You are on page 1of 1586

บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร

เล่มที่ 1 หนทางไกลโพ้น จริงเท็จยากจาแนก


บทที่ 1 ศาลเจ้า
ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่่า สายฟ้าที่ส่องสว่างดุจโซ่ก็
ผ่าลงมาท่ามกลางความมืดมิดของยามค่่าคืน ตามมา
ด้วยเสียงร้องที่ดังสนั่นราวกับแผ่นดินทลายของฟ้า
ร้อง ดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทุกพื้นที่
หยางหนิงลืมตาขึ้นมา หลังจากที่เขามองเห็นสภาพ
โดยรอบได้ชัดเจนแล้วนั้น เขาก็ได้ตัดสินใจกระท่าสิ่ง
หนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก นั่นก็คือการที่เขา
เตรียมพร้อมจะลงมือแล้ว
หากเป็นเรื่องที่สามารถใช้ก่าปั้นจัดการได้ เขาก็จะ
พยายามไม่ไปรบกวนสติปัญญาของตัวเอง
ภาพตรงหน้าท่าให้เขารู้สึกมีโทสะขึ้นมาจริงๆ มันเป็น
ภาพที่ชายหนุ่มสามสี่คนก่าลังโอบล้อมชายสวม
เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งพร้อมกับรุมใช้
หมัดและฝ่าเท้าท่าร้ายชายคนนั้น ส่วนคนที่โดนรุมท่า
ร้ายนั้นได้แต่กอดตัวเองและขดตัวอยู่บนพื้นอย่างไร้
ทางสู้
เขาไม่ได้ต่อต้านการต่อสู้ หรือจะพูดตามตรงก็คือเขา
ชื่นชอบการที่หมัดกระทบเข้ากับร่างกายฝ่ายตรงข้าม
ก็ว่าได้ ทว่าการที่เอาคนหมู่มากมารังแกคนอื่นนั้น
เป็นเรื่องที่เขารู้สึกไม่พึงพอใจเป็นที่สุด และใครท่าให้
เขาไม่พอใจ เขาก็มักจะคิดหาวิธีให้คนผู้นั้นรู้สึกไม่
พอใจยิ่งกว่า
“หยุดนะ!” หยางหนิงส่งเสียงร้องตะโกนออกมาจาก
ล่าคอ เขาต้องการใช้เสียงร้องของตนเองข่มขวัญศัตรู
เอาไว้ให้ได้ก่อน
แต่เสียงที่ถูกเปล่งออกไป กลับไม่ได้มีความโหดเหี้ยม
น่าเกรงขามเหมือนที่เขาคิดไว้ มันกลับดูอ่อนแอ
ไร้ก่าลังยิ่งนัก
เสียงนี้แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นท่าให้ฟ้าสะเทือนดินทลายได้
แต่ก็สามารถท่าให้คนเหล่านั้นหยุดมือลง และหมุนตัว
หันมามองทางเขา
ตอนนี้หยางหนิงเพิ่งจะมองเห็นได้ชัดเจนว่าพวก
ชายหนุ่มที่ก่าลังลงมือก็ไม่ได้สะอาดสะอ้านกว่าคนที่
ขดตัวอยู่ข้างล่างเท่าใดนัก ทุกคนต่างก็มีใบหน้า
มอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง อีกทั้งเสื้อผ้าก็มีรอยฉีกขาด
ทรุดโทรมยิ่งนัก โดยดูจากสภาพพวกเขาแต่ละคน
แล้วสามารถเรียกว่าเป็นพวกยาจกขอทานเลยก็ว่าได้
“เสี่ยว...เสี่ยวเตียวเอ๋อร์...!” ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้มีทรง
ผมราวกับนักร้องวงเดอะบีเทิลส์มองเห็นหยางหนิงที่
ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางโยกเยกไปมาแล้ว สีหน้าก็มี
ความตกตะลึงปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หยางหนิงกลับรู้สึกว่าร่างกายของตนก่าลังอ่อนแรง
ยิ่งนัก ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้แล้ว
จึงได้แต่เอ่ยออกมาด้วยน้่าเสียงที่เยือกเย็น “เป็น
ผู้ชายก็ควรจะสู้กันตัวต่อตัว เอาคนหมู่มากมารุม
รังแกคนเพียงคนเดียวแบบนี้มันสนุกนักหรือไง?”
คนที่มีทรงผมเดอะบีเทิลส์มองหยางหนิงขึ้นๆ ลงๆ
อย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามา
และเอ่ยออกมาด้วยน้่าเสียงขบขัน “เจ้าหนูนี่ยังมีชีวิต
อยู่งั้นหรือ?” พร้อมกับเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้า
หยางหนิงและยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่จะวางลงไป
บนบ่าของหยางหนิง
เมื่อหยางหนิงเห็นมือนั้นยื่นเข้ามาหา เขาก็ยื่นมือข้าง
หนึ่งออกไปโดยสัญชาตญาณและจับลงบนข้อมือของ
ฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ โดยไม่รอให้อีกฝ่ายดึงสติกลับมา
เท้าของเขาก็ขยับอย่างรวดเร็ว ตอนนี้แขนของชาย
คนนั้นได้ถูกดึงไปแนบไว้ที่ด้านหลังแล้ว ออกแรงกด
ลงไปบนท่อนแขนด้านบนของชายคนนั้นจนเกิดเป็น
เสียงดัง “กร๊อบ” ดังลั่นขึ้น ก่อนที่ชายคนนั้นจะส่ง
เสียงร้องโหยหวนออกมาทันที
การต่อสู้ด้วยมือเปล่านี้ถือเป็นวิชาที่เขาถนัดอย่างมาก
การจะถอดแขนข้างหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามนั้นความ
จริงแล้วไม่จ่าเป็นต้องใช้เรี่ยวแรงมากเท่าไรนัก
ชายหนุ่มผู้มีทรงผมเหมือนเดอะบีเทิลส์ร้องโหยหวน
ออกมา ก่อนที่แขนข้างนั้นจะทิ้งตัวลงไปอย่าง
ไร้เรี่ยวแรง บนหน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา
พร้อมกับสีหน้าที่กลายเป็นขาวซีดในชั่วพริบตา
ชายหนุ่มที่เหลือหันมามองหน้ากัน ในมือของยาจก
สองคนนั้นถือท่อนไม้เอาไว้คนละท่อน สองคนที่อยู่
ทางซ้ายและขวาค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้หยางหนิง
หยางหนิงท่าเพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะ
กวาดตามองลงไปที่พื้นแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าใกล้ ๆ
ฝ่าเท้าของตนก็มีท่อนไม้อีกท่อนหนึ่ง เขาก็ตวัดเท้าไป
เล็กน้อยให้ท่อนไม้นั้นลอยขึ้นมาอยู่ในมือของตน
เสียงร้องตะโกนดังออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มสองคนที่
อยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาจะเหวี่ยงท่อนไม้มาทางศีรษะ
ของหยางหนิง
หยางหนิงหัวเราะเสียงเย็นออกมา ก่อนที่ท่อนไม้
ในมือจะสะบัดออกไปรวดเร็วดุจสายฟ้า ตัวเขาที่
ฝึกซ้อมอยู่ในค่ายทหารพิเศษมาเป็นเวลาหลายปีนั้น
หนึ่งในประเภทของการฝึกก็คือการน่าของที่หาได้
ทุกประเภทมาใช้เป็นอาวุธของตน แม้ว่าชายหนุ่มทั้ง
สองจะบุกเข้ามาด้วยท่าทางดุร้าย แต่ว่าในสายตา
ของหยางหนิงแล้ว พวกเขาไม่น่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของเขายังคงรู้สึกอ่อนแรง
อยู่บ้างแล้ว การออกแรงด้วยมือเปล่าก็น่าจะเพียงพอ
ท่าให้คนทั้งสองล้มลงได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้ในมือของเขายังมีท่อนไม้อีกท่อนหนึ่ง ท่าให้
ไม่มีทางตกเป็นรองได้อย่างแน่นอน
เสียง “ตุ้บๆ” ดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่ท่อนไม้จะถูก
สะบัดออกพร้อมกับหยางหนิงที่ก้าวเท้าไปด้านข้าง
และเอียงตัวหลบตามไป หมัดขวากระแทกเข้าใบหน้า
ของชายคนหนึ่งเข้าอย่างแรง ก่อนที่ขาอีกข้างจะถีบ
ออกไปราวกับแมงป่องและกระแทกเข้าไปตรงหว่าง
ขาของชายหนุ่มอีกคน ชายทั้งสองต่างก็ส่งเสียงร้อง
อย่างโหยหวนออกมา คนหนึ่งหนีบขาตัวเองและ
คุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่อีกคนปล่อยท่อนไม้ในมือของ
ตนลงและยกมือขึ้นมาอุดหยุดเลือดที่ไหลออกมาจาก
จมูก
หยางหนิงส่ายศีรษะ คู่ต่อสู้เหล่านี้ช่างไม่มีความ
ท้าทายเสียจริง ๆ ท่าให้ความภาคภูมิใจของเขา
เกือบจะเทียบเท่ากับศูนย์เลยก็ว่าได้
หยางหนิงเงยหน้ามองไปยังเบื้องหน้า มีชายอีกคนถือ
ท่อนไม้เอาไว้ในมือพร้อมกับยืนนิ่งค้างด้วยอาการ
ตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
หยางหนิงยกแขนของตนขึ้น พร้อมกับใช้ท่อนไม้ชี้ไป
ที่ชายคนสุดท้ายพร้อมเอ่ยขึ้น “มาสิ ถึงตาเจ้าแล้ว!”
ร่างกายที่แต่เดิมแข็งเกร็งและอ่อนล้านั้น หลังจากที่
ได้ขยับไปมาเล็กน้อยก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้น
ไม่น้อย
ชายคนนั้นมองไปทางเหล่าสหายของตน มือที่ถือ
ท่อนไม้เอาไว้ก็สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว จากนั้น
เขาก็ทิ้งท่อนไม้ลงกับพื้น พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ที่ฝืน ๆ “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ ข้า...ข้าไม่สู้กับเจ้าหรอก...!”
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์?” หยางหนิงนิ่งค้างไป นี่เป็น
ครั้งที่สองที่เขาได้ยินคนเรียกเขาเช่นนี้
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์อะไร?” ท่าให้เขาอดไม่ได้ที่จะก้าว
ไปด้านหน้าสองก้าวพร้อมกับท่อนไม้ที่ถืออยู่ในมือ
ชายคนนั้นเกิดอาการตกตะลึง ก่อนจะเห็นว่า
หยางหนิงยังคงใช้ท่อนไม้ชี้มาทางตน จึงรีบเอ่ย
ออกมาด้วยท่าทางน่าสงสาร “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ นี่...
นี่ไม่ใช่ความคิดของข้า ข้า...ข้าเองก็ถูกบังคับมา...!”
พร้อมกับยกมือและชีน้ ิ้วไปทางชายทรงผม
เดอะบีเทิลส์ที่หยางหนิงเพิ่งหักแขนเขาไปเมื่อครู่นี้
“เป็น...เป็นโหวจื่อ ทุกอย่างล้วนเป็นความคิดของ
โหวจื่อทั้งนั้น...!”
หยางหนิงหมุนศีรษะมองไปทางชายทรงผม
เดอะบีเทิลส์แวบหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
และเหมือนกับเขาจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
จึงก้มหน้าสังเกตตัวเองอย่างละเอียด ก่อนที่สีหน้าจะ
เปลี่ยนไปในทันที
เขาเห็นว่าคนเหล่านั้นมีเสื้อผ้าขาดรุ่ย เดิมก็รู้สึก
แปลกใจอยู่บ้าง เวลานี้เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้า
บนร่างกายของตนยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้เสียด้วย
ซ้่า เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นเป็นแถบใหญ่ของเขาเผยให้เห็น
ผิวหนังที่สกปรกมอมแมมด้านใน
ก่อนที่เขาจะสังเกตบริเวณรอบๆ และพบว่าที่แห่งนี้
เป็นสถานที่ที่มืดมิดเป็นอย่างมาก บริเวณโดยรอบ
เต็มไปด้วยก่าแพงผุพัง ตรงขอบก่าแพงมีกองไฟอยู่
กองหนึ่ง ด้านบนศีรษะมีเสียงกร๊อบแกร๊บดังขึ้นมา
และเมื่อหยางหนิงเงยหน้าขึ้นไปมองเขาก็เห็นว่าบน
หลังคาถูกปูด้วยกองฟางเท่านั้น อีกทั้งยังมีช่องมีรู
จ่านวนมาก ท่าให้บางจุดมีหยดน้่าฝนรั่วหยดเข้ามา
ด้านใน
ซวยแล้วไงล่ะ!
หยางหนิงมั่นใจว่าตัวเองจะต้องฝันไปแน่นอน แต่ว่า
ความฝันนี้ดูคล้ายกับเรื่องจริงยิ่งนัก
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เจ้า...เจ้ากลับมามีชีวิตแล้ว?” ทันใด
นั้นก็มีเสียงที่ยินดีปะปนไปด้วยความตื่นตกใจดังขึ้น
เวลานี้ชายที่ถูกคนทั้งหลายรุมท่าร้ายก็เงยหน้าขึ้น
มาแล้ว ใบหน้าที่บวมตึงและเขียวคล้่านั้นก็ไม่อาจ
ปกปิดความยินดีของเขาเอาไว้ได้
เมื่อเห็นใบหน้านั้น หยางหนิงก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมา
กะทันหัน และในเวลานี้เองที่ในสมองของเขาปรากฏ
ภาพขึ้นมากมาย โดยภาพเหล่านั้นทับซ้อนกันไปมา
ขณะที่ใบหน้าที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้กลับดูชัดเจน
ยิ่งนัก
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ที่นี่เป็นสถานที่ใดกันแน่?
คนที่อยู่ตรงหน้านี้ดูมีอายุราวๆ สี่ห้าสิบปี มีรูปร่าง
ผอมบาง ขณะที่เสื้อผ้าฉีกขาดเปิดออกเป็นวงกว้าง
เผยให้เห็นแผ่นอกที่มีผิวพรรณแห้งกรอบและ
ผอมบางจนเห็นถึงรอยโครงกระดูกได้อย่างชัดเจน
บรรยากาศโดยรอบช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
หยางหนิงมองไปที่มือของตัวเอง ก่อนที่ท่อนไม้ที่ถือ
อยู่ในมือจะตกลงพื้นไปในทันที
มือนี้...เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มือของตัวเอง แม้ว่ามือนี้จะมี
รอยด้านเล็กน้อยเหมือนกับมือของเขา แต่ว่ามือนี้
กลับมีขนาดเล็กกว่ามือของเขาอย่างเห็นได้ชัด
ภายใต้ความตกตะลึง หยางหนิงก็ยกมือทั้งสองขึ้น
ลูบหน้าของตัวเอง เขาคุ้นเคยกับลักษณะโครงหน้า
ของตนเองเป็นอย่างดี แต่ว่าใบหน้านี้เขารู้สึกได้อย่าง
ชัดเจนว่ามันไม่ใช่ใบหน้าของตน เพราะใบหน้านี้ผอม
เรียวกว่าใบหน้าของเขามากนัก อีกทั้งตรงกรามและ
คางยังดูเหมือนจะเติบโตไม่เต็มที่ เมื่อเทียบกับใบหน้า
เดิมของเขาที่มีโครงกรามของหน้าอย่างชัดเจนแล้ว
นั้น ท่าให้ความเด่นชัดของเค้าโครงใบหน้านี้ลด
น้อยลงและต่างจากเดิมอยู่มาก
เข่าของหยางหนิงอ่อนลงอย่างห้ามไม่อยู่ โดยที่
ก้นของเขาดิ่งลงไปสัมผัสกับพื้นพร้อมกับความงุนงงที่
เกิดขึ้นอยู่เต็มหัวสมอง
เมื่อผู้อาวุโสที่ถูกรุมท่าร้ายเมื่อครู่สังเกตเห็นถึงท่าทาง
ของหยางหนิง เขาก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทางเป็นกังวล
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เจ้า...เจ้าเป็นอะไรไป?”
ทันใดนั้นหยางหนิงก็เงยหน้าขึ้น และกวักมือเรียก
ชายที่เขาต่อสู้ด้วยเมื่อครู่ ชายคนนั้นลังเลอยู่เล็กน้อย
ก่อนจะตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้ด้วยท่าทางหวาดกลัว
“ข้าชื่อเสี่ยวเตียวเอ๋อร์?” หยางหนิงเอ่ยถามพร้อมกับ
จ้องมองไปทางชายคนนั้น
ชายคนนั้นพยักหน้าลงทันที
“ที่นี่คือที่ใด?” หยางหนิงเอ่ยถามค่าถามที่สองต่อ
ชายคนนั้นรีบเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว “ที่นี่คือศาลเจ้า
ทางตะวันตกของเมือง”
“ศาลเจ้า?” หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะกวาดตามองไป
บริเวณโดยรอบอีกครั้ง ก่อนจะลอบคิดในใจว่าเจ้าที่
ของสถานที่แห่งนี้คงอดสูอยู่ไม่น้อย “ข้ามาที่แห่งนี้ได้
อย่างไร? เจ้าพูดว่าเป็นทางตะวันตกของเมือง ที่นี่คือ
เมืองใดกัน?”
“เมืองฮุ่ยเจ๋อ!” ชายคนนั้นรีบตอบ “หากมุ่งไปทาง
เหนืออีกร้อยกว่าลี้ก็จะถึงหวยฉุ่ยแล้ว เสี่ยว...
เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เจ้า...เจ้าจ่าไม่ได้แล้วงั้นหรือ?
เมื่อครึ่งปีก่อนเจ้าเดินทางมาที่เมืองแห่งนี้ ภายหลังก็
ถูกพี่ใหญ่ฟางรับเข้าพรรคกระยาจก ตอนนี้ก็ถือว่า
เป็นลูกศิษย์ของพรรคกระยาจกแล้ว”
“ช้าก่อน!” หยางหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้่าเสียงตกใจ
“พรรคกระยาจก? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ก่อน
จะมองไปทางเสื้อผ้าคนเหล่านั้น หัวใจก็หนักอึ้งขึ้นมา
“เจ้าหมายความว่า พวกเจ้าล้วนแต่เป็นยาจก?”
“เจ้าเองก็ด้วย” บุรุษผู้นั้นเอ่ยตักเตือนด้วยความหวัง
ดี “พวกเราล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของพรรคกระยาจก”
ในแววตาของเขามีความเห็นใจปรากฏขึ้นเล็กน้อย
พร้อมกับรวบรวมความกล้าและเอ่ยขึ้น
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เจ้าป่วย...เจ้าป่วยเป็นโรคอะไรสัก
อย่างจึงลืมเรื่องทั้งหมดไปแล้วใช่หรือไม่?”
“พรรคกระยาจก? เสี่ยวเตียวเอ๋อร์? เมืองฮุ่ยเจ๋อ?”
หยางหนิงยกมือขึ้นหยิกแขนของตัวเองครั้งหนึ่ง รู้สึก
เจ็บปวดยิ่งนัก ก่อนที่สีหน้าจะดูเคร่งเครียดมากขึ้น
ราวกับเข้าใจถึงอะไรบางอย่างได้แล้ว “บ้าเอ้ย นี่...
นี่เราข้ามภพมาหรือไง?”
“ข้ามภพ?” ชายคนนั้นเอ่ยถามออกมาเบา ๆ
“ข้ามภพหมายความว่าอย่างไร?”
หยางหนิงเอ่ยออกมาอย่างมีโทสะ “ไม่ต้องสนใจว่า
มันมีความหมายว่าอย่างไร ข้าขอถามเจ้า เจ้านั่น...!”
ก่อนจะชี้นิ้วไปทางบุรุษที่มีหัวไหล่นูนออกมา “ชื่อ
โหวจื่อใช่หรือไม่? เขาเสนอความคิดอะไรขึ้นมา?”
“เรื่องนี้...!” ชายคนนั้นมองไปทางโหวจื่อแวบหนึ่ง
ก่อนจะคิดค่านวณในใจถึงความสามารถของคนทั้ง
สองแล้วจึงเอ่ยออกมา “โหวจื่อคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว
จึงบีบบังคับให้เหล่าชู่ผีไสหัวออกไปจากศาลเจ้า
เสี่ยวเตียวเอ๋อร์...เรื่องนี้ เรื่องนี้ข้าไม่ได้เห็นด้วยนะ
เพียงแต่ว่าหากข้าไม่รับปาก พวกเขาก็จะขับไล่ข้า
ออกไปด้วย”
“เหล่าชู่ผี?” หยางหนิงเหลือบมองไปทางยาจกชรา
ผู้นั้น ก่อนที่สมองจะปรากฏภาพจ่านวนมากขึ้นอีก
ครั้ง โดยหนึ่งในนั้นคือภาพที่ยาจกชราก่าลังป้อน
อาหารให้กับเขา เขาจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปพยุงเหล่า
ชู่ผีที่มีบาดแผลเต็มตัว พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้่าเสียงที่
อ่อนโยนลงไปมาก “ท่าน...ท่านคือเหล่าชู่ผี? ท่านคือ
คนที่คอยดูแลข้ามาโดยตลอด?”
ในแววตาของเหล่าชู่ผีนั้นกลับเต็มไปด้วยความปิติ
ยินดี เขายื่นมือออกไปลูบ ๆ ตัวของหยางหนิง
ขณะที่หยางหนิงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับการที่ยาจกชรามา
ลูบร่างกายของตน แต่เพราะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกระท่า
เช่นนั้นเพราะความห่วงใยจึงไม่อาจปฏิเสธได้ เขา
เพียงแต่รู้สึกได้ถึงมือทั้งสองข้างของเหล่าชู่ผีที่สั่นไหว
อยู่เล็กน้อย พร้อมกับน้่าเสียงที่เต็มไปด้วยความ
ห่วงใย “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ ฟื้นมาก็ดีแล้ว ฟ้ามีตาจริงๆ
...!”
ตอนนี้หยางหนิงไม่มีเวลามาสนใจว่าฟ้าจะมีตาหรือไม่
แล้ว เขาเพียงแต่สนใจว่าตอนนี้ตัวเขานั้นมีสภาพการ
เป็นอยู่อย่างไรกันแน่
“พวกมันคิดว่าข้าตายไปแล้ว จึงเลือกเอาเวลาที่พายุ
ฝนโหมกระหน่่าเช่นนี้ขับไล่คนชราที่น่าสงสารออกไป
จากที่หลบฝนงั้นหรือ?” หยางหนิงรู้สึกว่าการที่ตน
ลงมือนั้นถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องยิ่งนัก เมื่อเห็นใบหน้าที่
บวมตึงและเขียวคล้่าของเหล่าชู่ผี น้่าเสียงของเขาก็
เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นลงในทันที “มานี่กันให้หมด
มาขอขมาต่อเหล่าชู่ผี หากเขายอมให้อภัยพวกเจ้า
เรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป มิเช่นนั้น...!”
“ไม่ต้องหรอกๆ ก็...ก็แล้วๆ กันไปเถิด...!” เหล่าชู่ผี
รีบเอ่ยออกมา
หยางหนิงไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาชี้นิ้วไปทางโหวจื่อ
ที่ตนเพิ่งหักแขนไปได้ไม่นานและเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า มานี่
...!”
โหวจื่อที่ถูกหักแขนไปนั้นรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เวลานี้
เมื่อเห็นหยางหนิงมองมาที่ตนด้วยสายตาเยือกเย็นก็
ไม่กล้าผิดค่าสั่งแม้แต่น้อย จึงรีบขยับไปทางเบื้องหน้า
ของเหล่าชู่ผีพร้อมกับก้มศีรษะของตนลง “เหล่าชู่ผี
ข้า...ข้าผิดไปแล้ว เจ้า...!”
“อะไร?” หยางหนิงเอ่ยเรียบ ๆ ออกมา “เจ้าพูด
อะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด”
“เหล่าชู่ผี ข้ามันใจคออ่ามหิตผิดมนุษย์ เป็น...เป็น
ความผิดของข้า ท่านเป็นผู้ใหญ่...เป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสา
ผู้น้อย อภัยให้ข้าในครั้งนี้ด้วย...!” เมื่อเอ่ยประโยค
เหล่านี้จบ บนหน้าผากของโหวจื่อก็มีเหงื่อเย็นผุด
ขึ้นมาจ่านวนมากแล้ว
เมื่อโหวจื่อเอ่ยปาก คนอื่นๆ ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
พวกเขาต่างขยับมาด้านหน้า “เหล่าชู่ผี พวกเรา...
พวกเราท่าไปเพราะความโง่เขลาเพียงชั่วครู่ ท่านก็
อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ต่อไป...ต่อไปพวกเราไม่กล้าท่า
เช่นนั้นกับท่านอีกแล้ว...!”
เหล่าชู่ผีถูกคนรังแกจนเคยชินแล้ว เวลานี้เมื่อเห็น
คนเหล่านี้มาคุกเข่าขอขมาต่อตน ก็ไม่รู้จะท่าเช่นไร
ไปชั่วขณะ จึงได้แต่เอ่ยตอบไปว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด
ทุกอย่าง...ทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว...!”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 2 พรรคกระยาจก
หยางหนิงมองออกว่าเหล่าชู่ผีเป็นคนที่ค่อนข้าง
ซื่อตรง ถูกคนเหล่านั้นรุมซ้อมจนมีสภาพย่่าแย่เช่นนี้
ยังสามารถให้อภัยได้ด้วยค่าขอขมาเพียงค่าเดียว แต่
ในเมื่อคนที่ประสบเคราะห์ไม่คิดจะเอาเรื่อง เขาเองก็
ไม่จ่าเป็นต้องไปข้องเกี่ยวอันใดให้มากความ
หยางหนิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของโหวจื่อ และเมื่อ
โหวจื่อเห็นว่าหยางหนิงขยับเข้ามาใกล้ สีหน้าของเขา
ก็เปลี่ยนไปในทันทีก่อนจะรีบหักห้ามอารมณ์เจ็บปวด
ของตนและเอ่ยขึ้นว่า “ข้า...ข้าได้ขอขมาไปแล้ว เจ้า
พูดแล้ว...พูดแล้วต้องรักษาค่าพูด...!”
ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริงๆ
ตอนท่าร้ายคนอื่นก็วางมาดเสียใหญ่โต ตอนนี้ถูก
หักแขนเพียงข้างเดียว ความเย่อหยิ่งจองหองก็ได้
มลายหายไปราวกับอากาศธาตุแล้ว หยางหนิงเองก็
ไม่ได้เอ่ยพล่ามให้มากความอีก เขายื่นมือไปดึงแขนที่
ถูกหักของโหวจื่อ โดยที่ยังไม่ได้ลงมือท่าอะไร
ทางด้านโหวจื่อก็ร้องออกมาราวกับถูกเชือดเสียแล้ว
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์...!” เหล่าชู่ผีรีบร้องออกมาอย่าง
ตกใจ ในขณะที่ยาจกคนอื่นๆ เห็นสถานการณ์ไม่ดีจึง
รีบหมุนตัววิ่งจากไปแล้ว
“หยุดร้องโหยหวนเสียที” หยางหนิงเอ่ยออกมาอย่าง
หมดความอดทน “ข้าจะต่อแขนให้เจ้า หากยังร้องอีก
ข้าจะท่าลายแขนข้างนี้ทิ้งเสีย”
ตอนนี้อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก เมื่อได้ยินเสียงร้อง
โหยหวนของโหวจื่อก็รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ตอนที่เริ่ม
ฝึกทหารพิเศษได้ไม่นานนัก เรื่องที่เขาโดนหักแขนก็
เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่รู้สึกว่านั่นเป็น
เหตุการณ์ที่ย่าแย่ราวกับโลกจะสลายเช่นนี้
โหวจื่ออย่างไรเสียก็ยังเป็นโหวจื่อ นับว่าเชื่อฟังอยู่ไม่
น้อย เมื่อหยางหนิงเอ่ยเช่นนี้เสียงร้องโหยหวนก็หยุด
ลงทันที จากนั้นหยางหนิงก็ขยับขึ้นลงไปมาสองครั้ง
โดยหน้าผากของโหวจื่อมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นจ่านวนมาก
สีหน้าก็เจ็บปวดอย่างยิ่ง ล่าคอก็เปล่งเสียงร้องอย่าง
เจ็บปวดออกมาอีกครั้ง ในขณะที่หยางหนิงได้ดึงมือ
ของตนกลับไปแล้ว
“เจ้าลองดูว่ายังขยับได้หรือไม่” หยางหนิงได้หมุนตัว
กลับไปและนั่งลงบนกองหญ้าแห้งที่อยู่มุมห้องเป็นที่
เรียบร้อยแล้ว
โหวจื่อมีท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังคงขยับแขน
ของตนเองไปมาเล็กน้อย แม้ว่ายังคงมีความเจ็บหลง
เหลืออยู่บ้าง แต่ว่าแขนของเขาก็ถือว่าสามารถขยับ
ได้ตามใจปรารถนาแล้ว
ยาจกคนอื่นๆ ที่เดิมคิดจะหลบหนี เมื่อเห็นเหตุการณ์
ดังกล่าวก็ล้วนแต่ก้าวถอยกลับมา ทว่าพวกเขากลับ
เห็นโหวจื่อคุกเข่าลงแทบเท้าหยางหนิงพร้อมกับ
น้่าเสียงที่มีความตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ จากนี้ไป...เจ้าเป็นลูกพี่ใหญ่ของ
พวกเราแล้ว ต่อไปพวกเราจะเชื่อฟังแต่เจ้า หากเจ้า
สั่งให้พวกเราไปทางตะวันออก พวกเราจะไม่มี
ทางเดินไปทางตะวันตกโดยเด็ดขาด...!”
หยางหนิงเกิดอาการตกใจอยู่ไม่น้อย การเปลี่ยน
แปลงของโหวจื่อเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนเขาไม่ทันตั้งตัว
และสิ่งที่ท่าให้เขาตกตะลึงก็คือการที่ยาจกคนอื่นๆ
เมื่อเห็นโหวจื่อท่าเช่นนี้ พวกเขาก็วิ่งรุดกันมา
ด้านหน้าพร้อมกับคุกเข่าเรียงกันอยู่เบื้องหน้าของ
หยางหนิงและเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์
ต่อไปเจ้าก็คือลูกพี่ใหญ่ของศาลเจ้าแล้ว พวกเราจะ
เชื่อฟังค่าสั่งของเจ้า”
หยางหนิงยกมือขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนกัน
ให้ข้าท่าความเข้าใจสักครู่” ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ
และเอ่ยออกมาว่า “ที่นี่คือเมืองฮุ่ยเจ๋อ และพวกเจ้า
ล้วนแต่เป็นศิษย์ของพรรคกระยาจก...!”
“เจ้าเองก็ด้วย!” โหวจื่อยืนยันจะให้หยางหนิงอยู่
ระดับเดียวกับพวกเขา
หยางหนิงถลึงตาใส่โหวจื่อครั้งหนึ่ง เขาไม่ชอบให้คน
มาเอ่ยขัดค่าพูดของเขา “ตอนนี้อยู่ในสมัยใดกันแน่?
และฮ่องเต้เป็นผู้ใดกัน?”
คนทั้งหลายหันมาเหลือบมองกัน เห็นได้ชัดว่าพวก
เขาคิดไม่ถึงว่าค่าถามที่หยางหนิงเอ่ยออกมาจะเป็น
ทางการถึงเพียงนี้
“สมัย? เรื่องนี้...เมืองฮุ่ยเจ๋อนั้นอยู่ในเขตแดนของ
แคว้นฉู่ พวกเราน่าจะ...น่าจะอยู่ในสมัยฉู่” โหวจื่อ
เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางระมัดระวัง “ฮ่องเต้เป็นผู้ใดนั้น
พวกเรา...พวกเราไม่รู้”
บนหน้าผากของหยางหนิงมีเหงื่อเย็นเม็ดหนึ่งผุด
ขึ้นมา ทว่าเมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็สมเหตุสมผลยิ่งนัก
หากว่าตอนนี้คือสมัยโบราณจริงๆ เช่นนั้นการส่ง
ข่าวสารก็คงจะล้าสมัยเป็นอย่างมาก และฮ่องเต้เองก็
ท่าตัวลึกลับมาโดยตลอด คงไม่มีทางที่จะมาปรากฏ
ตัวขึ้นบนโทรทัศน์หรืออะไรประเภทนั้น เพราะฉะนั้น
พวกชาวบ้านก็ไม่แน่ว่าจะรู้ว่าผู้ใดเป็นองค์เหนือหัว
จริงๆ
เขาเอ่ยต่ออีกหลายประโยค ฟังจากค่าบรรยายของ
เจ้าพวกนี้แล้วก็ท่าให้พอจะเข้าใจเรื่องโดยรวมได้
คร่าวๆ
ตัวเขามีนามว่าเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ อย่างน้อยในสมัย
เช่นนี้ก็มีชื่อที่แปลกประหลาดเช่นนี้อยู่จริงๆ ตอนนี้
เขาอาศัยอยู่ในเมืองที่ไม่นับว่าสงบสุขเท่าใดนัก ทาง
ตอนเหนือของเมืองหวยหนาน แคว้นฉู่
การที่เมืองนี้ไม่นับว่าสงบสุขนักก็เป็นเพราะว่าถัดไป
ทางด้านเหนืออีกร้อยกว่าลี้นั้นก็จะถึงเมืองหวยฉุ่ย
แล้ว และการที่เมืองหวยฉุ่ยไม่ค่อยสงบสุขนักก็เป็น
เพราะว่าพื้นที่สองฝั่งของหวยฉุ่ยมีสงครามต่อเนื่องมา
เป็นเวลาหลายปีแล้ว
โดยแคว้นฉู่ได้ยึดครองแผ่นดินทางฝั่งใต้ของหวยฉุ่ย
แต่ว่าทางเหนือของหวยฉุ่ยนั้นกลับเป็นแผ่นดินของ
แคว้นฮั่น โดยแคว้นทั้งสองยึดพื้นที่กันคนละฝั่งและ
ได้ท่าการสู้รบกันมาเป็นเวลานาน
อ้างอิงจากข่าวสารที่ได้มาจากเจ้าพวกที่ไม่น่าเชื่อถือ
เหล่านี้แล้ว แม้ว่าแคว้นฉู่จะครองทางตอนใต้ของ
หวยฉุ่ยเอาไว้ แต่ว่าหวยฉุ่ยทางตอนเหนือก็ท่าการ
ควบคุมเมืองทั้งสองไว้มาโดยตลอด ราวกับเป็นดาบ
แหลมคมที่จ่อเข้ากลางต่าแหน่งเอวของแคว้นฮั่น
การข่มขู่เช่นนี้ท่าให้แคว้นฮั่นไม่อาจอยู่อย่างสบายใจ
ได้ ดังนั้นเมื่อสามปีก่อน แคว้นฮั่นจึงได้ส่งทหารกว่า
สองแสนนายน่าทัพลงมาทางตอนใต้
การสู้รบด่าเนินไปเป็นเวลากว่าสองปี โดยทั้งสองฝั่ง
ของหวยฉุ่ยนั้นมีฝุ่นควันปกคลุมอยู่ทั่วพื้นที่และ
บริเวณโดยรอบก็มีสภาพผุพัง ชาวบ้านของทั้งสองฝั่ง
เองก็บ้านแตกสาแหรกขาด ต่างก็ท่าการหลบหนีกลับ
บ้านเก่าเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับภัยพิบัติในครั้งนี้
ท่าให้ทกุ ที่กลายเป็นสถานที่หลบภัยของพวกเขา
และเมืองฮุ่ยเจ๋อที่มีระยะห่างจากหวยฉุ่ยไม่ถึงหนึ่ง
ร้อยลี้นี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่หลบภัยไปโดย
ธรรมชาติ โชคยังดีที่แม้ว่าชาวแคว้นฮั่นจะเคยบุก
มาถึงฝั่งของหวยฉุ่ยตอนใต้ แต่ก่อนที่ทหารจะบุก
มาถึงเมืองฮุ่ยเจ๋อนั้นก็ได้ถูกโจมตีกลับไปแล้ว ท่าให้
เมืองหุ่ยเจ๋อมิได้ประสบเคราะห์จากการสู้รบ
ทว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ แคว้นทั้งสองก็ได้ยุติ
สงครามลงแล้ว ท่าให้สงครามของหวยฉุ่ยที่ยืดเยื้อมา
เป็นเวลาเกือบสามปีได้ยุติลงเสียที
แม้ว่าสงครามจะสงบลง แต่ว่าผู้ลี้ภัยที่หลบหนีมายัง
เมืองฮุ่ยเจ๋อนั้นกลับไม่ได้เดินทางกลับไปในทันที
ท่าให้ตอนนี้เมืองเล็กๆ เช่นนี้มีประชากรอัดแน่นจน
ล้นหลาม
หยางหนิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่เขาจได้
ข้ามภพมา และคิดไม่ถึงว่าเขาจะได้กลายเป็น
ศิษย์พรรคกระยาจกที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
เขาที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะธรรมดา และด้วย
ความมุมานะก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่กองก่าลัง
ติดอาวุธที่ผ่านการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวด หลังจากที่
ถอนตัวออกจากหน่วยแล้ว เขาก็เลือกที่จะเดินไปใน
เส้นทางสายธุรกิจ จากที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยก็
พยายามจนมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่พอสมควร
และในขณะที่เขาก่าลังจะได้ลิ้มรสความหอมหวานที่
ได้มาอย่างยากล่าบากนั้น เขาก็ตื่นขึ้นมาจากการ
หลับใหลและพบว่าจากนักธรุกิจที่มีเงินหลายสิบล้าน
กลับกลายมาเป็นยาจก
และที่ยุ่งยากก็คือการที่เขาไม่มีความทรงจ่าเกี่ยวกับ
ผู้ที่มีชื่อว่าเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ผู้นี้เท่าใดนัก แม้ว่าในสมอง
จะมีเศษภาพของความทรงจ่าหลงเหลืออยู่บ้าง ทว่า
เพียงแค่นี้ไม่อาจท่าให้เข้าใจอะไรขึ้นมาได้
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ ด้วยฝีมือเช่นนี้ของเจ้า อีกหน่อย
พรรคกระยาจกจะต้องประสบความส่าเร็จเป็นแน่”
เมื่อโหวจื่อเห็นถึงฝีมือของเสี่ยวเตียวเอ๋อร์แล้ว เวลานี้
ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฝีมือของเจ้า
สามารถนับได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือแล้ว!”
หยางหนิงเพียงคิดอยากจะถามโหวจื่อว่ามียางอาย
บ้างหรือไม่ แม้ว่าหยางหนิงจะไม่ปฏิเสธว่าตนมี
วรยุทธ์อยู่บ้าง ทว่าการที่เขาสามารถอัดพวกไร้
ประโยชน์เหล่านี้ให้ล้มลงได้ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็น
ยอดฝีมือนั้น ท่าให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าโหวจื่อนับ
ตนเองว่าอยู่ในระดับใดกันแน่ หากเขาหยางหนิงเป็น
ยอดฝีมือแล้ว เช่นนั้นเจ้าพวกไร้ประโยชน์พวกนี้ก็ถือ
ว่าเป็นผู้มีวรยุทธ์เก่งกาจงั้นหรือ?
“อยู่ในพรรคกระยาจกจะสามารถประสบความส่าเร็จ
ได้?” หยางหนิงที่เผชิญหน้ากับเรื่องแปลกใหม่เหล่านี้
ก็ถ่อมตัวลงพร้อมเอ่ยถาม “แล้วมันจะเป็นอะไรได้
เล่า?”
“ยังคงเป็นยาจก!” ค่าตอบของโหวจื่อท่าให้หยางหนิง
เกือบคิดที่จะลงมืออีกครั้ง “แต่ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็น
ลูกพี่ใหญ่ของเมืองฮุ่ยเจ๋อได้!”
หยางหนิงพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ก่อน
จะเอ่ยถามต่อ “ในเมื่อเป็นยาจก เช่นนั้นพวกเราก็
ต้องมีการแบ่งพื้นที่ปกครองใช่หรือไม่? จริงสิ หัวหน้า
พรรคกระยาจกคงมิใช่ว่าจะมีแต่คนแซ่เฉียวมาโดย
ตลอดกระมัง?”
ยังไม่ทันที่โหวจื่อจะได้อ้าปาก คนที่อยู่ด้านข้างคน
หนึ่งก็แย่งพูดขึ้นมา “พวกเราเป็นหนึ่งในหน่วยย่อย...
ของพื้นที่ปกครองอี้หั่วเฉอ...ซึ่งเป็นหนึ่งในยี่สิบแปด
พื้นที่ปกครอง!” เวลานี้คนผู้นั้นก็ไม่สนใจแววตา
ร้อนรุนไปด้วยโทสะที่โหวจื่อส่งมา เขาเพียงหวังอยาก
ให้หยางหนิงมีความรู้สึกที่ดีต่อตน “หัวหน้าพรรค
ไม่ได้แซ่เฉียว เหมือนจะ...เหมือนจะแซ่เซี่ยง!”
“เช่นนั้นพวกเจ้ารู้จักไม้ตีสุนัขหรือไม่?” หยางหนิง
รู้สึกสนใจขึ้นมา “สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรคงเคย
ได้ยินมาบ้างสินะ?”
ยาจกหลายคนหันมามองหน้ากันก่อนจะพากัน
ส่ายศีรษะ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่
หยางหนิงเอ่ยขึ้น
“ไม้ตีสุนัขมิใช่สมบัติของพรรคกระยาจกหรอกหรือ?”
หยางหนิงเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าไม่เคยเห็นไม้ตีสุนัขในมือ
ของประมุขพรรคเซี่ยงหรอกหรือ?”
“ประมุขพรรคเซี่ยง?” โหวจื่อรีบเอ่ยตอบ “พวกเรา
เป็นเพียงหน่วยย่อยของเขตเมืองเล็ก ๆ เป็นหนึ่งใน
สมาชิกภายใต้พื้นที่ปกครองอี้หั่วเฉอ แม้แต่หัวหน้า
พื้นที่พวกเรายังไม่เคยพบมาก่อน จะเคยพบกับ
ประมุขพรรคเซี่ยงได้จากที่ใดกัน? อีกทั้งข้ายังได้ยิน
คนพูดกันว่าประมุขพรรคเซี่ยงนั้นจะพบแต่คนที่มี
ต่าแหน่งสูง พวกเราทั้งหลายไม่มีทางมีโอกาสได้พบ
หรอก”
หยางหนิงยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น ได้เป็นหนึ่งใน
สมาชิกพรรคกระยาจกก็ถือว่าแย่แล้ว แต่ดูจาก
สถานการณ์ในตอนนี้เขายังถือเป็นคนที่มีระดับ
รากหญ้าในระดับชั้นของพรรคกระยาจกอีกด้วย
เดิมยาจกก็ถือว่าเป็นชนชั้นล่างของสังคมแล้ว ตอนนี้
กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นหนึ่งในชนชั้นล่างของ
ชนชั้นล่างอีกที
เหล่าชู่ผีที่อยู่ด้านข้างโดยไม่เอ่ยอะไรออกมานั้น
เวลานี้กลับเดินขยับเข้ามาใกล้โดยที่ในมือมีถุงเล็กเพิ่ม
ขึ้นมาก่อนจะยื่นมาให้กับหยางหนิง “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์
นี่เป็นเงิน...เงินที่แลกมาจากป้ายหยกชิ้นนั้น ข้าได้ไป
หาหมอและซื้อยาสมุนไพรมาพอสมควรแล้ว ที่เหลือ
เหล่านี้เจ้าเก็บมันไว้ให้ดี”
ตอนนี้คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าเพิกเฉยกับเหล่าชู่ผีอีก ทุกคน
ต่างก็รีบหลีกทางให้เขาอย่างรวดเร็ว
หยางหนิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ป้ายหยก?”
เห็นได้ชัดว่าเหล่าชู่ผีรู้ว่าตอนนี้สมองของหยางหนิง
พร่าเลือนอยู่เล็กน้อยจึงรีบอธิบาย “ตอนที่เจ้าสลบไป
นั้น แม่นางเสี่ยวเตี๋ยได้มาเยี่ยมเจ้า เมื่อเห็นว่าเจ้า
ป่วยหนักจึงทิ้งป้ายหยกไว้อันหนึ่ง ข้าเห็นว่าป้ายหยก
นั้นดูเหมือนจะมีความส่าคัญกับนางมาก ทว่าเพื่อช่วย
เจ้าแล้วนางก็ยังคงดึงมันออกมา ข้าเองก็ไม่มีวิธีอื่นจึง
ได้แต่ต้องรับมันเอาไว้ก่อน”
“เสี่ยวเตี๋ย?” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อได้ยินชื่อนี้แล้ว
สมองของหยางหนิงกลับรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง
ด้านหลังศีรษะรู้สึกเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย ขณะที่ใน
สมองก็ปรากฏภาพความทรงจ่าที่เลือนรางขึ้น โดยใน
ภาพความทรงจ่านั้นมีแม่นางรูปโฉมงดงามสะอาด
สะอ้านอายุสิบกว่าปีปรากฏขึ้น พร้อมกับสมองที่รู้สึก
ร้อนระอุท่าให้หยางหนิงต้องยกมือขึ้นกดขมับทั้งสอง
ข้างของตนเอาไว้
เขาไม่ใช่คนโง่ การตอบสนองที่แปลกประหลาดเช่นนี้
ท่าให้หยางหนิงนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง แม้ว่า
เขาจะยึดร่างของคนที่ชื่อเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ผู้นี้เอาไว้ แต่
ว่าความทรงจ่าของเสี่ยวเตี๋ยเอ๋อร์กลับไม่ได้ถูกตัวเขา
กลืนกินไปจนหมด หากเอ่ยถึงสิ่งใดหรือผู้คนที่กระตุ้น
อารมณ์ขึ้นมา จิตใต้ส่านึกของเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ก็จะ
ปรากฏขึ้นมาในสมองทันที
เหล่าชู่ผีเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติของหยางหนิง
จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นและเอ่ยขึ้น
พร้อมถอดถอนหายใจ “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะ
หายจากอาการป่วย มิสู้...มิสู้พักผ่อนเพิ่มเสียหน่อย
เล่า? คนอื่นเจ้าจะลืมก็ได้ แต่ว่าแม่นางเสี่ยวเตี๋ยนั้น
ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ห้ามลืมโดยเด็ดขาด หากไม่ใช่
เพราะนาง เกรงว่าตอนนี้เจ้าคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อ
แล้ว”
หยางหนิงยิ่งมีความสงสัยเพิ่มมากขึ้น ถ้าตามที่
เหล่าชู่ผีกล่าวไว้ เช่นนั้นแม่นางที่ชื่อว่าเสี่ยวเตีย๋ ผู้นั้น
ดูเหมือนจะถือเป็นผู้มีพระคุณของเขาอีกด้วย
ด้านนอกมีพายุและฝนเทกระหน่่า ท่าให้หยางหนิง
ในตอนนี้รู้สึกร่างกายหนาวเย็นอยู่บ้าง จึงหันไปเอ่ย
กับโหวจื่อ “ที่นี่มีน้่าหรือไม่? เอาน้่ามาให้ข้าล้างหน้า
เสียหน่อย”
เขาต้องการน้่าเย็นล้างหน้า ให้ตนเองมีสติขึ้นมา
โหวจื่อนิ่งค้างไปก่อนจะเห็นคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น
ของหยางหนิง จึงรีบเอ่ยออกมาอย่างหวั่นวิตก “มีๆ
ข้าจะไปเอามาให้โดยเร็ว...!” ก่อนจะหันไปเอ่ยกับ
คนอื่นๆ “รีบไปช่วยกันเร็ว!”
เมื่อรอจนคนทั้งหลายออกไปจากประตูแล้ว
หยางหนิงถึงจะหันไปถามเหล่าชู่ผี “ข้าป่วยหนักไป
ครั้งหนึ่งหรือ?”
“ป่วยเป็นเวลาถึงสิบวัน” เหล่าชู่ผีเอ่ยถอนหายใจ
พร้อมเอ่ยต่อ “พวกเราไม่มีเงินไปหาหมอรักษา จึงได้
แต่มองดูอยู่เฉยๆ มองดูเจ้าที่ใกล้จะทนต่อไปไม่ไหว
แล้ว หลายวันก่อนแม่นางเสี่ยวเตี๋ยเดินทางมาที่นี่ใน
กลางดึก นางร้องไห้อยู่เนิ่นนานจากนั้นจึงดึงป้ายหยก
ออกมา และให้ข้าเอาไปแลกเป็นเงินเพื่อหาหมอ
รักษาเจ้า เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ หากไม่ใช่เพราะป้ายหยก
อันนั้น เกรงว่าตอนนี้เจ้าคงจะตายไปแล้ว”
“เสี่ยวเตี๋ย...เสี่ยวเตี๋ยร้องไห้เป็นเวลาเนิ่นนาน?”
หยางหนิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมเอ่ยต่อ
“นางตัดใจเห็นข้าตายไม่ได้? แต่ว่า...แต่ว่านางเป็น
ใครกันแน่ ท่าไม...ท่าไมข้าถึงนึกอะไรไม่ออกเลย?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 3 ตรอกคนตาย
เหล่าชู่ผีอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นโบกไปมาอยู่บริเวณ
สายตาของหยางหนิง
หยางหนิงจึงทาเพียงแค่เอ่ยตักเตือนอย่างนอบน้อม
“เหล่าชู่ผี ข้าเพียงลืมเรื่องราวไปบางส่วนแต่ไม่ใช่
คนตาบอด ดวงตายังมองเห็นได้อยู่...เจ้าช่วยข้า
ทบทวนความทรงจาหน่อยได้หรือไม่?”
เหล่าชู่ผียิ้มฝืนออกมาก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อครึ่งปีก่อน
เจ้าได้พาแม่นางเสี่ยวเตี๋ยหลบหนีมาจนถึงเมืองแห่งนี้
เจ้าเคยบอกกับข้าว่าพวกเจ้าพบกันตอนที่ประสบภัย
พิบัติ นางถูกคนกลั่นแกล้ง เจ้าเลยช่วยนางเอาไว้ครั้ง
หนึ่ง นับตั้งแต่นั้นมาพวกเจ้าก็อยู่เคียงข้างคอย
ช่วยเหลือกันเหมือนพี่น้อง”
“ครึ่งปีก่อนได้หลบหนีมาจนถึงเมืองฮุ่ยเจ๋อ?”
หยางหนิงหรี่ตาของตนลงเล็กน้อย จะว่าไปแล้วก็
แปลกนัก เมื่อเหล่าชู่ผีเอ่ยเช่นนี้ออกมา ในสมองของ
เขาก็มีเศษภาพความทรงจาบางส่วนปรากฏขึ้นมา
จริงๆ แม้ว่าจะเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่กลับปรากฏ
ภาพที่เกี่ยวข้องกับสาวน้อยผู้หนึ่งขึ้นมาจริงๆ อีกทั้ง
หน้าตาของสาวน้อยผู้นั้นยังค่อนข้างจะชัดเจนด้วย
“เช่นนั้นเจ้ายังจาเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้ามาเมือง
ฮุ่ยเจ๋อแล้วได้บ้างหรือไม่?” เหล่าชู่ผีเห็นหยางหนิงมี
ท่าทางสับสน จึงเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หยางหนิงอยากจะครุ่นคิด แต่ก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับ
อาการป่วยที่เพิ่งหายดีได้ไม่นานหรือไม่ เพราะเมื่อ
เขาเริ่มใช้ความคิด ท้ายทอยก็รู้สึกร้อนระอุและมึนงง
ราวกลับจะสลบลงไปได้
“เสี่ยวเตี๋ยตอนนี้อยู่ที่ใด?” หยางหนิงรู้มาจากปาก
ของเหล่าชู่ผีว่าการที่ตนสามารถมีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้
นั้นสาเหตุมาจากเสี่ยวเตี๋ย และเจ้าของร่างกายนี้ก็มี
ความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเสี่ยวเตี๋ยอีกด้วย
เหล่าชู่ผีถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่าง
กลัดกลุ้ม “เจ้าจาไม่ได้จริงๆ ด้วย นางอยู่กับ
ฮวามามามาโดยตลอด ตลอดครึ่งปีมานี้เจ้ามักจะไป
หานาง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับนางก็ล้วนแต่เป็นเจ้าที่มา
บอกเล่าให้ข้าฟังทั้งนั้น”
“ฮวามามา?” หยางหนิงเอ่ยออกมาอย่างแปลกใจ
“ฮวามามาผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกัน?”
เหล่าชู่ผียังไม่ทันได้เอ่ยตอบ ด้านหลังก็มีเสียงของ
โหวจื่อดังขึ้น “ฮวามามานั้นเป็นแม่ม่ายที่มีสามีเป็น
เจ้าเมืองแซ่ฮวา ฮึๆ ในเมืองแห่งนี้มีเพียงไม่กี่คน
เท่านั้นที่กล้ามีปัญหากับนาง”
ตอนนี้เองโหวจื่อก็เดินเข้ามา โดยด้านหลังมียาจก
คนหนึ่งถือถังไม้พุพังถังหนึ่งที่มีน้าอยู่ด้านในก่อนจะ
วางมันลงด้านข้างหยางหนิง
หยางหนิงม้วนแขนเสื้อของตนขึ้น ร่างกายของเขา
รู้สึกคัน ไม่สบายเนื้อสบายตัวเท่าไรนัก เขาขยับเข้า
ไปใกล้ถังไม้และตอนที่จะยื่นมือลงไปล้างหน้านั้น
มือทั้งสองก็ไม่ได้ยื่นออกไปแต่กลับนิ่งค้างอยู่ที่เดิม
แม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นชัดถึงใบหน้า
ที่สะท้อนอยู่บนผิวน้านั่นก็ยังคงเกิดอาการตกตะลึง
อยู่ไม่น้อย
ใบหน้านั้นสกปรกเลอะเทอะไม่ต่างจากคนอื่น แต่ก็
สามารถมองออกว่าใบหน้านี้มีความงดงามอยู่ไม่น้อย
อีกทั้งยังดูอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปีเท่านั้น โครงหน้ามี
ความผอมเรียวอยู่เล็กน้อย ทว่าคิ้วสองข้างที่กระดก
ขึ้นเป็นทรงดาบ ก็ทาให้ความงดงามนี้ดูแฝงไปด้วย
ความหล่อเหลาอยู่ด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าทรงผมเหมือนเดอะบีเทิลส์ของ
พวกโหวจื่อนั้นดูมีเอกลักษณ์ดี ทว่าเวลานี้เขากลับ
พบว่าทรงผมของตัวเองก็ยุ่งเหยิงเละเทะมากเช่นกัน
อย่างน้อยเมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว สามารถ
เรียกได้ว่าเป็นหน้าตาของยาจกอย่างแท้จริง
หยางหนิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มฝืนพลางส่าย
ศีรษะ จากนั้นเขาก็เริ่มล้างหน้าของตัวเองโดยการ
กวักน้าเย็นใส่หน้า อย่างน้อยก็ทาให้มีสติขึ้นมาได้บ้าง
จากนั้นจึงค่อยถามต่อ “แม่ม่ายของเจ้าเมืองฮวา?
หรือว่าเสี่ยวเตี๋ยไปทางานเป็นสาวใช้ที่จวนของเจ้า
เมืองฮวางั้นหรือ?”
เหล่าชู่ผีมีสีหน้าเป็นกังวลและเอ่ยตอบ “วันนั้นตอน
กลางคืนหลังจากที่แม่นางเสี่ยวเตี๋ยจากไปแล้ว นางยัง
พูดว่าหากมีโอกาสก็จะมาพบเจ้า แต่ว่านี่ก็ผ่านมา
หลายวันแล้ว แม่นางเสี่ยวเตี๋ยกลับไม่มีข่าวคราวเลย
แม้แต่น้อย วันนั้นตอนกลางคืนนางยังแอบออกมา
จากจวนสกุลฮวาเองด้วย หลังจากกลับไปแล้วก็ไม่รู้
ว่าถูกพบเข้าหรือไม่ ช่างน่ากังวลใจยิ่งนัก”
“เสี่ยวเตี๋ยมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าเอาไว้ แน่นอนว่าข้า
ต้องตอบแทนนางให้ดี” หยางหนิงนั้นเป็นคนที่แยก
บุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะนึกถึงเรื่อง
ที่เกี่ยวข้องกับเสี่ยวเตี๋ยได้ไม่มากนัก แต่ว่าแม่นาง
คนนี้ก็ช่วยเขาเอาไว้ ทาให้ในใจยังมีความรู้สึกซาบซึ้ง
ยิ่งนัก “จริงสิ จวนของเจ้าเมืองฮวาอยู่ที่ใดกันแน่
รอจนฝนหยุดตกแล้ว ข้าคิดจะไปพบเสี่ยวเตีย๋
เสียหน่อย”
โหวจื่อเอ่ยถามออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจอยู่
ไม่น้อย “เจ้าจาไม่ได้ว่าจวนสกุลฮวาอยู่ที่ใด?
เจ้ามักจะไปที่นั่นประจานะ”
หยางหนิงส่ายศีรษะก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่?”
โหวจื่อรีบเอ่ยตอบ “ฮวามามาอาศัยอยู่ที่ตรอก
คนตาย ห่างจากที่นี่ออกไปสักระยะหนึ่ง หลังจากฝน
หยุดตกแล้ว ข้าจะนาเจ้าไปที่แห่งนั้น ทว่า...ทว่าพวก
เราไม่สามารถเข้าไปในเวลากลางวันได้ หากจะเข้าไป
ก็มีแต่ต้องแอบลอบเข้าไปในเวลากลางคืนเท่านั้น”
“ตรอกคนตาย?” หยางหนิงลอบคิดว่าชื่อนี้แฝงไป
ด้วยความมืดมนบางอย่าง คงไม่ถึงขั้นที่ทั้งตรอกเป็น
กิจการค้าขายโรงศพหรือกระดาษเผาให้คนตาย
กระมัง?
“ความจริงแล้วตรอกเส้นนั้นเดิมไม่ได้มีชื่อ แต่เพราะ
ว่าจวนสกุลฮวาอาศัยอยู่ในตรอกนั้น ทาให้ไม่มีผู้ใด
กล้าเข้าไป” โหวจื่อเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางประหนึ่งรอบรู้
ในทุกสิ่ง “เมื่อปีก่อนหนีชิวที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของ
เมืองได้พนันกับคนอื่นเอาไว้ โดยลอบเข้าไปในตรอก
คนตายตอนกลางวัน ทาให้ถูกคนโยนออกมา อีกทั้ง
ร่างกายยังเต็มไปด้วยบาดแผลและถูกตีจนกระดูกหัก
ไปหลายท่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดีเลย”
ในแววตาก็ปรากฏความเคียดแค้นขึ้นจางๆ
“นับตั้งแต่นั้นมา พวกเราต่างก็เรียกตรอกทางเดินนั้น
ว่าตรอกคนตาย”
หยางหนิงยิ้มเย็นออกมาและเอ่ยขึ้น “เป็นฝีมือของ
จวนสกุลฮวา?”
“ในอดีตนั้นเจ้าเมืองฮวาถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงของ
เมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้” โหวจื่อเอ่ยขึ้น “ที่ตรอกคนตาย
นั้น มีจวนพวกเขาอยู่เพียงหลังเดียว หากไม่ใช่พวก
เขาแล้วจะเป็นฝีมือใครได้อีก?” โหวจื่อเอ่ยออกมา
อย่างมีโทสะ “ฮวามามาก็เป็นพวกลักกินขโมยกิน
จะทาอะไรก็จาต้องหลบๆ ซ่อนๆ แน่นอนว่านางคงไม่
อยากให้ใครเข้าใกล้จวนของนางง่ายๆ เป็นแน่”
“ลักกินขโมยกิน?” หยางหนิงรู้สึกไม่คุ้นหูกับคาๆ นี้
เลย จึงถามด้วยความสงสัย “ลักกินขโมยกินที่พูดถึง
คืออะไรงั้นหรือ?”
“มันไม่ได้หมายถึงสิ่งของ แต่หมายถึงการแอบทา
อะไรที่ไม่อาจให้คนพบเห็นได้” โหวจื่อยิ้มที่แปลกๆ
“มันก็หมายถึงอนุภรรยาของตระกูลขุนนางผู้ดีมี
ความกล้ามากพอที่จะรับทางานลับๆ ยามที่สถานะใน
จวนย่าแย่จนยากจะดูแลต่อไปได้...คนประเภทนี้
แหละที่เรียกว่าพวกลักกินขโมยกิน”
หยางหนิงนิ่งค้างไป “เจ้าพูดว่ารับงาน หมายความว่า
...?” ทว่าในใจกลับสามารถเข้าใจได้แล้ว
“โบราณว่าไว้ การเป็นภรรยาหลวงไม่สู้เป็นภรรยา
น้อย การเป็นภรรยาน้อยไม่สู้การเป็นขโมย พวกบุรุษ
เสเพลทั้งหลายต่างก็คิดว่าการที่สามารถหยอกเล่นกับ
สาวใช้ของจวนตระกูลผู้ดีเหล่านั้นได้ถือว่าเป็นรสนิยม
ที่ดีที่สุด” เมื่อโหวจื่อเอ่ยถึงหัวข้อนี้ น้าลายของเขาก็
ไหลออกมา แววตาเป็นประกายระยิบระยับ เขา
หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมเอ่ยต่อ “อีกทั้ง
สตรีเหล่านั้นล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ไม่ว่า
จะเป็นหน้าตาหรือว่าการประพฤติตัวก็ล้วนเหนือกว่า
สตรีหอนางโลมทั่วไปถึงสามส่วน ทั้งยังรอบรู้เป็นงาน
เป็นการ ไม่มีข้อเสียแม้แต่ข้อเดียว อีกทั้งพวกลักกิน
ขโมยกินก็ล้วนไม่ใช่สาวนางโลมที่แท้จริง การบิดเขิน
ไปมานั้นจึงถูกอกถูกใจบุรุษเป็นอย่างมาก” เมื่อเอ่ย
มาถึงตรงนี้ ภายในดวงตาของโหวจื่อเองก็ปรากฏ
เปลวเพลิงที่โหมกระหน่าขึ้นมา
หยางหนิงถอนหายใจออกมา คิดไม่ถึงว่าจะมีกิจการ
เช่นนี้อยู่ด้วย
โหวจื่อเอ่ยต่อ “เจ้าเมืองฮวานั้นอายุยังน้อยแต่กลับ
ป่วยหนักทาให้เสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อนแล้ว ตอนที่
เจ้าเมืองฮวามีชีวิตอยู่นั้น บ่าวรับใช้หนุ่มสาวก็มี
ประมาณสิบกว่าคนแล้ว เมื่อเขาเสียชีวิตลงก็ไม่มี
รายได้เข้ามา ทาให้จวนแทบจะอยู่ต่อไม่ได้ ฮูหยินฮวา
จึงลอบนาสาวใช้เหล่านี้มาเริ่มทากิจการลักกินขโมย
กิน...!” และยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ “เมืองแห่งนี้ก็
ไม่ได้ใหญ่มาก ต่อให้ฮูหยินฮวาลอบทาอย่างลับๆ
แต่ว่าข่าวคราวก็มักจะเล็ดลอดออกมา สุดท้ายแล้ว
ทุกคนก็รู้กันโดยทั่ว ในทางลับแล้วทุกคนถึงเรียกนาง
ว่าฮวามามา สตรีผู้นั้นอายุเกินสามสิบปีแล้ว อายุก็
ปูนนี้แล้ว ข้าได้ยินมาว่านางเอาสาวใช้ในจวนมารับ
งานเช่นนี้แทน...!”
เมื่อหยางหนิงฟังมาจนถึงตรงนี้ ในใจของเขาก็จมดิ่ง
ลงไปในทันที พลางครุ่นคิดในใจว่าหากเสี่ยวเตี๋ยอาศัย
อยู่ในจวนเช่นนี้ มิใช่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ร้าย
มากกว่าดีหรอกหรือ?
ตกดึก สายลมและฟ้าฝนด้านนอกยังไม่มีท่าทีว่าจะ
หยุดแม้แต่น้อย หยางหนิงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
ในใจของเขารู้ดีว่าอากาศเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขารู้สึกเป็น
ห่วงเสี่ยวเตี๋ยมากเพียงใดก็ไม่สามารถออกจากประตูนี้
ไปได้
ทุกอย่างที่สามารถทาได้มีเพียงแค่รอให้ฝนหยุดก่อน
แล้วจึงค่อยวางแผนกันใหม่
หลังจากอดทนเฝ้ารอมาเป็นเวลาเนิ่นนาน คนอื่นๆ
ก็เริ่มมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน หยางหนิงจึงบอกให้
พวกเขาไปพักผ่อนกันก่อน ที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีห้องข้าง
โถงใหญ่อยู่สองห้อง ตอนนี้หยางหนิงอาศัยอยู่ใน
ห้องพักด้านข้างห้องหนึ่งแล้ว โดยที่ห้องด้านข้างนี้มีไว้
ให้หยางหนิงและเหล่าชู่ผีอาศัย ส่วนคนที่เหลือต่างก็
ออกไปพักด้านนอกห้อง
หลังจากที่หยางหนิงนอนลงไปแล้ว ในใจของเขากลับ
กาลังคิดถึงทางออกในอนาคตของตน
อาชีพศิษย์พรรคกระยาจกที่มีเกียรติถึงเพียงนี้
หยางหนิงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตนเท่าใดนัก ในเมื่อ
การมาโลกใบนี้ถือเป็นเรื่องจริงแล้วยังไม่สามารถ
แก้ไขได้อีก เช่นนั้นสิ่งที่ทาได้ก็คือการปรับตัวให้เข้า
กับความเป็นอยู่ของโลกใบนี้แทน
สิ่งที่ทาให้เขารู้สึกเหนื่อยใจก็คือการที่ยุคสมัยนี้ไม่ใช่
ยุคสมัยใดๆ ของประวัติศาสตร์ในความทรงจาของตน
มิฉะนั้นเขาอาจจะคาดเดาอนาคตได้ และใช้ข้อได้
เปรียบของการรู้อนาคตมาทาเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ได้
มากมาย
เขาเคยทาธุรกิจมาก่อนที่จะข้ามภพมา ทาให้เขารู้ว่า
ตัวเขาไม่สามารถทาเรื่องใหญ่โตให้สาเร็จในยุคสมัยนี้
ได้ด้วยความรู้ด้านธุรกิจที่สั่งสมมา ทว่าตอนนี้เขาไม่มี
เงินทองติดตัวแม้แต่สลึงเดียว ต่อให้คิดอยากจะทา
ธุรกิจก็ไม่มีเงินลงทุนให้ใช้แม้แต่น้อย อีกทั้งเขายังไม่รู้
สถานการณ์ของตลาดในตอนนี้เลยสักนิด ดังนั้นมันจึง
เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเริ่มต้นทาธุรกิจภายใน
ช่วงเวลานี้
หลังจากพลิกตัวไปมาเป็นเวลานานในที่สุดเขาก็ผล็อย
หลับไป บางทีอาจเป็นเพราะร่างกายเพิ่งหายป่วยได้
ไม่นานจึงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ทาให้ตกดึกคืนนั้น
ได้นอนหลับอย่างสนิท
วันต่อมาในขณะที่เขากาลังนอนอยู่นั้นก็ถูกเหล่าชู่ผี
ปลุกให้ตื่น เขาพบว่าเขานอนหลับจนถึงตอนเที่ยงวัน
แล้ว พายุฝนได้หยุดลงเป็นที่เรียบร้อย หยางหนิงลุก
ขึ้นและเดินออกมา หลังฝนหยุดตกแล้ว อากาศที่มี
กลิ่นของเศษดินปะปนอยู่กับกลิ่นของใบหญ้าซึ่งลอย
เข้าไปในจมูกทาให้รู้สึกปลอดโปร่งยิ่งนัก หยางหนิง
สูดอากาศเหล่านี้เข้าไปลึกๆ อยู่หลายครั้งก่อนที่
ร่างกายจะรู้สึกสบายเนือ้ สบายตัวขึ้นมา
เขามองสารวจบริเวณโดยรอบถึงพบว่าบริเวณที่ตั้ง
ของศาลเจ้านี้ค่อนข้างจะห่างไกลจากตัวเมือง บริเวณ
โดยรอบมีบ้านเรือนอยู่เพียงไม่กี่หลัง ทว่าด้านหน้า
ไกลออกไปไม่มากนักกลับมีบ่อน้าอยู่บ่อหนึ่ง
ด้านข้างบ่อน้ามีต้นหลิวเก่าแก่อยู่หลายต้น โดยที่
ก้านหลิวห้อยลงไปในผิวน้า ทาให้ใบหลิวแตะลงบน
ผิวน้าเบาๆ เมื่อลมพัดผ่านอย่างแผ่วเบาก็ทาให้
ก้านหลิวโบกสะบัดเล็กน้อยราวกับหญิงงามที่กาลัง
ร่ายระบาอยู่
“เจ้าพวกนั้นไปไหนเสียแล้ว?” เมื่อเห็นว่าภายใน
ศาลเจ้าไม่มีร่องรอยของพวกโหวจื่อ หยางหนิงจึงเอ่ย
ถามเหล่าชู่ผีที่ยืนอยู่ข้างกายตน
เหล่าชู่ผีเอ่ยตอบ “พวกเขาออกไปก่อนแล้ว บอกว่า
เจ้าเพิ่งหายจากอาการป่วยได้ไม่นาน จึงขอไปเอาของ
เล็กน้อยมาเฉลิมฉลองเสียหน่อย”
หยางหนิงหัวเราะพลางตอบ “พวกเขาใจดีถึงเพียง
นั้น?”
เหล่าชู่ผีกลับคิดว่าหยางหนิงนั้นเข้าใจในความคิดของ
คนเหล่านั้น จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ เจ้ารู้ว่า
พวกเขาคิดอะไรอยู่ก็ดีแล้ว พวกเขาให้เจ้ามาเป็นลูกพี่
ใหญ่ของศาลเจ้าแห่งนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเขา
ไม่ได้หวังดีอะไร”
เดิมหยางหนิงแค่เอ่ยออกมาโดยไม่คิดอะไร แต่กลับ
คิดไม่ถึงว่าเหล่าชู่ผีจะเอ่ยเช่นนี้ออกมาจึงรู้สึกได้ว่ามี
เรื่องบางอย่างผิดปกติ พร้อมถามต่อ “เหล่าชู่ผี หรือ
ว่าพวกเขามีจิตใจคิดร้ายจริงๆ?”
“จิตใจคิดร้าย?” เหล่าชู่ผีส่ายศีรษะ “มันก็ไม่ใช่จิตใจ
คิดร้ายอะไร เพียงแต่ว่าไม่ใช่ปรารถนาดีเท่านั้น เมือง
แห่งนี้มียาจกอยู่หลายร้อยคน แม้ว่าทุกคนล้วนแต่
เป็นศิษย์พรรคกระยาจก แต่ว่าในเมืองแห่งนี้ต่างฝ่าย
ต่างดึงพรรคพวกเป็นของตน เรื่องต่อสู้ชิงดีกันนั้นถือ
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยนัก”
“หลายร้อยคน?” หยางหนิงคิดไม่ถึงว่าพรรค
กระยาจกที่เมืองหุ่ยเจ๋อแห่งนี้จะมีอานาจแข็งแกร่งถึง
เพียงนี้
เหล่าชู่ผีถอดถอนหายใจพร้อมเอ่ยต่อ “โหวจื่อเดิมก็
ไม่ใช่คนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวเท่าใดนัก แต่ก่อนเจ้า
ไม่ได้แสดงฝีมือออกมา เขาก็มักจะชอบไปข้างนอก
และก่อเรื่องอยู่เสมอ วันนี้เมื่อเขารู้ว่าเจ้าเก่งกาจถึง
เพียงนี้ การที่นับเจ้าเป็นลูกพี่ก็เพื่อที่จะยืมชื่อของเจ้า
ให้ได้ต่อสู้กับศิษย์พรรคกระยาจกคนอื่นได้ง่ายๆ
เตียวเอ๋อร์ ฟังข้านะ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ต่อให้เจ้ามี
ความสามารถแต่อย่าถูกพวกโหวจื่อนั้นทาให้
เดือดร้อนไปด้วย อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจะดีกว่า
นะ”
เขาพูดออกมาอย่างจริงใจ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคาเตือน
ด้วยความหวังดีต่อหยางหนิงจริงๆ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 4 ดีร้ายปะปนกัน
เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ประโยคนี้
หยางหนิงนั้นถือว่าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าเขาจะแยกแยะบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน
ทว่าก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องใส่ตัวเช่นกัน เมื่อก่อนเขา
คิดว่าพวกโหวจื่อนั้นถูกตนสั่งสอนจนเชื่องไปแล้ว
ยกหนึ่ง แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนว่าคนเหล่านั้นมี
จุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่
หยางหนิงรู้สึกว่าบางทีเขาก็เข้าข้างตัวเองมากเกินไป
“สองสามวันนี้เจ้าก็พักผ่อนไปก่อน ข้าพูดกับพวกมัน
แล้วว่าไม่ให้พวกมันบอกกับคนอื่นว่าเจ้าดีขึ้นแล้ว”
เหล่าชู่ผีมักมีสีหน้าเศร้าหมองอยู่เสมอ
หยางหนิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “แล้ว
เพราะอันใดหรือ?”
“อันใดน่ะหรือ?” เหล่าชู่ผียิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“หากพี่ใหญ่ฟางรู้ว่าเจ้าดีขึ้นแล้ว จะยอมให้เจ้าอยู่
เฉยได้งั้นหรือ?”
“พี่ใหญ่ฟาง?” หยางหนิงรู้สึกเหมือนว่าก่อนหน้านี้
ตนก็เคยได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงชื่อนี้ ไม่นานนักเขาก็นึก
ขึ้นมาได้ “ก่อนหน้านี้เหมือนเคยพูดว่าพี่ใหญ่ฟางเป็น
ผู้ที่รับข้าเข้าพรรคกระยาจก?”
เหล่าชู่ผีพยักหน้า “พี่ใหญ่ฟางนั้นถือเป็นหัวหน้าของ
ศิษย์พรรคกระยาจกหลายร้อยคนในเมืองฮุ่ยเจ๋อ
ตอนแรกเขาเห็นว่าเจ้ามือเท้าว่องไวดีถึงได้รับเจ้าเข้า
มาในพรรคกระยาจก”
“ทาไมเล่า หากเขารู้ว่าข้าดีขึ้นแล้วจะมาหาเรื่องข้า
หรือ?” หยางหนิงสงสัยว่าหัวหน้าของพรรคกระยาจก
ในเมืองนี้มีหนี้แค้นอะไรกันตน “ทาไมถึงให้เขารู้ไม่ได้
ว่าข้าหายดีแล้ว?”
เหล่าชู่ผีแน่ใจว่าหลังจากป่วยหนักแล้ว สมองของ
หยางหนิงก็พร่าเลือนไปแล้วจริงๆ จึงได้แต่ต้องเอ่ย
อธิบายออกมา “ไม่ใช่หาเรื่องเจ้า แต่จะให้เจ้าทางาน
ต่อไป เจ้าคิดว่าเหตุใดพวกเราถึงมาหลบลมหลบฝน
อยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้ได้กัน? ทุกอย่างไม่ได้เป็นเพราะ
เจ้าเท่านั้น”
หยางหนิงยิ่งรู้สึกสงสัยพลางครุ่นคิดในใจว่าการพัก
อาศัยอยู่ในศาลเจ้านี้ก็ถือเป็นความดีความชอบของ
เขาด้วยงั้นหรือ?
“พี่ใหญ่ฟางเห็นว่าเจ้ามือไม้ว่องไวจึงรับเจ้าเข้าพรรค
กระยาจกก็เพื่อให้เจ้าไปจัดการเรื่องเหล่านั้น ครึ่งปี
มานี้ เจ้าไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว สร้างความดี
ความชอบให้กับพี่ใหญ่ฟางมาไม่น้อย” เหล่าชู่ผีนั่งอยู่
บนคานประตู “ภายในเมืองมีศิษย์พรรคกระยาจก
หลายร้อยคน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีสถานที่
หลบลมฝนได้ เพราะเจ้าสร้างคุณงามความดีมา
จานวนมาก พวกเราถึงสามารถพักอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้
ได้” ทว่าบนใบหน้านั้นกลับมีโทสะจางๆ ปรากฏขึ้น
“แต่ว่าพี่ใหญ่ฟางผู้นี้ช่างเลวทรามยิ่งนัก จิตใจอามหิต
ยิ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้าล้มป่วยแล้วก็ไม่ยินยอมควักเงิน
ออกมาให้เจ้าไปหาหมอ อีกทั้งยังไม่ถามไถ่ไยดี
เกรงว่าตอนนี้เขาคงคิดว่าเจ้าได้ตายไปแล้ว”
แม้ว่าหยางหนิงจะลอบด่าว่าพี่ใหญ่ฟางชั่วช้า แต่ฟัง
จากความหมายของเหล่าชู่ผีแล้ว เจ้าของร่างอย่าง
เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดา ถึงกับ
สร้างคุณงามความดีให้กับพี่ใหญ่ฟางมาไม่น้อย
จากนั้นเขาก็นั่งลงที่คานประตูและเอ่ยถาม “จริงสิ
พี่ใหญ่ฟางให้ข้าทาเรื่องอันใดบ้าง? ข้าสร้างคุณงาม
ความชอบอันใดไป?” เมื่อเห็นเหล่าชู่ผีเหลือบมองมา
ที่ตน หยางหนิงก็ยกมือพร้อมชี้นิ้วไปที่สมองของตน
ในทันทีเพื่อเป็นสัญญาณสื่อว่าตนได้ลืมเรื่องราวไป
จานวนมาก
เหล่าชู่ผียิ้มออกมาอย่างขมขื่น พร้อมเอ่ยตอบ
“พวกเราเรียกตัวเองว่ายาจก เช่นนั้นยังจะมีเรื่องใหญ่
อันใดให้ทาได้อีก?” เขายื่นมือที่แห้งหยาบของตนมือ
หนึ่งขึ้นมา ก่อนที่จะชูนิ้วชี้และนิ้วกลางของตน
ออกมา ในขณะที่สามนิ้วที่เหลือหดลงไป ลักษณะนิ้ว
มือที่เหมือนกรรไกรนี้พุ่งไปด้านหน้า ก่อนจะหันมา
มองหยางหนิงโดยไม่เอ่ยอะไร ทว่าความหมายของ
สายตาเขาสื่อว่า ตอนนี้เจ้าคงเข้าใจแล้วกระมัง
หยางหนิงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเลียนแบบท่าทาง
เมื่อครู่นี้ของเหล่าชู่ผี เขาเองก็ยื่นมือที่ชูสองนิ้ว
ออกไปด้านหน้า ก่อนจะรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้น่าขาย
หน้ายิ่ง จึงรีบดึงมือกลับมาก่อนจะขมวดคิ้วและเอ่ย
ต่อ “ท่าทางเช่นนี้ทาไมถึงคล้ายกับท่าขโมยถุงเงิน
เล่า?” เขามีอาการตกตะลึงก่อนจะมองไปทาง
เหล่าชู่ผีและเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ “เหล่าชู่ผี เจ้าคงไม่ได้
หมายความว่าข้า...ข้าช่วยพี่ใหญ่ฟางขโมยของ
กระมัง?”
เหล่าชู่ผีพยักหน้าแรงๆ “เจ้าเป็นลูกน้องที่ลงมือ
รวดเร็วที่สุดของพี่ใหญ่ฟาง!”
หยางหนิงรู้สึกถึงความเย็นที่พุ่งเข้าโจมตีตน เขาเองก็
ไม่รู้ว่าประโยคนี้ของเหล่าชู่ผีนั้นถือเป็นคาชมหรือ
คาพูดเหน็บแนมกันแน่ ทว่าในใจของเขากลับได้แต่
ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเตียวเอ๋อร์กลับ
ใช้สิ่งนี้มาสร้างความดีความชอบ
“ศิษย์พรรคกระยาจกใช้สิ่งนี้มาประคองชีวิต?”
ภาพลักษณ์ของพรรคกระยาจกที่อยู่ในใจของ
หยางหนิงมาเนิ่นนานก็ได้พังทลายลงไปในทันที
เหล่าชู่ผีมีเอ่ยออกมาด้วยท่าทางโศกเศร้า “หาก
พี่ใหญ่ลวี่ยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าคงไม่เป็นเช่นนี้แล้ว”
“พี่ใหญ่ลวี่นั้นเป็นผู้ใดกัน?”
“พี่ใหญ่ลวี่นั้นเดิมเป็นผู้นาของพรรคกระยาจกเมือง
ฮุ่ยเจ๋อ ตอนที่เขายังอยู่นั้น กฎระเบียบเคร่งครัดมาก
ไม่มีผู้ใดกล้าทาเรื่องหลอกปล้นขโมยทรัพย์เช่นนี้”
แววตาของเหล่าชู่ผีมีแสงประกายปรากฏขึ้นจางๆ
“ตอนนั้นมีการเรียงลาดับชั้นตามความอาวุโส ข้าเข้า
ร่วมพรรคกระยาจกมายี่สิบกว่าปีแล้ว ถือได้ว่ามี
คุณสมบัติเพียงพอแล้ว ตอนที่พี่ใหญ่ลวี่ยังอยู่ เขาก็ได้
ทาการดูแลพวกเรายาจกเฒ่าเป็นอย่างดี หากมีเรื่อง
ใหญ่ก็จะทาการเรียกรวมพลพวกเราไปทาการปรึกษา
ร่วมกัน” บนใบหน้าของเขากลับปรากฏความ
ภาคภูมิใจที่หาได้ยากยิ่งขึ้น
ในใจของหยางหนิงอดไม่ได้ที่จะนึกว่าการที่เขาอยู่
ร่วมพรรคกระยาจกมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปีแล้วแต่
กลับเป็นได้เพียงเท่านี้ ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริงๆ
มิน่าเล่าคนพวกนั้นถึงดูถูกเหยียดหยามเขา
ทว่าเขาเองก็รู้เข้าใจว่าเหล่าชู่ผีนั้นเป็นคนที่ใจดีและ
ซื่อตรง ไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีกับใคร ทว่าที่ใดมีคนก็จะ
มียุทธภพ และที่ใดมียุทธภพก็จะมีการแย่งชิง พรรค
กระยาจกนั้นถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพ การ
แก่งแย่งกันในพรรคย่อมมีไม่น้อยเช่นกัน ด้วยนิสัย
ของเหล่าชู่ผีแล้วก็ไม่เหมาะที่จะแก่งแย่งชิงดีกับใคร
จริงๆ
“เจ้าบอกว่าพี่ใหญ่ลวี่ตายไปแล้ว?” หยางหนิง
ขมวดคิ้วแน่นพร้อมเอ่ยถาม “แล้วเขาตายได้
อย่างไร?”
“ตอนที่พี่ใหญ่ลวี่ยังมีชีวิตอยู่นั้น พวกทหารไม่กล้า
แตะต้องพวกเราศิษย์พรรคกระยาจกแม้แต่น้อย”
สีหน้าของเหล่าชู่ผีมีความภูมิใจจางๆ ปรากฏขึ้นอย่าง
เห็นได้ชัด “ตอนนี้พรรคกระยาจกมีศิษย์อยู่หลายร้อย
คน ก็ล้วนแต่เป็นเพราะพี่ใหญ่ลวี่ ตอนที่เขามีชีวิตอยู่
นั้น เซียวอี้ซุ่ยก็ยังต้องไว้หน้าเขาเช่นกัน” จากนั้นก็
ถอนหายใจออกมาพร้อมเอ่ยต่อ “น่าเสียดายที่เมื่อ
สามปีก่อนเขาป่วยกะทันหันจนเสียชีวิตลง”
“เซียวอี้ซุ่ย? ป่วยกะทันหัน?”
เหล่าชู่ผีเอ่ยอธิบายต่อ “เซียวอี้ซุ่ยเป็นหัวหน้า
มือปราบของเมืองฮุ่ยเจ๋อ คนผู้นี้...!” ก่อนจะส่าย
ศีรษะและไม่เอ่ยถึงหัวหน้ามือปราบผู้นั้นอีก
“เดิมร่างกายของพี่ใหญ่ลวี่นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ทว่าวันหนึ่งเขาก็ล้มป่วยลงโดยมีพี่ใหญ่ฟางดูแลด้วย
ตนเอง ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็ได้เสียชีวิตลง พี่ใหญ่
ฟางเองก็ขึ้นรับตาแหน่งของพี่ใหญ่ลวี่ต่อโดย
ชอบธรรม”
หยางหนิงเห็นว่าคาพูดของเหล่าชู่ผีมีการหลีกเลี่ยง
บางอย่างเอาไว้ ทาให้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่าง
ผิดปกติ ทว่าเขาเองก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาอีก
เหล่าชู่ผีเอ่ยต่อ “หลังจากที่พี่ใหญ่ฟางขึ้นรับตาแหน่ง
แล้ว ไม่นานก็รวมกลุ่มกับเซียวอี้ซุ่ย ศิษย์พรรค
กระยาจกในอดีตนอกจากขอทานแล้วก็ทางานที่ต้อง
ใช้กาลังอยู่ในเมืองนี้ โดยรวมแล้วก็คือยอมทางาน
ทุกอย่าง แค่ไม่ทาเรื่องที่ผิดต่อสามัญสานึกเท่านั้น...
แต่ว่าหลังจากที่พี่ใหญ่ฟางขึ้นรับตาแหน่งแล้ว พี่น้อง
พรรคกระยาจกก็เริ่ม...” เขาถอนหายใจออกมาโดย
ไม่ได้เอ่ยต่ออีก
แน่นอนว่าหยางหนิงในตอนนี้ก็ได้เข้าใจเรื่องทั้ง
หมดแล้ว การเปลี่ยนแปลงของพรรคกระยาจกนั้น
ล้วนเริ่มต้นมาจากตอนที่พี่ใหญ่ฟางผู้นั้นขึ้นรับ
ตาแหน่ง
พี่ใหญ่ลวี่เสียชีวิตไปได้ไม่นาน พี่ใหญ่ฟางก็ขึ้นรับ
ตาแหน่งแล้ว อีกทั้งยังรวมตัวเป็นพวกเดียวกันกับ
หัวหน้ามือปราบเซียวอี้ซุ่ยแห่งเมืองฮุ่ยเจ๋อได้อย่าง
รวดเร็ว ข้อมูลเหล่านี้เมื่อนามารวมกันแล้วก็อดที่จะ
ทาให้คนอื่นคิดสงสัยไม่ได้
ทว่าหยางหนิงไม่ได้สนใจเรื่องในอดีตของพรรค
กระยาจกเท่าใดนัก ตอนนี้เขาอยู่ในพรรคกระยาจก
จึงสนใจแต่สถานการณ์ของพรรคกระยาจกในปัจจุบัน
เท่านั้น เขาถามต่อ “ศิษย์พรรคกระยาจกในเมือง
ฮุ่ยเจ๋อนั้นมีดีร้ายปะปนกัน อีกทั้งยังวุ่นวายไม่เป็น
ระเบียบ เช่นนี้หัวหน้าพื้นที่ปกครองของเขตอี้หั่วเฉอ
ไม่มาสนใจเลยหรือ? การที่พี่ใหญ่ฟางทาลายชื่อเสียง
ของพรรคกระยาจกนั้น หัวหน้าเซี่ยงของพรรค
กระยาจกผู้นั้นก็ไม่คิดจะถามไถ่บ้างหรือ?”
เหล่าชู่ผีหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเสียง “พรรค
กระยาจกนั้นมีการแบ่งพื้นที่ปกครองถึงยี่สิบแปดเขต
ครอบครองพื้นที่ทั่วแผ่นดิน แค่เขตอี้หั่วเฉอของพวก
เราก็ได้ยินว่ามีคนประมาณหนึ่งถึงสองหมื่นคนแล้ว
แค่เขตเมืองเล็กๆ ที่มีศิษย์เพียงไม่กี่ร้อยคนนั้น
หัวหน้าพื้นที่เขตปกครองมีหรือจะมายุ่งกับสถานที่
แห่งนี้? อีกทั้งจะมีใครกล้านาเรื่องราวของพี่ใหญ่ฟาง
ไปเปิดเผยกัน? และสาหรับหัวหน้าเซี่ยงนั้น พวกเราก็
เพียงแค่เคยได้ยินว่ามีคนผู้นี้ แต่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ข้าว่านะ ชาตินี้พวกเราก็ไม่มีทางได้พบหรอก”
หยางหนิงพยักหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดว่า
พรรคที่มีสมาชิกเป็นจานวนหลายแสนนั้น แน่นอนว่า
ต้องมีกาลังที่แกร่งกล้าไร้เทียมทาน แต่ก็เป็นเพราะว่า
มีขนาดใหญ่โตมาก ทาให้มีคนดีร้ายปะปนกัน ต่อให้
หัวหน้าเซี่ยงผู้นั้นมีสามหัวหกแขนก็ไม่อาจจัดการ
ดูแลได้หมด
เมื่อโหวจื่อกลับมาที่ศาลเจ้าแล้ว หยางหนิงก็อาบน้า
อย่างมีความสุขอยู่ในบ่อน้าหน้าศาลเจ้าเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว คราบสกปรกบนร่างกายที่สั่งสมมา
นานทาให้ไม่อาจชาระล้างได้จนหมด ทว่าการได้ล้าง
ตัวในน้าสะอาดสักครั้งหนึ่งเช่นนี้ ทาให้เขารู้สึกสดชื่น
เป็นอย่างมาก กาลังกายและสติก็ฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อย
ด้วย
โหวจื่อที่ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันก็ได้แป้งกรอบมา
หลายชิ้น หยางหนิงกาลังรู้สึกหิวกระหายอย่างมาก
แต่เมื่อกัดแป้งกรอบนั้นเข้าไปก็รู้สึกได้ว่ามันแห้งเสีย
จนยากจะกลืนลงคอได้ ไม่มีความบางกรอบเลยแม้แต่
น้อย พลางลอบคิดในใจว่าสมัยนี้คนยังไม่ค่อยเข้าใจ
วิธีการใช้ผงแป้งเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่าแป้งกรอบนี้
ไม่ได้ผ่านการหมักมา ทาให้ความรู้สึกตอนที่กินมันจึง
ยากที่จะกลืนลงคอถึงเพียงนี้
ในเมื่อมาแล้วก็ต้องทาตัวให้คุ้นชิน ตรรกะนี้แน่นอน
ว่าหยางหนิงเองก็เข้าใจ
อากาศหลังฝนตกทาให้คนสูดดมเข้าไปแล้วรู้สึกกระ
ปรี่กระเปร่าขึ้นมาก ทว่าใจของหยางหนิงกลับนึกถึง
เสี่ยวเตี๋ยขึ้นมา
หยางหนิงนั้นเป็นคนที่แยกแยะบุญคุณความแค้น
อย่างชัดเจน ในเมื่อเสี่ยวเตี๋ยมีบุญคุณช่วยชีวติ เขา
เอาไว้ แน่นอนว่าเขารู้สึกซาบซึ้งใจ เมื่อได้ยินที่
เหล่าชู่ผีเอ่ยขึ้นมาก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ของเสี่ยวเตี๋ย
ในตอนนี้ย่าแย่เป็นอย่างมาก และยิ่งทาให้เขาหวังว่า
จะได้พบกับเสี่ยวเตี๋ยโดยเร็ว และสอบถามดูว่า
เสี่ยวเตี๋ยปลอดภัยดีหรือไม่
เดิมหยางหนิงคิดว่าจะเดินทางไปยังตรอกคนตายที่
ฮวามามาอาศัยอยู่โดยเร็ว แต่โหวจื่อรู้สึกกลัวตรอก
คนตายจึงโน้มน้าวว่าให้รอจนดึกกว่านี้แล้วค่อยออก
เดินทาง หยางหนิงนั้นไม่คุ้นเคยกับเมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้
จึงไม่ได้ดื้อดึงอะไร เมื่อถึงยามโพล้เพล้ จึงค่อยสั่งให้
โหวจื่อพาไปที่ตรอกคนตาย
ยามโพล้เพล้ ที่พระอาทิตย์กาลังจะตกนั้น ทั่วทั้งเมือง
ฮุ่ยเจ๋อก็ปกคลุมไปด้วยแสงสุดท้ายของสุริยัน
แม้ว่าเมืองฮุ่ยเจ๋อจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ว่าผู้คนก็แบ่ง
ออกเป็นหลายประเภท พวกตั้งแผงลอยขายของก็จะ
อยู่บริเวณหน้าเมือง และพวกที่สามารถเรียกได้ว่า
เป็นหน้าเป็นตาอย่างร้านน้าชา โรงเตี๊ยมรวมถึงหอ
นางโลมที่มีจานวนน้อยมากก็จะถูกจัดให้อยู่ตรงถนน
ยาวด้านหลังของเมือง
บนถนนมีผู้คนเดินผ่านไปมา ถือได้ว่าครึกครื้นเป็น
อย่างมาก
หยางหนิงมองดูบรรยากาศของยุคสมัยนี้ ตอนนี้เอง
เขาถึงพบว่าภาพที่ตนเห็นนั้นไม่เหมือนกับภาพของ
สถานที่โบราณในจินตนาการ ความจริงแล้วการ
ก่อสร้างส่วนใหญ่ในเมืองนี้ถือได้ว่ายุ่งเหยิง ไม่เป็น
ระเบียบยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผ่านการวางแผน
จัดการมาอย่างดี และเพราะเหตุนี้เอง ทาให้ตรอก
และถนนทั้งหลายดูราวกับเขาวงกตก็มิปาน หากไม่ใช่
คนที่คุ้นเคยกับเส้นทางอยู่แล้วอาจจะเดินไปเจอ
ทางตันเอาก็ได้
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่ามีผู้อพยพเข้ามาในเมืองนี้
จานวนมาก ทาให้ประชากรล้นเมือง แต่ว่าเมื่อเดิน
มาถึงถนนใหญ่ด้านหลังเมืองแล้ว แม้ว่าถนนเส้นนี้จะ
คึกคักไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เบียดเสียดเท่ากับที่เขา
คาดคิดเอาไว้ ฟังที่โหวจื่อเล่าถึงได้รู้ว่าพวกผู้อพยพ
ถูกจัดให้ไปอยู่มุมหนึ่งของเมือง สถานการณ์ตรงนั้น
แตกต่างกับหลังเมืองราวกับคนละโลก
“พี่ใหญ่เตียว เห็นถนนข้างหน้าแล้วใช่ไหม หากเลี้ยว
เข้าไปแล้วเดินตรงไป ผ่านถนนนั้นก็จะเข้าไปยังอีก
ตรอกหนึ่ง และตรอกนั้นก็คือตรอกคนตาย” บนถนน
มีกาแพงอยู่แถบหนึ่งเรียงยาวกันเป็นตรอกซอกซอย
ก่อนที่โหวจื่อจะยกมือขึ้นมาชี้บอกทางให้หยางหนิง
หยางหนิงมองเห็นว่าถนนตรงนั้นมีทางเข้าตรอกอยู่
จุดหนึ่ง จึงเอ่ยถามเสียงเบา “ถนนด้านหลังเส้นนั้นก็
คึกคักเช่นนี้ด้วยใช่ไหม?”
“ไม่ใช่หรอก” โหวจื่อส่ายศีรษะพร้อมเอ่ย “ถนนเส้น
นั้นเงียบสงบกว่านัก ล้วนแต่เป็นจวนที่พัก...ไม่ดีแล้ว
พี่ใหญ่เตียว รีบก้มหัวเร็ว...!” ประโยคเมื่อครู่ยังเอ่ย
ไม่จบ สีหน้าของเขาก็ปรากฏความตื่นตระหนกขึ้น
ก่อนจะหมุนตัวและก้มศีรษะลง เหมือนกลัวใครจะ
พบเห็นเข้าก็มิปาน
เมื่อหยางหนิงเห็นโหวจื่อเป็นแบบนี้ ก็ทาให้เขาอด
ไม่ได้ที่จะสังเกตโดยรอบ แต่กลับมองไม่เห็นสิ่งใด
ผิดปกติจึงเอ่ยถามเสียงเบา “ทาไมหรือ?”
“เจ้ามองไปทางโรงเตี๊ยมหอมสิบลี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสิ
...!” โหวจื่อไม่ได้หันหน้ากลับมาแต่เอ่ยตอบเสียงเบา
“เห็นสองคนที่เดินออกมาหรือไม่?”
หยางหนิงกวาดตามองฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง และเห็น
ว่าฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กันนั้นมีโรงเตี๊ยมสองชั้นอยู่ร้าน
หนึ่ง ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนบนถนนที่เต็ม
ไปด้วยความมีชีวิตชีวาแห่งนี้
โรงเตี๊ยมสร้างขึ้นมาจากไม้ ด้านหน้าของมันยื่น
ออกมาทาให้ดูหรูหราอยู่ไม่น้อย ข้างบนประตูหน้า
โรงเตี๊ยมมีป้ายไม้สีดาแขวนเป็นแนวยาวอยู่ป้ายหนึ่ง
บนป้ายนั้นมีตัวอักษรงดงามที่เคลือบทองคาตัวใหญ่
ว่า ‘หอมสิบลี้’ ซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อหยางหนิงสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าด้านหน้าประตูใหญ่
ของหอมสิบลี้มีคนยืนอยู่สองคน โดยคนหนึ่งสวมชุด
พอดีตัวสีเทาเงิน รูปร่างสูงโปร่ง มือหนึ่งไขว้ไว้
ด้านหลังขณะที่อีกมือหนึ่งกาลังจับคางของตนเอาไว้
ดูจากท่าทางแล้วถือว่างดงามอยู่ไม่น้อย ทว่าอีกคน
หนึ่งกลับเตี้ยกว่าเล็กน้อย รูปร่างดูกายาแข็งแกร่ง
เขากาลังขยับเข้าไปใกล้หูของคนผู้นั้น ขณะที่กระซิบ
เสียงเบาพร้อมทั้งใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเอาไว้
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 5 มือปราบ
“เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ?” บุรุษสองคนที่อยู่ด้านล่าง
โรงเตี๊ยมหอมสิบลี้นั้นดูสะดุดตาไม่น้อย ทาให้เมื่อ
หยางหนิงมองไปก็รู้ได้เลยว่าคนที่โหวจื่อเอ่ยถึงนั้นคือ
พวกเขาทั้งสอง
โหวจื่อเองก็ไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่ทาเพียงแค่เอ่ย
ตอบเสียงเบา “มิเพียงแต่ข้าที่รู้จักพวกเขา ผู้ที่อาศัย
อยู่ในเมืองนี้จะไม่รู้จักพวกเขานั้นถือว่ามีน้อยนัก
เจ้าเองก็รู้จักพวกเขา เพียงแต่ว่าตอนนี้เจ้าจาไม่ได้ก็
เท่านั้น”
หยางหนิงขมวดคิ้วแน่นพร้อมเอ่ย “พวกเขาคือผู้ใด
ทาไมเจ้าถึงต้องเกรงกลัวพวกเขาด้วย?”
โหวจื่อขยับเข้ามาใกล้หยางหนิง ก่อนจะเหลือบมอง
ไปทางด้านหลังแวบหนึ่งด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เมื่อ
เห็นว่าคนทั้งสองไม่ได้สังเกตมาทางนี้ เขาจึงผ่อน
คลายลงบ้าง ก่อนจะกดเสียงให้ต่าลงและเอ่ยตอบ
“คนที่มีรูปร่างสูงคือหัวหน้ามือปราบเซียว และคนที่
เตี้ยลงมาหน่อยคือมือปราบเฝิง เป็นสุนัขบ้าที่กินคน
ไม่เหลือแม้แต่กระดูก เจ้าพอจะนึกออกหรือไม่?”
ทว่าในสมองของหยางหนิงกลับไม่มีความทรงจา
เกี่ยวกับคนทั้งสองแม้แต่น้อย
“หัวหน้ามือปราบเซียว...!” หยางหนิงเอ่ยพึมพากับ
ตนเอง “นั่นคือเจ้าคนที่ชื่อเซียวอี้ซุ่ยงั้นหรือ? ได้ยินว่า
เขามีความสัมพันธ์อันดีกับพี่ใหญ่ฟางนี่”
โหวจื่อนั่งลงตรงขอบกาแพง หยางหนิงจึงย่อตัวนั่งลง
ไปเช่นกัน ก่อนที่โหวจื่อจะขยับเข้ามาใกล้และเอ่ย
ออกมาเบาๆ “สาหรับเซียวอี้ซุ่ยแล้ว พี่ใหญ่ฟางนั้น
ถือเป็นสุ...!” เขาลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ
“โดยรวมแล้วก็คือไม่ว่าเซียวอี้ซุ่ยจะพูดอะไร พี่ใหญ่
ฟางก็ล้วนแต่เชื่อฟังเป็นอย่างดี ตอนนี้ศิษย์พรรค
กระยาจกอย่างพวกเราอยู่ในมือของเซียวอี้ซุ่ยแล้ว”
แม้หยางหนิงจะรู้ว่าพี่ใหญ่ฟางใกล้ชิดสนิทสนมกับ
เซียวอี้ซุ่ย แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะเป็นความสัมพันธ์
เช่นนี้ จึงเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง “เซียวอีุยผู
้ซ่ ้นี้
เก่งกาจถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
หยางหนิงเอ่ยเสียงเบา “หากอาศัยอยู่ที่เมืองนี้นาน
แล้วก็จะรู้ว่าเซียวอี้ซุ่ยนั้นสามารถทาทุกอย่างได้ที่
เมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้ ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่าต่อให้
เป็นเจ้าเมือง โดยปกติแล้วก็ยังไม่กล้าร้องตะโกนออก
คาสั่งต่อหัวหน้ามือปราบเซียวเลย และหลังจากที่
เจ้าเมืองมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่ปีก็ได้เลื่อนขั้นและจากที่นี้ไป
แล้ว แต่ว่าหัวหน้ามือปราบเซียวกลับอยู่ที่เมืองฮุ่ยเจ๋อ
เช่นเดิมไม่จากไปไหน ข้าอยู่เมืองฮุ่ยเจ๋อมาหกเจ็ดปี
แล้ว เจ้าเมืองถูกเปลี่ยนเป็นคนที่สามแล้ว แต่ว่า
หัวหน้ามือปราบกลับยังคงเป็นเซียวอี้ซุ่ยดั่งเดิม!”
“ดูแล้ว เหมือนว่าหัวหน้ามือปราบเซียวผู้นี้จะเป็นคน
ที่กุมทุกอย่างไว้ในมือจริงๆ” หยางหนิงลูบปลายจมูก
ของตนเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างขบขัน
มังกรที่แข็งแกร่งกลับไม่อาจเอาชนะอสรพิษร้ายได้
หลักการที่หยางหนิงเองก็เข้าใจดี เจ้าเมืองนั้นเป็น
ขุนนางที่ราชสานักส่งมา แต่มือปราบนั้นเป็นตาแหน่ง
ที่มีขึ้นเองภายในพื้นที่ ต่อให้เจ้าเมืองถูกเลื่อนขั้น
หัวหน้ามือปราบก็ไม่แน่ว่าจะมีการเปลี่ยนคน
แต่ว่าหากมีการเปลี่ยนเจ้าเมืองมาหลายครั้งแล้ว
แต่เซียวอี้ซุ่ยยังคงนั่งอยู่ในตาแหน่งหัวหน้ามือปราบ
เช่นเดิมไม่สั่นคลอนก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
โหวจื่อเอ่ยต่อ “มือปราบทุกคนในเมืองฮุ่ยเจ๋อล้วนแต่
อยู่ในการดูแลของเขา” โหวจื่อนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะ
เอ่ยต่อเสียงเบา “หลายคนพูดกันอยู่ลับๆ ว่ามือปราบ
ในเมืองฮุ่ยเจ๋อนี้เชื่อฟังเพียงหัวหน้ามือปราบเซียว
เท่านั้น หากไม่มีคาสั่งของหัวหน้ามือปราบเซียว
แม้แต่เจ้าเมืองก็ไม่อาจสั่งการมือปราบได้แม้แต่คน
เดียว เวลาเจ้าเมืองจะจัดการเรื่องใดก็ต้องไว้หน้า
หัวหน้ามือปราบเซียวถึงสามส่วน เจ้าว่าเขาเก่งกาจ
พอหรือไม่เล่า? ข้ายังได้ยินมาว่าคดีใหญ่น้อยในเมือง
ฮุ่ยเจ๋อ หากหัวหน้ามือปราบเซียวไม่ยื่นมือเขาไปยุ่งก็
จะไม่มีทางไขคดีได้”
หยางหนิงทาเพียงแค่ยิ้มออกมาจางๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
ต่อ “เช่นนั้นมือปราบเฝิงผู้นั้นเป็นผู้ใดอีก? เหตุใดถึง
เรียกเขาว่าสุนัขบ้า?”
เมื่อเอ่ยถึงมือปราบเฝิงผู้นั้น สีหน้าของโหวจื่อก็
ปรากฏความหวาดกลัวขึ้น เขารีบก้มศีรษะลงและเอ่ย
ถามออกมาเสียงเบา “เขามองเห็นพวกเราหรือไม่?”
“ไม่” หยางหนิงมองผ่านคนที่เดินไปเดินมาบนถนน
ทางนั้นเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “เหตุใดเจ้าถึง
ต้องหวาดกลัวเขาถึงเพียงนี้? เจ้าเป็นแค่ยาจกคนหนึ่ง
ไม่ใช่นักโทษที่ก่อคดีร้ายแรง มีอันใดต้องหวาดกลัว
กัน?”
ยิ่งหยางหนิงถามมากขึ้นเท่าใด ความหวาดกลัวใน
แววตาของโหวจื่อก็ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้น
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปทางทิศนั้น เขาเห็น
ว่ามือปราบเฝิงเอ่ยจบแล้ว ทว่าเซียวอี้ซุ่ยกลับหันไป
กระซิบข้างหูของมือปราบเฝิงต่ออีกสองสามประโยค
จากนั้นก็ตบลงบนบ่าของมือปราบเฝิงเบาๆ ในขณะที่
มือปราบเฝิงยกมือขึ้นคานับทาความเคารพ เห็นได้ชัด
ว่าเขาเคารพนับถือในตัวเซียวอี้ซุ่ยเป็นอย่างมาก
จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปบนถนนและจากไปอย่าง
รวดเร็ว
หยางหนิงไม่ได้ดึงสายตากลับมา แต่ยังคงจ้องไปที่
เซียวอี้ซุ่ยผู้นั้นเช่นเดิม เมื่อเห็นว่าเซียวอี้ซุ่ยกาลัง
จัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่ก่อนจะกวาดตามองไป
รอบข้างแวบหนึ่ง แล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินกลับเข้าไป
ด้านในโรงเตี๊ยมหอมสิบลี้อีกครั้ง
“พวกเขาไปกันหมดแล้ว” หยางหนิงตบไหล่ของ
โหวจื่อเบาๆ
โหวจื่อเงยหน้าขึ้นมามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพวก
เซียวอี้ซุ่ยไม่อยู่ที่หน้าประตูหอมสิบลี้แล้ว เขาจึงได้
ถอยหายใจออกมายาวๆ พร้อมเอ่ยต่อ “ทาข้าตกอก
ตกใจแทบแย่”
หยางหนิงลอบคิดอยู่ในใจว่าเมื่อก่อนตอนที่เจ้าอยู่ใน
ศาลเจ้าก็วางตัวโอ้อวดเสียใหญ่โต พอออกมากลับ
ขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริงๆ ทว่าเขาก็
ยังคงเอ่ยถามกลับไปด้วยความสงสัยอยู่ดี “เจ้ายัง
ไม่ได้พูดเลยว่าเหตุใดถึงเรียกมือปราบเฝิงว่าสุนัขบ้า
และก็เหตุใดเจ้าถึงต้องหวาดกลัวพวกเขาถึงเพียงนี้?
เมื่อก่อนเจ้าเคยยุ่งเกี่ยวกับพวกเขางั้นหรือ?”
โหวจื่อกัดฟันแน่นก่อนเอ่ยตอบ “สุนัขบ้านั้นไม่ใช่ข้า
ที่เป็นคนตั้งชื่อขึ้นมา พวกศิษย์พรรคกระยาจกหลาย
คนต่างเรียกเจ้าเศษสวะนั้นว่าสุนัขบ้า คนผู้นั้นเป็น
มือปราบมือหนึ่งของหัวหน้ามือปราบเซียว ว่ากันว่า
เขาติดตามหัวหน้ามือปราบเซียวมาหลายปีแล้ว สอง
คนนั้นยังสาบานเป็นพีน่ ้องอีกด้วย” โหวจื่อกาหมัด
แน่น พร้อมเอ่ยด้วยน้าเสียงเคียดแค้น “มันเป็นคนที่
ทาให้ข้าตกต่าถึงเพียงนี้”
หยางหนิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “หรือว่าเจ้า
เคยถูกจับเข้าคุก?”
“เจ้าสุนัขบ้านั้นใช้พวกเราเป็นที่ซ้อมไม้” โหวจื่อเอ่ย
ออกมาอย่างมีโทสะ “พวกเจ้าหน้าที่ของสานัก
มือปราบมักมาหาพี่ใหญ่ฟางและขอคนไปเป็นที่
ซ้อมไม้ พี่ใหญ่ฟาง...พี่ใหญ่ฟางผู้ไร้ประโยชน์คนนั้นมี
หรือจะกล้าขัดต่อคาสั่งของสานักมือปราบ ทุกครั้งเขา
จะส่งศิษย์พรรคกระยาจกไปที่สานักมือปราบและ
ส่งตัวให้กับสุนัขบ้า ครั้งหนึ่งถึงสิบยี่สิบกว่าคน”
“ใช้คนเป็นที่ซ้อมไม้?” หยางหนิงนิ่งอึ้งไป
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขาเองก็รู้ว่าไม้ของ
เจ้าหน้าที่สานักมือปราบในโบราณกาลนั้นไม่ใช่ของ
ธรรมดา หากลงมืออย่างโหดร้าย แค่ไม่กี่สิบไม้ก็
สามารถพรากชีวิตคนไปได้เลย
“เขาดึงกางเกงของพวกเราออกและให้เราเปิดก้นให้
พวกมันตีจนเละเทะไปหมด” โหวจื่อทั้งโมโหและ
หวาดกลัว “สุนัขบ้าและลูกน้องที่เหมือนเศษสวะพวก
นั้นไม่เคยเห็นพวกเราเป็นเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง...!”
ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบาอีกครั้ง “การซ้อมไม้นั้น
เป็นเรื่องโกหก แต่ว่าเอาพวกเราไปซ้อมเหมือนของ
เล่นนั้นเป็นเรื่องจริง สุนัขบ้าผู้นั้นตีคนตายด้วยตนเอง
ไปถึงสามสี่คนแล้ว...!”
ในใจของหยางหนิงเองก็เข้าใจว่ายุคสมัยที่มีสงคราม
อยู่รอบด้านนั้น การที่ยาจกไม่กี่คนตายไปนั้นถือเป็น
เรื่องเล็กที่ไม่มีผู้ใดใส่ใจ อีกทั้งผู้ที่ลงมือยังเป็น
เจ้าหน้าที่สานักมือปราบด้วย เช่นนั้นก็ยิ่งไม่มีที่ใดให้
ไปร้องเรียนได้อีก
ทว่าการที่มือปราบเฝิงไม่เห็นค่าของชีวิตคนถึงเพียงนี้
ถือว่าชั่วช้าเลวทรามยิ่งนัก แต่ก็พิสจู น์แล้วเช่นกันว่า
พวกเซียวอี้ซุ่ยกับมือปราบเฝิงนั้นปกครองทุกสิ่ง
ทุกอย่างในเมืองฮุ่ยเจ๋อแล้วจริงๆ
“ในเมื่อพี่ใหญ่ฟางเป็นพี่ใหญ่ของศิษย์พรรคกระยาจก
ในเมืองฮุ่ยเจ๋อแล้วก็ควรจะปกป้องคุ้มครองศิษย์
พรรคกระยาจก เหตุใดถึงต้องส่งแพะเข้าถ้าเสือ
ด้วย?” หยางหนิงยิ้มเย็นออกมา “คนที่สนับสนุนผู้อื่น
ให้ทาชั่วเช่นนี้ เหตุใดถึงยังเป็นหัวหน้าของผู้อื่นได้
อีก?”
“พี่ใหญ่ฟางน่ะหรือ?” โหวจื่อสบถเบาๆ ในลาคอ
ก่อนจะเอ่ยตอบ “พวกเจ้าหน้าที่สานักมือปราบ
ไม่เห็นพวกเราเป็นมนุษย์ และพี่ใหญ่ฟางก็ไม่ได้ดีกว่า
กันเท่าไรนัก หลายปีมานี้สุนัขบ้าทาให้พวกเรา
เดือดร้อนอย่างมาก และพี่ใหญ่ฟางไม่คิดแม้แต่จะมา
ไยดีอะไรเลย”
หยางหนิงพยักหน้าลงเล็กน้อย คาพูดของโหวจื่อนั้น
เหมือนกับที่เหล่าชู่ผีพูดถึงพี่ใหญ่ฟาง พี่ใหญ่ฟางนั้น
เป็นคนชั่วช้าที่ไม่สนใจความเป็นตายของศิษย์พรรค
กระยาจกจริงๆ ด้วย
ท้องฟ้ามืดสนิทและพระจันทร์ก็ลอยขึ้นจากขอบฟ้า
แล้ว โคมไฟโรงเตี๊ยมจุดสว่างไสวไปทั่ว หากมองเพียง
แสงสว่างของถนนและฟังเสียงพูดคุยหัวเราะอย่าง
เบิกบานใจที่ดังออกมาจากโรงเตี๊ยมร้านน้าชา
เหล่านั้น ก็ยากที่จะรู้ได้ว่าเมืองแห่งนี้มีผู้ลี้ภัยที่
อดอยากปากแห้งอยู่จานวนนับไม่ถ้วน
ประตูคนรวยมีกลิ่นอาหารลอยโชย คนจนโหยหิว
เหน็บหนาวอยู่กลางถนน นี่เป็นบทกลอนที่ดีที่สุดใน
การบรรยายถึงเมืองแห่งนี้
หลังจากที่ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว คนบนถนนเองก็
ค่อยๆ ลดหายไป ที่นี่อย่างไรก็เป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ
เมื่อถึงยามไฮ่*คนที่เดินอยู่บนถนนก็เริ่มเห็นได้น้อยลง
ร้านค้าหลายร้านก็ปิดร้านแล้วเช่นกัน
หยางหนิงรอจนถนนไม่ค่อยมีคนเดินผ่านเท่าไรนัก
แล้วจึงค่อยเดินไปทางตรอกเล็กๆ ที่โหวจื่อพูดถึงตอน
ก่อนหน้านี้
“นั่นคือตรอกคนตาย” โหวจื่อชี้นิ้วไปที่ทางเข้าตรอก
ฝั่งตรงข้าม ทางเข้าตรอกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตรอกนี้
พอดี ตรงกลางจึงเป็นเพียงถนนที่สงบเงียบและหนาว
เย็นสายหนึ่งเท่านั้น
หยางหนิงเห็นว่าตรอกนั้นมืดสนิทไม่มีแสงไฟ และ
ทางเข้าตรอกนั้นก็ดูราวกับปากกว้างของสัตว์
ประหลาด ลึกจนไม่อาจคาดเดาได้
ตอนที่เขากาลังจะเดินออกจากตรอกนั้น โหวจื่อกลับ
ยื่นมือมาดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้ ทาให้หยางหนิง
ขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรงั้นหรือ?”
“พี่ใหญ่เตียว พวกเราต้องเข้าไปจริงๆ หรือ?” แววตา
ของโหวจื่อมีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นจางๆ “มิสู้...
มิสู้รออีกสักพักหนึ่ง”
หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าโหวจื่อนั้นกาลังหวาดกลัว
จึงเอ่ยออกมาเบาๆ “ข้ารู้ตาแหน่งแล้ว เจ้ากลับไปที่
ศาลเจ้าก่อนได้เลย ไม่จาเป็นต้องตามข้าไปหรอก”
ให้คนที่ขี้ขลาดเหมือนหนูเช่นนี้ตามไป ไม่เพียงแต่จะ
ช่วยอะไรไม่ได้ เกรงว่าเมื่อถึงเวลายังทาให้เขาซวยไป
ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เดินทางไปด้วยตัวเองเสียจะ
ดีกว่า
“อ๊ะ?” โหวจื่อลูบท้ายทอยของตัวเองเบาๆ อย่าง
เคอะเขิน “พี่ใหญ่เตียว ข้า...ข้าไม่ใช่ว่าหวาดกลัวนะ
เพียงแต่...เพียงแต่เป็นห่วงท่านเท่านั้น”
หยางหนิงคิดในใจว่าหากเชื่อเจ้า ข้าก็คงจะปัญญา
อ่อนเสียแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้ม
แย้ม “มากคนถือเป็นเรื่องไม่ดี ข้าไปตัวคนเดียวและ
ดูว่าจะพบเสี่ยวเตี๋ยได้ไหม เสี่ยวเตี๋ยช่วยชีวิตของข้า
เอาไว้ อย่างไรเสียข้าก็ควรไปเอ่ยขอบคุณกับนาง”
โหวจื่อเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “จวนของฮวามามาล้อม
ไปด้วยกาแพงสูง ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเราจะได้เข้าไป
ไหม แค่เข้าใกล้ก็ไม่อาจทาได้แล้ว เจ้า...เจ้าจาได้
หรือไม่ว่าในอดีตเจ้าไปพบกับเสี่ยวเตี๋ยได้อย่างไร?”
หยางหนิงจาได้ว่า พวกเขาเคยบอกว่าตนมักจะมาพบ
กับเสี่ยวเตี๋ยที่นี่อยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าหยางหนิงในตอนนี้
ไม่ใช่เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ในอดีต สมองของเขาไม่มีความ
ทรงจาเกี่ยวกับการพบเสี่ยวเตี๋ยที่นี่จริงๆ
สาหรับความทรงจาของเจ้าของร่างนี้ ไม่เพียงแต่
น้อยนิด อีกทั้งยังแตกออกเป็นชิ้นส่วนด้วย ราวกับว่า
หลังจากที่วิญญาณของตนเข้ามายึดร่างนี้เอาไว้แล้ว
ก็ได้กลืนกินหรืออาจจะถึงขั้นผลักไสความทรงจาของ
เจ้าของเดิมออกไปจนหมด แต่เพราะว่าเจ้าของเดิม
นั้นมีจิตใจมุ่งมั่น ถึงได้ยังคงเหลือเศษเสี้ยวของความ
ทรงจาเอาไว้ เมื่อยามจาเป็นก็จะปรากฏขึ้นมา
โหวจื่อยังคงรู้สึกกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นก็ได้ยิน
เสียงกึกๆ ดังขึ้นบนถนน ทั้งสองคนจึงยื่นศีรษะ
ออกไปจากตรอกเพื่อมองหาต้นตอของเสียง ภายใต้
แสงจันทร์ที่สาดส่องมาในยามค่าคืน ทาให้เห็นเพียง
แค่เงาดาๆ ร่างหนึ่งปรากฏอยู่บนถนนที่เปล่าเปลี่ยว
เท่านั้น ไม่นานนักก็สังเกตเห็นได้ว่าสิ่งนั้นคือรถม้า
คันหนึ่ง
แม้ว่าถนนเส้นนี้จะปูด้วยแผ่นหินสีเขียว แต่เพราะ
เป็นเมืองเล็กๆ จึงทาให้หินที่ใช้ปูมีความสูงต่าไม่
เท่ากัน เมื่อรถม้าวิ่งผ่านไปก็ทาให้เสียงของล้อที่ทับ
กับแผ่นหินดังขึ้นดังกึกๆ ออกมาค่อนข้างชัดเจน
“เป็นรถม้าหรือ?” โหวจื่อเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เมืองแห่ง
นี้มีรถม้าอยู่ไม่มากนัก น้อยนักที่จะพบเห็นได้
เมื่อยามที่ออกรบ คนเลี้ยงม้าจานวนมากถูกเกณฑ์
แรงงานไป ทาให้ภายในเมืองยากที่จะมีม้าปรากฏ
ขึ้นมา”
รถม้าวิ่งมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็เข้ามาใกล้แล้ว
ทั้งสองคนเอาหลังแนบกับกาแพงของตรอก ภายใน
ตรอกนี้มืดสลัวเพราะกาแพงสองด้านนั้นสูงเป็นอย่าง
มาก ทาให้แสงจันทร์ยากที่จะสาดส่องเข้ามาถึง
เพราะฉะนั้นทั้งสองที่ถูกความมืดมิดโอบล้อมก็ยากที่
จะถูกคนพบเห็นได้
เมื่อรถม้ามาถึงตรงหน้าทางเข้าตรอก มันก็หยุดลง
กะทันหัน หยางหนิงยืมแสงจากดวงจันทร์ทาให้
มองเห็นได้ว่ารถม้าคันนั้นค่อนข้างทรุดโทรม แต่ว่าม้า
ที่ดึงรถอยู่นั้นขายาวและอ้วนท้วมสมบูรณ์ คนคุมรถ
ม้าสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสวมหมวกไม้ไผ่เอาไว้
ทาให้ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจสังเกตเห็นหน้าคนผู้นั้นได้
อย่างชัดเจน
รถม้าหยุดอยู่หน้าทางเข้าตรอก โดยที่มันไม่ได้เดินไป
ต่อ คนคุมรถม้านั้นยกมือของตนขึ้นมาดึงหมวกไม้ไผ่
บนศีรษะลงมา ภายใต้แสงสว่างที่ส่องมา เขาก็สังเกต
ซ้ายขวาดูอย่างละเอียด
หยางหนิงที่ยืนอยู่อย่างสงบภายในตรอกที่มืดสนิทนั้น
ก็สารวจคนขับรถม้าผู้นั้นอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เขามี
ความรู้สึกว่ารูปร่างของคนผู้นั้นดูคุ้นเคยอย่าง
ประหลาด หัวคิ้วของเขาจึงขมวดเข้าหากันน้อยๆ
หลังจากที่คนขับรถม้ามองสังเกตโดยรอบอยู่หลาย
ครั้งแล้ว เขาถึงได้กระตุกบังเหียน ม้างามตัวนั้นก็เดิน
ไปยังทิศทางของตรอกคนตายที่อยู่ทางฝั่งตรงข้าม
คนขับรถม้าส่งเสียงร้องเบาๆ ออกมาคาหนึ่ง ก่อนที่
รถม้าจะวิ่งเข้าไปด้านในตรอกคนตาย ไม่นานนักก็ถูก
ความมืดมิดของตรอกคนตายกลืนกินเข้าไป
“บังคับรถม้าให้วิ่งเข้าไปในตรอกคนตาย?” เมื่อ
โหวจื่อเห็นรถม้าวิ่งเข้าไปในตรอก เขาถึงได้กลับมา
ยืนตัวตรงและเอ่ยออกมาเบาๆ “คนในรถม้านั้นคือ
ผู้ใดกัน? ฮึๆ หรือว่า...หรือว่าจะมาหาฮวามามาเพื่อ
เริงสาราญ?” สีหน้าของเขามีความร้ายกาจปรากฏ
ขึ้นมาอย่างชัดเจน
หยางหนิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
ด้วยน้าเสียงราบเรียบ “เจ้าหมายความว่าคนผู้นั้น
เดินทางไปหาฮูหยินฮวา?”
แววตาของโหวจื่อมีประกายระยิบระยับขณะเอ่ยขึ้น
“ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่า แม้ฮวามามาจะมีอายุ
ไม่น้อยแล้ว แต่ว่านางก็ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ผิวหนัง
ของนางเนียนขาวจนสามารถบีบน้าออกมาได้ด้วยซ้า
อีกทั้งยังมีลีลาล้าเลิศ หากสามารถเปลื้องผ้านาง
เหมือนถลกหนังแกะขาวแล้วเริงสาราญกับนางตลอด
คืน...!” ทันใดนั้นเขาก็หันมาเห็นสีหน้าเย็นชาของ
หยางหนิงที่กาลังใช้สายตาประหลาดมองมาที่ตน
เขาจึงรีบกลืนคาพูดที่เหลือของตนกลับคืนไป และ
หัวเราะแห้งๆ ออกมาสองครั้งอย่างเก้อเขิน
หยางหนิงลอบคิดในใจว่าคนผู้นี้คงจะไม่ได้แตะต้อง
สตรีมาเป็นเวลาหลายปีแล้วถึงได้ลามกหื่นกามถึง
เพียงนี้ เขาไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้อีก แต่เอ่ยถามเสียง
เบาต่อ “ผู้ที่อยู่ในรถม้าเป็นผู้ใดข้าเองก็ไม่รู้ แต่เจ้าดู
ไม่ออกหรือว่าผู้ที่คุมรถม้าอยู่ด้านหน้านั้นเป็นผู้ใด?”
“ผู้คุมรถม้า?” โหวจื่อเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“เจ้ารู้จัก?”
“สายตาของเจ้านี่ควรจะไปฝึกมาให้ดีเสียหน่อย”
หยางหนิงเอ่ยออกมาเสียงเบา “เขาเป็นถึงคนที่เจ้า
เกลียดชังและหวาดกลัวที่สุดเชียวนะ พวกเราเพิ่งจะ
พบเขาไปเมื่อไม่นานมานี้เอง”
โหวจื่อนิ่งค้างไป จากนั้นจึงอ้าปากของตนกว้าง
แววตาปรากฏความตื่นตระหนก “เจ้า...เจ้า
หมายความว่าเขาคือ...?”
“สุนัขบ้าที่เจ้าเอ่ยถึงไงเล่า” หยางหนิงยิ้มเย็นออกมา
พลางเอ่ยตอบ “หรือก็คือมือปราบเฝิงผู้นั้น!”
โหวจื่อยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา หยางหนิงก็เดินทะลุ
เข้าไปในตรอกอย่างรวดเร็วราวกับเสือชีตาร์ เขาวิ่ง
ผ่านถนนเส้นยาวนั้นอย่างว่องไว รอจนโหวจื่อดึงสติ
กลับมาได้แล้วถึงพบว่าหยางหนิงได้หายเข้าไปใน
ความมืดมิดของตรอกคนตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
----------
*ยามไฮ่ คือช่วงเวลา 21.00 - 22.59 น.
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 6 ฮูหยินฮวา
ท้องฟ้ามืดมิดยามค่าคืน แสงจันทร์ยามสารทฤดูช่าง
เหน็บหนาว
ภายในตรอกคนตายนั้นหนาวเย็นและมืดมิดยิงนัก
หยางหนิงค่อยๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยคล่ามือไปกับ
ก่าแพงอย่างแผ่วเบา ไม่นานนักเขาก็มองเห็นแสงไฟที
ปรากฏอยู่ด้านหน้า ท่าให้เขาเพิมความระมัดระวังให้
มากขึ้น
จากแสงไฟทีส่องมาก็ท่าให้เห็นรถม้าคันนั้นทีจอดอยู่
ในตรอกลางๆ เมือขยับเข้าไปใกล้อีกนิดถึงพบว่า
รถม้าคันนั้นจอดอยู่บริเวณด้านหน้าของประตูจวน
แห่งหนึง
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยพูดว่าภายในตรอกคนตายมี
จวนสกุลฮวาอยู่เพียงสกุลเดียว เช่นนั้นก็หมายความ
ว่ารถม้าคันนี้วิงมาทีจวนสกุลฮวาจริงๆ
เวลานี้มือปราบเฝิงได้ลงมาและยืนอยู่ข้างรถม้าแล้ว
และด้านบนบันไดมีบุรุษชุดด่าคนหนึงยืนอยู่ ในมือ
ของคนผู้นั้นถือโคมไฟเอาไว้ใบหนึงและแสงภายใน
ตรอกนั้นก็คือแสงทีมาจากโคมไฟใบนั้น
หยางหนิงครุ่นคิดในใจว่าเวลาดึกดืนเช่นนี้ มือปราบ
เฝิงกลับนังรถม้ามาทีแห่งนี้ หรือว่าจะมาหาฮูหยินฮวา
ทีลักกินขโมยกินและท่ากิจสามีภรรยายามค่าคืนกัน
จริงๆ?
เพียงแต่ หากเป็นเช่นนีจ้ ริงก็ดูจะแปลกประหลาดอยู่
ไม่น้อย ถ้าจะมาเริงส่าราญเหตุใดต้องใช้รถม้าด้วย?
อย่างไรเสียนีก็ไม่ใช่การมาหอนางโลม แต่คือการมา
หาพวกลักกินขโมยกิน คงจ่าเป็นต้องแอบซ่อนอยู่บ้าง
หากใช้รถม้า เป้าหมายก็จะชัดเจนเกินไป อีกทั้งยังดู
โดดเด่นอยู่ไม่น้อยด้วย
ในขณะทีเขาก่าลังครุ่นคิดนั้นก็หันไปเห็นโคมไฟอีก
ใบหนึงออกมาจากด้านในของประตู ไม่นานนักก็
มองเห็นว่าผู้ทีถือโคมไฟอยู่เป็นสตรีทีสวมชุดกระโปรง
ยาวคนหนึง แต่เป็นเพราะว่าระยะห่างค่อนข้างไกล
ออกไป ต่อให้ทักษะการมองเห็นของหยางหนิงดี
เพียงใดก็ไม่อาจมองเห็นรูปร่างลักษณะได้อย่าง
ชัดเจน เขามองเห็นเพียงแค่ลักษณะคร่าวๆ เท่านั้น
และด้านหลังของหญิงสาวคนนั้นมีหญิงวัยกลางคน
ผู้หนึงเดินตามออกมา หยางหนิงเห็นคร่าวๆ ว่ารูปร่าง
ของหญิงวัยกลางคนผู้นั้นมีน้่ามีนวลอยู่ไม่น้อย เสื้อผ้า
ทีสวมใส่ก็ดูหรูหรางดงามพร้อมกับท่วงท่าทีดูเย้ายวน
แม้ว่าจะห่างออกมาไกลพอสมควร แต่ว่าเมือมองดู
ท่าทางการเดินของนาง ก็เห็นได้ชัดว่ามันมีเอกลักษณ์
ดึงดูดสายตาไม่น้อย
หญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบๆ เดินบิดเอวไปมาจนถึง
ด้านข้างของรถม้า ก่อนจะเห็นแค่ว่ามือปราบเฝิงนั้น
ยืนมือออกไปเปิดประตูด้านหลังของรถม้า ก่อนที
ด้านในของรถจะมีคนก้าวลงมาประมาณสามสีคน
คนทีลงมานั้นล้วนแต่เป็นสาวน้อยทีมีใบหน้างดงาม
สาวน้อยทั้งสีสวมเสื้อผ้าทีมีสภาพฉีกขาดน่าเวทนา
หลังจากทีพวกนางลงมาจากรถม้าแล้ว มือปราบเฝิง
ก็แสดงสัญญาณมืออยู่สองครั้งก่อนทีพวกนางจะเดิน
ไปยืนเรียงกันอยู่ด้านหลังรถม้าอย่างเชืองๆ ราวกับ
ลูกแกะตัวน้อยๆ
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นกลับเดินวนผ่านสาวน้อย
เหล่านั้นทีละคนพร้อมกับยกมือขึ้นลูบบนใบหน้าของ
พวกนางอยู่บ่อยครั้ง ราวกับก่าลังเลือกสินค้าก็มิปาน
ไม่นานนักหญิงวัยกลางคนก็หมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน
จวน จากนั้นบุรุษชุดด่าทีถือโคมไฟไว้ก็กวักมือเรียก
และสาวน้อยทั้งสีเองก็เดินเรียงตามหลังหญิงวัย
กลางคนผู้นั้นเข้าไปด้านใน
หยางหนิงก็เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นในใจ เขาไม่รู้ว่า
ฮูหยินฮวาและมือปราบเฝิงผู้นี้คิดจะท่าอะไรกันแน่
และตอนทีก่าลังคิดว่ามือปราบเฝิงเองก็น่าจะก้าวเข้า
ไปในจวนกลับพบว่ามือปราบเฝิงดันกลับขึ้นไปบน
รถม้า
หยางหนิงเห็นว่าเขาท่าท่าจะจากไปแล้วจึงเตรียมจะ
หมุนตัวออกจากตรอกแห่งนี้ เพือป้องกันไม่ให้เขาขับ
รถม้าผ่านและมองเห็นตน ทว่ารถม้านั้นกลับไม่ได้หัน
ทิศทางวิงกลับออกมาแต่กลับวิงต่อเข้าไปด้านใน
ตรอกคนตาย ไม่นานนักก็หายวับเข้าไปในความมืด
ตั้งแต่ต้นจนจบคนเหล่านี้ล้วนไม่เอ่ยอะไรออกมา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
บุรุษชุดด่าทีถือโคมไฟไว้คนนั้นยกมันขึ้นพลางมอง
ซ้ายมองขวา แสดงให้เห็นว่าเขาระมัดระวังตัวเป็น
อย่างมาก ทว่าเขามองไม่เห็นหยางหนิง แล้วเขาก็
หมุนตัวเดินขึ้นบันไดกลับเข้าไปด้านในจวนเช่นกัน
จากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูใหญ่ดังตามมา
หยางหนิงรออยู่ครู่หนึงถึงจะเดินขยับเข้าไปใกล้
ช่างเป็นจวนทีใหญ่โตหลังหนึงโดยแท้ ก่าแพงจวนสูง
ตระหง่าน ประตูปิดสนิท ไม่มีจุดใดทีสามารถเข้าไป
ด้านในจวนได้เลยจริงๆ
เวลานี้ในใจของเขากลับมีความรู้สึกสงสัยเกิดขึ้นมา
ตามทีเหล่าชู่ผีได้กล่าวไว้ เสียวเตี๋ยนั้นแอบลักลอบ
ออกมาจากจวนสกุลฮวาเพือมายังศาลเจ้าในช่วง
กลางดึก ในเมือเป็นการลักลอบออกมา เช่นนั้นก็ไม่มี
ทางออกมาจากประตูใหญ่ ทว่าเขากลับไม่รู้ว่า
เสียวเตี๋ยลอบออกมาจากทีใด?
หลายวันแล้วทีเสียวเตี๋ยไม่มีข่าวคราวออกมา บวกกับ
ทีหยางหนิงรู้มาว่าฮูหยินฮวามีส่วนเกียวข้องกับ
กิจการลักกินขโมยกิน ท่าให้ในใจของเขาทีแต่เดิมเป็น
กังวลนั้นเมือเห็นภาพทีน่าประหลาดเมือครู่นี้ ก็ยิงท่า
ให้เขารู้สึกว่าภายในจวนสกุลฮวาจะต้องแอบแฝงเรือง
ลึกลับอืนไว้เป็นแน่
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเสียวเตี๋ยอาศัยอยู่ด้านในจวนสกุล
ฮวา แค่ภาพแปลกประหลาดเมือครู่นี้ หยางหนิงก็
อยากจะเข้าไปด้านในจวนสกุลฮวาและดูให้รู้แน่ชัดว่า
มันมีอะไรอยู่กันแน่
ค่าคืนทีเงียบสงบ หยางหนิงเดินวนรอบได้ครึงหนึง
เพือพยายามหาช่องโหว่ของจวนสกุลฮวา จนกระทัง
เขามาถึงตรอกด้านหลังจวน ถนนของตรอกเส้นนี้
คับแคบเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงการใช้รถม้า
วิงผ่าน แค่บุรุษสองคนเดินเรียงหน้ากระดานกัน
เข้าไปยังคงถือว่าเป็นเรืองทีล่าบากมิใช่น้อย
ด้านในของตรอกนั้นมีกลินเน่าเปือ่ ยของอะไร
บางอย่างลอยออกมา และเพราะรูปร่างของ
หยางหนิงนั้นผอมบางท่าให้สามารถเดินเข้าไปใน
ตรอกนี้ได้อย่างสะดวกสบาย เพียงแต่ว่ากลินที
เหม็นเน่านั้นท่าให้เขาอดไม่ได้ทีจะปิดจมูกของตนไว้
แน่น
เดิมตรอกนี้ก็คับแคบอยู่แล้ว ซ้่ายังมีการขุดทางเดิน
น้่าเส้นหนึงอยู่ด้านข้างก่าแพงเพิมอีก และกลินเหม็น
เน่านั้นก็เป็นกลินทีกระจายออกมาจากทางเดินน้่านี้
และหลังจากทีเดินอยู่ภายในตรอกทีมืดมิดนี้ไปได้
ครู่หนึง ในทีสุดหยางหนิงก็หยุดฝีเท้าของตนลง
ก่อนจะย่อตัวลงไปข้างๆ ทางเดินน้่าเส้นนั้น เวลานี้
เขากลับมองเห็นว่าข้างล่างก่าแพงนั้นมีช่องอยู่รูหนึง
ช่องนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก ทว่ากลับเพียงพอให้
คนปีนเข้าออกได้ บริเวณรอบๆ ช่องนั้นเต็มไปด้วย
สิงสกปรกเกาะอยู่อย่างหนาแน่น
“ทีแท้ก็คือตรงนี้!” หยางหนิงเข้าใจได้ในทันที
เขาค่านวณได้อย่างแม่นย่าว่าในเมือเสียวเตี๋ยสามารถ
ลอบออมาได้ นันก็แสดงว่าจวนสกุลฮวาจะต้องมีช่อง
โหว่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าช่องโหว่จะอยู่ตรงทีแห่งนี้
แม้ว่าเขาจะไม่ยินดีทีจะเข้าไปข้างในผ่านช่องที
สกปรกเช่นนี้ แต่หากคิดทีจะปีนข้ามก่าแพงเข้าไป
เนืองด้วยก่าแพงมีขนาดสูงใหญ่อีกทั้งยังมีผิวเรียบ
การจะปีนข้ามไปได้นั้นก็จ่าเป็นต้องใช้อุปกรณ์
บางอย่างช่วยอีก ซึงการท่าเช่นนั้นจะสิ้นเปลืองเวลา
เป็นอย่างมาก
ด้วยการทีต้องลงมือแข่งกับเวลา หยางหนิงจึง
ตัดสินใจลอดผ่านช่องรูนี้ไปด้วยความระมัดระวัง
ก่าแพงนี้แม้ว่าจะมีขนาดสูงแต่ว่ามันก็ไม่ได้หนามาก
นัก แต่ว่าอีกฝั่งหนึงของช่องรูนี้กลับมีแผ่นหิน
แผ่นหนึงมากั้นเอาไว้ และเมือหยางหนิงใช้มือผลัก
เข้าไปก็สามารถผลักออกได้อย่างง่ายดาย แผ่นหินนี้
เห็นได้ชัดว่ามีไว้ใช้ส่าหรับการอ่าพรางตาผู้คน
หลังจากปีนออกมาจากช่องรูได้แล้ว สิงทีอยู่เบือ้ งหน้า
เขากลับเป็นใบไม้แห้งแถบใหญ่ ทีแท้ด้านหลังของ
ช่องรูนี้ก็คือสวนดอกไม้ และเป็นเพราะเวลานี้อยู่
ในช่วงเดือนเก้าแล้ว ความเหน็บหนาวของสารทฤดู
ท่าให้ไม่สามารถมองเห็นภาพดอกไม้ทีก่าลังบาน
สะพรังได้
ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นยืนจากด้านหลังของสวนดอกไม้
หยางหนิงก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย้ายวนของสตรี
ดังออกมา ในใจของหยางหนิงก็เกิดอาการตกตะลึงไป
ชัวขณะ ก่อนทีเขาจะมองผ่านทางช่องว่างระหว่าง
กิงก้านของต้นไม้และพบว่าทีแห่งนี้เป็นสวนหย่อม
ขนาดเล็ก
ภายในสวนนั้นดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ตรงกลาง
สวนมีศาลาทรงแปดเหลียมอยู่หลังหนึง ด้านในมีโต๊ะ
หินและเก้าหี้หินวางอยู่อย่างครบถ้วน ด้านข้างของ
ศาลานั้นมีบ่อน้่ารูปร่างวงรีขนาดเล็กอยู่บ่อหนึง
เห็นได้ชัดว่านีเป็นบ่อทีขุดโดยฝีมือของมนุษย์ ขนาด
ของบ่อนั้นไม่ได้ถือว่าใหญ่มากนักทว่าด้านในกลับมี
ภูเขาจ่าลองวางไว้ลูกหนึง เมือมองดูผ่านๆ ดูงดงาม
อยู่ไม่น้อย
ทีเสาแปดมุมของศาลานั้นมีโคมไฟแขวนอยู่หลายใบ
ท่าให้ภายในศาลาดูสว่างไสวราวกับช่วงเวลากลางวัน
โต๊ะหินด้านในศาลามีอาหารกินเล่นวางอยู่ โดยมีบุรุษ
คนหนึงก่าลังนังพักผ่อนจิบสุราอยู่ในศาลา
ไม่ไกลออกไปนักก็มีเงาของคนผู้หนึงก่าลังย่างก้าวเข้า
มา ภายใต้แสงจันทร์ทีสาดส่องก็ท่าให้หยางหนิงจ่าได้
ในทันทีว่าคนผู้นั้นก็คือหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบที
ตนเห็นเมือครู่นี้
หญิงวัยกลางคนผู้นี้ดูมีอายุประมาณสามสิบต้นๆ
ผิวของนางขาวเนียนใส รูปร่างมีน้่ามีนวล ดูแล้ว
งดงามยิงนัก เอวของนางบิดไปมาเล็กน้อยขณะทีก้าว
เดินเผยให้เห็นถึงความเย้ายวนในรูปแบบของสตรีวัย
กลางคน และเสียงหัวเราะนั้นก็เป็นเสียงทีเปร่งออก
มาจากนาง
หยางหนิงคิดในใจว่าสตรีผู้นี้น่าจะเป็นฮูหยินฮวา ดู
จากท่าทางของฮูหยินฮวาแล้วก็ถือได้ว่าเย้ายวน มี
เสน่ห์ดึงดูดผู้คนจริงๆ
และทีท่าให้หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึงนั้นมิใช่เป็น
เพราะการปรากฏตัวของฮูหยินฮวา แต่เป็นเพราะว่า
บุรุษทีนังอยู่ในศาลานั้นกลับเป็นคนทีเขารู้จัก
คนผู้นั้นก็คือเซียวอี้ซุ่ย หัวหน้ามือปราบแห่งเมือง
ฮุ่ยเจ๋อทีเขาเพิงพบทีหน้าประตูโรงเตี๊ยมหอมสิบลี้
เมือไม่นานมานี้
หยางหนิงเป็นคนทีจดจ่าทุกอย่างทันทีทีพบเห็นได้
และหากเป็นคนทีเขาเคยพบเห็น เขาก็จะสามารถจ่า
รูปร่างลักษณะของคนผู้นั้นได้อย่างแม่นย่า นีเป็น
สิงทีหยางหนิงถือไว้เป็นจุดเด่นอย่างหนึงของตนมา
โดยตลอด
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะพบกับเซียวอี้ซุ่ยทีนี เขาที
หลบอยู่ด้านหลังพุ่มไม้จึงได้แต่พยายามท่าให้ตัวเอง
อยู่นิงเงียบให้ได้มากทีสุด
ท้องฟ้ายามค่าคืนช่างเงียบสงบและสวยงาม สายลม
เย็นๆ พัดผ่านไปเบาๆ ก่อนทีเขาจะได้ยินเสียงเอ่ย
ถามของเซียวอี้ซุ่ยทีมีต่อฮูหยินฮวาทีย่างก้าวเข้ามาใน
ศาลา “จัดการเสร็จแล้วใช่ไหม?”
เสียงของฮูหยินฮวาลอยตามมา “ข้าจัดการแล้ว
ท่านยังไม่วางใจอีกหรือ? สองปีมานี้เคยพลาดด้วย
หรือไงกัน?” น้่าเสียงของนางออดอ้อน อ่อนหวาน
แฝงด้วยความแง่งอน เมือลอยเข้าหูกลับท่าให้คนรู้สึก
ขนลุกเบาๆ ทัวร่างกาย
เซียวอี้ซุ่ยวางจอกสุราในมือลง ก่อนจะยืนมือไป
โอบเอวฮูหยินฮวาเอาไว้และดึงนางมากอดไว้แนบอก
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเย้ายวนดังมาจากฮูหยินฮวา
ครู่หนึง เซียวอี้ซุ่ยใช้มือใหญ่ของตนขยับไปมาบนร่าง
ของฮูหยินฮวา ท่าให้หญิงวัยกลางคนส่งเสียงครวญ
ครางเบาๆ ออกมา
เสียงครวญครางนั้นเมือดังเข้าหูของหยางหนิงก็ท่าให้
ใจของเขาเองก็เต้นแรงกว่าเดิมอยู่หลายจังหวะ
พลางลอบคิดในใจว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้ช่างเก่งกาจ
เรืองการเย้ายวนโดยแท้ แม้ว่าจะมีอายุมากกว่า
สามสิบปีแล้ว ทว่ารูปลักษณ์ผิวพรรณของนางยังคงดี
ยิง มิน่าเล่าเซียวอี้ซุ่ยถึงได้มาพัวพันกับนาง
ในทีสุดหยางหนิงก็เข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้านี้พวกเขา
ถึงพูดว่าในเมืองแห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินฮูหยินฮวา
และยิงเข้าใจว่าเหตุใดถึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาในตรอก
คนตาย ตอนนั้นเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเบื้องหลังของ
ฮูหยินฮวาต้องมีผู้สนับสนุนอยู่เป็นแน่
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าผู้สนับสนุนเบื้องหลังฮูหยินฮวา
นั้น กลับเป็นเซียวอี้ซุ่ยผู้ยึดครองเมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้
เขาเห็นว่าเซียวอี้ซุ่ยโยกจอกสุราในมือเบาๆ ก่อนจะ
เอ่ยต่อ “มาๆๆ มาดืมกับข้าสักสองจอก สุราดีเคียงคู่
กับคนรู้ใจ ไร้ซึงสุราก็ไร้ซึงอรรถรส ดืมต่ออีกสักสอง
จอก แล้วอีกครู่หนึงจะยิงสนุกสนานมากขึ้น” เขายก
จอกสุราไปใกล้บริเวณปากของฮูหยินฮวา
ฮูหยินฮวาส่งเสียงฮึออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วย
น้่าเสียงแง่งอน “อะไรคือสุราดีเคียงคู่กับคนรู้ใจ?
หากข้าเป็นคนรู้ใจจริงมีหรือท่านจะรอสิบวันไม่ก็ครึง
เดือนถึงจะมาหาครั้งหนึง? ท่าให้ข้าต้องอยู่ทีนีอย่าง
โดดเดียว อากาศหนาวเย็นเพียงนี้ ข้าเฝ้ารอวันแล้ว
วันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ในใจก็มักจะคิดถึงแต่ท่าน...
เฮ้อ ข้าก็เริมแก่ชรากลายเป็นมุกสีเหลืองไปแล้ว
คิดว่าท่านคงจะแวะมาเยียมเยียนข้าบ้าง คิดไม่ถึงว่า
ท่านจะทิ้งข้าไว้ทีนีให้อยู่ตัวคนเดียว”
เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยตอบด้วยน้่าเสียงขบขัน “เจ้าไม่เข้าใจ
หลักการทีว่าแยกกันเวลาสั้นๆ จะท่าให้ความรักยืน
ยาวขึ้นงั้นหรือ? อีกทั้งมีครั้งใดบ้างทีข้าไม่ได้ท่าให้เจ้า
นอนอยู่ทีเตียงสามวันห้าวันก็ยังลุกขึ้นมาไม่ไหว
ข้าควรจะให้เจ้าได้พักเสียบ้างจึงจะดี” ขณะทีอีก
มือหนึงก็ลากผ่านไปมาบนร่างกายของฮูหยินฮวา
ศีรษะของฮูหยินฮวาทาบลงบนไหล่ของเขา ขณะที
ร่างกายราวกับไม่มีกระดูก อิงแอบในอ้อมกอดของ
เซียวอี้ซุ่ยอย่างอ่อนแรง ผมยาวสลวยสีด่าปล่อยสยาย
ลงมา ปิดครึงใบหน้าของเซียวอี้ซุ่ยเอาไว้
หยางหนิงลอบด่าในใจว่าหญิงโฉดชายชัว ภายใน
สวนหย่อมกลับกล้าพลอดรักกันขนาดนี้ ทว่าเมือคิดๆ
แล้วทีแห่งนี้คงจะไม่มีใครกล้ามาเป็นแน่ ก็ไม่ผิดที
พวกเขาจะกล้าท่าอะไรไม่เกรงกลัวผู้ใดถึงเพียงนี้
ผ่านไปครู่หนึง ฮูหยินฮวาก็เหลือเพียงแค่เสื้อคลุม
บางๆ ชั้นหนึงเท่านั้น ผ้าบางเปิดออกเล็กน้อยเผยให้
เห็นล่าคอขาวราวกับหิมะ อีกทั้งยังเผยให้เห็น
เอี้ยมแดงทีพาดอยู่ช่วงเนินอกอีกด้วย แสงสีแดงจาก
โคมสาดส่องมาบนใบหน้าทีขาวเนียนของนางท่าให้ดู
งดงามยิงนัก อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงเสน่ห์อันเย้ายวน
ของสาววัยกลางคนด้วย
“จริงสิ รอจนเรืองทางนี้จัดการจบแล้ว ข้าต้อง
เดินทางไปเมืองหลวง” เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยขึ้นอย่าง
กะทันหัน “เจ้าเต็มใจจะไปพร้อมกับข้าหรือไม่?”
“เมืองหลวง?” ฮูหยินฮวาเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
“เหตุใดต้องไปเมืองหลวง? ท่านอยู่ทีแห่งนี้เรียกลม
เรียกฝนได้ มิใช่เรืองดีงั้นหรือ?”
เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยออกมาด้วยน้่าเสียงขบขัน “ความคิด
สตรีนีนะ แค่เมืองเล็กๆ จะไปมีอนาคตอะไรได้?
ท่านผู้นั้นได้รับปากแล้วว่าจะหางานดีๆ ให้ข้าใน
เมืองหลวง หากคิดอยากจะบินให้สูง แน่นอนว่า
ไม่อาจอยู่แค่ทีแห่งนี้ได้ อีกทั้งสงครามก็ใกล้จะยุติ
ผู้อพยพก็ใกล้เดินทางกลับบ้านเกิด กิจการของ
พวกเราก็คงจะท่าต่อได้อีกไม่นานแล้ว” ก่อนจะ
บีบหน้าเล็กๆ ของฮูหยินฮวาเบาๆ และเอ่ยต่อ
“ข้าอยู่ทีเล็กๆ เช่นนี้มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
ถึงเวลาทีจะต้องได้เชิดหน้าชูตาเสียที”
ฮูหยินฮวาเอ่ยตอบด้วยน้่าเสียงแง่งอน “ข้าเป็นคน
ของท่านตั้งนานแล้ว ขอเพียงท่านไม่รังเกียจทีข้า
แก่ชราเหมือนไข่มุกเหลือง ไม่ว่าท่านไปทีใด ข้าก็จะ
ติดตามท่านไปด้วย”
เซียวอี้ซุ่ยหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะตอบ
“ของชั้นเลิศเช่นเจ้ายากจะหาผู้แทนได้ ข้าตัดใจทิ้ง
เจ้าไว้ไม่ลง เมือไปถึงเมืองหลวง เจ้าก็ยังต้องคอยช่วย
ข้าท่ากิจการ...ลูกน้อยเจ้ายังเหลืออีกกีคน?”
ฮูหยินฮวาตอบกลับ “ยังมีอีกประมาณสามสิบคน”
“เงินทีควรจะหาก็มาอยู่ในมือจนครบแล้ว” เซียวอี้ฉุ่ย
เอ่ยต่อ “เลือกเพียงไม่กีคนจากคนเหล่านั้นให้อยู่ต่อ
เมือไปถึงเมืองหลวงพวกเราเองก็ต้องใช้”
“อุ้ย ข้าคิดว่าท่านไม่หวันไหวกับพวกสาวน้อย
เหล่านั้นเสียอีก ทีแท้ท่าน...!” น้่าเสียงของนางแฝงไป
ด้วยความหึงหวงอย่างชัดเจน
เซียวอี้ซุ่ยหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยตอบว่า “เจ้าคิด
ไปถึงไหนอีกแล้ว มีของชิ้นเลิศอย่างเจ้า สตรีบน
แผ่นดินนี้ข้าล้วนไม่เห็นอยู่ในสายตา” น้่าเสียงของเขา
แผ่วเบาลงเล็กน้อย ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้หูของ
ฮูหยินฮวาและเอ่ยต่ออีกหลายประโยค เดิมหยางหนิง
ก็ฟังได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก เวลานี้ยิงไม่ได้ยินว่า
เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยกระซิบอะไรข้างหูของฮูหยินฮวา
เมือฮูหยินฮวาได้ยิน เสียงหัวเราะของนางก็ยิงดังและ
เพิมความเย้ายวนมากขึ้น ก่อนทีนางจะเอ่ยถามต่อ
“คนทีท่านเอ่ยถึงนั้นเป็นใครมาจากทีใดกัน? เขาถึง
สามารถรับท่านเข้าเมืองหลวงไปเป็นข้าราชการได้
อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น?”
เซียวอี้ซุ่ยหัวเราะออกมาแต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรตอบ
จากนั้นเขาก็กวาดจานชามบนโต๊ะเหล่านั้นไปที
มุมหนึง ก่อนจะอุ้มฮูหยินฮวามาวางบนโต๊ะและยืนมือ
ไปดึงสายรัดกระโปรงของฮูหยินฮวาออก
เมือหยางหนิงหันไปเห็น เขาก็ลอบคิดในใจ หรือคน
ทั้งสองจะเริงส่าราญกันในทีแห่งนี้จริงๆ เช่นนั้นตน
จะต้องอยู่ชมการบรรเลงรักในทีแห่งนี้หรือ?
ทว่ากลับได้ยินเสียงฮูหยินฮวาเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“คนดี ค่าคืนอากาศเย็นเกินไป ภายในห้องของข้าได้
จัดเตรียมพร้อมแล้ว พวกเรา...พวกเราไปทีห้องเถิด
อย่างไรเสียก็ต้องท่าให้ท่านสนุกอย่างสุดอารมณ์ถึงจะ
ถูก...!”
เซียวอี้ซุ่ยหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะอุ้มฮูหยิน
ฮวาและก้าวออกไปจากศาลาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก
พวกเขาก็หายลับออกไปจากสวนหย่อม
เมือหยางหนิงมันใจแล้วว่าพวกเขาไปแล้ว เขาถึงเดิน
ออกมาจากด้านหลังพุ่มไม้ ภายในสวนหย่อมนั้น
หนาวเย็นและเงียบสงบผิดปกติ ทว่าในใจของ
หยางหนิงกลับไม่ค่อยสงบเท่าใดนัก
ทีพึงพิงเบื้องหลังของฮูหยินฮวาก็คือเซียวอี้ซุ่ย และ
เห็นได้ชัดว่าเซียวอี้ซ่ยยังมีผู้ทีอยู่เบื้องหลังอีก และ
คนผู้นั้นก็ถือเป็นคนใหญ่คนโตของเมืองหลวง แม้ว่า
เซียวอี้ซุ่ยจะสามารถท่าอะไรได้ดังใจ ผิดถูกไม่มีใคร
กล้าแย้งอยู่ในเขตเมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้ แต่เมือเทียบกับ
คนใหญ่คนโตในเมืองหลวง แน่นอนว่าเซียวอี้ซุ่ยก็
เปรียบดังมดตัวน้อยๆ ทีเรียวแรงน้อยนิดนัก
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 7 กักขัง
หยางหนิงตอนนี้ไม่ได้สนใจว่าผู้สนับสนุนอยู่เบือ้ งหลัง
ของเซียวอี้ซุ่ยคือผู้ใด เขาสนใจเพียงแต่ว่าเสี่ยวเตี๋ย
ตอนนี้อยู่ที่ใด
เวลาผ่านถึงช่วงกลางดึก ขณะที่ภายในจวนนั้นเงียบ
สงบไร้ซุ่มเสียง
เมื่อหยางหนิงก้าวเดินออกมาจากสวน ชั่วขณะหนึ่ง
เขากลับไม่รู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยอยู่ที่ใดกันแน่ ภายในจวนนั้น
มีเรือนพักรายเรียงกัน อีกทั้งโครงสร้างยังถือว่า
ใหญ่โตไม่น้อย เวลานี้แม้กระทั่งว่าเซียวอี้ซุ่ยนั้นอุ้ม
ฮูหยินฮวาไปที่ใดแล้วตัวเขาเองก็ยงั ไม่รู้
เขาก้าวเท้าและยกมือคลาทางเดินเล็กๆ ไปอย่างแผ่ว
เบา ทันใดนั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียงดังมาจากทาง
ด้านหน้า ทาให้เขาขยับตัวอย่างว่องไวและไปหลบอยู่
ด้านหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อชะเง้อหน้าออกไปมองผ่าน
แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากลับพบชายชุดดารูปร่างสูง
ใหญ่ผู้หนึ่งกาลังฮัมเพลงเดินออกมาจากถนนเส้นเล็ก
เส้นหนึ่ง
บริเวณเอวของชายชุดดาคนนั้นแขวนดาบเอาไว้
เล่มหนึ่ง มือทั้งสองไขว้ไว้ด้านหลังพร้อมกับฮัมเพลง
ออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านด้านหน้าของหยางหนิง
ไปโดยระยะห่างไม่ได้ไกลกันมากนัก แล้วจึงค่อยเลี้ยว
เข้าไปที่ถนนเส้นเล็กอีกเส้นหนึ่ง
หยางหนิงย่องเบาเหมือนแมวตามหลังไป หลังจาก
เดินเลี้ยวไปไม่กี่โค้งก็มองเห็นประตูเรือนพักที่อยู่
เบื้องหน้าไม่ไกลออกไปนัก ประตูเรือนนั้นกาลังเปิด
ออกขณะที่ชายชุดดาไม่รู้เลยว่าด้านหลังมีคนกาลัง
สะกดรอยตามอยู่ เมื่อก้าวเข้าผ่านประตูได้ไม่นาน
หยางหนิงก็เห็นว่ามีคนจากด้านในเรือนพักคนหนึ่ง
ออกมาต้อนรับ เขาเองก็สวมเสื้อผ้าสีดาสนิท ก่อนจะ
เอ่ยปากด่าทอทันที “ให้ตายเถอะ ทาไมผ่านมา
ครึ่งค่อนวันแล้วถึงเพิ่งมา?”
บุรุษชุดดาที่ถูกหยางหนิงสะกดรอยตามหัวเราะพลาง
เอ่ยตอบ “รีบร้อนไปทาไม ใช้เวลาอยู่กับพวก
สาวน้อยหน้าตางดงาม สุนัขอย่างเจ้าจาเป็นต้องมี
โทสะขนาดนี้ด้วยหรือ?”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?” ผู้ที่เดินออกมาจากเรือนพัก
ผู้นั้นเอ่ยตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “มองได้แต่กินไม่ได้
สู้ไม่มองเสียดีกว่า ข้าว่านะเหล่าสิง เจ้าควรจะระวัง
ให้มันมากหน่อย ข้าเห็นว่าเจ้ามีใจคิดไม่ซื่อ วันนี้ก็มี
มาเพิ่มอีกสี่คน เจ้ากาลังคิดจะทาอะไรบางอย่างอยู่
ใช่หรือไม่? เจ้าน่าจะรู้นะว่าหากสาวน้อยเหล่านี้เส้น
ผมขาดไปเพียงเส้นเดียว หัวของเจ้าจะต้องหล่นลงพื้น
อย่างแน่นอน”
เหล่าสิงหัวเราะออกมาอย่างดังพร้อมกับตอบว่า
“หยุดพูดมากได้แล้ว ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะไม่รักษากฎ
อดห้ามเจ้าน้องน้อยในกางเกงของตัวเองไม่ได้และ
ทาให้ชีวิตตัวเจ้าดับสูญไปน่ะสิ” จากนั้นจึงโบกมือขึ้น
และเอ่ยต่อ “รีบไสหัวไปได้แล้ว ที่นี่ปล่อยเป็นหน้าที่
ข้าเอง พรุ่งนี้เช้ารีบมาเร็วหน่อย อย่าให้ข้าต้อง
รอนาน”
บุรุษชุดดาผู้นั้นบิดตัวอย่างขี้เกียจก่อนจะหายออกมา
ก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าไปล่ะ ตกดึกก็ระวังหน่อย
หากทาให้คนหายไปคนหนึ่ง พวกเราล้วนรับผิดชอบ
ไม่ไหวนะ” จากนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เพิ่มเติม แต่กลับเดินโยกเยกมาทางนี้แทน ซึ่ง
หยางหนิงได้เตรียมตัวหลบไปด้านข้างแต่แรกแล้ว
ก่อนจะเห็นว่าบุรุษชุดดาผู้นั้นเดินผ่านเบื้องหน้าของ
เขาไป จากนั้นเขาก็หันมามองทางประตูเรือนพัก
อีกครั้งและเห็นว่าเหล่าสิงผู้นั้นได้เดินเข้าไปด้านใน
แล้ว
เพียงครู่เดียวบริเวณโดยรอบก็กลับมาเงียบสงบ
หยางหนิงขมวดหัวคิ้วเข้าหากันพลางลอบคิดในใจว่า
เมื่อครู่ที่บุรุษชุดดาเอ่ยว่ามีสาวน้อยหน้าตางดงาม
กลุ่มหนึ่ง หรือว่าเสี่ยวเตี๋ยจะเป็นหนึ่งในนั้น?
ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของจวนสกุลฮวา
มามากแล้ว เวลานี้เมื่อเห็นว่าบุรุษชุดดามีดาบห้อยอยู่
ข้างเอวก็ยิ่งทาให้เขามั่นใจว่าจวนสกุลฮวาจะต้อง
แอบแฝงเรือ่ งที่น่าสงสัยเอาไว้อย่างแน่นอน
เมื่อหยางหนิงแน่ใจแล้วว่าบริเวณโดยรอบไม่มีผู้คนอยู่
อีก เขาจึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ประตูทางเข้า เขา
ชะเง้อมองเข้าไปด้านในก่อนจะเห็นเพียงแค่เรือนพัก
ขนาดกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง โดยทางด้านซ้ายของเรือนมี
ห้องเล็กๆ เรียงกันอยู่ประมาณสามถึงสี่ห้อง และทาง
ด้านขวามีคอกม้าอยู่คอกหนึ่ง ภายในคอกม้ายังมี
ม้าพันธุ์ดีอยู่อีกสองตัว
ด้านหน้าของห้องพักเหล่านั้นมีเก้าอี้วางอยู่ตัวหนึ่ง
ด้านหน้าเก้าอี้มีโต๊ะตัวเล็กวางอยู่ตัวหนึ่ง และเวลานี้
เหล่าสิงก็กาลังนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ ขณะที่ขาทั้งสอง
ข้างวางพาดกันอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก ภายใต้แสงจันทร์ที่
สาดส่องมาทาให้หยางหนิงมองเห็นว่าบนโต๊ะนั้นยังมี
ดาบใหญ่ที่ไร้ปลอกพร้อมกับตัวคมดาบที่สะท้อนแสง
ออกมาชวนแสบตาอยู่เล่มหนึ่ง
เวลานี้ในใจของหยางหนิงก็สามารถเข้าใจได้ในทันที
เขามั่นใจได้เลยว่าภายในห้องพักเหล่านี้จะต้องขัง
สาวงามไว้กลุ่มหนึ่งอย่างแน่นอน และพวกเหล่าสิง
ทั้งหลายได้พลัดกันเฝ้าเวรยาม ราวกับกาลังเฝ้า
นักโทษอยู่
จวนสกุลฮวาแห่งนี้แอบซ่อนอะไรไว้มากมายจริงๆ
เขาไม่รู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยจะอยู่ในบรรดาหญิงสาวเหล่านี้
หรือไม่ แต่หากเสี่ยวเตี๋ยอยู่ในคนเหล่านี้จริงๆ เขาก็ไม่
รู้ว่าคืนวันนั้นเสี่ยวเตี๋ยออกมาจากสถานที่แห่งนี้ได้
อย่างไร?
หากจะลอบออกไปจากจวนแห่งนี้ ช่องรูด้านหลัง
สวนดอกไม้นั่นก็น่าจะเป็นช่องโหว่เพียงหนึ่งเดียว
แต่หากจะไปที่ช่องรูนั้น ก่อนอื่นก็ต้องหาทางออกจาก
คอกม้าแห่งนี้ ดูจากลักษณะแล้วเหมือนว่าภายใน
สถานที่แห่งนี้จะมีคนเฝ้าเวรตลอดเวลา หากคิดจะ
ลอบออกไปจากที่นี่เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย
หยางหนิงกาลังคิดวางแผนในใจว่าจะเข้าใกล้บ้านพัก
เหล่านั้นอย่างไรดี
หากคิดจะเข้าใกล้ห้องพักและตามหาเสี่ยวเตี๋ย
ก็จาเป็นต้องผ่านด่านเหล่าสิงผู้นี้ไปให้ได้ก่อน และ
เวลานี้เหล่าสิงก็กาลังนั่งเฝ้าอยู่ด้านหน้าห้องพัก
พร้อมอาวุธครบมือ เพียงเขาเข้าไปในเรือนพักแห่งนี้ก็
จะต้องถูกอีกฝ่ายพบเข้าอย่างแน่นอน หากฝ่ายตรง
ข้ามทาเพียงแค่ร้องตะโกนออกมา คนอื่นในจวน
จะต้องพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเป็นแน่
ภายในจวนนั้นมีคนมากน้อยเพียงใด หยางหนิงก็ยังไม่
รู้แน่ชัดนัก แต่หากทาให้คนในจวนบุกเข้ามา ตัวเขาก็
ไม่แน่ว่าจะสามารถรอดออกไปได้
และในขณะที่กาลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็เห็นว่าเหล่าสิง
ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินมาทางนี้
หยางหนิงรีบหดตัวไปอยู่ด้านหลังกาแพง ก่อนลอบ
คิดอยู่ในใจว่าคนผู้นี้คงไม่พบตนเข้าหรอกกระมัง?
แต่รอไปครู่หนึ่งกลับไม่เห็นเหล่าสิงเดินออกมา และ
เมื่อเขาชะโงกหน้าไปมองกลับพบว่าเหล่าสิงเดิน
ฮัมเพลงกลับไปที่เดิมแล้ว โดยขณะที่เขาเดินก็ผูก
กางเกงไปด้วย ทาให้หยางหนิงเข้าใจได้ทันทีว่าคนผู้นี้
มาแค่ถ่ายเบาอยู่ข้างกาแพงเท่านั้น
เหล่าสิงผูกผ้ารัดกางเกงของตนให้เรียบร้อย และ
ในขณะที่เขากาลังจะเดินไปทางเก้าอี้นั้น กลับได้ยิน
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทาให้เขาอดไม่ได้ที่
จะหันหน้ากลับมาพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
และเอ่ยถาม “ผู้ใดกัน?”
“เหล่าสิง เจ้ามาที่นี่หน่อย...!” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ระยะห่างไม่ได้ไกลออกไปนักทว่ากลับฟังดูไม่ชัดเจน
เท่าใดนัก ทาให้ครู่หนึ่งเหล่าสิงเองก็ฟังไม่ออกว่าเป็น
ผู้ใด จึงได้แต่คิดว่าเป็นสหายของตน และก็ไม่ได้รู้สึก
สงสัยว่าดึกดื่นป่านนี้จะมีคนลักลอบเข้ามาด้านใน
จวน จึงเดินออกมาจากประตูด้วยท่าทางสบายอก
สบายใจ ทว่าเขาหันซ้ายหันขวากลับไม่พบเงาของ
ผู้ใด ทาให้ต้องขมวดคิ้วแน่นและเอ่ยถามอีกครั้ง
“ผู้ใดกัน?”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบก็รู้สึกว่าท้ายทอยของตนหนักอึ้ง
ขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกมึนงงเป็นอย่างมากและแววตาก็
เริ่มพร่าเลือน ก่อนจะล้มลงบนพื้นทันที
หยางหนิงถืออิฐก้อนหนึ่งไว้ในมือก่อนจะถอนหายใจ
ออกมาเบาๆ “คนรูปร่างใหญ่โตเช่นนี้ทาไมถึงทนแค่
อิฐก่อนหนึ่งยังไม่ได้” ก่อนจะโยนอิฐทิ้งไปและดึงขา
ของเหล่าสิงเข้าไปด้านใน และเพราะว่าร่างกายของ
เหล่าสิงหนักอึ้งทาให้การดึงตัวเขาสาหรับหยางหนิง
แล้วถือว่าเปลืองแรงไม่น้อย
แม้ว่าเขาจะจดจาทักษะการต่อสู้ตอนที่เป็นนายทหาร
ได้ อีกทั้งยังสามารถแสดงกระบวนท่าผ่านร่างกายนี้
ได้อย่างคล่องแคล่ว ทว่าเพราะร่างกายนี้ผอมบาง
อีกทั้งยังมีเรี่ยวแรงไม่มาก ทาให้แม้วิญญาณของเขา
จะเข้าสิงร่างนี้แล้ว ทว่ากาลังกายกลับไม่สามารถก่อ
ตัวขึ้นเองได้
ไม่ง่ายเลยกว่าจะลากเหล่าสิงให้มาถึงข้างกาแพง
ด้านในของเรือนพักได้ และเพราะเกรงว่าเจ้านี่จะฟื้น
ขึ้นมากะทันหัน ทาให้เขาเพิ่มหมัดลงที่ท้ายทอยอีก
หลายครั้ง คิดว่าไม่น่าจะมีทางฟื้นขึ้นมาได้สักพัก
ทันใดนั้นเขาก็หันไปเห็นว่าตรงเอวของเหล่าสิงมี
กุญแจอยู่พวงหนึ่ง โดยพวงเหล็กนั้นห้อยกุญแจอยู่
ประมาณห้าหกดอก เขากลอกตาไปรอบหนึ่งก่อนจะ
เอื้อมมือออกไปดึงกุญแจออกมาถือไว้ในมือ จากนั้น
จึงรีบวิ่งไปที่ห้องพักมุมซ้ายของเรือน
ห้องพักมีจานวนทั้งหมดสี่แถว ด้านในล้วนมืดสนิท
หยางหนิงวิ่งไปทางห้องที่อยู่ใกล้กับด้านนอกมากที่สุด
ประตูของห้องพักนั้นลงแม่กุญแจเอาไว้ และเมื่อมอง
ลอดผ่านช่องประตูเข้าไปก็เห็นว่าด้านในนั้นมืดสลัว
เป็นอย่างมาก ข้างในมีของกองอยู่จานวนมาก แล้วยัง
เห็นว่าเหมือนจะมีพวกเครื่องดนตรีกลองระฆังวาง
เอาไว้อีกด้วย ทว่ากลับไม่เห็นคนแม้แต่คนเดียว
หยางหนิงวิ่งไปทางด้านหน้าของห้องพักห้องที่สอง
ประตูมีการลงแม่กุญแจเอาไว้เช่นกัน และเมือ่ มอง
ลอดผ่านช่องประตูไปครั้งนี้กลับมองเห็นเงาของคน
กลุ่มหนึ่งกาลังเบียดเสียดกันอยู่ ทว่ามันกลับเงียบ
สงบไม่มีผู้ใดเปล่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว
และในขณะที่หยางหนิงกาลังจะเอ่ยถาม ทันใดนั้น
หูของเขาก็ได้ยินเสียงร่าไห้ดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่เขาจะ
ก้าวเดินอย่างแผ่วเบาไปทางต้นตอของเสียง เสียง
ร่าไห้นั้นดังขึ้นมาจากภายในห้องพักด้านข้างนี้ และ
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู เสียงนั้นก็ยงิ่ ชัดเจนมากขึ้น
อีกทั้งยังไม่ใช่แค่เสียงร้องของคนเพียงคนเดียว
หยางหนิงลอดมองเข้าไปผ่านทางช่องว่างระหว่าง
ประตู ก่อนจะพบว่าด้านในมีคนจานวนไม่น้อยอยู่กัน
อย่างเบียดเสียด
“น้องสาว พวกเจ้าอย่าร้องไห้กันอีกเลย...!” เหมือน
จะได้ยินเสียงที่หวานใสเสียงหนึ่งเอ่ยปลอบประโลม
อย่างแผ่วเบา “ต่อให้พวกเจ้าน้าตาไหลออกมาจน
หมดตัวก็ไม่อาจออกไปจากที่แห่งนี้ได้อยู่ดี หากอีก
เดี๋ยว...อีกเดี๋ยวพวกเขาได้ยินเข้า พวกเขาจะเอาแส้มา
ฟาดพวกเจ้านะ...!”
“อย่าร้องอีกเลย ในเมือ่ มาถึงที่แห่งนี้แล้ว ตอนนี้อย่า
คิดที่จะออกไปอีกเลย” ก่อนจะมีเสียงหวานใสที่เต็ม
ไปด้วยความโศกเศร้าอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้าเข้ามา
ที่นี่เกือบจะสามเดือนแล้ว ไม่เคยได้ออกจากจวน
แห่งนี้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ตอนที่พวกเขาพาข้าเข้ามา
นั้น ก็บอกกับพ่อข้าอย่างดีว่าทุกเดือนจะพาข้าไปพบ
เขาถึงสองครั้ง แต่ว่า...แต่ว่าตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพ่อ
ข้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เดิมหญิงสาวผู้นี้กาลังปลอบคนอื่นไม่ให้ร้องไห้
ทว่าหลังจากที่เอ่ยออกมาแล้วตัวนางเองกลับเริ่ม
สะอึกสะอื้นขึ้นมาเบาๆ
หยางหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นและไม่มีความลังเล
อีกต่อไป เขาหยิบกุญแจออกมาและเดินไปไขแม่
กุญแจของประตู แม่กุญแจของประตูสมัยโบราณนี้
ต่างจากที่เขารู้จักอยู่ไม่น้อย อีกทั้งกุญแจทั้งห้าก็ไม่รู้
ด้วยว่าดอกไหนเป็นของห้องพักแห่งนี้ จึงได้แต่ต้อง
ลองไปทีละดอก เมื่อเสียงกึกกักๆ ดังเข้าไปด้านใน
เสียงร้องไห้ก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว
รอจนกระทั่งหยางหนิงไขกุญแจออกได้สาเร็จและ
ผลักเข้าไปด้านในนั้น กลับพบว่าคนกลุ่มนั้นล้วนขด
ตัวกันอยู่ที่มุมกาแพงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่า
ในใจของพวกนางล้วนหวาดกลัวกันเป็นอย่างมาก
หลังจากที่หยางหนิงเข้ามาในห้องได้แล้ว เขาก็
เอื้อมมือกลับไปปิดประตูลงและเอ่ยถามเสียงเบา
“แม่นางเสี่ยวเตี๋ยอยู่ที่แห่งนี้หรือไม่?”
เดิมสาวใช้เหล่านี้คิดว่าชายชุดดาด้านนอกได้ยินเสียง
ร้องไห้จึงเข้ามาด้านใน แต่เมื่อลอบเห็นว่าผู้ที่เข้ามา
นั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ทุกคนต่างก็
เกิดอาการตกตะลึง ความหวาดกลัวในใจก็มลาย
หายไปไม่น้อยขณะที่ความสงสัยในใจก็พุ่งสูงขึ้น
ก่อนที่สตรีที่ดูมีอายุไม่น้อยนักจะรวบรวมความกล้า
และเอ่ยถามออกมา “เจ้า...เจ้าเป็นผู้ใดกัน?”
“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนของจวนนี้”
หยางหนิงขยับเข้าไปใกล้เล็กน้อย ขณะที่หญิงสาว
เหล่านั้นยังมีท่าทางเต็มไปด้วยความระมัดระวังและ
เบียดตัวเข้าหากันในมุมกาแพง
“เช่นนั้น...เช่นนั้นเจ้าลอบเข้ามาจากด้านนอกหรือ?”
หญิงสาวเอ่ยขึ้น “แต่ว่าจวนแห่งนี้มีคนเฝ้าเวรยาม
อย่างหนาแน่น เจ้า...เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
“เจ้าอย่าเพิ่งถามข้า ข้าถามเจ้าก่อน แม่นางเสี่ยวเตี๋ย
อยู่ที่นี่หรือไม่? พวกเจ้ารู้จักแม่นางเสี่ยวเตี๋ยหรือไม่?”
เมื่อหยางหนิงเห็นถึงสถานการณ์ที่พวกหญิงสาว
เหล่านี้ต้องเผชิญ ในใจของเขาก็ยิ่งเป็นกังวลต่อ
เสี่ยวเตี๋ยมากขึ้น
เวลานี้เขารู้แล้วว่าเรื่องที่น่าสงสัยที่สุดในจวนสกุลฮวา
ก็คือเรื่องที่พวกเขากักขังหญิงสาวเหล่านี้เอาไว้ แต่
ตอนนี้เขาก็ยังคงไม่รู้แน่ชัดว่าเหตุใดพวกเขาจะต้องขัง
หญิงสาวเหล่านี้เอาไว้ในที่แห่งนี้ด้วย
“พี่เสี่ยวเตี๋ยไม่อยู่ที่นี่...!” เสียงดังขึ้นอย่างแผ่วเบามา
จากทางด้านหลัง และเมื่อหยางหนิงหันไปมองก็เห็น
สาวน้อยอายุประมาณสิบสามปีคนหนึ่ง ฟังดูจาก
น้าเสียงของนางแล้วเห็นได้ชัดว่านางรู้จักเสี่ยวเตี๋ย
เขาจึงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นและเอ่ยถาม “เจ้ารู้จัก
เสี่ยวเตี๋ยหรือ?”
สีหน้าของสาวน้อยผู้นั้นเต็มไปดด้วยความหวาดกลัว
ทว่านางก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ “พี่เสี่ยวเตี๋ย...ข้าเคย
พักอยู่กับพี่เสี่ยวเตี๋ย นาง...นางดีกับข้ามาก...!”
เมื่อหยางหนิงได้ยินข่าวของเสี่ยวเตี๋ย เขาก็ถอน
หายใจออกมาเบาๆ พร้อมเอ่ยถามต่อ “ตอนนี้
เสี่ยวเตี๋ยอยู่ที่ใด?”
“ข้า...ข้าไม่รู้...!” สาวน้อยก้มหน้าลง “ข้าไม่ได้พบ
นางมาหลายวันแล้ว”
“เจ้าตามหาเสี่ยวเตี๋ยไปทาไม?” ก่อนที่หญิงสาวผู้มี
อายุมากกว่าเล็กน้อยจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเป็น
ใครกันแน่?”
หยางหนิงลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าเป็น
สหายของเสี่ยวเตี๋ย อืม น่าจะ...น่าจะถือได้ว่าเป็น
พี่ชายของนางนะ!”
“ฮะ?” สาวน้อยที่ก้มหน้าอยู่นั้นรีบเงยหน้าขึ้น ขณะที่
ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีพร้อมเอ่ยออกมาด้วย
น้าเสียงที่บางเบา “เจ้า...เจ้าคือพี่ชายคนนั้น?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 8 องค์กรมืด
อยู่ๆ สาวน้อยผู้นั้นก็พูดว่า “พี่ชาย” อีกทั้งดูจาก
ลักษณะแล้วเหมือนจะคุ้นเคยกับตนอยู่ไม่น้อย
หยางหนิงจึงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “เจ้า
รู้จักข้าหรือ?”
“อืม...!” สาวน้อยพยักหน้าลงด้วยความตื่นเต้น “ข้ารู้
ข้ารู้ พี่เสี่ยวเตี๋ยเคยเอ่ยถึงท่านให้ข้าฟัง นางบอก...
นางบอกว่าท่านเป็นญาติเพียงคนเดียวของนาง
พี่...พี่ชาย ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
หยางหนิงยกนิ้วหนึ่งขึ้นทาบริมฝีปากของตนเป็น
สัญญาณให้ทุกคนไม่ต้องส่งเสียงดังจนเกินไป
พวกหญิงสาวทั้งหลายต่างก็พยักหน้าลงอย่างเชื่อฟัง
หยางหนิงจึงทาการขยับเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อยพร้อม
เอ่ยถามต่อ “เหตุใดพวกเจ้าถึงถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้?”
พวกหญิงสาวหันมามองกันและกันอยู่แวบหนึ่ง
ก่อนที่หญิงสาวผู้ที่มีอายุเยอะพอควรผู้นั้นจะเป็นคน
เอ่ยตอบ “ข้า...ข้ามีนามว่าซิ่วเอ๋อร์ พวกเรา...พวกเรา
ถูกหลอกให้มายังที่แห่งนี้”
“ถูกหลอก?” หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึงไป
ชั่วขณะ
“ข้าและพ่อแม่ของข้าอพยพมาที่เมืองแห่งนี้เมื่อ
หลายเดือนก่อน วันหนึ่งก็มีคนมาหาพวกเราและบอก
กับพ่อแม่ข้าว่าจะมารับข้าให้ไปเป็นสาวใช้ มีอาหาร
และที่พักให้ อีกทั้งทุกเดือนยังสามารถรับเงินได้ถึง
สองตาลึงเงิน” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยอธิบายเสียงเบา “พวกเรา
ล้วนไม่อาจประทังชีวิตของตนต่อไปได้อีกแล้วจึงไม่ได้
ทาการปฏิเสธ คนผู้นั้นพาข้าไปด้านในจวนที่พักอีก
หลังหนึ่งก่อน ตอนที่ไปถึงนั้น ด้านในก็มีพี่น้องที่เป็น
หญิงสาวอายุใกล้เคียงกับข้าอยู่อีกหลายคน พวกเรา
รออยู่ในนั้นเป็นเวลาสองถึงสามวัน ก่อนที่ในคืนวัน
หนึ่งพวกเราจะถูกเรียกให้ขึ้นรถม้าคันหนึ่ง จากนั้น...
จากนั้นพวกเราก็มาถึงที่แห่งนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้น
มาก็ไม่เคยได้ออกไปข้างนอกอีก พ่อแม่ของข้าเองก็ไม่
รู้ว่าข้าอยู่ในที่แห่งนี้”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หยางหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเขาถึง
ต้องพาพวกเจ้ามายังสถานที่แห่งนี้?”
หญิงสาวทั้งหลายต่างพากันส่ายศีรษะ ก่อนที่ซิ่วเอ๋อร์
จะเอ่ยตอบ “หลังจากที่พวกเรามายังสถานที่แห่งนี้
แล้ว คนผู้นั้นก็เริ่มทาการสอนขับร้องบทเพลงให้กับ
พวกเรา แต่ไม่ได้ให้พวกเราทาอะไรอื่น และก็ไม่
อนุญาติให้พวกเราถามให้มากความ หากทาการ
ฝึกซ้อมได้ดี พวกเขาก็จะดูแลพวกเราดีขึ้นเล็กน้อย
หากฝึกซ้อมได้ไม่ดี ก็จะไม่ให้กินข้าว อีกทั้งยังโดนแส้
ฟาด...!” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ขอบตาของนางก็เริ่มเป็น
สีแดงแล้ว ก่อนที่น้าเสียงจะยิ่งแผ่วเบาลง “ข้าได้ยิน
มาว่าก่อนหน้านี้มีคนไม่สามารถขับร้องได้ไม่ดี
ถึงขั้นถูก...ถูกฟาดจนตาย”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าเสี่ยวเตี๋ยเองก็ฝึกขับร้อง
บทเพลงและร่ายรากับพวกเจ้า?” หยางหนิงขมวดคิ้ว
เข้าหากันพร้อมกับเอ่ยถามเสียงต่า
ซิ่วเอ๋อร์พยักหน้าลงพร้อมเอ่ยต่อ “เสี่ยวเตี๋ยมาถึง
ก่อนพวกเราเล็กน้อย ตอนที่พวกเรามาถึงกลุ่มของ
พวกนางก็ฝึกซ้อมได้เป็นอย่างดีแล้ว” ก่อนที่นางจะ
เงียบไปชั่วณะ และกดเสียงให้ต่าลงมากขึ้นและ
เอ่ยต่อ “ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ซ้อมร่ายราได้ดีที่สุด ตกดึก
ยังสามารถไปที่ห้องครัวเพื่อทางานได้อีกด้วย”
“ห้องครัว?”
“อืม ฮูหยินบางครั้งตกดึกอยากจะกินอะไรรองท้อง
เพราะฉะนั้นบางครั้งห้องครัวจะเหลือสองคนเอาไว้
เตรียมปรนนิบัติรับใช้” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “เสี่ยวเตี๋ย
ร่ายราได้ดีมาก เพราะฉะนั้นบางครั้งก็สามารถไปอยู่ที่
ห้องครัวได้”
ตอนนี้หยางหนิงถึงจะเข้าใจบางอย่างได้ พลางลอบ
คิดในใจว่าการที่เสี่ยวเตี๋ยสามารถออกจากจวนแห่งนี้
ได้ มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะถือโอกาสหลบหนี
ออกไปตอนที่ทางานในห้องครัว แต่ทาเช่นนั้นก็ถือว่า
เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก
“เช่นนั้นคืนวันนี้เสี่ยวเตี๋ยเองก็อยู่ที่ห้องครัว?”
ซิ่วเอ๋อร์ส่ายศีรษะพร้อมเอ่ยต่อ “เมื่อก่อนต่อให้ตกดึก
พวกนางจะอยู่ที่ห้องครัว แต่เวลากลางวันพวกเราก็
ยังคงพบเห็นพวกนางอยู่ แต่ว่าครั้งนี้ผ่านมาหลายวัน
แล้วที่ไม่ได้พบพวกนาง บางที...บางทีพวกนางอาจจะ
จากไปแล้ว”
“จากไปแล้ว?” หยางหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
“เจ้าหมายความว่าพวกนางไม่ได้อยู่ในจวนนี้แล้ว?
จริงสิ พวกนางที่เจ้าหมายถึงคือผู้ใดอีก?”
ซิ่วเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา
“เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินพวกนางบอกว่า ภายในจวน
แห่งนี้มีคนไปๆ มาๆ อยู่จานวนมาก มาใหม่กลุ่มหนึ่ง
ก็จะส่งออกไปกลุ่มหนึ่ง หลังจากที่ฝึกขับร้องกับการ
ร่ายราได้เป็นอย่างดีแล้วก็จะถูกส่งออกไปจากที่แห่งนี้
อีกทั้งยังไม่มีใครสามารถหาพวกนางได้พบอีก
เสี่ยวเตี๋ย...เสี่ยวเตี๋ยและพวกนางมาที่นี่เป็นเวลานาน
แล้ว การขับร้องและร่ายราก็ได้ฝึกซ้อมมาเป็น
เวลานานแล้ว และนี่ก็ไม่ได้เห็นเงาของพวกนางมา
เป็นเวลาหลายวัน เพราะฉะนั้น...เพราะฉะนั้นข้าเลย
คิดว่าพวกนางได้ถูกส่งตัวออกไปแล้ว”
เมื่อหยางหนิงได้ยินประโยคดังกล่าว ใจของเขาก็รู้สึก
หนักอึ้ง หูตาพร่าเลือนไปหมด
เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบาต่อ
“ที่แห่งนี้ยังมีอีกกี่คน?”
ซิ่วเอ๋อร์รีบเอ่ยตอบ “เดิมมีอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน
วันนี้...!” นางเหลือบมองไปทางหญิงสาวหลายคนที่
อยู่ด้านข้างกาแพง “วันนี้มาอีกสี่คน น่าจะมีถึง
สามสิบกว่าคนแล้ว”
หยางหนิงพยักหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะลอบคิดอยู่ใน
ใจว่าจานวนคนนั้นตรงกับจานวนที่ฮูหยินฮวาเอ่ยขึ้น
ก่อนหน้านี้ พลางกดเสียงลงต่าและเอ่ยต่อ “หาก
พวกเจ้าออกไปจากที่แห่งนี้ จะสามารถหาพ่อแม่ของ
ตนพบหรือไม่?”
“ออกจากที่แห่งนี้?” แววตาของซิ่วเอ๋อร์มีความปติ
ยินดีปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด “เจ้า...เจ้าหมายความว่า
พวกเราสามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้?” หญิงสาว
คนอื่นๆ เองก็มีสีหน้าดีใจปรากฏขึ้นเช่นกัน เวลานี้
พวกนางไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวต่อหยางหนิงอีก
ซ้ายังคิดว่าเขาเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ที่พระเจ้าส่งลงมา
ทาให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะขยับตัวมาโอบล้อมเขาเอาไว้
หยางหนิงเอ่ยออกมาเบาๆ “หากคิดจะออกจากที่
แห่งนี้ ก่อนอื่นต้องรู้ให้แน่ชัดว่าจวนแห่งนี้มีคน
เฝ้ายามอยู่มากน้อยเพียงใด พวกเจ้าพอจะทราบ
หรือไม่?”
หญิงสาวทั้งหลายหันมามองหน้ากัน ก่อนที่ซิ่วเอ๋อร์
จะเอ่ยตอบ “ข้าเคยเห็นคนหน้าตาไม่เหมือนกัน
ประมาณสี่ห้าคน ทุกคนล้วนแต่ดูดุร้ายเป็นอย่างมาก
ทว่าข้ารู้มาว่าประตูหลักของจวนแห่งนี้ทุกวันคืนจะมี
คนประมาณสองคนทาการเฝ้าเวรยาม พวกเขา...
พวกเขาล้วนแต่มีดาบอยู่ในมือ”
หยางหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นพวงกุญแจใน
มือของตนไปให้กับซิ่วเอ๋อร์และเอ่ยออกมาเบาๆ
“นี่เป็นกุญแจของพวกห้องพักเหล่านี้ เจ้าไปบอกให้
ทุกคนทาการเตรียมตัวกันเอาไว้ก่อน ห้ามส่งเสียงดัง
ออกมาเป็นอันขาด ก่อนที่ข้าจะกลับมา ทุกคนอย่าทา
อะไรหุนหันโดยพลการ รอจนข้ากลับมาแล้วค่อยพา
พวกเจ้าออกไป”
“ถ้าอย่างนั้น...ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะพาพวกเราออกจาก
จวนแห่งนี้ได้อย่างไร?” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยออกมาอย่างเป็น
กังวล “ประตูใหญ่ทางนั้นมีคนเฝ้าอยู่ อีกทั้งในมือของ
พวกเขายังมีดาบ พวกเราออกไปไม่ได้”
หยางหนิงลอบคิดอยู่ในใจว่าที่แท้พวกนางก็ไม่รู้ถึง
ช่องรูที่อยู่ล่างกาแพงทางสวนดอกไม้ เขาเองก็ไม่ได้
เอ่ยออกมาในทันที รอจนหญิงสาวผู้นั้นรับกุญแจไป
แล้ว เขาถึงทาการรีบรุดออกไปจากประตู เขารีบเดิน
ไปบนโต๊ะเล็กและหยิบเอาดาบยาวมาไว้ในมือก่อน
จากนั้นก็หยิบเอาถุงหนังที่บรรจุสุราถุงหนึ่งบนโต๊ะมา
ด้วย จากนั้นเขาก็วิ่งไปทางกาแพงที่มีเหล่าสิงนอน
สลบอยู่ และจึงสาดน้าสุราลงบนใบหน้าของเขา
เหล่าสิงเมื่อถูกสุราสาดใส่ก็ฟื้นขึ้นมาในทันที เขารู้สึก
ว่าท้ายทอยของตนปวดหนึบยิ่งนัก ก่อนจะเบิกตาโต
และพบว่าเบื้องหน้ามีบุรุษโพกหน้าอยู่ผู้หนึ่ง ชั่ววินาที
ที่เขากาลังจะร้องตะโกนออกมานั้นกลับรู้สึกได้ว่า
ลาคอของตนมีบางอย่างเย็นๆ ทาบเอาไว้อยู่ พร้อม
กับได้ยินน้าเสียงเยือกเย็นที่เอ่ยตามมา “ถามคาหนึ่ง
ก็ตอบคาหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้วข้าจะตัดคอของเจ้า
ทิ้งเสีย”
เมื่อเอ่ยจบ คมของดาบยาวก็ยังถูลงบนลาคอของเขา
ไปเล็กน้อยอีกด้วย เหล่าสิงสั่นสะท้านไปทั่วร่างก่อน
จะร้องตอบ “อืมๆ” เบาๆ ออกมา
เพื่อให้ไม่เกิดเหตุผิดพลาด หยางหนิงจึงได้ดึงผ้าชิ้น
หนึ่งมาปิดครึ่งหน้าของตนไว้อยู่ก่อนแล้วขณะวาง
ดาบทาบอยู่บนลาคอของเหล่าสิง พร้อมเอ่ยถามขึ้น
“เหตุใดจึงต้องขังหญิงสาวเหล่านี้เอาไว้ด้วย?”
และในขณะที่เหล่าสิงกาลังจะอ้าปากเอ่ยตอบนั้น
หยางหนิงก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ขอเตือนอะไรเจ้าอย่าง
นะ หากเอ่ยผิดออกมาแม้แต่คาเดียว ข้าจะตัดคอของ
เจ้าทิ้งในทันที”
เหล่าสิงจึงพูดขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้...ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่
ฝีมือของข้า เป็น...เป็นหัวหน้าเซียว...เป็นหัวหน้า
เซียวที่เป็นคนทา ข้า...ข้าเองก็ทาเพียงเพื่อจะมีเงินกิน
อาหาร ข้า...ข้าเป็นมือปราบภายใต้บังคับบัญชาของ
หัวหน้าเซียว...!”
หยางหนิงนิ่งอึ้งไปก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็น “พวกคน
ชุดดาในจวนที่เหลือก็ล้วนแต่เป็นมือปราบ?”
เหล่าสิงเอ่ยตอบ “พวกเราล้วนแต่เป็นมือปราบของ
หยาเหมิน ปฏิบัติตาม...ปฏิบัติตามคาสั่งของหัวหน้า
เซียว ภายในจวนรวมถึงข้าด้วย ทั้งหมดมีมือปราบอยู่
ในที่แห่งนี้ถึงหกคน”
หยางหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างตกตะลึง
เดิมเขาคิดว่าคนชุดดาเหล่านี้เป็นเพียงแค่ลูกน้อยที่ถูก
จ้างมาก และคิดว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับหยาเหมินคงมี
เพียงแค่เซียวอี้ชุ่ยและลูกน้องคนสนิทของเขามือ
ปราบเฝิงเพียงสองคน แต่ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า
พวกลูกน้องในจวนแห่งนี้มีฐานะที่แท้จริงเป็นถึง
มือปราบของหยาเหมิน
มือปราบนั้นมีหน้าที่ประพฤติตัวเป็นเยี่ยงอย่าง รักษา
ความสงบให้กับประชาชน ใครจะรู้ได้ว่าคนเหล่านี้
กลับเป็นผู้ทอี่ ยู่เบื้องหลังในการทาเรื่องชั่วช้าเช่นนี้
“หญิงสาวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนที่ถูกพวกเจ้าหลอก
มา?”
เมื่อถูกดาบที่หนาวเย็นทาบอยู่บนลาคอ บวกกับ
แววตาที่ดุร้ายของหยางหนิง เหล่าสิงก็ประพฤติตัว
เรียบร้อยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “หัวหน้าเซียวนั้น
จัดการให้คนตามหาหญิงสาวประเภทนี้ในหมู่ผู้อพยพ
อายุต้อง...อายุต้องน้อยกว่าสิบห้าปี หน้าตางดงาม
ขอเพียงพบเจอก็ให้ใช้ข้ออ้างในการจ้างมาเป็นสาวใช้
หลอก...หลอกให้มาอยู่ในกามือ และส่งไปพักที่อื่น
ก่อนไม่กี่วัน จากนั้น...จากนั้นค่อยถูกส่งมายังที่แห่งนี้
โดยไม่ทิ้งร่องรอย...!”
“จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้น...จากนั้นก็มอบให้...มอบให้กับฮูหยินฮวา
เป็นผู้ฝึกสอนขับร้องบทเพลงกับพวกนาง” เหล่าสิง
เอ่ยต่อ “รอจนพวกนางเริ่มมีพื้นฐานบ้างแล้ว ก็จะ
สามารถ...ก็จะสามารถส่งตัวออกไปได้”
“ส่งตัวออกไป?” สิ่งที่หยางหนิงอยากรู้มากที่สุดก็คือ
สถานที่ที่เสี่ยวเตี๋ยถูกส่งไปคือที่ใดกันแน่ “ส่งไปที่
ใด?”
เหล่าสิงเอ่ยตอบ “เรื่องนั้น...เรื่องนั้นข้าไม่รู้จริงๆ...อ๊า
อย่า...อย่าลงมือ ข้าจะพูดทุกอย่าง...!” หลังจากลังเล
ไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้า
เพียงแต่รู้...ข้าเพียงแต่รู้ว่าขอเพียงถึงเวลา ท่านรอง
เฝิง...อ่ะ หรือก็คือมือปราบเฝิงของหยาเหมิน เขาจะ
ใช้รถม้ามารับคนจากไป เท่าที่ข้ารู้ว่า จะทาการ...จะ
ทาการส่งไปที่เมืองหลวง!”
“เมืองหลวง?” หยางหนิงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะ
ขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยถามต่อ “เจ้าหมายความว่า
มือปราบเฝิงจะเป็นคนส่งพวกนางไปที่เมืองหลวงด้วย
ตัวเอง?”
เหล่าสิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ท่านรองเฝิง...
ท่านรองเฝิงแค่ต้องส่งคนออกไปนอกเมือง ด้านนอก
เมืองจะมีคนดาเนินการต่อ จากนั้น...จากนั้นก็จะมี
คนส่งพวกนางไปที่เมืองหลวง ข้ารู้แต่เพียงเท่านี้
เรื่องอื่นข้าไม่รู้แล้วจริงๆ เซียว...เซียวอี้ซุ่ยจัดการเรื่อง
ทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เรื่องที่ไม่ควรรู้ก็จะไม่ให้
พวกเรารับรู้โดยเด็ดขาด และเรื่องที่ส่งไปเมืองหลวง
นั้นก็...นั้นก็เป็นตอนที่ท่านรองเฝิงดื่มเหล้าเมาและ
หลุดปากเอ่ยออกมา”
หยางหนิงดูจากท่าทางของเขาแล้วไม่เหมือนคนโกหก
จึงเอ่ยถามต่อด้วยเสียงทุ้มต่า “พวกเจ้าส่งคนไป
เมืองหลวงกี่คนแล้ว? เริ่มทาเรื่องชั่วๆ อย่างนี้ตั้งแต่
เมื่อใดกัน?”
“ทามาได้...ทามาได้สองปีแล้ว” เหล่าสิงไม่กล้าขยับ
ตัว “หลังจากที่เกิดสงครามที่ฮวายฉุ่ย ก็มีผู้อพยพเข้า
มาจานวนมาก เริ่มแรกผู้ที่มานั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่
ร่ารวยมีฐานะไม่น้อย พวกเขานาเงินทองจานวนมาก
อพยพมายังสถานที่แห่งนี้ จากนั้นจึงค่อยเดินทาง
ลงใต้ต่อ ตอนนั้น...ตอนนั้นเซียวอี้ซุ่ยก็เริ่มหลอกใช้
พวกศิษย์พรรคกระยาจก ให้พวกเขาเล็งไปที่พวกคน
มีฐานะเหล่านั้นและขโมยเงินทองของพวกเขา ทาให้
ได้เงินทองมาครอบครองจานวนมาก ภายหลังพวก
คนเหล่านั้นก็ล้วนแต่มุ่งหน้าไปทางใต้ พวกคนมีฐานะ
ที่มาก็น้อยลงไปเรื่อยๆ และก็มีพวกคนยากจนที่
อพยพมาที่แห่งนี้เพิ่มมากขึ้น เซียวอี้ซุ่ยเลยคิดลงมือ
ไปทางพวกผู้อพยพเหล่านี้”
“เจ้าหมายถึงพวกหญิงสาวเหล่านี้?”
เหล่าสิงเอ่ยตอบ “ใช่ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความคิด
ของเขา เริ่มตั้งแต่สองปีก่อน ไปๆมาๆ ก็มีคนถูกส่งมา
ที่จวนแห่งนี้ราวสองร้อยคน โดยคนส่วนมากภายหลัง
ก็ได้ถูกส่งตัวออกไปแล้ว”
“เจ้าเป็นถึงมือปราบ ควรเลือกที่จะปกป้องทาง
ฝั่งของประชาชน เหตุใดต้องร่วมมือกระทาชั่วกับเขา
และทาเรื่องที่น่าอัปยศ ผิดศีลธรรมเช่นนี้ด้วย?”
เมื่อหยางหนิงได้ยินคาตอบดังกล่าวก็รู้สึกสะเทือนใจ
ยิ่งนัก แววตาของเขาปรากฏประกายแห่งความ
หนาวเย็นออกมา ขณะที่น้าเสียงก็มีความเยือกเย็น
ยิ่งนัก
เหล่าสิงเอ่ยตอบ “พวกเราล้วนแต่เป็นเพราะเขาถึงมา
เป็นมือปราบได้ และนับตั้งแต่วันที่เป็นมือปราบ
พวกเราก็ได้ขึ้นมาบนเรือลาเดียวกับเขาแล้ว หากผิด
คาสั่งของเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าอาหารชามหนึ่งจะรักษา
เอาไว้ไม่ได้ กระทั่งชีวิตก็คงยากที่จะรักษาได้อีก
เซียวอี้ซุ่ยนั้นโหดเหี้ยมอามหิต ต่อหน้าแล้วเขา...
ต่อหน้าแล้วเขาถือเป็นมือปราบ แต่เขากลับทาการ
ติดต่อทั้งกับฝ่ายชั่วและฝ่ายดี ภายในอาเภอเมือง
ฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้มีกลุ่มโจรป่าบางส่วนอาศัยอยู่มาโดย
ตลอด อีกทั้งเพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา
หัวหน้าโจรบางคนยังถึงขั้นสาบานเป็นพี่น้องกับเขา
ด้วย...!”
“เช่นนั้นพวกโจรขุนนางก็กลายเป็นครอบครัว
เดียวกันแล้วสิ” หยางหนิงสบถออกมาเบาๆ ทว่า
ตอนนี้เขากลับเข้าใจแล้วว่าเซียวอี้ซุ่ยไม่เพียงแต่มี
ผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่เมืองหลวง ภายในอาเภอ
เมืองฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้ก็ยังสามารถสร้างเครือข่ายองค์กร
มืดได้ด้วยเช่นกัน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 9 บุกเข้าโจมตี
เหล่าสิงเอ่ยออกมาพร้อมกับถอดถอนหายใจ
“เซียวอี้ซุยนั้นใช้ประโยชน์จากพวกศิษย์พรรค
กระยาจกในการบุกปล้นคนรวย ใช้ประโยชน์จาก
พวกขุนนางในการหลอกลวงพวกหญิงสาว หลายปีมา
นี้เขาได้รับเงินตาลึงจานวนไม่น้อย ในอาเออเมออง
ฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้ เขาคนเดียวเรียกได้ว่ามีอานาจมาก
พอที่จะสามารถควบคุมทุกอย่างบนแผ่นดินนี้เลยก็ว่า
ได้...!” เขามองไปทางหยางหนิงก่อนจะเอ่ยต่อ
“น้องชาย ข้าฟังจากน้าเสียงของเจ้าดูเหมออนจะมีอายุ
ไม่มากนัก การกระทาในวันนี้คิดว่าคงเป็นเพราะ
อารมณ์ชั่ววูบ เจ้าน่าจะรู้ว่าหากล่วงเกินเซียวอี้ซุ่ยแล้ว
เช่นนั้นผลลัพธ์ก็จะเหนออกว่าจินตนาการอยู่มากนัก
เจ้าเก็บดาบไปก่อนและรีบหนีไปเถิด ข้าจะทา
เหมออนว่าเรอ่องในค่าคอนนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
หยางหนิงลอบคิดอยู่ในใจว่าหากเขากลัว เขาก็คงจะ
ไม่มาแล้ว ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ในเมอ่อเจ้าไม่รู้ว่า
หญิงสาวเหล่านี้จะถูกส่งไปที่ใดกันแน่ เช่นนั้น
นอกจากเซียวอี้ซุ่ยและสุนัขบ้าตัวนั้นแล้วก็จะไม่มีผู้ใด
ออ่นรับรู้อีก?”
“ฮูหยินฮวาน่าจะรู้” เหล่าสิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย
ขึ้นมา “ฮูหยินฮวานั้นร่วมมออกับเซียวอี้ชุ่ยตั้งนานแล้ว
กิจการเหล่านี้หญิงร่านผู้นั้นเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่ต้น
จนจบ สิ่งที่นางรู้จะต้องมีไม่น้อยเป็นแน่ น้องชาย
สิ่งที่ควรพูดข้าก็ได้พูดไปหมดแล้ว ดาบนี้ของเจ้า...
รบกวนเจ้าเก็บไปก่อนเถิด”
“เซียวอี้ซุ่ยตอนนี้อยู่ที่ใด?” หยางหนิงไม่เพียงแต่
ไม่เก็บดาบลง อีกทั้งยังกามันเอาไว้แน่นขึ้น ขอเพียง
เหล่าสิงพูดว่าเซียวอี้ซุ่ยไม่อยู่ในจวนสกุลฮวา แบบนั้น
ก็ถออว่าโกหกอย่างแน่นอน เช่นนั้นเขาก็จะให้เจ้านี่
ต้องหลั่งเลออดเสียหน่อย
เหล่าสิงรีบเอ่ยตอบ “ตอนนี้เขาอยู่ด้านในจวน พักอยู่
ที่เรออนเดี่ยวด้านข้างกาแพงของด้านท้ายตาหนัก
ด้านหน้าประตูมีต้นกล้วยอยู่สองต้น เวลาเขามาที่
แห่งนี้ก็มักจะพักที่นั่นเสมอ”
หยางหนิงขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ลดดาบลง
เมอ่อตอนที่คมดาบออกห่างจากลาคอของเหล่าสิง
เหล่าสิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทันใดนั้น
ดวงตาทั้งสองของเขาก็ปรากฏความเยออกเย็นออกมา
ขณะที่มออขวาออกแรงสะบัดและเศษดินกลุ่มหนึ่งก็ได้
โยนเข้ากระแทกใบหน้าของหยางหนิง
ที่แท้ในช่วงเวลาที่เขาอยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จานั้น
มออขวาของเขาก็ได้กาเอาเศษดินที่อยู่บนพอ้นขึ้นมา
กองหนึ่งแล้ว ต่อหน้าเขาก็ได้ทาการเอ่ยตอบหยาง
หนิงด้วยความสัตย์จริง แต่ทางลับเขาก็ได้ทาการ
เตรียมพร้อมลงมออเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าหยางหนิงจะโผกหน้าเอาไว้ แต่เขากลับสามารถ
จาแนกจากน้าเสียงของหยางหนิงได้ว่าบุคคลผู้นี้อายุ
ยังน้อย จึงคิดแต่ว่าหยางหนิงนั้นมีประสบการณ์
ไม่มาก จะต้องคิดไม่ถึงว่าเขาจะถออเอาโอกาสนี้มา
ลงมออ หากสามารถจับเจ้าคนผู้นี้ที่ลักลอบเข้ามาใน
จวนยามวิกาลได้นั้น จะต้องได้รับความดีความชอบ
เป็นอย่างมากแน่
เมอ่อเศษดินถูกปาออกไป เหล่าสิงก็คิดว่าหยางหนิง
จะต้องเกิดอาการตอ่นตระหนกเพราะความคาดคิด
ไม่ถึงเป็นแน่ เขาจึงคิดอยากใช้โอกาสที่หยางหนิงเกิด
อาการตอ่นตระหนกและยกเท้าขึ้นถีบหยางหนิง ก่อน
จะถออโอกาสออกไปตะโกนเรียกพวกพ้องให้มาช่วย
ทว่าหยางหนิงนั้นกลับดูเหมออนได้เตรียมความพร้อม
ไว้อยู่ก่อนแล้วก็มิปาน เขาขยับตัวหลบเศษดินนั้นไป
ได้อย่างง่ายดาย และในชั่วขณะที่ขยับตัวหลบนั้น
แขนของเขาก็ออกแรงสะบัดไปครั้งหนึ่ง เหล่าสิงรู้สึก
ได้ถึงความเจ็บปวดที่พุ่งเข้ามาตรงลาคออย่าง
กะทันหัน ก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะเบิกกว้างขึ้นทันที
ทว่าเขาในตอนนี้ได้ถูกหยางหนิงตัดคอหอยไปเป็นที่
เรียบร้อยแล้ว ตรงต้นคอมีโลหิตสีแดงสดพุ่งทะลวง
ออกมา อายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องมานี้ก็สะท้อนให้
เห็นถึงความงดงามและเยออกเย็นของโลหิตสีแดงสด
เหล่าสิงยกสองมออขึ้นอุดแผลที่ลาคอของตน เลออดสด
ยังคงไหลรินออกมาอย่างต่อเนอ่องผ่านทางรอยแยก
ของบาดแผล ในคอหอยมีเสียง “ซออๆๆ” ดังออกมา
เหล่าสิงคิดอยากจะร้องตะโกนทว่าเสียงของเขากลับ
ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ร่างกายค่อยๆ บิดเบี้ยวไป
เล็กน้อย ทว่าไม่นานการบิดเบี้ยวของร่างกายก็ค่อยๆ
สงบลง จนกระทั่งไม่อาจขยับต่อไปได้อีก
หยางหนิงจ้องไปทางดวงตาที่ดุร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน
และค่อยๆ ไร้ซึ่งแสงสว่างของเหล่าสิง ก่อนจะค่อยๆ
ลุกขึ้นยอนและสูดหายใจเข้าไปลึกๆ พร้อมกับก้าวเท้า
เบาๆ ออกจากเรออนพักไป ท้องฟ้ายามค่าคอนนั้นเงียบ
สงบไร้ซึ่งซุ่มเสียง ขณะที่หยางหนิงถออดาบและรีบรุด
ไปที่เรออนพักของฮูหยินฮวาอย่างรวดเร็ว
เขาจาที่เหล่าสิงเอ่ยขึ้นได้ว่าเซียวอี้ซุ่ยนั้นพักอยู่ที่
เรออนเดี่ยวข้างกาแพงของด้านหลังตาหนัก ด้านหน้า
ของเรออนพักมีต้นกล้วยอยู่สองต้น อายใต้ท้องฟ้ายาม
ค่าคอนที่มอดมิดทาให้เขาทาการค้นหาอยู่พักหนึ่ง
ทว่าไม่นานเขาก็มองเห็นว่าด้านหน้าไม่ไกลออกไปนัก
มีต้นกล้วยอยู่สองต้นจริงๆ
ด้านข้างต้นกล้วยนั้นมีเรออนพักเดี่ยวอยู่จริงๆ
หยางหนิงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ โดยประตูของเรออน
พักนั้นกาลังปิดอยู่ โชคดีที่กาแพงของเรออนไม่สูงมาก
นัก หยางหนิงเก็บดาบไปที่ข้างเอวของตนก่อนจะ
ปีนข้ามกาแพงไปได้อย่างง่ายดาย เขาเหลออบไปเห็น
ว่าด้านในของห้องพักนั้นมีแสงสว่างของเทียนไขส่อง
ทะลุผ่านหน้าต่างกระดาษออกมา เขาค่อยๆ กระโดด
เข้าไปด้านในเรออนพักอย่างระมัดระวัง ขณะครุ่นคิด
อายในใจว่าหากไม่เกิดเรอ่องเหนออความคาดหมายแล้ว
เซียวอี้ซุ่ยและฮูหยินฮวาจะต้องอยู่อายในห้องพัก
อย่างแน่นอน
เขาขยับตัวอย่างแผ่วเบาเข้าไปใกล้หน้าต่างก่อนจะได้
ยินเสียงที่ทาให้ผู้คนต้องรู้สึกหน้าแดงด้วยความ
เขินอายดังมาจากด้านในห้องพัก เสียงของฮูหยินฮวา
ที่ร้องคร่าครวญอย่างชัดเจนล่องลอยออกมา
หยางหนิงรู้ได้ทันทีว่าขณะนี้ชายหญิงทั้งสองกาลังเริง
สาราญกันอยู่ และในขณะเดียวกันเขาก็มั่นใจว่าผู้ที่
อยู่ด้านในนั้นคออเซียวอี้ซุ่ย
หยางหนิงกวาดสายตามองเรออนพักแวบหนึ่งก่อนจะ
เห็นว่าด้านในสวนมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง จึงตัดสินใจ
ขยับเข้าไปใกล้และหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่นั้น
แม้ว่าเขาจะมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก ทว่าเขา
กลับไม่ใช่คนมุทะลุ
เซียวอี้ซุ่ยนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ในช่วงสมัยเช่นนี้ส่วนสูง
ของคนส่วนมากนั้นจะค่อนข้างเตี้ย ส่วนสูงของ
เซียวอี้ซุ่ยนั้นถออได้ว่าเด่นเป็นสง่าเหนออผู้คน อีกทั้งคน
ผู้นี้กลับเป็นถึงหัวหน้ามออปราบของเมอองฮุ่ยเจ๋อ
วรยุทธ์ของเขาจะต้องไม่มีทางด้อยเป็นแน่
แม้ว่าหยางหนิงจะมั่นใจในฝีมออของตนเป็นอย่างมาก
ทว่าเพราะถูกร่างกายที่ผอมแห้งนี้จากัดความสามารถ
เอาไว้ ทาให้เรี่ยวแรงของเขาลดถอยลงไปมาก
หากต้องต่อสู้กับเซียวอี้ซุ่ยซึ่งๆ หน้าแล้วก็ไม่แน่ว่าจะ
เป็นคู่ต่อสู้กับเซียวอี้ซุ่ยได้
อีกทั้งในจวนแห่งนี้ยังมีมออปราบอยู่อีกหลายคน
หากทาให้พวกเขารู้ตัวแล้ว ผลลัพธ์ก็ยากที่จะทาการ
จินตนาการได้
เป็นไปได้อย่างมากว่าเสี่ยวเตี๋ยนั้นได้ถูกมออปราบส่งตัว
ออกไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใดและจะมีสอาพ
เป็นเช่นไรแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการที่เสี่ยวเตี๋ยนั้นมี
บุญคุณช่วยชีวิตหยางหนิงเอาไว้ ต่อให้เป็นคนทั่วไป
ด้วยนิสัยของหยางหนิงแล้วจะต้องทาการตรวจสอบ
เรอ่องนี้ให้รู้ลึกถึงต้นตอ รายละเอียดและที่มาที่ไป
อย่างแน่นอน
บริเวณโดยรอบนั้นเงียบสงบเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัด
ว่าพวกมออปราบอายในจวนคนออ่นๆ รู้ดีถึงเรอ่องเหล่านี้
ระหว่างฮูหยินฮวาและเซียวอี้ซุ่ย เพราะฉะนั้นจึงไม่มี
ใครกล้าเข้าใกล้ที่แห่งนี้
หยางหนิงนั้นกลับไม่ถออสาที่จะต้องเฝ้ารอเช่นนี้
ตอนนั้นที่เขาได้รับการฝึกฝนมา เขานั้นนอนราบกับ
กองหญ้าเป็นเวลาหลายชั่วโมงไม่ได้ขยับเขยอ้อนไป
ไหน เวลานี้การรออยู่ใต้ต้นไม้ก็ทาให้เขามีความ
อดทนเป็นอย่างมาก ไม่รู้สึกร้อนรนอะไร
ค่าคอนในฤดูเก้า แสงดวงดาวและจันทราสว่างไสว
อากาศค่อนข้างจะหนาวเย็นอยู่บ้างแล้ว หยางหนิง
นั้นสวมเพียงเสอ้อผ้าชั้นเดียวจึงรู้สึกหนาวเย็นอยู่ไม่
น้อย ทว่าเขาก็ยังคงยอนนิ่งไม่ขยับตัวเช่นเดิม
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนอนเพียงใดแล้ว อายใน
ห้องพักที่ไม่เกิดเสียงใดๆ มาเนิ่นนานก็มีความ
เคลอ่อนไหวบางอย่าง ทาให้หยางหนิงแหงนหน้าขึ้น
มองทิศทางของดวงจันทร์และแสงดาวบนท้องฟ้า
พระจันทร์เสี้ยวเอียงไปทางด้านตะวันตกบ่งบอกว่า
เป็นเวลาเทีย่ งคอนแล้ว
หยางหนิงค่อยๆ วางดาบในมออของตนลงก่อนจะทา
การขยับร่างกายที่เริ่มเป็นเหน็บชาเบาๆ จากนั้นก็
รัดผ้าที่โผกหน้าเอาไว้ให้แน่นขึ้นแล้วจึงค่อยหยิบดาบ
หนักขึ้นมาถออไว้ในมอออีกครั้ง
หยางหนิงทาการย่องไปทางหน้าต่างก่อนจะได้ยิน
เสียงกรนเบาๆ ดังออกมาจากด้านใน พลางคิดว่า
เซียวอี้ซุ่ยนั้นเหน็ดเหนอ่อยกับการรับมออสาววัย
กลางคนผู้นี้มาเนิ่นนาน ตอนนี้กาลังทาการนอนหลับ
พักผ่อนเพราะความเหนอ่อยล้า
เขาจึงขยับเดินไปทางเบอ้องหน้าของประตูหลัก ประตู
ห้องพักเช่นนี้ตกดึกจะต้องลงกลอนไม้ไว้อย่างแน่นอน
ทว่าวิธีสะเดาะกลอนไม้ของประตูเช่นนี้นั้นง่ายดาย
เป็นอย่างยิ่ง หยางหนิงใช้ฝั่งคมดาบที่บางๆ ของมีด
ในมออตนแทงผ่านไปที่ช่องว่างระหว่างประตู ก่อนจะ
ดันขึ้นด้านบนเล็กน้อยอย่างช้าๆ ไม่นานนักก็พบกับ
สิ่งกีดขวางบางอย่าง
ท่วงท่าของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก เขาออกแรงดัน
ขึ้นเพียงเล็กน้อย กลอนก็ถูกดันให้หลุดลงไป เสียง
ของมันไม่ดังมากนัก ขณะที่หยางหนิงได้ยินเสียงกรน
จากด้านในห้องที่ยังคงสม่าเสมอเช่นเดิม เขาถึงได้ทา
การผลักประตูเข้าไปอย่างเบามออและก้าวเข้าไปด้าน
ในห้องพักอย่างไร้ซุ่มเสียง
เซียวอี้ซุ่ยนั้นอยู่ทางฝั่งซ้ายด้านข้างของห้องพัก
หยางหนิงรอให้ดวงตาของตนคุ้นชินกับความมอดมิด
อายในห้องก่อนจะทาการก้าวเดินเข้าไปด้านใน บางที
อาจเป็นเพราะประตูได้ทาการปิดสนิทแล้วทาให้ไม่มี
ใครคิดว่าจะมีคนลักลอบเข้ามา เพราะฉะนั้นประตู
ของห้องนอนมิได้ทาการลงกลอนเอาไว้
หยางหนิงกลั้นลมหายใจของตนก่อนจะค่อยๆ
ผลักประตูเข้าไปด้านในทีละนิดๆ จากนั้นจึงค่อยก้าว
เท้าเข้าไปด้านในห้องพักอย่างเบาฝีเท้า
อายในห้องพักนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นประหลาด
มีกลิ่นของเม็ดเหงอ่อ มีกลิ่นหอมที่คละคลุ้ง อีกทั้งยังมี
กลิ่นคาวของโลหิตที่ค่อนข้างฉุนอีกด้วย
หยางหนิงมองเห็นว่าผ้าม่านด้านข้างตั่งเตียงได้ถูก
ปล่อยลงมาแล้ว เขาจึงค่อยๆ ขยับเท้าเข้าไปใกล้
ด้านข้างของเตียง ขณะที่มออกาดาบของตนเอาไว้แน่น
ก่อนจะยอ่นมออข้างหนึ่งออกไปและแหวกช่องว่างของ
ผ้าม่านที่ปิดลงมาอย่างเบามออ
อายในความมอดมิดนั้นเขามอเห็นเซียวอี้ซุ่ยที่มีร่างกาย
เปลออยเปล่ากาลังนอนขวางอยู่บนนั้น ขณะที่รูปร่าง
อวบอิ่มขาวเนียนของฮูหยินฮวานั้นกาลังนอนตะแคง
หันหน้าเข้าหาเซียวอี้ซุ่ย มออหนึ่งของนางวางทาบอยู่
บนหน้าอกของเซียวอี้ซุ่ย ขณะที่ขาเรียวยาวอีกข้าง
หนึ่งก็วางพาดร่างของเซียวอี้ซุ่ยไว้ด้วยเช่นกัน นี่ถออ
เป็นอาพแนบชิดรักใคร่กันของชายหญิง
แน่นอนว่าหยางหนิงไม่มีเวลามาชอ่นชมรูปร่างที่
อวบอิ่มของฮูหยินฮวา แววตาของเขามีความเยออก
เย็น ขณะใช้มออที่ถออดาบค่อยๆ ขยับไปเบอ้องหน้า
คมดาบค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เซียวอี้ซุ่ย
ทว่าคมดาบยังไม่ทันได้เข้าใกล้เซียวอี้ชุ่ย หยางหนิงก็
รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็คิด
ขึ้นมาได้ว่าเดิมเซียวอี้ชุ่ยนั้นมีเสียงกรนที่ดังสนั่น
ดุจฟ้าร้อง ทว่าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมอ่อใดที่เสียงนั้นได้สงบลง
เสียงแล้ว และในเวลานี้ ดวงตาของเซียวอี้ซุ่ยกลับ
ลอมขึ้นอย่างกะทันหัน ขาข้างหนึ่งของเขาออกแรงถีบ
ไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ถีบเอาผ้าห่มนุ่มบนเตียง
กระเด็นออกไปด้วย
หยางหนิงร้องตะโกนอยู่ในใจว่าตนช่างเลอะเลออนยิ่ง
เวลานี้ต้องสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง และก็ไม่มีอะไรที่
ต้องทาการลังเลต่อไปอีก เขาร้องออกมาเบาๆ
เสียงหนึ่งก่อนจะเอียงดาบในมออของตนและออกแรง
ฟันทาให้ผ้าห่มผอนนั้นต้องขาดสะบั้น และในช่วงเวลา
เพียงสั้นๆ นี้ เซียวอี้ซุ่ยก็ได้พลิกตัวขึ้นยอนแล้ว เท้าข้าง
หนึ่งของเขาออกแรงถีบมาทางหยางหนิง
หยางหนิงรู้ว่าตนได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่รับมออได้ยากแล้ว
และเป็นดั่งที่ตนคาดการณ์เอาไว้ว่าเซียวอี้ซุ่ยนั้นไม่ใช่
คนที่มีฝีมอออ่อนด้อยจริง
เพียงแต่ในใจของเขารู้ดีว่าเวลาเช่นนี้ยิ่งต้องสงบสติ
อารมณ์ของตนลง เมอ่อเห็นเซียวอี้ซุ่ยยกเท้าออกแรง
ถีบ เขาก็ไม่ได้ทาการถอยหลบ แต่กลับใช้ร่างกายที่
เล็กกระทัดรัดของตนในการวาดดาบยาวในมออเข้าขา
อีกข้างหนึ่งของเซียวอี้ซุ่ย
ขาข้างหนึ่งของเซียวอี้ซุ่ยนั้นถีบเข้าใส่อากาศ ในขณะ
ที่ไม่นานนักก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างมากของ
ขาอีกข้าง ร่างกายของเขารู้สึกหนักอึ้งจากดาบที่ฟัน
มาที่เท้าของตนของหยางหนิง
ดาบในมออของหยางหนิงนั้นแหลมคมเป็นอย่างมาก
เมอ่อดาบสะบัดไปเพียงชั่วพริบตา ครึ่งขาท่อนล่างของ
เซียวอี้ซุ่ยก็ได้แยกออกจากร่างกายไปแล้ว โลหิตพุ่ง
ทะลวงออกมา ขณะที่ขาท่อนล่างของเซียวอี้ซุ่ยถูกตัด
ออก ทาให้ท่อนด้านล่างนั้นว่างเปล่า ร่างของเขาทั้ง
ร่างก็หล่นกระแทกลงบนเตียงอย่างแรง
เมอ่อหยางหนิงโจมตีด้วยดาบได้สมดั่งใจหมายในครา
แรก เขาก็ไม่ได้ลังเลอีก เมอ่อถึงวินาทีที่เซียวอี้ซุ่ยล้ม
ตกลงบนเตียงนั้น ดาบใหญ่ในมออของหยางหนิงก็ได้
ทาบลงบนคอของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ รอจนดาบ
ยาวของหยางหนิงทาบลงบนลาคอของเซียวอี้ซุ่ยแล้ว
ฮูหยินฮวาถึงจะค่อยทาการดันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ดวงตา
เย้ายวนยังคงง่วงงุน ขณะเอ่ยถามด้วยน้าเสียงหวาน
ช่า “ทาไมหรออ?” จากนั้นไม่นานนางก็รู้สึกได้ถึง
ความผิดปกติ พอมองสังเกตดูอย่างละเอียดถึงเห็นว่า
บุรุษโผกหน้าคนหนึ่งกาลังเอาดาบทาบอยู่บนลาคอ
ของเซียวอี้ซุ่ย อายใต้ความตกตะลึงทาให้นางนิ่งค้าง
ไปชั่วขณะ จากนั้นก็เริ่มทาการกรีดร้องออกมาเสียง
ดัง หยางหนิงจึงทาการตะคอกเสียงใส่ “หากทาการ
ร้องอีกแม้แต่เสียงเดียว ข้าจะสังหารเขาในทันที!”
ฮูหยินฮวายกมออขึ้นปิดปากของตน ขณะที่ดวงตา
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว รอจนนางเหลออบไปเห็น
ว่าด้านข้างของหมอนนั้นมีท่อนขาด้านล่างที่อาบไป
ด้วยเลออดอยู่ท่อนหนึ่ง ตาของนางก็เหลออกขึ้นด้านบน
ก่อนที่ร่างกายจะหงายหลังสลบลงไป
เซียวอี้ซุ่ยที่ถูกตัดขาท่อนล่างไปนั้น บริเวณแผลที่ถูก
ตัดก็มีเลออดสดไหลออกมาอย่างต่อเนอ่อง สีหน้าของ
เขาซีดเผออด ขณะที่หน้าผากมีเม็ดเหงอ่อเย็นผุดขึ้น
ทั่วทั้งร่างกายสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว แต่ว่าคน
ผู้นี้ก็ถออได้ว่าเป็นบุรุษผู้กล้าหาญ เขาพยายามเพ่ง
สมาธิขณะจ้องไปทางดวงตาของหยางหนิงอย่างไม่
ยอมละสายตาพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้าเสียงทุ้มต่า
“ท่าน...ท่านต้องการเงินตาลึงหรออว่า...หรออว่า
ต้องการชีวิต?”
“เงินตาลึงนั้นก็ต้องการ และถ้าหากไม่สารอาพมาแต่
โดยดี ชีวิตก็ต้องการด้วย!”
“ได้...!” เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยตอบ “เงินตาลึง...เงินตาลึงอยู่
ในถุงเงินด้านในเสอ้อ บนโต๊ะมีแหวนและเครอ่องประดับ
ศีรษะ ท่าน...ท่านสามารถเอาไปได้หมดเลย...!”
แม้ว่าจะพยายามดึงสติเอาไว้ แต่ความเจ็บปวดจาก
การสูญเสียขาก็ทาให้ร่างกายของเขาอดไม่ได้ที่จะ
สั่นระริกไม่หยุด
เขาจ้องไปทางใบหน้าของหยางหนิง หยางหนิงนั้น
โผกผ้าปิดหน้าเอาไว้ แน่นอนว่าทาให้เขาไม่อาจ
มองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน ทว่าแววตาพิฆาตนั้น
กลับทาให้เซียวอี้ซุ่ยรู้ว่าครั้งนี้ตนคงจะต้องโชคร้าย
มากกว่าดีเป็นแน่ ทว่าตัวเขาคิดว่าหากฝ่ายตรงข้าม
ไม่ได้ทาการปิดหน้าเอาไว้ หากตนมองเห็นเข้าเช่นนั้น
ก็จะต้องสิ้นชีวิตลงอย่างแน่นอน ตอนนี้ในเมอ่อทาการ
ปิดหน้าเอาไว้ เช่นนั้นบางทีอาจยังมีความหวังสุดท้าย
หลงเหลอออยู่
“เงินตาลึงนั้นไม่รีบ!” หยางหนิงเอ่ยออกมาด้วย
น้าเสียงราบเรียบ “คนไปที่แห่งใดแล้ว?”
“คน?”
“พวกหญิงสาวที่ถูกเจ้าส่งตัวออกไป” หยางหนิงกด
เสียงตนให้ทุ้มค่าพร้อมเอ่ยต่อ “พวกนางถูกเจ้าส่งไป
ที่ใดแล้ว? หากเจ้าสารอาพออกมาตามตรง บางทีข้า
อาจจะไว้ชีวิตเจ้าได้”
“ท่าน...ท่านมีญาติอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น?”
เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยตอบ “หากเป็นเช่นนี้ ข้า...ข้าคงต้อง
ขอโทษท่าน และ...และข้ารับประกันว่าจะต้องส่งนาง
กลับมาให้ท่านอย่างแน่นอน”
“เลิกพูดพล่ามเสียที” หยางหนิงเอ่ยออกมาด้วย
น้าเสียงเยออกเย็น “คนอยู่ที่ใด?”
เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยตอบ “พวกนางถูกกระจายไปคนละ
ทิศทาง ท่าน...ท่านอยากรู้ถึงเบาะแสของผู้ใด?”
ก่อนจะชี้นิ้วไปทางหมอนบนเตียง “ด้านล่างมี...
มีสมุดบันทึกอยู่ นั่นเป็นตาแหน่งที่อยู่ที่พวกนาง
มุ่งหน้าไป พวก...พวกเราสามารถหาได้จากในนี้...!”
“เอามา!”
เซียวอี้ชุ่ยยกมออขึ้นและชี้นิ้วมาทางดาบบริเวณลาคอ
ของตน หยางหนิงถึงทาการผ่อนแรงลงเล็กน้อย
ขณะที่เซียวอี้ซุ่ยพยักหน้าลงและเอ่ยตอบ “ขอบ...
ขอบคุณมาก!” เขาเอียงศีรษะไปเล็กน้อยก่อนจะ
เออ้อมมออไปคลาหาด้านล่างหมอน รอจนกระทั่ง
เซียวอี้ซุ่ยดึงมออออกมา กลับได้ยินเสียงร้องของ
เซียวอี้ซุ่ยก่อนที่แสงสีเงินจะพุ่งเข้าใส่หยางหนิง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 10 คนใหญ่คนโต
ด้านล่างของหมอนใบนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่สมุดบันทึก
อะไรแต่เป็นมีดบินเล่มหนึ่ง
มีดบินนั้นรวดเร็วดุจสายฟ้า!
แต่ว่าหยางหนิงนั้นมีใจระแวงเซียวอี้ซุ่ยอยู่ตลอด
จึงระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ในวินาทีที่เซียวอี้ซุ่ยสะบัด
มือนั้น หยางหนิงก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติแล้วโดย
ร่างกายของเขาได้ทาการเอียงหลบไปด้านข้างแล้ว
ล่วงหน้า มีดบินเล่มนั้นกรีดผ่านแก้มของหยางหนิงไป
เล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะตอบสนองได้ทันการ
เกรงว่ามีดบินเล่มนั้นคงได้ผ่าทะลุกลางหน้าผากแล้ว
เซียวอี้ซุ่ยเดิมคิดจะอาศัยความมืดมิดนี้ลงมือ
กะทันหันโดยคิดว่าจะต้องมีความสาเร็จถึงเก้าส่วน
แต่กลับนึกไม่ถึงว่ามีดบินจะพลาดเป้า ทาให้เกิด
สีหน้าตกตะลึง ร่างกายเตรียมจะกลิ้งกลับเข้าไป
ด้านใน ทว่าหยางหนิงนั้นตอบสนองได้เร็วมาก เขาใช้
ดาบใหญ่ฟันลงบนคอของเซียวอี้ชุ่ยอย่างแรง
เซียวอี้ซุ่ยที่ขาท่อนล่างถูกตัดออกไปแล้วนั้นก็มีการ
เคลื่อนไหวที่ช้าลง เสียง “ฟู่” ดังขึ้นก่อนที่เส้นเลือด
บนลาคอจะถูกหยางหนิงฟันขาดด้วยดาบเดียว โลหิต
แดงสดพุ่งทะยานออกมา ก่อนที่เซียวอี้ซุ่ยจะรู้สึกว่า
ร่างกายของตนหายวับไปในชั่วพริบตา แม้แต่
เรี่ยวแรงที่จะร้องตะโกนออกมาก็ยังไม่มี เขายกมือขึ้น
ทาบลงบนลาคอที่ถูกฟันของตน ก่อนที่ร่างกายจะเริ่ม
กระตุกและดวงตาทั้งสองถลนออกมา เขาดิ้นไปมาอยู่
บนเตียงไม่กี่ครั้งก่อนที่ร่างกายจะไม่สามารถขยับ
ต่อไปได้อีก
หยางหนิงมิใช่คนที่ฆาตกรรมคนจนชินชา คืนนี้เขา
สังหารคนไปแล้วถึงสองคน ความจริงร่างกายของเขา
ก็สั่นระริกอยู่เล็กน้อย เขามิได้คุ้นชินกับการสังหารคน
เช่นนี้
แต่ว่าพวกคนเหล่านี้ที่เทียบไม่ได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน
ทาการอันใดไร้ซึ่งมนุษยธรรมนี้ ต่อให้สังหารคน
เหล่านี้ไป หยางหนิงก็ไม่มีความรู้สึกผิดอันใดเลย
แม้แต่น้อย
ในใจของเขารู้ดีว่าคนเช่นนี้หากไม่กาจัดเสียตั้งแต่
ตรงนี้ ก็มีแต่จะทาให้คนอีกมากต้องตกระกาลาบาก
บางทีการสังหารคนก็คือการช่วยคน
หลังจากที่บรรยากาศโดยรอบเริ่มกลับมาสงบสุขแล้ว
หยางหนิงถึงจะทาการดึงเซียวอี้ซุ่ยลงมาจากเตียง
ภายใต้ความมืด หยางหนิงเหลือบไปเห็นฮูหยินฮวาที่
นอนสลบไม่ได้สติ เขาจึงหมุนตัวเดินไปหยิบกาน้าชา
บนโต๊ะมา และอ้าปากอมน้าในกาไว้คาหนึ่ง ก่อนจะ
เดินกลับไปที่เตียงและวางดาบทาบลงบนลาคอของ
ฮูหยินฮวา เมื่อมองเห็นร่างกายที่มีผิวขาวเนียนของ
ฮูหยินฮวาที่อยู่เบื้องหน้าประกอบกับทรวงอกอวบอิ่ม
ที่ค่อยๆ ขยับขึ้นลงตามแรงหายใจ เขาก็ดึงหมอนมา
ปิดบริเวณทรวงอกของนางก่อนจะทาการพ่นน้าเย็น
ในปากของตนใส่ใบหน้าของฮูหยินฮวา
เป้าหมายของเขาในคืนนี้เดิมไม่ใช่การขจัดคนชั่ว
แต่เป็นการตามหาเบาะแสของเสีย่ วเตี๋ย แต่เพราะ
สถานการณ์บีบบังคับทาให้เขาจาต้องสังหารคน
ตอนนี้เซียวอี้ซุ่ยได้ตายไปแล้ว เบาะแสของเสี่ยวเตี๋ย
คงได้แต่ต้องฟังจากปากของฮูหยินฮวาแล้ว
น้าชาเย็นชืดพ่นใส่ใบหน้าของฮูหยินฮวา เมื่อถูกความ
เย็นกระทบเข้าใส่ก็ทาให้ฮูหยินฮวาค่อยๆ มีสติขึ้นมา
นางลืมตาขึ้นด้วยแววตาพร่าเลือน ก่อนจะรู้สึกถึง
ความเย็นที่ทาบอยู่บนลาคอของตนและเห็นถึงแววตา
เยือกเย็นที่จ้องผ่านมาท่ามกลางความมืดมิดผ่านใน
ห้อง ร่างกายของนางก็สั่นสะท้านก่อนจะเอ่ยออกมา
เสียงเบา “อย่า...อย่าฆ่าข้า...!”
“พวกหญิงสาวถูกส่งไปที่ใดแล้ว?” หยางหนิงเอ่ย
ออกมาด้วยน้าเสียงเยือกเย็น “ตอบมาตามจริง
บางทีอาจให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ!”
น้าเสียงของฮูหยินฮวาสั่นเครือ “ไม่ใช่ข้า ล้วนแต่เป็น
ฝี...ฝีมือของเซียวอี้ซุ่ย ท่าน...ท่านจอมยุทธ์ ขอท่านได้
โปรดไว้...ไว้ชีวิตด้วย ข้า...ข้าถูกบีบบังคับให้ทา!”
เวลานี้สีหน้าของนางซีดเซียว ท่วงท่าเย้ายวนผู้คน
ก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปจนหมดแล้ว
“คนถูกส่งไปที่ใด?” หยางหนิงเอ่ยถามอีกครั้ง
“หากยังเวิ่นเว้อ จะฟันให้ตายเสียตรงนี้!”
ศพของเซียวอี้ซุ่ยนั้นอยู่ด้านข้าง ทาให้ฮูหยินฮวารู้ดี
ว่าฝ่ายตรงข้ามมิได้ทาการล้อเล่น เวลานี้ในใจนาง
อยากแค่จะมีชีวิตอยู่ต่อ จึงรีบทาการเอ่ยสารภาพ
“พวกนางล้วนแต่...ล้วนแต่ถูกส่งไปที่เมืองหลวง”
“ส่งไปที่ใดของเมืองหลวง?”
“ข้า...ข้าไม่รู้จริงๆ” สีหน้าของฮูหยินฮวาขาวซีด
“ข้าเคยได้ยินเซียวอี้ซุ่ยพูดว่าเฝิงเจิ้งเชิ่งพาคนออกไป
จากที่แห่งนี้และพาออกไปนอกเมือง ด้านนอกเมือง
จะมีคนรับเรื่องต่อ จากนั้นก็จะถูกส่งตรงไปยัง
เมืองหลวง”
หยางหนิงรู้ว่าเฝิงเจิ้งเชิ่งนั้นต้องเป็นอีกชื่อของสุนัขบ้า
อย่างมือปราบเฝิงเป็นแน่ จึงเอ่ยออกมาด้วยน้าเสียง
เยือกเย็น “นอกเมืองมีผู้ใดรับเรื่องต่อ?”
ฮูหยินฮวาลังเลไปชั่วขณะขณะที่แววตาเป็นประกาย
ขึ้นแวบหนึ่ง หยางหนิงจึงส่งเสียงหึเบาๆ ในลาคอทา
ให้นางไม่กล้าลังเลอีกต่อไปแล้วจึงรีบเอ่ยตอบ
“เป็น...เป็นสานักคุ้มกัน”
“สานักคุ้มกัน?” หยางหนิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ คิดไม่ถึง
ว่าแม้แต่สานักคุ้มกันก็จะถูกดึงให้มาเกี่ยวข้องด้วย
ดูเหมือนว่าผู้มีอานาจที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับธุรกิจค้า
มนุษย์นี้จะมีไม่น้อยเลย
ฮูหยินฮวารีบเอ่ยต่อ “ลูกน้องของเซียวอี้ซุ่ยนั้นทา
การหลอก...หลอกพวกหญิงสาวเหล่านี้ให้มาอยู่ใน
กามือ จากนั้น...จากนั้นก็ส่งมาฝึกฝนที่นี่ รอจน
พวกนางเริ่มมีพื้นฐานบ้างแล้ว เฝิงเจิ้งเชิ่งก็จะค่อย
ลอบส่งพวกนางออกไปนอกเมือง” นางคิดอยากจะ
เอาใจเสี่ยวเตียวเอ๋อร์เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อจึงรีบทาการ
อธิบายต่อ “เซียวอี้ซุ่ยเคยพูดว่าพวกหญิงสาวเหล่านี้
ขอเพียงรู้เกี่ยวกับด้านบทเพลงการร่ายราเล็กน้อย
ราคานั้นก็จะพุ่งขึ้นสูงมาก สองปีมานี้เขาก็ใช้สงิ่ นี้มา
สร้างรายได้จานวนไม่น้อยให้กับตน”
“สานักคุ้มกันที่เจ้าพูดถึง หมายถึงหน่วยงานใด?”
หยางหนิงเอ่ยถาม “คือสานักคุ้มกันของเมืองอาเภอนี้
งั้นหรือ?”
ฮูหยินฮวาเอ่ยตอบ “เป็นสานักคุ้มกันใหญ่ ข้าเองก็
เคยถามเซียวอี้ซุ่ย เขา...เขาไม่ให้ข้าเอ่ยถามให้มาก
ความ เพียงแต่พูดว่าสานักคุ้มกันนั้นถือเป็นระดับ
ต้นๆ ของสานักคุ้มกันใหญ่ในเมืองหลวง”
“สานักคุ้มกันใหญ่ในเมืองหลวง? พวกเขาจะมาทา
เรื่องชั่วช้าเช่นนี้กับพวกเจ้าได้อย่างไร?” หยางหนิง
เอ่ยออกมาพร้อมยิ้มอย่างเยือกเย็น “เจ้ากาลังโกหก
อยู่ใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่กล้าทาเช่นนั้นแน่...!” สีหน้าของฮูหยินฮวา
เปลี่ยนไปในทันที “ข้าเองก็ได้ยิน...ได้ยินมาจาก
เซียวอี้ซุ่ย เขา...เขายังบอกอีกว่า...!” เสียงของนาง
สั่นสะท้าน ไม่กล้าทาการเอ่ยต่อขึ้นมากะทันหัน
“เขายังบอกว่าอะไรอีก?”
“เขา...เขายังบอกว่าเบื้องหลังของสานักคุ้มกันนั้นมี
คนใหญ่คนโตอยู่ หญิงสาวเหล่านั้นเมื่อถูกส่งไปที่
เมืองหลวงแล้วก็ล้วนแต่ตกอยู่ในน้ามือของคนใหญ่
คนโตผู้นั้น” ฮูหยินเอ่ยตอบเสียงสั่น “คนใหญ่คนโต
นั้นสามารถใช้ให้หญิงสาวเหล่านี้ไปทาประโยชน์ได้
มากมาย เขายังพูดอีกว่าต่อให้เรื่องนี้ถูกคน...ถูกคนรู้
เข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะว่ามีคนใหญ่คนโตนั้น
ให้การสนับสนุน ไม่มีใครสามารถก่อความวุ่นวายได้”
“คนใหญ่คนโต?” หยางหนิงรู้ในทันทีว่าคนใหญ่คนโต
นี้จะต้องเป็นผู้สนับสนุนที่เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยถึงแน่นอน
จึงยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยต่อ “เขามิได้บอกกับเจ้าว่า
คนใหญ่คนโตผู้นั้นเป็นใคร?”
ฮูหยินฮวาเอ่ยตอบ “เขามีเรื่องมากมายที่ไม่ได้บอกให้
ข้ารู้ ยังพูดอีก...ยังพูดอีกว่ายิ่งรู้เยอะก็จะยิ่งตายเร็ว...
สิ่งที่ข้ารู้ก็มีแค่นี้แล้ว เรื่องอื่นข้าไม่รู้จริงๆ”
“เช่นนั้นที่นี่มีแม่นางที่ชื่อเสี่ยวเตี๋ยอยู่หรือไม่?”
หยางหนิงเอ่ยถาม “ตอนนี้นางเองถูกส่งไปที่
เมืองหลวงแล้ว?”
ฮูหยินฮวาทาท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
“เจ้าหมายถึงเสี่ยว...เสี่ยวเตี๋ย? ใช่ นาง...นางเองก็ถูก
ส่งออกไปแล้ว”
“ถูกส่งออกไปเมื่อใด?”
“ส่งไปได้สามวันแล้ว” ฮูหยินฮวาเอ่ยต่อ “ส่งจากที่
แห่งนี้ไปยังเมืองหลวงเจี้ยนอันต้องใช้เวลาเดินทาง
ประมาณสิบกว่าวัน พวกเขา...พวกเขาน่าจะไปได้
ครึ่งทางแล้ว”
หยางหนิงส่งเสียงรับคาในลาคอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ
เก็บดาบลง ฮูหยินฮวาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ทว่าหยางหนิงกลับเอ่ยเสียงเรียบออกมาอีกครั้ง
“หันไปทางนั้น!”
ฮูหยินฮวารู้สึกว่าหัวใจบีบแน่นก่อนจะเอ่ยออกมา
เสียงสั่น “ท่านจอมยุทธ์ ท่าน...!”
“รีบหันหน้าไป” หยางหนิงเอ่ยออกมาเสียงเย็น
“เลิกพูดพล่ามเสียที”
ฮูหยินฮวาหวาดผวาด้วยความกลัว ทว่าภายใต้
คมดาบ นางก็ไม่สามารถทาการคัดค้านได้ ได้แต่
เอียงตัวไปเล็กน้อยและหมุนศีรษะไปอีกทาง
หยางหนิงได้เปลี่ยนตาแหน่งการจับของด้ามดาบแล้ว
เขาทุบมันอย่างแรงลงบนท้ายทอยของฮูหยินฮวา
ฮูหยินฮวาส่งเสียงฮึกออกมาเบาๆ ก่อนจะสลบลงไป
แม้ว่าหยางหนิงจะรู้สึกว่าการกระทาของฮูหยินฮวาก็
น่าไม่อายเช่นกัน ทว่าเขาเองก็รู้ว่าการที่หญิงม่ายจะ
ใช้ชีวิตต่อนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งการอยู่ภายใต้คน
อย่างเซียวอี้ซุ่ยนั้นก็ไม่อาจทาอะไรตามใจตนได้ ไร้ซึ่ง
สิทธิ์เสียงในการต่อต้านเซียวอี้ซุ่ย แม้ว่าการกระทา
ของนางจะชั่วร้าย แต่โทษก็ไม่ถึงตาย ไม่ควรจะใจร้าย
ถึงขั้นลงมือสังหารนาง
เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าอย่างเร็วที่สุดฮูหยินฮวาก็ต้องใช้
เวลาถึงสามสี่ชั่วยามจึงจะฟื้นขึ้นมาได้ ตอนนี้จึงทา
การเดินย่องค้นของด้านในห้องพักอยู่รอบหนึ่ง
เซียวอี้ซุ่ยนั้นมีถุงเงินอยู่ถุงหนึ่งจริง ๆ ด้วย อีกทั้ง
ด้านในยังมีเศษเงินอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมี
ประมาณสิบกว่ายี่สิบกว่าตาลึง นอกจากนี้ยังมีใบ
ทองคาอีกหลายแผ่นอยู่ในถุงเงินด้วย
นอกจากนี้เซียวอี้ซุ่ยยังมีแหวนอีกวงหนึ่ง และฮูหยิน
ฮวาก็มีเครื่องประดับเงินทองอยู่ไม่น้อย หยางหนิงหา
ถุงผ้าพบใบหนึ่งจึงได้นาของมีค่าจานวนนับไม่ถ้วน
เหล่านี้ห่อเข้าไปด้านใน แค่เงินสดที่มีในตอนนี้ก็ราวๆ
สองร้อยกว่าตาลึงแล้ว
มือหนึ่งของเขาถือถุงผ้าเอาไว้ ขณะที่อีกมือหนึ่ง
ถือดาบอยู่ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวออกจากห้องไปและ
ปิดประตูห้องพักและประตูใหญ่ลงให้สนิทดั่งเดิม แล้ว
ค่อยๆ ย่องออกจากเรือนพักและกลับไปยังคอกม้าที่
มืดมิดนั้นดั่งเดิม
ภายในเรือนที่มีคอกม้านั้นเงียบสนิท ก่อนที่หยางหนิง
จะค่อยๆ ก้าวไปทางห้องพักที่อยู่เรียงกันตรงนั้น
เมื่อเห็นว่าประตูห้องแค่ทาการปิดแง้มเอาไว้ เขาก็
ค่อยๆ ผลักเข้าไปเบาๆ ด้านในเกิดเสียงเคลื่อนไหวขึ้น
สักพักหนึ่ง ก่อนที่หยางหนิงจะกวาดตาไปรอบหนึ่ง
และพบว่าด้านในห้องพักเวลานี้มีร่างของคนเพิ่ม
ขึ้นมาจานวนไม่น้อย จึงทาการเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ข้าเอง!”
พวกหญิงสาวเมื่อได้ยินเสียงของหยางหนิงแล้วก็รู้สึก
ผ่อนคลายลงในทันที ในขณะที่ซิ่วเอ๋อร์ได้เดินออกมา
ด้านหน้าและทาการเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชาย ข้าได้ทาการ
เปิดประตูห้องพักเหล่านั้นและบอกกับพวกนางแล้ว
พวกนางล้วนแต่อยากที่จะออกไป ข้าบอกให้พวกนาง
อย่าทาอะไรโดยพลการ รอให้ท่านกลับมาก่อน”
ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบาอีกครั้ง “พี่ชาย พวกเรา...
พวกเราออกไปได้จริงหรือ?”
หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าในสายตาของหญิงสาวเหล่านี้
แล้ว พวกนางรู้สึกว่าจวนสกุลฮวานั้นเป็นราวกับ
ขุมนรกที่มีกาแพงทองแดงสูงตระหง่าน จะใช้เพียง
เรี่ยวแรงของหนุ่มน้อยคนหนึ่งมาช่วยพวกนางกลุ่ม
ใหญ่ออกไปได้นั้นถือเป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออยู่ไม่น้อย
มิน่าพวกนางถึงได้มีใจว้าวุ่นยากจะสงบได้
หยางหนิงเองก็ไม่ได้ทาการอธิบายอะไรให้มาก
แต่กลับเอ่ยเสียงเบาออกมาแทน “ยังมีเวลาอีก
สองชั่วยามฟ้าก็จะสางแล้ว ตอนนี้ข้าจะพาพวกเจ้า
หนีออกไป ทุกคนจะต้องระวังตัวให้มาก ห้ามส่งเสียง
อะไรออกมา หากทาให้ผู้คนในจวนรับรู้ เช่นนั้นก็จะ
ลาบากแล้ว” พร้อมกับเอ่ยต่อว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า
บิดามารดาของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?”
ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยตอบ “ที่แห่งนี้มีทั้งหมดสามสิบสองคน
มียี่สิบสามคนที่บิดามารดายังอยู่ในเมือง และที่เหลือ
ก่อนจะเข้าเมืองนั้นก็ได้พรากจากบิดามารดาตนไป
แล้ว”
หยางหนิงขมวดคิ้วพร้อมเอ่ย “เช่นนั้นพวกนางก็ไม่มี
ที่ให้ไปแล้ว?”
ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยตอบเสียงเบา “พวกเราได้ทาการปรึกษา
กันแล้ว พี่น้องที่ไม่มีบิดามารดานั้นให้ไปกับพวกเรา
ก่อน พวกเราจะช่วยกันดูแลเอง”
หยางหนิงรู้สึกประทับใจอยู่ไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ
เสียงเบา “หลังจากที่ข้าพาพวกเจ้าออกจากเรือนพัก
แล้ว พวกเจ้าห้ามรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ให้แยกตัว
ออกเป็นกลุ่มๆ คนหากมีมากแล้วมักจะพบเห็นได้
โดยง่าย ขอเพียงพวกเจ้าสามารถหาบิดามารดาใน
เมืองพบ ก็รีบเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ประกาศ
ออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนถูกหลอกมาได้อีก”
แม้ว่าเซียวอี้ซุ่ยจะตายไปแล้ว แต่ว่ามือปราบเฝิงยังมี
ชีวิตอยู่ ใครก็ไม่อาจรับประกันได้ว่ามือปราบเฝิงจะ
ยอมรามือ
“พี่ชาย พวกเราจะออกไปได้อย่างไร?” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ย
ถามเสียงเบาอีกครั้ง “ประตูใหญ่มีคนเฝ้าอยู่ พวกเรา
ออกไปไม่ได้”
หยางหนิงเอ่ยตอบเสียงเบา “ตอนนี้เจ้าให้ทุกคนไป
เตรียมตัว พวกเราจะออกไปตอนนี้” ตอนนี้ไม่ใช่เวลา
ที่จะมาพูดให้มากความ เขาผลักประตูออกไปก่อนจะ
เดินไปที่ประตูของคอกม้าและทาการตรวจสอบให้
ละเอียดอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าบริเวณโดยรอบไม่มีคน
แล้ว ไม่นานเขาก็เห็นเงาคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ย่องมา
หยางหนิงจึงเอ่ยถามออกมาด้วยน้าเสียงที่แผ่วเบา
“มากันครบแล้วใช่หรือไม่?”
“ครบแล้ว!”
ตอนนี้หยางหนิงถึงได้กาดาบเอาไว้ในมือและเดินนา
ทางอยู่ด้านหน้า พวกหญิงสาวก็เดินตามอยู่ด้านหลัง
ราวกับอสรพิษตัวใหญ่ยาว
สาหรับตาแหน่งทิศทางของเรือนพักด้านหลังนั้น
หยางหนิงได้ทาความคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว เขาจึง
สามารถเดินนาได้อย่างคล่องแคล่ว
ในใจของหญิงสาวส่วนมากนั้นยังคงเป็นกังวล
ทว่าพวกนางก็ล้วนแต่พยายามกลั้นลมหายใจของ
ตัวเอง และได้แต่หวังว่าจะสามารถออกไปจากที่
แห่งนี้ได้โดยเร็ว
หยางหนิงเดินนาทางพลางสังเกตความเคลื่อนไหว
ด้านหน้าโดยรอบ ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าด้านหลัง
ของสวนดอกไม้ที่อยู่เบื้องหน้านั้นมีเงาแถบหนึ่ง
ปรากฏขึ้น หยางหนิงรู้สึกใจสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบ
ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดฝีเท้าลง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก ทาให้หญิงสาว
บางคนที่กาลังก้มหน้าเดินอยู่นั้นมองไม่เห็นว่าผู้อื่นที่
เดินอยู่ด้านหน้าได้หยุดลงแล้ว ทาให้ศีรษะเดินไป
กระแทกเข้า ชั่วขณะหนึ่งก็มีคนกลุ่มหนึ่งส่งเสียง
โอดครวญขึ้น
หยางหนิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะได้ยินเสียง
ที่ดังมาจากทางด้านหน้า “ใครอยู่ตรงนั้น?”
เวลานี้พวกหญิงสาวทั้งหลายล้วนมีสีหน้าซีดเผือด
ราวกับวิญญาณได้หลุดออกจากร่าง ขณะที่หยางหนิง
นั้นไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ตัวเขาพุ่งไปด้านหน้า
อย่างรวดเร็วราวกับเสือตะครุบเหยื่อ
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 11 พ้นอุปสรรค
หยางหนิงนั้นรู้ดีว่าเมื่อฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงร้อง
ออกมา ผลลัพธ์นั้นก็จะยุ่งยากเหนือจินตนาการแล้ว
ต่อให้ตนสามารถอาศัยจังหวะนี้เล็ดลอดออกไปได้
ทว่าจุดจบของหญิงสาวเหล่านี้จะต้องน่าอนาถมาก
เป็นแน่
เซียวอี้ซุ่ยและเหล่าสิงถูกสังหารไปแล้ว เมื่อข่าวนี้
กระจายออกไป สาหรับคนทั่วทั้งอาเภอฮุ่ยเจ๋อจะ
ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ฟ้าทลายเป็นแน่
เครือข่ายของเซียวอี้ซุ่ยนั้นใหญ่โตมาก อีกทั้งยังไป
ข้องเกี่ยวกับอานาจจานวนไม่น้อย พวกเขาจะต้อง
ยอมทุ่มเททุกสิ่งอย่างในการตามหาตัวเขาเป็นแน่
คนเหล่านี้ล้วนมีอานาจยิ่งใหญ่ในอาเภอฮุ่ยเจ๋อ ใน
สายตากลุ่มคนเหล่านี้ ตัวเขาก็ไร้ค่าราวกับมดตัวน้อย
อีกทั้งพวกหญิงสาวเหล่านี้จะต้องไม่มีโอกาสหลบหนี
จากจวนสกุลฮวาเป็นแน่ และอาจถูกทารุณกรรม
อย่างต่าช้าเพราะเรื่องนี้ด้วยก็เป็นได้
สังหารเซียวอี้ซุ่ยคนหนึ่ง บางทีอาจไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก
มากนัก ทว่าหากจะดึงอานาจตั้งแต่ท้ายตอไปจนถึง
ต้นตอแล้ว หยางหนิงรู้ตัวดีว่าตนไม่สามารถทาได้
ท่วงท่าของเขารวดเร็วดุจเสือล่าเหยื่อ แม้ว่าคนทาง
ฝั่งตรงข้ามจะสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเบื้องหน้า
แล้ว ทว่าเขากลับไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน
แน่ ด้วยเหตุนี้จึงทาแค่เอามือกดดาบที่คาดบริเวณเอว
เอาไว้ และค่อยๆ ก้าวต่อไปด้านหน้า อยู่ๆ กลับ
มองเห็นเงาของคนร่างหนึ่งกระโจนพุ่งใส่ตน ทาให้
เกิดอาการตกตะลึงขึ้นชั่วขณะ เขาคิดอยากจะ
ชักดาบออกมา แต่กลับรู้สึกว่าเมื่อครู่ตนแค่ตาลายไป
เท่านั้น จากนั้นก็มีแสงของดาบวาดขึ้นเป็นเส้นหนึ่ง
ก่อนที่ลาคอของเขาจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง
หลังจากที่หยางหนิงใช้ดาบฟันลงบนคอหอยของคน
ผู้นั้นให้ขาดแล้ว คนผู้นั้นก็รีบยกมือขึ้นทาบลงบน
ลาคอของตน แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนที่
ในคอหอยจะเกิดเสียง “กึกกักกึกกัก” ขึ้น โชคยังดีที่
เขาไร้เรี่ยวแรงที่จะร้องตะโกนแล้ว ร่างกายก็ค่อยๆ
โยกเยกไปมา ต่อมาศีรษะของเขาก็หล่นกระแทกลง
บนพื้น
พวกหญิงสาวที่เดินตามหลังหยางหนิงอยู่นั้น เมื่อเห็น
เหตุการณ์เบื้องหน้า พวกนางต่างก็มีสีหน้าขาวซีด
มือถูกยกขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้ ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
ออกมา
หยางหนิงเมื่อสังหารคนผู้นั้นเสร็จแล้ว สายลมในยาม
ค่าคืนพัดผ่านไป เขาถึงค่อยรู้สึกว่าแผ่นหลังของตน
นั้นเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ก่อนจะโยนดาบใหญ่ในมือทิ้งลงพื้น ตัดสินใจดึงขา
ข้างหนึ่งของคนผู้นั้นมาและลากไปทางด้านหลังของ
พุ่มดอกไม้
เวลานี้ร่างกายของเขาเริ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง
แล้ว อีกทั้งร่างกายของคนผู้นั้นยังมีขนาดใหญ่โต
ทาให้รู้สึกหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย เมื่อซิ่วเอ๋อร์สังเกตเห็น
นางก็รีบวิ่งออกมาทางด้านหน้าและดึงขาอีกข้างหนึ่ง
ของซากศพ ช่วยหยางหนิงดึงคนผู้นั้นไปที่หลัง
พุ่มดอกไม้ด้วยกัน
หยางหนิงหยิบดาบขึ้นอีกครั้งก่อนจะก้าวไปหยิบห่อ
ผ้าที่ตนทิ้งเอาไว้ แล้วจึงยกมือขึ้นโบกไปทางด้านหลัง
นาหญิงสาวทั้งหลายเดินผ่านศาลาแปดเหลี่ยมที่อยู่
ทางสวนด้านหลัง เมื่อหมุนตัวมาจนถึงด้านหลังพุ่ม
ดอกไม้แล้ว พวกซิ่วเอ๋อร์และหญิงสาวทั้งหลายที่เดิน
ตามมาก็พบว่าด้านล่างของกาแพงนั้นมีช่องรูอยู่
จุดหนึ่ง
ชั่วขณะหนึ่งพวกนางทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ไม่มีใครเคย
คาดคิดว่าที่แห่งนี้จะมีทางออกอยู่จุดหนึ่งด้วย
หยางหนิงทาสัญญาณมือเพื่อบอกทุกคนให้หนีออกไป
ทางช่องรูนี้
สาหรับหญิงสาวเหล่านี้ จวนแห่งนี้ก็เปรียบเสมือน
นรกบนดิน เวลานี้การจะสามารถหลบหนีออกจาก
นรกแห่งนี้ได้นั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าทางด้านหน้าเป็น
เพียงแค่ช่องรูที่แสนสกปรกรูหนึ่ง ต่อให้เป็นเขาดาบ
ทะเลเพลิง พวกนางก็จะต้องลองเสี่ยงดวงดูสักครั้ง
เวลานี้หยางหนิงได้หยิบดาบยาวขึ้นมาและยืนเฝ้าอยู่
ทางประตูสวนพร้อมลอบสังเกตการณ์อย่าง
ระมัดระวัง เขารออยู่เนิ่นนานจนกระทั่งทางด้านหลัง
ไร้ซึ่งซุ่มเสียงอีก เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าด้านหลัง
ตนไม่มีเงาคนอยู่อีกต่อไปแล้ว เขาถึงได้ตัดสินใจเดิน
กลับไป เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทั้งหลายล้วนออกไปผ่าน
ช่องรูนั้นแล้ว ตนก็มุดลอดออกไปด้วยเช่นกัน
ในตรอกทางเดินที่คับแคบนั้น หญิงสาวทั้งหลายยืน
เรียงกันเป็นแถว เบียดตัวเดินผ่านตรอกเล็กไป รอ
จนกระทั่งหยางหนิงออกมาจากช่องรูแล้วถึงพบว่า
ทุกคนต่างหันหน้ามองมาทางเขาอยู่
หยางหนิงลุกขึ้นยืน กลับพบว่าซิวเอ๋อร์ได้คุกเข้าลงที่
พื้นด้านหน้าอยู่ก่อนแล้ว พวกหญิงสาวคนอื่นเองก็ไม่
ลังเล ต่างก็ทาการคุกเข่าลงกับพื้น หยางหนิงนิ่งอึ้งไป
ชั่วขณะ ก่อนจะรีบดึงหญิงสาวเหล่านั้นให้ลุกขึ้นและ
ทาการเอ่ยเสียงเบา “ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน พวกเจ้า
รีบออกไปจากที่นี่เถิด”
ทิศทางของเรื่องราวในค่าคืนนี้อยู่เหนือกว่าที่เขา
คาดการณ์ไว้แต่แรกเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าศรธนู
ได้งา้ งไว้แล้ว จะไม่ปล่อยออกก็ไม่ได้
เขารู้ดีว่าเมื่อตนยื่นมือเข้าช่วยหญิงสาวเหล่านี้ให้
หลบหนีออกมา เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเปลี่ยนแปลง
ชะตาชีวิตของคนจานวนไม่น้อย
“พี่ชาย ถ้าหากไม่มีท่าน พวกเรา...!” ซิ่วเอ๋อร์สะอื้น
“ท่านเป็นเทพที่สวรรค์ส่งมา พวกเราจะจดจาท่านไป
ตลอดชีวิต”
หยางหนิงยิ้มพร้อมเอ่ยออกมาเสียงเบา “สงครามได้
จบลงแล้ว พวกเจ้าควรรีบกลับบ้านไปโดยเร็ว อนาคต
จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข” เขาเปิดถุงผ้าออกก่อนจะ
เอาถุงเล็กถุงหนึ่งออกมา จากนั้นก็นาถุงผ้าใหญ่ยื่นไป
ด้านหน้า “ในนี้มีเงินทองอยู่จานวนหนึ่ง เจ้าเอาไป
แบ่งให้คนอื่นๆ เงินทองมีไม่มากนัก ทว่าก็คงเพียงพอ
ให้พวกเจ้าใช้ชีวิตไปได้ช่วงหนึ่ง พวกคนที่พ่อแม่ไม่อยู่
เจ้าก็ให้พวกนางมากหน่อย ทุกคนช่วยกันดูแล
พวกนางให้ดี”
เงินทองเหล่านี้ในมือของเซียวอี้ซุ่ยก็มิใช่เงินสะอาด
อันใด พวกหญิงสาวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้อพยพที่มี
ชีวิตยากลาบาก นาเงินสกปรกเหล่านี้ไปให้กับ
พวกนาง ให้พวกนางได้ใช้ประทังชีวิตนั้นถือเป็นวิธี
จัดการที่ดีที่สุด
“พี่ชาย สิ่งนี้...!”
