําการสําเร็จ

ฝ่ามือของเป่ยกงเหลียนเฉิง ถึงแม้จะไม่ได้สังหารตี้ฉานได้ แต่ก็ทํา


ให้ตี้ฉานตกอยูใ่ นสภาวะยากลําบากและอันตรายทันที

ตี้ฉานรูด
้ ีว่าหากนางแสดงออกว่านางอ่อนแรง ก็อาจจะมีคนฉวย
โอกาสได้ นางเลยพยายามทําให้เลือดไม่ไหลออกมามาก แต่ยังไงก็ยังมี
ที่มุมปากอยู่นิดหน่อย

นางเดินลมปราณคุ้มกันชีพจรหัวใจ แต่ว่าพลังชี่ในร่างกายของ
นางมันเหมือนหนูตัวเล็กๆ วิ่งไปวิ่งมาไม่มีเส้นทางชัดเจน เลยไม่
สามารถควบคุมได้ในทันที ตอนนี้นางก็เริม
่ หน้ามืด ขาเริม
่ อ่อนแรง
ร่างกายเซไปเซมา เหมือนจะล้ม ในตอนนี้เองก็รู้สึกว่ามีลมวูบหนึ่งกําลัง
พุ่งมาหา ปลายตาของนางเห็นเงากําลังโจมตีเข้าใส่

คนๆ นั้นเร็วมาก มือขวาทํามือเหมือนกรงเล็บ กําลังพุง่ มาจับตี้


ฉาน

“โหวเยว่ระวัง” คงฉานไต้ซือตะโกนออกมา

คนที่แอบโจมตีจากด้านข้าง คือเป่ยถังชิง่

เป่ยถังชิง่ ยืนดูอยู่เฉยๆ ตลอด เห็นต้าจงซือแต่ละคนค่อยๆ ตายไป


คิดไม่ถึงว่าพอสุดท้ายแล้วเขาจะลงมือกับตี้ฉานต้าจงซือคนสุดท้ายด้วย
ตัวเอง

เป่ยถังชิง่ ถูกกักบริเวณอยู่บนเขาเก้าตําหนักหลายปี แต่เขาไม่ได้


ไปพักผ่อน

เขาคิดอยากจะทําลายแคว้นฉู่ กําจัดจิ่นอีกตระกูลฉี แก้แค้นให้


หลิวซู่อี อีกทั้งยังคิดว่าหลังจากได้แผ่นดินมาแล้ว จะยกให้กับลูกชาย
แต่การจะทําเรื่องนี้ให้สําเร็จจะต้องกําจัดต้าจงซือให้ได้ก่อน

ในใจของเขารู้ดีว่า หากไม่กําจัดต้าจงซือ ต่อให้ได้ใต้หล้ามา


ทั้งหมด คนที่น่ังอยู่บนบัลลังก์ก็แค่หน
ุ่ เชิด
ตอนนี้เห็นต้าจงซือแต่ละคนตายไปทีละคน เขารู้สึกดีใจมาก แต่
กลับมีตี้ฉานโผล่มาเป็นต้าจงซืออีกคน มันเป็นผลเสียต่อแผนการของ
เขามาก

หากใต้หล้านี้ยงั มีต้าจงซือหลงเหลืออยูอ
่ ีก ก็ยงั พอจะรับมือกับนาง
ได้ แต่หากเหลือแค่นางคนเดียวที่เป็นต้าจงซือ สถานการณ์มันก็เสี่ยง
กว่าเดิมมาก

ไม่มีอะไรมาคานเอาไว้ ตี้ฉานอยากทําอะไรก็ทําได้เลย

พอเขาเห็นตี้ฉานลงมือทําร้ายคงฉานไต้ซือ เขาตกใจมาก หากตี้


ฉานคลั่งขึ้นมา อย่าว่าแต่กําจัดนางเลย เกรงว่าคนบนเกาะทุกคน
อาจจะไม่มีใครรอดเลยด้วยซ�า

เขาเตรียมพร้อมจะสละชีวิตของเขาไว้แล้ว คิดไม่ถึงว่า เป่ยกง


เหลียนเฉิงจะลงมือกับนางก่อน

เป่ยถังชิง่ มีความสามารถในทําสงครามในสนามรบมาก วรยุทธ์


ของเขาก็ไม่ได้แย่ หลังจากที่เขาเห็นตี้ฉานถูกโจมตี เลือดไหลออกจาก
มุมปาก ร่างกายเหมือนจะล้ม ก็รู้โอกาสที่หาได้ยากมาถึงแล้ว

ในเวลานี้ เป็นเวลาที่ตี้ฉานอ่อนแอมากที่สุด หากเสียโอกาสไป


นางอาจจะฟื้นพลังกลับมาได้
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ออกศึกเป็นเวลานานมากแล้ว แต่หลายปีที่ผา่ น
มาการอ่านและการตัดสินใจยังไม่ได้หายไป การอ่านเกมและจับจุดอ่อน
ศัตรูของเขาในสนามรบ มันเป็นสิ่งที่ขุนพลคนหนึ่งพึงมี เป่ยถังชิ่งรู้ดี
มากกว่าใคร เมื่อโอกาสมาถึง หากลังเล โอกาสนั้นอาจหลุดลอยไป คิด
จะลงมืออีกอาจจะไม่มีแล้ว

เขาอยู่ไม่ไกลจากตี้ฉาน ในเมื่อมองเห็นโอกาสแล้ว เขาเลยไม่ลังเล


ฉวยโอกาสในตอนที่ตี้ฉานอ่อนแรง โจมตีนางในคราวเดียว

ก่อนที่เป่ยกงเหลียนเฉิงจะลงมือ สถานการณ์บนเกาะทั้งหมดอยู่
ในมือของตี้ฉาน ความเป็นความตายของทุกคน ก็อยู่ในมือของนางด้วย

เป่ยถังชิง่ รู้ดี หากเขาสามารถลงมือแล้วสําเร็จได้ในคราวเดียว ถ้า


อย่างนั้นสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนใจ

เขาลงมือเด็ดขาดและรวดเร็ว กรงเล็บของเขายื่นมาโจมตีด้านหลัง
ของตี้ฉาน สายตาของเขาดูดด
ุ ันมาก

ตอนนี้เขาก็กําลังจะจับไปโดนหลังศีรษะของตี้ฉานแล้ว เป่ยถังชิ่ง
กลับรู้สก
ึ ว่าตาลาย เดิมคิดว่านางอยู่ใกล้แค่เอื้อมพริบตาเดียวนางกลับ
หายไป เขาสะดุ้ง ปลายตาของเขาพบว่าตี้ฉานกลับยื่นมือกลับมาจะจับ
เขา เป่ยถังชิ่งคิดไม่ถึงว่าตี้ฉานที่กําลังบาดเจ็บ จะสามารถหลบการ
โจมตีของเขาได้ ไม่รอให้เขาคิดนาน มือขวาของเขาก็ถูกตี้ฉานจับเอาไว้
เป่ยถังชิง่ ตกใจมาก เขาเลยต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งผ่าไปที่ซัดไปที่
ด้านข้างหัวของตี้ฉาน

ฝ่ามือของเขากําลังจะลงไปที่ตี้ฉาน จากนั้นก็มเี สียงดังขึ้น มันเป็น


เสียงฝ่ามือของตี้ฉานซัดไปที่หน้าอกของเป่ยถังชิ่ง ถึงแม้นางจะลงมือ
ช้ากว่าเป่ยถังชิง่ แต่ว่ากลับถึงก่อน วินาทีที่ฝ่ามือซัดไปที่หน้าอกของ
เขา ก็ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้น

“อย่าทําแบบนั้น” เป่ยถังชิ่งกระเด็นลอยไปไกล คงฉานไต้ซือกับ


จั่วชิงหยางไปถึงด้านหลังของตี้ฉาน

ตี้ฉานหลบไปด้านข้าง ลอยตัวเหมือนวิญญาณลอยไปที่ด้านข้าง
ของจั่วชิงหยาง ใบหน้าของนางเย็นชามาก ดวงตาที่งดงาม แปรเปลี่ยน
เป็นดวงตาที่มีแต่ความอาฆาต มือขวาของนางยื่นออกไปโจมตีจ่ัวชิงห
ยาง

“ฝ่ามือหลิงซู่” จั่งชิงหยางหน้าเสียไป โบกมือไปรับมือ คงฉานไต้ซื


อเองก็ไปทางด้านข้างของตี้ฉาน ใช้จีวรสะบัดใส่ แล้วซัดสองฝ่ามือ
ออกไปใส่ตี้ฉาน

เทพธิดาเป่าฉานฮวาเสีย
่ งหรงเห็นตี้ฉานพลาดท่า ก็หน้าเสีย
จากนั้นกเห็นเป่ยถังชิง่ ลอบโจมตีอีก นางเลยไม่ลังเลใจที่จะบุกขึ้นไป
ช่วย แต่ว่านางอยู่ห่างจากตี้ฉานพอสมควร ถึงแม้จะมีความเร็ว แต่ก็
ตามไปไม่ทัน

เห็นตี้ฉานจัดการเป่ยถังชิ่งจนปลิวกระเด็นไป ฮวาเสีย
่ งหรงถึงได้
โล่งใจ

สถานการณ์บนเกาะ นางเองก็รู้ดี หากต่อสู้กันขึ้นมา คนบนเกาะ


เหมือนจะเป็นศัตรูกับตี้ฉานหมด พอคงฉานไต้ซือกับจั่วชิงหยางเริ่ม
โจมตีตี้ฉาน นางรู้ว่าสองคนนั้นล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ หลังจากตี้ฉาน
พลาดท่า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางจะต้านไหวไหม นางเลยลอยตัวไปเพื่อ
ช่วยเหลือ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่ามีลมวูบหนึ่งซัดมา ปลายตาเห็นเงาลอย
มาเหมือนผีเสื้อ คนที่มาขวางคือชื่อตันเหมยนั่นเอง

วันนี้คนที่อยู่บนเกาะ มีแต่คนฉลาด พริบตาเดียวก็สามารถมอง


สถานการณ์ออกแล้ว

ชื่อตันเหมยคิดเหมือนเป่ยถังชิง่ นางรูว
้ ่าหากไม่กําจัดตี้ฉาน ชะตา
ชีวิตของทุกคนบนเกาะก็จะตกอยู่ในมือของนาง เห็นฮวาเสี่ยงหรงกําลัง
จะออกไปช่วย นางเลยไปขวางฮวาเสี่ยงหรงเอาไว้

ชื่อตันเหมยท่าทางดี ฮวาเสี่ยงหรงเองก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน วรยุทธ์


ของทั้งสองคนอ่อนโยนแค่ก็เด็ดขาด กระบวนท่าที่สวยงาม สลับกันไป
มาเหมือนผีเสื้อสองตัวกําลังเริงระบํา
ถึงแม้ในใจของฉีหนิงจะไม่ได้ยอมรับว่าเป่ยถังชิ่งเป็นพ่อ แต่ว่าใน
เมื่อร่างกายที่เขามีอยู่ยงั ไงก็ก่อกําเนิดมาจากเขา เห็นเป่ยถังชิง่ ถูกซัด
ปลิวมา กระอักเลือด เขาก็นง่ิ ไป จากนั้นก็ลอยตัวไปอยูข
่ ้างๆ เป่ยถังชิง่
เห็นเขาสีหน้าซีดเซียว มีเลือดไหลออกมาจากปาก หน้าอกเป็นลอยยุบ
ลงไป หายใจโรยรินมาก เขาก็คุกเข่าลงข้างๆ เขา แล้วมองขุนพลแห่ง
ยุคคนนีด
้ ้วยความรู้สก
ึ หนักอึ้ง

“ฝี ... ฝีมือยังไม่ ... ไม่พอ ...” เป่ยถังชิง่ ยิ้มแห้งๆ “ข้า ... ข้าจะได้
ไปพบ ... ไปพบแม่ของเจ้าแล้ว ...”

ฉีหนิงคิดจะยื่นมือไปจับมือของเขาเอาไว้ ยื่นออกไปแค่ครึ่งเดียวก็
หยุดชะงักลงแต่สุดท้ายก็ยังตัดสินใจไปจับอยู่ดี เขารูส
้ ึกได้ว่ามือของ
เป่ยถังชิง่ เย็นมาก รู้ว่าสถานการณ์แย่แล้ว เป่ยถังชิ่งเห็นสีหน้าท่าทาง
ของฉีหนิงดูเศร้า เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “กระดูก ... กระดูกหน้าอก
ทิ่มไปที่หัวใจ ข้า ... ข้าไม่รอดแล้ว ...”

“ข้าจะหาทางช่วยท่านเอง ...” ฉีหนิงจับมือของเป่ยถังชิ่งเอาไว้

เขารู้ดีว่าการที่เป่ยถังชิง่ ลอบไปโจมตีจากด้านหลัง มันทําให้ตี้ฉาน


โกรธมาก ฝ่ามือนั่นของตี้ฉานรุนแรงมาก มันซัดเข้าเต็มหน้าอกของเป่ย
ถังชิ่ง ทําให้มันยุบเข้าไป กระดูกหน้าอกแตก เศษกระดูกมันแทงเข้าไป
ในหัวใจ หากเป็นอาการอย่างอื่น อาจจะพอหาทางช่วยได้ แต่ว่าแทงไป
ที่หัวใจแบบนี้ ต่อให้หลีซีกงยังอยู่ ก็อาจจะช่วยไม่ได้
“ในหน้าอก ... หน้าอกเสื้อของข้ามีของ ... มีของ เจ้า ... หยิบมันให้
ข้าที ...” เป่ยถังชิ่งพูดจบ ก็กระอักเลือดออกมา สีหน้าของเขาแย่มาก

ฉีหนิงยื่นมือไปในเสื้อของเขา เหมือนจะคลําเจอม้วนผ้าม้วนหนึ่ง
เป่ยถังชิง่ จ้องไปที่ดวงตาของฉีหนิง “นี่ ... นี่คือแผนที่ ... แผนที่ที่เจ้า
อยากได้ ข้า ... ข้ามอบให้เจ้า เดิม ... เดิมทีข้าอยากยกใต้หล้านีใ้ ห้เจ้า
แต่ ... แต่เจ้าไม่อยากได้ ข้า ... ข้าเอง ... ก็คิดว่าคงทําไม่ได้ ... ไม่ได้แล้ว
...”

ฉีหนิงตกใจมาก เขาเลยเปิดออกดูนด
ิ นึง มันคือแผนที่จริงๆ

“ช่วย ... ช่วยทําอะไรให้ข้าสักอย่างได้ไหม ...” เป่ยถังชิง่ หายใจ


อ่อนแรงลงเรื่อยๆ น�าเสียงของเขาก็เบาลงด้วย “ช่วย ... ช่วยฝังข้า ...
ไว้กับแม่ ... แม่ของเจ้าด้วย ...”

ฉีหนิงขมวดคิ้ว เป่ยถังชิง่ เห็นฉีหนิงเหมือนจะลําบากใจ เขาก็ถอน


หายใจ ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ...”

“ข้ารับปากท่าน” ฉีหนิงไม่รอให้เขาพูดจบ ก็รบ


ั ปาก

เป่ยถังชิง่ ดีใจมาก เดิมทีเขาแทบจะไม่มีแรงยกมือก็กลับมามีแรง


เขาจับมือของฉีหนิงไว้แน่น “เจ้ายัง ... ยังไม่เคยเรียกข้า ... เรียกข้าว่า
... ข้า ... ข้าอยากได้ยินมันสักครั้ง ... สักครั้ง ... สักครั้งก็พอ ...” เขาจ้อง
ไปที่ดวงตาของฉีหนิง สายตาของเขาคาดหวังมาก
ฉีหนิงมองเห็นโอกาสรอดของเขาค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไป เขารู้ว
ว่ามันเป็นลมหายใจสุดท้ายของเขาแล้ว เขาแอบถอนหายใจ แล้วพูดว่า
“ท่านพ่อ”

เป่ยถังชิง่ ยิ้มมุมปาก จากนั้นมือของเขาก็หล่นลงไป แล้วก็ไม่หายใจอีก


เลย
เล่มที่ 50 บทที่ 1478 ปรมาจารย์เพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า

เป่ยถังชิง่ ตายไป ในใจของฉีหนิงไม่ได้เสียใจมากเท่าไหร่ แต่เศร้า


มากกว่า

ได้ยินเสียงร้องคํารามของผู้หญิงดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียง
ร้องด้วยความเจ็บปวด ฉีหนิงก็สะดุ้ง เขานึกเป็นห่วงชื่อตันหมยขึ้นมา
เขาเงยหน้าไปมอง เห็นฮวาเสีย
่ งหรงถูกชื่อตันเหมยซัดกระเด็น แล้ว
หล่นลงกระแทกอย่างแรง

ฮวาเสี่ยงหรงถึงแม้จะเป็นคนของตี้ฉาน แต่เมื่อเทียบกับชื่อตัน
เหมยแล้วห่างชั้นมาก ชื่อตันเหมยถึงแม้จะไม่ได้รับการชีแ
้ นะจากท่าน
เจ้าเกาะทั้งหมด แต่โม่อิ่งกับไป๋อวี่เฮ่อก็ต่างเป็นยอดฝีมือในยุทธภพต่อ
ให้เป็นซาหนูกับหวังหนู ก็ไม่ใช่คนฝีมือธรรมดาทั่วไปในยุทธภพ ชื่อตัน
เหมยฝึกวรยุทธ์ต้ังแต่เด็ก โดยไม่มอ
ี ะไรมารบกวนสมาธิ วรยุทธ์ของฮ
วาเสี่ยงหรงเทียบนางไม่ได้เลย

ฉีหนิงเห็นชื่อตันเหมยปลอดภัย เขาก็โล่งใจ เขาหันมามองเงาที่


กําลังล้อมตี้ฉานอยู่ ไม่เพียงจั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซอ
ื แม้แต่หวังหนู
กับหย่าหนูตอนนี้ก็วิ่งมาล้อมตี้ฉานเอาไว้เหมือนกัน
วรยุทธ์กับตี้ฉานไม่มีใครสู้ได้ แต่นางถูกเป่ยกงเหลียนเฉิงทําร้าย
หากปล่อยเวลาให้นานกว่านี้ ไม่แน่ว่านางอาจจะฟื้นกําลังกลับมาได้ แต่
ว่าทุกคนไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปแน่นอน

แต่ตี้ฉานยังไงก็ยังเป็นตี้ฉานอยู่ดี ถึงแม้จะไม่สามารถควบคุมพลัง
ฟ้าดินได้ แต่ว่านางก็ยังว่องไวกว่าใคร ถึงแม้จะสู้หนึ่งต่อสี่ แต่ก็ไม่ได้
เสียเปรียบเลย

ชื่อตันเหมยเอาชนะฮวาเสี่ยงหรงได้ นางรู้ว่าฮวาเสี่ยงหรงเป็นคน
ของตี้ฉาน หากปล่อยไปอาจเป็นภัยได้ เลยบุกขึ้นหน้าพร้อมเข็มเงินใน
มือหลายเล่ม คิดจะเอาชีวิตของฮวาเสีย
่ งหรง ฮวาเสี่ยงหรงกลับไม่ได้
กลัวเลย แต่ยิ้มจากนั้นก็หลับตาลง เงยคอขึ้น ทําให้คอขาวๆ โผล่
ออกมา ยินยอมให้ช่ อ
ื ตันเหมยลงมือแต่โดยดี

ชื่อตันเหมยเห็นใบหน้าของนางมีแต่ความสิน
้ หวัง กลับไม่ลงมือ
นางพูดว่า “เจ้าช่วยคนชั่วก่อกรรมทําเข็น ทําร้ายคนไปมากมาย
สมควรตาย”

ฮวาเสี่ยงหรงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นหรือตายอยู่ในมือเจ้า ข้าเองก็


ไม่ได้คิดจะมีชีวิตต่อไปอยู่แล้ว”
ฉีหนิงเดินมาแล้วมองไปที่ฮวาเสีย
่ งหรงแล้วพูดว่า “ในหลายปีที่
ผ่านมาเจ้าก่อกรรมในซีชวน ทําร้ายคนไปมากมาย ตอนนี้คิดเสียใจแล้ว
เหรอ?”

“เสียใจ?” ฮวาเสี่ยงหรงยิ้มแล้วพูดว่า “เราแค่อยากช่วยซื่อจื่อกระ


ทําการสําเร็จ แต่กลับล้มเหลว ภูตทั้งหกของตี้ฉาน เกินกว่าครึ่งตาย
เพราะฝีมือเจ้า มันก็แค่พ่ายแพ้เท่านั้น เราคือคนที่ตี้ฉานเลี้ยงดูจนเติบ
ใหญ่ ชีวิตของเราเป็นของนางตั้งนานแล้ว ไม่มอ
ี ะไรต้องเสียใจเลย”

ชื่อตันเหมยหน้าดุข้น
ึ มา กําลังคิดจะลงมือ ฉีหนิงยกมือปรามเอาไว้
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฮวาเสี่ยงหรง ข้าร็ว่าพวกเจ้ายังมีพวกอยู่ที่ซี
ชวนไม่น้อย บนเขาเย่ก่ย
ุ หลิงเป็นรังของพวกเจ้า ที่น่น
ั มีหลายคนที่ถูก
พวกเขาหลอกล่อมาหากเจ้ายอมช่วยข้าจัดการปัญหานี้ได้ วันนี้ข้าจะไว้
ชีวิตเจ้าไป”

ฮวาเสี่ยงหรงพูดว่า “พวกที่อยู่บนเขานั่น ไม่ฟังคําสั่งข้า ฉีหนิง ภูต


ทั้งหกตายด้วยน�ามือของเจ้า เจ้าเองก็ไม่ได้สนใจว่าข้าจะตายไปเพิ่มอีก
คนหรอก รีบลงมือซะ”

นางพูดจบ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น พอหันกลับไปดู ก็เห็นซาหนูกับหวัง


หนูถก
ู ตี้ฉานซัดกระเด็น ตอนที่ตกลงมากระแทกพื้น พวกเขาพยายาม
จะลุกขึ้นมา แต่ก็แทบจะไม่หายใจแล้ว
ชื่อตันเหมยพูดว่า “พวกเขาต้านไม่ไหวหรอก” นางสกัดจุดชีพจร
ของฮวาเสี่ยงหรงเอาไว้ เพราเห็นว่าฉีหนิงอยากให้นางช่วยจัดการ
ปัญหาพรรคพวกของตี้ฉานในซีชวน เลยยังไม่ลงมือฆ่านาง เพราะวร
ยุทธ์ของฮวาเสีย
่ งหรงไม่เท่าไหร่ ต่อให้ปล่อยนางไป นางก็ทําอะไรไม่ได้
มาก

ฉีหนิงเห็นตี้ฉานเคลื่อนไหวว่องไว ลงมือเด็ดขาด โชคดีที่จ่ัวชิงห


ยางกับคงฉานไต้ซือล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ ไม่อย่างนั้นคงต้านไม่ไหวแน่
เขาแอบคิดในใจว่าตี้ฉานบาดเจ็บขนาดนี้ แต่ว่ากลับมีฝม
ี ือที่น่ากลัว
มาก เขาคิดในใจว่าหากยื้อแบบนี้ต่อไป เกิดตี้ฉานฟื้นพลังกลับมา ทุก
คนจะไม่ใช่ฝม
ี อ
ื ของนางอีก

เป่ยกงเหลียนเฉิงลงมือแบบนั้น ฉีหนิงเข้าใจว่าเขามีเจตนายังไง

หย่าหนูตายไปหลายปีแล้ว ตี้ฉานรู้ความจริงในวันนี้ ใครก็ไม่รู้ว่า


นางจะฆ่าคนไม่เลือกหน้าเพื่อระบายอารมณ์รึเปล่า หากเป็นแบบนั้น
จริง ถ้าอย่างนั้นบนเกาะเสวียนอู่นี่มน
ั ก็คือจุดเริ่มต้น

หากตี้ฉานออกจากเกาะนี้ไปด้วยความแค้นกับความโกรธ จะต้อง
เกิดความวุ่นวายเป็นแน่

ตี้ฉานที่จะไม่มีใครมาคานอํานาจ ถ้าออกจากเกาะนีไ้ ปได้ คนที่


นางจะจัดการเป็นคนแรกเกรงว่าอาจจะเป็นฮ่องเต้แคว้นฉู่
ตี้ฉานซาบซึ้งใจในบุญคุณของไหวหนานอ๋องมาก ลงทุนลงแรงใช้
หกภูตเสริมกําลังให้กับไหวหนานอ๋อง เซียวจ้าวจงก่อกบฏ มีหลายคนใน
หกภูตอยู่คอยช่วยเหลือเขาไม่หา่ ง แสดงให้เห็นว่าตี้ฉานเองก็หวังอบาก
จะช่วยไหวหนานอ๋องชิงบัลลังก์ให้สําเร็จได้

วรยุทธ์ของเซียวจ้าวจง ได้รบ
ั ถ่ายทอดมาจากตี้ฉาน ทั้งสองคนมี
สัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กัน ตี้ฉานเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้น ใน
เมื่อเซียวจ้าวจงก่อกบฏไม่สาํ เร็จ ถ้าอย่างนั้นตี้ฉานอาจจะบุกไปที่วัง
หลวงแคว้นฉู่เพื่อแก้แค้นให้กับเซียวจ้าวจงได้

ไม่มีต้าจงซือคนอื่นมาคานอํานาจนางไว้ ตี้ฉานจะสามารถทําได้
ทุกอย่าง

เป่ยกงเหลียนเฉิงเหมือนจะรู้ว่านางกําลังจะคลั่งแล้ว ผลที่ตามมา
ยากที่จะจิตนาการได้ เลยใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีทําร้ายนาง เขารู้ว่า
ด้วยแรงที่เขามีอยู่ไม่สามารถฆ่านางได้ เป้าหมายที่เขาทําแบบนี้ เดิมก็
หวังอยากจะให้คนอื่นดับไฟตั้งแต่ต้นลมตอนที่นางบาดเจ็บสาหัสอยู่

หวังหนูกับซาหนูถูกทําร้ายบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถสูไ้ ด้อีก ส่วน


จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือเองก็ตกที่น่งั ลําบาก ในสายตาของฉีหนิง คง
ฉานไต้ซือก่อนหน้านี้บาดเจ็บก็ไม่เบา ถึงแม้ว่าตอนนี้จะพยายามสู้อย่าง
เต็มที่ แต่ก็รับมือแทบไม่ไหว ฉีหนิงรู้ว่าอีกไม่เกินสามสิบกระบวนท่า คง
ฉานไต้ซืออาจจะแพ้แน่นอน
คงฉานไต้ซือกับจั่วชิงหยางต้องการให้ฉห
ี นิงเข้าร่วมกลุ่มฝูผิง ก็
เพื่อป้องกันความผิดพลาด หากตี้ฉานเกิดอยากจะฆ่าคนขึ้นมา พวกเขา
ก็หวังว่าฉีหนิงจะช่วยได้

คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่พวกเขากังวลมันจะเป็นจริง

ฉีหนิงไม่ลังเลใจอีก หันหน้าเข้าหาตี้ฉานแล้วยกมือสองข้างขึ้นมา

การรับมือกับคนระดับตี้ฉาน ฉีหนิงรู้ว่าต่อให้เขาไปร่วมวงต่อสู้
ด้วย ก็ไม่ได้เปรียบ ในสถานการณ์แบบนี้ วิธีเดียวที่จะเอาชนะนางได้ ก็
คือการเดินลมปราณควบคุมพลังฟ้าดิน

เขารู้ว่าการใช้วิธีนี้ มันส่งผลเสียต่อร่างกายมากแค่ไหน แต่ในเวลา


นี้เขาไม่มีทางเลือก

ครั้งสุดท้ายแล้ว

ฉีหนิงสาบานในใจ

อากาศรอบตัวฉีหนิงเริ่มก่อตัวขึ้น พริบตาเดียวที่แขนทั้งสองข้าง
ของเขา มันก็มก
ี ลุ่มก้อนพลัง ชื่อตันเหมยกับฮวาเสี่ยงหรงเห็นดังนั้นสี
หน้าก็เปลี่ยน ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังขึ้น ตี้ฉานซัดฝ่ามือใส่หน้าอก
ของตคงฉานไต้ซือ คงฉานไต้ซอ
ื กระเด็นออกไป จั่วชิงหยางตกใจหน้า
ถอดสี ตี้ฉานจัดการคงฉานไต้ซอ
ื ได้แล้ว ก็หันหลังยื่นมือจะไปจับจั่วชิงห
ยาง แต่นางกลับเห็นฉีหนิงกําลังรวบรวมพลัง เดิมมือที่ย่ น
ื ออกไปก็เก็บ
กลับมา ไม่ไปโจมตีจ่ัวชิงหยางอีก แต่หน
ั มาเผชิญหน้ากับฉีหนิงแทน
นางมองมาที่ดวงตาของฉีหนิง ใบหน้าของนางไม่ได้ต่ ืนตกใจเท่าไหร่ แต่
กลับมีแต่ความนิง่ สงบ

นางเหมือนจะรอให้ฉีหนิงลงมือ

พลังชี่ลอยขึ้นมาตรงหน้าฉีหนิง เขามองไปที่ตี้ฉาน ในใจลึกๆ ของ


เขาที่จริงไม่ได้อยากทําเลย แต่เขารู้ดีว่าหากเขาไม่ทํา มันจะส่งผลร้ายที่
มากกว่า เขารวบรวมกําลังภายในทั้งหมดที่มี รวมกับพลังฟ้าดิน
โดยรอบทําเป็นพายุแล้วซัดไป

“ปึ้ ง”

ร่างกายที่งดงามของตี้ฉานกระเด็นไปไกล จากนั้นก็ตกลงมา
กระแทกพื้นอย่างแรง มือของนางกางออก แล้วไม่ขยับอีกเลย ดวงตาที่
สวยงามของนางมองไปบนท้องฟ้า เหมือนว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว

ทุกอย่างเงียบสงบลง

ฉีหนิงหายใจหอบ ชื่อตันเหมยรีบวิ่งมาพยุงเขาเอาไว้ เห็นเขาสี


หน้าซีดเซียว เลยรีบถามว่า “เป็นยังไงบ้าง เจ้า ...?”
ฉีหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้อง ... ไม่ต้องเป็นห่วง”
เขาหันไปเห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงกําลังพยายามคลานมาหาตี้ฉาน

เขายังมีลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่ แต่กลับไม่มแ
ี รงแม้แต่จะยืนขึ้น
มาแล้ว เขาพยายามอย่างมากที่จะคลานมาใกล้ๆ ตี้ฉาน เขายื่นมืออก
ไป จับมือข้างหนึ่งของตี้ฉานเอาไว้ ตี้ฉานหันหน้ามา เลือดไหลออกจาก
ปากของนาง เป่ยกงเหลียนเฉิงมองไปที่หน้าของนาง ถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “อย่า ... อย่าโกรธข้าเลยนะ ...”

“มันจบแล้วล่ะ ...” ตี้ฉานพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “ถ้าชาติหน้ามีจริง ...


อย่าทิ้งข้าอีกนะ ...” นางยิ้มมุมปาก แล้วก็ไม่หายใจอีก

มือของเป่ยกงเหลียนเฉิงสั่น เขาลูบไปที่ใบหน้าของตี้ฉาน จากนั้น


ถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วหัวของเขาก็ตกลง พาดไปที่หน้าอกของตี้ฉาน
ไม่ขยับอีกเลย

คงฉานไต้ซือพยายามฝืนลุกขึ้นมานั่ง เห็นเป่ยกงเหลียนเฉิงกับตี้
ฉานตายไปพร้อมกัน เขาก็พนมมือขึ้น หลับตาแล้วสวดมนต์ เหมือนจะ
สวดส่งวิญญาณพวกเขา

ฉีหนิงเงยหน้ามองฟ้า ท่าทางของเขาเศร้ามาก
พวกเขามีบุญคุณความแค้นมากว่าสิบปี ใครผิดใครถูก คนนอกไม่
มีใครบอกได้ อีกทั้งพวกเขาลงมาจากเขาต้าเสวียนซาน ตอนนี้ก็ตายไป
กันหมดแล้ว ใครจะถูกใครจะผิด มันก็ไม่สําคัญอีกแล้ว

เขาค่อยๆ เดินไปหาตี้ฉาน คงฉานไต้ซอ


ื ลืมตาขึ้นมา ฉีหนิงนั่ง
ยองๆ ลง มองไปที่คงฉานไต้ซอ
ื แล้วถามว่า “ไต้ซือ ท่าน ...?”

“อาตมาไม่เป็นไร พักสักพักใหญ่ก็คงหาย” คงฉานไต้ซือถอน


หายใจแล้วพูดว่า “ตี้ฉานไม่ได้ลงมือทําร้ายข้าจนถึงตาย นาง ...” เขา
ส่ายหน้า

“แผนการของกลุ่มฝูผิงในที่สุดก็สําเร็จแล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “แต่ว่า


... ข้าถือเป็นต้าจงซือหรือเปล่า? ข้าเองก็เป็นคนที่กลุ่มฝูผิงจําเป็นต้อง
กําจัดด้วยรึเปล่า?”

“เจ้าไม่ใช่ต้าจงซือหรอก อีกทั้งเจ้าเองก็ไม่มีทางเป็นต้าจงซือได้ห
รอก” เสียงของจั่วชิงหยางดังขึ้นมาจากด้านหลัง เขาค่อยๆ เดินมาหา
ท่าทางของเขาเศร้ามาก “แต่ว่าในใต้หล้านี้ เจ้ากลายเป็นยอดฝีมือ
อันดับหนึ่งไปแล้ว เจ้าไม่ได้เป็นอมตะ แต่ว่าตอนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่น้น

ในใต้หล้านี้จะไม่มีใครที่มีฝีมือเหนือเจ้าอีกแล้ว”

“หะ?”
“เจ้าไม่ได้มีชีพจรอย่างต้าจงซือ แล้วก็ไม่ใช่ชพ
ี จรสวรรค์ด้วย
ดังนั้นเจ้าไม่สามารถทะลวงไปถึงขั้นของต้าจงซือได้” จั่วชิงหยางพูดว่า
“หกต้าจงซือในใต้หล้านี้ตายไปหมดแล้ว ด้วยฝีมือของเจ้าในตอนนี้ ที่
จริงก็กลายเป็นปรามาจารย์เพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้านีแ
้ ล้ว”

คงฉานไต้ซือพนมมือแล้วพูดว่า “กั๋วกง ในมือมีอาวุธ ต้องทําให้


สรรพสิง่ ในใต้หล้า หวังว่าต่อไปท่านจะมีเมตตาธรรมนะ”

จั่วชิงหนางตบบ่าของฉีหนิง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ตั้งแต่นี้


ต่อไปสิง่ ที่เจ้าจะต้องปกป้องไม่ใช่แค่แคว้นฉู่ แต่เป็นทุกสรรพสิง่ ในใต้
หล้านี้” เขายิ้ม แล้วเดินไปหาหวังหนูกับซาหนู เห็นทั้งสองคนพยายาม
ลุกขึ้นมานั่ง พวกเขาบาดเจ็บไม่น้อยเลย คงต้องพักฟื้นพักใหญ่

พวกเขาสองคนเห็นจั่วชิงหยางเดินมา ก็ระแวง เมื่อกี้พวกเขา


ช่วยกันสู้กับตี้ฉาน เพราะพวกเขารู้ว่าศัตรูที่สําคัญที่สด
ุ คือตี้ฉาน ตอนนี้
ศัตรูใหญ่ตายไปแล้ว พวกเขาก็กังวลว่าจั่วชิงหยางจะลงมือกับพวกเขา

“บนตัวท่านทั้งสองบาปหนานัก” จั่วชิงหนางเอามือไขว้หลังทั้ง
สองข้าง “ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองยินดีที่จะไปปฏิบัติธรรมที่วัดต้ากวง
หมิงหรือไม่? มีธรรมมะชําระล้างบาป ท่านทั้งสองจะได้สงบใจลงได้”

ซาหนูกับหวังหนูมองหน้ากัน เจ้าเกาะตายแล้ว พวกเขาก็เหมือน


ไร้ที่พ่งึ อีก ในใจรู้สึกว่างเปล่าสับสน จั่วชิงหยางเอ่ยปากให้พวกเขาไป
บวชที่วัดต้ากวงหมิง ในใจของพวกเขาไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็กังวลว่าหาก
ปฏิเสธ ตาเฒ่านี่ก็จะตัดรากถอนโคน ด้วยความจนใจ เลยพยักหน้า
พร้อมกัน

“อามิตตาพุทธ เจริญพร” จั่วชิงหยางพนมมือขึ้น สีหน้าของเขามีแต่


รอยยิ้ม
เล่มที่ 50 บทที่ 1479 กลับคืนสู่ทะเล

ตะวันกําลังตกดิน บนเกาะเสวียนอู่เงียบสงบมาก

ทางตะวันออกบนเกาะเสวียนอู่มีพ้ น
ื ที่ว่างอยู่ มันมีหลุมศพโผล่
ขึ้นมาหลายหลุม ชื่อตันเหมยกับซาหนูและหวังหนูชว
่ ยกันฝังศพเจ้า
เกาะ ฉีหนิงกับฮวาเสี่ยงหรงเองก็ช่วยกันฝัง เป่ยกงเหลียนเฉิงกับตี้ฉาน
เอาไว้ด้วยกัน ส่วนหย่าหนูที่ตายไปหลายปีแล้ว ก็ฝังใกล้ๆ กับพวกเขา
สองคน

ส่วนเป่ยถังชิ่ง ก่อนตายถึงแม้ฉีหนิงจะรับปากว่าจะฝังเขากับหลิ่ว
ซู่อีไว้ด้วยกัน แต่ว่าฉีหนิงเหมือนมีความกังวลใจหลายอย่าง เลยฝังเขา
เอาไว้ที่นี่ก่อน ส่วนต่อไปจะย้ายที่ฝังหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกที

หลุมศพของพวกเขาเรียงเป็นแนวยาว และเรียบง่ายมาก

คนที่ถูกฝังบนเกาะ ตอนที่อยู่เป็นคนที่ไร้เทียมทานมาก แต่หลัง


ตายก็มแ
ี ค่ดินเหลืองเป็นเพื่อนเท่านั้นเอง

ฮวาเสี่ยงหรงคุกเข่าลงต่อหน้าหลุมศพของตี้ฉาน ไม่ได้ลุกขึ้นเลย
ฉีหนิงมองไปที่นาง แล้วถามว่า “ตี้ฉานไม่อยูแ
่ ล้ว กลุ่มของพวกเจ้า ก็ไม่
มีเป้าหมายที่ต้องอยู่ต่อไปแล้ว เจ้าไม่ช่วยเรา ราชสํานักก็จะกวาดล้าง
พวกเขา”

ฮวาเสี่ยงหรงนิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พด
ู ว่า “พวกเจ้าจะฆ่าข้าเลย
ตอนนี้ก็ได้ หากไม่อยากฆ่าข้า หลังจากนี้อีกสามเดือน ข้าจะไปหาเจ้าที่
เมืองหลวง เจ้าพูดถูก ตี้ฉานตายแล้ว คนที่เหลืออยู่ อยู่ไปก็ไม่มี
ความหมายอะไรอีก”

ชื่อตันเหมยขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สามเดือน? เจ้าคงไม่ ...?”

“กังวลว่าข้าจะหนีเหรอ?” ฮวาเสี่ยงหรงพูดว่า “มันก็เป็นไปได้


ดังนั้นหากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็ลงมือได้เลย”

ฉีหนิงพูดแต่เพียงว่า “หลังจากนี้อีกสามเดือน ข้าจะรอเจ้าที่เมือง


หลวง”

ฮวาเสี่ยงหรงตะลึงไป เหมือนคิดไม่ถึงว่าฉีหนิงจะรับปากง่าย
ขนาดนี้ นางลังเล พยักหน้าตอบ

ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องคํารามดังขึ้น พวกเขาหันไปมอง


เห็นเต่ายักษ์ที่อยู่ริมทะเลเหมือนจะเริ่มขยับตัว

“มันยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ?” ชื่อตันเหมยยิ้ม
เดิมทีสต
ั ว์เทวะถูกก้อนหินยักษ์ทับเอาไว้ กลายเป็นเหมือนภูเขา
เล็กๆ ทุกคนคิดว่ามันคงตายไปแล้ว ก่อหน้านี้จ่ัวชิงหยางสั่งให้หย่าหนู
กับหวังหนูจัดการกับก้อนหินที่ทับร่างของมันอยู่ออก

ต้าจงซือใช้ก้อนหินยักษ์เพื่อควบคุมสัตว์เทวะเอาไว้มน
ั เป็นเรื่องที่
เกิดขึ้นชั่วพริบตา แต่หวังหนูกับซาหนูจัดการกับหินพวกนั้น กลับใช้
เวลาเป็นวันๆ

หลังจากจัดการก้อนหินพวกนั้นหมดแล้ว สัตว์เทวะมันก็ยังไม่ได้
ขยับตัว เหมือนว่ามันตายไปแล้ว ตอนนี้มันส่งเสียงออกมา ทุกคนอดหัน
ไปมองไม่ได้

“ยาเม็ดเสวียนอู่เป็นของวิเศษ เราไปเอา ...” ชื่อตันเหมยเหมือน


ตื่นเต้นมาก

ฉีหนิงกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เต่ายักษ์ตัวนี้อย่างน้อยๆ ก็นา่ จะมี


อายุกว่าร้อยปี หากเราเอายาเม็ดเสวียนอู่มาจากมัน คิดว่ามันก็คงไม่
รอด เราเองก็ไม่ได้ต้องการยานั่น แล้วจะไปเอาชีวิตมันเพื่ออะไรกัน
ล่ะ?”

ระหว่างที่พูด เต่ายักษ์มน
ั ก็เข้ามาใกล้แล้ว ก่อนหน้านีม
้ ันถูกต้า
จงซือคุมเอาไว้ เหมือนว่ามันจะหวาดกลัวการเข้าใกล้มนุษย์มาก มัน
ขยับหัว แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้มากเกินไป
จั่วชิงหยางกับคงฉานไต้ซือตอนนี้ก็ยืนอยู่ใกล้ๆ พอเห็นฉีหนิงเดิน
มา คงฉานไต้ซอ
ื ก็พนมมือแล้วพูดว่า “กั๋วกง มันมีชีวิตมากว่าร้อยปี
หากไม่มค
ี วามจําเป็น ก็อย่าฆ่ามันเลยนะ”

“ไต้ซือโปรดวางใจ จะไม่มีใครทําอะไรมันทั้งนั้น” ฉีหนิงยิ้ม เห็น


เต่ายักษ์ท่าทางหวาดกลังว เลยค่อยๆ เดินเข้าไป พอมันเห็นฉีหนิง มันก็
รู้สึกกระวนกระวาย ค่อยๆ ย่างเท้าถอยหลัง ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไป ชื่อ
ตันเหมยเห็นตัวมันใหญ่มาก เกรงว่าฉีหนิงเดินเข้าไปใกล้แล้วจะทําให้
มันโกรธ เลยรีบพูดว่า “อย่าเข้าใกล้มันมากเกินไปนะ ระวังด้วย”

ฉีหนิงเดินไปใกล้ๆ เต่ายักษ์ จากนั้นก็ยม


้ิ เต่ายักษ์เหมือนเข้าใจการ
แสดงออกของคน มันรับรู้ได้ว่าฉีหนิงไม่ได้มีเจตนาร้าย ความกระวน
กระวายของมันก็ลดลง แล้วก็ไม่ถอยหลังไปอีก

พอฉีหนิงเดินไปใกล้มัน เขาก็ยกมือขึ้น จากนั้นก็ลูบไปที่หัวของมัน


แล้วพูดว่า “อย่าได้กลัวไปเลยนะ ที่นี่ยังคงเป็นที่ของเจ้าอยู่ เจ้าอยาก
มาเมื่อไหร่ก็ได้” เขาหันไปที่ทะเล แล้วพูดต่อว่า “กลับทะเลไปซะนะ ที่
นั่นเป็นบ้านของเจ้า”

น�าเสียงของเขาอ่อนโยนมาก ถึงแม้เต่าทะเลยักษ์จะฟังภาษาคน
ไม่ออก ไม่เข้าใจว่าฉีหนิงพูดอะไร แต่ว่าท่าทางของเขาทําให้มันรูส
้ ก
ึ ได้
ว่าฉีหนิงเจตนาดี
ท่ามกลางสายตาของทุกคน เต่าทะเลยักษ์ค่อยๆ หันตัวแล้วค่อยๆ
เดินลงทะเลไป มันค่อยๆ เดินไปจนกระทั่งจมหายไปใต้ท้องทะเล

ไม่รู้ว่ามันจะไปไหน แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาอีกไหม

“คนพวกนั้นมาที่นี่เพื่อให้ได้มาซึ่งยาเม็ดเสวียนอู่” ชื่อตันเหมย
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่สุดท้ายเต่าเทวะกลับปลอดภัย แต่คนพวก
นั้นกลับตายหมด”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “เพราะเต่าทะเลยักษ์ไม่มค
ี วามทะเยอทะยาน
ส่วนพวกเขา ...” เขาไม่ได้พด
ู ต่อ เงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “แผนที่อยู่
ในมือข้าแล้ว หากอยากให้ใต้หล้าไร้ซ่ึงสงคราม แผนที่นี้สมควรจะส่งไป
ที่แนวหน้าให้เร็วที่สุด” เขาหยิบแผนที่ออกมา แล้วมอบให้กับจั่วชิงห
ยาง จากนั้นพูดว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องทําอีก ยังกลับเมืองหลวงไปไม่ได้
ดังนั้นรบกวนท่านอาจารย์ส่งมอบแผนที่นี้ให้กับฝ่าบาทด้วย”

จั่วชิงหยางตะลึงไป เขารู้สึกแปลกใจ

“ข้าเป็นสายเลือดของราชวงศ์เป่ยถัง สงครามในครั้งนี้ ข้าไม่


สมควรข้องเกี่ยวด้วย” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถึงแม้ฝา่ บาทจะ
ไม่สงสัยในตัวข้า แต่ว่าเลี่ยงได้มน
ั ก็ดี” เขาหันไปพูดกับชื่อตันเหมยว่า
“ท่านไต้ซือบาดเจ็บอยู่ เจ้าคุ้มกันพวกเขากลับเมืองหลวงทีนะ ข้าเสร็จ
งานเมื่อไหร่ จะกลับเมืองหลวงไปหาเจ้าทันที”
ชื่อตันเหมยปากขยับ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายก็พยักหน้า

จั่วชิงหยางคิด จากนั้นก็รับแผนที่มา จากนั้นเขาก็มองไปฉีหนิง


แล้วพูดว่า “กลับเมืองคราวนี้ วิทยาลัยฉงหลินจะมาเปิดอีกครั้ง หากเจ้า
ไม่รังเกียจ ถึงเวลานั้นก็มาสอนหนังสือที่วิทยาลัยนะ”

ฉีหนิงหัวเราะ แต่ไม่ได้ตอบรับหรือว่าปฏิเสธ

ทุกคนไม่ได้เสียเวลาอยู่บนเกาะต่อ ขึ้นเรือของเจ้าเกาะ พระ


อาทิตย์ตกดิน เรือก็ออกเดินทางไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

เมืองกู่หลันเขตตงไฮ่หลังจากเกิดเรื่องกบฏตระกูลใหญ่ มันกลับ
เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น

จะว่าไปแล้ว เป็นเพราะพ่อค้าหลายรายรู้ว่าราชสํานักก่อตั้ง
กรมการค้าทางทะเล การมีกรมการค้าทางทะเล ก็เหมือนเปิดเส้นทาง
การค้ากับหนานหยางขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ตระกูลใหญ่ของตงไฮ่ถูกกวาดล้างไปหมด การค้ากับหนานหยางที่
ผ่านมา อยู่ในมือของพวกตระกูลไฮ่ท้ังหมด การค้าที่มาจากต่างแดน
พูดได้ว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้เลย เพราะเหตุนี้ คนค้าขายส่วนใหญ่น้ันจะ
เป็นคนในท้องที่ แล้วการค้าในท้องที่สว
่ นมากก็อยู่ในการดูแลของพวก
ตระกูลใหญ่ ที่พยายามผลักไสพ่อค้าที่มาจากต่างถิ่น ทําให้คนต่างถิ่น
มาทําการค้าที่นี่น้อยมาก
นั่นก็เป็นเพราะต้องการปกป้องผลประโยชน์ของพ่อค้าท้องที่ แต่
ว่ามันเลยเกิดการจํากัดการค้าขายที่รุนแรงมาก

แต่หลังจากเหล่าตระกูลใหญ่ในตงไฮ่โดนกวาดล้างไป การค้าขาย
ก็ไม่ได้ถก
ู กีดกันอีก มีตัวอย่างของพพวกตระกูลใหญ่ในตงไฮ่ให้เห็น
พ่อค้าแม่ขายแต่ละคนก็อยู่ในกรอบมาก

ตงไฮ่ช่ อ
ื สื่อเฉิงถิงรู้ว่ากรมการค้าทางทะเลฉีหนิงเป็นคนทูลเสนอ
ให้ก่อตั้งขึ้น ตงไฮ่กับกรมการค้าทางทะเลเองก็มีความเกี่ยวข้องกัน
เพื่อให้การดําเนินงานของกรมการค้าภายในเป็นไปอย่างราบรื่น เฉิงถิง
ก็ทําการจัดระเบียบภายในตงไฮ่ใหม่ ไม่มีตระกูลใหญ่ของตงไฮ่คอย
ขวาง เฉินถิงทําอะไรก็ง่ายขึ้นมาก

ตําแหน่งสําคัญในกรมการค้าทางทะเลนั้น ก็คือการตั้งหน่วยดูแล
เรือขนส่งสินค้าทางทะเล เพื่อนําสินค้าขนไปแลกเปลี่ยนที่หนานหยาง
แล้วซื้อสินค้าจากหนานหยางมาขายภายในจงหยวน

สินค้าที่ออกจากจงหยวนไปถึงหนานหยาง กรมการค้าทางทะเล
จะกําหนดร้านค้าหลายๆ เจ้าเอง ดังนั้นช่วงแรกร้านค้าอื่นจะยังไม่
สามารถส่งสินค้ามาขายได้ แต่ทุกคนรูด
้ ีว่า หากเรือสินค้ากลับมาจาก
หนานหยางเมื่อไหร่ จะต้องมีสน
ิ ค้าจากฝั่งนั้นกลับมาขายมากมาย
แน่นอน เพราะนโยบายการตั้งกรมการค้าทางทะเล คือการตั้ง
หน่วยงานขึ้นมาประสานงานกับเหล่าร้านค้าทั้งหมดในจงหยวน แต่ละ
คนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แล้วการที่ราชสํานักมาทําการค้าขาย
เอง มันก็มีคนเข้าใจว่ามาแย่งทําการค้ากับชาวบ้าน ซึ่งมันก็ส่งผลเสีย
ต่อชื่อเสียงของราชสํานักมาก

ตอนที่ตระกูลใหญ่ในตงไฮ่ขนสินค้ากลับมา ต่างแจกจ่ายกําไร
ให้กับพวกพ่อค้าเอง แล้วค่อยขายต่อสินค้าออกไปเอง แล้วพวกเขาก็มี
การตั้งหน้าร้านไว้ในจุดสําคัญหลายจุด ให้หลายพวกนี้ขายสินค้าออก
ไป ดังนั้นนอกจากร้านที่มีความสนิทสนมกับพวกเขาแล้ว ร้านอื่นๆ
แทบจะไม่ได้รับผลกําไรอะไรเลย

แต่หลังจากตั้งกรมการค้าทางทะเลแล้ว ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่
ทั้งหมด

ร้านค้าแต่ละร้านก็หวังว่าจะได้ซ้ อ
ื สินค้าที่ขนกลับมาจากหนานห
ยางได้ในทันที จากนั้นก็เอาไปขายต่อ ดังนั้นร้านค้าที่มีความสามารถสูง
หน่อย ก็จะมาตั้งหน้าร้านกันที่นี่

การค้ายิง่ มาก คนที่เดินทางไปมาก็มากขึ้น คนเยอะขึ้น ความ


เจริญก็เริ่มเข้ามา

เรือสินค้าที่กรมการค้าทางทะเลตั้งขึ้นมา ได้ยน
ิ มาว่าเป็นเรือลํา
ใหญ่กว่าสิบลํา ตอนนี้จอดรอเทียบท่าอยู่แล้ว ส่วนสินค้าชุดแรกที่ขนไป
หนานหยาง ก็ติดต่อมาจากร้านในเมืองกู่หลัน รอแค่กําหนดวันออกเรือ
ก็สามารถขนสินค้าขึ้นเรือไปได้เลย

สินค้าชุดแรก มียาสมุนไพรมากมาย ซึ่งมาจากร้านยาตระกูลเถียน

ได้ยินมาว่าเรือจะเริม
่ ออกเดินทางในเดือนหน้า แต่ว่ารายละเอียด
วันไหนยังไม่ได้กําหนดมา

ตระกูลเถียนได้นําสินค้าชุดสุดท้ายส่งมาที่เมืองกู่หลันแล้ว คนใน
เมืองกู่หลันไปมากันมากมาย รถขนสินค้าอย่างของร้านยาตระกูลเถียน
มีอยู่ไม่น้อยเลย ขบวนรถสินค้าจอดอยู่หน้าร้านยาตระกูลเถียนในเมือง
กู่หลัน คนในร้านยาก็รบ
ี เข้ามารับ ผู้จัดการร้านเองก็ตะโกนสั่งว่า “คน
ในร้านออกมาให้หมด รีบขนของไปเก็บไว้ในคลั่ง” เห็นด้านหลังรถม้ามี
คนลงมา คนๆ นั้นสวมหมวกปิด คลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ร่างกายของนาง
ดีมาก ผูจ
้ ัดการสวีเห็นก็จําได้ว่าเป็นเถ้าแก่ของพวกเขาเอง เลยรีบเดิน
มาต้อนรับ โค้งคํานับให้แล้วพูดว่า “เถ้าแก่เนีย
้ ทําไมท่านถึงมาด้วย
ตัวเองแบบนี้ล่ะขอรับ?”

