Professional Documents
Culture Documents
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร 1-100
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร 1-100
หยางหนิงจ้องไปที่โต้วเหลียนจงนิ่งๆ โต้วเหลียนจง
รู้สึกร้อนใจจนอยู่ไม่นิ่ง พูดเพียงว่า “ในเมื่อข้าทาแตก
จะให้ข้าชดใช้เงินให้พวกเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่า…!”
เขาพูดอย่างระมัดระวังว่า : “ม้าหยกตัวนี้มันมีราคา
เท่าไหร่กันแน่ ซื่อจื่อท่านมีราคาในใจหรือไม่?”
“เงินรึ?” หยางหนิงยิ้มอย่างหยิ่งยโสแล้วพูดว่า
“คุณชายโต้ว เจ้าคิดว่าจวนโหวของข้าขาดแคลนเงิน
อย่างนั้นหรือ?”
โต้วเหลียนจงสีหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ หาก
ท่านจะพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด แล้วจะท่านจะ
ให้ข้าชดใช้อย่างไร เจ้าก็พูดมา ไม่ต้องอ้อมค้อม” เขา
หัวเราะแล้วพูดต่อว่า “พูดตามตรง เจ้าพูดยกยอของ
ของเจ้าที่นี่ ม้าหยกหลิวหลีตัวเดียวกลายมาเป็นมรดก
ตกทอดของตระกูลเจ้า จริงหรือไม่ ใครจะไปรู้?”
“คุณชายคิดจะบ่ายเบี่ยงอย่างนั้นรึ?” หยางหนิง
หัวเราะ “น่าเสียดายที่วิธีนี้ใช้กับจวนจิ่นอีโหวไม่ได้”
โต่วเหลียนจงพูดว่า “จริงๆ แล้วเราไม่ต้องมาถกเถียง
กันตรงนี้ก็ได้ ข้าโต้วเหลียนจงเป็นผู้มีเหตุผล ในเมื่อ
เจ้าบอกว่าม้าหลิวหลีเป็นของวิเศษ เราก็แค่หาคนที่รู้
และเชี่ยวชาญของโบราณ มาดูว่ามันจริงหรือไม่”
“ตามที่เจ้าพูดมา แม้แต่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หลังจาก
ตายแล้ว เห็นแค่ศพ ก็สามารถรู้ได้เลยว่าเขา
เชี่ยวชาญสิ่งใดบ้างอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงพูดนิ่งๆ
ว่า “ม้าหยกหลิวหลีสมบูรณ์ไม่มีแตกหัก เป็นของ
วิเศษ แต่หากท่านทามันแตกไปแล้ว จะไปเห็นอะไร
ได้?”
สีหน้าของโต้วเหลียนจงดูแย่นัก จ้าวซิ่นที่อยู่ข้างๆ
ก็เดินเข้ามาใกล้ๆ เขา แล้วกระซิบอะไรสักอย่างข้างหู
โต้วเหลียนจง โต้วเหลียนจงรีบพูดขึ้นมาว่า “หากเป็น
มรดกตกทอดของตระกูลเจ้าจริง ข้าจะชดใช้อย่าง
แน่นอน แต่หากว่าเจ้าโกหกข้า ข้าก็จะไม่ให้ใครมา
เอาเปรียบข้าแน่” เขาเหลือบไปที่เศษม้าหยกหลิวหลี
ที่แตกแล้วพูดว่า “เจ้ากับข้าเถียงกันต่อไปก็ไม่มี
ประโยชน์อันใด พวกเราต้องแยกแยะให้ออกว่าสิ่งใด
เป็นสิ่งใด ตอนนี้เราก็ไปที่ศาลาว่าการได้เลย”
“ศาลาว่าการอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“คุณชายโต้วอยากจะไปพบเจ้าหน้าที่ทางการอย่าง
นั้นรึ?”
โต่วเหลียนจงพูดว่า “ถูกต้อง จะต้องไปพบเจ้าหน้าที่
ทางการ”
“ดี” หยางหนิงไม่ลังเล “ต่อให้ต้องไปถึงตาหนัก
จิ่นหลวน ท่านทามรดกตกทอดของบ้านข้าแตก ยังไง
ท่านก็หนีไม่พ้น ข้าจะไปที่ศาลาว่าการกับเจ้าเดี๋ยวนี้”
โต้วเหลียนจงรู้ดีว่าหากเรื่องนี้ยังอยู่ที่จวนจิ่นอีโหว
คงจบไม่สวยแน่ จึงเสนอให้ไปที่ศาลาว่าการ คิดว่า
น่าจะมีทางไกล่เกลี่ยได้
จ้าวซิ่นยืนอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “แล้ว
เรื่องใบรับจานาของข้าเล่า...?”
“เจ้าจะรีบร้อนไปทาไมกัน?” หยางหนิงก็ไม่ได้พูดดี
ด้วย “มรดกตกทอดของตระกูลข้าชิ้นนี้ อย่าว่าแต่เงิน
จานวนนี้ของเจ้าเลย ต่อให้อีกสิบเท่าก็เทียบไม่ได้
แม้แต่น้อย ข้าไม่ค้างเงินเจ้าอย่างแน่นอน”
โต้วเหลียนจงคิดในใจว่า เจ้าเด็กนี่โหดจริงๆ ม้า
กะโหลกกะลา เพียงตัวเดียวจะเรียกร้องค่าเสียหาย
ใหญ่โต ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องพูด
กันให้ชัดที่ศาลาว่าการเลย
ศาลาว่าการเมืองหลวงใครๆ ก็รู้ว่า เป็นสถานที่
ราชการของเมืองหลวง คดีน้อยใหญ่ในเมืองหลวง
แห่งนี้ ไม่ว่าจะเกิดข้อพิพาทใดก็ตาม จะถูกส่งเรื่องไป
ยังศาลาว่าการ โดยศาลาว่าการยังดูแลความสงบของ
เมืองหลวงอีกด้วย
ศาลาว่าการเมืองหลวงอยู่ภายใต้กรมอาญา ดังนั้น
ผู้ว่าการเมืองหลวงก็ถือว่าเป็นขุนนางที่กรมอาญา
คัดเลือกมา
เมื่อโต้วเหลียนจงกับหยางหนิงมาถึงศาลาว่าการ ยัง
ไม่ทันได้กินข้าวกลางวันสักคา ทั้งสองมีสถานะพิเศษ
เมื่อรู้ว่าคุณชายของทั้งสองตระกูลมาฟ้องร้องกันถึง
ศาลาว่าการ เจ้าหน้าที่ก็รีบเข้าไปรายงาน
ถึงแม้ศาลาว่าการจะมีคดีให้จัดการต่อเดือนไม่น้อย
แต่คดีของวันนี้นั้น พบได้น้อยมาก
ในเมืองหลวงมีเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงมากมาย ขุนนาง
ชั้นผู้ใหญ่ก็มีมากยิ่งนัก ดังนั้นลูกหลานของพวกเขาก็
มีเท่ากองภูเขา การพาพวกปะทะกันเป็นเรื่องที่
หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้เกิดเรื่องกระทบกระทั่ง ก็
จัดการกันส่วนตัว น้อยมากที่จะมาฟ้องร้องที่ศาลา
ว่าการ
หากว่าฉีจิ่งยังอยู่ ต่อให้โต้วเหลียนจงมีความกล้ามาก
สักเพียงใด ก็ไม่กล้าหาเรื่องจวนจิ่นอีโหว ยิ่งไม่ต้อง
พูดถึงว่าจิ่นอีโหวซื่อจื่อจะมายังศาลาว่าการเลย
แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ฉีจิ่งได้ตาย
ไปแล้ว โต้วเหลียนจงสงสัยว่าหยางหนิงกาลังขุด
หลุมพรางตัวเอง จึงมาฟ้องร้องที่ศาลาว่าการ ตอนที่
ออกมาจากจวนจิ่นอีโหว ก็แอบกระซิบกับจ้าวซิ่น
บางอย่าง หลังจ้าวซิ่นออกจากจวนก็แยกออกไป เขา
ไม่ได้ตามโต้วเหลียนจงไปที่ศาลาว่าการ
ไม่นานนัก ทั้งสองก็ได้รับเชิญให้เข้าไปด้านในศาลาว่า
การ จ้าวอู๋ซางกับองครักษ์ที่ติดตามหยางหนิง ก็ไม่
สามารถตามเข้าไปด้านในได้ แต่ว่าหยางหนิงบอกว่า
จ้าวอู๋ซางเป็นพยาน ถึงแม้ตอนนี้จวนจิ่นอีโหวจะไม่
เหมือนเดิมแล้ว แต่ว่าก็ยังคงมีอานาจยิ่งนัก ศาลาว่า
การเองก็ไม่อยากมีปัญหา จึงปล่อยให้ทางจ้าวอู๋ซาง
เข้ามาได้
เจ้าหน้าที่ไม่ได้พาทั้งสามไปที่ศาล แต่พาพวกเขาไป
ยังห้องโถงรับรอง หลังจากเข้าไปนั่งแล้ว
โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง อย่างไรเสียเจ้าก็
เป็นถึงผู้สืบทอดตาแหน่งจิ่นอีโหว ท่านจิ่นอีโหวทั้ง
สองเป็นคนตรงไปตรงมาไม่มีหมกเม็ด คิดไม่ถึงว่าเจ้า
จะใช้วิธีสกปรกทาเรื่องเช่นนี้ ชื่อเสียงของจิ่นอีโหว
คงจะต้องถูกเจ้าทาลายจนหมดสิ้น”
“ข้อแรก นิสัยของเจ้า โต้วเหลียนจง เจ้าก็ไม่ได้
ตรงไปตรงมา ดังนั้นเจ้าไม่มีสิทธิมาตัดสินคนอื่น”
ทั้งสองคนแตกหักกันแล้ว หยางหนิงก็ไม้ได้เกรงใจ
“ข้อสอง ทามรดกตกทอดของตระกูลจวนจิ่นอีโหว
แตก เจ้าไม่เพียงไม่สานึก ยังคิดจะให้ร้ายข้าอีก คิดจะ
หนีความรับผิดชอบไปอีก แค่เรื่องนี้ ก็รู้แล้วว่าคน
อย่างเจ้าเป็นอย่างไร”
“พวกเราไม่จาเป็นต้องเถียงกัน” โต้วเหลียนจงยิ้ม
แล้วพูดว่า “เกรงว่าเจ้าคงยังไม่รู้ว่าท่านผู้ว่าการเป็น
คนอย่างไร”
หยางหนิงหันไปมองจ้าวอู๋ซางที่ยืนอยู่ข้างๆ จ้าวอู๋ซาง
พูดว่า “ใต้เท้าจินโม่เป็นผู้ว่าการของที่นี่แล้วก็ยังเป็น
เจ้าหน้าที่ขุนนางขั้นสามของกรมอาญา เป็นคนเที่ยง
ธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น ตรงไปตรงมา ตัดสิน
คดีความดุจเทพ ดังนั้นจึงมีฉายาว่า ‘ผู้พิพากษาโม่
ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม’!”
เขาเป็นคนที่พูดจาใช้คาง่ายๆ พูดแค่สองสามคาก็
สามารถอธิบายลักษณะของท่านผู้ว่าการออกมาได้
อย่างชัดเจน
โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่า “รู้ก็ดีแล้ว ตอนที่ใต้เท้า
ม่อทางานที่กรมอาญา ก็มีชื่อเสียงด้านนี้อยู่แล้ว ตอน
ที่เขาเข้ามาทางานที่กรมอาญาอายุเพิ่งจะยี่สิบ หลาย
ปีมานี้ คดีที่เขารับผิดชอบ เขาก็จัดการได้อย่างชัดเจน
ฉีหนิง ม้าหยกหลิวหลีของเจ้ามันของชั้นล่างไร้ราคา
ยังกล้าเอามาบอกว่าเป็นมรดกตกทอดของตระกูลอีก
ใต้เท้าหม้อจะต้องให้ความเป็นธรรมอย่างแน่นอน”
เมื่อสิ้นเสียงเขา ก็ได้ยินเสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ขึ้นศาล!”
หลังจากนั้นก็เห็นเจ้าหน้าที่สี่นายวิ่งออกมา หลังจาก
เข้ามาแล้ว ก็แยกซ้ายขวากันไป หลังจากนั้นก็ได้ยิน
เจ้าหน้าที่ทั้งสี่นายตะโกนขึ้นมาพร้อมกันว่า “เชิญ
ผู้พิพากษา!” จากนั้นก็เคาะไม้พองในมือดัง “ตึง ตึง”
ถึงแม้คนจะไม่มากนัก แต่ก็มีความดุดัน
จากนั้นก็เห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา สวมชุดขุนนางสีดา
อายุราวสี่สิบ ผิวหน้าขาวกว่าปกติ ไม่มีเลือดฝาด
สีหน้าซีดเซียว ตาโต คิ้วหนา สีหน้าจริงจัง มันเป็น
ความองอาจแบบที่ไม่ได้มีความโกรธ
หยางหนิงรู้ว่าท่านผู้นี้น่าจะท่านใต้เท้าโม่ ด้านหลัง
ใต้เท้าโม่ มีท่านราชเลขาตามมาด้วย
หลังจากที่ผู้ว่าการโม่เข้ามา ก็ไม่ได้มองไปด้านใด
ด้านหนึ่ง ไม่มองหยางหนิงหรือโต้วเหลียนจงเลย เดิน
ตรงไปนั่งตรงกลาง ท่านราชเลขาเองก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ
ด้านข้าง จัดแจงทั้งน้าหมึกกระดาษพร้อม เขาหยิบ
พู่กันขึ้นมา เตรียมพร้อมแต่ไม่พูดสิ่งใด
ผู้ว่าการโม่กระแอม แล้วมองซ้ายขวา หยางหนิงกับ
โต้วเหลียนจงก็ลุกขึ้นมา แล้วคานับให้กับท่านผู้ว่าการ
โต้วเหลียนจงกาลังจะพูด ท่านผู้ว่าโม้ก็พูดขึ้นมาว่า
“จริงๆ ต้องไปที่ห้องโถงใหญ่ของศาล แต่ว่าเห็นแก่
หน้าตาของตระกูลพวกท่าน จึงให้มาขึ้นศาลกันที่นี่
ก่อนที่ข้าจะสอบสวนคดี ขอถามก่อน พวกท่านแน่ใจ
ที่จะฟ้องร้องกันแล้วรึ? หากเกิดเปลี่ยนใจ ข้าสามารถ
หยุดการใต่สวนได้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นคดีนี้จะถูก
บันทึกถ้อยคาเอาไว้” แล้วชี้ไปที่ท่านราชเลขา “ท่าน
ราชเลขาจะทาการจดบันทึกทุกถ้อยทุกคาของพวก
ท่านเอาไว้ทั้งหมด”
โต้วเหลียนจงเหลือบไปมองหยางหนิง ยิ้มแห้งๆ แต่มี
ความหวาดกลัวท่านผู้ว่าการโม่อยู่ เขายกมือคานับขึ้น
มาแล้วพูดว่า “เรียนใต้เท้า จิ่นอีโหวซื่อจื่อฉีหนิง
วางแผนหลอกลวงข้าน้อย ข้าน้อย...!”
ท่านผู้ว่าการหม้อยกมือขึ้นมา “ไม่จาเป็นต้องแทน
ตัวเองว่าข้าน้อยหรอก ที่นี่ไม่มีข้านงข้าน้อยอะไร
ทั้งนั้น เจ้าแจ้งชื่อของเจ้ามา” แล้วพูดว่า “ก่อนที่ข้า
จะมีคาตัดสินอะไรไป จะไม่มีการตัดสินว่าใครเป็น
คนผิดทั้งนั้น เจ้าบอกว่าฉีหนิงวางแผนหลอกลวงเจ้า
เจ้าเองก็จะต้องเอาหลักฐานออกมา หากมีเพียงแค่
คาพูด ข้าจะตัดสินให้พวกเจ้าได้อย่างไร”
โต้วเหลียนจงตกใจ แล้วก็รู้สึกเขินอาย “ข้า...
โต้วเหลียนจงรับทราบขอรับ!”
ท่านผู้ว่าการโม้พยักหน้า แล้วหันไปพูดกับหยางหนิง
ว่า “ฉีหนิง พวกเจ้าสองคนมาฟ้องร้อง ผู้ใดคือ
จาเลย?”
ทั้งสองชี้ไปที่อีกฝ่ายพร้อมกัน “ข้าจะฟ้องเขา!”
ท่านผู้ว่าโม้ขมวดคิ้ว พูดเสียงขึงขังว่า “พวกเจ้าเล่น
อะไรกัน?” ชี้ไปที่โต้วเหลียนจง “เล่าเรื่องทั้งหมดมา
ฉีหนิง ก่อนเขาจะพูดจบ เจ้าห้ามพูดแทรก!”
โต้วเหลียนจงก็เล่าตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง จากนั้นก็พูดว่า
“ใต้เท้าโม้ ฉีหนิงคิดมาแล้วอย่างดี เขาวางแผนเอาไว้
หมดแล้ว ม้าหยกหลิวหลีตัวหนึ่งที่ไม่มีราคา แต่เขา
กลับบอกว่าเป็นมรดกตกทอดของตระกูล ยังบอกอีก
ว่าทานายความเป็นความตายได้ มันเหลวไหลสิ้นดี”
ผู้ว่าการโม่พูดเรียบๆ ว่า “เจ้าพูดจบแล้วใช่หรือไม่?”
โต้วเหลียนจงคิดจะพูดเสริมอีก แต่ว่าเห็นผู้ว่าการโม่
สีหน้าเคร่งขรึม ก็พยักหน้า ผู้ว่าการโม่หันไปมอง
ฉีหนิง แล้วถามว่า “ที่โต้วเหลียนจงพูดมานั้นจริง
หรือไม่?”
“เรียนใต้เท้า เรื่องที่เขาเล่าก่อนหน้านี้ไม่ผิด”
หยางหนิงพูดต่อว่า “เมื่อคืนนี้โรงรับจานาของข้าถูก
ไฟไหม้ โต้วเหลียนจงพาคนมาที่สถานที่เกิดเหตุ แล้ว
รีบร้อนจะไถ่ของออกไป เช้าวันนี้เขาก็มาที่จวนโหว
คิดจะมารับเงินค่าเสียหาย จริงๆ แล้วข้าให้พวกเขา
รอที่ห้องโถงด้านหน้า แต่ว่าโต้วเหลียนจงกลับมาหา
ข้าเอง อีกทั้งยังร้องขอดูมรดกตกทอดของตระกูล
เพื่อดูความวิเศษของมัน จากนั้นเขาก็ยกมันออกจาก
ประตูไป แต่เขาไม่ระวัง สะดุดล้มทาให้ม้าหยก
หลิวหลีตกแตก นั่นคือสมบัติมรดกตกทอดของ
ตระกูลจิ่นอีโหว ถูกเขาทาแตกเช่นนี้ เขาไม่เพียง
ไม่สานึก กลับใส่ร้ายข้าว่าวางแผนหลอกลวงเขา...!”
ยิ้มด้วยความขมขื่นแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้จะต้องทา
อย่างไร ขอใต้เท้าโม่ให้ความเป็นธรรมด้วย”
โต้วเหลียนจงยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “เจ้ายังเสแสร้งอีก
รึ? สายตาของใต้เท้าหม้อเฉียบแหลม จริงเท็จเป็น
อย่างไหร เดี๋ยวก็รู้กัน”
“เมื่อคืนไฟไหม้ ข้ารู้แล้ว” ผู้ว่าการโม่พูดว่า “คนของ
จวนเจ้าส่งคนมาแจ้ง ข้าเองก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบ
เรื่องนี้แล้ว” จากนั้นก็ลูบเคราเบาๆ “ฉีหนิง มรดก
ตกทอดของตระกูลชิ้นนั้น เจ้านามาด้วยหรือไม่?”
“นามาด้วยขอรับ” หยางหนิงมองไปที่จ้าวอู๋ซาง
จ้าวอู๋ซางหยิบห่อผ้าออกมา แล้วยื่นไปให้ เมื่อเปิด
ออก ด้านในมันคือเศษม้าหยกหลิวหลี
ใต้เท้าโม่หยิบมันขึ้นดูชิ้นหนึ่ง มองแล้วพูดว่า “หยก
หลิวหลีนี่หยาบยิ่งนัก ดูจากวัสดุ ก็น่าจะไม่ได้มีราคา
ค่างวดอะไรมากนัก”
สีหน้าของโต้วเหลียนจงก็ยิ้มออกมา มองไปที่
หยางหนิงด้วยความสะใจ
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 73 ใบค้างจ่าย
หยางหนิงไม่รีบร้อนพูดสิ่งใด โต้วเหลียนจงกลับยิ้ม
แล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่สายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก มอง
เดี๋ยวเดียวก็ทราบว่าของจริงหรือของปลอม” เขาจ้อง
ไปที่หยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดอีก
หรือไม่?”
“จะให้ข้าพูดสิ่งใด?” หยางหนิงตอบอย่างนิ่งๆ
“ใต้เท้าโม่ท่านตัดสินแล้วหรืออย่างไร?”
“เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร ใต้เท้าโม่บอกว่ามันทามัน
ทาจากหยกหลิวหลีหยาบ” โต้วเหลียนจงยืดอก “พูด
ถึงเพียงนี้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะยังให้ตัดสินสิ่งใดอีก”
“ใต้เท้าโม่เพียงแต่บอกว่าหากมองจากคุณภาพ
ภายนอก มันดูเป็นของไม่มีราคาค่างวดเท่าไหร่นัก”
หยางหนิงยังคงนิ่ง “แต่ไม่ได้บอกว่าม้าหลิวหลีตัวนี้
มิใช่ของวิเศษแต่อย่างใด ในเมื่อเจ้ารู้จักของโบราณ
มากมายเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ
กระดาษและหมึกที่ใช้เขียนตัวอักษรที่ดูจะแสน
ธรรมดาแต่เมื่อเขียนมันออกมาแล้ว กลับมีมูลค่าเกิน
กว่าเราจะประเมินได้ ของล้าค่าที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่
กับวัสดุที่นามาทาหรอกนะ”
โต้วเหลียนจงยังคิดจะแก้ต่าง ผู้ว่าโม่ก็ยิ้ม แล้วพูดว่า
“ฉีหนิงเจ้าพูดถูกแล้ว มองแค่ภายนอก มันดูไม่ใช่ของ
มีค่าอะไรมากนัก แต่ข้าไม่ได้บอกว่าม้าหลิวหลีตัวนี้
ไม่ใช่ของล้าค่า”
โต้วเหลียนจงอึ้งไปครู่ใหญ่ รู้สึกงุนงงไม่น้อย
“ฉีหนิง เจ้าบอกว่านี่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลเจ้า
อย่างนั้นหรือ?” ผู้ว่าโม่ถาม “มันหมายความว่า
อย่างไร?”
“เรียนใต้เท้า ม้าหลิวหลีตัวนี้เป็นของที่อดีตฮ่องเต้
พระราชทานให้กับท่านปู่ ภายในมีหกดาวใต้กับ
เจ็ดดาวเหนือ สามารถทานายความเป็นความตายได้”
หยางหนิงพูดต่อไปว่า “หากม้าหลิวหลีตัวนี้ยังคง
สภาพเดิม พอในยามกลางคืนยังสามารถส่องแสง
ออกมาได้”
ผู้ว่าโม่ตะลึงอึ้งไปครู่ใหญ่ “นี่เป็นของที่อดีตฮ่องเต้
พระราชทานอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้องขอรับ” หยางหนิงพูดต่อว่า “มันถูกเก็บไว้ใน
จวนจิ่นอีโหวของข้าน้อยมานานกว่าสิบปี วันนี้เพิ่งจะ
หยิบออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูก...!” แล้วจ้องไปที่
โต้วเหลียนจง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “โต้วเหลียน
จงกลับมาทาลายมรดกตกทอดของตระกูลข้าน้อย
อีกทั้งยังหาข้ออ้างเพื่อไม่รับผิดชอบอีก ขอใต้เท้าให้
ความเป็นธรรมด้วยขอรับ”
ผู้ว่าโม้พยักหน้าเบาๆ โต้วเหลียนจงเห็นดังนั้น จึงรีบ
พูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าโม่ เขาบอกว่าสิ่งนี้เป็นของที่อดีต
ฮ่องเต้ประทานให้ก็ต้องเป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? ผู้ใด
จะรู้ว่าเขาอาจจะเอาอดีตฮ่องเต้มาแอบอ้างหรือไม่
อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว คนตายไม่อาจ...!”
“หุบปาก!” ผู้ว่าโม่ตะคอก “โต้วเหลียนจง เจ้าบังอาจ
ยิ่งนัก เจ้ากล้าดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะมี
โทษสถานใด?”
โต้วเหลียนจงร้อนรนไปชั่วขณะ เมื่อถูกผู้ว่าโม่ต่อว่า
ถึงได้สติ จากนั้นก็พูดด้วยความตื่นตระหนกว่า
“ใต้เท้าโม่ ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น
ขอรับ”
“เจ้ารู้หรือไม่ เพียงคาพูดของเจ้าเมื่อครู่ที่เจ้าเอ่ย
ออกมา ข้าสามารถสั่งลงโทษเจ้าสถานหนักได้” ผู้ว่า
โม่สายตาดุดัน “ที่นี่คือจวนผู้ว่าการเมืองหลวง เจ้า
กล้าดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้ต่อหน้าข้า เจ้ามีเจตนาใดกัน
แน่?”
ใบหน้าของโต้วเหลียนจงแดงก่าขึ้นมา “ใต้เท้าหม้อ
ข้าไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้แต่อย่างใด ข้าเพียง
แค่อยากจะบอกว่า...แค่อยากจะบอกว่าหากเป็นของ
ที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้จริง ก็น่าจะมีบันทึกในสมุด
ม้าหลิวหลีตัวนี้ใช่ของที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้หรือไม่
เราตรวจสอบในบันทึกเพียงเท่านี้เราก็สามารถรู้ได้
แล้วขอรับ”
ในตอนนี้เองเลขาของผู้ว่าโม้ก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วหัน
ไปถามผู้ว่าโม่ว่า “ใต้เท้า คาพูดเมื่อครู่นี้ท่านจะให้
...?”
โต้วเหลียนจงได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าโม่ ใต้เท้าโม่ ข้าน้อย...!”
ในใจของเขารู้ดีว่า หากคาพูดของเขาเมื่อครู่นี้ถูก
บันทึกลงในคาให้การ ผลที่ตามมาแทบจะไม่อยากคิด
ปกติเขาอาศัยอานาจที่เขามีคอยรังแกคนอื่น วันนี้มา
อยู่ที่จวนผู้ว่าการเมืองหลวง จริงๆ แล้วก็ระวังคาพูด
แต่เมื่อครู่เห็นผู้ว่าโม่มีท่าทีเปลี่ยนไปเพราะคาว่า
“อดีตฮ่องเต้ประทานให้” จึงกลัวว่าผู้ว่าการโม่จะ
เข้าข้างหยางหนิง ด้วยความร้อนใจ จึงพูดสิ่งที่ไม่ควร
พูดออกไป ทาให้ทาผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงนัก
ในใจของเขายังคงโกรธยิ่งนัก หยางหนิงหันไปพูดกับ
ใต้เท้าโม่ด้วยความเคารพว่า “ใต้เท้า ตอนนี้อยู่ใน
ระหว่างการพิจารณาคดี ควรต้องบันทึกคาให้การ
ทุกคาพูดหรือไม่?”
“เจ้าไม่ต้องเตือนข้า” ผู้ว่าการโม่พูดอย่างเรียบเฉย
แล้วหันไปพูดกับเลขาว่า “เจ้าเป็นเลขาบันทึกคาให้
การมากี่ปีแล้ว กฎเพียงเท่านี้เจ้าก็ไม่รู้หรือ? ยังต้อง
มาถามข้าอีกรึ?”
เลขารีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าน้อยสับสนไปชั่วขณะขอรับ”
เขาไม่พูดอะไรต่อ หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนลงไป
สีหน้าของโต้วเหลียนจงเหมือนตายทั้งเป็น เหงื่อไหล
ออกมาจากหน้าผากซิบๆ ในใจรู้ดีว่าวันนี้เขาทาผิด
อย่างใหญ่หลวง เรื่องนี้จริงๆ เป็นแค่เรื่องเล็ก จะว่า
ใหญ่มันก็ไม่ได้ใหญ่ถึงเพียงนั้น
หากเป็นผู้อื่น เขาคงให้พ่อของตนไปจัดการแล้ว
แก้ไขแบบบันทึกมันเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว แต่เขาคือ
ผู้ว่าการโม่ “ท่านโม่ผู้ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม” ยิ่งไป
กว่านั้น คนที่ได้ยินคาที่เขาพูดยังเป็นหยางหนิงอีก
ต่างหาก
“ที่โต้วเหลียนจงพูดมานั้นก็มีเหตุมีผล” ผู้ว่าการโม่
พูดว่า “สิ่งของที่โอรสสวรรค์ประทานให้ ราชสานัก
ต้องมีการบันทึกเอาไว้ในคลังสมบัติหลวง ของใน
พระราชสานักมีการจดบันทึกเอาไว้ทุกชิ้น หากแต่ว่า
มีการดึงมาจากกรมพระคลัง กรมพระคลังก็จะต้องมี
บันทึกเอาไว้ด้วย” แล้วพูดต่อว่า “พ่อของโต้วเหลียน
จงเป็นราชเลขากรมพระคลัง หากว่าม้าหลิวหลีตัวนี้
เป็นของที่ออกมาจากกรมพระคลังแล้วล่ะก็ สามารถ
ไปตรวจสอบที่กรมพระคลังได้ มิเช่นนั้นก็สามารถไป
ตรวจสอบที่คลังสมบัติหลวงในวังหลวงได้”
โต้วเหลียนจงรีบพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้วขอรับ หากเป็น
เช่นนั้น ใต้เท้าโม่ ข้าได้ส่งคนไปที่กรมพระคลัง เพื่อ
ตรวจสอบบันทึกของม้าหลิวหลีแล้วขอรับ”
หยางหนิงถึงได้เข้าใจว่า ก่อนหน้านี้ที่จ้าวซิ่นแยกตัว
ออกไปนั้น โต้วเหลียนจงก็น่าจะส่งเขาไปที่กรม
พระคลัง
ผู้ว่าการโม่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โต้วเหลียนจง เจ้า
เหมือนจะไม่มีตาแหน่งขุนนาง”
โต้วเหลียนจงตะลึงไป ไม่เข้าใจความหมาย
“เจ้าไม่ได้เป็นขุนนางราชสานัก เหตุใดถึงได้มีสิทธิ
ส่งคนไปตรวจสอบบันทึกที่กรมพระคลังได้เล่า?” ผู้ว่า
การโม่พูดอย่างเรียบเฉย “ถึงแม้พ่อของเจ้าจะเป็น
ราชเลขากรมพระคลัง ต่อให้เป็นตัวของเจ้าเอง ก็ต้อง
ยื่นขอตามขั้นตอนกฎระเบียบ ไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้า
ถึงได้ส่งคนไปตรวจสอบบันทึกได้ง่ายดายเช่นนี้กัน?
คดีนี้ หากจะให้ตรวจสอบบันทึก ก็น่าจะเป็นจวนผู้ว่า
การของข้าเป็นคนออกหน้ายื่นขอ ทาเรื่องไปยังกรม
พระคลังหรือไม่ก็คลังสมบัติหลวงเพื่อขอตรวจสอบ
เจ้าเหมือนจะรีบร้อนเกินกระมัง?”
โต้วเหลียนจงเหมือนจะรู้สึกตัวได้ว่าเขาทาผิดพลาด
เป็นครั้งที่สองเสียแล้ว
โต้วขุยเป็นราชเลขานั้นไม่ผิด แต่โต้วเหลียนจงมิได้
เป็นขุนนาง ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของกรม
พระคลังได้ แต่เขากลับส่งคนไปตรวจสอบบันทึกของ
กรมพระคลัง นั่นหมายความว่าเขาอาศัยอานาจของ
ครอบครัวเขาจัดการเรื่องของตัวเอง หากเรื่องนี้แพร่
สะพัดออกไป หากศัตรูทางการเมืองของเขารู้เข้า
อาจจะใช้เรื่องนี้ในการโจมตีโต้วขุยก็เป็นได้
โต้วเหลียนจงหน้าสั่นไปหมด
เลขาผู้ว่าการบันทึกทุกถ้อยคาโดยไม่มีขาดตก
บกพร่องเลยแม้แต่คาเดียว
หยางหนิงคิดว่าผู้ว่าการโม่เป็นผู้ที่ตัดสินอย่างเที่ยง
ธรรม ไม่ไว้หน้าผู้ใดจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ก็ดี
โต้วเหลียนจงยังไม่ทันได้เข้าประเด็นเรื่องมรดก
สืบทอดของตระกูล ก็พลาดพูดผิดไปตั้งหลายหน ผู้ว่า
การโม่จึงจับผิดได้ถึงสองครั้ง อีกทั้งสองครั้งที่ถูก
จับผิดได้นั้นหากทาให้เป็นเรื่องใหญ่ มันจะกลายเป็น
คดีใหญ่ทันที
โต้วเหลียนจงคิดจะแก้ตัวอีก แต่จ้าวอู๋ซางจึงพูดขึ้นมา
ว่า “ข้าน้อยจ้าวอู๋ซาง มีเรื่องอยากจะเรียนท่าน
ใต้เท้า!”
ผู้ว่าการโม่พูดว่า “เจ้าจะพูดสิ่งใดเล่า?”
“มรดกสืบทอดของตระกูลที่แตกไป เป็นของที่อดีต
ฮ่องเต้ประทานให้กับท่านเหล่าโหว” จ้าวอู๋ซางค่อยๆ
พูดต่อไปว่า “ท่านผู้ว่าการโม่ ข้าน้อยขอถามสักคา
ชื่อของจิ่นอีโหวมีที่มาอย่างไร ท่านพอจะทราบ
หรือไม่?”
ผู้ว่าการโม้ตอบว่า “ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ยกทัพปราบ
กบฏ ท่านจิ่นอีเหล่าโหวติดตามอดีตฮ่องเต้ไปด้วย
เมื่อสามารถการาบกบฏที่สิงหนานได้ การศึกได้หยุด
ลงชั่วคราว ในตอนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่าง
ขาดแคลน แนวหน้าขาดเสื้อผ้าอาหารอย่างหนัก
ลากยาวถึงหน้าหนาว ปีนั้นอากาศหนาวยิ่งนัก ทหาร
ไม่น้อยต้องหนาวตาย อดีตฮ่องเต้ทรงร่วมรบเคียงบ่า
เคียงไหล่กับเหล่าทหาร ได้ยินว่าในตอนนั้นอดีต
ฮ่องเต้เองก็ทรงสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ จนทรง
ประชวร” เขาหยุดไปครู่ แล้วพูดต่อว่า “ในตอนนั้น
ท่านเหล่าโหวได้ถอดเสื้อของท่านทั้งหมดให้อดีต
ฮ่องเต้ทรงสวมใส่ แล้วตนก็ขึ้นเขาไปเพื่อไปหา
สมุนไพรมารักษาพระอาการ จนทาให้อดีตฮ่องเต้ทรง
หายจากอาการประชวรในครั้งนั้น ส่วนท่านจิ่นอี
เหล่าโหวก็เกือบเอาชีวติ ไม่รอดเพราะความหนาว”
“เป็นเช่นนั้น” จ้าวอู๋ซางพูดต่อว่า “ด้วยพระมหา
กรุณาธิคุณ ต่อมาได้ทรงแต่งตั้งให้ท่านเหล่าโหวเป็น
จิ่นอีโหว เนื่องด้วยทรงระลึกถึงมิตรภาพระหว่างกัน”
ผู้ว่าการโม่ยกมือขึ้นมาคานับแล้วพูดว่า “ท่านเหล่า
โหวจงรักภักดี ถือเป็นแบบอย่างของขุนนางอย่าง
พวกข้า”
“หากเป็นเช่นนั้นใต้เท้าโม่ก็น่าจะทราบดีว่า ในสมัย
นั้นอดีตฮ่องเต้ยกทัพลงใต้ บุกชิงดินแดนได้มากมาย”
จ้าวอู๋ซางพูดอย่างเรียบง่ายว่า “พระองค์ก็ได้สมบัติ
ของมีค่าต่างๆ กลับมาไม่น้อย อดีตฮ่องเต้ได้ทรงนา
ของมีค่าเหล่านั้นมาแจกจ่ายให้กับผู้ที่อยู่ใต้บังคับ
บัญชา ไม่เพียงแค่ท่านจิ่นอีเหล่าโหว หากแต่
บรรดาศักดิ์โหวทั้งสี่ ก็ได้รับของพระราชทานจาก
อดีตฮ่องเต้เช่นเดียวกัน”
ผู้ว่าโม่พยักหน้า แต่ก็มิได้พูดสิ่งใด
“ของพระราชทานในครั้งนั้น ไม่ได้มีการจดบันทึก
เอาไว้” จ้าวอู๋ซางพูดว่า “ข้าน้อยสามารถยืนยันได้ว่า
หากทางกรมพระคลังหรือคลังสมบัติหลวงตรวจไม่พบ
ของชิ้นนี้ ถ้าอย่างนั้นม้าหลิวหลีที่อดีตฮ่องเต้ทรง
พระราชทานมาให้ตัวนี้ หมายความว่าท่านจิ่นอี
เหล่าโหวได้มาอย่างไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?”
ผู้ว่าการโม้ขมวดคิ้ว แล้วกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่า
ม้าหลิวหลีตัวนี้เป็นของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทาน
ให้กับท่านจิ่นอีเหล่าโหวตอนที่ไปออกรบอย่างนั้น
หรือ?”
“ถูกต้องแล้วใต้เท้า” จ้าวอู๋ซางพูดว่า “ตอนที่
ประทานของชิ้นนี้ อู่เซียงเหล่าโหวก็อยู่ด้วยขอรับ”
โต้วเหลียนจงแทบจะกระอักเลือดออกมา
จิ่นอีเหล่าโหว อู่เซียงเหล่าโหว รวมถึงอดีตฮ่องเต้ต้าฉู่
ทั้งสามคนนี้ตายไปหมดแล้วตั้งหลายปี จะให้ไปขุด
พวกเขามาเป็นพยานจากหลุมหรืออย่างไร?
แต่ในตอนนี้เขาไม่กล้าจะพูดอะไรมาก กลัวว่าตนจะ
ทาผิดซ้าอีก
ผู้ว่าการโม้พูดว่า “ในเมื่อเป็นของที่อดีตฮ่องเต้
ประทานให้ แสดงว่ามันเป็นของที่ไม่สามารถประเมิน
ค่าได้” จากนั้นเขาก็หันไปมองโต้วเหลียนจง แล้วพูด
ด้วยน้าเสียงดุดันว่า “โต้วเหลียนจง ของที่อดีตฮ่องเต้
ทรงประทาน ถูกเจ้าทาแตก เจ้ายังมีสิ่งใดจะพูดอีก
หรือไม่?”