หยางหนิงส่ายศีรษะพร้อมเอ่ย “ไม่ต้องพูดให้มากแล้ว
ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว รีบออกไปจากที่นี่เถิด...!”
ก่อนจะยัดเอาถุงผ้าใส่ในอ้อมอกของซิ่วเอ๋อร์ และ
นาถุงเงินเล็กเก็บเข้าไปในอกเสื้อตน ทิ้งดาบเล่มนั้น
ลงในทางเดินน้าทิ้ง ก่อนจะโบกมือเบาๆ เป็น
สัญญาณให้พวกหญิงสาวรีบจากไป
หญิงสาวทั้งหลายล้วนมีสีหน้าตื้นตันใจ ทว่าพวกนาง
ก็รู้ว่าที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่ต่อนานนัก จึงทาการแบ่ง
ออกเป็นสองกลุ่มและเดินแยกออกไปสองข้างทาง
ของตรอกทางเดิน หยางหนิงรอจนพวกนางออกจาก
ตรอกซอยนี้ได้แล้ว ถึงค่อยทาการจัดเสื้อผ้าตนให้ดีอีก
ครั้งและค่อยๆ คลาออกจากตรอกไปเช่นกัน เมื่อเห็น
พวกหญิงสาวทั้งหลายยืนรออยู่ด้านหน้าตรอกทางเข้า
คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันแน่น ก่อนจะรีบโบก
สะบัดมือ หญิงสาวเหล่านั้นถึงจะเร่งรุดจากไปโดยถือ
โอกาสที่ท้องฟ้ายังมืดมิดอยู่
หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าการตายของเซียวอี้ซุ่ยนั้นจะ
เป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างความสั่นสะเทือนเป็นอย่างมาก
ให้กับอาเภอฮุ่ยเจ๋อ คนผู้นี้มีเครือข่ายหยั่งลึกอยู่ใน
อาเภอฮุ่ยเจ๋อแห่งนี้ มิเพียงแต่มีความสัมพันธ์อย่าง
เปิดเผยกับคนจานวนหนึ่ง กระทั่งทางตลาดมืดเขาก็มี
ส่วนเกี่ยวข้องด้วย รอจนถึงวันพรุ่งนี้เมื่อมีคนพบ
ซากศพ จะต้องเกิดพายุครั้งใหญ่ขึ้นเป็นแน่
แม้ว่าตนจะลงมือกลางดึก ชั่วขณะหนึ่งคงไม่ถูกผู้คน
พบเจอ ทว่าสุดท้ายพรรคพวกของเซียวอี้ซุ่ยก็ต้อง
ตรวจจนมาถึงตัวเขาอยู่ดี ตอนนี้เมืองฮุ่ยเจ๋อเกรงว่า
จะเป็นสถานที่ที่อันตรายมากกับตนเป็นแน่แล้ว
เขาอาศัยเวลาที่ท้องฟ้ายังมืดมิดนี้เร่งรุดกลับไปที่
ศาลเจ้า
ยังไม่ทันจะได้เข้าไปก็เห็นเหล่าชู่ผีและโหวจื่อนั่งรออยู่
ทางหน้าประตูศาลเจ้าแล้ว เมื่อเห็นหยางหนิงกลับมา
เหล่าชู่ผีก็รีบลุกขึ้นทาการต้อนรับพร้อมกับเอ่ยถาม
เสียงเบา “พบแม่นางเสี่ยวเตี๋ยแล้ว? ตอนนี้นางเป็น
อย่างไรบ้าง?”
หยางหนิงยิ้มพร้อมเอ่ยตอบ “พบแล้ว หลายวันมานี้
นางเองก็ล้มป่วย เพิ่งดีขึ้นได้ไม่มากนักแต่ตอนนี้
ปลอดภัยดีแล้ว” พลางลอบคิดในใจว่าหากนาเรื่องใน
ค่าคืนนี้มาบอกแก่คนทั้งสอง มิรู้ว่าพวกเขาจะมีสีหน้า
เช่นไรกันบ้าง
เหล่าชู่ผีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเอ่ย
“เช่นนั้นก็ดี ข้าเป็นกังวลตลอดคืน เห็นเจ้ากลับมาได้
ก็ดีแล้ว”
หยางหนิงรู้ว่าเหล่าชู่ผีนั้นเป็นห่วงตนจากใจจริง
เขาจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย ในใจรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง
โหวจื่อนั้นกลับมีท่าทีเก้อเขินอยู่บ้างก่อนจะรีบเอ่ย
“คือว่า...คือว่าข้าเห็นเจ้าครึ่งค่อนวันยังไม่กลับมา
ก็เลย...ก็เลยกลับมารอเจ้าที่นี่ก่อน...!”
หยางหนิงเพียงแค่ยิ้มมิได้เอ่ยอะไรต่อ ในใจเขากลับรู้
ว่าเจ้าเด็กนี่กลัวว่าจะถูกดึงไปเกี่ยวโยงด้วย จึงรีบหนี
ออกจากสถานที่แห่งนั้น
แน่นอนว่าเขาไม่มีอารมณ์มาคิดเล็กคิดน้อยกับโหวจื่อ
เมื่อกลับมาถึงด้านในศาลเจ้าและเห็นพวกยาจก
คนอื่นๆ กาลังนอนหลับอย่างสบาย เขาก็เดินเข้าไปที่
ห้องพักด้านข้าง เหล่าชู่ผีเองก็เดินตามเข้ามา
หยางหนิงเหลือบมองไปทางด้านนอกผ่านทางประตู
ห้องพักก่อนจะเห็นว่าโหวจื่อเองก็เอียงตัวนอนลงด้วย
ท่าทางที่ดูคล้ายจะเหน็ดเหนื่อยมาก เขาถึงจะค่อย
หมุนตัวเดินไปทางกองฟางและดึงมือของเหล่าชู่ผีมา
กดเสียงของตนลงต่าพร้อมเอ่ยขึ้น “เหล่าชู่ผี เจ้าต้อง
ออกไปจากที่นี่แล้ว”
เหล่าชู่ผีนิ่งอึ้งไป ขณะที่หยางหนิงได้ดึงเอาถุงเงิน
ขนาดเล็กออกมาและยื่นนิ้วเข้าไปหนีบเอาใบทองคา
แผ่นหนึ่งออกมา ก่อนจะวางถุงเงินนั้นลงบนมือของ
เหล่าชู่ผี
เหล่าชู่ผีที่เห็นว่าในมือของหยางหนิงมีใบทองคา เขาก็
นิ่งค้างไปแล้ว จากนั้นเมื่อดึงสติกลับมาได้แล้วกลับ
พบว่าบนมือของตนถือถุงเงินเอาไว้ถุงหนึ่งเป็นที่
เรียบร้อยแล้ว ภายใต้แสงไฟที่ริบหรี่ เขาก็เหลือบเห็น
ว่าในถุงเงินนั้นมีเศษเงินอยู่จานวนหนึ่ง อีกทั้งยังมี
ใบทองคาอยู่หลายใบด้วยจึงยิ่งเกิดอาการตกตะลึง
ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบออกมา “นี่คือ...!” ยังมิทันได้
เอ่ยจบ หยางหนิงก็ได้ยื่นมือออกไปปิดปากเขาแล้ว
“เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไร ฟังข้าพูดให้จบก่อน”
หยางหนิงขยับเข้าไปใกล้หูของเหล่าชู่ผีและกดเสียง
ลงต่าพร้อมเอ่ยออกมา
เหล่าชู่ผีพยักหน้าลง หยางหนิงถึงยอมปล่อยมือและ
เอ่ยต่อเสียงเบา “เซียวอี้ซุ่ยและพวกลูกน้องมือปราบ
ของเขาทาการค้ามนุษย์ เสี่ยวเตี๋ยได้ถูกพวกเขาส่งไป
ที่เมืองหลวงแล้ว...!”
ร่างกายของเหล่าชู่ผีสั่นสะท้าน ขณะที่แววตาปรากฏ
ความตกตะลึงอย่างหวาดกลัวขึ้น มือทั้งสองค่อยๆ
กาแน่นเป็นหมัด
“ข้าเองก็ไม่สามารถอธิบายรายละเอียดกับเจ้าได้”
หยางหนิงเอ่ยเสียงเบาต่อ “เซียวอี้ซุ่ยได้ถูกข้าสังหาร
แล้ว หากไม่เกิดเหตุผิดพลาด พวกลูกน้องของเขา
ไม่นานก็จะตรวจสอบมาถึงตัวข้าได้ เจ้าอยู่กับข้ามา
โดยตลอด หากพวกเขาตรวจมาถึงข้าก็จะต้องดึงเจ้า
เข้าไปเกี่ยวด้วยแน่”
เหล่าชู่ผีตัวสั่นไปทั่วร่าง แน่นอนว่าเขารู้ถึงผลลัพธ์ใน
การกระทาเช่นนี้ของหยางหนิงจึงเอ่ยออกมาด้วย
อาการตกตะลึง “เจ้า...เจ้าฆ่าเซียวอี้ซุ่ยไปแล้ว?”
หยางหนิงพยักหน้าลงเบาๆ สีหน้าจริงจังขณะเอ่ยต่อ
เสียงเบา “ฟ้าใกล้จะสางแล้ว ประตูเมืองอีกไม่นานก็
จะเปิดออกแล้ว ข้าไม่อาจทิ้งเสี่ยวเตี๋ยโดยไม่สนใจได้
เพราะฉะนั้นข้าจะไปตามหาเสี่ยวเตี๋ย เหล่าชู่ผี
เจ้าเองก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อได้แล้ว เงินเหล่านี้เจ้าเก็บ
เอาไว้ก่อน ตอนนี้สงครามได้สงบลงแล้ว เจ้าไปหา
สถานที่หนึ่งและสร้างรายได้เล็กน้อย พร้อมกับหา
ภรรยามาใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างสงบเถิด...!”
“เสี่ยวเตียวเอ๋อร์...!” เหล่าชู่ผีขอบตาแดงก่า
“เจ้าสุนัขเซียวอี้ซุ่ยนั้นไร้ซึ่งมนุษยธรรม คนมากน้อย
เท่าไรคิดอยากจะสังหารเขา เจ้า...เจ้านั้นขจัดภัย
ให้กับชาวบ้านแล้ว ข้าและ...!” เดิมเขาคิดอยากจะ
บอกว่าตนอยากติดตามเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ไปตามหา
เสี่ยวเตี๋ยด้วย แต่เขาก็รู้ดีว่าตนอายุมากแล้ว ร่างกาย
ไม่แข็งแรง หากติดตามเสี่ยวเตียวเอ๋อร์ไปก็มีแต่จะ
เป็นภาระ ริมฝีปากจึงขยับเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ต่อ
หยางหนิงกลับดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเขา
จึงยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกุมมือของ
เหล่าชู่ผีเอาไว้แล้วเอ่ยตอบเสียงอ่อน “ทางไปเมือง
หลวงนั้นไกลยิ่งนัก อีกทั้งแม้แต่ตัวข้าก็ไม่รู้ว่าจะหา
เสี่ยวเตี๋ยพบหรือไม่ เหล่าชู่ผี เจ้าเป็นคนมีจิตใจเมตตา
ถ้าหากไม่ได้เจ้ามาคอยดูแล เกรงว่าข้าคงไม่มีชีวิต
รอดแล้ว บุญคุณนี้ของเจ้า ข้าจะไม่ลืมเด็ดขาด”
เหล่าชู่ผีกาลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าหยางหนิง
กลับส่ายหน้าพร้อมเอ่ยต่อเสียงเบา “เวลามีไม่มาก
แล้ว หากศพของเซียวอี้ซุ่ยถูกพบ เป็นไปได้อย่างมาก
ว่าเมืองฮุ่ยเจ๋อจะลงกลอนปิดเมือง เจ้ารู้หรือไม่ว่า
ประตูเมืองจะเปิดเมื่อใด?”
เหล่าชู่ผีรีบเอ่ยตอบ “เวลาเปิดปิดประตูเมืองนั้น
เกี่ยวข้องกับฤดูกาลด้วย ฤดูกาลนี้ ยามเหม่าสามเค่อ*
ก็จะทาการเปิดประตูเมืองแล้ว!”
สาหรับช่วงเวลาของโบราณนั้นหยางหนิงยังพอจะ
รู้จักอยู่บ้าง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
“ตอนนี้เจ้าไปเตรียมการและเดินไปทางฝั่งเหนือของ
ประตูเมืองก่อน ขอเพียงประตูเมืองเปิดออก เจ้าก็
ออกจากเมืองไปทันที ไปได้ไกลเท่าใดก็ยิ่งดี อย่าได้
คิดกลับมาอีก”
“แล้วเจ้า...?”
“ข้าจะออกจากทางประตูเมืองทางใต้” หยางหนิงเอ่ย
เสียงเบา “พวกโหวจื่อไม่รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป พวกเขาจะต้องถูกดึง
เข้าไปเกี่ยวข้องแน่ จึงไม่อาจอยู่ในเมืองต่อด้วย
เช่นกัน หลังจากฟ้าสาง ข้าจะพาพวกเขาออกจาก
เมืองก่อน”
เหล่าชู่ผีเอ่ยออกมาเสียงเบา “ตอนนี้ไม่อาจบอก
พวกเขาได้ หากพวกเขาเกรงว่าจะถูกดึงไปเกี่ยวด้วย
และทาลอบหักหลังเจ้า เช่นนั้นก็จะ...!”
“ข้ารู”้ หยางหนิงเอ่ยออกมาด้วยน้าเสียงที่แฝงด้วย
ความขบขันจางๆ “หลังจากออกเมืองแล้ว ข้าค่อยให้
พวกเขาหลบหนี”
เหล่าชู่ผีเห็นหยางหนิงจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว
เขาก็พยักหน้าลงเบาๆ เขารู้ดีว่าหยางหนิงตั้งใจให้เขา
หนีจากไปตัวคนเดียว ก็เพราะกลัวว่าหากพวกโหวจื่อ
ไปด้วยกันกับเขาแล้ว คนเหล่านั้นอาจจะเห็นเงินทอง
และเกิดความคิดไม่ดีขึ้น
เขานาเอาถุงผ้าในมือวางลงกับพื้น ก่อนจะกอด
หยางหนิงแน่น เมื่อหยางหนิงถูกยาจกชรากอดตัวเอง
ไว้ ชั่วขณะหนึ่งเขาก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ทว่าเขาเองก็รู้
ว่าวันนี้เมื่อจากกันแล้วอาจจะไม่มีวันได้พบกันอีก
จึงได้แต่ยกมือขึ้นตบหลังของเหล่าชู่ผีเบาๆ และเอ่ย
ต่อเสียงเบา “เจ้าดูแลตัวเองให้ดี หากยังมีวาสนาต่อ
กันอยู่ พวกเราก็จะได้พบกันอีกแน่ นี่ก็สายมากแล้ว
ไม่ควรเสียเวลาอีก เหล่าชู่ผี เจ้ารีบไปเถิด!”
เหล่าชู่ผีปล่อยมือก่อนจะเก็บถุงผ้าของตนให้
เรียบร้อย และหยิบเอาไม้กระบองขึ้นมาถือไว้ในมือ
พร้อมกับก้าวเท้าเดินจากไป แต่เมื่อเดินไปจนถึงหน้า
ประตู เขาก็หันกลับมามองหยางหนิงอีกแวบหนึ่ง
หยางหนิงอมยิ้มออกมาพร้อมกับโบกมือเบาๆ
เหล่าชู่ผีพยายามไม่ให้ตัวเองหลั่งน้าตาออกมาก่อนจะ
รีบรุดเดินจากไป
*ยามเหม่าสามเค่อ คือช่วงเวลาประมาณ 05.45
(ยามเหม่า 05.00 – 06.59 และ 1 เค่อคือเวลา
15 นาที)
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 12 หนีตาย
หยางหนิงรอเหล่าชู่ผีจากไปได้ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อย
ปลุกโหวจื่อให้ตื่นขึ้น โหวจื่อที่เพิ่งนอนหลับได้ไม่นาน
นักก็มีสีหน้างุนงงก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้้าเสียง
ง่วงงุน “พี่...พี่ใหญ่เตียว เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หยางหนิงยิ้มพร้อมเอ่ยตอบ “พวกเจ้ารีบตื่นเถอะ
ข้าจะพาพวกเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง”
โหวจื่อชะเง้อมองออกไปทางนอกประตูแวบหนึ่ง
ด้านนอกยังคงมืดสนิทไร้แสงตะวัน ในขณะที่ก้าลังจะ
เอ่ยถามต่อนั้นหยางหนิงก็ได้เอ่ยแทรกขึ้นมาแล้ว
“พวกเจ้าไม่ไปจะต้องเสียใจแน่ จะไปหรือไม่ก็แล้วแต่
พวกเจ้า”
โหวจื่อมีความสงสัยอยู่มากมาย ทว่าก็ยังคงปลุก
คนอื่นๆ ให้ตื่นขึ้น คนทั้งหลายต่างก็มีสีหน้างุนงง
หยางหนิงเองก็ไม่เสียเวลาต่ออีก เขาน้าทุกคนเดิน
ออกจากศาลเจ้าไปและเดินน้าไปยังประตูเมืองทิศใต้
ตลอดทางพวกโหวจื่อล้วนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
พวกเขาเอ่ยถามอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหยางหนิงกลับเอ่ย
เพียงแค่เมื่อถึงก็จะรู้เอง บริเวณไม่ไกลจากประตูเมือง
ทิศใต้มากนัก คนทั้งหลายก็เริ่มหาที่นั่งจุดหนึ่งบริเวณ
ฐานก้าแพง
ยามเหม่าสามเค่อ ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างบ้างแล้ว
ตรงก้าแพงเมืองก็เริ่มมีผู้คนเดินขวักไขว่กันบ้างแล้ว
หลังจากประตูเมืองถูกเปิดออก หยางหนิงก็รีบพา
พวกโหวจื่อเดินออกจากเมืองในทันที
ยามเข้าเมืองฮุ่ยเจ๋อนั้นมีการตรวจค้นอย่างเข้มงวด
และยามออกจากเมืองหากเป็นรถม้าก็จะต้องท้าการ
ตรวจสอบเช่นกัน ทว่าพวกหยางหนิงนั้นดูแค่
แวบหนึ่งก็รู้ว่าเป็นพวกยาจกแล้ว ผู้คุมประตูเมืองจึง
ไม่มีใจคิดมาตรวจสอบพวกยาจกเหล่านี้ พวกเขา
ทั้งหลายจึงสามารถเดินออกจากประตูเมืองได้อย่าง
ง่ายดาย
หลังจากออกจากเมืองแล้ว หยางหนิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ออกมามากนัก ฝีเท้าที่ก้าวเดินของเขาค่อนข้างเร็ว
เดินน้าพวกโหวจื่อออกห่างจากประตูเมืองประมาณ
สี่ถึงห้าลี้อย่างไม่หยุดพัก
“พี่ใหญ่เตียว สรุปพวกเราจะไปที่ใดกันแน่?”
โหวจื่อทนต่อไปไม่ไหวแล้วจึงหยุดฝีเท้าลง “ตอนนี้
ทั่วอ้าเภอฮุ่ยเจ๋อนั้นไม่นับว่าสงบสุขนัก ไม่แน่ว่า
อาจจะไปเจอกับพวกโจรได้ อย่างไรเสียพวกเรากลับ
เข้าไปในเมืองจะปลอดภัยกว่านะ”
หยางหนิงหยุดฝีเท้าก่อนจะหมุนตัวกลับมาและเอ่ย
เสียงเรียบออกมา “ยื่นมือออกมา!”
โหวจื่อตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าหยางหนิงใช้
สีหน้าจริงจังจับจ้องมาทางตน เขาก็ลังเลไปชั่วขณะ
แต่สุดท้ายก็ยังคงยื่นมือออกไป หยางหนิงวางแหวน
วงหนึ่งลงบนฝ่ามือของโหวจื่อ โหวจื่อนิ่งค้างด้วยท่าที
งุนงง
“แหวนวงนี้หากน้าไปเปลี่ยนเป็นเงิน อย่างน้อยก็คง
ได้ประมาณหลายสิบต้าลึงเงิน” หยางหนิงเอ่ย
“โหวจื่อ เจ้ารีบพาพวกเขาหนีไปจากที่แห่งนี้เถิด
ไปได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี หากไม่ผิดจากที่คาดการณ์
เอาไว้ ภายในไม่กี่ชั่วยามข้างหน้าก็จะต้องมีคนมา
ตรวจสอบถึงเบาะแสของพวกเราแล้ว”
โหวจื่อและคนอื่นๆ ต่างก็หันมามองหน้ากันอย่าง
งุนงง ทว่าไม่นานโหวจื่อก็ก้าแหวนวงนั้นไว้ในมือของ
ตนพร้อมเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่ใหญ่เตียว
ท่านได้ทรัพย์สมบัติก้อนโตมางั้นหรือ?” เขาเพียงคิด
ว่าเมื่อคืนหยางหนิงขโมยทรัพย์สินจากจวนสกุลฮวา
มาจ้านวนหนึ่ง ตอนนี้จึงท้าการแบ่งเงินทองให้กับ
พวกเขา
“สมบัติก้อนโตนั้นไม่ได้รับ ทว่าปัญหาก้อนโตนั้นได้
สร้างขึ้นแล้ว” หยางหนิงเอ่ยออกมาด้วยท่าทาง
ปวดใจ “เซียวอี้ซุ่ยถูกคนสังหารแล้ว พรรคพวกของ
เขาอาจท้าการคิดบัญชีนี้ลงบนตัวข้า พวกเจ้าอาศัย
อยู่ในศาลเจ้ากับข้า บัญชีนี้ก็จะต้องคิดลงบนตัว
พวกเจ้าด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้พวกเจ้ารีบหนี
เอาชีวิตไปเถิด น้าแหวนวงนี้ไปแลกเงินสามารถเอาไป
ใช้เป็นค่าเดินทางพวกเจ้าได้ พวกเราแยกกันเสีย
ตั้งแต่ตรงนี้ บางทีชีวิตนี้อาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว”
เขาเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วและรวบรัด เมื่อเอ่ยจบก็
ไม่เสียเวลาอีก ท้าการเร่งรุดไปทางทิศใต้ต่อในทันที
หลังจากที่พวกโหวจื่อทั้งหลายนิ่งตะลึงไปแล้ว ทุกคน
ต่างก็ตกใจจนหน้าซีดเผือดพร้อมกับเร่งรุดวิ่งตามไป
และเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว “พี่...พี่ใหญ่เตียว
เป็นท่านที่สังหารเซียว...เซียวอี้ซุ่ย?”
“ผู้ใดสังหารนั้นไม่ส้าคัญอีกแล้ว” หยางหนิงมิได้หัน
หน้ากลับไปแต่กลับเร่งฝีเท้ามากขึ้น “ทว่าหาก
พวกเจ้าติดตามข้า อันตรายจะยิ่งมีมากขึ้น พวกเขา
อาจจะท้าการไล่ตามมาแล้ว จะไปที่ใดต่อพวกเจ้า
เลือกเองก็แล้วกัน”
โหวจื่อหยุดฝีเท้าลง นิ่งค้างไปชั่วขณะ คนทั้งหลายก็
ได้แต่จ้องมองดูหยางหนิงที่หายวับไปในความมืด
ผ่านไปชั่วขณะหนึ่งคนด้านหลังจึงค่อยเอ่ยถามด้วย
ท่าทีระมัดระวัง “โหวจื่อ พวกเรา...พวกเราควรท้าไง
ต่อดี?”
“จะท้าอย่างไรต่อได้?” โหวจื่อถ่มน้้าลายลงบนพื้นไป
ค้าโต “คนจะต้องเป็นเจ้าเด็กนี่ฆ่าแน่นอน พวกเรา
พลาดท่าเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะใจกล้าบ้าบิ่น
ถึงเพียงนี้ ฝีมือก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ด้วย...!” ย้อนคิดไป
ถึงก่อนหน้านี้ตอนที่ตนตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับ
เสี่ยวเตียวเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความ
กลัว “หากพวกเราไปกับเขาจะต้องซวยไปด้วยแน่
ไม่จ้าเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว รีบหนีตายก่อนเถอะ
ยิ่งออกจากอ้าเภอฮุ่ยเจ๋อเร็วเท่าไรยิ่งดี” ทว่าเขากลับ
ไม่กล้าเดินตามไปยังทิศทางที่หยางหนิงจากไปจึงได้
แต่ชี้นิ้วไปทางทิศตะวันออก “พวกเราไปทางนี้
รีบวิ่งเร็ว!”
หยางหนิงที่เดินแยกจากพวกโหวจื่อแล้วก็ถอนหายใจ
ออกมาแรงๆ อย่างโล่งอก รู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง
โล่งสบายขึ้นมาในทันที
เพียงค่้าคืนเดียวทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ก่อนหน้านี้
มีหรือที่หยางหนิงจะเคยคิดว่าหลังจากที่ตนข้ามภพ
มาแล้ว ตนจะได้ลงมือท้าเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ยิ่งคิด
ไม่ถึงว่าเพียงพริบตาก็จะต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดแล้ว
การหลบหนีออกจากอ้าเภอฮุ่ยเจ๋อนั้นเป็นเรื่องที่
จ้าเป็นต้องท้า อีกทั้งเขายังต้องตามหาเบาะแสของ
เสี่ยวเตี๋ยต่ออีกด้วย
ตอนนี้เสี่ยวเตี๋ยได้ถูกส่งไปที่เมืองหลวงแล้ว หยางหนิง
แค่ใช้ก้นไม่ต้องใช้สมองคิดก็ยังรู้ได้ว่าสถานการณ์ที่
นางต้องเผชิญจะต้องล้าบากยากเข็นเป็นแน่ เสี่ยวเตี๋ย
นั้นถือว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แน่นอนว่าเขา
ไม่อาจทิ้งนางอย่างไม่ไยดีได้
แม้ว่าตัวเขาจะรู้ดีว่าตอนนี้ตนมีอ้านาจเพียงน้อยนิด
ไม่แน่ว่าเมื่อพบเสี่ยวเตี๋ยแล้วจะสามารถช่วยนาง
ออกมาได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังต้องพยายาม
อย่างสุดความสามารถของตน เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะ
ไม่ผิดต่อสามัญส้านึกของตนเอง
ตอนนี้เขาก็ได้กุมเบาะแสเอาไว้ไม่น้อยแล้ว อย่างน้อย
เขาก็รู้ว่าเสี่ยวเตี๋ยและหญิงสาวคนอื่นๆ ได้ถูก
หน่วยงานขนส่งเป็นคนเอาตัวไป โดยจุดหมายก็คือ
เมืองหลวงอีกทั้งยังได้ท้าการออกเดินทางเป็นเวลาถึง
สามวันแล้ว
เพราะฉะนั้นการจะตามหาเสี่ยวเตี๋ย ก่อนอื่นก็ต้อง
ตามหาหน่วยขนส่งนั้นให้พบก่อน
ระยะทางระหว่างเมืองฮุ่ยเจ๋อและเมืองหลวงนั้นต้อง
ใช้เวลาเดินทางกว่าครึ่งเดือน เพราะฉะนั้นหน่วย
ขนส่งนั้นตอนนี้ก็ยังต้องอยู่ในระหว่างการเดินทาง
อย่างแน่นอน
ในเมื่อพาหญิงสาวไปจ้านวนไม่น้อย เช่นนั้นขบวนรถ
จะต้องไม่เล็กแน่ ในเมื่อเป็นถึงหน่วยงานใหญ่ระดับ
ต้นๆ ของเมืองหลวง เพื่อความปลอดภัยแล้ว แน่นอน
ว่าพวกเขาจะต้องใช้ธงของหน่วยงานในการจัดขบวน
เดินทางครั้งนี้
เพราะฉะนั้นหน่วยงานที่ว่านี้ไม่แน่ว่าจะมีวรยุทธ์
เก่งกาจมากนัก แต่จะต้องมีเส้นสายกว้างขวางอย่าง
แน่นอน หากเป็นหน่วยงานขนส่งที่ไม่มีเส้นสาย
ต่อให้มียอดฝีมือจ้านวนมาก การจะขนส่งเดินทางไป
ทั่วแผ่นดินได้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้อยู่ดี
เมื่อชูป้ายธงของหน่วยงาน ตลอดทางก็จะราบรื่นไม่มี
ผู้ขัดขวาง หน่วยงานขนส่งบางแห่งยังสามารถ
หลีกเลี่ยงการตรวจสอบระหว่างทางได้อีกด้วย
ส้าหรับข้อได้เปรียบเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้อง
ไม่มีทางยอมละทิ้ง
หยางหนิงเชื่อว่าส้านักคุ้มกันกลุ่มนี้จะต้องสะดุดตา
เป็นอย่างมาก เช่นนั้นหากตนท้าการสอบถามไปตาม
เส้นทางก็อาจจะได้รับข่าวสารบางอย่างกลับมา
อีกทั้งแม้พวกส้านักคุ้มกันนี้จะเดินทางก่อนหน้าเขาไป
ถึงสามวัน แต่ระหว่างทางจะต้องไม่มีทางเร่งรุดทั้งวัน
ทั้งคืนอย่างไม่มีหยุดพักแน่ หากตนใช้ระยะเวลาที่
พวกเขาพักผ่อนมาดึงระยะห่างที่เคยมีให้สั้นลง
เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ขอเพียงสามารถตามส้านักคุ้มกันได้ทัน เช่นนั้นก็จะมี
โอกาสได้ใกล้ชิดกับเสี่ยวเตี๋ย ต่อให้ไม่อาจช่วย
เสี่ยวเตี๋ยออกมาได้ แต่อย่างน้อยหากสามารถติดตาม
ไปด้วยได้แล้วก็จะต้องมีโอกาสประจวบเหมาะให้
ลงมือได้แน่
เขาเดินไปคิดไป จวบจนตนดึงสติกลับมาได้แล้วถึง
พบว่าท้องฟ้าได้สว่างไสวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อมองตรงไปทางด้านหน้าก็เห็นว่าเป็นถนนหลวงที่
เส้นทางค่อนข้างกว้างเส้นหนึ่ง หัวคิ้วของเขาขมวด
เข้าหากันพลางครุ่นคิดว่าหากตนเดินบนถนนเส้นทาง
หลวงเช่นนี้อย่างเปิดเผยแล้วมีกลุ่มพรรคพวกของ
เซียวอี้ซุ่ยตามมา พวกเขาก็จะสามารถพบตัวเขาได้
อย่างง่ายดาย ตอนนี้เขานึกขึ้นมาได้ว่าตนก้าลังอยู่
ในช่วงหลบหนีเอาชีวิตรอดอยู่ เวลาเช่นนี้นั้นไม่
เหมาะที่จะเดินบนถนนทางหลวงอย่างเปิดเผยจริงๆ
เขาหมุนตัวเลี้ยวไปเดินทางถนนเล็กที่พุ่งตรงไปทาง
ทิศใต้ ในใจคิดแต่จะไล่ตามส้านักคุ้มกันให้ทัน
เพราะฉะนั้นระหว่างทางจึงไม่ท้าการหยุดพักแม้แต่
น้อย ยามที่รู้สึกหิวกระหายก็แค่แวะดื่มน้้าที่บ่อน้้า
ริมทาง และหาผลไม้ป่ามาดับความหิว เมื่อถึงยาม
โพล้เพล้ของวันต่อมา เขาก็ได้จากอ้าเภอเมืองฮุ่ยเจ๋อ
มาไกลมากแล้ว
โดยไม่รู้ว่าตามเส้นทางถนนเล็กที่เขาเดินมานั้นจะท้า
ให้เขาเลี้ยวมาบรรจบกับถนนหลวงอีกครั้ง ยามนี้เห็น
ว่าทางแยกด้านหน้ามีบ้านฟางอยู่หลังหนึ่ง ด้านนอก
บ้านฟางนั้นยังมีก้านไผ่ปักตั้งอยู่ก้านหนึ่ง บนนั้น
แขวนผ้าเอาไว้ผืนหนึ่งเขียนเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า
“ชา”
ที่แห่งนี้น่าจะเป็นร้านชาข้างทางร้านหนึ่ง
เวลานี้หยางหนิงกลับรู้สึกว่าตนกระหายน้้าอยู่บ้าง
จึงเดินเข้าไปด้านในก่อนจะเห็นว่าด้านในร้านชานั้นมี
เพียงบุรุษอายุสี่สิบต้นๆ คนหนึ่งก้าลังนั่งอยู่บนเก้าอี้
ไม้ เขาจึงเอ่ยออกมาพร้อมประดับรอยยิ้มจางๆ
ไว้บนใบหน้า “ท่านลุง ท่าน...!”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยจบ บุรุษผู้นั้นก็เหลือบตามา
มองแวบหนึ่งก่อนจะโบกมือไล่พร้อมเอ่ยว่า “ไปไหนก็
ไปๆ ที่นี่หากไม่มีเงินก็ไม่มีของให้กิน” ก่อนจะหมุนตัว
เดินจากไปโดยไม่หันมามองหยางหนิงอีก
หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึง พลางคิดในใจว่านิสัย
ของผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จากนั้นก็ก้มหน้า
ลงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าของตนยังคงมีลักษณะ
เหมือนยาจกอยู่ ก็ไม่ผิดที่เมื่อบุรุษท่านนี้เห็นแล้วจึง
เอ่ยปากขับไล่และคิดไปเองว่าเขามาเพื่อที่จะขอ
อาหารกิน
“ท่านลุง ข้ามีเรื่องอยากจะสอบถามท่านหน่อย”
แน่นอนว่าหยางหนิงจะไม่จากที่นี่ไปแน่ อีกทั้งเขายัง
ก้าวไปด้านหน้าสองก้าวและเอ่ยออกมาด้วยสีหน้า
ยิ้มแย้ม “หลายวันมานี้มีขบวนคุ้มกันเดินผ่านที่แห่งนี้
หรือไม่? ที่นี่เป็นถนนหลวงที่มุ่งตรงไปยังเมืองหลวง
ใช่หรือไม่?”
“เหลวไหล” บุรุษผู้นั้นหันหน้ากลับมาพร้อมเอ่ยตอบ
อย่างหงุดหงิด “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าถนนหลวงแห่งนี้
สามารถมุ่งตรงไปยังเมืองหลวงได้ เช่นนั้นจะไม่มี
รถม้าวิ่งผ่านได้อย่างไร? ทุกวันผ่านไปผ่านมาตั้งไม่รู้
กี่คันรถ ข้าจ้าเป็นต้องจ้าด้วยหรือว่าขบวนไหนเป็น
ขบวนพ่อค้า ขบวนไหนเป็นขบวนคุ้มกัน?”
บุรุษผู้นี้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ทว่าหยางหนิงก็ไม่ได้
ถือโทษโกรธเคืองก่อนจะยิ้มๆ และถามต่อ “เช่นนั้นมี
น้้าให้ดื่มดับกระหายหรือไม่? ข้ากระหายน้้ายิ่งนัก”
“คิดจะดื่มน้้านั้นย่อมได้ ไม่เพียงแต่มีน้า ยังมีชาด้วย”
บุรุษผู้นั้นเหล่มองหยางหนิงก่อนจะเอ่ยต่อด้วย
สีหน้าที่ดูคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ขอเพียงบนตัวมีเงิน
ข้ายังสามารถเอาของกินให้เจ้าได้อีกด้วย”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบกลับมีเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น
“ก็แค่น้าชามหนึ่งมิใช่หรือ? ท้าไมต้องตระหนี่ด้วย
กิจการไม่ดีก็อย่ามาระบายโทสะใส่ผู้อื่นสิ” ก่อนจะมี
หญิงวัยกลางคนที่ผูกผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจาก
ด้านในร้านชาและยื่นน้้าชามหนึ่งให้กับหยางหนิง
หยางหนิงรีบยื่นมือออกไปรับและแหงนหน้าขึ้นดื่ม
บุรุษส่งเสียงหึเบาๆ ในล้าคอแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ออกมาอีก
หยางหนิงน้าชามยื่นคืนไปให้กับสตรีผู้นั้นก่อนจะ
ยกมือขึ้นค้านับและเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านป้า”
“เจ้ามาจากทางเหนือใช่หรือไม่?” เมื่อสตรีผู้นั้นเห็น
หยางหนิงมีสภาพเนื้อตัวมอมแมม นางกลับไม่มีท่าที
รังเกียจอีกทั้งยังเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงสารเห็นใจ
อีกด้วย “ช่างน่าสงสารเหลือเกิน อายุน้อยเพียงเท่านี้
ก็ต้องเตร็ดเตร่ไร้ที่พักพิงแล้ว หนุ่มน้อย หากเจ้าหิว
ข้าจะไปเอาแผ่นแป้งกรอบมาให้”
บุรุษผู้นั้นถลึงตาโตพร้อมเอ่ย “จะเอาแผ่นแป้งกรอบ
อะไรอีก หากทุกคนเป็นเช่นนี้พวกเราจะเอาอะไรกิน?
เจ้านี่เป็นสตรีที่ท้าให้ข้าล่มจมจริงๆ”
สตรีผู้นั้นกลับไม่สนใจพร้อมกับเข้าไปในร้านและ
หยิบเอาแผ่นแป้งกรอบแผ่นหนึ่งออกมา ลักษณะ
กรอบแห้งของมันนั้นดูไม่ค่อยน่ากินจริงๆ ทว่า
หยางหนิงก็ยังคงรีบเอ่ยขอบคุณและรับแผ่นแป้งมา
พร้อมเอ่ยถามต่อ “ท่านป้า ขอถามท่านหน่อยว่า
หลายวันมานี้เห็นขบวนคุ้มกันผ่านมาแถวนี้บ้าง
หรือไม่? น่าจะประมาณสองสามวันก่อน”
สตรีผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าและเอ่ย
ตอบว่า “ตรงนี้จะมีรถม้าผ่านมาทุกวัน ข้าไม่ได้สังเกต
จริงๆ เจ้าจะถามถึงขบวนคุ้มกันไปท้าไมกัน?”
ในขณะที่หยางหนิงก้าลังจะเอ่ยตอบนั้น อยู่ๆ ก็ได้ยิน
เสียงฝีเท้าของม้าที่ห่างไปไม่ไกลนักดังมาจาก
ทางเหนือ
บุรุษและสตรีผู้นั้นเห็นคนไปมาอยู่บ่อยครั้งจึงไม่ได้
สนใจมากนัก ทว่าหยางหนิงกลับรู้สึกบีบคั้นในหัวใจ
ขึ้นชั่วขณะก่อนจะรีบแวบตัวขึ้นไปบนร้านชาและมอง
ยาวไปทางทิศเหนือ ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน
เขาก็เห็นเพียงม้าเร็วห้าหกตัวก้าลังวิ่งทะยานมา
สถานที่แห่งนี้
ม้าเร็วดุจศรธนู ชั่วขณะหนึ่งก็ย่างมาถึงข้างร้านชา
แล้ว เมื่อกวาดตามองไปก็ล้วนแต่เป็นมือปราบที่สวม
ชุดสีฟ้า โดยคนที่น้าอยู่ด้านหน้ากระชากบังเหียนม้า
ให้หยุดลงและกวาดตามองแวบหนึ่ง บุรุษที่นั่งอยู่บน
เก้าอี้นั้นก็ได้ลุกขึ้นยืนอยู่ก่อนแล้วพร้อมเอ่ยถามด้วย
ใบหน้ายิ้มแย้ม “พวกท่านอยากจะดื่มชางั้นหรือ?
รีบเข้ามาเร็ว!”
มือปราบที่น้าขบวนกลับไม่สนใจ ก่อนจะหยิบเอา
กระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากตัวและสะบัดมันให้เปิด
ออกพร้อมเอ่ยถามบุรุษผู้นั้น “มองดูให้ดีว่าเจ้าเคย
เห็นคนผู้นี้หรือไม่?”
บุรุษผู้นั้นมองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน
เขาหันหน้ากลับไปแต่กลับพบว่าหยางหนิงที่เดิมยืน
อยู่ข้างร้านชานั้นได้หายตัวไปแล้ว ในขณะที่สาว
วัยกลางคนผู้นั้นเองก็กา้ วมาด้านหน้าและสังเกตดู
ภาพวาดนั้นพร้อมส่ายหน้าตอบ “หลายวันมานี้คน
ผ่านไปมาพวกข้าก็เห็นมาไม่น้อย ทว่ากลับไม่เห็น
คนที่เหมือนภาพวาดผู้นี้”
มือปราบผู้นั้นกลับมีสีหน้าเย็นชาพร้อมเอ่ยต่อ
“พวกเจ้ามองดูให้ดีอีกครั้ง ไม่แน่ว่าจะหน้าตา
เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน” ก่อนจะจ้องไปทาง
บุรุษผู้นั้นและเอ่ยถามเสียงต่้า “เจ้ามองซ้ายมองขวา
ท้าอะไร?”
บุรุษผู้นั้นรีบเอ่ยตอบ “ไม่...ไม่มีอะไร!”
มือปราบยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยต่อ “คนผู้นี้เป็นฆาตกรที่
ก้าลังหลบหนีอยู่ มีโทษประหาร หากพวกเจ้าทราบ
ข่าวแล้วไม่รายงานก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน
ความผิดนั้นต้องร้ายแรงถึงขั้นตัดหัว...ดูให้ดีๆ ว่าเคย
เห็นหรือไม่?” ก่อนจะหันกลับไปส่งสัญญาณทาง
สายตา มือปราบอีกสามคนก็รีบพลิกตัวลงจากม้าและ
ดึงดาบข้างเอวออกมาพร้อมพุ่งเข้าไปด้านในร้านชา
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 13 เทือกเขาหัววัว
พวกมือปราบพุ่งตัวเข้าไปในร้านชา สีหน้าของบุรุษ
ผู้นั้นก็เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน ไม่นานก็ได้ยินเสียง
ปึงปังดังออกมาจากด้านใน ทว่าชายหญิงคู่นี้ก็ไม่กล้า
เอ่ยอะไรออกมามากนัก
ร้านชานี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก มือปราบหลายนาย
ทาการตรวจสอบด้านนอกด้านในโดยละเอียดรอบ
หนึ่งก่อนจะกลับออกมาและรายงานกับหัวหน้าของ
พวกเขาว่า “ด้านในไม่มีคน”
หัวหน้าของเหล่ามือปราบนั้นก็มองดูรอบๆ อีกครั้ง
ก่อนจะส่งกระดาษแผ่นนั้นให้กับบุรุษวัยกลางคนและ
เอ่ยออกมาเสียงเย็นว่า “นี่เป็นใบประกาศจับ
แปะเอาไว้ด้านนอกร้านชาของเจ้า ขอเพียงพบเห็น
เจ้าเด็กนี่ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เมื่อจับส่งไปที่ว่าการ
แล้วพวกเราก็จะตบรางวัลให้อย่างงาม” และก็ไม่ได้
เอ่ยอะไรออกมาให้มากความอีก เขากระตุกบังเหียน
และนามือปราบคนอื่นๆ พุ่งทะยานไปด้านหน้า
รอจนมือปราบจากไปแล้ว บุรุษผู้นั้นจึงค่อยรีบหันไป
เอ่ยกับภรรยาของตน “ยาจกน้อยนั่นเป็นฆาตกร
เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่? ทาไมถึงไม่ให้ข้าแจ้งกับ
ทางการ?” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยตอบเสียงเรียบว่า
“เรื่องน้อยดีกว่าเรื่องมาก” บุรุษผู้นั้นรู้สึกโมโหอยู่
ไม่น้อยก่อนจะสารวจในนอกของร้านชาอีกครั้ง แล้ว
จึงผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมเอ่ยต่อ “เจ้าเด็กนั่นไป
แล้ว?”
เมื่อผู้เป็นภรรยาเห็นว่ามือปราบนั้นออกเดินทางไป
ไกลแล้ว นางถึงจะค่อยเดินอ้อมไปยังด้านหลังของ
ร้านชา ยืนอยู่ตาแหน่งไม่ไกลจากวงล้อมที่ก่อขึ้นด้วย
ไม้ไผ่นัก โดยวงล้อมนั้นดูก็รู้แล้วว่าเป็นสถานที่
ปลดทุกข์
บุรุษผู้นั้นเข้าใจได้ในทันที และก็เป็นดังคาด
หยางหนิงนั้นก้าวออกมาจากในนั้นจริงๆ
แม้ว่ามือปราบจะทาการตรวจสอบทั้งในและนอกของ
ร้านชาแล้วรอบหนึ่ง ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ทาการ
ตรวจสอบสถานที่ตรงนี้
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าต้องขอโทษด้วย” หยางหนิง
ยกมือขึ้นคารวะพร้อมเอ่ย “ข้าจะจากไปทันที ไม่ทา
ให้พวกท่านเดือดร้อนด้วยเด็ดขาด” แม้เขาจะรู้ว่า
ไม่ช้าก็เร็วพรรคพวกของเซียวอี้ซุ่ยจะตรวจสอบมา
จนถึงตัวเขาได้ ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะ
ดาเนินการได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ มิเพียงแต่มั่นใจว่าเขา
คือฆาตกร อีกทั้งยังเริ่มทาการออกค้นหาแล้ว
สีหน้าของชายวัยกลางคนคล้าซีดสลับกันไปมา
แววตาของเขามีความสงสัยปรากฏอยู่ไม่น้อยก่อนจะ
ทาการเอ่ยถาม “เจ้า...เจ้าสังหารคนไปจริงหรือ?”
หยางหนิงมิได้ทาการอธิบายแต่กลับดึงใบทองคา
บนตัวแผ่นนั้นออกมาและเอ่ยว่า “บนตัวของข้าไม่มี
เศษเงิน มิทราบว่าสามารถเอาใบทองคานี้แลกเป็น
เศษเงินสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
เมื่อชายวัยกลางคนเห็นใบทองคานั้นก็เกิดอาการ
ตกตะลึง ก่อนจะรีบโบกมือและเอ่ยตอบ “พวกเรา
ไม่มีเศษเงินให้แลกเยอะขนาดนั้น เจ้า...เจ้ารีบไป
เถิด!” ทว่าสายตากลับยังคงจับจ้องไปที่ใบทองคา
ใบนั้น
หยางหนิงลังเลไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังยัดใบทองคา
นั้นลงบนมือของหญิงวัยกลางคนก่อนจะรีบก้าวเดิน
จากไป สตรีผู้นั้นเอ่ยร้องเรียกอยู่หลายครั้งหยางหนิง
ถึงจะยอมหยุดฝีเท้า นางก้าวเดินมาด้านหน้าพร้อม
เอ่ยถาม “หนุ่มน้อย เจ้าคิดจะไปที่ใดหรือ?
พวกมือปราบเหล่านั้นล้วนแต่คิดจะจับเจ้า”
หยางหนิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปที่เมืองหลวง
ตามหาขบวนคุ้มกันกลุ่มหนึ่ง แต่ว่าขบวนคุ้มกันนั้น
ออกเดินทางก่อนข้าหลายวัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะ
ตามทันหรือไม่”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเขยิบเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ย
ขึ้นมาว่า “ขบวนคุ้มกันที่เจ้าพูดถึงหากเดินทางตาม
เส้นถนนหลวงนี้ ต่อให้เร็วกว่าเจ้าหลายวันก็ไม่แน่ว่า
จะตามไม่ทัน” พลางยกมือขึ้นชี้ไปทางทิศตะวันออก
เฉียงใต้ “เจ้าเดินไปทางทิศนั้นหนึ่งวันน่าจะมองเห็น
เทือกเขาหัววัว หากว่าเจ้าข้ามเทือกเขาหัววัวไปก็จะมี
ระยะทางเร็วกว่าถนนหลวงถึงสองวัน ไม่แน่ว่าอาจจะ
ตามทันได้”
“เทือกเขาหัววัว?” หยางหนิงแววตาเป็นประกาย
หญิงวัยกลางคนรีบเอ่ยต่อ “เทือกเขาหัววัวนั้นเป็น
เป็นเขาสูงป่าลึก หนุ่มน้อย ที่แห่งนั้นอันตรายมาก
เจ้าล้มเลิกความคิดนั้นเสียเถิด”
ชายวัยกลางคนเอ่ยต่อ “ทางข้าก็ได้ชี้บอกแล้ว จะไป
หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความกล้าของเจ้า เจ้ารีบไปเถิด
หากพวกมือปราบเหล่านั้นกลับมาจะทาให้พวกเรา
เดือดร้อนด้วยได้”
หยางหนิงรู้สึกตื่นเต้นดีใจพร้อมกับยกมือแสดงความ
เคารพและเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ขอบคุณท่าน
ทั้งสอง” และในขณะที่หญิงวัยกลางคนผู้นั้นเตรียมจะ
คืนใบทองคาให้กับหยางหนิง หยางหนิงก็ได้วิ่งออก
เดินทางไปแล้ว
เขามุ่งเดินไปตามทิศทางที่บุรุษผู้นั้นชี้บอก ระหว่าง
ทางก็ทาเพียงแค่พักผ่อนไปเล็กน้อย จนถึงช่วง
พลบค่าในวันต่อมาเขาก็มองเห็นเทือกเขารางๆ ที่อยู่
เบื้องหน้าแล้ว เขาแต่ละลูกลากยาวเรียงกัน โดยมี
ภูเขาสองลูกที่ค่อนข้างสูงกว่าเล็กน้อย เมื่อมองดู
ผ่านๆ ก็คล้ายกับเขาสองข้างของวัวอยู่ไม่น้อย
ช่วงเวลาพลบค่า พระอาทิตย์เอนเอียงไปทางทิศ
ตะวันตก แสงอาทิตย์ยามพลบค่าสาดส่องลงบน
เทือกเขาหัววัว ทาให้ทั้งเทือกเขานั้นดูมืดมนอยู่
ไม่น้อย แม้ว่าเทือกเขาหัววัวจะดูใกล้เหมือนอยู่เบื้อง
หน้า ทว่าหากต้องเดินจริงๆ แล้วต่อให้พระอาทิตย์
ตกดินไปก็ยังคงทิ้งระยะห่างไว้อยู่ไม่น้อย
เมื่อขยับเดินไปใกล้เทือกเขาหัววัวแล้ว อยู่ๆ เขาก็
ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง หยางหนิง
รู้สึกตื่นตกใจขึ้นทันทีก่อนจะรีบหันกลับไปมอง
ทิศทางด้านหลังตน ก่อนจะมองเห็นว่าทางด้านหลังมี
คนขี่ม้าจานวนมากกาลังวิ่งตรงมา
มือของเขากาแน่นเป็นหมัด ขณะลอบคิดในใจว่าหรือ
พวกมือปราบเหล่านั้นจะเปลี่ยนทิศทางวิ่งกลับไปและ
บุรุษวัยกลางคนในร้านชานั้นก็บอกทิศทางที่ตนจะมุ่ง
หน้าไปให้กับคนเหล่านั้น?
เขายืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า บริเวณโดยรอบก็ไม่มี
สถานที่ให้หลบซ่อนตัวได้ และเวลานี้ก็เห็นได้ชัดว่า
คนเหล่านั้นมองเห็นตัวเขาแล้ว ต่อให้คิดจะหลบก็
คงไม่ทันเสียแล้ว
ม้าเร็วสี่ห้าตัวพุ่งทะยานมาทางนี้ ขณะที่หยางหนิง
พยายามควบคุมสติอารมณ์ของตนให้สงบลง แม้เขา
จะรู้ว่าตนมีกาลังน้อยนิด แต่ก็ยังคงเตรียมความ
พร้อมที่จะต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้
ใครจะรู้ว่าม้าเร็วเหล่านั้นกลับวิ่งผ่านตัวของเขาไป
ในทันทีโดยที่ผู้นาขบวนด้านหน้าทาเพียงแค่เหลือบ
มองเขาแวบหนึ่ง
ตอนนี้หยางหนิงถึงจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
คนทั้งห้านี้มิใช่พวกมือปราบที่ออกไล่ล่าตน พวกเขา
ทุกคนล้วนสวมชุดสีม่วง หว่างคิ้วเหมือนจะมี
สัญลักษณ์อะไรบางอย่าง แต่เพราะพวกเขาพุ่ง
ทะยานไปด้วยความเร็วที่สูงมากทาให้ชั่วขณะหนึ่ง
เขาไม่สามารถมองได้อย่างถนัดตา
หยางหนิงถอนหายใจออกมาเบาๆ ทว่าม้าเร็ว
เหล่านั้นเมื่อวิ่งออกไปจากตรอกเล็ก อยู่ๆ ก็หยุดลง
ก่อนที่ม้าตัวหนึ่งจะทาการหมุนตัวและวิ่งมาหยุดอยู่
ข้างกายหยางหนิง คนชุดสีม่วงที่อยู่บนม้าทาการมอง
สารวจหยางหนิงดูอย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อนจะเอ่ย
ถามเสียงดุ “เคยพบเห็นชายชราที่สวมชุดคลุมตัวยาว
สีเทาหรือไม่?”
หยางหนิงส่ายศีรษะและเอ่ยตอบ “ไม่เคยเห็น!”
พลางครุ่นคิดในใจว่าที่แท้คนเหล่านี้ก็กาลังตามหา
ชายชราคนหนึ่ง ทว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าชายชราผู้นั้นที่
ถูกเอ่ยถึงนั้นเป็นใคร
ทว่าในเวลานี้ อยู่ๆ หยางหนิงก็ได้ยินเสียงที่แสบแก้ว
หูดังออกมาจากทิศทางของเทือกเขาหัววัว เมื่อ
แหงนหน้าขึ้นมองกลับเห็นเพียงแสงสว่างจากดวงดาว
เส้นหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้าผ่านทางส่วนลึกของ
เทือกเขาหัววัว เวลานี้ทอ้ งฟ้าได้มืดลงแล้ว ทาให้
แสงดาวที่ร้อยเรียงกันเป็นเส้นนั้นสามารถมองเห็นได้
อย่างชัดเจน อีกทั้งแสงนั้นยังมีเสียงที่แสบแก้วหู
แฝงไว้อีกด้วย
แน่นอนว่าชายชุดม่วงเองก็มองเห็นแสงนั้น สีหน้าของ
เขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะรีบหมุนม้าและเอ่ยกับ
คนชุดม่วงอีกหลายคนที่เหลือ “อยู่ในหุบเขา พวกเรา
รีบไปเร็ว!”
คนชุดม่วงทั้งห้ารีบบังคับม้าให้พุ่งทะยานไปทาง
เทือกเขาหัววัว เมื่อหยางหนิงเห็นว่าเงาของคนทั้งห้า
ค่อยๆ ห่างออกไป ในใจของเขาก็ยิ่งเกิดความสงสัย
มากขึ้น
พวกคนชุดม่วงเหล่านั้นมีท่าทีดุร้าย แค่เห็นก็รู้แล้วว่า
มิใช่คนดี ทว่ากลับไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดมาจากไหน และ
แสงดาวเส้นนั้นที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้าก็ดูออกได้อย่าง
ชัดเจนว่าเป็นแสงสัญญาณ เช่นนั้นก็หมายความว่า
เวลานี้ลึกเข้าไปในหุบเขานั้นยังมีผู้อื่นอยู่อีกด้วย
หยางหนิงกาลังคิดว่าตนควรจะปลีกตัวหลบจาก
คนเหล่านี้และหาทางอื่นดีหรือไม่ ทว่าการจะตาม
ขบวนคุ้มกันได้นั้นก็มีเพียงเส้นทางนี้ทางเดียว เขาจึง
ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินทางไปยัง
เทือกเขาหัววัวต่อ
เมื่อเดินไปได้ครึ่งชั่วยามก็มาถึงตีนเขาแล้ว
ห่างออกไปสักระยะหนึ่งเขาก็เหลือบไปเห็นว่ามีม้า
หลายตัวอยู่ที่ตีนเขาด้วยเช่นกัน ทว่าเขากลับมอง
ไม่เห็นคนชุดม่วงกลุ่มนั้น
หยางหนิงก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเส้นทางบนเขานั้น
ไม่สะดวกต่อการขี่ม้า คนเหล่านั้นจะต้องทิ้งม้าเอาไว้
ที่นี่และก้าวเดินขึ้นเขาอย่างแน่นอน
เวลานี้หากเขาแอบจูงม้าออกไปตัวหนึ่ง คงจะไม่มีผู้ใด
สังเกตเห็นได้ และหากขี่ม้าวิ่งไปบนถนนหลวงตลอด
ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก คิดว่าก็คงจะสามารถตาม
ขบวนคุ้มกันได้ทัน
แต่หากเขาขี่ม้าบนถนนหลวง ไม่แน่ว่าอาจจะพบเจอ
พรรคพวกของเซียวอี้ซุ่ยได้ เขายังคงจาได้ดีว่า
พรรคพวกของเซียวอี้ซุ่ยนั้นกระจายอยู่ทั่วอาเภอเมือง
ฮุ่ยเจ๋อและกาลังค้นหาตัวเขาอยู่ พวกเขามีคนทั้งพวก
ทางการและทางลับอยู่นับไม่ถ้วน ตัวเขาจาเป็นต้อง
ระมัดระวังตัวให้ดี
อีกทั้งเมื่อครู่คาพูดและท่วงท่าของพวกคนชุดม่วง
เหล่านั้นก็ทาให้หยางหนิงเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
หลังจากขึ้นเขาแล้ว ถนนก็ค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ
บนภูเขานั้นล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้สูงที่เติบโตเรียงกัน
อย่างหนาแน่น หยางหนิงรู้ว่าคนชุดม่วงเหล่านี้จะต้อง
เดินไปตามทิศทางที่เกิดแสงสว่างเมื่อครู่แน่ ทาให้เขา
พอจะคาดเดาถึงตาแหน่งได้รางๆ ทางด้านหนึ่งเขาก็
คอยสังเกตสถานการณ์โดยรอบ อีกด้านหนึ่งเขาก็เดิน
ฝ่าป่าลึกไปยังทิศทางที่ตนคาดคะเนเอาไว้
เทือกเขาหัววัวนั้นมีลักษณะสมดั่งชื่อ มีเนินสูงต่าติดๆ
กัน บางครั้งก็สูงมากบางครั้งก็ต่ามาก ทาให้ไม่เหมือน
ต้องเดินขึ้นเขาตลอดเวลา
พระจันทร์ลอยขึ้นจากขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า แสง
จันทร์ที่เยือกเย็นประกอบกับตอนนี้ที่ย่างเข้าเดือน
เก้าแล้วทาให้สภาพอากาศเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหนาว
เย็น ภายในป่าลึกบนเทือกเขาก็ยิ่งทาให้มีความชื้น
แฝงตัวอยู่มาก เวลานี้หยางหนิงจึงรู้สึกเหน็บหนาว
อยู่ไม่น้อย
บนภูเขาก็มักจะมีเสียงร้องของนกและเสียงหอนของ
หมาป่าดังขึ้นเป็นช่วงๆ ไม่รู้เวลาผ่านมาเนิ่นนาน
เพียงใดแล้ว เวลานี้หยางหนิงก็ได้ก้าวเข้ามายัง
ส่วนลึกของเทือกเขาแล้ว เมื่อมองดูบริเวณโดยรอบ
เขากลับไม่เห็นเงาของคนแม้แต่คนเดียว อีกทั้งแม้แต่
เส้นทางเดินก็มองไม่เห็นแม้แต่เส้นเดียว ภาพเบื้อง
หน้ามืดสนิทประกอบกับสภาพของป่าลึกทาให้ที่แห่ง
นี้ดูน่ากลัวอยู่ไม่น้อย แม้ว่าหยางหนิงจะเป็นคนที่มี
ความกล้าหาญ ทว่าเวลานี้เขากลับรู้สึกขนลุกขึ้นมา
อย่างห้ามไม่อยู่
ในขณะที่เขากาลังรู้สึกเสียใจที่ตนบุกเข้ามาในที่แห่งนี้
นั้น อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องดังมาจากทางฝั่งซ้าย
ด้านหน้าของตน หยางหนิงตั้งท่าเตรียมป้องกันขึ้น
ทันที ทว่าเสียงร้องนั้นดึงขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งก็หยุดลง
โดยไร้ซึ่งซุ่มเสียงอีก
หยางหนิงรออยู่ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงใดอีก
เขาจึงค่อยๆ ก้าวเดินไปยังทิศทางที่เกิดเสียงเมื่อครู่นี้
ภายใต้แสงสว่างอันเบาบางของป่าลึก หยางหนิงจึง
ไม่สามารถมองเห็นภาพเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน
เมื่อเดินไปได้สักระยะหนึ่ง อยู่ๆ เท้าเขาก็ไปสะดุดกับ
อะไรสักอย่างและเหยียบลงบนสิ่งของที่มีลักษณะ
นุ่มนิ่ม ข้อเท้าของเขาบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยจนเกือบจะ
ทาให้ตัวต้องล้มลง โชคดีที่หยางหนิงตอบสนองได้
อย่างรวดเร็ว จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับต้นไม้ต้นเล็ก
ด้านข้างและพยุงตัวเองเอาไว้ได้ทัน
แสงจันทร์ที่เบาบางสาดส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้
ทาให้หยางหนิงที่ก้มศีรษะมองดูเห็นสิ่งที่ทาให้เขา
เกือบสะดุดล้มลงเมื่อครู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปใน
ทันใด ความตกตะลึงและตื่นกลัวทาให้เขาเกือบที่จะ
แผดเสียงร้องออกมา
ใต้เท้าของเขามีคนผู้หนึ่งนอนอยู่โดยไม่ขยับตัว และ
เท้าข้างหนึ่งของเขาก็กาลังเหยียบลงบนท้องน้อยของ
คนผู้นั้น ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทาให้
หยางหนิงมองเห็นว่าคนผู้นี้ด้านบนของลาคอที่ขาว
เนียนนั้นไร้ซึ่งศีรษะ
กลิ่นเลือดสดพุ่งทะลวงเข้าไปในจมูก ทว่าหยางหนิง
นั้นมิได้รู้สึกอะไรกับกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขา
เห็นซากศพที่ไร้ศีรษะ ในใจกลับรู้สึกสะพรึงกลัวอย่าง
ห้ามไม่อยู่
ดูจากเสื้อผ้าของคนผู้นี้แล้ว ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งใน
คนชุดม่วงที่ตนได้พบเห็นเมื่อก่อนหน้านี้
หยางหนิงยกมือขึ้นอุดจมูกของตน และในเวลานี้อยู่ๆ
เขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างโหยหวนดังออกมาจาก
ทิศทางที่ไม่ไกลนัก เสียงร้องเจ็บปวดดังสนั่นไป
ทั่วพื้นที่ ก่อนที่ชั่วพริบตาเสียงนั้นก็ได้มลายหายไป
เช่นกัน ชัว่ ขณะหนึ่งใจของหยางหนิงก็เต้นรัวไม่หยุด
เขาขยับเดินไปทางด้านหน้าอีกสิบกว่าก้าว ก่อนจะ
เห็นว่าเบื้องหน้ามีเงาของคนผู้หนึ่งกาลังยืนอยู่จึงรีบ
ทาการแอบหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่
เพียงแต่ทางด้านนั้นกลับไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่
น้อย เมื่อหยางหนิงชะเง้อคอออกไปมองกลับเห็นว่า
เงาที่ยืนอยู่นั้นกาลังยืนนิ่งตัวตรง ขณะที่ศีรษะและ
แขนทั้งสองข้างนั่งตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ท่าทีนิ่งเฉย
ไม่มีการขยับ
หยางหนิงรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาจึงก้าวเดินออกมา
จากหลังต้นไม้ ทว่าคนผู้นั้นก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ
หยางหนิงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นและส่งเสียงร้อง
“เห้ย” ออกมาเบาๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าบริเวณ
หน้าอกของคนผู้นั้นยื่นออกมาด้านหน้าเล็กน้อย
เหมือนบรรจุของบางอย่างอยู่ด้านใน เวลานี้เมื่อเห็น
ว่าคนผู้นั้นไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย หยางหนิงก็ไม่ได้ขยับ
เข้าไปใกล้ในทันที แต่ทาการเดินอ้อมไปทางด้านข้าง
แทน ตอนนี้เขาถึงจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ด้านหลังของคนผู้นี้มีกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขนาดเท่าแขนคน
เสียบแทงอยู่ โดยกิ่งไม้กิ่งนั้นได้แทงทะลุผ่านทาง
กลางหลังของเขาไปจนถึงบริเวณหน้าอก และ
แน่นอนว่าการที่คนผู้นี้ยังยืนตรงอยู่นั้นก็เป็นเพราะว่า
กิ่งไม้นั้นได้แทงทะลุร่างกายและพยุงตัวของเขาเอาไว้
หยางหนิงยิ่งดูยิ่งรู้สึกตกตะลึง ซากศพทั้งสองที่ตน
เห็นนั้นล้วนแต่มีวิธีการตายที่น่าอเนจอนาถอย่างถึง
ที่สุด ทว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทัง้ หมดนี้เป็นฝีมือ
ของผู้ใด
เมื่อหยางหนิงขยับเข้าไปใกล้ซากศพนั้นและก้มตัวลง
มองสารวจใบหน้าของเขา หยางหนิงก็จาได้ในทันทีว่า
คนผู้นี้ก็คือบุรุษชุดม่วงที่เอ่ยถามตนเมื่อครู่ตอนที่อยู่
ตีนเขา ตรงหว่างคิ้วของคนผู้นี้มีรอยสักเป็นสัญลักษณ์
รูปแมงป่อง
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 14 ผู้อาวุโสมู่
ภายในป่า บรรยากาศมืดครึ้ม หยางหนิงมีสีหน้า
ตึงเครียดขณะยืมเอาแสงสว่างอันเยือกเย็นของ
ดวงจันทร์มองดูพื้นที่เปียกแฉะของพื้นดินที่อยู่
ข้างกายตน เขาย่อตัวลงไปและยื่นนิ้วออกไปปาดก่อน
จะยกขึ้นมาใกล้จมูกเพือ่ สูดดม วินาทีแรกที่ดมก็ได้
กลิ่นคาวของเลือดสด จึงรู้ได้ว่ารอยนั้นคือคราบเลือด
ที่ไหลอาบอยู่บนพื้น
เขาชะเง้อหน้าออกไปมองทางด้านหน้า ก่อนจะเห็น
เพียงแค่เลือดที่ปกคลุมอยู่ทั่วพื้นดินลากยาวไปยัง
ส่วนลึกของป่าด้านหน้า หยางหนิงกลั้นหายใจไป
ชั่วขณะ เขารู้ว่าจะต้องมีคนได้รับบาดเจ็บแล้ว
พยายามก้าวเดินเข้าไปในป่าลึกเป็นแน่
แม้จะรู้ว่าอันตรายมาก ทว่าหยางหนิงก็ยังอดไม่ได้ที่
จะเดินตามรอยคราบเลือดเข้าไปยังป่าลึก เมื่อเดินไป
ได้ครู่หนึ่งเขาก็มองเห็นว่าด้านหน้ามีซากศพกองกัน
อยู่ที่พื้นจานวนมาก ขณะที่บริเวณโดยรอบนั้นเงียบ
สงบไร้ซุ่มเสียง เมื่อหยางหนิงเห็นซากศพจานวน
มากมายเรียงกองกันอยู่ตรงนี้ เขาก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา
อย่างห้ามไม่อยู่
ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าดด้านข้างมีดาบอยู่เล่มหนึ่ง
จึงก้มตัวลงไปหยิบมาไว้ในมือก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้า
ไปใกล้ซากศพเหล่านั้น เมื่อสังเกตดูให้ดีก็พบว่า
ซากศพของคนที่นอนอยู่บนพื้นมีประมาณแปดเก้าคน
นอกจากมีคนหนึ่งที่หัวกับร่างถูกแยกออกจากกันแล้ว
ผู้อื่นก็นับว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดี เมื่อเทียบกับ
ศพที่ตายอย่างอเนจอนาถที่เขาพบสองคนก่อนหน้านี้
แล้ว การตายของคนพวกนี้นับว่าปกติขึ้นมาก
ศพเหล่านี้ล้วนสวมชุดสีม่วง บางคนยังแหงนหน้าขึ้น
มองฟ้าอีกด้วย หยางหนิงเห็นว่าบริเวณหว่างคิ้วของ
พวกเขาล้วนมีรอยสักรูปแมงป่องจึงรู้ได้ทันทีว่า
คนเหล่านี้เป็นพรรคพวกเดียวกัน
บนพื้นไม่เพียงแต่มีซากศพกองระเกะระกะ อีกทั้งยังมี
อาวุธหลากหลายประเภทวางกระจัดกระจายอีกด้วย
นอกจากดาบใหญ่แล้วยังมี ตะขอเหล็ก มีดสั้น
โซ่เหล็กและอาวุธอื่นๆ อยู่อีก เพียงมองแวบหนึ่งก็รู้
แล้วว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญด้าน
อาวุธ
อีกทั้งพวกคนเหล่านี้ล้วนมีรูปร่างกายา ทั้งยังเป็น
ยอดฝีมือ เพราะฉะนั้นหยางหนิงจึงคิดไม่ออกว่า
เหตุใดคนจานวนมากเช่นนี้ถึงสามารถจบชีวิตลงในที่
แห่งนี้ได้ในเวลาอันสั้น
ขณะที่เขากาลังเกิดความสงสัยอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้ยิน
เสียงดังมาจากตาแหน่งที่ไม่ไกลกับตนมากนัก
ร่างกายของหยางหนิงเกร็งแข็งขึ้นทันที ดาบในมือ
ถูกกาเอาไว้แน่น และเมื่อหันหน้าไปมองก็เห็นเพียง
พุ่มไม้เถาวัลย์กองหนึ่งอยู่ด้านข้าง และเสียงนั้นก็ดัง
ออกมาจากพุ่มไม้เถาวัลย์พุ่มนั้น
หยางหนิงกาดาบเอาไว้ในมือขณะค่อยๆ ย่างกายเข้า
ไปใกล้ ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกอย่าง
ยากลาบากดังออกมาจากหลังพุ่มไม้เถาวัลย์ได้อย่าง
ชัดเจน เมื่อชะเง้อไปมองก็เห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกาลัง
หันหลังพิงใต้ต้นไม้สูงที่อยู่ด้านหลังพุ่มไม้ ภายใต้แสง
จันทร์เรือนรางที่สาดส่องมานั้น หยางหนิงก็เห็นเพียง
ว่าคนผู้นั้นสวมชุดคลุมตัวยาวสีเทา ผมยาวถูกรวบขึ้น
บนกลางศีรษะด้วยผ้าสีเทาเช่นกัน โดยผมยาวสีขาว
ของเขานั้นดูราวกับหิมะขาวในฤดูเหมันต์ สะดุดตายิ่ง
นัก ทว่าแววตาคู่นั้นกลับดูเยือกเย็นผิดปกติ
เมื่อหยางหนิงมองเห็นคนผู้นี้ ก็นึกถึงชายชราใน
ชุดเทาที่พวกคนชุดม่วงเอ่ยถามก่อนหน้านี้ได้ทันที
หากไม่ผิดจากที่คาดการณ์เอาไว้ คนที่พวกเขา
กล่าวถึงก็น่าจะเป็นชายชราผมขาวที่อยู่เบื้องหน้านี้
ชายชรามีลมหายใจติดขัดและรีบร้อน ทว่ากลับดู
อ่อนแอมากเช่นกัน ดวงตาที่เดิมดูเยือกเย็นนั้น
เมื่อมองเห็นลักษณะการแต่งตัวของหยางหนิงแล้ว
แววตาก็เกิดเป็นแสงประกายขึ้นชั่วขณะ พร้อมเอ่ย
ถามว่า “เจ้า...เจ้าเป็นใคร?”
น้าเสียงเองก็แผ่วเบาและอ่อนแรงมาก เหมือนว่า
ตัวเขาเองก็กาลังได้รับบาดเจ็บอยู่
ทว่าหยางหนิงกลับคิดได้แล้วว่าในเมื่อคนชุดม่วงกาลัง
ตามหาชายชราผู้นี้ เช่นนั้นพวกคนชุดม่วงสิบกว่าคนที่
ดับชีวิตอย่างอนาถบนเขานี้ เกรงว่าจะต้องเป็นฝีมือ
ของชายชราผู้นี้แน่
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางที่ดูไร้เรี่ยวแรงของชายชราแล้ว ก็
ยากที่จะทาให้คนเชื่อได้ว่าชายหนุ่มร่างกายาหลายคน
ก่อนหน้านี้ล้วนจบชีวิตลงด้วยน้ามือของเขา
“ผู้...ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรไปงั้นหรือ?” หยางหนิง
ยังคงมีท่าทีหวาดระแวง “ท่านได้รับบาดเจ็บใช่
หรือไม่?”
ชายชราเอ่ยตอบเสียงเย็น “ข้าถามเจ้าว่าเจ้าเป็นใคร?
เหตุใดถึงมาปรากฎตัวในที่แห่งนี้ได้?”
หยางหนิงรู้สึกว่าชายชราผู้นี้เหมือนมีไอเย็นกระจาย
ออกมาจากร่างกาย ทาให้เขาไม่อยากจะอยู่ในสถาน
ที่นี้อีกต่อไป จึงก้าวถอยหลังไปสองก้าว ทว่าอยู่ๆ
ก็เห็นมือของชายชราผู้นั้นสั่นอย่างรุนแรง ก่อนที่
เถาวัลย์เส้นหนึ่งจะพุ่งออกมาโจมตีหยางหนิงราวกับ
อสรพิษ
หยางหนิงสีหน้าคล้าขึ้นในทันที เขากาดาบในมือของ
ตนแน่นก่อนจะสะบัดดาบออกไปตัดเถาวัลย์เส้นนั้น
ทว่าเถาวัลย์นั้นกลับเหมือนมีชีวิตเป็นของตัวเอง
ดาบใหญ่ยังไม่ทันได้แตะถูกตัวมัน เถาวัลย์ก็ขดตัว
เอียงไปด้านข้างก่อนที่หยางหนิงจะรู้สึกว่าข้อมือของ
ตนถูกรัดเอาไว้แน่น เมื่อมองดูก็เห็นว่าเถาวัลย์เส้นนั้น
ได้พันอยู่รอบข้อมือของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึงจนหน้าซีด เขาคิด
อยากจะดิ้นให้หลุด ทว่าแขนของเขากลับเหมือน
แตะต้องถูกไฟฟ้าก็มิปาน ชั่วขณะหนึ่งมีแต่อาการ
เหน็บชา ก่อนที่ดาบยาวจะค่อยๆ ร่วงหล่นจากมือ
โดยที่ทั่วร่างกายของเขาได้ถูกเถาวัลย์เส้นนั้นรัดแน่น
จนไม่อาจขยับตัวได้แล้ว
ความสงสัยมักนาภัยมาให้
หยางหนิงลอบคิดอยู่ในใจว่าตนพันไม่ควรหมื่นไม่ควร
จะขึ้นมาบนเขาที่มีป่าลึกเช่นนี้ ตอนนี้ดีเลย ละคร
สนุกก็ไม่ได้ดู อีกทั้งยังจะถูกชายชราผู้นี้ฆ่าทิ้งด้วย
“ตึ่ง”
เมื่อหยางหนิงถูกเถาวัลย์พันรัดตัวแล้ว เขาก็ถูกฟาด
ลงบนพื้นอย่างแรง การตกกระแทกพื้นครั้งนี้รุนแรง
มาก ราวกับกระดูกจะแตกก็มิปาน รอจนหยางหนิง
ตะเกียกตะกายขึ้นนั่งได้แล้ว ถึงจะมองเห็นว่าชายชรา
ได้เดินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าตนแล้ว แววตาเยือกเย็น
คู่นั้นจับจ้องมาที่เขา ยามนี้หยางหนิงถึงจะรู้ว่าตน
ได้มานั่งเอนพิงหลังอยู่กับต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นแล้ว
“เจ้าไม่ใช่คนของวังห้าพิษ?” ชายชรามองสารวจ
หยางหนิงรอบหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้าเสียงดุร้าย
แต่กลับเป็นเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง “เจ้าเป็นใครกันแน่?
หากไม่สารภาพออกมาตามจริง ตอนนี้...ตอนนี้ข้าก็
จะฆ่าเจ้าเสียเลย” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ คิ้วของเขาก็
ขมวดแน่นเข้าหากัน ร่างกายสั่นสะท้านเบาๆ ราวกับ
ว่าจะแสดงท่าทางข่มขู่ออกมา ไม่นานเขาก็หันหน้าไป
ทางอื่นและเสียง “อั๊ก” ก็ดังขึ้นพร้อมกับเลือดคาใหญ่
ที่ถูกพ่นออกมา
ทันใดนั้นหยางหนิงก็ได้กลิ่นเลือดที่เหม็นคาวเป็น
อย่างมาก
ที่แท้ชายแก่ผู้นี้ก็ได้รับบาดเจ็บจริง เมื่อหยางหนิงเห็น
ภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า เขาก็รีบเอ่ยตอบ “ผู้...
ผู้อาวุโส ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่พวกวัง...วังห้าพิษ
อะไรนั่น ข้าเพียงแต่บังเอิญเหยียบย่างเข้ามาบนเขานี้
เท่านั้น”
พลางลอบยิ้มเย็นในใจและคิดว่าชายแก่ผู้นี้มีฝีมือ
เก่งกาจมาก ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาจริงๆ เวลานี้จึงได้
แต่ต้องทาตัวนอบน้อมเพื่อหาโอกาสหลบหนีแล้ว
วังห้าพิษที่ชายชราเอ่ยขึ้นนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่ามัน
หมายถึงสถานที่ใด
“บังเอิญ?” ชายชรายิ้มเย็นพร้อมเอ่ยต่อ “เจ้าเด็ก
น้อย เวลาเช่นนี้ ใครเขาจะบังเอิญบุกขึ้นเขามากัน?”
มุมปากของเขายังคงมีคราบเลือดอยู่ ขณะที่ร่างกายก็
ยังคงสั่นไปมาเล็กน้อย ทว่าน้าเสียงนั้นกลับเยือกเย็น
ชวนให้คนรู้สึกหนาวสั่น
หยางหนิงที่นั่งอยู่บนพื้นก็ถอนหายใจออกมาพร้อม
เอ่ยตอบ “ผู้อาวุโส ข้าก็แค่ยาจกเร่ร่อนคนหนึ่งที่
พลัดหลงกับพรรคพวก ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาเดิน
ทางผ่านถนนหลวงมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว
เพราะฉะนั้นจึงคิดอยากจะใช้ที่นี่เป็นทางลัดไล่
ตามไป”
“เดินฝ่าภูเขาป่าลึกเช่นนี้?” ชายชราหัวเราะออกมา
พร้อมเอ่ยต่อ “เจ้าหนูมีความกล้าไม่เบานิ ไม่กลัวว่า
จะถูกพวกเสือสิงห์ในที่แห่งนี้จับกินหรืออย่างไร”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าในเขานี้จะอันตรายถึงเพียงนี้”
หยางหนิงรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ก่อนจะขยับตัว
ลุกขึ้นยืนอย่างยากลาบากและเอ่ยต่อ “ผู้อาวุโส
ท่านพักผ่อนก่อน ข้าไม่ขอรบกวนท่านแล้ว ข้าจะ
รีบลงเขาไปเดี๋ยวนี้” จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมเดินจาก
ไป ทว่าชายชรากลับเอ่ยเสียงเย็นออกมา “หยุดนะ!”
หยางหนิงรู้ดีว่าชายชราผู้นี้จะต้องไม่ปล่อยเขาไปแน่
จึงได้แต่หมุนตัวกลับไปพร้อมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ผู้อาวุโส บนตัวข้าไม่มีเงินแม้แต่สลึงเดียว มีแต่ชีวิต
ไร้ค่าชีวิตหนึ่งเท่านั้น ข้าเพียงแต่โชคไม่ดีย่างกาย
มายังสถานที่แห่งนี้ ท่านวางใจได้ คืนนี้ข้ามองไม่เห็น
อะไรทั้งนั้น และก็จะไม่มีทางเอ่ยออกไปโดยเด็ดขาด”
พลางลอบคิดในใจว่า ‘พวกท่านเป็นใครมาจากไหน
นั้นข้าก็ไม่รู้ ต่อให้คิดจะพูดก็ไม่รู้จะเริ่มพูดออกไป
อย่างไร’
ชายชราเอ่ยต่อเสียงเย็น “ต่อให้เจ้าพูดออกไปก็ไม่ใช่
ปัญหาอะไร” พลางยกมือขึ้นชี้นิ้วไปทางด้านหน้าและ
เอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้คือใคร?”
หยางหนิงลอบคิดในใจว่าเรื่องนี้ยิ่งรู้น้อยยิ่งดี พลาง
ส่ายศีรษะและเอ่ยตอบ “ไม่รู้ ผู้อาวุโส ข้า...ข้าเองก็
ไม่อยากรู้ให้มาก”
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งพูดว่าพวกเขาคือคนของวังห้าพิษ
เจ้าลืมไปแล้วงั้นหรือ?” ชายชราส่งเสียงหึออกมา
เบาๆ ในลาคอ “ต่อหน้าข้า ห้ามคิดจะเล่นตุกติกโดย
เด็ดขาด...!” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็ส่งเสียงไอ
ออกมาอีกครั้ง ขณะที่ร่างกายก็สั่นสะท้านไม่หยุด
‘ชายแก่ผู้นี้ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก’
หยางหนิงครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘หากคิดจะทาร้ายข้าจริง
อย่างมากก็สู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง’ ทว่าหยางหนิงก็
ยังคงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ผู้อาวุโสเข้าใจผิด
แล้ว ความจริง...ความจริงข้าเองก็ไม่รู้ว่าอะไรคือ
วังห้าพิษวังหกพิษ ข้าเพียงแต่คิดอยากข้ามผ่านภูเขา
ลูกนี้ไปให้ได้และหาพรรคพวกของข้าให้พบโดยเร็ว”
“เจ้าอยากจะข้ามเขาลูกนี้ไป? หึหึ ดูเหมือนว่าเจ้าจะ
ไม่รู้ว่าตนใกล้จะตายแล้วกระมัง” ชายชราเอ่ยต่อ
เสียงเย็น “พวกคนวังห้าพิษล้วนแต่เป็นลัทธิมารที่มี
ฝีมือโหดเหี้ยมอามหิต เพราะข้าเห็นความไม่ชอบ
ธรรมจึงยื่นมือเข้าช่วย ด้วยเหตุนี้จึงล่วงเกินพวกเขา
ไปและถูกพวกเขาไล่ฆ่ามาตลอดทาง แม้ว่าข้าจะ
สังหารคนเหล่านี้ทิ้งแล้ว แต่ว่า...!” ก่อนจะไอออกมา
อย่างหนักอีกครั้ง รอจนหยุดอาการไอได้แล้วจึงค่อย
เอ่ยต่อ “แต่ว่าบริเวณโดยรอบนี้พวกเขาจะต้องส่ง
คนอื่นไล่ตามมาอีกแน่ หากพวกเขาเห็นเจ้า ก็จะต้อง
สังหารเจ้าทิ้งแน่”
ชายชราผู้นี้ช่างไม่มีคุณธรรมเสียจริงๆ คนก็ถูกท่าน
สังหาร เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย เหตุใดข้าจะต้องรับฟัง
คาขู่ของท่าน?
เมื่อเห็นหยางหนิงเงียบไม่พูดไม่จา ชายชราก็คิดว่า
หยางหนิงกาลังหวาดกลัวอยู่จึงเอ่ยต่อเสียงเบา
“เจ้าคุ้นชินกับเส้นทางบนเขานี้หรือไม่?”
หยางหนิงส่ายศีรษะ ชายชราจึงเอ่ยต่อ “เจ้าไม่คุ้น
แต่ข้ากลับคุ้นเคยเป็นอย่างดี หากเจ้าคิดอยากจะมี
ชีวิตต่อก็จะต้องฟังคาสั่งของข้า ข้าจะพาเจ้าออกไป
เอง มิเช่นนั้นเจ้าก็หนีไม่พ้นการไล่สังหารของพวกเขา
หรอก”
ท่านคุ้นเคย? หากไม่ใช่เพราะชายชราผู้นี้มีวรยุทธ์
เลิศล้า หยางหนิงคงต้องพ่นหัวเราะออกมาแล้ว
เทือกเขาหัววัวนี้เรียงยาวติดกัน ป่าลึกนี้ก็แทบจะไม่มี
ถนนให้เดินได้ และเห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้เข้ามาใน
ป่าลึกก็เพื่อที่จะหลบการไล่สังหารของคนเหล่านั้น
เกรงว่าแม้แต่ชื่อของเทือกเขานี้เขาก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้า
เวลานี้กลับเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจว่าตนรู้จักเส้นทาง
บนภูเขา พูดโม้โอ้อวดอย่างไม่เกรงใจจริงๆ หน้าของ
เขานี้ไม่ได้หนาธรรมดาๆ เสียแล้ว
ทั้งที่หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจ ทว่าเขาก็ยังคงต้องแสดง
ท่าทีไร้เดียงสาออกมาและเอ่ยตอบ “ผู้อาวุโสรู้
เส้นทางเดินของเทือกเขาลูกนี้จริงหรือ?”
ชายชรากลับเชิดหน้าขึ้นและเอ่ยตอบ “มิผิด อย่าเพิ่ง
พูดอะไรให้มาก ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เดิน
ได้ไม่ถนัด คนของพวกเขาไม่นานก็จะไล่ตามมาแล้ว
ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่ต่อนาน เจ้าแบกข้าออกไปจากที่นี่
ก่อนเถิด”
หยางหนิงเข้าใจได้ทันทีว่าสาเหตุที่ชายชรายืนพิงอยู่
ใต้ต้นไม้นั้นก็ต้องเป็นเพราะไม่อาจก้าวเดินได้แน่
เมื่อครู่เห็นเขากระอักเลือดออกมา อีกทั้งยังเป็น
กลิ่นสาบและเหม็นคาวมาก เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บ
สาหัสเป็นแน่ แม้ว่าเขาจะสังหารคนของวังห้าพิษไป
จานวนมาก ทว่าตัวเขาเองก็ถูกฝ่ายตรงข้ามทาร้าย
ไม่เบาเช่นกัน เวลานี้ยังกล้าบอกว่าตนเองเพียงได้รับ
บาดเจ็บเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนพูดจาโกหก
ปลิ้นปล้อน
ชายชราที่หาว่าตนรู้จักเส้นทางบนเขานี้ดีและบอกว่า
จะพาหยางหนิงเดินออกจากเขาไปนั้น ก็แน่นอนว่า
เป็นคาพูดที่เหลวไหลไร้ความจริง จุดประสงค์ก็เพียง
แค่อยากให้หยางหนิงพาเขาออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน
หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเวลานี้ในเมื่อชายชราคิด
อยากจะหลอกใช้เขา ก็จะไม่มีทางลงมือกับเขา
ทว่าหากคิดจะหลบหนี เวลานี้ก็ไม่ใช่โอกาสที่ดีจริงๆ
หากทาให้ชายแก่ผู้นี้โมโห ตัวเขาก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี
กลับมา พลางครุ่นคิดในใจว่าในเมื่อชายชรานั้นได้รับ
บาดเจ็บ เช่นนั้นรอให้อาการของเขากาเริบแล้วตนก็
จะต้องมีโอกาสหลบหนีได้แน่
เมื่อชายชราเห็นว่าชั่วขณะหนึ่งหยางหนิงไม่ได้มีท่าที
จะขยับตัว เขาก็ส่งเสียงหึออกมาจากลาคอ ก่อนจะ
เอ่ยต่อด้วยน้าเสียงเยือกเย็น “ทาไม? ไม่อยากออก
จากเขาแล้ว?”
หยางหนิงรีบเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ผู้อาวุโส
เข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแต่กังวล...กังวลว่าจะแบกท่าน
ไม่ไหว”
“เจ้าวางใจเถิด ข้าตัวเบามาก” ชายชราเอ่ยต่อ
“เร็วเข้า หากไม่ไปอีก เมื่อคนของพวกเขามาถึง
ตอนนั้นต่อให้คิดอยากจะไปก็คงไปไม่ได้แล้ว”
หยางหนิงไม่รู้จะทาเช่นไรดีจึงได้แต่ก้าวเดินไป
ด้านหน้าและแบกชายชราขึ้นหลัง พูดแล้วก็แปลก
ชายชราผู้นี้ดูแล้วก็ไม่ได้ผอมมาก ทว่าเมื่อแบกขึ้น
หลังกลับรู้สึกเบาเหมือนไม่มีน้าหนัก เพียงแต่ยิ่งเข้า
ใกล้เขา ก็ยิ่งได้กลิ่มเหม็นคาวเด่นชัดมากขึ้น เวลานี้
เมื่อแบกขึ้นหลัง ขอเพียงชายชราทาการหายใจเพียง
แผ่วเบา กลิ่นเหม็นคาวนั้นก็อบอวลจนหยางหนิง
เกือบจะสารอกออกมา
“เดินไปทางนั้น!” ชายชราที่อยู่บนหลังของหยางหนิง
ก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางด้านลึกของป่า “ข้าบอกให้เจ้าทา
อะไรเจ้าก็แค่ปฏิบัติตาม แน่นอนว่าจะต้องออกจาก
เขาได้อย่างปลอดภัยแน่”
‘หากข้าฟังที่ท่านสั่งทั้งหมด เกรงว่าคงได้ถูกท่านฆ่า
ปิดปากแน่’ หยางหนิงลอบพึมพาเบาๆ ในใจ ทว่า
ปากกลับเอ่ยออกมาว่า “ผู้อาวุโส ท่านมีนามว่าอะไร
งั้นหรือ? ควรเรียกท่านว่าอย่างไรถึงจะดี?”
“เรียกข้าผู้อาวุโสมู่ก็พอ!” ชายชราเอ่ยต่อ “รีบไป
เร็วๆ อย่าชักช้าให้เสียเวลา!”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 15 มือไม้เปื่อยตาย
หยางหนิงแบกผู้อาวุโสมู่เดินผ่านป่าลึก ผู้อาวุโสลุกดัน
ตัวชะเง้อออกมาจากแผ่นหลังของหยางหนิงขณะชี้มือ
บอกทางอยู่บ่อยครั้ง และทุกเส้นทางที่ชี้นิ้วไปนั้นกลับ
ล้วนแต่เป็นทางที่มืดมิดยากจะก้าวเดินได้สะดวก
หยางหนิงรู้ว่าชายชราทาเช่นนี้เพื่อหลบพวกคนที่มา
ตามล่าล้างแค้นถึงได้ตั้งใจชี้ไปในถนนหนทางที่ทั้งมืด
มิดและซับซ้อน หลายครั้งที่เขาอยากจะสะบัดชายแก่
นี้ลงจากหลัง ทว่าเมื่อคิดได้ว่าคนผู้นี้คนเดียวก็
สามารถสังหารบุรุษจากวังห้าพิษได้สิบกว่าคนแล้ว
ใจเขาก็รู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าลงมือทาอะไรโดย
พลการ
แม้ว่าชายชราจะไม่หนัก ทว่าพอผ่านไปช่วงหนึ่งทีไร
เขาก็มักจะไอกระแฮ่มออกมา และทุกครั้งที่ไอก็ล้วน
แต่มีกลิ่นเหม็นคาวของเลือดลอยเข้ามาใส่จมูก
ทาให้หยางหนิงรู้สึกย่าแย่ยิ่งนัก
เส้นทางบนภูเขานั้นคับแคบและโค้งซับซ้อนไปมา
อีกทั้งยิ่งเดินก็ยิ่งสูง เดินไปเดินมาก็ล่วงเลยเวลาไปถึง
สองชั่วยามแล้ว หยางหนิงรู้สึกเหนื่อยจนยากจะ
หายใจสะดวก เวลานี้พวกเขาได้เข้ามาถึงส่วนลึกของ
ภูเขาแล้ว และในขณะที่หยางหนิงคิดอยากจะหยุด
พักผ่อนเพียงครู่หนึ่งนั้น อยู่ๆ ผู้อาวุโสก็เอ่ยขึ้นว่า
“ทางนั้นมีถ้าอยู่ใช่หรือไม่?” พลางยกมือขึ้นชี้ไปยัง
ตาแหน่งที่ไม่ค่อยไกลนัก
หยางหนิงชะเง้อไปมองก่อนจะเห็นเพียงว่าด้านหน้า
นั้นมีเถาวัลย์หนามเกี่ยวพันกันไปมาอยู่กองหนึ่งและ
บริเวณนั้นก็เหมือนจะมีถ้าที่มืดสนิทอยู่ถ้าหนึ่งจริงๆ
เมื่อขยับเข้าไปใกล้ ผู้อาวุโสมู่ก็เอ่ยว่า “พักกันตรงนี้
สักหน่อยก็แล้วกัน”
หยางหนิงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก จากนั้นเขา
ก็ยกมือขึ้นแหวกเถาวัลย์และมองเห็นปากถ้าที่
ค่อนข้างมีขนาดกว้างอยู่ด้านหลัง เมื่อก้าวเดินเข้าไป
ด้านในก็เห็นว่ามันมืดสนิท เหมือนจะไม่สามารถ
มองเห็นอะไรได้ เขาจึงวางผู้อาวุโสมู่ลงก่อน ก่อนที่
ตนจะนั่งลงตามไป
ผู้อาวุโสมู่เอ่ยต่อว่า “เจ้าไปเฝ้าที่ปากถ้าเอาไว้
หากเห็นความเคลื่อนไหวอะไรก็รีบมาบอกข้าทันที”
หยางหนิงลอบยิ้มเย็นอยู่ในใจ ‘ข้าแบกท่านมาถึง
ตรงนี้ก็เหนื่อยแทบจะขาดใจแล้ว ตอนนี้ยังให้ข้าไป
เฝ้าทางเข้าอีก? รออาการของท่านกาเริบเมื่อไหร่
คอยดูว่าข้าจะจัดการกับท่านอย่างไร’ ทว่าเขาก็ยังคง
ขยับไปนั่งหน้าปากถ้า เวลานี้หยางหนิงรู้สึกคอแห้ง
มาก ทว่าก็อับจนปัญญาไม่รู้จะทาอย่างไรดี
ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เขาก็พียงแต่ได้ยินลมหายใจที่
แผ่วบางของผู้อาวุโสมู่ จึงหันกลับไปเอ่ยถามเสียงเบา
“ผู้อาวุโส ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง? บาดแผลไม่
เป็นอันใดมากใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสมู่กลับไม่ได้เอ่ยตอบ ราวกับว่าตัวเขาได้หลับ
ไปแล้ว
หยางหนิงเอ่ยเรียกอีกครั้ง ทว่าผู้อาวุโสมู่ก็ยังคงไม่ส่ง
เสียงตอบรับ ตอนนี้หยางหนิงถึงค่อยยิ้มเย็นออกมา
เวลานี้ก็มีแสงที่ค่อนข้างมืดสลัวส่องผ่านมาพอดี
จึงทาให้เห็นว่าผู้อาวุโสมู่กาลังขดตัวอยู่ด้านในถ้า
หยางหนิงจึงลุกขึ้นยืนและค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไป
ใกล้ มือของเขากาเป็นหมัดแน่นก่อนจะลังเลอยู่ครู่
หนึ่ง สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ และลอบคิดว่า
ชายชราผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว แม้ว่าตัวเขาจะ
เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย แต่อย่างไรเสียชายชราผู้นี้ก็ไม่ได้
ลงมือทาร้ายเขาอย่างจริงๆ จังๆ เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่
จาเป็นต้องถือเอาโอกาสที่คนได้รับบาดเจ็บนี้ทาการ
ลงมือซ้าเติม
ทว่าชายชราที่ดูชั่วร้ายผู้นี้ก็ทาให้คนมีความรู้สึก
รังเกียจชิงชังจริงๆ มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่จะเชื่อว่าเขา
สามารถพาตนออกไปจากป่าเขาแห่งนี้ได้ ในทาง
กลับกัน หากชายชราผู้นี้พักฟื้นจนแข็งแรงดังเดิมแล้ว
คงจะต้องหาทางลงมือกับเขาเป็นแน่ แน่นอนว่า
หยางหนิงไม่อยากถูกชายชราผู้นี้ขู่บังคับ เมื่อเห็นว่า
เขานอนหลับไม่ขยับตัว จึงคิดว่านี่ถือเป็นโอกาสดีที่
จะหลบหนีได้
เทือกเขาหัววัวนั้นมีสภาพพื้นดินสูงต่าไล่เรียงกันอย่าง
ต่อเนื่อง อีกทั้งผู้อาวุโสมู่ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่
หากเขาจากไปตอนนี้ ผู้อาวุโสมู่จะต้องตามหาเขาไม่
พบอีกเป็นแน่
อีกทั้งในใจของหยางหนิงก็ยังคอยคิดถึงความ
ปลอดภัยของเสี่ยวเตี๋ยอยู่ แน่นอนว่าเขาไม่อาจ
เสียเวลาต่อไปได้อีก
เขาหมุนตัวและย่องเดินออกจากถ้าไป ทว่าเมื่อ
ย่างเท้าออกจากปากถ้านั้นกลับรู้สึกเหมือนมีสิ่งของ
บางอย่างฟาดลงบนข้อพับของเข่าเขาอย่างแรง ทาให้
ขาทั้งข้างของเขารู้สึกเหน็บชา ชั่วขณะได้แต่ยืนข้าง
อยู่กับที่ ไม่อาจขยับตัวไปไหนได้
เขาเกิดอาการตกตะลึงเป็นอย่างมาก ก่อนจะได้ยิน
เสียงเข้มทุ้มดังมาจากทางด้านหลังของตน “เจ้าคิด
อยากจะไป?”
“ผู้อาวุโสมู่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว” หยางหนิงมีไหวพริบ
ดีมาก เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบยิ้มและเอ่ยต่อว่า
“ข้าเห็นท่านได้รับบาดเจ็บ เลยคิดอยากจะไปหาน้า
มาให้ท่านดื่ม อีกทั้งยังไปดูด้วยว่ามีผลไม้ป่าอะไรให้
เด็ดกินได้หรือไม่จะได้ช่วยเพิ่มธัญญาหารให้กับ
ตัวท่าน ตอนนี้ท่านเป็นคนเจ็บ ไม่มีธัญญาหารบารุง
ร่างกายนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรยิ่ง”
ชายชรานี้เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าแกล้งนอนหลับ
เป้าหมายก็เพื่อที่จะทดสอบดูว่าตัวเขาจะทิ้งตนไปโดย
ไม่สนใจหรือไม่ ชั่วขณะหนึ่งหยางหนิงก็รู้สึก
หวาดกลัวขึ้นมาในจิตใจ เมื่อครู่หากตนถือโอกาส
ลงมือจริงๆ แล้ว เกรงว่าคงต้องตอบแทนด้วยชีวิต
น้อยๆ นี้เสียแล้ว
แม้ว่าผู้อาวุโสมู่จะได้รับบาดเจ็บ ทว่าดูจากวรยุทธ์
เมื่อครู่ที่เก่งกาจของเขาแล้ว การจะเอาชีวิตหยางหนิง
นั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
“ที่แท้เจ้าก็กาลังเป็นห่วงข้า?” ผู้อาวุโสมู่หัวเราะ
ออกมาพร้อมเอ่ยต่อว่า “เจ้าหนูอย่างเจ้าก็ถือว่า
กตัญญูไม่น้อยนี่ ข้าคิดว่าเจ้าจะทิ้งข้าไปโดยไม่สนใจ
และถือโอกาสหลบหนีไปเสียอีก”
หยางหนิงยิ้มเอ่ยตอบ “ข้าและท่านผู้อาวุโสได้มี
โอกาสมาพบกันในที่กันดารเช่นนี้ถือว่ามีบุญวาสนา
ต่อกัน ตอนนี้ท่านกาลังได้รับบาดเจ็บ หากข้าทิ้งท่าน
ไปก็ถือว่าเป็นคนไร้คุณธรรมยิ่งแล้ว ผู้อาวุโส ท่านคิด
กับข้าในแง่ร้ายเกินไปแล้ว”
ผู้อาวุโสมู่ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ดูเหมือนเจ้าหนูอย่างเจ้า
มีคุณธรรมไม่เบาเลย?” แขนของเขายกขึ้นเล็กน้อย
ก่อนที่จะมีวัตถุสิ่งหนึ่งฟาดลงบนข้อพับเข่าของ
หยางหนิงอีกครั้ง ความรู้สึกเกร็งแข็งที่ขาของ
หยางหนิงก็ได้สลายหายไปทันที ขาขวาที่แต่เดิม
ไม่อาจขยับได้ก็สามารถขยับได้ตามปกติแล้ว ในขณะ
ที่ผู้อาวุโสมู่ก็ได้พูดต่อว่า “เจ้ามานี่!”
เวลานี้หยางหนิงอยากจะเอาก้อนหินปาใส่ชายชราผู้นี้
เสียจริงๆ ทว่าต่อหน้าเขาก็ยังคงยิ้มอย่างเริงร่าพร้อม
เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสมู่ วรยุทธ์ของท่านช่างเก่งกาจ
เสียจริงๆ ผู้น้อยรู้สึกนับถือท่านยิ่งนัก” ก่อนจะเดินไป
หยุดอยู่หน้าผู้อาวุโสมู่และย่อตัวลงนั่งพร้อมเอ่ยถาม
ว่า “ผู้อาวุโสมู่มีอะไรจะสั่งหรือ?”
ดวงตาของผู้อาวุโสมู่จ้องตรงไปทางหยางหนิง
ในขณะที่หยางหนิงเดิมเป็นคนที่มีความกล้าหาญมาก
นั้น เมื่อประสานสายตาเข้ากับดวงตาที่มองมาคู่นั้น
เขาก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายเนื้อสบายตัวไปทั่วร่างกาย
แม้แต่แผ่นหลังยังรู้สึกหนาวสั่นอยู่เล็กน้อย
“ข้าเห็นว่าเจ้าหนูอย่างเจ้ามีคุณธรรมถึงเพียงนี้ จึงคิด
อยากจะบอกกับเจ้าตามจริง ก่อนหน้านี้ข้าถูกเข็ม
ห้าพิษของเจ้าพวกนั้นทาร้ายร่างกาย ตอนนี้ร่างกายก็
ได้ถูกพิษเข้าเสียแล้ว” ผู้อาวุโสมู่ค่อยๆ เอ่ยต่อ “ทว่า
พิษปริมาณเพียงแค่นี้ไม่สามารถทาอันตรายอะไรต่อ
ข้าได้ ข้าเพียงใช้เวลาไม่ถึงสามวันก็จะสามารถขับพิษ
ในร่างกายนี้ไปได้จนหมด”
ที่แท้ชายชราผู้นี้ก็ถูกพิษ มิน่าเลือดที่กระอักออก
มาถึงได้มีกลิ่นเหม็นคาวด้วย
‘ทาไมไม่ใส่พิษให้ท่านตายไปเสียเลย?’ หยางหนิง
สาปแช่งในใจ ทว่าชายชราผู้นี้พูดจาคุยโวโอ้อวดได้
หน้านิ่งเสียจริงๆ ถึงกับพูดว่าพิษนี้ไม่อาจทาอันตราย
เขาได้ อีกทั้งยังบอกว่าใช้เวลาเพียงแค่สามวันก็จะ
ขจัดพิษออกได้หมด เห็นได้ชัดว่าคาพูดหน้าหลังนั้นมี
ความขัดแย้งกันในตัว คงมีก็แต่คนที่หน้าหนาเช่นนี้
เท่านั้นถึงจะกล้าเอ่ยเช่นนี้ออกมาได้
เพียงแต่ชายชราบอกว่าตัวเขาสามวันก็จะขจัดพิษได้
เช่นนั้นตนไม่ใช่ว่าต้องรอเขาอยู่ที่นี่ถึงสามวันเลย
หรือ? หากเสียเวลาบนเขานี้ไปสามวันแล้ว การจะ
ตามขบวนคุ้มกันให้ทันนั้นคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แล้ว
หยางหนิงรู้สึกร้อนใจยิ่งนัก ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังคง
เป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยน
“เจ้ากล่าวได้ไม่เลว การที่ข้าได้พบกับเจ้านั้นถือเป็น
วาสนาจริงๆ” ผู้อาวุโสมู่ยกมือขึ้นตบบ่าของ
หยางหนิงเบาๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่แสนประหลาด
ออกมา “เจ้าเป็นคนที่มีคุณธรรมมาก เพราะฉะนั้นข้า
คงต้องรบกวนเจ้าให้ช่วยข้าเฝ้าปากถ้าในช่วงหลาย
วันนี้หน่อย นอกจากนี้ก็ช่วยข้าหาน้าหาอาหารมาที
เมื่อสามวันผ่านพ้น ข้าจะพาเจ้าออกจากเขาเอง”
หยางหนิงรู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นทันที สีหน้าของเขาเอง
ก็มีความหนักใจปรากฏขึ้นจางๆ ก่อนจะเอ่ยตอบว่า
“ผู้อาวุโสมู่ อย่าพูดว่าไม่กี่วันนี้เลย ต่อให้เป็นหลายปี
ผู้น้อยก็ยินยอมที่จะอยู่ข้างกายและทาการเรียนรู้จาก
ท่าน เพียงแต่ข้านั้นยังมีธุระต้องจัดการ เกรงว่าจะไม่
อาจอยู่ข้างกายฟังคาสั่งสอนของท่านได้ เอาอย่างนี้ดี
หรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาน้าและอาหารมาให้ท่านโดย
ให้มีจานวนเพียงพอที่จะกินได้ประมาณสามถึงห้าวัน
จากนั้นข้าก็จะไปตามหาสหายของข้าต่อ ท่านเขียนที่
อยู่ทิ้งไว้ให้กับข้า หากเมื่อใดที่ข้าคิดถึงท่าน ข้าก็จะไป
หาท่าน ท่านว่าดีหรือไม่?”
ผู้อาวุโสมู่ส่งเสียงหัวเราะอย่างแปลกประหลาด
ออกมาทันที เสียงหัวเราะนี้ทาให้หยางหนิงรู้สึกขนลุก
ซู่ไปทั่วทั้งร่างกาย
เขาดึงมือออกจากไหล่ของหยางหนิง ก่อนที่แววตาจะ
มองไปที่แขนขวาของตนเหมือนกับกาลังชื่นชม
ศิลปวัตถุอย่างหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามออกมาอย่างช้าๆ
ว่า “จริงสิ เจ้ามีนามว่าอะไร?”
“ข้าเป็นเพียงคนเร่ร่อน ผู้อื่นจึงเรียกข้าว่า
เสี่ยวป๋ายทู่” หยางหนิงเอ่ยออกมาด้วยท่าทีจริงจัง
ผู้อาวุโสมู่ยังคงมองไปที่มือของตัวเองก่อนจะเอ่ยว่า
“เสี่ยวป๋ายทู่ เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ามือข้างนี้ของข้ามี
ชื่อว่าอะไร?”
หยางหนิงบังเกิดโทสะขึ้นในจิตใจ พลางลอบคิดว่าเจ้า
คนสติฟั่นเฟืองผู้นี้กาลังหยอกล้อเขาเล่นหรืออย่างไร
ข้าไม่เคยจะได้ยินว่ามือข้างหนึ่งจะมีชื่อด้วย จึงเอ่ย
ออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า “หรือว่าจะชื่อแม่นางห้า?”
“อะไรนะ?” ชั่วขณะหนึ่งผู้อาวุโสมู่ก็ได้ยินได้
ไม่ชัดเจนนัก
หยางหนิงจึงยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ พร้อมเอ่ยว่า
“ผู้น้อยไม่รู้ ขอเชิญผู้อาวุโสมู่ชี้แนะด้วย”
ผู้อาวุโสมู่ยิ้มออกมาจางๆ “หลายคนเรียกมือข้างนี้ว่า
มือไม้เปื่อยตาย”
“มือไม้เปื่อยตาย?”
“มือไม้ลากผ่าน สรรพสิ่งเปื่อยตาย” ผู้อาวุโสมู่เอ่ย
ออกมาอย่างเชื่องช้า “ก็เหมือนกับที่เมื่อครู่ข้าตบ
มือนี้ลงบนไหล่เจ้าไม่กี่ครั้ง เส้นชีพจรหลายจุดของเจ้า
ก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เส้นชีพจร
เหล่านั้นก็จะค่อยๆ หดตัวและเปื่อยเน่าไป ผ่านไป
ไม่กี่วันก็จะเปื่อยตายไปในที่สุด เสี่ยวป๋ายทู่ เจ้ารู้
หรือไม่ว่าเมื่อเส้นชีพจรของคนเปื่อยตายไปแล้วจะ
เป็นอย่างไร?”
เวลานี้สีหน้าของหยางหนิงได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการที่ผู้อาวุโสมู่ตบมือลงบนไหล่
ตนไม่กี่ครั้งนั้นจะถือเป็นการลงมือกับเขาแล้ว
เขาอยากที่จะพุ่งตัวไปบีบคอชายแก่นี้เสียจริงๆ ทว่า
ความจริงแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและเอ่ยว่า
“ผู้อาวุโสมู่ ท่านทาอะไรลงไป? ผู้น้อยมีอันใดที่
ล่วงเกินท่านไปงั้นหรือ?”
“ชีพจรเน่าเปื่อยนั้น หากเป็นเพียงแค่ชีพจรทั่วไปก็จะ
แค่นอนพิการไม่อาจขยับตัวได้เท่านั้น ทว่าชีพจรที่ข้า
แตะต้องนั้นเป็นเส้นที่ทะลวงไปทั่วร่างกายของเจ้า
เมื่อใดที่มันเริ่มเปื่อย...!” ก่อนที่ผู้อาวุโสมู่จะส่งเสียง
หัวเราะออกมาและไม่ได้เอ่ยอะไรต่ออีก
ชีพจรทะลวงทั่วร่าง แค่ชื่อก็ฟังดูเหนือชั้นแล้ว
หยางหนิงถอนหายใจออกมายืดยาวก่อนจะเอ่ยว่า
“ผู้อาวุโสมู่ ท่าน...ท่านมันกินบนเรือนขี้บนหลังคานี่”
แม้เขาจะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าในใจก็ยังคงมีความสงสัยอยู่
บ้าง พลางลอบคิดในใจว่าแค่ตบลงเบาๆ แค่สองครั้ง
จะสามารถทาลายชีพจรของเขาได้จริงหรือ ชายชรา
ผู้นี้มักจะขมขู่ผู้คนและพูดจาโอ้อวดจนเป็นนิสัยแล้ว
ไม่แน่ว่าอาจจะแค่ทาการข่มขู่ให้เกินจริงไปเฉยๆ
“เจ้าวางใจเถิด ข้าเพียงอยากให้เจ้ารู้ถึงความร้ายกาจ
ของมือไม้เปื่อยตายของข้าเท่านั้น” ผู้อาวุโสมู่ส่งเสียง
ไอออกมาอีกหลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าเห็นว่าเจ้า
มีพรสวรรค์ไม่เลว เลยคิดว่าหลังจากที่หายดีแล้วจะ
สอนวรยุทธ์ล้าเลิศให้กับเจ้า ฝึกให้เจ้ากลายเป็น
ยอดฝีมือ ขอเพียงฝึกวรยุทธ์จนเป็นขั้นสุดยอดแล้ว
ใต้หล้านี้ก็ไม่มีสิ่งใดที่เจ้านามาครอบครองไม่ได้
เสี่ยวป๋ายทู่ เจ้ายินดีหรือไม่?”
วรยุทธ์ล้าเลิศ?
หยางหนิงอยากจะพ่นน้าลายใส่หน้าชายชรา
จอมลวงโลกผู้นี้เสียจริงๆ หากเขามีวรยุทธ์ล้าเลิศ
จริงๆ มีหรือจะถูกอาวุธลับของคนวังห้าพิษทาร้ายเอา
ได้?
“เรื่องนี้...แน่นอนว่ายินดี” หยางหนิงได้แต่เอ่ยเช่นนี้
“ทว่าชีพจรของข้า...!”
“อย่าได้กังวลไป สามวันนี้ข้าจะทาการกดจุดให้เจ้า
วันละครั้ง สามวันต่อมาเจ้าก็จะปลอดภัยไร้กังวล
แล้ว” ผู้อาวุโสมู่เอ่ยต่อ “ทว่าสามวันนี้หากเกิดเรื่อง
เหนือความคาดหมายอันใดขึ้น หรือว่าเจ้าหลงทางใน
ป่าหาข้าไม่พบแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็อย่ามาโทษข้าก็แล้ว
กัน” เมื่อเอ่ยจบ ร่างกายของผู้อาวุโสมู่ก็สั่นสะท้านไป
ทั่ว ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นและเอ่ยต่อว่า “เจ้า...เจ้าไป
เฝ้าปากถ้าเอาไว้...!”
เวลานี้หยางหนิงก็รู้แล้วว่า พิษบนร่างของผู้อาวุโสมู่
ค่อยๆ กาเริบเป็นระยะ เมื่อครู่ดูเหมือนผู้อาวุโสมู่จะ
ปกติปลอดภัยดีก็ล้วนแต่เพราะพิษยังไม่กาเริบ เวลานี้
เห็นได้ชัดว่าพิษได้กาเริบแล้ว
ตอนนี้ผู้อาวุโสมู่ก็ได้นั่งขัดสมาธิ ฝ่ามือทั้งสองข้าง
หงายขึ้น ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างตั้งขนานกันอยู่หน้า
ทรวงอก ตอนนี้หยางหนิงได้กลับไปที่หน้าปากถ้าแล้ว
เขาพิงตัวอยู่ข้างกาแพงของปากถ้า พลางเริ่มไล่ด่า
ตั้งแต่บรรพบุรุษของผู้อาวุโสมู่ ไปจนถึงลูกหลานเขา
ทั้งโคตรตระกูล
บางทีอาจเป็นเพราะหลายวันมานี้ออกเดินทางไม่มี
พัก อีกทั้งยังต้องเหน็ดเหนื่อยตลอดค่าคืนวันนี้
ทาให้หยางหนิงรู้สึกหมดเรี่ยวแรง เมื่อพิงตัวกับ
กาแพงหินไปได้ชั่วครู่ หยางหนิงก็เผลอหลับลงไป
ทันที
ในความฝัน มีสาวน้อยวัยประมาณสิบสามสิบสี่ปี
กาลังยืนอยู่ท่ามกลางพุ่มดอกไม้ ขณะหันหน้ามา
ยิ้มบางๆ ให้กับเขา ใบหน้าของนางจิ้มลิ้มน่ารัก
งดงามเสียยิ่งกว่าดอกไม้ แววตาใสกระจ่างสะท้อน
แสงระยิบระยับ ดูงดงามราวกับดวงดาวในท้องฟ้า
ยามค่าคืน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 16 หกประสาน
เมื่อหยางหนิงตื่นขึ้นมานั้น ท้องฟ้าก็ได้สว่างมากแล้ว
แสงอาทิตย์สอดส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้
เกิดเป็นแสงและเงาคาบเกี่ยวกันเป็นช่วงๆ เมื่อ
เงยหน้ามองตรงไปกลับเห็นต้นไม้สูงเติบโตซ้อนทับ
ยาวเรียงกันเป็นทางลึก วิวทิวทัศน์บนเขาเช่นนี้กลับ
เผยภาพที่งดงามชวนเชยชมขึ้น แตกต่างกับภาพป่า
ลึกมืดเมื่อคืนเป็นอย่างมาก อากาศที่สะอาดบริสุทธิ์
นั้นเมื่อสูดดมเข้าไปก็ยิ่งทาให้คนรู้สึกสดชื่นสบายปอด
“ตื่นแล้ว?” ด้านหลังก็มีเสียงของผู้อาวุโสมู่ดังขึ้น
“ข้ากระหายน้า เจ้าไปหาพวกผลไม้ป่ามาดับกระหาย
ให้ที”
หยางหนิงหันหน้ากลับไปมองทางต้นตอของเสียง
แม้ว่าในถ้านั้นจะยังคงมืดสลัวอยู่ไม่น้อย ทว่าก็ชัดเจน
ยิ่งกว่าเมื่อคืนมากแล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสมู่กาลัง
นั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้า ดูคล้ายกับนักบวชที่กาลังนั่งทา
สมาธิอยู่
หยางหนิงลอบด่าประโยคหนึ่งในใจ ก่อนจะคิดได้ว่า
ตัวเองก็คอแห้งอยู่ไม่น้อย จึงได้แต่หัวเราะเหอะๆ
และตอบกลับไปว่า “ผู้อาวุโสจอมปลิ้นปล้...อ่ะ
ผู้อาวุโสมู่ อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนท่านหลับสบายดี
หรือไม่?”
ผู้อาวุโสมู่ไม่ได้สนใจคาพูดของหยางหนิง เมื่อ
หยางหนิงเห็นดังนั้นก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง จึงลุกขึ้นยืน
และยืดเส้นยืดสายไปมา เมื่อคืนหลังจากที่ได้นอน
แล้วก็ทาให้กาลังกายและสติของเขาฟื้นฟูคืนมา
ไม่น้อย
เขาก้าวเท้าเตรียมจะเดินจากไป อยู่ๆ เสียงของผู้
อาวุโสมู่ก็ดังจากทางด้านหลังอีกครั้ง “เสี่ยวป๋ายทู่
เจ้าเป็นคนฉลาด อย่าคิดหาเรื่องใส่ตัวโดยเด็ดขาด”
หยางหนิงเข้าใจความหมายของเขา เขาก็แค่กลัวว่า
ตนจะหนีไปเท่านั้น จากนั้นหยางหนิงก็ส่งเสียง
หัวเราะเหอะๆ ออกมาและไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติมอีก
ในป่าเขานี้มีต้นไม้สูงเติบโตเรียงรายกันอยู่หนาแน่น
อีกทั้งบริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยเถาวัลย์หนาม
จานวนมาก หากคิดจะตามหาผลไม้ป่านั้นไม่ใช่เรื่องที่
ง่ายเลย ยังดีที่เขามีอายุยังน้อย ร่างกายพริ้วไหว
กระฉับกระเฉง การเดินสันทัดไปมาบนเขาแห่งนี้ยัง
ถือว่าคล่องแคล่วพอควร เมื่อเดินไปได้ระยะทาง
ประมาณสี่ห้าลี้ หยางหนิงก็ได้ยินเสียงกระทบกันของ
น้าดังสะท้อนอยู่บริเวณใกล้ๆ ก่อนจะมองเห็นว่ามีลา
ธารสายหนึ่งอยู่เบื้องหน้า ตอนนี้เขากาลังกระหายน้า
มาก เมื่อเดินไปถึงข้างลาธารก็เห็นว่าน้าของมันนั้นใส
บริสุทธิ์ผิดปกติ จึงตักน้าจานวนหนึ่งใส่มือและสาด
ขึ้นใส่หน้า ทาการล้างหน้าของตนไปก่อน
คุณภาพน้าที่บริสุทธิ์ไร้มลภาวะของธรรมชาตินี้
แน่นอนว่าสามารถทาการดื่มได้อย่างสบายใจ จากนั้น
เขาก็กวาดตามองบริเวณโดยรอบและเห็นว่าห่างจาก
ข้างลาธารไปไม่ไกลนักก็มีต้นผลไม้ป่าอยู่หลายต้น
ดังคาด บนต้นไม้เหล่านั้นเต็มไปด้วยผลไม้ป่า
เพียงแต่เขาจาแนกไม่ออกว่ามันคือผลไม้อะไร
หยางหนิงเดินไปเด็ดลงมาส่วนหนึ่งก่อนจะกัดกินเพื่อ
ชิมรสชาติ รสชาติเมื่อเข้าปากไปแล้วนั้นหอมหวาน
มาก จัดได้ว่าเป็นรสชาติที่ไม่เลวเลย
ในใจของเขากาลังคิดคานวณว่าควรจะถือโอกาสนี้
หนีไปดีหรือไม่ เวลานี้ถือเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะ
หลุดพ้นจากการควบคุมของผู้อาวุโสมู่ เพียงแต่เมื่อ
คิดถึงคาข่มขู่ของผู้อาวุโส ในใจของเขาก็ยังคงมีความ
ลังเลเกิดขึ้น
ชายชราจอมปลิ้นปล้อนนั้นแม้จะชอบพูดจาโอ้อวด
โดยอ้างว่ามือไม้เปื่อยตายของเขาได้ทาร้ายเส้นชีพจร
ของหยางหนิงแล้ว ทว่าในใจของหยางหนิงก็ยังเกิด
ความรู้สึกสงสัยอยู่ไม่น้อย
ชายชรานี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส หยางหนิงสงสัย
เหลือเกินว่าเขาจะทาเพียงแค่ตบมือลงบนไหล่ตนสอง
สามครั้งเบาๆ และทาร้ายตนได้จริงหรือไม่ อีกทั้งสิ่งที่
สาคัญยิ่งกว่าคือจนถึงตอนนี้แล้ว หยางหนิงก็ยังไม่
รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ในร่างกายของตน
หยางหนิงกรอกตาไปมา ก่อนจะตัดสินใจแล้วว่าตน
จะเดินหน้าไปทางทิศใต้ต่อ แต่เมื่อเดินไปได้ไม่ถึงครึ่ง
ชั่วยาม อยู่ๆ บริเวณทรวงอกก็รู้สึกเหมือนถูกบีบ
อย่างรุนแรง ความเจ็บปวดที่พุ่งเข้าโจมตีนั้นค่อยๆ
กระจายจากบริเวณหัวใจไปจนถึงหัวไหล่
หยางหนิงนั่งลงบนพื้น หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดขึ้น
จานวนมาก ก่อนจะรีบยกมือขึ้นกดทับบริเวณหัวใจ
ของตน เวลานี้หัวใจของเขาเต้นเร็วและแรงมาก
ความรู้สึกเจ็บปวดนี้ทาให้เขาแทบจะไม่สามารถ
หายใจต่อได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นก็ค่อยๆ ทุเลาลง
รอจนกระทั่งมันจางหายไปนั้น หยางหนิงถึงจะค่อย
สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ถึงสองครั้งติด ขณะที่แววตา
ปรากฏแสงแห่งความเยือกเย็นขึ้นพร้อมกาหมัดแน่น
และเอ่ยด่า “เจ้าแก่เศษสวะนั่น ถึงกลับกล้าลงมือ
จริงๆ ด้วย” ก่อนหน้านี้เขายังคงรู้สึกสงสัยว่า
ผู้อาวุโสมู่ทาเพียงแค่พูดจาข่มขู่ให้คนหวาดกลัวเพียง
แค่นั้นหรือไม่ ทว่าเวลานี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยอีกต่อไป
เมื่อคิดได้ว่าตนถูกชายแก่นั่นข่มขู่ได้สาเร็จ หยางหนิง
ก็มีแต่ความรู้สึกเกลียดชังอัดแน่นในหัวใจ และ
กล่าวโทษตัวเองว่าไม่ควรทาการขึ้นเขาลูกนี้มา
ทว่าเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ได้แต่ต้องเดินไป
ดูไป พลิกแพลงตามสถานการณ์แล้ว
ตอนนี้เขาจึงได้แต่ต้องหมุนตัวเดินกลับไปที่ข้างลาธาร
และก้มเก็บผลไม้ห้าหกลูก และเดินกลับถ้าไปอย่าง
หงุดหงิด ทว่ายังไม่ทันเหยียบย่างเข้าไปในถ้า
หยางหนิงก็ได้ยินเสียงร้องประหลาดดังออกมาจาก
ด้านใน ในใจก็รู้สึกประหลาดใจจึงค่อยๆ ย่องเดินไปที่
ปากถ้าและชะเง้อคอมองเข้าไปด้านใน ทว่าภาพที่
หยางหนิงเห็นคือผู้อาวุโสมู่กาลังดิ้นไปดิ้นมาอยู่บน
พื้นอย่างทุกข์ทรมาณ มือทั้งสองข้างของเขาทุบ
หน้าอกของตัวเองไม่หยุด ดูคล้ายกับคนกาลัง
คลุ้มคลั่งก็มิปาน
หยางหนิงรู้สึกตกใจยิ่งนัก พลางลอบคิดในใจว่าหรือ
พิษในตัวของชายชราผู้นี้กาเริบอีกแล้ว?
ผู้อาวุโสมู่คารามเสียงต่าเหมือนกาลังพยายามกดเสียง
ร้องของตนให้เบาลง แต่เดิมที่เขากาลังดิ้นไปมาอยู่
บนพื้นนั้น อยู่ๆ เขาก็พลิกตัวยืนขึ้นและพุ่งไปที่
กาแพงหินของถ้าและยกมือทั้งสองขึ้นดันไว้กับ
ผิวกาแพง จากนั้นเขากลับใช้ศีรษะของตัวเองโขกไปที่
กาแพงหินนั้นอย่างแรง
หยางหนิงตกตะลึงจนหน้าซีด เขานั้นไม่อยากให้
ผู้อาวุโสมู่หัวแตกตายไปในตอนนี้ เพราะว่าหาก
ชายแก่นี้ตายไป บาดแผลบนร่างของเขาก็ไม่มีผู้ใด
สามารถรักษาได้แล้ว
ผู้อาวุโสมู่ดูคลุ้มคลั่งราวกับคนบ้า หลังจากที่โขกไป
แล้วหลายครั้ง บนหน้าผากก็มีเลือดสดไหลอาบลงมา
ทว่าเขากลับดูเหมือนไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดใดๆ
หยางหนิงจึงรีบวิ่งไปด้านหน้าและเอ่ยเรียก “ผู้อาวุโส
มู่ ผู้อาวุโสมู่ ท่านอย่าคิดสั้นนะ ท่านรู้หรือไม่ว่าท่าน
ไม่ควรจะทาเช่นนี้กับตัวเอง?”
อยู่ๆ ผู้อาวุโสมู่ก็หันหน้ามาหาหยางหนิง ก่อนจะเห็น
ว่าตอนนี้สีหน้าของเขาดูชั่วร้ายมาก อีกทั้งดวงตา
ทั้งสองในตอนนี้ก็เป็นสีแดงก่า บวกกับโลหิตที่ไหล
อาบลงมาจากหน้าผาก ทาให้ผ้าที่ใช้ผูกอยู่บริเวณ
หน้าผากนั้นก็ถูกย้อมไปด้วยโลหิตสดแล้วเช่นกัน
“ผู้อาวุโสมู่...!” หยางหนิงเห็นว่าดวงตาคู่นั้นจ้องตน
ราวกับแววตาของสัตว์ร้าย แผ่นหลังของเขาก็รู้สึก
ขนลุกซู่ไปหมด พลางคิดในใจว่าพิษเช่นนี้ช่างร้ายกาจ
เสียจริงๆ ถึงกับทาให้ผู้อาวุโสมู่ที่เป็นยอดฝีมือเช่นนี้มี
สภาพตกต่าได้ถึงเพียงนี้
ทันใดนั้นผู้อาวุโสมู่ก็โถมตัวมาทางด้านหน้า ทว่า
หยางหนิงได้เตรียมตัวไว้อยู่ก่อนแล้ว เขาจึงรีบก้าว
ถอยไปด้านหลัง ในขณะที่ผู้อาวุโสมู่สะดุดขาของ
ตัวเองและเอนล้มลงกับพื้น จากนั้นเขาก็ค่อยทาการ
ดีดดิ้นไปมาอยู่บนพื้นอีกครั้ง มือทั้งสองยังคงยกขึ้น
ทุบอกตัวเองอย่างต่อเนื่อง หยางหนิงเห็นภาพ
ดังกล่าวก็รู้สึกตกอกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบก้าว
ถอยออกไปด้านนอกถ้าอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไป
เนิ่นนานกว่าผู้อาวุโสมู่จะค่อยๆ สงบลง ก่อนจะ
ไม่ขยับตัวต่ออีก ร่างของเขานอนราบอยู่บนพื้น
เหมือนกับคนที่สิ้นชีวิตไปแล้ว
หยางหนิงรออีกครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ ก้าวเท้าอย่าง
แผ่วเบาเข้าไปด้านใน ก่อนจะเห็นว่าดวงตาของ
ผู้อาวุโสมู่นั้นปิดสนิท ฟันบนล่างขบกัดกันแน่น
เลือดสดบนหน้าผากยังคงไหลออกมา ขณะที่สีหน้า
นั้นกลับขาวซีดจนหน้ากลัว
หยางหนิงยกเท้าขึ้นเตะอยู่หลายครั้ง ทว่าผู้อาวุโสมู่
กลับไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
“หรือว่าชายแก่นี่จะถูกพิษตายไปแล้ว?” หยางหนิง
รู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นมาทันทีจึงรีบย่อตัวลงไปและ
ยื่นมือออกไปทาบบริเวณจมูกของผู้อาวุโสมู่เพื่อ
ตรวจดูลมหายใจ ก่อนจะพบว่าผู้อาวุโสยังมีลมหายใจ
ที่บางเบาอยู่ จึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เขายื่นมือไปตบหน้าผู้อาวุโสมู่อยู่หลายครั้งก่อนจะ
ก่นด่าออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ท่านมันปีศาจเฒ่า
ตัวเองจะตายอยู่แล้วยังจะมาดึงข้าไปร่วมด้วยอีก
ทาไม?” เพราะความโกรธแค้นในใจทาให้เขายกเท้า
ขึ้นเตะต่ออีกหลายครั้ง
ทันใดนั้นสายตาของเขาก็หันไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่
เปิดกางอยู่ตีนกาแพงหิน ในใจก็เกิดความรู้สึกอยากรู้
อยากเห็น จึงเดินไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาดู
เมื่อหยิบมาถือไว้ในมือแล้วถึงจะพบว่ามันเป็นหนังสือ
ภาพวาดม้วนหนึ่ง มากกว่าครึ่งเล่มนั้นยังไม่เคยถูก
เปิดอ่าน โดยสัมผัสที่ได้รับจากหนังสือภาพม้วนนี้นั้น
ลื่นมือมาก อีกทั้งดูจากเนื้อกระดาษแล้วก็เห็นได้ชัดว่า
มันไม่ใช่กระดาษธรรมดา ทว่าเขากลับไม่รู้ว่ามันทามา
จากกระดาษประเภทใด
ม้วนหนังสือภาพนั้นค่อนข้างเก่าจนเกิดคราบเหลือง
ขึ้นบางจุดแล้ว หยางหนิงเปิดดูหนังสือเล่มนั้นอย่าง
ละเอียด ก่อนจะพบว่าบนม้วนหนังสือภาพนั้นทุกๆ
ระยะห่างประมาณหนึ่งนิ้วก็ล้วนแต่มีภาพร่างคน
เปลือยอยู่คนหนึ่ง ทว่าท่วงท่าของคนนั้นกลับแตกต่าง
กัน อีกทั้งบนภาพของร่างคนเหล่านั้นล้วนแต่มีเส้นขีด
คาดกันไปมา ทันใดนั้นหยางหนิงก็ดูออกทันทีว่านี่คือ
ภาพของชีพจรบนร่างกายมนุษย์
เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย หนังสือภาพนี้จะต้องเป็น
ของผู้อาวุโสมู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ชายชราผู้นี้จะ
พกหนังสือวาดเล่มนี้ติดตัวไปเพื่ออะไร?
เวลานี้ผู้อาวุโสมู่นอนนิ่งอยู่บนพื้นราวกับคนตาย
ไม่มีการขยับตัวแม้แต่น้อย
ภายในถ้านี้ค่อนข้างมืด ทาให้ชั่วขณะหนึ่งนั้น
หยางหนิงไม่อาจมองเห็นภาพวาดบนนั้นได้อย่าง
ชัดเจน เขาจึงเดินไปที่ปากถ้า ตรงนั้นมีแสงสว่างของ
พระอาทิตย์สาดส่องมา ตอนนี้เมื่อเปิดดูเขาถึง
สังเกตเห็นว่าชีพจรบนร่างของคนเปลือยนั้นถูก
อธิบายอย่างละเอียดมาก เส้นชีพจรส่วนมากเน้นย้า
ด้วยสีดา ทว่าทุกภาพของร่างคนนั้นกลับมีเส้นสีแดงที่
สะดุดตาขีดคาดอยู่ด้วย
หนังสือภาพนี้มีอายุเก่าแก่มาก แผ่นกระดาษแปร
เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว ในขณะที่เส้นสีแดงนั้นก็จืด
จางลงไม่น้อย ทว่ากลับยังคงสามารถทาการจาแนก
ได้อย่างชัดเจน
ม้วนหนังสือภาพนี้คลี่เปิดจากด้านขวาไปทางด้านซ้าย
โดยทางด้านขวาสุดของปกม้วนหนังสือภาพนั้นมี
ตัวหนังสือโบราณเขียนจากบนลงล่างสี่ตัวใหญ่ และ
ตรงมุมก็มีตัวหนังสือขนาดเล็กเรียงกันเป็นแนวตั้งอีก
หลายตัว
ความจริงแล้วความสามารถในการอ่านตัวหนังสือ
โบราณของหยางหนิงนั้นก็ไม่ได้ย่าแย่ ทว่าลายเส้น
ของตัวหนังสือโบราณนี้บางเบามากทาให้มองเห็นได้
ไม่ชัดเจนนัก ทว่าตัวหนังสือโบราณสี่ตัวใหญ่ที่เขียน
อยู่นั้น หยางหนิงยังพออ่านออกบ้าง
พลังเทพหกประสาน!
หยางหนิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ชื่อนี้ถือว่าดูน่าดึงดูดยิ่งนัก
เวลานี้เขาถึงจะรู้ว่าหนังสือภาพนี้เป็นไปได้อย่างมาก
ว่าจะเป็นหนังสือเคล็ดลับของการฝึกวรยุทธ์ และการ
ที่ผู้อาวุโสมู่พกหนังสือเคล็ดลับนั้นก็ไม่ถือเป็นเรื่องที่
แปลก
ตัวหนังสือเล็กๆ ที่เรียงติดกันบนขอบหนังสือนั้น
หยางหนิงรู้จักอยู่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น โดยพอจะอ่าน
ได้เนื้อความว่า “ผู้ประสานพลังทั้งหก บนล่างสี่ทิศ
จักรวาลฟ้าดิน” “รวมประสานพลังทั้งหก เม็ดทราย
กองรวมเป็นภูเขา” และอื่นๆ ทว่าตัวหนังสือส่วนมาก
แล้วเขาไม่อาจทาความเข้าใจได้
ชาติก่อนหยางหนิงเคยผ่านการฝึกฝนพิเศษมา
โดยเคยผ่านการฝึกเฉพาะในการวิเคราะห์ข้อต่อ
กระดูกบนร่างกายของมนุษย์มาอย่างเข้มงวด
เพราะฉะนั้นเวลานี้เมื่อมองดูเส้นที่ขีดทับซ้อนไปมา
บนภาพร่างกายของมนุษย์แล้ว เขาก็มีความรู้สึก
คุ้นเคยบางอย่างขึ้น
เส้นสีแดงของภาพแรกนั้นเริ่มต้นจากนิ้วมือทั้งห้าของ
มือฝั่งด้านซ้าย เส้นสีแดงห้าเส้นที่ลากจากปลายนิ้ว
มือค่อยๆ ลากยาวมาถึงบริเวณข้อมือก่อนจะผสานกัน
กลายเป็นเส้นชีพจรเส้นหนึ่ง ห้าเส้นรวมเป็นหนึ่ง
ลากจากเส้นชีพจรบนแขนยาวไปถึงใต้รักแร้ฝั่งซ้าย
ก่อนจะลากผ่านเป็นแนวขวางไปยังทรวงอก เมื่อถึง
จุดตรงกลางของทรวงอกแล้วเส้นสีแดงก็ได้หยุดลง
หยางหนิงมองดูก็รู้ได้ทันทีว่าจุดสุดท้ายบริเวณ
ทรวงอกนั้นก็คือจุดถานจงที่สาคัญที่สุดของร่างกาย
มนุษย์
จากนิ้วมือทั้งห้าฝั่งซ้ายลากไปจนถึงจุดถานจงบริเวณ
ทรวงอกนั้นดูเหมือนจะไม่ได้คดเคี้ยวเท่าใดนัก ทว่า
ระหว่างทางกลับมีจุดชีพจรอีกสิบกว่าจุด และทุกจุด
ชีพจรที่เส้นลากผ่านนั้นก็จะเพิ่มความหนาขึ้น
เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าทาไว้เพื่อให้คนสามารถ
แยกแยะได้อย่างง่ายดาย
ความจริงแล้วบนเส้นชีพจรนี้ลากผ่านจุดชีพจรไปราว
สามสิบถึงสี่สิบจุด ทว่ากลับมีเพียงสิบกว่าจุดเท่านั้นที่
ถูกเชื่อมโยงกันด้วยเส้นสีแดง หยางหนิงรู้จักจุดชีพจร
สิบกว่าจุดนี้เป็นอย่างดี ทว่าชั่วขณะหนึ่งกลับดูไม่ออก
ว่าจุดประสงค์ในการกากับเส้นเหล่านี้บนภาพนั้นมีไว้
เพื่อสิ่งใด
หยางหนิงจึงทาการคลี่เปิดม้วนหนังสือภาพนี้ให้
แผ่กางเอาไว้บนพื้น ให้เห็นภาพทั้งหมดได้อย่าง
ชัดเจน ความจริงแล้วม้วนหนังสือภาพนี้ไม่ได้ยาวมาก
นัก นับจากขวาไปซ้ายนั้นมีอยู่ประมาณสิบเอ็ดรูป
เท่านั้น
ผู้ที่วาดภาพนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือ โครงสร้าง
ของมนุษย์ในภาพนี้ถูกวาดได้สมจริงยิ่งนัก ท่วงท่า
ของร่างกายคนในทั้งสิบเอ็ดภาพนี้มีความแตกต่างกัน
อยู่บ้าง ตัวอย่างเช่นภาพที่หนึ่ง แขนซ้ายจะถูกยกขึ้น
เล็กน้อย ขณะที่แขนขวาวางทาบกับลาตัว ในขณะที่
ภาพที่สองกลับเป็นในทิศทางตรงกันข้าม การทา
เช่นนี้ก็เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นที่ต้องการแสดงให้
เห็นในแต่ละภาพ เส้นสีแดงของภาพที่หนึ่งนั้นวาดอยู่
บนแขนข้างซ้าย เพราะฉะนั้นแขนข้างซ้ายจึงถูก
ยกขึ้นเล็กน้อยให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
ทุกภาพวาดล้วนแต่มีเส้นแดงที่เห็นได้เด่นชัดลากผ่าน
ร่างกาย หยางหนิงกวาดตามองผ่านๆ ไปรอบหนึ่ง
ก่อนจะเห็นว่าทุกภาพวาดนั้นแม้จะมีจุดเริ่มต้นที่ไม่
เหมือนกัน ทว่าจุดจบกลับล้วนแต่เป็นจุดถานจง
บริเวณทรวงอก
จุดเริ่มต้นของทั้งสิบเอ็ดภาพนี้ ประกอบด้วยแขนซ้าย
แขนขวา ไหล่ทั้งสองข้าง ขาทั้งสองข้าง หัวเข่าทั้งสอง
ข้าง บริเวณใต้สะดือ หว่างคิ้ว และปีกหลัง โดยภาพ
ปีกหลังนั้นเป็นภาพหันหลังให้กับผู้อ่าน
จุดชีพจรที่เส้นสีแดงลากผ่านในแต่ละภาพนั้นไม่
เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งจานวนเส้นชีพจรที่
ลากผ่านก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย
ตัวอย่างเช่นระยะห่างระหว่างเส้นชีพจรที่ไกลที่สุดก็
คือขาทั้งสองข้าง โดยเส้นที่ลากตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมาถึง
จุดถานจงนั้น ระหว่างทางได้ผ่านจุดชีพจรหลายสิบ
จุด และระยะห่างที่ใกล้กับจุดถานจงที่สุดก็คือไหล่
สองข้าง โดยลากผ่านจุดชีพจรประมาณเจ็ดแปดจุด
เท่านั้น
แม้ว่าภาพร่างคนจะดูเหมือนจริงมาก อีกทั้งจุดชีพจร
ก็มีเส้นดาชี้แสดงให้เห็น ทว่าบนนั้นกลับไม่ได้ชี้แจง
บอกถึงชื่อเรียกของจุดชีพจร หากเป็นผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ
ด้านจุดชีพจรแล้ว เมื่ออ่านดูก็จะไม่มีทางเข้าใจได้เลย
ทว่าหยางหนิงเองก็รู้ดีว่าในเมื่อหนังสือพลังเทพหก
ประสานนี้เป็นถึงเคล็ดลับในการฝึกวรยุทธ์ เช่นนั้นผู้ที่
ครอบครองก็จะต้องเป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ ผู้เรียนวรยุทธ์
นั้นแน่นอนว่าจะต้องรู้จักจุดชีพจรในร่างกายเป็น
อย่างดี ต่อให้บนหนังสือภาพนี้ไม่ได้ชี้แจงถึงชื่อของ
จุดชีพจร ทว่าผู้ชานาญด้านนี้มองเพียงแวบเดียวก็คง
สามารถรู้ได้ถึงทุกจุดชีพจรที่เส้นสีแดงลากผ่านอย่าง
แน่นอน
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 17 หน้าผา
ผู้อาวุโสมู่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น หยางหนิงรู้สึกว่าแค่
การที่ชายชราผุ้นี้เอาหัวโขกกาแพงหินเมื่อครู่ก็
เพียงพอให้เขาหลับไปได้ระยะหนึ่งแล้ว
เวลานี้หากคิดจะปลิดชีวิตของผู้อาวุโสมู่นั้นถือว่าเป็น
เรื่องง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ ทว่าความเจ็บปวด
บริเวณหน้าอกเมื่อครู่นี้ ทาให้เขาเพียงแต่รู้สึกเป็น
กังวลว่าหากชายชราผู้นี้ตายไปจริงๆ แล้ว เกรงว่า
ตัวเขาเองก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานนัก
แต่หากชายชราฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้นั้น เกรงว่า
ตัวเขาเองก็ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่แสนอันตราย
เช่นกัน ในใจก็รู้สึกสับสน ไม่รู้จะทาเช่นไรต่อไปดี
นอกจากนี้ เดิมเขาคิดว่าตนจะลัดเดินไปทางลัดจน
สามารถตามขบวนคุ้มกันได้ทัน เช่นนั้นก็สามารถตาม
หาตัวเสี่ยวเตี๋ยพบได้ ทว่าตอนนี้กลับถูกขังอยู่บนเขา
ลูกนี้ ระยะห่างกับเสี่ยวเตี๋ยก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักระยะหนึ่ง สุดท้ายเขาก็
ตัดสินใจเบนสายตาลงมามองที่ม้วนหนังสือภาพ
อีกครั้ง
หนังสือภาพนี้เขียนว่า พลังเทพหกประสาน ทว่า
หยางหนิงกลับมองไม่ออกจริงๆ ว่ามันมีความเทพ
เหนือธรรมดาที่ตรงไหน อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าการเอา
เส้นสีแดงขีดกากับให้เด่นชัดนั้นจะทาไปเพื่ออะไร
ทว่าเพราะเขาเบื่อหน่ายไม่มีสิ่งใดให้ทา จึงได้แต่ต้อง
คลี่ม้วนหนังสือภาพออกมาดูอย่างละเอียดทีละรูป
และทาการวิเคราะห์จุดชีพจรที่เส้นสีแดงเหล่านี้
ลากผ่าน
ภาพแรกนั้นได้ลากผ่านจุดชีพจรทั้งหมดสิบหกจุด
โดยหยางหนิงใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งก็สามารถจาแนก
ทั้งสิบหกจุดได้อย่างเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เดิมเขาก็เคย
ร่าเรียนด้านการวิเคราะห์จุดชีพจรมาก่อน เพียงแต่มี
หลายจุดที่รายเรียงกันอย่างใกล้ชดิ มาก หากสังเกตดู
ไม่ดีก็จะจาแนกผิดได้อย่างง่ายดาย ความสามารถใน
การจาแนกของหยางหนิงเดิมก็เก่งกาจจนน่าตกใจอยู่
แล้ว ทาให้เวลาที่เขาจาแนกจุดชีพจรเหล่านี้จึงใช้
เวลาไปไม่นานนัก อีกทั้งยังสามารถดูจากจุดชีพจร
เหล่านี้และใช้มือคลาถูกจุดต่างๆ ได้อีกด้วย
รอจนสามารถจาแนกจุดชีพจรของรูปที่หกได้อย่าง
ชัดเจนแล้วนั้น อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องเบาๆ ดังออกมา
จากทางด้านหลังของตน หยางหนิงรีบหันศีรษะ
กลับไปด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะเห็นว่าร่างกาย
ของผู้อาวุโสมู่ได้ขยับแล้ว จึงรีบทาการม้วนหนังสือ
ภาพกลับคืนสภาพเดิม และค่อยๆ ย่องเข้าไปด้านใน
และวางม้วนหนังสือภาพกลับคืนตาแหน่งเดิมแล้วจึง
ค่อยเดินกลับไปที่ปากถ้าเช่นเดิม
ผ่านไปไม่นานนัก หยางหนิงก็ได้ยินเสียงสวบสาบดัง
มาจากทางด้านหลัง และเมื่อเขาหันกลับไปดูอีกครั้งก็
เห็นว่าผู้อาวุโสมู่ได้ขยับตัวขึ้นมานั่งแล้ว จึงรีบเสแสร้ง
แกล้งถามด้วยท่าทีห่วงใยว่า “ผู้อาวุโสมู่ ท่าน...
ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสมู่ได้มีสติกลับคืนมาไม่น้อยแล้ว
เขาจ้องไปที่หยางหนิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
พร้อมเอ่ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้ามาด้านใน?”
หยางหนิงรีบเอ่ยตอบ “ตอนข้ากลับมานั้นก็เห็นท่าน
มีท่าทางเจ็บปวดมาก เดิมคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ
ทว่า...ทว่าท่านคิดจะตีข้า ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน
จึงได้แต่หลบอยู่ด้านนอก ไม่กล้าเข้าไปด้านใน”
“เจ้าไม่ได้เข้ามาด้านในเลย?” ผู้อาวุโสมู่เอ่ยถาม
หยางหนิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและตอบกลับว่า
“ตอนที่พิษของท่านผู้อาวุโสกาเริบนั้นน่ากลัวเป็น
อย่างมาก ข้า...ข้าไม่กล้าเข้าไปจริงๆ”
ผู้อาวุโสมู่ส่งเสียงหึเบาๆ ในลาคอ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ออกมาให้มากอีก เพียงแต่สีหน้าของเขานั้นกลับ
ขาวซีดจนน่ากลัว ขณะเอ่ยต่อเสียงต่า “เด็ดผลไม้ป่า
มาได้หรือไม่?”
หยางหนิงรีบนาผลไม้ป่าหลายลูกนั้นส่งไปให้
ผู้อาวุโสมู่หยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะกัดกินไปสองลูก
รอจนเขากินเสร็จแล้วนั้น ถึงจะค่อยยิ้มเย็นและเอ่ย
ถามหยางหนิงต่อ “เจ้ามีโอกาสจะจากไป เหตุใดถึง
ยังไม่ไป?”
ถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ เหตุใดถึงไม่ไปนั้นท่านไม่รู้จริง
หรือ?
ทว่าหยางหนิงกลับยังคงหัวเราะยิ้มแย้มออกมาพร้อม
เอ่ยตอบว่า “ท่านบาดเจ็บอยู่ที่นี่ ความจริงข้าเองก็
เคยคิดจะจากไป แต่เมื่อคิดว่าจะให้ทิ้งท่านเอาไว้
คนเดียว ข้าก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง”
“เจ้าหนูอย่างเจ้านี่พูดจาประจบประแจงเก่งเสียจริง”
ผู้อาวุโสเอ่ยตอบเสียงเรียบ “อาการบาดเจ็บของเจ้า
กาเริบไปแล้วหรือไม่?”
หยางหนิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและเอ่ยตอบไปว่า
“ผู้อาวุโสมู่ ความจริงท่านไม่จาเป็นต้องทาเช่นนี้
ข้าเคารพผู้ใหญ่เอ็นดูผู้น้อย ไม่มีทางทิ้งท่านไว้อย่าง
ไม่ดูดายหรอก”
ผู้อาวุโสมู่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมามากนัก ทาเพียง
แค่ยกมือขึ้นและกระแทกฝ่ามือไปที่ตาแหน่งหัวใจ
ของหยางหนิง ฝ่ามือของเขาถูกส่งออกมาอย่าง
รวดเร็วมาก ทาให้หยางหนิงไม่มีเวลาแม้แต่จะทาการ
ตอบสนองใดๆ
“ผู้อาวุโสมู่ ท่าน...!”
“ไม่ต้องกลัวไป ข้าเคยพูดแล้วว่าหากข้าช่วยเจ้ากดจุด
เป็นเวลาสามวันติดต่อกันแล้ว อาการบาดเจ็บของเจ้า
ก็จะหายเป็นปกติเอง” ผู้อาวุโสมู่เอ่ยต่อเสียงเรียบ
“เจ้าออกไปได้แล้ว หากไม่มีคาสั่งจากข้า เมื่อเจ้า
เหยียบย่างเข้ามาในถ้านี้แม้แต่ครึ่งก้าว จุดจบของเจ้า
ก็มีแต่ตายเท่านั้น”
นี่เรียกว่ากดจุด? หยางหนิงส่ายศีรษะอย่างหนักใจ
ก่อนที่สายตาเขาจะกวาดผ่านบริเวณโดยรอบ
แวบหนึ่งและสังเกตเห็นว่าม้วนหนังสือภาพนั้นได้
หายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันได้ถูกผู้อาวุโสมู่เก็บ
กลับไปแล้ว
เมื่อหยางหนิงเดินออกมาที่นอกปากถ้าอีกครั้งก็เป็น
เวลาโพล้เพล้แล้ว อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูร้อนรนเป็น
อย่างมากของผู้อาวุโสมู่ดังขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
มีตรงไหนผิดไป มีตรงไหนผิดไปกันแน่?”
หยางหนิงรู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย ขณะชะเง้อคอเข้าไป
ดูสถานการณ์ด้านใน ทว่าเขาเห็นเพียงผู้อาวุโสมู่ที่
กาลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น โดยที่มือทั้งสองกาลังดึง
ผมขาวของตัวเองอยู่ เขากาลังก้มหน้าลงด้วยท่าทาง
ที่เหมือนกาลังเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ขณะที่ปากยังคง
เอ่ยพึมพาอย่างต่อเนื่อง “เป็นไปไม่ได้ จะต้องมี
ตรงไหนผิดพลาดแน่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่...หรือว่า...
หรือว่าข้าติดกับพวกมันเข้าแล้ว? ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ที่
จะติดกับ ถ้าหากนี่เป็นของปลอมจริง พวกเขาก็จะไม่
มีทางวิ่งไล่ตามมา...!”
เขาเอ่ยพึมพากับตัวเอง เห็นได้ชัดว่ากาลังจมดิ่งอยู่ใน
ความคิดของตน จนลืมไปแล้วว่าหยางหนิงนั้นกาลัง
ยืนอยู่ที่หน้าปากถ้า
เวลานี้หยางหนิงกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าคาพูดที่ผู้อาวุโสมู่เอ่ยขึ้นนั้นหมายถึงสิ่งใด
จากนั้นผู้อาวุโสมู่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาทา
เพียงแค่นั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้า ขณะที่หยางหนิงก็เริ่ม
กินผลไม้ป่าอีกสองลูกแล้ว รอจนกระทั่งถึงช่วง
กลางดึก ผู้อาวุโสมู่ก็ยังคงนั่งเหม่อลอย นิ่งเฉยราวกับ
รูปปั้นอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย
เดิมหยางหนิงยังคงเป็นกังวลว่าคนของวังห้าพิษจะ
ทาการตรวจค้นภูเขา ยังดีที่ตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้
นอกจากเสียงหอนของหมาป่าและเสียงร้องของนกที่
ดังขึ้นเป็นระยะบนเขาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดหรือเสียงใด
ดังขึ้นอีก เพียงแต่การอยู่เสียเวลาอยู่ที่นี่กับชายชรา
เช่นนี้ ทาให้ในใจของหยางหนิงรู้สึกร้อนรนอยู่ไม่น้อย
หลังจากถึงเวลากลางดึกแล้ว หยางหนิงที่นั่งอยู่หน้า
ปากถ้าก็ผลอยหลับไป ทว่าในฝันนั้นสมองของเขา
กลับมีภาพของเส้นแดงที่ลากผ่านจุดชีพจรนั้นฉายซ้า
ไปมา หากไม่ใช่จุดจงฝู่ จุดหลิงซวี จุดเทียนฝู่
จุดจื่อกงแล้ว ก็จะเป็นจุดเหอกู่ จุดเพียนลี่ จุดชวีฉือ
ทาให้เขาไม่อาจนอนหลับได้สนิท
ในช่วงที่กาลังกึ่งหลับกึง่ ตื่นนั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงร้อง
ประหลาดมาปลุกเขาให้ตื่น หลังจากที่เขาสะดุ้งตื่น
แล้ว ก็ได้ยินแค่เสียงร้องประหลาดของผู้อาวุโสมู่ที่ดัง
ออกมาจากในถ้าอีกครั้ง หยางหนิงขมวดคิ้วแน่นก่อน
จะชะเง้อคอเข้าไปมอง ภายในถ้าที่มีแสงมืดสลัวนั้น
เขากลับมองเห็นเงาของคนผู้หนึ่งกาลังวิ่งไปวิ่งมาเป็น
วงกลมอยู่ในถ้า ท่าทางราวกับคนบ้า ดูแปลก
ประหลาดจนน่ากลัว
ผู้อาวุโสมู่ส่งเสียงร้องคารามราวกับสัตว์ประหลาด
ออกมา สอดคล้องกับเสียงร้องหอนของหมาป่า
ด้านนอกถ้า ทาให้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นการร้องทักของ
พรรคพวกเดียวกัน
“เกิดอะไรขึ้นกับชายแก่ผู้นี้กันแน่?” หยางหนิงรู้สึก
สงสัยมากยิ่งขึ้น เขาเพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้นับวันยิ่งดู
แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น ก่อนจะลอบคิดในใจว่า
“ดูเหมือนว่าชายแก่ผู้นี้จะไม่ใช่แค่โดนพิษแต่เพียง
เท่านั้นแล้ว”
ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง อยู่ๆ ผู้อาวุโสมู่ก็ล้มตัวลงไป
แนบกับพื้นและก็แน่นิ่งไม่ขยับตัวอีก หยางหนิงร้อง
เรียกอยู่สองครั้ง ทว่าผู้อาวุโสมู่ก็ยังคงไม่ขานรับ
ตอนนี้เขาถึงได้ก้าวเดินเข้าไปในถ้า และพบว่า
ม้วนหนังสือภาพนั้นวางกองอยู่ที่ปลายเท้าของ
ผู้อาวุโสมู่ หยางหนิงจึงได้คิดว่าการที่ผู้อาวุโสมู่นี้
นอนสลบนั้นคงจะต้องเป็นเวลาอีกหลายชั่วยามแน่
จึงหยิบม้วนหนังสือภาพขึ้นมาอีกครั้งและเดินออกไป
ที่ปากถ้า ทว่าในใจกลับเหมือนมีข้อสรุปบางอย่างแล้ว
“ตอนกลางวันที่เขาคลุ้มคลั่งนั้น ม้วนหนังสือภาพก็
อยู่ข้างกายของเขา ครั้งนี้ที่คลุ้มคลั่ง ม้วนหนังสือภาพ
ก็ยังคงอยู่ข้างกายเขา หรือว่าการที่เขาคลุ้มคลั่ง
เสียสตินั้นจะเกี่ยวข้องกับม้วนหนังสือภาพนี้?”
ในขณะที่กาลังคิดหาความผิดปกติของเรื่องนี้นั้น อยู่ๆ
ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังขึ้นจากทางด้านหลัง
หยางหนิงรีบหันหน้ากลับไปก่อนจะเห็นว่าผู้อาวุโสมู่
ไม่รู้ยืนขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่และกาลังก้าวเท้ามาที่ปากถ้า
ทีละก้าวๆ แววตาคู่นั้นดูคล้ายกับอสูรกายที่ปรากฏ
ตัวขึ้นในยามค่าคืน เต็มไปด้วยจิตสังหารที่ดูเยือกเย็น
และดุร้าย
“เอามานี่!” ผู้อาวุโสมู่จ้องไปที่ม้วนหนังสือภาพในมือ
ของหยางหนิง “เจ้าอยากตายใช่หรือไม่ มันเป็นของ
ข้า ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะเอาไป...!” เขาร้องตะโกน
ออกมาก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่หยางหนิง
หยางหนิงแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว คิดไม่ถึงว่าใน
ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ นี้ผู้อาวุโสมู่จะฟื้นขึ้นมาได้
เมื่อเห็นว่าจิตสังหารของฝ่ายตรงข้ามได้ก่อตัวขึ้นแล้ว
เขาก็รู้ว่าชายชราผู้นี้มีใจคิดอยากสังหารตนจริงๆ แล้ว
จึงไม่ได้ลังเลต่อไปอีก เขารีบหมุนตัวและออกวิ่งอย่าง
สุดชีวิต
ผู้อาวุโสมู่ร้องตะโกนขึ้นว่า “หยุดนะ ข้าจะฆ่าเจ้าให้
ได้...!”
หากเขาไม่เอ่ยเช่นนี้ยังถือว่าดีอยู่บ้าง เมื่อเอ่ยเช่นนี้
ออกมา หยางหนิงยิ่งไม่คิดจะหยุดฝีเท้าของตน
มือหนึ่งถือม้วนหนังสือภาพเอาไว้ขณะออกแรงวิ่งไป
ด้านหน้าอย่างสุดชีวิต เขารู้ว่าผู้อาวุโสนี้เชี่ยวชาญ
ด้านการใช้เถาวัลย์พันคน ครั้งนี้จึงตั้งใจจะทิ้ง
ระยะห่างกับเขาให้มาก จะให้ชายชราผู้นี้จับตัวไป
ไม่ได้โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นด้วยอารมณ์ในตอนนี้ของ
ชายชรา ตัวเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขาไปตามหาผลไม้ป่า ทาให้ค่อนข้าง
จะรู้ถึงลักษณะของพื้นทีบ่ ริเวณโดยรอบ ชั่วขณะหนึ่ง
จึงสามารถเว้นระยะห่างกับผู้อาวุโสมู่ได้พอควร
ผู้อาวุโสมู่วิ่งไล่ตามเขาจากทางด้านหลังราวกับปีศาจ
ที่ออกอาละวาดในยามค่าคืน
เพียงแต่ในพื้นที่ขอบเขตหลายสิบลี้ของเทือกเขา
หัววัว ประกอบกับเวลาในยามค่าคืนเช่นนี้ ทาให้
เมื่อหยางหนิงออกตัววิ่งไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็หลงทาง
เสียแล้ว บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้สูงที่ทาบ
เกี่ยวกันจานวนมาก เมื่อได้ยินเสียงวิ่งไล่ตามของ
ผู้อาวุโสมู่ค่อยๆ เข้าใกล้ตนมากขึ้น ฝีเท้าของเขาก็
ไม่กล้าชะลอความเร็ว เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทาการ
เลือกเส้นทางเดินอีกแล้ว ได้แต่ต้องวิ่งเข้าไปด้านใน
ป่าลึกต่อ
หลังจากวิ่งไปได้อีกสักระยะหนึ่ง เท้าทั้งสองข้างของ
เขากลับรู้สึกเมื่อยล้าอยู่ไม่น้อย อีกทั้งบนร่างกายก็ถูก
หนามแหลมของต้นไม้ทิ่มแทงไปไม่น้อย ทาให้เกิด
เป็นแผลเล็กๆ ขึ้นจานวนมาก
อยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงน้าดังมาจากทางด้านหน้า
เสียงน้าตกกระแทกพื้นดินดังก้องไปยังพื้นที่บริเวณ
โดยรอบ ราวกับเสียงกระทบกันของคลื่นขนาดใหญ่
หยางหนิงที่ออกตัววิ่งไปได้ระยะหนึ่งก็รู้สึกหนาววาบ
ขึ้นในหัวใจ ตอนนี้เขาเห็นเพียงแต่ว่าด้านหน้านั้น
เหมือนมีหลุมดาในทางช้างเผือก โดยความจริงแล้ว
เป็นภาพของน้าตกที่กาลังพุ่งดิ่งลงไปทางด้านล่างของ
เหวลึก ตอนนี้ทางด้านหน้าของเขากลับไม่มีถนนให้
เดินต่อไปได้อีกแล้ว
ด้านหน้าที่ห่างออกไปในระยะไม่ถึงสิบก้าวนั้นก็คือ
เหวลึก ซึ่งอยู่ขนานกับเหวลึกทางฝั่งตรงข้าม
ตรงกลางมีหลุมลึกขนาดใหญ่ขวางกั้นเอาไว้อยู่
“ซวยแล้ว!” หยางหนิงรู้สึกแผ่นหลังเย็นยะเยือก
เทือกเขาหัววัวนั้นมีสภาพพื้นดินขึ้นๆ ลงๆ ยาว
ติดต่อกัน ใครจะรู้ว่าในส่วนลึกของเทือกเขาเช่นนี้
กลับมีหน้าผาที่ด้านล่างเป็นเหวลึกเช่นนี้ด้วย
เขาวิ่งมาหยุดอยู่ที่ข้างหน้าผาก่อนจะชะเง้อคอลงไป
มองด้านล่าง ภายในความมืดมิดนั้นกลับเห็นว่า
ด้านล่างนั้นลึกจนมองไม่เห็นก้นเหว ทว่าดูจากน้าตก
ที่ไหลลงด้านล่างของฝั่งตรงข้ามก็สามารถคาดเดาได้
ว่า ด้านล่างของหน้าผานี้น่าจะเป็นแม่น้าสายหนึ่งของ
ภูเขาลูกนี้
“ฮ่าๆๆ...!” ทางด้านหลังก็มีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ดังขึ้น เมื่อหยางหนิงหันกลับไปมองก็เห็นเพียงว่า
ผู้อาวุโสมู่ได้วิ่งตามมาทันแล้ว โดยมีระยะห่างจากเขา
ไม่ถึงสิบก้าว ชุดคลุมตัวยาวสีเทาที่ผู้อาวุโสมู่สวมใส่
บนตัวนั้นมีสภาพทรุดโทรมขาดวิ่นเป็นรู ซึ่งแน่นอน
ว่ารอยขาดนั้นเกิดจากการถูกพวกหนามแหลมของ
พุ่มไม้ระหว่างทางกรีดขาด ผมเผ้าก็ปลิ้วสยายไปทั่ว
ทาให้ตัวเขาดูคล้ายกับชายชราโรคจิตผู้หนึ่ง
หยางหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางบอกกับตัวเอง
ว่าให้ใจเย็น เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสขยับตัวเข้ามาใกล้
เขาก็เอ่ยเสียงต่าออกมาว่า “หยุดนะ!”
ผู้อาวุโสมู่นั้นหาได้สนใจไม่ อีกทั้งยังเอ่ยตอบด้วย
น้าเสียงที่เยือกเย็นว่า “เดิมข้าคิดจะให้เจ้ามีชีวิตต่อ
อีกหลายวัน แต่ว่าเจ้ารนหาที่ตายเอง ต่อให้ข้าคิด
อยากให้เจ้ามีชีวิตต่อก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว” เขายื่นมือ
ข้างหนึ่งออกมา “เอามันมาให้ข้า!”
“ชายแก่จอมปลิ้นปล้อน ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่มีทางหวังดี
กับข้า” หยางหนิงหัวเราะเสียงเย็นพร้อมด่าทอ
กลับไป “เจ้าหยุดก้าวเข้ามานะ หากยังก้าวมาอีก
แม้แต่ก้าวเดียว...!” อยู่ๆ หยางหนิงก็ก้าวถอยไปก้าว
หนึ่งและยืนอยู่ที่ขอบหน้าผา พร้อมกับยื่นมือซ้ายที่
ถือม้วนหนังสือภาพออกไปนอกหน้าผา เมื่อผู้อาวุโส
เห็นภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า สีหน้าของเขาก็
เปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะร้องเสียงหลงออกมาว่า
“อย่านะ...!” และก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าสองก้าว
ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปพร้อมกับหยุดก้าวเท้า
ต่อไปด้านหน้าอีก
หยางหนิงเข้าใจได้ทันทีว่าม้วนหนังสือภาพนี้จะต้อง
สาคัญกับผู้อาวุโสมู่เป็นอย่างมากแน่ จิตใจของเขาก็
สงบลงมาได้ทันที ก่อนจะยิ้มและเอ่ยต่อ “ผู้อาวุโสมู่
ข้ารู้ว่าการที่ท่านจะสังหารข้านั้นถือเป็นเรื่องที่
ง่ายดายนัก ทว่าท่านเองก็เห็นแล้วว่า ข้าจะเอาม้วน
หนังสือภาพนี้...ไม่สิ การที่ข้าจะโยนพลังเทพหก
ประสานนี้ลงไปก็ถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายเช่นกัน
ด้านล่างนี้ลึกจนมองไม่เห็นก้นเหว หากโยนมันลงไป
จริงๆ แล้ว เกรงว่าท่านคงไม่อาจหามันพบได้อีก”
ใบหน้าของผู้อาวุโสมู่กระตุกอย่างแรง ขณะที่แววตา
เยือกเย็นดุจน้าแข็ง “เสี่ยวป๋ายทู่ เจ้าเป็นใครกัน
แน่?”
“ข้าไม่ได้เคยบอกท่านหรือว่าข้าเป็นเพียงแค่คนจรจัด
เร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัยคนหนึ่ง ไม่มีความเกลียด
ความแค้นใดๆ ต่อท่าน” หยางหนิงเอ่ยออกมาอย่าง
เคียดแค้น “ข้าได้ช่วยชีวิตท่านไว้ แต่ท่านกลับ
ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ท่านว่าท่านอายุก็ปูน
นี้แล้ว ทาไมถึงยังทาตัวไร้สามัญสานึกหน้าด้านไร้
ยางอายเช่นนี้อีก?” พลางแกว่งม้วนหนังสือภาพใน
มือเบาๆ “ของอยู่ในมือของข้า หากท่านจะสังหารข้า
ข้าก็จะตายไปพร้อมกับมัน!”
“ไม่จริง เจ้าไม่มีทางเป็นแค่คนจรจัดธรรมดาคนหนึ่ง
แน่” แววตาของผู้อาวุโสมู่เกิดประกายระยิบระยับ
“เจ้า...เจ้ารู้จักตัวหนังสือที่เขียนบนนั้น เพราะฉะนั้น
เจ้าจะต้องเคยเข้าเรียนสานักสอนหนังสือแน่...
เสี่ยวป๋ายทู่ เจ้าตั้งใจปลอมตัวให้เป็นเช่นนี้เพื่อคิด
อยากจะหลอกเอาความเชื่อใจจากข้า จากนั้นก็ถือ
โอกาสขโมยพลังเทพหกประสานใช่หรือไม่?” แววตา
ของเขาเชือดเฉือนราวกับมีดแหลม และเอ่ยต่อด้วย
น้าเสียงโหดเหี้ยม “ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 18 โครงกระดูก
ชายชราผู้นี้เป็นโรคเพ้อละเมอคิดว่าตนจะถูกผู้อื่น
ให้ร้ายใช่หรือไม่?
หยางหนิงเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เลิกพูด
มากเสียที ชายชั่วอย่างเจ้าทาให้ข้าได้รับบาดเจ็บ
ตอนนี้ยังคิดจะสังหารข้า บัญชีนี้พวกเราควรคิด
อย่างไรดี?” พลางทาการป้องกันผู้อาวุโสมู่ที่อาจ
ลงมือได้ทุกเมื่อ
ดวงตาของผู้อาวุโสมู่จ้องค้างไปที่ม้วนหนังสือภาพใน
มือของหยางหนิง เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะค่อยเอ่ย
ออกมาว่า “เจ้ามอบม้วนหนังสือภาพคืนมา ข้าจะ
ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า อีกทั้งยังจะปล่อย
เจ้าจากไปด้วย ข้าเป็นคนพูดจริงทาจริง ไม่มีทาง
หลอกเจ้าโดยเด็ดขาด”
ผีเท่านั้นสิถึงจะเชื่อคนอย่างเจ้า
“ผู้อาวุโสมู่ ม้วนหนังสือภาพนี้เกรงว่าท่านคงจาได้ขึ้น
ใจแล้ว เช่นนั้นยังจะเอามันไปทาอันใดอีก?”
หยางหนิงเอ่ย “หรือว่าท่านยังไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งถึง
ม้วนหนังสือภาพเล่มนี้?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” น้าเสียงของผู้อาวุโสมู่
เยือกเย็นขึ้น
หยางหนิงยิ้มเย็นออกมาพร้อมเอ่ยตอบ “หากข้า
ทายไม่ผิด ที่อยู่ๆ ท่านก็มีอาการคลุ้มคลั่งในถ้านั้น
จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับม้วนหนังสือภาพนี้แน่”
ก่อนจะกรอกตาไปมา “หรือว่าท่านฝึกฝนพลังเทพ
หกประสานจนธาตุไฟเข้าแทรก คิดอยากจะหาวิธีไข
พลังยุทธ์อีกประเภทหนึ่งจากม้วนหนังสือภาพนี้?”
เขาเองก็แค่เอ่ยออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ใครจะรู้ว่า
อยู่ๆ ผู้อาวุโสมู่ก็จะเกิดอารมณ์แปรปรวน และเอ่ย
ถามเสียงหลงว่า “เจ้า...เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เมื่อคาพูด
เอ่ยออกไป เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองพลั้งปาก จึงรีบยิ้ม
และเอ่ยต่อ “ข้าจะธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างไร เจ้าพูด
เพ้อเจ้ออะไรกัน”
หยางหนิงแน่ใจแล้วว่าตนคาดเดาไม่ผิด เมื่อเป็นเช่นนี้
ดูเหมือนว่าม้วนหนังสือภาพนี้จะมีความสาคัญต่อ
ผู้อาวุโสมู่เป็นอย่างมาก ในใจก็ยิ่งมีความมั่นใจเพิ่ม
มากขึ้น พลางยกมือขึ้นลูบคางของตัวเองเบาๆ
“ข้าพูดจาเพ้อเจ้อหรือไม่นั้น ในใจของท่านรับรู้เป็น
อย่างดี จริงสิ ก่อนหน้านี้ที่ท่านไม่สามารถก้าวเดินได้
คงไม่ใช่เพราะว่าถูกพิษแต่เป็นเพราะท่านธาตุไฟเข้า
แทรกสินะ?”
ผู้อาวุโสมู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“เสี่ยวป๋ายทู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“ไม่รู้”
ผู้อาวุโสมู่ยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยต่อ “เจ้าเคยได้ยินหอเก้า
นภาหรือไม่?”
“หอเก้านภา?” หยางหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
“นั่นคืออะไร?”
ผู้อาวุโสมู่เริ่มมีโทสะ ทว่าก็ยังคงสะกดกลั้นอารมณ์
ตัวเองไว้และเอ่ยต่อ “เจ้าไม่เคยได้ยินก็ไม่ใช่เรื่อง
แปลก ข้าจะบอกเจ้าให้ หอเก้านภานั้นถือเป็น
หออันดับหนึ่งของเป่ยฮั่น รับคาสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้
ของเป่ยฮั่น รองรับผู้มีความสามารถ มียอดฝีมือ
นับไม่ถ้วน ข้าเป็นหนึ่งในเทพห้าธาตุของหอเก้านภา
มู่เซิ๋นจวิน!”
“มู่เซิ๋นจวิน?” หยางหนิงยิ้ม “ชื่อนี้ดูสง่างามกว่า
ผู้อาวุโสมู่ไม่น้อยเลย จริงสิ เทพ...มู่เซิ๋นจวิน ท่านเป็น
คนเป่ยฮั่น เช่นนั้นเดินทางมาที่หนานฉู่นี้เพื่ออะไร?”
ผู้อาวุโสมู่ไม่ได้ตอบคาถาม แต่กลับเอ่ยต่อเสียงเย็นชา
“ขอเพียงเจ้ามอบม้วนหนังสือภาพคืนมา ข้าไม่
เพียงแต่จะปล่อยเจ้า ยังจะรับเจ้าเป็นศิษย์ด้วย ให้เจ้า
ได้เข้าร่วมหอเก้านภา คนของหอเก้านภา ล้วนแต่กิน
เบี้ยหลวง ไม่เพียงแต่ไม่ต้องกังวลเรื่องของกินของใช้
วันหน้าหากทาคุณความดียังสามารถเข้าราชสานักไป
รับราชการ นาชื่อเสียงมาให้แก่วงตระกูลด้วย” พร้อม
ส่งเสียงหัวเราะออกมา “เสี่ยวป๋ายทู่ ข้าให้โอกาส
เช่นนี้กับเจ้า เจ้ายินยอมที่จะติดตามข้าหรือไม่?”
หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าผู้อาวุโสมู่กาลังเอา
ผลประโยชน์มายั่วตน พลางลอบคิดในใจว่าชายแก่นี้
เห็นตนเป็นเด็กจริงๆ ด้วย เวลานี้จึงได้แต่หวังว่า
ม้วนหนังสือภาพนี้จะแลกกับการที่อีกฝ่ายรักษา
บาดแผลให้ตนได้ จากนั้นตนก็จะสามารถหลบพ้น
จากฝ่ามือมารของชายแก่ผู้นี้ไปได้อย่างปลอดภัย
ขณะกาลังครุ่นคิดอยู่นั้น ผู้อาวุโสมู่กลับก้าวเท้ามา
ด้านหน้าก้าวหนึ่งและเอ่ยต่อเสียงต่า “เจ้ากาลังลังเล
อะไรอยู่?”
หยางหนิงรีบก้าวเท้าเล็กๆ ถอยไปด้านหลังทันที และ
เอ่ยตอบว่า “ท่านจะเอาม้วนหนังสือภาพไปนั้นก็
ย่อมได้ เพียงแต่...!” ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยจน ก็รู้สึก
ว่าฝ่าเท้าตนขยับเล็กน้อย ขณะที่หินก้อนนั้นที่เหยียบ
อยู่ก็ได้คลายตัวออกจากดิน ตัวของเขาเอนล้มลงไป
ทางด้านหลัง หยางหนิงเกิดอาการตกตะลึงอย่างหนัก
ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าผู้อาวุโสมู่นั้นได้ก้าวเท้ายาวๆ
และออกแรงที่เท้าโดยคิดหวังจะถีบตัวเองให้ไป
ด้านหน้าได้สะดวกขึ้น ทว่าทีแรกที่ไม่ใช้แรงนั้นยัง
พอทน เมื่อใช้แรง ก้อนหินที่ปลายหน้าผาก็ขยับ
เอนไปทางเหวลึก โดยที่ตัวของเขาเองก็เอนหลังตกลง
ไปตามก้อนหินก้อนนั้นด้วย
หยางหนิงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านั้นจะ
ไม่แข็งแรงถึงเพียงนี้ ร่างกายของเขาดิ่งลงไปด้านล่าง
อย่างรวดเร็ว เวลานี้ได้แต่หวังว่าจะสามารถจับอะไร
เอาไว้และรักษาชีวิตต่อได้ ทว่ามือซ้ายกลับถือ
ม้วนหนังสือภาพเอาไว้อยู่ ขณะที่มือขวาจับของ
สิ่งหนึ่งเอาไว้ได้ เหมือนกับว่ามันเป็นเถาวัลย์ซึ่งถือว่า
เป็นเส้นฟางเส้นสุดท้ายของชีวิต แน่นอนว่าหยางหนิง
ไม่กล้าปล่อยมือออกจากมัน
ร่างกายยังคงดิ่งลงด้านล่าง ขณะที่ข้างหูมีเสียงลม
กระแทกอย่างต่อเนื่อง มือที่กาเถาวัลย์เอาไว้กลับถูก
มันทิ่มแทงจนเจ็บปวดอย่างสุดจะทนได้
เหวลึกใต้หน้าผานั้นดูเหมือนจะไม่ได้เป็นกาแพงเรียบ
ลงไป แต่กลับมีเนินโค้งอยู่เล็กน้อย ราวกับว่ามัน
คดเคี้ยวไปตามสภาพของภูเขา ไม่ง่ายเลยกว่า
ความเร็วในการร่วงหล่นจะลดน้อยลง หยางหนิงใช้
แรงสุดกาลังของตนในการกาเถาวัลย์มือขวาเอาไว้
แน่น ในที่สุดร่างกายของเขาก็ห้อยลอยอยู่กลาง
อากาศแล้ว
หยางหนิงหอบหายใจอย่างหนัก ปลายเท้าก็พยายาม
ตะเกียดตะกายไปใส่กาแพง ในที่สุดก็สามารถเหยียบ
โดนโขดหินข้างกาแพงได้ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ
อย่างโล่งอก เมื่อลมราตรีพัดผ่าน ทั่วร่างของเขาก็
รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่พุ่งกระทบเข้ามา ที่แท้ตอนนี้
ทั้งร่างกายของเขาได้อาบชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นแล้ว
เหมือนจะได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของมู่เซิ๋นจวินดังมา
จากด้านบน เหมือนมีเหมือนไม่มี หยางหนิง
แหงนหน้ามองขึ้นไปกลับเห็นเพียงแต่ดวงดาว
ระยิบระยับบนท้องฟ้าราตรีเท่านั้น ชั่วขณะหนึ่งเขา
กลับมองไม่เห็นยอดหน้าผาที่ตนตกลงมา เมื่อก้มลง
มองไปด้านล่าง ด้านล่างเองก็มืดสนิทมองไม่เห็นสิ่งใด
ในใจตอนนี้ก็รู้แล้วว่าตนอยู่ในสถานการณ์ที่ขึ้นไม่ได้
ลงไม่ถูก ทว่าข้างกาแพงเหวนั้นกลับมีเถาวัลย์ไหล
พันเต็มไปหมด แต่ละเส้นล้วนพุ่งลงไปยังเหวด้านล่าง
ยังดีที่มีเถาวัลย์เหล่านี้ มิเช่นนั้นตัวเขาคงมีแต่ต้อง
ตายเท่านั้น
เขานาม้วนหนังสือภาพในมือยัดเข้าไปในอกเสื้อ
ก่อนที่มือสองข้างจะจับเถาวัลย์เอาไว้แน่น เมื่อ
ออกแรงแค่เพียงเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดเป็น
อย่างมากที่ฝ่ามือด้านขวาของตน เมื่อพลิกขึ้นมามอง
ก็พบว่ามือด้านขวาของตนได้เป็นแผลถลอก เลือด
ไหลซึมออกมาไม่หยุดแล้ว ขณะที่ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของ
เขาเองก็รู้สึกปวดตัวเมื่อยล้าเป็นอย่างมาก อีกทั้ง
ร่างกายยังถูกขีดข่วนจนมีแผลเล็กๆ จานวนนับ
ไม่ถ้วน
หยางหนิงส่ายศีรษะพร้อมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เดิมคิดว่าหากเดินผ่านเทือกเขาหัววัวแล้วจะเป็น
ถนนทางลัดให้ไปต่อได้เร็วขึ้น วันนี้กลับพบว่าไม่
เพียงแต่จะไม่เป็นทางลัด อีกทั้งยังเกือบเป็นเส้นทาง
จบชีวิตของตนด้วย
ร่างกายของเขาแนบเข้ากับกาแพงถ้า ชั่วขณะหนึ่งนี้
ไม่ถือว่ามีอันตรายถึงชีวิตแล้ว ขณะที่ด้านบนยังมี
เสียงของผู้อาวุโสมู่ดังมาเป็นครั้งคราว ซึ่งแน่นอนว่า
หยางหนิงไม่มีทางขานรับกลับไป
ปีศาจเฒ่าผู้นั้นแน่นอนว่าไม่ได้เป็นกังวลถึงความเป็น
ตายของตน เขาเพียงแต่เป็นห่วงม้วนหนังสือภาพพลัง
เทพหกประสานเท่านั้น
ทว่าอารมณ์ในตอนนี้ของผู้อาวุโสมู่จะต้องสิ้นหวัง
อย่างถึงที่สุดแน่ ม้วนหนังสือภาพได้ตกลงมาพร้อม
กับเขาแล้ว ชายแก่นั้นเกรงว่าคงจะมีแม้แต่ใจที่คิด
อยากจะตายแล้วกระมัง
ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงของผู้อาวุโสมู่ก็ไม่ได้ดังขึ้นอีก
แล้ว หยางหนิงดึงเถาวัลย์เส้นหนึ่งแรงๆ เมื่อแน่ใจว่า
มันแข็งแรงทนทานแล้ว เขาถึงจะค่อยอดทนต่อแรง
เจ็บบนฝ่ามือตนและทาการปีนขึ้นไปด้านบน
การปีนเขานั้นก็ถือว่าเป็นหนึ่งในวิชาที่เขาเคยต้อง
ฝึกฝนมาก่อน เพราะฉะนั้นหยางหนิงจึงค่อนข้าง
คุ้นชินกับมัน
เวลานี้เขากลับไม่คิดอยากจะรีบปีนขึ้นไปให้ถึง
ยอดหน้าผา เพียงแต่อยากจะลองดูว่าตนสามารถปีน
ขึ้นไปได้หรือไม่ แม้ว่าจะไม่มีเสียงของมู่เซิ๋นจวินแล้ว
ทว่าหยางหนิงไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเขาจะยอมจากไป
ง่ายดายถึงเพียงนี้ เป็นไปได้อย่างมากว่าเขากาลังเฝ้า
รออยู่บนยอดหน้าผา
เมื่อปีนไปได้ระยะหนึ่ง ฝ่ามือของเขาก็รู้สึกเจ็บปวด
จนยากจะทน จึงได้แต่ต้องหยุดพักก่อน ทันใดนั้นเขา
กลับรู้สึกว่าด้านหลังเถาวัลย์นั้นค่อนข้างแปลก
ประหลาดอยู่บ้าง จึงออกแรงแหวกพวกเถาวัลย์ที่
กรอบแห้งเหล่านั้น ก่อนจะพบว่าด้านหลังเถาวัลย์
เหล่านี้กลับมีรอยแยกอยู่รอยหนึ่ง นี่ถือเป็นรอยแยก
โดยธรรมชาติของกาแพงเขา เมื่อถูกเถาวัลย์ปิดทับ
เอาไว้ด้านหลังแล้ว หากไม่สังเกตดูให้ดีก็ยากที่จะพบ
เห็นได้จริงๆ
รอยแยกนั้นไม่ได้ใหญ่มาก ทว่าเพียงพอให้คนผู้หนึ่ง
รอดผ่านเข้าไปได้
การห้อยตัวอยู่บนกาแพงเขาเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นเรื่อง
ที่อันตรายมาก หยางหนิงจึงไม่มีแม้แต่ความลังเล
เขารีบโยกตัวไปด้านข้างโดยใช้แรงเหวี่ยงจากเถาวัลย์
ที่ห้อยอยู่ เมื่อเข้าใกล้รอยแยกแล้ว เขาก็รีบจับก้อน
หินที่มีรอยแตกตรงมุมพอดี จากนั้นก็รีบกระโดดเข้า
ไปด้านใน
เดิมเขาคิดว่ารอยแยกข้างกาแพงเขานี้เป็นเพียงแค่
รอยแยกธรรมดา ทว่าเมื่อกระโดดเข้ามาแล้วกลับ
พบว่ารอยแยกนี้มีความลึกเป็นอย่างมาก ส่วนลึกของ
เขาลูกนี้ ด้านหน้ามืดสนิทไร้แสงสว่าง เขาเองก็ไม่รู้ว่า
แท้จริงแล้วมันมีความลึกมากเพียงใด
หยางหนิงก้มตัวลงไปเก็บก้อนหินก้อนหนึ่งมากาไว้ใน
มือ ก่อนจะค่อยๆ ย่องเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเดินไปได้
สิบกว่าก้าว บริเวณโดยรอบก็ยังคงมืดสนิท มอง
ไม่เห็นสิ่งใด มือหนึ่งของเขากาก้อนหินเอาไว้ ขณะที่
อีกมือหนึ่งก็เอื้อมออกไปด้านหน้าเพื่อคลาทาง ทว่า
ยิ่งเดินก็ยิ่งลึกเข้าไปมากขึ้น อีกทั้งรอยแยกนี้ก็ยิ่งเดิน
ก็ยิ่งแคบด้วย
เดิมหยางหนิงคิดว่าไม่นานก็จะถึงขอบสุดแล้ว
กลับไม่รู้ว่าเดินมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว รอยแยกนี้กลับ
เหมือนไม่มีปลายทาง มีเพียงการคดเคี้ยวไปมา
อีกทั้งเส้นทางยังค่อยๆ เอียงลงไปด้านล่างอีกด้วย
เมื่อเดินไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม ทางเดินที่เดิมแคบ
เหมือนไส้แพะก็กว้างขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็เหมือน
จะได้ยินเสียงน้าไหลดังมาจากทางด้านหน้า
หยางหนิงเร่งฝีเท้าของตน ผ่านไปไม่นานนัก อยู่ๆ
ก็เห็นว่าด้านหน้ามีแสงสว่างลอดเข้ามาเล็กน้อย
หยางหนิงก็เกิดอาการตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขารีบ
ออกตัววิ่งไปด้านหน้า ไม่นานก็เห็นว่าด้านหน้านั้นมี
ปากถ้าที่ขนาดใหญ่กว่าทางเดินนี้ หยางหนิงเร่งฝีเท้า
ก้าวไปด้านใน แม้ว่าด้านในจะค่อนข้างมืด ทว่ากลับ
ไม่ได้มืดสนิทเหมือนเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
ที่แห่งนี้เป็นถ้าหินที่มีขนาดค่อนข้างกว้าง มีกาแพง
สามฝั่ง โดยหนึ่งในฝั่งนั้นเปิดออกให้เห็นน้าตกที่อยู่
ด้านนอกที่กาลังรินไหลลงมาด้านล่าง บดบัง
ทัศนียภาพด้านนอกเอาไว้
ตอนนี้หยางหนิงถึงจะรู้ว่า เสียงน้าไหลที่ตนได้ยินเมื่อ
ครู่นี้ก็คือสายน้าที่ไหลมาจากน้าตกเบื้องหน้านี้
แสงสว่างนั้นก็ได้ส่องผ่านม่านน้าตกเข้ามาด้านใน
เวลานี้จึงสามารถมองเห็นว่าด้านนอกนั้นค่อยๆ สว่าง
ขึ้นแล้ว
หยางหนิงถึงจะถอนหายใจยาวๆ ออกมาอย่างโล่งอก
ทว่ากลับไม่ได้คิดว่าที่แห่งนี้คือสถานที่ใด เวลานี้เขา
รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนหมดเรี่ยวแรงแล้ว ก้าวเดินไปอยู่
ด้านข้างน้าตกก่อนจะยื่นมือออกไปล้างคราบเลือดที่
ฝ่ามือ จากนั้นก็ประคองน้าขึ้นมาดื่ม รสชาติเมื่อเข้า
ปากนั้นก็หวานช่าไม่น้อย น้าแร่จากธรรมชาติ
จากนั้นเขาก็นั่งลงและฉีกเศษผ้าจากชายเสื้อของตน
เอามาพันมือที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ ก่อนจะเอนตัว
นอนไปทางด้านหลังและปิดเปลือกตาลง
ค่าคืนนี้ทาเขาขวัญเสียไม่น้อย ตัวเองเกือบจะต้องจบ
ชีวิตลงในป่าเขาเสียแล้ว เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นทาง
ด้านกายหรือจิตใจก็ล้วนแต่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็น
อย่างมาก เขารู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายนั้นเจ็บปวด
เหลือเกิน เมื่อนอนทาบลงบนพื้น ไม่นานก็นอนหลับ
ไป
การนอนครั้งนี้หลับสนิทมาก เสียงของน้าตกไม่
สามารถส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขาได้ เมื่อตื่นขึ้นมา
เขาก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเห็นว่าด้านหน้ามี
แสงสว่างของพระอาทิตย์ขึ้น เกิดเป็นแสงสว่างหลาก
สีสัน ที่แท้สายน้าของน้าตกนี้เมื่อสะท้อนกับ
แสงอาทิตย์แล้วก็จะเกิดเป็นสายรุ้งจางๆ งดงามยิ่งนัก
เมื่อแสงสว่างสาดส่องเข้ามา กลับทาให้ในถ้าสว่างไสว
ขึ้นไม่น้อย
สภาพร่างกายจิตใจของหยางหนิงก็ฟื้นฟูมาไม่น้อย
เขาชะเง้อคอมองลงไปด้านล่างก่อนจะเห็นเพียงว่า
น้าตกนี้มีความยาวเพียงสิบกว่าเมตร ด้านล่างก็มีแอ่ง
น้าที่มีสายน้าของน้าตกไหลกระแทกลงไป เกิดเป็น
คลื่นกระทบกันเป็นระลอกๆ ดูยิ่งใหญ่ตระการตา
ไม่น้อย
“ถือว่ารอดชีวิตออกมาได้แล้ว” หยางหนิงเอ่ยพึมพา
เบาๆ ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจก่อนจะค่อยหมุนตัวดู
บริเวณโดยรอบ เมื่อคืนค่อนข้างมืดอีกทั้งร่างกายก็
เหน็ดเหนื่อยมาก ทาให้เขาได้มองเพียงแค่คร่าวๆ
เวลานี้เขาถึงจะพบว่าที่แห่งนี้คือห้องหินที่มีขนาด
กว้างใหญ่มาก ในห้องหินนั้นมีหินขนาดใหญ่ทรงวงรี
ก้อนหนึ่งวางเอาไว้อยู่ตรงกลาง บนนั้นค่อนข้างมันเงา
ทว่าด้านบนกลับมีฝุ่นละอองเกาะอยู่อย่างหนาแน่น
ดูคล้ายกับโต๊ะตัวหนึ่ง ทางด้านข้างของก้อนหินใหญ่
นั้นมีเสื่อฟางแผ่นหนึ่ง ทว่าสภาพของมันก็เปื่อยโทรม
เป็นอย่างมากแล้ว ทว่าบนโต๊ะนั้นกลับมีกล่องแบนๆ
วางเอาไว้อยู่กล่องหนึ่ง
นอกจากนี้ ในห้องหินนั้นก็ไม่มีของชิ้นอื่นอีก
สายตาของเขากวาดไปโดยรอบ ก่อนที่ร่างกายจะ
นิ่งค้างอย่างตกตะลึง สีหน้าเองก็เปลี่ยนไปในทันที
เพราะเขามองเห็นว่าที่มุมหนึ่งของห้องหินนั้นกลับมี
โครงกระดูกวางอยู่กองหนึ่ง
มือทั้งสองของหยางหนิงกาแน่นโดยสัญชาตญาณ
ก่อนจะค่อยๆ ขยับเท้าเข้าไปใกล้และมองสังเกตดู
อย่างละเอียด ก่อนจะเห็นเพียงว่าโครงกระดูกนั้น
ตอนมีชีวิตอยู่เห็นได้ชัดว่ากาลังนั่งขัดสมาธิอยู่ อีกทั้ง
ด้านล่างของโครงกระดูกนั้นก็มีเสื่อฟางแผ่นหนึ่งด้วย
เช่นกัน ทว่าเสื่อฟางนี้กลับมีสภาพเหมือนกับเสื่อฟาง
ด้านข้างโต๊ะหิน มันเองก็มีสภาพเปื่อยโทรมเป็นอย่าง
มาก บนโครงกระดูกนั้นยังมีเสื้อผ้าพาดเอาไว้อยู่ด้วย
ทว่าตัวเนื้อผ้าส่วนมากแล้วก็ได้ขาดวิ่นไปตามสภาพ
กาลเวลา
“ที่แท้ห้องหินนี้ก็มีเจ้าของมาอยู่ก่อนแล้ว” หยางหนิง
ลอบคิด ‘เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาตายอยู่ในที่แห่งนี้ได้
อย่างไร? ซากศพตอนนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็น
โครงกระดูกขาวแล้ว ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเสียชีวิตไป
นานแล้ว’
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 19 เดินทางอย่างเริงใจ
เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องมาบนน้าตก ท้าให้แสงสีสันที่
เกิดจากการกระทบระหว่างแสงอาทิตย์กับน้าตกผ่าน
ทะลุเข้ามาด้านในห้องหิน ภายในห้องหินมีแสงสว่าง
หลากสีสะท้อนระยิบระยับ ขณะที่สายตาของ
หยางหนิงได้ลากผ่านโครงกระดูกไปที่ก้าแพงหิน
เบืองหน้าของตนแทนแล้ว
และสิ่งที่ท้าให้หยางหนิงรู้สึกแปลกใจมากก็คือ
ก้าแพงหินเบืองหน้าของตนนันมันเงามาก ไม่ได้มี
พืนผิวขรุขระของหินภูเขา ทั่วทังผิวก้าแพงหินนันเงา
ราวกับกระจก ไม่เพียงแต่เป็นเช่นนี ขณะที่ก้าแพงหิน
อีกสองฝั่งที่เหลือก็เป็นเช่นเดียวกัน
ก้าแพงผิวมันเงา ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจนัก
เพียงแต่บนก้าแพงหินทังสามด้านล้วนสลักภาพเอาไว้
จ้านวนมาก กระจัดกระจายแต่ไม่เละเทะ ก่อให้เกิด
ภาพก้าแพงเป็นกลุ่มๆ
ภาพบนก้าแพงสามด้านนันเหมือนก้าลังแสดงการ
ร่ายร้าชุดหนึ่ง รูปร่างของคนที่เหนือเอวขึนไปนันวาด
อย่างคร่าวๆ เท่านัน และก็ดูไม่ออกด้วยว่าหญิงหรือ
ชาย แต่ว่าทางท่อนล่างนับตังแต่เอวนันกลับวาดได้
อย่างละเอียดมาก เขาลองค้านวณดูคร่าวๆ แล้วว่า
ภาพวาดบนก้าแพงสามด้านนันมีราวๆ สี่สิบถึงห้าสิบ
ภาพ ทุกภาพล้วนแต่ถูกสลักด้วยฝีมือของมนุษย์
หยางหนิงเหลือบมองโครงกระดูกนั่นแวบหนึ่ง
ก่อนจะคิดว่าหากตนคาดเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ ภาพวาด
แกะสลักบนก้าแพงหินนีจะต้องเป็นคนผู้นีสลักไว้
ยามมีชีวิตอยู่แน่ คิดว่าคนผู้นีอยู่ในถ้าอย่างเปล่า
เปลี่ยว รู้สึกอ้างว้างยิ่งนักจึงใช้เวลาว่างมาสลักภาพ
บนก้าแพงหินนีกระมัง
ทว่าคนเมื่อเข้ามาในถ้าแห่งนีแล้ว ย่อมรู้ว่าจะออก
จากที่นี่ได้อย่างไร ไม่ว่าจะเดินผ่านรอยแยกเส้นนัน
ออกไปหรือว่ากระโดดลงน้าตกแห่งนีก็ล้วนสามารถ
ออกจากที่คุมขังไปได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด
เขาถึงยังอยู่ในที่แห่งนีต่อ?
ภาพวาดบนก้าแพงนีไม่มีทางผ่านการสลักเพียงแค่
ช่วงระยะสันๆ แน่ คนผู้นีถึงขันแม้แต่ตายก็ยังจะอยู่
ในถ้าหินแห่งนีต่อ ไม่รู้จริงๆ ว่าสาเหตุมาจากอะไร
หยางหนิงนันไม่ได้สนใจในการร่ายร้า จึงเดินกลับมาที่
ข้างโต๊ะหินนั่น เขามองเห็นว่าบนกล่องนันมีฝุ่นหนาๆ
ปกคลุมอยู่ด้านบนแล้วชันหนึ่ง กระทั่งที่มุมขอบยังมี
ไยแมงมุมอย่างหนาพันเกี่ยวกันอีกด้วย จึงใช้แขนเสือ
ของตนเช็ดเอาฝุ่นที่สะสมอยู่ด้านบนนันออก ก่อนจะ
พบว่ากล่องใบนีท้ามาจากทองเหลือง โดยด้านบนมี
การสลักเป็นรูปสัญลักษณ์ดอกบัวดอกหนึ่งอยู่ สีของ
ทั่วทังกล่องนันเป็นสีทองเหลือง มีเพียงดอกบัวเท่านัน
ที่เหมือนจะถูกทาด้วยสีด้า กลายเป็นดอกบัวสีด้า
ดอกหนึ่ง
กล่องใบนีไม่มีแม่กุญแจผนึกเอาไว้ เมื่อหยางหนิงเปิด
มันออกมากลับพบว่าด้านในมีหมึกกระดาษพู่กัน
จ้านวนมากอยู่ด้านใน กองกระดาษหนานันเริ่มมี
คราบเหลืองอยู่บ้างแล้ว
“ดูเหมือนว่าคนผู้นีจะเป็นบุรุษสายบุ๋น” หยางหนิง
คิดว่าในกล่องจะมีสมบัติอะไรเก็บไว้เสียอีก เมื่อเห็น
ว่าเป็นเพียงแค่หมึกกระดาษพู่กันธรรมดาแล้วนัน
ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ก่อนจะปัดหาจุด
สะอาดบนโต๊ะและเอาของแต่ละชินในกล่องออกมา
วางเรียงกัน นอกจากพู่กันสองแท่ง แท่นฝนหมึก
หมึกแท่งไม่กี่แท่ง และกระดาษที่มีคราบเหลืองหนาๆ
กองหนึ่งแล้วนัน ด้านล่างของกล่องกลับมีมีดสัน
เล่มหนึ่งวางไว้อีกด้วย
หยางหนิงหยิบมีดสันขึนมา ปลอกมีดนันดูเก่าแก่และ
เรียบง่ายมาก ไม่ได้มีการประดับตกแต่งอะไรมากนัก
เมื่อออกแรงดึงตัวดาบออกมาจากปลอกแล้ว
แสงสว่างแวบผ่านท้าให้แสบตามาก ก่อนจะน้ามาซึ่ง
ไอเย็นยะเยือกที่พุ่งทะยานออกมาจากตัวดาบ
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความเหน็บ
หนาว
มีดสันนีดูคล้ายกับกริซ ทว่ากลับยาวกว่ากริซธรรมดา
อยู่คืบหนึ่ง เพียงแต่เมื่อมองดูคมดาบแล้ว กลับมี
ความคมแหลมยิ่งนัก
เขายื่มนิวหนึ่งออกไปทาบบนคมดาบ ก็รู้สึกราวกับ
ทาบลงบนน้าแข็งที่หนาวเย็นมากก็ไม่ปาน
เหน็บหนาวจนเข้าถึงกระดูก จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า
“เจ้าของเล่นนีพิสดารยิ่งนัก”
แน่นอนว่าเขาเคยใช้มีด ทว่ากลับไม่เคยรู้สึกถึงคมมีด
ที่มีความหนาวเย็นเช่นนีมาก่อน
“หรือว่าภาพที่สลักบนก้าแพงนีจะเป็นฝีมือของมีดสัน
เล่มนี?” หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าคมดาบเล่มนี
กระจ่างใสไม่มีที่เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นตัวมีดหรือคมมีด
ก็ล้วนแต่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วน เขาจึงถือมีดสันนีแล้วเดิน
ไปข้างก้าแพงหินก่อนจะหาจุดที่ว่างเปล่าและลากมีด
ลงบนนัน จุดที่ลากผ่านก็ได้เกิดรอยลึกเส้นหนึ่งขึน
รอยกรีดนีเฉียบคมมาก อีกทังตัวมีดสันก็ไม่มีร่องรอย
เสียหายเลยแม้แต่น้อย
“ถือเป็นของชันดีโดยแท้” ในใจของหยางหนิงก็รู้สึก
ยินดียิ่งนัก งานอดิเรกอย่างหนึ่งของเขาก็คือสะสม
อาวุธประเภทมีด อีกทังเขายังค่อนข้างเอนเอียงความ
สนใจไปที่ประเภทมีดสัน ชาติก่อนเขาก็ท้าการ
สะสมกริซจ้านวนไม่น้อยเช่นกัน
คนทั่วไปนันมองไม่ออกถึงประโยชน์และจุดเด่นของ
อาวุธประเภทมีด ทว่าผู้เชี่ยวชาญด้านนีกลับรู้ว่ามันมี
การแบ่งประเภทหลากหลายชนิดมาก
ไม่ว่าจะดูจากลักษณะหรือว่าความคมแหลมของมัน
แล้ว หยางหนิงก็มั่นใจได้เลยว่ามีดสันนีจะต้องเป็น
อาวุธชันยอดที่หาได้ยากมาก หากมันอยู่ในโลก
อนาคตแล้ว จะต้องมีราคาตลาดที่สูงค่ามากแน่
หยางหนิงเก็บดาบเข้าฝักก่อนจะเอามันยัดเข้าไปใน
อกเสือแล้วจึงค่อยเดินกลับไปนั่งที่ข้างโต๊ะ เขาพลิกดู
กระดาษที่มีคราบเหลืองเหล่านัน กระดาษกว่าครึ่งนัน
มีตัวอักษรเขียนเอาไว้อยู่ แม้ว่าหยางหนิงจะไม่รอบรู้
เรื่องตัวอักษรโบราณ ทว่าเขาก็ดูออกว่าตัวอักษรของ
คนผู้นีเขียนได้มีพลังอ้านาจ พลิวไหวไร้ขอบเขต
มีความสง่างามน่านับถือ มีพรสวรรค์ทางด้านโคลง
กลอนอยู่ไม่น้อย
อยู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนใน
ลักษณะเหมือนจดหมาย เมื่อท้าการพิจารณาดูอย่าง
ละเอียดแล้วถึงจะพอวิเคราะห์สิ่งที่บนนันเขียนเอาไว้
ได้ว่า “ใจมีความสงสัย ความสัมพันธ์กว่าครึ่งชีวิตที่
ผ่าน ยากจะหาทางออกได้ ซ่อนตัวหลบหนีจากผู้คน
ทว่าก็ยังคงเป็นเช่นวันวาน” ก่อนจะเว้นไว้ท่อนหนึ่ง
แล้วเขียนด้านล่างต่ออีกว่า “ก้าจัดความขัดแย้ง
ตัดต้นตอของตน เมื่อถึงยามที่ต้องพบกันใหม่ ฝีมือ
ยังคงต่างกัน ยากใช้ประโยชน์ได้ ทว่าสามารถออก
เดินทางอย่างเริงใจ และคนยากจะท้าร้ายข้า!”
หยางหนิงอ่านจนงุนงง ไม่อาจท้าความเข้าใจได้
และก็ไม่รู้ด้วยว่าเนือหาบนนีมีความหมายอะไรกันแน่
เขาน้าหมึกพู่กันกระดาษเก็บกลับเข้าไปในกล่อง
ทองเหลืองเช่นเดิม ก่อนจะหยิบเอาม้วนหนังสือภาพ
ออกมาจากอกเสือและกางมันบนโต๊ะหิน พลางคิดใน
ใจว่านี่เป็นม้วนหนังสือภาพที่มู่เซิ๋นจวินให้ความส้าคัญ
มาก ดูเหมือนว่าพลังเทพหกประสานนีจะไม่ธรรมดา
เสียแล้ว
เขาจดจ้าหกภาพแรกของสิบเอ็ดภาพวาดได้แล้ว
เวลานีเมื่อไม่มีอะไรท้าจึงเริ่มวิเคราะห์ภาพที่เจ็ดต่อ
ได้แต่หวังว่าความฉลาดหลักแหลมของตนจะสามารถ
มองเห็นจุดน่าสงสัยอะไรได้
เวลานีหยางหนิงกลับไม่มีความคิดที่จะรีบจากออกไป
โดยเร็ว
เขาแน่ใจเป็นอย่างมากว่าเพื่อม้วนหนังสือภาพนีแล้ว
มู่เซิ๋นจวินจะต้องไม่ยอมรามือแน่ เป็นไปได้อย่างมาก
ว่าจะท้าการเดินส้ารวจดูบริเวณโดยรอบ หากตน
ออกไปเวลานี เมื่อพบเขาแล้วก็ต้องจบชีวิตลงเป็นแน่
บางทีมู่เซิ๋นจวินอาจจะไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เขา
จะต้องไม่มีทางล้มเลิกความคิดที่จะค้นหาม้วนหนังสือ
ภาพนีไปง่ายๆ แน่ ไม่เห็นทางตันไม่ยอมเลิกรา
เป็นไปไม่ได้ว่าเห็นตัวเขาตกเขาแล้วจะยอมรามือไป
ได้ง่ายๆ
หยางหนิงรู้ดีว่าความหวังที่จะตามขบวนคุ้มกันและ
หาเสี่ยวเตี๋ยพบนันได้ห่างไกลออกไปมากแล้ว ทว่า
ตอนนีชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย ได้แต่ต้องรักษา
ตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่
หากตนพุ่งออกไปโดยพลการแล้วพบกับมู่เซิ๋นจวินเข้า
จริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะช่วยเสี่ยวเตี๋ย แค่ชวี ิตนี
ของเขาก็คงต้องบอกอ้าลาแล้ว ขอเพียงตนมีชีวิตอยู่
ต่อเท่านันถึงจะสามารถมีโอกาสไปตามหาเสี่ยวเตี๋ย
และช่วยนางออกมาจากภัยอันตรายได้
ห้าภาพที่เหลือนัน หยางหนิงใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันก็
สามารถจ้าแนกจุดชีพจรที่เส้นสีแดงลากผ่านได้หมด
เพียงแต่เมื่อดูภาพที่สิบเอ็ดเสร็จแล้วนัน หยางหนิง
กลับดูไม่ออกว่ามันมีความเทพที่ตรงใด ทว่าทิศทางที่
เส้นสีแดงลากผ่านจุดชีพจรนันกลับพอจะจ้าได้คร่าวๆ
แล้ว
เมื่อผ่านเวลากลางวันแล้ว ท้องของเขาก็รู้สึกหิวโหย
ยิ่งนัก หยางหนิงกวาดตามองดูรอบห้องหิน กลับไม่
พบเจออาหารแม้แต่อย่างเดียว ในใจก็รู้สึกประหลาด
ใจยิ่งนักว่าก่อนหน้านีโครงกระดูกผู้นันใช้ชีวิตอยู่ได้
เช่นไร? หรือว่าคนผู้นันหิวตายอยู่ในห้องหินแห่งนี?
เขาได้แต่เอาน้าของน้าตกขึนมาดื่มก่อน น้าก็ได้เติม
กระเพาะไปครึ่งหนึ่งแล้ว ยังดีที่น้านีมีรสชาติหวานช่้า
ช่วยระงับอาการหิวได้ชั่วคราว
จากนันเขาก็เดินรอบห้องหินไปรอบหนึ่ง มองดูภาพ
สลักแต่ละรูป เมื่อเดินครบรอบหนึ่งแล้ว อยู่ๆ เขาก็
พบว่าภาพแรกที่ก้าแพงทางด้านซ้ายนันเหมือนกับ
ภาพสุดท้ายของก้าแพงด้านขวาอย่างไม่มีผิดเพียน
โดยภาพแรกของฝั่งซ้ายนันดูคล้ายกับเป็นท่าเริ่มต้น
ของการร่ายร้า และภาพสุดท้ายนันเหมือนกลับไปที่
จุดเริ่มต้นเดิม
เมื่อดูรูปสลักภาพสุดท้ายแล้ว หยางหนิงถึงจะเห็นว่า
ตรงมุมนันกลับมีสลักตัวอักษรไว้หลายบรรทัด เมื่อ
สังเกตดูให้ละเอียดก็เหมือนว่าจะเป็นบทกลอนบท
หนึ่ง เขียนว่า “ทะเลทรายกว้างไกลนับหมื่นลี
สายลมวันนีพัดผ่านป่า สุดขัวขอบเขตแห่งจักรวาล
มีเพียงข้านีเดินทางอย่างเริงใจ”
“มีเพียงข้านีเดินทางอย่างเริงใจ?” หยางหนิงอ่าน
ออกมาเบาๆ ประโยคหนึ่ง ก่อนจะคิดถึงเนือหาที่แสน
ประหลาดเมื่อครู่บนกระดาษขึนมาได้ พลางคิดในใจ
ว่าหรือภาพแกสะสลักนีจะเกี่ยวข้องกับเนือหาท่อน
นัน?
หรือว่าท่าระบ้านี จะมีชื่อว่าเดินทางอย่างเริงใจ?
ที่แห่งนีเองก็ไม่มีอย่างอื่นแล้วจริงๆ หยางหนิงอด
ไม่ได้ที่จะท้าท่าขยับตามภาพสลักรูปแรก จากนันก็
ค่อยขยับเท้าไปตามภาพที่สอง เมื่อดูไปถึงภาพที่เจ็ด
ที่แปดแล้ว ก็พบว่าการขยับตัวของท่าร่ายร้านี
ประหลาดมาก ดูจากรูปแล้วท่วงท่านันชัดเจนมาก
ทว่าตอนขยับจริงๆ กับพบเจอถึงความผิดปกติ
ตัวอย่างเช่นการก้าวเท้าของภาพหนึ่งนันเมื่อ
เปลี่ยนเป็นอีกภาพหนึ่งกลับต้องหมุนตัวมากกว่าครึ่ง
วงกลมเสียอีก
เขามองภาพสลักไปพลางท้าท่าตาม ท่วงท่าที่
เชื่อมโยงกันยิ่งไปถึงด้านหลังก็ยิ่งดูพิสดาร บ้างก็
เดินหน้าบ้างก็ก้าวเอียงถอยไปด้านหลัง บางก็เอียง
ขยับไปทางซ้าย บ้างก็หมุนตัวเอียงไปทางด้านขวา
มองดูแค่ภาพบนพนังนันอาจไม่รู้สึกอะไรมาก ทว่า
เมื่อลงมือท้าเองแล้วกลับรู้ได้ว่าความยากของมันมีไม่
น้อยเลย
หยางหนิงค่อยๆ ขยับก้าวไปทีละก้าว ทว่าท่วงท่าของ
เขานันเกร็งแข็งมาก แตกต่างจากความรู้สึกพลิวไหว
ไร้กังวลที่ภาพนันแสดงออกมาเป็นอย่างมาก ท้าให้
ในใจอดไม่ได้ที่จะคิดว่าผู้แกะสลักคิดอยากจะ
ออมแรงจึงลดทอนไปหลายขันตอนหรือไม่?
เมื่อเดินตามภาพแกะสลักไปได้สิบกว่าก้าวแล้วนัน
หยางหนิงก็เริ่มรู้สึกร้อนใจ นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขามีความ
อดทนต่้า แต่เพราะว่าทุกย่างก้าวนันดูประหลาดมาก
แม้แต่ตัวเขายังรู้สึกว่าท่วงท่าดูอัปลักษณ์มาก
เดินแล้วไม่มีความรู้สึกเหมือนพลิวไหวไร้กังวล นี่เป็น
การท้าลายความมั่นใจในตัวเองของหยางหนิงเป็น
อย่างมาก เขาจึงยอมแพ้ไม่ฝึกฝนต่อและนอนหลับลง
บนพืนแทน
เพียงแต่เมื่อนอนราบลงไปแล้ว สมองกลับไม่อาจสุข
สงบได้ สักพักก็นึกถึงจุดชีพจรต่างๆ บนม้วนภาพวาด
สักพักก็นึกถึงท่วงท่าที่ตนก้าวเดินเมื่อครู่นี ก่อนจะคิด
ว่าต้องท้าเช่นใดตนถึงจะสามารถเดินได้พลิวไหว
เหมือนภาพบนก้าแพงได้
เมื่อนอนลงไปได้ไม่นาน เขาก็ปีนขึนมาฝึกซ้อมอีกครัง
เมื่อซ้อมได้ระยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกหมดหวัง จึงหยุดการ
กระท้าของตนไม่สนใจมันอีก ทว่าเมื่อผ่านไปอีกสัก
ระยะหนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะท้าการฝึกซ้อมต่อ
ระบ้านีเหมือนว่ามีเสน่ห์บางอย่าง ท่วงท่าแม้จะดู
ประหลาด ทว่าเหมือนมีแรงดึงดูดที่ท้าให้คนอดไม่ได้
ที่จะคิดอยากท้าการฝึกซ้อม
ความจริงแม้ว่าภาพบนก้าแพงนีจะมีราวห้าสิบภาพ
ทว่าสรุปโดยรวมแล้วก็มีท่วงท่าแค่สี่สิบถึงห้าสิบก้าว
เท่านัน เพียงแต่สี่สิบถึงห้าสิบก้าวนีพิสดารมาก
เมื่อเอามาเดินเรียงกัน ก็บิดไปบิดมา ท้าให้ทั่วร่าง
ของหยางหนิงอาบท่วมไปด้วยเหงื่อ
ต่อจากนีอีกสองวัน หยางหนิงก็ท้าการฝึกซ้อมท่วงท่า
บนภาพนีไม่หยุด ก้าวเดินไปมาตังแต่ต้นจนจบนับครัง
ไม่ถ้วน เขาจ้าวิธีการก้าวเดินได้อย่างแม่นย้าแล้ว
เพียงแต่ยังไม่อาจเดินให้ความรู้สึกพลิวไหวเช่นนันได้
ทว่ายังคงดีกว่าท่าทางเกร็งแข็งที่มีในตอนแรก
สองวันมานีเขาก็คุ้นชินกับมันไม่น้อยแล้ว
รอจนถึงวันที่สามยามโพล้เพล้ หยางหนิงก็รู้สึกหิว
จนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว หลายวันมานีเขาเอาน้าของ
น้าตกมาดับความหิวเท่านัน ทว่าอย่างไรเสียมันก็
ไม่ใช่อาหารที่ช่วยเพิ่มพลังงานได้ ร่างกายก็รู้สึก
อ่อนแรง บวกกับหลายวันมานีท้าการฝึกซ้อมเดินทาง
อย่างเริงใจ เหนื่อยกายยิ่งนัก เวลาเช่นนีเขาก็หิวจน
รู้สึกตาหูลายไปหมดแล้ว เขารู้ว่าหากตนยังอยู่ที่แห่ง
นีต่อไป เกรงว่าคงจะต้องหิวตายในที่นี่แน่
พลางคิดว่านี่ก็เป็นเวลาสามวันแล้ว ต่อให้มู่เซิ๋นจวิน
จะมีความอดทนมากมายเพียงใด ก็น่าจะเดินทางจาก
ไปแล้ว เวลาเช่นนีหากตนออกไปคงไม่เป็นอันตราย
อะไรมากนัก
ทางออกนันมีอยู่สองทาง ทางหนึ่งคือเดินออกไปตาม
รอยแยกนันและเมื่อไปถึงก้าแพงของหน้าผาก็ใช้
เถาวัลย์ช่วยปีนขึนไปด้านบน อีกทางหนึ่งก็รวบรัด
มาก นั่นก็คือกระโดดลงไปจากน้าตกนี
ความสูงประมาณสิบกว่าเมตรนี แน่นอนว่าเป็น
อันตรายมาก หยางหนิงรู้ว่าหากกระโดดลงไปด้วย
ความสูงเช่นนี แรงกระแทกจะต้องรุนแรงมาก
หากผิดพลาดอะไรไป กระดูกทั่วร่างการอาจจะต้อง
หักจนถึงแก่ชีวิตก็เป็นไปได้
ทว่าหากออกไปทางรอยแยก ก็ได้แต่กลับไปที่ยอด
หน้าผา ที่แห่งนันอย่างไรเสียก็ไม่ปลอดภัย
หยางหนิงชะเง้อคอไปมองใต้เหวด้านล่างปากถ้า
ตรงนันค่อนข้างขรุขระ สามารถท้าการปีนลงไปตาม
ก้าแพงเหวได้ และต่อให้มือลื่นร่วงลงไป อย่างไรเสีย
ด้านล่างก็เป็นบ่อน้า ยังไม่ถึงแก่ความตาย
เมื่อคิดได้แล้วเขาก็ลงมือท้าเลย หยางหนิงไม่ได้ลังเล
อีกต่อไป ก่อนจะค่อยๆ ปีนลงจากทางปากถ้า
ก่อนจะคิดได้ว่าในอกเสือของตนยังมีมีดเย็นที่
คมแหลมไร้ที่ติอยู่ จึงหยิบมันออกมาและแทงลงบน
ก้าแพงเหว ปลายมีดแทงลงบนก้าแพงราวกับแทง
โคลน แทงลึกเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ตอนนีหยางหนิง
ถึงเริ่มค่อยๆ ขยับลงไปทางด้านล่าง และยืมแรงของ
มีดค่อยๆ ปีนลงไปอย่างต่อเนื่อง
รอจนเขาดึงมีดออกมาอีกครังและเตรียมจะแทงลงไป
ใหม่นัน อยู่ๆ เท้าก็ลื่นและตัวเขาก็ได้ดิ่งลงไปทางด้าน
ล่างทันที หยางหนิงรีบกางมือออกอย่างรวดเร็ว เสียง
“ตู๊ม” ดังขึนก่อนที่ขาทังสองข้างของเขาจะตกลงไป
ก่อน แล้วร่างกายทังร่างจึงค่อยจมดิ่งลงไปในบ่อน้า
วินาทีที่ตกน้านัน ร่างกายก็รู้สึกสั่นสะท้านอย่าง
รุนแรง อวัยวะภายในทั่วร่างปั่นป่วน มึนหัวตาลายไป
หมด
บ่อน้านันลึกมาก ในขณะที่หยางหนิงค่อยๆ ทรงตัวใน
น้าได้แล้วนัน เขาก็ขยับแขนขาและออกตัวว่ายน้าไป
สักพักหนึ่ง ก่อนจะโผล่พ้นผิวน้าขึนมาได้ เมื่อเหลือบ
เห็นชายฝั่งก็รีบแหวกว่ายและปีนขึนฝั่งอย่างรวดเร็ว
ทั่วทังร่างนันเปียกชุ่มไปด้วยน้า แรงกระแทกอย่าง
รุนแรงเมื่อครู่นียังคงท้าให้ร่างกายเขารู้สึกเจ็บปวด
ทว่ากลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ยิ่งไม่มีอันตรายถึงชีวิต
เมื่อกวาดตามองบริเวณรอบๆ แล้วถึงพบว่าที่แท้ที่
แห่งนีถือเป็นแหล่งราบเรียบของภูเขาแล้ว ทุ่งหญ้า
รายล้อม บริเวณโดยรอบล้วนมองเห็นเทือกเขาสูง
สะท้านฟ้ารายเรียงติดกัน
เพราะกระเพาะรู้สึกหิวโหยมาก เวลานีเขาจึงคิดแต่
จะตามหาผลไม้ป่าดับความหิว ก่อนจะมองเห็นว่า
ทางด้านหน้าไม่ไกลออกไปนักเป็นป่า จึงรีบเร่งฝีเท้า
เดินเข้าไปด้านใน ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวแล้ว เมื่อตามหา
ได้ระยะหนึ่งเขาก็เห็นต้นไม้ที่มีผลอยู่หลายต้น จึงไม่มี
เวลามาสนใจสิ่งอื่นและรีบเด็ดผลไม้มากินดับกระหาย
ใต้ตนไม้ทันที
เมื่อกินไปได้หกเจ็ดลูกแล้ว ความรู้สึกหิวโหยถึงจะ
ค่อยๆ ดีขึน จากนันหยางหนิงก็ลุกขึนยืนและบิดไป
มายืดเส้นยืดสาย และในเวลานีเองที่เขาได้ยินเสียงดัง
มาจากข้างกายของตน เมื่อหันหน้าไปมองกลับพบว่า
มีแววตาที่ดูแหลมคมดุจมีดก้าลังจับจ้องมาที่ตน
เงาของร่างนันอยู่ห่างจากข้างกายเขาไปเพียงไม่กี่ก้าว
ท่าทางราวกับสัตว์ล่าเนือที่มองเห็นเหยื่อของตน
คนที่ปรากฏตัวขึนนันก็คือมู่เซิ๋นจวิน!
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 20 ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว
หยางหนิงแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เขากล่าวโทษฟ้าโทษดินโทษชะตาชีวิต เดิมคิดว่า
ผ่านไปสามวันแล้ว มู่เซิ๋นจวินน่าจะจากไปตั้งนานแล้ว
หรือต่อให้อยู่ในเขา เทือกเขากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้
โอกาสที่คนทั้งสองจะพบกันได้นั้นก็ถือว่ามีน้อยมาก
แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตนออกจากห้องหินมาได้
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ปีศาจแก่นี้ก็จะปรากฏข้างกายตน
ราวกับวิญญาณร้าย คล้ายกับว่าติดเครื่องมือติดตาม
ตาแหน่งไว้ที่ตัวตนก็มิปาน
ผมของมู่เซิ๋นจวินถูกปล่อยสยาย เสื้อผ้าขาดวิ่น
ดวงตาแดงก่า ท่าทางราวกับคนบ้าก็มิปาน แววตา
คู่นั้นจ้องหยางหนิงราวกับจะเชือดเฉือนร่างกายของ
เขา ขณะที่น้าเสียงที่เอ่ยออกมาก็แหบพร่าไม่น้อย
เช่นกัน “เจ้าเป็นวิชาทะยานฟ้าทะลวงดินด้วยงั้น
หรือ? พลังเทพหกประสานนี้ข้าใช้เวลาถึงสองวันกว่า
จะได้มาครอบครอง จะให้เจ้าเอาไปง่ายๆ เช่นนี้ได้
อย่างไรกัน” เขาคารามเสียงต่าออกมาก่อนจะยื่นมือ
พุ่งมาทางหยางหนิง
หยางหนิงร้องตะโกนออกมาเสียงดังก่อนจะรีบ
หมุนตัววิ่งหนีทันที มู่เซิ๋นจวินนั้นพูดได้ทาได้ ตอนนี้
หยางหนิงก็รู้สึกได้ถึงแรงลมที่กระแทกมาจากทาง
ด้านหลังแล้ว เขารู้ว่าตนจะต้องตายแน่ ทว่าทันใด
นั้นเองในสมองก็เหมือนมีแสงสว่างปรากฏขึ้น ก่อนที่
อยู่ๆ ร่างกายของตนจะพลิกตัวหมุน ก้าวเท้าก้าวหนึ่ง
ขยับตัวหลบอย่างทันเวลา โดยท่าทางการเคลื่อนไหว
นี้ก็คือการขยับฝีเท้าของเดินทางอย่างเริงใจนั่นเอง
หลายวันมานี้เขาแทบจะทาการฝึกซ้อมเดินทางอย่าง
เริงใจชุดนั้นอยู่ตลอดเวลา ท่วงท่าการขยับฝีเท้านั้นก็
เชี่ยวชาญเป็นอย่างดี เวลานี้เรียกได้ว่าเขาขยับก้าว
เท้าไปเองโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับสามารถช่วยให้
ตนหลบฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังของมู่เซิ๋นจวิน
ได้พอดี
มู่เซิ๋นจวินมีสีหน้าแปลกใจปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขา
คิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะสามารถหลบการโจมตีของตน
ได้ ทว่าในใจกลับคิดว่าที่หยางหนิงสามารถขยับตัวได้
พลิ้วไหวราวกับวิญญาณนั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
เท่านั้นก่อนที่มือไม้เปื่อยตายจะพุ่งไปด้านหน้าเพื่อ
เตรียมจับตัวหยางหนิงไว้อีกครั้ง
หลังจากที่หยางหนิงขยับตัวหลบได้แล้ว ในสมองกลับ
ครุ่นคิดเพียงแต่การขยับฝีเท้าของท่าเดินทางอย่าง
เริงใจ เมื่อก้าวแรกได้ขยับแล้ว ก้าวที่สองก็ขยับเดิน
ต่ออย่างเป็นธรรมชาติ มู่เซิ๋นจวินที่ครั้งแรกได้
พลาดพลั้ง เดิมก็คิดว่าครั้งที่สองจะต้องเอื้อมจับได้
อย่างไม่มีพลาดแน่ กลับคิดไม่ถึงว่าในวินาทีที่ตนใกล้
จะถูกตัวหยางหนิงแล้วนั้น ร่างกายของหยางหนิง
กลับขยับตัวพลิ้วไหวราวกับวิญญาณ เคลื่อนไป
ทางด้านข้างด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
มู่เซิ๋นจวินร้องเสียง “อ๊า” ออกมาอย่างตื่นตระหนก
รอจนเขาทาการโจมตีหลายครั้งแล้วไม่อาจถูก
ตัวหยางหนิงได้นั้น สีหน้าของเขาก็ได้ปรากฏความ
หวาดกลัวและตกตะลึงออกมาแทน
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยทดสอบร่างกายของหยางหนิง
แล้ว รู้ว่าหยางหนิงนั้นไม่มีพื้นฐานกาลังภายในเลย
แม้แต่น้อย เป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้การขยับฝีท้าของหยางหนิงนั้นกลับลึกล้า
มาก แม้ว่าจะดูเหมือนกับการเดินโซเซไปมาของคน
เมาเหล้า ทว่าการเปลี่ยนแปลงของการขยับตัวก็อยู่
เหนือการคาดเดา ทาให้คนไม่สามารถรู้ถึงทิศทางการ
เดินของเข้าได้
ความจริงหยางหนิงเองก็ไม่รู้ว่ามู่เซิ๋นจวินจะพุ่งเข้า
โจมตีตนจากทิศใดเช่นกัน เขาเพียงแต่ก้าวเดินไป
ตามที่สมองสั่ง เมื่อเห็นมู่เซิ๋นจวินขยับตัวผ่านข้างกาย
ตนไปมานั้น ความจริงในใจของเขาเองก็รู้สึก
ตื่นตระหนกมาก โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าการขยับฝีเท้า
ของตนนั้นทาให้มู่เซิ๋นจวินรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่าง
มากแล้ว อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเพราะตนได้ใช้การขยับตัว
แบบเดินทางอย่างเริงใจทาให้สามารถหลบสิบกว่า
กระบวนท่าที่พุ่งเข้าโจมตีตนของมู่เซิ๋นจวินไปได้
มู่เซิ๋นจวินรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก แต่อย่างไรเสียเขาก็
ไม่ใช่คนด้อยฝีมือ เขาเองก็มองออกว่าแม้การขยับ
ฝีเท้าของหยางหนิงจะลึกล้า ทว่าท่วงท่านั้นกลับไม่ได้
คล่องแคล่ว ในใจก็รู้ว่าหยางหนิงนั้นเกรงว่าจะเพิ่ง
ร่าเรียนได้ไม่นานนัก จึงส่งเสียงร้องคารามออกมา
อย่างดังสนั่นโดยใช้พลังภายในของตนส่งเสียงออกไป
เสียงร้องตะโกนนี้ของเขาก็ทาให้หยางหนิงที่เอาแต่
สนใจฝีเท้าของตนรู้สึกตื่นตกใจขึ้นทันที จากนั้น
ท่วงท่าการขยับตัวของเขาเองก็ช้าลงไปมากเช่นกัน
เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นมือของมู่เซิ๋นจวินที่ยื่นมา
หยางหนิงก็ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ชั่วขณะหนึ่ง
หลงลืมไปแล้วว่าตนควรจะเดินก้าวไหนต่อ ได้แต่ก้าว
เดินไปตามสัญชาตญาณก้าวหนึ่ง กลับคิดไม่ถึงว่าจะ
เดินชนต้นไม้ไปเสียได้
รอจนเขาเตรียมจะเดินต่ออีกครั้ง หัวไหล่ก็รู้สึก
เหมือนถูกบีบรัดซึ่งแรงบีบนั้นก็มาจากมือข้างหนึ่ง
ของมู่เซิ๋นจวินที่ได้วางทาบมาบนไหล่ของตนแล้ว
ขณะที่มู่เซิ๋นจวินยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยออกมาว่า “จะหนี
ไปไหน?”
การก้าวเดินของหยางหนิงนั้นผิดจังหวะ และ
มู่เซิ๋นจวินเองก็มองเห็นจุดบอดนั้น เดิมคิดว่าจะใช้
ฝ่ามือสังหารหยางหนิงไปในทันที ทว่าเพราะเห็น
ท่วงท่าการเดินของหยางหนิงนั้นลึกล้า ในใจจึงมี
ความละโมบเกิดขึ้น เขารู้ดีว่าเป็นไปได้อย่างมากว่า
เจ้าหนุ่มนี่จะมีโชคเข้าข้างไปพบเจออะไรดีๆ ได้
จึงคิดอยากจะบีบบังคับให้หยางหนิงสารภาพที่มาของ
การฝึกท่วงท่าเหล่านี้ออกมา
หยางหนิงรู้สึกสิ้นหวัง เมื่อครู่สามารถรอดพ้นจาก
ความตายมาได้ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วก็ยังยากที่จะ
หลีกพ้นจากมือมารของปีศาจแก่ผู้นี้ได้ จึงได้แต่ยิ้ม
ออกมาอย่างขมขื่นและเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสมู่ สวัสดี!”
“หยุดพร่าเพ้อได้แล้ว ท่าเดินชุดนี้ของเจ้าได้มาจาก
ที่ใด?” แววตาของมู่เซิ๋นจวินในตอนนี้ปรากฏความ
ละโมบขึ้น “สารภาพมาตามตรง ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า
ได้”
หยางหนิงครุ่นคิดในใจว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ตนจะ
ต้องตายอย่างแน่นอน แต่หากตายก็จะให้ปีศาจแก่ผู้นี้
ได้เปรียบไปไม่ได้ เมื่อคิดได้ว่าตนเพิ่งข้ามภพมาที่โลก
ใหม่ได้ไม่ถึงสิบวัน จิตใจก็รู้สึกย่าแย่มาก จึงเอ่ยเสียง
เรียบตอบกลับไปว่า “ท่าเดินอะไร? ท่านมองผิดไป
แล้ว นี่มันเป็นการเดินมั่วไปเรื่อยของข้าเท่านั้น”
“เจ้ามีความสามารถเช่นนั้นด้วย?” แววตาของ
มู่เซิ๋นจวินมีความดูหมิ่นเหยียดหยามปรากฏขึ้น
พลางยิ้มเย็นและเอ่ยต่อว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่เห็น
โลงศพไม่หลั่งน้าตาสินะ ข้าจะทาให้เจ้าเห็นเองว่า
อะไรเรียกว่าน่ากลัว” มือไม้เปื่อยตายที่ทาบบนไหล่
ของหยางหนิงเอาไว้ก็ปล่อยพลังภายในออกมา
เป้าหมายก็เพื่อทาให้หยางหนิงรู้สึกเจ็บปวดจนยาก
จะทน ให้เขาจาต้องสารภาพที่มาของท่าการเดินนั้น
ออกมา
เมื่อมู่เซิ๋นจวินปล่อยพลังภายในออกมาจากแขนตน
นั้น แน่นอนว่าหยางหนิงก็รู้สึกได้ทันที ไหล่ของเขา
เหมือนถูกกดไว้ด้วยของหนักราวพันชั่ง จากนั้นก็มี
แรงที่เหมือนคลื่นยักษ์พุ่งเข้าผ่านหัวไหล่มายังร่างกาย
ของเขา ทาให้ชั่วขณะหนึ่งเส้นเลือดที่หัวไหล่ก็รู้สึก
เหมือนพองตัวจนแทบจะระเบิดออกมา ความ
เจ็บปวดนั้นทรมานเสียยิ่งกว่าการเจ็บปวดบนผิวหนัง
เป็นหลายสิบเท่า
แม้ว่าหยางหนิงจะมีความอดทนสูง ทว่าความเจ็บ
ปวดเช่นนี้กย็ ังคงทาให้เขาเจ็บจนต้องร้องออกมา
ขณะที่มู่เซิ๋นจวินใช้สายตาเยือกเย็นและเสียงที่เย็นชา
เอ่ยต่อว่า “จะพูดไม่พูด?”
ความรู้สึกเหมือนเส้นเลือดจะฉีกขาดนั้น ทาให้
หยางหนิงแทบจะสูญเสียสติของตนไป
ตอนนี้เขารู้สึกเพียงแต่ว่าเส้นเลือดที่หัวไหล่ของตนนั้น
เหมือนกับถูกสูบลมเอาไว้ ค่อยๆ พองตัวขึ้นเรื่อยๆ
และหากลมนั้นไม่ได้ถูกปล่อยออก ชีพจรและ
เส้นเลือดของเขาจะต้องระเบิดแน่
เพียงแต่พลังภายในถูกส่งมาที่หัวไหล่เขาไม่มีหยุด
ราวกับคลื่นสมุทรที่ซัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นระลอกๆ
ไม่อาจขับออกไปได้ อยู่ๆ ในสมองก็นึกถึงเส้นสีแดงที่
เกี่ยวข้องกับไหล่ซ้ายบนม้วนหนังสือภาพพลังเทพหก
ประสานขึ้นมาได้ทันที จุดเริ่มต้นของชีพจรในภาพนั้น
ได้เริ่มขึ้นจากจุดเชวียเผินที่หัวไหล่พอดี จากนั้นก็ลาก
ผ่านจุดจงฝู่ ไปทางจุดเสินฉาง แล้วจึงค่อยลากยาวไป
ที่จุดหลิงซวีและจุดเสินเฟิง ก่อนที่สุดท้ายจะไปจบที่
จุดถานจงบริเวณทรวงอก
เวลานี้เขารู้สึกเหมือนจะสลบลงไปแล้ว ทว่าในสมอง
กลับยังคงคิดถึงเส้นสีแดงเส้นนั้น และเวลานี้ก็
สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังภายในที่ขับเคลื่อน
อยู่ในจุดเชวียเผิน พลางคิดว่าหากเคลื่อนย้ายพลัง
ภายในจากจุดเชวียเผินไปที่จุดจงฝู่ได้นั้น บางที
อาจจะลดความเจ็บปวดจากการขยายของเส้นชีพจร
ได้
ว่าแล้วก็แปลก เมื่อเขาหลับตาคิดถึงสิ่งเหล่านี้
พลังภายในที่จุดเชวียเผินนั้นก็เหมือนจะเริ่ม
เคลื่อนย้ายแล้วจริงๆ ราวกับว่าตัวเขาสามารถ
เคลื่อนย้ายพลังภายในนั้นได้ก็มิปาน แต่เดิมพลัง
ภายในนั้นเหมือนจะต่อต้านตนอยู่บ้าง ทว่าเพียง
ชั่วพริบตาเดียว พลังภายในนั้นก็ไหลลงไปด้านล่าง
อย่างรวดเร็ว และพุ่งตรงเข้าไปที่จุดจงฝู่ทางด้านล่าง
แทน
หลังจากที่พลังภายในเคลื่อนย้ายจากจุดเชวียเผินไปที่
จุดจงฝู่แล้วนั้น ความรู้สึกเหมือนเส้นชีพจรจะฉีกขาด
ที่หัวไหล่นั้นก็ลดลงไปไม่น้อย แต่ว่าทางเส้นเลือดและ
ชีพจรด้านข้างของจุดจงฝู่กลับค่อยๆ ขยายตัวแทน
หยางหนิงรู้สึกหมือนว่าตนจะสามารถควบคุมทิศ
ทางการวิ่งของพลังภายในนี้ จึงไม่มีการลังเลอีกก่อน
จะรีบดาเนินต่อไปตามทิศทางเส้นสีแดงที่เกี่ยวของ
กับหัวไหล่ในพลังเทพหกประสานทันที โดยนาพลัง
ภายในนั้นเคลื่อนย้ายจากจุดจงฝู่ต่อไปยังจุดเสินฉาง
ก่อนจะต่อไปยังจุดหลิงซวีและจุดเสินเฟิง และสุดท้าย
ไปจบที่จุดถานจง
เห็นได้ชัดว่ามู่เซิ๋นจวินไม่รู้ว่าพลังภายในของเขาได้
ถูกหยางหนิงขับเคลื่อนไปที่จุดถานจงแล้ว เขายังคง
ถ่ายทอดพลังภายในเข้าไปในร่างกายของหยางหนิง
อย่างต่อเนื่อง โดยคิดอยากจะให้หยางหนิงทนต่อไป
ไม่ไหวจนต้องร้องขอความเมตตาจากตน
ทีแรกตอนที่ได้ยินหยางหนิงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
นั้น บนใบหน้าของมู่เซิ๋นจวินก็ยังคงมีความหมิ่น
หยามปรากฏออกมา ทว่าไม่นานนักเสียงร้องของ
หยางหนิงก็หยุดลง มู่เซิ๋นจวินก็คิดขึ้นมาว่าหรือเจ้า
เด็กนี่จะทนต่อไปไม่ไหวจนสลบลงไปแล้ว แต่เดิมตอน
เขาเพิ่งเห็นหยางหนิงนั้นก็รู้สึกอยากจะสังหาร
หยางหนิงทิ้งเสียให้ได้ ทว่าเมื่อเห็นท่าเดินของ
เดินทางอย่างเริงใจของหยางหนิงแล้ว เขาก็ได้เปลี่ยน
ความคิดของตน แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่อยากให้
หยางหนิงตายแล้ว
เวลานี้ก็แค่อยากให้หยางหนิงทรมานเพื่อบีบให้
หยางหนิงสารภาพกระบวนท่าในการเดินของเดินทาง
อย่างเริงใจเท่านั้น ไม่ได้คิดจะสังหารเขาในทันที เมื่อ
เห็นหยางหนิงไม่ส่งเสียงร้องออกมา เขาก็คิดเพียง
ว่าหยางหนิงอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วจึงรีบเตรียม
พร้อมที่จะดึงพลังภายในของตนกลับคืน
เพียงแต่เมื่อถึงยามที่เขาใช้พลังดึงพลังภายในของตน
กลับคืนนั้น กลับพบว่าพลังภายในของตนกลับ
ไหลออกไปเหมือนสายน้า ไม่เพียงแต่ไม่อาจดึง
กลับคืนได้ อีกทั้งยังไหลออกไปด้านนอกอย่างควบคุม
ไม่อยู่อีกด้วย
มู่เซิ๋นจวินขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น คิดอยากจะดึงมือ
กลับทว่าชั่วขณะหนึ่งกลับไม่สามารถยกมือขึ้นได้
พลังภายในที่ไหลออกจากร่างไปนั้นเหมือนกับกาวที่
ติดอยู่บนฝ่ามือเขา ทาให้เขาไม่สามารถขยับมัน
ออกไปไหนได้
สีหน้าของมู่เซิ๋นจวินเปลี่ยนไปในทันที
เวลานี้เขาก็ยังคงไม่รู้ว่าพลังภายในของตนได้เดินไป
ตามเส้นทางที่หยางหนิงต้องการแล้ว อีกทั้งยังไหล
เวียนผ่านเส้นชีพจรเข้าไปที่จุดถานจงของหยางหนิง
ต่อเนื่องไม่มีหยุด
ความจริงแล้วตอนแรกที่หยางหนิงเคลื่อนย้ายพลัง
ภายในที่หัวไหล่ของตนนั้น ยามที่มันไหลผ่านเส้น
ชีพจรนั้นก็เป็นไปอย่างยากลาบากมาก อีกทั้ง
ความเร็วก็เชื่องช้ามากด้วย
เพราะว่าหยางหนิงไม่มีพื้นฐานวิชากาลังภายในเลย
แม้แต่น้อย หากใช้วิธีพูดของยอดฝีมือพลังภายในแล้ว
เส้นชีพจรของเขาก็เหมือนกับสายน้าที่ถูกโคลนทราย
อุดขวางเอาไว้ หากคิดอยากจะทะลวงเส้นชีพจร
เหล่านี้ทั้งหมด หยางหนิงไม่เพียงแต่จะต้องฝึกวิชา
กาลังภายใน อีกทั้งอย่างน้อยยังต้องฝึกฝนอย่าง
ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีถึงจะทาสาเร็จได้
ทว่าวันนี้เดิมเป้าหมายของมู่เซิ๋นจวินนั้นคือต้องการ
ให้หยางหนิงได้รับความทรมาน ทว่าเขากลับคิดไม่ถึง
ว่าพลังภายในของตนนั้นจะเหมือนถูกกระตุ้นอย่าง
แรงและพุ่งทะลวงเข้าไปหาสายน้าที่อุดตันนั้นและให้
ความช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงกับหยางหนิง
และหยางหนิงนั้นก็ได้ยืมแรงกาลังของพลังภายในที่
พุ่งเข้าใส่ร่างกายตนนั้น ควบคุมมันไปยังเส้นทางที่ตน
ต้องการ ก่อนจะช่วยทะลวงเส้นชีพจรเหล่านั้นให้
ไหลเวียนได้อย่างสะดวก
ถ้าหากบอกว่าแต่แรกนั้นพลังภายในก็เป็นเหมือนแค่
สายน้าที่ค่อยๆ ไหลเข้าไปที่จุดถานจงที่ทรวงอกเขา
นั้น ยามนี้รอจนเส้นชีพจรถูกทะลวงให้เปิดออก
หมดแล้ว ก็ไหลลื่นได้ไม่มีสะดุด พลังภายในก็พุ่งเข้า
มาในร่างกายเขาเหมือนกับคลื่นมหาสมุทรลูกใหญ่
พลังภายในนั้นยิ่งไหลเข้ามาก็ยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้น
มู่เซิ๋นจวินเพียงแต่รู้สึกว่าพลังภายในของตนเป็นดุจ
เขื่อนน้าที่ถูกเปิดออกให้ไหลไปที่ร่างกายของ
หยางหนิงอย่างต่อเนื่อง เขาตื่นตระหนกจนใบหน้า
เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด หลายครั้งที่คิดอยากจะยกมือขึ้น
ทว่ามือของตนกลับเหมือนได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง
เดียวกับไหล่ของหยางหนิงแล้ว ไม่สามารถดึงออกได้
เลย แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์พบเห็นอะไรมามาก
อีกทั้งยังศึกษาด้านวรยุทธ์มาไม่น้อย ทว่าสถานการณ์
เบื้องหน้านี้เขากลับไม่เคยพบเห็นมาก่อน ชั่วขณะ
หนึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เขารู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังภายในของตน
จะต้องสูญสิ้นแน่ แววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงเยือก
เย็นทันที แม้เขาจะไม่รู้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ทว่า
ผู้ที่ก่อเหตุครั้งนี้จะต้องเป็นหยางหนิงแน่ ขอเพียง
สังหารหยางหนิงทิ้ง ทุกอย่างก็จะแก้ไขไปเอง จากนั้น
เขาก็ร้องตะโกนออกมาและปล่อยพลังภายในที่
แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเข้าใส่ร่างกายของหยางหนิง
เวลานี้ต้องรักษาตัวเองให้ได้เสียก่อน และก็ไม่มีเวลา
มาสนใจท่าเดินเมื่อครู่ของหยางหนิงแล้ว ตาม
ความคิดของเขาหากพลังภายในแข็งแกร่งเช่นนี้ถูก
ปล่อยเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงว่าหยางหนิงเป็นแค่
คนธรรมดาคนหนึ่ง ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่มีพลังภายใน
สูงส่งก็จะต้องเส้นชีพจรระเบิดจนจบชีวิตลงเป็นแน่
ทว่าสิ่งที่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ก็คือเมื่อ
พลังภายในนี้ถูกส่งออกไป หยางหนิงไม่เพียงแต่ไม่ส่ง
เสียงร้องเจ็บปวดใดๆ ออกมา อีกทั้งพลังเวทนี้กลับ
เหมือนก้อนหินที่ถูกโยนเข้าไปในมหาสมุทร
สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เวลานี้หยางหนิงไม่เพียงแต่จะไม่ตาย อีกทั้งยังไม่ได้
รู้สึกเจ็บปวดใดๆ อีกด้วย
พลังภายในที่มู่เซิ๋นจวินส่งมานั้นก็ได้ถูกเขาเคลื่อนย้าย
ไปที่จุดถานจงเช่นกัน ระหว่างทางที่มันลากผ่านจุด
ชีพจรอื่นนั้นก็ยังคงให้ความรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย ทว่า
เมื่อพลังภายในจานวนมากถูกส่งเข้าไปที่จุดถานจง
แล้ว หยางหนิงก็รู้สึกว่าจุดถานจงของตนเกิดความ
ปั่นป่วนอย่างหนัก ราวกับมีเพลิงไฟรุกไหม้อย่าง
รุนแรง ยิ่งพลังภายในถูกใส่เข้าไปมากเท่าใด
ความรู้สึกร้อนระอุนั้นก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น
ก็เหมือนกับคนที่ท้องว่างและหิวโหยเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นอาหารมื้อใหญ่อยู่เบื้องหน้า ตอนแรกที่กินเข้า
ไปนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดี ทว่าเมื่อถึงตอนหลังที่
เริ่มอิ่มแล้ว ทุกครั้งที่กินเพิ่มเข้าไปหนึ่งคาก็จะรู้สึก
ย่าแย่มากขึ้นหนึ่งส่วน ไร้ซึ่งความรู้สึกสุขสบายแล้ว
เวลานี้หยางหนิงก็มีความรู้สึกเช่นนี้ เขาได้แต่หวังว่า
มู่เซิ๋นจวินจะรีบดึงมือกลับ ทว่ากลับไม่รู้ว่าเวลานี้ต่อ
ให้มู่เซิ๋นจวินคิดอยากจะดึงมือกลับ เรื่องนี้ก็ไม่อยู่ใน
การควบคุมของตัวเขาแล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 21 ร้านเหล้า
ภายในจุดถานจงของหยางหนิงมีพลังอันมหาศาล
แต่มู่เซิ๋นจวินกลับรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายกาลังค่อยๆ
ทรุดลง
ถึงอย่างไรเสียเขาก็มีวรยุทธ์ล้าเลิศ ในตอนนี้กลับเพิ่ง
เข้าใจเรื่องบางอย่าง สีหน้าอันซีดเซียวของเขาปรากฏ
ความตระหนก พูดด้วยเสียงที่ขาดหายว่า “เจ้า...นี่มัน
พลังเทพ...พลังเทพหกประสาน?” เสียงของเขา
ในตอนนี้แทบไม่มีเรี่ยวแรง และเต็มไปด้วยความ
หวาดกลัว
หลังจากที่หยางหนิงตกหน้าผา ในตอนแรกมู่เซิ๋นจวิน
รู้สึกสิ้นหวังมาก แต่เขาไม่เต็มใจที่จะจากไป ความ
เป็นความตายของหยางหนิงเขาไม่สนใจอยู่แล้ว แต่
“พลังเทพหกประสาน” ที่ได้มาอย่างยากลาบาก เขา
จะไม่ยอมสูญเสียมันไปแน่
สิ่งที่สาคัญที่สุด ก็เหมือนที่หยางหนิงคาดเอาไว้ เป็น
เพราะมู่เซิ๋นจวินฝึกฝน “พลังเทพหกประสาน” ทาให้
ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดที่
ธาตุไฟเข้าแทรกจนเป็นอสูร แต่ก็ไม่ไกลแล้ว
มู่เซิ๋นจวินรู้ดีว่าหากใครเรียนผูกคนนั้นก็ต้องเรียนแก้
เอง ถึงแม้ว่าในสมองจะเข้าใจจุดชีพจรทั้งหมดไปถึง
ฝ่ามือได้แล้วตามม้วนภาพทั้งสิบเอ็ดแบบ แต่กลับ
รู้สึกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เห็นในม้วนภาพเลย กลัวแต่
ว่ามันจะมีอะไรลึกลับซ่อนอยู่ ตัวเขาเองอยากจะกลับ
เป็นปกติ จาเป็นจะต้องหาเคล็ดลับที่อยู่ในม้วนภาพ
ให้ได้
เขาค้นหารอบๆ บริเวณหน้าผาอยู่หลายคืน อย่างไม่
หลับไม่นอน ถึงแม้ในท้ายที่สุดจะได้มาพบกับ
หยางหนิง แต่ในตอนนี้ก็เหนื่อยล้าจนไม่ไหวแล้ว ใน
สมองก็มึนๆ งงๆ ไปหมด หลังจากที่ถูกหยางหนิงดูด
ซับพลังภายในเข้าไปตามจุดถานจงไม่หยุด ในตอน
แรกมู่เซิ๋นจวินไม่ทันได้คิดอะไร คิดแต่ว่าจะเดินพลัง
ภายในกระตุ้นพลังเพื่อสังหารหยางหนิงเท่านั้น
แต่เมื่อทาแบบนี้ไปแล้ว ผลที่ได้กลับตรงข้ามกับความ
คาดหวัง
หากก่อนที่หยางหนิงจะเดินลมปราณผ่านชีพจร
ทั้งหมด มู่เซิ๋นจวินหยุดมือเสียก่อน ก็จะสามารถเลี่ยง
ที่จะถูกหยางหนิงดูดพลังภายในไปได้
ถึงแม้ว่ามู่เซิ๋นจวินรู้ดีว่าพลังเทพหกประสานนั้นเป็น
วิชายอดเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ในความเป็น
จริงแล้วก็เหมือนกับหยางหนิง ที่ไม่รู้ว่าความหมายที่
ลึกซึ้งจริงๆ ของพลังเทพหกประสานนั้นมันอยู่
ตรงไหน
หากเขาไม่คิดอยากจะได้ท่าเดินทางอย่างเริงใจของ
หยางหนิง และซัดฝ่ามือใส่ไปที่สมองของหยางหนิง
ตั้งแต่ตอนนั้น ไม่มีทางที่หยางหนิงจะมีชีวิตรอดมาถึง
ตอนนี้แน่
ที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็เป็นเพราะเขามอบโอกาส
นั้นเอง
ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนหัวไหล่ของหยางหนิงพอดี
ส่วนบริเวณหัวไหล่ก็เป็นหนึ่งในจุดการฝึกฝนพลังเทพ
หกประสาน
หากแค่วางไว้บนหัวไหล่อย่างเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่
เขากลับเค้นถามท่าเดินทางอย่างเริงใจ ใช้พลังภายใน
ทรมานหยางหนิง หากไม่ใช่เพราะพลังภายในนี้
หยางหนิงก็ไม่สามารถอาศัยพลังภายในเปิดจุดชีพจร
ในร่างกายได้ และไม่อาจที่จะทาให้พลังภายในของ
มู่เซิ๋นจวินวิ่งผ่านได้ลื่นไหลอย่างสายน้าแบบนี้
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นเพราะพลัง
เทพ** แต่รู้ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว
มือซ้ายติดอยู่บนหัวไหล่ซ้ายของหยางหนิงเอาออก
ไม่ได้ ในตอนนี้มู่เซิ๋นจวินคิดอยากจะยกมือขวาของ
เขาขึ้นมาสังหารหยางหนิง แต่กลับรู้สึกว่าทั่วทั้ง
ร่างกายไร้เรี่ยวแรง แขนซ้ายยกไม่ขึ้นเลย
พลังภายในของเขาไหลไปตามแขนซ้ายของหยางหนิง
คิดจะขยับร่างกายกับมือขวาก็ไม่มีพลังภายในเหลือ
แล้ว
แน่นอนว่าหยางหนิงไม่รู้ว่ามู่เซิ๋นจวินรู้สึกอย่างไร
ในตอนนี้ เขาแค่พยายามจะคลายจุดชีพจรแล้วถ่าย
พลังภายในไปยังจุดถานจงเท่านั้น คิดแค่ว่ามู่เซิ๋นจวิน
แค่ใช้พลังภายในมาสังหารตนเอง แต่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้
ตัวเองกาลังดูดพลังภายในของมู่เซิ๋นจวินอยู่ จุดถาน
จงถูกแผดเผาจนเจ็บปวด หยางหนิงกลับคิดว่าเป็น
เพราะมู่เซิ๋นจวิน
ในตอนนี้ปวดหัวแทบจะระเบิด คิดแค่ว่าครั้งนี้จะต้อง
ตายในเงื้อมมือของมู่เซิ๋นจวินแน่ๆ ขาสองข้างอ่อน
แรง ทรุดลงนั่งไปกับพื้นทั้งตัว ส่วนมู่เซิ๋นจวินเองก็
อ่อนแรงฟุบลงไปกับพื้นเช่นกัน
หยางหนิงเอียงตัวผิงต้นไม้เอาไว้ รู้สึกว่าทาแบบนี้แล้ว
ร่างกายเหมือนจะสบายขึ้นมาหน่อย ส่วนมือของ
มู่เซิ๋นจวินก็ยังคงอยู่ที่หัวไหล่ของเขา หยางหนิงคิดว่า
คงไม่รอดแน่แล้ว อีกทั้งยังปวดหัวอย่างหนัก
แน่นหน้าอกมาก จนสลบไปในที่สุด
แต่ก็ไม่นานนัก หยางหนิงก็ฟื้นขึ้นมา ทั้งสี่ด้านเงียบ
มาก แสงของดวงจันทร์สาดส่องลงมา หยางหนิง
เข้าใจว่าตัวเองนั้นตายไปแล้ว แต่เมื่อมองไปด้านซ้าย
ขวา ถึงได้พบว่าตัวเองยังคงอยู่ที่ใต้ต้นไม้ เมื่อหัน
ศีรษะไปดูข้างๆ สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไป
ด้านหลังของเขาตอนนี้ มู่เซิ๋นจวินยังคงนอนอยู่อย่าง
นั้น แต่ตอนนี้มู่เซิ๋นจวินไม่ใช่มู่เซิ๋นจวินคนเดิมที่
หยางหนิงรู้จักแล้ว
เห็นเพียงแขนของมู่เซิ๋นจวิน เหมือนกับกิ่งไม้เท่านั้น
ถึงแม้ว่าผิวหนังของเขาก่อนหน้านี้จะแห้งผาก แต่ก็ไม่
เหมือนกับตอนนี้ แขนของเขาในตอนนี้มันเหมือน
หนังหุ้มกระดูก เหมือนไม่มีเลือดเนื้ออีกแล้ว
ใบหน้ายิ่งสยองเข้าไปใหญ่
มันเหมือนเอาหนังของคนไปหุ้มไว้บนกะโหลกศีรษะ
ที่สามารถมองเห็นทุกซอกทุกมุมในกะโหลก รอบ
ดวงตาเป็นหลุมลึกโบ๋ เหมือนกับหลุมดาสองหลุม
ส่วนร่างกายของมู่เซิ๋นจวิน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน
ในตอนนี้ก็เหมือนกับซากศพไม่มีผิด หากไม่ใช่เพราะ
เสื้อคลุมสีเทาเก่าๆ ที่อยู่บนตัวเขา หยางหนิงแทบจะ
จามู่เซิ๋นจวินไม่ได้เลย
สภาพแบบนี้ จะไปมีชีวิตรอดได้อย่างไร น่าจะตาย
แล้วไม่น่ารอด
หยางหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสติ แล้วทบทวน
เรื่องราว แล้วก็รู้สึกว่า มู่เซิ๋นจวินมีสภาพกลายเป็น
เหมือนซากศพแบบนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับตัวเองที่สุด
เขาฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว วิกฤตก่อนหน้านี้ ไม่มี
เวลาให้คิดมากเท่าไร ตอนนี้เมื่อทุกอย่างสงบลง
ก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนตัวเองจะสลบไปมู่เซิ๋นจวินพูดถึง
“พลังเทพหกประสาน” เมื่อนึกดูแล้วหรือว่าที่
มู่เซิ๋นจวินตกอยู่ในสภาพนี้ เป็นเพราะผลของพลังเทพ
หกประสานงั้นหรือ?