“นี่สินค้าชุดสุดท้ายแล้ว เดือนหน้าต้องออกของแล้ว เดิมข้าก็ไม่ได้


คิดว่าจะมา แต่ว่าพอกลับไปคิดดูแล้ว มาดูเองน่าจะดีกว่า” เถียน
เสวียนหยงเอาหมวกออก ใบหน้าของนางมีรอยยิ้ม “ผู้จัดการสวี
ลําบากเจ้าแล้วนะ”
“ไม่เลยขอรับ เถ้าแก่เนีย
้ วางใจได้ ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อย
แล้ว” ผูจ
้ ัดการสวียิ้มแล้วพูดว่า “เถ้าแก่เนี้ยเดินทางมาเหนื่อยๆ เข้าไป
พักดื่มน�าก่อนเถอะขอรับ” จากนั้นเขาก็หน
ั ไปพูดกับพวกเขาเดินรถว่า
“ทุกคนเหนื่อยกันหน่อยนะ หลังเอาของลงเสร็จแล้ว ก็ไปพัก คืนนี้ข้า
เหมาร้านไว้เลี้ยงพวกเจ้าแล้ว กินกันให้เต็มที่เลยนะ”

ทุกคนดีใจกันมาก เลยตั้งใจทํางานอย่างเต็มที่

เถียนเสวียหยงมองไปรอบๆจากนั้นก็กระซิบถามผู้จัดการสวีว่า “ชิงฮู
หยินตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
เล่มที่ 50 บทที่ 1480 แม่ส่ อ

ด้านหลังร้านยาตระกูลเถียนมีเรือนพักแยกอยู่อีกหลังหนึ่ง ด้านใน
มีห้องบัญชี ถือเป็นสถานที่สําคัญมากของร้านยา พวกคนงานไม่มีใคร
กล้าเข้าใกล้ที่นี่ แม้แต่ผจ
ู้ ัดการสวีเอง หากไม่มีเรื่องด่วนหรือจําเป็นก็จะ
ไม่มารบกวน

กู้ชิงฮั่นตอนนี้ก็พักอยู่ที่เรือนบัญชีนี่

หลังจากเถียนเสวียหยงจัดการแอบพากู้ชิงฮั่นมาตงไฮ่แล้ว จะหาที่
พักลับๆ ให้นางไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องเป็นที่ที่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ
แล้วก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กู้ชงิ ฮั่นรู้ถึงข้อนี้ดี อีกทั้งตอนที่นางอยู่ที่จวน
จิ่นอีตระกูลฉี ก็จัดการเรื่องจุกจิกทุกวัน หากจู่ๆ ให้อยูแ
่ ฉยๆ นางไม่ชน

ยังดีที่จะหางานทําฆ่าเวลาสําหรับเถียนเสวียหยงแล้วไม่ใช่เรื่อง
ยาก

กู้ชิงฮั่นมีพรสวรรค์ด้านการจัดการการเงินและบัญชี รายรับแต่ละ
รายการแต่ละปีของจวนจิ่นอีตระกูลซับซ้อนมาก ถึงแม้จะมีหอ
้ งบัญชี
แต่ก้ช
ู ิงฮั่นก็ยังทําการตรวจสอบเองตลอด สําหรับเรื่องการตรวจสอบ
บัญชีสําหรับนางแล้วง่ายมาก
สิ่งที่สําคัญที่สด
ุ คือ ถึงแม้ตอนที่นางอยู่ที่จวนจิ่นอีตระกูลฉีน้น
ั พูด
อะไรต้องเป็นตามนั้น แต่พอออกจากตระกูลฉีมาแล้ว คนที่รู้จักนางนั้น
น้อยมาก อีกทั้งได้ตกลงกับเถียนเสวียหยงไว้แล้วว่าจะใช้ฐานะใหม่
ดังนั้นต่อให้อยูบ
่ นถนนในตงไฮ่ ก็จะได้ไม่มีใครสงสัย

เพราะตอนนี้เป็นช่วงรุ่งเรืองของเมืองกู่หลัน พอไม่มีตระกูลใหญ่
ผูดขาดการค้าแล้ว คนนอกที่มานั้นก็มีมากมาย

การค้าของร้านยาตระกูลเถียนคู่ค้าหลักคือกรมการค้าทางทะเล
ส่วนหน้าร้านก็ขายยาสมุนไพรนิดหน่อย แต่ว่าจะเทียบกับการค้ายาใน
เมืองหลวงไม่ได้ ดังนั้นบัญชีในแต่ละวันเลยมีไม่มาก กู้ชงิ ฮั่นเองก็มีเวลา
มากพอที่จะอ่านหนังสืออย่างอื่น แล้วก็ยังมีเวลาออกไปเดินเล่นด้วย

การใช้ชว
ี ิตแบบนี้ มันสบายกว่าอยู่ในจวนจิ่นอีตระกูลฉีที่มีเรื่อง
ซับซ้อนน่าปวดหัวทุกวัน มันทําให้ก้ช
ู ิงฮั่นรู้สึกมีชีวิตสุขสบายจริงๆ
เพียงแต่ฉีหนิงไม่ได้อยูก
่ ับนางด้วย ทําให้นางคิดถึงตลอดเวลา

เถียนฮูหยินเดินมาถึงที่ห้องบัญชี กู้ชงิ ฮั่นก็เพิ่งจัดการงานในมือ


เสร็จพอดี พอได้ยินเสียงฝีเท้ามา หันกลับไปมองเห็นเถียนฮูหยิน ก็ย้ม

ให้ จากนั้นก็ลุกขึ้นพูดว่า “เถ้าแก่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ถึงแม้ก้ช
ู ิงฮั่นจะออกจากตระกูลฉีแล้ว แต่เถียนฮูหยินก็ยังให้
เกียรติและเกรงใจนางอยู่เหมือนเดิม นางปิดประตู แล้วก็คํานับให้ กู้ชงิ
ฮั่นรีบพยุงนางเอาไว้ ยิม
้ แล้วพูดว่า “อย่าทําแบบนี้ ข้าเป็นแค่ชาวบ้าน
ธรรมดาคนหนึ่ง รับการคํานับแบบนีไ้ ม่ไหวหรอกนะ” นางจูงมือเถียนฮู
หยิน แล้วเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ จากนั้นก็พูดว่า “เดินทางมาเหนื่อยๆ ข้า
ได้ยินว่าเดือนหน้าสินค้าชุดแรกจะออกแล้ว เหมือนว่าอีกไม่กี่วันนี่
แหละ”

เถียนฮูหยินพูดว่า “ยาสมุนไพรชุดสุดท้ายส่งมาครบแล้ว ทางนี้เอง


ก็เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว ใบอนุญาตของทางกรมการค้าทางทะเลเอง
ก็มาถึงแล้ว สามปีหลังจากนี้ร้านยาของเราคงต้องยุ่งมากทีเดียว”

กู้ชิงฮั่นพยักหน้า แล้วก็เงียบไป เถียนฮูหยินฉลาดมาก ทําไมจะไม่


รู้ว่ากู้ชิงฮั่นคิดอะไรอยู่ นางเอ่ยปากถามไปว่า “ฮูหยินสาม กั๋วกงน้อย
ออกจจากเมืองหลวง ไปที่ไหนยังไม่ได้ข่าวเลย ราชสํานักน่าจะส่งเขาไป
ทํางานสําคัญ ตอนที่เขามาที่นี่ เขายังไม่กลับมา”

กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนี้อยู่ในช่วงสงคราม เมื่อก่อน


เวลาเขาออกไปไหน ข้าไม่เคยสบายใจเลย”

“ฮูหยินเป็นห่วงกั๋วกงน้อย เขาเองก็เป็นห่วงท่านเช่นกัน” เถียนฮู


หยินแล้วพูดว่า “รอกั๋วกงน้อยมีเวลาว่าง เขาต้องมาหาท่านแน่นอน”

เซียวจ้าวจงก่อกบฏ ฉีหนิงจัดการให้ก้ช
ู ิงฮั่นกับเถียนฮูหยินออก
จากเมืองหลวง ช่วงนั้นพวกนางต้องอยู่ด้วยกันตลอด กู้ชิงฮั่นสังเกตจน
รู้ว่าเถียนฮูหยินมีสม
ั พันธ์ลับกับฉีหนิง ส่วนเถียนฮูหยินเองก็รู้ว่าฉีหนิงมี
ความลับบางอย่างกับกู้ชิงฮั่น

กู้ชิงฮั่นคิด แล้วถึงได้หน
ั ไปถามเถียนฮูหยินว่า “ท่านพี่คิดจะทํา
ยังไงต่อไปเหรอ?”

กู้ชิงฮั่นเรียกเถียนฮูหยินว่าท่านพี่ ทําให้เถียนฮูหยินรู้สก
ึ เกร็งมาก
นางก้มหน้าลง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้า ... ข้าจะทําอะไรได้? ก็คง
เลี้ยงฟูเอ๋อร์จนเป็นสาวเห็นนางแต่งงานไป ข้าเองก็คงหมดห่วง”

“ท่านพีย
่ ังอายุไม่มาก จะอยู่โดดเดี่ยวแบบนี้ไม่ได้นะ” กู้ชิงฮั่นจับ
มือเถียนฮูหยินแล้วพูดว่า “เคยคิดอยากจะแต่งงานใหม่ไหม?”

เถียนฮูหยินเป็นโสดมานานหลายปี นางทุ่มเททุกอย่างให้กับ
การค้าและลูกสาว หลายปีที่ผ่านมานางไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าอนาคต
ของนางจะเป็นแบบไหน จนกระทั่งฉีหนิงปรากฎตัวขึ้นมา เถียนฮูหยิ
นแรกเริม
่ เดิมทีอยากจะอาศัยอํานาจของตระกูลฉีเป็นที่พ่ึง คิดไม่ถึงเลย
ว่ากั๋วกงน้อยจะมีใจให้กับนาง

ต่อให้ฉห
ี นิงจะแหย่นางกี่ครั้ง นางก็ยังอดทนจนถึงที่สด
ุ จนกระทั่ง
ที่ตงไฮ่ที่นางมอบกายให้กับฉีหนิง แต่นางก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้อยู่
กับฉีหนิง
เถียนฮูหยินนางเข้าใจสถานะของนางดี รู้ว่านางเป็นแค่หญิงม่าย
คนหนึ่งที่ทําการค้า ส่วนฉีหนิงเป็นคนมียศฐาบรรดาศักดิ์ของแคว้น ทั้ง
สองคนมีฐานะห่างชั้นกันมาก อย่าว่าแต่นางเคยผ่านการแต่งงาน
มาแล้ว ต่อให้เป็นสาวบริสุทธิ์ ด้วยฐานะอย่างนาง ก็ไม่มีทางไปเป็น
อะไรของฉีหนิงได้เลย

ฉีหนิงดูแลนางดีมาก อีกทั้งยังไม่ห่วงอันตรายไปช่วยชีวิตนางด้วย
เพราะอย่างนี้ นางถึงได้เต็มใจมอบกายให้กับฉีหนิง อีกทั้งยังคิดอีกว่า
ขอแค่ฉห
ี นิงต้องการ นางก็จะปรนนิบต
ั ิเขาอย่างเต็มที่

แต่พอรู้ว่ากู้ชิงฮั่นมีเรื่องลับๆ กับฉีหนิง นางเลยเริ่มคนอยากจะ


ถอยออกมา

ผู้หญิงก็มักจะมีใจริษยา เถียนฮูหยินไม่คิดว่ากู้ชิงฮั่นอยู่กับฉีหนิง
แล้ว จะยอมให้หญิงม่ายทการค้าอย่างนางมีอะไรกับฉีหนิงอีก ถึงแม้วัน
นั้นจะถูกกู้ชงิ ฮั่นไล่จี้ถามจนต้องบอกความลับออกมา แต่ก็ต้ังแต่วันนั้น
นางก็ตัดสินใจแล้วว่า จะไม่มอ
ี ะไรกับฉีหนิงอีก

ตอนที่อยู่ที่ห้องเล็กๆ ด้วยกัน ต่างคนต่างรู้ความลับของกันและกัน


เพราะเมืองหลวงอันตราย ทั้งสองเลยเปิดใจให้แก่กัน

แต่หลังจากผ่านพ้นวิกฤตมาได้ เถียนฮูหยินรูส
้ ึกว่ามันไม่
เหมือนเดิมแล้ว วันนี้พอได้ก้ช
ู ิงฮั่น ในใจนางก็เริ่มกังวลมาก
ตอนนี้พอได้ยินกู้ชิงฮั่นถาม เถียนฮูหยินก็ตะลึงไป ใบหน้าเริ่มแดง
พยักหน้า ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มี อายุขนาดนี้แล้ว อีกทั้ง ...” นางก็
พูดอะไรไม่ออกอีก

กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “อีกทั้งยังมีหนิงเอ๋อร์ด้วยใช่ไหม”

เถียนฮูหยินรีบเงยหน้ามาอธิบายแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ท่าน ... ท่าน


อย่าเข้าใจผิดนะ ต่อ ... ต่อไปข้าจะไม่มอ
ี ะไรกับ ... เขาเป็นถึงกั๋วกง ข้า
เป็นแค่หญิงแม่ม่าย ต่อไปจะไม่ทําให้พวกท่านต้องลําบากใจ”

“ลําบากใจเหรอ?” กู้ชงิ ฮั่นพูดอย่างเศร้าๆ แล้วพูดว่า “ท่านพี่ ที่นี่


มีแค่เราสองคน มีคําพูดหนึ่งข้าอยากจะถามท่าน ท่านต้องตอบคําถาม
ข้ามาตามตรงนะ”

เถียนฮูหยินรู้สก
ึ กระวนกระวายมาก แต่ก็ยังพยักหน้า “ฮูหยินถาม
มาได้เลย เรื่อง ... เรื่องที่ข้ารู้ข้าก็จะตอบท่านตามตรง”

กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ท่านอยูก
่ ับหนิงเอ๋อร์ เพราะรู้สึกซาบซึ้งใจที่จะเขา
ดูแลท่าน หรือว่า ... เพราะท่านชอบเขา?”

“ข้า ...” เถียนฮูหยินตะลึง คิดไม่ถึงว่ากู้ชิงฮั่นจะถามแบบนี้ หาก


พวกนางยังอยู่ในบ้านไม้ เถียนฮูหยินอาจจะไม่ต้องกังวลใจมาก แต่
ตอนนี้นางรู้สึกเขิน ไม่รูว
้ ่าควรพูดอะไรดี
“ท่านพูดมาตามตรงเถอะ” กู้ชงิ ฮั่นพูดด้วยน�าเสียงอ่อนโยนว่า “ก็
เหมือนตอนที่เราอยู่ด้วยกันในวันนั้น ไม่ต้องกังวลอะไร”

เถียนฮูหยินถอนหายใจเศร้าๆ แล้วพูดว่า “ฮูหยินถามแบบนี้ ข้า ...


ข้าก็ไม่กล้าปิดบัง ที่จริงตอน ... ตอนที่รู้จักกั๋วกงใหม่ๆ ข้าแค่คิดว่าเขามี
อํานาจบารมี เราสองคนแม่ลูก หากได้ความเมตตาจากจวนโหว ต่อไป
อยู่ในเมืองหลวงก็คงไม่มีใครรังแกเราได้อีก ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรกับ
เขาเลย”

กู้ชิงฮั่นพยักหน้า ยิม
้ แล้วพูดว่า “มันเป็นปกติของมนุษย์”

เถียนฮูหยินกัดริมฝีปากล่าง แล้วพูดต่อว่า “ต่อมา ... ต่อมาข้ามอง


ออกว่าเขา ... เขาคิดอะไรกับข้า ข้าก็คิดว่า ... คิดว่าเขาแค่แกล้งข้า ใน
ใจข้าก็โกรธมาก แต่เพราะเขาดูแลเราดีมาตลอด ช่วยให้ข้ารอดพ้นจาก
ภัยอันตรายหลายครั้ง ในใจของข้าซาบซึ้งใจมาก”

หากไม่ใช่เพราะทั้งสองคนเคยเปิดใจต่อกัน แต่ว่าเรื่องพวกนี้นาง
ไม่ได้เอ่ยปากเล่าเลยแม้แต่คําเดียว

“ตอนนั้นท่านยังไม่ชอบเขาเหรอ?”

เถียนฮูหยินพูดด้วยความเขินว่า “เขาพูดจาทะเล้น แล้วยังดี ... ดี


กับข้าด้วย ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจมากจริงๆ ข้า ... ข้าเลยเริ่มรู้สึกดีกับเขา”
นางลังเล แล้วพูดต่อว่า “ต่อมาเราก็มาที่ตงไฮ่ด้วยกัน ทางสมาคมตงไฮ่
หาเรื่องข้า เขาก็ออกหน้ามาช่วย ตลอดชีวิตของข้า มี ... มีไม่กี่คนที่ดี
กับข้ามากขนาดนี้ หลังจากนั้นข้าก็ถก
ู จับตัวไป เขาก็ไม่ได้สนใจชีวิต
ตัวเองไปช่วยข้า ตอนนั้น ... ตอนนั้นข้าเลยคิดว่าไม่ว่าเขาอยากจะให้ข้า
ทําอะไร ข้าจะทําด้วยความเต็มใจ อีกทั้ง ...” นางก้มหน้าลง แต่ไม่ได้
พูดต่อ

“อีกทั้งอะไร?” กู้ชิงฮั่นจับมือของนางแล้วถาม

เถียนฮูหยินรวบรวมความกล้าพูดออกไปว่า “อีกทั้งตั้งแต่วันนั้น
ข้า ... ข้าก็คิดอยากจะเจอหน้าเขาทุกวัน ขอแค่ได้เห็นนิดเดียว ก็มี
ความสุขแล้ว แต่ว่า ... แต่ว่าข้าฐานะต�าต้อย ไม่กล้า ... ไม่กล้าหวังสูง
ขนาดนั้น” นางมองไปที่ก้ช
ู ิงฮั่นแล้วพูดว่า “ฮูหยินโปรดวางใจ ต่อไปข้า
จะไม่คิดแบบนีอ
้ ีก ต่อให้เขามาหาข้า ข้า ... ข้าก็จะปฏิเสธเขา”

กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงมันก็มอ
ี ยู่วิธีหนึ่งนะ ที่สามารถ
แก้ปัญหาทั้งหมดนีไ้ ด้”

“วิธีอะไรเหรอ?”

กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ถ้าท่านแต่งงาน เรื่องนี้ก็คลี่คลายแล้ว”

“แต่งงาน?” เถียนฮูหยินสะดุ้ง เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ หรือว่ากู้


ชิงฮั่นไม่อยากให้นางยุ่งกับฉีหนิง เลยคิดอยากจะให้นางแต่งงาน พอมี
สามีแล้ว ต่อไปก็จะได้ไม่ต้องมีความเกี่ยวข้องกับฉีหนิงอีก
นางคิดเยอะมาก ถึงแม้นางจะเคารพกู้ชิงฮั่นมาก แต่ก็ยังส่ายหน้า
“ข้า ... ข้าไม่อยากแต่งงาน ฮูหยิน ข้า ...”

กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน คนที่ข้าจะแนะนําให้


เจ้า เจ้าอาจจะไม่ปฏิเสธก็ได้ มีคนฝากข้าให้มาเป็นแม่ส่ อ
ื เพื่อให้การ
แต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้น เขาขอร้องแล้วขอร้องอีก เขาจริงใจมากนะ ข้าคิด
ไปคิดมา ก็ปฏิเสธไม่ได้ เลยรับปาก มาเป็นแม่ส่ อ
ื ให้เขา บังเอิญท่าน
มาถึงวันนี้พอดี ก็คุยมันให้จบวันนี้เลย ท่านจะตกลงรึเปล่า รอให้พบกับ
เขาก่อน แล้วค่อยให้คําตอบก็ได้”

เถียนฮูหยินเหมือนหนักแน่นมากนางพูดว่า “ฮูหยิน เรื่องอื่นข้าอาจจะ


รับปากท่านได้ แต่เรื่องนี้ข้าคงตกลงไม่ได้ ข้าจะไม่ขอพบกับคนๆ นั้น
ด้วย”
เล่มที่ 50 บทที่ 1481 ยอมรับ

ถึงแม้นา� เสียงของเถียนฮูหยินจะอ่อนโยน แต่ก็หนักแน่น ทําให้คน


ฟังรู้สึกว่าไม่ต้องการเจรจาอะไรด้วยอีกแล้ว

กู้ชิงฮั่นมองไปที่ตาของเถียนฮูหยิน ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่าน


ไม่คิดแต่งงานใหม่ หรือว่าท่านคิดจะอยู่คนเดียวไปจนตายแบบนี้เหรอ?
ข้าเองก็หวังดี คนที่ไหว้วานข้ามาก็จริงใจมาก ข้าคิดอยู่นานถึงได้กล้า
มาเอ่ยปากด้วย”

“ฮูหยิน ข้า ... ข้าไม่ได้คิดจะแต่งงานใหม่จริงๆ นะ”

“เพราะหนิงเอ๋อร์เหรอ?” กู้ชิงฮั่นมองไปที่เถียนฮูหยิน

เถียนฮูหยินเริ่มกระวนกระวาย นางก้มหน้าลง น�าเสียงเบามาก


“เปล่า ... เปล่านะ ข้า ... ข้าไม่อยากแต่งงานใหม่เอง ข้า ...”

“ท่านพีก
่ ับข้าท่านไม่จําเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรอกนะ” กู้ชิงฮั่น
ยิ้ม “ในใจท่านมีหนิงเอ๋อร์ ดังนั้นเลยไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น
ใช่ไหม?”

เถียนฮูหยินลังเล สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ถึงแม้ข้า


จะไม่ได้หวังอยากจะได้อยู่กับกั๋วกงน้อย แต่ว่า ... แต่ว่านอกจากเขา
แล้ว ในใจข้าคงไม่อาจมีผู้ชายคนไหนอีกแล้ว ข้ารับปากท่านจะไม่ยุ่ง
เกี่ยวกับเขาอีก แต่ว่า ... แต่ว่าท่านก็อย่าให้ขา้ ไปแต่งงานกับใครเลย
นะ”

“เจ้ายินดีที่จะอยู่โดดเดี่ยวแบบนี้เพื่อเขาอย่างนั้นเหรอ?”

“ก็ไม่ใช่เพราะเขาทั้งหมดหรอก” เถียนฮูหยินพูดว่า “เพื่อตัวข้า


เองด้วย”

กู้ชิงฮั่นหัวเราะแล้วพูดว่า “ความรู้สก
ึ ของท่านพี่ข้าเข้าใจดี
เพียงแต่การแต่งงานในครั้งนีท
้ ่านไม่มีสิทธิตัดสินใจนะ คนๆ นั้นเอาแต่
ใจมาก อยากจะทําอะไร ไม่ว่าลําบากหรือมีอุปสรรคแค่ไหน เขาไม่รา
มือแน่นอน” นาหันหนย้าไปที่หอ
้ งเก็บสมุดบัญชีแล้วพูดว่า “นางมอบ
ใจให้เจ้าไปหมดแล้ว เพื่อเจ้ายอมอยู่เป็นโสดจนแก่ เจ้ายังคิดจะหลบอยู่
ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ เจ้าอยากแต่งกับนาง แต่
นางไม่ได้อยากแต่งกับเจ้า”

เถียนฮูหยินแปลกใจมาก เดิมนางคิดว่าในห้องมีแค่นางกับกู้ชงิ ฮั่น


เท่านั้น เพราะตั้งแต่ก้ช
ู งิ ฮั่นมาอยู่ที่นี่ เถียนฮูหยินเคยกําชับผูจ
้ ัดการสวี
ไว้แล้วว่า หากกู้ชิงฮั่นไม่อนุญาต ห้ามใครเข้าใกล้ห้องบัญชีเด็ดขาด
ดังนั้นหลังจากที่นางเข้ามาในห้อง นางก็คิดว่ามีแค่นางกับกู้ชงิ ฮั่นสอง
คนเท่านั้น บางอย่างที่นางไม่กล้าพูดกับคนอื่น ก็พูดออกมาจนหมด
ตอนนี้พอรู้ว่าในห้องมีคนอื่นอยูด
่ ้วย นางก็รู้สก
ึ ตื่นตกใจ แอบมีความ
โมโหเล็กๆ แอบคิดในใจว่าข้าพูดอะไรไม่สมควรไปตั้งเยอะ กู้ชิงฮั่นกลับ
ไม่เตือนนางเลยว่ามีคนนอกอยูด
่ ้วย

ในห้องมีคนค่อยๆ เดินออกมาคนหนึ่ง เอามือไขว้หลังข้างหนึ่ง เขา


ยิ้มแย้ม เถียนฮูหยินเห็นหน้าคนๆ นั้นก็ร้อง “ว้าย” แล้วลุกขึ้นยืน

คนที่อยู่ในห้องก็คือฉีหนิง

เถียนฮูหยินคิดไม่ถึงว่าคนที่หลบอยู่ในห้องจะเป็นฉีหนิง พอเห็นฉี
หนิงจ้องมาที่นาง ในหัวของนางก็ว่างเปล่า กระวนกระวายไปหมด จะ
ยืนก็เกร็งจะนั่งก็เกร็ง จากนั้นก็นก
ึ ถึงคําพูดของตัวเองเมื่อกี้ หากนาง
กับฉีหนิงอยู่ด้วยกันตามลําพัง ม่ายสาวคนนี้อาจจะกล้าพูด แต่ว่ากู้ชงิ
ฮั่นอยู่ตรงนี้ด้วย เถียนฮูหยินหน้าแดงมาก ไม่กล้ามองหน้าฉีหนิงเลย

นางกระวนกระวายไม่รูจ
้ ะทํายังไงเลย เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น นาง
รู้สึกได้ว่าฉีหนิงกําลังเดินมาหานาง

“ท่านพี่ เขาวานให้ขา้ มาเป็นแม่ส่ อ


ื ให้ แต่ข้าทําไม่สําเร็จ” กู้ชิงฮั่น
ยิ้มแล้วพูดว่า “คราวนี้คงต้องให้เขาพูดกับท่านเองแล้วนะ”

เถียนฮูหยินกัดปากตัวเอง นางไม่รู้ว่าควรจะทํายังไงดี นางทั้งดีใจ


ทั้งตกใจ แอบคิดในใจว่าที่แท้คนที่ก้ช
ู ิงฮั่นมาเป็นแม่ส่ อ
ื ให้คือฉีหนิง
นั่นเอง
แต่ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?

ถึงไม่พด
ู เรื่องที่ฐานะของทั้งสองคนแตกต่างกันมาก แค่ด้วยอายุ ก็
ห่างกันมากแล้ว

ถึงแม้นางกับฉีหนิงจะมีสม
ั พันธ์ทางกายกันแล้ว แต่นางก็ไม่เคยคิด
จะแต่งกับฉีหนิงเข้าตระกูลฉีเลย หากบอกว่าเวลากลางคืนแทบมองไม่
เห็นดาว นางก็รู้สึกว่าอนาคตระหว่างนางกับฉีหนิงมันมองไม่เห็นอะไร
เลยแม้แต่นิดเดียว

แต่วันนีฉ
้ ีหนิงกลับให้ก้ช
ู ิงฮั่นมาเป็นแม่ส่ อ
ื ให้?

ในเมื่อกู้ชิงฮั่นพูดแล้ว นั่นก็แสดงว่าฮูหยินสามนางยอมรับเรื่องนี้
แล้ว แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ?

“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้ายังเรื่องต้องทํา” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าก็ไม่ได้เจอกันมาระยะใหญ่ๆ แล้ว การแต่งงานครั้งนีจ
้ ะสําเร็จ
รึเปล่า พวกเจ้าคุยกันเองแล้วกันนะ” จากนั้นนางก็เดินออกไป แล้วปิด
ประตูให้ด้วย

เถียนฮูหยินอยากจะรั้ง แต่ก็พด
ู ไม่ออก ตั้งแต่มีอะไรกับฉีหนิงมา
ทั้งสองคนอยู่ในห้องไม่ได้มีพธ
ิ ีรีตรองอะไรกันมากมาย แต่วันนี้กลับไม่
เหมือนกัน เหมือนย้อนกลับไปตอนที่นางยังไม่ได้มีอะไรกับฉีหนิง ในใจ
ของนางตื่นเต้นมาก
ฉีหนิงเดินมาหาเถียนฮูหยิน แล้วมองไปที่นาง แล้วก็มองไปที่
บริเวณหน้าอกของนาง หน้าของนางกระเพิมแรงมากน่าจะเป็นหายใจ
แรง ใบหน้าสวยๆ ของนางแดงไปหมด เขายื่นมือไปจับมือของนาง แค่
แตะนางก็สะดุ้งแล้ว แล้วเงยหน้าขึ้นมา สายตาของนางดูกังวลใจ นาง
หลุดออกมาว่า “กั๋วกง เรา ... เราคงไม่ ...” นางคิดจะดึงมือกลับมา แต่
แรงน้อยทําอะไรไม่ได้ เพราะฉีหนิงจับแน่นมาก

“ไม่อะไร?”

เถียนฮูหยินหน้าแดงมาก “อยู่ด้วย อยู่ด้วยกันไม่ได้”

“ใครเป็นคนพูด?” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่ข้ามาที่ตงไฮ่คราวนี้


เดิมก็คิดจะมาอยู่กับพวกเจ้า ข้าคิดดูแล้ว ในเมื่อเราก็มีใจให้กัน อยู่
ด้วยกัน ก็ไม่ได้เดือดร้อนใครนีน
่ า ขอแค่ไม่ทําให้ใครเดือดร้อน ทําไม
ต้องสนใจที่คําพูดของคนอื่นด้วยล่ะ? เมื่อกี้ ... เจ้าบอกว่าเจ้าไม่อยาก
แต่งงานกับข้าเหรอ?”

“ข้า ... ข้าไม่รู้ว่าเป็นท่าน?” ฮูหยินก้มหน้าลง นางพูดด้วยความ


เขินๆ “ข้าคิดว่า ... ข้าคิดว่าฮูหยินสามจะให้ข้าแต่งงานกับคนอื่น ...”

ฉีหนิงพูดว่า “แล้วถ้าแต่งกับข้า เจ้าจะยินดีรึเปล่า?”


“ข้า ... ข้าไม่รู้” เถียนฮูหยินตื่นเต้นมาก นางถอนหายใจเศร้าๆ
“กั๋วกง ข้า ... ข้าไม่กล้าคิด อีกทั้ง ... อีกทั้งถ้าข้าอยู่กับท่านจริงๆ คนอื่น
จะครหาได้ มันไม่สง่ ผลดีกับท่าน ...”

ฉีหนิงยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง แล้วจับไปที่หน้าของนาง ถึงแม้นางจะ


เลยวัยสาวไปแล้ว แต่ผิวของนางยังเนียนนุ่มเหมือนเดิม สัมผัสมือมันดี
มาก เขาพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “คนอื่นพูดอะไรจะไปสนใจทําไม
ตั้งแต่ข้ามาที่โลกนี้ ข้าไม่มีที่พ่ึง ไม่รู้ว่าจะไปไหน ต่อมาข้าถึงได้คิดจน
เข้าใจว่า สิ่งที่ขา้ มีข้าสมควรจะรักษามันเอาไว้ หากพลาดไป ต่อไป
อาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เจ้าคือสิง่ ที่ข้าต้องรักษาเอาไว้ ดังนั้นข้า
จะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด ฮูหยินสามไม่ขัดขวางเรื่องที่เราจะอยู่ด้วยกัน
ขอแค่เจ้ารับปาก ก็ไม่มอ
ี ะไรเป็นอุปสรรคแล้ว”

เถียนฮูหยินได้ยินเขาพูดว่าไม่มีที่พ่ึง ก็รู้สึกแปลกใจ แต่คําพูด


หลังจากนั้นมันทําให้นางอบอุ่นใจ ปากของนางขยับ แต่ก็ไม่รู้ควรพูด
อะไร

“เจ้าอย่ากังวลจนเกินไป” ฉีหนิงยกมือดึงนางเข้ามากอด “เรา


แต่งงานกัน ก็ไม่เห็นต้องอยู่ในเมืองหลวงอย่างเดียวนี่นา ใต้หล้าใหญ่จะ
ตายไป มีต้ังหลายที่ที่ไปได้ ไว้ข้าจัดการเรื่องสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ข้า
จะขอลาออกจากราชการ หากทรงอนุญาต หากไม่อนุญาต ข้าก็จะอยู่
แต่ในนาม แล้วไปท่องเที่ยวกับพวกเจ้าให้ท่ัวเลยดีไหม?”
ฮูหยินได้สัมผัสอ้อมกอดอันอบอุ่นของฉีหนิง ได้ยินคําพูดที่
อ่อนโยนจากเขา ในหัวของนางก็คิดภาพตาม หากได้ไปเที่ยวกับฉีหนิง
แบบอิสระแล้ว มันน่าจะเป็นชีวิตที่สุขสบายมาก ในใจของนางเริ่มมี
ความคาดหวัง อดพูดออกไปไม่ได้ว่า “ทํา ... ทําแบบนั้นได้จริงเหรอ?”

“ข้าเคยหลอกเจ้าด้วยเหรอ?” ฉีหนิงหัวเราะ แล้วเหลือบไปมอง


หน้าอกของนาง แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “เหมือนจะใหญ่ข้น
ึ นะ ไม่ได้
จับมาตั้งนานแล้ว คืนนีข
้ อข้าดูหน่อยนะ”

ฮูหยินตอนแรกยังไม่เข้าใจความหมายของเขา ปลายตาของเขา
จ้องไป นางมองไปที่ตาของฉีหนิง ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันที หูของ
นางแดง พยายามออกจากอ้อมกอดของเขา “คราวนี้ไม่ได้ ฮูหยินสาม
อยู่ที่นี่ ท่าน ... ท่านสมควรจะไปอยู่เป็นเพื่อนนาง ต่อไป ... ต่อไปเรามี
โอกาสค่อย ...”

“ค่อยอะไร?” ฉีหนิงกระซิบแหย่แกล้งนาง

ฮูหยินรูด
้ ีว่าเขาต้องการแกล้งนาง นางจ้องกลับ จากนั้นก็พูดว่า
“ท่านรู้ดีแก่ใจ”

“ข้ามาถึงตงไฮ่สามวันแล้ว” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ผู้จัดการสวีเคย
เจอข้าที่เมืองหลวงมาก่อน เขารู้จักข้า ตลอดสามวันที่ผา่ นมาข้าก็อยู่
กับฮูหยินสามตลอด ผู้จัดการสวีบอกข้าว่าสองสามวันนีจ
่ ะมียาเที่ยว
สุดท้ายส่งมา ข้าคิดไปคิดว่าก็คิดว่าเจ้าน่าจะมาด้วยตัวเอง ก็เลยอยูร่ อ
เจ้าที่ เจ้าก็ไม่ได้ทําให้ขา้ ผิดหวัง”

ฮูหยินหน้าแดงมาก แล้วถามอย่างเขินๆ ว่า “ท่าน ... ท่านคิดถึงข้า


จริงๆ เหรอ?”

“ฟ้าดินเป็นพยานได้” ฉีหนิงรีบพูดว่า “ดังนั้นคืนนี้ ...”

“คราวนี้ไม่ได้” ฮูหยินยืนยัน “ครั้งนี้ท่านต้องฟังข้า”

เถียนฮูหยินรู้สก
ึ กังวลใจ ที่จริงก็เพราะกู้ชิงฮั่น

ถึงแม้ก้ช
ู ิงฮั่นจะยอมรับให้นางกับฉีหนิงอยู่ด้วยกันแล้ว แต่เถียนฮู
หยินกลับไม่แน่ใจว่านางจะไม่ติดใจจริงๆ รึเปล่า การจะเป็นผูห
้ ญิงของ
ฉีหนิง เถียนฮูหยินฝันอยากจะเป็น แต่นางเป็นคนเจียมตัว คิดว่ายังไงกู้
ชิงฮั่นก็อยู่ที่นี่ด้วย หากนางใกล้ชิดกับฉีหนิงมากเกินไป อาจทําให้ก้ช
ู งิ
ฮั่นไม่พอใจได้

ยังมีเวลาอีกมาก นางยังต้องอยู่กับกู้ชงิ ฮั่นไปอีกนาน ยังไงนางก็


ต้องวางตัวให้ดี

ครั้งนี้ให้ฉีหนิงอยู่เป็นเพื่อนกู้ชิงฮั่น นางก็จะได้ไม่มีอคติกับนาง

เถียนฮูหยินเป็นคนฉลาด นางเป็นผูห
้ ญิงละเอียดอ่อน เลยรู้จัก
ความคิดของผูห
้ ญิงดี
กู้ชิงฮั่นยอมรับนาง เหตุผลที่แท้จริงทําไมนางจะไม่รู้

กู้ชิงฮั่นกับฉีหนิงมีใจให้กัน แต่ยังไงมันก็เป็นเรื่องต้องห้าม การให้


เถียนฮูหยินเป็นผู้หญิงของฉีหนิงอย่างเป็นทางการ มันก็ทําให้ในใจของ
กู้ชิงฮั่นลดแรงกดดันลงไปได้มาก อีกทั้งตอนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงใน
เมืองหลวง ทั้งสองหนีตายร่วมทุกข์กันมา เปิดใจกันมาแล้ว กู้ชิงฮั่นก็รู้
ถึงความลําบากของนางดี ดังนั้นถึงได้ยอมรับ เถียนฮูหยินนับถือความ
ใจกว้างของนางมากๆ เลย

“ไม่ได้จริงๆ เหรอท” ฉีหนิงถาม

เถียนฮูหยินพยักหน้า เหมือนบอกเขาว่าไม่มีอะไรต้องเจรจากันอีก ฉี
หนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “มาตงไฮ่ครั้งนี้ ไม่สมบูรณ์เลย”
เล่มที่ 50 บทที่ 1482 ชายเคาะประตูยามค�าคืน

เถียนฮูหยินนอนอยู่บนเตียงแต่นอนไม่หลับ หลังจากกินอาหาร
เย็นแล้ว เดินทางมานานหลายวัน นางก็รู้สึกเพลียมาก เลยรีบอาบน�า
แล้วก็มานอนอยู่บนเตียง เดิมคิดว่าเหนื่อยมาก อาจจะหลับเลย แต่ยงิ่
คิดแบบนี้ มันกลับยิ่งนอนไม่หลับ

วันนี้ฉห
ี นิงบอกนางกับปากว่าอยากจะแต่งงานกับนาง มันทําให้
นางรู้สก
ึ ดีใจมาก

ค้าขายยาสมุนไพรมานานหลายปี ที่จริงนางก็โดดเดี่ยวมานาน
หากจะบอกว่านางไม่เคยคิดเรื่องของตัวเองเลย มันก็ดูโกหกเกินไป

ถึงแม้นางจะไม่ใช่สาวๆ แล้วอีกทั้งอายุก็มากประมาณหนึ่งแล้ว
ด้วย อีกทั้งยังเคยคิดว่าจะอยู่เป็นโสดใช้ชีวิตกับลูกสาวไปจนวันตาย
พอลูกสาวโต ก็แต่งลูกเขยเข้ามา ถึงเวลานั้นยังน้อยก็ยงั มีลก
ู สาวกับ
ลูกเขยเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า

แต่ที่จริงในใจลึกๆ นั้น ก็เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า จะอยู่โดด


เดี่ยวไปจนตายแบบนี้จริงเหรอ
โดยเฉพาะหลังจากที่มอ
ี ะไรกับฉีหนิงไปแล้ว ความคิดแบบนี้มน
ั ก็
เริ่มมากขึ้น

ไม่มีใครอยากอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตจริงๆ หรอก แต่ว่าในเมื่อ


ตัวเองก็มอบกายให้ก๋ัวกงไปแล้ว ก็ไม่มีทางจะไปแต่งงานกับผู้ชายคน
อื่นได้อีก

แล้วก็เป็นเพราะนางเป็นคนอยู่ในกรอบด้วย ตอนที่นางแต่งงาน ก็
คิดอย่างเดียวว่าอยากจะอยู่กับสามีไปจนวันตาย แต่ว่าสามีกลับมา
ประสบเคราะห์ร้าย ต่อมามอบกายให้ฉห
ี นิงไป ในใจถึงแม้จะรูว
้ ่าอาจไม่
มีอนาคตร่วมกับฉีหนิง แต่ว่านางก็อยากจะอยู่ครองตนเอาไว้เพื่อฉีหนิง
เลยไม่อยากมีอะไรกับผู้ชายคนไหนอีก

อีกทั้งหลังจากคืนนั้นแล้ว นางเองก็มองว่านางคือคนของฉีหนิง
แล้วด้วย

สิ่งที่ทําให้นางเป็นทุกข์ก็คือถึงแม้จะมีอะไรกับฉีหนิงไปแล้ส แต่ท้ัง
ชีวิตนี้เกรงว่าอาจจะไม่อาจเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ได้ ถึงแท้นางจะไม่
เคยร้องขออะไรจากฉีหนิงเลย อีกทั้งยังเคยบอกฉีหนิงว่าไม่ต้องสนใจ
ฐานะอะไรของนางเลย แต่ว่าลึกๆ แล้วนางก็หวังว่าอย่างน้อยก็จะมี
ฐานะ ถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

แต่วันนีค
้ วามหวังของนางกลับกลายเป็นจริงแล้ว
ว่ากันจากใจ หลังจากมีอะไรกับฉีหนิงที่ตงไฮ่แล้ว ก็ไม่มีวันไหนที่
นางไม่คิดถึงฉีหนิงเลย เพราะลึกๆ นางชอบนิสย
ั ของฉีหนิง และเพราะ
หลายวันที่อยู่ที่ตงไฮ่ ทําให้นางรู้สึกว่าอะไรที่เรียกว่าผูห
้ ญิง ความรู้สก

แบบนั้นมันทําให้นางยากจะลืมได้ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา

นานมากแล้วที่นางไม่ได้อยู่กับฉีหนิงตามลําพัง ปกติเวลากลางคืน
นางจะคิดภาพที่นางได้อยู่กับฉีหนิงตลอด วันนีพ
้ อได้เจอฉีหนิงจริงๆ
ความรูส
้ ึกแบบนั้นมันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก

ฉีหนิงบอกนางว่าอยากอยู่กับนางในคืนนี้ นางเป็นห่วงความรูส
้ ึก
ของกู้ชงิ ฮั่น เลยไม่ได้รบ
ั ปาก แต่ว่าที่จริงแล้ว นางอยากให้ฉห
ี นิงอยู่
ข้างๆ นางในเวลานีม
้ าก ต่อให้แค่จับมือกัน ก็เพียงพอที่จะทําให้นางไม่
ทรมานได้

กลางดึกที่เงียบสงบ ฮูหยินนอนพลิกตัวไปมา ในใจอดต่อว่าเขา


ไม่ได้

แต่ก่อนก็ไม่เคยเห็นฉีหนิงจะเชื่อฟังอะไรขนาดนี้มาก่อน วันนีบ
้ อก
ว่าอย่ามากลับไม่มาจริงๆ นางปฏิเสธมันก็เรื่องของนาง แต่เขาจะมาไม่
มามันก็อีกเรื่องนี่นา

ความคิดผู้หญิงเหมือนเข็มในมหาสมุทร
ฮูหยินยิง่ คิดก็ยงิ่ โมโห คิดว่าคราวหน้าถ้าได้อยู่ด้วยกันจริงๆ นาง
จะไม่ยอมตามใจเขาแน่ ท่าแปลกๆ อะไรพวกนั้น นางจะไม่ยอมตามใจ
เขาเด็ดขาด

ขณะที่นางกําลังโกรธ ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น ดึกดื่นแบบ


นี้ ถึงแม้จะเคาะแค่สองที มันก็ได้ยินชัด ฮูหยินลุกขึ้นมานั่ง กําลังจะเอ่ย
ปากถามว่าใคร แต่ก็หยุดไป นางลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วดึงเสื้อมาคลุม
ตัว จากนั้นก็เดินไปใกล้ๆ ประตู จากนั้นก็ถามเสียงเบาๆ ว่า “ใครน่ะ?”

“ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาด้วย” เสียงฉีหนิงลับๆ ล่อๆ อยูด


่ ้านนอก
ดังขึ้นมา

ฮูหยินได้ยินว่าเป็นเสียงของฉีหนิง ความไม่พอใจเมื่อกี้ก็หายไป
แต่กลับตื่นเต้นขึ้นมา นางจับเสื้อที่บริเวณหน้าอกไว้แน่น แล้วพูดว่า
“ข้าหลับไปแล้วนะ มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถอะ”

ร้านยาตระกูลเถียนต้องการทําการค้าระยะยาวในตงไฮ่ หลายคนรู้
ดีว่าร้านยาตระกูลเถียนมีจิ่นอีตระกูลฉีหนุนหลัง ดังนั้นร้านยาตระกูล
เถียนเวลาทําอะไรค่อนข้างที่จะราบรื่น หัวหน้าสมาคมการค้าตงไฮ่
เหมียวซิงเป็นคนใจกว้าง เขาดูแลตระกูลเป็นอย่างดี ตอนที่ร้านยา
ตระกูลเถียนเตรียมมาเปิดร้านที่นี่ เขายังช่วยเลือกสถานที่ให้ เป็นห้อง
ชุดยาวหกหลัง มีเรือนด้านหลังที่ค่อนข้างใหญ่ให้ เพราะเถียนฮูหยิ
นต้องเดินทางมาที่นี่บ่อยๆ แล้วที่ร้านยาก็ไม่ได้มีผู้หญิงมากนัก ดังนั้น
ผู้จัดการสวีเลยสั่งให้คนทํากําแพงกั้นชั้นหนึ่ง ด้านในทําเป็นสองเรือน
เล็กๆ ต่างหากซ้ายขวา โดยให้ก้ช
ู งิ ฮั่นพักอยูท
่ ี่เรือนฝั่งตะวันออก ถ้า
เถียนฮูหยินมา ก็จะไปพักที่เรือนฝั่งตะวันตก

ถึงแม้จะเป็นเรือนที่แยกออกจากกัน แต่ว่าตอนกลางคืนที่เงียบ
สงบ ฮูหยินก็ยังกังวลว่าเสียงดังไปจะมีใครมาได้ยินเข้า

“เรื่องนี้ด่วนมาก รอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้หรอก เปิดประตูให้ข้าทีนะ คุย


เสร็ตแล้วข้าก็จะไปทันที” ฉีหนิงเสียงจริงจังมาก

เถียนฮูหยินคิดในใจว่าหรือว่าจะมีเรื่องสําคัญจริงๆ ? แต่ก็คิดอีกที
นางก็รู้สก
ึ ขํา นางรู้สึกว่าฉีหนิงน่าจะหาเหตุผลมาหลอกนางมากกว่า แต่
ฉีหนิงมาหากลางดึกแบบนี้ ทําให้นางดีใจมาก คิดอยากจะเปิดประตูให้
แต่ว่าเมื่อกลางวันบอกไปแล้วว่าจะไม่นอนด้วย หากเปิดประตูให้ง่ายๆ
อาจทําให้ฉห
ี นิงมองว่านางดูง่าย นางเลยพูดไปว่า “ดึกเกินไปแล้ว ท่าน
มาในเวลาแบบนี้ ... ไม่สะดวกหรอกนะ หากมีใครมาเห็นเข้า ...”

“หลับกันหมดแล้ว ข้าดูอย่างละเอียดดีแล้ว”

เถียนฮูหยินเอามือปิดปากแล้วแอบหัวเราะ หากมีเรื่องสําคัญจริง
ให้คนมาตามนางไปที่ห้องโถงใหญ่ก็ได้ ทําไมต้องไปดูว่าหลับกันหมด
หรือยังด้วย?
“ท่าน ... ท่านโกหก” ฮูหยินกดเสียงให้เบาลงแล้วพูดว่า “ท่าน
ไม่ได้มีเรื่องสําคัญอะไรจริงๆ ใช่ไหม ก็แค่ ... ก็แค่อยากจะมาลวนลาม
ข้า ...” พอพูดถึงคําว่า “ลวนลาม” หัวใจของนางเต้นแรงมาก นางเอา
มือพิงประตูห้อง แล้วจิกเสื้อที่หน้าอกไว้แน่นมาก

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เปิดประตูจริงๆ ใช่ไหม? ถ้า


เจ้าไม่เปิด ข้าไปแล้วนะ”

ฮูหยินพูดว่า “ไปเถอะ ข้าจะนอนแล้ว”

ฉีหนิงถอนหายใจอีกครั้ง แล้วก็เงียบหายไป ฮูหยินรออยู่ครู่หนึ่ง


เหมือนไม่ได้ยินเสียงของฉีหนิงอีก เลยเริ่มร้อนใจ นางถามว่า “ไปแล้ว
จริงๆ เหรอ?”

ด้านนอกไม่มีเสียงตอบกลับอะไรเลย ฮูหยินกัดปาก แล้วพูดแบบ


ไม่พอใจว่า “ตาทึ่ม” นางเหมือนไม่อยากเชื่อ เลยหันไปเปิดประตูนิด
หนึ่งให้พอมีช่อง แต่ทันใดนั้นเองประตูกลับถูกผลักออก มีเงาๆ หนึ่งมุด
เข้าห้องของนางไปอย่างรวดเร็ว ฮูหยินตกใจมาก หันกลับมาเห็นว่าเป็น
ฉีหนิง นางทั้งตกใจแล้วก็ร้อนใจ รีบปิดประตูทันที กลัวว่าใครจะมาเห็น
เข้า แล้วพูดว่า “ออกไปนะ ท่านเข้ามาในนี้ไม่ได้ ท่าน ... ท่านออกไป
เดี๋ยวนี้เลยนะ ...”
“ประตูก็ปด
ิ แล้ว จะให้ข้าออกไปจริงๆ เหรอ?” ฉีหนิงหัวเราะ แล้ว
ก็เดินไปที่เตียงของนาง แล้วก็น่งั ลง จากนั้นก็เอนตัวลงนอน ฮูหยินทั้ง
อายทั้งร้อนใจ นางเดินไปดึงมือของฉีหนิง คิดอยากจะให้เขาลุกขึ้นมา
แต่ฉห
ี นิงกลับกระชากนางลง ร่างกายของนางถูกกระชากลงไปทับบน
ตัวของฉีหนิง นางยังไม่ทันดิ้น ฉีหนิงก็เอามือโอบไปที่เอวของนางแล้ว ฮู
หยินพยายามดิ้น เสียงของนางสั่น “อย่าทําแบบนี้ เดี๋ยวพวกเขามาเห็น
มาได้ยน
ิ ...”

ฉีหนิงเอาหน้าแนบไปที่ข้างหูของฮูหยิน “ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวเจ้าก็
เก็บเสียงหน่อยล่ะกันนะ อย่าให้ใครได้ยิน ให้ขา้ ได้ยน
ิ คนเดียวก็พอ ข้า
ชอบฟังเสียงเจ้า ...” จากนั้นเขาก็พลิกตัวกดตัวของเถียนฮูหยินลง

ฟ้าดินเยือกเย็น ทําให้จิตใจของชาวลั่วหยางนั้นหนาวเย็นไปด้วย

ศึกแนวหน้าพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง จงหลีอ้าวถึงแม้จะพยายามต้าน
กองทัพฉู่เอาไว้ แต่ทหารแคว้นฉู่บุกอย่างดุดัน ทําให้พา่ ยแพ้ติดๆ กัน
เสียเมืองไปแห่ง ตอนนีก
้ องทัพแคว้นฉูน
่ ้ันอีกสามวันก็จะมาถึงลั่วหยาง
แล้ว

ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ข้ึนมา มันเพราะหลายเหตุผล
ทหารฮั่นถึงแม้จะมีกําลังในการทําศึก แต่เพราะขาดเสบียงอาหาร
เสบียงที่ส่งมาจากเมืองหลวงมันน้อยลงทุกรอบ อาหารที่แจกจ่ายให้กับ
เหล่าทหารมันไม่พอให้พวกเขาอิ่มท้อง

ถ้ามันเป็นปัญหาแค่เสบียงมันก็ยังไม่เป็นไรมาก เหล่าทหารสละ
ชีวิตอยู่ที่ด่านหน้า แต่ว่าเบี้ยเลี้ยงกลับไม่ลงมาให้สก
ั ที หากไม่ใช่เพราะ
จงหลีอ้าวมีบารมีสูงมากในกองทัพ คงเกิดจลาจลในกองทัพไปแล้ว

มันทําให้สถานการณ์ในกองทัพมันร้ายแรงมาก มันไม่ใช่ทุกคนจะ
ยอมตายเพื่อเป่ยฮั่นจริงๆ หรอก เพราะเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว หนานฉู่เป่ย
ฮั่นมันคือแคว้นเดียว ฮ่องเต้เป็นใครไม่สาํ คัญ สําคัญที่ใครสามารถทํา
ให้ชาวบ้านมีชว
ี ิตอยู่ต่อไปได้

คนเป็นทหารพึ่งเบี้ยเลี้ยงและเสบียงเพื่อความอยู่รอด หากไม่มี
อาหารให้อ่ิมท้อง มีไม่กี่คนหรอกที่จะยอมไปตายให้

ตอนนี้ไม่เพียงไม่ได้เบี้ยเลี้ยง แม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม กําลังใจ


ทหารลดลงจนถึงขีดสุด

ทหารด่านหน้าหดหูไ่ ม่มีกําลังใจ คนที่อยู่ในเมืองหลวงเองก็ไม่มี


ความสุข

หากจะบอกว่าใครในเมืองหลวงที่ไม่มีความเครียดความกังวลใด
เลย ก็คงมีแต่เสนาบดีใหญ่อย่างจิ้นอ๋องชวีหยวนกู่แล้ว
ชวีหยวนกู่นาํ ทัพออกจากถงกวน แต่แคว้นฉู่กลับตลบหลังโดยการ
แอบบุกไปยึดรังของเขา มีบ้านแต่กลับไม่ได้ ในสถานการณ์แบบนี้ทําให้
เขาและคนของเขาต้องตกที่น่ังลําบาก แต่เพราะเป่ยถังเฮ่าถูกสังหาร
ทําให้สถานการณ์เปลี่ยนไป กองทัพซีเป่ยสามารถบุกยึดลั่วหยางได้
เป่ยถังเฟิงได้ข้น
ึ นั่งบัลลังก์มังกร ชวีหยวนกู่กลายมาเป็นมหาอํามาตย์
ใหญ่ ส่วนลูกชายคนรองของเขาก็ได้กลายมาเป็นองครักษ์พิทักษ์
บัลลังก์ของแคว้น

หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวจงหลีอ้าวที่อยู่ด่านหน้า ชวีมา่ นอิงก็


น่าจะได้กลายเป็นแม่ทัพแนวหน้าไปแล้วแน่นอน

หมัดใครแข็งกว่ากัน คนนั้นก็ได้เปรียบ พ่อลูกตระกูลชวีพิสูจน์


คําพูดนั้นแล้ว

คิดถึงตอนที่กองทัพฮั่นยกทัพบุกยึดเมืองต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมา
ทหารแข็งแกร่งองอาจ ตอนนั้นชวีหยวนกู่ยังเป็นแค่พระญาติหา่ งๆ
เท่านั้น มีผลงานก็ไม่มาก ยังอาศัยกระโปรงผูห
้ ญิงได้ปกครองซีเป่ย

ตอนนั้นไม่มีใครเห็นคนอย่างชวีหยวนกู่อยู่ในสายตาเลย เวลาเข้า
เมืองหลวงมา ก็มีแต่คนดูถูก หลายคนเยาะเย้ยเขา

แต่ว่ากาลเวลาผ่านไป ใครก็ไม่คิดว่าตอนนี้ในเมืองหลวงเป่ยฮั่น
พวกเขาสองพ่อลูกจะมีอํานาจมากกว่าใครทั้งนั้น
มีพวกทหารซีเป่ยป่าเถื่อนอยู่ในเมืองหลวง ขุนนางในเมืองหลวงมี
ใครหายใจคล่องกันบ้าง? แม้แต่ฮ่องเต้อย่างเป่ยถังเฟิงเอง คิดจะทํา
อะไรยังต้องถามความเห็นจากมหาอํามาตย์ใหญ่คนนี้เลย?