โต้วเหลียนจงอ้าปากค้าง สุดท้ายก็พูดออกมาว่า
“พวกเขา...พวกเขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเป็นของที่
อดีตฮ่องเต้ทรงประทานให้จริง?”
“พระนามของอดีตฮ่องเต้ ผู้ใดจะกล้านามาแอบอ้าง
เล่า?” ผู้ว่าการโม่ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ผู้ใดกล้าแอบ
อ้างพระนามของอดีตฮ่องเต้ ดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้
โทษคือประหารชีวิต”
โต้วเหลียนจงถึงกับเหงื่อไหล ก้มหน้าแล้วพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้น...ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าน้อยทาอย่างไร?”
ในตอนนี้เขากลัวว่าท่านโม่ผู้ตัดสินอย่างเที่ยงธรรมผู้นี้
จะไม่สนใจเรื่องม้าหลิวหลีที่แตก เพราะเขาเอาแต่
จับผิดเรื่องที่เขาพูดไม่เลิก หากเป็นอย่างนั้นจริง มันก็
จะเป็นเรื่องใหญ่กว่าม้าหลิวหลีเสียอีก
“ฉีหนิง ม้าหลิวหลีแตกไปแล้ว ไม่อาจย้อนคืนได้”
ผู้ว่าการหม้อพูดอย่างเรียบๆ “เจ้าคิดจะให้โต้วเหลียน
จงชดใช้ให้เจ้าอย่างไร?”
“เรียนใต้เท้า ม้าหลิวหลีเป็นมรดกตกทอดของตระกูล
จิ่นอีโหว มันไม่ใช่เรื่องสาคัญอะไรมากนัก ที่สาคัญ
ที่สุดคือเป็นของพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ ของ
ชิ้นนี้ประเมินค่าไม่ได้” หยางหนิงพูดอย่างมีมารยาท
ว่า “ข้าเองก็ไม่กล้าจะเรียกร้องเงินทองเป็นค่าชดเชย
เพราะมันจะเป็นการดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้ ตอนนี้ท่านย่า
ยังไม่ทราบเรื่อง ต้องไปแจ้งท่านย่าเสียก่อน ถึงจะ
ทราบได้ว่าต้องชดใช้เท่าไหร่ ข้าคิดว่าจะให้
โต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้เอาไว้ก่อน ขอใต้เท้า
พิจารณาด้วย!”
“ใบค้างหนี้อย่างนั้นรึ?”
“ใช่แล้วขอรับ” หยางหนิงพูดว่า “ให้โต้วเหลียนจง
เขียนยอมรับว่าได้ทาสมบัติมรดกตกทอดประจา
ตระกูลของข้าแตก ขอแค่ให้ใต้เท้าโม่ตรวจสอบ
รองรับและเป็นพยานให้ เรื่องนี้ก็จะคุยกันได้ง่าย
หน่อยขอรับ”
ผู้ว่าการโม่คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โต้วเหลียนจง
ฉีหนิงจะให้เจ้าเขียนใบค้างหนี้ เจ้ามีความเห็นว่า
อย่างไร?” สีหน้าของเขานิ่งไป สายตาจ้องไปที่
โต้วเหลียนจง
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 74 หน้าหินไร้ความรู้สึก
โต้วเหลียนจงพูดว่า “ใต้เท้าโม่จะให้ข้าเขียนใบค้าง
หนี้ ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้วขอรับ”
“ช้าก่อน!” ผู้ว่าการโม่ยกมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ใบค้าง
หนี้ ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าเขียน ส่วนเรื่องค่าชดใช้ เจ้าทา
มรดกตกทอดของจวนจิ่นอีโหวแตกเสียหาย ตามหลัก
แล้วเจ้าก็จะต้องมีคาตอบให้กับเขามิใช่หรือ ใบค้าง
หนี้จะเขียนไม่เขียน มันไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่เจ้า หาก
เจ้าเขียน เรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้ ต่อไปก็เป็นเรื่องของ
เจ้ากับจวนจิ่นอีโหวที่ต้องไปตกลงกันว่าจะจ่าย
ค่าชดเชยเท่าไหร่ หากเจ้าไม่เขียน ก็ไม่เป็นไร ข้าก็จะ
เอาคาให้การนี้ส่งไปให้ที่กรมอาญา ให้ทางกรมอาญา
จัดการเรื่องนี้ต่อไป”
“ไม่ได้นะขอรับ” โต้วเหลียนจงรีบพูด “ข้าจะเขียน
ใบค้างหนี้เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
เขารู้เกี่ยวกับหกกรมของต้าฉู่ดี ต่างฝ่ายต่างดูแลไม่
เกี่ยวข้องกัน กรมอาญากับกรมพระคลังดูแลคนละ
ส่วน ถึงแม้จะมีบางเรื่องที่ต้องประสานงานกัน แต่จะ
ไม่มีการแทรกแซงซึ่งกันและกัน
หากสานวนการให้การในวันนี้ถูกส่งไปยังกรมอาญา
เมื่อเปิดออกดู เจอคาให้การที่สามารถเอาถึงชีวิตได้
ไม่แน่อาจจะมีคนหาข้ออ้างทาให้เป็นเรื่องใหญ่ได้
ในตอนนี้ทาได้เพียงทาตามที่ท่านผู้ว่าการโม่บอกโดย
การเขียนใบค้างหนี้ เพื่อไม่ให้คาให้การมันแพร่
ออกไป หลังจากนี้ค่อยไปหาคนปรึกษาอีกที
กระดาษและหมึกมาวางอยู่ตรงหน้า โต้วเหลียนจง
เขียนใบค้างหนี้ต่อหน้าผู้ว่าการโม่ จากนั้นก็มอบ
ให้กับผู้ว่าการโม่ ผู้ว่าการโม่อ่านดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
กวักมือเรียกหยางหนิงมา แล้วถามว่า “ใบค้างหนี้เจ้า
ลองอ่านดูว่าใช้ได้หรือไม่? หากใช้ได้ เจ้าก็ลงลายมือ
ชื่อเสียแต่ตอนนี้”
“ไม่ได้ขอรับ” หยางหนิงกวาดสายตาอ่าน แล้วรีบพูด
ขึ้นมาว่า “ในนี้ระบุว่าทาม้าหยกหลิวหลีแตก
โต้วเหลียนจง เจ้าคิดจะเล่นคาในเอกสารนี้อย่างนั้น
รึ? เจ้าทามรดกตกทอดของจวนจิ่นอีโหวแตก ไม่ใช่
ม้าหยกหลิวหลี”
“ข้าทาม้าหยกหลิวหลีแตก หรือจะทามรดกตกทอด
แตกหรือไม่ ข้าไม่สน” โต้วเหลียนจงพูดด้วยความ
โกรธว่า “ข้าเขียนตามความเป็นจริง”
ผู้ว่าการโม่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดูท่าพวกเจ้าสองคน
ยังตกลงกันมิได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จนปัญญา คงต้องส่ง
เรื่องนี้ให้กับทางกรมอาญา...!”
โต้วเหลียนจงชะงักไป แล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า
“ช้าก่อน ใต้เท้าโม่ ข้า...ข้าจะเขียนตามที่เขา
ต้องการ” จากนั้นก็จ้องเขม็งไปที่หยางหนิง แล้วเขียน
ใบค้างหนี้ขึ้นมาใหม่ หยางหนิงรับมันมาอย่างพอใจ
ผู้ว่าการโม่ให้โต้วเหลียนจงลงชื่อแล้วประทับ
ลายนิ้วมือ จากนั้นก็ยื่นให้หยางหนิง หยางหนิงเก็บ
เข้าในเสื้อบริเวณหน้าอก ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายโต้ว
จะชดใช้อย่างไรเท่าไหร่ รอจวนจิ่นอีโหวปรึกษากัน
ก่อน ท่านวางใจได้ ข้าไม่ใช่คนโลภ”
ในใจโต้วเหลียนจงโกรธยิ่งนัก หันหน้ายกมือคานับ
ผู้ว่าการโม่ แล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่ ข้าน้อยขอตัวก่อน!”
หันหลังกาลังจะไป หยางหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “คุณชาย
โต้ว เจ้าบอกจ้าวซิ่นด้วยนะ มารับเงินชดเชยที่จวนจิ่น
อีโหวได้ตลอดเวลา จิ่นอีโหวของเรามีหนี้ต้องใช้ ไม่มี
ทางหนีหนี้แน่นอน”
หยางหนิงยกมือขึ้นคานับผู้ว่าการโม่แล้วพูดว่า
“ใต้เท้าโม่ ขอบคุณท่านมากที่ให้ความเป็นธรรมกับ
ข้าน้อย ฉีหนิงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก!”
เขาเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าดูออกอยู่แล้ว ผู้ว่าการโม่
ในวันนี้ถึงแม้จะดูเป็นธรรม แต่จริงๆ แล้วก็แอบ
เข้าข้างเขาอยู่
ก่อนที่เขาจะเข้ามาในศาลาว่าการเมืองหลวง เขาได้
เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ไม่ว่าใช้วธิ ีใดก็ตามก็จะต้อง
ให้โต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้ให้จงได้
แต่ว่าเรื่องราวมันราบรื่นมากกว่าที่เขาคิดไว้ยิ่งนัก
ผู้ว่าการโม่จับผิดโต้วเหลียนจงได้ถึงสองครั้งสองครา
มีบันทึก ก็สามารถใช้บันทึก ทาให้โต้วเหลียนจงต้อง
เขียนใบค้างหนี้ได้
ในใจของเขารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก แอบคิดในใจว่าหรือ
ผู้ว่าการโม่กับจวนจิ่นอีโหวจะมีสัมพันธ์อันใดต่อกัน?
ไม่อย่างนั้นใต้เท้าโม่จะปกป้องเขาไปเพราะเหตุใด
กัน?
แต่ในเมื่อโต้วเหลียนจงกล้าที่จะนาเรื่องนี้มาจวนผู้ว่า
การเมืองหลวงได้นั้น นั่นก็แสดงว่าผู้ว่าการโม่กับ
จวนจิ่นอีโหวไม่น่าจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างนั้น
โต้วเหลียนจงคงไม่มาฟ้องร้องถึงที่นี่อย่างแน่นอน
ผู้ว่าการโม่ถูกขนานนามว่า “ผู้ตัดสินอย่างเที่ยง
ธรรม” หน้าหินไร้ความรู้สึก ตัดสินคดีด้วยความ
ตรงไปตรงมา ในวันนี้ ถึงแม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่า
เป็นธรรม เพราะแอบปกป้องเขาอยู่ สาหรับคนหน้า
หินอย่างเขาแล้ว มันไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่
ผู้ว่าการโม่นิ่งไป ไม่มีรอยยิ้ม ลุกขึ้นแล้วเดินลงมาจาก
แท่น ท่านราชเลขาเดินตามหลังใต้เท้าโม่มา
แต่ทั้งสองคนมิได้พูดสิ่งใด
หยางหนิงมองไปที่จ้าวอู๋ซาง ในใจแอบแปลกใจ
ไม่น้อย
ผู้ว่าการโม่เดินมาจนถึงประตู จึงหยุดเดิน แล้วทา
สัญลักษณ์มือให้ท่านเลขาออกไปก่อน ท่านราชเลขา
จึงโค้งคานับแล้วเดินออกไป ทหารองครักษ์ของจวน
ทั้งสี่ก็เดินออกไปเช่นกัน
“เมื่อวานท่านช่วยเด็กคนหนึ่งเอาไว้ที่ตลาดดอกไม้
ใช่หรือไม่?” ผู้ว่าการโม่ไม่ได้หันหน้ามา ทันใดนั้นเขา
ถามขึ้นมาว่า “เหตุใดท่านถึงต้องช่วยเขาด้วยเล่า?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงว่าผู้ว่าการโม่จะถามคาถามนี้
ออกมา เขาพลันตกใจ ในใจก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่
ช่วยเด็กน้อยมาจากสู่อ๋องซื่อจื่อ ตัวหยางหนิงนั้นก็
เริ่มสั่นไปทั้งตัว จากนั้นจึงนึกถึงเหล่ยหย่งหู่ขึ้นมา
เขาจาได้ว่าเหวียนหรงเคยบอกว่า เหล่ยหย่งหู่มิใช่
คนของจวนผู้ว่าการ แต่เกี่ยวข้องกับกรมอาญา ใน
ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดสิ่งใดมากนัก ตอนนี้กลับนึกอะไร
ขึ้นมาได้
“ม้าจะทาร้ายผู้คน ข้าอยู่แถวนั้นพอดี ไม่ว่าจะผู้ใดก็
ตาม ข้าคงไม่มีทางยืนดูเฉยๆ โดยไม่ช่วย” หยางหนิง
คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่ การช่วยผู้คนที่
เดือดร้อนมันจาต้องมีเหตุผลด้วยหรือขอรับ?”
ผู้ว่าการโม่พูดอย่างเรียบๆ ว่า “คนที่ยืนดูเฉยๆ
มีตั้งมากมาย” เขาหยุดไป แล้วพูดต่อว่า “ได้ยินมาว่า
ตอนที่ท่านช่วยเด็กคนนั้นเอาไว้ ท่านเองก็บาดเจ็บ
ด้วย ท่านไม่คิดถึงชีวิตตัวท่านเองเลยหรือ?”
“นั่นเป็นเพียงแค่คาพูดคุยโตโอ้อวด” หยางหนิงยิ้ม
แล้วพูดว่า “ถึงแม้ข้าน้อยเกือบจถูกม้าเหยียบตาย
แต่ข้าน้อยก็แค่บาดเจ็บช่วงล่างเท่านั้น ไม่น่าจะมี
อันตรายถึงชีวิตได้”
ผู้ว่าการโม่พยักหน้า แล้วค่อยๆ หันมา เอามือไขว้
หลังเอาไว้ แล้วมองหยางหนิง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“ความกล้าของท่าน เหมือนกับพ่อของท่านยิ่งนัก”
จากนั้นก็กลับไปหน้านิ่งเหมือนเดิม แล้วพูดต่อว่า
“แต่ว่าความกล้าหาญของพ่อท่าน เขาเอามาเพื่อ
รักษาประเทศชาติ แต่ทว่าความกล้าของท่าน กลับ
เอามาใช้หลอกลวงผู้อื่น”
“หา?” หยางหนิงรีบพูดว่า “ใต้เท้าโม่ ท่าน...”
ผู้ว่าการโม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกเล่นของท่าน จะรอดพ้น
สายตาของข้าไปได้อย่างนั้นรึ? มรดกตกทอดรึ?
ของพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้รึ? มันก็แค่ม้าหยก
หลิวหลีธรรมดา ไปหาซื้อในตลาดก็ยังได้ ม้าหยก
หลิวหลีแบบนั้นใช้เงินแค่สามถึงห้าตาลึงก็ได้มันมา
ครอบครองแล้ว ดาวใต้ดาวเหนืออะไรกัน ท่านคิดว่า
จะหลอกข้าได้อย่างนั้นรึ?”
หยางหนิงรู้ดีว่าท่านโม่เองก็รู้ว่าเขาวางแผนอะไรอยู่
แต่ใครจะคิดว่าท่านโม่ยังปกป้องตัวเขาอยู่ ในใจก็
แอบคิดว่า เรื่องที่เขาช่วยชีวิตเด็กน้อยเอาไว้ จะต้อง
เกี่ยวข้องกับผู้ว่าการโม่อย่างแน่นอน
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งต่อไปอีก” ผู้ว่าการโม่พูด
อย่างนิ่งๆ ไม่รอให้หยางหนิงพูดสิ่งใด ก็พูดต่อว่า
“โรงรับจานาของพวกท่านไฟไหม้ ข้าจะให้คนไป
ตรวจสอบอย่างละเอียด” หลังจากสิ้นสุดประโยคนั้น
ท่านโม่ก็เดินออกไป
เมื่อผู้ว่าการโม่เดินไปแล้ว หยางหนิงก็ถอนหายใจ
ถามจ้าวอู๋ซางว่า “ผู้ว่าการโม่ท่านชี่ออะไรกันแน่?”
“โม่เจิงขอรับ” จ้าวอู๋ซางพูดง่ายๆ
ทั้งสองเดินออกจากจวนผู้ว่า เมื่อกลับถึงจวนโหว พอ
มาถึงที่ห้องโถง กู้ชิงฮั่นก็นั่งรออยู่แล้ว เห็นหยางหนิง
เดินเข้ามา จึงรีบเดินไปหา สีหน้าเต็มไปด้วยความ
กังวล แล้วถามหยางหนิงว่า “หนิงเอ๋อ พวกเจ้าไปที่
ศาลาว่าการรึ? เกิดเหตุใดขึ้น?”
หยางหนิงยิ้ม แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ตาที่
สวยงามของกู้ชิงฮั่นเบิกกว้างขึ้น พลันตกใจแล้วพูดว่า
“เจ้าบอกว่าโต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้ให้เจ้าอย่าง
นั้นรึ?”
หยางหนิงหยิบใบค้างหนี้ออกมา แล้วยื่นไปให้กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นมองไป เห็นมีการลงลายมือชื่อกับประทับ
ลายนิ้วมือ และที่ตกใจยิ่งกว่านั้นคือ “มรดกตกทอด
อย่างนั้นรึ?”
“มันก็แค่ม้าหลิวหลีธรรมดาตัวหนึ่ง” ด้านนอกไม่มี
ผู้ใด หยางหนิงเองก็ไม่คิดจะปิดบังกู้ชิงฮั่น “รับมือกับ
คนอย่างโต้วเหลียนจง ต้องใช้วิธีเช่นนี้ มีใบค้างหนี้
ในมือ จ้าวซิ่นคงไม่กล้ามาทวงเงินที่จวนเองหรอก
กระมัง รอข้าอารมณ์ดีเมื่อไหร่ ค่อยเอามันไป
ทวงหนี้”
ตอนแรกกู้ชิงฮั่นยังรู้สึกหงุดหงิดกับภาระหนี้สินที่ต้อง
จ่าย คิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่าง
ง่ายดาย จากนั้นก็อดยิ้มมิได้ “เจ้าเด็กคนนี้ ต่อไปใช้
วิธีเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ หากผู้ใดรู้ความจริงขึ้นมา จะ
ทาเช่นไร”
“ในเมื่อข้าใช้ไปแล้ว ก็จะต้องไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงเรื่องนี้”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสาม ท่านวางใจเสีย
เถอะ วิธีเช่นนี้ ข้าเองก็ต้องเลือกคนที่ข้าจะใช้ด้วย
รับมือกับคนอย่างโต้วเหลียนจง จะทาซึ่งๆ หน้ามิได้”
จากนั้นก็พูดเบาๆว่า “แต่ว่าเรายังต้องระวังตระกูล
โต้วให้ดี ครั้งนี้พวกเราทาแผนของพวกเขาพัง ในครั้ง
หน้าพวกเขาจะมาไม้ไหน เราก็มิอาจทราบได้”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเดินเข้ามา เสียงของพ่อบ้านชิว
ดังขึ้น “ฮูหยินสามท่านอยู่ด้านในหรือไม่?”
“เข้ามา” กู้ชิงฮั่นให้พ่อบ้านชินเข้ามาได้ พ่อบ้านชิว
จึงเปิดประตูเข้ามา กู้ชิงฮั่นพลันถามว่า “เรื่องตรงนั้น
ท่านจัดการไปถึงไหนแล้ว?”
“ข้าได้ทาการเจรจากับเหล่าเจ้าของร้านต่างๆ แล้ว
สองสามวันนี้ให้ตรวจสอบความเสียหายเสียก่อน แล้ว
ให้เวลาพวกเราอีกครึ่งเดือน” พ่อบ้านชิวพูดต่อว่า
“คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ข้าน้อย
คานวณคร่าวๆ แล้ว หลายร้านรวมกัน ก็อาจจะต้อง
จ่ายประมาณหนึ่งหมื่นตาลึง นอกเหนือจากนี้ก็เป็น
ของจ้าวซิ่นแล้ว ยังมีอีกราวสองหมื่นกว่าตาลึงที่
ปล่อยจานาออกไป รวมๆแล้วก็น่าจะประมาณห้าหก
หมื่นตาลึงหากได้ไม่เกินนี้เราก็จะแย่เอาได้” เขา
ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เงินสดในจวนรวมแล้วมีไม่
เกินสองพันสอง...ฮูหยินสาม คราวนี้พวกเราแย่แน่
ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว ถึงแม้หยางหนิงจะแก้ไขปัญหาเรื่อง
ของโต้วเหลียนจงได้ เงินจานวนหนึ่งหมื่นตาลึงยังไม่
ต้องไปสนใจ แต่เงินค่าชดเชยของคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่
น้อยๆ เช่นกัน นอกจากของจ้าวซิ่นแล้ว ยังต้องหา
เงินให้ถึงสี่หมื่นตาลึงถึงจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้
เริ่มตั้งแต่สมัยของท่านเหล่าโหว ซื่อสัตย์มือสะอาดมา
ตลอด นอกจากจะมีรายรับปกติแล้ว ไม่มีกิจการ
สกปรกเลย ภาษีสามพันไร่บวกกับที่ดินกับกาไรของ
ร้านค้า ในปีหนึ่งก็มีรายรับประมาณห้าหกหมื่นตาลึง
มองจากภายนอกเป็นเช่นนั้น ในต้าฉู่นี้ถือเป็นรายรับ
ที่มากพอควร
จริงๆ แล้วค่าใช้จ่ายของจวนโหวน้อยกว่าจานวนเงิน
นี้มากนัก
“ทางเจียงหลิงยังไม่มีข่าวคราวมาอีกหรือ จะต้องมี
อะไรเปลี่ยนแปลงแน่ๆ” พ่อบ้านชิวจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า
“ฮูหยินสาม ตอนนี้ต้องหวังเงินจากเจียงหลิงมาให้
ทันเวลา หากแม้แต่เงินของเจียงหลิงก็มาไม่ถึง
คราวนี้พวกเราแย่แน่ๆ ท่านว่าเราควรส่งใครไปดูเสีย
หน่อยดีหรือไม่?”
“เราก็ส่งคนไปหลายคนแล้ว แต่ก็ไม่มีข่าวคราวอันใด
เลย” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว “พ่อบ้านชิว ท่านไปเตรียมตัว
เถอะ ข้าจะไปวันนี้เลย เดินทางไปที่เจียงหลิง”
“หา?” พ่อบ้านชิวรีบพูดขึ้นว่า “ฮูหยินสาม ท่านจะ
ไปเจียงหลิงด้วยตนเองเลยรึ?”
กู้ชิงฮั่นจึงพูดขึ้นมาว่า “มันช้ามาเดือนกว่าๆ แล้ว มัน
มิใช่เรื่องปกติ จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ” หันไป
มองหยางหนิง ในใจก็คิดถึงสิ่งที่หยางหนิงเคยพูด
เรื่องเงินของเจียงหลิงมันไม่น่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย
หยางหนิงเดาถูกเงินของเจียงหลิงกับเรื่องไฟไหม้ และ
เรื่องลอบสังหารมันน่าจะมีอะไรเกี่ยวเนื่องกัน จะต้อง
มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่ามันมีเหตุผล
มากพอ “ข้าจาเป็นจะต้องไปเจียงหลิงด้วยตัวเอง”
“แต่ว่าทางนี้...ฮูหยินสาม ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปจะ
ดีกว่าหรือไม่ ท่านอยู่ที่จวนนี้ดีกว่า” พ่อบ้านชิวคิดๆ
ดูแล้ว ก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าไปคราวนี้จะต้องนาเงิน
กลับมาได้อย่างแน่นอน”
“พ่อบ้านชิว ปกติเจ้าก็เป็นคนประสานงานกับคน
พวกนั้นอยู่แล้ว” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “หญิงม่ายอย่างข้า
ไม่สะดวกออกหน้า เจ้าก็พยายามรับหน้าพวกเขา
เอาไว้ พยายามให้พวกเขาตกลงเลื่อนเวลาออกไป
ก่อน ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
“แต่ว่าฮูหยินสามจะไปคนเดียว ข้าน้อยกังวลใจยิ่ง
นัก” สีหน้าของพ่อบ้านชิวดูลาบากใจ
กู้ชิงฮั่นพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง บ้านเกิดข้าอยู่
เจียงหลิง ข้าคุ้นเคยกับที่นั่นดี”
“ข้าจะไปกับซานเหนียงด้วย” จู่ๆ หยางหนิงก็พูด
ขึ้นมา “มีข้าไปกับซานเหนียงด้วย ทุกอย่างจะต้อง
เรียบร้อยอย่างแน่นอน”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 75 เจียงหลิง
เจียงหลิงตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสิงหนาน ด้าน
ตะวันตกติดกับเมืองปาสู่ ทางเหนือติดกับเมือเซียงฮั่น
มีแม่น้าล้อมรอบเมือง เป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับชายแดน
ที่ส้าคัญที่สุดทางตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ภายใต้การ
ปกครองของเมืองจิงโจว
เวลาเที่ยงตรง เส้นทางหลักทางตะวันออกของเมือง
จิงโจว รถม้าวิ่งโยกไปมา รถม้าคันหนึ่งก้าลังวิ่งมาทาง
หลัก รอบๆ รถม้ามีขบวนม้าอีกห้าหกตัวตามมา
ตอนนี้สามารถมองเห็นเมืองจิงโจวจากที่ไกลๆ เมือง
จิงโจวเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายในดินแดนอันกว้างใหญ่
เดินทางหลายวัน โดยไม่หยุด พวกของหยางหนิงก็
มาถึงเจียงหลิง
กู้ชิงฮั่นยืนยันที่จะมาตรวจสอบเงินภาษีที่เมือง
เจียงหลิงด้วยตัวเอง หยางหนิงไม่วางใจ เขารู้สึกว่าที่
เจียงหลิงจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ กู้ชิงฮั่นไม่มีทางท้า
เรื่องนี้ได้อย่างราบรื่นแน่นอน เมื่อบอกว่าจะมากับ
กู้ชิงฮั่น นางเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรมากนัก นางรู้สึก
ว่าหยางหนิงใกล้จะได้สืบทอดต้าแหน่งโหวแล้ว ก็ถือ
โอกาสนี้ให้หยางหนิงมาดูบ้านเกิดที่เจียงหลิงก็คง
ไม่ได้มีปัญหาอะไร
การเดินทางคราวนี้จริงๆ ต้วนฉางไห่จะตามมาคุ้มกัน
ด้วย แต่ในเมืองหลวงมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย
กู้ชิงฮั่นกลัวพ่อบ้านชิวคนเดียวจะเอาไม่อยู่ ก็เลยให้
ต้วนฉางไห่อยู่ช่วยพ่อบ้านชิวที่เมืองหลวง จึงให้ฉีเฟิง
กับทหารอีกสามสี่คนตามมา
ไฟไหม้ที่เมืองหลวง ท้าให้จวนจิ่นอีโหวมีหนี้สิน
จ้านวนมาก ตอนนี้รายรับที่มากที่สุดของจวนโหวคือ
เงินภาษีจากเจียงหลิง เมื่อทางนี้เกิดปัญหา จวนโหวก็
จะเดือดร้อน กู้ชิงฮั่นอยากจะรีบสืบให้รู้ว่าท้าไม
เงินภาษีของเจียงหลิงถึงได้นานเช่นนี้ ส่งมาไม่ถึงสักที
ดังนั้นจึงไม่มีการหยุดพักในการเดินทางเลยแม้แต่
น้อย
ระหว่างทางกู้ชิงฮั่นหวังว่าจะได้เห็นขบวนส่งเงินภาษี
แต่ตลอดทางที่ผ่านมาก็ไม่เจอเลยแม้แต่ขบวนเดียว
ไม่นานก็เดินทางมาถึงชานเมืองจิงโจว
“ซื่อจื่อ ด้านหน้านี้ก็คือเมืองจิงโจวขอรับ” ฉีเฟิงรู้ว่า
หลังจากซื่อจื่อเกิดมา ก็ไม่เคยมาที่เจียงหลิงเลย
เลือดเนื้อเชื้อไขของจิ่นอีโหว บรรพบุรุษมาจาก
เจียงหลิง ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน เจียงหลิงถือเป็น
ต้นตระกูลของพวกเขา แล้วท้าให้ที่แห่งนี้เจริญ
รุ่งเรือง หลังจากจิ่นอีเหล่าโหวตั้งรากฐานที่เมืองหลวง
ทั้งตระกูลก็ย้ายไปอยู่เมืองหลวงทั้งหมด แต่ทว่าที่ดิน
ศักดินาของพวกเขาอยูท่ ี่นี่ ดังนั้นที่นี่ถือเป็นรากฐาน
ส้าคัญ
ตอนที่ท่านเหล่าโหวยังมีชีวิตอยู่ หากมีเวลา ท่านจะ
เดินทางมาค้างอยู่บ้าง แต่เมื่อถึงรุ่นของฉีจิ่ง เวลาที่
กลับมาที่นี่นั้นน้อยมาก แต่ว่ายังมีกลับมากราบไหว้
บรรพบุรุษอยู่บ้าง
แต่หลังจากจิ่นอีซื่อจื่อเกิด ท่านก็ไม่เคยกลับมาที่นี่อีก
เลย
บรรพบุรุษของฉีเฟิงเองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ตอนนั้นยัง
เคยกลับมาพร้อมกับฉีจิ่ง จึงต้องคุ้นเคยเส้นทาง
มากกว่าหยางหนิง เมื่อเห็นเมืองจิงโจวอยู่ข้างหน้า
แล้ว ฉีเฟิงก็เลยรู้สึกอบอุ่นใจ
“บ้านเกิดของพวกเราอยู่ในเมืองนี้อย่างนั้นรึ?”
หยางหนิงถาม
ฉีเฟิงส่ายหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “บ้านเกิดของท่านโหวอยู่
ไม่ไกลจากเมืองจิงโจวนัก ต้องเดินทางไปทางใต้อีก
สามสิบสี่สิบลี้ ที่นั่นจะมีบ้านตระกูลฉี บ้านเก่าจะอยู่
ติดกับจวนตระกูลฉี อดีตฮ่องเต้ทรงมีราชโองการให้
สร้างจวนใหญ่ไว้ให้ท่านเหล่าโหวในเมืองจิงโจว เพื่อ
ระลึกถึงท่านเหล่าโหว ก่อนที่จะสร้างเสร็จ ยังต้อง
อาศัยอยู่ที่จวนเก่าก่อน” เขายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่
ท่านแม่ทัพกลับมา ก็ยังคงไปพักที่จวนเก่า ทุกครั้งจะ
มีขุนนางน้อยใหญ่จากที่ต่างๆ ในเจียงหลิง รวมถึง
เจ้าเมืองของเมืองจิงโจว ก็ไปที่จวนเก่าเช่นกัน”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า
“ที่ดินศักดินาและที่นาของพวกเราทั้งหมดอยู่ที่
จวนเก่าตระกูลฉีใช่หรือไม่?”
“ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ทรงประทานที่ดินศักดินาให้
สามพันไร่ ส่วนใหญ่แบ่งไปรอบๆ จวนเก่า” ฉีเฟิง
อธิบายอีกว่า “แต่ที่นาไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน ในตอนนั้น
อดีตฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ท่านเจ้าเมืองเจียงหลิงเลือก
ที่ดินที่น้าท่าสมบูรณ์ที่สุด แล้วพระราชทานเป็นที่ดิน
ศักดินาให้ ดังนั้นจึงไม่อยู่ที่เดียวกัน ท่านซื่อจื่อไม่รู้
อะไร ตระกูลฉีในตอนนั้นถือเป็นตระกูลใหญ่ของ
เจียงหลิง จะว่าร่้ารวยอยู่ฝ่ายเดียว แต่จริงๆ แล้วมัน
...!”
“ฉีเฟิง เจ้าอย่าพูดเหลวไหล” กู้ชิงฮั่นเปิดผ้าม่านออก
ยิ้มแล้วด่าว่า “ร่้ารวยอยู่ฝ่ายเดียว พวกเจ้าแอบคุยกัน
ข้าไม่ว่า แต่อยู่ต่อหน้าผู้อื่น อย่าพูดเหลวไหลเช่นนี้อีก
ตอนนั้นท่านแม่ทัพก็สั่งพวกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ที่ดินที่นี่
เป็นของพ่อแม่ญาติมิตร เมื่อมาที่นี่ ก็ต้องระวังให้ดี
ต่อหน้าพ่อแม่พี่น้องห้ามพูดจาเหลวไหลเช่นนี้
เด็ดขาด”
ฉีเฟิงรีบพูดว่า “ซานเหนียง ข้าน้อยไม่กล้าแล้ว
ขอรับ”
“ซานเหนียง ท่านก็ให้เขาพูดให้จบเถิด” หยางหนิง
ขี่ม้าอยู่ข้างๆ หน้าต่างรถม้า มองไปยิ้มให้กู้ชิงฮั่นแล้ว
พูดว่า “ท่านให้เขาเก็บเอาไว้ เขาอาจจะตายเอาได้
นะ” จากนั้นก็มองไปที่ฉีเฟิงแล้วพูดว่า “พูดต่อไปสิ
ต่อมาเกิดสิ่งใดขึ้น?”
ฉีเฟิงยกมือไปจับหลังศีรษะ แล้วพูดแบบเขินอายว่า
“ข้าน้อยอยากจะบอกว่า ท่านเหล่าโหวตอนนั้น
ติดตามอดีตฮ่องเต้ไปออกศึก ตระกูลฉียกทรัพย์สินที่
ได้มาทั้งหมดให้กับอดีตฮ่องเต้ เพื่อน้ามันมาเป็นทุน
ในการออกรบ หลังจากอดีตฮ่องเต้ปราบกบฏได้
ส้าเร็จ ถึงได้ทรงปูนบ้าเหน็จเพิ่มให้อีกเท่าตัว”
หยางหนิงคิดในใจว่าท่านเหล่าโหวคนนี้มีสายตาที่
กว้างไกลมาก อดีตฮ่องเต้ให้ความส้าคัญกับเขา
จะต้องเป็นเพราะจิ่นอีโหวท้าศึกได้ดี เป็นก้าลังส้าคัญ
นอกจากนี้อาจจะเป็นเพราะท่านเหล่าโหวได้มอบ
ทรัพย์ที่ได้มาน้าไปให้ทั้งหมดก็เป็นได้
“ซานเหนียง เราเข้าเมืองกันก่อนดีหรือไม่ หรือว่า
ท่านอยากจะไปที่จวนเก่าเลย?” หยางหนิงถาม
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “สายมากแล้ว หากเข้าเมืองอีก จะต้อง
เสียเวลาไปอีกหนึ่งวัน เราตรงไปที่จวนเก่าเลยจะ
ดีกว่า ครั้งนี้เรามาแบบชาวบ้าน ไม่จ้าเป็นต้องไป
รบกวนในเมืองหรอก”
หยางหนิงลังเล แล้วก็พูดว่า “ซานเหนียง ข้ามีอะไร
จะบอกท่าน”
กู้ชิงฮั่นเปิดผ้าม่านออก แล้วมองไปที่หยางหนิง
จากนั้นก็ถามว่า “ตั้งแต่เมื่อวาน ข้าเห็นเจ้าเหมือน
ก้าลังคิดสิ่งใดอยู่ สมองน้อยๆ ของเจ้าคิดอะไรอยู่
อย่างนั้นหรือ?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ คิดดูแล้วหยางหนิงก็
โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ค้าว่าสมองน้อยๆ ต่อไปไม่พูด
จะดีกว่า
หยางหนิงลงจากหลังม้า จากนั้นก็โยนเชือกไปให้
ฉีเฟิง แล้วเดินไปอย่างช้าๆ แล้วกระโดดไปที่ด้านหน้า
ของรถม้า เปิดม่านแล้วเข้าไปในรถม้า กู้ชิงฮั่นตกใจ
เห็นหยางหนิงขึ้นมาบนรถม้า ก็เอี้ยวตัวหลบแทบไม่
ทัน รถม้าธรรมดานี้มันเล็กและแคบกว่ารถม้าใหญ่
มาก แต่ก็เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
นอกจากนี้ กู้ชิงฮั่นเองก็คิดอย่างอื่นด้วย
นางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก หลังจากครั้งที่แล้วเห็น
สายตาที่แปลกไปของหยางหนิง ในใจก็รู้สึกได้ว่า
หยางหนิงโตแล้ว ค้าพูดค้าจาของหยางหนิงก็ไม่
เหมือนก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ท้าให้กู้ชิงฮั่นรู้
แล้วว่าตอนนี้หยางหนิงไม่ใช่เด็กน้อยที่ตัวนางจะต้อง
ปกป้องอีกแล้ว
ผู้หญิงละเอียดอ่อนมากความรู้สึก ก่อนหน้านี้นาง
ดูแลซื่อจื่อมาตลอด ความรู้สึกลึกซึ้งยิ่งนัก จริงๆ แล้ว
นางก็เข้าใจ เด็กน้อยที่นางคอยดูแลมาตลอดจะโต
แล้ว ความรู้สึกจึงเปลี่ยนไป มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจ
ยากอะไร แต่เรื่องนี้ นางจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้น
แน่นอน
ถึงแม้นางจะปกป้องซื่อจื่อเหมือนเดิม แต่การกระท้า
ค้าพูดกลับต้องระวังให้มากขึ้น ตั้งแต่ตอนนั้น นางก็
ไม่ค่อยเข้าหาหยางหนิงอีกเลย ยิ่งแต่การจับมือถือ
แขนเองก็จะต้องไม่เกิดขึ้น เหมือนก้าลังสร้าง
ระยะห่างกับหยางหนิง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา
ยังดีที่หยางหนิงเองก็ระวังมากขึ้นหลังจากเรื่องใน
คราวนั้น จึงไม่มีปัญหาอะไร
ครั้งนี้ออกจากเมืองหลวงมาเจียงหลิง เส้นทางยาว
ไกล หากเป็นเมื่อก่อน กู้ชิงฮั่นคงให้หยางหนิงเข้ามา
นั่งในรถม้ากับนางด้วย เพื่อไม่ให้หยางหนิงต้องขี่ม้า
อาจจะท้าให้เหนื่อยเกินไป
แต่ครั้งนี้นางเลือกรถม้าคันเล็ก หนึ่งก็เพื่อสะดวกใน
การเดินทางมากขึ้น สองก็เพื่อจะนั่งได้คนเดียว แล้ว
ให้หยางหนิงไปขี่ม้าแทน
แต่ตอนนี้จู่ๆ หยางหนิงก็เข้ามาในรถม้า กู้ชิงฮั่นรู้สึก
ตกใจ ในใจก็แอบคิดว่าตัวนางคงระแวงเกินไป ถึงแม้
จะระวังเรื่องระยะกับหยางหนิงสักเพียงใด แต่นาง
ในตอนนี้ รู้สึกว่ามันมากเกินไป หยางหนิงอาจจะ
ไม่ได้คิดสิ่งใดก็ได้ แต่เพราะตัวนางปล่อยวางไม่ได้เอง
มันท้าให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมีอุปสรรค
“หนิงเอ๋อ เจ้าคิดจะท้าสิ่งใดกัน?” กู้ชิงฮั่นพยายาม
สงบใจ ส่งสัญญาณให้หยางหนิงไปนั่งริม น้้าเสียง
อ่อนโยน ใบหน้ายิ้มแย้ม พยายามแสดงความเป็น
ผู้ใหญ่ออกมา
หยางหนิงเปิดผ้าม่านออก แล้วพูดกับฉีเฟิงว่า “ไม่
ต้องรีบไปที่จวนเก่านะ กลางวันยังไม่ได้กินอะไรเลย
หาที่ข้างหน้าพักสักหน่อย แล้วพวกเจ้าก็พักกินอะไร
กันก่อน”
ฉีเฟิงรับค้า หยางหนิงจึงปิดม่านลง
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงมีลับลมคมใน ก็รู้สึกแปลกใจ
หยางหนิงเข้ามาใกล้ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ซานเหนียง เราจะไปที่จวนเก่าก่อนจริงๆ หรือ?”