เขาจาได้ว่าเพื่อลดความเจ็บปวดของตัวเองลง จึงต้อง
เดินพลังภายในไปที่จุดถานจง หรือว่าเป็นเพราะเหตุ
นี้ ถึงทาให้มู่เซิ๋นจวินกลายเป็นแบบนี้
วรยุทธ์ของมู่เซิ๋นจวินร้ายกาจมาก หยางหนิงคิดว่า
เจอกับเขาต้องตายแน่ๆ แต่เมื่อตอนนี้เห็นมู่เซิ๋นจวิน
กลายเป็นซากศพอยู่บนพื้น แถมสุดท้ายคนที่รอดก็
กลายเป็นตัวเอง ความรู้สึกมันเหมือนกับฝัน เพียงแค่
ผลลัพธ์มันดูน่าสงสัย
เมื่อคิดถึงตอนที่จุดถานจงเหมือนถูกไฟเผาแบบนั้น
หยางหนิงก็รีบยื่นมือไปจับที่จุดถานจง ซึ่งตอนนี้ไม่มี
อาการที่ไม่สบายแล้ว ก็ค่อยๆ เบาใจ
มู่เซิ๋นจวินตายแน่แล้ว แต่หยางหนิงกลับไม่รู้สึกดีใจ
เลย กลับรู้สึกเป็นกังวลมากกว่า
มู่เซิ๋นจวินเคยทาร้ายเส้นชีพจรหลายจุด มันเคย
อาการกาเริบแล้วครั้งหนึ่ง ตามที่เจ้าเฒ่าผีนี่กล่าวไว้
หากไม่รักษาเส้นชีพจรให้ทันท่วงที มันก็จะค่อยๆ
เหี่ยวแห้ง จนตายไปในที่สุด
ตอนนี้เจ้าเฒ่าผีก็ตายแล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บ
ดังกล่าวของตัวเองจะต้องฟื้นฟูรักษาแบบไหน
แต่ว่าหลายวันมานี้อาการก็ไม่ได้กาเริบ หยางหนิง
สงสัยว่าครั้งที่แล้วที่อาการกาเริบเป็นเพราะเหนื่อย
เกินไปหรือเปล่า หรือจริงๆ แล้วอาการบาดเจ็บของ
ตัวเองไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่มู่เซิ๋นจวินบอก
ตัวอันตรายที่สุดถูกกาจัดไปแล้ว อย่างไรซะหยางหนิง
ก็รู้สึกเบาใจไม่น้อย อยู่ในหุบเขานี้เสียเวลาไปนาน
หลายวัน คนของสานักคุ้มกันน่าจะพาเสี่ยวเตี๋ยไปไกล
แล้ว
แต่ว่ายังไม่ถึงที่สุด หยางหนิงก็ยังคงไม่ละความ
พยายาม อย่างไรเสียทั้งชีวิต ขอแค่ยังมีความหวัง
หยางหนิงก็จะยืนหยัดต่อไป
ถึงแม้จะเสียเวลาไประยะหนึ่ง ตั้งแต่เสี่ยวเตี๋ยออก
จากเมืองฮุ่ยเจ๋อ จนถึงตอนนี้ก็น่าจะไม่เกินสิบวัน
ตามระยะทางแล้ว ก็น่าจะอยู่ที่กลางทางได้ หาก
ตัวเองเดินเท้าไป คงไม่มีหวังจะตามทัน หากว่าเรามี
ม้าสักตัว ก็อาจจะมีโอกาส
เรื่องที่ต้องทาตอนนี้ก็คือ จะต้องออกจากภูเขาลูกนี้
ก่อน
การใช้ชีวิตในป่าแบบนี้หยางหนิงคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ส่วนการทาเข็มทิศนั้นก็ง่ายมาก เมื่อแยกทิศทางได้
แล้ว ก็เดินต่อไปทางทิศใต้ ทันใดนั้นเองก็คิดขึ้นมาได้
ก็เลยกลับไปยังข้างศพมู่เซิ๋นจวิน แล้วยื่นมือไปค้น
ข้างในเสื้อของเขา
ของในตัวของเจ้าเฒ่านี่มีไม่มาก นอกจากเศษเงินใน
ถุงเงินแล้ว ก็มีป้ายเหรียญทองแดงทรงกลมที่ประณีต
มากชิ้นหนึ่งเท่านั้น
บนป้ายเหรียญทองแดงสลักคาว่า “หอเก้านภา”
สามคา ส่วนที่ด้านหลังสลักตัวอักษรตัวใหญ่ว่า “มู”่
มุมด้านล่างก็มีอักษรอีกสองตัวว่า “คาสั่งหลวง”
หยางหนิงจาได้ว่าเจ้าเฒ่าเคยพูดถึงหอจิ่วเทียน เป็น
หน่วยงานของฮ่องเต้เป่ยฮั่น ที่มียอดฝีมือมากมาย
ถึงตอนนี้ เรื่องที่นี้มู่เซิ๋นจวินกล่าวมาก็ไม่ได้เป็นการ
หลอกลวงอะไร ป้ายเหรียญทองแดงชิ้นนี้เป็นเครื่อง
ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาคือมู่เซิ๋นจวินแห่งหอเก้า
นภา ส่วน “คาสั่งหลวง” อาจจะมีความเกี่ยวเนื่องกับ
ราชสานักเป่ยฮั่นจริงๆ
แต่หยางหนิงกลับไม่ได้สนใจเรื่องของหอเก้านภาแต่
อย่างใด แถมรู้สึกว่าหากป้ายเหรียญทองแดงชิ้นนี้อยู่
ในมือเขาจะเป็นภัยเสียมากกว่า ก็เลยโยนทิ้งไป หยิบ
เอาแค่ถุงเงินแล้วจึงจากไป
ตลอดเส้นทางลงใต้ เมื่อถึงช่วงกลางวันของวันที่สาม
ในที่สุดก็เดินออกมาจากสันเขาได้เสียที ลงจากเขาได้
ไม่ทันไร เมฆหมอกก็เปลี่ยนแปลงไป พริบตาเดียว
ฝนก็ตกลงมา
หยางหนิงบ่นเบาๆ ว่าโชคร้าย ทั้งสี่ด้านล้อมรอบไป
ด้วยป่า แต่ก็ไม่ต้องการจะกลับไปหลบฝนในเขาอีก
จึงต้องเดินตากฝนต่อไป ฝนห่านี้ตกลงมาจนถึงช่วง
เย็นก็ยังไม่หยุด หยางหนิงตากฝนจนตัวเปียกชุ่ม
ฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เที่ยงนี้ ทาให้ต้องเปลี่ยนไปเดิน
เส้นทางหลัก
ฟ้าเริ่มมืดลง สายฝนยังคงตก เมื่อเดินไปทางเส้นทาง
หลักได้ระยะหนึ่ง ทันใดนั้นเองท่ามกลางสายฝน
ก็ปรากฏบ้านหลังหนึ่ง คิดๆ ดูแล้วคงสามารถเข้าไป
หลบฝนได้ จึงได้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เมื่อเดินเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น ก็พบว่าหน้าบ้านมีรถ
ม้าจอดอยู่สี่ถึงห้าคัน บนรถเต็มไปด้วยสินค้า
ใช้ผ้าคลุมกันฝนเอาไว้ ส่วนม้าอีกเจ็ดแปดตัวก็ถูกผูก
เอาไว้ที่หลักที่ใช้ผูกม้าตรงด้านข้างของบ้าน
ที่มุมด้านข้างของรถม้าหลายคัน มีธงเล็กๆ ปักอยู่ แต่
ด้วยความที่ว่ามีฝนตก ธงเลยเปียกและม้วนตัวเป็น
กลุ่มก้อน ทาให้เห็นได้ไม่ชัดว่าเขียนว่าอะไร
หยางหนิงหยุดความตื่นเต้นเอาไว้ชั่วครู่
เขาเดินเข้าไปใกล้รถม้าคันหนึ่ง หันหน้าไปมองที่บ้าน
หลังนั้น พบว่ามันคือร้านเหล้าข้างทางร้านหนึ่ง เมื่อ
เทียบกับร้านน้าชาที่พบครั้งที่แล้วมันใหญ่กว่ากัน
เยอะมาก คิดว่าคนที่ใช้เส้นทางหลักนี้คงมีไม่น้อย
แล้วร้านเหล้าชั่วคราวแบบนี้ก็คงมีไม่น้อยเช่นกัน
“เฮ้ เจ้าขอทาน หลบไป!” หยางหนิงกาลังจะเปิดธงที่
ม้วนตัวไว้ออกมา ว่าบนธงเขียนตัวอักษรอะไรเอาไว้
ก็ได้ยินเสียงหยาบๆ ดังมา “นั่นเป็นของที่เจ้าจะจับได้
หรือไงกัน? หากจับธงนั่น เจ้าจะต้องถูกตัดมือ
อยากจะลองดูไหมล่ะ?”
ร่างกายของหยางหนิงสั่นเล็กน้อย เขาสงสัยเป็น
ทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ได้ยินคนๆ นี้พูดอีก ถึงได้รู้ว่า
เป็นขบวนของสานักคุ้มกัน
ในใจของเขารู้สึกหวั่นไหว แต่ก็ต้องสงบลงให้ได้
สานักคุ้มกันก็คือสานักคุ้มกัน แต่สานักคุ้มกันที่
เดินทางโดยใช้เส้นทางหลักนี้ก็มีไม่น้อย อีกอย่างหาก
คานวณตามเวลาแล้ว ขบวนสานักคุ้มกันที่พาตัว
เสี่ยวเตี๋ยไปก็น่าจะห่างจากตรงนี้ไปแล้วประมาณ
สามสี่วัน ขบวนของสานักคุ้มกันนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้อง
อะไรกับสานักคุ้มกันขบวนนั้น
อีกอย่างบนรถของสานักคุ้มกันนี้ก็ไม่เหมือนจะ
มีคนอยู่
เขาหันหน้าไปดู ก็เห็นชายรูปร่างสูงใหญ่กายายืนอยู่
หน้าร้านเหล้า ในมือถือกระบอกทองแดงไว้ กาลังยืน
มองมาที่ตัวเองอย่างเลือดเย็น
หยางหนิงตั้งใจยิ้ม แล้วก็เดินเข้าไปใกล้ เมื่อเดินไปที่
หน้าร้านเหล้าแล้ว ก็พดู กับคนๆ นั้นว่า “ท่านอา
พวกท่านเป็นคนของสานักคุ้มกันหรือ?”
ชายคนนั้นเหมือนจะส่งสายตามาเตือน แล้วสบถ
เบาๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร แล้วหันหลังเดินเข้าร้านเหล้า
ไป หยางหนิงทักทายไม่สาเร็จ แต่ก็เดินตามคนๆ นั้น
เข้าไปในร้านเหล้า
เมื่อเข้าไปในร้านเหล้าแล้ว หยางหนิงกลับรู้สึก
แปลกๆ รู้สึกเหมือนกับว่ามีสายตาหลายต่อหลายคู่
กาลังจ้องมาที่ตัวเขา หยางหนิงตั้งใจบิดเอว ยิ้มแล้ว
มองไปรอบๆ เห็นว่าภายในร้านมีโต๊ะอยู่ห้าหกตัวโดย
ที่ทั้งหมดมีคนนั่งจนเต็ม ห้องบรรยากาศมืดๆ แม้แต่
คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะสองตัวที่อยู่ใกล้ประตูใหญ่ก็ยังมองมา
ที่ตัวเขา
ฟ้าเริ่มมืด ภายในห้องกลับยังไม่จุดไฟ ดังนั้นก็เลย
มองไม่เห็นว่าสถานการณ์เป็นแบบไหน
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 22 แก่หนึ่งเด็กหนึ่ง
ในใจของหยางหนิงรู้ดีว่าคนในร้านเหล้าส่วนใหญ่
น่าจะเป็นคนของสานักคุ้มกันทั้งหมด เมื่อพวกเขา
เห็นคนที่เดินเข้ามานั้นสวมเสื้อผ้าขาดๆ ก็ไม่ได้สนใจ
อะไร
ที่นั่งส่วนใหญ่ก็มีคนจับจองจนเต็มเกือบหมดแล้ว โดย
ไร้ซึ่งแสงไฟ น่าจะมีคนอยู่ราวสิบยี่สิบคน
โดยประมาณ หยางหนิงเห็นว่าโต๊ะตรงมุมห้องนั้นยัง
พอมีที่ว่าง ภายใต้ความมืดสลัวนั้น เห็นเพียงคนสอง
คนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เขาจึงเดินเข้าไป เขาเห็นหน้าตา
ของทั้งสองไม่ชัด แต่ก็ยิ้มทักทายแล้วกล่าวว่า
“ขออภัย แต่ไม่มีที่นั่งอื่นแล้ว ข้าขอร่วมโต๊ะด้วยนะ”
ทั้งสองไม่ได้ว่าอะไร หยางหนิงก็เลยลากเก้าอี้มานั่ง
ในตอนนี้เขาได้กลิ่นอาหารลอยมาจากโต๊ะข้าง ๆ เขา
ที่ไม่ได้กินอะไรดีๆ มาตลอดหลายวัน ในเมื่อเข้าร้านนี้
มาแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องจัดมื้อใหญ่เสียหน่อย
เศษเงินที่เขาได้มาจากมู่เซิ๋นจวิน น่าจะเพียงพอ
สาหรับอาหารมื้อนี้
สายฝนที่ตกลงมาภายนอกยังไม่มีท่าทีที่จะหยุด
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ภายในห้องโถงร้าน
มันมืดไปหมด ทาไมถึงไม่มีใครจุดไฟ มันน่าสงสัย
จริงๆ แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า “นายท่านทั้งหลาย
ไฟมาแล้ว!” พร้อมกันนั้นเขาก็สังเกตเห็นแสงไฟจาก
ด้านหลัง มีคนถือตะเกียงน้ามันเข้ามาสองดวง ซ้าย
ข้างขวาข้างก่อนนาไปแขวนบนกาแพงของร้าน
ทันใดนั้นภายในร้านก็สว่างขึ้น หยางหนิงอาศัยแสงไฟ
ที่สว่างขึ้นมามองไปที่คนแก่หนึ่งคนกับเด็กอีกหนึ่งคน
ที่นั่งโต๊ะเดียวกับเขา คนมีอายุที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา
สวมเสื้อคลุมสีเทา ดูๆ ไปแล้วอายุน่าจะประมาณห้า
สิบปีได้ ไว้หนวดเคราสีดา ใบหน้าเรียว ดูมีสง่าราศี
แม้จะอายุเกินครึ่งร้อยไปแล้วก็ตาม แต่ยังคงมีเลือด
ฝาดดูสุขภาพดี จนไม่เหมือนคนแก่เลย ดูเหมือนว่า
เขาจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นวัยรุน่ อายุราวสิบห้าสิบ
หกปี ใบหน้าดูสว่างสดใส ดวงตากลมโตกาลังจ้องมอง
มาที่ตัวเขา สีหน้าแสดงความสงสัย
บนโต๊ะมีเครื่องเคียงอยู่สามจาน พะโล้หนึ่งชาม และ
เหล้าอีกหนึ่งขวด ด้านข้างของชายแก่เสื้อคลุมเทามี
แก้วเหล้าอยู่จอกหนึ่ง ดูเหมือนอาหารบนโต๊ะยังไม่ได้
ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย
หยางหนิงเห็นเด็กวัยรุ่นมองเขาด้วยสายตาสงสัยก็ยิ้ม
ให้แล้วพูดว่า “ข้าขอแนะนาตัวก่อนนะ ข้าชื่อ...
เสี่ยวป๋ายทู่ ออกจากบ้านหวังจะมาพึ่งพาเพื่อนฝูง
ขอท่านทั้งสองอย่ารังเกียจกันเลยนะ”
วัยรุ่นกล่าวเรียบๆ ว่า “เราไม่ใช่เพื่อนกัน” จากนั้นก็
ละสายตาออกไป โดยไม่ได้พูดอะไรอีก หยางหนิงมอง
ท่าทีที่เหมือนมีอะไรหลายอย่างเก็บไว้ในใจของเขา
ลอบคิดในใจว่าเด็กคนนี้อายุยังไม่มากแต่กลับมี
ความคิดความอ่านไม่น้อย
เขาหันหน้าไปเห็นเสี่ยวเอ้อของร้านยืนอยู่ข้างๆ กาลัง
มองเขาด้วยสายตาประหลาด จึงกระแอมไอก่อนถาม
ออกไปว่า “มองอะไร?”
“ข้าว่าเจ้าคงมาหลบฝนไม่ได้มากินเหล้าหรอกใช่
ไหม” เสี่ยวเอ้อมองอย่างเหยียดหยาม “หากว่ามาแค่
หลบฝน ไปยืนข้างนอกร้านที่มีคานโน้น อย่ามา
รบกวนแขกสองท่านนี้”
หยางหนิงยังคงสวมชุดขาดหลุดลุ่ยของเขา มันก็ดูเก่า
เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หลายวันมานี้ยังคลุกฝุ่นมาอีก
ตอนนี้ใครเห็นก็แยกไม่ออกหรอกว่าเจอขอทานหรือ
เจอผีกันแน่
หยางหนิงไม่ได้โต้เถียงกลับไป เพียงยืนเศษเงิน
ออกไปวางที่โต๊ะ แล้วชี้ไปที่อาหารที่อยู่บนโต๊ะ
“เงินพวกนี้พอที่จะซื้ออาหารพวกนี้ได้ไหม? เอามาให้
ข้าอีกชุดหนึ่ง”
เสี่ยวเอ้อในร้านยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “เงินนี่ได้มาจาก
ไหน? คงไม่ได้ขโมยมาใช่ไหม?”
วัยรุ่นข้างๆ หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงเรียบๆ
ว่า “ไม่ว่าใครก็ไม่ควรตัดสินคนอื่น เจ้าไม่มีหลักฐาน
ทาไมถึงกล่าวหาคนอื่นเช่นนี้เล่า?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าวัยรุ่นคนนี้จะพูดแทนตัวเขา
ทาให้เกิดความรู้สึกที่ดีกับวัยรุ่นคนนี้ขึ้นมาไม่น้อย แต่
กลับได้ยินชายชุดเทาส่งเสียงกระแอม แล้วยกจอก
เหล้าขึ้นมาดื่ม ก่อนเหลือบสายตาไปยังวัยรุ่นคนนั้น
วัยรุ่นที่ได้ยินเสียงกระแอม รู้ตัวว่าได้ทาอะไร
ผิดพลาดไปเลยก้มหน้าลง
เสี่ยวเอ้อเห็นวัยรุ่นเอ่ยปากพูดขึ้นมา ก็ไม่กล้าพูด
อะไรอีก หันตัวแล้วเดินจากไป
หยางหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ หันหน้าไปมองรอบๆ โต๊ะอีก
ด้านมีคนนั่งอยู่ประมาณห้าหกคน ทั้งหมดสวมชุด
แขนสั้น ทุกคนต่างวางอาวุธเอาไว้บนโต๊ะ ส่วนมากจะ
เป็นดาบกับแส้ ถึงแม้บนโต๊ะจะมีถ้วยชามมากมาย
แต่กลับไม่มีเหล้าแม้แต่น้อย เหมือนคนพวกนัน้ จะไม่
กินเหล้า
คิดๆ ดูแล้ว คนพวกนั้นเป็นคนของสานักคุ้มกัน ขณะ
คุ้มกันสินค้า ก็อาจจะต้องระวังตัวให้มาก ไม่กินเหล้า
มันก็อาจจะเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันก็ได้
เสียงฟ้าผ่าสายฝนด้านนอกดังสนั่นหวั่นไหว ไม่มีท่าที
ว่าจะหยุดลงเลย แต่กลับเหมือนตกหนักขึ้นไปอีก เขา
ได้ยินคนของโต๊ะข้างๆ พูดขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสหลู
ดูท่าฝนคงไม่หยุดตกในเร็วๆ นี้แน่ เราจะเดินทางกัน
เลยไหม?”
ชายวัยห้าสิบกว่าๆ ข้างๆ เขาลูบหนวดเครา แล้วพูด
ว่า “รอบนี้เร่งด่วนมาก ระหว่างทางจะให้มีอะไรมา
ขัดไม่ได้ พักอีกสักหน่อย อย่างไรเราก็ต้องเดินทางต่อ
กัน เราจะอยู่ที่นี่กันทั้งคืนไม่ได้ ห่างจากที่นี่ไปอีกยี่สิบ
ลี้ จะมีจุดพักของหลวง เราค่อยไปนอนพักที่จุดพัก
หลวงก็ยังไม่สาย”
“ยังคงเป็นผู้อาวุโสหลูที่ฉลาดนัก” ด้านข้างก็มีคน
หัวเราะขึ้นมาและพูดว่า “ถนนทุกสายในแคว้น ใน
เมืองหรือแม้แต่ในอาเภอล้วนถูกบันทึกไว้ในสมอง
ของผู้อาวุโสหลูทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกาแพงเมือง
คูคลองหรือแม้กระทั่งป้อมต่างๆ ที่อยู่ข้างทาง ก็ไม่มี
ที่ไหนที่ผู้อาวุโสหลูไม่รู้จัก”
อีกคนก็หัวเราะตามแล้วพูดว่า “เส้นทางนี้ ต้องพึ่ง
เส้นสาย หากผู้อาวุโสหลูบอกสอง ไม่มีใครกล้าบอก
หนึ่งหรอก พวกเจ้าสองคนก่อนหน้านี้ไม่เคยมาทางนี้
คงไม่รู้จุดพักหลวงที่ผู้อาวุโสหลูบอกไปเมื่อกี้ หากเป็น
คนอื่น คงจะพักกันที่นี่แล้ว นี่เป็นเพราะผู้อาวุโสหลู
ทางานคุ้มกันมานานหลายปี ก็เลยคุ้นเคยกับเส้นทาง
ต่างๆ ได้ดี มีสัมพันธ์ที่ดีกับทางเจ้าหน้าที่จุดพักเป็น
อย่างดี เราไปถึง ก็จะมีที่ให้เราได้พักกันแน่นอน”
ชายแก่คนนั้นชักสีหน้าแล้วพูดว่า “สานักคุ้มกันของ
เรา เส้นสายของเราคือเพื่อนฝูง มีเพื่อนมากก็ได้
เส้นทางที่มากขึ้น หากว่าเอาแต่ไปเป็นศัตรูกับคนอื่น
ต่อให้มีวรยุทธ์เก่งกาจมากแค่ไหน ข้าวสักชามก็ไม่ได้
กินหรอก”
“ผู้อาวุโสหลูพูดถูก” หลายๆ คนเริ่มกระซิบกระซาบ
กัน “ท่านเป็นผู้อาวุโสของเรา ความรู้ตรงนี้ ต้องสอน
เราบ้างนะ”
ผู้อาวุโสหลูยิ้มแล้วพูดว่า “จริงๆ ก็ไม่มีอะไรจะสอน
จาไว้อย่าไปสร้างศัตรูก็พอ ยิ้มเข้าไว้ใช้กระบี่ใช้ดาบให้
น้อยเป็นพอ” ทันใดนั้นเองเขาก็ลุกขึ้น แล้วพูดว่า
“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม เราจะเดินทางกันอีกยี่สิบลี้
ไปให้ถึงจุดพักหลวงแล้วเราค่อยพักกัน กลางป่ากลาง
เขาแบบนี้ อย่าอยู่นานจะดีกว่า”
หลายคนค่อยๆ ลุกขึ้น และมีคนจานวนไม่น้อยที่หยิบ
เสื้อกันฝนกับหมวกฟางมาวางไว้ที่หน้าประตู
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมพร้อมกันมานานแล้ว
บางคนเริ่มสวมชุดและหมวกเพื่อกันฝนแล้ว ส่วนคนที่
ชื่อผู้อาวุโสหลูนั้นยกชาขึ้นมาดื่ม เพื่อแก้ง่วง
หยางหนิงเห็นชายแก่ที่อยู่ตรงข้ามตัวเองลุกขึ้นเดินไป
อยู่ด้านข้างคนที่ชื่อผู้อาวุโสหลูนั่น แล้วพูดเบาๆ ว่า
“สานักคุ้มกันของท่านจะไปที่ไหนกันหรือ?”
ผู้อาวุโสหลูคนนั้นสีหน้าหวาดระแวงขึ้นมา แล้วย้อน
ถามว่า “ท่านเป็นใครกัน?”
หยางหนิงสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าชายแก่กับเด็กหนุ่ม
สองคนนี้น่าจะไม่ใช่คนของสานักคุ้มกัน ขณะที่ฟังทั้ง
คู่สนทนากันนั้น ก็รู้ทันทีว่าตัวเองนั้นเดาไม่ผิด
ชายในชุดเทา ยื่นทองคาหนึ่งก้อน ยัดใส่มือของ
ผู้อาวุโสหลู ในตอนนี้คนของคณะคุ้มกันต่างวุ่นวายอยู่
กับการสวมชุดกันฝนจึงไม่มีใครสังเกตเห็น
ผู้อาวุโสหลูขมวดคิ้ว กาลังจะพูด ชายในชุดเทาก็พูด
เบาๆ ว่า “ในมือของข้ามีของสิ่งหนึ่ง เตรียมจะเข้า
เมืองหลวง แต่เกรงว่าระหว่างทางจะเกิดเหตุร้าย
ดังนั้นอยากจะขอรบกวนพวกท่าน ช่วยคุ้มกันไป
พร้อมกัน เป้าหมายในการเดินทางของพวกท่าน
คิดว่าน่าจะเป็นเมืองหลวงเช่นกันใช่ไหม?”
ผู้อาวุโสหลูดูลังเล แล้วพูดว่า “กฎของสานักคุ้มกัน
ระหว่างทางขนส่ง ไม่อาจพาคนนอกไปด้วยได้ ท่าน
...!”
“ข้าเข้าใจดี” ชายสวมชุดเทายิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเพียง
ต้องการความปลอดภัย ท่านคิดเสียว่าเป็นการคุ้มกัน
ชั่วคราว ระหว่างทางพวกเราจะทาตามกฎของท่าน
ทุกอย่าง จะไม่สร้างปัญหาให้พวกท่านเลย”
“พวกเรา?” ผู้อาวุโสหลูมองไปยังเด็กหนุ่ม แล้วถาม
ว่า “มีแค่พวกท่านสองคนเท่านั้น?”
ชายชุดเทาพูดว่า “ถูกต้อง แค่เราสองคน”
คนข้างๆ ผู้อาวุโสหลูเหมือนจะเห็นเหตุการณ์อยู่ ก็พูด
เบาๆ ว่า “ผู้อาวุโสหลู ก็แค่คนสองคนไม่ใช่หรือ? ใน
เมื่อเขาขอร้อง เราก็ไม่ควรปฏิเสธนะ”
ผู้อาวุโสหลูเหลือบไปมองคนข้างๆ แล้วกระแอมไอ
สายตาเหมือนกับว่ากาลังตาหนิ ว่าเขาไม่ควรพูดมาก
หยางหนิงอยู่ข้างๆ ได้ยินและเห็นทุกอย่างชัดเจน
น่าแปลก ในใจคิดว่าชายแก่กับเด็กหนุ่มจะเข้าเมือง
หลวง ทาไมจะต้องตามขบวนของสานักคุ้มกันไป
ด้วย? ชายชุดเทาบอกว่าตัวเขามีของสิ่งหนึ่ง กลัวจะ
หายกลางทาง หากเป็นอย่างนั้นจริง ของชิ้นนั้นก็ต้อง
สาคัญมาก ไม่งั้นคงไม่ยอมเสียก้อนทองคาในมือเป็น
ค่าจ้างแน่ๆ
ชายชุดเทาเห็นผู้อาวุโสหลูยังคงลังเล ก็พูดเบาๆ ว่า
“จริงๆ พวกท่านแทบไม่ต้องออกแรงเลย หรือว่า
ค่าจ้างนี้มันน้อยเกินไป? หากเป็นอย่างนั้น ก็เพิ่มได้”
ผู้อาวุโสหลูส่ายหัวแล้วพูดว่า “มันไม่ใช่เพราะเหตุผล
นั้น ตามหลักแล้ว ระหว่างทางเราไม่อาจรับคนอื่นเข้า
ร่วมขบวนได้ เว้นเสียแต่ไม่มีทางเลือก แต่ว่าเห็นพวก
ท่านลาบาก จะตามขบวนสานักคุ้มกันมันก็ไม่เป็นไร
แต่ว่าไม่ว่าอะไรก็ตาม พวกท่านจะต้องทาตามกฎของ
สานักคุ้มกันเท่านั้น เรารับประกันว่าพวกท่านจะเข้า
เมืองหลวงอย่างปลอดภัย แต่ถ้าหากพวกท่านทาลาย
กฎของเรา จะมาโทษพวกเราไม่ได้”
ชายชุดเทายิ้มแล้วพูดว่า “ทุกอย่างแล้วแต่พวกท่าน
เราจะไม่ทาให้ท่านลาบาก”
ผู้อาวุโสหลูตะโกนขึ้นมาว่า “ใครก็ได้ เอาเสื้อกันฝน
มาสองชุดซิ”
ชายชุดเทากลับไปที่โต๊ะ โน้มตัวลงไปหยิบหอผ้า
ข้างในเป็นของยาวๆ ชิ้นหนึ่ง ที่ใช้ผ้าสีดาคลุมไว้ แต่
ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่
เด็กหนุ่มกับชายชุดเทามองหน้ากัน แล้วก็ลุกขึ้น
ในตอนนี้ก็มีคนเอาเสื้อกันฝนมาให้ ทั้งสองก็ไม่ได้มี
ท่าทีเกรงใจอะไร สวมเสื้อและหมวกกันฝนนั้นทันที
คนของสานักคุ้มกันหลายคนออกไปนอกประตูแล้ว
ผู้อาวุโสหลูเองก็สวมเสื้อกันฝน แล้วหันไปมองชาย
ชุดเทา พยักหน้าแล้วก็ยิ้มออกมา ในมือถือห่อผ้ายาว
แล้วมองไปที่เด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินตามออกไป
เมื่อเดินไปได้สองก้าว ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง
“เพี๊ยะเพี๊ยะ” ภายในร้านเหล้าก็มืดลงทันที ไฟใน
ตะเกียงที่แขวนอยู่ที่กาแพงจู่ๆ ก็ดับไป
พริบตาที่ไฟดับนั้น หยางหนิงเห็นชายชุดเทาดึงมือ
ของเด็กหนุ่มเอาไว้ แล้วดึงตัวเขามาไว้ด้านหลัง
การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก ปฏิกิริยาถือว่า
ยอดเยี่ยมมาก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงวุ่นวายดังขึ้น
ภายในร้านเหล้า
หยางหนิงตื่นตกใจ มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบมีดสั้น
ทีอ่ ยู่ในอกเสื้อ ระวังตัวเต็มที่
หลังจากที่ออกมาจากเมืองฮุ่ยเจ๋อ หยางหนิงก็ระวัง
ตัวตลอดเวลา หลังจากผ่านเรื่องของมู่เซิ๋นจวินมา
เขายิ่งรู้สึกอ่อนไหวมากเป็นพิเศษ เมื่อจู่ๆ ตะเกียงก็
ดับลง เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
หากว่าตะเกียงมันดับแค่ดวงเดียว มันอาจจะเป็นเรื่อง
บังเอิญได้ แต่นี่มันดับทีเดียวสองดวงเลย มันจะต้องมี
อะไรแน่ๆ
“อย่าแตกตื่น!” เสียงของผู้อาวุโสหลูดังมาจากความ
มืด “ทุกคนอยู่ในความสงบ ระวังตัวให้ดี อย่าทาอะไร
วู่วามหากยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินลิ่ว เจ้าพาคนไป
คุมรถของเราเอาไว้ ใครมีไม้ขีดไฟบ้าง รีบจุดขึ้นมา
เร็ว!”
ผู้อาวุโสหลูตกใจแต่ไม่ตื่นตูม แบ่งหน้าที่ชัดเจน แสดง
ให้เห็นว่าเขาท่องยุทธภพมานานและมีประสบการณ์
มากจริงๆ
ในตอนนี้เองมีแสงกระพริบบางอย่างตัดผ่านมา
มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเยือกเย็น
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 23 ค้างคาวเลือด
ผู้อาวุโสหลูไม่กระโตกกระตาก หลังจากมอบหมาย
หน้าที่เรียบร้อยแล้ว ความวุ่นวายก็ค่อยสงบลง มีเงา
ของคนหลายคนพุ่งออกไปนอกร้านเหล้า ชักดาบ
ออกมาคุ้มกันรถสินค้าเอาไว้ บางคนก็เริ่มคลาหาที่
จุดไฟ
คนที่ท่องยุทธภพมานาน บนตัวก็มักจะพกของสาคัญ
นอกจากยารักษาภายนอกภายในแล้ว ก็จะเป็นที่
จุดไฟที่ถือเป็นของสาคัญเช่นกัน
หยางหนิงเห็นเพียงคนแวบไปแวบมาในร้านเหล้า
ท่ามกลางความมืดเท่านั้น อีกมือหนึ่งก็จับมีดไว้แน่น
ในใจคิดว่า หรือว่ามีคนคิดจะขโมยสินค้าคุ้มกัน
จริงๆ?
แต่ว่าคนของสานักคุ้มกันรวมๆ แล้วก็มีเกือบยี่สิบคน
กาลังก็ไม่ถือว่าแย่ หากจะขโมยสินค้าจากพวกเขาจริง
กาลังของอีกฝ่ายจะต้องไม่แย่เช่นกัน
ไม่นานนัก แสงไฟภายในห้องโถงก็สว่างขึ้น มีใคร
หลายคนเริ่มจุดไฟ หยางหนิงอาศัยแสงสว่างนั้นกวาด
สายตาไป เห็นคนในร้านเหล้าหายไปเยอะมาก
แต่ทุกคนก็ชักดาบและกระบี่ออกมาจนครบ ในมือ
ของผู้อาวุโสหลูถือดาบเหล็กไว้แน่น ยืนตัวตรง
สายตาและสติมุ่งมั่น พลางกวาดสายตาไปทั่วทุกทิศ
แต่ว่าชายแก่กับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ตัวเขานั้นกลับ
ไม่ได้อยู่ในตาแหน่งเดิม ตอนนี้พวกเขายืนผิงกาแพง
ชายชุดเทามือขวาถือห่อผ้ายาวๆ นั่นไว้ มือซ้ายยกขึ้น
เล็กน้อย คอยคุ้มกันเด็กหนุ่มคนนั้นไว้
หยางหนิงดูไม่ออกว่าตกลงแล้วทั้งสองมีความสัมพันธ์
อย่างไร แต่รู้สึกได้ว่าชายชุดเทานั้นคุ้มครองเด็กหนุ่ม
คนนั้นมากจนผิดปกติ
ก่อนหน้านี้ชายชุดเทาบอกว่ามีของสิ่งหนึ่งที่พกมา
ด้วยนั้นสาคัญมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช่ของในห่อผ้า
ทรงยาวสีดานั้นหรือไม่
“มันคืออาวุธลับ!” ขณะที่หยางหนิงกาลังคิดอยู่ว่าใน
ห่อผ้านั้นมันคืออะไร ก็ได้ยินเสียงทุ้มๆ เสียงหนึ่งดัง
ขึ้นมา เมื่อมองไปตามเสียง ก็เห็นคนๆ หนึ่งยืนอยู่ข้าง
ตะเกียง มือซ้ายถูกยกขึ้น นิ้วสองนิ้วคีบของอย่างหนึ่ง
เอาไว้ “ของนี่ทาให้ไฟในตะเกียงดับ เป็นวิธีที่ไม่เลว
เลย”
ตะเกียงที่แขวนบนกาแพงพังเสียหายไปทั้งสองดวง
ดูท่าแล้วจะถูกคนใช้อาวุธลับทามันเสียหาย
“รีบวางลงเร็ว...!” ผู้อาวุโสหลูหันไปมอง เห็นคนๆ
นั้นคีบอาวุธลับเอาไว้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป “ทาไมโง่
อย่างนี้ รีบวางมันลงเดี๋ยวนี้...มันมีพิษ!”
หยางหนิงได้ยินดังนั้น ก็ตกใจ ในใจคิดว่า
ประสบการณ์ในยุทธภพของผู้อาวุโสหลูนี่แน่นอน
จริงๆ ตัวเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าอาวุธลับจะมีพิษ ตอนนี้ก็
ได้ความรู้เพิ่มเติมมาอีกหนึ่งเรื่อง แต่ว่าชายที่ถืออาวุธ
ลับนั้นดูเหมือนยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับเรื่องในยุทธภพ
เท่าไร หรือก่อนหน้านี้อาจจะไม่ค่อยได้พบเหตุการณ์
แบบนี้ ดังนั้นถึงได้ทาอะไรโง่ๆ แบบนี้ออกไป
เขากาลังใช้ความคิด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตกใจกลัว
เมื่อมองไปก็เห็นชายคนที่ยืนอยู่ข้างตะเกียงจับศีรษะ
ร้องเจ็บปวดจนล้มลงกับพื้น ร่างกายสั่นไม่หยุด
มีพิษจริงๆ ด้วย!
“อย่าไปแตะต้องเขา!” ผู้อาวุโสหลูสีหน้าเปลี่ยนไป
มาก แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ทุกคนระวังให้ดี
เป้าหมายแข็งแกร่งมาก คุ้มกันรถให้ดี”
ทุกคนต่างถืออาวุธในมือพร้อม หากบอกว่าก่อนหน้า
นี้มันเป็นแค่ข้อสงสัย แต่ในตอนนี้คนๆ นั้นนอนดีดดิ้น
อยู่ตรงพื้นไม่หยุด คนของสานักคุ้มกันต่างเตรียม
รับมือกับศัตรูที่จะเข้ามา ทุกคนดูตื่นตัว กาอาวุธใน
มือแน่น สายตากวาดไปทั่วทิศ พริบตาเดียว
บรรยากาศในร้านเหล้าก็เงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียง
ลมและฝนที่พัดอยู่ด้านนอก
คนๆ นั้นดิ้นอยู่บนพื้นพักหนึ่ง จากนั้นก็ไม่มีการ
เคลื่อนไหวใดๆ อีก ไม่รู้ว่าตายแล้วหรือยัง
แสงกะพริบขึ้นอีกครั้ง ภายใต้แสงร่าไร ทันใดนั้นก็
เห็นเงาของคนๆ หนึ่งพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างของร้าน
หลังจากนั้นก็พุ่งเข้าหาคนที่อยู่ข้างๆ หน้าต่าง
คนๆ นั้นรับรู้ถึงความผิดปกติ เขาก็ร้องเสียงดังก่อน
จะรีบยกเก้าอี้ข้างๆ ขึ้นมา แล้วขว้างใส่เงาดานั่น
แม้เงาดาจะเข้ามาอย่างกะทันหัน แต่เก้าอี้กลับถูกเงา
ดานั่นอย่างจัง แต่ยังมีเงาดาอีกสองที่หลบได้ทัน แล้ว
พุ่งเข้าใส่หน้าของคนๆ นั้น
หยางหนิงอาศัยไฟจากที่จุดไฟ มองไปที่เงาดาๆ นั้น
ว่ามันคือตัวอะไร ในใจคิดว่าฝนตกลมแรงขนาดนี้ จะ
มีนกบินเข้าร้านเหล้าได้อย่างไรกัน?
คนๆ นั้นรีบถอยหลังไป แต่เงาดาเคลื่อนไหวรวดเร็ว
มาก พริบตาเดียวเงาดานั่นก็เกาะไปที่หน้าของเขา
คนที่อยู่ข้างๆ ต่างก็ตกใจร้องตะโกนออกมาแล้วพูดว่า
“ค้างคาว...มันคือค้างคาว!”
เจ้านั่นกางปีกของมันออกมา มันคือค้างคาวจริงๆ!
“ตรงนี้...ระวัง ทางนั้น ทางนั้นก็มี!” มีคนร้องตะโกน
ขึ้นมาอีก ในตอนนี้หยางหนิงเองก็เห็นเหมือนกัน มัน
เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แต่กลับมีค้างคาวมากถึงสิบ
ตัวโผล่เข้ามาได้
“อย่าให้มันถูกตัวเด็ดขาด...!” ผู้อาวุโสหลูรีบตะโกน
บอก ในตอนนี้มีค้างคาวตัวหนึ่งบินพุ่งมาใส่เขา เขาใช้
ดาบในมือเขาปัดป้อง แล้วก็ฟันค้างคาวตัวนั้น
ออกเป็นสองท่อน เลือดพุ่งออกมา ผู้อาวุโสหลูกลับ
ถอยหลังหลบไม่ให้เลือดของค้างคาวถูกตัว
ค้างคาวที่ขาดเป็นสองท่อนหล่นอยู่ที่พื้น ปีกทั้งสอง
ข้างของมันยังคงสั่นอยู่ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันน่า
กลัวแค่ไหน
ส่วนคนอื่นๆ ก็กาลังใช้ดาบปัดป้องและสังหาร
ค้างคาวเช่นกัน ฝีมือดาบของพวกนั้นมีทั้งดีและแย่
ปนกัน หลายคนสามารถฆ่าค้างคาวได้ แต่ไม่ได้ถอย
หลังเหมือนกับที่ผู้อาวุโสหลูทา บางคนก็ถูกเลือดของ
ค้างคาวเปื้อนหน้าจนหมด
ที่ด้านนอกร้านเหล้าในขณะนี้ ก็มีเสียงของคนกุม
บังเหียนม้าดังมา มันแสดงให้เห็นว่ามันวุ่นวาย
ผิดปกติไปมาก
หยางหนิงเห็นค้างคาวบินว่อนเต็มร้านเหล้า เห็นบาง
คนยกมือขึ้นมาจับหน้าของตัวเองไว้ แล้วร้องโหยหวน
ล้มลงไปกับพื้น กลิ้งไปกลิ้งมาตลอดทาง เอาหัวชน
กาแพง เท้าก็ดีดดิ้นอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ไม่ขยับอีกเลย
หยางหนิงตกใจกลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะเขามีความรู้มาก แล้วก็เคยได้ยิน
มาว่าที่ทะเลตงไฮ่มีค้างคาวเลือดอยู่ เลือดของมันมี
พิษ หากใครก็ตามที่ถูกเลือดของมันเข้า เนื้อก็จะ
เปื่อยและตายไปทันที
แต่ว่าถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้ยินมา แต่ก็ไม่เคยเห็นเลย
ยิ่งคิดไม่ถึงว่าค้างคาวเลือดตงไฮ่จะมาโผล่อยู่ในร้าน
เหล้ากลางป่าแบบนี้ แล้วค้างคาวเลือดนี่ มันน่ากลัว
กว่าที่เคยได้ยินอีก
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจมาก คิดในใจว่าค้างคาวเลือด
มันมีต้นกาเนิดที่ตงไฮ่ น่าจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่
ริมทะเลมากกว่า แต่ที่นี่เป็นพื้นที่ทางบก ค้างคาว
เลือดไม่มีทางบินมาที่แบบนี้ได้เองหรอก ไม่รู้ว่ามี
เบื้องหลังอะไรหรือเปล่า
ในตอนนี้มีหลายคนที่ถูกเลือดของมันจนล้มลง กลิ้งไป
กลิ้งมากับพื้น แล้วก็ตายไป เมื่อเห็นพิษของค้างคาว
เลือดร้ายแรงแบบนี้แล้ว ในใจของหยางหนิงก็รู้สึก
หวาดกลัวมาก ก็เลยควักเอามีดสั้นออกมาถือในมือ
เมื่อค้างคาวเลือดมาใกล้ตัว จะได้ฆ่ามันได้ทันการ
หลายคนเริ่มรู้ว่าเลือดของค้างคาวนั้นมีพิษ ก็ระวังตัว
กันมากขึ้น เลือดของมันจะมีผลก็ต่อเมื่อสัมผัสกับ
ร่างกายจังๆ เท่านั้น ขอเพียงไม่โดนตัว ก็ไม่มีอะไร
น่ากลัว เมื่อทุกคนรู้ตรงนี้แล้ว ก็ระวังกันมากขึ้น
พยายามไม่ให้เลือดของมันมาถูกตัว บางคนก็ถอดเสื้อ
และหมวกกันฝนออกมาตีค้างคาว บางคนก็เอาเสื้อมา
กันไว้ข้างหน้า เมื่อเป็นแบบนี้ เลือดของมันก็จะไม่
โดนตัว
ถึงแม้จะสูญเสียไปแล้วสี่ห้าคน ค้างคาวเลือดเองก็
เหมือนจะถูกกาจัดไปจนหมด
หยางหนิงที่หลบอยู่ใต้โต๊ะมองไปยังชายชุดเทา เห็น
ชายชุดเทายืนคุ้มกันอยู่หน้าเด็กหนุ่ม ถึงแม้จะมี
ค้างคาวสองสามตัวที่บินเข้าไปใกล้ แต่เมื่อชายชุดเทา
ยกห่อผ้าทรงยาวขึ้น พวกค้างคาวก็จะบินหนีไป พวก
มันแทบจะไม่บินเข้าใกล้เลย หยางหนิงเห็นทุกอย่าง
ในใจก็คิดว่าชายชุดเทาผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือคน
หนึ่งแน่นอน
ทันใดนั้นเอง หยางหนิงก็เห็นชายชุดเทาคนนั้นเงย
หน้ามองไปที่หลังคา ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน แต่
ชายชุดเทากลับร้องตะโกนขึ้นมา ยกมือขึ้น ห่อผ้า
สีดายาวหมุนตัวราวกับพายุ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง
“โครม” จากบนหลังคา ที่จริงแล้วมันคือดาวกระจาย
ที่ตกลงมาราวกับสายฝน แต่ก็ถูกห่อผ้าที่หมุนเป็น
พายุนั้นซัดกระเด็นออกไป
หยางหนิงนิ่งไป เหมือนเดาได้ว่ามีคนอยู่ด้านบน
หลังคา
เห็นชายชุดเทากระโดดพุ่งขึ้นไป หยางหนิงโผล่หัว
ออกไปเพื่อดูสถานการณ์ ท่ามกลางความมืด เห็นได้
ว่าบนหลังคามันทะลุเป็นโพรงแล้ว มีคนจานวนหนึ่ง
ลงมาจากโพรงนั้น ชายชุดเทาเคลื่อนที่ราวกับวานร
ในมือถือห่อผ้าสีดาทรงยาวหมุนตวัดไปมา ไปโดนตัว
ของคนๆ หนึ่ง คนๆ นั้นถูกซัดกระเด็น ตกลงไปที่พ้นื
อย่างแรง
คนของสานักคุ้มกันเพิ่งจะรู้ว่าด้านบนหลังคามีคน
ซ่อนตัวอยู่ ในตอนนี้มีคนจานวนมากลงมาจากตรงนั้น
ไม่หยุด คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่ใส่ชดุ ดา สวมผ้าปิดหน้า
เหลือแค่ลูกตาเท่านั้น ส่วนผมเองก็พันผ้าปกปิดจนมิด
เส้นผมเส้นเดียวก็ไม่เห็น
มือของพวกเขาสวมถุงมือหนังสัตว์สีดา ตั้งแต่หัว
จรดเท้า มีแต่สีดา นอกจากลูกตาแล้ว ก็ไม่เห็น
ผิวหนังส่วนใดอีก
แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้น คนพวกนีย้ ังสะพายห่อผ้า
เอาไว้ด้านหลังอีกด้วย ห่อผ้าเหมือนจะเชื่อมติดกับ
เสื้อผ้า ที่เอวยังมีผ้าคาดเอวสีดาอีกหนึ่งเส้น หากไม่ดู
ให้ดี ก็แทบจะแยกไม่ออก
อาวุธในมือของพวกเขา เป็นเคียวโค้ง ตัวดาบเล็กและ
แคบกว่าดาบปกติเยอะมาก และยังสั้นกว่าปกติอีก
ด้วย แต่ว่ามันสว่างแวววับมาก ดูแว๊บเดียวก็รู้ว่าถูก
สร้างมาอย่างดี
พริบตาเดียว มีชายชุดดามากกว่าสิบคนที่เข้ามาใน
ร้านเหล้า และได้เข้าปะทะกับคนของสานักคุ้มกัน
แล้ว
หยางหนิงหดหัวกลับไป คิดในใจว่าคนพวกนี้ตั้งใจจะ
มาปล้นสินค้าจริงๆ หรือ คนที่มามีไม่น้อย แถมยัง
เตรียมตัวมาอย่างดีอีกด้วย ก่อนอื่นก็ดับไฟ แล้วก็
ปล่อยค้างคาวเลือดมาโจมตีก่อน หลังจากนั้นก็ลงมา
จากข้างบน ทุกๆ ขั้นตอนมันดูละเอียดรอบคอบมาก
จริงๆ เขากะว่าจะแอบไปดูว่าบนรถสินค้าของสานัก
คุ้มกันมีซ่อนใครไว้หรือไม่ ตอนนี้ดูๆ แล้ว โอกาส
เป็นไปได้น้อยมาก สานักคุ้มกันขบวนนี้น่าจะไม่ใช่
ขบวนที่ตัวเขาหาอยู่
อีกฝ่ายใช้คนมากขนาดนี้ คิดว่าน่าจะไม่ธรรมดา
คิดว่าไม่น่าจะออกหน้าเพราะหญิงสาวที่ถูกขายต่อ
คนเดียว
อีกอย่างพวกเขาเลือกใช้ค้างคาวเลือดมาเป็นหนึ่งใน
อาวุธ การกระทาดูลึกลับน่าสงสัย ดูไม่ค่อยดีเท่าไร
คิดว่าน่าจะไม่ใช่การคุ้มกันของที่ถูกต้องอะไรนัก
ภายในร้านเหล้าเต็มไปด้วยเสียงการต่อสู้ คนของ
สานักคุ้มกันถูกโจมตีจนแทบรับมือไม่ไหว แต่ถึง
อย่างไรก็เติบโตมาในสานักคุ้มกันเดียวกัน ฝีมือย่อม
ต้องไม่ธรรมดาทั้งคู่ แต่ที่สาคัญที่สุดก็คือฝีมือของ
ชายชุดเทานั้นคือของจริง ในตอนนี้สามต่อหนึ่ง เขาก็
สามารถจัดการได้อยู่หมัด เพียงแค่พริบตาเดียว ห่อ
ผ้าในมือก็ซัดไปที่หน้าอกของชายชุดดาคนหนึ่ง ชาย
ชุดดาคนนั้นก็กระเด็นลอยไปไกล
หยางหนิงคิดในใจว่าตรงนี้อยู่นานไม่ได้ เพราะไม่แน่
เขาอาจถูกดึงไปเอี่ยวด้วย ก็เลยคิดหาโอกาสหลบ
ออกจากร้านเหล้า เขาเหลือบไปเห็นโต๊ะยาวที่อยู่ไม่
ไกลนัก ตรงโต๊ะยาวไม่มีคน คิดในใจว่าหากหลบเข้า
ไปอยู่ที่หลังโต๊ะยาวน่าจะปลอดภัยมากกว่า เมื่อ
สบโอกาส เขาก็มุดออกจากใต้โต๊ะ วิ่งเหมือนแมวไปที่
โต๊ะยาว แต่วิ่งออกไปได้แค่สองก้าว สายตาก็เหลือบ
ไปให้เงาดาๆ กาลังพุ่งมาที่ตัวเขา คนๆ นั้นใช้เคียวฟัน
ลงมาที่ตัวเขา
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 24 นินจาฮิดะ
แสงดาบราวกับแสงจันทร์ ดวงจันทร์ลอยอยู่บนฟ้า
สายฝนหยดลงบนผืนดิน
หยางหนิงตัดสินใจจะถอยหลัง แต่คนๆ นั้นตวัดดาบ
เข้ามาอย่างรวดเร็ว ฟันตัดมาที่ข้างแขน ความสว่าง
ของดาบ ทาให้รู้ว่ามันคมมากๆ
หยางหนิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว เท้าอีกข้างก็กาลังจะ
ขยับก้าวที่สอง ด้วยความเร่งรีบ ก็เกิดเป็นการ
เคลื่อนที่แบบอิสระขึ้นมาอีกครั้ง
ชายชุดดาฟันถูกอากาศอีกครั้ง ภายใต้ผ้าปิดหน้านั้น
เป็นอะไรที่เยือกเย็นมาก มือทั้งสองกาดาบในมือแน่น
แล้วฟันเฉียงเข้ามาอีกครั้ง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่
หยางหนิงใช่ท่าเดินทางอย่างเริงใจแล้ว มันก็จะ
เปลี่ยนการเคลื่อนไหวของเขาไป โดยไม่มีรูปแบบ
ชายชุดดาคนนั้นฟันต่อเนื่องถึงเจ็ดแปดดาบ แต่ทุก
ครั้งที่ฟันไปที่ตัวของหยางหนิง หยางหนิงก็จะหลบ
การโจมตีได้ทุกครั้ง
ในตอนนี้ชายชุดเทาเอาชนะชายชุดดาได้สองคนแล้ว
มือหนึ่งถือห่อผ้าไว้ อีกมือจับแขนของเด็กหนุ่มเอาไว้
และกาลังเดินไปยังหน้าประตูร้านเหล้า เหมือนกับว่า
จะฉวยโอกาสช่วงชุลมุนหนีออกไป
คนของสานักคุ้มกันปะทะกับเหล่าชายชุดดา ถือว่า
ฝีมือพอกัน บางคนเหนือกว่าเหล่าชายชุดดาด้วยซ้า
ไป แต่ว่าเหล่าชายชุดดานั้นเหี้ยมโหดมาก พวกเขา
แอบซ่อนอาวุธลับเอาไว้ในแขนเสื้อ หากไม่ระวังก็จะ
ถูกซัดด้วยอาวุธลับอาบยาพิษ จนเสียชีวิตในทันที
พริบตาเดียว ก็มีถึงสองคนที่ตายเพราะอาวุธลับ
อาบยาพิษนั่น
มีชายชุดดาบางคน ที่เปิดเสื้อบริเวณหน้าอกออกมา
ขณะต่อสู้ บริเวณหน้าอกก็มีแสงสว่างทิ่มตาออกมา
ทาให้อีกฝ่ายมีปัญหาด้านการมองเห็น หลังจากนั้น
ชายชุดดาก็จะลงมือสังหารอีกฝ่ายอย่างเหี้ยมโหด
แต่เดิมคนของสานักคุ้มกันมีราวยี่สิบคน มีสี่ห้าคนที่
วิ่งออกไปคุ้มกันรถสินค้า ภายในร้านเหล้ามีอยู่ราว
สิบคน ถูกพิษค้างคาวเลือดฆ่าตายไปสี่ห้าคน และถูก
ชายชุดดาสังหารไปอีกจานวนหนึ่ง ตอนนี้ในร้านเหล้า
เหลือเพียงห้าหกคนเท่านั้น
คนที่เหลือล้วนแล้วแต่ท่องยุทธภพมานาน ถึงสามารถ
หลบเลี่ยงการถูกเหล่าชายชุดดาลอบโจมตี วรยุทธ์
ของชายชุดดาไม่ได้ร้ายกาจ แต่ลงมือโหดเหี้ยม
ผู้อาวุโสหลูถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่สามารถสู้กับ
ศัตรูสองต่อหนึ่งได้สบายๆ ตอนนี้เขากาลังปะมือนั้น
ก็ตะโกนออกมาว่า “พวกเราคือสานักคุ้มกันซื่อไห่
พวกเจ้าเป็นสหายสายไหนกัน?”
แต่ว่าเหล่าชายชุดดาเหมือนตั้งใจจะสังหารคนที่อยู่ใน
ร้านเหล้าจนหมด เพราะไม่มีใครตอบเลย
ท่าเดินทางอย่างเริงใจของหยางหนิงพิศวงนัก หาก
เทียบกับตอนที่หลบหลีกมู่เซิ๋นจวินบนเขาแล้วตอนนี้
ดูแข็งทื่อพอสมควร แต่เหมือนจะคุ้นชินกับมันมากขึ้น
กว่าเดิม จิตใจก็นิ่งขึ้นเยอะ ไม่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา
หลบแล้ว ขณะเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถควบคุม
ศัตรูไว้ได้อย่างอยู่หมัด
ชายชุดดาฟันถูกอากาศมากกว่าสิบครั้ง แค่คิดว่า
ตัวเองเจอยอดฝีมือเข้าให้แล้ว สีหน้าก็เริ่มมีความ
หวาดกลัว หยางหนิงก้าวไปเพียงก้าวเดียว ก็ไถลไป
อยู่ด้านหลังของชายชุดดา เห็นชายชุดดาอยู่ด้านหน้า
เขา หยางหนิงหยุดเคลื่อนไหว ไม่พูดอะไรมาก ยกมือ
ขึ้นมา แล้วใช้มีดสั้นของเขาแทงเข้าไปที่ด้านหลังของ
ชายชุดดา
มีดสั้นคมมาก เลือดอาบเต็มตัว แม้แต่หินเหล็กก็
สามารถทาลายได้โดยง่าย แต่ก็ไม่ได้แทงถูกจุดตาย
ของชายชุดดา
หยางหนิงรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ใช่เจ้าตายก็
ต้องเป็นข้า ก็เลยไม่เกรงใจอีกต่อไป
ชายชุดดาเจ็บปวดกับบาดแผล ยังตั้งสติกลับมาไม่ได้
หยางหนิงแทงมีดซ้าอีกหลายครั้ง หลังจากนั้นก็ยก
เท้าถีบชายชุดดา ชายชุดดาล้มลง ตอนนี้อยู่บนพื้นไม่
ขยับแล้ว
“ข้าไม่อยากมีเรื่อง แต่เจ้ารนหาที่เอง” หยางหนิงคิด
ในใจ เห็นข้างๆ มีชายชุดดาคนหนึ่งเห็นสถานการณ์
ขณะที่กาลังจะพุ่งเข้าหาเขา ก็ไม่ลังเลที่จะวิ่งหนีออก
จากร้านเหล้าไป
สถานการณ์ในร้านเหล้าหยางหนิงมองแวบเดียวก็
เข้าใจ เหล่าชายชุดดามีมากกว่าสิบคน คนของสานัก
คุ้มกันตายไปคนแล้วคนเล่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คนของ
สานักคุ้มกันตายหมดแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่มีทางรอดไป
ได้
ถึงแม้เขาจะสังหารชายชุดดาไปแล้วหนึ่งคน ตัวเขารู้ดี
ว่าโชคดีที่ได้วิชาการเคลื่อนที่ช่วยเอาไว้ หากปะทะ
กับชายชุดดาซึ่งหน้า ตัวเขาไม่ใช่คู่ปรับของชายชุดดา
แน่
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว คงไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ก็เลยวิ่งออกไปจากประตู เห็นด้านนอกเองก็กาลัง
ต่อสู้กันอยู่เช่นกัน บนพื้นมีศพนอนเรียงรายเต็มไป
หมด ชายชุดดาหลายต่อหลายคนกาลังล้อมคนของ
สานักคุ้มกันสองคนไว้กะจะสังหารให้ตาย
คนที่คุมบังเหียนม้าเอาไว้ตอนนี้ก็ลงไปนอนกับพื้น
เรียบร้อยหมดแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นฝีมือของ
ชายชุดดาแน่ๆ
ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก หยางหนิงวิ่งไป
ที่ข้างรถสินค้าคันหนึ่ง ใช้มีดกรีดไปที่ผ้าคลุมกันฝน
ตรงรถ แล้วฉีกออกดู เห็นด้านในรถสินค้ามีหีบใหญ่
สองหีบที่ลงกลอนเอาไว้ ขณะนี้ไม่ว่าจะด้านในหรือ
ด้านนอกต่างกาลังสู้กันชุลมุน จึงไม่มีใครสังเกตเห็น
เขา
เขาใช้มีดทาลายกลอนคล้องจนขาด แล้วเปิดหีบดู
พบว่าในหีบนั้นมีแต่เครื่องลายคราม เครื่องหยกต่างๆ
ในใจก็คิดว่าเครื่องลายครามพวกนี้น่าจะไม่ใช่ของ
ธรรมดาทั่วไป คนคุ้มกันมากขนาดนี้ จะต้องเป็นของ
ล้าค่าแน่ๆ แต่ว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องมูลค่าของสิ่งของ
พวกนี้ แล้วหันไปเปิดหีบอีกใบ เห็นว่าด้านในไม่มีใคร
ในใจก็คิดว่าขบวนคุ้มกันสินค้านี้ไม่ใช่ขบวนที่เขา
กาลังตามหาอยู่
หันหน้าไปทางคอกม้าของร้านเหล้ายังมีม้าหลายตัว
ผูกอยู่ มีหลายตัวที่นอนตายอยู่บนพื้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่า
เป็นเพราะคนของสานักคุ้มกันออกมาเร็วเกินไป จน
อีกฝ่ายไม่ทันตั้งรับ ยังคงมีม้าสองสามตัวยืนอยู่กลาง
สายฝนในสภาพตื่นตกใจและอยู่ไม่สุข
หยางหนิงดีใจมาก เขากาลังเครียดว่าไม่มีม้าจะ
เดินทางลาบาก ในเวลานี้เป็นเวลาที่ดีที่จะขโมยม้า
แล้วหนีไป เพื่อไม่ให้เสียเวลา เขาก็วิ่งไปที่คอกม้า
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็เห็นเงาๆ หนึ่งวิ่งผ่านตัวเขาไป
เมื่อหันไปมอง ก็พบว่าเป็นชายชุดเทาที่กาลังดึงเด็ก
หนุ่มวิ่งผ่านตัวเขาไป เป้าหมายคือม้าเหมือนกัน
เมื่อเข้าไปถึงตัวคอกม้า ชายชุดเทาก็ใช้ห่อผ้าสีดายาว
ซัดไปที่ไม้กั้นคอก “แครก” ไม้กั้นคอกแตกจนเหมือน
ระเบิดออกมา
ชายชุดเทาอุ้มเด็กหนุ่มมือเดียว ทะยานบินขึ้นหลังม้า
ไป ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเสียงแหลมดังขึ้น
เสียงหัวเราะนั้นมันเด่นชัดท่ามกลางสายฝนแปลกๆ
หยางหนิงมองไปตามเสียง เห็นกลางอากาศ มีเงาดาๆ
เงาหนึ่ง เหมือนกับจะเป็นเหยี่ยว
เงาดาๆ นั้น กางปีกของมันออก ปีกสีดาราวกับปีก
ของค้างคาว กาลังพุ่งเข้าหาตัวชายชุดเทา หลังจาก
นั้นก็ได้ยินเสียงม้าร้อง ม้าตัวนั้นดีดขาหน้าทั้งสองขึ้น
ยืนตัวตรงราวกับมนุษย์ ท่ามกลางเสียงม้าร้อง มันก็
ล้มตัวลง พริบตาเดียว ชายชุดเทาก็อุ้มเด็กหนุ่ม
กระโดดลอยตัวขึ้นกลางอากาศ แล้วค่อยลอยตัวลงมา
ข้างๆ
หยางหนิงเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ตื่นตกใจ
ถึงแม้เขาจะดูออกว่าคนพวกนี้ตั้งใจมาปล้นสินค้า แต่
วิธีการของพวกเขามันก็โหดเหี้ยมไปหน่อย ไม่
เพียงแต่จะปล้นเอาสินค้าไปหมด แทบไม่คิดจะไว้ชีวิต
คนกับม้าเลยแม้แต่นิดเดียว
ชายแก่กับเด็กหนุ่มรวมถึงตัวเขาไม่ใช่คนของสานัก
คุ้มกัน แต่คนพวกนี้ก็ไม่ละเว้นเลย โหดเหี้ยมมาก
จริงๆ
ตอนนี้หยางหนิงเองเห็นคนที่ลอยตัวลงมาจากอากาศ
ชัดเจนแล้ว คนๆ นั้นขณะอยู่กลางอากาศ ดูเหมือน
พญาเหยี่ยว แต่หยางหนิงเพิ่งรู้ว่ามันคือชายเสื้อของ
คนๆ นั้นนั่นเอง
คนๆ นี้แต่งชุดดาทั้งตัว แต่ชายเสื้อของพวกเขา
เหมือนปีกค้างคาว ดูแล้วแปลกมาก ไม่เหมือนชาย
ชุดดาคนอื่น คนๆ นี้ยังสวมหน้ากากเอาไว้อีกด้วย
แต่คนๆ นี้มีรูปร่างเตี้ย เมื่อเทียบกับชายชุดเทาแล้ว
ก็เตี้ยกว่าเท่าหนึ่ง
ชายชุดเทานาตัวเด็กหนุ่มมาไว้ด้านหลัง แล้วจ้องไปที่
มนุษย์ค้างคาว แล้วพูดว่า “ฮากะคูเระอยู่ใต้ดิน ฮิดะ
ดังสนั่นท้องฟ้า โคกาคือมายาภาพลวงตา อิกาคือสาย
ธารแห่งเพลิง...ได้ยินมาว่านิกายชินโนบุมีหลาย
เครือข่าย ฮากะคูเระ ฮิดะ โคกา อิกาสี่นิกายใหญ่นี้
มีชื่อเสียงที่สุด”
มนุษย์ค้างคาวส่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมา
“เจ้ารู้ดีไม่น้อยเลยนะ”
ในใจของหยางหนิงตกใจไม่น้อย คิดในใจว่าหรือว่าคน
พวกนี้จะเป็นคนของนิกายชินโนบุงั้นหรือ?
แน่นอนเขาต้องรู้อยู่แล้วว่านิกายชินโนบุเป็นนิกาย
หนึ่งของญี่ปุ่น แต่ในยุคสมัยนี้มันไม่ใช่ยุค
ประวัติศาสตร์ที่ตัวเขาคุ้นเคย แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังมี
นิกายชินโนบุหลงเหลืออยู่
แต่ว่านิกายชินโนบุมันอยู่ต่างประเทศ หากว่าคนพวก
นี้เป็นคนของนิกายชินโนบุจริง จะมาอยู่กลางป่าเขา
แบบนี้ได้อย่างไร?
เขารู้ว่าในประวัติศาสตร์มีโจรสลัดอยู่ ส่วนพวกโจร
สลัดเหล่านี้ก็มีชาวญี่ปุ่นเร่ร่อนนับไม่ถ้วน ที่มักจะ
ปล้นใกล้ชายฝั่ง แต่ว่าตรงนี้ก็ห่างจากชายฝั่งไกลมาก
แล้วโจรสลัดพวกนี้ถึงขนาดต้องมาที่นี่เพื่อปล้นรถขน
สินค้าเลยหรือ?
“แต่ว่าหลายสิบปีก่อน กลุ่มนิกายฮิดะก็ได้ถูกกลุ่ม
นิกายโฮกาเกะแทนที่ไปแล้วนี่” ชายชุดเทากล่าว
“กลุ่มนิกายฮิดะก็เคยรุ่งเรืองในช่วงหนึ่ง ถึงได้เป็น
หนึ่งในสี่นิกายนินจาที่มีชื่อ ชื่อเสียงนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง
โกหก แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้ กลุ่มนิกายฮิดะยิ่งอยู่ยิ่งแย่ลง
แถมยังมีความแค้นกับนิกายฮากะคูเระกับโคกาอีก
ด้วย หลายสิบปีก่อน นิกายฮากะคูเระ นิกายโคกา
นิกายโฮกาเกะ และอื่นๆ ร่วมมือกัน ปราบกลุ่ม
นิกายฮิดะ หลังจากนั้นนิกายฮิดะก็ล้มสลาย พลัง
อานาจบางส่วนก็คงเหมือนกับค้างคาว ที่ต้องหลบ
ซ่อนผู้คนไม่กล้าแสดงตัว”
หยางหนิงได้ยินชายชุดเทาพูดดังนั้น ก็ตกใจ คิดไม่ถึง
เลยว่าชายชุดเทาจะรู้เรื่องราวของชินโนบุมากขนาดนี้
ไม่รู้ว่าเขาเป็นเทพมาจากไหนกัน
“เท่าที่ข้ารู้มา กลุ่มนิกายฮิดะไม่สามารถอยู่ที่เดิม
ต่อไปได้อีก จึงกระจายตัวไปตามเกาะร้างต่างๆ
ในตงไฮ่ เหมือนหมาไร้บ้าน” ชายชุดเทาพูดแล้วยิ้ม
“นินจาฮิดะในวันนี้ ก็แค่พวกร่อนเร่ไม่มีศาล หากตั้ง
รกรากที่ตงไฮ่ อาจจะยังสามารถคงไว้ซึ่งเผ่าพันธ์
ต่อไปได้ แต่หากวันนี้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกรงว่า
ต่อไป บนโลกนี้คงไม่มีชื่อกลุ่มฮิดะอีกต่อไป”
คาพูดของเขาแฝงไปด้วยถ้อยคาประชดประชัน
เริ่มแรกเขาคิดว่าคนพวกนี้แค่เข้ามาหลบฝน เพื่อปล้น
สินค้า เป้าหมายของเขามีเพียงสานักคุ้มกันซื่อไห่
แต่ตอนนี้ เรื่องคงไม่ง่ายอย่างนั้น
มีอย่างหนึ่งที่เขามั่นใจมาก คือมนุษย์ค้างคาวคนนั้น
น่าจะเป็นหัวหน้าของเหล่าชายชุดดา แล้วมนุษย์
ค้างคาวนี่ก็มีชายชุดเทาเป็นเป้าหมาย
หรือว่า เป้าหมายของอีกฝ่ายในคืนนี้ ไม่ใช่สานัก
คุ้มกัน แต่เป็นชายแก่กบั เด็กหนุ่มนี่?
หากเป็นอย่างนั้นจริง งั้นตัวเขากับคนของสานัก
คุ้มกัน ก็โดนหางเร่ของชายแก่กับเด็กหนุ่ม
กลุ่มนิกายฮิดะใช้คนมากมายขนาดนี้ มาเพื่อชายแก่
กับเด็กหนุ่ม สรุปแล้วสองคนนี้เป็นเทพมาจากไหนกัน
แน่ อีกฝ่ายมาจากแดนไกลเพื่อมาสังหารพวกเขา
อย่างนั้นน่ะหรือ?
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 25 แย่งทางหนี
สายตาของมนุษย์ค้างคาวดูมีเลศนัย ชายชุดเทายกห่อ
ผ้าทรงยาวขึ้นมา เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน แต่กลับไม่
มีใครเคลื่อนไหวใดๆ ก่อน สายลมพัดสายฝนแรงขึ้น
ทาให้ใครหลายคนตัวเปียก
หยางหนิงรู้ดีว่าเขาไม่ควรอยู่ที่นี่นาน แล้วค่อยๆ
เดินไปยังม้าตัวที่อยู่ข้างๆ
ถึงแม้จะถูกมนุษย์ค้างคาวฆ่าตายไปแล้วตัวหนึ่ง แต่ก็
ยังเหลืออีกหนึ่งตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ หยางหนิงค่อยๆ
เขยิบๆ เท้าไป เขาตัดสินใจแน่แล้วที่จะเอาม้าตัวนั้น
ตอนนี้คนของสานักคุ้มกันสองคนที่เฝ้ารถสินค้าก็ถูก
สังหารแล้ว ก่อนตายได้ฆ่าชายชุดดาไปหนึ่งคน ชาย
ชุดดาที่เหลือต่างมายืนอยู่ด้านหลังของมนุษย์ค้างคาว
ในมือถือเคียวไว้แน่น
“เจ้าผิดแล้ว” ในที่สุดมนุษย์ค้างคาวก็เอ่ยปากพูด
“วันนี้หากภารกิจของเราลุล่วง ไม่เพียงกลุ่มนิกาย
ฮิดะจะไม่หายไป แต่จะยิ่งเกรียงไกรมากขึ้นกว่าเดิม
อีก” เขาแสยะยิ้ม เขาพลิกมือ แล้วถอดสายรัดเข็มขัด
สีดาที่เอวออกมา ท่ามกลางสายฝน เขาลงมือแล้ว
ขณะที่เขาลงมือ เขาโค้งตัวราวกับคันธนูที่มีศรพร้อม
ยิง พริบตาเดียว ตัวเขาก็พุ่งไปตรงหน้าของแล้ว
“ไป!” ชายชุดเทาตะโกน รีบลากเด็กหนุ่มถอยหนี
อย่างรวดเร็ว ถอยหนึ่งก้าวก็เท่ากับการเคลื่อนที่อิสระ
นับสิบเก้า
หากมนุษย์ค้างคาวคือศรอันแหลมคมจริง ชายชุดเทา
เองก็เหมือนสายลมที่พัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
มนุษย์ค้างคาวพุ่งเข้าหาอากาศ ร่างกายของเขา
หยุดชะงัก แล้วก็ระเบิดตัวออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขา
โจมตีเร็วขึ้น แรงขึ้นและคมมากขึ้น
จริงๆ นี่มันเป็นท่าไม้ตายของเขา การหยุดชะงักก็เพื่อ
กักเก็บพลังงานให้มากขึ้น ขอแค่กกั เก็บพลังงานสาม
ครั้ง เขาเชื่อว่าชายชุดเทาต่อให้เป็นสายฟ้าฟาดก็ไม่
อาจจะหลบท่าไม้ตายของเขาได้
เขาเหมือนจะรู้ว่าหากมนุษย์ค้างคาวกักเก็บพลังงาน
ครบสามครั้งแล้วเขาจะรับมือได้ยาก ครั้งแรกเขาเลย
ต้องลงมือก่อน ของในห่อผ้าทรงยาวของเขายื่น
ออกมา พุ่งตรงไปหามนุษย์ค้างคาว
มนุษย์ค้างคาวส่งสายตาเยือกเย็น สายรัดเข็มขัดสีดา
ในมือตึงออก ครั้งนี้ไม่รุกแต่กลับถอย หลังจากนั้นก็
ตวัดสายรัดเข็มขัดสีดาในมือให้พุ่งออกไป
สายรัดเข็มขัดสีดาแปรเปลี่ยนเป็นดาบ
ดาบอ่อนเล่มหนึ่ง อ่อนเหมือนผ้าแพร แข็งดัง
เหล็กกล้า
มนุษย์ค้างคาวถอยเพื่อรุก เขาถอยเพื่อเว้นระยะที่
สามารถชักเอาดาบอ่อนเล่มนี้ออกมา หลังจากนั้น
ค่อยตวัดดาบออกไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น
ห่างจากมนุษย์ค้างคาวไม่ไกลนักชายชุดดาหลายคน
มองตามเสียงไป เห็นคนๆ หนึ่งกาลังบังคับม้า เตรียม
จะควบไป
คนที่ขี่ม้าเตรียมหนีคือหยางหนิง
หยางหนิบค่อยๆ เขยิบๆ ไปถึงข้างม้า ใช้มีดตัดเชือก
ที่ผูกม้าเอาไว้จนขาด แล้วก็ขึ้นขี้ม้าบังคับให้มันหัน
หลัง หลังจากนั้นก็ตบตูดม้าให้วิ่งออกไป
กลุ่มชายชุดดากระโดดลอยตัวตามมา มือของหลาย
คนซัดออกมา อาวุธลับนับสิบกาลังพุ่งมาที่ม้า และ
ในตอนนี้ ชายชุดเทาเองก็หยุดชะงักทุกอย่างลง แล้ว
ก็ถอยหลัง จริงๆ การโจมตีของเขามันคือศรที่กาลัง
พุ่งตัวไปอย่างแรง เหมือนไม่มีท่าทีที่จะถอย แต่
ตอนนี้กลับทาแบบนี้ มันเหมือนเมฆที่สลายตัวไป
อย่างไร้ร่องรอย
ต่อให้สลายตัวไปได้เหมือนเมฆ แต่ก็คงไม่อาจจะหลบ
ดาบดาของมนุษย์ค้างคาวได้หรอก
ชายชุดเทาเหมือนไม่คิดจะหลบดาบเลย เขายื่นห่อผ้า
ทรงยาวเป็นแนวนอน เกิดแสงสว่างขึ้น จากนั้นก็ได้
ยินเสียง “เพล้ง” มันป้องกันอาวุธลับที่กาลังพุ่งไปที่
ม้ากับหยางหนิงจนหมด หลังจากนั้นก็จับตัวเด็กหนุ่ม
คนนั้น ส่งเสียงร้อง แล้วยกมือขึ้น โยนตัวเด็กหนุ่ม
ลอยมาทางม้าของหยางหนิง
หยางหนิงกาลังจะเร่งฝีเท้าม้าให้เร็วขึ้น ก็รู้สึกเหมือน
มีอะไรหนักๆ ด้านหลัง เหมือนมีคนตกลงมาตรงหลัง
ม้า เขาตกใจ ถือมีดเตรียมจะหันไปแทง แต่ทันใดนั้น
ได้ยินชายชุดเทาตะโกนออกมาว่า “พาเขาหนีไป!”
สิ้นแสงลง ดาบอ่อนสีดาก็ฟันเข้าที่ไหล่ของชายชุดเทา
ชายชุดเทาชักห่อผ้าทรงยาว ปัดเอาดาบอ่อนสีดาออก
ก่อนที่มันจะฟันเอากระดูกเขาไป แต่ในเวลานี้สีหน้า
ของเขาซีดเซียว หัวไหล่มีเลือดไหล่ออกมามาก
เสื้อผ้าฉีกขาด
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจหลบดาบอ่อนของมนุษย์ค้างคาว
ได้พ้น ไม่เพียงถูกฟันจนเสื้อขาดรุ่ย ยังถูกฟันเข้าที่
หัวไหล่ดว้ ย ถึงแม้จะไม่ได้ฟันเข้าไปถึงกระดูก แต่มัน
ก็เป็นอุปสรรคแรกในค่าคืนนี้
เพื่อป้องกันอาวุธลับ เขากลับกล้าที่จะถูกมนุษย์
ค้างคาวฟัน
ขณะที่หยางหนิงหันหน้าไป สายตาก็เหลือบไปมอง
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หลังเขา ได้ยินชายชุดเทาตะโกนมา
อีกว่า “พาเขาหนีไป!” เขาไม่ได้ลังเล รีบเร่งฝีเท้าม้า
แล้วควบไป ม้าส่งเสียงร้อง และทยานออกไปอย่าง
รวดเร็วท่ามกลางสายฝน
กลุ่มชายชุดดาไม่ลังเลใจที่จะไล่ตามม้ามา แต่ทันใด
นั้นก็ได้ยินเสียงร้องดังอ๊าก ชายชุดเทาปลดห่อผ้าออก
ภายในเป็นฝักกระบี่สีดา ชายชุดเทาชักกระบี่ออกมา
ด้วยมือขวา แล้วกวาดกระบี่ออกไป หลังจากนั้นก็เต็ม
ไปด้วยเสียงร้องอ๊ากเต็มไปหมด
ในห่อผ้าพายุหมุนนั้นเป็นกระบี่โบราณล้าค่าเล่มหนึ่ง
และตอนนี้มันได้ออกจากฝักแล้ว!
แสงกระบี่แวววาว พุ่งตรงไปหาชายชุดดาที่ตอนนี้ถูก
ฟันตัวขาดเป็นสองท่อน ชายชุดดาอีกคนสายตาก็ดู
หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด มนุษย์ค้างคาวลอยตัวขึ้น
ด้วยความตกใจ เหมือนค้างคาวที่บินลอยอยู่กลาง
อากาศ ดาบอ่อนสีดาในมือพุ่งเข้าหาชายชุดเทา
อีกครั้ง
ในตอนนี้เอง ชายชุดดาอีกจานวนมากก็วิ่งออกมาจาก
ร้านเหล้า ล้อมตัวชายชุดเทาเอาไว้
“ตาม!” มนุษย์ค้างคาวตะโกนสั่งชายชุดดาจานวน
มากลอยอยู่กลางสายฝน พุ่งไปตามทิศทางของ
หยางหนิง
หยางหนิงในตอนนี้เหมือนกาลังแข่งม้าอยู่ เขาควบม้า
ไปอย่างเร็วโดยไม่มีผ่อนแรง ตัวเขายังรู้สึกว่ามันยัง
เร็วไม่พอ ท่ามกลางสายฝน ม้าวิ่งราวกับบินอยู่
หยางหนิงถูกสายฝนซัดใส่หน้าจนลืมตาไม่ได้ ไม่รู้ด้วย
ว่าม้าวิ่งไปทางไหน
สิ่งที่ทาให้หงุดหงิดที่สุดคือ เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง
เพื่อให้ตัวเองสามารถทรงตัวได้ เด็กหนุ่มจับเสื้อของ
ตัวเขาไว้แน่น เสื้อมันขาดรุ่ยและเก่าอยู่แล้ว แล้วม้า
มันก็เคลื่อนที่แบบนี้อีก รอยขาดมันก็ใหญ่ขึ้น
หยางหนิงคิดในใจว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ตัวเขา
จะต้องไม่เหลือเสื้อผ้าบนตัวอีกแน่
ม้าไม่รู้วิ่งมานานเท่าไรแล้ว ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง
ของเด็กหนุ่มพูดขึ้นมาว่า “หยุดม้าเดี๋ยว หยุด
เดี๋ยวนี้!”
หยางหนิงนึกว่าเกิดอะไร ในใจคิดว่าม้าก็วิ่งมาได้
ระยะหนึ่งแล้ว ต่อให้คนพวกนั้นจะตามมา ครู่เดียว
คงตามมาไม่ทัน ก็เลยหยุดม้า ได้ยินเสียงม้าร้อง
หยางหนิงก็ไม่ใช่คนขี่ม้าได้ดีขนาดนั้น เขาบังคับมัน
ไม่ดี “โอ๊ย” ทั้งคู่ตกลงมาจากหลังม้า
“เจ้าร้องทาไมกัน?” หยางหนิงลุกขึ้นยืน เหมือนจะ
ตกลงมาไม่หนัก ชี้นิ้วไปที่เด็กหนุ่มที่ยังคงกองอยู่
บนพื้นนั่นแล้วด่าว่า “เราควบม้ามาเร็วขนาดนี้
บอกให้หยุดกะทันหัน จะไม่ตกได้หรือ?”
จริงๆ ตัวเขาเองก็รู้ว่า การที่ตกม้ามามันเป็นเพราะ
เขา หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ดึงม้าแบบกะทันหัน
ก็คงไม่เป็นแบบนี้
เด็กหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่ตรงพื้น เปียกไปทั้งตัว เงยหน้า
มามองหยางหนิง หน้าตาเปื้อนดินเปื้อนโคลน แล้ว
พูดด้วยความโกรธว่า “ฝีมือการขี่ม้าของเจ้ามันห่วย
เอง ยังจะมาโทษข้าอีกงั้นหรือ?”
“โอ้โห เจ้าไม่มีความเกรงใจบ้างเลยหรือไง?” ตอนนี้
หยางหนิงไม่กลัวเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว พูดอย่างไม่
เกรงใจไปว่า “งั้นเจ้าบอกมาซิว่า เจ้าให้ข้าหยุดม้า
ทาไม คิดจะทาอะไร?”
“เราไม่ควรไปแบบนี้” เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาจากพื้น
ทั่วทั้งตัวเปื้อนไปด้วยดินโคลน “เราต้องกลับไปช่วย
เขา ทิ้งเขาไว้แบบนั้นไม่ได้”
“ช่วยใคร?” หยางหนิงยิ้มแห้ง “ตาเฒ่านั่นน่ะหรือ?
ช่างมันดีกว่า เจ้าคิดว่าช่วยเขาได้งั้นหรือ? เจ้าไม่เห็น
หรือไงว่าอีกฝ่ายมากันกี่คน เจ้าหนีมาได้ก็เป็นบุญ
มากแล้ว ยังคิดจะช่วยเขาอีก?”
เด็กหนุ่มพูดอย่างแน่วแน่ “ข้าต้องกลับไป เจ้าเอาม้า
มาให้ข้า ข้าไม่จาเป็นต้องมีเจ้า ข้าจะไปช่วยเขาเอง”
สายตาของเขามั่นคงมาก เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องพูด
มากอีก
ถึงแม้หยางหนิงจะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะไม่รู้ฟ้าสูง
แผ่นดินต่า แต่ก็ชื่นชมในความกล้าหาญมีคุณธรรม
ของเขา ตอนอยู่ในร้านเหล้า เด็กหนุ่มคนนี้ก็ออกหน้า
ช่วยพูดให้ ในใจก็ไม่ได้รังเกียจเขา เขาส่ายหน้าแล้ว
พูดว่า “ม้าตัวนี้ข้าหามาด้วยตัวเอง ข้าจะพาเจ้า
กลับไป เพราะเจ้าออกหน้าช่วยข้าไว้ ข้าจะไว้หน้าเจ้า
สักครั้ง แต่พูดกันก่อน หลังจากที่ข้าพาเจ้ากลับไป
เราจะไม่มีอะไรติดค้างกันอีก เจ้าจะไปไหนก็เรื่องของ
เจ้า แต่ว่าหากเจ้าจะเอาม้าตัวนี้ไป ล้มเลิกความคิด
นั้นซะ เพราะข้าต้องใช้มัน”
หากเขาต้องการจะไล่ตามขบวนสานักคุ้มกันที่พา
เสี่ยวเตี๋ยไป มีเพียงม้าในมือตัวนี้เท่านั้น ที่เป็น
ความหวังสุดท้ายของเขา
เด็กหนุ่มพูดด้วยความโกรธว่า “ไม่ได้ เจ้าต้องเอามัน
มาให้ข้า มันเป็นม้าของข้าอยู่ก่อนแล้ว” ยื่นมือ
ออกไปแล้วพูดว่า “เอามา!”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจะมาไม้แข็งกับข้าใช่
ไหม? น้องชาย เจ้าคงคิดผิดแล้ว ข้าไม่กลัวอะไร
ทั้งนั้น หากเจ้ามีปัญญา ก็มาแย่งเอาไปเอง”
เด็กหนุ่มคนนี้อายุราวสิบห้าสิบหก เมื่ออายุกับ
ร่างกายแล้วก็พอๆ กับหยางหนิง แต่ด้านจิตใจ
หยางหนิงน่าจะมีวุฒิภาวะมากกว่าอีกฝ่าย เมื่อพูดจา
แบบนี้ออกมา มันเหมือนกับว่าเขาอายุน้อยกว่าเขา
มากเลยทีเดียว
เด็กหนุ่มกาหมัดแน่น เดินขึ้นมาสาวหมัดไปที่
หยางหนิง หยางหนิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว กาลังจะ
ยื่นมือไปจับหมัดของเด็กหนุ่ม ใครจะคิดว่าเด็กหนุ่ม
จะยื่นนิ้วเข้ามาสอดร่องมือของหยางหนิงเอาไว้
“โอ้โห ฝีมือไม่เลวนิ” หยางหนิงเห็นดังนั้น ในใจก็คิด
ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะอ่อนแอ แต่จริงๆ ก็พอมี
ฝีมืออยู่บ้าง แล้วก็กวาดเท้าไปยังช่วงล่างของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มยกขาขึ้น ข้ามเข่าข้างที่หยางหนิงกวาดมา
ท่าทางดูทะมัดทะแมง รวดเร็วไม่มีเชื่องช้า
หยางหนิงถนัดการต่อสู้ คิดว่าน่าจะล้มเด็กหนุ่มได้
ภายในสองสามกระบวนท่า แต่ใครจะคิดว่าฝีมือของ
เขาจะเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มาก ทั้งสองแลกทั้งหมัด
ยกทั้งเท้าสลับไปมา พริบตาเดียวก็ปะมือกันไปกว่า
สิบกว่ากระบวนท่าแล้ว การต่อสู้ของหยางหนิงไม่ได้
อ่อน แต่ว่าการปัดป้องของอีกฝ่ายก็ดูชานาญ เวลา
สั่นๆ ไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้
เมื่อเห็นร่างกายของเด็กหนุ่มเริ่มทรงตัวไม่อยู่
หยางหนิงก็กวาดเท้าไปที่ช่วงล่างอีกครั้ง เด็กหนุ่ม
หลบไม่ทัน ก็เลยถูกกวาดจนล้มลง หยางหนิงได้ใจ
แต่กลับรู้สึกว่าที่เท้าเหมือนมีอะไรรัดอยู่ ชายหนุ่มใช้
เท้ารัดไปที่ข้อขา แล้วใช้แรงดึงจนเขาล้มลงเช่นกัน
หากหยางหนิงใช้ท่าเดินทางอย่างเริงใจ ชายหนุ่มคง
ไม่ใช่คู่ปรับของเขา แต่ว่าภายใต้สถานการณ์นี้
ต่อให้หยางหนิงหน้าด้านขนาดไหน ก็ไม่กล้าใช้ท่า
เดินทางอย่างเริงใจมาเป็นเล่ห์เพื่อเอาชนะ แบบนี้ก็ดี
ล้มทั้งคู่ บนพื้นมีแต่ดินโคลน ใบหน้าต่างเปื้อนไปด้วย
โคลน
“เจ้าเองก็ฝีมือไม่เบาเลยนิ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ชี้ไป
ที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 ตอนที่ 26 ตกทุกข์ได้ยาก
หยางหนิงเอามือยันพื้นไว้สองข้าง แล้วเอนตัวไป
ด้านหลัง ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจาชื่อข้าไม่ได้แล้วหรือ?
เหมือนข้าจะเคยบอกเจ้าไปแล้วนะ ข้าชื่อ
เสี่ยวป๋ายทู่”
“เสี่ยวป๋ายทู่?” เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า
“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง? นี่ไม่ใช่ชื่อของเจ้า”
หนางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ
เจ้า ข้าก็แค่คนเร่ร่อนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีชื่อก็ไม่
แปลก จริงสิ วรยุทธ์เจ้าไม่เลวเลย ตาเฒ่านั่นสอนเจ้า
หรือ? แล้วเจ้าชื่ออะไร?”
เมื่อหยางหนิงพูดถึงชายชุดเทาขึ้นมา เด็กหนุ่มรีบ
ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “เจ้ามอบม้าตัวนี้ให้ข้าก่อน
ข้ารับปากเจ้า ข้าจะคืนให้เจ้าเป็นสิบเท่าร้อยเท้า”
ไม่รอให้หยางหนิงพูด เขาก็พูดต่อไปว่า “ม้าตัวนี้มัน
เป็นม้าของข้าที่ผูกเอาไว้ที่คอกม้านอกร้านเหล้า
เจ้าฉวยโอกาสขโมยมันมา ตอนนี้เจ้าก็ปลอดภัยแล้ว
ก็ควรคืนให้กับเจ้าของ”
“เจ้าพูดแบบนี้ข้าไม่ชอบฟังเท่าไร” หยางหนิงลุก
ขึ้นมา “ขโมยอะไรกัน? เจ้าไม่เห็นหรือ หากว่าม้าตัว
นี้ยังอยู่ที่นั่น มันก็จะต้องกลายเป็นศพ ข้าช่วยชีวิตมัน
เอาไว้ แล้วข้าก็ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ด้วย อีกอย่างเจ้าก็
ไม่มีหลักฐานว่าม้าตัวนี้เป็นของเจ้า ต่อให้เป็นของเจ้า
จริงๆ การที่ข้าช่วยชีวิตเจ้ามันแลกกับม้าตัวนึงไม่ได้
เลยหรือ?”
“เอาล่ะ ถือซะว่าข้ายืมเจ้าก็แล้วกัน” เด็กหนุ่ม
เหมือนจะรู้ว่าเถียงกับหยางหนิงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
ก็เลยพูดว่า “ข้าจะคืนให้เจ้าเป็นร้อยเท่า”
หยางหนิงกอดอก ยิ้มแล้วพูดว่า “คุยโตใครก็พูดได้
เจ้าขี่เอาม้าของข้าไป ใครจะรู้เราจะได้เจอกันอีก
เมื่อไหร่? อีกอย่างสาหรับข้าในตอนนี้ ต่อให้มีเงิน
พันตาลึงมาซื้อม้าตัวนี้ข้าก็ไม่ขาย ข้าต้องใช้มันทาการ
ใหญ่ ข้าว่าเจ้าเลิกล้มความคิดเถอะ” แล้วพูดกล่อม
ไปว่า “ข้าว่านะน้องชาย......!”
“ข้าไม่ใช่น้องชายเจ้า” เด็กหนุ่มพูดด้วยความโกรธ
หยางหนิงหัวเราะร่าออกมาแล้วพูดว่า “งั้นจะให้ข้า
เรียกเจ้าว่าอะไร? จะให้เรียกว่าเจ้ามนุษย์โคลนคงไม่
เหมาะจริงไหม?” เขาเห็นเด็กหนุ่มคลุกโคลนไปทั่ว
ทั้งตัว ก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าก็ไม่ได้
ดีไปกว่าเขาสักเท่าไร
ชายหนุ่มลังเล แล้วพูดว่า “ข้าชื่อเซียวกวง”
“นี่ก็คงไม่ใช่ชื่อจริงของเจ้า” หยางหนิงพูดว่า “แต่ว่า
ก็ดีกว่าไม่มีชื่อ จริงสิ ข้าขอเตือนเจ้าอย่ากลับไปเลย
รูปแบบการโจมตีของพวกมันเจ้าก็เห็นแล้ว เจ้าคิดว่า
กลับไปจะมีประโยชน์อะไร? เจ้าเห็นคนของสานัก
คุ้มกันแล้วใช่ไหม หากว่าไม่มีฝีมือพอตัว พวกเขาคง
ไม่สามารถเอาชนะคนของสานักคุ้มกันแน่ๆ ไม่แน่
พวกมันอาจจะสามารถทาลายทั้งกองทัพก็ได้ ข้าไม่
อยากจะคิดสภาพตอนที่เจ้ากลับไปเลยว่าจะเป็น
อย่างไร จะรนหาที่ตาย? หรือจะเป็นแมลงเม้าบินเข้า
กองไฟ?”
เด็กหนุ่มคิด แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หันหลังแล้วก็เดิน
ไป แม้แต่ม้าก็ไม่เอา
“เจ้าจะกลับไปจริงๆ หรือ?” หยางหนิงตะโกน
ตามหลังไปว่า “อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ เจ้า
กลับไปแบบนี้ กาลังจะไปตายชัดๆ ตาเฒ่านั่นใช้ชีวิต
ตัวเองช่วยให้เจ้าหนีมา หากเจ้ากลับไปตอนนี้ สิ่งที่
เขาเสียสละมันก็จะสูญเปล่า น้องชาย เจ้าก็ไม่ใช่คนโง่
เหตุผลนี้คงเข้าใจไม่ยากจริงไหม?”
ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มก็หยุดเดิน
ท่ามกลางสายฝน อากาศที่หนาวเย็น สายลมพัดพา
อ่อนลง แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าฝนจะหยุดลง
หยาหนิงเห็นเซียวกวงหยุดเดินไม่พูดอะไร แล้วพูด
ขึ้นมาว่า “เขาเป็นอะไรกับเจ้า? เขาดูจะเป็นห่วงเจ้า
มาก ข้าเห็นวรยุทธ์ของเขาไม่เลวเลย อาจจะไม่ถูก
พวกนั้นฆ่าก็ได้ หากเขาชิงม้ามาได้สักตัว โดยที่ไม่ต้อง
กังวลอะไร อาจจะหนีออกมาได้ก็ได้ หากเจ้า
ย้อนกลับไปตอนนี้ จะทาให้เขากังวัลมากขึ้นนะ
อีกอย่างเราก็หนีมากันไกลมากแล้ว ไม่ว่าเป็นหรือ
ตาย ที่นั่นน่าจะรู้ผลลัพธ์กันแล้ว หากว่าเขาตายหรือ
ว่าหนีไปแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าคนเดียวสามารถรับมือ
พวกเขาได้หรือ?” หยางหนิงดึงเชือกม้า แล้วพูดต่อไป
ว่า “อีกอย่างเขาแลกชีวิตของเขาเพื่อให้เจ้าได้หนีมา
แสดงว่าในใจของเขา ชีวิตเจ้าสาคัญมากกว่าสิ่งใด
หากเจ้าตายไป ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะรู้สึก
อย่างไร”
เซียวกวงไม่ได้หันกลับมา เขายังยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น
ให้สายลมและสายฝนพัดผ่านตัวเขาไปอย่างนั้น
หยางหนิงส่ายหัว คิดแค่ว่าอย่างไรก็พาเขาหนีมาได้
แล้ว อะไรที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้เขาเองก็จะไม่ยุ่ง
อีกอย่างเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ด้วย เขาขึ้นขี่ม้า
ดึงเชือก เตรียมจะเดินทางต่อ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปดู
เห็นเซียวกวงยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สักพักก็ล้มลงไป
หยางหนิงตกใจ รีบลงจากม้า แล้ววิ่งไปดู เห็น
เซียวกวงล้มหน้าทิ่มโคลนแน่นิ่งไป จึงรีบพลิกตัวเขา
กลับมา ขมวดคิ้วได้พูดว่า “เฮ้ เซียวกวง เจ้าฟืน้ สิ
เป็นอะไรอีกนี่? คาพูดข้าตรงเกินไปหรือ
กระทบกระเทือนเจ้าหรือ?”
สายฝนตกลงบนหน้าของเซียวกวง หยางหนิงเช็ด
โคลนบนหน้าของเซียวกวงออก เห็นสีหน้าของเขา
ซีดเซียว สายหลับสนิท ร่างกายสั่นเทาตลอดเวลา
หยางหนิงยื่นมือไปแตะหน้าผากของเซียวกวง มัน
ร้อนแทบจะเผามือ เขาตกใจ ใครจะคิดว่าเด็กหนุ่มนี่
จะมีไข้ตอนนี้
หยางหนิงถึงกับปวดหัว เขาตั้งใจจะไปตามทางที่พา
เข้าเมืองหลวงเพื่อตามขบวนสานักคุ้มกัน เหลือ
ความหวังเท่าไรก็พยายามเท่านั้น แต่ตอนนี้เจ้านี่ดัน
มาเป็นไข้ แถมยังตัวร้อนอย่างกับไฟเผา รุนแรงมาก
หากทิ้งเซียวกวงไปในตอนนี้ ยังไม่ต้องคิดถึงว่า
พวกนินจาฮิดะจะตามมาได้ทัน ต่อให้พวกเขาไม่
ตามมา เซียวกวงก็น่าจะตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ
หยางหนิงยิ้มแห้งแล้วส่ายหัว อุ้มเซียวกวงขึ้นมา แล้ว
วางบนหลังม้า แล้วตัวเองก็กระโดดขึ้นม้าไป จากนั้น
ก็กอดเซียวกวงจากด้านหลัง มองไปรอบๆ ท่ามกลาง
สายฝน ในป่าที่มีแต่ต้นไม้ แทบจะมองไม่เห็นเส้นทาง
อะไรเลย
หยางหนิงรู้ดีว่าต่อให้ไม่มีหมอ ตอนนี้ก็ควรจะหาที่
หลบฝนก่อนสักที่ ไม่งั้นเซียวกวงคงต้องตายแน่ๆ
ในตอนนี้คงไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากนัก ทาได้แค่
บังคับม้าไปที่ไหนสักที่ก่อน
ในใจของเขาคิดว่าร่างกายของเซียวกวงอ่อนแอมาก
เจ้านี่เหมือนจะมีพื้นฐานของวรยุทธ์อยู่บ้าง มีการฝึก
มาก่อน ภูมิต้านทานก็ไม่ควรอ่อนขนาดนี้ แต่ว่าแค่
ตากฝนนิดเดียวเอง ก็เป็นไข้สูงขนาดนี้แล้ว
ม้าวิ่งไปท่ามกลางสายฝน หยางหนิงไม่รู้ว่าจะไปทาง
ไหน ปล่อยให้มันวิ่งไป รู้สึกว่าร่างกายของเซียวกวง
สั่นรุนแรงมากขึ้น ในใจก็อดภาวนาไม่ได้ “เจ้านี่ก็ดู
ไม่ใช่คนเลว หากตายไปเพราะตากฝน ขอพุทธองค์
ทรงเมตตาด้วย อย่างไรก็ตามขออย่าให้เขามาตายต่อ
หน้าข้าเลย”
ไม่รู้ว่านานเท่าไร หนางหนิงรู้สึกว่าฝนเหมือนจะตก
น้อยลง เมื่อเงยหน้าขึ้นดู ก็พบว่าม้าวิ่งมายังป่าไผ่ที่
หนึ่ง
มันเป็นป่าไผ่ที่ทึบมาก มันกั้นฝนเอาไว้มิด กลิ่นไผ่โดน
ฝนอ่อนๆ ลอยเข้าจมูก ในใจก็ดูสบายขึ้น
รอบๆ ไม่มีสถานที่หลบฝน ก่อนหน้านี้เซียวกวงยังมี
อาการตัวสั่นอยู่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว หยางหนิงแตะไปที่
หน้าผากของเขา ตอนนี้ตัวของเขาเย็นเฉียบ ในใจคิด
ว่า คงไม่ใช่ว่าตายแล้วหรอกนะ เอานิ้วไปแตะจมูก
เหมือนจะยังหายใจอยู่
เมื่อม้าเข้ามายังป่าไผ่ ก็เหมือนจะลดความเร็วลง
หยางหนิงมองไปรอบๆ เห็นว่าในป่าไผ่เหมือนมีหมอ
กลอยอยู่ มันแน่นจนเหมือนควันไฟ
เมื่อเดินไปได้ครู่ใหญ่ ม้าก็เดินออกจากป่าไผ่
หยางหนิงมองไปข้างหน้า ในใจก็นึกตื่นเต้น เพราะ
ด้านหน้าไม่ไกลนักมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปใกล้
ถึงได้รู้ว่ามันเป็นบ้านร้าง
ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น สุดท้ายก็ได้ที่หลบฝนสักที
หยางหนิงลงจากหลังม้า แล้วค่อยๆ อุ้มเซียวกวงลง
มา เห็นว่าคานบ้านค่อนข้างลึก แต่ด้านบนเต็มไปด้วย
หยากไย่ ไม่มีประตูบ้าน โครงประตูถูกแทนที่ด้วย
หยากไย่เต็มไปหมด
หยางหนิงเงยหน้าไปมองไปที่ป้ายหน้าประตู ก็ถูก
หยากไย่หนาๆ กั้นหมด บวกกับความมืดยามค่าคืน
มองไม่เห็นว่าเขียนว่าอะไร
เขาวางเซียวกวงลงก่อน แล้วหาไม้เก่ามาปัดหยากไย่
ออก แล้วถึงอุ้มเซียวกวงเข้าไป เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน
ก็ได้กลิ่นอับลอยมา แต่มันก็ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเล็ก
คิดน้อยอะไร ภายในห้องมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย
เดินคลาหาที่ แล้วจึงวางเซียวกวงลง
เขารู้ว่าตอนนี้เซียวกวงเปียกไปทั้งตัว หากเป็นอย่างนี้
ต่อไป ไข้ก็จะหนักขึ้น เขาลังเล แล้วก็คลาเสื้อผ้าของ
เซียวกวงเพือ่ ถอดเสื้อออก เหลือเพียงกางเกงขาสั้นไว้
คิดว่าถ้าในตอนนี้มีหญ้าแห้งไม้แห้งมาจุดไฟก็คงดี
ทักษะการใช้ชีวิตในป่าเบื้องต้นก็คือการจุดไฟ
ใช้ก้อนหินในการก่อาฟ หยางหนิงเคยทาแน่นอน
ถึงแม้จะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ในสถานการณ์
ตอนนี้ ต้องใช้หญ้าแห้ง หากไม่มีหญ้าแห้ง ต่อให้เป็น
ก้อนหินก็ไม่อาจจะจุดไฟได้
ตอนนี้เขาเหมือนแมว ที่เดินคลาไปทั่วห้อง มองอะไร
ก็ไม่ชัด ขณะที่เดินคลาๆ ไป เขาก็รู้สึกว่าภายในบ้าน
เหมือนจะมีไม้หักโค่นกระจัดกระจายไปหมด เหมือน
สวรรค์มาโปรด เขาเหมือนจะเจออะไร หยางหนิงเอา
มือไปแตะถูกหญ้า เขาดีใจมาก เขาเห็นกองหญ้า
ขนาดใหญ่
เมื่อได้หินมาแล้ว เขาก็ไม่รอให้เสียเวลาเริ่มลงมือ
จุดไฟทันที หยางหนิงก็ไม่มีเวลาจะไปสนใจอะไรอย่าง
อื่น ต้องก่อกองไฟขึ้นมาก่อน แล้วก็ใช้มีดตัดกิ่งไม้มา
หลังจากนั้นไม่นานไฟก็สว่างขึ้นมา ตอนนี้อากาศเริ่ม
อุ่นขึ้น ค่อยสบายขึ้นมาหน่อย แล้วก็ไปดูเซียวกวง
ตอนนี้เซียวกวงนอนหดตัวอยู่ที่พื้น ที่ตัวเขามีเพียง
กางเกงขาสั้นตัวเดียว กาลังนอนตัวสั่นอยู่
หยางหนิงเห็นในบ้านมีหญ้าแห้งเป็นจานวนมาก
ก็เลยเอาหญ้าแห้งเหล่านั้นมาวางเป็นที่นอน แล้วค่อย
อุ้มเซียวกวงไปไว้ตรงนั้น แล้วเอากองหญ้าแห้งมาสุม
ตัวเขาให้อุ่นขึ้น เห็นเนื้อหนัง ผิวของเซียวกวง
ทั้งอ่อนนุ่ม ทั้งขาวใส คิดว่าเด็กคนนี้น่าจะถูกเลี้ยงมา
แบบลูกคุณหนูคุณชายแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว
เป็นใครมาจากไหนกัน
เพื่อคนแปลกหน้าคนหนึ่งแล้ว ทาให้เสียเวลาอันมีค่า
ของตัวเองไป คิดๆ ดูแล้ว ในใจรู้สึกเสียเปรียบอย่าง
แรง
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่า หากเจ้านี่ตื่นมา เขาจะคิด
ค่าบริการกับเขา เห็นว่าบ้านของเด็กคนนี้ก็น่าจะมี
ฐานะไม่เบา จะเอาเงินจากเขาคงไม่ใช่เรื่องยาก
เห็นเซียวกวงยังคงตัวสั่น ก็ยื่นมือไปแตะหน้าผาก
ก็รู้สึกหน้าผากของเขาเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น ร่างกาย
น่าจะทรมานมาก แต่ว่าหยางหนิงไม่ใช่หมอ อีกอย่าง
ต่อให้เป็นหมอ ตอนนี้ก็ไม่มียาสมุนไพรที่จะรักษา
เขาคิดว่าคนส่วนใหญ่หลังจากที่เป็นไข้แล้ว ต้องดื่มน้า
มากๆ แบบนี้จะทาให้ไข้ลดได้ง่ายขึ้น ถึงแม้ตอนนี้จะ
ขยับตัวไม่ค่อยสะดวก แต่เห็นสีหน้าของชายหนุ่ม
ซีดเซียว เหมือนจะทรมานมาก เขาคิดว่าในเมื่อจะ
เป็นคนดีแล้ว ก็จะทาครึ่งเดียวไม่ได้ ทาได้แค่ลุกขึ้นมา
ต้มน้า ในใจคิดว่ารอให้เขาตื่น จะเรียกเงินเท่าไรดี
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 27 เผาม้วนตารา
ท่ามกลางไฟที่สว่างสลัว หยางหนิงเห็นศาลเจ้าที่
เสียหายอย่างชัดเจน ดูท่าหลายปีก่อนรอบๆ ที่นี่
น่าจะมีคนอาศัยอยู่ไม่น้อยเลย แล้วทาไมตอนนี้ถึงได้
กลายมาเป็นแบบนี้ล่ะ
พระพุทธรูปในศาลเจ้ามันหล่นลงมาจากแท่นวางแล้ว
บ้างก็หัก บ้างก็แตก บวกกับฝุ่นทีห่ นากับหยากไย่
ก็มองไม่เห็นแล้วว่ามันเป็นเทพองค์ไหน
แต่ว่าระดับของแท่นวางมันกลับสูงกว่าบริเวณอก
ของหยางหนิง คิดว่าตอนที่สร้างศาลเจ้า คงเหนื่อย
มากไม่น้อยเลย
ในมือไม่มีหม้อชาม หยางหนิงหาอยู่พักหนึ่ง ก็เจอ
กระถางธูป คิดว่าน่าจะเอามาใช้บูชา แต่มันสกปรก
มาก ก็เลยเอามาล้างน้าฝนข้างนอก แต่ก็ไม่ได้สะอาด
ขนาดนั้น แต่ก็ได้แค่นี้ เขารองน้าฝนมาครึ่งกระถาง
แล้วนากลับมาต้ม
เขากลับไปนาเสื้อผ้าของเซียวกวงมากองไว้หน้ากอง
ไฟ เพื่ออบให้แห้ง ในใจก็คิดว่าข้าดีกับเจ้าจนถึงที่สุด
แล้ว หากไม่ได้ข้าคนนี้ ชีวิตเจ้าคงไม่รอดแล้ว
ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าม้ายังอยู่ข้างนอก ก่อน
หน้านี้รีบ อุ้มเซียวกวงเข้ามาในนี้ ทรมานมาเกือบ
ครึ่งวัน กลับลืมผูกม้าซะได้
เขารีบวิ่งออกไป ในใจรู้สึกกังวล ไม่ผิดจากที่คาดไว้ม้า
หายไปแล้ว เขาตามหาไปจนทั่วศาลเจ้า แต่ก็ไม่เห็น
แม้เงาของมันเลย เขารู้สึกโกรธมาก โกรธตัวเองที่
สะเพร่าแบบนี้ คิดจะตามหาม้ากลับมา แต่ว่าฝนตก
หนักขนาดนี้ จะไปตามหาได้จากที่ไหน เขาเก็บความ
โกรธของเขาแล้วกลับเข้าไปในศาลเจ้า เห็นเซียวกวง
นอนนิ่งอยู่ ในใจก็คิดว่าหากไม่เพราะช่วยเจ้า ข้าคงไม่
เสียม้าไป เขาแทบอยากจะดึงตัวเซียวกวงขึ้นมา
กระทืบให้ตายตรงนั้น
เมื่อน้าในกระถางธูปเริ่มเดือด หยางหนิงก็นากระถาง
ธูปออกจากกองไฟ รอจนมันอุ่นๆ ลองว่าร้อนไหม
แล้วก็พยุงเซียวกวงขึ้นมา แล้วป้อนน้าเข้าปากของ
เขาไป เซียวกวงสะลึมสะลือ แต่ก็อ้าปากแต่โดยดี เขา
ดื่มเข้าไปเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัวเบาๆ หยางหนิง
ปล่อยเขานอนลง จากนั้นก็ฉีกเสื้อผ้าส่วนหนึ่งมาจาก
ชุดของเซียวกวง แล้วเทน้าที่เหลือลงบนผ้านั้น
หลังจากนั้นก็แปะไปที่หน้าผากของเซียวกวง
ฝนด้านนอกซาลงไปมาก ตอนนี้ไม่รู้กี่โมงแล้ว
หยางหนิงเริ่มรู้สึกเหนื่อย กาลังคิดที่จะก่อกองไฟ
ทิ้งไว้แล้วงีบสักหน่อย ทันใดนั้นเอง ก็รู้สึกเจ็บเหมือน
โดนอะไรทิ่มที่หน้าอก หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น เส้นชีพจร
บริเวณหน้าอกเหมือนกาลังกระตุก
หยางหนิงกุมไปที่หน้าอก อาการเจ็บมันมาหลังจากที่
ชีพจรกระตุกสลับแรงเบาไปมา เหงื่อของหยางหนิง
เริ่มออกจากหน้าผาก ในใจก็ตกใจ “หรือว่าพิษ
บาดแผลจะกาเริบ?”
มู่เซิ๋นจวินใช้วิชามือไม้เปื่อยตายซัดจนชีพจรของ
หยางหนิงบาดเจ็บ มันก็เคยกาเริบขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง
แต่หลังจากนั้นหยางหนิงก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่สบายตัว
ตรงไหนอีก
หลังจากวันที่พลังภายในของมู่เซิ๋นจวินถูกดูดจนหมด
หยางหนิงเคยกังวลว่าพิษบาดแผลนี้จะไม่มีใคร
สามารถแก้ได้ แต่หลังจากนั้นสองวัน ชีพจรภายในก็
ไม่ได้มีอาการอะไรเลย หยางหนิงก็แทบลืมไปแล้วว่า
ตัวเองบาดเจ็บอยู่
ในตอนนี้อาการเจ็บปวดของเขากาเริบขึ้นอีกครั้ง
หยางหนิงนึกถึงมู่เซิ๋นจวินขึ้นมา
อาการเจ็บปวดในครั้งนี้มันรุนแรงกว่าครั้งแรกมาก
หยางหนิงเจ็บเจียนตาย ปวดหัวตาลาย ปวดทรมาน
ไปทั่วทั้งตัวจนไร้เรี่ยวแรง เขากลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น
หวังว่าจะมีอะไรมาบรรเทาอาการปวดนี้ลงได้
หายใจลาบาก หยางหนิงเริ่มสะลึมสะลือ ในสมอง
ว่างเปล่า
เมื่อเขาได้สติคืนมา ก็พบว่าตัวเองสลบล้มลงกับพื้น
รอบๆ อากาศหนาวเย็น พอเขาลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่า
กองไฟมอดเกือบหมดแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวเขานั้นสลบไป
หยางหนิงรีบจับไปที่บริเวณหน้าอก ความเจ็บปวด
ทิ่มแทงนั่นมันหายไปแล้ว
เขาจึงหยิบเศษไม้โยนเข้ากองไฟเพื่อเพิ่มไฟ ในตอนนี้
เขาก็พบว่า เสื้อผ้าเปียกๆ ของเขามันแห้งจน
หมดแล้ว
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงของเซียวกวงที่พูดด้วยเสียง
อู้อี้ว่า “อาจารย์ รีบหนีไป...รีบหนีไปซะ!”
หยางหนิงมองไป เห็นเซียวกวงนอนคดอยู่กลาง
กองหญ้าแห้ง แต่ว่าสีหน้าซีดเซียวของเขาก่อนหน้านี้
มันเหมือนเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาดึงผ้าที่
แปะอยู่บนหน้าผากของเขาออกเพื่อวัดอุณหภูมิ
ความร้อนลดลงไปไม่น้อย แต่ว่าก็ยังคงร้อนอยู่
“อาจารย์ ไม่ต้อง...ไม่ต้องห่วงข้า...!” ร่างกายของ
เซียวกวงสั่นเทา ในใจเอาแต่พูดว่า “ท่าน...ท่านไป
ก่อนเถอะ...!”
หยางหนิงคิดในใจว่าเจ้าเด็กนี้เป็นคนมีคุณธรรมจริงๆ
ขณะละเมอยังนึกถึงแต่คนอื่น
เขากาลังคิดว่า “อาจารย์” ที่เซียวกวงพูดถึง น่าจะ
เป็นชายชุดเทา เซียวกวงเรียกเขาว่าอาจารย์ มันทา
ให้เขารู้สึกแปลกใจ สรุปแล้วเขาสองคนมี
ความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง “อ๊าก” ดังขึ้น เซียวกวง
ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ท่ามกลางแสงไฟ เห็นเพียงสีหน้าที่
ซีดเซียวขอเซียวกวง ที่เต็มไปด้วยเหงื่อ สายตาดู
ตื่นตกใจกลัวมาก
หยางหนิงรู้ทันทีว่าเขาน่าจะตกใจเพราะฝันร้าย ก็เลย
นั่งมองเขาข้างๆ กองไฟ ไม่พูดอะไร
เซียวกวงตกใจตื่นขึ้นมา เขามองไปที่กองไฟที่อยู่
ด้านหน้า ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้า หนังตาของเขายัง
ไม่เปิดเต็มตา เหมือนยังสะลึมสะลืออยู่ แล้วพูดด้วย
น้าเสียงที่ไม่มีแรงว่า “ที่...ที่นี่ที่ไหน?” พูดจบ ร่างกาย
ก็ล้มลงไปนอนอีก หยางหนิงยังไม่ทันพูดอะไร ดวงตา
ของเด็กหนุ่มก็ปิดลงอีก
ฝนด้านนอกถึงแม้จะซาไปไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังคงตก
ลงมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
หยางหนิงนั่งพิงไปที่แท่นหิน ยื่นมือไปจับหน้าอก
แล้วหยิบม้วนตาราภาพพลังเทพหกประสานออกมา
ผ่านอะไรมาเยอะ ม้วนตาราภาพเหมือนจะเสียหาย
ไปแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่มันก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว
ตลอดทางที่ผ่านมา ทั้งตกบ่อน้าบ้าง โดนฝนโดนลม
ยังมีคลุกวงในกับเซียวกวงจนถูกโคลนอีก ม้วนภาพยัง
ถือว่าอยู่ในสภาพที่ดีมาก ถือว่าตัวของตาราใช้วัสดุ
จัดทาที่ดีมากๆ
เขาเปิดดูมันหนึ่งรอบตั้งแต่ต้นจนจบ จารายละเอียด
ทุกอย่างตามเส้นแดงได้จนหมด
วันนั้นมู่เซิ๋นจวินตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หยางหนิงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่วันนี้พอเขาลอง
ทบทวนดูดีๆ ในใจก็แอบคิดว่า การตายของมู่เซิ๋นจวิน
น่าจะเกี่ยวข้องกับพลังเทพหกประสานแน่ๆ
มู่เซิ๋นจวินมีวรยุทธ์สูงส่งมาก เมื่อเทียบกับตัวเขาเอง
ก็เหมือนแพะกับเสือหนึ่งตัว เพราะสุดท้ายเสือก็ตาย
ด้วยเงื้อมมือของแพะ ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มัน
จะต้องมีสาเหตุแน่ๆ ความเป็นไปได้หนึ่งเดียว ก็น่าจะ
เป็นพลังเทพหกประสาน
เขาคิดพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ขณะที่ล้มปราณพลัง
ภายในของมู่เซิ๋นจวินทะลวงเข้าสู่ร่างกายของเขานั้น
ตัวเขาไม่มีทางเลือก จึงเดินลมปราณตั้งแต่บริเวณ
ไหล่ให้ไล่ไปตามเส้นสีแดงไปจนถึงจุดถานจง แล้วมัน
อาจจะเป็นสาเหตุที่ทาให้มู่เซิ๋นจวินถึงแก่ความตาย
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ตัวเองปล่อยพลังเทพหกประสาน
ออกมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
เขายังจาได้อีกว่ามู่เซิ๋นจวินวันนั้นคลั่งเพราะเคยสงสัย
ว่าม้วตาราภาพพลังเทพหกประสานนี้เป็นของปลอม
แถมยังเคยพูดอีกว่าใช้เวลาเกือบสองปีในการตามหา
ม้วนตาราภาพนี้อีกด้วย
จึงเดาได้ว่า ม้วนตาราภาพนี้น่าจะมาจากวังห้าพิษ
มู่เซิ๋นจวินไม่รู้ว่าไปได้ม้วนตาราภาพพลังเทพหก
ประสานจากวังห้าพิษได้อย่างไร เพราะถูกคนของ
วังห้าพิษตามล่าตัว
แต่หลังจากมู่เซิ๋นจวินฝึกฝนพลังเทพหกประสานแล้ว
ร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่ในใจของหยางหนิงก็สงสัยว่าในเมื่อมู่เซิ๋นจวิน
ฝึกฝนพลังเทพหกประสานแล้ว เขาจะไม่รู้เคล็บลับ
ของพลังเทพหกประสานเชียวหรือ ทาไมถึงได้ตาย
เพราะพลังเทพหกประสานได้ล่ะ?
ตัวเขาจาได้แค่เส้นทางการไหลเวียนตามเส้นแดงใน
ม้วนภาพ แต่ในกรณีฉุกเฉิน จะปล่อยพลังเทพ
หกประสานออกมาอย่างไรนั้นเขาไม่รู้ หรือว่าตอนที่
เขาสะลึมสะลืออยู่นั้นเขาเดินลมปราณเข้าไปที่จุด
ถานจง หรือนี่คือเคล็บลับของพลังเทพหกประสาน?
ในใจของเขามีข้อสงสัยมากมาย เวลาสั่นๆ คงไม่
สามารถแก้ไขได้ แต่ก็รู้ว่า การที่ตัวเขาถือครอง
ม้วนตาราภาพพลังเทพหกประสานไว้กับตัวมันจะเป็น
ภัยแน่นอน
วังห้าพิษชื่อนี้ฟังดูไม่ใช่ชี่อที่ดีนัก พวกเขาถึงขัน้ ทิ้ง
ทุกอย่างตามหามู่เซิ๋นจวินเพื่อที่จะชิงม้วนตาราภาพ
พลังเทพหกประสานคืนไป งั้นก็จะไม่มีทางปล่อยไป
ง่ายๆ ม้วนตาราภาพพลังเทพหกประสานอยู่ในมือเขา
ตอนนี้ ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกใครเห็น ตอนนี้เขาเองก็
คุ้นเคยกับเส้นชีพจรแล้ว ก็ไม่จาเป็นจะต้องเก็บมันไว้
อีก
หยิบม้วนตาราภาพพลังเทพหกประสานขึ้นมาแล้ว
กาลังจะทิ้งมันเข้ากองไฟไป ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า
มู่เซิ๋นจวินก็แทบจะทิ้งทุกอย่างเพื่อชิงม้วนตาราภาพ
กลับคืนไปเหมือนกัน ตามหลักแล้วมู่เซิ๋นจวินน่าจะจา
ทุกอย่างในม้วนตาราภาพหมดแล้ว แต่กลับยังจะเอา
กลับไป หรือว่าในม้วนตาราภาพมีเงื่อนงาอะไรซ่อน
อยู่อีก?
หยางหนิงหยิบมันพลิกดูอย่างงละอียดหลายรอบ แต่
ก็ดูไม่ออกว่ามันมีเงื่อนงาอะไร ก็คิดอีกว่าหรืออาจจะ
เป็นเพราะมู่เซิ๋นจวินฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรก
ดังนั้นถึงพยายามหาวิธีแก้ไขในม้วนภาพ ส่วนตัวเขา
นั้นไม่ได้ฝึกฝนม้วนตาราภาพพลังเทพหกประสาน
ธาตุไฟเลยไม่ได้เข้าแทรก
แต่หากว่าเก็บม้วนตาราภาพนี้เอาไว้กับตัว เกิดฝึกจน
ถูกจับได้ขึ้นมา แล้วบ้าเหมือนมู๋เซิ๋นจวินจะทาอย่างไร
ล่ะ
ในเมื่อมันมีแต่ภัย ทาลายมันซะให้มันจบๆ ไปน่าจะ
ดีกว่า
เขาเป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว ก็เลยโยนม้วนตาราภาพใน
มือลงกองไฟไป ไม่นานนัก ม้วนตาราภาพก็เผาไหม้
จนเป็นจุน
ม้วนตาราภาพถูกไฟเผาไหม้ไป หยางหนิงรู้สึก
สบายใจขึ้นมาก คิดในใจว่ามีเพียงมู่เซิ๋นจวินเท่านั้นที่
รู้ว่าเขามีม้วนตาราภาพในมือ แต่คนที่รู้เพียงคนเดียว
คนนั้นก็ตายไปแล้ว อีกทั้งม้วนตาราภาพก็ถูกเผาไป
แล้ว ในมือก็ไม่มีของแล้ว ในใต้หล้านี้ก็คงไม่มีใครรู้ว่า
เขามีม้วนตาราภาพหรือเคยสัมผัสพลังเทพหก
ประสานแน่นอน
เขาพิงตัวกับท่านหิน แล้วหลับไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีก
ครั้ง ก็พบว่าเช้าแล้ว เมื่อมองไปที่เซียวกวง เห็นสีหน้า
ของเขามีเลือเฝาดขึ้นมาอีกเยอะมากแล้ว ดูเหมือนจะ
ได้นอนอย่างเต็มอิ่ม
หยางหนิงลุกขึ้นยืน ออกไปที่หน้าประตู ยืดเส้น
ยืดสาย ไม่ไกลจากศาลเจ้าเป็นป่าไผ่เขียวชอุ่ม ฝน
หยุดตกแล้ว หลังฝนหยุดกลิ่นไม้อ่อนๆ ก็ลอยโชยมา
ราวกับอาศัยอยู่เมืองสวรรค์ บรรยากาศสวยงามสุด
บรรยาย สายลมพัดพาเอากลิ่นดินกลิ่นต้นไม้มา
ทาให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
หยางหนิงสดชื่นปรอดโปร่งมาก แต่เมื่อคิดได้ว่าม้า
หายไป ก็ต้องเดินไปยังเมืองหลวงอีก ก็หดหู่ ก็เลย
เดินกลับเข้าไปในศาลเจ้า กองไฟมอดหมดแล้ว
หยางหนิงนั่งยองๆ ลงไปที่ข้างตัวเซียวกวง เห็นเขา
หลับอยู่ ก็พูดเบาๆว่า “เจ้าคนแซ่เซียว ข้าช่วยเจ้าได้
แค่นี้นะ ถือว่าข้ามีเมตตาสุดๆ แล้ว ข้ายังมีธุระต้อง
ทา คงอยู่ต่อไม่ได้อีก หลังจากนี้เจ้าก็ต้องดูแลตัวเอง
แล้วนะ ขอให้เจ้าปลอดภัยก็แล้วกัน” เขาถอนหายใจ
เฮือกใหญ่ แล้วบ่นกับตัวเองว่า “ตอนแรกคิดจะคิด
ค่าจ้างจากเจ้านี่ ดูท่าจะไม่สาเร็จ”
เขาลุกขึ้น กาลังจะไป พลันได้ยินเซียวกวงพูดด้วย
เสียงอันไร้เรี่ยวแรงว่า “เจ้าจะไปไหน?” เซียวกวง
ตื่นขึ้นมาแล้ว
หยางหนิงตกใจ ก้มหน้าไปดู รีบยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
ตื่นแล้วหรือ? ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่รอดซะแล้ว”
“หากข้าตายไปจริง เจ้าก็คงเสียแรงเปล่านิจริงไหม?”
เซียวกวงพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“เจ้าช่วยข้าไว้หรือ?”
“ไม่น่าถาม” หยางหนิงมองบน “นี่เซียวกวง เจ้าต้อง
ขอบใจข้า หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าคงตายไปแล้ว
เห็นแก่ว่าเราก็คุ้นเคยกันดี เจ้าให้เงินข้าสัก
ร้อยสองร้อยตาลึงเป็นไง หากว่าตอนนี้เจ้าไม่มีเงิน
เอาของมีค่าของเจ้ามาแทนก็ได้ ไม่มีอะไรจะพูด
ใช่ไหม? อย่าบอกนะว่าในตัวเจ้าไม่มีอะไรเลยนะ?
ถ้าเป็นอย่างนั้น แม้แต่เพื่อนเราก็ไม่ได้เป็นหรอกนะ”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 28 ค่าตอบแทน
เซียวกวงฝืนลุกขึ้นนั่ง มองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า
“เจ้าคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันหรือ?”
หยางหนิงนั่งตรงข้ามเซียวกวง แล้วพูดว่า “งั้นก็ต้องดู
ว่าเจ้าทาอย่างไร หากเจ้าเห็นค่าในความสัมพันธ์ รู้จัก
ตอบแทนบุญคุณ ข้าก็เป็นเพื่อนกับเจ้าได้ แต่หากว่า
เจ้าเนรคุณ งั้นข้าก็คงสงสัยในนิสัยของเจ้าแน่ๆ
ไม่เป็นเพื่อนซะยังดีกว่า”
เซียวกวงยิ้ม แล้วพูดว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น จะเป็น
เพื่อนกับเจ้า นี่...นี่มันไม่ง่ายเลยเนอะ?” เขาไอ ก็เลย
ยกมือขึ้นมาปิดปาก
“ง่ายไม่ง่ายมันอยู่ที่เจ้า” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าลุกขึ้นมานั่งได้ แสดงว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว
ข้าเสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว จะให้เงินไหม บอกมาจะได้
จบๆ”
หยางหนิงรู้ดีว่า การตามหาเสี่ยวเตี๋ย ต้องใช้เงิน
ไม่งั้นตลอดทางนั้นจะต้องลาบากมาก
เขาสังหารเซียวอี้ซุ่ยได้เงินมาจานวนหนึ่ง ก็ใช้ไปจน
หมดแล้ว ถึงแม้ว่าจะได้ถุงเงินของมู่เซิ๋นจวินมา แต่
เงินในถุงของตาเฒ่านั้นก็ไม่ได้เยอะมากมาย ใช้ได้
ไม่นานแน่ๆ
เขายังคิดอยู่นะว่าหากไม่ไหวจริงๆ ก็คงซื้อม้าสัก
ตัวกลางทาง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าม้าราคาเท่าไร แต่รู้มาว่า
แคว้นฉู่เหมือนจะขาดแคลนม้า ซื้อม้าตัวหนึ่งไม่ใช่
เรื่องง่าย
ไม่ว่าจะเป็นเซียวอี้ซุ่ยหรือว่ามู่เซิ๋นจวิน คนที่
หยางหนิงสังหารล้วนแต่อยู่นอกแผนการทั้งสิ้น
เขาไม่ได้คิดจะฆ่าคนชิงทรัพย์จริงๆ
หยางหนิงคิดว่าเซียวกวงจะต้องหาเหตุผลมาอ้าง
แต่คิดไม่ถึงว่าเซียวกวงจะพยักหน้า แล้วพูดว่า “เจ้า
ช่วยชีวิตข้า ข้าให้ค่าตอบแทนเจ้า ก็เป็นเรื่องสมควร
แล้ว”
“ดีมากไอ้น้องชาย!” หยางหนิงยิ้ม ตบมือแล้วพูดว่า
“ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะต้องเป็นคนมีเหตุผล”
เซียวกวงพูดว่า “แต่ว่าเงินร้อยสองร้อยตาลึงที่เจ้าจะ
เอา...!” เขาพูดยังไม่ทันจบ หยางหนิงคิดว่าเขารู้สึกว่า
มันมากเกินไป ก็เลยรีบพูดว่า “หากว่าเจ้าคิดว่ามัน
มากเกินไป เราตกลงกันได้นะ ในเมื่อเจ้าพูดง่าย
ข้าเองก็เป็นคนมีเหตุผล”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” เซียวกวงส่ายหน้า :
“ความหมายของข้าคือ เงินแค่ร้อยสองร้อยตาลึงมัน
ไม่พอที่จะตอบแทนที่ช่วยชีวิตข้า หรือว่าชีวิตข้ามี
ราคาแค่ร้อยสองร้อยตาลึงงั้นหรือ?”
หยางหนิงตกตะลึงไป รู้สึกแปลกใจ คิดในใจว่าจะโชค
ดีแบบนี้ตั้งแต่ต้นปีหรือ พยายมข่มน้าเสียงแล้วพูดว่า
“งั้นความหมายของเจ้าคือ?”
“อย่างน้อยต้อง!” เซียวกวงยกมือขึ้นมา กางมือ
ออกมาห้านิ้ว “ห้าร้อยตาลึงทอง!”
หยางหนิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แล้วพูดว่า “เยี่ยมไปเลย
น้องชาย เซียวกวง ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ เจ้า...!” เมื่อ
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุด มองไปตั้งแต่หัวจรดเท้าของ
เซียวกวง มองไปด้วยสีหน้าแปลกๆ ยิ้มแห้งๆแล้วพูด
ว่า “เจ้าคนแซ่เซียว ข้าก็อยากจะรู้ว่า เงินห้าร้อย
ตาลึงทองจะเอามาจากไหน?”
เซียวกวงขมวดคิ้ว “เจ้าพูดอะไรให้เกียรติกันบ้าง
เงินห้าร้อยตาลึงทองไม่ใช่เงินมากมายอะไร ข้าบอก
ว่าจะให้เจ้า ก็จะไม่ให้เจ้าขาดไปสักสลึงเดียว”
หยางหนิงคิดในใจว่าขี้โม้แบบไม่เปลี่ยนสีหน้า
เงินห้าร้อยตาลึงทองไม่ใช่เงินก้อนใหญ่ การแสดงให้
ร้อยเลย เห็นท่าทางของเขาจริงจัง ก็ไม่เหมือนว่า
แกล้ง ก็เลยเดินขึ้นไปถามอย่างสงสัยว่า “เจ้ามีเงิน
ห้าร้อยตาลึงทองจริงๆ หรือ? ข้าก็ไม่ใช่คนโลภ เจ้าให้
ข้าแค่ร้อยตาลึงก็พอแล้ว”
“คาพูดคนเราต้องศักดิ์สิทธิ์ ข้าพูดแล้วไม่คืนคา”
เซียวกวงยกมือขึ้นจับศีรษะ ดูเหมือนเขายังดูอ่อนแอ
“เงินห้าร้อยตาลึงทอง จะไม่ขาดแม้แต่สลึงเดียว เมื่อ
ถึงเมืองหลวง ข้าจะให้เจ้าทันที”
หยางหนิงถึงได้เข้าใจ แล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าทอง
ต้องไปเอาที่เมืองหลวง?”
เซียวกวงพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะเอาให้เจ้าตอนนี้เลย
หรือไง?”
“ให้ไม่ได้ยังจะพูดมากอีก” หยางหนิงชักสีหน้า แล้ว
พูดว่า “เซียวกวง เจ้าก็อายุยังไม่มาก แต่ทักษะการ
คุยโวของเจ้าไม่เลวเลยนะ ชนะข้าไปอีก พูดออกมาก็
ห้าร้อยตาลึงทอง ยังให้ข้าไปเอาที่เมืองหลวงอีก? เจ้า
คิดว่าข้าโง่หรือไง ความคิดของเจ้า ข้าดูออกหมด”
“หือ?” เซียวกวงยังคงนิ่ง “ความคิดอะไรกัน?”
หยางหนิงชี้ไปที่จมูกของเซียวกวงแล้วพูดว่า “เจ้าจะ
เข้าเมืองหลวง ไม่อยากไปคนเดียว อยากจะให้ข้าคุ้ม
กันเจ้าไปส่งที่เมืองหลวง ใช่ไหมล่ะ? เจ้าคิดว่าข้าจะ
เห็นแก่เงินห้าร้อยตาลึงทอง แล้วจะไปส่งเจ้าที่
เมืองหลวงโดยไม่ลังเลเลยงั้นสิ” ตลอดทางให้ข้าเป็น
ผู้คุ้มกันแบบฟรีๆ เขาอุทานเบาๆ แล้วชี้ไปที่หน้าของ
ตัวเอง “เจ้ามองหน้าข้า เหมือนคนโลภมากหรือไง?”
เซียวกวงยื่นนิ้วชี้ไปที่จมูกของหยางหนิง ไม่ได้ปฏิเสธ
แถมยังพยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก ข้าต้องการให้
เจ้าเข้าเมืองหลวงไปพร้อมข้าจริงๆ”
“เจ้าเลิกคิดไปได้เลย” ที่แท้เงินห้าร้อยตาลึงทองก็
เป็นแค่คาพูดเลื่อนลอย ทาให้หยางหนิงรู้สึกไม่พอใจ
มาก “ถือว่าข้าโชคร้าย ข้าเอาเปรียบคนอื่นไม่เป็นไร
แต่คนอื่นจะมาเอาเปรียบข้าฝันไปเถอะ” เขาลุกขึ้น
หันหลังจะไป “เจ้าไปตามทางของเจ้า ข้าจะไปตาม
ทางของข้า ไม่มีทางลงเรือลาเดียวกัน ลากันตรงนี้เลย
ล่ะกัน อย่าได้เจอกันอีก”
เซียวกวงก็แค่ตัววุ่นวาย เมื่อวานหากไม่ใช่เพราะเขามี
อันตรายถึงชีวิต หยางหนิงทนไม่ไหวเห็นเขาตายอยู่
ตรงนั้น ถึงได้ช่วย หากวันนี้เจ้านี้พ้นขีดอันตรายแล้ว
ยังคิดจะลากตัวเขาไปอีก ไม่มีทางแน่นอน
หยางหนิงไม่ได้ลืมเรื่องของนินจาฮิดะ ใครจะไปรู้ว่า
คนพวกนั้นยังตามหาเซียวกวงอยู่หรือเปล่า หากยัง
ตามหาอยู่เกิดเจอขึ้นมา ตัวเขาเองก็ต้องถูกลากไป
เอี่ยว
เซียวกวงอยากจะลุกขึ้นยืนแต่ยืนได้แค่ครึ่งเดียว
ร่างกายก็โซซัดโซเซ ใช้มือกดไปยังจุดไท่หยาง แล้วก็
ล้มลงไป หยงหนิงเดินไปแล้วหลายก้าว ได้ยินเสียง ก็
เลยหันหลังมาดู แล้วก็ขมวดคิ้ว
“เจ้า...เจ้าช้าก่อน!” เซียวกวงพูดว่า “เจ้าบอกว่าเจ้ามี
เรื่องด่วนต้องไปทา เรื่องอะไรกัน?”
หยางหนิงพูดว่า “บอกเจ้าไปแล้วอย่างไร? เจ้าช่วย
ข้าได้งั้นหรือ?”
“ก็ไม่แน่” เซียวกวงสีหน้ามั่นใจมาก “ข้ามีเพื่อน...
ที่ร้ายกาจมาก หากเจ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไร ต่อให้ข้า
จะช่วยเจ้าไม่ได้ แต่พวกเขาน่าจะช่วยได้”
หยางหนิงคิดในใจว่าเจ้านี่เอะอะจะเข้าเมืองหลวง
หรือว่าเขาจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง? ดูเขาผิวพรรณ
นุ่มนิ่ม ก็เห็นได้ชัดว่าเขาน่าจะอาศัยในบ้านที่มีฐานะ
ไม่แน่อาจจะมีเส้นสาย
ตัวเขาเองตามหลังขบวนสานักคุ้มกันมาหลายวันแล้ว
แต่ติดอุปสรรคแล้วอุปสรรคเล่า หากสานักคุ้มกัน
เดินทางกันเร็ว ก็น่าจะถึงเมืองหลวงแล้ว
หากตามไม่ทัน ก็ต้องตามหาเอาในเมืองหลวง แต่ว่า
เขารู้ว่า นั่นคือเมืองหลวง มันไม่ใช่เล็กๆ หากจะ
ค้นหาคนๆ เดียวในเมืองหลวงที่กว้างใหญ่ หากเขา
คนเดียว คงเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร มันยากมาก
แต่เวลาไม่คอยท่า ต้องตามหาเสี่ยวเตี๋ยยิ่งเร็วยิ่งดี
หากปล่อยเวลาให้นานไป เสี่ยวเตีย๋ จะยิ่งตกอยู่ใน
อันตราย
แต่ว่าหยางหนิงก็รู้ว่า เขาสามารถอาศัยเส้นสายของ
เซียวกวงตามหาคนในเมืองหลวงได้ แต่จะแสดงออก
ไม่ได้ว่าเขาต้องการแบบนั้น
“เรื่องของข้า ข้าจัดการเองได้” หยางหนิงตั้งใจพูด
ออกไปว่า “เจ้าเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ”
เซียวกวงแสดงออกว่าโกรธมาก แล้วพูดว่า “ตั้งแต่
เด็กจนโต ไม่เคยพูดเรื่อยเปื่อย เจ้า...เจ้ากล้าบอกว่า
ข้าไม่น่าเชื่อถืองั้นหรือ?”
“บนโลกใบนี้คนที่ไม่น่าเชื่อถือมีเยอะแยะไป”
หยางหนิงส่ายหัวแล้วถอนหายใจว่า “ตอนนี้เจ้ากาลัง
ลาบาก ต้องการคนช่วย พูดอะไรก็ได้ รอเจ้าถึง
เมืองหลวงแล้ว ก็จะเห็นข้าเป็นแค่ขอทานคนหนึ่ง
เท่านั้น แล้วก็ตีจากข้าไป ทองเอยเงินเอย สักสลึง
เดียวข้าก็คงไม่ได้”
เซียวกวงพูดว่า “เจ้าเป็นขอทานหรือ? วรยุทธ์ของ
เจ้าดีมาก สู้เสมอข้าได้ คงไม่ใช่แค่ขอทานหรอกมั้ง?”
หยางหนิงคิดในใจว่าถึงแม้พื้นฐานวรยุทธ์ของเจ้าจะ
ดีกว่าคนอื่นมาก แต่ไม่ถือเป็นยอดฝีมือ อย่างน้อย
รองจากมู่เซิ๋นจวินก็ยังมีชายชุดเทา เจ้ามันยังห่างชั้น
นัก แต่ว่าเขาดูว่าออกว่าตัวเขาเองเป็นศิษย์พรรค
กระยาจก แสดงว่ารู้เรื่องในยุทธภพพอตัว จึงย้อน
ถามไปว่า “เจ้ารู้จักพรรคกระยาจก?”
เซียวกวงพูดว่า “ศิษย์พรรคกระยาจกมีอยู่ทั่วทั้ง
ใต้หล้า แบ่งออกเป็นสองฝ่ายเหนือกับใต้ ทาไมข้าจะ
ไม่รู้ล่ะ?”
“แบ่งออกเป็นเหนือกับใต้?” หยางหนิงตกใจ ถึงแม้
เขาจะพอรู้เรื่องของพรรคกระยาจกบ้าง แต่ไม่รู้เรื่องที่
มีแบ่งเหนือใต้จริงๆ
เซียวกวงดูจากสีหน้า แล้วพูดอย่างสงสัยว่า “เจ้าอย่า
บอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าพรรคกระยาจกมีแบ่งเหนือใต้?”
ทันใดนั้นเองเขาก็หัวเราะออกมา “แสดงว่าเจ้าเป็น
ขอทานตัวเล็กๆ ของพรรคน่ะสิ”
หยางหนิงตอบอย่างไม่พอใจ “เจ้าพูดของเจ้าเองว่า
ข้าเป็นคนของพรรคกระยาจก ข้าไม่ได้พูดซะหน่อย
อีกอย่างเรื่องของพรรคกระยาจก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ
ข้า?” แต่ก็อดถามไม่ได้ว่า “เจ้าบอกว่าแบ่งเหนือกับ
ใต้ มันเป็นอย่างไรกัน?”
เซียวกวงพูดว่า “รายละเอียดเป็นอย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้
เหมือนจะเกิดขึ้นเพราะการเลือกเจ้าสานักคนใหม่เมื่อ
หลายสิบปีก่อน พรรคกระยาจกถึงได้แตกออกจากกัน
...!” เขายิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ไม่รู้เรื่องของพรรค
กระยาจกใช่ไหม เจ้าอายุก็ไม่มากเท่าไร วรยุทธ์ก็ดี
หากเป็นศิษย์พรรคกระจกจริง คงไม่ถูกลืมเป็นแน่”
หยางหนิงอดขาไม่ได้ “ต่อให้ดีกว่านี้ ก็เป็นได้แค่
ขอทาน มันจะมีประโยชน์อะไร”
“เจ้าไม่อยากเป็นขอทานหรือ?” เซียวกวงย้อนถาม
“ได้ยินมาว่าพรรคกระยาจกมีหัวหน้าพรรคหัวหน้า
สาขา วันหนึ่งเจ้าอาจจะได้เป็นหัวหน้าสาขาหรือ
หัวหน้าพรรคขึ้นมา ก็ดูยิ่งใหญ่ดีออก”
“ยิ่งใหญ่บ้าอะไรกัน” หยางหนิงอดสบถคาหยาบ
ออกมาไม่ไหว “ศิษย์พรรคกระยาจกมีตั้งเกือบแสน
คน คนที่อยากจะเป็นหัวหน้าสาขามีเยอะ คน
อยากจะเป็นหัวหน้าพรรคก็มีมาก ไม่ต้องพูดถึงว่า
โอกาสจะมาถึงเราไหม ต่อให้เป็นหัวหน้าสาขาหรือ
หัวหน้าพรรคจริง เป็นผู้นากลุ่มขอทานมันน่าเกรง
ขามตรงไหน? อีกอย่างต่อให้เป็นประมุขพรรคจริง
ต้องมาคอยระวังคนใต้บังคับบัญชาที่คอยแต่จะหัก
หลังอยากจะมาแทนที่ เกิดไม่ระวังก็ถึงชีวิต” แล้วพูด
อีกว่า “จริงๆ แล้วยิ่งอยู่สูงยิ่งอันตราย ไม่สู้ใช้ชีวิต
ธรรมดาๆ ไปวันๆ ดีกว่าตั้งเยอะ”
เซียวกวงตะลึง นิ่งเงียบไป แล้วพูดว่า “ที่เจ้าพูดมามี
เหตุผล” น้าเสียงดูจริงจัง
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้าน
นอก “ใต้เท้า ที่นี่เหมือนจะมีศาลเจ้า เข้าไปพักกัน
ก่อนได้”
เสียงที่ดังมานั้นมาอย่างกะทันหัน หยางหนิงกับ
เซียวกวงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เซียวกวงพยายามจะ
ลุกขึ้นยืน แต่เนื่องจากร่างกายของเขาอ่อนแอ เลย
ลุกขึ้นไม่ไหว
หยางหนิงพยุงเซียวกวงขึ้นมา มองไปรอบๆ ทาได้แค่
ไปหลบที่ใต้แท่นหิน เขาพยุงเซียวกวงมายังหลัง
แท่นหิน ตอนนี้ก็ได้ยินเสียงพูดคุยกัน “ทุกคนพักที่นี่
กันก่อน พวกเขายังตามมาไม่ทันแน่ รอฟ้ามืดเราค่อย
เดินทางกันต่อ” เสียงไม่ไกลจากประตูนัก
หยางหนิงพยุงเซียวกวงไปนั่งใต้แท่นหินแล้วนั่งลง
พลันนึกถึงกองไฟที่จุดเอาไว้เมื่อคืน ก็รีบออกไป
ทาลายกองไฟที่เห็นกับที่นอนกองหญ้าแห้งให้ดู
วุ่นวายเข้าไว้ เมื่อได้ยินเสียงเข้ามาใกล้ ก็ดึงท่อนไม้
สองท่อนมาบังข้างหน้าเอาไว้ แล้วเข้าไปหลบหลัง
แท่นหิน
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 29 ทหารไล่ล่า
หยางหนิงกับเซียวกวงนั่งยองๆ อยู่ด้านหลังแท่นหิน
ได้ยินเสียงคนเข้ามาในศาลเจ้า ปฏิกิริยาแรกของ
พวกเขาคือพวกนั้นตามมาทันแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใช่พวก
นินจาฮิดะหรือเปล่า
หยางหนิงหยิบมีดสั้นออกมาจากหน้าอก เอามากาไว้
ในมือ เซียวกวงมองไป เห็นมีดสั้นสว่างแวววาว เขา
มองเดี๋ยวเดียวก็รู้ทันทีว่ามันไม่ใช่ของธรรมดา แต่ก็
สงสัยว่า ขอทานอย่างหยางหนิง จะมีอาวุธดีในมือ
ขนาดนี้ เมื่อได้ยินคนเดินเข้ามาในห้อง เขาก็หยิบ
ก้อนหินขึ้นมาไว้ในมือ
ได้ยินแต่เสียงฝีเท้า ดูท่าจานวนคนก็คงไม่น้อยเลย
ได้ยินเสียงที่ดูนอบน้อมดังขึ้นมาว่า “ใต้เท้า ที่นี่ดูร้าง
มานานหลายปี ดูเหมือนไม่มีใครอยู่เลย คิดว่าคงไม่มี
ใครตามมาหรอก”
เสียงคนที่อยู่ข้างหน้าแลดูมีอายุพูดว่า “ที่นี่ยังคงเป็น
เขตแดนของแคว้นฉู่ อย่างไรเราก็ต้องระวังตัว
พวกเขาไม่มีทางปล่อยเราไปง่ายๆ ระวังไว้ก่อน
ดีกว่า” แล้วก็ออกคาสั่งไปว่า “ส่งคนสองคนออกไป
เฝ้าระวังไว้ เราจะรอให้พวกเขาตามมาก่อนโดยเราไม่
เตรียมตัวไม่ได้”
คนของเขารับคาสั่ง แล้วก็มีสองคนเดินออกนอก
ประตูไป
“ใต้เท้า ดื่มน้าก่อน” หยางหนิงนั่งอยู่ด้านหลังแท่น
หินก็ได้ยินอีกว่า “เราเดินอ้อมมาตลอดทาง เพื่อสลัด
พวกเขาออกไป แต่ตอนนี้อาหารแห้งของเราเหลือ
น้อยมากแล้ว”
“ทุกคนอดทนกันหน่อย” เสียงคนมีอายุกล่าว “เรา
เดินขึ้นไปทางทิศเหนือ อย่างมากก็ใช้เวลาอีกสามถึง
ห้าวัน ก็น่าจะถึงไหวชุ่ยแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาเรา
สร้างเขาวงกต หลอกพวกเขาหลงทางไปไม่น้อย”
แล้วพูดอีกว่า “ใช่ ปล่อยเขาออกมาก่อน ให้เขาได้
ดื่มน้าสักหน่อย อย่าให้มาตายที่นี่เด็ดขาด”
หยางหนิงกับเซียวกวงรู้สึกสงสัย แต่ในตอนนี้เขาไม่
กล้าที่จะโผล่หน้าไปดู กลัวว่าพวกเขาจะเห็น
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม ก่อนจะมีคน
พูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้า เจ้านี่มันสลบไปแล้ว”
“ลองดูสิ ว่ามันตายหรือยัง?” เสียงคนมีอายุรีบพูด
“จะให้มาตายแบบนี้ไม่ได้ ไม่งั้นสิ่งที่เราทาจะ
สูญเปล่า”
“ใต้เท้าโปรดวางใจ ยังหายใจอยู่” มีคนพูดว่า “สงสัย
จับมัดอยู่ในถุงตลอดทาง ก็เลยสลบไป ไม่มีอันตราย
ถึงชีวิต”
เสียงคนมีอายุตอบกลับว่า “อืม” แล้วรีบพูดต่อว่า
“หากว่าได้ตัวกลับไปเป็นๆ เราจะได้เงินได้ทอง แต่ว่า
ตายแล้ว สลึงหนึ่งก็ไม่ได้”
“ใต้เท้า เจ้านี่มันมีมูลค่าขนาดนั้นเลยหรือ?” มีคน
สงสัยแล้วถามว่า “เขาก็แค่คนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง
คนบ้าแบบนี้มันคุ้มให้ใต้เท้าเสี่ยงขนาดนี้เลยหรือ?”
“คนบ้า?” เสียงคนมีอายุพูดว่า “ต่อให้บ้า ก็ต้องดูว่า
เขามีฐานะอะไร หากเป็นคนทั่วไป ต่อให้ฉลาดแค่
ไหน ก็ไม่มีประโยชน์กบั เรา แต่คนบ้าคนนี้ มันดันมี
มูลค่ามหาศาล หากพวกเจ้ารู้ว่าเขาเป็นใคร ก็คงไม่
พูดแบบนี้แน่ๆ”
หยางหนิงยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ เมื่อได้ยินพวกเขา
พูดคุยกัน เจ้าพวกนี้จับคนมา คิดว่าน่าจะเอาคนๆ นี้
ไปแลกค่าตอบแทน แล้วคนที่จับมาเหมือนจะเป็นบ้า
ด้วย
แต่ว่าเหมือนคนพวกนี้จะไม่ใช่โจรธรรมดาทั่วไป
พวกเขาเหมือนเรียกคนที่มีอายุนั่นว่าใต้เท้า แล้วยัง
พูดอีกว่าจะข้ามไหวชุ่ยไปยังเป่ยฮั่น ดูแล้วฐานะคงไม่
ธรรมดาแน่ๆ
เขาเหลือบไปมอง เห็นเซียวกวงขมวดคิ้วแน่น สีหน้า
ท่าทางจริงจังขั้นสุด
“ใต้เท้า เจ้านี่มันเป็นเทวดามาจากไหนกัน?” มีคนอด
ไม่ได้ที่จะถาม
เสียงของคนมีอายุพูดว่า “อะไรกัน ลืมกฎเกณฑ์กัน
ไปแล้วหรือ? เจ้าถามได้งั้นหรือ?”
เสียงของคนมีอายุถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลายปีมา
นี่ ทุกคนต้องจากบ้านมา ลาบากกันมาก ข้ารู้ว่า
พวกเจ้าทุกคนคิดถึงคนที่บ้าน หากไม่เสี่ยง เกรงว่า
อีกสามถึงห้าปีเราก็อาจจะไม่ได้กลับไป”
ทุกคนนิ่งเงียบไป
“ทาการครั้งนี้ ข้าเคยบอกพวกเจ้าไปแล้ว ขอแค่งาน
นี้สาเร็จ เราไม่เพียงได้กลับบ้าน แต่ท่านโหวเย่ก็จะ
ดูแลเราอย่างดีแน่นอน” เสียงของคนมีอายุพูดว่า
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ จะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตาแหน่งไหม
ข้าไม่อาจรับประกันได้ แต่เรื่องของฐานะความร่ารวย
มีให้แน่ๆ”
หยางหนิงเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินดังนี้ ก็คิดขึ้นมาได้
ว่า หรือว่าคนพวกนี้จะเป็นคนเป่ยฮั่น แต่แอบซ่อนตัว
ที่ทางทิศใต้ของแคว้นฉูน่ ี่?
หากนี่เป็นเรื่องจริง งั้นเรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร
เขารู้ว่าแคว้นฉู่และแคว้นฮั่นเผชิญหน้ากันมานาน
ทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะยุติสงครามที่ต่อสู้กันยาวนานมา
หลายปี ในสถานการณ์แบบน้าไฟไม่ถูกกันแบบนี้
ทั้งคู่ส่งสายลับซุ่มไว้ในดินแดนอีกฝ่าย ก็ไม่ใช่เรื่อง
แปลกอะไร
คนพวกนี้น่าจะเป็นสายลับที่ซุ่มอยู่ที่ทางทิศใต้ของ
แคว้นฉู่ แต่พวกเขาคงเบื่อหน่ายชีวิตแบบนี้แล้วก็
อยากกลับบ้านดังนั้นจึงคิดหาวิธีหนีกลับเป่ยฮั่น
แล้ววิธีที่เขาใช้ ก็เหมือนจะเป็นจับตัวคนบ้ามา
คนหนึ่ง
“ใต้เท้า เราติดตามท่านมานานหลายปี ท่านดูแล
พวกเราอย่างดี” มีคนซาบซึ้งใจแล้วพูดว่า “ในเมื่อเรา
ตกลงที่จะทางานนี้ ไม่ว่าสาเร็จหรือไม่ เราก็ขอ
ติดตามท่านต่อไป”
มีคนถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาว่า “ได้เลื่อนขั้นหรือไม่
เราไม่ได้สนใจ หากว่าได้อยู่กับคนที่บ้าน แค่นี้ก็พอใจ
แล้ว แต่ก่อนข้ายังคิดเลยว่าคงไม่ได้กลับไปอีกแล้ว
คงไม่มีโอกาสจะได้เจอพ่อแม่ เมีย และลูกแล้ว”
เสียงของคนมีอายุหัวเราะแล้วพูดว่า “ทุกคนอย่าคิด
มาก อีกไม่กี่วัน ขอเพียงพาเจ้านี่ข้ามไหวชุ่ยไป เราก็
จะทางานสาเร็จ หลังจากนั้นเราก็จะสบายกันแล้ว”
แล้วก็สั่งอีกว่า “เร่งเดินทางกันมาหลายวัน ทุกคน
ลาบากกันมาก พักกันให้เต็มที่ รอฟ้ามืด เราค่อย
เดินทางกันต่อ”
“รับทราบ!”
“ใต้เท้า ที่นี่มีหญ้าแห้ง เรามาปูเป็นที่นอนได้”
มีคนพูดขึ้นมาอีกว่า “พวกเรา ที่นี่มีหญ้าแห้งมากพอ
ทุกคนเอาไปปูนอนกันได้” ระหว่างที่พูด ก็มีคนเดิน
มาทางกองหญ้าแห้ง
หยางหนิงกามีดเอาไว้แน่น ทันใดนั้นกลับรู้สึกอึดอัดที่
ข้อมือ เมื่อหันหน้าไป ก็เห็นเซียวกวงกาลังจับที่ข้อมือ
ของเขาอยู่ เห็นสีหน้าของเขาค่อนข้างเครียด
หยางหนิงยิ้มให้เซียวกวง แต่ว่าในใจกลับยิ้มไม่ออก
ตอนแรกเขาคิดว่าพวกของนินจาฮิดะตามมาทัน
แต่ตอนนี้พบว่าไม่ใช่พวกนั้น ในใจก็เบาใจไปเยอะ
แต่เมื่อได้ยินประโยคสนทนาเหล่านั้น ก็คิดว่าคน
พวกนี้ก็ไม่น่าจะเป็นคนดี
พวกเขาเป็นสายลับเป่ยฮั่นที่แฝงตัวอยู่ทางทิศใต้ของ
แคว้นฉู่ แสดงว่าต้องเป็นคนไม่ธรรมดา ไม่งั้นคงมี
ความสามารถในระดับที่สามารถส่งมาประจาที่ทิศใต้
ของแคว้นฉู่แน่ๆ
ตอนนี้ยังจับคนหนีไปทางทิศใต้ของแคว้นฉู่ แถมยัง
หลบมาทางที่ไม่มีใครเห็นอีก แสดงว่าตลอดทางที่
ผ่านมาปกปิดการเดินทาง กังวลว่ามีคนจะมาเห็นเข้า
ในเมื่อเป็นแบบนี้ หากพวกเขาเห็นว่าในศาลเจ้ามีคน
จะต้องฆ่าปิดปากแน่นอน
หยางหนิงรู้สึกว่าตัวเองดวงไม่ดี เหมือนจะมีดวง
มฤตยู คนที่พบเจอแต่ละคน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่
ตั้งใจ เหมือนกับว่าจะมาเอาชีวิตเขาทั้งนั้น
ในตอนนี้เอง ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้า ที่นี่...มี
ปัญหา!”
หยางหนิงได้ยินเสียงพูดดังมาจากข้างๆ ในใจก็
ตื่นกลัว คิดไว้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้เคลื่อนย้ายหญ้าแห้ง
ไป จะต้องเห็นร่องรอยกองไฟที่เขาปิดไว้แน่ๆ
ไม่ผิดจากที่คิดเสียงดัง “เช้ง” เมื่อมีคนบอกว่ามี
ปัญหา ก็มีคนชักดาบออกจากฝัก
“นี่น่าจะก่อขึ้นเมื่อคืนนี้” คนนั้นพูดขึ้น “น่าจะมอด
เมื่อสองสามชั่วโมงก่อน...ศาลเจ้านี้มีคนมาอยู่ก่อน
แล้ว” แล้วพูดอีกว่า “ใต้เท้า พวกเขาน่าจะออกไป
ในตอนเช้า น่าจะเพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก ก็เลยมา
หลบฝนที่นี่”
เสียงของคนมีอายุพูดขึ้นว่า “ที่นี่ลึกลับจะตายไป ใคร
ที่ไหนจะมาพักค้างคืน?” แล้วพูดเสียงเย็นยะเยือกว่า
“เจ้าบอกว่าพวกเขาไปตอนเช้า ข้าว่าไม่ใช่”
“ใต้เท้า ท่านหมายความว่า?”
“ค้นในศาลเจ้านี่ให้ละเอียด” เสียงของคนมีอายุสั่ง
อย่างดุดัน “ไม่ว่าใครก็ตาม ฆ่าให้หมด!”
หยางหนิงกามือแน่น เซียวกวงมีสีหน้าเปลี่ยนไป
เล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ทันใดนั้นก็มี
เสียงตกใจกลัวดังเข้ามาจากด้านนอกศาลเจ้า “ใต้เท้า
ใต้เท้า แย่แล้ว มีคน...มีคนตามมาแล้ว...!”
ตอนแรกพวกเขาเตรียมจะค้นศาลเจ้าแล้ว แต่เสียง
ของคนมีอายุพูดอย่างนิ่งๆ ว่า “ทุกคนอย่าแตกตื่น
ต้าเหมิง เอาเจ้านั่นมา...”
หยางหนิงรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ ในใจแอบคิดว่าทหาร
ที่ไล่ล่ามาได้ทันเวลาพอดี หากว่ามาช้ากว่านี้อีกหน่อย
เขากับเซียวกวงจะต้องถูกพบแน่ๆ
เสียงฝีเท้าดูวุ่นวาย เสียงของคนมีอายุพูดขึ้นมาว่า
“ทุกคนอย่ากลัว ตัวประกันอยู่ในมือ พวกเขาไม่กล้า
ทาอะไรเราหรอก” จากนั้นก็ออกคาสั่งต่อว่า “หากไม่
มีคาสั่งข้า อย่าทาอะไรวู่วาม”
หยางหนิงทนไม่ไหวยื่นหน้าออกไปมอง เห็นคนกลุ่ม
หนึ่งยืนรวมตัวกันอยู่ที่ปากประตู มีประมาณเจ็ดแปด
คน ในตอนนี้ทุกคนต่างถืออาวุธในมือ คนที่ยืนอยู่
หลังสุดเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่าคนอื่นเกือบเท่า
หนึ่ง ในมือของเขาจับถุงขนาดใหญ่ไว้ หยางหนิงคิด
ว่าน่าจะเป็นตัวประกันที่พวกเขาจับมา
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังขึ้น คนที่อยู่
ตรงปากประตูเหมือนจะตกใจ ต่างกระโดดหลบไป
ข้างหลังกาแพง
“เจ้าสวะ บอกให้ลงมือก็ลงมือสิ” มีคนตะโกนด่า
แล้วก็มีคนพูดว่า “ใต้เท้า เราทาไงดี?”
หยางหนิงเห็นคนที่ประตูล้มลงไปแล้วหนึ่งคน กาลัง
ดีดดิน้ อยู่บนพื้น คนที่อยู่ข้างๆ ลากคนที่ทรมานอยู่ไป
ไว้ข้างๆ เห็นหน้าอกของคนๆ นั้นมีศรธนูปักอยู่
เสียงของคนมีอายุพูดขึ้นมาด้วยความโกรธว่า “เรา
ปกปิดการเดินทางมาตลออดทาง พวกเขาตามมาได้
อย่างไร?”
หยางหนิงเห็นคนที่พูดสวมชุดสีเทายาว สวมหมวก
รูปร่างท้วมนิดหน่อย มองไปดูเหมือนคนมีเงินทั่วไป
สิ้นเสียงของชายอ้วน ก็ได้ยินเสียง “พรึ่บพรั่บ” ดังต่อ
กันไม่หยุด ลูกศรราวกับสายฝนพรั่งพรูเข้ามายังด้าน
ใน มีคนร้องขึ้นมาว่า “โอ๊ย” เหมือนกับว่าถูกยิง
หยางหนิงเห็นลูกธนูเยอะมาก ในใจก็คิดว่าคนที่
ตามมานั้นก็น่าจะมีจานวนไม่น้อยเลย คิดอีกว่าเจ้า
พวกนี่ก่อเรือ่ งใหญ่เข้าแล้ว ตัวเขาก็เหมือนติดร่างแห
ไปด้วย ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ออกไปจากศาลเจ้า
“คนข้างนอกฟังให้ดี…!” ชายอ้วนชุดเทาตะโกนว่า
“คนที่พวกเจ้าต้องการอยู่ในมือของเรา หยุดยิงซะ
ไม่งั้นเราจะฆ่าเขาทันที ทุกคนจะได้ตายพร้อมกัน
หมดในนี้”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 1 บทที่ 30 นัยน์ตาสองดวง
ชายอ้วนชุดเทาคิดว่าถ้าตะโกนไปแบบนี้แล้ว จะ
สามารถข่มขู่คนที่ยิงธนูได้ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อ
ตะโกนไปแบบนั้น ด้านนอกยิ่งยิงธนูเข้ามามากขึ้น
ประตูหน้าต่างต่างมีลูกธนูที่ยิงเข้ามา ทุกคนถูกลูกศร
กดจนไม่อาจจะเงยหน้าขึ้นมาได้
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจมาก ในใจคิดว่าคนด้านนอก
น่าจะตามสายลับเป่ยฮั่นกลุ่มนี้มาแน่ๆ เป้าหมายก็
น่าจะเพื่อช่วยตัวประกันที่พวกเขาจับมา
ตามหลักแล้ว ตัวประกันอยู่ในมือของสายลับ คนข้าง
นอกก็ไม่น่าจะยิงอาวุธเข้ามาหนักขนาดนี้ แต่
ในตอนนี้เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจว่าตัวประกันจะเป็น
หรือตายเลย
ชายอ้วนชุดเทาโกรธมาก ตะโกนออกไปว่า “หาก
พวกเจ้ายังไม่หยุด ข้าก็จะฆ่าเขาซะ”
เมื่อเขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงดัง “เพล้ง” ตรงหน้าต่างมี
เงาของคนพุ่งเข้ามา เคลื่อนที่ไวมาก หลังจากนั้นก็
ตวัดดาบสังหารคนที่อยู่ตรงใต้หน้าต่าง หลังจากนั้นก็
ได้ยินเสียงดังต่อเนื่องอีกหลายเสียง คนอีกหลายคน
มาจากช่องรูของศาลเจ้า ไม่พูดมาก เห็นคนก็ฟัน
อย่างเดียวเลย
ลูกธนูหยุดยิงแล้ว คนด้านนอกอาศัยเครื่องยิงธนู
แอบบุกเข้ามาในศาลเจ้า
สายลับเป่ยฮั่นเองถือดาบรับมืออยู่ในศาลเจ้า
พริบตาเดียวก็เกิดการต่อสู้กันของทั้งสองฝ่าย
หยางหนิงตกใจมาก แต่กลับรู้สึกว่าเซียวกวงกาลังดึง
ชายเสื้อของเขาเอาไว้ ก็เลยหันไปดู เห็นเซียวกวงยก
มือขึ้น ชี้ไปทางด้านหน้า หยางหนิงมองไปทางทิศที่
เขาชี้ เห็นที่มุมๆ หนึ่ง มีช่องอิฐแตกที่มีรูขนาดใหญ่
หยางหนิงเข้าใจความหมายของเซียวกวง
ในศาลเจ้าเกิดการต่อสู้อย่างหนักหน่วง หลบอยู่ที่หลัง
แท่นหิน ช้าเร็วก็ต้องถูกพบ ทั้งสองไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่
ควรไปยุ่ง ฉวยโอกาสในตอนนี้ ที่ยังไม่มีใครเจอหนีไป
ดีกว่า
เสียงร้องโหยหวนดังอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด
เรื่องนี้จะช้าไม่ได้ ด้วยนิสัยของหยางหนิง ก็พุ่งตัวไป
ยังสายตาของเซียวกวง เขาคลานไปกับพื้น เซียวกวง
เห็นหยางหนิงคลานไปกับพื้น ก็ตกใจขมวดคิ้ว แต่ก็รู้
ว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะไม่มีใครสังเกตเห็น เขาเลย
คลานด้วยเช่นกัน
ได้ยินเสียงของชายอ้วนชุดเทาว่า “พวกเจ้าเป็นใคร
กัน? ไม่อยากได้ชีวิตของเขางั้นหรือ?”
เห็นทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันอย่างหนักหน่วง ไม่มีใคร
สนใจเขาเลย ชายอ้วนชุดเทาแต่เดิมมีคนอยู่เจ็ดแปด
คน แต่ในตอนนี้ถูกฆ่าไปแล้วสามสี่คน อีกฝ่ายก็ถูก
สังหารไปสองคน
หยางหนิงคลายไปถึงมุม ยื่นมือไปยกอิฐที่ขวางรูออก
เซียวกวงเห็นดังนั้นก็เข้ามาช่วย ยกออกจนคน
สามารถรอดผ่านออกไปได้ หยางหนิงอยากให้
เซียวกวงออกไปก่อน เซียวกวงเองก็ไม่ได้เกรงใจ
รอดออกไปก่อน หยางหนิงรอดตามออกไป
เมื่อรอดออกมาจากรู ด้านนอกเป็นพื้นที่กว้าง
ด้านหลังของศาลเจ้าเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ ไม่ไกลนักมี
ป่าอยู่ ทั้งสองก็ไม่ได้สนใจเรื่องภายในศาลเจ้า
ลุกขึ้นมา แล้ววิ่งไปทางป่า
“จึก!”
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเซียวกวงร้องออกมา
หยางหนิงหันไปดู เห็นเซียวกวงล้มลงกับพื้น ขาของ
เขาถูกธนูยิง
หยางหนิงตกใจ หันไปดู เห็นด้านข้างมีคนสี่ห้าคนโผล่
ออกมา สองคนในกลุ่มนั้นยิงธนูมา อีกสามคนถือดาบ
กาลังวิ่งตามมา
“เจ้า...รีบหนีไป!” เซียวกวงเงยหน้ามองหยางหนิง
สีหน้าซีดเซียว “ไม่ต้อง...ไม่ต้องห่วงข้า...!”
หยางหนิงไม่พูดอะไรมาก เดินไปแบกเซียวกวงขึ้น
หลัง แล้วด่าว่า “เจ้าคนแซ่เซียว เจ้านี่มันตัวซวยจริงๆ
ข้าตามเจ้า มีแต่คนตามฆ่า” ด่าไปพลางแบกเซียวกวง
วิ่งไปทางป่า
ด้านหลังมีธนูอีกหลายดอกตามหลังมา หยางหนิงไม่
วิ่งทางตรงแต่วิ่งโค้งไปมา ไม่รู้ว่าเขาฉลาดหรือว่ามือ
ธนูสองคนนั้นฝีมือไม่ดี เพราะธนูยิงไม่ถูกหยางหนิง
เลย
“แย่แล้ว...!” เซียวกวงที่อยู่ด้านหลังร้องตะโกน
ออกมา “ระวังข้างหน้า!”
หยางหนิงแบกเซียวกวงก้มหน้าวิ่ง ได้ยินเซียวกวง
ตะโกนดังนั้น ก็เงยหน้าไปดู เห็นด้านหน้ามีชาย
สามคนถือดาบรออยู่ เขาตกใจ หยุดวิ่ง หันกลับไปดู
คนด้านหลังก็กาลังตามมา ในตอนนี้ไม่มีทางจะหนี
อีกแล้ว
หยางหนิงถอนหายใจยาวๆ เซียวกวงสีหน้าตื่นตกใจ
สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ
“เจ้าคนแซ่เซียว ข้าเข้าใจแล้ว...!” หยางหนิงยิ้ม
แหยๆ “คนพวกนี้ไม่ได้ตามฆ่าชาวเป่ยฮั่นนั่น แต่ว่า...
แต่ว่าตามฆ่าเจ้า”
“จากที่ดูแล้วเหมือนจะเป็นอย่างนั้น” เซียวกวง
กัดฟันพูด “ชาวเป่ยฮั่นพวกนั้นโชคร้ายเอง จริงสิ
สรุปแล้วเจ้าชื่ออะไรกันแน่ อย่ารอข้าตายก็ไม่รู้ชื่อ
จริงของเจ้าเลย”
หยางหนิงไม่ได้พูดดีด้วย “อย่าพูดมาก เจ้าจาไว้ เจ้า
ติดเงินข้าห้าร้อยตาลึงทอง ต่อให้ตาย เจ้าก็ห้าม
บิดพลิ้ว”
ตอนนี้คนด้านหน้าพุ่งตัวเข้ามา ต่างคนต่างตวัดดาบ
พุ่งเข้าฟันหยางหนิง เป็นการลงมือง่ายและได้ผลดี
หยางหนิงรู้ดีว่าไม่มีทางอื่นรับมือได้อีกแล้ว มีเพียงท่า
เดินทางอย่างเริงใจเท่านั้น
ท่าเดินทางอย่างเริงใจเมื่อเริ่มแล้ว มันก็แปลกจับทาง
ไม่ได้ ต่อให้มู่เซิ๋นจวินที่เป็นยอดฝีมือ ก็ยากที่จะจับ
ทางได้ แต่หยางหนิงก็รู้ว่า หากต้องรับมือสองคน
ข้างหน้านี้ ท่าเดินทางอย่างเริงใจอาจจะไม่สามารถ
หลบหลีกได้ แต่ว่าในเวลานี้หน้าหลังล้อมไว้เจ็ดแปด
คน รับมือได้ยากจริงๆ
คนๆ นั้นฟันดาบลงมา หยางหนิงไม่คิดอะไรมาก
เริ่มใช้ท่าเดินทางอย่างเริงใจ ก้าวแรกหลบคมดาบ
ของอีกฝ่ายได้ แทบจะไม่ได้คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะ
ฟันดาบลงมาต่อหรือไม่ ก็ก้าวเท้าด้วยท่าเดินทาง
อย่างเริงใจก้าวที่สอง
ในตอนนี้ข้างหลังเองก็มีคนฟันดาบมา แล้วหยางหนิง
ก็หลบได้ทัน
มือดาบห้าคนล้อมพวกเขาทั้งสองเอาไว้ตรงกลาง
แถมยังลงมือแบบไม่มีลังเลด้วย คนพวกนี้ลงมือ
เหี้ยมโหดมาก กะว่าจะเอาให้ตายเลย
เซียวกวงคิดว่าครั้งนี้ตายแน่นอนแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า
อีกฝ่ายฟันมากี่ที่ หยางหนิงก็สามารถหลบหลีกได้
อย่างกะภูตผีวิญญาณ ซ้ายทีขวาที อีกฝ่ายกาลังจะลง
ดาบ หยางหนิงก็เคลื่อนที่ด้วยวิชาแปลกๆ เอาตัวรอด
ได้ทุกครั้ง
“ระวัง...!” เหลือบไปเห็นดาบมาทั้งด้านซ้ายด้านขวา
เซียวกวงร้องด้วยความตกใจ หยางหนิงถอยหลังไป
หนึ่งก้าว มือดาบทั้งสองฟันกันเอง
ไม่ไกลนัก มือธนูสองคนก็ง้างคันธนูเตรียมยิงมาตรง
หยางหนิง แต่ว่าหยางหนิงก็เคลื่อนที่แปลกๆ ซ้ายที
ขวาที มือธนูทั้งสองเล็งไม่ถูกเลย ก็เลยไม่กล้ายิง
ออกไป เพราะกลัวจะโดนพวกเดียวกัน
มือดาบสลับกันลงมือ แต่ทุกครั้งก็พลาดเป้าตลอด
หลายคนรู้สึกประหลาดใจ แล้วก็เริ่มรู้สึกโกรธ
ถึงแม้ว่าหยางหนิงจะสามารถหลบลูกธนูของอีกฝ่าย
ได้หลายครั้ง แต่ตั้งแต่ต้นก็เคลื่อนที่ตามท่าเดินทาง
อย่างเริงใจ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย แต่หาก
เป็นอย่างนี้ต่อไป เกิดพวกเขาจับจุดได้ ก็กลัวว่า
อาจจะหลุดออกจากวงล้อมนี้ไม่ได้แน่ๆ เพราะ
มือดาบพวกนี้ฝีมือก็ไม่ธรรมดา เมื่อไหร่ก็ตามที่มี
คนพลาด คนที่เหลือก็จะสอดแทรกขึ้นมาทันที พวก
เขาสามารถล้อมพวกเขาสองคนเอาไว้ได้
หยางหนิงใช้เวลาฝึกท่าเดินทางอย่างเริงใจสั้นมาก
ถึงแม้จะคุ้นชินหลายกระบวนท่ามากแล้ว แต่
ในตอนนี้ก็ยื้อได้แค่นี้ ไม่ได้มีท่าไม้ตายอะไรมากกว่านี้
ถึงแม้เขาจะคุ้นเคยกับท่าเดินทางอย่างเริงใจ แต่
ท่าทางของเขาก็ดูไม่ดีเอาซะเลย มันไม่ได้ดูเท่ห์เลย
เหมือนคนเมาซะมากกว่า
ทันใดนั้นเองก็เห็นคนอีกหลายคนวิ่งออกมาจาก
ศาลเจ้า ในมือของคนพวกนั้นถือทั้งกระบี่ทั้งดาบ
หรือบ้างก็ถือธนู มีประมาณสิบกว่าคน ที่ดูไม่เร่งรีบ
ห่างไปไม่ไกล เห็นมือดาบห้าคนกาลังโจมตีใส่พวก
หยางหนิง คนพวกนั้นกลับมีความสุขที่จะดูอยู่เฉยๆ
เซียกวงเห็นทุกอย่าง สายตาของเขาดูจริงจังมาก
ในใจของเขารู้ดีว่า คนพวกนี้เป็นอย่างไร ความจริงมัน
ก็เป็นแบบนั้น ถึงแม้หยางหนิงจะมีวิชาสามารถหลบ
หลีกได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังอยู่ในวงล้อมของพวกเขา
อีกฝ่ายตอนนี้มีประมาณยี่สิบคนอยู่รอบๆ ด้วยแรง
ของหยางหนิงคนเดียว ยื้อเอาไว้ไม่ได้นานแน่
เมื่อไหร่ก็ตามที่หยางหนิงเริ่มเหนื่อย อีกฝ่ายก็จะเริ่ม
ลงมือจริงๆ ตอนนั้นก็จะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้า
ปากไป
ตามที่เซียวกวงคิด หยางหนิงก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
เขาเดินมานานมาก แต่สุดท้ายก็เงารอบๆ ตัวก็ไม่ได้
หายไป ในใจคิดว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ต้องรอให้
อีกฝ่ายมาฆ่าหรือก เขาก็จะเหนื่อยตายไปเอง
เหมือนเขาใช้ท่าเดินทางอย่างเริงใจครบหนึ่งรอบ ก็
กลับมายังจุดเดิม หยางหนิงก็หยุดเดิน เมื่อกาลังจะ
เดินอีกครั้ง ก็รู้สึกว่ามีรังสีดาบกาลังฟันมาที่เขา
หยางหนิงตกใจ จนต้องถอยหลังไป แต่การถอยหลัง
ของเขาครั้งนี้ มันไม่เหมือนท่าเดินทางอย่างเริงใจ
แบบปกติ เมื่อคิดจะหาจังหวะ ข้างๆ ตัวก็มีดาบฟัน
ลงมาอีก เซียวกวงรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ตะโกนออกไปว่า
“ระวัง ซ้ายมา...!”
หยางหนิงเริ่มโมโห ในใจคิดว่าตะโกนทาไม ข้าสับสน
ไปหมด ฝืนหลบไปข้างๆ อีกด้านก็ฟันลงมาอีก
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงดัง “เฮือก” แล้วก็ได้ยิน
เสียง “อ๊าก” หลังจากสองเสียงร้องจบลง หยางหนิง
ยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนได้ยินเสียงร้องไม่ไกล
นัก
เขาใช้หางตามองไป เห็นสองคนข้างๆ เขาที่ลงดาบมา
ล้มลงไปพร้อมกัน
หยางหนิงตกใจก่อน จากนั้นก็ดีใจ ฉวยโอกาสหลบไป
ทางด้านนั้น แล้วหาจังหวะจนเจอ แล้วใช่ท่าเดินทาง
อย่างเริงใจก้าวเดินอีก แต่คราวนี้ไม่มีดาบมา เขาเลย
ฉวยโอกาสหลบห่างออกไป
เขาดึงระยะให้ห่างออกมา แต่พบว่าพวกมือดาบไม่
ตามมา มันน่าแปลกมาก ในใจคิดว่าทาไมมือดาบสอง
คนนั้นจู่ๆ ก็ล้มลงแบบนั้น เหลือบไปมอง ก็เห็นว่า
บนคอของสองคนนั้นมีลูกธนูปักอยู่ ทิศของลูกธนูมัน
ยิงมาจากด้านหลัง
หยางหนิงดึงระยะออกมา แล้วหยุดเดิน กวาดสายตา
ไป เห็นเหล่ามือดาบมือธนูมองไปยังทิศทางเดียวกัน
หยางหนิงก็มองตามไป พบว่าห่างจากตัวเขาไม่กี่ก้าว
มีคนๆ หนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า โผล่มาอย่างกะวิญญาณ
ไม่รวู้ ่ามาเมื่อไหร่
คนๆ นั้นอยู่บนหลังม้า แต่ร่างกายของเขาดูออก
ชัดเจนว่ากายามาก ไม่ใช่วิญญาณแน่ มีหนวดเคราจน
เห็นรูปปากเป็นสี่เหลี่ยม จอนผมหนา ทาให้เห็นโครง
หน้าแค่ครึ่งเดียว
ถึงแม้ว่าเคราของเขาจะหนาจนบดบังใบหน้าไป
ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับ
คนที่เห็นเขาครั้งแรกได้ คนคนนั้นอยู่ไม่ไกลจาก
หยางหนิง สายตาของหยางหนิงที่มองเขามีความ
ประหลาดใจ นัยน์ตาของเขาแปลกประหลาดมาก
ราวกับว่าเขามีนัยน์ตาอยู่สองดวง
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 31 แยกจาก
นัยน์ตาสองดวงหมายถึงมีลูกตาดาด้านในสองดวง
ซึ่งมันแปลกประหลาดมาก หยางหนิงก็เคยได้ยินจาก
ในโลกก่อนมาบ้าง มันหาได้ยากมาก ตาม
ประวัติศาสตร์ก็จะมีต้าซุ่น เซี่ยงหวี
คนๆ นั้นกาธนูยาวในมือ คันธนูของเขามันยาวกว่า
มือธนูคนอื่นเกือบเท่าตัว นัยน์ตาสองดวงเย็นยะเยือก
เหลือบมามองหยางหนิง แล้วก็หันไปมองกลุ่มมือดาบ
และมือธนู
บรรยากาศเงียบราวกับความตายกาลังจะมาถึง เห็นมี
คนๆ หนึ่งยกมือเป็นสัญลักษณ์ง่ายๆ มือดาบสิบกว่า
คนขึ้นหน้าไป ยืนเป็นรูปครึ่งวงกลม ส่วนมือธนูก็เรียง
เป็นแถวแนวยาว ง้างคันธนู แต่ครั้งนี้เล็งไปที่ชาย
นัยน์ตาสองดวง
คนๆ นั้นกระตุกหนวดเครา สายตาแหลมคม
พริบตาเดียว ก็เอี้ยวตัวบังคับม้าหลบไปด้านข้าง
หยางหนิงเห็นอยู่เต็มตา เขาตกใจมาก คิดในใจว่า
คนๆ นี้มีทักษะการต่อสู้ที่เยี่ยมยอดมาก คนและม้า
แทบจะเหมือนอยู่ในร่างเดียวกันเลย ส่วนม้าตัวนั้นก็
เชื่องมากด้วย เมื่อเทียบกับม้าก่อนหน้านี้แล้ว มันดู
สง่าขนเงาดาสวยงามมาก
แทบจะเป็นช่วงเดียวกัน เหล่ามือธนูยิงลูกธนูออกมา
พร้อมกัน ชายนัยน์ตาสองดวงอยู่บนหลังม้าดูองอาจ
แต่การเคลื่อนที่ดูประหลาดรวดเร็ว สามารถหลบ
ลูกธนูได้อย่างพลิ้วไหว
ชายนัยน์ตาสองดวงใช้มือหยิบลูกธนูออกมาสองดอก
ง้างคันธนูออก แล้วดึง เสียง “เฟี้ยว” ดังขึ้น ลูกธนู
พุ่งออกไปสุดแรง
ลูกธนูสองดอกพุ่งออกไปพร้อมกัน หลังจากนั้นก็ได้
ยินเสียงคนร้องสองคน มือธนูสองคนเอามือจับไปที่
คอ แล้วก็ล้มลง พวกเขาถูกยิงไปที่คอหอย
อากาศดูอึมครึมขึ้นมาทันที
หยางหนิงรู้สึกตื่นกลัว เห็นชายนัยน์ตาสองดวงยิงธนู
สองดอกออกไป แล้วถูกเป้าทั้งสองดอก แทบไม่
อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย
ถึงแม้ในช่วงหลายวันมานี้ จะเจอทั้งมู่เซิ๋นจวินกับชาย
ชุดเทาที่เป็นยอดฝีมือ แต่ก็ยังดูห่างไกลจากวิชายิงธนู
ของคนๆ นี้มากนัก
เขารู้ดีว่า เหล่ามือดาบกับมือธนูพวกนี้ฝีมือไม่ธรรมดา
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายนัยน์ตาสองดวง ภายใน
ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทาให้ตายไปแล้วถึงสี่คน
สายตาของเขาดูเป็นประกายขึ้นมา คิดในใจว่าชาย
คนนี้ดูประหลาด แต่ก็เป็นคนเหนือคน เรื่อง
ความสามารถนี่แทบไม่ต้องพูดเลย
หลังจากนั้นในใจก็รู้สึกตื่นตระหนกอีกครั้ง คิดในใจว่า
ชายนัยน์ตาสองดวงก็ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู เมื่อกี้
เขายิงธนูฆ่ามือดาบไป ช่วยให้หลุดออกจากภาวะ
ความเสี่ยง เหมือนจะช่วยเหลือ แต่เขาคิดว่าตัวเขาไม่
น่าจะโชคดีอย่างนั้น คนๆ นี้ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่โดยไม่มี
สาเหตุ จะต้องมีเงื่อนงาอะไรแน่ๆ
ในตอนนี้เองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเซียวกวงยังอยู่ที่หลัง
ก็เลยวางเขาลงก่อน เซียวกวงนั่งอยู่ที่พื้น หยางหนิง
เห็นขาของเขามีลูกธนูปักอยู่ เลยถามว่า “ดึงออก
ก่อนไหม?”
เซียวกวงส่ายหัว หยางหนิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “เรา
สองคนนี่ดวงดีเนอะ เหมือนจะมียอดฝีมือมาช่วยเรา
ด้วย หวังว่าจะเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู ไม่งั้นเราแย่แน่”
เซียวกวงสงบลงเยอะมาก มองไปที่ชายนัยน์ตาสอง
ดวง แล้วยิ้ม พูดเบาๆ ว่า “ข้ารู้จักเขา!”
“อ่า?” หยางหนิงตกใจ แล้วรีบถามกลับว่า “เขาเป็น
ใครหรือ? ฝีมือยิงธนูของเขาสุดยอดมาก”
เซียวกวงเหมือนลืมไปแล้วว่าตัวเองถูกธนูยิงเข้าใส่
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป เขาไม่ใช่ศัตรูหรอก
เขาอยู่นี่ เราปลอดภัยแน่นอน”
หยางหนิงถามกลับ “เพื่อนเจ้าหรือ?”
เซียวกวงคิดไปครู่หนึ่ง แล้วถึงพูดขึ้นว่า “ก็ไม่เชิง
แต่ว่าน่าจะไม่ทาร้ายเราหรอก...!”
“น่าจะ?” หยางหนิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แม้แต่
ตัวเจ้ายังไม่มั่นใจ?” เขาดูจะตกใจ แต่กลับพบว่า
ห่างไปไม่ไกลนัก ด้านหลังตรงที่เหล่ามือดาบและ
มือธนูอยู่ เหมือนจะมีม้าอยู่สามตัวที่มาเหมือน
วิญญาณ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโผล่มากจากไหน บนหลัง
ม้ามีคนนั่งอยู่ แต่ละคนร่างกายกายามาก สวมชุด
เกราะหนังสีดา ตรงเอวมีดาบแขวนอยู่ ในมือถือ
คันธนู ด้านหลังสะพายลูกธนู
ฝักดาบของพวกเขาที่เอวดาสนิทเหมือนน้าหมึก มันดู
แตกต่างจากดาบทั่วไปมาก
ทันใดนั้นเอง มือธนูที่เหลือต่างเล็งเป้ามาที่เซียวกวง
ดึงคันธนูเตรียมยิงอย่างไม่ลังเล ลูกธนูพุ่งมาอย่างกับ
ฝนดาวตก เหมือนรู้ว่าจะรับมือกับชายนัยน์ตาสอง
ดวงไม่ได้ เลยจัดการกับเซียวกวงก่อน
หยางหนิงรู้สึกเหมือนจะมีลางไม่ดี หยางหนิงมองไป
เห็นลูกธนูที่กาลังพุ่งเข้ามาใส่ กาลังเปลี่ยนทิศทาง
ในใจก็สงสัย แต่หลังจากนั้นก็เห็นได้ชัดเจนขึ้น ไม่ใช่
เพราะบนลูกธนูมีตาโผล่มาหรอกนะ แต่หัวลูกศรมัน
กาลังเปลี่ยนทิศทางจริงๆ
เขาตกใจมาก เห็นชายดาบดาสามคนในมือง้างธนู
ออก ลูกธนูเหล่านี้ถูกคนพวกนั้นยิงเปลี่ยนทิศไป
ในตอนนี้เองเหล่ามือดาบถึงได้รู้ว่าด้านหลังมีคนอยู่
เหมือนพวกเขาจะตกใจกันมาก แต่ก็ไม่ได้เสียอาการ
หลังจากชายดาบดาสามคนยิงธนูออกมาแล้ว ก็หยิบ
ลูกธนูออกมายิงอีก คนในกลุ่มนั้นร้องด้วยความ
เจ็บปวด พริบตาเดียวพวกเขาก็ตายลง
เหล่ามือดาบมือธนูที่องอาจ จากนักล่าตอนนี้
กลายเป็นคนที่ถูกล่า ถึงแม้พวกเขาจะมีจานวนที่
เยอะกว่า แต่ในตอนนี้กลับไม่มีทางโต้ตอบได้เลย
หลังจากได้ยินเสียงร้อง มือดาบหลายคนก็เริ่มเปลี่ยน
เป้าหมายิ่งตรงไปยังเหล่านักรบดาบดา แต่คราวนี้
ทั้งสองคนกลับไม่ได้ยิงธนูออกไป แต่กลับชักดาบ
ออกมา ควบม้าวิ่งขึ้นมา การเคลื่อนไหวเฉียบขาด
เด็ดเดี่ยว ไร้ที่ติ
ทั้งสองฝ่ายอยู่ไม่ไกลกัน เหล่ามือดาบเห็นนักรบดาบ
ดาควบม้าพุ่งเข้ามา ต่างก็หยุดวิ่ง แล้วยกดาบแล้วฟัน
ไปที่ม้า
แสงสะท้อนของดาบสว่างขึ้นมา แต่กลับไม่ได้ยินเสียง
ปะทะกันของดาบเลย หยางหนิงเห็นแต่เหล่ามือดาบ
ที่เหมือนปลาที่นอนตายในแห นักรบดาบดาควบม้า
วิ่งผ่านตัวพวกเขา คนพวกนั้นล้มลงทั้งหมด
มีหลายคนดิ้นอยู่ที่พื้น จากนั้นก็แน่นิ่งไป
หยางหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ทักษะการขี่ม้ากับการ
ยิงธนูชายนัยน์ตาสองดวงคือที่สุด แต่ว่านักรบดาบดา
เองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ถึงแม้จะสู้ชายนัยน์ตาสอง
ดวงไม่ได้ แต่การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่วิถีการออกดาบ
นั้นเฉียบขาดน่าเกรงขามมาก
พริบตาเดียว นักรบดาบดาก็พุ่งเข้าหากลุ่มเหล่า
นักดาบแล้ว ตวัดดาบสองสามที เหล่ามือดาบที่เหลือ
อีกสิบกว่าคนก็เตลิดเปิดเปิงไปหมด รับมือแทบไม่ทัน
“เอ่อ...สามคนนั้นเจ้าก็รู้จักเหมือนกันหรือ?”
หยางหนิงเหลือบไปมองเซียวกวง “เซียวกวง เจ้ารู้จัก
คนพวกนี้จริงๆ หรือ แนะนาข้าให้รู้จักพวกเขาได้ไหม
ข้าอาจจะได้คารวะพวกเขาเป็นอาจารย์ของข้า”
คาพูดของเขาไม่ได้โกหก ไม่ว่าจะเป็นทักษะธนูหรือ
การขี่ม้า หยางหนิงรู้สึกนับถือแล้วก็ชื่นชมพวกเขา
มากจริงๆ ในใจคิดว่าหากตัวเขาสามารถได้สักครึ่ง
ของพวกวเขา ไม่ว่าจะต้องลาบากแค่ไหนเขาก็ยอม
เซียวกวงยังไม่ทันได้พูดอะไร หยางหนิงก็ได้ยินเสียง
ฝีเท้าม้า เมื่อหันไปดู ก็เห็นชายนัยน์ตาสองดวงขี่ม้า
มา เหลือระยะแค่คืบ
ชายนัยน์ตาสองดวงเข้ามาใกล้แล้ว เขาหยุดมาแล้ว
ลงมาจากหลังม้า
เมื่อกี้อยู่ไกลมาก แถมยังอยู่บนม้า หยางหนิงก็รู้สึกว่า
ชายคนนี้รูปร่างกายาสูงใหญ่ แต่ตอนนี้พออยู่ใกล้ๆ
ยืนอยู่ตรงหน้าเขา กลับรู้สึกว่าเขารูปร่างกายาสูงใหญ่
กว่าที่เขาคิดมาก ตัวเขาสูงแค่บริเวณหน้าอกเขา
เท่านั้น ชายคนนี้มีแต่กล้ามเนื้อทั่วตัว ดูแข็งแกร่ง
เหมือนเหล็ก
หยางหนิงกาลังจะยกมือขึ้นคารวะ ชายคนนั้นกลับ
ปัดมือของเขาออก อย่างไม่เกรงใจ
หยางหนิงรู้สึกว่ามือของคนๆ นี้แข็งเหมือนเหล็ก
มีแรงเยอะมาก แต่เมื่อถูกเขาทาแบบนี้ กาลังจะโกรธ
กลับเห็นชายคนนั้นยกตัวเซียวกวงขึ้นมา แล้วยกวาง
บนหลังม้าอย่างระวัดระวัง
หลังจากที่เซียวกวงขึ้นนั่งอยู่บนหลังม้าแล้ว เขาก็ชี้มือ
ไปที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “เขาเป็นเพื่อนข้า พาเขา
ไปด้วย!”
แต่ชายนัยน์ตาสองดวงขึ้นม้าไปแล้ว นั่งอยู่หลัง
เซียวกวง มือหนึ่งโอบเซียวกวงไว้ มือหนึ่งดึงเชือก
บังคับม้าไว้ ไม่มองหยางหนิงเลย แล้วพูดว่า
“เขาไม่ตายหรอก!” แล้วก็บังคับม้าไปเลย
หยางหนิงตกใจมาก แล้วพูดตอบกลับไปด้วยความ
โกรธว่า “เก่งมากนักหรือไงกัน รู้จักไหมมารยาทน่ะ?”
เซียวกวงหันหน้ากลับมาแล้วตะโกนว่า “เสี่ยวป๋ายทู่
เจ้าไปหาข้าที่เมืองหลวงนะ เจ้าต้องมาหาข้านะ...!”
ม้าตัวนั้นวิ่งไปเร็วมาก พริบตาเดียว ก็วิ่งหายไปแล้ว
หยางหินงวิ่งตามไปไม่กี่ก้าว สุดท้ายก็หยุด แล้ว
ตะโกนให้กับเงาที่กาลังจะลับหายไปว่า “เจ้าคนแซ่
เซียว เจ้าติดเงินข้าห้าร้อยตาลึงทองอย่าลืมล่ะ ต่อให้
สุดล่าฟ้าเขียว ก็ต้องชดใช้หนี้นะ” แล้วก็ยืนมองม้าวิ่ง
ห่างออกไปเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็มองไม่เห็นอะไรอีก
แล้ว
“ไม่มีน้าใจเอาซะเลย” หยางหนิงบ่น “ตัวสูงใหญ่แล้ว
จะไม่มีมารยาทได้ด้วยหรือ? ขอบอกขอบใจอะไร
สักคาก็ไม่มี ก็ไปซะอย่างนั้น ปีนี้มันอย่างไรเป็นคนดี
ทาคุณไม่ขึ้นเลยหรืออย่างไร แถมยังเกือบตายอีก
ต่างหาก ไม่มีอะไรดีสักอย่าง” ในใจรู้สึกไม่พอใจ
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงม้าวิ่งมา เมื่อหันไปมอง ก็เห็น
นักรบดาบดาคบม้าผ่านตัวเขาไป มองแทบไม่ทัน แต่
ควบไปตามทางของชายนัยน์ตาสองดวงนั่นไป
บนพื้นที่อันกว้างขวาง ศพนับสิบนอนเรียงรายเกลื่อน
ไปหมด ไม่มีใครพูดอะไรได้อีกแล้ว
หยางหนิงคิดในใจว่า เจ้าคนประหลาดนั่นมีตาเกินมา
ฝีมือเยี่ยมยอดไม่ใช่เรื่องโกหก พริบตาเดียว ก็ฆ่าหมด
ไม่มีเหลือแม้แต่ขนสักเส้น
แต่ว่าเจ้าคนพวกนี้ลงมือเหี้ยมโหด ฝีมือก็ใช่ย่อย ก็ไม่
รู้ว่าเป็นเทพอะไรมาจากไหนกัน? คนพวกนี้เหมือนจะ
มาช่วยเซียวกวงโดยเฉพาะ ก็ไม่รู้เซียวกวงเป็นใครกัน
แน่ ทาไมถึงมียอดฝีมือที่เก่งกาจแบบนี้มาช่วยได้
ด้านของศาลเจ้า ตอนนี้ก็เงียบกริบ หยางหนิงเดิน
กลับไปที่ศาลเจ้า เมื่อมองเข้าไปจากด้านนอก ภายใน
ศาลเจ้าไม่มีเสียงอะไรเลย แต่มีศพนอนเกลื่อนพื้น
เต็มไปหมด
เขาถือมีดไว้ในมือ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในศาลเจ้า
ถึงได้รู้ว่าเจ้าชายอ้วนชุดเทา กับเหล่าสายลับเป่ยฮั่น
ได้ตายอยู่ในศาลเจ้าทั้งหมด ภายในมีชายชุดดาสาม
คน ซึ่งก็น่าจะเป็นคนที่สายลับเป่ยฮั่นฆ่า
เมื่อเหลือบไปมองคนตัวใหญ่ที่ชื่อต้าเหมิงที่นั่งคอพับ
อยู่ที่แท่นหิน บนคอของเขามีรอยแผลขนาดใหญ่
มีร่องรอยของเลือดอยู่ น่าจะถูดฟันคอจนตาย
ตรงมือของเขา ถุงกระสอบขนาดใหญ่ถูกศพทับอยู่
มีธนูสองดอกปักอยู่บนถุง มันแสดงให้เห็นว่ายิงมั่วมา
โดนแน่นอน
หยางหนิงคิดในใจว่าพวกเจ้านี่มันดวงซวยจริงๆ คิด
จับตัวประกันกลับไปเป่ยฮั่นเพื่อรับการปูนบาเหน็จ
แต่ต้องมาตายหมด เพราะคนที่ตามฆ่าเซียวกวง ตาย
อย่างมีมลทินซะจริงๆ
เขาเดินเข้าไป แล้วลากศพที่ทับถุงกระสอบออก
ยื่นมือไปตบถุง ข้างในเป็นคนๆ หนึ่งจริงๆ ตอนนี้เขา
แน่นิ่งไม่ขยับ ลูกธนูสองดอกที่ปักอยู่มันยิงถูกคนที่อยู่
ข้างในแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าตายหรือยัง แต่ดูท่าแล้ว น่าจะ
โชคร้ายมากกว่าโชคดี
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 32 คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย
ในใจของหยางหนิงแปลกใจอยากรู้ว่าคนด้านในนั้น
เป็นใคร ได้ยินว่าชายอ้วนชุดเทาบอกว่าเป็นคนบ้า
คนหนึ่ง แต่กลับอาศัยคนบ้าๆ แบบนี้กลับเป่ยฮั่นเพื่อ
รับการปูนบาเหน็จ คิดว่าคนบ้าคนนี้ น่าจะมีประวัติ
ไม่ธรรมดา
มีดสั้นของเขาเปิดถุงออกอย่างง่ายดาย หน้าของคน
ในถุงโผล่ออกมา ธนูดอกหนึ่งปักไปที่หน้าอกของเขา
อีกดอกปักไปที่คอของเขา เมื่อเห็นจุดที่ธนูปักอยู่
โอกาสรอดของเขามันก็น้อยซะจนน่าสงสาร
เขายื่นมือไปที่จมูกเพื่อตรวจสอบว่าเขายังมีลมหายใจ
อยู่ไหม จมูกของเขาเย็นมาก ไม่มีลมหายใจเหลือแล้ว
ตายจนไม่รู้จะได้ตายอีกรอบหรือเปล่า
“เจ้านี่มันสุดยอดของความโชคร้ายเลยนะ”
หยางหนิงรู้สึกหดหู่ขึ้นมา ถูกจับยัดใส่ถุงไม่พอ
ยังถูกธนูยิงสองดอกตายไปอีก โชคร้ายจนไม่รู้จะ
โชคร้ายอย่างไรอีก
หยางหนิงมั่นใจแล้วว่าคนๆ นี้ตายแล้ว จึงตรวจดู
อย่างละเอียด คนๆ นี้มีรูปร่างพอๆ กับเขา แต่ผอม
กว่าหน่อย แต่ว่าสวมใส่เสื้อผ้าดีอยู่ เมื่อลูบไปที่เนื้อผ้า
ดูแล้วน่าจะเป็นของดี ตรงเอวมีสายรัดเข็มขัดสีม่วง
ดูแล้วก็น่าจะเป็นลูกบ้านผู้ดีมีตระกูลแน่นอน
ด้านบนดวงตาของเขามีผ้าปิดตาเอาไว้ จากที่ดูอายุก็
น่าจะพอๆ กับตัวเขาเอง
หยางหนิงใช้มีดสั้นกรีดเอาผ้าออกมา หน้าตาของ
คนๆ นั้นก็โผล่ออกมา เมื่อเห็นใบหน้าของเขา
หยางหนิงถึงกับร้อง “อ๊าก” ออกมา สีหน้าดูตกใจ
มาก
สีหน้าของเขาดูสะอาด หน้าตาดี ผิวสีซีดเซียว ดวงตา
ปิดสนิท แต่หยางหนิงกลับรู้สึกคุ้นหน้าเขาอย่างน่า
ประหลาด
ทันใดนั้นเอง หยางหนิงก็เก็บมีดเข้าไปในหน้าอก
ใช้มือทั้งสองข้างจับไปที่หน้าของตัวเอง สีหน้าท่าทาง
ดูตกใจมาก
หยางหนิงรู้จักหน้าตาของตัวเองดีทุกอย่าง โดยเฉพาะ
หลังจากที่ข้ามภพมาแล้ว หน้าตาเปลี่ยนไป วิญญาณ
ไปอยู่กับอีกร่างหนึ่ง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเท่าไร
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ตัวประกันที่อยู่ตรงหน้าเขา
หน้าตากับละม้ายคล้ายคลึงกับเขามาก เหมือนอย่าง
กับแกะ ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน
เรื่องนี้น่าแปลกมาก
เขานิ่งไปพักใหญ่ จึงเดินไปหากระถางภายในศาลเจ้า
แล้วเดินออกไปข้างนอก ไปตักน้าบ่อที่อยู่ใกล้ๆ กับ
ศาลเจ้ามาจนเต็ม แล้วเดินกลับเข้าไปในศาลเจ้าอีก
ครั้ง วางกระถางไว้บนพื้น แล้วมองไปที่ศพของตัว
ประกัน แล้วมองส่องตัวเองในน้านั้น
ไม่ว่าจะเป็นหน้าตรงส่วนไหน ก็เหมือนกันทั้งหมด
ก็เหมือนเป็นคนๆ เดียวกันเลย ความต่างเพียงอย่าง
เดียวของทั้งคู่ก็คือ สีผิวไม่เหมือนกัน ชายคนนี้น่าจะ
ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี สีผิวถึงได้ขาวเนียน ส่วนสีผิวของ
เขานั้นมีความเข้มกว่า
หยางหนิงนั่งลงกับพื้น รู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าแปลกมาก
หากจะบอกว่าหน้าคล้ายกัน มันก็คงเป็นเรื่องปกติ
เพราะบนโลกนี้มีคนหน้าเหมือนหน้าคล้ายเยอะแยะ
ไป
แต่เหมือนกันย่างกับแกะแบบนี้ มันหายากเกินไป
ยกเว้นเป็นแฝด
แต่ร่างของทั้งสองคนมันก็แตกต่างกัน คนหนึ่งเป็นลูก
ผู้ดีมีตระกูล อีกคนเป็นขอทานเร่ร่อน ฐานะแตกต่าง
กันราวฟ้ากับเหว
พูดได้แต่เพียงว่าโลกใบนี้ใหญ่หลวงนัก เรื่องแปลก
แบบนี้ ตัวเขากลับต้องมาเจอ
รอบๆ มีแต่ศพ กลิ่นเลือดคาวคลุ้งไปทั่ว ถึงหยางหนิง
จะกล้าขนาดไหนก็ตาม แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบาย
เขารู้ว่าที่นี่ห่างไกลมาก ศาลเจ้าแห่งนี้ก็ร้างมาหลายปี
ใกล้ๆ นี้คงไม่มีใครมา ครั้งนี้นอกศาลเจ้ามีศพโผล่มา
เกือบสิบศพ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่มีใครตรวจพบ
รอบๆ นี้คงมีหนอนแมลงไม่น้อย ไม่นานนัก ศพพวกนี้
ก็ต้องถูกกัดแทะไปจนถึงกระดูก
เมื่อเห็นคนที่เหมือนตัวเองอย่างกับแกะนอนตัวเย็น
เฉียบอยู่ที่พื้น ในใจหยางหนิงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“ถึงแม้เราจะไม่รู้จักกัน แต่ในเมื่อหน้าตาเหมือนกัน
ข้าก็คงไม่ทิ้งเจ้าไว้แบบนี้หรอกนะ” หยางหนิง
ถอนหายใจ “เจ้านี่มันก็โชคร้ายจริงๆ ตายอยู่ตรงนี้ไม่
รู้เรื่องอะไรเลย คงจะปล่อยให้สัตว์ป่ามาแทะศพแบบ
นี้ไม่ได้” คิดๆ ดูแล้ว ก็อุ้มศพขึ้นมา แล้ววิ่งไปป่า
ไม่ไกลจากศาลเจ้า
วางศพลง หยางหนิงกลับไปในศาลเจ้า หยิบมีดสั้น
ออกมา แล้วกลับเข้าป่าไผ่ไป แล้วพูดกับตัวเองว่า
“ที่นี่บรรยากาศไม่เลวเลย เงียบสงบดี เห็นว่าเจ้าน่า
สงสาร ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นศพร้างอยู่ในป่าหรอก
ข้าจะฝังเจ้าที่นี่ ถือว่าข้าทาบุญล่ะกัน หากวิญญาณ
เจ้ามีจริง อย่าเอาความซวยของเจ้ามาให้ข้าก็แล้วกัน
คุ้มครองข้ามากๆ หน่อย จริงสิ คุ้มครองข้าให้หา
เสี่ยวเตี๋ยให้เจอ ให้นางปลอดภัยดี”
เขาใช้มีด ขุดหลุมในป่าไผ่ ขณะที่กาลังจะเอาศพวาง
ในหลุม เขาก็คิด แล้วก็วางศพลงข้างๆก่อน ยกมือขึ้น
คารวะแล้วพูดว่า “น้องชาย ข้าฝังศพให้เจ้า ถือว่ามี
น้าใจกับเจ้ามากแล้ว เจ้าก็ตอบแทนอะไรไม่ได้ เจ้าดู
ทั่วทั้งตัวข้าสิ เสื้อผ้าขาดรุ่ยหมด เดินต่อไปแบบนี้คง
น่ารังเกียจมาก ในเมื่อเจ้าหลับสบายที่นี่ เสื้อผ้าพวกนี้
ก็ให้ข้าเอาไปด้วยเถอะนะ อะไรที่เจ้าไม่ได้ใช้แล้ว มัน
มีประโยชน์กับข้า” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอีกว่า
“เสื้อผ้าของเจ้าข้าขอยืมมาใส่ก่อนนะ รอข้ามีเงินแล้ว
จะกลับมาทาสุสานดีๆ ให้เจ้า”
ชุดของเขาเสื้อผ้าขาดรุ่ยอยู่แล้ว หลายวันมานี้บุกน้า
ลุยไฟมาก็เยอะ มันแทบจะไม่เหลือชิ้นดีแล้ว ผิวหนัง
ตามตัวของเขาโผล่ออกมาให้เห็น หากไม่เปลี่ยนชุด
อีก ตัวเขาเองก็จะทนไม่ไหวเอา
ถึงแม้จะบอกว่าศพมีมากมาย แต่เสื้อผ้าของคนที่นอน
เกลื่อนอยู่นั้นตัวใหญ่เกินไป มองแค่รูปร่าง หยางหนิง
รู้ว่าต่อให้ใส่เสื้อผ้าของพวกเขา จะต้องหลวมแน่นอน
หากใส่แบบนั้นเดินออกไป จะทาให้คนจับสังเกตได้
ถึงเสื้อผ้าของเจ้านี่จะดูหรูหราไปหน่อย แต่ว่ามันก็
พอดีตัวกับเขา คิดว่าใส่ออกไปคงไม่มีใครสังเกตแน่ๆ
เขาถอดเสื้อผ้าของตัวประกันที่ตายออก เนื้อผ้าดีมาก
แต่ว่าตรงหน้าอกมีรอยธนู เสื้อนอกเองก็มีรอยธนู
เช่นกัน ถึงเป็นแบบนั้น มันก็ดีกว่าเสื้อผ้าขาดๆ
ของเขาในตอนนี้แน่ๆ หยางหนิงก็เลยไม่ได้ใส่ใจมาก
ส่วนเสื้อตัวในนั้น อย่างไรซะก็เป็นของคนตาย นามา
ใส่แนบตัวคงไม่เหมาะนัก อีกอย่างคงไม่เหมาะที่จะให้
เขาเปลือยกายลงหลุมไปแบบนั้น
หลังจากที่ฝังศพที่ป่าไผ่แล้ว หยางหนิงก็ถือดาบสอง
เล่มไปที่ริมทะเลสาบ แล้วล้างดินล้างทรายออก ถึงได้
เปลี่ยนเสื้อผ้าในตอนนี้ แล้วส่องหน้าตัวเองในน้า
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง ชุดผ้าไหมนี้ดูมีสง่า
มาก
แต่ว่าผมเพ้ายังยุ่งเหยิงอยู่ หยางหนิงดึงสายคาดเสื้อ
ออกมาแล้วนาไปหมัดผม หลังจากนามีดสั้นไปล้างน้า
แล้ว แล้วมองไปรอบๆ ด้าน เมื่อคืนฝนตกหนักมาก
ไม่รู้เหมือนกันว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ตอนนี้ก็ไม่รู้
จริงๆ ว่าอยู่ที่ไหน แต่นึกขึ้นมาได้ทิศที่ชายนัยน์ตา
สองดวงพาเซียวกวงไปทางทิศตะวันออก ก็ไม่ลังเล ที่
จะเดินไปทางนั้น
ชุดผ้าไหม สบายกว่าชุดขาดรุ่ยที่เขาใส่ก่อนหน้านี้
เยอะเลย
ถึงวันนี้จะไม่มีฝนเทลงมาอย่างเมื่อวานนี้ แต่ท้องฟ้าก็
ไม่ได้สดใสขนาดนั้น เมฆหนายังคงลอยตัวอยู่ ท้องฟ้า
อึมครึม ไม่รู้ว่าจะมีฝนตกลงมาอีกหรือเปล่า
เดินไปไม่ถึงสองชั่วโมง ด้านหน้าไม่ไกลก็เห็นถนน
เล็กๆ เส้นหนึ่ง ยังคงไม่มีคน หยางหนิงคิดหาถนน
หลักที่จะไปเมืองหลวง แต่เมื่อคืนม้ามันวิ่งไม่มีทิศทาง
ในตอนนี้เลยไม่รู้เลยว่าทางหลักคือทางไหน ก็เลยเดิน
ไปตามทางเล็กๆ นั่น
หยางหนิงเดินไปครึ่งค่อนวัน ทันใดนั้นก็เลยได้ยิน
เสียงฝีเท้าม้า เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดู ก็เห็นม้าหลายตัว
กาลังวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
เดินมาตามทางเกือบครึ่งวัน ก็ยังไม่เจอใคร แต่ตอนนี้
กลับเจอคนขี้ม้ามาซะอย่างนั้น หยางหนิงรู้สึก
หงุดหงิดเล็กน้อย คิดในใจว่า ไม่รู้ว่าเป็นใคร หากเขา
สะดวก ก็อาจจะลองถามทางเขาดู แต่ก็คิดอีกว่าคงไม่
เจอคนแปลกๆ ที่ลากเขาไปเอี่ยวด้วยอีกหรอกนะ
คนที่เขาเจอในช่วงหลายวันมานี่ มีแต่คนแปลกๆ แต่
ไม่มีกรณีไหนเลยที่จะไม่ทาให้เขาไปเสี่ยง ขณะกาลัง
คิดอยู่นั้น ม้าหลายตัวนั้นก็เขามาใกล้เรื่อยๆ
ม้าที่วิ่งมามีหกตัว คนที่มากับม้าส่วนมากสวมชุด
แขนสั่นทะมัดทะแมง แต่มีคนๆ หนึ่งที่สวมแขนสั้น
ชุดดา เอวห้อยดาบ ดูดุร้ายมาก
หยางหนิงเห็นดังนั้น คิดว่าไม่น่าจะเป็นคนดีอะไร
หลบไปอีกทางดีกว่า ให้พวกเขาไปดีกว่า
ใครจะคิดว่าคนๆ นั้นจะบังคับม้าเข้ามาหยุดตรงหน้า
เขา หลังจากนั้นก็อีกหลายตัวที่เหลือก็หยุดตาม คนๆ
นั้นจ้องมาที่หยางหนิง สีหน้าท่าทางดูแปลกไป
หยางหนิงยิ้มแห้งในใจ จากนั้นก็เห็นว่ามีคนกระโดด
ลงจากม้ามา แล้วรีบเดินมาทางตน
พระเจ้าช่วย จะลงมือเลยหรือ
หยางหนิงเอามือไปซุกที่อก กามีดในมือแน่น ในใจคิด
ว่าอีกฝ่ายเป็นชายกายาหกคน เผชิญหน้าตรงๆ แบบ
นี้ ตัวเขารับมือไม่ได้แน่ๆ ในเมื่อกาลังสู้ไม่ได้ คงต้อง
ใช้ปัญญาอย่างเดียว
ชายหน้ายักษ์เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ นี่เป็นโอกาสที่ดี
คนๆ นี้เห็นเขาเป็นแค่เด็กหนุ่ม น่าจะไม่ได้มีการ
ป้องกันอะไรมาก ตัวเขาอาจจะสามารถยื้อเวลาไว้ได้
แล้วจับเขาเป็นตัวประกัน คนๆ อื่นก็อาจจะไม่กล้าทา
อะไร ตัวเขาก็อาจจะแย่งม้ามาได้สักตัว
เมื่อตัดสินใจดังนั้น เขาก็รอให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ๆ
ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ ตอนนี้มองเห็นได้อย่าง
ชัดเจนแล้ว หน้าด้านซ้ายของเขามีรอยบาก จริงๆ ที่
หน้าก็มีรอยแผลเต็มไปหมดอยู่แล้ว บวกกับรอยบาก
นี่อีก ดูแล้วโหดสุดๆ ไปเลย
เห็นชายร่างใหญ่อยู่ห่างจากตัวเองไม่ถึงสองก้าวแล้ว
หยางหนิงก็ยื่นมือออกไป ทันใดนั้นเองชายร่างใหญ่ก็
คุกเข่าลง แล้วทาความเคารพ “คารวะท่านซื่อจื่อ!”
คนด้านหลังก็เดินเข้ามาใกล้ คุกเข่าอยู่หลังชายร่าง
ใหญ่ แล้วพูดพร้อมกันว่า “คารวะท่านซื่อจื่อ!”
หยางหนิงตะลึง สมองว่างเปล่า
ชายหน้าบากเงยหน้ามามองหยางหนิงที่ยืนตะลึงอยู่
แต่ก็ไม่ได้รอให้หยางหนิงพูด เขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“ท่านซื่อจื่อ พวกข้าน้อยมาช่วยช้าเกินไป ทาให้ท่าน
ต้องลาบาก ข้าน้อยสมควรตาย ทรงลงอาญาด้วย”
หยางหนิงกระพริบตา เพียงแต่คิดไม่ถึง พูดด้วย
น้าเสียงติดๆขัดๆ “พวกเจ้า...พวกเจ้าพูดอะไรนะ?
ข้า...!” ตอนนี้เขาไม่รู้จริงๆ ว่าต้องพูดอะไร
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 33 ไม่ได้ตั้งใจ
ชายหน้าบากลุกขึ้นยืน แล้วหันมาพูดว่า “ซื่อจื่อคงหิว
แน่ๆ เร็วเอาอาหารแห้งกับน้้ามาเร็ว” แล้วถาม
หยางหนิงว่า “หรือว่าท่านซื่อจื่ออยากดื่มเหล้า?”
หยางหนิงดึงสติกลับมา สมองก็เริ่มแล่น ก็เริ่มเข้าใจ
เหตุที่มาที่ไป
ไม่ต้องสงสัยเลย คนพวกนี้จ้าผิดคน หากตัวเองเดา
ไม่ผดิ ซื่อจื่อตัวจริง ก็น่าจะเป็นคนที่เขาจับฝังที่ป่าไผ่
ไปเมื่อกี้
ตัวเขามีหน้าตาเหมือนกับตัวประกันเมื่อกี้อย่างกับ
แกะ อีกทั้งตัวเขายังใส่ชุดของเขาอีก ไม่แปลกที่พวก
เขาจะจ้าผิดคน
ในชาติภพก่อนเขาเองก็สนใจเรื่องประวัติศาสตร์อยู่
แล้ว อ่านหนังสือมาก็ไม่น้อย การเรียก “ซื่อจื่อ”
แบบนี้เขาก็เคยชินอยู่
ซื่อจื่อคือลูกชายคนแรกของโอรสสวรรค์ ท่านอ๋อง
ท่านโหวหรือผู้สืบสกุลหรือต้าแหน่ง แต่ผู้สืบทอด
ต้าแหน่งของโอรสสวรรค์นั้น คนส่วนใหญ่จะเรียกว่า
รัชทายาท ส่วนบรรดาผู้สืบสกุลของท่านอ๋อง
ท่านโหว จะเรียกว่าซื่อจื่อ
หยางหนิงถึงแม้จะดูออกว่าตัวประกันเกิดในบ้านผู้ดีมี
ตระกูล แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นถึงซื่อจื่อ แต่เมื่อคิด
อีกที ก็คงต้องเป็นซื่อจื่อแล้ว เพราะไม่งั้นพวก
สายลับเป่ยฮั่นคงไม่จับเขาไปแลกกับบ้าเหน็จหรอก
“ซื่อจื่อ?” ชายร่างใหญ่เรียกตอนที่หยางหนิงก้าลังคิด
เขาเงยหน้าขึ้น “อ่า” ชายหน้าบากสีหน้าเต็มไปด้วย
ความเคารพ เหมือนรูปร่างสูงใหญ่เกินไป ท้าให้
หยางหนิงรู้สึกกดดัน เลยโค้งตัวลงมา ยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่านซื่อจื่อจะดื่มเหล้าไหม?”
ถึงแม้สีหน้าของเขาจะมีรอยยิ้ม แต่หน้าบากๆ ของ
เขา มันน่าเกลียดกว่าหน้าร้องไห้อีก
หยางหนิงยิ้ม แล้วถามว่า “มี...มีเหล้าด้วย?” ในใจ
ของเขาคิดว่า คนพวกนี้จ้าคนผิดว่าเขาเป็นซื่อจื่อ
หากตอนนี้บอกพวกเขาไปว่าจ้าผิดคน คนพวกนี้ก็
จะต้องตามหาความจริงจนถึงศพนั่น ตอนนี้ตัวเขา
ถอยไม่ได้แล้ว ไม่งั้นจะโดนพวกเขาบีบจนไร้หนทาง
หากพาพวกเขาไปที่จุดฝังศพ คนพวกนี้จะเชื่อหรือว่า
เขากับซื่อจื่อไม่เกี่ยวข้องกัน?
อย่างไรซะตัวเขาก็สวมใส่ชุดของซื่อจื่ออยู่ พวกเขาไม่
มีทางเชื่อในค้าพูดของเขาได้แน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่
อยู่ในเหตุการณ์ในตอนนั้นก็ตายไปจนหมด นอกจาก
ตัวเขาแล้ว อีกคนที่รู้เรื่องการจับตัวประกันคือ
เซียวกวง แต่เซียวกวงก็ไม่รู้ไปไหนแล้ว ตอนนี้ตัวเขา
เหมือนน้้าท่วมปาก
ในตอนนี้ ตัวเขาไม่สามารถบอกความจริงกับพวกเขา
ได้ คงต้องปล่อยไปตามน้้าก่อน
อีกอย่างตัวเขาก็ไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาของ
ซื่อจื่อคนนี้เลย หากท้าอะไรไปไม่ระวัง ผลที่ตามมานี่
ไม่อยากจะคิดเลย
สถานการณ์ตอนนี้ ท้าอะไรต้องระวังให้มาก
พูดให้น้อยเป็นดีที่สุด
สิ่งที่รู้เพียงอย่างเดียวเกี่ยวกับซื่อจื่อคนนี้ เหมือน
ชายอ้วนชุดเทาบอกว่าเขาเป็นคนบ้า แต่ว่าบ้าถึง
ขั้นไหน ไม่รู้จริงๆ
แต่ว่าหยางหนิงเชื่อว่าซื่อจื่อคนนี้น่าจะไม่ได้บ้าจริงๆ
หรืออาจจะเป็นแค่ครึ่งเดียว หากเป็นบ้าจริงๆ จะเป็น
ถึงซื่อจื่อได้อย่างไรกันล่ะ?
ส่วนคนที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมด หากเดาไม่ผิด ก็น่าจะเป็น
คนของซื่อจื่อ ชายหน้าบากเอ่ยปากถาม แสดงว่าคงรู้
ว่าซื่อจื่อพูดคุยสื่อสารได้ เหมือนจะชอบดื่มเหล้า ไม่
งั้นชายหน้าบากคงไม่ถามว่าจะกินเหล้าไหมหรอก?
เมื่อได้ยินหยางหนิงถามว่ามีเหล้าหรือ ชายหน้าบากก็
ยิ้มแล้วพูดว่า “มี มี มี เรามีเหล้า” แล้วรีบหันไปพูด
ว่า “ฉีเฟิง รีบไปเอาเหล้ามาเร็ว จริงสิ ซื่อจื่อท่านคง
เหนื่อยมากแล้ว รีบไปเอาที่นั่งมาเร็วเข้า”
คนที่เหลือรีบไปท้าตามค้าสั่ง บางคนไปเอาอาหาร
บางคนไปเอาเหล้ามา บางคนก็ไปเอาที่นั่งมาจากหลัง
ม้า แล้วมาวางเอาไว้ตรงพื้น ให้หยางหนิงนั่ง
ตั้งแต่หยางหนิงข้ามภพมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรก
ที่ได้รับการดูแลแบบนี้ ท้าให้รู้สึกแปลกๆ
ที่นั่งหลังอานม้าเหมือนจะถูกถอดมาจนหมด มีสอง
ตัวเอามาวางอาหารกับเหล้า ตัวอื่นก็วางไว้ใต้ก้น
ของหยางหนิง
หลังจากหยางหนิงนั่งแล้ว อาหารและเหล้าก็มาพร้อม
ตรงหน้า นอกจากอาหารแห้งแล้ว ก็มีปีกไก่สองชิ้น
กับเนื้อวัวห่อใหญ่ แต่ว่ามันเย็นหมดแล้ว ด้านบนมี
ไขเกาะหมดแล้ว
หลังจากที่หยางหนิงข้ามภพมา จนถึงตอนนี้ยังไม่เคย
ได้กินเนื้อสัตว์เลย เมื่อตอนนี้ได้เห็น ก็ไม่ได้สนใจว่า
มันจะมีไขเกาะหรือเปล่า ใช้มือจับปีกไก่ขึ้นมาก็กิน
ทุกคนล้อมอยู่รอบตัวหยางหนิง ดูหยางหนิงอึกๆ
อักๆ สีหน้าดูตื่นเต้น ชายหน้าบากก็มองไปที่ชายผอม
คนหนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีเฟิง เจ้าดูสิ ซื่อจื่อหิวจริงๆ
ด้วย” หยิบถุงเหล้าออกมา แล้วเปิดจุกออก ยื่นมา
ให้หยางหนิงสองมือ “ท่านซื่อจื่อ ค่อยๆ กินนะ
มีอีกเยอะเลย มา ดื่มเหล้าหน่อย”
หยางหนิงรับเอาเหล้ามา แล้วก็ดื่มมันเข้าไป ตอนเข้า
ปากมันแรงนิดหน่อย แต่ว่ากลิ่นเหล้ามันหอมมาก
เมื่อวางถุงเหล้าลง ก็ยัดเอาปีกไก่เข้าปากไป พูดอะไร
ฟังไม่รู้เรื่อง “พวกเจ้า...พวกเจ้านี่มันก็อารมณ์สุนทรี
จริงๆ นะ ออกมาข้างนอกยังพกไก่กับเหล้าด้วย...!”
เขาแค่พูดออกมาอย่างนั้น แต่สีหน้าของคนอื่นๆ นั้น
เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ชายหน้าบากรีบพูดขึ้นมาว่า
“ท่านซื่อจื่อ เรา...เรารู้ว่าท่านถูกคนจับตัวไป ก็รีบส่ง
คนแยกกันออกตามหา ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้ช้าเลย ต่อให้
ต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องตามหาท่านให้ได้ เพื่อให้ท่าน
ปลอดภัย...!”
ในใจหยางหนิงคิดว่าปลอดภัยบ้าอะไรกัน ซื่อจื่อของ
พวกเจ้าตายลงหลุมไปแล้วนั่น รอพวกเจ้าหาจนเจอ
ศพคงเหลือแต่กระดูกแล้ว
ชายหน้าบากยังคงอธิบายต่อไป “เราพบเบาะแส
ระหว่างทาง คาดว่าซื่อจื่อน่าจะถูกจับตัวมาทางนี้
ดังนั้นจึงค้นหาตลอดทั้งวัน แต่ว่า...แต่ว่าเพื่อรักษา
พลังงานกับสติ ก็เลยซื้อของพวกนี้ระหว่างทาง จริงๆ
...จริงๆ แล้วก็เพื่อที่ว่าเมื่อเจอท่านแล้ว ท่านจะได้มี
อะไรกิน…!”
ฉีเฟิงที่อยู่ข้างๆ รีบพูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ พี่รองต้วน
ไม่ได้โกหกนะ หลังจากออกจากเมืองหลวง เราก็
ควบม้าตามหาท่านกันตลอดทั้งวันทั้งคืน พี่รองต้วน
แทบจะใช้น้าตาล้างหน้าอยู่แล้ว บอกตลอดว่าหากหา
ท่านไม่พบ เขาก็จะไม่กลับเมืองหลวง...!”
เมื่อหยางหนิงได้ยินค้าว่า “ใช้น้าตาล้างหน้าแทน”
ก้าลังจะดื่มเหล้าเข้าปากไป ก็พ้นออกมา เหล้า
ทั้งหมดพ้นใส่หน้าของชายหน้าบากเต็มๆ
ทุกคนต่างตะลึง ชายหน้าบากยกมือขึ้นเช็ดเหล้า แล้ว
หันไปตบบ่าของฉีเฟิง แล้วพูดเบาๆ ว่า “เรื่องแบบนี้ก็
ไม่จ้าเป็นเล่าให้ซื่อจื่อฟังหรอก วันนี้ตามหาซื่อจื่อ
เจอแล้ว มันส้าคัญกว่าอะไรทั้งหมด”
แต่ฉีเฟิงกลับบอกว่า “พี่รองต้วน ข้าก็แค่พูดความจริง
ท่านเป็นห่วงซื่อจื่อตลอดเวลา เรื่องแค่นี้เราพูดไม่ได้
เลยหรือ? ท่านจงรักภักดีกับซื่อจื่อ ถามพี่น้องของเรา
ทุกคนมีใครไม่รู้บ้างล่ะ? ซื่อจื่อ ที่พี่รองต้วนซื้อของ
พวกนี้มา จริงๆ ก็เพื่อจะเอามาบ้ารุงร่างกายท่าน
ตัวเขาเอง...ตัวเขาเองไม่ได้กินอะไรดีๆ มาหลายวัน
แล้ว” เขาพูดอยู่ตลอดเวลาท่าทีอ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรง
สีหน้าของหยางหนิงบ่งบอกถึงความเจ้าเล่ห์ สีหน้า
ท่าทางของชายหน้าบาก ดูไม่เหมือนคนที่ไม่หลับ
ไม่นอนหลายวัน ยิ่งไม่เหมือนคนที่ไม่ได้กินอะไรมา
หลายวันด้วย
ชายหน้าบากยื่นมือไปจับมือของฉีเฟิง ดวงตาเริ่ม
แดงก่้า “น้องฉีเฟิง เจ้า...ข้าจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว
ต่อจากนี้ข้ากับเจ้าจะร่วมเป็นร่วมตายกัน!”
ฉีเฟิงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “พี่รองต้วน ท่านติดข้าอยู่
สิบต้าลึง กลับไปเมืองหลวงแล้วจะ...?”
ชายหน้าบากรีบพูดขัดขึ้นมา แล้วพูดด้วยเสียงทุ่มๆ
ว่า “จ้าวอู๋ชางเจ้าพาคนสองคนไปดูรอบๆ นี้ซิ ดูว่ายัง
มีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่า ระวังเอาไว้ก่อนเป็นดี”
ชายร่างใหญ่คนหนึ่งรับค้าสั่ง แล้วพาอีกสี่คนไป
ส้ารวจรอบๆ
“เจ้าแซ่ต้วนงั้นหรือ?” หยางหนิงจัดการไก่ไปได้เกิน
ครึ่งแล้ว ดื่มเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ แล้วจ้องไปที่ชายหน้า
บากแล้วถามว่า
ชายหน้าบากเหมือนจะตกใจไม่คิดว่าหยางหนิงจะ
ถามอะไรแบบนี้กับเขา เขาถามกลับด้วยความไม่
เข้าใจ “ซื่อจื่อ นี่ท่าน...ท่านลืมข้าน้อยไปแล้วหรือ?”
หยางหนิงยกนิ้วขึ้นมาชี้มาที่หัวของตัวเอง “หลายวัน
มานี่ข้าสลบสะลึมสะลือ จ้าอะไรไม่ค่อยได้ แต่เห็นเจ้า
หน้าคุ้นๆ แต่ว่านึกชื่อของเจ้าไม่ออก”
ชายหน้าบากรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “ข้าน้อยต้วน
ชางไห่ อยู่ในจวนมานานหลายปี ซื่อจื่อนึกออกไหม?”
“ต้วนชางไห่?” หยางหนิงพูดชื่อซ้้า ยิ้มแล้วพูดว่า
“ชื่อนี้ดี”
“ขอบคุณซื่อจื่อที่ทรงชม” ชายหน้าบากยิ้มแล้วพูดว่า
“ชื่อนี้เป็นชือ่ ตอนที่ท่านแม่ทัพยังมีชีวิตอยู่เป็นคนตั้ง
ให้กับข้าน้อยเอง ข้าน้อยก็รู้สึกว่ามันเพราะดี”
“แม่ทัพ?” หยางหนิงถามอย่างสงสัย : “แม่ทัพ
คนไหน?”
ชายหน้าบากต้วนชางไห่ยิ้ม เหมือนจะเขินๆ “ท่าน
ซื่อจื่อ ท่าน...ท่านคงไม่ลืมท่านแม่ทัพเหว่ยด้วยหรอก
จริงไหม? นั่น...นั่นท่านพ่อของท่านเองนะ”
ครั้งนี้หยางหนิงตกใจมาก ในใจคิดว่าที่แท้พ่อของ
ซื่อจื่อเป็นถึงแม่ทัพ “อ่อ” แล้วพูดว่า “ที่แท้พ่อของ
ข้าแซ่เหว่ยงั้นหรือ!”
ต้วนชางไห่ได้ยินดังนั้นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
แล้วอธิบายต่อว่า “ท่านซื่อจื่อจ้าผิดแล้ว ท่านแม่ทัพ
ไม่ได้แซ่เหว่ย แต่แซ่ฉี แม่ทัพเหว่ยเป็นหนึ่งในสาม
มหาเสนาบดีสูงสุดต้าแหน่งซานกง ในต้าแหน่งซานกง
นอกจากแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพเปียวฉี แม่ทัพเชอฉีที่เป็น
ขุนนางขั้นหนึ่งแล้ว แม่ทัพเหว่ยก็เป็นขุนนางขั้นสอง
แม่ทัพเหว่ยเป็นชื่อต้าแหน่งของท่านพ่อของท่าน!”
หยางหนิงเพิ่งจะเข้าใจ ในใจรู้สึกเขินๆ นิดหน่อย แต่
ก็ตกใจพอสมควร คิดในใจว่าพ่อของซื่อจื่อนี่เป็นถึง
แม่ทัพเหว่ยขุนนางขั้นสองเลย ดูท่าภูมิหลังคงมีอะไร
แน่นอน
ต้วนชางไห่เห็นหยางหนิงเหมือนก้าลังคิดอะไรอยู่
อดไม่ได้ที่จะชี้ไปที่ฉีเฟิงที่อยู่ข้างๆ แล้วถามว่า
“ซื่อจื่อ ท่านจ้าได้ไหมว่าเขาเป็นใคร? รู้หรือเปล่าว่า
เขาชื่ออะไร?”
หยางหนิงพูดว่า “เขาชื่อฉีเฟิงไม่ใช่หรือ?”
“ซื่อจื่อฉลาดยิ่งนัก!” ต้วนชางไห่เบาใจ “ที่แท้ท่าน
ซื่อจื่อยังจ้าเขาได้”
หยางหนิงพูดว่า “ก็เมื่อกี้เจ้าเรียกเขาว่าฉีเฟิงไม่ใช่
หรือ?”
ต้วนชางไห่ตะลึงไป แล้วก็เริ่มท้าอะไรไม่ถูก ฉีเฟิง
ดึงชายเสื้อเขา แล้วส่งสายตาให้ ต้วนชางไห่เหมือนจะ
รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แล้วมองไปที่ซื่อจื่อแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อค่อยๆ กินนะ ไม่ต้องรีบ!” แล้วเดินไปข้างๆ
ฉีเฟิง หยางหนิงนั่งกินอย่างเมามันส์ แล้วก็แอบฟังที่
พวกเขาคุยกัน
ฉีเฟิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “พี่รองต้วน ท่านไม่ใช่ไม่รู้
หากเรื่องอะไรที่ซับซ้อนมากๆ ซื่อจื่อก็จะเริ่มมึน ยิ่ง
พูดก็จะยิ่งไม่รู้เรื่อง เราอย่าพูดมากเลยดีกว่า ข้าว่า
ซื่อจื่อล้าบากมาหลายวัน คงตกใจไม่น้อย ดังนั้นสมอง
อาจจะงงๆ ไปบ้าง”
“มิน่าแม้แต่ข้าซื่อจื่อก็จ้าไม่ได้” ต้วนชางไห่พยักหน้า
เบาๆ “ในเมื่อเจอตัวซื่อจื่อแล้ว เราก็วางใจ รีบกลับ
ไปดีกว่า ไม่งั้นไท่ฟูเหรินกับฮูหยินสามจะเป็นห่วง
เอา” ทันใดนั้นเองก็ขมวดคิ้ว แล้วเหลือบมามอง
หยางหนิง เห็นหยางหนิงมุ่งมั่นอยู่ที่ของกิน ก็กดเสียง
เบาๆ ว่า “ฉีเฟิง เจ้าว่าซื่อจื่อหนีออกมาได้อย่างไร?
ท้าไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 34 ค่ายดาบดา
ต้วนชางไห่คิดไปครู่หนึ่ง แล้วหันหลังไป นั่งยองๆ
ข้างๆ หยางหนิง ยิ้มแล้วถามว่า “ซื่อจื่อ รสชาติถูก
ปากหรือไม่?”
หยางหนิงพยักหน้าแบบมึนๆ คิดในใจว่าหากเจ้านี่
ไล่จี้ไม่หยุดตัวเขาจะเอาตัวรอดอย่างไรดี ก็ไม่ผิด
ต้วนชางไห่ถามจริงๆ “ท่านซื่อจื่อ โจรที่ลักพาตัวท่าน
มา ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
“โจรลักพาตัว?” หยางหนิงกินไก่เสร็จแล้ว เขากินเร็ว
มาก ตอนนี้ก็อิ่มจนจุก เรอออกมาด้วย ต้วนชางไห่รีบ
พูดว่า “ฉีเฟิง เอาผ้ามาเร็ว”
ฉีเฟิงรีบเอาผ้าเช็ดมือออกมา หยางหนิงรับมันไป แล้ว
ก็เช็ดคราบไขมันออก แล้วพูดว่า “เจ้าถามว่าพวกโจร
ลักพาตัวอยู่ไหนใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว” ต้วนชางไห่พูดว่า “ซื่อจื่อหนีออกมาได้
อย่างไร? ตอนเรากลับไป เราต้องมีเหตุผลกลับไป
รายงาน”
หยางหนิงกล่าวว่า “ตายแล้ว ตายหมดแล้ว”
“ตายแล้ว?” ต้วนชางไห่ตะลึงไป “ท่านซื่อจื่อ ท่าน...
ท่านหมายความว่า พวกที่จับท่านมาตายหมดแล้ว
หรือ?”
หยางหนิงพยักหน้า ฉีเฟิงทนไม่ไหวถามขึ้นมาว่า
“ท่านซื่อจื่อ พวกเขาตายอย่างไร? คงไม่ใช่ว่า...
คงไม่ใช่ว่าท่านซื่อจื่อสังหารพวกเขาใช่ไหม”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขามีตั้งหลายคน ข้าจะ
ไปสังหารพวกเขาได้อย่างไร? พวกเขาโดนคนอื่นฆ่า”
ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงมองตากัน รู้สึกสงสัย แล้วถาม
อย่างระวังว่า “ซื่อจื่อ ท่านบอกว่าคนอื่น พวกมันเป็น
ใครหรือ? หรือว่า...หรือว่ามีคนมาช่วยท่าน?”
หยางหนิงรู้ดีว่าคนพวกนี้นั้นออกมาช่วยตัวเขา
หลังจากกลับไปก็ต้องมีอะไรกลับไปรายงาน เพื่อให้
ตัวเองไม่เสี่ยง ช่วยอย่างไรก็ต้องมีที่มาที่ไป
“ตอนข้าฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ตายหมดแล้ว”
หยางหนิงเตรียมคาตอบไว้พร้อมแล้ว “พวกเจ้าจะไป
ดูศพคนพวกนั้นไหมล่ะ?”
ต้วนชางไห่ตะลึง ลังเลครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าแล้วพูด
ว่า “ซื่อจื่อ ท่านจาได้ใช่ไหมว่าคนพวกนั้นตายที่ไหน?
เราจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครจับตัวท่านมา เพื่อที่ต่อไปเรา
จะได้ป้องกันให้มากขึ้น”
หยางหนิงรู้ดีว่าหากไม่พาพวกเขาไปดูศพ พวกเขาคง
ไม่ยอมเลิกราแน่ๆ ส่วนตัวเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะ
ปฏิเสธพวกเขา แล้วก็คิดว่าเขานาศพของซื่อจื่อ
ตัวจริงฝังอยู่ที่ป่าไม่ไผ่ หากพาเขาไปแล้ว เกิดพวกเขา
พบเข้าจะทาอย่างไร ขณะที่กาลังลังเล ก็ได้ยินเสีย
ฝีเท้าม้า คนที่ส่งไปสารวจรอบๆ กลับมาแล้ว
“ซื่อจื่อ หากท่านทานเรียบร้อยแล้ว เราไปดูกัน
สักหน่อย” ต้วนชางไห่พูดอย่างระมัดระวัง
หยางหนิงลังเล แต่สุดท้ายก็พยักหน้า คนที่เหลือก็ไม่
รอช้าให้เสียเวลา รีบเก็บข้าวของ ต้วนชางไห่ให้คนส่ง
ม้ามาให้หยางหนิงหนึ่งตัว
หยางหนิงรู้ดีว่าคนพวกนี้ไม่น่าจะสงสัยในสถานะของ
เขา ขอแค่สามารถหาที่มาการเอาตัวรอดมาได้ก็พอ
ต้วนชางไห่ยังให้คนส่งม้ามาให้เขาตัวหนึ่ง งั้นแสดงว่า
ซื่อจื่อขี่ม้าเป็น เขาเองก็ไม่ได้เกรงใจ กระโดดขึ้นม้าไป
แล้วนาทาง
ในใจเขาคานวณเอาไว้หมดแล้ว ตัวเขาสามารถทาให้
พวกเขาเลี่ยงทางป่าไผ่ได้ แต่หากถูกคนพวกนี้พบ
หลุมศพจริง พวกเขาจะต้องเจอศพหลังจากเจอหลุม
ตอนนั้นเขาเองก็จะมีโอกาสเอาตัวรอดก่อน
ม้าพวกนี้ล้วนแต่เป็นม้าเกรดดี หยางหนิงจาเส้นทาง
ได้ จึงใช้เวลาไม่นานเท่าไร เมื่อกลับมาถึงยังศาลเจ้า
เห็นศพนอนเกลื่อนกราดอยู่บนพื้นไม่ไกล
ต้วนชางไห่เห็นดังนั้น ก็เตรียมชักดาบบนตัวออกมา
เมื่อใกล้เข้าไป ต้วนชางไห่ก็พูดด้วยน้าเสียงจริงจังว่า
“คุ้มครองซื่อจื่อ!” สายตาดูเย็นยะเยือก ไม่เหมือนที่
ปฏิบัติต่อหยางหนิงเมื่อกี้เลย
ทุกคนลงจากม้า ฉีเฟิงกับชายรูปร่างใหญ่คุ้มกันอยู่
ข้างต้วนชางไห่ ส่วนคนที่เหลือก็เดินตาม
ต้วนชางไห่
ต้วนชางไห่นั่งยองๆ ลง แล้วพลิกดูศพหลายต่อหลาย
ศพ แล้วหันไปถามหยางหนิงว่า “ซื่อจื่อ คนพวกนี้
เป็นโจรลักพาตัวท่านมาหรือ?”
หยางหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้ ตอนข้าฟื้น
ขึ้นมา เจ้าพวกนี้ก็ตายหมดแล้ว” แล้วชี้ไปทางนอก
ศาลเจ้า “ตรงนั้นยังมีอีกหลายศพเลย”
ต้วนชางไห่ยื่นหน้าไปดูเล็กน้อยคนที่ชื่จ้าวอู๋ชางก็ถาม
ขึ้นมาว่า “พี่รองต้วน ดูออกหรือเปล่าว่าพวกเขาเป็น
ใคร?”
ต้วนชางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คนพวกนี้มาจากไหน
ไม่รู้ แต่ว่าตายเพราะใคร ก็พอมีเบาะแสบ้าง”
ตอนนี้หยางหนิงเดินขึ้นหน้ามา ฟังจากที่ต้วนชางไห่
พูด เขากาลังอยากจะถามอยู่พอดี แต่สุดท้ายก็เก็บ
เอาไว้ ยังดีที่จ้าวอู๋ชางถามขึ้นมาพอดี : “พวกมันเป็น
ใคร?”
ต้วนชางไห่ชี้ไปที่บาดแผลที่อยู่ที่คอ แล้วพูดเสียง
จริงจังว่า “เจ้าดูแผลของพวกเขาสิ คนพวกนี้ส่วน
ใหญ่ตายในดาบเดียว แถมบาดแผลส่วนใหญ่จะอยู่ที่
คอทั้งหมด แล้วดูที่รอยดาบ...!”
จ้าวอู๋ชางยื่นมือไปจับที่แผล พูดพรางขมวดคิ้ว “รอย
ดาบบางมาก เทียบกับของเราบางกว่าเยอะมาก”
“ถูกต้อง” ต้วยนชางไห่พูดต่อไปว่า “หากข้าเดาไม่ผิด
ค่ายดาบดาน่าจะเป็นคนสังหารพวกเขา”
“ค่ายดาบดา?” ตอนนี้ไม่เพียงแต่จ้าวอู๋ชางเท่านั้น
แม้แต่คนอื่นก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ฉีเฟิงพูดว่า
“พี่รองต้วน นี่ท่านกาลังจะบอกว่าคนของค่ายดาบดา
มาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของจ้าวอู๋ชางเองก็ตกใจ “พี่รอง ท่านดูผิดหรือ
เปล่า? ค่ายดาบดาจะมาที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
หยางหนิงเห็นสีหน้าของพวกเขา ในใจก็สงสัยมาก
เหมือนทุกคนจะหวาดกลัวค่ายดาบดา ในหัวพลัน
คิดถึงคนของเซียวกวงขึ้นมา จาได้ว่าพวกเขาเหมือน
จะพกแส้ดาบดาไว้ตรงเอวนะ ดูเหมือนต้วนชางไห่จะ
เดาไม่ผิดจริงๆ
ก่อนหน้านี้เขาเห็นต้วนชางไห่ค่อนข้างจะเคารพ
นอบน้อมต่อตัวเขามาก กลุ่มคนพวกนี้ก็เหมือนนุ่มนิ่ม
ไปหมด ในใจยังนึกดูถูกอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้เห็นเขา
มองแผลเพียงครั้งเดียวก็ดูออกอะไรหลายอย่าง ถึงได้
รู้ว่าเขาก็เหมือนเสือซ่อนเล็บ จะประมาทไม่ได้เลย
“ค่ายดาบดาถึงขั้นส่งคนออกมาแบบนี้ เรื่องนี้คงไม่ใช่
เรื่องเล็ก” ต้วนชางไห่คิดแล้วพูดว่า “ส่งมาเพื่อช่วย
ซื่อจื่อของเราหรือ?” แล้วก็รีบส่ายหัว “คงไม่ง่ายแบบ
นั้น ค่ายดาบดาไม่มีทางลงมือเพราะท่านซื่อจื่อแน่ๆ
ดูจากรอยแผล ดาบเดียวถึงที่ตาย ลงมือเด็ดขาด
แม่นยา ทั้งหมดพุ่งตรงคอหอย รอยดาบบาง ทั้งหมด
นี้มันคือค่ายดาบดาแน่นอน...!”
ทั้งหมดเอาแต่มองหน้ากัน แต่ไม่พูดอะไรเลย
ต้วนชางไห่ลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปในทางศาลเจ้า
มีคนตามเขาไปสองสามคน ฉีเฟิงกับอีกสองคนอยู่
คุ้มครองหยางหนิง ทั้งหมดถืออาวุธพร้อมมือ
เมื่อเข้ามาในศาลเจ้า ก็เห็นคนศพเกลื่อนเต็มพื้น
ทุกคนสีหน้าก็เปลี่ยนไป ต้วนชางไห่กับอีกสองคนเดิน
สารวจไปทั่ว แล้วหันไปพูดว่า “พวกนี้ไม่ใช่พวก
เดียวกัน น่าจะมีคนลักพาตัวซื่อจื่อมาถึงที่นี่ แล้วถูก
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งลอบโจมตี หลังจากนั้นคนของค่าย
ดาบดาก็ปรากฏตัวแถวนี้พอดี”
“พี่รองต้วน คนพวกนี้ก็ตายเพราะคนของค่ายดาบดา
หรือ?” ฉีเฟิงถาม
ต้วนชางไห่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ สองคนนี้อยู่หน้ากองไฟ
คนของค่ายดาบดาไม่น่าจะเข้ามาในศาลเจ้า” เขา
มองไปที่หยางหนิง แล้วถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านจาเรื่อง
ที่นี่ได้บ้างไหม?”
หยางหนิงมองไปรอบๆ แล้วชี้ไปที่ถุงกระสอบที่ถูกตัด
แล้วพูดว่า “พวกเขาเอาข้าใส่ไว้ในนั้น พอข้าฟื้นขึ้นมา
ก็คลานออกมาจากถุงนั่น ก็เห็นศพเต็มไปหมดแล้ว
ข้าก็เลยหนี แล้วก็ไปเจอพวกเจ้ากลางทาง”
ต้วนชางไห่หยิบถุงกระสอบขึ้นมาดู เห็นรอยมีด แล้ว
พูดว่า “มีคนกรีดถุงกระสอบจนขาด คิดจะปล่อย
ซื่อจื่อให้หนีไป” หลังจากนั้นก็ไปพลิกศพดู แต่ก็ไม่
พบสิ่งของใดๆ หลังจากนั้นก็ไปค้นศพของชายอ้วนชุด
เทา แล้วก็เจอป้ายทรงหลมชิ้นหนึ่ง หยางหนิงมองอยู่
ในใจก็คิด ป้ายชิ้นนั้นเขารู้จัก
หลังจากมู่เซิ๋นจวินตายไป หยางหนิงไม่เพียงเจอถุง
เงินในตัวเขา แล้วยังเจอแผ่นป้ายทรงกลมแบบ
เดียวกันนี้ด้วย
“หอเก้านภา?” ต้วนชางไห่ดูแผ่นป้าย ยิ้มแห้งแล้ว
พูดว่า “ที่แท้คนที่จับตัวซื่อจื่อมาเป็นคนของหอเก้า
นภานี่เอง มิน่าพวกเขาถึงได้หนีขึ้นเหนือมาตลอดทาง
คิดจะพาซื่อจื่อไปเป่ยฮั่นนี่เอง”
“สารเลว ที่แท้เป็นคนของหอเก้านภา” ฉีเฟิงสบถ
แล้วด่าว่า “เจ้าพวกหมาจรจัด คิดว่าน่าจะส่งสายลับ
เข้ามา แล้วรอโอกาสลงมือกับซื่อจื่อ สวรรค์คุ้มครอง
ยังดีที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมา ไม่งั้นหากซื่อจื่อถูกพวกเขา
พาไปเป่ยฮั่น ผลที่ตามมานี่ไม่อยากจะคิดเลย”
“ทาไมถึงมีคนอีกกลุ่มโผล่มาได้ล่ะ?” คนหน้ายาวๆ
คนหนึ่งจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาทาให้จ้าวอู๋ชางขมวดคิ้ว “แล้ว
ทาไมคนกลุ่มนี้ถึงได้ปะทะกับสายลับของหอเก้านภา
ได้ล่ะ?”
สีหน้าของต้วนชางไห่จริงจังมาก แล้วพูดว่า “ในเมื่อมี
คนของค่ายดาบดามาร่วมวงด้วย เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่อง
เล็ก ตอนนี้เรารู้แล้วว่าคนที่จับซื่อจื่อมาเป็นคนของ
หอเก้านภาก็พอแล้ว เรื่องอื่น เราไม่ต้องรู้มากเกินไป
เราจะได้ไม่เข้าไปเอี่ยวด้วย” เมื่อมองไปที่หยางหนิง
สีหน้าก็ผ่อนคลายลง “อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซื่อจื่อ
ปลอดภัย สาคัญกว่าอะไรทั้งหมด เราเองก็มีคาตอบ
ไปรายงานที่จวนได้”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พี่รองต้วนพูดถูก เรื่องนี้
เราไม่ควรสืบลงลึกไปกว่านี้ เรามีหน้าที่ช่วยซื่อจื่อ
ตอนนี้ซื่อจื่อปลอดภัยแล้ว เรื่องอื่นเราไม่ควรยุ่ง”
จ้าวอู๋ชางลังเล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
“ที่นี่ห่างไกลลึกลับซับซ้อน ไม่ค่อยมีคนมา ศพก็ไม่
น่าจะมีใครมาเจอง่ายๆ” ต้วนชางไห่พูดว่า “ในเมื่อ
ค่ายดาบดาไม่ได้สนใจเรื่องนี้ทิ้งศพไว้ด้านนอก ไม่ได้
ปกปิดอะไร เราก็ไม่ต้องยุ่งให้มากความ หากมีใครมา
พบจริงๆ ก็ให้พวกเขาไปตรวจกันเอง แต่คิดว่าก็ไม่
น่าจะเจออะไร หากไม่มีใครเจอ ก็ปล่อยไปแบบนี้”
ก่อนจะลุกขึ้นมา แล้วพูดต่อไปว่า “ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน
เราไปจากที่นี่กันเถอะ”
หยางหนิงตอนแรกยังกังวลว่าคนพวกนี้จะไปค้นหา
รอบๆ กลัวว่าจะไปเจอป่าไผ่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้เห็น
ต้วนชางไห่จะรีบไป ก็เบาใจ
คนพวกนี้พูดว่าจะทาก็ไม่รอช้า บอกว่าไปก็ไปเลย
ไม่รอให้เสียเวลา เมื่อออกจากศาลเจ้า ก็รีบไป
หยางหนิงถามว่า “ต้วน...ต้วนชางไห่ เราจะไปไหน
กัน?”
“ซื่อจื่อยังมีที่ไหนอยากไปก่อนหรือ?” ต้วนชางไห่
สีหน้าสงสัย ตอนนี้เขายิ้ม “หากซื่อจื่ออยากจะไป
เที่ยวเล่นที่ไหน ต่อไปยังมีโอกาสอีก แต่ว่าครั้งนี้ท่าน
ถูกลักพาตัวกว่าสิบวันแล้ว คนในจวนร้อนใจมาก
ไท่ฟูเหรินกับฮูหยินสามเป็นกังวลมาก เรากลับเมือง
หลวงกันก่อนเถอะนะ อย่างน้อยให้พวกนางได้สบาย
ใจก่อน ซื่อจื่อท่านเห็นว่าไง?”
หยางหนิงคิดในใจว่าการตามหาขบวนสานักคุ้มกัน
เพื่อหาเสี่ยวเตี๋ยน่าจะยากแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น
ไปเมืองหลวงก็ดีเหมือนกัน
ซื่อจื่อที่หยางหนิงสวมรอยอยู่นั้น พ่อเป็นแม่ทัพเหว่ย
ขุนนางขั้นสอง ฐานะก็ไม่ใช่เล็กๆ คิดว่าน่าจะพอมี
อิทธิพลมาก เมื่อเป็นแบบนี้ ก็สามารถยืมฐานะใหม่นี้
ค้นหาเสี่ยวเตี๋ยไปทั่วเมืองหลวงได้ ดีกว่าตัวคนเดียว
นั่งงมเข็มในมหาสมุทร
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 35 โลกสีขาว
น้ำใส เขำสวย ท้องฟ้ำสดใส บรรยำกำศสวยงำม
ท้ำให้คนอยำกจะอิ่มเอมแบบนีไปเรื่อยๆ
แม่น้ำแยงซีเกียงเป็นเหมือนแม่น้ำที่มำจำกสวรรค์
สำยน้ำกว่ำพันลีไหลอยู่ที่แม่น้ำแห่งนี จำกตะวันตก
ไหลผ่ำนภูเขำสูงที่อันตรำยมำกมำยนับไม่ถ้วน แต่เมื่อ
มำถึงที่เขำจีหลง กลับถูกเขำขวำงทำงน้ำไว้ แม่น้ำ
สำยใหญ่ที่ไหลเวียนอย่ำงดุดัน ก็เปลี่ยนวิถีไหล
แคบลง ไม่มีควำมอันตรำยอีก แม่น้ำและภูเขำเป็น
หนึ่งเดียวกัน เป็นสิ่งที่สวรรค์สร้ำงมำ สวยงำมไร้ที่ติ
เขำจงซำนเป็นที่อยู่ของมังกร สือโถวเป็นที่อยู่ของเสือ
เขำจีหลงกับทะเลสำบเสวียนอู่ ตะวันออกมีเขำจง
ซำน ตะวันตกมีสือโถว โดยมีแม่น้ำคั่นกลำง สำยน้ำ
ไหลผ่ำน ท้ำให้แทบไม่อยำกจะหลับเลย
ตลอดทำงที่ผ่ำนมำ ไม่ว่ำต้วนชำงไห่จะกินจะอยู่จะ
เดินทำง ก็จัดกำรอย่ำงเรียบร้อยทุกอย่ำง ดูแลเอำใจ
ใส่ดีมำก ตอนนีหยำงหนิงถึงได้สัมผัสถึงกำรเป็น
ลูกหลำนคนตระกูลใหญ่บ้ำง
ตลอดทำงหยำงหนิงไม่พูดอะไรมำก คนอื่นๆ ก็ไม่กล้ำ
ถำม เมื่อข้ำมแม่น้ำแยงซีเกียงมำ ขี่ม้ำมำไม่ถึงครึ่งวัน
ก็มำถึงเมืองเจียนเย่
เมืองเจียนเย่เป็นเมืองใหญ่มีอ้ำนำจมำก ถึงแม้
หยำงหนิงจะเคยเห็นมำแล้วตอนอยู่ภพก่อน แต่สิ่งที่
ท้ำให้เขำตกใจมำก นั่นก็คือมันยิ่งใหญ่และดู
เจริญรุ่งเรืองมำกกว่ำที่เขำเห็นในภพก่อนมำก
ภูเขำมำกมำยแน่นเต็มไปหมด มีแม่น้ำไหลผ่ำนตรง
กลำง ไหลเวียนเข้ำเมือง ท่ำมกลำงหุบเขำและสำยน้ำ
มีเมืองขนำดใหญ่ ที่ได้ชื่อว่ำเป็นเมืองอันดับหนึ่งของ
ทำงทิศใต้ของแคว้นฉู่ หรือก็คือเจียนเย่เป็น
เมืองหลวงของแคว้นฉูน่ ั่นเอง
เมืองเจียนเย่ภำยในมีสิบสำม ภำยนอกมีสิบแปด
ภำยในเมืองหลวงรวมแล้วมีประตูเมืองมำกกว่ำสิบ
แห่ง นอกเมืองมีประตูเมืองสิบแปดแห่ง ซึ่งสำมำรถ
เห็นควำมยิ่งใหญ่ของมันได้เลย
เมื่อได้เข้ำมำในเมือง หยำงหนิงสัมผัสได้ถึงควำม
ยิ่งใหญ่ของเมืองโบรำณแห่งนี
ถนนหนทำงในเมืองตัดสลับกันไปมำ แต่ก็ยังกว้ำง
ขวำง ร้ำนค้ำเปิดเรียงรำยเต็มข้ำงทำง บนถนนมีผู้คน
เดินขวักไขว่ ทังรถ คน และม้ำวิ่งกันวุ่นวำย หำกได้
อำศัยอยู่ในเมืองนี ก็จะสัมผัสได้ถึงควำมเจริญและ
ควำมหรูหรำโอ่อ่ำของเมืองนี แทบจะไม่มีใครคิดเลย
ว่ำในที่แบบนีจะมีคนเร่ร่อนอำศัยอยู่
เมืองเจียนเย่เหมือนเป็นสวรรค์ของจักรวรรดิ ไม่ว่ำ
ใครที่ได้อำศัอยู่ที่นี่ ล้วนแต่ลืมวิกฤติของจักรวรรดิไป
หมดสิน พวกเขำจะติดภำพควำมเจริญรุ่งเรืองและ
ควำมคึกคักของเมืองหลวงนี แล้วคิดว่ำโลกมีควำม
เป็นอยู่ที่ดีและแสนสงบสุข
ประตูเมืองสิบแปดแห่งนอกเมือง ก็เหมือนจะแบ่ง
ดินแดนของแคว้นฉู่ออกเป็นสองโลก โลกในเมืองและ
โลกนอกเมือง คนส่วนใหญ่สวมชุดขีม้ำ สวมหมวก
ครบชุด เจอหน้ำกันก็มีแต่รอยยิม สินค้ำในร้ำนก็มีแต่
เครื่องประดับสวยงำม ควำมร่้ำรวยของจักรวรรดิที่
ยิ่งใหญ่ เมื่อเทียบกับตอนที่หยำงหนิงอยู่ที่เมือง
ฮุ่ยเจ๋อมันคือคนละโลกกันเลย
เมืองเจียนเย่ยิ่งใหญ่เกินบรรยำย ส่วนวังหลวงตังอยู่ที่
เมืองหลวง หำกเมืองหลวงคือมงกุฎของแคว้นฉู่แล้ว
วังหลวงก็ถือได้ว่ำเป็นอัญมณีที่อยู่บนมงกุฎนัน
ชำวบ้ำนที่อำศัยอยู่ในเมืองหลวง ก็จะสำมำรถเห็น
ควำมสวยงำมของอัญมณีนันได้ แต่ไม่สำมำรถเห็นถึง
ควำมรุ่งเรื่องและยิ่งใหญ่ภำยในวังหลวงได้
หยำงหนิงเข้ำเมืองโบรำณที่ยิ่งใหญ่แบบนีครังแรก
เขำมองซ้ำยทีขวำที มองไม่หยุด ไม่รู้ว่ำต้วนชำงไห่เข้ำ
ตรอกซอกซอยไปเยอะแค่ไหน
“เอ๋ นั่น...นั่นแม่น้ำอะไร?” ทันใดนันเองก็เห็นแม่น้ำ
สำยหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก สำยน้ำสำยนันก็เหมือนหยก
หยำงหนิงอดไม่ได้ที่จะถำมออกไป
พวกต้วนชำงไห่ตะลึง ฉีเฟิงยิมแล้วพูดว่ำ “ซื่อจื่อออก
จำกจวนมำได้แค่สิบวัน ลืมแม่น้ำเส้นนีไปแล้วหรือ?