กองทัพซีเป่ยเข้ามาในเมืองหลวง ปล้นสะดมไปทั่ว จนกระทั่งชวี


หยวนกู่รู้สึกว่าจะให้วุ่นวายแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีก ตอนที่ออกคําสั่งห้าม
ออกไป เหล่าทหารซีเป่ยก็รับทรัพย์กันไปเต็มที่แล้ว อีกทั้งคนที่ได้รับ
ประโยชน์มากที่สุดก็คือชวีหยวนกู่ เข้าตรวจค้นจวนหลังใหญ่หลายหลัง
เงินทองภาพวาดของเก่าแก่ได้มามากมาย เขาอยู่ที่ซีเป่ยไม่ค่อยมีอะไร
ทําให้เขารู้สึกว่าชีวิตในลั่วหยางมันสุขสบายจริงๆ ที่แท้พวกเศรษฐีมน
ั มี
เงินทองมากมายขนาดนี้เลย ที่แท้พวกขุนนางระดับสูงมีของสะสมเยอะ
ขนาดนี้

เขามักจะนั่งรถพร้อมทหารออกไปสํารวจตามบ้านเรือนต่างๆ เป็นระยะ
ชวีหยวนกู่รู้สก
ึ ว่ามีหน้ามีตามากๆ
เล่มที่ 50 บทที่ 1483 มหาอํามาตย์ใหญ่

ราชวงศ์เป่ยฮั่นก็มีพวกหัวแข็งเหมือนกัน แต่ชวีหยวนกู่ก็ไม่ได้ใส่
ใจ เจ้าคิดว่าเจ้าแน่ใช่ไหม จะแน่กว่าคมดาบรึเปล่าล่ะ?

การใช้ดาบมาแก้ไขปัญหาคนที่มหาอํามาตย์คิดว่าไม่สมควรมีชีวิต
ต่อไป เหล่าขุนนางในเมืองหลวงก็เลยหวาดกลัว แต่มหาอํามาตย์เองก็
รู้จักซื้อใจคนเหมือนกัน สามสี่วันจัดงานเลี้ยงใหญ่ สองวันจัดงานเลี้ยง
เล็ก เชิญเหล่าขุนนางในเมืองหลวงมากินดื่มกันจนเมามาย สําหรับเหล่า
ขุนนางพวกนี้แล้ว มหาอํามาตย์ยังไงก็เป็นคนที่ช่วยกําจัดกบฏปกป้อง
ราชบัลลังก์

กลางดึกกลางดื่น ยังดื่มเหล้าเครานารีกันอยู่ มีขุนนางหลายคนเมา


จนหลับคางานเลี้ยงเลยก็มี

ในตอนนี้เองมีบ่าวไพร่คนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเขา แล้วกระซิบ
บอกอะไรบางอย่างกับเขา มหาอํามาตย์เหมือนจะไม่พอใจ ขุนนางที่อยู่
ใกล้ๆ เห็นดังนั้น ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ท่านเสนาบดี มีเรื่องอะไรที่ทํา
ให้ท่านไม่พอใจเหรอ?”

“ฝ่าบาทส่งคนมาถามข้าว่า เรื่องเบี้ยเลี้ยงของทหารด่านหน้าจะให้
จัดการยังไง” ชวีหยวนกู่วางแก้วเหล้าลง สีหน้าจนใจแล้วพูดว่า “จงหลี
อ้าวถวายฏีกา บอกว่าเหล่าทหารหมดกําลังใจ ยังมีทหารอีกส่วนหนึ่งยัง
ไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยง หากเป็นอย่างนี้ต่อไป คิดว่าอาจจะเกิดเรื่อง ข้าไม่รู้
เลยว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรได้ ตอนที่ข้านําทหารซีเป่ยปราบกบฏ ตอน
นั้นข้าก็ขาดเสบียงขาดเบี้ยเหมือนกัน แต่ว่าคนของข้าไม่มีใครมีปัญหา
เลย คิดอย่างเดียวอยากจะทําเพื่อบ้านเมือง ยื้อจนวินาทีสุดท้ายทั้งนั้น
ตอนนี้ราชสํานักก็ส่งเสบียงให้ไม่ขาด สถานการณ์ของข้าในตอนนั้นแย่
กว่านี้อีก จงหลีอ้าวยังกล้าบอกว่าจะเกิดเรื่อง เหลวไหลสิ้นดีเลย”

“นั่นสิขอรับ ลูกผู้ชายปกป้องบ้านเมือง มันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่


แล้ว” ขุนนางคนหนึ่งรีบตอบกลับว่า “หรือว่าการที่ไม่ได้เบี้ยไป พวก
เขาจะก่อกบฏหรือยังไง?”

มีขุนนางอีกคนพูดขึ้นมาว่า “ท่านเสนาบดีจงรักภักดี ทหารของจง


หลีอ้าวกลับคิดไม่ซ่ ือ แค่นี้ก็มองออกแล้วว่าใครที่ปกครองทหารได้
ดีกว่ากันแล้ว”

“กําลังใจทหารลดลง? นั่นไม่ใช่เพราะจงหลีอ้าวทําสงครามไม่เป็น
แพ้มาตั้งหลายครั้ง” มีขุนนางอีกคนพูดอย่างโมโหว่า “ทหารเก่งๆ
ของต้าฮั่นของเราไปอยูใ่ นมือของเขาหมด แต่เขากลับทําให้เราเสีย
เมืองไป หากจะพูดกันจริงๆ แล้ว จงหลีอ้าวเป็นคนที่มีความผิดมาก
ที่สุดเลย”
มีขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ถูกต้อง กลัวจะเกิดเรื่องงั้น
เหรอ? หากทหารก่อเรื่อง คงมาจากจงหลีอ้าวนั่นแหละ? เขาคิดจะขู่
ราชสํานักหรือไงกัน?”

เกิดการวิพากษ์วิจารย์ข้ึนในงานเลี้ยง แต่ก็มห
ี ลายคนไม่พด
ู อะไร
เลย แต่หลายคนเริ่มต่อว่าต่อขานจงหลีอ้าว ต่อมาเหมือนจะสรุปกันว่า
จงหลีอ้าวนั้นคิดจะก่อกบฏ มีคนพูดว่า “ท่านเสนาบดี พรุ่งนีเ้ ราถวายฏี
กาพร้อมกันเลย ให้ฝ่าบาททรงเรียกตัวจงหลีอ้าวกลับมา แล้วลงโทษให้
หนัก”

“เราจะลงชื่อพร้อมกัน”

“ใช่ ลงชื่อถวายฎีกาพร้อมกัน”

ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมา “จะเรียกตัวเขากลับมา


แล้วด่านหน้ามีใครต้านทัพแคว้นฉู่ได้ไหม?”

พอพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนก็หันไปมอง มีคนก็หน


ั ไปมอง เป็นขุน
นางคนหนึ่งที่เหมือนเมาได้ที่แล้วเป็นคนพูด แต่ว่าคําพูดของเขา กลับ
เหมือนคนไม่ได้เมาเลย

ในห้องโถงเงียบลง จากนั้นถึงได้มีคนพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นรอ


เขาจัดการพวกชาวแคว้นฉู่ก่อนแล้วค่อยถวายฎีกาดีไหม?”
“ถวายฎีกาตอนนี้ หากฝ่าบาทเรียกตัวเขากลับมาจริง แล้วเขา
ปฏิเสธ จนก่อกบฏขึ้นมาจริงๆ ผลที่จะตามมา ...”

คําพูดพวกนี้ทําให้เหล่าขุนนางเงียบกันไปหมด มีคนเหมือนคิดได้
เมื่อกี้เพราะต้องการคล้อยตามมหาอํามาตย์ จนลืมตัวไป ตอนนี้พอได้
สติข้ึนมา คําพูดพวกนั้นไม่ควรพูดในงานเลี้ยงแบบนี้เลย หากข่าวมัน
ออกไปจนถึงด่านหน้า จงหลีอ้าวจะคิดยังไง?

ในมือของจงหลีอ้าวนั้นมีทหารกว่าแสนนาย หากหันปลายดาบเข้า
หาลั่วหยาง ไม่มีใครต้านได้แน่ ภายในสามวัน กองทัพใหญ่ต้องบุกมา
ยึดเมืองแน่นอน

มหาอํามาตย์โบกมือ ยิม
้ แล้วพูดว่า “แม่ทัพจงยังทําศึกได้อยู่ เขา
ทําสงครามกับแคว้นฉูม
่ ากว่าครึ่งปี คนของเขาหมดกําลังใจ แต่ทหาร
แคว้นฉู่เองก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ากันหรอก วางใจเถอะ ข้ายังมีคนฝีมอ

ดีกว่าหมื่นคน รอเวลาที่เหมาะสม ข้าจะนําทัพไปสู้ด้วยตัวเอง ชาว
แคว้นฉู่เหนื่อยล้ามากแล้ว ทหารซีเป่ยหากบุกไป จะต้องทําให้พวกเขา
พ่ายแพ้ไม่เป็นท่าแล้ว”

“ที่แท้ท่านเสนาบดีก็มแ
ี ผนในใจอยู่แล้ว” มีคนพูดออกมาด้วย
ความชื่นชม
จากนั้นก็มีคนเริ่มวิเคราะห์ “ท่านเสนาบดีมองการณ์ไกลจริงๆ จง
หลีอ้าวจงรักภักดีกับฝ่าบาทรึเปล่า ยังไม่รู้แน่ชัด ตอนนั้นเป่ยถังเฮ่าก่อ
กบฏ ควบคุมเมืองหลวงเอาไว้ เขากลับนิ่งเฉย คนของจงหลีอ้าวฝีมือ
ร้ายกาจ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะจงรักภักดีกับราชสํานัก ให้พวกเขาจัดการกับ
พวกแคว้นฉู่ไปก่อน รอให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายกันไปก่อน ท่าน
เสนาบดีค่อยนําทัพซีเป่ยบุกโจมตีอีกที ฮ่าฮ่า นี่มันยิงหินก้อนเดียวได้
นกสองตัวเลยนะเนี่ย หากไม่ใช่ท่านเสนาบดี พวกเราก็คิดไม่ออก
เหมือนกัน”

เสียงสรรเสริญดังขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศนิ่งเงียบเมื่อกี้จางหายไป
ทันที

ท่ามกลางเสียงสรรเสริญ ทําให้ชวีหยวนกู่รู้สก
ึ ดีมาก เขาอดที่จะ
จินตนาการภาพตัวเขายกทัพออกไปทําศึกไม่ได้

ในภาพที่เขาคิด จงหลีอ้าวกับทหารฮั่นกําลังจะตาย กองทัพฉู่อ่อน


ล้าจากการทําศึกเต็มที ทั้งสองฝ่ายพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการ
สังหาร ในเวลานี้เอง เขาก็นาํ กองทัพซีเป่ยของเขาบุกเข้าไปในสนามรบ
จัดการกับกองทัพแคว้นฉู่จนไม่เหลือซาก กองทัพแคว้นฉู่พ่ายแพ้ หนี
ตายกลับแคว้น กองทัพซีเป่ยไล่ล่าไปจนสุด ไม่ว่าที่ไหนที่ทหารของเขา
ผ่านไป ไม่มีใครต้านทานได้ ทหารของเขาบุกไปถึงเมืองหลวงแคว้นฉู่
ยึดเอาแคว้นฉู่มาได้ ฮ่องเต้แคว้นฉู่ต้องคุกเข่าร้องขอชีวิตกับเขา เขา
สามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้ ส่วนเป่ยถังเฟิงก็ยอมสละ
บัลลังก์ให้คนที่มค
ี วามสามารถมากกว่า ใต้หล้าก็จะกลายมาเป็นของ
ตระกูลชวี

ชวีหยวนกู่ได้น่งั บัลลังก์ เหล่าขุนนางคุกเข่าให้กับเขา ได้รับการ


บูชาจากราษฎร

พอคิดถึงตรงนี้ ชวีหยวนกู่ก็ต่ ืนเต้นเอามากๆ เขาอดหัวเราะ


ออกมาไม่ได้ เหล่าขุนนางได้ยินเขาจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา แต่ไม่รู้ว่าเขา
กําลังจินตนาการภาพอยู่ คิดว่าเขาคงหัวเราะด้วยความพอใจ เลย
หัวเราะเป็นเพื่อนเขาด้วย

หลังเลยเที่ยงคืนไปแล้ว มหาอํามาตย์เมามากแล้ว ถูกคนพยุง


กลับไปที่ห้องนอน

ชวีหยวนกู่อายุมากแล้ว ไม่เหมือนคนหนุ่มที่มแ
ี รงกําลังมาก เลยไม่
มีใครอยู่รับใช้ตอนกลางคืน พอมาถึงเมืองหลวง มหาอํามาตย์เลยมี
ปล่อยไปตามอารมณ์บ้าง ในวังมีสาวงามมากมาย แม้แต่ตามถนนก็มี
สาวงามนับไม่ถ้วน ในวังถ้ามหาอํามาตย์ถูกใจคนไหน ฮ่องเต้เป่ยถังเฟิง
ก็จะประทานให้ทันที แต่ถ้าหากเป็นนางกํานัล ก็จะถูกส่งเข้าจวนมหา
อํามาตย์ทันที ช่วงแรงที่เขาเข้ามาในเมืองหลวง มหาอํามาตย์เฒ่าผู้นี้มี
ความสุขมาก แต่เพราะอายุเขามากเลย ช่วงนี้ก็เริ่มผ่อนเรื่องอย่างว่าลง
ห้องนอนของมหาอํามาตย์ ทั้งกว้างและสบาย ในห้องเริ่มมีการตั้ง
ที่ผิงไฟ ก่อนนอนของทุกคืน ในผ้าห่มจะมีสาวๆ นอนอยู่ด้วยสองคน
ดังนั้นตอนมหาอํามาตย์ข้น
ึ เตียงผ้าห่มก็จะอุ่นอยู่แล้ว

เขาหลับไปนานแค่ไหนเขาเองก็ไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเองมหาอํามาตย์
ก็รู้สึกว่าใบหน้าของเขามันเย็นๆ เหมือนว่ามีนา� หยดลงมาบนหน้า
เหมือนว่าหลังคารั่วแล้วน�าฝนไหลลงมา ชวีหยวนกู่สะดุ้งตื่น เขาลืมตา
ขึ้นมา ภายในห้องมีตะเกียง ไม่ถือว่ามืดมาก สิง่ แรกที่มหาอํามาตย์คนนี้
เห็นคือดวงตาคู่หนึ่ง จากนั้นก็เป็นใบหน้าที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ทันใดนั้นเองเขาก็รู้ว่ามีคนมายืนอยู่ข้างเตียงเขา ในมือถือกาน�าชาอยู่
แล้วกําลังกรอกน�าจากกาลงบนหน้าของเขา

ชวีหยวนกู่โมโหมาก จากนั้นก็ตกใจ

หลังจากที่เขาเข้ามาที่เมืองหลวง ฆ่าคนไปนับไม่ถ้วน ในใจเขารู้ดี


ว่าเขาสร้างศัตรูไว้มาก จะต้องมีคนอยากจะฆ่าเขาแน่นอน

เป่ยถังเฮ่าเองก็ถูกคนไปลอบสังหารเหมือนกัน

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง รอบๆ ห้องนอนของเขา


จะมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่ อีกทั้งเขายังมีจ้างยอดฝีมือมาสํารวจรอบๆ ที่
พักอาศัยของเขาเฉพาะด้วย คิดอยากจะเข้ามาในจวนมหาอํามาตย์มน

ยากยิ่งกว่ายาก อีกทั้งจวนมหาอํามาตย์น้ันมีหอ
้ งพักจํานวนมาก ชวี
หยวนกู่จะเปลี่ยนที่นอนบ่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหนแน่ และทุก
ที่ก็มีคนเฝ้าระวังแน่นหนา ดังนั้นการลอบเข้าจวนมหาอํามาตย์หา
ห้องนอนของมหาอํามาตย์ แทยจะเป็นไปไม่ได้เลย ยิง่ ไม่ต้องพูดถึง
เรื่องที่จะแอบเข้ามาในห้องนอนโดยที่ไม่มีใครรู้ แล้วเอาน�าในกามา
หยดใส่หน้าเขาแบบนี้

มหาอํามาตย์คิดว่าตัวเองกําลังฝันอยู่ หากไม่ใช่ฝัน ใครกันที่จะ


กล้าบุกห้องนอนของเขาแบบนีไ้ ด้

น�าเย็นทําให้เขาตื่นขึ้นมา เขาแอบหยิกตัวเองในผ้าห้ม มันเจ็บมาก


คิดว่าคงไม่ใช่ฝน
ั หากไม่ใช่ฝัน แสดงว่าสิ่งที่เขาเห็นก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ

ชวีหยวนกู่สด
ู หายใจเข้าลึกๆ เขาไม่ได้รอ
้ งตะโกน แต่ก็ไม่ได้ขยับ

เพราะเขาก็อายุมากแล้ว ประสบการณ์ก็พอจะมีอยู่

อีกฝ่ายสามารถแอบเข้ามาในห้องนอนของเขาได้ แสดงว่าเขา
สามารถทําทุกอย่างที่เขาอยากจะทําได้ มันพิสจ
ู น์ให้เห็นแล้วว่าฝีมือ
ของเขาไม่ธรรมดาแน่นอน ถึงแม้ตัวเขาเองจะมีกองทัพนับหมื่นคน แต่
ตอนนี้ก็แก่แล้ว เขากังวลว่าหากเขาขัดขืน อีกฝ่ายจะลงมือกับเขาทันที

กลางดึกลอบเข้ามาในห้องนอนไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่มิตรแน่นอน
ศัตรูไม่ขยับ เราก็ไม่ควรทําอะไร ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ฆา่ เขาขณะที่
หลับอยู่ แสดงว่าไม่ได้ต้องการมาแค่ฆา่ เขาอย่างเดียว มันแน่จะยังพอมี
ทางแก้ไขสถานการณ์ได้ เขามองไปที่ดวงตาของคนๆ นั้น เขาไม่พด

อะไร ไม่ได้ขยับ รอดูว่าอีกฝ่ายคิดจะทําอะไรกันแน่

“ท่านอํามาตย์ฉลาดจริงๆ” คนๆ นั้นพูด “มิน่าถึงได้เป็นถึงมหา


อํามาตย์”

ชวีหยวนกู่พูดว่า “เจ้าเข้ามาถึงที่นี่ได้ แสดงว่าไม่ได้ต้องการเงิน


ทอง เจ้าคิดจะให้ข้าทําอะไร ขอแค่ข้าทําได้ ข้าจะทําให้ ต่อให้ทําไม่ได้
ข้าก็จะพยายามอย่างเต็มที่”

“เด็ดขาดจริงๆ” เขายกนิว
้ โป้งให้ แล้วเก็บกาน�าชากลับมา เขายิม

แล้วพูดว่า “ท่านอํามาตย์ลุกขึ้นหน่อยได้ไหม? เรามาคุยกันสักหน่อย
จริงสิ ท่านเป็นคนฉลาด คิดว่าคงไม่ตะโกนให้ใครมาช่วยหรอกใช่ไหม
เพราะถ้าทําอย่างนั้น พวกเขายังมาไม่ถึง เกรงว่าหัวของท่านก็จะ ...”
เขาใช้มอ
ื ขวายกขึ้นมาทําท่าปาดคอ เจตนาของเขาชัดเจนมาก

ชวีหยวนกู่พยักหน้า จากนั้นก็ลก
ุ ขึ้นมา นําเสื้อนอกมาสวม ในเมื่อ
อีกฝ่ายบอกว่าอยากจะคุยด้วย แสดงว่ายังไม่ทําอะไรเขาแน่นอน
อาจจะมีข้อเรียกร้องอะไรกับเขา ขอแค่เขาทําได้ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น ด้วย
ความฉลาดของเขา จะผ่านเรื่องในคืนนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก
คนๆ นั้นเดินไปนั่งที่โต๊ะ ชวีหยวนกู่เองก็ค่อยๆ เดินตามมา แล้วนั่ง
ตรงข้ามกับคนๆ นั้น

อีกฝ่ายอายุน้อยมาก ท่าทางเขาดูสบายๆ ทําเหมือนอยู่บ้านตัวเอง


เลย

“ข้าขอแนะนําตัวก่อนนะ” ชายหนุ่มยิม
้ แล้วพูดว่า “ข้าแซ่ฉี ชื่อคําเดียว
ว่าหนิง อี้เหิงอ๋องแห่งแคว้นฉู่ เหมือนก่อนเคยรับตําแหน่งจิ่นอีโหว ท่าน
อํามาตย์ประสบการณ์มาก คิดว่าน่าจะเคยได้ยน
ิ ชื่อของข้ามาบ้างแล้ว”
เล่มที่ 50 บทที่ 1484 ค�าคืนสะเทือนวิญญาณ

ฉีหนิง

จิ่นอีโหว

วินาทีน้น
ั ชวีหยวนกู่มีความรูส
้ ก
ึ เหมือนอยากจะหาดาบเล่มใหญ่ๆ
ฟันลงที่หัวของคนที่อยู่ตรงหน้าทันที

เขาอายุมากแล้ว แต่ก็ยงั ไม่ได้ถึงวัยที่จะจําอะไรไม่ได้เลย

เขานําทัพออกจากเมือง บ้านของเขาก็ไฟไหม้ รังของเขาถูก


กองทัพแคว้นฉูบ
่ ุกไปยึด ฐานที่ต้ังที่เขาที่อยู่มานานหลายปีถก
ู คนมายึด
เอาไป ทําให้เขากับคนของเขาเกือบจะตายทั้งกองทัพ

เรื่องนี้ยังไม่เท่าไหร่ ที่สาํ คัญที่สด


ุ คือลูกชายคนโตของเขาชวีมา่ น
เป่าเองก็ตายเพราะพวกเขา

ความแค้นฆ่าลูก จะอยูร่ ่วมโลกกันไม่ได้

เขารู้คนที่นําทหารไปยึดรังของเขาก็คือจิ่นอีโหวของแคว้นฉู่ ฉีหนิง
อีกทั้งลูกชายของเขาก็ยังตายเพราะฝีมือคนๆ นี้ด้วย หลังจากรู้ข่าวนี้
ชวีหยวนกู่แอบสาบานไว้ว่า หากมีโอกาส ไม่เพียงจะฉีกฉีหนิงเป็นชิ้นๆ
แต่จะทําให้จิ่นอีตระกูลฉีล่มสลายไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเลย

เขาแอบเก็บความแค้นฆ่าลูกไว้ในใจ หวังว่าจะมีโอกาสแก้แค้น

ตอนนี้คนที่เขาคิดอยากจะฆ่าให้ตายทุกคืนวันมาอยู่ตรงหน้าเขา
แล้ว

แต่ว่าเขากลับทําอะไรไม่ได้เลย

เกิดทําให้อีกฝ่ายโกรธ ไม่เพียงจะแก้แค้นเรื่องที่ถูกยึดที่ที่เป็น
เหมือนบ้านแล้วก็แค้นที่ฆ่าลูกไม่ได้ ชีวิตเขาเองก็อาจจะไม่รอดด้วย

เขาเลยข่มความแค้นเอาไว้ แล้วก็ยิ้มออกมา ยกมือคํานับแล้วพูด


ว่า “ที่แท้ก็อี้เหิงอ๋องนี่เอง ได้ยน
ิ ชื่อมานาน ท่านมาคนเดียวงั้นเหรอ?”

อี้เหิงอ๋องเป็นขุนนางคนสําคัญของแคว้นฉู่ คนแบบนี้ จะมาโผล่ที่


เมืองลั่วหยางของแคว้นฮั่น อีกทั้งยังมาอยู่ในห้องนอนของเขาอีกด้วย?
ชายหนุม
่ คนนี้ ทําไมถึงได้มีฝีมอ
ื ที่น่ากลัวขนาดนี้ได้ สามารถมาถึงข้าง
เตียงของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย

ชวีหยวนกู่คิดแบบนีใ้ นใจ คราวนี้ฉีหนิงลอบเข้ามาในห้องนอน แต่


ว่าเขายังมีคนหรือกําลังอีกเท่าไหร่ แล้วมีแผนการอะไรอีก อีกทั้งในจวน
มหาอํามาตย์จะมีสายด้วยหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่หากเป็นอย่างที่เขาคิด
แสดงว่าเขาจะต้องมีคนอีกจํานวนมากแน่นอน แคว้นฉูจ
่ ะต้องมีสายลับ
อยู่ในลั่วหยาง”

“ข้ามาคนเดียว” ฉีหนิงตอบแบบไม่ต้องคิดเลย “ข้าก็แค่อยากจะ


มาคุยกับท่านอํามาตย์เท่านั้น ไม่ต้องใช้คนเยอะแยะขนาดนั้นก็ได้”

ชวีหยวนกู่แอบขํา แอบคิดในใจว่าเจ้าคนเดียวสามารถลอบเข้า
มาถึงจวนข้า เจ้าคิดว่าหลอกผีสางอยูห
่ รือไงกัน

“อย่างนี้นี่เอง” ชวีหยวนกู่ย้ม
ิ แล้วพูดว่า “ที่นี่คือลั่วหยาง ตอนนี้
เราทั้งสองแคว้นกําลังทําสงครามอยู่ ท่านมาลั่วหยางเพียงคนเดียว มัน
อันตรายมากนะ”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “สถานการณ์ของท่านมหาอํามาตย์เหมือนจะ
อันตรายกว่าข้านะ”

ชวีหยวนกู่พูดไม่ออกเลย

“มหาอํามาตย์รู้หรือไม่ว่า ทหารของเยว่หวนซานกําลังได้ใจเลยนะ
กองทัพฮั่นพยายามดิ้นรนอย่างมาก คิดว่าไม่เกินหนึ่งเดือน กองทัพฉู่ก็
น่าจะสามารถบุกมาถึงเมืองลั่วหยางได้แล้ว” ฉีหนิงพูดว่า “ไม่ทราบว่า
ถึงเวลานั้นท่านคิดจะนําทหารซีเป่ยทําอะไรดีล่ะ?”
ชวีหยวนกู่คิดในใจว่าไม่เห็นต้องคิดเลย หากกองทัพแคว้นฉู่บุกมา
ก็แค่รับมือเท่านั้น

เมืองลั่วหยางมีการคุ้มกันแน่นหนา หลังจากเขาเข้ามาในเมืองแล้ว
สั่งให้ออกค้นทั่วเมือง ไม่ใช่แค่เงินที่มีมากมาย แม้แต่เสบียงก็มพ
ี ร้อม
ในเมืองลั่วหยางมีสถานที่เก็บเสบียงอาหารจํานวนมาก หากถูกขังอยู่ใน
เมือง ยังไงก็มีเสบียงเพียงพอให้ทหารสามหมื่นอิ่มท้อง

รอบเมืองลั่วหยางมีคนกว่าล้านคน คลังอาวุธก็มีทหารซีเป่ยควบ
คุมอยู่ ถึงเวลานั้นก็แค่เปิดคลังอาวุธ สั่งให้คนที่ร่างกายกํายํามาเฝ้า
เมือง ทหารมากอาหารก็เพียงพอ มันก็เพียงพอจะต้านทัพแคว้นฉู่แล้ว

เพราะเขามีแผนอยู่แล้ว เขาเลยไม่ได้สนใจว่าด่านหน้าจะเสียหาย
แค่ไหน

เขาคิดแผนให้ตัวเองมีทางรอดไว้แล้ว ดังนั้นเสบียงอาหารกับเบี้ย
เลี้ยงที่สง่ ไปด่านหน้ามันเลยไม่ครบตลอด ชวีหยวนกู่เริ่มแรงคิดจะให้จง
หลีอ้าวสู้กับแคว้นฉู่จนหมดสิ้น รอให้เขาหมดหนทางแล้ว ทหารกับ
เสบียงในมือของเขา ก็จะเพียงพอที่จะทําสงครามกับแคว้นฉู่

ถึงเวลานั้นกองทัพแคว้นฉู่อ่อนหล้ามากแล้ว ก็ไม่นา่ กลัวแล้ว ออก


จากเมืองไปรบได้ ต่อให้ต้องอยู่ป้องกันเมือง ขอแค่ย้ ือต่อไปได้ กองทัพ
ฉู่เหนื่อยจนสู้ไม่ไหวก็จะล่าถอยไปเอง เพราะพวกเขาเองก็ต้องมีเสบียง
จงหลีอ้าวพยายามต้านศึกอย่างเต็มที่ สิ่งที่ทหารซีเป่ยทําในหลาย
เดือนที่ผ่านมา ก็คือบุกกวาดล้างพื้นที่รอบๆ เมืองลั่วหยาง ได้เสบียงมา
ก็มาก ไม่เพียงใช้ในการป้องกันเมือง แต่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวแคว้นฉู่
ได้เสบียงไปสะสมไว้ด้วย

ใกล้หน้าหนาวแล้ว ขอแค่จงหลีอ้าวทนผ่านไปได้อีกแค่เดือนเดียว
ถึงเวลานั้นก็จะล่มสลายทั้งกองทัพ ทหารแคว้นฉู่ต่อให้บุกมาประชิด
เมือง ชวีหยวนกู่ก็ไม่กลัว

ชวีหยวนกู่แกล้งถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรากินเสบียงของแคว้น
ฮั่น ก็ต้องจงรักภักดีต่อแคว้น”

“หือ?” ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านอํามาตย์ ข้าขอพูด


ตรงๆ เลยล่ะกันนะ จงหลีอ้าวอีกไม่กี่วันก็จะยื้อไม่ไหวแล้วล่ะนะ แคว้น
ฉู่ของเราไม่ได้กังวลเรื่องของเขาเลย แต่ว่าทหารกว่าสามหมื่นคนของ
ท่านอํามาตย์ แล้วก็เมืองลั่วหยางที่แข็งแกร่งนี่ เรายังรู้สึกกังวลไม่น้อย
หากเราสามารถฝ่าด่านของจงหลีอ้าวมาได้ บุกมาประชิดเมือง ถึงเวลา
นั้นท่านอํามาตย์ปิดประตูเมืองเฝ้าระวัง คิดอยากจะตีเมืองให้แตกก็
ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งนีก
่ ็ใกล้หน้าหนาวแล้ว หากก่อนหิมะตกหนักเรายัง
ยึดเมืองลั่วหยางไม่ได้ กองทัพฉู่ของเราก็คงทําได้ยากมากกว่าเดิมอีก”

ชวีหยวนกู่คิดในใจว่าเจ้ารู้แล้วก็ดี แต่ก็ยังถามกลับไปว่า “ถ้าอย่าง


นั้นเจ้ามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไรกันล่ะ?”
“ข้าไม่อยากเห็นทหารแคว้นฉู่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปมากกว่านี้
แล้วก็ไม่อยากเห็นทหารของแคว้นฮั่นนองเลือดเช่นกัน” ฉีหนิงจ้องไปที่
ตาของชวีหยวนกู่ “สงครามล้อมเมือง ไม่สมควรจะเกิดขึ้น อีกทั้งข้ายัง
หวังว่าสงครามคราวนี้จะยุติโดยเร็วที่สุด”

ชวีหยวนกู่ลูบเคราพยักหน้า ในใจรู้สึกขํา ทั้งสองแคว้นทําสงคราม


กัน มีคนนับแสนเข้าไปพัวพัน ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะบอกให้ยุติก็ยุติได้

“ดังนั้นข้าเลยมาหาท่านอํามาตย์ในคืนนี้ เรื่องนี้คงต้องให้เราสอง
คนเป็นคนจบมันสักที” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าท่านอํามาตย์
คิดเห็นอย่างไร?”

ชวีหยวนกู่ตะลึงไป เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เราสองคนมาจบเรื่องนี้


งั้นเหรอ? ฉี ... อี้เหิงอ๋อง เจ้าไม่ได้พูดผิดใช่ไหม? เราจะจบเรื่องนี้ได้
ยังไงกัน?”

“ขอแค่ท่านยอมนําทหารสามหมื่นของท่านสวามิภักดิ์แคว้นฉุ่
เรื่องนี้ก็จบ” ฉีหนิงกางมือออกแล้วยักไหล่ “ง่ายๆ แค่นี้เอง”

ชวีหยวนกู่มองไปที่ฉีหนิง เขารูส
้ ึกเหมือนกําลังมองคนบ้าอยู่

“ท่านยอมแพ้ ลั่วหยางก็เป็นของแคว้นฉู่ จงหลีอ้าวใกล้จะไม่ไหว


แล้ว หากลั่วหยางยอมแพ้ เขาจะตกที่น่งั ลําบากทั้งด้านหน้าด้านหลัง
เขาอยากจะสู้ ทหารของเขาก็คงไม่ทํา” ฉีหนิงพูดว่า “ดังนั้นเรื่องนี้มน
ั ก็
ง่ายแค่นี้เอง”

ชวีหยวนกู่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ต่อให้ข้าเชื่อเจ้า แต่ว่าทหาร


ของข้ากว่าสามหมื่นคนก็อาจจะไม่เชื่อข้า พวกเขาคนเสบียงหลวง ข้า
...”

“ท่านก็คิดหาวิธส
ี ”
ิ ฉีหนิงพูดว่า “คนพวกนั้นเป็นคนของท่าน ร่วม
ทุกข์ร่วมสุขกับท่าน หากท่านเอ่ยปกา พวกเขาต้องฟังแน่นอน หลังจาก
ที่ท่านยอมแพ้แล้ว ฝ่าบาทของเราก็ไม่ทําให้ท่านต้องขาดทุนหรอกนะ
ท่านคือจิ้นอ๋องของแคว้ฮ่น
ั ถึงเวลานั้นฝ่าบาทของเราสามารถคง
บรรดาศักดิ์ของท่านเอาไว้เหมือนเดิม ร่วมถึงตําแหน่งมหาอํามาตย์ของ
ท่านด้วย แคว้นฉู่มีคนเก่งมากกว่า อาจจะไม่มีที่ว่างสําหรับท่าน แต่ว่า
หากท่านยอมสวามิภักดิ์กับเรา ท่านยังคงเป็นท่านอ๋องเหมือนเดิม ยังคง
มีชีวิตที่สุขสบายเหมือนเดิมไปจนตลอดชีวิต เงื่อนไขแบบนี้นา่ สนใจรึ
เปล่า? ท่านก็นา่ จะรู้ดี หากท่านปฏิเสธ ไม่ต้องรอให้ทหารแคว้นฉู่บุกมา
เอาชีวิตท่านหรอก ข้าสามารถตัดหัวของท่านได้ตลอดเวลาเลย”

ชวีหยวนกู่แอบคิดในใจว่าหากข้าไม่รบ
ั ปาก เกรงว่าคนๆ นี้อาจจะ
เอาชีวิตของเขาทันที คงต้องรับปากไปก่อน แล้วค่อยคิดหาวิธท
ี ีหลัง
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ทําไมข้าจะไม่อยากให้เรื่องจบ
ง่ายๆ ล่ะ แต่ว่าตอนนี้ขา้ ยังไม่สามารถรับปากเจ้าได้อย่างเต็มปากหรอก
นะ ต้องหารือกับคนของข้าก่อน เจ้ารอสักสองวันได้ไหม?”

เขาได้ตอบรับในทันที เพราะคิดว่าหากตอบตกลงเลย อีกฝ่าย


อาจจะสงสัยได้ เขาเลยอ้างว่าจะไปหารือกับคนของเขาก่อน มันทําให้
อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาจริงใจ

“มากสุดหนึ่งวัน ตอนนี้คนที่ด่านหน้าตายกันเยอะมาก” ฉีหนิงพูด


ว่า ชาวซีเป่ยเป็นคนเด็ดขาด ข้าให้ท่านอย่างมากแค่วันเดียว คืนพรุ่งนี้
ข้าจะฟังคําตอบจากท่าน ท่านอํามาตย์คิดว่ายังไง?

ชวีหยวนกู่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลงตามนี้ พอฟ้าสางข้าจะเรียก


พวกเขามาหารือ คืนพรุ่งนี้เจ้ามา ข้าจะให้คําตอบกับเจ้า”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วลุกขึ้น เขาไม่ได้พด
ู อะไรอีก เขาเดินไปเปิดประตู
แล้วก็ออกไปเลย ทําเหมือนบ้านตัวเอง

ชวีหยวนกู่งงมาก

ทําไมเขากลับไปง่ายๆ แบบนี้เลยล่ะ?

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้มันคือเรื่องจริงหรือว่าความฝัน? เขาอด
หยิกตัวเองไม่ได้ เขาก็ไม่ได้ฝันนีน
่ า เขาลุกขึ้น ยื่นมือไปหยิบกาน�าชา
แล้วก็เขวี้ยงแตก ในตอนนี้เอง เกิดความเคลื่อนไหวรอบๆ ห้องนอนของ
เขา มีคนมุดเข้ามาจากหน้าต่าง ตอนที่ฉีหนิงไปเขาไม่ได้ปิดประตู มีคน
กลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาจากทางประตู แค่พริบตาเดียว องครักษ์ก็มาล้อม
ห้องนอนไว้หมด เห็นชวีหยวนกู่สวมเสื้อนั่งอยูท
่ ี่โต๊ะ กาน�าชาแตกอยูบ
่ น
พื้น แต่ว่าในห้องก็ไม่มีคนอื่นเลย

ทุกคนคิดว่ามีคนร้ายบุกเข้ามา เห็นว่าไม่มีใคร ท่านอํามาตย์ก็


ปลอดภัยดี พวกเขาถึงได้โล่งใจ

“เจ้าพวกไม่เอาไหน” ชวีหยวนกู่โกรธมาก เขากวาดสายตาไปมอง


ทุกคน แล้วด่าว่า “มีคนร้ายบุกเข้ามาถึงในห้องนอนข้า พวกเจ้าไม่รู้เลย
หรือยังไง?”

ทุกคนมองหน้ากัน แล้วก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอํามาตย์


เราเฝ้าอยู่ทุกซอกทุกมุม แม้แต่แมลงวันก็แทบจะผ่านเข้ามาไม่ได้ เรา
ไม่เห็นคนร้ายเลยนะขอรับ ...”

“เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือยังไง?” ชวีหยวนกู่โกรธมาก “นักฆ่ามัน


มานั่งอยู่ตรงหน้าข้า เกือบจะฆ่าข้าอยู่แล้ว พวกเจ้ามันไม่เอาไหน เลี้ยง
เสียข้าวสุกจริงๆ ...”

ทุกคคนไม่มีใครกล้าพูดอะไรเลย มีคนคิดในใจว่าท่านอํามาตย์ฝัน
ร้าย หรือว่าเจอผีกันแน่
เพราะรอบๆ มีทหารเฝ้าอย่างแน่นหนามาก ไม่ว่าใครที่เข้าใกล้
ห้องนอนไม่มีทางไม่มีความเคลื่อนไหว นอกจาผี แต่ว่าท่านอํามาตย์พด

แบบนี้แล้ว จะมีใครกล้าพูดอะไรได้อีก

ทหารถูกตําหนิแล้วถอยออกไป ชวีหยวนกู่กําหมัดแน่น

ฉีหนิงคิดจะให้เขายอมแพ้ ในสายตาของชวีหยวนกู่กลับรู้สึกว่ามัน
บ้ามาก ยังบอกอีกว่าสงครามให้มันจบที่พวกเขาสองคน เหมือนคําพูด
ของเด็กสามขวบเลย

เขาคุมลั่วหยางเอาไว้ แม้แต่ฮ่องเต้ยังเป็นเหมือนหุ่นเชิดของเขา
เลย ไม่ว่าจะเงินหรือว่าเสบียง ทหารของเขากว่าสามหมื่นคน ก็เป็น
ทหารฝีมือดีต่อซีเป่ยทั้งนั้น เงินจํานวนมากขนาดนี้ คิดจะมาให้เขายอม
แพ้ คงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

คืนนี้ที่ฉห
ี นิงสามารถลอบเข้ามาในห้องได้ จะต้องเป็นเพราะที่ผ่าน
มาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ พวกทหารประมาทแน่นอน

ใช่ ประมาท เป็นเพราะประมาท

ถ้าเจ้าเด็กบ้านั่น พรุ่งนีย
้ ังจะมาอีก?

ชวีหยวนกู่หัวเราะแห้ง เจ้าเด็กนั่นพอมีฝีมืออยูบ
่ ้าง แต่ว่าเขาโง่เกินไป
คืนพรุ่งนี้มา ก็เท่ากับรนหาที่ตาย ถึงเวลานั้นข้าจะทําให้เจ้าแหลกเป็น
ชิ้นๆ เลย ยึดบ้านข้า ฆ่าลูกชายข้า แค้นนี้ข้าจะต้องชําระ
เล่มที่ 50 บทที่ 1485 เชิญท่านอํามาตย์ด่ ืมยา

ชวีหยวนกู่ไม่มท
ี างยอมรับเงื่อนไขของฉีหนิงแน่ เขาเหมือนรู้สึกว่า
ในเมื่ออีกฝ่ายเสีย
่ งอันตรายลอบเข้ามาเจรจาให้เขายอมแพ้ แสดงว่า
แคว้นฉู่เกรงกลัวเขา อย่างน้อยๆ พวกเขาจะต้องไม่ม่น
ั ใจว่าจะยึดลั่ว
หยางได้ แล้วก็ไม่ม่น
ั ใจว่าจะเอาชนะทหารซีเป่ยสามหมื่นคนของเขาได้
แน่ๆ

อีกฝ่ายยิ่งกลัว นั่นก็ย่งิ แสดงให้เห็นว่าเขามีกําลังความสามารถ

ดังนั้นวันต่อมาเขาไม่ได้เรียกใครมาหารือเลย อีกทั้งยังรีบ
เตรียมการรับมือด้วย

เจ้าคิดจะลอบเข้ามาในจวนมหาอํามาตย์อีกใช่ไหม?

ได้ ข้าก็จะจัดกําลังให้ท่ัวจวนมหาอํามาตย์ รอเจ้ามาติดกับ ดังนั้น


ในจวนมหาอํามาตย์ก็มีการโยกย้ายคนฝีมือดีมาไว้มากมาย รอบๆ จวน
ก็เริ่มการวางแผนป้องกัน ภายในจวนมียอดฝีมอ
ื มากมาย เขามีเงิน อีก
ทั้งมีอํานาจ จ้างพวกหน่วยกล้าตายมาไม่ใช่เรื่องยาก

ต่อให้เมื่อคืนฉีหนิงจะลอบเข้ามาในห้องนอนของเขาได้ แต่คราวนี้
ทั้งในห้องและนอกห้องเขาก็วางกําลังไว้หมด
ทั่วทั้งจวนมหาอํามาตย์กลายเป็นเหมือนคอก เมื่อไหร่ก็ตามที่
เหยื่อเข้ามา พริบตาเดียวร่างก็จะแตกสลายทันที

ไม่เพียงเท่านี้ ชวีหยวนกู่ยังเตรียมการอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการที่


เขาจะหนีออกจากจวน หาที่หลบภัยอีกแห่งหนึ่ง บ้านหลังนี้เต็มไปด้วย
ทหารเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด หากมีแมลงวันวิ่งเข้า คิดว่าก็คงตรวจเจอ
แน่

เพื่อไม่ให้ใครจับได้ ทุกอย่างดําเนินการอย่างลับๆ สําหรับคนทั่วไป


แล้ว วันนี้ใช้กําลังคนจํานวนมามาก่อเป็นกําแพงที่แข็งแกร่งมันได้แค่
ฝัน แต่ว่าสําหรับคนมีอํานาจอย่างมหาอํามาตย์ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ยามค�าคืนมาถึง ชวีหยวนกู่อยูใ่ นห้อง เขารู้สึกหวั่นใจมาก

รอบห้องมีแต่ยอดฝีมือ หลังฉากบังลมภายในห้องยังมีคนอีกกลุ่ม
หนึ่งซ่อนตัวอยู่ ใต้ชายแขนเสื้อของเขาก็มม
ี ีดสั้นซ่อนอยู่อีกเล่ม ทุก
อย่างเป็นไปอย่างตึงเครียด

หากฉีหนิงลอบเข้ามาในจวนมหาอํามาตย์อีก ต้องตายแน่นอน

ต่อให้เขาจะมีฝม
ี ือในการหลบเลี่ยงสายตาองครักษ์แค่ไหน พอเข้า
มาถึงในห้อง ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงองครักษ์ที่อยู่ด้านในแน่ ต่อให้เขามี
วิชาพรางตัวมาถึงริมเตียงได้ แต่ว่าในผ้าห่มก็ยังมีนก
ั ฆ่ามือดีที่ปลอมตัว
เป็นเขาซ่อนอยู่อีก
หลังจากเป่ยถังเฮ่าถูกลอบสังหาร ชวีหยวนกู่ก็เห็นความสําคัญ
ของนักฆ่ามาก

เขาส่งคนไปรับสมัครนักฆ่าฝีมอ
ื ดีเอาไว้มากมาย นักฆ่าพวกนีม
้ ี
ประโยชน์มาก

ตอนที่เข้าเมืองหลวงมาใหม่ๆ ขุนนางเชื้อพระวงศ์ที่ดถ
ู ูกชวีหยวน
กู่น้น
ั มีเยอะแยะมากมาย หลายคนคัดค้านการขึ้นเป็นมหาอํามาตย์ของ
เขา มีหลายคนสามารถสั่งประหารได้ง่ายๆ แต่ก็มห
ี ลายคนที่มบ
ี ารมีสงู
สั่งประหารง่ายๆ ไม่ได้ ชวีหยวนกู่ก็จะสั่งนักฆ่าไปจัดการ

แอบจัดการ ทําให้ล่ัวหยางสงบได้

นักฆ่าที่ปลอมตัวเป็นชวีหยวนกู่นอนอยูบ
่ นเตียงนั้นเป็นยอดฝีมอ

ชั้นสูง แล้วก็เป็นนักฆ่าที่ชวีหยวนกู่ช่ น
ื ชมมากที่สุด เขาเชื่อว่าขอแค่ฉี
หนิงเข้าใกล้เตียง นักฆ่าจะสามารถแทงทะลุคอของฉีหนิงได้ทันที

เที่ยงคืนกลางดึก ชวีหยวนกู่ง่วงมากแล้ว เมื่อคืนก็ไม่ได้หลับดีดี


กลางวันก็ยุ่งกับเตรียมรับมือทั้งวัน เพราะเขาก็อายุมากแล้ว ตอนนี้หาว
อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพยายามจะอดทนเอาไว้

ถ้าในจวนมหาอํามาตย์กระทําการสําเร็จ หัวของฉีหนิงก็จะถูกส่ง
มาที่นี่ ก่อนที่จะเห็นหัวของฉีหนิง ต่อให้เขาง่วงมากแค่ไหน เขาก็ไม่กล้า
หลับ
รอบๆ เงียบจนน่ากลัว ชวีหยวนกู่คิดถึงการเตรียมการในวันนี้ เขา
รู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบมาก แต่ก็ยังหวั่นใจ เวลายิ่งนานไป ในใจเขาก็
เริ่มกลัว

“คิดจะสู้กับข้า เจ้าอย่างอ่อนหัดเกินไป ตอนที่ข้าเริ่มฆ่าคน เจ้ายัง


ไม่เกิดเลยมั้ง” ชวีหยวนกู่บ่นพึมพํา เหมือนอยากจะเพิม
่ กําลังใจให้
ตัวเอง

เขานั่งอยู่ที่ริมโต๊ะ รินน�าให้ตัวเองหนึ่งแก้ว แต่เขาก็ไม่ได้ด่ ืมทันที


เขาหันไปมองที่ฉากบังลม หลังฉากบังลมเป็นที่ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ทํา
ธุระส่วนตัว มันมืดสลัวๆ ตรงนั้นมีนก
ั ฆ่ามือดีซ่อนตัวอยู่สามคน มีนก
ั ฆ่า
สามคนคอยคุ้มกัน ชวีหยวนกู่ก็รู้สึกอุ่นใจ เขาดื่มชาไปแก้วหนึ่ง คิดในใจ
ว่าที่นี่ไกลจากจวนมหาอํามาตย์มาก ตอนที่เขามาที่นี่เขาก็ปลอมตัว ฉี
หนิงไม่มีทางพาที่นี่เจอแน่นอน

ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ตอนนี้เลยยามจื่อไปแล้ว

ชวีหยวนกู่ง่วงมาก คิดอยากจะไปนอน แต่ว่ายังไม่เห็นหัวของฉี


หนิงเขาก็ไม่สบายใจ

“ปึ้ ง”
ตอนที่มหาอํามาตย์หลับๆ ตื่นๆ ก็มีของอย่างหนึ่งตกมาอยู่บนโต๊ะ
ทําให้ชุดชาบนโต๊ะแตก ทําให้มหาอํามาตย์ตกใจตื่นขึ้นมา พอได้สติ ก็
มองไปข้างหน้า ขวัญแทบกระเจิง

หัวคน

บนโต๊ะมีหัวคน เลือดสดๆ กําลังไหลอาบหน้า ดวงตาก็ยังลืมอยู่


เลย กําลังจ้องมาที่เขา

ไม่รอให้เขาคิดนาน มีหัวลอยออกมาจากหลังฉากบังลมอีก หัวยัง


ไม่ทันได้ตกลงมา มหาอํามาตย์ก็ร้องด้วยความตกใจ ขวัญกระเจิงไป
ไหนต่อไหนก็ไม่รู้แล้ว

เขาก็ใช่ว่าไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน อีกทั้งเขาก็ตัดหัวคนด้วย
ตัวเองก็มาก แต่ในห้องที่หรูหรา มีหัวคนเลือดไหลแบบนี้ตกลงมาอย่าง
ต่อเนื่อง ต่อให้เขาใจกล้ามากแค่ไหน ก็ทนไม่ไหว

ไม่นานเขาก็จําได้ หัวสองหัวที่อยู่ตรงหน้าเขา คือนักฆ่าสองในสาม


คนที่ซ่อนอยู่หลังฉากบังลม

ยังมีอีกหนึ่ง
มหาอํามาตย์ไม่ได้รอนาน หัวที่สามก็ลอยออกมาจากหลังฉากบัง
ลม ตกลงมาเรียงกันเป็นแถวสวยงาม ดวงตาของพวกเขายังเปิดอยู่เลย
ดวงตาหกดวงกําลังจ้องมาที่มหาอํามาตย์

มหาอํามาตย์ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ขาก็อ่อนลง แล้วล้มลงกับพื้น

เขาคิดอยากจะร้องตะโฏน แต่เพราะกลัวมากเกินไป เลยส่งเสียง


ไม่ออก

เมื่อกี้เขาร้องออกไปแล้ว ด้านนอกมีองครักษ์สบ
ิ กว่าคน พวกเขา
น่าจะได้ยิน คิดว่าน่าจะบุกเข้ามาช่วยนายของเขา แต่ว่าทําไมถึงไม่มี
เคลื่อนไหวอะไรเลย คนพวกนั้นหลับไปแล้วหรือยังไง?

ด้านหลังฉากบังลม มีคนๆ หนึ่งเดินออกมาแบบสบายๆ ในห้องจุด


ไฟไว้ มหาอํามาตย์มองแล้วก็จําได้ทันที คนที่เดินออกมาคือฉีหนิง

เขามาแล้วจริงๆ

เขาหาที่นี่เจอได้ยังไง? เขาเข้ามาในนีไ้ ด้ยังไง?

เขาเป็นคนหรือว่าวิญญาณกันแน่?

ใบหน้าของชวีหยวนกู่แทบจะร้องไห้

คืนนี้เขารอดตายมาได้ คืนนี้คิดว่าคงตายแน่
ในเมื่อฉีหนิงสามารถตามหาเขาเจอได้อย่างแม่นยํา นั่นก็แสดงว่า
เขารู้ความเคลื่อนไหวของเขาเป็นอย่างดี

กลางวันเขาวางกําลังทั้งวัน ก็เพื่อวางแผนการจัดการฆ่าฉีหนิงให้
ตาย

แต่เหมือนว่า อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

เขาไม่ได้เรียกคนมาหารือเรื่องสวามิภักดิ์ แต่กลับวางแผนเพื่อจับ
ตัวและฆ่าอีกฝ่าย อีกฝ่านต่อให้นิสัยดีแค่ไหน ครั้งนี้ก็ไม่มีทางปล่อยเขา
ไปแน่ พริบตาเดียว ในใจของมหาอํามาตย์คนนี้ก็รู้สก
ึ เสียใจ อํานาจเงิน
ทอง มันแค่ของนอกกาย ชีวิตคือสิ่งที่สาํ คัญที่สด
ุ หากรูว
้ ่าจะเป็นแบบนี้
เมื่อคืนยอมรับปากเขาไปซะก็สิน
้ เรื่อง วันนี้เขาควรจะเรียกคนมาหารือ
เรื่องสวามิภักดิ์แคว้นฉู่ ถ้าอย่างนั้น เขาไม่เพียงรอดชีวิต ต่อไปยัง
สามารถอยู่อย่างสุขสบายได้อีก

เสียใจ เสียใจมากจริงๆ

ชายหนุม
่ ที่อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนวิญญาณร้ายที่น่ากลัวมาก พอ
คิดถึงตรงนี้ ก็ไม่มีใครขวางเขา กําแพงเหล็กอะไรที่อยู่ตรงหน้าเขามัน
ทําอะไรไม่ได้เลยสักนิด

ฉีหนิงเดินมาหาชวีหยวนกู่ เห็นเขาตกใจจนยืนไม่ไหว ก็เลยนั่ง


ยองๆ ลงไปหา ยิ้มแล้วมองไปที่เขา
พบกันคราวนี้ ชวีหยวนกู่ทําอะไรไม่ถูกเลย เขาพยายามฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “เจ้ามาแล้วเหรอ?”

“เป็นยังไงบ้างท่านอํามาตย์” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ขออกภัยที่ให้
รอนานนะ”

รอยยิ้มของชวีหยวนกู่น่าเกลียดกว่าร้องไห้อีก “ข้า ... ข้ากําลังรอ


เจ้าอยู่เลย”

“ข้ารู้” ฉีหนิงยังห่วงใยพยุงเขาขึ้นมา แล้วพาไปนั่ง ด้านหน้ายังมี


หัวสามหัวที่ลืมตาจ้องมาอยู่ มันน่าสยดสยองมาก แต่ชวีหยวนกู่รู้สก
ึ ว่า
หัวที่มีเลือดอาบสามหัวนี้ยังดูดีกว่าใบหน้ายิม
้ แย้มของฉีหนิงมาก

“ท่านอํามาตย์เปลี่ยนที่อยู่ ข้าหาอยู่ต้ังนานแนะ” ฉีหนิงดึงเก้าอี้


มานั่งลงข้างๆ ชวีหยวนกู่

ชวีหยวนกู่ปลายตากระตุก แล้วพูดว่า “ข้า ... ข้าแปลกที่นอนไม่


หลับน่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ด้านนอกองครักษ์เยอะจัง
เลยนะ ข้ากลัวพวกเขามากวนตอนที่เราคุยกัน ก็เลยทําให้พวกเขาหลับ
ไปจนหมด แต่ว่าข้างในยังมีอีกสามคน ดูท่าทางจริงจังมากเลย มีอาวุธ
ติดตัวด้วย ท่านอํามาตย์ ข้าคิดว่าพวกเขาคงเตรียมตัวลงมือฆ่าท่าน”
“ใช่ใช่ใช่ ...” ชวีหยวนกู่เหงื่อไหลออกมาเยอะมาก “ในลั่วหยา
งมีกบฏมาก ... มากเกินไป หลายคนคิดอยากจะฆ่าข้า สาม ... สามคนนี้
จะต้องเป็นนักฆ่าที่คิดจะมาฆ่าข้าแน่ หาก ... หากไม่ได้อ้ีเหิงอ๋อง
ช่วยเหลือ คืนนี้ ... คืนนี้ขา้ คงไม่รอด”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ช่วยชีวิตท่านอํามาตย์เอาไว้ใช่ไหม?”