ถึงแม้หยางหนิงจะเข้ามาใกล้ แต่กู้ชิงฮั่นเห็นสีหน้า
ของเขาจริงจัง ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็พูดเบาๆ
ว่า “จะตรวจสอบเรื่องเงินภาษีที่ยังส่งไปไม่ถึงเมือง
หลวง พวกเราก็ต้องไปที่จวนเก่าสิ หนิงเอ๋อเจ้าคิดถึง
อะไรอยู่?”
“ซานเหนียง ตลอดทางที่ผ่านมา เราไม่เจอขบวน
ขนส่งเงินภาษีเลยนะ แล้วก็ไม่ได้ยินว่ามีการปล้นรถ
ขนเงินด้วย” หยางหนิงเหมือนคิดอะไรอยู่ เขาพูด
เสียงเบาๆ ว่า “ข้าก้าลังคิดว่า เงินภาษีส่งไปไม่ถึง
เมืองหลวงสักที หรือว่าที่จวนเก่าจะมีปัญหาอะไร
หรือไม่?” ไม่รอให้กู้ชิงฮั่นพูดอะไร เขาก็ถามกลับไป
ว่า “เงินภาษีของพวกเรา เกี่ยวข้องอะไรกับขุนนางใน
ท้องที่หรือไม่ หรือว่าทางจวนเก่าเป็นผู้รับผิดชอบ?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ที่จวนเก่ายังมีพ่อบ้านใหญ่อีกคนดูแล
อยู่ เป็นคนของตระกูลฉี หลายปีมานี้ ที่ดินศักดินากับ
ที่นาของเจียงหลิง พ่อบ้านใหญ่จะเป็นผู้ดูแลจัดการ
ทุกอย่าง ทุกปัญหาก็จะมีพ่อบ้านใหญ่เป็นผู้ดูแล
จัดการ จะมีการจัดส่งเงินภาษีกับผลการเก็บเกี่ยว
ปีละสองครั้งแล้วส่งมายังเมืองหลวง”
“พ่อบ้านใหญ่คงไม่ส่งเงินไปที่เมืองหลวงด้วยตัวเอง
หรอกใช่หรือไม่?” หยางหนิงถาม
กู้ชิงฮั่นจึงอธิบายต่อว่า “ที่ดินศักดินาสามพันไร่ แบ่ง
ออกเป็นสิบกว่าหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านจะมีผู้น้า เมื่อ
ถึงเวลาของทุกปี ผู้น้าของแต่ละหมู่บ้านจะเก็บ
รวบรวมภาษีส่งมายังจวนเก่า ผลผลิตทางการเกษตร
ที่เจียงหลิง จะเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง
ของทุกปี หลังจากเก็บรวบรวมแล้วจึงจะส่งไปที่จวน
เก่า พ่อบ้านใหญ่จะเปลี่ยนของเหล่านั้นเป็นเงินสด
จึงจะส่งเข้าเมืองหลวง”
“ถ้าอย่างนั้น เงินภาษีของเจียงหลิงทั้งหมด ก็อยู่ใน
มือของพ่อบ้านใหญ่” สีหน้าของหยางหนิงจริงจัง
“หากมีปัญหาอะไรท่านพ่อบ้านใหญ่ก็จะเป็น
ผู้รับผิดชอบอย่างนั้นรึ?”
“ใช่แล้ว” กู้ชิงฮั่นจึงพูดว่า “หนิงเอ๋อ เจ้าอยากจะพูด
สิ่งใดกันแน่?”
“ซานเหนียง ข้าก้าลังคิดว่า เงินภาษีที่ล่าช้าคราวนี้
อาจจะไม่ใช่เพราะชาวบ้านไม่จ่ายภาษีหรอกกระมัง”
หยางหนิงค่อยๆ พูดต่อไปว่า “หากภาษีถูกส่งไปยัง
จวนเก่าแล้ว เหตุใดจวนเก่าถึงยังไม่ส่งเข้าเมืองหลวง
อีกเล่า? พ่อบ้านใหญ่คิดไม่ซื่อต่อพวกเราหรือไม่?”
“พ่อบ้านใหญ่อย่างนั้นรึ?” กู้ชิงฮานขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “เขาจะกล้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? พวกเรา
กลับมาคราวนี้ จะต้องท้าให้ชัดเจน ว่าพ่อบ้านใหญ่มี
ปัญหาอะไรที่ยากจะจัดการหรือไม่”
“ท่านเคยเจอพ่อบ้านใหญ่หรือไม่?” หยางหนิงมอง
กู้ชิงฮั่นด้วยความสงสัย “ท่านรู้จักพ่อบ้านใหญ่คนนั้น
ดีหรือไม่?”
“พ่อบ้านใหญ่เคยไปเมืองหลวงหลายครั้ง แต่ทว่าข้า
เองก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาเสียเท่าไหร่” กู้ชิงฮั่นพูดต่อ
ว่า “ท่านแม่ทัพอยู่ท้าศึกข้างนอกอยู่หลายปี ฮูหยิน
ใหญ่เองก็หันหน้าเข้าสู่ธรรมมะ ดังนั้นหลายๆ เรื่องใน
จวน ก็มีข้ากับพ่อบ้านชิวเป็นผู้จัดการ พ่อบ้านใหญ่ไป
เมืองหลวง พ่อบ้านชิวก็จะเป็นผู้ดูแลต้อนรับ” คิดไป
ครู่หนึ่ง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หลายปีมานี้พ่อบ้าน
ใหญ่ก็ไม่ได้ท้าอะไรผิดพลาด แล้วเขาก็ไม่กล้าที่จะ
ยักยอกเงินภาษีอย่างแน่นอน”
หยางหนิงถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า "ซานเหนียง
ข้าไม่ได้กังวลว่าพ่อบ้านใหญ่จะยักยอกเอาเงินไป
ไม่ยอมส่งให้ เพียงแต่กังวลว่าจะมีคนบังคับเขาไม่ให้
ส่งเงินภาษีเข้าเมืองหลวงต่างหาก
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 76 การปลอมตัว
กู้ชิงฮั่นคิดในใจว่านี่มันคาพูดของเด็กยังไม่รู้จักโต
แต่มาคิดอีกทีหยางหนิงเองก็ไม่ได้คุ้นเคยเจียงหลิง
แม้แต่น้อย จึงไม่แปลกที่จะสงสัยอะไรเช่นนี้
ตระกูลฉีจิ่นอีโหวมีอิทธิพลยิ่งนักในเจียงหลิง เพียงแค่
อาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้นก็จะสัมผัสได้ เจียงหลิงเป็น
รากเหง้าของตระกูลฉีมายาวนาน อีกทั้งยังเป็นหนึ่ง
ในสี่ตระกูลบรรดาศักดิ์ของต้าฉู่ เพราะฉะนั้นอิทธิพล
จึงไม่มีผู้ใดเทียบได้ เมื่อพูดถึงเจียงหลิง ทุกคนจะ
นึกถึงจิ่นอีโหวเป็นอย่างแรก
ถึงแม้จิ่นอีโหวจะไม่มีการดึงพรรคดึงพวกในราชสานัก
เลย แต่ใครๆ ก็รู้ พื้นที่ในแถบเจียงหลิง เป็นพื้นที่ของ
ตระกูลฉี ขุนนางในเจียงหลิง หากไม่ได้รับการ
สนับสนุนจากตระกูลฉี ก็อาจจะไม่มีทางอยู่รอด
บ้านเก่าของตระกูลฉีถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในเมืองจิงโจว
แต่พ่อบ้านใหญ่จวนเก่าที่เจียงหลิงก็ไม่เคยก้มหัวให้
ผู้ใดมาก่อน ถึงแม้จะเป็นเจ้าเมืองของเมืองจิงโจวก็
ตาม เห็นแก่จิ่นอีโหว จึงไม่กล้าทาอะไรกับพ่อบ้าน
ใหญ่ของจวนเก่า ในฐานะตัวแทนของจิ่นอีโหวที่
เจียงหลิง กู้ชิงฮั่นจะมีผู้ใดที่กล้าข่มขู่หรือบังคับ
พ่อบ้านใหญ่ได้
“หนิงเอ๋อ เจ้าคิดมากเกินไปหรือไม่?” กู้ชิงฮั่นนิ่งไป
แล้วพูดขึ้นมาว่า “เมื่อพวกเราเจอพ่อบ้านใหญ่ เรื่อง
อะไรต่างๆ มากมายก็จะกระจ่างเอง”
“ซานเหนียง ไม่ใช่ว่าข้าคิดมากเกินไป” หยางหนิง
ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ช่วงนี้ หลายๆ เรื่องที่เกิด
ขึ้นกับจวนจิ่นอีโหวมันแปลกขึ้นเรือ่ ยๆ สถานการณ์
เช่นนี้ พวกเราไม่ควรนิ่งนอนใจ”
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงยังคงมีสีหน้าที่จริงจัง จากนั้นก็
หยุดยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ากาลังหมายความว่าข้าจะถูก
ผู้อื่นหลอกได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ซานเหนียง ท่านฉลาดเกินผู้ใด แล้วใครจะหลอก
ท่านได้เล่า?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเพียงแค่
รู้สึกว่ามีเรื่องมากมายที่เปลี่ยนไป คนมากมายก็
เปลี่ยนไปได้ทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่าควรจะทาเช่นไร?” เห็นหยางหนิง
เหมือนกาลังใช้ความคิด กู้ชิงฮั่นรู้สึกสนใจยิ่งนัก
หยางหนิงพูดว่า “ซานเหนียง หลายปีมานี้ ท่านอาศัย
ในเมืองหลวงตลอด ท่านพ่อไปออกรบที่ชายแดน
ส่วนเจียงหลิง ก็มอบให้พ่อบ้านใหญ่เป็นผู้จัดการ
เกรงว่าพวกท่านยังไม่เข้าใจเจียงหลิงมากนัก”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด
ข้าเองก็ไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งหลายปี” จากนั้นนางก็เริ่ม
ครุ่นคิด
“ข้ารู้สึกว่าหากในเวลานี้พวกเราตรงไปยังจวนเก่าเลย
ไม่สู้เราปลอมตัวเป็นคนธรรมดาไปสารวจแบบลับๆ
ไม่ดีกว่าหรือ” หยางหนิงในที่สุดก็พูดว่า “ลองไปสืบ
กับชาวบ้านดูก่อนว่าได้จ่ายภาษีกันหรือยัง ให้รู้แน่ชัด
ว่าสถานการณ์จริงๆ แล้วเป็นเช่นไร ถึงเวลานั้นเราไป
ถึงจวนเก่า เราจะได้รับมือได้ หากไปจวนเก่าเสียก่อน
สถาณการณ์เป็นอย่างไรเราก็ไม่อาจทราบได้ ทุกอย่าง
ก็อาจจะต้องเป็นไปตามที่พ่อบ้านใหญ่พูดทั้งหมด”
“ปลอมตัวไปสืบแบบลับๆ อย่างนั้นหรือ?” กู้ชิงฮั่น
ตาลุกวาว “เจ้าหมายความว่าให้เราแต่งตัวเป็น
ชาวบ้านธรรมดาไปสืบอย่างนั้นรึ?”
“หมายถึงข้า ไม่ใช่พวกเรา” หยางหนิงพูดอย่าง
จริงจัง เห็นกู้ชิงฮั่นเหมือนจะตื่นเต้น จึงถามกลับไปว่า
“ซานเหนียง ท่านคงไม่ได้คิดจะปลอมตัวด้วย
ใช่หรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นยิ้ม แล้วย้อนถามกลับไปว่า “แล้วไม่ได้รึ?”
“ไม่ได้” หยางหนิงรีบส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านเป็น
ผู้หญิง หากปลอมตัวเป็นนักสืบ มันต้องเดินทาง
เหนื่อยยิ่งนัก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ...!” ทันใด
นั้นเองก็เหมือนจะเห็นสายตาคู่นั้นของกู้ชิงฮั่นจ้องมา
ที่ตัวเขา เขาเหลือบไปมอง เห็นสายตาของนางดูโกรธ
ครั้งนี้กู้ชิงฮั่นไม่ได้เกรงใจเขาเลยแม้แต่น้อย นาง
ยื่นมือมาจับหูของหนิง ตั้งใจยิ้มอย่างเย็นชาใส่เขา
แล้วพูดว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ ไหนลองพูดอีกทีซิ?
เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วรึ ที่นี่คาพูดเจ้าใหญ่หรือ
ข้าใหญ่?”
หยางหนิงเห็นนางขมวดคิ้ว สีหน้าเกรี้ยวกราดนัก เขา
เป็นใคร ถึงจะได้ดูไม่ออกว่ากู้ชิงฮั่นแกล้งทา ท่าทาง
สวยงามสง่าเช่นนี้ มันไม่ได้มีกลิ่นอายความอาฆาต
เลย หยางหนิงรู้สึกใจสั่น แต่ใบหน้ากลับยังคงยิ้ม
อย่างลาบากใจแล้วพูดว่า “คาพูดท่านก็ต้องเด็ดขาด
ที่สุด โอ้ย! ปล่อยมือก่อนจะได้หรือไม่ หูข้าจะขาดอยู่
แล้ว”
กู้ชิงฮั่นจึงปล่อยมือออก แล้วจ้องไปที่หยางหนิง แล้ว
ก็หัวเราะ “หึๆ” มันช่างดูน่ารักยิ่งนัก “เจ้ารู้ก็ดี
ความคิดของเจ้าไม่เลวเลย สืบให้รู้สถานการณ์ก่อน
ถึงเวลาจะได้สอบถามกับพ่อบ้านใหญ่ได้ถูก เจ้ามัน
ช่างกล้าบ้าบิ่นนักนะ หากข้าไม่อยู่ข้างๆ เจ้า ใครจะรู้
ว่าเจ้าจะไปก่อเรื่องอะไรอีก”
“ซานเหนียงไม่ได้ห่วงว่าข้าจะไปก่อเรื่องกระมัง”
หยางหนิงตั้งใจจับไปที่หู “ท่านเองก็ไม่ได้จะกลับมา
ที่นี่ง่ายๆ จึงอยากจะไปดูรอบๆ บ้างใช่หรือไม่”
กู้ชิงฮั่นอึ้งไปชั่วครู่ สีหน้าของนางก็เศร้าลง แล้วพูด
เบาๆ ว่า “กลับมาครั้งนี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนกี่ปี
จะได้กลับมาอีก อาจจะ...ต่อไปอาจจะไม่ได้กลับมา
อีกเลยก็ได้”
หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจรู้ดีว่า ความกลัวของกู้ชิงฮั่น
มันคือความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของจิ่นอีโหวทั้งหมด
จวนจิ่นอีโหวในตอนนี้บอกได้เลยว่าตกต่าอย่างถึง
ที่สุด ถึงแม้เรื่องที่ซื่อจื่อสมองกลับมาปกติแล้วเป็น
เรื่องที่น่ายินดี แต่ก็ยังเด็กนัก ไม่ได้มีรากฐานหรือ
ความรู้อะไรเกี่ยวกับราชสานักเลย หากเทียบกับท่าน
จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นที่มีผลงานมากมาย ซื่อจื่อเทียบ
ไม่ได้แม้แต่น้อย
ภายในใจของหยางหนิงและกู้ชิงฮั่นนั้นรู้ดี พวกเขา
ต่างกังวลว่าจิ่นอีโหวในยุคใหม่นี้จะสามารถแบกภาระ
อันยิ่งใหญ่ของตระกูลได้หรือไม่
กู้ชิงฮั่นเกิดในตระกูลผู้ดี เห็นความตกต่าของหลาย
ตระกูลใหญ่มาก็ไม่น้อย ไม่แน่ในใจของนางตอนนี้
อาจจะคิดไปถึงจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้วก็เป็นได้
ท่าทางของกู้ชิงฮั่นเศร้า สัมผัสได้ถึงความสลดใจของ
นาง เมื่อเห็นดังนั้น หยางหนิงก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไป
จับมือของกู้ชิงฮั่น แล้วพูดเบาๆ ว่า “ซานเหนียง ท่าน
วางใจเถอะ ต่อไปท่านอยากจะกลับมาที่นี่เมื่อใด ท่าน
ก็กลับมาได้ตลอดเวลา ข้าจะอยู่ข้างๆ คอยปกป้อง
ท่านเอง”
กู้ชิงฮั่นได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มขึ้นมา นางดึงมือออกมา
จากมือของหยางหนิงโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ทา
ท่าทางยกมือเช็ดไปเช็ดมา มันช่างดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
ในเมื่อกู้ชิงฮั่นจะปลอมตัวไปสืบแบบลับๆ กับเขา
หยางหนิงเองก็ปฏิเสธไม่ได้ จึงต้องแอบตกลงกับ
กู้ชิงฮั่นว่า เสื้อผ้าของกู้ชิงฮั่น ดูก็รู้ว่าเป็นชุดผู้หญิง
ชนชั้นสูง หากไปเช่นนี้ ไม่อยากให้คนจดจ้องคงทา
ไม่ได้ ในเมื่อจะแอบไปสืบลับๆ ก็ต้องปลอมตัว ปกปิด
สถานะ
จริงๆ กู้ชิงฮั่นคิดจะแต่งตัวเป็นเพียงหญิงธรรมดา
แต่หยางหนิงกลับคิดว่า ให้กู้ชิงฮั่นปลอมตัวเป็นชาย
จะดีกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดจับจ้อง
มากนัก
กู้ชิงฮั่นรู้สึกตื่นเต้นกับข้อเสนอของหยางหนิงยิ่งนัก
หลังจากตกลงกันเรียบร้อย จึงตัดสินใจว่าจะไม่รีบ
กลับไปยังจวนเก่า แต่เข้าไปในเมืองจิงโจวก่อน หา
โรงเตี๊ยมที่ห่างไกลผู้คน จากนั้นหยางหนิงได้สั่งให้
ฉีเฟิงไปหาชุดธรรมดามาสองชุด ฉีเฟิงไม่ทราบว่า
ซื่อจื่อกาลังคิดจะทาสิ่งใด ก็ได้แต่รับคาสั่งแล้วรีบไป
ตามคาสั่งของหยางหนิง ฉีเฟิงได้ซื้อชุดผู้ชายกลับมา
สองชุด หยางหนิงรีบเปลี่ยนชุด ฉีเฟิงเห็นหยางหนิง
ทาเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านจะไป
เดินเล่นรึ?” เขาคิดแค่ว่าหยางหนิงไม่อยากให้
เอิกเกริก ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาไปเดินเล่น
ในเมืองจิงโจว
หยางหนิงก็ไม่อยากพูดอะไรมากนัก จึงพูดว่า “ฉีเฟิง
คืนนี้พวกเจ้าก็พักกันซะในเมืองนี้ คืนพรุ่งนี้ค่อยออก
เดินทางไปยังจวนเก่า หากพวกข้ายังไปไม่ถึง เจ้าก็รอ
อยู่ที่นั่นก่อน จาไว้ ห้ามก่อเรื่องอะไรที่นี่เด็ดขาด”
ฉีเฟิงรู้สึกงุนงง “ซื่อจื่อ ท่านจะแยกกับพวกเราหรือ?”
“อย่าพูดดังไป” หยางหนิงพูดเบาๆ ว่า “ข้ากับฮูหยิน
สามจะไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่ง ไม่อยากให้ผู้ใดรู้ คืน
พรุ่งนี้เราจะรีบไปสมทบกับพวกเจ้าที่จวนเก่า”
“เพื่อนหรือขอรับ?” ฉีเฟิงคิดในใจว่าซื่อจื่อท่านไม่เคย
มาเจียงหลิงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ท่านจะมีเพื่อนที่นี่ได้
อย่างไรกัน หรือว่าฮูหยินสามอยากจะไปพบผู้ใด
หรือไม่? หยางหนิงพูดมาเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะ
ถามอะไรมากนัก ก็ได้แต่พูดว่า “ซื่อจื่อ ข้าไปกับ
พวกท่านด้วยจะดีกว่า จะได้คุ้มครองพวกท่านได้”
ช่วงนี้ซื่อจื่อเองหากไม่ถูกจับตัวไปก็ถูกลอบสังหาร
ฉีเฟิงกับองครักษ์โทษตัวเองมาโดยตลอด ในครั้งนี้เขา
ติดตามมาคุ้มกัน หากซื่อจื่อเป็นอะไรไป เกรงว่า
ต้วนฉางไห่คงต้องตัดหัวเขาไปแน่ๆ
หยางหนิงรู้ดีว่าหากมีแค่เขากับกู้ชิงฮั่น จะไม่ถูกจับตา
มองมากนัก แต่หากว่าหลายคนนัก จะไม่เป็นเรื่องดี
เสียเปล่า อีกอย่างที่นี่ก็ไม่ไกลจากจวนเก่าตระกูลฉี
สักเท่าไหร่ ปลอมตัวไปสืบบริเวณใกล้ๆ น่าจะไม่มี
ปัญหาอะไร ตัวเขาเองพอจะมีความมั่นใจอยู่
หยางหนิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
ฉีเฟิงตื่นตัวทันที จากนั้นก็พูดเสียงเข้มว่า “นั่นใคร?”
ด้านนอกไม่มีเสียงตอบรับ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอยู่
นาน ฉีเฟิงมองไปที่หยางหนิง แล้วค่อยๆ เดินไปใกล้ๆ
แอบคิดในใจว่ากลางวันแสกๆ ในโรงเตี้ยมก็พอมี
ลูกค้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะมีผู้ใดคิดไม่ดีกับซื่อจื่อได้
หากเป็นอย่างนั้น มันจะกล้าเกินไปแล้ว จากนั้นก็ดึง
ประตูอย่างแรง แต่กลับเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่นอก
ประตู เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า เจ้ามีเรื่องอะไร?
ชายคนนั้นเอามือไขว้หลัง แล้วเดินเข้ามาในห้องอย่าง
ไม่เกรงใจ ฉีเฟิงยื่นมือออกไปขวาง หยางหนิงยิ้มแล้ว
พูดว่า “ฉีเฟิง เจ้ามันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เจ้าดูไม่
ออกรึว่านั่นคือใคร?”
ฉีเฟิงดูดีๆ จากนั้นก็พูดอย่างตกใจว่า “ฮู....!”
ชายผู้นั้นหัวเราะ “หึๆ” จากนั้นก็เหลือบไปมองฉีเฟิง
แล้วพูดอย่างได้ใจว่า “เจ้าดูไม่ออกจริงๆ หรือว่า
แกล้งดูไม่ออกกันแน่?”
ชายผู้นั้นคือกู้ชิงฮั่นนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นชุดธรรมดา
แต่หน้าตาของนางนั้นช่างดูหล่อเหลายิ่งนัก
“หนิงเอ๋อ เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” กู้ชิงฮั่นตั้งใจ
กดเสียงให้ต่าลง “ดูไม่ออกเลยใช่หรือไม่?”
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉีเฟิงเจ้าคงตาบอด
แน่ๆ ซานเหนียง ดูนานๆ เสียหน่อยก็รู้แล้ว ว่าท่าน
เป็นหญิง?”
“หา?” กู้ชิงฮั่นรีบถามกลับไปว่า “เหตุใดเจ้าถึงพูด
เช่นนี้เล่า? ตรงไหนที่ข้าดูเป็นหญิงรึ?”
หยางหนิงก็ไม่พูดอะไรมากนัก เพียงแค่มองไปที่
หน้าอกของกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นนเห็นสายตาของเขาเลื่อน
ลงไป หน้าก็ร้อนผ่าว เงยหน้าขึ้นมาก็ยังเห็น
หยางหนิงยังคงจ้องไปที่หน้าอกของนางอยู่ จึงจ้อง
กลับไปด้วยสายตาที่ดุดัน นางรู้สึกว่าตอนนี้หน้าของ
นางร้อนเหมือนไฟเผา จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไปจาก
ห้อง
เวลาที่ทั้งคู่ออกนอกเมืองไป พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน
ทั้งคู่ขี่ม้าออกไป หยางหนิงย้อนถามไปว่า “ฮูหยิน
สาม ท่านคุ้นเคยที่นี่มากกว่าข้า เราไปทางไหนก่อน
ดี?”
“เท่าที่ข้ารู้ ทางตะวันตกของเมืองจิงโจวมีหมู่บ้านอยู่
ที่นั่นเป็นพื้นที่ศักดินาของจวนโหว เราไปทางนั้นกัน
ก่อนก็ได้” กู้ชิงฮั่นเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า “สาย
มากแล้ว ชาวบ้านที่นี่อยู่กันเรียบง่าย ไม่แน่คืนนี้เรา
อาจจะต้องขอพวกเขาอาศัยสักคืน”
“ได้” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฟังคาสั่งของท่าน
ทุกอย่างเลยขอรับ” จากนั้นก็เลื่อนสายตาลงไปมอง
ไปที่หน้าอกของกู้ชิงฮั่น ตอนนี้มองไม่เห็นเนินอก
เล็กๆ ของกู้ชิงฮั่นเสียแล้ว ตอนนี้นางเหมือนชายหนุ่ม
หน้าตาหล่อเหลาเอาการผู้หนึ่ง หยางหนิงอดไม่ได้ที่
จะแอบคิดว่า “นางใช้วิธีอะไรกันที่ทาให้มันหายไป?
ใช้สายรัดเอวรัดไว้หรือ? แต่ว่าสายรัดเอวจะเอาอยู่รึ
ไม่อึดอัดหรืออย่างไร?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 77 ณ ที่นา
หมู่บ้านที่กู้ชิงฮั่นพูดถึงนั้นไม่ได้ใหญ่โตมากนัก
ริมหมู่บ้านอยู่ตรงตีนเขา บนเขามีต้นการบูรกับ
ต้นโอ๊กเต็มไปหมด ของเหล่านี้เป็นของที่ขาดไม่ได้เลย
ในการเผาไหม้ จริงๆ แล้วต้นการบูรเป็นต้นที่หาได้
ทั่วไป ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตถ่านการบูร เมื่อถึงฤดู
หนาว จะมีการส่งถ่านการบูรไปยังเมืองหลวง
ณ ตีนเขา จะมีบ้านอยู่สิบกว่าหลัง มองจากที่ไกลๆ
ก็จะเป็นพื้นนากว้างๆ ขณะที่อาทิตย์ใกล้จะตกดิน
หยางหนิงกลับเห็นยังมีชาวนาอยู่ในนา ผลผลิตจาก
นาที่เก็บเกี่ยวไปจนหมดแล้ว เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
จะมองไม่เห็นอะไรอีกเลย
“ซานเหนียง ใกล้ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เก็บเกี่ยวไปจน
หมดแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังมีคนปลูกข้าวอยู่ในนา
อีกเล่า?” หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถาม
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เคยมาที่ไร่นาที่นี่ คงจะ
ไม่ทราบ ว่าเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ชาวนาจะมาไถนาไว้
ก่อน เพื่อที่ว่าปีหน้าจะปลูกข้าวได้ง่ายขึ้น”
“เป็นอย่างนี้นี่เองหรือ”
หลังจากที่ทั้งสองลงจากม้าแล้ว จึงเดินเข้าไปที่นา
ชาวนาที่อยู่ในไร่มีไม่มากนัก แต่ว่าเมื่อเห็นคนแปลก
หน้าสองคนจูงม้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
“ซานเหนียง บ้านของท่านที่เจียงหลิงอยู่ที่ใดรึ?”
หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่นแล้วมองไปมองมา จากนั้น
จึงถามว่า “ไกลจากตรงนี้มากหรือไม่?”
“ไม่ไกลนัก” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะอารมณ์ดียิ่งนัก “บ้าน
ตระกูลกู้ก็เหมือนกับบ้านตระกูลฉี เป็นตระกูลใหญ่ใน
เจียงหลิง ความสัมพันธ์ของสองตระกูลนั้นดียิ่งนัก
ในตอนนี้ เป็นรองแค่ตระกูลฉีตระกูลเดียวเท่านั้น”
หยางหนิงเข้าใจในทันที ตอนนั้นท่านสามของตระกูล
ฉีแต่งกับกู้ชงิ ฮั่น ก็เพราะว่าความสัมพันธ์ของทั้งสอง
ตระกูล แล้วก็เพื่อที่จะทาให้เจียงหลิงมีความมั่นคง
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างสบายๆ แต่หยางหนิงรู้ว่าบารมีของ
ตระกูลกู้ยังเป็นรองตระกูลฉีอยู่ แสดงว่าบ้านตระกูลกู้
ก็มีอิทธิพลที่แข็งแกร่งยิ่งนักในเจียงหลิง
ตระกูลฉีมีบารมีมากในเจียงหลิง นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นถือเป็นเสาหลักของต้าฉู่ อย่าว่าแต่
เจียงหลิงเล็กๆ ต่อให้เป็นทั่วทั้งต้าฉู่ จะหาตระกูลไหน
มาเทียบกับตระกูลฉีคงยาก
หากตัดตระกูลฉีทิ้งไป ตระกูลกู้ก็ถือเป็นตระกูลที่ใหญ่
ที่สุดในเจียงหลิง
“ไร่นาของตระกูลฉีอยู่ทางทิศเหนือของเจียงหลิง
หรือไม่ก็คือพื้นที่เมืองจิงโจวแห่งนี้” กู้ชิงฮั่นอธิบาย
ต่อว่า “ส่วนตระกูลกู้อยู่ทางทิศใต้ของเจียงหลิง จาก
เมืองจิงโจวมุ่งไปยังทางใต้ ไม่เกินสิบลี้จะเจอแม่น้า
สายหนึ่ง ที่ชื่อว่าแม่น้าจิ้งเยวี่ย หลายปีก่อน เพียง
ข้ามแม่น้าไป พื้นที่ทั้งหมดนั้นทั้งหมดถือเป็นเขตแดน
ของตระกูลกู้”
อานาจราชสานักมาไม่ถึงชนบท
คาพูดแบบนี้หยางหนิงเคยได้ยินมานานมากแล้ว แล้ว
ก็เข้าใจความหมายนั้นดี ที่ดินในสมัยโบราณอิทธิพล
ของตระกูลเศรษฐีเหนือกว่าราชโองการของฮ่องเต้
เมื่อราชสานักออกกฎหมายที่ดินมา ขุนนางท้องที่
จะต้องทาการเจรจากับคหบดีในชนบทเสียก่อน หาก
ไม่ได้รับความร่วมมือของคหบดีในชนบท ขุนนาง
ท้องที่ก็จะจัดการได้อย่างยากลาบาก
เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไม่ว่าจะตระกูลฉีหรือ
ตระกูลกู้ หลายปีก่อนก็น่าจะเป็นคหบดีในชนบท
ประจาเจียงหลิง มีสิทธิและอานาจในการพูดหรือ
ทาสิ่งใด
จากที่กู้ชิงฮั่นพูด ก่อนหน้าที่ตระกูลฉีจะรุ่งเรือง ที่
เจียงหลิงตระกูลฉีกับตระกูลกู้ก็น่าจะมีศักดิ์เสมอกัน
ตระกูลฉีมีอิทธิพลทางเหนือของเจียงหลิง ส่วนตระกูล
กู้ก็น่าจะยิ่งใหญ่ในเขตทางใต้ แต่ว่าต่อมาตระกูลฉี
กลายมาเป็นศักดินาใหญ่ของต้าฉู่ ตระกูลกู้จึงไม่
สามารถเทียบกับพวกเขาได้อีก แต่ก็ยังถือว่าเป็น
รากฐานที่มั่นคงของเจียงหลิง
หยางหนิงคิดในใจว่าครอบครัวของกู้ชิงฮั่นมีภมู ิหลัง
เช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่จะได้แต่งเข้าจวนโหว แล้วก็ได้รับ
ความไว้วางใจจากไท่ฮูหยิน เป็นคนดูแลทุกอย่างใน
จวน
เห็นข้างหน้ามีชายชราผู้หนึ่งกาลังนั่งอยู่ริมที่นา
หยางหนิงก็เดินเข้าไปหา แล้วยิ้มว่า “ท่านลุง ท่านยัง
ไม่เลิกงานอีกหรือ?”
ชายชราเห็นทั้งคู่นานแล้ว หยางหนิงท่าทางไม่แปลก
สักเท่าไหร่ แต่ว่ากู้ชิงฮั่นหน้าตาหล่อเหลาเอาการ
ผิวขาวเนียน ชายแก่รู้ทันทีว่าทั้งคู่น่าจะไม่ใช่คน
ธรรมดา จากนั้นเขายิ้มแล้วก็พูดว่า “ท่านทั้งสองจะ
ไปที่ไหนกันรึ? เดินหลงทางกันรึ?”
เขาคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะตั้งใจเดินมาถึงที่นาแห่งนี้
อาจจะเดินหลงทางเข้ามา
“ใช่แล้ว เรามาท่องเที่ยวยังเจียงหลิง เดินหลงทาง
มาถึงที่แห่งนี้” หยางหนิงพูด อีกด้านกู้ชิงฮั่นก็มอง
หยางหนิงแปลกๆ ในใจก็แอบคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่
เพียงสมองหายเป็นปกติ แต่มีความกระล่อนเพิ่มขึ้น
ด้วย พูดอะไรเหลวไหลได้เป็นตุเป็นตะ ดูเป็น
ธรรมชาติ
“แล้วจะไปที่ไหนกันเล่า? ข้ารู้จักแถวนี้ดี ช่วยบอก
ทางพวกเจ้าได้” ชายชราพูดด้วยความเป็นมิตร
หยางหนิงคิดในใจว่ากู้ชิงฮั่นพูดถูก คนที่นี่เรียบง่าย
ชายชราผู้นี้ก็ดูจิตใจดี จากนั้นก็เดินไปนั่งยองๆ ข้างๆ
ชายชรา มองแล้วถามว่า “ท่านลุง ปีนี้พืชพันธุ์งอก
เงยดีใช่หรือไม่? เก็บเกี่ยวหมดแล้วหรือ?”
“ผลผลิตปีนี้ก็งอกเงยดี” ชายชรายิ้มแล้วพูดว่า
“ผลผลิตเก็บแล้ว นาก็ไถดินรอปลูกปีหน้าแล้วล่ะ”
“ผลผลิตเก็บหมดแล้ว ปีใหม่ก็คงมีมากพอที่จะเอาไว้
กินไว้ใช้ใช่หรือไม่?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า
ได้ยินมาว่าที่ดินของพวกท่านเป็นของจิ่นอีโหว เก็บ
ภาษีถูกกว่าที่อื่นตั้งเยอะ”
ระหว่างทางหยางหนิงรู้มาจากกู้ชิงฮั่นแล้วว่า ที่ดิน
ศักดินาสามพันไร่ของจิ่นอีโหว ภาษีทุกอย่างเป็น
อานาจการควบคุมของจิ่นอีโหว ไม่อยู่ภายใต้การ
ควบคุมของราชสานัก
ฮ่องเต้ต้าฉู่เองก็ทรงมีเมตตาต่อราษฎร หลายปีก่อน
เก็บภาษีสามส่วน แต่ว่าหลายปีมานี้ทาศึกบ่อยครั้ง
เลยเพิ่มการเก็บภาษีเป็นสี่ส่วน ส่วนที่ดินศักดินา
สามพันไร่ของจิ่นอีโหว เก็บในอัตราสองส่วนมาโดย
ตลอด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในบรรดาขุนนางที่ได้รับ
ที่ดินศักดินา จิ่นอีโหวเก็บภาษีต่าที่สุดแล้ว
สาหรับจิ่นอีโหวแล้ว จวนจิ่นอีโหวไม่ได้มีความหรูหรา
ที่ดินศักดินาก็เป็นบ้านเกิดบ้านเก่า ที่ดินก็เป็นของ
พ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งนั้น ดังนั้นก็ถือได้ว่าจิ่นอีโหวได้
ทาประโยชน์ให้กับญาติพี่น้องในท้องที่
ชายชรายิ้มแล้วพูดว่า “ก็แค่พอให้ผ่านไปได้เท่านั้น”
กู้ชิงฮั่นเองก็ยืนอยู่ข้างๆ นางเป็นคนฉลาด มองจาก
สีหน้าท่าทางแล้ว ชายชราผู้นี้พูดอย่างฝืนๆ ดูก็รู้ทันที
ว่ามันจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่อย่างแน่นอน
นางจึงถามกลับไปว่า “บ้านของท่านลุงมีกี่คนรึ?”
“มีลูกชายสองคน รวมๆ แล้วก็เก้าชีวิต” สีหน้าของ
ชายชราเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“แล้วมีที่นากี่ไร่รึ?” กู้ชิงฮั่นอย่างไรเสียก็เป็นหญิง จะ
ให้ไปนั่งยองๆ เช่นหยางหนิงก็คงจะไม่เหมาะ ทาได้
แค่ยืนถามข้างๆ ชายชราเท่านั้น
ชายชรายกมือแล้วชี้ไปข้างหน้า “ที่นาของข้าก็คือตรง
นี้ทั้งหมดแปดไร่”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า นางพอจะรู้คร่าวๆ เกี่ยวกับที่นี่
ตอนที่อดีตฮ่องเต้ประทานที่ดินศักดินาให้ ได้เลือก
ที่นาที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ทั้งหมดสามพันไร่ ชาวบ้าน
ที่นี่สามารถมีที่นาได้หนึ่งไร่ขึ้นไป แต่อย่างน้อย
จะต้องมีที่นาสี่ถึงห้าไร่ขึ้นไป จิงโจวถือเป็นพื้นที่
ปลูกข้าวที่ใหญ่ที่สุด ที่นี่มีที่นามาก ชาวบ้านที่นี่ ที่นา
มากสุดก็มีราวสิบกว่าไร่ น้อยสุดก็มีสี่ถึงห้าไร่
ชายชรามีที่นาถึงแปดไร่ ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่มี
ฐานะพอตัว
“ที่นาหนึ่งไร่ ได้ผลผลิตประมาณเท่าไหร่หรือ?”