นี่คือแม่น้ำฉินไหว”
“แม่น้ำฉินไหว?”
“แม่น้ำฉินไหวมันไหลเข้ำเมือง เมื่อเข้ำมำถึงประตู
อู่ติงก็จะแยกออกเป็นสองทำง เส้นหนึ่งวิ่งแบบสำย
หลัก เรียกว่ำแม่น้ำฉินไหวนอก ไหลไปทำงประตู
จงฮว๋ำ ประตูซุ่ยซีกับประตูติงไหว แล้วไหลเข้ำสู่
แม่น้ำแยงซีเกียง” ฉีเฟิงยิมแล้วอธิบำยว่ำ “ส่วนอีก
เส้นหนึ่งคือแม่น้ำฉินไหวใน ไหลผ่ำนด่ำนประตู
ฉีเหมินทำงตะวันออกไหลเข้ำสู่เมือง พอถึงบริเวณ
สะพำนฮวำยชิงก็แยกออกเป็นสองทำง ทำงใต้ผ่ำน
ทำงวัดฟูจื่อ สะพำนเหวินเต๋อเฉียวจนถึงด่ำนประตู
ซุ่ยซีเหมินไหลไปนอกเมือง ทำงเหนือจะไหลจำก
ร่องน้ำกู่หวินผ่ำนสะพำนเหน่ยเฉียวจนถึงสะพำน
จำงกงแล้วไหลเข้ำปำกประตูถ้ำเข้ำแม่น้ำสำยหลัก
...!” แล้วชีไปที่สะพำน “นั่นคือสะพำนจำงกง”
ต้วนชำงไห่กะพริบตำส่งสัญญำณไปให้ฉีเฟิง เหมือน
จะบอกว่ำสมองของเจ้ำนำยไม่ได้ปกตินัก เรื่อง
ซับซ้อนมำกๆ จะท้ำให้สับสน เจ้ำพูดมำกเกินไปแล้ว
เขำจะไปจ้ำได้อย่ำงไร
หยำงหนิงตอบแค่ “อ่อ” แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อเดินผ่ำนถนนไปสองสำมเส้น ต้วนชำงไห่ก็ร้อง
ขึนมำว่ำ “เอ๋” ทุกคนมองไปเห็นถนนด้ำนหน้ำ มีบ้ำน
สองหลังที่แขวนผ้ำขำวไว้
“ใต้เท้ำคนไหนตำยล่ะนี่?” ฉีเฟิงบังคับม้ำขึนหน้ำไป
ถำมอย่ำงสงสัย
หยำงหนิงเองก็มองไปตำมทำงที่มีผ้ำขำวแขวนไว้
แล้วถำมว่ำ “มีคนตำยหรือ?”
ต้วนชำงไห่คิดในใจว่ำซื่อจื่อเป็นคนตรงไปตรงมำ พูด
อะไรก็ตรงเกินไป จึงอธิบำยไปว่ำ “ซื่อจื่อ น่ำจะมี
ใต้เท้ำคนไหนจำกไป ถนนเส้นนีก็เลยแขวนผ้ำขำว
เอำไว้เพื่อแสดงควำมอำลัย เรื่องนีไม่ใช่ใครที่ไหนจะ
สำมำรถได้รับเกียรติแบบนีได้ คนที่ตำยไปจะต้องเป็น
ที่เคำรพรักของชำวบ้ำนแน่ๆ” หลังจำกนันก็ลงจำก
ม้ำไป แล้วตะโกนว่ำ “ทุกคนลงจำกม้ำเร็ว!”
ทุกคนก็ลงจำกม้ำจนหมด หยำงหนิงคิดในใจว่ำนี่
น่ำจะเป็นวัฒนธรรมกำรไว้อำลัยอย่ำงหนึ่ง ก็เลยลง
จำกม้ำด้วย
ถนนเส้นนีไม่ใช่ตรอกขำยของ ดังนันไม่ได้มีผู้คน
มำกมำย มีเพียงคนไม่กี่คนเดินไปเดินมำ ดูค่อนข้ำง
เงียบ เมื่อเดินไปครู่หนึ่ง ทันใดนันก็มีคนวิ่งแล้ว
บ่นอะไรก็ไม่รู้ พวกของต้วนชำงไห่ขมวดคิว เมื่อเดิน
มำระยะหนึ่ง ก็เลียวไปตรงซอก แล้วเดินไปจนสุดทำง
ด้ำนนันมีถนนเส้นใหญ่อีกเส้นหนึ่งที่ใหญ่มำก
“ซื่อจื่อ ที่นี่คือถนนผีผำ ท่ำนคงไม่ลืมใช่ไหม?”
ต้วนชำงไห่พูด “เรำถึงบ้ำนแล้ว”
เมื่อเดินบนถนน หยำงหนิงพบว่ำนอกจำกถนนผีผำจะ
กว้ำงใหญ่และยำวแล้ว ท้องถนนเองก็สะอำดมำกด้วย
ร้ำนค้ำเรียงตัวกันอย่ำงเรียบร้อย ทำงเดินปูด้วยหิน
ทรำยอย่ำงดี ระยะห่ำงช่วงหนึ่ง ก็จะมีจวนหนึ่งหลัง
จวนทุกหลังจะมีสิงโตหินอยู่หน้ำบ้ำนคู่หนึ่ง สิงโตหิน
หลำยสิบตัววำงเรียงรำยอยู่สองข้ำงทำงของถนนผีผำ
พวกมันนั่งยองๆ อยู่ที่หน้ำบ้ำนของตน เบิกตำกว้ำง
ด้วยควำมเบื่อหน่ำย รอคอยให้มีคนหรือรถผ่ำนไปมำ
บนถนน
หยำงหนิงเดินพรำงมองไปยังสองข้ำงทำง ถนนที่
เหมือนจะไม่มีปลำยทำง มีจวนตังอยู่เป็นสิบจวน
มันดูใหญ่และรำคำแพง “จวนรำชเลขำ”
“จวนแม่ทัพ” “จวนโหว” เรียงรำยต่อเนื่องกันไม่
หยุด แล้วป้ำยของจวนทุกจวนต่ำงแขวนผ้ำขำวเอำไว้
จวนแทบทุกจวนมีทหำรเฝ้ำเอำไว้ เมื่อมองผ่ำน
ต้วนชำงไห่ไป ก็เห็นทหำรไม่น้อยก้ำลังซุบซิบกันอยู่
ต้วนชำงไห่เห็น สีหน้ำดูสงสัยหนักมำก เลยรีบเร่ง
ฝีเท้ำให้เร็วขึน ไม่นำนนัก ก็เห็นจวนๆ หนึ่งที่แขวน
ผ้ำขำวไว้ ทหำรหน้ำจวนก็แต่งชุดขำว
ต้วนชำงไห่หยุดเดิน สีหน้ำของคนอื่นๆ เองก็ตกใจ
ไม่น้อย เห็นต้วนชำงไห่ยืนเหมือนจะล้ม แต่ก็ก้ำวเท้ำ
เดินขึนไปอย่ำงเร็ว คนอื่นๆ เองก็สีหน้ำดูไม่ดีเลย
หยำงหนิงเห็นสีหน้ำท่ำทำงของคนอื่นดูแปลกๆ ในใจ
ก็คิดว่ำคงไม่ใช่คนในจวนของพวกเจ้ำตำยหรอกนะ?
ต้วนชำงไห่รีบเดินไปที่หน้ำจวน ทหำรยำมเห็นก็รีบ
เดินเข้ำมำหำ ร้องไห้แล้วพูดว่ำ “ท่ำน...ท่ำนพี่ต้วน
พวกท่ำนกลับมำแล้วหรือ...!” พูดยังไม่ทันจบ ก็
ร้องไห้ไม่หยุด
“เกิดอะไรขึน?” ต้วนชำงไห่สีหน้ำซีดเซียว “หรือว่ำ...
หรือว่ำไท่ฟูเหริน...?”
หยำงหนิงตะลึง ในใจคิดว่ำพระเจ้ำช่วยเป็นจวนพวก
เจ้ำจริงๆ หรือนี่ อะไรจะบังเอิญแบบนี ข้ำมำเมือง
หลวงวันแรก ก็เจองำนศพเลยหรือ?
“ไม่ใช่...!” ทหำรเสียงสั่นแล้วพูดว่ำ “ท่ำน...
ท่ำนแม่ทัพ...!”
ในตอนนีสีหน้ำของทุกคนเปลี่ยนไปหมด ต้วนชำงไห่
สีหน้ำท่ำทำงเปลี่ยนหนักสุด ดึงคอเสือของคนๆ นัน
ขึนมำ แล้วพูดด้วยควำมโกรธว่ำ “เจ้ำพูดอะไร
ท่ำนแม่ทัพอยู่แนวหน้ำ จะเป็นไปได้อย่ำงไร...พูดมำ
ใคร?”
ตอนนีเองก็มีทหำรยำมอีกคนวิ่งเข้ำมำ แล้วดึงมือของ
เขำออกแล้วปำดน้ำตำ “พี่ต้วน เป็น...เป็นท่ำนแม่ทัพ
จริงๆ ท่ำนแม่ทัพ...ท่ำนแม่ทัพสินแล้วจริงๆ!”
ต้วนชำงไห่ ฉีเฟิงและพวกสีหน้ำซีดเซียว เห็น
ต้วนชำงไห่เดินขึนหน้ำไปหนึ่งก้ำว ทันใดนันเองก็
ขำอ่อนลงไป คุกเข่ำอยู่ที่พืน คนข้ำงๆ รีบพยุงเขำ
ขึนมำ ต้วนชำงไห่สำยตำแดงก่้ำ แล้วร้องออกมำอย่ำง
หนัก ชำยร่ำงใหญ่ก้ำลังกว่ำเจ็ดฉือ กลับร้องไห้เป็น
สำยน้ำ ฉีเฟิงและพวกเองก็เช่นกัน เหมือนว่ำพ่อ
ตัวเองตำยอย่ำงไรอย่ำงนัน
หยำงหนิงตะลึง ในใจคิดว่ำแม่ทัพที่พวกเขำพูดถึง
คงไม่ใช่พ่อของซื่อจื่อหรอกมัง?
ลูกชำยเพิ่งจะตำยไป พ่อก็ดันมำตำยไปอีกนี่นะ?
“เร็ว ไปบอก...ไปบอกฮูหยินสำม ซื่อจื่อ...ซื่อจื่อกลับ
มำแล้ว...!” ขณะที่ต้วนชำงไห่ก้ำลังร้องไห้อย่ำงหนัก
ก็ดึงหยำงหนิงมำ “ซื่อจื่อ ท่ำน...ท่ำนแม่ทัพสินแล้ว
...!”
หยำงหนิงไม่เคยเจอท่ำนแม่ทัพคนนี ไม่มีควำมผูกพัน
อะไรเลย ได้แต่เหม่อแล้วคิดในใจว่ำคงไม่ใช่จะให้เขำ
ร้องไห้เดี๋ยวนีเลยหรอกนะ
เขำเงยหน้ำขึนไปมอง ก็เห็นประตูจวนสีแดงที่ใหญ่
มำก เห็นป้ำยชื่อจวนที่ใหญ่มำกเช่นกัน ด้ำนบนมี
แกะสลักลำยมังกรและหงส์บินคู่สลักอักษรสีทอง
อร่ำมสี่ค้ำว่ำ “จวนองครักษ์เสือแพร”
มีคนเข้ำไปรำยงำนแล้วก่อนหน้ำนี ต้วนชำงไห่ดึงมือ
หยำงหนิง แล้วเดินเข้ำจวนไป เมื่อเข้ำไปในจวน
ทั่วทังจวนเป็นสีขำว ได้ยินเสียงสะอืนไม่หยุดดังมำ
จำกห้องโถงด้ำนหน้ำ ข้ำงๆ มีคนมำกมำย น่ำจะเป็น
บรรดำบ่ำวไพร่ของจวน ทังหมดสวมชุดขำวทังสิน
หยำงหนิงรู้สึกตัวเองโง่งม ถูกต้วนชำงไห่ลำกไปดู
เอ๋อๆ คนข้ำงๆ เมื่อเห็นหยำงหนิง บ้ำงก็มีสีหน้ำที่
ตกใจ บ้ำงก็มีสีหน้ำดีใจ แต่ทุกคนก็คุกเข่ำลงจนหมด
หลังจำกนันก็ได้ยินเสียงสบำยๆ เสียงหนึ่งดังมำ
“หนิงเอ๋อร์หรือ? หนิงเอ๋อร์กลับมำแล้วจริงๆ
ใช่ไหม?”
หยำงหนิงได้ยินดังนัน ก็คิดว่ำเสียงของผู้หญิงคนนีฟัง
แล้วสบำยหูไพเรำะดี แต่ท้ำไมนำงถึงได้เรียกว่ำ
“หนิงเอ๋อร์” ล่ะ หรือว่ำนำงจะรู้ชื่อเขำ?
ทันใดนันเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ำมำ ต่ำงสวม
ชุดไว้ทุกข์ ท่ำมกลำงหนึ่งในนันมีผู้หญิงคนหนึ่งอำยุ
รำวๆ ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด ร่ำงกำยอรชร หน้ำตำดี ผิว
ของนำงขำวรำวกับหยกขำว เหมือนจะไม่ได้แต่งหน้ำ
ดูแล้วสะอำดตำ
นำงสวมชุดขำว มันดูเหมือนสำวงำมที่อยู่ตำม
ภำพวำด สำวงำมเดินตัวตรงมำหำเขำ
“ข้ำน้อยคำรวะฮูหยินสำม!” ต้วนชำงไห่คุกเข่ำอยู่
ตรงพืน ฉีเฟิงและคนๆ ก็คุกเข่ำลงเช่นกัน ใบหน้ำมี
แต่ครำบน้ำตำ
ฮูหยินสำมคนงำมจับมือของฉีหนิงเอำไว้แล้ว เมื่อได้
สัมผัส หยำงหนิงยิ่งรู้สึกว่ำมือของนำงเนียนนุ่มมำก
“ล้ำบำกพวกเจ้ำแล้ว” ฮูหยินสำมดวงตำแดงก่้ำ
“ท่ำน...แม่ทัพสินไป พวกเจ้ำสำมำรถพำซื่อจื่อกลับ
มำได้ทันเวลำ หำกท่ำนแม่ทัพได้รับรู้ คงหมดห่วง...
พวกเจ้ำลุกขึนเถอะ ไม่ต้องคุกเข่ำแล้ว...!” เมื่อพูดถึง
ตรงนี เสียงของนำงก็เริ่มสะอืน หยำงหนิงเห็นน้ำตำ
ของนำงไหลลงมำ มันยิ่งดูงำมนัก โดยเฉพำะคิวและ
ดวงตำเมื่อมองจำกด้ำนขวำมือมันสวยมำกจริงๆ
“ฮูหยินสำม ท้ำไมเป็นแบบนีไปได้?” ต้วนชำงไห่
ลุกขึน แล้วห่อมือท้ำควำมเคำรพ “สงครำมก็จบแล้ว
ท้ำไมท่ำนแม่ทัพ...ท่ำนแม่ทัพถึงได้?”
ฮูหยินสำมพูดว่ำ “เรื่องนีเดี๋ยวค่อยว่ำกัน” มองไปที่
หยำงหนิงแล้วพูดว่ำ “หนิงเอ๋อร์ รีบไปเปลี่ยนชุดไว้
ทุกข์ แล้วตำมข้ำเข้ำไปด้ำนใน!”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 36 ฮูหยินสาม
หยางหนิงรู้ว่าซื่อจื่อมีพ่อเป็นแม่ทัพเหว่ยขุนนางขั้น
สองของแคว้นฉู่ แต่ไม่รู้ว่าองครักษ์เสื้อแพรคือใคร?
งานศพนี้จัดขึ้นที่จวนองครักษ์เสื้อแพร งั้นก็แสดงว่า
องครักษ์เสื้อแพรก็อยู่ในนี้ด้วย
เรื่องที่ทาให้เขาแปลกใจอีกอย่างก็คือฮูหยินสามคน
งามนั้น ไม่รู้ว่าเป็นอนุของแม่ทัพหรือไม่ หาก
ซื่อจื่อคนนี้เป็นลูกชายของแม่ทัพ ก็หมายความว่าแม่
นางคนสวยนี่เป็นแม่เลี้ยงของเขางั้นหรือ?
แต่ว่าในเมื่อฮูหยินสามจับไม่ได้ว่าเขาสวมรอยมา ก็ถือ
ได้ว่าผ่านไปอีกด่านแล้ว แต่ว่าต่อไปจะรับมืออย่างไร
นั้นยังไม่ทราบ?
อีกทั้งซื่อจื่อคนนี้ก็สมองไม่ค่อยสมประกอบ ตัวเขา
รับมือค่อนข้างยาก หนักสุดก็คงแกล้งโง่ไป
หลังจากมีคนมาดูแลการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หยางหนิง
รู้สึกหดหู่ใจมาก หลังจากนั้นก็ถูกฮูหยินสามพาเข้าไป
ที่ห้องโถง
บรรยากาศในห้องโถงให้ความรู้สึกหดหู่ ผ้าขาวผืน
หนึ่งแยกห้องโถงเป็นสองฝ่าย หยางหนิงคิดว่าโลงศพ
ก็น่าจะอยู่หลังผ้านั่น ในห้องโถงตอนนี้ มีการจัดผลไม้
ขนม ของคาวหวานไว้ที่แท่นไหว้ ตรงกลางเป็นป้าย
ชื่อขนาดใหญ่ ด้านบนเขียนว่า “ฉีหุ้ยจิ่งตาแหน่ง
แม่ทัพเหว่ยสังกัดองครักษ์เสื้อแพรแห่งต้าฉู่”
หยางหนิงเข้าใจทันที ที่แท้แม่ทัพเหว่ยก็คือองครักษ์
เสื้อแพร องครักษ์เสื้อแพรก็คือแม่ทัพเหว่ย เขาคือ
คนๆ เดียวกัน หากเป็นอย่างนั้นจริงหรือว่าซื่อจื่อจะ
ชื่อฉีหนิง? ชื่อก็เหมือนกับเขาเลย
ด้านข้างห้องโถงทางด้านหนึ่ง มีคนอยู่ไม่น้อย ด้านนั้น
มีคนๆ หนึ่งสวมชุดไว้ทุกข์กาลังนั่งคุกเข่าอยู่ ตอนที่
หยางหนิงเดินเข้ามา คนๆ นั้นก็เงยหน้าขึ้น หยางหนิง
เห็นว่าคนๆ นั้นอายุน่าจะรุ่นเดียวกับเขา ประมาณสิบ
ห้าสิบหกปี หน้าตาดี เมื่อคนๆ นั้นเห็นเขา สีหน้าก็ดู
เปลี่ยนไป ราวกับเจอผี
หยางหนิงคิดในใจว่าข้าเหมือนผีขนาดนั้นเลยหรือไง
กัน? มองซ้ายมองขวา เห็นสองข้างมีคนราวยี่สิบ
สามสิบคน ห้องโถงนี้ใหญ่มาก เพราะมันดูไม่แออัด
เลยสักนิด สิ่งที่สะดุดตามากก็คือมีคนๆหนึ่งนั่งอยู่ ดู
แล้วน่าจะอายุราวหกสิบกว่าๆ ผมสีขาวโพลน สวมชุด
ดา แต่บนมือมีผ้าเช็ดหน้าสีขาว
แต่เดิมคนแก่คนนั้นกาลังพูดคุยกับอีกคนอยู่ เมื่อ
เห็นหยางหนิงเดินเข้ามา เขาก็ตกใจเช่นกัน
คนแก่ด้านข้าง เป็นคนอ้วนที่มีอายุราวห้าสิบ อ้วนๆ
เตี้ยๆ แต่ว่าผิวขาว สวมชุดสีขาว เมื่อเห็นหยางหนิง
เดินเข้ามา ก็ตกใจ แต่พริบตาเดียวเท่านั้น เขาก็รีบ
เดินขึ้นหน้ามาต้อนรับ สีหน้าดูเจ็บปวด “ซื่อจื่อ ใน
ที่สุดท่าน...ท่านก็กลับมาแล้ว!”
หยางหนิงคิดในใจว่าเจ้าเป็นใครอีกล่ะนี่ แต่วา่ เขาไม่รู้
อะไรเลยเกี่ยวกับจวนองครักษ์เสื้อแพร คนตรงหน้า
พวกนี้เขาไม่รู้จักเลย จึงทาได้เพียงตอบไปว่า “อืม”
“ไปไหว้พ่อเจ้าซะ” ฮูหยินสามดึงหยางหนิงขึ้นหน้าไป
หยาหนิงรู้สึกงงๆ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนก็
กาลังจับจ้องอยู่ ตัวเองเป็นถึงลูกชายขององครักษ์เสื้อ
แพรคนนี้ พ่อตายแล้ว ลูกชายจะไม่ไหว้ได้อย่างไร จึง
ทาได้เพียงคุกเข่าลงแล้วก็ไหว้ จากนั้นค่อยลุกขึ้นมา
ฮูหยินสามเหลือบไปมองชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ
แล้วพูดด้วยน้าเสียงเรียบเฉยว่า “ฉีอวี้ เจ้าลุกขึ้น หนิง
เอ๋อร์กลับมาแล้ว ที่ตรงนั้นมันเป็นของเขา!”
เสียงของฮูหยินสามเพิ่งจะจบไป เสียงหัวเราะแห้งๆ
ก็ดังขึ้นมาจากข้างๆ เมื่อมองไปก็เป็นหญิงม่ายคน
หนึ่งเดินมาจากกลุ่มคน
หยางหนิงเห็นหญิงม่ายคนนี้อายุราวๆ สามสิบต้นๆ
แต่ก็ถือว่ายังสวยอยู่ ปากบาง คิ้วขมวดเหมือนกาลัง
โกรธอยู่ แล้วเดินมาตรงหน้าของฮูหยินสาม ยิ้มแห้ง
แล้วพูดว่า “เจ้าบอกให้อวี้เอ๋อร์หลีกทางให้? เขา
คุกเข่าอยู่ตรงนั้นหลายวันแล้ว เจ้าบอกให้หลีกเขาก็
ต้องหลีกหรือ?”
ฮูหยินสามไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร พูดอย่างเรียบๆ ว่า
“หนิงเอ๋อร์กลับมา มันเป็นหน้าที่ของหนิงเอ๋อร์ที่ต้อง
แสดงความกตัญญู ไม่ใช่หนิงเอ๋อร์ที่อยู่ตรงนั้น จะมี
ใครที่เหมาะสมกว่าเขางั้นหรือ?”
หญิงม่ายคนนั้นบีบเสียงสูงแล้วพูดว่า “ทุกท่านดู นาย
ท่านเพิ่งไป นางก็ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่าซะแล้ว ดูท่า
นางกาลังเตรียมกุมอานาจในจวนโหวเอาไว้แล้วมั้ง”
ยกนิ้วขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ฮูหยินสาม “กู้ชิงฮั่น เจ้าอย่า
ลืมนะ ที่นี่แซ่ฉี ไม่ได้แซ่กู้ แต่ก่อนเจ้าโอหังอย่างไรข้า
ไม่สน แต่ถึงวันนี้ในตอนนี้ เจ้ายังจะกล้าโอหังอีก
หรือ?”
ฮูหยินสามกู้ชิงฮั่น ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ฉงอี๋เหนียง ที่นี่
ห้องโถงทาพิธี ไม่ใช่ที่ๆ ท่านจะมาส่งเสียงเอะอะได้
นะ หนิงเอ๋อร์เป็นลูกเมียแต่งของท่านแม่ทัพ ตาม
หลักแล้วก็ต้องให้เขาทาหน้าที่ มันสมควรด้วยเหตุผล
ทั้งปวงไม่มีอะไรพูดอีก มันมีอะไรน่าทะเลาะงั้นหรือ?
หลายวันก่อนหนิงเอ๋อร์ก็แค่ถูกคนจับตัวไป ดังนั้นก็
เลยให้ฉีอวี้ทาแทน ตอนนี้หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว เขาก็
ไม่จาเป็นอีก”
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ ดูสิใครกล้าทา
อะไร” ฉงอี๋เหนียงพูดแล้วยิ้มแห้ง “เจ้าเป็นลูกชาย
ของนายท่าน เป็นลูกหลานตระกูลฉี ดูสิใครกล้าแตะ
ต้องเจ้า”
ฮูหยินสามไม่ได้ทะเลาะกับฉงอี๋เหนียง แต่มองไปที่
ท่านใหญ่สามแล้วทาความเคารพ แล้วพูดว่า “ท่าน
ใหญ่สามอยู่ที่นี่ด้วย งั้นก็ขอให้ท่านใหญ่สามตัดสินล่ะ
กัน”
ท่านใหญ่สามพูดว่า “ชิงฮั่น เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบร้อน
เกินไป เรื่องนี้เราต้องวางแผนระยะยาวกัน”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนงั้นหรือ?” กู้ชิงฮั่นยิ้ม “ท่านใหญ่สาม
ตอนนี้คนที่รีบร้อนไม่ใช่ข้า แล้วเรื่องแบบนี้ คง
วางแผนกันยาวๆ ไม่ได้หรอกจริงไหม?”
“อะไร เจ้าจะบอกว่าข้าพูดไม่คิดงั้นหรือ?” ท่านใหญ่
สามสีหน้านิ่งไป แล้วก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ชิงฮั่น
ตอนนี้ในจวนโหวมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นขนาดนี้ เรื่อง
มากมายจะต้องฟังความเห็นจากทุกคนให้มาก จะมา
ให้ตัดสินคนเดียวไม่ได้” แล้วเหลือบไปมองที่ฉีอวี้
แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วบางอย่างก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
หลายวันมานี้ฉีอวี้เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด มันไม่เหมาะหรอก
ที่พอหนิงเอ๋อร์กลับมา ก็จะไล่อวี้เอ๋อร์ไป มันเกินไป
หน่อยไหม?”
คนข้างๆ คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “กู้ชิงฮั่น เจ้ากุมอานาจ
ในจวนเอาไว้ทั้งหมด เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ ตอนนี้พี่ใหญ่ก็
จากไปแล้ว เจ้ายังคิดจะให้ในจวนไม่สงบอีกหรือไง?”
หยางหนิงเหลือบไปมอง เห็นคนที่พูดเป็นชายอายุ
ประมาณสามสิบ ร่างกายซูบผอม สายตาเหมือนคนที่
ชอบดื่มเหล้าอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านห้าหมายความว่าอย่างไร?” กู้ชิงฮั่นยิ้มแห้งแล้ว
พูดว่า “ไม่สงบ? ไม่ทราบว่าท่านห้าเอาสายตาคู่ไหน
มาดูว่าในจวนโหวไม่สงบ? จะบอกว่ากุมอานาจไว้
หมด ข้าเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะไปมีปัญญาอะไร
ขนาดนั้น หากไม่ใช่เพราะไท่ฟูเหรินกับท่านแม่ทัพสั่ง
มา ข้ามีหรือจะกล้าจัดการเรื่องต่างๆ ในจวน”
“ผู้หญิงอย่างเจ้านี่มันหน้าไหว้หลังหลอกจริงๆ ต่อ
หน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง” ชายอีกคนก็พูดขึ้นมา
“ต่อหน้าไท่ฟูเหรินก็ทาตัวอ่อนหวาน ลับหลังโหดร้าย
ไร้มารยาท ตอนนี้เจ้าก็หามไท่ฟูเหรินออกมา ทาไม
คิดจะใช้มารยาอะไรอีก คิดจะใช้ไท่ฟูเหรินมาบีบเรา
งั้นหรือ?” แล้วก็สบถ “งั้นเจ้าก็ไปเชิญไท่ฟูเหริน
ออกมาเลย มาพูดเหตุผลกันต่อหน้า”
กู้ชิงฮั่นยังคงนิ่งเหมือนเดิม แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อหายตัว
ไป ท่านแม่ทัพสิ้นบุญ ไท่ฟูเหรินอายุมากแล้ว ร่างกาย
ไม่แข็งแรง เกิดเรื่องสองเรื่องต่อเนื่องกัน เจ้าคิดว่า
ท่านจะลุกมาคุยเหตุผลต่อหน้าพวกเจ้าไหวหรือ?
ท่านหก คาพูดของท่านไม่ควรพูดออกมาด้วยซ้า”
รูปร่างของท่านหกอ้วนท้วม อ้วนกว่าคนอ้วนๆ ก่อน
หน้านี้เกือบหนึ่งรอบ เขามองบน แล้วชี้ไปที่กู้ชิงฮั่น
แล้วพูดว่า “อะไรคือไม่ควรพูด? ข้าอยากจะพูดอะไร
ยังต้องให้เจ้ามาสั่งอีกงั้นหรือ? วันนี้มีอะไรก็พูดอย่าง
นั้น มีหนึ่งเรื่องพูดหนึ่งเรื่อง มีสองเรื่องพูดสองเรื่อง
จะไม่ปล่อยให้เจ้ามาชี้นาอะไรที่นี่หรอกนะ”
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกมึนงงมาก
คนพวกนี้ เป็นคนของตระกูลฉีทั้งหมด แต่ว่าตอนนี้
หยางหนิงไม่รู้เลยว่าใครมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับ
ใครบ้าง แต่ไม่ว่าจะเด็กจะแก่ต่างไม่พอใจกู้ชิงฮั่น
ทั้งนั้น ทุกคนต่างพุ่งเป้าไปที่กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นพยายามชิงตาแหน่งหน้าที่กลับมาให้ตัวเขา ดู
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย แต่กลับถูกคนพวก
นี้รุมโจมตี
เขาคิดในใจว่าเรื่องนี้ไม่ต้องแย่งกันก็ได้มั้ง ชิงตาแหน่ง
นั้นมาได้แล้ว ตัวเองก็ตอ้ งไปคุกเข่าแบบนั้น แต่กลับมี
คนยอม งั้นก็ให้เขาคุกเข่าไปสิ
แต่ตอนนี้ทุกคนพุ่งเป้าไปที่กู้ชิงฮั่น หยางหนิงเองก็
รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“ทุกท่าน ฮูหยินสามก็ทาไปเพื่อส่วนรวม พวกท่าน
...!” ตอนนี้เองก็เห็นต้วนชางไห่จู่ๆ ก็โผล่มายืนอยู่ที่
หน้าประตูห้องโถง หลังจากที่เขากับฉีเฟิงและพรรค
พวก ตามหยางหนิงกับฮูหยินสามเข้ามาที่ห้องโถง ก็
ไม่ได้เข้ามาในห้อง คุกเข่าอยู่ด้านนอก แต่ตอนนี้กลับ
ทนไม่ไหวที่เห็นฮูหยินสามถูกโจมตี ดังนั้นก็เลยออก
หน้าช่วยพูด
เขาพูดยังไม่ทันจบ คนผอมๆ ที่ถูกเรียกว่าท่านห้าก็
พูดว่า “ต้วนชางไห่ เจ้าเป็นใครกัน ก็แค่หมารับใช้
ตัวหนึ่งในจวนเท่านั้น เจ้ามีสิทธิอะไรมาออกความ
คิดเห็น?”
“หากเจ้ายังอยากจะกินข้าวที่นี่อยู่ ก็ไปให้พ้นซะ”
ท่านหกเหมือนโดนเหยียบหาง ร้องตะโกนขึ้นมา
“กู้ชิงฮั่น เจ้าดู จวนมีกฎระเบียบหรือ? หมารับใช้ตัว
หนึ่ง กล้ามาเห่าหอนตรงนี้ นี่เป็นกฎที่เจ้าตั้งขึ้นงั้น
หรือ? เมื่อกี้บอกว่าจวนสงบดี ตอนนี้เห็นหรือยัง?”
ยกสองมือขึ้นมา แล้วพูดเสียงดังว่า “ทุกคนดู จวน
องครักษ์เสื้อแพรมีเรื่องแปลกๆ ทหารยามคนหนึ่ง
กลับมายุ่งย่ามเรื่องในห้องพิธี แถมยังพูดเรื่องเห็นแก่
ส่วนร่วมอะไรด้วย หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลฉี
ของเราจะเอาหน้าไว้ที่ไหน?”
ต้วนชางไห่โกรธหน้าเขียว ปากสั่น แล้วก้มหน้า
กาหมัดแน่น เส้นเลือดเส้นเอ็นขึ้นจนชัดไปหมด
ร่างกายก็สั่นเทา
“ยังกล้ากาหมัดอีกงั้นหรือ?” ท่านห้ายิ้มแห้งแล้วพูด
ว่า “ทาไม คิดจะลงไม้ลงมือกับเรางั้นหรือ?” แล้วเดิน
มายืนตรงหน้าของต้วนชางไห่ แล้วตะคอกใส่ว่า
“ตอนนี้ข้ายืนอยู่นี่แล้ว ข้ารู้ว่าตอนนั้นเจ้าสามารถ
บุกตะลุยโจมตีข้าศึก เจ้าคลานออกมาจากกองศพ
วรยุทธ์ของเจ้าก็ไม่เลว ตอนนี้เจ้าก็ลงมือเลยสิ ต่อยข้า
ให้ตายไปเลย หากเจ้าไม่กล้าลงมือ เจ้ามันก็แค่คน
ขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่งเท่านั้น”
กู้ชิงฮั่นตอนนี้ก็พูดขึ้นมาว่า “ชางไห่ เจ้าออกไป
ก่อน!”
ต้วนชางไห่ก้มหน้า แล้วยกมือขึ้นคารวะ ท่านห้ายก
ขาขึ้นมา ทาบไปที่ท้องของต้วนชางไห่ แล้วด่าว่า
“เจ้าหมารับใช้” ต้วนชางไห่คิดไม่ถึงว่าท่านห้าจะยก
เท้าขึ้นมาแบบนี้ เขาถูกดันถอยหลังไปสองก้าว ยังดีที่
เขาแข็งแรง ก็เลยแค่ถอยไป ไม่ได้ล้ม
“โอโห้ ยังเรียกชางไห่ชางไห่” ฉงอี๋เหนียงเห็นคนออก
หน้าพูดแทนนาง ก็โกรธจนควันออกหู แล้วพูดว่า
“กู้ชิงฮั่น เขารีบวิ่งมาออกหน้าแทนเจ้า เพราะอะไร
กันหรือ? ปกติเขากับเจ้าสนิทสนมกัน หรือว่าจะ...!”
นางยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียง “เพี๊ยะ” กู้ชิงฮั่นยก
มือขึ้นมาตบหน้านาง เสียงการตบดังกังวลชัดเจน คน
ในห้องโถงบรรพชนเงียบกันหมด ทุกคนดูเหมือนจะ
ตกใจมาก ฉงอี๋เหนียงเอามือจับไปที่หน้าของตัวเอง
ตะลึงไป สายตามีความหวาดกลัว แต่ไม่นานนักก็
แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ แล้วพูดเสียงสูงว่า “เจ้า...
เจ้ากล้าตบข้าหรือ?” ยื่นมือไปข่วนหน้าของกู้ชิงฮั่น
แล้วด่าว่า “นังแพศยา กล้าตบข้า ข้าจะสู้กับเจ้าก็ได้
...!”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 37 วิวาทในห้องโถงบรรพชน
เล็บของฉงอี๋เหนียงค่อนข้างยาว กาลังจะข่วนลงไปที่
หน้าของกู้ชิงฮั่น ใบหน้าที่สวยงามราวกับหิมะราวกับ
เปลือกไข่ หยางหนิงกาลังจะยื่นมือไปขวางแต่เห็น
กู้ชิงฮั่นหลบ ฉงอี๋เหนียงพุ่งตัวมาค่อนข้างเร็ว เมื่อ
ฮูหยินสามกู้ชิงฮั่นหลบแบบนี้ ทาให้เจอแต่อากาศ
จากนั้นก็ค่อยๆ ไถลเสียหลักแล้วล้มลง
ฉีอวี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ในที่สุดก็ลุกขึ้นมา แล้ว
ตะคอกว่า “นังแพศยา เจ้ากล้ารังแกแม่ข้าหรือ? ข้า
จะฆ่าเจ้า” เขามองไปรอบๆ ก่อนจะคว้ากระถางธูป
ขึ้นมาและขว้างมันใส่กู้ชิงฮั่น เด็กคนนี้แรงเยอะมาก
ขณะที่กระถางธูปกาลังลอยเข้ามา ใบหน้าของกู้ชิงฮั่น
ก็ถอดสี เห็นได้ชัดว่ากระถางธูปนั้นกาลังจะปะทะเข้า
กับร่างของกู้ชิงฮั่น ก็มีเท้าข้างหนึ่งปรากฏต่อสายตา
ลูกเตะสวยงามถูกวาดไปทางกระถางธูป จากนั้นมันก็
ถูกเตะจนลอยกลับไป
การโต้กลับแบบไม่คาดคิดนี้ ฉีอวี้ก็ตะลึงไป จนกระทั่ง
กระถางธูปกระแทกที่หน้าอกของเขา เขาถึงได้ร้อง
“โอ๊ย” ออกมา แล้วนั่งลงไปกับพื้น แล้วใช้มือจับไปที่
หน้าอก หายใจแทบไม่ทัน
ทุกคนรวมไปถึงกู้ชิงฮั่นต่างตะลึง เห็นหยางหนิงยก
เท้าขึ้นมาข้างหนึ่ง กาลังค่อยๆ วางลง
“เขา...!” ท่านหกอ้าปากค้าง เหมือนจะพูดอะไร แต่ก็
ไม่ได้พูดออกมา
เห็นหยางหนิงมองไปรอบๆ ทันใดนั้นเองก็หัวเราะ
ออกมา ทุกคนจึงได้สติกลับมา
หยางหนิงคิดว่า พวกเขาคิดว่าซื่อจื่อเป็นคนบ้า
ตัวเขาก็จะฉลาดมากเกินไปไม่ได้ ทาหน้าตาเอ๋อๆ
บ้างก็ได้ หัวเราะไม่มีสาเหตุบ้างคงไม่แปลก
ถึงแม้เขาไม่อยากจะแย่งตาแหน่งลูกที่กตัญญู แต่ก็รู้
ว่ากู้ชิงฮั่นกาลังปกป้องตัวเขาอยู่ เพราะกู้ชิงฮั่น
หน้าตาสวย และนางพยายามปกป้องตัวเขา เขาจึง
ยอมไม่ได้ที่จะให้นางถูกรังแก
ฉงอี๋เหนียงนั่งร้องไห้อยู่ที่พื้น เมื่อเห็นฉีอวี้ถูกกระถาง
ซัดจนล้มลง ก็รีบวิ่งไปดู แล้วพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าเป็น
อย่างไรบ้าง? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
ท่านใหญ่สามตอนนี้ลุกขึ้นมา พูดด้วยความโกรธว่า
“มันอะไรกัน มันอะไรกัน” แล้วชี้ไปที่กู้ชิงฮั่นพูดว่า
“พวกเจ้า...พวกเจ้ายังมีระเบียบกันอยู่ไหม? ที่นี่ห้อง
โถงบรรพชนนะ ลงไม้ลงมือได้อย่างไร กู้ชิงฮั่น เจ้า
บังอาจมากไปแล้วนะ”
กู้ชิงฮั่นดวงตาแดงก่า แต่ยังพูดต่อไปว่า “ท่านใหญ่
สาม ท่านเองก็เห็นอยู่ พวกเขาไม่มีหลักฐานไม่มี
พยานแต่ใส่ร้ายความบริสุทธิ์ของข้า หรือว่าพวกท่าน
ไม่ได้ยิน? อย่างไรซะข้าเองก็เป็นสะใภ้ตระกูลฉี เอา
น้าเสียมาสาดใส่ตัวข้าแบบนี้ มันก็เหมือนสาดของเสีย
ใส่ตระกูลฉีน่ะสิ พวกท่านไม่สนใจเลยหรืออย่างไร?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว น้าตาไหล
ออกมา
“ใส่ร้ายให้เจ้าแปดเปื้อนงั้นหรือ?” ท่านหกพูด
“ทาอะไรตรงไปตรงมาก็ต้องไม่กลัวสิ หากปกติ
เจียมตัวบ้าง ก็คงไม่มีใครเขาพูดหรอก”
“เจ้า...!” กู้ชิงฮั่นโกรธมาก แต่แววตาเจ็บปวด
ท่านใหญ่สามชี้ไปที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “เจ้ากล้าลง
มือกับพี่น้องของตัวเองเลยหรือ ของหนักแบบนั้น
หากโดนหัวขึ้นมาจะทาอย่างไร? ใครก็บอกว่าเจ้ามัน
บ้า เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย เจ้าเป็นแบบนี้ แล้วจะเฝ้า
ศพได้อย่างไรกัน?” แล้วพูดเสียงเข้มว่า “อีกไม่กี่วันก็
จะต้องเปิดบ้านรับแขก คนที่มาก็มีแต่ท่านอ๋องกับ
เหล่าตระกูลใหญ่ สภาพเจ้าแบบนี้ ตระกูลฉีไม่เสีย
หน้าแย่หรือ ต่อไปจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จวน
องครักษ์เสื้อแพรอย่างไรก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่
ยิ่งใหญ่ของแคว้นฉู่ จะเสียหน้าไม่ได้โดยเด็ดขาด
ข้าจะตัดสินว่า ให้อวี้เอ๋อร์เฝ้าศพแทน ส่วนเรื่องอื่นๆ
ข้าจะช่วยจัดการเอง เจ้าสองคนก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว”
ท่านห้าคนผอมๆ ก็พูดมาว่า “ถูกต้อง พวกเจ้าดูเจ้า
บ้านี่สิ พ่อตัวเองเพิ่งตาย น้าตาสักหยดก็ไม่มี มันได้
หรือ? ให้คนแบบนี้ไปรับแขกได้หรือ?”
แต่หยางหนิงไม่ได้สนใจ แล้วค่อยๆ เดินไปที่ตาแหน่ง
เฝ้าศพ แล้วชี้หน้าฉีอวี้ ความหมายก็คือจะให้ฉีอวี้
หลีกไป
หลังจากฉีอวี้หายใจหายคอได้แล้ว ก็ลุกขึ้นมา สายตา
เต็มไปด้วยความแค้น ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “คนที่ควรไป
คือเจ้า เจ้ามันคนบ้า เจ้านี่นะ จะสืบทอดตาแหน่ง
ขององครักษ์เสื้อแพร?”
หยางหนิงยกมือขึ้นมา กางห้านิ้วออก ทุกคนไม่รู้ว่า
คนบ้าแบบเขาจะทาอะไรกันแน่ แต่เห็นหยางหนิง
พับนิ้วเก็บทีละนิ้วทีละนิ้วจนเหลือสามนิ้ว แล้วยื่นไป
จับคอเสื้อของฉีอวี้ ไม่รอฉีอวี้ตอบโต้ เขาสะบัดตัวเขา
ไปอย่างแรง ฉีอวี้ถูกสลัดจนล้มลงไป
ฉงอี๋เหนียงร้องด้วยความตกใจ คนอื่นเองก็เช่นกัน
“อวดดี จองหอง...!” ท่านใหญ่สามโกรธแล้วตะคอก
“ฉีหนิง เจ้าคิดจะทาอะไร?”
หยางหนิงคิดในใจว่าซื่อจื่อชื่อฉีหนิงจริงๆ ด้วย ดูท่า
ต่อไปตัวเขาก็จะใช้ชื่อนี้นี่แหละ เขามองไปที่ท่านใหญ่
สาม แล้วย้อนถามว่า “ท่านคิดว่าข้าจะทาอะไร?”
“บังอาจ!” ท่านห้าพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้ากล้า
กาเริบเสิบสานต่อหน้าผู้อาวุโสแบบนี้ได้อย่างไร?”
หยางหนิงชี้ไปที่ฉีอวี้ แล้วชี้ไปที่กู้ชิงฮั่น แล้วถามว่า
“ฉีอวี้ทาผิด พวกท่านทาไมไม่จัดการล่ะ?”
ท่านใหญ่สามโกรธจนหน้าเขียว แล้วพูดเสียงเข้มๆ ว่า
“กู้ชิงฮั่นไม่รู้จักเจียมตัว จะให้ข้าให้ความเป็นธรรมให้
นางได้อย่างไร?”
“ท่านเป็นผู้ใหญ่แต่ไม่น่าเคารพ แล้วจะให้ข้าเคารพ
ท่านได้อย่างไรกัน?” เมื่อหยางหนิงเอ่ยปากพูดทีเดียว
สะเทือนฟ้าทลายดินเลยทีเดียว “ฉีอวี้ทาผิดต่อฮูหยิน
สามพวกท่านไม่เพียงไม่สนใจ ยังหาข้ออ้างไปเรื่อย
ข้าก็ทาแบบนี้กับท่านบ้าง นี่ก็เป็นสิ่งที่ท่านสอนข้านิ”
ท่านใหญ่สามตะลึงไป กู้ชิงฮั่นเองก็ตะลึงไป แล้วรีบ
พูดว่า “หนิงเอ๋อร์...!”
หยางหนิงกลับยกมือขึ้นมาห้ามกู้ชิงฮั่นเอาไว้ แล้วพูด
ต่อไปว่า “ข้าเป็นใคร? ข้าเป็นลูกชายคนแรกของเมีย
แต่ง” แล้วชี้ไปที่ฉีอวี้ “เขาเป็นใคร? เขาเป็นลูกอนุ
พวกท่านป่าวประกาศไปทั่วว่า จะต้องทาตามกฎ
อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่รู้ว่ากฎข้อไหนบอกพวกท่านหรือ
ว่าลูกอนุฐานะสูงกว่าลูกเมียแต่ง?”
ในตอนนี้หยางหนิงเข้าใจแล้วว่า ตัวเขาคือซื่อจื่อ เป็น
ลูกคนแรกของเมียแต่งขององครักษ์เสื้อแพร ส่วนฉีอวี้
เป็นลูกของฉงอี๋เหนียง ฉงอี๋เหนียงเป็นแม่เลี้ยง ลูก
ของนางก็คือลูกอนุ
หยางหนิงไม่ได้มีอคติอะไรกับลูกเมียแต่งหรือลูกอนุ
เพราะเขาไม่ใช่คนในยุคนี้ ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไร
มากมายขนาดนี้ แถมยังต่อต้านด้วยเพราะจะเมียแต่ง
หรืออนุมันทาให้มีการแบ่งชนชั้นวรรณะมากเกินไป
แต่เมื่อเห็นคนพวกนี้หยิ่งยโสไม่มีความเกรงใจ ก็รู้สึก
ไม่พอใจ เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นซื่อจื่อได้อีกสักกี่วัน
ดังนั้นในตอนนี้ ก็ทาอะไรให้มันสะใจไปเลยดีกว่า
คนอื่นทาให้เขาไม่มีความสุข เขาก็จะทาให้คนอื่นไม่มี
ความสุขเช่นกัน
สายตาของท่านห้าเหมือนจะกินคนได้ พูดด้วยความ
โกรธว่า “ฉีหนิง เจ้ามันกาเริบเสิบสานมากไปแล้วนะ
เจ้า...!”
“ท่านเป็นใคร?” หยางหนิงเหลือบไปมองเขา แล้วพูด
อย่างเฉยๆ ว่า “พวกท่านพูดคาว่ากาเริบเสิบสานได้
อย่างเดียวหรือ? จริงสิ ท่านคือท่านห้าสินะ?”
“ข้าเป็นท่านอาห้าของเจ้า” ท่านห้าพูด “เจ้าคนไม่
เอาไหน ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ เจ้าควรพูดอะไร”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นี่คือจวนองครักษ์เสื้อแพร
หากข้าพูดไม่ได้ แล้วใครกันล่ะที่พูดได้?” เขามองไป
รอบๆ เห็นทุกคนกาลังใช้สายตาแปลกๆ มองมาที่ตัว
เขา
ในใจของเขารู้ดีว่า ซื่อจื่อคนนั้นปกติเป็นบ้า คนพวกนี้
น่าจะรู้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขาย้อนคาพูดกลับไปอย่าง
ชัดถ้อยชัดคา คนพวกนี้จะตกใจไม่ใช่เรื่องแปลก
กู้ชิงฮั่นสีหน้าท่าทางสายตาทั้งตกใจทั้งตะลึงอย่างเห็น
ได้ชัด
“พวกท่านกังวลว่าข้าอยู่ที่นี่จะทาให้ขายหน้า” หยาง
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่เมื่อถึงเวลาแขกที่มาในงาน
เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงท่านพิธีเป็นลูกของอนุ ไม่รู้
เหมือนกันว่าในใจของพวกเขาจะคิดอย่างไร? จะ
หัวเราะเยาะไหมว่าองครักษ์เสื้อแพรไม่มีผู้สืบทอด
หรืออย่างไร?”
เขาเน้นย้าไปที่คาว่า “ลูกอนุ” อยู่ตลอดเวลา ฉีอวี้
โกรธจนหน้าเขียว กาหมัดแน่น สายตาเหมือนมีดาบ
ที่พร้อมจะฟันไปที่หยางหนิงตลอดเวลา
หยางหนิงเหลือบไปมอง แล้วพูดว่า “สิ้นท่านพ่อไป
แล้ว คนที่เป็นพี่ชายก็เหมือนพ่อ ข้าเป็นพี่ชายเจ้า ก็
เปรียบเหมือนเป็นพ่อของเจ้า เจ้าอวดดีต่อหน้าข้า ใน
จวนองครักษ์เสื้อแพรยังมีกฎระเบียบกันอยู่ไหม?”
เขามองไปที่กู้ชิงฮั่น แล้วถามว่า “ฮู...ฮูหยินสาม จวน
องครักษ์เสื้อแพรของเราไม่มีกฎบ้านหรือ?”
กู้ชิงฮั่นมีอาการตกตะลึงอยู่ นางคิดไม่ถึงเลยว่า
หยางหนิงจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ตอนนี้ไม่รู้
เหมือนกันว่าจะต้องตอบอย่างไร
“กฎบ้าน?” ท่านใหญ่สามยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เจ้าก็
แค่เด็กไม่ประสา จะมาพูดเรื่องกฎบ้านหรือ? ตอนนี้
ข้าเป็นนายใหญ่ของบ้านตระกูลฉี หากจะพูดเรื่องกฎ
บ้าน ข้าเอง ฉีหนิง เจ้าไม่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ใน
สายตา อาละวาดในห้องโถงบรรพชน ข้าจะไม่ยอมให้
เจ้ากาเริบเสิบสานได้อีก ข้าให้เจ้าได้ลิ้มรสกฎบ้าน”
แล้วพูดเข้มๆ ว่า “ทหาร จับเจ้าเดรัจฉานนี่ไว้ แล้ว
ลงโทษเขาเดี๋ยวนี้!”
หยางหนิงโกรธมากแต่ก็สงสัย ในใจคิดว่าเจ้าเฒ่านี่
ทาไมถึงได้เอาแต่ปกป้องลูกอนุตลอดเวลา คงไม่ใช่แค่
เพราะฉีหนิงสติสัมปชัญญะไม่ดีแค่นั้นหรอกนะ คิดว่า
น่าจะมีอะไรอย่างอื่น
ท่านใหญ่สามพูดจบ ก็มีคนสองคนวิ่งเข้ามา กู้ชิงฮั่น
สายตาเย็นยะเยือก แล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์เป็นซื่อจื่อ
ใครกล้าแตะต้องเขา?”
คนที่เข้ามาตกใจ ท่านหกคนอ้วนๆ ยิ้มแห้ง แล้วก็พุ่ง
ขึ้นมา ใช้มือข้างหนึ่งจะจับไปที่คอของหยางหนิง
หยางหนิงหลบได้อย่างง่ายดาย แล้วยื่นมือไปจับแขน
ที่ยื่นมาของท่านหก ออกแรงกระชาก ทาให้ท่านหก
ไม่สามารถเก็บเท้าได้ทัน ล้มกลิ้งลงไป แล้วเขาก็ร้อง
ออกมาอย่างตกใจ ท่านหกคนอ้วนๆ ชนถูกท่านพิธี
เชิงเทียนล้มลง ถาดผลไม้ล้มละเนละนาด
เชิงเทียนค่อยๆ กลิ้งไปถูกผ้าขาว จากนั้นไฟก็ลุก
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปหมด มีคนร้องตะโกนออก
มาแล้ว กู้ชิงฮั่นหน้าเสียไป แล้วร้องขึ้นมาว่า “รีบดับ
ไฟเร็ว รีบดับไฟเร็ว!”
ไฟลามไปเร็วมาก คนด้านนอกยกน้าเข้ามาดับไฟ
ไม่ช้าไฟก็ดับลง ในห้องโถงบรรพชนตอนนี้มันเละเทะ
มาก
หยางหนิงเห็นท่านหกคนอ้วนกาลังลุกขึ้นมา เตรียม
จะวิ่งหนี ก็เลยรีบพุ่งเข้าไปหา ยื่นขาเข้าไปขัดเขาจาก
ด้านหลัง ท่านหกร้อ “โอ๊ย” แล้วล้มลงไปกองกับพื้น
อีกครั้ง หยางหนิงรีบนั่งลงไปบนตัวเขา ดึงหมวกของ
เขาออก แล้วจับไปที่หัวเขา แล้วร้องตะโกนว่า “ท่าน
...ท่านกล้าทาลายห้องโถงบรรพชนหรือ? ข้าจะสู้กับ
ท่านตอนนี้ ท่านต้องชดใช้ห้องโถงบรรพชนให้ข้าต้อง
ชดใช้ห้องโถงบรรพชนให้ข้า...!” ยกหมัดขึ้นมาแล้วก็
ชกไปที่หัวของเขา
ท่านหกร้องเหมือนหมูโดนเชือด ตอนนี้ในห้องโถง
บรรพชนวุ่นวายไปหมด หลังจากไฟไหม้ ท่านใหญ่
สามถูกพยุงออกจากห้องโถงไป ส่วนท่านห้าจริงๆ ก็
ออกมาด้านนอกแล้ว แต่เมื่อเห็นหยางหนิงนั่งทับท่าน
หกอยู่ก็กาหมัดเตรียมขึ้นไปชก แล้วตะโกนว่า “ฉีหนิง
เจ้ามันเดรัจฉาน อาแท้ๆ ของตัวเองยังกล้าทาร้าย...!”
เขาเดินตรงเข้ามา ยกเท้าเตรียมที่จะถีบเข้าใส่
หยางหนิง
หยางหนิงเตรียมตัวรับมืออยู่แล้ว เขายื่นมือออกไป
จับขาของท่านห้าเอาไว้ แล้วดึงอย่างแรง หลังจากนั้น
ก็ได้ยินเสียง “แกร็ก” ท่านห้าร้องอย่างเจ็บปวด แล้ว
ล้มลงกับพื้น
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 38 สายลมแห่งสะพานดอกท้อ
หยางหนิงใช้มือเดียวทาให้ขาของท่านห้าหัก แล้วก็
ตีจนหัวของท่านหกเลือดออก จากนั้นก็ลุกขึ้นมา
จัดการกับชุดไว้ทุกข์ แล้วเดินออกมาจากประตู
เสียงร้องของทั้งสองคน ทาให้ท่านใหญ่สามต้องรีบพูด
ว่า “รีบไปดูเร็ว”
ข้างๆ มีคนพุ่งเข้ามา แล้วก็รีบวิ่งออกไปแล้วพูดว่า
“แย่แล้ว ท่านห้าขาหัก ท่านหก...ท่านหกก็แย่
เหมือนกัน”
ท่านใหญ่สามทั้งโกรธทั้งร้อนใจ แล้วเร่งว่า “ยังไม่รีบ
หามพวกเขาไปหาหมออีก เร็ว อย่าช้า...!”
มีคนหลายคนพุ่งเข้าไปในห้องโถงบรรพชน หามท่าน
ห้าออกมาก่อน จากนั้นก็ค่อยพยุงท่านหกออกมา เมื่อ
เห็นหัวของท่านหกมีเลือดออก ท่านใหญ่สามก็โกรธ
มาก “ใครทา?” เมื่อกี้เขารีบวิ่งออกมา จึงไม่เห็น
หยางหนิงลงมือ
หยางหนิงที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าเอง!”
“เจ้า?” ท่านใหญ่สามโกรธจนหน้าเขียว ชี้ไปที่
หยางหนิง “ต่อให้พ่อเจ้ายังอยู่ ก็ไม่กล้าทาอะไร
เหลวไหลแบบนี้ ฉีหนิง เจ้านี่มันตัวทาร้ายวงศ์
ตระกูลฉีจริงๆ”
หยางหนิงมองบนแล้วพูดว่า “พวกเขาทาลายห้องพิธี
ท่านพ่อสิ้น ยังไม่ได้ฝัง จะให้พวกเขามาก่อความ
วุ่นวายแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ต่อให้เป็นคนที่มี
ตาแหน่งสูงกว่านี้มาแล้วก่อความวุ่นวาย
ข้าก็จะไม่ละเว้น”
เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อมเลย
ท่านใหญ่สามตัวสั่นไปทั้งตัว ชี้ไปที่หยางหนิง นิ้วสั่น
มาก “ได้...ได้...!” หันหลังแล้วเดินไป แล้วตะโกนว่า
“เราไปกัน เรื่องนี้...เรื่องนี้เราจะไม่ยุ่ง...!” โกรธจน
ควันออกหูแล้วก็พาคนกลุ่มหนึ่งออกไป
หลังจากที่คนกลุ่มนี้ออกไปแล้ว ภายในเรือนก็สงบลง
หยางหนิงยิ้มแห้ง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินกู้ชิงฮั่นถอน
หายใจมาจากด้านหลัง แล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ ถึงแม้
พวกเขาจะทาไม่ถูก แต่ว่า...เฮ้อ ท่านใหญ่สามอย่างไร
ก็เป็นผู้อาวุโสกว่า เจ้าไม่ควรพูดจาอย่างนั้นกับเขา”
“ก็เขาไม่น่าเคารพ” หยางหนิงพูด “คนพวกนี้ไม่ได้
มาช่วย แต่มาหาเรื่อง ฮูหยินสาม ท่านดูไม่ออกหรือ?
พวกเขาคิดจะรังแกท่าน ฝันไปเถอะ ขอแค่มีข้า ใครก็
อย่าคิดจะทาอะไรท่านได้” แล้วหันหัวไป เห็นกู้ชิงฮั่น
ยืนอยู่ข้างๆตัวเขา เหมือนจะได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
สายตาของกู้ชิงฮั่นเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง แล้วพูดว่า
“เด็กคนนี้นี่ เมื่อกี้เรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“อ๊า?” หยางหนิงตะลึงไป ในใจคิดว่าคราวนี้ทาพลาด
แล้ว คาว่า ‘ฮูหยินสาม’ บ่าวไพร่ในจวนเขาเรียกกัน
ตัวเขาเป็นซื่อจื่อ ก็น่าจะเรียกแบบอื่น
แต่ว่าตอนนี้เขาไม่รู้จริงๆ ว่ากู้ชิงฮั่นมีฐานะอะไรใน
จวนองครักษ์เสื้อแพรนี่ ถึงแม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนสาคัญ
ของจวนนี้ แต่ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่านางเป็นอนุ
ขององครักษ์เสื้อแพรฉีหุ้ยจิ่งหรือเปล่า
ฉงอี๋เหนียงเป็นอนุของฉีหุ้ยจิ่งแน่ๆ หากกู้ชิงฮั่นเป็น
อนุเหมือนกัน ทุกคนเรียกว่า “ฮูหยินสาม” งั้นก็
หมายความว่านางเข้าจวนมาหลังฉงอี๋เหนียง ฐานะใน
จวนก็น่าจะอยู่ต่ากว่าฉงอี๋เหนียง แต่จากเมื่อกี้ที่ดู
กู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวฉงอี๋เหนียงเลย ไม่ว่าจะ
ท่าทางหรือคาพูด ทาให้คนรู้สึกว่าฐานะของนางน่าจะ
สูงกว่าฉงอี๋เหนียง หากเป็นอนุ สถานการณ์เมื่อกี้คง
ไม่กล้าลงมือแบบนั้นกับฉงอี๋เหนียงแน่ๆ
หยางหนิงรู้สึกเสียใจที่ระหว่างทางไม่ถามข้อมูลมาให้
มากกว่านี้
เขาไม่รู้จักนิสัยของฉีหนิงเลย รู้แค่ว่าสติของซื่อจื่อ
ไม่ค่อยดี หากระหว่างทางเขาถามให้มากกว่านี้ ก็
กังวลว่าต้วนชางไห่จะสงสัยเอาอีก
ถึงตอนนี้หยางหนิงเองก็ไม่ได้ประมาทต้วนชางไห่
คนๆ นี้สามารถประเมินเรื่องที่เกิดขึ้นในศาลเจ้าได้
อย่างแม่นยาถูกต้อง แม้กระทั่งฐานะของค่ายดาบดา
เขาก็ดูออก นอกจากสายตาที่แหลมคมแล้ว คิดว่า
ประสบการณ์ของเขาก็มีไม่น้อย
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงเหม่อไป ก็คิดว่าตัวเองทาอะไร
ผิด ก็เลยรีบพูดว่า “อย่าคิดมาก เจ้าอยากจะเรียก
อะไร ซานเหนียงก็แล้วแต่เจ้า”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้ก็เรียกนางว่า “ซานเหนียง”
นี่เอง ถึงแม้เขาจะอายุสิบหกสิบเจ็ด แต่ว่าความคิดก็
ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอายุอย่างกู้ชิงฮั่นเลย คาว่า
“ซานเหนียง” มันก็เรียกได้ไม่เต็มปากจริงๆ
“ฮูหยินสาม ซื่อจื่อ ข้าให้คนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว”
มีเสียงที่ดูนอบน้อมเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ทางฉงอี๋เหนียง ข้ากล่อมให้พวกเขากลับไปแล้ว”
หยางหนิงหันไปมอง เห็นคนที่พูดอยู่เป็นชายอ้วนคน
หนึ่งมีเครารูปแปดเหลี่ยม ตอนที่ตัวเขาเดินเข้าไปใน
โถงบรรพชน เขาได้เรียกเขาไปครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น
ตอนที่เกิดเรื่อง ก็ยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร
“หายไปหลายวัน แม้แต่พ่อบ้านชิวก็จาไม่ได้แล้ว
หรือ?” กู้ชิงฮั่นดึงมือของหยางหนิง แล้วมองไป เห็น
ฉีอวี้พยุงฉงอี๋เหนียง ทั้งสองมองมาด้วยสายตาแค้น
โกรธ แล้วก็จากไป
หยางหนิงก็ไม่ได้สนใจพวกเขาสองคน แล้วมองไปที่
พ่อบ้านชิว แล้วถามว่า “ท่านคือพ่อบ้านชิวหรือ?
เมื่อกี้พวกเขารังแกซาน...ซานเหนียง ท่านทาไมถึงไม่
พูดอะไรเลยล่ะ?”
เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา พ่อบ้านชิวฟังอยู่ แต่คิดว่า
ซื่อจื่อคงงอแงแบบคนสติไม่ดี ก็เลยยิ้มแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ ถึงแม้ข้าจะเป็นพ่อบ้านของจวนองครักษ์
เสื้อแพร แต่ว่าอยู่...อยู่ต่อหน้าพวกเขา ข้าก็แค่
บ่าวไพร่คนหนึ่ง สถานการณ์อย่างนั้น ข้าไม่สามารถ
พูดอะไรได้”
“แต่ว่าต้วนชางไห่พูดไม่ใช่หรือไง?” หยางหนิงพูดด้วย
น้าเสียงไม่ดี “ท่านเป็นพ่อบ้าน ตาแหน่งในจวนสูง
กว่าต้วนชางไห่อีก ทาไมถึงไม่กล้าออกหน้า?”
พ่อบ้านชิวรู้สึกทาตัวไม่ถูก กู้ชิงฮั่นก็พูดขึ้นมาว่า
“พ่อบ้านชิว ที่โถงบรรพชนท่านให้คนไปทาความ
สะอาดก่อนเถอะ ส่วนทางท่านใหญ่สาม ท่านไปด้วย
ตัวเองทีนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาไม่มีทาง
ไม่ยุ่งหรอก ข้าเป็นแค่แม่ม่ายคนหนึ่ง คงไม่สะดวกจะ
ไป ซื่อจื่อกลับมา ทางไท่ฟูเหรินยังไม่รู้เรื่อง ข้าจะพา
เขาไปหาไท่ฟูเหรินก่อน”
พ่อบ้านชิวรีบตอบว่า “ฮูหยินสามวางใจ ข้าจะจัดการ
ทุกอย่างให้เรียบร้อย”
กู้ชิงฮั่นถึงได้หันมาพูดกับหยางหนิงว่า “หนิงเอ๋อร์ เรา
ไปหาไท่ฟูเหรินกันเถอะ!”
มือของกู้ชิงฮั่นขาวเนียนมาก หากไม่มีกระดูก มันก็
แวววับเหมือนกับเครื่องลายคราม สัมผัสที่มือดีมาก
หากรอบๆ ไม่มีคน หยางหนิงคงจูงมือนางเดินไปแล้ว
แต่ว่าในจวนมีบ่าวไพร่เต็มไปหมด เขารู้สึกว่าให้
ผู้หญิงมาจับมือเดินมันไม่ค่อยเหมาะ ก็เลยสลัดมือทิ้ง
เบาๆ กู้ชิงฮั่นตะลึง แต่นางฉลาดมาก เข้าใจในทันที
ยิ้มแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์โตเป็นหนุ่มแล้ว รู้จักอาย
แล้วหรือ?”
หยางหนิงคิดในใจว่าข้าหน้าด้านจะตายไป หากไม่ใช่
ว่ามีคนอยู่เต็มไปหมด จะให้ทั้งกอดทั้งหอมท่านข้าก็
ไม่อายสักนิด เกรงแต่ว่าตอนนั้นท่านจะหน้าบาง
เอาน่ะสิ แต่ว่าคนในจวนมากขนาดนี้ อย่างไรข้าก็เป็น
ผู้ชาย จะให้ผู้หญิงมาจูงมือเดินแบบนี้ มันไม่น่าเกรง
ขามเลย
กู้ชิงฮั่นก็ไม่พูดอะไรมาก เดินนาหน้าไป หยางหนิง
เดินตามหลัง พระอาทิตย์กาลังจะตกดิน สาดแสงลง
มาที่ต้นไม้ทิ้งไว้แค่เงา
หยางหนิงเดินตามหลังกู้ชิงฮั่นไป มองจากเงา ก็พบว่า
ฮูหยินสามคนนี้หุ่นดีทาคนหวั่นไหวจริงๆ
ชุดไว้ทุกข์ไม่สามารถปกปิดรูปร่างอันอ่อนช้อยได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นส่วนเว้าส่วนโค้งตรงจุดไหน ไม่ว่าจะท่า
เดินหรือท่าอะไร มันมีเสน่ห์ทาให้จิตใจรู้สึกหวั่นไหว
เป็นสาวงามที่หาได้ยากจริงๆ ราวกับดอกท้อยามเย็น
สายลมพัดโชยมา กลิ่นหอมบนตัวของกู้ชิงฮั่นโชยมา
เข้าจมูก มันทาให้ใจสั่น หยางหนิงรู้ว่าในเวลานี้
กู้ชิงฮั่นนั้นไม่ได้แต่งตัวหรือทาอะไรกับตัวเองมากนัก
คงไม่สามารถใส่น้าหอมหรืออะไรแน่ๆ คิดว่าเกิน
แปดสิบเปอร์เซ็นน่าจะเป็นกลิ่นตัวของนาง คนสวยก็
คือคนสวย แม้แต่กลิ่นกายก็ทาให้เมาได้
หยางหนิงก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรขนาดนั้น แล้วเขาก็
ไม่ได้กลัวอะไรด้วย เพราะอย่างไรเขาก็คือตัวปลอม
ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับจวนองครักษ์เสื้อแพร
สักนิด กับผู้หญิงตรงหน้าก็ไม่ได้มีพันธะทางสายเลือด
แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ควรจะจ้องก้นนางตลอด
แบบนี้ เพราะข้างๆ มักจะมีบ่าวไพร่เดินผ่านไปมา
หากถูกบ่าวไพร่พวกนั้นเห็นว่าซื่อจื่อจ้องก้นของ
ซานเหนียงไม่ละสายตาเลย จะดูไม่ดี
บางครั้งสายตาของเขาก็แอบชาเลืองมองดูก้นอวบอิ่ม
เพื่อเป็นอาหารตาเล็กๆ น้อยๆ แต่ส่วนใหญ่แล้ว
สายตาเขาจะสอดส่องไปรอบๆ จวนโหว เพื่อสังเกตดู
สภาพของจวน
ไม่เสียแรงที่เป็นถึงจวนขององครักษ์เสื้อแพร นี่เป็น
เรือนของชนชั้นสูง พื้นที่กว้างขวาง ไม่ว่าจะเรือนใน
หรือเรือนนอก แม้แต่ศาลาต่างๆ ก็สวยงามปราณีต
มีภูเขาจาลอง น้าตกและสะพาน ทางเดินทอดยาว
ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ประตูทุกบานในจวนมีลักษณะ
พิเศษแตกต่างกันออกไป มีบานประตูแบบเว้า บาง
บานก็เป็นมุมหกฉาก บางบานก็เป็นทรงกลม
หยางหนิงคิดในใจว่าจวนนี้ต้องมีพื้นที่อย่างน้อย
พันตารางเมตร หากเป็นในยุคของเขา จวนแห่งนี้คง
ขนาดเท่ากับเหมืองทองหนึ่งเหมือง แต่ว่าจวนแห่งนี้
ด้านนอกล้วนเต็มไปด้วยหิมะปกคลุมจนขาวโพลนกับ
บรรยากาศเศร้าโศกเท่านั้น
เดินผ่านมาหลายเรือน ผ่านทางเดินอันแสนยาว
ด้านหน้าเป็นเรือนนอนเล็กๆ เรือนหนึ่ง รอบๆ เงียบ
สงบมาก กู้ชิงฮั่นผลักประตูเข้าไป แล้วหันไปมอง
หยางหนิง แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “หนิงเอ๋อร์ เข้าไป
พบไท่ฟูเหรินแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรมากนะ ตอนนี้นาง
เจ็บปวดใจมาก อย่าได้ทาให้นางเสียใจ”
“ซานเหนียงวางใจเถอะ ข้าไม่พูดอะไรเหลวไหล
แน่นอน” หยางหนิงมองไปที่สาวสวยแล้วก็ยิ้ม
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า ทั้งสองเดินเข้าไปในเรือน หยางหนิง
เห็นภายในเรือนมีต้นโพธิ์ทองอยู่สองต้น กาแพง
เต็มไปด้วยเถาวัลย์ กลิ่นหอมของดอกไม้ทาให้คนรู้สึก
สงบ
เมื่อผลักเข้าไปในห้อง หยางหนิงก็ได้กลิ่นกายาน
ถานเซียง ในห้องดูมืดๆ หยางหนิงเห็นภายในห้องมี
การวางพระพุทธรูปอยู่ ตั้งตรงกับประตูใหญ่ กู้ชิงฮั่น
เดินเข้าไปใกล้ แล้วหันหลังไปทาอะไรบางอย่าง
เหมือนจะให้หยางหนิงปิดประตู หยางหนิงหันไปปิด
ประตู ตอนนี้ถึงได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดเบาๆ ว่า “ไท่ฟูเหริน
ซื่อจื่อกลับมาแล้ว!”
หยางหนิงมองดูเงาที่กระจกอยู่ ในใจก็คิดว่าที่แท้คนๆ
นี้ก็คือไท่ฟูเหรินของจวนองครักษ์เสื้อแพร เห็น
กู้ชิงฮั่นกวักมือเรียก เขาก็เลยเดินเข้าไป ยืนอยู่
ด้านหลังของเงาๆ นั้น เห็นได้ชัดว่านางเป็นหญิงชรา
คนหนึ่ง คลุมผ้าสีดา เหมือนกับรูปปั้นไม่มีผิด
ภายในห้องเงียบมาก หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงของ
หญิงชราพูดว่า “ถอดเสื้อตัวนอกออก!”
หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นตะลึง แล้วมองหน้ากัน กู้ชิงฮั่น
เข้าไปใกล้ๆ ไท่ฟูเหรินแล้วพูดค่อยๆ ว่า “ไท่ฟูเหริน
ซื่อจื่อ ซื่อจื่อกลับมาแล้ว!”
“ถอดเสื้อตัวนอกออก” หญิงชรากล่าวซ้าคาเดิม
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าหญิงชราคนนี้แปลกๆ
หลานตัวเองกลับมาแท้ๆ ไม่ดีใจไม่ว่า อย่างน้อยก็ควร
จะจับมือแล้วพูดอะไรบ้างสิ แต่นี่อย่างไร ไม่พูดสักคา
เข้าห้องมาก็ให้ถอดเสื้อ ไม่รู้คิดจะทาอะไรกันแน่?
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 39 รอยแผลอันประหลาด
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับ
หยางหนิงว่า “หนิงเอ๋อร์ ฟังท่านไท่ฟูเหรินนะ
ถอดเสื้อนอกออก” แล้วค่อยๆ เดินไปช่วยหยางหนิง
ถอดเสื้อ
“เจ้าออกไปก่อน ให้เขาอยู่ที่นี่คนเดียว” ไท่ฟูเหริน
กล่าว หญิงชราคนนี้ก็ยังคงไม่ได้หันหน้ามา แต่
เหมือนมีดวงตาอยู่ด้านหลังอย่างไรอย่างนั้น รู้เรื่องที่
เกิดขึ้นทั้งหมดชัดเจน
กู้ชิงฮั่นมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังตอบ
กลับไปอย่างนอบน้อม “ทราบแล้ว!” แล้วหันไป
กะพริบตาส่งสัญญาณให้กับหยางหนิง นางตั้งใจจะ
บอกอยางหนิงว่าให้เชื่อฟังให้มาก แต่ว่าในสายตา
ของหยางหนิง ม่ายสาวคนนี้น่ารักซะจริง เขายิ้ม
บางๆ รอกู้ชิงฮั่นออกไป หยางหนิงถึงถอดเสื้อไว้ทุกข์
ออกก่อน แล้วจึงถอดเสื้อนอกออก
“คุกเข่าลง!” ไท่ฟูเหรินพูดจาแข็งทื่อ
หยางหนิงได้ยินหญิงชราเย็นชา ในใจก็รู้สึกไม่พอใจ
แอบด่าอยู่ในใจ ไม่รู้ว่านางคิดจะทาอะไร แต่ก็ยอม
คุกเข่าลง
ไท่ฟูเหรินรอหยางหนิงคุกเข่าลงแล้ว ถึงได้หันหลัง
กลับมา หยางหนิงเห็นใบหน้าของนาง เหมือนจะ
ตกใจไม่น้อย หญิงชรามีใบหน้าเหี่ยวย่น ดูแก่มาก
จริงๆ ดูๆ แล้วน่าจะอายุราวๆ เจ็ดสิบแปดสิบแล้ว
ผิวหนังที่เหี่ยวย่น ไม่ได้ทาให้หยางหนิงตกใจเท่าไร
สิ่งที่ทาให้หยางหนิงตกใจคือดวงตาของไท่ฟูเหริน
ไท่ฟูเหรินลืมตาขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังมองไม่เห็นดวงตา
ด้านในอยู่ดี ดวงตาทั้งสองมีแต่ลูกตาขาว หยางหนิงก็
เลยเข้าใจในทันทีว่า ไท่ฟูเหรินของจวนองครักษ์
เสื้อแพรนั้น ตาบอด
ไท่ฟูเหรินยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง จับไปที่หน้าของ
หยางหนิง หยางหนิงเห็นมือของท่านยายผอมจน
เหลือแต่กระดูกไก่ ก็รู้สึกขยะแขยง
มืออันเหี่ยวแห้งลูบไปที่หน้าของหยางหนิง ค่อยๆ ลูบ
จากบนลงล่าง แล้วไล่ไปที่ไหล่ซ้ายของหยางหนิง
หยางหนิงแค่รู้สึกว่าแขนของท่านยายคนนี้ราวกับว่า
ไม่มีอุณหภูมิ มันเย็นยะเยือก ทาให้เขาขนลุก
มือของไท่ฟูเหรินหยุดลงที่ไหล่ของหยางหนิง แล้วพูด
ขึ้นมาว่า “หันหลังไป!”
หยางหนิงรู้สึกโมโหอยู่ลึกๆ ไม่รู้ท่านยายคนนี้ตกลง
จะทาอะไรกันแน่ แต่ก็รู้ดีว่านางมีฐานะอย่างไรใน
จวนองครักษ์เสื้อแพร หากทาให้นางโกรธ ตัวเองก็จะ
เดือดร้อน แอบคิดว่าหันไปก็ดีจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าที่
น่าเกลียดน่ากลัวนี้อีก จากนั้นก็หันหลังไป ไท่ฟูเหริน
ใช้มือลูบไปที่ไหล่ซ้ายของหยางหนิง หลังจากนั้นก็
ค่อยๆ ไล่จับลงไปที่หลัง
ไม่นานนัก มือของไท่ฟูเหรินก็หยุดอยู่ที่ที่ตาแหน่ง
หนึ่ง ค่อยๆ ลูบ หยางหนิงรู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที
เขารู้สึกว่าด้านหลังของเขาเหมือนจะมีรอยแผลเป็น
ตาแหน่งที่ไท่ฟูเหรินลูบอยู่ตอนนี้ ก็คือที่ๆ รอย
แผลเป็นอยู่
ตอนนี้หยางหนิงเข้าใจแล้วว่าท่านยายคนนี้ทาไมถึง
ต้องให้เขาถอดเสื้อออก ทาไมถึงได้ลูบไล่ลงหลังไป
หากเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเพราะรอยแผลเป็นนี้
ในตอนนี้เขารู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจ
หลังจากที่วิญญาณเข้าสิงในร่างนี้แล้ว หยางหนิงก็
พอจะรู้สภาพร่างกายของตัวเองบ้าง แต่ว่าเขาให้
ความสนใจเพียงรูปร่างหน้าตาและส่วนสูงของร่างนี้
ไม่ได้สังเกตรอยแผลเป็นเลย
ด้านล่างของไหล่ซ้ายมีรอยแผลเป็นอยู่ หากไม่ใช่
เพราะถูกไท่ฟูเหรินสัมผัสอยู่ในขณะนี้ หยางหนิงคงไม่
รู้สึกถึงมันเลย
หากไท่ฟูเหรินหารอยแผลเป็นนี้บนตัวเขาจริงๆ
เหตุใดไท่ฟูเหรินถึงรู้ได้ในขณะที่เขาไม่เคยสังเกตมา
ก่อน? หรือว่าซื่อจื่อที่ตายไป ด้านล่างของไหล่ซ้าย
เองก็มีรอยแผลเป็นแบบนี้เหมือนกัน?
หากเป็นอย่างนั้นจริง มันก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากๆ
ถึงแม้ทั้งสองคนจะมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน แต่ฐานะ
ต่างกันราวฟ้ากับดิน เป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายจะเหมือน
กันแบบนี้ อย่างน้อยๆ ผิวหนังหยาบก็ต่างกันแล้ว
ความยาวของนิ้วมือ ก็ต้องไม่เหมือนกันด้วย
หากบอกว่าทั้งสองคน มีรอยแผลเป็นเหมือนกันอยู่ใน
ตาแหน่งเดียวกัน นั้นมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ และ
ค่อนข้างแปลก
เขารู้สึกตกใจไม่น้อย ตอนนี้ไท่ฟูเหรินเก็บมือกลับไป
แล้ว แล้วพูดด้วยน้าเสียงที่อ่อนลงว่า “พ่อของเจ้า
จากไปแล้ว เขาเป็นลูกหลานที่ดีของตระกูลฉี ไม่เคย
ทาให้ตระกูลฉีต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเลย ยิ่งไม่เคยทา
ให้เกียรติขององครักษ์เสื้อแพรต้องหม่นหมอง ตั้งแต่นี้
ต่อไป เจ้าเองก็ต้องปกป้องเกียรติขององครักษ์
เสื้อแพรเอาไว้เช่นกัน”
“ข้า...!” หยางหนิงกาลังจะเอ่ยปากพูด แต่ก็ชะงักไป
“ไปเถอะ กลับมาก็ดีแล้ว ไปจัดการเรื่องงานศพของ
พ่อเจ้าให้เรียบร้อย” หน้าของไท่ฟูเหรินเหี่ยวย่นดู
ไม่ออกว่ามีสีหน้าอย่างไร นางหันหน้าเข้าไปที่
พระพุทธรูปอีกครั้ง สองมือพนมขึ้นมา ในมือมี
ลูกประคาอยู่ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
ในใจของหยางหนิงนั้นทั้งตกใจและหวาดผวา
เขาเป็นคนฉลาด การกระทาของไท่ฟูเหรินเมื่อครู่
เขารู้ดีว่าเพราะอะไร ถึงแม้ไท่ฟูเหรินจะตาบอด แต่ใน
ใจของเขาชัดเจนว่า ที่นางสัมผัสใบหน้าของเขา เพื่อ
ตรวจสอบโครงหน้า ซื่อจื่อฉีหนิงเป็นหลานชายแท้ๆ
ของนาง นางคุ้นเคยกับใบหน้าของเขาที่สุด
ยังดีที่ใบหน้าของทั้งคู่เหมือนกัน ไท่ฟูเหรินก็เลยไม่
สงสัย ถึงแม้ผิวจะหยาบต่างกันบ้าง แต่ซื่อจื่อหายตัว
ไปหลายวัน ไท่ฟูเหรินก็น่าจะไม่ใส่ใจมากนัก
สีผิวของเขาเข้มกว่าฉีหนิงเล็กน้อย วันนี้ตอนอยู่ที่
โถงบรรพชน หลายคนก็อยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีใครสงสัย
แสดงว่าพวกเขาเห็นว่าสีผิวเปลี่ยนไปเพราะอยู่ข้าง
นอกหลายวัน
สุดท้ายที่ไท่ฟูเหรินจับไปที่รอยแผลเป็น แล้วก็เก็บมือ
ไป แสดงว่าเป็นวิธียืนยันตัวตนที่สาคัญ หยางหนิง
แน่ใจว่ารอยแผลเป็นนี้จะต้องมีเงื่อนงาอะไรแน่ๆ เขา
กลัวว่าหากตัวเขาไม่มีรอยแผลเป็นที่ด้านล่างของ
ไหล่ซ้าย ผลที่ตามมานั้นแทบไม่อยากจะคิดเลย
องครักษ์เสื้อแพรเป็นถึงแม่ทัพเหว่ยขุนนางขั้นสอง
เป็นบุคคลสาคัญของเมืองทางทิศใต้ของแคว้นฉู่แน่ๆ
แม้แต่ต้วนชางไห่ที่ร้ายกาจแบบนั้นยังเป็นแค่ทหาร
ยามในจวนเท่านั้น หากการสวมรอยเป็นซื่อจื่อถูก
ท่านยายคนนี้จับได้ หยางหนิงคงออกจากจวนนี้ไป
อย่างไม่มีลมหายใจแน่ๆ
ท่านยายคนนี้ตาบอดแต่ใจไม่บอด หยางหนิงรีบสวม
เสื้อผ้า แล้วก็ไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว หอบูชานี้มันก็
แปลกๆ อยู่แล้ว ยิ่งมียายแก่ที่เหมือนต้นไม้ตายด้าน
อีก หยางหนิงไม่อยากจะอยู่นานกว่านี้แม้เสี้ยววินาที
เมื่อออกมาด้านนอก กู้ชิงฮั่นยืนรออยู่ ใต้ต้นโพธิ์ทอง
ร่างกายที่อ้อนช้อย นางกาลังยืนมองเถาวัลย์ที่เลื้อย
ไปตามกาแพงอยู่
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว กู้ชิงฮั่นก็หันหน้ามา เห็น
หยางหนิงกาลังเดินมา ก็รีบเดินมาหา แล้วพูดเสียง
เบาว่า “หนิงเอ๋อร์ ไม่ได้ทาให้ไท่ฟูเหรินไม่พอใจใช่
ไหม?”
หยางหนิงส่ายหน้า แต่อยากจะให้แน่ใจในสิ่งที่ตัวเอง
คิด เลยตั้งใจพูดออกไปว่า “ไท่ฟูเหริน...ท่านย่า...!”
เขาตั้งใจทาเหมือนมึนๆ งงๆ ในใจคิดว่าตัวเขาควร
เรียกหญิงชราว่าอย่างไร กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงพูด
ติดอ่าง ก็คิดว่าไท่ฟูเหรินคงทาให้หยางหนิงตกใจ ก็
เลยพูดเบาๆ ว่า “ท่านย่าของเจ้าก็เป็นแบบนี้ นาง
เอ็นดูเจ้ามากนะ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย”
หยางหนิงรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านย่าดูไหล่ข้า”
“อ๋อ?” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ดูดอกไม้ที่ไหล่ของเจ้าน่ะ
หรือ?” แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านย่าแค่คิดถึง
เจ้า คิดอยากจะใกล้ชิดเจ้าสักหน่อย ไม่ได้อะไรหรอก
หนิงเอ๋อร์ ซานเหนียงยังมีธุระจะคุยกับไท่ฟูเหริน เจ้า
กลับไปที่โถงบรรพชนก่อน ไปเฝ้าที่นั่นเอาไว้ ดีไหม?”
หยางหนิงคิดในใจว่ากู้ชิงฮั่นรู้เรื่องรอยแผลเป็นจริงๆ
ด้วย ฟังจากการพูดของกู้ชิงฮั่นแล้ว รอยแผลนี่ก็
น่าจะเป็นรูปดอกไม้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดอกอะไร แต่
นั่นมันหมายความว่าตัวเขาคาดการณ์ไว้ไม่ผิด
ไท่ฟูเหรินตั้งใจจะตรวจสอบฐานะของเขาด้วยรอย
แผลเป็น
เมื่อเป็นแบบนี้ ในใจของเขาก็ยิ่งหวาดหวั่น ที่แท้
ร่างกายของเขาก็เหมือนซื่อจื่อที่ตายไปแล้วทุกอย่าง
มีรอยแผลเป็นที่เหมือนกัน แม้แต่รูปแบบของ
รอยแผลเป็นก็เหมือนกันด้วย แต่หากมีตรงไหนที่ไม่
เหมือนกัน ไท่ฟูเหรินก็จะสามารถรู้ได้ทันที ตัวเขาเอง
ก็ยากจะผ่านด่านนี้ไปได้
แต่ตอนนี้ทาได้แต่คาดเดา ตอนนี้ทุกอย่างที่แปลก
ประหลาดมันเกิดขึ้นกับเขาทั้งหมด หยางหนิงรู้สึก
มึนไปหมด เชื่อมโยงสถานการณ์ไม่ได้จริงๆ
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงเหม่อ เหมือนจะเป็นเรื่องปกติ
จากนั้นก็เดินขึ้นมา แล้วพูดเสียงเบาว่า “หนิงเอ๋อร์
คิดอะไรอยู่?”
ตอนนี้หยางหนิงถึงได้สติคืนมา เห็นหน้าสวยๆ ของ
กู้ชิงฮั่นอยู่ห่างจากเขาแค่คืบเดียว นางมองเขาด้วย
ความเอ็นดู ตอนนี้เขาถึงเห็นใบหน้าเต็มๆ ของนาง
อย่างชัดเจน ผิวขาวราวกับหิมะ ปากเป็นกระจับ
ยังคงเป็นคนที่น่าหลงใหล ทาให้คนแทบทนไม่ไหว
อยากจะกลืนกิน
หยางหนิงดึงสติกลับมา รู้ดีว่านางเป็นคนที่กินไม่ได้
ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่...ไม่ได้คิดอะไร”
“งั้นเจ้าก็ไปที่โถงบรรพชนนะ” กู้ชิงฮั่นพูดเบาๆ “ข้า
จะไปดูไท่ฟูเหริน” นางยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเดินเข้า
ไปทางห้องนั้น
นางอ่อนโยนและปกป้องหยางหนิงมาตลอด ไม่
เหมือนกับที่นางปฏิบัติต่อคนอื่นในห้องโถงบรรพชน
เลย
หยางหนิงออกจากเรือนตัวเองไป เขาเดินไปตามทาง
ในสมองเอาแต่คิดเรื่องรอยแผลเป็นที่หลัง รีบร้อน
เดินไปที่หน้ากระจก ดูให้ชัดๆ ว่าตกลงแล้วที่หลังมัน
เป็นอะไรกันแน่
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงเสี่ยวเตี๋ยขึ้นมา แอบคิดว่า
ตัวเขาก็เข้าเมืองแล้ว เสี่ยวเตี๋ยเองก็น่าจะมาถึงเมือง
หลวงนานแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหน จะหา
เสี่ยวเตี๋ย ก็ต้องรู้ก่อนว่าสานักคุ้มกันไหนเป็นคนพา
นางเข้าเมืองหลวง ตอนนี้เขาสวมรอยเป็นซื่อจื่อ
ขององครักษ์เสื้อแพร ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถใช้
อานาจของจวนองครักษ์เสื้อแพรในการไปตรวจสอบ
ได้ไหม
สานักคุ้มกันนั้นค้ามนุษย์ เรื่องเลวทรามแบบนี้
จะต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังแน่ๆ เรื่องแบบนี้ต่อให้เป็น
ราชนิกูลอยู่เบื้องหลัง ก็คงไม่กล้าทาอย่างซึ่งหน้า
สานักคุ้มกันที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะทาทุกวิถี
ทางเพื่อปกปิดความจริง คงไม่ปล่อยให้มีช่องโหว่แน่ๆ
ต่อให้ใช้อิทธพลของจวนองครักษ์เสื้อแพร ก็ไม่แน่ว่า
สืบได้ความอะไร
แต่หยางหนิงมีความเชื่ออย่างหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพร
ไม่เพียงเป็นท่านโหว แต่ยังมีตาแหน่งแม่ทัพเหว่ย
ขุนนางขั้นสองด้วย อิทธิพลและอานาจของจวน
องครักษ์เสื้อแพรจะต้องไม่เล็กแน่นอน
จากที่เขาเห็นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของจวน
องครักษ์เสื้อแพรเท่านั้น แต่ว่าจะใช้อานาจอิทธิพล
ตรงไหนได้บ้าง ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้
เขาเดินไปคิดไป รู้ตัวอีกทีก็เดินไปถึงริมสระน้า ใน
จวนโหวมีศาลาอยู่ไม่น้อย สระน้าต่างๆ ก็มีมาก
สระน้าแห่งนี้ถือได้ว่าใหญ่ที่สุดในจวน ริมสระน้ามี
ภูเขาปลอมอยู่ลูกหนึ่ง เห็นต้วนชางไห่นั่งอยู่ที่ริมโขด
หิน หลังพิงภูเขาปลอม ในมือถือถุงเหล้าอยู่
หยางหนิงเดินเข้าไปใกล้ ก็ได้กลิ่นเหล้าลอยมาเข้า
จมูก ต้วนชางไห่สีหน้าแดงก่า เห็นก็รู้ทันทีว่าเมาแล้ว
แน่นอน
“เจ้านี่วันนี้ถูกหยามที่โถงบรรพชน น่าจะไม่ค่อย
สบายใจ ชายรูปร่างสูงใหญ่ แต่ไม่สามารถระบาย
ออกมาได้ ทาได้แค่หลบมากินเหล้าแก้เครียดอยู่
ตรงนี้” หยางหนิงถอนหายใจ วันนี้ในโถงบรรพชน
ท่านใหญ่สามกับคนอื่นๆ หาเรื่องกู้ชิงฮั่น พ่อบ้านชิว
ไม่พูดอะไรเลย มีแต่ต้วนชางไห่ที่ออกหน้ามาช่วยพูด
อย่างไรเขาก็ถือได้ว่าเป็นคนกล้า
ต้วนชางไห่นั่งพิงหลัง สายตากลึ่มๆ จะหลับไม่หลับ
แหลบ่นอะไรพึมพา หยางหนิงเดินเข้าไป ใช้เท้าค่อยๆ
สะกิดไปที่เท้าของต้วนชางไห่ ต้วนชางไห่ยกมือขึ้น
สะบัด แล้วด่าว่า “หลีกไป ใครกล้าแหย่ข้า ข้า...ข้า
ไม่ใช่คนที่ใครจะมาแหย่ได้นะ...!”
“ต้วนชางไห่ เจ้าทาอะไร?” หยางหนิงกระแอมไอ
“เจ้าไล่ใคร?”
ต้วนชางไห่ได้ยินดังนั้น ก็เหมือนนึกออก เขาลืมตา
ขึ้นมาดู เห็นหยางหนิงยืนอยู่หน้าเขา ก็เลยรีบลุกขึ้น
แต่ก็ยืนเซ “ซื่อจื่อ...ซื่อจื่อ ที่แท้เป็นท่านเอง ข้า...!”
เห็นว่าตัวเองถือถุงเหล้าอยู่ ก็ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ข้าก็
แค่...ก็แค่กนิ เข้าไปคาสองคาเอง...!”
ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หยางหนิงเงยหน้ามองฟ้า แล้ว
ค่อยๆ เดินไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้หินอ่อนที่ศาลา แล้วถามว่า
“วันนี้ถูกหยามใช่ไหม ถึงได้มานั่งกินเหล้าแก้เครียด
อยู่ตรงนี้? เจ้าไม่รู้หรือไง ใช้มีดตัดน้าน้าก็ยังไหลอยู่
ใช้เหล้าแก้เครียดมันก็ยิ่งเครียด?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 40 กิเลนดำ
ต้วนชางไห่ตะลึงไป เหมือนจะงงๆ ว่าทาไมจู่ๆ
หยางหนิงถึงได้พูดอะไรที่ดูมีความรู้ออกมา เขาส่าย
หัวแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านเข้าใจผิดแล้ว อย่าว่าแต่
โดนเตะเลย ต่อให้เป็นดาบ ข้าก็โทษอะไรใครไม่ได้”
เขาค่อยๆ นั่งลง เงยหน้าเหมือนจะยังมึนๆ แล้วพูดว่า
“ข้ากาลังคิดถึงท่านแม่ทัพอยู่ ท่านแม่ทัพ...ท่าน
แม่ทัพ...ท่านไม่ควรจากไปอย่างนี้ เขาเป็นวีรบุรุษ
ทาไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรม...!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้าตา
ก็ไหลออกมา
หยางหนิงรู้ดีว่าลูกผู้ชายไม่หลั่งน้าตาง่ายๆ
ต้วนชางไห่เป็นชายชาติทหาร คนแบบนี้หากไม่เสียใจ
มากจริงๆ ไม่มีทางหลั่งน้าตาแบบนี้แน่ๆ
ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงแล้วก็พวกมีความเสียใจกับการ
จากไปขององครักษ์เสื้อแพรฉีหุ้ยจิ่งมาก แสดงว่า
องครักษ์เสื้อแพรคนนี้ได้ใจคนมากมายนัก
หยางหนิงคิดว่าตัวเขารู้เรื่องในจวนโหวน้อยมาก
คิดจะอยู่ในจวนโหว จะรู้อะไรก็ควรจะรู้ให้ได้มาก
ที่สุด ตอนนี้ต้วนชางไห่อยู่ในอาการมึนเมา หากรู้เรื่อง
อะไรจากปากเขาได้ ก็คงดีไม่น้อย ยื่นมือไปตบมือ
ของต้วนชางไห่เบาๆ เพื่อปลอบใจเขา
ต้วนชางไห่มองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
ท่าน...ท่านดูไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย!”
หยางหนิงตื่นตระหนก แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยน แล้ว
ถามว่า “ไม่...ไม่เหมือนอย่างไร?”
“แต่ก่อนซื่อจื่อ...!” ต้วนชางไห่ลังเลไป แล้วส่ายหน้า
“ท่านแม่ทัพคงคุ้มครองท่านอยู่ ซื่อจื่อถึงได้เอา
ตัวรอดมาได้ ตอนนี้...ยังรู้เรื่องขึ้นตั้งเยอะ ถ้าท่าน
แม่ทัพรู้ ท่านต้องดีใจแน่ๆ”
หยางหนิงยิ้ม รู้ว่าวันนี้สิ่งที่ตัวเขาทาในโถงบรรพชน
ทาให้หลายคนตกใจ
“ท่านพ่อ...ท่านพ่อข้าเขาเป็นอะไร?” หยางหนิงคิด
แล้วถามว่า “ทาไมเขาถึงได้จากไปแบบนี้?”
ต้วนชางไห่สีหน้าแปลกไป ถอนหายใจ แล้วพูดว่า
“เมื่อกี้ข้าน้อยไปถามมาแล้ว ท่านแม่ทัพอาการ
บาดเจ็บกาเริบ แล้วจู่ๆ ก็จากไปเลย”
“อาการบาดเจ็บกาเริบ?”
ต้วนชางไห่กล่าวว่า “หลายปีมานี้ ท่านแม่ทัพเฝ้า
ประจาการอยู่ที่แนวหน้า แนวหน้าของไหวชุ่ยถูก
ก่อกวนโดยชาวเป่ยฮั่นทุกปี ถึงแม้สองฝากฝั่งไหวชุ่ย
จะไม่ได้มีสงคราม แต่ว่าการแอบลอบสังหารก็ไม่เคย
หยุดเลย” แล้วหยุดไปครู่หนึ่ง มองไปที่หยางหนิง
แล้วส่ายหน้า “ช่างเถอะ ซื่อจื่อท่านไม่ชอบฟังเรื่อง
พวกนี้ ข้าน้อยไม่พูดแล้วดีกว่า”
“ใครบอกข้าไม่ชอบฟัง?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ท่าน...ท่านอารองต้วน วันนี้จู่ๆ ข้าก็อยากจะรู้เรื่อง
ของท่านพ่อ ท่านบอกเรื่องที่ท่านรู้กับข้ามาให้หมด”
ต้วนชางไห่สีหน้าแปลกใจมาก แล้วพูดว่า “แต่ก่อน
เรื่องของท่านแม่ทัพ ซื่อจื่อแทบจะไม่สนใจเลย ทาไม
วันนี้ถึงได้สนใจขึ้นมาได้?”
“วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน” หยางหนิงถอนหายใจ สี
หน้าหดหู่ “ท่านพ่อจากไปแล้ว ข้า...ข้าอยากจะรู้
อะไรให้มากขึ้นหน่อย”
ต้วนชางไห่แค่พยักหน้า คิดแค่เพียงว่าการตายของ
ฉีหุ้ยจิ่งมันกระทบกระเทือนจิตใจของซื่อจื่อ ในใจก็
เลยรู้สึกซาบซึ้ง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อก็รู้ดีว่า ตาแหน่ง
องครักษ์เสื้อแพรนั้นได้รับสืบทอดมาจากท่าน
เหล่าโหวที่เป็นเสนาบดีอาวุโส ท่านเหล่าโหวเป็น
แม่ทัพคนแรกของต้าฉู่ เป็นคนที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียง
ไหล่กับอดีตฮ้องเต้ จนกระทั่งสามารถรวบรวม
ดินแดนเป็นแผ่นดินต้าฉู่ได้อย่างทุกวันนี้”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้องครักษ์เสื้อแพรก็เป็นการ
สืบทอดตาแหน่งจากรุ่นสู่รุ่นนั่นเอง ท่านเหล่าโหว
ก็น่าจะเป็นพ่อของฉีหุ้ยจิ่ง หรือก็คือปู่แท้ๆ ของซื่อจื่อ
นั่นเอง
“ตอนนั้นท่านเหล่าโหวข้ามแม่น้าไหว ยึดหรู่หนานกับ
โซ่วชุนได้...!” ต้วนชางไห่หยุด เหมือนรู้สึกว่าพูดเรื่อง
พวกนี้ไปซื่อจื่อก็คงไม่เข้าใจ ก็เลยเล่าให้ง่ายขึ้น
“ท่านเหล่าโหวยึดเมืองของเป่ยฮั่นได้สองเมือง เมื่อ
ถูกแทงเป็นแผลใหญ่ ชาวเป่ยฮั่นก็คิดอยากจะชิงมัน
กลับไปตลอดเวลา แต่ก็ไม่สาเร็จ”
“เหมือน...ท่านปู่จะทาสงครามเก่งนะ” หยางหนิง
กล่าว
ต้วนชางไห่มีสีหน้ารู้สึกเคารพยาเกรงมาก แล้วพูดว่า
“แน่นอนอยู่แล้ว มีพ่อเป็นเสือแล้วลูกจะหมาได้
อย่างไร ตอนนั้นท่านแม่ทัพเองก็ติดตามท่านเหล่าโหว
ออกรบ หลังจากที่ท่านเหล่าโหวสิ้นบุญไป ชาว
เป่ยฮั่นก็ฉวยโอกาสชิงสองเมืองไป ตอนนั้น
สถานการณ์คับขันมาก แต่ท่านแม่ทัพก็ควบคุม
สถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้ แล้วขับไล่ชาวเป่ยฮั่นออกไป
จากพื้นที่ได้สาเร็จ สร้างชื่อตั้งแต่ตอนนั้น” เมื่อพูด
มาถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เหมือนรู้สึกว่าเป็นเกียรติ
มาก
“แล้วต่อมาล่ะ?” หยางหนิงถาม
ต้วนชางไห่พูดว่า “จากนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ออกพระราช
โองการให้ท่านแม่ทัพประจาการอยู่ที่ไหวชุ่ย สู้ศึกกับ
ชาวเป่ยฮั่นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วก็ได้รับชัยชนะ
กลับมาทุกครั้ง”
“เหมือนชาวเป่ยฮั่นจะไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “มีดปักในใจของตัวเองแท้ๆ
แต่ดึงไม่ออก”
ต้วนชางไห่รีบพูดขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “ซื่อจื่อ ถึงแม้
ท่านแม่ทัพจะเก่งกาจ ทหารต้าฉู่ของเรารบชนะได้
แต่จะดูถูกชาวเป่ยฮั่นไม่ได้นะ” สายตาของเขา
เปลี่ยนไป “ตอนนั้นทางเป่ยฮั่นภายใต้การบัญชาของ
จางหลิงโหวมีหน่วยกองกาลังเสวี่ยหลัน หน่วยนั่น...
ถือได้ว่าเป็นหน่วยทหารกล้าตายที่องอาจและ
เด็ดขาดมากๆ เลย”
“จางหลิงโหว?” หยางหนิงพูดอย่างประหลาดใจ
“คนๆ นี้ร้ายกาจมากเลยหรือ? แล้วหน่วยกองกาลัง
เสวี่ยหลันเป็นกองกาลังแบบไหน?”
ต้วนชางไห่สีหน้าจริงจัง แล้วพูดว่า “ตอนนั้นท่าน
แม่ทัพประจาการอยู่ที่ไหวชุ่ย คนที่สามารถเป็นคู่ปรับ
ของท่านแม่ทัพก็มีแต่เป่ยฮั่นจางหลิงโหวนี่แหละ”
เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “จางหลิงโหวเป็น
บุคคลสาคัญของเป่ยฮั่น คนๆ นี้เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๋ สิ่งที่
เก่งที่สุดก็คือการฝึกกองทัพที่แข็งแกร่งมาก เกราะ
ของกองทัพหน่วยนี้ จะมีดอกกล้วยไม้สีแดงติดอยู่
สีเหมือนเลือด ดังนั้นจึงเรียกทหารหน่วยนี้ว่ากอง
กาลังเสวี่ยหลัน”
“กองกาลังเสวี่ยหลัน?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ชื่อนี้ฟังดูเหมือนผู้หญิงเลย”
ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ฟังดูเหมือนผู้หญิง
แต่ว่าเมื่อพวกเขาลงมือ มันยิ่งกว่าสัตว์ร้ายเสียอีก
ต้าฉู่ของเรายึดหรู่หนานกับโซ่วชุนไว้ ตอนนั้นท่าน
แม่ทัพอยู่ที่หรู่หนาน ชาวเป่ยฮั่นก็เข้าบุกโจมตีโซ่วชุน
โซ่วชุนรีบแจ้งข่าวด่วนเข้ามา ท่านแม่ทัพก็เลยนา
ทหารจากค่ายกิเลนดาไปช่วย แต่คดิ ไม่ถึงเลยว่าเมื่อ
ไปถึงเป่ยถังชิ่งกลับถูกสุ่มโจมตีจากทหารของกอง
กาลังเสวี่ยหลัน...!” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้พูด
อะไรต่อไปอีก สีหน้าเปลี่ยนไปดูหดหู่มาก มือของเขา
กาหมัดแน่น
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ค่ายกิเลนดา
ร้ายกาจมากเลยหรือ?”
“ซื่อจื่อ ศพที่เราเห็นที่ศาลเจ้า ข้าเคยบอกว่าเป็นฝีมือ
ของค่ายดาบดา ท่านจาได้ไหม?” ต้วนชางไห่ถามกลับ
หยางหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเห็นเจ้าดูกลัวค่าย
ดาบดามากเลย”
“ต้าฉู่ของเรามีทัพทหารม้าสองกองที่แข็งแกร่งมาก
นั่นก็คือค่ายดาบดากับค่ายกิเลนดา” ต้วนชางไห่
ค่อยๆ พูดว่า “ทัพม้าสองกองนี้คือที่สุดของต้าฉู่ของ
เรา ทหารคนไหนที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปสังกัดถือได้
ว่าเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิตเลยก็วา่ ได้” เขาหยุดไป
ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ค่ายกิเลนดาท่านเหล่าโหว
เป็นคนก่อตั้ง ถือได้ว่าเป็นหน่วยอาชาเหล็กอย่าง
แท้จริง ถึงแม้คนของสองค่ายนี้จะมีไม่มาก แต่
สามารถสะท้านไปทั่วทิศ”
“งั้นตอนนี้ค่ายกิเลนดาก็อยู่แนวหน้าหรือ?”
หยางหนิงถาม
“แนวหน้า?” ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ค่าย
กิเลนดาไม่มีอีกแล้ว หลายปีก่อนค่ายกิเลนดาต่อสู้กับ
กองกาลังเสวี่ยหลัน สู้กันสามวันสามคืน ทหารของ
ค่ายกิเลนดาตายทั้งหมด ส่วนทหารของกองกาลัง
เสวี่ยหลันเองก็บาดเจ็บสาหัส...!” จากนั้นก็ถอน
หายใจยาวๆ แล้วพูดว่า “ท่านสามก็ตายเพราะ
สงครามในครั้งนี้”
“ท่านสาม?” หยางหนิงตะลึง “งั้นก็...อาสามของข้า
หรือ?”
ต้วนชางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “สิบกว่าปีมาแล้ว
ตอนนั้นท่านยังเด็กมาก อาจจะจาอะไรไม่ค่อยได้
เท่าไร ท่านสามเป็นผู้บัญชาการทหารค่ายกิเลนดา
เป็นมือซ้ายมือขวาของท่านแม่ทัพ เป็นเหมือนเสา
หลักของต้าฉู่ของเรา...!” เขาดวงตาแดงก่า ถอน
หายใจยาวแล้วพูดต่อว่า “ท่านสามเสียสละชีวิตเพื่อ
บ้านเมือง ตายในสนามรบ ทิ้งฮูหยินสามเอาไว้...!”
หยางหนิตกใจแล้วพูดว่า “เจ้าว่า ซานเหนียงนางเป็น
...นางเป็น...ของอาสามหรือ?” เขาไม่ได้พูดจนจบ
แต่ในตอนนี้ก็รู้แล้วว่ากู้ชิงฮั่นไม่ใช่อนุขององครักษ์
เสื้อแพรฉีหุ้ยจิ่ง แต่เป็นเมียแต่งของท่านสามของจวน
ตระกูลฉี คลายความสงสัยได้สักที มิน่ากู้ชิงฮั่นถึงได้
ไม่เกรงใจฉงอี๋เหนียงเลย
“จะว่าไปแล้วชะตาของฮูหยินสามก็ช่าง...!” ต้วนชาง
ไห่กดเสียงต่าลง หรือว่าอาจจะเป็นเพราะดื่มเหล้า
เยอะ ก็เลยพูดมากเป็นพิเศษ “หลายปีมานี้ ฮูหยิน
สามดูแลจัดการทุกอย่างในจวน หากไม่ได้ฮูหยินสาม
จวนโหวก็คงไม่มีระเบียบแบบแผนอย่างทุกวันนี้”
แล้วพูดต่ออีกว่า “ซื่อจื่อ หลายปีมานี้ฮูหยินสามดูแล
ท่านอย่างดีมาตลอด ต่อไปท่านจะต้องดีกับฮูหยิน
สามให้มากนะ” เขาเหมือนจะรู้สึกว่าไม่ควรพูดจา
แบบนี้กับหยางหนิง ก็เลยพูดอย่างเขินๆ ว่า “ท่าน
ซื่อจื่ออย่าได้ถือสาข้าเลยนะ ข้าน้อย...ข้าน้อยดื่ม
เยอะไปหน่อย ก็เลยพูดอะไรเหลวไหลไปเยอะ”
ตอนนี้หยางหนิงไม่โทษที่ต้วนชางไห่พูดเยอะ ยังย้อน
ถามด้วยความสงสัยไปว่า “งั้น...งั้นแม่แท้ๆ ของข้าล่ะ
...?”
ในใจของเขารู้สึกแปลกใจอยู่ตลอด ตัวเขาเป็นลูกชาย
คนโตของเมียแต่งขององครักษ์เสื้อแพร งั้นแม่ของ
ซื่อจื่อก็คือฮูหยินของท่านโหว แต่ว่าการจัดการใน
จวนกับเป็นของฮูหยินสามอย่างกู้ชิงฮั่น หลังจากเข้า
มาในจวน กลับไม่เห็นฮูหยินของท่านโหวเลย หาก
ฮูหยินท่านโหวอยู่ในจวน กู้ชิงฮั่นพาตัวเขาไปพบ
ไท่ฟูเหรินแล้ว ไม่มีทางที่จะไม่พาเขาไปพบกับฮูหยิน
ของท่านโหวแน่ๆ
แต่ว่าในจวนดูเหมือนจะไม่มีคนๆ นี้อยู่
สายตาของต้วนชางไห่แปลกๆ เหมือนจะรู้ว่า
หยางหนิงอยากจะถามอะไร แต่กลับไม่ตอบ แถมยัง
ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เรา...เราไปที่โถงบรรพ
ชนกันเถอะ ทางนั้นน่าจะเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว เรา
ไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ทัพกันดีกว่า”
“เจ้านั่งลงก่อน” หยางหนิงดึงชายเสื้อของต้วนชางไห่
แล้วสั่งให้เขานั่งลง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อะไรกันข้า
แค่ถามถึงแม่แท้ๆ ของข้า เจ้าก็จะไปเลยหรือ?”
สีหน้าของต้วนชางไห่แปลกๆ มองไปรอบๆ แล้วพูด
ด้วยเสียงที่เบามากว่า “ท่านซื่อจื่อ เรื่องนี้...เรื่องนี้ไว้
วันไหนว่างๆ ท่านไปถามไท่ฟูเหรินดีกว่า ในจวนมีกฎ
ไม่ว่าใครก็ตามห้ามพูดถึงฮูหยินใหญ่โดยเด็ดขาด
จริงๆ...จริงๆ แล้วข้าก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฮูหยินใหญ่
เลย ท่านถามข้าข้าก็ไม่รู้”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าต้วนชางไห่จะตอบแบบนี้
เขาเหมือนจะตกใจ ไม่เข้าใจว่าทาไมในจวนองครักษ์
เสื้อแพรถึงมีกฎประหลาดแบบนี้ ฮูหยินใหญ่เป็น
ภรรยาขององครักษ์เสื้อแพร ฐานะและตาแหน่ง
สาคัญกับจวนโหวมาก สูงกว่าตาแหน่งของกู้ชิงฮั่นอีก
แต่ไม่เข้าใจว่าทาไมถึงพูดถึงไม่ได้
เรื่องนี้มันมีเงื่อนงาจริงๆ
“เจ้าอยู่ในจวนนี่มากี่ปีแล้ว?” หยางหนิงถาม “ทาไม
เจ้าถึงได้ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแม่แท้ๆ ของข้าล่ะ?”
ต้วนชางไห่ยกมือขึ้นจับศีรษะของตัวเอง แล้วพูดเบาๆ
ว่า “หลังจากค่ายกิเลนดาล่มสลาย ท่านแม่ทัพก็ย้าย
ข้ากับฉีเฟิงแล้วก็จ้าวอู๋ชางกลับเมืองหลวง แล้วก็จัด
ให้ข้ามาทางานที่จวนโหวนี่ จนถึงตอนนี้ก็หลายปี
แล้ว”
“หลังจากค่ายกิเลนดาล่มสลาย?” หยางหนิงตกใจ
“พวกเจ้าเป็นอะไรกับค่ายกิเลนดา?”
ต้วนชางไห่มองหยางหนิง แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคา
ว่า “เราสามคน โตมาจากค่ายกิเลนดา ข้าติดตามอยู่
ข้างท่านสามมาตลอด เป็นรองแม่ทัพของเขาในตอน
นั้น!” สายตาของเขาเหมือนจะมีความเสียใจไม่น้อย
แต่กลับปกปิดด้วยสีหน้าท่าทางของเขา
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 41 หญิงม่าย
หยางหนิงรู้ว่าต้วนชางไห่ร่างกายกายา มีราศีของ
ความเป็นทหารอย่างชัดเจน รวมไปถึงฉีเฟิงกับ
จ้าวอู๋ชางด้วย หยางหนิงสัมผัสถึงความเป็นทหารของ
พวกเขาได้
แต่แค่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนของค่ายกิเลนดา แถม
ยังเป็นทหารในสังกัดของท่านสาม
“ท่านสามกับท่านแม่ทัพ ท่านเหล่าโหวฝึกฝนมากับ
มือ ดังนั้นตอนท่านสามหนุ่มๆ ก็เหมือนกับ
ท่านแม่ทัพ ติดตามท่านเหล่าโหวไปรบตลอด”
ต้วนชางไห่พูดอย่างหดหู่ “หากไม่ใช่เพราะครั้งนั้น...
เห้อ ตอนนี้ท่านสามก็น่าจะเป็นขุนพลอันดับหนึ่งใน
ใต้หล้าไปแล้ว”
หยางหนิฟังมาถึงตรงนี้ ก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไร
มากขึ้นเกี่ยวกับจวนองครักษ์เสื้อแพร แล้วถามว่า
“หลังจากศึกครั้งนั้นพวกเจ้าถีงกลับมาเมืองหลวง
หรือ?”
“หลังจากศึกของค่ายกิเลนดากับกองกาลังเสวีย่ หลัน
เหลือกาลังทหารไม่ถึงสิบนาย” ต้วนชางไห่ยิ้มแห้ง
แล้วพูดว่า “แต่ว่าท่านแม่ทัพทาอะไรรอบคอบมา
ตลอด ตอนที่ค่ายกิเลนดาบาดเจ็บล้มตาย ทหารเสริม
ก็ตามมาได้ทัน กองกาลังเสวี่ยหลันตอนนั้นก็แทบจะ
หมดกาลังแล้ว ไม่มีแรงจะสู้ต่อได้อีก พวกเขาก็เลย
หนีไป เราถึงได้รอดมาได้”
หยางหนิงพูดว่า “ค่ายกิเลนดาของเราถึงแม้จะ
ล่มสลายไปหมด แต่ว่าหลังจากสู้ศึก กองกาลัง
เสวี่ยหลันก็แทบจะไม่มีแรงรบอีก ดังนั้นทางเหนือ
ของไหวชุ่ยถึงยังรักษาเอาไว้ได้”
ต้วนชางไห่มีสีหน้าแปลก แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อเป็น
ลูกเสือ เรื่องพวกนี้ คงเข้าใจได้ดี” แล้วพูดต่ออีกว่า
“ซื่อจื่อพูดถูก ถึงแม้ค่ายกิเลนดาจะหายสาบสูญไป
แต่กองกาลังเสวี่ยหลันที่จางหลิงโหวฝึกฝนมาเองก็
หมดเรี่ยวแรง ไม่มีแรงจะแสดงอานาจต่อเราได้อีก”
แล้วเขาก็หยุดไป ก่อนจะพูดต่อว่า “ท่านแม่ทัพได้ยื่น
ฎีกาต่อราชสานัก ขอพระราชทานบาเหน็จรางวัล
ให้กับทหารของค่ายกิเลนดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนก็
เลยถูกเลื่อนขั้นไปตามที่ต่างๆ ส่วนเราก็มาอยู่ที่นี่”
“อ๋อ?” หยางหนิงประหลาดใจ “แล้วทาไม? ได้เป็น
ขุนนางไม่เอา มาอยู่เป็นทหารยามที่นี่แทนเล่า?”
ต้วนชางไห่สีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “เราติดตามท่าน
สามออกรบ หลายครั้งที่ท่านสามช่วยเรามาจากความ
ตาย ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเราก็สาบานไว้ว่า เราจะ
ติดตามท่านสามไปจนวันตาย ไม่คิดเป็นอื่น” เขาถอน
หายใจแล้วพูดว่า “หลังจากที่ท่านสามตายไป ตอน
แรกเราคิดที่จะตายตามท่านสามไป แต่ท่านแม่ทัพมา
ขวางเราไว้ เขาบอกว่าถ้าเราไม่อยากเป็นซื่อกวน ก็มา
เป็นทหารที่จวนโหวได้ ไม่เพียงสามารถคุ้มครอง
จวนโหวได้ ยังสามารถคุ้มครองฮูหยินสามได้ด้วย”
หยางหนิงพยักหน้า ในใจก็คิดว่ามีตาแหน่งขุนนางให้
เป็นไม่เป็น แต่กลับมาเป็นทหารยามที่จวนโหว ถือได้
ว่าเป็นคนที่มีความจงรักภักดีมาก พวกเขายอมเป็น
บ่าวไพร่ในจวนโหว คิดว่าน่าจะเห็นแก่หน้าของท่าน
สามมากกว่าจะเป็นองครักษ์เสื้อแพร เพราะม่ายของ
ท่านสามยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาอยูใ่ นจวนโหว คิดว่า
น่าจะอยากคุ้มครองฮูหยินสาม เพื่อตอบแทนบุญคุณ
ของท่านสาม
ไม่แปลกใจทาไมฮูหยินสามถึงได้มีอานาจในจวนโหว
แบบนี้ เพราะนางเป็นเมียแต่งของท่านสาม ตาแหน่ง
ในจวนโหวก็ไม่ธรรมดา น่าเสียดายที่คนสวยๆ แบบนี้
ต้องมาเป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย
ต้วนชางไห่เหมือนจะสร่างเมาแล้ว มีสติขึ้นมามาก
ยิ่งหยางหนิงถามเขาถึงเรื่องที่ทาให้เขารู้สึกมีเกียรติ
กับเรื่องที่เสียใจเมื่อก่อน เขาแทบจะยกสมองของเขา
ออกมาทั้งหมดเลย
พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ฟ้าค่อยๆ มืดลง จวนโหวใน
ทุกมุมกาลังจุดโคมสีขาวที่มีคาว่า “เตี้ยน”
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าพ่อข้าตายเพราะอาการบาดเจ็บ
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” หยางหนิงพูด “อาการบาดเจ็บ
ของเขาหนักมากเลยหรือ?”
“ท่านแม่ทัพออกรบหลายปี บนร่างกายเต็มไปด้วย
บาดแผลมากมาย” ต้วนชางไห่พูดขึ้น “ตระกูล
องครักษ์เสื้อแพรใช้ความสามารถในการรบแลกมา
ซึ่งเกียรติ ท่านเหล่าโหวเองก็เช่นกัน ท่านสามก็ใช่
ดังนั้นชายตระกูลฉีร่างกายก็จะเต็มไปด้วยบาดแผล
จริงๆ แล้วท่านแม่ทัพกลับมาพักที่เมืองหลวงแล้ว แต่
เมื่อสามปีก่อนชาวเป่ยฮั่นนาทัพหนึ่งแสนบุกมา ท่าน
แม่ทัพจึงต้องออกไปอีก ไปคราวนี้ไปนานถึงสามปี
ท่านแม่ทัพอดทนแบบนี้ถึงสามปี...!” สายตาของเขา
แดงก่า “ในใจของพวกเรารู้ดีว่า ร่างกายของท่านแม่
ทัพยังไม่หายดี วันแล้ววันเล่า แผลเก่าแผลใหม่
รวมกัน เจ็บปวดรวดร้าว แต่ว่าคราวนี้เมื่อท่านแม่ทัพ
ล้มลง ต้าฉู่ก็จะมีภัยแน่นอน ดังนั้นท่านจึงปิดบัง
เอาไว้...!”
สีหน้าของหยางหนิงดูชื่นชมและเคารพ คิดในใจว่า
ฉีหุ้ยจิ่งเป็นวีรบุรุษจริงๆ
“เมื่อหลายเดือนก่อน ทั้งสองฝั่งทาสัญญาสงบศึกกัน
ชาวเป่ยฮั่นยอมถอนทหารกลับไป” ต้วนชางไห่ยิ้ม
แห้งแล้วพูดว่า “ที่ชาวเป่ยฮั่นยอมถอนทหารกลับไป
ทั้งสองฝ่ายตกลงอะไรกันบ้าง ข้าเองก็ไม่รู้ คิดว่าคง
จะได้พักรบ ท่านแม่ทัพจะได้กลับเมืองหลวงมารักษา
ตัว ค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกาย แต่ว่า...!” เขาส่ายหัวแล้วพูด
ว่า “แต่ใครจะคิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ท่านแม่ทัพทา
เพื่อต้าฉู่ เหนื่อยตายเสียอย่างนั้น”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้องครักษ์เสื้อแพรท่านนี้ก็
เป็นวีรบุรุษที่โหมงานหนัก ต้วนชางไห่ลุกขึ้นมา
“ซื่อจื่อ ค่าแล้ว เราไปกันดีกว่า ท่านกลับมาแล้ว
ฮูหยินสามวันนี้เพื่อท่านแล้วถึงกับทะเลาะกับท่าน
ใหญ่สาม ท่านอย่าทาให้ความหวังดีของนางต้องสูญ
เปล่าเลย”
หยางหนิงรู้ว่านั่งฟังต้วนชางไห่พูดแบบนี้ครึ่งค่อนวัน
มันกินเวลาไปมากเหมือนกัน ในเมื่อตัวเขาเป็นซื่อจื่อ
พ่อตัวเองตาย อย่างไรก็ต้องทาหน้าที่ให้ดี
ทั้งสองเดินไปยังโถงบรรพชน หยางหนิงพลางถามว่า
“ท่านอาต้วน ในเมืองหลวงมีสานักคุ้มกันกี่แห่ง?”
“สานักคุ้มกันหรือ?” ต้วนชางไห่คิดไม่ถึงว่าหยางหนิง
จะถามถึงสานักคุ้มกัน รู้สึกงงๆ นิดหน่อย “ซื่อจื่อ
ถามถึงสานักคุ้มกันทาไม?”
หยางหนิงคิดไว้แล้วว่าจะตอบอย่างไรจึงพูดไปว่า
“ข้าถูกพวกนั้นจับตัวไป มีครั้งหนึ่งได้ยินพวกเขาพูด
ถึงสานักคุ้มกัน”
ต้วนชางไห่หยุดเดิน สีหน้าจริงจังขึ้นมา มองไปรอบๆ
แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อท่านได้ยินพวกเขาพูด
ถึงสานักคุ้มกันหรือ? หรือว่าจะมีคนของหอเก้านภา
ซ่อนตัวอยู่ในสานักคุ้มกัน?”
หยางหนิงตอบว่า “รายละเอียดอย่างไรข้าไม่รู้
ตอนนั้นเขาพูดกันเสียงเบา ข้าได้ยินแค่พวกเขาพูดถึง
สานักคุ้มกัน ยังบอกอีกว่าเป็นสานักคุ้มกันอันดับต้นๆ
ของเมืองหลวง ท่านอาต้วน สานักคุ้มกันอันดับต้นๆ
ในเมืองหลวงมีที่ใดบ้าง?”
“ในเมืองหลวงมีสานักคุ้มกันไม่น้อยเลย แต่ว่าอันดับ
ต้นๆ นั้น มีอยู่สามแห่ง” ต้วนชางไห่คิด แล้วพูดว่า
“มีสานักคุ้มกันฉางผิง สานักคุ้มกันซื่อไห่ กับสานัก
คุ้มกันซวี่รื่อที่เป็นสานักคุ้มกันที่มีอิทธิพลในเมือง
หลวง ซื่อจื่อได้ยินพวกเขาพูดถึงสานักคุ้มกันสาม
เจ้านี้ไหม?”
หยางหนิงส่ายหน้า ในใจรู้สึกดีใจ คิดว่าต้วนชางไห่
รู้เรื่องในเมืองหลวงดีทีเดียว
สานักคุ้มกันซื่อไห่เขาเคยเจอไปแล้ว ตอนนั้นเขาเจอ
สานักคุ้มกันซื่อไห่ที่ร้านเหล้า แล้วก็เจอพวกนินจา
ฮิดะที่นั่นที่กาลังตามล่าเซียวกวง
“จะวางสายเอาไว้ในสานักคุ้มกัน ก็พอมีวิธีอยู่”
ต้วนชางไห่กาลังพูดกับตัวเองอยู่ คิดแล้วก็พูดว่า
“แต่ว่าจวนโหวของเราไม่เหมาะที่จะออกหน้า เดี๋ยว
ไปลองถามเอาที่จวนเสินโหวล่ะกัน ให้คนของ
จวนเสินโหวไปตรวจสอบ สานักคุ้มกันสามเจ้านั้น
รับมือไม่ง่าย อีกอย่างเราเองไม่มีเวลาไปสนใจมากนัก
เดี๋ยวให้จวนเสินโหวไปสืบน่าจะเหมาะกว่า”
“จวนเสินโหว?” หยางหนิงพูดด้วยความประหลาดใจ
“มันคือที่ไหนหรือ?”
สีหน้าต้วนชางไห่รู้สึกเขอะเขิน ซื่อจื่อท่านนี้ จะบอก
ว่าเขาบ้า วันนี้พูดจามีเหตุมีผลฉะฉาน ดูไม่ออกว่าบ้า
เลย แต่จะบอกว่าเขาฉลาด ก็เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น
เขากาลังจะอธิบาย ก็ได้ยินเสียงดังลอยมา “ท่านต้วน
ท่านอยู่ที่นี่เองหรือ? เห็นฮูหยินสามหรือไม่?”
หยางหนิงมองไป เห็นพ่อบ้านชิวกาลังมาทางนี้
“พ่อบ้านชิว!” ต้วนชางไห่พูด “ท่านหาฮูหยินสาม
หรือ?”
“ใช่แล้ว” พ่อบ้านชิวเดินมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและ
ร่างกายที่อ้วนท้วม สายตาเล็กๆ มองไปที่หยางหนิง
แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อคงเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวค่าอีกนิด
ท่านก็กลับไปพักได้แล้ว ข้าได้ไปเจรจจากับทาง
ฉงอี๋เหนียงมาแล้ว ตอนกลางคืนจะให้คุณชายฉีอวี้
มาเฝ้า พอเช้า ก็จะให้ท่านซื่อจื่อมาเฝ้า”
“อ๋อ?” ถึงแม้หยางหนิงจะจับจุดของพ่อบ้านชิวไม่ได้
แต่ไม่รู้ทาไม เห็นคนๆ นี้ทีไร ในใจก็รู้สึกมีอคติ เขายิ้ม
แล้วพูดว่า “ทาไมฉีอวี้ยังคิดจะแข่งขันกับข้าอีก
หรือ?”
หยางหนิงรู้ดีว่า ต้วนชางไห่เป็นชาวยุทธ์ ถึงแม้เขาจะ
ละเอียดรอบคอบ แต่นสิ ัยค่อนข้างตรงเกินไป รับมือ
ง่าย แต่กับพ่อบ้านชิวนั้นเหมือนจะมีลับลมคมใน
เต็มไปหมด ไม่น่าจะใช่คนที่รับมือได้ง่าย ต่อหน้าเขา
ต้องระวังให้มาก เพื่อไม่ให้หลุดช่องโหว่อะไรออกไปที่
จะทาให้ตัวเองเดือดร้อน
หยางหนิงเชื่อว่าในตอนนี้ ในจวนยังไม่มีใครสงสัย
สถานะของเขา แต่หากไม่ระวังให้ดี หลุดอะไรออกมา
ก็จะทาให้คนอื่นสงสัยได้
“ท่านซื่อจื่อล้อเล่นแล้ว” พ่อบ้านชิวหัวเราะแล้ว
พูดว่า “ท่านเป็นซื่อจื่อของจวนโหว ฉีอวี้จะกล้า
แข่งขันกับท่านได้อย่างไร? แต่ถึงแม้เขาจะเป็นลูกอนุ
อย่างไรเสียเขาก็มีสายเลือดของท่านโหวอยู่ กลางวัน
ไม่ให้เขาออกไปพบปะผู้คน กลางคืนก็ให้เขาได้ทา
หน้าที่ลูกกตัญญูบ้าง อย่างน้อยหากเกิดเรื่องไม่
คาดคิดในเวลากลางคืนเขาก็ยังจัดการแทนซื่อจื่อได้
ซื่อจื่อเองก็จะมีเวลาพักผ่อนเพื่อกักเก็บพลังกาย
ต่อไปท่านต้องมีเรื่องให้ทามากกว่านี้ หากท่านซื่อจื่อ
พักผ่อนไม่เพียงพอ เกรงว่าพละกาลังของท่านจะก้าว
ตามเขาไม่ทัน”
หยางหนิงไม่ได้สนใจในการแย่งกันเฝ้าศพแสดงความ
กตัญญูเท่าไร วันนี้ที่แสดงอานาจไป ก็เพราะทนไม่
ไหวที่พวกนั้นพุ่งเป้าใส่กู้ชิงฮั่น หากฉีอวี้จะเฝ้าศพ
แทนเขาในตอนกลางคืน เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“ท่านต้วน เรื่องในวันนี้ ท่านอย่าคิดมากไปเลยนะ”
พ่อบ้านชิวมองไปที่ต้วนชางไห่ ยิ้มแล้วพูดว่า “นิสัย
ท่านห้า เราต่างรู้ดี ก็เป็นแบบนั้นแหละ วันนี้อาจจะ
ใจร้อนไปหน่อย เมื่อกี้ข้าไปดูมาแล้ว ท่านใหญ่สามยัง
พูดอยู่เลยว่าท่านห้าไม่ควรทากับท่านแบบนั้น”
ต้วนชางไห่พูดด้วยน้าเสียงเรียบๆ ว่า “พ่อบ้านชิว
คิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้ใส่ใจอะไร เราต่างก็เป็น
บ่าวไพร่ ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับคนเป็นนาย
หรอก”
พ่อบ้านชิวหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “พูดแบบนี้ก็
เหมือนยังมีอารมณ์อยู่ แต่ว่าข้าเข้าใจท่านต้วนนะ
ทาใจให้สบาย เรื่องนี้พอถึงพรุ่งนี้ ท่านก็ลืมแล้ว”
แล้วพูดอีกว่า “น้องต้วน ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนจัดการ
เรื่องต่างๆ ในจวนโหว แต่หลายๆ เรื่องก็ต้อง
พิจารณาตามเหตุการณ์โดยรวม การที่ซื่อจื่อมาเฝ้า
ศพนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พวกเราไม่
สมควรพูดอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เราต้องทาคือคานึงถึง
สถานการ์ที่เกิดขึ้น ท่านใหญ่สามก็อยู่ตรงนั้น พวกเรา
จะไม่ใส่ใจท่านไม่ได้ จริงไหม? รอให้เรื่องตรงหน้านี้
ผ่านไปก่อน ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง ตอนนี้เราต้องดูแล
ความรู้สึกและท่าทีต่างๆ ของบ้านตระกูลฉีก่อน เจ้า
ว่าที่ข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่?”
ต้วนชางไห่พูดว่า “พ่อบ้านชิว ข้าเป็นเพียงคนฝึกยุทธ์
รู้แค่เรื่องปกป้องคุ้มครองจวนโหวเท่านั้น เรื่องอื่นๆ
ข้าไม่ควรยุ่งมาก เพราะข้าเองก็ไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าอะไร
ก็ตามที่ฮูหยินสามพูด ไม่มีทางผิด หากจะให้พูดถึง
ส่วนรวม พ่อบ้านชิวปรึกษากับทางฮูหยินสามก็พอ
หากมีอะไรที่จะให้ข้าทา ฮูหยินสามสั่งคาเดียวก็ได้
แล้ว”
“ใครบอกว่าท่านไม่เห็นแก่ส่วนรวมล่ะ?” เสียงใสๆ
ดังมาจากด้านหลังของหยางหนิง “ที่โถงบรรพชนเจ้า
ยอมอดกลั่น ไม่ทาอะไรโง่ๆ ลงไป นั่นก็ทาเพื่อ
ส่วนรวมมากแล้วจริงไหม?”
หยางหนิงหันหลังไปดู เห็นกู้ชิงฮั่นที่ขาวราวกับกับ
เมฆสีขาวเดินลอยมา สวยราวกับนางฟ้า
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 42 ปัญหาที่แก้ยาก
พ่อบ้านชิวเห็นกู้ชิงฮั่นเดินมา เดิมที่ยิ้มหัวเราะอยู่ก็
เปลี่ยนเป็นเคารพยาเกรง เหมือนจะรีบวิ่งขึ้นไปหา
แล้วพูดอย่างเคารพว่า “ฮูหยินสาม มีเรื่องสาคัญต้อง
รายงานให้ท่านทราบ”
“เจ้าไปหาท่านใหญ่สามมาหรือยัง?” กู้ชิงฮั่นสีหน้า
ท่าทางเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้ม ใบหน้าที่สวยงามเมื่อไม่
มีรอยยิ้ม ไม่เพียงมีสง่าราศี ยังดูน่ายาเกรงอีกด้วย
พ่อบ้านชิวรีบตอบกลับไปว่า “ไปมาแล้ว ข้าน้อย
กล่อมอยู่นาน ท่านใหญ่สามใจเย็นลงมาไม่น้อย แต่ว่า
...!”
“แต่ว่าอะไร?” กู้ชิงฮั่นมองไปด้วยสีหน้าอันเย็นชา
“แต่ว่ายังคงจะให้ฉีอวี้เฝ้าศพต่อไปงั้นหรือ?”
พ่อบ้านชิวพูดอย่างลาบากใจว่า “ฮูหยินสาม ข้าน้อย
รู้ดีว่าในเมื่อซื่อจื่อกลับมาแล้ว ให้ฉีอวี้เฝ้าศพต่อมันไม่
เหมาะสม แต่ว่าท่านใหญ่สามบอกว่าต่อให้ฉีอวี้ไม่ใช่
ลูกเมียแต่ง แต่เขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านโหว
ท่านโหวสิ้นแล้ว แม้แต่การเฝ้าศพแสดงความกตัญญูก็
ไม่ให้เขาเลย มันก็ไม่เหมาะเหมือนกัน” แล้วมองไป
ทางหยางหนิง แล้วพูดเบาๆ ว่า “ความหมายของ
ท่านใหญ่สามก็คือ ต่อไปกลางวันก็ให้ท่านซื่อจื่อเฝ้า
ศพไป ส่วนกลางคืนก็ให้ฉีอวี้ทาแทน เมื่อเป็นอย่างนี้
แล้ว ที่โถงบรรพชนก็จะมีคนเฝ้าศพอยู่ตลอดเวลา
ส่วนท่านซื่อจื่อเองก็มีเวลาพักผ่อนด้วย”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างเรียบเฉยว่า “พ่อบ้านชิว ความหมาย
ของพวกเขา คนอื่นไม่เข้าใจ แต่ท่านน่าจะเข้าใจดี
ท่านอยู่ในจวนโหวนี่มากว่ายี่สิบปี ตอนที่ท่านแม่ทัพ
ยังอยู่ ดีกับเจ้าอย่างไร ท่านเองก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ” นาง
หยุดไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ กะพริบตา “ควรทาอะไร ไม่
ควรทาอะไร เราต้องทาตามเจตนารมณ์ของท่าน
แม่ทัพที่มีแต่แรกเท่านั้น”
พ่อบ้านชิวยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสามกล่าวถูกแล้ว
ข้าน้อยจะทาอย่างสุดความสามารถ” เขาหยุดไปครู่
หนึ่ง แล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “งั้นข้ากลับไป
รายงานท่านใหญ่สาม ไปบอกเขาว่าวิธีนี้ไม่ได้?”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ใช้ความคิด แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้
จะให้ฉีอวี้เฝ้าศพตอนกลางคืนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่า
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีแขกมา ก็จะต้องให้หนิงเอ๋อร์ออก
หน้ารับแขกเท่านั้น เขาจะต้องกลับไปอยู่ด้านหลังโถง
บรรพชนทันที”
“รับทราบ” พ่อบ้านชิวพูดพร้อมโค้งคานับ
จากนั้นกู้ชิงฮั่นก็เดินไปหาหยางหนิง ใบหน้าที่
สวยงามมีรอยยิ้มอีกครั้ง “หนิงเอ๋อร์ ให้เจ้าไปที่โถง
บรรพชน เจ้ามาทาอะไรที่นี่? แอบมาเล่นอยู่ตรงนี้อีก
แล้วใช่ไหม?” คาพูดของนางเหมือนตาหนิเล็กน้อย
แต่น้าเสียงกลับอ่อนโยนมาก แทบไม่เหมือนการ
ตาหนิเลย
พ่อบ้านชิวติดตามอยู่ข้างๆ กู้ชิงฮั่น ยังไม่ได้ไปไหน
กู้ชิงฮั่นสัมผัสได้ ก็เลยหยุดเดิน แล้วถามว่า “พ่อบ้าน
ชิวยังมีเรื่องอะไรอีกงั้นหรือ?”
พ่อบ้านชิวลังเล แล้วพูดว่า “เป็นเรื่องสาคัญมาก
จะต้องปรึกษากับฮูหยินสามโดยด่วน”
“เรื่องอะไรกัน?”
พ่อบ้านชิวมองไปที่หยางหนิง แล้วหยุดพูด หยางหนิง
โกรธมาก ก็เลยพูดไปตรงๆ ว่า “มองข้าทาไม? สิ่งที่
เจ้าจะพูดข้าอยู่ฟังไม่ได้หรือไงกัน?”
พ่อบ้านชิวรีบตอบกลับว่า “ซื่อจื่อท่านเข้าใจผิดแล้ว
ข้า...ข้าไม่ได้ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น”
“ถ้าไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นยังไม่รีบพูดมาอีก?”
หยางหนิงมองบน เขารู้สึกว่าพ่อบ้านชิวคนนี้ทาอะไร
ลับๆ ล่อๆ มีลับลมคมในตลอด เหมือนมีความลับ
ปกปิดเอาไว้
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่หยางหนิง ขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่
พ่อบ้านชิว แล้วพูดขึ้นมาว่า “พ่อบ้านชิว สรุปแล้วมัน
เรื่องอะไรกัน?”
“เอ่อ...!” พ่อบ้านชิวลังเล แต่สุดท้ายก็พูด “ฮูหยิน
สาม ในคลังเงินของจวนนั้น...คลังเงินของจวนเหลือ
เงินอีกไม่มากแล้ว คิดว่าน่าจะยื้อไว้ได้อีกไม่นานนัก”
กู้ชิงฮั่นสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที แล้วถามว่า “เมื่อ
หลายวันก่อนยังเห็นว่าเหลืออยู่พอควรนี่ ทาไมจู่ๆ ถึง
ได้หมดแล้วเล่า?”
พ่อบ้านชิวยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “หลายวันมานี้คนที่มา
เคารพศพล้วนแล้วแต่เป็นเชื้อพระวงศ์ขุนนางขั้นสูง
ต่างๆ พวกเขาต่างก็อยู่ทานอาหารที่นี่กันหมด เรา
ต้องรักษาหน้าของจวนโหวเอาไว้ ค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อย
เลย อีกอย่างยังมีรายการจุกจิกอีกมากมาย แต่เดิมคิด
ว่าอะไรประหยัดได้ก็ประหยัดไป อย่างน้อยก็ยื้อให้
ทางวังหลวงหรือไม่ก็ทางเจียงหลิงส่งเงินสมทบเข้ามา
แต่ว่า...แต่ว่าตอนนี้ไม่รู้ต้องทาอย่างไรต่อแล้ว
ค่าใช้จ่ายมีเยอะมากเลย ทางคลังเงินก็ไหลออกเป็น
สายน้าทุกวัน” เขายื่นสมุดบัญชีออกมาเล่มหนึ่ง
“ฮูหยินสามท่านลองดูนี่ ค่าใช้จ่ายเรียงรายทั้งนั้น
ในนี้มีระบุรายละเอียดเอาไว้หมดแล้ว”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อพ่อบ้านชิวพูดมา
ขนาดนี้แล้ว ก็คงไม่ผิด” นางไม่ได้หยิบสมุดบัญชีมาดู
หยางหนิงเห็นทุกอย่างชัดเจน ในใจชื่นชมกู้ชิงฮั่น
จัดการทุกอย่างได้อย่างมืออาชีพ ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลา
ปกติ กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะดูแลภาพรวมทุกอย่าง แต่
อย่างไรก็เป็นผู้หญิง เรื่องภายในจวนทุกอย่างก็คงให้
พ่อบ้านชิวออกหน้าไปทาแทนทั้งหมด หากรับสมุด
บัญชีมา ก็หมายความว่าไม่เชื่อมั่นในตัวของพ่อบ้าน
ชิว ก็จะทาให้เกิดรอยร้าว สถานการณ์ตอนนี้ จะให้
พ่อบ้านชิวเสียหน้าไม่ได้
“สงสัยเงินเดือนเดือนนี้ของคนในจวนคงจะไม่
สามารถจ่ายได้ตรงเวลา ยังมีทางด้านหอตารา
วันก่อนที่ท่านจัวมา ถึงแม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ
แต่ความหมายก็ค่อนข้างชัดเจน เหมือนตาหนิว่าเรา
ไม่ยอมส่งเงินไปยังหอตาราเสียที” พ่อบ้านชิวส่ายหัว
แล้วถอนหายใจ “ฮูหยินสาม หากเป็นแบบนี้ตอ่ ไป
ต้องแย่แน่ๆ ตามธรรมเนียมแล้ว อีกห้าวันพิธีศพของ
ท่านแม่ทัพถึงจะเสร็จสิ้น วันที่เหลือ ค่าใช้จ่ายก็คงไม่
น้อย เรื่องของท่านแม่ทัพ อย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่ จะ
ทาลวกๆ ไม่ได้ จะให้เสียหน้าไท่ฟูเหรินไม่ได้
เด็ดขาด”
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด คิ้วที่
โก่งโค้งราวกับคันศรขมวดติดกัน “เงินในร้านค้าทั้ง
สองร้านโยกย้ายมาหรือยัง?”
“ข้ากาชับให้โยกเงินมาเสริมตามที่ท่านสั่งเรียบร้อย
แล้ว” พ่อบ้านชิวพูดว่า “ทางร้านยาต้องการเครื่อง
ยาจีน ครึ่งเดือนก่อนเราเลยจ่ายเงินซื้อไปจานวนหนึ่ง
ตอนนี้เลยเหลือเงินอยู่ไม่มาก”
จากที่หยางหนิงฟัง ตอนแรกเขาคิดว่าบ้านเศรษฐี
ตระกูลใหญ่ คงไม่มีทางเครียดเรื่องเงินๆทองๆแน่ๆ
แต่ตอนนี้ เงินกลายเป็นปัญหาใหญ่ของจวนโหว
ซะแล้ว
คิ้วของกู้ชิงฮั่นขมวดกันแน่น พ่อบ้านชิวพูดว่า
“ในวังหลวงก็ไม่มีข่าวอะไรเลย ผิดปกติมาก ฮูหยิน
สาม เราควรจะส่งคนไปสืบดูหน่อยไหม ดูว่าเกิดอะไร
ขึ้น? ข้าน้อยรู้จักกงกงในวังอยู่บ้าง จะไปสืบดู
สถานการณ์ให้”
“ไม่ได้เด็ดขาด” กู้ชิงฮั่นรีบพูดขึ้นมา “เรื่องแบบนี้
หากไม่มีราชโองการของฝ่าบาทแล้ว เราก็ต้องรอ
ไม่ควรเข้าวังไปพูดก่อน” นางใคร่ครวญ แล้วจึงพูดว่า
“เงินจากทางเจียงหลิง ตามหลักน่าจะมาถึงในสิบวัน
แต่ทาไมจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเลย?
คนทางนั้นได้ส่งคนมารายงานหรือเปล่า?”
พ่อบ้านชิวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยังไม่มีใครมา ข้าน้อย
คิดว่าน่าจะมีอะไรทาให้ล่าช้า เรื่องแบบนี้แต่ก่อนก็
เคยเกิดขึ้น บางทีก็ล่าช้าไปตั้งครึ่งเดือน แต่ก็มาถึง
อย่างครบถ้วนปลอดภัย หากไม่เกิดเหตุอะไร ก็น่าจะ
มาถึงในอีกไม่กี่วัน”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่เงินจากเจียงหลิงมาถึง
ปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายลง”
“แต่ว่าตอนนี้ค่อนข้างตึงเครียด” พ่อบ้านชิวพูดอย่าง
ลาบากใจ “คลังเงินจะไม่มีเงินไม่ได้ เรื่องเล็กเรือ่ ง
น้อยในจวนจะขาดเงินไม่ได้เลย มันเป็นสิ่งจาเป็น
จะให้เสียหน้าจวนโหวเพราะไม่มีเงินไม่ได้ ฮูหยินสาม
ท่านว่าเรา...ควรจะไปยืมเงินคนอื่นก่อนไหม?”
กู้ชิงฮั่นย้อนถาม “ต้องใช้เงินประมาณเท่าไร?”
“หากยืมได้สักสองสามพันตาลึงก็น่าจะหมดปัญหาไป
ได้” พ่อบ้านชิวตอบอย่างมั่นใจ
ตอนแรกหยางหนิงคิดว่าจวนโหวคงไม่ขาดเงินมาก
แต่เมื่อได้ยินว่าสองสามพันตาลึง ก็ถือว่าไม่ใช่จานวน
ที่มากเท่าไร บ้านตระกูลใหญ่แบบนี้ มานั่งเครียด
เพราะเงินสองสามพันตาลึง หยางหนิงคาดไม่ถึงจริงๆ
“ในเวลาเช่นนี้หากไปยืมเงินจากข้างนอกมาคงไม่ดี
เท่าไร” กู้ชิงฮั่นคิด “ในมือข้ายังมีของมีค่าอยู่จานวน
หนึ่ง เช่นนั้น...”
“ฮูหยินสาม ไม่ได้เด็ดขาด” พ่อบ้านชิวก็หัวไว รู้ทันที
ว่ากู้ชิงฮั่นหมายถึงอะไร “เรื่องนี้เป็นเพราะข้าสะเพร่า
เอง ไม่ได้ตามให้ทางเจียงหลิงส่งเงินมาให้ตรงเวลา
จะให้ฮูหยินสามเอาเครื่องประดับมีราคาไปจานาได้
อย่างไร? หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนอื่นจะเอาไป
นินทาเอาได้ อีกอย่างจวนของเราก็มีโรงรับจานา
จะเปิดร้านเพื่อเอาของไปจานาคงไม่เหมาะหรอกจริง
ไหม? จริงๆ เรื่องนี้ก็แก้ไม่ยาก ทางร้านสองสามวันก็
มีคนมาซื้อขาย มีเงินเข้าออกอยู่ไม่น้อย ร้านยาเองก็
ค้าขายดี อดทนอีกสักสองสามวัน ก็น่าจะดีขึ้น เรายืม
เงินมากันฉุกเฉิน ไม่ใช่เรื่องยาก ข้าจะทาอย่าง
รอบคอบที่สุด ไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายไปได้”
กู้ชิงฮั่นคิด แล้วพูดว่า “งั้นก็ทาตามที่เจ้าว่าล่ะกัน
ไปยืมมาก่อนสักสามพันตาลึง รอเงินของจวนโหว
มาถึง ก็รีบคืน”
“ฮูหยินสาม ท่านก็รู้ ตอนท่านโหวยังอยู่ ไม่ยอมให้
เราไปมาหาสู่กับใครเรื่องเงินเลย” พ่อบ้านชิวพูด
ขึ้นมาว่า “ครั้งนี้เรายืมทีก็จะเอาตั้งสามพันตาลึง
ถึงแม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็ต้องเอาอะไรไปค้าประกัน
เอาไว้ มันเป็นกฎ”
“เรื่องนี้ข้ารู้ดี” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าลองไปสืบดู ว่าควร
จะเอาอะไรค้า แล้วค่อยมาปรึกษากันอีกที”
พ่อบ้านชิวพูดว่า “เอาอย่างนี้ไหม เราเอาโรงรับ
จานาไปค้า ร้านของเรามีความน่าเชื่อถือมาก การค้า
ก็ไม่เลว เราเอาโรงรับจานาไปค้า เงินสามพันตาลึงก็
น่าจะเอามาได้”
“โรงรับจานาหรือ?” กู้ชิงฮั่นรู้สึกลังเล
พ่อบ้านชิวรีบพูดว่า “ร้านขายยาของเราเป็นร้านที่
สืบทอดมาจากท่านเหล่าโหว เป็นเลือดเนื้อของจวน
โหวของเรา แตะต้องไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างเราแค่
ใช้มันแค่ชั่วคราว ไม่กี่วันเงินก็มาแล้ว ต่อให้ใช้โรงรับ
จานาค้าไว้ ก็ไม่กระทบต่อการค้าของโรงรับจานา
แน่ๆ”
“ในเมื่อเจ้าคิดว่าแบบนี้ดี ก็เอาตามนี้แล้วกัน”
กู้ชิงฮั่นนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าบอกพวกเขานะ
ว่า เราจะคืนเงินพวกเขาให้เร็วที่สุด ดอกเบี้ยที่ควรคิด
ก็ให้คิดไป”
พ่อบ้านชิวยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อเป็นอย่างนี้ ในจวนก็คง
ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ฮูหยินสาม ข้าน้อยจะไปจัดการ
เดี๋ยวนี้” แล้วเขาก็ออกไป
เมื่อพ่อบ้านชิวออกไป หยางหนิงก็ถามด้วยความ
ประหลาดใจ “ซานเหนียง จวนของเราไม่มีเงินแล้ว
หรือ?”
“ไม่ทางานบ้านก็ไม่รู้หรอกว่าข้าวแพงแค่ไหน”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ค่าใช้จ่ายในจวนเรื่อง
เล็กเรื่องใหญ่มีไม่น้อย ตอนนี้ยังมีงานศพของท่าน
แม่ทัพอีก...!” แล้วก็มองไปที่หยางหนิง “ทาไมจู่ๆ
เจ้าถึงสนใจเรื่องนี้เล่า? ปกติไม่เคยสนใจว่าเงินจะมา
อย่างไรไปอย่างไร”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเห็นซานเหนียงเครียด
เพราะเงิน ก็เลยถาม”
“โอ้โห หนิงเอ๋อร์ของเราเป็นห่วงคนอื่นด้วย” กู้ชิงฮั่น
ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่อง
เครียดๆ ให้ซานเหนียงทาก็พอแล้ว รอเจ้าเป็นนาย
ของบ้านนี้อย่างเต็มตัว ค่อยมาเครียดเรื่องจุกจิก
พวกนี้แล้วกัน” แล้วมองไปที่ต้วนชางไห่ เห็นหน้าของ
เขายังแดงอยู่เล็กน้อย ก็พูดแล้วขมวดคิ้วว่า “กิน
เหล้าอีกแล้วหรือ?”
ต้วนชางไห่รู้สึกเขิน มือจับไปที่หลังหัวแล้วพูดว่า
“ก็...ก็แค่ดื่มไปสองจอก...!”
กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจ
แต่ว่ามีอีกหลายเรื่องที่เรายังต้องทามันต่อไป อีก
อย่างหลายวันมานี้เรื่องในจวนก็มีมาก เจ้าเองก็มีเรื่อง
ต้องทาอีกไม่น้อย”
“ข้าน้อยทราบดี” ต้วนชางไห่รีบพูดว่า “ฮูหยินสาม
วางใจ ข้าน้อยจะไม่กินเหล้าอีกแล้ว” จากนั้นก็ขมวด
คิ้ว พูดเบาๆ ว่า “ฮูหยินสาม ในวังหลวงไม่ได้พูดอะไร
ถึงเรื่องที่ท่านแม่ทัพสิ้นเลยหรือ?”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าเบาๆ พูดอย่างสงสัยว่า “ข้าก็
แปลกใจอยู่ ตามหลักแล้วในวังหลวงก็น่าจะมีราช
โองการอะไรลงมาแล้วถึงจะถูก แต่จนถึงตอนนี้
ไม่เพียงไม่มีข่าวคราวเลย ทางจงอี้โหวเอง ท่านก็ไม่
ได้มาด้วยตัวเอง ข้ารู้สึกว่ามันแปลกๆ”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 43 สำนักคุ้มกันล่ม คนล้มตำยเกลื่อน
ต้วนชางไห่ตกใจแล้วพูดว่า “จงอี้โหวไม่มาหรือ?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตอนท่านแม่ทัพยังมีชีวิต
อยู่ จวนของเรากับของท่านจงอี้โหวไปมาหาสู่สนิท
สนมกันอย่างดี ข้าคิดว่าพอพวกเขาได้รับข่าวเรื่อง
ของท่านแม่ทัพ จงอี้โหวก็จะรีบมา แต่ว่า...จนถึง
ตอนนี้ จงอี้โหวก็แค่ส่งคนมาคานับศพแล้วก็ไป
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาอีกเลย”
หยางหนิงยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามว่า “จงอี้โหวเห็นว่า
ท่านพ่อสิ้นไป จวนองครักษ์เสื้อแพรไม่มี...ไม่มีภูเขา
หลักใหญ่แล้ว ดังนั้น...!”
“หนิงเอ๋อร์ อย่าพูดเหลวไหล” กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่
หยางหนิง แต่ว่าสายตาของนางก็ดูแปลกๆ “ทาไมเจ้า
ถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”
หยางหนิงพูดไปอย่างนั้น แต่เมื่อเห็นกู้ชิงฮั่นเหมือน
จะตาหนิ จึงพูดว่า “ข้า...ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง”
ในใจคิดว่าคนที่มีอิทธิพลที่สุดของจวนตระกูลฉีสอง
คนจากไปหมดแล้ว เหลือกันแค่นี้ เมื่อมองไป ก็ไม่มี
คนที่ดูเป็นชายองอาจราศีโดดเด่น ยุคเสื่อมถอยของ
จวนองครักษ์เสื้อแพรเป็นอะไรที่เลี่ยงไม่ได้
สถานการณ์แบบนี้ ในใจของหลายๆ คนก็คงรู้ดีอยู่
แล้ว แต่หากเป็นเพราะเหตุนี้แล้วตีตัวออกห่าง ก็ใช่
จะเป็นไปไม่ได้
ต้วนชางไห่สีหน้าจริงจัง แล้วส่ายหัว “จงอี้โหวไม่น่า
จะเป็นแบบนั้น ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร แต่ว่าเขาไม่น่า
จะเป็นแบบนั้น” แล้วหยุดไปครู่หนึ่ง พูดเสียงเบาๆ
ว่า “ฮูหยินสาม จะเป็นไปได้ไหมว่า...ในวังหลวงจะ
เกิดเรื่อง”
“วังหลวงเกิดเรื่อง?” กู้ชิงฮั่นตะลึงไป แล้วหันไปพูด
ว่า “เจ้าพูดแบบนี้ ก็เหมือนจะมีเหตุผล ศพของท่าน
แม่ทัพถูกส่งกลับเมืองหลวงอย่างลับๆ เรื่องนี้รายงาน
ไปยังวังหลวงแล้ว แต่ในวังหลวงกลับไม่ส่งใครมาเลย
จงอี้โหวเองก็ไม่มาด้วยตัวเอง หรือว่า...!” นาง
ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เรื่องในวังหลวง กู้ชิงฮั่นกับต้วนชางไห่ไม่พูดต่อ
เพราะเรื่องแบบนี้ ไม่ควรนินทาลับหลัง
หยางหนิงอยู่ในจวนโหวกว่าครึ่งวันแล้ว ข่าวคราวที่
ได้รับมามีมากมาย ในใจก็พอจะรู้เรื่องราวของในจวน
องครักษ์เสื้อแพรบ้างแล้ว
แต่ที่ไม่ต้องสงสัยเลย องครักษ์เสื้อแพรเคยยิ่งใหญ่
เกรียงไกรมาก เป็นเสาหลักของกองทัพต้าฉู่ แต่
หลังจากที่องครักษ์เสื้อแพรอย่างฉีหุ้ยจิ่งสิ้นบุญไป
อานาจก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป
ส่วนในจวนองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ได้หรูหราอย่างที่คิด
แถมยังเครียดเรื่องเงินสองพันตาลึงอีกต่างหาก อีกทั้ง
ยังจะใช้โรงรับจานาค้าเพื่อไปยืมเงินมาอีกด้วย
เขารู้ดีว่าบางเรื่องรีบร้อนไปไม่มีประโยชน์ ต้องค่อยๆ
ใช้เวลาในการทาความเข้าใจ แกล้งถามบางครั้งบาง
คราวมันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากถามมากไป คนใน
จวนจะต้องสงสัยแน่นอน ตอนนี้ยังต้องใช้เส้นสาย
และอานาจที่จวนโหวมีในการตามหาเสี่ยวเตี๋ยอยู่
จะให้ใครเห็นช่องโหว่ไม่ได้
พวกเขาพูดถึงในวังหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งก็น่าจะ
หมายถึงวังหลวงของต้าฉู่
ในใจของหยางหนิงรู้ดี ฉีหุ้ยจิ่งทาคุณาประโยชน์ต่อ
ต้าฉู่มาก เขาเสียสละชีวิตให้กับประเทศจนตาย องค์
ฮ่องเต้ไม่มีทางจะไม่แสดงท่าทีอะไรเลย
ขุนนางคนสาคัญแบบนีส้ ิ้นบุญไป ต่อให้องค์ฮ่องเต้จะ
ไม่มาร่วมงานศพด้วยพระองค์เอง ก็จะต้องส่องค์ชาย
หรือเชื้อพระวงศ์คนสาคัญมาไว้อาลัย ต่อให้ไม่มีใคร
สะดวกก็จะต้องส่งขันทีคนสนิทมาพร้อมโองการ
เพื่อแสดงความเคารพและอาลัย มันเป็นขั้นตอน
สาคัญที่ขาดไม่ได้ ส่วนฮ่องเต้ก็ควรจะมีปูนบาเหน็จ
อะไรลงมา
แต่ตอนนี้วังหลวงยังไม่มีคนส่งใครมา มันผิดปกติ
แน่นอน
แต่ว่าหยางหนิงก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากเท่าไร ในใจคิด
แค่ว่าจะทาให้ต้วนชางไห่ไปช่วยตนสืบเรื่องสานัก
คุ้มกันอย่างไรมากกว่า
คิดอยากจะได้อะไรกลับมา ก็ต้องให้อะไรออกไป
หยางหนิงกลับมาที่โถงบรรพชน แน่นอนว่าต้องมาทา
หน้าที่ลูกกตัญญู แต่ว่าเมื่อคิดว่าองครักษ์เสื้อแพรเอง
ก็เป็นแม่ทัพคนสาคัญที่ยิ่งใหญ่ของต้าฉู่แล้ว ตัวเขาจะ
คุกเข่าให้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย
ช่วงกลางคืนคงไม่มีใครมาเคารพศพ ในโถงบรรพชน
เองก็มีคนเข้าออกตลอด พวกของต้วนชางไห่ก็เพิ่งจะ
กลับเข้ามา ดังนั้นทั้งคืนก็มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน
หยางหนิงตลอดเวลา
เมื่อเฝ้าศพในช่วงกลางคืน แน่นอนว่าไม่จาเป็นจะต้อง
คุกเข่าตลอดเวลา แล้วก็มีคนส่งอาหารรอบดึกมาให้
อยู่แล้ว เมื่อถึงเที่ยงคืน ฉีอวี้ถึงมาที่โถงบรรพชน
หยางหนิงไม่พูดอะไรกับเขา ให้เขาอยู่ที่โถงบรรพชน
ต่อไป ส่วนตัวเขาก็กลับไปพักผ่อน
สองวันต่อมา คนที่มาคานับศพมีไม่น้อย ส่วนใหญ่
เป็นขุนนางในเมืองหลวง ข่าวการตายขององครักษ์
เสื้อแพร ไม่ได้ป่าวประกาศออกไป สาหรับขุนนาง
นอกพื้นที่ ก็มีเพียงคนที่สนิทกับองครักษ์เสื้อแพร
เท่านั้น คนพวกนี้เดินทางลาบากเพื่อมายังเมืองหลวง
ก็กินอยู่ตามที่ทางจวนโหวได้จัดไว้ให้
การจัดการทุกอย่างกู้ชิงฮั่นเป็นคนรับผิดชอบ ฉีอวี้
ไม่มีสิทธิได้พบกับเหล่าขุนนางที่มาคานับศพ หากมี
แขกมาหยางหนิงจะเป็นคนรับหน้าทั้งหมด ยังดีที่
หยางหนิงไม่พูดอะไรมาก พ่อบ้านชิวคอยดูแลอยู่
ข้างๆ ขุนนางที่มา หยางหนิงไม่รู้จักเลย ส่วนพ่อบ้าน
ชิวก็พอรู้จักอยู่บ้างบางคน หยางหนิงก็จะจาพวกเขา
ได้
คนของบ้านตระกูลฉี ก็มาอยู่ทุกวัน ท่านใหญ่สามเห็น
อยู่สองสามครั้ง แต่ไม่เข้าไปยังโถงบรรพชน ไม่แม้แต่
จะมองหยางหนิงด้วย เห็นได้ชัดว่ายังโกรธหยางหนิง
อยู่ ส่วนท่านห้ากับท่านหก ก็ไม่เห็นมาอีกเลย
วันออกทุกข์ใกล้เข้ามา ในวังหลวงยังคงไม่มีใครมา
เหมือนกับว่าลืมแม่ทัพเหว่ยคนที่ทาคุณแก่บ้านเมือง
ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลังเที่ยง หยางหนิงนั่งอยู่ในโถงบรรพชน กาลังบิดขี้
เกียจอยู่ ทันใดนั้นเองก็เห็นต้วนชางไห่วิ่งเข้ามาในโถง
บรรพชน แล้วเข้ามาใกล้ๆ หยางหนิง แล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ ท่านจาเรื่องสานักคุ้มกันที่ท่านบอกวันนั้นได้
หรือไม่?”
หยางหนิงสีหน้าตกใจ แอบชื่นชมต้วนชางไห่ไม่น้อยที่
รู้ว่าเขาต้องการอะไร ตัวเขาไม่ได้พูดตรงๆ ว่าต้องการ
ให้เขาไปสืบเรื่องนี้ พูดกับเขาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
เขาก็ไปสืบมาให้แล้ว คนๆ นี้เป็นคนที่ใส่ใจราย
ละเอียด และรอบคอบจริงๆ มีอนาคตที่ดีแน่ ๆ เขา
รีบย้อนถามออกไปว่า “เจ้าไปสืบมาแล้วหรือ?”
ต้วนชางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ได้ไปสืบ ฉีเฟิงได้
ยินคนข้างนอกเขาคุยกันว่า สานักคุ้มกันเกิดเรื่อง”
“เกิดเรื่อง?” หยางหนิงย้อนถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ต้วนชางไห่พูดเสียงเบาๆ ว่า “ท่านยังจาได้ไหมว่าใน
เมืองหลวงมีสานักคุ้มกันที่มีชื่อเสียงอยู่สามแห่ง”
“ซื่อไห่ ฉางผิง กับซวี่รื่อ” หยางหนิงจาได้แม่นยา
ยิ่งสนใจในเรื่องของสานักคุ้มกันอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วที่
ต้วนชางไห่พูดถึงสามสานักคุ้มกันชื่อดัง เขาก็จาไว้
ในใจ
ต้วนชางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ครั้งนี้เรื่องที่
เกิดไม่เล็กเลย สานักคุ้มกันซื่อไห่กับซวี่รื่อล่ม คนล้ม
ตายเกลื่อนเลย”
“สานักคุ้มกันล่ม มีคนล้มตาย?” หยางหนิงตื่นตกใจ
รีบย้อนถามกลับไปว่า “มันเกิดอะไรขึ้น?”
“สานักคุ้มกันล่ม มีคนล้มตาย ก็คือรถขนสินค้าของ
สานักคุ้มกันหายไปหมด คนและม้าที่คุ้มกันก็ตายไป
จนหมด” ต้วนชางไห่พูดด้วยน้าเสียงเข้มๆ ว่า “นี่มัน
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมาก สถานที่เกิดเหตุก็เป็น
ริมชายแดนทางเหนือทั้งหมด”
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจเข้าใจทันที คืนนั้นที่ร้าน
เหล้าก็ถูกนินจาฮิดะลอบโจมตี สานักคุ้มกันซื่อไห่ก็
ถูกโจมตี ตอนที่เขาจากมายังมีคนสองคนยื้อเอาไว้
ตอนนี้ดูท่าจะตายไม่เหลือ
ต้วนชางไห่คิดว่าหยางหนิงไม่เข้าใจที่เขาพูด ก็เลย
อธิบายเพิ่มว่า “ในเมืองหลวงมีสานักคุ้มกันใหญ่
ทั้งหมดสามแห่ง สานักคุ้มกันฉางผิงดูแลเส้นทาง
ทางใต้ ส่วนสานักคุ้มกันซื่อไห่ดูแลเส้นทางตะวันตก
สานักคุ้มกันซวี่รื่อดูแลเส้นทางทางเหนือ แต่ว่าสองปี
มานี่ชาวเป่ยฮั่นมักแอบลอบโจมตีทางไหวชุ่ย ทาง
เหนือเลยไม่ค่อยสงบนัก ดังนั้นสานักคุ้มกันซื่อไห่จึง
เดินเส้นทางทางเหนือด้วย”
“ท่านอาต้วน ถ้าเทียบระหว่างสานักคุ้มกันซวี่รื่อกับ
สานักคุ้มกันซื่อไห่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?” หยางหนิง
ถาม “สานักคุ้มกันไหนแกร่งกว่ากัน?”
จริงๆ ในใจเขาสันนิษฐานว่า ในเมื่อสานักคุ้มกัน
ฉางผิงดูแลเส้นทางตอนใต้ งั้นก็น่าจะตัดออกไป
ที่พาเสี่ยวเตี๋ยไปน่าจะเป็นซวี่รื่อไม่ก็ซื่อไห่เท่านั้น
ตัวเขาเองได้เจอสานักคุ้มกันซื่อไห่มาแล้วระหว่างทาง
แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเสี่ยวเตี๋ยเลย ความน่าสงสัยก็
เลยลดลง แต่ก็ไม่รับประกันว่าสานักซื่อไห่จะไม่ได้ทา
ในเมื่อเป็นสานักคุ้มกันอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง
แสดงว่าขบวนสินค้าของสานักคุ้มกันก็ไม่ได้มีแค่
ขบวนเดียวแน่นอน
“จะให้บอกว่าสานักไหนแกร่งกว่า มันก็พูดยาก
เหมือนกัน” ต้วนชางไห่คิดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“สานักคุ้มกันสองแห่งนี้ล้วนมีความเชื่อมโยงกับ
เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง คนของสานักคุ้มกันซื่อไห่ส่วนใหญ่
เป็นคนในยุทธภพ วรยุทธ์แข็งแกร่งมาก สานักคุ้มกัน
ซวี่รื่อก็มีไม่น้อยที่เคยเป็นทหารมาก่อน ฝีมือก็ไม่
ธรรมดา หากไปทางทิศตะวันตก เส้นสายของสานัก
คุ้มกันซื่อไห่ก็จะมีมากกว่า ทั้งสองสานักดูจะ
เหนือกว่าซวี่รื่ออยู่เล็กน้อย แต่ถ้าขึ้นไปทางเหนือ
จะเห็นว่าสานักซวี่รื่อนั้นได้รับการยอมรับมากกว่า”
หยางหนิงพยักหน้า ในใจกาลังคิดว่า หากสานักคุ้มกัน
ซวี่รื่อมีเส้นสายทางเหนือกว้างขวางกว่าถ้างั้นความน่า
สงสัยของพวกเขาก็น่าจะมีมากที่สุด
“มีขบวนสินค้าของสานักคุ้มกันทั้งสองถูกปล้นกลาง
ทาง” ต้วนชางไห่พูดขึ้น “ได้ยินมาว่าสานักคุ้มกัน
ซื่อไห่ถูกปล้นที่ร้านเหล้าตรงเส้นทางหลวง รถสินค้า
หายไปทั้งหมด แต่ว่าคนในของสานักคุ้มกันและ
ผู้ติดตามทั้งหมดตายในร้าน ไม่เหลือเลยสักคนเดียว
ตอนไปพบ ไม่มีใครรอดเลย”
“ไม่เหลือร่องรอยอะไรเอาไว้เลยหรือ?” หยางหนิง
ถาม ถึงแม้ในใจจะรู้อยู่แล้ว ว่านั่นเป็นฝีมือของ
นินจาฮิดะ คนพวกนั้นกระทาการอุกอาจ ก็น่าจะ
ไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้
เป็นไปตามคาดต้วนชางไห่พูดว่า “รายละเอียดเป็น
อย่างไร ข้าน้อยก็ยังไม่รู้มากนัก แต่เรื่องการปล้น
ขบวนสินค้ามันเกิดขึ้นทุกปี แต่ว่าฆ่าคนทั้งหมดนั้น
ไม่คอ่ ยมี คนของสานักคุ้มกันทุกคนรู้สถานการณ์ดี
หากสามารถคุ้มกันได้ พวกเขาจะทาเต็มที่ แต่หากอีก
ฝ่ายลงมือหนักมาก ไม่รู้ว่ามิตรหรือศัตรู คนของสานัก
คุ้มกันจะไม่เข้าไปเสี่ยง จะต้องคุ้มกันคนของตัวเอง
ก่อน แล้วค่อยกลับสานัก แต่ตายหมดแบบนี้ มันดูไม่
เหมือนการปล้นขบวนสินค้าเลย เหมือนจะแก้แค้น
มากกว่า”
หยางหนิงคิดในใจว่ามันก็ไม่เหมือนการแก้แค้นเท่าไร
แต่ว่าตัวเขาติดร่างแหไปด้วย หากไม่ใช่เพราะ
เซียวกวง สานักคุ้มกันซื่อไห่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น
เมื่อนึกถึงเซียวกวง ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าบ้านั่นติดเงิน
เขาห้าร้อยตาลึงทอง หากได้เงินห้าร้อยตาลึงทองมา
ได้ กู้ชิงฮั่นก็คงไม่ต้องเครียด
แต่ว่าคิดๆ ดูแล้วเมื่อเจ้านั่นให้มาหาที่เมืองหลวง
แต่ว่าไม่ทิ้งที่อยู่ไว้ให้ แล้วเขาจะไปงมหาคนๆ หนึ่งใน
เมืองหลวงที่ใหญ่แบบนี้ได้อย่างไรกัน?
แต่ว่าเขาเองก็รู้ว่า ต่อให้ได้เงินมาห้าร้อยตาลึงทอง
จริง จะเอาให้กู้ชิงฮั่นไม่ได้อยู่ดี เพราะเขาสวมรอย
เป็นซื่อจื่อ ตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร แล้วจะมี
ปัญญาไปหาเงินห้าร้อยตาลึงทองมาจากไหนกัน?
หากเอาออกมาให้จริงๆ กู้ชิงฮั่นจะต้องสืบหาที่มา
แน่ๆ เรื่องก็จะพลิกทันที เมื่อไหร่ก็ตามที่เซียวกวง
ปรากฏตัวขึ้น ก็จะต้องจาเขาได้แน่ๆ เรื่องที่เขา
สวมรอยเป็นซื่อจื่อก็อาจจะถูกเปิดเผย ก่อนที่จะพบ
เสี่ยวเตี๋ย จะไปเจอเจ้านั่นก่อนไม่ได้เด็ดขาด
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับสานักคุ้มกันซวี่รื่อเล่า?”
หยางหนิงถาม
ต้วนชางไห่ตอบว่า “ถึงแม้สานักคุ้มกันซวี่รื่อจะล่ม
และมีคนตายเหมือนกัน แต่แตกต่างจากสานักคุ้มกัน
ซื่อไห่”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 44 ที่ดินศักดินาพระราชทาน
“ไม่เหมือนอย่างไร?”
ต้วนชางไห่ตอบว่า “คนของสานักคุ้มกันซวี่รื่อตาย
หมด แม้รถสินค้าจะยังอยู่ แต่ว่าสินค้าในรถกลับบิน
หายไปไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว”
“สินค้าหายไปหมดเลยหรือ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว
แล้วพูดเบาๆ ว่า “น่าแปลก หากต้องการปล้นสินค้า
ไป ก็เอาไปทั้งรถสินค้าเลยก็ได้นี่นา ทาไมต้องทิ้งรถ
เอาไว้ด้วย? หรือว่าจะเอาสินค้าเปลี่ยนไปที่รถของ
พวกเขา?” เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “หากจะปล้นขบวน
สินค้าก็ต้องทาให้เวลา ยิ่งเร็วยิ่งดี หากเปลี่ยนรถ
ขนสินค้า มันเสียเวลาไม่น้อยเลย น้าต้องเข้าสมอง
พวกนั้นแน่ๆ”
“เอ่อ ซื่อจื่อ น้าเข้าสมองมันคืออะไร?” ต้วนชางไห่
รู้สึกว่าศัพท์คานี้มันดูใหม่ ก็เลยอยากจะเรียนรู้เอาไว้
หยางหนิงเหลือบไปมอง แล้วพูดว่า “ในสมองนั้นเต็ม
ไปด้วยมันสมอง หลังจากที่น้าเข้าไปข้างในมันก็จะไป
ผสมกับมันสมอง นานเข้าสมองก็จะบวม ทาให้ไม่มี
สมองอีกต่อไป นายเข้าใจหรือไม่?”
ต้วนชางไห่รู้สึกชื่นชม แอบคิดอยู่ลึกๆ ว่าการเปรียบ
เทียบของซื่อจื่อมันช่างแปลกใหม่ ในใจก็รู้สึกแปลกใจ
เหมือนกัน เพราะว่าก่อนหน้านี้ซื่อจื่อไม่ได้หัวไวแบบ
นี้ แต่ตอนนี้กลับตรงข้ามกัน แล้วก็ค้นพบว่า ดูเหมือน
สมองจะดีกว่าของคนอื่นอยู่มาก
หลังจากที่ซื่อจื่อกลับมา ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก เขา
แอบคิดว่าหรือว่าเป็นเพราะซื่อจื่อถูกจับตัวไปครั้งนั้น
เกิดความกระทบกระเทือนมากเกินไป ทาให้ซื่อจื่อ
ฉลาดขึ้นมา? หากเป็นอย่างนั้นจริง มันเป็นความ
โชคดีในความโชคร้ายเลยทีเดียว เรื่องร้ายกลายเป็นดี
หรือว่าท่านองครักษ์เสื้อแพรกับบรรพบุรุษของ
ตระกูลฉีจะคุ้มครองซื่อจื่ออยู่
“ซื่อจื่อกล่าวถูกแล้ว นั่นคือปัญหา” ต้วนชางไห่พูด
ขึ้น “ถึงแม้รถสินค้าจะยังอยู่ แต่สินค้ากลับหายไป
หมด มันแปลกมากจริงๆ” แล้วพูดอีกว่า “ฉีเฟิงได้ยิน
คนเขาพูดกันว่า มีหลายคนคิดว่าสานักคุ้มกันทั้งสอง
แห่งนี้น่าจะถูกคนกลุ่มเดียวกันปล้นเอา แต่ข้าน้อยคิด
ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้”
หยาหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “วิธีการลงมือต่างกัน
อีกอย่างงานใหญ่แบบนี้ พอจบงาน สิ่งที่คิดได้ก็คือ
การซ่อนตัว ไม่น่าจะออกไปทางานอื่นอีก” ในใจเขาก็
คิดว่า ที่สานักคุ้มกันซื่อไห่ประสบภัยเพราะโชคไม่ดี
เพราะนินจาฮิดะไม่ได้จะมาปล้นขบวนสินค้าจริงๆ
หลังจากรถสินค้าหายไป คิดว่าน่าจะเป็นพวกนินจา
ฮิดะทาการเก็บกวาด พวกเขาตามล่าเซียวกวง ไม่มี
ทางไปหาเรื่องสานักคุ้มกันซวี่รื่อแน่ๆ
จาได้ว่าตอนที่ออกมา ชายชุดเทายังสู้อยู่กับนินจา
ฮิดะอยู่เลย ไม่รู้ว่ารอดหรือไม่
ต้วนชางไห่ยกนิ้วโป้งขึ้นมา “ซื่อจื่อเฉียบขาดมาก”
แล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง
คนตายไปไม่น้อย แม้สานักคุ้มกันทั้งสองถือได้ว่ามี
อิทธิพลไม่น้อย แต่ครั้งนี้กลับต้องมาเกิดเหตุการณ์
นองเลือดครั้งใหญ่”
เมื่อหยางหนิงคิดถึงคาพูดที่ว่า ‘สินค้าหายไปหมด’
ในหัวก็พลันนึกบางอย่างออก มุมปากเขายกขึ้น
เล็กน้อย
ปล้นขบวนสินค้าแต่สับเปลี่ยนรถขนส่ง มันแปลกอยู่
แล้ว หยางหนิงคิดว่า ความน่าจะเป็นมีอยู่สองอย่าง
คนที่ปล้นกลัวว่าจะมีคนตามรอยมาเจอเบาะแส ก็เลย
เปลี่ยนรถขนย้ายสินค้า หรือไม่ก็สินค้ามันโยกย้ายได้
ง่าย ไม่ทาให้เสียเวลานาน
แต่ว่าการเปลี่ยนรถสินค้า โจรที่ฉลาดหน่อยคงไม่มี
ทางทาตรงจุดเกิดเหตุในทันทีแน่ น่าจะมีการลากรถ
สินค้าไปให้ห่างจากจุดเกิดเหตุเสียก่อน
นอกจากความน่าจะเป็นนี้แล้ว ความเป็นไปได้อีก
อย่างก็เหมือนที่ต้วนชางไห่ว่าไว้ สินค้าคงบินหายไป
เอง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ตัวของหยางหนิงก็สั่นเล็กน้อย
หากเป็นแบบนั้นจริงๆ สานักคุ้มกันซวี่รื่อก็น่าจะเป็น
สานักคุ้มกันที่เซียวอี้ชุ่ยติดต่อไว้ เสี่ยวเตี๋ยก็น่าจะถูก
สานักคุ้มกันพาตัวมาตั้งแต่นอกเมืองฮุ่ยเจ๋อ
งั้นการที่สินค้ามีปีกบินได้ ก็มีความเป็นไปได้
ใจของหยางหนิงเต้นเร็วมาก เขาหวังว่าสิ่งที่เขา
สันนิษฐานจะไม่ผิด หากเป็นอย่างนั้น พวกของ
เสี่ยวเตี๋ยก็น่าจะไม่ได้ถูกส่งมายังเมืองหลวง แต่หนีไป
ได้ระหว่างทาง
เขาทั้งดีใจและกังวล หากบอกว่ามีคนลอบสังหารคน
ของสานักคุ้มกันกลางทาง แล้วช่วยเสี่ยวเตี๋ยเอาไว้
ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากเป็นพวกไม่ดี เสี่ยวเตี๋ยก็จะ
หนีเสือปะจระเข้ทันที ถ้างั้นก็จะเป็นอันตรายมากกว่า
ปลอดภัย ไม่สู้ให้สานักคุ้มกันพาเสี่ยวเตี๋ยเข้าเมือง
หลวงยังดีเสียกว่า
หากสานักคุ้มกันพาเสี่ยวเตี๋ยเข้าเมืองหลวง เขา
สามารถอาศัยอิทธิพลของจวนโหว ไปสืบหาได้ ต่อให้
สืบไม่พบเสี่ยวเตี๋ย แต่อย่างไรก็ต้องสืบจนเจอสานัก
คุ้มกันซวี่รื่อ การตามหาเสี่ยวเตี๋ยก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ซื่อจื่อ ท่านเป็นอะไรไป?” เห็นหยางหนิงสีหน้า
ท่าทางไม่ดี ดูแปลกไป ต้วนชางไห่ที่ไม่รู้ความคิด
ของหยางหนิง ก็เลยรู้สึกกังวล
หยางหนิงได้สติกลับมาแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไร กาลัง
คิดอยู่ว่าวันนี้ยังไม่มีใครมาเลย”
ต้วนชางไห่พูดว่า “หลายวันนี้ที่ควรมาก็มาหมดแล้ว
หากจะมีมาอีก ก็น่าจะมาจากที่อื่น รอออกทุกข์ คนก็
จะมามากกว่านี้”
หยางหนิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พ่อบ้านชิวไปไหน?
วันนี้ยังไม่เห็นเขาเลย จริงสิ เขายืมเงินได้หรือยัง?”
“ใช้โรงรับจานาไปค้า เอาเงินมาจากโรงรับฝากเงิน
สองสามพันตาลึงไม่ใช่เรื่องยาก”
หยางหนิงตอบ “อ่อ ยืมจากโรงรับฝากเงินหรือ?
ท่านอาต้วน ท่านว่าจวนโหวใหญ่ขนาดนี้ ยิ่งใหญ่ใน
แคว้นฉู่ ทาไมเงินถึงไม่พอใช้ล่ะ? ต่อให้ขาดมือบ้าง
แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องเอาโรงรับจานาไปค้าประกันยืม
เงินหรอกจริงไหม?”
ต้วนชางไห่บอกว่า “เรื่องนี้ ข้าน้อยก็ไม่รู้ แต่ว่ากฎ
ของโรงรับฝากเงิน อย่าว่าแต่สองสามพันตาลึงเลย
ต่อให้ยืมแค่หนึ่งถึงสองตาลึง ก็ต้องมีของไปค้า”
“จวนโหวของเราไม่รู้จักเศรษฐีมีเงินกับเขาเลยหรือ?”
หยางหนิงพูดว่า “เมืองหลวงเป็นเมืองที่เจริญที่สุด
เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงก็มีมาก เรา...เราก็ควรจะรู้จัก
ใครบ้างสิ?”
ต้วนชางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คนที่ไปมาหาสู่กับ
จวนโหวในเมืองหลวงมีไม่น้อย แต่ว่าท่านเหล่าโหว
ตั้งกฎเอาไว้ ห้ามให้มีการใช้เงินติดต่อกับพวกขุนนาง
เด็ดขาด”
“อ๊า?” หยางหนิงพูดอย่างแปลกใจว่า “มีกฎแบบนี้
ด้วยหรือ?”
“ซื่อจื่อสมัยก่อนท่านไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นก็
เลยไม่รู้” ต้วนชางไห่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ท่าน
เหล่าโหวเป็นคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ถึงแม้จะได้
พระราชทานที่ดินศักดินา แต่ก็เป็นคนมือสะอาด
ท่านเหล่าโหวบอกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ไปมาหาสู่กัน
ด้วยเงิน ก็จะมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง จะทาอะไรก็
ไม่สะดวก ตอนท่านแม่ทัพยังอยู่ ก็ทาตามกฎของท่าน
เหล่าโหวอย่างเคร่งครัด ไม่ให้มีการไปมาหาสู่กับเหล่า
เชื้อพระวงศ์ด้วยเงิน”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีคน
ส่งเงินมาที่จวนโหว ก็รับไม่ได้น่ะหรือ?”
“แน่นอน” ต้วนชางไห่พูดด้วยน้าเสียงจริงจัง “ไม่ใช่
แค่นั้นนะ ตอนท่านแม่ทัพอยู่ที่แนวหน้า ราชสานักมี
การปูนบาเหน็จมาให้ ท่านแม่ทัพก็แจกจ่ายให้ทหาร
ทัง้ หมด ไม่เหลือให้ตัวเองแม้แต่สลึงเดียว” แล้วพูด
ต่อว่า “แต่ว่าท่านแม่ทัพเป็นท่านโหวพันเรือน เริ่ม
ตั้งแต่ท่านเหล่าโหวมา ก็ได้รับพระราชทานที่ดิน
ศักดินาสามพันเรือน และยังมีที่นาอีกนับร้อยไร่ ก็พอ
อยู่พอกินไม่หมดอยู่แล้ว”
“โอ้โห!” หยางหนิงอุทานออกมา “ที่ดินศักดินา
สามพันเรือน ที่นาอีกกว่าร้อยไร่ ก็แค่ทาให้พออยู่
พอกินหรือ? ท่านอาต้วน ท่านล้อข้าเล่นแล้วล่ะ”
ก่อนหน้านี้เขาเห็นจวนองครักษ์เสื้อแพรเครียดเรื่อง
เงินสองสามพันตาลึง ในใจยังสงสัยว่า ทาไมจวนโหว
ถึงได้จนแบบนี้ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วที่มาทาง
การเงินของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยเลย
ที่ดินศักดินาสามพันเรือน รายรับต่อปีไม่น้อยแน่ๆ
ยังมีที่นาอีกร้อยกว่าไร่ ถึงแม้ในจวนโหวรวมๆ แล้วจะ
มีกว่าร้อยคน แต่จะเลี้ยงพวกเขามันง่ายยิ่งกว่าพลิก
ฝ่ามือ
“ไม่ได้ล้อเล่น” ต้วนชางไห่รู้ว่าซื่อจื่อไม่รู้อะไรเรื่อง
เงินเลย ก็เลยอธิบายด้วยความใจเย็น “รายรับของ
จวนโหวเราถึงแม้จะมีไม่น้อย แต่ว่ารายจ่ายของเรา
เยอะมากกว่า”
“รายจ่ายหรือ?” หยางหนิงพูดว่า “ข้าก็ยังมองไม่ออก
อยู่ดีว่ามันจะมีรายจ่ายอะไรมากมายขนาดนั้น”
ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งๆ “ซื่อจื่อท่านไม่รู้อะไร ที่ดิน
ศักดินาสามพันเรือน ที่นากว่าร้อยไร่ ฟังดูเยอะ
แต่จริงๆ รายรับที่เขามาที่จวนมันน้อยมากเลย”
“หมายความว่าไง?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“หรือว่ามีใครมาตัดเอาเงินไปงั้นหรือ?”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้น” ต้วนชางไห่พูดเสียงเบาๆ “ที่ดิน
ศักดินาของเราอยู่ที่เจียงหลิง ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของ
ตระกูลฉี ท่านเหล่าโหวมาจากเจียงหลิง ที่ดินศักดินา
พระราชทานที่ดินเก่า เพราะงั้นรายรับกับภาษีที่ท่าน
เหล่าโหวต้องจ่ายมันน้อยมาก ดังนั้นรายรับที่เข้ามา
มันเทียบไม่ได้กับท่านโหวคนอื่นๆ ส่วนภาษีที่เก็บได้
ท่านเหล่าโหวก็ตั้งกฎเอาไว้ ว่าภาษีจานวนห้าร้อย
เรือนยกให้เป็นของท่านใหญ่สาม”
หยางหนิงถึงได้เข้าใจ มิน่าทาไมกู้ชิงฮั่นกับพ่อบ้านชิว
ถึงได้พูดถึงเจียงหลิง ที่แท้ก็เป็นรายรับที่ดินศักดินา
แต่ว่าเขาคิดไม่ถึงว่า ที่ดินศักดินาสามพันเรือน
จะต้องตัดแบ่งไปให้ท่านใหญ่สามห้าร้อยเรือน ที่แท้
บ้านของท่านใหญ่สามก็อยู่ได้เพราะจวนโหวนี่เอง
“ต่อให้เป็นอย่างนั้น เงินก็ไม่น่าไม่พอใช้นี่นาจริง
ไหม?”
ต้วนชางไห่พูดเบาๆ ว่า “ท่านเหล่าโหวกับท่านแม่ทัพ
เป็นคนที่มีคุณธรรมเห็นมิตรภาพสาคัญ พวกเขาทา
ศึก เห็นทหารในสังกัดเป็นเหมือนอวัยวะของตนเอง
ทหารตายที่แนวหน้า ราชสานักก็ไม่ได้ชดเชยอะไรให้
พวกเขามากนัก ทิ้งลูกกับเมีย พ่อแม่เอาไว้ ตอนท่าน
เหล่าโหวยังมีชีวิตอยู่ก็ออกกฎไว้ ทหารที่ติดตามเขา
ไปออกรบมีไม่น้อย ที่บ้านยากจน ทิ้งลูกทิ้งเมีย
พ่อแม่ไว้ใช้ชีวิตอย่างลาบาก จวนโหวก็เลยแจกเงิน
ออกไปให้กับพวกเขาทุกบ้าน ถึงแม้จะไม่เยอะ แต่ก็
ทาให้พวกเขาพอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ต่อมาท่าน
แม่ทัพรับสืบทอดตาแหน่งมาก็สานต่อวิธีนี้ ซื่อจื่อ
ท่านลองคานวณดู แบบนี้ จวนโหวของเรายังเหลือ
รายรับสักเท่าไรกันเชียว?”
หยางหนิงตะลึงไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีแบบนี้ด้วย
คนที่ติดตามองครักษ์เสื้อแพรทั้งสองรุ่นไปออกรบมี
ไม่น้อย ต่อให้มีเพียงเล็กน้อยที่จะรับ ก็ถือเป็น
รายจ่ายก้อนใหญ่ของจวนโหว
“งั้น...ศึกไหวชุ่ยที่สู้กันถึงสามปี ตายไปไม่รู้เท่าไร
คนที่ตายในสองสามปีนี้ถูกนับรวมด้วยหรือเปล่า?”
หยางหนิงพูด “คงไม่ใช่ว่าต่อไปก็ต้องจ่ายแบบนี้อีก
เรื่อยๆ หรอกนะ?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้มีที่ดินศักดินาสามพันเรือนก็
คงไม่พอ” ต้วนชางไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อีกอย่าง
คนจานวนมากเกินไป จวนโหวของเรารับมาหมด
เกรงว่าจะมีคนว่าเราใช้เงินซื้อใจคน มันจะไม่ดีกับเรา
ที่รับมาก่อนหน้านี้มีไม่มาก ราชสานักก็มีคนเอาท่าน
แม่ทัพไปพูดเสียๆ หายๆ แล้ว ยังดีที่ฝ่าบาทเชื่อใจ
ท่านแม่ทัพมาก รู้ว่าท่านม่ทัพไม่ใช่คนแบบนั้น ก็เลย
หลับตาข้างหนึ่ง” แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ครั้งนี้ท่าน
แม่ทัพสิ้นบุญไป วังหลวงไม่มีราชโองการอะไรมาเลย
เกรงว่าคงไม่มีใครคิดถึงตระกูลนักรบของเราอีกแล้ว”
หยางหนิงถึงได้เข้าใจรายรับของจวนโหวมีไม่น้อย
แต่ทาไมถึงหาไม่เจอ เพราะมันมีเรื่องค่าใช้จ่าย
คั่นกลาง
แต่เห็นได้ชัดว่า องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองรุ่นได้ใจคน
มากๆ ทหารยอมไปตายกับพวกเขา ก็ไม่แปลก
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงดังลอยเข้าหูมาว่า
“อู่เซียงโหวมาคานับศพ!”
ระหว่างเสียง ก็เห็นพ่อบ้านชิวโผล่มา แล้วรีบมาข้างๆ
หยางหนิง แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ
ท่านอู่เซียงโหวมา นี่เป็นครั้งที่สองที่เขามา คิดว่า
น่าจะตั้งใจมาหาท่าน”
“มาหาข้าหรือ?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“มาหาข้าทาไมกัน?”
พ่อบ้านชิวตอบว่า “ท่านอู่เซียงโหวเป็นว่าที่พ่อตา
ของท่าน ท่านเป็นว่าที่ลูกเขยของเขา พอรู้ว่าท่าน
ปลอดภัยกลับมาถึงจวนแล้ว ก็เลยตั้งใจมาหาท่านก็
สมควรแล้ว”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 45 อู่เซียงโหลว
หยางหนิงยังคงประหลาดใจอยู่ เห็นคนนาทางคนๆ
หนึ่งมายังโถงบรรพชน คนๆ นี้อายุแค่สามสิบกว่า
เท่านั้น สวมใส่ชุดยาวผ้าไหม ท่าทางก็ดูสง่ามีราศีมาก
แต่ว่าสีหน้าดูซีดเซียว ขณะที่กาลังเดิน หยางหนิงเห็น
เขาเดินแบบล่องลอยมาก สายตาก็เหมือนไม่ค่อยมีสติ
ก็รู้ว่าร่างกายของเขาไม่ค่อยแข็งแรง
อู่เซียงโหลวเข้ามายังโถงบรรพชน เหลือบไปมอง
หยางหนิง ถอดหมวกออก แล้วทาความเคารพ แล้ว
รีบหันตัวไปถามพ่อบ้านชิวว่า “ไท่ฟูเหรินรับแขก
ไหม?”
“เรียนท่านอู่เซียงโหลว ไท่ฟูเหรินไม่ค่อยสบาย
ไม่รับแขกมาหลายวันแล้ว” พ่อบ้านชิวพูดด้วยความ
เคารพมากๆ “เชิญท่านโหลวไปรับน้าชาที่ห้องหย่าทิง
ดีกว่า” แล้วเหลือบมามองหยางหนิง พลางกวักมือ
เพื่อให้หยางหนิงตามมาด้วย
อู่เซียงโหลวเอามือไขว้หลังเอาไว้ แล้วไอ พ่อบ้านชิวก็
เลยนาทางออกจากโถงบรรพชนไป
“นี่คืออู่เซียงโหลว?” หยางหนิงเพิ่งได้สติ แล้วหันไป
ถามต้วนชางไห่ “เราหมั่นหมายกับทางเขาหรือ?”
ต้วนชางไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “อู่เซียงโหลวกับ
องครักษ์เสื้อแพรเหมือนกัน เป็นหนึ่งในสี่ตระกูล
บรรดาศักดิ์ใหญ่ของต้าฉู่ สืบทอดตาแหน่งรุ่นสู่รุ่น
การแต่งงานครั้งนี้ ท่านเหล่าโหลวกับท่านอู่เซียง
เหล่าโหลวเป็นคนกาหนดเอาไว้”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านอู่เซียงเหล่าโหลวสิ้นบุญแล้ว
หรือ?” หยางหนิงถาม
เขาเห็นอู่เซียงโหลวอายุเพิ่งจะสามสิบต้นๆ ก็ได้สืบ
ทอดตาแหน่งโหลวแล้ว งั้นแสดงว่าท่านอู่เซียง
เหล่าโหลวก็น่าจะสิ้นบุญไปแล้ว
ต้วนชางไห่ตอบว่า “ใช่ ท่านอู่เซียงเหล่าโหลวสิ้นไป
หลายปีแล้ว สิ้นหลังเหล่าโหลวของเราสองปีเท่านั้น
ท่านโหลวทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมตายกันมาตอนมีชีวิต
อยู่”
หยางหนิงกาลังจะถามต่อ ต้วนชางไห่รีบพูดขึ้นมาว่า
“ซื่อจื่อ อย่าเสียเวลาอยู่เลย อู่เซียงโหลวไปที่ห้อง
หย่าทิงแล้ว เขามาเพื่อพบท่าน ท่านรีบไปดีกว่า
คิดว่าเขาน่าจะมีอะไรพูดกับท่านนะ”
หยางหนิงรู้สึกหงุดหงิด คิดไม่ถึงจู่ๆ ก็มีว่าที่พ่อตาโผล่
ออกมาอีก ทาได้เพียงแค่ลุกขึ้น แล้วเดินออกไป
เห็นพ่อบ้านชิวพาอู่เซียงโหลวออกไปไม่ไกล แล้วหัน
กลับมาดูเป็นพักๆ เห็นหยางหนิงเดินตามมา พ่อบ้าน
ชิวก็ค่อยๆ ผ่อนความกังวลลง
ขณะที่หยางหนิงเข้าไปที่ห้องหย่าทิง อู่เซียงโหลวก็นั่ง
วางมาดใหญ่โตอยู่ในห้องแล้ว พ่อบ้านชิวให้คนยกน้า
ชามาให้ แล้วยืนอยู่ข้างๆ แล้วกวักมือให้หยางหนิงมา
หยางหนิงทาได้แค่เดินเข้ามา อู่เซียงโหลวนั่งอยู่บน
เก้าอี้ ก็ไม่ได้มองไปที่หยางหนิง ในมือถือหยกขาว
สลักรูปปี่เซยะ เป็นหยกเนื้อดี ใสจนสามารถมองทะลุ
หยกได้ อู่เซียงโหลวเล่นหยกปี่เซยะพลางถาม โดยไม่
เงยหน้ามามองว่า “กลับมาได้อย่างไร? ได้ยินมาว่า
ถูกจับตัวไปท่ามกลางความวุ่นวายไม่ใช่หรือ?”
หยางหนิงฟังจากน้าเสียงที่อ่อนปวกเปียกของเขาแล้ว
ก็แน่ใจว่าร่างกายของเขาจะต้องแย่เอามากๆ ถึงแม้
เขาจะรู้ว่ากฎของพวกชนชั้นสูงนั้นมีเยอะมาก แต่ก็ไม่
รู้ว่ามันมีอะไรบ้าง กาลังคิดอยู่ว่าจะตอบเขาดีไหม
พ่อบ้านชิวที่ยืนอยู่ข้างก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า
ขึ้นมาว่า “ท่านโหลว ซื่อจื่อท่านกลับมาหลายวันแล้ว
คนมีบุญ ก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยอยู่แล้ว”
“คนมีบุญงั้นหรือ?” อู่เซียงโหลวเงยหน้าขึ้นมา แล้ว
มองไปที่หยางหนิง ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ทาไมข้าถึง
มองไม่เห็นว่าเขามีบุญเลยเล่า? ส่วนโหงวเฮ้ง เจ้าดู
หน้าเขาสิมีแต่ความหมองหม่น หากโหงวเฮ้งเป็น
แบบนี้ สวรรค์คงไร้ความสามารถเกินไปแล้ว”
พ่อบ้านชิวตะลึงไป เขาคิดไม่ถึงว่าอู่เซียงโหลวจะพูด
แบบนี้
ถึงแม้หยางหนิงจะเป็นผู้น้อย แถมยังเป็นว่าที่ลูกเขย
ของเขา มันเป็นเรื่องของช่วงเวลาก่อนที่หยางหนิงจะ
ได้สืบทอดตาแหน่งโหลวสาเร็จ ไม่ว่าอย่างไร
อู่เซียงโหลวก็ไม่ควรทาแบบนี้ต่อหน้าเขา
“ท่านโหลวกล่าวถูกต้อง ท่านพ่อสิ้นบุญไป หาก
หน้าตาของข้ายินดีปรีดาอยู่ งั้นก็คงแปลกเหมือนเจอ
ผี” หยางหนิงโกรธมาก เขาแทบไม่มองอู่เซียงโหลว
เลย “หากคนมีบุญแต่เป็นคนเสื่อมโทรม ก็ยังสามารถ
ดูได้จากหน้าตา”
ถึงแม้เขาจะพูดแบบนี้ออกมา แต่ในใจของเขาคิดว่า
เจ้านี่หน้าตาดูโทรมๆ อ่อนแอ แทบจะเทียบไม่ได้กับ
คนมีบุญเขาหรอก
อู่เซียงโหลวตกใจไม่น้อย เขาคิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะ
พูดแบบนี้ออกมา เขาเงยหน้ามองไปที่หยางหนิง
ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “มีอารมณ์เหมือนกันนี่”
ตอนนี้เองก็มีคนนาชามาเติมให้ อู่เซียงโหลวยกชา
ขึ้นมาจิบ จิบไปเพียงหนึ่งคาก็ต้องบ้วนทิ้ง แล้วด่าว่า
“นี่มันชาอะไรกัน? คนกินได้หรือ?” เขาวางกระแทก
ถ้วยชาลงอย่างแรง น้าชากระเด็นไปทั่ว เปียกโต๊ะไป
หมด พ่อบ้านชิวรีบพูดขึ้นมาว่า “ยังไม่รีบเก็บกวาด
อีก” ก่อนจะมองไปที่อู่เซียงโหลวแล้วพูดว่า “ท่าน
โหลว ปกติท่านชอบดื่มชาอวิ๋นอู แต่สงสัยวันนี้คง
ไม่ถูกปาก”
“ชาอวิ๋นอู?” อู่เซียงโหลวพูดด้วยน้าเสียงที่ไม่ดีว่า
“ชาอวิ๋นอูต้องใช้น้าฝนมาชง เจ้าใช้น้าอะไร? นี่บ้าน
จวนโหลวนะ เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้กันหรืออย่างไร?
พ่อบ้านชิว คนในจวนอย่างพวกเจ้า ตั้งแต่เจ้านายยัน
ลูกน้องไม่มีกฎเกณฑ์อะไรกันเลยหรืออย่างไร ฉีหุ้ยจิ่ง
ดูคน
ไม่เป็น จะเลือกคนทั้งทีเลือกแต่คนไม่ได้เรื่องมา
แบบนี้จะไปทาอะไรได้ แค่น้าชาถ้วยเดียวยังชงให้
ดีไม่ได้ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ เดี๋ยวไว้ข้ากลับ
จวนไปจะส่งคนที่ชงชาเก่งๆ มาให้”
พ่อบ้านชิวรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยสั่งสอนไม่ดีเอง
ต่อไปจะระวังกว่านี้”
จริงๆ หยางหนิงคิดจะสวนกลับไป แต่คิดๆ ดูแล้ว
ทะเลาะกับเขาเพระชาถ้วยเดียวมันไม่จาเป็น ก็เลย
ทนไว้
อู่เซียงโหลวเล่นหยกขาวปี่เซยะของเขาต่อไป แล้ว
ถามว่า “ไท่ฟูเหรินป่วยเป็นอะไรกันแน่? หนักมาก
ไหม? วันนี้ที่ข้ามา ข้าต้องการพบนาง”
“ลาบากท่านโหลวที่เป็นห่วง แต่ว่าไท่ฟูเหรินสั่งไว้ว่า
ไม่ว่าใครก็ตาม ก็ไม่พบเป็นการชั่วคราว” พ่อบ้านชิว
พูดอีกว่า “หากท่านโหลวจะพบไท่ฟูเหรินจริงๆ เกรง
ว่าอาจจะต้องรอไปก่อนอีกหลายวัน”
“แล้วตอนนี้จวนโหลวของพวกเจ้าใครดูแลเรื่อง
ภายใน?” อู่เซียงโหลวพูดขึ้น “อย่าบอกนะว่าฮูหยิน
สาม? เป็นถึงจวนโหลว แต่ให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็น
นายใหญ่ของจวน หากเรื่องนี้แพร่ออกไป มิกลายเป็น
เรื่องตลกหรือ?” เขาขยับร่างกายให้อยู่ในท่าที่สบาย
ก่อนจะมองไปยังพ่อบ้านชิวแล้วพูดว่า “ตระกูลฉีของ
พวกเจ้าไม่มีผู้ชายที่รับหน้าที่ได้เลยหรืออย่างไร?”
หยางหนิงฟังมาถึงตรงนี้ ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
หยางหนิงเห็นบรรดาคนในตระกูลฉีมาหมดแล้ว รู้ว่า
ตอนนี้ชายที่เป็นชายชาตรีที่ทาหน้าที่ได้จริงๆ นั้นยัง
ไม่มี
หากว่าอู่เซียงโหลวดูถูกชายในบ้านตระกูลฉี หยาง
หนิงก็ไม่ได้คัดค้านหรือปฏิเสธเลย แอบจะเห็นด้วย
กับเขาด้วยซ้า แต่อู่เซียงโหลวดันดูถูกกู้ชิงฮั่นอย่าง
ออกนอกหน้า ทาให้เขาหงุดหงิดอย่างมาก
เขารู้ดีว่าตอนนี้กู้ชิงฮั่นอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลาบาก
ผู้หญิงคนหนึ่ง ดูแลจวนโหลวทั้งหมด มันไม่ง่ายเลย
อู่เซียงโหลวคนนี้ยืนพูดโดยที่เขาไม่ปวดเอว มันก็
มหัศจรรย์มากแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปฏิเสธไปตรงๆ
แต่ก็ส่งเสียงหัวเราะเยือกเย็นกลับไปแทน
เสียงหัวเราะเยือกเย็นนั้นเขาตั้งใจให้อู่เซียงโหลวได้
ยิน เมื่ออู่เซียงโหลวได้ยินก็เหลือบไปมองหยางหนิง
เขา
ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “เจ้าหัวเราะเยาะอะไร? เจ้าคิดว่า
ข้าพูดผิดงั้นหรือ?”
หยางหนิงไม่มองเขา ไม่สนใจด้วย
“ไม่ผิดจากที่คิดเลย” สีหน้าของอู่เซียงโหลวรู้สึก
เหมือนว่าจะโกรธ “เคยได้ยินเขาบอกกันว่าตระกูลฉี
เลี้ยงคนโง่บ้าไว้คนหนึ่ง ดูท่าตอนนี้ก็ไม่ได้ดีขึ้น
สักเท่าไร” จากนั้นก็หันไปพูดกับพ่อบ้านชิวว่า “จริงสิ
ในวังหลวงส่งคนมาหรือยัง? องครักษ์เสื้อแพรของ
พวกเจ้าสิ้นบุญไป ฝ่าบาทไม่มีทางไม่มีราชโองการ
อะไรลงมา”
พ่อบ้านชิวตอบอย่างเขินๆ ว่า “เรียนท่านโหลว
จนถึงตอนนี้...ถึงตอนนี้ ในวังหลวงยังไม่ส่งใครมา
เลย”
“อีกไม่กี่วันก็จะเคลื่อนศพแล้วนะ ยังไม่ส่งคนมา
อีกหรือ?” อู่เซียงโหลวสายตาลอกแลก “จงอี้โหลวกับ
จินเตาโหลวมาแล้วหรือยัง?”
“จินเตาโหลวมาตั้งแต่วันแรกที่ตั้งป้ายแล้ว” พ่อบ้าน
ชิวพูด “จงอี้โหลว...จงอี้โหลวส่งคนมาแล้วเช่นกัน”
“ส่งคนมา?” อู่เซียงโหลวยกมือขึ้นมาลูบไปที่หนวด
“เจ้าหมายความว่าตัวของจงอี้โหลวเองไม่มางั้น
หรือ?”
พ่อบ้านชิวพูดว่า “ท่านจงอี้โหลวไม่ได้มาด้วยตัวเอง
อาจจะ...อาจจะมีธุระอะไรก็ได้”
“มีธุระหรือ?” อู่เซียงโหลวยิ้มแล้วพูดว่า “ตั้งแต่ตั้ง
ป้ายจนถึงวันนี้ก็สิบกว่าวันแล้ว จวนของจงอี้โหลว
ไม่ได้ห่างจากที่นี่หมื่นแปดพันลี้เสียหน่อย จะมีธุระ
อะไรได้?” เขานั่งตัวยืดตรง แล้วเก็บหยกขาวปี่เซี่ยะ
ไอสองที แล้วพูดว่า “พ่อบ้านชิว ในเมื่อไท่ฟูเหรินไม่
อยู่ ข้าเองก็ไม่ได้มีเวลามาบ่อยๆ ฝากข้อความไปบอก
ไท่ฟูเหรินที”
“เชิญท่านโหลวสั่งมาได้ ข้าน้อยจะทาตามที่บอก
อย่างเต็มที่!”
อู่เซียงโหลวพูดว่า “ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรอย่างอื่น เรื่อง
การแต่งงานของเราทั้งสองตระกูล”
“เอ๋?” พ่อบ้านชิวรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหลว ขออภัย
ที่ข้าน้อยต้องพูดตามตรง ท่านแม่ทัพยังไม่ได้เคลื่อน
ศพเลย คิดว่า...คิดว่าในตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะพูด
เรื่องนี้”
อู่เซียงโหลวพูดว่า “ข้ารู้ว่ามันไม่เหมาะที่จะพูดตอนนี้
แต่ว่าหากปล่อยนานไป ยื้อกันอยู่แบบนี้ต่อไปมันคง
ไม่ค่อยดี”
พ่อบ้านชิวพยักหน้า “อายุของท่านซื่อจื่อ ก็ถึงวัยที่
ต้องแต่งงานแล้ว ไท่ฟูเหรินเองก็น่าจะมีการเตรียม
การเอาไว้ในใจบ้างแล้ว”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” อู่เซียงโหลวยกมือขึ้นแล้วพูดว่า
“องครักษ์เสื้อแพรของพวกเจ้าเพิ่งจะสิ้นไป จะ
แต่งงานได้อย่างไร? มีที่ไหนพ่อเพิ่งตายไป ก็เตรียม
แต่งลูกชายเลย?”
“ท่านโหลวกล่าวถูกต้องแล้ว งั้นความหมายของท่าน
โหลวคือ?”
อู่เซียงโหลวไอแห้งๆ สองที อ้าปาก แล้วก็หยุดพูดไป
สีหน้าท่าทางเหมือนจะทาอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ลังเล
อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดว่า “ข้าคิดว่า การแต่งงาน
ของสองตระกูล จะต้องมองในระยะยาว”
“มองระยะยาว?” พ่อบ้านชิวตกใจ แสดงท่าที
ไม่เข้าใจ แล้วถามด้วยความระมัดระวังว่า “ท่านโหลว
ความหมายของท่านคือ...ความหมายของท่าน
ข้าน้อยไม่ค่อยเข้าใจ หรือว่าเพราะงานศพของท่าน
แม่ทัพ อยากจะเลื่อนงานแต่งงานออกไปงั้นหรือ?”
“พ่อบ้านชิว ท่านเองก็แก่แล้ว ไม่รู้หรือ ว่าพ่อแม่ตาย
ตั้งไว้ทุกข์สามปี เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ซื่อจื่อของพวกเจ้า
ภายในสามปีนี้แต่งงานไม่ได้” อู่เซียงโหลวพูด “ยังไม่
เข้าใจความหมายของข้าอีกหรือ?”
“ท่านโหลวอยากจะยกเลิกการแต่งงานงั้นหรือ?”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังมาจากด้านนอก
หลังจากนั้นก็เห็นกู้ชิงฮั่นเดินเข้ามาในห้อง
อู่เซียงโหลวหันหน้าไปมอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ฮูหยินสาม…!” พ่อบ้านชิวรีบเดินไปต้อนรับ กาลัง
จะพูด กู้ชิงฮั่นก็ยกมือห้ามไว้ แล้วค่อยๆ เดินขึ้นหน้า
ไป สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินว่าท่านโหลว
มา แต่น้าชาที่ยกมาให้ไม่ถูกปากท่านโหลว ก็เลย
อยากจะมาขอคาชี้แนะจากท่านโหลวสักหน่อย ว่าชา
ประเภทไหนกันถึงจะถูกปากถูกใจท่าน”
อู่เซียงโหลวไอแล้วพูดว่า “ชาแบบไหนก็ช่างมันเถอะ
ที่มาในครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะมาเพื่อชิมชาในจวนของ
พวกเจ้า”
“ท่านโหลวไม่เอาความ แต่เราจะไม่ระวังไม่ได้”
กู้ชิงฮั่นยังคงยิ้มอยู่ “แต่ก่อนตอนท่านโหลวมาในจวน
ก็ใช้ชาอวิ๋นอูรับรองท่านตลอด ในจวนคนที่ดื่มชา
ประเภทนี้มีน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ให้ท่านโหลว
กับแขกคนสาคัญทั้งนั้น แต่วันนี้ท่านโหลวกลับเปลี่ยน
รสชาติไป หากไม่ถามให้เข้าใจ ต่อไปเราก็ไม่รู้ว่า
จะต้องรับรองท่านอย่างไรดี”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 46 สัญญาแต่งงาน
กู้ชิงฮั่นไม่ได้เกรงใจอู่เซียงโหลวมากนัก อู่เซียงโหลว
เหมือนจะโกรธไม่น้อย แต่ก็เหมือนจะกลัวกู้ชงิ ฮั่นอยู่
หน่อยๆ แล้วพูดว่า “ข้ามาเพื่อพบกับไท่ฟูเหริน เพื่อ
หารือเรื่องยกเลิกการแต่งงาน แต่ในเมื่อไท่ฟูเหรินไม่
รับแขก ก็คงต้องให้พวกเจ้าไปบอกแทน”
“คาพูดของท่านโหลว ข้าได้ยินแล้ว แต่ว่าไม่รู้ว่าข้า
เข้าใจความหมายของท่านผิดไปหรือเปล่า” กู้ชิงฮั่น
พูด “การแต่งงานของสองตระกูล ถูกกาหนดตั้งแต่
ท่านเหล่าโหลวทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ หากไม่มีอะไร
ผิดพลาด ทั้งสองตระกูลก็จะจัดเตรียมพิธีแต่งงานที่มี
มานานกว่าสิบปีนี้ขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ”
“จัดการหรือ?” อู่เซียงโหลวยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ตอน
นี้ฉีหุ้ยจิ่งก็...ก็ตายแล้ว ฉีหนิงต้องไว้ทุกข์สามปี จะ
แต่งงาน ก็ต้องรอหลังจากสามปีไปแล้ว”
“เรารอได้” กู้ชิงฮั่นกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นการแต่งงาน
ที่กาหนดโดยท่านเหล่าโหลว เราก็เห็นจื่อเซวียนเป็น
ฮูหยินซื่อจื่อของจวนองครักษ์เสื้อแพร หลังจากสามปี
ไปแล้ว เมื่อครบกาหนดไว้ทุกข์ ก็จะใช้เกี้ยวแปดคน
หามไปรับเจ้าสาวที่จวน”
อู่เซียงโหลวยกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “ช้าก่อน เจ้าบอก
สามปีก็ต้องสามปีหรือ? พวกเจ้ารอได้ คิดว่าเราก็จะ
รองั้นหรือ?”
“เอ๋?” กู้ชิงฮั่นยังคงยิ้มอยู่ “ความหมายของท่านโหลว
คือ สามปีมันนานไป พวกท่านรอไม่ได้งั้นหรือ?”
อู่เซียงโหลวลุกขึ้น ไขว้มือไปด้านหลัง แล้วพูดว่า
“พูดกันมาขนาดนี้แล้ว งั้นก็พูดกันตรงๆ เลยแล้วกัน
การแต่งงานครั้งนี้ ท่านเหล่าโหลวเป็นคนกาหนด ข้า
ไม่ได้เห็นดีด้วย แต่ว่าท่านทั้งสองมีมิตรภาพต่อกัน
มาก ข้าไม่อาจคัดค้านได้”
“ที่แท้ท่านโหลวไม่เห็นดีเห็นงามกับการแต่งงาน
หรอกหรือ” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “สองปีก่อนท่าน
โหลวมาเร่งรัดให้ท่านแม่ทัพจัดงานแต่งงานให้เร็ว
เรายังคิดอยู่เลยว่าท่านไม่ได้คัดค้านเรื่องการแต่งงาน
เสียอีก”
อู่เซียงโหลวสีหน้าท่าทางเก้อเขินทาตัวไม่ถูก แต่ก็ยัง
พูดต่อไปว่า “นั่นก็ไม่ได้เป็นเพราะอยากจะให้มันจบ
เร็วๆ หรือ จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวล” เขาหยุดพูดไป
ชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อว่า “ข้าเป็นคนชัดเจน ข้ากลัว
ความวุ่นวายที่สุด ในเมื่อวันนี้ความวุ่นวายของข้า
มันอยู่ตรงหน้า ข้าก็ต้องรีบจัดการมันทิ้ง”
“วิธีจัดการของท่านโหลวคือ?”
“ข้าก็เพิ่งบอกไปเมื่อกีน้ ี่เอง ยกเลิกการแต่งงาน”
อู่เซียงโหลวกล่าวว่า “ในเมื่อหยางหนิงต้องไว้ทุกข์
ทางเราก็ไม่ได้มีความอดทนมากพอที่จะรอ สู้ยกเลิก
งานแต่งไป น่าจะดีต่อทั้งสองฝ่าย” แล้วเหลือบไป
มองหยางหนิง แล้วพูดว่า “พูดตามตรง ซื่อจื่อของเจ้า
ไม่เหมาะสมกับจื่อเซวียนของเรา”
“ความหมายของท่านโหลวข้าเข้าใจแล้ว” สีหน้าของ
กู้ชิงฮั่นจริงจังขึ้นมา “การแต่งงานในครั้งนี้ ท่านเหล่า
โหลวทั้งสองเป็นคนกาหนดตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทาง
จวนองครักษ์เสื้อแพรของเราไม่มีใจคิดเป็นอื่นตั้งแต่
ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่กล้าที่จะไม่ทาตามคาสั่งของท่าน
เหล่าโหลวด้วยไม่ว่าจะเป็นท่านเหล่าโหลวของเรา
หรือว่าอู่เซียงเหล่าโหลว คาสั่งของพวกท่านก็คือ
คาสั่งสูงสุด ข้าไม่เข้าใจจริงๆ งานแต่งงานที่กาหนดไว้
อย่างดี ทาไมถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้?”
“กาลเวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ต่อให้เป็นการแต่งงาน
ที่ท่านเหล่าโหลวทั้งสองกาหนดไว้ ก็ไม่ได้หมายความ
ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้” อู่เซียงโหลวมองไปที่
หยางหนิง ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ตอนที่ท่านเหล่าโหลว
ทั้งสองกาหนดงานแต่งงานนี้ขึ้น ข้าไม่คิดว่าจวน
องครักษ์เสื้อแพรจะเลี้ยงเจ้านี่มาเป็นแบบนี้ หากท่าน
เหล่าโหลวรู้ ก็ไม่น่าจะให้เกิดการแต่งงานนี้ขึ้น”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยน้าเสียงที่เย็นชา “ฐานะของท่านโหลว
สูงส่งนัก คาพูดแบบนี้ มันเหมาะสมกับฐานะของท่าน
แล้วหรือ? หนิงเอ๋อร์เป็นคนซื่อ ไม่รู้ว่ามีตรงไหน
ไม่ถูกใจท่านโหลว?”
อู่เซียงโหลวยิ้มแปลกๆ แล้วพูดว่า “ซื่อหรือ? เจ้าคิด
ว่าข้าไม่รู้อะไรเลยงั้นหรือ?” ชี้นิ้วไปที่หยางหนิง แล้ว
ถามว่า “มีคนบอกว่าเจ้าชอบไปอยู่กับกลุ่มคุณชาย
แล้วลืมกลับขึ้นมาจากแม่น้าฉินไหว จริงไหม? ใน
เมืองหลวงมีใครบ้างไม่รู้ว่าตระกูลฉีมีคนบ้าอย่างเจ้า
เรื่องนี้ไม่จริงหรือไง?”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความโกรธว่า “ท่านโหลวระวังคาพูด
ด้วย หนิงเอ๋อร์แค่เชื่อคนง่าย เขาไม่ได้มีเจตนาร้าย
ท่าน...!”
“ไม่ต้องอธิบายแล้ว” อู่เซียงโหลวพูดแทรก “ในเมือง
หลวงใครๆ ก็รู้เรื่องการแต่งงานของสองตระกูล ก็
เพราะเหตุนี้ จวนอู่เซียงโหลวของเราถึงได้ถูกคน
หัวเราะเยาะลับหลัง ก็เพราะ...!” เขาเดินขึ้นหน้าไป
สองก้าว ชี้ไปที่หน้าของหยางหนิงนิ้วแทบจะจิ้มไปที่
จมูกของหยางหนิงแล้ว “เพราะเจ้านี่ ทาให้ชื่อเสียง
ของอู่เซียงโหลวต้องมัวหมอง ตอนนี้ยังไม่ได้แต่ง ยัง
ทาให้จวนของเราต้องลาบากขนาดนี้แล้ว หาก
ให้จื่อเซวียนแต่งกับเขาจริงๆ จวนอู่เซียงโหลวจะมี
หน้าอยู่ในเมืองหลวงอย่างไรกัน?”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “อู่เซียงโหลว ตอนนี้ที่ท่าน
เหล่าโหลวของพวกเจ้าลาบาก จิ่นอีเหล่าโหลวของเรา
ไม่แม้แต่จะคิดว่าจะลาบาก ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่าง
เต็มที่ เพราะตอนลาบากไม่เคยทิ้งกัน ทั้งสองตระกูล
ถึงได้พูดถึงการแต่งงานครั้งนี้ขึ้นมา แต่ตอนนี้เป็นข่าว
ลือเหลวไหล อู่เซียงโหลวก็ถึงกับตัดขาดยกเลิกการ
แต่งงาน หากท่านเหล่าโหลวทั้งสองรู้ ไม่รู้ว่าท่านทั้ง
สองจะคิดอย่างไร”
“ที่ข้าทาก็เพื่ออนาคตของตระกูลซู” อู่เซียงโหลวพูด
ขึ้น “หลายปีมานี้ ข้ายังไม่เคยได้ยินว่าซื่อจื่อคนไหน
ถูกจับตัวไปแบบนี้เลย คนไร้ความสามารถแบบนี้
หากให้จื่อเซวียนแต่งงานกับเขาไป ข้ากังวลจริงๆ ว่า
วันดีคืนดีนางจะกลายเป็นม่ายเอา...!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” น้าเสียงของกู้ชิงฮั่นดุ
“อู่เซียงโหลว เจ้าเกินไปแล้วนะ”
อู่เซียงโหลวรู้สึกทาตัวไม่ถูกชั่วขณะ เขาเองก็รู้สึกว่า
พูดเกินไป เขากระแอมไอสองครั้ง แล้วพูดว่า
“อย่างไรซะตอนนี้ข้าก็เป็นนายใหญ่ของจวน
อู่เซียงโหลว จื่อเซวียนเป็นเหมือนไข่มุกล้าค่าของข้า
การแต่งงานของนาง ข้าเป็นคนตัดสินใจ ข้าไม่ตกลง
การแต่งงานครั้งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”
หยางหนิงยืนฟังมาตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้พูดอะไร
สักคา เขาเห็นว่าถึงแม้อู่เซียงโหลวจะมีฐานะสูงศักดิ์
แต่นอกจากเสื้อผ้าที่ดูมีราคาแล้ว คาพูดท่าทางไม่มี
ความเป็นชนชั้นสูงเลย หากเปลี่ยนชุดให้เขาใส่ ก็แค่
คนเร่ร่อนไร้บ้านคนหนึ่งเท่านั้น
พ่อบ้านชิวยืนอยู่ข้างๆ ก็ไม่พูดอะไร กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะ
ควบคุมอารมณ์อยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าโกรธมาก หายใจ
หายคอติดขัด แล้วพูดด้วยความเย็นชาว่า
“อู่เซียงโหลว ในเมื่อเจ้าพูดมาขนาดนี้แล้ว ข้าก็มี
อะไรจะพูดกับเจ้าตรงๆ เหมือนกัน”
อู่เซียงโหลวพยักหน้าแล้วพูดว่า “วันนี้ที่มา ก็เพื่อ
พูดจากันให้ชัดเจน พวกเจ้ามีอะไรจะพูด ก็พูดมาได้
เลย”
“ได้” กู้ชิงฮั่นรับคาแล้วพูดว่า “อู่เซียงโหลว เจ้าน่าจะ
รู้ดีนะ ที่ท่านเหล่าโหลวกาหนดการแต่งงานนี้ขึ้นมา
ไม่ใช่แค่เพราะมิตรภาพที่พวกท่านมีให้กันเท่านั้น
พวกเขาผ่านการทบทวนอย่างดีแล้วถึงได้ตัดสินใจ
แบบนี้ ข้าแค่อยากจะรู้ว่า อู่เซียงโหลว เตรียมจะ
ยกเลิกการแต่งงาน ได้ใช้ความคิดบ้างหรือยัง?”
“แน่นอนต้องคิดอยู่แล้ว” อู่เซียงโหลวตอบอย่าง
ไม่ลังเล
กู้ชิงฮั่นสีหน้าสงบลง แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้
ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก แต่ว่าเรื่องการยกเลิกงาน
แต่งงาน ต้องให้ไท่ฟูเหรินเป็นคนตัดสินใจ หากท่าน
ตกลง เราก็จะไม่ยื้ออีก”
อู่เซียงโหลวพูดขึ้นมาว่า “ข้าให้เวลาพวกเจ้าทบทวน
ดูก็ได้ แต่จริงๆ ข้าว่าก็ไม่ได้มีควาจาเป็นจะต้อง
ทบทวนอะไรอีก ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะยกเลิกงานแต่ง
พวกเจ้าก็ไม่จาเป็นต้องฝืนต่อไปอีก ไม่งั้นเราสอง
ตระกูลจะมองหน้ากันไม่ติดเอา”
“อู่เซียงโหลววางใจ ตระกูลฉีของเราไม่เคยต้อง
ขอร้องใคร” กู้ชิงฮั่นพูด “พ่อบ้านชิว ส่งแขก!”
อู่เซียงโหลวตะลึงไป แต่เห็นกู้ชิงฮั่นสีหน้าเย็นชา
ไม่สนใจ ก็สะบัดชายเสื้อ แล้วเดินออกไป
พ่อบ้านชิวเดินตามหลังเขาไป ส่งเขาออกไปจาก
ประตู เมื่ออู่เซียงโหลวออกไปแล้ว กู้ชิงฮั่นก็มองไปที่
เงาของอู่เซียงโหลวแล้วพูดว่า “โง่จริงๆ!”
หยางหนิงเดินมาข้างๆ กู้ชิงฮั่น แล้วพูดเบาๆ ว่า
“ซานเหนียง เรากับพวกเขามีสัญญาแต่งงานกัน
หรือ?”
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลนะ ผู้หญิงดีๆ มีอีกเยอะ
ไม่มีแม่นางซู ซานเหนียงจะหาให้ดีกว่าให้นะ”
กู้ชิงฮั่นยังโกรธอยู่ “ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลซู
นิสัยเอาแต่ใจ เข้าหายาก แต่เพราะท่านเหล่าโหลว
เป็นคนกาหนดงานแต่งนี้ขึ้นมา เราก็ขัดท่านไม่ได้
วันนี้อู่เซียงโหลวมายกเลิกงานแต่งด้วยตัวเอง ก็ใช่ว่า
จะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป”
“อู่เซียงโหลวคนนี้มายกเลิกงานแต่งทั้งๆ ที่ท่านพ่อยัง
ไม่ได้เคลื่อนศพ เกินไปจริงๆ” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้ว
พูดต่อว่า “เขาไม่เห็นจวนองครักษ์เสื้อแพรของเราอยู่
ในสายตาเลย”
กู้ชิงฮั่นหันไปมองหยางหนิง แล้วพูดด้วยความ
อ่อนโยนว่า “หนิงเอ๋อร์ เกียรติหรือหน้าตาของคนเรา
มันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ใครเขาจะคิดอะไรกัน ขอแค่เราใจสู้
เกียรติของเรามันก็จะมาเอง ตอนที่ท่านเหล่าโหลวกับ
ท่านแม่ทัพยังมีชีวิตอยู่ ต่างก็เป็นเสาหลักของต้าฉู่
ของเรา ไม่มีใครดูถูกจวนองครักษ์เสื้อแพรเลย ขอแค่
ต่อไปพวกเจ้าทาได้เหมือนที่พวกเขาเป็น ก็จะไม่มีใคร
กล้าดูถูกจวนองครักษ์เสื้อแพรอีก”
หยางหนิงพยักหน้า ในใจแอบคิดว่า เกียรติของจวน
องครักษ์เสื้อแพรจะมีไหม ไม่ได้อยู่ที่ข้า ข้าแค่สวม
รอยมาเป็นซื่อจื่อเท่านั้น ใครจะรู้วันดีคืนดีอาจจะ
แอบหนีไปก็ได้
แต่ในใจก็รู้ดีว่า ตอนนี้จวนองครักษ์เสื้อแพรเอง ก็ถือ
ว่าภายในวุ่นวาย ภายนอกก็มีภัย
พอฉีหุ้ยจิ่งตายไป สายสัมพันธ์ต่างๆ ที่จวนองครักษ์
เสื้อแพรเคยมีก็ขาดเกือบหมด ท่านใหญ่สามก็ลาเอียง
เข้าข้างไปทางลูกอนุอย่างฉีอวี้ ภายในจวนก็ศึกด้าน
หนึ่ง
ตอนนี้อู่เซียงโหลวมายกเลิกงานแต่งด้วยตัวเองอีก
เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องแรกที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ
กู้ชิงฮั่นเหมือนจะคิดอะไรอยู่ ขณะที่กาลังคิด ก็เห็น
คนสองคนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน คนแรกคือ
ต้วนชางไห่ สีหน้าดูเคร่งเครียด ส่วนอีกคนก็คือฉีเฟิง
“ฮูหยินสาม ในเมืองหลวงมีการเปลี่ยนแปลง”
ต้วนชางไห่ยังไม่ทันเดินเข้ามา ก็พูดด้วยน้าเสียง
จริงจัง
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ฉีเฟิงเดินขึ้นหน้ามา คานับ สีหน้าดูจริงจัง “ฮูหยิน
สาม ซื่อจื่อ ในเมืองหลวงมีการเปลี่ยนทหารคุ้มกัน
ทหารของค่ายดาบดาที่ประจาการอยู่ที่เมืองสือโทว
ถูกสั่งย้ายเข้าเมืองหลวงมาเมื่อคืนนี้ ส่วนทหารที่เฝ้า
ประจาการอยู่ที่รอบรั้วประตูวัง แต่เดิมเป็นของหน่วย
องครักษ์อวี่หลินก็ถูกสั่งย้ายออกไปนอกเมืองหลวง
ตอนนี้ปักหลักอยู่นอกเมืองทางเหนือสิบห้าลี้”
“อะไรนะ?” กู้ชิงฮั่นหน้าเสียไป “ค่ายดาบดาเข้า
เมือง?”
ต้วนชางไห่สีหน้าจริงจังมาก “ตอนนี้วังหลวงถูก
ปิดตาย ห้ามให้ใครเข้าออกเด็ดขาด เมื่อกี้ฉีเฟิงเห็นว่า
ทหารลาดตระเวนก็เริ่มเดินสารวจเมืองกันแล้ว ถนน
ตรอกซอกซอยเดินไปไหนก็จะเห็นทหารของเมืองเดิน
ไปเดินมาเต็มไปหมด ฮูหยินสาม ดูท่า...ดูท่าในวังจะ
เกิดเรื่อง”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 47 การเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ใคร่ครวญดูแล้ว ก็กดเสียงต่่ำพูดว่ำ
“ชำงไห่ นับแต่นี้ไป สั่งคนในจวนว่ำห้ำมออกไปไหน
โดยพลกำรเด็ดขำด หำกต้องออกไปซื้อของ ก็ให้ระวัง
ตัวให้มำก” แล้วหันไปบอกฉีเฟิงว่ำ “ฉีเฟิง เจ้ำมีคน
รู้จักในเมืองหลวง ไปสืบที ว่ำเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ทั้งสองค่ำนับ ฉีเฟิงพูดขึ้นมำว่ำ “ฮูหยินสำม หำกใน
วังหลวงเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ทหำรของจวนผู้ว่ำในเมือง
หลวงได้รับรำชโองกำรให้ออกลำดตระเวนเท่ำนั้น
สำเหตุอย่ำงไรคงไม่มีผู้ใดทรำบ”
“ฉีเฟิงพูดถูก” ต้วนชำงไห่พูด “วังหลวงออกค่ำสั่ง
ย้ำยค่ำยดำบด่ำเข้ำเมืองมำ แถมยังเปลี่ยนทหำร
อำรักษ์ขำวังหลวง แสดงว่ำในวังหลวงมีหมำยจะปิด
ข่ำว ตอนนี้เรำคงสืบหำข่ำวได้ยำก”
กู้ชิงฮั่นนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถำมว่ำ “เมืองหลวงจะปิด
ประตูเมืองหรือ?”
“ตอนนี้ยัง” ฉีเฟิงพูดว่ำ “แต่ว่ำจำกสถำนกำรณ์
ในตอนนี้ คืนนี้น่ำจะเริ่มประกำศใช้กฎอัยกำรศึก และ
เมื่อไหร่ก็ตำมในเมืองใช้กฎอัยกำรศึก กำรปิดประตู
เมืองหลวงก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้”
“แต่ว่ำอีกสองวันก็จะเคลื่อนขบวนศพของท่ำนแม่ทัพ
ไปฝังแล้ว หำกปิดประตูเมือง เรำจะออกนอกเมืองได้
อย่ำงไรเล่ำ?” กู้ชิงฮั่นพูดอย่ำงรู้สึกกังวล “กำรเคลื่อน
ขบวนศพท่ำตำมฤกษ์ยำม หำกคลำดเคลื่อนไป จะ
กระทบต่อดวงชะตำฮวงจุ้ย แถมยังจะผิดต่อกฎ
ข้อบังคับ ไม่แน่อำจจะมีคนฉวยโอกำสนี้ก่อเรื่องได้”
ต้วนชำงไห่พูดว่ำ “ฮูหยินสำมวำงใจ ประตูเมืองยังอยู่
ในมือของค่ำยหู่เสิน ผู้บัญชำกำรของค่ำยหู่เสินเคย
เป็นคนของท่ำนเหล่ำโหวมำก่อน เดี๋ยวข้ำจะไปลอง
ถำมเขำดู ว่ำมันเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่ำจะอย่ำงไรก็ตำม
จะต้องเคลื่อนขบวนศพของท่ำนแม่ทัพออกไปตำม
ก่ำหนดให้ได้”
กู้ชิงฮั่นตบหน้ำอกพร้อมยิ้มบำง “เจ้ำดูข้ำสิร้อนใจจน
สับสนไปหมด ท่ำนผู้บัญชำกำรเซวียตอนนี้ยังคงเป็น
ผู้บัญชำกำรของค่ำยหู่เสิน มีเขำอยู่ กำรเคลื่อนขบวน
ศพของท่ำนแม่ทัพก็ไม่น่ำจะมีปัญหำ” หลังจำกนั้น
สีหน้ำก็แสดงควำมกังวลขึ้นมำอีกครั้ง “มิน่ำท่ำไมใน
วังหลวงถึงไม่ส่งคนมำสักที ที่แท้ภำยในก็วุ่นวำยนี่เอง
...!”
หยำงหนิงยืนอยู่เฉยๆ ไม่พูดอะไร เมื่อได้ยินบท
สนทนำของหลำยๆ คนแล้ว ก็รู้ทันทีว่ำตอนนี้ในเมือง
หลวงไม่ค่อยสงบ
“จริงสิ ฮูหยินสำม ตอนที่เรำเดินมำ เห็นท่ำนอู่เซียง
โหวก่ำลังออกไป สีหน้ำเขำไม่ค่อยดีเลย แล้วก็...แล้ว
ก็เอำแต่บ่นด่ำ...!” ต้วนชำงไห่หยุดพูด ก่อนจะเบำ
เสียงลงแล้วพูดว่ำ “เขำเหมือนจะไม่พอใจท่ำน เกิด
เรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่ำ?”
กู้ชิงฮั่นยิ้มแห้ง แล้วพูดว่ำ “เจ้ำคิดว่ำเขำมำเพรำะ
เรื่องอะไรเล่ำ? ใครๆ ก็บอกว่ำมีพ่อเป็นเสือลูกก็ต้อง
เป็นเสือ ค่ำพูดนี้ใช้กับอู่เซียงโหวไม่ได้จริงๆ” เมื่อเห็น
ว่ำหยำงหนิงยืนอยู่ข้ำงๆ จึงยำกที่จะพูดออกไป ก่อน
จะหันไปพูดกับหยำงหนิงว่ำ “หนิงเอ๋อร์ เจ้ำไม่ต้อง
สนใจเรื่องอื่นนะ จัดกำรเรื่องงำนศพของท่ำนแม่ทัพ
ให้เรียบร้อยก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ำกัน”
หยำงหนิงพยักหน้ำ รู้ว่ำเรื่องมันเรียงรำยกันมำหลำย
เรื่องต่อๆ กัน กู้ชิงฮั่นเองตอนนี้ก็สับสนวุ่นวำยใจไม่
น้อย
ในเมืองหลวงเกิดกำรเปลี่ยนแปลง กู้ชิงฮั่นยังต้องไป
บอกกับไท่ฟูเหรินอีก เมื่อกู้ชิงฮั่นออกไปแล้ว
ต้วนชำงไห่ก็สั่งกำรกับฉีเฟิง ฉีเฟิงรีบออกไปในทันที
“ซื่อจื่อ หำกอู่เซียงโหวพูดอะไรที่ท่ำนไม่ชอบใจ ท่ำน
ก็อย่ำได้ใส่ใจเลย” ต้วนชำงไห่เห็นหยำงหนิงเองก็มีสี
หน้ำที่ไม่ดีเช่นกัน คิดไปเพียงว่ำเขำคงท่ำผิดต่อ
อู่เซียงโหวมำ ก็เลยปลอบใจว่ำ “อู่เซียงโหวปกติก็ไม่
สนใจเรื่องจุกจิก บำงทีพูดจำอะไรมำกเกินไปหน่อย...
หรือพูดตรงเกินไป”
หยำงหนิงยิ้มแปลกๆ แล้วพูดว่ำ “เขำมำยกเลิกกำร
แต่งงำนน่ะ”
“มันก็เพรำะ...!” ต้วนชำงไห่ที่ก่ำลังจะพูดปลอบต่อ
ต้องชะงักไป แล้วพูดเสียงหลงแทนว่ำ “อะไรนะ?
ยกเลิกงำนแต่งงำนหรือ? ซื่อจื่อ ท่ำน...ท่ำนล้อเล่น
หรือเปล่ำ?”
หยำงหนิงยักไหล่ แล้วพูดว่ำ “เจ้ำเห็นว่ำข้ำล้อเล่น
หรืออย่ำงไร?”
“เป็นไปได้อย่ำงไร?” ต้วนชำงไห่พูดอย่ำงตกใจว่ำ
“กำรแต่งงำนครั้งนี้ ท่ำนเหล่ำโหวทั้งสองเป็นคน
ก่ำหนดขึ้น ไม่ว่ำจะเป็นท่ำนองครักษ์เสื้อแพรหรือ
ท่ำนอู่เซียงโหว ทั้งสองต่ำงเป็นตระกูลบรรดำศักดิ์
ของต้ำฉู่ เป็นชนชั้นสูง เมื่อก่ำหนดกำรแต่งงำน
มำแล้ว อย่ำว่ำแต่บ้ำนตระกูลใหญ่เลย ต่อให้...เป็น
คนทั่วไป ก็จะมำยกเลิกง่ำยๆ แบบนี้ไม่ได้”
หยำงหนิงยิ้มแล้วพูดว่ำ “เจ้ำบอกเองไม่ใช่หรือ
อู่เซียงโหวไม่ค่อยสนใจอะไร? เจ้ำพูดถูก เขำบอกว่ำ
ต้องกำรยกเลิกงำนแต่ง ก็เหมือนกำรฉีกกระดำษให้
ขำดนั่นแหละ”
ดวงตำเสือของต้วนชำงไห่แสดงออกถึงควำมโกรธ มือ
ก่ำหมัดแน่น พูดด้วยน้่ำเสียงฉุนเฉียวว่ำ “ศพของท่ำน
แม่ทัพยังไม่ทันได้เคลื่อนขบวนไปฝัง เขำ...เขำก็กลับ
ค่ำสัญญำแล้ว เขำยังเห็นองครักษ์เสื้อแพรของเรำอยู่
ในสำยตำอยู่หรือไม่?”
หยำงหนิงลูบคำงแล้วพูดว่ำ “เขำบอกว่ำตระกูลฉีของ
เรำไม่มีใครที่เป็นลูกผู้ชำยที่รับภำระใหญ่ได้ ยังบอก
อีกว่ำ ข้ำเป็นบ้ำแบบนี้ โง่ไร้ควำมสำมำรถ ไม่คู่ควร
กับคุณหนูของพวกเขำ”
ต้วนชำงไห่สูดหำยใจเข้ำลึกๆ น้่ำเสียงยังคงเจือไปด้วย
ควำมโกรธ “ซูเจินนี่ได้ทีขี่แพะไล่ เขำ...!” เขำโกรธจน
ตัวสั่นไปหมด พูดอะไรไม่ออก
หยำงหนิงยกมือตบไปที่ไหล่เขำ ยิ้มแล้วพูดว่ำ “จริงๆ
ก็ไม่มีอะไรมำกหรือก พ่อเป็นอย่ำงไรลูกก็คงเป็นแบบ
นั้น มีพ่อที่ไม่รักษำค่ำพูดแบบนี้ ลูกสำวก็คงไม่ได้ดีไป
กว่ำกันหรอก” เขำหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสียงเบำๆ
ว่ำ “ท่ำนอำต้วน ท่ำนเคยเห็นคุณหนูของพวกเขำไหม
หน้ำตำเป็นไงบ้ำง?”
ต้วนชำงไห่กล่ำวว่ำ “ไม่เคยเห็นนะ แต่ว่ำอู่เซียงโหว...
ซูเจินหน้ำตำก็ไม่เลว ฮูหยินของอู่เซียงโหวก็ถือว่ำเป็น
สำวงำมคนหนึ่ง ลูกสำวของพวกเขำก็น่ำจะหน้ำตำ
ใช้ได้” เขำพูดเสียงเข้มๆ ว่ำ “ซื่อจื่อ เขำต้องกำร
ยกเลิกงำนแต่ง ท่ำนตอบไปว่ำอย่ำงไร?”
“ซำนเหนียงบอกว่ำต้องเรียนท่ำนย่ำก่อน” หยำงหนิง
ถึงแม้จะไม่พอใจกำรกระท่ำของอู่เซียงโหวมำก แต่
เขำไม่ได้สนใจกำรแต่งงำนครั้งนี้มำกนัก “รอดูว่ำท่ำน
ย่ำจะว่ำอย่ำงไรบ้ำง”
ต้วนชำงไห่ยังโกรธไม่หำย ยิ้มแห้งแล้วพูดว่ำ “ถึงแม้
ซูเจินจะท่ำอะไรไม่ค่อยได้เรื่องเท่ำไร แต่คิดไม่ถึงว่ำ
เรื่องใหญ่แบบนี้ คิดจะกลับล่ำก็กลับล่ำเลย ใจคนยำก
แท้หยั่งถึงจริงๆ คิดถึงเมื่อหลำยปีก่อน...” เมื่อพูด
มำถึงตรงนี้ ก็ลังเล แล้วก็ไม่พูดต่อ
หยำงหนิงยิ้มแล้วพูดว่ำ “ท่ำนอำต้วนรู้จักซูเจินดีงั้น
หรือ? ข้ำไม่ค่อยรู้จักว่ำที่พ่อตำของข้ำคนนี้เท่ำไร
เลย”
ต้วนชำงไห่รู้ดีว่ำแต่ก่อนซื่อจื่อจะมึนๆ งงๆ หน่อย
ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นปัญญำอ่อน แต่สมองก็ไม่ค่อยจะเต็ม
เท่ำไร แต่ว่ำตอนนี้ถูกกระทบกระเทือนจนฉลำด
ขึ้นมำ เริ่มรู้เรื่องรำวอะไรมำกขึ้น เขำลังเล แล้วพูดว่ำ
“ตอนที่ซูเจินยังเป็นหนุ่มเจ้ำส่ำรำญคนหนึ่ง
ท่องเที่ยวเริงนำรีไปทั่ว อู่เซียงโหวอยู่นอกเมืองหลำย
ปี ไม่ได้ดูแลสั่งสอนให้ดี...!”
หยำงหนิงทนไม่ได้ต้องด่ำในใจ ก่อนหน้ำนี้ซูเจิน
วำงมำดเป็นคนดีด่ำฉีหนิงว่ำเป็นพวกไม่เอำอ่ำว แต่
ตอนนี้ เขำเองก็เป็นแบบนั้นมำก่อน
“ตอนงำนแต่งของท่ำนสำม ซูเจินก็มำร่วมงำนเลี้ยง
ยัง...!” ต้วนชำงไห่ยกหมัดขึ้นมำ แล้วส่ำยหัวแล้วพูด
ว่ำ “เรื่องมันผ่ำนไปแล้ว ช่ำงมันเถอะ”
หยำงหนิงยังคงอยำกรู้ ก็เลยถำมไปว่ำ “ท่ำนอำต้วน
เกิดอะไรขึ้น? อย่ำบอกนะว่ำซูเจินก่อเรื่องในงำนของ
ท่ำนอำสำม?”
ต้วนชำงไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่ำ “ซื่อจื่อพูดถูกแล้ว งำน
แต่งงำนในครั้งนั้น ซูเจินกับคุณชำยสองสำมคนแอบ
ไปที่ห้องหอ ให้เหตุผลว่ำจะมำก่อกวนห้องหอ พูดเอำ
ง่ำยๆ แบบนั้น จนกระทั่งท่ำนสำมพำคนมำถึง...!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ต้วนชำงไห่ก็ยิ้มแปลกๆ “เมื่อท่ำน
สำมมำถึง ซูเจินก็เลือดนองเต็มตัว จำกนั้นก็สลบไป”
“ห้ะ?” หยำงหนิงรู้สึกสนใจมำก เมื่อได้ยินว่ำซูเจิน
ซวยก็รู้สึกยินดีมำก “เกิดอะไรขึ้น?”
ต้วนชำงไห่หันไปมองรอบๆ แล้วพูดเสียงเบำๆ ว่ำ
“ซื่อจื่อรู้แล้ว อย่ำไปบอกใครนะ ถึงแม้จะมีคนรู้
พอสมควรแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่มีใครพูดแล้ว” เขำหยุดไป
ยิ้มแล้วพูดว่ำ “ถึงแม้ไม่เห็น แต่คำดว่ำ นิสัยหื่นกำม
ของซูเจินคงไม่เปลี่ยน คิดอยำกจะใช้ห้องหอในกำร
ย่่ำยีฮูหยินสำม แต่กลับถูกฮูหยินสำมใช้กรรไกรแทง
ไปที่ขำ ถึงแม้ซูเจินจะเป็นลูกชำยคนโตของเมียแต่ง
แต่ไม่มีเชื้อควำมกล้ำหำญองอำจของท่ำนไปเลย
สลบคำที่”
หยำงหนิงหัวเรำะร่ำออกมำ ตอนนี้ถึงได้เข้ำใจ ว่ำ
ท่ำไมตอนที่อู่เซียงโหวซูเจินเห็นกู้ชิงฮั่นแล้ว ถึงได้มี
อำกำรหวำดกลัวแบบนั้น ที่แท้มีควำมหลังกันนี่เอง
เมื่อคิดถึงใบหน้ำที่สวยงำมอ่อนโยน แต่ลงมือ
เหี้ยมโหดเด็ดขำด ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
“ถึงแม้ซูเจินจะท่ำเรื่องไร้ศีลธรรมไปหน่อย แต่เรื่อง
กำรยกเลิกงำนแต่งงำนโดยพลกำรนั้น ข้ำน้อยคิดไม่
ถึงจริงๆ” ต้วนชำงไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่ำ “คนๆ นี้ใจ
ร้อนต้องกำรเห็นควำมส่ำเร็จในทันที แม้ท่ำนเหล่ำ
โหวซูเป็นวีรบุรุษที่รักษำค่ำพูดแค่ไหน คิดไม่ถึงเลยว่ำ
...!” แล้วเขำก็ส่ำยหัว “หลังจำกที่ซูเจินรับสืบทอด
ต่ำแหน่งของอู่เซียงโหว ชื่อเสียงก็ไม่เหมือนเดิมอีก
เมื่อไหร่ก็ตำมที่มีคนพูดถึงสี่ตระกูลบรรดำศักดิ์ใหญ่
ก็จะแอบพูดลับหลังว่ำอู่เซียงโหวเทียบไม่ได้เลยกับ
โหวอีกสำมท่ำน แต่ท่ำนแม่ทัพก็ไม่ได้รังเกียจเลย
ยังคงรักษำค่ำสัญญำกำรแต่งงำนเอำไว้”
“ท่ำนอำต้วน ซูเจินมำยกเลิกงำนแต่งงำนด้วยตัวเอง
เหตุผลหลักๆ ก็น่ำจะมำจำกที่ท่ำนพ่อสิ้นแล้ว”
หยำงหนิงค่อยๆ พูด “เขำคิดว่ำต่อแต่นี้ไปจวน
องครักษ์เสื้อแพรก็จะต้องถดถอย ดังนั้นก็ไม่อยำกจะ
ดองญำติกับเรำ ฟังจำกที่ท่ำนพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เขำ
ท่ำในอดีต กำรท่ำเรื่องแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อะไร” เขำหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “ตอนนี้ข้ำแค่
รู้สึกแปลกใจว่ำ เขำเลือกมำยกเลิกงำนแต่งงำนใน
เวลำแบบนี้ ในเวลำที่ท่ำนพ่อยังไม่เคลื่อนขบวนศพไป
ฝัง ตัวเขำก็น่ำจะรู้ว่ำมันคือกำรฉีกหน้ำเรำ หำกว่ำเขำ
มีสมองอยู่บ้ำง ก็ไม่น่ำจะท่ำแบบนี้”
ต้วนชำงไห่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่ำ “ซื่อจื่อท่ำนพูดมำ
แบบนี้ มันก็น่ำแปลกจริงๆ ด้วย ถึงแม้ซูเจินจะเป็น
คนไม่เอำไหน แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ตำมหลักแล้ว ต่อให้
อยำกจะยกเลิกกำรแต่งงำน ก็ควรจะรออีกสักระยะ
หนึ่ง แต่กลับเลือกที่จะท่ำในตอนที่ยังไม่เคลื่อนขบวน
ศพท่ำนแม่ทัพไปฝัง มันต้องมีเบื้องหลังอะไรแน่ๆ”
หยำงหนิงหันไป แล้วพูดใกล้ๆ ต้วนชำงไห่ว่ำ “ท่ำน
อำต้วน ท่ำนว่ำมันจะมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังไหม?
ข้ำรู้สึกว่ำเรื่องกำรยกเลิกงำนแต่งนี่ซูเจินน่ำจะไม่ได้
ตัดสินใจคนเดียวแน่ๆ”
ต้วนชำงไห่คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่ำ “เรื่องแบบนี้
เรำเดำไม่ได้หรอก” จำกนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดอีกว่ำ
“แต่ว่ำหำกว่ำกำรแต่งงำนถูกยกเลิกจริง ชื่อเสียงของ
จวนองครักษ์เสื้อแพรของเรำก็จะยิ่งตกต่่ำลงไปอีก”
“กำรยกเลิกงำนแต่งในครั้งนี้ ฝ่ำยที่ชื่อเสียงตกต่่ำเป็น
พวกเขำ” หยำงหนิงยิ้มแห้ง “ไม่รักษำค่ำพูด ชื่อเสียง
ของอู่เซียงโหวคงเหม็นเน่ำไปอีกนำน”
“ซื่อจื่อ ท่ำนไม่เข้ำใจ” ต้วนชำงไห่ยิ้มแฝงไปด้วย
ควำมเจ็บปวดแล้วพูดว่ำ “ตอนนี้จวนองครักษ์เสื้อ
แพรของเรำก่ำลังล่ำบำก หลำยๆ คนก่ำลังจับตำดูเรำ
อยู่ ตระกูลซูยกเลิกงำนแต่งงำน ถึงแม้พวกเขำจะเสีย
ชื่อเสียง แต่ชื่อเสียงของจวนองครักษ์เสื้อแพรเองก็
ได้รับผลกระทบไปด้วย ท่ำนลองคิดดูสิ ตระกูลซู
ยกเลิกงำนแต่งงำน คนนอกที่ไม่รู้อะไร ก็คิดแค่ว่ำ
แม้แต่ตระกูลซูก็ดูถูกเรำ ก็จะคิดว่ำจวนองครักษ์เสื้อ
แพรก่ำลังตกต่่ำ หำกเป็นอย่ำงนี้ เกรงว่จะมีใคร
หลำยๆ คนที่ได้ทีขี่แพะไล่” เขำพูดเสียงเบำๆ ว่ำ
“ค่ำสัญญำแต่งงำนเมื่อถูกยกเลิก ตระกูลซูเสียหน้ำ
ส่วนองครักษ์เสื้อแพรของเรำอำจจะเสียมำกกว่ำนั้น”
“เป็นอย่ำงนี้นี่เอง!” หยำงหนิงหรี่ตำ เหมือนก่ำลังคิด
อะไรสักอย่ำง
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 48 พิธีเคลื่อนศพ
สถานการณ์ในเมืองหลวงเจี้ยนเย่เป็นอย่างที่
ต้วนชางไห่คาดการณ์ไว้ ค่ายดาบดาถูกสั่งย้ายมา
รักษาการณ์ในวังหลวง ค่ายอวี่หลินที่องครักษ์วัง
หลวงเดิมถูกสั่งย้ายออกไปนอกเมือง ปักหลัก
ประจาการอยู่ห่างจากเมืองหลวงสิบห้าลี้
คืนนั้นในเมืองประกาศใช้กฎอัยการศึก
ต่อให้เป็นชานเมืองหรือชายแดน หากไม่เกิด
เหตุการณ์สาคัญขึ้น จะไม่มีทางประกาศกฎอัยการศึก
มาใช้ง่ายๆ ต่อให้เป็นประเทศจักรวรรดิก็ตาม หากมี
การฎอัยการศึกมันส่งผลใหญ่หลวงมาก
ทหารค่ายดาบดาคุ้มกันวังหลวง ส่วนบรรดาประตู
เมืองเจี้ยนเย่ก็เป็นทหารของค่ายหู่เสิน อีกทั้งค่าย
หู่เสินยังดึงเอาทหารบางส่วนไปร่วมลาดตระเวนกับ
ทางทหารของเมืองด้วย
สาหรับเมืองเจี้ยนเย่ สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิด
ขึ้นมานานหลายปีแล้ว
วันที่เคลื่อนขบวนศพขององครักษ์เสื้อแพรฉีหุ้ยจิ่ง ใน
เมืองยังคงประกาศใช้กฎอัยการศึก ขุนนางในเมืองที่
มาร่วมส่งศพครั้งสุดท้ายมีไม่มาก แต่ว่าชาวบ้านสอง
ข้างทางนั้นมีมากมายที่มาร่วมส่งศพ
จากตาแหน่งองครักษ์เสื้อแพรที่เป็นขุนนางที่มีผลงาน
เป็นคุณต่อบ้านเมือง ขบวนส่งศพแบบนี้มันดูเงียบ
เหงาไปหน่อย
สถานที่ฝังศพองครักษ์เสื้อแพรฉีหุ้ยจิ่งนั้นอยู่ใกล้ๆ
เขาจงซานทางตะวันออกของเมืองหลวง มันเป็น
สุสานที่มีพื้นที่กว้างขวาง ถูกเรียกว่า ‘จงหลิง’
ผู้สถาปนาแคว้นฉู่ตั้งใจสั่งให้คนซ่อมแซมที่ดินพื้นนี้
ให้ชื่อ ‘จงหลิง’ เพื่อใช้ฝังศพของขุนนางที่จงรักภักดี
ซื่อสัตย์และมีคุณต่อบ้านเมือง สามารถถูกฝังที่
‘จงหลิง’ ถือได้ว่ามีเกียรติสูงสุดแล้ว
ฉีหุ้ยจิ่งเป็นเสาหลักของแคว้นฉู่ แน่นอนว่าต้องมีที่
ของเขาในจงหลิง
ออกเดินทางจากเมืองหลวง ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า
หนึ่งวันถึงจะไปถึงจงหลิง พิธีการฝังศพรวมๆ แล้วใช้
เวลาทั้งสิ้นสามวัน หยางหนิงในฐานะลูกชายคนโต
ของเมียแต่ง ก็จะต้องเป็นผู้นาขบวนศพ
ท่านใหญ่สามครั้งนี้ตามขบวนมาด้วย แต่ว่าท่านห้า
กับท่านหกไม่มา
ตอนขบวนออกจากจวนองครักษ์เสื้อแพร คนไม่ถือว่า
เยอะมากเท่าไร แค่สองร้อยกว่าคน แต่ว่าเมื่อเดินไป
ตามทางประตูทิศตะวันออก คนก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนมากก็เป็นชาวบ้านที่เคารพนับถือฉีหุ้ยจิ่ง เมื่อถึง
ประตูทิศตะวันออก ขบวนก็ยาวเกือบหนึ่งพันคน
ราวกับมังกรตัวยาวตัวหนึ่ง
ถึงแม้ว่าในเมืองหลวงจะประกาศใช้กฎอัยการศึก
ประตูทุกที่ของเมืองปิดสนิท แต่เมื่อขบวนศพมาถึง
ประตูตะวันออก ประตูก็รีบเปิดออก ริมสองข้างทาง
จะมีทหารยืนเรียงเว้นระยะอยู่ด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม
เมื่อขบวนศพเคลื่อนผ่านไป ทหารทั้งสองข้างทางก็จะ
คุกเข่าลง เหมือนว่าพวกเขากาลังไว้อาลัยให้กับ
แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้น
หยางหนิงเห็นทุกอย่าง ในใจก็คิดว่าฉีหุ้ยจิ่งเป็นทหาร
ที่ได้ใจคนมากกว่าตาแหน่งที่เขามีเสียอีก
ไม่ไกลจากประตูตะวันออก หยางหนิงเห็นคนกลุ่ม
ใหญ่ยืนรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มมืดๆ เมื่อขบวนศพเดิน
เข้ามาใกล้ คนกลุ่มนั้นก็เดินเข้ามา
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดสวมชุดเกราะสีดา ร่างกาย
สูงใหญ่ อายุไม่ถึงสี่สิบ ตอนที่เดินมา หนักแน่นดุจเสือ
ดั่งมังกร สง่าผ่าเผย เป็นชายชาตรีที่องอาจ
พ่อบ้านชิวยกมือขึ้น เพื่อส่งสัญญาณให้หยุดขบวน
เห็นชายชุดเกราะดารีบเดินเข้ามา แล้วคุกเข่าลง
ถอดชุดเกราะออก ทหารเกือบพันนายที่อยู่ด้านหลัง
ต่างคุกเข่าลงทั้งหมด ถอดชุดเกราะออก แล้วคุกเข่า
โขกศรีษะให้กับโลงศพของฉีหุ้ยจิ่ง
พ่อบ้านชิวรีบเดินมาข้างๆ หยางหนิง แล้วพูดเบาๆ
ว่า “ซื่อจื่อ ท่านนี้คือผู้บัญชาการค่ายหู่เสินท่าน
ผู้บัญชาการเสวียหลิงเฟิง เคยเป็นคนในสังกัดของ
ท่านแม่ทัพ”
ก่อนเคลื่อนขบวนออกมา กู้ชิงฮั่นได้บอกรายละเอียด
พิธีการให้หยางหนิงฟังแล้ว หยางหนิงจาได้ดี รู้ว่า
ตอนนี้เขาควรจะเดินเข้าไปขอบคุณที่เขามาไว้อาลัย
เขาเดินไปพร้อมกับพ่อบ้านชิว เห็นเสวียหลิงเฟิง
สีหน้าจริงจัง ดวงตาแดงก่า โขกศีรษะไม่หยุด โขกจน
หัวแตกเลือดไหลออกมา
“ท่านผู้บัญชาการเสวีย รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น!”
พ่อบ้านชิวรีบไปพยุงเสวียหลิงเฟิงขึ้นมา “น้าใจของ
ท่าน ท่านแม่ทัพต้องรับรู้ได้แน่”
หยางหนิงเองก็หันไปหาเสวียหลิงเฟิงแล้วโค้งคานับ
เขา เสวียหลิงเฟิงลุกขึ้นมา ไม่สนใจพ่อบ้านชิว แต่
เดินไปหาหยางหนิงทันที เขารูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่า
หยางหนิงไม่น้อย เขามาลงมาที่หยางหนิง นิ่งไปครู่
หนึ่ง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ข้าเคยเป็นคนของท่าน
แม่ทัพมาก่อน ท่านแม่ทัพมีบุญคุณกับข้า ชาตินี้ข้าไม่
มีวันลืม ต่อไปหากท่านมีเรื่องเดือดร้อน มาหาข้าได้
ตลอดเวลา ขอแค่ข้าทาได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธเลย!”