“บุญคุณที่อี้เหิงอ๋องช่วยชีวิต ข้าจะไม่มว
ี ันลืมเลย” ชวีหยวนกู่พูด
อย่างจริงจังว่า “ต่อไปข้าจะยอมทําตามที่ท่านบอกทุกอย่าง เพื่อตอบ
แทนบุญคุณของท่าน”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ท่านอํามาตย์เกรงใจเกินไปแล้ว หากท่าน
ยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นฉู่ ท่านก็เป็นท่านอ๋องของแคว้นฉู่ เรามีฐานะ
ตําแหน่งเท่าเทียมกัน ท่านมีอันตราย ข้าก็ต้องช่วย มันเป็นเรื่องที่
สมควรอยู่แล้ว”

ชวีหยวนกู่รีบตอบทันทีเลยว่า “อี้เหิงอ๋องโปรดวางใจ ข้าตัดสินใจ


แล้ว ข้าจะสวามิภักดิ์แคว้นฉู่ ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าสาบานว่าจะจงรักภักดี
ต่อฮ่องเต้แคว้นฉู่ตลอดไป”

“แล้วทหารของท่านล่ะ?”

“พวกเขาเป็นคนที่ข้าปั้นมากับมือ ฮ่องเต้เป่ยฮั่นไม่เอาไหน
สมควรตายไปนานแล้ว ข้ายอมสวามิภักดิ์ พวกเขาไม่มใี ครคัดค้าน
แน่นอน” ร่างกายของชวีหยวนกู่เหมือนเริ่มฟื้นตัวมากแล้ว เขานั่งตัว
ตรง “ที่อี้เหิงอ๋องพูดมาเมื่อคืนนั้นไม่ผด
ิ ถ้าลั่วหยางสวามิภักดิ์แคว้นฉู่
ถ้าอย่างนั้นจงหลีอ้าวก็จะไม่มีเสบียง พวกเขาก็ตกที่น่งั ลําบาก จนไม่
สามารถทําศึกต่อไปได้อีก เขาก็จะต้องรีบยอมแพ้แน่นอน หากข้ายก
ทัพไปจู่โจมจากด้านหลัง ถึงเวลานั้นข้าจะนําหัวของเขามอบให้กับ
ฮ่องเต้แคว้นฉู่ด้วยตัวเอง” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “เป่ยฮั่นหนานฉูท
่ ี่
จริงก็รากฐานเดียวกัน ไม่มีความจําเป็นต้องทําสงครามต่อไปอีก จบเร็ว
เท่านั้นยิง่ ดีเท่านั้น เลือดไหลน้อยเท่านั้นก็ยง่ิ ดี อี้เหิงอ๋องคิดถึงไพร่ฟ้า
เป็นห่วงเหล่าทหาร ช่างมีเมตตานัก”

ฉีหนิงหัวเราะ แล้วหยิบขวดออกมาจากเสื้อ จากนั้นก็เทยาออกมา


เม็ดหนึ่ง แล้วยื่นออกไป “ท่านอํามาตย์ตกใจมาก ยาเม็ดนี้จะช่วยให้
ท่านสงบ หลังจากที่ท่านกินยาลงไปแล้ว ท่านก็จะรู้สก
ึ สบาย”

ชวีหยวนกู่ตะลึงไป สายตาของเขาเหมือนตื่นกลัว

ยาช่วยให้สงบบ้าอะไรกัน เกรงว่ากินลงไป ข้าคงตายทันที

ดูท่าเขาคงคิดใช้ยาพิษมาฆ่าเขาแน่ๆ

“ท่านอํามาตย์คิดว่ามันเป็นยาพิษเหรอ?” ฉีหนิงเหมือนจะอ่านใจเขา
ออก เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านวางใจได้ หลังกินยานี่เข้าไป ท่าน
จะไม่มอ
ี าการกําเริบจนตาย มันเป็นแค่ยาทําให้ท่านสงบ แต่มน
ั ก็มี
ผลข้างเคียงบ้าง หลังจากนีห
้ นึ่งเดือน หากท่านได้ยาอีกหนึ่งเม็ด ท่านก็
จะปลอดภัย หนึ่งเดือน เพียงพอให้จบปัญหาพวกนี้ลงได้แล้ว” เขายื่น
มือออกไป แล้วพูดอย่างเอาใจใส่มาก “ท่านอํามาตย์เชิญกินยา”
เล่มที่ 50 บทที่ 1486 ฮ่องเต้หน
ุ่ เชิด

วังหลวงในเมืองลั่วหยาง หรูหรายิ่งใหญ่ หลังจากตระกูลเป่ยถัง


สถาปนาตนขึ้น ก็ใช้ล่ัวหยางเป็นศูนย์กลาง ควบคุมดินแดนทางเหนือ
ทั้งหมดเอาไว้ ผ่านกษัตริย์มาสีย
่ ุคแล้ว ตอนนี้เป็นยุคของเป่ยถังเฟิง ถือ
เป็นฮ่องเต้คนที่ห้าของเป่ยฮั่น

ฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์เป่ยถังเทียนเวยเป็นฮ่องเต้ที่มีพระ
ปรีชาและคุณธรรมสูง ส่วนเป่ยถังหวนฮ่องเต้องค์ก่อนก็ไม่ใช่ฮ่องเต้ไม่
เอาไหน ตอนที่เขายังอยู่ เป่ยฮั่นไม่เคยต้องกลัวหนานฉู่เลย อีกทั้งยัง
ได้เปรียบเหนือกว่าเล็กน้อยด้วย กองทัพของเป่ยฮั่นยังเคยบุกเข้าไปถึง
ดินแดนของแคว้นฉู่ด้วยซ�าไป

เพียงแต่ฮ่องเต้ของหนานฉู่ทก
ุ พระองค์ปรีชาหมด แต่ละคนเกิดใน
ตระกูลขุนศึก มิเช่นนั้นแผ่นดินคงเป็นของตระกูลเป่ยถังทั้งหมดแล้ว

ข้อผิดพลาดเพียงอย่างเดียวของเป่ยถังหวน ก็คือเขาไม่ได้ต้ังรัช
ทายาท ไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะให้ใครนั่งบัลลังก์

หากเขาตั้งรัชทายาทไว้ต้ังแต่แรก อีกทั้งอบรมสั่งสอนรัชทายาทให้
มีศก
ั ยภาพในการสืบทอดบัลลังก์ เป่ยฮั่นก็คงไม่ตกอยูใ่ นสภาพอย่างใน
วันนี้
เป่ยถังหวนเป็นคนแข็งแรงมาก แต่จู่ๆ ก็มาตายลง เป็นเรื่องที่ไม่
เคยมีใครคาดคิดมาก่อน

การตายของเขา มันทําให้ราชบัลลังก์ว่างเปล่า ในสถานการณ์ที่


ไม่ได้มีการบอกชัดถึงผูท
้ ี่จะได้สืบทอดบัลลังก์ เหล่าองค์ชายก็เริ่มหา
พรรคพวก ฆ่าฟันกันเองเพื่อชิงบัลลังก์

แคว้นที่ย่งิ ใหญ่ ไม่ได้ล่มสลายเพราะศัตรูภายนอก แต่เป็นเพราะ


ศึกภายในทําให้แคว้นต้องอ่อนกําลังจนอาจทําให้ล่มสลายไปในที่สด

แคว้นเป่ยฮั่นคือตัวอย่างนั้น

การชิงบัลลังก์ ถึงแม้เป่ยถังเฟิงจะอาศัยกองทัพซีเป่ยแย่งชิงจน
ได้มา แต่ว่ากําลังของแคว้นก็ลดลงไปอย่างรวดเร็วภายในแค่ระยะเวลา
หนึ่งปี ส่วนตอนนี้ก็ยังอยู่ในสภาวะวุ่นวาย

เป่ยถังเฟิงกับชวีหยวนกู่ควบคุมลั่วหยางเอาไว้ แต่ว่าทั่วทั้งลั่ว
หยาง ก็ไม่ได้จะจะทําตามคําสั่งของลั่วหยางทั้งหมด อีกทั้งก็ไม่ได้
ยอมรับว่าเป่ยถังเฟิงคือฮ่องเต้ของแคว้น

ได้ยินมาว่ามีขุนนางใหญ่ในหลายท้องที่ คิดจะตั้งตนเป็นใหญ่เอง

แต่ว่าตอนนี้เป่ยถังเฟิงยังมไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องพวกนั้น ตอนนี้
สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือแคว้นฉู่ แคว้นฉูท
่ ําศึกชนะอย่างต่อเนื่อง จงหลี
อ้าวถอยทัพแล้วถอยทัพอีก หากยังเป็นแบบนีต
้ ่อไป กองทัพแคว้นฉู่บุก
มาประชิดเมืองแน่นอน

ชวีหยวนกู่อยู่สข
ุ สบายไม่กังวลได้ แต่เป่ยถังเฟิงทําไม่ได้

ถึงแม้เขาจะไม่ฉลาด แต่ก็เข้าใจเหตุผล หากลั่วหยางแตก เขาไม่


เพียงนั่งบัลลังก์ต่อไปไม่ได้ เกรงว่าชีวิตของเขาก็อาจจะไม่รอดด้วย

ถึงเวลานั้นเหล่าขุนนางอาจจะสวามิภักดิ์แคว้นฉู่ อีกทั้งยังได้
ตําแหน่งเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนเจ้านายที่รับใช้ แต่ฮ่องเต้ไม่ได้

ตั้งแต่โบราณนานมา ไม่มแ
ี คว้นที่ล่มสลายแคว้นใด ที่กษัตริยม
์ ีจุด
จบที่ดี

ดังนั้นถึงแม้จะนั่งบัลลังก์ แต่เขาไม่ได้น่ังมันแบบมั่นคงมาตั้งแต่ต้น
มีแต่ข่าวร้ายเข้าหูเขามาอย่างต่อเรื่อง หลังจากครองราชย์แล้ว ก็ยังไม่มี
ข่าวไหนที่ทําให้เขาหัวเราะหรือยิ้มได้เลย

เมื่อวานจงหลีอ้าวก็ถวายฎีกามาให้อีก เสบียงอาหารด่านหน้าไม่
พอ เหล่าทหารไม่อ่ิมท้อง หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ต้องรอให้กองทัพ
แคว้นฉูบ
่ ุกมาตีหรอก ทหารฮั่นเองนั่นแหละที่จะแตกแยกกันไปเอง
ทหารในมือของจงหลีอ้าวเป็นกองทัพเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถ
ต้านกองทัพฉู่ไว้ได้ หากพวกเขาแตกแยก กองทัพฉู่ก็จะประชิดถึงเมือง
ในพริบตาเดียว

พอคิดถึงด่านหน้า เป่ยถังเฟิงก็แค้นใจชวีหยวนกู่มาก

ถึงแม้จะตกที่น่งั ลําบาก แต่เป่ยฮั่นก็ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้


อยู่

กองทัพซีเป่ยบุกเข้ามาในลั่วหยาง ออกปล้นสะดมไปทั่ว ได้


ทรัพย์สินเงินทองไปมากมาย เสบียงอาหารเต็มคลังไปหมด หากนํา
เสบียงและเบี้ยพวกนี้สง่ ไปด่านหน้า ทหารก็จะมีกําลังใจมากขึ้น แล้ว
จะต้องยอมพลีชีพปกป้องแคว้นแน่นอน แต่สิง่ สําคัญคือ มันยังมีทหาร
ของชวีหยวนกู่อีกสามหมื่นคน หากส่งพวกเขาไปด่านหน้าด้วย กองทัพ
ฮั่นก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น ถึงจะขับไล่กองทัพฉูไ่ ปไม่ได้ แต่ก็เพียง
พอที่จะเฝ้าชายแดนได้

ขอแค่ได้ชัยชนะด่านหน้าได้สองสามครั้ง กลุ่มอํานาจในแคว้นที่
กําลังจะเคลื่อนไหวก็จะหวาดกลัวและไม่กล้าทําอะไร หากสามารถขับ
ไล่กองทัพฉู่ออกไปได้ เป่ยถังเฟิงเชื่อว่าภายในแคว้นจะไม่มีใครคิดไม่
ซื่อกับราชสํานักอีก
หลังจากคุมสถานการณ์ในลั่วหยางได้ เป่ยถังเฟิงก็จะให้ชวีหยวนกู่
กับทหารของเขาอีกสามหมื่นคนไปช่วยด่านหน้า

แต่น่าเสียดายที่เขาลืมไปว่า ทหารซีเป่ยฟังคําสั่งของชวี่หยวนกู่
คนเดียวเท่านั้น ไม่ฟังเขา

เขาลืมไปแล้วด้วยว่า ในสายตาของชวีหยวนกู่ก็ไม่เคยเห็นเขาเป็น
ฮ่องเต้ เห็นเขาเป็นแค่หน
ุ่ เชิดของเขาเท่านั้น

เขาเคยคิดว่าลุงของเขาหลังจากช่วยเขาชิงบัลลังก์แล้ว จะช่วยเขา
ปกครองใต้หล้า แต่ว่าพอถึงเวลาจริงเขากลับพบว่า เทียบกับพี่น้องของ
เขาแล้ว ลุงของเขาน่ากลัวกว่าเยอะ

ทั้งโลภมากบ้ากาม โอหังอวดดี ขุนนางในราชสํานักเคารพแค่จิ้น


อ๋องชวีหยวนกู่ ไม่ใช่เป่ยถังเฟิงที่เป็นฮ่องเต้อย่างเขา

ชวีหยวนกู่ลอกถึงแผนการของเขาชัดเจนมากแล้ว นั่นก็คือ
เมื่อไหร่ก็ตามที่จงหลีอ้าวทําศึกจนหมดแรง กองทัพทั้งสองแคว้น
บาดเจ็บล้มตายจนไม่ไหวกันแล้ว กองทัพซีเป่ยก็จะยกทัพออกไปกวาด
ล้างกองทัพฉู่ให้หมด

ดังนั้นเสบียงส่งไปได้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้ทหารฮั่นมีกําลังในการต่อสู้
กับแคว้นฉู่ แต่เบี้ยเลี้ยงจะให้ไม่ได้เด็ดขาด
เป่ยถังเฟิงเคยคิดในใจว่า อยากจะให้กองทัพซีเป่ยกับกองทัพฮั่น
ร่วมมือกันขับไล่กองทัพฉู่ ถึงเวลาเขาก็จะสนับสนุนจงหลีอ้าว ทําแบบนี้
ไม่เพียงซื้อใจจงหลีอ้าวได้ ยังทําสามารถให้จงหลีอ้าวมาคานอํานาจ
ของชวีหยวนกู่ได้ด้วย แต่มันก็คงเป็นได้แค่ฝน
ั แล้ว

ชวีหยวนกู่ตัดสินใจแบบนี้ เป่ยถังเฟิงก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

ชวีหยวนกู่ม่น
ั ใจมาก แต่เป่ยถังเฟิงกลับรู้สึกว่าจุดจบใกล้มาถึงแล้ว

ตอนแคว้นมีภัย แต่ฮ่องเต้ไม่อาจออกคําสั่งอะไรได้เลย ขุนพลใหญ่


มีอํานาจการทหารในมือแอบเห็นแก่ตัว ในสถานการณ์แบบนี้ จะขับไล่
ทหารแคว้นฉู่ไปได้สแ
ิ ปลก

ฮ่องเต้องค์ใหม่ของเป่ยฮั่นยังเคยคิดฆ่าขุนนางใหญ่อย่างชวีหยวน
กู่ด้วย เขาเรียกสองพ่อลูกเข้าวัง สั่งให้ทหารซ่อนตัวไว้ แล้วแอบตัดหัว
พวกเขา

แต่ว่าความคิดนี้มันก็จางหายไป แล้วก็ไม่ได้เกิดขึ้น

แผนการที่ว่ามันต้องแอบทําโดยต้องไม่หลุดรอดออกไป ต่อให้ทํา
สําเร็จ การฆ่าชวีหยวนกู่สองพ่อลูกไปแล้ว เขาจะได้อํานาจของฮ่องเต้
มาทั้งหมดเหรอ?

ทหารซีเป่ยสามหมื่นคนอยู่ที่ล่ัวหยาง
ชวีหยวนกู่ยังอยู่ ทหารสามหมื่นก็จะไม่ทําอะไร แต่หากพวกเขา
เป็นอะไรไป ทหารสามหมื่นก็จะไม่ฟังคําสั่งของฮ่องเต้อีก ไม่มีชวีหยวน
กู่คุมพวกเขาเอาไว้ พวกเขาก็จะอ้างเหตุผลในการแก้แค้นให้ชวีหยวนกู่
ทําการกวาดล้างครั้งใหญ่ในลั่วหยาง แล้วคนแรกที่อาจต้องตายคิดว่า
น่าจะเป็นฮ่องเต้ จากนั้นลั่วหยางก็จะตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกับนรก

ลั่งหยางจะกลายเป็นนรกจริงๆ หรือเปล่าเป่ยถังเฟิงไม่สนใจ แต่


เขาห่วงชีวิตของเขา

เขาเข้าใจว่าตอนนี้เขาคือหุ่นเชิด เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไร
ได้ เป่ยถังเฟิงเริ่มเอาแต่เมามาย นอนกับผู้หญิงทั้งวัน ฎีกาของจงหลี
อ้าวส่งมาให้ เขาก็อ่านคราวๆ แล้วก็ส่งไปให้ชวีหยวนกู่หาทางแก้

แต่ในระหว่างนั้น เขาก็มักจะคิดถึงเป่ยถังชิ่ง

หากเป่ยถังชิง่ ยังอยู่ แคว้นฉู่ไม่มีทางกล้าทําแบบนี้แน่? ต่อให้ยก


ทัพประชิดมาลั่วหยางได้ ขอแค่เขายังอยู่ เขาก็สามารถขับไล่พวกเขา
กลับมาได้

เป่ยถังชิง่ จงรักภักดีต่อราชสํานักมาก หากเขายังอยู่ ชวีหยวนกู่คง


คุกเข่าลงกราบแทบเท้าเขาแล้ว

จริงสิยังมีเป่ยถังฮวนเย่ด้วย
เขาเป็นถึงต้าจงซือเลยนะ แคว้นเป่ยฮั่นกําลังจะล่มสลายอยูแ
่ ล้ว
ทําไมเขาถึงยังไม่ออกหน้ามาช่วยอีกนะ?

เขาเมามายเหมือนคนตาย ไม่รูว
้ ันคืน

ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้อง เป่ยถังเฟิงลุกออกมาจากกลุ่ม
หญิงสาว เขาเห็นขันทีนางกํานัลกว่าสิบคนวิ่งมาทางนี้ เขาขมวดคิ้ว เขา
เห็นพวกขันทีนางกํานัลสีหน้าท่าทางตื่นตกใจกันมาก เหมือนเขานึก
อะไรขึ้นมาได้ เขาสางเมาขึ้นมาทันที “ทหาร ... ทหารฉู่บุกมาถึงลั่ว
หยางแล้วเหรอ?”

ขันทีนางกํานัลต่างคุกเข่าลง มีคนพูดขึ้นมาว่า “แย่แล้วพะยะค่ะ


ฝ่าบาท มี ... มีทหารกลุ่มใหญ่ยกทัพเข้ามาในวังหลวง”

“กระบี่ของข้า ...” เป่ยถังเฟิงลุกขึ้นมา เขารู้สึกว่าขาของเขามัน


เบาลอยๆ เขายื่นมือออกไป “ไปเอากระบี่ของข้ามา ข้า ... ข้าจะสู้กับ
พวกทหารฉู่ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง”

มีคนในวังหลวงอีกหลายคนที่วิ่งกันเข้ามา เป่ยถังเฟิงเสื้อผ้าไม่
เรียบร้อย วิ่งหากระบี่ไปทั่ว แต่ว่ากระบี่ฮ่องเต้ของเขามันหายไปแล้ว

เสียงชุดเกราะกําลังดังขึ้น แล้วก็มีทหารชุดเกราะเข้ามาด้านใน
หลายคน แต่ละคนดุดันมาก
เป่ยถังเฟิงขวัญกระเจิง คิดในใจว่าทําไมทหารแคว้นฉู่ถึงได้บุกมา
ได้เร็วขนาดนี้กัน ทหารเฝ้าเมืองลั่วหยางไม่ได้กินข้าวหรือยังไงกัน?

แต่ว่าไม่นานเขาก็เหมือนรู้สึกว่ามันผิดปกติ

ชุดของพวกทหาร ทําไมมันถึงได้เหมือนชุดของทหารซีเป่ยของชวี
หยวนกู่ล่ะ?

เมื่อกี้เขาเองก็ไม่ได้ยินเสียงฆ่าฟัน วังหลวงมีองครักษ์ไม่น้อย แต่


เป็นที่คนที่ชวีหยวนกู่จัดไว้ค้ม
ุ กันเขา หากทหารฉู่บุกเข้ามา ทหารพวก
นั้นก็ควรจะสู้กับทหารแคว้นฉูส
่ ิ แต่ว่าเขาไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ แต่
ทหารพวกนี้กลับบุกเข้ามาง่ายๆ แบบนี้เลย

กองทัพซีเป่ยบุกเข้ามาในวังหลวงงั้นเหรอ?

ไม่มีราชโองการของจากเขา พวกเขากล้าทําแบบนี้ได้ยังไง?

พวกเขาคิดกบฏงั้นเหรอ?

“พวกเจ้า ... บังอาจเกินไปแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ใช่ทหารฉู่


เป่ยถังเฟิงก็โล่งใจ เขายกมือชีไ้ ปที่ทหารพวกนั้น “นี่มน
ั วังฝ่ายใน หาก
ไม่มี ... ไม่มีคําสั่งจากข้า พวกเจ้ากล้าบุกเข้ามาแบบนีไ้ ด้ยังไง? พวกเจ้า
ไม่อยากมีหัวแล้วหรือยังไง?” เขาตะโกนแล้วพูดว่า “ท่านอํามาตย์อยู่ที่
ไหน? เรียกเขามาพบข้าเดี๋ยวนี้”
“ฝ่าบาททรงต้องการพบกระหม่อมอย่างนั้นเหรอ?” มีเสียงดังขึ้น
จากด้านหลังพวกทหารชุดเกราะ เหล่าทหารแยกทางออก มหา
อํามาตย์ชวีหยวนกู่สวมชุดเกราะพกดาบเดินมา พร้อมกับชวีม่านอิง

เมื่อเขาเห็นสองพ่อลูกตระกูลชวี เป่ยถังเฟิงโล่งใจมากกว่าเดิม

หากมีพวกเขาอยู่ด้วย ชีวิตเขาก็ปลอดภัย

“ท่านอํามาตย์ พวกเขาบังอาจมากเกินไปแล้ว กล้าบุกเข้ามาในวัง


ฝ่ายในแบบนี้ ท่านรีบ ...” เป่ยถังเฟิงคิดอยากจะให้ชวีหยวนกู่ลงโทษ
ทหารที่บุกเข้ามาอย่างหนัก แต่พูดไปได้แค่ครึ่งเดียว เขาก็เริ่มสั่น แล้วก็
ไม่ได้พด
ู ต่อ

ทหารพวกนี้เป็นทหารซีเป่ย หากไม่ได้รับคําสั่งจากชวีหยวนกู่
พวกเขาจะกล้าบุกเข้ามาในนวังฝ่ายในแบบนี้ได้ยังไงกัน?

ชวีหยวนกู่สวมชุดเกราะ พกดาบด้วย ชวีม่านเป่าเองก็สวมชุด


เกราะ ดวงตาของเขาดุดันมาก

ไม่ใช่สิ

เป่ยถังเฟิงเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาอดถอยหลังไปสองก้าว
ไม่ได้ น�าเสียงของเขาสั่น “ท่านอํามาตย์ พวกท่าน ... พวกท่านคิดจะทํา
อะไร? หรือว่า ... หรือว่าทหารฉู่บุกมาถึงลั่วหยางแล้ว?”
“ฝ่าบาท ทหารแคว้นฉูย
่ ังบุกมาไม่ถึงหรอกพะยะค่ะ” ชวีหยวนกู่
มองเขาด้วยสายตาประหลาด “ยังต้องรออีกสักระยะกว่าพวกเขาจะบุก
มา”

ทันใดนั้นเอง เป่ยถังเฟิงเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว ความกลัวในใจ


ของเขากลับจางหายไป เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุงพาทหารบุกเข้ามา
ในวัง คิดจะชิงบัลลังก์อย่างนั้นเหรอ?”
เล่มที่ 50 บทที่ 1487 ธนู

“เจ้าผิดแล้ว” ชวีหยวนกู่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้คิดจะชิง


บัลลังก์ แต่เป็นการกําจัดภัยแผ่นดิน”

“กําจัดภัยแผ่นดินงั้นเหรอ?” เป่ยถังเฟิงมองซ้ายมองขวา “ไหน


ล่ะ?” เขาเห็นทุกคนมองมาที่เขา เขาก็ยกมือชี้ไปที่ตัวเอง “ท่าน
อํามาตย์กําลังจะบอกข้าว่า ข้าน่ะเหรอภัยแผ่นดิน?”

ชวีหยวนกู่ลูบเครายิม
้ แล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้านําทัพเข้ามาในเมือง
หลวง เพื่อกําจัดภัยแผ่นดิน ถือว่าเป็นการสร้างผลงาน”

เป่ยถังเฟิงยิง่ ฟังยิง่ งง “ศัตรูของแคว้น? หัวของโจรกบฏ? ท่าน


อํามาตย์พูดอะไรล�าลึกเกินไป ข้าฟังไม่เข้าใจเลย”

ชวีม่านอิงพูดว่า “ไม่มอ
ี ะไรเข้าใจยากเลย เราสวามิภักดิ์แคว้นฉู่
แล้ว ท่านพ่อเป็นจิ้นอ๋องของแคว้นฉู่ ตอนนี้ฉู่ฮ่น
ั ยังทําสงครามกันอยู่
แคว้นฮั่นก็ต้องเป็นแคว้นศัตรูของเราสิ ส่วนเจ้าก็คือภัยแผ่นดิน”

“สวามิภักดิ์แคว้นฉู่ง้ันเหรอ?” เป่ยถังเฟิงตาแทบหลุดจากเบ้า เขา


รู้สึกว่าเหลือเชื่อมากเกินไป “พวกท่านสวามิภักดิ์แคว้นฉู่ง้ันเหรอ?”
ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาเมามากเกินไปหรือเปล่า หรือว่าสิ่งที่เขาเห็น
มันจะเป็นภาพลวงตา

ชวีหยวนกู่ยอมสวามิภักดิ์แคว้นฉู่ง้ันเหรอ?

ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย

ทหารฉูก
่ ับทหารฮั่นกําลังทําสงครามกันอยู่ ยังไงก็ยังไม่สามารถ
ประชิดมาถึงลั่วหยางได้ อีกทั้งยังใกล้เข้าหน้าหนาวแล้ว ต่อให้บุก
มาถึงลั่วหยางจริง ทหารฉู่ยังไม่แน่ว่าจะตีเมืองลั่วหยางแตกได้

เสบียงรอบๆ ลั่วหยางถูกกวาดเรียบ ทหารฉูก


่ ว่าแสนนายหากล้อม
ลั่วหยางเอาไว้ แต่ละวันต้องใช้ทรัพยากรจํานวนมาก หากเข้าหน้า
หนาว ทุกอย่างที่ต้องใช้ก็จะมากขึ้น แต่ว่าพกวเขาจะไม่สามารถหา
เสบียงจากรอบๆ ลั่วหยางได้เลย ต้องเผชิญหน้ากับเมืองแข็งแกร่งอย่าง
ลั่วหยาง พวกเขาอาจจะทนไม่ไหว หากไม่สามารถเอาชนะได้เป็น
เวลานาน ก็ต้องถอนกําลังกลับไป ไม่อย่างนั้นก็จะต้องตายอยู่นอกเมือง
ลั่วหยาง

เงินและเสบียงอยู่ในมือของชวีหยวนกู่ เขายังมีทหารอีกสามหมื่น
คน มีชายหนุ่มอีกจํานวนมากในเมืองลั่วหยาง

กองทัพฉู่ยังมาไม่ถึงลั่วหยาง เขาจะสวามิภักดิ์ได้ยังไง?
เขาจะต้องเมาหนักมาแน่ๆ

เป่ยถังเฟิงคิดว่าเขาเมาหนักมาก สิง่ ที่เห็นต้องเป็นภาพลวงตา ใจ


ของเขาหลุดลอยไป เขาทรุดตัวนั่งลง

รอบๆ เงียบไปหมด เป่ยถังเฟิงมองซ้ายมองขวา ทุกคนใช้สายตา


แบบเดียวกันมองมาที่เขา เขาอดยกมือขึ้นหยิกไปที่ใบหน้า ชวีหยวนกู่
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ได้ฝัน แล้วก็ไม่ได้เมาด้วย”

เป่ยถังเฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เพราะอะไร? ทําไมท่านต้องทํา


แบบนี้ด้วย? เราอาจจะไม่แพ้ก็ได้”

ชวีหยวนกู่ถอนหายใจ

ใช่ สงครามทั้งสองแคว้น ถึงแม้ทหารฮั่นจะตกเป็นรอง ลั่งหยาง


เองก็ยังพอมีกําลังต้านไหว หากต้องสู้ ผลก็ไม่แน่ว่าจะออกหน้าไหน

แต่ว่าข้ายังต้องการชีวิตนี้อยู่อีก

ฉีหนิงลอบเข้าห้องนอนของเขาได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกเขาคิดว่ามี
คนประมาท แต่ครั้งที่สองเขาแน่ใจว่า ชายหนุม
่ ที่น่ากลัวคนนั้น หากคิด
จะตัดหัวของเขานั้น เขาทําได้ทุกเมื่อ
ทหารที่ซ่อนตัวในคืนนีม
้ ีกว่าสิบคน แต่ล่ะคนถูกซัดสลบหมด มี
บางคนถูกสกัดจุด เพราะเหตุนี้ เขาร้องตะโกนด้วยความตกใจในห้อง
ถึงไม่มีใครเข้ามาช่วยเขาเลย

อีกทั้งหลังจากเกิดเรื่อง เขาก็ม่น
ั ใจว่าฉีหนิงมาคนเดียวจริงๆ

พอคิดถึงภาพบรรยากาศในคืนนั้น ชวีหยวนกู่ก็ถึงกับเสียวสันหลัง

ใครที่สามารถจัดการกับทหารกว่าสิบคน โดยที่คนอื่นไม่รู้ตัวเลย

ใครที่จะสามารถลอบเข้าในห้องของเขาโดยที่ไม่มีใครรู้ได้ นักฆ่า
สามคนที่อยู่หลังฉากบังลมก็ถูกฆ่ามาเป็นของขวัญให้เขาอีก?

ชายหนุม
่ คนนั้นไม่ใช่คนแน่ๆ

ที่สําคัญที่สุดคือเขาบังคับให้ตัวเขากินยา เขาเจอะไรมาเยอะ
ถึงแม้จะไม่รู้ว่ายานั่นมันชื่ออะไร แต่ถ้าถึงเวลา เขาตายแน่

ชายหนุม
่ นั่นไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่นอน ภายในสามวัน หากเขา
ไม่ทําอะไรอีก เขาก็จะมาตัดหัวของชวีม่านอิง ลูกชายคนโตของเขาชวี
ม่านเป่าตายไปเพราะฝีมือของเขาแล้ว เขาเหลือลูกชายแค่คนเดียว
หากขัดขืน เขาไร้ทายาทสืบสกุลแน่นอน

เขาแค้นแต่ก็กลัว
ชวีม่านอิงเป็นหนุ่มกล้าหาญมีความสามารถ เข้าใจโลก พอรู้ว่าพ่อ
เขาต้องเจอกับอะไรบ้าง ก็รู้ว่าศัตรูที่เขากําลังเผชิญหน้านั้นน่ากลัวแค่
ไหน เทียบกับชีวิตของพวกเขาสองพ่อลูกแล้ว การล่มสลายของแคว้น
ฮั่นมันเป็นเรื่องเล็ก อีกอย่างการสวามิภักดิ์แคว้นฉู่ ก็ยงั อยู่สุขสบายไป
ได้ตลอดชีวิต ผลลัพธ์แบบนี้มันดีกว่าเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งซะอีก

ชวีม่านอิงเป็นคนตัดสินใจอะไรเด็ดขาด เขายอมสวามิภักดิ์แคว้นฉู่
ร่วมมือกับพ่อเขา รวบรวมคน แล้วให้คํามั่นสัญญา

ทหารที่ติดตามพวกเขามาจากซีเป่ย ช่วงที่ผ่านมีความสุขในเมือง
หลวงมาก พวกเขาขอแค่มีชีวิตแบบนี้ต่อไปก็พอ มีคนรูส
้ ึกว่าหากชวี
หยวนกู่เป็นฮ่องเต้ได้ พวกเขาก็จะมีท้ังเงินมีท้ังผู้หญิงไปตลอดชีวิต

แต่ทุกคนกําลังเผชิญหน้ากับปัญหาเหมือนกันอย่างหนึ่ง

กองทัพฉู่กําลังบุกมาแล้ว

หากจงหลีอ้าวต้านทัพฉู่ไม่ไหว ยังไงทหารฉูก
่ ็จะบุกมาประชิดลั่ว
หยางทันที

ถึงแม้พวกเขาสามหมื่นคนจะสามารถป้องกันเมืองลั่วหยางได้ แต่
ก็ไม่มใี ครรับประกันได้ว่าจะทําได้จริง
หากกองทัพฉู่ตัดสินใจจะตีเมืองลั่วหยางให้แตก พวกเขาก็ต้อง
เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย กองทัพซีเป่ยถึงแม้จะควบคุมลั่ว
หยางเอาไว้ได้ แต่พวกเขาคุมได้แค่ที่เดียว ทั่วทั้งแคว้นฮั่น พวกเขาไม่มี
กําลังมากพอจะทําได้ การปกป้องลั่วหยาง ก็เท่ากับป้องกันเมืองแค่
กําลังเพียงฝ่ายเดียว

หากป้องกันเอาไว้ได้ก็ดี แต่หากไม่ได้ ก็ต้องสู้กันจนตาย ทหารสาม


หมื่นคนคิดว่าคงไม่รอดเลยแม้แต่คนเดียว

พวกเขาให้เงื่อนไขที่ดีมาก หลังจากสวามิภักดิ์แล้ว ชวีหยวนกู่ไม่


เพียงยังเป็นจิ้นอ๋องอยู่ ยังสามารถอยู่สุขสบายได้เหมือนเดิม ส่วนทหาร
คนอื่นก็จะได้รับบําเหน็จรางวัลแตกต่างกันไป อย่างน้อยก็ยังรักษา
ความสุขสบายเอาไว้ได้

ในเมื่อสวามิภักดิ์แล้วยังสามารถอยู่สุขสบายเหมือนเดิมได้ แล้วจะ
เอาชีวิตไปเสี่ยงทําไม?

ปกป้องลั่วหยางได้แล้วยังไง?

แคว้นฉูบ
่ ุกยึดตงฉีไปแล้ว ยึดซีเป่ยได้อีก ดินแดนแคว้นฮั่น
กลายเป็นพื้นที่ของแคว้นฉู่ไปแล้ว ถึงเวลานั้นแค่ล่ัวหยางเมืองเดียวก็
จะสู้กับแคว้นฉูไ่ ด้เหรอ?
ชวีหยวนกู่เรียกทหารซีเป่ยมาพบ แล้วหารือร่วมกัน ใช้เวลา
ประมาณครึ่งชั่วยาม สุดท้ายเหล่าขุนพลก็รู้สก
ึ ว่าสวามิภักดิ์นา่ จะเป็น
หนทางที่ดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อความสุขสบายที่ได้รบ
ั แต่เพื่อรักษาชีวิตเหล่า
ทหารหนุ่มที่ยังมีอนาคตอยู่

ชวีม่านอิงรู้สึกว่าจะแค่กล่อมให้เป่ยถังเฟิงยอมแพ้ไม่ได้

หากทําแบบนั้น ในสายตาของอี้เหิงอ๋องคนนั้น ก็ต้องคิดว่าพวก


เขาสวามิภักดิ์เพราะถูกบีบบังคับ ต่อไปพวกเขาอาจจะไม่มท
ี ี่ยืนใน
แคว้นฉูอ
่ ีก

ในเมื่อจะทํา ก็ต้องทําให้มันเป็นกิจลักษณะ อย่างน้อยก็ต้องให้


ของขวัญแคว้นฉู่สักชิน
้ อย่างเป็นทางการ

ของขวัญที่ว่านั่น ก็คือหัวของเป่ยถังเฟิง

เมื่อได้หว
ั ของเป่ยถังเฟิงแล้ว ก็เอาไปเป็นของขวัญให้ฮอ
่ งเต้แคว้น
ฉู่ มันก็จะเป็นเรื่องที่ได้หน้ามากไม่ใช่หรือไง? ไม่เพียงได้หน้า ยังถือว่า
ได้ทําผลงานใหญ่ด้วย

สองพ่อลูกถูกฉีหนิงบีบบังคับ จะให้ใครคนไหนมารู้อีกไม่ได้ แต่ว่า


เหล่าทหารซีเป่ยองอาจกล้าหาญ ชวีหยวนกู่พูดอะไร พวกเขาไม่มีเป็น
อื่น ในเมื่อจะสวามิภักดิ์แคว้นฉู่ ก็ต้องเด็ดหัวเป่ยถังเฟิงให้ได้ มันก็
สมควรแล้ว
อย่างน้อยจะเด็ดหัวเป่ยถังเฟิงยังไง ก็ต้องหารือกันก่อน

คิดจะเด็ดหัวฮ่องเต้หุ่นเชิด ทําได้เป็นร้อยวิธี จะส่งนักฆ่า หรือเรียก


ตัวมาที่จวนมหาอํามาตย์แล้วฆ่า แต่ทก
ุ คนรู้สก
ึ ว่า บุกเข้าวังหลวงน่าจะ
ดีกว่า ทําให้ดูยิ่งใหญ่ ถึงแสดงให้เห็นว่ากองทัพซีเป่ยนั้นตัดขาดกับ
แคว้นฮั่นจริงๆ

เป่ยถังเฟิงถามชวีหยวนกู่ว่าทําไมถึงทําแบบนี้ ชวีหยวนกู่ไม่
สามารถบอกได้ว่าเพราะต้องรักษาชีวิต เขาทําได้แค่ถอนหายมจแล้ว
พูดว่า “ใต้หล้าสมควรเป็นของผู้ที่มีคณ
ุ ธรรม ฮ่องเต้แคว้นฉู่มเี มตตา
จิตใจกว้างขวางมีความสามารถรอบด้าน เขาเป็นฮ่องเต้ที่ดี ใต้หล้านี้จะ
ไม่เกิดความวุ่นวายอะไรขึ้นมาอีก”

เขาหวังว่าสิ่งที่เขาพูดจะได้ยินไปถึงฮ่องเต้น้อยแคว้นฉู่

เป่ยถังเฟิงยิม
้ แห้ง แล้วพูดว่า “ชวีหยวนกู่ ตระกูลชวีเดิมก็เป็นแค่
เศรษฐีท้องที่ธรรมดา หากไม่ใช่เพราะต้าฮั่น พวกเจ้าจะมีวันนี้ได้เหรอ?
อดีตฮ่องเต้ประทานซีเป่ยให้เจ้า ให้เจ้ามีความสุขสบาย เจ้า ... เจ้าไม่
ระลึกบุญคุณของพระองค์ กล้าขายชาติแบบนี้เหรอ”

“ซีเป่ย?” ชวีหยวนกู่รู้สก
ึ โมโห “เขาดีกับตระกูลชวีจริงเหรอ แล้ว
ทําไมถึงให้เราไปที่กันดารแบบนั้นล่ะ? เขาก็แค่กลัวพระญาติหา่ งๆ
อย่างเรา เลยป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น ถึงได้ให้ซีเป่ยกับเรามา มันต่างอะไร
กับการเนรเทศกันล่ะ? ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอีกแล้ว เป่ยถังเฟิง
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เจ้าจะฆ่าตัวตาย หรือจะให้เราช่วย?”

เป่ยถังเฟิงพูดว่า “เจ้าอย่าลืมนะว่า ข้าเป็นหลานของท่าน? ท่าน


คิดจะฆ่าหลานแท้ๆ ของตัวเองเลยเหรอ?”

“ข้าเป็นขุนนางของแคว้นฉู่ เจ้าเป็นฮ่องเต้ไม่เอาไหนของแคว้นฮั่น
เราไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกัน” ชวีหยวนกู่พด
ู ว่า “ข้าภักดีต่อแคว้นฉู่ กําจัด
ญาติเพื่อผดุงความเป็นธรรม”

เป่ยถังเฟิงลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลัง จ้องไปที่ดวงตาของชวีหยวนกู่


แล้วพูดว่า “ข้าจะไม่มีวันฆ่าตัวตาย เจ้าคิดจะฆ่าข้า ข้าจะรอให้เจ้าลง
มือ คนรุน
่ หลังเวลาที่พูดถึงข้าก็ต้องเป็นฮ่องเต้ - แคว้นล่มสลาย แต่ว่า
เจ้าชวีหยวนกู่จะถูกตราหน้าไปอีกหลายหมื่นปี ว่าเป็นกบฏขายชาติ ฮ่า
ฮ่าฮ่า ...”

เป่ยถังเฟิงรู้ดี เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีโอกาสรอดอีกแล้ว

ยังไงเขาก็ยังเป็นคนของตระกูลเป่ยถัง ช่วงชีวิตสุดท้าย เขาหวังว่า


จะยังคงศักดิ์ศรีของตระกูลเอาไว้

เสียงหัวเราะมันแทงเข้าไปในหูของชวีหยวนกู่ สีหน้าของเขารู้สึก
แย่มาก
เป่ยถังเฟิงพูดถูก

ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกชื่อของชวีหยวนกู่ แบบไม่มีชน
้ิ ดีแน่

ฆ่ากษัตริย์ ฆ่าหลาน โจรกบฏ พวกขายชาติ

เขาหันไปส่งสัญญาณให้กับชวีมา่ นอิง เขาเข้าใจดี เขาชักดาบ


ออกมา แล้วเดินขึ้นหน้าไป จากนั้นก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้ เขาเก็บดาบ
แล้วหันไปหยิบธนูมา ทุกคนคิดว่าเขาคิดจะยิงเป่ยถังเฟิงให้ตาย แต่ชวี
ม่านอิงไม่ได้หยิบลูกธนูมาด้วย หยิบแค่คันธนู เขามองไปที่ตาของเป่ย
ถังเฟิง แล้วพูดว่า “ยังไงเจ้าก็เป็นพี่ชายข้า” เขาเดินไปด้านหลังของ
เป่ยถังเฟิง เขาเอาคันธนูสวมเข้าไปในหัวของเป่ยถังเฟิง แล้วถีบไปที่ข้อ
เข่าของเขา ทําให้เป่ยถังเฟิงคุกเข่าลง

เขาไม่ได้ดิ้น ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่ควรช่วงชิงบัลลังก์นี้


เลย” พูดจบ คันธนูก็รัดคอของเขา

เหล่าขันทีนางกํานัลและนางสนมคุกเข่า เอาหน้าผากแนบลงบน
พทื้น ไม่กล้ามองเลย

ชวีม่านอิงใช้แรงเต็มกําลัง เข่าของเขาดันไปที่หลังของเป่ยถังเฟิง
จากนั้นก็หมุนคันธนูเป็นวงกลม แล้วก็กระชาก เป่ยถังเฟิงเลือดขึ้นหน้า
เพราะหายใจไม่ออก ตาของเขาเหมือนจะหลุดออกมาอยู่แล้ว เขา
พยายามดิ้น มือของเขาจับไปที่คอ คิดอยากจะดึงเอาคันธนูออก แต่แรง
การดิ้นเริ่มแผ่วลง ไม่นานหนัก มือของเขาก็ตกลง หัวของเขาก็ตกลงไป
ด้วย

ชวีม่านอิงปล่อยมือ ศพของเป่ยถังเฟิงก็ล้มลง

รอบๆ เงียบไปหมด

ชวีหยวนกู่มองไปที่ศพของเป่ยถังเฟิง หลังจากนั้นอยูน
่ าน เขาก็
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตัดหัวของเขาออกมา แล้วเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี”

ลั่วหยางเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่จงหลีอ้าวที่อยู่ด่านหน้ากลับไม่รู้
เรื่องเลย

ผู้บัญชาการใหญ่ที่อายุเกินหกสิบคนนีด
้ ูแก่มาก สถานการณ์ตอนนี้
คับขัน แม่ทัพเฒ่าคนนีก
้ ลับยังมีแรงมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู
อยู่ แต่ว่าเก่งแค่ไหนไม่มีอาหารก็ไม่ไหวเหมือนกัน ตอนนี้สิ่งที่เป็น
อันตรายไม่ได้มแ
ี ค่กองทัพฉู่ แต่อาหารของพวกเขาก็กําลังจะหมดลง
ด้วย

ตั้งแต่ทําศึกสงครามกับแคว้นฉู่มา ต่อให้ทหารฉู่จะร้ายกาจแค่ไหน
จงหลีอ้าวก็ไม่ค่อยทําศึกแบบเอาเป็นเอาตาย เขารู้ว่าแคว้นฉูก
่ ําลังอยู่
ในช่วงฮึกเหิม เลยไม่เผชิยหน้าแบบตรงๆ สูไ้ ปถอยไปด้วย เพื่อเก็บแรง
เอาไว้ ล่อให้กองทัพฉู่เข้ามาในพื้นที่ของแคว้นฮั่น
เมื่อทําแบบนี้ไม่เพียงสามารถยื้อให้เสบียงฝ่ายศัตรูลดลง ยังอาศัย
ข้อได้เปรียบด้านพื้นที่ในการกดดันด้วย

เขารู้ดีว่า แคว้นฉู่ไม่ได้รู้เรื่องภูมิประเทศของแคว้นฮั่นมากนัก ไม่


เพียงแค่แคว้นฉู่ แม้แต่คนในแคว้นฮั่นเอง ก็อาจจะรู้ไม่หมดเหมือนกัน

ในมือของเขามีแผ่นที่รวม เลยรู้ทุกซอกทุกมุมของในแคว้นฮั่น นี่


เป็นข้อได้เปรียบ ทําให้เขาสามารถวางหลุมพรางได้ ทําให้ทหารกว่าห้า
พันของแคว้นฮั่นตายเกือบหมด

ศึกนั้นเป็นศึกที่สะใจที่สุดของกองทัพฮั่น แล้วก็เป็นศึกที่แคว้นฉู่
แพ้ย่อยยับมากที่สุด

หลังจากศึกนั้นเป็นต้นมา กองทัพแคว้นฉู่ก็ไม่กล้าจะทําการบุกใส่
อีกเลย

แต่เมื่อไม่นานมานี้ กองทัพฉู่กลับทําการบุกหลายครั้ง จงหลีอ้าว


อาศัยข้อได้เปรียบด้านพื้นที่เหมือนเดิม แต่ว่าคราวนี้ไม่สําเร็จ อีกทั้งยัง
ถูกพวกเขาล้อมโจมตีอยู่หลายครั้งด้วย กองทัพฮั่นเสียหายหนักมากจง
หลีอ้าวเองก็รู้สก
ึ ว่า ผู้นาํ กองทัพของอีกฝ่ายเหมือนจะคุ้นเคยกับพื้นที่
ในแคว้นฮั่นเป็นอย่างดี

เริ่มแรกเขายังรู้สึกแปลกใจ แต่จากนั้นไม่นานก็เหมือนคิดความ
เป็นไปได้ข้ึนอย่างหนึ่ง
อีกฝ่ายน่าจะมีแผนที่เหมือนของเขาแน่นอน

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ถ้าอย่างนั้นแคว้นฮั่นจะต้องตกอยู่ในอันตราย
แน่นอน จํานวนทหารกับม้าศึกของกองทัพฮั่นสู้อีกฝ่ายไม่ได้ อีกทั้ง
หลังจากแคว้นฉู่ยึดเส้นทางทางน�าได้ ก็มีเสบียงส่งมาได้ไม่ขาดห แต่
กองทัพฮั่นกลับไม่มีเสบียงที่เพียงพอ ทั้งด้านหน้าด้านหลังสูอ
้ ีกฝ่าย
ไม่ได้เลย

ทหารต้องมีเสบียง หากเสบียงไม่เพียงพอ อันตรายก็จะมาถึง

กองทัพฮั่นสามารถต้านกองทัพฉู่ไว้ได้ สิ่งที่สําคัญก็คืออีกฝ่ายไม่รู้
สภาพพื้นที่ แต่หากข้อได้เปรียบตรงนี้หายไป ถ้าอย่างนั้นกองทัพฮั่นก็
จะเสี่ยงมาก

ความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความกังวลของจงหลีอ้าวแล้ว
แคว้นฉูร่ ู้สภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี บุกแต่ละครั้ง กองทัพฮั่นได้แต่ถอย
เท่านั้น ที่สําคัญตอนนี้ร่นระยะเหลือแค่เวลาอีกสามวันก็จะประชิดลั่ว
หยางแล้ว

สิ่งสุดท้ายที่ต้านได้คือภูมิประเทศ แต่ว่าไม่ใช่ชะตาลิขิต

จงหลีอ้าวรู้ดี มันได้มาถึงวันศึกตัดสินแล้ว เขาเองก็พร้อมที่จะนํา


ทัพสู้จนวินาทีสด
ุ ท้ายแล้วด้วยเช่นกัน
แต่ว่าในเวลาเช่นนี้ เสบียงก็มาขาดตอนอีก

ต่อให้สศ
ู้ ึกสุดท้าย ก็ควรให้ทหารอิ่มท้อง ฮ่องเต้ไม่สนใจว่าทหาร
จะหิวไหม ข้าวยังกินไม่อิ่ม จะเอาอะไรไปสูก
้ ับกองทัพฉู่?

จงหลีอ้าวแทบจะเขียนฎีกาให้ม้าเร็วส่งกลับลั่วหยางทุกวัน หวัง
ว่าลั่วหยางจะรีบส่งเสบียงมาให้

แต่ว่าสายลับกลับส่งข่าวกลับมาว่า ลั่วหยางไม่มก
ี ารส่งเสบียง
ออกมาให้เลย

จงหลีอ้าวรู้ว่าจะต้องเป็นฝีมือของชวีหยวนกู่แน่นอน แต่ว่าตอนนี้
สถานการณ์คับขัน เขาไม่มีเวลาจัดการกับชวีหยวนกู่ ต้องเร่งให้ล่ัวหยา
งส่งเสบียงมาก่อน

ทหารฮั่นหดหู่ จงหลีอ้าวเห็นชัดเจน เขาร้อนใจมาก หาก


สถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ต้องรอให้ถึงวันศึกตัดสินหรอก
ทหารคงก่อจลาจลเพราะหิวมากกว่า

ตรงหน้าคือกองทัพฉู่ที่จ้องจะตะปบตลอดเวลา แต่พูดแล้วก็แปลก
แค่สิบกว่าวัน กองทัพฉูท
่ ําไมถึงได้ไม่โจมตีต่อ ทุกอย่างดูเงียบมาก

หรือว่าอีกฝ่ายกําลังเตรียมตัวสําหรับศึกสุดท้ายอยู่?
เล่มที่ 50 บทที่ 1488 ยามเย็นของแคว้น

สายลับจับตาความเคลื่อนไหวของกองทัพฉู่อย่างไม่กระพริบตา
จงหลีอ้าวต้องการเตรียมพร้อมสําหรับการป้องกันการโจมตีของ
กองทัพฉู่ และก็หวังว่าเสบียงของลั่วหยางจะส่งมาในอีกไม่กี่วัน

ภายในกระโจมแม่ทัพ เหล่าขุนพลแต่ละคนมีสห
ี น้าอ่อนล้ามาก จง
หลีอ้าวมีหนวดเคราแทบจะทั่วใบหย้า เขานิ่งไปนานมาก จากนั้นก็พด

ขึ้นมาว่า “รอก่อนเถอะ ไม่แน่ว่าเสบียงอาจจะมาถึงในวันนี้ก็ได้”

“ท่านแม่ทัพใหญ่ เกรงว่าเสบียงอาจจะมาไม่ถึงแล้วล่ะ” มีขุนพล


คนหนึ่งพูดว่า “เสบียงของเราเหลือนานมากแล้ว ลั่วหยางน่าจะรู้อยู่
แล้วว่าเสบียงของเราอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าลั่วหยาง
จะไม่สง่ เสบียงมาง่ายๆ ทหารทุกคนถูกลดอาหารลง ไม่อย่างนั้นอาหาร
เราคงไม่เหลือมาจนถึงวันนี้แล้ว”

คนอ้วนๆ ด้านข้างเขายิม
้ แห้ง แล้วพูดว่า “เดินอ้อมเขาห่างจากลั่ว
หยางไม่ถึงสามวัน ต่อให้มีปัญหาเรื่องระยะทาง นั่งพักนอนพัก ห้าวัน
มันก็น่าจะมาถึงแล้ว เสบียงครั้งที่แล้วที่มาส่งคือเมื่อสีส
่ ิบวันก่อนนะ
พวกเขานาจะรู้ว่าปริมาณอาหารมันอยูไ่ ด้แค่ประมาณยี่สิบวัน เราฝืน
ทนมาสีส
่ ิบวันแล้วยังไม่เห็นข้าวสักเม็ดเลย ท่านแม่ทัพใหญ่ ราชสํานัก
ให้ทหารมาตาย แต่จะให้พวกเขาทนหิวแบบนี้ไม่ได้”

“จะต้องเป็นฝีมือของชวีหยวนกู่แน่ๆ” มีขุนพลอีกคนพูดขึ้นมา
“ลั่วหยางตกไปอยู่ในมือของทหารซีเป่ย เสบียงต้องอยู่ในมือของชวี
หยวนกู่แน่ๆ เขากังวลว่าเราจะขับไล่กองทัพฉูไ่ ปได้ แล้วกระทบต่อ
ตําแหน่งของเขา ดังนั้น ...”