กู้ชิงฮั่นถามอย่างละเอียด
ชายชราไม่ได้คิดเลยว่ากู้ชิงฮั่นจะมีอย่างอื่นแฝงอยู่
ด้วย คิดแค่ว่าพวกเขาสองคนผ่านมาแล้วเกิดสนใจ
เท่านั้น จึงอธิบายต่อว่า “สองปีที่ผ่านมานี้ฟ้าฝนเป็น
ใจ ผลผลิตก็ไม่ได้แย่ ข้ามีที่ดินแปดไร่ แต่ละไร่ก็น่าจะ
ได้ข้าวประมาณสองสามกระสอบ”
หยางหนิงรู้ว่า ข้าวหนึ่งกระสอบก็น่าจะมีประมาณ
หกสิบกิโล หรือประมาณหนึ่งร้อยกิโล ชายชรามี
ผลผลิตสามร้อยกิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเทียบกับในยุค
ปัจจุบัน สามร้อยกรัมถือว่าน้อยยิ่งนัก แต่ว่าในยุค
สมัยนี้ เนื่องจากข้อจากัดในนวัตกรรม หนึ่งไร่สามารถ
ได้สามร้อยกรัม ก็ถือว่าสูงมากแล้ว
“หากเป็นเช่นนั้นแปดไร่ ในหนึ่งปีก็น่าจะได้ผลผลิต
กว่ายี่สิบกระสอบใช่หรือไม่?” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ได้ยิน
มาว่าจิ่นอีโหวเก็บภาษีแค่สองส่วน แล้วพวกที่
เหลืออยู่มีเท่าไหร่ น่าจะพอให้กินอิ่ม”
หยางหนิงยังคงพูดปกติเช่นเคย ในหนึ่งปีหักภาษี
ออกไปแล้ว ชายชราก็น่าจะยังเหลือผลผลิตราว
สองพันกิโล ถึงแม้ในบ้านจะมีถึงเก้าคน แต่ก็น่าจะพอ
ให้กินอิ่มนอนหลับได้สบาย
ชายชราถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเป็นอย่างนั้น
ก็ไม่ต้องมาคิดมากเรื่องกินเรื่องใช้แล้ว”
“ท่านลุง ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นมองหน้ากัน แล้วรีบถามว่า
“หรือว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นรึ?”
ชายแก่ส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่พูดดีกว่า พูดไปก็
ไม่มีประโยชน์อันใด ตกลงพวกเจ้าจะไปไหนกันรึ?”
กู้ชิงฮั่นรู้แล้วว่ามีปัญหาแน่ๆ ไม่มีทางไปง่ายๆ
แน่นอน นางพูดกลับไปอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านลุง
เห็นท่าทางของท่านแล้ว หรือว่าในปีหนึ่ง ท่านมี
ผลผลิตเหลือไม่ได้ขนาดนั้นหรือ?”
ชายชราเห็นท่าทางและน้าเสียงอ่อนโยน ก็ยิ้มเจื่อนๆ
ว่า “ปีหนึ่งได้ข้าวยี่สิบกระสอบ มันพอแน่นอน
สาหรับบ้านเรา ประหยัดหน่อย ก็เพียงพอที่จะมี
ฐานะที่ดีได้ แต่ว่า...เฮ้อ แต่ในปีหนึ่ง เหลือไม่ถึงสิบ
กระสอบ คนในบ้านก็มาก ข้าวสวยกินน้อยหน่อย
กินข้าวต้มมากขึ้นก็พอผ่านไปได้”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว “ทาไมถึงได้
เหลือเพียงสิบกระสอบเล่า?”
ชายแก่ยังไม่ทันได้พูด อีกด้านหนึ่งไม่ไกลนักก็มีการ
ตีฆ้องดังขึ้น หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นมองไป เห็นชายวัย
กลางคนคนหนึ่งกาลังตีฆ้องร้องเสียงดังว่า “เจ้าคนแซ่
หลัวมาแล้ว ทุกคนกลับหมู่บ้านเร็ว เจ้าคนแซ่หลัว
มาแล้ว ทุกคนกลับหมู่บ้านเร็ว...!” เสียงของเขาดัง
กังวาน
ชายชราที่นั่งอยู่ขอบไร่ก็รีบลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะ
บอกหยางหนิงว่า “พวกเจ้าออกจากหมู่บ้านไปก่อน
ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน” เขาไม่ได้พูดอะไรมาก
จากนั้นก็วิ่งไปทางคนตีฆ้อง ไม่เพียงแค่เขา หยางหนิง
กับกู้ชิงฮั่นเห็น ทุกคนที่อยู่ในไร่ต่างก็ถืออุปกรณ์ทา
นา แล้ววิ่งไปที่คนตีฆ้อง
“ซานเหนียง เหมือนจะมีเรื่องในหมู่บ้านเกิดขึ้น”
หยางหนิงขมวดคิ้ว “เราไปดูกันดีกว่า”
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นในตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อ
ได้ยินหยางหนิงพูด ก็รีบพยักหน้า “เราไปดูกัน เจ้า
คนแซ่หลัวคือผู้ใดกัน? เหมือนพวกเขาจะวิ่งไปหาคน
แซ่หลัวกันหมด”
เห็นกลุ่มชาวนารวมตัวกัน ตอนนี้ทุกคนต่างวิ่งไปที่
ตีนเขา ไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ ราวกับว่าบ้านไฟไหม้
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 78 รีดนาทาเร้นทรัพย์สินชาวบ้าน
ทั้งคู่จูงม้าเข้าหมู่บ้านมา เห็นทางข้างหน้ามีกลุ่มคน
ยืนล้อมอยู่ มีทั้งชายหญิงทั้งเด็กทั้งคนแก่ อย่างน้อยๆ
ก็น่าจะมีประมาณร้อยคน ในหมู่บ้านจู่ๆ ก็ดูวุ่นวาย
ขึ้นมา
หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นรีบผูกม้าเอาไว้ แล้วก็เดินเข้าไป
ร่วมวงด้วย เห็นพวกชาวบ้านต่างมีความโกรธเคือง
ตรงหน้ามีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่
คนเหล่านั้นต่างจากชาวบ้าน พวกเขาใส่เสื้อแขนสั้น
ร่างกายสูงใหญ่กายา มีประมาณห้าหกคนยืนอยู่
ด้านหลังชายวัยกลางคนสวมชุดเทา ชายวัยกลางคนๆ
นั้นถือสายรัดสีเทา น่าจะมีอายุราวๆ สี่สิบ ใบหน้ามี
รอยบาก สีหน้าท่าทางดุดัน ไม่ได้มีความเป็นมิตรเลย
แม้แต่น้อย
ด้านหลังของคนเหล่านั้น มีม้าอยู่หลายตัว แสดงว่า
ขี่ม้ามากัน
หยางหนิงรู้ว่าม้าของต้าฉู่เป็นของหายาก คนทั่วไป
ไม่มีทางมีม้าได้ แสดงว่าคนพวกนี้จะต้องมีที่มาไม่
ธรรมดา
“อะไรกัน นี่คิดจะตีหรือจะฆ่ากันแน่?” คนชุดเทา
ชี้นิ้วกวาดไปที่เครื่องมือของชาวบ้าน จากนั้นก็พูดว่า
“หากจะฆ่าคนอาศัยของกระจอกเช่นนี้ไม่มีทางทาได้
หรอก”
ตอนนี้มีชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ายืนอยู่หน้าชาวบ้าน
อายุก็ราวๆ สี่สิบเช่นกัน หยางหนิงเห็นเพียงด้านหลัง
ของเขา จึงไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาเป็นเช่นไร ข้างๆ ตัว
เขา ก็มีคนร่างใหญ่ถือเครื่องมือทานาราวๆ สิบคน
กาลังเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นอยู่
หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นแทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคน
ถึงแม้จะมีชาวบ้านมองพวกเขาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์
มากกว่า เลยไม่มีคนสนใจสองคนนั้นนัก
“ผู้ดูแลหลัว พวกเขาเพิ่งกลับมาจากการทานา ไม่ได้
จะทาอะไรเสียหน่อย” ชาวบ้านคนที่อยู่หน้าสุดพูด
“แต่ว่าคาขอที่ท่านเอ่ยมานั้น พวกเราปรึกษากันแล้ว
เกรงว่าจะทาตามที่ท่านผู้ดูแลหลัวร้องขอมิได้ ไม่ว่า
ใครก็อยากจะมีชีวิตรอดกันทั้งนั้น คงไม่อาจบีบตัวเอง
ให้ถึงที่ตายหรอกขอรับ”
“ช้าก่อน” ชายชุดเทาชัดเจนว่าคือผู้ดูแลหลัว ยกมือ
ขึ้นแล้วพูดว่า “หานอี้ เจ้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหลูหวัง
ก็น่าจะเข้าใจนะว่า คาร้องขอนี้ มันไม่ใช่เจตนาของ
หลัวชางกุ้ย แต่เป็นเจตนาของจวนจิ่นอีโหว” พูดจบ
ก็ยกมือคานับขึ้นทางขวา “ท่านจิ่นอีโหวสิ้นไป
ทั่วแคว้นต่างอาลัย เขาเป็นเสาหลักของแคว้น จัดงาน
ศพ ก็ต้องแตกต่างจากผู้อื่น ค่าใช้จ่ายก็มีมาก
ท่านจิ่นอีโหวเป็นหน้าตาของชาวเจียงหลิงเรา เราก็
อาศัยบารมีท่านโหวมีชีวิต ตอนนี้ท่านโหวสิ้นไป หาก
ยังมีสานึกอยู่บ้าง ก็ควรจะตอบแทนบุญคุณท่าน แต่
พวกเจ้ากลับยึกยัก หรือว่าพวกเจ้าจะเป็นพวกกินบน
เรือนขี้รดบนหลังคารึ?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ดูแลหลัวมาถึงก็ยกจิ่นอีโหว
ออกมาพูด ในใจก็แอบคิดว่าเรื่องที่จิ่นอีโหวสิ้นนั้น
มาถึงเจียงหลิงแล้วหรือ
กู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้พูดอะไรแต่สีหน้าดูไม่ดีนัก
หานอี้ชายผิวคล้าจึงรีบพูดว่า “ผู้ดูแลหลัว ท่านโหวมี
บุญคุณกับเรายิ่งนักเราไม่เคยลืม แต่ทุกครั้งที่ร้องขอก็
จะเอาข้าวเพียงบ้านละกระสอบเท่านั้น เรารับไม่ไหว
จริงๆ” จากนั้นก็หันแล้วชี้ไปที่กลุ่มชาวบ้าน “ท่าน
ผู้ดูแลหลัว ชาวบ้านหลูหวัง ถึงแม้จะไม่ได้ผอมถึง
กระดูก แต่ก็แห้งจนจะไม่มีเนื้อหนังกันอยู่แล้ว ถึงแม้
จะได้ผลผลิตมาแล้ว แต่ก็เก็บเอาไว้จนถึงปีหน้า
หลายครอบครัวก็แทบจะไม่มีกินอยู่แล้ว หากต้องเอา
ออกมาอีกคนละกระสอบ ขอถามผู้ดูแลหลัวหน่อย
เถิด ท่านต้องการให้พวกเขาตายหรืออย่างไรกัน?”
“ตามที่เจ้าว่า เกียรติของท่านจิ่นอีโหวไม่สาคัญเลย
หรืออย่างไร?” ผู้ดูแลหลัวยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ท่าน
จิ่นอีโหวเป็นคนใสซื่อมือสะอาด รายรับของท่านโหว
ก็มาจากพวกเจ้า มาถึงตอนนี้ พวกเราไม่ช่วย แล้ว
ผู้ใดจะช่วยเล่า แล้วผู้ใดจะมาช่วยรักษาเกียรติของ
จวนโหวกันเล่า? จะต้องให้ท่านโหวต้องมาเสียเกียรติ
ต่อหน้าขุนนางนับร้อยเพียงเพราะผลผลิตของพวก
เจ้าอย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้ชิงฮั่น
กู้ชิงฮั่นเข้าใจหยางหนิง แล้วส่ายหัว
ทันใดนั้นเองก็มีชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า
“ผู้ดูแลหลัว หมู่บ้านหลูหวังเคยส่งข้าวขาดไปสักเม็ด
หรือไม่? พวกเจ้าบอกว่าท่านโหวไปออกรบ
บ้านเมืองลาบาก เราต้องจ่ายภาษีสี่ส่วน พวกเราก็
ไม่ได้ขัดข้องอะไรนัก พวกเราก็จ่ายเป็นรายหัวให้
ปกติ พวกเจ้ามาดึงคนไปทางาน ข้าวก็ไม่ให้กิน เราก็
มิได้ว่าอะไร เอะอะอะไรก็เอาท่านโหวมาอ้าง พวกเรา
รู้ แต่ก่อนเราใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสบายได้ เพราะ
ท่านโหว ตอนลาบากเราก็อดทนเพื่อท่านโหวบ้างมัน
ก็เป็นเรื่องทีส่ มควร” เสียงของเขาดูจริงจัง “หลายปี
มานี้อาหารของเราลดลง การกินอยู่ก็กลายมาเป็น
ปัญหา แต่พวกเจ้ากลับมารีดไถทรัพย์สินชาวบ้าน
เรียกเก็บภาษีสูงขึ้นทุกปี ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แล้ว
พวกเราจะอยู่กันได้อย่างไร?”
ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียว มีคน
ตะโกนออกมาว่า “ตอนที่ท่านเหล่าโหวสิ้น ก็มิได้บอก
ให้ต้องส่งผลผลิตเพิ่มขึ้น ตอนนี้ท่านโหวสิ้น ทาไมถึง
เปลี่ยนกฎเล่า?”
หยางหนิงสีหน้าดุดัน กู้ชิงฮั่นสีหน้าดูแย่ กาหมัด
ขึ้นมา
ผู้ดูแลหลัวสายตาดุดันขึ้นมา แล้วพูดว่า “ดูท่าแล้ว
ท่านโหวคงดีกับพวกเจ้ามากเกินไป ทาให้พวกเจ้า
สบายเกินไป ที่ดินที่พวกเจ้าใช้ปลูกข้าว เป็นที่ดิน
ศักดินาที่อดีตฮ่องเต้ทรงประทานให้กับท่านโหว
อย่ามาพูดเลยว่าผลิตผลได้เท่าไหร่ถือเป็นการ
ตอบแทนบุญคุณ ต่อให้ต้องเก็บผลผลิตของพวกเจ้า
ทั้งหมด พวกเจ้าก็ต้องส่งมา”
“ผู้ดูแลหลัว พูดแบบนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยนะ”
หานอี้พูดด้วยน้าเสียงเข้มๆ ว่า “ข้าเคยได้ยินคนที่
เรียนหนังสือเขาว่ากันว่า แผ่นดินทั่วหล้าล้วนแล้วแต่
เป็นของฮ่องเต้ แต่ไม่เคยได้ยินว่าราชสานักจะ
สามารถเก็บภาษีได้ตามใจชอบ หมู่บ้านของพวกเรา
เป็นที่ดินของบรรพบุรุษเก็บไว้ให้ เป็นที่ดินสืบทอดกัน
มาหลายยุคหลายสมัย ภาษีที่เราควรจ่ายเราก็จ่ายไป
แล้ว ต่อให้ท่านโหวมาที่นี่เอง ก็ไม่มีสิทธิเก็บที่นาของ
เราไป”
ผู้ดูแลหลัวยิ้มแสยะ จ้องไปที่หานอี้แล้วพูดว่า “หานอี้
ดูท่าเจ้าจะไม่ชอบไม้อ่อนอยากโดนไม้แข็งใช่หรือไม่
ข้าขอถามสักคา ท่านโหวสิ้นต้องใช้ผลผลิต พวกเจ้า
จะให้หรือไม่ให้?”
หานอี้ตะโกนพูดว่า “ข้าบอกไปแล้ว ทุกคนที่นี่ยัง
อยากมีชีวิต ในเมื่ออยากมีชีวิตก็ต้องมีอาหาร ผลผลิต
ที่ควรให้เราก็ให้ไปหมดแล้ว ใครที่คิดจะขูดรีดผลผลิต
จากพวกข้า พวกข้าก็ไม่มีให้แม้แต่เม็ดเดียว”
“ดี ถือว่ากล้าสมชายชาตรี” ผู้ดูแลหลัวยกมือหัว
แม่โป้งให้ “หานอี้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ มีคนวิ่งไปถึงเมือง
หลวง คิดจะไปฟ้องที่จวนโหว บอกว่าที่นี่เก็บภาษี
ตามอาเภอใจ เรื่องนี้พวกเจ้าก็มีส่วนรู้เห็นด้วยใช่
หรือไม่?”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องใด” หานอี้ยิ้มเจื่อนๆ “แต่ว่า
พวกเจ้าก็บีบพวกข้ามากเกินไป หากข้าไปเมืองหลวง
มาจริงๆ ทาไมภาษีถึงได้ขึ้นเอาทุกปีๆ เช่นนี้เล่า?”
“อย่างเจ้าหรือจะเข้าจวนโหว?” ผู้ดูแลหลัวพูดว่า
“คนที่ไปเมืองหลวงครั้งที่แล้ว พอกลับมา ก็ถูกพวก
ข้าตีจนขาหัก ชาตินี้คงต้องนอนอยู่เฉยๆ หรือว่าพวก
เจ้าไม่เคยได้ยิน?”
หานอี้หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาอยู่แล้ว หรือ
ว่าผู้ดูแลหลัวอยากจะตีขาของข้าจนหักบ้างเล่า?”
ชาวบ้านที่ถือจอบถือเสียมก็ยกอาวุธในมือขึ้นมา
หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปข้างๆ หูของกู้ชิงฮั่น
แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “มีคนไปร้องเรียนที่เมืองหลวง
ด้วยหรือ?”
กู้ชิงฮั่นหน้านิ่ง และยังคงส่ายหน้าเช่นเคย
“หานอี้ไม่คิดจะส่งมอบผลผลิตมา พวกเจ้าก็
เหมือนกันใช่หรือไม่?” ผู้ดูแลหลัวกวาดสายตาไป
รอบๆ “เขาคงไม่อยากเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่
แล้วกระมัง พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตกันแล้วใช่หรือไม่?”
“พวกข้าจะไม่ยอมไม่ส่งให้” คนที่อยู่ข้างๆ ตะโกน
ขึ้นมา “ครั้งนี้แม้แต่ข้าวเม็ดเดียวพวกข้าก็จะไม่ส่ง
ให้”
ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ร้องตะโกนขึ้นมาเช่นกัน
ผู้ดูแลหลัวยิ้มเจื่อนๆ ชี้ไปที่คนๆ หนึ่ง แล้วพูดด้วย
เสียงเข้มๆ ว่า “เจ้าออกมานี่ซิ เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่า
อย่างไรนะ?”
คนผู้นั้นถูกผู้ดูแลหลัวชี้ จึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
แต่ยังคงรวบรวมความกล้าแล้วเดินออกมาพูดว่า “ข้า
...ข้าบอกว่าข้าไม่ให้ผลผลิต ผลผลิตที่ควรให้...” เขา
พูดยังไม่ทันจบ ด้านหลังของผู้ดูแลหลัวก็มีชายผู้หนึ่ง
เดินออกมา แล้วกระชากคอเสื้อของชายคนนั้นเอาไว้
ชายผู้นั้นตกใจยิ่งนัก เขาร่างกายบอบบาง เมื่อเทียบ
กับชายฉกรรจ์ยังห่างชั้นกันมากนัก ชาวบ้านจับเอา
ไม้คานยกขึ้นมาฟาด แต่ชายฉกรรจ์เหมือนจะผ่าน
การฝึกมานักต่อนักแล้ว ใช้มือกระชากไม้คานมา
จากนั้นก็ไม่พูดอะไร ยกไม้คานขึ้นมาแล้วฟาดไปที่
ศีรษะของชาวบ้านผู้นั้นอย่างแรง
เสียงร้องอันเจ็บปวดดังขึ้น ไม้คานกระแทกไปที่ศีรษะ
ชาวบ้านคนนั้นดูมึนงง จากนั้นจึงล้มลง เลือดไหล
ซิบๆ ออกมา ชาวบ้านคนอื่นต่างตกใจ บางคนเริ่ม
โกรธ แต่คนส่วนมากจะตกใจเสียมากกว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” หานอี้ตะคอก “พวกเจ้าคิดจะทา
สิ่งใดกัน?” จากนั้นก็พุ่งเข้าไป คิดจะไปดูแผลของ
ชาวบ้านคนที่บาดเจ็บผู้นั้น ชาวบ้านอายุน้อยหลาย
คนคิดว่าหานอี้จะบุกเข้าไป เลือดในตัวก็พลุ่งพล่าน
ต่างตะโกนโห่ร้องตามหานอี้ไป ชายฉกรรจ์ด้านหลัง
ของผู้ดูแลหลัวต่างพากันบุกเข้ามา
หยางหนิงขมวดคิ้ว เขามองออกเลยว่าคนของผู้ดูแล
หลัว อย่างไรเสียก็ผ่านการฝึกมาแล้ว ถึงแม้ศิลปะการ
ต่อสู้จะไม่สูงนัก แต่ก็ชานาญการต่อสู้อยู่บ้าง
ชาวบ้านเหล่านี้ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้
อย่างแน่นอน
ชาวบ้านคนอื่นต่างโกรธแค้น แต่ว่าเมื่อเห็นชาย
ฉกรรจ์ร่างยักษ์ท่าทางดุดัน ก็ไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้าไป
ต่างก็รักตัวกลัวตายเช่นกัน
หานอี้ร่างกายสูงใหญ่ แรงก็มีไม่น้อย เขาไม่ได้คิดจะ
ลงมือกับคนเหล่านี้แต่แรก แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่ม
ลงมือกันไปแล้ว เขาเองก็จนปัญญา เห็นชายฉกรรจ์
ผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาหาตน จึงทาได้เพียงตั้งรับ จากนั้นก็
จับไปที่มือของอีกฝ่าย พัลวันกันอยู่ครู่หนึ่ง ชาย
ฉกรรจ์ผู้หนึ่งโยนชาวบ้านสองคนลงกับพื้น เห็นหานอี้
ยังสู้อยู่ จึงหยิบไม้คานขึ้นมา แล้วตั้งใจเดินไปฟาดใส่
หลังศีรษะของหานอี้อย่างแรง
เขายกไม้คานขึ้นมา ยังไม่ทันได้ฟาด ก็รู้สึกว่าไม้คาน
มันถูกรั้งเอาไว้ ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ไม้คานในมือก็ถูก
กระชากออกจากมือไป
ชายผู้นั้นจึงสะดุ้งตกใจ ยังคิดว่าเป็นชาวบ้านคนอื่นที่
เข้ามาขวาง เมื่อหันหลังไปดู เห็นแค่เพียงเด็กหนุ่ม
อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น เสื้อผ้าไม่
เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆ ไม้คานถูกเขาแย่งเอาไป
ชายฉกรรจ์ตกใจยิ่งนัก เห็นชายหนุ่มเหมือนจะ
อ่อนแอบอบบาง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะมี
แรงกระชากไม้คานออกไปจากมือของเขาได้
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 79 หนาวเหน็บ
ชาวบ้านที่ล้อมอยู่ตรงนั้นก็มีไม่น้อยที่เห็น พวกเขา
เห็นชายฉกรรจ์กาลังจะฟาดที่ศีรษะของหานอี้ ทันใด
นั้นก็มีคนร้องตะโกน แค่ในพริบตาเดียว ก็เห็นชาย
หนุ่มคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามา แล้วกระชากไม้คานออก
จากมือของชายฉกรรจ์อย่างง่ายดาย จึงทาให้พวกเขา
ถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่เห็นชายหนุ่มอ่อนแอผู้นั้นสามารถกระชากไม้คาน
ออกจากมือชายฉกรรจ์ได้อย่างง่ายดาย ต่างก็ตกใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชราที่คุยกับหยางหนิงก่อน
หน้านี้ เขาจาหยางหนิงได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้า
บ้าบิ่นถึงเพียงนี้
กู้ชิงฮั่นจริงๆ ก็ยืนจ้องผู้ดูแลหลัวอยู่ แต่เมื่อได้ยิน
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด กลับพบว่าหยางหนิงเข้า
ไปยุ่งเสียแล้ว ตอนนี้เห็นหยางหนิงถือไม้คานไม้นั้นก็
ร้อนใจและกังวลยิ่งนัก
ถึงแม้นางจะโกรธแค้นผู้ดูแลหลัวกับพวกยิ่งนัก แต่
เมื่อหยางหนิงยื่นมือเข้าไป ก็ยังคงทาให้นางรู้สึกอึ้งไป
ครู่ใหญ่ เพราะอย่างไรเสียเมื่อก่อนหยางหนิงก็บ้าๆ
บอๆ มาก่อน ถึงแม้จะเกิดในตระกูลนักรบ แต่ก็ไม่
เคยฝึกวิชาการต่อสู้มาก่อน แต่ในตอนนี้กลับออกหน้า
ราวกับวีรบุรุษ เกรงว่าจะเสียเปรียบพวกนั้นเข้า นาง
คิดว่าจะเดินเข้าไปเผยสถานะที่แท้จริง หากอีกฝ่ายรู้
ว่าเขาเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ คงไม่กล้าทาอะไรมากนัก
แต่ว่าฐานะจิ่นอีซือจื่อไม่ใช่ฐานะปกติ กู้ชิงฮั่นก็กลัวว่า
หากพวกเขารู้ฐานะที่แท้จริงของหยางหนิงแล้ว จะทา
ให้หยางหนิงเดือดร้อน ในขณะที่กาลังลังเลอยู่นั้น
กลับเห็นชายฉกรรจ์ที่ถูกแย่งไม้คานไปพุ่งเข้าใส่
หยางหนิงอย่างรวดเร็ว เขากาหมัดเตรียมที่จะซัดใส่
หยางหนิง
“หนิงเอ๋อ ระวัง...!” กู้ชิงฮั่นหลุดตะโกนออกมาด้วย
ความตกใจ ตอนนี้นางไม่ทันได้คิดอะไร แหวกคนที่อยู่
ด้านหน้าออกไป แล้วเดินเบียดคนที่เบียดเสียดเข้าไป
อย่างรวดเร็ว
หยางหนิงเห็นอีกฝ่ายซัดหมัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขา
ยังคงมีสติอยู่ เขาเอี้ยวตัวหลบได้ทัน และไม่พูดมาก
ความ ยกไม้คานขึ้นมาแล้วฟาดเข้าใส่ชายฉกรรจ์เข้า
ไปอย่างเต็มแรง ไม้คานหักเป็นสองท่อน ชายฉกรรจ์
ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้น
หัวแตก เลือดไหลออกมาไม่หยุด
ชายฉกรรจ์ร้องด้วยความเจ็บปวดเสียงดัง ทาให้คน
อื่นๆ ที่กาลังมะรุมมะตุ้มกันอยู่นั้น หันกลับมามอง
ทั้งหมด เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ล้มลงไปกับพื้น เห็นห
ยางหนิงโยนไม้คานทิ้งลงข้างๆ ร่างของชายฉกรรจ์
คนนั้น แล้วกาลังจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย ทุกคน
ตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก
คนรอบๆ นิ่งไปกันหมด โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ แต่ก็
รีบเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หยางหนิง ไม่นานนักก็มา
ยืนล้อมหยางหนิงเอาไว้
เหล่าชาวบ้านช่วยกันพาชาวบ้านที่บาดเจ็บออกไป
หานอี้มองไปที่หยางหนิง สีหน้าสงสัย ไม่เข้าใจว่า
ทาไมจู่ๆ มีคนเกินออกมาอีกคน
กู้ชิงฮั่นตอนนี้ฝ่าฝูงชนออกมา แล้วก็พูดว่า “หนิงเอ๋อ
...!”
หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่น จากนั้นก็ยิ้ม แล้วก็
ส่ายหน้า เพื่อส่งสัญญาณบอกให้กู้ชิงฮั่นอย่าเข้ามา
กู้ชิงฮั่นกังวลใจยิ่งนัก เหลือบไปมองผู้ดูแลหลัว
ทั้งโกรธทั้งแค้น
ผู้ดูแลหลัวได้ยินกู้ชิงฮั่นร้องตะโกน ก็หันไปมอง
กู้ชิงฮั่น เห็นเป็นชายหน้าตาสาอาง ก็ไม่ได้สนใจอะไร
นัก เดินเข้าไปมองหยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “มีวีรบุรษ
โผล่มาอีกคนรึ อายุแค่นี้ช่างหาได้ยากนัก ข้าว่าเจ้า
น่าจะไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ เจ้ามาจากที่ใดรึ?”
หยางหนิงกาลังจัดเสื้อตนอยู่นั้น เขายิ้มแล้วพูดว่า
“ผู้ดูแลหลัว พวกเจ้าต้องการตอบแทนบุญคุณของ
จิ่นอีโหว ก็ไม่ควรบังคับเรียกเก็บภาษีเยี่ยงนี้ อย่างไร
เสียก็ต้องได้รับความยินยอมจากพวกเขาด้วย ในเมื่อ
พวกเขาไม่เต็มใจ ท่านจะไปบีบบังคับพวกเขาอีก
ทาไมกัน? ตอนนี้ท่านจิ่นอีโหวก็สิ้นไปแล้ว ในจวน
จิ่นอีโหวเองก็น่าจะยุ่งวุ่นวายไม่น้อย ไม่มีทางจะมา
คิดให้ทางเจียงหลิงต้องมาตอบแทนบุญคุณอะไร
พวกนี้หรอก ความคิดที่จะเรียกเก็บภาษีเพื่อแสดง
ความกตัญญูนี้ คิดว่าพวกเจ้าน่าจะใช้ก้นของพวกเจ้า
คิดออกมากันเองจริงหรือไม่?”
ผู้ดูแลหลัวตกใจอึ้งไปชั่วครู่ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจ้าเป็นใครกัน? ฟังจากสาเนียงของเจ้า ไม่น่าใช่
คนเจียงหลิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“รู้สิ เจ้าแซ่หลัว เหมือนจะเป็นผู้ดูแลอะไรสักอย่าง
ดูแลเรื่องเหลวไหล อะไรสักเรื่อง ข้าเองก็ดูออก”
หยางหนิงพูดอย่างเรียบๆ ว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้า
เป็นใคร?”
กู้ชิงฮั่นคิดในใจ หรือว่าหยางหนิงคิดจะเปิดเผยฐานะ
ของตนเอง? แต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้นั้นช่างอันตราย
ยิ่งนัก หยางหนิงถูกชายฉกรรจ์หลายคนล้อมเอาไว้
ก็คงทาได้แค่เปิดเผยฐานะของตัวเองเท่านั้น
ผู้ดูแลหลัวจ้องไปที่หยางหนิง แล้วถามว่า “เจ้าเป็น
ใครกันเล่า?”
“ข้าชื่อจวนต๋าโก่ว ความหมายของมันก็ตรงตัว เมื่อ
เห็นหมากัดคน ก็อดไม่ได้ที่จะต้องสั่งสอน” หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าชื่อของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้ดูแลหลัวรู้ว่าหยางหนิงพูดจาเหลวไหล แสร้งทาเป็น
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจะชื่ออะไรข้าไม่สนใจ ข้ารู้แค่ว่า
อีกเดี๋ยว เจ้าก็จะเหมือนกับหมาตัวหนึ่ง ที่คลานอยู่ที่
พื้นเท่านั้น” จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้ชายฉกรรจ์
คนหนึ่ง เขาพุ่งตัวออกไปราวกับลูกศร
หยางหนิงกลับลงมือก่อน ชายฉกรรจ์ซัดหมัดออกมา
ได้เพียงครึ่งหนึ่ง หยางหนิงก็จับข้อมือของเขาเอาไว้
ขณะที่หยางหนิงจับข้อมือของเขา ร่างกายของเขาก็
ยังไม่ได้หยุดพุ่งตัวเข้ามา จึงถูกหยางหนิงโยนร่างของ
เขาออกไป หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “แกรก”
กระดูกข้อมือของชายฉกรรจ์หัก เขาร้องออกมาด้วย
ความเจ็บปวด หยางหนิงเดินไปที่หลังของเขา จับ
ข้อมือที่หักของเขาเอาไว้ ดึงมาทางด้านหลัง แล้วดัน
ข้อเข่าของเขาลงไปกับพื้น
ตั้งแต่หยางหนิงลงมือจนกระทั่งชายฉกรรจ์คุกเข่าลง
ไป เวลาแค่ชั่วพริบตา คนไม่น้อยยังไม่ทันได้เห็นเลย
ว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายฉกรรจ์คนนั้นกัดฟันด้วยความเจ็บปวด ชาย
ฉกรรจ์คนอื่นๆ ต่างตกใจ หลังจากเสียงร้องของชาย
ฉกรรจ์ผู้นั้นดังขึ้น ต่างก็พุ่งเข้าใส่หยางหนิง
หัวใจของกู้ชิงฮั่นแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว เห็น
หยางหนิงหลบหลีก อย่างว่องไว เหล่าชายฉกรรจ์เอง
ก็ซัดทั้งหมัดทั้งถีบทั้งเตะ แต่หยางหนิงก็เหมือน
แมวป่า หลบไปตามช่องของคนพวกนั้นอย่างรวดเร็ว
แล้วออกมาจากกลุ่มปีศาจกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มนั้น มา
ยืนอยู่ตรงหน้าของผู้ดูแลหลัว
ผู้ดูแลหลัวเห็นเงาของคนพุ่งตรงมาที่เขา ก็ตกใจยิ่งนัก
เขาไม่มีวิชาการต่อสู้ใดๆ จึงรีบถอยหลัง หยางหนิง
พุ่งตัวเขามาอย่างรวดเร็ว ผู้ดูแลหลัวร้องตะโกน
ออกมา เท้าข้างหนึ่งของหยางหนิงก็ถีบเข้าไปอย่าง
แรง หยางหนิงค่อนข้างมั่นใจในลีลาการเตะของเขา
มาก เชื่อว่าโดนเป้าหมายอย่างแน่นอน
“อ๊าก!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เช่นเดิมคือยังไม่มี
ใครทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นแค่ผู้ดูแลหลัวนั่งก้น
ติดยู่ที่พื้น มือสองข้างกุมไปที่ข้อเท้า สีหน้าเจ็บปวด
ยิ่งนัก
คนที่ตกใจมากที่สุดในตอนนี้คือกู้ชิงฮั่น นางคิดว่าห
ยางหนิงน่าจะตกเป็นรองและเสียเปรียบเสียแล้ว แต่
กลับไม่เป็นอย่างที่คิด คนที่อ่อนแอตอนนี้กลับมี
แข็งแกร่งขึ้นมาเช่นนี้ ไม่เพียงแค่สามารถฝ่าวงล้อม
ของเหล่าชายฉกรรจ์ได้ แต่ยังทาให้ผู้ดูแลหลัวล้มกอง
ไปกับพื้นอีก แต่นางก็เหมือนกับคนอื่นๆ ไม่เห็นว่า
เกิดอะไรขึ้นกับผู้ดูแลหลัวบ้าง
แต่ว่าตอนนี้หลายคนเห็นว่า ในมือของหยางหนิงถือ
มีดสั้นเล่มหนึ่งอยู่ และมีคนเห็นว่า ถึงแม้ผู้ดูแลหลัว
จะเอามือกุมที่ข้อเท้าเอาไว้ แต่ก็ยังเห็นว่ามีเลือดออก
อยู่
ตอนนี้ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่หยางหนิงจาก
ด้านหลัง กู้ชิงฮั่นรีบร้องตะโกนว่า “หนิงเอ๋อ ระวัง
ข้างหลังเจ้า……!”
เห็นหยางหนิงหลบ เหมือนกับมีดวงตาอยู่ด้านหลัง
ชายฉกรรจ์พุ่งใส่อากาศเข้าอย่างแรง จากนั้นก็รู้สึกว่า
เจ็บที่หัวไหล่ หยางหนิงใส่มีดสั้นปักลงไปที่ไหล่ของ
เขา คมมีดมันแทงทะลุเข้าไปด้านใน เหมือนเขาตัด
เต้าหู้ง่ายๆ เสียอย่างนั้น ส่วนหยางหนิงก็ลงมือไวราว
กับสายฟ้า หลังจากแทงแล้วก็รีบดึงมีดออกมาทันที
เหล่าชายฉกรรจ์คนอื่นๆ ก็พุ่งเข้าใส่หยางหนิงอย่างไม่
รีรอ หยางหนิงพุ่งตัวไปอยู่ด้านหลังของผู้ดูแลหลัว
แล้วนั่งยองๆ ลงไป ใช้มีดสั้นจ่อไปที่คอหอยของผู้ดูแล
หลัว ยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่าเข้ามานะ ข้าเป็นคน
ขี้ตกใจ หากพวกเจ้าเข้ามา แล้วข้าเกิดกลัว มือลั่น
ปาดคอเขาขึ้นมาจะทาอย่างไร”
“อย่า...อย่าเข้ามา...!” ผู้ดูแลหลัวถึงแม้จะเจ็บข้อเท้า
แต่ก็กลัวมีดสั้นที่อยู่ตรงคอมากกว่า
เหล่าชายฉกรรจ์หยุดไม่กล้าเดินเข้าไป
ไม่ใช่ว่าหยางหนิงจะรับมือกับเหล่าชายฉกรรจ์ไม่ได้
ในมือของเขามีมีดสั้นอยู่ ตัวเขาเองก็พอมีวิชาการ
ต่อสู้อยู่บ้าง จุดต่างๆ ตามร่างกายเขาเองก็รู้ดี ยิ่งมี
วิชาท่าเท้าท่องคลื่นแล้วด้วย ชายฉกรรจ์พวกนี้ไม่ใช่คู่
ต่อสู้ที่แท้จริงของเขาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากไปเสียเวลากับคนพวกนี้มาก
นัก
เหล่าชาวบ้านต่างก็ตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่
ออกไปตามๆ กัน ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ชาวบ้าน
เป็นสิบคนรุมเหล่าชายฉกรรจ์ กลับไม่มีใครสามารถ
ทาอะไรอีกฝ่ายได้สักคน แถมฝ่ายตัวเองยังทั้งแขนขา
หักไปเจ็ดแปดคน แต่ตอนนี้ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอ
ผู้นี้ กลับทาให้ผู้ดูแลหลัวกับพวกหวาดกลัวกันได้อย่าง
ง่ายดาย
“น้องชาย เจ้า...เจ้าอย่าทาอะไรวู่วาม” มีดสั้นของ
หยางหนิงเป็นอาวุธประหลาด ปกติมันจะปล่อยความ
เย็นออกมาจากตัวมีด ตอนนี้ความเย็นของมันจ่อ
ระเหยอยู่ที่คอของผู้ดูแลหลัว “ข้า...ข้าเป็นคนของ
จิ่นอีโหว หากเจ้าทาอะไรข้า ผล...ผลลัพธ์นั้นมัน
อาจจะเลวร้ายจนไม่กล้าคิดเลยล่ะ”
หัวหน้าหมู่บ้านหานอี้ก็รู้หากทาอะไรผู้ดูแลหลัว
จะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ก็มองไปที่หยางหนิง
แล้วพูดว่า “น้องชาย ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยพวกข้า
แต่ว่าคนๆ นี้...คนๆ นี้เป็นผู้ดูแลของตระกูลฉี อย่า
ทาร้ายเขาจะดีกว่า” เขาไม่ได้กลัวว่าเขาจะเป็นอะไร
แต่ว่าอิทธิพลของตระกูลฉีนั้นมีมาก หากไปมีเรื่อง
ด้วยจริงๆ หมู่บ้านหลูหวังจะเดือดร้อนเอาได้
หยางหนิงส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ท่านวางใจเถอะ เขาไม่ใช่
คนของตระกูลฉี หากจิ่นอีโหวรู้ว่ามีคนแบบนีอ้ ยู่ใน
ตระกูลฉี คงเป็นคนแรกที่จะแหกอกเขาอย่าง
แน่นอน” สีหน้าของเขานิ่งไป แล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า
“ข้าขอถามเจ้า รีดไถภาษีชาวบ้าน เป็นความคิดของ
ใครกัน?”