หยางหนิงยกมือคานับแล้วพูดว่า “ท่าน...ท่านอาเสวีย
ท่าน...ท่านพ่อสิ้นไป ต่อไปเรื่องที่ต้องรบกวนท่านอา
เสวียคงมีไม่น้อย หลานขอขอบคุณท่านไว้ล่วงหน้า!”
สายตาของเสวียหลิงเฟิงรู้สึกแปลกใจ เหมือนจะตกใจ
ว่าทาไมหยางหนิงถึงได้มีมารยาทรู้จักกาลเทศะแบบนี้
เขาแสดงท่าทีชื่นชม แล้วพยักหน้า ไม่พูดอะไรมาก
ขยับไปอยู่ข้างๆ เปิดทางให้แล้วพูดว่า “ส่งท่าน
แม่ทัพ!” แล้วคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง ทหารที่อยู่ข้างๆ
ทั้งหมดก็คุกเข่าลง
พ่อบ้านชิวกาลังจะสั่งให้ตั้งขบวนเดินทางต่อ ก็ได้ยิน
เสียงดังมาจากด้านหลังว่า “ช้าก่อน!” เสียงฝีเท้าของ
ม้ากาลังควบมา ทุกคนต่างหันหลังกลับไปดู เห็นคนๆ
หนึ่งกาลังฝ่าฝูงชนมาตามทาง ไม่ช้าก็เห็นตัวม้า
หยางหนิงมองไป เห็นคนๆ หนึ่งสวมชุดยาวสีเหลือง
อ่อน สวมหมวก หนวดเครายาว เมื่อเข้ามาใกล้ เขาก็
ลงจากม้า
“ท่านไหวหนานอ๋อง!” พ่อบ้านชิวพูดสเสียงหลงแล้ว
พูดว่า “ซื่อจื่อ เร็วเข้า...รีบไปต้อนรับไหวหนานอ๋อง
เถิด”
หยางหนิงตกใจ ถึงเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องกฎเกณฑ์อะไร
ของแคว้นฉู่มาก แต่ก็รู้ว่าบรรดาศักดิ์อ๋องนั้นสูงกว่า
โหว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีไหวหนานอ๋องโผล่มาด้วย
มีไหวหนานอ๋องน่าจะอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ สง่า
ผ่าเผย หลังจากลงจากม้า เขาก็รีบเดินไปที่โลงศพโดย
ทันที เมื่อมาถึงข้างๆ โลงศพ เขาก็จับไปที่โลงศพ
ร้องไห้แล้วพูดว่า “สวรรค์ไม่ยุติธรรม องครักษ์
เสื้อแพรเป็นวีรบุรษกว่าครึ่งชีวิต นาทัพออกศึกรบจน
กองทัพทหารศัตรูแตกพ่าย ตอนนี้...ตอนนี้กลับต้อง
ไปอยู่ในปรโลกแบบนี้ เสาหลักของแคว้นฉู่ล้มลง
แบบนี้ ในใจข้าเหมือนถูกมีดกรีดเป็นล้านชิ้น...!”
ขบวนส่งศพทั้งหมดต่างเศร้าใจ ไหวหนานอ๋องร้องไห้
ทาให้หลายๆ คนร้องไห้ตาม ทหารทั้งสองข้างทางต่าง
ยกมือขึ้นมาเช็ดน้าตา
หยางหนิงตะลึงไป คิดในใจว่าไหวหนานอ๋องนี่เป็นใคร
กัน ดูเขาจริงใจมาก เหมือนจะเจ็บปวดมากที่สุดที่
ฉีหุ้ยจิ่งจากไป แรงกระทบรุนแรงมาก แต่ทาไม
กู้ชิงฮั่นถึงไม่เคยพูดถึงไหวหนานอ๋องเลย แล้วเขาก็ไม่
เคยเห็นเขาที่คานับศพจวนองครักษ์เสื้อแพรมากก่อน
ด้วย
สีหน้าของไหวหนานอ๋องเศร้าใจมาก ทันใดนั้นเองเขา
ก็ถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็คุกเข่าลง พ่อบ้านชิว
อยู่ข้างๆ เขา รีบพยุงตัวเขาขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง
ท่านอ๋อง ทรงทาแบบนี้ไม่ได้ ทาไม่ได้ มัน...มันไม่
เหมาะสม!”
ไหวหนานอ๋องกล่าวว่า “ทาไมทาไม่ได้? หรือเป็น
เพราะข้ามีศักดิ์เป็นอ๋อง ก็เลยคุกเข่าให้องครักษ์
เสื้อแพรไม่ได้? องครักษ์เสื้อแพรทาคุณให้กับแคว้นฉู่
มากมาย ราษฎรแคว้นฉู่อยู่อย่างสงบได้ เพราะท่าน
องครักษ์เสื้อแพรกับทหารเสียสละชีวิตแลกมา หาก
การคุกเข่า จะสามารถแลกชีวิตขององครักษ์เสื้อแพร
คืนมาได้ ข้าจะไม่ลังเลเลย” เขาผลักพ่อบ้านชิวออก
แล้วคุกเข่าลงไปจริงๆ
ตอนนี้คนรอบๆ ต่างซุบซิบกัน สีหน้าของหลายๆ
คนต่างก็ชื่นชมและนับถือเขา
ไหวหนานอ๋องโขกศีรษะคานับต่อเนื่องสองสามครั้ง
แล้วก็ถูกพยุงขึ้นมา หันไปหาหยางหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ
เดินเข้ามาหา ยื่นมือไปดึงมือของหยางหนิงมา แล้ว
พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าคือองครักษ์เสื้อแพรซื่อจื่อ
ใช่ไหม?”
พ่อบ้านชิวรีบตอบว่า “ใช่ พะยะค่ะ!” แล้วหันไปส่ง
สายตาให้กับหยางหนิง หยางหนิงเลยพูดว่า “ฉีหนิง
ถวายพระพรท่านอ๋อง!” กาลังจะคุกเข่าลง ไหวหนาน
อ๋องก็ดึงเขาขึ้นมาแล้วพูดว่า “ตามสบาย ข้าแค่มาส่ง
องครักษ์เสื้อแพรเป็นครั้งสุดท้าย จะให้เขาไปอย่าง
เงียบเหงาไม่ได้”
เขารู้สึกว่าคาพูดนี้มันก็ไม่มีอะไรแปลก แต่หยางหนิงก็
แอบรู้สึกว่ามันเหมือนมีอะไรแอบแฝง เขารู้สึกว่าวันนี้
คนที่มาร่วมส่งศพก็มีไม่น้อย ระหว่างทางชาวบ้านก็
ร่วมเดินมาส่งก็มาก ถึงแม้จะไม่ได้เยอะมากอะไร
แต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาแบบนั้น
ไหวหนานอ๋องกลับบอกว่าไม่อยากให้องครักษ์
เสื้อแพรจากไปเงียบๆ คาพูดมันเหมือนมีอะไรแฝงอยู่
ตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาอีก หลังจากนั้นก็
ได้ยินเสียงแหลมๆ ดังขึ้นมาว่า “ช้าก่อน ช้าก่อน
ฝ่าบาทมีราชโองการ ฝ่าบาทมีราชโองการ!”
เห็นม้าหลายตัวกาลังมาทางนี้ หยางหนิงเห็น
สถานการณ์ดังนั้น ในใจก็คิดว่าคนพวกนี้นี่เลือกเวลา
ได้ดีจริงๆ ตอนที่องครักษ์เสื้อแพรตั้งป้ายเคารพศพ
ไม่ว่าจะไหวหนานอ๋องหรือคนในวัง ก็ไม่โผล่มาสักคน
ตอนนี้ขบวนส่งศพจะออกนอกเมือง ไหวหนานอ๋อง
กับราชโองการของฮ่องเต้ก็ตามกันมาติดๆ
“เอ๋ นั่นมันท่านฟ่านกงกงที่อยู่ในวังหลวงนิ!” พ่อบ้าน
ชิวเห็นคนที่กาลังมา ก็รีบพูดกับหยางหนิงว่า “ซื่อจื่อ
ฟ่านกงกงเป็นหัวหน้าขันทีตรวจการฝ่ายใน”
ฟ่านกงกงอายุราวห้าสิบปี ร่างกายออกอ้วน แต่
หน้าตาดูเป็นมิตร ดวงตาแทบจะปิดสนิท เมื่อเขาเข้า
มาใกล้ หยางหนิงถึงได้พบว่าด้านหลังของฟ่านกงกงมี
สายตาคู่หนึ่ง
ด้านหลังของฟ่านกงกง เหมือนจะมีขันทีที่ติดตามมา
ด้วยสี่ห้าคน เมื่อเห็นไหวหนานอ๋องยืนอยู่ข้างๆ
ฟ่านกงกงก็ยิ้ม โค้งคานับแล้วพูดว่า “ถวายพระพร
ท่านอ๋อง!”
ไหวหนานอ๋องพูดเรียบๆ ว่า “ฟ่านกงกงมาทันเวลา
พอดี หากมาช้ากว่านี้ องครักษ์เสื้อแพรก็ออกนอก
เมืองไปแล้ว ราชโองการของฝ่าบาทมาทันเวลาแบบนี้
หากองครักษ์เสื้อแพรรับรู้ ก็คงสบายใจแล้ว”
หยางหนิงฟังจากน้าเสียงของเขาเหมือนประชด
ประชัน ในใจก็ตกใจ แอบคิดว่าไหวหนานอ๋องคนนี้ก็
กล้าไม่เบา ที่แอบเหน็บแหนมฮ่องเต้ต่อหน้าหัวหน้า
ขันทีตรวจการฝ่ายใน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไม่พอใจ
ฮ่องเต้หรือว่าไม่พอใจองครักษ์เสื้อแพร
ฟ่านกงกงยังคงยิ้มเหมือนเดิม แล้วพูดว่า “ท่าน
องครักษ์เสื้อแพรเป็นขุนนางมีคุณต่อแคว้นฉู่ ฝ่าบาท
จะลืมองครักษ์เสื้อแพรได้อย่างไร” ก่อนจะกระแอม
ไอ เพื่อจัดระเบียบเสียงแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทมี
ราชโองการ องครักษ์เสื้อแพรซื่อจื่อรับราชโองการ!”
หยางหนิงไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ แล้วกู้ชิงฮั่นก็
ไม่ได้คิดว่าฮ่องเต้จะมีราชโองการในเวลาแบบนี้
ดังนั้นหยางหนิงไม่รู้ว่าจะต้องรับราชโองการอย่างไร
เห็นหยางหนิงยืนตะลึง ฟ่านกงกงก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อไม่ต้องคิดอะไรมาก ที่นี่ไม่ใช่ในจวน ไม่ต้อง
พิธีรีตองเยอะ คุกเข่ารับราชโองการก็พอ”
หยางหนิงรู้สึกหงุดหงิดใจมาก แอบคิดว่าจะอยู่ใน
ยุคนี้ไม่ง่ายเลย ตัวเองสวมรอยเป็นซื่อจื่อฐานะก็สูงส่ง
พอตัว แต่เป็นมาได้พักหนึ่ง คุกเข่าไปมาไม่เว้นวันเลย
เข่าจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ทุกคนกาลังจ้องมอง
เขาอยู่ เขาไม่มีทางเลือก
แต่ว่าเมื่อคิดว่าราชโองการมาแล้ว น่าจะได้ปูน
บาเหน็จไม่น้อย การเงินในจวนองครักษ์เสื้อแพรกาลัง
ย่าแย่ เงินจากทางเจียงหลิงก็ยังไม่มาสักที กู้ชิงฮั่น
เครียดกับเรื่องนี้มาสองวันแล้ว คราวนี้หากได้
บาเหน็จจากในวังหลวงมา ก็น่าจะแก้ไขปัญหา
ในตอนนี้ได้
ฟ่านกงกงยังไม่ทันได้อ่านราชโองการ ก็ได้ยินเสียง
ฝีเท้าม้า หยางหนิงถึงได้รู้ว่า ไหวหนานอ๋องนาคนของ
เขากลับไปแล้ว
“โองการแห่งฟ้า...!” ฟ่านกงกงเริ่มอ่านราชโองการ
หยางหนิงไม่ได้สนใจคาพรรณนามสวยงามพวกนั้น
เลย รวบรวมสมาธิ คิดแค่ว่าวังหลวงจะปูนบาเหน็จให้
เท่าไร ฟังฟ่านกงกงอ่านราชโองการเหมือนพระ
สวดมนต์อยู่นาน เริ่มจากการกล่าวชื่นชมคุณความดี
ของฉีหุ้ยจิ่ง หลังจากนั้นก็แสดงความเสียใจต่อการ
จากไปของเขา หลังจากนั้นฟ่านกงกงก็ปิดราชโอการ
ไม่ได้ยินเรื่องปูนบาเหน็จเลย
“ซื่อจื่อ ท่านก็อย่าเสียใจมากเกินไป ท่านองครักษ์
เสื้อแพรสิ้นบุญไป คนทั้วแคว้นต่างอาลัย ท่านเองก็
ต้องรักษาสุขภาพด้วย” ฟ่านกงกงปิดม้วนราชโองการ
แล้วส่งมอบให้ หยางหนิงรับมา แล้วลุกขึ้นยืน ในใจ
แอบด่าว่า ‘เสียใจบ้าบออะไรกัน ราชสานักก็ออกจะ
ใหญ่โต ขุนนางทาคุณประโยชน์มากมาย มีแค่
ราชโองการที่บ่นอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร
เลย นี่สิถึงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ’
ต่อให้เขาโกรธแค่ไหน ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้
ขณะกาลังจะแสดงความขอบคุณ ก็พลันหันไปเห็น
ดวงตาคู่หนึ่งด้านหลังฟ่านกงกงกาลังจ้องมาที่เขา เขา
มองตามสายตานั้นไป ก็เห็นบรรดาขันทีสองสามคน
กาลังก้มหน้าอยู่ มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่กาลังเงยหน้า
ดวงตาจ้องมาที่ตัวเขา
หยางหนิงกาลังคิดว่าเจ้าขันทีคนนี้ทาไมไม่รู้จัก
กาลเทศะเลย แต่เมื่อเห็นใบหน้าของคนๆ นั้น
คราแรกเขาตกใจ แต่หลังจากนั้นก็ใจเย็นลง
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 49 เรือนรับรอง
จริงๆ แล้วหากขันทีคนนั้นก้มหน้าลง หยางหนิงก็คง
ไม่รู้สึกอะไร แต่ว่าสายตาของคนๆ นั้นมันมองมาที่
เขา หยางหนิงก็เลยมองกลับไป เห็นขันทีคนนั้น
หน้าตาเกลี้ยงเกลา ดวงตาเหมือนมีอะไร สายตา
แหลมคม ดูแล้วมันคุ้นเคย เมื่อมองดีๆ แล้ว
หยางหนิงก็นึกออกทันทีว่า หน้าตาของขันทีคนนี้
เหมือนกับชายชุดเทาที่เขาเจอที่ร้านเหล้า
วันนั้นหยางหนิงพาเซียวกวงหนีออกจากร้านเหล้า
ชายชุดเทาถูกนินจาฮิดะล้อมเอาไว้ หยางหนิงเคย
คิดว่า ไม่รู้ว่าชายชุดเทาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
แต่น่าจะเป็นโชคร้ายมากกว่า
พอมาอยู่ในจวนองครักษ์เสื้อแพร ก็ลืมเรื่องของชาย
ชุดเทาไปแล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนๆ นี้จะมายืนอยู่ใน
ที่แบบนี้
ถึงแม้เมื่อเทียบกับชายชุดเทา เขาจะไม่มีหนวดเครา
แล้ว เสื้อผ้าก็ต่างออกไป แต่หยางหนิงก็แน่ใจว่าเขา
คือชายชุดเทาคนนั้น
หากแค่หน้าตาคล้ายกัน หยางหนิงก็คงไม่มั่นใจขนาด
นี้ เพราะเขาหน้าตาเหมือนกับซื่อจื่อมันก็เกิดขึ้น
มาแล้ว
แต่ว่าสายตาของอีกฝ่าย ทาให้หยางหนิงแน่ใจอย่าง
ไม่ต้องสงสัยเลย
สายตาของชายชุดเทามันมีเอกลักษณ์ มีความคมคาย
ในแววตาของเขา แล้วสายตาขันทีคนนี้กับชายชุดเทา
นั้นเหมือนกัน
ถึงแม้ในใจของเขาจะตกใจมาก แต่สีหน้าท่าทางยังคง
ไม่เปลี่ยน
ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดเขาก็เยือกเย็นพอ
สิ่งสาคัญอย่างหนึ่งที่หยางหนิงได้รับมาจากการฝึกฝน
เป็นเวลานานคือ ในสถานการณ์พิเศษหรือฉุกเฉินเขา
สามารถทาสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ได้เป็นเวลานาน
ถึงใบหน้าจะนิ่ง แต่ในใจของเขามันเหมือนคลื่นพายุ
โหมกระหน่า
เขาไม่รู้จริงๆ ว่า ทาไมคนๆ นี้ถึงได้แต่งชุดขันทีมาอยู่
ที่นี่ พบกันที่ร้านเหล้าครั้งก่อน คนๆ นี้สวมชุดแขน
ยาว หนวดเครายาว เหมือนคนมีความรู้ แต่ตอนนี้
กลับเปลี่ยนไป กลายเป็นขันทีไร้หนวดเครา เมื่อฐานะ
เปลี่ยนไป หยางหนิงก็ไม่รู้ว่าต้องรับมืออย่างไร
ตอนนี้เขาไม่สามารถยืนยันได้ว่า คนๆ นี้เป็นขันที
ปลอมหรือเปล่า หรือว่าเขาเป็นขันทีอยู่แล้ว?
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ?” ได้ยินพ่อบ้านชิวเรียก หยางหนิงถึง
ได้สติกลับมา “อ่า” ก็ได้ยินฟ่านกงกงพูดว่า “ข้าน้อย
ไม่รบกวนแล้ว ต้องรีบกลับไปรายงานให้ฝ่าบาท
ทราบ!” แล้วโค้งให้หยางหนิงเล็กน้อย หันหลังแล้วก็
กลับไป หยางหนิงยกมือขึ้นคานับ หลังจากนั้นก็มอง
ไปที่ชายชุดเทาที่แต่งกายเป็นขันที เห็นเขาเดิน
ตามหลังฟ่านกงกงไป ไม่หันกลับมาอีก
หยางหนิงถอนหายใจยาวๆ
เมื่อกี้เขากังวลว่าคนๆ นั้นจะเปิดเผยตัวจริงของเขา
หากเป็นอย่างนั้นจริง ผลที่ตามมาแทบไม่อยากจะคิด
เลย
อีกฝ่ายมองมาที่เขาหลายครั้ง เหมือนต้องการยืนยัน
ฐานะของเขา หยางหนิงไม่รู้ว่าชายชุดเทาจะจาเขา
ได้ไหม
จาได้ว่าวันนั้นฝนตกหนักมาก ในร้านเหล้าเองก็มืดๆ
ถึงแม้เขาจะจาอีกฝ่ายได้ แต่ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะจา
เขาได้ไหม
วันนี้ที่อีกฝ่ายพยายามหยั่งเชิง อาจจะเป็นเพราะว่า
อีกฝ่ายรู้สึกคุ้นหน้า ตอนนี้เขาเป็นถึงองครักษ์เสื้อ
แพรซื่อจื่อ อีกอย่าง หากอีกฝ่ายไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด
เกรงว่าอาจจะไม่เปิดเผยความจริงง่ายๆ
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกว่าหลังเย็บวาบ ในใจคิดว่า
ฐานะซื่อจื่อในตอนนี้ก็อันตรายแล้วเหมือนกัน คนๆ
นั้นเหมือนจะเป็นคนในวังหลวง ถึงแม้เขาอาจจะไม่รู้
ว่าเขาสวมรอยเป็นซื่อจื่อ แต่ในเมื่อมีความสงสัย
งั้นตัวเขาก็อันตรายมากแล้ว
ฉีหุ้ยจิ่งตายไปแล้ว องครักษ์เสื้อแพรเองก็เหมือนจะ
ตกต่าลง ภายในมีเรื่องวุ่นวายมากมาย ตอนนี้ยังมา
เจอเจ้าเฒ่านี่อีก ในใจหยางหนิงเริ่มนึกถึงเรื่องการหนี
แล้ว
“ซื่อจื่อ เราต้องออกเดินทางแล้ว” พ่อบ้านชิวขัด
ขึ้นมาตอนที่หยางหนิงกาลังใช้ความคิด “ไปจงหลิง
ต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ เราจะต้องไปถึงที่นั่นก่อนฟ้า
มืด ระหว่างทางจะช้าไม่ได้ ไม่งั้นเวลาจะคาดเคลื่อน”
หยางหนิงรู้ดีว่ากฎการแต่งงาน งานศพของชนชั้นสูง
นั้นมีมาก ก็เลยพยักหน้า ขบวนศพออกจากเมืองไป
แต่ประกาศกฎอัยการศึกติดตัวชาวบ้านทาให้ออก
นอกเมืองไม่ได้ เสวียหลิงเฟิงนาทหารส่วนหนึ่งมาส่ง
ประมาณหนึ่งลี้ หลังจากเห็นขบวนศพเดินจากไปแล้ว
เขาก็กลับเข้าประตูเมืองไป
ตลอดเส้นทางมีทั้งการตีฆ้องร้องป่าว โปรยกระดาษ
เงินกระดาษทองไม่ขาด เมื่อใกล้เวลาฟ้ามืด ก็มาถึง
ปลายเขาจงซาน
จงหลิงอยู่ห่างจากเขาจงซานไม่ถึงสิบลี้ อยู่ปลายเขา
จงซาน ราชสานักตั้งใจสั่งให้คนสร้างเรือนรับรอง
เอาไว้ เพื่อให้ขบวนศพพักหนึ่งคืนก่อนทาพิธีฝังศพ
เหตุผลก็คือหนึ่งเพื่อระลึกพระมหากรุณาธิคุณ สอง
คือเพื่อให้ขบวนเคลื่อนศพได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
โลงศพวางที่ห้องโถงหลักด้านหน้า ที่นี่มีเจ้าหน้าที่จาก
กรมพิธีการจัดการทุกอย่างให้ นอกจากคนจานวน
หนึ่งแล้ว คนอื่นๆ จะไม่สามารถเข้ามาในเรือนรับรอง
ได้
ท่านใหญ่สามกับหยางหนิงเป็นคนในตระกูลฉี แถมยัง
เป็นสายเลือดตรงของฉีหุ้ยจิ่ง เข้าไปได้แน่นอนอยู่
แล้ว พ่อบ้านชิวเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของจวนองครักษ์
เสื้อแพร ก็มีสิทธิเข้าไปได้ คนที่เหลืออย่างฉีอวี้กับ
ผู้ติดตามคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นลูกอนุไม่มีสิทธิพูด
อะไร ทาได้แค่เดินตามขบวน ทาอะไรไม่ได้
แต่ว่าเมื่อมาถึงจงหลิง ถึงแม้เขาจะเป็นลูกอนุ แต่เขา
ก็มีสายเลือดของฉีหุ้ยจิ่ง ก็เลยสามารถเข้าไปในเรือน
รับรองได้
สาหรับเรือนรับรองจงหลิง จวนองครักษ์เสื้อแพรเอง
รู้อยู่แล้วว่ามีไว้ทาไม แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ใครก็จะสามารถ
เข้าไปด้านในได้ ดังนั้นก็มีการเตรียมตัวไว้พอสมควร
คนที่ติดตามขบวนส่งศพมาต่างพากันกางเต้นท์ที่ด้าน
นอก ของที่นาฝังด้วยมีมาก ก็ส่งคนไปเฝ้า
ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงเป็นองครักษ์ของจวนองครักษ์
เสื้อแพรก็รับหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัย
เดินทางมาทั้งวัน หยางหนิงรู้สึกเพลียมาก เขาเป็น
องครักษ์เสื้อแพรซื่อจื่อ จึงได้ห้องเดี่ยวฝั่งตะวันออก
ถึงแม้จะเข้ามาในเรือนรับรองแล้ว หยางหนิงก็ไม่ได้
วางใจเลย
ตั้งแต่เดินเข้ามาในเรือนรับรอง หยางหนิงก็รู้สึก
แปลกๆ เขารู้สึกว่าเหมือนมีคนจับตามองเขา
ตลอดเวลา
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก
จริงๆ แล้วร่างกายของหยางหนิงเป็นคนที่ค่อนข้างมี
ลางสังหารณ์มาก การมีลางสังหารณ์ของเขามันไม่ได้
ถึงขั้นหวาดระแวง ทุกครั้งที่จะมีอันตราย หยางหนิง
จะมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ความรู้สึกแบบนี้มีตั้งแต่
ก่อนข้ามกาลเวลามาแล้ว แต่มันไม่ชัดเท่าไร แต่พอ
หลังจากข้ามกาลเวลามาแล้ว มันเหมือนไปกระตุ้น
สัมผัสที่หกของเขา เพราะมันรุนแรงขึ้นมาก
แต่เมื่อตรวจสอบรอบๆ ดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่เห็น
ว่ามีคนอยู่
ฟ้ามืดนานแล้ว วางโลงศพไว้ในเรือนรับรอง มันก็
วังเวงอยู่แล้ว หยางหนิงคิดว่าอาจจะเป็นเพราะวันนี้
เจอขันทีชุดเทาคนนั้น ทาให้เขาไม่ค่อยสบายใจ ก็เลย
รู้สึกแปลกๆ ก็ได้
เมื่อนึกถึงขันทีแปลกๆ คนนั้น หยางหนิงก็ขมวดคิ้ว
ขันทีแปลกๆ นั้นแค่หยั่งเชิงเขา ไม่ได้พูดอะไรสักคา
แต่ก็เพราะอย่างนั้น มันทาให้หยางหนิงคาดเดาอะไร
ไม่ได้เลย
ตอนนี้ในจวนองครักษ์เสื้อแพรเห็นเขาเป็นซื่อจื่อ
ต้วนชางไห่กับคนอื่นๆ ก็ฟังคาสั่งโดยไม่มีอิดออด
แต่หยางหนิงรู้ดีว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ความจริงถูก
เปิดเผย คนในองครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดจะมาแก้แค้น
กับเขา พวกเขาก็จะต้องตามหาซื่อจื่อตัวจริงจนถึง
ที่สุด หากไม่มีพยาน ตัวเขาก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัย
คนแรก
ถึงแม้การตายของฉีหุ้ยจิ่ง จะทาให้องครักษ์เสื้อแพร
เหมือนจะตกต่าลง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม องครักษ์
เสื้อแพรก็ยังเป็นหนึ่งในตระกูลบรรดาศักดิ์ใหญ่ เมื่อ
เป็นศัตรูกับกลุ่มอิทธิพลแบบนี้ มันก็ไม่มีทางชดใช้กัน
ง่ายๆ คงโดนไล่ล่าจนสุดล่าฟ้าเขียวแน่ๆ
หากแค่ตายไป หยาหนิงก็ไม่กลัวหรอก แต่ในใจของ
เขาเป็นห่วงเสี่ยวเตี๋ย หากยังไม่รู้ว่านางอยู่ไหน เขาก็
ยังไปไหนไม่ได้
ถึงแม้ตอนนี้สานักคุ้มกันของซวี่รื่อจะน่าสงสัยที่สุด
ในตอนนี้ หยางหนิงก็สงสัยว่าเสี่ยวเตี๋ยน่าจะถูกช่วย
ไปแล้ว แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงความคาดเดาของ
เขาเท่านั้น ความจริงเป็นอย่างไร ไม่มีหลักฐานแน่ชัด
ว่าเสี่ยวเตี๋ยปลอดภัย หยางหนิงก็ยังไม่อาจวาง
เสี่ยวเตี๋ยได้
ในคืนมืดที่เงียบสงัด กาลังคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ
อยู่ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ได้ยินเสียงดังมาจาก
ข้างนอกว่า “ซื่อจื่อ ของว่างกับน้าชาเตรียมไว้พร้อม
แล้ว ข้าน้อยมาส่งให้!”
“เข้ามาได้!”
ในห้องไม่ได้ลงกลอนไว้ ข้ารับใช้สวมชุดเขียวคนหนึ่ง
เดินเข้ามา ยกถาดอาหารมา บนถาดอาหารมีของว่าง
สองจาน น้าชาหนึ่งกา แล้วก็ถ้วยชาหนึ่งใบ
เรือนรับรองมีข้ารับใช้ของเรือนอยู่ ตอนที่หยางหนิง
เข้ามาในเรือน เขาเห็นคนที่แต่งกายแบบนี้ในเรือน
กว่าสิบคน
หยางหนิงเห็นของว่าง ก็รู้สึกหิวขึ้นมา ก็เลยเดินมาที่
โต๊ะ ข้ารับใช้ชุดเขียวคนนั้นวางถาดอาหารลง โค้ง
คานับแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ หากต้องการอะไร สั่งมาได้
เลย ภายในเรือนของเรามีของกินของใช้เตรียมไว้
พร้อม”
หยางหนิงยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “ขอบใจนะ!”
ข้ารับใช้ชุดเขียวหยิบกาน้าชาขึ้นมา รินชาแล้วยกมา
วางที่หน้าของหยางหนิง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อเชิญดื่ม
ข้าน้อยขอตัวก่อน!” เขาพูดไม่มาก แล้วก็ถอยออก
จากห้องไป
หยางหนิงยกชาขึ้นมา กาลังจะดื่ม จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
“ช้าก่อน!”
ข้ารับใช้ชุดเขียวเดินไปที่ถึงประตูแล้ว ก็หยุดเดิน
หันหลังกลับมาถามว่า “ซื่อจื่อมีอะไรจะสั่งหรือ?”
“เจ้าอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว?” หยางหนิงถามว่า “ที่เรือน
รับรองนี่มีใครดูแลอยู่?”
ข้ารับใช้ชุดเขียวอธิบายว่า “เรือนรับรองจงหลิงอยู่ใน
การดูแลของกรมพิธีการ ข้าน้อยเป็นคนของกรมพิธี
การ อยู่ที่นี่มาห้าหกปีแล้ว กรมคลังจะมีการส่งเบี้ยมา
ที่เรือนรับรองทุกปี”
“หลายปีมานี่ เจ้าอยู่ยกน้าชาของว่างที่นี่งั้นหรือ”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่คิดอยากจะเปลี่ยนงาน
บ้างหรือ?” กวักมือแล้วพูดว่า “เจ้ามานี่ คืนนี้อีกยาว
ไกล ข้าเบื่อมาก มาคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อย หากว่า
ถูกใจข้า ข้าจะหาทางช่วยเจ้าหางานที่ดีกว่านี้ให้”
ข้ารับใช้ชุดเขียวพูดอย่างดีใจว่า “ขอบคุณท่านซื่อจื่อ
ขอบคุณท่านซื่อจื่อ!” เขาเดินขึ้นหน้ามา แล้วพูดว่า
“ข้าน้อยมาที่นี่ก็เพื่อยกน้าชาและของว่าง หากซื่อจื่อ
ยินดีรับข้าน้อยไว้ ต่อให้บุกน้าลุยไฟ ข้าน้อยก็ยอม”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “บุกน้าลุยไฟหรือ? เจ้าฝึก
วรยุทธ์หรือไง?”
“วรยุทธ์?” ข้ารับใช้ชุดเขียวส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ข้าน้อยเป็นพนักงานของกรมพิธีการ เป็นสายบุ๋น
ไม่รู้วรยุทธ์ แต่ว่าเรียนหนังสือมาบ้าง พอรู้อักษร
บ้าง”
หยางหนิงวางถ้วยน้าชาลง ยื่นมือไปจับมือข้างหนึ่ง
ของข้ารับใช้ชุดเขียว ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็น
เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุ๋น แต่ทาไมที่นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถึงได้มี
ตุ่มด้านเล่า?” สีหน้าเย็นยะเยือก “มันไม่ใช่มือของ
คนที่ยกน้าชาหรอกนะ”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 50 นักฆ่า
ข้ารับใช้ชุดเขียวสีหน้าเปลี่ยนไป สายตาดูเย็นเฉียบ
มือข้างหนึ่งพลิกกลับมาจับข้อมือของหยางหนิงไว้
หยางหนิงยิ้มแห้ง เขากับข้ารับใช้ชุดเขียวต่างจับ
ข้อมือของกันและกันเอาไว้ อีกมือหนึ่งกาหมัดไว้แน่น
แล้วชกไปทีข่ ้ารับใช้ชุดเขียว
ใครจะคิดว่าข้ารับใช้ชุดเขียวจะปฏิกิริยาไว เขาถอย
หลัง แล้วหลบหมัดของหยางหนิง หยางหนิงกาลังจะ
ไปจับหน้าของเขา ก็รู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือ เหมือนกับถูก
เข็มแทง ในใจคิดว่าแย่แล้ว พริบตาเดียว ข้ารับใช้
ชุดเขียวก็อ้อมตัวมาอยู่ด้านหลังของหยางหนิงแล้ว
หยางหนิงคิดไม่ถึงว่าคนๆ นี้จะมีวรยุทธ์ดีขนาดนี้
กาลังคิดจะเตะอ้อมด้านหลัง รู้สึกเหมือนกับว่าเห็น
แสงอะไรปรากฏขึ้น มันคือเส้นลวดบางๆ ที่รัดคอของ
เขาอยู่
ท่ามกลางไฟสลัว มือขวาของหยางหนิงจับที่ลูก
กระเดือก มืออีกข้างก็ศอกเข้าไปที่หน้าท้องของ
อีกฝ่ายอย่างแรง
ถึงแม้จะเป็นแค่เสี้ยวเวลาหนึ่ง แต่หยางหนิงก็รู้ว่า
ข้ารับใช้ชุดเขียวนี่ถูกฝึกมาอย่างดี การเคลื่อนไหวของ
เขาว่องไวเฉียบขาด ลงมือแต่ละครั้งกะเอาถึงตาย
เป็นมืออาชีพมาก หยางหนิงเป็นนักต่อสู้แต่เกิด วิธีที่
เขาใช้ หยางหนิงคุ้นเคยดี
ไม่มีเวลาให้หยางหนิงได้คิดนานนัก อีกฝ่ายใช้มีดล็อค
พาดไปที่คอของหยางหนิง หยางหนิงใช้มือหนึ่งจับไป
ที่มีดที่อยู่ที่คอ ทาให้คอไม่ถูกปาด แต่มือกลับถูก
เส้นลวดบาดจนเลือดออก ยิ่งกว่านั้นคอของ
หยางหนิงยังถูกรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทาให้หายใจลาบาก
ถึงแม้หยางหนิงจะใช้ศอกกระแทกไปที่เอวของอีก
ฝ่ายอย่างแรง แต่คนๆ นั้นแข็งแกร่งมาก แค่ร้องเบาๆ
แล้วก็ใช้เข่าขวาดันเอวของหยางหนิงไว้ มือสองข้าง
ดันมีดในมือ แรงทั้งหมดส่งไปที่มือทั้งสองข้าง
คิดอยากจะให้มันรัดคอหยางหนิงให้ตาย
หยางหนิงรู้สึกว่าหายใจได้ลาบาก แน่นหน้าอก
ลวดค่อยๆ บาดลึกเข้ามาในมือของเขา
สายตาของข้ารับใช้ชุดเขียวเลือดเย็นมาก หน้าของ
เขาเริ่มแดง มือทั้งสองออกแรงเต็มที่ จนเส้นเลือดที่
แขนเด่นชัดออกมา
เขารู้ว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด ใช้เส้นลวดรัดคอไม่เพียง
ไม่มีเสียงร้อง ยังไม่อาจจะหนีไปได้ด้วย
จริงๆ เขารู้สึกดีที่เห็นคนดีดดิ้นก่อนตายมากๆ
ก็เหมือนกับที่หยางหนิงเป็นอยู่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า
เขาไม่มีทางรอด
แน่นอนว่าหยางหนิงยังไม่สิ้นหนทาง ในความคิดของ
เขา คนที่ช่วยเขาได้ก็มีแต่ตัวเขาเอง ขอแค่ตัวเขา
ไม่ตาย เขาก็ยังมีโอกาสรอดอยู่
ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกตกใจมาก ตกใจที่ข้ารับใช้
ชุดเขียวนั้นเป็นมืออาชีพ แถมยังเป็นนักฆ่าชั้นยอด
อีกด้วย
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย หยางหนิงไม่มี
เวลาคิดว่าใครเป็นคนส่งนักฆ่าคนนี้มา เพราะหายใจ
ลาบาก หน้าของเขาเริ่มแดง เมื่อหายใจไม่ออกแล้ว
ทาให้เขาเริ่มรู้สึกวูบ แต่เขาก็มีสติมากพอที่จะยกเท้า
ขึ้นมาข้างหนึ่ง
ข้ารับใช้ชุดเขียวเห็นหยางหนิงยกเท้าซ้ายขึ้นมา ก็ยิ้ม
แบบได้ใจ ตามที่เขาคาดไว้ หยางหนิงกาลังดิ้นทุรน
ทุรายเพราะใกล้ตายแล้ว
เห็นหยางหนิงยื่นมือออกมา จับไปที่เท้าด้านซ้าย
ข้ารับใช้ชุดเขียวไม่ค่อยจะเข้าใจ แต่เห็นหยางหนิง
พลิกมือเข้ามาด้านใน พร้อมกับแสงของมีดสั้น ข้า
รับใช้ชุดเขียวรู้สึกได้ว่ามือของเขาเหมือนจะเบาลง
เส้นลวดขาดเป็นสองท่อน
ข้ารับใช้ชุดเขียวหน้าถอดสี เขาไม่รู้ว่า หยางหนิงซ่อน
มีดสั้นเอาไว้ที่เท้าซ้าย มีดสั้นเล่มนี้คมมาก จะตัดเส้น
ลวดให้ขาดไม่ใช่เรื่องยาก
ครู่เดียว หยางหนิงรู้สึกสบายคอขึ้นมาก เขาหันหลัง
กลับแล้วพุ่งตัวไปหาข้ารับใช้ชุดเขียว
ข้ารับใช้ชุดเขียวนับว่าฝีมือไม่แย่ แม้เขาจะตกใจ แต่ก็
ไม่ได้ตอบสนองช้าแต่อย่างใด เขาย่อตัวลงอย่าง
รวดเร็ว ใช้หมัดชกไปที่ท้องของหยางหนิง น้าหนัก
หมัดของเขาก็พอตัว หยางหนิงถูกชกเข้าไปหนึ่งหมัด
เขารับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่อัดแน่นบริเวณช่วงท้อง
จนทาให้ลมหายใจกระตุก
ข้ารับใช้ชุดเขียวเมื่อชกโดนก็รู้สึกดีใจมาก ทันใด
นั้นเองท้องของหยางหนิงก็ยุบตัวลง ข้ารับใช้ชดุ เขียว
ร้อง “เอ๋” เขาแปลกใจมาก รู้สึกเหมือนว่ากาปั้นของ
เขามันรู้สึกปวด อ่อนแรงขึ้นมา ก็เลยออกแรงให้มาก
ขึ้น
หลังจากทีหยางหนิงถูกชก เขารู้สึกถึงพลังที่แล่นเข้า
มาในท้องของเขา โดยเฉพาะจุดที่ถูกข้ารับใช้ชุดเขียว
ชก มันเหมือนมีหนูเล็กๆ ตัวหนึ่งออกมาจากหมัดนั้น
แล้วเข้ามาวิ่งในช่องท้องของเขา ทาให้รู้สึกทรมาน
ความรู้สึกแบบนี้ เขาเคยเจอมาแล้ว ตอนที่ผู้อาวุโสมู่
ใช้แรงกดลงมาที่ไหล่ของเขา มันก็ความรู้สึกแบบนี้
แต่ครั้งนี้มันเบากว่าครั้งที่แล้วมาก แต่ก็เพียงพอที่จะ
ทาให้คนไม่สบายตัว ทันใดนั้นเอง หยางหนิงก็นึกถึง
การเดินลมปราณ ‘พลังเทพหกประสาน’ ขึ้นมา
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไร พลังเทพหกประสานมีการ
เดินเส้นชีพจรทั้งหมดสิบเอ็ดสาย มันเดินไปทั่ว
ร่างกาย ไม่รู้ว่าข้ารับใช้ชุดเขียวตั้งใจหรือเปล่า ที่ชก
ไปที่จุดชี่ไฮ่บริเวณท้องของหยางหนิง เพราะมันก็เป็น
หนึ่งในสิบเอ็ดชีพจร
หลังจากถูกชก หยางหนิงรู้สึกเหมือนว่าหมัดของ
อีกฝ่ายได้ปล่อยหนูเข้ามาในท้องเขา เหมือนมีหนูเข้า
มาวิ่งที่จุดชี่ไฮ่ มันทรมานมาก
หมัดๆ นี้ไม่ได้แรงมาก แต่หยางหนิงกลับนึกถึงการ
เดินพลังหกเทพประสานได้ ก็เหมือนครั้งที่แล้ว ใน
สมองของเขาเหมือนมีหนูวิ่งเข้ามาที่จุดชีพจร
ลมปราณนั้นเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี เดินไปตามที่
หยางหนิงคิด
ข้ารับใช้ชุดเขียวออกแรงมากขึ้น กาปั้นของเขาเริ่มมี
แรงเพิ่มขึ้น แต่ในพริบตาเดียว หมัดของเขาเหมือนจะ
อ่อนลงอีกครั้ง ทาได้แค่เร่งกาลังให้แรงขึ้น
แต่เขากลับไม่รู้ว่า การที่ตัวเขาเดินลมปราณเพื่อเร่ง
ออกแรงมากขึ้น แรงปะทุเข้าไปที่จุดชี่ไฮ่ของ
หยางหนิง ทาให้หยางหนิงสามารถเดินลมไปที่จุด
ถานจงได้อย่างต่อเนื่อง
แต่ว่าเส้นลมปราณนี้ยังไม่ได้เปิดอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น
พลังภายในจึงเดินได้ช้ามาก มิฉะนั้นเมื่อไรก็ตามที่เขา
ดูดพลัง ข้ารับใช้ชุดเขียวก็จะรู้สึกว่าลมปราณของเขา
หลั่งไหลออกมาเท่านั้น
แต่คนๆ นีค่อน้างฉลาด เขาออกแรงหลายครั้ง แต่
ทุกครั้งก็จะผ่อนแรงลง เขารู้สึกว่ามันผิดปกติ แต่ว่า
จะดึงหมัดกลับมา ก็พบว่าท้องของหยางหนิงเหมือน
อ่างน้าวน ตอนนี้ตัวเขาไม่สามารถดึงมันกลับออกมา
ได้ เมื่อข้ารับใช้ชุดเขียวพยายามจะดึงมันกลับมา
กาปั้นของเขาก็ยิ่งติดอยู่กับท้องของหยางหนิงแน่น
เข้าไปอีก
เขาไม่รู้เลยว่า หากเขาไม่ใช่แรงทั้งหมด จะสามารถดึง
กาปั้นกลับได้ พลังหกเทพประสานเคล็ดลับของมัน
คือ ‘หกเทพประสาน รวบรวมพลังเพื่อปล่อยพลัง’
ขอแค่มีแรงปะทะเข้ามา หกเทพประสานก็จะ
รวบรวมกาลัง หากได้แรงจากภายนอก หกเทพ
ประสานก็จะปล่อยออกมาได้ประสิทธิผลมากขึ้น
หากหยางหนิงสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจ ก็จะ
สามารถหยุด เก็บ ปล่อยได้อย่างอิสระ แต่ในตอนนี้
ข้ารับใช้ชุดเขียวรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว ยิ่งอยู่
ในสภาพแบบนี้จะหยุดก็หยุดไม่ได้ ส่วนหยางหนิงรู้แต่
ว่าต้องเดินลมปราณไปที่จุดถานจง แต่ไม่รู้ว่าต้องหยุด
มันอย่างไร
ตอนนี้ทั้งสองคิดแต่จะป้องกันตัวเอง ไม่มีใครยอมใคร
สถานการณ์ตอนนี้ก็เหมือนเติมน้าในถ้วยชาไม่หยุด
ถ้วยชาไม่อยากรับเพิ่มก็ต้องรับ
แช่แข็งกันอยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้ข้ารับใช้ชุดเขียวจะ
ร้ายกาจมาก แต่พลังภายในสู้มู่เซิ๋นจวินไม่ได้เลย
หลังจากปล่อยให้ลมปราณไหลไปเรื่อยๆ ตอนนี้สีหน้า
ของอีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไป คิดอยากจะยกมือขึ้นเพื่อ
ผลักหยางหนิงออกไป แต่กลับรู้สึกว่าแขนไม่มีแรง
ยกไม่ขึ้นเลย
ข้ารับใช้ชุดเขียวหวาดกลัวมาก พยายามถอยหลัง
มือที่ติดอยู่ที่หยางหนิงก็ดันขึ้นหน้าตลอด เสียง
‘เพล้ง’ ดังขึ้น ข้ารับใช้ชุดเขียวถอยไปชนเก้าอี้ ล้มลง
ไปกับพื้น ทาให้หยางหนิงก็ล้มลงไปด้วย
ไม่นานนัก ก็มีเสียงวิ่งมาจากด้านนอก หลังจากนั้นก็
ได้ยิน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ”
หยางหนิงรู้สึกแค่ว่ามีกลุ่มลมปราณวิ่งอยู่ในตัวของ
เขา ในสมองไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย คิดแค่อยากจะ
เดินลมปราณจากจุดชี่ไฮ่ไปยังจุดถานจง เขาไม่ได้ยิน
เสียงที่ดังมาจากข้างนอกนั่นเลย ได้ยิน ‘ปั้ง’ ประตู
ห้องถูกถีบออก ทหารของเรือนรับรองวิ่งเข้ามาหลาย
คน
เรือนรับรองแห่งนี้เป็นสถานที่ราชการ ไม่เพียงมีข้า
รับใช้คอยรับใช้ ยังมีทหารเวรเฝ้ารักษาการณ์ด้วย
ทหารเหล่านี้ฝีมือไม่ได้แย่ เมื่อได้ยินว่ามีความ
เคลื่อนไหว ก็จะรู้ทันที แล้วก็รีบมา
ทหารห้าหกคนวิ่งเข้ามาในห้อง เห็นหยางหนิงกับ
ข้ารับใช้ชุดเขียวพัวพันกันอยู่ มองหน้ากันก็รู้ทันที
มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “คุ้มครองซื่อจื่อ”
มีสองสามคนวิ่งเข้ามา เห็นข้ารับใช้ชุดเขียวซุกมืออยู่
ที่หน้าท้องของซื่อจื่อ ซื่อจื่อสีหน้าแดงก่า ร่างของ
ทั้งสองสั่นเทา ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีคนพูดว่า
“ดึงพวกเขาออกมาก่อน” ก็มีคนๆ หนึ่งเดินไป
ทางด้านหลังของข้ารับใช้ชุดเขียว พยายามแยก
พวกเขาออกมา
เมื่อมือของเขาวางลงบนไหล่ ออกแรง มือก็ปวดมาก
เหมือนไม่มีแรง เมื่อออกแรงมากขึ้น มือก็ปวดมากขึ้น
ไปอีก
แต่ตอนนี้ไม่ได้คิดไปถูกเนื้อต้องตัวองครักษ์เสื้อแพร
ซื่อจื่อ คิดแค่ว่าไปดึงข้ารับใช้ชุดเขียวออกมาก่อน!
“เร็ว...มีตัวประหลาด...มีตัวประหลาด...!” ทหารที่อยู่
หลังข้ารับใช้ชุดเขียวพูดแบบไร้เรี่ยวแรงว่า “ช่วยข้า
...!”
ทหารคนอื่นๆ เห็นดังนั้น ก็รู้สึกแปลกใจ คิดว่าเจ้าเอง
ก็แรงอย่างกับเสือ ทาไมถึงดึงข้ารับใช้ชุดเขียว
ไม่ออก? แต่เห็นเพื่อนสีหน้าซีดเซียว ร่างกายเริ่มสั่น
ดูผิดปกติ ทหารสองคนเดินขึ้นหน้าไปซ้ายคนขวาคน
เอามือไปวางที่แขนของทหารคนนั้น คิดช่วยเขา
ออกมา
แต่เมื่อออกแรงดึง ทั้งสองก็ปวดแขนจนไม่มีแรง เมื่อ
ออกแรงมือก็ติด จะเอาออกก็ไม่ออก
หยางหนิงรู้สึกว่าลมปราณที่เข้ามาที่จุดชี่ไฮ่เยอะมาก
ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ลมปราณข้ารับใช้ชุดเขียวมันก็
เหมือนมีอะไรมาวิ่งวนอยู่ด้านใน ไม่รู้สึกอะไรมากมาย
ไม่ได้ไหลลื่น แต่ตอนนี้มีลมปราณใหม่เพิ่มขึ้นมา
หยางหนิงรู้สึกว่าการส่งพลังภายในกับเส้นลมปราณ
มันราบรื่นขึ้นมาก
ตอนนี้มีทหารสองคนเข้าไปช่วยดึง หลังจากใช้เวลา
อยู่นานพวกเขาก็เริ่มร้อนรน เมื่อพวกเขายิ่งออกแรง
แขนก็ยิ่งปวด แต่ก็ทาได้เพียงออกแรงดึงให้มากขึ้น
และไม่มีใครคิดที่จะหยุดเลย
ทุกคนในที่นี้ สีหน้าเริ่มซีดเซียว และพูดจาติดอ่าง
“แย่แล้ว มี...มีผี...!”
เหลือทหารคนสุดท้ายที่ยืนดูอยู่ ไม่กล้าเข้าไป ในมือ
กาดาบไว้แน่น ไม่รู้จะทาอย่างไร
ในตอนนั้นเอง ก็เห็นคนๆ หนึ่งเข้ามาในห้อง ร่างกาย
กายาสูงใหญ่ มือถือดาบไว้แน่น เขาคือต้วนชางไห่
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 51 ค่่ำคืนอันน่ำสะพรึง
หลังจากที่ต้วนชางไห่เข้ามาในห้อง เขาก็กวาดสายตา
มอง เห็นกลุ่มคนยืนเรียงต่อกัน สีหน้าก็เปลี่ยนไป เขา
รีบเดินเข้าไป จากนั้นก็ชักดาบออกมา แล้วฟันลงไป
ทันที
แสงดาบสะท้อนมา แขนที่ติดอยู่ที่ตัวหยางหนิงขาด
สะบั้น เลือดพุ่งออกมา ต้วนชางไห่จับแขนของ
หยางหนิงแล้วรีบดึงตัวเขาออกมา
ตั้งแต่เขาลงมือจนกระทั่งดึงหยางหนิงออกมา มันเป็น
เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น รวดเร็วและเด็ดขาดมาก
หลังจากแขนถูกตัดออก ทุกคนต่างก็ล้มลง แต่ละคน
ไร้เรี่ยวแรง เมื่อยล้าและอ่อนแอ และไม่สามารถ
ลุกขึ้นยืนได้
หยางหนิงที่กาลังดูดซับกาลังภายใน กลุ่มลมปราณ
เหล่านั้นกาลังลื่นไหล ตั้งแต่จุดชี่ไฮ่ไปจนถึงจุด
ตันเถียนได้เปิดเส้นชีพจรทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ว่าที่จุด
ตันเถียนมันเคลื่อนที่ดังคลื่นพายุ ทุกครั้งที่ลมปราณ
เข้าสู่ภายใน จุดตันเถียนก็เหมือนถูกเติมเชื้อเพลิงให้
กองไฟ ขณะกาลังทรมานจนถึงที่สุด ลมปราณที่กาลัง
เข้าสู่จุดชี่ไฮ่ก็หยุดชะงักและจางหายไป หยางหนิง
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” ต้วนชางไห่เอา
มือประคองหยางหนิงไว้ เห็นใบหน้าของหยางหนิง
แดงเหมือนก้นลิง ก็ตกใจ รีบพูดว่า “ท่านไม่สบาย
ตรงไหนหรือเปล่า?”
หยางหนิงหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปทาง
ต้วนชางไห่ เมื่อได้สติ ก็พูดว่า “มีคน...มีคนจะฆ่าข้า!”
ตอนนี้ด้านนอกมีคนบุกเข้ามาเพิ่ม เป็นฉีเฟิงที่นา
ทหารคุ้มกันหลายคนมาถึงพอดี เห็นบรรยากาศ
ภายในห้อง ก็ไม่พูดอะไรมาก ชักดาบออกมา
คุ้มกันหยางหนิงในทันที
ทหารของเรือนรับรองตอนนี้ก็ลุกขึ้นมา สีหน้าซีด
เซียว ชายชุดเขียวนอนนิ่งไม่ขยับ ที่แขนยังคงมีเลือด
ไหลออกมาไม่หยุด
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉีเฟิงกาดาบในมือแน่น แล้วมองไป
รอบๆห้อง แล้วจ้องไปที่ทหารคุ้มกันของเรือนรับรอง
คนหนึ่ง “ทาไมที่นี่เป็นแบบนี้? พวกเจ้าคุ้มกันซื่อจื่อ
ประสาอะไร?”
ในเวลานี้ทหารของเรือนรับรองได้แต่อับอาย
เรือนรับรองมีหน้าที่ดูแลขบวนศพมาตลอด แต่เพราะ
มันมีกฎ คนที่สามารถเข้าออกในเรือนรับรองได้มีแต่
แขกสูงศักดิ์เท่านั้น ทหารคุ้มกันทั้งหมดไม่สามารถ
เข้ามาด้านในได้ คนที่ดูแลความปลอดภัยภายในเรือน
รับรองก็จะเป็นทหารของเรือนรับรองทั้งหมด
ขุนนางที่สามารถนาศพมาฝังที่นี่มีไม่มากนัก นาน
หลายปีถึงจะมีขบวนศพมาที่นี่สักครั้งหนึ่ง
เพราะฉะนั้นงานของที่นี่มันเลยค่อนข้างสบาย
แต่ไม่มีใครนึกถึงเลยว่า ในเรือนรับรองแห่งนี้ จะเกิด
การลอบสังหารขึ้น ในตอนที่ฉีเฟิงถามด้วยน้าเสียง
ดุดัน ทาให้ทหารคุ้มกันเหล่านั้นทาอะไรไม่ถูกหนัก
กว่าเดิม
“ฉีเฟิง คุมตัวนักฆ่าเอาไว้!” ต้วนชางไห่เสียงเข้ม
“หลังจากนั้นค่อยสอบสวน”
ฉีเฟิงรีบเดินเข้าไปใช้ดาบพาดไปที่คอของคนๆ นั้น
แล้วใช้เท้าถีบไปหนึ่งที คนๆ นั้นพลิกตัวกลับมา เขา
นอนอยู่บนพื้น ข้างๆ ก็มีคนร้อง “อ๊า” ขึ้นมา สีหน้า
ของนักฆ่าเขียวคล้า ดวงตากลมโต ไร้แวว เหมือนกับ
ตายไปแล้ว
ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก พ่อบ้านชิวพุ่งเข้ามาใน
ห้อง แล้วร้องว่า “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ ซื่อจื่อท่านเป็น
อย่างไรบ้าง?” เห็นต้วนชางไห่นั่งยองๆ ประคอง
หยางหนิงเอาไว้ ก็รีบเดินมา แล้วถามว่า “น้องต้วน
ซื่อจื่อท่าน...?”
สีหน้าของต้วนชางไห่ดุดันมาก จากนั้นก็พูดว่า
“พ่อบ้านชิว พื้นที่เขตพระราชฐาน แต่กลับมีนักฆ่า
ซื่อจื่อเกือบถูกฆ่าแล้ว”
สีหน้าของพ่อบ้านชิวเปลี่ยนไป จากนั้นก็รีบพูดว่า
“ซื่อจื่อไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ต้วนชางไห่พูดว่า “สวรรค์คุ้มครอง ซื่อจื่อแค่ตกใจ
แต่ไม่เป็นไร” แล้วมองไปที่นักฆ่าที่นอนอยู่บนพื้น
“ดูเหมือนเจ้านักฆ่านี่คิดที่จะตาย”
จ้าวอู๋ชางไม่ได้เข้าไปดูนักฆ่า แต่เดินถือเข็มเงินมาที่
โต๊ะ จากนั้นก็ใช้เข็มจิ้มไปที่อาหารว่างบนโต๊ะ
หลังจากนั้นจึงใช้เข็มจุ่มลงไปในถ้วยชา เมื่อเขายกมัน
ขึ้นมา เข็มเงินก็กลายเป็นสีดา สายตาของจ้าวอู๋ชาง
เริ่มมีประกาย แล้วหันไปถามทหารคุ้มกันของเรือน
รับรองว่า “นักฆ่าคนนี้เป็นคนรับใช้ของเรือนรับรอง
หรือ?”
“ไม่ใช่” ทหารคุ้มกันเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกดูด
ลมปราณเป็นคนตอบ “ในเรือนรับรองนี่มีไม่ถึงยี่สิบ
คน ทุกคนรู้จักหน้าค่าตากันหมด นักฆ่าคนนี้ไม่ใช่คน
ของเรือนรับรองแน่นอน”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ด้านนอกมีคนเดินเข้ามา เสื้อผ้า
ไม่ค่อยเรียบร้อย พ่อบ้านชิวมองไป ก็จาได้ว่าเป็น
คนดูแลของเรือนรับรอง เป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ
กรมพิธีการ ก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกันมาบ้างแล้ว ก็
เดินเข้าไปหา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ผู้ดูแลอู๋ มีนักฆ่า
บุกเข้ามาในเรือนรับรอง ซื่อจื่อของเราเกือบไม่รอด
ท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่?”
ถึงแม้พ่อบ้านชิวจะไม่มีตาแหน่งขุนนางอะไร แต่เป็น
พ่อบ้านใหญ่ของจวนองครักษ์เสื้อแพร ตาแหน่งนี้ก็
ไม่เล็กไปกว่าเจ้าหน้าที่กรมพิธีการเลย อีกอย่าง
หยางหนิงก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด น้าเสียงของเขาก็เลย
ไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไร
ผู้ดูแลอู๋หน้าซีด แล้วพูดเสียงหลุดว่า “นักฆ่า?” แล้วก็
รีบเดินขึ้นหน้าไป มองไปที่ทหารคุ้มกันของเรือน
รับรองที่ยืนเงียบอยู่ เขายืนไร้เรี่ยวแรงเหมือนถูก
ฟ้าผ่า จากนั้นก็หันไปมองฉีเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ นักฆ่าที่
นอนอยู่บนพื้น สีหน้าของเขาแย่มาก มือไม้สั่นไปหมด
จากนั้นก็ออกไปตะคอกเหล่าทหารคุ้มกันของเรือน
รับรองว่า “พวกเจ้า...พวกเจ้าเฝ้าเรือนรับรองกัน
อย่างไรหา? นักฆ่า...นักฆ่าคนนี้เข้ามาถึงที่นี่ได้
อย่างไรกัน?”
ฉีเฟิงหันไปมองต้วนชางไห่ แล้วพูดว่า “พี่ต้วน
ท่านพูดถูก เขาตั้งใจจะตาย เมื่อกี้เขากลืนยาพิษลงไป
ตอนนี้ตายแล้ว เราไม่มีงานต้องทาแล้วล่ะ”
“กลืนยาฆ่าตัวตาย คงกลัวว่าเราจะถามหาคนที่อยู่
เบื้องหลังว่าเป็นใครสินะ” ต้วนชางไห่ยิ้มแล้วพูดว่า
“หากข้าเดาไม่ผิด คนที่สั่งพวกเขามา พวกเราน่าจะ
รู้จัก” แล้วก็พูดเสริมอีกว่า “คิดว่าไม่น่าใช่ชาว
เป่ยฮั่น”
จ้าวอู๋ชางพูดว่า “นักฆ่าตั้งใจใช้ยาพิษสังหารซื่อจื่อ
แต่ทาไมสุดท้ายถึงได้ลงมือเองอีกล่ะ”
ฉีเฟิงมองไปที่ผู้ดูแลอู๋ ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ผู้ดูแลอู๋
เรือนรับรองอยู่ภายใต้การดูแลของท่าน นักฆ่าไม่
เพียงเข้ามาในเรือนรับรองได้ แถมยังสวมชุดคนรับใช้
ในเรือนรับรองด้วย มิหน่าซ้ายังยกของว่างน้าชาเข้า
มาถึงในห้องนอนของซื่อจื่อได้ แต่พวกท่านกลับตรวจ
ไม่พบสิ่งผิดปกติเลย หากทางราชสานักทราบเรื่อง
ขึ้นมา ข้าล่ะเป็นห่วงแทนท่านจริงๆ”
สีหน้าของผู้ดูแลอู๋ไม่มีเลือดฝาดเลย เขารู้ดีว่าเรื่อง
ใหญ่ขนาดนี้คงปิดไว้ไม่อยู่ ซื่อจื่อขององครักษ์
เสื้อแพรฐานะสูงส่ง หากตายที่นี่ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่า
คนในเรือนรับรองทั้งหมดอาจจะต้องตายไปพร้อมกับ
เขาด้วย ต่อให้ตอนนี้แค่ตกใจ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่
เรื่องนี้ไม่มีทางจบแค่นี้แน่ๆ ตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่
ทางการเล็กๆ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ตัวเองก็คงไม่รอด
หลังจบเรื่องต้องรับโทษเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็
หวังว่าจะได้รับโทษที่เบาที่สุด ตอนนี้จะต้องแสดง
ท่าทีให้ความร่วมมือกับทางจวนองครักษ์เสื้อแพรก่อน
จากนั้นก็รีบสั่งการ “ห้องเครื่อง จริงด้วย รีบไปดูที่
ห้องเครื่อง”
เหล่าทหารรู้ดีว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่ ทุกคนรีบไปยัง
ห้องเครื่องอย่างรวดเร็ว
“นักฆ่าคนนี้...ร้ายกาจมาก” ทหารคุ้มกันของเรือน
รับรองคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างหวาดกลัว “บนตัวของ
เขามีวิชามาร พวกเรา...พอพวกเราถูกตัวเขา ก็ถูกดูด
พลังไปหมด”
ทหารคุ้มกันคนนี้รู้ว่าพลังถูกดูดออกไป แต่ไม่รู้ว่า
ตัวของนักฆ่าเป็นแค่ตัวแปรเท่านั้น พลังทั้งหมดถูกดูด
เข้าไปยังร่างของหยางหนิง
“ใช่ คนๆ นี้มีวิชามาร วรยุทธ์แบบนี้เราไม่เคยเห็นมา
ก่อน...!” คนข้างๆ รีบพูดเสริม
ต้วนชางไห่ถามจ้าวอู๋ชางว่า “ดูออกไหมว่านักฆ่านี่มา
จากไหน?”
จ้าวอู๋ชางเดินไปรอบๆ ตัวของนักฆ่า ใช่ปลายมีด
เขี่ยไปบนตัวของนักฆ่า แล้วส่ายหน้า “นักฆ่าพวกนี้
คือนักฆ่ามืออาชีพ รับจ้างฆ่าคนโดยเฉพาะ ในยุทธ
ภพมีนักฆ่าอยู่เยอะมาก ก่อการเด็ดขาด ไม่มีการทิ้ง
ร่องรอยอะไรเอาไว้ หากพวกเขาทาสาเร็จ ก็จะหาย
ตัวไปไร้รอ่ งรอย แต่หากพลาด ก็จะฆ่าตัวตายทันที
จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้”
ต้วนชางไห่ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “กล้ามากที่มาลอบ
สังหารซื่อจื่อขององครักษ์เสื้อแพรของเรา ต่อให้ต้อง
บุกน้าลุยไฟ ก็ต้องหาตัวคนบงการออกมาให้ได้”
จากนั้นก็สั่งการ “ซื่อจื่อตกใจมาก อย่าให้เหลืออะไร
ในนี้เด็ดขาด เอาศพออกไป ทาความสะอาดให้
เรียบร้อย...!” จากนั้นก็ถามหยางหนิงว่า “ซื่อจื่อ
ท่านจะเปลี่ยนที่ไหม?”
หยางหนิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ข้า...ข้าไม่เป็นไร”
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อมองไปก็เห็นทหาร
คุ้มกันของเรือนรับรองที่ไปตรวจค้นห้องเครื่อง
กลับมารายงานว่า “เหล่าชิวที่อยู่ห้องเครื่องถูกสังหาร
แล้วชิงเอาชุดมาขอรับ”
ผู้ดูแลอู๋รีบหันไปพูดกับพ่อบ้านชิวว่า “ดูท่าหลังจากที่
นักฆ่าแฝงเข้ามาในเรือนรับรองแล้ว คงเข้าไปในฆ่า
คนในห้องเครื่องก่อน จากนั้นก็สวมรอยเข้ามาที่นี่”
พ่อบ้านชิวพูดด้วยน้าเสียงที่ไม่เป็นมิตร “นักฆ่าแฝง
ตัวเข้ามาในนี้? เรือนรับรองที่นี่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร
มากมาย ประตูทั้งด้านหน้าด้านหลังก็มีคนเฝ้าอยู่หมด
แล้วเขาเข้ามาได้อย่างไรกัน?”
ทันใดนั้นเองจ้าวอู๋ชางก็พูดขึ้นมาว่า “นักฆ่าคนนี้ไป
ฆ่าคนที่ห้องเครื่องก่อน จากนั้นก็แต่งตัวเป็นคนรับใช้
ที่นี่ สามารถหลบสายตาของคนในเรือนรับรอง แล้ว
เข้ามาถึงที่พักของซื่อจื่อง่ายๆ แบบนี้ แสดงว่าจะต้อง
คุ้นเคยกับที่นี่ได้พอสมควร” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้ว
พูดว่า “แม้แต่พวกเรายังไม่สามารถเข้ามาข้างในได้
ง่ายๆ เลย ปกติแล้วก็ไม่มีใครได้เข้ามาที่นี่ง่ายๆ แล้ว
ทาไมนักฆ่าคนนี้ถึงได้รู้จักที่นี่ดีขนาดนี้ล่ะ?”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ สีหน้าของผู้ดูแลอู๋ยิ่งแย่เข้าไป
ใหญ่ เหล่าทหารเรือนรับรองต่างมองหน้ากัน
“ที่นี่ไม่มีทางติดต่อกับนักฆ่าโดยเด็ดขาด” ผู้ดูแลอู๋
เข้าใจความหมายที่จ้าวอู๋ชางต้องการจะสื่อ ก็เลยรีบ
แก้ต่างว่า “หากทุกท่านไม่เชื่อ สามารถตรวจค้นได้
เลย”
“ข้าหมายความว่า คนบงการจะต้องรู้จักเรือนรับรอง
ทีน่ ี่เป็นอย่างดี” สีหน้าของจ้าวอู๋ชางนิ่งอย่างกับหินไม่
แสดงอารมณ์ใดๆ แล้วพูดว่า “คนที่คุ้นเคยเรือน
รับรองแห่งนี้ ไม่ได้มีแค่พวกเจ้า ทุกคนที่เคยเข้ามาที่
เรือนรับรองแห่งนี้ ก็มีสิทธิเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งนั้น”
พ่อบ้านชิวพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ถูกต้อง เรื่องนี้
ปล่อยให้จบง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้ ลอบสังหารซื่อจื่อ เป็น
เรื่องบังอาจมาก จะต้องสืบให้ถึงที่สุด”
เมื่อหามศพของนักฆ่าออกไปแล้ว ก็มีคนเข้ามาทา
ความสะอาดภายในห้อง เนื่องจากว่าเกิดเรื่อง ฉีเฟิง
กับจ้าวอู๋ชางก็ไม่ได้ออกไปจากเรือนรับรองอีก เฝ้าอยู่
หน้าประตูห้องของหยางหนิง ถึงแม้มันจะผิดกฎของ
เรือนรับรอง แต่เพราะสถานการณ์คับขัน ผู้ดูแลอู๋
แม้แต่จะผายลมยังไม่กล้าเลย
พ่อบ้านชิวกับต้วนชางไห่พยุงหยางหนิงมานั่ง เห็น
หยางหนิงสีหน้าแดงก่า ก็มองหน้ากัน พ่อบ้านชิวถาม
อย่างระมัดระวังว่า “ซื่อจื่อ ท่านไม่สบายตรงไหน
หรือเปล่า? ให้คนไปตามหมอมาตรวจดีหรือไม่?”
หยางหนิงส่ายหัว แล้วพูดว่า “พ่อบ้านชิว ท่าน
ออกไปก่อนเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องเป็น
ห่วง”
พ่อบ้านชิวพยักหน้า แล้วก็ออกไป เมื่อเห็นพ่อบ้านชิว
ออกไปแล้ว ต้วนชางไห่ก็พูดเบาๆ ว่า “ท่านซื่อจื่อ
ท่านไม่สบายตัวใช่หรือไม่?”
“หา?” หยางหนิงมองไปที่ต้วนชางไห่ ภายในจุด
ตันเถียนของเขาเลือดลมไม่ค่อยไหลเวียน มันร้อนดัง
ไฟเผาถึงแม้ตอนนี้มันจะลดลงแล้วก็เถอะ แต่บริเวณ
หน้าท้องก็ไม่ค่อยสบายอยู่ดี แม้แต่หัวใจก็เต้นแรง
และเร็วกว่าปกติมาก
“ชีพจรของท่านไม่นิ่ง” ต้วนชางไห่พูดเสียงเบา “หาก
ข้าเดาไม่ผิด จุดตันเถียนของท่านน่าจะทรมานมาก”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 52 อันตรายที่แอบแฝง
หยางหนิงได้ยินต้วนชางไห่พูดดังนั้น ก็รู้ว่าเขาน่าจะ
มองอะไรออกบ้างแล้ว ในใจของเขารู้ทันทีว่าตัวเขา
เองน่าจะหลุดอะไรออกมา หากตัวเขายังฝืนปิดบัง
ต่อไป มันจะยิ่งแย่
ยิ่งคาพูดของต้วนชางไห่ หยางหนิงตอนนี้กาลังเครียด
ว่าจะกาจัดอาการร้อนเหมือนไฟเผาของจุดตันเถียนนี้
ได้อย่างไร
เขารู้ที่จุดตันเถียนเป็นแบบนี้เพราะลมปราณภายใน
ของเขา ถึงแม้ลักษณะความแข็งแกร่งมันจะขึ้นอยู่กับ
กระดูก แต่ว่าเรื่องของกาลังภายในก่อนข้ามเวลามา
เขาก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
การดูดพลังมากักเก็บไว้ที่จุดตันเถียน หยางหนิงแทบ
ไม่รู้เลยว่าจะเคลื่อนย้ายหรือว่าแก้ไขอย่างไร
เขาฉลาดอยู่แล้ว เขารู้ว่ากาลังภายในที่ดูดมามันจะไป
ทับอยู่ที่จุดตันเถียน หากไม่ทาอะไรไม่ดี ก็ไม่มี
อันตรายอะไร
วรยุทธ์ของต้วนชางไห่ร้ายกาจมาก ต้องเคยฝึกเดิน
ลมปราณมาแน่ๆ ตอนนี้สามารถเรียนรู้จากเขาได้
แต่ว่าเรียนวิชาดูดพลังจากคนอื่นมาได้อย่างไร มัน
อธิบายไม่ได้จริงๆ หากตัวเขาเดาไม่ผิด ซื่อจื่อของ
องครักษ์เสื้อแพรไม่รู้วรยุทธ์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝึก
ลมปราณ หากตัวเขามีวรยุทธ์นี้ ต้วนชางไห่จะต้อง
สงสัยแน่ๆ
“ท่านอาต้วน ข้า...!” หยางหนิงกาลังคิดว่าจะแถ
ต่อไปอย่างไร ต้วนชางไห่ยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ ท่านนั่งลงก่อน!”
หยางหนิงเห็นต้วนชางไห่สีหน้าจริงจัง ก็ไม่ได้ลังเล
นั่งลงบนเก้าอี้ ต้วนชางไห่กาหมัดขึ้นมา จากนั้นซัด
ออกมา หยางหนิงตกใจ คิดในใจว่าหรือต้วนชางไห่
จับอะไรได้หรือเปล่า ถึงได้ลงมือกับเขา เมื่อคิดว่าจะ
ตอบโต้ แต่ก็รู้ดีว่าหากเขาทาเช่นนั้นจริงๆ เขาที่ไม่ใช่
คู่ต่อสู้ของต้วนชางไห่ หากต้วนชางไห่สงสัยเขาขึ้นมา
จริงๆ เขาก็จะตกอยู่ในอันตราย
เขาข่มความตกใจของเขาเอาไว้ในใจ ต้วนชางไห่
ซัดฝ่ามือไปที่หน้าอกของหยางหนิง หยางหนิงรู้สึกว่า
ร่างกายสั่นสะเทือน แต่ฝ่ามือที่ซัดมามันไม่รู้สึก
เจ็บปวดเลย แถมยังรู้สึกสบายอีกต่างหาก
ต้วนชางไห่ซัดฝ่ามืออย่หลายที ทุกครั้งก็จะซัดไปที่
จุดถานจง จากนั้นก็เก็บมือ แล้วถามว่า “ซื่อจื่อ รู้สึก
เป็นอย่างไรบ้าง?”
หยางหนิงถอนหายใจ พบว่าอาการร้อนดั่งไฟเผา
หายไปแล้ว ลมปราณที่เคลื่อนไหวดังพายุที่จุด
ตันเถียนเองก็หายไปแล้วเหมือนกัน
“ท่านอาต้วน ข้า...ข้าหายดีแล้ว!” หยางหนิงดีใจมาก
คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ตัวเขากังวลต้วนชางไห่จะสามารถ
จัดการมันได้ในสองสามฝ่ามือเท่านั้น เขามืออาชีพ
จริงๆ ลงมือครั้งเดียวก็จัดการได้หมด
ต้วนชางไห่ส่ายหน้า “ซื่อจื่อ ที่จุดตันเถียนของท่านมี
ลมปราณสะสมอยู่มาก ข้าเพียงแต่ซัดให้มันกระจาย
ตัวชั่วคราวเท่านั้น มันเพียงแก้ปัญหาปลายเหตุหา
ใช่ต้นเหตุไม่”
หยางหนิงตกใจมาก ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “งั้น...ไม่มีวิธี
อื่นแล้วหรือ?”
ต้วนชางไห่อธิบายว่า “หากข้าเดาไม่ผิด จากชีพจร
ของท่านตอนนี้ ข้าว่าท่านไม่เคยฝึกฝนการเดิน
ลมปราณมาก่อน กลุ่มกาลังภายในเมื่อครู่ ซื่อจื่อ
น่าจะดูดของคนอื่นมา”
ยอดฝีมือก็คือยอดฝีมือ!
หยางหนิงรู้สึกนับถือต้วนชางไห่มากขึ้น จากนั้นเขาก็
พูดว่า “จริงๆ ข้าก็ไม่รู้ว่าลมปราณพวกนี้เข้ามาใน
ร่างกายของข้าได้อย่างไร...!”
“ซื่อจื่อท่านไม่จาเป็นต้องบอกข้าหรอกว่าพลังเทพ
แบบนี้มาได้อย่างไร” ต้วนชางไห่พูดขัดเขา “ซื่อจื่อ
ท่านไม่เคยฝึกการเดินลมปราณมาก่อน แต่ตอนนี้ใน
ร่างกายกลับมีพลังลมปราณอยู่มากอย่างน้อยก็มี
ประมาณยอดฝีมือระดับสาม มันอันตรายมาก” เขา
อธิบายต่อว่า “ปกติแล้วการกักเก็บลมปราณแบบนี้
จะต้องฝึกดันมันออกมาจากด้านใน ค่อยๆ ฝึก
โดยมากก็ฝึกกันสามถึงห้าปี มันยากมากที่จะเดิน
ปราณให้วิ่งทะลุไปทั่วร่างกาย ต่อให้มีพรสวรรค์ ก็
ต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการฝึกการเดินลมปราณแบบนี้”
หยางหนิงพยักหน้าเบาๆ รู้ว่าการฝึกเดินลมปราณนั้น
ไม่ง่ายเลย
“การฝึกเดินลมปราณมีหลายรูปแบบ ดังนั้นการเดิน
ลมปราณก็จะแตกต่างออกไปตามรูปแบบของบุคคล”
ต้วนชางไห่พูดอย่างจริงจังว่า “ก็เหมือนกับข้ากับ
ฉีเฟิง ที่เคยฝึกการเดินลมปราณมาก่อน เพราะ
แวดล้อมในการฝึกของเราแตกต่างกัน ลมปราณใน
ร่างกายของเราสองคนก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ลมปราณในร่างกายของข้าเป็นลมปราณที่ผสานไปกับ
ชีพจร แต่หากลมปราณแบบนี้เข้าไปในตัวของฉีเฟิง
มันก็จะเป็นอันตรายกับเขาโดยทันที”
หยางหนิงเริ่มขมวดคิ้ว คิดในใจว่าลมปราณก็มีแบบนี้
ด้วยหรือ
“แต่ว่าหากเป็นยอดฝีมือที่ฝึกมานาน ต่อให้เป็น
ลมปราณที่ต่างกัน ก็สามารถปรับให้มันสมดุลได้ หาก
มีลมปราณสักสิบส่วน หลังจากปรับให้มันสมดุลแล้ว
ก็สามารถเก็บลมปราณได้เจ็ดถึงแปดส่วนเก็บไว้ใช้
เอง” ต้วนชางไห่พูดต่ออีกว่า “ตอนนี้ร่างกายของ
ซื่อจื่อมีลมปราณเจ็ดแปดส่วนผสมกันอยู่ หากท่านฝึก
พลังลมปราณสูงสุด ก็สามารถปรับสมดุลให้กับตัวเอง
ได้ แต่ตอนนี้...!” เขายิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ตอนนี้
ลมปราณในร่างกายของซื่อจื่อ...!”
หยางหนิงเหงื่อเต็มหลัง เมื่อต้วนชางไห่อธิบายมา
แบบนี้ รู้ว่าลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายของเขา
ตอนนี้เป็นอันตราย
“ก็เหมือนกับคนที่ไม่เคยฝึกวิชาดาบ แต่จู่ๆ ก็ได้อาวุธ
เทพมาหนึ่งชิ้น อาวุธเทพมีอนุภาพไร้เทียมทาน...
หากคนที่ใช้มันเป็นยอดฝีมือดาบ แน่นอนว่ามันจะ
ไร้เทียมทานมาก แต่ว่า...แต่ว่าหากตกไปอยู่ในมือของ
คนที่ไม่รู้วิธีใช้ใน มันก็เป็นแค่มีดธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง
เท่านั้น มิหนาซ้าอาจจะทาร้ายตัวเองได้ ซื่อจื่อเข้าใจ
ที่ข้าพูดหรือไม่?” ต้วนชางไห่อธิบายอย่างจริงจัง
“ท่านอาต้วน งั้น...งั้นข้าควรทาอย่างไร?” หยางหนิง
รู้สึกหงุดหงิด “มีทางขับลมปราณพวกนี้ออกไปได้
ไหม?”
ต้วนชางไห่พูดว่า “มีเพียงวิธีเดียว แต่ว่าเราจะทามัน
ไม่ได้เด็ดขาด”
“วิธีอะไร?” หยางหนิงรีบถาม
ต้วนชางไห่พูดอย่างจริงจังว่า “ตัดเส้นเอ็นทิ้ง ทาลาย
จุดตันเถียน สลายกาลังภายในให้หมด”
หา!
หลังของหยางหนิงชุ่มไปด้วยเหงื่อ รีบปฏิเสธวิธีนี้ ต่อ
ให้ไม่รู้วิชากาลังภายใน แต่เมื่อพูดแบบนี้แล้ว มันก็ทา
ให้คนตกใจพอสมควร
“เมื่อทาลายจุดตันเถียนไปแล้ว ก็จะฝึกวรยุทธ์ไม่ได้
อีก ดังนั้นวิธีนี้ใช้ไม่ได้เด็ดขาด” ต้วนชางไห่พูดว่า
“นอกจากนี้ หรือไม่อาจจะ....อาจจะมีอีกคนที่
สามารถดูดพลังภายในของยอดฝีมือได้อย่างซื่อจื่อ
อีกคนก็ได้ ที่สามารถดูดพลังที่จุดตันเถียนออกจาก
ตัวท่านได้”
หยางหนิงคิดว่าพลังเทพหกประสานนั้นมาจาก
วังห้าพิษ ก็ไม่รู้ว่าคนของวังห้าพิษมีคนที่ฝึกฝนวิชานี้
หรือไม่ หากมีคนในวังห้าพิษที่ฝึกพลังเทพหก
ประสานจนสาเร็จแล้ว ตัวเขาจะไปหาก็ไม่ได้อยู่ดี
เพราะถ้าวังห้าพิษรู้ว่าเขาฝึกพลังเทพหกประสานจน
สาเร็จ ก็น่าจะดูดทั้งพลังกับชีวิตของเขาไปด้วยพร้อม
กัน
“ซื่อจื่ออย่าเพิ่งร้อนใจไป” เห็นหยางหนิงสีหน้า
เคร่งเครียด ต้วนชางไห่พูดว่า “ข้าจะหาวิธีช่วยท่าน
แต่จะใจร้อนไม่ได้ ซื่อจื่อ ลมปราณที่อยู่ในจุดตันเถียน
ของท่านมีไม่น้อย ไม่มีการปรับลมปราณให้สมดุล
อะไรทั้งนั้น ดังนั้นตอนนี้มันถูกกักอยู่ที่จุดตันเถียน
แต่ก็ยังถือว่าโชคดี เพราะจุดตันเถียนเป็นสถานที่กัก
เก็บพลังลมปราณอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังไม่มี
อันตรายถึงชีวิต หากลมปราณกลุ่มนี้ถูกกักเก็บไว้ที่
อื่น ชีพจรของท่านคงจะระเบิดนานแล้ว”
หยางหนิงจับแขนของต้วนชางไห่ แล้วพูดว่า “ท่าน
อาต้วน ท่านต้องรีบหาวิธีนะ ข้าไม่อยากตายเพราะ
ลมปราณระเบิด”
“ซื่อจื่อไม่ต้องกลัว” ต้วนชางไห่คิดว่าหยางหนิงแค่
ตกใจ ก็เลยพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะต้องหาวิธีให้
ได้ จริงสิ ซื่อจื่อ ก่อนที่จะหาวิธีการปรับสมดุล
ลมปราณจนเจอ ท่านห้ามไปดูดพลังของใครอีก
ตอนนี้ลมปราณที่จุดตันเถียนของท่านมันน่ากลัวมาก
หากเพิ่มหนึ่งส่วน ก็อันตรายเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน จา
เอาไว้ให้ดีนะ”
หยางหนิงค่อยๆ พยักหน้า ต้วนชางไห่พูดมาแบบนี้
เขารู้สึกว่าจุดตันเถียนก็เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง
จากนั้นก็ถามว่า “ท่านอาต้วน หรือว่าท่านจะสอน
การปรับลมปราณแบบง่ายๆ ให้ข้า ให้ข้าลองดู”
“ไม่ได้เด็ดขาด” เสียงของต้วนชางไห่จริงจังมาก
“ซื่อจื่อ ข้าได้จับชีพจรของท่านดูแล้ว ชีพจรใน
ร่างกายของท่านส่วนใหญ่ลมปราณยังไม่เคลื่อนผ่าน
หากปรับสมดุลลมปราณตอนนี้ มันอันตรายเกินไป
ท่านจะควบคุมลมปราณไม่ได้ มันจะก่อให้เกิด
อันตรายถึงชีวิต อย่างเบาพิการ อย่างหนักก็ตาย
จาไว้ ก่อนที่จะเจอวิธีแก้ ห้ามเดินลมปราณอีก
เด็ดขาด”
ต้วนชางไห่พูดด้วยความจริงจัง น้าเสียงไม่มีความ
ลังเลเลย หยางหนิงเข้าใจดีว่าต้วนชางไห่หวังดีกับเขา
ก็เลยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจะจาไว้”
ต้วนชางไห่ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เมื่อถึงตอนเช้า เราจะ
ไปที่สุสานจงหลิงกัน พรุ่งนี้จะต้องเหนื่อยทั้งวันแน่ๆ
ซื่อจื่อท่านรีบพักผ่อนเถิด เราจะเฝ้าอยู่ด้านนอก”
เขาไม่พูดมาก จากนั้นก็ขอตัวออกไป
ตอนนี้ที่หน้าประตูมีเพียงฉีเฟิงแค่คนเดียวเท่านั้น เมื่อ
เห็นต้วนชางไห่ออกมา ก็ถามด้วยเสียงเบาๆ ว่า
“เหล่าจ้าวออกไปสารวจรอบๆ เรือนรับรอง พี่ต้วน
ซื่อจื่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่เป็นอะไรมาก” ต้วนชางไห่มองแล้วพูดเบาๆ ว่า
“เจ้าเองก็รู้ใช่ไหม?”
ฉีเฟิงพยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นก็เดินเข้ามากระซิบ
ข้างหูต้วนชางไห่ว่า “ข้าจับดูชีพจรของนักฆ่าคนนั้น
ในตัวของเขาไม่มีลมปราณเหลืออยู่ แต่สายตาของ
ซื่อจื่อ หากเดาไม่ผิด คนที่ดูดลมปราณไปไม่ใช่เจ้า
นักฆ่านั่น แต่เป็นซื่อจื่อ!”
“เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้” ต้วนชางไห่เสียง
เข้ม
“ข้าไม่ได้โง่นะ” ฉีเฟิงยิ้มเบาๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้ว
พูดว่า “พี่ต้วน ท่านซื่อจื่อฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไหร่?
เราอยู่ในจวนมาก็หลายปี เห็นซื่อจื่อมาตั้งแต่เด็ก แต่
ไม่เคยเห็นเขาฝึกวรยุทธ์เลยนะ ฆ่าไก่สักตัวก็ไม่เป็น”
แล้วหยุดไป แล้วพูดด้วยน้าเสียงที่เบาลงไปอีกว่า
“วรยุทธ์ของซื่อจื่อ ข้าเองก็ไม่เคยเห็น ทาไมในโลกนี้
ถึงมีพลังเทพที่สามารถดูดลมปราณคนได้ล่ะ?”
“เจ้าไม่เคยได้เห็น แต่ใช่ว่าจะไม่มี” ต้วนชางไห่พูดว่า
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า บนโลกใบนี้มีเรือ่ งแปลกอีก
มากมาย สิ่งที่เจ้าไม่เคยเห็นมีอีกเยอะ” แล้วเหลือบ
ไปมองฉีเฟิง แล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้าเห็นซื่อจื่อเป็น
แบบนี้ เหมือนว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าฝึกวิชาดูด
ลมปราณ หากข้าเดาไม่ผิด ตอนที่เขาฝึก คนที่
ถ่ายทอดวิชานี้เขาน่าจะไม่ได้บอกความจริงกับเขา
...!”
“ถ่ายทอดวรยุทธ์?” ฉีเฟิงตกใจ “พี่ต้วน ท่านบอกว่า
ซื่อจื่อ...พลังของซื่อจื่อมีคนถ่ายทอดให้งั้นหรือ?”
“เจ้าคิดว่าซื่อจื่อเป็นวรยุทธ์นี้มาตั้งแต่เกิดหรือ
อย่างไร?” ต้วนชางไห่พูดกับฉีเฟิงด้วยน้าเสียงไม่ดี
เท่าไร “พลังพิสดารขนาดนี้ ก็ต้องมีคนแอบถ่ายทอด
ให้น่ะสิ แถมยังบอกให้ซื่อจื่ออย่าบอกเรื่องนี้กับใคร
ด้วย ดังนั้นเราก็เลยไม่รู้อะไรเลย”
ฉีเฟิงยิ่งสงสัยหนัก “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? แต่ว่า
ใครจะแอบถ่ายทอดวรยุทธ์ให้กับซื่อจื่อ จวนองครักษ์
เสื้อแพรของเราก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครมี...!” เมื่อเขา
พูดถึงตรงนี้ เสียงก็หยุดไป ร่างกายเริ่มสั่นเทา สายตา
มีความตกใจอย่างมาก จ้องไปที่ต้วนชางไห่ แล้วพูด
ด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “พี่...พี่ต้วน หรือว่าท่านหมายถึง
จะเป็น...เป็นท่าน...ท่าน...!”
“อาจจะเป็นเขาจริงๆ ก็ได้!” ต้วนชางไห่พูดขัดขึ้นมา
สายตาดูมีความตื่นเต้นแฝงอยู่ “หากเขายังมีชีวิตอยู่
จริงๆ องครักษ์เสื้อแพรของเราไม่ตกต่าแน่นอน!”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 53 สายตา
หยางหนิงนอนอยู่บนเตียง ถึงแม้จะรู้สึกอ่อนเพลีย
แต่ก็ยังไม่หลับ
แม้ลมปราณในจุดตันเถียนจะถูกขจัดไปโดย
ต้วนชางไห่ชั่วคราว แต่ว่าการลอบสังหารในคืนนี้ทา
ให้หยางหนิงต้องคิดหนัก
การลอบสังหารในคืนนี้ มันชัดเจนว่ามีการวางแผน
มาแล้วอย่างดี อีกฝ่ายไม่เพียงรู้หมายกาหนดการของ
ตัวเอง การลงมือก็วางแผนมาอย่างเด็ดขาด
หากเขาไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของข้ารับใช้
ชุดเขียว ไม่แน่ว่าตัวเองอาจจะดื่มชาถ้วยนั้นไปแล้ว
ดีที่จ้าวอู่ชางตรวจพบเสียก่อนว่าชาถ้วยนั้นถูกวางยา
พิษเอาไว้
อีกฝ่ายวางแผนใช้พิษเพื่อลอบสังหาร แต่คิดไม่ถึงว่า
ตัวเขาจะจับสังเกตได้ นักฆ่าจึงใช้แผนสอง
ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว หากตัวเขาเป็นทายาทองครักษ์
เสื้อแพรจริงๆ ไม่ได้มีลางสังหรณ์ที่แม่นยา เขาอาจจะ
ถูกเอาชีวิตไปแล้ว
ผู้อยู่เบื้องหลังคนแรกที่เขาสงสัย ก็คือชายชุดเทาที่
กลายเป็นขันทีคนนั้น
จ้าวอู๋ชางพูดไม่ผิด นักฆ่าคุ้นเคยกับเรือนรับรองสุสาน
จงหลิงเป็นอย่างดี ชายชุดเทาดูแล้วก็เหมือนคนใน
วังหลวง สถานที่แห่งนี้ก็เหมือนจะเป็นสถานที่ของ
วังหลวง ในเมื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับวังหลวง อย่างนั้นก็
เป็นไปได้ว่าจะรู้จักสุสานนี้เป็นอย่างดี
หากชายชุดเทาดูออกว่าตัวจริงของเขาคือใคร
แต่ไม่สะดวกที่จะเปิดเผยความจริงเรื่องทายาท
องครักษ์เสื้อแพร การลอบสังหารก็เป็นทางเลือกที่
ไม่เลวนัก
แต่มีอย่างหนึ่งที่หยางหนิงไม่เข้าใจ ไม่ว่าใครจะทา
อะไรก็ตาม มันจะต้องมีเหตุจูงใจ การลอบสังหาร
ซื่อจื่อตระกูลโหวมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ มันจะต้องมี
เหตุจูงใจที่สาคัญและใหญ่มากๆ หรือก็คือ หาก
ทายาทองครักษ์เสื้อแพรถูกสังหารจริง ใครกันที่ได้
ประโยชน์สูงสุด แล้วใครเล่าที่น่าสงสัยที่สุด
เรื่องในคืนนี้ทาให้เขาเกือบตาย ในใจของหยางหนิง
รู้สึกโกรธมาก
หยางหนิงไม่ใช่คนซับซ้อนอะไร เขาเป็นคนง่ายๆ
มีบุญคุณก็ทดแทน มีแค้นก็ชาระ
หากไม่มาหาเรื่องข้า ข้าก็จะไม่หาเรื่องเจ้า หากมาหา
เรื่องข้า ข้าก็ต้องตอบโต้!
ถึงแม้เป้าหมายของนักฆ่าคือทายาทองครักษ์เสื้อแพร
แต่ก็ทาให้ตัวเขาเองเกือบต้องตาย มันคือการข่มขู่
โดยตรงมาถึงตัวเขา แม้หยางหนิงจะยังคงคิดที่จะ
แอบหนี แล้วปล่อยตาแหน่งทายาทองครักษ์เสื้อแพร
นี้ไป แต่ว่าตอนนี้เขากลับอยากจะหาคนร้ายตัวจริงที่
คิดสังหารเขาก่อน
ตัวเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด เขาไม่มีทางให้อีกฝ่ายอยู่
อย่างสงบสุขเป็นแน่
คาเตือนของต้วนชางไห่ ทาให้หยางหนิงไม่ค่อยสบาย
ใจ พลังเทพหกประสานจะดูดพลังลมปราณของ
คนอื่น ตามที่ต้วนชางไห่พูด ลมปราณในร่างกายเขา
คือยอดฝีมือระดับสามแล้ว หยางหนิงไม่รู้ว่ายอดฝีมือ
ระดับสามมันคือระดับไหน แต่ว่าสิ่งที่เขามั่นใจคือ
ลมปราณกลุ่มนี้ไม่มีทางสลายได้ในหนึ่งวัน แล้วตัวเขา
เองก็จะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
ต้วนชางไห่บอกว่าจะหาทางแก้ให้เขา ตอนนี้ก็หวัง
พึ่งได้แค่เขาคนเดียว แต่ก่อนจะแก้ไขเรื่องนี้ได้
สถานการณ์มันออกจะอันตรายเกินไป คงจะต้อง
สวมรอยเป็นซื่อจื่อต่อไป
คืนนี้หยางหนิงนอนพลิกตัวไปมา เพราะนอนไม่หลับ
วันต่อมาตอนเช้ามืด ก็มีคนมาเคาะประตูเรียก ขบวน
ศพออกเดินทางแต่เช้า เพื่อไปยังสุสานจงหลิง
งานศพของผู้ดีมีตระกูลเป็นอะไรที่ซับซ้อนวุ่นวาย
หยางหนิงถึงแม้ไม่ต้องออกแรงอะไรมาก แต่ตลอด
ทั้งวัน พิธีการต่างๆ ที่มีมากมาย เขาก็ยังต้องทาอย่าง
เต็มที่
นอกจากการฝังศพลงที่สุสานจงหลิงแล้ว เนื่องจาก
หลุมศพของท่านเหล่าโหวก็ฝังที่นี่เช่นกัน ดังนั้นก็เลย
จาเป็นต้องไปไหว้เคารพศพของท่านเหล่าโหวด้วย
แคว้นฉู่สามารถมีสองพ่อลูกถูกฝังในสุสานจงหลิง
ด้วยกัน ถือเป็นเกียรติยศสูงสุด มันแสดงให้เห็นว่า
ตลอดเวลาที่ผ่านมาองครักษ์เสื้อแพรนั้นมีบารมีมาก
แค่ไหน
จนถึงดึกดื่น พิธีทั้งหลายจึงเสร็จสิ้น แต่ว่าในส่วนของ
งานศพฉีหุ้ยจิ่งยังไม่เสร็จ ตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อ
ขบวนศพกลับไปถึงจวนองครักษ์เสื้อแพร ยังต้องทา
พิธีอีกเจ็ดวันเจ็ดคืน เรียกพิธีนี้ว่าพิธีบูชาภูตผี เมื่อจบ
พิธีบูชาภูตผีแล้ว งานศพจึงจะถือว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์
ขบวนติดตามไม่ได้เสียเวลาที่สุสานจงหลิงนานนัก
ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ทุกคนต่างอ่อนเพลียมาก
จึงออกมาพักอยู่ที่นอกสุสานจงหลิง พักอยู่จนเช้า
จากนั้นก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวงในทันที ตอนนี้
ฟ้ามืดแล้ว กู้ชิงฮั่นเองก็เตรียมทุกอย่างไว้ที่จวนพร้อม
แล้ว จึงเริ่มพิธีบูชาภูตผีตั้งแต่คืนนั้นเสียเลย
คนในจวนทุกคนจะไปไหนไม่ได้เลยในสามวันแรก
หยางหนิงในฐานะลูกชายคนโตและเป็นลูกเมียแต่ง
ยิ่งไม่สามารถออกไปไหนได้เลย ต้องอยู่อย่างนี้ตลอด
สามวัน ร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแรงมากนัก หลังจาก
สามวัน ตัวเขาก็อ่อนล้าจนแทบทนไม่ไหว
ยังดีที่หลังจากพ้นสามวันไปแล้ว คนในตระกูลจะ
สามารถออกไปไหนมาไหนได้ โดยทิ้งให้นักพรตอยู่ทา
พิธีที่ห้องโถงแทน
พอผ่านมาหลายวัน หยางหนิงรู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัวมาก
เลยรีบอาบน้าแล้วล้มตัวลงนอนที่เตียงนุ่มๆ เขานอน
หลับสนิท จนไม่รู้เลยว่าหลับไปนานแค่ไหน เมื่อตื่น
ขึ้นมา ก็รู้สึกมีกาลังขึ้นมาก หลังจากกระโดดลงจาก
เตียง เขาก็สวมเพียงกางเกง แล้วยืดเส้นยืดสาย รู้สึก
ได้ว่าร่างกายแข็งแรงขึ้นเยอะ
เมื่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ก็เห็นท้องฟ้าแจ่มใส
แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงพลบค่าหรือรุ่งสาง เขารู้สึก
หิวจนท้องร้อง กาลังคิดว่าจะให้คนไปหาอะไรมาให้
กิน ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง “หนิงเอ๋อร์
เจ้าตื่นแล้วหรือ?”
หยางหนิงตกใจ แล้วมองไปรอบๆ เห็นกู้ชิงฮั่นอยู่ใน
ห้อง ไม่รู้ว่านางมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้นาง
สวมชุดที่พอดีตัว มีเสื้อทับสีม่วง เอนกายอยู่บนเก้าอี้
ตัวใหญ่ ใช้มือหนึ่งรองแก้มหอมๆ ของนาง ผมสีดาที่
ไล้ลงไปตามใบหน้า ชุดสีม่วงของนางทาให้เห็น
สัดส่วนชัดเจน แสงไฟที่ถูกจุดขึ้นมานั้นเมื่อตกกระทบ
ไปยังชุดของนาง ก็ทาให้นางดูราวกับนางเงือกที่นอน
อยู่ริมชายหาด
ดูเหมือนว่านางจะเพิ่งตื่น ใบหน้าที่สวยงามพร้อม
ท่าทีขี้เกียจแต่กลับดูมีเสน่ห์ นางลุกขึ้นมายืดแขน
เรียวขึ้นบิดขี้เกียจ ด้วยท่าทางเช่นนี้ทาให้เสื้อทับ
เกือบจะเปิดออกเผยให้เห็นหน้าอกอวบอิ่มของนาง
หยางหนิงใจเต้นแรง รู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนขึ้นมา
นิดหน่อย แอบคิดในใจว่าหุ่นของนางนั้นดูอ้อนแอ้น
กว่าตอนที่สวมชุดไว้ทุกข์ พอถอดชุดไว้ทุกข์ออกแล้ว
ทั้งเอวและอกอิ่มที่บิดไปมานั้น ก็ดูงดงามและยั่วยวน
กว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก มันเต็มไปด้วยเสน่ห์แบบ
ผู้ใหญ่
ตามหลักแล้ว พิธีบูชาภูตผีในสามวันแรก จะต้องถอด
ชุดไว้ทุกข์ออกเป็นชุดธรรมดา ไม่อย่างนั้นมันจะไม่
เป็นมงคล
“ซานเหนียง ท่าน...ทาไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
หยางหนิงที่เปลือยอกอยู่ รีบคว้าเสื้อคลุมมาคลุมตัว
ของเขาไว้
กู้ชิงฮั่นมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วยิ้มออกมาก่อน
จะพูดว่า “ฟ้าใกล้สว่างแล้ว หนิงเอ๋อร์ ข้าจะให้คน
เตรียมอาหารให้เจ้า” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ต้วนชางไห่
บอกข้าว่า เจ้าเจอคนบุกไปลอบสังหารที่เรือนรับรอง
ของสุสานจงหลิง ข้าเป็นห่วงมาก มาดูเจ้าตั้งหลาย
ครั้ง อยากจะถามเจ้าว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่เจ้า
ก็ยังไม่ตื่นเสียที เมื่อคืนนี้ที่ข้ามา เจ้าก็ยังหลับอยู่
ปากก็ละเมออะไรออกมาไม่รู้ ข้าเป็นห่วงว่าเจ้า
ตื่นมาแล้วจะหิว ดังนั้นข้าจึงคิดที่จะรอเจ้าตื่นมา
เสียก่อน คิดไม่ถึงว่าข้าจะเผลอหลับไปด้วย...!”
หยางหนิงหันตัวกลับมา ถึงแม้จะเห็นว่ากู้ชิงฮั่นจะมี
หน้าตาสวยงาม แต่ว่าสีหน้าของนางก็ไม่ค่อยดีนัก
ในจวนที่ใหญ่โตขนาดนี้ มีคนในจวนนับร้อย มีคนที่ดู
อ่อนแอแบบนี้ดูแล โดยเฉพาะหลังจากที่ฉีหุ้ยจิ่งตาย
ไป ภายในภายนอกวุ่นวายไปหมด กู้ชิงฮั่นจะต้องมี
แรงกดดันมากแน่นอน แต่ยังสามารถยื้อมาจนถึง
ตอนนี้ได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ
ตระกูลใหญ่ขนาดนี้ มีกลุ่มผู้ชายตัวใหญ่อยู่กันเต็มไป
หมด แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้หญิงตัวเล็กๆ
แบบนี้ หยางหนิงรู้สึกหดหู่ จากนั้นก็พูดอย่าง
อ่อนโยนว่า “ซานเหนียงไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยใช่ไหม?
เหนื่อยมากเกินไปใช่หรือเปล่า”
“หนิงเอ๋อร์เป็นห่วงคนอื่นด้วยหรือ” กู้ชิงฮั่นยิ้มอย่าง
อ่อนโยน แล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงซานเหนียง
สีหน้าข้าดูดีออก เรื่องอะไรก็ผ่านมันไปได้”
“งานศพใกล้เสร็จแล้ว ต่อไปท่านจะต้องพักเยอะๆ
หากมีเรื่องอะไรที่ข้าทาได้ ท่านจะให้ข้าทาก็ได้”
หยางหนิงพูด “ข้าโตแล้ว จะให้มานั่งกินนอนกินเฉยๆ
ไม่ทาอะไรเลย อย่างนั้นจะต่างอะไรกับพวกเขาเล่า?”
กู้ชิงฮั่นตกใจ สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม แล้วพูด
ด้วยน้าเสียงที่อ่อนโยนว่า “หนิงเอ๋อร์โตแล้วจริงๆ
หากท่านแม่ทัพรู้ จะต้องตายตาหลับเป็นแน่” จากนั้น
ก็กุมมือของหยางหนิง มองไปที่เขาแล้วพูดว่า
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่? มีตรงไหน
ไม่สบายบ้างไหม?”
หยางหนิงได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนจากกู้ชิงฮั่นอีกครั้ง
จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียงไม่ต้องเป็นห่วง
ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ฝีมือของนักฆ่าไม่เท่าไร คิดจะฆ่าข้า
ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
“ยังจะมายิ้มอีก” กู้ชิงฮั่นตบไปที่หน้าอกของเขาเบาๆ
จ้องไปที่หน้าของหยางหนิง แล้วพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้
ไม่รู้อะไรสาคัญไม่สาคัญเลยหรือ? ต่อไปต้องระวังตัว
ให้มากกว่านี้ เพิ่งจะถูกลักพาตัวไป ครั้งนี้ก็มาถูกลอบ
ฆ่าอีก หนิงเอ๋อร์ คนที่คิดร้ายมีอยู่เยอะ ต่อไปต้อง
ระวังให้มากกว่านี้”
จมูกของหยางหนิงได้กลิ่นหอมมาจากร่างของกู้ชิงฮั่น
ในใจก็เต้นแรง จากนั้นก็เห็นกู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “คนที่เรือนรับรองนั่นหนีความผิดไม่พ้น ความ
ปลอดภัยของเจ้าแค่นี้ก็คุ้มกันไม่ได้ จะต้องถูกลงโทษ
อย่างแน่นอน แต่ว่า...ใครกันนะที่คิดจะลงมือกับ
เจ้า?”
“ซานเหนียงวางใจได้ ใครที่แทงข้างหลังข้า ข้าจะต้อง
สืบจนถึงที่สุด” หยางหนิงยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ข้าจะ
ไม่ปล่อยให้มันลอยนวลไปมีความสุขอย่างแน่นอน”
“เจ้าจะไปสืบ?” กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจะสืบ
อะไรได้?”
หยางหนิงจงใจพูดว่า “ซานเหนียง ท่านดูถูก
หนิงเอ๋อร์? หนิงเอ๋อร์ไร้ความสามารถขนาดนั้นเลย
หรือ?” พูดจบก็ทาหน้าแบบเศร้าๆ
กู้ชิงฮั่นรีบพูดขึ้นมาว่า “ซานเหนียงไม่ดีเอง
ซานเหนียงพูดผิดไป หนิงเอ๋อร์เป็นถึงผู้สืบทอด
ตาแหน่งองครักษ์เสื้อแพร แน่นอนว่าย่อมไม่ไร้
ความสามารถ จะต้องทาสิ่งที่ยิ่งใหญ่สาเร็จได้แน่”
หลายวันมานี่ หยางหนิงมีความเปลี่ยนแปลงไปเยอะ
มาก ดูมีสติมากกว่าแต่ก่อน ทาให้กู้ชิงฮั่นรู้สึกดีใจมาก
ซึ่งนางคิดเหมือนกับต้วนชางไห่ ที่เข้าใจว่าหยางหนิง
น่าจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง ซึ่งมันได้
ดึงความมั่นใจของหยางหนิงออกมา
“จริงสิ เงินจากเจียงหลิงมาถึงหรือยัง?” หยางหนิง
ถาม “นี่มันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว โรงรับจานาของ
พวกเรายังอยู่ในมือของโรงรับฝากเงินนี่”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่มีข่าวส่งมาเลย ก็ได้แต่หวังว่าระหว่างทางจะไม่เกิด
อะไรขึ้น แม้ว่าคราวก่อนจะเสียเวลาไปบ้าง แต่ก็ไม่
นานถึงเพียงนี้ ข้าส่งคนไปดูที่เจียงหลิงแล้ว คิดว่า
อีกสักสองสามวันก็น่าจะได้ข่าวอะไรบ้าง” จากนั้น
นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อร์ช่วยซานเหนียง
แบ่งเบาภาระได้แล้วจริงๆ ต่อไปงานของซานเหนียงก็
คงเบาลงเยอะ”
หยางหนิงยิ้มให้กับใบหน้าอันสวยงามราวกับผล
ลูกท้อของนาง ริมฝีปากสีแดงอ่อนราวกับผลเชอร์รี
สุก หัวใจของเขาสั่นไหวเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะจ้อง
มองนาง กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงมองมาที่ตน นางกาลัง
คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเองนางกลับรู้สึก
แปลกไป หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นมา ใบหน้าขึ้นสี
แดงระเรื่อ นางรีบดึงมือออกมาจากอกของหยางหนิง
จากนั้นก็พูดว่า “ข้า...ข้าจะไปเตรียมอาหารให้เจ้า
ก่อน”
หยางหนิงสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขายิ้มอย่าง
เขินอาย จากนั้นก็หันหลังกลับไป กู้ชิงฮั่นเองก็หัน
หลังเดินออกจากห้องไปเช่นกัน นางหันกลับมามอง
หยางหนิงครู่หนึ่ง พลันรู้สึกได้ว่าใบหน้าของนางเห่อ
ร้อนราวกับมีไข้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางเห็นหยางหนิงเป็นเด็กน้อย
มาตลอด แต่เสี้ยววินาทีนั้น กลับพบว่าสายตาของ
หยางหนิงไม่เหมือนเดิม มันคือสายตาที่ชายหนุ่มที่
มองหญิงสาว นางเพิ่งจะมารู้สึกอ่อนไหว ก็หลังจาก
ออกมาจากห้องแล้ว สองมือก็จับไปที่ใบหน้าของ
ตัวเอง ในใจก็คิดว่า “หนิงเอ๋อร์โตเป็นหนุ่มแล้วจริงๆ
บางที...บางทีอาจต้องระวังมากกว่านี้ สายตาเมื่อกี้
...!” แล้วก็คิดอีกว่า “หนิงเอ๋อร์โตแล้ว จะเริ่มคิดเรื่อง
ผู้หญิงก็ไม่แปลก คงถึงเวลาที่เขาจะต้องแต่งงาน แต่ที่
น่ารังเกียจกว่านั้นก็คือการกลับคาของเจ้าซูเจินนั่น
มันไม่ใช่เรื่องเลยจริงๆ...!”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 54 หมาขี้เรื้อน
อาหารเช้ากู้ชิงฮั่นไม่ได้เป็นคนมาส่งให้ด้วยตัวเอง
แต่กลับให้สาวใช้ในจวนเป็นคนมาส่งแทน หยางหนิงรู้
เพียงว่าเขาไม่ทันระวังตัว ทาให้กู้ชิงฮั่นตระหนักถึง
บางอย่างได้ ในใจเขาแอบคิดว่าผู้หญิงคนนี้หาใช่
คนเหลาะแหละไม่ เขาจะต้องระวังตัวให้มากกว่านี้
นิสัยและการปฏิบัติตัวของกู้ชิงฮั่น ทาให้หยางหนิง
รู้สึกนับถือจากใจจริง แต่ไม่ว่าใครก็ยังคงรักในสิ่ง
สวยงาม และรูปลักษณ์ที่สวยงามรวมถึงหุ่นที่ดูดีของ
กู้ชิงฮั่น ทาให้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะไม่หวั่นไหวกับ
นาง แต่หยางหนิงก็รู้ดีว่า ถ้าเขายังประมาทเกินไป
เกรงว่ากู้ชิงฮั่นจะเว้นระยะห่างระหว่างนางกับเขาใน
อนาคต
กู้ชิงฮั่นเป็นห่วงเขามาก ราวกับพี่สาวแท้ๆ ในใจของ
หยางหนิงรู้สึกดีกับความอบอุ่นเช่นนี้ และไม่อยาก
จะต้องห่างเหินหรือแตกหักกันเพราะเรื่องเชิงชู้สาว
แบบนี้
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว หยางหนิงก็เดินไป
รอบๆ จวนทันที
เขาตัดสินใจแล้วว่า เขาต้องสวมรอยเป็นทายาท
องครักษ์เสื้อแพรไปอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งเขาจาเป็น
จะต้องทาความคุ้นเคยกับจวนองครักษ์เสื้อแพรนี้
เสียก่อน
แต่ว่าจวนองครักษ์เสื้อแพรมันใหญ่มากกว่าที่เขาคิด
เอาไว้ มีทั้งเรือนด้านหน้า ห้องโถงกลาง เรือนด้าน
ตะวันตกและตะวันออก ทั้งยังมีสวนด้านหลัง
นอกจากนี้ยังมีคอกม้าแล้วก็สนามฝึกอีกต่างหาก
องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองรุ่นต่างก็เป็นนักรบ ในจวนจึง
สร้างสนามฝึกขึ้นมา ปกติเอาไว้ฝึกทหาร แถมในจวน
ยังมีทหารคุ้มกันอีกจานวนหนึ่งรวมๆ แล้วราวสามสิบ
คน แต่ละคนล้วนเป็นวรยุทธ์ ซึ่งคนเหล่านี้ยังคงฝึก
วรยุทธ์กันอยู่ทุกวัน
หยางหนิงที่สวมใส่เสื้อผ้าและเข็มขัดหยกชุดใหม่
ทาให้เขาดูสง่างามมากในตอนนี้
เมื่อเดินไปตามทางด้านตะวันตก ที่สองข้างทางนั้น
เต็มไปด้วยต้นหญ้าเขียวชอุ่ม บรรยากาศสวยงาม
อีกทั้งร่องน้าตามทางก็มีน้าใสสะอาดตายิ่งนัก
“ข้ารอไม่ไหวแล้ว!” ขณะที่หยางหนิงกาลังอารมณ์ดี
อยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคารามดังขึ้น เขามองไปตาม
เสียงนั้น ด้านหน้ากลับเห็นแต่กระถางดอกไม้เรียง
เป็นแถวอยู่ ถึงแม้จะเป็นปลายฤดูใบไม้ผลิ และไม่รู้ว่า
ดอกไม้ในกระถางมีพันธุ์อะไรบ้าง แต่มันก็ยังคงมี
สีเขียวชอุ่ม หยางหนิงได้ยินเสียงนั้นก็รู้ทันทีว่า นั่นคือ
เสียงของฉีอวี้
ถึงแม้สองสามวันมานี้จะเจอฉีอวี้บ้างเป็นครั้งคราว
แต่ทั้งสองแทบจะไม่คุยกันเลย ส่วนฉีอวี้ก็ชักสีหน้า
ตลอดเวลา เหมือนกับว่าคนทั้งโลกติดเงินเขาอยู่อย่าง
นั้นแหละ
หยางหนิงขมวดคิ้ว ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเสียง
ของฉงอี๋เหนียงพูดขึ้นมาว่า “พ่อคุณของแม่ เจ้าเสียง
เบาหน่อยได้ไหม หน้าต่างมีหูประตูมีช่องนะ ตอนนี้
เขามีสติมากๆ คนในจวนประจบประแจงเขาอย่างกับ
อะไรดี หากมีใครได้ยินเข้า มันจะเข้าหูของเขาเอาได้
นะ”
“เข้าหูเขาแล้วอย่างไร?” ฉีอวี้ยิ้มเย้ยหยันแล้วพูดว่า
“สิบกว่าปีมาแล้ว ข้าทนมาพอแล้ว เขามีสิทธิ์อะไรมา
เหยียบหัวข้า? ก็เพราะนางแพศยานั่นเป็นเมียแต่งแค่
นั้นน่ะหรือ?” เสียงเย็นชาพูดขึ้นมาว่า “จะว่าไป
ก็เป็นเพราะท่านนั่นแหละ ทาไมท่านจะต้องมาเป็น
อนุของคนๆ นั้นด้วย? ทาไมท่านต้องคลอดข้าออกมา
ด้วย? ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องมาถูกหยาม ต้องมาถูก
เจ้าปัญญาอ่อนนั่นเหยียบหัวแบบนี้”
หยางหนิงยิ้มเยาะในใจ
เขารู้ว่าฉีอวี้ไม่พอใจที่ตัวเองเกิดมาเป็นลูกอนุอยู่
ตลอดเวลา ในใจของฉีอวี้ คิดว่าตัวเขาเหมาะสมที่สุด
ที่จะเป็นผู้สืบทอดขององครักษ์เสื้อแพร แต่เพราะว่า
ฐานะของเขา จึงทาได้แค่มองตาแหน่งองครักษ์
เสื้อแพรเท่านั้น
“เพี้ยะ!”
เสียงเหมือนมีคนถูกตบดังขึ้น จากนั้นได้ยินเสียงที่
พยายามกดให้ต่าลงของฉงอี๋เหนียงด่าว่า “เจ้ามันสวะ
ข้าบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้ว ตัวอักษรด้านบนของคาว่า
อดทนก็คือตัวอักษรที่แปลว่ามีด ขอแค่อดทนได้ ก็จะ
มีวันที่ฟ้าเปิดกว้าง ดูเจ้าตอนนี้สิคุมอารมณ์แทบไม่ได้
แล้วจะทาการใหญ่ได้อย่างไรเล่า?”
“ทนทนทน ท่านจะให้ข้าทนอีกนานแค่ไหนกัน?”
ฉีอวี้พูดโด้วยความโกรธ “ตอนแรกคิดว่าเขาจะไม่รอด
กลับมา อีกอย่าง...หากเขาตายข้างนอก ตาแหน่ง
องครักษ์เสื้อแพรก็จะเป็นของข้า ตอนนี้ถึงเขาจะ
ปัญญาอ่อน ข้าก็ทาได้แค่ยืนมองเขาสืบทอดตาแหน่ง
โหวไป”
“เจ้าจะใจร้อนไปทาไม?” ฉงอี๋เหนียงยิ้มเย้ยหยันแล้ว
พูดว่า “ราชสานักยังไม่มีราชโอการลงมา ซื่อจื่อ
ไม่อาจเทียบตาแหน่งโหวได้ ก่อนที่เขาจะได้รับ
ตาแหน่งองครักษ์เสื้อแพร ใครจะกล้ารับประกันว่า
ตาแหน่งโหวจะเป็นของเขา ยิ่งในเวลาแบบนี้ เจ้าก็
ควรจะนิ่งเข้าไว้ จะมาเสียเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้
ไม่ได้” จากนั้นก็พูดต่อว่า “มีเพียงชัยชนะในครั้ง
สุดท้ายเท่านั้น ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริง
เรื่องนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หยางหนิงทาสายตาเจ้าเล่ห์ขึ้น เขารู้ว่าสองแม่ลูกนี่
ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา ก่อนหน้านี้แย่งตาแหน่ง
ทาหน้าที่ลูกกตัญญู ดูแล้วก็คงอยากจะมาแทนที่
คิดจะสืบทอดตาแหน่งองครักษ์เสื้อแพร
พอมาคิดๆ ดูแล้ว หากไม่ใช่ว่าเขาสวมรอยเป็น
ทายาทองครักษ์เสื้อแพรกลับมายังจวน จากคาให้การ
ของสองแม่ลูก ตาแหน่งขององครักษ์เสื้อแพรดูท่าจะ
กลายเป็นของฉีอวี้จริงๆ
ฐานันดรศักดิ์องครักษ์เสื้อแพรสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น
ตามลาดับแล้ว หากลูกชายของเมียแต่งตายไป ลูกอนุ
เองก็มีสายเลือดของฉีหุ้ยจิ่ง ก็ต้องมีสิทธิสืบทอด
ตาแหน่งแน่นอน
แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า การที่นักฆ่าสืบหาจนเจอตัวเขาที่
เรือนรับรองจงหลิง จะเป็นไปได้ไหมว่าเกี่ยวข้องกับ
สองแม่ลูกนี่?
หากมองจากเหตุจูงใจ ถ้าเขาถูกสังหารตายจริงๆ
คนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดก็น่าจะเป็นฉีอวี้ เห็น
พวกเขาทาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตาแหน่งผู้สืบทอดมา
นักฆ่าคนนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับพวกเขาก็ได้
หยางหนิงคิดจะหาคนบงการเบื้องหลังอยู่แล้ว เขาเอง
ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะลงมือแล้วไม่
สาเร็จ ก็จะต้องไม่เงียบไปเฉยๆ แน่ คิดว่าน่าจะลงมือ
อีกครั้ง ตัวเขาเองก็ไม่จาเป็นต้องออกไปตามสืบ ขอ
แค่ระวังให้มากก็พอ เพื่อให้อีกฝ่ายเผยพิรุธออกมาเอง
พวกของต้วนชางไห่ถือได้ว่าซื่อสัตย์และภักดีมาก
ไม่ว่าจะเป็นต้วนชางไห่ ฉีเฟิงหรือจ้าวอู๋ชาง ทั้งหมด
ล้วนไว้ใจได้ เขามีคนพวกนี้คอยช่วย จะหาตัวผู้บงการ
ก็ง่าย
แต่ตอนนี้กลับคิดว่า ก่อนหน้าพิธีศพ ฉีอวี้น่าจะไม่เคย
มีโอกาสได้ไปที่เรือนรับรองจงหลิง ถึงแม้สองแม่ลูก
จะดูมีแผนร้าย แต่หยางหนิงไม่คิดว่าพวกเขาจะ
วางแผนได้รัดกุมขนาดนี้ ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้ว่า
ฉีอวี้คือผู้อยู่เบื้องหลัง แม้ตอนนี้จะไม่มีหลักฐาน แต่ก็
ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเขา
“เราจะชนะได้อย่างไร?” น้าเสียงของฉีอวี้ดูร้อนรน
“ภายในหนึ่งเดือน ราชสานักจะต้องมีราชโองการ
ลงมา ถึงตอนนั้นตาแหน่งองครักษ์เสื้อแพรก็จะเป็น
ของเขา รอถึงตอนนั้นมันก็สายเกินไปแล้ว”
ฉงอี๋เหนียงยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “เจ้าลูกโง่ สายเกินไป
อะไรกัน? ยังเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ
อย่างไร? เราไม่มีทางให้เขาได้ตาแหน่งโหวไปแน่ๆ
ต่อให้เลวร้ายที่สุด เขาได้ตาแหน่งองครักษ์เสื้อแพรไป
แต่ตราบใดที่เขาไม่มีทายาท เจ้าก็ยังคงเป็นสายเลือด
ของท่านโหวอยู่ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตาแหน่งก็
ต้องเป็นของเจ้าอยู่ดี”
หยางหนิงคิดในใจว่า หญิงม่ายคนนี้ร้ายนัก
“ท่านแม่ ท่านคิดออกแล้วใช่หรือไม่ว่าจะทา
อย่างไร?” ฉีอวี้ได้ยินดังนั้นก็รีบพูด “ท่านรีบบอกข้า
มา พวกเราควรทาอย่างไร?” แล้วพูดต่อไปว่า
“ท่านก็รู้ เมื่อข้าได้เป็นองครักษ์เสื้อแพร ท่านถึงจะมี
โอกาสได้เป็นเก้ามิ่งฟูเหริน มิเช่นนั้นแล้ว...ท่านก็
เป็นได้แค่ฮูหยินรองเท่านั้น!”
“แม่จะได้เป็นเก้ามิ่งฟูเหยินหรือไม่ไม่สาคัญ ทุกอย่าง
ก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น” ฉงอี๋เหนียงพูดว่า “เราแม่ลูกทน
อดสูมานานหลายปี วันไหนที่เจ้าได้เป็นองครักษ์
เสื้อแพร เราก็จะได้ระบายความอัดอั้นนั้นออกมา”
“กู้ชิงฮั่น!” ฉีอวี้พูดด้วยน้าเสียงที่เต็มไปด้วย
ความแค้น “สักวัน ข้าจะทาให้ผู้หญิงคนนี้ทรมาน
ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น ต่อให้ยากแค่ไหน ข้าก็จะส่งนางไป
ลงนรกให้ได้ ให้นางได้ถูกทหารนับหมื่นย่ายี แบบนี้ถึง
จะสามารถระบายความคับแค้นใจของข้าได้”
จริงๆ หยางหนิงก็พอมีความอดทนอยู่บ้าง แต่ตอนนี้
เมื่อฉีอวี้ดูถูกเหยียดหยามกู้ชิงฮั่น ในใจของเขาโกรธ
มาก แล้วพูดว่า “เสียงหมาขี้เรื้อนที่ไหนมาร้องอยู่
แถวนี้นี่? ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงของเขาสาหรับสองแม่ลูกมันเหมือนฟ้าที่ผ่าลงมา
ฉีอวี้กระโดดออกจากสวน เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ เห็นได้
ชัดว่าเขาพอจะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง เมื่อเขาเห็นหยางหนิง
ยืนไขว้มือไว้ด้านหลังอยู่ไม่ไกล สีหน้าของเขาก็กลาย
เป็นซีดเซียว อ้าปากค้าง แต่ไม่พูดอะไร
ฉงอี๋หนียงเองก็ออกมาแล้วเช่นกัน นางแต่งหน้าจัด
สวมชุดเครื่องประดับทอง พอดูมีสง่าอยู่บ้าง เมื่อ
เห็นหยางหนิงยืนอยู่ นางเองก็ตกใจจนหน้าซีดเช่นกัน
“เจ้ามาแอบฟังหรือ?” ฉีอวี้สงบนิ่งลง สองมือกาหมัด
แน่น มองไปที่หยางหนิงด้วยสายตาที่โกรธแค้น ดูไป
แล้วเหมือนหมาขี้เรื้อนที่ถูกแหย่ให้โกรธ ที่พร้อมจะ
พุ่งเข้าใส่ได้ตลอดเวลา
“ที่แท้ก็พวกเจ้านี่เอง ข้าก็นึกว่ามีหมาที่ไหนมาเห่า
แถวนี้” หยางหนิงยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “เมื่อกี้เจ้าว่า
อะไรนะ? แอบฟังหรือ? ที่นี่จวนองครักษ์เสื้อแพร
ปู่คือทายาทองครักษ์เสื้อแพร ต้นไม้ทุกดอกทุกต้น
ทุกกระถางในจวนโหว มันเป็นของปู่ ปู่อยากจะไป
ที่ไหนก็ไป มีแต่คนอื่นที่ทาอะไรลับๆ ล่อๆ วางแผน
คิดร้ายปู่อยู่เท่านั้นแหละ ทาไมปู่ต้องแอบฟังใคร
ด้วย?”
คาก็ ‘ปู่’ สองคาก็ ‘ปู่’ ฉีอวี้กาหมัดแน่น จนเส้นเลือด
ปูด สายตาของเขามองหยางหนิงราวกับคมมีด แต่ก็
ไม่ได้พูดอะไร
ฉงอี๋เหนียงได้สติกลับมาแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “อวี้เอ๋อร์ เราไปกันเถอะ!”
นางหันหลังแล้วเดินออกไป ฉีอวี้จ้องไปที่หยางหนิง
ด้วยความแค้น จากนั้นก็หันหลังตามไป แต่หยางหนิง
กลับพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “เดี๋ยวก่อน!”
ฉงอี๋เหนียงหันกลับมาคนแรก ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า
“ฉีหนิง เจ้ายังไม่ได้เป็นองครักษ์เสื้อแพรนะ หรือต่อ
ให้เจ้าเป็นองครักษ์เสื้อแพร ข้าก็เป็นแม่เลี้ยงของเจ้า
นะ เจ้าไม่มีสิทธิมาออกคาสั่งกับข้าแบบนี้”
“เจ้าน่ะ หันหลังกลับมาเดี๋ยวนี้!” หยางหนิงไม่ได้
สนใจฉงอี๋เหนียง แล้วชี้ไปที่ฉีอวี้ “ท่านพ่อตายไปแล้ว
ตอนนี้ข้าเป็นนายของที่นี่ พ่อไม่อยู่ พี่ชายก็เปรียบ
ดั่งพ่อ เจ้าเห็นข้า ก็ต้องทาความเคารพไม่ใช่หรือ?”
ฉีอวี้หันตัวกลับมา แล้วพูดด้วยความโกรธว่า
“เจ้า...!”
“เจ้าอะไร?” หยางหนิงยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “เจ้าไม่
พอใจหรือ? ฉีอวี้ เจ้าไม่เข้าใจ แม่ของเจ้าไม่เคยบอก
เจ้าหรือว่า ไม่เคารพผู้ใหญ่ มันผิดกฎของจวนโหว
ข้าสามารถขับเจ้าออกจากจวนได้นะรู้ไหม?”
“เจ้ากล้าหรือ!” ฉีอวี้เสียงดังมาก “ฉีหนิง เจ้าอย่ามา
ได้คืบจะเอาศอก ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นข้าแล้วขัดหูขัดตามา
นานแล้ว ตอนนี้ท่านพ่อก็ไม่อยู่แล้ว เจ้าเลยไม่สน
กฎเกณฑ์อะไรอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เจ้าคิดจะไล่ข้าก็
ลองทาให้คนในตระกูลฉีดูสิ ว่าเจ้ามีปัญญาหรือเปล่า
ท่านใหญ่สาม...!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะเอาชื่อของท่านใหญ่สามมาขู่ข้า”
หยางหนิงยิ้มเบาๆ “แต่ว่าเจ้าลืมไปหรือเปล่า ถึงแม้
ท่านใหญ่สามจะแซ่ฉีเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่คนของ
จวนโหว ท่านใหญ่สาม สามารถเก็บชื่อเจ้าไว้ในสุสาน
บรรพชนได้ แต่ว่าเขาไม่มีสิทธิเข้ามายุ่งเรื่องที่ข้าจะไล่
เจ้าออกจากจวน” สีหน้าของเขาเย็นชา “ข้าแค่ไล่เจ้า
ออกจากจวน ไม่ได้ไล่เจ้าออกจากตระกูล ออกจาก
จวนไปแล้ว ด้วยความฉลาดของเจ้า ก็น่าจะไม่อดตาย
หรอก”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 55 พี่น้องร่วมสาบาน
สีหน้าของฉีอวี้ดูเหี้ยมโหด กล้ามเนื้อที่ใบหน้ากระตุก
ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เจ้า...เจ้ามันหาประโยชน์จากผู้อื่น
เจ้า...เจ้าต้องการจะแก้แค้นข้า ในตอนที่เจ้าอยู่
เหนือกว่า”
หยางหนิงหัวเราะชอบใจแล้วพูดว่า “พูดได้ดี ข้าบอก
เจ้าแล้วว่าเจ้ามันคนฉลาด ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว
เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าหาประโยชน์จากคนอื่น และข้า
ต้องการแก้แค้นเจ้า” จากนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้าแล้ว
พูดว่า “ข้าชอบเห็นท่าทางไม่เต็มใจ แต่ไร้หนทางของ
เจ้าแบบนี้จังเลย อย่างเจ้าจะทาอะไรข้าได้?” เขาเห็น
ฉีอวี้กาหมัด ก็พูดว่า “ดูท่าเจ้าเตรียมพร้อมจะลงมือ
แล้วนี่ มา เข้ามาได้เลย ข้าจะไม่ตอบโต้เจ้าในเวลานี้
เจ้าหาเหตุผลที่เหมาะสมให้ข้าไล่เจ้าออกจากจวนด้วย
ตัวเอง โดยที่ข้าไม่ต้องขอ”
สายตาของฉงอี๋เหนียงดูโหดเหี้ยม จากนั้นนางก็พูดขึ้น
ว่า “ฉีอวี้ เขาเป็นซื่อจื่อ ในเมื่อเขาให้เจ้าคานับเขา
เจ้าก็ทาเถอะ”
“ท่านแม่...!” ฉีอวี้หันหน้ากลับมา เห็นฉงอี๋เหนียง
พยักหน้าเบาๆ ด้วยสายตาโหดเหี้ยมมาก ฉีอวี้อดกลั้น
ความโกรธเอาไว้ ลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นมา
คานับหยางหนิง
“ดีมาก” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เริ่มเข้าใจ
กฎเกณฑ์แล้วนี่ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ฉีอวี้ ในฐานะ
พี่ชาย ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้าสักเล็กน้อย จะเชื่อ
หรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า”
ฉีอวี้แค่พยักหน้ารับ สีหน้าท่าทางที่มองหยางหนิงมัน
คือสายตาของคนที่มองศัตรู แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
หยางหนิงพูดอย่างช้าๆ ว่า “ข้ารู้ดีว่าเจ้าชอบอวด
ฉลาด และก็รู้ด้วยว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่ หากเจ้าใช้ความ
ฉลาดของเจ้าอย่างถูกต้อง มันก็จะไม่มีปัญหาอะไร
เสื้อผ้าอาภรณ์ อาหารการกินต่างๆ ก็จะไม่ขาด แต่ข้า
ขอเตือนเจ้า อย่าเอาความฉลาดของเจ้าไปใช้ในทางที่
ผิด และอย่ามาทาอะไรลับหลังข้า ข้าก็จะไม่พาลโมโห
เจ้า แต่หากว่าเจ้าทาอะไรให้ข้าโกรธ ช่วงชีวิตที่เหลือ
ของเจ้าก็จะไม่มีความสุขอีกต่อไป” พูดด้วยน้าเสียง
เย็นชาอีกว่า “เจ้าได้ยินหรือเปล่า?”
ฉีอวี้ส่งเสียงเคืองเบาๆ หลังจากนั้นก็หันหลังเดินจาก
ไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินผ่านหน้าฉงอี๋เหนียงไป ไม่หัน
กลับมาอีก
ฉงอี๋เหนียงเหลือบไปมองหยางหนิง หลังจากนั้นก็เดิน
ตามฉีอวี้ไป
หยางหนิงมองสองแม่ลูก สายตาของเขาเปลี่ยนเป็น
ความเย็นชา
ตระกูลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ จะทาลายจากภายนอกมัน
แทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่สาเหตุที่มันทลายลง มันก็มา
จากภายในรั้วกาแพงทั้งนั้น ที่มันทาให้มีรอยร้าว
จริงๆ แล้วหยางหนิงไม่ได้สนใจเลยว่าอานาจบารมี
ของจวนองครักษ์เสื้อแพรจะสูงขึ้นหรือต่าลง แต่ว่า
ฉีอวี้และแม่ของเขา ก็น่ารังเกียจจริงๆ นั่นแหละ
ที่ฉีอวี้ด่าทอสาปแช่งกู้ชงิ ฮั่นเมื่อครู่ หยางหนิงเชื่อว่า
มันไม่ใช่แค่การพูดออกมาพล่อยๆ เท่านั้น แต่ว่าฉีอวี้
เก็บไว้ในใจมานานมากแล้ว
กู้ชิงฮั่นต้องการรักษากฎและระเบียนดั้งเดิมของ
จวนองครักษ์เสื้อแพรเอาไว้ ปกป้องการปกครองของ
ฉีหนิง ซึ่งมันต้องกระทบไปถึงพวกของฉีอวี้แน่นอน
อยู่แล้ว และเป็นอุปสรรคชิ้นโตสาหรับฉีอวี้ในการรับ
ตาแหน่งสืบทอดองครักษ์เสื้อแพร คนแบบนี้ ฉีอวี้ก็
จะต้องเห็นนางเป็นก้างชิ้นโตแน่นอน หากมีวันไหนที่
ฉีอวี้มีอานาจขึ้นมาแล้วละก็ จะต้องแก้แค้นกู้ชิงฮั่นแน่
หยางหนิงเข้าใจคนอื่นๆ ได้ขนาดนี้มันเป็นเพราะ
หลักการ แต่ว่าเรื่องเลวร้ายที่สองแม่ลูกคิดจะทา
ที่ชอบวางแผนทาอะไรลับหลังคนอื่น มันเป็นวิธีที่
แตกต่างกับที่กู้ชิงฮั่นใช้
ต่อให้วันหนึ่งตัวเขาต้องจากไปจริงๆ ก็จะต้องกาจัด
เสี้ยนนามให้กู้ชิงฮั่นก่อน
หยางหนิงรู้ดีว่า คนประเภทนี้ จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้
เป้าหมายของสองแม่ลูกในตอนนี้ก็คือเขา ตัวเขาเองก็
จะต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ หากว่าเจอจุดอ่อนหรือ
ช่องโหว่ของพวกเขาได้ ตัวเขาก็จะไม่ปล่อยไปเช่นกัน
เดินไปพลางคิดไปพลาง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง
ของต้วนชางไห่ดังขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ในที่สุดก็เจอท่าน
เสียที”
“อ้อ ท่านอาต้วน ท่านหาข้ามีอะไรหรือ?” หยางหนิง
มองไป เห็นต้วนชางไห่เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเองก็มีเรื่องสาคัญจะต้อง
ปรึกษาท่าน”
“ซื่อจื่อท่านมีอะไรจะสั่งหรือ?” ต้วนชางไห่เดินเข้ามา
ทาความเคารพ
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ระหว่างเราก็ไม่ต้องมากพิธี
อะไรขนาดนี้หรอกนะ” จากนั้นก็พูดเบาๆว่า “จริงสิ
ท่านอาต้วน ท่านรู้หรือเปล่าว่าจวนอู่เซียงโหวอยู่ที่
ไหน? อยู่ที่ถนนผีพานี่ด้วยเหมือนกันหรือเปล่า?”
ต้วนชางไห่ส่ายหน้า “จวนอู่เซียงโหวอยู่ที่สะพาน
เหวินเต๋อ ห่างจากจวนของเราระยะทางประมาณหนึ่ง
อยู่ดีๆ ท่านถามถึงจวนอู่เซียงโหวทาไมกัน?”
“ข้าอยากจะไปเยี่ยมเยียนอู่เซียงโหวสักหน่อย”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ไปมาหาสู่กันมันเสีย
มารยาท อู่เซียงโหวครั้งที่แล้วมาหาเราถึงจวน เรายัง
ไม่ได้ให้คาตอบเขาเลย งานศพก็เสร็จสิ้นเกือบ
หมดแล้ว เราก็ควรจะไปให้คาตอบเขาสักหน่อย”
“อ๊า?” ต้วนชางไห่รีบถามกลับว่า “ไท่ฮูหยินตัดสินใจ
ได้แล้วหรือ?”
หยางหนิงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “นี่เป็นการแต่งงาน
ของข้า จะอย่างไรเสีย ข้าก็จะเป็นคนตัดสินใจเอง”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “อีกอย่างอู่เซียงโหว
พูดขนาดนั้นแล้ว ท่านคิดว่าเรามีสิทธิที่จะพลิกกลับ
มาได้อีกหรือ?”
ต้วนชางไห่สีหน้าจริงจัง แล้วพูดว่า “ซูเจินเจ้าคน
ไร้ศักดิ์ศรี เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คิดจะทิ้งก็ทิ้ง คิดว่าต่อไป
คงไม่มีหน้าไปพบท่านเหล่าอู่เซียงโหวอีกแล้ว” เมื่อ
คิดถึงตรงนี้ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เกือบลืมไป
เลย ซื่อจื่อ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนไปจวนอู่เซียงโหว
ตอนนี้มีคนมาหาท่าน”
“หาข้าหรือ?” หยางหนิงพูดด้วยความประหลาดใจ
“ใครกันที่มาหาข้า?”
ต้วนชางไห่พูดด้วยเสียงเบาว่า “พี่น้องร่วมสาบาน
ของท่าน หยวนหรง”
“พี่น้องร่วมสาบาน?” หยางหนิงตกใจ “ข้า...ข้ามี
พี่น้องร่วมสาบานด้วยหรือ?”
“เอ่อเรื่องนี้...!” ต้วนชางไห่คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูด
อย่างระวังว่า “ซื่อจื่อ คุณชายหยวนกับท่านก็ถือว่า
สนิทสนมกันระดับหนึ่ง แต่ว่า...ขออภัยที่ต้องพูด
ตรงๆ คนแบบนั้นอย่าไปสนิมสนมมากจะดีกว่า
เมื่อก่อนท่านชอบอยู่กับคนพวกนี้ จริงๆ...จริงๆ
ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย มิหนาซ้ายังเสียเปรียบ
ด้วยซ้า ฮูหยินสามเองก็ไม่ชอบให้ท่านอยู่กับคนพวกนี้
มากนัก”
“อ๋อ?” หยางหนิงเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เมื่อได้ยิน
ต้วนชางไห่พูดอย่างนั้น ก็เข้าใจในทันที จากนั้นก็
หัวเราะแล้วถามว่า “ท่านอาต้วน พี่น้องร่วมสาบาน
ของข้าคนนี้ เป็นพวกชอบดื่มเที่ยวอะไรแบบนั้น
ใช่หรือไม่? พวกเขาเป็นเพื่อนเที่ยวเพื่อนดื่มของข้า
อย่างนั้นหรือ?”
ต้วนชางไห่ได้ยินดังนั้น จากที่ขมวดคิ้วก็คลายลง ยิ้ม
แล้วพูดว่า “ที่แท้ท่านซื่อจื่อก็รู้อยู่แล้ว แบบนี้ข้าน้อย
ค่อยวางใจหน่อย หยวนหรงเป็นหลานชายคนโตของ
ใต้เท้าหยวนราชเลขาประจากรมพิธีการ ใต้เท้าหยวน
เป็นคนที่รอบรู้เรื่องราวมากมายทั้งอดีตและปัจจุบัน
แต่คุณชายหยวนกลับเป็นแบบนี้ ความรู้ก็พอมี แต่ว่า
...!” ยิ้มแล้วส่ายหัวว่า “อายุน้อย บ้าคลั่งไปบ้าง ก็ยัง
ถือว่าปกติ”
“น่าแปลกนะ ข้ากลับมาตั้งนานแล้ว งานศพของท่าน
พ่อก็จัดเสร็จแล้ว ข้าไม่ยักจะเห็นพี่น้องของข้าคนนี้
โผล่มาเลย” หยางหนิงพูดทีเล่นทีจริง “ทาไมพอเสร็จ
งานศพถึงได้วิ่งแจ้นมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
ต้วนชางไห่พูดเสียงเบาๆ ว่า “หากข้าน้อยเดาไม่ผิด
น่าจะเป็นเพราะเรื่องการลอบสังหารท่านที่เรือน
รับรองจงหลิง”
“อ๋อ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “ท่านอาต้วนหมายความ
ว่าไง?”
ต้วนชางไห่คิดว่าหยางหนิงคงเข้าใจผิด จึงอธิบายว่า
“ท่านซื่อจื่ออย่าเพิ่งคิดมาก เรื่องการลอบสังหารท่าน
คงไม่เกี่ยวกับหยวนหรงหรอก หยวนหรงถึงแม้จะ
ไม่เอาไหน แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร” จากนั้นก็มอง
ไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ปู่ของเขาเป็นถึงราชเลขา
ประจากรมพิธีการ เรือนรับรองจงหลิงอยู่ในการดูแล
ของกรมพิธีการ ลอบสังหารซื่อจื่อเป็นเรื่องใหญ่ หาก
ทาให้เป็นเรื่องขึ้นมา ใต้เท้าหยวนในฐานะราชเลขา
กรมพิธีการ คงหนีไม่พ้นต้องรับโทษ”
“อ๊า?” หยางหนิงเข้าใจในทันที “ใต้เท้าหยวนกรมพิธี
การอยากให้เรื่องนี้จบเงียบๆ แต่ไม่สะดวกออกหน้า
เอง ก็เลยจะให้หยวนหรงมาหยั่งเชิงก่อนอย่างนั้น
สินะ?”
ต้วนชางไห่ยกนิ้วโป่งให้ “ท่านซื่อจื่ออ่านขาดมาก
ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความ
ชื่นชม ในใจก็แอบคิดว่าซื่อจื่อฉลาดขึ้นทุกวัน สวรรค์
คุ้มครองจริงๆ มันเป็นเรื่องโชคดีมากๆ ของจวน
องครักษ์เสื้อแพรทีเดียว
เมื่อหยางหนิงพบหน้าหยวนหรง หยวนหรงกาลังนั่ง
จิบชาอยู่ที่เรือนรับรองของจวนองครักษ์เสื้อแพร
หยางหนิงไม่ได้เข้าไปหาในทันที แต่แอบมองอยู่ด้าน
นอก หยวนหรงอายุราวยี่สิบ สวมชุดผ้าไหมสีขาวนวล
สวมหมวกผ้าแพร ที่ชุดมีแส้บังคับม้า มีเครื่องประดับ
หยกมากมาย ดูแล้วก็น่าจะขี้เหล้าพอสมควร
ที่เรือนรับรองมีหยวนหรงอยู่คนเดียว เขาเหมือนจะ
ไม่ค่อยชอบชาสักเท่าไร แถมยังไม่รู้ด้วยว่าหยางหนิง
ซ่อนตัวแอบดูเขาอยู่ข้างนอก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “น้องชาย ข้าคิดถึงเจ้าที่สุดเลย
ในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอเจ้าสักที...!” มือของเขากางออก
เหมือนกับจะกอด
หยางหนิงตกใจ คิดว่าเขาเก่งมาก ถึงได้รู้ว่าตัวเขานั้น
แอบอยู่ข้างนอก แต่เมื่อเห็นเขากอดกับอากาศก็
เข้าใจทันทีว่า เขากาลังพูดกับตัวเองอยู่
ไม่ผิดจากที่คิด หยวนหรงส่ายหัว จากนั้นก็พูดกับ
ตัวเองว่า “แบบนี้ไม่ได้ พ่อของเขาเพิ่งจะเสียไป เวลา
แบบนี้ข้าจะต้องแสดงความเสียใจถึงจะถูก...!”
จากนั้นเขาก็เงยหน้า แล้วทาท่าทางเสียใจ เช็ดน้าตา
เบาๆ แล้วพูดว่า “น้องชาย ท่านองครักษ์เสื้อแพร
สิ้นไป ทั่วแค้วนต่างก็โศกเศร้า เจ้าจะต้องทาใจให้
สบายนะ หากมีอะไรให้ข้าช่วย ก็พูดออกมาได้เลย
ไม่ว่าจะต้องบุกน้าลุยไฟข้าก็จะทาให้ เพราะเรามัน
เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็
ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แบบนี้ไม่ได้ เกิดเจ้าเด็กนั้นให้ข้า
ไปทาอะไรให้จริงๆ ข้าก็ขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ น่ะสิ?”
สีหน้าของเขามีหลากอารมณ์มาก ทั้งดีใจทั้งเสียใจ
พูดอยู่กับตัวเองวนไปวนมา หยางหนิงอดหัวเราะ
ไม่ได้ จากนั้นเขาก็ส่งเสียงกระแอม มือไขว้หลังแล้ว
เดินเข้าไปในเรือนรับรอง
หยวนหรงได้ยินเสียงกระแอม ก็รีบกลับสู่สภาพปกติ
หันไปเห็นหยางหนิงเดินเข้ามา เขารีบยิ้มให้ก่อน เห็น
สีหน้าของหยางหนิงเรียบเฉย ก็รีบเปลี่ยนท่าทางเป็น
โศกเศร้า แล้วเดินหน้าขึ้นมา “น้องชาย เจ้า...!” เขา
ยังไม่ทันพูดจบ หยางหนิงแทบจะไม่มองเขาเลย แล้ว
เดินผ่านหน้าเขาไป หยวนหรงตะลึงแบบเขินๆ เห็น
หยางหนิงเดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้ว ก็รีบเดินเข้าไปหา
แล้วถามเบาๆ ว่า “น้องหนิง เจ้า...เจ้าไม่เป็นไร
ใช่ไหม?”
หยางหนิงเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องไปที่หยวนหรง ไม่พูด
อะไรเลย สีหน้าไร้ความรู้สึก
หยวนหรงถูกหยางหนิงจ้องจนขนลุก ฝืนยิ้มแล้วพูด
ว่า “ท่านองครักษ์เสื้อแพรโหว...ท่านองครักษ์
เสื้อแพรสิ้นบุญแล้ว เจ้า...เจ้าคงโศกเศร้ามาก หากมี
อะไร...หากมีอะไรให้ช่วย...เอ่อ ไม่ใช่ น้องหนิง เจ้า
เอ่อข้า...คือว่า...!” เขาพูดติดอ่างไม่เป็นคา แล้ว
เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็ยิ้มแบบขมขื่นว่า
“น้องชายคงไม่พอใจที่ข้าไม่ได้มาช่วยงานเลย
ใช่ไหม?”
หยางหนิงไม่พูดอะไร
หยวนหรงยกมือขึ้นมา แล้วพูดว่า “ให้สวรรค์เป็น
พยาน ตอนที่ข้าได้ยินว่าเจ้าถูกจับตัวไป กินไม่ได้นอน
ไม่หลับ คิดจะนาคนออกไปตามหาเจ้าตั้งหลายครั้ง
แต่ว่า...แต่ว่าผู้อาวุโสในบ้านข้าบอกว่าแม้แต่ทายาท
องครักษ์เสื้อแพรยังกล้าจับ ในเมืองหลวงก็วุ่นวาย
ก็เลยจับข้าขังเอาไว้ในห้อง ออกไปไหนไม่ได้เลย”
หยางหนิงเหลือบไปมองเขา แล้วยิ้มแห้ง
“แต่จริงๆ แล้ว แม้เขาคิดจะขวางข้า แต่ก็ไม่ได้ง่าย
ขนาดนั้น” หยวนหรงพูดด้วยน้าเสียงที่หนักแน่น
“น้องชายเจ้าโดนจับตัวไป ในฐานะที่ข้าเป็นพี่ชายข้า
จะไม่สนใจเจ้าได้อย่างไรกัน? ข้าหยวนหรงทาอะไร
คุณธรรมต้องมาก่อน หัวหลุดจากบ่าได้ เลือดไหล
ออกจากกายได้ แต่จะทิ้งคุณธรรมไปไม่ได้ มีคืนหนึ่ง
ข้าแอบออกจากจวนกลางดึก คิดจะไปตามหาเจ้า แต่
ว่า...!” ถอนหายใจยาว “แต่ว่าอาวุโสที่จวนข้าเจ้าเล่ห์
มาก จับตัวข้ากลับไป แถมยังลงโทษข้าด้วยกฎบ้าน
อีก ก้นข้าแทบเละ ขยับไม่ได้ตั้งครึ่งเดือน” เห็น
หยางหนิงนิ่งๆ ก็รีบร้อนพูดอีกว่า “น้องชายเจ้าไม่เชื่อ
ข้าหรือ ไม่เป็นไร ข้าถอดกางเกงให้เจ้าดูตอนนี้เลยก็
ได้นะ”
สายตาของหยวนหรงดูร้อนรน เขาสะบัดชุดออก แล้ว
เขยิบหลังเข้ามาหาหยางหนิง จากนั้นก็ถอดกางเกงลง
เพื่อพิสูจน์ตนเอง
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 56 มีหนี้ต้องชดใช้
หยางหนิงตาเหลือก เขาคิดว่าเจ้านี่มันจะแค่พูดเฉยๆ
แต่พอเห็นเขาถอดกางเกงจริงๆ ก็รีบพูดว่า “ปู่ของ
เจ้าเป็นถึงราชเลขาประจากรมพิธีการ เจ้ากลับมา
ถอดกางเกงในเรือนรับรองของคนอื่น แบบนี้มันเป็น
การไม่ให้เกียรติเลยนะ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป
ครั้งต่อไปก้นของเจ้าคงไม่ได้มีแค่รอยแผลเป็นแน่ๆ”
หยวนหรงได้ยินหยางหนิงพูด ก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย
สีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินขึ้นหน้ามา
แล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องไม่เข้าใจข้าผิด”
“เจ้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับข้าหรือ?” หยางหนิง
มองไปที่หยวนหรง
หยวนหรงเข้าใจว่าหยางหนิงกาลังประชดประชันเขา
อยู่ ในใจก็แอบคิดว่าเจ้าเด็กนี่เดี๋ยวนี้ประชดประชัน
คนอื่นเป็นกับเขาแล้วหรือ? สีหน้าก็ยิ้มแห้งๆ แล้วพูด
ว่า “น้องชายเจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ? เฮ้อ จะโทษเจ้า
ก็ไม่ได้ ท่านองครักษ์เสื้อแพรเพิ่งสิ้นไป ข้าเองก็ไม่เคย
เข้ามาช่วยอะไรเลย เรื่องนี้ข้าผิดจริงๆ”
หยางหนิงแอบคิดว่าการคบกับพวกลูกเศรษฐีพวกนี้
ไม่มีความจริงใจอะไรกันอยู่แล้ว ก็แค่เพื่อนกินเพื่อน
เที่ยว บางทีก็ทาเพื่อผลประโยชน์ต่อกันก็เท่านั้น
องครักษ์เสื้อแพรสิ้นไป เชื้อพระวงศ์ขุนนางใหญ่
หลายๆ คนที่มาในงานที่ตีตัวออกห่างไปก็มีไม่น้อย
จริงๆ หยางหนิงเองก็โกรธไม่น้อย แต่เพราะรู้ว่า
มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ จะไปคิดเล็กคิดน้อยก็ไม่ได้อะไร
ขึ้นมา
“แล้วมาหาข้ามีธุระอะไร?” หยางหนิงถามเสียงเรียบ
หยวนหรงหัวเราะแล้วพูดว่า “น้องชายเจ้ารู้หรือเปล่า
ตอนนี้แม่น้าฉินไหวได้เรือใหม่มาหลายลาเลยนะ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?” หยางหนิงยังคงนิ่ง
“พี่หยวนชอบกินลมชมวิว ก็ลองไปดูสิ”
หยวนหรงตกใจ ทาไมวันนี้หยางหนิงถึงแปลกไป
ไม่เหมือนกับทายาทองครักษ์เสื้อแพรที่เขาคุ้นเคย
เขาพูดแบบเขินๆ ว่า “แต่ก่อนน้องชายชอบนั่งเรือ
เที่ยว ข้าก็คิดว่าจะมาชวนเจ้าออกไปนั่งเล่นให้สบาย
อารมณ์ ที่แท้...!”
“พี่หยวน ท่านพ่อเพิ่งจะสิ้นไป ท่านกลับเริ่มพูดถึง
เรื่องการเที่ยว ไม่คิดว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่
เหมาะสมหรือ?” น้าเสียงของหยางหนิงไม่ค่อยดีนัก
“พิธีบูชาภูตผีในจวนยังไม่เสร็จสิ้นดี หากข้าออกไป
ล่องเรือกับท่านตอนนี้ ข้ายังเป็นคนอีกหรือ?”
หยวนหรงตกใจ รีบตีไปที่ศีรษะของตัวเอง แล้วพูด
ด้วยความหัวเสียว่า “โทษข้า โทษข้า ข้าไม่ดีเอง
เลอะเลือนไปจริงๆ น้องชายอย่าโกรธข้าเลยนะ
ข้าไม่ได้ตั้งใจ แค่คิดว่าก่อนหน้านี้เจ้าถูกจับตัวไปคง
ตกใจไม่น้อย ตอนนี้ก็ต้องมาเหนื่อยกับงานศพอีก
คิดอยากจะให้เจ้าได้พักผ่อนแค่นั้น”
“ค่อยว่ากันทีหลังนะ” หยางหนิงลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“หากท่านไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน”
หยวนหรงรีบยื่นมือไปจับเขาเอาไว้แล้วพูดว่า
“น้องชายอย่าเพิ่งรีบไปสิ”
“มีอะไรอีกอย่างนั้นหรือ?”
“ก็มีเรื่องนิดหน่อย” หยวนหรงยิ้มแล้วพูดว่า
“น้องชายนั่งลงก่อนแล้วค่อยพูดกันนะ”
หลังจากที่หยางหนิงนั่งลง ก็ถามว่า “เรื่องนิดหน่อย?
เรื่องเล็กนิดหน่อยอะไรกันถึงทาให้เจ้าต้องมาหาข้าถึง
จวนด้วยตัวเอง?”
“เอ่อคือว่าเรื่องนี้...!” หยวนหรงหยิบพัดออกมาจาก
หน้าอกเสื้อ มือซ้ายสะบัดมันออก “น้องชายเจอ
ลอบสังหารที่เรือนรับรองจงหลิงใช่ไหม?” พูดจบเขาก็
หุบพัด
หยางหนิงคิดในใจว่านี่มันเดือนสิบแล้ว อากาศก็เริ่ม
เย็นแล้ว เจ้ายังเอาพัดออกมาพัดอีก ไม่หนาวหรือไง
กัน
“ที่แท้เจ้าก็รู้เรื่องนี้ด้วย?” หยางหนิงเหลือบไปมอง
หยวนหรง “ได้ยินมาว่าเรือนรับรองถือเป็นเขต
พระราชทาน แต่ว่าอยู่ภายใต้การดูแลของกรมพิธีการ
ใต้เท้าหยวนราชเลขากรมพิธีการของตระกูลเจ้า
คนนั้น...!” สายตาของเขาเย็นเฉียบ พูดแบบนิ่งๆ ว่า
“เจ้าว่า เรื่องลอบสังหารในเรือนรับรองนั่น เกี่ยวข้อง
กับตระกูลเจ้าด้วยหรือเปล่า?”
สีหน้าของหยวนหรงเปลี่ยนไป เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้
แล้วพูดด้วยความตกใจ “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลนะ
น้องชาย เจ้าพูดแบบนี้ตระกูลหยวนของเรารับมัน
ไม่ไหวนะ”
“ข้าเกือบตายที่นั่น เจ้ารู้หรือเปล่า?” หยางหนิง
ยิ้มแห้ง “รับไม่ไหว ก็ต้องรับ ก่อนผู้บงการตัวจริงจะ
ถูกจับ ข้าก็ต้องถามหาความรับผิดชอบกับหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องกับเรือนรับรอง ซึ่งก็คือกรมพิธีการ หรือ
พูดง่ายๆ ก็คือ ตระกูลหยวนของเจ้า”
หยวนหรงแบกหน้าที่เหมือนจะร้องไห้แล้วพูดว่า
“น้องชาย จวนของพวกเจ้าคงไม่ได้คิดแบบนี้ทุกคน
ใช่ไหม? คงไม่คิดว่าท่านปู่เป็นคนส่งคนไปลอบฆ่าเจ้า
หรอกใช่ไหม?”
“ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ ก่อนที่ทุกอย่าง
จะชัดเจน ทุกคนคือผู้ต้องสงสัย” หยางหนิงพูดอย่าง
เรียบๆ “พูดมาเถอะ เรื่องเล็กน้อยของเจ้า ตกลงมัน
เรื่องอะไรกัน?”
ตอนนี้หน้าผากของหยวนหรงเต็มไปด้วยเหงื่อ
สะบัดพัดในมือเร็วขึ้น “น้องชาย ข้าหยวนหรงขอเอา
ชีวิตเป็นเดิมพัน นักฆ่าพวกนั้น ท่านปู่ไม่รู้เรื่องด้วย
จริงๆ เจ้าเองก็รู้ ท่านปู่ข้ากับท่านปู่ของเจ้าเป็นเพื่อน
กันมานาน เจ้าอย่าลืมนะ เมื่อก่อนท่านพ่อของเจ้ามา
เรียนหนังสือกับท่านปู่ของข้า บ้านของเรานั้นสนิท
สนมกันมานาน”
“อ๋อ?” หยางหนิงคิดในใจว่า ที่แท้จวนองครักษ์เสื้อ
แพรกับตระกูลหยวนยังมีความสัมพันธ์แบบนีด้ ้วย
เห็นสายตาของหยางหนิงไม่เป็นมิตรนัก หยวนหรงก็
ยิ้มฝืนๆ แล้วพูดว่า “ข้าขอพูดตรงๆ เลยนะ ผู้ดูแลอู๋
ของเรือนรับรองจงหลิง เขาเป็นหลานชายแท้ๆ ของ
ท่านอารองฝั่งแม่ข้า เรื่องลอบสังหารครั้งนี้ เขากลัว
ว่าจะไม่รอด ก็เลยมาที่บ้านของข้า ท่านแม่ก็เลยมา
ขอร้องท่านปู่ให้ช่วยออกหน้าให้ ขอให้เรื่องนี้จบ
เงียบๆ”
“อ๋อ?” หยางหนิงยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “สุดท้าย ที่เจ้า
มาในวันนี้ ก็เพราะเรื่องของผู้ดูแลอู๋?”
“ที่ข้ามาวันนี้ ก็ต้องมาเยี่ยมเจ้าอยู่แล้ว” หยวนหรง
รีบพูดว่า “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็คงต้องปล่อยเลยตาม
เลย” จากนั้นก็เดินเขยิบมาใกล้ๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ
ว่า “ผู้ดูแลอู๋อีกปีเดียวก็จะได้ย้ายเข้ามาทางานในกรม
พิธีการแล้ว ก็ถือว่าได้เชิดหน้าชูตาบ้าง แต่ใครจะคิด
ว่าดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้” ส่ายหัวแล้ว
ถอนหายใจ “ท่านปู่ไม่มีทางมาที่จวนของเจ้าเพราะ
เรื่องพรรค์นี้แน่ๆ ท่านแม่รู้ว่าข้ากับเจ้าเป็นเพือ่ นร่วม
เป็นร่วมตายกัน ดังนั้น...ดังนั้นก็เลยให้ข้ามาช่วยพูด
แทน”
หยางหนิงลูบคางแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง”
“น้องชาย ข้าไม่ค่อยขอร้องอะไรเจ้า” หยวนหรงพูด
ด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่ว่าครั้งนี้ท่านแม่บอกว่ามัน
ร้ายแรงมาก ยังบอกอีกว่าหากว่าเจ้ากับข้ารักกัน
เหมือนพี่น้องจริงๆ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ข้าก็คิดว่า
เราสองคนก็สาบานร่วมเป็นร่วมตายกัน คิดว่าเรื่องแค่
นี้คงไม่เป็นปัญหาอะไร”
“คุณชายหยวน เจ้าพูดง่ายนะ เจ้ารู้หรือเปล่า เพราะ
ความสะเพร่าของคนพวกนั้น ข้าเกือบเอาชีวิตไม่
รอด” หยางหนิงพูดอย่างเรียบๆ “ตอนนี้เจ้ามาพูด
ง่ายๆ คาสองคา ก็จะให้จบเรื่องนี้เลยหรือ? เจ้ากาลัง
เห็นชีวิตข้าเป็นแค่ของเล่นหรือไง?”
“เจ้าวางใจ” หยวนหรงได้ยินน้าเสียงของหยางหนิง
ไม่ได้จริงจังมาก ก็เลยพูดว่า “กว่าผู้ดูแลอู๋จะมาถึง
ตรงจุดนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อตาแหน่งหัวหน้ากรม
พิธีการ สองปีก่อนถึงขอทาเรื่องไปประจาการที่เรือน
รับรองด้วยตัวเอง อีกแค่ปีเดียว เขาก็เข้าไปทางานใน
กรมพิธีการได้แล้ว หากตอนนี้ต้องมาพังเพราะเรื่องนี้
มันก็แย่น่ะสิ? ดังนั้น...!” เขามองไปทางซ้ายทีขวาที
แล้วก็มากระซิบที่ข้างหูของหยางหนิง แล้วพูดว่า
“ขอแค่จวนองครักษ์เสื้อแพรไปถวายฎีกาเรื่องนี้ให้
เบื้องบน จบเรื่องตรงนี้ กรมพิธีการออกแรงจัดการ
เรื่องนี้เอง แล้วให้มันจบๆ ไป ผู้ดูแลอู๋กับเหล่าทหาร
ไม่ถูกลงโทษ พวกเขาจะยอมจ่ายค่าปลอบขวัญให้
เจ้า”
“ค่าปลอบขวัญ?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“หมายความว่าไง?”
หยวนหรงยิ้มแบบมีเลศนัย “พวกเขายอมควักเงิน
เพื่อเป็นค่าชดเชยที่ทาให้เจ้าตกใจ น้องชาย เจ้าคิดว่า
ไง?”
“นี่คือจะติดสินบนข้าหรือ?” หยางหนิงเหลือบไปมอง
หยวนหรง “เจ้าไม่รู้หรือ ว่านับตั้งแต่ท่านปู่ของข้ามา
จวนองครักษ์เสื้อแพรของเรามีกฎ ห้าม...!”
“ข้ารู้ ข้ารู้” ไม่รอให้หยางหนิงพูดจบ หยวนหรงก็ยิ้ม
แล้วพูด “ห้ามไม่ให้มีการเกี่ยวข้องทางการเงินกับ
เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ”
“ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว ทาไมยังเสนอความคิดนี้มาอีก?”
หยางหนิงยังคงนิ่ง แต่ในใจกลับคิดว่าผู้ดูแลอู๋กับ
พวกทหารจะจ่ายคนละเท่าไร
หยวนหรงพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “น้องชายเจ้าเข้าใจ
ผิดแล้ว พวกเขาไม่ได้จะติดสินบนเจ้า แต่ขอบคุณที่
เจ้าช่วยชีวิตพวกเขา ได้ยินมาว่าพวกนักฆ่าวรยุทธ์
ล้าเลิศมาก หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเขาก็คงไม่รอด
นักฆ่านั่นกล้าเข้าไปฆ่าคนถึงเรือนรับรอง แสดงว่า
จะต้องไม่เลิกราแน่นอน ดังนั้นเจ้าก็ถือว่าเป็นคน
ช่วยชีวิตพวกเขา กฎของตระกูลฉี มีหนี้ก็ต้องชดใช้
พวกเขาติดค้างเจ้า ก็ต้องชดใช้สิ”
“มีหนี้ต้องชดใช้...!” หยางหนิงพยักหน้า “ตระกูลฉี
ของเรามีกฎแบบนั้นจริงๆ” เขาเอียงตัวไปเล็กน้อย
“ผู้ดูแลอู๋รู้กฎของตระกูลฉีด้วยหรือนี่?”
หยวนหรงแอบคิดว่าไม่ได้เจอทายาทองครักษ์เสื้อแพร
มาระยะหนึ่ง ทาไมเขาดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ไม่เพียง
ท่าทาง คาพูดคาจาก็ดูชัดถ้อยชัดคามากด้วย ถึงแม้
จะสงสัย แต่ก็ไม่ได้มีเวลาให้คิดมากขนาดนั้น เมื่อ
เข้าใจความหมายของหยางหนิงแล้ว ก็ยื่นมือออกมา
ห้านิ้ว จากนั้นก็ลดลงสองนิ้ว แล้วพูดว่า “พวกเขา
ยินดีจ่ายเท่านี้” แล้วก็พูดว่า “สามร้อยตาลึง!”
“จวนองครักษ์เสื้อแพรของเราทุกรุ่นใสซื่อมือสะอาด”
หยางหนิงพูดเสียงเรียบเฉย “ในเมื่อท่านเหล่าโหวเคย
บอกว่าจะไม่มีการไปมาหาสู่กับขุนนางเรื่องเงินทอง
ข้าก็ต้องเคารพกฎของท่าน เด็กๆ ส่งแขกที...!”
“ห้าร้อยตาลึง!” หยวนหรงยกนิ้วขึ้นมาห้านิ้ว ถอน
หายใจแล้วพูดว่า “พวกเขายอมจ่ายห้าร้อยตาลึง!”
“หายไปไหนกันหมด?” หยางหนิงมองไปด้านนอก
“คุณชายหยวนจะกลับแล้ว ส่งแขก!”
หยวนหรงหางตากระตุก จากนั้นก็ยื่นมือออกไปทั้ง
สองข้าง “ห้าร้อยตาลึงผู้ดูแลอู๋จะจ่ายให้ ทหารที่
เหลือจะออกคนละสองร้อยตาลึง...!”
หยางหนิงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านพ่อออกรบมา
นาน ได้รับบาเหน็จรางวัลไม่น้อย ทั้งหมดก็แจกจ่าย
ให้ทหารในสังกัดหมด ตระกูลฉีของเราไม่ได้สนใจ
เงินทองขนาดนั้น...คุณชายหยวน ท่านรู้หรือเปล่า
เงินเท่าไรข้าไม่สนใจ แต่ว่าเกียรติขององครักษ์
เสื้อแพร ข้าจะต้องรักษาเอาไว้”
“หนึ่งพันตาลึง!” หยวนหรงกัดฟันพูด “เจ้าเด็กบ้า
ได้แค่นี้แหละ เจ้าคิดเอาเองเถอะผู้ดูแลเรือนรับรอง
เล็กๆ จะมีเงินมากมายจากไหนกันเชียว? ให้พวกเขา
หาเงินมาให้หนึ่งพันตาลึงไม่ง่ายเลย ต่อให้เหมาเรือที่
ดีที่สุดในแม่น้าฉินไหว บวกกับนอนกับนางเรือก็แค่
หนึ่งร้อยตาลึง ปกติยังมีส่วนลดครึ่งหนึ่ง สามสี่ร้อย
ตาลึงในเมืองหลวงนี่ซื้อบ้านได้หลังหนึ่งแล้วนะ เจ้า
อย่าได้คืบจะเอาศอก”
หยางหนิงมองหยวนหรง ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขาจ่าย
ได้แค่นี้จริงหรือ?”
“ได้แค่นี้แหละ” สีหน้าของหยวนหรงไม่ค่อยดีนัก
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เงินหนึ่งพันตาลึงเจ้าต้องแบ่งให้
ข้าบ้าง ไม่อย่างนั้นที่ข้าเสียเวลาพูดไปก็เปลือง
น้าลาย” เขายกน้าชาขึ้นดื่ม แล้วชี้ไปที่หยางหนิง
“ข้าไม่เคยรู้เลยว่า เจ้าจะเขี้ยวขนาดนี้”
หยางหนิงรู้ดีว่า เงินหนึ่งพันตาลึงมันไม่น้อยเลย
อีกอย่างเรื่องลอบสังหารก็เกิดขึ้นไปแล้ว คนบงการไม่
น่าจะใช่พวกของผู้ดูแลอู๋ ต่อให้ถวายฎีกาจนพวกเขา
รับโทษไปแล้ว ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ทาแบบนี้ดี
เสียกว่าได้เงินด้วย แถมยังซื้อใจของหยวนหรงได้
“เงินข้าไม่รีบ เจ้าไปที่ๆ หนึ่งกับข้าก่อน” หยางหนิง
ลุกขึ้น “แค่ทาตามที่บอกก็พอ เรื่องของเจ้าวันนี้
ถือว่าข้าไว้หน้าเจ้า”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 57 ตลาดดอกไม้
กฎอัยการศึกของเมืองเจี้ยนเย่ยังไม่ถูกยกเลิก เมื่อ
ตะวันจะตกดิน ถนนทุกเส้นในเมืองหลวงก็จะเงียบ
สงัด แต่ตอนนี้เป็นตอนกลางวัน ดังนั้นจึงยังมีคนเดิน
ไปมาบนถนน คึกคักเป็นอย่างมาก
เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงสี
หยางหนิงก้าลังขี่ม้าอยู่ริมแม่น้าฉินไหว การขี่ม้าชม
เมืองเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งในเมืองหลวง ไม่เพียง
บรรดาท่านอ๋องท่านโหวทั้งหลายที่ชอบแต่งตัวหรูหรา
จะชมชอบการขี่ม้าชมเมือง แต่พวกบัณฑิตทั้งหลาย
เองก็ชมชอบเช่นกัน เพราะมันเป็นค่านิยมของเมืองนี้
เหล่าคุณชายผู้ดีมีสกุลที่ขี่ม้าผ่านไปมา ต่างยิ้มหยัน
เชิดหน้าขึ้นมองตรงไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว พวกเขาไม่
จ้าเป็นต้องมองไปรอบๆ ไม่จ้าเป็นต้องมองลงไป
เบื้องล่าง เพราะว่าผู้คนในเมืองต่างหากที่ต้องเงยหน้า
ขึ้นมองพวกเขา
พวกเขามองแต่ตึกรามบ้านช่องที่หรูหรา คอยชมนก
ชมไม้ไปเรื่อย
คนดีที่มีความสามารถ ปกติแล้วคือคนที่พูดดี พวกเขา
ใช้ชีวิตที่งดงามและอิสระ ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ตาม
แม่น้าฉินไหว มันคือเรื่องราวที่ดีของความหวังและ
ความส้าเร็จไม่ใช่หรือ
ภาพวาดบนแม่น้าฉินไหวนั้นราวกับเส้นดาย มักจะ
เห็นเจ้าชายท่าทางสง่างามสวมชุดหรูหราเดินออกมา
จากด้านในของตัวเรือ ยืนบนหัวเรือพร้อมผู้ติดตาม
ข้างกายสองสามคน
นี่เป็นบรรยากาศที่เห็นได้ทุกวันที่แม่น้าฉินไหว
นี่เป็นครั้งแรกที่หยางหนิงมาที่แม่น้าฉินไหว ตอนนี้ยัง
เช้าอยู่ เขาจึงไม่ได้รีบร้อนเดินทาง หยวนหรงที่ขี่ม้า
อยู่ข้างๆ หยางหนิง ได้แต่สงสัยว่า หยางหนิงจะพา
เขาไปที่ใด
ตอนที่หยางหนิงจะออกจากจวน ต้วนชางไห่จะห้ามก็
ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ซื่อจื่อเจอเรื่องร้ายบ่อย เขาจึง
อยากจะตามมาคุ้มครองด้วยตัวเอง แต่หยางหนิงก็รู้ดี
ว่าช่วงนี้ไม่ว่าจะต้วนชางไห่หรือฉีเฟิงต่างก็ท้างาน
หนักกันทั้งนั้น เลยให้ต้วนชางไห่หาคนติดตามมาให้
สองคนเท่านั้น
เมื่อผ่านวัดฟูจื่อ หยางหนิงก็เลี้ยวไปถนนยาวอีกเส้น
หนึ่ง ถนนเส้นนี้บรรยากาศค่อนข้างต่างกับแม่น้า
ฉินไหว เมื่อเลี้ยวเข้ามาภายใน ก็มีกลิ่นหอมของ
ดอกไม้ลอยแตะจมูกอยู่เรื่อยๆ เมื่อมองตรงไป ก็จะ
เห็นดอกไม้สีแดงใบสีเขียวสลับไปมา ริมสองข้างทาง
เต็มไปด้วยร้านดอกไม้ เหมือนกับว่าที่นี่คือตลาด
ดอกไม้
หยางหนิงรู้สึกตกใจ ตอนนี้ก็เดือนสิบแล้ว คิดไม่ถึง
เลยว่าตลาดดอกไม้ยังเปิดท้าการค้าอยู่ เขาไม่ได้รู้จัก
พืชพันธุ์ดอกไม้มากนัก แต่เมื่อขี่ม้าผ่านไป กลิ่นหอม
ของพวกมันก็ลอยมาแตะจมูก เห็นดอกไม้หลากพันธุ์
ที่เขาเองก็ไม่เคยเห็น ในใจก็คิดว่าดอกไม้ที่บานใน
เดือนนี้ได้ แสดงว่าพวกมันจะต้องมีราคาที่ไม่ธรรมดา
แน่นอน
แต่ว่าอากาศทางใต้นั้นไม่ได้แย่ ต่อให้เข้าเดือนสิบแล้ว
อากาศมันก็ยังคงอุ่นอยู่
จู่ๆ หยวนหรงก็เข้าใจอะไรขึ้นมาทันที ยิ้มแล้วพูดว่า
“งอแงมาครึ่งวัน ที่แท้เจ้าก็จะพาข้าไปที่จวน
อู่เซียงโหวนั่นเอง? ฮ่าฮ่า จริงๆ ก็ไม่ได้เจอหน้าท่าน
ลุงใหญ่ของเจ้ามาหลายวันแล้วเหมือนกัน วันนี้เราก็
ถือโอกาสไปเยี่ยมเขาเลยก็แล้วกัน”
“ท่านลุงใหญ่?” หยางหนิงตกใจ หันไปมองหยวนหรง
แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
เขารู้ว่าตอนนี้ท่าทางของเขาที่แสดงออกมานั้นต่าง
จากซื่อจื่อคนก่อนมาก บางคนที่เขาไม่รู้จัก แต่ก็จะ
ถามบ่อยๆ ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนจะยิ่งสงสัย
ในระหว่างที่หันหน้ากลับไป ก็เหลือบไปเห็นเงาคนที่
อยู่ไม่ไกลนัก คนที่อยู่ในตลาดดอกไม้มีอยู่มากมาย
แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และเงานั้นก็มีรูปร่างสูง
ใหญ่ เด่นชัดมากท่ามกลางผู้คน ท้าให้หยางหนิง
มองเห็นได้ในทันที ในใจของเขาบีบรัด เขารู้ทันทีว่า
คนๆ นั้นก็คือชายชุดเทาที่แต่งตัวเป็นขันทีครั้งที่แล้ว
นั่นเอง
หยางหนิงเจอเขาสองครั้ง ครั้งแรกที่เจอกันเขา
เหมือนนักปราชญ์ ครั้งที่สองที่เจอกันเขาแต่งตัวเป็น
ขันที ครั้งนี้เขาก็แต่งตัวเป็นชายชุดเทาอีกครั้ง
“เจ้านี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” หยางหนิงรู้สึกระแวง
หันหลังลงจากม้า แต่ชายชุดเทาก็ไม่ได้สนใจ
หยางหนิงและเดินผ่านฝูงชนไป
ตัวตนของชายชราคนนี้ไม่แน่ชัด แต่ว่าหยางหนิง
มั่นใจแล้วว่าหนวดเคราที่ติดอยู่กับเขามันคือของ
ปลอม ไม่เช่นนั้นที่เพิ่งเจอกันไปไม่กี่วันก่อนนั้นเห็นได้
ว่าเขาไม่มีหนวดเคราเลย มันเป็นไปไม่ได้ที่หนวดเครา
จะยาวเร็วขนาดนี้
เขาอดไม่ได้ที่จะฝ่าฝูงชนตามไป หยวนหรงที่ไม่เข้าใจ
จึงตะโกนถามว่า “น้องหนิง เจ้าจะไปไหน?”
หยางหนิงเห็นชายชุดเทาอยู่ห่างจากเขาไม่ไกล ก็เลย
เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง “โอ้ย”
ดังขึ้นข้างๆ เมื่อเดินผ่านหน้าร้านขายดอกไม้ร้านหนึ่ง
เขาเดินชนคนๆ หนึ่ง เสียงอันอ่อนหวาน เหมือนจะ
เป็นผู้หญิง หยางหนิงไม่ทันได้สนใจที่จะขอโทษ ก้าลัง
จะเดินตามไป ชายชุดเทาก็เดินหายไปท่ามกลางผู้คน
แล้ว
เขายหยุดเดิน แล้วมองไปรอบๆ เห็นคนเดินไปเดินมา
แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของชายชุดเทาแล้ว
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงม้าควบ
มา ดังมาจากอีกฟากของถนนเหมือนเสียงกลอง
หยางหนิงขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าตลาดเส้นยาวมาก
คนเดินไปเดินมา ถึงแม้ตัวเองก็ขี่ม้า แต่ก็แค่เดินช้าๆ
แต่ตอนนี้กลับมีเสียงม้าวิ่ง ราวกับฝนตกหนัก กะจะ
เหยียบให้คนตายหรืออย่างไรก็ไม่รู้?
คิดแล้วก็ไม่ผิด คนบนถนนต่างหลบไปด้านข้าง
มีบางคนหลบไม่ทัน ถูกชนกระเด็นไปข้างๆ ร้อง
เสียงหลง
ถนนด้านหน้ามีคนขี่ม้ามาจ้านวนมาก เสียงฝีเท้าม้าดู
เร่งรีบ เมื่อเห็นผู้คนที่เต็มถนน ก็ไม่ได้มีท่าทีจะผ่อน
ความเร็วให้ช้าลงเลย หยางหนิงขมวดคิ้ว ก้าลังจะ
หลบ ทันใดนั้นเองเขาก็ตกใจ กลางถนน เห็นเด็กอายุ
ราวเจ็ดแปดขวบก้าลังเล่นอยู่ ข้างๆ ไม่มีผู้ใหญ่อยู่
ด้วยเลย เด็กคนนั้นก้าลังปั้นดินเล่นอย่างสนุกสนาน
อยู่ เขาไม่รู้เลยว่าก้าลังมีอันตราย
ม้าวิ่งมาเร็วมาก มันเองก็ไม่เห็นเหมือนกันว่ามีเด็กอยู่
คนข้างๆ เริ่มมีคนเห็น ก็กรีดร้องกันยกใหญ่
ตอนนี้เองหยางหนิงก็รีบพุ่งตัวออกไปเร็วอย่างกับ
ลูกศร
หยางหนิงพุ่งตัวออกไปเร็วมาก แต่กลุ่มม้าพวกนั้นอยู่
ห่างจากเด็กน้อยไม่กี่ก้าวเท่านั้นแล้ว ด้วยความเร็ว
ของหยางหนิง พุ่งไปหยุดอยู่ด้านหน้าของเด็ก หากม้า
ยังไม่หยุด เขาอาจจะถูกชนกระเด็นไปพร้อมกับเด็ก
คนนั้นแน่
แต่ว่าเขาเองก็ไม่ได้ลังเลใจ
เขารู้ดีว่า ในเวลานี้ คนที่ช่วยเด็กได้มีเพียงเขาคน
เดียวเท่านั้น เขาเลยต้องพยายามดู อย่างน้อยก็ยังมี
หวัง ไม่อย่างนั้นเด็กจะต้องถูกม้าเหยียบตายแน่ๆ
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ผู้คนต่างก็หันหน้าหนี ไม่อาจทนดู
สิ่งที่ก้าลังจะเกิดขึ้นได้
ม้าเป็นม้าดี รวดเร็วดังสายฟ้า ตอนนี้ม้าห่างจากเด็ก
ไม่ไกลมากแล้ว หยางหนิงเองก็ห่างจากเด็กไม่ไกล
ด้วยระยะห่างที่พอๆ กัน แต่ความเร็วต่างกัน
ด้วยความเร็วของม้า แน่นอนว่าหยางหนิงนั้นเทียบ
ไม่ได้เลย ในใจรู้สึกเย็นเหยียบและร้อนรน หวังเพียง
ให้ขาทั้งคู่ของเขาก้าวไปให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้มันกลับ
ช้าลง หยางหนิงค้ารามลั่น ขณะเดียวกัน ภายใน
หน้าอกของเขามันเหมือนมีพลังถูกปล่อยออกมา
ตรงไปที่ขาทั้งสองข้างของเขา
ขณะที่พลังไหลไปรวมกันที่ขาของเขา หยางหนิง
กระโดดถีบตัวออกไป ราวกับเสือ พุ่งตัวออกไปขวาง
หน้าม้า มือคว้าแขนของเด็กน้อยดึงเขามาไว้ใน
อ้อมกอด แล้วกลิ้งตัวไปข้างๆ
ม้าถูกดึงขาด้านหน้ายกขึ้น ลักษณะของม้าเหมือนคน
ก้าลังยืนอยู่ จากนั้นก็กลับสู่สภาพเดิม ขาหน้าของมัน
ยืนอยู่ตรงจุดที่เด็กคนนั้นนั่งอยู่ หากหยางหนิงช้ากว่า
นี้เพียงนิดเดียว เด็กคนนั้นจะต้องตายใต้เท้าม้าตัวนี้
แน่นอน
“เพล้ง!”
ระหว่างที่หยางหนิงก้าลังกลิ้งไป ตัวของเขาก็ไป
ชนกระถางต้นไม้หน้าร้านขายดอกไม้แตก เจ็บไป
ทั้งตัว เขายกมือขึ้นสองข้าง อุ้มเด็กน้อยลอยขึ้น
“อร๊าย...!” เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น หญิงคนหนึ่ง
วิ่งออกมา ร้องไห้แล้วพูดว่า “ติ้งเอ๋อร์ ติ้งเอ๋อร์
เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หยางหนิงรู้สึกว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ ได้ยินเสียง
ผู้หญิงร้องไห้ ก็หันหน้าไปดู เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุยัง
ไม่ถึงสามสิบ แต่งตัวเหมือนลูกผู้ดีมีตระกูล คิดว่าเด็ก
คนนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับนาง ก็เลยส่งเด็กไปให้ ฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “เขา...เขาน่าจะไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล...!”
ผู้หญิงคนนั้นรับเด็กไป แล้วตรวจดูอย่างละเอียด
เห็นเด็กปลอดภัยก็วางใจ นางเห็นหยางหนิงลุกขึ้นนั่ง
ก็รีบพูดว่า “ผู้มีพระคุณ ขอบคุณ...ขอบคุณท่านมาก
ที่ช่วยติ้งเอ๋อร์ของข้า...บุญคุณครั้งนี้ ข้าจะต้อง
ตอบแทนแน่ๆ...!” จากนั้นก็พูดว่า “ผู้มีพระคุณท่าน
...ท่านเลือดออก” นางไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่น
หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้หยางหนิง “เร็ว ท่าน
รีบเช็ดก่อน ข้าจะไปตามหมอมา...!”
ตอนนี้เองหยางหนิงถึงได้รู้สึกตัวว่าบริเวณหน้าผาก
ของเขามีเลือดออก และเริ่มรู้สึกปวดร้อน เขารู้ว่า
น่าจะเป็นแผลที่เกิดจากการชนกระถางดอกไม้เมื่อกี้
แน่ๆ เลยไม่รับผ้าเช็ดหน้า เขาส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า
“ไม่เป็นไร...!” เขาคิดจะลุกขึ้นมา ก็พบว่าขาทั้งสอง
ข้างของเขาไร้เรี่ยวแรง
“น้องชาย...!” หยวนหรงรีบวิ่งเข้ามา สีหน้าตกใจมาก
“เจ้า...เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หยางหนิงยกมือขึ้นมาใช้ชายเสื้อเช็ดเลือดที่หน้าผาก
ส่ายหัว ขาทั้งสองยังคงไร้เรี่ยวแรง ในใจของ
หยางหนิงเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
เพียงชั่วครู่เขารู้สึกได้ว่า ขาทั้งสองมีแรงขึ้นมาทันที
เหมือนกับว่าพลังจากจุดตันเถียนถูกเขาเคลื่อนมาที่
ขาเพราะความรีบร้อน
หากไม่ได้ใช้แรงเคลื่อนพลังเข้ามา ตัวเขาก็จะ
ช่วยชีวิตเด็กเอาไว้ไม่ได้
แต่ตอนนี้พลังนั่นมันหายไปแล้ว ส่วนขาทั้งสองก็เริ่ม
ชา ก่อนหน้านี้ต้วนชางไห่เตือนเขาว่า ห้ามใช้พลัง
เด็ดขาด แต่ครั้งนี้มันจ้าเป็น และก็ไม่รู้ว่าจะเป็น
อันตรายต่อตัวเขาหรือไม่
“เจ้า ความสามารถไม่เลวเลยนี่!”
เสียงๆ หนึ่งดังลอยมา มันไม่ใช่เสียงของขุนนางเมือง
น้้าเสียงมีความเชื่องช้า หยางหนิงหน้านิ่ง เงยหน้าไป
มอง อยู่ไม่ไกลจากเขา เป็นม้าแข็งแรงตัวใหญ่ ชาย
คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนนั้น มองหยางหนิงด้วย
สายตาเรียบเฉย แสงแดดส่องมาถูกคนที่ขี่อยู่บนม้า
เงายาวๆ พาดมาที่หยางหนิง
ม้าอีกหลายตัวก็ตามมาถึง
มีหลายคนสวมเสื้อสีเขียวเข้ม แต่บนหัวคาดผ้าสีขาว
บนเอวมีดาบโค้งแขวนอยู่ ถึงแม้จากรูปร่างจะไม่ใหญ่
มากนัก แต่ว่าดูจากสายตา วรยุทธ์น่าจะไม่ธรรมดา
คนพวกนี้ดูก็รู้ว่าฝึกมาอย่างดี เพราะสามารถบังคับม้า
ได้ด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างจับดาบข้างเอว
เอาไว้ ทุกสายตาจ้องมาที่หยางหนิง สายตาแต่ละคน
อย่างกับคมมีด ท้าราวกับว่าหยางหนิงเป็นคนผิดกฎ
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 58 ชุดคลุมดำซีเหมิน
หยวนหรงพยุงหยางหนิงขึ้นมา หยางหนิงรู้สึกว่าขา
ของตัวเองไม่มีแรง และยืนได้ไม่มั่นคงนัก เขาตกใจ
ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ได้ทาให้ร่างกายตัวเองบาดเจ็บ
ไปจริงๆ เพราะเมื่อครู่เขารีบร้อนเกินไปทาให้เผลอดึง
พลังภายในออกมาใช้ เส้นลมปราณที่ขาทั้งสองข้างจึง
ได้รับบาดเจ็บ นี่หรือว่าเขาจะกลายเป็นคนพิการ
จริงๆ?
“ดูเจ้าเด็กนี่สิ แทบจะฉี่รดกางเกงแล้ว” เจ้าคนที่
เกือบขี่ม้าเหยียบเด็กชี้ไปที่ขาอันสั่นเทาของหยางหนิง
แล้วหัวเราะเสียงดัง เหมือนไม่สนใจว่าเมื่อกี้เกือบจะ
เหยียบคนตายอยู่แล้ว
หยางหนิงจ้องไปที่คนๆ นั้น ตอนนี้เขาเห็นชัดแล้ว
คนๆ นั้นมีอายุไม่เกินยี่สิบสี่ยี่สิบห้าเท่านั้น สวม
เสื้อผ้าแพรสีเหลือง ที่เอวมีหยกสีเหลืองติดตัว บน
ศีรษะพันผ้าเอาไว้เช่นกัน ไม่เหมือนคนอื่นที่มีผ้าคาด
สีขาว แต่เขาคาดผ้าสีม่วง
ผ้าคาดหัวชิ้นนี้ประณีตมาก ระหว่างหน้าผากมีอัญ
มณีสีแดงฝังหนึ่งเม็ด ด้านข้างยังมีด้ายสีทองปักล้อม
แค่ดูก็รู้ว่ามันมีมูลค่ามาก ผ้าคาดหัวแบบนี้ หยางหนิง
ไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนน้าเสียงของคนๆ นั้น ไม่ใช่
สาเนียงของขุนนางในเมืองหลวง แต่มันเป็นสาเนียง
ของคนต่างถิ่น
คนอื่นๆ ยิ้มหยันอย่างไม่หวาดกลัว
เจ้าหนุ่มชุดเหลืองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก กระตุกม้า แล้ว
ก็เดินไป หยางหนิงตะโกนออกไปว่า “หยุด!”
ทุกคนต่างตะลึง แล้วก็หยุดม้าเอาไว้ หนุ่มชุดเหลือง
มองไปที่หยางหนิง จากนั้นก็ยิ้มอย่างดูถูกแล้วพูดว่า
“เจ้าบอกให้เราหยุดอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของเขาเริ่มร้อนขึ้นมา
เหมือนแรงเริ่มฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว ไม่เหมือนก่อน
หน้านี้ที่ไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็ถอนหายใจ แล้วพูดว่า
“ถูกต้อง ข้าให้พวกเจ้าหยุด”
ชายชุดเหลืองรู้สึกแปลกใจ เขาลงมาจากหลังม้าอย่าง
รู้สึกสนใจ เล่นกับแส้ในมือ แล้วพูดว่า “เจ้าบอกให้ข้า
หยุดทาไม?”
หยางหนิงเห็นคนพวกนี้แต่งตัว คิดว่าน่าจะเป็นพวก
ลูกหลานขุนนางของต่างแดน หรืออาจจะเป็น
ลูกหลานผู้ดีที่มาจากต่างเมือง คนพวกนี้ไม่น่าใช่
ลูกหลานของขุนนางเมืองหลวง คงอวดเบ่งที่ดินแดน
ของตัวเองจนเคยตัว ตอนนี้มาถึงเมืองหลวง ก็เลยไม่
กลัวอะไร
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าวันนี้เจ้าดวงซวยแล้ว ข้า
เป็นถึงทายาทองครักษ์เสื้อแพร หากว่าข้าบอกฐานะ
ของข้าไป แล้วข้างๆ ข้าก็เป็นถึงลูกชายของราชเลขา
ประจากรมพิธีการ พวกเขาล้วนไม่ธรรมดา
หยวนหรงเห็นหยางหนิงส่งสายตามาให้ เขาเองก็รู้สึก
ว่าเจ้านี่อาจจะเป็นเศรษฐีบ้านนอก พอมาถึงเมือง
หลวง ก็ไม่มีมารยาท เห็นคนล้อมดูอยู่รอบๆ ก็เลย
อยากจะออกหน้าสร้างภาพ สะบัดพัดออก ยิ้มเยาะ
แล้วพูดว่า “พวกเจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร? ที่นี่ที่ไหน?
เจ้ารู้หรือเปล่าว่า ถ้าทาตัวไร้ยางอาย ทาร้ายผู้อื่นจน
บาดเจ็บในเมืองนี้จะเกิดอะไรขึ้น?” เขาเก็บพัด แล้วชี้
ไปที่เด็กน้อย “หากน้องชายข้ามาช่วยไม่ทัน เด็กคน
นั้นถูกเจ้าทาร้าย เจ้ารู้ผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่?”
ชายชุดเหลืองเหลือบไปมองหยางหนิง แล้วพูดแหย่ไป
ว่า “ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเมืองหลวงมีกฎแบบนี้ด้วย
เจ้าบอกข้าทีซิ หากจ้าเหยียบเด็กนั่นตายจริงๆ ขึ้นมา
ต้องจ่ายเงินเท่าไรกัน?”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา รอบๆ ต่างก็วิจารณ์กันยกใหญ่
มีคนไม่น้อยชี้แล้วต่อว่า
ชายชุดเหลืองทาเหมือนไม่ได้ยินที่ผู้คนต่อว่า เขาไม่ได้
สนใจเลยสักนิด
หญิงคนนั้นพูดว่า “หากทาร้ายคนอื่น ก็ต้องชดใช้ด้วย
ชีวิต พวกเจ้าไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา พวกเจ้า
ต้องเข้าคุก”
“ฆ่าคนต้องชดใช้? เข้าคุก?” หนุ่มชุดเหลืองยิ้มร้าย
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าฆ่าคนต้องชดใช้ หากต้องเข้าคุก
จริงๆ ข้าเคยแต่ส่งคนเข้าคุก แล้วก็ไม่เคยนับด้วยว่า
ฆ่าคนไปเท่าไร แต่ข้าไม่เคยเข้าคุกเองเลยสักครั้ง
เดียว”
หยวนหรงคิดในใจว่าเจ้านี่มันจะเย่อหยิ่งไปกว่าตัวเขา
ได้อย่างไร เขาปรับสีหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าลงมาจากม้า
เดี๋ยวนี้ ลงมาขอโทษคนที่นี่ซะ ไม่อย่างนั้น...!”
เสียงของเขายังไม่ทันพูดจบ หนุ่มชุดเหลืองก็สะบัดแส้
ในมือ หยวนหรงที่ไม่ทันตั้งตัว ใช้มือขึ้นมาขวางไว้
“เพี๊ยะ” แส้ม้าฟาดลงมาที่แขนของหยวนหรง
หยวนหรงร้อง “โอ้ย” พูดด้วยความโกรธว่า “เจ้า
ลูกหมา เจ้ากล้าตีคนหรือ?”
หนุ่มชุดเหลืองสีหน้าเปลี่ยนทันที แล้วพูดว่า “เจ้า
กล้าด่าข้าหรือ?” จากนั้นก็สะบัดแส้อีกครั้ง หยวนหรง
หลบได้ทัน หยางหนิงเดินขึ้นหน้ามา จากนั้นยกมือ
ขึ้นมาจับแส้ม้าเอาไว้ ยิ้มหยันแล้วพูดว่า “ที่นี่เมือง
เจี้ยนเย่ บ้านเมืองมีกฎหมาย พวกเจ้าควบม้าเข้ามา
ในเขตเมือง ไม่เกรงกลัวใดๆ ไม่เพียงทาให้ชาวบ้าน
ตกใจ เกือบทาร้ายคนจนเกือบตาย ให้พวกเจ้าลงจาก
ม้ามาขอโทษ มันก็สมเหตุสมผลแล้วนี่”
แส้ของหนุ่มชุดเหลืองถูกจับเอาไว้ สายตาของเขาส่อง
ประกายด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นเขาก็
แสดงออกถึงความโกรธ พยายามอย่างหนักที่จะดึงแส้
กลับมา หยางหนิงรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้มีแรงไม่น้อย
เลย เห็นได้ชัดว่ามีพื้นฐานบางอย่าง เขายิ้ม แล้วออก
แรงกาแส้มากขึ้น หนุ่มชุดเหลืองมีนิสัยดื้อรั้นไม่น้อย
ทั้งออกแรงมากขึ้น ไม่นานนัก สีหน้าของเขาก็เริ่ม
แดง
หยางหนิงเห็นเส้นเอ็นตรงหลังมือที่เขาจับแส้ไว้ ก็รู้ว่า
เจ้าเด็กนี่ออกแรงมากขึ้นแล้ว สายตาพลันเจ้าเล่ห์
ขึ้นมา ทันใดนั้นก็ปล่อยมือออกจากแส้ หนุ่มชุด
เหลืองที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่สามารถทรงตัวได้ชั่วขณะ
จึงหงายหลังหล่นลงมาจากม้า คนรอบๆ ต่างก็
หัวเราะออกมายกใหญ่เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ชายคาดผ้าขาวด้านหลังรีบลงจากม้า บางคนวิ่งเข้ามา
พยุงหนุ่มชุดเหลือง บางคนชักดาบเดินเข้ามาหา
หยางหนิง
หลังจากนั้นก็มีคนตะโกนขึ้นมาว่า “ใครกล้าลงมือ?”
คนสองคนเดินออกมาจากด้านข้าง องครักษ์ติดตาม
ขององครักษ์เสื้อแพรที่ติดตามหยางหนิงมา ก็ชักดาบ
ออกมาแล้วเช่นกัน พวกเขาออกมายืนคุ้มกัน
หยางหนิง
มาถึงตอนนี้ ก็มีเสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้น ด้านหลังมีม้า
อีกสองตัววิ่งเข้ามา เป็นชายสวมชุดคลุมดาขี่ม้ามา
ด้านบนโผกหัวสีดา ด้านหลังของเขามีกลุ่มคนสวม
ชุดคลุมดาติดตามมา มองก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกับ
หนุ่มชุดเหลือง ชายชุดคลุมดาอายุราวสี่สิบ ร่างกาย
สูบผอม บังคับม้ามา เห็นกลุ่มชายคาดผ้าขาวกาลังชัก
ดาบ ก็ชักสีหน้าแล้วพูดว่า “หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกเจ้า
คิดจะทาอะไร?”
เมื่อทุกคนเห็นชายชุดคลุมดาตะโกน ก็หันไปมอง
ทุกคนดูยาเกรงชายชุดคลุมดามาก ต่างยืนอยู่กับที่
ไม่กล้าขยับตัว
ชายชุดคลุมดาลงมาจากม้า หยางหนิงเห็นเขาหน้าตา
มีเมตตา ก็รู้สึกนับถือไม่น้อย
“ซื่อจื่อ เป็นอะไร?” ชายชุดคลุมดามองไปที่หนุ่ม
ชุดเหลืองที่กาลังถูกพยุง สีหน้าท่าทางจริงจัง
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
ซื่อจื่อ ซื่อจื่อไหนล่ะ?
หยางหนิงกับหยวนหรงสบตากัน จากนั้น หยวนหรงก็
ตัวสั่นทั้งตัว สายตาแสดงความหวาดกลัว หยางหนิง
คิดในใจว่าเจ้านี่น่าจะเดาฐานะของอีกฝ่ายออกแล้ว
เพียงแต่ว่าในตอนนี้เขาไม่สะดวกที่จะถามเท่านั้น
แต่ดูจากปฏิกิริยาของหยวนหรงแล้ว หนุ่มชุดเหลืองนี่
ก็น่าจะมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเลย
ในใจก็แอบคิดว่า ข้าเป็นถึงทายาทองครักษ์เสื้อแพร
สี่ตระกูลใหญ่ของต้าฉู่ อีกฝ่ายก็เป็นซื่อจื่อ หรือว่า
ตาแหน่งจะใหญ่ไปกว่ากันอย่างนั้นหรือ?
ชายคาดผ้าขาวด้านข้างเดินเข้ามากระซิบข้างหูของ
ชายชุดคลุมดา สีหน้าของชายชุดคลุมดาสีหน้าจริงจัง
ขึ้น
หนุ่มชุดเหลืองเห็นชาวบ้านต่างชี้หน้าด่าเขาอยู่ ตั้งแต่
เขาตกลงมาจากหลังม้า เขาก็เสียหน้ามาก โกรธจน
ไม่รู้จะทาอย่างไร ก็เลยชักดาบออกมา ชี้ไปรอบๆ
แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “ใครกล้าพูดมาก ข้าจะฆ่า
พวกมันซะ”
ท่าทางของเขาดูเหี้ยมโหด ชาวบ้านรอบๆ ก็ไม่กล้า
หือ ทั้งหมดค่อยๆ ถอยหลังไป
“สาเนียงของเจ้าเหมือนจะเป็นคนต่างถิ่น” หยางหนิง
มองไปที่หนุ่มชุดเหลืองกาลังข่มขู่ชาวบ้าน ก็พูดจา
ประชดประชัน “เจ้าคิดจะใช้ดาบเล่มเดียวสังหารคน
ทั้งเมืองหลวงหรือไง?”
หนุ่มชุดเหลืองเอียงตัวไปข้างๆ จ้องไปที่หยางหนิง
สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาต “เจ้ามันรนหาที่ตาย
ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ”
“เมืองหลวงเจี้ยนเย่ บ้านเมืองนี้มีกฎหมายนะ”
หยางหนิงยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ต้าฉู่ของเรา
ตั้งกฎขึ้นมา เพื่อคุ้มครองประชาชน ให้ชาวบ้านอยู่
อย่างสงบสุข เจ้ากาเริบแบบนี้ ไม่เห็นกฎหมายอยู่ใน
สายตา แสดงว่าไม่เห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ของเราอยู่ในสายตา
หากวันนี้เจ้าคิดจะฉีกข้าเป็นชิ้นๆ อีก เจ้าจะลอยนวล
ได้อีกหรือ ใต้บารมีของโอรสสวรรค์ เจ้าคิดจะฆ่าคน
จริงๆ น่ะหรือ?”
หยวนหรงเหลือบไปมองหยางหนิง ในใจลอบถอน
หายใจ แอบคิดว่าเจ้าเด็กนี่วันนี้ฉลาดเกินไปหรือ
อย่างไร พูดจาชัดถ้อยชัดคา พูดทีเดียวสะเทือนกัน
ไปหมด ไปๆ มาๆ หนุ่มชุดเหลืองกลายมาเป็นไม่เห็น
ฮ่องเต้อยู่ในสายตาซะแล้ว หากจะเอาโทษเขาจริงๆ
ประหารทั้งตระกูลนี่ยังไม่พอเลยนะนั่น
หนุ่มชุดเหลืองคิดจะพูดอีก ชายชุดคลุมดาก็พูดขึ้นมา
ว่า “ซื่อจื่อ!”
หนุ่มชุดเหลืองเหมือนจะหวาดกลัวชายชุดคลุมดา
ไม่น้อย เขาพูดด้วยความโกรธเบาๆ ว่า “ท่านซือหม่า
พวกเขา...!”
ชายชุดคลุมดาไม่รอให้หนุ่มชุดเหลืองพูดจนจบ ก็เดิน
ขึ้นหน้าไป มองหยางหนิง ยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาทา
คานับ “ซื่อจื่อของเราอายุยังน้อย หากล่วงเกินอะไร
ไป ขอได้โปรดอภัยด้วย!”
“ถือว่ายังพอมีมารยาทอยู่บ้าง” หยางหนิงพูดว่า
“ซื่อจื่อของท่านขี่ม้าบนถนนอย่างเร็ว เกือบทาร้าย
คนบริสุทธิ์ ข้าว่าหลังจากพวกท่านกลับไปแล้ว
คงต้องสั่งสอนกันให้ดีหน่อยนะ”
ชายชุดคลุมดายิ้มเบาๆ แล้วก็หันตัวเดินไป หยางหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หยุดนะ!”
ชายชุดคลุมดาหยุดเดิน หันมายิ้มแล้วพูดว่า
“ไม่ทราบมีอะไรจะชี้แนะอีกอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะเข้าใจอะไรง่ายกว่านี้” หยางหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่าท่านคิดว่าชนคนแล้ว
ก็สามารถไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ?”
ชายชุดคลุมดามองไปที่รอยเลือดที่ไหลตรงหน้าผาก
ของหยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าผิดเอง” จากนั้นก็
ควักเงินออกมาจานวนหนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่ทราบ
พอที่จะไปหาหมอหรือไม่?”
เงินที่เขาให้มาจานวนไม่น้อย ไปหาหมอต้องพออยู่
แล้ว หยางหนิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ค่ารักษา
ค่าทาขวัญ สาหรับข้ากับเด็กน้อยนั่นก็พออยู่ แต่ว่า
ซื่อจื่อของท่าน ไม่ควรพูดขอโทษสักหน่อยหรือ?”
เมื่อคิดถึงหยวนหรง ก็ชี้นิ้วไป “โน้น ยังมีคนนี้อีก
ถูกซื่อจื่อของพวกท่านใช้แส้ม้าฟาด ก็ต้องจ่าย
ค่าชดเชย ค่ารักษากับค่าทาขวัญจะขาดสักอีแปะ
เดียวก็ไม่ได้”
ชายชุดคลุมดาขมวดคิ้ว แต่ความอดทนของเขาก็ถือ
ว่าใช่ได้ เขาควักตั๋วเงินออกมาจากเสื้อ แล้วพูดว่า
“ข้าไม่ได้พกเงินสดมามากนัก นี่เป็นตั๋วเงินสองร้อย
ตาลึง สามารถนาไปแลกเงินสดได้ที่ร้านเงินใหญ่
ทั้งสี่แห่ง ไม่ทราบว่าแค่นี้พอชดใช้หรือไม่?”
หยางหนิงเองก็ไม่ได้เกรงใจขนาดนั้น รับตั๋วเงิน
มาแล้วก็ยื่นให้กับหญิงสาวไป หญิงสาวตกใจ
หยางหนิงยัดเงินใส่มือของนาง
“แต่เรื่องขอโทษนั้น...!” ชายชุดคลุมดายกมือขึ้นมา
คานับทุกคนรอบๆ “ข้าขอเป็นตัวแทนของซื่อจื่อของ
ข้าขออภัยต่อทุกท่านด้วย ออกมาข้างนอก อาจเกิด
ความเข้าใจผิดกันได้ ขอทุกท่านอภัยให้ด้วย”
ชายชุดคลุมดาคิดว่าทาแบบนี้ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว
ใครจะคิดว่าหยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “คนทาผิด
ไม่ใช่เจ้า เจ้าไม่จาเป็นต้องขอโทษ” แล้วชี้ไปที่
หนุ่มชุดเหลือง “คนที่ต้องขอโทษคือเจ้า!”
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมา
ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า “อยู่ที่ไหน? ไม่เห็นกฎหมาย
เลยหรืออย่างไร? คุณชายน้อยอยู่ไหน? พี่น้อง
ทุกท่าน ล้อมเจ้าบ้านี่เอาไว้ อย่าปล่อยไปแม้แต่
คนเดียว!”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 59 สู่อ๋องซื่อจื่อ
หยางหนิงหันไปมองตามเสียง เห็นคนกลุ่มหนึ่ง
สวมชุดสีฟ้าสวมหมวกเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ
กาลังวิ่งตรงมาทางนี้ น่าจะมีจานวนราวๆ ยี่สิบ
สามสิบคน สีหน้าท่าทางดูโหดร้าย คนที่นาหน้ามานั้น
สวมชุดสีเทา ท่าทางดูยโสโอหัง
คนที่นาหน้ามานั้นมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนหมีและ
ท่าทางดุเหมือนเสือ ในมือถือดาบ ข้างๆ กายเขา มี
คนที่สวมชุดสีเขียวตัวเล็กๆ ยืนชี้องค์รัชทายาทหวงอี
แล้วพูดว่า “เขานั่นแหละ ที่เกือบทาให้คุณชายน้อย
บาดเจ็บ”
“อึก!”
คนๆ นั้นชักดาบออกมา แล้วพูดว่า “เจ้าโจรสุนัข
ไม่มีกฎหมาย” ล้อมพวกมันเอาไว้ อย่าปล่อยให้หนีไป
แม้แต่คนเดียว"
คนของเขาวิ่งพุ่งขึ้นมาราวกับเสือล่าเหยื่อ พริบตา
เดียวก็ล้อมเจ้าหนุ่มชุดเหลืองเอาไว้ กลุ่มคนคาดผ้า
ขาวต่างเริ่มมีสีหน้าที่จริงจัง ทุกคนต่างชักดาบออกมา
เช่นกัน ยืนคุ้มกันอยู่ข้างๆ เจ้าหนุ่มชุดเหลือง
ชายฉกรรจ์ร่างหมีวิ่งไปหาผู้หญิงแม่ของเด็ก
หญิงคนนั้นอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ เห็นชายร่างยักษ์วิ่งมา
ก็มีท่าทางเหมือนเห็นแสงสว่างจ้า ยังไม่ทันพูดอะไร
ชายคนนั้นก็พูดว่า “ฮูหยิน” คุณชายน้อยไม่เป็นไร
ใช่ไหม? ใครกล้าแตะต้องพวกท่านแม้แต่ปลายขน
ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด"
คาพูดคาจาของเขาค่อนข้างหยาบ หญิงคนนั้น
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ติ้งเอ๋อร์ไม่เป็นไร แต่ว่า...แต่ว่า
ท่านผู้มีพระคุณบาดเจ็บ”
“ผู้มีพระคุณ?” ชายร่างยักษ์ตะลึง
ฮูหยินคนนั้นมองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า “ท่านนี้
คือท่านผู้มีพระคุณ หากไม่ได้เขา ติ้งเอ๋อร์...ติ้งเอ๋อร์
คงจะ...!” ดวงตาของนางแดงก่า หากพูดไปเวลานี้
เกรงว่า น้าตาคงจะไหลออกมาอย่างแน่นอน
ชายร่างยักษ์หันไปมองหยางหนิง ไม่ลังเลเลยที่จะเดิน
ขึ้นไป ยกมือขึ้นมาคานับแล้วพูดว่า “ท่านผู้มีพระคุณ
โปรดรับการคารวะจากข้าเหล่ยหย่งหู่ด้วย!” เขากาลัง
จะคุกเข่าลงไป หยางหนิงรีบดึงเขาขึ้นมา ยิ้มแล้วพูด
ว่า “เกรงใจเกินไปแล้ว ผ่านมาเห็นความไม่ยุติธรรม
ก็เลยเข้าไปช่วย หากเป็นคนมีจิตสานึก เป็นใครก็
ไม่ยืนดูเฉยๆ หรอก”
ตอนแรกที่เขาเห็นกลุ่มคนหน้าตาดูโหดร้ายเดินเข้ามา
ไม่รู้ว่ามาทาไม ยังรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้
เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นคนของหญิงคนนั้นนั่นเอง
เห็นพวกเขาพาเจ้าหน้าที่ทางการมาด้วย แสดงว่าก็
พอมีอิทธิพลในเมืองหลวงอยู่บ้าง ตัวเขาออกหน้าช่วย
เพราะทนไม่ได้ที่จะเห็นคนตายต่อหน้าต่อตา ต่อให้
เป็นเด็กขอทาน เขาเองก็ไม่ลังเลที่จะไปช่วย แต่ไม่คิด
ว่าจะช่วยคุณชายน้อยคนนี้ไว้
ในเมืองหลวงขุนนางใหญ่เยอะเป็นดอกเห็ด ช่วยเด็ก
คนหนึ่งได้ก็เป็นลูกผู้ดีมีชาติตระกูลเลย แต่เขาก็ไม่ได้
แปลกใจหรือตกใจสักเท่าไร
แต่ว่าชายร่างใหญ่บุญคุณความแค้นแยกออกชัดเจน
มองดูก็รู้ว่านิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา หยางหนิงเห็น
แล้วก็รู้สึกชืน่ ชม
เหล่ยหย่งหู่พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นไว้วันหลังเราจะขอ
ตอบแทนบุญคุณของท่าน ข้าขอจัดการเจ้าตัวปัญหา
ที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่านี่ซะก่อน” จากนั้นเขาก็หัน
หน้าไป เห็นชายชุดสีเทา ท่านซีเหมินกาลังมองมา
ทางตัวเขา และเขาก็จ้องมองชุดที่ท่านซีเหมินใส่
หน้าบึ้งขึ้นทันทีแล้วพูดว่า “เจ้ากับเจ้าเด็กนั่น
พวกเดียวกันหรือ?”
ชายชุดคลุมสีดาสีหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่า “พวกท่านพา
คนมามากมายขนาดนี้ เพราะเหตุใดกัน?”
“เพราะเหตุใดอย่างนั้นหรือ?” เหล่ยหย่งหู่พูดด้วย
น้าเสียงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก “เจ้าตาบอดหรือไง?
พวกเจ้าเกือบทาให้คุณชายน้อยของข้าต้องบาดเจ็บ
แล้วทาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากข้าไม่สั่งสอน
พวกเจ้า พวกเจ้าคงจาไม่ได้ใช่ไหม” แล้วเขาก็ยื่นมือ
ออกไปจับเสื้อบริเวณหน้าอกของท่านซีเหมิน
รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ซึ่งเมื่อเทียบกับท่านซีเหมิน
แล้วสูงกว่าเกินคืบ เขาไม่รอช้า ท่านซีเหมินเองก็ไม่ได้
ขยับ ปล่อยให้เหล่ยหย่งหู่จับเสื้อของตัวเอง สายตาดู
เยือกเย็น
เหล่ยหย่งหู่จับเสื้อบริเวณหน้าอกของซีเหมิน
ใช้แรงกระชาก เขาคิดว่าแรงของตัวเองนั้น
โดยธรรมชาติแล้วคือออกแรงเบาๆ ก็สามารถทาให้
ชายชุดผ่าวสีดาวัยกลางคนๆ นี้ ลงไปนองกองกับพื้น
ได้อย่างง่ายดาย จึงชิงลงมือก่อน เพื่อเป็นการข่มขวัญ
เจ้าหนุ่มชุดเหลือง จากนั้นค่อยจัดการอย่างจริงๆ
จังๆ
ใครจะคิดว่าพอเขาออกกระชาก ท่านซีเหมินกลับนิ่ง
เหมือนก้อนหิน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย
เหล่ยหย่งหู่สีหน้าแปลกๆ เขาลองออกแรงอีกครั้ง
ท่านซีเหมินยังคงไม่ขยับเขยื้อน เหล่ยหย่งหู่เริ่มรู้สึก
โมโห ทุกคนกาลังมองอยู่ หากเขาไม่สามารถล้มคนๆ
นี้ได้ ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน จากนั้นเขาก็ออกแรง
มากขึ้น หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “แควก”
เหล่ยหย่งหู่ใช้แรงดึงเสื้อของท่านซีเหมินจนขาด
เหล่ยหย่งหู่ตกใจ ในที่สุดก็เข้าใจ คนที่เขามองแล้ว
ขัดตา แต่กลับเป็นเสือซ่อนเล็บ
“โอ้ว ถือว่าพอมีฝีมือ” เหล่ยหย่งหู่มองสักพัก แล้ว
พูดว่า “เจ้าหลบไปก่อน จริงสิ เจ้าเด็กนั่นน่ะ เจ้ามานี่
ซิ...!” ยกมือชี้ไปที่องค์รัชทายาทหวงอีที่ถูกล้อมอยู่
ตรงกลาง
สีหน้าของเจ้าหนุ่มชุดเหลืองในตอนนี้ดูไม่ได้เลย
เขาหัวเราะเยาะขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจ หันหลัง
แล้วขึ้นม้าไป กระตุกเชือกบังเหียนม้า แล้วควบม้าไป
ม้าที่เขาขี่นั้นไม่ใช่ม้าธรรมดาทั่วไป ทันใดนั้นเสียงร้อง
ของม้าก็ดังขึ้น แล้วก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พุ่งชน
เจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่งที่ยืนขวางอยู่
เจ้าหน้าที่ทางการคนนั้นตกใจจนหน้าซีด ยังดีที่เขา
ปฏิกิริยาเร็ว ในเวลานี้เขาก็ไม่สนใจอย่างอื่นเลย
รีบหลบไปข้างๆ ปล่อยให้ม้าวิ่งฝ่าฝูงชนออกไปทันที
เจ้าหนุ่มชุดเหลืองรู้สึกได้ว่าสถานการณ์มันเริ่มวุ่นวาย
ขึ้นไปทุกที ไม่คิดอยากจะอยู่ต่อ คิดเพียงแต่อยากจะ
หนีไปจากความวุ่นวายนี้ไป
กลุ่มคนที่มุงดูเห็นเจ้าหนุ่มชุดเหลืองไม่สนใจอะไร
รีบควบม้าจากไปทันที เสียงร้องของผู้คนที่ร้องด้วย
ความตกใจ ต่างพากันหลบออกไป เห็นเจ้าหนุ่ม
ชุดเหลืองที่กาลังควบม้าหนีไปอย่างชัดเจน แต่ไม่ทัน
ไรก็มองเห็นเพียงเงาที่หายไปอย่างรวดเร็วราวกับ
เสือดาวที่พุ่งออกไปและกระโดดเหมือนลิง ไม่นานก็
ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัวของ
เจ้าหนุ่มชุดเหลืองเขาถูกกระชากตกลงมาจากม้า
ม้าตัวนั้นยังคงวิ่งไปข้างหน้าได้ช่วงหนึ่งถึงจะหยุดวิ่ง
หยางหนิงเห็นเจ้าหนุ่มชุดเหลืองกาลังจะหนีไป ไม่มี
ทางให้เขาได้สมหวังแน่ๆ
เพื่อช่วยเด็กคนนั้น ทาให้เขาเลือดออกที่หน้าผาก
ทั้งหมดนี้ก็เกิดจากเจ้าหนุ่มชุดเหลืองคนนี้ หากวันนี้
ปล่อยเขาไป หยางหนิงคงไม่สบายใจแน่ๆ
ตอนที่เจ้าหนุ่มชุดเหลืองฝ่าวงล้อมออกไป หยางหนิง
เองก็รีบพุ่งตัวออกไปเช่นกัน จากนั้นก็ดึงเจ้าหนุ่ม
ชุดเหลืองลงมาจากหลังม้า ล่วงลงกับพื้น หยางหนิง
ปล่อยให้เจ้าหนุ่มชุดเหลืองล่วงลงกับพื้น ส่วนตัวเองก็
หล่นลงมาทับบนตัวของเจ้าหนุ่มชุดเหลือง เพื่อเลี่ยง
การบาดเจ็บ
หลังจากที่เจ้าหนุ่มชุดเหลืองตกลงมาจากหลังม้า
สีหน้าเจ็บปวดที่เห็นได้ชัด ท่านซีเหมินเห็นชายหนุ่ม
ชุดเหลืองตกลงมาจากม้า ก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปอย่าง
รวดเร็วราวกับวิญญาณ ยื่นมือไปจับหัวไหล่ของ
หยางหนิง แล้วกระชากอย่างรวดเร็ว หยางหนิงรู้สึก
ว่าตัวของเขาลอยขึ้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องด้วย
ความตกใจดังขึ้นว่า “ระวัง” คล้ายเสียงผู้หญิง แต่ไม่
ทันมีเวลาคิด ก้นก็กระแทกกับพื้นไปแล้ว
ถูกท่านซีเหมินโยนมาไกลหลายเมตร
การควบคุมกาลังของท่านซีเหมินไม่ธรรมดาเลย
ถึงแม้หยางหนิงจะถูกโยนออกมา ถึงแม้ก้นจะ
กระแทกลงกับพื้น แต่กเ็ ป็นแค่ความเจ็บปวดเพียง
เล็กน้อยเท่านั้น ที่อื่นๆ ก็ไม่มีอาการบาดเจ็บอย่างไร
ถึงแม้ร่างกายของหยางหนิงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
แต่ว่าในใจยังคงตกใจไม่น้อย ตอนนี้ทาให้รู้ว่าคนที่
ท่าทางไม่ค่อยหน้ากลัวอย่างซีเหมินจริงๆ แล้วเป็น
ยอดฝีมือเสือซ่อนเล็บ
ตอนนี้เขาชักเริ่มจะสนใจอยากจะรู้ที่มาที่ไปของ
เจ้าหนุ่มชุดเหลืองกับท่านซีเหมินซะแล้ว คิดถึงตอนที่
ตัวเองถูกกระชากออกมา เหมือนกับมีเสียงร้องของ
ผู้หญิงดังขึ้น น้าเสียงเหมือนเป็นห่วงเป็นใย อดไม่ได้ที่
จะมองไปตามเสียงนั้น เห็นกลุ่มคนยืนเบียดๆ กันอยู่
มีผู้หญิงราวๆ ห้าหกคน ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคน
ตะโกนเตือน
หยวนหรงก็วิ่งเข้ามา พยุงหยางหนิง แล้วถามว่า
“น้องชายไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หยางหนิงแค่ขมวดคิ้ว หยวนหรงเห็นหยางหนิงไม่ได้
บาดเจ็บ ก็เดินเข้ามากระซิบข้างหู หยางหนิงด้วย
น้าเสียงกดดันว่า “น้องชาย เรื่องนี้พอแค่นี้เถอะนะ
อย่าทาให้เป็นเรื่องใหญ่อีกเลย นั่น...นั่นสู่อ๋องซื่อจื่อ
นะ!”
“อะไรนะ?” หยางหนิงตกใจ ในใจคิดว่าที่แท้
หยวนหรงก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
หยวนหรงกระซิบข้างหูหยางหนิงว่า “สู่อ๋องเป็น
อ๋องต่างแซ่เพียงคนเดียวของต้าฉู่ของเรา ราชสานัก
เองก็ยังต้องยาเกรงเขาเลย สู่อ๋องซื่อจื่อคนนี้...เราอย่า
ไปหาเรื่องเขาจะดีกว่า”
หยางหนิงเห็นหยวนหรงถอยแล้วก่อนหน้านี้ ในใจ
ตอนนี้ก็รู้ทันทีว่าหยวนหรงน่าจะรู้ฐานะของอีกฝ่าย
นานแล้ว ดังนั้นก็เลยไม่กล้าออกหน้า อย่างไรซะ
หยวนหรงก็เป็นคุณชายน้อยของจวนราชเลขาประจา
กรมพิธีการ แต่กลับกลัวสู่อ๋อง คิดว่าสู่อ๋องคนนี้คงไม่
ธรรมดาแน่ๆ
แต่เหล่ยหย่งหู่เห็นหยางหนิงเสียเปรียบ ก็รีบพุ่งเข้า
มา แล้วพูดว่า “เจ้านี่ กล้าลงมือทาร้ายคนหรือ...!”
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าท่านซีเหมินเป็นเสือซ่อนเล็บ แต่เขา
ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเลย รีบมุ่งไปข้างหน้าและ
ชักดาบพุ่งเข้าใส่ซีเหมิน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะเอา
ให้ถึงตาย ใช้สันดาบฟันไปที่หลัง ไม่ฟันไปที่หัวของ
อีกฝ่าย แต่เป็นการทาให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าฟันที่หัวไหล่
ท่านซีเหมินพยุงชายชุดเหลืองที่นั่งอยู่ขึ้นมา ไม่หัน
กลับไปมอง ใช้นิ้วคีบหินก้อนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาตอนไหน
ดีดก้อนหินออกไปเบาๆ “ปึก” ดีดเข้าไปที่เข่าของ
เหล่ยหย่งหู่ เหล่ยหย่งหู่ร้อง “โอ้ย” เขาก็ทรุดลง
คุกเข่าไปที่พื้น
ซีเหมินพยุงชายชุดเหลืองให้ลุกขึ้น สีหน้าเย็นชา
ตอนนี้พูดด้วยน้าเสียงที่ไม่ได้เกรงใจเหมือนตอนแรก
ว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามอย่าให้มันเกินไป อะไร
ปล่อยได้ก็ปล่อย หากมันมากเกินไป ไม่ว่าจะคนหรือ
เรื่องอะไรก็ตามก็ไม่มีผลดี” เหลือบไปมองหยางหนิง
สายตาของเขาเย็นชา “เด็กหนุ่มเลือดร้อนเป็นเรื่องดี
แต่ว่าหากมันมากเกินไป มันอาจจะไม่ใช่เรื่องฉลาด”
เขาไม่ได้พูดอะไรมาก พยุงองค์รัชทายาทหวงอีขึ้นม้า
หวงอีสีหน้าโกรธแค้นมาก ชี้ไปที่ หยางหนิงแล้วพูดว่า
“เจ้าเด็กบ้าจาเอาไว้ เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้แน่”
หยางหนิงลุกขึ้นมาแล้วหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูก
เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้แน่ เจ้าจะไปตอนนี้ คงจะไม่ได้”
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ องค์รัชทายาท
หวงอี
คนที่อยู่รอบ ๆ เห็นท่านซีเหมินลงมือ ก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่
คนที่จะไปแหย่ได้ง่ายๆ ตอนแรกคิดว่าแค่โยน
หยางหนิงไป เขาก็น่าจะไม่ตอแยอีก แต่คิดไม่ถึงว่า
หยางหนิงกลับกล้าเดินขึ้นเข้ามา ในใจของบางคนก็
เริ่มรู้สึกนับถือ แต่บางคนก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่อง เกรง
ว่าเขาจะหาเรื่องใส่ตัวเสียมากกว่า
“เจ้าคิดจะทาอะไร?” ท่านซีเหมินเองก็คิดไม่ถึงว่า
หยางหนิงจะเหนียวขนาดสลัดไม่หลุดแบบนี้ เขา
ขมวดคิ้ว
หยางหนิงเดินไปตรงหน้าของซีเหมิน เดินไปประมาณ
สองก้าว ชี้ไปที่องค์รัชทายาทหวงอี “ข้าบอกไปแล้ว
เขาต้องขอโทษ เขาต้องขอโทษทุกคนที่เขาเคยทาร้าย
ไม่อย่างนั้นเขาไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“แล้วถ้าหากข้ายืนยันว่าจะไปล่ะ?” ท่านซีเหมินพูด
เรียบๆ ว่า “เจ้าคิดว่าจะขวางเราได้หรือ?”
ในตอนนี้เอง ก็เห็นแสงสะท้อนขึ้นกลางอากาศ
จากนั้นก็ได้ยินเสียง “ฉึก” ของสิ่งหนึ่งหล่นอยู่
ตรงหน้าของม้าองค์รัชทายาทหวงอี เมื่อทุกคนมองไป
ก็เห็นมีดสั้นเล่มหนึ่งอยู่ที่พื้นหน้าม้าตัวนั้น คมมีด
ไม่ได้ปักไปที่พื้น ด้ามมีดยังสั่นอยู่
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 2 บทที่ 60 ขอโทษ
หินบนพื้นถนนถึงแม้จะไม่ใช่หินที่แข็งแรงอะไรมาก
นัก แต่คมมีดจะปักลงไปนั้น จะต้องเป็นคนที่มีฝีมือ
ไม่น้อยเช่นกัน มีคนไม่น้อยที่เห็นมีดเล่มนี้ลอยผ่าน
หน้าผ่านตาไป มันอดไม่ได้ที่จะมองตาม มองเห็นคน
ที่ยืนอยู่บนถนนที่ค่อย ๆ หลีกทางออก และมีคน
สองสามคนเดินออกมาท่ามกลางผู้คน และเดิน
ออกมาอย่างช้า ๆ
เป็นชายคนหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีดา อายุราวสี่สิบปี
เดินราวกับพยัคฆ์มังกร ท่าทางองอาจ ด้านหลังของ
เขา มีทหารองครักษ์สวมชุดเกราะมาด้วยสองคน
พกดาบมาเป็นอาวุธด้วย
หยางหนิงเห็นชายคนที่เดินนาหน้ามา ก็ตกใจ เขาจา
ได้ เขาคือเสวียหลิงเฟิงผู้บัญชาการค่ายหู่เสิน วันที่แห่
ศพของฉีจิ่ง หยางหนิงเคยพบเขาแล้ว
เสวียหลิงเฟิงสีหน้าดุดัน ค่อย ๆ เดินมา ท่านซีเหมิน
ขมวดคิ้ว ซื่อจื่อชุดเหลืองตอนนี้ยืนอยู่ข้าง ๆ ม้า ยัง
ไม่ได้ขึ้นม้า ในตอนแรกตกใจมีดที่อยู่ตรงหน้า
จนกระทั่งเสวียหลิงเฟิงเดินมาถึงหน้ามีดเล่มนั้น ถึงได้
เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย
เสวียหลิงเฟิงยื่นมือไปจับดาบ แล้วค่อย ๆ ดึงมัน
ขึ้นมา แล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าข้าพอจะขวางพวกเจ้าได้
หรือไม่?”
ซื่อจื่อชุดเหลืองรีบแสดงท่าทีโกรธออกมา ชี้ไปที่
เสวียหลิงเฟิง พูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าเป็นใคร?”
เสวียหลิงเฟิงพูดด้วยน้าเสียงเย็นชาว่า “เมืองหลวง
ประกาศใช้กฎอัยการศึก ห้ามรวมกลุ่มต่อสู้ นี่คือ
คาสั่งจากราชสานัก ไม่ว่าใครก็ตาม ต้องปฏิบัติตาม
กฎของราชสานัก” สายตาทั้งสองของเขามองไปแล้ว
พูดว่า “รักษากฎหมายของราชสานัก ถือเป็น
ประชาชนของแคว้น ไม่อย่างนั้น...ถือว่าท้าทาย
อานาจของบ้านเมือง ในสายตาของข้า ถือว่าเป็นคนที่
ละเมิดกฎหมาย”
ท่านซีเหมินเห็นท่าไม่ดี รู้ว่าอีกฝ่ายมาอย่างไม่เป็น
มิตร ก็รีบยกมือคานับแล้วพูดว่า “เรามาจากซีชวน
ดินแดนสู่ ไม่ได้มีเจตนาขัดคาสั่งของราชสานัก”
“เจตนาหรือไม่ข้าไม่สนใจ” เสวียหลิงเฟิงพูดด้วย
น้าเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่ได้มีเวลามานั่งจับหิ่งห้อย
ข้าเชื่อเพียงสิ่งที่ข้าเห็นเท่านั้น”
“อ๋อ?” ท่านซีเหมินยิ้มแล้วพูดด้วยท่าทางเรียบเฉยว่า
“ไม่ทราบว่าท่านเห็นอะไรบ้างล่ะ?”
“มีคนรวมตัวกันต่อสู้กนั บนถนน” เสวียหลิงเฟิงกล่าว
ว่า “ก่อนที่เรื่องนี้จะกระจ่าง ใครก็ไปจากที่นี่ไม่ได้
ทั้งนั้น”
ท่านซีเหมินพูดว่า “หรือว่าเจ้าจะยุ่งเรื่องนี้หรือ?”
เสวียหลิงเฟิงพูดว่า “เมืองหลวงประกาศใช้กฎอัยการ
ศึก ค่ายหู่เสินช่วยจวนผู้ว่าในการรักษาความ
เรียบร้อยของเมืองหลวง ข้าจาเป็นต้องยุ่งเรื่องนี้”
“ดูท่าแล้วท่านคงจะเป็นคนของค่ายหู่เสินสินะ”
“ท่านนี้คือผู้บัญชาการค่ายหู่เสินของเรา” ผู้ที่อยู่
ด้านหลังของเสวียหลิงเฟิงท่านหนึ่งพูดขึ้นมาว่า
“ความเรียบร้อยของเมืองหลวง อยู่ภายใต้การดูแล
ของผู้บัญชาการเสวีย”
หางตาของท่านซีเหมินเริ่มกระตุก เสวียหลิงเฟิงมอง
ไปที่ซื่อจื่อชุดเหลือง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เท่าที่ข้า
เห็น เจ้าคือคนที่ขี่ม้าเข้ามาในถนน ไม่คานึงถึงความ
ปลอดภัยของประชาชน ทาให้เกิดเรื่องขึ้น หากถาม
หาสาเหตุแล้ว เจ้าคือคนผิด ไม่ทราบว่าข้าพูดถูกหรือ
เปล่า?”
ซื่อจื่อชุดเหลืองหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่แล้วจะทาไม?”
“ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้ว อย่างนั้นก็จัดการง่าย”
เสวียหลิงเฟิงมองไปที่หยางหนิง กวักมือเรียกให้เข้า
มาหา หยางหนิงเห็นท่าทางของเสวียหลิงเฟิงถึงแม้จะ
ดูเย็นชา แต่คาพูดคล้ายจะเข้าข้างเขา เขาก้าวเข้าไป
ยกมือขึ้นคานับแล้วพูดว่า “ท่าน...ท่านผู้บัญชาการ
เสวีย”
“เจ้าเป็นพยานในเรื่องนี้ใช่ไหม?”
หยางหนิงยืดอก พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ เจ้าหนุ่มนี่
ขี่ม้าบุกฝ่าฝูงชนเข้ามากลางถนน เกือบ เหยียบคน
ตาย ข้าไม่ใช่พยานเพียงคนเดียว คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด
ต่างก็เห็นเช่นเดียวกับข้า”
“อย่างนั้นเจ้าคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”
ท่านซีเหมินเริ่มขมวดคิ้ว พูดด้วยน้าเสียงเย็นชาว่า
“ในเมื่อท่านเป็นถึงผู้บัญชาการค่ายหู่เสิน ยื่นมือเข้า
มายุ่งกับเรื่องนี้ จริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าจะ
จัดการเรื่องนี้อย่างไร ทาไมถึงต้องยืมมือผู้อื่นเข้ามา
ด้วยเล่า?” เขาขมวดคิ้วสองข้าง “การจงรักภักดีเป็น
หน้าที่ หากทาเรื่องอะไรโอนเอียงไม่ยุติธรรม เกรงว่า
ผู้คนจะครหาเอาได้”
หยางหนิงเข้าใจความหมายของท่านซีเหมิน ท่าน
ซีเหมินกาลังจะคัดค้านการถามความคิดเห็นจากเขา
ของเสวียหลิงเฟิง
แต่ว่าท่านซีเหมินแสดงท่าทางที่เย็นชา ในเวลานี้
เหมือนเขาเริ่มมีอคติ ตัดสินว่าเสวียหลิงเฟิงมีความไม่
ยุติธรรม สิ่งนี้ทาให้หยางหนิงสงสัย แอบคิดว่า คน ๆ
นี้ คงไม่ได้แค่เพราะคาพูดของเสวียหลิงเฟิงก็เลยทน
ไม่ได้หรอกกระมัง ยิ่งไม่น่าจะแสดงท่าทางเตือน
เสวียหลิงเฟิงแบบโจ่งแจ้งแบบนี้
ท่าทางของเสวียหลิงเฟิงยังคงเย็นชา แล้วพูดว่า
“โอนเอียงหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาตัดสิน ทุกคน
อยู่ตรงนี้ หากมีชาวบ้านสักคนบอกว่าข้าตัดสินไม่
ยุติธรรม ข้าก็จะถอดชุดเกราะออกตรงนี้” เขาก็ไม่
สนใจอะไรมากมาย แล้วถามหยางหนิงต่อว่า “เจ้าคิด
ว่าจะจัดการอย่างไรตอนแรก?”
“กฎหมายบ้านเมืองจัดการอย่างไร ข้าไม่รู้”
หยางหนิงกล่าว “แต่ว่าทาให้ชาวบ้านต้องแตกตื่น
มิหนาซ้ายังทาร้ายผู้อื่นด้วย ตามหลักทั่วไปแล้ว
ก็ต้องชดใช้ด้วยการขอโทษ”
“ชดใช้ด้วยการขอโทษอย่างนั้นหรือ?” เสวียหลิงเฟิง
ยิ้มเบา ๆ “หากเขาผิดจริง ก็ถือว่าสมควร” สายตา
ของเขาเหมือนคมดาบ จ้องไปที่ซื่อจื่อชุดเหลือง
“เมื่อกี้เจ้าเองก็ยอมรับแล้ว คนที่กอ่ เรื่องขึ้นมาคือเจ้า
ดังนั้นชดใช้ด้วยการขอโทษ เจ้าก็ต้องเป็นคน
รับผิดชอบ คิดว่าเจ้าก็คงไม่มีอะไรจะพูด”
ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็จ้องมองซื่อจื่อชุดเหลือง
ด้วยความขัดหูขัดตา ตอนนี้เมื่อผู้บัญชาการค่ายหู่เสิน
พูดมาแบบนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่ตะโกนขึ้นมาว่า “ชดใช้
ด้วยการขอโทษ ชดใช้ด้วยการขอโทษ”
หน้าของซื่อจื่อชุดเหลืองเริ่มสั่น พูดด้วยความโกรธว่า
“เจ้า...เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?” เขาคิดไม่ถึงเลยว่า
เรื่องเล็ก ๆ ตอนนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้
ตอนนี้ชาวบ้านรอบ ๆ ต่างพากันตาหนิชี้โทษมาที่ตัว
เขา ทาให้เขารู้สึกหวาดกลัว คิดได้แต่ว่าจะใช้ฐานะ
ของตัวเองมากดดันอีกฝ่าย
เสวียหลิงเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้”
ท่านซีเหมินกาลังจะพูด ซื่อจื่อชุดเหลืองก็หัวเราะขึ้น
แล้วพูดว่า “ข้าคือสู่อ๋องซื่อจื่อ สู่อ๋องแห่งซีชวนคือ
พ่อของข้า พวกเจ้ากล้าทาอะไรข้าหรือ?”
แต่เดิมท่านซีเหมินคิดจะห้าม แต่ก็ไม่ทัน เห็นซื่อจื่อ
ชุดเหลืองเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนไปแล้ว ก็
ขมวดคิ้ว
“อย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร?” เสวียหลิงเฟิงชี้
ไปที่หยางหนิง
ซื่อจื่อชุดเหลืองตกใจ เสวียหลิงเฟิงพูดอย่างเย็นชาว่า
“ท่านนี้คือทายาทองครักษ์เสื้อแพร ท่านสู่อ๋องมีคุณ
ความดีมากมาย องครักษ์เสื้อแพรเองก็มีผลงาน
มากมาย ไม่น้อยไปกว่าท่านสู่อ๋องเลย” แล้วพูดต่อว่า
“ท่านซื่อจื่อยกเอาสู่อ๋องออกมาพูด ไม่ทราบด้วย
สาเหตุอันใด?”
สู่อ๋องซื่อจื่อพอรู้ฐานะของหยางหนิงแล้ว ก็ตะลึงไป
สีหน้าของท่านซีเหมินเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน
คิ้วทั้งสองขมวดกันจนแทบจะติดกัน
“เขาโกหก” หยางหนิงคิดแผนอะไรออก เขาชี้ไปที่
สู่อ๋องซื่อจื่อ “เขาไม่ใช่สู่อ๋องซื่อจื่อหรอก”
คนรอบ ๆ ต่างพากันตะลึง
“ท่านสู่อ๋องมีคุณงานความดีต่อบ้านเมืองมากมายนัก
กฎหมายบ้านเมืองน่าจะต้องเข้มงวดมากเป็นแน่
คิดว่าคงไม่น่าจะสั่งสอนให้ลูกตนเองไม่รู้จักกฎหมาย
หรอก ยิ่งไม่มีทางสอนให้ลูกเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา
แบบนี้แน่ ๆ” หยางหนิงพูดเสียงดัง “คน ๆ นี้ทาการ
อุกอาจกลางเมืองหลวง กาเริบเสิบสานไม่เกรงกลัว
ผู้ใด สู่อ๋องจะมีซื่อจื่อแบบนี้ไปทาไมกัน? คน ๆ นี้
จะต้องแอบอ้างตนเองว่าเป็นสู่อ๋องซื่อจื่ออย่าง
แน่นอน ขอให้ท่านผู้บัญชาการเสวียตรวจสอบด้วย”
แต่เดิมเสวียหลิงเฟิงสีหน้าเย็นชา ได้ยินหยางหนิงพูด
แบบนี้แล้ว สายตาก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็
เหลือบไปมองสู่อ๋องซื่อจื่อ แล้วพูดว่า “คาพูดของ
ทายาทองครักษ์เสื้อแพร ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เจ้าเป็น
ซื่อจื่อของท่านสู่อ๋องจริง ๆ หรือ?”
สู่อ๋องซื่อจื่อถูกสงสัยฐานะที่แท้จริงของตน ก็ร้อนใจ
คิดที่จะอธิบาย ท่านซีเหมินจึงรีบเดินมาขวางสู่อ๋อง
ซื่อจื่อ แล้วพูดว่า “ท่านผู้บัญชาการเสวีย ไม่ว่าใครจะ
มีฐานะอันใด ก็ไม่สาคัญ ในเมื่อท่านบอกว่าเมือง
หลวงประกาศใช้กฎอัยการศึก ตอนนี้ชาวบ้านมา
รวมตัวกันแบบนี้ คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดี ตามความเห็น
ของข้า เรารีบจบเรื่องนี้กันเสียจะดีกว่า”
หยางหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “วิธีจัดการนั้นง่ายมาก
ข้าบอกไปแล้ว เพียงแค่เจ้าหมอนี่ขอโทษ เรื่องนี้ก็
จะจบ เราไม่ได้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น”
เขาชี้ไปที่สู่อ๋องซื่อจื่อแล้วพูดว่า “เจ้าจะขอโทษ
หรือไม่?”
“ทาไมจะต้องให้ซื่อจื่อเป็นคนขอโทษด้วยล่ะ?”
ซีเหมินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าก็ขอโทษแทนซื่อจื่อ
ไปแล้ว”
หยางหนิงพูดว่า “เหตุผลง่าย ๆ คาขอโทษของท่าน
กับคาขอโทษของเขานั้นมันต่างกัน ท่านก็แค่องครักษ์
ของเขาเพียงเท่านั้น หากท่านขอโทษแทนเขาได้
ต่อไปขอแค่เป็นคนที่มีอานาจก็จะสามารถทาอะไรก็
ได้อย่างนั้นหรือ พอเกิดเรื่องขึ้นมา ก็ให้องครักษ์ของ
ตนเองรับผิดแทน แล้วตัวเองก็รอดไปอย่างนั้นหรือ?”
เขาพูดเสียงดังขึ้นว่า “มีเพียงให้เขาขอโทษด้วยตัวเอง
เท่านั้น ถึงจะแสดงให้คนอื่นเห็นว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่
ทาผิด ก็ต้องรับผิดชอบความผิดนั้นด้วยตัวเอง จะมา
ใช้ฐานะของตัวเองแล้วหลบเลี่ยงไปง่าย ๆ แบบนี้
ไม่ได้” แล้วพูดอีกว่า “ฮ่องเต้ทาผิด โทษเท่าสามัญ”
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา มันเหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลาง
เมือง ในเมืองหลวงแห่งนี้ เป็นพื้นที่ของเหล่าเชื้อ
พระวงศ์ขุนนางชนชั้นสูง ทุกคนต่างใช้อานาจบารมี
ของตนกดขี่ข่มเหง หยางหนิงมีฐานะเป็นถึงทายาท
องครักษ์เสื้อแพร แต่กลับพูดคานี้ออกมา ทาให้ซื้อใจ
คนได้ทั้งหมด คนรอบ ๆ ต่างชื่นชมในตัวเขา มีคน
ตะโกนออกมาว่า “ทายาทองครักษ์เสื้อแพรกับสู่อ๋อง
ซื่อจื่อต่างก็เป็นซื่อจื่อ แต่ทาไมทั้งคู่ถึงต่างกันนัก”
ถึงแม้สู่อ๋องจะมีอานาจและยิ่งใหญ่ที่ซีชวน แต่คนใน
เมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีผู้ใดรับรู้ จึงไม่มีความเกรงกลัว
สู่อ๋อง ในทางกลับกันในเมืองหลวงแห่งนี้ต่างรู้ถึง
บารมีขององครักษ์เสื้อแพร ที่ได้ใจชาวบ้านอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้หยางหนิงช่วยชีวิตคนโดยไม่สนใจชีวิตของ
ตัวเอง ผู้คนเห็นต่างเห็น ก็ชื่นชมกันมากอยู่แล้ว
ตอนนี้มารู้อีกว่าหนุ่มคนนี้เป็นถึงทายาทองครักษ์
เสื้อแพร ยิ่งเคารพและนับถือมากขึ้นไปอีก พริบตา
เดียวหยางหนิงก็ได้รับการชื่นชมอย่างไม่ขาดปาก
ท่านซีเหมินรู้ดีว่าท่ามกลางการสรรเสริญเยินยอของ
ชาวบ้าน เรื่องนี้คงไม่ป็นเรื่องดีแน่ ตอนนี้ด้านหน้ามี
เสวียหลิงเฟิงขวางอยู่ ด้านหลังก็มีกลุ่มของ
เหล่ยหย่งหู่กับเจ้าหน้าที่ทางการ ด้านข้างก็เต็มไป
ด้วยชาวบ้าน สู่อ๋องซื่อจื่อตอนนี้ก็เหมือนกับหนูข้าง
ถนนตัวหนึ่ง
ท่านซีเหมินไตร่ตรองครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เดินเข้าไป
กระซิบที่ข้างหูของสู่อ๋องซื่อจื่อ พูดสองประโยค
สู่อ๋องซื่อจื่อดูท่าทางดูโกรธแค้นมาก แต่ว่าตอนนี้
สายตาหลายคู่กาลังจับจ้องมาที่ตัวเขา เขายกมือของ
เขาขึ้นมา กัดฟัน สายตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
จ้องไปที่หยางหนิง หากสายตาฆ่าคนได้ ตอนนี้
หยางหนิงคงตายไปแล้วหลายหน
“ข้า...ข้าต้อง...ข้าต้องขอโทษเจ้า...!” สู่อ๋องซื่อจื่อ
ก้มหน้าลง “เป็นความผิดของข้าเอง ข้า...!”
เสียงของเขาเบามาก เสียงของชาวบ้านดังมาก
หยางหนิงฟังไม่ค่อยถนัด ก็เลยยกมือขึ้นมา ทา
สัญลักษณ์ให้ผู้คนหยุดคุยกันเสียก่อน ผู้คนเห็นดังนั้น
จึงหยุดพูด รอบ ๆ เงียบสงัด หยางหนิงพูดว่า
“เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ? เราไม่ได้ยินเลย”
สู่อ๋องซื่อจื่อรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนเหมือนไฟเผา
ทั้งอายและโกรธยิ่งนัก ลังเลครู่หนึ่ง แล้วกัดฟันพูด
ออกไปว่า “เป็นความผิดของข้าเอง ข้า...ข้าต้อง
ขอโทษพวกท่านด้วย”
หยางหนิงมองไปรอบ ๆ เห็นหญิงคนนั้นอุ้มเด็กอยู่
ก็กวักมือเรียกนางมา หญิงคนนั้นจึงอุ้มเด็กเดินเข้ามา
หยางหนิงก็พูดว่า “คนที่เจ้าควรจะขอโทษมากที่สุด
คือ เด็กคนนี้เกือบถูกเจ้าขี่ม้าทับตาย”
“เจ้าอย่ามาได้คืบแล้วจะเอาศอกให้มันมากนัก”
สู่อ๋องซื่อจื่อพูดด้วยความโกรธแค้น “ข้าขอโทษไป
แล้ว”
“เจ้าว่าไงนะ?” หยางหนิงเอียงหูไปฟัง “เราไม่ได้ยิน
เลย”
สู่อ๋องซื่อจื่อกาหมัดแน่นเอ็นแทบแตก ตอนนี้เขา
อยากจะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ก็เลยรีบเดินไป
ตรงหน้าของเด็กน้อยแล้วพูดว่า “ขอโทษ ข้าไม่ควร...
ข้าไม่ควรควบม้าเร็วขนาดนั้น...!”
ทุกคนต่างได้ยินชัดเจน ต่างยิ้มหัวเราะ และปรบมือ
สู่อ๋องซื่อจื่อเสียหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี เขารีบขึ้นม้า
มองไปที่เสวียหลิงเฟิงที่ยืนขวางอยู่ พูดด้วยความ
โกรธว่า “หลีกไป!”
เสวียหลิงเฟิงก็ไม่ได้อยากบีบคั้นอะไรมากมาย ก็เลย
หลบไปข้าง ๆ สู่อ๋องซื่อจื่อนั่งอยู่บนหลังม้า จ้องมา
ที่หยางหนิง หัวเราะแล้วพูดว่า “ทายาทองครักษ์
เสื้อแพร...ดี วันนี้ข้ารู้จักเจ้าแล้ว เจ้าวางใจได้ เรามี
เวลาทาความรู้จักกันอีกนาน”
“เจ้าวางใจได้ ไม่ว่าเจ้าจะอยากมาทาความรู้จัก
เมื่อไหร่ หากรู้ผิดแล้วแก้ไขก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูด
สายตาของสู่อ๋องซื่อจื่อเหมือนกับคมดาบ เขากระตุก
บังเหียนม้า บังคับม้าให้เดินไป ท่านซีเหมิน มองไป
ที่หยางหนิง ยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าท่าน
องครักษ์เสื้อแพรสิ้นแล้ว ซื่อจื่อเองก็รักษาตัวให้ดี”
เขาไม่พูดอะไรมาก นาคนตามสู่อ๋องซื่อจื่อไป
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 61 จินจั่นอิ่นไถ
เมื่อพวกของสู่อ๋องซื่อจื่อไปกันแล้ว ชาวบ้านก็เริ่ม
สลายตัวกันไปเช่นกัน เสวียหลิงเฟิงถึงได้พูดกับห
ยางหนิงว่า “ซื่อจื่อไม่รู้จักสู่อ๋องซื่อจื่อหรือ?”
“ทาไมข้าต้องรู้จักเขาด้วย?” หยางหนิงพูดอย่างสง่า
งามว่า “หากอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน ก็อย่ามาคบค้า
สมาคมกันเลย”
เสวียหลิงเฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “นิสัยของซื่อจื่อ เหมือน
ท่านแม่ทัพมาก” เมื่อพูดถึงฉีจิ่ง สีหน้าของเสวียหลิง
เฟิงดูเศร้าสลด ไม่รอให้หยางหนิงพูดอะไรก่อน แล้ว
พูดว่า “ช่วงนี้ในเมืองหลวงประกาศใช้กฎอัยการศึก
อยู่ หากท่านซื่อจื่อไม่มีเรื่องสาคัญอันใด ก็อย่าออกมา
ข้างนอกเลย”
หยางหนิงรู้ว่าเสวียหลิงเฟิงหวังดีกับตน ในใจก็คิดว่า
ค่ายหู่เสินก็ถือเป็นของอย่างหนึ่งที่จิ่นอีโหวทิ้งเอาไว้
เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านอาเสวียที่เป็น
ห่วง ข้าจะจาเอาไว้”
เสวียหลิงรู้สึกชื่นชมเขายิ่งนัก เขาไม่พูดอะไรมาก พา
คนของเขาเดินจากไปเลย
หลังจากเสวียหลิงเฟิงไปแล้ว เหล่ยหย่งหู่ก็เดินเข้ามา
เขาดูเคารพนอบน้อมมากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ยก
มือขึ้นคานับแล้วพูดว่า “ท่านซื่อ...ซื่อจื่อ ฮูหยินท่าน
ไม่สะดวกอยู่ที่นี่นานนัก นางบอกว่าไว้อีกสองสามวัน
จะเข้าไปขอบคุณท่านที่จวนด้วยตัวเอง”
หยางหนิงก็รู้แล้วว่าหญิงคนนั้นอุ้มลูกชายของนางไป
แล้ว เขายิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องลาบาก
หรอก”
“นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” เหล่ยหย่งหู่พูดอย่างจริงจัง
“นั่นมันสู่อ๋องซื่อจื่อเลยนะ หากว่าเขาชนคุณชายน้อย
ของเราขึ้นมาจริงๆ เขา...เขาอาจจะไม่ยอมทาตาม
กฎหมาย”
เมื่อเขาพูดจบ เหวียนหรงพูดขึ้นมาจากข้างๆ
“น้องชาย ครั้งนี้เจ้าทาให้สู่อ๋องไม่พอใจแล้ว จริงๆ”
“ทาไม พี่หยวนกลัวรึ?” หยางหนิงเหลือบไปมองเห
วียนหรง แอบคิดในใจว่าเมื่อครู่นี้หดหัวไม่กล้ายืน
ข้างหน้า แสดงว่ากลัวสู่อ๋องแน่ๆ ก็เลยพูดด้วย
น้าเสียงอารมณ์ไม่ดีว่า “สู่อ๋องซื่อจื่อนั่นใช้แส้ฟาดเจ้า
กลางตลาดเลยนะ ข้าเห็นเจ้าไม่ได้คิดจะเอาเรื่องเลย
ดูท่าพี่เหวียนนี่ใจกว้างใช้ได้เลยนะ”
เหวียนหรงฟังออกว่าหยางหนิงกาลังประชดประชัน
เขาอยู่ เขาทาได้แค่ยิ้มแห้งๆ ไม่พูดอะไรมาก
เหล่ยหย่งหู่คานับหยางหนิงอีกสามครั้ง จากนั้นก็พา
คนของเขากลับไป หยางหนิงก็เลยหันไปถาม
เหวียนหรงว่า “เหล่ยหย่งหู่เป็นคนของจวนไหน?”
“ข้าก็ไม่เคยเห็นเขานะ” เหวียนหรงส่ายหัวแล้วพูดว่า
“แต่ว่าเมื่อครู่นี้เขาพาคนของท่านผู้ว่าการมา แต่ไมใช่
คนของจวนผู้ว่าการ คิดว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ
กรมอาญาแน่นอน”
“หา?” หยางหนิงคิดในใจว่าในดินแดนใต้จมูกฮ่องเต้
แบบนี้ ไปที่ไหนก็มีแต่เจ้าหน้าที่ทางการเต็มไปหมด
หากไม่ระวังอาจจะไปล่วงเกินใครเข้าก็ได้
ทันใดนั้นเองเขาก็เหมือนคิดอะไรออก เขามองไป
รอบๆ เหวียนหรงเห็นหยางหนิงมองไปรอบๆ ก็ถาม
ด้วยความแปลกใจว่า “น้องชายเจ้ามองหาใครกัน?”
“ข้า...ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะชนใครคนหนึ่งเข้า
น่าจะเป็นผู้หญิง...!” หยางหนิงมองเห็นคนเดินไปเดิน
มาบนถนนมากมาย ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เวลานี้ก็
มองอะไรไม่ชัดแล้ว ยังไงข้าก็ต้องขอโทษเขา”
เหวียนหรงหลุดหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “น้องชาย
ในตอนนี้ ดูไม่เหมือนคนของจวนจิ่นอีโหวเลยนะ แต่
เหมือนคนของกรมพิธีการมากกว่า เพิ่งจะบีบให้สู่อ๋อง
ซื่อจื่อขอโทษชาวบ้าน ตอนนี้ก็จะให้ตัวเองไปขอโทษ
คนอื่น หากท่านปู่ของข้ารู้ล่ะก็ จะต้องชมเจ้าไม่ขาด
ปากแน่นอน”
“จริงสิ แล้วที่มาที่ไปของสู่อ๋องซื่อจื่อเป็นยังไง ทาไม
ถึงกล้ายโสโอหังในเมืองหลวงแบบนี้?” หยางหนิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วคนที่ชื่อซีเหมินนั่นอีกใคร
กัน?”
เขาสนใจในตัวของซีเหมินมากกว่าสู่อ๋องซื่อจื่อซะอีก
ซีเหมินสามารถโยนเขาไปได้หลายเมตรอย่างง่ายดาย
วรยุทธ์ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เหวียนหรงพูดด้วยน้าเสียงเบาๆ ว่า “สู่อ๋องเป็นอ๋อง
ของซีชวน หลายร้อยปีมานี้ คนที่ครองดินแดนอาณา
เขตซีชวนคือคนตระกูลหลี่ จนถึงสู่อ๋องรุ่นปัจจุบัน
เป็นรุ่นที่สี่ของตระกูลหลี่ แต่ว่า...หลี่หงซิ่นสู่อ๋องคน
ปัจจุบันเพิ่งจะเป็นสู่อ๋องคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้ง
บรรดาศักดิ์จากราชสานัก ก่อนหน้านี้ทุกรุ่น สถาปนา
ตนเองเป็นอ๋องโดยไม่ได้รับแต่งตั้งมาตลอด”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พูดแบบนี้ หลี่หงซิ่น
คือผู้ปกครองแคว้นซีชวนอย่างนั้นหรือ?”
“เรื่องนี้เราจะรู้กันแค่สองคน ถึงแม้ว่าตอนนี้ดินแดน
ของซีชวนจะถือเป็นเขตชายแดนของต้าฉู่ของเรา
แต่ว่าหลี่หงซิ่นกลับเป็นฮ่องเต้โดยกาเนิดของซีชวน”
เหวียนหรงพูดด้วยน้าเสียงต่าลงแล้วพูดว่า “หากจะ
พูดถึงหลี่หงซิ่นท่านนี้ จริงๆ แล้วความสัมพันธ์
หลี่หงซิ่นกับบ้านตระกูลฉีของพวกเจ้าก็ไม่น้อยเลย
นะ”
“มีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี?” หยางหนิงเริ่มสนใจ
“หมายความว่าไง?”
เหวียนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าน้องชายจะไม่ค่อยรู้ถึง
ความยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาของตระกูลฉีเลยนะ หลังจาก
ที่ต้าฉู่กับเป่ยฮั่นแยกตัวปกครอง ปาสู่ซีชวนก็
กลายเป็นเหมือนโรคเรื้อรังของราชสานัก ยี่สิบกว่าปี
ก่อน ตอนท่านเหล่าโหวของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พ่อ
ของหลี่หงซิ่นเองก็เพิ่งจะจากไป สถานการณ์ของ
ซีชวนไม่มั่นคง ราชสานักก็เลยรีบส่งทหารหนึ่งแสน
นายออกไป โดยมีท่านเหล่าโหวเป็นคนนาทัพ เพื่อ
กวาดล้างซีชวน”
“ท่านปู่นาทัพเอง ต้องได้รับชัยชนะกลับมาอย่าง
แน่นอน!”
“แน่นอน” เหวียนหยงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหว
ฝ่าด่านสังหารแม่ทัพไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่ง่ายเหมือน
หักไม้ไผ่ แต่ก็นับว่าราบรื่นไปด้วยดี”
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทาไมตระกูลหลี่ที่ซีชวนยังคงอยู่
ถึงตอนนี้ล่ะ?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้ว
ทาไมตระกูลหลี่ถึงได้ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ในดินแดนของ
ตัวเองในตอนนี้ได้อีกล่ะ?”
“ตอนนั้นหลี่หงซิ่นยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ทัพใหญ่ของ
เราก็บุกเข้าไป หลี่หงซิ่นก็รีบโยกทหาร ตระกูลหลี่มา
ตั้งรากฐานที่ซีชวน พวกเขาก็รวบรวมทหารหลาย
หมื่นนายมารับมือ” เหวียนหรงพูดว่า “ซีชวนตั้งอยู่
บนยอดเขา สถานที่อันตรายมีอยู่มาก ถึงแม้ในตอน
นั้นหลี่หงซิ่นอายุจะยังน้อย แต่เขาสามารถจัด
ระเบียบทหารได้เก่งมาก เขาแบ่งทหารเฝ้าประจาการ
ในแต่ละพื้นที่ ได้ยินมาว่าเขายังเอาเงินทองของ
ตระกูลหลี่ออกมาใช้ด้วย เพื่อสร้างขวัญกาลังใจให้กับ
ทหาร พอท่านปู่เหล่าโหวตีฝ่าด่านเมืองทีละด่านเข้า
ไปเรื่อยๆ การศึกมันก็ยากลาบากไปเรื่อยๆ”
เส้นทางแคว้นสู่ต่างสลับซับซ้อน ยากที่จะเข้าไปได้
เมืองเฉิงตูของซีชวนเป็นพื้นที่ราบ รอบๆ ล้อมไว้ด้วย
ภูเขา คิดจะฝ่าออกมามันไม่ง่าย แต่ว่าจะฝ่าเข้าไป
ยากยิ่งกว่า
“ศึกซีชวนในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสูญเสียไพร่พลไปมาก
แต่ว่าหากซีชวนคิดจะสู้กับต้าฉู่ ถือว่าโง่มาก หากจะสู้
กันจริงๆ แล้ว ท่านปู่เหล่าโหวจะต้องเอาชนะได้
แน่นอน” เหวียนหรงค่อยๆ พูดต่อไปว่า “ราชสานัก
ตัดสินใจที่จะการาบซีชวนให้ได้ ท่านปู่เหล่าโหวยก
ทัพไปทาศึกกว่าครึ่งปี รบไปจนใกล้ถึงเมืองเฉิงตู เห็น
เฉิงตูกาลังจะพ่ายแพ้แล้ว ในตอนนี้เองชาวเป่ยฮั่นก็
ยกทหารมาช่วยซีชวนกับตระกูลหลี่เอาไว้”
“เป่ยฮั่น?”