“หยุดนะ”

จงหลีอ้าวตะคอกแล้วจ้องไปที่ขุนพลคนนั้น “คําพูดบั่นทอนจิตใจ
ทหารแบบนี้ เจ้ากล้าพูดมันออกมาได้ยงั ไงกัน? เขาเป็นถึงมหาอํามาตย์
เป็นมหาอํามาตย์ของแคว้นฮั่น เรามีศัตรูคนเดียวกัน จะมากังวลว่าเรา
จะขับไล่กองทัพฉู่ให้ล่าถอยไปได้ยังไง? คําพูดแบบนีห
้ ้ามพูดออกมาอีก
ไม่อย่างนั้นข้าจะลงโทษเจ้า”

ทุกคนเงียบหมด

หลังจากนั้นไม่นาน ขุนพลอีกคนพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ แต่


ไม่ว่าจะยังไง เสบียงของเราตอนนี้ไม่พอแล้ว คืนนี้จะเป็นอาหารมื้อ
สุดท้ายแล้ว หากวันนี้เสบียงยังมาไม่ถึงอีก พรุง่ นี้เราจะไม่มีอะไรให้
ทหารกินอีก แล้วเราจะอธิบายให้พี่น้องกว่าหมื่นคนยังไง? เบี้ยงเลี้ยงก็
ไม่ได้จ่ายมา ทหารก็ไม่พอใจอยู่แล้ว หากไม่มีเสบียงอีก ผลที่ตามมาข้า
ก็ไม่กล้าคิดเลย”

“หลายวันก่อน ลดอาหารลงครึ่งหนึ่ง ทหารก็บน


่ กันจะแย่แล้ว ข้าก็
สั่งลงโทษทหารที่พูดเหลวไหลไปแล้วหลายคน ตอนนี้ยังคุมสถานการณ์
ได้ช่ว
ั คราว” ขุนพลอ้วนพูดขึ้นมาว่า “แต่หากพรุ่งนี้ยังโวยวายกันอีก
น่าจะไม่ใช่แค่สามหรือห้าคนแน่ๆ”

ขุนนางตัวสูงคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ทัพ ขออภัยที่ข้าน้อย


ต้องพูดตามตรง ตกลงตอนนี้เรารบเพื่อใครกันแน่? หากเพื่อราชสํานัก
แล้วทําไมราชสํานักถึงไม่ได้สนใจว่าเราจะเป็นหรือตายกันล่ะ?”

นี่คือความสงสัยในใจของทุกคน

จงหลีอ้าวถอนหายใจแล้วพูดว่วา “ความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้มน

เป็นหน้าที่ของเรา เรื่องมาถึงขั้นนี้ เราก็คงต้องทําให้เต็มที่ก็พอ”

ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงจากด้านนอกว่ามีรายงานด่วนมาจากลั่ว
หยาง จงหลีอ้าวเคร่งเครียดขึ้นมา จากนั้นลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เสบียง
มาแล้วเหรอ?”

ไม่นาน ก็มีคนเข้ามารายงานว่า “รายงานท่านแม่ทัพใหญ่ ลั่วหยา


งเกิดกบฏขอรับ”
ทุกคนลุกขึ้นมากันหมด ดูมึนงงกันหมด จงหลีอ้าวขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “ลั่วหยางเกิดกบฏ? ใครเป็นคนก่อกบฏ?”

“รายงานท่านแม่ทัพใหญ่ ชวีหยวนกู่นาํ ทหารซีเป่ยก่อกบฏขอรับ


พวกเขาบุกเข้าไปในวังหลวง ชวีม่านอิงใช้ธนูรด
ั คอปลงพระชนม์ฝ่า
บาท เมืองหลวงหยางปักธงของแคว้นฉูแ
่ ล้วขอรับ พวกเขา ... พวกเขา
สวามิภักดิ์ให้กับแคว้นฉู่แล้วขอรับ” สายลับพูดไม่เป็นคํา

ทุกคนมองหน้ากัน แต่ลพคนไม่อยากจะเชื่อเลย

จงหลีอ้าวเองก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อมากเกินไป คิดว่าสายลับโกหก
เขาพูดด้วยความโมโหว่า “บังอาจ กล้าพูดเรื่องเหลวไหลแบบนี้ออกมา
ได้ยังไง กองทัพฉู่ถูกเราขวางทางเอาไว้ ไม่ได้เคลื่อนทัพแม้แต่ก้าวเดียว
ลั่วหยางจะยอมแพ้แล้วได้ยังไงกัน? ในมือชวีหยวนกู่มีแค่ทหารสาม
หมื่นคน แคว้นฉูย
่ ังไม่ส่งทหารไปบุกเลย เขาจะก่อกบฏได้ยงั ไง? หาก
เจ้าพูดเหลวไหล ข้าจะสั่งตัดหัวเจ้าเดี๋ยวนี้”

“แม่ทัพใหญ่ เรื่องนี้ไม่ผิดแน่ขอรับ” สายลับพูดว่า “ข้าน้อยเห็น


มากับตาว่าชวีหยวนกู่พาทหารบุกเข้าวังหลวง จากนั้นก็มีขา่ วออกมาว่า
ฝ่าบาทถูกชวีมา่ นอิงใช้ธนูรัดคอปลงพระชนม์ฝ่าบาท ก่อนที่ขา้ น้อยจะ
แอบหนีออกมาจากเมือง เห็นด้านบนหัวเมืองมีการปักธงของแคว้นฉู่
หากข้าน้อยพูดโกหกแม้แต่คําเดียว ยินดีรับโทษขอรับ”
จงหลีอ้าวมองไปที่สายลับ จากนั้นก็เซ ไม่รอให้คนอื่นมีความเห็น
อะไร เขาก็กระอักเลือดออกมาแล้วก็ล้มลง

“ท่านแม่ทัพใหญ่”

“ท่านแม่ทัพใหญ่”

เหล่าขุนพลรีบเข้าไปพยุง ซ้ายคนขวาคน ทุกคนมองไปที่จงหลี


อ้าวด้วยความเป็นห่วง จงหลีอ้าวนั่งลงบนเก้าอี้ มองซ้ายมองขวา กวาด
สายตามองไปรอบๆ จากนั้นเขาก็ย้ม
ิ แล้วพูดว่า “ตระกูลจงจงรักภักดี
ต่อราชสํานักมาโดยตลอด เดิมข้าคิดว่าร่างกายแก่ๆ ของข้า จะได้ตาย
ในสนามรบ แต่ว่าแม้แต่โอกาสข้าก็ยังไม่ได้เลย สวรรค์ล้มล้างต้าฉฮั่น
ของเรา ไม่มีโอกาสย้อนกลับไปได้อีกแล้ว” เลือดของเขาขึ้นมาอีก แล้ว
ก็กระอักเลือดออกมาอีก

“รีบไปตามหมอมาเร็ว” มีคนตะโกน

“ท่านแม่ทัพ ท่าน ... ท่านอดทนไว้ก่อนนะ ...” มีคนพูดด้วยความ


สะอื้น “หากท่านเป็นอะไรไป เราพี่น้องกว่าหมื่นคนจะทํายังไงล่ะ?”

มีคนรีบเอาผ้ามาเช็ดเลือดที่ปากของเขาให้

จงหลีอ้าวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ชวีหยวนกู่กบฏ เสบียงไม่มีอีกแล้ว


ล่ะ”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ เราบุกไปลั่วหยางเลยไหม” ขุนพลอ้วนกําหมัด
แน่นแล้วพูดด้วยความโมโหว่า “ชวีหยวนกู่เจ้าโจรกบฏชั่วช้า เรา
จะต้องฉีกร่างมันออกเป็นชิ้นๆ”

“ลั่วหยางปิดเมืองไปแล้ว อีกทั้งมันแข็งแกร่งแค่ไหนเราก็รู้ดี”
ขุนพลอีกคนพูดว่า “ในเมืองมีเสบียงมากพอ เราผ่านคืนนี้ไปก็ไม่มีอะไร
กินแล้ว ยังไม่ถึงลั่วหยาง ทุกคนคงหิวตายกลางทาง จะไปรบยังไง?”

“ต่อให้หิวตายก็ต้องบุกเข้าไป”

ทันใดนั้นเองเหล่าขุนพลก็ทะเลาะกันอย่างหนัก จงหลีอ้าวไอ
ขึ้นมา ทุกคนเลยหยุดเถียงกัน แล้วมองมาที่จงหลีอ้าว

สถานการณ์ของกองทัพฮั่นในเวลานี้ ด้านหน้าเป็นกองทัพศัตรู
ด้านหลังเป็นทหารกบฏ ในค่ายทหารไม่มีเสบียง กองทัพฮั่นใกล้จะล่ม
สลายแล้ว

ไม่มีใครคาดคิดว่าผลจะออกมาแบบนี้

กองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรของเป่ยฮั่น ทําไมถึงได้ตกอยูใ่ นสภาพ


แบบนี้ได้ล่ะ?

จงหลีอ้าวหายใจ แล้วพูดว่า “เหยาจื่อ”


ขุนพลที่อายุน้อยกว่าจงหลีอ้าวไม่มากเดินขึ้นหน้ามา เขาจับมือ
ของจงหลีอ้าวเอาไว้ จงหลีอ้าวถอนหายใจ แล้วพูดว่า “แคว้นเราล่ม
สลายแล้ว เราทําอะไรไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้เราต้องคํานึงถึงชีวิตพี่น้อง
ของเราที่เหลืออยู่ ข้าจะเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ เจ้าให้คนนําไปส่งที่
ค่ายทหารแคว้นฉู่ มอบให้เยว่หวนซาน”

“ให้ไปที่ค่ายกองทัพแคว้นฉู่ง้ันเหรอ?” เหยาจื่อรู้สึกแปลกใจ แต่


เหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมา “ท่านแม่ทัพใหญ่ นี่ท่าน ...?”

“ข้าจะเขียนจดหมายขอยอมแพ้ มันไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ไม่


เกี่ยวกับทหารในค่าย พวกเจ้าสู้จนถึงวินาทีสด
ุ ท้ายแล้ว เป็นข้าเองที่
อยากจะยอมแพ้” จงหลีอ้าวค่อยๆ พูดว่า “พวกเจ้าไปเรียกรวมพล เรา
จะลงเขาไปยมแพ้กัน”

ทุกคนได้ยินดังนั้น ก็หน้าถอดสีกันหมด ทั้งหมดคุกเข่าลงกับพื้น มี


คนร้องไห้แล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ...”

“รักษาต้าฮั่นเอาไว้ไม่ได้ เป็นความผิดของข้าคนเดียว” จงหลีอ้าว


ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าผิดต่ออดีตฮ่องเต้ ผิดต่อฉางหลิงโหว ...”

ลั่วหยางปักธงแคว้นฉู่ จงหลีอ้าวหมดหนทางเตรียมยอมแพ้ ทุก


อย่างนี้เยว่หวนซานไม่รู้เรื่องเลย
เมื่อสิบวันก่อน เยว่หวนซานเตรียมที่จะโจมตีกองทัพฮั่นที่ต้ังฐาน
บนเขา ถึงแม้กองทัพฮั่นจะชนะมาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าเยว่หวนซานรูด
้ ี
บุกลั่วหยางได้เร็วเท่าไหร่ ราชสํานักก็จะลดแรงกดดันลงเร็วเท่านั้น
ทหารกว่าแสนนายรุกล�าเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นฮั่น ถึงแม้มก
ี าร
สะสมเสบียงเอาไว้แล้ว แต่ที่มาหลักยังมาจากการส่งเสบียงมาถึงแคว้น
ฉู่

ดินแดนแคว้นฉูอ
่ ยู่ไกลมาก แต่ละวันทรัพยากรที่ใช้มน
ั ก็เป็น
จํานวนที่มาก

แคว้นฉูผ
่ ่านศึกใหญ่อย่างศึกแม่น�าฉินไหวมาแล้ว พวกเขาสูญเสีย
ไปมาก ศึกคราวนี้ เลยอยากจะฉวยโอกาสตอนที่เป่ยฮั่นมีปญ
ั หาภายใน
จัดการให้จบอย่างรวดเร็ว แต่ว่าศึกนี้มน
ั ก็ยืดเยื้อมาเกือบจะปีแล้ว
ถึงแม้ราชสํานักจะตรวจยึดได้ทรัพยากรมาเติมคลังจากไหวหนานอ๋อง
แล้วก็ตระกูลใหญ่ของตงไฮ่ แต่ว่าเวลานานก็ใช้ทรัพยากรมาก มันเป็น
ภาระของราชสํานัก

เยว่หวนซานมองการณ์ไกล เขารู้ว่าการทําศึกในดินแดนของแคว้น
ฮั่น เขาได้รับชัยชนะก็จริง แต่ว่าจะยึดเมืองลั่วหยางได้ไหม มันยังไม่มี
คําตอบ

หากสามารถทลายด่านของจงหลีอ้าวได้ ก็จะบุกไปถึงลั่วหยางได้
แต่ถึงเวลานั้นก็อาจจะเข้าหน้าหนาวแล้ว ถึงเวลานั้นสิง่ ของต่างๆ ก็จะ
ได้มามากขึ้น หากยึดลั่วหยางได้เร็ว ก็จะมีมาเพิ่มอีก แต่หากต้องทําศึก
นาน ยึดลั่วหยางไม่ได้สก
ั ที แล้วควรจะทํายังไงดีล่ะ?

ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ ลั่วหยางเป็นเมืองที่ใหญ่และแข็งแกร่งเป็นอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า

ชวีหยวนกู่มีทหารม้าเหล็กสามหมื่นนาย เรื่องนี้เขารู้ดี ในเมืองก็


เต็มไปด้วยเสบียงอาหาร เขาเองก็รู้ ทหารที่เฝ้าเมืองแข็งแกร่งมาก คิด
อยากจะตีเมืองให้แตกโดยเร็ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แต่ว่าลั่วหยางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ครั้งนี้จะได้รวบรวมแผ่นดินให้
เป็นหนึ่งแล้ว เยว่หวนซานจะพลาดไม่ได้ แคว้นฉู่เองก็จะพลาดไม่ได้
เช่นกัน

จะรับประกันการเพิ่มปริมาณจากด้านหลังได้ยังไง ยึดลั่วหยางได้
ยังไง เป็นปัญหาที่เยว่หวนซานคิดอยู่ท้ังวันทั้งคืน

แต่ว่าทหารกําลังจะประชิดเมืองลั่วหยางแล้ว เหลือแค่ด่านเดียว
เท่านั้น

จะลังเลไม่ได้อีก แล้วก็จะยื้อไม่ได้ด้วย

แต่ตอนที่เยว่หวนซานกําลังคิดจะบุกอย่างดุเดือด อี้เหิงอ๋องก็
ปรากฎตัวขึ้น
ฉีหนิงเป็นคนของจิ่นอีตระกูลฉี เยว่หวนซานเป็นคนที่จิ่นอีโหว
ปลุกปั้นมา ว่ากันจากใจ ครั้งแรกที่เห็นฉีหนิง เยว่หวนซานก็รูส
้ ึกสนิท
สนมกับเขายังไงบอกไม่ถูก

อี้เหิงอ๋องไม่ได้มาดื่มเหล้าเที่ยวเล่นกับเขาแน่นอน เขาบอกให้เยว่
หวนซานอย่าเพิ่งสั่งให้ทหารทําอะไร อีกทั้งรับประกันว่าภายในอีกครึ่ง
เดือน จงหลีอ้าวจะขอยอมแพ้ ทหารฮั่นจะแตกสลาย

อี้เหิงอ๋องพูดเรียบง่ายมากเยว่หวนซานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ครึ่งเดือน เวลาไม่มาก แต่ก็ไม่นอ


้ ย

หากบุกอย่างต่อเนื่อง ในเวลาครึ่งปี น่าจะยึดฐานบนเขา แล้วบุก


เข้าลั่วหยางได้ทันที

แต่หากไม่เคลื่อนกําลังพล ครึ่งเดือนกองทัพฮั่นจะแตกสลายและ
ขอยอมแพ้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันก็จะดีมาก เพราะหากต้องสู้กัน
จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายจํานวนมาก อีกฝ่ายไม่สู้แต่ขอยอมแพ้ มัน
เป็นเรื่องที่ดี

แต่ว่าหากหลังจากครึ่งเดือนไปแล้ว หากจงหลีอ้าวยังไม่ยอมแพ้ล่ะ
กองทัพฮั่นยังไม่แตกพ่าย แล้วจะทํายังไง? ต้องรู้ก่อนว่าเวลาครึ่งเดือน
มันต้องใช้ทรัพยากรจํานวนมาก อีกทั้งอีกฝ่ายยังมีเวลามากพอที่จะพัก
เตรียมตัว
แต่ว่าสุดท้ายเยว่หวนซานก็ยังเชื่อในตัวของอี้เหิงอ๋อง

ฉีหนิงตกลงแล้วก็อยู่ค้างแค่คืนเดียว เช้าวันต่อมาเขาก็จากไป เยว่


หวนซานไม่รู้ว่าฉีหนิงไปไหน

ตอนนี้วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ใกล้ครบกําหนดครึ่งเดือนแล้ว บนเขา


ไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวอะไรเลย เยว่หวนซานรู้สึกว่าสิ่งที่ฉห
ี นิงพูด
นั้นไม่นา่ จะเป็นจริง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าช่วงเที่ยง ฉีหนิงกลับมาที่ค่ายอีก
ครั้ง

“ท่านแม่ทัพกําลังร้อนใจอยู่ใช่ไหม?” ฉีหนิงเจอเยว่หวนซาน ก็ยม


้ิ
แล้วพูดว่า “ยังเหลืออีกสองสามวันกว่าจะครบครึ่งเดือน ไม่ต้องร้อนใจ
ไป ไม่แน่ว่าวันนี้จงหลีอ้าวอาจจะส่งหนังสือของยอมแพ้มาก็ได้นะ”

เยว่หวนซานยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ฉีหนิงกล่อมอยูพ
่ ักหนึ่ง เขารู้ว่าเยว่หวนซานปกติชอบเดินหมากรุก
เลยสั่งให้คนไปเอากระดานหมากรุกมา เขาเดินหมากในกระโจมกับเยว่
หวนซาน เยว่หวนซานเองก็ไม่รูว
้ ่าฉีหนิงคิดจะทําอะไร แต่เพราะยังไม่
ครบกําหนดเวลา รออีกสักหน่อยก็ได้ ท่านอ๋องน้อยอยากจะเดินหมาก
เขาเล่นเป็นเพื่อนก็ได้
แต่ว่าฝีมือการเดินหมากของท่านอ๋องน้อยนั้นธรรมดามาก ถึงแม้
เยว่หวนซานยอมให้เยอะมาก แต่ก็ยังชนะต่อกันสองรอบ พอรอบที่สาม
เยว่หวนซานรู้สก
ึ ไม่ดีเท่าไหร่ เลยยอมเดินผิด ให้เขาได้ชนะสักครั้ง

เขาเองก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าตอนงานชุมนุมจิงฮวา ฉีหนิงแสดงฝีมอ

เต็มที่มาก ฉีหนิงไม่เพียงเก่งด้านวาดเขียน ฝีมอ
ื เดินหมากก็นา่ ทึ่ง แต่ว่า
ท่านอ๋องน้อยในตอนนีเ้ ดินหมากเหมือนเพิง่ หัดเล่นเลย ข่าวลือที่ว่านั่น
หรือว่าจะเป็นเรื่องไม่จริง?
เล่มที่ 50 บทที่ 1489 คารวะแม่ทัพใหญ่

ตอนที่ท่านอ๋องน้อยกับเยว่หวนซานกําลังจะเริ่มเดินหมากรุกรอบ
ที่สี่ ก็เป็นช่วงเย็นของวันแล้ว ด้านนอกกระโจมก็มีคนมารายงานว่า
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ทูตของกองทัพฮั่นมาขอเข้าพบขอรับ”

เยว่หวนซานตกใจมาก เขาอดเงยหน้ามองไปที่ฉีหนิงไม่ได้ เห็นฉี


หนิงกําลังวางตัวหมากลงในโถ จากนั้นก็ลก
ุ ขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “มีแขกมา
เยือน ท่านแม่ทัพใหญ่ควรจะออกไปรับแขกนะ”

เยว่หวนซานพูดด้วยความตกใจว่า “ท่านอ๋อง หรือว่า ...”

“พบท่านทูตเมื่อไหร่ก็น่าจะชัดเจนแล้ว” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูด

เยว่หวนซานกับฉีหนิงเดินออกมาจากกระโจม แม่ทัพของกองทัพ
ฉู่เองก็เดินมาเหมือนกัน

“ท่านแม่ทัพใหญ่ ทูตของกองทัพฮั่นมา” มีขุนพลคนหนึ่งเดินขึ้น


หน้ามา “เพียงแต่พวกเขาสวมชุดประหลาดกันมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไร
ขึ้น”

ที่จริงไม่ต้องให้ใครพูด เยว่หวนซานก็รูส
้ ึกว่ามันแปลกๆ
พอมองไปที่คนกลุ่มนั้น มันเป็นสีขาวทั้งหมด ที่หมวกเกราะเองก็มี
ผ้าสีขาวผูกเอาไว้

ฉีหนิงมองเห็นชุดที่พวกเขาสวมใส่ ก็ขมวดคิ้ว เยว่หวนซานยืนอยู่


ข้างฉีหนิง ถึงแม้เขาจะเป็นผู้บญ
ั ชาการกองทัพฉินไหว แต่ฉีหนิงเป็นถึง
บรรดาศักดิ์ของแคว้น เยว่หวนซานไม่กล้ายืนอยู่หน้าฉีหนิง เขาลังเล
แต่ก็พด
ู เสียงเข้มออกไปว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”

กองทัพฮั่นส่งคนมาประมาณสิบกว่าคน คนด้านหน้าสุดไม่ใช่จงหลี
อ้าว แต่เป็นเหยาจื่อ ตอนนี้เขายื่นอยู่นอกค่าย พอประตูค่ายเปิดออก
เหยาจื่อก็ลงจากม้า เขาพาคนติดตามเข้ามาแค่สองคน มีคนเดินขึ้น
หน้าไปขอปลดอาวุธพวกเขา เหยาจื่อปลายตากระตุก แต่ว่า
สถานการณ์บังคับ เขาเองก็ต้องฝืนยอม

เมื่อเข้ามาภายในค่ายใหญ่ ทั้งสองข้างทางเป็นทหารฉูย
่ ืนเรียงแถว
กันอยู่ แล้วจ้องไปที่ขุนพลกองทัพฮั่นทั้งสามคน

ฉีหนิงมองไปที่พวกเหยาจื่อ ผู้ติดตามอีกสิบกว่าคน เห็นพวก


เหยาจื่อสวมชุดสีขาว เหมือนเขาพอจะเดาออกแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
สีหน้าของเขาดุดันขึ้นมาทันที

เหยาจื่อยื่นอยู่หา่ งจากฉีหนิงประมาณสองสามก้าว แล้วก็หยุดลง


“ข้าน้อยได้รับคําสั่งจากผู้บัญชาการใหญ่แห่งกองทัพฮั่น ให้นาํ
จดหมายฉบับนี้มาให้ ขอให้ท่านแม่ทัพเยว่รับไว้ด้วย” เหยาจื่อหยิบ
จดหมายออกมา แล้วยื่นออกไปให้สองมือ จากนั้นก็โค้งคํานับให้ แต่
ไม่ได้คก
ุ เข่า

มีขุนพลคนหนึ่งเดินหน้าขึ้นไป แล้วรับจดหมายมา จากนั้นก็หน



หลังเดินไปหาฉีหนิง เขาลังเล ไม่รู้ว่าควรจะมอบให้ท่านอ๋องน้อยหรือว่า
มอบให้เยว่หวนซาน ฉีหนิงส่งสายตาให้ส่ังให้เขามอบไปที่เยว่หวนซาน
ขุนพลคนนั้นถึงได้เดินไปมอบให้เยว่หวนซาน

เยว่หวนซานยื่นมือไปรับมา แต่ไม่ได้เปิดอ่านในทันที เขาหันไปพูด


กับเหยาจื่น “ท่านแม่ทัพจงหลีเขียนจดหมายขอยอมแพ้ง้ันเหรอ?”
ระหว่างที่พูดก็ค่อยๆ เปิดจดหมายออกแล้วอ่าน สีหน้าของเขา
เปลี่ยนไปทันที ทุกคนเห็นดังนั้น ก็รูส
้ ก
ึ แปลกใจ คิดในใจว่าปกติท่านแม่
ทัพใหญ่ของพวกเขาไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้าเลย หน้าเขาดูปกติ
ตลอดเวลา แล้วทําไมอ่านจดหมายครู่เดียว ถึงได้หน้าถอดสีขนาดนั้น

แต่ฉห
ี นิงกลับนิง่ มาก

เยว่หวนซานอ่านจดหมายจบแล้ว ก็ย่ น
ื ให้ฉห
ี นิงด้วยสองมือ ฉีหนิง
ยื่นมือไปรับมา แล้วอ่าน เขายิ้มแล้วพยักหน้า “เจตนาของท่านแม่ทัพ
จงหลีเรารับรู้แล้ว เพียงแต่ทําไมท่านถึงไม่มาด้วยตนเองล่ะ?”
เหยาจื่อสีหน้าเศร้า แล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่สิ้นแล้วขอรับ”

นอกจากฉีหนิงแล้ว คนอื่นต่างตกใจ เยว่หวนซานเองก็ตกใจ เขา


พูดว่า “ท่านแม่ทัพจงหลีเขา ......”

“ท่านบอกว่าท่านไม่อาจปกป้องดินแดนของต้าฮั่นเอาไว้ได้ ผิดต่อ
อดีตฮ่องเต้นัก อีกทั้งยังผิดต่อฉางหลิงโหวด้วย แล้วก็ผด
ิ ต่อประชา
ราษฏรต้าฮั่นทั้งหลาย ดังนั้น ...... ก็เลยปลดชีวิตเพื่อไถ่โทษ” เหยาจื่อ
เสียใจมาก “ก่อนท่านจะสิ้น สั่งให้ข้าน้อยนําจดหมายขอยอมแพ้มา
ให้กับท่านแม่ทัพเยว่ ทหารฮั่นทั้งหมด ก็ยินยอมที่จะยอมแพ้ต่อแคว้น
ของท่าน”

ทุกคนล้วนแต่ตกใจ พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาหน้า
นี้

ตลอดหนึ่งปีที่ผา่ นมา ทั้งสองแคว้นทําสงครามนองเลือดกันอย่าง


ดุเดือด ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ กองทัพฉู่ตอนนี้ถึงแม้จะได้เปรียบ แต่
ทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร มันเป็นเพราะเป่ยฮั่นมีปัญหาภายใน
การเมืองไม่ม่ันคง อีกทั้งเรื่องเสบียงอาหารก็มป
ี ัญหาหนัก แต่ถึงอย่าง
นั้นจงหลีอ้าวก็เป็นแม่ทัพที่มีศก
ั ดิ์ศรีและหัวแข็งมาก

ทหารทั้งสองแคว้นต่อสู้เพื่อนายของตนเอง แต่ทหารของกองทัพฉู่
ก็ยังคงนับถือจิตใจความองอาจของจงหลีอ้าวไม่น้อย
กองทัพฮั่นถอยทัพไปตั้งค่ายอยู่ที่บนเขาเหยาซาน ก็เพื่อเป็นกําบัง
ด่านสุดท้ายก่อนที่ข้าศึกจะบุกประชิดไปที่ล่ัวหยาง กองทัพฉูเ่ องก็
เตรียมพร้อมสําหรับการทําศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายไว้แล้ว ทุกคนรู้ดี ศึกครั้ง
นี้ต้องชนะเท่านั้น อีกทั้งยังต้องเกิดการสูญเสียมากด้วย

คิดไม่ถึงเลยว่า พอใกล้ถึงศึกตัดสิน จงหลีอ้าวกลับฆ่าตัวตาย แล้ว


สั่งให้คนนําจดหมายขอยอมแพ้มาให้ด้วย

เยว่หวนซานมองไปที่ฉห
ี นิง ยังไม่ถึงสิบห้าวัน แต่สิ่งที่อ๋องน้อยพูด
นั้นกลับเป็นจริง

เหยาจื่อมองออกว่าเหล่าขุนพลนั้นตกใจมาก เขาพูดว่า “ใช่ว่า


แคว้นฮั่นของเราไม่กล้าสู้ศึกกับพวกท่าน แต่ว่า ...... เราคิดไม่ถึงเลยว่า
ชวีหยวนกู่จะกล้าก่อกบฏปลงพระชนม์ฝ่าบาท ทําให้กองทัพของเรา
ขาดเสบียง ต้าฮั่นล่มสลายแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่อยากให้พี่น้องทหาร
ของเราต้องตายเปล่า ดังนั้นถึงได้ยอมแพ้”

“ชวีหยวนกู่ ...... ก่อกบฏงั้นเหรอ?” เยว่หวนซานพูดด้วยความ


ตกใจ

เหยาจื่อเห็นปฏิกิริยาของเยว่หวนซาน กลับรู้สก
ึ แปลกใจ “พวก
เจ้าไม่รู้เรื่องเลยงั้นเหรอ? หลังจากชวีหยวนกู่ปลงพระชนม์ฝ่าบาทแล้ว
ก็คุมลั่วหยางเอาไว้ แล้วปักธงแคว้นฉู่ พวกเขาสวามิภักดิ์แคว้นฉู่แล้ว”
สิ่งที่เหยาจื่อพูด มันเหลือเชื่อมากเกินไป เหล่าขุนพลทัพฉู่สงสัยว่า
ตัวเองฟังผิดรึเปล่า

เยว่หวนซานมองไปที่ฉห
ี นิง เหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไรแล้วว่าทําไม
เมื่อสิบกว่าวันก่อนอ๋องน้อยถึงได้ม่ันใจว่ากองทัพฮั่นต้องแตกกระเจิง
แน่

ชวีหยวนกู่ไม่มท
ี างสวามิภักดิ์กับแคว้นฉู่โดยไม่มีเหตุผลแน่ ทุก
อย่างนี้ ต้องเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องน้อยแน่

เพียงแต่ในเวลานี้ฉห
ี นิงดูสห
ี น้าเคร่งเครียดมาก

กองทัพฮั่นยอมแพ้ ถึงแม้เหล่ากองทัพฉูจ
่ ะโล่งใจ แต่กลับไม่ได้
รู้สึกยินดีขนาดนั้น บรรยากาศมันดูตึงเครียด ทันใดนั้นเองฉีหนิงก็
ตะโกนขึ้นมาว่า “เอาเหล้ามา”

มีคนเอาเหล้ามาไหหนึ่ง ฉีหนิงรับมา จากนั้นก็เกลี่ยดินเป็นที่กว้าง


เขาหันหน้าไปทางเขาเหยาซาน แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่ทัพ
ใหญ่จงหลีจงรักภักดีองอาจกล้าหาญ ขอให้ท่านไปสูภ
่ พภูมิที่ดี” จากนั้น
เขาก็เอาเหล้าสาดลงบนพื้น แล้วตะโกนเสียงดังว่า “คารวะท่านแม่ทัพ
ใหญ่จงหลี” จากนั้นเขาก็คก
ุ เข่าลงข้างหนึ่งกับพื้น รวมถึงเยว่หวนซาน
ด้วย ทุกคนหันหน้าไปที่เขาเหยาซานแล้วคุกเข่าขาข้างหนึ่ง เพื่อแสดง
ความเคารพให้กับจงหลีอ้าว
เหยาจื่อเห็นดังนั้น ก็นําผู้ติดตามสองคน คุกเข่าลงเช่นกัน

หิมะแรกของลั่วหยางในปีนม
ี้ าไวกว่าที่เคยเป็น ตอนเย็นหิมะก็
ค่อยๆ ถยอยลงมา มันตกลงมาทั้งคืน พอถึงเช้าวันต่อมา ทั่วทั้งเมืองลั่ว
หยางก็เป็นสีขาวทั้งหมด

นอกเมืองลั่วหยาง มีทหารซีเป่ยนับพันคนยื่นเรียงแถวซ้ายขวา ชวี


หยวนกู่นําเหล่าขุนนางกับทหารยืนรออยู่ที่นอกเมือง

ช่วงกลางวัน ก็เริม
่ เห็นธงปลิวไสว ธงมีจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆ มี
เสียงฝีเท้าม้า ทหารม้านับพันกําลังเคลื่อนที่มาทางนี้ ด้านหลังทหารม้า
มีทหารฉู่อีกนับหมื่นคนกําลังมุ่งตรงมาลั่วหยาง

เห็นธงรบกลางอากาศจํานวนมาก บวกกับเสียงฝีเท้าม้า ชวีหยวน


กู่ก็รู้สก
ึ ว่าเขาโชคดี แอบคิดในใจว่ากองทัพฉู่องอาจน่ากลัว กําลังรบไม่
ธรรมดาเลย หากเขาเลือกจะปกป้องลั่ว เขาก็คงไม่รอด

ทหารของเขา ปกป้องเมืองไว้ได้เหรอ?

ทหารกับขุนนางด้านหลังเขาล้วนแต่สห
ี น้าแตกต่างกันออกไป

ชวีหยวนกู่สองพ่อลูกฆ่าเป่ยถังเฟิง ปิดเมืองลั่วหยาง ปักธงของ


แคว้นฉู่ แล้วประกาศว่าเป่ยถังเฟิงไร้ความสามารถ ใต้หล้าควรได้
ฮ่องเต้ที่มีความสามารถ ฮ่องเต้แคว้นฉูป
่ รีชาสามารถ เป็นฮ่องเต้ที่มี
คุณธรรมสูง ดังนั้นพวกเขาสองพ่อลูกจึงยืนดีที่จะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นฉู่

พอมีประกาศแบบนี้ออกมา ทําให้เกิดการพูดถึงอย่างมากในลั่ว
หยาง

มีหลายคนไปยังหัวเมืองลั่วหยาง ด่าพวกเขาว่าเป็นกบฏขายชาติ
ลั่วหยางเริ่มเกิดการจลาจล

แต่ชวีหยวนกู่ไม่ได้เห็นว่าการจลาจลแบบนี้เป็นเรื่องใหญ่อะไร
ทหารซีเป่ยทั้งฆ่าทั้งจับ การนองเลือด ไม่นานก็จบลง เหล่าขุนนางก็
เข้าใจดี กองทัพฮั่นแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่มแ
ี ล้ว สถานการณ์มันเปลี่ยนแปลง
ไปแล้ว หากเวลานี้ออกมาคัดค้าน มีแต่รนหาที่ตายเท่านั้น จึงต้องจํา
ยอมอยูใ่ ต้อํานาจของชวีหยวนกู่

ชวีหยวนกู่ได้รบ
ั สารแจ้งจากกองทัพฉูว
่ ่าจะเข้ามาที่ล่ัวหยาง เขา
เลยพาเหล่าขุนนางมารอรับที่นอกเมือง

กองทัพฉู่ยิ่งใหญ่ ไม่นานเท่าไหร่ก็เข้ามาใกล้เต็มทีแล้ว มีมา้ สวม


ชุดเกราะเหล็กสะท้อนแสงหน้าสุด เขาคือผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพ
ฉินไหวเยว่หวนซาน

เยว่หวนซานเดิมคิดอยากจะเชิญฉีหนิงมารับการสวามิภักดิ์ของลั่ว
หยาง แต่ฉีหนิงปฏิเสธหนักแน่น ศึกคราวนี้ เยว่หวนซานเป็นคนนําทัพ
มา ตอนที่ชนะ ฉีหนิงไม่มีทางแย่งความดีความชอบของเขาแน่นอน
เขายืนยันจะให้เยว่หวนซานพาคนมาที่เมืองลั่วหยาง ส่วนเขาจะพา
ทหารอีกกลุ่มหนึ่งไปอ้อมไปทางด้านหลัง

พอเห็นเยว่หวนซานมา ชวีหยวนกู่ก็รีบนําคนเดินขึ้นหน้ามา
จากนั้นก็คุกเข่าลง แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “นักโทษชวีหยวนกู่ นํา
เหล่าขุนนางและขุนพลของลั่วหยางมาคํานับท่านแม่ทัพเยว่ นี่เป็น
รายชื่อและรายละเอียดเสบียงการคลังของเมืองลั่วหยางทั้งหมด เราขอ
มอบมันให้กับท่านแม่ทัพใหญ่” จากนั้นเขาก็หน
ั ไปส่งสัญญาณ ก็มีคน
รีบนําสมุดรายงานที่ว่ามาให้

เยว่หวนซานสั่งให้คนมารับมอบเอาไป จากนั้นก็กวาดสายตามอง
ไป แล้วถึงลงจากม้า แล้วเดินไปพยุงชวีหยวนกู่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
แม่ทัพชวีเห็นส่วนรวมมาก่อน ยอมสวามิภักดิ์ ต้าฉู่ของเราเป็นหนึ่ง
เดียวได้ ท่านเป็นผู้ที่มีผลงาน ข้าได้ทําการถวายฎีกาให้กับทางราช
สํานักแล้ว ชี้แจงถึงผลงานของท่านอย่างละเอียด หลังจากฝ่าบาททรง
ทราบแล้ว ทรงต้องดีพระทัยมากแน่นอน ถึงเวลานั้นทรงจะต้องมีปูน
บําเหน็จให้กับท่านแล้วก็เหล่าขุนนางด้วยแน่นอน”

“มิกล้า มิกล้า” ชวีหยวนกู่พูดว่า “ข้าน้อยคิดหน้าคิดหลังลังเลอยู่


นาน ไม่ได้ขอยอมสวามิภักดิ์สก
ั ที สมควรได้รับโทษ” เขายกมือขึ้นแล้ว
พูดว่า “เราได้เตรียมงานเลี้ยงไว้ต้อนรับท่านแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่เชิญ”
“ไม่ต้องรีบหรอก” เยว่หวนซานยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ทัพชวี ตอนนี้
ท่านเองก็ถือว่าเป็นขุนนางของแคว้นฉู่เราแล้ว ถ้าอย่างนั้นกองทัพซีเป่
ยของท่าน ก็ล้วนแต่เป็นทหารของแคว้นฉู่เรา ข้าคิดว่า ทหารซีเป่ยสม
ควรจะต้องจัดสรรกันใหม่ ให้มาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพฉู่จะดีกว่า ไม่
ทราบท่านคิดอย่างไร?”

ชวีหยวนกู่ถึงกับหน้าชา

ความหมายของเยว่หวนซาน เขาเข้าใจดี

ถึงแม้จะเปิดประตูเมืองลั่วหยาง รับทหารฉู่เข้าเมือง มอบ


รายละเอียดเสบียงและการคลังแล้ว แต่ในมือของเขายังมีทหารอยูอ
่ ีก
สามหมื่น ยังไงอีกฝ่ายก็ไม่วางใจ ดังนั้นเยว่หวนซานไม่รีบร้อนเข้าเมือง
เรื่องแรกที่เขาจะทําคือการจัดการกับทหารซีเป่ยก่อน พูดง่ายๆ ก็คือ
การปลดอํานาจและอาวุธของทหารซีเป่ย

ที่จริงเรื่องที่ก็เป็นเรื่องที่ชวีหยวนกู่เดาได้อยูแ
่ ล้ว

แต่ในตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือก เขาทําได้แค่แสดงท่าทางเห็นดีเห็นงาม


เขายกมือคํานับแล้วพูดว่า “สมควรแล้ว สมควรแล้ว” เขาแอบคิดในใจ
ว่า “ต้าฮั่นล่มสลายแล้ว กองทัพซีเป่ยก็ไม่เหลืออีกแล้ว”
เล่มที่ 50 บทที่ 1490 ฮ่องเต้ปกครองใต้หล้า

“ชนะลั่วหยางแล้ว ชนะลั่วหยางแล้ว”

ม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งผ่านบนถนนในตัวเมืองแคว้นฉู่ มุ่งตรงสูว
่ ังหลวง
ชาวบ้านสองข้างทางต่างวิ่งหลบม้ากันให้วุ่น

“ชนะลั่วหยางแล้วงั้นเหรอ?” บัณฑิตคนหนึ่งพูดอย่างยินดีว่า “ดู


ท่าจะยึดลั่วหยางได้แล้วสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า กองทัพฉู่องอาจกล้าหาญจริงๆ
ใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ต่อไปจะไม่มส
ี งครามอีกแล้ว”

คนรอบๆ เริ่มมารวมตัวกัน มีคนถามขึ้นมาว่า “ซ่งเซียงกง ยึดลั่ว


หยางได้แล้วจริงๆ เหรอ?”

“เจ้าก็นา่ จะรู้ เป่ยฮั่นมีปัญหาภายใน ต่อสู้กันเอง กองทัพฉู่ของเรา


บุกข้ามแม่น�าไปได้ง่ายเหมือนตัดไม้ไผ่ ท่านแม่ทัพเยว่องอาจกล้าหาญ
ตอนนี้ก็น่าจะบุกยึดลั่วหยางได้แล้วน่ะสิ” ซ่งเซียงกงชี้ไปที่ทหารส่งสาร
เมื่อกี้ “พวกเจ้าเองก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ เอาชนะลั่วหยางแล้ว และยึด
เมืองลั่วหยางด้วย เป่ยฮั่นแย่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้น ต่อไปก็ไม่มีสงครามแล้วสินะ”

“ใต้หล้าเป็นหนึ่งแล้ว ก็ไม่จําเป็นต้องทําสงครามแล้วล่ะ”
ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ หลายคนรีบไปบอกข่าวต่อๆ กัน
ไปอีก ทั่วทั้งเมืองหลวงเจี้ยนเยี้ยบรรยากาศมีความสุขมาก

เสนาบดีกรมกลาโหมหลูเซียวเองก็พาเหล่าขุนนางเดินทางเข้าวัง
ไป เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้น้อย เหล่าขุนนางไปรออยู่หน้าห้องทรงอักษร
พวกของหลูเซียวต่างคุกเข่าลงที่พ้ น
ื แล้วพูดพร้อมกันว่า “ยินดีกับฝ่า
บาท ได้รับชนะลั่วหยางได้ แม่ทัพเยว่ได้เข้าไปประจําการณ์ในเมืองลั่ว
หยางแล้ว”

ฮ่องเต้น้อยหลงไท่เดินออกมาจากห้องทรงอักษร เห็นเหล่าขุนนาง
คุกเข่ากันอยู่เต็มไปหมด ใบหน้าของหนุ่มน้อยที่ไม่อาจปกปิดความดีใจ
ไว้ได้ “จริงเหรอ ...... ยึดลั่วหยางได้แล้วเหรอ?”

“ฝ่าบาท แม่ทัพเยว่ถวายฎีกามาให้ กรมกลาโหมเพิ่งได้รับรายงาน


มาพะยะค่ะ” หลูเซียวเอาฎีกาออกมาถวายให้ “ผู้บัญชาการกองทัพฮั่น
จงหลีอ้าวปลิดชีพตัวเอง กองทัพฮั่นยอมปลดอาวุธขอยอมแพ้ แม่ทัพ
เยว่นําทัพไปที่ล่ัวหยาง กองทัพของเราได้ประจําการณ์อยู่ที่เมืองลั่ว
หยางแล้ว ท่านมหาเสนาบดีชวีหยวนกู่สังหารเป่ยถังเฟิง เปิดเมืองยอม
สวามิภักดิ์”

หลงไท่เปิดฎีกาออกอ่าน เขาเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดว่า “ความ


ปรารถนาของเหล่าอดีตฮ่องเต้ วันนี้เป็นจริงได้สักทีนะ”
เหล่าขุนนางพร้อมใจกันพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

หลูเซียวพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฝ่าบาท เรายึดเป่ยฮั่นได้แล้ว เป่ยฮั่น


ก็ถือว่าได้ล่มสลายลงแล้ว ใต้หล้าเป็นหนึ่ง ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็จะทรงเป็น
ฮ่องเต้ปกครองใต้หล้านีท
้ ้ังหมด ดินแดนแคว้นฉูข
่ องเราก็จะกว้างขวาง
ไร้ขอบเขต”

“ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”

เหล่าขุนนางคํานับให้เขาอย่างพร้อมเพรียง

“ถ่ายทอดคําสั่งไป เยว่หวนซานให้ประจําการณ์อยู่ที่ล่ัวหยางก่อน
กรมกลาโหมจัดทํารายการปูนบําเหน็จทั้งหมด ทหารกองทัพฉินไหวให้
รางวัลอย่างงาม” หลงไท่ยืดตัวขึ้น “กรมอาญาถ่ายทอดคําสั่งออกไป
ให้ทําการพระราชทานอภัยโทษทั่วแผ่นดิน”

เหล่าขุนนางพูดว่า “รับบัญชา”

หลูเซียวพูดขึ้นมาอีกว่า “ฝ่าบาท ในฎีกาของแม่ทัพเยว่รายงานว่า


ครั้งนี้ที่สามารถยึดลั่วหยางได้อย่างราบรื่น อี้เหิงอ๋องมีผลงานมากที่สด

อี้เหิงอ๋องลอบเข้าไปในเมืองลั่วหยาง เกลี่ยกล่อมให้ชวีหยวนกู่
สวามิภักดิ์ต้าฉู่ และเพราะการตัดสินใจของชวีหยวนกู่ เขาควบคุมลั่ว
หยางเอาไว้ได้ ทําให้กองทัพฮั่นขาดเสบียงอาหาร จงหลีอ้าวถึงได้ปลิด
ชีวิตตัวเอง”
หลงไท่ยิ้มแล้วพูดว่า “อี้เหิงอ๋องเป็นขุนพลเป็นดาวโชคของแคว้น
ฉู่เรา จะให้รางวัลเขายังไง ขอข้าคิดก่อนแล้วกัน”

พอเหล่าขุนนางกลับไปกันหมดแล้ว หลงไท่ก็ส่ังให้หลูเซียวอยู่ก่อน
หลงไท่ถึงได้พด
ู อย่างมีความสุขว่า “ท่านหลู ข้ารู้ว่าสักวันเราต้อง
รวบรวมแผ่นดินได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเร็วขนาดนี้ หลังจาก
แผ่นดินเป็นหนึ่งแล้ว ข้าก็จะได้ทําอะไรได้อย่างเต็มที่สก
ั ที หวังว่าพวก
เจ้าจะช่วยข้าด้วยนะ ทําให้ประชาราษฏ์อยู่เย็นเป็นสุข”

เห็นฮ่องเต้น้อยมีสง่าราศี หลูเซียวเองก็รู้สึกดีใจไปด้วย

เขาพูดว่า “ฝ่าบาททรงมีอุดมการณ์ คิดถึงแต่ประชาชน ถือเป็น


บุญของทุกคน กระหม่อมไร้ความสามารถ แต่ก็จะพยายามอย่างเต็มที่
ช่วยเหลือฝ่าบาททําให้ความสุขของเหล่าประชาชน”

หลงไท่หัวเราะ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่ามีเรื่องหนึ่ง เจ้าต้อง


ช่วยข้าคิดหน่อย”

“ทรงตรัสมาได้เลย”

“ก่อนที่จะไปลั่วหยาง อี้เหิงอ๋องเคยมาพบข้า เขาแจ้งข่าวกับข้าไว้


เรื่องหนึ่ง” ฮ่องเต้น้อยถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้ารู้เรื่องของต้าจงซื
อไหม?”
หลูเซียวตะลึงไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “กระหม่อมก็พอจะ
เคยได้ยน
ิ มาบ้าง ต้าจงซืออยู่อย่างเทพเจ้าก็ไม่ปาน ได้ยินมาว่าวรยุทธ์
ของพวกเขาเข้าขั้นเทพ มู่อวินโหวของเป่ยฮั่นเองก็เป็นต้าจงซือ แต่ว่า
คราวนี้แปลกมาก ชวีหยวนกู่ฆา่ เป่ยถังเฟิง มู่อวินโหวเป็นเชื้อพระวงศ์
แต่กลับไม่ได้ออกมาช่วย น่าแปลกจริงๆ”

“เขาตายแล้ว” หลงไท่พูดว่า “แต่ว่าไม่ใช่แค่เป่ยถังฮวยเย่นะ ต้า


จงซือทั้งหมดตายหมดแล้ว”

หลูเซียวตะลึงไป แล้วพูดว่า “ตาย ...... ตายหมดแล้วเหรอพะยะ


ค่ะ?”

“เรื่องนี้ห้ามกระจายข่าวออกไปเด็ดขาด” ฮ่องเต้น้อยพูดว่า “เป่ย


ถังฮวนเย่ตายแล้ว เทพกระบี่ของแคว้นเราก็ตายแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่นี้
ต่อไป ใต้หล้านีก
้ ็จะไม่มีต้าจงซืออีก”

หลูเซียวนิ่งไปแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร


วรยุทธ์ของต้าจงซือร้ายกาจมาก หากคิดไม่ซ่ อ
ื ขึ้นมา มันอาจทําให้ใต้
หล้าเกิดความวุ่นวาย ไม่มีต้าจงซือแล้ว ฝ่าบาทก็จะสามารถปกครองได้
อย่างเต็มที่ ไม่มอ
ี ุปสรรคอะไรอีก”

“ต้าจงซือไม่อยู่แล้ว แต่ว่าวรยุทธ์ของอี้เหิงอ๋อง ก็เหมือนจะเข้าขั้น


เทพเจ้าเหมือนกัน” หลงไท่พูดว่า “ก่อนหน้านีจ
้ ่ัวชิงหยางมาพบข้า นํา
แผนที่มามอบให้ ตามที่เขาว่ามา ตอนนี้ในใต้หล้ส อี้เหิงอ๋องก็ไม่ต่าง
จากต้าจงซือเพียงหนึ่งเดียว เพราะเหตุนี้ อี้เหิงอ๋องถึงได้มที
ความสามารถลอบเข้าไปในเมืองลั่วหยาง แล้วทําให้ชวีหยวนกู่
สวามิภักดิ์ต้าฉูข
่ องเราได้”

หลูเซียวตะลึงไป “อี้เหิงอ๋อง ..... เขาเป็นต้าจงซืองั้นเหรอพะยะ


ค่ะ?”

“เขาก็ไม่ใช่ต้าจงซือซะทีเดียวหรอก เพียงแต่ต้าจงซือจริงๆ ตาย


หมดแล้ว วรยุทธ์ของเขาก็เลยไม่มีใครต้านทานได้อีก เลยถือว่าเป็นต้า
จงซือ” หลงไท่ถอนหายใจ

หลูเซียวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็มีภัยต่อราชสํานัก ......”

หลงไท่ส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว อี้เหิงอ๋องไม่ใช่ต้า


จงซือหรอก ต่อข้าแล้วเขาก็ถือเป็นพี่นอ
้ ง คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจเขา แต่
ข้ารู้จักเขาดี” เขาพูดว่า “หากเขาต้องการ บัลลังก์นก
ี้ ็สมควรเป็นของ
เขา”

หลูเซียวตะลึงไป เขาเหมือนฟังไม่ค่อยเข้าใจ

คําพูดของหลงไท่ทําให้หลูเซียวฟังไม่เข้าใจ
เขารู้มานานแล้ว ว่าพ่อที่แท้จริงของฉีหนิงคือเป่ยถังชิง่ เขามี
สายเลือดของราชวงศ์เป่ยถัง

หลังจากต้าจงซือตายหมดแล้ว ใต้หล้านี้ไม่มใี ครมีวรยุทธ์สู้ฉห


ี นิง
ได้อีก อีกทั้งสายเลือดราชวงศ์เป่ยฮั่นในตัวเขา กลับกลายมาเป็นขุนนาง
คนสําคัญของต้าฉู่ เขาจําเป็นต้องเลือก

อีกทั้งเหมอืนฉีหนิงจะเลือกแล้ว

ฝีมือของฉีหนิง เขาจะเอาชีวิตแม่ทัพคนไหนในสามแคว้นเขาก็ทํา
ได้ง่ายๆหากเขาคิดจะเป็นศัตรูกับแคว้นฉู่ เอาชีวิตหลงไท่กับเยว่หวน
ซาน แคว้นฉู่เดือดร้อนแน่ ด้วยความสามารถของฉีหนิงง คิดจะยึดลั่ว
หยางไว้ในมือก็ไม่ใช่เรื่องยาก ก็เหมือนที่เขาบีบให้ชวีหยวนกู่สวามิภักดิ์
แคว้นฉู่ ขอแค่เขาคุมชวีหยวนกู่ได้ เขาก็น่งั ประจําการณ์ล่ัวหยางได้แล้ว
เปิดเผนฐานะที่แท้จริง ต่อให้มค
ี นคัดค้าน ก็ไม่มีใครทําอะไรเขาได้

แต่ว่าเขาไม่ได้ทําแบบนั้น อีกทั้งยังบีบให้ชวีหยวนกู่สวามิภักดิ์
แคว้นฉู่ แล้วยังทําให้กองทัพฮั่นยอมแพ้ จงหลีอ้าวฆ่าตัวตาย

วินาทีที่มีรายงานมาถึง หลงไท่ดีใจไม่ใช่เพราะแค่เขารวบรวม
แผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้แล้ว แต่เพราะสุดท้ายแล้วฉีหนิงเห็นเขาเป็น
เพื่อนจริงๆ
“ก่อนที่อี้เหิงอ๋องจะเดินทางไปลั่วหยาง เขาได้ย่ น
ื คําขอกับข้าไว้
อย่างหนึ่ง” หลงไท่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลังจากเขาปกครองใต้หล้า
ได้แล้ว เขาอยากจะขอลาออกจากทุกตําแหน่งรวมทั้งบรรดาศักดิ์ด้วย
เขาอยากเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ใช้ชีวิตอิสระสุขสบายไม่ต้องกังวล
อะไรอีก”

หลูเซียวแปลใจมาก “อี้เหิงอ๋องจะขอลาออกจากบรรดาศักดิ์เหรอ
พะยะค่ะ?”

หลงไท่พยักหน้าพยักหน้าแล้วพูดว่า “แต่ข้ายังไม่ได้รบ
ั ปากเขา
หลังจากที่ข้าขึ้นครองราชย์มา เขาช่วยข้ามากมายเหลือเกิน ข้าหวังว่า
ต่อไปปกครองใต้หล้าแล้ว เขาจะยังอยู่เคียงข้างข้า”

หลูเซียวนิ่งไป ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเข้าใจดี


อี้เหิงอ๋องก็หวังดี เขาไม่อยากให้ราชสํานักกดดันพระองค์มากเกินไป
เลยอยากจะออกห่างจากราชสํานัก ก็เพื่อหวังให้ฝ่าบาทสามารถ
ปกครองทุกอย่างได้อย่างเต็มที่”

“ข้าไม่กดดันเลยนะ” หลงไท่ยม
้ิ แล้วพูดว่า “เขาไม่เข้าใจความคิด
ของข้า”

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าถ้าอี้เหิงอ๋องต้องการใช้ชีวิตอิสระก็
สามารถทําได้ แต่ไม่จําเป็นต้องให้ออกจากศักดินา” หลูเซียวยิ้มแล้วพูด
ว่า “อี้เหิงอ๋องมีพระองค์ในใจ หากต่อไปฝ่าบาททรงมีเรื่องยากลําบาก
อะไร เขาไม่มมีทางนิ่งดูดาย กระหม่อมคิดว่า อี้เหิงอ๋องเป็นคนรักอิสระ
เขาอยากใช้ชีวิตที่ไม่มก
ี ฎเกณฑ์มาบังคับเขา หากเขายังอยู่ในราชสํานัก
ผลประโยชน์กับคนมากมาย มันจะทําให้เขาอึดอัดใจ ถ้าเช่นนั้น เขาไม่
ยุ่งเลยจะดีกว่า”

หลงไท่คิดตาม เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “มันอาจจะเป็นอย่างนั้น


จริงๆ ก็ได้” คิดถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “จริงสิ ลิ่งหูซวี่ที่อยู่ผู่
หยางยังมีทหารที่เหลือของตงฉีอีกสองหมื่นคน พวกเขายังไม่คิดยอม
แพ้อีกเหรอ?”