“เป็น...เป็นเจตนารมณ์ของท่านจิ่นอีโหว” ผู้ดูแลหลัว
พูดยังพูดอีกว่า “เราเพียงทาตามคาสั่ง หากไม่ใช่
เจตนาของท่านเหล่าโหว เราก็ไม่กล้าเก็บภาษีเช่นนี้...
อ๊าก...!” เสียงร้องของผู้ดูแลหลัวดังขึ้นด้วยความ
เจ็บปวด หยางหนิงจิ้มปลายมีดไปที่เนื้อหัวไหล่ของ
ผู้ดูแลหลัวแล้ว
“คือใครกันแน่?”
ผู้ดูแลหลัวแทบจะร้องไห้แล้วพูดว่า “เป็น...เป็น
เจตนาของท่านโหวจริงๆ น้องชาย...นายท่าน ข้าไม่
กล้า...ไม่กล้าโกหกจริงๆ...!” เสียงร้องดังขึ้นอีก
หยางหนิงจิ้มปลายมีดไปที่หัวไหล่ของผู้ดูแลหลัวอีก
ครั้ง ตอนนี้หัวไหล่ของเขามีเลือดออกทั้งสองข้าง เขา
ตกใจและหวาดกลัวยิ่งนัก
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 80 คลานออกไป
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงลงมืออย่างเลือดเย็น ก็ขมวดคิ้ว
มีดสั้นเล่มนั้นเป็นอาวุธที่ร้ายกาจยิ่งนัก ไม่เพียงแค่คม
เท่านั้น ทั้งตัวมีดยังไม่เปื้อนเลือดอีกด้วย ขณะที่ดึง
ออกมาจากหัวไหล่ ยังคงใสสะอาดอยู่ ผู้ดูแลหลัวพูด
ด้วยน้้าเสียงติดอ่าง “นายน้อย นาย...นายท่าน เป็น...
เป็นค้าสั่งของท่านเหล่าโหวจริงๆ ข้า...ข้าก็แค่ท้าตาม
ค้าสั่งเท่านั้นขอรับ...!”
หยางหนิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มาถึงขนาดนี้แล้ว
เขาเชื่อว่าจากวิสัยของผู้ดูแลหลัว คงไม่มีทางทนไหว
หากเป็นอื่นที่ออกค้าสั่ง ผู้ดูแลหลัวไม่มีทางยืนยันว่า
เป็นจิ่นอีโหวอยู่อย่างนี้แน่ๆ
“ไม่ว่าคนที่บงการพวกเจ้าจะเป็นใคร กลับไปบอก
คนที่ส่งเจ้ามา บอกเขาว่า จุดจบของเขามาถึงแล้ว”
หยางหนิงเก็บมีดสั้นของเขาไป แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น
มองไปที่เหล่าชายฉกรรจ์ สายตาคมราวกับคมดาบ
ถึงแม้เขาจะตัวเล็ก แต่ในตอนนี้ราศีของเขามัน
เลือดเย็นเหมือนมีแค่วิญญาณ “พวกเจ้ายังคิดจะสู้อยู่
ใช่หรือไม่?”
เหล่าชายฉกรรจ์ก็รู้ว่าวันนี้พวกเขาเจอของแข็งให้แล้ว
ตอนที่หยางหนิงลงมือ พวกเขาก็เห็น รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้
ดูผิวเผินเหมือนคนอ่อนแอ แต่เมื่อลงมือ กลับ
เลือดเย็นไม่ไว้หน้าผู้ใด เห็นผู้ดูแลหลัวถูกตัดเอ็น
ข้อเท้า ใครจะกล้าเดินเข้าไปอีก อีกอย่างก็เป็นแค่
นักเลง ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตมาทิ้งอย่างแน่นอน
“กลับ...!” ผู้ดูแลหลัวเห็นชายฉกรรจ์ตะโกนมา
เช่นนั้น ก็กลั้นเจ็บแล้วตะโกนออกไปว่า “ยังไม่มา
แบกข้าไปอีก”
เขาเองก็เป็นคนที่เจออะไรมาเยอะ รู้ว่าโลกนี้มันกว้าง
ใหญ่เพียงใด มีอะไรแปลกๆ มากมาย วันนี้เขามาเจอ
คนที่ร้ายกาจ ถอยกลับไปก่อนดีที่สุด
“อย่าเพิ่งรีบร้อน” หยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “พวก
เจ้าท้าคนอื่นบาดเจ็บ คิดจะไปง่ายๆ อย่างนี้หรือ?”
ผู้ดูแลหลัวรู้ว่าหยางหนิงหมายถึงสิ่งใด จึงรีบตะโกน
ออกไปว่า “เอาเงินที่มีอยู่ออกมาให้หมด”
เหล่าชายฉกรรจ์รีบดึงถุงเงินของตัวเองออกมา ผู้ดูแล
หลัวก็เอาถุงเงินของตัวเองมากองรวมกันไว้ แล้วมอง
ไปที่หยางหนิง “นายท่าน เรามีกันแค่เท่านี้หากท่าน
...เห็นว่ามันไม่พอ เดี๋ยวพวกข้ากลับไปจะให้คนส่งมา
ให้อีก”
หยางหนิงพูดอย่างนิ่งเฉยว่า “ผู้ดูแลหลัว ข้ารู้ว่าเจ้า
เป็นอย่างไร ข้าบอกเจ้าไว้ตรงนี้เลยนะ หากหลังจากนี้
เจ้าย้อนกลับมาแก้แค้นคนในหมู่บ้านหลูหวังอีก ต่อ
ให้เป็นแค่ต้นไม้ใบหญ้าเพียงต้นเดียว ข้าก็จะเอาชีวิต
เจ้า ได้ยินหรือไม่?”
ผู้ดูแลหลัวรีบพูดว่า “ข้าน้อยไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าจริงๆ
ขอรับ...!” จากนั้นก็กวักมือให้พวกของเขาแล้วพูดว่า
“ยังไม่รีบไปอีก!”
ชายฉกรรจ์บางคนเดินไปแบกคนที่ถูกหยางหนิง
ตีสลบ บางคนเดินไปแบกผู้ดูแลหลัว หยางหนิง
ยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “พวกเจ้าจะไปกันอย่างนี้
หรือ?”
ผู้ดูแลหลัวคิดในใจว่าตีก็ตีแล้ว เงินก็เอาไปแล้ว ยังจะ
เอาอะไรอีก? ขาของเขาเจ็บมากในตอนนี้ เลือดไหล
ไม่หยุด รู้ว่าถูกตัดเส้นเอ็นแน่ๆ ต่อไปการเดินอาจมี
ปัญหา ตอนนี้หากท้าให้เจ้าหนุ่มผู้นี้โกรธอีก ขาของ
เขาอาจจะไม่เหลือก็ได้ เขาได้แต่พูดด้วยน้้าเสียง
เหมือนจะร้องไห้ว่า “นายท่านมี...มีอะไรจะสั่งอีกหรือ
ขอรับ?”
“ข้าจ้าได้ว่ามีคนพูดว่า จะให้ข้าคลานเหมือนหมาตัว
หนึ่ง ข้าไม่มีวาสนานั้น แต่ก็อยากเห็นเหมือนกันว่า
หมามันคลานอย่างไร” หยางหนิงชี้ไปที่คนๆหนึ่ง
“เจ้าแบกคนที่สลบ ส่วนคนอื่น คลานออกจาก
หมู่บ้านนี้เสีย”
สีหน้าของผู้ดูแลหลัวเปลี่ยน หยางหนิงหน้านิ่งแล้วพูด
ว่า “อะไรกัน ไม่พอใจรึ?”
ผู้ดูแลหลัวแค้นมาก แต่ก็ท้าอะไรมิได้ เขาตะคอกด้วย
ความโกรธว่า “ยังไม่คลานลงไปอีก คลานออกจาก
หมู่บ้านเดี๋ยวนี้” เขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ แม้แต่
วินาทีเดียว หันหลังแล้วอดทนต่อความเจ็บปวดแล้วก็
คลานออกไปหมู่บ้าน ม้าหลายตัวไม่มีผู้ใดกล้าเอา
กลับไปด้วย
ชาวบ้านในหมูบ่ ้านเห็นผู้ดูแลหลัวที่ไม่กลัวใคร
เมื่อก่อนหน้านี้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ต่างก็สะใจ
เด็กน้อยหลายคนก็ปรบมือ ชายหนุ่มต่างยินดี มีแต่
คนแก่ๆ เท่านั้นที่เห็นสถานการณ์แล้ว รู้สึกเป็น
กังวลใจ
จิ่นอีโหวเป็นตระกูลศักดินาของแคว้น ในสายตายของ
ชาวบ้านทั่วไป นั่นคือตระกูลสูงศักดิ์ แถมตระกูลฉีก็มี
อิทธิพลมากในเจียงหลิง วันนี้มีเรื่องกับคนของตระกูล
ฉี ถึงแม้จะสะใจ แต่เกรงว่าภัยจะมาในอีกไม่ช้านี้
ถึงแม้หยางหนิงจะเตือนผู้ดูผลหลัวห้ามกลับมาแก้
แค้น แต่ว่าชาวบ้านไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ในใจคิดว่าห
ยางหนิงเป็นวีรบุรุษที่ผ่านทางมาช่วยเท่านั้น พอเขา
ไป ผู้ดูแลหลัวก็อาจจะไม่ได้ท้าตามที่เขาพูดก็ได้
กู้ชิงฮั่นทั้งดีใจทั้งตกใจ ตกใจเพราะหยางหนิงเป็นเสือ
ซ่อนเล็บ เขามีฝีมือถึงขนาดนี้ แถมยังองอาจกล้าหาญ
ดีใจเพราะเห็นหยางหนิงปลอดภัย นางรีบเดินเข้าไป
หาเขา แล้วมองเขาอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่า
หยางหนิงไม่เป็นอะไร ก็ถอนหายใจ “หนิงเอ๋อ เจ้าท้า
ข้าตกใจแทบแย่”
หยางหนิงยิ้ม ไม่ได้สนใจพวกคนที่ก้าลังคลานออก
จากหมู่บ้าน เขาหยิบถุงเงินบนพื้น เดินไปหาหานอี้
แล้วยื่นถุงเงินให้กับเขา แล้วพูดว่า “เงินพวกนี้ เอาไป
รักษาชาวบ้านที่บาดเจ็บเถอะ แล้วก็ซื้อยาบ้ารุงให้
พวกเขากินด้วย” จากนั้นก็ชี้ไปที่ม้า “ส่วนม้าพวกนั้น
ก็เก็บไว้ที่หมู่บ้านนี้ก่อน”
หานอี้คิดๆ ดูแล้ว ก็รับเอาถุงเงินมาแล้วยื่นให้กับคนที่
อยู่ด้านหลัง แล้วยกมือขึ้นค้านับ “ขอบคุณท่านที่
ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ บุญคุณครั้งนี้ พวกข้าชาวหลูหวัง
จะไม่มีวันลืม แต่ว่าที่นี่ไม่ควรอยู่นานนัก ข้าว่าพวก
ท่านรีบไปเถอะ บุญคุณครั้งนี้ ข้าจะจ้าไว้ หากมี
โอกาส ข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน”
“เจ้ากังวลว่าผู้ดูแลหลัวจะกลับมาแก้แค้นพวกเจ้า
ใช่หรือไม่?” หยางหนิงเข้าใจความคิดของหานอี้ดี
ฮานอี้เองก็ไม่ได้ปกปิดอะไร พยักหน้าแล้วพูดว่า
“ตระกูลฉีมีอิทธิพลมากหมู่บ้านหลูหวังเป็นหมู่บ้าน
เล็กๆ จะไปสู้ได้อย่างไร เจ้าคนแซ่หลัวผู้นั้นเป็นคนที่
หากมีแค้นต้องช้าระ วันนี้เขาเสียหน้า คงไม่รามือ
ง่ายๆ กลับไปคงพาคนกลับมาอีกแน่ๆ ตระกูลฉีเองก็
มีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนาง หากเรียกเจ้าหน้าที่
ทางการมา ถึงตอนนั้นพวกท่านอยากไปก็ไปไม่ได้
แล้ว”
ในที่สุดกู้ชิงฮั่นก็เอ่ยปากพูดว่า “ฮานอี้ จิ่นอีโหวไม่มี
ทางเลี้ยงคนเลวๆเช่นนั้นแน่ๆ ตระกูลฉีไม่ใช่ตระกูลที่
รังแกคนที่อ่อนแอกว่า ผู้ดูแลหลัวรีดไถภาษี ใคร
บงการอยู่เบื้องหลัง ไม่นานนักความจริงต้องปรากฏ
จิ่นอีโหวจะต้องคืนความเป็นธรรมให้กับพวกเจ้า
แน่นอน”
หานอี้รู้สึกอดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้ชิงฮั่น เห็นกู้ชิงฮั่น
หน้าตาส้าอาง ก็รู้สึกตะลึงไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขา
ไม่ได้สนใจกู้ชิงฮั่นเลย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าข้างๆ ของ
หยางหนิงจะมีเพื่อนร่วมทางหน้าตาดีถึงเพียงนี้ ได้ยิน
ค้าที่เขาช่วยจิ่นอีโหวแก้ต่าง ค้าพูดค้าจาก็หนักแน่น
จึงรู้สึกตะลึงไปไม่น้อย
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านหาน ฟ้าใกล้มืดแล้ว เราก็คงไม่
สะดวกเดินทางตอนกลางคืน” หยางหนิงยิ้มแล้วพูด
อีกว่า “ไม่ทราบว่าข้าจะขอรบกวนค้างแรมในหมู่บ้าน
สักคืนจะได้หรือไม่?”
หานอี้รู้ว่าหากทั้งคู่ยังอยู่ในหมู่บ้านอาจจะมีอันตราย
ได้ แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้วจริงๆ หากบังคับให้พวกเขาต้อง
เดินทางออกนอกหมู่บ้าน ก็คงแล้งน้้าใจเกินไป เขา
รู้สึกลังเล ชาวบ้านคนอื่นเริ่มพูดกันว่า “บ้านข้ามี
ห้องว่าง หากไม่รังเกียจ ไปค้างที่บ้านข้าสักคืนก็ได้”
สุดท้ายหานอี้ก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านทั้งสองอยู่ที่นี่ เรา
ทุกคนที่นี่ยินดีอยู่แล้ว” ตอนนี้ชาวบ้านสองสามคน
เดินไปจูงม้าที่ผูกเอาไว้ แล้วพาพวกหยางหนิงไปที่
บ้านของตน ส่วนพวกของผู้ดูแลหลัวคลานออกจาก
หมู่บ้านไป ไม่หันกลับมามองเลย จึงคลานไปอย่าง
น่าอนาถ
คนในหมู่บ้านใช้ชีวิตเรียบง่าย แน่นอนว่าคงไม่มี
อาหารที่สมบูรณ์มากนัก แต่หานอี้เป็นคน
มนุษยสัมพันธ์ดี เขาให้คนไปฆ่าไก่ที่บ้านเขา แล้วให้
ชาวบ้านไปท้าอาหารมาเพื่อขอบคุณพวกของ
หยางหนิง อีกทั้งยังส่งของใช้จ้านวนหนึ่งมาให้อีก
ในขณะที่บ้านของหานอี้ก้าลังยุ่งกันอยู่ หยางหนิงก็หา
โอกาสแอบถามกู้ชิงฮั่นว่า “ซานเหนียง ที่จวนเก่าของ
พวกเรามีเจ้าคนแซ่หลัวผู้นั้นหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าแต่งเข้ามา
ตระกูลฉี เคยกราบไหว้บรรพชนที่จวนเก่าครั้งหนึ่ง
แต่หลังจากนั้นก็อยู่เมืองหลวงมาโดยตลอด ไม่เคยได้
กลับมาที่เจียงหลิงอีกเลย ตอนที่ท่านแม่ทัพมีชีวิตอยู่
ก็ไม่ได้กลับมาที่นี่ราวๆ สี่ห้าปี เรื่องของที่นี่ทั้งหมด
เป็นความรับผิดชอบของพ่อบ้านใหญ่ พ่อบ้านใหญ่จะ
เข้าเมืองหลวงทุกปี เพื่อรายการสถานการณ์ต่างๆ ข้า
เคยเจอเขาสองครั้ง แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นพ่อบ้านชิว
เสียมากกว่าที่เป็นคนรับหน้า” จากนั้นนางก็นิ่งไป
แล้วพูดว่า “ข้ารู้แค่ว่าคนที่จวนเก่ามีไม่กี่สิบคน และ
ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ดูแลอะไรนี่เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่อง
ที่มีพวกไม่มีประโยชน์พวกนี้ด้วย”
“ก่อนหน้านี้เจ้าคนแซ่หลัวนั่นบอกว่ามีคนไปร้องเรียน
ที่จวนโหว ท่านไม่รู้เรื่องนี้เลยหรือ?” หยางหนิงขมวด
คิ้วแล้วถามว่า “คนจากเจียงหลิงไปยังจวนโหว ท้าไม
ท่านถึงไม่รู้เล่า?”
“ข้าก็ก้าลังคิดอยู่เหมือนกัน” สายตาของกู้ชิงฮั่นโกรธ
ยิ่งนัก “หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าไม่มีทางไม่รู้อะไร
เลย นอกเสียจาก...นอกเสียจากว่าจะมีคนตั้งใจปิดบัง
ข้า”
“ซานเหนียงหมายถึงพ่อบ้านชิวหรือ?” หยางหนิง
นิ่งไปครู่หนึ่ง “พ่อบ้านชิวก้าลังปิดบังพวกเราอยู่อย่าง
นั้นหรือ?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อ พวกเราไม่มี
หลักฐาน อย่าเพิ่งตัดสินอะไรง่ายๆ ถึงแม้จะมีบ้างที่
พ่อบ้านชิวจะดูเจ้าเล่ห์ แต่ว่าเขาก็อยู่ในจวนโหวมา
นาน ผลงานก็เห็นๆ กันอยู่ อีกอย่างเหตุใดเขาจะต้อง
ปิดบังเรื่องนี้ด้วยเล่า? ต่อให้เป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวน
เก่า ข้าก็เคยเจอเขาสองครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้รู้จักกัน
อะไรมากมาย แต่ว่าเขาเป็นคนท้างานดี นิสัยก็ดูหนัก
แน่น ดูไม่เหมือนคนที่มีเล่ห์อะไรเลย เขาท้างานอยู่ที่
จวนเก่ามานานกว่าสิบปี เขาเป็นคนที่ท่านเหล่าโหว
เลือกเองกับมือตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คนที่ท่านเลือก
ไม่ทางผิดแน่นอน”
หยางหนิงคิดมาตลอดเวลาว่าพ่อบ้านใหญ่น่าจะเป็น
คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดเช่นนี้
แล้ว ลึกๆ เขาก็รู้สึกว่าเขาอาจจะเดาผิดก็ได้
กู้ชิงฮั่นเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก ท่านเหล่าโหวเองยิ่ง
เป็นคนที่ยอดเยี่ยม พ่อบ้านใหญ่เป็นคนที่ท่านเหล่า
โหวเลือกเองกับมือ กู้ชิงฮั่นเองก็ประเมินพ่อบ้านใหญ่
เอาไว้ว่าดี เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อบ้านใหญ่ก็ดูไม่เหมือน
เป็นคนหลอกลวงเลย หากป็นเช่นนี้จริง เรื่องนี้มันก็
แปลกมาก
“หนิงเอ๋อ ยังดีที่เชื่อเจ้า ไม่ไปที่จวนเก่าเลย” กู้ชิงฮั่น
ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ไม่เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้ เราคงไม่มีทางรู้จริงหรือไม่? ข้าคิดมา
ตลอดเวลาว่าที่ดินศักดินาของจวนโหว ชาวบ้านจะอยู่
กันอย่างสงบสุข มีกินมีใช้ไม่ขาด วันนี้ถึงได้รู้ว่า เรื่อง
มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น” จากนั้นนางก็มองไปที่หยางหนิง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่ดินศักดินามีปัญหา จะต้องปลอม
ตัวมาแอบสืบความรึ?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 81 ปีศาจภูเขา
หยางหนิงทาท่าทางเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กแล้วพูดว่า
“หลายครั้ง สิ่งที่เราได้ยินมักจะไม่สู้สิ่งที่เรามาเห็น
ด้วยตา ถึงแม้สิ่งที่เราเห็นด้วยตาในหลายครั้งก็อาจจะ
ไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม แต่มันก็ยังดีกว่าเราฟังอย่างเดียว
เราอยู่ไกลถึงเมืองหลวง เรื่องที่ดินศักดินาเราได้ยิน
จากปากคนอื่นทั้งนั้น ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว เราได้
เห็นด้วยตา มันก็ดีกว่าที่เราคาดเดาจากการฟัง”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้าแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อพูดถูก ข้า
ประมาทเอง หากไม่ใช่เจ้า ตอนนี้ข้าก็ยังอยู่ในกะลา”
สายตาของนางเปลี่ยนเป็นความโกรธแล้วพูดต่อว่า
“พรุ่งนี้ข้าจะถามพ่อบ้านใหญ่ ว่าทาไมเจียงหลิงถึง
กลายเป็นเช่นนี้?” ทันใดนั้นเองนางก็เหมือนคิดอะไร
ขึ้นมาได้ สายตาก็เปลี่ยนไป เหมือนแสร้งทาเป็นยิ้ม
แล้วหันไปมองหยางหนิง แล้วถามว่า “หนิงเอ๋อ ข้า
ถามเจ้าหน่อย เจ้าไปเรียนวิชาพวกนั้นมาจากที่ใด?”
“วิชาอะไรรึ?”
“เจ้าอย่ามาทาเป็นไขสือ” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยน้าเสียง
อารมณ์ไม่ดีนักแล้วถามขึ้นว่า “วรยุทธ์ของเจ้า ใคร
ถ่ายทอดให้เจ้ากันแน่? อย่าบอกนะว่าพวกต้วนฉาง
ไห่แอบสอนให้เจ้า?”
หยางหนิงกลัวคาถามนี้ของกู้ชิงฮั่นมากที่สุด ทาได้
เพียงทาเป็นไม่รู้เรื่องแล้วพูดว่า “ข้าเกิดในตระกูล
นักรบ รู้วิชาการต่อสู้บ้างเสียหน่อยก็ไม่เห็นว่าจะ
แปลกอะไร”
“เหตุใดข้าจะไม่รู้เล่า?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วพูดว่า
“หลายปีก่อนข้าให้เจ้าฝึกวรยุทธ์พร้อมกับเหล่า
องครักษ์ในจวนโหว เจ้าไม่สนใจเลย แล้วทาไมจู่ๆ ถึง
เป็นวรยุทธ์ขึ้นมาได้เล่า?”
หยางหนิงกาลังคิดว่าจะอธิบายให้กู้ชิงฮั่นฟังอย่างไรดี
เพราะยังไงกู้ชิงฮั่นก็เป็นหญิง จะไปหลอกง่ายๆ ไม่ได้
ทันใดนั้น หานอี้ก็เดินเข้ามาชวนไปกินข้าวพอดิบพอดี
ถือว่าหยางหนิงรอดตัวไป
ในหมู่บ้านนี้มีกฎ หากมีแขกมาจากด้านนอก ผู้หญิง
จะมานั่งบนโต๊ะด้วยไม่ได้ ดีที่กู้ชิงฮั่นแต่งตัวเป็นชาย
จึงได้มานั่งด้วยกัน ข้าวปลาอาหารของในบ้านชาวนา
ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ อาหารเต็มโต๊ะ หานอี้ก็เชิญคนที่
พอมีบารมีในหมู่บ้านมาร่วมโต๊ะด้วย
บนโต๊ะอาหาร ที่สาคัญก็ต้องขอบคุณหยางหนิง เหล้า
ที่ดื่มก็เป็นเหล้าที่หมักกันเองในหมู่บ้าน รสชาติไม่เลว
ทุกคนได้เห็นความสามารถของหยางหนิง บนโต๊ะ
อาหารก็กล่าวชื่นชมกันยกใหญ่ เมื่อพูดถึงผู้ดูแลหลัว
กับพวก ทุกคนก็รู้สึกว่าพวกเขาต้องไม่ยอมเลิกรา
แน่นอน
“พวกเจ้าวางใจได้ ผู้ดูแลหลัวโอหังได้ไม่กี่วันหรอก”
หยางหนิงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าทางจวน
จิ่นอีโหวได้ส่งคนมาที่เจียงหลิงแล้ว ถึงเวลานั้นก็แค่
ร้องเรียนเรื่องนี้ไป ผู้ดูแลหลัวก็ไม่น่ารอดแล้ว”
หานอี้ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “น้องชาย ต่อให้จวนจิ่นอี
โหวส่งคนมาจริง พวกเขาจะยอมออกหน้าให้ความ
เป็นธรรมกับเราหรือ? ผู้ดูแลหลัวเป็นคนของตระกูลฉี
อย่างไรเสียก็คงไม่มีทางลงมือกับคนของตัวเอง เพื่อ
ชาวบ้านจนๆ อย่างเราหรอก”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างจริงจังว่า “หานอี้ ข้าเคยบอกไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ ตระกูลฉีไม่มีทางรังแกคนที่อ่อนแอกว่า
เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ จิ่นอีโหวไม่รู้แน่ๆ หากเขารู้เร็วกว่า
นี้ ไม่มีทางให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นแน่นอน”
หานอี้เห็นกู้ชิงฮั่นพูดออกหน้าแทนจวนจิ่นอีโหวหลาย
ต่อหลายครั้ง แถมยังพูดจามั่นใจ ในใจก็แอบแปลกใจ
สุดท้ายก็ตัดสินใจถามกลับไปว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้
มั่นใจเช่นนั้นเล่า? ผู้ดูแลหลัวพูดมาคาหนึ่งข้าว่ามันก็
ถูก หากไม่ได้รับอนุญาตจากตระกูลฉี พวกเขาก็ไม่มี
ทางโอหังถึงเพียงนี้ได้”
“หานอี้ เจ้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่ การรวบรวม
ผลผลิตส่งไปตระกูลฉี เจ้าเป็นคนส่งไปเองกับมือใช่
หรือไม่?” กู้ชิงฮั่นถาม
หานอี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ ที่นาของเรา ผลผลิต
ของพวกเรามันกาหนดไว้แล้ว ขอแค่ไม่เกิดภัย
ธรรมชาติอะไร ในทุกปีข้าก็จะเรียกเก็บตามจานวนที่
กาหนด” จากนั้นก็หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า “ใน
ทุกปีข้าจะเรียกเก็บผลผลิตแล้วส่งไปที่ตระกูลฉี
ชั่งน้าหนักเพื่อตรวจสอบดู”
“เท่าที่ข้ารู้มา พ่อบ้านใหญ่ตระกูลฉีที่บ้านเก่าเป็นคน
รับผิดชอบเรื่องเก็บภาษีที่ดินศักดินาที่เจียงหลิงนี่”
กู้ชิงฮั่นถามอีกว่า “ข้าได้ยินเจ้าบอกว่า ตอนนี้
จิ่นอีโหวเรียกเก็บภาษีสี่ส่วน ก่อนหน้านี้ไม่ได้เรียก
เก็บสองส่วนหรือ? ทาไมจู่ๆถึงได้ขึ้นเอาได้เล่า
พ่อบ้านใหญ่เป็นคนมาแจ้งพวกเจ้าเองหรือ?”
“พ่อบ้านใหญ่ฉีหรือ?” หานอี้มองไปที่กู้ชิงฮั่นด้วย
ความสงสัย แล้วถามว่า “เจ้ารู้จักพ่อบ้านใหญ่ฉีด้วย
หรือ?” ในใจก็แอบคิดว่า คนผู้นี้พูดปกป้องจิ่นอีโหว
ตั้งหลายครั้ง แถมยังเหมือนจะรู้จักพ่อบ้านใหญ่ฉีเป็น
อย่างดี หรือว่าสองคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับ
จิ่นอีโหว?
จวนเก่าตระกูลฉีถึงแม้จะมีพ่อบ้านใหญเป็นคนดูแล
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ใครก็รู้ สาหรับชาวบ้านส่วนใหญ่
พวกเขาต้องทางานตั้งแต่เช้าถึงเย็น ส่งภาษีผลผลิตให้
ตรงเวลา ส่วนใครเป็นคนดูแลตระกูลฉีนั้น ไม่ใช่สิ่งที่
คนสนใจ หานอี้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่นี่ ทุกปีจะต้อง
ส่งผลผลิตไป เพราะเหตุนี้เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า
พ่อบ้านใหญ่เป็นใคร
ในเมื่อเขารู้สึกว่ากู้ชิงฮั่นมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลฉี
เขาก็เริ่มพูดจาระวังตัวมากขึ้น
ในตอนนี้เอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น
“เจอแล้ว เจอแล้ว สัตว์ป่าที่แอบมาขโมยไก่ มันหลบ
อยู่บนเขา”
เสียงนั้นแหลมทิ่มหู หานอี้ก็ลุกขึ้น คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้น
ตาม หานอี้หันไปมองหยางหนิงแล้วพูดว่า “ท่านทั้ง
สองกินกันไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องไปทา” ก็ไม่อธิบาย
อะไรมากนัก แล้วก็รีบออกไป คนอื่นๆ ก็เดินตามไป
เช่นกัน เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนเอาไว้
หยางหนิงได้ยินเสียงข้างนอกวุ่นวาย ก็ทนไม่ไหวถาม
กลับไปว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? หาอะไรเจอกันหรือ?”
“สัตว์ป่าขโมยไก่” ชายแก่คนหนึ่งพูดขึ้นมา “หลาย
วันมานี้ ไก่ในหมู่บ้านมักจะหายไปโดยไม่มีสาเหตุ
น่าจะมีประมาณสิบตัวได้แล้ว ที่หลังเขาเองก็ไม่มี
สัตว์ป่าอะไร หมาป่าก็ไม่เคยเจอ ตอนแรกก็คิดว่ามี
คนขโมยไก่ หลายวันมานี้ก็เลยสั่งให้คนเฝ้ายามตอน
กลางคืน เพื่อแอบดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คืนวันนั้นก็
เห็นเงาๆ หนึ่งเข้ามาที่เล้าไก่ เราก็เลยเตรียมคนเพื่อ
เข้าไปจับ ใครจะคิดว่าเจ้านั่นมันจะวิ่งไวเช่นนั้น เรา
เห็นไม่ชัดว่าเป็นหมาป่าหรือว่าหมา” เขากระดกเหล้า
ขึ้นดื่มแล้วพูดต่อไปว่า “มันมีขนสีดา เราวิ่งตามไป
ตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน คนที่ตามไปกลับมาบอกว่า
มันวิ่งเร็วเหมือนกระต่าย ยังมีคนบอกอีกว่ามันวิ่งสอง
ขาเหมือนคน”
“หา?” หยางหนิงตกใจ “วิ่งสองขาอย่างนั้นรึ?” ในใจ
ก็รู้สึกแปลกใจ เท่าที่เขารู้ บนโลกนี้สัตว์ที่วิ่งสองขาได้
มีไม่มาก แต่ว่าสิ่งที่ชายชราผู้นี้พูดนั้น มันวิ่งเร็วมาก
คิดไปคิดมา สามารถวิ่งสองขาได้เหมือนคนแต่รวดเร็ว
เหมือนสัตว์ป่า มันเป็นอะไรที่หายากมาก แอบคิดใน
ใจว่าเป็นลิงหรือไม่
“สงสัยจะตาลาย” ชายชราอีกคนพูดขึ้นมาว่า “ข้าอยู่
มาจนอายุขนาดนี้ ยังไม่เคยได้ยินเลยว่ามีสัตว์ที่ไหน
วิ่งสองขาได้”
“มันก็ไม่แน่” ชายชราคนก่อนหน้านี้เถียงกลับมาว่า
“มีตั้งหลายคนเห็น คงไม่ตาลายกันหมดหรอก
กระมัง” แล้วหันไปมองหยางหนิงแล้วพูดว่า “ผ่านไป
หลายวัน มันก็กลับมาที่หมู่บ้านอีก ครั้งนี้พวกเรา
เตรียมตัวไว้พร้อม แต่ว่ามันก็หนีไปได้อีก ยังดีที่ว่า
พวกเราเห็นว่ามันหนีไปยังหลังเขา หนุ่มในหมู่บ้านพา
กันไปหาที่หลังเขาของหมู่บ้านกันทั้งวัน กลับไม่พบ
ร่องรอยของมันเลย เขาลูกใหญ่เช่นนั้น จะให้ไปดูทุก
ซอกทุกมุมก็เป็นไปมิได้”
หยางหนิงจึงถามกลับว่า “ด้านหลังเขามีสัตว์ป่าอย่าง
นั้นรึ?”
“หลายปีก่อนยังพอมีหมูป่าอยู่บ้าง แต่พอเจอภัยแล้ง
เข้า คนในหมู่บ้านก็ต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาเป็น
อาหาร บนเขาจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก
หมูป่าบนเขาโดยล่าไปจนหมดแล้ว หลายสิบปีมานี้ ก็
ไม่เจอสัตว์ป่าอะไรอีกเลย ไม่ว่าจะงูหรือหนู” ชาย
ชราอธิบายต่อว่า “เพราะเหตุนี้บนเขาก็มีอะไรไม่รู้มา
ขโมยไก่ พวกเราไม่มีทางปล่อยมันไปแน่ ไก่ใน
หมู่บ้านก็มีน้อยอยู่แล้ว มันถือเป็นของมีค่าของพวก
เรา แต่กลับโดยขโมยไปตั้งสิบกว่าตัว เราเจ็บปวดใจ
ยิ่งนัก หากไม่กาจัดมัน เกรงว่าต่อไปวัวกับแพะก็คง
จะไม่เหลือเช่นกัน”
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกตื่นเต้นมาก แล้วหันไปมองกู้ชิง
ฮั่นแล้วพูดว่า “พี่...พี่สาม ท่านรออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้า
ไปเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวข้ากลับมา”
กู้ชิงฮั่นคิดจะห้าม แต่หยางหนิงก็วิ่งเร็วกว่ากระต่าย
เสียอีก พริบตาเดียวก็พุ่งออกนอกประตูไป
หัวหน้าหมู่บ้านตอนนี้อยู่ท่ามกลางชายหนุ่มยี่สิบกว่า
คน มีคบเพลิงประมาณห้าถึงหกอัน มีคนตื่นเต้นแล้ว
พูดกับฮานอี้ว่า “ครั้งนี้มันหนีไม่รอดแน่ เราให้คน
แอบที่ตีนเขา พอมันลงมาจากเขา แล้วก็จะแอบตาม
ไป เจ้านั่นมันคิดว่าหลบขึ้นเขาแล้วจะจบอย่างนั้น
หรือ คงไม่คิดว่าเราจะตามไป ตอนนี้เราเจอรังของมัน
แล้ว เป็นถ้าๆ หนึ่งบนเขา ข้าให้คนเฝ้าปากถ้าไว้แล้ว
อย่างไรก็หนีไปไม่รอด”
หานอี้จึงพูดว่า “เด็กๆ ตามข้าขึ้นเขา เจ้านั่นมันวิ่งเร็ว
ยิ่งนัก ถ้าไม่ระวังมันจะวิ่งหนีไปได้อีก เราต้องล้อมมัน
เอาไว้อย่าให้มีช่องว่างให้มันหนี มีหรือว่ามันจะมุด
ออกไปทางไหนได้” จากนั้นกวักมือ แล้วก็นากลุ่มคน
อ้อมไปทางด้านหลังหมู่บ้าน แล้วเดินไปที่หลังเขา
ชาวบ้านถืออาวุธครบมือ ทั้งไม้ทั้งกระบองทั้งจอบ
ทั้งเสียม
หยางหนิงคิดแค่ว่าสัตว์ชนิดนี้ต้องเป็นสัตว์ที่หายาก
แน่ๆ จึงรู้สึกสนใจยิ่งนัก จึงตามกลุ่มคนพวกนั้นไป
ด้วย
พอกลุ่มคนพวกนั้นไปถึงตีนเขา คนที่แจ้งข่าวก็เดินนา
ทางอยู่ด้านหน้า หลังเขาถึงจะไม่สูงมาก แต่มันก็ชัน
อยู่ บนเขามีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ทุกคนกระจายตัว
ออกไป เดินไปพักหนึ่ง ก็มาถึงกลางเขา จากนั้นก็ได้
ยินคนตะโกนขึ้นมาว่า “มันอยู่ในนี้”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เห็นมีคนสามคนยืนรออยู่ เห็น
ชาวบ้านเดินมา มีคนๆหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “มันอยู่ในถ้า
นี้ พวกข้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ เจ้านั่นมันไม่กล้าออกมา”
หยางหนิงเดินเข้าไป ด้านหน้านี้เหมือนผนังกาแพง
เขาที่มีเถาวัลย์เลื้อยบังอยู่ เถาวัลย์ถูกแหวกออก มันมี
ปากถ้าอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในเงียบมาก ไม่มีเสียงอะไร
เลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีปากถ้าที่อื่น ไม่มีทางอื่นให้หนีไปได้?” หานอี้
เดินเข้าไปดูที่ปากถ้า กลับไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย
แม้แต่น้อย
“พวกข้าไปตรวจดูรอบๆ มาแล้ว มีแค่ปากถ้านี้โพรง
เดียว มันเป็นถ้าปิดตาย” คนที่เฝ้าปากถ้ารีบพูดขึ้นมา
ว่า “ข้าลองโยนก้อนหินเข้าไป ยังได้ยินเสียง”
จากนั้นเขาก็นั่งลง แล้วเก็บก้อนหินขึ้นมา แล้วขว้าง
ไปในถ้า ได้ยินเสียง “อู้ อู้” คนผู้นั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าได้ยินใช่หรือไม่ มันอยู่ในนี้แน่นอน”
“หาไม้แห้งๆ มา” หานอี้ประสบการณ์สูงยิ่งนัก “เผา
ไฟที่หน้าถ้า เจ้านั่นมันต้องทนควันไฟไม่ได้แน่นอน
แล้วมันก็จะวิ่งออกมา”
คนยิ่งมากกาลังยิ่งมาก พริบตาเดียว หน้าถ้าก็มีกอง
ฟืนกองใหญ่ หานอี้สั่งว่า “ทุกคนล้อมเป็นสองชั้น เจ้า
นั่นดุร้ายมาก หลังจากที่มันออกมาแล้ว อย่าทาร้าย
มัน แต่จะให้มันหนีไปไม่ได้” เขายื่นไปหยิบคบเพลิง
มา แล้วจุดไฟขึ้นบนกองฟืนกองนั้น
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 82 เสื้อคลุมชุดดำ
ฤดูใบไม้ร่วง ไม้แห้ง จุดไฟติดง่าย พริบตาเดียว ไฟก็
ลุกโชนขึ้นมา ชาวบ้านก็จะโยนฟืนเข้ากองไฟเป็น
ระยะ บางคนก็เอาเสื้อของตัวเองมาพัดให้ไฟลุกเร็ว
ขึ้น ควันกลุ่มใหญ่ค่อยๆ ลอยเข้าไปในถ้้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มีคนทน
ไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “เจ้านั่นคงไม่ได้ส้าลักควันตายไป
แล้วกระมัง?”