“ใช่ เป่ยฮั่นเห็นราชสานักใช้ทหารไปกับซีชวน ก็คิด
ว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดี ที่จะยกทัพลงใต้” เหวียนหรง
ยิ้มแล้วพูดว่า “ต้าฉู่ของเราถนัดรบทางน้าอยู่แล้ว ข้า
ได้ยินมาว่า ในตอนนั้นราชสานักไม่อยากให้ชาว
เป่ยฮั่นบุกเข้ามาแล้วทิ้งศึกของซีชวนไป ก็เตรียม
รับมือที่จวี้ซุ่ย ตั้งใจยึดเฉิงตูให้ได้ก่อนแล้วค่อยบุกขึ้น
ทางเหนือ” จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “แต่ว่าหลี่หงซิ่นก็
รู้ว่าซีชวนจะมีช่วงที่ขาดแคลนน้า จากนั้นเขาก็เลย
โบกธงขอยอมแพ้กับราชสานัก ศึกที่จวี้ซุ่ยสาคัญ
มากกว่า ราชสานักเองก็ยอมรับการขอยอมแพ้ของ
หลี่หงซิ่น จากนั้นก็แต่งตั้งให้เขาเป็นสู่อ๋อง จากนั้นก็
ยกทัพขึ้นเหนือ”
หยางหนิงถึงเข้าใจที่มาที่ไปแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็น
อย่างนี้นี่เอง ดินแดนสู่ก็ไม่ได้ถูกกวาดล้างไปนี่เอง”
“ดังนั้นตระกูลหลี่ก็ไม่ได้มีความทรงจาที่ดีเท่าไรกับ
ตระกูลฉีของพวกเจ้า” เหวียนหรงพูดด้วยเสียงเบาๆ
“ศึกซีชวนในครั้งนั้น ทหารฉู่สังหารคนในตระกูล
ของหลี่หงซิ่นไปไม่น้อย ส่วนทหารชวนเองก็สังหาร
ทหารของท่านเหล่าโหวไปไม่น้อย ตั้งแต่ตอนนั้นเป็น
ต้นมา ตระกูลฉีของเจ้ากับตระกูลหลี่ก็ไม่เคยมองกัน
แบบมิตรเลย” มองซ้ายมองขวา พูดเสียงเบาๆ ว่า
“เสวียหลิงเฟิงแห่งค่ายหู่เสินเป็นลูกน้องเก่าในสังกัด
พ่อเจ้า พ่อของเขาตอนนั้นก็ติดตามท่านปู่เหล่าโหวไป
ทาศึกซีชวน เพราะศึกในครั้งนั้นทาให้เขาได้รับ
บาดเจ็บ ทาให้ตาบอดไปข้างหนึ่ง แบบนี้แล้วเจ้าว่า
เสวียหลิงเฟิงจะเกรงใจตระกูลหลี่จากซีชวนอย่างนั้น
หรือ?”
หยางหนิงถึงได้เข้าใจ มิน่าล่ะเสวียหลิงเฟิงถึงได้
เข้าข้างตัวเขา ส่วนท่านซีเหมินเองก็ค่อนข้างระวัง
เสวียหลิงเฟิงไม่น้อย ที่แท้ทั้งคู่ก็มีความแค้นต่อกัน
นี่เอง
เหวียนหรงเหมือนอยากจะอธิบายต่อ ทันใดนั้นเองก็
เห็นสายตาของหยางหนิงมองไปที่ๆ หนึ่ง แบบไม่
กระพริบตาเลย เขาอดไม่ได้ที่จะมองตาม เห็น
หยางหนิงกาลังมองไปที่ร้านดอกไม้ร้านหนึ่ง เขาแอบ
คิดในใจว่าทั้งถนนเต็มไปด้วยร้านดอกไม้ อะไรทาให้
หยางหนิงสนใจร้านดอกไม้ร้านนั้น เมื่อมองไปอย่าง
ละเอียด ก็พบว่าหน้าร้านนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนชม
ดอกไม้อยู่ นางสวมชุดสีเขียวธรรมดา ผู้หญิงคนนั้นผิว
ไม่ได้ขาวมาก แต่ว่ามองแล้วดูสบายตาและดูมีสง่า
ราศีมาก
เหวียนหรงยิ้ม แล้วเข้าไปที่ข้างหูของหยางหนิง
กระซิบว่า “น้องชายสนใจแม่นางคนนั้นรึ? สายตาไม่
เลวนิ นางดูสดใสดีนะ”
หยางหนิงมองค้อนใส่เหวียนหรง แล้วรีบเดินไป
เหวียนหรงรีบพูดขึ้นว่า “ทาไมใจร้อนแบบนี้ล่ะ
น้องหยางหนิง จีบผู้หญิงจะเข้าไปตรงๆ ทื่อๆ แบบ
นั้นไม่ได้หรอกนะ มาให้ข้าสอนก่อน” จากนั้นก็พูดอีก
ว่า “ไหนว่าจะไปจวนอู่เซียงโหวไง? เรายังจะไปกัน
อยู่ไหม?”
หยางหนิงไม่ได้สนใจเขาเลย เดินผ่านถนนไปถึงหน้า
ร้านดอกไม้ร้านนั้น กลิ่นดอกไม้หอมโชยมา ทาให้
สบาย ร้านดอกไม้ร้านนี้ก็เหมือนกับร้านอื่นๆ ไม่มีการ
กั้นรั้วหน้าร้าน ด้านในดอกไม้บานเต็มไปหมด คนขาย
ดอกไม้เป็นชายแก่คนหนึ่ง หน้าตาก็เหมือนดินที่ไว้ใช้
ปลูกดอกไม้นั่นแหละ เมื่อเห็นหยางหนิงเดินมา ก็รีบ
เดินขึ้นมาทักทาย “ซื่อจื่อ ท่านจะซื้อดอกไม้หรอ?
ดอกไม้ของที่นี่เป็นดอกไม้ชั้นดี ท่านเลือกได้เลยนะ”
ก่อนหน้านี้หยางหนิงมีเรื่องกับสู่อ๋องซื่อจื่อ มีคน
มากมายเห็น แล้วก็มีไม่น้อยที่รู้ว่าหยางหนิงคือใคร
เรื่องเกิดไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ ชายแก่ขายดอกไม้
ก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งคนที่ไปมุงดู ตอนนี้เห็น
หยางหนิงเดินเข้ามา ก็เลยรู้สึกดีใจ ในเมืองหลวง
ขุนนางชนชั้นสูงมีมากราวกับขนวัว บรรดาคุณชาย
เอ่ยอ๋องเลยเลยกันให้ทั่ว ถึงแม้หยางหนิงจะเป็น
ซื่อจื่อ แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ชาวบ้านมองว่ามันก็
ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรมากมาย
“ข้าขอดูก่อนนะ” หยางหนิงยิ้ม แล้วเดินไปหยุด
ตรงหน้ากระถางดอกไม้กระถางหนึ่ง ซึ่งห่างจาก
ผู้หญิงคนนั้นไม่กี่ก้าว เมื่อมองไปแล้ว เห็นผู้หญิงคน
นั้นท่วงท่าสง่างาม อายุน่าจะราวสิบห้าสิบหกปี สวม
ชุดสีเขียวอ่อนๆ ดูสบายตา ซึ่งมันเหมาะกับตัวนาง
อย่างไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย
“ซื่อจื่อ ร้านของเรามีทั้งจื่อจินผาน เตี๋ยชุ่ยโหลว
ไป๋วี่ปิง ด้านในยังมีหมั่นถังหง ทั้งหมดนี่ถือเป็นของ
ขึ้นชื่อของร้านข้าเลย” ชายแก้แนะนา “หากว่า
ซื่อจื่อสนใจ ข้าจะให้คนส่งไปที่จวน เอาไปตกแต่งใน
จวนจะต้องสวยมากแน่ๆ ซื่อจื่อท่านอยากจะให้เท่าไร
ก็แล้วแต่ท่านเลย”
หยางหนิงตอบไปสั้นๆ ว่า “อ่อ” แอบคิดในใจว่า
คนขายดอกไม้นี่ก็ตั้งชื่อได้น่าสนใจดี แต่ละชื่อก็ดู
ประณีตดี ทาให้คนสนใจได้
ชายแก่พูดไปพรางแนะนาไปพราง จื่อจินผานดอกสี
ม่วงทองอร่าม เตี๋ยชุ่ยโหลวก็ทับซ้อนกันเป็นชัน้ ๆ
ไป๋วี่ปิงดอกสีขาวนวล แต่ละอย่างนั้นสีสันสวยงาม แต่
เสียดายหยางหนิงมีความรู้เรื่องดอกไม้น้อยมาก ชาย
แก่พูดไปพราง เขาก็แกล้งทาเป็นรู้เรื่อง แต่จริงๆ ไม่รู้
ว่าเขาหมายถึงดอกอะไร เขาแอบมองผู้หญิงคนนั้น
เป็นระยะๆ เห็นผู้หญิงคนนั้นกาลังชมดอกไม้อยู่
ดอกไม้ต้นนั้นมีดอกสีทอง แต่มีเกสรสีขาว
“เถ้าแก่ จินจั่นอิ่นไถกระถางนี้ราคาเท่าไร?” ผู้หญิง
คนนั้นเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปที่ชายแก่ ตอนนี้นาง
เห็นหยางหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายแก่ ซึ่งพอดีกับที่
หยางหนิงกาลังมองนางอยู่พอดี ทั้งสองสบตากัน
แม่นางนางนั้นรู้สึกตื่นเต้นทาอะไรไม่ถูก จากนั้นก็รีบ
หลบตาทันที
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 62 ชมดอกไม้
หยางหนิงไม่ได้คิดเลยเถิดกับแม่นางนางนี้ แต่จาได้
รางๆ ว่าก่อนที่ตนกาลังจะวิ่งตามชายชุดเทาไปนั้น ได้
บังเอิญชนกับแม่นางนางหนึ่งเข้า ด้วยความรีบร้อนใน
ตอนนั้นจึงไม่ได้ขอโทษ แต่เหมือนจะสวมชุดสีเขียว
อ่อนเช่นนี้เหมือนกัน คิดอยากจะเข้าไปถาม เห็น
แม่นางนางนั้นก้มหน้าลง จึงคิดว่าคงจะไม่เหมาะที่จะ
เดินเข้าไปหา
ชายแก่ขายดอกไม้เห็นแม่นางนางนั้นเอ่ยถามราคา
ขึ้นมา จึงรีบตอบกลับไปว่า “แม่นางถูกใจดอก
จินจั่นหยินไถงั้นเหรอ?” เขายกนิ้วโป้งขึ้นมา “ตาถึง
นะเนี่ย แม่นางคงเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ เจ้าลอง
เดินหาทั่วตลาดเลยก็ได้นะ ดอกจินจั่นอิ่นไถมันเป็น
ดอกไม้หายาก ที่ตลาดนี้มีไม่เกินสามกระถาง”
ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดว่า “ข้าเดินหามา
ทั่วตลาดแล้ว เห็นว่าร้านของท่านมี จึงเดินเข้ามาถาม
ราคา”
“ดูท่าแม่นางคงถูกใจมันจริงๆ” ชายชราขายดอกไม้
ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ก็
น่าจะรู้ดีว่าดอกดอกจินจั่นอิ่นไถปกติก็ราคาไม่
ธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในช่วงฤดูแบบนี้ ยิ่ง
หาได้ยาก หากว่าแม่นางอยากได้จริงๆ จ่ายมา
สองตาลึงก็ได้แล้ว”
“สอง...สองตาลึง?” แม่นางนางนั้นขมวดคิ้ว ดูท่าจะ
ตกใจกับราคาดอกไม้กระถางนี้ที่แพงลิบลิ่ว
ชายชราเจ้าของร้านขายดอกไม้มองออกว่าแม่นาง
นางนี้รู้สึกว่าราคาของดอกไม้นี้แพงเกินไป จึงอธิบาย
ว่า “ข้าเห็นว่าแม่นางเข้าใจเรื่องดอกไม้ดี จึงอยากจะ
ขายมันให้กับท่าน ข้าขายดอกไม้อยู่ที่นี่มาหลายปี ไม่
ตั้งราคาซี้ซั้วแน่นอน หากแม่นางคิดว่าจะหาที่ถูกกว่า
นี้ได้ ดอกไม้กระถางนี้ข้ายกให้ท่านเลยไม่คิดเงิน”
หญิงสาวลังเล แล้วมองไปที่ดอกจินจั่นอิ่นไถ ฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “งั้นข้าขอเดินดูก่อน” จากนั้นก็หันตัวเดิน
ไป พอเดินไปได้สองก้าว ก็หันกลับมามอง เหมือนจะ
เสียดายไม่น้อย
ถึงแม้หยางหนิงจะไม่รู้เรื่องดอกไม้เท่าไหร่นัก แต่ก็
มองออกว่าแม่นางนางนี้ชอบดอกจินจั่นอิ่นไถมากๆ
เมื่อเห็นแม่นางนางนั้นกาลังจะเดินจากไป จึงพูด
ขึ้นมาว่า “ช้าก่อนแม่นาง!”
หญิงสาวนางนั้นตกใจ หยางหนิงจึงเดินเข้าไป แล้ว
พูดกับชายชราขายดอกไม้ “นี่ราคาสองตาลึง
ใช่หรือไม่?”
“ซื่อจื่อท่านอยากซื้อดอกไม้กระถางนี้หรือ?” ชายชรา
รีบพูดว่า “จริงๆ หากว่าท่านซื่อจื่ออยากได้ดอกไม้
กระถามนี้ ข้าน้อยยินดีมอบให้ท่านไปชมเล่นก็ได้ แต่
ว่า...แต่ว่าตลาดดอกไม้มีกฎ จะละเมิดกฎไม่ได้
ไม่อย่างนั้นผู้อื่นจะ...!”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจ” จากนั้นเขาก็
หยิบถุงเงินออกมา แล้วก็ยื่นเงินสองตาลึงให้ไป
ชายชราไป จากนั้นก็ยกกระถางดอกไม้นั้นขึ้นมา แล้ว
เดินไปตรงหน้าของแม่นางนางนั้น จากนั้นยิ้มแล้วพูด
ว่า “แม่นางชอบดอกไม้กระถางนี้ใช่หรือไม่ เอาไปสิ
ข้ายกให้”
หญิงสาวนางนั้นรีบส่ายหัวปฏิเสธ แล้วพูดว่า “ข้ารับ
ไม่ได้หรอก” เห็นได้ชัดว่านางดูตื่นเต้น แล้วหมุนตัว
ไป หยางหนิงรีบพูดว่า “หรือแม่นางคิดว่าข้าพรวด
พราดมากเกินไป? จริงๆ แล้วข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นเลย
ดอกไม้กระถางนี้เจ้าสมควรได้มันไป”
หญิงสาวหยุดเดิน หันหน้ากลับมา แล้วถามด้วยความ
แปลกใจ “ซื่อจื่อท่านหมายความเช่นไร?”
“หากข้าจาไม่ผิด ก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง ตัวข้าเดินชน
แม่นางนางหนึ่งเข้า ไม่ทราบว่าเป็นเจ้าหรือไม่?”
หยางหนิงอยากจะแน่ใจอีกที
หญิงสาวก้มหน้าพูดเสียงเบาๆ ว่า “ท่านเองก็ไม่ได้
ตั้งใจ ข้า...ข้าเองก็ลืมไปแล้ว”
หยางหนิงรู้สึกสบายใจขึ้น ในใจคิดว่าดีจริงๆ ที่ไม่ได้
จาผิดคน จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าบังเอิญชน
แม่นางเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แม่นางไม่เอาความข้า ข้ายิ่ง
ไม่ควรแกล้งทาเป็นไม่รู้ไม่เห็น ดอกไม้กระถางนี้
ถือซะว่าแทนคาขอโทษจากข้า แม่นางรับไว้ด้วย
ไม่อย่างนั้นข้าเองคงไม่สบายใจ”
ชายชราขายดอกไม้รับเงินมาแล้ว คิดแค่อยากจะขาย
ให้สาเร็จ เขาพูดขึ้นมาว่า “แม่นาง ซื่อจื่อท่านเป็น
คนดี เมื่อกี้แม้แต่สู่อ๋องซื่อจื่อท่านยังไม่กลัวเลย ซื่อจื่อ
ท่านมีเจตนาดี เจ้าก็รับไว้เถอะ”
“เมื่อครู่นี้ข้า...ข้าเห็นแล้ว” หญิงสาวค่อนข้างนอบ
น้อม ใบหน้าแดงเล็กน้อย “แต่ว่าดอกไม้กระถางนี้ข้า
รับไว้ไม่ได้ ข้าไม่อาจจะรับของคนอื่นมาง่ายๆ”
หยางหนิงพูดว่า “นี่ไม่ใช่การรับของจากผู้อื่นง่ายๆ
แต่เป็นของแทนคาขอโทษจากข้าต่างหาก”
“ข้ารับไม่ได้จริงๆ ท่านซื่อจื่อ” หญิงสาวส่ายหน้า
ปฏิเสธ
หยางหนิงหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นาง
เหมือนจะชอบดอกจินจั่นอิ่นไถนี้มาก จริงๆ แล้วข้า
ไม่ใช่คนที่รู้เรื่องดอกไม้อะไรมากนัก เอาอย่างนี้ดีหรือ
ไหม หากว่าแม่นางมีเวลา เล่าเรื่องดอกไม้ของที่นี่ให้
ข้าฟังจะได้หรือไม่ พอให้เป็นความรู้แก่ตัวข้า เจ้าคิด
ว่าอย่างไร?”
ชายชราขายดอกไม้ยืนอยู่ข้างๆ รีบพูดขึ้นมาว่า
“มองดูก็พอจะดูออกว่าแม่นางก็เป็นคนรู้เรื่องดอกไม้
ดี ในเมื่อซื่อจื่ออยากจะได้ดอกไม้ แม่นางก็อธิบายให้
ซื่อจื่อฟังสักหน่อย ให้คนแก่ ๆ อย่างข้าได้เพิ่มพูน
ความรู้ด้วยคน อาจไม่แน่ดอกไม้กระถางนี้อาจจะ
ยกให้เจ้าเลยก็ได้นะ”
“เอ่อ...!” หญิงสาวมองไปที่ดอกจินจั่นอิ่นไถในมือ
ของหยางหนิง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า
“จริงๆ แล้วข้าเองก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากนัก”
หยางหนิงรีบพูดขึ้นว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น
ขอถามแม่นาง ชื่อจินจั่นอิ่นไถนั้นไพเราะนัก ไม่ทราบ
ว่าเจ้าพอจะอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
หญิงสาวเห็นหยางหนิงท่าทางดูอ่อนโยน จึงพอมี
ความกล้าขึ้นมาบ้าง ยิ้มอย่างอ่อนหวาน แล้วยกมือ
ชี้ไปที่เจ้าต้นจินจั่นอิ่นไถแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านวาง
กระถางลง แล้วมองดูดีๆ”
หยางหนิงทาตามที่หญิงสาวกล่าว วางกระถางดอกไม้
ลง แล้วมองมันตั้งแต่ยอดจนถึงโคนต้น หญิงสาวเดิน
เข้ามา แล้วพูดว่า “ท่านดูดอกของมัน รอบ ๆ ของ
ดอกไม้มันเป็นกลีบสีขาว เมื่อมันผลิบาน ดูเหมือน
อิ่นไถ เกสรตรงกลางเป็นสีทอง เหมือนจินจั่น
หรือไม่?”
ตอนแรกหยางหนิงไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไร แต่พอได้ยิน
ที่หญิงสาวอธิบาย จึงมองดูอย่างละเอียด จากนั้นจึง
พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ไม่เลวเลยนี่ ความหมายเป็น
อย่างนี้นี่เอง เกสรนี่เหมือนวางอยู่ในไหสีทองจริงๆ
ด้วย”
“นี่ถือว่าดีแล้ว” หญิงสาวยิ้มแล้วพูดว่า “ดอกไม้ชนิด
นี้ไม่ใช่แบบนี้ทุกดอก บางดอกก็บาน จนไม่อาจเป็น
แบบนี้ได้ เกสรบางดอกโตมารูปร่างไม่สวยนัก มีเพียง
ดูแลมันให้ดีเท่านั้น ถึงจะโตมาแบบนี้ได้”
“อ๋อ อ๋อ แบบนี้นี่เอง โตมาได้รูปแบบนี้โอกาสน้อย
มากเลยใช่หรือไม่?” หยางหนิงถามอย่างอยากรู้
หญิงสาวคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เท่าที่ข้ารู้มา
หนึ่งในห้าร้อยที่จะได้ดอกรูปร่างแบบนี้”
“แม่นางความรู้เยอะเสียจริง” ชายชราขายดอกไม้
ยกนิ้วโป้งให้ “เป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ด้วย ข้าค้าขาย
ที่นี่มานานหลายปี ซื้อขายกับผู้คนมากหน้าหลายตา
แต่ว่าคนส่วนมากก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง คนที่รู้ดอกไม้จริงๆ
นับคนได้เลย...!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็เหมือนจะนึกขึ้น
มาได้ว่าหยางหนิงก็ไม่รู้เรื่องดอกไม้ ก็รู้สึกเขินๆ
ขึ้นมา ไม่กล้าพูดต่ออีก
แต่หยางหนิงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดถูกแล้ว คนที่
มีท่าทางเหมือนมีความรู้มีมากเหมือนขนวัว” แล้วก็
พูดอีกว่า “ถ้าพูดกันแบบนี้แล้ว แสดงว่าในบรรดา
ดอกไม้ทั้งหมด เจ้าดอกจินจั่นอิ่นไถก็ถือว่าเป็น
ดอกไม้ที่ดีชนิดหนึ่ง มิน่าล่ะแม่นางถึงได้ดูชื่นชอบมัน
นัก”
หญิงสาวหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วข้า
ไม่ได้ชอบมันหรอก แต่...แต่เป็นแม่ข้าต่างหากที่ชอบ
มัน ทั้งชีวิตของนาง ชอบเพียงแต่ดอกจินจั่นอิ่นไถ
เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“แสดงว่านางจะต้องเป็นคนที่เรียบร้อยและสง่างาม
อย่างแน่นอน” เสียงของเหวียนหรงดังมาจาก
ด้านข้าง เจ้านี่เดินช้าอย่างกับเต่า แต่สุดท้ายก็มาถึง
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ก็คงมีเพียงคนเรียบร้อยและสง่า
งามอย่างนาง ถึงเลี้ยงคนอย่างแม่นางได้ดีแบบนี้”
เหวียนหรงพูดจาแบบนี้ออกมา ทาให้หญิงสาวรู้สึก
ตกใจ ตอนแรกคิดว่าท่าทีที่ผ่อนคลายก็พลันเครียด
ขึ้นมาอีกครั้ง หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะหันไปจ้อง
เหวียนหรง แอบคิดในใจว่าเจ้านี่ไม่มีตาเอาเสียเลย วิ่ง
เข้ามาร่วมวงทาไมตอนนี้ แต่ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น จะ
ไล่ไปคงจะดูไม่ดี
“พวกท่านมาที่ร้านข้าน้อย ทาให้ร้านข้าน้อยดูคึกคัก”
ชายชราขายดอกไม้ดูออกว่าเหวียนหรงก็น่าจะเป็นผู้ดี
มีตระกูล ยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ในร้านยังมีดอกไม้
ชั้นดีอีกหลายประเภท พวกท่านอยากจะเข้าไปชมก็
เชิญตามสบาย อาจจะมีดอกไม้ที่ถูกใจพวกท่านก็ได้”
แล้วหันไปพูดกับแม่นางนางนั้นว่า “แม่นางเป็นผู้มี
ความรู้เรื่องดอกไม้ อย่างไรข้าก็เชิญเจ้าเข้าไปให้คา
ชี้แนะสักหน่อย”
หญิงสาวดูแล้วเหมือนอึดอัดใจ นางส่ายหน้าแล้วพูด
ว่า “ข้า...ข้าไม่เข้าไปจะดีกว่า ท่านแม่ยังรอข้าอยู่ที่
บ้าน”
“แม่นาง ยังเช้าอยู่ อย่าเพิ่งรีบร้อนกลับนักเลย”
หยางหนิงรู้สึกชื่นชมความรู้เรื่องดอกไม้ของหญิงสาว
นางนี้มาก ยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “แม่นางวางใจได้
เราแค่ชมดอกไม้กัน เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าดอก
จินจั่นอิ่นไถนี้แม่ของเจ้าชอบมาก แล้วไม่ทราบว่า
แม่นางชอบดอกอะไรรึ? ไม่แน่ที่นี่อาจจะมีดอกไม้ที่
เจ้าชอบก็ได้?” จากนั้นก็เหลือบไปมองเหวียนหรง
แล้วพูดว่า “เจ้านี่ถึงแม้จะไม่ค่อยรู้กาลเทศะสัก
เท่าไหร่ แต่ว่าข้าอยู่ตรงนี้ แม่นางไม่ต้องกังวลเรื่อง
เขา ถือเสียว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
หญิงสาวเห็นหยางหนิงพูดจาน่าขา ก็หัวเราะขึ้นมา
เบาๆ เหวียนหรงยิ้มแบบน้อยใจแล้วพูดว่า “น้องหนิง
ใครเขาพูดถึงพี่น้องแบบนี้กันบ้างเล่า? ข้าไม่รู้จัก
กาลเทศะตรงไหนมิทราบ?”
แต่ว่าการที่หยางหนิงพูดแบบนี้ หญิงสาวเองก็ไม่ได้
ปฏิเสธ นางเป็นคนชอบดอกไม้มากจริงๆ ชายชรา
ขายดอกไม้พาทุกคนเข้าไปในร้าน ด้านในเป็นห้องโถง
ขนาดใหญ่และกว้าง รอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้
อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ ทาให้ทุกคนรู้สึก
สบายผ่อนคลาย
หญิงสาวเห็นดอกไม้อยู่รอบๆ สายตาของนาง
แสดงออกถึงความชื่นชอบอย่างมาก ชายชรายิ้มแล้ว
พูดว่า “วันนี้ทุกท่านเข้ามาเยี่ยมชมดอกไม้ของร้าน
ข้าน้อย ข้าน้อยขออนุญาตตั้งโจทย์ให้พวกท่านเล่น
กัน ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
“อ๋อ?” เหวียนหรงสะบัดพัดออกมา ยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าว่ามาซิ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะมีโจทย์
อะไรมาให้พวกข้าเล่น?”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดอกไม้
เลย หากตั้งโจทย์เกี่ยวกับดอกไม้มา ดูท่าข้าคงจะ
ไม่รอด แต่ว่าหญิงสาวนางนั้นก็อยู่ตรงนี้เสียด้วย จะ
ปฏิเสธก็คงจะไม่ได้ ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นาง...จริงสิ
ไม่ทราบว่าควรเรียกแม่นางว่าอย่างไร?” แล้วก็คิด
ขึ้นมาได้ว่าในยุคนี้การถามชื่อจริงของผู้หญิงมัน
ไม่ควร จึงพูดเสริมไปอีกว่า “หากไม่สะดวก ก็ไม่
เป็นไรนะ”
หญิงสาวหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่าน
เรียกข้าว่าเสี่ยวเหยาเถอะ”
“เหยาที่มาจากคาว่าเหยาฉือใช่หรือไม่?”
หญิงสาวพยักหน้า หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นาง
เสี่ยวเหยานี่เอง ท่านลุงท่านนี้อยากจะตั้งโจทย์
ทดสอบพวกเรา แม่นางเสี่ยวเหยาคิดว่าอย่างไร?”
เสี่ยวเหยาเหมือนจะสนใจ แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่า
หัวข้ออะไรหรือ?”
ชายชรายิ้มแล้วพูดว่า “หัวข้อของข้านั้นง่ายมาก
ข้าน้อยอยากให้พวกท่านทั้งสามลองพูดดูว่า ใน
บรรดาดอกไม้ทั้งหมดในสวนแห่งนี้ ดอกไม้ชนิดใดที่
ถือว่าเป็นเจ้าแห่งดอกไม้ทั้งปวง?”
เจ้าแห่งดอกไม้ทั้งปวง?
หยางหนิงอดที่จะเอามือลูบจมูกไม่ได้ เขาเหลือบไป
มองเหวียนหรง เหวียนหรงกลับหัวเราะ จากนั้นก็
หุบพัด แล้วพูดว่า “ข้าก่อนเลยละกัน” เขายกพัดขึ้น
ชี้นิ้วออกไป “ข้าว่า เจ้าแห่งดอกไม้ ก็ต้องเป็นดอก
โบตั๋นอย่าง ‘หมั่นถังหง’ กระถางนี้”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าเจ้านี่ก็ตาดีเหมือนกันแหะ
ดูๆ ไปแล้วก็น่าจะพอมีความรู้เกี่ยวกับดอกไม้อยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้ชายชราขายดอกไม้ก็บอกอยู่ว่า
“หมั่นถังหง” เป็นของขึ้นชื่อของร้านเขา เจ้านี่มาถึงก็
ชี้มันเลย
หมั่นถังหง ดอกไม้สมชื่อ สีแดงอร่ามดูเป็นมงคล
“หมั่นถังหงกระถางนี้ เป็นดอกไม้ที่อ่อนโยน
ดอกบานสะพรั่ง มีความสง่างาม” เหวียนหยงค่อยๆ
เดิน แล้วพูดอย่างได้ใจว่า “สีสันสวยงาม เป็น
สัญลักษณ์แห่งความกว้างไกล ก็เหมือนกับต้าฉู่ของ
เราที่เจริญรุ่งเรือง เกรียงไกรมานับหมื่นปี ถือเป็นสิ่ง
มงคลที่สวรรค์ประทานให้ ก็เหมือนกับแม่น้าที่เป็น
แก่นแท้ของภูเขา ตั้งแต่โบราณมา สีสันของมันไม่เคย
จางหายไป ผลัดใบออกมาก็ยังคงมีสีสันที่สวยงาม”
หยางหนิงได้ฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าไม่
เสียแรงที่เป็นคนของจวนท่านราชเลขาประจากรม
พิธีการ เห็นเขาส่ายหัวไปมา หากไม่ใช่ว่ามีคนอื่นอยู่
เขาคงเดินเข้าไปตบเจ้าเหวียนหรงสักที
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 63 ล้างด้วยน้้าแล้วแต่ก็ยังไม่สะอาด
ชายแก่ขายดอกไม้พยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณชาย
สายตาของท่านนั้นดียิ่งนัก หมั่นถังหงเป็นของขึ้นชื่อ
ของร้านข้า ราคาสูงมาก” แล้วมองไปที่หยางหนิง
หยางหนิงไม่รอให้เขาพูด ยิ้มแล้วมองไปที่เสี่ยวเหยา
แล้วพูดว่า “แล้วแม่นางเสี่ยวเหยาคิดว่าเจ้าแห่ง
ดอกไม้คือดอกอะไร?”
เสี่ยวเหยาเดินหยุดตรงดอกไม้กระถางหนึ่ง มองมัน
ด้วยสายตาที่อ่อนโยน แล้วพูดว่า “เสี่ยวเหยารู้สึกว่า
อวี้หลิงหลงก็ถือเป็นดอกไม้ชั้นดี”
“อ๋อ?” ชายชราขายดอกไม้ยิ้มแล้วพูดว่า “ทาไม
แม่นางถึงคิดว่าเป็นมันล่ะ?”
หยางหนิงมองไปที่อวี้หลิงหลงมันมีสีขาวบริสุทธิ์
มันให้ความรู้สึกพร่างพราวเมื่อเทียบกับหมั่นถังหง
แล้ว สีสันอาจเทียบไม่ได้เลย แต่ว่ามันเรียบง่าย สุขุม
มีเสน่ห์
“อวี้หลิงหลงไม่มีสีสันแต่งแต้ม สวยใสบริสุทธิ์ หาก
พูดถึงความล้าค่า อาจจะเทียบไม่ได้กับหมั่นถังหง”
ขณะที่เสี่ยวเหยาพูดถึงเรื่องของดอกไม้ สีหน้าท่าทาง
ของนางเต็มไปด้วยความตั้งใจ “แต่ทว่าดอกไม้ก็
เหมือนมนุษย์ ลักษณะนิสัยใจคอเหมือนมนุษย์ มันไม่
เกี่ยวอะไรกับชาติกาเนิด ใสซื่อบริสุทธิ์ หรือใจร้อน
ดุดัน ทั้งหมดนี้มันมาจากจิตใต้สานึกข้างใน มีเพียง
แบบนี้ ถึงจะทาให้เห็นอะไรชัดเจนขึ้น” แล้วหัน
กลับมา มองไปที่หยางหนิง แล้วพูดต่อว่า “จิตใจ
บริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความละมุนละม่อม ไม่มี
ความโลภ ถึงจะจัดการทุกอย่างได้อย่างยุติธรรม
ปกครองเมืองด้วยความสงบสุข ก็เหมือน...เหมือนกับ
ที่ซื่อจื่อทาในวันนี้ ที่ไม่ได้สนใจว่าตัวท่านเป็นใคร
อีกทั้งไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ยื่นมือเข้ามา
ช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่ยอมใคร ก็เหมือนกับ
อวี้หลิงหลงต้นนี้”
แม่นางนางนี้พูดจาดี หยางหนิงรู้สึกชื่นชมนางยิ่งนัก
แต่ก็เพราะความงามของนาง เขาจึงแอบคิดว่า
เสี่ยวเหยาดูใสสะอาด สวมเสื้อผ้าดูแล้วก็เหมือน
คนทั่วๆ ไป แต่คาพูดคาจาเหมือนคนที่เล่าเรียนมา
เปรียบเสมือนดอกไม้ที่ล้าค่า มันดูเหนือกว่า
หมั่นถังหงที่เหวียนหรงบรรยายเมื่อครู่เสียอีก
เพราะคาพูดของเสี่ยวเหยา ฟังเข้าใจง่าย ไม่เหมือน
เหวียนหรงที่เอาแต่วิชาการมากเกินไป ตอนนี้ยังไม่
ค่อยเข้าใจเลยว่าเมื่อครู่นี้เขาพูดว่าอะไรกันแน่
ถึงแม้หยางหนิงจะรู้สึกดีใจ แต่ปากกลับพูดว่า
“แม่นางเสี่ยวเหยาชมเกินไปแล้ว”
เหวียนหรงส่ายหัวแล้วพูดว่า “แม่นางเสี่ยวเหยาพูด
มาแบบนี้ ทาให้คนฟังรู้สึกเข้าใจยิ่งขึ้น ได้ฟังแบบนี้
แล้ว หมั่นถังหงของข้าดูไร้ค่าไปเลย”
ชายชราขายดอกไม้ก็พูดชื่นชม “คาพูดของแม่นาง
ช่างดีนัก มันทาให้มูลค่าของอวี้หลิงหลงเพิ่มสูงขึ้น”
จากนั้นก็มองไปที่หยางหนิง ยกมือขึ้นคานับแล้วพูด
ว่า “ซื่อจื่อ ไม่ทราบว่าท่านคิดว่าดอกไม้ชนิดใดคือเจ้า
แห่งดอกไม้เล่า?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องดอกไม้
เท่าไหร่นัก ไม่อยากจะขายขี้หน้า เจ้าก็เลือกผู้ชนะ
จากพวกเขาสองคนนี้เถิด”
เหวียนหรงหัวเราะแล้วพูดว่า “น้องหนิง เจ้าไม่ได้คิด
หรือว่าเจ้าไม่กล้า? ที่นี่มีแค่พวกเราไม่กี่คนเอง ต่อให้
เจ้าพูดผิด หรือพูดมั่วมา ข้ารับรองว่าข้าจะไม่เอาไป
พูดข้างนอกหรอกนะ”
หยางหนิงเห็นสีหน้าท่าทางเขาดูได้ใจยิ่งนัก ในใจก็
แอบโมโห แล้วพูดว่า “หากจะให้หาเจ้าแห่งดอกไม้ใน
ที่นี้ ข้าหาไม่เจอจริงๆ”
“ซื่อจื่อท่านหมายความว่า ในที่นี้ไม่มีเจ้าแห่งดอกไม้
ในใจของท่านอย่างนั้นหรือ?” ชายชราขายดอกไม้รีบ
ถาม “ขอถามท่านซื่อจื่อเจ้าแห่งดอกไม้ในใจของท่าน
คือดอกอะไรหรือ?”
หยางหนิงหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ดอกบัว!”
“ดอกบัว?” ชายชรากับเหวียนหรงมองหน้ากัน
เหวียนหรงหลุดหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “น้องหนิง
นี่เป็นคนลึกซึ้งเสียจริง ปลายฤดูใบไม้ร่วงเดือนสิบ
ข้ายังหาดอกบัวไม่เจอสักดอก แต่ทว่าในสระน้าของ
สวนดอกไม้หลังบ้านข้า มีดอกบัวบานสระพรั่งทุกปี
ถือเป็นเรื่องปรกติ จะว่าไปแล้ว น่าจะเป็นดอกไม้ที่ไม่
มีราคามากที่สุดในจวนแล้ว” แล้วชี้ไปที่หมั่นถังหง
“น้องหนิงรู้หรือไม่ว่าหมั่นถังหงกระถางนี้ มันพอที่จะ
ให้เจ้าแลกเอาดอกบัวในจวนของถนนผีพาทั้งหมดมา
ให้เจ้าได้เลยนะ?”
ในคาพูดของเขา ดูถูกดอกบัวมากๆ
ชายชราขายดอกไม้ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ซื่อจื่อท่านก็
เป็นคนที่ชอบดอกบัวนี่เอง แต่ว่าร้านขายดอกไม้บน
ถนนเส้นนี้ จะหาร้านที่ขายดอกบัวก็ยากเสียจริง แต่
ว่าจะเอาดอกไม้มาตีเป็นราคาก็คงมิได้ ซื่อจื่อชอบ
ดอกบัว คิดว่าคงมีเหตุผล”
หยางหนิงฟังคาพูดของชายชราขายดอกไม้ที่ดูเหมือน
จะมีมารยาท แต่ในคาพูดเหล่านั้นก็แสดงถึงการดูถูก
ดอกบัวอยู่ เขาก็เลยขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนกาลัง
คิดอะไรบางอย่าง
เขาเองก็ไม่ได้เถียง เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูด
ออกมาว่า “ดอกบัวถึงแม้จะเกิดจากโคลนตมแต่ก็
กลับไม่เปื้อนโคลนสักนิด ผุดตัวผ่านน้าแต่ยังคงความ
สวยงามเอาไว้ ไม่มีกิ่งก้านไม่มีเถาวัลย์ กลิ่นหอม
สดชื่น ชื่นชมได้จากที่ไกลๆ แต่ไม่อาจนามาชื่นชมได้”
เขาพูดถึงตรงนี้ ก็เพิ่มน้าเสียงให้ดังขึ้น “ดอก
เบญจมาศ เป็นดอกไม้ของผู้สันโดษ โบตั๋น เป็น
ดอกไม้ของผู้ร่ารวย ดอกบัว เป็นดอกไม้ของผู้ดี!”
เหวียนหรงเกิดในตระกูลบัณฑิต เรื่องความรู้ด้าน
วรรณกรรมถือว่าไม่แย่ เมื่อฟังหยางหนิงท่องกลอน
ออกมา ก็ตะลึงไป เพราะมันเหนือความคาดหมาย
ของเขามากๆ
สายตาที่แวววาวของเสี่ยวเหยาเต็มไปด้วยความตะลึง
คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “เกิดจากโคลนแต่ไม่
เปื้อนโคลน ผุดตัวผ่านน้าแต่ก็ยังคงความสวยงาม...
ชื่นชมได้จากที่ไกลๆ แต่ไม่อาจนามาชื่นชมได้...!” มัน
ช่างคมคายเสียจริง “ซื่อจื่อ นี่...นี่คือเหตุผลที่ท่าน
ชอบดอกบัวอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงพยักหน้าอย่างนิ่งๆ ท่าทางของเขาดู
สง่างาม
ทันใดนั้นก็ได้ยินเหวียนหรงพูดขึ้นมาว่า “ล้าเลิศ”
จากนั้นเขาก็จับแขนของหยางหนิง แล้วถามว่า
“น้องหนิง บทกลอนนี้ของผู้ใดกัน? ช่างเขียนคมคาย
ยิ่งนัก ที่แท้เจ้าก็รู้จักคนเช่นนี้ด้วย แนะนาให้ข้ารู้จัก
บ้างจะได้หรือไม่?” เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ความรู้ข้าก็ไม่ได้แย่ แต่ว่ากลอนที่แต่งออกมาได้
หลายปีแล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว ยังถือว่าด้อยนัก...!”
เหมือนว่าเขานึกขึ้นมาได้ว่าเสี่ยวเหยาอยู่ข้างๆ ก็เลย
หยุดพูดไป
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าเจ้านี่รู้เยอะเสียจริง แต่ว่า
เหมือนเขาจะรู้ว่าเป็นกลอนจาก “อ้ายเหลียนซัว”
ไม่ใช่เขาแต่งเอง แสดงว่าเขากาลังดูถูกตัวเขาอยู่ ก็
เลยมองไปแล้วย้อนถามกลับไปว่า “เจ้าหมายความ
ว่า ข้าแต่งกลอนเองไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เหวียนหรงพูดอย่างมั่นใจ “เจ้ามี
อะไรบ้าง ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ? นี่ไม่ใช่คาที่ใครจะ
สามารถแต่งออกมาได้ เกิดจากโคลนแต่ไม่เปื้อนโคลน
ผุดตัวผ่านน้าแต่ก็ยังคงความสวยงามเอาไว้ แค่สอง
ประโยคนี้ ก็สามารถเผยแพร่ไปได้อีกร้อยปีเชียวนะ”
หยางหนิงแอบคิดในใจว่าความรู้เจ้าก็ไม่ธรรมดาเลย
สองประโยคนี้ไม่ได้แค่เผยแพร่ไปกว่าร้อยปี จากนั้น
เขาก็สะบัดแขนที่เหวียนหรงจับอยู่ออกแล้วพูดว่า
“เจ้าจะบอกว่าใครเป็นคนแต่งก็แล้วแต่เจ้า ออกจาก
ที่นี่ไปแล้ว เจ้าจะเอาไปอวดว่าเจ้าเป็นคนแต่งเอง
ข้าก็จะไม่ว่าเจ้า”
เหวียนหรงคิดในใจว่าพูดแบบนี้มีประโยชน์อันใดกัน
ที่นี่มีคนเห็นว่าออกมาจากปากเจ้า จะกลายมาเป็น
กลอนที่เด็กร้องเล่นกันหรืออย่างไร
“คาพูดที่ออกมาจากปากท่านซื่อจื่อช่างคมคายยิ่งนัก
นับถือนับถือ” ชายชราขายดอกบัวถึงแม้จะมีความรู้
ไม่มาก แต่ว่าเห็นปฏิกิริยาของเหวียนหรงกับ
เสี่ยวเหยาแล้ว ก็รู้ว่านี่จะต้องเป็นกลอนที่ยอดเยี่ยม
อย่างแน่นอน จากนั้นก็ยิ้มให้กับเหวียนหรงแล้วพูดว่า
“คุณชายคิดว่าดอกไม้ของใครควรจะเป็นเจ้าแห่ง
ดอกไม้ในวันนี้?”
จริงๆ แล้วชายชราขายดอกไม้เป็นพ่อค้าที่ฉลาดมาก
เขาเชิญหยางหนิงเข้าร้านมา จริงๆ แล้วก็เพื่อโฆษณา
ให้กับร้านของตัวเอง
หยางหนิงช่วยคนที่ถนน ปะทะกับสู่อ๋องซื่อจื่อ
ชาวบ้านต่างเห็นกันหมด อีกอย่างเรื่องแบบนี้ไม่นาน
ก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ชื่อเสียงของหยางหนิง
จะต้องเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นไปอีก
ถึงเวลานั้นก็แค่กระจายข่าวออกไปว่า จิ่นอีโฮ่วซื่อจื่อ
เคยมาซื้อดอกไม้ร้านเขา ร้านของเขาก็จะได้รับ
ประโยชน์ไปเต็มๆ จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยคิดที่
จะเอาความคิดของตัวเองไปตัดสินอยู่แล้วแต่แรกว่า
ผู้ใดคือผู้ชนะ เพราะฐานะของจิ่นอีโฮ่วนั้นสูงศักดิ์
ส่วนเหวียนหรงเองก็ดูท่าจะมาจากตระกูลชั้นสูง หาก
ตัวเขาตัดสินแพ้ชนะด้วยตนเอง อาจจะทาให้ผิดใจกับ
ใครก็ได้
เหวียนหรงยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นแก่กลอนของเจ้า คนที่
ชนะก็ให้เจ้าแล้วกัน” เขามองไปที่เสี่ยวเหยา แล้ว
ถามว่า “แม่นางมีความเห็นว่าอย่างไร?”
เสี่ยวเหยาคิดแค่อยากจะมาชมดอกไม้เท่านั้น เรื่อง
แพ้ชนะนางไม่ได้สนใจ อีกอย่างบทกลอนของ
หยางหนิงนั้นทาให้คนตะลึง คาพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คา
แต่สามารถยกระดับดอกบัวให้ดูมีคุณค่าขึ้นมาได้ ใน
ใจนางก็แอบนับถือ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ดอกบัวของ
ซื่อจื่อ เป็นเจ้าแห่งดอกไม้แน่นอน”
หยางหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าก็พูดจาไปเรื่อย
พวกเจ้าอย่าเอาจริงเอาจังนักเลย”
“หากว่าซื่อจื่อพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ถ้าอย่าง
นั้นก็ยิ่งยอดเยี่ยมเสียจริง” เสี่ยวเหยาพูดไปยิ้มไป
“ขนาดพูดโดยไม่ได้ตั้งใจยังคมคายขนาดนี้ ถ้าหาก
ตั้งใจแล้วล่ะก็บทกลอนไม่ยิ่งน่าฟังไปกว่านี้หรือ? เกิด
จากโคลนแต่ไม่เปื้อนโคลน ผุดตัวผ่านน้าแต่ก็ยังคง
ความสวยงาม บทกลอนที่ดีแบบนี้ใช่ว่าจะได้ฟังได้ยิน
ได้อยู่ตลอด”
หยางหนิงจับไปที่ศีรษะของตัวเองแล้วพูดว่า “ถึงจะ
อย่างนั้นก็เถอะ คนที่จะทาได้แบบนี้ก็มีอยู่ไม่มาก”
เหวียนหรงยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “น้องหนิงพูด
ถูก ข้าว่าบนแม่น้าฉินไหว ไม่ว่าจะเรือสาราญลาไหน
ผู้คนที่เกิดบนโคลนตมก็มีมากเหมือนขนวัว น้อยนักที่
จะไม่เปื้อนโคลน เกิดจากโคลนแต่ไม่เปื้อนโคลน ผุด
ตัวผ่านน้าแต่ก็ยังความสวยงาม พูดง่ายแต่จะทาจริงๆ
คงยาก”
“ก็เพราะว่ามันยาก ก็เลยเป็นของล้าค่า” หยางหนิง
พูดว่า “สถานบันเทิงบนเรือสาราญลานั้น จะมีสักกี่
คนที่สะอาดเชียว” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเองก็
รู้สึกได้ว่าไม่ควรจะวิจารณ์เรื่องนี้ต่อหน้าเสี่ยวเหยา
กาลังจะเปลี่ยนประเด็น กลับเห็นว่าสีหน้าของ
เสี่ยวเหยานั้นซีดเซียว จากนั้นนางก็เดินจากไป
“แม่นางเสี่ยวเหยา เจ้า...!” ทุกคนกาลังคุยกันอย่าง
สนุกสนาน หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวเหยาบทจะ
ไปก็ไป เสี่ยวเหยาเดินไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่าง
ตกใจ แต่นางก็เดินไปถึงหน้าประตูแล้ว
หยางหนิงนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้ว่าจะต้องหลุดอะไรไม่ดี
ออกไปแน่ๆ แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าอะไรที่ทาให้
เสี่ยวเหยาโกรธ จึงรีบเดินตามไป “แม่นางเสี่ยวเหยา
พวกข้าพูดอะไรผิดไปหรือ?”
ด้วยความรีบร้อน เขาจึงจับแขนของเสี่ยวเหยา
เสี่ยวเหยาสะบัดแขนอย่างแรง ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อท่านจะพูดอะไรผิดได้เล่า? ข้าเป็นผู้หญิงไม่รู้
ฟ้าสูงแผ่นดินต่า มาพูดจาเหลวไหลที่นี่เอง” จากนั้นก็
เดินจากไป
หยางหนิงฟังจากน้าเสียงของนางไม่เหมือนเมื่อครู่ที่
เข้ากันได้ดี นาเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา เห็น
นางรีบเดินจากไป แล้วก็หายไปท่ามกลางผู้คน เขายืน
งงอยู่หน้าประตู เหลือบไปมองดอกจินจั่นอิ่นไถ แล้วก็
รีบตะโกนไปว่า “แม่นางเสี่ยวเหยา ดอกไม้ที่เจ้า
อยากได้...!” เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เสี่ยวเหยาก็
หายไปแล้ว
เหวียนหรงเดินเข้ามา แล้วถามด้วยความแปลกใจว่า
“เกิดอะไรขึ้น? เมื่อครู่ยังดีๆ กันอยู่เลย แม่หญิงนางนี้
บทจะโกรธก็โกรธ?”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหมือนว่าข้าจะพูด
อะไรผิดไป...ว่าแต่มันประโยคไหนกัน?”
“ก็ไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย?” เหวียนหรงทาหน้า
งุนงง “พวกเราเพียงแค่บอกว่าหญิงสาวบนเรือ
สาราญที่แม่น้าฉินไหวไม่มีผู้ใดสะอาด...เอ๋ อย่าบอก
นะว่านางโกรธเพราะคาๆ นี้?”
หยางหนิงนิ่งไป เดาความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา
พูดด้วยน้าเสียงผิดหวังว่า “หรือว่าเสี่ยวเหยานางจะ
เป็น...?”
“ข้าคิดว่าไม่ใช่เช่นนั้น” เหวียนหรงรีบส่ายหัวแล้วพูด
ว่า “เสียแรงเป็นถึงจิ่นอีโฮ่วซื่อจื่อ ถึงตอนนี้ยังไม่
เข้าใจผู้หญิงอีกหรือ แม่นางเสี่ยวเหยานางเอวตรง
คอเล็กหลังตรง มองดูก็รู้ว่ายังบริสุทธิ์อยู่ เจ้าดูท่าทาง
เวลานางพูดหรือทาอะไรสิ ไม่มีทางเป็นแบบนั้น
แน่นอน”
พอเหวียนหรงพูดมาแบบนี้ หยางหนิงรู้สึกสบายใจ
พูดด้วยความแปลกใจว่า “หากไม่ใช่แบบนั้น ถ้าอย่าง
นั้น...ถ้าอย่างนั้นนางทาไมถึงได้โกรธเพราะคาพูดนั้น
เล่า?” ขมวดคิ้วแล้วพูดต่อว่า “หรือว่าเราสองคนพูด
ไม่ระวัง มาพูดถึงสถานที่แบบนั้นตรงนี้ นางจึงไม่
พอใจ?” ยกมือแล้วชี้ไปที่เหวียนหรง แล้วพูดด้วย
น้าเสียงโมโหว่า “เจ้านี่มันจริงๆเลยนะ ชมดอกไม้ก็
ดอกไม้สิ อยู่ดีๆ พูดถึงที่นั่นทาไมกัน?”
“เจ้าอย่ามาโทษข้าคนเดียวนะ” เหวียนหรงพูดด้วย
ความน้อยใจ “เจ้าเองก็พูดคล้อยตามข้าไปไม่ใช่หรือ?
ทาไมโยนความผิดมาให้ข้าคนเดียวแบบนี้เล่า?”
ชายชราขายดอกไม้เดินเข้ามา แล้วพูดอย่างระวังว่า
“ซื่อจื่อ...!” จากนั้นก็ยื่นมืออกมา นั่นมันเงินสอง
ตาลึง “แม่นางเสี่ยวเหยาไปแล้ว ดอกจินจั่นอิ่นไถ
กระถางนี้ท่านก็ไม่จาเป็นต้องซื้ออีก”
“ดอกไม้กระถางนี้ข้าซื้อ แต่ว่าเอาไว้ที่เจ้านั่นแหละ”
หยางหนิงยังคงสงสัยว่าทาไมเสี่ยวเหยาจู่ๆ ก็จากไป
“เจ้าคอยสังเกตด้วย หากแม่นางเสี่ยวเหยามาที่นี่อีก
ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไรก็ตามจะต้องเอาดอกไม้กระถาง
นี้มอบให้นางให้ได้” เหมือนคิดอะไรออก แล้วถามไป
ว่า “จริงสิ เจ้ารู้จักแม่นางเสี่ยวเหยาไหม?”
ชายชราขายดอกไม้ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ที่นี่มีผู้คน
เดินไปเดินมา ทุกวัน ต่อให้แม่นางเสี่ยวเหยาเคยมา
ที่นี่จริง ข้าน้อย...ข้าน้อยก็จาไม่ได้หรอก แต่ว่าซื่อจื่อ
โปรดวางใจ ต่อไปข้าน้อยจะคอยสังเกต กระถาง
ดอกไม้นี่ข้าจะคอยดูแลให้เป็นอย่างดี”
หยางหนิงมองไปที่เสี่ยวเหยาหายไป จากนั้นก็บ่นกับ
ตัวเองว่า “เจ้าเป็นใครกันนะ?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 64 เข้าใจผิด
ต้นไม้ด้านในจวนอู่เซียงโหวมีมากมายหลายชนิด
มีหลายต้นอาจจะต้องใช้คนจานวนมากถึงจะล้อม
ต้นไม้นี้ได้ ใช้หินอ่อนปูพื้นเป็นทางยาว เมื่อเทียบกับ
จวนจิ่นอีโฮ่วแล้ว เหมือนกับจวนอู่เซียงโหวจะเล็ก
กว่าเล็กน้อย แต่หากพูดถึงการตกแต่งถือว่าหรูหรา
ไม่น้อย การตกแต่งของห้องโถงหลัก หรูหราประณีต
โต๊ะเก้าอี้ด้านในทามาจากไม้พะยูง ในทุกมุมของ
ห้องโถงตกแต่งได้อย่างสวยงามและละเอียด แสดงให้
เห็นว่าจวนของอู่เซียงโหวนั้นเอาใจใส่ทุกอย่างไม่ว่า
จะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
แต่ทว่านอกห้องโถงนั้น กลับไม่พบบ่าวไพร่เลย
สาหรับคนที่เอาใจใส่ในเรื่องความหรูหราแล้ว มันไม่
ค่อยปกติเท่าไหร่นัก
ตอนนี้หยางหนิงนั่งอยู่ในห้องโถงของจวนอู่เซียงโหว
ที่นั่งอยู่ข้างๆ คือเหวียนหรง หลังจากที่เข้ามาในจวน
แล้ว นอกจากบ่าวไพร่ที่นาเข้ามากับสาวใช้ที่ยกน้าชา
มาให้แล้ว ก็ไม่เห็นเงาของผู้ใดอีกเลย
“ทาไมถึงยังไม่มีผู้ใดมา?” เหวียนหรงนั่งรออยู่ครู่ใหญ่
ก็เริ่มจะทนไม่ไหว เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซูจื่อเฉิง
ทาแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? เอาพวกเราสอง
คนมาทิ้งไว้ตรงนี้ไม่มาถามไถ่อะไรเลยอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงยังคงนิ่งเฉย แล้วยกถ้วยน้าชาขึ้นมา เป่าให้
เย็นเล็กน้อย จากนั้นก็จิบมัน เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็
ยิ้มแห้งเบาๆ
ตอนที่อู่เซียงโหวไปที่จวนจิ่นอีโฮ่ว ตาหนิติเตียนเรื่อง
น้าชาที่ทางจวนจิ่นอีโฮ่วที่นามารับแขก ตอนนี้
หยางหนิงได้ดื่มน้าชาที่พวกเขายกมาให้ ถึงแม้เขาจะ
ไม่ค่อยรูเ้ รื่องของรสชาสักเท่าไหร่นัก แต่ก็รู้ว่ามัน
ไม่ใช่ชาที่ดีอะไร ใบชาหยาบกร้าน ดูก็รู้ว่าเป็นของ
ไม่มีคุณภาพ เขาวางถ้วยน้าชาลง เห็นเหวียนหรงเปิด
ฝาชา ก็เหลือบไปมอง ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่นี้
เหวียนหรงดื่มไปตั้งหลายคา ไม่มีบ่นต่อว่าสักคา
เพราะสีของน้าในถ้วยชานั้น ช่างแตกต่างกันนัก
หยางหนิงรู้เต็มอก อู่เซียงโหวถึงกับทาเรื่องชั้นต่า
แบบนี้ลงไปได้ ยกน้าชามารับแขกเหมือนกัน แต่กลับ
ให้ชาคนละแบบ ทาตัวเองเหมือนกับเศรษฐีบ้านนอก
ไม่มีความองอาจความสง่างามของคนมีบรรดาศักดิ์
เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเหวียนหรงหงุดหงิดมาก หยางหนิงก็พูดอย่าง
เรียบเฉยว่า “วันนี้คงไม่เจอซูจื่อเฉิงแล้วล่ะ”
เขารู้อยู่แล้วว่า ซูจื่อเฉิงเป็นลูกชายของชายาเอกของ
อู่เซียงโฮ่วซูเจิน ที่ผ่านมาเขาไปมาหาสู่กับเหวียนหรง
เป็นประจา เที่ยวเล่นกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
“อะไรนะ?” เหวียนหรงตกใจ “ไม่เจอเขาอย่างนั้น
หรือ? ทาไมล่ะ?”
หยางหนิงพูดว่า “หากจะได้เจอเขาจริง เขาคงออกมา
นานแล้ว ป่านนี้แล้วก็ยังไม่ออกมา แสดงว่าอู่เซียงโหว
คงไม่ให้เขาออกมาพบกับเรา”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลกแล้วล่ะ” เหวียนหรงขมวดคิ้ว
แล้วพูดว่า “ทาไมอู่เซียงโหวถึงไม่ให้ซูจื่อเฉิงออกมา
พบเราล่ะ? ท่านโหวก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเราเป็นมิตรที่ดี
ต่อกันมาโดยตลอด ทุกครั้งที่มา ท่านโหวไม่เคย
ขัดขวางพวกเราสักนิด” จากนั้นก็เหลือบไปมองที่
ถ้วยชา “ในเมื่อไม่ให้ซูจื่อเฉิงออกมาพบเรา แล้วจะ
ยกน้าชามาให้พวกเราทาไมกัน?”
หยางหนิงยิ้ม แล้วพูดว่า “เจ้าวางใจเถอะ ซูจื่อเฉิง
ไม่มา แต่ว่าอู่เซียงโหวมาแน่”
“อู่เซียงโหว?” เหวียนหรงยืนขึ้นมา “ช่างเถอะ เรา
ไม่ได้มาคารวะอู่เซียงโหวเสียหน่อย ในเมื่อมาไม่เจอ
ซูจื่อเฉิง เราจะอยู่ที่นี่ทาไมอีกเล่า?”
หยางหนิงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้านั่งลงก่อน อย่า
เพิ่งรีบร้อน”
“ไม่รอแล้ว” ความอดทนของเหวียนหรงไม่ได้ดีถึง
ขนาดนั้น “น้องหนิง ข้าว่าเราค่อยมาวันอื่นเถอะ
วันนี้ออกมาข้างนอกกันทั้งวัน ไม่ได้เรื่องได้ราวอันใด
เสียเลย”
“อ๋อ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ปกติเจ้าได้อะไร
ทุกวันเลยอย่างนั้นหรือ?” จากนั้นก็เอียงตัวไปข้างๆ
“เจ้าอย่าลืมนะ ที่เจ้ามาที่นี่กับข้า เจ้ารับปากข้าเอง
มันเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของข้า หากเจ้าไม่ยินดีที่จะรอ
ตอนนี้เจ้าก็กลับไปได้เลย แต่ว่าเรื่องของผู้ดูแลอู๋...!”
เหวียนหรงจ้องไปที่หยางหนิง สุดท้ายก็นั่งลง แต่นั่ง
บิดไปบิดมา นั่งไม่ติดเก้าอี้เสียเลย
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากด้านนอก
ฟังจากเสียงเหมือนตั้งใจทา เพื่อเตือนว่ามีคนมาแล้ว
จากนั้นก็เห็นอู่เซียงโหวซูเจินสวมชุดผ้าแพรหยกเดิน
เข้ามาด้านใน
เหวียนหรงเห็นอู่เซียงโหวเดินเข้ามา ก็เปลี่ยนท่าทีมี
มารยาทขึ้นมา รีบลุกขึ้น แล้วโค้งคานับให้กับ
อู่เซียงโหว หยางหนิงเองก็ลุกขึ้นมา ถึงแม้ในใจของ
เขาจะไม่ได้เคารพซูเจิน แต่ตอนนี้เขาเองก็ต้องคานับ
ให้กับอู่เซียงโหว
อู่เซียงโหวพยักหน้าให้กับเหวียนหรงแล้วยิ้ม เมื่อ
เห็นหยางหนิง รอยยิ้มนั้นก็หายไป สายตามองผ่านไป
แล้วเดินไปที่เก้าอี้ จากนั้นสาวใช้ก็ยกน้าชาเข้ามาให้
ห้องโถงทั้งสองด้านมีฉากกั้นอยู่ ด้านซ้ายเป็นภาพ
ของสายน้าและภูเขา ด้านขวาเป็นภาพของนก เมื่อ
มันตั้งอยู่สองข้าง ทาให้ห้องโถงหลักดูสว่างไสว
“ไต้เท้าเหวียนสบายดีหรือไม่?” อู่เซียงโหวยกน้าชา
ขึ้นจิบ ค่อยๆ ใช้ฝาถ้วยชากวาดน้าชา แล้วมองไปที่
เหวียนหรง จากนั้นก็มองไปที่ถ้วยน้าชา
เหวียนหรงตอบกลับไปว่า “ขอบคุณท่านโหวที่เป็น
ห่วง ท่านปู่สบายดี”
“ลูกหลานตระกูลบัณฑิต ราศีมันต่างกันแบบนี้นี่เอง”
ซูเจินยิ้มแล้วพูดว่า “เหวียนหรง เจ้าสนิมสนมกับ
เจ้าลูกไม่เอาถ่านของข้า ก็อย่าลืมสอนเรื่องมารยาท
ให้เขารู้จักอะไรมากขึ้น รู้กาลเทศะมากขึ้น จะว่าไป
แล้ว ตระกูลซูของเรายังไงก็ถือบรรดาศักดิ์โหว
ตาแหน่งอู่เซียงโหวของข้า สุดท้ายก็ต้องยกให้เขาอยู่ดี
เป็นถึงโหว แต่ไม่รู้จักมารยาทกาลเทศะ คนอื่นจะ
หัวเราะเยาะเอาได้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็ก้มหน้าดื่มชา
แต่สายตากับเหลือบไปมองหยางหนิง
หยางหนิงยังคงนิ่งอยู่ เหมือนกับคนที่ไม่มีเรื่องอะไร
จะพูด ซูเจินเห็นดังนั้น ก็ทาหน้าไม่พอใจ
“ท่านโหวคิดมากเกินไปแล้ว” เหวียนหรงพูดจาอย่าง
ระมัดระวัง “ท่านโหวสั่งสอนอู่เซียงโหวซื่อจื่อ
ทั้งการศึกษาทั้งวิทยายุทธในเมืองหลวง ก็ไม่มีผู้ใด
เทียบกับเขาได้เลยแม้แต่น้อย”
ซูเจินเองก็ไม่ได้ถ่อมตัวเขายิ้มแล้ววางถ้วยชาลงแล้ว
พูดว่า “ท่านปู่ของเจ้าให้เจ้ามารึ? หรือว่าท่านพ่อของ
เจ้าให้เจ้ามา?”
เหวียนหรงคิดในใจว่าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับพวกเขา
เลย เป็นเพราะหยางหนิงลากข้ามาต่างหาก แต่
ในตอนนี้จะพูดออกไปตรงๆคงจะไม่ได้ ก็เลยตอบ
กลับไปว่า “คิดจะมาคุยเล่นเรื่องบทกลอนกับอู่เซียง
ซื่อจื่อ จึงแวะเข้ามา”
“เจ้าไม่ต้องปกปิดข้าหรอก” ซูเจินพูดอย่างเรียบเฉย
“เรื่องอื่น ข้าจะไว้หน้าท่านเหวียน แต่ทว่าเรื่องใน
วันนี้ พวกเจ้าอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า”
เหวียนหรงตกใจ งงเป็นไก่ตาแตกในใจคิดว่ายุ่งเรื่อง
อันใดกัน? เขาเหลือบไปมองหยางหนิงที่อยู่ข้างๆ
บรรยากาศที่ไม่ค่อยจะดีก็เริ่มขึ้น แอบคิดว่าเหมือน
ตัวเองตกหลุมพรางของหยางหนิงเข้าแล้ว ฟังจาก
น้าเสียงของซูเจิน เรื่องในวันนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องดี
หยางหนิงประเมินสถานการณ์อยู่ ตอนนี้คงจะยังไม่
เหมาะที่จะเอ่ยปากพูดอะไร แต่ตอนนี้รู้สึกว่า
ด้านหลังฉากกั้นทั้งสองด้านมีเงาของผู้คนเดินผ่านไป
ผ่านมา น่าจะมีคนอยู่ราวๆ สิบกว่าคน
เหวียนหรงยิ้มเขินๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกไป
“จื่อเฉิงวันนี้ไม่อยู่ในจวน” จูๆ่ ซูเจินก็พูดขึ้นมา
“สู่อ๋องซื่อจื่อจู่ๆ ก็มาหาข้าที่จวน เขาได้รับคาสั่งจาก
สู่อ๋อง ให้มาหาข้าที่จวน สู่อ๋องซื่อจื่ออายุยังน้อยแต่มี
ความองอาจ ดูเข้าขากันดีกับจื่อเฉิง เขามอบม้าดี
ตัวหนึ่งให้แก่จื่อเฉิง ได้ยินมาว่าเป็นหนึ่งในเก้าม้าชั้นดี
ของจวนสู่อ๋อง ดูจากสายตาก็รู้ว่าเป็นม้าชั้นยอด
จื่อเฉิงเห็นม้าดีแบบนี้ จึงขี่ม้าออกไปเที่ยวเล่น”
เขาพูดจาไม่รีบร้อนอะไรมากนัก ท่าทางของเขาก็ดูนิ่ง
แต่น้าเสียงกลับปกปิดความในใจเอาไว้ไม่ได้
เหวียนหรงตัวสั่น เหลือบไปมองหยางหนิง เห็น
หยางหนิงยังคงนิ่งเหมือนเดิม เขาแอบคิดในใจว่าเจ้า
นี่เจออู่เซียงโหวแล้ว ถูกว่าที่พ่อตาขู่ซะขวัญกระเจิงไป
แล้วหรืออย่างไรกัน?
แต่ว่าเมื่อก่อนจิ่นอีโหวซื่อจื่อก็มักจะเหม่ออยู่บ่อยครั้ง
สมองไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ พอจิ่นอีโหวซื่อจื่อฉลาด
ขึ้นมาเหวียนหรงก็ไม่ค่อยจะชินสักเท่าไหร่ เจอฉีหนิง
นั่งเหม่อแบบนี้เขากลับดูคุ้นเคยมากกว่า
ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า วันนี้ที่สู่อ๋องซื่อจื่อไปก่อเรื่องที่
ตลาด เพราะเพิ่งออกมาจากจวนอู่เซียงโหวนี่เอง
จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า อู่เซียงโหวกับจิ่นอีโหวก็ถือ
ว่าเป็นญาติกัน ถึงแม้ว่าไม่ใช่เรื่องที่รู้กันทั่วไป แต่ว่า
ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง ก็รู้กันหมด
ตั้งแต่ครั้งศึกซีชวน จิ่นอีโหวกับสู่อ๋องก็เหมือนน้ากับ
ไฟ ถึงแม้จะบอกว่าสู่อ๋องสวามิภักดิ์ต่อต้าฉู่แล้ว แต่
ความแค้นของตระกูลทั้งสองก็ไม่ได้จางหายไป
ตามหลักแล้ว อู่เซียงโหวกับจิ่นอีโหวถือเป็นญาติกัน
ก็ไม่น่าจะไปสนิทสนมกับสู่อ๋องได้ เพราะต้องรักษา
หน้าของญาติเอาไว้ แต่ว่าอู่เซียงโหวกลับไม่ปกปิด
เรื่องที่ตัวเองสนิมสนมกับสู่อ๋องเลย ถึงแม้เหวียนหรง
จะไม่ใช่คนที่เก่งในเรื่องการเมือง แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่
ปกติเอาเสียเลย
เขากาลังแอบคิดว่าเรื่องยุ่งยากบางเรื่องกาลังจะ
เกิดขึ้น แล้วก็ไม่ผิดจากที่เขาคิด เห็นซูเจินยกน้าชา
ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ไท่ฮูหยินฝากให้เจ้ามาให้
คาตอบหรือ? นางคิดว่าอย่างไรบ้างล่ะ?”
หยางหนิงรู้ดีว่าตอนนี้ซูเจินกาลังพูดเข้าประเด็นหลัก
กับตัวเขาเข้าแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กาลังจะ
พูด ซูเจินก็ยกมือขึ้นมาขวาง ท่าทางเปลี่ยนเป็นเ
ย็นชาแล้วพูดว่า “ข้าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานใน
ครั้งนี้ ต่อให้ไท่ฮูหยินจะไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีประโยชน์
อันใด”
เหวียนหรงคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินบทสนทนาเช่นนี้ เขา
ตะลึงไปครู่หนึ่ง ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือหูเขาฟาด
ไปหรือไม่ จะต้องฟังผิดไปแน่ๆ
“ท่านเหล่าโหวของพวกเราทั้งสองตระกูลกาหนดการ
แต่งงานนี้ขึ้นมา หากฟังไปแล้วมันอาจจะเป็นเรื่องที่ดี
แต่ว่าพวกเขาไม่ใช่เทพเจ้า คงคิดไม่ถึงเรื่องที่จะ
เกิดขึ้นหลังจากนั้น” ซูเจินค่อยๆ พูดว่า “จริงๆ แล้ว
ตั้งแต่ท่านเหล่าโหวทั้งสองสิ้นไป งานแต่งในครั้งนี้ก็
ไม่เป็นผลแล้ว”
หยางหนิงแค่ยิ้ม ดูแล้วเหมือนจะลาบากใจเสียหน่อย
“เหวียนหรง จวนจิ่นอีโหวไปหาตระกูลเหวียนของเจ้า
คิดอยากให้ตระกูลเหวียนเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย แต่ว่า
ส่งแค่เจ้ามา นั่นแสดงว่าท่านเหวียนเองก็พอจะรู้จัก
นิสัยข้าดี รู้ว่าเรื่องนี้คงเปลี่ยนแปลงอะไรมิได้” ซูเจิน
จิบน้าชา จากนั้นก็วางถ้วยชาลง “คนอย่างข้าซูเจิน
จะทาการอันใด จะต้องเด็ดขาดไม่มีการเปลี่ยนแปลง
กลับไปบอกใต้เท้าเหวียนด้วยว่า เรื่องนี้ใช่ว่าข้าจะ
ไม่ให้เกียรติตระกูลเหวียนของพวกเจ้า เขาน่าจะ
เข้าใจดี”
ตอนนี้เหวียนหรงแน่ใจแล้วว่า ตัวเขานั้นไม่ได้ฟังผิด
ไป เขาอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้เห็น
คิดว่าเรื่องนี้มันน่าสนใจยิ่งกว่าที่หยางหนิงท่องกลอน
ดอกบัวบทนั้นออกมาเสียอีก
“ท่านโหว ข้า...ท่าน...เรื่องนี้...!” เขาถึงกับติดอ่าง
ไม่รู้จะต้องพูดอะไรต่อ ในใจกลับคิดว่า เจ้าหยางหนิง
เจ้าลากข้ามาที่นี่ ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้ การแต่งงานจะ
สาเร็จหรือไม่ มันเป็นเรื่องของตระกูลฉีกับตระกูลซู
ของพวกเจ้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตระกูลเหวียนของข้า
เลย คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า ลากตระกูลเหวียนของข้า
มาร่วมวงด้วย
ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ซูเจินแสดงชัดเจนว่า
ตระกูลเหวียนมาเพื่อไกล่เกลี่ยให้กับตระกูลฉี
เขาแอบโมโห เรื่องความแค้นของตระกูลใหญ่ เป็น
เรื่องยุ่งยากที่สุด คนที่ฉลาดจะไม่มีทางเอาตัวเองกับ
วงศ์ตระกูลมายุ่งด้วยเด็ดขาด แต่ว่าเขาถูกหยางหนิง
ลากมาถึงหน้าบ้าน เรื่องนี้มันวุ่นวายเสียจริง ตอนนี้
เขาแค่กังวลว่าเกียรติยศของตระกูลจะถูกลากเข้ามา
เกี่ยวข้องกับความแค้นของสองตระกูลนี้ เห็นทีจะ
ลาบากตัวเขาเองเสียแล้ว
“ฉีหนิง ใช่ว่าข้าจะดูถูกเจ้านะ แต่ใครๆ ก็รู้ เจ้ามันก็
แค่ดินโคลนที่ไม่คู่ควรกับกาแพง” ซูเจินสะบัด
ชายเสื้อโดยไม่มองหยางหนิง “เจ้ามันคนความรู้น้อย
ไม่มีคุณธรรม จื่อเสวียนของข้ารอบรู้ เจ้าไม่มีความรู้
เรื่องวรยุทธ จื่อเสวียนของข้าเล่นดนตรี เล่นหมากรุก
วาดรูปเป็น เจ้ามันโง่ทาอะไรไม่เป็นสักอย่าง
จื่อเสวียนของข้าฉลาดหลักแหลม...แต่ช่างเถอะ
ข้าอธิบายชัดเจนแล้ว ต่อให้เจ้าโง่กว่านี้ ก็น่าจะรู้
เจ้าไม่เหมาะสมกับจื่อเสวียนของข้า พูดมากันขนาดนี้
แล้ว ข้าคิดว่าคงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก” จากนั้นเขา
ก็ลุกขึ้น เอามือไขว่หลัง พูดเสียงเข้มๆ ว่า “ใครก็ได้
ส่งแขกให้ข้าที!”
หยางหนิงเหลือบไปมองที่ซูเจิน จากนั้นก็ถอนหายใจ
แล้วพูดว่า “อู่เซียงโหว ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่?”
“ไม่มีสิ่งใดที่ข้าเข้าใจผิดทั้งนั้น” น้าเสียงของซูเจิน
แข็งกระด้าง “ข้ายังมีเรื่องต้องทาอีกมาก ข้าจะไม่รั้ง
พวกเจ้าไว้แล้วกัน”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “อู่เซียงโหว ท่านเข้าใจผิด
เป็นแน่ ท่านคิดว่าที่ข้ามาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านไม่
ยกเลิกงานแต่งอย่างนั้นหรือ?”
ซูเจินตกใจ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือว่ามิใช่เล่า?”
“ก็ไม่ใช่อย่างไรเล่า” หยางหนิงนั่งลง พิงเก้าอี้
จากนั้นก็ยกถ้วยน้าชามา “ข้าไม่เคยคิดที่จะแต่งงาน
กับลูกสาวท่าน การยกเลิกงานแต่งเป็นเรื่องที่ต้องทา
กันอยู่แล้ว ที่ข้ามาในวันนี้ มาเพื่อถอนหมั้น ข้าจะ
บอกพวกท่านให้ชัดเจนตรงนี้เลยว่า ลูกสาวของท่าน
ไม่มีทางได้เหยียบเข้าตระกูลฉีแม้แต่ก้าวเดียว”
จากนั้นก็ยกน้าชามาดื่ม แล้วก็พ่นมันออกมาจากปาก
ด่ากลับไปว่า “นี่มันอะไร? คนกินได้ด้วยรึ?
อู่เซียงโหว จวนของท่านดื่มชาแบบนี้กันรึ? ชาแบบนี้
แม้แต่สุนัขในจวนข้ามันยังไม่กินเลย”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 65 มีหนี้ต้องชดใช้
เหวียนหรงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขามองไปที่
หยางหนิงด้วยความตกใจ
เขาคิดไม่ถึงว่าซูเจินจะพูดเรื่องการยกเลิกงานแต่งงาน
และยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าหยางหนิงมาที่นี่เพื่อถอนหมั้น
และยิ่งตกใจมากไปกว่านั้นคือคาพูดสุดท้ายของ
หยางหนิง
ไม่ว่าหยางหนิงหรือซูเจิน พวกเขาต่างเป็นหนึ่งในสี่
ตระกูลบรรดาศักดิ์ใหญ่ของต้าฉู่ ทั้งสองตระกูลไปมา
หาสู่กันด้วยดีมาโดยตลอด ในสมัยของท่านเหล่าโหว
ถึงขั้นสาบานร่วมเป็นร่วมเป็นร่วมตายกัน
ไม่ว่าจะขุนนางหรือชาวบ้าน ต่อให้ภายในใจไม่พอใจ
เพียงใด แต่ในสถานการณ์ปกติแล้ว แค่เพียงแสดง
ออกพอประมาณว่าไม่พอใจ แต่จะไม่พูดออกมาด้วย
คาพูดที่ทาร้ายจิตใจถึงเช่นนี้
ท่าทีหยิ่งยโสของซูเจินเมื่อครู่ ตาหนิต่อว่าหยางหนิง
ยกใหญ่ ทาให้เหวียนหรงรู้สึกว่าซูเจินไม่น่าเคารพเลย
แม้แต่น้อย แต่ว่าคาพูดสุดท้ายของหยางหนิง กลับ
โหดร้ายยิ่งกว่า
ซูเจินขานชื่อออกมาเต็มปากเต็มคา หยามเกียรติ
หยางหนิงคาแล้วคาเล่า ส่วนคาพูดของหยางหนิง
ถึงแม้จะไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ซูเจินโดยตรง แต่ว่าใน
สถานการณ์เช่นนี้ มันถือเป็นคาพูดที่คมกริบ
ทิ่มแทงใจยิ่งนัก
เหวียนหรงรู้สึกว่าเหงื่อออกเป็นเม็ดๆ ตอนนี้เขาทาได้
แค่ก้มหน้า แทบจะไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมา
สักคา ในใจแอบคิดว่าอยากจะหาโอกาสหนีออกจาก
ที่นี่ไป
สีหน้าที่แน่นิ่งของซูเจิน เปลี่ยนเป็นความตกใจ แล้ว
พลันเปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้นมา ท่าทางของเขาดู
อารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย หลังจากได้ยินหยางหนิงพูด
จึงพูดกลับไปว่า “เจ้าว่าอย่างไร?”
ในเวลานี้ หยางหนิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว
เกิดขึ้นที่ด้านหลังฉากกั้น เหมือนคาพูดของตนที่พูด
ออกไปนั้นจะมีผลกระทบเกิดขึ้นเสียแล้ว
หยางหนิงท่าทางนิ่งเฉย ชี้ไปที่ถ้วยน้าชาแล้วพูดว่า
“อู่เซียงโหวท่านส่งชาถ้วยนี้ไปที่จวนจิ่นอีโหวของข้า
จะได้หรือไม่ ข้าอยากจะลองให้สุนัขสองตัวในจวน
ของข้ากิน ข้าอยากจะรู้นักว่ามันจะกินหรือไม่? จริงๆ
หลังจากวันนั้น ข้าก็สงสัยมาตลอดว่าที่จวนของ
อู่เซียงโหวนั้นดื่มชาแบบไหนกันแน่ ตอนนี้ดูท่า
มีบางคนก็เหมือนกบในกะลา เห็นแค่สิ่งที่ตัวเอง
ต้องการจะเห็น คิดว่าของๆตัวเองนั้นดีนัก แบบนี้ก็ดี
ครั้งหน้าหากท่านอู่เซียงโหวไปที่จวนจิ่นอีโหวของข้า
ข้าก็จะเอาชาแบบนี้มาต้อนรับท่านบ้าง จะได้ถูกปาก
ของท่านอู่เซียงโหว” จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“แต่ว่าชาแบบนี้แม้แต่สุนัขยังไม่กิน จะไปสรรหาที่ใด
มาก็คงไม่เป็นเรื่องยาก”
“ปึ้ง!”
ซูเจินตบโต๊ะ แล้วตะคอกว่า “ฉีหนิง เจ้าบังอาจมาก
ในจวนของข้า เจ้ากล้ากาเริบเสิบสานขนาดนี้เชียวรึ”
“กาเริบเสิบสานรึ?” หยางหนิงทาท่าทางไขสือ
“อู่เซียงโหว ข้าก็แค่พูดไปตามความจริง ตรงไหนกัน
ที่ข้ากาเริบเสิบสานเล่า?”
เหวียนหรงอดไม่ได้ที่จะส่งสัญญาณให้หยางหนิง
หยางหนิงเห็นอย่างนั้นแล้ว จึงยกถ้วยน้าชายื่นให้
เหวียนหรง แล้วพูดว่า “เจ้าลองชิมชาถ้วยนี้ดูสิ ข้าไม่
เชื่อหรอกว่าจวนท่านราชเลขากรมพิธีการจะดื่มชา
แบบนี้กัน?”
เหวียนหรงเป็นผู้ที่ชอบเสาะหาสิ่งใหม่ๆ อยู่แล้ว
แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับการชิมชาเป็นอย่างดี มอง
เพียงครั้งเดียวก็รู้ แค่มองจากสีของชาในถ้วย ก็รู้ทันที
ว่ามันคือชาหยาบ ในตอนนี้ก็เข้าใจทันที แอบคิดในใจ
ว่าสองตระกูลนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ
ซูเจินถึงแม้จะโกรธเพียงใด ในตอนนี้กลับรู้สึกกระอัก
กระอ่วนลาบากใจ
เขาคิดว่าอยากจะทาให้เรื่องแต่งงานมันดูแย่ คิดแค่ว่า
หากยิ่งทาให้คนของจวนจิ่นอีโหวโมโห โอกาสที่จะ
ยกเลิกการแต่งงานก็จะมีมากขึ้น ตอนที่ยกน้าชามา
ให้หยางหนิง ก็เลยตั้งใจใช้ชาหยาบเพื่อลบหลู่เขา ใคร
จะคิดว่ากลายเป็นว่าหยางหนิงใช้เหตุนี้มาย้อนโจมตี
เขา ทาให้เขาถึงกลับไปไม่เป็น
“จริงสิ เหตุผลของข้าที่มาที่นี่ไม่ใช่การดื่มชา”
หยางหนิงเปลี่ยนประเด็น แล้วพูดว่า “อู่เซียงโหว ที่
ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อถอนหมั้น หวังว่าพวกท่านจะยอมรับ
ปากข้า ว่าจะไม่มาข้องแวะกับข้าอีก” ยกมือแล้วชี้ไป
ที่เหวียนหรง “เหวียนหรงเป็นคุณชายจวนท่านราช
เลขากรมพิธีการ วันนี้ข้าเชิญพี่เหวียนมาที่นี่ ก็เพื่อให้
เขามาเป็นพยานให้ข้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าทางจวน
จิ่นอีโหวตัดสินใจถอนหมั้นแล้วจริงๆ”
เหวียนหรงเหงื่อเต็มหน้าผาก อ้าปากค้าง ไม่ออกปาก
ออกเสียงสักคา
ซูเจินแทบจะกระอักเลือดออกมา ท่าทีของเขา
แน่วแน่ในการยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ และคิดไม่
ถึงเลยว่าหยางหนิงจะมาถอนหมั้นด้วยตัวเองถึงที่จวน
หากผู้ใดเอ่ยถึงการยกเลิกการแต่งงานก่อน อาจส่งผล
กระทบต่อชื่อเสียงของตน ถ้าหากทางจวนอู่เซียงโหว
เอ่ยถึงเรื่องการยกเลิกงานแต่งงานก่อน คาพูดของ
จวนอู่เซียงโหวนั้นก็จะไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป แต่การ
โจมตีของจวนจิ่นอีโฮ่วนั้นรุนแรงยิ่งกว่า
แต่ทว่าการที่หยางหนิงลากเหวียนหรงมาด้วย แล้ว
พูดต่อหน้าเหวียนหรงว่าจะถอนหมั้นกับจวน
อู่เซียงโหว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็จะกลายเป็นว่า
ทางจวนจิ่นอีโฮ่วไม่พอใจทางจวนอู่เซียงโหว ซึ่งมันจะ
ผลเสียต่อชื่อเสียงทางจวนอู่เซียงโหว ในบรรดาสี่
บรรดาศักดิ์ใหญ่ อู่เซียงโหวก็แทบจะเทียบกับ
บรรดาศักดิ์โหวอื่นไม่ได้อยู่แล้ว หยางหนิงทาแบบนี้
ยิ่งทาให้อู่เซียงโหวห่างไกลจากบรรดาอีกสามโหว
ไปอีก
สองมือของเขากาหมัดแน่น หยางหนิงทาเช่นนี้ทาให้
เขาตั้งตัวแทบไม่ทัน ถึงเวลานี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องรับมือ
อย่างไร
“ที่ท่านอู่เซียงโหวพูดเมื่อครู่นั้นก็ไม่ผิด ตั้งแต่ท่าน
เหล่าโหวทั้งสองสิ้นไป การแต่งงานครั้งนี้ก็ถือว่า
สิ้นสุดลง” หยางหนิงค่อยๆ พูด “ทางจิ่นอีโหวของ
เราทางานแลกกับยศถาบรรดาศักดิ์ของตระกูล ใน
ตอนนั้นเป็นเพราะความสัมพันธ์อันดีของท่านเหล่า
โหวทั้งสอง ถึงได้เกิดการแต่งงานนี้ขึ้นมา คนรุ่นก่อน
ไม่รู้เรื่องของคนรุ่นหลัง หากท่านเหล่าโหวของพวก
เราทั้งสองตระกูลอยู่ในปรโลกรับรู้เรื่องนี้ ก็คงเห็น
ด้วยที่จะไม่ให้เกิดการแต่งงานในครั้งนี้ต่อไป”
ซูเจินหน้าสั่น หัวเราะแล้วพูดว่า : “อ๋อ?”
“เท่าที่ข้ารู้มา แม่นางจื่อเสวียนของพวกท่าน นิสัยเอา
แต่ใจ ส่วนหน้าตาของหน้าก็แสนจะดูธรรมดา อีกทั้ง
ยังไม่ออกมาเจอผู้คนอีก” หยางหนิงรู้ดีว่าคนอย่าง
ซูเจิน ไม่จาเป็นต้องเกรงใจให้มากนัก อู่เซียงโหวดูถูก
หยามเกียรติตัวเขาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ไม่
จาเป็นต้องให้เกียรติอีกฝ่าย “ตามหลักแล้ว อายุของ
ข้าก็ถึงเวลาที่จะต้องแต่งงานแล้ว แต่ทาไมถึงไม่รับ
จื่อเสวียนเข้าจวนสักทีเล่า? พูดถึงขั้นนี้แล้ว เพราะข้า
ไม่อยากให้นางมาเป็นฮูหยินของจวนจิ่นอีโหว”
จริงๆ เหวียนหรงไม่กล้าพูดอะไร พอได้ยินหยางหนิง
พูดเช่นนี้ ก็เลยพูดคล้อยตามไปว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่าง
นี้นี่เองรึ!” พอพูดออกไปแล้ว ก็นึกขึ้นมาได้ จึงรีบ
ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง
พอซูเจินได้ยินเหวียนหรงพูดเช่นนี้ สีหน้าก็ดูแย่เข้าไป
ทุกที เขาพูดด้วยความโกรธว่า “ฉีหนิง เจ้าพูด
เหลวไหลอะไรกัน จื่อเสวียนของเรานิสัยอ่อนโยน
ใครบอกว่านางเอาแต่ใจเล่า? อีกทั้ง หน้าตาของนาง
ยังสวยสะคราญตา ใครบอกนางออกไปเจอใครไม่ได้
กัน?”
“อู่เซียงโหวท่านไม่รู้เลยหรือ?” หยางหนิงเห็นเขา
กาลังตกหลุมพรางของเขา จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่าน
ลองไปเดินเล่นในตลาดสักรอบดูสิ คาพูดนี้มีเต็มไป
หมด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องถอนหมั้นข้าตัดสินใจ
ดีแล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง ต่อให้พวกท่านไม่เห็นด้วย
ก็ไม่มีประโยชน์อันใด อะไรก็ตามที่จวนจิ่นอีโหวของ
เราตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เอาวัวสิบตัวช้างสิบเชือกมา
ฉุดก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้” พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น
ยกมือขึ้นคานับ “เรื่องนี้มีคุณชายเหวียนเป็นพยาน
ขอจบเพียงแค่นี้”
“ช้าก่อน!” ซูเจินรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “นี่เป็นการ
ตัดสินใจของไท่ฮูหยินรึ?”
“อ่า?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องแบบนี้ มันคือ
การตัดสินใจของทุกคน ไม่ใช่ความเห็นของข้าเพียง
ผู้เดียว จริงๆ แล้วเรื่องการแต่งงานนี้มันก็เหมือน
ก้อนหินที่กดทับจวนจิ่นอีโหวของพวกข้ามานาน
หลายปีมานี้พอนึกถึงเรื่องนี้ข้าเองก็ราคาญใจยิ่งนัก
ในเมื่อตอนนี้ได้ถอนหมั้นแล้ว ตัวก็เบาทันที ท่านเดิน
ไปตามทางของท่าน ข้าเองก็จะเดินไปตามทางของ
ข้า”
เมื่อสิ้นเสียงของเขา ก็ได้เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมา
“เจ้าคนแซ่ฉี เจ้า...เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร พวกเจ้าบอก
ว่าต้องการถอนหมั้นก็ต้องถอนหมั้นอย่างนั้นหรือ?”
เสียงมันลอยออกมาจากหลังฉาก หยางหนิงมองตาม
เสียงไป เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับ
ตน หน้าตาก็ไม่เลว รูปร่างก็ดี แต่ว่าสายตากลับดุร้าย
จู่ๆ นางก็พุ่งออกมา ด้านหลังมีสาวใช้สองคนเดินตาม
ออกมาด้วย มีคนหนึ่งที่มีพกหยก แต่งตัวดูดี อายุ
น่าจะเกินสามสิบ ดึงแขนของแม่นางนางนั้นเอาไว้
แล้วเรียกว่า “จื่อเสวียน...!”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้ผู้หญิงคนนี้คือซูจื่อเสวียน
หน้าตาก็ถือว่าเป็นหญิงงามนางหนึ่ง แต่ทว่าท่าทาง
ของนางเช่นนี้ เรื่องที่ใครๆ ว่านางเอาแต่ใจ ก็คงจะ
เป็นเรื่องจริง
เหวียนหรงเห็นซูจื่อเสวียนเดินพุ่งออกมา สายตาก็
เป็นประกาย รีบเดินไปยกมือคานับแล้วพูดว่า
“คุณหนูซู ข้าน้อยเหวียน...!”
“เจ้าหลีกไป!” ซูจื่อเสวียนไม่รอให้เหวียนหรงพูด
จนจบ สะบัดแขนให้หลุดออกจากหญิงอีกคน ยกมือ
ขึ้นชี้ที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “เจ้ามีสิทธิอันใดมาหาว่า
ข้าออกไปเจอใครมิได้? จิ่นอีโหวซื่อจื่ออย่างเจ้า
มากกว่า ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าปัญญาอ่อน”
“ถูกต้อง ข้ามันเป็นคนปัญญาอ่อน ดังนั้นถึงมา
ถอนหมั้นอย่างไรเล่า” หยางหนิงพูดด้วยความนิ่งเฉย
“เจ้าไม่ถูกใจข้า ข้าเองก็ไม่ถูกใจเจ้า ถอนหมั้นเสีย
มันก็ดีต่อเราทั้งคู่”
“เจ้าจะถอนหมั้นไม่ได้” ซูจื่อเสวียนตะคอก “หาก
จะต้องยกเลิกงานแต่ง ก็ต้องเป็นตระกูลซูของข้าเริ่ม
ก่อน มันต้องเป็นข้าที่ไม่เอาเจ้า แต่เจ้าจะไม่เอาข้า
ไม่ได้”
หยางหนิงกลับหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ดูท่า
ข่าวลือคงเป็นเรื่องจริงสินะ คุณหนูใหญ่ของตระกูล
ท่านนิสัยเอาแต่ใจ ไม่มีมารยาทกาลเทศะ ข้ากับ
ท่านพ่อของเจ้าพูดคุยกันถึงตรงนี้ เจ้ามีสิทธิอะไรวิ่ง
ออกมาพูดสั่งข้า? เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่
เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิตัดสินใจเองอย่างนั้นหรือ?”
ซูเจินเองก็คิดว่าการที่ซูจื่อเสวียนบุกเข้ามาในห้องโถง
ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก หากมีเพียงหยางหนิง
คนเดียวที่อยู่ตรงนี้ เขาอาจจะทาเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้
แต่เหวียนหรงคุณชายของจวนท่านราชเลขากรมพิธี
การอยู่ตรงนี้ด้วย หากเรื่องในวันนี้แพร่ออกไป
คุณหนูตระกูลโหวบุกเข้าห้องโถง เรื่องนี้จะถูก
หัวเราะเยาะได้
“กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้” ตอนนี้ซูเจินโกรธมาก รีบเดิน
เข้าไปพูดกับซูจื่อเสวียนว่า “ใครบอกให้เจ้ามาที่นี่
กัน?” จากนั้นก็จ้องไปที่ฮูหยิน แล้วพูดว่า “ทาไมถึง
เฝ้านางไว้ไม่ได้?”
หญิงนางนั้นมองก็รู้ว่าน่าจะเป็นฮูหยินของอู่เซียงโหว
นางมองไปที่ซูเจิน หลังจากนั้นก็ดึงมือของซูจื่อเสียน
แล้วรีบพูดว่า “จื่อเสวียน รีบกลับเข้าไปเถิด เราอยู่
ที่นี่ไม่ได้...!”
“ท่านพ่อ ท่านบอกเขา เราต่างหากที่ต้องการยกเลิก
งานแต่งงาน ข้าไม่ต้องการเขาต่างหาก” ซูจื่อเสวียน
โกรธมากและไม่อยากยอมแพ้ “เขาจะถอนหมั้น
ไม่ได้”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องขออภัยด้วย คุณหนูซู
เมื่อครู่ข้าพูดไปอย่างชัดเจนแล้ว ตระกูลฉีของข้า
ขอถอนหมั้น ตระกูลฉีของข้าไม่ต้องการคนแบบเจ้า...
จะพูดอย่างไรดี ผู้หญิงตระกูลซู ไม่มีวันได้เหยียบเข้า
ตระกูลฉีของข้า ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
ดวงตาของซูจื่อเสวียนโกรธแค้นนัก แต่หยางหนิงกลับ
ยิ้มร่าเริงไม่พูดมากความ หันหลังแล้วเดินจากไปทันที
เหวียนหยงรู้ทันทีว่าเรื่องนี้จบแล้ว กลับออกไปเร็ว
เท่าไหร่ยิ่งดี ก็เลยรีบยกมือคานับอู่เซียงโหว แล้วพูด
ว่า “ไว้ข้าจะมาเยี่ยมใหม่!” จากนั้นเขาก็เดินตาม
หยางหนิงออกไป
“หยางหนิง เรื่องวันนี้ เจ้าจาไว้ให้ดี” เสียงความโกรธ
แค้นของซูจื่อเสวียนด่าตามหลังหยางหนิงมา “เจ้าดู
ถูกข้า สักวันหนึ่ง ข้าจะให้เจ้าชดใช้เป็นสิบเท่า!”
หยางหนิงหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันหลังกลับไป พูดอย่าง
เรียบเฉยว่า “พวกเจ้าเองก็จาไว้เช่นกัน หลักการ
ทางานของจวนจิ่นอีโหวของพวกข้า หากมีหนี้ต้อง
ชดใช้ ไม่ว่าจะพวกข้าติดหนี้ใคร หรือใครก็ตามที่
ติดหนี้พวกข้า ก็จะต้องชดใช้อย่างสาสม จะไม่มีการ
ยกเว้นโดยเด็ดขาด” จากนั้นก็หัวเราะ แล้วจ้องไปที่
ซูเจินด้วยสายตาราวกับคมดาบ แล้วค่อยๆ เดินจาก
ไป
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 66 ไฟที่คุโชน
เมื่อออกจากจวนอู่เซียงโหว เหงื่อที่หลังของ
เหวียนหรงยังไม่แห้งดี ในตอนแรกเขาคิดว่าวันนี้ที่เขา
มาจวนอู่เซียงโหวก็เพือ่ ที่จะเชิญอู่เซียงโหวซื่อจื่อ
ซูจื่อเฉิงไปเที่ยวเล่นกัน ใครจะคิดเล่าว่าผลที่ได้กลับ
เป็นเช่นนี้ ในใจก็ไม่พอใจหยางหนิงยิ่งนัก แต่เรื่องก็
เกิดขึ้นไปแล้ว จะต่อว่าตาหนิไปก็เพียงเท่านั้น ทาได้
เพียงย้าให้หยางหนิงรักษาคาพูด เพื่อรักษาให้พวกเรา
ทั้งสองจวนนั้นสงบสุข
หยางหนิงรู้สึกสบายใจยิ่งนัก เมื่อกลับถึงจวนจิ่นอีโหว
เขาก็ไม่ได้รีบร้อนบอกเรื่องนี้กับคนภายในจวน
คืนนี้เขาคงจะได้พักผ่อนนอนหลับสบายใจเสียแล้ว
เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้ ค่าคืนอันเงียบสงัด แต่เมื่อเวลา
ผ่านไปครึ่งค่อนคืน กลับได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ทาให้หยางหนิงที่หลับสนิทอยู่นั้นสะดุ้งตื่นขึ้น
เขารู้สึกอารมณ์เสียนัก ลุกขึ้นมาเพื่อที่จะใส่อารมณ์
เต็มที่ แต่ได้ยินเสียงของฉีเฟิงดังขึ้น จึงเก็บอาการไว้
เสียก่อน แล้วเปิดประตูออกไป เห็นฉีเฟิงสีหน้ารีบ
ร้อนยิ่งนัก เห็นหยางหนิงเปิดประตูออกมา ก็รีบพูดว่า
“ท่านซื่อจื่อ เกิด...เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
ดึกดื่นค่อนคืน กับสภาพของฉีเฟิง ทาให้หยางหนิง
รู้สึกตกใจนัก แล้วก็ถามว่า “เกิดเหตุอันใดขึ้น?
ฟ้าถล่มดินทลายหรืออย่างไรกัน?”
“ไม่ใช่แต่ใกล้เคียง” ฉีเฟิงพูดว่า “ท่านซื่อจื่อ
โรงรับจานา...ไฟไหม้แล้ว”
หยางหนิงไม่ได้สติ จากนั้นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้า
หมายความว่าอย่างไร? ไฟไหม้อะไรที่ไหนอย่างไร?”
“โรงรับจานา โรงรับจานาไฟไหม้ขอรับ” ฉีเฟิงพูด
ด้วยความรีบร้อน “พี่ต้วนคุ้มกันฮูหยินสามไปที่โรงรับ
จานาแล้ว พี่ต้วนให้ข้ามาบอกท่านซื่อจื่อ”
ในตอนนี้หยางหนิงถึงได้เข้าใจ จากนั้นก็พูดว่า
“เจ้าหมายถึงโรงรับจานาของเราอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว” ฉีเฟิงแอบคิดในใจหากเป็นของคนอื่น
ข้าจะรีบร้อนเช่นนี้รึ ช่างถามมาได้?
หยางหนิงรู้แล้วว่าสถานการณ์เกรงว่าจะไม่ดีแน่ จึง
รีบไปหยิบเสื้อคุมมาสวม แล้วเดินไปพรางพูดไปพราง
“โรงรับจานาไฟไหม้ได้อย่างไรกัน? แล้วรุนแรงขนาด
ไหน? เจ้ารีบพาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ จริงสิ มีใครได้รับ
บาดเจ็บใช่หรือไม่?”
ฉีเฟิงเดินอยู่ข้างๆ หยางหนิง แล้วพูดว่า “คนทางนั้น
เพียงส่งคนมาแจ้งข่าว ว่าไฟไหม้โรงรับจานา ตอนนี้
สถานการณ์เป็นอย่างไร ข้าน้อยไม่อาจทราบ
รายละเอียดมากนัก”
ฉีเฟิงได้ให้คนไปเตรียมม้าเอาไว้ที่หน้าประตูจวนแล้ว
เมื่อออกจากจวน จะได้ไม่เสียเวลามากนัก ฉีเฟิงขี่ม้า
นาหยางหนิงออกไป หยางหนิงกับองครักษ์อีกสองคน
ขี่ม้าตามฉีเฟิงไป
ม้าวิ่งราวกับบิน ไม่นานหยางหนิงก็เห็นท้องฟ้าที่
กลายเป็นสีแดงมาจากไกลๆ เขารู้ในทันทีว่านั้นก็คือ
ไฟ จึงรีบควบม้าไป เมื่อถึงทางแยก จึงเห็นไฟลุกโชน
ขึ้น มีหลายคนที่กาลังช่วยกันดับไฟ
หยางหนิงเห็นดังนั้น ก็ตะลึงตกใจไปชั่วขณะ ไฟไม่ได้
ไหม้แค่ห้องสองห้อง มันกาลังลามไปทั่วตึกโรงรับ
จานานั้น ตอนนี้มันได้เผาไหม้บ้านไปแล้วกว่าหกเจ็ด
ห้อง
หยางหนิงลงจากหลังม้า แล้วรีบเดินเข้าไป ท่ามกลาง
เปลวไฟที่ลุกโชน เห็นเงาของกู้ชิงฮั่นยืนอยู่ จึงเดินเข้า
ไปหา ไฟส่องจนหน้าของกู้ชิงฮั่นกลายเป็นสีแดง
ร่างกายของนางสั่นไปทั้งตัว หยางหนิงจึงเรียกนาง
เบาๆ “ฮูหยินสาม....!”
กู้ชิงฮั่นหันหน้าไปมองหยางหนิง สีหน้าของนางดูเศร้า
สลด นางเริ่มยืนไม่ไหว มือข้างหนึ่งของนางพาดอยู่ที่
หน้าอกของหยางหนิง สีหน้าเคร่งเครียดและเศร้ายิ่ง
นัก ราวกับว่านางกาลังจะล้มลง หยางหนิงเดินขึ้นเข้า
ไปพยุงตัวนางเอาไว้ พูดด้วยความตกใจ “ฮูหยินสาม
ฮูหยินสาม ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” เห็นกู้ชิงฮั่น
กัดฟัน คิ้วขมวด ถึงแม้ไฟมันจะร้อนแรง แต่สีหน้า
ของนางกลับซีดขาวจนหน้ากลัว
ตอนนี้เองต้วนชางไห่จึงรีบเดินเข้ามา พูดด้วยความ
ตกใจว่า “ฮูหยินสามท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉีเฟิงรีบตะโกนขึ้นมาว่า “รีบไปตามหมอมาเร็ว”
ต้วนชางไห่รีบเข้ามา แล้วพูดว่า “ขออภัยที่ต้อง
ล่วงเกิน!” จากนั้นก็ยืนมือไปตรวจชีพจรของกู้ชิงฮั่น
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “รีบไปตามหมอมาเร็ว!”
“ข้ารอไม่ได้แล้ว” หยางหนิงกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“โรคของฮูหยินสามคือโรคหัวใจ โรคนี้จะรอไม่ได้
ขอข้าลองดูหน่อย”
ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงต่างก็ตกใจ ฉีเฟิงอดไม่ได้ที่จะถาม
“ซื่อจื่อ ท่าน...ท่านรักษาโรคเป็นด้วยรึ?” ในใจก็เกิด
ความสงสัยเป็นอย่างมาก กลัวว่าหยางหนิงรักษาไม่ได้
จะเสียเวลาเอาได้
หยางหนิงรักษาโรคไม่ได้ แต่ทว่าเคยเจอคนที่เกิดเหตุ
ฉุกเฉินอยู่บ่อยครั้ง จึงพอจะรู้อยู่บ้าง คนที่โรคหัวใจ
กาเริบเป็นอาการที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด หยางหนิงจึง
พอจะรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ เขายื่นมือไป
จับที่ชีพจร ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงมองหน้ากัน ในใจก็คิด
ว่าซื่อจื่อตรวจชีพจรเป็นด้วยหรือ?
หยางหนิงพอตรวจชีพจรได้บ้าง แต่ว่าหากให้
วินิจฉัยโรคเกรงว่าจะไม่ได้
การตรวจชีพจรวินิจฉัยโรคจะบอกว่าง่ายก็ไม่ใช่
เพราะมันคือกลวิธีเฉพาะทางขั้นสูงของ ต่อให้อยู่ใน
ยุคของหยางหนิง หมอเชี่ยวชาญที่ตรวจชีพจรนั้นก็ใช่
ว่าจะมีมากนัก
การที่หยางหนิงตรวจชีพจร ไม่ใช่เพื่อรักษาโรค แต่
ต้องการหาจุดซีเหมินบนมือของกู้ชิงฮั่น จุดซีเหมินคือ
หนึ่งในจุดชีพจรที่มือ อยู่บริเวณด้านข้างแขน
หยางหนิงรู้ว่า การกดไปที่จุดตรงหัวใจ จะสามารถลด
ความดันของหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้
จริงๆ แล้วความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั้น
ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรมากนัก คนที่จะรู้เรื่อง
จุดชีพจรจุดไหลเวียนของเลือดนั้นมีไม่มากนัก ดังนั้น
มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยิ่งนัก
หยางหนิงเคยเรียนเรื่องจุดชีพจรในร่างกายและ
โครงกระดูกต่างๆ ตอนที่ได้เรียนเรื่องชีพจร จึงพอรู้
วิธีประถมพยาบาลเบื้องต้น
ความดันหัวใจสูงขึ้นทาให้วิงเวียนเป็นลม เป็นอาการ
ที่พบได้บ่อย อาการดูออกง่ายมาก หยางหนิงเห็น
กู้ชิงฮั่นมีอาการหัวใจกาเริบ เขารู้เลยว่านี่คืออาการ
ของคนที่มีความเครียดความกดดันมากเกินไป ตอนนี้
เขาใช้นิ้วโป้งของเขากดเข้าไปที่จุดซีเหมินของกู้ชิงฮั่น
มือขวาจับไปที่มือของนาง นิ้วโป้งซ้ายที่กดหมุนไปมา
มือขวากดออกนอก การทาเช่นนี้ในสายตาของพวก
ต้วนชางไห่แล้ว มันดูแปลกมาก พวกเขามองหน้ากัน
ในใจรู้สึกสงสัยหยางหนิงยิ่งนัก
เพียงแค่กดไปกดมาสิบกว่าครั้ง ก็เห็นริมฝีปากของ
กู้ชิงฮั่นเริ่มมีเลือดฝาด นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
หยางหนิงยังไม่หยุด ยื่นมือไปกดที่จุดเน่ยกวนที่มือ
ของกู้ชิงฮั่นอีก กดเบาๆ อยู่หลายครั้ง กู้ชิงฮั่นก็ไอ
ออกมา ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆ
ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงดีใจมาก ตอนนี้ไม่สงสัยในตัว
ของหยางหนิงอีกต่อไปแล้ว ในใจรู้สึกชื่นชมเขายิ่งนัก
“หนิงเอ๋อ...!” นางพิงอยู่ในอ้อมกอดของหยางหนิง
กู้ชิงฮั่นยิ้มอย่างขมขื่น “โรงรับจานาถูกไฟไหม้
หมดแล้ว มัน...เฮ้อ เป็นความผิดของข้าเอง...!”
หยางหนิงพยุงกู้ชิงฮั่นขึ้นมา แล้วพูดด้วยความ
อ่อนโยนว่า “ฮูหยินสาม โรงรับจานาไฟไหม้ มันเป็น
เหตุสุดวิสัย ไม่มีผู้ใดคาดการณ์ได้ มันจะเกี่ยวกับท่าน
ได้อย่างไร?” เห็นคนที่มาช่วยดับไฟก็มีไม่น้อย อาจจะ
เป็นชาวบ้านที่ตกใจตื่นขึ้นมาจึงมาช่วย ตอนนี้ยังมี
เจ้าหน้าที่ของทางการมาร่วมด้วย
ต้วนชางไห่เห็นกู้ชิงฮั่นปลอดภัย จึงสั่งให้คนช่วย
ดับไฟต่อไป คนยิ่งมากยิ่งมีกาลัง ถึงแม้ไฟจะไหม้แรง
เพียงใด แต่ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจ ทาให้ไฟมอด
ไปไม่น้อย
หยางหนิงเห็นไฟไหม้บ้านไปแล้วกว่าห้าหกหลัง
สูญเสียไปไม่น้อย จึงขมวดคิ้วขึ้นมา ในเวลานี้เอง ก็
เห็นคนๆ หนึ่งเดินมาจากท่ามกลางฝูงคน อายุน่าจะ
เกินห้าสิบ สีหน้าของเขาดูจริงจังยิ่งนัก ตอนนี้เสื้อผ้า
ของเขายับยู่ยี่ไปหมด คนๆ นั้นมองไปที่หยางหนิง ก็
พลันตกใจ แต่ยังคงเดินเข้ามา แล้วมาคุกเข่า
ตรงหน้าหยางหนิง
คนๆ นี้อยู่ดีๆ ก็เดินมาคุกเข่าลง หยางหนิงจึงตกใจ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเขา “ข้าน้อย
ไร้ประโยชน์ ซื่อจื่อ โรงรับจานาไฟไหม้ เป็นเพราะ
ข้าน้อยประมาทขาดความรอบคอบ ท่าน...ท่านฆ่า
ข้าน้อยเสียเถอะ”
หยางหนิงยังไม่ทันพูดอะไร กู้ชิงฮั่นจึงเดินเข้ามา แล้ว
พูดว่า “ท่านผู้ดูแลสวี ท่านลุกขึ้นมาเถิด!”
ผู้ดูแลสวีคุกเข่าร้องไห้ไม่ยอมลุกขึ้น แล้วพูดว่า
“ข้าน้อยได้รับความไว้วางใจจากท่านแม่ทัพและ
ฮูหยินสาม ดูแลโรงรับจานามามากว่าสิบปี ครั้งนี้เป็น
หายนะครั้งใหญ่ ต่อให้ข้าน้อยมีสิบชีวิตก็ชดใช้มิได้
ฮูหยินสาม ซื่อจื่อ ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่มีหน้าจะมีชีวิต
ต่อไปอีกต่อแล้ว...!” เขาคุกเข่า จากนั้นก็โขกศีรษะ
กับพื้นอย่างเต็มแรง
หยางหนิงรู้ผู้ดูแลสวีน่าจะเป็นผู้ดูแลโรงรับจานา เห็น
เขาโขกศีรษะ หากไม่ห้ามเขาตอนนี้ ตาเฒ่านี่จะต้อง
หัวแตกตายแน่นอน ก็เลยยื่นมือไปพยุงเขาขึ้นแล้วพูด
ว่า “ยังไม่ได้สอบสวนอันใดเลย เรื่องเป็นมาอย่างไรก็
อาจทราบได้ ท่านจะรีบตายไปไหนกัน?”
น้าตาอาบหน้าผู้ดูแลสวี ตัวสั่นไปทั้งตัว
“ทาไมเป็นอย่างนี้?” เสียงรีบร้อนของพ่อบ้านชิวดัง
ขึ้นมา หยางหนิงหันกลับไปดู เห็นพ่อบ้านชิวเดินเข้า
มาอย่างเร่งรีบ “อยู่ดีๆ ทาไมถึงได้เกิดไฟไหม้รุนแรง
มากถึงเพียงนี้ได้?”
สีหน้าของพ่อบ้านชิวก็ไม่ค่อยดีนัก จากนั้นก็เดินขึ้น
เข้ามา จ้องไปที่ผู้ดูแลสวีที่ร้องไห้ไม่หยุด จากนั้นก็
ถามเชิงตาหนิว่า “เหล่าสวี นี่มันเกิดเหตุใดขึ้น?
ต้นเพลิงนี้มาจากที่ใดกัน มาจากคนอื่น หรือมาจาก
ร้านของพวกเรา?”
หยางหนิงคิดในใจว่าพ่อบ้านใหญ่ก็คือพ่อบ้านใหญ่
ถามคาถามเดียวโยงเข้าประเด็นหลักเลย
เพลิงไหม้บ้านไปห้าหกหลัง หากมาจากบ้านอื่น ต่อให้
โรงรับจานาของตระกูลฉีจะถูกไหม้ หลังจากประมาณ
ค่าเสียหายแล้ว ก็จะได้ค่าเสียหายจากคนอื่นมาด้วย
ถือว่าไม่เสียหายอะไรมากนัก
แต่หากว่าต้นเพลิงมาจากโรงรับจานาของตระกูลฉี
ถ้าเป็นเช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมานั้นก็แทบไม่กล้าจะคิด
ไม่ต้องพูดถึงว่าโรงรับจานาเสียหายเท่าไหร่ ถึงเวลา
นั้นร้านค้าที่ถูกไฟไหม้เสียหายไปก็จะต้องมาที่จวน
จิ่นอีโหวเพื่อเรียกร้องให้ทางจวนชดใช้ค่าเสียหาย
ทางจวนจิ่นอีโหวเองก็เริ่มเข้าสู่สภาวะที่ยากลาบาก
สถานการณ์ทางการเงินของจวนจิ่นอีโหวในตอนนี้
ไม่ค่อยดีนัก งานศพของฉีจิ่ง ใช้จ่ายไม่น้อยเลย
ตอนนี้ยังค้างเงินกับธนาคารอีก ที่ผ่านมา สถานะทาง
การเงินของจวนก็ไม่ถือว่าแย่ ยังพอมีโอกาสพลิกฟื้น
กลับมาได้ แต่ว่าหากตอนนี้มีหนี้ไฟไหม้ที่ต้องชดใช้
เพิ่มขึ้นมาอีก มันถือว่าเป็นความหายนะที่อาจจะถึง
ชีวิตของจวนจิ่นอีโหวเลยก็ว่าได้
กู้ชิงฮั่นสนใจประเด็นนี้ยิ่งนัก นางจ้องไปที่ผู้ดูแลสวี
เพื่อรอคาตอบจากปากของผู้ดูแลสวี
ผู้ดูแลสวีร้องไห้แล้วตอบว่า “ฮูหยินสาม พ่อบ้านชิว
ต้นเพลิง...ต้นเพลิงมาจากโรงรับจานาของพวกเรา
ขอรับ...!”
หยางหนิงได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็พลันเกิดความเครียด
ขึ้นมา พ่อบ้านชิวสีหน้าหนักใจ สีหน้ากู้ชิงฮั่นเริ่ม
เปลี่ยนไป ถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้าผิดหวังเป็น
อย่างมาก
“มีหลายหลังที่อยู่ติดกับร้านของเราทางใต้”
หยางหนิงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “คืนนี้ลมทางเหนือ
แรงมาก เปลวไฟที่ปลิวอยู่นั้น ก็ปลิวไปทางทางใต้...!”
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดต่อว่า “โรงรับจานาสร้างจากไม้
ตอนนี้มันเข้ากลางฤดูใบไม้ผลิ อากาศแห้งแล้ง มัน
เป็นช่วงที่อนั ตรายยิ่งนัก...!”
สถานการณ์ไฟในตอนนี้เบาลงมากแล้ว ในขณะที่
ดับไฟ เพื่อไม่ให้ไฟพัดต่อไปร้านทางใต้อีก ดังนั้นจึง
ต้องเริ่มดับไฟจากทางใต้ขึ้นมา เพื่อตัดการลุกลาม
ของเปลวเพลิง
แต่เพราะเช่นนี้ ร้านที่เสียหายมากที่สุดก็คือโรงรับ
จานาของตระกูลฉี ทั่วทั้งร้าน ไหม้จนแทบไม่เหลือ
อะไรเลย เหลือแต่ซากให้พวกเราเห็นเพียงเท่านั้น
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 67 ซากปรักหักพัง
กว่าไฟจะมอดก็ปาไปตีสามแล้ว ถนนบริเวณรอบๆ
ต่างถูกเจ้าหน้าที่ทางการปิดกั้น หลังจากไฟมอดไป
หมดแล้ว อีกทั้งในช่วงเวลานี้เมืองหลวงประกาศ
กฎอัยการศึก ดังนั้นนอกจากคนแถวนั้นที่เข้ามาช่วย
ดับไฟแล้ว ก็ไม่มีผู้คนมาล้อมดูแม้แต่คนเดียว
เจ้าหน้าที่ทางการกว่าสิบนายก็มาช่วยกันดับเพลิง
หลังจากที่ไฟมอดแล้ว สิ่งที่เจ้าหน้าที่จะทาเป็นอันดับ
แรกคือตรวจสอบว่ามีคนตายในเหตุไฟไหม้ครั้งนี้
หรือไม่
หากเทียบกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแล้ว เจ้าหน้าที่ในเมือง
หลวงถูกฝึกมาดียิ่งกว่า ยิ่งในช่วงที่ประกาศใช้กฎ
อัยการศึกด้วยแล้ว ยิ่งจะต้องจัดการอย่างระมัดระวัง
เหลือเพียงซากปรักหักพัง ถึงแม้ไฟจะมอดลงไปแล้ว
แต่ยังคงมีควันลอยโขมงอยู่
หลังจากไฟมอดแล้วพ่อบ้านชิวก็รบี รุดเข้าไป
ตรวจสอบพร้อมกับผู้ดูแลสวี โรงรับจานาของ
ตระกูลฉีไม่ใช่เล็กๆ ทั้งโรงรับจานารวมผู้ดูแลสวีด้วย
แล้ว มีมากถึงสิบเอ็ดคน แต่ว่าคนที่อยู่เวรในคืนนี้
กลับมีแค่ห้าคน นอกจากผู้ดูแลสวีที่อยู่หน้าร้านแล้ว
อีกสี่คนเฝ้าอยู่ด้านหลังคลัง
สินค้าในโรงรับจานา มาๆ ไปๆ ของที่เก็บอยู่ในร้าน
เองก็มีไม่น้อย มิหนาซ้ายังมีเงินสดอีกจานวนหนึ่งด้วย
หลายวันก่อน เนื่องจากขาดแคลนเงิน ทางร้านก็เลย
หยุดรับจานาของ แต่เพื่อเป็นการเตรียมการให้กับ
ลูกค้าประจา เงินสดพวกนี้จึงถูกเก็บไว้ในนี้ทั้งหมด
เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน ต่อให้ทางจวนจิ่นอีโหวจะ
ลาบากเพียงใด เงินจานวนนี้ก็ไม่สามารถนามาใช้จ่าย
ได้ เพราะการเปิดโรงรับจานา สิ่งสาคัญที่สุดก็คือ
“ความเชื่อมั่น” ลูกค้าประจาบางคนนาของมาจานา
ไม่มีข้ออ้างที่จะปฏิเสธพวกเขาได้
ซากปรักหักพังท่ามกลางเปลวไฟที่มอดไหม้ ได้พบ
กล่องเหล็กที่ถูกล็อกเอาไว้ เงินยังคงอยู่ไม่ขาดไป
แม้แต่แดงเดียว ด้วยเหตุนี้เองจึงสามารถตัดสินความ
อยู่รอดของโรงรับจานาได้ แต่ว่านอกจากเงินแล้ว
ของที่เก็บในคลังทั้งหมด ถูกไฟไหม้ไม่จนเกือบหมด
เหลืออยู่แค่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
หยางหนิงอยู่ด้านหลังพ่อบ้านชิว เขาเดินผ่าน
ซากปรักหักพังพวกนี้ สีหน้าเคร่งเครียด
“ซื่อจื่อ ของในโรงรับจานาถูกไหม้จนเกือบหมด”
พ่อบ้านชิวพาคนสองคนเดินไปตรวจตามซากที่ถูก
ไฟไหม้ ยิ้มฝืนๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่า
เสียหายไปทั้งหมดเท่าไหร่ เพราะสมุดบัญชีก็ถูกเผา
ไปเสียหมด ในตอนนี้ก็ประเมินค่าเสียหายไม่ได้ ยังถือ
ว่าดีอยู่ที่คนของร้านไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ”
หยางหนิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย ต่อให้พ่อบ้านชิว
ไม่พูด เขาก็รู้ว่าไฟไหม้ในครั้งนี้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับ
จวนจิ่นอีโหวอย่างแน่นอน
“ซื่อจื่อ ผู้ดูแลสวีบอกว่า ต้นเพลิงมาจากด้านหลังของ
คลัง” ฉีเฟิงเดินมาจากด้านหลัง มองไปที่หยางหนิง
แล้วพูดว่า “เขาบอกว่ากลางดึกได้ยินเสียงมาจาก
ด้านหลังร้าน จึงลุกขึ้นไปดู แล้วพบว่าด้านหลังคลัง
เปลวไฟลุกโชนไปทั่วแล้ว จึงรีบวิ่งไป ในตอนนั้นไฟได้
ลุกไหม้รุนแรงนัก จากนั้นไฟก็ลามไปอย่างรวดเร็ว
เขากับคนที่อยู่เวรในคืนนี้จึงรีบช่วยกันดับไฟ แต่ว่า
คนเพียงไม่กี่คน ดับไฟเห็นทีจะไม่ได้ ทาได้เพียงให้คน
ส่วนหนึ่งอยู่ดับไฟ อีกส่วนหนึ่งออกไปตามคนมา
ช่วย”
“สมุดบัญชีเจ้าเก็บไว้ที่ใด?” หยางหนิงถาม
ฉีเฟิงพูดว่า “สมุดบัญชีของร้าน ก็น่าจะวางไว้ในตู้
ผู้ดูแลสวีรีบร้อนไปดับไฟ ไม่ทันได้หยิบสมุดบัญชี
ออกมา พอย้อนกลับมาอีกที ตู้ก็ไหม้ไปหมดแล้ว เขา
อยากจะเข้าไปหยิบสมุดบัญชีออกมา แต่เปลวไฟนั้น
ร้อนแรงยิ่งนัก คนที่ร้านก็เลยลากเขากลับมา” แล้ว
พูดอีกว่า “เฉินซานเป็นพยานได้ ต้นเพลิงมาจากใน
คลัง ในมือพวกเขาไม่มีกุญแจ หลังจากที่เห็นว่า
ไฟไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ดูแลสวีก็รีบวิ่งหนีออกมา”
“ถ้าอย่างนั้น ไฟไหม้มาจากด้านในห้องคลังสินค้า
อย่างนั้นหรือ?”
“พวกเขาบอกแบบนั้นไม่ผิดแน่” ฉีเฟิงพูดต่อว่า
“ด้านหลังของคลังสินค้าเป็นที่พักของผู้ที่อยู่เวร
ช่วงเวลากลางคืนจะมีการสลับกันขึ้นมาเดินตรวจเป็น
ระยะ”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากว่าต้นเพลิงมาจาก
ด้านหลังคลังจริง ถ้าอย่างนั้นในคลังจะเกิดไฟไหม้ได้
ยังไง?” มองไปที่พ่อบ้านชิวแล้วถามว่า “กุญแจคลัง
อยู่ที่ผู้ใด?”
พ่อบ้านชิวตอบว่า “คลังเป็นสถานที่สาคัญที่สุดของ
โรงรับจานา ต่อให้เป็นผู้ดูแลสวีก็ไม่อาจเปิดคนเดียว
ได้ คลังเป็นคลังปิดแม้แต่ลมก็ผ่านไม่ได้ มี
ทางเข้าออกเพียงด้านเดียว จะลงกลอนสองชัน้ ที่หน้า
ประตูใหญ่ ผู้ดูแลสวีและลู่เฉาเฟิงจะถือกุญแจคนละ
ดอก มีเพียงไขกลอนกุญแจทั้งสองออกถึงจะสามารถ
เข้าไปด้านในคลังได้”
“ลู่เฉาเฟิงอยู่ไหน”
“ลู่เฉาเฟิงกับผู้ดูแลสวีจะสลับกันเฝ้าเวร” พ่อบ้านชิง
อธิบายต่อ “คืนนี้เป็นวันพักของลู่เฉาเฟิง จึงเป็น
ผู้ดูแลสวีที่เฝ้าบ้านเวร ตามหลักแล้ว หลังจากปิด
ประตู ก็ไม่น่าจะมีใครสามารถเข้าไปได้อีก”
หยางหนิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็แปลก ไม่มีใคร
เข้าไปในคลังได้ แต่ว่าไฟกลับไหม้มาจากด้านในคลัง
เจอผีเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”
พ่อบ้านชิวเองก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คลังสาคัญยิ่ง
กว่าส่วนใด ปกติแล้วไม่เปิดในช่วงเวลากลางคืน
อีกทั้งยังสั่งห้ามให้นาไฟเข้ามาภายใน ไม่มีทางที่จะมี
สิ่งใดที่ทาให้เกิดไฟได้อย่างแน่นอน”
“ผู้ใดคือผู้ที่เจอเป็นผู้แรก?” หยางหนิงเสียงเข้ม
สุดท้ายก็ถามออกมา
ฉีเฟิงรีบพูดออกมาว่า “เฉินซาน เขาบอกว่าเป็นเวลา
เดียวกับที่เขาออกมาเดินตรวจ เขาเดินตรวจหนึ่งรอบ
หลังจากนั้นก็ไปเข้าห้องน้า พอเขากลับมาอีกที ก็
พบว่าไฟได้ลุกไหม้แล้ว แถมไฟยังไหม้รุนแรงมากด้วย
พริบตาเดียวไฟก็ลามไปทั่วแล้ว เขาเลยตะโกนบอก
คนอื่นๆ ทาให้ผู้ดูแลสวีตกใจตื่นขึ้นมา หลังจากที่
ผู้ดูแลสวีมาถึง คลังก็ถูกไหม้ไปหมดแล้ว”
พ่อบ้านชิวพูดด้วยความโกรธว่า “เฉินซานทางาน
อย่างไร? เขาไม่รู้เลยหรืออย่างไร ว่าคลังจะไม่มี
คนเฝ้าไม่ได้?”
ฉีเฟิงไม่พูดไม่จา หยางหนิงคิดในใจว่าจะมาเอาผิด
เรื่องนี้ในตอนนี้มีประโยชน์อันใด
“ถ้าอย่างนั้น เหตุไฟไหม้ในครั้งนี้ก็เริ่มไหม้ตอนที่
เฉินซานไปห้องน้า” หยางหนิงคิด “ไปห้องน้า ใช้
เวลาไม่นาน ตอนที่เขากลับมา คนอื่นๆ ก็นอนหลับ
อยู่ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คนในโรงรับจานาไม่มี
ทางถือไฟเข้าไปในคลังได้แน่นอน”
พ่อบ้านชิวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีกุญแจ คิดจะเข้า
ไปก็เข้าไปไม่ได้ อีกอย่างเจ้าพวกนี้ก็ทางานในโรงรับ
จานามาสามสี่ปีได้แล้ว เป็นคนเก่าแก่ทั้งนั้น
กฎระเบียบในโรงรับจานาพวกเขาต่างรู้ดี ไม่มีทาง
สะเพร่าเช่นนั้นแน่นอน จริงสิ วันนี้ตอนที่ลงกลอน
คลัง ข้าน้อยยังเดินไปตรวจดูรอบหนึ่ง ก็ไม่มีสิ่งใดที่
จะสามารถเป็นเชื้อก่อไฟได้ แล้วข้าน้อยก็ยังเป็น
คนคุมพวกเขาลงกลอนด้วยตัวเอง”
“ช่วงบ่ายวันนี้พ่อบ้านชิวมาที่นี่งั้นหรอ?” หยางหนิง
ถาม
“เงินที่ยืมธนาคารมา วันพรุ่งนี้ก็จะครบกาหนดส่ง
แล้ว” พ่อบ้านชิวขมวดคิ้ว “ฮูหยินสามให้ข้ามาดูที่
โรงรับจานาว่ามีใครมาไถ่ของออกไปบ้างไหม เผื่อจะ
นาเงินทางนี้ออกไปใช้สอยได้ เมื่อตอนบ่ายข้าน้อยเข้า
มาที่นี่ ตรวจคลังสินค้า ลองดูว่าพอจะเบิกเงินของที่นี่
ไปให้ที่จวนได้บ้างหรือไม่”
พ่อบ้านชิวเป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนจิ่นอีโหว เรื่องนี้
หยางหนิงรู้ดี พ่อของพ่อบ้านชิวเองในตอนนั้นก็
ติดตามท่านจิ่นอีเหล่าโหว ช่วยท่านจิ่นอีเหล่าโหว
จัดการเรื่องภายในจวน ทาทุกอย่างอย่างมีเหตุมีผลมี
กฎมีเกณฑ์ ในตอนนั้นพ่อบ้านชิวเองก็คอยเป็นผู้ช่วย
อยู่ข้างๆ หลังจากที่พ่อของเขาตายไป พ่อบ้านชิวก็รับ
ช่วงต่อจากตาแหน่งของพ่อเขามา ช่วยจัดการเรื่องใน
จวน ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ถือได้ว่าทาได้ดีมาโดย
ตลอด
จวนโหวมีกิจการร้านค้าสองร้าน มีร้านขายยากับโรง
รับจานา กิจการดาเนินด้วยดีมาโดยตลอด ถึงแม้
เบื้องหลังการบริหารการจัดการภายในจวนโหวจะ
เป็นกู้ชิงฮั่น แต่เพราะนางเป็นหญิง แล้วหญิงในจวน
โหว จะออกมาข้างนอกมิได้ ดังนั้นในหลายๆ เรื่องที่
ต้องลงรายละเอียด ก็จะเป็นหน้าที่ของพ่อบ้านชิว
ที่จะออกหน้าไปจัดการแทน
หยางหนิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “พ่อบ้านชิว ในคลังนี้
มีของประเภทกามะถันหรือสิ่งที่ติดไฟง่ายรวมอยู่ด้วย
หรือไม่?”
พ่อบ้านชิวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีแน่นอน ทาง
ร้านยาพอมีกามะถัน แต่ว่าโรงรับจานาไม่มีสิ่งเหล่านี้
แน่นอน” เขาย้อนถามว่า “ซื่อจื่อท่านกาลังคิดว่าไฟ
ในคลังในครั้งนี้มันลุกขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ?”
“นอกจากมันลุกไหม้เองแล้ว ข้าคิดไม่ออกจริงๆ นอก
เสียแต่ว่าจะมีผู้ใดเข้าไปจุดไฟข้างในนั้น” หยางหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า “คงไม่มีใครที่จะสามารถ
ทะลุกาแพงนี้เข้าไปหรอกกระมัง?”
ท่าทางของพ่อบ้านชิวดูสงสัย เหมือนกาลังครุ่นคิด
สิ่งใดอยู่
ฉีเฟิงพูดว่า “ซื่อจื่อ คนในโรงรับจานาพวกนี้ไม่มีทาง
วางเพลิงอย่างแน่นอน พวกนี้เป็นคนเก่าแก่ของจวน
จิ่นอีโหว จงรักภักดีกับจวนโหวยิ่งนัก ข้าเพียงแต่
กังวลว่า...!”
“กังวลสิ่งใดกัน?”
“กังวลว่าจะมีคนฉวยโอกาส” ฉีเฟิงลังเลไปครู่หนึ่ง
สุดท้ายก็ตัดสินใจพูด “หรือว่ามีใครที่เห็นจวน
จิ่นอีโหวเป็นหนอนบ่อนไส้ ก็เลยคิดจะลงมือทาลาย
โรงรับจานา”
พ่อบ้านชิวก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ที่ท่าน
ฉีเฟิงพูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ซื่อจื่อ ท่านแม่ทัพ
เป็นคนซื่อตรง อาจจะทาให้ใครไม่พอใจ ตอนนี้ท่าน
แม่ทัพเพิ่งจะสิ้นไป โรงรับจานาของเราจู่ๆ ก็เกิดเหตุ
ไฟไหม้ขึ้นมา อาจเป็นไปได้ว่าศัตรูอาจจะแอบมาทา
อะไรไว้ก็ได้”
“หา?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “ศัตรูอย่างนั้นหรือ?” แล้ว
มองไปที่ทั้งสองคน “พวกเจ้าคิดว่ามีคนตั้งใจวางเพลิง
อย่างนั้นรึ?”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ความเป็นไปได้สูงยิ่งนัก
ไม่อย่างนั้นมันก็อธิบายเรื่องไฟไหม้ครั้งนี้ไม่ได้เลย”
หยางหนิงไม่พูดอะไร เอามือไขว้หลัง แล้วเดินไป
ท่ามกลางซากปรักหักพัง ทันใดนั้นเองก็หยุดเดิน
นั่งยองๆ ลงไป ยื่นมือไปแตะๆ จากนั้นก็เอาขึ้นมาดม
ฉีเฟิงเดินตามมา หยางหนิงก็ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมไปที่
อื่น จากนั้นก็นั่งยองๆ ลงไปอีกครั้ง
“ซื่อจื่อ ท่านพบสิ่งใดหรือ?” ฉีเฟิงถามด้วยน้าเสียง
เบาๆ
หยางหนิงลุกขึ้นยืน ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เมื่อหันไปดู
จึงเห็นมีกลุ่มคนมารวมตัวกันอยู่ไกลๆ ผู้ดูแลสวีกับ
กู้ชิงฮั่นถูกล้อมอยู่ตรงกลาง ต้วนฉางไห่ยืนปั้นหน้า
ยักษ์อยู่ข้างๆ กู้ชิงฮั่น อาวุธพร้อมมือ
หยางหนิงเห็นกลุ่มคนดังกล่าวต่างมาพร้อมด้วยความ
โกรธ เขาหน้านิ่งแล้วเดินไป ก็ได้ยินมีใครบางคนพูด
ว่า “ฮูหยินสาม เรารู้ว่าตอนนี้ท่านเป็นคนดูแลจวน
จิ่นอีโหว พวกเราต่างเคารพท่านจิ่นอีโหวมาโดย
ตลอด ไม่เคยคิดที่จะล่วงเกินสิ่งใด แต่ว่าในครั้งนี้เป็น
เรื่องใหญ่ เกรงว่าจะไม่ล่วงเกินคงจะมิได้ ต้นเพลิงมา
จากร้านของพวกท่าน ร้านผู้อื่นข้าไม่รู้ แต่ว่าร้านของ
ข้า ทั้งแก่ทั้งเด็กต่างฝากชีวิตไว้กับร้านเล็กๆ แห่งนี้
ตอนนี้มันถูกไฟไหม้ไปจนหมดแล้ว แล้วพวกเราจะ
เอาอะไรกิน หวังว่าฮูหยินสามจะพูดอะไรบ้าง”
“ใครบอก” คนข้างๆ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “กิจการ
ของจวนโหวใหญ่มาก เพียงนิ้วหัวแม่โป้งนิ้วเดียวก็
ใหญ่โตกว่าของพวกเราแล้ว ในตอนนี้เราไม่มีร้านแล้ว
สาหรับจวนโหวของพวกท่านไม่ถือว่าสูญเสียสิ่งใดนัก
แต่ว่าสาหรับพวกข้า มันแทบจะเฉือนเนื้อเลาะกระดูก
เราต่างเคารพต่อจวนโหว ท่านโหวเพิ่งสิ้นไป ข้าไม่ใช่
ไม่อยากจะไม่ไว้หน้าท่านโหว หากว่าเรื่องนี้สามารถ
ตกลงกันเองได้ ก็ไม่ต้องลาบากทางการเข้ามายุ่ง”
จากนั้นก็มีอีกหลายคนที่โห่ร้อง หยางหนิงรู้ทันทีว่า
ตอนนี้ร้านที่ได้รับความเสียหายเพราะโรงจานานั้นได้
เข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมเสียแล้ว
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 68 ใบจำนำ
ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจ กู้ชิงฮั่นท่าทางแน่นิ่ง
พูดอย่างเรียบเฉยว่า “พวกท่านวางใจได้ ไฟไหม้ใน
ครั้งนี้ต้นเพลิงมาจากร้านของเรา ความเสียหายของ
พวกเจ้า ทางจวนโหวจะชดใช้ให้อย่างแน่นอน”
พอทุกคนได้ยินดังนั้น ก็พากันมีรอยยิ้มขึ้นมา
“พวกท่านกลับไปตรวจสอบความเสียหายดู ว่าสรุป
แล้วเสียหายกันไปเท่าไหร่ หลังจากยืนยันแน่นอน
แล้ว ทางจวนโหวจะชดใช้ให้โดยไม่ขาดแม้แต่แดง
เดียว” สีหน้าของกู้ชิงฮั่นดูอ่อนล้า “ไฟไหม้เกิดขึ้น
อย่างกะทันหัน ทาให้ทุกท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย
ต้องขออภัยจริงๆ”
มีคนๆ หนึ่งหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฮูหยินซานพูด
แบบนี้ง่ายไปหรือไม่ จริงๆ พวกเราก็ไม่ได้เสียหาย
อะไรมากขนาดนั้น หากบวกลบแล้วก็น่าจะราวๆ
สามสี่พันตาลึงเท่านั้นเอง” เขาหันมองกลับไปที่
ซากปรักหักพัง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไฟเผาไหม้
ทุกอย่างไปหมดแล้ว หากจะให้ตรวจสอบ เกรงว่าจะ
ไม่ง่ายนัก”
“จริงด้วย หลูตงพูดมาก็มีเหตุผล บัญชีถูกเผาไป
หมดแล้ว ให้เราไปตรวจสอบอีกคงจะไม่ง่ายเลย”
คนข้างๆ รีบพูดเสริมขึ้นมาว่า “แต่ว่าแต่ละร้านเองก็
มีบัญชีลงทุนอยู่ หากจะให้ตรวจสอบอย่างละเอียดคง
จะไม่ง่าย แต่หากเป็นจานวนคร่าวๆ แล้วก็พอไหว
พวกเราเคารพและให้เกียรติจิ่นอีโหว ต่อให้ขาดทุน
นิดหน่อย ก็ไม่เป็นไร”
“ทุกท่านมีน้าใจถึงเพียงนี้ จวนจิ่นอีโหวของพวกข้า
ซาบซึ้งยิ่งนัก” ทุกคนกาลังซุบซิบกัน หยางหนิงกลับ
เดินมา สีหน้านิ่ง “ซานเหนียงก็พูดไปแล้ว พวกท่าน
เสียหายกันเท่าไหร่ ทางจวนโหวของเราจะรับผิดชอบ
ทุกอย่าง ในเมื่อทาให้พวกท่านต้องเดือดร้อน ก็จะ
ไม่ให้พวกท่านต้องเสียเปรียบแน่นอน”
ทันใดนั้นเองมีคนที่รู้จักจิ่นอีซื่อจื่อก็พูดขึ้นมาว่า
“ในเมื่อซื่อจื่อท่านรับปากพวกเราแล้ว พวกเจ้าทุกคน
ก็วางใจเสียเถิด”
หยางหนิงมองไปทางหลูตง ยิ้มแล้วถามไปว่า “หลูตง
เจ้าบอกว่าร้านของพวกเจ้าเสียหายประมาณ
สามสี่พันตาลึงอย่างนั้นหรือ?”
“ประมาณนั้นขอรับ” หลูตงรีบตอบกลับ “ซื่อจื่อ
วางใจเถิด ร้านของข้าน้อยเป็นเพื่อนบ้านกับร้านท่าน
มาหลายปี ครั้งนี้จวนโหวเดือดร้อน เราเองก็จะช่วย
รับผิดชอบในบางส่วน”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ลาบากท่านเสียแล้ว จริงสิ
หลูตงร้านของท่านค้าขายสิ่งใดกัน?”
“อ๋อ” หลูตงกล่าวว่า “ข้าน้อยขายเกลือขอรับ!”
หยางหนิงตกใจ ในใจก็คิดว่าเกลือเป็นสินค้าควบคุม
ของราชสานักมิใช่หรือ? เท่าที่รู้มา ทางการมี
หน่วยงานดูแลเกลือโดยเฉพาะ ทั่วทั้งแคว้นต่างมีตั้ง
ศูนย์เกลือในแต่ละท้องที่ เพื่อควบคุมการขนส่งซื้อ
ขายเกลือ เหมือนว่าชาวบ้านจะไม่มีสิทธิในการขาย
เกลือเอง หากตรวจพบว่ามีการลักลอบค้าเกลือ
มีโทษหนัก
หรือว่าหลูตงจะเป็นขุนนางที่ค้าเกลือ?
“ที่แท้ก็เป็นร้านขายเกลือนั่นเอง” หยางหนิงสีหน้า
กึ่งยิ้มไม่ยิ้ม “หลูตง ปกติแล้วร้านของท่านกักตุน
เกลือไว้มากใช่หรือไม่?” สายตาของเขาเริ่มดุดัน แล้ว
เดินไปถามผู้ดูแลสวีว่า “ผู้ดูแลสวี ในเมื่อหลูตงเป็น
ร้านเพื่อนบ้านของเรา ท่านก็น่าจะคุ้นเคยกับเขาเป็น
อย่างดีจริงหรือไม่”
สีหน้าของผู้ดูแลสวีซีดเซียว สีหน้าเหมือนวิญญาณ
หลุดออกจากร่างไปแล้ว เมื่อได้ยินหยางหนิงถาม
ขึ้นมา จึงรีบตอบว่า “รู้จักกับหลูตงมาประมาณ
หกเจ็ดปีแล้วขอรับ”
“ผู้ดูแลสวี ร้านของหลูตง ใหญ่กว่าของเราอย่างนั้น
รึ?”
ผู้ดูแลสวีไม่รู้ว่าร้านยาของหยางหนิงขายยาสิ่งใดบ้าง
เขามองไปที่กู้ชิงฮั่น เห็นกู้ชิงฮั่นหน้านิ่ง จึงตอบ
กลับไปว่า “ร้านหลูตงขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของร้าน
พวกเรา”
“ร้านของพวกเรา ตอนนั้นใช้เงินลงทุนไปเท่าไหร่?”
ผู้ดูแลมองไปที่กู้ชิงฮั่นอีกครั้ง กู้ชิงฮั่นเป็นคนฉลาด
นางเข้าใจความหมายของหยางหนิงในทันที แล้วพูด
ว่า “ทาเลของร้านนี้ดีมาก ตอนนั้นพวกเราลงทุนไป
ทั้งหมด น่าจะประมาณหกร้อยตาลึง”
หยางหนิงหันไปมองหลูตง ยิ้มแล้วย้อนถามว่า
“ถ้าอย่างนั้นร้านของหลูตง ในตอนนั้นใช้เงินไปกี่
ตาลึงเล่า?”
หลูตงเองก็เป็นพ่อค้าที่ฉลาด หยางหนิงถามกลับมา
แบบนี้ ก็รู้ทันทีว่าหนางหนิงกาลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงหลบ
สายตา ไม่ตอบคาถาม
“ต่อให้เป็นในตอนนี้ อย่างมากก็แค่สี่ร้อยตาลึง
เท่านั้น” ผู้ดูแลสวีเริ่มได้สติกลับมา “นี่ถือว่าเป็น
ราคาที่สูงที่สุดแล้ว หลูตง ข้าจาได้ว่าปีที่แล้วเคยมีคน
อยากจะซื้อที่ของร้านเจ้าด้วยราคาสามร้อยตาลึง เจ้า
เองก็เกือบจะรับปากเขาแล้วมิใช่หรือ”
หลูตงรู้สึกทาอะไรไม่ถูก “เรื่องนั้น...เรื่องนั้น หน้าร้าน
มันก็ราคาเท่านี้ขอรับ แต่ว่าเกลือในร้าน...!”
“หลูตงร้านเกลือของเจ้าคงไม่ได้วางขายภาพวาด
โบราณอะไรใช่หรือไหม เพราะอย่างนั้นของที่โดนเผา
ไปก็คงไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมาย” หยางหนิง
พูดจานิ่มๆ “ต่อให้ข้าไม่รู้ว่าราคาเกลือมันเท่าไหร่ แต่
ว่าการที่เจ้าบอกว่าเจ้าเสียหายไปสามสี่พันตาลึง ตัด
ค่าร้านออกไป ยังมีค่าเสียหายอีกสองสามพันตาลึง
ไม่ทราบว่าเงินสองสามพันตาลึงนี้ ซื้อเกลือได้เท่าไหร่
กันหรือ?”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างเป็นพ่อค้า เห็นหลูตงกระอัก
กระอ่วน ก็รู้สึกว่ายินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของ
หลูตง แอบคิดว่าเจ้านี่กล้าเสนอราคาเกินตัว เป็น
อย่างไรเล่า จิ่นอีโหวซื่อจื่อพูดมาสองสามคา ก็ตีหน้า
เจ้าแตกไม่มีชิ้นดี ในใจก็ต่างพากันคิดว่าค่าเสียหาย
ยังไงก็ได้คืน แต่จะเรียกราคาเกินตัวไม่ได้
พวกเขาต่างก็รู้ดี เกลือถึงแม้จะเป็นของที่ทุกคนขาด
ไม่ได้ แต่ราคาก็ไม่ได้สูงนัก ถือเป็นของกาไรน้อยแต่
ขายในปริมาณมาก อย่าว่าแต่พันตาลึงเลย แค่ห้าหก
ร้อยตาลึง ก็สามารถซื้อเกลือมาเติมให้เต็มร้านได้แล้ว
อีกอย่างไม่มีร้านเกลือร้านไหนกักตุนเกลือไว้เต็มร้าน
กันหรอก ความเสียหายของหลูตง หากบวกลบดูแล้ว
ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งพันตาลึงเท่านั้น
หยางหนิงพูดถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้สืบสาวราวเรื่องกับ
หลูตงต่อ มองไปที่ผู้คนรอบๆ แล้วพูดว่า “ครั้งนี้ทาให้
ทุกคนต้องเดือดร้อนไปด้วย ข้าต้องขออภัยจริงๆ
เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ว่าในเมื่อมัน
เกิดขึ้นแล้ว อะไรที่ควรรับผิดชอบ ทางจวนจิ่นอีโหว
จะไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ฮูหยินซานก็บอกกับ
ทุกท่านไปแล้ว พวกท่านเสียหายกันเท่าไหร่ แม้แต่
แดงเดียวเราก็จะไม่ให้ค้าง หลักการของจวนจิ่นอีโหว
มีหนี้ก็ต้องชดใช้...!” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก็พูดเสียง
เข้มๆ ว่า “แต่ถ้าหากว่ามีคนอยากจะฉวยโอกาสจาก
เรื่องนี้แล้วล่ะก็ ข้าขอเตือนเอาไว้ก่อนให้เลิกคิดเสีย
เถิด ทางจวนจิ่นอีโหวจะไม่ค้างหนี้ของใคร แต่ว่าหาก
จะมาติดค้างหนี้กับทางจวนจิ่นอีโหวแล้วล่ะก็ คิดว่า
น่าจะไม่ใช่เรื่องดีนัก”
พ่อค้าร้านต่างมองหน้ากัน ในใจกาลังคิดว่า ใครๆ ก็
บอกว่าจิ่นอีโหวซื่อจื่อสมองไม่ปกติ แต่ว่าในตอนนี้
เหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น
“พูดได้ดี!” เสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลังของ
หยางหนิง เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมา “มีหนี้ต้องชดใช้
นี่มันความองอาจของจิ่นอีโหว ซื่อจื่อได้รับสืบทอด
ความองอาจนี้มา น่ายินดียิ่งนัก”
หยางหนิงหันหน้าไปมอง เห็นมีคนกลุ่มหนึ่งกาลังเดิน
เข้ามา คนที่เดินนามานั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ พกดาบ
ห้อยหยก ท่าทางดูเหมือนคุณชายบ้านตระกูลใหญ่
อายุน่าจะไม่เกินยี่สิบห้ายี่สิบหกปี
ชายผู้นี้หน้าตาไม่คุ้น หยางหนิงไม่เคยเจอเขา แต่จาก
ท่าทีของเขา น่าจะเป็นลูกหลานขุนนาง ก็ไม่รู้ว่าโผล่
มาจากทางไหนเหมือนกัน
ชายผู้นั้นเดินขึ้นเข้ามา มองไปที่หยางหนิง ยิ้มแล้วพูด
ว่า “ซื่อจื่อ ไม่เจอกันนานเลยนะ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้
ท่านถูกจับตัวไป ข้าน้อยเป็นห่วงแทบแย่ ต่อมาได้ยิน
ว่าท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าน้อยดีใจยิ่งนัก”
จากนั้นก็มองไปที่กู้ชิงฮั่น เดินเข้าไป ยกมือขึ้นคานับ
กู้ชิงฮั่นแล้วพูดว่า “ท่านนี้น่าจะเป็นฮูหยินสามของ
จวนจิ่นอีโหวใช่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นเองก็เหมือนจะไม่เคยเห็นหน้าชายผู้นี้มาก่อน
เช่นกัน นางพูดว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าน้อยโต้วเหลียนจง พ่อของข้าโต้วขุย” ชายผู้นั้น
ยิ้ม แล้วสายตาจ้องไปที่กู้ชิงฮั่น ไม่ละสายตา
“อ่อ ที่แท้ก็ลูกชายของใต้เท้าโต้วนี่เอง” กู้ชิงฮั่นพูด
อย่างเรียบเฉย “ดึกดื่นป่านนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายโต้ว
มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?”
หยางหนิงเองก็เดินเข้ามาแล้วมองไปที่โต้วเหลียนจง
ในใจก็แอบคิดว่าชายผู้นี้ดูแล้วคงมิใช่คนดีเท่าไหร่นัก
เห็นสายตาของเขาที่มองไปที่รูปร่างของกู้ชิงฮั่นแล้ว
จึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นคนดีอะไรนัก
“ไฟไหม้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก” โต้วเหลียนจงจึงมองไป
ที่ซากปรักหักพัง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม
ต้นเพลิงมาจากที่ใดหรือ? อย่าบอกนะว่าต้นเพลิงมา
จากโรงรับจานาของท่าน?”
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นไม่แยแส แล้วถามย้อนกลับไปว่า
“คุณชายโต้วรู้ได้อย่างไรว่าเพลิงเกิดจากโรงรับ
จานา?”
โต้วเหลียนจงจึงรีบพูดว่า “ฮูหยินสามอย่าเพิ่งเข้าใจ
ผิด ข้าน้อยไม่ได้มีปัญญาจะรู้ล่วงหน้า ก็แค่เห็นซื่อจื่อ
พูดถึงเรื่องชดใช้ค่าเสียหาย จึงคิดว่าร้านอื่นๆ ก็น่าจะ
เดือดร้อนไปด้วย” จากนั้นก็มองไปที่ทุกคน แล้วพูด
ว่า “ฮูหยินสาม ท่านมีอะไรให้ข้าน้อยช่วยหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เรื่องของท่านจวนโหว
คงไม่รบกวนคนอื่น ความหวังดีของคุณชายโต้ว ข้า
ขอรับมันไว้ด้วยใจ”
“ฮูหยินสามไม่ต้องเกรงใจ” โต้วเหลียนจงจึงเดินเข้า
ไปใกล้ๆ กู้ชงิ ฮั่น “ข้าน้อยกับซื่อจื่อเป็นเพื่อนที่ดีต่อ
กัน เรื่องของเขาก็คือเรื่องของข้าน้อย หากมีสิ่งใดให้
ข้าน้อยช่วย ก็บอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” จากนั้นก็
ยิ้มให้กู้ชิงฮั่น “เรามันคนกันเองทั้งนั้น หากคิดเล็ก
คิดน้อยกันเกินไป มันจะห่างเหินกันเสียปล่า”
หยางหนิงรู้ทันทีว่าเจ้าหมอนี่น่าจะมีอดีตอะไรกับ
จิ่นอีโหวซื่อจื่อแน่ๆ เห็นเขาเดินเข้าใกล้กู้ชิงฮั่นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเองเขาก็ยื่นมือไปจับแขนของโต้วเหลียนจง
โต่วเหลียนจงไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกหยางหนิงกระชาก
โต่วเหลียนจงจึงถูกดึงไปข้างๆ ทาให้เขามีระยะห่าง
กับกู้ชิงฮั่น
โต่วเหลียนจงรู้สึกโกรธมาก หยางหนิงจับมือของเขา
ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เจ้าเอง ดึกดื่นป่านนี้ เจ้าเพียง
อยากจะมาช่วยจริงหรือ?”
โต่วเหลียนจงเห็นหยางหนิงยิ้ม จะโมโหใส่ก็ไม่ได้
คิดอยากจะสลัดมือของหยางหนิงทิ้ง กลับเห็นว่า
หยางหนิงจับมือของเขาแน่นจนแกะไม่ออกเอา
เสียเลย แถมแรงนั้นก็ไม่น้อยด้วย เมื่อเห็นเขาบีบจน
เจ็บ ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้”
“อะไรกัน โกรธกันแล้วรึ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“เมื่อครู่ยังบอกอยู่เลยว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทาไม
จับมือแค่นี้ไม่ได้รึ?”
สีหน้าของโต้วเหลียนจงเข้มลง แล้วพูดว่า “พี่น้อง
แท้ๆ ก็ยังต้องคิดบัญชีให้ชัดเลย ข้ามาที่นี่เพราะมี
เรื่องสาคัญต้องทา เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” จากนั้นเขาก็
ใช้แรงสลัด ครั้งนี้หยางหนิงปล่อยเขาไป แล้วถามว่า
“เจ้าบอกว่ามีเรื่องสาคัญ หมายความว่าอย่างไร?”
โต้วเหลียนจงเหลือบมองหยางหนิงด้วยสีหน้ารังเกียจ
แล้วหันไปมองกู้ชิงฮั่น ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม
ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่ถนนใกล้ๆ แถวนี้ ได้ยินว่าเหตุเกิด
ไฟไหม้ขึ้น จึงรีบร้อนมาที่นี่ กลัวว่าจะเป็นโรงรับจานา
ของท่านหรือไม่ แต่ก็อย่างว่ากลัวอะไรได้อย่างนั้น
ท่านดูโรงรับจานาของท่าน...!” เขาถอนหายใจแล้ว
ส่ายหน้า
“คุณชายโต้ว ทางเรายังมีเรื่องอีกมากที่ต้องทา หาก
ท่านมีเรื่องสาคัญอันใดก็พูดมา” สีหน้าของกู้ชิงฮั่น
ไม่ได้ดีมากนัก “หากว่าท่านไม่มีเรื่องสาคัญอันใด ข้า
ก็ขอเชิญให้ท่านกลับไปก่อนเถอะ”
โต้วเหลียนจงยื่นมือเข้ามาในเสื้อ แล้วหยิบกระดาษ
ออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็ยกขึ้นมาแล้วพูดอย่างได้ใจ
ว่า “ฮูหยินสาม ท่านลองดูนี่สิ นี่ใช่ใบจานาของร้าน
ท่านหรือไม่?” จากนั้นก็ยื่นกระดาษใบนั้นมา กู้ชิงฮั่น
ยื่นมือออกไปรับ นางกวาดสายตามองไป จากนั้นก็
ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยกมือขึ้นถามโต้วเหลียนจงว่า
“ใช่ นี่เป็นใบจานาของร้านข้า แล้วมันไปอยู่ในมือของ
เจ้าได้อย่างไร?”
“ฮูหยินสามท่านช่างพูดตลกเสียจริง” โต้วเหลียนจง
ยิ้มแล้วพูดว่า “จานาของก็ต้องเขียนใบรับจานา
มีของจานาอยู่ที่ร้านของพวกท่าน ในมือข้าก็ต้องมีใบ
รับจานาอย่างไรเล่า”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 69 มือมืด
ทันทีที่โต้วเหลียนจงพูดคำนี้ออกมำ ไม่เพียงแค่
กู้ชิงฮั่น สีหน้ำของหยำงหนิงเองก็เปลี่ยนไป
“คุณชำยโต้ว ท่ำนล้อข้ำเล่นหรือไม่?” กู้ชิงฮั่น
พยำยำมนิ่ง “ใต้เท้ำโต้วเป็นถึงเสนำบดีกรมพระคลัง
เท่ำที่ข้ำรู้ ฐำนะของพวกท่ำน เหมือนไม่ได้จำเป็น
จะต้องเอำของมำจำนำเลย อีกอย่ำงในใบรับจำนำนั้น
คนที่เอำของมำจำนำก็คือจ้ำวซิ่น ไม่ทรำบว่ำเขำมี
ควำมสัมพันธ์อันใดกับคุณชำยโต้วรึ?”
โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่ำ “หำกเป็นเช่นนั้นข้ำขอไม่
พูดอ้อมค้อม จ้ำวซิ่นก็อยู่ที่นี่ด้วย” จำกนั้นก็หันไป
เรียก “น้องจ้ำว เชิญออกมำตรงนี้หน่อย”
บรรดำคนที่ติดตำมโต้วเหลียนจงมำ มีคนๆ หนึ่งเดิน
ออกมำจำกกลุ่มคนเหล่ำนั้น เขำสวมเสื้อผ้ำธรรมดำ
หน้ำตำธรรมดำ หำกรวมอยู่กับกลุ่มคนมำกๆ ก็แทบ
จะมองไม่เห็นว่ำมีเขำอยู่
“ผู้ดูแลสวี จำข้ำได้หรือไม่?” จ้ำวซิ่นเดินเข้ำมำ แล้ว
ยกมือคำนับผู้ดูแลสวีแล้วพูดว่ำ “ขอบคุณท่ำนมำกที่
ช่วยข้ำ บุญคุณครั้งนั้นข้ำไม่เคยลืม” คำพูดของเขำ
เหมือนไม่ใช่คนในเมืองหลวง รำวกับว่ำจะมำจำกที่
อื่น
ผู้ดูแลสวีอย่ำงไรเสียก็ทำกำรค้ำมำหลำยปี ก่อนหน้ำนี้
สติหลุดไปบ้ำง แต่ในตอนนี้เห็นจ้ำวซิ่นมำกับ
โต้วเหลียนจง คล้ำยนึกอะไรขึ้นมำได้ สีหน้ำของเขำ
เปลี่ยนไป แต่ด้วยควำมเคยชิน ก็ยกมือขึ้นมำคำนับ
“ที่แท้ก็ท่ำนจ้ำวนี่เอง”
“ดูแล้วควำมจำของผู้ดูแลสวียังดีอยู่” จ้ำวซิ่นยิ้มแล้ว
พูดว่ำ “ครึ่งเดือนก่อนได้รับกำรต้อนรับเป็นอย่ำงดีที่
ร้ำนของท่ำน จนถึงวันนี้ยังคงจำมันได้อย่ำงดี”
โต้วเหลียนจงพูดว่ำ “ฮูหยินสำม คนๆ นี้คือคนที่เอำ
ของมำจำนำ เขำชื่อจ้ำวซิ่น เป็นคนซิงหนำนเมือง
หลันหยำง นับว่ำเป็นญำติห่ำงๆ ของตระกูลโต้วของ
ข้ำ ก่อนหน้ำนี้เพรำะว่ำเงินขัดสน จึงนำของมำจำนำ
เอำไว้ที่ร้ำนของท่ำน ใบรับจำนำก็อยู่ในมือของท่ำน
เขำได้จำนำของด้วยเงินเจ็ดพันตำลึง”
กู้ชิงฮั่นเป็นคนฉลำด นำงเข้ำใจควำมหมำยในทันที
แล้วถำมว่ำ “ท่ำนจ้ำวคิดจะไถ่ของคืนอย่ำงนั้นรึ?”
จ้ำวซิ่นยิ้มแล้วพูดว่ำ “ในวันที่ข้ำนำของมำจำนำ
ผู้ดูแลสวีก็บอกเองว่ำ อย่ำงช้ำได้แค่หนึ่งเดือน จะต้อง
มำไถ่ของคืนไป วันนี้ข้ำทำธุระของข้ำเสร็จแล้ว เงินที่
เอำไปก็ยังไม่ได้ใช้แม้แต่แดงเดียว อีกสองวันข้ำก็จะ
กลับบ้ำนเกิดแล้ว จึงมำไถ่เอำของคืนแล้วเอำกลับ
บ้ำนไปด้วย วันนี้คุณชำยโต้วจัดงำนเลี้ยงเพื่อส่งข้ำ
เดินผ่ำนมำพอดี ได้ยินว่ำไฟไหม้ จึงเข้ำมำดู”
โต้วเหลียนจงถอนหำยใจแล้วพูดว่ำ “ฮูหยินสำม
ดูจำกตอนนี้แล้ว เกรงว่ำร้ำนของท่ำนคงไม่มีของมำ
คืนให้น้องจ้ำวของข้ำ ของที่จ้ำวซิ่นนำมำจำนำนั้น
เป็นมรดกตกทอดจำกบรรพบุรุษ ในตอนนี้เสียหำย
เช่นนี้ คิดว่ำคงไม่ดีแน่”
“ในเมื่อเปิดกิจกำรโรงรับจำนำ มีกำรจำนำก็ต้องมี
กำรไถ่ถอน เป็นเรื่องปกติ” กู้ชิงฮั่นพูด “ในเมื่อของ
เสียหำยไปแล้ว ใบรับจำนำยังอยู่ ก็ต้องยึดเอำรำคำ
ตำมใบรับจำนำชดใช้ให้”
“ฮูหยินสำม หำกต้องชดใช้กันจริงๆ มันไม่ใช่น้อยๆ
เลย” โต้วเหลียนจงส่ำยหน้ำถอนหำยใจแล้วพูดว่ำ
“ตำมที่ตกลงเอำไว้ หำกถูกเผำเสียหำยทั้งหมดเช่นนี้
อย่ำงน้อยก็ต้องจ่ำยมำในรำคำหนึ่งหมื่นห้ำพันตำลึง
เอ่อ...แน่นอนว่ำ ทำงจิ่นอีโหวมีพื้นที่ศักดินำตั้งสำม
พัน เงินแค่นี้คงมิใช่เรื่องใหญ่นัก” เหลือบไปมอง
หยำงหนิง แล้วพูดว่ำ “ในเมื่อตอนนี้ที่นี่ถูกเผำไป
หมดแล้ว ตอนนี้พวกท่ำนเองก็คงจะยุ่งไม่น้อย
เช่นนั้นเรำก็ไม่รบกวนพวกท่ำนแล้ว รอฟ้ำสำง
พวกเรำจะไปหำท่ำนที่จวนอีกที!”
พ่อบ้ำนชิวที่ไม่พูดไม่จำมำตลอด ในตอนนี้ก็พูด
ออกมำว่ำ “คุณชำยโต้ว ท่ำนจ้ำว พวกท่ำนพอจะ
ยืดเวลำออกไปสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
“ยืดเวลำอย่ำงนั้นหรือ?” โต้วเหลียนจงขมวดคิ้ว
“หมำยควำมอย่ำงไร? จวนจิ่นอีโหวของพวกเจ้ำคิด
จะยืดเวลำชดใช้หนี้สินอย่ำงนั้นรึ?”
พ่อบ้ำนชิวรีบพูดว่ำ “ไม่ได้มีเจตนำเช่นนั้น เพียงแต่
...!”
“เพียงแต่คิดว่ำท่ำนจ้ำวยังเที่ยวเมืองหลวงไม่ทั่ว”
หยำงหนิงพูดแทรกคำพูดของพ่อบ้ำนชิวขึ้นมำ
ยิ้มแล้วพูดว่ำ “พ่อบ้ำนชิวเพียงแค่หวังดี หำกท่ำน
จ้ำวต้องกำรจะไถ่ของคืนจริงๆ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ท่ำน
มำที่จวนจิ่นอีโหว หนี้สินที่ค้ำงท่ำน ข้ำจะคืนให้ตำม
จำนวน”
คำพูดของเขำ ทำให้พ่อบ้ำนชิวคิ้วขมวด สีหน้ำของ
กู้ชิงฮั่นก็ตกใจ
“ดี ซื่อจื่อตรงไปตรงมำดี” โต้วเหลียนจงแสร้งทำเป็น
ยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้ำจะไปที่จวนของท่ำน”
เขำจ้องไปที่กู้ชิงฮั่น ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่ำ
“ฮูหยินสำม พบกันวันพรุ่งนี้นะขอรับ” เขำไม่ได้พูด
อะไรมำก พำจ้ำวซิ่นกับพวกจำกไปทันที
“ซื่อจื่อ นี่ท่ำน...!” พ่อบ้ำนชิวเหมือนคิดจะพูดอะไร
เห็นพ่อค้ำหลำยคนยังอยู่ตรงนั้น จึงไม่พูดอันใดมำก
หยำงหนิงพูดว่ำ “พ่อบ้ำนชิว คืนนี้ท่ำนเหนื่อยมำมำก
แล้ว พำทุกคนเก็บกวำดให้เรียบร้อย หลังฟ้ำสำง
ส่งคนไปที่จวนผู้ว่ำกำรเมืองหลวง ให้ทำงจวนส่งคน
มำตรวจสอบที”
“ตรวจสอบ?” พ่อบ้ำนชิวตกใจ
หยำงหนิงยิ้มแล้วพูดว่ำ : “เจ้ำไม่รู้หรอ มีคนตั้งใจ
วำงเพลิง ให้คนมำตรวจสอบหน่อยก็ดี”
พ่อบ้ำนชิวอ้ำปำกค้ำง กู้ชิงฮำนพูดขึ้นมำว่ำ :
“พ่อบ้ำนชิว ทำตำมที่ซื่อจื่อว่ำมำ พรุ่งพอฟ้ำสำงก็รีบ
ส่งคนไปที่จวนผู้ว่ำกำรให้เขำส่งคนมำตรวจสอบที่นี่”
จำกนั้นก็มองไปที่ต้วนชำงไห่ แล้วพูดว่ำ “ชำงไห่ เจ้ำ
อยู่ช่วยพ่อบ้ำนชิวที่นี่เถอะ”
ต้วนชำงไห่รับคำ กู้ชิงฮั่นรู้สึกอ่อนเพลียไม่สบำยตัว
นำงขึ้นรถม้ำ ผ้ำม่ำนยังไม่ทันปิด หยำงหนิงก็พุ่งตัว
เข้ำมำในรถ แล้วสั่งให้คนกลับจวนทันที
รถม้ำของจวนโหวทั้งกว้ำงทั้งใหญ่ นั่งซ้ำยคนขวำคน
ไม่มีปัญหำอันใด ภำยในรถค่อนข้ำงมืด แต่ว่ำสำยตำ
ของหยำงหนิงนั้นดีนัก ยังคงมองเห็นกู้ชิงฮั่นได้อย่ำง
ชัดเจน แล้วพูดขึ้นมำเบำๆ ว่ำ “ฮูหยินสำม เรื่อง
มำถึงตอนนี้ ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ทำได้
เพียงแก้ปัญหำไปทีละอย่ำง”
กู้ชิงฮั่นยิ้มอย่ำงขมขื่น “ตั้งแต่ท่ำนแม่ทัพตำยไป ก็มี
แต่เรื่องเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน เรื่องไฟไหม้ในคืนนี้ ยิ่ง
แล้วใหญ่” จำกนั้นก็ถำมว่ำ “หนิงเอ๋อ เมื่อครู่เจ้ำบอก
ให้โต้วเหลียนจงมำที่จวนในวันพรุ่งนี้ ในจวนของเรำ
ไม่ได้มีเงินมำกมำยเช่นนั้น”
หยำงหนิงยิ้มแล้วพูดว่ำ “ฮูหยินสำม ท่ำนไม่คิดว่ำ
เรื่องนี้มันแปลกรึ?”
“เจ้ำหมำยควำมว่ำอย่ำงไร?”
“จ้ำวซิ่นนำของมำจำนำที่ร้ำนในรำคำเจ็ดพันตำลึง
จำนวนเงินมันไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?” หยำงหนิงมอง
ไปที่กู้ชิงฮั่น สำยตำของกู้ชิงฮั่นใสรำวกับหยดน้ำ
แม้ในควำมมืดนั้นก็ยังคงควำมงำมอยู่
กู้ชิงฮั่นพยักหน้ำแล้วพูดว่ำ “เงินเจ็ดพันตำลึงไม่ใช่
จำนวนน้อยๆ กำรแลกเปลี่ยนของจ้ำวซิ่น ข้ำเองก็
จำได้ ในตอนนั้นอยู่ระหว่ำงแอบนำศพของท่ำน
แม่ทัพกลับมำยังเมืองหลวง คนในจวนยังไม่มีผู้ใดรู้ว่ำ
ท่ำนแม่ทัพป่วยตำยแล้ว ยังดีที่ทำงโรงรับจำนำได้มี
กำรซื้อขำยในช่วงนั้น ในตอนนั้นในจวนยังสำมำรถนำ
เงินสำมพันตำลึงออกมำได้ก่อน”
หยำงหนิงถำมกลับไปว่ำ “หลังจำกทำกำรค้ำรอบนี้
เสร็จสิ้นไปแล้ว ศพของ...ท่ำนพ่อก็กลับมำถึงที่
เมืองหลวงรึ?”
กู้ชิงฮั่นถอนหำยใจแล้วพูดว่ำ “ถูกต้อง ในตอนนั้นข้ำ
เองก็เสียใจ รู้อยู่ว่ำท่ำนแม่ทัพสิ้น ต้องจัดงำนศพ
กำรค้ำรอบนั้นก็ไม่ควรรับ แต่ในเมื่อลงนำมทำสัญญำ
ไปแล้ว ก็จะกลับลำไม่ได้”
หยำงหนิงยิ้มแห้งแล้วพูดว่ำ “เงินเจ็ดพันตำลึง ไม่ใช่
ยอดน้อยๆ เลย จ้ำวซิ่นนำมันมำจำนำก่อนที่ท่ำนพ่อ
จะกลับมำ จำกนั้นไฟก็ไหม้ เขำก็มำขอไถ่ของคืน มัน
ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยรึ?”
“บังเอิญจริงๆ ด้วย” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่ำ
“อีกอย่ำงจู่ๆ โต้วเหลียนจงก็โผล่ออกมำ มันผิดปกติ”
หยำงหนิงนิ่งไป จำกนั้นก็พูดขึ้นมำว่ำ “เมื่อครู่ฮูหยิน
สำมบอกว่ำหลังจำกที่ท่ำนพ่อสิ้นแล้ว จวนโหวก็เกิด
เรื่องขึ้นมำกมำย อย่ำบอกนะว่ำเงินจำกเจียงหลิงยัง
มำไม่ถึง อีกทั้งไฟก็ยังมำไหม้อีก จำกนั้นจ้ำวซิ่นก็มำ
เพื่อไถ่ของอย่ำงนั้นรึ?”
“ยังมีเรื่องลอบสังหำรเจ้ำที่สุสำนจงหลิงอีกด้วย”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยเสียงเบำๆ
หยำงหนิงพูดว่ำ “ฮูหยินสำม ท่ำนรู้สึกไหมว่ำเรื่องนี้
มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน?”
“เกี่ยวเนื่องกันรึ?” กู้ชิงฮั่นตกใจ “หนิงเอ๋อ ทำไมเจ้ำ
ถึงพูดเช่นนี้?”
หยำงหนิงพูดว่ำ “ข้ำรู้สึกว่ำเบื้องหลังเรื่องพวกนี้อำจ
มีมือมืด กำลังจะลงมือกับจวนจิ่นอีโหวของพวกเรำ”
“มือมืดรึ?”
หยำงหยิงยืดตัวขึ้น แล้วเข้ำไปใกล้กู้ชิงฮั่น กระซิบว่ำ
“หลังจำกที่ไฟดับแล้ว ข้ำเข้ำไปตรวจสอบดู ท่ำนเดำ
สิว่ำข้ำเจอสิ่งใด?”
“สิ่งใดกัน?”
“บนพื้นของคลังที่ถูกไฟไหม้ คล้ำยว่ำเป็นครำบ
น้ำมัน” หยำงหนิงพูดเสียงเบำ
กู้ชิงฮั่นตัวสั่น ยื่นมือไปจับแขนของหยำงหนิงเอำไว้
“หนิงเอ๋อ เจ้ำแน่ใจแล้วรึ? เจ้ำหมำยควำมว่ำ ที่คลังมี
ครำบน้ำมันใช่หรือไม่?”
หยำงหนิงพยักหน้ำแล้วพูดว่ำ “ข้ำตรวจดูอย่ำง
ละเอียดแล้ว ครำบน้ำมันนั้นมันไม่น้อยเลย มีไม่น้อย
กว่ำสำมสี่จุด ข้ำดมดูอย่ำงละเอียดแล้ว กลิ่นเช่นนี้ข้ำ
คิดว่ำไม่ผิดแน่ มันคือน้ำมันดำ จำกคำให้กำรของพวก
เขำ หลังจำกที่ไฟไหม้ ไฟลำมลุกเร็วนัก พริบตำเดียว
ไฟก็กลืนคลังเข้ำไปจนหมด ก็น่ำจะเกิดจำกน้ำมันดำ”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ในตอนนี้ใจเย็นลง คิดไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่ำ “ถ้ำเป็นอย่ำงนั้น แสดงว่ำไฟไหม้ในครั้งนี้
มีคนจงใจวำงแผน”
“เกรงว่ำจะเป็นเช่นนั้น” หยำงหนิงพูดว่ำ “คิดว่ำ
อำจจะเกี่ยวข้องกับโต้วเหลียนจง หำกไม่ใช่คนนี้
ลงมือ เขำก็น่ำจะเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด”
“หำกว่ำโต้วเหลียนจงเป็นคนอยู่เบือ้ งหลังจริงๆ ที่
พวกเขำเผำโรงรับจำนำ เพียงเพรำะแค่เงินหนึ่งหมื่น
กว่ำตำลึงอย่ำงนั้นหรือ?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วพูดว่ำ
“เรื่องนี้ไม่ง่ำยเช่นนั้น”
“ฮูหยินสำม พ่อของโต้วเหลียนจงเป็นเสนำบดีกรม
พระคลังรึ?” หยำงหนิงถำมว่ำ “เขำมีควำมแค้นอันใด
กับจวนจิ่นอีโหวหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้ำแล้วพูดว่ำ “โต้วขุยได้รับกำรแต่งตั้ง
เป็นเสนำบดีกรมพระคลังเมื่อหกปีก่อน จริงๆ แล้ว
เมื่อหลำยปีก่อน ตอนที่เขำยังเป็นแค่เจ้ำหน้ำที่กรม
พระคลัง เคยรู้จักกับท่ำนแม่ทัพมำก่อน ท่ำนแม่ทัพ
ทำศึกอยู่ข้ำงนอก เสบียงอำหำรต่ำงๆ ก็เป็นทำงกรม
พระคลังจัดหำให้ มีหลำยครั้งที่โต้วขุยจัดส่งเสบียง
อำหำรไปให้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงมีสัมพันธ์ที่ดีกับท่ำน
แม่ทัพ ต่อมำพอเขำได้รับตำแหน่งเสนำบดีกรม
พระคลัง ท่ำนแม่ทัพเองก็มีกล่ำวชืน่ ชมเขำต่อหน้ำ
พระพักตร์ฮ่องเต้อยู่บ่อยครั้ง”
“ถ้ำเป็นเช่นนั้น ท่ำนพ่อก็มีบุญคุณกับบตระกูลโต้ว
อย่ำงนั้นหรือ?”
“ทั้งสองตระกูลก็ไม่ได้มีอะไรต่อกัน แต่ว่ำเมื่อปีที่แล้ว
จู่ๆ ท่ำนแม่ทัพก็ถวำยฎีกำฉบับหนึ่ง หลังจำกนั้น
โต้วขุยก็ถูกฮ่องเต้ตำหนิอย่ำงรุนแรง แล้วก็ถูกลงโทษ
โดยกำรหักเบี้ยหวัดครึ่งปี ได้ยินมำว่ำเป็นเพรำะ
เสบียงอำหำรช้ำไปหลำยวัน ท่ำนแม่ทัพเป็นคน
ตรงไปตรงมำ ถวำยฎีกำต่อฮ่องเต้ร้องเรียนโต้วขุย”
กู้ชิงฮั่นเล่ำอีกว่ำ “ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมำ ทั้งสองตระกูล
ก็กลำยเป็นศัตรูกัน แต่ว่ำต่อหน้ำโต้วขุยก็ยังคงเคำรพ
ท่ำนแม่ทัพอยู่บ้ำง”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” หยำงหนิงเหมือนคิดสิ่งใดอยู่
แล้วพยักหน้ำ “ถ้ำเป็นอย่ำงที่ว่ำมำนั้น กำรที่ตระกูล
โต้วเข้ำมำเกี่ยวเรื่องนีด้ ้วย ไฟไหม้ครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง
ธรรมดำ”
“แต่ว่ำไม่มีหลักฐำน เรำก็ทำอะไรพวกเขำไม่ได้”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่ำ “พรุ่งนี้โต้งเหลียนจงจะพำ
จ้ำวซิ่นมำที่จวน อย่ำว่ำแต่เงินหนึ่งหมื่นห้ำพันตำลึง
ห้ำพันตำลึง เรำก็ยังไม่มีเลย”
หยำงหนิงยิ้ม แล้วพูดว่ำ “ฮูหยินสำม ไม่ต้องร้อนใจ
ในเมื่อโต้วเหลียนจงเข้ำมำเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ข้ำจะ
ทำให้เขำรู้ว่ำกำรขว้ำงงูไม่พ้นคอมันเป็นเช่นไร” เขำดู
มีสติขึ้นมำ แล้วพูดว่ำ “พวกเขำต้องกำรทำร้ำยพวก
เรำ ข้ำก็จะให้พวกเขำรู้ว่ำใครกันที่จะอยู่หัวเรำะเป็น
คนสุดท้ำย”
กู้ชิงฮั่นเห็นหยำงหนิงดูมั่นใจนัก ในใจก็รู้สึกดีใจ แต่
สิ่งที่มีมำกกว่ำนั้นคือควำมเป็นห่วง นำงไม่รู้จริงๆ ว่ำ
หยำงหนิงจะชดใช้เงินหนึ่งหมื่นห้ำพันตำลึงให้จ้ำวซิ่น
อย่ำงไร
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 บทที่ 70 มรดกตกทอด
มีเรื่องเกิดขึ้นในจวนจิ่นอีโหวต่อเนื่องกันติดๆ กู้ชิงฮั่น
ดูแลเรื่องภายในบ้าน ถึงแม้ต่อหน้าผู้คนจะไม่แสดง
อาการออกมานัก แต่ในใจกลับกลัดกลุ้มยิ่ง คืนนี้ นาง
ช่างดูเหนื่อยล้า เมื่อกลับถึงจวน หยางหนิงปลอบอยู่
พักใหญ่ กู้ชิงฮั่นจึงกลับห้องไปพักผ่อน
หยางหนิงรู้ดีว่า หากฉีจิ่งยังอยู่ เรื่องพวกนี้คงไม่
เกิดขึ้น แต่ว่าหลังจากที่ฉีจิ่งจากไปแล้ว มีแต่เรื่อง
เลวร้ายเข้ามาไม่หยุด
ถึงแม้โต้วเหลียนจงจะปรากฏตัวออกมาแล้ว แต่ห
ยางหนิงกลับคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้ที่เชื่อมโยงเรื่องราว
ผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังจริงๆ
เสนาบดีกรมพระคลังถือเป็นขุนนางระดับสูงของ
แคว้น แต่หากจะมามีเรื่องกับจวนจิ่นอีโหว แค่ตระกูล
โต้วตระกูลเดียวเห็นทีจะไม่พอ
ถึงแม้จวนจิ่นอีโหวจะอยู่ในช่วงที่ตกต่่า แต่ผลงานของ
ท่านจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นนั้นยังคงประจักษ์ให้เห็นชัดอยู่
และผลงานทั้งหมดก็เป็นผู้บัญชาการทหารทั้งนั้น
อย่างน้อยๆ ในด้านการทหารก็มีรากฐานที่มั่นคง ก็
อย่างที่เห็นผู้บัญชาการเสวียหลิงเฟิงของค่ายหู่เสินก็
ปกป้องตัวเขา สายสัมพันธ์ของจิ่นอีโหวไม่ได้จาง
หายไปพร้อมกับฉีจิ่ง ไม่ว่าผู้ก็ตามที่คิดจะลงมือกับ
จวนจิ่นอีโหว อย่างน้อยๆ ก็ต้องคิดวางแผนให้มาก
เสียหน่อย
ภาษีจากเจียงหลิงส่งมาไม่ถึงสักที ถูกลอบสังหารที่
สุสานจงหลิง วันนี้โรงรับจ่าน่าไฟยังมาไหม้อีก ดูผิว
เผินเหมือนมันจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ว่าหยางหนิงกลับ
รู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้มีเบื้องหลัง และจะต้องมีอะไรที่
เชื่อมโยงกันอยู่
เขายังรู้สึกอีกว่า จวนจิ่นอีโหวเหมือนก่าลังยืนอยู่บน
หน้าผา ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่ท่าแบบนี้แน่ หากเขา
คาดเดาไม่ผิด น่าจะมีผู้ร่วมสมรู้ร่วมคิดกับเรื่องนี้อีก
อย่างแน่นอน ขอแค่จวนจิ่นอีโหวพลาดเพียงก้าวเดียว
ก็อาจจะท่าให้เกิดหายนะขึ้นอย่างแน่นอน
เขามีลางสังหรณ์เกี่ยวกับเรื่องอันตรายที่จะมาถึงนี้
ในตอนนี้เขารู้สึกถึงมันอย่างรุนแรง
ที่น่าโมโหที่สุดคือพวกคนตระกูลฉีที่เหมือนกับ
กองทราย ซานเหล่าไท่เย๋กับฉีอวีส้ องแม่ลูกเหมือนจะ
เป็นพวกเดียวกัน ทั้งคู่ตีตัวออกห่างจวนโหว คนที่
สามารถปรามตระกูลฉีได้ก็ตายหมดแล้ว เหลือไว้
เพียงพวกเลี้ยงเสียข้าวสุก คนพวกนี้ไม่เพียงไม่มี
ประโยชน์ต่อจวนโหว มิหน่าซ้่ายังเป็นเนื้อร้ายอีก
ต่างหาก
หยางหนิงไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งกับจวนจิ่นอีโหวอยู่
แล้ว แต่ว่าเขารู้ดีว่า กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะจัดการอะไร
หลายอย่างได้ดี แต่ก็ยังเป็นหญิง หากว่ามีคนอยู่
เบื้องหลังการวางแผนก่าจัดจวนจิ่นอีโหวจริงๆ
เช่นนั้นก่าลังของอีกฝ่ายจะต้องไม่ธรรมดาอย่าง
แน่นอน กู้ชิงฮั่นอาจจะสามารถควบคุมทุกอย่างใน
จวนได้ แต่ข้างนอกคงไม่ง่ายนัก
ในเขตพระราชฐานมีอันตรายอยู่ล้อมรอบ ทั่วทั้งเมือง
หลวงดูสงบ แต่หยางหนิงกลับรู้สึกว่าลมพายุที่รุนแรง
จะมาหลังคลื่นลมสงบ เขาไม่มีทางรู้ได้ว่าเรื่องที่จะ
เกิดขึ้นหลังจากนี้จะเลวร้ายเพียงใด แต่รู้ว่าควร
จะต้องระวังเอาไว้ จวนจิ่นอีโหวอาจจะแหลกเป็นจุน
จุดจบของกู้ชิงฮั่นกับพวกพ้องอาจจะไม่ดีนัก
หากเขาจากไปในตอนนี้ ดูจากสถานการณ์ของจวน
จิ่นอีโหวแล้ว คงไม่มีกะจิตกะใจออกไปตามหาเขา แต่
ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ไปสนใจ หยางหนิงเองก็รู้สึกไม่ค่อย
สบายใจ
ตอนนี้เขาคิดว่าจะพยายามปกป้องจนถึงที่สุดก่อน
หากควบคุมไม่ได้จริงๆ เขาค่อยตัดสินใจดูอีกที
โต้วเหลียนจงเองก็ถือว่าเป็นคนรักษาค่าพูด เช้าอีกวัน
พระอาทิตย์ขึ้นไม่นานนัก หยางหนิงก็ได้รับแจ้งว่า
คุณชายของเสนาบดีกรมพระคลังมาขอพบ
หยางหยิงเองก็ไม่ได้ไม่แยแส ให้เชิญโต้วเหลียนจงเข้า
มาในจวน
จ้าวซิ่นมาพร้อมกับโต้วเหลียนจง บ่าวไพร่ได้พา
พวกเขามายังห้องโถงหลัก แต่ว่าหยางหนิงไม่ได้อยู่ใน
ห้องโถง บ่าวไพร่บอกแค่ว่าซื่อจื่อก่าลังแต่งตัวอยู่
อีกสักครู่จะออกมาพบ
น้่าชาถูกยกมารับรอง โต้งเหลียนจงค่อยๆ ยกขึ้นดื่ม
ชารสชาติดี ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคุณชายของเสนาบดี
กรมพระคลัง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขายังไม่เคยมา
นั่งอยู่ในห้องโถงของจวนโหวเลยแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้
มาในฐานะเจ้าหนี้ เขารู้สึกสะใจไม่น้อย
“ได้ยินมาว่าฮูหยินสามเป็นคนดูแลจวนโหวของ
พวกเจ้า ที่ข้ามาวันนี้ มาธุระส่าคัญ ไม่ได้พบซื่อจื่อก็
ไม่เป็นไร แต่ยังไงก็ต้องขอพบฮูหยินสาม” โต้วเหลียน
จงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ แล้วมองไปที่บ่าวไพร่ที่มาดูแล
“จริงๆ แล้วซื่อจื่อของพวกเจ้าก็จัดการเรื่องใหญ่
เช่นนี้ไม่ได้หรอก”
เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าผู้ดูแลจวนจิ่นอีโหวเป็นหญิงงาม
แต่ไม่เคยพบมาก่อน เมื่อคืนนี้พอได้เห็น ท่าให้เขา
ตกใจมาก เขาเป็นคนเสเพลอยู่แล้ว พบหญิงงามมาก็
ไม่น้อย เป็นคุณหนูผู้ดีมีตระกูลก็มาก แต่ไม่เคยพบ
หญิงสาวที่งดงามเหมือนกับกู้ชิงฮั่นมาก่อน
บ่าวไพร่ได้แต่ก้มหน้า ไม่พูดสิ่งใด
จ้าวซิ่นมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร ก็เดินเข้าไปพูด
เบาๆว่า “คุณชาย เมื่อคืนฉีหนิงดูมั่นใจยิ่งนัก หรือว่า
เขาจะหาเงินหนึ่งหมื่นต่าลึงได้จริงๆ? จวนจิ่นอีโหว
เองก็ดูยิ่งใหญ่ เงินหนึ่งหมื่นต่าลึงส่าหรับพวกเขาแล้ว
น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง” โต้วเหลียนจง
หัวเราะเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “สถานการณ์ของ
จวนพวกเขา ข้ารู้ดี เมื่อคืนข้าส่งคนตามดูอยู่ หลังจาก
ฉีหนิงกลับเข้าจวนแล้ว ก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก ไม่มี
ทางมีเงินหนึ่งหมื่นต่าลึงแน่นอน” สีหน้าของเขามั่นใจ
มาก “เจ้ารอดูเถอะว่า วันนี้ข้าจะจัดการพวกเขา
อย่างไร”
เมื่อมองไปทางซ้ายทางขวา กลับไม่พบกู้ชิงฮั่นหรือ
หยางหนิงเลย โต้วเหลียนจงไม่ได้มีความอดทน
มากมายเช่นนั้น เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม
ของพวกเจ้าอยู่ที่ใด? ติดหนี้ก็ต้องชดใช้ หลบหน้า
เช่นนี้คิดว่าเรื่องจะจบรึ?”
บ่าวไพร่เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฮูหยินสามไม่ค่อย
สบาย เรื่องในจวนตอนนี้ซื่อจื่อเป็นคนดูแลทั้งหมด
เจ้าค่ะ”
โต้วเหลียนจงรู้สึกผิดหวัง แต่ก็พูดว่า “ในเมื่อซื่อจื่อ
เป็นคนดูแล แล้วเขาอยู่ที่ใดเล่า?”
“เอ่อเรื่องนี้...!” บ่าวไพร่ลังเลเล็กน้อย แล้วพูดว่า
“ซื่อจื่ออยู่ที่ห้องโถงเล็กด้านข้าง ก่าลัง...!”
“เรื่องอันใดมันจะมาส่าคัญกว่าการใช้หนี้อีก?”
สายตาของโต้วเหลียนจงเปลี่ยนไป เขาเดินออกไป
ด้านนอกประตู “น่าทางไป”
บ่าวไพร่ลังเล โต้วเหลียนจงก็เริ่มต่อว่า “ยืนเหม่ออยู่
ท่าไม ยังไม่น่าทางข้าไปอีก ข้าไม่ได้มีเวลามากขนาด
นั้น”
บ่าวไพร่จนปัญญา จึงต้องน่าทางไป โต้วเหลียนจง
เดินน่าหน้า จ้าวซิ่นเดินตามหลังมา คนของเขาเดิน
ตามมาเป็นทางยาว อ้อมมาจนถึงห้องโถงด้านหลัง
ประตูห้องนั้นเปิดอยู่ โต้วเหลียนจงชะโงกหน้าไปมอง
เห็นหยาหนิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ มือทั้งสองยกขึ้นมา ก่าลัง
จ้องมองบางสิ่งอยู่ เขาไม่ขยับตัวเลย เหมือนก่าลัง
เหม่ออยู่
โต้วเหลียนจงรู้สึกสงสัย บ่าวไพร่ก่าลังจะเดินไปแจ้ง
หยางหนิง โต้วเหลียนจงยกมือห้ามไว้ แล้วค่อยๆ เดิน
เข้าไปในห้อง ในห้องสว่างโปร่งโล่ง แต่ด้านข้างจะมืด
สักหน่อย ตอนนี้จึงเห็นอะไรชัดขึ้น บนโต๊ะเหมือนมี
ของโบราณอยู่ชิ้นหนึ่ง โต้วเหลียนจงเป็นคนรอบรู้
เขามองเพียงครั้งเดียวก็รู้เลยว่านี่คือม้าที่ท่าจากหิน
หยกหลิวหลี
เขาเอามือไขว้หลังแล้วเดินไปที่ด้านหลังของ
หยางหนิง หยางหนิงราวกับว่าไม่รู้ตัว โต้วเหลียนจง
มองไปที่ม้าหยกหลิวหลีตัวนั้น แอบคิดว่านึกว่าสมบัติ
ล้่าค่าอะไร ของชิ้นนี้มันก็แค่ของราคาไม่กี่สิบต่าลึง
เท่านั้นเอง หลิวหลีจริงๆ ก็ไม่ใช่ของหายากอะไรมาก
นัก แต่ว่าพอเอามาท่าเป็นม้าตัวนี้กลับเหมือนจริงยิ่ง
นัก ทั้งท่าทางที่องอาจ ที่เหมือนจะบินไปบนท้องฟ้า
ได้เลย
เขาแอบหัวเราะ รู้สึกว่าจวนจิ่นอีโหวถึงคราวตกอับ
แล้วจริงๆ เป็นถึงจิ่นอีซื่อจื่อ แต่กลับมานั่งเหม่อกับ
แค่ม้าหยกหลิวหลีเช่นนี้ เหมือนกับหลงใหลปราบ
ปลื้มมันยิ่งนัก แต่ดูแล้วมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นของดีอะไร
“ซื่อจื่อ ท่านก่าลังดูสิ่งใดอยู่รึ?” โต้วเหลียนจงตั้งใจ
ท่าให้หยางหนิงตกใจ เขาใช้มือตบไปที่บ่าของ
หยางหนิง หยางหนิงร้องด้วยความตกใจอย่างที่คาด
ไว้ เขาแทบจะกระโดดขึ้นมาเลย โต้วเหลียนจงมี
ท่าทางกลัว จากนั้นก็หัวเราะร่าออกมา แล้วพูดว่า
“อย่างไรเสีย ซื่อจื่อก็เกิดในตระกูลนักรบ ท่าไมถึงได้
ตกใจง่ายถึงเพียงนี้เล่า?”
หยางหนิงรู้สึกอายเล็กน้อย ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็
ท่านพี่โต้วนี่เอง....!”
โต้วเหลียนจงท่าหน้าเข้ม แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ แม้แต่
เป็นพี่น้องกันแท้ๆ มีหนี้ก็ต้องชดใช้ วันนี้ไม่มีค่าว่า
พี่น้องอะไรทั้งนั้น เจ้าน่าจะรู้ว่าข้ามาที่นี่ด้วยเหตุ
อันใด” จากนั้นเขาก็มองไปที่จ้าวซิ่นที่ยืนอยู่ข้างนอก
จ้าวซิ่นก็รีบเดินเข้ามา ยกมือขึ้นค่านับแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ ข้าน้อยมาตามสัญญาแล้ว”
หยางหนิงยกมือขึ้นมาแล้วจับที่หลังศีรษะแล้วพูดว่า
“ข้าก่าลังคิดเรื่องนี้อยู่พอดี ในเมื่อรับปากแล้ว ก็จะไม่
เสียค่าพูดแน่นอน”
โต้วเหลียนจงกลับไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
เราไม่ใช่คนอื่นคนไกล ข้าเป็นคนตรงๆ มีสิ่งใดก็พูด
ตรงๆ ท่านสามารถหาเงินมาหนึ่งหมื่นห้าพันต่าลึงได้
หรือไม่?” จากนั้นก็พูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “ที่เรา
ต้องการคือเงินสดเท่านั้น”
“เงินสดอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“พูดตามตรง ตอนนี้ข้าไม่มีเงินสดมากเช่นนั้น”
โต้วเหลียนจงสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่มีเงินอย่างนั้นรึ?
ถ้าเช่นนั้นเมื่อคืนท่านจะให้ค่าสัญญาว่ามีหนี้ก็จะต้อง
ชดใช้ด้วยปากของท่านเองได้อย่างไร? ซื่อจื่อ ชื่อเสียง
ของจิ่นอีโหว ตระกูลฉีทั้งสองรุ่นท่าคุณงามความดีมา
โดยตลอด หากท่านกลับค่าเช่นนี้ หากเรื่องนี้แพร่ง
พรายออกไป ชื่อเสียงของจิ่นอีโหวจะเสื่อมเสียเอาได้
กว่าจะสะสมชื่อเสียงเกียรติยศมาได้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่อง
ง่ายเอาเสียเลย ท่านก่าลังจะท่าลายมันลงในชั่ว
พริบตา”
“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป” หยางหนิงพูดว่า “ข้าไม่ได้
บอกว่าข้าจะไม่คืนให้ท่านเสียหน่อย” แล้วชี้ไปที่ม้า
หยกหลิวหลีที่โต๊ะ แล้วพูดด้วยความเศร้าว่า “ข้า
ก่าลังคิดว่าจะเอาสมบัติชิ้นนี้มาใช้หนี้แทนจะดี
หรือไม่?”
“สมบัติรึ?” โต้วเหลียนจงเหลือบไปมองที่ม้าหยก
หลิวหลี จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อข้าว่า ท่านคงไม่คิดว่าของไร้ราคาเช่นนี้มันจะ
มีมูลค่าถึงหนึ่งหมื่นห้าพันต่าลึงหรอกนะ?” จากนั้นก็
พูดด้วยน้่าเสียงอารมณ์ไม่ดีว่า “ข้าบอกเจ้าตามตรง
ของเช่นนี้ แทบจะเข้าประตูจวนของเสนาบดีกรม
พระคลังไม่ได้ด้วยซ้่า มันมีค่าไม่ถึงห้าสิบต่าลึงเลย
เจ้ากลับกล้าเอามันมาใช้หนี้ หรือว่าเจ้าดูไม่ออกหรือ
อย่างไร?”
“ไม่มีค่าอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงยิ้ม “ท่านพี่โต้วหรือ
ว่าท่านคิดว่านี่มันแค่ม้าหยกหลิวหลีธรรมดาเล่า? ถ้า
เป็นอย่างนั้นจริง มันจะเป็นมรดกตกทอดของ
ตระกูลฉีของข้าได้อย่างไรกัน?”
เมื่อโต้วเหลียนจงได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป แล้ว
พูดว่า “เจ้าบอกว่านี่เป็นมรดกตกทอดของจวน
จิ่นอีโหวอย่างนั้นรึ?”
หยางหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “นี่เป็นของที่
ตกทอดมาจากท่านปู่ข้า แต่ว่าที่ผ่านมาท่านย่าข้าเป็น
คนดูแลมาโดยตลอด ในตอนนี้ในจวนของข้าไม่มีเงิน
สดมากมายเช่นนั้น ท่านย่าจึงฝืนใจเอามันออกมา
หากไม่ถึงยามคับขัน คนปกติแทบจะไม่ได้เห็นมัน
เลย” เขาแสร้งพูดต่อไปว่า “ท่านพี่โต้วเองก็น่าจะ
เป็นคนที่รู้เรื่องของโบราณเก่าแก่ ท่าไมจู่ๆ วันนี้ถึง
มองไม่ออกเล่า?”
โต้วเหลียนจงเห็นหยางหนิงสีหน้าจริงจัง แอบคิดใน
ใจ หรือว่าตัวเขาจะดูผิดไปจริงๆ เพราะอย่างไรเสีย
จวนจิ่นอีโหวก็มีช่วงเวลาที่รุ่งเรืองถึงขั้นสุด หากพวก
เขาจะมีสมบัติที่มีมูลค่าสูง โต้วเหลียนจงเองก็ไม่ได้
แปลกใจ หยางหนิงบอกว่าม้าหยกหลิวหลีตัวนี้เป็น
มรดกตกทอดของตระกูลฉี เกรงว่ามันจะต้องมีอะไร
มากกว่าที่เห็นอย่างแน่นอน
“ซื่อจื่อ ขอข้าดูอย่างละเอียดจะได้หรือไม่?” ปกติ
โต้วเหลียนจงเป็นคนที่รู้เรื่องของโบราณเหล่านี้อยู่
แล้ว เขาแอบคิดในใจว่าจะมาเสียหน้าต่อหน้า
หยางหนิงไม่ได้
หยางหนิงลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วพูด
ว่า “อย่างไรเสียของชิ้นนี้ก็ต้องให้พวกท่านอยู่ดี ให้
ท่านดูก็ไม่เสียหายอันใด แต่ว่าจะต้องระวังให้ดี”
โต้วเหลียนจงยื่นมือออกไป จับมรดกตกทอดของจวน
จิ่นอีโหวอย่างระมัดระวัง
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 71 หลอกล่อ
หยางหนิงบอกว่าม้าหลิวหลีชิ้นนี้คือมรดกตกทอดของ
ตระกูล ถึงแม้โต้วเหลียนจงจะสงสัย แต่ก็ยกมันขึ้นมา
อย่างระมัดระวัง ในตอนแรกก็ยังดูระมัดระวังดี แต่ไม่
นานนักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็เหลือบ
ไปมองหยางหนิง แล้วพูดว่า “นี่เป็นมรดกตกทอด
ของตระกูลจิ่นอีโหวจริงรึ?”
“จริงแท้แน่นอน” สีหน้าของหยางหนิงดูผยอง “ท่าน
พี่โต้วดูไม่ออกจริงรึว่ามันพิเศษที่ตรงไหน?”
“ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีความพิเศษตรงไหน ข้าว่าเจ้าบ้า
ไปแล้วแน่ๆ” โต้วเหลียนจงพูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า
“นอกจากรูปแบบที่พอไปวัดไปวาได้แล้ว หยก
หลิวหลีนี้ก็เป็นของระดับล่าง เมื่อครู่นี้ที่ข้าบอกไปว่า
มันมีค่าแค่ห้าสิบตาลึงนั้น ข้าขอถอนคาพูด ห้าตาลึง
ยังไม่แน่ว่าจะมีใครเอาหรือไม่”
หยางหนิงถอนหายใจ แล้พูดว่า “ห้าตาลึงซื้อของ
อย่างนี้ได้ด้วยรึ? ท่านพี่โต้วยังคิดว่ามันเป็นแค่ม้าหยก
หลิวหลี” เขาคิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ความพิเศษ
ของม้าตัวนี้ มันสามารถส่องแสงออกมาได้เวลา
กลางคืน แถมยังเปลี่ยนได้หลายสีอีกด้วย ตามที่ท่าน
ย่าบอกข้ามา ม้าหลิวหลีตัวนี้ถึงแม้จะดูจากภายนอก
มันจะหยาบและดูคุณภาพต่า คนที่ไม่รู้เกี่ยวกับของ
โบราณ บางทีก็นึกว่าเจ้าม้าหลิวหลีชิ้นนี้ต้องมีปัญหา
แน่นอน แต่ว่าจริงๆ แล้วมันคือสิ่งวิเศษ มีเพียงผู้รู้
เท่านั้นที่มองออกว่ามันวิเศษมากเพียงใด”
“ข้าบอกแล้ว มันไม่มีอะไรพิเศษเลย แต่ว่าเจ้ามัน
โรคบ้ากาเริบต่างหาก” โต้วเหลียนจงแสร้งทาเป็นยิ้ม
แล้วพูดว่า “ข้าว่านะฉีหนิง เจ้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้
เจ้าคิดจะเบี้ยวหนี้ข้าใช่หรือไม่?”
หยางหนิงขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยความไม่เกรงใจว่า
“โต้วเหลียนจง ท่านน่ะตาไม่ถึง ก็อย่ามาดูถูกมรดก
ตกทอดของตระกูลข้า เจ้าบอกว่าม้าหลิวหลีตัวนี้เป็น
ของระดับต่าไร้ราคา เจ้าช่างหยามเกียรติของอดีต
ฮ่องเต้ยิ่งนัก?”
“อดีตฮ่องเต้อย่างนั้นรึ?” โต้วเหลียนจงตกใจ “แล้ว
มันเกี่ยวอะไรกับอดีตฮ่องเต้อย่างไรเล่า?”
หยางหนิงพูดอย่างได้ใจว่า “ม้าหยกหลิวหลีตัวนี้เป็น
ของที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้กับท่านปู่ข้า
เป็นของสูงส่ง ดังนั้นท่านปู่ข้าถึงได้เห็นมันเป็นสมบัติ
มรดกตกทอดของตระกูล”
“นี่...นี่เป็นของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานอย่างนั้นรึ?”
โต้วเหลียนจงตกใจยิ่งนัก แล้วมองดูม้าหยกหลิวหลี
อีกครั้ง เขารู้ว่าอดีตฮ่องเต้ทรงชื่นชมโปรดปราณท่าน
เหล่าโหวนัก เมื่อได้รับสถาปนาบรรดาศักดิ์จิ่นอีโหว
บวกกับที่ดินศักดินาอีกสามพันไร่ ความรุ่งเรืองของ
จิ่นอีโหวในอดีต เพียงแค่นึกก็เห็นภาพ คนเช่นนี้
สิ่งของที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้จะต้องไม่ใช่
ของธรรมดาๆ แน่นอน
หยางหนิงพูดว่า “เจ้ารู้จักประโยคที่ว่าเกิดที่ดาวใต้
ตายที่ดาวเหนือหรือไม่?”
โต่วเหลียนจงรู้สึกโง่เขลายิ่งนัก แต่ก็ยังเสแสร้งแล้ว
พูดว่า “รู้สิ”
“ม้าหยกหลิวหลีตัวนี้ มีสัญลักษณ์ของดาวใต้หกดวง
กับดาวเหนือเจ็ดดวง” หยางหนิงชี้ไปที่ม้าหยกหลิว
หลีแล้วพูดยกยอมันว่า “ได้ยินมาว่าเพียงแค่ตั้งใจดู
ดีๆ ก็จะสามารถเห็นดาวใต้กับดาวเหนือ อีกทั้งยังไม่
คล้ายกันแม้เพียงชั่วโมงเดียว ดวงดาวจะเคลื่อนย้าย
ไปเรื่อยๆ คนที่รู้เรื่องดวงดาว จะสามารถใช้มัน
ทานายความเป็นความตายได้”
โต้วเหลียนจงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจยิ่งนัก จ้าวซิ่นเองก็มี
สีหน้าตะลึงไม่น้อยไปกว่าโต้วเหลียนจง
“เมื่อครู่ข้าจ้องมันอยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม กาลังเห็น
เส้นของดวงดาว ก็ถูกเจ้าเข้ามาขัด” หยางหนิงพูด
ด้วยความหัวเสีย “ถ้ารู้ว่าม้าหลิวหลีตัวนี้วิเศษเช่นนี้
ข้าคงขอท่านย่ามาดูเล่นเสียตั้งนานแล้ว ในตอนนี้...!”
เขาส่ายหัวด้วยความเศร้า
โต้วเหลียนจงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ในใจก็ยังคิดว่า
หากเป็นของที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้จริง จะ
ประเมินมูลค่าต่ามิได้ จึงยกขึ้นมาดูอีกครั้งด้วยความ
ระมัดระวัง แต่ดูนานสักเพียงใดก็ไม่เห็นถึงความวิเศษ
ของเจ้าม้าหลิวหลีตัวนี้เลย หยางหนิงเห็นเขาขมวดคิ้ว
ก็พูดว่า “ท่านย่าข้าบอกว่าตอนกลางคืนมันจะมีแสงสี
มากมาย หรือว่ามันจะมีเส้นดวงดาวปรากฏออกมาใน
ยามกลางคืน กลางวันคง...กลางวันแสกๆ เช่นนี้ก็คง
จะไม่มีอะไรปรากฏออกมาหรอกกระมัง”
โต้วเหลียนจงได้ยินดังนั้น จึงพูดขึ้นว่า “จริงด้วย
กลางวันเช่นนี้คงจะมองไม่เห็นสิ่งใด”
ตะวันขึ้นเต็มดวงแล้ว บ่าวไพร่ถึงได้พาโต้วเหลียนจง
มายังเรือนด้านหลัง ประตูหลังถูกผนังห้องบังแสง แต่
แดดนั้นกลับส่องเข้ามาทางด้านนอกของประตู
โต้วเหลียนจงรู้ว่า บนโลกนี้มีของวิเศษอยู่มากมาย
เพียงแต่ต้องตรวจดูให้ดีอย่างถี่ถ้วนเท่านั้น ถึงแม้จะ
เป็นผู้เชี่ยวชาญสักเพียงใด ก็ยังผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น
ถึงแม้ตัวเขาจะชอบของเก่าของโบราณ และอยู่ใน
สายนี้มานานหลายปี ตัวเขาเองก็ถือได้ว่าพอมีความรู้
เกี่ยวกับของเหล่านี้อยู่บ้าง หยางหนิงไม่เหมือนกาลัง
ล้อเล่นหรือโกหกแม้แต่น้อย แถมยังยกเอาอดีตฮ่องเต้
ออกมาพูดด้วย ถึงแม้จะไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก
แต่ก็ทาให้ลังเลอยู่บ้าง เขามองไปที่ด้านนอกประตู
ยกเอาม้าหลิวหลีเดินออกประตูไป
โต้วเหลียนจงยังไม่ทันได้ออกนอกประตู หยางหนิงก็
พูดขึ้นมาว่า “ระวัง!”
โต้วเหลียนจงคิดว่าเขาคงเป็นห่วงสมบัติของเขา จึง
ไม่ได้สนใจ เมื่อเขายกเท้าข้ามประตูไป เขาก็ลื่นล้ม
ทันที ร่างกายของเขาเสียศูนย์ ไม่ทันได้ระวัง สีหน้า
ของเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นก็ได้ยินเสียง “เพล้ง” ของ
ชิ้นหนึ่งตกพื้นแตกไม่มีชิ้นดี จ้าวซิ่นเดินตามหลัง
โต้วเหลียนจงมา เห็นโต้วเหลียนจงสะดุดล้ม จึงรีบ
เดินรุดหน้าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พยุงเขาเอาไว้ เขา
กาลังจะก้าวเท้าเดินไปสองข้าง แต่เดินได้แค่ก้าวเดียว
เขาก็ลื่นล้ม ก้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง
หยางหนิงรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านพี่โต้ว ข้าบอกให้ท่าน
ระวัง ท่าน...!” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็ตกใจ
ยิ่งนัก แล้วจ้องเขม็งไปที่พื้น
โต้วเหลียนจงจู่ๆ ก็สะดุดล้ม รู้สึกโกรธยิ่งนัก กาลังจะ
ระเบิดอารมณ์ออกมา แต่เห็นสีหน้าท่าทางของ
หยางหนิงแล้ว จึงมองตามสายตาของเขาไป สีหน้า
ของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เขาเห็นม้าหยกหลิวหลีตกแตกอยู่ที่พื้น แตกละเอียด
เป็นจุน หยกหลิวหลีมันเป็นของแตกง่ายอยู่เป็น
ทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนที่เขาล้มลงมานั้น ม้าหลิวหลีตก
ลงมากระแทบกับพื้นที่ปูด้วยหินอ่อน ตอนนี้หยกหลิว
หลีตกลงไปกองกับพื้น คิดว่าจะมีชิ้นดีอีกหรือ ตอนนี้
มันแตกไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
โต้วเหลียนจงกาลังจะระเบิดอารมณ์ แต่แค่พริบตา
เดียวความโกรธนั้นก็สลายไป ตอนนี้เหงื่อออก
ด้านหลังเต็มไปหมด กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่น
ไปหมด พูดด้วยน้าเสียงที่สั่น “ซื่อจื่อ นี่...พื้นนี่มันลื่น
ยิ่งนัก” เขารู้สึกเหมือนที่พื้นมีน้ามัน ยื่นมือไปจับ
แล้วเอามาดม กลิ่นฉุนมาก เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า :
“นี่มันอะไรกัน?”
หยางหนิงวิญญาณหลุดจากร่างไปแล้ว นั่งลงไปกับ
พื้น แล้วพูดพึมพาว่า “มรดกของตระกูลข้า มรดก
ของตระกูลข้า...!”
โต้วเหลียนจงนิ่งไป รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงของคนจานวนมากวิ่งมา
คนแรกที่เดินมานั้นคือจ้าวอู๋ซาง ส่วนด้านหลังที่
ตามมานั้นคือทหารในจวนกับบ่าวไพร่ จ้าวอู๋ซางเดิน
เข้ามา เห็นโต้วเหลียนจงนั่งอยู่ที่พื้น สีหน้านิ่ง เห็นม้า
หยกหลิวหลีแตก สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็พูด
ขึ้นว่า “ซื่อจือ นี่มันมรดกตกทอดที่ไท่ฮูหยินให้คนส่ง
มาใช่หรือไม่?”
หยางหนิงพูดอย่างไม่มีสติว่า “มรดกตกทอดของ
ตระกูล แล้วจะทาอย่างไรเล่า? นี่เป็นของที่อดีต
ฮ่องเต้พระราชทานให้ ทานายความเป็นความตายได้
แล้ว...แล้วจะไปบอกท่านย่าของข้าอย่างไรดีเล่า?”
โต้วเหลียนจงกับจ้าวซิ่นมองหน้ากัน จ้าวซิ่นหน้าเริ่ม
ซีดเซียวเป็นไก่ต้ม โต้วเหลียนจงนั่งอยู่กับพื้น แล้วยื่น
มือออกไปแล้วพูดว่า “พยุงข้าขึ้นไปที”
สีหน้าของจ้าวอู๋ซางนิ่ง คนอื่นๆ เองก็ไม่ขยับแม้แต่นิด
เดียว โต้วเหลียนจงรู้สึกโกรธยิ่งนัก แต่ก็ทาอะไรไม่ได้
ตอนนี้เขาเห็นชัดแล้วว่าตรงนอกประตูมีของเหลว
สีเหลืองอยู่ที่พื้น เมื่อครู่เขาแค่ต้องการดูม้าหยก
หลิวหลีว่ามันวิเศษอย่างไรเท่านั้น ในตอนที่เดิน
ออกมาแทบจะไม่ได้ก้มหน้าเลย จึงเหยียบโดนมันเข้า
เขาลุกขึ้นมาอย่างระวัง เสื้อของเขาเปื้อนของเหลว
สีเหลือง ก็รู้สึกขยะแขยง แต่ว่าในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่
จะมาระเบิดอารมณ์ จากนั้นก็ยิ้ม มองไปที่หยางหนิง
แล้วพูดว่า “ซื่อจือ ม้าหยกหลิวหลีตัวนี้มัน...มันไม่ได้
มีราคาอะไรเลยแม้แต่น้อย แล้วมันก็ไม่ได้มีความ
วิเศษอะไรด้วย ท่านอย่าเสียใจไปเลย”
หยางหนิงเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าโกรธยิ่งนัก เขาลุกขึ้น
มาแล้วชี้ไปที่โต้วเหลียนจง จากนั้นก็ตะคอกว่า
“โต้วเหลียนจง เจ้ากล้าทาลายมรดกตกทอดของจวน
จิ่นอีโหวอย่างนั้นรึ?”
“นี่...นี่มันสมบัติมรดกตกทอดบ้าบออะไรกัน?”
โต้วเหลียนจงเสียงสั่น แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ทาได้
แค่ยืนหยัดเข้าไว้เท่านั้น “ซื่อจื่อ หากท่านชอบของ
โบราณแบบนี้ ไว้ข้ากลับไปเลือกของดีๆ ส่งมา...มาให้
ท่านดีหรือไม่”
“ของดีอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงพูดด้วยความโกรธ
“ม้าหยกหลิวหลีเป็นของสูงส่ง เป็นของที่ได้รับ
พระราชทานมาจากอดีตฮ่องเต้ เป็นของที่ประเมินค่า
ไม่ได้ เจ้าคิดว่าจะเอาสมบัติเอาของดีที่ไหนมาแลก?”
โต้วเหลียนจงไอแห้งๆ สองที แล้วแถต่อไปว่า
“เมื่อครู่นี้ท่านเองก็เห็นข้าไม่ได้ตั้งใจจะทามันแตก
จริงๆ แล้ว...!” สีหน้าของเขานิ่งไป แล้วชี้ไปที่
ของเหลวสีเหลืองที่พื้นแล้วพูดว่า “แล้วสิ่งนี้มันอะไร?
แล้วมันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?” แล้วหันไปจ้อง
หยางหนิง ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ฉีหนิง เจ้าคงไม่ได้
ตั้งใจวางหลุมพรางหลอกข้าใช่หรือไม่?”
หยางหนิงเดินเข้าไป เดินข้ามประตูไป จากนั้นก็
กระโดดไปตรงหน้าโต้วเหลียนจง สีหน้าดุดัน สายตา
ราวกับคมดาบ แล้วชี้ไปที่จมูกของโต้วเหลียนจงแล้ว
พูดว่า “ท่านพูดใหม่อีกทีซิ? ท่านบอกว่าข้าวางแผน
อย่างนั้นหรือ? ข้าเป็นคนเสนอให้ท่านเอามรดกของ
ข้าไปดูอย่างนั้นหรือ? ข้าเป็นคนบอกให้ท่านเอา
มรดกตกทอดออกไปจากที่นี่อย่างนั้นหรือ? ตอนที่
ท่านกาลังจะออกไป ข้าก็เตือนท่านแล้ว ให้ท่านระวัง
ท่านอย่าบอกนะว่าท่านไม่ได้ยิน”
ท่าทางของเขาดูโกรธมาก สีหน้าท่าทางดูลนลาน
ดวงตากลมโตราวกับจะกินคน โต้วเหลียนจงไม่เคย
เห็นจิ่นอีโหวซื่อจื่อเป็นเช่นนี้มาก่อน จึงถอยหลัง
ออกไป จากนั้นก็ยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านมี
สิ่งใดก็ค่อยพูดค่อยจากันนะ อย่าวู่วาม เราเป็นพี่น้อง
กันมิใช่หรือ มีอะไรค่อยๆ คุยหาทางออกกันเถอะนะ”
แล้วพูดอีกว่า “เมื่อครู่ที่ท่านบอกให้ข้าระวัง ข้าคิดว่า
ท่านให้ข้าระวังมรดกตกทอดของตระกูลท่าน ไม่รู้ว่า
ท่านจะหมายถึงสิ่งที่ยู่นอกประตูนั้นที่มันจะทาให้ข้า
ลื่น คือ...คือข้าเองที่ประมาท”
“พี่น้องแท้ๆ ยังต้องใช้หนี้ ไม่มีคาว่าพี่น้องอะไร
ทั้งนั้น” หยางหนิงพูดด้วยสีหน้านิ่งว่า “คุณชายโต้ว
ม้าหยกหลิวหลีท่านเป็นคนทาแตกกับมือ ท่านคิดว่า
ข้าควรจะทาอย่างไร?”
โต้วเหลียนจงแอบคิดว่าเมื่อก่อนทาไมถึงดูไม่ออกเลย
ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะพูดจาฉะฉานได้ถึงเพียงนี้ราวกับว่า
เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เมื่อครู่คาพูดที่ตนพูดออกไป
ตอนนี้หยางหนิงก็ย้อนคาพูดของเขากลับมา ใครๆ ก็
ว่าจวนจิ่นอีโหวมีหนี้ต้องชดใช้ คาพูดนี้เป็นจริง กรรม
กาลังย้อนมาทันแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าควรจะทาเช่นไรเล่า?” โต้ว
เหลียนจงก็ใช่ว่าจะเป็นคุณชายที่ไม่เอาไหน พ่อของ
เขาดูแลกรมพระคลังมาหลายปี ก่อนหน้านี้เขาก็
ทางานอยู่ในกรมพระคลัง ทางานด้านบัญชีมาโดย
ตลอด ถนัดการคิดคานวณวางแผนมากที่สุด แต่วันนี้
กาลังจะถูกเด็กตรงหน้าคนนี้ย้อนเอาเรื่อง เขาไม่เคย
ถูกใครตลบหลังมาก่อน แต่วันนี้กลับถูกคนปัญญา
อ่อนซื่อจื่อย้อนศรเอาได้
แต่ก็เป็นไปตามที่หยางหนิงบอก ตัวเขาเป็นคนที่เอา
ม้าหยกหลิวหลีมาดู ถึงแม้หลุมพรางนี้อีกฝ่ายจะเป็น
คนวางไว้ แต่ว่าตัวเองกลับเดินเข้าไปตกหลุมพราง
นั้นเอง มันเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น โต้เถียงกลับไปไม่ได้
จริงๆ ในใจก็คิดว่าจะพลิกสถานการณ์นี้อย่างไรดี
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 72 ฟ้องร้อง

หยางหนิงจ้องไปที่โต้วเหลียนจงนิ่งๆ โต้วเหลียนจง
รู้สึกร้อนใจจนอยู่ไม่นิ่ง พูดเพียงว่า “ในเมื่อข้าทาแตก
จะให้ข้าชดใช้เงินให้พวกเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่า…!”
เขาพูดอย่างระมัดระวังว่า : “ม้าหยกตัวนี้มันมีราคา
เท่าไหร่กันแน่ ซื่อจื่อท่านมีราคาในใจหรือไม่?”
“เงินรึ?” หยางหนิงยิ้มอย่างหยิ่งยโสแล้วพูดว่า
“คุณชายโต้ว เจ้าคิดว่าจวนโหวของข้าขาดแคลนเงิน
อย่างนั้นหรือ?”
โต้วเหลียนจงสีหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ หาก
ท่านจะพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด แล้วจะท่านจะ
ให้ข้าชดใช้อย่างไร เจ้าก็พูดมา ไม่ต้องอ้อมค้อม” เขา
หัวเราะแล้วพูดต่อว่า “พูดตามตรง เจ้าพูดยกยอของ
ของเจ้าที่นี่ ม้าหยกหลิวหลีตัวเดียวกลายมาเป็นมรดก
ตกทอดของตระกูลเจ้า จริงหรือไม่ ใครจะไปรู้?”
“คุณชายคิดจะบ่ายเบี่ยงอย่างนั้นรึ?” หยางหนิง
หัวเราะ “น่าเสียดายที่วิธีนี้ใช้กับจวนจิ่นอีโหวไม่ได้”
โต่วเหลียนจงพูดว่า “จริงๆ แล้วเราไม่ต้องมาถกเถียง
กันตรงนี้ก็ได้ ข้าโต้วเหลียนจงเป็นผู้มีเหตุผล ในเมื่อ
เจ้าบอกว่าม้าหลิวหลีเป็นของวิเศษ เราก็แค่หาคนที่รู้
และเชี่ยวชาญของโบราณ มาดูว่ามันจริงหรือไม่”
“ตามที่เจ้าพูดมา แม้แต่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หลังจาก
ตายแล้ว เห็นแค่ศพ ก็สามารถรู้ได้เลยว่าเขา
เชี่ยวชาญสิ่งใดบ้างอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงพูดนิ่งๆ
ว่า “ม้าหยกหลิวหลีสมบูรณ์ไม่มีแตกหัก เป็นของ
วิเศษ แต่หากท่านทามันแตกไปแล้ว จะไปเห็นอะไร
ได้?”
สีหน้าของโต้วเหลียนจงดูแย่นัก จ้าวซิ่นที่อยู่ข้างๆ
ก็เดินเข้ามาใกล้ๆ เขา แล้วกระซิบอะไรสักอย่างข้างหู
โต้วเหลียนจง โต้วเหลียนจงรีบพูดขึ้นมาว่า “หากเป็น
มรดกตกทอดของตระกูลเจ้าจริง ข้าจะชดใช้อย่าง
แน่นอน แต่หากว่าเจ้าโกหกข้า ข้าก็จะไม่ให้ใครมา
เอาเปรียบข้าแน่” เขาเหลือบไปที่เศษม้าหยกหลิวหลี
ที่แตกแล้วพูดว่า “เจ้ากับข้าเถียงกันต่อไปก็ไม่มี
ประโยชน์อันใด พวกเราต้องแยกแยะให้ออกว่าสิ่งใด
เป็นสิ่งใด ตอนนี้เราก็ไปที่ศาลาว่าการได้เลย”
“ศาลาว่าการอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“คุณชายโต้วอยากจะไปพบเจ้าหน้าที่ทางการอย่าง
นั้นรึ?”
โต่วเหลียนจงพูดว่า “ถูกต้อง จะต้องไปพบเจ้าหน้าที่
ทางการ”
“ดี” หยางหนิงไม่ลังเล “ต่อให้ต้องไปถึงตาหนัก
จิ่นหลวน ท่านทามรดกตกทอดของบ้านข้าแตก ยังไง
ท่านก็หนีไม่พ้น ข้าจะไปที่ศาลาว่าการกับเจ้าเดี๋ยวนี้”
โต้วเหลียนจงรู้ดีว่าหากเรื่องนี้ยังอยู่ที่จวนจิ่นอีโหว
คงจบไม่สวยแน่ จึงเสนอให้ไปที่ศาลาว่าการ คิดว่า
น่าจะมีทางไกล่เกลี่ยได้
จ้าวซิ่นยืนอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “แล้ว
เรื่องใบรับจานาของข้าเล่า...?”
“เจ้าจะรีบร้อนไปทาไมกัน?” หยางหนิงก็ไม่ได้พูดดี
ด้วย “มรดกตกทอดของตระกูลข้าชิ้นนี้ อย่าว่าแต่เงิน
จานวนนี้ของเจ้าเลย ต่อให้อีกสิบเท่าก็เทียบไม่ได้
แม้แต่น้อย ข้าไม่ค้างเงินเจ้าอย่างแน่นอน”
โต้วเหลียนจงคิดในใจว่า เจ้าเด็กนี่โหดจริงๆ ม้า
กะโหลกกะลา เพียงตัวเดียวจะเรียกร้องค่าเสียหาย
ใหญ่โต ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องพูด
กันให้ชัดที่ศาลาว่าการเลย
ศาลาว่าการเมืองหลวงใครๆ ก็รู้ว่า เป็นสถานที่
ราชการของเมืองหลวง คดีน้อยใหญ่ในเมืองหลวง
แห่งนี้ ไม่ว่าจะเกิดข้อพิพาทใดก็ตาม จะถูกส่งเรื่องไป
ยังศาลาว่าการ โดยศาลาว่าการยังดูแลความสงบของ
เมืองหลวงอีกด้วย
ศาลาว่าการเมืองหลวงอยู่ภายใต้กรมอาญา ดังนั้น
ผู้ว่าการเมืองหลวงก็ถือว่าเป็นขุนนางที่กรมอาญา
คัดเลือกมา
เมื่อโต้วเหลียนจงกับหยางหนิงมาถึงศาลาว่าการ ยัง
ไม่ทันได้กินข้าวกลางวันสักคา ทั้งสองมีสถานะพิเศษ
เมื่อรู้ว่าคุณชายของทั้งสองตระกูลมาฟ้องร้องกันถึง
ศาลาว่าการ เจ้าหน้าที่ก็รีบเข้าไปรายงาน
ถึงแม้ศาลาว่าการจะมีคดีให้จัดการต่อเดือนไม่น้อย
แต่คดีของวันนี้นั้น พบได้น้อยมาก
ในเมืองหลวงมีเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงมากมาย ขุนนาง
ชั้นผู้ใหญ่ก็มีมากยิ่งนัก ดังนั้นลูกหลานของพวกเขาก็
มีเท่ากองภูเขา การพาพวกปะทะกันเป็นเรื่องที่
หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้เกิดเรื่องกระทบกระทั่ง ก็
จัดการกันส่วนตัว น้อยมากที่จะมาฟ้องร้องที่ศาลา
ว่าการ
หากว่าฉีจิ่งยังอยู่ ต่อให้โต้วเหลียนจงมีความกล้ามาก
สักเพียงใด ก็ไม่กล้าหาเรื่องจวนจิ่นอีโหว ยิ่งไม่ต้อง
พูดถึงว่าจิ่นอีโหวซื่อจื่อจะมายังศาลาว่าการเลย
แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ฉีจิ่งได้ตาย
ไปแล้ว โต้วเหลียนจงสงสัยว่าหยางหนิงกาลังขุด
หลุมพรางตัวเอง จึงมาฟ้องร้องที่ศาลาว่าการ ตอนที่
ออกมาจากจวนจิ่นอีโหว ก็แอบกระซิบกับจ้าวซิ่น
บางอย่าง หลังจ้าวซิ่นออกจากจวนก็แยกออกไป เขา
ไม่ได้ตามโต้วเหลียนจงไปที่ศาลาว่าการ
ไม่นานนัก ทั้งสองก็ได้รับเชิญให้เข้าไปด้านในศาลาว่า
การ จ้าวอู๋ซางกับองครักษ์ที่ติดตามหยางหนิง ก็ไม่
สามารถตามเข้าไปด้านในได้ แต่ว่าหยางหนิงบอกว่า
จ้าวอู๋ซางเป็นพยาน ถึงแม้ตอนนี้จวนจิ่นอีโหวจะไม่
เหมือนเดิมแล้ว แต่ว่าก็ยังคงมีอานาจยิ่งนัก ศาลาว่า
การเองก็ไม่อยากมีปัญหา จึงปล่อยให้ทางจ้าวอู๋ซาง
เข้ามาได้
เจ้าหน้าที่ไม่ได้พาทั้งสามไปที่ศาล แต่พาพวกเขาไป
ยังห้องโถงรับรอง หลังจากเข้าไปนั่งแล้ว
โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง อย่างไรเสียเจ้าก็
เป็นถึงผู้สืบทอดตาแหน่งจิ่นอีโหว ท่านจิ่นอีโหวทั้ง
สองเป็นคนตรงไปตรงมาไม่มีหมกเม็ด คิดไม่ถึงว่าเจ้า
จะใช้วิธีสกปรกทาเรื่องเช่นนี้ ชื่อเสียงของจิ่นอีโหว
คงจะต้องถูกเจ้าทาลายจนหมดสิ้น”
“ข้อแรก นิสัยของเจ้า โต้วเหลียนจง เจ้าก็ไม่ได้
ตรงไปตรงมา ดังนั้นเจ้าไม่มีสิทธิมาตัดสินคนอื่น”
ทั้งสองคนแตกหักกันแล้ว หยางหนิงก็ไม้ได้เกรงใจ
“ข้อสอง ทามรดกตกทอดของตระกูลจวนจิ่นอีโหว
แตก เจ้าไม่เพียงไม่สานึก ยังคิดจะให้ร้ายข้าอีก คิดจะ
หนีความรับผิดชอบไปอีก แค่เรื่องนี้ ก็รู้แล้วว่าคน
อย่างเจ้าเป็นอย่างไร”
“พวกเราไม่จาเป็นต้องเถียงกัน” โต้วเหลียนจงยิ้ม
แล้วพูดว่า “เกรงว่าเจ้าคงยังไม่รู้ว่าท่านผู้ว่าการเป็น
คนอย่างไร”
หยางหนิงหันไปมองจ้าวอู๋ซางที่ยืนอยู่ข้างๆ จ้าวอู๋ซาง
พูดว่า “ใต้เท้าจินโม่เป็นผู้ว่าการของที่นี่แล้วก็ยังเป็น
เจ้าหน้าที่ขุนนางขั้นสามของกรมอาญา เป็นคนเที่ยง
ธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น ตรงไปตรงมา ตัดสิน
คดีความดุจเทพ ดังนั้นจึงมีฉายาว่า ‘ผู้พิพากษาโม่
ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม’!”
เขาเป็นคนที่พูดจาใช้คาง่ายๆ พูดแค่สองสามคาก็
สามารถอธิบายลักษณะของท่านผู้ว่าการออกมาได้
อย่างชัดเจน
โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่า “รู้ก็ดีแล้ว ตอนที่ใต้เท้า
ม่อทางานที่กรมอาญา ก็มีชื่อเสียงด้านนี้อยู่แล้ว ตอน
ที่เขาเข้ามาทางานที่กรมอาญาอายุเพิ่งจะยี่สิบ หลาย
ปีมานี้ คดีที่เขารับผิดชอบ เขาก็จัดการได้อย่างชัดเจน
ฉีหนิง ม้าหยกหลิวหลีของเจ้ามันของชั้นล่างไร้ราคา
ยังกล้าเอามาบอกว่าเป็นมรดกตกทอดของตระกูลอีก
ใต้เท้าหม้อจะต้องให้ความเป็นธรรมอย่างแน่นอน”
เมื่อสิ้นเสียงเขา ก็ได้ยินเสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ขึ้นศาล!”
หลังจากนั้นก็เห็นเจ้าหน้าที่สี่นายวิ่งออกมา หลังจาก
เข้ามาแล้ว ก็แยกซ้ายขวากันไป หลังจากนั้นก็ได้ยิน
เจ้าหน้าที่ทั้งสี่นายตะโกนขึ้นมาพร้อมกันว่า “เชิญ
ผู้พิพากษา!” จากนั้นก็เคาะไม้พองในมือดัง “ตึง ตึง”
ถึงแม้คนจะไม่มากนัก แต่ก็มีความดุดัน
จากนั้นก็เห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา สวมชุดขุนนางสีดา
อายุราวสี่สิบ ผิวหน้าขาวกว่าปกติ ไม่มีเลือดฝาด
สีหน้าซีดเซียว ตาโต คิ้วหนา สีหน้าจริงจัง มันเป็น
ความองอาจแบบที่ไม่ได้มีความโกรธ
หยางหนิงรู้ว่าท่านผู้นี้น่าจะท่านใต้เท้าโม่ ด้านหลัง
ใต้เท้าโม่ มีท่านราชเลขาตามมาด้วย
หลังจากที่ผู้ว่าการโม่เข้ามา ก็ไม่ได้มองไปด้านใด
ด้านหนึ่ง ไม่มองหยางหนิงหรือโต้วเหลียนจงเลย เดิน
ตรงไปนั่งตรงกลาง ท่านราชเลขาเองก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ
ด้านข้าง จัดแจงทั้งน้าหมึกกระดาษพร้อม เขาหยิบ
พู่กันขึ้นมา เตรียมพร้อมแต่ไม่พูดสิ่งใด
ผู้ว่าการโม่กระแอม แล้วมองซ้ายขวา หยางหนิงกับ
โต้วเหลียนจงก็ลุกขึ้นมา แล้วคานับให้กับท่านผู้ว่าการ
โต้วเหลียนจงกาลังจะพูด ท่านผู้ว่าโม้ก็พูดขึ้นมาว่า
“จริงๆ ต้องไปที่ห้องโถงใหญ่ของศาล แต่ว่าเห็นแก่
หน้าตาของตระกูลพวกท่าน จึงให้มาขึ้นศาลกันที่นี่
ก่อนที่ข้าจะสอบสวนคดี ขอถามก่อน พวกท่านแน่ใจ
ที่จะฟ้องร้องกันแล้วรึ? หากเกิดเปลี่ยนใจ ข้าสามารถ
หยุดการใต่สวนได้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นคดีนี้จะถูก
บันทึกถ้อยคาเอาไว้” แล้วชี้ไปที่ท่านราชเลขา “ท่าน
ราชเลขาจะทาการจดบันทึกทุกถ้อยทุกคาของพวก
ท่านเอาไว้ทั้งหมด”
โต้วเหลียนจงเหลือบไปมองหยางหนิง ยิ้มแห้งๆ แต่มี
ความหวาดกลัวท่านผู้ว่าการโม่อยู่ เขายกมือคานับขึ้น
มาแล้วพูดว่า “เรียนใต้เท้า จิ่นอีโหวซื่อจื่อฉีหนิง
วางแผนหลอกลวงข้าน้อย ข้าน้อย...!”
ท่านผู้ว่าการหม้อยกมือขึ้นมา “ไม่จาเป็นต้องแทน
ตัวเองว่าข้าน้อยหรอก ที่นี่ไม่มีข้านงข้าน้อยอะไร
ทั้งนั้น เจ้าแจ้งชื่อของเจ้ามา” แล้วพูดว่า “ก่อนที่ข้า
จะมีคาตัดสินอะไรไป จะไม่มีการตัดสินว่าใครเป็น
คนผิดทั้งนั้น เจ้าบอกว่าฉีหนิงวางแผนหลอกลวงเจ้า
เจ้าเองก็จะต้องเอาหลักฐานออกมา หากมีเพียงแค่
คาพูด ข้าจะตัดสินให้พวกเจ้าได้อย่างไร”
โต้วเหลียนจงตกใจ แล้วก็รู้สึกเขินอาย “ข้า...
โต้วเหลียนจงรับทราบขอรับ!”
ท่านผู้ว่าการโม้พยักหน้า แล้วหันไปพูดกับหยางหนิง
ว่า “ฉีหนิง พวกเจ้าสองคนมาฟ้องร้อง ผู้ใดคือ
จาเลย?”
ทั้งสองชี้ไปที่อีกฝ่ายพร้อมกัน “ข้าจะฟ้องเขา!”
ท่านผู้ว่าโม้ขมวดคิ้ว พูดเสียงขึงขังว่า “พวกเจ้าเล่น
อะไรกัน?” ชี้ไปที่โต้วเหลียนจง “เล่าเรื่องทั้งหมดมา
ฉีหนิง ก่อนเขาจะพูดจบ เจ้าห้ามพูดแทรก!”
โต้วเหลียนจงก็เล่าตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง จากนั้นก็พูดว่า
“ใต้เท้าโม้ ฉีหนิงคิดมาแล้วอย่างดี เขาวางแผนเอาไว้
หมดแล้ว ม้าหยกหลิวหลีตัวหนึ่งที่ไม่มีราคา แต่เขา
กลับบอกว่าเป็นมรดกตกทอดของตระกูล ยังบอกอีก
ว่าทานายความเป็นความตายได้ มันเหลวไหลสิ้นดี”
ผู้ว่าการโม่พูดเรียบๆ ว่า “เจ้าพูดจบแล้วใช่หรือไม่?”
โต้วเหลียนจงคิดจะพูดเสริมอีก แต่ว่าเห็นผู้ว่าการโม่
สีหน้าเคร่งขรึม ก็พยักหน้า ผู้ว่าการโม่หันไปมอง
ฉีหนิง แล้วถามว่า “ที่โต้วเหลียนจงพูดมานั้นจริง
หรือไม่?”
“เรียนใต้เท้า เรื่องที่เขาเล่าก่อนหน้านี้ไม่ผิด”
หยางหนิงพูดต่อว่า “เมื่อคืนนี้โรงรับจานาของข้าถูก
ไฟไหม้ โต้วเหลียนจงพาคนมาที่สถานที่เกิดเหตุ แล้ว
รีบร้อนจะไถ่ของออกไป เช้าวันนี้เขาก็มาที่จวนโหว
คิดจะมารับเงินค่าเสียหาย จริงๆ แล้วข้าให้พวกเขา
รอที่ห้องโถงด้านหน้า แต่ว่าโต้วเหลียนจงกลับมาหา
ข้าเอง อีกทั้งยังร้องขอดูมรดกตกทอดของตระกูล
เพื่อดูความวิเศษของมัน จากนั้นเขาก็ยกมันออกจาก
ประตูไป แต่เขาไม่ระวัง สะดุดล้มทาให้ม้าหยก
หลิวหลีตกแตก นั่นคือสมบัติมรดกตกทอดของ
ตระกูลจิ่นอีโหว ถูกเขาทาแตกเช่นนี้ เขาไม่เพียง
ไม่สานึก กลับใส่ร้ายข้าว่าวางแผนหลอกลวงเขา...!”
ยิ้มด้วยความขมขื่นแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้จะต้องทา
อย่างไร ขอใต้เท้าโม่ให้ความเป็นธรรมด้วย”
โต้วเหลียนจงยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “เจ้ายังเสแสร้งอีก
รึ? สายตาของใต้เท้าหม้อเฉียบแหลม จริงเท็จเป็น
อย่างไหร เดี๋ยวก็รู้กัน”
“เมื่อคืนไฟไหม้ ข้ารู้แล้ว” ผู้ว่าการโม่พูดว่า “คนของ
จวนเจ้าส่งคนมาแจ้ง ข้าเองก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบ
เรื่องนี้แล้ว” จากนั้นก็ลูบเคราเบาๆ “ฉีหนิง มรดก
ตกทอดของตระกูลชิ้นนั้น เจ้านามาด้วยหรือไม่?”
“นามาด้วยขอรับ” หยางหนิงมองไปที่จ้าวอู๋ซาง
จ้าวอู๋ซางหยิบห่อผ้าออกมา แล้วยื่นไปให้ เมื่อเปิด
ออก ด้านในมันคือเศษม้าหยกหลิวหลี
ใต้เท้าโม่หยิบมันขึ้นดูชิ้นหนึ่ง มองแล้วพูดว่า “หยก
หลิวหลีนี่หยาบยิ่งนัก ดูจากวัสดุ ก็น่าจะไม่ได้มีราคา
ค่างวดอะไรมากนัก”
สีหน้าของโต้วเหลียนจงก็ยิ้มออกมา มองไปที่
หยางหนิงด้วยความสะใจ
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 73 ใบค้างจ่าย
หยางหนิงไม่รีบร้อนพูดสิ่งใด โต้วเหลียนจงกลับยิ้ม
แล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่สายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก มอง
เดี๋ยวเดียวก็ทราบว่าของจริงหรือของปลอม” เขาจ้อง
ไปที่หยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดอีก
หรือไม่?”
“จะให้ข้าพูดสิ่งใด?” หยางหนิงตอบอย่างนิ่งๆ
“ใต้เท้าโม่ท่านตัดสินแล้วหรืออย่างไร?”
“เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร ใต้เท้าโม่บอกว่ามันทามัน
ทาจากหยกหลิวหลีหยาบ” โต้วเหลียนจงยืดอก “พูด
ถึงเพียงนี้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะยังให้ตัดสินสิ่งใดอีก”
“ใต้เท้าโม่เพียงแต่บอกว่าหากมองจากคุณภาพ
ภายนอก มันดูเป็นของไม่มีราคาค่างวดเท่าไหร่นัก”
หยางหนิงยังคงนิ่ง “แต่ไม่ได้บอกว่าม้าหลิวหลีตัวนี้
มิใช่ของวิเศษแต่อย่างใด ในเมื่อเจ้ารู้จักของโบราณ
มากมายเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ
กระดาษและหมึกที่ใช้เขียนตัวอักษรที่ดูจะแสน
ธรรมดาแต่เมื่อเขียนมันออกมาแล้ว กลับมีมูลค่าเกิน
กว่าเราจะประเมินได้ ของล้าค่าที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่
กับวัสดุที่นามาทาหรอกนะ”
โต้วเหลียนจงยังคิดจะแก้ต่าง ผู้ว่าโม่ก็ยิ้ม แล้วพูดว่า
“ฉีหนิงเจ้าพูดถูกแล้ว มองแค่ภายนอก มันดูไม่ใช่ของ
มีค่าอะไรมากนัก แต่ข้าไม่ได้บอกว่าม้าหลิวหลีตัวนี้
ไม่ใช่ของล้าค่า”
โต้วเหลียนจงอึ้งไปครู่ใหญ่ รู้สึกงุนงงไม่น้อย
“ฉีหนิง เจ้าบอกว่านี่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลเจ้า
อย่างนั้นหรือ?” ผู้ว่าโม่ถาม “มันหมายความว่า
อย่างไร?”
“เรียนใต้เท้า ม้าหลิวหลีตัวนี้เป็นของที่อดีตฮ่องเต้
พระราชทานให้กับท่านปู่ ภายในมีหกดาวใต้กับ
เจ็ดดาวเหนือ สามารถทานายความเป็นความตายได้”
หยางหนิงพูดต่อไปว่า “หากม้าหลิวหลีตัวนี้ยังคง
สภาพเดิม พอในยามกลางคืนยังสามารถส่องแสง
ออกมาได้”
ผู้ว่าโม่ตะลึงอึ้งไปครู่ใหญ่ “นี่เป็นของที่อดีตฮ่องเต้
พระราชทานอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้องขอรับ” หยางหนิงพูดต่อว่า “มันถูกเก็บไว้ใน
จวนจิ่นอีโหวของข้าน้อยมานานกว่าสิบปี วันนี้เพิ่งจะ
หยิบออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูก...!” แล้วจ้องไปที่
โต้วเหลียนจง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “โต้วเหลียน
จงกลับมาทาลายมรดกตกทอดของตระกูลข้าน้อย
อีกทั้งยังหาข้ออ้างเพื่อไม่รับผิดชอบอีก ขอใต้เท้าให้
ความเป็นธรรมด้วยขอรับ”
ผู้ว่าโม้พยักหน้าเบาๆ โต้วเหลียนจงเห็นดังนั้น จึงรีบ
พูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าโม่ เขาบอกว่าสิ่งนี้เป็นของที่อดีต
ฮ่องเต้ประทานให้ก็ต้องเป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? ผู้ใด
จะรู้ว่าเขาอาจจะเอาอดีตฮ่องเต้มาแอบอ้างหรือไม่
อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว คนตายไม่อาจ...!”
“หุบปาก!” ผู้ว่าโม่ตะคอก “โต้วเหลียนจง เจ้าบังอาจ
ยิ่งนัก เจ้ากล้าดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะมี
โทษสถานใด?”
โต้วเหลียนจงร้อนรนไปชั่วขณะ เมื่อถูกผู้ว่าโม่ต่อว่า
ถึงได้สติ จากนั้นก็พูดด้วยความตื่นตระหนกว่า
“ใต้เท้าโม่ ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น
ขอรับ”
“เจ้ารู้หรือไม่ เพียงคาพูดของเจ้าเมื่อครู่ที่เจ้าเอ่ย
ออกมา ข้าสามารถสั่งลงโทษเจ้าสถานหนักได้” ผู้ว่า
โม่สายตาดุดัน “ที่นี่คือจวนผู้ว่าการเมืองหลวง เจ้า
กล้าดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้ต่อหน้าข้า เจ้ามีเจตนาใดกัน
แน่?”
ใบหน้าของโต้วเหลียนจงแดงก่าขึ้นมา “ใต้เท้าหม้อ
ข้าไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้แต่อย่างใด ข้าเพียง
แค่อยากจะบอกว่า...แค่อยากจะบอกว่าหากเป็นของ
ที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้จริง ก็น่าจะมีบันทึกในสมุด
ม้าหลิวหลีตัวนี้ใช่ของที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้หรือไม่
เราตรวจสอบในบันทึกเพียงเท่านี้เราก็สามารถรู้ได้
แล้วขอรับ”
ในตอนนี้เองเลขาของผู้ว่าโม้ก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วหัน
ไปถามผู้ว่าโม่ว่า “ใต้เท้า คาพูดเมื่อครู่นี้ท่านจะให้
...?”
โต้วเหลียนจงได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าโม่ ใต้เท้าโม่ ข้าน้อย...!”
ในใจของเขารู้ดีว่า หากคาพูดของเขาเมื่อครู่นี้ถูก
บันทึกลงในคาให้การ ผลที่ตามมาแทบจะไม่อยากคิด
ปกติเขาอาศัยอานาจที่เขามีคอยรังแกคนอื่น วันนี้มา
อยู่ที่จวนผู้ว่าการเมืองหลวง จริงๆ แล้วก็ระวังคาพูด
แต่เมื่อครู่เห็นผู้ว่าโม่มีท่าทีเปลี่ยนไปเพราะคาว่า
“อดีตฮ่องเต้ประทานให้” จึงกลัวว่าผู้ว่าการโม่จะ
เข้าข้างหยางหนิง ด้วยความร้อนใจ จึงพูดสิ่งที่ไม่ควร
พูดออกไป ทาให้ทาผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงนัก
ในใจของเขายังคงโกรธยิ่งนัก หยางหนิงหันไปพูดกับ
ใต้เท้าโม่ด้วยความเคารพว่า “ใต้เท้า ตอนนี้อยู่ใน
ระหว่างการพิจารณาคดี ควรต้องบันทึกคาให้การ
ทุกคาพูดหรือไม่?”
“เจ้าไม่ต้องเตือนข้า” ผู้ว่าการโม่พูดอย่างเรียบเฉย
แล้วหันไปพูดกับเลขาว่า “เจ้าเป็นเลขาบันทึกคาให้
การมากี่ปีแล้ว กฎเพียงเท่านี้เจ้าก็ไม่รู้หรือ? ยังต้อง
มาถามข้าอีกรึ?”
เลขารีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าน้อยสับสนไปชั่วขณะขอรับ”
เขาไม่พูดอะไรต่อ หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนลงไป
สีหน้าของโต้วเหลียนจงเหมือนตายทั้งเป็น เหงื่อไหล
ออกมาจากหน้าผากซิบๆ ในใจรู้ดีว่าวันนี้เขาทาผิด
อย่างใหญ่หลวง เรื่องนี้จริงๆ เป็นแค่เรื่องเล็ก จะว่า
ใหญ่มันก็ไม่ได้ใหญ่ถึงเพียงนั้น
หากเป็นผู้อื่น เขาคงให้พ่อของตนไปจัดการแล้ว
แก้ไขแบบบันทึกมันเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว แต่เขาคือ
ผู้ว่าการโม่ “ท่านโม่ผู้ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม” ยิ่งไป
กว่านั้น คนที่ได้ยินคาที่เขาพูดยังเป็นหยางหนิงอีก
ต่างหาก
“ที่โต้วเหลียนจงพูดมานั้นก็มีเหตุมีผล” ผู้ว่าการโม่
พูดว่า “สิ่งของที่โอรสสวรรค์ประทานให้ ราชสานัก
ต้องมีการบันทึกเอาไว้ในคลังสมบัติหลวง ของใน
พระราชสานักมีการจดบันทึกเอาไว้ทุกชิ้น หากแต่ว่า
มีการดึงมาจากกรมพระคลัง กรมพระคลังก็จะต้องมี
บันทึกเอาไว้ด้วย” แล้วพูดต่อว่า “พ่อของโต้วเหลียน
จงเป็นราชเลขากรมพระคลัง หากว่าม้าหลิวหลีตัวนี้
เป็นของที่ออกมาจากกรมพระคลังแล้วล่ะก็ สามารถ
ไปตรวจสอบที่กรมพระคลังได้ มิเช่นนั้นก็สามารถไป
ตรวจสอบที่คลังสมบัติหลวงในวังหลวงได้”
โต้วเหลียนจงรีบพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้วขอรับ หากเป็น
เช่นนั้น ใต้เท้าโม่ ข้าได้ส่งคนไปที่กรมพระคลัง เพื่อ
ตรวจสอบบันทึกของม้าหลิวหลีแล้วขอรับ”
หยางหนิงถึงได้เข้าใจว่า ก่อนหน้านี้ที่จ้าวซิ่นแยกตัว
ออกไปนั้น โต้วเหลียนจงก็น่าจะส่งเขาไปที่กรม
พระคลัง
ผู้ว่าการโม่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โต้วเหลียนจง เจ้า
เหมือนจะไม่มีตาแหน่งขุนนาง”
โต้วเหลียนจงตะลึงไป ไม่เข้าใจความหมาย
“เจ้าไม่ได้เป็นขุนนางราชสานัก เหตุใดถึงได้มีสิทธิ
ส่งคนไปตรวจสอบบันทึกที่กรมพระคลังได้เล่า?” ผู้ว่า
การโม่พูดอย่างเรียบเฉย “ถึงแม้พ่อของเจ้าจะเป็น
ราชเลขากรมพระคลัง ต่อให้เป็นตัวของเจ้าเอง ก็ต้อง
ยื่นขอตามขั้นตอนกฎระเบียบ ไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้า
ถึงได้ส่งคนไปตรวจสอบบันทึกได้ง่ายดายเช่นนี้กัน?
คดีนี้ หากจะให้ตรวจสอบบันทึก ก็น่าจะเป็นจวนผู้ว่า
การของข้าเป็นคนออกหน้ายื่นขอ ทาเรื่องไปยังกรม
พระคลังหรือไม่ก็คลังสมบัติหลวงเพื่อขอตรวจสอบ
เจ้าเหมือนจะรีบร้อนเกินกระมัง?”
โต้วเหลียนจงเหมือนจะรู้สึกตัวได้ว่าเขาทาผิดพลาด
เป็นครั้งที่สองเสียแล้ว
โต้วขุยเป็นราชเลขานั้นไม่ผิด แต่โต้วเหลียนจงมิได้
เป็นขุนนาง ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของกรม
พระคลังได้ แต่เขากลับส่งคนไปตรวจสอบบันทึกของ
กรมพระคลัง นั่นหมายความว่าเขาอาศัยอานาจของ
ครอบครัวเขาจัดการเรื่องของตัวเอง หากเรื่องนี้แพร่
สะพัดออกไป หากศัตรูทางการเมืองของเขารู้เข้า
อาจจะใช้เรื่องนี้ในการโจมตีโต้วขุยก็เป็นได้
โต้วเหลียนจงหน้าสั่นไปหมด
เลขาผู้ว่าการบันทึกทุกถ้อยคาโดยไม่มีขาดตก
บกพร่องเลยแม้แต่คาเดียว
หยางหนิงคิดว่าผู้ว่าการโม่เป็นผู้ที่ตัดสินอย่างเที่ยง
ธรรม ไม่ไว้หน้าผู้ใดจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ก็ดี
โต้วเหลียนจงยังไม่ทันได้เข้าประเด็นเรื่องมรดก
สืบทอดของตระกูล ก็พลาดพูดผิดไปตั้งหลายหน ผู้ว่า
การโม่จึงจับผิดได้ถึงสองครั้ง อีกทั้งสองครั้งที่ถูก
จับผิดได้นั้นหากทาให้เป็นเรื่องใหญ่ มันจะกลายเป็น
คดีใหญ่ทันที
โต้วเหลียนจงคิดจะแก้ตัวอีก แต่จ้าวอู๋ซางจึงพูดขึ้นมา
ว่า “ข้าน้อยจ้าวอู๋ซาง มีเรื่องอยากจะเรียนท่าน
ใต้เท้า!”
ผู้ว่าการโม่พูดว่า “เจ้าจะพูดสิ่งใดเล่า?”
“มรดกสืบทอดของตระกูลที่แตกไป เป็นของที่อดีต
ฮ่องเต้ประทานให้กับท่านเหล่าโหว” จ้าวอู๋ซางค่อยๆ
พูดต่อไปว่า “ท่านผู้ว่าการโม่ ข้าน้อยขอถามสักคา
ชื่อของจิ่นอีโหวมีที่มาอย่างไร ท่านพอจะทราบ
หรือไม่?”
ผู้ว่าการโม้ตอบว่า “ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ยกทัพปราบ
กบฏ ท่านจิ่นอีเหล่าโหวติดตามอดีตฮ่องเต้ไปด้วย
เมื่อสามารถการาบกบฏที่สิงหนานได้ การศึกได้หยุด
ลงชั่วคราว ในตอนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่าง
ขาดแคลน แนวหน้าขาดเสื้อผ้าอาหารอย่างหนัก
ลากยาวถึงหน้าหนาว ปีนั้นอากาศหนาวยิ่งนัก ทหาร
ไม่น้อยต้องหนาวตาย อดีตฮ่องเต้ทรงร่วมรบเคียงบ่า
เคียงไหล่กับเหล่าทหาร ได้ยินว่าในตอนนั้นอดีต
ฮ่องเต้เองก็ทรงสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ จนทรง
ประชวร” เขาหยุดไปครู่ แล้วพูดต่อว่า “ในตอนนั้น
ท่านเหล่าโหวได้ถอดเสื้อของท่านทั้งหมดให้อดีต
ฮ่องเต้ทรงสวมใส่ แล้วตนก็ขึ้นเขาไปเพื่อไปหา
สมุนไพรมารักษาพระอาการ จนทาให้อดีตฮ่องเต้ทรง
หายจากอาการประชวรในครั้งนั้น ส่วนท่านจิ่นอี
เหล่าโหวก็เกือบเอาชีวติ ไม่รอดเพราะความหนาว”
“เป็นเช่นนั้น” จ้าวอู๋ซางพูดต่อว่า “ด้วยพระมหา
กรุณาธิคุณ ต่อมาได้ทรงแต่งตั้งให้ท่านเหล่าโหวเป็น
จิ่นอีโหว เนื่องด้วยทรงระลึกถึงมิตรภาพระหว่างกัน”
ผู้ว่าการโม่ยกมือขึ้นมาคานับแล้วพูดว่า “ท่านเหล่า
โหวจงรักภักดี ถือเป็นแบบอย่างของขุนนางอย่าง
พวกข้า”
“หากเป็นเช่นนั้นใต้เท้าโม่ก็น่าจะทราบดีว่า ในสมัย
นั้นอดีตฮ่องเต้ยกทัพลงใต้ บุกชิงดินแดนได้มากมาย”
จ้าวอู๋ซางพูดอย่างเรียบง่ายว่า “พระองค์ก็ได้สมบัติ
ของมีค่าต่างๆ กลับมาไม่น้อย อดีตฮ่องเต้ได้ทรงนา
ของมีค่าเหล่านั้นมาแจกจ่ายให้กับผู้ที่อยู่ใต้บังคับ
บัญชา ไม่เพียงแค่ท่านจิ่นอีเหล่าโหว หากแต่
บรรดาศักดิ์โหวทั้งสี่ ก็ได้รับของพระราชทานจาก
อดีตฮ่องเต้เช่นเดียวกัน”
ผู้ว่าโม่พยักหน้า แต่ก็มิได้พูดสิ่งใด
“ของพระราชทานในครั้งนั้น ไม่ได้มีการจดบันทึก
เอาไว้” จ้าวอู๋ซางพูดว่า “ข้าน้อยสามารถยืนยันได้ว่า
หากทางกรมพระคลังหรือคลังสมบัติหลวงตรวจไม่พบ
ของชิ้นนี้ ถ้าอย่างนั้นม้าหลิวหลีที่อดีตฮ่องเต้ทรง
พระราชทานมาให้ตัวนี้ หมายความว่าท่านจิ่นอี
เหล่าโหวได้มาอย่างไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?”
ผู้ว่าการโม้ขมวดคิ้ว แล้วกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่า
ม้าหลิวหลีตัวนี้เป็นของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทาน
ให้กับท่านจิ่นอีเหล่าโหวตอนที่ไปออกรบอย่างนั้น
หรือ?”
“ถูกต้องแล้วใต้เท้า” จ้าวอู๋ซางพูดว่า “ตอนที่
ประทานของชิ้นนี้ อู่เซียงเหล่าโหวก็อยู่ด้วยขอรับ”
โต้วเหลียนจงแทบจะกระอักเลือดออกมา
จิ่นอีเหล่าโหว อู่เซียงเหล่าโหว รวมถึงอดีตฮ่องเต้ต้าฉู่
ทั้งสามคนนี้ตายไปหมดแล้วตั้งหลายปี จะให้ไปขุด
พวกเขามาเป็นพยานจากหลุมหรืออย่างไร?
แต่ในตอนนี้เขาไม่กล้าจะพูดอะไรมาก กลัวว่าตนจะ
ทาผิดซ้าอีก
ผู้ว่าการโม้พูดว่า “ในเมื่อเป็นของที่อดีตฮ่องเต้
ประทานให้ แสดงว่ามันเป็นของที่ไม่สามารถประเมิน
ค่าได้” จากนั้นเขาก็หันไปมองโต้วเหลียนจง แล้วพูด
ด้วยน้าเสียงดุดันว่า “โต้วเหลียนจง ของที่อดีตฮ่องเต้
ทรงประทาน ถูกเจ้าทาแตก เจ้ายังมีสิ่งใดจะพูดอีก
หรือไม่?”
โต้วเหลียนจงอ้าปากค้าง สุดท้ายก็พูดออกมาว่า
“พวกเขา...พวกเขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเป็นของที่
อดีตฮ่องเต้ทรงประทานให้จริง?”
“พระนามของอดีตฮ่องเต้ ผู้ใดจะกล้านามาแอบอ้าง
เล่า?” ผู้ว่าการโม่ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ผู้ใดกล้าแอบ
อ้างพระนามของอดีตฮ่องเต้ ดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้
โทษคือประหารชีวิต”
โต้วเหลียนจงถึงกับเหงื่อไหล ก้มหน้าแล้วพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้น...ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าน้อยทาอย่างไร?”
ในตอนนี้เขากลัวว่าท่านโม่ผู้ตัดสินอย่างเที่ยงธรรมผู้นี้
จะไม่สนใจเรื่องม้าหลิวหลีที่แตก เพราะเขาเอาแต่
จับผิดเรื่องที่เขาพูดไม่เลิก หากเป็นอย่างนั้นจริง มันก็
จะเป็นเรื่องใหญ่กว่าม้าหลิวหลีเสียอีก
“ฉีหนิง ม้าหลิวหลีแตกไปแล้ว ไม่อาจย้อนคืนได้”
ผู้ว่าการหม้อพูดอย่างเรียบๆ “เจ้าคิดจะให้โต้วเหลียน
จงชดใช้ให้เจ้าอย่างไร?”
“เรียนใต้เท้า ม้าหลิวหลีเป็นมรดกตกทอดของตระกูล
จิ่นอีโหว มันไม่ใช่เรื่องสาคัญอะไรมากนัก ที่สาคัญ
ที่สุดคือเป็นของพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ ของ
ชิ้นนี้ประเมินค่าไม่ได้” หยางหนิงพูดอย่างมีมารยาท
ว่า “ข้าเองก็ไม่กล้าจะเรียกร้องเงินทองเป็นค่าชดเชย
เพราะมันจะเป็นการดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้ ตอนนี้ท่านย่า
ยังไม่ทราบเรื่อง ต้องไปแจ้งท่านย่าเสียก่อน ถึงจะ
ทราบได้ว่าต้องชดใช้เท่าไหร่ ข้าคิดว่าจะให้
โต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้เอาไว้ก่อน ขอใต้เท้า
พิจารณาด้วย!”
“ใบค้างหนี้อย่างนั้นรึ?”