หลูเซียวยิ้มแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีฎีกาอีกหนึ่งฉบับจะ


ถวายพะยะค่ะ เดิมคิดว่าให้จบเรื่องของลั่วหยางแล้วค่อยรายงานอีกที
ทหารตงฉีที่เหลืออยู่ที่ผู่หยางยุ่งยากจริงๆ แต่ว่าอี้เหิงอ๋องคิดวิธไี ด้ เขา
ให้ชวีหยวนกู่นาํ ทัพทหารซีเป่ยบุกไปตีผห
ู่ ยาง ให้กองทัพซีเป่ยบุกไป
จัดการทหารตงฉีที่เหลือ เป็นแผนการที่ร้ายกาจมากทีเดียว”

หลงไท่ตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะออกมา

ตอนที่หลงไท่กับหลูเซียวหารือร่วมกับเหล่าขุนนาง ชวีหยวนกู่ก็ได้
นําทัพไปบุกเมืองผู่หยางแล้ว
ชวีหยวนกู่รู้ดีว่า เมืองผู่หยางยังมีทหารตงฉีที่เหลืออยู่ พวกเขา
กําลังใจถดถอยมาก ตอนที่เยว่หวนซานจัดสรรกําลังพลของทหารซีเป่ย
ใหม่ ชวีหยวนกู่ยังรู้สึกหดหู่ใจอยู่ คิดว่าคงต้องถูกปลดอาวุธแล้วแน่ แต่
คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วฉีหนิงจะให้เขายกทัพไปตีผห
ู่ ยาง

ถึงแม้ชวีหยวนกู่รู้ว่ามันคือการให้ทหารซีเป่ยกับทหารตงฉีฆ่าฟัน
กัน แต่หากเทียบกับการถูกริบอํานาจการทหารไปทันที มันก็ดีกว่ามาก
แล้ว

เพราะเขายังสามารถนําทัพทหารออกไปสร้างชื่อเสียงสร้าง
ผลงาน หลังจากบุกผูห
่ ยางได้แล้ว เขาก็ถือว่าได้ผลงาน ต่อไปเขาก็
อาจจะไม่ต้องก้มหัวให้ชาวแคว้นฉู่มาก

เขาคิดแบบนี้ แต่คนของเขากลับคิดอีกอย่างหนึ่ง

นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้สร้างผลงาน ใครก็ไม่อยากพลาด
ดังนั้นพอทัพใหญ่ประชิดเมือง แต่ละคนก็เสนอตัวออกไปรบ หวัง
อยากจะเป็นคนแรกที่สามารถยกทัพบุกเข้าเมืองผู่หยาง

แต่ว่าชวีหยวนกู่ได้รับคําสั่งจากฉีหนิงมาว่า หลังจากล้อมเมืองไว้
แล้ว ไม่ต้องรีบบุก รอสักสองวัน หากหลังจากสองวันเยว่หวนซานยังไม่
เปิดเมืองยอมแพ้ ก็ค่อยบุก
ดังนั้นหลังจากผู่หยางถูกล้อม เลยยังไม่ได้บุก แต่ต้ังค่ายล้อมรอ
เวลาสองวัน

ชวีหยวนกู่หวังให้เยว่หวนซานอดทน อย่าออกเมืองมาขอยอมแพ้
ไม่อย่างนั้นโอกาสในการสร้างผลงานของเขาก็จะไม่เหลือ

เขาอาจจะคิดไม่ถึงว่า เยว่หวนซานไม่ได้เปิดประตูยอมแพ้ เพราะคน


ที่มาล้อมคือชวีหยวนกู่
เล่มที่ 50 บทที่ 1491 ใต้หล้ากลับมาเป็นหนึ่ง

ลิ่งหูซวี่ในฐานะหนึ่งในสองกําแพงคู่ของแคว้นตงฉี เขาเคยมีความ
ทะเยอทะยาน คิดหวังจะใช้ปญ
ั หาระหว่างแคว้นฉู่และฮั่น ในการขยาย
อาณาเขตของแคว้นฉีอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ภายในแคว้นเป่ยฮั่นวุ่นวาย ทําให้แคว้นฉู่มีโอกาส และก็เปิด


โอกาสให้กับชาวแคว้นฉีด้วยเช่นกัน

แต่ว่าลิ่งหูซวี่คิดไม่ถึงเลยว่า ชาวแคว้นฉู่จะเจ้าเล่ห์ ไม่เพียงยกทัพ


ลอบโจมตีและบุกยึดซีเป่ยที่เป็นรังของชวีหยวนกู่ อีกทั้งยังแอบส่ง
ทหาร มาบุกยึดหลินจื่อด้วย

ลิ่งหูซวี่ฉวยโอกาสตอนที่หนีออกจากแคว้นฉี พาคนบุกไปยึดเมือง
ผูห
่ ยางมาได้ แล้วใช้ผห
ู่ ยางมาเป็นฐานที่ม่ันของกองทัพแคว้นตงฉี เพื่อ
รอโอกาสอีกครั้ง

เพียงแต่โอกาสยังไม่ทันมา แต่ข่าวร้ายกลับมีมาไม่หยุดหย่อน

ชาวแคว้นฉู่ควบคุมแคว้นฉีเอาไว้ กองทัพกเรือของเซินถูหลัวก็
พ่ายแพ้ยับเยิน ส่วนรัชทายาทตงฉีกับเซินถูหลัวก็ถูกนําตัวไปในแคว้นฉู่
เซินถูหลัวให้คนส่งสารมา เขาได้อ่านแล้ว ถึงแม้จะบอกว่าให้ล่ิงหูซวี่
สวามิภักดิ์ แต่มน
ั มีความหมายแฝงเพื่อให้ลิ่งหูซวี่พยายามยื้อไว้ให้นาน
ที่สุด เพื่อรอข่าวของโอกาสพลิกสถานการณ์

เพราะจดหมายฉบับนี้ มันทําให้ลิ่งหูซวี่กัดฟัน เพื่อรอพลิก


สถานการณ์

แต่ข่าวร้ายกลับมาอย่างต่อเนื่อง มันทําให้เขารู้แล้วว่าสถานการณ์
มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เมื่อได้ข่าวว่ากองทัพฉูไ่ ด้ยกทัพเข้าสู่เมืองลั่ว
หยางแล้ว ลิ่งหูซวี่สิ้นหวังแล้ว เขารู้ดีว่ามันไม่มโี อกาสที่จะพลิกแพลง
สถานการณ์ได้อีก

แคว้นล่มสลายแล้ว เมืองผู่หยางยื้อมาได้นานขนาดนี้ อาหารก็


เหลือไม่มากแล้ว อีกทั้งยังเป็นกองทัพที่โดดเดี่ยว ทหารที่ยังเหลืออยู่
สภาพจิตใจก็ย�าแย่มาก

เมื่อข่าวลั่วหยางตกไปอยู่ในมือของแคว้นฉู่มาแล้ว มันก็
หมายความว่าข่าวนี้จะต้องแพร่กระจายไปในเมืองผูห
่ ยางแล้ว

กองทัพฉีไม่มก
ี ําลังที่จะสู้อีกต่อไปแล้ว ลิ่งหูซวี่รู้ดีว่า ในเมื่อลั่ว
หยางพ่ายแพ้แล้ว ขั้นต่อไปของแคว้นฉู่ก็ต้องจัดการเมืองผูห
่ ยางที่เป็น
ปัญหาสุดท้าย

ชาวแคว้นฉู่หากบุกโจมตีเมือง แพ้ชนะแทบไม่ต้องคิดเลย
ลิ่งหูซวี่เป็นคนฉลาด เขารู้ดีว่าหากสูก
้ ันต่อไป มันไม่มป
ี ระโยชน์
มันมีแต่จะเพิ่มความสูญเสียให้มากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้จิตใจของ
ทหารแคว้นฉีเองก็สู้อะไรกับกองทัพฉู่ไม่ได้เลย

ภายในใจของเขา มีการเตรียมพร้อมสําหรับการของยอมแพ้ไว้
แล้ว

เขายังไม่รีบร้อนที่จะส่งคนเอาหนังสือของยอมแพ้ไปให้

เรื่องการยอมแพ้มันเป็นเรื่องหนึ่ง จะยอมเมื่อไหร่มันก็อีกเรื่องหนึ่ง
มันมีวิธก
ี ารของมันอยู่

ยอมแพ้เร็วเกินไป ก็จะโดนดูถก
ู แล้วจะทําให้ช่ อ
ื เสียงของเขาไป
ด้วยไม่ดีไปด้วย รอให้ทหารมาประชิดเมือง จนตกอยู่ในสภาพหนีไม่พ้น
ถึงเวลานั้นค่อยยอมแพ้ ก็ถือว่ายื้อจนถึงที่สุดแล้ว

แต่ว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่า คนที่นําทัพมานั้นจะเป็นชวีหยวนกู่

ชวีหยวนกู่เป็นใคร?

ก็แค่นักเลงที่อาศัยชายกระโปรงได้ไปเป็นใหญ่ในซีเป่ย เขาเป็นคน
ไม่เอาไหน ชื่อเสียงก็แย่ อีกทั้งยังฆ่าฮ่องเต้ขายชาติ ทําเรื่องที่ต้องถูก
ประณามไปอีกหมื่นปี
แล้วคนอย่างเขาจะต้องมายอมแพ้กับคนที่ไม่เอาไหนแบบนี้น่ะ
เหรอ?

มันไม่สมเหตุสมผลเลย

หากต้องยอมแพ้ให้กับชวีหยวนกู่ ชื่อเสียงของเขาคงไม่เหลือแล้ว
เขาตายได้ แต่ช่ อ
ื เสียงของเขาจะเสียหายไม่ได้

เดิมเขาคิดจะรอให้ทหารแคว้นฉู่บุกประชิดเมืองแล้วค่อยออกไป
ยอมแพ้ แต่วินาทีที่กองทัพซีเป่ยยกพลมา เขาก็เปลี่ยนใจ ไม่ว่ายังไง
เขาก็ก้มหัวให้ชวีหยวนกู่ไม่ได้เด็ดขาด เขาเลยออกคําสั่งไปว่า ให้รับศึก
อย่างเต็มที่ ต่อให้มก
ี ารจลาจลในกองทัพ เขาก็จะสู้จนถึงที่สุด

แต่ว่ากองทัพซีเป่ยกลับไม่ได้บุกเมือง แต่กลับล้อมเมืองผู่หยาง
เอาไว้เฉยๆ

ลิ่งหูซวี่รู้สึกขํา แอบคิดในใจว่าหรือว่ากองทัพซีเป่ยนั้นต้องการขัง
เขาให้ตายงั้นเหรอ?

ในเมืองเหลืออาหารไม่เยอะแล้ว แต่จะยื้อไปอีกสักเดือนก็ยังพอ
ไหวอยู่ หากลดปริมาณอาหารลง ก็น่าจะอยู่ได้แกสักสองถึงสามเดือน
ไม่ใช่เรื่องยาก ก็อยู่ที่ว่ากองทัพซีเป่ยจะรอถึงเวลานั้นได้รึเปล่า หากไม่
มีเสบียงอาหารแล้วจริงๆถึงเวลานั้นก็ออกไปตัดสินกับพวกเขาให้รู้ดํารู้
แดงไปเลย
ในเวลาดึก ลิ่งหูซวี่ยืนอยู่บนริมหน้าต่าง เขามองหิมะที่อยู่ในเรือน
กําลังคิดอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นเองด้านหลังของเขาก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น ลิ่งหูซวี่
สะดุ้ง เขาหันกลับมา ท่ามกลางแสงไฟ เขาเห็นเงาคนๆ หนึ่งยืนอยู่ห่าง
จากเขาไม่กี่ก้าว สิ่งแรกที่เขาคิดคือมีนก
ั ฆ่าเข้ามา เพราะหากไม่ได้รับ
อนุญาตจากเขา ไม่มีใครกล้าเข้ามาในห้องของเขาแน่นอน พอเห็นหน้า
คนที่มาชัด ลิ่งหูซวี่ก็ตกใจมาก เขาหลุดออกมาว่า “เจ้าเองเหรอ?”

คนที่มาคือฉีหนิง

ฉีหนิงเดินทางไปเป็นราชทูตในตงฉี ได้พบกับลิ่งหูซวี่หลายครั้ง ทั้ง


สองคนรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นยังไง

“ท่านเสนาบดีลิ่งหูกําลังคิดว่าควรจะทํายังไงดีใช่ไหม?” ฉีหนิงยิ้ม
แล้วเดินเข้าไปหา เมื่อลิ่งหูซวี่แน่ใจว่าเป็นฉีหนิง เขาก็นิง่ ขึ้นเยอะ
จากนั้นก็พูดว่า “มีนกพิราบส่งสารมาว่า แผนการของกลุ่มฝูผิงสําเร็จ
ลุล่วงไปได้ด้วยดี กลุ่มคนที่ไม่สมควรจะอยู่บนโลก ต่างตายไปกัน
หมดแล้ว”

ฉีหนิงพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าท่านเองก็


จะเป็นคนในกลุ่มฝูผิงด้วย”
ลิ่งหูซวี่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนั้นศิษย์พี่จ่ัวพยายามกล่อมให้
ข้าเข้ากลุ่มฝูงผิง ข้าเองก็คิดอยูน
่ านเหมือนกัน แต่ที่เขาพูดมานั้นมันก็
ถูก การคงอยู่ของพวกเขา มันอันตรายต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ หาก
วันใดวันหนึ่งพวกเขาเกิดคลั่งขึ้นมา โลกนี้จะต้องโกลาหลแน่นอน” เขา
นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ศิษย์พบ
ี่ อกว่า แผนการของกลุ่มฝูผิงนั้น
สําเร็จได้ เป็นเพราะท่านอ๋อง หากท่านอ๋องไม่ลงมือ ผลลัพธ์อาจจะเป็น
อีกอย่างหนึ่งก็ได้”

ฉีหนิงกับลิ่งหูซวี่ยืนอยู่ข้างกันริมหน้าต่าง ต่างมองออกไปนอก
หน้าต่าง เขานิ่งไปอยู่นาน ถึงได้พูดว่า “ต้าจงซือไม่อยู่บนโลกนีแ
้ ล้ว
ตอนนี้ท่านกังวลอนาคตของทหารสองหมื่นคนในเมืองผู่หยางใช่ไหม”

“ที่จริงมันมีไม่ถึงสองหมื่นคนมานานแล้ว” ลิ่งหูซวี่พด
ู ว่า “แคว้น
ล่มสลาย มันไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมสู้จนถึงสุดท้าย หลายเดือนที่ผ่านมา
คนที่แอบหนีไปมีกว่าพันคน มาถึงขึ้นนีแ
้ ล้ว ข้าเองก็ไม่ขัดขวางการ
ตัดสินใจของใครทั้งนั้น ถ้าอยากไป ข้าก็จะทําเป็นไม่รู้ไม่เห็น”

“ท่านสิน
้ หวังไปแล้วเหรอ?”

ลิ่งหูซวี่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “การกอบกู้แคว้นฉีคืนมานั้น ข้าสิน


้ หวัง
ไปแล้วจริง แต่ว่ากลับโลกใบนี้ ข้ากลับยังมีความหวังอยู่ กองทัพแคว้นฉู่
ยึดลั่วหยางได้แล้ว ก็ถือว่าถึงเวลาที่ใต้หล้าจะได้รับความสงบสุขแล้ว”
ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านเป็นคนมีความสามารถ หาก
สามารถสวามิภักดิ์ต้าฉู่ได้ จะต้องได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท
เป็นแน่”

“หากสวามิภักดิ์ต่อแคว้นฉู่ มันไม่กลายเป็นคนทรยศต่อแคว้นฉีง้ัน
เหรอ?”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “หากท่านเป็นคนไม่เอาไหน ข้าคงไม่พด
ู เรื่อง
แบบนี้กับท่านแน่นอน ท่านเข้าร่วมกลุ่มฝูผิง นั่นก็หมายความว่าท่านไม
ได้สนใจแค่แคว้นใดแคว้นหนึ่งจะอยู่หรือไป แต่ว่าท่านเป็นห่วงทุก
สรรพสิ่งในใต้หล้านี้” เขาเอามือไขว้หลังข้างหนึ่งแล้วพูดว่า “แคว้นตงฉี
เล็กๆ แคว้นเดียว ท่านยังสามารถทําให้การปกครองมีระบบระเบียบได้
อย่างดี นั่นแสดงว่าท่านมีความสามารถมากแค่ไหน คนเรามี
ความสามารถนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่หากไม่มเี วทีในการแสดง
ความสามารถนั้นออกมา มันจะกลายเป็นเรื่องไม่ดีไป เทียบกับแคว้นฉี
แล้ว แคว้นฉู่สามารถเป็นเวทีให้ท่านแสดงความสามารถที่ใหญ่มากกว่า
แล้วด้วยความสามารถของท่าน ก็สามารถสร้างความสงบสุขของ
ชาวบ้านมากขึ้นกว่าเดิม”

ลิ่งหูซวี่เข้าใจว่าฉีหนิงหมายความว่ายังไง คนฉลาดพูดแค่ไม่กี่คําก็
เข้าใจแล้ว
ลิ่งหูซวี่เป็นเสนาบดีของแคว้นฉี เขาต้องคิดถึงความก้าวหน้าที่มี
มาก่อนอยู่แล้ว แต่ว่ายังไงซะแคว้นฉีก็เป็นแคว้นเล็ก สําหรับลิ่งหูซวี่
แล้ว มันไม่สามารถแสดงความสามารถที่เขามีอยู่ได้เลย

เขาไม่ใช่คนไม่เอาไหน หากแคว้นฉียังอยู่ เขาก็จะทําทุกอย่างเพื่อ


ภักดีต่อแคว้น แต่ว่าตอนนี้แคว้นฉีไม่อยู่แล้ว หากเขายังฝืนต่อไป มันก็
ไม่มีประโยชน์ เรื่องนี้เขานั้นรูด
้ ีกว่าใคร

เขากับจั่งชิงหยางถึงแม้จะจบมาจากสํานักเดียวกัน แต่ว่านิสัยไม่
เหมือนกัน อุดมการณ์ก็ต่างกันด้วย

จั่วชิงหยางไม่ชอบเรื่องการเมือง ชอบอยู่อย่างอิสระ เขาอยาก


ถ่ายทอดวิชาของเขาให้สืบต่อไปเรื่อยๆ

ส่วนลิ่งหูซวี่กลับหวังอยากจะทํางานในราชสํานัก หากสามารถใช้
วิชาที่เรียนรู้มาในการปกครองสร้างชื่อเสียงได้ ถือว่าเป็นความฝันอัน
สูงสุดแล้ว

“หากท่านคิดว่าสิ่งที่ขา้ พูดนั้นมีเหตุผล ก็เขียนฎีกาถวายมาเถอะ”


ฉีหนิงพูดว่า “ใต้หล้าเป็นหนึ่งแล้ว ชาวบ้านที่เร่ร่อน ที่ทุกข์ยาก ตอนนี้ก็
จะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ท่านมีความสามารถเหนือคนอื่น หากสามารถ
ออกนโยบายการบริหารสถานการณ์ปจ
ั จุบัน ฝ่าบาทจะต้องทรงดี
พระทัยแน่นอน”
ลิ่งหูซวี่รู้ว่าฉีหนิงอยากจะส่งเสริมความก้าวหน้าให้เขาได้ไป
ทํางานช่วยเหลือหลงไท่ เขานิ่งไป แล้วพูดว่า “ทําไมท่านอ๋องถึงได้ให้ช
วีหยวนกู่ยกทัพมาบุกผูห
่ ยาง?”

ฉีหนิงหันหัวกลับมา แล้วมองไปที่ลิ่งหูซวี่ เขายิ้มแล้วพูดว่า “แต่ละ


คนมีความคิดเป็นของตัวเอง ลิ่งหูซวี่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ข้าเดาใจ
ท่านไม่ออก หากท่านดึงดันและยืนยันจะยื้อป้องกันต่อไป ข้าเองก็ต้อง
สั่งให้ชวีหยวนกู่บุกโจมตี พวกเขาคิดอยากจะสร้างผลงาน ให้พวกเขา
มาบุกเมือง ยังไงก็ต้องสําเร็จ”

ลิ่งหูซวี่ได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะร่าออกมา

ชวีหยวนกู่คิดอยากจะบุกเมืองผู่หยางให้ได้ เพื่อให้เขาได้มีผลงาน
ใครจะคิดว่าฉีหนิงจะลอบเข้าเมืองมาลําพัง ศึกเมืองผูห
่ ยางมันมีแต่ช่ อ

แต่ไม่มก
ี ารนองเลือด วินาทีที่ประตูเมืองผู่หยางเปิดออก ฉีหนิงกับลิ่ง
หูซวี่เดินออกจากเมืองมาพร้อมกัน มันทําให้ชวีหยวนกู่ทําอะไรไม่ได้
เลย

ลิ่งหูซวี่นําทหารตงฉีสวามิภักดิ์แคว้นฉู่ แต่กลับยอมสวามิภักดิ์กับฉี
หนิง ไม่ใช่ชวีหยวนกู่

ชวีหยวนกู่รู้สก
ึ งงมาก อีกทั้งยังกลับไปเมืองหลวงหยางพร้อมเขา
ด้วย
เขากลับไปลั่วหยาง แต่กองทัพซีเป่ยไม่ได้กลับไปพร้อมกันทั้งหมด
แต่พวกเขาได้รบ
ั คําสั่งทหาร ให้ปรับให้ทหารตงฉีกับทหารซีเป่ยอยู่
ร่วมกัน จากนั้นก็ส่งให้พวกเขาไปประจําการณ์ตามเมืองต่างๆ ในแคว้น
ฮั่น คนกว่าหมื่นคน แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง กองทัพซีเป่ยกับก
องทัพตงฉีแตกสลายแยกออกจากกันไปตามเมืองต่างๆ

เดิมในแคว้นฮั่นกลุ่มอํานาจในแต่ละท้องที่เตรียมที่จะก่อจลาจล
และเริ่มมีการเคลื่อนไหวบ้างแล้ว แต่พอกองทัพฉู่เข้ามายังเมืองลั่ว
หยางแล้ว พวกที่คิดจะตั้งตนเป็นใหญ่ก็ล้มเลิกความคิดไป

กองทัพซีเป่ยกับกองทัพตงฉีกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆทุกที่ที่พวก
เขาไป ประตูเมืองจะเปิดออกต้อนรับทันที บนหัวเมืองก็ต่างปักธงของ
แคว้นฉูแ
่ ล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงทําให้กองทัพซีเป่ยกับกองทัพตงฉีกแยก
ออกจากกันไม่อยู่เป็นกลุ่มก้อน แต่ยังสามารถส่งสัญญาณเตือนไปยัง
กลุ่มอํานาจต่างๆ ในแคว้นฮั่นได้ด้วย อย่างน้อยๆ ในเวลานีก
้ ็ยังไม่มีใคร
กล้าทําอะไร

ฉีหนิงรู้ว่าแคว้นฉู่คิดจะละลายเป่ยฮั่น แล้วหลอมรวมให้เป็นหนึ่ง
เดียวกับแคว้นฉูม
่ ันไม่ใช่เรื่องแค่วันสองวัน หลังจากนีย
้ ังมีเรื่องซับซ้อน
อีกมากมายแต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องไปคิดกังวลแทน คิดว่าพอ
กองทัพฉู่เข้าประจําการณ์ในเมืองลั่วหยางแล้ว เหล่าขุนนางแคว้นฉู่คง
เริ่มวางแผนการบริหารจัดการประชากรแล้วก็พ้ น
ื ที่แคว้นเป่ยฮั่นแล้ว

ลั่วหยางกับผู่หยางตกมาอยู่ในมือของแคว้นฉู่โดยไม่มีการเสีย
เลือดเสียเนื้อแลย ฉีหนิงเป็นคนที่มีผลงานมากที่สด

แต่ฉห
ี นิงไม่ได้ดีใจมากขนาดนั้น เขาคิดว่าเขายังไม่ถึงขั้นของต้า
จงซือ แต่ก็สามารถใช้กําลังที่เขามีจัดการอะไรได้หลายอย่าง ต้าจงซือที่
ตายไป หากคิดจะเข้ามาร่วมวงการชิงแผ่นดิน ใต้หล้าคงวุ่นวายไปนาน
แล้ว

เซี่ยงไป๋อิ่งเคยบอกว่า ต้าจงซือมีความสามารถในการคุ้มครองแคว้น
หนึ่งแคว้น ตอนนั้นเขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันคือ
เรื่องจริง ต้าจงซือไม่เพียงสามารถคุ้มครองแคว้นได้ แต่ยังสามารถใช้
กําลังในฐานะมนุษย์ในการก่อความวุ่นวายได้
เล่มที่ 50 บทที่ 1492 ไม่สบายใจเลยแม้แต่วันเดียว

สองพ่อลูกชวีหยวนกู่พาคนจํานวนหนึ่งกลับมายังลั่วหยาง แต่พวก
เขารู้สึกมึนงงมาก

เมื่อไม่นานมานี้ ลั่วหยางยังอยู่ในกํามือของเขาอยู่เลย มีเสบียง


อาหารนับไม่ถ้วน ในมือยังมีทหารอีกสามหมื่นคน เขาแค่จาม สะเทือน
ไปถึงขุนนางในลั่วหยางทั้งหมด แต่ว่าภายในระยะเวลาไม่กี่วัน คนที่
ติดตามเขาอยู่ในลั่วหยางมีแค่ไม่กี่พันคน อีกทั้งเสบียงอาหารในเมือง
ทั้งหมดก็อยู่ในกํามือของกองทัพฉู่

พอคิดถึงว่าทั้งบ้านทรัพย์สินเงินทองของเขาถูกกองทัพฉู่เอาไป
หมด เขาก็รู้สก
ึ เจ็บปวด

เพียงไม่กี่วัน ไม่มีใครมาสนใจพวกเขาอีกเลย บ้านเงียบเหงามาก

แต่ว่าต่อให้พวกเขาไม่พอใจแค่ไหน แล้วพวกเขาจะทํายังไงได้อีก?

ลั่วหยางเป็นลั่วหยางของชาวแคว้นฉู่ไปแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะ
มานั่งนึกว่าจะกอบกู้วันวานมายังไง แต่ต้องกังวลก่อนว่าศัตรูในลั่วหยา
งจะกลับมาแก้แค้นพวกเขาเมื่อไหร่
ชวีหยวนกู่ไม่ได้ลืมหรอกนะ ว่าตอนที่พวกเขานํากําลังของกองทัพ
ซีเป่ยบุกเข้ามาในลั่วหยาง เขาทําการปล้นสะดมรังแกชาวบ้านไว้มาก
แค่ไหน ขุนนางในลั่วหยางแค้นเขาอย่างกับอะไรดี เรื่องนี้ยังไม่เท่าไหร่
แต่ว่าเขาพาคนบุกเข้าไปในวังหลวง ชวีม่านอิงใช้ธนูรด
ั คอเป่ยถังเฟิง
มันยิ่งทําให้คนในลั่วหยางแค้นเขาเข้ากระดูกดํา

เขาเริม
่ การสังารกวาดล้างก่อน ถึงแม้ขุนนางชาวบ้านในลั่วหยาง
จะไม่กล้าทําอะไรในตอนนี้ แต่ก็เพราะแบบนี้ ชาวแคว้นฉู่ยึดลั่วหยางได้
แล้ว คนที่ชาวเป่ยฮั่นเกลียดนั้นไม่ใช่ชาวแคว้นฉู่ แต่เป็นสองพ่อลูกชวี
หยวนกู่ที่ขายชาติ

หลังจากกองทัพแคว้นฉู่เข้าเมืองมาแล้ว พวกเขามีกฎระเบียบ
ชัดเจน ไม่เคยรังแกหรือทําอะไรชาวบ้านเลย ทหารคนไหนที่ก่อเรื่องใน
เมือง จะถูกจับและตัดสินโทษทันที อีกอย่างเยว่หวนซานก็ติดประกาศ
อย่างชัดเจนว่า ทุกกิจการงานในลั่วหยาง ให้ทําตามปกติที่เคย จะทํา
การค้าก็ทําไป จะเรียนหนังสือก็เรียนไป หากทหารฉู่คนใดก่อกวนรังแก
ชาวบ้าน สามารถร้องเรียนไปที่หน่วยงานได้ หากตรวจสอบแล้วว่าเป็น
จริง จะลงโทษทหารฉูค
่ นนั้นอย่างหนัก ไม่ว่าจะมีผลงานมาน้อยแค่ไหน
ทุกอย่างจะถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
พอทุกอย่างเป็นแบบนี้ ขุนนางในลั่วหยางก็ลดความเป็นศัตรูกับ
กองทัพแคว้นฉูล
่ ง แต่ละคนกลับไปทําหน้าที่ของตัวเอง กองทัพแคว้นฉู่
สบายมาก ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มชื่นชมชื่นชอบกองทัพฉู่ด้วย

ตั้งแต่เป่ยถังฮวนตายไป องค์ชายของพวกเขาก็ช่วงชิงบัลลังก์กัน
เมืองลั่วหยางเกิดความโกลาหล ชาวบ้านถูกรังแก ใครก็อยากให้ล่ัวหยา
งกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง ราชสํานักเป่ยฮั่นทําอะไรไม่ได้เลย แต่กลับ
กลายเป็นว่าคนต่างถิ่นที่รุกรานเข้ามากลับทําได้แทน มันเลยทําให้
เหล่าขุนนางลั่วหยางกับชาวบ้านพึงพอใจและมีความสุข

ส่วนกองทัพฉู่เองก็ไม่ได้ส่ังลงโทษอะไรขุนนางลั่วหยาง ขุนนาง
หลายคนยังคงอยู่ในตําแหน่งของตัวเอง ทําหน้าที่ทุกอย่างเหมือนเดิม
แม้แต่เงินเดินก็ยังได้อยูเ่ หมือนเดิม

ชาวบ้านไม่ต้องหวาดกลัวหรือหวาดระแวง ขุนนางก็ไม่ต้องกังวล
ใจ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ลั่วหยางกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ถึงแม้หัวเมือง
จะเปลี่ยนธงชาติแล้ว แต่ว่าหลายคนก็ไม่ได้รู้สก
ึ ว่ามีการเปลี่ยนแปลง
อะไรไป

แต่ว่าสองพ่อลูกชวีหยวนกู่กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างกับฟ้ากับเหว
เลย
เป่ยฮั่นล่มสลายแล้ว แต่ว่ายังคงมีคนที่ยังภักดีต่อเป่ยฮั่นอยู่ พวก
เขาไม่ได้เกลียดชาวแคว้นฉู่ แต่พวกเขาแค้นสองพ่อลูกตระกูลชวี จน
แทบอยากจะฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ

สิ่งที่สําคัญที่สด
ุ คือ หลังจากกองทัพแคว้นฮั่นสวามิภักดิ์แคว้นฉู่
แล้ว ถึงแม้จะมีการจัดระเบียบใหม่ท้ังหมด แต่ว่าขุนพลหลายคนใน
กองทัพนั้นต่างได้กลับมาลั่วหยาง

หากไม่ใช่เพราะชวีหยวนกู่ขายชาติไปเข้ากับศัตรู กองทัพฮั่นก็คง
ไม่แพ้ท้ังๆ ที่ยังไม่ได้สู้ จงหลีอ้าวก็คงไม่ต้องฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้
ความผิด ลั่วหยางเสียเมือง สองพ่อลูกตระกูลชวีคือคนที่มีโทษหนัก
ที่สุด คนของจงหลีอ้าวเกลียดพวกเขาสองพ่อลูกเข้ากระดูกดํา

ได้ยินมาว่าชาวแคว้นฉูน
่ ้น
ั ใจดีกับขุนพลของจงหลีอ้าวมาก ไม่
เพียงให้พวกเขาได้กลับมาเจอกับครอบครัว แต่ยังให้อิสระกับพวกเขา
ด้วย

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาขุนพลของจงหลีอ้าวมาเดินผ่านหน้า
จวนของชวีหยวนกู่บ่อยๆ ชวีหยวนกู่รับรายงานมา ก็หลบหลังประตู
แล้วแอบมองออกไป ไม่ผิดอย่างที่มีรายงานมาเหล่าขุนพลพวกนั้นพก
อาวุธเดินผ่านไปผ่านมาจริงๆ เวลาที่เดิน่าน ก็มก
ี ารเดินช้าๆ แล้วมอง
มาที่ประตูด้วย สายตาของพวกเขามีแต่ความอาฆาตแบบอย่างจะฆ่าให้
ตาย
มันทําให้สองสามวันที่ผ่านมา ชวีหยวนกู่รู้สก
ึ กระวนกระวายใจ
มาก

โชคดีที่เขายังมีพวกองครักษ์ของเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นชวีหยวนกู่คิด
ว่าพวกเขาคงบุกเข้ามาในจวน แล้วจัดการหั่นพวกเขาสองพ่อลูกจนเละ
แน่นอน

กลางวันเขาหวาดระแวง กลางคืนเขาหวาดกลัว มีบางครั้งยังรู้สึก


ว่าหลอนไปเองด้วย เขากังวลว่าองครักษ์ของเขานั้นจะถูกคนของจงหลี
อ้าวซื้อตัวไป พอเห็นองครักษ์พกดาบเข้ามาใกล้เขา เขาก็จะกลัว สอง
พ่อลูกไม่สบายใจเลยสักวันเดียว กลัวว่าจะมีคนมาตัดหัวพวกเขา
เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เขาทนทรมานแบบนี้อยู่หลายวัน ในที่สุดฉีหนิงก็ส่งคนมา เขาบอก


ว่าฮ่องเต้แคว้นฉู่มีราชโองการปูนบําเหน็จมา คืนนี้จะมีการจัดงานเลี้ยง
ให้สองพ่อลูกไปรับราชโองการในงานเลี้ยง

ชวีหยวนกู่รู้ดีว่า ราชโองการนั่นมันคือการแต่งตั้งให้เขาเป็นจิ้
นอ๋องอย่างเป็นทางการ แต่ว่าจิ้นอ๋องของเขาในครั้งนี้ไม่เหมือนจิ้นอ๋อง
ที่เขาเคยเป็นก่อนหน้านี้ เมื่อก่อนเขาเป็นจิ้นอ๋องของเป่ยฮั่น มันไม่มค
ี ่า
อะไรอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เขาได้รับแต่งตั้งเป็นจิ้นอ๋องของแคว้นฉู่ แต่ยังไง
เขาก็ยังเป็นอ๋องอยู่
เขาก็หวังว่าหลังจากที่เขาได้รับการแต่งตั้งแล้ว พวกเขาสองคนจะ
ได้ออกจากลั่วหยางโดยเร็วที่สุด ไปเมืองเจี้ยนเยี้ยก็ดี ต่อให้ไปเมือง
เจี้ยนเยี้ยไม่ได้ ไปที่อ่ ืนก็ยังดี แต่ว่าลั่วหยางพวกเขาอยูต
่ ่อไปอีกไม่ได้
แล้ว

สองพ่อลูกเพื่อไปรับราชโองการแล้ว ยังตั้งแต่อาบน�าแต่งตัวให้
สะอาด เพราะพวกเขาหวาดระแวงมาหลายวันแล้ว กินนอนก็ไม่หลับ
พวกเขาดูโทรมกันมาก

ตอนที่ออกจากจวน สองพ่อลูกยังพาองครักษ์ติดตามไปด้วยอีกสิบ
กว่าคน ส่วนพวกเขาสองคนก็พกดาบไปด้วย เพราะกลัวถูกลอบฆ่า
กลางทาง

ยังดีที่ตลอดการเดินทางไม่เกิดเหตุอะไรขึ้น ถึงแม้รม
ิ สองฟากถนน
จะมีคนจ้องมองพวกเขาสองพ่อลูก มีการนินทางวิพากษ์วิจารณ์กัน
บางคนเอาก้อนหินเอาไข่มาขว้างปาใส่พวกเขา แต่ว่ามีองครักษ์คอยคุ้ม
กันอยู่ ทั้งสองคนเลยไปยังจวนแม่ทัพใหญ่อย่างปลอดภัย

จวนแม่ทัพใหญ่เคยเป็นจวนของฉางหลิงโหวเป่ยถังชิ่งมาก่อน
หลังจากที่เป่ยถังชิ่งถูกกักบริเวณที่เขาเก้าตําหนัก จวนหลังนีก
้ ็ร้างมา
นาน หลังจากกองทัพแคว้นฉู่เข้าเมืองมาแล้ว ก็ส่งั ให้ทําความสะอาด
จวนของเป่ยถังชิ่งใหม่ แล้วให้เยว่หวนซานไปอยู่เป็นการชั่วคราว คืนนี้
จัดเลี้ยง ก็เลยสั่งให้จัดที่จวนแม่ทัพใหญ่
นอกจวนแม่ทัพใหญ่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ก่อนที่สองพ่อลูก
จะเข้าจวนไป ต้องปลดอาวุธออกก่อน

ชวีหยวนกู่ไม่รู้ว่ามีคนมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนีก
้ ี่คน เขาถูกเชิญให้
มาที่ห้องโถงใหญ่ เขากลับพบว่าในห้องโถงนั้นไม่มีคนอื่นอยู่เลย มีการ
จัดที่น่งั ตรงกลางที่เป็นที่น่ังหลัก แล้วก็มีที่น่งั ด้านซ้ายและด้านขวา
เท่านั้น แสดงว่างานเลี้ยงในวันนี้ไม่ได้เป็นงานใหญ่ หลังจากถูกพามา
นั่งที่ด้านซ้ายแล้ว เขาก็ยังใม่เห็นใครมา ภายในห้องโถงใหญ่เงียบเหงา
มาก พวกเขาก็เริ่มรู้สึกเกร็ง

ทันใดนั้นเองก็มเี สียงฝีเท้าคนเดินมา พวกเขาหันไปมองประตู


ด้านข้างเห็นมีคนสองคนเดินออกมา คนแรกก็คือฉีหนิงที่สวมชุดเสื้อ
แพรในวันนี้ ด้านหลังเป็นคนรูปร่างกํายําสูงใหญ่ เขาก็คือผู้บัญชาการ
กองทัพแคว้นฉู่เยว่หวนซาน

สองพ่อลูกรีบลุกขึ้นยืน แล้วโค้งคํานับให้กับฉีหนิง ฉีหนิงยิ้มแล้ว


พูดว่า “ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงก่อน” เขาเดินตรงไปนั่งที่ตรงกลาง เยว่
หวนซานเดินไปนั่งที่ด้านขวามือ

“ท่านแม่ทัพชวี งานเลี้ยงในคืนนี้ ข้าไม่ได้เชิญคนมามากนักนะ” ฉี


หนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ราชโองการของฝ่าบาทเพิ่งมาถึง เดิมคิดว่าจะให้
คนไปประกาศราชโองการให้ แต่คิดว่ายังไม่ได้กินข้าวกับท่านเลยสักมื้อ
เดียวเลย ดังนั้นคืนนี้เราเลยจัดงานเลี้ยงขึ้น แล้วเชิญพวกท่านทั้งสอง
มาที่นี่ จะได้ประกาศราชโองการแล้วก็ด่ ืมกันให้เต็มที่”

ชวีหยวนกู่ย้ม
ิ หน้าบานแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องดีกับเราขนาดนี้ เรา
สองพ่อลูกซาบซึ้งใจนัก”

“ข้ายังมีอีกเรื่อง ที่คิดอยากจะมาเจรจากับท่านด้วย” ฉีหนิงยิม



แล้วพูดว่า “มีคนมารายงานว่า มีคนของจงหลีอ้าวไปเดินป้วนเปี้ ยนอยู่
แถวๆ จวนของท่าน เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”

สองพ่อลูกมองหน้ากัน เห็นสีหน้าท่าทางของฉีหนิงนั้นอ่อนโยน
เขารู้สึกเจ็บปวด เขายกมือคํานับแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง เราสองพ่อลูก
สวามิภักดิ์ต้าฉูแ
่ ล้วก็จริง แต่ในสายตาของพวกนั้น กลับกลายเป็น
เหมือนหอกข้างแคร่ พวกเขายังเห็นต้าฉู่เป็นศัตรูอยู่ อีกทั้งยังโกรธแค้น
เราสองพ่อลูกมาก พวกเขามาป้วนเปี้ ยนแถวจวนของเราจริง ท่านอ๋อง
พวกเขาคิดไม่ซ่ อ
ื คิดว่าตัวเองยังเป็นชาวเป่ยฮั่นอยู่ เราจะเก็บพวกเขา
ไว้ไม่ได้อีกแล้ว ท่านอ๋องพิจารณาด้วย”

พอพูดจบ ก็ได้ยน
ิ เสียงฝีเท้าดังขึ้นมา พอหันไปก็เห็นมีคนนําทาง
เหล่าขุนพลเข้ามา พอชวีหยวนกู่ได้เห็น ก็รู้ทันทีว่าเป็นคนสนิทสี่คน
ของจงหลีอ้าว คนที่อยู่หน้าสุดก็คือเหยาจื่อ
พวกเขาสวมชุดเกราะ เดินเข้ามาด้านใน พอเห็นสองพ่อลูกชวี
หยวนกู่ แต่ละคนก็มส
ี ายตาอาฆาตแค้นมาก

ชวีหยวนกู่อดหดตัวไม่ได้ เห็นพวกเขาถูกริบดาบไปเหมือนกัน ถึง


ได้โล่งใจ คิดในใจว่าในจวนแม่ทัพใหญ่แบบนี้ ต่อให้พวกเขาใจกล้าแค่
ไหน ก็คงไม่กล้าลงมือที่นี่แน่ เลยหันหน้าหนีไม่ไปมองพวกเขา

พวกของเหยาจื่อเดินเข้ามาในห้องโถง แล้วโค้งคํานับให้ฉห
ี นิง
จากนั้นก็ยกมือคํานับให้เยว่หวนซาน เยว่หวนซานยกมือคํานับตอบแล้ว
พูดว่า “เชิญนั่ง”

เหยาจื่อกับขุนพลอีกคนนั่งลงต่อจากที่น่ังของเยว่หวนซาน ส่วน
อีกสองคนนั่งต่อจากที่น่ังของชวีหยวนกู่

“แขกในค�าคืนนี้มากันครบแล้วนะ” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ทุกท่าน
เมื่อกี้ข้าเพิง่ พูดไปว่า ระหว่างพวกท่านเหมือนจะมีเรื่องเข้าใจผิดกัน ข้า
คิดอยากจะช่วยไกล่เกลี่ยเจรจาให้ หวังว่าตั้งแต่นี้ต่อไป ทุกคนที่ล้วนแต่
เป็นขุนนางของแคว้นฉู่ จะร่วมกันทํางาน อะไรที่ไม่พอใจต่อกัน ก็
อย่าได้ใส่ใจอีกเลยนะ หลังจากงานเลี้ยงในคืนนีแ
้ ล้ว แคว้นโกรธแค้น
อะไรที่มีต่อกันก็ขอให้แล้วกันไปนะ ไม่ทราบว่าพวกท่านจะเห็นแก่ขา้ ได้
ไหม?”
ภายในห้องโถงเงียบไปครู่หนึ่ง ชวีหยวนกู่ถึงได้พูดขึ้นก่อนว่า “ใน
เมื่อท่านอ๋องออกหน้าไกล่เกลี่ยเองแบบนี้แล้ว ข้ายินดีทําตามที่ท่าน
ขอร้อง” เขายกจอกเหล้า แล้วมองไปที่เหยาจื่อ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
แค่ถือจอกเหล้าแกว่งไปแกว่งมาเท่านั้น ชวีม่านอิ่งเองก็ยกจอกเหล้า
ขึ้นมาเหมือนกัน เหยาจื่อลังเล แต่สุดท้ายก็ยกจอกเหล้าขึ้นมา ขุนพล
อีกสามคนเองก็ยกตาม ทุกคนไม่พูดอะไร แต่ก็ด่ ืมเหล้าในจอกจนหมด

“ดีมาก” ฉีหนิงปรบมือยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้หล้าเป็นหนึ่งแล้ว เหล่า


ชาวบ้านมีความสุขสงบ ต่อไปทุกท่านยังต้องช่วยฝ่าบาททํางานอย่าง
เต็มที่ จงรักภักดีต่อราชสํานัก เพื่อให้ประชาชนเป็นสุข” เขายกจอก
เหล้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “รินเหล้าให้เต็ม จอกนี้ ข้าขอคารวะพวกท่าน”

ทุกคนรินเหล้าจนเต็มจอก แล้วก็ลก
ุ ขึ้นมา โค้งคํานับให้กับฉีหนิง
แล้วดื่มจนหมด

เมื่อวางจอกเหล้าลง ฉีหนิงหันไปพยักหน้าให้กับเยว่หวนซาน เยว่


หวนซานถึงได้ลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ฝ่าบาทมีราชโองการ” มีคนรีบเดินนํา
ราชโองการมา เยว่หวนซานรับมาแล้วก็เปิดออก ทุกคนล้วนแต่คุกเข่า
ลง เยว่หวนซานถึงได้อ่านประกาศออกไปว่า “ฝ่าบาทมีราชโองการ ศึก
ปราบทางเหนือ มีความยากลําบากมาก โชคดีที่ได้ชวีหยวนกู่กลับใจ
ยอมสวามิภักดิ์ต่อเรา ทําให้แผ่นดินกลับมาเป็นหนึ่งเดียวไม่มแ
ี ตกแยก
ชวีหยวนกู่สร้างผลงานใหญ่ จึงขอแต่งตั้งให้เป็นจิ้นอ๋อง ชวีม่านอิ่งแต่ง
ตั้งให้เป็นจงหยงโหว จบราชโองการ”

ชวีหยวนกู่กําลังจะรับราชโองการ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะคอกดังขึ้นว่า
“เจ้าโจรชั่วขายชาติ ตายซะเถอะ”
เล่มที่ 50 บทที่ 1493 เมาแล้วก่อเรื่อง

เสียงตะคอกมาอย่างกะทันหัน ชวีหยวนกู่ยังไม่ทันได้ต้ังตัว ชวี


ม่านอิงรู้สึกได้ก่อนว่าสถานการณ์มันผิดปกติ

เพราะต้องรับราชโองการ นอกจากเยว่หวนซานที่ยืนอ่านราช
โองการแล้ว ส่วนคนอื่นก็ล้วนแต่คุกเข่าลงรับราชโองการกันหมด ชวี
หยวนกู่คุกเข่าอยู่ทางด้านซ้ายหน้าสุด รองลงมาคือชวีม่านอิง หลังจาก
จบราชโองการแล้ว ชวีมา่ นอิงได้ยันเสียงตะคอกดังมาจากข้างกายของ
เขา ปลายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นคนกําลังพุ่งมา

ชวีม่านอิงตกใจมาก คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนกล้าลงมือในจวนแม่
ทัพใหญ่แบบนี้

อีกฝ่ายเหมือนเตรียมการมาก่อนแล้ว เขาพุ่งมาเหมือนหมาป่า ชวี


ม่านอิงเองก็ปฏิกิริยาไว วินาทีพุ่งอีกฝ่ายพุ่งมา เขาก็ใช้มือยกโต๊ะ
อาหารพลิกเข้าใส่ จากนั้นก็ตะคอก แล้วก็ซัดไปที่หัวของอีกฝ่าย

คนๆ นั้นเห็นโต๊ะพลิกมาหาก็ใช้มือบังเอาไว้

โต๊ะแตกออก
โต๊ะโดนท่อนแขน แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ อาหารบนโต๊ะ
กระจัดกระจายไปทั่วพื้น

ในวินาทีน้ันเอง ขุนพลด้านล่างก็พุ่งขึ้นหน้ามาเหมือนกัน ไม่รอ


ให้ชวีมา่ นอิงยังไม่ทันตั้งตัว มือขวาของเขากลับมีมด
ี สั้นเล่มหนึ่ง พวก
เขาทําอะไรเร็วมาก จนกระทั่งชวีม่านอิงรู้สึกว่าที่ท้องของเขารู้สึกปวด
มีดสั้นนั่นแทงเข้าไปในช่วงท้องของชวีม่านอิง

เหยาจื่อกับขุนพลอีกคนก็กระโดดมาที่ด้านหน้าโต๊ะอาหหาร แล้ว
พุ่งขึ้นหน้าไปเช่นกัน

ชวีหยวนกู่ตกใจมาก เขารู้สถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขาตะโกนด้วย


ความตกใจออกไปว่า “ทหาร ทหาร”

แต่ไม่มค
ี ําสั่งของฉีหนิง ไม่มีใครกล้าเข้ามาด้านในอยู่แล้ว ส่วนใน
เวลานี้ฉห
ี นิงเองก็ดูเฉยๆ โดยที่ไม่ทําอะไรเลย แม้แต่เยว่หวนซานก็ถือ
ราชโองการแบบสองมือ แต่ไม่ทําอะไรเลย

ชวีม่านอิงถูกแทงที่ท้อง เขาเจ็บมาก แต่ก็ยังร้องตะคอก ซัดหมัด


ออกไปคนที่แทงเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายังซัดไม่โดย ข้อมือก็เหมือนถูก
จับเอาไว้ ขุนพลคนนั้นใช้มือมาจับหมัดของชวีม่านอิงเอาไว้ อีกทั้งยังใช้
มืออีกข้างถือมีดสั้นแล้วแทงเข้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขาแทงแบบบ้าคลั่ง
แล้วก็ไม่มีย้งั มือเลย พริบตาเดียวเขาก็แทงมีดสั้นเข้าไปที่หน้าอกของช
วีม่านอิงแล้วสิบกว่าครั้ง

เหยาจื่อกับขุนพลอีกคนพุ่งเข้าใส่ชวีหยวนกู่เหมือนหมาป่าที่หว

โหย

ชวีหยวนกู่ตกใจมาก พยายามคลําไปที่เอวของตัวเอง ปกติเขาพก


ดาบติดตัวตลอด เขาคิดว่าดาบยังอยู่ที่ตัวเขาอยู่ เขาลืมไปว่าตอนที่เขา
เข้ามาที่จวนแม่ทัพใหญ่ปลดอาวุธก่อนแล้ว พวกของเหยาจื่อเหมือน
หมาป่าที่ต้องการเหยื่อมาก พุ่งมาแล้วจับชวีหยวนกู่กดลงพื้น ในมือมี
มีดสั้น ไม่รอให้เขาได้ร้องขอความช่วยเหลือ ก็แทงมีดสั้นลงไปที่คอ
ของชวีหยวนกู่ในทันที

ขุนพลคนสนิททั้งสี่คนของจงหลีอ้าว ลงมือรวดเร็วว่องไวมาก ให้


ความร่วมมือกันดีมาก เหมือนกับว่าฝึกฝนมาหลายรอบแล้ว

ฉีหนิงเหมือนกับว่าเพิ่งจะได้สติ เขารีบตะคอกว่า “ทหาร”

ตอนนี้มท
ี หารองครักษ์หลายสิบคนวิ่งเข้ามาในห้องโถง แล้วยื่น
หอกยาวไปที่พวกของเหยาจื่อ

ชวีม่านอิ่งถูกแทงกว่าสิบครั้ง อีกทั้งเป็นจุดตายทั้งนั้น ตอนนี้นอน


เลือดอาบอยู่ที่พ้ ืน ตัวชัก ดูท่าไม่รอดแน่แล้ว
ชวีหยวนกู่ถก
ู แทงที่คอ ขุนพลคนที่แทงพอเห็นว่าเขาตายแน่แล้ว
ก็ชักมีดสั้นออก แล้วแทงซ�าไปอีกหลายที เมื่อเป็นแบบนี้ต่อให้ท่าน
เซียนมาช่วยก็ช่วยไม่ได้ เขาปล่อยมือ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยเลือดแล้วก็
ลุกขึ้นมา

เหยาจื่อมองเห็นสองพ่อลูกชวีหยวนกู่ถูกฆ่าแล้ส ก็เงยหน้าขึ้นมา
จากนั้นหัวเราะ แล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ เราฆ่าโจรชั่วกบฏได้แล้ว เรา
แก้แค้นให้ท่านกับต้าฮั่นได้แล้ว ต่อให้เราต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต”
จากนั้นเขาก็เดินไปที่กลางห้องโถง แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าฉีหนิง ส่วน
ขุนพลอีกสามคนก็เดินตามมาแล้วคุกเข่าลงด้านหลังของเขาเหมือนกัน

“ท่านอ๋อง เราเป็นคนฆ่าพวกเขาเอง เราไม่มีอะไรจะแก้ตัวอีก


ท่านอ๋องจะสั่งให้คนนําตัวเราไปประหารเลยก็ได้” เหยาจื่อไม่ได้มีความ
หวาดกลัวเลย

ฉีหนิงกวาดสายตาไปที่ศพของสองพ่อลูกตระกูลชวี แล้วพูดว่า
“พวกเจ้าบังอาจมากนะ เมาแล้วก่อเรื่องแบบนี้ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามี
ความแค้นกับสองพ่อลูกนี่ แต่ว่าพวกเขาเป็นขุนนางของแคว้นฉู่แล้ว
หลังจากพวกเจ้าเมาแล้วฆ่าพวกเขาต่อหน้า ......” พอพูดถึงตรงนี้ ก็
เหมือนนึกอะไรได้ เขาหันไปพูดกับเยว่หวนซานว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่
เมื่อกี้ชวีหยวนกู่รับราชโองการแล้วรึยัง?”
เยว่หวนซานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเพิ่งจะอ่านราช
โองการจบ ชวีหยวนกู่ยงั ไม่ทันได้รับราชโองการก็ ...... ก็มาเกิดการนอง
เลือดซะก่อนขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้น พวกเขาสองพ่อลูกก็ยังไม่ถือเป็นขุนนางของแคว้นฉู่
เราน่ะสิ?” ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถึงแม้พวกเขาจะสวามิภักดิ์ต่อ
เราแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสํานักอย่างเป็นทางการ ตาม
หลักแล้ว ก็ยังไม่ใช่ขุนนางของแคว้นฉู”

เยว่หวนซานพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง ตามหลักแล้ว เป็น


เช่นนั้นขอรับ”

พวกของเหยาจื่อมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ พวกเขาเตรียมตัวตายมา
ก่อนแล้ว พวกเขาคิดว่าไม่ว่ายังไงก็จะต้องกําจัดสองพ่อลูกตระกูลชวีให้
ได้ ตอนที่เข้ามาที่จวนแม่ทัพใหญ่ พูดแล้วก็แปลกเหมือนกัน ถึงแม้จะ
ปลดอาวุธอย่างดาบไป แต่ว่าไม่มีใครมาค้นตัวพวกเขาเลย เขาเลยพก
มีดสั้นเข้ามาในจวนได้

เมื่อกี้พวกเขาลงมือ ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกฉีหนิงดูเฉยๆ โดยที่ไม่ทํา


อะไรเลย จนกระทั่งพวกเขาสองพ่อลูกตายไป ฉีหนิงถึงได้เรียกทหาร
องครักษ์เข้ามา
พวกของเหยาจื่อไม่ใช่คนโง่ พวกเขาก็มองออกว่ามันหมายถึง
อะไร

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาวแคว้นฉู่เองก็ต้องการฆ่าสองพ่อลูก
ตระกูลชวีอยู่แล้ว

แต่เพราะพวกเขาสองพ่อลูกสวามิภักดิ์ต่อแคว้นฉู่ยกลั่วหยางให้ไป
แล้ว กองทัพแคว้นฉู่ยึดลั่วหยางเอาไว้ได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลงานของ
สองพ่อลูก หากพวกเขาลงมือสังหารสองพ่อลูกอีก ถึงแม้พวกเขาสอง
พ่อลูกจะชั่วช้าสมควรตาย แต่อาจจะเกิดข้อครหากับแคว้นฉูภ
่ ายหลัง
ได้

ฉีหนิงจัดงานเลี้ยงในวันนี้ ที่จริงมันคือการสร้างสถานการณ์ให้เกิด
การนองเลือดมากกว่า

พวกของเหยาจื่อคิดสังหารสองพ่อลูกอยู่แล้ว เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้กัน


ทั่ว งานเลี้ยงในวันนี้ เดิมฉีหนิงก็จัดขึ้นเพื่อให้โอกาสพวกเหยาจื่ออยู่
แล้ว ส่วนพวกแหยาจื่อก็ไม่ได้ทําให้เขาต้องผิดหวัง

หากฉีหนิงไม่อยากให้สองพ่อลูกตระกูลชวีตาย ต่อให้เหยาจื่อพา
คนมาสักพันคน ฉีหนิงก็สามารถปกป้องชีวิตพวกเขาได้

พวกเหยาจื่อรู้เรื่องนี้ดี ฉีหนิงอาศัยมือของพวกเขาไปสังหารสอง
พ่อลูกนั่น
แต่พวกเขากลับไม่รู้สก
ึ โกรธเลย แต่กลับรู้สึกซาบซึ้งใจด้วยซ�า

ฉีหนิงพูดแค่ไม่ก่ีคํา เหยาจื่อก็เข้าใจแล้ว พวกเขารู้ว่าฉีหนิงกําลัง


หาทางให้พวกเขาพ้นผิด พวกเขามองไปที่ศพของสองพ่อลูกตระกูลชวี
แล้วก็ตบหัวตัวเอง จากนั้นก็พด
ู ว่า “พวกเขา ...... พวกเขาตายังไงเหรอ
ขอรับ? ท่านอ๋อง นี่มันเรื่อง ......”