“หากส้าลักควันตายไปจริง ก็ดีสิ พวกเราจะได้ไม่ต้อง
เปลืองแรง” คนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นมา
ในตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมา เงาด้า
เงาหนึ่งวิ่งออกมาจากถ้้าอย่างรวดเร็วเหมือนเสือดาว
ชาวบ้านรู้สึกตกใจไปชัว่ ขณะ หานอี้รีบตะโกนขึ้นว่า
“อย่าแตกตื่น อย่าให้มันหนีไปได้”
เงาด้ากระโดดข้ามกองไฟ พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านคนหนึ่งเห็นเงาด้าก้าลังพุ่งมาที่ตัวเขา ไม่ทัน
ได้ตั้งตัว จึงถูกชนเข้าอย่างแรง “โอ้ย” ยังดีที่ชาวบ้าน
มีการเตรียมการเอาไว้แล้วอย่างดี ยกไม้ขึ้นมาแล้วตี
ไปที่เงาด้าอย่างแรง
ไม้ตีโดนหัวไหล่ของเงาด้านั้น เงาด้าก็ไม่ได้ร้องแต่
อย่างใด แต่มองซ้ายทีขวาที เหมือนก้าลังจะหาทางฝ่า
วงล้อมออกไป แต่คนล้อมมันเอาไว้หมดแล้ว ไม้หลาย
อันถูกตัวของเงาด้า หยางหนิงยืนอยู่ด้านหลังมองเห็น
ชัดเจน ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยขนสีด้า แต่มันไม่ได้
เงางามแต่อย่างใดมันเป็นขนที่ดูหยาบยิ่งนัก ก็เหมือน
ที่ชายชราผู้นั้นที่พูดเอาไว้ว่า สัตว์ป่าตัวนี้มันยืนด้วย
สองขา
ไม้สิบกว่าอันทุบลงไปที่มัน เจ้าเงาด้าเห็นไม่มีทางออก
ก็นอนกองลงไปกับพื้น ยอมให้ทุกคนทุบตี ไม่หลบไม่
สู้แต่อย่างใด
เมื่อเห็นชาวบ้านก้าลังจะทุบที่หัวของมัน หยางหนิงก็
รีบตะโกนขึ้นมาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงของเขาจู่ๆ ก็ดังมา ท้าให้ทุกคนตกใจ แล้วหัน
มองไปที่เขา หยางหนิงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “อย่าตี
อีกเลย เขามิใช่สัตว์ป่า พวกเจ้ายังมองไม่ออกอีกรึ?”
หลังจากที่เจ้าเงาด้าออกมา ทั้งตัวของเขาเป็นขนสีด้า
มันเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว หลบซ้ายทีขาวที
ชาวบ้านรู้สึกตื่นกลัว กลัวว่ามันจะหนีไปได้อีก จึงคิด
จะฆ่ามันทิ้งเสีย โดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นตัวอะไร ตี
ให้ตายก่อนค่อยว่ากัน แต่ในตอนนี้ ได้ยินหยางหนิง
พูดแบบนี้แล้ว หานอี้ก็หันไปมองดีๆ จากนั้นก็ดึงไม้
จากชาวบ้านมาหนึ่งอัน แล้วเดินเข้าไปดู
“เขาเป็นคน” หยางหนิงถอนหายใจ “หากพวกเจ้าตี
เขาจนตาย พวกเจ้าก็จะต้องติดคุก”
ทุกคนต่างตกใจ เห็นเงาด้าตัวสั่นไปทั้งตัว ทุกคนเริ่มดู
ออก แล้วพูดว่า “บนตัวเขาไม่ใช่ขน แต่เป็น...เป็นเสื้อ
คลุม”
ตอนนี้หานอี้เห็นชัดแล้ว ด้านนอกนั้นเป็นเสื้อคลุม คิด
ว่าน่าจะเป็นเสื้อคลุมของบ้านเศรษฐี
เสื้อคลุมก็มีแบ่งเป็นสี่ฤดูกาล ฤดูร้อนก็ใช้เสื้อคลุม
บางๆ จะได้เย็นๆ ส่วนฤดูหนาวก็จะใช้เป็นเสื้อคลุม
ใหญ่และหนาเพื่อให้อบอุ่น หากการเงินดีก็จะเอาขน
สัตว์มาท้าเป็นเสื้อคลุม อย่างขนหมีหรือขนเสือก็เป็น
ที่นิยมของพวกชนชั้นสูง เสื้อคลุมของเจ้าเงาด้าเป็น
เสื้อคลุมใหญ่ และท้าจากหนังสัตว์
คบเพลิงหลายต่อหลายอันจ่อรวมกัน ตอนนี้พวกเขา
เห็นกันชัดแล้ว เป็นคนที่อยู่ภายใต้เสื้อขนสัตว์ตัวนี้
เขาตัวสั่นไปทั้งตัว ก้มหน้าไม่กล้าสบตากับผู้ใด ผม
ของเขากลมกลืนไปกับเสื้อขนสัตว์ ในตอนกลางคืน
แบบนี้แยกได้ยากยิ่งนัก ไม่แปลกที่จะถูกเข้าใจผิดว่า
เป็นปีศาจภูเขา
หยางหนิงคิดว่าตัวเขาจะได้เห็นปีศาจหายากบนเขา
เสียอีก กลับพบเป็นคนที่สวมเสื้อคลุม้สียอย่างนั้น จึง
รู้สึกผิดหวังนัก แต่ในใจกลับสงสัยว่า เสื้อขนสัตว์ตัวนี้
ราคาไม่ถูกเลย ไม่น่าจะใช่ของคนขอทานจนๆ จะได้มี
ได้ใช้ได้ แม้แต่ในชานเมือง บ้านเศรษฐีตระกูลใหญ่ก็
ใช่ว่าจะมีเสื้อขนสัตว์ราคาแพงเช่นนี้ได้
แต่ว่าคนผู้นี้กลับมีของที่ไม่น่าจะมีอยู่ในที่เช่นนี้ได้
ตามหลักแล้วก็น่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา ถึงจะไม่ใช่ขุน
นางตระกูลใหญ่ ก็น่าจะเป็นคนที่มีอันจะกิน แต่คนๆ
นี้กลับมาหลบอยู่บนเขาเหมือนกับสัตว์ป่า แล้วแอบ
ขโมยไก่ของชาวบ้านมาเป็นอาหารด้วย ซึ่งมัน
ประหลาดยิ่งนัก
หยางหนิงเดินเข้าไป แล้วโค้งตัวลง แล้วพูดด้วย
น้้าเสียงที่อ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ที่นี่ ไม่มี
ใครท้าร้ายเจ้าได้”
คนที่ก้าลังตัวสั่น เมื่อได้ยินเสียงของหยางหนิง ก็
ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ท่ามกลางแสงสว่างของเปลวไฟ
มีคนเห็นหน้าของเขาชัด ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
ไม่เพียงแค่ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เท่านั้น หยางหนิงเห็น
หน้าคนผู้นั้น ก็ยังตกใจเช่นกัน
เขาผมเผ้าดูยุ่งเหยิง หนวดเครารกรุงรัง สีหน้าสกปรก
โสมม ใบหน้าด้านขวามีแผลขรุขระเต็มไปหมด
เหมือนถูกไฟครอกมา แผลของเขานั้นดูเหวอะหวะ
ท้าให้ทั่วทั้งใบหน้านั้นน่ากลัวยิ่งนัก
แต่สายตาของเขายังคงชัดเจน ดวงตาเต็มไปด้วย
ความหวาดกลัว เห็นหยางหนิงยืนอยู่ด้านหน้า คนผู้
นั้นก็ส่งสายตาอันไม่เป็นมิตรออกมา จากนั้นก็ท้า
เสียงขู่ออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ข้ารู้ว่าเจ้ากลัว แต่ว่าคนที่นี่จะไม่ท้าร้ายเจ้า” คนผู้นี้
ถึงหน้าตาจะน่าเกลียด แต่ก็น่าสงสาร หยางหนิงพูด
ด้วยความอ่อนโยน “เจ้าหิวใช่หรือไม่? บ้านของเจ้า
อยู่ไหนรึ?”
ระหว่างที่เขาพูด ก็เดินเข้าไปสองก้าว เหมือนจะไม่มี
อะไร แต่ก็ต้องระวังตัวให้มาก เห็นความเร็วของคนผู้
นี้เมื่อครู่ คิดว่าก็น่าจะไม่ธรรมดา น่าจะมีวิชาอยู่บ้าง
หยางหนิงเห็นดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เป็น
มิตร ก็กลัวว่าเขาจะพุ่งเข้าใส่
“หิว...หิว...!” คนผู้นั้นพูดออกมาแต่ไม่รู้เรื่องสัก
เท่าไหร่ “ของกิน...หิว...ของกิน...!”
หยางหนิงเห็นคนผู้นี้พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วก็พูดซ้้า
อยู่อย่างนั้น ในใจก็ยิ่งแปลกใจ จากนั้นก็ถามว่า “เจ้า
ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าตอบค้าถามข้ามาก่อน เดี๋ยวข้าจะ
หาของมาให้เจ้ากิน เจ้าบอกข้ามา ว่าเจ้าเป็นใคร?
เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
คนผู้นั้นเห็นหยางหนิงอ่อนโยน เหมือนจะไม่ได้
คิดร้ายกับตน สายตาก็ค่อยๆ ลดความเป็นศัตรูลง แต่
ยังคงมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง เห็นหยางหนิงเข้ามา
ใกล้ ก็หดตัวลงโดยไม่รู้ตัว ในใจก็ยังคงพูดค้าเดิมว่า
“หิว....ของกิน...หิว...!”
หานอี้เดินเข้ามาข้างๆ หยางหนิง แล้วพูดเบาๆ ว่า
“น้องชาย คนผู้นี้...เหมือนเขาจะไม่ปกตินะ เขา
เหมือน...ไม่เข้าใจที่เจ้าพูด”
“ท่านว่าเขาน่าจะอายุเท่าไหร่?” จริงๆ หยางหนิงก็ดู
ออกว่าเขาไม่ปกติ ไม่สามารถสื่อสารได้อย่างคนทั่วไป
คนๆ นี้ห่อหุ้มตัวเองด้วยเสื้อขนสัตว์สีด้า เปิดหน้า
หนวดเครารกรุงรัง ดูผิวเผินก็เหมือนขอทาน
หานอี้มองแล้วส่ายหัวพูดขึ้นว่า “ข้าก็ดูไม่ออก แต่ว่า
สามสิบสี่สิบปีก็น่าจะได้อยู่”
“ก็น่าจะเป็นคนเร่ร่อนที่ตกยากมา” หยางหนิงพูดว่า
“เขาไปขโมยไก่ในหมู่บ้าน ก็น่าจะเป็นเพราะเขาหิว”
หานอี้พูดเสียงเบาว่า “เสื้อบนตัวของเขาท้ามาจาก
หนังสัตว์ เหมือนจะเป็น...เป็นหนังหมี เขาขโมยมา
หรือไม่?”
“เสื้อคลุมขนหมี ราคาสูงมากในตลาด ไม่ใช่ของราคา
ถูกๆ ต่อให้มีเงินในมือ ก็ใช่ว่าจะหาซื้อกันได้ง่ายๆ”
หยางหนิงมองไปที่คนที่อยู่รอบๆ “อย่าว่าแต่คนทั่วไป
เลย ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่ ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีเสื้อคลุม
เช่นนี้ บ้านใครมีเสื้อเช่นนี้ ถือเป็นของล้้าค่าที่จะเก็บ
รักษาไว้เป็นอย่างดี จะให้ใครมาขโมยง่ายๆ เช่นนี้ได้
อย่างไร?”
หานอี้พยักหน้า เห็นหยางหนิงพูดจามีเหตุผล จากนั้น
ก็พูดเบาๆ ว่า “น้องชายหมายความว่า เจ้าของ
เสื้อคลุมตัวนี้คือเจ้านี่หรือ? แต่หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า
เสื้อคลุมตัวนี้มีค่ามาก คนธรรมดาไม่อาจมีไว้ใช้ได้
แล้วเหตุใด...เหตุใดเขาถึงได้มีเสื้อคลุมเช่นนี้ได้เล่า?
เขาเป็นใครกันแน่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” หยางหนิงถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า
“เราคงไม่มีทางรู้ได้ในเวลาชั่วครู่ชวั่ ยามแน่ๆ” คิดๆ ดู
แล้ว ก็พูดต่ออีกว่า “เอาอย่างนี้ เราพาเขาลงเขาไป
ก่อน ไม่ว่าอย่างไร ก็จะให้เขาอยู่บนเขาเช่นนี้ไม่ได้
จากนั้นพวกท่านค่อยไปแจ้งทางการ ให้ทางการมา
ตรวจสอบประวัติเขาดู หากเจอญาติของเขา ความ
เสียหายของหมู่บ้าน ก็น่าจะได้รับการชดใช้”
ในใจของเขาสงสัยว่าคนผู้นี้จะเป็นคนในตระกูลใหญ่ที่
หายตัวมาหรือไม่ เพราะว่าสติไม่ดี จึงเดินเร่ร่อนไปทั่ว
หากเป็นเช่นนั้นจริง ญาติของพวกเขาก็จะต้องมีการ
แจ้งทางการเอาไว้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อทางการ
ได้รับการแจ้งไปว่าเจอตัวคน ก็น่าจะรีบตามหาบ้าน
แล้วส่งคืน
หานอี้กับชาวบ้านคิดว่าเป็นสัตว์ป่ามาขโมยไก่ใน
หมู่บ้านมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนเสีย
ได้ ก็ไม่มีทางท้าให้คนผู้นี้ล้าบาก ตอนนี้พวกเขาก็เลย
ท้าตามที่หยางหนิงบอก
“ตอนนี้พวกเราไปหาของกินกันนะ” หยางหนิงยิ้ม
แล้วพูดกับคนผู้นั้น “เจ้าจะไปหาของกินกับข้า
หรือไม่? หิวแล้ว ก็ต้องไปหาอะไรกิน ข้ามีของกิน
นะ”
คนผู้นั้นมองหยางหนิง แต่ไม่พูดอะไร
หยางหนิงยิ้มแล้วหันหลังเดินไป เห็นคนผู้นั้นลุกขึ้นมา
แล้วเดินตามหยางหนิงไป แล้วพูดซ้้าไปซ้้ามาว่า “ของ
กิน...ของกิน...หิว...!”
หานอี้ยังคิดอยู่เลยว่าจะพาคนผู้นี้กลับหมู่บ้านได้
อย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่าหยางหนิงพูดแค่ไม่กี่ค้าก็
สามารถพาเจ้าอัปลักษณ์ตัวนี้ให้ตามเขาไปได้อย่าง
ง่ายดาย เห็นหยางหนิงเดินน้าลงเขา ชายอัปลักษณ์ก็
ตามเขาเหมือนกลัวว่าหยางหนิงจะหายไป เดินตามไม่
ห่าง แล้วก็พูดประโยคเดิมๆ ซ้้าๆ ชาวบ้านต่างมอง
หน้ากัน รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้มันแปลกยิ่งนัก
แต่ก็ไม่ให้เสียเวลา จากนั้นก็ดับกองไฟ เพื่อไม่ให้มัน
ลุกลามไปกลายเป็นไฟไหม้ป่า จากนั้นก็ลงเขาตามๆ
กันไป
หยางหนิงหันมามองเป็นระยะ เห็นคนผู้นั้นลากเสื้อ
คลุมลากพื้นตลอดเวลาที่เดิน สองเท้าโผล่ออกมา เท้า
ของเขาไม่ได้สวมรองเท้า เขาเดินเท้าเปล่า บนเท้ามี
รอยเปื้อนมากมาย ในใจก็แอบคิดว่าคนผู้นี้ต้อง
ล้าบากมาไม่น้อย
หยางหนิงเดินหน้าสุด ชายอัปลักษณ์เดินตามหลัง
แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้อยู่ หานอี้เองก็เดินน้า
ชาวบ้านอยู่ด้านหลังอีกที
เมื่อเข้าหมู่บ้านมา กู้ชิงฮั่นกับชายชราในหมู่บ้านก็ยืน
รออยู่แล้ว เมื่อเห็นหยางหนิง ก็รีบเดินเข้าไปรับ ก้ม
หน้าพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าเด็กคนนี้ คิดไว้แล้ว
เชียวออกจากบ้านมาจะต้องดื้อเช่นนี้ ค้าพูดของข้า
เดี๋ยวนี้ไม่ฟังแล้วใช่หรือไม่? ใครบอกให้เจ้าไป?”
ถึงแม้ค้าพูดของนางจะเป็นการต้าหนิแต่มันแฝงไป
ด้วยความห่วงใย
หยางหนิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นกู้ชิงฮั่นตกใจ
ขึ้นมา มองไปที่ชายอัปลักษณ์ด้านหลังของหยางหนิง
เมื่อเห็นหน้าตาอันอัปลักษณ์ของชายผู้นั้น แต่งกายก็
ประหลาด กู้ชิงฮั่นก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า
“นั่น...นั่นใครกันรึ?”
“มีสัตว์ประหลาด ทุกคนหนีเร็ว...!” หญิงคนหนึ่งเห็น
ชายอัปลักษณ์ ก็หวาดกลัวยิ่งนัก กรีดร้องออกมา
อย่างแรง ชายชราและเด็กน้อยต่างตกอกตกใจ หยาง
หนิงกลัวชาวบ้านจะแตกตื่น ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่
ต้องกลัว เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาด เขาเป็นคนตกยาก
ทุกคนอย่าแตกตื่นไปเลย”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 83 จวนเก่า
หานอี้เห็นชาวบ้านแตกตื่น ก็รีบวิ่งเข้าไปอธิบาย
ทุกคนจึงสงบลงได้ จากนั้นทุกคนก็สลายหายตัวไป
เหลือเพียงชาวบ้านชายฉกรรจ์สองสามคน เพื่อคุม
ไม่ให้ชายอัปลักษณ์ผู้นี้คุ้มคลั่ง
หยางหนิงให้หานอี้กลับเข้าไปในบ้าน แล้วยกอาหารที่
มีอยู่เต็มโต๊ะนั้นออกมา หานอี้ยกชามข้าวมา ชาย
อัปลักษณ์กลับถอยหลัง มองไปที่หานอี้ด้วยความเป็น
ศัตรู ไม่รับชามและตะเกียบไป
หยางหนิงหยิบชามกับตะเกียบมาจากมือของหานอี้
แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “หิวแล้วมิใช่หรือ นี่ของกิน
อย่างไรเล่า กินอิ่มแล้วก็จะไม่หิวอีก”
ก็แปลกเหมือนกัน ชายอัปลักษณ์เห็นหานอี้กับคนอื่น
เป็นศัตรูไปหมด แต่พอได้ยินเสียงของหยางหนิงเข้า
ถึงแม้จะหวาดระแวงอยู่บ้าง แต่ก็อ่อนลงไม่น้อยเลย
เมื่อหยางหนิงเข้าใกล้เขา เขาก็ไม่หลบหรือถอยหลัง
เหมือนที่ทากับหานอี้ เขารับชามข้าวไป แต่ไม่เอา
ตะเกียบ เขาใช้มือหยิบข้าวขึ้นมากิน กินอาหารอย่าง
ตะกรุมตะกราม เหมือนไม่เคยกินข้าวมาก่อน หยาง
หนิงเห็นแล้ว จึงรู้ว่าเขาคงต้องหิวมากแน่ๆ
เห็นคนผู้นี้ ที่ก่อนหน้านี้เอามือซุกไว้ภายในเสื้อคลุม
ตลอด ตอนนี้ยื่นมือออกมารับชามข้าวไป ทาให้เสื้อ
คลุมกางออก ด้านในของเขาไม่ใส่อะไรเลย ใส่เพียง
กางเกงขาสั้นขาดๆ ตัวหนึ่ง กู้ชิงฮั่นเห็นดังนั้น ก็ร้อง
ออกมาว่า “โอ้ย” แล้วรีบหันหลังไป
หยางหนิงเห็นชัดมาก บนตัวของเขาเต็มไปด้วยรอย
ตะปุ่มตะป่า ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
ร่างกายของเขาซูบผอม ส่วนรอยแผลของเขามันก็น่า
ตกใจยิ่งนัก บาดแผลนั้นไม่ใช่รอยดาบ แต่มันเป็นรอย
แผลเป็นเล็กๆ เต็มไปหมด
หยางหนิงเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจ ในใจก็คิดว่าชาย
อัปลักษณ์เร่ร่อนไปทั่ว ไม่แปลกที่จะมีรอยแผลขีด
ข่วนเต็มไปหมด แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจัดการกับแผลของเขา
อย่างไร ทาให้แผลเป็นเช่นนั้น รอยแผลเป็นนั้นก็มี
กว่าสิบที่ บนขาทั้งสองข้าง ก็เหมือนนักโทษที่หนี
ออกมาจากคุก
ชายอัปลักษณ์ตอนนี้นั่งลงกับพื้น กินข้าวอย่างออกรส
ออกชาติ ไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัว หยางหนิงมอง
อย่างละเอียดแล้ว ในใจก็คิดว่าเขาจะเป็นอย่างที่
ตัวเองคาดเดาเอาไว้หรือไม่ คือเป็นคนที่พัดหลงมา
จากบ้านผู้ดีมีตระกูล เห็นหนวดเคราของเขาม้วนเป็น
ก้อนใหญ่ มันไม่น่าจะแค่สามหรือห้าเดือน
ส่วนเสื้อคลุมขนสัตว์บนตัวของเขา มันก็เป็นขนสัตว์ที่
หายาก เป็นขนหมีอย่างดี ถึงแม้จะดูเก่าแต่มันก็ไม่
ขาด
ขณะที่เขากาลังคิดว่าชายอัปลักษณ์ผู้นั้นเป็นใคร เห็น
ชายอัปลักษณ์ยื่นชามข้าวมา แล้วมองมาที่หยางหนิง
ในปากก็พูดว่า “หิว...ของกิน...!”
หยางหนิงก็เลยให้หานอี้ไปเอาข้าวมาให้เขาอีกชาม
เขากินข้าวต่อกันสามชามแล้ว ชายอัปลักษณ์
เหมือนว่ายังไม่พอ หยางหนิงในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ได้
ร่ารวยแต่อย่างใด แต่ละบ้านก็มีอาหารเพียงพอ
สาหรับตัวเอง ตัวเองจะให้เจ้านี่กินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จน
เห็นชายอัปลักษณ์กินจนอิ่ม ท้องจนแน่นแล้ว แล้วก็
ไม่ขออาหารต่อแล้ว
เมื่อชายอัปลักษณ์เห็นหยางหนิงไม่ได้ให้คนไปเอาข้าว
อีก เขาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร แล้วเขาก็กางเสื้อคลุมออก
แล้วก็นอนลงไปอย่างสบายใจ
หานอี้สั่งให้คนเฝ้าชายอัปลักษณ์เอาไว้ กลางดึกเช่นนี้
ไปแจ้งทางการมิได้ เขาตั้งใจจะส่งคนไปที่อาเภอ
พรุ่งนี้
เขาคิดแค่ว่ากู้ชิงฮั่นเป็นชาย ก็เลยจัดหาห้องให้เพียง
หนึ่งห้องให้พวกเขาสองคนพักด้วยกัน กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่า
มันไม่เหมาะ แต่ว่าดึกขนาดนี้แล้ว จะไปรบกวนผู้อื่น
มากก็ไม่ได้ ดังนั้นก็ไม่มีทางเลือก จึงคิดว่าจะอดนอน
สักคืน รอจนเช้า แล้วค่อยรีบเดินไปที่จวนเก่าตระกูล
ฉี
ทั้งสองคนอยู่ห้องเดียวกัน หยางหนิงไม่ได้รู้สึกอะไร
นอนหลับสนิทอยู่ที่พื้น กู้ชิงฮั่นถึงจะรู้สึกไม่สบายใจที่
ให้หยางหนิงนอนที่พื้น แต่ก็ดีกว่าให้หยางหนิงขึ้นมา
บนเตียง
ถึงแม้ชายอัปลักษณ์จะแปลกๆ แต่กู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้รู้สึก
แปลกใจแต่อย่างใด จึงไม่ได้สนใจที่มาที่ไปของเขา
มากนัก นางกาลังคิดว่าที่ดินศักดินาเปลี่ยนไปมาก
ขนาดนี้ ชาวบ้านเริ่มรู้สึกไม่พอใจจิ่นอีโหว ส่งผลต่อ
บารมีของที่ดินศักดินาของตระกูลฉี ก่อนหน้านี้นางไม่
รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย อยู่แต่ในกะลา หากไม่ใช่
เพราะหยางหนิงเสนอให้แอบปลอมตัวมาสืบ ก็คงไม่รู้
เรื่องต่อไป ไม่รู้อีกนานแค่ไหน ในใจก็แอบโทษตัวเอง
นางนอนคิดอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ก็ได้ยิน
เสียงหยางหนิงจาม นางก็เลยลุกมานั่งบนเตียง เห็นห
ยางหนิงนอนตะแคงอยู่ที่พื้น ในใจก็รู้สึกทนไม่ไหว
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบเอาผ้าห่ม แล้วเอาไปห่มให้ห
ยางหนิง เห็นหยางหนิงหลับสนิท นางก็ยิ้มบางๆ แล้ว
พูดเบาๆ ว่า “หนิงเอ๋อ เจ้ารู้หรือไม่ การที่เจ้าโตแล้ว
มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้ ภาระอะไรหลายอย่างก็จะ
กดทับอยู่บนตัวเจ้า เจ้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่รู้ว่า
ความกล้าของเจ้าจะรับมันไหวหรือไม่” จากนั้นก็พูด
อีกว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ซานเหนียงก็จะอยู่ข้างๆ
เจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าก็จะรับมันไปพร้อมกับ
เจ้า” นางกลับไปที่เตียง แล้วนอนลง
หยางหนิงไม่ได้หลับไปจริงๆ เขากลัวกู้ชิงฮั่นเกิดนึกถึง
เรื่องกลางวันขึ้นมา แล้วจะมาถามหาที่มาที่ไปเรื่องวร
ยุทธ์กับเขาอีก จึงแกล้งหลับ เพื่อเลี่ยงปัญหา
แต่พอได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งยิ่ง
นัก
ฟ้าสางในวันถัดมา กู้ชิงฮั่นปลุกหยางหนิงให้ตื่น เมื่อ
เขาลุกขึ้นมาเห็นกู้ชิงฮั่นหน้าตาอิดโรย เขาจึงตกใจ
แล้วพูดว่า “ซานหนียง ท่านอย่าบอกนะว่าท่านไม่ได้
นอนเลยทั้งคืน?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้า แล้วพูดเบาๆ ว่า “พวกเราอย่า
เสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย พวกเรารีบไปที่จวนเก่ากัน
เถอะ ยังมีเรื่องต้องทาอีกมาก”
ทั้งสองตื่นขึ้น แน่นอนว่าหานอี้ต้องรู้ ทั้งสองล้างหน้า
ทาความสะอาดตัวแบบง่ายๆ แล้วลาหานอี้ไป แต่
หานอี้ยังคงกังวลเรื่องที่ผู้ดูแลหลัวจะกลับมาหาเรื่อง
จะไม่เป็นผลดีกับทั้งคู่ ในเมื่อทั้งคู่ขอลา จึงไม่รั้งเอาไว้
เมื่อออกจากบ้านมา ก็เห็นชายอัปลักษณ์นอนอยู่หน้า
ประตูอยู่ไม่ไกล เหมือนจะหลับสนิท
“เจ้านี่ก็ฝากพวกเจ้าด้วย” หยางหนิงมองไปที่หานอี้
แล้วพูดเบาๆ ว่า “ม้าที่เจ้าคนแซ่หลัวทิ้งเอาไว้ ก็ถือ
ว่าชดใช้ค่าเสียหายให้กับคนในหมู่บ้านก็แล้วกัน”
หานอี้จึงคิดในใจว่าไม่มีทางให้เจ้าหรอก ม้ากี่ตัวนี่ ต่อ
ให้ขายบ้านทั้งหมู่บ้านก็ซื้อไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว หยาง
หนิงก็ไม่พูดอะไรมาก เดินไปปลดม้าที่ผูกเอาไว้ และ
เมื่อออกจากหมู่บ้าน จึงขึ้นม้า แล้วขี่ออกไป
เมื่อขี่ม้าออกมาได้ระยะหนึ่ง หยางหนิงก็รู้สึกเหมือนมี
เงาๆ หนึ่งตามมา เขาจึงตกใจ เมื่อเห็นเงาๆ นั้นวิ่งมา
อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เมื่อมองไป ก็จาได้ว่าเป็นชาย
อัปลักษณ์
กู้ชิงฮั่นตกใจแล้วพูดว่า “เขาตามมาได้อย่างไร?”
หยางหนิงดึงเชือกม้าให้หยุด ชายอัปลักษณ์เองก็หยุด
เช่นกัน ยืนอยู่ข้างๆแล้วมองหยางหนิง หยางหนิงหัน
ไปมอง เขาไม่เห็นหมู่บ้านแล้ว แล้วมองชายอัปลักษณ์
สีหน้ามีความตกใจยิ่งนัก “เขา...เขาตามมาทันได้
อย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นก็พูดด้วยความตกใจเช่นกัน “หรือว่า...หรือว่า
เขาใช้ขาสองข้างของเขาวิ่งตามมาอย่างนั้นรึ?” แค่
รู้สึกว่ามันยากที่เชื่อได้ หลังออกมาจากหมู่บ้าน พวก
เขาก็ควบม้าวิ่ง ความเร็วของม้าก็ไม่ได้ช้าเลยแม้แต่
น้อย พริบตาเดียวก็ขี่ม้ามาหลายสิบลี้แล้ว ตอนที่
ออกมาจากหมู่บ้านยังเห็นชายอัปลักษณ์นอนอยู่เลย
แต่ตอนนี้ กลับตามมาทัน หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง กู้
ชิงฮั่นก็คงไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้แน่นอน
หยางหนิงก็รู้สึกตกใจ ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าเจ้า
อัปลักษณ์มีความเร็วเพียงใด ถูกจับได้หลายครั้งตอน
ขโมยไก่ แต่ก็อาศัยความเร็วที่มีหนีชาวบ้านไปได้ แต่
แค่ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่คราวนี้เห็นด้วยตาตัวเอง มัน
เร็วกว่าที่เขาคิดไว้มาก รู้สึกตกใจไม่น้อย
ชายอัปลักษณ์ยังคงใส่เสื้อคลุมสีดา เขามองหยางหนิง
แล้วพูดซ้าๆ ว่า “หิว ของกิน!”
หยางหนิงได้สติกลับมา มองไปที่ชายอัปลักษณ์แล้ว
พูดว่า “เจ้าตามข้ามาได้อย่างไร? รีบกลับไปที่
หมู่บ้านเดี๋ยว คนที่นั่นจะให้ของกินกับเจ้า แล้วจะ
ช่วยเจ้าให้ได้กลับบ้าน”
ชายอัปลักษณ์เหมือนจะไม่ได้สนใจที่หยางหนิงพูด
แต่มองเพียงหยางหนิง และพูดซ้าไปซ้ามา
หยางหนิงคิดในใจว่าเมื่อคืนเขาก็หวังดีเกินไป ตอนนี้
ชายอัปลักษณ์นี่คิดว่าเขาเป็นโรงทานให้อาหารเสีย
แล้ว คิดๆ ดูแล้ว ก็หยิบเงินโยนให้เขาไป แล้วพูดว่า
“เจ้าเอาเงินนี่ให้พวกเขา พวกเขาก็จะให้ของกินกับ
เจ้า อย่าตามพวกเรามาอีก” เขาคิดว่าตัวเขากับกู้ชิง
ฮั่นยังมีเรื่องที่ต้องทา จะพาเขาไปด้วยคงไม่ได้
ชายอัปลักษณ์เก็บเงินขึ้นมาจากพื้น สีหน้าโกรธยิ่งนัก
จากนั้นก็โยนเงินคืน และด่าภายในใจ
หยางหนิงรับเอาเงินไว้ได้ กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“พวกเราอย่าไปยุ่งกับเขาอีกเลย คนผู้นี้ไม่รู้มาจาก
ไหน อย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า หากตามเราไม่ทัน ก็คง
จะกลับหมู่บ้านไปเองก็ได้” เสียงอ่อนโยนจบลง ก็
ควบม้าไปต่อ หยางหนิงก็ไม่เสียเวลา จึงควบม้าตาม
ไป
ม้าทั้งสองวิ่งไปเหมือนกับบินได้ พริบตาเดียวก็ควบม้า
ออกไปไกลมากแล้ว หยางหนิงหันหลังมาดูว่าเจ้าชาย
อัปลักษณ์ยังตามมาหรือไม่ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นชาย
อัปลักษณ์ก้าวเท้าวิ่งมาอย่างเร็ว ตามมาห่างๆ
ความเร็วเทียบได้กับม้าสองตัวที่วิ่งอยู่เลย เสื้อคลุม
ของเขาลอยขึ้น ตอนนี้เขาวิ่งราวกับมีปีกบินได้
หยางหนิงหยุดม้าอีกครั้ง แล้วหันม้ากลับไป จากนั้น
ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “รีบกลับไป หากยังไม่กลับไปอีก
ข้าจะตีเจ้าแล้วนะ” จากนั้นเขาก็ยกแส้ในมือขึ้นมา
ท่าทางเหมือนจะตีชายอัปลักษณ์จริงๆ
ชายอัปลักษณ์เหมือนจะกลัว รีบถอยหลัง แล้วก็หด
ตัว ทาท่าทางน่าสงสารมองไปที่หยางหนิง หยางหนิง
ตะคอกกลับไปว่า “ที่นี่ไม่มีของกิน กลับหมู่บ้านไป
เจ้าจะมีของกิน ห้ามตามข้ามาอีกนะ” จากนั้นก็ควบ
ม้าไปต่อ
เมื่อควบม้าไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็หันกลับไปมองอีก
เห็นชายอัปลักษณ์ยังคงตามมาอยู่ เพียงแต่ว่าเมื่อกี้
เหมือนจะถูกหยางหนิงทาให้ตกใจ ก็เลยเว้นระยะห่าง
ออกไป
หยางหนิงรู้สึกจนปัญญา จึงไม่สนใจเขาอีก ได้แต่ควบ
ม้าไปต่อ
ทั้งสองคนเดินหน้าไปทางใต้ แรกเริ่มเดิมที หยางหนิง
หันหลังไปหลายครั้ง ก็จะเห็นชายอัปลักษณ์ตามอยู่
ด้านหลังตลอด เมื่อควบม้าห่างมาหลายสิบลี้ เงาของ
ชายอัปลกษณ์ก็ห่างออกไปเรื่อยๆ หยางหนิงถอน
หายใจ แอบคิดว่าความสามารถของชายอัปลักษณ์
สุดท้ายก็สู้ม้าไม่ได้ ถึงแม้ความเร็วของเขาจะหาใคร
เทียบได้ แต่เมื่อเวลานานเข้า ร่างกายก็อาจจะทนไม่
ไหว สุดท้ายก็ต้องรั้งท้ายไปอยู่ดี
ม้ายังคงวิ่งไปไม่หยุด หยางหนิงคิดว่ายังไม่ถึงสองชั่ว
ยาม ก็ได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดขึ้นมาว่า “หนิงเอ๋อ ข้างหน้านี้
ก็จะถึงจวนเก่าแล้ว” นางค่อยๆ ผ่อนความเร็วม้าลง
ยกมือชี้ไปข้างหน้า หยางหนิงมองไปตามที่นางชี้ไป
เห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ไกลๆ เห็นอิฐเรียงตัวกันเป็นแนว
ยาว สะดุดตายิ่งนัก
หน้าประตูจวนเก่าของตระกูลฉี มีสระน้าสระหนึ่งน้า
ใสยิ่งนัก อ้อมไปหลังสระน้าเดินไปไม่กี่ก้าวก็มีต้นหลิ่ว
ต้นหนึ่ง เป็นแบบบ้านเก่าๆ บรรยากาศดูโบราณๆ
เสียหน่อย ด้านหลังจวนเก่าตระกูลฉี ก็เป็นสวนไผ่
เขียว
จวนเก่าทางตะวันตกเฉียงใต้ มีบ้านอยู่สิบกว่าหลัง
แต่จวนเก่าตระกูลฉีเป็นบ้านหลังโดดๆ ข้างๆ ไม่มี
บ้านคนอื่นอยู่เลย ดูโดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งนัก
หากเป็นเมื่อสิบปีก่อน ที่นี่ก็ครึกครื้นอยู่มาก
บ้านตระกูลฉีเป็นบ้านตระกูลใหญ่ในเจียงหลิง จริงๆ
แล้วที่เจียงหลิงรวมถึงในตัวเมืองจิงโจว จะมีร้านค้า
ต่างๆ มากมาย แต่ว่าหลังจากท่านจิ่นอีเหล่าโหวออก
ติดตามอดีตฮ่องเต้ไปออกรบ ก็บริจาคร้านค้าไปหลาย
ร้าน เหลือทิ้งไว้เพียงจวนเก่าตระกูลฉีหลังนี้เอาไว้
ส่วนจิ่นอีเหล่าโหวกับคนในตระกูลส่วนใหญ่ก็ย้ายไป
ตั้งรกรากที่เมืองหลวง ทิ้งบางส่วนเอาไว้ที่นี่เท่านั้น
จวนตระกูลฉีอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ ก็เลยไม่กล้าที่จะมาสร้าง
บ้านใกล้ๆ แถวนี้ ทาให้จวนเก่าที่นี่ดูโดดเดี่ยว
นอกจากว่าทุกครั้งที่คนในตระกูลฉีกลับมา บ้านเก่านี่
ถึงจะคึกคักขึ้นมา
ถึงแม้จวนเก่าจะโดดเดี่ยว แต่ที่นี่ก็เหมือนเป็น
สัญลักษณ์ ไม่มีใครไม่ให้ความเคารพที่นี่เลย
ประตูใหญ่สีแดงสะดุดตายิ่งนัก หน้าประตูใหญ่ซ้าย
ขวามีสิงโตหินข้างละตัว ทั้งคู่ลงจากม้า แล้วเดินไปที่
ด้านหน้าประตูใหญ่ของจวนเก่า เงยหน้าขึ้นมาป้าย
หน้าประตู เขียนแค่สองคาง่ายๆ ว่า “จวนฉี” ไม่ได้มี
อะไรมากไปกว่านั้น
หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่น แล้วก็เดินไปเคาะประตู
เคาะอย่างแรง ในตอนแรกไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ใด
เลย หยางหนิงจึงเคาะหนักๆ ขึ้นอีกหลายครั้ง
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง “แอ๊ด” ประตูสีแดงถูกเปิด
ออก ชายชราอายุราวๆ ห้าสิบปียื่นหน้าออกมาดู แล้ว
ถามว่า “ที่นี่จวนจิ่นอีโหว พวกเจ้ามาหาใครหรือ?”