“ใช่แล้วขอรับ” หยางหนิงพูดว่า “ให้โต้วเหลียนจง
เขียนยอมรับว่าได้ทาสมบัติมรดกตกทอดประจา
ตระกูลของข้าแตก ขอแค่ให้ใต้เท้าโม่ตรวจสอบ
รองรับและเป็นพยานให้ เรื่องนี้ก็จะคุยกันได้ง่าย
หน่อยขอรับ”
ผู้ว่าการโม่คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โต้วเหลียนจง
ฉีหนิงจะให้เจ้าเขียนใบค้างหนี้ เจ้ามีความเห็นว่า
อย่างไร?” สีหน้าของเขานิ่งไป สายตาจ้องไปที่
โต้วเหลียนจง
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 74 หน้าหินไร้ความรู้สึก
โต้วเหลียนจงพูดว่า “ใต้เท้าโม่จะให้ข้าเขียนใบค้าง
หนี้ ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้วขอรับ”
“ช้าก่อน!” ผู้ว่าการโม่ยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ใบค้าง
หนี้ ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าเขียน ส่วนเรื่องค่าชดใช้ เจ้าทา
มรดกตกทอดของจวนจิ่นอีโหวแตกเสียหาย ตามหลัก
แล้วเจ้าก็จะต้องมีคาตอบให้กับเขามิใช่หรือ ใบค้าง
หนี้จะเขียนไม่เขียน มันไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่เจ้า หาก
เจ้าเขียน เรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้ ต่อไปก็เป็นเรื่องของ
เจ้ากับจวนจิ่นอีโหวที่ต้องไปตกลงกันว่าจะจ่าย
ค่าชดเชยเท่าไหร่ หากเจ้าไม่เขียน ก็ไม่เป็นไร ข้าก็จะ
เอาคาให้การนี้ส่งไปให้ที่กรมอาญา ให้ทางกรมอาญา
จัดการเรื่องนี้ต่อไป”
“ไม่ได้นะขอรับ” โต้วเหลียนจงรีบพูด “ข้าจะเขียน
ใบค้างหนี้เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
เขารู้เกี่ยวกับหกกรมของต้าฉู่ดี ต่างฝ่ายต่างดูแลไม่
เกี่ยวข้องกัน กรมอาญากับกรมพระคลังดูแลคนละ
ส่วน ถึงแม้จะมีบางเรื่องที่ต้องประสานงานกัน แต่จะ
ไม่มีการแทรกแซงซึ่งกันและกัน
หากสานวนการให้การในวันนี้ถูกส่งไปยังกรมอาญา
เมื่อเปิดออกดู เจอคาให้การที่สามารถเอาถึงชีวิตได้
ไม่แน่อาจจะมีคนหาข้ออ้างทาให้เป็นเรื่องใหญ่ได้
ในตอนนี้ทาได้เพียงทาตามที่ท่านผู้ว่าการโม่บอกโดย
การเขียนใบค้างหนี้ เพื่อไม่ให้คาให้การมันแพร่
ออกไป หลังจากนี้ค่อยไปหาคนปรึกษาอีกที
กระดาษและหมึกมาวางอยู่ตรงหน้า โต้วเหลียนจง
เขียนใบค้างหนี้ต่อหน้าผู้ว่าการโม่ จากนั้นก็มอบ
ให้กับผู้ว่าการโม่ ผู้ว่าการโม่อ่านดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
กวักมือเรียกหยางหนิงมา แล้วถามว่า “ใบค้างหนี้เจ้า
ลองอ่านดูว่าใช้ได้หรือไม่? หากใช้ได้ เจ้าก็ลงลายมือ
ชื่อเสียแต่ตอนนี้”
“ไม่ได้ขอรับ” หยางหนิงกวาดสายตาอ่าน แล้วรีบพูด
ขึ้นมาว่า “ในนี้ระบุว่าทาม้าหยกหลิวหลีแตก
โต้วเหลียนจง เจ้าคิดจะเล่นคาในเอกสารนี้อย่างนั้น
รึ? เจ้าทามรดกตกทอดของจวนจิ่นอีโหวแตก ไม่ใช่
ม้าหยกหลิวหลี”
“ข้าทาม้าหยกหลิวหลีแตก หรือจะทามรดกตกทอด
แตกหรือไม่ ข้าไม่สน” โต้วเหลียนจงพูดด้วยความ
โกรธว่า “ข้าเขียนตามความเป็นจริง”
ผู้ว่าการโม่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดูท่าพวกเจ้าสองคน
ยังตกลงกันมิได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จนปัญญา คงต้องส่ง
เรื่องนี้ให้กับทางกรมอาญา...!”
โต้วเหลียนจงชะงักไป แล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า
“ช้าก่อน ใต้เท้าโม่ ข้า...ข้าจะเขียนตามที่เขา
ต้องการ” จากนั้นก็จ้องเขม็งไปที่หยางหนิง แล้วเขียน
ใบค้างหนี้ขึ้นมาใหม่ หยางหนิงรับมันมาอย่างพอใจ
ผู้ว่าการโม่ให้โต้วเหลียนจงลงชื่อแล้วประทับ
ลายนิ้วมือ จากนั้นก็ยื่นให้หยางหนิง หยางหนิงเก็บ
เข้าในเสื้อบริเวณหน้าอก ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายโต้ว
จะชดใช้อย่างไรเท่าไหร่ รอจวนจิ่นอีโหวปรึกษากัน
ก่อน ท่านวางใจได้ ข้าไม่ใช่คนโลภ”
ในใจโต้วเหลียนจงโกรธยิ่งนัก หันหน้ายกมือคานับ
ผู้ว่าการโม่ แล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่ ข้าน้อยขอตัวก่อน!”
หันหลังกาลังจะไป หยางหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “คุณชาย
โต้ว เจ้าบอกจ้าวซิ่นด้วยนะ มารับเงินชดเชยที่จวนจิ่น
อีโหวได้ตลอดเวลา จิ่นอีโหวของเรามีหนี้ต้องใช้ ไม่มี
ทางหนีหนี้แน่นอน”
หยางหนิงยกมือขึ้นคานับผู้ว่าการโม่แล้วพูดว่า
“ใต้เท้าโม่ ขอบคุณท่านมากที่ให้ความเป็นธรรมกับ
ข้าน้อย ฉีหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก!”
เขาเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าดูออกอยู่แล้ว ผู้ว่าการโม่
ในวันนี้ถึงแม้จะดูเป็นธรรม แต่จริงๆ แล้วก็แอบ
เข้าข้างเขาอยู่
ก่อนที่เขาจะเข้ามาในศาลาว่าการเมืองหลวง เขาได้
เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ไม่ว่าใช้วธิ ีใดก็ตามก็จะต้อง
ให้โต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้ให้จงได้
แต่ว่าเรื่องราวมันราบรื่นมากกว่าที่เขาคิดไว้ยิ่งนัก
ผู้ว่าการโม่จับผิดโต้วเหลียนจงได้ถึงสองครั้งสองครา
มีบันทึก ก็สามารถใช้บันทึก ทาให้โต้วเหลียนจงต้อง
เขียนใบค้างหนี้ได้
ในใจของเขารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก แอบคิดในใจว่าหรือ
ผู้ว่าการโม่กับจวนจิ่นอีโหวจะมีสัมพันธ์อันใดต่อกัน?
ไม่อย่างนั้นใต้เท้าโม่จะปกป้องเขาไปเพราะเหตุใด
กัน?
แต่ในเมื่อโต้วเหลียนจงกล้าที่จะนาเรื่องนี้มาจวนผู้ว่า
การเมืองหลวงได้นั้น นั่นก็แสดงว่าผู้ว่าการโม่กับ
จวนจิ่นอีโหวไม่น่าจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างนั้น
โต้วเหลียนจงคงไม่มาฟ้องร้องถึงที่นี่อย่างแน่นอน
ผู้ว่าการโม่ถูกขนานนามว่า “ผู้ตัดสินอย่างเที่ยง
ธรรม” หน้าหินไร้ความรู้สึก ตัดสินคดีด้วยความ
ตรงไปตรงมา ในวันนี้ ถึงแม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่า
เป็นธรรม เพราะแอบปกป้องเขาอยู่ สาหรับคนหน้า
หินอย่างเขาแล้ว มันไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่
ผู้ว่าการโม่นิ่งไป ไม่มีรอยยิ้ม ลุกขึ้นแล้วเดินลงมาจาก
แท่น ท่านราชเลขาเดินตามหลังใต้เท้าโม่มา
แต่ทั้งสองคนมิได้พูดสิ่งใด
หยางหนิงมองไปที่จ้าวอู๋ซาง ในใจแอบแปลกใจ
ไม่น้อย
ผู้ว่าการโม่เดินมาจนถึงประตู จึงหยุดเดิน แล้วทา
สัญลักษณ์มือให้ท่านเลขาออกไปก่อน ท่านราชเลขา
จึงโค้งคานับแล้วเดินออกไป ทหารองครักษ์ของจวน
ทั้งสี่ก็เดินออกไปเช่นกัน
“เมื่อวานท่านช่วยเด็กคนหนึ่งเอาไว้ที่ตลาดดอกไม้
ใช่หรือไม่?” ผู้ว่าการโม่ไม่ได้หันหน้ามา ทันใดนั้นเขา
ถามขึ้นมาว่า “เหตุใดท่านถึงต้องช่วยเขาด้วยเล่า?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงว่าผู้ว่าการโม่จะถามคาถามนี้
ออกมา เขาพลันตกใจ ในใจก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่
ช่วยเด็กน้อยมาจากสู่อ๋องซื่อจื่อ ตัวหยางหนิงนั้นก็
เริ่มสั่นไปทั้งตัว จากนั้นจึงนึกถึงเหล่ยหย่งหู่ขึ้นมา
เขาจาได้ว่าเหวียนหรงเคยบอกว่า เหล่ยหย่งหู่มิใช่
คนของจวนผู้ว่าการ แต่เกี่ยวข้องกับกรมอาญา ใน
ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดสิ่งใดมากนัก ตอนนี้กลับนึกอะไร
ขึ้นมาได้
“ม้าจะทาร้ายผู้คน ข้าอยู่แถวนั้นพอดี ไม่ว่าจะผู้ใดก็
ตาม ข้าคงไม่มีทางยืนดูเฉยๆ โดยไม่ช่วย” หยางหนิง
คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่ การช่วยผู้คนที่
เดือดร้อนมันจาต้องมีเหตุผลด้วยหรือขอรับ?”
ผู้ว่าการโม่พูดอย่างเรียบๆ ว่า “คนที่ยืนดูเฉยๆ
มีตั้งมากมาย” เขาหยุดไป แล้วพูดต่อว่า “ได้ยินมาว่า
ตอนที่ท่านช่วยเด็กคนนั้นเอาไว้ ท่านเองก็บาดเจ็บ
ด้วย ท่านไม่คิดถึงชีวิตตัวท่านเองเลยหรือ?”
“นั่นเป็นเพียงแค่คาพูดคุยโตโอ้อวด” หยางหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ถึงแม้ข้าน้อยเกือบจถูกม้าเหยียบตาย
แต่ข้าน้อยก็แค่บาดเจ็บช่วงล่างเท่านั้น ไม่น่าจะมี
อันตรายถึงชีวิตได้”
ผู้ว่าการโม่พยักหน้า แล้วค่อยๆ หันมา เอามือไขว้
หลังเอาไว้ แล้วมองหยางหนิง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ความกล้าของท่าน เหมือนกับพ่อของท่านยิ่งนัก”
จากนั้นก็กลับไปหน้านิ่งเหมือนเดิม แล้วพูดต่อว่า
“แต่ว่าความกล้าหาญของพ่อท่าน เขาเอามาเพื่อ
รักษาประเทศชาติ แต่ทว่าความกล้าของท่าน กลับ
เอามาใช้หลอกลวงผู้อื่น”
“หา?” หยางหนิงรีบพูดว่า “ใต้เท้าโม่ ท่าน...”
ผู้ว่าการโม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกเล่นของท่าน จะรอดพ้น
สายตาของข้าไปได้อย่างนั้นรึ? มรดกตกทอดรึ?
ของพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้รึ? มันก็แค่ม้าหยก
หลิวหลีธรรมดา ไปหาซื้อในตลาดก็ยังได้ ม้าหยก
หลิวหลีแบบนั้นใช้เงินแค่สามถึงห้าตาลึงก็ได้มันมา
ครอบครองแล้ว ดาวใต้ดาวเหนืออะไรกัน ท่านคิดว่า
จะหลอกข้าได้อย่างนั้นรึ?”
หยางหนิงรู้ดีว่าท่านโม่เองก็รู้ว่าเขาวางแผนอะไรอยู่
แต่ใครจะคิดว่าท่านโม่ยังปกป้องตัวเขาอยู่ ในใจก็
แอบคิดว่า เรื่องที่เขาช่วยชีวิตเด็กน้อยเอาไว้ จะต้อง
เกี่ยวข้องกับผู้ว่าการโม่อย่างแน่นอน
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งต่อไปอีก” ผู้ว่าการโม่พูด
อย่างนิ่งๆ ไม่รอให้หยางหนิงพูดสิ่งใด ก็พูดต่อว่า
“โรงรับจานาของพวกท่านไฟไหม้ ข้าจะให้คนไป
ตรวจสอบอย่างละเอียด” หลังจากสิ้นสุดประโยคนั้น
ท่านโม่ก็เดินออกไป
เมื่อผู้ว่าการโม่เดินไปแล้ว หยางหนิงก็ถอนหายใจ
ถามจ้าวอู๋ซางว่า “ผู้ว่าการโม่ท่านชี่ออะไรกันแน่?”
“โม่เจิงขอรับ” จ้าวอู๋ซางพูดง่ายๆ
ทั้งสองเดินออกจากจวนผู้ว่า เมื่อกลับถึงจวนโหว พอ
มาถึงที่ห้องโถง กู้ชิงฮั่นก็นั่งรออยู่แล้ว เห็นหยางหนิง
เดินเข้ามา จึงรีบเดินไปหา สีหน้าเต็มไปด้วยความ
กังวล แล้วถามหยางหนิงว่า “หนิงเอ๋อ พวกเจ้าไปที่
ศาลาว่าการรึ? เกิดเหตุใดขึ้น?”
หยางหนิงยิ้ม แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ตาที่
สวยงามของกู้ชิงฮั่นเบิกกว้างขึ้น พลันตกใจแล้วพูดว่า
“เจ้าบอกว่าโต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้ให้เจ้าอย่าง
นั้นรึ?”
หยางหนิงหยิบใบค้างหนี้ออกมา แล้วยื่นไปให้กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นมองไป เห็นมีการลงลายมือชื่อกับประทับ
ลายนิ้วมือ และที่ตกใจยิ่งกว่านั้นคือ “มรดกตกทอด
อย่างนั้นรึ?”
“มันก็แค่ม้าหลิวหลีธรรมดาตัวหนึ่ง” ด้านนอกไม่มี
ผู้ใด หยางหนิงเองก็ไม่คิดจะปิดบังกู้ชิงฮั่น “รับมือกับ
คนอย่างโต้วเหลียนจง ต้องใช้วิธีเช่นนี้ มีใบค้างหนี้
ในมือ จ้าวซิ่นคงไม่กล้ามาทวงเงินที่จวนเองหรอก
กระมัง รอข้าอารมณ์ดีเมื่อไหร่ ค่อยเอามันไป
ทวงหนี้”
ตอนแรกกู้ชิงฮั่นยังรู้สึกหงุดหงิดกับภาระหนี้สินที่ต้อง
จ่าย คิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่าง
ง่ายดาย จากนั้นก็อดยิ้มมิได้ “เจ้าเด็กคนนี้ ต่อไปใช้
วิธีเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ หากผู้ใดรู้ความจริงขึ้นมา จะ
ทาเช่นไร”
“ในเมื่อข้าใช้ไปแล้ว ก็จะต้องไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงเรื่องนี้”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ท่านวางใจเสีย
เถอะ วิธีเช่นนี้ ข้าเองก็ต้องเลือกคนที่ข้าจะใช้ด้วย
รับมือกับคนอย่างโต้วเหลียนจง จะทาซึ่งๆ หน้ามิได้”
จากนั้นก็พูดเบาๆว่า “แต่ว่าเรายังต้องระวังตระกูล
โต้วให้ดี ครั้งนี้พวกเราทาแผนของพวกเขาพัง ในครั้ง
หน้าพวกเขาจะมาไม้ไหน เราก็มิอาจทราบได้”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเดินเข้ามา เสียงของพ่อบ้านชิว
ดังขึ้น “ฮูหยินสามท่านอยู่ด้านในหรือไม่?”
“เข้ามา” กู้ชิงฮั่นให้พ่อบ้านชินเข้ามาได้ พ่อบ้านชิว
จึงเปิดประตูเข้ามา กู้ชิงฮั่นพลันถามว่า “เรื่องตรงนั้น
ท่านจัดการไปถึงไหนแล้ว?”
“ข้าได้ทาการเจรจากับเหล่าเจ้าของร้านต่างๆ แล้ว
สองสามวันนี้ให้ตรวจสอบความเสียหายเสียก่อน แล้ว
ให้เวลาพวกเราอีกครึ่งเดือน” พ่อบ้านชิวพูดต่อว่า
“คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ข้าน้อย
คานวณคร่าวๆ แล้ว หลายร้านรวมกัน ก็อาจจะต้อง
จ่ายประมาณหนึ่งหมื่นตาลึง นอกเหนือจากนี้ก็เป็น
ของจ้าวซิ่นแล้ว ยังมีอีกราวสองหมื่นกว่าตาลึงที่
ปล่อยจานาออกไป รวมๆแล้วก็น่าจะประมาณห้าหก
หมื่นตาลึงหากได้ไม่เกินนี้เราก็จะแย่เอาได้” เขา
ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เงินสดในจวนรวมแล้วมีไม่
เกินสองพันสอง...ฮูหยินสาม คราวนี้พวกเราแย่แน่
ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ถึงแม้หยางหนิงจะแก้ไขปัญหาเรื่อง
ของโต้วเหลียนจงได้ เงินจานวนหนึ่งหมื่นตาลึงยังไม่
ต้องไปสนใจ แต่เงินค่าชดเชยของคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่
น้อยๆ เช่นกัน นอกจากของจ้าวซิ่นแล้ว ยังต้องหา
เงินให้ถึงสี่หมื่นตาลึงถึงจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้
เริ่มตั้งแต่สมัยของท่านเหล่าโหว ซื่อสัตย์มือสะอาดมา
ตลอด นอกจากจะมีรายรับปกติแล้ว ไม่มีกิจการ
สกปรกเลย ภาษีสามพันไร่บวกกับที่ดินกับกาไรของ
ร้านค้า ในปีหนึ่งก็มีรายรับประมาณห้าหกหมื่นตาลึง
มองจากภายนอกเป็นเช่นนั้น ในต้าฉู่นี้ถือเป็นรายรับ
ที่มากพอควร
จริงๆ แล้วค่าใช้จ่ายของจวนโหวน้อยกว่าจานวนเงิน
นี้มากนัก
“ทางเจียงหลิงยังไม่มีข่าวคราวมาอีกหรือ จะต้องมี
อะไรเปลี่ยนแปลงแน่ๆ” พ่อบ้านชิวจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า
“ฮูหยินสาม ตอนนี้ต้องหวังเงินจากเจียงหลิงมาให้
ทันเวลา หากแม้แต่เงินของเจียงหลิงก็มาไม่ถึง
คราวนี้พวกเราแย่แน่ๆ ท่านว่าเราควรส่งใครไปดูเสีย
หน่อยดีหรือไม่?”
“เราก็ส่งคนไปหลายคนแล้ว แต่ก็ไม่มีข่าวคราวอันใด
เลย” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว “พ่อบ้านชิว ท่านไปเตรียมตัว
เถอะ ข้าจะไปวันนี้เลย เดินทางไปที่เจียงหลิง”
“หา?” พ่อบ้านชิวรีบพูดขึ้นว่า “ฮูหยินสาม ท่านจะ
ไปเจียงหลิงด้วยตนเองเลยรึ?”
กู้ชิงฮั่นจึงพูดขึ้นมาว่า “มันช้ามาเดือนกว่าๆ แล้ว มัน
มิใช่เรื่องปกติ จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ” หันไป
มองหยางหนิง ในใจก็คิดถึงสิ่งที่หยางหนิงเคยพูด
เรื่องเงินของเจียงหลิงมันไม่น่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย
หยางหนิงเดาถูกเงินของเจียงหลิงกับเรื่องไฟไหม้ และ
เรื่องลอบสังหารมันน่าจะมีอะไรเกี่ยวเนื่องกัน จะต้อง
มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่ามันมีเหตุผล
มากพอ “ข้าจาเป็นจะต้องไปเจียงหลิงด้วยตัวเอง”
“แต่ว่าทางนี้...ฮูหยินสาม ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปจะ
ดีกว่าหรือไม่ ท่านอยู่ที่จวนนี้ดีกว่า” พ่อบ้านชิวคิดๆ
ดูแล้ว ก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าไปคราวนี้จะต้องนาเงิน
กลับมาได้อย่างแน่นอน”
“พ่อบ้านชิว ปกติเจ้าก็เป็นคนประสานงานกับคน
พวกนั้นอยู่แล้ว” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “หญิงม่ายอย่างข้า
ไม่สะดวกออกหน้า เจ้าก็พยายามรับหน้าพวกเขา
เอาไว้ พยายามให้พวกเขาตกลงเลื่อนเวลาออกไป
ก่อน ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
“แต่ว่าฮูหยินสามจะไปคนเดียว ข้าน้อยกังวลใจยิ่ง
นัก” สีหน้าของพ่อบ้านชิวดูลาบากใจ
กู้ชิงฮั่นพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง บ้านเกิดข้าอยู่
เจียงหลิง ข้าคุ้นเคยกับที่นั่นดี”
“ข้าจะไปกับซานเหนียงด้วย” จู่ๆ หยางหนิงก็พูด
ขึ้นมา “มีข้าไปกับซานเหนียงด้วย ทุกอย่างจะต้อง
เรียบร้อยอย่างแน่นอน”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 75 เจียงหลิง
เจียงหลิงตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสิงหนาน ด้าน
ตะวันตกติดกับเมืองปาสู่ ทางเหนือติดกับเมือเซียงฮั่น
มีแม่น้าล้อมรอบเมือง เป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับชายแดน
ที่ส้าคัญที่สุดทางตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ภายใต้การ
ปกครองของเมืองจิงโจว
เวลาเที่ยงตรง เส้นทางหลักทางตะวันออกของเมือง
จิงโจว รถม้าวิ่งโยกไปมา รถม้าคันหนึ่งก้าลังวิ่งมาทาง
หลัก รอบๆ รถม้ามีขบวนม้าอีกห้าหกตัวตามมา
ตอนนี้สามารถมองเห็นเมืองจิงโจวจากที่ไกลๆ เมือง
จิงโจวเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายในดินแดนอันกว้างใหญ่
เดินทางหลายวัน โดยไม่หยุด พวกของหยางหนิงก็
มาถึงเจียงหลิง
กู้ชิงฮั่นยืนยันที่จะมาตรวจสอบเงินภาษีที่เมือง
เจียงหลิงด้วยตัวเอง หยางหนิงไม่วางใจ เขารู้สึกว่าที่
เจียงหลิงจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ กู้ชิงฮั่นไม่มีทางท้า
เรื่องนี้ได้อย่างราบรื่นแน่นอน เมื่อบอกว่าจะมากับ
กู้ชิงฮั่น นางเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรมากนัก นางรู้สึก
ว่าหยางหนิงใกล้จะได้สืบทอดต้าแหน่งโหวแล้ว ก็ถือ
โอกาสนี้ให้หยางหนิงมาดูบ้านเกิดที่เจียงหลิงก็คง
ไม่ได้มีปัญหาอะไร
การเดินทางคราวนี้จริงๆ ต้วนฉางไห่จะตามมาคุ้มกัน
ด้วย แต่ในเมืองหลวงมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย
กู้ชิงฮั่นกลัวพ่อบ้านชิวคนเดียวจะเอาไม่อยู่ ก็เลยให้
ต้วนฉางไห่อยู่ช่วยพ่อบ้านชิวที่เมืองหลวง จึงให้ฉีเฟิง
กับทหารอีกสามสี่คนตามมา
ไฟไหม้ที่เมืองหลวง ท้าให้จวนจิ่นอีโหวมีหนี้สิน
จ้านวนมาก ตอนนี้รายรับที่มากที่สุดของจวนโหวคือ
เงินภาษีจากเจียงหลิง เมื่อทางนี้เกิดปัญหา จวนโหวก็
จะเดือดร้อน กู้ชิงฮั่นอยากจะรีบสืบให้รู้ว่าท้าไม
เงินภาษีของเจียงหลิงถึงได้นานเช่นนี้ ส่งมาไม่ถึงสักที
ดังนั้นจึงไม่มีการหยุดพักในการเดินทางเลยแม้แต่
น้อย
ระหว่างทางกู้ชิงฮั่นหวังว่าจะได้เห็นขบวนส่งเงินภาษี
แต่ตลอดทางที่ผ่านมาก็ไม่เจอเลยแม้แต่ขบวนเดียว
ไม่นานก็เดินทางมาถึงชานเมืองจิงโจว
“ซื่อจื่อ ด้านหน้านี้ก็คือเมืองจิงโจวขอรับ” ฉีเฟิงรู้ว่า
หลังจากซื่อจื่อเกิดมา ก็ไม่เคยมาที่เจียงหลิงเลย
เลือดเนื้อเชื้อไขของจิ่นอีโหว บรรพบุรุษมาจาก
เจียงหลิง ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน เจียงหลิงถือเป็น
ต้นตระกูลของพวกเขา แล้วท้าให้ที่แห่งนี้เจริญ
รุ่งเรือง หลังจากจิ่นอีเหล่าโหวตั้งรากฐานที่เมืองหลวง
ทั้งตระกูลก็ย้ายไปอยู่เมืองหลวงทั้งหมด แต่ทว่าที่ดิน
ศักดินาของพวกเขาอยูท่ ี่นี่ ดังนั้นที่นี่ถือเป็นรากฐาน
ส้าคัญ
ตอนที่ท่านเหล่าโหวยังมีชีวิตอยู่ หากมีเวลา ท่านจะ
เดินทางมาค้างอยู่บ้าง แต่เมื่อถึงรุ่นของฉีจิ่ง เวลาที่
กลับมาที่นี่นั้นน้อยมาก แต่ว่ายังมีกลับมากราบไหว้
บรรพบุรุษอยู่บ้าง
แต่หลังจากจิ่นอีซื่อจื่อเกิด ท่านก็ไม่เคยกลับมาที่นี่อีก
เลย
บรรพบุรุษของฉีเฟิงเองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ตอนนั้นยัง
เคยกลับมาพร้อมกับฉีจิ่ง จึงต้องคุ้นเคยเส้นทาง
มากกว่าหยางหนิง เมื่อเห็นเมืองจิงโจวอยู่ข้างหน้า
แล้ว ฉีเฟิงก็เลยรู้สึกอบอุ่นใจ
“บ้านเกิดของพวกเราอยู่ในเมืองนี้อย่างนั้นรึ?”
หยางหนิงถาม
ฉีเฟิงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “บ้านเกิดของท่านโหวอยู่
ไม่ไกลจากเมืองจิงโจวนัก ต้องเดินทางไปทางใต้อีก
สามสิบสี่สิบลี้ ที่นั่นจะมีบ้านตระกูลฉี บ้านเก่าจะอยู่
ติดกับจวนตระกูลฉี อดีตฮ่องเต้ทรงมีราชโองการให้
สร้างจวนใหญ่ไว้ให้ท่านเหล่าโหวในเมืองจิงโจว เพื่อ
ระลึกถึงท่านเหล่าโหว ก่อนที่จะสร้างเสร็จ ยังต้อง
อาศัยอยู่ที่จวนเก่าก่อน” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่
ท่านแม่ทัพกลับมา ก็ยังคงไปพักที่จวนเก่า ทุกครั้งจะ
มีขุนนางน้อยใหญ่จากที่ต่างๆ ในเจียงหลิง รวมถึง
เจ้าเมืองของเมืองจิงโจว ก็ไปที่จวนเก่าเช่นกัน”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ที่ดินศักดินาและที่นาของพวกเราทั้งหมดอยู่ที่
จวนเก่าตระกูลฉีใช่หรือไม่?”
“ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ทรงประทานที่ดินศักดินาให้
สามพันไร่ ส่วนใหญ่แบ่งไปรอบๆ จวนเก่า” ฉีเฟิง
อธิบายอีกว่า “แต่ที่นาไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน ในตอนนั้น
อดีตฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ท่านเจ้าเมืองเจียงหลิงเลือก
ที่ดินที่น้าท่าสมบูรณ์ที่สุด แล้วพระราชทานเป็นที่ดิน
ศักดินาให้ ดังนั้นจึงไม่อยู่ที่เดียวกัน ท่านซื่อจื่อไม่รู้
อะไร ตระกูลฉีในตอนนั้นถือเป็นตระกูลใหญ่ของ
เจียงหลิง จะว่าร่้ารวยอยู่ฝ่ายเดียว แต่จริงๆ แล้วมัน
...!”
“ฉีเฟิง เจ้าอย่าพูดเหลวไหล” กู้ชิงฮั่นเปิดผ้าม่านออก
ยิ้มแล้วด่าว่า “ร่้ารวยอยู่ฝ่ายเดียว พวกเจ้าแอบคุยกัน
ข้าไม่ว่า แต่อยู่ต่อหน้าผู้อื่น อย่าพูดเหลวไหลเช่นนี้อีก
ตอนนั้นท่านแม่ทัพก็สั่งพวกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ที่ดินที่นี่
เป็นของพ่อแม่ญาติมิตร เมื่อมาที่นี่ ก็ต้องระวังให้ดี
ต่อหน้าพ่อแม่พี่น้องห้ามพูดจาเหลวไหลเช่นนี้
เด็ดขาด”
ฉีเฟิงรีบพูดว่า “ซานเหนียง ข้าน้อยไม่กล้าแล้ว
ขอรับ”
“ซานเหนียง ท่านก็ให้เขาพูดให้จบเถิด” หยางหนิง
ขี่ม้าอยู่ข้างๆ หน้าต่างรถม้า มองไปยิ้มให้กู้ชิงฮั่นแล้ว
พูดว่า “ท่านให้เขาเก็บเอาไว้ เขาอาจจะตายเอาได้
นะ” จากนั้นก็มองไปที่ฉีเฟิงแล้วพูดว่า “พูดต่อไปสิ
ต่อมาเกิดสิ่งใดขึ้น?”
ฉีเฟิงยกมือไปจับหลังศีรษะ แล้วพูดแบบเขินอายว่า
“ข้าน้อยอยากจะบอกว่า ท่านเหล่าโหวตอนนั้น
ติดตามอดีตฮ่องเต้ไปออกศึก ตระกูลฉียกทรัพย์สินที่
ได้มาทั้งหมดให้กับอดีตฮ่องเต้ เพื่อน้ามันมาเป็นทุน
ในการออกรบ หลังจากอดีตฮ่องเต้ปราบกบฏได้
ส้าเร็จ ถึงได้ทรงปูนบ้าเหน็จเพิ่มให้อีกเท่าตัว”
หยางหนิงคิดในใจว่าท่านเหล่าโหวคนนี้มีสายตาที่
กว้างไกลมาก อดีตฮ่องเต้ให้ความส้าคัญกับเขา
จะต้องเป็นเพราะจิ่นอีโหวท้าศึกได้ดี เป็นก้าลังส้าคัญ
นอกจากนี้อาจจะเป็นเพราะท่านเหล่าโหวได้มอบ
ทรัพย์ที่ได้มาน้าไปให้ทั้งหมดก็เป็นได้
“ซานเหนียง เราเข้าเมืองกันก่อนดีหรือไม่ หรือว่า
ท่านอยากจะไปที่จวนเก่าเลย?” หยางหนิงถาม
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “สายมากแล้ว หากเข้าเมืองอีก จะต้อง
เสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน เราตรงไปที่จวนเก่าเลยจะ
ดีกว่า ครั้งนี้เรามาแบบชาวบ้าน ไม่จ้าเป็นต้องไป
รบกวนในเมืองหรอก”
หยางหนิงลังเล แล้วก็พูดว่า “ซานเหนียง ข้ามีอะไร
จะบอกท่าน”
กู้ชิงฮั่นเปิดผ้าม่านออก แล้วมองไปที่หยางหนิง
จากนั้นก็ถามว่า “ตั้งแต่เมื่อวาน ข้าเห็นเจ้าเหมือน
ก้าลังคิดสิ่งใดอยู่ สมองน้อยๆ ของเจ้าคิดอะไรอยู่
อย่างนั้นหรือ?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ คิดดูแล้วหยางหนิงก็
โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ค้าว่าสมองน้อยๆ ต่อไปไม่พูด
จะดีกว่า
หยางหนิงลงจากหลังม้า จากนั้นก็โยนเชือกไปให้
ฉีเฟิง แล้วเดินไปอย่างช้าๆ แล้วกระโดดไปที่ด้านหน้า
ของรถม้า เปิดม่านแล้วเข้าไปในรถม้า กู้ชิงฮั่นตกใจ
เห็นหยางหนิงขึ้นมาบนรถม้า ก็เอี้ยวตัวหลบแทบไม่
ทัน รถม้าธรรมดานี้มันเล็กและแคบกว่ารถม้าใหญ่
มาก แต่ก็เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
นอกจากนี้ กู้ชิงฮั่นเองก็คิดอย่างอื่นด้วย
นางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก หลังจากครั้งที่แล้วเห็น
สายตาที่แปลกไปของหยางหนิง ในใจก็รู้สึกได้ว่า
หยางหนิงโตแล้ว ค้าพูดค้าจาของหยางหนิงก็ไม่
เหมือนก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ท้าให้กู้ชิงฮั่นรู้
แล้วว่าตอนนี้หยางหนิงไม่ใช่เด็กน้อยที่ตัวนางจะต้อง
ปกป้องอีกแล้ว
ผู้หญิงละเอียดอ่อนมากความรู้สึก ก่อนหน้านี้นาง
ดูแลซื่อจื่อมาตลอด ความรู้สึกลึกซึ้งยิ่งนัก จริงๆ แล้ว
นางก็เข้าใจ เด็กน้อยที่นางคอยดูแลมาตลอดจะโต
แล้ว ความรู้สึกจึงเปลี่ยนไป มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจ
ยากอะไร แต่เรื่องนี้ นางจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้น
แน่นอน
ถึงแม้นางจะปกป้องซื่อจื่อเหมือนเดิม แต่การกระท้า
ค้าพูดกลับต้องระวังให้มากขึ้น ตั้งแต่ตอนนั้น นางก็
ไม่ค่อยเข้าหาหยางหนิงอีกเลย ยิ่งแต่การจับมือถือ
แขนเองก็จะต้องไม่เกิดขึ้น เหมือนก้าลังสร้าง
ระยะห่างกับหยางหนิง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา
ยังดีที่หยางหนิงเองก็ระวังมากขึ้นหลังจากเรื่องใน
คราวนั้น จึงไม่มีปัญหาอะไร
ครั้งนี้ออกจากเมืองหลวงมาเจียงหลิง เส้นทางยาว
ไกล หากเป็นเมื่อก่อน กู้ชิงฮั่นคงให้หยางหนิงเข้ามา
นั่งในรถม้ากับนางด้วย เพื่อไม่ให้หยางหนิงต้องขี่ม้า
อาจจะท้าให้เหนื่อยเกินไป
แต่ครั้งนี้นางเลือกรถม้าคันเล็ก หนึ่งก็เพื่อสะดวกใน
การเดินทางมากขึ้น สองก็เพื่อจะนั่งได้คนเดียว แล้ว
ให้หยางหนิงไปขี่ม้าแทน
แต่ตอนนี้จู่ๆ หยางหนิงก็เข้ามาในรถม้า กู้ชิงฮั่นรู้สึก
ตกใจ ในใจก็แอบคิดว่าตัวนางคงระแวงเกินไป ถึงแม้
จะระวังเรื่องระยะกับหยางหนิงสักเพียงใด แต่นาง
ในตอนนี้ รู้สึกว่ามันมากเกินไป หยางหนิงอาจจะ
ไม่ได้คิดสิ่งใดก็ได้ แต่เพราะตัวนางปล่อยวางไม่ได้เอง
มันท้าให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมีอุปสรรค
“หนิงเอ๋อ เจ้าคิดจะท้าสิ่งใดกัน?” กู้ชิงฮั่นพยายาม
สงบใจ ส่งสัญญาณให้หยางหนิงไปนั่งริม น้้าเสียง
อ่อนโยน ใบหน้ายิ้มแย้ม พยายามแสดงความเป็น
ผู้ใหญ่ออกมา
หยางหนิงเปิดผ้าม่านออก แล้วพูดกับฉีเฟิงว่า “ไม่
ต้องรีบไปที่จวนเก่านะ กลางวันยังไม่ได้กินอะไรเลย
หาที่ข้างหน้าพักสักหน่อย แล้วพวกเจ้าก็พักกินอะไร
กันก่อน”
ฉีเฟิงรับค้า หยางหนิงจึงปิดม่านลง
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงมีลับลมคมใน ก็รู้สึกแปลกใจ
หยางหนิงเข้ามาใกล้ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ซานเหนียง เราจะไปที่จวนเก่าก่อนจริงๆ หรือ?”
ถึงแม้หยางหนิงจะเข้ามาใกล้ แต่กู้ชิงฮั่นเห็นสีหน้า
ของเขาจริงจัง ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็พูดเบาๆ
ว่า “จะตรวจสอบเรื่องเงินภาษีที่ยังส่งไปไม่ถึงเมือง
หลวง พวกเราก็ต้องไปที่จวนเก่าสิ หนิงเอ๋อเจ้าคิดถึง
อะไรอยู่?”
“ซานเหนียง ตลอดทางที่ผ่านมา เราไม่เจอขบวน
ขนส่งเงินภาษีเลยนะ แล้วก็ไม่ได้ยินว่ามีการปล้นรถ
ขนเงินด้วย” หยางหนิงเหมือนคิดอะไรอยู่ เขาพูด
เสียงเบาๆ ว่า “ข้าก้าลังคิดว่า เงินภาษีส่งไปไม่ถึง
เมืองหลวงสักที หรือว่าที่จวนเก่าจะมีปัญหาอะไร
หรือไม่?” ไม่รอให้กู้ชิงฮั่นพูดอะไร เขาก็ถามกลับไป
ว่า “เงินภาษีของพวกเรา เกี่ยวข้องอะไรกับขุนนางใน
ท้องที่หรือไม่ หรือว่าทางจวนเก่าเป็นผู้รับผิดชอบ?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ที่จวนเก่ายังมีพ่อบ้านใหญ่อีกคนดูแล
อยู่ เป็นคนของตระกูลฉี หลายปีมานี้ ที่ดินศักดินากับ
ที่นาของเจียงหลิง พ่อบ้านใหญ่จะเป็นผู้ดูแลจัดการ
ทุกอย่าง ทุกปัญหาก็จะมีพ่อบ้านใหญ่เป็นผู้ดูแล
จัดการ จะมีการจัดส่งเงินภาษีกับผลการเก็บเกี่ยว
ปีละสองครั้งแล้วส่งมายังเมืองหลวง”
“พ่อบ้านใหญ่คงไม่ส่งเงินไปที่เมืองหลวงด้วยตัวเอง
หรอกใช่หรือไม่?” หยางหนิงถาม
กู้ชิงฮั่นจึงอธิบายต่อว่า “ที่ดินศักดินาสามพันไร่ แบ่ง
ออกเป็นสิบกว่าหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านจะมีผู้น้า เมื่อ
ถึงเวลาของทุกปี ผู้น้าของแต่ละหมู่บ้านจะเก็บ
รวบรวมภาษีส่งมายังจวนเก่า ผลผลิตทางการเกษตร
ที่เจียงหลิง จะเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง
ของทุกปี หลังจากเก็บรวบรวมแล้วจึงจะส่งไปที่จวน
เก่า พ่อบ้านใหญ่จะเปลี่ยนของเหล่านั้นเป็นเงินสด
จึงจะส่งเข้าเมืองหลวง”
“ถ้าอย่างนั้น เงินภาษีของเจียงหลิงทั้งหมด ก็อยู่ใน
มือของพ่อบ้านใหญ่” สีหน้าของหยางหนิงจริงจัง
“หากมีปัญหาอะไรท่านพ่อบ้านใหญ่ก็จะเป็น
ผู้รับผิดชอบอย่างนั้นรึ?”
“ใช่แล้ว” กู้ชิงฮั่นจึงพูดว่า “หนิงเอ๋อ เจ้าอยากจะพูด
สิ่งใดกันแน่?”
“ซานเหนียง ข้าก้าลังคิดว่า เงินภาษีที่ล่าช้าคราวนี้
อาจจะไม่ใช่เพราะชาวบ้านไม่จ่ายภาษีหรอกกระมัง”
หยางหนิงค่อยๆ พูดต่อไปว่า “หากภาษีถูกส่งไปยัง
จวนเก่าแล้ว เหตุใดจวนเก่าถึงยังไม่ส่งเข้าเมืองหลวง
อีกเล่า? พ่อบ้านใหญ่คิดไม่ซื่อต่อพวกเราหรือไม่?”
“พ่อบ้านใหญ่อย่างนั้นรึ?” กู้ชิงฮานขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “เขาจะกล้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? พวกเรา
กลับมาคราวนี้ จะต้องท้าให้ชัดเจน ว่าพ่อบ้านใหญ่มี
ปัญหาอะไรที่ยากจะจัดการหรือไม่”
“ท่านเคยเจอพ่อบ้านใหญ่หรือไม่?” หยางหนิงมอง
กู้ชิงฮั่นด้วยความสงสัย “ท่านรู้จักพ่อบ้านใหญ่คนนั้น
ดีหรือไม่?”
“พ่อบ้านใหญ่เคยไปเมืองหลวงหลายครั้ง แต่ทว่าข้า
เองก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาเสียเท่าไหร่” กู้ชิงฮั่นพูดต่อ
ว่า “ท่านแม่ทัพอยู่ท้าศึกข้างนอกอยู่หลายปี ฮูหยิน
ใหญ่เองก็หันหน้าเข้าสู่ธรรมมะ ดังนั้นหลายๆ เรื่องใน
จวน ก็มีข้ากับพ่อบ้านชิวเป็นผู้จัดการ พ่อบ้านใหญ่ไป
เมืองหลวง พ่อบ้านชิวก็จะเป็นผู้ดูแลต้อนรับ” คิดไป
ครู่หนึ่ง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หลายปีมานี้พ่อบ้าน
ใหญ่ก็ไม่ได้ท้าอะไรผิดพลาด แล้วเขาก็ไม่กล้าที่จะ
ยักยอกเงินภาษีอย่างแน่นอน”
หยางหนิงถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า "ซานเหนียง
ข้าไม่ได้กังวลว่าพ่อบ้านใหญ่จะยักยอกเอาเงินไป
ไม่ยอมส่งให้ เพียงแต่กังวลว่าจะมีคนบังคับเขาไม่ให้
ส่งเงินภาษีเข้าเมืองหลวงต่างหาก
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 76 การปลอมตัว
กู้ชิงฮั่นคิดในใจว่านี่มันคาพูดของเด็กยังไม่รู้จักโต
แต่มาคิดอีกทีหยางหนิงเองก็ไม่ได้คุ้นเคยเจียงหลิง
แม้แต่น้อย จึงไม่แปลกที่จะสงสัยอะไรเช่นนี้
ตระกูลฉีจิ่นอีโหวมีอิทธิพลยิ่งนักในเจียงหลิง เพียงแค่
อาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้นก็จะสัมผัสได้ เจียงหลิงเป็น
รากเหง้าของตระกูลฉีมายาวนาน อีกทั้งยังเป็นหนึ่ง
ในสี่ตระกูลบรรดาศักดิ์ของต้าฉู่ เพราะฉะนั้นอิทธิพล
จึงไม่มีผู้ใดเทียบได้ เมื่อพูดถึงเจียงหลิง ทุกคนจะ
นึกถึงจิ่นอีโหวเป็นอย่างแรก
ถึงแม้จิ่นอีโหวจะไม่มีการดึงพรรคดึงพวกในราชสานัก
เลย แต่ใครๆ ก็รู้ พื้นที่ในแถบเจียงหลิง เป็นพื้นที่ของ
ตระกูลฉี ขุนนางในเจียงหลิง หากไม่ได้รับการ
สนับสนุนจากตระกูลฉี ก็อาจจะไม่มีทางอยู่รอด
บ้านเก่าของตระกูลฉีถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในเมืองจิงโจว
แต่พ่อบ้านใหญ่จวนเก่าที่เจียงหลิงก็ไม่เคยก้มหัวให้
ผู้ใดมาก่อน ถึงแม้จะเป็นเจ้าเมืองของเมืองจิงโจวก็
ตาม เห็นแก่จิ่นอีโหว จึงไม่กล้าทาอะไรกับพ่อบ้าน
ใหญ่ของจวนเก่า ในฐานะตัวแทนของจิ่นอีโหวที่
เจียงหลิง กู้ชิงฮั่นจะมีผู้ใดที่กล้าข่มขู่หรือบังคับ
พ่อบ้านใหญ่ได้
“หนิงเอ๋อ เจ้าคิดมากเกินไปหรือไม่?” กู้ชิงฮั่นนิ่งไป
แล้วพูดขึ้นมาว่า “เมื่อพวกเราเจอพ่อบ้านใหญ่ เรื่อง
อะไรต่างๆ มากมายก็จะกระจ่างเอง”
“ซานเหนียง ไม่ใช่ว่าข้าคิดมากเกินไป” หยางหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ช่วงนี้ หลายๆ เรื่องที่เกิด
ขึ้นกับจวนจิ่นอีโหวมันแปลกขึ้นเรือ่ ยๆ สถานการณ์
เช่นนี้ พวกเราไม่ควรนิ่งนอนใจ”
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงยังคงมีสีหน้าที่จริงจัง จากนั้นก็
หยุดยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ากาลังหมายความว่าข้าจะถูก
ผู้อื่นหลอกได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ซานเหนียง ท่านฉลาดเกินผู้ใด แล้วใครจะหลอก
ท่านได้เล่า?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเพียงแค่
รู้สึกว่ามีเรื่องมากมายที่เปลี่ยนไป คนมากมายก็
เปลี่ยนไปได้ทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่าควรจะทาเช่นไร?” เห็นหยางหนิง
เหมือนกาลังใช้ความคิด กู้ชิงฮั่นรู้สึกสนใจยิ่งนัก
หยางหนิงพูดว่า “ซานเหนียง หลายปีมานี้ ท่านอาศัย
ในเมืองหลวงตลอด ท่านพ่อไปออกรบที่ชายแดน
ส่วนเจียงหลิง ก็มอบให้พ่อบ้านใหญ่เป็นผู้จัดการ
เกรงว่าพวกท่านยังไม่เข้าใจเจียงหลิงมากนัก”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด
ข้าเองก็ไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งหลายปี” จากนั้นนางก็เริ่ม
ครุ่นคิด
“ข้ารู้สึกว่าหากในเวลานี้พวกเราตรงไปยังจวนเก่าเลย
ไม่สู้เราปลอมตัวเป็นคนธรรมดาไปสารวจแบบลับๆ
ไม่ดีกว่าหรือ” หยางหนิงในที่สุดก็พูดว่า “ลองไปสืบ
กับชาวบ้านดูก่อนว่าได้จ่ายภาษีกันหรือยัง ให้รู้แน่ชัด
ว่าสถานการณ์จริงๆ แล้วเป็นเช่นไร ถึงเวลานั้นเราไป
ถึงจวนเก่า เราจะได้รับมือได้ หากไปจวนเก่าเสียก่อน
สถาณการณ์เป็นอย่างไรเราก็ไม่อาจทราบได้ ทุกอย่าง
ก็อาจจะต้องเป็นไปตามที่พ่อบ้านใหญ่พูดทั้งหมด”
“ปลอมตัวไปสืบแบบลับๆ อย่างนั้นหรือ?” กู้ชิงฮั่น
ตาลุกวาว “เจ้าหมายความว่าให้เราแต่งตัวเป็น
ชาวบ้านธรรมดาไปสืบอย่างนั้นรึ?”
“หมายถึงข้า ไม่ใช่พวกเรา” หยางหนิงพูดอย่าง
จริงจัง เห็นกู้ชิงฮั่นเหมือนจะตื่นเต้น จึงถามกลับไปว่า
“ซานเหนียง ท่านคงไม่ได้คิดจะปลอมตัวด้วย
ใช่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นยิ้ม แล้วย้อนถามกลับไปว่า “แล้วไม่ได้รึ?”
“ไม่ได้” หยางหนิงรีบส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านเป็น
ผู้หญิง หากปลอมตัวเป็นนักสืบ มันต้องเดินทาง
เหนื่อยยิ่งนัก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ...!” ทันใด
นั้นเองก็เหมือนจะเห็นสายตาคู่นั้นของกู้ชิงฮั่นจ้องมา
ที่ตัวเขา เขาเหลือบไปมอง เห็นสายตาของนางดูโกรธ
ครั้งนี้กู้ชิงฮั่นไม่ได้เกรงใจเขาเลยแม้แต่น้อย นาง
ยื่นมือมาจับหูของหนิง ตั้งใจยิ้มอย่างเย็นชาใส่เขา
แล้วพูดว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ ไหนลองพูดอีกทีซิ?
เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วรึ ที่นี่คาพูดเจ้าใหญ่หรือ
ข้าใหญ่?”
หยางหนิงเห็นนางขมวดคิ้ว สีหน้าเกรี้ยวกราดนัก เขา
เป็นใคร ถึงจะได้ดูไม่ออกว่ากู้ชิงฮั่นแกล้งทา ท่าทาง
สวยงามสง่าเช่นนี้ มันไม่ได้มีกลิ่นอายความอาฆาต
เลย หยางหนิงรู้สึกใจสั่น แต่ใบหน้ากลับยังคงยิ้ม
อย่างลาบากใจแล้วพูดว่า “คาพูดท่านก็ต้องเด็ดขาด
ที่สุด โอ้ย! ปล่อยมือก่อนจะได้หรือไม่ หูข้าจะขาดอยู่
แล้ว”
กู้ชิงฮั่นจึงปล่อยมือออก แล้วจ้องไปที่หยางหนิง แล้ว
ก็หัวเราะ “หึๆ” มันช่างดูน่ารักยิ่งนัก “เจ้ารู้ก็ดี
ความคิดของเจ้าไม่เลวเลย สืบให้รู้สถานการณ์ก่อน
ถึงเวลาจะได้สอบถามกับพ่อบ้านใหญ่ได้ถูก เจ้ามัน
ช่างกล้าบ้าบิ่นนักนะ หากข้าไม่อยู่ข้างๆ เจ้า ใครจะรู้
ว่าเจ้าจะไปก่อเรื่องอะไรอีก”
“ซานเหนียงไม่ได้ห่วงว่าข้าจะไปก่อเรื่องกระมัง”
หยางหนิงตั้งใจจับไปที่หู “ท่านเองก็ไม่ได้จะกลับมา
ที่นี่ง่ายๆ จึงอยากจะไปดูรอบๆ บ้างใช่หรือไม่”
กู้ชิงฮั่นอึ้งไปชั่วครู่ สีหน้าของนางก็เศร้าลง แล้วพูด
เบาๆ ว่า “กลับมาครั้งนี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนกี่ปี
จะได้กลับมาอีก อาจจะ...ต่อไปอาจจะไม่ได้กลับมา
อีกเลยก็ได้”
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจรู้ดีว่า ความกลัวของกู้ชิงฮั่น
มันคือความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของจิ่นอีโหวทั้งหมด
จวนจิ่นอีโหวในตอนนี้บอกได้เลยว่าตกต่าอย่างถึง
ที่สุด ถึงแม้เรื่องที่ซื่อจื่อสมองกลับมาปกติแล้วเป็น
เรื่องที่น่ายินดี แต่ก็ยังเด็กนัก ไม่ได้มีรากฐานหรือ
ความรู้อะไรเกี่ยวกับราชสานักเลย หากเทียบกับท่าน
จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นที่มีผลงานมากมาย ซื่อจื่อเทียบ
ไม่ได้แม้แต่น้อย
ภายในใจของหยางหนิงและกู้ชิงฮั่นนั้นรู้ดี พวกเขา
ต่างกังวลว่าจิ่นอีโหวในยุคใหม่นี้จะสามารถแบกภาระ
อันยิ่งใหญ่ของตระกูลได้หรือไม่
กู้ชิงฮั่นเกิดในตระกูลผู้ดี เห็นความตกต่าของหลาย
ตระกูลใหญ่มาก็ไม่น้อย ไม่แน่ในใจของนางตอนนี้
อาจจะคิดไปถึงจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้วก็เป็นได้
ท่าทางของกู้ชิงฮั่นเศร้า สัมผัสได้ถึงความสลดใจของ
นาง เมื่อเห็นดังนั้น หยางหนิงก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไป
จับมือของกู้ชิงฮั่น แล้วพูดเบาๆ ว่า “ซานเหนียง ท่าน
วางใจเถอะ ต่อไปท่านอยากจะกลับมาที่นี่เมื่อใด ท่าน
ก็กลับมาได้ตลอดเวลา ข้าจะอยู่ข้างๆ คอยปกป้อง
ท่านเอง”
กู้ชิงฮั่นได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มขึ้นมา นางดึงมือออกมา
จากมือของหยางหนิงโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ทา
ท่าทางยกมือเช็ดไปเช็ดมา มันช่างดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
ในเมื่อกู้ชิงฮั่นจะปลอมตัวไปสืบแบบลับๆ กับเขา
หยางหนิงเองก็ปฏิเสธไม่ได้ จึงต้องแอบตกลงกับ
กู้ชิงฮั่นว่า เสื้อผ้าของกู้ชิงฮั่น ดูก็รู้ว่าเป็นชุดผู้หญิง
ชนชั้นสูง หากไปเช่นนี้ ไม่อยากให้คนจดจ้องคงทา
ไม่ได้ ในเมื่อจะแอบไปสืบลับๆ ก็ต้องปลอมตัว ปกปิด
สถานะ
จริงๆ กู้ชิงฮั่นคิดจะแต่งตัวเป็นเพียงหญิงธรรมดา
แต่หยางหนิงกลับคิดว่า ให้กู้ชิงฮั่นปลอมตัวเป็นชาย
จะดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดจับจ้อง
มากนัก
กู้ชิงฮั่นรู้สึกตื่นเต้นกับข้อเสนอของหยางหนิงยิ่งนัก
หลังจากตกลงกันเรียบร้อย จึงตัดสินใจว่าจะไม่รีบ
กลับไปยังจวนเก่า แต่เข้าไปในเมืองจิงโจวก่อน หา
โรงเตี๊ยมที่ห่างไกลผู้คน จากนั้นหยางหนิงได้สั่งให้
ฉีเฟิงไปหาชุดธรรมดามาสองชุด ฉีเฟิงไม่ทราบว่า
ซื่อจื่อกาลังคิดจะทาสิ่งใด ก็ได้แต่รับคาสั่งแล้วรีบไป
ตามคาสั่งของหยางหนิง ฉีเฟิงได้ซื้อชุดผู้ชายกลับมา
สองชุด หยางหนิงรีบเปลี่ยนชุด ฉีเฟิงเห็นหยางหนิง
ทาเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านจะไป
เดินเล่นรึ?” เขาคิดแค่ว่าหยางหนิงไม่อยากให้
เอิกเกริก ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาไปเดินเล่น
ในเมืองจิงโจว
หยางหนิงก็ไม่อยากพูดอะไรมากนัก จึงพูดว่า “ฉีเฟิง
คืนนี้พวกเจ้าก็พักกันซะในเมืองนี้ คืนพรุ่งนี้ค่อยออก
เดินทางไปยังจวนเก่า หากพวกข้ายังไปไม่ถึง เจ้าก็รอ
อยู่ที่นั่นก่อน จาไว้ ห้ามก่อเรื่องอะไรที่นี่เด็ดขาด”
ฉีเฟิงรู้สึกงุนงง “ซื่อจื่อ ท่านจะแยกกับพวกเราหรือ?”
“อย่าพูดดังไป” หยางหนิงพูดเบาๆ ว่า “ข้ากับฮูหยิน
สามจะไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่ง ไม่อยากให้ผู้ใดรู้ คืน
พรุ่งนี้เราจะรีบไปสมทบกับพวกเจ้าที่จวนเก่า”
“เพื่อนหรือขอรับ?” ฉีเฟิงคิดในใจว่าซื่อจื่อท่านไม่เคย
มาเจียงหลิงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ท่านจะมีเพื่อนที่นี่ได้
อย่างไรกัน หรือว่าฮูหยินสามอยากจะไปพบผู้ใด
หรือไม่? หยางหนิงพูดมาเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะ
ถามอะไรมากนัก ก็ได้แต่พูดว่า “ซื่อจื่อ ข้าไปกับ
พวกท่านด้วยจะดีกว่า จะได้คุ้มครองพวกท่านได้”
ช่วงนี้ซื่อจื่อเองหากไม่ถูกจับตัวไปก็ถูกลอบสังหาร
ฉีเฟิงกับองครักษ์โทษตัวเองมาโดยตลอด ในครั้งนี้เขา
ติดตามมาคุ้มกัน หากซื่อจื่อเป็นอะไรไป เกรงว่า
ต้วนฉางไห่คงต้องตัดหัวเขาไปแน่ๆ
หยางหนิงรู้ดีว่าหากมีแค่เขากับกู้ชิงฮั่น จะไม่ถูกจับตา
มองมากนัก แต่หากว่าหลายคนนัก จะไม่เป็นเรื่องดี
เสียเปล่า อีกอย่างที่นี่ก็ไม่ไกลจากจวนเก่าตระกูลฉี
สักเท่าไหร่ ปลอมตัวไปสืบบริเวณใกล้ๆ น่าจะไม่มี
ปัญหาอะไร ตัวเขาเองพอจะมีความมั่นใจอยู่
หยางหนิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
ฉีเฟิงตื่นตัวทันที จากนั้นก็พูดเสียงเข้มว่า “นั่นใคร?”
ด้านนอกไม่มีเสียงตอบรับ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอยู่
นาน ฉีเฟิงมองไปที่หยางหนิง แล้วค่อยๆ เดินไปใกล้ๆ
แอบคิดในใจว่ากลางวันแสกๆ ในโรงเตี้ยมก็พอมี
ลูกค้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะมีผู้ใดคิดไม่ดีกับซื่อจื่อได้
หากเป็นอย่างนั้น มันจะกล้าเกินไปแล้ว จากนั้นก็ดึง
ประตูอย่างแรง แต่กลับเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่นอก
ประตู เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า เจ้ามีเรื่องอะไร?
ชายคนนั้นเอามือไขว้หลัง แล้วเดินเข้ามาในห้องอย่าง
ไม่เกรงใจ ฉีเฟิงยื่นมือออกไปขวาง หยางหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “ฉีเฟิง เจ้ามันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เจ้าดูไม่
ออกรึว่านั่นคือใคร?”
ฉีเฟิงดูดีๆ จากนั้นก็พูดอย่างตกใจว่า “ฮู....!”
ชายผู้นั้นหัวเราะ “หึๆ” จากนั้นก็เหลือบไปมองฉีเฟิง
แล้วพูดอย่างได้ใจว่า “เจ้าดูไม่ออกจริงๆ หรือว่า
แกล้งดูไม่ออกกันแน่?”
ชายผู้นั้นคือกู้ชิงฮั่นนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นชุดธรรมดา
แต่หน้าตาของนางนั้นช่างดูหล่อเหลายิ่งนัก
“หนิงเอ๋อ เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” กู้ชิงฮั่นตั้งใจ
กดเสียงให้ต่าลง “ดูไม่ออกเลยใช่หรือไม่?”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉีเฟิงเจ้าคงตาบอด
แน่ๆ ซานเหนียง ดูนานๆ เสียหน่อยก็รู้แล้ว ว่าท่าน
เป็นหญิง?”
“หา?” กู้ชิงฮั่นรีบถามกลับไปว่า “เหตุใดเจ้าถึงพูด
เช่นนี้เล่า? ตรงไหนที่ข้าดูเป็นหญิงรึ?”
หยางหนิงก็ไม่พูดอะไรมากนัก เพียงแค่มองไปที่
หน้าอกของกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นนเห็นสายตาของเขาเลื่อน
ลงไป หน้าก็ร้อนผ่าว เงยหน้าขึ้นมาก็ยังเห็น
หยางหนิงยังคงจ้องไปที่หน้าอกของนางอยู่ จึงจ้อง
กลับไปด้วยสายตาที่ดุดัน นางรู้สึกว่าตอนนี้หน้าของ
นางร้อนเหมือนไฟเผา จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไปจาก
ห้อง
เวลาที่ทั้งคู่ออกนอกเมืองไป พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน
ทั้งคู่ขี่ม้าออกไป หยางหนิงย้อนถามไปว่า “ฮูหยิน
สาม ท่านคุ้นเคยที่นี่มากกว่าข้า เราไปทางไหนก่อน
ดี?”
“เท่าที่ข้ารู้ ทางตะวันตกของเมืองจิงโจวมีหมู่บ้านอยู่
ที่นั่นเป็นพื้นที่ศักดินาของจวนโหว เราไปทางนั้นกัน
ก่อนก็ได้” กู้ชิงฮั่นเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า “สาย
มากแล้ว ชาวบ้านที่นี่อยู่กันเรียบง่าย ไม่แน่คืนนี้เรา
อาจจะต้องขอพวกเขาอาศัยสักคืน”
“ได้” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฟังคาสั่งของท่าน
ทุกอย่างเลยขอรับ” จากนั้นก็เลื่อนสายตาลงไปมอง
ไปที่หน้าอกของกู้ชิงฮั่น ตอนนี้มองไม่เห็นเนินอก
เล็กๆ ของกู้ชิงฮั่นเสียแล้ว ตอนนี้นางเหมือนชายหนุ่ม
หน้าตาหล่อเหลาเอาการผู้หนึ่ง หยางหนิงอดไม่ได้ที่
จะแอบคิดว่า “นางใช้วิธีอะไรกันที่ทาให้มันหายไป?
ใช้สายรัดเอวรัดไว้หรือ? แต่ว่าสายรัดเอวจะเอาอยู่รึ
ไม่อึดอัดหรืออย่างไร?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 77 ณ ที่นา
หมู่บ้านที่กู้ชิงฮั่นพูดถึงนั้นไม่ได้ใหญ่โตมากนัก
ริมหมู่บ้านอยู่ตรงตีนเขา บนเขามีต้นการบูรกับ
ต้นโอ๊กเต็มไปหมด ของเหล่านี้เป็นของที่ขาดไม่ได้เลย
ในการเผาไหม้ จริงๆ แล้วต้นการบูรเป็นต้นที่หาได้
ทั่วไป ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตถ่านการบูร เมื่อถึงฤดู
หนาว จะมีการส่งถ่านการบูรไปยังเมืองหลวง
ณ ตีนเขา จะมีบ้านอยู่สิบกว่าหลัง มองจากที่ไกลๆ
ก็จะเป็นพื้นนากว้างๆ ขณะที่อาทิตย์ใกล้จะตกดิน
หยางหนิงกลับเห็นยังมีชาวนาอยู่ในนา ผลผลิตจาก
นาที่เก็บเกี่ยวไปจนหมดแล้ว เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
จะมองไม่เห็นอะไรอีกเลย
“ซานเหนียง ใกล้ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เก็บเกี่ยวไปจน
หมดแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังมีคนปลูกข้าวอยู่ในนา
อีกเล่า?” หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถาม
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เคยมาที่ไร่นาที่นี่ คงจะ
ไม่ทราบ ว่าเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ชาวนาจะมาไถนาไว้
ก่อน เพื่อที่ว่าปีหน้าจะปลูกข้าวได้ง่ายขึ้น”
“เป็นอย่างนี้นี่เองหรือ”
หลังจากที่ทั้งสองลงจากม้าแล้ว จึงเดินเข้าไปที่นา
ชาวนาที่อยู่ในไร่มีไม่มากนัก แต่ว่าเมื่อเห็นคนแปลก
หน้าสองคนจูงม้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
“ซานเหนียง บ้านของท่านที่เจียงหลิงอยู่ที่ใดรึ?”
หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่นแล้วมองไปมองมา จากนั้น
จึงถามว่า “ไกลจากตรงนี้มากหรือไม่?”
“ไม่ไกลนัก” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะอารมณ์ดียิ่งนัก “บ้าน
ตระกูลกู้ก็เหมือนกับบ้านตระกูลฉี เป็นตระกูลใหญ่ใน
เจียงหลิง ความสัมพันธ์ของสองตระกูลนั้นดียิ่งนัก
ในตอนนี้ เป็นรองแค่ตระกูลฉีตระกูลเดียวเท่านั้น”
หยางหนิงเข้าใจในทันที ตอนนั้นท่านสามของตระกูล
ฉีแต่งกับกู้ชงิ ฮั่น ก็เพราะว่าความสัมพันธ์ของทั้งสอง
ตระกูล แล้วก็เพื่อที่จะทาให้เจียงหลิงมีความมั่นคง
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างสบายๆ แต่หยางหนิงรู้ว่าบารมีของ
ตระกูลกู้ยังเป็นรองตระกูลฉีอยู่ แสดงว่าบ้านตระกูลกู้
ก็มีอิทธิพลที่แข็งแกร่งยิ่งนักในเจียงหลิง
ตระกูลฉีมีบารมีมากในเจียงหลิง นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นถือเป็นเสาหลักของต้าฉู่ อย่าว่าแต่
เจียงหลิงเล็กๆ ต่อให้เป็นทั่วทั้งต้าฉู่ จะหาตระกูลไหน
มาเทียบกับตระกูลฉีคงยาก
หากตัดตระกูลฉีทิ้งไป ตระกูลกู้ก็ถือเป็นตระกูลที่ใหญ่
ที่สุดในเจียงหลิง
“ไร่นาของตระกูลฉีอยู่ทางทิศเหนือของเจียงหลิง
หรือไม่ก็คือพื้นที่เมืองจิงโจวแห่งนี้” กู้ชิงฮั่นอธิบาย
ต่อว่า “ส่วนตระกูลกู้อยู่ทางทิศใต้ของเจียงหลิง จาก
เมืองจิงโจวมุ่งไปยังทางใต้ ไม่เกินสิบลี้จะเจอแม่น้า
สายหนึ่ง ที่ชื่อว่าแม่น้าจิ้งเยวี่ย หลายปีก่อน เพียง
ข้ามแม่น้าไป พื้นที่ทั้งหมดนั้นทั้งหมดถือเป็นเขตแดน
ของตระกูลกู้”
อานาจราชสานักมาไม่ถึงชนบท
คาพูดแบบนี้หยางหนิงเคยได้ยินมานานมากแล้ว แล้ว
ก็เข้าใจความหมายนั้นดี ที่ดินในสมัยโบราณอิทธิพล
ของตระกูลเศรษฐีเหนือกว่าราชโองการของฮ่องเต้
เมื่อราชสานักออกกฎหมายที่ดินมา ขุนนางท้องที่
จะต้องทาการเจรจากับคหบดีในชนบทเสียก่อน หาก
ไม่ได้รับความร่วมมือของคหบดีในชนบท ขุนนาง
ท้องที่ก็จะจัดการได้อย่างยากลาบาก
เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไม่ว่าจะตระกูลฉีหรือ
ตระกูลกู้ หลายปีก่อนก็น่าจะเป็นคหบดีในชนบท
ประจาเจียงหลิง มีสิทธิและอานาจในการพูดหรือ
ทาสิ่งใด
จากที่กู้ชิงฮั่นพูด ก่อนหน้าที่ตระกูลฉีจะรุ่งเรือง ที่
เจียงหลิงตระกูลฉีกับตระกูลกู้ก็น่าจะมีศักดิ์เสมอกัน
ตระกูลฉีมีอิทธิพลทางเหนือของเจียงหลิง ส่วนตระกูล
กู้ก็น่าจะยิ่งใหญ่ในเขตทางใต้ แต่ว่าต่อมาตระกูลฉี
กลายมาเป็นศักดินาใหญ่ของต้าฉู่ ตระกูลกู้จึงไม่
สามารถเทียบกับพวกเขาได้อีก แต่ก็ยังถือว่าเป็น
รากฐานที่มั่นคงของเจียงหลิง
หยางหนิงคิดในใจว่าครอบครัวของกู้ชิงฮั่นมีภมู ิหลัง
เช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่จะได้แต่งเข้าจวนโหว แล้วก็ได้รับ
ความไว้วางใจจากไท่ฮูหยิน เป็นคนดูแลทุกอย่างใน
จวน
เห็นข้างหน้ามีชายชราผู้หนึ่งกาลังนั่งอยู่ริมที่นา
หยางหนิงก็เดินเข้าไปหา แล้วยิ้มว่า “ท่านลุง ท่านยัง
ไม่เลิกงานอีกหรือ?”
ชายชราเห็นทั้งคู่นานแล้ว หยางหนิงท่าทางไม่แปลก
สักเท่าไหร่ แต่ว่ากู้ชิงฮั่นหน้าตาหล่อเหลาเอาการ
ผิวขาวเนียน ชายแก่รู้ทันทีว่าทั้งคู่น่าจะไม่ใช่คน
ธรรมดา จากนั้นเขายิ้มแล้วก็พูดว่า “ท่านทั้งสองจะ
ไปที่ไหนกันรึ? เดินหลงทางกันรึ?”
เขาคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะตั้งใจเดินมาถึงที่นาแห่งนี้
อาจจะเดินหลงทางเข้ามา
“ใช่แล้ว เรามาท่องเที่ยวยังเจียงหลิง เดินหลงทาง
มาถึงที่แห่งนี้” หยางหนิงพูด อีกด้านกู้ชิงฮั่นก็มอง
หยางหนิงแปลกๆ ในใจก็แอบคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่
เพียงสมองหายเป็นปกติ แต่มีความกระล่อนเพิ่มขึ้น
ด้วย พูดอะไรเหลวไหลได้เป็นตุเป็นตะ ดูเป็น
ธรรมชาติ
“แล้วจะไปที่ไหนกันเล่า? ข้ารู้จักแถวนี้ดี ช่วยบอก
ทางพวกเจ้าได้” ชายชราพูดด้วยความเป็นมิตร
หยางหนิงคิดในใจว่ากู้ชิงฮั่นพูดถูก คนที่นี่เรียบง่าย
ชายชราผู้นี้ก็ดูจิตใจดี จากนั้นก็เดินไปนั่งยองๆ ข้างๆ
ชายชรา มองแล้วถามว่า “ท่านลุง ปีนี้พืชพันธุ์งอก
เงยดีใช่หรือไม่? เก็บเกี่ยวหมดแล้วหรือ?”
“ผลผลิตปีนี้ก็งอกเงยดี” ชายชรายิ้มแล้วพูดว่า
“ผลผลิตเก็บแล้ว นาก็ไถดินรอปลูกปีหน้าแล้วล่ะ”
“ผลผลิตเก็บหมดแล้ว ปีใหม่ก็คงมีมากพอที่จะเอาไว้
กินไว้ใช้ใช่หรือไม่?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
ได้ยินมาว่าที่ดินของพวกท่านเป็นของจิ่นอีโหว เก็บ
ภาษีถูกกว่าที่อื่นตั้งเยอะ”
ระหว่างทางหยางหนิงรู้มาจากกู้ชิงฮั่นแล้วว่า ที่ดิน
ศักดินาสามพันไร่ของจิ่นอีโหว ภาษีทุกอย่างเป็น
อานาจการควบคุมของจิ่นอีโหว ไม่อยู่ภายใต้การ
ควบคุมของราชสานัก
ฮ่องเต้ต้าฉู่เองก็ทรงมีเมตตาต่อราษฎร หลายปีก่อน
เก็บภาษีสามส่วน แต่ว่าหลายปีมานี้ทาศึกบ่อยครั้ง
เลยเพิ่มการเก็บภาษีเป็นสี่ส่วน ส่วนที่ดินศักดินา
สามพันไร่ของจิ่นอีโหว เก็บในอัตราสองส่วนมาโดย
ตลอด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในบรรดาขุนนางที่ได้รับ
ที่ดินศักดินา จิ่นอีโหวเก็บภาษีต่าที่สุดแล้ว
สาหรับจิ่นอีโหวแล้ว จวนจิ่นอีโหวไม่ได้มีความหรูหรา
ที่ดินศักดินาก็เป็นบ้านเกิดบ้านเก่า ที่ดินก็เป็นของ
พ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งนั้น ดังนั้นก็ถือได้ว่าจิ่นอีโหวได้
ทาประโยชน์ให้กับญาติพี่น้องในท้องที่
ชายชรายิ้มแล้วพูดว่า “ก็แค่พอให้ผ่านไปได้เท่านั้น”
กู้ชิงฮั่นเองก็ยืนอยู่ข้างๆ นางเป็นคนฉลาด มองจาก
สีหน้าท่าทางแล้ว ชายชราผู้นี้พูดอย่างฝืนๆ ดูก็รู้ทันที
ว่ามันจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่อย่างแน่นอน
นางจึงถามกลับไปว่า “บ้านของท่านลุงมีกี่คนรึ?”
“มีลูกชายสองคน รวมๆ แล้วก็เก้าชีวิต” สีหน้าของ
ชายชราเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“แล้วมีที่นากี่ไร่รึ?” กู้ชิงฮั่นอย่างไรเสียก็เป็นหญิง จะ
ให้ไปนั่งยองๆ เช่นหยางหนิงก็คงจะไม่เหมาะ ทาได้
แค่ยืนถามข้างๆ ชายชราเท่านั้น
ชายชรายกมือแล้วชี้ไปข้างหน้า “ที่นาของข้าก็คือตรง
นี้ทั้งหมดแปดไร่”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า นางพอจะรู้คร่าวๆ เกี่ยวกับที่นี่
ตอนที่อดีตฮ่องเต้ประทานที่ดินศักดินาให้ ได้เลือก
ที่นาที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ทั้งหมดสามพันไร่ ชาวบ้าน
ที่นี่สามารถมีที่นาได้หนึ่งไร่ขึ้นไป แต่อย่างน้อย
จะต้องมีที่นาสี่ถึงห้าไร่ขึ้นไป จิงโจวถือเป็นพื้นที่
ปลูกข้าวที่ใหญ่ที่สุด ที่นี่มีที่นามาก ชาวบ้านที่นี่ ที่นา
มากสุดก็มีราวสิบกว่าไร่ น้อยสุดก็มีสี่ถึงห้าไร่
ชายชรามีที่นาถึงแปดไร่ ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่มี
ฐานะพอตัว
“ที่นาหนึ่งไร่ ได้ผลผลิตประมาณเท่าไหร่หรือ?”
กู้ชิงฮั่นถามอย่างละเอียด
ชายชราไม่ได้คิดเลยว่ากู้ชิงฮั่นจะมีอย่างอื่นแฝงอยู่
ด้วย คิดแค่ว่าพวกเขาสองคนผ่านมาแล้วเกิดสนใจ
เท่านั้น จึงอธิบายต่อว่า “สองปีที่ผ่านมานี้ฟ้าฝนเป็น
ใจ ผลผลิตก็ไม่ได้แย่ ข้ามีที่ดินแปดไร่ แต่ละไร่ก็น่าจะ
ได้ข้าวประมาณสองสามกระสอบ”
หยางหนิงรู้ว่า ข้าวหนึ่งกระสอบก็น่าจะมีประมาณ
หกสิบกิโล หรือประมาณหนึ่งร้อยกิโล ชายชรามี
ผลผลิตสามร้อยกิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเทียบกับในยุค
ปัจจุบัน สามร้อยกรัมถือว่าน้อยยิ่งนัก แต่ว่าในยุค
สมัยนี้ เนื่องจากข้อจากัดในนวัตกรรม หนึ่งไร่สามารถ
ได้สามร้อยกรัม ก็ถือว่าสูงมากแล้ว
“หากเป็นเช่นนั้นแปดไร่ ในหนึ่งปีก็น่าจะได้ผลผลิต
กว่ายี่สิบกระสอบใช่หรือไม่?” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ได้ยิน
มาว่าจิ่นอีโหวเก็บภาษีแค่สองส่วน แล้วพวกที่
เหลืออยู่มีเท่าไหร่ น่าจะพอให้กินอิ่ม”
หยางหนิงยังคงพูดปกติเช่นเคย ในหนึ่งปีหักภาษี
ออกไปแล้ว ชายชราก็น่าจะยังเหลือผลผลิตราว
สองพันกิโล ถึงแม้ในบ้านจะมีถึงเก้าคน แต่ก็น่าจะพอ
ให้กินอิ่มนอนหลับได้สบาย
ชายชราถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเป็นอย่างนั้น
ก็ไม่ต้องมาคิดมากเรื่องกินเรื่องใช้แล้ว”
“ท่านลุง ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นมองหน้ากัน แล้วรีบถามว่า
“หรือว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นรึ?”
ชายแก่ส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่พูดดีกว่า พูดไปก็
ไม่มีประโยชน์อันใด ตกลงพวกเจ้าจะไปไหนกันรึ?”
กู้ชิงฮั่นรู้แล้วว่ามีปัญหาแน่ๆ ไม่มีทางไปง่ายๆ
แน่นอน นางพูดกลับไปอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านลุง
เห็นท่าทางของท่านแล้ว หรือว่าในปีหนึ่ง ท่านมี
ผลผลิตเหลือไม่ได้ขนาดนั้นหรือ?”
ชายชราเห็นท่าทางและน้าเสียงอ่อนโยน ก็ยิ้มเจื่อนๆ
ว่า “ปีหนึ่งได้ข้าวยี่สิบกระสอบ มันพอแน่นอน
สาหรับบ้านเรา ประหยัดหน่อย ก็เพียงพอที่จะมี
ฐานะที่ดีได้ แต่ว่า...เฮ้อ แต่ในปีหนึ่ง เหลือไม่ถึงสิบ
กระสอบ คนในบ้านก็มาก ข้าวสวยกินน้อยหน่อย
กินข้าวต้มมากขึ้นก็พอผ่านไปได้”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว “ทาไมถึงได้
เหลือเพียงสิบกระสอบเล่า?”
ชายแก่ยังไม่ทันได้พูด อีกด้านหนึ่งไม่ไกลนักก็มีการ
ตีฆ้องดังขึ้น หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นมองไป เห็นชายวัย
กลางคนคนหนึ่งกาลังตีฆ้องร้องเสียงดังว่า “เจ้าคนแซ่
หลัวมาแล้ว ทุกคนกลับหมู่บ้านเร็ว เจ้าคนแซ่หลัว
มาแล้ว ทุกคนกลับหมู่บ้านเร็ว...!” เสียงของเขาดัง
กังวาน
ชายชราที่นั่งอยู่ขอบไร่ก็รีบลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะ
บอกหยางหนิงว่า “พวกเจ้าออกจากหมู่บ้านไปก่อน
ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน” เขาไม่ได้พูดอะไรมาก
จากนั้นก็วิ่งไปทางคนตีฆ้อง ไม่เพียงแค่เขา หยางหนิง
กับกู้ชิงฮั่นเห็น ทุกคนที่อยู่ในไร่ต่างก็ถืออุปกรณ์ทา
นา แล้ววิ่งไปที่คนตีฆ้อง
“ซานเหนียง เหมือนจะมีเรื่องในหมู่บ้านเกิดขึ้น”
หยางหนิงขมวดคิ้ว “เราไปดูกันดีกว่า”
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นในตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อ
ได้ยินหยางหนิงพูด ก็รีบพยักหน้า “เราไปดูกัน เจ้า
คนแซ่หลัวคือผู้ใดกัน? เหมือนพวกเขาจะวิ่งไปหาคน
แซ่หลัวกันหมด”
เห็นกลุ่มชาวนารวมตัวกัน ตอนนี้ทุกคนต่างวิ่งไปที่
ตีนเขา ไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ ราวกับว่าบ้านไฟไหม้
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 78 รีดนาทาเร้นทรัพย์สินชาวบ้าน
ทั้งคู่จูงม้าเข้าหมู่บ้านมา เห็นทางข้างหน้ามีกลุ่มคน
ยืนล้อมอยู่ มีทั้งชายหญิงทั้งเด็กทั้งคนแก่ อย่างน้อยๆ
ก็น่าจะมีประมาณร้อยคน ในหมู่บ้านจู่ๆ ก็ดูวุ่นวาย
ขึ้นมา
หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นรีบผูกม้าเอาไว้ แล้วก็เดินเข้าไป
ร่วมวงด้วย เห็นพวกชาวบ้านต่างมีความโกรธเคือง
ตรงหน้ามีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่
คนเหล่านั้นต่างจากชาวบ้าน พวกเขาใส่เสื้อแขนสั้น
ร่างกายสูงใหญ่กายา มีประมาณห้าหกคนยืนอยู่
ด้านหลังชายวัยกลางคนสวมชุดเทา ชายวัยกลางคนๆ
นั้นถือสายรัดสีเทา น่าจะมีอายุราวๆ สี่สิบ ใบหน้ามี
รอยบาก สีหน้าท่าทางดุดัน ไม่ได้มีความเป็นมิตรเลย
แม้แต่น้อย
ด้านหลังของคนเหล่านั้น มีม้าอยู่หลายตัว แสดงว่า
ขี่ม้ามากัน
หยางหนิงรู้ว่าม้าของต้าฉู่เป็นของหายาก คนทั่วไป
ไม่มีทางมีม้าได้ แสดงว่าคนพวกนี้จะต้องมีที่มาไม่
ธรรมดา
“อะไรกัน นี่คิดจะตีหรือจะฆ่ากันแน่?” คนชุดเทา
ชี้นิ้วกวาดไปที่เครื่องมือของชาวบ้าน จากนั้นก็พูดว่า
“หากจะฆ่าคนอาศัยของกระจอกเช่นนี้ไม่มีทางทาได้
หรอก”
ตอนนี้มีชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ายืนอยู่หน้าชาวบ้าน
อายุก็ราวๆ สี่สิบเช่นกัน หยางหนิงเห็นเพียงด้านหลัง
ของเขา จึงไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาเป็นเช่นไร ข้างๆ ตัว
เขา ก็มีคนร่างใหญ่ถือเครื่องมือทานาราวๆ สิบคน
กาลังเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นอยู่
หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นแทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคน
ถึงแม้จะมีชาวบ้านมองพวกเขาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์
มากกว่า เลยไม่มีคนสนใจสองคนนั้นนัก
“ผู้ดูแลหลัว พวกเขาเพิ่งกลับมาจากการทานา ไม่ได้
จะทาอะไรเสียหน่อย” ชาวบ้านคนที่อยู่หน้าสุดพูด
“แต่ว่าคาขอที่ท่านเอ่ยมานั้น พวกเราปรึกษากันแล้ว
เกรงว่าจะทาตามที่ท่านผู้ดูแลหลัวร้องขอมิได้ ไม่ว่า
ใครก็อยากจะมีชีวิตรอดกันทั้งนั้น คงไม่อาจบีบตัวเอง
ให้ถึงที่ตายหรอกขอรับ”
“ช้าก่อน” ชายชุดเทาชัดเจนว่าคือผู้ดูแลหลัว ยกมือ
ขึ้นแล้วพูดว่า “หานอี้ เจ้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหลูหวัง
ก็น่าจะเข้าใจนะว่า คาร้องขอนี้ มันไม่ใช่เจตนาของ
หลัวชางกุ้ย แต่เป็นเจตนาของจวนจิ่นอีโหว” พูดจบ
ก็ยกมือคานับขึ้นทางขวา “ท่านจิ่นอีโหวสิ้นไป
ทั่วแคว้นต่างอาลัย เขาเป็นเสาหลักของแคว้น จัดงาน
ศพ ก็ต้องแตกต่างจากผู้อื่น ค่าใช้จ่ายก็มีมาก
ท่านจิ่นอีโหวเป็นหน้าตาของชาวเจียงหลิงเรา เราก็
อาศัยบารมีท่านโหวมีชีวิต ตอนนี้ท่านโหวสิ้นไป หาก
ยังมีสานึกอยู่บ้าง ก็ควรจะตอบแทนบุญคุณท่าน แต่
พวกเจ้ากลับยึกยัก หรือว่าพวกเจ้าจะเป็นพวกกินบน
เรือนขี้รดบนหลังคารึ?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ดูแลหลัวมาถึงก็ยกจิ่นอีโหว
ออกมาพูด ในใจก็แอบคิดว่าเรื่องที่จิ่นอีโหวสิ้นนั้น
มาถึงเจียงหลิงแล้วหรือ
กู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้าดูไม่ดีนัก
หานอี้ชายผิวคล้าจึงรีบพูดว่า “ผู้ดูแลหลัว ท่านโหวมี
บุญคุณกับเรายิ่งนักเราไม่เคยลืม แต่ทุกครั้งที่ร้องขอก็
จะเอาข้าวเพียงบ้านละกระสอบเท่านั้น เรารับไม่ไหว
จริงๆ” จากนั้นก็หันแล้วชี้ไปที่กลุ่มชาวบ้าน “ท่าน
ผู้ดูแลหลัว ชาวบ้านหลูหวัง ถึงแม้จะไม่ได้ผอมถึง
กระดูก แต่ก็แห้งจนจะไม่มีเนื้อหนังกันอยู่แล้ว ถึงแม้
จะได้ผลผลิตมาแล้ว แต่ก็เก็บเอาไว้จนถึงปีหน้า
หลายครอบครัวก็แทบจะไม่มีกินอยู่แล้ว หากต้องเอา
ออกมาอีกคนละกระสอบ ขอถามผู้ดูแลหลัวหน่อย
เถิด ท่านต้องการให้พวกเขาตายหรืออย่างไรกัน?”
“ตามที่เจ้าว่า เกียรติของท่านจิ่นอีโหวไม่สาคัญเลย
หรืออย่างไร?” ผู้ดูแลหลัวยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ท่าน
จิ่นอีโหวเป็นคนใสซื่อมือสะอาด รายรับของท่านโหว
ก็มาจากพวกเจ้า มาถึงตอนนี้ พวกเราไม่ช่วย แล้ว
ผู้ใดจะช่วยเล่า แล้วผู้ใดจะมาช่วยรักษาเกียรติของ
จวนโหวกันเล่า? จะต้องให้ท่านโหวต้องมาเสียเกียรติ
ต่อหน้าขุนนางนับร้อยเพียงเพราะผลผลิตของพวก
เจ้าอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นเข้าใจหยางหนิง แล้วส่ายหัว
ทันใดนั้นเองก็มีชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า
“ผู้ดูแลหลัว หมู่บ้านหลูหวังเคยส่งข้าวขาดไปสักเม็ด
หรือไม่? พวกเจ้าบอกว่าท่านโหวไปออกรบ
บ้านเมืองลาบาก เราต้องจ่ายภาษีสี่ส่วน พวกเราก็
ไม่ได้ขัดข้องอะไรนัก พวกเราก็จ่ายเป็นรายหัวให้
ปกติ พวกเจ้ามาดึงคนไปทางาน ข้าวก็ไม่ให้กิน เราก็
มิได้ว่าอะไร เอะอะอะไรก็เอาท่านโหวมาอ้าง พวกเรา
รู้ แต่ก่อนเราใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสบายได้ เพราะ
ท่านโหว ตอนลาบากเราก็อดทนเพื่อท่านโหวบ้างมัน
ก็เป็นเรื่องทีส่ มควร” เสียงของเขาดูจริงจัง “หลายปี
มานี้อาหารของเราลดลง การกินอยู่ก็กลายมาเป็น
ปัญหา แต่พวกเจ้ากลับมารีดไถทรัพย์สินชาวบ้าน
เรียกเก็บภาษีสูงขึ้นทุกปี ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แล้ว
พวกเราจะอยู่กันได้อย่างไร?”
ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียว มีคน
ตะโกนออกมาว่า “ตอนที่ท่านเหล่าโหวสิ้น ก็มิได้บอก
ให้ต้องส่งผลผลิตเพิ่มขึ้น ตอนนี้ท่านโหวสิ้น ทาไมถึง
เปลี่ยนกฎเล่า?”
หยางหนิงสีหน้าดุดัน กู้ชิงฮั่นสีหน้าดูแย่ กาหมัด
ขึ้นมา
ผู้ดูแลหลัวสายตาดุดันขึ้นมา แล้วพูดว่า “ดูท่าแล้ว
ท่านโหวคงดีกับพวกเจ้ามากเกินไป ทาให้พวกเจ้า
สบายเกินไป ที่ดินที่พวกเจ้าใช้ปลูกข้าว เป็นที่ดิน
ศักดินาที่อดีตฮ่องเต้ทรงประทานให้กับท่านโหว
อย่ามาพูดเลยว่าผลิตผลได้เท่าไหร่ถือเป็นการ
ตอบแทนบุญคุณ ต่อให้ต้องเก็บผลผลิตของพวกเจ้า
ทั้งหมด พวกเจ้าก็ต้องส่งมา”
“ผู้ดูแลหลัว พูดแบบนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยนะ”
หานอี้พูดด้วยน้าเสียงเข้มๆ ว่า “ข้าเคยได้ยินคนที่
เรียนหนังสือเขาว่ากันว่า แผ่นดินทั่วหล้าล้วนแล้วแต่
เป็นของฮ่องเต้ แต่ไม่เคยได้ยินว่าราชสานักจะ
สามารถเก็บภาษีได้ตามใจชอบ หมู่บ้านของพวกเรา
เป็นที่ดินของบรรพบุรุษเก็บไว้ให้ เป็นที่ดินสืบทอดกัน
มาหลายยุคหลายสมัย ภาษีที่เราควรจ่ายเราก็จ่ายไป
แล้ว ต่อให้ท่านโหวมาที่นี่เอง ก็ไม่มีสิทธิเก็บที่นาของ
เราไป”
ผู้ดูแลหลัวยิ้มแสยะ จ้องไปที่หานอี้แล้วพูดว่า “หานอี้
ดูท่าเจ้าจะไม่ชอบไม้อ่อนอยากโดนไม้แข็งใช่หรือไม่
ข้าขอถามสักคา ท่านโหวสิ้นต้องใช้ผลผลิต พวกเจ้า
จะให้หรือไม่ให้?”
หานอี้ตะโกนพูดว่า “ข้าบอกไปแล้ว ทุกคนที่นี่ยัง
อยากมีชีวิต ในเมื่ออยากมีชีวิตก็ต้องมีอาหาร ผลผลิต
ที่ควรให้เราก็ให้ไปหมดแล้ว ใครที่คิดจะขูดรีดผลผลิต
จากพวกข้า พวกข้าก็ไม่มีให้แม้แต่เม็ดเดียว”
“ดี ถือว่ากล้าสมชายชาตรี” ผู้ดูแลหลัวยกมือหัว
แม่โป้งให้ “หานอี้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ มีคนวิ่งไปถึงเมือง
หลวง คิดจะไปฟ้องที่จวนโหว บอกว่าที่นี่เก็บภาษี
ตามอาเภอใจ เรื่องนี้พวกเจ้าก็มีส่วนรู้เห็นด้วยใช่
หรือไม่?”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องใด” หานอี้ยิ้มเจื่อนๆ “แต่ว่า
พวกเจ้าก็บีบพวกข้ามากเกินไป หากข้าไปเมืองหลวง
มาจริงๆ ทาไมภาษีถึงได้ขึ้นเอาทุกปีๆ เช่นนี้เล่า?”
“อย่างเจ้าหรือจะเข้าจวนโหว?” ผู้ดูแลหลัวพูดว่า
“คนที่ไปเมืองหลวงครั้งที่แล้ว พอกลับมา ก็ถูกพวก
ข้าตีจนขาหัก ชาตินี้คงต้องนอนอยู่เฉยๆ หรือว่าพวก
เจ้าไม่เคยได้ยิน?”
หานอี้หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาอยู่แล้ว หรือ
ว่าผู้ดูแลหลัวอยากจะตีขาของข้าจนหักบ้างเล่า?”
ชาวบ้านที่ถือจอบถือเสียมก็ยกอาวุธในมือขึ้นมา
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปข้างๆ หูของกู้ชิงฮั่น
แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “มีคนไปร้องเรียนที่เมืองหลวง
ด้วยหรือ?”
กู้ชิงฮั่นหน้านิ่ง และยังคงส่ายหน้าเช่นเคย
“หานอี้ไม่คิดจะส่งมอบผลผลิตมา พวกเจ้าก็
เหมือนกันใช่หรือไม่?” ผู้ดูแลหลัวกวาดสายตาไป
รอบๆ “เขาคงไม่อยากเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่
แล้วกระมัง พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตกันแล้วใช่หรือไม่?”
“พวกข้าจะไม่ยอมไม่ส่งให้” คนที่อยู่ข้างๆ ตะโกน
ขึ้นมา “ครั้งนี้แม้แต่ข้าวเม็ดเดียวพวกข้าก็จะไม่ส่ง
ให้”
ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ร้องตะโกนขึ้นมาเช่นกัน
ผู้ดูแลหลัวยิ้มเจื่อนๆ ชี้ไปที่คนๆ หนึ่ง แล้วพูดด้วย
เสียงเข้มๆ ว่า “เจ้าออกมานี่ซิ เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่า
อย่างไรนะ?”
คนผู้นั้นถูกผู้ดูแลหลัวชี้ จึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
แต่ยังคงรวบรวมความกล้าแล้วเดินออกมาพูดว่า “ข้า
...ข้าบอกว่าข้าไม่ให้ผลผลิต ผลผลิตที่ควรให้...” เขา
พูดยังไม่ทันจบ ด้านหลังของผู้ดูแลหลัวก็มีชายผู้หนึ่ง
เดินออกมา แล้วกระชากคอเสื้อของชายคนนั้นเอาไว้
ชายผู้นั้นตกใจยิ่งนัก เขาร่างกายบอบบาง เมื่อเทียบ
กับชายฉกรรจ์ยังห่างชั้นกันมากนัก ชาวบ้านจับเอา
ไม้คานยกขึ้นมาฟาด แต่ชายฉกรรจ์เหมือนจะผ่าน
การฝึกมานักต่อนักแล้ว ใช้มือกระชากไม้คานมา
จากนั้นก็ไม่พูดอะไร ยกไม้คานขึ้นมาแล้วฟาดไปที่
ศีรษะของชาวบ้านผู้นั้นอย่างแรง
เสียงร้องอันเจ็บปวดดังขึ้น ไม้คานกระแทกไปที่ศีรษะ
ชาวบ้านคนนั้นดูมึนงง จากนั้นจึงล้มลง เลือดไหล
ซิบๆ ออกมา ชาวบ้านคนอื่นต่างตกใจ บางคนเริ่ม
โกรธ แต่คนส่วนมากจะตกใจเสียมากกว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” หานอี้ตะคอก “พวกเจ้าคิดจะทา
สิ่งใดกัน?” จากนั้นก็พุ่งเข้าไป คิดจะไปดูแผลของ
ชาวบ้านคนที่บาดเจ็บผู้นั้น ชาวบ้านอายุน้อยหลาย
คนคิดว่าหานอี้จะบุกเข้าไป เลือดในตัวก็พลุ่งพล่าน
ต่างตะโกนโห่ร้องตามหานอี้ไป ชายฉกรรจ์ด้านหลัง
ของผู้ดูแลหลัวต่างพากันบุกเข้ามา
หยางหนิงขมวดคิ้ว เขามองออกเลยว่าคนของผู้ดูแล
หลัว อย่างไรเสียก็ผ่านการฝึกมาแล้ว ถึงแม้ศิลปะการ
ต่อสู้จะไม่สูงนัก แต่ก็ชานาญการต่อสู้อยู่บ้าง
ชาวบ้านเหล่านี้ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้
อย่างแน่นอน
ชาวบ้านคนอื่นต่างโกรธแค้น แต่ว่าเมื่อเห็นชาย
ฉกรรจ์ร่างยักษ์ท่าทางดุดัน ก็ไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้าไป
ต่างก็รักตัวกลัวตายเช่นกัน
หานอี้ร่างกายสูงใหญ่ แรงก็มีไม่น้อย เขาไม่ได้คิดจะ
ลงมือกับคนเหล่านี้แต่แรก แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่ม
ลงมือกันไปแล้ว เขาเองก็จนปัญญา เห็นชายฉกรรจ์
ผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาหาตน จึงทาได้เพียงตั้งรับ จากนั้นก็
จับไปที่มือของอีกฝ่าย พัลวันกันอยู่ครู่หนึ่ง ชาย
ฉกรรจ์ผู้หนึ่งโยนชาวบ้านสองคนลงกับพื้น เห็นหานอี้
ยังสู้อยู่ จึงหยิบไม้คานขึ้นมา แล้วตั้งใจเดินไปฟาดใส่
หลังศีรษะของหานอี้อย่างแรง
เขายกไม้คานขึ้นมา ยังไม่ทันได้ฟาด ก็รู้สึกว่าไม้คาน
มันถูกรั้งเอาไว้ ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ไม้คานในมือก็ถูก
กระชากออกจากมือไป
ชายผู้นั้นจึงสะดุ้งตกใจ ยังคิดว่าเป็นชาวบ้านคนอื่นที่
เข้ามาขวาง เมื่อหันหลังไปดู เห็นแค่เพียงเด็กหนุ่ม
อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น เสื้อผ้าไม่
เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ไม้คานถูกเขาแย่งเอาไป
ชายฉกรรจ์ตกใจยิ่งนัก เห็นชายหนุ่มเหมือนจะ
อ่อนแอบอบบาง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะมี
แรงกระชากไม้คานออกไปจากมือของเขาได้
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 79 หนาวเหน็บ
ชาวบ้านที่ล้อมอยู่ตรงนั้นก็มีไม่น้อยที่เห็น พวกเขา
เห็นชายฉกรรจ์กาลังจะฟาดที่ศีรษะของหานอี้ ทันใด
นั้นก็มีคนร้องตะโกน แค่ในพริบตาเดียว ก็เห็นชาย
หนุ่มคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามา แล้วกระชากไม้คานออก
จากมือของชายฉกรรจ์อย่างง่ายดาย จึงทาให้พวกเขา
ถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่เห็นชายหนุ่มอ่อนแอผู้นั้นสามารถกระชากไม้คาน
ออกจากมือชายฉกรรจ์ได้อย่างง่ายดาย ต่างก็ตกใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชราที่คุยกับหยางหนิงก่อน
หน้านี้ เขาจาหยางหนิงได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้า
บ้าบิ่นถึงเพียงนี้
กู้ชิงฮั่นจริงๆ ก็ยืนจ้องผู้ดูแลหลัวอยู่ แต่เมื่อได้ยิน
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด กลับพบว่าหยางหนิงเข้า
ไปยุ่งเสียแล้ว ตอนนี้เห็นหยางหนิงถือไม้คานไม้นั้นก็
ร้อนใจและกังวลยิ่งนัก
ถึงแม้นางจะโกรธแค้นผู้ดูแลหลัวกับพวกยิ่งนัก แต่
เมื่อหยางหนิงยื่นมือเข้าไป ก็ยังคงทาให้นางรู้สึกอึ้งไป
ครู่ใหญ่ เพราะอย่างไรเสียเมื่อก่อนหยางหนิงก็บ้าๆ
บอๆ มาก่อน ถึงแม้จะเกิดในตระกูลนักรบ แต่ก็ไม่
เคยฝึกวิชาการต่อสู้มาก่อน แต่ในตอนนี้กลับออกหน้า
ราวกับวีรบุรุษ เกรงว่าจะเสียเปรียบพวกนั้นเข้า นาง
คิดว่าจะเดินเข้าไปเผยสถานะที่แท้จริง หากอีกฝ่ายรู้
ว่าเขาเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ คงไม่กล้าทาอะไรมากนัก
แต่ว่าฐานะจิ่นอีซือจื่อไม่ใช่ฐานะปกติ กู้ชิงฮั่นก็กลัวว่า
หากพวกเขารู้ฐานะที่แท้จริงของหยางหนิงแล้ว จะทา
ให้หยางหนิงเดือดร้อน ในขณะที่กาลังลังเลอยู่นั้น
กลับเห็นชายฉกรรจ์ที่ถูกแย่งไม้คานไปพุ่งเข้าใส่
หยางหนิงอย่างรวดเร็ว เขากาหมัดเตรียมที่จะซัดใส่
หยางหนิง
“หนิงเอ๋อ ระวัง...!” กู้ชิงฮั่นหลุดตะโกนออกมาด้วย
ความตกใจ ตอนนี้นางไม่ทันได้คิดอะไร แหวกคนที่อยู่
ด้านหน้าออกไป แล้วเดินเบียดคนที่เบียดเสียดเข้าไป
อย่างรวดเร็ว
หยางหนิงเห็นอีกฝ่ายซัดหมัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขา
ยังคงมีสติอยู่ เขาเอี้ยวตัวหลบได้ทัน และไม่พูดมาก
ความ ยกไม้คานขึ้นมาแล้วฟาดเข้าใส่ชายฉกรรจ์เข้า
ไปอย่างเต็มแรง ไม้คานหักเป็นสองท่อน ชายฉกรรจ์
ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้น
หัวแตก เลือดไหลออกมาไม่หยุด
ชายฉกรรจ์ร้องด้วยความเจ็บปวดเสียงดัง ทาให้คน
อื่นๆ ที่กาลังมะรุมมะตุ้มกันอยู่นั้น หันกลับมามอง
ทั้งหมด เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ล้มลงไปกับพื้น เห็นห
ยางหนิงโยนไม้คานทิ้งลงข้างๆ ร่างของชายฉกรรจ์
คนนั้น แล้วกาลังจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย ทุกคน
ตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก
คนรอบๆ นิ่งไปกันหมด โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ แต่ก็
รีบเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หยางหนิง ไม่นานนักก็มา
ยืนล้อมหยางหนิงเอาไว้
เหล่าชาวบ้านช่วยกันพาชาวบ้านที่บาดเจ็บออกไป
หานอี้มองไปที่หยางหนิง สีหน้าสงสัย ไม่เข้าใจว่า
ทาไมจู่ๆ มีคนเกินออกมาอีกคน
กู้ชิงฮั่นตอนนี้ฝ่าฝูงชนออกมา แล้วก็พูดว่า “หนิงเอ๋อ
...!”
หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่น จากนั้นก็ยิ้ม แล้วก็
ส่ายหน้า เพื่อส่งสัญญาณบอกให้กู้ชิงฮั่นอย่าเข้ามา
กู้ชิงฮั่นกังวลใจยิ่งนัก เหลือบไปมองผู้ดูแลหลัว
ทั้งโกรธทั้งแค้น
ผู้ดูแลหลัวได้ยินกู้ชิงฮั่นร้องตะโกน ก็หันไปมอง
กู้ชิงฮั่น เห็นเป็นชายหน้าตาสาอาง ก็ไม่ได้สนใจอะไร
นัก เดินเข้าไปมองหยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “มีวีรบุรษ
โผล่มาอีกคนรึ อายุแค่นี้ช่างหาได้ยากนัก ข้าว่าเจ้า
น่าจะไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ เจ้ามาจากที่ใดรึ?”
หยางหนิงกาลังจัดเสื้อตนอยู่นั้น เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ผู้ดูแลหลัว พวกเจ้าต้องการตอบแทนบุญคุณของ
จิ่นอีโหว ก็ไม่ควรบังคับเรียกเก็บภาษีเยี่ยงนี้ อย่างไร
เสียก็ต้องได้รับความยินยอมจากพวกเขาด้วย ในเมื่อ
พวกเขาไม่เต็มใจ ท่านจะไปบีบบังคับพวกเขาอีก
ทาไมกัน? ตอนนี้ท่านจิ่นอีโหวก็สิ้นไปแล้ว ในจวน
จิ่นอีโหวเองก็น่าจะยุ่งวุ่นวายไม่น้อย ไม่มีทางจะมา
คิดให้ทางเจียงหลิงต้องมาตอบแทนบุญคุณอะไร
พวกนี้หรอก ความคิดที่จะเรียกเก็บภาษีเพื่อแสดง
ความกตัญญูนี้ คิดว่าพวกเจ้าน่าจะใช้ก้นของพวกเจ้า
คิดออกมากันเองจริงหรือไม่?”
ผู้ดูแลหลัวตกใจอึ้งไปชั่วครู่ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจ้าเป็นใครกัน? ฟังจากสาเนียงของเจ้า ไม่น่าใช่
คนเจียงหลิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“รู้สิ เจ้าแซ่หลัว เหมือนจะเป็นผู้ดูแลอะไรสักอย่าง
ดูแลเรื่องเหลวไหล อะไรสักเรื่อง ข้าเองก็ดูออก”
หยางหนิงพูดอย่างเรียบๆ ว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้า
เป็นใคร?”
กู้ชิงฮั่นคิดในใจ หรือว่าหยางหนิงคิดจะเปิดเผยฐานะ
ของตนเอง? แต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้นั้นช่างอันตราย
ยิ่งนัก หยางหนิงถูกชายฉกรรจ์หลายคนล้อมเอาไว้
ก็คงทาได้แค่เปิดเผยฐานะของตัวเองเท่านั้น
ผู้ดูแลหลัวจ้องไปที่หยางหนิง แล้วถามว่า “เจ้าเป็น
ใครกันเล่า?”
“ข้าชื่อจวนต๋าโก่ว ความหมายของมันก็ตรงตัว เมื่อ
เห็นหมากัดคน ก็อดไม่ได้ที่จะต้องสั่งสอน” หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าชื่อของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้ดูแลหลัวรู้ว่าหยางหนิงพูดจาเหลวไหล แสร้งทาเป็น
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจะชื่ออะไรข้าไม่สนใจ ข้ารู้แค่ว่า
อีกเดี๋ยว เจ้าก็จะเหมือนกับหมาตัวหนึ่ง ที่คลานอยู่ที่
พื้นเท่านั้น” จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้ชายฉกรรจ์
คนหนึ่ง เขาพุ่งตัวออกไปราวกับลูกศร
หยางหนิงกลับลงมือก่อน ชายฉกรรจ์ซัดหมัดออกมา
ได้เพียงครึ่งหนึ่ง หยางหนิงก็จับข้อมือของเขาเอาไว้
ขณะที่หยางหนิงจับข้อมือของเขา ร่างกายของเขาก็
ยังไม่ได้หยุดพุ่งตัวเข้ามา จึงถูกหยางหนิงโยนร่างของ
เขาออกไป หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “แกรก”
กระดูกข้อมือของชายฉกรรจ์หัก เขาร้องออกมาด้วย
ความเจ็บปวด หยางหนิงเดินไปที่หลังของเขา จับ
ข้อมือที่หักของเขาเอาไว้ ดึงมาทางด้านหลัง แล้วดัน
ข้อเข่าของเขาลงไปกับพื้น
ตั้งแต่หยางหนิงลงมือจนกระทั่งชายฉกรรจ์คุกเข่าลง
ไป เวลาแค่ชั่วพริบตา คนไม่น้อยยังไม่ทันได้เห็นเลย
ว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายฉกรรจ์คนนั้นกัดฟันด้วยความเจ็บปวด ชาย
ฉกรรจ์คนอื่นๆ ต่างตกใจ หลังจากเสียงร้องของชาย
ฉกรรจ์ผู้นั้นดังขึ้น ต่างก็พุ่งเข้าใส่หยางหนิง
หัวใจของกู้ชิงฮั่นแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว เห็น
หยางหนิงหลบหลีก อย่างว่องไว เหล่าชายฉกรรจ์เอง
ก็ซัดทั้งหมัดทั้งถีบทั้งเตะ แต่หยางหนิงก็เหมือน
แมวป่า หลบไปตามช่องของคนพวกนั้นอย่างรวดเร็ว
แล้วออกมาจากกลุ่มปีศาจกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มนั้น มา
ยืนอยู่ตรงหน้าของผู้ดูแลหลัว
ผู้ดูแลหลัวเห็นเงาของคนพุ่งตรงมาที่เขา ก็ตกใจยิ่งนัก
เขาไม่มีวิชาการต่อสู้ใดๆ จึงรีบถอยหลัง หยางหนิง
พุ่งตัวเขามาอย่างรวดเร็ว ผู้ดูแลหลัวร้องตะโกน
ออกมา เท้าข้างหนึ่งของหยางหนิงก็ถีบเข้าไปอย่าง
แรง หยางหนิงค่อนข้างมั่นใจในลีลาการเตะของเขา
มาก เชื่อว่าโดนเป้าหมายอย่างแน่นอน
“อ๊าก!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เช่นเดิมคือยังไม่มี
ใครทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นแค่ผู้ดูแลหลัวนั่งก้น
ติดยู่ที่พื้น มือสองข้างกุมไปที่ข้อเท้า สีหน้าเจ็บปวด
ยิ่งนัก
คนที่ตกใจมากที่สุดในตอนนี้คือกู้ชิงฮั่น นางคิดว่าห
ยางหนิงน่าจะตกเป็นรองและเสียเปรียบเสียแล้ว แต่
กลับไม่เป็นอย่างที่คิด คนที่อ่อนแอตอนนี้กลับมี
แข็งแกร่งขึ้นมาเช่นนี้ ไม่เพียงแค่สามารถฝ่าวงล้อม
ของเหล่าชายฉกรรจ์ได้ แต่ยังทาให้ผู้ดูแลหลัวล้มกอง
ไปกับพื้นอีก แต่นางก็เหมือนกับคนอื่นๆ ไม่เห็นว่า
เกิดอะไรขึ้นกับผู้ดูแลหลัวบ้าง
แต่ว่าตอนนี้หลายคนเห็นว่า ในมือของหยางหนิงถือ
มีดสั้นเล่มหนึ่งอยู่ และมีคนเห็นว่า ถึงแม้ผู้ดูแลหลัว
จะเอามือกุมที่ข้อเท้าเอาไว้ แต่ก็ยังเห็นว่ามีเลือดออก
อยู่
ตอนนี้ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่หยางหนิงจาก
ด้านหลัง กู้ชิงฮั่นรีบร้องตะโกนว่า “หนิงเอ๋อ ระวัง
ข้างหลังเจ้า……!”
เห็นหยางหนิงหลบ เหมือนกับมีดวงตาอยู่ด้านหลัง
ชายฉกรรจ์พุ่งใส่อากาศเข้าอย่างแรง จากนั้นก็รู้สึกว่า
เจ็บที่หัวไหล่ หยางหนิงใส่มีดสั้นปักลงไปที่ไหล่ของ
เขา คมมีดมันแทงทะลุเข้าไปด้านใน เหมือนเขาตัด
เต้าหู้ง่ายๆ เสียอย่างนั้น ส่วนหยางหนิงก็ลงมือไวราว
กับสายฟ้า หลังจากแทงแล้วก็รีบดึงมีดออกมาทันที
เหล่าชายฉกรรจ์คนอื่นๆ ก็พุ่งเข้าใส่หยางหนิงอย่างไม่
รีรอ หยางหนิงพุ่งตัวไปอยู่ด้านหลังของผู้ดูแลหลัว
แล้วนั่งยองๆ ลงไป ใช้มีดสั้นจ่อไปที่คอหอยของผู้ดูแล
หลัว ยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่าเข้ามานะ ข้าเป็นคน
ขี้ตกใจ หากพวกเจ้าเข้ามา แล้วข้าเกิดกลัว มือลั่น
ปาดคอเขาขึ้นมาจะทาอย่างไร”
“อย่า...อย่าเข้ามา...!” ผู้ดูแลหลัวถึงแม้จะเจ็บข้อเท้า
แต่ก็กลัวมีดสั้นที่อยู่ตรงคอมากกว่า
เหล่าชายฉกรรจ์หยุดไม่กล้าเดินเข้าไป
ไม่ใช่ว่าหยางหนิงจะรับมือกับเหล่าชายฉกรรจ์ไม่ได้
ในมือของเขามีมีดสั้นอยู่ ตัวเขาเองก็พอมีวิชาการ
ต่อสู้อยู่บ้าง จุดต่างๆ ตามร่างกายเขาเองก็รู้ดี ยิ่งมี
วิชาท่าเท้าท่องคลื่นแล้วด้วย ชายฉกรรจ์พวกนี้ไม่ใช่คู่
ต่อสู้ที่แท้จริงของเขาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากไปเสียเวลากับคนพวกนี้มาก
นัก
เหล่าชาวบ้านต่างก็ตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่
ออกไปตามๆ กัน ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ชาวบ้าน
เป็นสิบคนรุมเหล่าชายฉกรรจ์ กลับไม่มีใครสามารถ
ทาอะไรอีกฝ่ายได้สักคน แถมฝ่ายตัวเองยังทั้งแขนขา
หักไปเจ็ดแปดคน แต่ตอนนี้ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอ
ผู้นี้ กลับทาให้ผู้ดูแลหลัวกับพวกหวาดกลัวกันได้อย่าง
ง่ายดาย
“น้องชาย เจ้า...เจ้าอย่าทาอะไรวู่วาม” มีดสั้นของ
หยางหนิงเป็นอาวุธประหลาด ปกติมันจะปล่อยความ
เย็นออกมาจากตัวมีด ตอนนี้ความเย็นของมันจ่อ
ระเหยอยู่ที่คอของผู้ดูแลหลัว “ข้า...ข้าเป็นคนของ
จิ่นอีโหว หากเจ้าทาอะไรข้า ผล...ผลลัพธ์นั้นมัน
อาจจะเลวร้ายจนไม่กล้าคิดเลยล่ะ”
หัวหน้าหมู่บ้านหานอี้ก็รู้หากทาอะไรผู้ดูแลหลัว
จะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ก็มองไปที่หยางหนิง
แล้วพูดว่า “น้องชาย ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยพวกข้า
แต่ว่าคนๆ นี้...คนๆ นี้เป็นผู้ดูแลของตระกูลฉี อย่า
ทาร้ายเขาจะดีกว่า” เขาไม่ได้กลัวว่าเขาจะเป็นอะไร
แต่ว่าอิทธิพลของตระกูลฉีนั้นมีมาก หากไปมีเรื่อง
ด้วยจริงๆ หมู่บ้านหลูหวังจะเดือดร้อนเอาได้
หยางหนิงส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ท่านวางใจเถอะ เขาไม่ใช่
คนของตระกูลฉี หากจิ่นอีโหวรู้ว่ามีคนแบบนีอ้ ยู่ใน
ตระกูลฉี คงเป็นคนแรกที่จะแหกอกเขาอย่าง
แน่นอน” สีหน้าของเขานิ่งไป แล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า
“ข้าขอถามเจ้า รีดไถภาษีชาวบ้าน เป็นความคิดของ
ใครกัน?”
“เป็น...เป็นเจตนารมณ์ของท่านจิ่นอีโหว” ผู้ดูแลหลัว
พูดยังพูดอีกว่า “เราเพียงทาตามคาสั่ง หากไม่ใช่
เจตนาของท่านเหล่าโหว เราก็ไม่กล้าเก็บภาษีเช่นนี้...
อ๊าก...!” เสียงร้องของผู้ดูแลหลัวดังขึ้นด้วยความ
เจ็บปวด หยางหนิงจิ้มปลายมีดไปที่เนื้อหัวไหล่ของ
ผู้ดูแลหลัวแล้ว
“คือใครกันแน่?”
ผู้ดูแลหลัวแทบจะร้องไห้แล้วพูดว่า “เป็น...เป็น
เจตนาของท่านโหวจริงๆ น้องชาย...นายท่าน ข้าไม่
กล้า...ไม่กล้าโกหกจริงๆ...!” เสียงร้องดังขึ้นอีก
หยางหนิงจิ้มปลายมีดไปที่หัวไหล่ของผู้ดูแลหลัวอีก
ครั้ง ตอนนี้หัวไหล่ของเขามีเลือดออกทั้งสองข้าง เขา
ตกใจและหวาดกลัวยิ่งนัก
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 80 คลานออกไป
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงลงมืออย่างเลือดเย็น ก็ขมวดคิ้ว
มีดสั้นเล่มนั้นเป็นอาวุธที่ร้ายกาจยิ่งนัก ไม่เพียงแค่คม
เท่านั้น ทั้งตัวมีดยังไม่เปื้อนเลือดอีกด้วย ขณะที่ดึง
ออกมาจากหัวไหล่ ยังคงใสสะอาดอยู่ ผู้ดูแลหลัวพูด
ด้วยน้้าเสียงติดอ่าง “นายน้อย นาย...นายท่าน เป็น...
เป็นค้าสั่งของท่านเหล่าโหวจริงๆ ข้า...ข้าก็แค่ท้าตาม
ค้าสั่งเท่านั้นขอรับ...!”
หยางหนิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มาถึงขนาดนี้แล้ว
เขาเชื่อว่าจากวิสัยของผู้ดูแลหลัว คงไม่มีทางทนไหว
หากเป็นอื่นที่ออกค้าสั่ง ผู้ดูแลหลัวไม่มีทางยืนยันว่า
เป็นจิ่นอีโหวอยู่อย่างนี้แน่ๆ
“ไม่ว่าคนที่บงการพวกเจ้าจะเป็นใคร กลับไปบอก
คนที่ส่งเจ้ามา บอกเขาว่า จุดจบของเขามาถึงแล้ว”
หยางหนิงเก็บมีดสั้นของเขาไป แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น
มองไปที่เหล่าชายฉกรรจ์ สายตาคมราวกับคมดาบ
ถึงแม้เขาจะตัวเล็ก แต่ในตอนนี้ราศีของเขามัน
เลือดเย็นเหมือนมีแค่วิญญาณ “พวกเจ้ายังคิดจะสู้อยู่
ใช่หรือไม่?”
เหล่าชายฉกรรจ์ก็รู้ว่าวันนี้พวกเขาเจอของแข็งให้แล้ว
ตอนที่หยางหนิงลงมือ พวกเขาก็เห็น รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้
ดูผิวเผินเหมือนคนอ่อนแอ แต่เมื่อลงมือ กลับ
เลือดเย็นไม่ไว้หน้าผู้ใด เห็นผู้ดูแลหลัวถูกตัดเอ็น
ข้อเท้า ใครจะกล้าเดินเข้าไปอีก อีกอย่างก็เป็นแค่
นักเลง ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตมาทิ้งอย่างแน่นอน
“กลับ...!” ผู้ดูแลหลัวเห็นชายฉกรรจ์ตะโกนมา
เช่นนั้น ก็กลั้นเจ็บแล้วตะโกนออกไปว่า “ยังไม่มา
แบกข้าไปอีก”
เขาเองก็เป็นคนที่เจออะไรมาเยอะ รู้ว่าโลกนี้มันกว้าง
ใหญ่เพียงใด มีอะไรแปลกๆ มากมาย วันนี้เขามาเจอ
คนที่ร้ายกาจ ถอยกลับไปก่อนดีที่สุด
“อย่าเพิ่งรีบร้อน” หยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “พวก
เจ้าท้าคนอื่นบาดเจ็บ คิดจะไปง่ายๆ อย่างนี้หรือ?”
ผู้ดูแลหลัวรู้ว่าหยางหนิงหมายถึงสิ่งใด จึงรีบตะโกน
ออกไปว่า “เอาเงินที่มีอยู่ออกมาให้หมด”
เหล่าชายฉกรรจ์รีบดึงถุงเงินของตัวเองออกมา ผู้ดูแล
หลัวก็เอาถุงเงินของตัวเองมากองรวมกันไว้ แล้วมอง
ไปที่หยางหนิง “นายท่าน เรามีกันแค่เท่านี้หากท่าน
...เห็นว่ามันไม่พอ เดี๋ยวพวกข้ากลับไปจะให้คนส่งมา
ให้อีก”
หยางหนิงพูดอย่างนิ่งเฉยว่า “ผู้ดูแลหลัว ข้ารู้ว่าเจ้า
เป็นอย่างไร ข้าบอกเจ้าไว้ตรงนี้เลยนะ หากหลังจากนี้
เจ้าย้อนกลับมาแก้แค้นคนในหมู่บ้านหลูหวังอีก ต่อ
ให้เป็นแค่ต้นไม้ใบหญ้าเพียงต้นเดียว ข้าก็จะเอาชีวิต
เจ้า ได้ยินหรือไม่?”
ผู้ดูแลหลัวรีบพูดว่า “ข้าน้อยไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าจริงๆ
ขอรับ...!” จากนั้นก็กวักมือให้พวกของเขาแล้วพูดว่า
“ยังไม่รีบไปอีก!”
ชายฉกรรจ์บางคนเดินไปแบกคนที่ถูกหยางหนิง
ตีสลบ บางคนเดินไปแบกผู้ดูแลหลัว หยางหนิง
ยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “พวกเจ้าจะไปกันอย่างนี้
หรือ?”
ผู้ดูแลหลัวคิดในใจว่าตีก็ตีแล้ว เงินก็เอาไปแล้ว ยังจะ
เอาอะไรอีก? ขาของเขาเจ็บมากในตอนนี้ เลือดไหล
ไม่หยุด รู้ว่าถูกตัดเส้นเอ็นแน่ๆ ต่อไปการเดินอาจมี
ปัญหา ตอนนี้หากท้าให้เจ้าหนุ่มผู้นี้โกรธอีก ขาของ
เขาอาจจะไม่เหลือก็ได้ เขาได้แต่พูดด้วยน้้าเสียง
เหมือนจะร้องไห้ว่า “นายท่านมี...มีอะไรจะสั่งอีกหรือ
ขอรับ?”
“ข้าจ้าได้ว่ามีคนพูดว่า จะให้ข้าคลานเหมือนหมาตัว
หนึ่ง ข้าไม่มีวาสนานั้น แต่ก็อยากเห็นเหมือนกันว่า
หมามันคลานอย่างไร” หยางหนิงชี้ไปที่คนๆหนึ่ง
“เจ้าแบกคนที่สลบ ส่วนคนอื่น คลานออกจาก
หมู่บ้านนี้เสีย”
สีหน้าของผู้ดูแลหลัวเปลี่ยน หยางหนิงหน้านิ่งแล้วพูด
ว่า “อะไรกัน ไม่พอใจรึ?”
ผู้ดูแลหลัวแค้นมาก แต่ก็ท้าอะไรมิได้ เขาตะคอกด้วย
ความโกรธว่า “ยังไม่คลานลงไปอีก คลานออกจาก
หมู่บ้านเดี๋ยวนี้” เขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ แม้แต่
วินาทีเดียว หันหลังแล้วอดทนต่อความเจ็บปวดแล้วก็
คลานออกไปหมู่บ้าน ม้าหลายตัวไม่มีผู้ใดกล้าเอา
กลับไปด้วย
ชาวบ้านในหมูบ่ ้านเห็นผู้ดูแลหลัวที่ไม่กลัวใคร
เมื่อก่อนหน้านี้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ต่างก็สะใจ
เด็กน้อยหลายคนก็ปรบมือ ชายหนุ่มต่างยินดี มีแต่
คนแก่ๆ เท่านั้นที่เห็นสถานการณ์แล้ว รู้สึกเป็น
กังวลใจ
จิ่นอีโหวเป็นตระกูลศักดินาของแคว้น ในสายตายของ
ชาวบ้านทั่วไป นั่นคือตระกูลสูงศักดิ์ แถมตระกูลฉีก็มี
อิทธิพลมากในเจียงหลิง วันนี้มีเรื่องกับคนของตระกูล
ฉี ถึงแม้จะสะใจ แต่เกรงว่าภัยจะมาในอีกไม่ช้านี้
ถึงแม้หยางหนิงจะเตือนผู้ดูผลหลัวห้ามกลับมาแก้
แค้น แต่ว่าชาวบ้านไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ในใจคิดว่าห
ยางหนิงเป็นวีรบุรุษที่ผ่านทางมาช่วยเท่านั้น พอเขา
ไป ผู้ดูแลหลัวก็อาจจะไม่ได้ท้าตามที่เขาพูดก็ได้
กู้ชิงฮั่นทั้งดีใจทั้งตกใจ ตกใจเพราะหยางหนิงเป็นเสือ
ซ่อนเล็บ เขามีฝีมือถึงขนาดนี้ แถมยังองอาจกล้าหาญ
ดีใจเพราะเห็นหยางหนิงปลอดภัย นางรีบเดินเข้าไป
หาเขา แล้วมองเขาอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่า
หยางหนิงไม่เป็นอะไร ก็ถอนหายใจ “หนิงเอ๋อ เจ้าท้า
ข้าตกใจแทบแย่”
หยางหนิงยิ้ม ไม่ได้สนใจพวกคนที่ก้าลังคลานออก
จากหมู่บ้าน เขาหยิบถุงเงินบนพื้น เดินไปหาหานอี้
แล้วยื่นถุงเงินให้กับเขา แล้วพูดว่า “เงินพวกนี้ เอาไป
รักษาชาวบ้านที่บาดเจ็บเถอะ แล้วก็ซื้อยาบ้ารุงให้
พวกเขากินด้วย” จากนั้นก็ชี้ไปที่ม้า “ส่วนม้าพวกนั้น
ก็เก็บไว้ที่หมู่บ้านนี้ก่อน”
หานอี้คิดๆ ดูแล้ว ก็รับเอาถุงเงินมาแล้วยื่นให้กับคนที่
อยู่ด้านหลัง แล้วยกมือขึ้นค้านับ “ขอบคุณท่านที่
ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ บุญคุณครั้งนี้ พวกข้าชาวหลูหวัง
จะไม่มีวันลืม แต่ว่าที่นี่ไม่ควรอยู่นานนัก ข้าว่าพวก
ท่านรีบไปเถอะ บุญคุณครั้งนี้ ข้าจะจ้าไว้ หากมี
โอกาส ข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน”
“เจ้ากังวลว่าผู้ดูแลหลัวจะกลับมาแก้แค้นพวกเจ้า
ใช่หรือไม่?” หยางหนิงเข้าใจความคิดของหานอี้ดี
ฮานอี้เองก็ไม่ได้ปกปิดอะไร พยักหน้าแล้วพูดว่า
“ตระกูลฉีมีอิทธิพลมากหมู่บ้านหลูหวังเป็นหมู่บ้าน
เล็กๆ จะไปสู้ได้อย่างไร เจ้าคนแซ่หลัวผู้นั้นเป็นคนที่
หากมีแค้นต้องช้าระ วันนี้เขาเสียหน้า คงไม่รามือ
ง่ายๆ กลับไปคงพาคนกลับมาอีกแน่ๆ ตระกูลฉีเองก็
มีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนาง หากเรียกเจ้าหน้าที่
ทางการมา ถึงตอนนั้นพวกท่านอยากไปก็ไปไม่ได้
แล้ว”
ในที่สุดกู้ชิงฮั่นก็เอ่ยปากพูดว่า “ฮานอี้ จิ่นอีโหวไม่มี
ทางเลี้ยงคนเลวๆเช่นนั้นแน่ๆ ตระกูลฉีไม่ใช่ตระกูลที่
รังแกคนที่อ่อนแอกว่า ผู้ดูแลหลัวรีดไถภาษี ใคร
บงการอยู่เบื้องหลัง ไม่นานนักความจริงต้องปรากฏ
จิ่นอีโหวจะต้องคืนความเป็นธรรมให้กับพวกเจ้า
แน่นอน”
หานอี้รู้สึกอดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้ชิงฮั่น เห็นกู้ชิงฮั่น
หน้าตาส้าอาง ก็รู้สึกตะลึงไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขา
ไม่ได้สนใจกู้ชิงฮั่นเลย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าข้างๆ ของ
หยางหนิงจะมีเพื่อนร่วมทางหน้าตาดีถึงเพียงนี้ ได้ยิน
ค้าที่เขาช่วยจิ่นอีโหวแก้ต่าง ค้าพูดค้าจาก็หนักแน่น
จึงรู้สึกตะลึงไปไม่น้อย
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านหาน ฟ้าใกล้มืดแล้ว เราก็คงไม่
สะดวกเดินทางตอนกลางคืน” หยางหนิงยิ้มแล้วพูด
อีกว่า “ไม่ทราบว่าข้าจะขอรบกวนค้างแรมในหมู่บ้าน
สักคืนจะได้หรือไม่?”
หานอี้รู้ว่าหากทั้งคู่ยังอยู่ในหมู่บ้านอาจจะมีอันตราย
ได้ แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้วจริงๆ หากบังคับให้พวกเขาต้อง
เดินทางออกนอกหมู่บ้าน ก็คงแล้งน้้าใจเกินไป เขา
รู้สึกลังเล ชาวบ้านคนอื่นเริ่มพูดกันว่า “บ้านข้ามี
ห้องว่าง หากไม่รังเกียจ ไปค้างที่บ้านข้าสักคืนก็ได้”
สุดท้ายหานอี้ก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านทั้งสองอยู่ที่นี่ เรา
ทุกคนที่นี่ยินดีอยู่แล้ว” ตอนนี้ชาวบ้านสองสามคน
เดินไปจูงม้าที่ผูกเอาไว้ แล้วพาพวกหยางหนิงไปที่
บ้านของตน ส่วนพวกของผู้ดูแลหลัวคลานออกจาก
หมู่บ้านไป ไม่หันกลับมามองเลย จึงคลานไปอย่าง
น่าอนาถ
คนในหมู่บ้านใช้ชีวิตเรียบง่าย แน่นอนว่าคงไม่มี
อาหารที่สมบูรณ์มากนัก แต่หานอี้เป็นคน
มนุษยสัมพันธ์ดี เขาให้คนไปฆ่าไก่ที่บ้านเขา แล้วให้
ชาวบ้านไปท้าอาหารมาเพื่อขอบคุณพวกของ
หยางหนิง อีกทั้งยังส่งของใช้จ้านวนหนึ่งมาให้อีก
ในขณะที่บ้านของหานอี้ก้าลังยุ่งกันอยู่ หยางหนิงก็หา
โอกาสแอบถามกู้ชิงฮั่นว่า “ซานเหนียง ที่จวนเก่าของ
พวกเรามีเจ้าคนแซ่หลัวผู้นั้นหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าแต่งเข้ามา
ตระกูลฉี เคยกราบไหว้บรรพชนที่จวนเก่าครั้งหนึ่ง
แต่หลังจากนั้นก็อยู่เมืองหลวงมาโดยตลอด ไม่เคยได้
กลับมาที่เจียงหลิงอีกเลย ตอนที่ท่านแม่ทัพมีชีวิตอยู่
ก็ไม่ได้กลับมาที่นี่ราวๆ สี่ห้าปี เรื่องของที่นี่ทั้งหมด
เป็นความรับผิดชอบของพ่อบ้านใหญ่ พ่อบ้านใหญ่จะ
เข้าเมืองหลวงทุกปี เพื่อรายการสถานการณ์ต่างๆ ข้า
เคยเจอเขาสองครั้ง แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นพ่อบ้านชิว
เสียมากกว่าที่เป็นคนรับหน้า” จากนั้นนางก็นิ่งไป
แล้วพูดว่า “ข้ารู้แค่ว่าคนที่จวนเก่ามีไม่กี่สิบคน และ
ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ดูแลอะไรนี่เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่อง
ที่มีพวกไม่มีประโยชน์พวกนี้ด้วย”
“ก่อนหน้านี้เจ้าคนแซ่หลัวนั่นบอกว่ามีคนไปร้องเรียน
ที่จวนโหว ท่านไม่รู้เรื่องนี้เลยหรือ?” หยางหนิงขมวด
คิ้วแล้วถามว่า “คนจากเจียงหลิงไปยังจวนโหว ท้าไม
ท่านถึงไม่รู้เล่า?”
“ข้าก็ก้าลังคิดอยู่เหมือนกัน” สายตาของกู้ชิงฮั่นโกรธ
ยิ่งนัก “หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าไม่มีทางไม่รู้อะไร
เลย นอกเสียจาก...นอกเสียจากว่าจะมีคนตั้งใจปิดบัง
ข้า”
“ซานเหนียงหมายถึงพ่อบ้านชิวหรือ?” หยางหนิง
นิ่งไปครู่หนึ่ง “พ่อบ้านชิวก้าลังปิดบังพวกเราอยู่อย่าง
นั้นหรือ?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อ พวกเราไม่มี
หลักฐาน อย่าเพิ่งตัดสินอะไรง่ายๆ ถึงแม้จะมีบ้างที่
พ่อบ้านชิวจะดูเจ้าเล่ห์ แต่ว่าเขาก็อยู่ในจวนโหวมา
นาน ผลงานก็เห็นๆ กันอยู่ อีกอย่างเหตุใดเขาจะต้อง
ปิดบังเรื่องนี้ด้วยเล่า? ต่อให้เป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวน
เก่า ข้าก็เคยเจอเขาสองครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้รู้จักกัน
อะไรมากมาย แต่ว่าเขาเป็นคนท้างานดี นิสัยก็ดูหนัก
แน่น ดูไม่เหมือนคนที่มีเล่ห์อะไรเลย เขาท้างานอยู่ที่
จวนเก่ามานานกว่าสิบปี เขาเป็นคนที่ท่านเหล่าโหว
เลือกเองกับมือตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คนที่ท่านเลือก
ไม่ทางผิดแน่นอน”
หยางหนิงคิดมาตลอดเวลาว่าพ่อบ้านใหญ่น่าจะเป็น
คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดเช่นนี้
แล้ว ลึกๆ เขาก็รู้สึกว่าเขาอาจจะเดาผิดก็ได้
กู้ชิงฮั่นเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก ท่านเหล่าโหวเองยิ่ง
เป็นคนที่ยอดเยี่ยม พ่อบ้านใหญ่เป็นคนที่ท่านเหล่า
โหวเลือกเองกับมือ กู้ชิงฮั่นเองก็ประเมินพ่อบ้านใหญ่
เอาไว้ว่าดี เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อบ้านใหญ่ก็ดูไม่เหมือน
เป็นคนหลอกลวงเลย หากป็นเช่นนี้จริง เรื่องนี้มันก็
แปลกมาก
“หนิงเอ๋อ ยังดีที่เชื่อเจ้า ไม่ไปที่จวนเก่าเลย” กู้ชิงฮั่น
ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ไม่เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้ เราคงไม่มีทางรู้จริงหรือไม่? ข้าคิดมา
ตลอดเวลาว่าที่ดินศักดินาของจวนโหว ชาวบ้านจะอยู่
กันอย่างสงบสุข มีกินมีใช้ไม่ขาด วันนี้ถึงได้รู้ว่า เรื่อง
มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น” จากนั้นนางก็มองไปที่หยางหนิง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่ดินศักดินามีปัญหา จะต้องปลอม
ตัวมาแอบสืบความรึ?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 81 ปีศาจภูเขา
หยางหนิงทาท่าทางเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กแล้วพูดว่า
“หลายครั้ง สิ่งที่เราได้ยินมักจะไม่สู้สิ่งที่เรามาเห็น
ด้วยตา ถึงแม้สิ่งที่เราเห็นด้วยตาในหลายครั้งก็อาจจะ
ไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม แต่มันก็ยังดีกว่าเราฟังอย่างเดียว
เราอยู่ไกลถึงเมืองหลวง เรื่องที่ดินศักดินาเราได้ยิน
จากปากคนอื่นทั้งนั้น ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว เราได้
เห็นด้วยตา มันก็ดีกว่าที่เราคาดเดาจากการฟัง”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อพูดถูก ข้า
ประมาทเอง หากไม่ใช่เจ้า ตอนนี้ข้าก็ยังอยู่ในกะลา”
สายตาของนางเปลี่ยนเป็นความโกรธแล้วพูดต่อว่า
“พรุ่งนี้ข้าจะถามพ่อบ้านใหญ่ ว่าทาไมเจียงหลิงถึง
กลายเป็นเช่นนี้?” ทันใดนั้นเองนางก็เหมือนคิดอะไร
ขึ้นมาได้ สายตาก็เปลี่ยนไป เหมือนแสร้งทาเป็นยิ้ม
แล้วหันไปมองหยางหนิง แล้วถามว่า “หนิงเอ๋อ ข้า
ถามเจ้าหน่อย เจ้าไปเรียนวิชาพวกนั้นมาจากที่ใด?”
“วิชาอะไรรึ?”
“เจ้าอย่ามาทาเป็นไขสือ” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยน้าเสียง
อารมณ์ไม่ดีนักแล้วถามขึ้นว่า “วรยุทธ์ของเจ้า ใคร
ถ่ายทอดให้เจ้ากันแน่? อย่าบอกนะว่าพวกต้วนฉาง
ไห่แอบสอนให้เจ้า?”
หยางหนิงกลัวคาถามนี้ของกู้ชิงฮั่นมากที่สุด ทาได้
เพียงทาเป็นไม่รู้เรื่องแล้วพูดว่า “ข้าเกิดในตระกูล
นักรบ รู้วิชาการต่อสู้บ้างเสียหน่อยก็ไม่เห็นว่าจะ
แปลกอะไร”
“เหตุใดข้าจะไม่รู้เล่า?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วพูดว่า
“หลายปีก่อนข้าให้เจ้าฝึกวรยุทธ์พร้อมกับเหล่า
องครักษ์ในจวนโหว เจ้าไม่สนใจเลย แล้วทาไมจู่ๆ ถึง
เป็นวรยุทธ์ขึ้นมาได้เล่า?”
หยางหนิงกาลังคิดว่าจะอธิบายให้กู้ชิงฮั่นฟังอย่างไรดี
เพราะยังไงกู้ชิงฮั่นก็เป็นหญิง จะไปหลอกง่ายๆ ไม่ได้
ทันใดนั้น หานอี้ก็เดินเข้ามาชวนไปกินข้าวพอดิบพอดี
ถือว่าหยางหนิงรอดตัวไป
ในหมู่บ้านนี้มีกฎ หากมีแขกมาจากด้านนอก ผู้หญิง
จะมานั่งบนโต๊ะด้วยไม่ได้ ดีที่กู้ชิงฮั่นแต่งตัวเป็นชาย
จึงได้มานั่งด้วยกัน ข้าวปลาอาหารของในบ้านชาวนา
ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ อาหารเต็มโต๊ะ หานอี้ก็เชิญคนที่
พอมีบารมีในหมู่บ้านมาร่วมโต๊ะด้วย
บนโต๊ะอาหาร ที่สาคัญก็ต้องขอบคุณหยางหนิง เหล้า
ที่ดื่มก็เป็นเหล้าที่หมักกันเองในหมู่บ้าน รสชาติไม่เลว
ทุกคนได้เห็นความสามารถของหยางหนิง บนโต๊ะ
อาหารก็กล่าวชื่นชมกันยกใหญ่ เมื่อพูดถึงผู้ดูแลหลัว
กับพวก ทุกคนก็รู้สึกว่าพวกเขาต้องไม่ยอมเลิกรา
แน่นอน
“พวกเจ้าวางใจได้ ผู้ดูแลหลัวโอหังได้ไม่กี่วันหรอก”
หยางหนิงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าทางจวน
จิ่นอีโหวได้ส่งคนมาที่เจียงหลิงแล้ว ถึงเวลานั้นก็แค่
ร้องเรียนเรื่องนี้ไป ผู้ดูแลหลัวก็ไม่น่ารอดแล้ว”
หานอี้ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น้องชาย ต่อให้จวนจิ่นอี
โหวส่งคนมาจริง พวกเขาจะยอมออกหน้าให้ความ
เป็นธรรมกับเราหรือ? ผู้ดูแลหลัวเป็นคนของตระกูลฉี
อย่างไรเสียก็คงไม่มีทางลงมือกับคนของตัวเอง เพื่อ
ชาวบ้านจนๆ อย่างเราหรอก”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างจริงจังว่า “หานอี้ ข้าเคยบอกไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ ตระกูลฉีไม่มีทางรังแกคนที่อ่อนแอกว่า
เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ จิ่นอีโหวไม่รู้แน่ๆ หากเขารู้เร็วกว่า
นี้ ไม่มีทางให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นแน่นอน”
หานอี้เห็นกู้ชิงฮั่นพูดออกหน้าแทนจวนจิ่นอีโหวหลาย
ต่อหลายครั้ง แถมยังพูดจามั่นใจ ในใจก็แอบแปลกใจ
สุดท้ายก็ตัดสินใจถามกลับไปว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้
มั่นใจเช่นนั้นเล่า? ผู้ดูแลหลัวพูดมาคาหนึ่งข้าว่ามันก็
ถูก หากไม่ได้รับอนุญาตจากตระกูลฉี พวกเขาก็ไม่มี
ทางโอหังถึงเพียงนี้ได้”
“หานอี้ เจ้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่ การรวบรวม
ผลผลิตส่งไปตระกูลฉี เจ้าเป็นคนส่งไปเองกับมือใช่
หรือไม่?” กู้ชิงฮั่นถาม
หานอี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ ที่นาของเรา ผลผลิต
ของพวกเรามันกาหนดไว้แล้ว ขอแค่ไม่เกิดภัย
ธรรมชาติอะไร ในทุกปีข้าก็จะเรียกเก็บตามจานวนที่
กาหนด” จากนั้นก็หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า “ใน
ทุกปีข้าจะเรียกเก็บผลผลิตแล้วส่งไปที่ตระกูลฉี
ชั่งน้าหนักเพื่อตรวจสอบดู”
“เท่าที่ข้ารู้มา พ่อบ้านใหญ่ตระกูลฉีที่บ้านเก่าเป็นคน
รับผิดชอบเรื่องเก็บภาษีที่ดินศักดินาที่เจียงหลิงนี่”
กู้ชิงฮั่นถามอีกว่า “ข้าได้ยินเจ้าบอกว่า ตอนนี้
จิ่นอีโหวเรียกเก็บภาษีสี่ส่วน ก่อนหน้านี้ไม่ได้เรียก
เก็บสองส่วนหรือ? ทาไมจู่ๆถึงได้ขึ้นเอาได้เล่า
พ่อบ้านใหญ่เป็นคนมาแจ้งพวกเจ้าเองหรือ?”
“พ่อบ้านใหญ่ฉีหรือ?” หานอี้มองไปที่กู้ชิงฮั่นด้วย
ความสงสัย แล้วถามว่า “เจ้ารู้จักพ่อบ้านใหญ่ฉีด้วย
หรือ?” ในใจก็แอบคิดว่า คนผู้นี้พูดปกป้องจิ่นอีโหว
ตั้งหลายครั้ง แถมยังเหมือนจะรู้จักพ่อบ้านใหญ่ฉีเป็น
อย่างดี หรือว่าสองคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับ
จิ่นอีโหว?
จวนเก่าตระกูลฉีถึงแม้จะมีพ่อบ้านใหญเป็นคนดูแล
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ใครก็รู้ สาหรับชาวบ้านส่วนใหญ่
พวกเขาต้องทางานตั้งแต่เช้าถึงเย็น ส่งภาษีผลผลิตให้
ตรงเวลา ส่วนใครเป็นคนดูแลตระกูลฉีนั้น ไม่ใช่สิ่งที่
คนสนใจ หานอี้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่นี่ ทุกปีจะต้อง
ส่งผลผลิตไป เพราะเหตุนี้เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า
พ่อบ้านใหญ่เป็นใคร
ในเมื่อเขารู้สึกว่ากู้ชิงฮั่นมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลฉี
เขาก็เริ่มพูดจาระวังตัวมากขึ้น
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น
“เจอแล้ว เจอแล้ว สัตว์ป่าที่แอบมาขโมยไก่ มันหลบ
อยู่บนเขา”
เสียงนั้นแหลมทิ่มหู หานอี้ก็ลุกขึ้น คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้น
ตาม หานอี้หันไปมองหยางหนิงแล้วพูดว่า “ท่านทั้ง
สองกินกันไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องไปทา” ก็ไม่อธิบาย
อะไรมากนัก แล้วก็รีบออกไป คนอื่นๆ ก็เดินตามไป
เช่นกัน เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนเอาไว้
หยางหนิงได้ยินเสียงข้างนอกวุ่นวาย ก็ทนไม่ไหวถาม
กลับไปว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? หาอะไรเจอกันหรือ?”
“สัตว์ป่าขโมยไก่” ชายแก่คนหนึ่งพูดขึ้นมา “หลาย
วันมานี้ ไก่ในหมู่บ้านมักจะหายไปโดยไม่มีสาเหตุ
น่าจะมีประมาณสิบตัวได้แล้ว ที่หลังเขาเองก็ไม่มี
สัตว์ป่าอะไร หมาป่าก็ไม่เคยเจอ ตอนแรกก็คิดว่ามี
คนขโมยไก่ หลายวันมานี้ก็เลยสั่งให้คนเฝ้ายามตอน
กลางคืน เพื่อแอบดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คืนวันนั้นก็
เห็นเงาๆ หนึ่งเข้ามาที่เล้าไก่ เราก็เลยเตรียมคนเพื่อ
เข้าไปจับ ใครจะคิดว่าเจ้านั่นมันจะวิ่งไวเช่นนั้น เรา
เห็นไม่ชัดว่าเป็นหมาป่าหรือว่าหมา” เขากระดกเหล้า
ขึ้นดื่มแล้วพูดต่อไปว่า “มันมีขนสีดา เราวิ่งตามไป
ตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน คนที่ตามไปกลับมาบอกว่า
มันวิ่งเร็วเหมือนกระต่าย ยังมีคนบอกอีกว่ามันวิ่งสอง
ขาเหมือนคน”
“หา?” หยางหนิงตกใจ “วิ่งสองขาอย่างนั้นรึ?” ในใจ
ก็รู้สึกแปลกใจ เท่าที่เขารู้ บนโลกนี้สัตว์ที่วิ่งสองขาได้
มีไม่มาก แต่ว่าสิ่งที่ชายชราผู้นี้พูดนั้น มันวิ่งเร็วมาก
คิดไปคิดมา สามารถวิ่งสองขาได้เหมือนคนแต่รวดเร็ว
เหมือนสัตว์ป่า มันเป็นอะไรที่หายากมาก แอบคิดใน
ใจว่าเป็นลิงหรือไม่
“สงสัยจะตาลาย” ชายชราอีกคนพูดขึ้นมาว่า “ข้าอยู่
มาจนอายุขนาดนี้ ยังไม่เคยได้ยินเลยว่ามีสัตว์ที่ไหน
วิ่งสองขาได้”
“มันก็ไม่แน่” ชายชราคนก่อนหน้านี้เถียงกลับมาว่า
“มีตั้งหลายคนเห็น คงไม่ตาลายกันหมดหรอก
กระมัง” แล้วหันไปมองหยางหนิงแล้วพูดว่า “ผ่านไป
หลายวัน มันก็กลับมาที่หมู่บ้านอีก ครั้งนี้พวกเรา
เตรียมตัวไว้พร้อม แต่ว่ามันก็หนีไปได้อีก ยังดีที่ว่า
พวกเราเห็นว่ามันหนีไปยังหลังเขา หนุ่มในหมู่บ้านพา
กันไปหาที่หลังเขาของหมู่บ้านกันทั้งวัน กลับไม่พบ
ร่องรอยของมันเลย เขาลูกใหญ่เช่นนั้น จะให้ไปดูทุก
ซอกทุกมุมก็เป็นไปมิได้”
หยางหนิงจึงถามกลับว่า “ด้านหลังเขามีสัตว์ป่าอย่าง
นั้นรึ?”
“หลายปีก่อนยังพอมีหมูป่าอยู่บ้าง แต่พอเจอภัยแล้ง
เข้า คนในหมู่บ้านก็ต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาเป็น
อาหาร บนเขาจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก
หมูป่าบนเขาโดยล่าไปจนหมดแล้ว หลายสิบปีมานี้ ก็
ไม่เจอสัตว์ป่าอะไรอีกเลย ไม่ว่าจะงูหรือหนู” ชาย
ชราอธิบายต่อว่า “เพราะเหตุนี้บนเขาก็มีอะไรไม่รู้มา
ขโมยไก่ พวกเราไม่มีทางปล่อยมันไปแน่ ไก่ใน
หมู่บ้านก็มีน้อยอยู่แล้ว มันถือเป็นของมีค่าของพวก
เรา แต่กลับโดยขโมยไปตั้งสิบกว่าตัว เราเจ็บปวดใจ
ยิ่งนัก หากไม่กาจัดมัน เกรงว่าต่อไปวัวกับแพะก็คง
จะไม่เหลือเช่นกัน”
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกตื่นเต้นมาก แล้วหันไปมองกู้ชิง
ฮั่นแล้วพูดว่า “พี่...พี่สาม ท่านรออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้า
ไปเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวข้ากลับมา”
กู้ชิงฮั่นคิดจะห้าม แต่หยางหนิงก็วิ่งเร็วกว่ากระต่าย
เสียอีก พริบตาเดียวก็พุ่งออกนอกประตูไป
หัวหน้าหมู่บ้านตอนนี้อยู่ท่ามกลางชายหนุ่มยี่สิบกว่า
คน มีคบเพลิงประมาณห้าถึงหกอัน มีคนตื่นเต้นแล้ว
พูดกับฮานอี้ว่า “ครั้งนี้มันหนีไม่รอดแน่ เราให้คน
แอบที่ตีนเขา พอมันลงมาจากเขา แล้วก็จะแอบตาม
ไป เจ้านั่นมันคิดว่าหลบขึ้นเขาแล้วจะจบอย่างนั้น
หรือ คงไม่คิดว่าเราจะตามไป ตอนนี้เราเจอรังของมัน
แล้ว เป็นถ้าๆ หนึ่งบนเขา ข้าให้คนเฝ้าปากถ้าไว้แล้ว
อย่างไรก็หนีไปไม่รอด”
หานอี้จึงพูดว่า “เด็กๆ ตามข้าขึ้นเขา เจ้านั่นมันวิ่งเร็ว
ยิ่งนัก ถ้าไม่ระวังมันจะวิ่งหนีไปได้อีก เราต้องล้อมมัน
เอาไว้อย่าให้มีช่องว่างให้มันหนี มีหรือว่ามันจะมุด
ออกไปทางไหนได้” จากนั้นกวักมือ แล้วก็นากลุ่มคน
อ้อมไปทางด้านหลังหมู่บ้าน แล้วเดินไปที่หลังเขา
ชาวบ้านถืออาวุธครบมือ ทั้งไม้ทั้งกระบองทั้งจอบ
ทั้งเสียม
หยางหนิงคิดแค่ว่าสัตว์ชนิดนี้ต้องเป็นสัตว์ที่หายาก
แน่ๆ จึงรู้สึกสนใจยิ่งนัก จึงตามกลุ่มคนพวกนั้นไป
ด้วย
พอกลุ่มคนพวกนั้นไปถึงตีนเขา คนที่แจ้งข่าวก็เดินนา
ทางอยู่ด้านหน้า หลังเขาถึงจะไม่สูงมาก แต่มันก็ชัน
อยู่ บนเขามีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ทุกคนกระจายตัว
ออกไป เดินไปพักหนึ่ง ก็มาถึงกลางเขา จากนั้นก็ได้
ยินคนตะโกนขึ้นมาว่า “มันอยู่ในนี้”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เห็นมีคนสามคนยืนรออยู่ เห็น
ชาวบ้านเดินมา มีคนๆหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “มันอยู่ในถ้า
นี้ พวกข้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ เจ้านั่นมันไม่กล้าออกมา”
หยางหนิงเดินเข้าไป ด้านหน้านี้เหมือนผนังกาแพง
เขาที่มีเถาวัลย์เลื้อยบังอยู่ เถาวัลย์ถูกแหวกออก มันมี
ปากถ้าอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในเงียบมาก ไม่มีเสียงอะไร
เลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีปากถ้าที่อื่น ไม่มีทางอื่นให้หนีไปได้?” หานอี้
เดินเข้าไปดูที่ปากถ้า กลับไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย
แม้แต่น้อย
“พวกข้าไปตรวจดูรอบๆ มาแล้ว มีแค่ปากถ้านี้โพรง
เดียว มันเป็นถ้าปิดตาย” คนที่เฝ้าปากถ้ารีบพูดขึ้นมา
ว่า “ข้าลองโยนก้อนหินเข้าไป ยังได้ยินเสียง”
จากนั้นเขาก็นั่งลง แล้วเก็บก้อนหินขึ้นมา แล้วขว้าง
ไปในถ้า ได้ยินเสียง “อู้ อู้” คนผู้นั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าได้ยินใช่หรือไม่ มันอยู่ในนี้แน่นอน”
“หาไม้แห้งๆ มา” หานอี้ประสบการณ์สูงยิ่งนัก “เผา
ไฟที่หน้าถ้า เจ้านั่นมันต้องทนควันไฟไม่ได้แน่นอน
แล้วมันก็จะวิ่งออกมา”
คนยิ่งมากกาลังยิ่งมาก พริบตาเดียว หน้าถ้าก็มีกอง
ฟืนกองใหญ่ หานอี้สั่งว่า “ทุกคนล้อมเป็นสองชั้น เจ้า
นั่นดุร้ายมาก หลังจากที่มันออกมาแล้ว อย่าทาร้าย
มัน แต่จะให้มันหนีไปไม่ได้” เขายื่นไปหยิบคบเพลิง
มา แล้วจุดไฟขึ้นบนกองฟืนกองนั้น
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 82 เสื้อคลุมชุดดำ
ฤดูใบไม้ร่วง ไม้แห้ง จุดไฟติดง่าย พริบตาเดียว ไฟก็
ลุกโชนขึ้นมา ชาวบ้านก็จะโยนฟืนเข้ากองไฟเป็น
ระยะ บางคนก็เอาเสื้อของตัวเองมาพัดให้ไฟลุกเร็ว
ขึ้น ควันกลุ่มใหญ่ค่อยๆ ลอยเข้าไปในถ้้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มีคนทน
ไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “เจ้านั่นคงไม่ได้ส้าลักควันตายไป
แล้วกระมัง?”
“หากส้าลักควันตายไปจริง ก็ดีสิ พวกเราจะได้ไม่ต้อง
เปลืองแรง” คนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นมา
ในตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมา เงาด้า
เงาหนึ่งวิ่งออกมาจากถ้้าอย่างรวดเร็วเหมือนเสือดาว
ชาวบ้านรู้สึกตกใจไปชัว่ ขณะ หานอี้รีบตะโกนขึ้นว่า
“อย่าแตกตื่น อย่าให้มันหนีไปได้”
เงาด้ากระโดดข้ามกองไฟ พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านคนหนึ่งเห็นเงาด้าก้าลังพุ่งมาที่ตัวเขา ไม่ทัน
ได้ตั้งตัว จึงถูกชนเข้าอย่างแรง “โอ้ย” ยังดีที่ชาวบ้าน
มีการเตรียมการเอาไว้แล้วอย่างดี ยกไม้ขึ้นมาแล้วตี
ไปที่เงาด้าอย่างแรง
ไม้ตีโดนหัวไหล่ของเงาด้านั้น เงาด้าก็ไม่ได้ร้องแต่
อย่างใด แต่มองซ้ายทีขวาที เหมือนก้าลังจะหาทางฝ่า
วงล้อมออกไป แต่คนล้อมมันเอาไว้หมดแล้ว ไม้หลาย
อันถูกตัวของเงาด้า หยางหนิงยืนอยู่ด้านหลังมองเห็น
ชัดเจน ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยขนสีด้า แต่มันไม่ได้
เงางามแต่อย่างใดมันเป็นขนที่ดูหยาบยิ่งนัก ก็เหมือน
ที่ชายชราผู้นั้นที่พูดเอาไว้ว่า สัตว์ป่าตัวนี้มันยืนด้วย
สองขา
ไม้สิบกว่าอันทุบลงไปที่มัน เจ้าเงาด้าเห็นไม่มีทางออก
ก็นอนกองลงไปกับพื้น ยอมให้ทุกคนทุบตี ไม่หลบไม่
สู้แต่อย่างใด
เมื่อเห็นชาวบ้านก้าลังจะทุบที่หัวของมัน หยางหนิงก็
รีบตะโกนขึ้นมาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงของเขาจู่ๆ ก็ดังมา ท้าให้ทุกคนตกใจ แล้วหัน
มองไปที่เขา หยางหนิงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “อย่าตี
อีกเลย เขามิใช่สัตว์ป่า พวกเจ้ายังมองไม่ออกอีกรึ?”
หลังจากที่เจ้าเงาด้าออกมา ทั้งตัวของเขาเป็นขนสีด้า
มันเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว หลบซ้ายทีขาวที
ชาวบ้านรู้สึกตื่นกลัว กลัวว่ามันจะหนีไปได้อีก จึงคิด
จะฆ่ามันทิ้งเสีย โดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นตัวอะไร ตี
ให้ตายก่อนค่อยว่ากัน แต่ในตอนนี้ ได้ยินหยางหนิง
พูดแบบนี้แล้ว หานอี้ก็หันไปมองดีๆ จากนั้นก็ดึงไม้
จากชาวบ้านมาหนึ่งอัน แล้วเดินเข้าไปดู
“เขาเป็นคน” หยางหนิงถอนหายใจ “หากพวกเจ้าตี
เขาจนตาย พวกเจ้าก็จะต้องติดคุก”
ทุกคนต่างตกใจ เห็นเงาด้าตัวสั่นไปทั้งตัว ทุกคนเริ่มดู
ออก แล้วพูดว่า “บนตัวเขาไม่ใช่ขน แต่เป็น...เป็นเสื้อ
คลุม”
ตอนนี้หานอี้เห็นชัดแล้ว ด้านนอกนั้นเป็นเสื้อคลุม คิด
ว่าน่าจะเป็นเสื้อคลุมของบ้านเศรษฐี
เสื้อคลุมก็มีแบ่งเป็นสี่ฤดูกาล ฤดูร้อนก็ใช้เสื้อคลุม
บางๆ จะได้เย็นๆ ส่วนฤดูหนาวก็จะใช้เป็นเสื้อคลุม
ใหญ่และหนาเพื่อให้อบอุ่น หากการเงินดีก็จะเอาขน
สัตว์มาท้าเป็นเสื้อคลุม อย่างขนหมีหรือขนเสือก็เป็น
ที่นิยมของพวกชนชั้นสูง เสื้อคลุมของเจ้าเงาด้าเป็น
เสื้อคลุมใหญ่ และท้าจากหนังสัตว์
คบเพลิงหลายต่อหลายอันจ่อรวมกัน ตอนนี้พวกเขา
เห็นกันชัดแล้ว เป็นคนที่อยู่ภายใต้เสื้อขนสัตว์ตัวนี้
เขาตัวสั่นไปทั้งตัว ก้มหน้าไม่กล้าสบตากับผู้ใด ผม
ของเขากลมกลืนไปกับเสื้อขนสัตว์ ในตอนกลางคืน
แบบนี้แยกได้ยากยิ่งนัก ไม่แปลกที่จะถูกเข้าใจผิดว่า
เป็นปีศาจภูเขา
หยางหนิงคิดว่าตัวเขาจะได้เห็นปีศาจหายากบนเขา
เสียอีก กลับพบเป็นคนที่สวมเสื้อคลุม้สียอย่างนั้น จึง
รู้สึกผิดหวังนัก แต่ในใจกลับสงสัยว่า เสื้อขนสัตว์ตัวนี้
ราคาไม่ถูกเลย ไม่น่าจะใช่ของคนขอทานจนๆ จะได้มี
ได้ใช้ได้ แม้แต่ในชานเมือง บ้านเศรษฐีตระกูลใหญ่ก็
ใช่ว่าจะมีเสื้อขนสัตว์ราคาแพงเช่นนี้ได้
แต่ว่าคนผู้นี้กลับมีของที่ไม่น่าจะมีอยู่ในที่เช่นนี้ได้
ตามหลักแล้วก็น่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา ถึงจะไม่ใช่ขุน
นางตระกูลใหญ่ ก็น่าจะเป็นคนที่มีอันจะกิน แต่คนๆ
นี้กลับมาหลบอยู่บนเขาเหมือนกับสัตว์ป่า แล้วแอบ
ขโมยไก่ของชาวบ้านมาเป็นอาหารด้วย ซึ่งมัน
ประหลาดยิ่งนัก
หยางหนิงเดินเข้าไป แล้วโค้งตัวลง แล้วพูดด้วย
น้้าเสียงที่อ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ที่นี่ ไม่มี
ใครท้าร้ายเจ้าได้”
คนที่ก้าลังตัวสั่น เมื่อได้ยินเสียงของหยางหนิง ก็
ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ท่ามกลางแสงสว่างของเปลวไฟ
มีคนเห็นหน้าของเขาชัด ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
ไม่เพียงแค่ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เท่านั้น หยางหนิงเห็น
หน้าคนผู้นั้น ก็ยังตกใจเช่นกัน
เขาผมเผ้าดูยุ่งเหยิง หนวดเครารกรุงรัง สีหน้าสกปรก
โสมม ใบหน้าด้านขวามีแผลขรุขระเต็มไปหมด
เหมือนถูกไฟครอกมา แผลของเขานั้นดูเหวอะหวะ
ท้าให้ทั่วทั้งใบหน้านั้นน่ากลัวยิ่งนัก
แต่สายตาของเขายังคงชัดเจน ดวงตาเต็มไปด้วย
ความหวาดกลัว เห็นหยางหนิงยืนอยู่ด้านหน้า คนผู้
นั้นก็ส่งสายตาอันไม่เป็นมิตรออกมา จากนั้นก็ท้า
เสียงขู่ออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ข้ารู้ว่าเจ้ากลัว แต่ว่าคนที่นี่จะไม่ท้าร้ายเจ้า” คนผู้นี้
ถึงหน้าตาจะน่าเกลียด แต่ก็น่าสงสาร หยางหนิงพูด
ด้วยความอ่อนโยน “เจ้าหิวใช่หรือไม่? บ้านของเจ้า
อยู่ไหนรึ?”
ระหว่างที่เขาพูด ก็เดินเข้าไปสองก้าว เหมือนจะไม่มี
อะไร แต่ก็ต้องระวังตัวให้มาก เห็นความเร็วของคนผู้
นี้เมื่อครู่ คิดว่าก็น่าจะไม่ธรรมดา น่าจะมีวิชาอยู่บ้าง
หยางหนิงเห็นดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เป็น
มิตร ก็กลัวว่าเขาจะพุ่งเข้าใส่
“หิว...หิว...!” คนผู้นั้นพูดออกมาแต่ไม่รู้เรื่องสัก
เท่าไหร่ “ของกิน...หิว...ของกิน...!”
หยางหนิงเห็นคนผู้นี้พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วก็พูดซ้้า
อยู่อย่างนั้น ในใจก็ยิ่งแปลกใจ จากนั้นก็ถามว่า “เจ้า
ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าตอบค้าถามข้ามาก่อน เดี๋ยวข้าจะ
หาของมาให้เจ้ากิน เจ้าบอกข้ามา ว่าเจ้าเป็นใคร?
เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
คนผู้นั้นเห็นหยางหนิงอ่อนโยน เหมือนจะไม่ได้
คิดร้ายกับตน สายตาก็ค่อยๆ ลดความเป็นศัตรูลง แต่
ยังคงมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง เห็นหยางหนิงเข้ามา
ใกล้ ก็หดตัวลงโดยไม่รู้ตัว ในใจก็ยังคงพูดค้าเดิมว่า
“หิว....ของกิน...หิว...!”
หานอี้เดินเข้ามาข้างๆ หยางหนิง แล้วพูดเบาๆ ว่า
“น้องชาย คนผู้นี้...เหมือนเขาจะไม่ปกตินะ เขา
เหมือน...ไม่เข้าใจที่เจ้าพูด”
“ท่านว่าเขาน่าจะอายุเท่าไหร่?” จริงๆ หยางหนิงก็ดู
ออกว่าเขาไม่ปกติ ไม่สามารถสื่อสารได้อย่างคนทั่วไป
คนๆ นี้ห่อหุ้มตัวเองด้วยเสื้อขนสัตว์สีด้า เปิดหน้า
หนวดเครารกรุงรัง ดูผิวเผินก็เหมือนขอทาน
หานอี้มองแล้วส่ายหัวพูดขึ้นว่า “ข้าก็ดูไม่ออก แต่ว่า
สามสิบสี่สิบปีก็น่าจะได้อยู่”
“ก็น่าจะเป็นคนเร่ร่อนที่ตกยากมา” หยางหนิงพูดว่า
“เขาไปขโมยไก่ในหมู่บ้าน ก็น่าจะเป็นเพราะเขาหิว”
หานอี้พูดเสียงเบาว่า “เสื้อบนตัวของเขาท้ามาจาก
หนังสัตว์ เหมือนจะเป็น...เป็นหนังหมี เขาขโมยมา
หรือไม่?”
“เสื้อคลุมขนหมี ราคาสูงมากในตลาด ไม่ใช่ของราคา
ถูกๆ ต่อให้มีเงินในมือ ก็ใช่ว่าจะหาซื้อกันได้ง่ายๆ”
หยางหนิงมองไปที่คนที่อยู่รอบๆ “อย่าว่าแต่คนทั่วไป
เลย ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่ ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีเสื้อคลุม
เช่นนี้ บ้านใครมีเสื้อเช่นนี้ ถือเป็นของล้้าค่าที่จะเก็บ
รักษาไว้เป็นอย่างดี จะให้ใครมาขโมยง่ายๆ เช่นนี้ได้
อย่างไร?”
หานอี้พยักหน้า เห็นหยางหนิงพูดจามีเหตุผล จากนั้น
ก็พูดเบาๆ ว่า “น้องชายหมายความว่า เจ้าของ
เสื้อคลุมตัวนี้คือเจ้านี่หรือ? แต่หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า
เสื้อคลุมตัวนี้มีค่ามาก คนธรรมดาไม่อาจมีไว้ใช้ได้
แล้วเหตุใด...เหตุใดเขาถึงได้มีเสื้อคลุมเช่นนี้ได้เล่า?
เขาเป็นใครกันแน่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” หยางหนิงถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า
“เราคงไม่มีทางรู้ได้ในเวลาชั่วครู่ชวั่ ยามแน่ๆ” คิดๆ ดู
แล้ว ก็พูดต่ออีกว่า “เอาอย่างนี้ เราพาเขาลงเขาไป
ก่อน ไม่ว่าอย่างไร ก็จะให้เขาอยู่บนเขาเช่นนี้ไม่ได้
จากนั้นพวกท่านค่อยไปแจ้งทางการ ให้ทางการมา
ตรวจสอบประวัติเขาดู หากเจอญาติของเขา ความ
เสียหายของหมู่บ้าน ก็น่าจะได้รับการชดใช้”
ในใจของเขาสงสัยว่าคนผู้นี้จะเป็นคนในตระกูลใหญ่ที่
หายตัวมาหรือไม่ เพราะว่าสติไม่ดี จึงเดินเร่ร่อนไปทั่ว
หากเป็นเช่นนั้นจริง ญาติของพวกเขาก็จะต้องมีการ
แจ้งทางการเอาไว้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อทางการ
ได้รับการแจ้งไปว่าเจอตัวคน ก็น่าจะรีบตามหาบ้าน
แล้วส่งคืน
หานอี้กับชาวบ้านคิดว่าเป็นสัตว์ป่ามาขโมยไก่ใน
หมู่บ้านมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนเสีย
ได้ ก็ไม่มีทางท้าให้คนผู้นี้ล้าบาก ตอนนี้พวกเขาก็เลย
ท้าตามที่หยางหนิงบอก
“ตอนนี้พวกเราไปหาของกินกันนะ” หยางหนิงยิ้ม
แล้วพูดกับคนผู้นั้น “เจ้าจะไปหาของกินกับข้า
หรือไม่? หิวแล้ว ก็ต้องไปหาอะไรกิน ข้ามีของกิน
นะ”
คนผู้นั้นมองหยางหนิง แต่ไม่พูดอะไร
หยางหนิงยิ้มแล้วหันหลังเดินไป เห็นคนผู้นั้นลุกขึ้นมา
แล้วเดินตามหยางหนิงไป แล้วพูดซ้้าไปซ้้ามาว่า “ของ
กิน...ของกิน...หิว...!”
หานอี้ยังคิดอยู่เลยว่าจะพาคนผู้นี้กลับหมู่บ้านได้
อย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่าหยางหนิงพูดแค่ไม่กี่ค้าก็
สามารถพาเจ้าอัปลักษณ์ตัวนี้ให้ตามเขาไปได้อย่าง
ง่ายดาย เห็นหยางหนิงเดินน้าลงเขา ชายอัปลักษณ์ก็
ตามเขาเหมือนกลัวว่าหยางหนิงจะหายไป เดินตามไม่
ห่าง แล้วก็พูดประโยคเดิมๆ ซ้้าๆ ชาวบ้านต่างมอง
หน้ากัน รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้มันแปลกยิ่งนัก
แต่ก็ไม่ให้เสียเวลา จากนั้นก็ดับกองไฟ เพื่อไม่ให้มัน
ลุกลามไปกลายเป็นไฟไหม้ป่า จากนั้นก็ลงเขาตามๆ
กันไป
หยางหนิงหันมามองเป็นระยะ เห็นคนผู้นั้นลากเสื้อ
คลุมลากพื้นตลอดเวลาที่เดิน สองเท้าโผล่ออกมา เท้า
ของเขาไม่ได้สวมรองเท้า เขาเดินเท้าเปล่า บนเท้ามี
รอยเปื้อนมากมาย ในใจก็แอบคิดว่าคนผู้นี้ต้อง
ล้าบากมาไม่น้อย
หยางหนิงเดินหน้าสุด ชายอัปลักษณ์เดินตามหลัง
แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้อยู่ หานอี้เองก็เดินน้า
ชาวบ้านอยู่ด้านหลังอีกที
เมื่อเข้าหมู่บ้านมา กู้ชิงฮั่นกับชายชราในหมู่บ้านก็ยืน
รออยู่แล้ว เมื่อเห็นหยางหนิง ก็รีบเดินเข้าไปรับ ก้ม
หน้าพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าเด็กคนนี้ คิดไว้แล้ว
เชียวออกจากบ้านมาจะต้องดื้อเช่นนี้ ค้าพูดของข้า
เดี๋ยวนี้ไม่ฟังแล้วใช่หรือไม่? ใครบอกให้เจ้าไป?”
ถึงแม้ค้าพูดของนางจะเป็นการต้าหนิแต่มันแฝงไป
ด้วยความห่วงใย
หยางหนิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นกู้ชิงฮั่นตกใจ
ขึ้นมา มองไปที่ชายอัปลักษณ์ด้านหลังของหยางหนิง
เมื่อเห็นหน้าตาอันอัปลักษณ์ของชายผู้นั้น แต่งกายก็
ประหลาด กู้ชิงฮั่นก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“นั่น...นั่นใครกันรึ?”
“มีสัตว์ประหลาด ทุกคนหนีเร็ว...!” หญิงคนหนึ่งเห็น
ชายอัปลักษณ์ ก็หวาดกลัวยิ่งนัก กรีดร้องออกมา
อย่างแรง ชายชราและเด็กน้อยต่างตกอกตกใจ หยาง
หนิงกลัวชาวบ้านจะแตกตื่น ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่
ต้องกลัว เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาด เขาเป็นคนตกยาก
ทุกคนอย่าแตกตื่นไปเลย”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 83 จวนเก่า
หานอี้เห็นชาวบ้านแตกตื่น ก็รีบวิ่งเข้าไปอธิบาย
ทุกคนจึงสงบลงได้ จากนั้นทุกคนก็สลายหายตัวไป
เหลือเพียงชาวบ้านชายฉกรรจ์สองสามคน เพื่อคุม
ไม่ให้ชายอัปลักษณ์ผู้นี้คุ้มคลั่ง
หยางหนิงให้หานอี้กลับเข้าไปในบ้าน แล้วยกอาหารที่
มีอยู่เต็มโต๊ะนั้นออกมา หานอี้ยกชามข้าวมา ชาย
อัปลักษณ์กลับถอยหลัง มองไปที่หานอี้ด้วยความเป็น
ศัตรู ไม่รับชามและตะเกียบไป
หยางหนิงหยิบชามกับตะเกียบมาจากมือของหานอี้
แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “หิวแล้วมิใช่หรือ นี่ของกิน
อย่างไรเล่า กินอิ่มแล้วก็จะไม่หิวอีก”
ก็แปลกเหมือนกัน ชายอัปลักษณ์เห็นหานอี้กับคนอื่น
เป็นศัตรูไปหมด แต่พอได้ยินเสียงของหยางหนิงเข้า
ถึงแม้จะหวาดระแวงอยู่บ้าง แต่ก็อ่อนลงไม่น้อยเลย
เมื่อหยางหนิงเข้าใกล้เขา เขาก็ไม่หลบหรือถอยหลัง
เหมือนที่ทากับหานอี้ เขารับชามข้าวไป แต่ไม่เอา
ตะเกียบ เขาใช้มือหยิบข้าวขึ้นมากิน กินอาหารอย่าง
ตะกรุมตะกราม เหมือนไม่เคยกินข้าวมาก่อน หยาง
หนิงเห็นแล้ว จึงรู้ว่าเขาคงต้องหิวมากแน่ๆ
เห็นคนผู้นี้ ที่ก่อนหน้านี้เอามือซุกไว้ภายในเสื้อคลุม
ตลอด ตอนนี้ยื่นมือออกมารับชามข้าวไป ทาให้เสื้อ
คลุมกางออก ด้านในของเขาไม่ใส่อะไรเลย ใส่เพียง
กางเกงขาสั้นขาดๆ ตัวหนึ่ง กู้ชิงฮั่นเห็นดังนั้น ก็ร้อง
ออกมาว่า “โอ้ย” แล้วรีบหันหลังไป
หยางหนิงเห็นชัดมาก บนตัวของเขาเต็มไปด้วยรอย
ตะปุ่มตะป่า ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
ร่างกายของเขาซูบผอม ส่วนรอยแผลของเขามันก็น่า
ตกใจยิ่งนัก บาดแผลนั้นไม่ใช่รอยดาบ แต่มันเป็นรอย
แผลเป็นเล็กๆ เต็มไปหมด
หยางหนิงเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจ ในใจก็คิดว่าชาย
อัปลักษณ์เร่ร่อนไปทั่ว ไม่แปลกที่จะมีรอยแผลขีด
ข่วนเต็มไปหมด แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจัดการกับแผลของเขา
อย่างไร ทาให้แผลเป็นเช่นนั้น รอยแผลเป็นนั้นก็มี
กว่าสิบที่ บนขาทั้งสองข้าง ก็เหมือนนักโทษที่หนี
ออกมาจากคุก
ชายอัปลักษณ์ตอนนี้นั่งลงกับพื้น กินข้าวอย่างออกรส
ออกชาติ ไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัว หยางหนิงมอง
อย่างละเอียดแล้ว ในใจก็คิดว่าเขาจะเป็นอย่างที่
ตัวเองคาดเดาเอาไว้หรือไม่ คือเป็นคนที่พัดหลงมา
จากบ้านผู้ดีมีตระกูล เห็นหนวดเคราของเขาม้วนเป็น
ก้อนใหญ่ มันไม่น่าจะแค่สามหรือห้าเดือน
ส่วนเสื้อคลุมขนสัตว์บนตัวของเขา มันก็เป็นขนสัตว์ที่
หายาก เป็นขนหมีอย่างดี ถึงแม้จะดูเก่าแต่มันก็ไม่
ขาด
ขณะที่เขากาลังคิดว่าชายอัปลักษณ์ผู้นั้นเป็นใคร เห็น
ชายอัปลักษณ์ยื่นชามข้าวมา แล้วมองมาที่หยางหนิง
ในปากก็พูดว่า “หิว...ของกิน...!”
หยางหนิงก็เลยให้หานอี้ไปเอาข้าวมาให้เขาอีกชาม
เขากินข้าวต่อกันสามชามแล้ว ชายอัปลักษณ์
เหมือนว่ายังไม่พอ หยางหนิงในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ได้
ร่ารวยแต่อย่างใด แต่ละบ้านก็มีอาหารเพียงพอ
สาหรับตัวเอง ตัวเองจะให้เจ้านี่กินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จน
เห็นชายอัปลักษณ์กินจนอิ่ม ท้องจนแน่นแล้ว แล้วก็
ไม่ขออาหารต่อแล้ว
เมื่อชายอัปลักษณ์เห็นหยางหนิงไม่ได้ให้คนไปเอาข้าว
อีก เขาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร แล้วเขาก็กางเสื้อคลุมออก
แล้วก็นอนลงไปอย่างสบายใจ
หานอี้สั่งให้คนเฝ้าชายอัปลักษณ์เอาไว้ กลางดึกเช่นนี้
ไปแจ้งทางการมิได้ เขาตั้งใจจะส่งคนไปที่อาเภอ
พรุ่งนี้
เขาคิดแค่ว่ากู้ชิงฮั่นเป็นชาย ก็เลยจัดหาห้องให้เพียง
หนึ่งห้องให้พวกเขาสองคนพักด้วยกัน กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่า
มันไม่เหมาะ แต่ว่าดึกขนาดนี้แล้ว จะไปรบกวนผู้อื่น
มากก็ไม่ได้ ดังนั้นก็ไม่มีทางเลือก จึงคิดว่าจะอดนอน
สักคืน รอจนเช้า แล้วค่อยรีบเดินไปที่จวนเก่าตระกูล
ฉี
ทั้งสองคนอยู่ห้องเดียวกัน หยางหนิงไม่ได้รู้สึกอะไร
นอนหลับสนิทอยู่ที่พื้น กู้ชิงฮั่นถึงจะรู้สึกไม่สบายใจที่
ให้หยางหนิงนอนที่พื้น แต่ก็ดีกว่าให้หยางหนิงขึ้นมา
บนเตียง
ถึงแม้ชายอัปลักษณ์จะแปลกๆ แต่กู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้รู้สึก
แปลกใจแต่อย่างใด จึงไม่ได้สนใจที่มาที่ไปของเขา
มากนัก นางกาลังคิดว่าที่ดินศักดินาเปลี่ยนไปมาก
ขนาดนี้ ชาวบ้านเริ่มรู้สึกไม่พอใจจิ่นอีโหว ส่งผลต่อ
บารมีของที่ดินศักดินาของตระกูลฉี ก่อนหน้านี้นางไม่
รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย อยู่แต่ในกะลา หากไม่ใช่
เพราะหยางหนิงเสนอให้แอบปลอมตัวมาสืบ ก็คงไม่รู้
เรื่องต่อไป ไม่รู้อีกนานแค่ไหน ในใจก็แอบโทษตัวเอง
นางนอนคิดอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ก็ได้ยิน
เสียงหยางหนิงจาม นางก็เลยลุกมานั่งบนเตียง เห็นห
ยางหนิงนอนตะแคงอยู่ที่พื้น ในใจก็รู้สึกทนไม่ไหว
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบเอาผ้าห่ม แล้วเอาไปห่มให้ห
ยางหนิง เห็นหยางหนิงหลับสนิท นางก็ยิ้มบางๆ แล้ว
พูดเบาๆ ว่า “หนิงเอ๋อ เจ้ารู้หรือไม่ การที่เจ้าโตแล้ว
มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้ ภาระอะไรหลายอย่างก็จะ
กดทับอยู่บนตัวเจ้า เจ้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่รู้ว่า
ความกล้าของเจ้าจะรับมันไหวหรือไม่” จากนั้นก็พูด
อีกว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ซานเหนียงก็จะอยู่ข้างๆ
เจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าก็จะรับมันไปพร้อมกับ
เจ้า” นางกลับไปที่เตียง แล้วนอนลง
หยางหนิงไม่ได้หลับไปจริงๆ เขากลัวกู้ชิงฮั่นเกิดนึกถึง
เรื่องกลางวันขึ้นมา แล้วจะมาถามหาที่มาที่ไปเรื่องวร
ยุทธ์กับเขาอีก จึงแกล้งหลับ เพื่อเลี่ยงปัญหา
แต่พอได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งยิ่ง
นัก
ฟ้าสางในวันถัดมา กู้ชิงฮั่นปลุกหยางหนิงให้ตื่น เมื่อ
เขาลุกขึ้นมาเห็นกู้ชิงฮั่นหน้าตาอิดโรย เขาจึงตกใจ
แล้วพูดว่า “ซานหนียง ท่านอย่าบอกนะว่าท่านไม่ได้
นอนเลยทั้งคืน?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้า แล้วพูดเบาๆ ว่า “พวกเราอย่า
เสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย พวกเรารีบไปที่จวนเก่ากัน
เถอะ ยังมีเรื่องต้องทาอีกมาก”
ทั้งสองตื่นขึ้น แน่นอนว่าหานอี้ต้องรู้ ทั้งสองล้างหน้า
ทาความสะอาดตัวแบบง่ายๆ แล้วลาหานอี้ไป แต่
หานอี้ยังคงกังวลเรื่องที่ผู้ดูแลหลัวจะกลับมาหาเรื่อง
จะไม่เป็นผลดีกับทั้งคู่ ในเมื่อทั้งคู่ขอลา จึงไม่รั้งเอาไว้
เมื่อออกจากบ้านมา ก็เห็นชายอัปลักษณ์นอนอยู่หน้า
ประตูอยู่ไม่ไกล เหมือนจะหลับสนิท
“เจ้านี่ก็ฝากพวกเจ้าด้วย” หยางหนิงมองไปที่หานอี้
แล้วพูดเบาๆ ว่า “ม้าที่เจ้าคนแซ่หลัวทิ้งเอาไว้ ก็ถือ
ว่าชดใช้ค่าเสียหายให้กับคนในหมู่บ้านก็แล้วกัน”
หานอี้จึงคิดในใจว่าไม่มีทางให้เจ้าหรอก ม้ากี่ตัวนี่ ต่อ
ให้ขายบ้านทั้งหมู่บ้านก็ซื้อไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว หยาง
หนิงก็ไม่พูดอะไรมาก เดินไปปลดม้าที่ผูกเอาไว้ และ
เมื่อออกจากหมู่บ้าน จึงขึ้นม้า แล้วขี่ออกไป
เมื่อขี่ม้าออกมาได้ระยะหนึ่ง หยางหนิงก็รู้สึกเหมือนมี
เงาๆ หนึ่งตามมา เขาจึงตกใจ เมื่อเห็นเงาๆ นั้นวิ่งมา
อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เมื่อมองไป ก็จาได้ว่าเป็นชาย
อัปลักษณ์
กู้ชิงฮั่นตกใจแล้วพูดว่า “เขาตามมาได้อย่างไร?”
หยางหนิงดึงเชือกม้าให้หยุด ชายอัปลักษณ์เองก็หยุด
เช่นกัน ยืนอยู่ข้างๆแล้วมองหยางหนิง หยางหนิงหัน
ไปมอง เขาไม่เห็นหมู่บ้านแล้ว แล้วมองชายอัปลักษณ์
สีหน้ามีความตกใจยิ่งนัก “เขา...เขาตามมาทันได้
อย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นก็พูดด้วยความตกใจเช่นกัน “หรือว่า...หรือว่า
เขาใช้ขาสองข้างของเขาวิ่งตามมาอย่างนั้นรึ?” แค่
รู้สึกว่ามันยากที่เชื่อได้ หลังออกมาจากหมู่บ้าน พวก
เขาก็ควบม้าวิ่ง ความเร็วของม้าก็ไม่ได้ช้าเลยแม้แต่
น้อย พริบตาเดียวก็ขี่ม้ามาหลายสิบลี้แล้ว ตอนที่
ออกมาจากหมู่บ้านยังเห็นชายอัปลักษณ์นอนอยู่เลย
แต่ตอนนี้ กลับตามมาทัน หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง กู้
ชิงฮั่นก็คงไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้แน่นอน
หยางหนิงก็รู้สึกตกใจ ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าเจ้า
อัปลักษณ์มีความเร็วเพียงใด ถูกจับได้หลายครั้งตอน
ขโมยไก่ แต่ก็อาศัยความเร็วที่มีหนีชาวบ้านไปได้ แต่
แค่ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่คราวนี้เห็นด้วยตาตัวเอง มัน
เร็วกว่าที่เขาคิดไว้มาก รู้สึกตกใจไม่น้อย
ชายอัปลักษณ์ยังคงใส่เสื้อคลุมสีดา เขามองหยางหนิง
แล้วพูดซ้าๆ ว่า “หิว ของกิน!”
หยางหนิงได้สติกลับมา มองไปที่ชายอัปลักษณ์แล้ว
พูดว่า “เจ้าตามข้ามาได้อย่างไร? รีบกลับไปที่
หมู่บ้านเดี๋ยว คนที่นั่นจะให้ของกินกับเจ้า แล้วจะ
ช่วยเจ้าให้ได้กลับบ้าน”
ชายอัปลักษณ์เหมือนจะไม่ได้สนใจที่หยางหนิงพูด
แต่มองเพียงหยางหนิง และพูดซ้าไปซ้ามา
หยางหนิงคิดในใจว่าเมื่อคืนเขาก็หวังดีเกินไป ตอนนี้
ชายอัปลักษณ์นี่คิดว่าเขาเป็นโรงทานให้อาหารเสีย
แล้ว คิดๆ ดูแล้ว ก็หยิบเงินโยนให้เขาไป แล้วพูดว่า
“เจ้าเอาเงินนี่ให้พวกเขา พวกเขาก็จะให้ของกินกับ
เจ้า อย่าตามพวกเรามาอีก” เขาคิดว่าตัวเขากับกู้ชิง
ฮั่นยังมีเรื่องที่ต้องทา จะพาเขาไปด้วยคงไม่ได้
ชายอัปลักษณ์เก็บเงินขึ้นมาจากพื้น สีหน้าโกรธยิ่งนัก
จากนั้นก็โยนเงินคืน และด่าภายในใจ
หยางหนิงรับเอาเงินไว้ได้ กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“พวกเราอย่าไปยุ่งกับเขาอีกเลย คนผู้นี้ไม่รู้มาจาก
ไหน อย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า หากตามเราไม่ทัน ก็คง
จะกลับหมู่บ้านไปเองก็ได้” เสียงอ่อนโยนจบลง ก็
ควบม้าไปต่อ หยางหนิงก็ไม่เสียเวลา จึงควบม้าตาม
ไป
ม้าทั้งสองวิ่งไปเหมือนกับบินได้ พริบตาเดียวก็ควบม้า
ออกไปไกลมากแล้ว หยางหนิงหันหลังมาดูว่าเจ้าชาย
อัปลักษณ์ยังตามมาหรือไม่ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นชาย
อัปลักษณ์ก้าวเท้าวิ่งมาอย่างเร็ว ตามมาห่างๆ
ความเร็วเทียบได้กับม้าสองตัวที่วิ่งอยู่เลย เสื้อคลุม
ของเขาลอยขึ้น ตอนนี้เขาวิ่งราวกับมีปีกบินได้
หยางหนิงหยุดม้าอีกครั้ง แล้วหันม้ากลับไป จากนั้น
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “รีบกลับไป หากยังไม่กลับไปอีก
ข้าจะตีเจ้าแล้วนะ” จากนั้นเขาก็ยกแส้ในมือขึ้นมา
ท่าทางเหมือนจะตีชายอัปลักษณ์จริงๆ
ชายอัปลักษณ์เหมือนจะกลัว รีบถอยหลัง แล้วก็หด
ตัว ทาท่าทางน่าสงสารมองไปที่หยางหนิง หยางหนิง
ตะคอกกลับไปว่า “ที่นี่ไม่มีของกิน กลับหมู่บ้านไป
เจ้าจะมีของกิน ห้ามตามข้ามาอีกนะ” จากนั้นก็ควบ
ม้าไปต่อ
เมื่อควบม้าไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็หันกลับไปมองอีก
เห็นชายอัปลักษณ์ยังคงตามมาอยู่ เพียงแต่ว่าเมื่อกี้
เหมือนจะถูกหยางหนิงทาให้ตกใจ ก็เลยเว้นระยะห่าง
ออกไป
หยางหนิงรู้สึกจนปัญญา จึงไม่สนใจเขาอีก ได้แต่ควบ
ม้าไปต่อ
ทั้งสองคนเดินหน้าไปทางใต้ แรกเริ่มเดิมที หยางหนิง
หันหลังไปหลายครั้ง ก็จะเห็นชายอัปลักษณ์ตามอยู่
ด้านหลังตลอด เมื่อควบม้าห่างมาหลายสิบลี้ เงาของ
ชายอัปลกษณ์ก็ห่างออกไปเรื่อยๆ หยางหนิงถอน
หายใจ แอบคิดว่าความสามารถของชายอัปลักษณ์
สุดท้ายก็สู้ม้าไม่ได้ ถึงแม้ความเร็วของเขาจะหาใคร
เทียบได้ แต่เมื่อเวลานานเข้า ร่างกายก็อาจจะทนไม่
ไหว สุดท้ายก็ต้องรั้งท้ายไปอยู่ดี
ม้ายังคงวิ่งไปไม่หยุด หยางหนิงคิดว่ายังไม่ถึงสองชั่ว
ยาม ก็ได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดขึ้นมาว่า “หนิงเอ๋อ ข้างหน้านี้
ก็จะถึงจวนเก่าแล้ว” นางค่อยๆ ผ่อนความเร็วม้าลง
ยกมือชี้ไปข้างหน้า หยางหนิงมองไปตามที่นางชี้ไป
เห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ไกลๆ เห็นอิฐเรียงตัวกันเป็นแนว
ยาว สะดุดตายิ่งนัก
หน้าประตูจวนเก่าของตระกูลฉี มีสระน้าสระหนึ่งน้า
ใสยิ่งนัก อ้อมไปหลังสระน้าเดินไปไม่กี่ก้าวก็มีต้นหลิ่ว
ต้นหนึ่ง เป็นแบบบ้านเก่าๆ บรรยากาศดูโบราณๆ
เสียหน่อย ด้านหลังจวนเก่าตระกูลฉี ก็เป็นสวนไผ่
เขียว
จวนเก่าทางตะวันตกเฉียงใต้ มีบ้านอยู่สิบกว่าหลัง
แต่จวนเก่าตระกูลฉีเป็นบ้านหลังโดดๆ ข้างๆ ไม่มี
บ้านคนอื่นอยู่เลย ดูโดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งนัก
หากเป็นเมื่อสิบปีก่อน ที่นี่ก็ครึกครื้นอยู่มาก
บ้านตระกูลฉีเป็นบ้านตระกูลใหญ่ในเจียงหลิง จริงๆ
แล้วที่เจียงหลิงรวมถึงในตัวเมืองจิงโจว จะมีร้านค้า
ต่างๆ มากมาย แต่ว่าหลังจากท่านจิ่นอีเหล่าโหวออก
ติดตามอดีตฮ่องเต้ไปออกรบ ก็บริจาคร้านค้าไปหลาย
ร้าน เหลือทิ้งไว้เพียงจวนเก่าตระกูลฉีหลังนี้เอาไว้
ส่วนจิ่นอีเหล่าโหวกับคนในตระกูลส่วนใหญ่ก็ย้ายไป
ตั้งรกรากที่เมืองหลวง ทิ้งบางส่วนเอาไว้ที่นี่เท่านั้น
จวนตระกูลฉีอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ ก็เลยไม่กล้าที่จะมาสร้าง
บ้านใกล้ๆ แถวนี้ ทาให้จวนเก่าที่นี่ดูโดดเดี่ยว
นอกจากว่าทุกครั้งที่คนในตระกูลฉีกลับมา บ้านเก่านี่
ถึงจะคึกคักขึ้นมา
ถึงแม้จวนเก่าจะโดดเดี่ยว แต่ที่นี่ก็เหมือนเป็น
สัญลักษณ์ ไม่มีใครไม่ให้ความเคารพที่นี่เลย
ประตูใหญ่สีแดงสะดุดตายิ่งนัก หน้าประตูใหญ่ซ้าย
ขวามีสิงโตหินข้างละตัว ทั้งคู่ลงจากม้า แล้วเดินไปที่
ด้านหน้าประตูใหญ่ของจวนเก่า เงยหน้าขึ้นมาป้าย
หน้าประตู เขียนแค่สองคาง่ายๆ ว่า “จวนฉี” ไม่ได้มี
อะไรมากไปกว่านั้น
หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่น แล้วก็เดินไปเคาะประตู
เคาะอย่างแรง ในตอนแรกไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ใด
เลย หยางหนิงจึงเคาะหนักๆ ขึ้นอีกหลายครั้ง
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง “แอ๊ด” ประตูสีแดงถูกเปิด
ออก ชายชราอายุราวๆ ห้าสิบปียื่นหน้าออกมาดู แล้ว
ถามว่า “ที่นี่จวนจิ่นอีโหว พวกเจ้ามาหาใครหรือ?”
“ไปบอกพ่อบ้านใหญ่ฉีหง จิ่นอีซื่อจื่อกลับมาแล้ว” กู้
ชิงฮั่นลงจากม้ามาแล้วเดินไปข้างๆ หยางหนิง เสียง
เย็นชา ใบหน้าที่สวยงามไร้ท่าทางใดๆ
ชายชราตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองด้วยสีหน้า
เหมือนมีความสงสัย ส่ายหัวแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคง
ไม่ได้เจอพ่อบ้านใหญ่หรอก พ่อบ้านใหญ่เจอผู้ใดไม่ได้
อีกแล้ว!”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 84 ห้องบัญชี
หยางหนิงรู้สึกตกใจยิ่งนัก กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ทาไมเราถึงพบพ่อบ้านใหญ่
ไม่ได้?” นางเองก็เคยค้างที่บ้านเก่าอยู่หลายวัน
ความจาของนางยังดี ยังคงจาชายชราที่มาเปิดประตู
ได้ เพียงแต่ว่าไม่รู้ชื่อเขาว่าชื่ออะไรเท่านั้น
ชายชราพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าบอกว่าจะมาพบท่าน
พ่อบ้านใหญ่ฉีหง เขาไม่ได้อยู่ที่นี่จวนเก่านี่นานแล้ว
แน่นอนว่าต้องไม่เจอ”
กู้ชิงฮั่นตกใจมาก นางจึงถามกลัยไปว่า “ฉีหงไม่อยู่
อย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน เขาอยู่จัดการที่นี่
มาโดยตลอดมิใช่หรือ?” ยังไม่ทันได้เข้าประตูบ้าน
จวนเก่าก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเสียแล้ว
“เจ้าอย่าพูดให้มากความอยู่เลย รีบเปิดประตูให้พวก
เราเข้าไปเดี๋ยวนี้” หยางหนิงยื่นมือไปผลักประตู แต่
ชายชราผู้นั้นขวางเอาไว้ แล้วพูดว่า “ข้าขอเตือนเจ้า
รีบกลับไปเสียเถอะ หากปลอมตัวเป็นซื่อจื่อ คนใน
บ้านรู้เข้า พวกเจ้าอยากไปก็ไปมิได้แล้วหนา”
หยางหนิงตกใจกับสิ่งที่ชายชราผู้นั้นพูดออกมา
แอบคิดในใจว่าชายราผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาสวมรอย
เป็นซื่อจื่อกัน?
กู้ชิงฮั่นรู้สึกโกรธยิ่งนัก นางจึงพูดขึ้นว่า “ฉีหงไม่อยู่ที่
จวนเก่า แล้วอยู่ที่ไหนเล่า? ตอนนี้ที่นี่ใครเป็น
ผู้ดูแล?” ไม่รู้ว่าคิดอะไร นางก็พลันถอดหมวกออกมา
ผมของนางก็สยายยาวลงมา แล้วจ้องไปที่ชายชรา
ผู้นั้น แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้จักข้าหรือไม่?”
ชายชรามองไปด้วยสีหน้าตะลึงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่
ออก หลังจากนั้น พอตั้งสติได้ก็พูดออกมาว่า
“ฮู...ฮูหยินสาม”
กู้ชิงฮั่นคิดในใจว่าตาแก่นี่ความจายังดีอยู่ ชายชรารีบ
เปิดประตู แล้วคุกเข่าลง “ข้าน้อยเสียมารยาท ฮูหยิน
สามโปรดอภัยข้าน้อยด้วย!”
หยางหนิงยังตกใจอยู่นึกว่าตาแก่นี่ดูออกว่าเขาสวม
รอยเป็นซื่อจื่อเสียอีก เห็นชายชราจากู้ชิงฮั่นได้ เขา
ถึงได้รู้ว่าเขาเข้าใจผิด แอบคิดว่ากู้ชิงฮั่นกับไท่ฮูหยิน
ยังดูไม่ออก ตาแก่นี่ไม่เคยเจอจิ่นอีซื่อจื่อเลย แล้วจะรู้
ได้อย่างไร
“ลุกขึ้นมาเถิด” กู้ชิงฮั่นเดินผ่านหน้าชายชราผู้นั้น
และเดินเข้าไปในบ้าน หยางหนิงเดินตามเข้าไป เมื่อ
เข้าไปในบ้าน แม้จะเป็นกลางวันแสกๆ แต่กลับรู้สึก
หนาวเย็น หรือว่าบ้านมันหลังใหญ่เกินไป จนทาให้
รู้สึกวังเวง
ชายชราลุกขึ้นมา แล้วปิดประตู จากนั้นก็เดิน
ตามหลังมา หยางหนิงพบว่า ชายชราผู้นี้เดินขาเป๋
ตลอดทาง เห็นเรือนใหญ่ มีสวนมีภูเขาจาลอง
มากมาย จนกระทั่งเดินมาถึงห้องโถง ก็ยังไม่เห็นผู้ใด
กู้ชิงฮั่นสีหน้าไม่ดี เมื่อเข้ามาที่ห้องโถง ก็หันหลังไป
ถามชายชราว่า “ผู้คนหายไปไหนกันหมดรึ? เหตุใด
ที่นี่มันถึงได้เงียบเช่นนี้?”
ชายชราจึงรีบตอบกลับไปว่า “ท่านเฉิงเข้าเมืองไป
บอกว่าจะกลับมาคืนนี้ ในจวนยังมีคนอีกราวสิบคน
ข้าน้อยจะไปเรียกพวกเขามาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“เดี๋ยวก่อน” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านเฉิงที่
เจ้าว่าเป็นผู้ใดรึ? ทาไมข้าถึงไม่เคยได้ยิน?” จากนั้นก็
ถามอีกว่า “จริงสิ ข้าคุ้นหน้าเจ้านัก แต่ข้ากลับจา
ไม่ได้ว่าเจ้าชื่ออะไร”
ชายชราจึงตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยเหวยต้ง ตอนที่
ฮูหยินสามแต่งเข้าจวนมา ข้าน้อยก็อยู่ที่นี่ด้วย
ฮูหยินสามความจาดีจริงๆ ท่านยังจาข้าน้อยได้ด้วย”
“ความจาเจ้าก็ดีเช่นกัน ยังจาข้าได้” กู้ชิงฮั่นนั่งอยู่บน
เก้าอี้ตัวหนึ่ง หยางหนิงนั่งอยู่ข้างๆ มองไปรอบๆ
“ฮูหยินสามท่านไม่รู้จักท่านเฉิงหรือขอรับ?” เหวยต้ง
รู้สึกแปลกใจนัก “ท่านเฉิงเป็นลูกชายของพ่อบ้าน
ใหญ่ สองปีมานี้ท่านเฉิงเป็นผู้ดูแลเรื่องต่างๆ ในจวน
เก่าแห่งนี้ ข้าน้อยคิดว่าฮูหยินสามจะรู้อยู่แล้วเสียอีก
ขอรับ”
“ลูกชายพ่อบ้านใหญ่รึ?” กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่า
แล้วถามกลับไปอีกว่า “เจ้าบอกว่าหลายปีมานี้เขา
เป็นคนดูแลที่จวนเก่านี่อย่างนั้นหรือ แล้วพ่อบ้าน
ใหญ่ไปไหนรึ? เมื่อครู่เจ้าบอกว่าพวกข้าจะไม่ได้พบ
พ่อบ้านใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?”
เหวยต้งจึงอธิบายว่า “สามปีก่อนจู่ๆ พ่อบ้านใหญ่ก็
ป่วยกะทันหัน ไม่สามารถขยับตัวได้ จึงต้องนอนอยู่
บนเตียงให้คนดูแลอยู่ตลอดเวลา ยังดีที่ตอนนั้นท่าน
เฉิงกลับมา...ท่านเฉิงกลับมาได้ไม่นาน เรื่องภายใน
จวนทั้งหมด ท่านเฉิงจึงรับหน้าที่แทนพ่อบ้านใหญ่
ไป”
กู้ชิงฮั่นตกใจแล้วพูดว่า “สามปีก่อนอย่างนั้นรึ? เจ้า
หมายความว่า สามปีมานี้ จวนเก่ากับที่ดินศักดินา
ทั้งหมดฉีเฉิงเป็นคนดูแลอย่างนั้นหรือ?”
เหวยต้งไม่คิดว่ากู้ชิงฮั่นจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงถาม
ด้วยความแปลกใจว่า “ฮูหยินสามท่านไม่รู้เรื่องอะไร
เลยหรือขอรับ? ท่านเฉิงไปเมืองหลวงทุกปี ฮูหยิ
นสามไม่เคยเจอเขาเลยหรือขอรับ?”
หยางหนิงเองก็คิดไม่ถึงว่าจวนเก่านี้ จะมีการ
เปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้ จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ซานเหนียงไม่เคยได้ยินชื่อของชายคนนี้เลยรึ? แล้ว
พ่อบ้านใหญ่มีลูกชายจริงๆ หรือไม่? แล้วก่อนหน้านี้ฉี
เฉิงทาอะไรมาก่อนรึ?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉีหงเป็นคนในตระกูลฉี
ข้าเองก็มิได้รู้เรื่องอะไรของเขามากนัก จาได้ว่าบ้าน
เกิดของเขาอยู่เจียงเซี่ย ต่อมาเขามากับท่านเหล่าโหว
แล้วก็ทางานให้กับจวนเก่าแห่งนี้มาโดยตลอด ไม่รู้
ด้วยซ้าว่าเขายังมีครอบครัวด้วย”
เหวยต้งพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่ค่อยได้ยินพ่อบ้าน
ใหญ่พูดถึงเรื่องครอบครัวเท่าไหร่นัก แต่ว่าเคยได้ยิน
ว่าบ้านเก่าที่เจียงเซี่ยพอมีทรัพย์สมบัติอยู่บ้าง เหมือน
จะมีลูกด้วย ส่วน...ส่วนฉีเฉิงทาการค้าอยู่ที่เจียงเซี่ย
มาตลอด แต่จู่ๆ เขาก็มาที่จวนเก่านี้ พ่อบ้านใหญ่เอง
ก็ตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเรื่องส่วนตัวของพ่อบ้านใหญ่
ข้าน้อยก็ไม่กล้าถามมาก” จากนั้นเขาก็พูดเบาๆ ว่า
“แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อบ้านใหญ่กับฉีเฉิงไม่
ค่อยดีนัก มีคนเห็นพวกเขาทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง
จนกระทั่งพ่อบ้านใหญ่ล้มป่วย ลุกจากเตียงมิได้อีก
เลย”
“ที่มาที่ไปของคนที่ฉีเฉิงผู้นี้น่าสนใจดีนัก” หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อบ้านใหญ่สบายดีมาตลอด พอฉีเฉิง
มาหาเท่านั้น เขาก็ล้มป่วยลง ซานเหนียง เรื่องนี้ต้อง
มีอะไรไม่ชอบมาพากลใช่หรือไม่?” จากนั้นเขามองไป
ที่เหวยต้ง แล้วถามว่า “พ่อบ้านใหญ่ป่วย ไม่สามารถ
ดูแลจวนเก่าได้ เคยส่งคนไปแจ้งที่เมืองหลวงบ้าง
หรือไม่?”
เหวยต้งพูดว่า “วันนั้นฉีเฉิงส่งคนไปยังเมืองหลวง
พ่อบ้านใหญ่ลุกไม่ขึ้น จวนเก่านี้ไม่มีผู้ใดสั่งการอะไร
ได้ ฉีเฉิงจึงรับช่วงต่อดูแลชั่วคราว”
“ทางจวนโหวไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือขอรับ” ดวงตา
ของกู้ชิงฮั่นเต็มไปด้วยความตกใจ “ฉีเฉิงรับช่วงของ
พ่อบ้านใหญ่ คนอื่นๆในจวนเก่าก็ไม่พูดอะไรเลย
หรือ? เขามีสิทธิอะไรทาหน้าที่แทน”
เหวยต้งพูดด้วยความตกใจว่า “เอ่อ...เอ่อสิ่งนี้เป็น
เจตนารมณ์ของทางจวนโหว คนที่ส่งไปที่เมืองหลวง
นาจดหมายกลับมาด้วยฉบับหนึ่ง ในนั้นเขียนว่า เรื่อง
ของจวนเก่านี้ ต่อไปก็ให้ฉีเฉิงรับหน้าที่แทนพ่อบ้าน
ใหญ่ คนของจวนเก่าทั้งหมดจะต้องฟังคาสั่งของฉีเฉิง
ขอรับ”
“ซานเหนียง ดูเหมือนว่าเรื่องที่เราไม่ยังไม่ทราบมัน
จะมีมากกว่าที่พวกเราคิด” หยางหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “จวนเก่ามีการเปลี่ยนแปลงพ่อบ้านใหญ่
แม้แต่ท่านก็ยังไม่รู้เรื่อง”
กู้ชิงฮั่นนิ่งไปและนั่งเงียบอยู่นาน จึงถามขึ้นว่า “เจ้า
บอกว่าฉีเฉิงจะกลับมาคืนนี้ใช่หรือไม่?”
“เขาไปเมื่อวาน บอกว่าจะเข้าเมืองไปดูพ่อบ้านใหญ่
ในเมืองจิงโจว” เหวยต้งพูดต่ออีกว่า “หลังจากที่
พ่อบ้านใหญ่ล้มป่วย ฉีเฉิงก็ส่งเขาไปรักษาตัวที่เมือง
จิงโจว ข้าน้อยเองก็ไม่ได้พบท่านพ่อบ้านใหญ่มานาน
มากแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนเขาจะ
ไป พูดแค่ว่าช้าสุดก็กลับมาคืนนี้ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ก็ดี ข้าก็อยากจะรู้
เหมือนกัน ว่าฉีเฉิงเป็นเทวดามาจากไหน” จากนั้นก็
ถามอีกว่า “เจ้ารู้เรื่องเงินภาษีหรือไม่? เงินภาษีของ
ทางเจียงหลิง ส่งช้าไปเป็นเดือนแล้วหนา เหตุใดถึงยัง
ไม่ส่งไปอีก?”
เหวยต้งพูดอย่างมึนงงว่า “ข้าน้อยมีหน้าที่เฝ้าประตู
เท่านั้น ไม่...ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยขอรับ” แล้วพูดอีกว่า
“จริงสิ ท่านจ้าวอยู่ในจวน เขาดูแลบัญชีของทางจวน
เก่า บัญชีทุกอย่างจะต้องให้เขาตรวจก่อน ข้าน้อยจะ
ไปตามเขามา เขาน่าจะรู้เรื่องภาษีดีขอรับ” เขากาลัง
จะไปตามท่านจ้าวมา กู้ชิงฮั่นก็เรียกเขาเอาไว้ “ช้า
ก่อน เหวยต้ง ที่จวนเก่านี้มีผู้ดูแลที่แซ่หลัวบ้าง
หรือไม่?”
“ผู้ดูแลหลัวหรือขอรับ?” เหยวต้งถามอย่างตกใจ
แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ในจวนมีทั้งหมดสิบหกคน
นอกจากห้องบัญชี ห้องครัว ห้องคลัง คอกม้าที่ถูกจัด
คนดูแลเอาไว้อยู่แล้ว ก็มีคนที่ฉีเฉิงจ้างมา ครั้งนี้ก็ตาม
ฉีเฉิงเข้าเมืองไป ข้าน้อยจาได้ว่า ในบรรดาคนพวกนั้น
ไม่มีคนที่แซ่หลัว นอกจากพ่อบ้านใหญ่แล้ว ในจวนก็
มีแค่ท่านจ้าวที่เป็นบัณฑิต ไม่มีผู้ดูแลคนอื่นอีก มีแค่
สิบกว่าคน มีพ่อบ้านใหญ่ก็พอแล้ว เพราะไม่เหมือน
เมืองหลวง ไม่ต้องใช้ผู้ดูแลมากมายนัก”
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะฉลาด แต่ในตอนนี้ก็เหมือนจะอึ้ง
ตะลึงไป แม้แต่หยางหนิงเองยังรู้สึกว่าที่จวนเก่านี้มัน
รู้สึกแปลกๆ
“เจ้าไปเชิญท่านจ้าวมาก่อนไป” กู้ชิงฮั่นยกมือโบกให้
เหวยต้งไปตามคนมา เหวยต้งโค้งตัวแล้วถอยหลัง
ออกไป
กู้ชิงฮั่นวางมือบนที่เก้าอี้ สีหน้าของนางดูเคร่งเครียด
เหมือนกาลังคิดอะไรอยู่ หยางหนิงรู้ว่าตอนนี้กู้ชิงฮั่น
จะต้องจับต้นชนปลายไม่ถูกแน่ๆ จึงเข้าไปใกล้ๆ แล้ว
พูดว่า “ซานเหนียง หลายปีมานี้ ภาษีมีขาดส่งบ้าง
หรือไม่?”
“นอกจากครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็ไม่
เคยขาด” กู้ชิงฮั่นเงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า :
“เหวยต้งบอกว่าหลังจากพ่อบ้านใหญ่ล้มป่วยลง ก็ได้
ส่งคนไปแจ้งที่เมืองหลวง แต่ว่าข้าไม่รู้อะไรเลย หาก
ไม่ใช่ว่าครั้งนี้เงินไม่ส่งไปสักที เราก็คงไม่ได้กลับมาที่นี่
เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าเหมือนอยู่ในกะลาไม่รู้อะไรเลย”
นางพูดด้วยความโมโหว่า “ไท่ฮูหยินไว้ใจให้ข้าดูแล
เรื่องต่างๆ ของจวน แต่ข้ากลับ...ข้ามันใช้ไม่ได้เลย
จริงๆ”
“ที่มันห่างไกล บวกกับก่อนหน้านี้เงินภาษีก็ไม่เคย
ล่าช้าหรือขาดเลย ซานเหนียงจะไปคิดถึงได้อย่างไร
ว่าที่จวนเก่านี้จะเกิดเรื่อง” หยางหนิงพูดเบาๆ อีกว่า
“แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งตอนนี้สามารถแน่ใจได้ หากที่นี่ส่ง
คนไปยังจวนโหวจริงๆ เพื่อรายงานเรื่องของที่นี่ แต่
ซานเหนียงกลับไม่รู้อะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามี
คนจงใจปิดบัง ไม่ให้ซานเหนียงรู้”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นพ่อบ้านชิว” กู้ชิงฮั่นพูดต่อ
อีกว่า “หากมีคนจากที่นี่ไปยังเมืองหลวง ทางจวน
โหวไม่มีทางให้ไปพักข้างนอกเด็ดขาด อย่าว่าแต่จวน
เก่าเลย แม้แต่คนจากเจียงหลิงเองก็ใช่ จวนโหวจะ
ต้อนรับอย่างดี ปกติพ่อบ้านชิวจะเป็นคนออกหน้ารับ
แทน คนที่ทางจวนเก่าส่งไป พ่อบ้านชิวน่าจะรู้ แต่
เรื่องพ่อบ้านใหญ่ล้มป่วยเป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดพ่อบ้าน
ชิวต้องปิดบังข้าด้วย? หรือว่าเขาไม่รู้ ช้างตายทั้งตัว
เอาใบบัวมาปิดไม่ได้ เรื่องเช่นนี้ อย่างไรข้าก็ต้องรู้สัก
วัน แล้วถึงเวลานั้นเขาจะบอกกับข้าอย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแปลก ขมวดคิ้วไม่หยุด
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา
หยางหนิงมองเห็นหน้าของเขาไม่ชัด คนผู้นั้นคุกเข่า
ลงกับพื้น แล้วพูดด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยจ้าว
ยวน คารวะซื่อจื่อกับฮูหยินสามขอรับ!”
หยางหนิงมองเห็นเขาสวมเสื้อแขนยาว สวมหมวกสี
เขียว แต่งตัวเหมือนพวกบัณฑิต
“เจ้าก็คือท่านจ้าวอย่างนั้นหรือ? ลุกขึ้นพูดเถิด”
กู้ชิงฮั่นดูแลจวนมาหลายปี แถมเกิดในตระกูลใหญ่
ลักษณะท่าทางมีสง่าราศี ในเวลานีพ้ ูดด้วยท่าทางที่
สุขุมอย่างยิ่ง
พอนักบัญชีจ้าวยวนลุกขึ้น ก็เห็นร่างกายของเขา
ซูบผอม ไว้หนวดแปดเหลี่ยม อายุราวๆ สี่สิบปี ดูมี
ความรู้ ฉลาด สีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาพูดด้วย
ความเคารพว่า “ไม่รู้ว่าซื่อจื่อกับฮูหยินสามมา ทางนี้
จึงไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ซื่อจื่อกับฮูหยินสามโปรด
อภัยด้วย”
“นักบัญชีจ้าว ข้าขอถามเจ้าหน่อย เงินภาษีของ
เจียงหลิง เหตุใดถึงยังส่งไม่ถึงเมืองหลวงสักที?”
กู้ชิงฮั่นถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม : “เกิดเรื่องอะไรขึ้น
รึ?”
“เงินภาษีอย่างนั้นหรือขอรับ?” จ้าวยวนสีหน้าตกใจ
“ฮูหยินสาม ท่านหมายถึงเงินภาษีของเมื่อไหร่หรือ
ขอรับ?”
“ก็ต้องของปีนี้อย่างไรเล่า” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “หรือเจ้าคิดว่าข้าจะมาทวงถามเงินภาษีของ
ปีหน้าหรืออย่างไรกัน?”
ที่จวนเก่านี้ จะส่งเงินภาษีไปเมืองหลวงสองครั้ง ฤดู
ร้อนกับฤดูใบไม้ผลิส่งครั้งหนึ่ง ฤดูใบไม้ร่วงกับฤดู
หนาวจะส่งอีกครั้งหนึ่ง
จ้าวยวนจึงรีบตอบกลับไปว่า “ฮูหยินสามท่านล้อข้า
เล่นใช่หรือไม่ เงินของฤดูใบไม้ร่วงส่งไปตั้งแต่เดือน
เก้าแล้วขอรับ ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนช้าไปหลายวัน
ดังนั้นปีนี้จึงส่งไปเร็วหน่อย เพื่อไม่ให้ทางจวนโหวต้อง
เป็นกังวล ตามหลักแล้วต้นเดือนสิบก็น่าจะถึง
จวนโหวแล้ว ไม่มีทางช้าเด็ดขาดขอรับ”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 85 เรือนผีสิง
สีหน้าของจ้าวยวนจริงจัง คาพูดของเขา ทาให้กู้ชิงฮั่น
กับหยางหนิงถึงกลับหน้าถอดสี กู้ชิงฮั่นลุกขึ้น แล้ว
พูดว่า “เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? เงินภาษีส่งไปแล้วอย่าง
นั้นหรือ?”
จ้าวยวนพูดด้วยความจริงจังว่า “สิ้นเดือนเก้าได้ส่งไป
แล้ว แล้วท่านเฉิง...พ่อบ้านใหญ่ฉีเป็นคนจัดการ เพื่อ
แน่ใจว่าเงินภาษีส่งไปอย่างปลอดภัย เหมือนทุกปี ยัง
ไปหาท่านเจ้าเมืองของเมืองจิงโจว เพื่อขอทหารคุ้ม
กันไปด้วยอีกสิบนายขอรับ”
หยางหนิงคิดในใจว่ายิ่งฟังยิ่งซับซ้อนมากขึ้น เขาเองก็
ลุกขึ้นมาแล้วถามว่า “ทางจวนโหว ไม่ได้รับเงินภาษี
ด้วยเหตุนี้ ข้ากับซานเหนียงจึงมาที่เจียงหลิงด้วย
ตัวเอง เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“เป็นไปได้อย่างไร” จ้าวยวนพูดด้วยความตกใจ
“พ่อบ้านใหญ่ฉีตั้งใจจะไปส่งด้วยตัวเอง แต่เพราะติด
ภารกิจจึงไปมิได้ เลยส่งเสี่ยวชุยคุ้มกันเงินไป เสี่ยวชุย
เคยไปเมืองหลวง คุ้นเคยกับเส้นทางดี หลังจากที่พวก
เขากลับมา ก็บอกว่าเงินภาษีส่งถึงที่หมายแล้ว ทุก
อย่างราบรื่นดีขอรับ” เขาพูดด้วยความสงสัยว่า “ฮู
หยินสามกับซื่อจื่อกลับมาในครั้งนี้ ก็เพราะเงินภาษี
รอบนี้อย่างนั้นหรือ?”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่จ้าวยวน เห็นจ้าวยวนสีหน้าจริงจัง จึง
นั่งลง แล้วปิดตาลง แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า
“ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ตอนนี้ที่ดินศักดินา เก็บภาษีที่
สัดส่วนเท่าไหร่?”
“ฮูหยินสามก็รู้ ตอนที่ท่านเหล่าโหวอยู่ ได้กาหนด
เอาไว้ว่า ภาษีอาหารของจวนจิ่นอีโหว ให้เก็บสอง
ส่วนจากผลผลิตทั้งหมด” จ้าวยวนพูดต่ออีกว่า “หาก
เจอภัยธรรมชาติ เช่นภัยแล้งหรือน้าท่วม ให้ลดภาษี
ลงอีก ท่านโหวเป็นคนมีเมตตา ต้องการให้ชาวบ้านที่
อยู่ที่นี่มีความสุขสงบ พวกเราทางนี้ ก็ต้องเก็บตามที่
จวนโหวกาหดเอาไว้ขอรับ”
หยางหนิงพูดว่า “แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้มา ที่ดินศักดินาของ
ทางจวนโหวเก็บภาษีเพิ่มมาหลายปีแล้ว แถมยังไม่ได้
เพิ่มแค่เล็กน้อย” เขายื่นสี่นิ้วออกไป “ตอนนี้ทิ่ดิน
ศักดินานี้ เก็บภาษีปีละสี่ส่วน ท่านจ้าว อย่าบอกนะ
ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก?”
จ้าวยวนตกใจ จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ขอภัยที่
ต้องพูดตามตรง ซื่อจื่อท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว”
“ข้าไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับเจ้า” หยางหนิงยิ้มเบาๆ
แล้วพูดว่า “ข้าถามเจ้าแค่ว่า เรื่องนี้มันจริงหรือไม่?”
“ซื่อจื่อ เก็บภาษีสองส่วน ท่านเหล่าโหวเป็นคน
กาหนด อย่าว่าแต่สี่ส่วนเลย ต่อให้ทางจวนโหว
ต้องการจะเก็บสามส่วน พวกเราทางนี้ก็ต้องทัดทาน
อยู่แล้ว” จ้าวยวนพูดต่อว่า “หลายสิบปีมานี้
ชาวบ้านที่นี่กับต่างคุ้นเคยความเมตตาที่ท่านเหล่า
โหวให้ ก็เพราะเช่นนี้ ภาษีของที่ดินศักดินาจึงไม่ค่อย
เกิดปัญหาอะไร สามารถเรียกเก็บได้ตามกาหนด
ตลอด แต่หากว่าเพิ่มภาษี ชาวบ้านก็จะต้องมีการ
เคลื่อนไหว ภาษีลดชาวบ้านก็ยินดี แต่เพิ่มภาษี เกรง
ว่าชาวบ้านจะโกรธแค้นเอาได้ จะเพิ่มภาษีโดยพลการ
มิได้ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “นักบัญชีจ้าว เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ
ไม่ใช่ว่าทางจวนโหวต้องการเพิ่มภาษี แต่เป็นพวกเจ้า
ที่แอบเพิ่มภาษีกันเอง”
จ้าวยวนขมวดคิ้ว “ฮูหยินสามหมายความว่า ทางจวน
โหวมิได้มีคาสั่ง ทางเราแอบขึ้นภาษีเองอย่างนั้นหรือ
ขอรับ?” เขาแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา “มัน
จะเป็นไปได้อย่างไร ฮูหยินสาม ข้าน้อยขอถามท่าน
สักคา หากเราท้เช่นนั้นจริง หัวจะขาดหรือไม่ขอรับ?”
“รู้ก็ดี” กู้ชิงฮั่นยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “แอบเพิ่มภาษี
จวนโหวไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปอย่างแน่นอน”
“เหตุผลนี้พวกเรารู้ดี ดังนั้นฮูหยินสามคิดว่าเราจะโง่
ทาเรื่องเช่นนั้นอย่างนั้นหรือขอรับ?” จ้าวยวนถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ยังดีที่มีบัญชีของหลายปีก่อนอยู่ ฮู
หยินสามลองตรวจดูก็ได้ จะได้เข้าใจมากขึ้นขอรับ”
เขาพูดต่ออีกว่า “ฮูหยินสามไม่ต้องกังวลว่าข้าน้อยจะ
ทาอะไรกับบัญชี ท่านกับซื่อจื่อมาอย่างกะทันหัน
เช่นนี้ ข้าน้อยคงไม่มีเวลาทาอะไรกับบัญชีแน่นอน
ขอรับ”
ถึงแม้เขาจะเป็นนักบัญชี แต่ราศีความเป็นบัณฑิตของ
เขายังอยู่
กู้ชิงฮั่นคิดว่าบัญชีอย่างไรก็ต้องดู ตัวนางเองดูแลจวน
โหวมานาน การตรวจบัญชีเป็นขั้นตอนสาคัญขั้นตอน
หนึ่ง กลับมาครั้งนี้ ก็ต้องตรวจบัญชีอย่างละเอียด
“ในเมื่อเจ้าเป็นนักบัญชี หัวหน้าพื้นที่ต่างๆ เจ้าน่าจะ
รู้จกั ดี” หยางหนิงยิ้ม “ท่านจ้าว เจ้ารู้จักคนที่ชื่อหาน
อี้หรือไม่?”
“หานอี้หรือขอรับ?” จ้าวยวนคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบ
กลับไปว่า “เรียนซื่อจื่อ หานอี้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านหลู
หวัง แต่ว่าเขาเป็นคนใจร้อน พื้นที่อื่นเก็บภาษีได้ไว มี
เพียงหมู่บ้านหลูหวังเท่านั้นที่ล่าช้าขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้า
เป็นอย่างเจ้าว่า หมู่บ้านหลูหวังก็เป็นอุปสรรคอย่าง
นั้นใช่หรือไม่?”
“ก็ไม่เชิงขอรับ ภาษีครั้งล่าสุดพวกเขาก็ส่งไม่ขาด
ขอรับ” จ้าวยวนพูดต่ออีกว่า “ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้
ชอบคบค้าสมาคมกับเพื่อนใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นคน
ธรรมดา แต่ก็มีเพื่อนไม่น้อย มีเส้นสายมากมาย อีก
ทั้งยังกล้าบ้าบิ่น ปีก่อนเก็บภาษี ยังมีปากเสียงกับ
หัวหน้าพื้นที่ข้างๆ ทั้งสองเกิดลงไม้ลงมือกันขึ้น หาน
อี้เกือบจะทาคนตาย” จากนั้นก็มองไปยังกู้ชงิ ฮั่นแล้ว
พูดว่า “ฮูหยินสามจะไปห้องบัญชีใช่หรือไม่ขอรับ?
ยังไม่มืด พ่อบ้านฉีคงยังไม่กลับมาในตอนนี้”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า แล้วพูดว่า “เจ้านาทางข้าไป!”
จ้าวยวนนาทางไป หยางหนิงเดินตามหลังกู้ชิงฮั่น
มาถึงเรือนเล็กหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปด้านในทั้งด้านซ้าย
และด้านขวามีตู้ไม้ บนตู้ไม้เต็มไปด้วยสมุดบัญชี ใน
ห้องมีคนผู้หนึ่งชื่อว่าเสี่ยวซือ เป็นผู้ช่วยอยู่ที่ห้อง
บัญชี
หยางหนิงเห็นกองบัญชีเยอะเท่าภูเขา รู้สึกว่าตัวเอง
คงไม่มีความอดทนมากพอ หลังจากกู้ชิงฮั่นนั่งลง
จ้าวยวนก็นาสมุดบัญชีมาวางที่โต๊ะ หยางหนิงคิดในใจ
ว่าหากต้องตรวจบัญชีทั้งหมดนี้ คงไม่เสร็จในหนึ่งชั่ว
ยามแน่นอน จึงออกจากเรือนไป เดินดูรอบๆ ดีกว่า กู้
ชิงฮั่นรู้ว่าเขาไม่ถนัดเรื่องบัญชี จึงให้เขาไปเดินเล่น
หยางหนิงเดินเล่นกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว พบว่าวจวนนี้
ใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้มาก ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับจวน
จิ่นอีโหว แต่ว่าในที่เล็กๆ เช่นนี้ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้
ก็ไม่ค่อบพบเห็น จวนเก่าอย่างไรเสียก็คือจวนเก่า
ถึงแม้จะเห็นว่าในหลายๆ ที่มีการบูรณะแล้ว แต่ว่า
โดยรวมแล้ว ก็ยังเป็นแบบโบราณอยู่ กาแพงใน
หลายๆ ด้านมองก็รู้ว่ามีอายุหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้
เขาเห็นกู้ชิงฮั่นเคยพูดว่า จวนเก่ามีประวัติที่ยาวนาน
พอสมควร ตอนท่านเหล่าโหวยังเด็กเคยอาศัยอยู่ที่นี่
ฉะนั้น บ้านหลังนี้ก็น่าจะมีอายุกว่าร้อยปีได้
บ้านอายุกว่าร้อยปี ไม่ว่าจะบูรณะอย่างไร ก็ยังคงมี
กลิ่นอายความขลังอยู่ อีกทั้งหลังจากคนในตระกูลฉี
ย้ายเข้าเมืองหลวงไป บ้านหลังนี้ก็เหลือไม่กี่คน
ตอนนี้ก็วังเวงเหลือเกิน
หยางหนิงเดินวนอยู่ในจวนระยะหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็
เห็นที่ไม่ใกล้ไม่ไกลมีกาแพงอยู่ เห็นว่าที่นั่นไม่เหมือน
ที่อื่นๆ กาแพงอันนี้เต็มไปด้วยเถาวัลย์ มันแทบจะเต็ม
พื้นที่กาแพงจนทั่ว
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ แอบคิดว่าถึงแม้บ้านเก่านี้จะ
มีคนไม่มาก แต่ว่าก็ยังมีคนดูแลอยู่ ปกติก็จะมีการมา
ทาความสะอาดดูแลอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ที่เขาเห็น
มันก็ผ่านการดูแลมาแล้วอย่างดี ภายในบ้านเก่าไม่ว่า
จะต้นไม้ใบหญ้า ก็มีคนตัดแต่ง แต่ว่าตรงนี้ เถาวัลย์
ขึ้นเต็มขนาดนี้ เหตุใดไม่มีคนมาจัดการ
เขาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดู เห็นทางที่จะไปเป็นเรือน
เล็กตรงกาแพงนั้นปูไปด้วยหินอ่อนที่เต็มไปด้วยรา
เหมือนไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้เลย เมื่อเดินผ่านมา
ระยะหนึ่ง ก็เป็นหญ้าทึบ ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง
ใบไม้ก็ตกทับทมกันไปหมด ทาให้รู้สึกวังเวงยิ่งนัก
ผ่านมาอีกระยะหนึ่ง ด้านหน้าเต็มไปด้วยหญ้า
ขวางทางอยู่ แต่ว่าเมื่อมองผ่านช่องเถาวัลย์ เห็น
ประตูใหญ่ประตูหนึ่งปิดสนิท มีโซ่กุญแจคล้องไว้อยู่
โซ่ก็ขึ้นสนิมหมดแล้ว สีประตูก็รอกออกหมดแล้ว ดู
เก่ายิ่งนัก
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดเรือนนี้ถึงได้
วังเวงเช่นนี้ ด้านหลังก็ได้ยินเสียงคนไอขึ้นมา เขาหัน
ไปมอง เห็นเหวยต้งยืนอยู่ไม่ไกล กาลังมองมาที่ตน
หยางหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่านี่เดินไปไหนมาไหนไม่มี
เสียงหรืออย่างไรกัน ทาตัวอย่างกับผี ไม่กลัวทาคน
ตายหรืออย่างไร แต่สีหน้าของเขายังนิ่งอยู่ ชี้ไปที่
ประตูที่ลงกลอนไว้ แล้วถามว่า “เรือนหลังนี้แต่ก่อน
ใครอยู่รึ? เหตุใดถึงไม่มีคนดูแล เถาวัลย์มันขึ้นเข้าไป
ด้านในแล้ว อย่างนี้คนก็เข้าไปไม่ได้”
เหวยต้งไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ แค่ยกมือกวักหยางหนิง
ให้ออกมา “ซื่อจื่อ ที่ตรงนั้นมันไม่ดี ท่าน...ท่านกลับ
ออกมาเถอะ”
หยางหนิงเห็นเหวยต้งท่าทางแปลกๆ จึงขมวดคิ้วแล้ว
ถามว่า “ไม่ใช่ที่ดีอย่างนั้นหรือ? หมายความว่า
อย่างไรกัน?” เห็นเหวยต้งไม่คิดจะเดินมา อีกทั้ง
ข้างหน้าก็ไปไม่ได้แล้ว จึงหันหลังกลับ ถึงได้พบว่า
เรือนหลังนี้เป็นเรือนเดี่ยว ห่างกับเรือนอื่นๆ มาก
เมื่อหยางหนิงเดินเข้ามาใกล้เหวยต้งก็พูดเสียงเบาๆ
ว่า “ซื่อจื่อ อาหารเตรียมไว้พร้อมแล้ว จะไปกินเลย
ไหมขอรับ?”
“เจ้าอย่าเปลี่ยนประเด็น” หยางหนิงหันไปชี้ที่เรือน
หลังนั้น “เจ้าบอกว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่ดี เจ้า
หมายความว่าอย่างไร?”
สายตาของเหวยต้งมีความหวาดกลัว แล้วพูดเบาๆ ว่า
“ซื่อจื่อ ที่นี่...ที่นี่เป็นสถานที่อัปมงคล ไม่ใช่แค่ตอนนี้
มันตั้งแต่ตอนที่ท่านเหล่าโหวอยู่แล้วขอรับ ที่นี่ถูกลง
กลอนไว้ตลอด ท่านเหล่าโวสั่งไว้ ใครก็ห้ามเข้าใกล้
เรือนหลังนั้น ห้ามใครเข้าไปในเรือนโดยเด็ดขาด
ขอรับ”
“หา?” หยางหนิงตกใจ แล้วพูดแปลกๆ ว่า “เพราะ
อะไร? แล้วเหตุใดที่นี่ถึงอัปมงคลได้เล่า?”
“ซื่อจื่ออย่าถามอีกเลย” เหวยต้งถอยหลังสองก้าว
“ซื่อจื่อเชิญไปทานอาหารดีกว่าขอรับ” เขาหลบ
สายตา ไม่กล้าไปมองไปยังเรือนนั้น
หยางหนิงหันกลับไปมอง ก็ไม่รู้ว่าคาพูดของเหวยต้ง
เป็นความจริงหรือไม่ ถึงแม้จะเป็นตอนกลางวัน แต่
ในตอนนี้เมื่อมองกลับไปที่เรือนอีกที ก็รู้สึกแปลกๆ
บ้านเก่าบรรยากาศแปลกๆ ตอนนี้ยังมีเรือน
ประหลาดโผล่ขึ้นมาอีก หยางหนิงรู้สึกแปลกๆ แต่ก็
ยังมีสีหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าชอบพูดอะไร
ครึ่งๆ กลางๆ ข้าถามเจ้า เจ้าจะอ้าๆ อึ้งๆ อยู่อย่าง
นั้นหรือ? ยังไม่พูดออกมาอีก”
เหวยต้งไม่กล้าขัดคาสั่งของหยางหนิง แล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ ที่นั่น...ที่นั่นมีผีขอรับ!”
ลมพัดขึ้นมาทันใด ภายในจวนเงียบสงบ หยางหนิง
โดนลมพัดเขาก็รู้สึกหนาว จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พูด
อะไรเหลวไหล มีผีอะไรกัน เรือนใหญ่ดีๆ เช่นนี้ จะมี
ผีได้อย่างไรกัน? เจ้าอย่ามาพูดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“ซื่อจื่อ มีผีจริงๆ ขอรับ” ตอนแรกเหวยต้งไม่อยาก
คิดมาก แต่พอหยางหนิงพูดมาเช่นนี้ เหวยต้งจึง
ร้อนใจแล้วพูดขึ้นว่า “เพราะเรือนผีสิงหลังนี้ เคยมีคน
ตายมาแล้วสองคนขอรับ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 86 นวด
หยางหนิงคิดแค่ว่าเหวยต้งแค่แกล้งทาเป็นกลัวไป
อย่างนั้น เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหล หาก
ในจวนนี้มีผีจริงๆ พวกเจ้าจะกล้าอยู่ที่นี่กันได้
อย่างไร?”
เหวยต้งจึงอธิบายว่า “วิญญาณอาฆาตอาศัยอยู่แค่ที่นี่
เท่านั้น ขอแค่ไม่มาเข้าใกล้ที่นี่ ก็ไม่มีเรื่องขอรับ”
“ที่เจ้าบอกว่าตายไปสองคนมันหมายความว่า
อย่างไร?” หยางหนิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าในเรือนนี้มีผี มีใครเคยเจอ
หรือไม่?”
เหวยต้งมองไปที่เรือน แล้วพูดเบาๆ ว่า “จริงๆ ทุก
คนในจวนเก่ารู้เรื่องนี้กันทั้งหมด ไม่เพียงแต่รู้ว่ามีผี
แต่ยังได้ยินเสียงอยู่บ่อยๆ”
“เสียงอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “เสียง
อะไร?”
“เสียงขลุ่ยขอรับ!” เหวยต้งพูดว่า “ทุกปีจะมีเสียง
ขลุ่ยดังออกมาจากที่เรือนหลังนี้สองครั้ง ครั้งละ
ประมาณครึ่งคืน และทุกครั้งก็จะดังอยู่ประมาณสอง
สามวันถึงจะหายไป เสียงขลุ่ยผีสิงมันฟังดูน่ากลัว ใคร
ที่ได้ยินก็ต่างขนลุกกันทั้งนั้นขอรับ”
“ผีเป่าขลุ่ยได้ด้วยหรือ?” หนางหนิงพูดอย่างแปลกใจ
“แล้วมีใครเคยเห็นหรือไม่?”
เหวยต้งพูดว่า “เมื่อครู่ข้าน้อยได้พูดไปแล้ว มีสองคน
ที่ตายเพราะผีที่เรือนนี้ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน
ครั้งนั้นเขาทางานอยู่ที่จวนเก่าแห่งนี้พร้อมกับข้า
ตอนนั้นท่านเหล่าโหวไม่อยู่ ดังนั้นเลยไม่ได้เข้มงวด
เท่าตอนที่ท่านเหล่าโหวอยู่ในจวน ในคืนนั้นพวกเรา
ดื่มเหล้ากันจนเมา ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น จึงพูดคุย
กันถึงเรื่องผีที่เรือนนี้ ทุกคนรู้ว่าที่นี่มีผี คืนนั้นพวกเรา
ดื่มกันมากไปหน่อย จึงมีความกล้ามากกว่าปกติ พวก
เราเลยพนันเงินกันว่า หากใครกล้าเข้าไปอยู่ในเรือน
นั้นหนึ่งคืน พวกเราก็จะจ่ายให้เขาผู้นั้นคนละหนึ่ง
ตาลึง”
“เขาผู้นั้นก็ไปอย่างนั้นหรือ?”
“ตอนนั้นดื่มจนเมามากแล้ว สมองก็เลือนราง”
เหวยต้งถอนหายใจ ยิ้มฝืนๆ แล้วพูดว่า “ทุกคนคิดว่า
เขาแค่อวดอ้าง ใครจะคิดว่าด้วยความเมาในครั้งนั้น
คืนนั้นเขาก็เข้าไปในเรือนนั้นจริงๆ...!”
“หลังจากนั้นเล่า?” หยางหนิงพูดอย่างแปลกใจ
“ตายขอรับ” เหวยต้งพูดต่ออีกว่า “ตอนเช้าตรู่ เราก็
พบเขาตายอยู่นอกกาแพงเรือนผีนั้น ทั่วทั้งตัวไม่มี
แม้แต่รอยแผล ตายตาไม่หลับ สายตานั้นมันน่ากลัว
มากขอรับ...!”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตกใจตายอย่างนั้น
หรือ?”
“คนในจวนเก่าตาย พ่อบ้านใหญ่ก็สั่งห้ามเราพูดเรื่อง
นี้ออกไป แต่แอบไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่มา หลังจาก
เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบแล้วเขาก็บอกว่าบนร่างกาย
ของเขาไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือบาดแผลเลย แต่มัน
ไม่ใช่เพราะว่าเขาดื่มเหล้ามากเกินไป ดูจากสายตา
เขา ก็น่าจะตกใจจนตายขอรับ” เหวยต้งพูดเสียงต่าๆ
ว่า “แต่ว่าเรื่องนี้พ่อบ้านใหญ่ก็ไม่ได้ให้สืบต่อไป แล้ว
สั่งให้เราปิดปากให้สนิทด้วย ดังนั้นนอกจากคนใน
จวนเก่าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้อีกขอรับ”
“แล้วคนที่สองตายอย่างไร? ตกใจตายเหมือนกัน
หรือ?”
“คนที่สองเพิ่งตายไปเมื่อปีที่แล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง
ขอรับ” เหวยต้งพูดว่า “ตอนนั้นพ่อบ้านใหญ่เข้าเมือง
ไปแล้ว พ่อบ้านฉีอยู่ดูแลงานที่นี่ ตอนนั้นเป็น
ช่วงเวลาที่ยุ่งวุ่นวายมากที่สุด บ้านเก่าจ้างคนงานมา
ใหม่หลายคน คนหนุ่มความกล้าก็มีมาก ไม่รู้ว่าไปรู้
เรื่องเรือนผีนี้มาจากใคร กลางดึกคืนนั้นก็แอบเข้ามา
ที่เรือนผีนี้”
“วันต่อมาก็ตายอยู่นอกกาแพงอีกอย่างนั้นหรือ?”
เหวยต้งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ตายแปลกกว่าเดิม
เขาถูกแขวนคออยู่บนต้นไม้ขอรับ...!” เมื่อพูดมาถึง
ตรงนี้ ก็ยกมือชี้ไปที่ทางเรือนผี “ซื่อจื่อท่านเห็นต้นไม้
ต้นนั้นหรือไม่ขอรับ?”
หยางหนิงมองไปเห็นใกล้ๆ ปากประตูเรือน มีต้นไม้
ต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ถึงแม้ใบของมันจะร่วงลงหมดแล้ว
แต่กิ่งของมันก็ยังคงหนาแน่น ดูก็รู้ว่ามันน่าจะมีอายุ
กว่าร้อยปี เหมือนกับบ้านเก่าหลังนี้
“ถูกแขวนคออยู่ที่ต้นไม้ต้นนั้น” เหวยต้งพูดถึงตรงนี้
ก็ตัวสั่นไปหมดแล้วพูดต่ออีกว่า “หลังจากพ่อบ้านฉีรู้
เรื่องนี้ ก็สั่งกาชับคนในบ้านเก่า ใครก็ห้ามเข้าใกล้
บริเวณนี้อีกเป็นอันขาด”
หยางหนิงคิดว่าหากที่เหวยต้งพูดมานั้นคือความจริง
สองคนนั้นตายแบบมีเงื่อนงาจริงๆ
จวนเก่าตระกูลฉี เหตุใดถึงได้มีสถานที่เช่นนี้ได้เล่า?
“เจ้าบอกว่าทุกปีที่นี่จะมีเสียงขลุ่ยดังขึ้นอย่างนั้น
หรือ?” หยางหนิงพูดอย่างเรียบเฉย แล้วถามว่า
“เป็นเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?”
“ข้าน้อยอยู่ที่นี่มาสิบเจ็ดปี สิบเจ็ดปีมานี่ ได้ยินปีละ
สองครั้งขอรับ” เหวยต้งพูดต่ออีกว่า “ทุกครั้งที่มี
เสียงก็จะดังต่อเนื่องสองสามคืน แล้วก็เงียบหายไป
ขอรับ”
หยางหนิงสงสัยแล้วพูดว่า “คงไม่ใช่มีคนจงใจทาขึ้น
ใช่หรือไม่?”
เหวยต้งพูดว่า “ซื่อจื่อ เท่าที่ข้าน้อยทราบ ก่อนที่
ข้าน้อยจะมาอยู่ที่นี่ เสียงขลุ่ยนี้ก็มีมาก่อนแล้ว หากมี
คนจงใจทา ใครจะมาสร้างเรื่องผีต่อเนื่องนานเป็นสิบ
ปีแบบนี้ล่ะขอรับ?”
หยางหนิงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ หากมีคนตั้งใจแกล้งจริง
คงไม่ยาวนานต่อเนื่องมาเป็นสิบปีเช่นนี้ แล้วก็ไม่มี
แรงจูงใจในการฆ่าคน หรือว่าเรือนนี้จะมีผีจริงๆ?
“ซื่อจื่อ ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน” เหวยต้งพูดว่า “ตอนนั้น
ท่านเหล่าโหวสั่งห้ามทุกคนเข้าใกล้เรือนนี้ แสดงว่า
ท่านต้องมีเหตุผลบางอย่าง ผีตัวนี้อยู่ที่เรือนนี้มานาน
หลายปีแล้ว ไม่ยอมไปไหนสักที”
“แล้วเจ้ารู้หรือม่ว่าก่อนหน้านี้ใครอาศัยอยู่ที่เรือนนี้?”
หยางหนิงถามต่ออีกว่า “เรือนนี่ดูๆ ไปแล้วก็ไม่เล็ก
แต่กลับอยู่ห่างจากเรือนอื่นๆ ในจวนไม่น้อย อยู่เรือน
เดียวอย่างนี้ จะต้องมีเหตุผล”
เหวยต้งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ทุก
คนก็พูดถึงน้อยมาก แต่ก็เพราะที่นี่ก็เป็นที่อัปมงคล ก็
เลยไม่มีผู้ใดอยากพูดถึง ตอนนี้เถาวัลล์ก็ขึ้นมากขนาด
นี้แล้ว แต่ว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปจัดการ” เขาแสดง
ท่าทางว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
อาหารเตรียมไว้แล้ว ไปทานอาหารก่อนดีกว่าขอรับ”
หยางหนิงตามเหวยต้งมาถึงห้องอาหาร กู้ชิงฮั่นยังอยู่
ที่ห้องบัญชี เหวยต้งได้ให้คนส่งอาหารไปที่ห้องบัญชี
แล้ว หลังทานอาหารเสร็จ หยางหนิงก็ไม่ได้ทาอะไร
มีจ้าวยวนกับเสี่ยวซืออยู่รับใช้ข้างๆ
“พวกเจ้าไปกินข้าวเถอะ” หยางหนิงโบกมือ ให้พวก
เขาสองคนออกไป
ทั้งสองคนยกมือคานับแล้วถอยหลังออกไป หยางหนิง
ก็ไม่ได้ไปรบกวนกู้ชิงฮั่น ได้แต่เดินไขว้หลัง จากนั้นก็
เดินไปหยิบสมุดบัญชีมาเล่มหนึ่ง เปิดพลิกไปพลิกมา
เห็นด้านในเต็มไปด้วยตัวหนังสือแสดงยอดในบัญชี
เต็มไปหมด เหมือนบทความ ดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อย
จากนั้นก็หยิบอีกเล่มมาเปิด ก็เป็นเหมือนกันอีก เขา
ถึงกลับส่ายหน้า
ก็ไม่แปลกที่มันจะกองอยู่กว่าครึ่งห้องเช่นนี้ เขาพบว่า
การบันทึกในสมุดบัญชีนี้ช่างละเอียดมากๆ แต่ใน
ความเป็นจริงแล้วมันละเอียดเกินไป แล้วยังใช้
ตัวหนังสือแทนตัวเลขอีก มันซับซ้อนเกินไปยิ่ง
กว่าเดิม มันคานวณไม่สะดวกเอาเสียเลย
อย่างไรเสียในยุคก่อนเขาก็เป็นนักธุรกิจเป็นพ่อค้า
ถึงแม้จะไม่ได้ถนัดเรื่องบัญชี แต่ก็คุ้นเคยกับตาราง
บัญชีพื้นฐานอยู่บ้าง จากการคาดการณ์ของเขา สมุด
บัญชีหลายสิบหน้านี้ หากทาให้ง่าย ทาบันทึกเป็น
ตารางตัวเลข ก็น่าจะไม่เกินสองหน้า
“โอ้ย...!” ขณะที่หยางหนิงกาลังคิด ก็ได้ยินกู้ชิงฮั่น
ร้องขึ้นมา เขาจึงรีบวางสมุดบัญชีลง แล้วหันไปดู เห็น
กู้ชิงฮั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ คอเอียง จึงรีบเดินเข้าไป “ซาน
เหนียง ท่านเป็นอะไรไปรึ?”
“อย่าขยับ...!” กู้ชิงฮั่นเอียงคอ ร่างกายไม่มีการขยับ
“คอ...คอของข้าขยับไม่ได้ หนิงเอ๋อ เจ้า...เจ้าอย่าเพิ่ง
เข้ามา...!”
หยางหนิงตกใจ แต่ก็เข้าใจในทันทีว่า กู้ชิงฮั่นน่าจะมี
อาการคอเคล็ด เพราะนั่งอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน
เกินไป แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา ทาให้เกิดอาการขึ้น
“ซานเหนียง ท่านอย่าเพิ่งขยับ” หยางหนิงเดินมาที่
ด้านหลังกู้ชิงฮั่น เกี่ยวกับอาการเช่นนี้ ถึงแม้หยางห
นิงจะไม่สามารถรักษาอาการที่ต้นเหตุได้ แต่ก็
สามารถผ่อนอาการให้ดีขึ้นได้และสามารถเคลื่อนไหว
ได้ตามปกติได้ จากนั้นเขาก็เอามือวางไว้บนไหล่ของกู้
ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “เจ้าจะทาอะไร? อย่าจับ มัน
เจ็บ...!”
“ข้ารู้ว่ามันเจ็บ” หยางหนิงพูดว่า “ข้าจะช่วยนวดให้
ท่าน อีกเดี๋ยวก็หาย ท่านอย่าเพิ่งขยับ” มือขวาของ
เขายื่นมือออกไป ฝ่ามือของเขาพาดอยู่บนคอของกู้ชิง
ฮั่น นิ้วโป้งกดลงไปที่ต้นคอ กู้ชิงฮั่นตัวสั่นเล็กน้อย
เหมือนจะไม่ค่อยชิน ร่างกายมีความเคลื่อนไหว
เล็กน้อย คอรู้สึกเจ็บ แล้วร้องเบาๆ
“บอกท่านแล้วว่าอย่าขยับ ซานเหนียงท่านอย่าดื้อได้
หรือไม่” หยางหนิงพูดเหมือนกาลังสั่งสอนเด็กๆ เลย
มือซ้ายของเขากดนวดไปที่ไหล่ของกู้ชิงฮั่น โดยไม่ให้
นางได้ขยับตัว กู้ชิงฮั่นก็ไม่รู้ว่าหยางหนิงกาลังทาอะไร
อยู่ ถึงแม้ในใจจะรู้ว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่
นิ้วโป้งของหยางหนิงก็กดลงมาที่กระดูกต้นคอแบบ
เบาๆ เขาใช้แรงอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ ผ่อนแรงหนัก
เบาเป็นระยะ กู้ชิงฮั่นก็รู้สึกว่าหลังคอที่ตึงนั้น
หลังจากหยางหนิงนวดแล้ว ก็ผ่อนคลายมากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน หยางหนิงก็ใช้มือจับไปที่ต้นคอ
ของกู้ชิงฮั่น รู้สึกว่าผิวของนางนั้นเรียบเนียนมาก แล้ว
มันก็นุ่มลื่นยิ่งนัก กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะรู้สึกว่าความเจ็บที่
ต้นคอค่อยๆ เบาลงแล้ว แต่การที่หยางหนิงนวดที่คอ
นั้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือในใจของนางก็รู้สึก
แปลกๆ ขึ้นมา
ท่านอาสามของตระกูลฉีเสียสละชีวิตเพื่อชาติ หลาย
ปีมานี้นางก็ถือครองเป็นโสดมานาน ก็เหมือนดอกไม้
ที่กาลังผลิบาน ในฐานะฮูหยินสามของจวนจิ่นอีโหว
ต้องคงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์เป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึง แต่
เพราะเลือดเนื้อเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย หากจะ
บอกว่าปกติร่างกายไม่มีความรู้สึกอะไร นั่นก็เพราะ
ไม่ได้เข้าใกล้ผู้ใด ดังนั้นการอาบน้า จึงทาให้ผิวของ
นางทั้งเรียบเนียนและเต่งตึง
แต่วันนี้ถูกหยางหนิงนวดเบาๆ ถึงแม้จะไม่ได้อ่อนไหว
นัก แต่ก็ทาให้กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกๆ
หากเป็นเมื่อก่อน อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรเช่นนี้ แต่
ตอนนี้รู้ว่าซื่อจื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ในใจจึงรู้สึกต่าง
ออกไป
“พอ...พอแล้ว...!” กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเอง
ร้อนผ่าวขึ้นมา จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “พอได้แล้วล่ะ
ไม่ต้อง...ไม่ต้องนวดแล้ว”
หยางหนิงหยุดมือ เห็นก็ชิงฮั่นสามารถขยับคอได้แล้ว
ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูๆ ไปแล้วฝีมือข้าก็ไม่เลวเลย ซาน
เหนียง ท่านเป็นโรคกระดูกต้นคอเคล็ด ปกตินวด
เบาๆ ก็จะฟื้นฟูได้เอง”
กู้ชิงฮั่นคิดในใจว่าครั้งนี้ไม่มีทางเลือก จึงให้เจ้ามา
แตะต้องตัวข้าจนได้ ครั้งต่อไปคงไม่มีโอกาสอีก นาง
กลัวว่าหยางหนิงจะเห็นความผิดปกติของนาง จึงไอ
กลบเกลื่อน แล้วพูดว่า “ที่นี่มีแต่สมุดบัญชี หากเจ้า
ไม่อยากอยู่ที่นี่ ก็ออกไปเดินเล่นก่อน ที่นี่คือจวนเก่า
ของพวกเรา ไม่รู้อีกนานแค่ไหนจะได้กลับมาที่นี่อีก”
“ข้าเพิ่งไปเดินดูรอบๆ จวนมา” หยางหนิงนั่งอยู่บน
เก้าอี้ แล้วมองไปข้างนอก เห็นไม่มีใคร จึงแอบถามว่า
“ซานเหนียง ท่านรู้เรื่องเรือนผีสิงในจวนหรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 87 รหัสตัวเลข
“เมื่อครู่นี้เจ้าไปไหนมารึ?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ตรงนั้นมันเป็นที่ไม่ดี ต่อไปอย่าไปที่นั่นอีก”
ดูท่ากู้ชิงฮั่นเองก็รู้จักเรือนผีสิงนั้นด้วย หยางหนิงไม่มี
ทางปล่อยให้ประเด็นนี้หลุดไปแน่ๆ จากนั้นก็ถามขึ้น
ว่า “ทาไมรึ? เพราะมีผีอย่างนั้นรึ?”
“พูดจาเหลวไหล” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าก็อย่าไปฟัง
พวกนั้นพูดจาเหลวไหล มันก็แค่เรือนร้าง มีผีอะไรที่
ไหนกัน ต่อไปอย่าไปใกล้ที่นั่นอีกก็พอ”
หยางหนิงลากเก้าอี้มาใกล้ๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ซาน
เหนียง หากเป็นแค่เรือนร้าง เหตุใดถึงไม่ให้ข้าเข้าไป
เล่า? ข้าเห็นเรือนหลังนั้นเถาวัลย์ขึ้นเต็มไปหมด
น่าจะให้คนเข้าไปจัดการนะ ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ที่นี่
แต่ที่นี่ก็เป็นจวนเก่าของพวกเรา จะไม่ไปดูแลหน่อย
คงไม่ดีหรอก”
กู้ชิงฮั่นเหมือนจะไม่ค่อยอยากจะพูดถึง หยางหนิงจึง
พูดอีกว่า “ท่านไม่ยอมบอกข้า ข้าเองก็รู้สึกค้างคาใจ
ซานเหนียง ท่านก็บอกข้าเถิด”
กู้ชิงฮั่นเห็นท่าทางของเขา ก็หัวเราะอย่งเจื่อนๆ
“หึๆ” แล้วพูดว่า “มาทาหน้าทาตาน่าสงสารเช่นนี้”
ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าแต่งเข้าจวน มา
ทาพิธีที่นี่ ตอนนั้นก็ได้มาพบเรือนหลังนั้นโดยบังเอิญ
ตอนนี้ก็มีคนบอกกับข้าว่าที่นั่นมีผี แต่ว่าท่านเหล่า
โหวก็เป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ตระกูลฉีเป็นตระกูล
ใหญ่ จะมีผีได้อย่างไรกัน แต่ว่าตอนนั้นท่านเหล่าโหว
ก็ได้ออกกฎ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เรือนหลังนั้นอีก และ
ยังห้ามทุกคนเข้าไปในเรือนนั้นเป็นอันขาด
ไม่อย่างนั้นจะต้องได้รับโทษหนัก”
“แล้วมันเพราะเหตุใดกัน? หากไม่ได้มีผี ก็ต้องมี
สาเหตุอื่นอีกมิใช่หรือ?” หยางหนิงพูดว่า “ซาน
เหนียงรู้หรือไม่ว่าที่นั่นมักมีเสียงขลุ่ยดังออกมา?”
“ขลุ่ยรึ?” ริมฝีปากสีแดงอ่อนของกู้ชิงฮั่นขยับ
เล็กน้อย มันดูยั่วยวนยิ่งนัก “คาพูดเหลวไหลเช่นนั้น
เจ้าก็ไม่ต้องไปเชื่อให้มันมากนัก ในเมื่อท่านเหล่าโหว
สั่งไว้ว่าห้ามเข้าใกล้ที่นั่น มันก็ถือว่าเป็นกฎของบ้าน
ตระกูลฉี ไม่ต้องไปถามหาสาเหตุหรอก ทาตามกฎก็
พอ” เห็นสีหน้าหยางหนิงเหมือนผิดหวัง ก็ลังเล แล้ว
ก็พูดว่า “แต่ว่าอาสามของเจ้าก็เคยแอบบอกกับข้าว่า
เรือนหลังนั้นเหมือนจะเคย...เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งตาย
ตอนตายเหมือนจะตายอย่างอาฆาต หลังจากนั้น
เรือนหลังนั้นก็ถูกปิดตาย จากนั้นก็เริ่มมีข่าวลือ
ออกมามากมาย”
“ผู้หญิงรึ?” หยางหนิงรีบถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็น
ใครหรือ?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหัวแล้วพูดว่า “อาสามของเจ้าไม่ได้พูด
อะไรมาก เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องเรือนหลังนั้น มีไม่กี่
คนเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น” นางยกมือขึ้นมา
“เจ้าออกไปได้แล้ว อย่ามากวนข้าตรวจบัญชี”
หยางหนิงรู้ว่าต่อให้ถามต่อไป กู้ชิงฮั่นคงไม่มีทางพูด
อีก แล้วตัวกู้ชิงฮั่นเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของเรือนนั้นสัก
เท่าไหร่ เขาลุกขึ้น แต่กเ็ หมือนนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้น
ก็หันไปถามว่า “ซานเหนียง ท่านตรวจบัญชีพวกนี้ ไม่
รู้สึกว่ามันยุ่งยากหรือ? ข้าดูแล้วมันเหมือนดูยุ่งเหยิง
ไปหมด”
กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองหยางหนิง แล้วขมวดคิ้ว “แต่
ก่อนเจ้าไม่เคยแตะบัญชีพวกนี้เลย รู้ได้อย่างไรว่ามัน
ยุ่งเหยิง บัญชีก็แบบนี้ ละเอียดๆ ไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
มันจะยุ่งยากได้อย่างไรกัน?”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าบัญชีมันยุ่งเหยิง แต่หมายถึง
วิธีบันทึกของบัญชีต่างหากเล่า” หยางหนิงคิดไปครู่
หนึ่ง แล้วหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาเล่มหนึ่ง พลิกดูสอง
สามหน้า แล้วหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้น
ก็หยิบพู่กันออกมา แล้วเขียนอะไรลงไปในกระดาษ
แผ่นนั้น กู้ชิงฮั่นไม่รู้ว่าหยางหนิงกาลังคิดจะทาอะไร
อยู่ ขณะที่กาลังแปลกใจ ก็เห็นหยางหนิงวาดอะไร
บางอย่างออกมาคล้ายกับแหปลา กู้ชิงฮั่นแปลกใจยิ่ง
นัก
จากนั้นนางก็เห็นหยางหนิงใส่ตัวเลขลงไปในตาราง
แหปลานั้น จากนั้นก็หยิบสมุดบัญชีขึ้นมา แล้วเริ่มใส่
ตัวเลขลงไป กู้ชิงฮั่นไม่รู้จักตัวเลขอารบิกที่หยางหนิง
เขียน แต่รู้สึกแปลกใจไม่น้อย จึงลุกขึ้นมาแล้วเขยิบ
มาใกล้ๆ หยางหนิง แล้วโค้งตัวลงดู
หยางหนิงท่าทางดูนิ่งเฉยยิ่งนัก หลังจากนั้นไม่นาน ก็
วางพู่กันลง แล้วเหลือบไปมองกู้ชงิ ฮั่น เขาเห็น
หน้าอกของนาง เห็นว่าหน้าอกของนางไม่มีเนินอก
โผล่ออกมาเลย แสดงว่าต้องใช้อะไรรัดเอาไว้แน่ๆ เขา
กลัวว่าจะส่งผลเสียต่อหน้าอกของนาง อยากจะถาม
นางมากว่าอึดอัดบ้างหรือไม่
กู้ชิงฮั่นจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหยางหนิงคิดอะไรอยู่
ในตอนนี้ นางสนใจแค่กระดาษที่หยางหนิงวาด
ออกมาเท่านั้น จากนั้นนางก็ถามด้วยความสงสัยว่า :
“นี่คือสิ่งใดรึ?”
นางเกิดในตระกูลใหญ่ รู้จักภาพวาดมาก็เยอะ คิดแค่
ว่าหยางหนิงกาลังวาดรูปอยู่ แต่ว่าเหตุใดมันถึงไม่ได้มี
ความสวยงามเลยแม้แต่น้อย
“นี่คือตัวเลข ตัวหนังสือด้านบนนี้คือความหมายของ
ตัวเลข” หยางหนิงอธิบายว่า “ขวาสุดคือตัวเลขหลัก
หน่วย ซ้ายมาคือหลักสิบ แล้วก็หลักร้อย...!”
หยางหนิงสอนด้วยท่าทางที่นิ่งเฉย ตัวเลขอารบิก
เรียนง่าย อีกอย่างกู้ชิงฮั่นก็เป็นคนฉลาด แค่ครู่เดียว
เท่านั้น ไม่เพียงเข้าใจตั้งแต่ศูนย์ถึงเก้า แม้แต่หลัก
หน่วยร้อยพันก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี พอหยางหนิง
อธิบาย กู้ชิงฮั่นก็ตกใจ นี่เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเรียนมา
ก่อน เมื่อหยางหนิงอธิบายจบ กู้ชิงฮั่นยังไม่ทันได้สติ
คืนมา ครู่หนึ่งก็ตกใจแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อ นี่...นี่เจ้า
คิดเองรึ?”
“ข้าเห็นท่านตรวจบัญชีลาบาก จึงคิดเล่นๆ ออกมา”
หยางหนิงคิดว่าหากบอกไปว่านี่เป็นตัวเลขอารบิก
เกรงว่านางจะคิดว่าเขาโดยผีสิงแน่ๆ “ซานเหนียง
ท่านดูสิ นี่คือตารางแผ่นหนึ่ง ไม่ถึงครึ่งกระดาษ ก็
สามารถดึงเอาบัญชีห้าหกหน้าออกมาได้แล้ว อีกทั้ง
มันก็ดูเข้าใจง่ายด้วย”
“นี่เรียกว่าตารางรึ?” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะเข้าใจ
ความหมายของตารางกับอารบิกดี ก็หยิบตารางแผ่น
นั้นขึ้นมาดู เมื่อตรวจสมุดบัญชีอย่างละเอียด สีหน้า
ของนางก็ตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
แล้วถามซ้าว่า “นี่...นี่เจ้าคิดออกมาเองจริงๆ รึ?”
หยางหนิงบิดหัวไปมา รู้ว่าตอนนี้กู้ชิงฮั่นรู้สึกตกใจ
มาก เขาแอบคิดในใจว่าตัวเลขอารบิกก็คงยังมาไม่ถึง
เขาจึงไม่กลัวที่จะถูกจับได้ แล้วพูดว่า “เพียงแค่คิด
เรื่อยเปื่อยออกมาเท่านั้น ซานเหนียง ท่านคิดว่าวิธีนี้
เป็นอย่างไรบ้าง?”
กู้ชิงฮั่นสีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ แล้วพูดว่า “หนิ
งเอ๋อ เจ้าฉลาดจริงๆ วิธีเช่นนี้เจ้าก็คิดออกมาได้”
นางมองไปที่ตาราง พูดอย่างดีใจว่า “วิธีของเจ้ามัน
ดูง่ายยิ่งนัก หากใช้วิธีนี้แต่แรก ก็ไม่ต้องเสียเวลากว่า
ครึ่งวัน”
หยางหนิงได้รับการยอมรับจากกู้ชิงฮั่น ในใจก็สบาย
ใจขึ้น จากนั้นก็พูดว่า “ซานเหนียง วิธีนี้ไม่เพียง
บันทึกบัญชีได้ แต่ยังสามารถทาเป็นรหัสได้ด้วย”
“รหัสรึ?” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความแปลกใจ “หมายความ
ว่าอย่างไรรึ?” นางรู้แค่ว่าตั้งแต่หยางหนิงหายดี เขาก็
ดูฉลาดขึ้น มีศัพท์อะไรแปลกๆ เยอะแยะมากมายที่
ไม่เข้าใจความหมาย
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อไปหากข้าออกไปข้าง
นอก แล้วเขียนจดหมายให้ท่าน เพื่อไม่ให้คนอื่นสวม
รอย ก็อาจจะเขียนรหัสที่เป็นความลับของพวกเรา
ท่านก็จะได้รู้ว่าเรื่องนั้นหรือคนนั้นจริงหรือหลอก
หากซับซ้อนอีกหน่อย ตัวเลขพวกนี้ก็เป็นตัวอักษรได้
ด้วย คนอื่นดู ก็จะไม่เข้าใจความหมาย แต่ว่าพวกเรา
จะเข้าใจกันเอง”
กู้ชิงฮั่นทาตาโต แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า
“ทาอย่างไรรึ?”