ฉีหนิงหน้านิ่งไป แล้วพูดเหมือนโมโหว่า “พวกเจ้าดื่มจนเมามาย


จากนั้นก็ลงมือทําร้ายคนอื่น มาก่อเรื่องในจวนแม่ทัพใหญ่แบบนี้ได้
ยังไงกัน? พวกเจ้าคิดว่าที่นี่เป็นที่ไหน?”

“เราดื่มเหล้าจนก่อเรื่อง ท่านอ๋องลงโทษเราด้วยเถอะขอรับ”
เหยาจื่อขอรับโทษในทันที อีกสามคนก็เหมือนจะเข้าใจแล้วเหมือน ก็
ขอรับโทษเช่นกัน

ฉีหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทได้ประทานตําแหน่งจิ้นอ๋อง
ให้ชวีหยวนกู่แล้ว อีกทั้งยังแต่งตั้งให้ชวีม่านอิงเป็นจงหยงโหวด้วย หาก
พวกเขารับราชโองการไป พวกเขาก็จะเป็นท่านอ๋องกับโหวเยว่ของ
แคว้นฉู่ พวกเจ้าลงมือสังหารพวกเขาในจวนแม่ทัพใหญ่ ยังไงก็หนีโทษ
ตายไปไม่พ้น แม้แต่ข้ากับท่านแม่ทัพเยว่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน”
เขานิ่งไป ถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ว่าพวกเขายังไม่ได้รับราชโองการ
ก็ถูกพวกเจ้าฆ่าตายซะก่อน ถึงแม้พวกเขาจะสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่แล้ว ใน
ราชโองการก็ไม่ได้มีบําเหน็จรางวัลอะไรให้พวกเจ้า พูดอย่างไม่ควร
หน่อยนะ พวกเจ้ากับสองพ่อลูกนี่ต่างเป็นชาวเป่ยฮั่น ฆ่ากันเองแบบนี้
คงลงโทษตามกฎหมายของแคว้นฉู่ไม่ได้ เรื่องนี้ ....... ทําให้ขา้ ลําบากใจ
จริงๆ”

เยว่หวนซานกระแอมไอออกมาแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องพูดถูกต้อง
แล้วขอรับ ในเมื่อสังหารขุนนางของเป่ยฮั่นเอง ก็สมควรดําเนินตาม
กฎหมายของแคว้นเป่ยฮั่นขอรับ”

“แต่ว่าแคว้นเป่ยฮั่นล่มสลายไปแล้ว ก็ไม่มีกฎหมายอะไร
หลงเหลืออีกแล้ว” ฉีหนิงพูดอย่างหงุดหงิดมาก “แล้วทีนี้ควรทํายังไงดี
ล่ะเนี้ย?”

เยว่หวนซานถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น คดีนก


ี้ ็ทําอะไร
ไม่ได้ขอรับ แต่ถึงแม้จะจัดการอะไรกับโทษฆ่าสองพ่อลูกนีไ้ ม่ได้ แต่ว่า
ดื่มเหล้าแล้วก่อเรื่องในจวนแม่ทัพใหญ่ โทษนี้ยังทําได้ขอรับ ตามหลัก
แล้วสมควรให้โบยคนละสามสิบทีขอรับ”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “คงทําได้แค่นี้ล่ะนะ” เขามองไปที่


พวกเหยาจื่อ แล้วพูดเสียงดุวว่า “พวกเจ้าเมาแล้วก่อเรื่องในจวนแม่ทัพ
ใหญ่ โทษไม่อาจให้อภัย โบยพวกเจ้าคนละสามสิบที พวกเจ้ามีอะไรจะ
พูดไหม?”
ถูกโบยสามสิบทีสําหรับเหล่าขุนพลที่ทําศึกในสนามรบแล้ว มัน
เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก

พวกเหยาจื่อมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ พวกเขาเตรียมตัวมาตายอยู่
แล้ว พวกเขาคิดว่าขอแค่ฆ่าสองพ่อลูกตระกูลชวีได้ ต่อให้จะต้องตาย
ในจวนแม่ทัพใหญ่ มันก็ค้ม
ุ ค่า เมื่อได้ลงมือสําเร็จ พวกเขารู้สึกว่าได้แก้
แค้นไปแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างใจอีก พร้อมตายทุกเมื่อ

แต่ใครจะไปคิดว่าฉีหนิงจะหาทางแก้ต่างให้กับพวกเขา พวกเขา
รู้สึกซาบซึ้งใจมาก พวกเขารู้ว่าการลงโทษโบยพวกเขาสามสิบทีมันถือ
เป็นการปิดคดีนี้ อย่าว่าแต่สามสิบทีเลย ต่อให้ต้องถูกโบยสามร้อยที
พวกเขาก็ยินดี พวกเขาโขกศรีษะลงแล้วพูดว่า “พวกเราน้อมรับโทษ
ขอรับ”

ฉีหนิงสั่งให้คนมาเอาศพของสองพ่อลูกตระกูชวีออกไป จากนั้นก็
กระแอมไอสองที แล้วหันไปพูดกับเยว่หวนซานว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่
เจ้าคิดว่าจัดการแบบนี้เหมาะสมรึเปล่า?”

“ท่านอ๋องเป็นคนตรงไปตรงมา จัดการแบบนี้ เหมาะสมแล้ว


ขอรับ” เยว่หวนซานพูดว่า “ข้าน้อยจะรีบเขียนฎีกาส่งไปยังราชสํานัก
รายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด พวกของเหยาจื่อสี่คน ดื่มเหล้า
เกินขนาด เกิดการโต้เถียงกันในงานเลี้ยง ชวีมา่ นอิงเกิดคลั่งคุมสติไม่อยู่
ทั้งสองฝ่ายเลยเกิดการปะทะกัน สุดท้ายด้วยความที่ท้ังสองฝ่ายเมากัน
มาก เลยพลาดพลั้งมือจนสองพ่อลูกตระกูลชวีตาย หลังจากพวก
เหยาจื่อได้สติแล้ว ก็รู้สก
ึ สํานึกผิด จึงขอรับโทษจากราชสํานักในทันที
แต่เพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้รับราชโองการเป็นขุนนางและชาวแคว้นฉู่
อย่างเป็นทางการ จึงไม่ถือเป็นคนของแคว้นฉู่ และเนื่องจากแคว้นเป่ย
ฮั่นล่มสลายแล้ว คดีนี้จึงไม่อาจดําเนินการได้ แต่ท้ังสีไ่ ด้รับโทษในการ
ก่อความวุ่นวายในจวนแม่ทัพใหญ่ ด้วยการถูกโบยคนล่ะสามสิบที เพื่อ
ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง” พูดถึงตรงนี้ เขาก็พูดกับฉีหนิงว่า “ท่านอ๋อง คิด
ว่าทูลรายงานแบบนี้เหมาะสมหรือไม่?”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “แม่ทัพใหญ่รายงานตามความเป็นจริง
ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม รายงานไปแบบนีแ
้ หละนะ” เขาชี้ไปที่พวกของ
เหยาจื่อแล้วพูดว่า “แต่ว่าหากพวกเจ้ากล้าดื่มจนเมาแล้วก่อเรื่องแบบ
นี้อีกล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่ พวกเจ้าเข้าใจไหม”

พวกของเหยาจื่อโขกศีรษะลงกับพื้น แล้วพร้อมใจกันพูดว่า “เรา


จะปฏิบัติตามคําสั่งของท่านอ๋องและท่านแม่ทัพใหญ่ทก
ุ อย่าง จะไม่ทํา
แบบนี้อีก หลังจากกลับไป เราจะทบทวนความผิดของตัวเองขอรับ”

ฉีหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “รับโทษโบยคนละสามสิบที อีกเดี๋ยวออกไป


ขอรับโทษเองแล้วกันนะ” เขาลุกขึ้น เหลือบไปมองพวกเขาแล้วพูด
แบบไม่พอใจนิดหน่อยว่า “เดิมข้าคิดจะดื่มกับพวกเจ้าให้สะใจสัก
หน่อย ดูสิ ก่อเรื่องแบบนี้ข้น
ึ ได้ แล้วข้าจะไปมีอารมณ์ด่ ืมอีกได้ยังไงล่ะ
เนี่ย?” เขายกมือแล้วพูดว่า “ลุกขึ้น ข้าอยู่ต่อที่นี่ก็ไม่มอ
ี ารมณ์ด่ ืมแล้ว
เปลี่ยนที่แล้วค่อยดื่มกันดีกว่า”
เล่มที่ 50 บทที่ 1494 เซียวเหยาอ๋อง

เรื่องศึกทางเหนือสถานการณ์เริ่มนิ่งแล้ว ถึงแม้จะเป็นการฉวย
โอกาสในช่วงที่เกิดปัญหาภายใน ในดินแดนแคว้นฮั่นเกิดโจรผูร้ ้าย
มากมาย แต่การปราบปรามคนเหล่านั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ฉีหนิงต้องไป
กังวล

หน่วยความมั่นคงได้ออกประกาศไปทั่งทุกพื้นที่ภายในแคว้นเป่ย
ฮั่นว่า การจะให้ชาวเป่ยฮั่นทั้งหมดยอมรับแคว้นฉู่น้น
ั และผนวก
ทั้งหมดมาเป็นอาณาจักรเดียวกับแคว้นฉู่น้ัน จําเป็นต้องใช้เวลา แต่ว่า
โลกอันสงบสุขได้มาถึงแล้ว มันเป็นเรื่องที่ทุกคนในใต้หล้าสมควรจะ
ร่วมยินดี ขอให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ทุกคนจะได้อยู่กันอย่างเป็นสุข
มีกินมีใช้โดยไม่ต้องกังวลใจใดอีก

ตอนที่ฉห
ี นิงกลับมาถึงเจี้ยนเยี้ย คือหลังจากที่กองทัพฉูย
่ ึดเมืองลั่ว
หยางได้แล้วสองเดือน

หลังจากกลับเมืองหลวง ฉีหนิงไม่ได้กลับไปที่จวน แต่ตรงเข้าวัง


ก่อน พอรูว
้ ่าฉีหนิงกลับมา หลงไท่ดีใจมาก เขารีบสั่งให้คนไปนําทางเข้า
มาเฝ้า ทั้งสองคนได้พบหน้ากันในเมืองหลวงครั้งแรก ก็ในห้องทรง
อักษร พบกันคราวนี้ ความรู้สก
ึ กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว
“กระหม่อม ......” ฉีหนิงคิดว่าอยากจะทําความเคารพ แต่ว่าเพิ่ง
จะโค้งตัวลง หลงไท่ก็เดินมาจับข้อมือของเขาเอาไว้ เขายิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าเป็นสหายของข้า เวลาเราอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมากพิธีหรอกนะ” เขา
ดึงฉีหนิงไปนั่งลง แล้วพูดว่า “ฎีกาของเยว่หวนซานมาถึง และข้าก็ได้
อ่านแล้ว นโยบายการปกครองของท่านเสนาบดีลิ่งหูที่เจ้าให้คนส่งมา
ข้าเองก็ได้อ่านแล้ว อี้เหิงอ๋อง เจ้ายึดผูห
่ ยางได้ ข้าไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่า
ตกใจอะไร แต่ว่าเจ้าสามารถทําให้ล่ิงหูซวี่ยอมมาทํางานให้แคว้นฉู่ของ
เราได้ ข้าดีใจมากจริงๆ นะ”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ลิ่งหูซวี่เป็นขุนนางที่มีความสามารถ
มากๆ เขาเองก็หวังอยากจะใช้สิง่ ที่เขาได้เรียนรู้มาทําประโยชน์”

“นโยบายการปกครองของเขาไม่มีอะไรที่อ่านแล้วไร้สาระเลย มัน
เป็นการปกครองที่สามารถทําให้เกิดขึ้นได้จริงทั้งหมด” หลงไท่ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ที่จริงหากเขามาอยู่กับเราแต่แรก คิดว่าในช่วงที่
อดีตฮ่องเต้ยังอยู่ คงรวบรวมแผ่นดินไปได้นานแล้ว”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ตอนนี้มน
ั ก็ยังไม่สายเกินไป ฝ่าบาททรงมี
ราชโองการออกไปแล้ว สั่งให้เขาอยู่ที่ล่ัวหยางไปก่อนชั่วคราว เพื่อช่วย
เยว่หวนซานควบคุมสถานการณ์ทางเหนือทั้งหมดก่อน เขาเลยยังไม่
สามารถมาเข้าเฝ้าพระองค์ได้ในตอนนี”

หลงไท่นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “การจะทําให้ชาวบ้านและทหาร
ของเป่ยฮั่นยอมสิโรราบกับเราทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องแค่วันสองวัน ข้าได้
สั่งให้ลิ่งหูซวี่ยึดเอาความเมตตากรุณาเป็นหลักทั่วประเทศแล้ว แต่ว่า
ยังไงคิดจะให้พวกเขามีต้าฉู่จริงๆ อาจยังต้องใช้เวลา” เขาหยุดไปครู่
หนึ่ง แล้วพูดว่า “เมื่อสองวันก่อนข้าเองก็ได้หารือกับเหล่าขุนนางใน
ราชสํานักแล้ว เราคิดว่าจะย้ายเมืองหลวง”

“ย้ายเมืองหลวง?”

หลงไท่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ภูมิศาสตร์ของเมืองลั่วหยางดีกว่า
เจี้ยนเยี้ยมาก อีกทั้งหลังจากย้ายเมืองหลวงไปที่ล่ัวหยางแล้ว จะทําให้
คนทางเหนือยอมรับเร็วขึ้นด้วย แต่ว่าการย้ายเมืองหลวงนั้นมันเป็น
เรื่องใหญ่มาก ต้องใช้กําลังทรัพย์มากมาย ตอนนี้เลยยังอยู่ในขั้นตอน
การหารือ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเริม
่ เมื่อไหร่” หลงไท่ยิม
้ แล้วพูดว่า “มี
เรื่องต้องทําเยอะเลย เจ้าเพิ่งกลับมา ยังมีเวลาอีกมากมาย ไว้เราค่อยๆ
หารือกันก็ได้ ฮ่าฮ่า เราอายุยังน้อยอยู่ ต่อไปเรายังสามารถสร้าง
ความสุขให้ชาวบ้านได้อีก เจ้า ......”

“ฝ่าบาท ทรงยังจําที่เรื่องที่กระหม่อมทูลกับพระองค์ก่อนไปทาง
เหนือได้ไหม” ฉีหนิงไม่รอให้หลงไท่พูดจบ เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“กระหม่อมหวังว่าหลังจากแผ่นดินเป็นหนึ่งแล้ว จะลาออกจากทุก
บรรดาศักดิ์และทุกตําแหน่งโดยไม่รับเบี้ยหวัดอีก ขอทรงอนุญาตด้วย”
หลงไท่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าลองคิดดูแล้วนะ ข้าต้องการให้เจ้า
อยู่ เพราะเจ้ายังช่วยข้าได้อีกมากมาย อยากไม่อยากให้เจ้าไปไหน”

“ฝ่าบาท ที่จริงกระหม่อมไม่เหมาะที่จะเป็นขุนนางเลย” ฉีหนิงพูด


ว่า “ความปรารถนาสูงสุดของกระหม่อม คือมีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือ
ออกท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า กระหม่อมเป็นคนที่ได้มีชว
ี ิตอีกครั้ง หากไม่
ต้องมีความกดดันในการใช้ชีวิต ก็อยากจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่สักครั้ง
เที่ยวภูเขาล่องไปตามแม่น�า ฝ่าบาททรงต้องบริหารปกครองประเทศ
ไม่มีเวลาออกไปดูโลกกว้าง ดังนั้นกระหม่อมหวังว่าจะสามารถช่วย
พระองค์ดูแลไปในที่ที่ทรงไปไม่ถึง”

หลงไท่คิดแค่ว่าที่ฉห
ี นิงพูดว่า “ได้มีชว
ี ิตอีกครั้ง” หมายถึงการ
กลายมาเป็นคนของตระกูลฉี แต่ไม่ได้คิดว่าฉีหนิงหมายถึงการได้มีชีวิต
อีกครั้งจริงๆ

ได้มีชีวิตอีกครั้ง

“เจ้าให้ข้าปวดหัวอยู่ในราชสํานัก แล้วตัวเองก็ออกไปเที่ยวงั้น
เหรอ?” หลงไท่ไม่ได้พด
ู ดีด้วย “เจ้าจะสบายเกินไปหน่อยไหม?”

“คนมีความสามารถก็ต้องยุ่งมากเป็นธรรมดา” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด
ว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา เชี่ยวชาญการปกครองประเทศ ทรงต้องทํา
ประโยชน์ได้มากแน่นอน ในบันทึกประวัติศาสตร์ จะต้องบันทึก
สรรเสริญพระองค์แน่นอน ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง ฝ่าบาทอาจจะต้องใช้
เวลาอีกหลายปีในการปรับปรุงแก้ไขซ่อมแซมสิ่งที่เสียไปในช่วง
สงคราม ยังไงก็ต้องทรงอยากเห็นชาวบ้านได้กินอิ่มท้องก่อน ไว้กําลัง
ทรัพย์ของชาวบ้านเข้มแข็งขึ้นแล้วเมื่อไหร่ หากทรงคิดอยากจะขยาย
อาณาเขต ก็ทําได้อยูแ
่ ล้ว หากไม่ได้ทรงคิดจะขยายพื้นที่ ก็ให้ชาวบ้าน
ได้อยู่อย่างมีความสุขสืยชบไปได้ ยังไงก็ทรงถูกบันทึกว่าฮ่องเต้ที่ดีมาก
อยู่แล้ว”

หลงไท่พยักหน้า

ฉีหนิงพูดอีกว่า “จริงสิ หากผ่านไปแล้วหลายปี อาณาจักรแคว้นฉู่


เข้มแข็งขึ้นแล้วจริงๆ ฝ่าบาทก็ยังสามารถเผยแพร่วัฒนธรรมของเรา
ชาวจงหยวนออกไป หลังจากตั้งกรมการค้าทางทะเลขึ้นมาแล้ว การค้า
ของเรากับหนานหยางเองก็เจริญมากขึ้น ไม่เพียงมีการแลกเปลี่ยน
สินค้ากันไปมา ยังสามารถแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมได้ด้วย เส้นทางการค้า
ทางทะเลไม่มีอุปสรรคใดๆ อีก เกาะบนทะเลก็มีมากมาย ต่อไปการคลัง
ก็จะอุดมสมบูรณ์ ฝ่าบาทสามารถส่งทหารเรือ ออกไปสํารวจตามเกาะ
ต่างๆ แล้วทําสัญลักษณ์แผนที่ไว้ พื้นยืนยันว่ามันคือเกาะของเราแคว้น
ฉู่ เท่าที่กระหม่อมรู้ว่า ทางตะวันออกมีเกาะใหญ่แห่งหนึ่ง มันคือเกาะฟู
โซ ฝ่าบาทน่าจะทรงจําเรื่องของนินจาฟูโซได้”
หลงไท่พูดว่า “ตอนนั้นพวกนั้นลอบสังหารข้ากลางทาง ข้าจําได้
อยู่แล้ว”

“เกาะฟูโซอยู่ไม่ไกลจากจงหยวนมากนัก พวกนั้นป่าเถือนมาก ฝ่า


บาทต้องระวังให้มาก” ฉีหนิงพูดว่า “หากต้องการให้ทหารเรือแข็งแกร่ง
อาจจะสามารถยึดเกาะฟูโซมาเป็นพื้นที่ของเราได้ เท่าที่ข้ารู้มา พวก
เขามีแต่กําลังไม่มีสมอง หากทรงแข็งแกร่งกว่า ยังไงก็จัดการพวกเขาได้
แน่นอน แต่พวกเขาไม่ใช่พวกที่รักษาคําพูดเท่าไหร่ หากกดพวกเขาไม่
อยู่ พวกเขาอาจจะมีการเคลื่อนไหวอีก”

หลงไท่ฟังสิ่งที่ฉีหนิงพูดแล้ว เหมือนว่าเขาอยากจะไปจากตัวเอง
จริงๆ เขารู้สึกเศร้ามาก แต่ก็ยงั พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าพูดมา
ขนาดนีแ
้ ล้ว ข้าต้องพัฒนากองทัพเรือของเราแน่นอน เมื่อโอกาสมาถึง
ข้าจะสั่งให้พวกเขาบุกไปจัดการพวกฟูโซ”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาอยู่แล้ว ทะเลอันกว้าง
ใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ว่าใต้ท้องทะเลมีสมบัติมหาศาลซ่อนอยู่ ต้าฉู่ของ
เราไม่เพียงมีทรัพยากรทางบกที่อุดมสมบูรณ์ แต่ในทะเลก็เช่นกัน
สถานที่ใดที่เรายึดได้ ก็ให้นาํ เป็นกําลังของจงหยวนเถอะ ฝ่าบาท ต้อง
ทรงจําไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเกาะเล็กแค่ไหน ขอแค่ลอยเหนือน�ามาได้ ก็ต้อง
ไปยึดเอามา ถึงจะสามารถพิสจ
ู น์และยืนยันได้ว่าเรานั้นแข็งแกร่งแค่
ไหน หากใครยึดไป แล้วก็ไปตีมน
ั แล้วเอากลับมา”
หลงไท่หัวเราะแล้วพูดว่า “ของๆ เรา ไม่มีทางปล่อยให้ใครไป
หรอก ใครคิดจะรังแกเรา เราก็จัดการมันอย่าให้มน
ั เงยหน้าขึ้นมาได้
อีก”

ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน แต่หลังจากหัวเราะแล้ว ก็นิ่งไป


หลงไท่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะไปจากข้าจริงๆ ใช่
ไหม?”

“กระหม่อมไม่ได้จากพระองค์ไปไหน ชั่วชีวิตก็ไม่มีทางจากไปไหน
ได้ ขอแค่ฝ่าบาททรงต้องการทรงคิดถึงกระหม่อม กระหม่อมรับรองว่า
จะมาปรากฎตัวต่อหน้าพระองค์แน่นอน” ฉีหนิงพูด

หลงไท่ย่ น
ื มือออกไป ฉีหนิงเข้าใจความหมายของเขา เขาเองก็ย่ ืน
มือออกไปเช่นกัน พวกเขาสองคนจับมือกัน หลงไท่พด
ู ว่า “เจ้าพูดแล้ว
ห้ามคืนคํานะ ไม่อย่างนั้นถือว่าหลอกลวงเบื้องสูง”

“ลูกผู้ชายคําไหนคํานั้น” ฉีหนิงยิ้มแล้วพูด

หลงไท่พูดว่า “เจ้าคิดอยากจะลาออกจากทุกตําแหน่งทุก
บรรดาศักดิ์ ข้าอนุญาตให้ท้ังหมดไม่ได้ เจ้าไม่อยากรับราชการ ข้าจะไม่
บังคับเจ้า เจ้าคิดอยากจะใช้ชีวิตอิสระ ข้าจะตามใจเจ้า ข้าจะแต่งตั้งให้
เจ้าเป็นเซียวเหยาอ๋อง ในใต้หล้านี้ เจ้าจะใช้ชีวิตได้อย่างอิสระอย่างที่
เจ้าต้องการ เจ้าคิดอยากจะพบข้าเมื่อไหร่ ก็เข้าวังมาได้ทุกเมื่อ”
ฉีหนิงลุกขึ้น แล้วโค้งคํานับพูดว่า “เป็นมหากรุณาธิคณ
ุ พะยะค่ะ”

หลงไท่เองก็ลก
ุ ขึ้นเช่นกัน เขาพูดว่า “เป็นข้าต่างหากที่ต้องขอบใจ
เจ้า”

ฉีหนิวเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ยังมีอีกเรื่อง


ไม่ทราบว่าสมควรพูดหรือไม่”

“เจ้าว่ามาได้เลย ข้าจะรับปากเจ้าทุกอย่าง”

“คืออย่างนี้นะพะยะค่ะ” ฉีหนิงพูดว่า “กระหม่อมยังจําด่า ฝ่า


บาททรงเคยรับปากกระหม่อมไว้ว่า จะประทานเงินให้ห้าร้อยตําลึงทอง
แต่ว่าจนถึงตอนนี้กระหม่อมยังไม่ได้เห็นเลยสักอีแปะเดียว วันนี้เข้าวัง
พอดี ฝ่าบาทจะทรง ......”

“ไม่ได้” หลงไท่ตอบทันที “เจ้าเองก็รู้ ศึกทางเหนือใช้เงินไปมาก


ตอนนี้คลังแทบจะไม่เหลือแล้ว ตอนนี้ทําอะไรก็ต้องใช้เงิน อีกทั้งลูก
ของข้าก็กําลังจะคลอดแล้วด้วย ข้าก็ต้องเก็บเงินไว้เลี้ยงลูกของข้าด้วย
ห้าร้อยตําลึงทองของเจ้า ข้ายังให้เจ้าไม่ได้ แต่ว่าข้าพูดแล้วไม่มีคืนคํา
แน่นอน ทองที่ข้าติดเจ้าไว้ข้าไม่เบี้ยวเจ้าหรอก ไว้คลังเข้มแข็งแล้ว
เมื่อไหร่ ข้าจะคืนให้เจ้าเอง”
ฉีหนิงพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมจะออกเดินทางไปท่องเที่ยวนะ
พะยะค่ะ อีกทั้งยังมีครอบครัวขนาดใหญ่ต้องดูแลอีก ไม่มีเงินมันทํา
อะไรลําบากนะพะยะค่ะ”

“ทําอะไรลําบากเหรอ?” หลงไท่จ้องไปที่ฉห
ี นิง “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้รึ
ไง ตอนที่ตรวจยึดทรัพย์จวนไหวหนานอ๋อง เจ้าได้ไปเยอะแค่ไหน แอบ
เอาสมบัติในจวนไปตั้งมากมายแล้ว อีกทั้งยังเอาเงินจํานวนนั้นไปซ่อน
ไว้ด้วย เงินพวกนั้นเจ้าใช้ท้ังชาติก็ไม่หมดหรอก”

ฉีหนิงยิม
้ เขินๆ

ตอนที่ตรวจยึดทรัพย์จวนไหวหนานอ๋อง ฉีหนิงหลอกใช้โต้วขุย
ยักยอกไปไม่นอ
้ ยจริง จากนั้นด้วยความช่วยเหลือของหยวนหยง ได้นํา
เงินจํานวนมหาศาลนั้นไปเก็บไว้ที่ธนาคารใต้ดิน อย่างที่หลงไท่พูดมา
ต่อให้เขาใช้เงินเหมือนน�า เงินก้อนนั้นทั้งชาติเขาก็ใช้ไม่หมด

“แต่ว่าข้าจะให้รางวัลเจ้าอย่างหนึ่ง” หลงไท่พด
ู เบาๆ ว่า “ข้าได้
แอบส่งราชโองการลับไปให้หยวนหยงที่กรมการค้าทางทะเลแล้ว บอก
เขาว่าตั้งแต่นี้ต่อไป การค้าสมุนไพรทางทะเล ให้สิทธิร้านยาตระกูล
เถียนร้านเดียว ยาสมุนไพรที่มาจากหนานหยาง ก็ให้เป็นสิทธิของร้าน
ยาตระกูลเถียน ยาสมุนไพรที่มาจากที่อ่ ืนๆ ให้ร้านยาตระกูลเถียนนําไป
ค้าขายแลกเปลี่ยนทั้งหมด ทําแบบนี้แล้ว รายรับแต่ละปีของตระกูล
เถียนมีมากน้อยแค่ไหนเจ้าก็นา่ จะคํานวณได้นะ”
ฉีหนิงดีใจมาก การค้าขายกับหนานหยาง มีสินค้ามากมาย แต่ว่า
ยาสมุนไพรเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีกําไรมากที่สด
ุ หากการค้าขายยาเป็น
สิทธิของร้านยาตระกูลเถียนทั้งหมด แต่ละปีก็จะได้เงินมาไม่ต�ากว่า
แสนตําลึง

“แต่ว่า ...... เจ้าไปมีอะไรกับเถ้าแก่เนี้ยร้านยาตระกูลเถียนได้ยังไง


กัน?” หลงไท่กระซิบใกล้ๆ ฉีหนิง

ฉีหนิงตะลึง คิดในใจว่าเรื่องระหว่างเขากับเถียนฮูหยินฮ่องเต้ก็รู้
ด้วยเหรอเนี่ย? ฮ่องเต้นี่ก็สอดรู้สอดเห็นเหมือนกันนะเนี่ย

“กระหม่อมแค่เห็นว่านางเป็นม่ายอยู่กับลูกแค่สองคน ชีวิตน่า
สงสาร เลยให้ความช่วยเหลือมากหน่อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่
พระองค์คิดสักหน่อย” ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูด

หลงไท่รีบพูดว่า “เจ้าคิดหลอกลวงเบื้องสูงเหรอ เจ้าช่วยนางมาก


ขนาดนั้น ด้วยนิสัยของเจ้า ไม่คิดอะไรเลยจริงเหรอ? ข้าสั่งให้คนไปสืบ
มาแล้ว เถ้าแก่เนี้ยตระกูลเถียนนั่นสวยมาก มีเสน่ห์ย่ว
ั ยวน ......” แต่
ทันใดนั้นเองก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นฮ่องเต้ จะพูดเรื่องแบบนีไ้ ด้ยังไง ก็
เลยหยุดไป

ฉีหนิงหัวเราะแปลกๆ เขายกมือคํานับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงมี


พระกรุณา กระหม่อมขอขอบพระทัยแทนร้านยาตระกูลเถียนด้วย”
ทั้งสองคนสบตากัน ต่างก็นิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้น ฉีหนิงถึงได้พูด
ขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อม ..... ทูลลา”

หลงไท่เงียบไป แต่ในที่สุดก็พยักหน้า ฉีหนิงถึงได้โค้งคํานับอีกครั้ง


เขาหันหลังแล้วเดินไปที่ประตู จากนั้นก็หยุดชะงักไป เขาหันหลัง
กลับมา เห็นหลงไท่กําลังมองมาที่เขา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ทรงรักษาพระ
วรกายด้วย”

“เจ้า ...... ต้องกลับมาเยีย


่ มข้าด้วยนะ ข้าจะคิดถึงเจ้าเสมอ”
เล่มที่ 50 บทที่ 1495 เรียบง่ายสง่างาม

ทุกครั้งที่ฉีหนิงเห็นหน้าถังนั่ว เขาจะรู้สึกสบายใจมาก

ถังนั่วดูเรียบง่ายแต่สง่างาม ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางก็สุขุม


อยู่ตลอดเวลา ไม่หงุดหงิดรีบร้อนหรือหัวเสียเลย

ที่จริงฉีหนิงรู้สก
ึ ว่านางเหมือนดอกบัว ดูงดงามแบบเรียบง่าย แต่ก็
ไม่ใช่ว่าไม่มีเสน่ห์ รูปร่างนางก็ดี เป็นแบบที่ผู้ชายหลายคนชื่นชอบ แต่
เวลาฉีหนิงเห็นนาง ในใจกลับไม่ได้คิดไม่ดีกับนางเลย

นางดูไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น

ว่ากันจากใจ ชื่อตันเหมยเร้าร้อน กู้ชิงฮั่นมีเสน่ห์ เถียนเสวียหยง


เย้ายวนใจ ทุกครั้งที่เห็นพวกนาง ฉีหนิงจะรู้สึกอยากจะทําอะไร เขาจะ
เกิดความต้องการขึ้นมา

แต่ว่าเขาไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับถังนั่วเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ไม่ใช่ว่านางจะไม่มีความดึงดูดทางเพศหรือว่าไม่มีเสน่ห์ แต่
กลับกัน ความงดงามที่เรียบง่ายของนาง มันทําให้ฉห
ี นิงรู้สึกอยากจะให้
เกียรตินาง
ถังนั่วมาเปิดรักษาคนในเมืองหลวง นางช่วยชีวิตคนไปมากมาย
นอกจากหกนางจะมีฝม
ี ือแล้ว สาเหตุที่สําคัญกว่านั้นก็คือนางต้องการ
หาวิธีทําให้คนตายฟื้นคืน เพื่อช่วยแม่ของนาง

แต่นางกลับไม่รู้เลยว่า หยินอู๋จี๋ได้ทําลายร่างของแม่นางไปแล้ว

ฉีหนิงไม่รู้เลยว่าเขาจะเอ่ยปากพูดกับนางว่ายังไงดี แต่ก็รู้ เรื่องนี้


ยังไงก็ไม่มีทางปิดได้ไปตลอด

เขากังวลมาตลอดเลยว่า หากเขาบอกความจริงกับนางไป ถังนั่ว


อาจจะรับไม่ได้ ดังนั้นเขาเลยพยายามหาวิธีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
แบบถนอมความรู้สึกนางมากที่สุด

แต่ว่าถังนั่วไม่ได้ดูมป
ี ฏิกิรย
ิ าอะไรรุนแรงอย่างที่เขาคิดเลย แต่นาง
กลับนิ่งเงียบไป จากนั้นถึงได้ถามว่า “อาเหน่าตอนนี้อยูก
่ ับเขาเหรอ?”

ฉีหนิงพยักหน้า “หากไม่มีอะไรผิดพลาดก หยินอู๋จี๋เป็นพ่อของเจ้า


จริงๆ แต่ว่าอาเหน่ากลับเป็นลูกของท่านเจ้าลัทธิ หยินอู๋จี๋สูญเสียวร
ยุทธ์ไปแล้ว อาเหน่าอยูด
่ ูแลเขา ก็คือว่าได้ให้อภัยเขาแล้วล่ะนะ”

ถังนั่วพยักหน้าแล้วพูดว่า “แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”

“แม่นางถัง สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็ให้มันแล้วไปเถอะนะ” ฉีหนิง


ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสหลีกับหยินอู๋จี๋หวังว่าเจ้าจะมีชีวิต
อยู่ต่อไป ก่อนที่ท่านผูอ
้ าวุโสหลีจะตาย คนที่เขาเป็นห่วงที่สด
ุ ก็คือเจ้า
เขาบอกให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี ที่จริงต่อให้เขาไม่ส่งั เสีย ข้าก็จะพยายาม
ดูแลเจ้าให้ดีอยู่แล้ว”

ถังนั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ตลอดสองปีที่ผ่านมาข้ารบกวนท่านมากแล้ว
ที่จริงต้องขอบคุณท่านด้วยซ�าไป ในเมื่อท่านแม่ไม่อยูแ
่ ล้ว ข้าก็ไม่
จําเป็นต้องอยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป ข้าจะเก็บของ อีกสองวันก็จะ
กลับไป”

“กลับไป?” ฉีหนิงรีบพูดว่า “เจ้าจะไปไหน?”

“ซีชวน” ถังนั่วพูดว่า “เขาเชียนอูหลิงเป็นบ้านเกิดของข้า ข้าก็


สมควรจะกลับไปที่น่น
ั ท่านแม่ตายแล้ว ข้าเป็นลูกสาวของนาง ก็
สมควรที่จะกลับไปไว้ทุกข์ให้นาง”

“เจ้า ...... เจ้าจะกลับไปที่เชียนอูหลิงเหรอ?”

ถังนั่วพยักหน้าแล้วพูดว่า “ต่อไปอาจจะไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวง
อีก แต่ว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาข้าเจอเรื่องสนุกเยอะแยะมากมายใน
เมืองหลวง เจอคนมากกว่าที่ขา้ อยู่มาก่อนหน้านี้เป็นสิบปีซะอีก ทุก
อย่างนี้เป็นเพราะท่านแนะนําให้ข้ามาที่เมืองหลวงนี”
่ นางยิม
้ อ่อนๆ
“หากต่อไปท่านมีเวลาว่าง ก็ไปเที่ยวหาข้าที่ซีชวนได้นะ ที่น่น
ั อย่าง
น้อยก็พอมีอาหารดีดีพอจะรับรองต้อนรับเจ้าอยู่”
ฉีหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ถังนั่วได้รับรู้ความจริงแล้ว กลับคิด
จะกลับไปที่ซีชวน เขารู้ว่าถึงแม้นางจะดูอ่อนแอ แต่ว่าถ้านางตัดสินใจ
จะทําอะไรแล้ว ก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจนางได้ เขาคิดแล้วถึงพูดว่า
“ก่อนที่ผู้อาวุโสหลีจะตายท่านสั่งให้ขา้ ดูแลเจ้า ผู้ ...... ผู้อาวุโสหลีเองก็
มีเจตนาเดียวกันนะ”

ถังนั่วมองไปที่ตาของฉีหนิง นางพูดออกมาตรงๆ เลยว่า “พวกเขา


อยากให้ข้าแต่งงานกับท่านเหรอ?”

ฉีหนิงตะลึงไป เขาหน้าแดงมาก คิดนใจว่าแม่นางถังทําไมถึงได้


ตรงไปตรงมาแบบนี้นะ เขาพูดอย่างเขินๆ ว่า “ก็ไม่ได้พูดแบบนั้น แต่
ว่า ..... แต่ว่าหากแม่นางถังอยูข
่ ้างกายข้า ข้าก็จะดูแลเจ้าได้ดีกว่านะ”

“เราสองคนเป็นได้แค่เพื่อนกัน” ถังนั่วพูดว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้


รังเกียจท่าน แต่ก็ไม่ได้ถือว่าชอบท่านแบบนั้น”

ฉีหนิงเขินหนักกว่าเดิม ถังนั่วพูดอีกว่า “อีกอย่างต่อให้ข้าไม่มีใคร


ข้าก็สามารถดูแลตัวเองได้ดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

ในเมื่อผูห
้ ญิงพูดมาตรงๆ แล้วว่าไม่ได้คิดจะแต่งงานกับเขา ฉีหนิง
จะไปบังคับมันก็ไม่ได้ เขาลังเล แต่ก็พด
ู ได้แค่ว่า “แม่นางถังคิดจะ
กลับไปที่ซีชวน ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปส่งเจ้าแล้วกันนะ”

“ท่านมีเวลาว่างเหรอ?” ถังนั่วไม่ได้ปฏิเสธเขา
ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าไม่มีตําแหน่ง ไม่ต้องทํางานแล้ว ข้า
มีเวลาเยอะแยะไป ก็ดีเหมือนกันข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องไปทําที่น่น
ั อยู่ เลย
ไปส่งแม่นางถังเลยก็แล้วกัน”

“ที่แท้ท่านก็ไม่ได้คิดจะไปส่งข้าโดยเฉพาะหรอกเหรอ” ถังนั่วพูด

ฉีหนิงยกมือเกาหัว คิดในใจว่าพูดคุยกับแม่นางถัง วันหลังคงต้อง


ระวัง อย่าให้นางจับทางได้เด็ดขาด

“ถ้าท่านมีเวลาจริงๆ หลังจากนี้อีกสองวัน เราก็ออกเดินทางกัน


เลยนะ” ถังนั่วพูดว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการก่อน”

ฉีหนิงพยักหน้าด้วยความจนใจ จากนั้นก็ออกจากห้องของนาง แต่


ว่าพอคิดถึงเรื่องที่ได้บอกความจริงให้นางรู้แล้ว ถังนั่วกลับสามารถ
ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี มันทําให้เขาโล่งใจมากๆ

เขาเดินไปที่เรือนพักของจั่วเซียนเอ๋อร์ ยังไม่ทันเข้าไปในห้อง ก็ได้


ยินเสียงของซีเหมินจั้นอิงดังขึ้นมาว่า “ข้าใช้แรงมากเกินไปหน่อย”

จากนั้นเขาก็ได้ยน
ิ เสียงของเซียนเอ๋อร์พูดว่า “แรงน้อยเกินไป ทํา
อันตรายศัตรูไม่ได้ แรงมากเกินไป จะทําให้ไม่ตรงเป้า อาวุธลับในมือไม่
เหมือนกัน การใช้แรงก็ต่างกันด้วย เจ้าอย่าเพิง่ ใจร้อนไป เจ้าเพิ่งเริ่มฝึก
ได้ไม่นาน แต่ก้าวหน้าไปมาก ถือว่าเก่งมากแล้วนะ สองสามวันมานี่ขา้
กําลังเขียนตําราเกี่ยวกับการใช้อาวุธลับอยู่ มีเขียนแนะนําอาวุธลับแต่
ละชนิด แรงที่เจ้าใช้กับมีดบินมันดีอยู่แล้ว ควบคุมแรงให้ดีกพอ ส่วน
อาวุธลับอื่นๆ ก็เพิ่มหรือลดแรงตามความเหมาะสมไป ก็ไม่มป
ี ัญหา
แล้ว”

ฉีหนิงแอบมองอยู่ด้านนอก เห็นซีเหมินจั้นอิงกําลังฝึกการใช้อาวุธ
ลับกับจั่วเซียนเอ๋อร์อยู่

ถึงแม้ซีเหมิวนจั้นอิงจะโตมาในจวนเสินโหว แต่นางฝึกได้แค่เพลง
หมัดมวยกับพวกอาวุธใหญ่ แต่ไม่เคยได้เรียนเกี่ยวกับอาวุธลับ

หลังจากกบฏเซียวจ้าวจง จั่วเซียนเอ๋อร์ก็มาฟื้นอาการบาดเจ็บที่
จวนอี้เหิงอ๋อง เริ่มแรกซีเหมินจั้นอิงยังไม่ยอมรับในตัวของจั่วเซียนเอ๋อร์
แต่ว่าจั่วเซียนเอ๋อร์เป็นคนที่เอาใจอ่านใจคนเก่งมาก นางอ่านนิสัยซีเห
มินจั้นอิงออกว่าเป็นคนตรงไปตรงมา เลยยอมให้นางทุกอย่าง ไม่นานก็
ได้รับการยอมรับซีเหมินจั้นอิง สิ่งที่สําคัญที่สด
ุ ก็คือจั่วเซียนเอ๋อร์มีวิชา
อาวุธลับติดตัว ซึ่งซีเหมินจั้นอิงนั้นสนใจมาก จั่วเซียนเอ๋อร์ก็เลยสอน
การใช้อาวุธลับกับนาง พอมีเวลาว่างซีเหมินจั้นอิงเมื่อไหร่ที่มีเวลาว่าง
ก็จะมาอยู่กับจั่วเซียนเอ๋อร์ จากนั้นก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น

“แต่ว่าหากจะพูดถึงเรื่องอาวุธลับ แม่นางชื่อฝีมือดีที่สุด” จั่วเซียน


เอ๋อร์พูดว่า “ครั้งที่แล้วคุยเรื่องการใช้อาวุธลับกับนาง ได้ความรู้อะไร
ขึ้นมากเลย น่าเสียดายนางไปแล้ว ถ้าอยู่นี่ด้วย ให้นางสอน ฮูหยินจะ
ก้าวหน้าไปได้เยอะกว่านี้แน่นอน”
ฉีหนิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “เรื่องนั้นง่ายนิดเดียว อีกสัก
พักเราก็ไปเกาะไป๋อวินกัน ไปอยู่ที่น่ันกันสักปีครึ่งปี พอออกจากเกาะ
จั้นอิงสําเร็จวิชาแล้วแน่นอน อาจจะเป็นยอดฝีมือด้านอาวุธลับเลยก็
ได้” ระหว่างที่พูด เขาก็เข้ามาทางหน้าต่างกําแพงเรือน

หลังจากกลับมาจากเกาะเสวียนอู่

ชื่อตันเหมยคุ้มกันจั่วชิงหยางกับคงฮานใต้ซือกลับมาเมืองหลวง
นางกลับมาพักที่จวนอ๋องพักหนึ่ง แต่ว่านางเบื่อเกินไป เลยกลับไปที่
เกาะไป๋อวิ๋นแทน

ทั้งสองคนเห็นฉีหนิงมา ก็มองหน้ากัน เซียนเอ๋อร์ยิ้ม ซีเหมินจั้นอิง


พูดว่า “ไปเกาะไป๋อวิ๋นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นต้องรอพักใหญ่เลยนะ ศิษย์พี่
ห้าเพิ่งจะรับตําแหน่งไป ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้เขาเป็นเสินโหว จวนเสิน
โหวเลยมีงานให้ทําเป็นกองเลย ข้ายังไม่ไหนไม่ได้ ......”

จวนเสินโหวได้ระบผลกระทบหนักมากก ซีเหมินอู๋เหิงจวนเสินโหว
คนก่อนตายบนเขาต้าเสวียซาน เจ็ดดาวไถ ตายไปสีค
่ น เหลือแค่เหวินช
วีเสี้ยวเว่ยหานเทียนซู่ เหลียนเจินเสี้ยวเว่ยหงเหมินเต้าแล้วก็อู่ชวีเสี้ยว
เว่ย สามคนเท่านั้น

ทั้งสามคนนี้ ถ้าเทียบแค่วรยุทธ์ หงเหมินเต้าอาจจะสู้อีกสองคน


ไม่ได้ แต่หากพูดถึงเรื่องการบริหารปกครอง เขาเหนือกว่าอีกสองคน
มาก ก่อนกบฏเซียวจ้าวจง หงเหมินเต้าเดินทางไปที่ซีเป่ยแล้ว พอเรื่อง
กบฏของเมืองหลวงแพร่ออกไป อีกทั้งกองทัพฉูย
่ ึดลั่วหยางได้แล้วด้วย
หงเหมินเต้ารู้ว่าแคว้นต้องการคน เลยรีบกลับมายังเมืองหลวง บังเอิญ
เป็นช่วงที่จวนเสินโหวต้องมีการปรับเปลี่ยน หงเหมินเต้ากลับมา พวก
ของหานเทียนซู่จึงแอบถวายฎีกาลับ ขอให้หงเหมินเต้าเป็นผู้ปกครอง
จวนเสินโหว

ฮ่องเต้ก็รู้ว่าจวนเสินโหวมีความเกี่ยวพันกับทางยุทธภพมาก ขอ
แค่จวนเสินโหวยังอยู่ เหล่าสํานักและพรรคในยุทธภพก็ไม่กล้าทําอะไร
การสืบต่ออํานาจของจวนเสินโหวเป็นสิ่งที่ต้องทําต่อไป ก็เลยรับคําร้อง
ของพวกหานเทียนซู่ แต่งตั้งให้หงเหมินเต้านั่งตําแหน่งเสินโหว

ถึงแม้จวนเสินโหวจะได้รับผลกระทบหนักมาก แต่ว่ารากฐานที่วาง
เอาไว้น้น
ั มันแข็งแรงมากไม่ได้สะเทือนเท่าไหร่ เพียงแต่หลังจากต้าฉู่
รวบรวมใต้หล้าได้แล้ว อํานาจของจวนเสินโหวนั้นมันกระจายไปกว้าง
กว่าเดิม ถึงแม้ทางเหนือจะมีฐานที่ม่ันอยู่ แต่ว่าก็ยังไม่ได้มม
ี ากพอ
จําเป็นต้องทีกําลังเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้สามารถสําเร็จในเร็ววันได้

งานในจวนเสินโหวมีมาก ถึงแม้ซีเหมินจั้นอิงจะอายุยังน้อย แต่ว่า


หลังจากที่เจ็ดดาวไถล้มหายตายจากกันไปมาก นางก็เลยกลายเป็นหนึ่ง
ในแกนหลักของจวนเสินโหว ช่วยหงเหมินเต้าในการกอบกู้สถานการณ์
ในจวนเสินโหวใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
ฉีหนิงรู้ว่าซีเหมินจั้นอิงเข้าใจความรู้สก
ึ ของซีเหมินจั้นอิงดี เขา
สามารถลาออกจะไปไหนก็ได้ตามใจ แต่ว่าหากซีเหมินจั้นอิงทิ้งทุก
อย่างแล้วทําเหมือนเขา มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เขาก็ไม่ได้บังคับ
เขายิม
้ แล้วพูดว่า “ไม่รบ
ี เจ้าช่วยศิษย์พี่ห้าจัดการเรื่องในจวนเสินโหว
ก่อนเถอะนะ ไว้ว่างแล้ว ข้าค่อยพาเจ้าไปเที่ยวทะเลกัน”

ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านหานดังขึ้นมา “ท่านอ๋อง ท่าน


อ๋องขอรับ”

ฉีหนิงออกไปเห็นหานโซ่วอยู่ด้านนอก ก็เดินขึ้นหน้าไปถามว่า “มี


อะไร?”

หานโซ่งเป็นพ่อบ้านเก่าแก่ของตระกูลฉี เขาจงรักภักดีต่อฉีหนิง
มาก เมื่อก่อนตอนที่ก้ช
ู งิ ฮั่นเป็นคนดูแลบ้าน หานโซ่วจะคอยช่วยเหลือ
แต่หลังจากกู้ชงิ ฮั่นไม่อยู่แล้ว ซีเหมินจั้นอิงก็ไม่ถนัดในการดูแลเรื่อง
ภายในบ้านเท่าไหร่ เรื่องในจวนหลายอย่าง พ่อบ้านหานเลยเป็นคน
ดูแลไปโดยปริยาย ฉีหนิงไว้ใจพ่อบ้านหานมาก เพราะเขาทํางาน
ละเอียด ถึงแม้อาจจะไม่ได้เก่งเท่ากู้ชิงฮั่น แต่ว่าภาพรวมแล้วจวนอ๋องก็
เป็นระเบียบมาก

“เมื่อครู่ท่านอาจารย์จ่ัวส่งคนมาถามว่า ปีนี้เราจะส่งเงินไปให้
เมื่อไหร่ขอรับ” หานโซ่วพูดว่า “ท่านอาจารย์จ่ัวเพิ่งกลับมาเปิด
วิทยาลัยเมื่อวันก่อน ท่านบอกว่าช่วงนีต
้ ้องใช้เงินมากขอรับ”
เมื่อก่อนจิ่นอีตระกูลฉีจะบริจาคเงินสนับสนุนวิทยาลัยฉงหลินปีละ
ห้าร้อยตําลึง ส่งให้ไม่เคยขาดเลย แต่ว่าหลังจากจั่วชิงหยางหายตัวไป
วิทยาลัยก็ปด
ิ ตัวลง เงินก่อนนั้นก็เลยไม่ได้สง่ ไปอีก ใครจะคิดว่าจั่วชิงห
ยางจะกลับมาเปิดวิทยาลัยอีก อีกทั้งยังส่งคนมาขอเงิน

ฉีหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่านี้หน้าด้านเหมือนกันนะเนี่ย
เล่มที่ 50 บทที่ 1496 สาวเผ่าเหมียว

เมื่อเทียบกับการที่ต้าฉู่ผนวกเป่ยฮั่นได้แล้ว การกลับมาเปิด
วิทยาลัยฉงหลินนั้นไม่ได้มีใครสนใจอะไรมากนัก

ตอนที่ฉห
ี นิงมาถึงวิทยาลัยฉงหลิน สาวๆ ที่มาเล่าเรียนนั้นยังมีไม่
มาก ตอนที่ได้พบกับจั่วชิงหยาง เขากําลังจัดทําการเรียนการสอนอยู่
พอเห็นฉีหนิงเข้ามา เขาก็วางพูก
่ ันลง ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องนําเงินมา
ให้ง้ันเหรอ?”