“ไปบอกพ่อบ้านใหญ่ฉีหง จิ่นอีซื่อจื่อกลับมาแล้ว” กู้
ชิงฮั่นลงจากม้ามาแล้วเดินไปข้างๆ หยางหนิง เสียง
เย็นชา ใบหน้าที่สวยงามไร้ท่าทางใดๆ
ชายชราตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองด้วยสีหน้า
เหมือนมีความสงสัย ส่ายหัวแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคง
ไม่ได้เจอพ่อบ้านใหญ่หรอก พ่อบ้านใหญ่เจอผู้ใดไม่ได้
อีกแล้ว!”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 84 ห้องบัญชี
หยางหนิงรู้สึกตกใจยิ่งนัก กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ทาไมเราถึงพบพ่อบ้านใหญ่
ไม่ได้?” นางเองก็เคยค้างที่บ้านเก่าอยู่หลายวัน
ความจาของนางยังดี ยังคงจาชายชราที่มาเปิดประตู
ได้ เพียงแต่ว่าไม่รู้ชื่อเขาว่าชื่ออะไรเท่านั้น
ชายชราพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าบอกว่าจะมาพบท่าน
พ่อบ้านใหญ่ฉีหง เขาไม่ได้อยู่ที่นี่จวนเก่านี่นานแล้ว
แน่นอนว่าต้องไม่เจอ”
กู้ชิงฮั่นตกใจมาก นางจึงถามกลัยไปว่า “ฉีหงไม่อยู่
อย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน เขาอยู่จัดการที่นี่
มาโดยตลอดมิใช่หรือ?” ยังไม่ทันได้เข้าประตูบ้าน
จวนเก่าก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเสียแล้ว
“เจ้าอย่าพูดให้มากความอยู่เลย รีบเปิดประตูให้พวก
เราเข้าไปเดี๋ยวนี้” หยางหนิงยื่นมือไปผลักประตู แต่
ชายชราผู้นั้นขวางเอาไว้ แล้วพูดว่า “ข้าขอเตือนเจ้า
รีบกลับไปเสียเถอะ หากปลอมตัวเป็นซื่อจื่อ คนใน
บ้านรู้เข้า พวกเจ้าอยากไปก็ไปมิได้แล้วหนา”
หยางหนิงตกใจกับสิ่งที่ชายชราผู้นั้นพูดออกมา
แอบคิดในใจว่าชายราผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาสวมรอย
เป็นซื่อจื่อกัน?
กู้ชิงฮั่นรู้สึกโกรธยิ่งนัก นางจึงพูดขึ้นว่า “ฉีหงไม่อยู่ที่
จวนเก่า แล้วอยู่ที่ไหนเล่า? ตอนนี้ที่นี่ใครเป็น
ผู้ดูแล?” ไม่รู้ว่าคิดอะไร นางก็พลันถอดหมวกออกมา
ผมของนางก็สยายยาวลงมา แล้วจ้องไปที่ชายชรา
ผู้นั้น แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้จักข้าหรือไม่?”
ชายชรามองไปด้วยสีหน้าตะลึงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่
ออก หลังจากนั้น พอตั้งสติได้ก็พูดออกมาว่า
“ฮู...ฮูหยินสาม”
กู้ชิงฮั่นคิดในใจว่าตาแก่นี่ความจายังดีอยู่ ชายชรารีบ
เปิดประตู แล้วคุกเข่าลง “ข้าน้อยเสียมารยาท ฮูหยิน
สามโปรดอภัยข้าน้อยด้วย!”
หยางหนิงยังตกใจอยู่นึกว่าตาแก่นี่ดูออกว่าเขาสวม
รอยเป็นซื่อจื่อเสียอีก เห็นชายชราจากู้ชิงฮั่นได้ เขา
ถึงได้รู้ว่าเขาเข้าใจผิด แอบคิดว่ากู้ชิงฮั่นกับไท่ฮูหยิน
ยังดูไม่ออก ตาแก่นี่ไม่เคยเจอจิ่นอีซื่อจื่อเลย แล้วจะรู้
ได้อย่างไร
“ลุกขึ้นมาเถิด” กู้ชิงฮั่นเดินผ่านหน้าชายชราผู้นั้น
และเดินเข้าไปในบ้าน หยางหนิงเดินตามเข้าไป เมื่อ
เข้าไปในบ้าน แม้จะเป็นกลางวันแสกๆ แต่กลับรู้สึก
หนาวเย็น หรือว่าบ้านมันหลังใหญ่เกินไป จนทาให้
รู้สึกวังเวง
ชายชราลุกขึ้นมา แล้วปิดประตู จากนั้นก็เดิน
ตามหลังมา หยางหนิงพบว่า ชายชราผู้นี้เดินขาเป๋
ตลอดทาง เห็นเรือนใหญ่ มีสวนมีภูเขาจาลอง
มากมาย จนกระทั่งเดินมาถึงห้องโถง ก็ยังไม่เห็นผู้ใด
กู้ชิงฮั่นสีหน้าไม่ดี เมื่อเข้ามาที่ห้องโถง ก็หันหลังไป
ถามชายชราว่า “ผู้คนหายไปไหนกันหมดรึ? เหตุใด
ที่นี่มันถึงได้เงียบเช่นนี้?”
ชายชราจึงรีบตอบกลับไปว่า “ท่านเฉิงเข้าเมืองไป
บอกว่าจะกลับมาคืนนี้ ในจวนยังมีคนอีกราวสิบคน
ข้าน้อยจะไปเรียกพวกเขามาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“เดี๋ยวก่อน” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านเฉิงที่
เจ้าว่าเป็นผู้ใดรึ? ทาไมข้าถึงไม่เคยได้ยิน?” จากนั้นก็
ถามอีกว่า “จริงสิ ข้าคุ้นหน้าเจ้านัก แต่ข้ากลับจา
ไม่ได้ว่าเจ้าชื่ออะไร”
ชายชราจึงตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยเหวยต้ง ตอนที่
ฮูหยินสามแต่งเข้าจวนมา ข้าน้อยก็อยู่ที่นี่ด้วย
ฮูหยินสามความจาดีจริงๆ ท่านยังจาข้าน้อยได้ด้วย”
“ความจาเจ้าก็ดีเช่นกัน ยังจาข้าได้” กู้ชิงฮั่นนั่งอยู่บน
เก้าอี้ตัวหนึ่ง หยางหนิงนั่งอยู่ข้างๆ มองไปรอบๆ
“ฮูหยินสามท่านไม่รู้จักท่านเฉิงหรือขอรับ?” เหวยต้ง
รู้สึกแปลกใจนัก “ท่านเฉิงเป็นลูกชายของพ่อบ้าน
ใหญ่ สองปีมานี้ท่านเฉิงเป็นผู้ดูแลเรื่องต่างๆ ในจวน
เก่าแห่งนี้ ข้าน้อยคิดว่าฮูหยินสามจะรู้อยู่แล้วเสียอีก
ขอรับ”
“ลูกชายพ่อบ้านใหญ่รึ?” กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่า
แล้วถามกลับไปอีกว่า “เจ้าบอกว่าหลายปีมานี้เขา
เป็นคนดูแลที่จวนเก่านี่อย่างนั้นหรือ แล้วพ่อบ้าน
ใหญ่ไปไหนรึ? เมื่อครู่เจ้าบอกว่าพวกข้าจะไม่ได้พบ
พ่อบ้านใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?”
เหวยต้งจึงอธิบายว่า “สามปีก่อนจู่ๆ พ่อบ้านใหญ่ก็
ป่วยกะทันหัน ไม่สามารถขยับตัวได้ จึงต้องนอนอยู่
บนเตียงให้คนดูแลอยู่ตลอดเวลา ยังดีที่ตอนนั้นท่าน
เฉิงกลับมา...ท่านเฉิงกลับมาได้ไม่นาน เรื่องภายใน
จวนทั้งหมด ท่านเฉิงจึงรับหน้าที่แทนพ่อบ้านใหญ่
ไป”
กู้ชิงฮั่นตกใจแล้วพูดว่า “สามปีก่อนอย่างนั้นรึ? เจ้า
หมายความว่า สามปีมานี้ จวนเก่ากับที่ดินศักดินา
ทั้งหมดฉีเฉิงเป็นคนดูแลอย่างนั้นหรือ?”
เหวยต้งไม่คิดว่ากู้ชิงฮั่นจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงถาม
ด้วยความแปลกใจว่า “ฮูหยินสามท่านไม่รู้เรื่องอะไร
เลยหรือขอรับ? ท่านเฉิงไปเมืองหลวงทุกปี ฮูหยิ
นสามไม่เคยเจอเขาเลยหรือขอรับ?”
หยางหนิงเองก็คิดไม่ถึงว่าจวนเก่านี้ จะมีการ
เปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้ จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ซานเหนียงไม่เคยได้ยินชื่อของชายคนนี้เลยรึ? แล้ว
พ่อบ้านใหญ่มีลูกชายจริงๆ หรือไม่? แล้วก่อนหน้านี้ฉี
เฉิงทาอะไรมาก่อนรึ?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉีหงเป็นคนในตระกูลฉี
ข้าเองก็มิได้รู้เรื่องอะไรของเขามากนัก จาได้ว่าบ้าน
เกิดของเขาอยู่เจียงเซี่ย ต่อมาเขามากับท่านเหล่าโหว
แล้วก็ทางานให้กับจวนเก่าแห่งนี้มาโดยตลอด ไม่รู้
ด้วยซ้าว่าเขายังมีครอบครัวด้วย”
เหวยต้งพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่ค่อยได้ยินพ่อบ้าน
ใหญ่พูดถึงเรื่องครอบครัวเท่าไหร่นัก แต่ว่าเคยได้ยิน
ว่าบ้านเก่าที่เจียงเซี่ยพอมีทรัพย์สมบัติอยู่บ้าง เหมือน
จะมีลูกด้วย ส่วน...ส่วนฉีเฉิงทาการค้าอยู่ที่เจียงเซี่ย
มาตลอด แต่จู่ๆ เขาก็มาที่จวนเก่านี้ พ่อบ้านใหญ่เอง
ก็ตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเรื่องส่วนตัวของพ่อบ้านใหญ่
ข้าน้อยก็ไม่กล้าถามมาก” จากนั้นเขาก็พูดเบาๆ ว่า
“แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อบ้านใหญ่กับฉีเฉิงไม่
ค่อยดีนัก มีคนเห็นพวกเขาทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง
จนกระทั่งพ่อบ้านใหญ่ล้มป่วย ลุกจากเตียงมิได้อีก
เลย”
“ที่มาที่ไปของคนที่ฉีเฉิงผู้นี้น่าสนใจดีนัก” หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อบ้านใหญ่สบายดีมาตลอด พอฉีเฉิง
มาหาเท่านั้น เขาก็ล้มป่วยลง ซานเหนียง เรื่องนี้ต้อง
มีอะไรไม่ชอบมาพากลใช่หรือไม่?” จากนั้นเขามองไป
ที่เหวยต้ง แล้วถามว่า “พ่อบ้านใหญ่ป่วย ไม่สามารถ
ดูแลจวนเก่าได้ เคยส่งคนไปแจ้งที่เมืองหลวงบ้าง
หรือไม่?”
เหวยต้งพูดว่า “วันนั้นฉีเฉิงส่งคนไปยังเมืองหลวง
พ่อบ้านใหญ่ลุกไม่ขึ้น จวนเก่านี้ไม่มีผู้ใดสั่งการอะไร
ได้ ฉีเฉิงจึงรับช่วงต่อดูแลชั่วคราว”
“ทางจวนโหวไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือขอรับ” ดวงตา
ของกู้ชิงฮั่นเต็มไปด้วยความตกใจ “ฉีเฉิงรับช่วงของ
พ่อบ้านใหญ่ คนอื่นๆในจวนเก่าก็ไม่พูดอะไรเลย
หรือ? เขามีสิทธิอะไรทาหน้าที่แทน”
เหวยต้งพูดด้วยความตกใจว่า “เอ่อ...เอ่อสิ่งนี้เป็น
เจตนารมณ์ของทางจวนโหว คนที่ส่งไปที่เมืองหลวง
นาจดหมายกลับมาด้วยฉบับหนึ่ง ในนั้นเขียนว่า เรื่อง
ของจวนเก่านี้ ต่อไปก็ให้ฉีเฉิงรับหน้าที่แทนพ่อบ้าน
ใหญ่ คนของจวนเก่าทั้งหมดจะต้องฟังคาสั่งของฉีเฉิง
ขอรับ”
“ซานเหนียง ดูเหมือนว่าเรื่องที่เราไม่ยังไม่ทราบมัน
จะมีมากกว่าที่พวกเราคิด” หยางหนิงถอนหายใจแล้ว
พูดว่า “จวนเก่ามีการเปลี่ยนแปลงพ่อบ้านใหญ่
แม้แต่ท่านก็ยังไม่รู้เรื่อง”
กู้ชิงฮั่นนิ่งไปและนั่งเงียบอยู่นาน จึงถามขึ้นว่า “เจ้า
บอกว่าฉีเฉิงจะกลับมาคืนนี้ใช่หรือไม่?”
“เขาไปเมื่อวาน บอกว่าจะเข้าเมืองไปดูพ่อบ้านใหญ่
ในเมืองจิงโจว” เหวยต้งพูดต่ออีกว่า “หลังจากที่
พ่อบ้านใหญ่ล้มป่วย ฉีเฉิงก็ส่งเขาไปรักษาตัวที่เมือง
จิงโจว ข้าน้อยเองก็ไม่ได้พบท่านพ่อบ้านใหญ่มานาน
มากแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนเขาจะ
ไป พูดแค่ว่าช้าสุดก็กลับมาคืนนี้ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ก็ดี ข้าก็อยากจะรู้
เหมือนกัน ว่าฉีเฉิงเป็นเทวดามาจากไหน” จากนั้นก็
ถามอีกว่า “เจ้ารู้เรื่องเงินภาษีหรือไม่? เงินภาษีของ
ทางเจียงหลิง ส่งช้าไปเป็นเดือนแล้วหนา เหตุใดถึงยัง
ไม่ส่งไปอีก?”
เหวยต้งพูดอย่างมึนงงว่า “ข้าน้อยมีหน้าที่เฝ้าประตู
เท่านั้น ไม่...ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยขอรับ” แล้วพูดอีกว่า
“จริงสิ ท่านจ้าวอยู่ในจวน เขาดูแลบัญชีของทางจวน
เก่า บัญชีทุกอย่างจะต้องให้เขาตรวจก่อน ข้าน้อยจะ
ไปตามเขามา เขาน่าจะรู้เรื่องภาษีดีขอรับ” เขากาลัง
จะไปตามท่านจ้าวมา กู้ชิงฮั่นก็เรียกเขาเอาไว้ “ช้า
ก่อน เหวยต้ง ที่จวนเก่านี้มีผู้ดูแลที่แซ่หลัวบ้าง
หรือไม่?”
“ผู้ดูแลหลัวหรือขอรับ?” เหยวต้งถามอย่างตกใจ
แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ในจวนมีทั้งหมดสิบหกคน
นอกจากห้องบัญชี ห้องครัว ห้องคลัง คอกม้าที่ถูกจัด
คนดูแลเอาไว้อยู่แล้ว ก็มีคนที่ฉีเฉิงจ้างมา ครั้งนี้ก็ตาม
ฉีเฉิงเข้าเมืองไป ข้าน้อยจาได้ว่า ในบรรดาคนพวกนั้น
ไม่มีคนที่แซ่หลัว นอกจากพ่อบ้านใหญ่แล้ว ในจวนก็
มีแค่ท่านจ้าวที่เป็นบัณฑิต ไม่มีผู้ดูแลคนอื่นอีก มีแค่
สิบกว่าคน มีพ่อบ้านใหญ่ก็พอแล้ว เพราะไม่เหมือน
เมืองหลวง ไม่ต้องใช้ผู้ดูแลมากมายนัก”
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะฉลาด แต่ในตอนนี้ก็เหมือนจะอึ้ง
ตะลึงไป แม้แต่หยางหนิงเองยังรู้สึกว่าที่จวนเก่านี้มัน
รู้สึกแปลกๆ
“เจ้าไปเชิญท่านจ้าวมาก่อนไป” กู้ชิงฮั่นยกมือโบกให้
เหวยต้งไปตามคนมา เหวยต้งโค้งตัวแล้วถอยหลัง
ออกไป
กู้ชิงฮั่นวางมือบนที่เก้าอี้ สีหน้าของนางดูเคร่งเครียด
เหมือนกาลังคิดอะไรอยู่ หยางหนิงรู้ว่าตอนนี้กู้ชิงฮั่น
จะต้องจับต้นชนปลายไม่ถูกแน่ๆ จึงเข้าไปใกล้ๆ แล้ว
พูดว่า “ซานเหนียง หลายปีมานี้ ภาษีมีขาดส่งบ้าง
หรือไม่?”
“นอกจากครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็ไม่
เคยขาด” กู้ชิงฮั่นเงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า :
“เหวยต้งบอกว่าหลังจากพ่อบ้านใหญ่ล้มป่วยลง ก็ได้
ส่งคนไปแจ้งที่เมืองหลวง แต่ว่าข้าไม่รู้อะไรเลย หาก
ไม่ใช่ว่าครั้งนี้เงินไม่ส่งไปสักที เราก็คงไม่ได้กลับมาที่นี่
เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าเหมือนอยู่ในกะลาไม่รู้อะไรเลย”
นางพูดด้วยความโมโหว่า “ไท่ฮูหยินไว้ใจให้ข้าดูแล
เรื่องต่างๆ ของจวน แต่ข้ากลับ...ข้ามันใช้ไม่ได้เลย
จริงๆ”
“ที่มันห่างไกล บวกกับก่อนหน้านี้เงินภาษีก็ไม่เคย
ล่าช้าหรือขาดเลย ซานเหนียงจะไปคิดถึงได้อย่างไร
ว่าที่จวนเก่านี้จะเกิดเรื่อง” หยางหนิงพูดเบาๆ อีกว่า
“แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งตอนนี้สามารถแน่ใจได้ หากที่นี่ส่ง
คนไปยังจวนโหวจริงๆ เพื่อรายงานเรื่องของที่นี่ แต่
ซานเหนียงกลับไม่รู้อะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามี
คนจงใจปิดบัง ไม่ให้ซานเหนียงรู้”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นพ่อบ้านชิว” กู้ชิงฮั่นพูดต่อ
อีกว่า “หากมีคนจากที่นี่ไปยังเมืองหลวง ทางจวน
โหวไม่มีทางให้ไปพักข้างนอกเด็ดขาด อย่าว่าแต่จวน
เก่าเลย แม้แต่คนจากเจียงหลิงเองก็ใช่ จวนโหวจะ
ต้อนรับอย่างดี ปกติพ่อบ้านชิวจะเป็นคนออกหน้ารับ
แทน คนที่ทางจวนเก่าส่งไป พ่อบ้านชิวน่าจะรู้ แต่
เรื่องพ่อบ้านใหญ่ล้มป่วยเป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดพ่อบ้าน
ชิวต้องปิดบังข้าด้วย? หรือว่าเขาไม่รู้ ช้างตายทั้งตัว
เอาใบบัวมาปิดไม่ได้ เรื่องเช่นนี้ อย่างไรข้าก็ต้องรู้สัก
วัน แล้วถึงเวลานั้นเขาจะบอกกับข้าอย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแปลก ขมวดคิ้วไม่หยุด
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา
หยางหนิงมองเห็นหน้าของเขาไม่ชัด คนผู้นั้นคุกเข่า
ลงกับพื้น แล้วพูดด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยจ้าว
ยวน คารวะซื่อจื่อกับฮูหยินสามขอรับ!”
หยางหนิงมองเห็นเขาสวมเสื้อแขนยาว สวมหมวกสี
เขียว แต่งตัวเหมือนพวกบัณฑิต
“เจ้าก็คือท่านจ้าวอย่างนั้นหรือ? ลุกขึ้นพูดเถิด”
กู้ชิงฮั่นดูแลจวนมาหลายปี แถมเกิดในตระกูลใหญ่
ลักษณะท่าทางมีสง่าราศี ในเวลานีพ้ ูดด้วยท่าทางที่
สุขุมอย่างยิ่ง
พอนักบัญชีจ้าวยวนลุกขึ้น ก็เห็นร่างกายของเขา
ซูบผอม ไว้หนวดแปดเหลี่ยม อายุราวๆ สี่สิบปี ดูมี
ความรู้ ฉลาด สีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาพูดด้วย
ความเคารพว่า “ไม่รู้ว่าซื่อจื่อกับฮูหยินสามมา ทางนี้
จึงไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ซื่อจื่อกับฮูหยินสามโปรด
อภัยด้วย”
“นักบัญชีจ้าว ข้าขอถามเจ้าหน่อย เงินภาษีของ
เจียงหลิง เหตุใดถึงยังส่งไม่ถึงเมืองหลวงสักที?”
กู้ชิงฮั่นถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม : “เกิดเรื่องอะไรขึ้น
รึ?”
“เงินภาษีอย่างนั้นหรือขอรับ?” จ้าวยวนสีหน้าตกใจ
“ฮูหยินสาม ท่านหมายถึงเงินภาษีของเมื่อไหร่หรือ
ขอรับ?”
“ก็ต้องของปีนี้อย่างไรเล่า” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูด
ว่า “หรือเจ้าคิดว่าข้าจะมาทวงถามเงินภาษีของ
ปีหน้าหรืออย่างไรกัน?”
ที่จวนเก่านี้ จะส่งเงินภาษีไปเมืองหลวงสองครั้ง ฤดู
ร้อนกับฤดูใบไม้ผลิส่งครั้งหนึ่ง ฤดูใบไม้ร่วงกับฤดู
หนาวจะส่งอีกครั้งหนึ่ง
จ้าวยวนจึงรีบตอบกลับไปว่า “ฮูหยินสามท่านล้อข้า
เล่นใช่หรือไม่ เงินของฤดูใบไม้ร่วงส่งไปตั้งแต่เดือน
เก้าแล้วขอรับ ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนช้าไปหลายวัน
ดังนั้นปีนี้จึงส่งไปเร็วหน่อย เพื่อไม่ให้ทางจวนโหวต้อง
เป็นกังวล ตามหลักแล้วต้นเดือนสิบก็น่าจะถึง
จวนโหวแล้ว ไม่มีทางช้าเด็ดขาดขอรับ”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 85 เรือนผีสิง
สีหน้าของจ้าวยวนจริงจัง คาพูดของเขา ทาให้กู้ชิงฮั่น
กับหยางหนิงถึงกลับหน้าถอดสี กู้ชิงฮั่นลุกขึ้น แล้ว
พูดว่า “เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? เงินภาษีส่งไปแล้วอย่าง
นั้นหรือ?”
จ้าวยวนพูดด้วยความจริงจังว่า “สิ้นเดือนเก้าได้ส่งไป
แล้ว แล้วท่านเฉิง...พ่อบ้านใหญ่ฉีเป็นคนจัดการ เพื่อ
แน่ใจว่าเงินภาษีส่งไปอย่างปลอดภัย เหมือนทุกปี ยัง
ไปหาท่านเจ้าเมืองของเมืองจิงโจว เพื่อขอทหารคุ้ม
กันไปด้วยอีกสิบนายขอรับ”
หยางหนิงคิดในใจว่ายิ่งฟังยิ่งซับซ้อนมากขึ้น เขาเองก็
ลุกขึ้นมาแล้วถามว่า “ทางจวนโหว ไม่ได้รับเงินภาษี
ด้วยเหตุนี้ ข้ากับซานเหนียงจึงมาที่เจียงหลิงด้วย
ตัวเอง เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“เป็นไปได้อย่างไร” จ้าวยวนพูดด้วยความตกใจ
“พ่อบ้านใหญ่ฉีตั้งใจจะไปส่งด้วยตัวเอง แต่เพราะติด
ภารกิจจึงไปมิได้ เลยส่งเสี่ยวชุยคุ้มกันเงินไป เสี่ยวชุย
เคยไปเมืองหลวง คุ้นเคยกับเส้นทางดี หลังจากที่พวก
เขากลับมา ก็บอกว่าเงินภาษีส่งถึงที่หมายแล้ว ทุก
อย่างราบรื่นดีขอรับ” เขาพูดด้วยความสงสัยว่า “ฮู
หยินสามกับซื่อจื่อกลับมาในครั้งนี้ ก็เพราะเงินภาษี
รอบนี้อย่างนั้นหรือ?”
กู้ชิงฮั่นจ้องไปที่จ้าวยวน เห็นจ้าวยวนสีหน้าจริงจัง จึง
นั่งลง แล้วปิดตาลง แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า
“ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ตอนนี้ที่ดินศักดินา เก็บภาษีที่
สัดส่วนเท่าไหร่?”
“ฮูหยินสามก็รู้ ตอนที่ท่านเหล่าโหวอยู่ ได้กาหนด
เอาไว้ว่า ภาษีอาหารของจวนจิ่นอีโหว ให้เก็บสอง
ส่วนจากผลผลิตทั้งหมด” จ้าวยวนพูดต่ออีกว่า “หาก
เจอภัยธรรมชาติ เช่นภัยแล้งหรือน้าท่วม ให้ลดภาษี
ลงอีก ท่านโหวเป็นคนมีเมตตา ต้องการให้ชาวบ้านที่
อยู่ที่นี่มีความสุขสงบ พวกเราทางนี้ ก็ต้องเก็บตามที่
จวนโหวกาหดเอาไว้ขอรับ”
หยางหนิงพูดว่า “แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้มา ที่ดินศักดินาของ
ทางจวนโหวเก็บภาษีเพิ่มมาหลายปีแล้ว แถมยังไม่ได้
เพิ่มแค่เล็กน้อย” เขายื่นสี่นิ้วออกไป “ตอนนี้ทิ่ดิน
ศักดินานี้ เก็บภาษีปีละสี่ส่วน ท่านจ้าว อย่าบอกนะ
ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก?”
จ้าวยวนตกใจ จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ขอภัยที่
ต้องพูดตามตรง ซื่อจื่อท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว”
“ข้าไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับเจ้า” หยางหนิงยิ้มเบาๆ
แล้วพูดว่า “ข้าถามเจ้าแค่ว่า เรื่องนี้มันจริงหรือไม่?”
“ซื่อจื่อ เก็บภาษีสองส่วน ท่านเหล่าโหวเป็นคน
กาหนด อย่าว่าแต่สี่ส่วนเลย ต่อให้ทางจวนโหว
ต้องการจะเก็บสามส่วน พวกเราทางนี้ก็ต้องทัดทาน
อยู่แล้ว” จ้าวยวนพูดต่อว่า “หลายสิบปีมานี้
ชาวบ้านที่นี่กับต่างคุ้นเคยความเมตตาที่ท่านเหล่า
โหวให้ ก็เพราะเช่นนี้ ภาษีของที่ดินศักดินาจึงไม่ค่อย
เกิดปัญหาอะไร สามารถเรียกเก็บได้ตามกาหนด
ตลอด แต่หากว่าเพิ่มภาษี ชาวบ้านก็จะต้องมีการ
เคลื่อนไหว ภาษีลดชาวบ้านก็ยินดี แต่เพิ่มภาษี เกรง
ว่าชาวบ้านจะโกรธแค้นเอาได้ จะเพิ่มภาษีโดยพลการ
มิได้ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “นักบัญชีจ้าว เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ
ไม่ใช่ว่าทางจวนโหวต้องการเพิ่มภาษี แต่เป็นพวกเจ้า
ที่แอบเพิ่มภาษีกันเอง”
จ้าวยวนขมวดคิ้ว “ฮูหยินสามหมายความว่า ทางจวน
โหวมิได้มีคาสั่ง ทางเราแอบขึ้นภาษีเองอย่างนั้นหรือ
ขอรับ?” เขาแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา “มัน
จะเป็นไปได้อย่างไร ฮูหยินสาม ข้าน้อยขอถามท่าน
สักคา หากเราท้เช่นนั้นจริง หัวจะขาดหรือไม่ขอรับ?”
“รู้ก็ดี” กู้ชิงฮั่นยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “แอบเพิ่มภาษี
จวนโหวไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปอย่างแน่นอน”
“เหตุผลนี้พวกเรารู้ดี ดังนั้นฮูหยินสามคิดว่าเราจะโง่
ทาเรื่องเช่นนั้นอย่างนั้นหรือขอรับ?” จ้าวยวนถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ยังดีที่มีบัญชีของหลายปีก่อนอยู่ ฮู
หยินสามลองตรวจดูก็ได้ จะได้เข้าใจมากขึ้นขอรับ”
เขาพูดต่ออีกว่า “ฮูหยินสามไม่ต้องกังวลว่าข้าน้อยจะ
ทาอะไรกับบัญชี ท่านกับซื่อจื่อมาอย่างกะทันหัน
เช่นนี้ ข้าน้อยคงไม่มีเวลาทาอะไรกับบัญชีแน่นอน
ขอรับ”
ถึงแม้เขาจะเป็นนักบัญชี แต่ราศีความเป็นบัณฑิตของ
เขายังอยู่
กู้ชิงฮั่นคิดว่าบัญชีอย่างไรก็ต้องดู ตัวนางเองดูแลจวน
โหวมานาน การตรวจบัญชีเป็นขั้นตอนสาคัญขั้นตอน
หนึ่ง กลับมาครั้งนี้ ก็ต้องตรวจบัญชีอย่างละเอียด
“ในเมื่อเจ้าเป็นนักบัญชี หัวหน้าพื้นที่ต่างๆ เจ้าน่าจะ
รู้จกั ดี” หยางหนิงยิ้ม “ท่านจ้าว เจ้ารู้จักคนที่ชื่อหาน
อี้หรือไม่?”
“หานอี้หรือขอรับ?” จ้าวยวนคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบ
กลับไปว่า “เรียนซื่อจื่อ หานอี้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านหลู
หวัง แต่ว่าเขาเป็นคนใจร้อน พื้นที่อื่นเก็บภาษีได้ไว มี
เพียงหมู่บ้านหลูหวังเท่านั้นที่ล่าช้าขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้า
เป็นอย่างเจ้าว่า หมู่บ้านหลูหวังก็เป็นอุปสรรคอย่าง
นั้นใช่หรือไม่?”
“ก็ไม่เชิงขอรับ ภาษีครั้งล่าสุดพวกเขาก็ส่งไม่ขาด
ขอรับ” จ้าวยวนพูดต่ออีกว่า “ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้
ชอบคบค้าสมาคมกับเพื่อนใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นคน
ธรรมดา แต่ก็มีเพื่อนไม่น้อย มีเส้นสายมากมาย อีก
ทั้งยังกล้าบ้าบิ่น ปีก่อนเก็บภาษี ยังมีปากเสียงกับ
หัวหน้าพื้นที่ข้างๆ ทั้งสองเกิดลงไม้ลงมือกันขึ้น หาน
อี้เกือบจะทาคนตาย” จากนั้นก็มองไปยังกู้ชงิ ฮั่นแล้ว
พูดว่า “ฮูหยินสามจะไปห้องบัญชีใช่หรือไม่ขอรับ?
ยังไม่มืด พ่อบ้านฉีคงยังไม่กลับมาในตอนนี้”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า แล้วพูดว่า “เจ้านาทางข้าไป!”
จ้าวยวนนาทางไป หยางหนิงเดินตามหลังกู้ชิงฮั่น
มาถึงเรือนเล็กหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปด้านในทั้งด้านซ้าย
และด้านขวามีตู้ไม้ บนตู้ไม้เต็มไปด้วยสมุดบัญชี ใน
ห้องมีคนผู้หนึ่งชื่อว่าเสี่ยวซือ เป็นผู้ช่วยอยู่ที่ห้อง
บัญชี
หยางหนิงเห็นกองบัญชีเยอะเท่าภูเขา รู้สึกว่าตัวเอง
คงไม่มีความอดทนมากพอ หลังจากกู้ชิงฮั่นนั่งลง
จ้าวยวนก็นาสมุดบัญชีมาวางที่โต๊ะ หยางหนิงคิดในใจ
ว่าหากต้องตรวจบัญชีทั้งหมดนี้ คงไม่เสร็จในหนึ่งชั่ว
ยามแน่นอน จึงออกจากเรือนไป เดินดูรอบๆ ดีกว่า กู้
ชิงฮั่นรู้ว่าเขาไม่ถนัดเรื่องบัญชี จึงให้เขาไปเดินเล่น
หยางหนิงเดินเล่นกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว พบว่าวจวนนี้
ใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้มาก ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับจวน
จิ่นอีโหว แต่ว่าในที่เล็กๆ เช่นนี้ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้
ก็ไม่ค่อบพบเห็น จวนเก่าอย่างไรเสียก็คือจวนเก่า
ถึงแม้จะเห็นว่าในหลายๆ ที่มีการบูรณะแล้ว แต่ว่า
โดยรวมแล้ว ก็ยังเป็นแบบโบราณอยู่ กาแพงใน
หลายๆ ด้านมองก็รู้ว่ามีอายุหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้
เขาเห็นกู้ชิงฮั่นเคยพูดว่า จวนเก่ามีประวัติที่ยาวนาน
พอสมควร ตอนท่านเหล่าโหวยังเด็กเคยอาศัยอยู่ที่นี่
ฉะนั้น บ้านหลังนี้ก็น่าจะมีอายุกว่าร้อยปีได้
บ้านอายุกว่าร้อยปี ไม่ว่าจะบูรณะอย่างไร ก็ยังคงมี
กลิ่นอายความขลังอยู่ อีกทั้งหลังจากคนในตระกูลฉี
ย้ายเข้าเมืองหลวงไป บ้านหลังนี้ก็เหลือไม่กี่คน
ตอนนี้ก็วังเวงเหลือเกิน
หยางหนิงเดินวนอยู่ในจวนระยะหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็
เห็นที่ไม่ใกล้ไม่ไกลมีกาแพงอยู่ เห็นว่าที่นั่นไม่เหมือน
ที่อื่นๆ กาแพงอันนี้เต็มไปด้วยเถาวัลย์ มันแทบจะเต็ม
พื้นที่กาแพงจนทั่ว
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ แอบคิดว่าถึงแม้บ้านเก่านี้จะ
มีคนไม่มาก แต่ว่าก็ยังมีคนดูแลอยู่ ปกติก็จะมีการมา
ทาความสะอาดดูแลอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ที่เขาเห็น
มันก็ผ่านการดูแลมาแล้วอย่างดี ภายในบ้านเก่าไม่ว่า
จะต้นไม้ใบหญ้า ก็มีคนตัดแต่ง แต่ว่าตรงนี้ เถาวัลย์
ขึ้นเต็มขนาดนี้ เหตุใดไม่มีคนมาจัดการ
เขาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดู เห็นทางที่จะไปเป็นเรือน
เล็กตรงกาแพงนั้นปูไปด้วยหินอ่อนที่เต็มไปด้วยรา
เหมือนไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้เลย เมื่อเดินผ่านมา
ระยะหนึ่ง ก็เป็นหญ้าทึบ ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง
ใบไม้ก็ตกทับทมกันไปหมด ทาให้รู้สึกวังเวงยิ่งนัก
ผ่านมาอีกระยะหนึ่ง ด้านหน้าเต็มไปด้วยหญ้า
ขวางทางอยู่ แต่ว่าเมื่อมองผ่านช่องเถาวัลย์ เห็น
ประตูใหญ่ประตูหนึ่งปิดสนิท มีโซ่กุญแจคล้องไว้อยู่
โซ่ก็ขึ้นสนิมหมดแล้ว สีประตูก็รอกออกหมดแล้ว ดู
เก่ายิ่งนัก
หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดเรือนนี้ถึงได้
วังเวงเช่นนี้ ด้านหลังก็ได้ยินเสียงคนไอขึ้นมา เขาหัน
ไปมอง เห็นเหวยต้งยืนอยู่ไม่ไกล กาลังมองมาที่ตน
หยางหนิงคิดในใจว่าตาเฒ่านี่เดินไปไหนมาไหนไม่มี
เสียงหรืออย่างไรกัน ทาตัวอย่างกับผี ไม่กลัวทาคน
ตายหรืออย่างไร แต่สีหน้าของเขายังนิ่งอยู่ ชี้ไปที่
ประตูที่ลงกลอนไว้ แล้วถามว่า “เรือนหลังนี้แต่ก่อน
ใครอยู่รึ? เหตุใดถึงไม่มีคนดูแล เถาวัลย์มันขึ้นเข้าไป
ด้านในแล้ว อย่างนี้คนก็เข้าไปไม่ได้”
เหวยต้งไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ แค่ยกมือกวักหยางหนิง
ให้ออกมา “ซื่อจื่อ ที่ตรงนั้นมันไม่ดี ท่าน...ท่านกลับ
ออกมาเถอะ”
หยางหนิงเห็นเหวยต้งท่าทางแปลกๆ จึงขมวดคิ้วแล้ว
ถามว่า “ไม่ใช่ที่ดีอย่างนั้นหรือ? หมายความว่า
อย่างไรกัน?” เห็นเหวยต้งไม่คิดจะเดินมา อีกทั้ง
ข้างหน้าก็ไปไม่ได้แล้ว จึงหันหลังกลับ ถึงได้พบว่า
เรือนหลังนี้เป็นเรือนเดี่ยว ห่างกับเรือนอื่นๆ มาก
เมื่อหยางหนิงเดินเข้ามาใกล้เหวยต้งก็พูดเสียงเบาๆ
ว่า “ซื่อจื่อ อาหารเตรียมไว้พร้อมแล้ว จะไปกินเลย
ไหมขอรับ?”