หยางหนิงหยิบพู่กันออกมา ใช้กระดาษเขียนตัวเลข
ออกมาแถวหนึ่ง แล้วยื่นให้กับกู้ชิงฮั่นดู แล้วพูดว่า
“นี่เป็นรหัสแบบง่ายๆ ซานเหนียงแยกออกหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นดู หยางหนิงสอนตัวเลขสิบหลักให้กับนาง นาง
จับได้แม่นมาก แล้วก็พูดว่า “ห้า สอง ศูนย์ หนึ่ง สาม
หนึ่ง สี่” แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างสงสัย “หนิงเอ๋อ
ตัวเลขพวกนี้หมายความว่าอย่างไรรึ?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านฉลาดนัก
แต่รหัสง่ายๆ เช่นนี้ท่านดูไม่ออกหรือ? ลองอ่านติดๆ
กันดูสิ มันก็หมายความว่าข้ารักท่านชั่วชีวิตอย่างไร
เล่า”
กู้ชิงฮั่นตกใจ จากนั้นหน้าก็เริ่มแดงขึ้นมา แล้วก็ทิ้ง
กระดาษไป
หยางหนิงเห็นเช่นนั้น แล้วก็พูดว่า “ซานเหนียง นี่มัน
แบบง่ายๆ ยังมี...!”
“หนิงเอ๋อ เดี๋ยวนี้เจ้ากล้ามากเกินไปแล้วนะ” กู้ชิงฮั่น
หน้านิ่งไป “คาพูดบ้าบอเช่นนี้ ต่อไปห้ามพูด
เหลวไหลอีกนะ”
“ซานเหนียง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้า...!”
“ข้าไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องรหัสนี่” กู้ชิงฮั่นสีหน้า
จริงจัง “หลังจากที่เจ้ากลับเมืองหลวง ราชสานักก็
จะต้องมีราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นจิ่นอีโหว จะพูดจะ
ทาอะไรก็ต้องระมัดระวัง ไม่เพียงต้องระวังเหล่าขุน
นาง หรือต่อให้อยู่ในจวนโหว ก็จะทาอะไรเช่นนี้ไม่ได้
แล้ว” นางหยุดไปครู่หนึ่ง นางพูดด้วยน้าเสียงจริงจัง
ว่า “ข้าเป็นแม่สามของเจ้า ต่อหน้าข้า เจ้าจะมาพูด
อะไรเหลวไหลไม่ได้ ยิ่งจะมาไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่
ไม่ได้ จะมาทาตัวลุ่มล่ามไม่ได้ ยิ่งอยู่ข้างนอกยิ่งต้อง
ระวังให้มาก?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่ากู้ชิงฮั่นจะมีปฏิกิริยาที่รุนแรง
เช่นนี้ เขาเป็นคนฉลาด รู้อยู่แล้วว่า คนสวยๆ อย่างกู้
ชิงฮั่น มีผลต่อเขามาก เขาชื่นชมกู้ชิงฮั่นยิ่งนัก เคารพ
นางยิ่งนัก ถึงแม้รูปลักษณ์ของเขาจะเป็นแค่เด็กสิบ
หกสิบเจ็บ แต่วิญญาณของเขามันคือผู้ใหญ่เต็มวัย
หากจะบอกว่าไม่คิดอะไรกับกู้ชิงฮั่นเลย มันก็จะดู
โกหกไป แต่เขาเคารพกู้ชิงฮั่นมากจริงๆ ปกติแล้วจะ
พูดจะทาอะไรก็จะระวังตัวมากขึ้น
เขาเองก็มองออก ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว กู้ชิงฮั่นอ่อนไหว
กับความสัมพันธ์ของพวกเรามาก มันมีความรู้สึก
เหมือนห่างเหินเสียหน่อย ในใจของกู้ชิงฮั่นกังวลกับ
ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองคนก่อนหน้านี้ จะ
ทาให้เกิดปัญหาตามมา
แต่ว่าวันนี้ล้อเล่นแค่นิดๆ หน่อยๆ จริงๆ คิดว่าไม่
น่าจะมีอะไร ใครจะคิดว่ากู้ชิงฮั่นจะมีปฏิกิริยาที่
รุนแรงเช่นนี้ มันทาให้หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงขมวดคิ้ว คิดว่าท่าทีของนางทา
ให้หยางหนิงเสียใจ ลึกๆ แล้วนางรักและเป็นห่วงห
ยางหนิงมาก ก็เริ่มพูดจาน้าเสียงอ่อนลงว่า “ซาน
เหนียงหวังดีกับเจ้า เจ้าเป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉี
เป็นผู้สืบทอดของจิ่นอีโหว มีสายตาคนมากมายจับ
จ้องมาที่เจ้า หากเจ้าทาอะไรผิดพลาดไปแม้แต่น้อย
ไม่เพียงจะนาภัยมาสู่ตัวเจ้าเอง ทั้งตระกูลฉีก็จะ
เดือดร้อนไปด้วย หนิงเอ๋อ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หยางหนิงคิดในใจว่าข้าไม่ใช่จิ่นอีโหวซื่อจื่อตัวจริงเสีย
หน่อย ไม่แน่วันหนึ่งอาจจะหายตัวไปเลยก็ได้ หาก
บอกว่าปกป้องเจ้าคนเดียวยังว่าไปอย่าง แต่บอกว่า
ทั้งตระกูลฉี มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลยแม้แต่น้อย แต่
ในตอนนี้เขาก็ทาได้แค่พยักหน้า แล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจ
แล้ว”
กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มเงียบแปลกๆ จึงยิ้ม
แล้วพูดว่า “แต่ว่าวันนี้วิธีที่หนิงเอ๋อสอนซานเหนียง
นั้น มันดีมากจริงๆ ต่อไปเวลาซานเหนียงตรวจบัญชี
ก็ไม่ต้องลาบากแล้ว เจ้าช่วยซานเหนียงได้เยอะเลย
ทีเดียว”
“บัญชีของที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?” หยางหนิงถาม “มี
ช่องโหว่อะไรบ้างหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “รายรับรายจ่ายของจวน
เก่า ละเอียดชัดเจนดีมาก ไม่มีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง
เลย ในบัญชีเองก็มีการบันทึกการเก็บภาษีของปีนี้
ด้วย มันละเอียดยิ่งนัก ดูจากบัญชีแล้ว ก็เก็บในอัตรา
สองส่วนเท่านั้น” นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ส่วนเรื่อง
ที่ส่งภาษีไปเมืองหลวงตั้งแต่เดือนเก้าเอง ก็มีบนั ทึก
อยู่ในสมุดบัญชีนี้อย่างละเอียด”
หยางหนิงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามเสียงเบาๆ ว่า
“บัญชีพวกนี้จะเป็นของปลอมหรือไม่? พวกเขาทา
ขึ้นเพื่อป้องกันคนของจวนจิ่นอีโหวที่มาอย่าง
กะทันหัน ดังนั้นจึงทาบัญชีปลอมขึ้นมาเอาไว้
ล่วงหน้าหรือไม่?”
“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” กู้ชิงฮานพูดเบาๆ : “ข้าก็
กาลังคิดอยู่ว่าบัญชีนี้จะเป็นของปลอมหรือเปล่า
ดังนั้นก็พยายามหาเงื่อนงาอยู่ แต่ว่าก็ยังไม่เจออะไร”
หยางหนิงพูดเบาๆ ว่า “พวกเขาบอกว่าตอนที่ส่งเงิน
ภาษีไปที่เมืองหลวง ท่านเจ้าเมืองของเจียงหลิงได้ส่ง
ทหารคุ้มกันไป เดี๋ยวรอฉีเฟิงกลับมาตอนค่า พวกเรา
ค่อยส่งเขาไปสืบเรื่องนี้ ข้าสามารถใช้ฐานะของจิ่นอี
โหวซื่อจื่อ เรียกเหล่าหัวหน้าพื้นที่มา อธิบายให้
ชัดเจน หากจวนเก่านี้มีการโกงจริงๆ เมื่อพวกหัวหน้า
พื้นที่มาถึง มันก็ง่ายที่จะถูกเปิดโปง”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 88 ขลุ่ยยาว
ฉีเฟิงทำตำมที่นัดหมำยเอำไว้ นำทหำรคุ้มกันอีกห้ำ
นำยมำถึงจวนเก่ำก่อนเวลำค่ำ จวนเก่ำมีห้องมำกมำย
อยู่กันหลำยคนก็ไม่มีปัญหำ
จริงๆ แล้วหยำงหนิงคิดอยำกให้ฉีเฟิงเดินทำงต่อไปยัง
จิงโจว ไปหำท่ำนเจ้ำเมืองเจียงหลิงเลย แล้วให้ไป
สอบถำมเรื่องคุ้มกันเงินภำษีไปยังเมืองหลวงในนำม
ของจิ่นอีซื่อจื่อ ว่ำทำงเมืองจิงโจวได้ส่งทหำรไปคุ้มกัน
ขบวนส่งเงินจริงหรือไม่ แต่ว่ำตอนนี้ฟ้ำก็มืดแล้ว จึง
ให้ฉีเฟิงค่อยไปตอนเช้ำอีกที
ถึงแม้ฉีเฟิงจะรีบกลับมำให้ทันเวลำ แต่ฉีเฉิงกลับไม่ได้
กลับมำตำมเวลำ
กู้ชิงฮั่นอยู่ในห้องบัญชีจนถึงค่ำ รู้สึกเพลียยิ่งนัก นำง
ตรวจสอบบัญชีช่วงสำมปีที่ผ่ำนมำอย่ำงละเอียด กลับ
ไม่พบสิ่งผิดปกติเลย
กู้ชิงฮั่นรู้ดีว่ำบัญชีใหญ่เช่นนี้ ยิ่งละเอียดยิ่งดี ไม่มีทำง
ทำได้หมดภำยในสองสำมเดือน แล้วไม่มีทำงที่จะไม่มี
อะไรผิดพลำดเลย หำกบอกว่ำบัญชีพวกนี้เป็นของ
ปลอม ถ้ำอย่ำงนั้นก็หมำยควำมว่ำมันจะต้องเริ่มมำ
ตั้งแต่เมื่อสำมปีก่อน บัญชีของจวนเก่ำก็มีกำรบันทึก
เป็นสองเล่ม คือมีของจริงหนึ่งและที่เป็นของปลอม
อีกหนึ่ง
นำงคิดมำตลอดว่ำเจียงหลิงก็เหมือนหลังบ้ำนของ
ตระกูลฉี เป็นรำกฐำนหลัก จวนเก่ำนั้นมีควำมสำคัญ
มำก ไม่มีทำงเกิดข้อผิดพลำดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้กลับ
พบว่ำที่นี่มันมีอะไรซับซ้อนมำกกว่ำที่นำงคิดไว้มำก
หำกบอกว่ำบัญชีพวกนี้เป็นของจริง ถ้ำอย่ำงนั้นเงิน
ภำษีก็ควรจะถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว แต่
ว่ำทำงจวนโหวไม่เห็นเงินเลยแม้แต่ตำลึงเดียว เงิน
ภำษีที่ส่งไปยังเมืองหลวง คงไม่ได้มีปีกบินหนีไปเอง
หรอก นำงคิดอยำกจะถำมอย่ำงละเอียด ว่ำเงินพวก
นั้นถูกส่งไปไหน แต่ว่ำฉีเฉิงกลับไม่มำสักที ส่วนเสี่ยว
ชุยคนที่ไปพร้อมขบวนส่งเงินภำษีก็ไปจิงโจวกับฉีเฉิง
หำกไม่พบพวกเขำ ก็ไม่มีทำงรู้ที่มำที่ไปแน่ๆ
ช่วงนี้เร่งเดินทำงกันมำหลำยวันหลำยคืน อีกทั้งเมื่อ
คืนก็ไม่ได้หลับดี วันนี้ก็ยุ่งมำทั้งวัน รู้สึกอ่อนเพลีย
มำกจริงๆ หยำงหนิงจึงแนะนำให้พวกเขำกลับไปที่
ห้องก่อน ที่จวนเก่ำนี้กม็ ีสำวใช้คอยดูแลช่วยอำบน้ำ
ส่วนฉีเฟิงก็มีกำรนำสัมภำระมำเองด้วย จึงมีเสื้อผ้ำ
เปลี่ยน
หยำงหนิงไม่ได้รีบร้อนจะไปพัก เขำรู้สึกสงสัยในเรื่อง
ที่เกิดขึ้นที่จวนเก่ำนี้มำก ก็เลยอยำกจะรู้ว่ำเมื่อฉีเฉิงก
ลับมำแล้ว เขำจะอธิบำยว่ำยังไง
รออยู่ค่อนคืน ก็ไม่เห็นฉีเฉิงกลับมำเสียที ในใจก็รู้สึก
ว่ำมันต้องมีอะไรไม่ชอบมำพำกลแน่ๆ
กลำงดึกในคืนนี้ เขำเดินเล่นไปเรื่อยๆ ในจวนเก่ำ
เดินไปเดินมำ พอเงยหน้ำขึ้นมำ ก็เดินมำถึงไม่ไกล
จำกทำงไปเรือนผีสิงนั้น เมื่อเงยหน้ำขึ้น ใต้แสงจันทร์
เรือนผีสิงก็เงียบเหมือนห้องเก็บศพ รู้สึกวังเวงยิ่งนัก
หยำงหนิงคิดในใจว่ำอย่ำงไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่ดีนัก
คิดจะหันเลี้ยวไปอีกทำงหนึ่ง ก็พลันหยุดเดิน แล้วหัน
หน้ำไปมอง
เหวยต้งบอกว่ำที่เรือนนั้นมีผี หยำงหนิงไม่มีทำงเชื่อ
แน่ แต่ว่ำเขำกลับแปลกใจว่ำ มีคนถึงสองคนที่เข้ำไป
ในเรือนนั้นแล้ว ก็ตำยไปอย่ำงไม่มีสำเหตุ หรือว่ำพวก
เขำจะตกใจตำยเพรำะผีจริงๆ หรือ?
จริงๆ เขำเป็นคนที่อยำกรู้อยำกเห็นมำกๆ หำก
เหวยต้งกับกู้ชิงฮั่นไม่เล่ำเรื่องผีที่ลึกลับขนำดนี้ให้เขำ
ฟัง เขำอำจจะไม่สนใจก็ได้ เพรำะมีคนถึงสองคนบอก
ว่ำเรือนนั้นมันประหลำด อย่ำเข้ำไปใกล้เด็ดขำด
เพรำะเหตุนี้จึงทำให้เขำรู้สึกสนใจเรือนผีนั้นยิ่งนัก
ปกติเขำก็เป็นคนกล้ำบ้ำบิ่นอยู่แล้ว ถึงแม้จะเห็นว่ำ
เรือนหลังนั้นมันวังเวงจนขนลุก แต่ว่ำกลับถูกสั่งห้ำม
ใครเข้ำไปตั้งแต่ท่ำนเหล่ำโหวยังอยู่ แสดงว่ำน่ำจะมี
ควำมลับซ่อนอยู่ไม่น้อย
เหวยต้งเล่ำว่ำคนที่ตำยไปสองคนนั้น เหมือนจะได้ยิน
เสียงขลุ่ยดังขึ้นก่อน ถึงแอบเข้ำไปในเรือนนั้น หำก
เสียงขลุ่ยดังขึ้นเพรำะผีเป็นคนเป่ำ แต่ตอนนี้ไม่ได้มี
เสียงขลุ่ย ไม่แน่ผีตัวนั้นอำจจะไม่อยู่ที่เรือนในตอนนี้ก็
ได้กระมัง?
ขณะที่เขำกำลังคิด ก็หันตัว แล้วเดินเข้ำไปที่เรือนนั้น
ค่ำคืนที่หนำวเย็น เถำวัลย์ที่ขึ้นเลื้อยอยู่เต็มกำแพง
รำวกับงูพันกันรำวๆ พันตัว หยำงหนิงเดินถึงหน้ำ
ประตู อำศัยแสงจันทร์มองเข้ำไป แล้วใช้หูพยำยำม
ฟัง ในเรือนเงียบสนิท ไม่มีเสียงอะไรเลย
จริงๆ กำแพงที่นี่ก็ไม่ได้สูงมำก หยำงหนิงจะปีนก็ปีน
ได้ง่ำยๆ แต่ว่ำเขำมีควำมลังเลอยู่ไม่น้อย หยำงหนิง
เดินมำถึงริมกำแพง มองไปรอบๆ เห็นว่ำไม่มีคน จึง
จับเถำวัลย์ แล้วปีนกำแพงขึ้นไป เขำนั่งอยู่บนสัน
กำแพงแล้วมองไปรอบๆ เห็นในเรือนไม่ใหญ่มำก ตรง
กลำงมีห้องอยู่ห้องหนึ่งโดดๆ ภำยในเรือนเต็มไปด้วย
เถำวัลย์
ภำยใต้แสงจันทร์ ห้องนั้นมันดูวังเวงยิ่งนัก เมือ่ ลมพัด
มำ หยำงหนิงก็รู้สึกหนำวถึงกระดูก
เขำรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ำยก็ตัดสินใจ ชักมีด
สั่นของเขำออกมำ แล้วกระโดดลงจำกกำแพงเข้ำไป
ในเรือน
เขำค่อยๆ เดินเข้ำไป เห็นห้องเต็มไปด้วยซำก
ปรักหักพังเต็มไปหมด ประตูห้องทั้งเก่ำทั้งโทรม
หลำยปีมำนี้ไม่มีกำรซ่อมแซมเลย บำนประตูพุพังไป
หมดแล้ว
มือขวำเขำจับมีดสั้นไว้แน่น มือซ้ำยค่อยๆ ผลักประตู
ออกไป ประตูมีเสียงดัง “กึกกึกกึก” หลังจำกผลัก
ประตูออกไป ภำยในนัน้ มีกลิ่นอับๆ ของควำมเก่ำ มัน
ฉุนเข้ำจมูกมำก และมีกลิ่นเหม็นยิ่งนัก หยำงหนิงยก
มือขึ้นพัด แล้วค่อยๆ เดินเข้ำไปในห้อง ในห้องหลัง
ใหญ่มีสำมห้องย่อย ซ้ำยขวำและตรงกลำงห้องโถง
อย่ำงละห้อง
ภำยในห้องโถง ตกแต่งอย่ำงเรียบง่ำย ตรงกลำงมีโต๊ะ
ตัวหนึ่ง มีเก้ำอี้สองตัว ตรงหัวมุมห้องมีชั้นวำง แต่ว่ำ
มันผุพังมำกแล้ว แต่ว่ำฐำนของมันยังคงดีอยู่ ก็ไม่รู้ว่ำ
โต๊ะเก้ำอี้พวกนี้ทำจำกอะไรถึงได้แข็งแรงเช่นนี้ ไม่มี
ร่องรอยผุพังเลย แค่มีฝุ่นบำงๆ เท่ำนั้น
หยำงหนิงมองไปรอบๆ แล้วค่อยๆ เดินไปที่ห้อง
ทำงด้ำนซ้ำย เขำผลักประตูเข้ำไป ประตูบำนนี้มัน
ไม่ได้ล็อคกุญแจเอำไว้ หยำงหนิงค่อยๆ ดันเข้ำไป
แสงจันทร์สำดเข้ำมำด้ำนใน ถึงแม้จะเป็นกลำงดึก
ภำยในห้องก็มืดสลัว แต่อำศัยแสงจันทร์ ก็สำมำรถ
มองเห็นได้อย่ำงชัดเจน กำแพงในห้องด้ำนที่ตรงกับ
ประตู มีโต๊ะเล็กๆ วำงอยู่ บนนั้นเหมือนมีของ
บำงอย่ำงวำงไว้อยู่ หยำงหนิงเดินเข้ำไปในห้อง มอง
ไปด้ำนใน เห็นที่มุมห้องมีเตียงไม้อยู่ตัวหนึ่ง ด้ำนบน
ไม่มีฟูกและผ้ำห่ม แต่ว่ำเตียงไม้อยู่ในสภำพที่ดีมำก
ไม่ผุพังเลยแม้แต่น้อย
หยำงหนิงรู้สึกแปลกใจมำก
ตำมที่เหวยต้งบอก หลำยสิบปีก่อน เรือนนี้ถูกปิดตำย
ไม่เคยมีผู้ใดเข้ำมำอีกเลย หำกเป็นจริงตำมที่เหวยต้
งบอกมำ หลำยสิบปีมำนี้ ของในห้องนี้ก็ไม่น่ำจะอยู่
ในสภำพที่ดีเช่นนี้ ต่อให้ไม้ของเครื่องเรือนในบ้ำนจะ
ดีเพียงใดก็ตำม แต่หลังจำกที่เข้ำมำในห้อง กลับไม่
เห็นหยักไย่สักนิด
เขำรู้ดีว่ำ อย่ำว่ำแต่สิบปีเลย ต่อให้ไม่กี่ปีห้องที่ไม่มี
คนอยู่เช่นในห้องนี้ ก็ต้องมีหยักไย่อยู่ทั่ว แต่ว่ำใน
เรือนนี้ไม่ว่ำจะเป็นห้องโถงหรือในห้องนี้ กลับไม่เห็น
หยำกไย่แม้แต่เส้นเดียว มันผิดปกติเกินไป
เขำย้อนคิดไปถึงเมื่อครู่ที่เขำเดินไปลูบโต๊ะ บนโต๊ะมี
ฝุ่นจริง แต่จำกประสบกำรณ์ของหยำงหนิง หำกไม่
เคยมีใครเข้ำมำทำควำมสะอำดในห้องที่ไม่มีคนอยู่ถึง
สิบกว่ำปี บนโต๊ะก็จะต้องมีฝุ่นหนำแน่นอน แต่เมื่อครู่
ที่เขำจับดูเป็นเพียงฝุ่นชั้นบำงๆ เท่ำนั้น หำกคำนวณดู
แล้ว ก็น่ำจะไม่ได้ทำควำมสะอำดมำแค่ไม่กี่เดือนมำนี้
เอง
หรือว่ำในห้องนี้มีผีจริงๆ หรือ? ผีภำยบ้ำนนี้สำมำรถ
ทำควำมสะอำดด้วยหรือ?
หรือว่ำเหวยต้งจะโกหก เรือนนี้มีคนมำทำควำม
สะอำดอยู่เป็นระยะๆ หรือไม่?
ห้องตกแต่งอย่ำงเรียบง่ำย หยำงหนิงเดินเข้ำไปด้ำน
ใน เดินเข้ำไปใกล้โต๊ะเล็กๆ พบว่ำมีโต๊ะเครื่องแป้ง
ของผู้หญิงอยู่ ก็นึกถึงที่กู้ชิงฮั่นพูด ว่ำก่อนหน้ำนี้
เหมือนจะมีผู้หญิงตำยอยู่ที่นี่คนหนึ่ง ตอนนี้เห็นโต๊ะ
เครื่องแป้ง ก็รู้ว่ำต้องเป็นผู้หญิงคนที่กู้ชิงฮั่นพูดถึง
อย่ำงแน่นอน
ในสมองของเขำตอนนี้ภำพของผีผู้หญิงผมยำวปิด
หน้ำก็ลอยขึ้นมำไม่หยุด ทำให้เขำหลังเย็นแปลกๆ
เมื่อมองไปรอบๆ ก็สูดหำยใจเข้ำลึกๆ มองดูอย่ำง
ละเอียด ก็พบว่ำบนโต๊ะมีกล่องเครื่องสำอำงกล่อง
หนึ่ง ฝำของมันปิดอยู่ มือขวำของเขำถือมีดสั้นในมือ
เขำยื่นมือออกไป แล้วเปิดกล่องนั้นออก
พบว่ำภำยในกล่องนั้นไม่ได้เป็นกล่องเปล่ำ ภำยในนั้น
มีเครื่องสำอำงอยู่ ยังมีต่ำงหู กำไล ไม่ว่ำจะเป็นต่ำงหู
หรือกำไล รูปแบบประณีตมำก แต่ว่ำทำมำจำก
ทองแดง ไม่ได้มีมูลค่ำอะไร หยำงหนิงคิดว่ำตระกูลฉี
เป็นตระกูลเศรษฐีในเจียงหลิง สำมำรถอยู่ในจวนที่
เป็นส่วนตัวได้เช่นนี้ ผู้หญิงคนนี้จะต้องไม่ใช่สำวใช้
ธรรมดำแน่นอน อยู่ในจวนนำงจะต้องมีตำแหน่งอะไร
แน่ๆ ตำมหลักแล้วต่อให้ไม่มีกำไลทอง อย่ำงน้อยก็
ต้องเป็นกำไลเงิน แต่ในกล่องนี้กลับมีแค่กำไล
ทองแดง ซึ่งมันดูไม่สอดคล้องกับฐำนะของบ้ำน
ตระกูลฉีสักเท่ำไหร่
แป้งแต่งหน้ำแห้งไปแล้ว นอกจำกนี้ก็ไม่มีสิ่งของอะไร
อีก
หยำงหนิงค่อยๆ ปิดฝำกล่องลง พบว่ำบนโต๊ะเครื่อง
แป้งมีลิ้นชักอยู่ ก็ค่อยๆ เปิดออก ด้ำนในพบของสอง
สิ่ง อย่ำงแรกคือกระจก อย่ำงที่สองเป็นห่อผ้ำแพรสี
ดำ มันเป็นทรงยำว ในเวลำเช่นนี้ หยำงหนิงไม่คิดจะ
ไปแตะกระจก หยิบกระจกมำดูในบรรยำกำศวังเวง
เช่นนี้ อำจจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นในกระจกนี้ก็
เป็นได้
เขำหยิบถุงผ้ำแพรที่ห่อของขึ้นมำ ห่อผ้ำแพรปัก
ละเอียดมำก น่ำจะเป็นของมีค่ำมำก เมื่อเปิดผ้ำแพร
ออก ด้ำนในก็มีของสิ่งหนึ่งอยู่ในผ้ำแพรผืนนั้น
ตอนนี้ใบหน้ำของหยำงหนิงตกตะลึงมำก
ขลุ่ย!
ของในห่อผ้ำแพรเป็นขลุ่ย
ครู่หนึ่ง หยำงหนิงก็นึกถึงที่เหวยต้งพูดว่ำในเรือนนี้จะ
มีเสียงขลุ่ยดังขึ้นทุกปี หรือว่ำเสียงขลุ่ยนั้นมำจำกขลุ่ย
เล่มนี้รึ?
ขลุ่ยเล่มนี้สวยงำมมำก ถึงแม้ดูไปแล้วจะมีอำยุ
พอสมควร แต่ยังคงสภำพดี ไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่น้อย
“เป็นคนแน่ๆ...!” หยำงหนิงพูดกับตัวเอง ในตอนนี้
เองเขำเหมือนจะเข้ำใจอะไรบำงอย่ำง ในควำมคิด
ของเขำ เรื่องผีในเรือนนี้น่ำจะไม่ใช่เพรำะเคยมีคน
ตำยที่นี่ ถึงได้สั่งห้ำมเข้ำมำ เมื่อเวลำนำนเข้ำพอไม่มี
ใครเข้ำออกบรรยำกำศมันก็จะวังเวง เมื่อมันลึกลับ ก็
จะเกิดกำรคำดเดำไปต่ำงๆ นำๆ
เขำเชื่อว่ำ ผู้ที่เป่ำขลุ่ยไม่น่ำจะใช่ผี แต่น่ำจะเป็นคนที่
เข้ำมำที่นี่ทุกปี ไม่เพียงมำเป่ำขลุ่ย แถมยังมำทำควำม
สะอำดที่นี่ด้วย
เรือนนี้ไม่มีคนอำศัยอยู่นำนหลำยปี กลับมีเสียงขลุ่ย
ดังอยู่เป็นระยะ คนอื่นก็เข้ำใจผิดคิดว่ำเป็นผี
ส่วนสองคนที่ปีนกำแพงเข้ำมำ คิดว่ำน่ำจะเป็นคนที่
เป่ำขลุ่ยคนนี้ที่เป็นคนฆ่ำแน่นอน เพรำะพวกเขำ
น่ำจะเข้ำมำเจอคนที่เป่ำขลุ่ยอยู่พอดี เมื่อทั้งสองพบ
หน้ำกัน จึงลงมืออย่ำงเหี้ยมโหด
หยำงหนิงขมวดคิ้ว หำกตัวเขำเดำไม่ผิด คนที่อยู่ใน
ห้องนี้จะต้องเป็นคนไม่ใช่ผีแน่นอน คนผู้หนึ่งมำที่
เรือนนี้ไม่เคยขำดเลยตลอดสิบปี มำทำควำมสะอำด
แล้วก็เป่ำขลุ่ยอยู่หลำยคืน แถมเมื่อมีคนบุกเข้ำมำยัง
ลงมือสังหำรอีก คนผู้นี้เป็นใครกัน?
เขำกับจิ่นอีโหวตระกูลฉี มีควำมเกี่ยวข้องอะไรกัน?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 89 กระบี่ในภาพวาด
หยางหนิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วทาการเก็บขลุ่ยเข้าไปใน
ห่อผ้า เก็บเข้าไปในลิ้นชักเหมือนเดิม แล้วเดินไปยัง
อีกห้องที่อยู่ตรงข้ามกัน
เขาคิดว่าห้องนี้น่าจะมีของอยู่บ้าง แต่เมื่อเข้าไปใน
ห้องแล้วก็พบว่า ในห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีสิ่งของใดๆ
เลย มีเพียงเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งเท่านั้น ข้างๆ มีกองหญ้า
หนึ่งกอง
เขาเดินเข้ามาถึง จึงได้พบว่า ที่มุมกาแพง โต๊ะเล็กที่
วางพู่กันกับแท่นฝนหมึกอยู่นั้น น้าหมึกในแท่นฝน
หมึกนั้นแห้งไปแล้ว เขายื่นมือไปจับ เป็นแท่นฝนหมึก
ธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง แถมมันยังแห้งแข็งเป็นหินอีกด้วย
ในใจของเขาก็นึกแปลกใจ แอบคิดว่าตอนนั้นมีผู้หญิง
คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ หรือว่าแท่นฝนหมึกนี้เป็นของ
ผู้หญิงคนนั้นทิ้งไว้อย่างนั้นหรือ?
จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นกระดาษ
แผ่นหนึ่งที่เริ่มเหลืองแล้ว เขาหยิบขึ้นมาดู กระดาษ
นั้นขาดไปครึ่งหนึ่ง แต่ด้านบนเหมือนจะเป็นรูปภาพ
ภาพหนึ่ง กระดาษแผ่นนี้ไม่สมบูรณ์นัก ตอนนี้ก็มอง
ไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร ขณะที่กาลังสงสัย ก็เห็น
ด้านล่างกองหญ้าเหมือนมีกระดาษอีกครึ่งหนึ่งโผล่
ออกมา เขาจึงเดินไปแหวกกองหญ้าออกมา เห็นมี
เศษกระดาษมากมายเต็มพื้นไปหมด
หยางหนิงหยิบกระดาษที่ค่อนข้างสมบูรณ์ขึ้นมา แล้ว
เดินไปที่ริมหน้าต่าง อาศัยแสงจันทร์มอง พบว่าบน
กระดาษเป็นภาพของคน
วิชาการวาดภาพดูไม่ชานาญเท่าไหร่ แต่ก็สามารถดู
ออกว่าเป็นภาพของคน ในมือเหมือนจะถือดาบ ชี้ขึ้น
ด้านบน ขาทั้งสองข้างโก่งโค้ง ท่าทางแปลกยิ่งนัก
หยางหนิงรู้สึกตกใจ ในใจก็คิดว่าผู้หญิงที่อาศัยอยู่ที่นี่
มาก่อนเป็นวรยุทธ์ด้วยหรือ?
ภาพพวกนี้มันเป็นเคล็ดวิชากระบี่กระบวนหนึ่ง
เขาหันหลังไป แล้วเดินไปย้ายกองหญ้าออก จากนั้นก็
เก็บกระดาษที่อยู่บนพื้นนั้นขึ้นมาทั้งหมด มีประมาณ
สี่สิบห้าสิบแผ่น
โดยกระดาษพวกนี้มีกว่าสิบแผ่นที่ไม่สมบูรณ์ แต่กว่า
ครึ่งยังคงดีอยู่ แต่เนื่องจากมันเก่ามากแล้วมันจึงเป็น
เหลือง หยางหนิงหยิบกระดาษพวกนี้ออกจากห้องไป
แล้วนั่งอยู่บนพื้นหน้าประตู เขาไม่ได้กังวลว่าจะมีใคร
เข้ามาเห็น เพราะทั่วทั้งจวนคิดว่าเรือนแห่งนี้เป็น
เรือนผีสิง ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมี
ใครกล้าปีนเข้ามาหรือไม่
เขาหยิบกระดาษขึ้นมาดูทีละแผ่น คิดไว้ไม่มีผิดบน
กระดาษเหล่านี้ ทั้งหมดคือเคล็ดวิชากระบี่
คนที่อยู่บนกระดาษค่อนข้างผ่อนคลาย แต่ว่าท่าทาง
การออกอาวุธขาดูโก่งโค้ง กระบี่ในมือนั้นยาว เห็นแต่
เพียงเส้นยาวๆ แต่ว่ากระบี่นั้นกลับดูมีพลังเหมือนจริง
ท่าทางของคนในภาพมีหลายๆ ภาพที่ปกติ แต่ส่วน
ใหญ่นั้นแปลก มีบางท่าที่นอนอยู่ที่พื้น มีบางท่าที่
คลานอยู่ที่พื้น บ้างก็นั่งยอง หรือไม่ก็กระโดด การ
เปลี่ยนท่าของกระบี่นั้นแปลกยิ่งนัก
ก่อนที่หยางหนิงจะข้ามเวลามานอกจากการฝึก
วิชาการต่อสู้แล้ว เขาก็เคยฝึกการใช้อาวุธมือ ถึงแม้
จะไม่เคยใช้กระบี่ แต่กระบองก็เคยจับมาบ้าง อาวุธ
ทั้งสองอย่างเป็นแบบยาวเหมือนกัน ถึงแม้ท่าทางจะ
มีความต่างอยู่บ้าง แต่ก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน
แต่ว่ากระบวนท่าในภาพนั้น มันเกินกว่าที่ตัวเขาเคย
ได้รู้ได้เห็นมา
เขากลับรู้สึกว่า มีหลายท่าทางที่ไม่สามารถทาออกมา
ได้ มันเป็นการฝืนกฎธรรมชาติของร่างกาย เช่นมีอยู่
ท่าหนึ่งมือขวาจับกระบี่ แต่มือขวากลับยกขึ้นไปบน
ศีรษะ ส่วนกระบี่ทรงยาวก็อ้อมไปอยู่ที่หลัง เอียงไป
ทางด้านซ้าย ท่าทางการบิดตัวเช่นนี้มันประหลาดยิ่ง
นัก วิชากระบี่ปกติ ไม่มีทางทาเช่นนี้แน่นอน จากที่ห
ยางหนิงดู มันไม่สามารถทาให้ศัตรูถึงแก่ความตายได้
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีวิชากระบี่อยู่อย่าง
หนึ่งไม่ได้มีไว้เพื่อทาร้ายใคร แต่มีไว้เพื่อแสดงเท่านั้น
ในตระกูลใหญ่ๆหลายตระกูล จะมีการเลี้ยงพวก
นางราไว้ไม่น้อย ถึงแม้จะมีการร่ายราหลายอย่างที่มี
ไว้เพื่อแสดงความอ่อนโยนของผู้หญิง แต่ก็มีการร่าย
ราบางประเภทที่พิเศษหน่อย การร่ายรากระบี่ก็เป็น
อย่างหนึ่ง
การแสดงการร่ายราเช่นนี้มันทาให้ผู้หญิงดูสวยงามมี
กาลังและคมคาย ใช้กระบี่มาร่ายรา มีทั้งอ่อนทั้งแข็ง
มันทาให้รู้สึกงดงามยิ่งนัก
แต่ว่าระบากระบี่นั้นมันก็เป็นการร่ายราชนิดหนึ่ง
ท่าทางพิเศษสวยงาม แต่ใช้ประโยชน์จริงไม่ได้
หยางหนิงเห็นเคล็ดวิชากระบี่นี้มีท่าทางที่แปลก อีก
ทั้งก่อนหน้านี้ที่นี่มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ จึงคิด
ขึ้นมาได้ว่าภาพพวกนีอ้ าจจะเป็นท่าทางการร่ายรา
กระบี่ก็ได้ หรือว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นี่คนเดียวรู้สึกเบื่อ
จึงวาดภาพการร่ายราพวกนี้ออกมา
เขาคิดไปครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปหาไม้มาท่อนหนึ่ง
แล้วทาท่าเหมือนกับที่อยู่ในภาพ ยกมือขวาขึ้นมาไว้
บนหัว แล้วอ้อมไม้ในมือไปไว้ด้านหลัง เขารู้สึกแปลก
มากๆ ไม่ค่อยสบายตัว อย่าว่าแต่ทาท่าทางแบบ
ธรรมดาเลย ต่อให้ตั้งใจทามันออกมา ยังต้องใช้เวลา
มากเลยทีเดียว
เมื่อทาท่าทางออกมาได้แล้ว หยางหนิงรู้สึกว่าตัวเอง
เหมือนคนบ้า เขาส่ายหัวแล้วยิ้มเจื่อนๆ ในใจก็คิดว่า
ตัวเองเป็นผู้ชายทั้งแท่ง หากนี่เป็นท่าการรากระบี่จริง
คิดว่าก็น่าจะเป็นท่าทางของผู้หญิง ร่างกายของ
ผู้หญิงอ่อนกว่า อาจจะทาออกมาแล้วสวยก็ได้ ตัวเอง
เป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะทาอย่างไรมันก็ไม่สวย
เขาทิ้งไม้ลง แล้วกลับมานั่งที่เดิม แล้วดูภาพใน
กระดาษต่อ ทันใดนั้นเองก็ขมวดคิ้ว เหมือนคิดอะไร
ออก
เส้นวาดในภาพนั้น ลงแรงหนักยิ่งนัก แถมยังไม่
ละเอียด แต่เส้นชัดเจนและพลิ้วไหว
หยางหนิงขมวดคิ้ว
เขารู้ดีว่าการเขียนอักษรของชายหญิงมีความแตกต่าง
ลายเส้นของผู้หญิงนั้นจะอ่อนและจริงจัง ส่วนแรงที่
ลงจะไม่หนักมาก แต่ว่าภาพเคล็ดวิชานี้ มันกลับเต็ม
ไปด้วยการลงแรง ลายเส้นไม่เหมือนของคนรุ่นหลัง
หากไม่ใช่ว่าลงแรงมาก มันจะทาให้การเคลื่อนไหวไม่
คงที่ หากใช้แรงมากเกินไป มันก็ทาให้ลายเส้นไม่
สวยงาม
ภาพเหล่านี้ถึงแม้จะเรื่อยเปื่อยแต่ลายเส้นคงที่ หยาง
หนิงดูแล้วรู้สึกว่าลายเส้นนี้มันเหมือนลายเส้นของ
ผู้ชาย ในใจก็นึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่าในเรือนนี้
เคยมีผู้ชายอาศัยอยู่มาก่อนหรือ?
กู้ชิงฮั่นเคยบอกว่ามีผู้หญิงอาศัยอยู่ที่นี่ มีจุดหนึ่งที่
แน่นอน เจ้าของเรือนนี้เป็นผู้หญิงแน่นอน ต่อให้จะมี
คนมาคอยรับใช้ ก็ต้องเป็นสาวใช้ ไม่มีทางให้ผู้ชายมา
รับใช้อย่างแน่นอน ชายคนนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับ
ผู้หญิงเจ้าของเรือนนี้กันแน่?
เขาหน้านิ่งไป แล้วพลิกกระดาษดู ไม่นานนัก เขาก็
คิดอะไรออก เหมือนจะเห็นอะไรในภาพนั้น
ในสิบกว่าภาพนี้ มีเจ็ดถึงแปดภาพเป็นท่านอน ในห้า
ถึงหกภาพเป็นภาพนั่ง เขามองไปที่ภาพกระบี่ที่เอียง
ก่อน พบว่าไม่ได้มีแค่ภาพเดียว ในภาพๆ นั้นเหมือน
จะท่าทางเหมือนกัน คือมือขวายกขึ้นบนศีรษะ แต่
กระบี่ทรงยาวอ้อมไปด้านหลัง แล้วเอียงไปด้านซ้าย
มือซ้ายยกขึ้นมาแนบไว้ที่หน้าผาก
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แยกประเภทของภาพ
ออกมา นาภาพนอนเอามาไว้รวมกัน ท่าทางกระบี่
คล้ายกันเอามาไว้เหมือนกัน แล้วจัดหมวดใหม่
สามารถแบ่งได้หกประเภท
มันบอกกับเขาว่า เคล็ดกระบี่นี้มันแปลกมาก มันคง
ไม่ได้เป็นแค่การร่ายรากระบี่ธรรมดาทั่วไปแน่ๆ น่าจะ
มีเงื่อนงาอะไรบางอย่าง
ถึงแม้กระดาษพวกนั้นจะขาดไปบ้าง แต่หยางหนิง
ยังคงพยายามทาให้มันเหมือนเดิม แต่มันก็ไม่สามารถ
ทาได้ ทาได้แค่คาดเดาจากร่องรอยที่เหลืออยู่เท่านั้น
หลังจากที่แบ่งเป็นหกประเภทแล้ว หยางหนิงก็มอง
ภาพท่าทางที่นอนอยู่บนพื้นที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ แล้ว
ตรวจดูอย่างละเอียดอีกรอบ
ตอนนี้ที่เขาจัดหมวด ก็พอมองออกแล้วว่า มีแปด
ภาพที่แบ่งการออกท่าทางก่อนหลัง แต่ในภาพไม่มี
เลขบอก จึงไม่รู้ว่ามันเริ่มจากภาพใดก่อนเป็นภาพ
แรก
เมื่อคิดดูแล้ว ก็มานั่งจัดภาพทั้งแปดภาพ ภาพใบที่
แปดดูออกง่ายมากว่าน่าจะเป็นภาพแรก เพราะใน
ภาพมันเป็นท่านอน มือขวาหยิบกระบี่ขึ้นมา แล้วก็ไม่
มีท่าทางอะไรอีก
หยางหนิงเคยฝึกการต่อสู้ มีจุดหนึ่งที่เขาชัดเจนมาก
การฝึกกังฟูหรืออาวุธใดกระบวนท่าทางท่าแรกนั้นก็
คือท่าทางการยกหรือถืออาวุธ มีเพียงการยกมือหรือ
การถืออาวุธที่ไม่ผิด ก็จะสามารถปล่อยหรือฝึกไป
ในทางที่ถูกต้องได้ หากผิดตั้งแต่เริ่ม ถ้าอย่างนั้นต่อไป
ก็จะผิดไปตลอด
เมื่อแน่ใจท่าแรกแล้ว หยางหนิงก็จัดการกระบวนท่า
ต่อไป เขารู้สึกว่าเสียเวลามาก เพราะแต่ละท่ามัน
แปลกประหลาดมาก มันไม่ใช่เคล็ดวิชากระบี่ที่คน
ปกติคิดได้กัน มีเพียงหนึ่งกระบวนที่ขาซ้ายมีการ
ยกขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนกระบี่ทรงยาวนั้นรอดผ่านขา
ไป แล้วเอียงขึ้นด้านบน ท่าทางเช่นนี้มันแปลกมากๆ
เขาหวังว่าจะสามารถค้นหาอะไรที่เชื่อมโยงกับภาพได้
อีก เช่น จากกระบวนท่านี้และต่อไปก็เป็นกระบวน
ท่าอื่นๆ อีก แต่ทั้งแปดภาพนั้นมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน
นั่นก็คือมันเป็นท่านอนทั้งหมด หากจะหาความ
เชื่อมโยง จริงๆ ก็ไม่ง่ายเลย
หยางหนิงวิ่งไปเก็บไม้ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วนอนลง
ตรงหน้าประตู โดยเริ่มจากการหยิบไม้ขึ้นมา ในสมอง
พยายามนึกภาพอีกเจ็ดภาพตาม คิดมาคิดไป ก็ไม่
สามารถทาท่าทางออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติเลย
เขาหลับตา ไม่ขยับตัว ผ่านไปนานมาก ทันใดนั้นก็ยก
มือขึ้นมา แล้วยกไปด้านซ้าย ไม่รอให้ไม้ถูกตัว ท่าทาง
ทัง้ หมดเป็นไปตามในภาพ
เขาลืมตาขึ้นมา เงยหน้ามองท่าทางของตัวเอง เห็นไม้
ในมือเหมือนจะเหยียดตรงแนบไปกับขาขวา จึงรีบลุก
ขึ้นมา แล้วไปมองที่ภาพ เห็นท่าทางเหมือนกับใน
ภาพ แต่ว่าในภาพเป็นกระบี่ที่แนบตรงไปกับขาขวา
ถึงแม้จะมีต่างไปบ้าง แต่หยางหนิงเริ่มรู้สึกตื่นเต้นไม่
น้อย เขาแอบคิดว่าตัวเองคิดอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็คิด
การเชื่อมโยงระหว่างสองกระบวนท่าออกมาได้ ถึงแม้
จะไม่รู้ว่าถูกหรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ลอง การ
เปลี่ยนท่าเหมือนจะง่าย แต่ว่าหากไม่ถลาลงลึกเช่นนี้
คิดว่ามือกับกระบี่มันจะทาออกมาได้อย่างไร
จริงๆ แล้วหยางหนิงก็ไม่รู้หรอกว่ากระบวนท่าในภาพ
มันมีค่ามากน้อยเพียงใด หรือว่าคนที่ทามันขึ้นมาเพื่อ
ฆ่าเวลาแก้เบื่อเท่านั้น คนในภาพอาจจะไม่สามารถ
ทาท่าทางเช่นนี้ออกมาได้จริง แต่ว่าหยางหนิงก็คิด
ขึ้นมาได้ว่า ในเรือนนี้ลึกลับแปลกๆ อยู่แล้ว ภาพพวก
นี้ก็เก่าจนเหลืองแล้ว อายุก็หลายปี ในเมื่อยังเหลืออยู่
ที่นี่ ก็อาจจะมีวิชาเช่นนี้จริงๆ ก็ได้
ก่อนหน้านี้เขาได้พลังหกเทพประสานมาจากมู่เสิน
จวินโดยบังเอิญ แล้วก็ได้วิชาเท้าท่องคลื่นมาจากโครง
กระดูก ทั้งหมดได้มาเพราะความบังเอิญทั้งนั้น หก
เทพประสานยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ว่าท่าเท้าท่องคลื่น
นั้นมันแปลกประหลาดยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เหมือนจะ
ดวงดีเล็กน้อย วันนี้ภาพพวกนี้ หากเป็นเคล็ดวิชา
กระบี่จริงๆ หากตัวเขาทิ้งมันไป มันก็น่าเสียดายไม่
น้อย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 90 ลูกอมหนังวัว
หยางหนิงอยู่กับแผ่นภาพวาดนี้ทั้งคืน แล้วลองฝึกเอง
เป็นระยะๆ พริบตาเดียว ฟ้าก็สว่างแล้ว
เขารู้ว่าหากใครรู้ว่าเขาแอบเข้ามาในเรือนนี้เข้า ต่อให้
เขาจะเป็นจิ่นอีโหวซื่อจื่อ แต่มันก็ดูไม่เหมาะสม
เท่าไหร่ เพราะอย่างไรที่นี่ก็ถูกสั่งห้ามเข้าโดยท่าน
เหล่าโหว ตัวเขาไม่สามารถอ้างสิทธิในฐานะได้ แถม
ยังละเมิดกฎของตระกูลด้วย อาจจะทาให้คนอื่น
ครหาเอาได้
เขาจัดระเบียบภาพวาดเก็บเข้าในเสื้อของตัวเอง แอบ
คิดในใจว่ากระดาษพวกนี้ถูกทิ้งไว้อย่างนั้นตั้งหลายปี
คงไม่มีใครสนใจ หากตัวเขาหยิบไปก็คงไม่มีใครสนใจ
จากนั้นเขาก็ปีนกาแพงออกไป กลับไปที่ห้องนอนของ
ตัวเอง แล้วเอาผ้ามาห่อกระดาษพวกนี้เอาไว้ แล้วยัด
เข้าไปใต้เตียง หลังจากเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยินเสียง
เรียกมาจากด้านนอก มีบ่าวไพร่นาน้ามาให้ล้างหน้า
หยางหนิงล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนเดินมาเชิญไป
ทานอาหารเช้า เมื่อถึงห้องอาหาร ฉีเฟิงก็มารออยู่
ก่อนแล้ว แต่กลับไม่เห็นกู้ชิงฮั่น
เขารู้ว่าหลายวันนี้กู้ชิงฮั่นรู้สึกเหนื่อยมาก คิดว่าน่าจะ
ยังนอนพักอยู่ เขาเหลือบไปมองเหวยต้งที่ยืนอยู่ข้างๆ
แล้วถามว่ : “ฮูหยิมสามยังไม่ตื่นอีกรึ?”
“เรียนซื่อจื่อ ส่งคนไปเรียกแล้ว คิดว่าฮูหยินสามยังคง
พักอยู่ เพราะไม่มีเสียงตอบรับเลย ข้าน้อยเองก็ไม่
กล้ารบกวน ซื่อจื่อท่านวางใจได้ ทางห้องครัวได้
เตรียมอาหารไว้แล้ว เมื่อไหร่ที่ฮูหยิมสามตื่น เราจะ
จัดอาหารไปให้ทันทีขอรับ” เหวยต้งตอบอย่างเคารพ
ทางจวนเก่ามีกฎระเบียบของจวน อาหารวันละสาม
มื้อจะต้องขึ้นโต๊ะตรงเวลา ต้องเรียงตามลาดับด้วย
พวกของฉีเฟิงอย่างไรก็เป็นบ่าวไพร่ ไม่สามารถร่วม
โต๊ะกับหยางหนิงได้ แต่หยางหนิงไม่ชินกับการชีวิต
แบ่งชนชั้นเช่นนี้ จึงสั่งให้นาอาหารของพวกฉีเฟิงมา
จัดที่โต๊ะอาหารด้วย
ห้องอาหารของจวนเก่ามีโต๊ะอาหารสองโต๊ะ มีโต๊ะ
ด้านหน้ากับด้านหลัง แต่ว่าด้านหน้าจะเป็นโต๊ะที่
ประณีตราคาแพงหน่อย
หยางหยิงให้จัดอาหารของฉีเฟิงอยู่โต๊ะเดียวกับเขา
ส่วนคนอื่นๆ อยู่อีกโต๊ะ เมื่ออาหารมาถึง หยางหนิง
สั่งให้คนๆ อื่นออกไปจนหมด แล้วพูดกับฉีเฟิงว่า
“เจ้ารีบกินให้เสร็จ กินเสร็จแล้ว เจ้าพาคนสองคนไป
ที่จิงโจว”
ฉีเฟิงตกใจ แล้วถามว่า “เมืองจิงโจวหรือขอรับ?” เขา
คิดในใจว่าเมื่อคืนเขาเพิ่งจะมาจากที่นั่น ตอนนี้จะให้
เขากลับไปที่นั่นอีกหรือ?
“เจ้าไปหาท่านเจ้าเมืองเจียงหลิง” หยางหนิงพูดว่า
“เมื่อพบท่านเจ้าเมืองเจียงหลิง ถามเขาดูว่าเขาได้ส่ง
คนคุ้มกันเงินภาษีไปเมืองหลวงหรือไม่ หากเขาส่งคน
ไปจริง เจ้าก็พาคนที่คุ้มกันเงินภาษีไปเมืองหลวง
กลับมาสักสองคน ข้าจะสอบสวนพวกเขาเอง”
“หา?” ฉีเฟิงตกใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เงินภาษี...เงิน
ภาษีส่งไปแล้วหรือขอรับ?” เขาพาคนคุ้มกันกู้ชิงฮั่น
กลับมายังเจียงหลิง เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นเพราะ
เรื่องเงินภาษีล่าช้า
“เจ้าไม่ต้องถามมาก” หยางหนิงพูดว่า “เจ้ารู้จักเจ้า
เมืองเจียงหลิงหรือไม่?”
ฉีเฟิงรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองเจียงหลิง
เป็นขุนนางใสซื่อมือสะอาด เป็นคนที่ท่านแม่ทัพเสนอ
ท่านแม่ทัพจะสนับสนุนกับเสนอคนนั้นน้อยมาก แต่
ว่าเพื่อความรุ่งเรืองของเจียงหลิง จึงเสนอขุนนางที่มี
ความสามารถและซื่อตรงมารับตาแหน่งเจ้าเมือง”
จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ข้าน้อยเคยพบท่านเจ้าเมือง
คนนี้สองครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะจาข้าน้อยได้
หรือไม่แต่ว่าหากพูดถึงจิ่นอีโหว เขาก็หน้าจะไว้หน้า
อยู่บ้าง น่าจะให้ความร่วมมือดีอยู่”
“ถ้างอย่างนั้นก็ดี” หยางหนิงพูดว่า “มีอีกเรื่อง
พ่อบ้านใหญ่คนเดิมของบ้านเก่าเหมือนจะป่วยหนัก
ตอนนี้เขาก็อยู่ที่จิงโจวเหมือนกัน หากเรื่องนี้เป็นเรื่อง
จริง ท่านเจ้าเมืองเจียงหลิงก็น่าจะรู้เรื่องด้วย
เหมือนกัน เจ้าก็ให้ท่านเจ้าเมืองช่วยเจ้าตามหาที่อยู่
ของพ่อบ้านใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาทางานให้กับ
ตระกูลฉีมานานหลายปี เราจะไม่ถามไถ่เลยก็ไม่ได้
เจ้าไปเยี่ยมเขาแทนข้าที”
ฉีเฟิงพูดว่า “ซื่อจื่อโปรดวางใจ” แล้วพูดเสียงเบาๆ
ว่า “ซื่อจื่อท่านมีอะไรจะสั่งข้าน้อยอีกหรือไม่ขอรับ?”
หยางหนิงนิ่งไป แล้วพูดเบาๆ ว่า “เจ้ารู้เรื่องพ่อบ้าน
ใหญ่ดีเพียงใดรึ?”
“ข้าน้อยรู้แค่ว่าบ้านเกิดของพ่อบ้านใหญ่อยู่ที่เจียง
เซี่ย แต่ว่าเป็นคนสกุลเดียวกับตระกูลฉี หลายปีก่อน
มีการไปมาหาสู่กับท่านเหล่าโหว แต่ว่าไปมาหาสู่เรื่อง
ไหน ข้าน้อยมิทราบ” ฉีเฟิงพูดเบาๆ ว่า “แต่ว่าตอน
นั้นพ่อบ้านใหญ่ก็ได้มาขออยู่ด้วย ท่านเหล่าโหวก็รับ
เขาเอาไว้ แล้วก็ให้เขารับหน้าที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ของ
ที่นี่ ท่านพ่อบ้านใหญ่ทาหน้าที่ได้ดีมาก หลายปีมานี้
พ่อบ้านใหญ่ดูแลที่นี่จนมีกฎระเบียบชัดเจนมากขึ้น”
หยางหนิงถามจึงขึ้นว่า “แล้วเจ้ารู้เรื่องครอบครัวของ
เขาบ้างหรือไม่?” “ในเมื่อเป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวน
เก่านี้ เราไม่มีทางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับครอบครัวเขา
จริงหรือไม่?”
ฉีเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่ค่อยรู้อะไร
มากนัก ในจวนเองก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึงประเด็นนี้
ขอรับ” เขาพูดเสียงเบาๆว่า “ซื่อจื่อ ท่านคิดว่ามี
อะไรที่ผิดปกติใช่หรือไม่ขอรับ? ให้ข้าน้อยส่งคนไป
สืบที่เจียงเซี่ยดูดีหรือไม่ เจียงเซี่ยไม่ไกลกับเจียงหลิง
เท่าไหร่นัก ขี่ม้าเร็วไปกลับใช้เวลาแค่สามสี่วันเท่า
นั้นเองขอรับ”
หยางหนิงคิดๆ แล้วก็พูดว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่
ว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ส่งคนไปเจียงเซี่ยแค่
คนเดียวพอ สืบเรื่องครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่มา
อย่างละเอียด...!”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยจะรีบไปจัดการ
เดี๋ยวนี้ขอรับ” จากนั้นก็กาลังจะเดินออกไป แต่ห
ยางหนิงเรียกเอาเขา “ไม่กินให้อิ่มก่อนเล่า แล้วเจ้า
จะมีแรงที่ไหนไปทางาน กลับมากินก่อน”
ฉีเฟิงจับหัว แล้วหันไปพูดกับเหล่าองครักษ์ว่า “กิน
เร็วเข้า ยังมีงานต้องทาอีกมาก”
หยางหนิงกินข้าวไปไม่กี่คา เขาไม่ค่อยรู้สึกหิวเท่าไหร่
จากนั้นก็เดินออกไป บังเอิญเห็นเหวยต้งกับบ่าวไพร่
ยืนพูดอะไรกันอยู่ ก็ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปถามว่า
“มาทาอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนี้กันรึ?”
เหวยต้งยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านกินข้าวเสร็จแล้ว
หรือขอรับ? เรากาลังพูดถึงเจ้าคนบ้าที่อยู่ข้างนอกนั่น
ขอรับ”
“คนบ้ารึ?” หยางหนิงถามด้วยความแปลกใจ “คนบ้า
อะไรกัน?”
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ขอรับ จริงๆ แล้วท่านเฉิงบอกว่า
จะกลับมาเมื่อคืน ดังนั้นข้าน้อยจึงไปเฝ้าอยู่ที่หน้า
ประตูใหญ่ จนถึงค่า ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมา” เหวยต้งจึง
อธิบายต่อว่า “ข้าน้อยคิดว่าท่านเฉิงน่าจะมีธุระอื่นอีก
จึงเตรียมจะเข้านอน ก่อนนอน ก็เดินมาดูอีกรอบ
แล้วก็เห็นตัวมีขนนอนอยู่ตรงกาแพงทางทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้ของจวน ตอนนี้ข้าน้อยตกใจมาก
ตอนแรกคิดว่าเป็นหมาจรจัดขอรับ”
“เป็นขนๆ อย่างนั้นรึ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว
เหวยต้งรีบพูดว่า “ใช่ขอรับ แต่ว่าพอข้าน้อยถือ
ตะเกียงเดินเข้าไปดู ถึงได้รู้ว่าเป็นคน คนผู้นั้นนอนอยู่
ริมกาแพง น่าจะเป็นพวกขอทาน แต่ว่ามีเสื้อคลุมขน
สัตว์สีดา...!”
“เขาเองรึ!” หยางหนิงตกใจ จากนั้นก็นึกถึงชาย
อัปลักษณ์ขึ้นมา อย่าบอกนะว่าชายอัปลักษณ์นั่นวิ่ง
ตามมาถึงที่นี่เลย? แต่ว่าเขากับกู้ชิงฮั่นทิ้งเขาเอาไว้
กลางทางเมื่อวานนี้ เขารู้ทางมาที่นี่ได้อย่างไรกัน?
อย่าบอกนะว่าจมูกเขาเหมือนหมาดมกลิ่นตามมา
“พาข้าไปดูทีสิ ตอนนี้เขาอยู่ไหน?” หยางหนิงเดินไป
ถามไป
เหวยต้งเดินนาทางไป แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ คนบ้านั่น
ตอนแรกข้าน้อยว่าเช้านี้เขาอาจจะไปแล้วก็ได้ แต่ว่า
เมื่อเช้าตอนที่ข้าน้อยเปิดประตูออกไปดู เขาก็ยังนอน
อยู่ตรงนั้น ข้าน้อยเอาขนมปังให้เขาไปสองชิ้น เขา
กลับขว้างมันทิ้ง ข้าน้อยจึงจาเป็นต้องให้คนใช้ไล่เขา
ไป แต่ว่าเขาก็วิ่งกลับมาอีก ตอนนี้ยังอยู่หน้าประตู
ขอรับ”
หยางหนิงพูดว่า “เขาไม่กินขนมปังหรอก เหตุใดเจ้า
ถึงไม่เอาอย่างอื่นให้เขาแทนเล่า? ข้าว่าอาหารเช้า
วันนี้มีของว่างเยอะแยะเลย เจ้าเอามาให้เขาก็ได้ เหตุ
ใดต้องให้คนไปไล่เขาด้วย?”
เหวยต้งพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ของพวกนั้นไม่ใช่ว่าใครก็
จะกินได้ แต่เพราะซื่อจื่อกับฮูหยินสามอยู่ที่นี่
ห้องครัวถึงได้เตรียมของพวกนั้นไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ที่นี่
ค่อนข้างอยู่ห่างไกลความเจริญ ไม่เหมือนเมืองหลวง
ไม่ค่อยมีอะไรดีๆ ก็มีเพียงของว่างเท่านั้นที่พอจะทา
ได้ ก็เลย...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว รีบไปเอาของพวกนั้นมา” หยางหนิง
พูดอย่างไม่พอใจ “ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง เจ้าไปบอก
คนในจวนด้วย ต่อไปไม่ว่าจะเป็นขอทานหรือว่าคน
ตกยากมาที่นี่ ใครก็ห้ามไล่ห้ามตี ไม่อย่างนั้นข้าจะ
ถลกหนังมัน ใครก็ตามที่ลาบาก เราต้องช่วยเขา เจ้าก็
อายุปูนนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่เข้าใจอะไรเลย?”
เหวยต้งคิดไม่ถึงเลยว่าหยางหนิงจะตาหนิเขาเพราะ
คนบ้าคนหนึ่งอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ จึงรู้สึกกลัวขึ้นมา
บ้าง เขาไม่รู้ว่าหยางหนิงเคยลาบากมาก่อน ถึงแม้จะ
ในเวลาสั้นๆ แต่ประสบการณ์ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น
กลับทาให้หยางหนิงรู้ถึงความลาบากของคนพวกนั้น
เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนเก่าแล้ว ก็พบชาย
อัปลักษณ์สวมเสื้อคลุมสีดาอยู่ที่กาแพง เมื่อได้ยิน
เสียงคนเดินมา ชายอัปลักษณ์ก็หันหน้ามามองสีหน้า
มีอาการหวาดกลัว เมื่อเห็นชัดว่าเป็นหยางหนิง สี
หน้าของชายอัปลักษณ์ก็ยิ้มออกมา แล้วรีบลุก แล้ววิ่ง
มาหาหยางหนิง ยื่นมือแล้วพูดว่า “หิว...กิน...หิว...!”
หยางหนิงเห็นเขามาไม้นี้ จริงๆ แล้วเขาเองก็เป็นคนที่
แข็งมาแข็งตอบอ่อนมาอ่อนตอบอยู่แล้ว เขาก็พูดว่า
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” จากนั้นก็หันไป รับถาด
อาหารมา ในถาดเต็มไปด้วยอาหารดีๆ มากมาย
จากนั้นเขายิ้มแล้วถามว่า “เจ้าอยากกินหรือไม่?”
อาหารพวกนี้เป็นของดีมีกลิ่นหอม ใครๆ ที่ได้กลิ่นก็
จะต้องอยากกิน ชายอัปลักษณ์ยื่นมือจะไปหยิบ
หยางหนิงกลับดึงมือหลบ ชายอัปลักษณ์จับได้แค่
อากาศ เขาเริ่มร้อนใจ หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าดู
มือเจ้าซิ มีแต่ฝุ่น กินแบบนี้ จะไม่สบายเอาได้ หาก
เจ้าอยากจะกินของพวกนี้ ก็ต้องเชื่อฟังข้า เจ้าตาม
พวกเขาไป ให้พวกเขาช่วยอาบน้าให้เจ้า จากนั้น
เปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดก่อน ของพวกนี้ก็จะเป็นของ
เจ้า อย่างนี้ดีหรือไม่?”
การที่ชายอัปลักษณ์ตามมาถึงที่นี่ หยางหนิงคิดว่า
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นอกจากความเร็วที่เหมือนเสือดาว
ของเขาแล้ว เขายังมีความสามารถที่เหนือกว่าคน
ทั่วไป ถึงได้ตามมาถึงที่นี่ได้ ชายอัปลักษณ์ตามมา
เพราะตัวเขา อย่างไรเสียก็ต้องจัดการดูแลให้ดี
ชายอัปลักษณ์รู้สึกร้อนใจ ในใจก็พูดซ้าคาเดิม แล้ว
เดินไปรอบๆ ตัวหยางหนิง คิดแค่อยากจะเอาของมา
กิน
หยางหนิงหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “เจ้าไม่เชื่อฟังข้า
อย่างนั้นหริอ? หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ชิ้นเดียวเจ้าก็จะ
ไม่ได้ ต่อไปนี้ ข้าก็จะไม่ให้อะไรเจ้ากินอีก”
ชายอัปลักษณ์เหมือนจะเข้าใจที่หยางหนิงพูด สีหน้า
มีความหวาดกลัว หยางหนิงยื่นถาดอาหารคืนให้
เหวยต้ง ชี้ไปที่เหวยต้งแล้วพูดกับชายอัปลักษณ์ว่า
“เจ้าตามเขาไปตอนนี้ เขาจะหาคนมาช่วยทาความ
สะอาดให้เจ้า อาบน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเมื่อไหร่ เขา
ก็จะเอาของให้เจ้ากิน”
ชายอัปลักษณ์หันไปมองเหวยต้ง แล้วก็พยักหน้า
อย่างต่อเนื่อง ก็ได้แต่พูดว่า “อืม อืม อืม”
เหวยต้งถึงแม้จะเป็นคนเฝ้าประตูบ้าน แต่ฐานะจริงๆ
ของเขาก็สูงกว่านั้นมาก เมื่อเห็นสภาพของชาย
อัปลักษณ์ก็รังเกียจอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเป็นคาสั่งของ
ซื่อจื่อ เขาเองก็ไม่กล้าขัด อีกทั้งเมื่อครู่นี้ยังถูกตาหนิ
มาด้วย จึงจาต้องยิ้ม แล้วพูดกับชายอัปลักษณ์ว่า
“เจ้าตามข้ามา ข้าจะพาไปอาบน้า”
หยางหนิงหันไปสั่งอีกว่า “เจ้านี่ท่าทางจะไม่ได้
อาบน้ามานาน อาบน้าให้เขานานๆ หน่อยก็ได้ แล้ว
หาเสื้อผ้าให้เขาเปลี่ยน ไม่ต้องดีมาก เอาแค่ให้สะอาด
ก็พอ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ให้เขาอยู่ใน
จวนนี้ไปก่อนชั่วคราว เสื้อผ้าอาหารเจ้าก็หาให้เขาที
ก่อนข้ากลับเมืองหลวง ข้าค่อยคิดอีกที”
“ข้าน้อยรับทราบขอรับ” เหวยต้งรู้สึกสงสัย จึงถาม
อย่างระวังว่า “ซื่อจื่อ พวกท่านเคยเจอกันมาก่อน
หรือขอรับ? เหมือนเขาจะรู้จักท่านนะขอรับ?” เห็นห
ยางหนิงมองมาที่ตนเองด้วยสายตาเย็นชา จึงไม่กล้า
พูดอะไรมากอีก รีบพาชายอัปลักษณ์เข้าจวนไป
เมื่อเป็นคาสั่งของหยางหนิง ในจวนเก่าก็ไม่มีใครกล้า
ชักช้า ใช้กาลังแรงคนมากมาย เปลี่ยนน้าไปถึงหกเจ็ด
ถัง ถึงจะจับชายอัปลักษณ์อาบน้าจนสะอาดได้ แล้วก็
เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้กับเขา ชายอัปลักษณ์คิด
แค่อยากจะกินอาหาร จึงยอมให้คนจับอาบน้า แต่
เพราะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแล้ว แต่เสื้อคลุมดาตัว
นั้นกลับไม่ให้ใครเอาไป บ่าวไพร่ก็ต้องยอมเขา
ฉีเฟิงกับพวกกินข้าวเช้าเสร็จ ก็รีบออกเดินทาง ทิ้ง
องครักษ์เอาไว้สามคน ตัวเองพาอีกสองคนไป คนใน
จวนคนอื่นก็ไม่กล้าถามอะไรมาก
เช้าของอีกวัน ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้ชิงฮั่น หยาง
หนิงแอบคิดว่าเหตุใดวันนี้กู้ชิงฮั่นถึงได้นอนขี้เกียจได้
เช่นนี้ ไม่กินอะไรมาเป็นวันแล้ว ไม่หิวหรืออย่างไรกัน
จึงสั่งให้สาวใช้ไปเรียกถึงสองครั้ง ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
อะไรเลย
กู้ชิงฮั่นไม่มีเสียงตอบรับ ส่วนฉีเฉิงก็ยังไม่กลับมา
หยางหนิงจึงหยิบกระดาษภาพพวกนั้นออกมานั่งดูใน
ห้อง ดูไปดูมาก็เลยเวลามาจนเที่ยงวัน จากนั้นเขาก็
เก็บของแล้วออกจากห้องไป ได้ยินว่ายังไม่มีความ
เคลื่อนไหวของกู้ชิงฮั่นเลย หยางหนิงรู้สึกว่ามัน
ผิดปกติ จึงไปหาคนที่ดูแลกู้ชิงฮั่นอาบน้าเมื่อคืนมา
ให้นางพาตัวเองไปที่เรือนนอนของกู้ชิงฮั่น ภายใน
เรือนมีสาวใช้อีกคนเฝ้าอยู่ หยางหนิงเดินเข้าไปใน
เรือนตรงไปเคาะประตูห้อง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
จากผู้ใดเลย
หยางหนิงตะโกนเรียกไป ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เขารู้ว่า
กู้ชิงฮั่นนอนมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน น่าจะมีสติมาก
พอแล้ว ถึงแม้จะยังรู้สึกเพลียอยู่ ก็ไม่น่าจะหลับตาย
ได้ขนาดนี้ เขาหันไปถามสาวใช้ว่า “ฮูหยินสามนอน
มาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ไม่ได้ออกมาเลยรึ?”
“เรียนซื่อจื่อ บ่าวดูแลฮูหยินสามอาบน้าเปลี่ยน
เสื้อผ้าเสร็จ นางก็ขึ้นเตียงพักผ่อนเลย จริงๆ บ่าวจะ
อยู่ดูแลด้านใน แต่ว่าฮูหยินสามบอกว่าไม่ต้อง จึง
ออกมาเฝ้าอยู่ข้างนอกนี่เจ้าค่ะ” สาวใช้นางหนึ่งพูด
ว่า “เมื่อคืนนี้เราสองคนสลับกันมาเฝ้าเวร เผื่อฮูหยิน
สามต้องการเรียกใช้และไม่มีใครอยู่ วันนี้พวกเราเรียก
นางถึงสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับจากฮูหยิน
สามเลยเจ้าค่ะ”
หยางหนิงหน้านิ่งไป จากนั้นสีหน้าของเขาก็เริ่ม
เปลี่ยนไป เขาหยิบมีดสั้นออกมา สาวใช้สองคนรู้สึก
ตกใจ แล้วก็เปิดประตูห้องออก หลังจากเปิดประตู
ห้องเข้าไปแล้ว ก็ค่อยๆ เรียก “ฮูหยินสามท่านอยู่
ด้านในหรือไม่?”
สาวใช้คนหนึ่งรีบชี้ไปทางด้านซ้าย หยางหนิงไม่รอให้
นางได้พูดอะไร รีบเดินเข้าห้องไป แล้วใช้เท้าถีบประตู
อย่างแรง เมื่อเขาเข้าไปด้านใน สีหน้าของเขาก็
เปลี่ยนไป
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 91 หายตัว
เมื่อหยางหนิงเข้ามาในเรือนแล้ว ก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
เท่าไหร่นัก ขณะที่เขาผลักประตูออกไปนั้น ปรารถนา
ให้ตัวเองนั้นสันนิษฐานผิด เมื่อเข้ามาภายในห้อง
กวาดสายตาไป ก็พบว่ากู้ชิงฮั่นไม่ได้อยู่ในห้อง
ภายในห้องก็ไม่ได้มีขนาดที่กว้างใหญ่เท่าไหร่นัก บน
เตียงนอนผ้าห่มถูกวางไว้ด้านข้าง ซึ่งมันก็สันนิษฐาน
ได้ง่ายมากว่าไม่มีผู้ใดอยู่
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะไม่อยู่ แต่ว่าเสื้อผ้าของนางยังพาดอยู่
ข้างๆ หยางหนิงสีหน้าเคร่งเครียด รีบเดินเข้าไป ยื่น
มือเข้าไปจับ บนเตียงนั้นเย็นมาก ไม่มีความอุ่นเลยสัก
นิด นั่นก็หมายความว่า กู้ชิงฮั่นไม่ได้อยู่ในห้องนี้นาน
แล้ว
เมื่อหันหลังกลับมา ก็เห็นสาวใช้สองคนยืนรออยู่นอก
ห้อง เมื่อภายในห้องไม่มีร่องรอยของกู้ชิงฮั่น สีหน้า
ของทั้งสองคนก็ตกใจกลัว
“ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย เสื้อผ้าพวกนี้คือเสื้อผ้าที่ฮู
หยินสามเปลี่ยนเมื่อคืนหรือไม่?” หยางหนิงชี้ไปที่
เสื้อผ้าที่พาดเอาไว้
สาวใช้นางหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “เมื่อคืนพวกข้าน้อยรับใช้
ฮูหยินสามอาบน้้าเปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อผ้าพวกนี้เป็น
เสื้อผ้าที่ฮูหยินเปลี่ยนเมื่อคืนเจ้าค่ะ”
ถึงแม้เขาจะเตรียมใจกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว
แต่เขาก็หวังว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันผิด เขาหวังแค่ว่ากู้ชิง
ฮั่นอาจจะแค่ออกไปเดินเล่น แต่ทว่าเสื้อผ้ายังอยู่ที่นี่
ความเป็นไปได้ที่จะไปเดินเล่นนั้นมันก็แทบไม่เหลือ
แล้ว
กู้ชิงฮั่นไม่มีทางที่จะไม่ใส่เสื้อตัวนอกแล้วออกไปจาก
ห้องอย่างแน่นอน
“เมื่อคืนพวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่เรือนนี้หรือ ไม่มีใครได้ยิน
เสียงความเคลื่อนไหวอะไรเลยหรือ?” หยางหนิงจ้อง
สาวใช้สองคนนั้น แล้วพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “นอกจาก
พวกเจ้า เมื่อคืนมีใครมาที่นี่อีกหรือไม่?”
สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าลงไปกับพื้น พูดด้วยความ
หวาดกลัวว่า “เรียนซื่อจื่อ เมื่อคืนฮูหยินสามเข้านอน
เร็วมาก ไฟภายในห้องฮูหยินสามก็เป็นคนดับเอง เรา
ผลัดกันเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก ไม่มีคนอื่นเข้ามาเลยเจ้า
ค่ะ” แล้วพูดอีกว่า “ภายในห้องเงียบมาก เมื่อเช้า
ตอนที่พวกข้าน้อยมาเรียกให้ฮูหยินสามไปรับอาหาร
เช้า ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากฮูหยินสามเลยเจ้าค่ะ”
หยางหนิงคิดในใจว่าตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดู
ใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ตอนกลางคืนอากาศเย็น กู้ชิง
ฮั่นไม่มีทางนอนโดยไม่ห่มผ้า หากนางไปได้ไม่นาน
บนเตียงนั้นก็จะต้องยังมีความอุ่นอยู่ แต่ตอนนี้ผ้าห่ม
มันเย็นเฉียบ นั่นหมายความว่ากู้ชิงฮั่นอาจจะหายไป
นานแล้ว
เมื่อครู่เขาผลักประตูเข้ามา ประตูนั้นก็ลงกลอนไว้ กู้
ชิงฮั่นไม่มีทางออกอื่นนอกจากทางด้านประตูนี้อย่าง
แน่นอน
เขาเดินวนไปรอบๆ หน้าต่างปิดสนิท ลงกลอนจาก
ด้านในเช่นเดียวกัน นั่นแสดงว่าไม่ได้ออกไปทาง
หน้าต่าง เขาเดินไปที่ด้านหลังหน้าต่าง มันเป็น
หน้าต่างทรงสูง ปกติหากต้องการเปิดจะต้องยกไม้ที่
ใช้ล็อคขึ้น แต่ตัวไม้ลงกลอนตอนนี้มันตกอยู่ที่พื้น
หยางหนิงมองอย่างละเอียด ก็พบว่าตรงร่องหน้าต่าง
มีคราบของผงอะไรบางอย่างตกอยู่ มันเป็นเศษผลสี
เหลือง เขาใช้นิ้วปาดมันขึ้นมาดม มันมีกลิ่นหอม
อ่อนๆ กลิ่นของมันยังไม่จางหายไป แต่เมื่อดมแล้ว
หยางหนิงรู้สึกว่ามึนหัว
สายตาของเขาเย็นยะเยือก
กู้ชิงฮั่นจะต้องถูกวางยาแน่นอน ท้าให้ไม่ได้สติ
หลังจากนั้นก็ถูกอุ้มออกจากหน้าต่างไป
เขาปีนออกนอกหน้าต่าง นั่งยองๆ ลงตรวจดูที่พื้น
ด้านหลังมีคราบดิน ซึ่งมันคือรอยเท้า ถึงแม้จะบาง
มาก แต่เมื่อดูดีๆ ก็ยังคงมองออกอยู่
หยางหนิงเดินตามรอยเท้านั้นไปพักหนึ่ง รอยเท้ายิ่ง
จางลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หายไป ท้าให้ร่องรอยถูก
ตัดขาดไป
หยางหนิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับมาที่ห้องอีกครั้ง
เห็นสาวใช้สองคนยังอยู่ จึงออกค้าสั่งออกไปว่า “พวก
เจ้าไปตามคนในจวนไปรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่
เดี๋ยวนี้”
สาวใช้รีบไปเรียกคนในจวนมาทั้งหมด
หยางหนิงตรวจสอบในห้องอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบ
ร่องรอยอะไรเลย เขารู้ว่าในเวลาเช่นนี้เขาจะต้องมีสติ
ให้มาก
กู้ชิงฮั่นถูกคนจับตัวไป เป้าหมายคือสิ่งใดไม่อาจทราบ
ได้ ความเป็นไปได้มีอยู่มากมาย แต่มีจุดหนึ่งที่
แน่นอน มันจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของจวน
เก่านี่แน่นอน
ถึงแม้เขาจะมีความเข้าใจเรื่องของตระกูลฉีอยู่บ้าง
แล้ว แต่ว่าในเมื่อมันคือตระกูลใหญ่ บุญคุณ
ความแค้นของตระกูลฉี เขาเองก็ไม่รู้อะไรมาก
ตระกูลฉีมีเส้นสายความสัมพันธ์ด้านการทหาร นี่คือ
จุดเด่นของตระกูลฉี แต่จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นเป็นแม่ทัพ
ใหญ่ภาคสนาม ฆ่าคนมามากมาย ศัตรูอาฆาตก็มีนับ
ไม่ถ้วน ต่อให้เป็นในพื้นที่เจียงหลิงเอง ถึงแม้จะเป็น
ฐานเดิมของตระกูลฉี ก็อาจจะมีศัตรูแฝงอยู่ด้วยก็ได้
เขาหวังว่าคนที่จับตัวกู้ชิงฮั่นไปเป็นแค่พวกเรียกค่าไถ่
ไม่ใช่พวกหื่นกามหลงใหลในความงามของกู้ชิงฮั่น
ด้วยนิสัยของกู้ชิงฮั่น เมื่อนางถูกหยามเกียรติ ต่อให้
คนอื่นไม่ฆ่านาง นางก็อาจจะเลือกที่จะไม่มีชีวิตต่อไป
ในเมื่อแค่จับตัวกู้ชิงฮั่นไป นั่นหมายถึงว่าตอนนี้กู้ชิง
ฮั่นก็น่าจะยังปลอดภัยอยู่ เพราะหากอีกฝ่ายอยากจะ
เอาชีวิต ก็ไม่ต้องเสียเวลามาจับตัวกู้ชิงฮั่นไป เพราะ
ในเมื่อสามารถเข้ามาจับตัวนางไปจากห้องได้ จะฆ่า
นางมันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
เมื่อหยางหนิงเดินเข้ามายังห้องโถง คนในจวนเก่าราว
สิบคนก็มารออยู่แล้ว คนที่ติดตามหยางหนิงมายัง
เจียงหลิงทั้งสามคนอาวุธครบมือ ยืนอยู่ด้านนอก
เมื่อเห็นหยางหนิงเข้ามา ทุกคนก็คุกเข่าลง หยางหนิง
มองไป พวกเขาต่างเป็นบรรดาบ่าวไพร่สาวใช้ มีเพียง
จ้าวยวนของห้องบัญชีที่พิเศษหน่อย เขาพูดขึ้นว่า
“ฮูหยินสามหายตัวไป วันนี้พวกเจ้ามีใครเห็นนางบ้าง
หรือไม่?”
ทุกคนต่างตกใจ หยางหนิงยกมือขึ้นให้พวกเขาลุก
ขึ้นมา หลังจากที่ทุกคนลุกขึ้นมาแล้ว ก็ก้มหน้าก้มตา
ไม่พูดไม่จา หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าถาม
พวกเจ้าว่าวันนี้มีใครเห็นฮูหยินสามบ้างหรือไม่?”
เห็นซื่อจื่อก้าลังโมโห ทุกคนต่างส่ายหน้า เหวยต้งพูด
ขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ตั้งแต่เช้าก็ไม่เห็นฮูหยินสามมารับ
อาหารเช้าเลย ทางห้องครัวก็ก้าลังรออยู่ ประตูหน้า
กับประตูหลังก็มีคนเฝ้าตลอด ก็ไม่เห็นว่าฮูหยินสาม
ออกไปเลยขอรับ”
หยางหนิงเงียบไป สายตาจ้องไปที่จ้าวยวน เห็นจ้าว
ยวนยังคงนิ่งอยู่ ไม่มีอาการตื่นตระหนกแต่อย่างไร
เขาก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านจ้าว ท่านมาท้างานที่นี่นาน
แค่ไหนแล้ว?”
“เรียนซื่อจื่อ ข้าน้อยมาท้างานบัญชีที่นี่ได้สามปีแล้ว”
จ้าวยวนยกมือค้านับแล้วพูดว่า “ตอนนั้นเป็นช่วงฤดู
ใบไม้ร่วงพอดี คนดูแลบัญชีคนเก่าอายุมากแล้ว
พ่อบ้านฉีจึงรับข้ามาช่วยงาน ตอนแรกก็ให้มาช่วย
ดูแลในส่วนของรอบๆ หมู่บ้านเพียงเท่านั้น แต่ว่าคน
ดูแลบัญชีเก่าอายุมากแล้ว การท้างานก็เริ่มไม่มี
ประสิทธิภาพ พ่อบ้านฉีจึงให้เงินเขาจ้านวนหนึ่งไป
แล้วให้ข้ามาดูแลงานบัญชีที่นี่แทนเขาขอรับ”
หยางหนิงขมวดคิ้ว “อ่อ” แล้วถามอีกว่า “ฉีเฉิงจ้าง
เจ้ามาอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ” จ้าวยวนตอบอย่างนอบน้อม
หยางหนิงเดินไปยืนข้างๆ จ้าวยวน มองเขาตั้งแต่หัว
จรดเท้า ทุกคนเห็นแสงสะท้อนของมีดสั้นเล่มนั้นที่
มันจี้อยู่ที่คอของจ้าวยวน จ้าวยวนตกใจหน้าซีดขาว
แล้วพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ท่าน...!” คนอื่นก็คิดไม่ถึงเลย
ว่าซื่อจื่อจะลงมือเช่นนี้ ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่อยู่
เบื้องหน้า
“ข้าไม่ชอบอ้อมคอม” หยางหนิงพูดเรียบๆ ว่า “ท่าน
จ้าว บอกข้ามา ตอนนี้ฮูหยินสามอยู่ที่ไหน?”
“ฮูหยินสามหรือขอรับ?” จ้าวยวนตกใจ แล้วตอบ
กลับไปว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเป็นเพียงนักบัญชี กินอยู่ก็
แค่ที่ห้องบัญชีเท่านั้น บางทีสามถึงห้าวันก็ไม่ได้ออก
จากห้องเลย เมื่อคืนจนถึงเมื่อครู่ ข้าน้อยก็ไม่ได้
ออกไปไหน หากซื่อจื่อไม่ได้เรียก วันนี้ข้าน้อยก็
อาจจะไม่ออกมาเลย ข้าน้อยก็ไม่ใช่หมอดู จะรู้ได้
อย่างไรว่าฮูหยินสามอยู่ที่ไหนขอรับ?”
เหวยต้งพูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ปกติท่านจ้าวไม่ค่อย
ออกไปไหนจริงๆ ขอรับ”
“ท่านจ้าวจิตใจของท่านแน่วแน่ไม่น้อยเลยนะ” หยาง
หนิงไม่ได้สนใจ แล้วพูดอย่างเรียบๆ ว่า “คนทั่วไปถูก
มีดจ่อคอเช่นนี้ ไม่มีทางมีปฏิกิริยานิ่งเช่นนี้หรอก”
จ้าวยวนถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านก็ชม
เกินไปแล้ว หากข้าน้อยท้าอะไรให้ท่านไม่พอใจ
ซื่อจื่อท่านสามารถลงโทษข้าน้อยได้อย่างเต็มที่ แต่ว่า
เรื่องนี้...!” เขาก็มองลงไปด้านล่าง แล้วพูดว่า
“ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านซื่อจื่อหมายความ
ว่าอย่างไร หรือว่าท่านคิดว่าที่ฮูหยินสามหายตัวไป
เกี่ยวข้องกับห้องบัญชีเล็กๆ เช่นนี้ด้วยหรือขอรับ?”
จ้าวยวนพูดต่ออีกว่า “หรือว่าข้าน้อยท้างานอะไร
ผิดพลาดไปอย่างนั้นหรือขอรับ?”
“เจ้ารู้หรือไม่ คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ บัญชีก็ไม่มี
ทางสมบูรณ์แบบ” หยางหนิงพูดว่า “บัญชีที่เจ้าท้า
มันสมบูรณ์แบบมากเกินไป แม้แต่ฮูหยินสามยังไม่พบ
ข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ข้าก้าลังสงสัยว่าภาษีที่ดิน
ศักดินาสามพันไร่ กับที่นาอีกนับร้อยไร่ รับเข้าจ่าย
ออกยิบย่อยซับซ้อนนัก ถึงแม้ภายในห้องบัญชีจะมี
สองคน แต่ว่าคนที่ตรวจสอบบัญชีมีเพียงเจ้าคนเดียว
ข้าไม่อยากจะเชื่อว่า แค่เจ้าคนเดียวจะท้าให้บัญชีมัน
สมบูรณ์แบบได้ขนาดนั้น?”
มันไม่ใช่บัญชีสองเล่มของร้านค้าทั่วไป แต่มันเป็น
บัญชีรับเข้าจ่ายออกจ้านวนมาก เขาเป็นนักธุรกิจมา
ก่อน ไม่ว่าจะเป็นนักบัญชีมืออาชีพแค่ไหน ตรวจสอบ
บัญชียังมีความผิดพลาด ก็เหมือนบัญชีของตระกูลฉี
หากพบข้อผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่หากไม่พบ
อะไรเลย นั่นแหละที่ไม่ปกติ
เขารู้สึกว่าจวนเก่าแห่งนี้อันตรายนัก ฉีเฉิงเมื่อคืน
ไม่ได้กลับมา ท้าให้หยางหนิงเริ่มสงสัย วันนี้กู้ชิงฮั่นก็
มาหายตัวไปอีก เขาแอบรู้สึกว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับ
คนในจวนเก่านี้อย่างแน่นอน
ส่วนท่านจ้าวคือคนที่เขาสงสัยเป็นคนแรก
ได้ยินท่านจ้าวบอกว่าเขามาท้างานที่จวนเก่าไม่เกิน
สามปี แถมยังเป็นคนที่ฉีเฉิงจ้างมาอีก หยางหนิงรู้สึก
ว่าเขามีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เบื้องหลังจะต้องมี
ความลับอะไรแน่นอน
ถึงแม้จะแค่สงสัย ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเรื่องที่กู้ชิงฮั่น
หายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านจ้าว แต่เขาก็ตัดสินใจ
ข่มขู่ท่านจ้าวไป เผื่อจะได้เบาะแสอะไรจากปากของ
เขาบ้าง เพราะอีกฝ่ายก็เป็นบัณฑิต หากใช้มีดขู่ หาก
เขามีความลับ ไม่แน่อาจจะหลุดอะไรออกมาบ้าง
“ซื่อจื่อท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ” ด้านนอกประตูมี
เสียงหยาบๆ เสียงหนึ่งดังมา จากนั้นก็ได้ยินเสียง
องครักษ์ตะโกนว่า “เจ้าเป็นผู้ใด หยุดเดี๋ยวนี้”
หยางหนิงขมวดคิ้ว เห็นคนที่ยืนอยู่นอกประตูเป็นชาย
วัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดผ้าธรรมดา ถูก
องครักษ์ขวางเอาไว้นอกประตู
“เขาคือท่านเฉิง” เหวยต้งมองไป แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
เฉิง...พ่อบ้านเฉิงกลับมาแล้วขอรับ”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าฉีเฉิงจะกลับมาตอนนี้ เขา
พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ฉีเฉิง เจ้าเข้ามานี”่
เมื่อชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องโถง ก็ท้าความ
เคารพหยางหนิงพร้อมพูดว่า “ข้าน้อยฉีเฉิง ค้านับ
ท่านซื่อจื่อขอรับ”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 92 จดหมาย
ฉีเฉิงมีอายุไม่เกินสี่สิบปี ร่างกายกายา ดูไปแล้วก็
ธรรมดา หยางหนิงพูดเรียบๆ ว่า “พ่อบ้านฉีหูของ
ท่านช่างดีนัก คาพูดของข้า เจ้าอยู่ข้างนอกนั้นยังได้
ยินเลย”
ฉีเฉิงพูดด้วยความนอบน้อมว่า “ข้าน้อยดูแลเรื่อง
น้อยใหญ่ในจวนเก่า ข้าน้อยจะปิดหูปิดตามิได้ หากมี
อะไรผิดพลาดขึ้นมา ข้าน้อยรับผิดชอบไม่ไหว มันจะ
ผิดต่อจิ่นอีโหวขอรับ”
“ลุกขึ้นมาเถอะ” หยางหนิงเก็บมีดที่จี้คอจ้าวยวนอยู่
รอฉีเฉิงลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าข้าเข้าใจผิด
ผิดเรื่องอะไรรึ?”
ฉีเฉิงมองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านบอก
ว่าท่านจ้าวตรวจบัญชีไม่มีข้อผิดพลาด ดังนั้นจึงสงสัย
ว่าที่ฮูหยินสามหายตัวไปอาจเกี่ยวข้องกับท่านจ้าว ก็
ต้องผิดอยู่แล้วขอรับ”
“หูของเจ้ามันดีจริงๆ เลยนะ ดูมีสติไม่เบาเลย” หยาง
หนิงพูดต่ออีกว่า “แล้วมันไม่ใช่ปัญหาอย่างไรรึ?”
“มันไม่ใช่ปัญหาแน่นอนขอรับ” ฉีเฉิงพูดด้วยความ
จริงจังว่า “ตอนที่รับท่านจ้าวเข้ามาทางาน ก็เพราะ
เขาเป็นคนละเอียดรอบคอบ สามารถตรวจสอบบัญชี
ได้อย่างละเอียดชัดเจน บัญชีตระกูลฉีถึงจะมีมากดอง
เท่าภูเขา แต่ทว่าท่านจ้าวมีการเตรียมตัวมาแต่เนิ่นๆ
ตั้งแต่รายการรับเข้าของแต่ละหมู่บ้านในแต่ละปี การ
รับเข้าจ่ายออกของผลผลิตที่นา ก็ทาอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อนาบัญชีแต่ละส่วนมารวมกัน ขอ
เพียงระวังให้ดี ก็จะไม่มีข้อผิดพลาด ก็เหมือนกับการ
สร้างบ้าน เมื่อมีฐานที่มั่นคง การสร้างก็ไม่มีช่องโหว่
อะไรใช่หรือไม่ขอรับ”
หยางหนิงเห็นเขาวาทศิลป์ดียิ่งนัก ตรงกันข้ามกับ
รูปร่างหน้าตาของเขา ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าเป็น
เช่นนั้น ท่านจ้าวคนนี้ก็เป็นอัจฉริยะอย่างนั้นใช่
หรือไม่?”
“อย่างน้อยในเรื่องบัญชีของจวนเก่าก็ไม่ได้ยากเกิน
ความสามารถเขา” ฉีเฉิงพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
“ในหลายปีมานี้ท่านจ้าวทางานช่วยเหลือข้าน้อยใน
การจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนเก่ามาโดยตลอด ต่อให้
ไม่มีคุณงามความดีอะไรมากนัก แต่ก็ตั้งใจทางาน
อย่างหนัก ซื่อจื่อทากับเขาเช่นนี้ มันทาให้คนอื่นท้อ
ใจได้นะขอรับ”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อบ้านฉี ที่ท่านบอกว่า
ตั้งใจทางานอย่างหนักนั้น มันหมายถึงตัวท่าน
กระมัง?”
ฉีเฉิงพูดอย่างนิ่งๆ ว่า “ข้าน้อยรู้ว่าซื่อจื่อมีบางอย่างที่
ยังสงสัยอยู่ แต่ว่าข้าน้อยคิดว่า สิ่งที่สาคัญในตอนนี้
คือการตามหาฮูหยินสาม”
“ท่านรู้รึว่าข้ามีข้อสงสัยอะไร” หยางหนิงจ้องไปที่ฉี
เฉิง “แล้วท่านคิดว่าข้าสงสัยสิ่งสิ่งใดอยู่เล่า?”
“ซื่อจื่อกับฮูหยินสามกลับมาที่นี่โดยไม่แจ้งมาก่อน
แถมยังมาพร้อมกับผู้ติดตามอีกหลายคน นั่นก็แสดง
ว่าตัดสินใจมาอย่างกะทันหันเช่นนี้” ฉีเฉิงพูดอีกว่า
“เหตุที่ฮูหยินสามกับซื่อจื่อต้องรีบเดินทางมาที่นี่ได้
นั่นก็แสดงว่าที่นี่จะต้องทาอะไรผิดพลาดไป ตอนนี้
ซื่อจื่อท่านสงสัยเรื่องของบัญชี แถมยังสงสัยว่าการ
หายตัวไปของฮูหยินสามเกี่ยวข้องกับท่านจ้าว หาก
ข้าน้อยเดาไม่ผิด ซื่อจื่อก็น่าจะสงสัยในตัวข้าน้อย
แน่นอน”
หยางหนิงรู้สึกว่าฉีเฉิงผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“ข้าน้อยไม่ได้กลับมาเมื่อคืน เป็นเพราะว่าเห็นท่าน
พ่อสติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก จึง
อยู่ดูแลท่านพ่ออีกคืน เพื่อแสดงความกตัญญู หากรู้
ว่าซื่อจื่อมา ข้าน้อยจะไม่ให้เสียเวลาเลยขอรับ”
น้าเสียงของฉีเฉิงยังคงนอบน้อม “ข้าน้อยไม่รู้ว่าฮูหยิ
นสามกับซื่อจื่อมาที่นี่เพื่อตรวจสอบบัญชี และไม่รู้ว่า
ซื่อจื่อสงสัยในตัวข้าน้อย ภายหลังข้าน้อยจะค่อยๆ
อธิบายข้อสงสัยของซื่อจื่อให้กระจ่าง แต่ว่าตอนนี้ฮู
หยินสามสาคัญที่สุด ไม่ทราบว่าซื่อจื่อเห็นว่าอย่างไร
ขอรับ?”
หยางหนิงย้อนถามกลับไปว่า “แล้วเจ้าคิดว่าจะหาฮู
หยินสามเจอได้อย่างไรเล่า?”
“ในระยะสิบลี้นี้ มีบ้านคนไม่มากนัก แต่ว่าทั้งหมด
เป็นสายของทางตระกูลฉีชาวบ้านรอบๆ มีสายของ
ข้าน้อยอยู่แทบทั้งหมด” ฉีเฉิงมองไปที่หยางหนิง
“หากซื่อจื่อยินยอม ข้าน้อยจะส่งคนออกตามหาใน
ระยะยี่สิบลี้ หากมีคนจับตัวฮูหยินสามไปจริง ขอ
เพียงมีคนพบเห็น ข้าน้อยเพียงถามไม่กี่ความก็จะได้
เรื่องทันทีขอรับ”
หยางหนิงคิดว่าวิธีของฉีเฉิง ก็ใช่วา่ ไม่มีเหตุผล เขารู
ว่าเรื่องนี้จะช้าไม่ได้ ยังไม่ต้องไปสนใจว่าบัญชีเป็น
ของจริงหรือของปลอม ตามหากู้ชิงฮั่นเป็นเรื่องที่
สาคัญที่สุด เขาจึงพยักหน้าพร้อมพูดว่า “ตอนนี้ท่าน
ส่งคนแยกกันไปตามหาตามหมู่บ้านต่างๆ หากมีผู้ใด
พบเห็นร่องรอยของฮูหยินสาม ก็ให้รางวัลกับพวกเขา
ไป”
ฉีเฉิงเองก็ทาอะไรรวดเร็วดี เขารีบสั่งให้บ่าวไพร่ผู้ชาย
ในจวน ขี่ม้าไปแจ้งข่าวตามหมู่บ้านใกล้ๆ จากนั้นก็ให้
สาวใช้ในบ้านไปตามหาในจวนและนอกจวนอย่าง
ละเอียดอีกรอบ
คนไม่พอ องครักษ์กับคนติดตามของจ้าวยวนก็ออกไป
ตามหาด้วย
ฉีเฉิงเห็นหยางหนิงนิ่งไป จึงพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ตาม
ความเห็นของข้าน้อย ฮูหยินสามเพิ่งกลับมาที่จวนเก่า
เมื่อคืน ยังไม่ทันจะครบวันก็หายตัวไป มีความเป็นไป
ได้ว่าระหว่างทางพวกท่านไปพบเจอใครเข้าหรือไม่
ขอรับ”
“หา?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่าน
หมายความว่ามีคนติดตามพวกข้ามาถึงที่จวนเก่า
อย่างนั้นหรือ? แล้วพวกเขาจะมาจับฮูหยินสามไป
ทาไมกัน?”
“การจับตัวฮูหยินสามไปอาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่
แท้จริงของพวกมันก็ได้ขอรับ” ฉีเฉิงคิดไปครู่แล้วพูด
ต่ออีกว่า “หรือว่าเป้าหมายของพวกมันคือท่านซื่อจื่อ
ขอรับ?” จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
กับฮูหยินสามแต่งตัวธรรมดา แม้แต่คนที่จวนยังไม่รู้
ก็ไม่น่าจะมีคนรู้นะขอรับ”
หยางหนิงคิดว่าหากมีคนตามมาจริง ตัวเขาก็น่าจะ
รู้ตัวมาก่อน ยังต้องให้เจ้ามาบอกอีกหรือ แต่ก็คิดอีกที
ว่าไม่ควรตัดสินเช่นนั้น เพราะขนาดเจ้าคนอัปลักษณ์
ตามมา เขาเองก็ยังไม่รู้เลย
เห็นฉีเฉิงก็มีสีหน้าหนักใจ สายตาดูเหมือนจะกังวล
เรื่องของกู้ชิงฮั่นไม่น้อย แอบคิดในใจว่าหรือว่าตัวเขา
นั้นคิดผิด ฉีเฉิงอาจจะจงรักภักดีต่อตระกูลฉีจริงๆ ก็
ได้ หรือว่าเขาเข้าใจตัวของฉีเฉิงผิดไปจริงๆ?
“ท่านคิดว่าพวกมันพุ่งเป้ามาที่ข้ารึ?” หยางหนิงเอ่ย
ถาม
ฉีเฉิงพูดว่า “ฮูหยินสามเป็นหญิง อีกฝ่ายจับตัวฮูหยิ
นสามไป มันเพื่ออะไรกันเล่าขอรับ? ข้าน้อยคิดว่า คน
พวกนั้นอาจจะไม่พบซื่อจื่อในจวน จึงจับตัวฮูหยิน
สามไปแทน เป้าหมายจริงๆ ก็น่าจะเป็นตัวซื่อจื่อ
หากข้าน้อยไม่ได้เดาผิด อีกไม่นานนักพวกเขาจะต้อง
ติดต่อมาแน่ๆ ขอรับ”
“พวกเขาจะจับตัวข้าไปทาไมกัน?” หยางหนิงถามต่อ
อีกว่า “เพื่อเงินอย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฉิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “อันนี้ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบได้
ขอรับ” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ความ
เคลื่อนไหวของซื่อจื่อเปิดเผยออกมาแล้ว อีกทั้ง
องครักษ์ที่ติดตามมาก็มีน้อย ข้าน้อยเกรงว่าท่านจะ
ไม่ปลอดภัย ให้ข้าน้อยนากาลังมาที่นี่หรือไม่ขอรับ?”
“ท่านคิดว่าพวกมันจะทาร้ายข้าอย่างนั้นรึ?” หยาง
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หรือว่าที่จวนเก่าแห่งนี้จะมีศัตรู
อย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฉิงลังเลแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยมิได้กังวลว่า
ที่นี่จะมีศัตรูแต่อย่างใด แต่กังวลว่า...อาจจะมีศัตรู
ตามมาจากเมืองหลวงขอรับ”
หยางหนิงขมวดคิ้ว
คาพูดของฉีเฉิงเตือนสติเขาขึ้นมา ตอนนี้จวนจิ่นอีโหว
กาลังอยู่ในช่วงขาลง ในเมืองหลวงมีศัตรูอยู่ไม่น้อย
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ก่อนเขามาเจียงหลิง ก็เพิ่งจะมี
ปัญหากับตระกูลโต้ว หรือว่าจะเป็นจริงอย่างที่ฉีเฉิง
ว่ามา การที่ตัวเขาออกจากเมืองหลวงมา มันเป็นที่จับ
ตามองขนาดนั้นเชียวหรือ?
เมื่อตกเย็น ก็เห็นเหวยต้งวิ่งเข้ามา เห็นหยางหนิงก็รีบ
พูดว่า “ซื่อจื่อ นี่...มีจดหมายฉบับหนึ่งขอรับ” เขายื่น
จดหมายออกไป หยางหนิงรีบรับมา เห็นหน้าซอง
จดหมายไม่มีอักษรอะไรเขียนไว้
“ซื่อจื่อ จดหมายฉบับนี้...ข้าน้อยไปเจอมาที่ประตู
หลังขอรับ” เหวยต้งพูดอีกว่า “จดหมายนี้ถูกทิ้งไว้ที่
นอกประตูหลัง ไม่รู้ว่าผู้ใดมาวางเอาไว้ขอรับ”
หยางหนิงฉีกจดหมายออก กวาดตาอ่านไป แล้วถาม
ฉีเฉิงว่า “ภูเขาเสียซานอยู่ที่ใดรึ?”
“ภูเขาเสียซานหรือขอรับ?” ฉีเฉิงรีบตอบกลับไปว่า
“ไปตามทางด้านทิศตะวันตกไม่เกินยี่สิบลี้ก็จะเป็น
หุบเขาเสียซาน หุบเขาแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก ตรงตีนเขามี
แม่น้าแห่งหนึ่ง ที่ตรงนั้นมีที่นาของตระกูลพวกเราอยู่
ประมาณหลายร้อยไร่ เหตุใดมจู่ๆ ซื่อจื่อถึงได้ถามถึง
ภูเขาเสียซานเล่าขอรับ?”
“แม่น้าแห่งนั้นชื่อว่าแม่น้าหงซาเห๋อใช่หรือไม่?”
หยางหนิงยื่นจดหมายไปให้ฉีเฉิง
ฉีเฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ขอรับ” จากนั้นก็รับ
จดหมายมา เห็นมีตัวหนังสือสั่นๆสองบรรทัด
“คนของเจ้าอยู่ที่คลังข้างๆ แม่น้าหงซา จงมาเพียงคน
เดียว คนของเจ้าจะปลอดภัย”
ฉีเฉิงพูดเสียงเข้มๆ ว่า “พวกเราไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
หยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ในจดหมายนั่นพูดว่าไป
เพียงคนเดียว จดหมายฉบับนี้มันพุ่งเป้ามาที่ข้า หาก
พวกท่านตามไปด้วย เกรงว่าฮูหยินสามอาจจะไม่
ปลอดภัย” จากนั้นก็ถามว่า “คลังที่เขียนในจดหมาย
มันคืออะไรรึ?”
“ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หลังจากผ่านช่วงฝนตกหนักไป
เพื่อป้องกันฝนตก จึงสร้างบ้านหินที่ริมแม่น้าขึ้นมา
เพื่อเก็บผลผลิตเอาไว้” ฉีเฉิงพูดต่อไปว่า “ตอนนี้เลย
ช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว ตอนนี้ที่นั่นไม่มี
ของอะไรอยู่เลย ไม่อย่างนั้นจะมีคนเฝ้าอยู่ที่นั่น
ซื่อจื่อ ในจดหมายบอกว่าฮูหยินสามอยู่ที่นั่น จะเป็น
กับดักหรือไม่ขอรับ?”
“กับดักอย่างนั้นหรือ?”
“ในจดหมายบอกให้ไปคนเดียว ไม่ให้ท่านซื่อจื่อพา
ผู้ใดไปด้วย นี่...นี่มันอันตรายเกินไปนะขอรับ” ฉีเฉิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดอีกว่า “ซื่อจื่อท่านเป็นคนสาคัญ จะ
ไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ? ไม่ว่าจะจริง
หรือไม่ ซื่อจื่อท่านก็ไม่ควรไปนะขอรับ”
“หากข้าไม่ไป ฮูหยินสามจะเป็นอย่างไร?” หยางหนิง
พูดต่ออีกว่า “ฮูหยินสามอยู่ในมือของพวกมันแน่ๆ
ข้าจะห่วงแต่ความปลอดภัยของตัวเองไม่ได้”
ฉีเฉิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดูท่าแล้ว เป้าหมายของ
พวกเขาคือซื่อจื่อจริงๆ ไม่ใช่ฮูหยินสาม หากซื่อจื่อ
ต้องการจะไปคนเดียว ก็จะเป็นไปตามแผนของพวก
มัน” หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า “ซื่อจื่อ ข้าจะ
พาคนแอบตามไป เมื่อได้โอกาส จะช่วยฮูหยินสาม
ออกมา ท่าน...!”
“แล้วหากไม่มีโอกาสนั้นเล่า?” หยางหนิงพูดขัดขึ้นมา
ว่า “ข้าจะต้องมั่นใจว่าฮูหยินสามปลอดภัย หากไม่ทา
ตามที่อีกฝ่ายว่ามา ฮูหยินสามจะเป็นอันตราย”
จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองฉีเฉิง แล้วพูดว่า “เจ้าไป
เตรียมม้าให้ข้าที ข้าจะรีบเดินทางไปถึงที่นั่นก่อนฟ้า
มืด”
ฉีเฉิงยังอยากจะห้ามอีก หยางหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่
ต้องพูดมากความแล้ว เจ้ารีบไปเตรียมม้าเร็ว”
ฉีเฉิงรู้สึกจนปัญญา ทาได้เพียงออกไปเตรียมม้า
หยางหนิงก็ไม่ให้เสียเวลา เดินออกไปรอที่หน้าประตู
จากนั้นฉีเฉิงก็ขี่ม้ามา และยังรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยจึง
พูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ข้าจะรีบเดินทางไปยังจวน
นายอาเภอ ไปขอกาลังจากที่นั่นมา...!”
“หากไม่มีคาสั่งจากข้า พวกเจ้าห้ามไปไหนทั้งนั้น รอ
ข้าอยู่ในจวนเก่าเท่านั้น” หยางหนิงพูดต่ออีกว่า “ไม่
ว่าจะยากลาบากแค่ไหน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร หาก
มันรู้ว่ายากลาบากแล้วยอมถอย ข้าอาจจะให้โอกาส
มัน ไม่อย่างนั้น...!” เขาพูดด้วยท่าทีที่น่าเกรงขามว่า
“ไม่อย่างนั้นมันก็รนหาที่ตายเอง” จากนั้นเขาก็ไม่พูด
อะไรมากอีก กระตุกเชือกม้า แล้วก็ไปยังทิศตะวันตก
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 93 กับดัก
หยางหนิงมุ่งหน้าไปยังเขาเสียซาน พระอาทิตย์ใกล้
อัสดง เมื่อมองไปที่ไกลๆ ก็มองภูเขาหลายลูก ภูเขา
ในเจียงหลิงมีมากมายหลายร้อยลูก แต่ว่าไม่สูงมาก
ทอดยาวติดต่อกันสลับทับซ้อนกันไปมา
เมื่อควบม้ามาได้ระยะหนึ่ง ก็เห็นเขาเสียซานอยู่ห่าง
ออกไปไม่กี่ลี้ ด้านข้างมีแม่น้าอยู่สายหนึ่ง เขารู้ทันที
ว่าน่าจะเป็นแม่น้าหงซา แม่น้าหงซาทอดยาวออกไป
และคดเคี้ยวไปมา เสียงไหลดูเป็นธรรมชาติ น้้าใส
สะอาด ทางตะวันออกของแม่น้าหงซาเป็นที่นาขนาด
ใหญ่ เมื่อตะวันใกล้อัสดง ทั่วทั้งพื้นที่ก็เป็นสีเหลือง
ทอง
หยางหนิงรู้ว่าคลังสินค้าสร้างอยู่ริมแม่น้าหงซา จึงมุ่ง
หน้าไปยังแม่น้าหงซา ก่อนที่พระอาทิตย์จะอัสดง เขา
ก็เห็นบ้านหินอยู่หลายหลังตั้งอยู่ชัดเจน
เขารู้ทันทีว่าที่นั่นคือคลังสถานที่ที่คนผู้นั้นนัดหมาย
จึงไม่รอช้ารีบควบม้าตรงไปยังสถานที่แห่งนั้นทันที
เห็นบริเวณคลังไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว จึงเข้าไป
ใกล้คลัง เห็นคลังเรียงติดกันเป็นแถวยาว มีประมาณ
สามถึงสี่หลัง เมื่อนึกถึงความปลอดภัย คลังสร้างจาก
หินทั้งหมด ก้อนหินก็น่าจะเอามาจากบนเขา
ด้านหน้าของคลังตรงกับทางทิศตะวันออก ด้านหลัง
ทิศตะวันตกเป็นแม่น้าหงซา เมื่อข้ามแม่น้าไปไม่กี่ลี้ก็
จะถึงเขาเสียซาน คิดว่าตอนที่สร้างคลัง น่าจะขนย้าย
ก้อนหินจากภูเขาข้ามแม่น้านี้มา
น้าหินมาสร้างคลัง แน่นอนว่าคลังนี้ต้องแข็งแรงและ
ปลอดภัยยิ่ง
หยางหนิงควบม้ามาถึงด้านหน้าคลัง คลังทั้งสี่หลัง
เรียงกันเป็นแนวยาว เขายังไม่ลงจากม้า ยื่นมือไป
หยิบมีดสั้นออกมาจากหน้าอก มือหนึ่งถือเชือกบังคับ
ม้าเอาไว้ กวาดสายตาไปรอบๆ เห็นคลังสามหลัง
ประตูเปิดอ้าไว้อยู่ มีเพียงหลังเดียวที่ปิดสนิท เอาไม้
ขั้นเอาไว้ด้านนอก แต่ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้
คลังสามหลังที่ประตูเปิดไว้ด้านในมืดสนิท คลังแบบนี้
เอาไว้กันลมกันฝนตอนที่เก็บผลผลิต ดังนั้นจึงไม่มี
หน้าต่าง เมื่อปิดประตู ก็เหมือนปิดตายทั้งหมด เมื่อ
พระอาทิตย์ตกดิน ก็ยากที่จะมองเห็นข้างในคลังได้
“ข้ามาแล้ว!” หยางหนิงพูดเสียงเข้มๆ “ในเมื่อนัดข้า
มาถึงที่นแี่ ล้ว ก็ไม่จ้าเป็นต้องหลบซ่อนอีก เหตุใดเจ้า
ยังไม่ออกมาอีกเล่า?”
รอบๆ ไม่มีเสียงใครตอบกลับมาสักคน
หยางหนิงขมวดคิ้ว รออยู่พักหนึ่ง จึงพูดขึ้นอีกว่า “ข้า
มาแล้ว พวกเจ้ายังไม่กล้าออกมาอีกหรือ?” เมื่อสิ้น
เสียงเขา ก็เหมือนได้ยินเสียงๆ หนึ่งลอยออกมา “หนิ
งเอ๋อ ใช่เจ้าหรือไม่? หนิงเอ๋อ ข้าอยู่ที่นี่?” น้้าเสียงดู
เหมือนอ่อนแรงยิ่งนัก ยังดีที่หูของหยางหนิงดี ฟังก็รู้
ทันทีว่าเป็นเสียงของกูช้ ิงฮั่น ในใจก็ดีใจมาก แต่ก็ไม่
ลืมที่จะระวังตัว เขาลงจากม้า ในมือถือมีดเอาไว้
จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “ซานเหนียง ท่านอยู่ที่
ไหน?”
เสียงของกู้ชิงฮั่นดังขึ้นมาว่า “ข้า...ข้าก็ไม่รู้ว่าที่นี่
ที่ไหน หนิงเอ๋อ ข้า...ข้าไม่มีแรง เจ้าอยู่ที่ไหน?” เสียง
ของนางดังมาจากคลังห้องที่ปิดไว้
หยางหนิงรีบเดินเข้าไป เห็นประตูถูกกั้นจากด้านนอก
เขาใช้มีดสั้นตัดมันออก จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป ใน
ห้องมืดสนิท ไม่มีอะไรอยู่ข้างใน เมื่อเข้ามาในห้อง
มองไปซ้ายขวา ก็เห็นตรงมุมๆ หนึ่งมีเงาของคนผู้
หนึ่ง เขาอาศัยแสงที่ริบหรี่ ตั้งใจมองให้ชัดๆ ก็เห็น
เป็นกู้ชิงฮั่น ก็รีบเดินเข้าไปหา แล้วพูดว่า
“ซานเหนียง ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
กู้ชิงฮั่นสวมเสื้อบางๆ ชิน้ เดียว ผมปล่อยสยาย นั่งตัว
อ่อนแรงพิงก้าแพงอยู่ นางมองมาที่หยางหนิง แล้ว
ถามว่า “หนิงเอ๋อ ที่นี่ที่ไหน? ข้า...ข้ารู้สึกตัวมา ก็อยู่
ที่นี่แล้ว ที่นี่มันที่ไหนกัน?”
“ซานเหนียง ท่านถูกวางยาสลบ” หยางหนิงเก็บมีด
“ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ลุกขึ้นไหวไหม?”
กู้ชิงฮั่นใช้มอื จับไปที่ก้าแพง คิดจะลุกขึ้น พอขยับได้
เล็กน้อย ก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ร่ายกายข้าไม่มีแรง
เลย ข้าไม่รู้ว่าเป็นอะไร”
หยางหนิงพูดขึ้นว่า “ที่นี่อยู่นานไม่ได้ อย่าเพิ่งพูด
อะไรเลย เราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” เขายื่นมือ
ไปอุ้มกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้มัน
สุดวิสัย จึงปฏิเสธไม่ได้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “ปั้ง”
ประตูถูกปิด หยางหนิงตกใจ หันหน้ากลับไป ได้ยิน
เสียงเอะอะดังขึ้นมา เหมือนมีคนลงกลอนประตูคลัง
จากด้านนอก
คลังแห่งนี้ไม่มีหน้าต่าง เมื่อประตูถูกปิด ก็จะมืดสนิท
ลง
หยางหนิงรู้แล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางของพวกเขา มี
คนแอบซุ่มอยู่รอบๆนี้ อาศัยช่วงที่เขาเข้ามาในนี้ รีบ
มาปิดประตู ในตัวของเขามีมีดอยู่ ก็ไม่กลัวว่าจะ
ออกไปไม่ได้
“หนิงเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น?” เห็นประตูคลังถูกปิด
กู้ชิงฮั่นก็พูดอย่างตกใจว่า “ใครอยู่ด้านนอกนั่น? เหตุ
ใด.....เหตุใดถึงได้ปิดประตู?”
นางไม่รู้ว่าหยางหนิงมาคนเดียว คิดว่าด้านนอกนั้น
เป็นคนที่มากับหยางหนิง คลังประตูถูกปิด ท้าให้นาง
รู้สึกกังวล
หยางหนิงไม่ได้รีบร้อนอธิบาย เขาคล้าไปจนถึงประตู
แล้วพูดว่า “ในเมื่อข้ามาแล้ว พวกเจ้ามีเงื่อนไขอะไรก็
บอกมา หลอกข้ามาถึงที่นี่ ก็เพื่อจะบีบข้ามิใช่หรือ?
ในเมื่อมีปัญญาลงมือกับข้าแล้ว เหตุใดถึงไม่กล้า
ออกมาคุยกับข้าเล่า”
นอกคลังไม่มีเสียงตอบกลับอะไร เงียบสนิท
“ดูท่าน่าจะเป็นพวกสวะ” เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ
กลับมา หยางหนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคิดว่าแค่
ประตูบานเดียว จะขวางข้าไม่ให้ออกไปได้รึ?”
ครั้งนี้กลับได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “ซื่อจื่ออย่าเพิ่ง
รีบร้อนออกมาสิ คืนนี้มีอะไรให้สนุกด้วยกันอีกเยอะ
ท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน พวกท่านไม่ต้องคิดจะ
ออกมาทางประตูใหญ่เลย ข้าขอเตือนไว้ก่อน ตอนนี้มี
ธนูอยู่สองดอกที่หน้าประตู เมื่อท่านออกมามันก็จะ
ยิงพวกท่านทันที”
จากนั้นก็ได้ยินเสียง “ตึก ตึก” จากประตูคลัง
เหมือนกับว่ามีอะไรถูกตอกยึดเอาไว้กับประตู จากนั้น
ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาอีกว่า “ซื่อจื่อท่านไม่ต้องสงสัย
หรอก”
ถึงแม้ร่างกายของกู้ชิงฮั่นจะอ่อนแรง แต่ก็ได้ยินที่ทั้ง
สองฝ่ายพูดคุยกันได้อย่างชัดเจน นางก็ตกใจแล้ว
ถามหยางหนิงว่า “หนิงเอ๋อ พวกเขา...พวกเขาเป็น
ใครรึ?” นางเริ่มเข้าใจแล้วว่า นางถูกจับตัวมา
หยางหนิงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกเพื่อข่มขู่ ถึงแม้จะไม่
แน่ใจว่าพวกเขาแม่นธนูหรือไม่ แต่ว่าอีกฝ่ายมีธนูใน
มือแน่นอน เขามีมีดสั้นในมือ จะพังประตูออกไปก็
ไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่ในตอนนี้ออกทางประตูหลัก
ไม่ได้แน่ๆ
เขาเดินคล้าไปหากู้ชิงฮั่น ภายในห้องมืดมาก ดวงตา
ยังไม่คุ้นชินกับความมืดเช่นนี้ มองไม่เห็นอะไรเลย
เขาคล้าไปโดยอะไรนุ่มๆ กู้ชิงฮั่นตัวสั่น หยางหนิงรีบ
หุบมือกลับมา ในความมืดนั้นเขามองไม่เห็นสีหน้า
ของกู้ชิงฮั่น เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “ซานเหนียง หนิ
งเอ๋ออยู่นี่แล้ว ท่านไม่ต้องกลัวนะ”
“หนิงเอ๋อ เจ้าก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร ใช่หรือไม่?” กู้
ชิงฮั่นรีบพูดขึ้นมาว่า “หรือว่าเจ้ามาที่นี่คนเดียวรึ?”
“ท่านถูกพวกมันจับตัวมาที่นี่เมื่อคืนนี้ พวกข้าหาท่าน
จนทั่วแต่ไม่เจอ จากนั้นก็มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาที่
จวนเก่า ให้ข้ามาที่นี่เพียงคนเดียว” หยางหนิงพูดต่อ
ว่า “พวกมันบอกว่าที่ริมแม่น้าหงซามีคลังอยู่ที่หนึ่ง
ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความร้อนใจว่า “เจ้าเด็กโง่ ไม่รู้หรือไง
ว่ามันเป็นกับดัก? พวกมันต้องการล่อให้เจ้ามาที่นี่
เหตุใด...เหตุใดถึงเอาตัวเองมาเสี่ยงเพื่อข้าเช่นนี้”
ตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว หยางหนิงอยู่ที่นี่ ก็เพื่อ
ช่วยนางออกไป นางรู้สึกร้อนใจแล้วก็ซาบซึ้งใจมาก
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วจะให้ข้าอยู่เฉยๆ มองดู
ท่านอยู่ในก้ามือพวกมันโดยไม่ท้าอะไรเลยอย่างนั้น
หรือ? ซานเหนียง ข้าเคยบอกท่านแล้วข้าจะปกป้อง
ท่านเอง ก็จะต้องไม่ให้ท่านต้องเป็นอะไรไป ครั้งนี้
ท่านถูกพวกมันจับตัวท่านมา เพราะข้าไม่ได้ดูแลท่าน
ให้ดี มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าก็ต้องช่วยท่าน
ออกไปให้ได้”
“เจ้า...!” กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อ เจ้า
เป็นผู้สืบทอดต้าแหน่งจิ่นอีโหว ความปลอดภัยของข้า
มันไม่ส้าคัญเลย แต่วา่ เจ้า...หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้า
จะมีหน้าไปพบท่านโหวทั้งสองได้อย่างไร แล้วจะมอง
หน้าบรรพชนตระกูลฉีได้อย่างไรกัน?”
หยางหนิงรู้ว่ากู้ชิงฮั่นร้อนใจมาก จึงพูดปลอบกลับไป
ว่า “เป็นหรือตายฟ้าลิขิต ข้าจะทิ้งท่านโดยไม่สนใจได้
อย่างไร” จากนั้นก็กดเสียงต่้าลงไปอีกแล้วพูดว่า
“ซานเหนียงท่านไม่ต้องร้อนใจไป ข้ามีวิธีออกไปจาก
ที่นี่”
“หา?” กู้ชิงฮั่นรู้ว่าข้างนอกมีคน จึงพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ประตูด้านนอกมีธนู เจ้าห้ามเสี่ยงเด็ดขาด”
“พวกมันคิดว่ามีทางออกเพียงทางเดียว พวกเราก็ไม่
ต้องออกไปทางด้านนั้นสิ”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความแปลกใจว่า “เมื่อครู่ข้าคล้า
ก้าแพงดูแล้ว มันน่าจะสร้างมาจากหินบนภูเขา คลังนี้
ไม่มีหน้าต่าง พวกเราออกไปไม่ได้หรอกนะ” จากนั้น
ก็โทษตัวเองว่า “เพราะซานเหนียงไม่ดีเอง พาเจ้า
กลับมาที่จวนเก่านี่ ไม่อย่างนั้น...ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่
ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
“เรื่องดีอาจกลายเป็นร้าย เรื่องร้ายอาจกลายเป็นดี
ครั้งนี้เราตกหลุมพราง ก็อาจไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้”
หยางหนิงพูดเบาๆ ว่า “ซานเหนียง คนที่จับท่านมา
รูจ้ ักพื้นที่จวนเก่าเป็นอย่างดี อีกทั้งยังจับท่านมาขัง
เอาไว้ในคลังริมแม่น้าหงซาของพวกเราอีก แสดงว่า
จะต้องรู้จักที่นี่เป็นอย่างดี นั่นหมายความว่า คนที่ลง
มือกับพวกเราในครั้งนี้ น่าจะเป็นคนที่คุ้นเคยกับพวก
เรา”
ก็ชิงฮั่นรีบพูดขึ้นมาว่า “เจ้าสงสัยใครรึ?”
หยางหนิงก้าลังจะตอบ ทันใดนั้นเองก็ได้กลิ่นหอม
ลอยมา มันเป็นกลิ่นของดอกไห่ถัง มันไม่ใช่กลิ่นกาย
ของกู้ชิงฮั่น เขารู้สึกแปลกใจ แล้วถามว่า “ซาน
เหนียง ท่านได้กลิ่นอะไรบ้างหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าเองก็ได้กลิ่นใช่หรือไม่? เหมือนจะ
เป็น...กลิ่นของดอกไห่ถัง ที่นี่มีดอกไห่ถังได้อย่างไร
กัน?”
“ไม่ใช่ ถึงกลิ่นจะเหมือนดอกไห่ถัง แต่มันยังมีกลิ่นอื่น
อีก...!” หยางหนิงมองเห็นไม่ชัดเจนในความมืด จึงไม่
รู้ว่ากลิ่นนั้นมากจากไหน แต่มันเตือนสติเขาว่ากลิ่นนี้
จู่ๆ ก็ลอยมา จะต้องมีอะไรแน่ๆ จึงใช้มีดตัดชายเสื้อ
ออกมา แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “กลิ่นนี้จู่ๆ ก็ลอยมา
ซานเหนียงท่านรีบปิดจมูกเร็ว อย่าดมมันเข้าไป”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หนิงเอ๋อ ข้าไม่มีแรง
เจ้า...เจ้าช่วยข้าฉีกเสื้อหน่อยได้หรือไม่...!”
หยาหนิงถามกลับไปว่า “จะให้ฉีกจากตัวท่านหรือตัว
ข้า? ในมือของข้ามีชิ้นหนึ่ง ท่านจะให้ข้า...?”
กู้ชิงฮั่นเกิดในตระกูลผู้ดี ตั้งแต่เล็กจนโตถือตัวมา
ตลอด เกรงว่าผ้าที่ฉีกบนตัวของเขา กู้ชิงฮั่นอาจจะไม่
ใช้ กู้ชิงฮั่นจึงด่ากลับว่า “ในเวลาเช่นนี้ จะมาถืออะไร
นักหนา แล้ว...แล้วเสื้อข้าก็บางเช่นนี้ มันก็ไม่มี
ตรงไหนให้ฉีก”
หยางหนิงยื่นผ้าไปให้ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ซานเหนียง
ท่านมองเห็นหรือไม่?” เมื่อพูดออกไป ก็รู้สึกว่าเปลือง
น้้าลายจริงๆ ตัวเองยังมองไม่เห็นเลย กู้ชิงฮั่นจะไป
มองเห็นได้อย่างไร ไม่รอกู้ชิงฮั่นพูดอะไร จึงพูดต่อไป
อีกว่า “ท่านยื่นมือมา”
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะอ่อนแรง แต่มือยังพอยกได้อยู่
เหมือนโดนมือของหยางหนิงแล้ว หยางหนิงก็รีบจับ
มือนางเอาไว้ แล้วยัดผ้าไปในมือของกู้ชิงฮั่น พร้อม
พูดว่า “เอาปิดจมูกเอาไว้”
เมื่อกู้ชิงฮั่นรับผ้าไป หยางหนิงก็ฉีกผ้าใหม่อีกผืนหนึ่ง
เอามาปิดจมูกเอาไว้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปคล้าก้าแพง
สามารถอาศัยช่วงที่พวกข้างนอกไม่ทันระวังตัว ใช้มีด
ตัดก้าแพงเป็นปากถ้้า
หากเป็นอาวุธทั่วไปคงท้าไม่ได้ แต่มีดสั้นชิ้นนี้เป็น
อาวุธพิเศษ อาจจะพอเป็นไปได้ แต่ถึงจะเป็นอย่าง
นั้น แต่ก็อาจจะต้องใช้เวลาในการขุดก้าแพงให้เป็น
ปากถ้้าอยู่พอสมควร
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 94 ควันไห่ถัง
ขณะที่หยางหนิงกาลังเตรียมที่จะขุดกาแพงให้เป็น
ปากถ้านั้น ก็ได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดขึ้นมาว่า “หนิงเอ๋อ มือ
ของข้าไม่มีแรงเลย มัน...มันมัดไม่ได้!” เสียงของนาง
อ่อนแรงยิ่งนัก
หยางหนิงเก็บมีดสั้น แล้วพูดเบาๆ ว่า “เดี๋ยวข้าช่วย
ท่านเอง” เขาอาศัยความรู้สึกขยับเข้าหากู้ชิงฮั่น
สายตาเริ่มชินกับความมืดแล้ว ถึงแม้จะมองไม่ชัด แต่
ก็สามารถมองเห็นภาพของกู้ชิงฮั่นคร่าวๆ ได้ เขาเห็น
กู้ชิงฮั่นลุกขึ้นนั่ง เขายื่นมือไปรับผ้าจากมือกู้ชิงฮั่นมา
แล้วอ้อมไปทางด้านหลังของกู้ชิงฮั่น ช่วยนางมัดผ้า
ปิดจมูก
ในเวลานี้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก ถึงแม้หยางหนิงจะ
ปิดจมูกไว้แล้ว แต่ก็รู้สึกว่ากลิ่นของดอกไห่ถังมันยัง
หอมอยู่เนืองๆ ไม่เพียงแค่นั้น กลิ่นหอมจากตัวของกู้
ชิงฮั่นเองก็ลอยเข้ามาในจมูกเช่นกัน เมื่อกลิ่นทั้งสอง
มารวมกันหยางหนิงรู้สึกว่ามันหอมอย่างบอกไม่ถูก
คิดอยากจะสูดมันเข้าไปตลอด
แต่ว่าเขารู้ดีว่า กลิ่นดอกไห่ถังจู่ๆ ก็ลอยมาเช่นนี้ มัน
ไม่ควรดมเข้าไป
เขาช่วยกู้ชิงฮั่นปิดผ้าจนเสร็จ ขณะที่กาลังจะกลับไป
ที่ริมกาแพง ก็เห็นกู้ชิงฮั่นพุ่งตัวเข้ามาจากด้านหลัง
ปฏิกิริยาแรกของหยางหนิงก็เหมือนจะกอดนางไว้
เมื่อสัมผัสถูกตัวของนางก็รู้สึกได้ว่ามันอ่อนนุ่ม
เหลือเกิน ผมของกู้ชิงฮั่นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เขารีบ
ย้อนถามกลับไปว่า “ซานเหนียง ท่านเป็นอะไรไป?”
กู้ชิงฮั่นถูกหยางหนิงกอดเอาไว้ ก็รู้สึกแปลกๆ ใบหน้า
ของนางเริ่มร้อนผ่าว คิดอยากจะลุกขึ้นนั่ง แต่ว่า
ร่างกายของนางก็ไม่มีเรี่ยวแรง คิดอยากจะเอนตัวลง
นอนตลอดเวลา นางพูดด้วยน้าเสียงไม่มีแรงว่า “หนิ
งเอ๋อ เจ้า...เจ้าปล่อยให้ข้าเอนกายเถอะ ข้ารู้สึก
เหนื่อย เจ้า...เจ้าปล่อยข้าก่อน!” เสียงของนางอ่อน
แรงนัก
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกว่าเลือดในกายของตัวเองกาลัง
สูบฉีดอย่างแรง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของ
เขา ทาให้เขารู้สึกหวั่นไหว แต่ในชั่วขณะนั้นเขาก็ตั้ง
สติได้ รีบปล่อยกู้ชิงฮั่นลง แล้วเว้นระยะจากนาง แล้ว
พูดเบาๆ ว่า “ซานเหนียง ท่านรอก่อนนะ พวกเรา...
พวกเราจะได้ออกไปแล้ว” เขาเห็นกู้ชิงฮั่นบิดตัวไปมา
อยู่ที่พื้น มือของเขาก็จับมีดสั้นไว้แน่น แล้วก็จับไปที่
กาแพงอีกครั้ง
หยางหนิงคลาไปที่กาแพง รู้สึกว่าร่างกายของตัวเอง
ร้อนราวกับไฟเผา จึงถอดเสื้อตัวนอกออก แต่ก็รู้สึก
ว่าเหมือนจะไม่มีประโยชน์อันใด เลือดลมภายในมัน
สูบฉีดมาก เขารู้สึกตกใจ แอบคิดว่าหรือว่าใน
ลมปราณที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขาจะกาเริบขึ้นมา?
ต้วนฉางไห่สั่งเอาไว้ว่าห้ามเขาเดินลมปราณเด็ดขาด
เขาจาได้ขึ้นใจ ตอนนี้ก็ไม่ได้มีโอกาสจะเดินลมปราณ
แต่ตอนนี้เลือดในตัวเขาไหลเวียนสูบฉีดแปลกๆ
“หนิงเอ๋อ เจ้า...เจ้าทาอะไรอยู่?” กู้ชิงฮั่นนอนอยู่ที่
พื้น บิดตัวไปมา เสียงอ่อนโยนที่เย้ายวน “ข้าเหมือน
จะ...เหมือนจะไม่สบาย ร่างกายมันร้อนราวกับไฟเผา
เลย...!”
หยางหนิงตกใจ เหมือนกับว่าเขานึกอะไรออก
ตอนแรกเขานึกว่าร่างกายของเขาร้อนเพราะ
ลมปราณที่จุดตันเถียน แต่กู้ชิงฮั่นไม่เคยเรียนวรยุทธ์
แต่ตอนนี้ร่างกายก็รู้สึกร้อนเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็
หมายความว่ามันไม่น่าจะใช่ปัญหาของลมปราณ และ
น่าจะเป็นเพราะกลิ่นดอกไห่ถังที่ลอยมา
ขณะที่อีกฝ่ายจับกู้ชิงฮั่นมา ก็ใช้ยาสลบ แสดงว่ากลิ่น
ของดอกไห่ถังก็น่าจะเป็นฝีมือของอีกฝ่ายแน่นอน
“หนิงเอ๋อ พื้นมันเย็นมากเลย เจ้า...เจ้ามาพยุงข้าที”
น้าเสียงของกู้ชิงฮั่นเย้ายวนยิ่งนัก พอหยางหนิงได้ยิน
ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้แค่รู้สึกว่าความ
ร้อนในร่างกายมันเพิ่มมากขึ้น เลือดลมสูบฉีดแทบจะ
ระเบิดออก ในใจก็แอบคิดว่าหรือว่ากลิ่นดอกไห่ถังนี่
จะเป็นยาปลุกอารมณ์?
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “เจ้ารีบมานี่เร็วๆ สิ
เจ้า...เจ้าไม่เชื่อฟังข้าแล้วรึ?”
หยางหนิงรู้ดีว่าหากตัวเขาโดนยาปลุกจริง กู้ชิงฮั่นเอง
ก็ไม่น่ารอด ตัวเองเป็นผู้ชายและผู้ชายก็ความ
ต้องการสูง แรงของกู้ชิงฮั่นสู้แรงเขาไม่ได้แน่นอน
หากเข้าใกล้กู้ชิงฮั่นในตอนนี้ ไม่น่าจะเป็นเรื่องดี เขา
ไม่ได้เป็นห่วงว่าทั้งสองคนจะมีอะไรกันหรือไม่ เพราะ
อย่างไรเสียตัวเขาก็สวมรอยจิ่นอีโหว ไม่ได้มีอะไร
เกี่ยวข้องกับกู้ชิงฮั่นเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าหากเรื่อง
แบบนี้แพร่งพรายออกไป มันก็จะไม่เป็นผลดีกับตัวกู้
ชิงฮั่น
อีกทั้งอีกฝ่ายก็ปล่อยกลิ่นดอกไห่ถังมา เป้าหมายก็
เพื่อให้พวกเขามีอะไรกันในคลังหินนี่ ถึงแม้เขาจะไม่รู้
ว่าอีกฝ่ายทาเพื่ออะไร แต่ในใจรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะ
ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
“โอ้ย!” ทันใดนั้นเองกูช้ ิงฮั่นก็ร้องขึ้นมา เหมือนชน
ถูกอะไรเข้า หยางหนิงรีบถามขึ้นว่า “ซานเหนียง
ท่าน...ท่านเป็นอะไรไปรึ?”
“หนิงเอ๋อ ขาของข้า...!” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยน้าเสียงอ่อน
แรงว่า “เจ้ารีบมาตรงนี้ ข้า...ข้าจะตายแล้ว...!” ฟัง
น้าเสียงของนางแล้ว มันช่างทรมานยิ่งนัก
หยางหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ตัวเองเย็นลง
แล้วคลาเข้าไปหากู้ชิงฮั่น แล้วถามว่า “ชนถูกอะไร
เข้าหรือไม่?”
เขาเข้าไปใกล้กู้ชิงฮั่น ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่ามือของเขา
ถูกจับเอาไว้ กู้ชิงฮั่นใช้มือเรียวๆ ของนางจับแขนของ
เขาเอาไว้ หยางหนิงตัวสั่นไปทั้งตัว กู้ชิงฮั่นพูดขึ้นว่า
“เจ้า...เจ้าพยุงข้าขึ้นมาก่อน ข้าไม่มีแรงเลย ลุกไม่ขึ้น
...!”
เมื่อเข้าใกล้ เขาก็รู้สึกได้ว่ากู้ชิงฮั่นหายใจแรงกว่าเมื่อ
ครู่นี้มาก
หยางหนิงร้อนไปทั้งตัว กาลังจะเอ่ยปากพูด ก็ได้ยินกู้
ชิงฮั่นพูดขึ้นมาก่อนว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าไม่เชื่อฟังข้าใช่
หรือไม่? เดี๋ยวนี้เจ้า...เจ้ากล้าเกินไปแล้วนะ...!” นาง
ยกมือขึ้นมา แล้วตีไปที่หน้าของหยางหนิง นางไร้
เรี่ยวแรง มือที่ตีไปนั้นก็ไม่มีแรง เหมือนกับลูบคลา
หน้าธรรมดา จากนั้นใช้มือโอบไปที่ไหล่ของหยางหนิง
แล้วพูดเหมือนคนขี้เกียจว่า “เจ้า...เจ้าพยุงข้าขึ้นไป
สิ”
มือของนางวางอยู่ตรงหน้าอกของเขา หยางหนิงรู้สึก
ว่ากู้ชิงฮั่นเอวบางร่างน้อย กลิ่นหอมลอยเข้าจมูก
เรื่อยๆ ในสมองร้อนไปหมด แล้วพูดขึ้นว่า “ข้า...ข้า
จะพยุงท่านขึ้นมานะ...!” เขารู้สึกว่าลมหายใจของกู้
ชิงฮั่นอยู่ตรงหน้าเขา เขาเห็นใบหน้าของกู้ชิงฮั่นอยู่
ห่างจากเขาเพียงสองนิ้วมือ ไม่รู้อะไรดลใจเหมือน
อยากจะเข้าหาตลอดเวลา
กู้ชิงฮั่นโอบคอของหยางหนิงเอาไว้ แล้วก็พุ่งตัวเข้ามา
น้าเสียงเหมือนอยู่ในความฝัน “เจ้ากอดข้าสิ ทาเช่นนี้
...ถึงจะสบาย...!”
เสียงอ่อนแรงของนางทะลุเข้าหูหยางหนิง หยางหนิง
เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ถึงแม้อยู่ในความมืดเห็นหน้า
ของกู้ชิงฮั่นไม่ชัดนัก แต่ในหัวกลับเห็นหน้าสวยๆ
ของกู้ชิงฮั่นลอยเข้ามา ได้ยินเสียงลมหายใจของกู้ชิง
ฮั่น ปกติก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้กลับบอกไม่ถูกว่า
รู้สึกอย่างไร ปากของนางกาลังเข้าใกล้เขามาทุกที ลม
หายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนรู้สึกว่าริมฝีปากอันเร้า
ร้อนกาลังสัมผัสกับปากของเขา ตอนนี้เขาลืมไปแล้ว
ว่าทั้งคู่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่
“หนิงเอ๋อ ช่วยข้า...ช่วยข้าถอดชุดของข้าออกที มัน
อึดอัด...!” กู้ชิงฮั่นพูดจาไม่รู้เรื่อง “ข้า...ข้าหายใจไม่
ออก...!”
เมื่อนางพูดมาเช่นนี้ ร่างกายของหยางหนิงก็สั่นไป
ทั้งตัว ถึงแม้ตัวเขาจะร้อนจนทรมาน แต่ในตอนนี้
กลับมีสติ จากนั้นเขาก็รีบผลักกู้ชิงฮั่นออก แล้วถอย
หลังไป พิงติดกาแพง
เขากาลังสับสน แต่ในความสับสนของเขาก็ยังมีสติอยู่
ถึงแม้เสียงของกู้ชิงฮั่นนั้นไม่ชัดเจน แต่มันกลับน่า
หลงใหลยิ่งนัก หยางหนิงรู้ว่า นางเป็นคนนิ่งและระวัง
ตัว ในสถานการณ์ปกติ ไม่มีทางมีปฏิกิริยาเช่นนี้
ตอนนี้เป็นเพราะฤทธิ์ยา ทาให้นางขาดสติ
“เจ้าผลักข้า...ผลักข้าทาไม?” กู้ชิงฮั่นยังคงเหมือนอยู่
ในฝันแล้วพูดว่า “เจ้ามาตรงนี้เดี๋ยวนี้นะ...!”
หยางหนิงยกมือขึ้นมาเช็ดหน้า ตอนนี้เขาเหงื่อออก
ท่วมตัว แอบคิดในใจว่าอีกฝ่ายกล้าใช้วิธีต่าช้าเช่นนี้
ยาปลุกชนิดนี้ฤทธิ์แรงยิ่งนัก แม้แต่กู้ชิงฮั่นยังขาดสติ
ไปในระยะเวลาอันสั้นได้ เขาพูดเสียงเข้มๆ ขึ้นมาว่า
“ซานเหนียง ท่านรีบนึกให้ออกเร็ว จวนโหวของพวก
เรามีคนกี่คน แต่ละคนได้เงินเดือนคนละเท่าไหร่?”
เขาหวังว่ากู้ชิงฮั่นจะนึกถึงเรื่องอื่น เพื่อเบี่ยงประเด็น
เรื่องอารมณ์นี้ไป
เขาเองก็พยายามไม่ไปฟังอะไรที่กู้ชิงฮั่นพูด ในหัวของ
เขาคิดแต่เรื่องที่อีกฝ่ายทา อีกฝ่ายคิดใช้ยาปลุกให้
ตัวเองกับกู้ชิงฮั่นมีอะไรกันในคลังหินนี่ พวกเขาทา
เช่นนี้เพื่ออะไรกัน?
“ฉีหนิง เจ้าเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ อยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็
ย่อมได้ แต่ว่าผู้หญิงแบบนี้ เจ้าคิดจะได้ก็ได้” ทันใด
นั้นเองก็ได้ยินเสียงมาจากข้างนอก “พวกข้าสร้าง
โอกาสให้เจ้าแล้ว เจ้าต้องคว้ามันไว้ให้ดี ต่อไปอาจจะ
ไม่มีโอกาสอย่างนี้อีก”
หยางหนิงรู้สึกโกรธมาก ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู
แล้วตะคอกกลับไปว่า “เจ้าพวกต่าช้า พวกเจ้าทา
อย่างนี้ทาไมกัน?”
“ฮูหยินสามแห่งตระกูลฉีงดงามดุจนางฟ้า เจ้าเห็น
ร่างกายนั่นไหม ส่วนไหนควรมีเนื้อมีหนังก็มี ส่วนไหน
ควรผอมเว้าโค้งก็มี นางเป็นสาวงามหนึ่งในหมื่นคน
เลยนะ” เขาพูดเสียงเข้มๆ อีกว่า “ของดีๆ แบบนี้
หากท่านพลาดไป ชาตินี้ก็เสียชาติเกิดเลยนะ ซื่อจื่อ
ทาช้าไม่สู้รีบทา พวกท่านชายหญิงอยู่ในห้องกันสอง
ต่อสอง บวกกับฤทธิ์ของควันไห่ถัง อย่างไรเสียพวก
ท่านก็ทนไม่ไหวหรอก”
“ควันไห่ถังอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
คิดว่าอาศัยแค่กลิ่นหอมเช่นนี้ จะทาให้ข้าทาผิดพลาด
ได้หรือ?”
“พวกข้าอาจจะทาให้ท่านทาไม่ได้ แต่ฮูหยินสามจะ
ทนได้รึ?” เสียงนั้นพูดอีกว่า “อย่าว่าแต่เจ้าเป็นชาย
ชาตรีเลยแม้แต่ขันที เมื่อได้กลิ่นควันไห่ถัง ก็ทนไม่
ไหว ท่านวางใจได้ ที่นี่ไม่มีคนอื่น พวกท่านค่อยๆ ดื่ม
ด่ากันให้เต็มที่พวกข้าจะเฝ้าอยู่ด้านนอกให้ ตอนนี้
ท่านยังไม่ได้สัมผัสตัวของฮูหยินสามเลย รอเมื่อท่าน
ได้ลิ้มลองแล้ว จะรู้สึกขอบคุณพวกข้าก็ได้ ถึงตอนนั้น
ต่อให้พวกข้าปล่อยพวกเจ้าออกมา เจ้าก็อาจจะไม่
อยากออกมาแล้วก็ได้”
หยางหนิงถือมีดสั้นในมือ ตอนนี้อยากจะรีบพุ่ง
ออกไปนอกประตูยิ่งนัก
“นี่มันเพิ่งเริ่มต้น เวลาอีกยาวนาน ยานี้มีฤทธิ์
ร้ายแรง” น้าเสียงค่อยๆ พูดต่อไป “ตอนนี้ซื่อจื่อ
อาจจะทนไหว แต่อีกเดี๋ยว ต่อให้เทพเจ้าก็ยากที่จะ
ควบคุมตัวเองได้ เมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็จะเหมือนสัตว์
ป่า ขาดสติ แม้แต่ตัวท่านเองก็จะไม่รู้ว่าท่านทาอะไร
ลงไป หากไม่ได้มีอะไรกัน ฤทธิ์ยาก็จะไม่หายไป” เขา
หัวเราะเบาๆ “ข้าว่าพวกท่านรีบมีอะไรกันจะดีกว่า
นะ อย่างน้อยก็จะได้รู้สึกสบาย เพราะอีกเดี๋ยวก็จะไม่
รู้ว่าตัวเองทาอะไรลงไปแล้ว ก็จะไม่รู้ว่าฮูหยินสามนั้น
รสชาติดีเพียงใด”
เมื่อสิ้นเสียงของคนๆ นั้น ก็ได้ยินเสียงเหมือนสุนัข
ลอยมา หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าคนพวกนี้พา
สุนัขมาด้วยหรือ
“ร้อนจังเลย...!” เสียงของกู้ชิงฮั่นลอยมาช่างเย้ายั่ว
และทรมานนักว่า “ข้าอยากกินน้า...!” หยางหนิงหัน
ไปดู เห็นกู้ชิงฮั่นกาลังลูบคลากาแพง ลุกขึ้นมานั่ง มือ
ทั้งสองพยายามฉีกเสื้อผ้าของตัวเองทิ้ง ในใจของเขาก็
ตกใจ รู้ว่ากู้ชิงฮั่นน่าจะถูกยาแรงมากแล้ว
ถึงแม้หยางหนิงจะยังมีสติอยู่ แต่ในตอนนี้ร่างกายของ
เขาก็เหมือนอยู่ในเตาอบ เลือดในตัวของเขามัน
ไหลเวียนรุนแรงมาก ในใจของเขาคิดว่าใน
สถานการณ์เช่นนี้หากเขาสัมผัสถูกกู้ชิงฮั่น เรื่องหลัง
จากนั้นกู้ชิงฮั่นจะต้องตายแน่นอน เขาเลยพยายาม
ข่มใจของตัวเองไว้
เขาไม่กล้าเข้าใกล้กู้ชิงฮั่นแม้แต่น้อย แล้ววิ่งกลับไปที่
กาแพง ใช้มีดสั้น ขูดกาแพงหินอีกครั้ง เขาระวังมาก
กังวลว่าคนที่อยู่ด้านนอกจะได้ยิน
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 95 ผู้พิพากษา
เสื้อผ้าของกู้ชิงฮั่นเริ่มเปียกไปหมด เหมือนกับคนที่
เพิ่งลงน้้ามา ทั่วทั้งตัวร้อนไปหมด ร่างกายร้อนราวกับ
ไฟลุก นางเป็นผู้ที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว ต่อให้ไม่มี
ควันไห่ถัง ร่างกายของนางก็อ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว
ตอนนี้โดนควันไห่ถังเข้าไป ร่างกายของนางก็แทบจะ
ทนไม่ไหว
ฤทธิ์ของควันไห่ถังรุนแรงนัก สามารถท้าให้คนที่
อดทนสูงเหมือนเหล็กกลายเป็นพวกเดนสวะได้ใน
พริบตาเดียว สามารถท้าให้กุลสตรีกลายเป็นหญิงงาม
เมืองได้ภายในเสี้ยววินาทีเดียว ท้าให้ขาดสติ ในสมอง
คิดแต่เรื่องเสพสังวาสเท่านั้น
ตอนแรกกู้ชิงฮั่นยังพอมีสติอยู่บ้าง แต่เมื่อหยางหนิง
เข้าใกล้นางเพื่อช่วยปิดจมูกให้ กลิ่นกายของ
หยางหนิงท้าให้ฤทธิ์ของยานั้นรุนแรงขึ้น
ทั้งสองคนไม่มีรู้เลยว่า เมื่อสูดเอาควันไห่ถังเข้าสู่
ร่างกาย เมื่อได้กลิ่นกายของเพศตรงข้าม ก็จะท้าให้
ฤทธิ์ยารุนแรงขึ้น หยางหนิงได้กลิ่นหอมจากตัวของกู้
ชิงฮั่น แทบทนไม่ไหว อีกทั้งกู้ชิงฮั่นเองก็ยังสูดกลิ่น
กายของเขาเข้าไปอีก สติของกู้ชิงฮั่นจึงหลุดไปอย่าง
รวดเร็ว
ก้าหนัดของคนเรา เป็นสิ่งที่แก้ยากมากที่สุด เมื่อครู่ห
ยางหนิงกอดนางเอาไว้ นางก็รู้สึกสบายใจมาก เมื่อห
ยางหนิงผลักนางออก ตัวนางก็ร้อนจนทนไม่ไหว ใน
สมองก็มึนงงไม่รู้สึกตัวอีก คิดแต่อยากจะอยู่ในอ้อม
กอดของผู้ชายอีก
หยางหนิงใช้มีดสั้นวิเศษของเขาขุดก้าแพง มันเป็น
อาวุธที่วิเศษมากจริงๆ มันสามารถทะลุก้าแพงเข้าไป
โดยง่าย
เขารู้สึกดีใจนัก พยายามไม่ฟังที่กู้ชิงฮั่นพร่้าเพ้อ
พยายามอดกลั้นร่างกายของตัวเองไว้ แล้วพยายาม
ขุดหินที่ก้าแพงให้เป็นรูเรื่อยๆ
ด้านนอกมีเสียงของสุนัขดังเป็นระยะๆ หยางหนิงก็
ไม่ได้ไปสนใจ ระหว่างนั้น เขาก็ขุดเจาะเอาก้อนหิน
จากก้าแพงลงมาได้เรื่อยๆ ตอนนี้มันเริ่มเป็นรูเว้า
ตามความเร็วของการขุด ไม่นานจะต้องเป็นรูขนาด
ใหญ่ที่สามารถรอดออกไปได้
ทันใดนั้นเองก็เหมือนที่ขามีอะไรแน่นๆ มาเกาะ มือ
ข้างหนึ่งก้าลังสัมผัสมาที่ขาของเขา หยางหนิงก็พลัน
ตกใจ รู้สึกเหมือนมีกลิ่นหอมๆ ก้าลังพุ่งเข้ามาหาตัว
เขา ร่างกายอันร้อนระอุก้าลังแนบชิดอยู่ที่ร่างกาย
ของเขา กลิ่นหอมบนตัวของกู้ชิงฮั่นมันลอยเข้ามาใน
จมูกของเขา มันเป็นกลิ่นเฉพาะที่มีเพียงม่ายสาวคนนี้
เท่านั้นที่จะมี มันดึงดูดวิญญาณของเขาไป ท้าให้
ร่างกายของหยางหนิงสั่นไปทั้งตัว แทบอยากจะพุ่ง
เข้าไปกอดนางเสียเดี๋ยวนี้เลย
เสียงของกู้ชิงฮั่นที่ยั่วยวนเอ่ยขึ้นว่า “กอดข้า...กอดข้า
ที...!” นางใช้มือของนางกอดคอของหยางหนิงเอาไว้
หายใจรุนแรงยิ่งนัก อีกมือหนึ่งของนางก็ลูบไล้ไปตาม
ร่างกายของเขา
หยางหนิงกลืนน้้าลาย เหงื่อไหลเป็นสายฝน เดิมทีเขา
ก็ทรมานอยู่แล้ว ตอนนี้กู้ชิงฮั่นร่างกายของนางช่าง
ยั่วยวนใจยิ่งนัก ร่างกายของคนทั้งสองแนบชิดกันจน
ยากจะแยก มันท้าให้เขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
ในตอนนี้ ในสมองของเขาเริ่มเลือนราง คิดอยากแต่
จะกดทับร่างกายนั้นเอาไว้ แต่ในสมองก็มีเสียงๆ หนึ่ง
ดังขึ้นมาว่า “หยางหนิง นางถูกยาพิษนะ เจ้าไม่อยาก
ช่วยนางออกไปให้เร็วที่สุดหรือ ยังจะมาคิดไม่ดีกับ
นางอีก จะฉวยโอกาสกับคนที่ตกยากเช่นนี้ มันจะต่าง
อะไรกับสัตว์ป่าเล่า?”
เขารู้ว่าตอนนี้กู้ชิงฮั่นน่าจะทรมานมากกว่าตัวเขา
แน่นอน หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เมื่อไหร่ที่ตัวเขาเอง
ขาดสติ เขาก็น่าจะทนไม่ไหว เพราะมีม่ายสาวพราว
เสน่ห์อยู่ตรงนี้ เขาตัดสินใจพยายามกดตัวกู้ชิงฮั่นลง
แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ขอโทษด้วย!” จากนั้นเขาก็
ใช้สันมือสับไปที่หลังคอของกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นทรุดตัวลง
อย่างรวดเร็ว ไม่ขยับตัว เพราะเขาท้าให้นางหมดสติ
ไป
เขาคุ้นเคยจุดต่างๆ ในร่างกายดี อีกทั้งยังเคยเรียน
การต่อสู้มา จะท้าให้ใครหมดสติ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เขาวางมีดสั้นลง แอบคิดว่ากู้ชิงฮั่นอยู่ข้างๆ เขา
ถึงแม้นางไม่เคลื่อนไหว แต่ว่าตัวเขาก็อาจจะทนไม่
ไหวก็ได้ คิดอยากจะอุ้มนางไปไว้อีกด้านหนึ่ง เพื่อเว้น
ระยะ เขาใช้มือทั้งสองข้างช้อนตัวกู้ชิงฮั่นขึ้นมา แล้ว
อุ้มไปไว้ข้างๆ ก่อนที่จะวางลง เขาก็รู้สึกหวั่นไหว
ขึ้นมา แต่ก็พยายามกัดฟันเอาไว้ หลังจากวางกู้ชิงฮั่น
ลง ก็ไปขุดก้าแพงต่อ
ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก “นั่นใคร?
ไปดูเร็ว ใช่ท่านผู้พิพากษาหรือไม่?”
หยางหนิงได้ยินอย่างชัดเจน รู้ว่าด้านนอกน่าจะเจอ
ใครเข้า เขาได้ยินพวกนั้นเรียกว่า “ผู้พิพากษา” ในใจ
ก็รู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่าหัวหน้าของพวกมันชื่อ
“ผู้พิพากษารึ” ? แล้วไอ้เจ้าผู้พิพากษานี่เป็นใครกัน
เล่า?
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงของคนข้างนอกอีกว่า “ไม่ใช่
ท่านผู้พิพากษา เป็น...เป็นคนบ้า พวกเราตามเขาไม่
ทันหรอก เขาวิ่งเร็วมาก”
“คนบ้าอย่างนั้นรึ?” เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “คนบ้าคน
เดียวก็ตามไม่ได้ ที่นี่ระยะทางก็ห่างไกลนัก ท่านผู้
พิพากษาก็ยังไม่มา คนอื่นจะมาที่นี่ได้อย่างไรกันกัน?
พวกเจ้าตามไป อาจเป็นคนที่ฉีหนิงพามา อย่าให้มัน
รอดชีวิตไปได้”
หยางหนิงคิดในใจว่า “พวกเขาบอกว่าคนบ้านั่นวิ่งเร็ว
มาก หรือว่าเจ้าอัปลักษณ์อย่างนั้นหรือ?” ได้ยินคน
ข้างนอกคุยกันว่าห้ามไว้ชีวิตมัน ในใจก็คิดว่า คนพวก
นี้เหี้ยมโหดนัก เจ้าอัปลักษณ์ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย
พวกเขายังคิดจะลงมือ แต่ก็คิดว่าหากเป็นเจ้า
อัปลักษณ์จริง เขาวิ่งเร็วปานนั้น คนพวกนี้อาจจะตาม
ไม่ทันก็ได้
เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น แล้วกลับไปที่ก้าแพง ขุด
ก้าแพงต่อไป ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงมากจากข้าง
นอกอีกว่า “เจ้านั่นมันหายไปแล้ว มืดแบบนี้มองไม่
เห็นเลย ไม่รู้ว่ามันไปไหนแล้ว”
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกมึนหัวมาก ในใจแอบคิดว่ายานี่
ฤทธิ์แรงเหลือเกิน ขึงรีบเร่งมือให้เร็วขึ้น ทันใดนั้นเอง
มือก็รู้สึกเบาหวิว ที่แท้ก็เป็นเพราะมีดสั้นสามารถ
ทะลุผ่านก้าแพงได้แล้ว เขาดีใจเป็นอันมาก ข้อมือ
ของเขาก็หมุนให้เป็นวงกลม ท้าให้ก้าแพงเป็นรู ได้ยิน
เสียงน้้าไหล ด้านหลังไม่เกินห้าหกก้าวนั่นก็คือแม่น้า
หงซา
เขารีบเร่งมือ เจาะก้อนหินข้างๆ ก้าแพงอีก เขาท้า
อย่างระมัดระวังมาก เพื่อไม่ให้มีเสียง อีกฝ่ายไม่มีทาง
คิดถึงแน่นอนว่าในมือของหยางหนิงจะมีอาวุธวิเศษ
ขนาดนี้ ด้านหลังคลังไม่มีคนเฝ้าอยู่ หลังจากใช้เวลา
อยู่พักหนึ่ง ก้าแพงก็กลายเป็นรูขนาดใหญ่ อากาศ
บริสุทธิ์ลอยเข้ามา หยางหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ว่า
ร่างกายที่เร้าร้อนนั้นท้าให้ร่างกายของเขาอ่อนแรงไป
มาก
เขาลับขอบรูให้เรียบ เพื่อไม่ให้กู้ชิงฮั่นถูกหินบาดเข้า
ในตอนนี้เอง ได้ยินเสียงข้างนอกดังขึ้นมาว่า “ท่านผู้
พิพากษามาแล้ว!”
หยางหนิงขมวดคิ้ว รีบเก็บมีดสั้น ไปอุ้มกู้ชิงฮั่นมา
กู้ชิงฮั่นยังคงสลบอยู่ เมื่อมาถึงปากรู ได้ยินเสียงดังมา
จากข้างนอก “สถานการณ์ด้านในเป็นอย่างไรบ้าง?
ควันไห่ถังปล่อยไปแล้วใช่หรือไม่?” เสียงนั้นเบามาก
หยางหนิงฟังแล้วก็เหมือนนึกอะไรได้ เขารู้สึกว่านี่มัน
เสียงของท่านจ้าวที่อยู่ห้องบัญชีที่จวนเก่านี่นา
“ปล่อยไปแล้วเกือบครึง่ ชั่วยาม” มีคนตอบขึ้นมาว่า
“ท่านผู้พิพากษา เราควรจะเข้าไปดูหรือไม่ขอรับ?”
หยางหนิงแอบคิดว่าเพราะเหตุใดจ้าวยวนถึงถูก
เรียกว่าผู้พิพากษาเล่า คนพวกนี้เป็นใครกัน?
“ไม่ต้องรีบร้อน” เสียงของจ้าวยวนยังคงนิ่ง หลังจาก
นั้นก็ได้ยินเขาตะโกนมาว่า “ซื่อจื่อ ไม่รู้ว่าที่นี่เป็น
สถานที่ดีขนาดไหน? พวกข้าตามหาฮูหยินสามจนทั่ว
แล้วแต่ไม่เจอเลย แม้แต่ท่านก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ที่จวนเก่าก็ร้อนใจกันมากเลยนะ ยังดีที่ที่จวนเก่ามี
หมาอยู่สองตัว ดมกลิ่นได้ ถึงได้พาพวกข้ามาจนถึง
ที่นี่”
หยางหนิงยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ แอบคิดในใจว่าค้าพูด
ของจ้าวยวนแปลกๆ เหมือนมีอะไรลับลมคมใน จึงไม่
ตอบอะไร
“ท่านผู้พิพากษา ที่นี่ไม่มีเสียงอะไรเลย จะเข้าไปดู
หรือไม่ขอรับ?” คนก่อนหน้านั้นพูดเสียงเบาๆ ว่า
“คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นข้างในใช่หรือไม่?”
หยางหนิงไม่มีทางให้พวกเขาเข้ามาข้างในแน่นอน ก็
เลยตั้งใจตะโกนออกไปว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน?
จับข้ามาขังไว้ท้าไมที่นี่?”
เมื่อได้ยินเสียงหยางหนิง จ้าวยวนก็หัวเราะขึ้นแล้วพูด
ว่า “ซื่อจื่อไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ซื่อจื่อท่านวางใจเถอะ
อีกเดี๋ยวฉีเฉิงก็จะพาคนมาที่นี่ ไม่นานก็จะมีคน
มากมายมาดูท่าน แต่ว่าซื่อจื่อกับฮูหยินสามไม่สนใจ
เกียรติของบ้านตระกูลฉี แอบหนีมาพลอดรักกันถึง
ที่นี่ เมื่อพวกเขามาถึง ก็จะเห็นพวกท่านก้าลังท้าผิด
ศีลธรรม ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง”
หยางหนิงตกใจ จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันที คนพวกนี้
เสียเวลาวางแผนหลอกล่อ ก็เพื่อให้ละครฉากนี้
เกิดขึ้น
“จ้าวยวน ที่แท้ทุกอย่างนี่เป็นแผนของเจ้าเองรึ”
หยางหนิงพูด
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าทางซื่อจื่อจะรู้แล้วว่าข้า
เป็นใคร ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าจิ่นอีซื่อจื่อเป็นคน
สติไม่สมประกอบ แต่ว่าในความเป็นจริงเหมือนจะไม่
เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ท่านจะไม่ได้ฉลาดอะไรมากมาย
แต่ก็ไม่ได้บ้า วันนี้ในห้องโถง ท่านหยิบมีดออกมา ข้า
ยังคิดอยู่เลยว่าท่านอาจจะรู้อะไรได้บ้าง หลังจากนั้น
ถึงได้รู้ว่าท่านรู้จักค้าว่าหยั่งเชิงเสียด้วย”
“เรื่องแปลกๆ ในจวนเก่า ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้ว”
หยางหนิงพูดขึ้นอีกว่า “ฉีเฉิงพ่อบ้านฉีคนนั้น ก็น่าจะ
ไม่ใช่ฉีเฉิงตัวจริง พวกเจ้าควบคุมจวนเก่าเอาไว้ ก็เพื่อ
วางแผนอะไรบางอย่าง ที่ข้าหยิบมีดออกมา ก็แค่จะดู
ปฏิกิริยาของเจ้าเท่านั้น เมื่อฉีเฉิงปรากฏตัว ข้าถึงได้รู้
ว่าพวกเจ้าร่วมมือกัน ทั่วทั้งจวนเก่าอยู่ในก้ามือของ
พวกเจ้าหมดแล้ว”
เขาพูดไปพรางถอดเสื้อนอกออก เขาพยุงกู้ชิงฮั่น
ขึ้นมา แล้วเอาเสื้อคลุมห่อตัวให้นาง ก่อนหน้านี้
กู้ชิงฮั่นร้อนรนจนทนไม่ไหว ฉีกเสื้อผ้าของตัวเองจน
ขาดหลุดลุ่ยออกมา ตอนนี้เสื้อของนางหลายจุดเห็น
เข้าไปถึงเนื้อหนังขาวๆของนาง หยางหนิงไม่มีทางพา
นางออกไปในสภาพเช่นนั้นแน่นอน
“ดูท่าทางท่านจะฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลยนะ”
จ้าวยวนพูดขึ้นอีกว่า “เจ้าไม่พูดอะไร หรือว่าเจ้า
สงสัยอยู่ก่อนแล้วว่าจดหมายฉบับนั้นพวกข้าเป็นคน
ท้า?”
หยางหนิงพูดขึ้นอีกว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่มั่นใจ แต่ก็
พอจะเดาได้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดเจ้ายังมาตามกับดักนี่อีก
เล่า?” จ้าวยวนพูดต่อไปว่า “เจ้าคงจะไม่ได้รู้ล่วงหน้า
หรอกใช่หรือไม่ว่าเราจะจัดฉากให้เจ้าได้ดื่มด่้ากับสาว
งามอย่างฮูหยินสามเช่นนี้?”
“ซานเหนียงอยู่ในก้ามือพวกเจ้า ข้าก็ต้องเห็นแก่
ความปลอดภัยของนางมาก่อน อีกทั้งไม่เข้าถ้้าเสือ
ไหนเลยจะได้ลูกเสือ ข้าก็อยากจะเห็นว่าพวกเจ้าจะมี
แผนอะไร” หยางหนิงห่อตัวให้กู้ชิงฮั่นจนเสร็จ
จากนั้นก็เก็บมีดกลับไป แล้วจับกูช้ ิงฮั่นไปไว้ที่ปากรูที่
ขุดเอาไว้ ส่วนตัวเขาเองก็ลองมุดดู ว่าจะออกไปได้
หรือไม่
“ไม่เข้าถ้้าเสือไหนเลยจะได้ลูกเสืออย่างนั้นหรือ
น่าสนใจดี” จ้าวยวนพูดขึ้นอีกว่า “แต่ว่าต่อให้ท่านรู้
ว่าพวกข้าจะท้าอะไร ท่านก็ท้าอะไรไม่ได้อยู่ดี พวก
เขาน่าจะบอกท่านไปแล้ว ควันไห่ถังมีฤทธิ์ร้ายแรง
หากพวกท่านยังเสพสังวาสกัน ก็จะต้องตายอยู่ในนี้”
“พวกเจ้าใช้วิธีต่้าช้าเช่นนี้ เพื่ออะไรกัน?” หยางหนิง
ยื่นหัวเข้ามาด้านใน แล้วตะโกนไปที่ประตูว่า “ต่อให้
ข้าต้องตายอยู่ในนี้ ก็ไม่มีทางให้พวกเจ้าได้สมหวัง
แน่นอน” เขาแอบคิดในใจว่าอีกเดี๋ยวเขาก็จะหลุดพ้น
เดี๋ยวค่อยไปจัดการกับพวกเจ้าอีกที มีแค้นต้องช้าระ
จะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว
จ้าวยวนหัวเราะร่าออกมาแล้วพูดว่า “ไม่ว่าเป็นหรือ
ตาย พวกท่านสองคนแอบมามีเสพสังวาสกันที่นี่ก็ไม่มี
ทางปิดได้ ต่อให้ตายจริง รอพวกเขามาก็จะเห็นพวก
ท่านสองคนไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย บนร่างกายไม่มี
บาดแผล อีกทั้งต่อให้เป็นหมอฝีมือสูงส่งแค่ไหนก็ไม่มี
ทางตรวจพบร่องรอยของควันไห่ถัง ถึงตอนนั้นทุกคน
ก็จะเข้าใจว่าพวกท่านเสพสังวาสกันจนตาย”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 96 คนจับงู
หยางหนิงมุดออกมาจากคลังหิน ตอนนี้ตัวเขาอยู่
ด้านนอกแล้ว แล้วหันตัวกลับเข้าไป ใช้มือจับไหล่ของ
กู้ชิงฮั่นเอาไว้ แล้วดึงตัวนางออกมา ถึงแม้เขาจะรู้ว่า
คนพวกนี้วางกับดักเอาไว้ คงไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาเสพ
สังวาสกันแค่นี้หรอก เบื้องหลังจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่
แน่ๆ แต่ในตอนนี้จะต้องหลุดจากตรงนี้ให้ได้เสียก่อน
เขากลัวว่าใช้แรงดึงกู้ชงิ ฮั่นแรงเกินไปจะทาให้นาง
บาดเจ็บ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังให้มาก ได้ยินเสียง
ของจ้าวยวนดังขึ้นมา “ซื่อจื่อ ท่านวางใจเถอะ ขอแค่
ท่านทาตามที่ข้าบอก ไม่เพียงเรื่องนี้จะไม่เผยแพร่
ออกไป ต่อไปท่านก็จะยังมีเกียรติเช่นเดิม” จากนั้น
เขาก็พูดต่อว่า “กู้ชิงฮั่นเป็นอาสะใภ้ของท่าน
จิ่นอีซื่อจื่อกับอาสะใภ้ของตัวเองมีความสัมพันธ์ หาก
เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้ว่าผลที่จะตามมาจะ
เป็นอย่างไรบ้าง?”
หยางหนิงไม่ได้สนใจเขาอีกแล้ว ยังคงดึงกู้ชิงฮั่น
ออกมาจากคลังหินอย่างระมัดระวัง ในคืนอันมืดมิด
เขามองไปที่ทิศตะวันตก ขอแค่ข้ามแม่น้าหงซาไป
ทางหุบเขานั้นก็น่าจะหลุดพ้นได้แล้ว สถานการณ์
ตอนนี้คงไปได้แค่ที่นั่นที่เดียว แต่ว่าเขาไม่รู้ความลึก
ของแม่น้าหงซา คิดไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็แบกกูช้ ิงฮั่น
เอาไว้ด้านหลัง ไม่ว่าจะลึกแค่ไหน ไปก่อนค่อยว่ากัน
ทันใดนั้นเองก็มีเงาของคนๆ หนึ่งวิ่งผ่านมา หยางหนิง
ตกใจ ยกมือขึ้นมาเตรียมจะซัดเข้าไป หมัดของเขา
ค้างอยู่กลางอากาศ แล้วก็เก็บมันกลับมา ชาย
อัปลักษณ์ เขาคือชายอัปลักษณ์
ชายอัปลักษณ์สวมเสื้อของจวนเก่า ถึงแม้จะเก่าแต่
มันก็พอดีตัว แต่เขายังคงคลุมเสื้อขนสัตว์สีดาของเขา
เช่นเดิม เขาโผล่มาอย่างกับผี ทาให้หยางหนิงตกใจไม่
น้อย
ชายอัปลักษณ์เห็นหยางหนิง เขาไม่ได้มีท่าทางที่
หวาดกลัว แถมยิ้มให้อีก แล้วยื่นมือออกไป เขายังไม่
ทันได้พูดอะไร หยางหนิงก็พูดเบาๆ ว่า “อย่าพูดอะไร
ตามข้าข้ามแม่น้าไป เดี๋ยวข้าให้ของกินกับเจ้า” ชายผู้
นั่นก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เขาแบกกู้ชิงฮั่น แล้วค่อยๆ
ข้ามแม่น้าตามไป ชายอัปลักษณ์ก็เชื่อฟังเขามาก เดิน
ตามหยางหนิงไปอย่างว่าง่าย
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง น้าในแม่น้าหนาวเย็นยะเยือก
ร่างกายของกู้ชิงฮั่นยังคงร้อนอยู่ หยางหนิงกลัวว่าน้า
ในแม่น้าเย็นเช่นนี้ ร่างกายของนางจะทนไม่ไหว แต่
ว่าในตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก นอกจากลงน้าแล้ว
ว่ายน้าเข้าฝั่งไป แม่น้าหงซาจะว่ากว้างก็ไม่กว้าง จะ
ว่าแคบก็ไม่แคบ ถือว่าเป็นแม่น้าสายใหญ่สายหนึ่ง
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหมาเห่า หยางหนิงรู้ว่าตัว
เขาไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายจะต้องสงสัยแน่นอน จึงรีบ
ว่ายข้ามฝั่งไปอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของเขาร้อนราวกับไฟเผา แต่ว่าเมื่อถูกน้าเย็น
ก็เหมือนอาการมันจะลดลงไม่น้อย ในใจก็แอบคิดว่า
หรือว่าการแช่น้าเย็นมันจะแก้อาการของควันไห่ถัง
ได้?
เขาใช้มือหนึ่งอ้อมไปพยุงกู้ชิงฮั่นจากด้านหลัง อีกมือ
หนึ่งก็ว่ายน้าไป ร่างกายของกู้ชิงฮั่นนิ่มเหลือเกิน
หน้าอกก็แน่น มันดันอยู่ที่หลังของเขา ตามจังหวะที่
เขาแหวกว่ายไป
ทันใดนั้นเองร่างกายของกู้ชิงฮั่นก็มีความเคลื่อนไหว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของกู้ชิงฮั่นดังขึ้นแบบไร้เรี่ยวแรง
“หนิงเอ๋อ...หนิงเอ๋อ...”
หยางหนิงว่ายไปพรางพูดไปพราง “ซานเหนียง ข้าอยู่
นี่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? เจ้าพวกนั้นอยู่ที่คลัง
หิน พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
กู้ชิงฮั่นตื่นมาอย่างสะลึมสะลือ ถึงแม้ในหัวจะยังมึนๆ
อยู่บ้าง แต่ว่าหลังจากได้แช่น้า สติก็คืนมาได้ไม่น้อย
จากนั้นก็มองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่บนหลังของ
หยางหนิงและเขากาลังจะว่ายข้ามฟากไป นางกาลัง
นึกย้อนกลับไป ก็ไม่รู้ว่าหยางหนิงออกมาจากคลังหิน
ด้วยวิธีไหนไม่รู้
ก่อนหน้านี้นางถูกควันไห่ถัง ร่างกายมีกาหนัดเป็น
อย่างมาก ถึงแม้จะขาดสติไป แต่ก็ยังพอจาได้ลางๆ
ว่าตัวเองปล่อยตัวปล่อยใจไปแค่ไหน นางทั้งอายทั้ง
โกรธ ตอนนี้นางอยู่บนหลังของหยางหนิง ร่างกาย
ของทั้งคู่แนบชิดกัน หน้าอกของนางชนหลัง
หยางหนิง ส่วนมือของหยางหนิงก็อยู่ที่บั้นท้ายของ
นาง ร่างกายของนางสั่นไปมา แต่ก็จนปัญญาจะทา
อะไร
เมื่อถึงฝั่ง หยางหนิงค่อยๆ วางกู้ชิงฮั่นลง แล้วเขาก็
เห็นชายอัปลักษณ์ตามมาติดๆ จากนั้นก็ยื่นมือมา
“ของกิน...หิว...!”
หยางหนิงคิดในใจว่าเจ้าหิวขนาดนี้ ต่อให้ข้าฆ่าหมูมา
ให้เจ้ากินวันละสองตัวก็คงไม่พอ เขาไม่ได้สนใจชายผู้
นั้นมากนัก ทันใดนั้นเองก็มีเงาของคนหลายคน
ปรากฏอยู่ที่อีกฟาก มีคนตะโกนว่า “เขาอยู่นั่น เขา
เจ้าเล่ห์นัก เขาหนีไปได้”
จากนั้นก็มีอีกคนตะโกนขึ้นมาว่า “อย่าให้เขาหนีไปได้
ทุกคนตามไป” จากนั้นก็เห็นเงาของคนราวๆ ห้าหก
คนกาลังว่ายน้าข้ามฟากกันมา
หยางหนิงเห็นตัวของกู้ชิงฮั่นสั่นเล็กน้อย จึงไม่ได้พูด
อะไรมาก จับมือกู้ชิงฮั่นแล้วก็วิ่งเข้าป่าไป แต่พอวิ่งไป
ได้พักหนึ่ง กู้ชิงฮั่นก็เกิดล้มแล้วร้องขึ้นมาว่า “โอ้ย”
หยางหนิงรู้ดีว่าคนพวกนั้นอีกเดี๋ยวคงตามมาทัน เขา
ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก อุ้มกู้ชิงฮั่นขึ้น กู้ชิงฮั่นก็รู้
สถานการณ์ดี จึงปล่อยให้เขาอุ้มไป
เมื่อวิ่งมาได้ช่วงหนึ่ง หยางหนิงเห็นชายอัปลักษณ์
เหมือนจะวิ่งไปไกล ทิ้งตัวเขาอยู่ด้านหลัง สมองก็
พลันคิดอะไรออก เขาตะโกนออกไปว่า “มีของกิน!”
วิธีนี้ได้ผลดีมาก ชายอัปลักษณ์รีบหันหลังแล้ววิ่ง
กลับมา หยางหนิงหยุดเดิน แล้วหันไปพูดกับกู้ชิงฮั่น
ว่า “ซานเหนียง คนพวกนี้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
พวกเขาต้องการจับพวกเราให้ได้ ท่านหนีไปกับเขา
ก่อน ข้าจะล่อพวกเขาออกไป เป้าหมายของพวกเขา
คือข้า”
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว พูดด้วย
ความโกรธว่า “เจ้าจะให้ข้าทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่รึ?”
“อย่าเพิ่งเถียงกันเลย ข้าคนเดียวไม่มีห่วงอะไร จะ
เอาตัวรอดได้ง่ายกว่า ไม่อย่างนั้นเราจะหนีไม่รอดทั้ง
คู่” หยางหนิงพูดต่อไปว่า “ชายอัปลักษณ์วิ่งได้เร็ว
ให้เขาพาท่านไป พวกนั้นไม่มีทางตามทัน
สถานการณ์ที่จวนเก่ายังไม่แน่ชัด ท่านอย่าเพิ่ง
กลับไปที่นั่นจะดีกว่า ท่านกลับไปที่บ้านตระกูลกู้ก่อน
หากข้าเอาตัวรอดได้แล้ว ข้าจะไปหาท่านที่บ้าน
ตระกูลกู้”
“หนิงเอ๋อ...!” กู้ชิงฮั่นดวงตาแดงก่า “ท่านไปกับเขา
ไม่ต้องห่วงข้า”
หยางหนิงไม่พูดอะไรมาก อุ้มกู้ชิงฮั่นไปวางไว้ที่หลัง
ของชายอัปลักษณ์ ชายอัปลักษณ์สีหน้ามึนงง
หยางหนิงพูดกับเขาว่า “เจ้าอัปลักษณ์ เจ้าฟังข้าให้ดี
นะ นางจะพาเจ้าไปหาของกิน เจ้าต้องฟังนาง นางให้
เจ้าไปทางไหนเจ้าก็ไปทางนั้น นางจะให้ของกินกับ
เจ้าเยอะแยะเลย แต่หากเจ้าปล่อยให้คนอื่นชิงตัวนาง
ไป เจ้าจะไม่มีอะไรกินอีกเลย”
ชายอัปลักษณ์ตะลึงไป จากนั้นก็พยักหน้า กู้ชิงฮั่น
น้าตานองหน้า กัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าจะทิ้ง
ซานเหนียงไปเช่นนี้หรือ?”
“ซานเหนียง ไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงแล้ว พวกท่าน
รีบไป ไม่ต้องห่วงข้า ข้ารอดไปได้เมื่อไหร่ จะรีบไปหา
ท่านทันที” หยางหนิงยกมือขึ้นมาแล้วชี้ไปทางใต้
แล้วพูดกับชายอัปลักษณ์ว่า “ยังไม่รีบวิ่งไปอีก?”
ชายอัปลักษณ์แบกกู้ชงิ ฮั่นแล้วก็วิ่งไป เขาไปรวดเร็ว
ราวกับสายลม พริบตาเดียว ก็หายไปกับความมืดแล้ว
ไม่เห็นแม้แต่เงา
หยางหนิงคิดอยากจะรีบวิ่งขึ้นเขาไป ก็คิดว่าหากพวก
นั้นไม่เห็นเขาอยู่ที่ฝั่ง ก็จะล่อพวกเขามาไม่ได้ เขา
หยิบมีดสั่นออกมา แอบคิดในใจว่า เมื่อขึ้นเขาแล้ว
ข้าจะจัดการพวกเจ้าทีละคนเลย
หยางหนิงก็ไม่ให้เสียเวลา หันหลังแล้วก็วิ่งขึ้นเขาไป
จากนั้นก็ได้ยินเสียงหมาเห่าดังมา เมื่อหันไปมอง ก็
เห็นคนราวๆ หกเจ็ดคนวิ่งตามมา มีบางคนจูงหมามา
ด้วย
วิ่งไปตลอดทาง ตรงขึ้นเขาไป มีต้นไม้เต็มไปหมด
ด้านหลังก็มีเสียงหมาเห่าไล่ตามมา คนพวกนั้นวิ่งบี้
ตามมาติดๆ
ยิ่งวิ่งเข้าไปในป่าลึก ถนนหนทางก็ยิ่งวิ่งยากขึ้น หยาง
หนิงเข้าใจหลักการเข้าป่าดี หุบเขานี้น่าจะมีระยะทาง
ประมาณยี่สิบสามสิบลี้ ก็ไม่ถือว่าเล็ก และก็ไม่รู้ด้วย
ว่ามีพรานป่าเข้ามาล่าสัตว์หรือไม่ เขารู้ว่าพวก
นายพรานที่มาล่าสัตว์ ชอบสร้างกับดักไว้บนเขา หาก
เขาไม่ทันระวังก็อาจจะโดนได้
เมื่อขึ้นเขาวิ่งเข้ามาในป่าแล้ว รอบๆ ก็มีแต่ความ
เงียบ ทางเดินลาบาก แรกๆ ยังพอได้ยินเสียงของ
สุนัขอยู่บ้าง แต่ไม่นานนักก็ไม่ได้ยินอะไรอีก แอบคิด
ในใจว่าอาจจะไม่ได้หลุดจากคนพวกนั้น แต่ว่าพวก
เขาตามมาถึงบนเขาแล้ว กลัวว่าเสียงหมาจะทาให้รู้
ตาแหน่งของพวกมัน เลยปิดปากหมาพวกนั้นเสีย
คนพวกนี้ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ไม่มีทางมาดีแน่นอน
กลางดึกเช่นนี้ หยางหนิงไม่รู้ด้วยซ้าว่าตัวเขาอยู่ส่วน
ไหนของภูเขา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว
บางอย่าง เขาคิดในใจว่าหรือว่าเจ้าพวกนั้นมันอยู่
ใกล้ๆ นี่ เขาจึงหลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ยื่นหัว
ออกมาดู เห็นเงาๆ หนึ่งอยู่ไม่ไกล เงาๆ นั้นรูปร่างสูง
ใหญ่ ด้านหลังหันมาทางเขา ในมือถือของชิ้นหนึ่ง
กาลังเดินไปทางกองหญ้า
หยางหนิงขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเขากาลังทาอะไรอยู่ แต่
เห็นว่าในมือของเขานั้นกาลังถือตะขอเหล็ก เขาเห็นมี
อะไรยาวๆ กาลังดิ้นอยู่ที่ตะขอเหล็กนั้น เมื่อมองดูดีๆ
มันคืองูตัวใหญ่ตัวหนึ่ง งูตัวนั้นถูกตะขอเหล็กเกี่ยว
เอาไว้ มันยังคงพยายามดิ้นอยู่ คนๆ นั้นยื่นมือออกไป
แล้วจับไปที่หัวของมัน
ตอนแรกคิดว่างูตัวนั้นคงไม่ยอมให้จับง่ายๆ ใครจะคิด
ว่าหลังจากที่คนๆนั้นจับไปที่หัวของมัน เจ้างูก็แน่นิ่ง
ไป ไม่ดิ้นต่ออีกเลย
คนๆ นั้นใช้ตะขอเหล็กจับงูวางบนพื้น แล้วหยิบ
กระสอบออกมา จากนั้นก็หยิบมีดโค้งออกมา นั่ง
ยองๆ ลงไป จากนั้นก็ตัดหัวงูออก แล้วก็สับงูตัวนั้น
ออกเป็นท่อนๆ แล้วจับโยนเข้าไปในกระสอบ
หยางหนิงคิดว่าหรือว่าคนๆนี้จะเป็นคนจับงูอย่างนั้น
หรือ?
ขณะที่กาลังคิดอยู่ ก็ได้เสียงเสียงเอะอะมาจากไม่ไกล
หยางหนิงไม่รู้ว่าเป็นคนพวกนั้นที่ตามมาหรือว่าเป็น
คนอื่น เขายังคงซ่อนอยู่หลังต้นไม้ คนจับงูจู่ๆ ก็เงย
หน้าขึ้นมา แล้วมองไปทางต้นเสียง จากนั้นก็หยิบ
ตะขอเหล็กขึ้นมา แล้วนั่งยองๆ ลงไปที่กองพุ่มหญ้า
เห็นคนที่เดินมาคนหนึ่งสวมชุดทางการ ในมือถือดาบ
เขางอตัวลง ช่างระวังตัวนัก หยางหนิงเห็นดังนั้น ก็รู้
ว่านี่คือคนที่ตามล่าตัวเขาอยู่ คนๆ นี้สวมชุดทางการ
แต่งตัวเหมือนคนที่เคยเจออยู่หมู่บ้านหลู่หวัง
ตอนนั้นผู้ดูแลหลัวพาชายฉกรรจ์ไปรีดไถอาหารที่
หมู่บ้านหลู่หวัง ก็แต่งตัวเช่นนี้
เห็นทั้งสี่คนมองไปรอบๆ เดินไปไม่กี่ก้าว แล้วก็ใช้
จมูกดมๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลง ก็พบงูตัวที่นักจับงูสับ
เหลือไว้อีกครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็เห็นถุงกระสอบที่อยู่
ข้างๆ เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เขี่ยถุงออก ทันใดนั้นก็ได้ยิน
เสียงร้อง เห็นคนจับงูวิ่งออกมาจากพุ่มหญ้า คนยังไม่
ทันมาถึง ตะขอเหล็กในมือกับพุ่งไปที่ชายฉกรรจ์แล้ว
หยางหนิงเห็นดังนั้นก็ตกใจ แอบคิดในใจว่าคนจับงูนี่
ช่างร้ายกาจยิ่ง ทั้งสองคนไม่เคยมีข้อบาดหมางกัน
แต่กลับลงมือถึงขั้นเอาชีวิต
ชายฉกรรจ์ไม่คิดว่าจะมีใครหลบอยู่หลังพุ่มหญ้า ส่วน
คนจับงูก็เหมือนลิง ไปมาว่องไว ชายฉกรรจ์ยังไม่ทัน
ได้ส่งเสียงอะไร ตะขอเหล็กก็แทงเข้าไปในคอของเขา
แล้ว ปลายแหลมแทงทะลวงคอของเขาไป หยางหนิง
เห็นสีหน้าคนจับงูเหี้ยมโหด ในใจก็รู้สึกหวั่นๆ
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 97 สลายร่าง
คนจับงูยกตะขอเหล็กขึ้นมา ชายฉกรรจ์คนนั้นยังไม่
ตาย เขายังคงนอนดิ้นอย่างทรมานอยู่ สีหน้าของคน
จับงู ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลาคอ เหมือนดีใจที่
ได้เห็นคนตาย
หยางหนิงรู้สึกขนลุก เขาคิดว่าชายผู้นี้เป็นเพียงคนจับ
งูธรรมดา แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว คนจับงูผู้นี้ไม่ใช่คน
ธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อครู่เขาพุ่งตัวออกมาจากพุ่ม
หญ้า ถึงแม้ร่างกายของเขากายา แต่การเคลื่อนไหว
ของเขาว่องไวนัก กระบวนท่าเดียวก็สามารถแทงตรง
เป้าไปที่คอของชายฉกรรจ์คนนั้นได้อย่างง่ายดาย เขา
จะต้องไม่ใช่คนจับงูธรรมดาแน่นอน
หยางหนิงดูจากการแต่งกายของเขาแล้ว พบว่าบน
ศีรษะของคนจับงูโพกผ้าเอาไว้ด้วย ทันใดนั้นเองเขาก็
นึกถึงสู่อ๋องซื่อจื่อที่เคยได้พบที่เมืองหลวงขึ้นมา คนผู้
นี้ดูๆ ไปก็เหมือนกับคนของสู่อ๋องซื่อจื่อที่โพกผ้าเลย
เขารู้ว่าที่ปาสู่มักจะพรางตัวเป็นเรื่องปกติที่เห็นได้
บ่อย แต่ที่นี่คือจิงหนาน ไม่ใช่ดินแดนของเมืองสู่ ไม่รู้
ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ชายฉกรรจ์ดิ้นอยู่พักหนึ่ง ร่างกายเริ่มไร้เรี่ยวแรง
แขนขาเริ่มอ่อนลง คนจับงูค่อยๆ สะบัดร่างของชาย
ฉกรรจ์ออกจากตะขอเหล็ก จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบ
อะไรบางอย่างออกมา ท่ามกลางความมืด หยางหนิง
เห็นไม่ชัดเจนนัก เห็นคนจับงูกาลังโรยผงอะไร
บางอย่างลงไปที่ศพ ในใจก็คิดสงสัย แอบคิดว่าชาย
ฉกรรจ์คนนั้นก็ตายไปแล้ว คนจับงูคิดจะทาอะไรกัน
แน่
คนจับงูเทผงลงไปที่ศพ จากนั้นก็เก็บของชิ้นนั้น
กลับไป จากนั้นก็ไปหยิบงูที่สับไว้ที่เหลือโยนเข้าถุง
กระสอบ
หยางหนิงได้กลิ่นเหม็นลอยมา กาลังแปลกใจ กลับ
เห็นที่ตัวศพมีควันลอยขึ้นมา ควันนั้นค่อยข้างบาง
หยางหนิงจึงเห็นมันได้อย่างชัดเจน
คนจับงูผู้นี้ช่างเชี่ยวชาญในการจับงูยิ่งนัก เขาคุ้นเคย
กับการเคลื่อนไหวของงูเป็นอย่างดี พริบตาเดียว
สามารถสับงูตัวใหญ่ออกได้ จากนั้นเขาก็ลุกขึน้ หยิบ
ตะขอเหล็ก ถือถุงกระสอบ ไม่แม้แต่จะมองศพ
จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปเลย
หยางหนิงดูจนแน่ใจว่าคนจับงูไปแล้วจริงๆ ถึงได้เดิน
เข้าไปดู เมื่อไปถึงข้างศพเขาก็แทบอ้วก เห็นศพของ
ชายฉกรรจ์เหลือแค่ครึ่งตัวเท่านั้น เนื้อเละ เห็นแต่
กระดูก ส่วนครึ่งตัวบนหนังกับกระดูกก็ไม่เหลือแล้ว
มีเพียงเลือดที่นองอยู่ที่พื้น ตอนนี้อีกไม่นานครึ่งตัว
ล่างของเขาก็จะเน่าเละจนสลายไป กลิ่นเหม็นเน่านั้น
มาจากศพนี้นั่นเอง
หยางหนิงใช้มือปิดจมูก อากาศเริ่มหนาวเย็น ถึงแม้
ชายฉกรรจ์จะไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่ว่าคนจับงู
ฆ่าเขาเช่นนี้ แถมยังสลายร่างเขาอีก เหี้ยมโหดยิ่งนัก
หากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ใครจะคิดว่าใน
ช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้หนังกับกระดูกจะสลายจนไม่
เหลือเลย
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงนกร้องมาจากบนฟ้า หยาง
หนิงเงยหน้าขึ้นไปมอง ท่ามกลางความมืด เห็น
เหยี่ยวตัวหนึ่งกาลังบินโฉบมา เสียงของมันเหมือน
สัตว์ป่ายิ่งนัก
หยางหนิงเพิ่งรู้ว่าในภูเขาแห่งนี้มีคนจับงูที่เหี้ยมโหด
มากขนาดนี้ เขาเริ่มระวังตัวมากขึ้น แอบคิดว่าเมื่อครู่
คนจับงูแอบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ หลังจากนั้นก็ไม่พูด
มากความ เข้าจู่โจมในทันที ดังนั้นตัวเองต้องระวังตัว
มากขึ้น จะให้คนจับงูมาลอบโจมตีไม่ได้
เขามองไปทางที่คนจับงูนั้นเดินจากไป ในใจก็สงสัย
ที่มาที่ไปของคนผู้นั้น แต่ตัวเองตอนนี้กาลังถูกไล่ล่า
ไม่จาเป็นต้องไปหาเรื่องมาใส่หัวเพิ่มอีก จึงเดินไปอีก
ทางหนึ่ง
จวนเก่าตระกูลฉีถูกคนควบคุมเอาไว้หลายปีมาแล้ว
ทางเมืองหลวงไม่รู้เรื่องนี้เลย ตอนนี้มารู้เรื่องนี้ก็ต้อง
ตกใจเป็นธรรมดา
แต่ที่ทาให้หยางหนิงสงสัยมาก นั่นก็คือหลังจากคน
พวกนี้หลอกใช้ฉีเฉิงควบคุมจวนเก่าเอาไว้ สามปีมานี้
ยังคงส่งเงินภาษีไปยังเมืองหลวงตามปกติ พวกเขาทา
เพื่ออะไรกัน จวนโหวไม่มีความสงสัยเลย แต่ว่าพวก
เขาทาไปทาไม พวกเขาอดทนมาถึงสามปี หากมี
แผนการชั่วร้ายจริง คิดว่าต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
หัวหน้าของพวกมันก็น่าจะเป็นจ้าวยวนที่ถูกเรียกว่า
“ท่านผู้พิพากษา” แต่หยางหนิงคิดว่าน่าจะมีคนที่อยู่
เบื้องหลังนี้อีก
จิ่นอีโหวเป็นตระกูลศักดินาที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้
ตาแหน่งสูงศักดิ์ เป็นขุนนางตาแหน่งสาคัญของราช
สานัก ไม่มีทางกล้าลงมือกับจิ่นอีโหวหรอก แต่พวก
ของจ้าวยวนกลับกล้าที่จะควบคุมจวนเก่าเอาไว้ในมือ
วางกับดักทาร้ายจิ่นอีซื่อจื่อ แน่นอนว่าเรื่องนี้คน
ธรรมดาก็คงไม่กล้าทา
กับดักที่คลังหิน ใช้ควันไห่ถังบีบให้กู้ชิงฮั่นทาเรื่องน่า
ละอายกับตัวเอง วิธีต่าช้าเช่นนี้ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น
จ้าวยวนคงรู้ดีว่า หากสามารถควบคุมตัวเขาได้ ก็จะ
คิดแผนการชั่วร้ายที่ใหญ่หลวงขึ้นมาแน่นอน
หากตัวเขาสามารถรอดไปได้ จะต้องกาจัดพวกนั้นไป
อย่างแน่นอน แต่หยางหนิงรู้ดีว่าพวกนี้วางรากฐาน
ที่นี่มาหลายปี จะต้องมีกาลังและอิทธิพลไม่น้อย หาก
อาศัยเพีงกาลังของตน คงไม่สามารถกาจัดคนพวกนี้
ได้ แถมยังอาจจะย้อนกลับมาทาร้ายตนได้ด้วย ดังนั้น
ก่อนจะลงมือ จะต้องวางแผนเอากาลังคนให้ดี ก่อน
อื่นจะต้องโยกเอาทหารจากทางเจ้าเมืองเจียงหลิงมา
ล้อมไว้ก่อน
ด้วยฐานะของจิ่นอีโหว การขอกาลังทหารจากเจ้า
เมืองเจียงหลิง ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร
กาลังคิดอยู่ว่าหลังจากที่รอดไปได้แล้วจะทาอย่างไร
ต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลมลอยมา ดาบคมๆ เล่ม
หนึ่งกาลังพุ่งมาที่ตัวเขา
ปฏิกิริยาของหยางหนิงนั้นไวมาก เขาไม่ได้หลบไป
ข้างๆ แต่ย่อตัวลง จากนั้นก็วิ่งพุ่งเข้าไปชนคนที่ลงมือ
ความเร็วเขาเร็วยิ่งนัก คนผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าหยางหนิง
จะมาไม้นี้ หยางหนิงชนเข้าไปอย่างแรง คนผู้นั้นร้อง
ขึ้นมาว่า “โอ้ย” แต่คนนั้นร่างกายกายา หยางหนิง
ร่างกายบอบบาง ขณะที่ชน ถึงแม้เขาจะถอยไปสอง
ก้าว แต่ก็ไม่ได้ล้มลง
หยางหนิงไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสครั้งที่สอง
อย่างแน่นอน ตอนนี้เอง หากมีเมตากับศัตรูมันคือ
การทาผิดกับตัวเอง เขายื่นมือออกไป ใช้มีดสั้นของ
ตัวเองแทงเข้าไปที่หัวใจของอีกฝ่าย
เขารู้จักจุดต่างๆ ในร่างกายดี ถึงแม้ในสถานการณ์คับ
ขันเช่นนี้ แต่เขาก็สามารถเล็งไปที่เป้าหมายของอีก
ฝ่ายได้อย่างชัดเจนและแม่นยา จากนั้นเขาก็ดึงเอามีด
ออก หลบไปข้างๆ คนผู้นั้นยืนโซซัดโซเซไปมา
จากนั้นก็ล้มลง หยางหนิงเห็นคนผู้นั้นสวมชุดที่คล้าย
กับพวกของจ้าวยวน
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าพร้อมพูดว่า
“ซื่อจื่อฝีมือท่านช่างร้ายกาจยิ่งนัก แต่ว่าท่านไม่มีทาง
หนีรอดไปได้แล้ว” มันเป็นเสียงของจ้าวยวน หยาง
หนิงเงยหน้าไปมอง เห็นร่างของเขาอยู่ห่างไม่กี่ก้าว
เงาของคนผู้นั้นกาลังยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือของอะไร
บางอย่าง เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้วมันเป็นธนูที่
กาลังเล็งมาที่ตัวเขา
“ซื่อจื่อเกิดในตระกูลนักรบ ก็น่าจะรู้ว่ามันคืออะไร”
จ้าวยวนยิ้ม “เมื่อยิงมันออกไป ชีวิตของซื่อจื่อก็จะทิ้ง
อยู่ตรงนี้”
หยางหนิงได้ยินเสียงดังขึ้น เมื่อหันไปมอง ก็เห็นมีคน
สองคนถือดาบซ้ายคนขวาคน กาลังยื่นจ้องมาที่
ตัวเอง
“เจ้าคือฉีหนิงรึ” คนผู้หนึ่งมองมาที่หยางหนิง แล้วก็
ตกใจ จากนั้นก็ยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้า
ก็คือจิ่นอีซื่อจื่อ คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้เจอกันที่นี่
ก่อนหน้านี้เจ้าไปสามหาวที่หมู่บ้านหลู่หวัง แม้แต่
ผู้ดูแลหลัวเองยังถูกจับตัดเอ็นจนขาด ทาให้เขาลุกไป
ไหนมาไหนไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะมาอยู่ในกา
มือของพวกข้าใช่หรือไม่เล่า?”
หยางหนิงได้ยินดังนั้น ในใจก็คิดว่าผู้ดูแลหลัวพวกนี้
จะต้องเป็นพวกที่ติดตามเขาไปที่หมู่บ้านหลู่หวังแน่ๆ
จ้าวยวนร้องออกมาว่า “อ่อ” จากนั้นก็มองไปที่ห
ยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้คนที่ลงมือที่หมู่บ้านหลู่
หวังคือเจ้าเองรึ? ได้ยินชื่อเสียงไม่สู้มาเห็นหน้า ข้าคิด
ว่าจิ่นอีซื่อจื่อเป็นคนที่ไร้ความสามารถ ตอนนี้ดูๆ ไป
แล้ว ซื่อจื่อนี่ซ่อนความสามารถไว้เก่งกาจยิ่งนัก”
จากนั้นก็เดินเข้าไปสองก้าว “เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้
มาก...มีดในมือของเจ้าเล่มนั้น มันเป็นมีดที่ใช้ขูด
กาแพงคลังหินอย่างนั้นหรือ? สามารถใช้ทาลายหินใน
เวลาสั่นๆ ได้ เป็นมีดที่ไม่ธรรมดาเลยนะ”
“จ้าวยวน...อ่อ ไม่สิ ข้าต้องเรียกเจ้าว่าผู้พิพากษาถึง
จะถูก” หยางหนิงจ้องไปที่จ้าวยวน อีกทั้งระวังสอง
คนข้างหลังจะลอบทาร้ายอีกด้วย “พวกเจ้าวางแผนที่
ชั่วช้าพวกนี้ พวกเจ้าทาเพื่ออะไรกัน?”
จ้าวยวนพูดกับหยางหนิงว่า “ซื่อจื่อวางมีดลงก่อน
เถอะนะ”
“พวกเจ้าสามคนอยู่ตรงนี้ ธนูยังอยู่ในมือ ยังจะต้อง
กลัวข้าอีกรึ?” หยางหนิงยิ้มแสร้งทาเป็นยิ้มแล้วพูดว่า
“แม้แต่จวนเก่าจิ่นอีโหวยังกล้ายึด ข้าคิดเจ้าก็มีความ
กล้าไม่เบาเลยนะ”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีซื่อจื่ออย่างเจ้ามันเจ้า
เล่ห์นัก ข้าทาอะไรระวังตัวตลอด ไม่มีทางให้ตัวเอง
ต้องเดือดร้อนหรือเสี่ยงแน่นอน มีดยังอยู่ในมือของ
เจ้า ข้าไม่วางใจ” ธนูในมือค่อยๆ ยกขึ้น “ซื่อจื่อท่าน
เชื่อฟังพวกข้าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเกิดข้าร้อนใจ
ขึ้นมา ไม่ทันระวัง ยิงธนูออกไปจะทาอย่างไร”
หยางหนิงยิ้ม แล้วทิ้งมีดไปที่ปลายเท้า จ้าวยวนถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ซื่อซื่อจริงๆ ท่านไม่น่าจะต้องมา
ลาบากเช่นนี้ หากท่านอยู่ในคลังหินแล้วมีอะไรกับกู้
ชิงฮั่นเสีย ก็อาจจะไม่ต้องมาตายเช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้
ข้าก็รับประกันอะไรไม่ได้”
“หา?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่มีความลับ
ของข้าแล้ว ก็ควบคุมข้าไม่ได้แล้วสินะ ดังนั้นก็เลยจะ
ฆ่าข้าทิ้งอย่างนั้นหรือ?”
จ้าวยวนตอบกลับไปว่า “ซื่อจื่อท่านก็ฉลาดอยู่ไม่น้อย
ครู่เดียวก็เดาเรื่องราวออกแล้ว”
“ข้าก็แค่แปลกใจ พวกเจ้ามียาปลุกกาหนัดนั่น แล้ว
เหตุใดจะต้องเสียเวลาหลอกข้าไปที่คลังหินที่แม่น้าหง
ซาด้วย” หยางหนิงถามต่อว่า “พวกเจ้าควบคุมจวน
เก่าเอาไว้แล้ว วางกับดักที่จวนเก่า ไม่ง่ายกว่าหรือ?”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเคยบอกแล้ว ข้าทาอะไร
จะต้องไม่พลาด หากให้เจ้าอยู่กับกู้ชิงฮั่นบนเตียง
เดียวกัน ก็ใช่ว่าจะทาไม่ได้ แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะ
ไม่มีข้ออ้างให้คนอื่นได้เห็นพวกเจ้าอยู่ด้วยกัน ไม่มีคน
นอก เรื่องนี้ก็จะไม่เป็นผล อีกทั้งคนที่เจ้าพามาก็ไม่ใช่
ธรรมดา หากมีคนเห็นช่องโหว่เข้า ก็จะแย่”
“ลาบากวางแผนกันจริงๆ เลย” หยางหนิงพูดต่อไป
ว่า “คนที่จวนเก่ารู้ว่าข้าออกมาตามหาฮูหยินสาม
เจ้าปิดปากพวกเขาได้อย่างไรกัน?”
“ซื่อจื่อช่างดูถูกพวกข้ายิ่งนัก หลายปีมานี้พวกเขาจับ
พิรุธไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพียงพวกข้าจงใจหวาดกลัว
ต่อฉีเฉิงหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว ขอพูดตามตรงเลยก็
แล้วกันนะ ฉีเฉิงพูดคาเดียว ได้เรื่องกว่าซื่อจื่ออย่าง
ท่านอีก” จ้าวยวนพูดอย่างนิ่งๆ ว่า “จริงๆ พวกเรา
ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ซื่อจื่อ
น่าจะคิดหาทางเอาชีวิตรอดตอนนี้เสียก่อนนะ”
หยางหนิงหัวเราะร่าออกมาแล้วพูดว่า “ธนูอยู่ในมือ
เจ้า ตอนนี้ข้ามือเปล่า ข้าอยากจะมีชีวิตรอดไป ก็ต้อง
ทาตามเงื่อนไขของเจ้า”
“คนที่รู้สถานการณ์ตัวเองถือเป็นคนฉลาด” จ้าวยวน
หัวเราะ “ซื่อจื่อพูดมาแบบนี้แล้ว พวกเราก็พอจะคุย
กันได้” ทันใดนั้นเอง เขาก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง แล้วโยน
ของอย่างหนึ่งไปให้หยางหนิง หยางหนิงยื่นมือรับเอา
มา มันเป็นขวดเล็กขวดหนึ่ง จ้าวยวนพูดต่อว่า “ข้าง
ในมียาอยู่สองเม็ด เพียงซื่อจื่อกินมันเข้าไป ก็จะรอด”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 98
ไม่รู้ภัยใกล้ตัวจากนกขมิ้นที่อยู่ด้านหลัง
หยางหนิงรู้ดีว่ายาในขวดนี้น่าจะเป็นยาพิษ เขายิ้ม
แล้วถามว่า “ดูท่าข้าจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ แต่
ว่าข้ายังมีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเจ้าจะชี้แนะข้าได้
หรือไม่?”
“ซื่อจื่อคิดอยากจะถามอะไรเล่า?” จ้าวยวนรู้ว่าเรื่อง
ทั้งหมดอยู่ในกามือแล้ว จึงไม่รีบร้อนอะไร
หยางหนิงถามขึ้นว่า “การเก็บภาษีทดี่ ินศักดินาสี่ส่วน
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก ฮูหยินสามตรวจบัญชี ก็ไม่พบ
สิ่งผิดปกติอะไร”
จ้าวเยียนจึงพูดขึ้นว่า “ไม่ผิด การทาบัญชีปลอม
เสียเวลาลงแรงมากก็จริง” เขายิ้มแล้วพูดต่อไปอีกว่า
“บัญชีพวกนั้น ทาไว้เพื่อรับมือกับพวกเจ้าอย่างไรเล่า
ข้ารู้ว่ากู้ชิงฮั่นจะต้องตรวจบัญชีแน่ๆ จึงเตรียมการไว้
ก่อนแล้ว”
“เอาไว้รับมือกับพวกข้าอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงนิ่ง
ไป “หรือว่าพวกเจ้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเราจะมาที่นี่?”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อเหตุใดเจ้าไม่คิดบ้างล่ะ
ว่า หลายปีมานี้เงินภาษีไม่เคยขาดส่งไปที่เมืองหลวง
เลย แล้วเหตุใดถึงมาขาดในเวลาเช่นนี้ได้เล่า? พวก
เจ้ากลับมาที่เจียงหลิง มันก็คือหนึ่งในแผนการของ
พวกเรา การทาบัญชีปลอม มันเป็นเรื่องที่เตรียมไว้
ก่อนแล้ว”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามั่นใจ
ขนาดนั้นเลยหรือว่าพวกเราจะต้องกลับมา?”
จ้าวยวนพูดว่า “แน่นอน จวนจิ่นอีโหวไม่มีเงินใช้ เงิน
ภาษีก็ส่งมาไม่ถึงเสียที ส่งคนมาก็ไม่มีใครกลับไป
รายงานสักคน พวกเจ้าก็ต้องมาเอง”
หยางหนิงคิดในใจว่า ทางจวนส่งคนมาถามเรื่องเงิน
ภาษี หลายต่อหลายคนก็ไม่มีข่าวคราว คนที่ส่งมาก็
หายไปหมด จวนโหวรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงา
เขาขมวดคิ้วแล้วถามต่อว่า “หรือว่าคนที่ส่งมา
ทั้งหมดถูกพวกเจ้า...?”
“ซื่อจื่อท่านรู้อยู่แล้ว แล้วเหตุใดท่านยังต้องมาถามข้า
เล่า” จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขายังมาไม่ถึงจวน
เก่าด้วยซ้าก็ตายอยู่กลางทางเสียแล้ว ไม่มีทางกลับไป
รายงานอะไรพวกท่านได้อีก”
“เจ้าหมายความว่า พวกเจ้ามีคนอยู่ในจวน บอก
ความเคลื่อนไหวของพวกเขาให้รู้อย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงถามอีกว่า “พวกเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้า
หมดแล้วใช่หรือไม่?”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านกินยาลงไปก่อน
เถิด เรื่องอะไรหลายๆเรื่องก็จะชัดเจนขึ้น”
หยางหนิงจับขวดเอาไว้ แล้วถามว่า “ข้าอยากรู้ว่า
พวกเจ้าต้องการให้ข้าร่วมมืออะไรกับเจ้า? พวกเจ้า
ต้องการให้ข้าอยู่ในการควบคุมของพวกเจ้า ข้าก็ต้องรู้
ก่อนสิว่าต้องการให้ข้าทาอะไร?”
“จริงๆ ซื่อจื่อท่านก็ไม่ต้องทาอะไรทั้งนั้น” จ้าวยวน
พูดต่อไปว่า “จริงๆหากท่านมีเสพสังวาสกับกูช้ ิงฮั่น
ทาเรื่องที่ผิดศีลธรรม ท่านเองก็คงไม่มีหน้าจะรับ
ตาแหน่งจิ่นอีโหว...!”
หยางหนิงเหมือนนึกขึ้นมาได้ แล้วพูดกลับไปว่า
“ฉีอวี้รึ? พวกเจ้าเป็นคนของฉีอวี้อย่างนั้นรึ?” เขาคิด
ขึ้นมาได้ว่า ฉีอวี้ลูกอนุภรรยาจ้องตาแหน่งจิ่นอีโหวอยู่
สองแม่ลูกคิดวางแผนชิงตาแหน่งจิ่นอีโหวไป เหมือน
จ้าวยวนต้องการจะให้เขาปล่อยตาแหน่งจิ่นอีโหวไป
เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อตัวเองรับตาแหน่งจิ่นอีโหว คนที่ถูก
ทิ้งก็น่าจะเป็นฉีอวี้ คนพวกนี้เป็นคนของฉีอวี้รึ?
จ้าวยวนพูดขึ้นมาว่า “อ๋อ” จากนั้นก็พูดอีกว่า “เจ้า
บอกว่าฉีอวี้ ลูกอนุในจวนตระกูลฉีใช่หรือไม่? เจ้า
ประเมินเขาสูงไปหรือไม่ พวกข้าไม่ใช่คนของเขาเสีย
หน่อย แต่เขาเองก็เป็นหมากตัวหนึ่งของพวกข้า
เช่นกัน”
หยางหนิงตกใจ แอบคิดว่าคนพวกนี้มีความเกี่ยวข้อง
กับฉีอวี้จริงๆ ด้วย แต่ว่าจากน้าเสียงของจ้าวยวน เขา
ไม่ได้มีท่าทีใยดีกับฉีอวีเ้ ลย หยางหนิงเชื่อใน
ความสามารถของฉีอวี้ ไม่มีทางวางแผนอะไรพวกนี้
ได้อย่างแน่นอน จ้าวยวนบอกว่าฉีอวี้เป็นเพียงหมาก
ตัวหนึ่งของพวกเขา เรือ่ งนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก
คนพวกนี้บังอาจยึดจวนเก่าเอาไว้ในกามือ คิดจะก่อ
ความวุ่นวายจับตัวซื่อจื่อ เพื่อให้ฉีอวี้ได้ตาแหน่งไป
ส่วนฉีอวี้ก็ถูกหลอกใช้ ไม่อยากจะคิดเลย ว่า
เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไรกันแน่
หยางหนิงรู้ว่าเมื่อกินยานี้เข้าไป เป็นตายอยู่ในกามือ
ของพวกมันแล้ว เขาเกร็งขาขึ้นมา อยากจะใช้ท่าเท้า
ท่องคลื่นหนีเอาตัวรอด
พวกของหมู่บ้านหลู่เคยปะทะฝีมือกันมาแล้ว ชาย
ฉกรรจ์สองคนข้างหลังฝีมือธรรมดา รับมือได้ง่าย แต่
ว่าธนูในมือของจ้าวยวนนี่สิสาคัญที่สุด
เขาก็พอจะรู้จักอาวุธชนิดนี้อยู่ รู้ว่าหากยิงออกมามัน
จะเร็วยิ่งนัก ตอนนี้อยู่ห่างจากเขาไม่กี่ก้าวเท่านั้น ขอ
เพียงอีกฝ่ายยิงมันออกมา ตัวเขาก็หนีไม่พ้นแล้ว
แน่นอน แต่ว่าหากหลบได้ก็อาจจะเปลี่ยนจากฝ่าย
เสียเปรียบเป็นได้เปรียบก็ได้
ท่าเท้าท่องคลื่นที่แปลกประหลาด ที่นี่มีแต่ต้นไม้ จะ
หลบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ขณะที่เขากาลังคิดอยู่ ก็ได้ยินจ้าวยวนพูดขึ้นมาว่า
“ซื่อจื่อ ยังมีเวลาอีกมาก ท่านรีบกินยาลงไปเถอะ
เรื่องหลังจากนี้ท่านอยากจะรู้อะไร ท่านไม่ต้องถาม
ข้าก็จะบอกท่านเอง”
หยางหนิงเปิดขวดออก ได้กลิ่นเหม็นลอยมา แค่ได้
กลิ่น ก็รู้ว่าของข้างในไม่ใช่ของดีอะไร
จ้าวยวนกลับยกธนูขึ้นมา เล็งมาที่หยางหนิง เหมือน
กลัวว่าหยางหนิงจะเล่นลูกไม้อะไรอีก
ในเวลานี้เอง ก็เหมือนมีอะไรลอยอยู่กลางอากาศ
พริบตาเดียวก็มาอยู่ที่มือของจ้าวยวน จ้าวยวนรู้สึกว่า
มันหนาวเย็นเหลือเกิน มันเริ่มเคลื่อนไหว จ้าวยวน
ตกใจมาก รีบเก็บมือกลับไป เขาเห็นได้ชัดว่าที่มือของ
เขามีงูเขียวตัวหนึ่งกาลังเลื้อยอยู่ มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หน้าของจ้าวยวนเริ่มถอดสี ปล่อยมือออกไป แล้วใช้
มือสะบัดอย่างแรง คิดอยากจะทาให้งูตัวนั้นหล่นลง
ไปที่พื้นให้ได้ ใครจะคิดว่าเจ้างูนั่นกลับรัดแน่นขึ้นอีก
เหมือนกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของมือนั้นไปแล้ว ไม่ว่า
อย่างไรก็จะไม่ตกลงไปเด็ดขาด
หยางหนิงเห็นดังนั้น แอบคิดว่าสวรรค์ช่วยข้าแล้ว
ฉวยโอกาสรีบหยิบมีดสั้นที่อยู่ที่พื้นขึ้นมา เขารู้ว่าต้อง
รีบลงมือก่อน จากนั้นก็กลิ้งตัวไปหาจ้าวยวน
จ้าวยวนเองก็มีปฏิกิริยาไวไม่น้อย มือของเขาถูกงูพัน
อยู่ ไม่สามารถยิงธนูได้แล้ว เห็นหยางหนิงกลิ้งมาหา
เขา ก็รีบถอยหลัง พิงไปกับต้นไม้ แล้วกระแทกมือที่มี
งูอยู่กระแทกกับต้นไม้อย่างแรง วิธีนี้ได้ผล เมื่อเขา
กระแทกกับต้นไม้แล้ว งูก็หลุดออก
ชายฉกรรจ์สองคนได้สติกลับมา ร้องตะโกนอย่างฮึก
เหิม แล้วถือดาบพุ่งเข้าหาหยางหนิง
แต่แค่เดินออกไปสองก้าว ก็มีคนหนึ่งร้องขึ้นมาด้วย
ความตกใจว่า “งู...งู...!” แล้วก็ไม่กล้าเดินเข้ามาอีก
จากนั้นก็เห็นงูอีกราวสิบตัวหล่นลงมาจากฟ้า ราวกับ
สายฝน
หยางหนิงคิดอยากจะจับตัวจ้าวยวนเอาไว้ กลับรู้สึก
ว่างูกาลังหล่นลงมาใส่ตัวเขา ตอนนี้จึงไม่มีเวลาสนใจ
จ้าวยวน เขาใช้มีดสั้นปัดแกว่งไปในอากาศ
พริบตาเดียวงูก็ขาดเป็นสองท่อน
งูมาแปลกๆ เช่นนี้ หยางหนิงไม่เข้าใกล้จ้าวยวน แต่
หลบไปข้างๆ อย่างรวดเร็ว
จ้าวยวนเจองูตัวหนึ่งรัดเขาเอาเป็นเอาตาย ใครจะคิด
ว่าจะมีงูหล่นลงมาอีกสิบตัว ในตอนนี้มีงูอยู่บนตัวเขา
กว่าสามสี่ตัว บางตัวพันอยู่ที่มือ บางตัวอยู่ที่คอ
ชายฉกรรจ์สีหน้าตกใจ ไม่กล้าเดินเข้าไป ทันใด
นั้นเองก็เห็นคนผู้หนึ่งกระโดดโลดเต้น ทิ้งดาบในมือ
แล้วยื่นมือไปจับเสื้อของตัวเอง แล้วกระโดดไปมา
ร้องตะโกนออกมาว่า “แย่แล้ว มีงูอยู่ในตัวข้า รีบมา
ช่วยข้าจับที”
เพื่อนข้างๆ ของเขาจะไปกล้าช่วยเขาได้อย่างไร เขา
ถอยหลังออกไป จากนั้นร้องตะโกนและวิ่งหนีไป แต่
ไปไม่ถึงไหน ก็เห็นชายกายาร่างใหญ่ยืนขวางเอาไว้
จากนั้นก็เห็นคนผู้หนึ่งถือสามง่ามเดินมาหาตนเอง
คนผู้นั้นตกใจมาก แต่ก็ไม่ได้หยุดเดิน ยกดาบขึ้นมา
แล้วก็ฟันลงไป จากนั้นเขาก็พุ่งมาที่ชายฉกรรจ์อีกคน
หนึ่งอย่างรวดเร็ว ชายฉกรรจ์คนนั้นกาลังจะรับมือ
แต่เห็นสามง่ามหมุนสะบัด อ้อมไปที่ข้อมือของเขา
มันแทงเข้าไปที่มือของเขา เขาร้องออกมาด้วยความ
เจ็บปวด ดาบหลุดจากมือของเขาไปในทันที
อีกฝ่ายถือสามง่ามอย่างสบายๆ ใช้สามง่ามเกี่ยวตัว
ชายฉกรรจ์ไปพร้อมยกตัวเขาขึ้น จากนั้นก็ทิ้งตัวเขา
ลงมาอย่างแรง
หยางหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ กาลังจะหลบไป
แต่เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าว ก็เห็นมีเงาๆ หนึ่งโผล่ออกมา
เป็นชายกายาร่างยักษ์ผู้นั้น หยางหนิงมองไป ก็จาได้
ทันทีว่าคนๆ นั้นคือคนจับงูที่เขาเห็น เขารู้ว่าคนๆ นี้
เหี้ยมโหดนัก ลงมือไม่มีความเมตตา เห็นอีกฝ่ายที่ถือ
สามง่ามพุ่งเข้ามา เขาก็ไม่ได้คิดจะหลบ ในมือถือมีด
สั่นรับมือไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียง “แกรก แกรก
แกรก” สามง่ามของเขาก็ขาดเป็นท่อน
คนจับงูพลันตกใจ ทันใดนั้นเองเขาก็ร้องตะโกน
ออกมาเหมือนกับสัตว์ป่า ใช้สามง่ามที่เหลืออยู่ตวัด
เข้าใส่หยางหนิง
อีกฝ่ายมีแรงมาก แถมยังมีสามง่ามลงมาอีก หยาง
หนิงเห็นอีกฝ่ายสูงใหญ่กาลังมากกว่า ตัวเขารู้ว่าใช้
แรงรับมือคงไม่ไหวแน่ เลยถอยหลังไปสองก้าว เพื่อ
หลบสามง่ามนั้น ทันใดนั้นเองในมือเหมือนถูกรัดไว้
แน่น งูตัวหนึ่งกาลังเลื้อยพันที่มือของเขา หยางหนิง
ปฏิกิริยาฉับไวไม่น้อย งูตัวนั้นก็ไม่ช้า เหมือนถูกฝึก
มาแล้วเป็นอย่างดี มันเลื้อยเร็วยิ่งนัก หยางหนิงไม่
ลังเลใช้มีดสั้นของเขา ฟันไปที่คองู
เขาคิดว่าคนจับงูจะฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้ามา ใครจะคิด
ว่าคนจับงูกลับถอยหลังออกไป หยางหนิงยิ่งมองยิ่ง
แปลกใจ ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากด้านหลัง
เสียงนั้นทาให้เขาตกใจเป็นอันมากจึงหันหลังกลับไปดู
เห็นแมลงบินมาทั่วทุกสารทิศ เสียงที่ได้ยินนั้น มันคือ
ผึ้ง
เมื่อผึ้งนับสิบตัวพุ่งเข้ามา หยางหนิงคิดอยากจะฉีก
เสื้อมาบังหน้าเอาไว้ แต่ก็รู้สึกเจ็บที่คอไม่น้อย เขาถูก
ผึ้งต่อยเข้าให้แล้ว
ตอนนี้จ้าวยวนถูกงูพันอยู่เจ็ดแปดตัว จ้าวยวน
พยายามดิ้น กลับไม่เป็นผล ชายอีกคนดิ้นอยู่ที่พื้น
บนตัวก็มีงูอยู่ประมาณสามสี่ตัว
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่ง เป็นเสียงขลุ่ยมันฟัง
ลื่นหูยิ่งนัก ผึ้งที่บินอยู่ฝูงใหญ่ทันใดนั้นก็บินหายวับไป
กับตา หยางหนิงมองไปตามทางที่ผึ้งบินไป เห็นต้นไม้
ใหญ่มีกิ่งยื่นออกมา กิ่งไม้นั้นมีคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ เห็นได้
ชัดเจนว่ามีคนนั่งอยู่บนนั้น เขายื่นเท้าออกมา ในมือ
ถือบ้านไม้ไผ่เล็กๆ ผึ้งบินเข้าบ้านไม้ไผ่เล็กๆ นั้นไป
หยางหนิงมองไปดีๆ คนที่อยู่บนต้นไม้เป็นหญิงสาววัย
สิบหกสิบเจ็ดปี ถึงแม้จะเป็นกลางคืน แต่สองขาขาว
เรียวนั้นมันช่างดูสะดุดตานัก มือทั้งสองข้างก็โผล่ให้
เห็นชัดอยู่ ขาวเรียวราวกับหิมะ จากนั้นก็ได้ยินเสียง
ของหญิงคนนั้นพูดว่า “เจ้าพวกสวะ ทาให้ข้าไม่ได้ดู
อะไรดีๆ เลย พวกเจ้าสมควรตายจริงๆ!” คาพูดของ
นางหยาบคายยิ่งนัก
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 99 สาวน้อย
หยางหนิงไม่รู้ว่าสวะที่นางพูดถึงนั้นหมายถึงผู้ใด ใน
เวลานี้เขาก็ได้พบว่า ห่างออกไปไม่ไกลมีอีกคนหนึ่งที่
แต่งตัวเหมือนกับคนจับงูผู้นั้น ทั้งสองรูปร่างสูงใหญ่
ถือสามง่ามเหมือนกัน อาจเป็นฝาแฝดกัน
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งถูกแขวนบนต้นไม้ ในเวลานี้ก็
แน่นิ่งไปแล้ว ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก ไม่รู้ว่าตาย
แล้วหรือว่าสลบไป อีกคนที่อยู่บนพื้นก็ร้องโหยหวน
ด้วยความเจ็บปวดทรมาน คนจับงูก็เดินเข้าไป แล้ว
หยิบเชือกขึ้นมาเส้นหนึ่ง ไม่ได้กลัวงูที่อยู่บนตัวของ
ชายฉกรรจ์แม้แต่น้อย แล้วจับเขามัดเอาไว้
ธนูในมือของจ้าวยวนหล่นไปแล้ว ตอนนี้บนตัวของ
เขาเต็มไปด้วยงู เขาพิงอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ มือทั้งสองของ
เขาถูกพันจนแน่นไปหมด คอก็ถูกรัดจนทรุดตัวลงไป
นั่งกับพื้น
หยางหนิงมองคนที่อยู่บนต้นไม้ ถึงแม้นางจะมีแขนขา
ที่เรียวขาว เสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ก็ไม่เห็นหน้าของ
นางชัดเท่าไหร่นัก
ทันใดนั้นเองหญิงสาวคนนั้นก็กระโดดลงมาจากต้นไม้
หยางหนิงตกใจ คิดว่านางไม่ระวังจึงตกลงมาจาก
ต้นไม้ ต้นไม้ห่างจากพื้นราวห้าหกเมตร หากตกลงมา
แบบนั้น ไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก เขาตะโกนออกไปว่า
“ระวัง...!”
หญิงคนนั้นหล่นลงมา ยกมือไว้ข้างหนึ่ง ในมือข้างนั้น
จับแส้เอาไว้ แส้ก็ไม่ได้สั้น มันเหมือนเชือก หญิงดึง
เชือกที่อยู่กลางอากาศ ยิ้มแล้วหันมาพูดกับหยางหนิง
ว่า “เจ้าบอกให้ข้าระวังรึ?”
ตอนนี้หยางหนิงก็พอจะเดาได้แล้วว่า คนจับงูสองคน
นั้นน่าจะเป็นพวกเดียวกับหญิงคนนี้ คนจับงูทั้งสอง
คนนี้ต่างก็เป็นคนที่ช่างชั่วร้ายและเหี้ยมโหด หญิงคน
นี้ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน อาจจะไม่ใช่คนดีอะไร เมื่อครู่
เขาร้อนใจพูดออกไป ตอนนี้ได้ฟังหญิงคนนี้ถามเขา
เช่นนี้ เขาเองก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
หญิงคนนั้นลอยอยู่กลางอากาศ เหมือนกับนกที่บิน
อยู่บนท้องฟ้า หยางหนิงพลันตกใจขึ้นมา หญิงคนนั้น
ก็ค่อยๆ ลอยลงมาถึงพื้น จากนั้นนางก็กระตุกมือ แส้
ที่อยู่ในมือของนางนั้นก็เก็บเข้าไปอย่างรวดเร็ว หญิง
คนนั้นจับแส้ไว้ ตอนนี้ก็ยืนอยู่ตรงหน้าของหยางหนิง
ไม่เกินสามสี่ก้าว
หยางหนิงในเวลานี้ก็สามารถมองเห็นหญิงผู้นั้นได้
ชัดเจน หญิงสาวผู้นี้สวมกางเกงขาสั้นสีม่วง ช่วงบน
เป็นเสื้อแขนสั้นสีแดงเหลืองฟ้าสามสี บนหัวโพกผ้า
เอาไว้ หูทั้งสองข้างของนางห้อยต่างหู สายตาเป็น
ประกาย ฤดูใบไม้ร่วงอากาศหนาวเย็น ในป่าลึกเช่นนี้
อากาศยิ่งเย็นเข้าไปอีก แต่หญิงผู้นี้สวมชุดบางเช่นนี้
แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย เหมือนกับว่าอากาศที่เหน็บ
หนาวนี้ทาอะไรร่างกายนางมิได้
ที่ข้อมือของนางสวมกาไล ตอนนี้นางยืนอยู่ตรงหน้า
ทาให้เห็นแขนทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้างของนางที่
ขาวราวกับหิมะได้อย่างชัดเจน เห็นใบหน้าของนาง
ดวงตาของนางเป็นประกายราวกับดวงดาวที่ลอยเด่น
ระยิบระยับอยู่บนฟากฟ้า หน้าตาของนางดูแล้วก็
สวยงาม น่ารักน่าชังไม่น้อย นางจ้องมาที่หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ ข้าถามเจ้าอยู่นะ เจ้าไม่เข้าใจที่ข้า
พูดรึ?”
สิ่งที่นางพูดหยางหนิงฟังเข้าใจหมด แต่ไม่ว่าในใจของ
นางกาลังอะไรอยู่ จึงพูดไปเรียบๆ ว่า “เจ้าก็ถือเสีย
ว่าข้าไม่เข้าใจแล้วกัน” แอบคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้อยู่
กับงูพิษกับผึ้งพิษ ถึงจะหน้าตาน่ารัก แต่อาจจะไม่ใช่
คนดี
เขารู้สึกว่าบริเวณที่ถูกผึ้งต่อยนั้นรู้สึกเจ็บปวดนัก จึง
ยกมือขึ้นไปจับ ถึงได้รู้ว่ามันเริ่มปูดบวมขึ้น
“ข้าถามเจ้า เจ้าก็ตอบข้ามาดีๆ” รอยยิ้มของหญิง
สาวที่น่ารักนั้นก็จางหายไป “เจ้าถูกผึ้งนางพญาต่อย
เข้าแล้วล่ะ ไม่มีข้าเจ้าไม่รอดแน่”
หยางหนิงไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดจริงหรือไม่ แต่ว่าพิษผึ้ง
ร้ายแรงไม่ใช่เรื่องแปลก จากนั้นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดเจ้าต้องปล่อย
ผึ้งมาต่อยข้าด้วย?”
หญิงสาวตอบมาอย่างไม่ใยดีว่า “ข้าพอใจจะทาสิ่งใด
ข้าก็จะทาสิ่งนั้น เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย?” นางมองซ้าย
มองขวา เห็นธนูที่จ้าวยวนทาหล่นไว้บนพื้น ก็เกด
ความสนใจ แล้วใช้แส้ที่ที่อยู่บนเอวเล็กๆ ของนางนั้น
หยิบเอาธนูนั่นขึ้นมา จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าขอดู
หน่อย ว่าอันไหนมันจะร้ายกาจบ้าง”
หยางหนิงไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร เห็นหญิงผู้
นั้นหยิบธนูแล้วเดินไปหาจ้าวยวน จากนั้นก็ผิวปาก
น่าแปลก งูที่อยู่บนตัวของจ้าวยวนเหมือนจะฟังนางรู้
เรื่อง ไม่เลื้อยขยุกขยิกอีก แต่ก็ยังรัดตัวจ้าวยวนเอาไว้
แน่น
หญิงสาวหยิบธนูขึ้นมาแล้วเล็งไปที่จ้าวยวน มองไป
แล้วถามว่า “นี่ เจ้าว่าข้าควรยิงเจ้าตรงไหนดีรึ?”
สายตาของจ้าวยวนดูเดือดดาลนัก จากนั้นเขาก็พูดว่า
“พวกเจ้าเป็นใคร? เจ้า...เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“ข้าไม่รู้” หญิงสาวนั่งยองๆ ลง มือถือธนู ยิ้มแล้วพูด
ว่า “เจ้าเป็นใครรึ?”
จ้าวยวนถูกงูรัดแทบตาย หายใจไม่ออก เขาพูดขึ้น
อย่างทรมานว่า “เจ้า...เจ้าควรจะพาคนของเจ้า
ออกไปเสีย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องไม่ตายดีแน่?”
หยางหนิงยืนดูอยู่ข้างๆ ในใจแอบคิดว่าเจ้าบ้านี่ไม่
เห็นโลงศพไม่หลั่งน้าตาจริงๆ หรือว่าเห็นหญิงสาวผู้นี้
เป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารัก จึงคิดจะขู่ หญิงคนนี้ที่มาที่
ไปไม่ชัด เกรงว่าการข่มขู่เช่นนี้อาจจะไม่เป็นผล
หญิงคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามักจะเห็นคนที่ลาบาก
ร้องขอชีวิต ตัวเองกลับไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติเช่นนั้น
เลย เจ้าจะให้ข้าร้องขอชีวิตจากเจ้ารึ ข้าชอบเสีย
จริง” จากนั้นก็เล็งธนูไปที่คอของจ้าวยวนแล้วพูดว่า
“หากเจ้ายังไม่ยอมบอกว่าเจ้าเป็นใคร ข้าก็จะยิงไปที่
คอของเจ้า เจ้าเชื่อข้าหรือไม่?”
จ้าวยวนยิ้มอย่างร้ายกาจออกมา แล้วพูดว่า “ผู้
พิพากษาฆ่าไม่ตายหรอก หากเจ้าฆ่าข้า ที่ยมโลก เจ้า
ก็จะไม่มีวันได้ไปเกิดใหม่อีก”
หยางหนิงยืนดูอยู่ข้างๆ ในใจก็คิดว่าเจ้าบ้านี่พูดจา
ใหญ่โตเสียจริง ในโลกนี้มีใครฆ่าไม่ตายบ้าง? คิดว่า
จ้าวยวนพูดเช่นนี้มันแปลกๆ
“ยิ่งลึกลับ ข้ายิ่งอยากจะรู้” หญิงสาวยิ้ม แล้ววางธนู
ลง แล้วหยิบลูกศรอันเล็กๆ ออก จากนั้นก็หันไป
ตะโกนว่า “ต้ากุ่ย มานี่!”
เห็นคนจับงูที่จับชายฉกรรจ์แขวนบนต้นไม้นั้น เดินไป
ที่ข้างๆ หญิงสาว หญิงสาวดึงเสื้อผ้าของเขาออก
หยางหนิงถึงได้เห็นว่าที่เอวของต้ากุ่ยนั้นมีขวดเล็กๆ
อยู่ห้าหกขวด หญิงสาวก็ทาราวกับว่ากาลังยืนเลือก
ของ สุดท้ายก็ดึงขวดออกมาขวดหนึ่ง เมื่อเปิดขวด
ออก ก็เอาลูกศรจิ้มเข้าไปในขวด จากนั้นก็ค่อยๆ
เปลี่ยนหัวลูกศร แล้วยื่นขวดออกไปโดยไม่มอง ต้ากุ่ย
รับขวดกลับไป ปิดขวดแล้วแขวนกลับไปที่เดิม
จากนั้นก็ใส่เสื้อไว้เหมือนเดิม
สาวน้อยยกธนูขึ้นมาใหม่ แล้วยิ้มให้จ้าวยวน ราวกับ
ว่านายพรานกาลังล่าสัตว์ มองไปที่จ้าวยวนแล้วพูด
กับว่า “ข้าจะยิงหูซ้ายของเจ้าออกมา อยากจะรู้นักว่า
ของๆ เจ้ามันใช้ดีหรือไม่”
จ้าวยวนหน้าถอดสี เขายังไม่ทันจะได้พูดอะไร สาว
น้อยผู้นั้นก็ยิงธนูออกไป “โอ๊ย” จ้าวยวนร้องด้วย
ความเจ็บปวด ธนูยิงผ่านหน้าของเขาไป ใบหน้าของ
เขามีรอยแผลเล็กน้อย ทั้งสองคนยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก
ธนูที่ยิงออกไปนั้นแรงยิ่งนัก มันยิงทะลุหูซ้ายของเขา
ในทันที ไม่นานนักเลือดของเขาก็หยดลงมาเป็นสาย
มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หยางหนิงคิดในใจว่า เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าหญิงผู้นี้ไม่
น่าจะเป็นคนดี ตอนนี้เห็นนางยิงหูคนได้อย่างไม่ลังเล
สีหน้ายังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของความสุข หากไม่
เห็นด้วยตาตัวเอง คิดไม่ออกจริงๆ ว่าหญิงสาวสวย
เช่นนี้จะเหี้ยมโหดมากขนาดนี้
หูซ้ายของจ้าวยวนขาดออกเป็นชิ้น เลือดไหลนองไม่
หยุด เจ็บปวดทรมานยิ่งนัก เขาเอ่ยปากแช่งว่า “เจ้า
ไม่มีทางได้เกิดใหม่แน่นอน เจ้า...เจ้าไม่มีทางได้เกิด
ใหม่แน่!”
หญิงสาวมองไปที่ธนู แล้วพูดว่า “ของชิ้นนี้ใช้ไม่ดี
เลย” จากนั้นก็โยนทิ้งไป และหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่
ใหญ่เท่าหัวแม่โป้งออกมา ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าลอง
ของข้าดู” จากนั้นก็อมกระบอกไม้ไผ่นั้นเข้าไป เล็งไป
ที่หูของจ้าวยวน “โอ๊ย” มีบางอย่างออกมาจากปาก
กระบอกไม้ไผ่เล็กๆ นั่น แล้วทะลุผ่านหูของจ้าวยวน
ไป
หญิงสาวปรบมือแล้วพูดว่า “ของๆ ข้าดีที่สุด ข้าก็
บอกพวกเจ้าแล้วของของพวกเจ้ามันไม่ได้เรื่อง ดู
เหมือนจะร้ายกาจ แต่ใช้จริงไม่ได้เรื่อง”
หยางหนิงมองไปที่ด้านหลัง เห็นคนจับงูอีกคนยืนอยู่
ห่างจากเขาประมาณห้าหกก้าว จับตามองเขาอยู่
เหมือนกลัวว่าเขาจะหนีไป
หยางหนิงรู้ดีว่าหญิงผู้นี้รับมือได้ยากกว่าจ้าวยวน
จะต้องหาทางหนีไปให้ได้ แต่ว่าตอนนี้คนจับงูยืนคุม
อยู่อย่างนี้ อีกทั้งรอบๆ มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด อยาก
ใช้ท่าเท้าท่องคลื่นหนีไปก็ไม่ได้ ทาอย่างไรถึงจะหนีไป
จากคนพวกนี้ได้นะ
ที่คอของเขาถูกผึ้งพิษต่อยก่อนหน้านี้ที่รู้สึกเจ็บปวด
จะเป็นจะตายนั้น ในตอนนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงแล้ว
กลับคันขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพิษของผึ้งนางพญา
มันเป็นพิษอย่างไรกันแน่
เห็นจ้าวยวนดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้นอย่างทรมาน
จากนั้นก็ได้ยินจ้าวยวนพูดว่า “ข้าจะตายแล้ว...
หนอน...อ๊าก...เอายาถอนพิษให้ข้า เอายาถอนพิษให้
ข้า...!” เห็นเขานอนดิ้นอยู่ที่พื้น ดูทรมานและ
เจ็บปวดนัก
หยางหนิงคิดว่าหญิงสาวเอาหัวธนูจุ่มไปในขวด แอบ
คิดในใจว่านางน่าจะอาบยาพิษไว้บนลูกศรนั้น จ้าว
ยวนถูกธนูยิงก็น่าจะถูกพิษเข้าแล้ว
จ้าวยวนเจ็บปวดยิ่งนัก หญิงสาวปรบมือดีใจยิ้มแล้ว
พูดว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าร้องขอชีวิตไม่ใช่หรือ?
ตอนนี้เจ้ากาลังร้องขอชีวิตอยู่ เจ้าชอบหรือไม่?” หัน
ไปมองหยางหนิง แล้วถามว่า “นี่ เจ้าเห็นความร้าย
กาจของข้าหรือยัง?”
หยางหนิงจับมีดสั้นในมือ ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอายุ
ยังน้อย ลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้ ในใจของเจ้าช่างชั่วร้าย
นัก ใครสอนเจ้ากัน?”
หญิงสาวก่อนหน้ายังยิ้มหวานๆ พอหยางหนิงตาหนิ
เช่นนั้น ก็นิ่งไป แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าด่าข้า
รึ?”
“ใช่ ข้าด่าเจ้า” หยางหนิงพูดอีกว่า “หรือว่าที่ข้าด่า
มันไม่ใช่ความจริงเล่า?”
หญิงสาวชี้ไปที่จ้าวยวนที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยความ
เจ็บปวดที่พื้นแล้วพูดว่า “พวกเขาขู่จะข้าเจ้าเมื่อครู่
ข้าช่วยเจ้า เจ้าควรจะคุกเข่าขอบคุณข้าถึงจะถูก แต่นี่
เจ้ากลับมาด่าข้าได้อย่างไร?”
“ความแค้นของข้ากับเขา ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้อง
มายุ่ง” หยางหนิงยื่นมือออกไป “เจ้าเอายาถอนพิษ
ให้ข้า ข้าจะรีบไปจากที่นี่ ข้าจะถือว่าข้าไม่เห็นอะไร
ทั้งนั้น”
หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ มองไปที่หยางหนิง แล้ว
พูดว่า “เจ้าบ้าหรืออย่างไร? ข้าช่วยเจ้า เจ้าไม่
ขอบคุณข้า ชีวิตเจ้าอยู่ในกามือของข้า ยังกล้ามาออก
คาสั่งกับข้าอีก เจ้าเชื่อหรือไม่ข้าสามารถทาให้เจ้า
เป็นเหมือนเขาได้?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 100 ผูกมัด
ในใจของหยางหนิงคิดว่าหญิงผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก
จึงระวังตัวมากขึ้น ในตอนนี้เอง กลับเห็นจ้าวยวนร้อง
โหยหวนพร้อมกับลุกพรวดขึ้นมา จากนั้นก็รีบวิ่งหนี
ออกไป แต่เขาก็วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็เห็นสามง่ามพุ่ง
เข้าไปหา มันแทงเข้าไปที่ขาข้างหนึ่งของเขา จ้าวยวน
ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ร่างของเขาก็ล้ม
กลิ้งไปกับพื้น
หยางหนิงเหลือบไปมอง สามง่ามแท่งนั้นเป็นของคน
จับงูที่อยู่ด้านหลังของเขาที่ขว้างออกไป ในใจเขาก็คิด
ว่าหากตกอยู่ในกามือของหญิงผู้นี้ ไม่ใช่เรื่องดี
แน่นอน มีโอกาสแบบนี้ ก็ไม่เลว เขาหันตัวไป แล้ว
ตะโกนว่า “หลีกไป!” เขาใช้มีดในมือพุ่งเข้าใส่คนจับงู
คนจับงูรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายกายา แต่แต่อย่างไร
เสียก็มีเลือดมีเนื้อ เขาคิดที่จะบังมีดสั้นเอาไว้ แต่มันก็
เป็นไปไม่ได้
คนจับงูเห็นหยางหนิงพุ่งเข้ามา เขาก็ร้องคาราม
เหมือนกับสัตว์ป่า ไม่คิดจะถอยแต่กลับบุกเข้าไปหาห
ยางหนิงเช่นกัน เขายกหมัดขึ้นมา เห็นหยางหนิง
กาลังพุ่งเข้ามา
ทันใดนั้นเองหญิงสาวก็พูดขึ้นมาว่า เสียวกุ่ยหลบไป!"
คนจับงูได้ยินดังนั้น ปฏิกิริยาของเขาเร็วยิ่งนัก เขารีบ
เก็บมือกลับไป หันไปด้านข้าง ถือโอกาสนี้ปล่อยให้ห
ยางหนิงพุ่งเข้าใส่
หยางหนิงคิดในใจว่าในภูเขาแห่งนี้ค่อนข้างซับซ้อน
รอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ ลองใช้ความซับซ้อนของที่นี่
หลบหนีดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
หากสู้กันตัวต่อตัว ถึงแม้จะมีแค่ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์
ถึงสองคน หยางหนิงก็ไม่กลัว แต่ว่าหญิงผู้นั้นมีอาวุธ
ที่มีพิษอยู่ด้วย ของพวกนี้อย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน
หนีได้เป็นดีที่สุด
แต่เมื่อวิ่งไปได้ประมาณสิบเก้า หยางหนิงก็รู้สึกว่า
สายตาของเขามืดลง วิงเวียนศีรษะตาลาย ร้องก็ร้อง
ไม่ออก วิ่งไปได้อีกสามสี่ก้าว ก็มึนหัว ยื่นมือไปจับ
ต้นไม้ใหญ่ ในใจคิดว่าเมื่อครู่ถูกผึ้งต่อย คิดว่าพิษของ
มันกาลังออกฤทธิ์ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เขารู้สึก
เหมือนโลกทั้งใบกาลังหมุน ร่างกายอ่อนแอลง แล้วก็
ล้มลงไปนอนกับพื้น
ถึงแม้เขาจะล้มลง แต่ยังรู้สึกตัวอยู่ เขารู้สึกว่าตัวชา
ไปหมด คิดอยากจะขยับตัว แต่ว่าร่างกายก็อ่อนแอ
นั้ก เรี่ยวแรงแทบไม่มี
เขารู้สึกโกรธแค้นนัก ได้ยินหญิงสาวคนนั้นหัวเราะร่า
ออกมา อยู่ข้างๆ หู นางอยู่ห่างจากเขาไม่เกินสาม
ก้าวแล้วนั่งยองๆ ลง ยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า “วิ่งอีกสิ?
ทาไมไม่วิ่งเล่า? ข้าเห็นเจ้าวิ่งเหมือนหมาป่าเลย ยัง
คิดอยู่เลยว่าเจ้าอาจจะหนีไปได้”
หยางหนิงรู้ว่าด่าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ จึงฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “แม่นางน้อย ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อ
กัน เจ้าทาร้ายข้าโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้ ในใจเจ้าไม่รู้สึก
อะไรบ้างหรือ?”
หญิงสาวคนนั้นส่ายหัวยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้ทา
อะไรเจ้าเสียหน่อย หากเจ้ายืนอยู่เฉยๆ พิษผึ้งก็ไม่
ออกฤทธิ์หรอก คุยกับข้าดีๆ หากข้าอารมณ์ดี ไม่แน่
ข้าอาจจะเอายาถอนพิษให้เจ้าก็ได้ แต่ว่าเจ้าดันวิ่งหนี
เลือดลมไหลเวียนเร็วขึ้น จึงล้มลงไปเช่นนี้อย่างไรเล่า
จะโทษข้าได้อย่างไร?”
“ถ้าอย่างนั้นมั้นก็เป็นความผิดของข้าเอง” หยางหนิง
พูดต่อไปว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าเอายาถอนพิษ
ให้ข้า เจ้ากับข้ามาเป็นเพื่อนกัน อย่าทาร้ายกันอีก
เลย”
หญิงสาวยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเพื่อนเจ้ารึ? เจ้ามีสิทธิ
อะไรมาเป็นเพื่อนกับข้า?”
หยางหนิงคิดในว่าเจ้าปีศาจสาวผู้นี้เองก็ไม่มีความ
เกรงใจเอาเสียเลย คิดจะขู่เสียหน่อย แต่ว่าคิดว่าจ้าว
ยวนก็ลองแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อันใด ปีศาจสาวผู้นี้
ไม่ชอบไม้อ่อน จึงตั้งใจถอนหายใจแล้วพูดไปว่า “เจ้า
อย่าทาอะไรข้าเลย ข้ายังมีคนที่บ้านต้องดูแล เจ้าเอง
ก็มีพ่อแม่ใช่หรือไม่เล่า? เจ้าลองคิดถึงพ่อแม่ของเจ้าดู
แล้วนึกถึงพ่อแม่ข้า ที่บ้านหากไม่มีข้าดูแล มันจะเป็น
เช่นไร”
หญิงสาวหันหน้าไป สีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “ข้ามีพ่อ
แต่แม่ข้าไม่มี พ่อข้าไม่จาเป็นต้องให้ข้าดูแล”
หยางหนิงตะลึงไปแล้วพูดว่า “ทุกคนต้องมีแม่ด้วยกัน
ทั้งนั้น เจ้าจะไม่มีแม่ได้อย่างไร”
“นางตายไปนานแล้ว” หญิงสาวผู้นั้นพูดอย่างไม่ใยดี
ว่า “เจ้าถูกพิษผึ้ง แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ตายหรอก”
หยางหนิงตกใจ แต่ก็ต้องนิ่งเอาไว้แล้วถามว่า “ไม่
ตายรึ? หรือว่าพิษผึ้งทาให้คนตายได้อย่างนั้นรึ?”
หญิงสาวยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่ตายก็ไม่ใช่ยาพิษสิ ผึ้ง
นางพญาพวกนั้นเป็นสัตว์ที่อาจารย์สั่งให้ข้าเลี้ยง ข้า
ไม่เคยเห็นใครที่ถูกยาพิษนี้แล้วตายในทันทีเลย ยา
พิษที่ดีที่สุด คือยาพิษที่ค่อยๆ ทาให้คนตายอย่างไร
เล่า”
หยางหนิงเห็นนางพูดอย่างไม่ใยดี ในใจก็รู้สึกโกรธ
แค้นยิ่งนัก รู้ว่าคุยกับนางไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ทน
ไม่ได้จึงด่าออกไปว่า “เจ้าปีศาจน้อย ข้าไปฆ่าพ่อฆ่า
แม่เจ้าหรืออย่างไร? เจ้าถึงได้ทาร้ายข้าเช่นนี้ รอ...รอ
ข้าหายก่อน เจ้าจะต้องร้องขอ...!” เขาอยากจะพูดว่า
“ร้องขอชีวิต” แต่ว่าจ้าวยวนก็เพิ่งพูดกับนางไปอย่าง
นี้ หญิงผู้นี้กลับทาให้จ้าวยวนตกอยู่ในสถานการณ์ที่
ยากลาบาก จึงไม่พูดต่อ
“ความแค้นที่ฆ่าพ่ออย่างนั้นรึ?” หญิงคนนั้นไม่ได้
สนใจหยางหนิงที่เรียกนางว่า “ปีศาจน้อย” ใบหน้าที่
งดงามมีความไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็พูดว่า
“อย่างเจ้ารึจะฆ่าพ่อข้า? ความสามารถของเจ้าก็แค่
นั้น ไม่มีมีดเล่มนั้น แม้แต่ต้ากุ่ยกับเสียวกุ่ยเจ้าก็ยังสู้
ไม่ได้เลย หากว่าเจ้าเจอพ่อของข้า พ่อข้าแทบไม่ต้อง
ลงมือ เจ้าก็...!” นางจงใจแลบลิ้นออกมา แล้วมองบน
ความหมายของนางก็คือพ่อของนางไม่ต้องลงมือก็
สามารถทาให้หยางหนิงตายอย่างอนาถได้
ท่าทางของนางแบบนี้ ช่างดูน่ารักยิ่งนัก แต่ว่าหยางห
นิงรู้ดีว่านางมีใจโหดเหี้ยมนัก คิดแล้วก็รู้สึกรังเกียจ
แต่ว่าในใจก็รู้สึกอยากรู้ว่า พ่อของปีศาจน้อยผู้นี้เป็น
ใครกัน
เห็นหยางหนิงไม่พูดอะไร หญิงสาวก็พูดด้วยความไม่
พอใจว่า “ข้าพูดกับเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินรึ?”
“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้าแล้ว” หยางหนิงไม่ได้พูดดี
ด้วย เขาพูดไปพร้อมลองออกแรงลุกขึ้นดู ปีศาจน้อย
อยู่ห่างจากเขาเพียงสามก้าว แต่ชายสองคนระยะห่าง
อยู่ไกลพอสมควร หากสามารถควบคุมนางเอาไว้ได้ ก็
มีโอกาสได้ยาถอนพิษมาครอง
แต่ว่าในตอนนี้เขาสามารถพูดได้ตามปกติ แต่ร่างกาย
กลับไม่มีเรี่ยวแรง คิดอยากจะลอบโจมตีปีศาจน้อย ก็
ลาบากนัก
ปีศาจน้อยทาหน้าตาน่ารักน่าชัง ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
คิดอยากจะลุกขึ้นมาจับข้า แล้วบีบให้ข้ามอบยาถอน
พิษออกมาใช่หรือไม่? ไม่มียาถอนพิษ เจ้าก็ลุกไม่ขึ้น
อย่าฝันไปเลย” นางเขยิบมาใกล้ๆ ตัวของหยางหนิง
ก้มหน้าลงมา ห่างจากตัวหยางหนิงเพียงหนึ่งนิ้วมือ
ผิวของนางขาวเนียนผุดผ่อง ยิ้มอ่อนหวานราวน้าตาล
เชื่อม แต่ว่าหยางหนิงเห็นหน้าสวยๆ ของนางก็มีแต่
ความอัปลักษณ์ ได้เพียงแต่คิดจะจับตัวของนาง
เท่านั้น แต่ว่าในตอนนี้แม้แต่มือก็ยกไม่ขึ้น
“ข้าบอกว่าเจ้าทาไม่ได้ ก็คือไม่ได้” หญิงสาวยิ้มแล้ว
พูดไปว่า “หากตอนนี้เจ้าสามารถยื่นมือมาจับข้า ขอ
แค่เจ้ามีความสามารถ ข้าจะไม่หลบเลย เจ้าจะจับข้า
หรือไม่?”
ถึงแม้นางจะพกยาพิษติดตัว แต่ว่าตัวของนางก็มีกลิ่น
หอมบนตัวอ่อนๆ มันเป็นกลิ่นกายหอมของหญิงสาว
แรกแย้ม
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะทาอะไร?
คิดจะฆ่าข้าหรือ? ข้าขยับไม่ได้ เจ้าจึงคิดจะฉวย
โอกาสสินะ ตอนนี้จะทาอะไรก็ทาเลย”
“เจ้าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ไม้นี้ของเจ้ามัน
เรียกว่ากระตุ้นให้ทาสินะ” หญิงสาวคนนั้นยิ้มแล้วพูด
ต่อว่า “ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก แต่ว่าเจ้าก็ไม่ใช่คนเลว
ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก หากเจ้าดวงแข็ง หากว่าพวกเราไป
เจอเขาที่หุบเขาแล้วเจ้ายังไม่ตาย เขาอาจจะให้ยา
ถอนพิษกับเจ้าก็ได้”
“หุบเขารึ?” หยางหนิงพูดด้วยความแปลกใจว่า “หุบ
เขาอะไรกัน?”
หญิงสาวหยิบมีดสั้นของหยางหนิงขึ้นมาดู แล้วจิ้มมัน
ลงไปตรงใบหน้าของหยางหนิง แล้วย้อนถามกลับไป
ว่า “เจ้าว่าถ้าข้ากรีดลงไปที่ใบหน้าของเจ้า มีดนี่มัน
จะคมหรือหน้าของเจ้ามันจะหนามากกว่ารึ?”
หยางหนิงนิ่งไป แอบคิดในใจว่าปีศาจน้อยนี่ชั่วร้าย
มาก แต่อย่ากรีดหน้าเขาจริงๆ ก็พอ เขาไม่ได้พูด
อะไรต่อ
หญิงสาวปัดมีดไปมาที่หน้าของหยางหนิง จากนั้นก็
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าใจกล้าไม่เบา เจ้าไม่กลัวเลยแม้แต่
น้อย ก็ไม่สนุกแล้วสิ ข้าจะไม่กรีดหน้าเจ้า หลังจากที่
พิษของเจ้ากาเริบจนเจ้าตาย ข้าค่อยกรีดหนังหน้าเจ้า
ดีกว่า ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว เจ้าว่าข้า
ดีกับเจ้าหรือไม่?”
หยางหนิงได้ยินคาพูดอันชั่วร้ายของปีศาจน้อยผู้นี้
แล้ว ก็คิดในใจว่าปีศาจน้อยผู้นี้เป็นลูกสาวใครกัน มี
ลูกแบบนี้พ่อก็ต้องไม่ต่าง ผู้หญิงคนนี้เหี้ยมโหดนัก
พ่อของนางก็คงไม่ใช่คนดีอะไร
หญิงคนนั้นเก็บมีดสั้นกลับไป ยื่นมือไปตบหน้าหยางห
นิงเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวสิ ข้าก็จะพา
เจ้าไปหาคนที่ถอนพิษได้”
“ฆ่าได้หยามไม่ได้” หยางหนิงมองบน “เจ้าอายุน้อย
กว่าข้าสองสามปี น่าจะเรียกข้าว่าพี่ชายมากกว่า...
ช่างเถอะ ข้าไม่อยากมีน้องสาวอย่างเจ้า หากเป็น
เช่นนั้นข้ายอมฆ่าตัวตายเองดีกว่า”
หญิงสาวคนนั้นหัวเราะออกมา “เจ้าพูดจาน่าสนุกดี
นะ แต่ข้ายังไม่อยากให้เจ้าตายตอนนี้” นางลุกขึ้น
แล้วทาสัญลักษณ์มือขึ้นมา เรียกเสียวกุ่ยเข้ามา ใช้
เชือกมัดหยางหนิงเอาไว้ หยางหนิงรู้สึกว่าเชือกเส้นนี้
ไม่ใช้เชือกธรรมดา มันเหมือนทาจากเถาวัลย์
ต้ากุ่ยเองก็ไปดึงสามง่ามจากต้นไม้ลงมา แล้วจับชาย
ฉกรรจ์คนนั้นมัดเอาไว้
เสียวกุ่ยใช้มือหนึ่งหิ้วหยางหนิง แล้วเดินไปหิ้วจ้าว
ยวนสลบไปขึ้นมาด้วย
ตอนที่นอนอยู่กับพื้น หยางหนิงรู้สึกว่าร่างกายไร้
เรี่ยวแรง อาการมึนหัวเหมือนจะลดลง แต่เมื่อ
เสียวกุ่ยหิ้วตัวเขาขึ้นแล้วเดินไป อาการมึนหัวก็
กลับมาอีกครั้ง ในใจก็คิดว่าเจ้าปีศาจน้อยไม่ได้โกหก
เมื่อมีการเคลื่อนไหว พิษผึ้งก็จะกาเริบ ตอนนี้เขารู้สึก
มองไม่ชัด ทุกอย่างมืดไปหมด ในสมองว่างเปล่า ไม่รู้
อะไรอีกเลย
เมื่อเขาตื่นขึ้นมา รู้สึกว่ารอบๆ ตัวของเขามืดไปหมด
มือเท้าของเขาถูกมัดเอาไว้ ร่างกายของเขารู้สึกสั่น
เล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนเหมือนกัน
เขาขยับตัวอีกที ยังคงไม่มีเรี่ยวแรง แต่ก็ยัง
เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย เขาขยับซ้ายขยับขวา ขาทั้ง
สองข้างโค้งโก่ง คิดอยากจะยืดตัวตรง แต่ที่เท้าก็
เหมือนมีอะไรขวางอยู่ ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจว่า หาก
คิดไม่ผิด ตอนนี้เขาน่าจะถูกจับมาขังอยู่ในลังไม้ลัง
หนึ่ง เขาใช้หัวของเขาชนเข้าไป จากนั้นก็ได้ยินเสียง
“ตึก ตึก” ซึ่งชนเข้ากับแผ่นไม้นั่นเอง
เขาพยายามตั้งสติ จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ แล้ว
ค่อยๆ ฟังอย่างละเอียด ได้ยินเสียง “กึก กึก” มัน
เป็นเสียงฝีเท้าของม้า
เขากาลังคิดว่า ตัวเขาถูกจับขังอยู่ในลังไม้ ส่วนลังไม้
น่าจะอยู่บนรถม้า ส่วนรถม้ากาลังวิ่งไปข้างตรงไป
หน้า
เขาจาได้ว่าปีศาจน้อยบอกว่า กาลังจะไปหุบเขา
เหมือนจะไปหาคนถอนพิษ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็น
ใคร ส่วนปีศาจน้อยก็เป็นคนวางยาเอง บนตัวมียา
ถอนพิษ เหตุใดยังต้องไปหาคนถอนพิษให้อีกเล่า?
ปีศาจน้อยคนนี้ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ลึกลับซับซ้อนยาก
เกินจะเดาได้ หยางหนิงสงสัยยิ่งนัก
---------------------------------

You might also like