ฉีหนิงถอนหายใจ แล้วนําตั๋วเงินจํานวนหนึ่งวางลงบนโต๊ะ แล้วพูด


ว่า “ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด นี่เงินสองพันตําลึง ข้าเองก็ได้ส่งั คน
ในจวนไว้แล้วว่า ตั้งแต่ปน
ี ี้เป็นต้นไป ขอแค่วิทยาลัยฉงหลินยังอยู่ แต่
ละปีทางจวนจะบริจาคเงินสนับสนุนให้สองพันตําลึง”

“ใจป�ามากทีเดียว” จั่วชิงหยางยิม
้ แล้วพูดว่า “แต่ว่าข้าเองก็คงทํา
ได้อีกแค่สองปีเท่านั้น วิทยาลัยกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องสมควรแล้ว
เมื่อไหร่ ข้าก็จะให้คนรุน
่ หลังมาทําแทน”

“นอกจากท่านอาจารย์แล้ว เกรงว่าจะไม่มีใครรักษาวิทยาลัยนี้ได้
อีก”
“ท่านอ๋องถ่อมตัวเกินไปแล้ว” จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ไป
พบกับหยวนโม่เสียนคนของกรมพิธก
ี ารมาแล้ว ข้าบอกเขาว่า หากวัน
ใดที่ข้าไม่อยู่แล้ว วิทยาลัยฉงหลินก็ฝากให้เขารักษาไว้ให้ได้ด้วย อีกไม่
นาน ทางกรมพิธีการก็จะออกประกาศ ให้วิทยาลัยฉงหลินเป็นวิทยาลัย
หลวง เจ้าเองก็จะเป็นรองผู้อํานวยการของวิทยาลัยนี้ มีเจ้าคอยหนุน
หลัง คิดว่าคงไม่มใี ครกล้าหาเรื่องวิทยาลัยฉงหลินอีก”

ฉีหนิงตกตะลึงไป เขาพูดว่า “ท่านอาจารย์ ..... ร้ายกาจเหลือเกิน”

ในเวลานี้เอง ก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้อง ฉีหนิงหันไปมอง เห็น


แม่นางคนหนึ่งสวมชุดสีเขียวเดินเข้ามาจากด้านนอก นางยกถาดเข้ามา
บนถาดมีน�าชาสองถ้วย ฉีหนิงเห็นแม่นางคนนั้น แล้วก็หลุดออกไปว่า
“เสี่ยวเหยา”

คนที่เข้ามาในห้องก็คือเสี่ยวเหยานั่นเอง

ฉีหนิงได้รู้ว่านางคือลูกสาวของอู่เซียวโหวซูเจินก็ที่วิทยาลัยฉง
หลินนี่ นางต้องดูแลแม่ที่มีอาการป่วยมานาน ทั้งสองคนไม่ได้รับการ
ยอมรับจากจวนอู่เซียวโหวเลย ใช้ชีวิตกันแค่สองแม่ลูก

ต่อมาฉีหนิงหาบ้านให้พวกนางได้อยูพ
่ ักอาศัย แล้วยังหาคนไป
ช่วยดูแลแม่ของนางด้วย
ตอนนี้ได้พบกับเสี่ยวเหยาอีกครั้ง สีหน้าของนางดีข้น
ึ มา อีกทั้ง
ใบหน้าของนางดูอวบอิ่มขึ้นด้วย เขาก็โล่งใจ เสีย
่ วเหยาวางน�าชาลง
แล้วทําความเคารพให้ฉีหนิง จากนั้นก็พูดว่า “ท่านอ๋อง”

“เสี่ยวหยาไม่ได้เป็นแค่นักเรียนของที่นี่ แต่นางยังเป็นอาจารย์
สอนของที่นี่ด้วย” จั่วชิงหยางลูบเคราแล้วยิ้ม “เสี่ยวเหยาเชี่ยวชาญ
เรื่องการดนตรี ไม่ว่าจะเป็นพิณหรือขลุ่ย ล้วนแต่โดดเด่น ดังนั้นข้าเลย
เชิญให้นางมาเป็นอาจารย์ของวิทยาลัยด้วย สอนเรื่องของดนตรี แต่ละ
เดือนมีค่าตอบแทนให้”

ฉีหนิงคิดในใจว่าอย่างน้อยตาแก่อย่างเจ้าก็ทําเรื่องดีดีก็เป็น เขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ดีมากเลย เสี่ยวเหยาเป็นคนฉลาด ต่อไปจะต้องประสบ
ความสําเร็จแน่นอน” เขาถามว่า “เสี่ยวเหยา แล้วแม่ของเจ้าตอนนี้เป็น
ยังไงบ้าง?”

เสี่ยวเหยายิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางถังจะไปตรวจรักษาอาการให้
ท่านแม่ทุกเดือน เปลี่ยนและกินยาไปเยอะมาก ตอนนี้ท่านแม่มส
ี ติคืน
มามากแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นเยอะ สีหน้าก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านอ๋องมากจริงๆ”

ก่อนหน้านี้ฉห
ี นิงมีเรื่องรัดตัวมาก เลยฝากฝั่งให้ก้ช
ู งิ ฮั่นช่วยดูแล
เสี่ยวเหยาสองแม่ลูก เขารู้ดีว่ากู้ชิงฮั่นเป็นคนละเอียดอ่อน ให้นางเป็น
คนดูแลเรื่องนี้เขาไม่ต้องห่วงอะไร
กู้ชิงฮั่นเองก็ดูแลพวกนางสองแม่ลก
ู อย่างดี ถังนั่วเองก็รู้ว่าแม่ของ
เสี่ยวเหยาป่วย ก็เลยยื่นมือเข้าไปช่วย

ก่อนหน้านี้เสี่ยวแทบจะไม่มีความสุขเลย แต่ว่าตอนนี้นางดูสดชื่น
อารมณ์ดีข้น
ึ มาก คิดว่าน่าจะมีความสุขกว่าเมื่อก่อนมาก

“ต่อไปหากมีอะไรให้ชว
่ ย ก็ไปที่จวนอ๋องได้เลยนะ หากข้าไม่อยู่ ก็
ไปหาพ่อบ้านหานได้เลย เขาช่วยเจ้าได้ทุกอย่าง” ฉีหนิงเห็นเสี่ยวเหยา
สีหน้าท่าทางดี เขาเองก็อารมณ์ดีไปด้วย

เสี่ยวเหยาตอบรับ นางรู้ว่าฉีหนิงกับจั่วชิงหยางมีเรื่องต้องคุยกัน ก็
เลยขอตัวออกไปก่อน

“นางเป็นคนฉลาดมีพรสวรรค์ อีกทั้งยังขยันมาก ดังนั้นข้าเลยคิด


ว่าจะฝึกนางให้ดีดี ต่อไปวิทยาลัยฉงหลินอาจจะต้องฝากไว้ที่นางแล้ว”
จั่วชิงหยางยิม
้ แล้วพูดว่า “หากต่อไปนางได้เป็นผู้อํานวยการใหญ่ของ
ที่นี่ จะต้องได้บันทึกลงในประวัติศาสตร์แน่นอน”

ฉีหนิงพยักหน้า เขาเองก็หวังวสาเสี่ยวเหยาจะประสบความสําเร็จ
และมีชว
ี ิตที่ดีต่อไปในอนาคต เขาถามว่า “จริงสิ ซาหนูกับหวังหนู ไป
บวชเป็นหลวงจีนแล้วจริงเหรอ?”

“ไม่เพียงเป็นหลวงจีนแล้ว คงฉานไต้ซือยังรับพวกเขาเป็นศิษย์
ด้วย ได้เป็นศิษย์ของคงฉานไต้ซือเองเลยนะ” จั่วชิงหยางยิ้มแล้วพูดว่า
“เมื่อวันก่อนข้าเพิ่งกลับมาจากวัดต้ากวงหมิง ทั้งสองคนบาปหนามาก
ดังนั้นไต้ซือเลยให้พวกเขาสวดมนต์ไปก่อนสักหนึ่งปี ข้าเห็นตอนที่พวก
เขาสวดมนต์ ก็พอใช้ได้อยู่นะ”

ฉีหนิงรู้สึกขําในใจหนักมาก แอบคิดในใจว่าซาหนูกับหวังหนูอยู่ใน
ยุทธภพ ก็ถือเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ตอนนี้ออกบวชเป็นหลวงจีนแล้ว อยู่
ศึกษาพระธรรมคําสอน กลับไม่รูว
้ ่าจะสามารถลบล้างบาปที่ทําไว้ได้
ไหม ต่อไปพวกเขาอาจจะเป็นหลวงจีนมีช่ อ
ื ก็ได้

ผ่านไปสองวัน ฉีหนิงกับถังนั่วก็ออกเดินทางไปยังซีชวน ถังนั่วจู่ๆ


ก็จะจากไป ซีเหมินจั้นอิงเสียใจแล้วก็ไม่อยากให้นางไปมาก ถังนั่วเป็น
คนเรียบง่าย ไม่เคยมีปัญหากับใครเลย เข้ากับคนอื่นก็ง่าย ตอนนี้จะไป
ไม่เพียงแค่ซีเหมินจั้นอิง คนในจวนคนอื่นๆ เองก็รู้สก
ึ เสียใจมากเช่นกัน

ทั้งสองคนเดินทางชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ฉีหนิงดูแลนางเป็นอย่างดี
พอกลับไปถึงเขาเชียนอูหลิง พวกเขาก็ไปกราบไหว้ที่สระน�าแข็ง ฉีหนิง
อยู่กับนางบนเขาอีกหลายวัน ถึงได้ขอตัวกลับ ถังนั่วลงมาส่งเขาที่ตีน
เขา แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ นางพูดกับฉีหนิงว่า “เถียนฟูมี
พรสวรรค์ด้านการแพทย์มากนะ หากท่านได้เจอแม่ของนาง ลองคุยกับ
นางดูว่า นางจะยอมให้เถียนฟูมาหาข้าที่เขานี่หรือเปล่า”

ฉีหนิงเข้าใจความหมายของถังนั่วดี
เถียนฟูเป็นลูกสาวของเถียนเสวียหยง ก่อนหน้านี้มีโรคประจําตัว
ถังนั่วรักษานางอยู่นางจนหายดี ตอนที่เถียนฟูอยู่กับถังนั่ว นางก็หูตาไว
นางสนใจเรื่องของการแพทย์ ถังนั่วก็เห็นว่านางมีพรสวรรค์ในด้านนี้
ดังนั้นเลยอยากรับนางเป็นศิษย์

ถังนั่วได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากหลีซีกงโดยตรง วิชาการแพทย์
ของนางไม่เป็นรองใคร หากเถียนฟูได้มาเป็นศิษย์ของนางจริง ถือว่า
เป็นบุญของเถียนฟู หากเถียนเสวียหยงรู้เรื่องนี้ ต่อให้นางไม่อยากจาก
กับลูกสาว แต่ก็จะต้องดีใจมากแน่นอน

หลังจากถ�าเฮยเหยียนของซีชวนเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น เจ้าถ�า
ถูกสังหาร อี๋ฟูได้รับการสนับสนุนให้เป็นเจ้าถ�าคนใหม่ นําพาคนในเผ่า
รอดพ้นภัยต่อไป

อี๋ฟูได้รบ
ั ตําแหน่งเจ้าถ�ามาได้ เหตุผลมีเยอะแยะมากมาย อย่าง
แรกเพราะอี๋ฟูมต
ี ําแหน่งที่สูงมากในเผ่า อีกทั้งนางยังมีสายเลือด
เกี่ยวข้องกับเจ้าถ�าคนเก่าอย่างปาเย่ลี่โดยตรงด้วย หลังจากปาเย่ลี่ถูก
สังหาร นางก็กลายมาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูล ถึงแม้ชาว
เหมียวจะไม่ถึงขึ้นว่าชายหญิงมีความเท่าเทียม แต่ฐานะของผู้หญิงก็
ไม่ได้ต�าต้อย ให้ผู้หญิงเป็นเจ้าถ�า มันไม่ได้มีกฎห้าม อย่างที่สองอี๋ฟูเองก็
มีความสามารถมาก ถึงแม้จะเป็นผูห
้ ญิง แต่ก็ใจกล้าไม่ต่างกับผู้ชาย สิ่ง
ที่สําคัญที่สุดก็คือ ถ�าเฮยเหยียนเคยได้ฝากอนาคตไว้กับจิ่นอีตระกูลฉี
ตั้งแต่ตอนที่กองทัพฉู่ยกทัพปราบปราบดินแดนสู่ อี๋ฟม
ู ีความสัมพันธ์
ค่อนข้างลึกซึ้งกับฉีหนิง เหล่าผู้อาวุโสในเผ่าคิดว่าการให้นางเป็นเจ้าถ�า
ต่อไปถ�าเฮยเหยียนก็จะสามารถมีจิ่นอีตระกูลฉีเป็นที่พ่ึงพิงไปได้ตลอด

การมีจิ่นอีตระกูลฉีเป็นที่พ่ึง สถานภาพของถ�าเฮยเหยียนในซีชวน
ก็ดีกว่าเดิมมาก

ตอนนี้เข้าปลายเดือนห้าแล้ว ภูเขาต้นไม้เขียวชะอุ่ม

ริมผนังเขาเป็นเส้นทางที่อันตรายมาก ต่อให้เป็นชาวเหมียวเอง ก็
ไม่กล้าปีนขึ้นไปตรงที่แบบนั้น ตอนนีฉ
้ ีหนิงเกาะอยู่ตรงผนังเขา แล้วยื่น
มือไปเก็บยาสมุนไพรมาไว้ที่ตะกร้าที่เอวของเขา

ด้านล่าง อี๋ฟูกําลังมองขึ้นไป ด้วยสีหน้าท่าทางที่เป็นห่วง เห็นฉี


หนิงยังจะปีนขึ้นไปอีก นางก็รีบตะโกนบอกว่า “พอแล้วล่ะ ไม่ต้องขึ้น
ไปแล้ว มันอันตรายนะ”

ฉีหนิงไม่ได้พูดอะไร เขาปีนขึ้นไปเก็บสมุนไพรมาอีกเจ็ดแปดชนิด
จากนั้นก็ลงมาด้านล่างอย่างรวดเร็วเหมือนลิงอย่างง่ายดาย เขาไม่ได้
หายใจหอบเลย อี๋ฟูรีบวิ่งมาหาเขา แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ด
เหงื่อที่หน้าผากให้เขา แล้วพูดว่า “ข้างบนมันอันตรายมากนะ ทําไมเจ้า
ถึงไม่ฟงั เลย”
ฉีหนิงถอดถุงที่ห้อยที่เอวของเขายื่นให้อี๋ฟู เขายิ้มแล้วพูดว่า “ก็
บอกเองว่าหญ้าฮวาหลิงมันเป็นสมุนไพรหายากมากไม่ใช่เหรอ ร้าน
ขายยาขายมันในราคาแพงมาก เก็บให้มากหน่อย แล้วเอาไปเก็บไว้ใน
คลัง แล้วรอคนของร้านยาตระกูลเถียนมารับไป ก็ขายให้พวกเขาใน
ราคาที่แพงหน่อย”

อี๋ฟูถอนหายใจแบบเศร้าๆ แล้วพูดว่า “คนในเผ่าต่างก็รูส


้ ึก
ขอบคุณเจ้ามาก บอกว่าเจ้าทําให้พวกเขามีชว
ี ิตที่ดีข้น
ึ มากเลย”

ฉีหนิงมาที่ถ�าเฮยเหยียนคราวนี้ เขาเอาข่าวดีมากๆ มาให้ด้วย

ต่อไปสมุนไพร หนังสัตว์ งานฝีมือของเผ่าเฮยเหยียนจะมีคนของ


ร้านยาตระกูลเถียนมารับเอาไปทั้งหมด จากนั้นก็ถก
ู ส่งไปที่ตงไฮ่ แล้ว
จะถือเป็นสินค้าในการส่งออก กยาสมุนไพรที่กรมการค้าทางทะเลจะ
จัดซื้อนั้นต่อไปจะซื้อกับร้านยาตระกูลเถียนที่เดียว ดังนั้นร้านยา
ตระกูลเถียนต้องการยาสมุนไพรในจํานวนที่เยอะมาก ไม่ใช่ถ�าเฮยเห
ยียนเท่านั้น ยังมีชนเผ่าอื่นๆ ของเผ่าเหมียวด้วย ร้านยาตระกูลเถียนจะ
ส่งคนไปรับซื้อมาทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแก้ไขปัญหาเรื่อง
จํานวนสมุนไพรได้ อีกทั้งชนเผ่าเหมียวก็จะมีช่องทางการหากินให้อยู่
รอดได้อีก

เพราะเหตุนี้ เหล่าชาวเหมียวถ�าต่างๆ ล้วนแต่ซาบซึ้งใจต่อราช


สํานักมาก เมื่อก่อนราชสํานักไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรพวกเขามาก
นัก แต่คราวนี้ได้อาศัยกรมการค้าทางทะเล รับซื้อสิ่งของต่างๆ จากชาว
เหมียวมา อีกทั้งยังให้ราคาที่เป็นธรรมมากด้วย มันทําให้ชาวเหมียว
รู้สึกว่าพวกเขาได้รับพระกรุณาจริงๆ

“ข้าไม่กล้าแย่งความชอบของสาวงามอย่างเจ้ามาหรอกนะ” ฉี
หนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “เป็นเพราะเจ้าต่างหาก ถ�าเฮยเหยียนถึงได้
เจริญก้าวหน้าแบบนี้ แล้วก็เป็นเพราะพวกเขาเองก็ขยันทนลําบากกัน
ถึงได้มช
ี ีวิตที่ดีข้น
ึ ข้าก็แค่ทําในเรื่องที่ข้าพอจะทําได้เท่านั้น”

อี๋ฟูยิม
้ แล้วพูดว่า “ไม่ว่ายังไงทุกคนก็รู้สึกขอบคุณเจ้าอยู่ดี”

ฉีหนิงมองไปที่ใบหน้าสวยๆ ของอี๋ฟู เขาอดที่จะไปโอบเอวของ


นางไม่ได้ อี๋ฟูตกใจมาก นางพยายามดิ้นให้หลุด “เดี๋ยวมีคนมาเห็นนะ”

ฉีหนิงกระซิบข้างหูนางว่า “ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนาน เจ้าคิดถึงข้ารึ


เปล่า? ห้ามโกหกนะ”

อี๋ฟูหน้าแดงมาก แต่ก็ยงั พูดว่า “คิด ...... คิดถึงสิ กลางวันก็คิด


กลางคืนก็คิด คิดอยากจะให้เจ้ามาหาข้าเร็วๆ”

“ข้าก็มาแล้วนี่ไง” ฉีหนิงรู้ว่าเขาแห่งนีม
้ ียาสมุนไพรมากมาย แล้ว
มักจะมีคนในเผ่าออกมาเก็บสมุนไพรกัน เขาเลยไม่ทําอะไร เขาจูงมือ
ของอี๋ฟู ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเกือบลืมไป ข้ามีของจะให้เจ้าด้วย วางไว้ที่
ค่ายน่ะ เรารีบกลับไปกันเถอะ ไว้ข้าจะเอาให้เจ้าดูนะ จะได้รู้ว่าเจ้าชอบ
รึเปล่า”

อี๋ฟูพูดอย่างแปลกใจว่า “ของอะไรงั้นเหรอ?”

ฉีหนิงทําท่าทําท่างหยิง่ ๆ “ดูแล้วก็รู้เองแหละ อย่าเพิง่ ถามเลย”


เขาหยิยตะกร้าขึ้นมาแบก แล้วจูงมืออี๋ฟูกลับไปที่ค่ายที่พัก เขาก็ไม่ได้
รีบร้อนอะไร เดินไปดูทิวทัศน์ไป ชมนกชมไม้ ลมก็พัดมากเป็นระยะ ทํา
ให้คนสดชื่นมาก

ตั้งแต่ออกมาตอนเช้า จนตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ทั้งสองคนออกไป


เก็บสมุนไพรมาทั้งวัน อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรหายากด้วย ถือได้ว่าได้
อะไรกลับมาเต็มไม้เต็มมือ

พอใกล้จะถึงค่าย อี๋ฟูก็พบว่าตอนที่ออกจากค่ายไปเมื่อเช้าทุกอย่างยังดู
ปกติดี ตอนนี้พอมองมาจากไกลๆ กลับมีการแขวนโคมไฟสีสันมากมาย
นางแปลกใจมาก แล้วพูดว่า “มีคนในค่ายแต่งงานวันนี้เหรอ? ทําไมข้า
ถึงไม่รู้เรื่องเลยล่ะ?” นางรู้สึกแปลกใจมาก พอเดินถึงปากทางเข้าค่ายที่
พัก นางเห็นมีสาวชาวเหมียวหลายสิบคนแต่งตัวสวยงามเดินมาหา
ตัวเอง นางยังไม่ทันตั้งตัว สาวๆ พวกนั้นก็พานางไป
เล่มที่ 50 บทที่ 1497 บทสุดท้าย

อี๋ฟูถูกลากเข้าไปในค่าย นางเห็นคนในเผ่าทั้งหมดไม่ว่าจะผู้ชาย
ผู้หญิงคนแก่หรือว่าเด็กมาอยู่รวมตัวกันหมด อีกทั้งเหล่าผู้อาวุโสยังมอง
มาที่นางแล้วก็ยิ้มอีกด้วย

อี๋ฟูรู้สึกมึนงงไปหมด

ทําไมทุกคนถึงมารวมตัวกันที่นี่? แต่ทําไมเจ้าถ�าอย่างนางถึงได้ไม่
รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ?

ท่ามกลางความมึนงงของนาง นางก็ถก
ู เหล่าสาวๆ ลากเข้าไปใน
ห้อง จัดการแต่งตัวให้นาง จนถึงตอนนีน
้ างถึงได้เริม
่ เข้าใจแล้วว่ามัน
เกิดอะไรขึ้น หลังจากตกตะลึงอยู่ได้ครูห
่ นึ่ง ในใจของนางก็เริ่มดีใจมาก
จนกระทั่งฟ้ามืดสนิทแล้ว ในค่ายที่พักเริ่มก่อกองไฟ อี๋ฟูที่โดนจับ
แต่งตัวให้สวยงามก็ถูกเหล่าสาวๆ พาออกมาที่ลานกว้าง

จากนั้นก็เห็นมีชายหนุม
่ ในเผ่ากําลังล้อมหน้าล้อมหลังชายคนหนึ่ง
อยู่ อี๋ฟูแค่มองก็รู้แล้วว่าผู้ชายคนนั้นที่สวมชุดชาวเหมียวอยู่น้น
ั ก็คือฉี
หนิง
ฉีหนิงเดินหน้าขึ้นมา แล้วจูงมือของอี๋ฟู เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเคย
บอกเจ้าว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้า หวังว่าข้าคงไม่ได้ทําให้เจ้ารอนาน
เกินไปนะ”

อี๋ฟูทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว น�าตาของนางค่อยๆ ไหลลงมา ฉีหนิง


โผกอดนาง ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี

งานเลี้ยงดําเนินไปจนดึก จนกระทั่งเข้าห้องหอ แต่บนโต๊ะในห้อง


หอนั้นกลับมีห่อผ้าสีแดงวางอยู่ ด้านบนเขียนว่า “ฉีหนิง อี๋ฟูรับร่วมกัน”
ฉีหนิงแปลกใจมาก เขาเปิดห่อผ้าออกดู ด้านในเป็นถุงผ้าใบหนึ่ง มันทํา
มาจากผ้าหยาบ ฉีหนิงกับอี๋ฟูมองหน้ากัน พวกเขาแปลกใจมาก ด้านใน
มีจดหมายฉบับหนึ่ง ฉีหนิงเปิดออกอ่าน ด้านในเขียนว่า “ขอให้รักกัน
ยืนยาวเป็นร้อยปี” แต่ไม่มก
ี ารลงชื่อ

ฉีหนิงรู้สึกสงสัยมา เขาเลยเดินไปด้านนอก เห็นชาวเหมียวคนหนึ่ง


ยืนอยู่ไม่ไกล ก็เลยถามว่า “มีใครเข้ามาที่นี่รึเปล่า? ห่อผ้าสีแดงบนโต๊ะ
เป็นของใคร?”

แม่นางคนนั้นตอบกลับมาว่า “ตอนที่ด่ ืมเหล้ากัน มีคนสองคนมา


ที่นี่เจ้าค่ะ พวกเขาบอกว่าของขวัญนี่ จะมามอบให้กับท่านเจ้าถ�ากับ
ท่านอ๋อง ข้าเลยนําไปวางไว้ให้เจ้าค่ะ?”

อี๋ฟูพูดอย่างแปลกใจว่า “สองคนเหรอ ใครกัน?”


“ผู้ชายหนึ่งคนผู้หญิงหนึ่งคน” แม่นางคนนั้นพูดว่า “เหมือนจะ
เป็นพ่อลูกกัน ผู้ชายอายุประมาณสีส
่ บ
ิ ผู้หญิงคนข้างๆ ดูหน้าคุ้นมาก
ถามว่าพวกเขาเป็นใคร ผู้ชายตอบแค่ว่าเป็นสหายเก่าของท่านเจ้าถ�า
กับท่านอ๋อง ยังบอกว่าเคยได้รบ
ั บุญคุณให้ซ่อนตัวจากถ�าเฮยเหยียนเรา
ด้วยเจ้าค่ะ”

“ท่านอาเซี่ยงกับเสี่ยวเตี๋ย” ฉีหนิงพูดว่า “ถุงผ้านี่ เป็น ..... เป็น


ของที่คนของพรรคกระยาจกเท่านั้นที่จะมมี เมื่อกี้ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้”
เขากําถุงผ้าไว้แน่น แล้วถามว่า “พวกเขาอยู่ที่ไหน? แล้วไปเมื่อไหร่?”

“ไปได้สก
ั พักแล้วเจ้าค่ะ” แม่นางคนนั้นพูดว่า “แต่ว่าพวกเขาไป
ไหน ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

ฉีหนิงรู้สึกหงุดหงิดใจมากเขาพูดว่า “พวกท่านอาเซี่ยงมาหาข้า ที่


แท้ ...... ที่แท้พวกเขาก็อยู่ใกล้ๆ แถวนี”

ฟ้ามืดมากแล้ว อีกทั้งเซีย
่ งไป๋อิ่งกับเสี่ยวเตี๋ยก็ไปนานแล้ว ถ้าไป
ออกตามหาตอนนี้ ยังไงก็หาเจอได้ยาก อีกทั้งหากเซี่ยงไป๋อิ่งอยากจะ
อยู่พบเขา ก็ไม่มีทางไปแบบไม่ลาแบบนี้ ในเมื่อเขาเลือกทําแบบนี้
แสดงว่าวันนี้เขาไม่ได้คิดจะพบหน้าฉีหนิง

เพียงแต่ว่าไม่รูว
้ ่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก
อี๋ฟูรู้ว่าท่านอาเซี่ยงที่ฉห
ี นิงหมายถึงนั้นเป็นใครกัน นางเห็นฉีหนิง
หงุดหงิดใจมาก ก็จับมือของเขาเอาไว้ “เวลายังอีกยาวไกล ยังไงก็มี
โอกาสได้พบพวกเขาอีกแน่นอน ไม่ต้องร้อนใจไปหรอกนะ”

ฉีหนิงคิดในใจว่ามันก็จริง วันนีไ้ ม่ได้พบ ต่อไปอาจมีโอกาสได้พบ


กันอีกแน่นอน

..............................................................

หลังจากนั้นสองปี ที่เกาะไป๋อวิ๋น

เกาะไป๋อวิ๋นที่เบ่งบานเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ มีบ้านไม้
อยู่หลังหนึ่ง ถังนั่วกําลังยืนอยู่บนหน้าโต๊ะที่เต็มไปด้วยขวดยา นางมอง
ไปที่ยาเหมือนกําลังคิดอะไรอยู่ ด้านข้างมีแม่นางอีกคนหนึ่งกําลังหั่นยา
สมุนไพรอยู่ นางหันกลับมาพูดว่า “อาจารย์ ยาที่ปรุงขึ้นหลายวันก่อน
มันไม่ค่อยได้ผลเลย ศิษย์ว่าฤทธิร์ ้อนมันมากเกินไป เราลองลดสมุนไพร
ฤทธิ์ร้อนลงดูดีไหม? หรือว่าจะเพิ่มสมุนไพรลดความร้อนลง อย่างพวก
ไป๋เหมาเกินกับหญ้าเติงซิน” คนที่พูดนั้นก็คือเถียนฟู

ถังนั่วพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน อีกเดี๋ยวเจ้าลองมันทั้ง


สองวิธีเลยนะ แล้วรอดูผล”
ด้านนอกห้องจั่วเซียนเอ๋อร์กับซีเหมินจั้นอิงกําลังเดินอยู่ด้วยกัน
เซียนเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่ใช้เวลาตั้งครึ่งปี ไปอยูบ
่ นเขาเชียนอูห
ลิง ในที่สุดก็ได้สาวงามกลับมาจนได้ เราก็ได้อยูด
่ ้วยกันสักทีนะ”

“คนลามก” ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “เขาบอกว่าจะไปเรียนรู้เรื่อง


การแพทย์ที่เขาเชียนอูหลิง ตอนนั้นข้ายังแปลกใจอยู่เลยว่า ทําไมจู่ๆ
เขาถึงได้สนใจเรื่องนี้? อีกทั้งการแพทย์มันเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งมาก ไม่ใช่
ว่าเรียนแค่สองสามปีแล้วจะเป็น ถ้าจะเรียนจนสําเร็จจริง อาจต้องใช้
เวลาเป็นสิบปีก็ได้ ที่แท้ ...... ที่แท้ก็วิ่งไปจีบแม่นางถังนี่เอง”

“แม่นางถังก็เป็นคนสวย เขาจะยอมให้นางอยู่คนเดียวได้ยังไงล่ะ
แล้วก็ไม่มีทางยอมให้ผู้ชายคนอื่นมาชิงเอาไปได้หรอก” จั่วชิงหยางกับ
ซีเหมินอู๋เหิงเดินกันไปตามทางที่รายล้อมด้วยดอกไม้ “ตอนที่แม่นางถัง
ไปจากเมืองหลวง ข้าก็เดาไว้อยูแ
่ ล้วว่าเราจะต้องได้กลับมาอยูด
่ ้วยกัน
อีก”

ซีเหมินจั้นอิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “อีกไม่กี่วันเขาก็จะไปตงไฮ่อีก
แล้ว บอกว่ามีเรื่องของกรมการค้าทางทะเลต้องไปจัดการ ตลอดเวลา
สองปีที่ผ่านมาเขาไปตงไฮ่อยู่เรื่อยเลย ชอบทําการค้านักหรือไงก็ไม่รู?้ ”

จั่วเซียนเอ๋อร์ยิ้มหวาน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ซีเหมินจั้นอิงเดินไปนั่งลงบนโขดหิน เงยหน้ามองฟ้า นางอดพูด
ไม่ได้ว่า “ที่แท้ที่นี่ก็เป็นที่ช่ ือตันเหมยเติบโตมานี่เอง มิน่านางถึงได้สวย
แบบนั้น บนเกาะนีส
่ วยจริงๆ เลยนะ มีดอกไม้เป็นเพื่อนทุกวัน ยังไงก็
ต้องสวยอยู่แล้วนี่เนอะ” เขามองซ้ายมองขวา แล้วพูดว่า “เมื่อกี้ยังเห็น
นางอยู่เลย ตอนนี้ไปไหนแล้วล่ะ? วันนีเ้ วรนางทําอาหารนี่นา”

จั่วเซียนเอ๋อร์พูดว่า “เมื่อกี้เห็นนางกับท่านพี่เดินไปที่ริมทะเลน่ะ
วันนี้เป็นเวรทําอาหารของนางจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่านางบอกว่าท่านพี่
รอกินอาหารอย่างเดียวทุกวันเลย วันนีน
้ างจะต้องให้เขาทําอาหารให้
เรากินให้ได้”

ซีเหมินจั้นอิงพูดว่า “นางทําให้เขาเข้าครัวได้เหรอ?”

จั่วเซียนเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “เราไม่มว
ี ิธี นางอาจจะมีก็ได้นะ”
ทันใดนั้นเองก็มเี สียงเด็กทารกร้องดังขึ้นมา นางก็รีบพูดว่า “ไท่เอ๋อร์ต่ ืน
แล้ว เรารีบไปดูกันเถอะ วันนี้เขาตื่นเร็วกว่าวันอื่นเลย”

ซีเหมินจั้นอิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เขาตื่นแบบนี้ โต้วโต้วก็ต้อง


ตื่นแน่เลย” นางกับจั่วเซียนเอ๋อร์เดินไปห้องเด็กอ่อนที่สร้างขึ้นมา
เฉพาะ นางพูดว่า “เซียนเอ๋อร์ ชื่อตันเหมยกับท่านพี่อยู่กับด้วยกันนาน
กว่าเรามาก ทําไมนางไม่ท้องสักทีล่ะ”
“นางเห็นเรายุ่งกับลูกทุกวันจนเหนื่อย แล้วต่อไปก็ต้องมีลก
ู พัวพัน
จนทําอะไรไม่ได้ นางก็กลัว บอกว่ารออีกสักสองสามปีแล้วค่อยว่ากัน”
เซียนเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าท่านพีบ
่ อกว่า ปีนี้ไม่ว่ายังไงก็จะต้องทํา
ให้นางท้องให้ได้ บอกว่าต่อไปในทุกปีเราจะต้องคลอดลูกให้เขาปีล่ะ
สองคน มีลก
ู เต็มบ้านไปเลย”

“เขาคิดว่าเราเป็นไข่ไก่หรือยังไงกัน? คิดอยากจะมีก็มี” ซีเหมินจั้น


อิงหัวเราะแล้วพูดว่า “โต้วโต้วคนเดียวข้าก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ข้าไม่
อยากมีลูกให้เขาแล้ว” นางมองไปที่ห้องของถังนั่ว ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้า
เขาแน่จริง ก็ทําให้ถังนั่วท้องให้ได้สิ”

บนชายหาด ฉีหนิงทําหน้าเหมือนหมูถก
ู เชือด แล้วมองไปที่ตาของ
ชื่อตันเหมยแล้วพูดว่า “ลูกผู้ชายอกสามศอก บอกว่าไม่ทํากับข้าวก็คือ
ไม่ทํา เราตกลงกันแล้วนะ วันนีเ้ ป็นเวรของเจ้า เจ้าจะบ่ายเบี่ยงแบบนี้
ไม่ได้นะ”

“ใช่ เราตกลงกันไว้แล้ว แต่ว่าทําไมถึงไม่นับรวมเจ้าด้วยล่ะ?” ชื่อ


ตันเหมยเอามือกอดอก แล้วพูดว่า “เราจําเป็นต้องฟังคําสั่งของเจ้า
อย่างเดียวหรือไง? พวกนางสนใจหรือเปล่าข้าไม่สนใจ แต่ว่าคราวนี้ตา
ข้า ข้าจะให้เจ้าเป็นคนทํา”

ฉีหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “แล้วถ้าหากข้าปฏิเสธล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นข้ารับรองได้เลยว่าช่วงเวลาที่เจ้าอยู่บนเกาะ เจ้าจะ
ไม่ได้แตะต้องใครอีกเลย” ชื่อตันเหมยพูดว่า “ข้าได้ตกลงกับพวกนาง
ไว้แล้ว หากวันนี้เจ้าไม่ทําอาหาร ต่อไปเจ้าก็จะต้องนอนคนเดียว ไม่มี
ใครอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอีก”

ฉีหนิงส่ายหัวยิม
้ แล้วพูดว่า “ข้าไม่เชื่อ”

“จะลองดูก็ได้”

ฉีหนิงเดินขึ้นหน้าไปแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะให้ข้าทําอาหารจริง
เหรอ มันก็ไม่ใช่ไม่ได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน ข้าถึงจะ
รับปากเจ้า”

“เรื่องอะไร?”

ฉีหนิงยิม
้ ร้ายๆแล้วพูดว่า “คืนนี้เจ้ากับเซียนเอ๋อร์นอนเป็นเพื่อน
ข้า .......”

“ไปไกลๆ เลยไป” ชื่อตันเหมยพูดว่า “เจ้านี่ไม่เลิกล้มความตั้งใจ


อีกนะ ข้าเคยบอกไปแล้วว่าไม่ได้ เลิกคิดไปได้แล้ว”

ฉีหนิงถอนหายใจ คิดในใจว่าสองสาวที่ตงไฮ่ถูกเขาหลอกล่อให้
นอนร่วมเตียงเดียวกับเขาไปแล้ว ถึงแม้ใช้เวลากล่อมนานหน่อย แต่ว่า
สุดท้ายเขาก็ได้สมใจ แต่ว่าสาวๆ บนเกาะกลับรับมือยากมาก
ชื่อตันเหมยไม่รู้ว่าฉีหนิงได้รับความสุขแบบคูณสองจากที่ตงไฮ่
มาแล้ว นางยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าหากเจ้ายอมทํา คืนนี้อาจจะมีอะไร
พิเศษให้เจ้าก็ได้”

ฉีหนิงยิม
้ แล้วพูดว่า “ไม่ทํา ข้าเองก็มีวิธีให้เจ้าทําให้ดีดีให้ขา้ ได้”
เขาตบไปที่หน้าอก แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้นะ เจ้าซัดข้ามาสองที ถ้าข้า
ขยับแม้แต่นิดเดียว ถือว่าข้าแพ้ ข้าจะยอมทําอาหารทันที”

“ชิ” ชื่อตันเหมยไม่ได้พูดดีด้วย “มามุกนี้อีกแล้วนะ วรยุทธ์ของ


เจ้าเทียบชั้นต้าจงซือแล้ว ต่อให้ข้าออกหมัดเต็มกําลัง เจ้าแอบใช้พลัง
ฟ้าดินคุ้มกาย ต่อให้ซด
ั ถูกตัวเจ้า ที่จริงเจ้ากลับไม่เสียหายอะไรเลย”
นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “หอกดาบทําอะไรเจ้าไม่ได้เลย หมัดก็ต้อง
ทําอะไรเจ้าไม่ได้เหมือนกัน เจ้ายืนเฉยๆ ไม่ขยับ ต่อให้เจ้าให้ยอดฝีมือ
มาซัดเจ้าสักสิบยี่สิบหมัด เจ้าก็ไม่มีทางเป็นอะไรไปได้หรอก”

ฉีหนิงหัวเราะ จากนั้น เสียงของเขาก็หยุดไป

ชื่อตันเหมยเห็นท่าทีของฉีหนิงเปลี่ยนไป ก็รู้สก
ึ แปลกใจ นางเลย
เริ่มเป็นห่วง นางเดินหน้ามาหาเขา แล้วถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป?”

ฉีหนิงนิง่ ไปนาน จากนั้นก็มองไปที่ตาของชื่อตันเหมย จากนั้นก็


ถามว่า “วรยุทธ์ของเจ้าถึงแม้จะเป็นรองข้า แต่ก็ถือเป็นยอดฝีมือใน
ยุทธภพ ความแตกต่างระหว่างเจ้ากับข้า เทียบกับที่ข้าห่างชั้นกับต้า
จงซือได้ไหม?”

ชื่อตันเหมยตะลึงไป นางไม่เข้าใจว่าทําไมฉีหนิงถึงได้ถามนางแบบ
นี้ นางคิดแล้วตอบว่า “ความห่างชั้นของเจ้ากับต้าจงซือน่าจะมากกว่า
ของระหว่างเรานะ”

“เจ้าคิดแบบนั้นเหรอ?”

“วรยุทธ์ของต้าจงซือน่ากลัวเกินไป ตอนที่อยู่เกาะเสวียนอู่ เราก็


ได้เห็นแล้วนี่นา” ชื่อตันเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใต้หล้านี้ มีแค่ต้า
จงซือเท่านั้นที่ทําร้ายต้าจงซือได้”

ฉีหนิงหลับตาลง ขมวดคิ้วขึ้นมา ชื่อตันเหมยพูดด้วยความสงสัยว่า


“เจ้าคิดอะไรอยู่?”

“มีแค่ต้าจงซือเท่านั้นที่ทําร้ายต้าจงซือได้ ......” ฉีหนิงบ่นคํานี้ซ�า


แล้วซ�าเล่า หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ลืมตาขึ้นมา แล้วพูดว่า “ข้าต้อง
ออกจากเกาะทันที มีเรื่องสําคัญที่ต้องไปทํา” เขาไม่ได้พด
ู เหตุผลอะไร
มากมาย เขาเดินไปที่เรือที่จอดเทียบฝั่งอยู่ ชื่อตันเหมยไม่รู้ว่าทําไมจู่ๆ
ฉีหนิงถึงได้มีปฏิกิริยาแบบนี้ เห็นฉีหนิงพริบตาเดียวโดดทีเดียวไปที่เรือ
เลย ทิ้งชื่อตันเหมยอยูท
่ ี่เดิมอย่างนั้น

พอชื่อตันเหมยตามไป เรือก็แล่นออกไปจากฝั่งแล้ว
“ข้าจะไปสักระยะนะ พวกเจ้ารอข้ากลับมานะ” ฉีหนิงตะโกน
กลับมา ชื่อตันเหมยหน้าตาสงสัยมาก ฉีหนิงรีบร้อนออกจากเกาะไป
เขาจะไปไหนกันแน่นะ?

..............................................................

พระอาทิตย์กําลังจะตกดิน ฉีหนิงขีม
่ า้ มาคนเดียว เขาขี่ม้าไปถึงตีน
เขาที่ต้ังสํานักเฟิงเจี้ยน เขาเงยหน้ามองไปบนสํานัก

สํานักเฟิงเจี้ยนเคยเป็นสํานักอันดับหนึ่งในซีชวนมาก่อน หลังจาก
เซี่ยงไป๋อิ่งมอบสํานักให้ล่ซ
ู างเฮ่อแล้ว สํานักเฟิงเจี้ยนก็เคยมีช่วงเวลาที่
มีคนมาไม่ขาดสาย แต่ต้ังแต่ล่ซ
ู างเฮ่อไปตั้งสํานักใหม่ แล้วย้ายไปอยูท
่ ี่
สํานักอิ่งเฮ่อ สํานักเฟิงเจี้ยนก็เงียบเหงาลง

ในอดีตได้เลือกสร้างสํานักเฟิงเจี้ยนไว้ค่อนข้างไกลจากหมู่บ้าน
ผู้คน ในระยะยี่สิบลี้แทบจะไม่เจอใครเลย

สํานักเฟิงเจี้ยนในวันนี้ ไม่มีใครอยู่เลย มันกลายเป็นสํานักร้าง ถึง


จะเป็นแบบนั้น ก็ไม่มใี ครกล้าคิดจะทําอะไรกับมัน เพราะหลายคนรู้ดี
ว่า สํานักเฟิงเจี้ยนนั้นเคยเป็นของประมุกพรรคกระยาจกอย่างเซี่ยงไป๋
อิ่งมาก่อน เมื่อปีที่แล้วผู้อาวุโวชิงหลงโหลวเหวินซือได้รับสืบทอด
ตําแหน่งประมุกพรรคกระยาจกไปแล้ว เซี่ยงไป๋อิ่งก็หายไปอย่างไร้
ร่องรอย แต่ว่าบารมีของเขายังคงอยู่ ไม่มีใครกล้าทําอะไรกับสํานักเฟิง
เจี้ยนเหมือนเดิม

ตกดึก ทุกอย่างรอบตัวมืดสนิท

สํานักเฟิงเจี้ยนในยามค�าคืน มันเหมือนบ้านผีสิง มันเงียบมาก

ฉีหนิงเดินเข้าไปในสํานัก เขาก็รู้สึกวังเวงเหมือนกัน

เขามาที่สํานักเฟิงเจี้ยนหลายครั้ง แต่ละครั้งที่มากลับรู้สึกไม่
เหมือนกัน

ครั้งแรกเขามาพร้อมกับเซี่ยงไป๋อ่ิง แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับลู่
ซางเฮ่อ

ครั้งที่สองที่มา ก็มาเพื่อช่วยเซี่ยงไป๋อิ่ง แต่กลับได้พบตี้ฉานที่


ปลอมเป็นซู่อิ่งฮูหยินที่อยู่ในห้องใต้ดินลับ ถึงแม้จะรูว
้ ่ามันเป็นกับดัก
ของตี้ฉาน แต่พอคิดถึงเรื่องที่พวกเขาอยู่ด้วยกันสองคนสั้นๆ ภายในใจ
ก็รู้สึกหวั่นไหวเหมือนกัน

นี่เป็นครั้งที่สามที่มาที่นี่

ด้วยวรยุทธ์ของเขา ในใต้หล้านี้ ไม่มีใครสู้เขาได้แล้ว ไม่มีที่ไหนที่


เขาไปไม่ได้
กลางดึกค�าคืน กลับมีเสียงพิณดังขึ้น กลางดึกแบบนี้ อีกทั้งยังเป็น
สถานที่ร้าง แต่ว่าเสียงกลับดูเหมือนไม่ไกล

ฉีหนิงขมวดคิ้วหนักมาก เขาเดินไปตามเสียงเพลง เดินผ่าน


ทางเดินไปสองเส้น เดินทะลุประตูโค้งเข้าไป เจอศาลาที่อยู่ในเรือนหลัง
หนึ่ง บนหลังคาศาลามีตะเกียงแขวน มีคนนั่งเล่นพิณอยู่ในศาล่ ฉีหนิง
เดินขึ้นหน้าไป ยืนอยู่หา่ งจากศาลาประมาณห้าหกก้าว แล้วก็หยุด เขา
มองไปที่แผ่นหลังอันสวยงามนั่นจนขยับตัวไม่ได้เลย

แผ่นหลังที่สวยสง่างาม บวกกับลมพัดโชยมา กลิ่นหอมที่ค้น


ุ เคย
โชยเข้าจมูกฉีหนิง

เสียงพิณอันไพเราะดังอย่างต่อเนื่องอยู่นาน ในที่สุดก็หยุดลง

คนๆ นั้นไม่ได้ขยับ ฉีหนิงเองก็ไม่ได้ขยับ ทันใดนั้นเองคนๆ นั้นก็


ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ารอเจ้ามาตลอดสองปี ในที่สด
ุ เจ้าก็มา
สุดท้ายเจ้าก็ไม่ลืมที่นี่”

พระจันทร์กลางท้องฟ้า พอได้ยินเสียงที่ค้น
ุ เคย ฉีหนิงเองก็ไม่รู้
เหมือนกันว่าควรร้องไห้หรือว่าหัวเราะดี

-จบอวสาน-
บันทึกนักเขียน

นิยายเรื่องบันทึกลับองครักษ์เสื้อแพรจบเล่มแล้ว ที่จริงเมื่อคืนนี้
เหลืออีกไม่เท่าไหร่ก็จะเขียนจบ แต่จู่ๆ ก็เกิดรู้สึกใจหายขึ้นมา ถึงแม้
เหลือีกแค่ไม่กี่ตัวอักษร กลับไม่สามารถเขียนมันต่อไปได้ เลยปิดไฟล์
ปิดคอม รอมาเขียนจบเรื่องในวันนี้แทน คิดว่าให้ได้อยูก
่ ับมันอีกสักวันก็
น่าจะดี

ในฐานะนักเขียนอารมณ์ความรู้สึกมันอาจจะไม่เหมือนกับนักอ่าน
สักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเขียนดีหรือไม่ดี ตลอดเวลาที่สามปีที่ผ่านมา ฉันก็
ถือว่าตัวเองคือส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องนี้ ขอแค่เปิดไฟล์งานขึ้นมา ฉันก็
เข้าไปอยู่ในโลกของนิยาย ยิ้มหัวเราะร้องไห้ไปกับพวกเขา ผ่าน
ประสบการณ์ชว
ี ิตที่พลิกไปพลิกมาพร้อมกับพวกเขา หากสามารถ
เขียนมันจบได้ผ่านในไม่กี่ตัวอักษรแล้วล่ะก็ การใช้ชีวิตในตลอดสามปี
ที่ผ่านมาก็เท่ากับไร้แสงสว่าง ความใจหายที่เกิดขึ้นเลยไม่รู้จะต้อง
อธิบายออกมาเป็นคําพูดยังไงดี

วันที่ 18 พฤษภาคม 2016 เป็นครั้งแรกที่นิยายเรื่องบันทึกลับ


องครักษ์เสื้อแพรได้รบ
ั การเผยแพร่ จนถึง ณ วันนี้ก็ประมาณ 3 ปี กับ
อีก 7 เดือนแล้ว ถึงยังไงก็ตามก็ถึงเวลาที่ต้องบอกลากับมันสักที

ที่จริงนักอ่านหลายพอจนถึงนิยายช่วงท้ายๆ มักจะพูดติดปากกัน
ว่า “ใกล้จบเล่มแล้ว” พวกเขาอาจจะไม่รู้ คําที่พวกเขาชอบพูดกันนั้น
เป็นคําที่ฉันไม่ชอบมันเลย เพราะมันทั้งใจหายแล้วก็พอใจ

ในฐานะนักอ่านอาจจะรู้สึกว่ามันควรถึงเวลาที่ควรจะถึงบทสรุป
สักที เกี่ยวกับโครงเรื่องของนิยายแล้วมันก็ไม่ได้มป
ี ญ
ั หาอะไร มันคือ
นิยายที่สมบูรณ์แบบเรื่องหนึ่ง พวกเขามองถึงบทสรุปของเรื่องราวนั้น
ออก

โครงเรื่องของนิยายเรื่องบันทึกลับองครักษ์เสื้อแพรนั้นไม่ได้ใหญ่
มากถ้าเทียบกับนิยายเรื่องอื่น แต่ฉันคิดว่ามันละเอียดมากแล้ว ตั้งแต่
จนจนจบ พูดถึงเรื่องราวที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ต่อให้อาจจะมี
บางอย่างที่คิดว่ามันไม่เป็นไปตามที่คิดสักเท่าไหร่ แต่สว
่ นตัวคิดว่ามัน
เป็นนิยายที่สมบูรณ์มากแล้ว
ฉันชอบคิดว่าตัวฉันนั้นคือคนเล่านิทานคนหนึ่ง แต่เปลี่ยนเป็นจาก
การใช้ปากเล่าเรื่องมาเป็นปากกาเท่านั้น คนเล่านิทานเล่าเรื่องจะต้อง
เล่าเรื่องราวให้ทก
ุ คนฟังได้อย่างมีอรรถรส ส่วนฉันก็เขียนนิยายที่
สนุกสนานให้ทก
ุ คนได้อ่านกัน

ฉันรู้ดีว่าอาจจะมีนักอ่านบางคนคิดว่าตอนจบมันเหมือนดูรีบร้อน
ที่จริงมันไม่ได้เขียนแบบรีบร้อนเลย หรืออาจจะพูดได้ว่าตอนจบของ
นิยายเรื่องหนึ่ง มันมักจะทําให้คนเสียดายหรือไม่ก็ใจหายมากกว่า

เริม
่ เข้าสู่วงการนี้ต้ังแต่ปี 2009 จนถึงปัจจุบันเขียนนิยายไปแล้ว 4
เรื่อง นิยายออนไลน์เรื่องแรกที่เขียนคือ “เจียงซาน” หลังจากนั้นก็
“ฉวนเฉิน” “กั๋วเส้อเซิงเซียว” และล่าสุด “บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร”
ระยะเวลาสอบกว่าปี เขียนไปทั้งหมดกว่า 1,800,000,000 กว่า
ตัวอักษร เฉลี่ย 1,800,000 ตัวอักษรต่อปี พูดถึงเรื่องความเร็ว ที่จริง
แล้วอาจจะสู้กับนักเขียนออนไลน์ท่านอื่นไม่ได้ แต่ยังดีที่เจ้านายไม่ได้
รังเกียจ ผลงานหลายต่อหลายชิ้น ได้ผลตอบรับที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดเป็นเพราะนักอ่านทุกท่านคอยสนับสนุน มันก็อาจจะเป็นเพราะ
ความชอบส่วนบุคคลด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ทําเร็ว แต่ว่าแต่ละคําที่เขียน
ออกมานั้นก็ออกมาจากใจ และไม่เคยลืมอุดมการณ์ตอนแรกเริ่มเลย ไม่
เคยเขียนหรือทํางานแบบชุ่ยๆ
สุดท้ายบันทึกลับองครักษ์เสื้อแพรก็เริม
่ เขียนบทสรุป ทุกคนจึงมี
ความคิดเห็นหลากหลายความเป็นไปได้ของตัวเอง

ผลงานทุกชิ้น มีท้ังจุดเด่นและจุดด้อยอยู่ บันทึกลับองครักษ์เสื้อ


แพรก็มป
ี ัญหาแบบนั้นอยู่เหมือนกัน มีจุดเด่นอะไร ก็ให้เจ้านายมา
ตัดสิน ส่วนจุดด้อย มันก็มป
ี ญ
ั หาแน่นอนของมันอยูแ
่ ล้ว เช่น ความไร้
เทียมทานของพวกต้าจงซือ ที่จริงมันก็ถือเป็นจุดด้อย เพราะเป็นตัว
ละครที่ไม่มีบทบาทเท่าไหร่

ผลงานแต่ละชิน
้ ที่เขียนจบ ฉันก็จะสรุปจุดเด่นจุดด้อยของมันทุก
ครั้ง ในฐานะนักเขียนก็สมควรต้องรู้ว่าเรานั้นถนัดอะไร และนําจุดนั้น
มาพัฒนาต่อยอด ส่วนจุดด้อยก็ต้องอ่านมันออกอย่างชัดเจน เพราะ
การเริ่มผลงานต่อไป มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ว่าจุดด้อยมันอยู่ตรงไหน ถึง
จะรู้ว่าควรเลี่ยงมันยังไง

ตอนที่เขียนบันทึกนี้ เดิมคิดว่าจะเขียนวิเคราะห์ตัวละคร แต่ว่า


ในตอนนี้พอนึกดูอีกที ไม่ว่าจะเขียนออกมาได้ดีหรือไม่ก็ตาม คนที่มี
สิทธิตัดสินก็คือนักอ่าน

เขียนนิยายมาหลายปี ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนฝูงไม่นอ
้ ย
ได้รับคําแนะนําข้อเสนอแนะมามากมาย และยังมีการให้กําลังใจและคํา
ชื่นชมอีกด้วย ขอบคุณคําขอบคุณและกําลังใจจากเหล่าเพื่อนๆ ทําให้
ฉันมีแรงใจอย่างเต็มที่ และยังต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่ให้คําแนะนําติชม
เกี่ยวกับผลงาน คําติชมเหล่านั้นมันสามารถเตือนสติฉันได้ตลอดเวลา
เข้าใจว่าจุดอ่อนของตัวเองนั้นอยู่ตรงไหน และพยายามแก้ไขมันได้

บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพรจบเล่มแล้ว มันก็จะต้องมีนย
ิ ายใหม่มา
แทนที่มน

ก่อนหน้านี้ก็มห
ี ลุดบ้าง เมื่อปีก่อนมีการวางแผนงานโครงเรื่อง
นิยายเรื่องใหม่ ตลอดสองปีที่ผา่ นมา อ่านหนังสือมากมายเพื่อกําหนด
นิสัยใจคอของตัวละคร เพราะนิยายใหม่ทําให้การปิดนิยายบันทึกลับ
องครักษ์เสื้อแพรล่าช้าออกไป ต้องขออภัยทุกคนด้วยจริงๆ

สําหรับนิยายเรื่องใหม่จะมีโครงเรื่องที่ใหญ่ข้ึน ซึ่งไม่นอ
้ ยไปกว่า
เรื่องบันทึกลับองครักษ์เสื้อแพรแน่นอน เนื้อหายังคงเกี่ยวข้องกับ
ประวัติศาสตร์ แต่อาจจะมีเรื่องของยุทธภพที่มากขึ้น เพราะแต่ก่อนฉัน
ไม่ค่อยเข้าใจในเนื้อหาเกี่ยวกับการวางแผนความตื่นเต้นระทึกใจ
เท่าไหร่ เพราะเมื่อก่อน ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแก่นแท้ในนิสัยใจคอ
ของตัวละครเท่าที่ควร และก็ไม่เข้าใจในเรื่องของยุทธภพกําลังภายใน

ฉันหวังว่านิยายเรื่องใหม่ของฉัน ฉันจะสามารถเขียนมันออกมาได้
ดีมากขึ้น หวังว่าทุกคนจะสามารถสัมผัสถึงประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่
ยุทธภพแบบที่เดินสิบก้าวสังหารหนึ่งก้าวไม่เหลือใครเลยในระยะพันลี้
ที่จะทําให้พวกคุณตกอยูใ่ นภวังค์ แน่นอน ในนิยายของซาหม้อ ไม่เคย
ขาดเรื่องสาวงามและความรักแน่นอน
ยุทธภพอยู่ไม่ไกล ยุทธภพมีสุรา

พบกับนิยายเรื่องใหม่นะ แล้วพบกัน

You might also like