“เจ้าอย่าเปลี่ยนประเด็น” หยางหนิงหันไปชี้ที่เรือน
หลังนั้น “เจ้าบอกว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่ดี เจ้า
หมายความว่าอย่างไร?”
สายตาของเหวยต้งมีความหวาดกลัว แล้วพูดเบาๆ ว่า
“ซื่อจื่อ ที่นี่...ที่นี่เป็นสถานที่อัปมงคล ไม่ใช่แค่ตอนนี้
มันตั้งแต่ตอนที่ท่านเหล่าโหวอยู่แล้วขอรับ ที่นี่ถูกลง
กลอนไว้ตลอด ท่านเหล่าโวสั่งไว้ ใครก็ห้ามเข้าใกล้
เรือนหลังนั้น ห้ามใครเข้าไปในเรือนโดยเด็ดขาด
ขอรับ”
“หา?” หยางหนิงตกใจ แล้วพูดแปลกๆ ว่า “เพราะ
อะไร? แล้วเหตุใดที่นี่ถึงอัปมงคลได้เล่า?”
“ซื่อจื่ออย่าถามอีกเลย” เหวยต้งถอยหลังสองก้าว
“ซื่อจื่อเชิญไปทานอาหารดีกว่าขอรับ” เขาหลบ
สายตา ไม่กล้าไปมองไปยังเรือนนั้น
หยางหนิงหันกลับไปมอง ก็ไม่รู้ว่าคาพูดของเหวยต้ง
เป็นความจริงหรือไม่ ถึงแม้จะเป็นตอนกลางวัน แต่
ในตอนนี้เมื่อมองกลับไปที่เรือนอีกที ก็รู้สึกแปลกๆ
บ้านเก่าบรรยากาศแปลกๆ ตอนนี้ยังมีเรือน
ประหลาดโผล่ขึ้นมาอีก หยางหนิงรู้สึกแปลกๆ แต่ก็
ยังมีสีหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าชอบพูดอะไร
ครึ่งๆ กลางๆ ข้าถามเจ้า เจ้าจะอ้าๆ อึ้งๆ อยู่อย่าง
นั้นหรือ? ยังไม่พูดออกมาอีก”
เหวยต้งไม่กล้าขัดคาสั่งของหยางหนิง แล้วพูดว่า
“ซื่อจื่อ ที่นั่น...ที่นั่นมีผีขอรับ!”
ลมพัดขึ้นมาทันใด ภายในจวนเงียบสงบ หยางหนิง
โดนลมพัดเขาก็รู้สึกหนาว จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พูด
อะไรเหลวไหล มีผีอะไรกัน เรือนใหญ่ดีๆ เช่นนี้ จะมี
ผีได้อย่างไรกัน? เจ้าอย่ามาพูดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“ซื่อจื่อ มีผีจริงๆ ขอรับ” ตอนแรกเหวยต้งไม่อยาก
คิดมาก แต่พอหยางหนิงพูดมาเช่นนี้ เหวยต้งจึง
ร้อนใจแล้วพูดขึ้นว่า “เพราะเรือนผีสิงหลังนี้ เคยมีคน
ตายมาแล้วสองคนขอรับ”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 86 นวด
หยางหนิงคิดแค่ว่าเหวยต้งแค่แกล้งทาเป็นกลัวไป
อย่างนั้น เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหล หาก
ในจวนนี้มีผีจริงๆ พวกเจ้าจะกล้าอยู่ที่นี่กันได้
อย่างไร?”
เหวยต้งจึงอธิบายว่า “วิญญาณอาฆาตอาศัยอยู่แค่ที่นี่
เท่านั้น ขอแค่ไม่มาเข้าใกล้ที่นี่ ก็ไม่มีเรื่องขอรับ”
“ที่เจ้าบอกว่าตายไปสองคนมันหมายความว่า
อย่างไร?” หยางหนิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าในเรือนนี้มีผี มีใครเคยเจอ
หรือไม่?”
เหวยต้งมองไปที่เรือน แล้วพูดเบาๆ ว่า “จริงๆ ทุก
คนในจวนเก่ารู้เรื่องนี้กันทั้งหมด ไม่เพียงแต่รู้ว่ามีผี
แต่ยังได้ยินเสียงอยู่บ่อยๆ”
“เสียงอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว “เสียง
อะไร?”
“เสียงขลุ่ยขอรับ!” เหวยต้งพูดว่า “ทุกปีจะมีเสียง
ขลุ่ยดังออกมาจากที่เรือนหลังนี้สองครั้ง ครั้งละ
ประมาณครึ่งคืน และทุกครั้งก็จะดังอยู่ประมาณสอง
สามวันถึงจะหายไป เสียงขลุ่ยผีสิงมันฟังดูน่ากลัว ใคร
ที่ได้ยินก็ต่างขนลุกกันทั้งนั้นขอรับ”
“ผีเป่าขลุ่ยได้ด้วยหรือ?” หนางหนิงพูดอย่างแปลกใจ
“แล้วมีใครเคยเห็นหรือไม่?”
เหวยต้งพูดว่า “เมื่อครู่ข้าน้อยได้พูดไปแล้ว มีสองคน
ที่ตายเพราะผีที่เรือนนี้ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน
ครั้งนั้นเขาทางานอยู่ที่จวนเก่าแห่งนี้พร้อมกับข้า
ตอนนั้นท่านเหล่าโหวไม่อยู่ ดังนั้นเลยไม่ได้เข้มงวด
เท่าตอนที่ท่านเหล่าโหวอยู่ในจวน ในคืนนั้นพวกเรา
ดื่มเหล้ากันจนเมา ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น จึงพูดคุย
กันถึงเรื่องผีที่เรือนนี้ ทุกคนรู้ว่าที่นี่มีผี คืนนั้นพวกเรา
ดื่มกันมากไปหน่อย จึงมีความกล้ามากกว่าปกติ พวก
เราเลยพนันเงินกันว่า หากใครกล้าเข้าไปอยู่ในเรือน
นั้นหนึ่งคืน พวกเราก็จะจ่ายให้เขาผู้นั้นคนละหนึ่ง
ตาลึง”
“เขาผู้นั้นก็ไปอย่างนั้นหรือ?”
“ตอนนั้นดื่มจนเมามากแล้ว สมองก็เลือนราง”
เหวยต้งถอนหายใจ ยิ้มฝืนๆ แล้วพูดว่า “ทุกคนคิดว่า
เขาแค่อวดอ้าง ใครจะคิดว่าด้วยความเมาในครั้งนั้น
คืนนั้นเขาก็เข้าไปในเรือนนั้นจริงๆ...!”
“หลังจากนั้นเล่า?” หยางหนิงพูดอย่างแปลกใจ
“ตายขอรับ” เหวยต้งพูดต่ออีกว่า “ตอนเช้าตรู่ เราก็
พบเขาตายอยู่นอกกาแพงเรือนผีนั้น ทั่วทั้งตัวไม่มี
แม้แต่รอยแผล ตายตาไม่หลับ สายตานั้นมันน่ากลัว
มากขอรับ...!”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตกใจตายอย่างนั้น
หรือ?”
“คนในจวนเก่าตาย พ่อบ้านใหญ่ก็สั่งห้ามเราพูดเรื่อง
นี้ออกไป แต่แอบไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่มา หลังจาก
เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบแล้วเขาก็บอกว่าบนร่างกาย
ของเขาไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือบาดแผลเลย แต่มัน
ไม่ใช่เพราะว่าเขาดื่มเหล้ามากเกินไป ดูจากสายตา
เขา ก็น่าจะตกใจจนตายขอรับ” เหวยต้งพูดเสียงต่าๆ
ว่า “แต่ว่าเรื่องนี้พ่อบ้านใหญ่ก็ไม่ได้ให้สืบต่อไป แล้ว
สั่งให้เราปิดปากให้สนิทด้วย ดังนั้นนอกจากคนใน
จวนเก่าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้อีกขอรับ”
“แล้วคนที่สองตายอย่างไร? ตกใจตายเหมือนกัน
หรือ?”
“คนที่สองเพิ่งตายไปเมื่อปีที่แล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง
ขอรับ” เหวยต้งพูดว่า “ตอนนั้นพ่อบ้านใหญ่เข้าเมือง
ไปแล้ว พ่อบ้านฉีอยู่ดูแลงานที่นี่ ตอนนั้นเป็น
ช่วงเวลาที่ยุ่งวุ่นวายมากที่สุด บ้านเก่าจ้างคนงานมา
ใหม่หลายคน คนหนุ่มความกล้าก็มีมาก ไม่รู้ว่าไปรู้
เรื่องเรือนผีนี้มาจากใคร กลางดึกคืนนั้นก็แอบเข้ามา
ที่เรือนผีนี้”
“วันต่อมาก็ตายอยู่นอกกาแพงอีกอย่างนั้นหรือ?”
เหวยต้งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ตายแปลกกว่าเดิม
เขาถูกแขวนคออยู่บนต้นไม้ขอรับ...!” เมื่อพูดมาถึง
ตรงนี้ ก็ยกมือชี้ไปที่ทางเรือนผี “ซื่อจื่อท่านเห็นต้นไม้
ต้นนั้นหรือไม่ขอรับ?”
หยางหนิงมองไปเห็นใกล้ๆ ปากประตูเรือน มีต้นไม้
ต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ถึงแม้ใบของมันจะร่วงลงหมดแล้ว
แต่กิ่งของมันก็ยังคงหนาแน่น ดูก็รู้ว่ามันน่าจะมีอายุ
กว่าร้อยปี เหมือนกับบ้านเก่าหลังนี้
“ถูกแขวนคออยู่ที่ต้นไม้ต้นนั้น” เหวยต้งพูดถึงตรงนี้
ก็ตัวสั่นไปหมดแล้วพูดต่ออีกว่า “หลังจากพ่อบ้านฉีรู้
เรื่องนี้ ก็สั่งกาชับคนในบ้านเก่า ใครก็ห้ามเข้าใกล้
บริเวณนี้อีกเป็นอันขาด”
หยางหนิงคิดว่าหากที่เหวยต้งพูดมานั้นคือความจริง
สองคนนั้นตายแบบมีเงื่อนงาจริงๆ
จวนเก่าตระกูลฉี เหตุใดถึงได้มีสถานที่เช่นนี้ได้เล่า?
“เจ้าบอกว่าทุกปีที่นี่จะมีเสียงขลุ่ยดังขึ้นอย่างนั้น
หรือ?” หยางหนิงพูดอย่างเรียบเฉย แล้วถามว่า
“เป็นเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?”
“ข้าน้อยอยู่ที่นี่มาสิบเจ็ดปี สิบเจ็ดปีมานี่ ได้ยินปีละ
สองครั้งขอรับ” เหวยต้งพูดต่ออีกว่า “ทุกครั้งที่มี
เสียงก็จะดังต่อเนื่องสองสามคืน แล้วก็เงียบหายไป
ขอรับ”
หยางหนิงสงสัยแล้วพูดว่า “คงไม่ใช่มีคนจงใจทาขึ้น
ใช่หรือไม่?”
เหวยต้งพูดว่า “ซื่อจื่อ เท่าที่ข้าน้อยทราบ ก่อนที่
ข้าน้อยจะมาอยู่ที่นี่ เสียงขลุ่ยนี้ก็มีมาก่อนแล้ว หากมี
คนจงใจทา ใครจะมาสร้างเรื่องผีต่อเนื่องนานเป็นสิบ
ปีแบบนี้ล่ะขอรับ?”
หยางหนิงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ หากมีคนตั้งใจแกล้งจริง
คงไม่ยาวนานต่อเนื่องมาเป็นสิบปีเช่นนี้ แล้วก็ไม่มี
แรงจูงใจในการฆ่าคน หรือว่าเรือนนี้จะมีผีจริงๆ?
“ซื่อจื่อ ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน” เหวยต้งพูดว่า “ตอนนั้น
ท่านเหล่าโหวสั่งห้ามทุกคนเข้าใกล้เรือนนี้ แสดงว่า
ท่านต้องมีเหตุผลบางอย่าง ผีตัวนี้อยู่ที่เรือนนี้มานาน
หลายปีแล้ว ไม่ยอมไปไหนสักที”
“แล้วเจ้ารู้หรือม่ว่าก่อนหน้านี้ใครอาศัยอยู่ที่เรือนนี้?”
หยางหนิงถามต่ออีกว่า “เรือนนี่ดูๆ ไปแล้วก็ไม่เล็ก
แต่กลับอยู่ห่างจากเรือนอื่นๆ ในจวนไม่น้อย อยู่เรือน
เดียวอย่างนี้ จะต้องมีเหตุผล”
เหวยต้งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ทุก
คนก็พูดถึงน้อยมาก แต่ก็เพราะที่นี่ก็เป็นที่อัปมงคล ก็
เลยไม่มีผู้ใดอยากพูดถึง ตอนนี้เถาวัลล์ก็ขึ้นมากขนาด
นี้แล้ว แต่ว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปจัดการ” เขาแสดง
ท่าทางว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
อาหารเตรียมไว้แล้ว ไปทานอาหารก่อนดีกว่าขอรับ”
หยางหนิงตามเหวยต้งมาถึงห้องอาหาร กู้ชิงฮั่นยังอยู่
ที่ห้องบัญชี เหวยต้งได้ให้คนส่งอาหารไปที่ห้องบัญชี
แล้ว หลังทานอาหารเสร็จ หยางหนิงก็ไม่ได้ทาอะไร
มีจ้าวยวนกับเสี่ยวซืออยู่รับใช้ข้างๆ
“พวกเจ้าไปกินข้าวเถอะ” หยางหนิงโบกมือ ให้พวก
เขาสองคนออกไป
ทั้งสองคนยกมือคานับแล้วถอยหลังออกไป หยางหนิง
ก็ไม่ได้ไปรบกวนกู้ชิงฮั่น ได้แต่เดินไขว้หลัง จากนั้นก็
เดินไปหยิบสมุดบัญชีมาเล่มหนึ่ง เปิดพลิกไปพลิกมา
เห็นด้านในเต็มไปด้วยตัวหนังสือแสดงยอดในบัญชี
เต็มไปหมด เหมือนบทความ ดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อย
จากนั้นก็หยิบอีกเล่มมาเปิด ก็เป็นเหมือนกันอีก เขา
ถึงกลับส่ายหน้า
ก็ไม่แปลกที่มันจะกองอยู่กว่าครึ่งห้องเช่นนี้ เขาพบว่า
การบันทึกในสมุดบัญชีนี้ช่างละเอียดมากๆ แต่ใน
ความเป็นจริงแล้วมันละเอียดเกินไป แล้วยังใช้
ตัวหนังสือแทนตัวเลขอีก มันซับซ้อนเกินไปยิ่ง
กว่าเดิม มันคานวณไม่สะดวกเอาเสียเลย
อย่างไรเสียในยุคก่อนเขาก็เป็นนักธุรกิจเป็นพ่อค้า
ถึงแม้จะไม่ได้ถนัดเรื่องบัญชี แต่ก็คุ้นเคยกับตาราง
บัญชีพื้นฐานอยู่บ้าง จากการคาดการณ์ของเขา สมุด
บัญชีหลายสิบหน้านี้ หากทาให้ง่าย ทาบันทึกเป็น
ตารางตัวเลข ก็น่าจะไม่เกินสองหน้า
“โอ้ย...!” ขณะที่หยางหนิงกาลังคิด ก็ได้ยินกู้ชิงฮั่น
ร้องขึ้นมา เขาจึงรีบวางสมุดบัญชีลง แล้วหันไปดู เห็น
กู้ชิงฮั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ คอเอียง จึงรีบเดินเข้าไป “ซาน
เหนียง ท่านเป็นอะไรไปรึ?”
“อย่าขยับ...!” กู้ชิงฮั่นเอียงคอ ร่างกายไม่มีการขยับ
“คอ...คอของข้าขยับไม่ได้ หนิงเอ๋อ เจ้า...เจ้าอย่าเพิ่ง
เข้ามา...!”
หยางหนิงตกใจ แต่ก็เข้าใจในทันทีว่า กู้ชิงฮั่นน่าจะมี
อาการคอเคล็ด เพราะนั่งอยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน
เกินไป แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา ทาให้เกิดอาการขึ้น
“ซานเหนียง ท่านอย่าเพิ่งขยับ” หยางหนิงเดินมาที่
ด้านหลังกู้ชิงฮั่น เกี่ยวกับอาการเช่นนี้ ถึงแม้หยางห
นิงจะไม่สามารถรักษาอาการที่ต้นเหตุได้ แต่ก็
สามารถผ่อนอาการให้ดีขึ้นได้และสามารถเคลื่อนไหว
ได้ตามปกติได้ จากนั้นเขาก็เอามือวางไว้บนไหล่ของกู้
ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นรีบพูดว่า “เจ้าจะทาอะไร? อย่าจับ มัน
เจ็บ...!”
“ข้ารู้ว่ามันเจ็บ” หยางหนิงพูดว่า “ข้าจะช่วยนวดให้
ท่าน อีกเดี๋ยวก็หาย ท่านอย่าเพิ่งขยับ” มือขวาของ
เขายื่นมือออกไป ฝ่ามือของเขาพาดอยู่บนคอของกู้ชิง
ฮั่น นิ้วโป้งกดลงไปที่ต้นคอ กู้ชิงฮั่นตัวสั่นเล็กน้อย
เหมือนจะไม่ค่อยชิน ร่างกายมีความเคลื่อนไหว
เล็กน้อย คอรู้สึกเจ็บ แล้วร้องเบาๆ
“บอกท่านแล้วว่าอย่าขยับ ซานเหนียงท่านอย่าดื้อได้
หรือไม่” หยางหนิงพูดเหมือนกาลังสั่งสอนเด็กๆ เลย
มือซ้ายของเขากดนวดไปที่ไหล่ของกู้ชิงฮั่น โดยไม่ให้
นางได้ขยับตัว กู้ชิงฮั่นก็ไม่รู้ว่าหยางหนิงกาลังทาอะไร
อยู่ ถึงแม้ในใจจะรู้ว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่
นิ้วโป้งของหยางหนิงก็กดลงมาที่กระดูกต้นคอแบบ
เบาๆ เขาใช้แรงอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ ผ่อนแรงหนัก
เบาเป็นระยะ กู้ชิงฮั่นก็รู้สึกว่าหลังคอที่ตึงนั้น
หลังจากหยางหนิงนวดแล้ว ก็ผ่อนคลายมากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน หยางหนิงก็ใช้มือจับไปที่ต้นคอ
ของกู้ชิงฮั่น รู้สึกว่าผิวของนางนั้นเรียบเนียนมาก แล้ว
มันก็นุ่มลื่นยิ่งนัก กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะรู้สึกว่าความเจ็บที่
ต้นคอค่อยๆ เบาลงแล้ว แต่การที่หยางหนิงนวดที่คอ
นั้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือในใจของนางก็รู้สึก
แปลกๆ ขึ้นมา
ท่านอาสามของตระกูลฉีเสียสละชีวิตเพื่อชาติ หลาย
ปีมานี้นางก็ถือครองเป็นโสดมานาน ก็เหมือนดอกไม้
ที่กาลังผลิบาน ในฐานะฮูหยินสามของจวนจิ่นอีโหว
ต้องคงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์เป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึง แต่
เพราะเลือดเนื้อเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย หากจะ
บอกว่าปกติร่างกายไม่มีความรู้สึกอะไร นั่นก็เพราะ
ไม่ได้เข้าใกล้ผู้ใด ดังนั้นการอาบน้า จึงทาให้ผิวของ
นางทั้งเรียบเนียนและเต่งตึง
แต่วันนี้ถูกหยางหนิงนวดเบาๆ ถึงแม้จะไม่ได้อ่อนไหว
นัก แต่ก็ทาให้กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกๆ
หากเป็นเมื่อก่อน อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรเช่นนี้ แต่
ตอนนี้รู้ว่าซื่อจื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ในใจจึงรู้สึกต่าง
ออกไป
“พอ...พอแล้ว...!” กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเอง
ร้อนผ่าวขึ้นมา จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “พอได้แล้วล่ะ
ไม่ต้อง...ไม่ต้องนวดแล้ว”
หยางหนิงหยุดมือ เห็นก็ชิงฮั่นสามารถขยับคอได้แล้ว
ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูๆ ไปแล้วฝีมือข้าก็ไม่เลวเลย ซาน
เหนียง ท่านเป็นโรคกระดูกต้นคอเคล็ด ปกตินวด
เบาๆ ก็จะฟื้นฟูได้เอง”
กู้ชิงฮั่นคิดในใจว่าครั้งนี้ไม่มีทางเลือก จึงให้เจ้ามา
แตะต้องตัวข้าจนได้ ครั้งต่อไปคงไม่มีโอกาสอีก นาง
กลัวว่าหยางหนิงจะเห็นความผิดปกติของนาง จึงไอ
กลบเกลื่อน แล้วพูดว่า “ที่นี่มีแต่สมุดบัญชี หากเจ้า
ไม่อยากอยู่ที่นี่ ก็ออกไปเดินเล่นก่อน ที่นี่คือจวนเก่า
ของพวกเรา ไม่รู้อีกนานแค่ไหนจะได้กลับมาที่นี่อีก”
“ข้าเพิ่งไปเดินดูรอบๆ จวนมา” หยางหนิงนั่งอยู่บน
เก้าอี้ แล้วมองไปข้างนอก เห็นไม่มีใคร จึงแอบถามว่า
“ซานเหนียง ท่านรู้เรื่องเรือนผีสิงในจวนหรือไม่?”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 87 รหัสตัวเลข
“เมื่อครู่นี้เจ้าไปไหนมารึ?” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ตรงนั้นมันเป็นที่ไม่ดี ต่อไปอย่าไปที่นั่นอีก”
ดูท่ากู้ชิงฮั่นเองก็รู้จักเรือนผีสิงนั้นด้วย หยางหนิงไม่มี
ทางปล่อยให้ประเด็นนี้หลุดไปแน่ๆ จากนั้นก็ถามขึ้น
ว่า “ทาไมรึ? เพราะมีผีอย่างนั้นรึ?”
“พูดจาเหลวไหล” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าก็อย่าไปฟัง
พวกนั้นพูดจาเหลวไหล มันก็แค่เรือนร้าง มีผีอะไรที่
ไหนกัน ต่อไปอย่าไปใกล้ที่นั่นอีกก็พอ”
หยางหนิงลากเก้าอี้มาใกล้ๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ซาน
เหนียง หากเป็นแค่เรือนร้าง เหตุใดถึงไม่ให้ข้าเข้าไป
เล่า? ข้าเห็นเรือนหลังนั้นเถาวัลย์ขึ้นเต็มไปหมด
น่าจะให้คนเข้าไปจัดการนะ ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ที่นี่
แต่ที่นี่ก็เป็นจวนเก่าของพวกเรา จะไม่ไปดูแลหน่อย
คงไม่ดีหรอก”
กู้ชิงฮั่นเหมือนจะไม่ค่อยอยากจะพูดถึง หยางหนิงจึง
พูดอีกว่า “ท่านไม่ยอมบอกข้า ข้าเองก็รู้สึกค้างคาใจ
ซานเหนียง ท่านก็บอกข้าเถิด”
กู้ชิงฮั่นเห็นท่าทางของเขา ก็หัวเราะอย่งเจื่อนๆ
“หึๆ” แล้วพูดว่า “มาทาหน้าทาตาน่าสงสารเช่นนี้”
ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าแต่งเข้าจวน มา
ทาพิธีที่นี่ ตอนนั้นก็ได้มาพบเรือนหลังนั้นโดยบังเอิญ
ตอนนี้ก็มีคนบอกกับข้าว่าที่นั่นมีผี แต่ว่าท่านเหล่า
โหวก็เป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ตระกูลฉีเป็นตระกูล
ใหญ่ จะมีผีได้อย่างไรกัน แต่ว่าตอนนั้นท่านเหล่าโหว
ก็ได้ออกกฎ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เรือนหลังนั้นอีก และ
ยังห้ามทุกคนเข้าไปในเรือนนั้นเป็นอันขาด
ไม่อย่างนั้นจะต้องได้รับโทษหนัก”
“แล้วมันเพราะเหตุใดกัน? หากไม่ได้มีผี ก็ต้องมี
สาเหตุอื่นอีกมิใช่หรือ?” หยางหนิงพูดว่า “ซาน
เหนียงรู้หรือไม่ว่าที่นั่นมักมีเสียงขลุ่ยดังออกมา?”
“ขลุ่ยรึ?” ริมฝีปากสีแดงอ่อนของกู้ชิงฮั่นขยับ
เล็กน้อย มันดูยั่วยวนยิ่งนัก “คาพูดเหลวไหลเช่นนั้น
เจ้าก็ไม่ต้องไปเชื่อให้มันมากนัก ในเมื่อท่านเหล่าโหว
สั่งไว้ว่าห้ามเข้าใกล้ที่นั่น มันก็ถือว่าเป็นกฎของบ้าน
ตระกูลฉี ไม่ต้องไปถามหาสาเหตุหรอก ทาตามกฎก็
พอ” เห็นสีหน้าหยางหนิงเหมือนผิดหวัง ก็ลังเล แล้ว
ก็พูดว่า “แต่ว่าอาสามของเจ้าก็เคยแอบบอกกับข้าว่า
เรือนหลังนั้นเหมือนจะเคย...เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งตาย
ตอนตายเหมือนจะตายอย่างอาฆาต หลังจากนั้น
เรือนหลังนั้นก็ถูกปิดตาย จากนั้นก็เริ่มมีข่าวลือ
ออกมามากมาย”
“ผู้หญิงรึ?” หยางหนิงรีบถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็น
ใครหรือ?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหัวแล้วพูดว่า “อาสามของเจ้าไม่ได้พูด
อะไรมาก เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องเรือนหลังนั้น มีไม่กี่
คนเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น” นางยกมือขึ้นมา
“เจ้าออกไปได้แล้ว อย่ามากวนข้าตรวจบัญชี”
หยางหนิงรู้ว่าต่อให้ถามต่อไป กู้ชิงฮั่นคงไม่มีทางพูด
อีก แล้วตัวกู้ชิงฮั่นเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของเรือนนั้นสัก
เท่าไหร่ เขาลุกขึ้น แต่กเ็ หมือนนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้น
ก็หันไปถามว่า “ซานเหนียง ท่านตรวจบัญชีพวกนี้ ไม่
รู้สึกว่ามันยุ่งยากหรือ? ข้าดูแล้วมันเหมือนดูยุ่งเหยิง
ไปหมด”
กู้ชิงฮั่นเหลือบไปมองหยางหนิง แล้วขมวดคิ้ว “แต่
ก่อนเจ้าไม่เคยแตะบัญชีพวกนี้เลย รู้ได้อย่างไรว่ามัน
ยุ่งเหยิง บัญชีก็แบบนี้ ละเอียดๆ ไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
มันจะยุ่งยากได้อย่างไรกัน?”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าบัญชีมันยุ่งเหยิง แต่หมายถึง
วิธีบันทึกของบัญชีต่างหากเล่า” หยางหนิงคิดไปครู่
หนึ่ง แล้วหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาเล่มหนึ่ง พลิกดูสอง
สามหน้า แล้วหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้น
ก็หยิบพู่กันออกมา แล้วเขียนอะไรลงไปในกระดาษ
แผ่นนั้น กู้ชิงฮั่นไม่รู้ว่าหยางหนิงกาลังคิดจะทาอะไร
อยู่ ขณะที่กาลังแปลกใจ ก็เห็นหยางหนิงวาดอะไร
บางอย่างออกมาคล้ายกับแหปลา กู้ชิงฮั่นแปลกใจยิ่ง
นัก
จากนั้นนางก็เห็นหยางหนิงใส่ตัวเลขลงไปในตาราง
แหปลานั้น จากนั้นก็หยิบสมุดบัญชีขึ้นมา แล้วเริ่มใส่
ตัวเลขลงไป กู้ชิงฮั่นไม่รู้จักตัวเลขอารบิกที่หยางหนิง
เขียน แต่รู้สึกแปลกใจไม่น้อย จึงลุกขึ้นมาแล้วเขยิบ
มาใกล้ๆ หยางหนิง แล้วโค้งตัวลงดู
หยางหนิงท่าทางดูนิ่งเฉยยิ่งนัก หลังจากนั้นไม่นาน ก็
วางพู่กันลง แล้วเหลือบไปมองกู้ชงิ ฮั่น เขาเห็น
หน้าอกของนาง เห็นว่าหน้าอกของนางไม่มีเนินอก
โผล่ออกมาเลย แสดงว่าต้องใช้อะไรรัดเอาไว้แน่ๆ เขา
กลัวว่าจะส่งผลเสียต่อหน้าอกของนาง อยากจะถาม
นางมากว่าอึดอัดบ้างหรือไม่
กู้ชิงฮั่นจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหยางหนิงคิดอะไรอยู่
ในตอนนี้ นางสนใจแค่กระดาษที่หยางหนิงวาด
ออกมาเท่านั้น จากนั้นนางก็ถามด้วยความสงสัยว่า :
“นี่คือสิ่งใดรึ?”
นางเกิดในตระกูลใหญ่ รู้จักภาพวาดมาก็เยอะ คิดแค่
ว่าหยางหนิงกาลังวาดรูปอยู่ แต่ว่าเหตุใดมันถึงไม่ได้มี
ความสวยงามเลยแม้แต่น้อย
“นี่คือตัวเลข ตัวหนังสือด้านบนนี้คือความหมายของ
ตัวเลข” หยางหนิงอธิบายว่า “ขวาสุดคือตัวเลขหลัก
หน่วย ซ้ายมาคือหลักสิบ แล้วก็หลักร้อย...!”
หยางหนิงสอนด้วยท่าทางที่นิ่งเฉย ตัวเลขอารบิก
เรียนง่าย อีกอย่างกู้ชิงฮั่นก็เป็นคนฉลาด แค่ครู่เดียว
เท่านั้น ไม่เพียงเข้าใจตั้งแต่ศูนย์ถึงเก้า แม้แต่หลัก
หน่วยร้อยพันก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี พอหยางหนิง
อธิบาย กู้ชิงฮั่นก็ตกใจ นี่เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเรียนมา
ก่อน เมื่อหยางหนิงอธิบายจบ กู้ชิงฮั่นยังไม่ทันได้สติ
คืนมา ครู่หนึ่งก็ตกใจแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อ นี่...นี่เจ้า
คิดเองรึ?”
“ข้าเห็นท่านตรวจบัญชีลาบาก จึงคิดเล่นๆ ออกมา”
หยางหนิงคิดว่าหากบอกไปว่านี่เป็นตัวเลขอารบิก
เกรงว่านางจะคิดว่าเขาโดยผีสิงแน่ๆ “ซานเหนียง
ท่านดูสิ นี่คือตารางแผ่นหนึ่ง ไม่ถึงครึ่งกระดาษ ก็
สามารถดึงเอาบัญชีห้าหกหน้าออกมาได้แล้ว อีกทั้ง
มันก็ดูเข้าใจง่ายด้วย”
“นี่เรียกว่าตารางรึ?” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะเข้าใจ
ความหมายของตารางกับอารบิกดี ก็หยิบตารางแผ่น
นั้นขึ้นมาดู เมื่อตรวจสมุดบัญชีอย่างละเอียด สีหน้า
ของนางก็ตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
แล้วถามซ้าว่า “นี่...นี่เจ้าคิดออกมาเองจริงๆ รึ?”
หยางหนิงบิดหัวไปมา รู้ว่าตอนนี้กู้ชิงฮั่นรู้สึกตกใจ
มาก เขาแอบคิดในใจว่าตัวเลขอารบิกก็คงยังมาไม่ถึง
เขาจึงไม่กลัวที่จะถูกจับได้ แล้วพูดว่า “เพียงแค่คิด
เรื่อยเปื่อยออกมาเท่านั้น ซานเหนียง ท่านคิดว่าวิธีนี้
เป็นอย่างไรบ้าง?”
กู้ชิงฮั่นสีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ แล้วพูดว่า “หนิ
งเอ๋อ เจ้าฉลาดจริงๆ วิธีเช่นนี้เจ้าก็คิดออกมาได้”
นางมองไปที่ตาราง พูดอย่างดีใจว่า “วิธีของเจ้ามัน
ดูง่ายยิ่งนัก หากใช้วิธีนี้แต่แรก ก็ไม่ต้องเสียเวลากว่า
ครึ่งวัน”
หยางหนิงได้รับการยอมรับจากกู้ชิงฮั่น ในใจก็สบาย
ใจขึ้น จากนั้นก็พูดว่า “ซานเหนียง วิธีนี้ไม่เพียง
บันทึกบัญชีได้ แต่ยังสามารถทาเป็นรหัสได้ด้วย”
“รหัสรึ?” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความแปลกใจ “หมายความ
ว่าอย่างไรรึ?” นางรู้แค่ว่าตั้งแต่หยางหนิงหายดี เขาก็
ดูฉลาดขึ้น มีศัพท์อะไรแปลกๆ เยอะแยะมากมายที่
ไม่เข้าใจความหมาย
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อไปหากข้าออกไปข้าง
นอก แล้วเขียนจดหมายให้ท่าน เพื่อไม่ให้คนอื่นสวม
รอย ก็อาจจะเขียนรหัสที่เป็นความลับของพวกเรา
ท่านก็จะได้รู้ว่าเรื่องนั้นหรือคนนั้นจริงหรือหลอก
หากซับซ้อนอีกหน่อย ตัวเลขพวกนี้ก็เป็นตัวอักษรได้
ด้วย คนอื่นดู ก็จะไม่เข้าใจความหมาย แต่ว่าพวกเรา
จะเข้าใจกันเอง”
กู้ชิงฮั่นทาตาโต แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า
“ทาอย่างไรรึ?”
หยางหนิงหยิบพู่กันออกมา ใช้กระดาษเขียนตัวเลข
ออกมาแถวหนึ่ง แล้วยื่นให้กับกู้ชิงฮั่นดู แล้วพูดว่า
“นี่เป็นรหัสแบบง่ายๆ ซานเหนียงแยกออกหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นดู หยางหนิงสอนตัวเลขสิบหลักให้กับนาง นาง
จับได้แม่นมาก แล้วก็พูดว่า “ห้า สอง ศูนย์ หนึ่ง สาม
หนึ่ง สี่” แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างสงสัย “หนิงเอ๋อ
ตัวเลขพวกนี้หมายความว่าอย่างไรรึ?”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ซานเหนียง ท่านฉลาดนัก
แต่รหัสง่ายๆ เช่นนี้ท่านดูไม่ออกหรือ? ลองอ่านติดๆ
กันดูสิ มันก็หมายความว่าข้ารักท่านชั่วชีวิตอย่างไร
เล่า”
กู้ชิงฮั่นตกใจ จากนั้นหน้าก็เริ่มแดงขึ้นมา แล้วก็ทิ้ง
กระดาษไป
หยางหนิงเห็นเช่นนั้น แล้วก็พูดว่า “ซานเหนียง นี่มัน
แบบง่ายๆ ยังมี...!”
“หนิงเอ๋อ เดี๋ยวนี้เจ้ากล้ามากเกินไปแล้วนะ” กู้ชิงฮั่น
หน้านิ่งไป “คาพูดบ้าบอเช่นนี้ ต่อไปห้ามพูด
เหลวไหลอีกนะ”
“ซานเหนียง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้า...!”
“ข้าไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องรหัสนี่” กู้ชิงฮั่นสีหน้า
จริงจัง “หลังจากที่เจ้ากลับเมืองหลวง ราชสานักก็
จะต้องมีราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นจิ่นอีโหว จะพูดจะ
ทาอะไรก็ต้องระมัดระวัง ไม่เพียงต้องระวังเหล่าขุน
นาง หรือต่อให้อยู่ในจวนโหว ก็จะทาอะไรเช่นนี้ไม่ได้
แล้ว” นางหยุดไปครู่หนึ่ง นางพูดด้วยน้าเสียงจริงจัง
ว่า “ข้าเป็นแม่สามของเจ้า ต่อหน้าข้า เจ้าจะมาพูด
อะไรเหลวไหลไม่ได้ ยิ่งจะมาไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่
ไม่ได้ จะมาทาตัวลุ่มล่ามไม่ได้ ยิ่งอยู่ข้างนอกยิ่งต้อง
ระวังให้มาก?”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่ากู้ชิงฮั่นจะมีปฏิกิริยาที่รุนแรง
เช่นนี้ เขาเป็นคนฉลาด รู้อยู่แล้วว่า คนสวยๆ อย่างกู้
ชิงฮั่น มีผลต่อเขามาก เขาชื่นชมกู้ชิงฮั่นยิ่งนัก เคารพ
นางยิ่งนัก ถึงแม้รูปลักษณ์ของเขาจะเป็นแค่เด็กสิบ
หกสิบเจ็บ แต่วิญญาณของเขามันคือผู้ใหญ่เต็มวัย
หากจะบอกว่าไม่คิดอะไรกับกู้ชิงฮั่นเลย มันก็จะดู
โกหกไป แต่เขาเคารพกู้ชิงฮั่นมากจริงๆ ปกติแล้วจะ
พูดจะทาอะไรก็จะระวังตัวมากขึ้น
เขาเองก็มองออก ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว กู้ชิงฮั่นอ่อนไหว
กับความสัมพันธ์ของพวกเรามาก มันมีความรู้สึก
เหมือนห่างเหินเสียหน่อย ในใจของกู้ชิงฮั่นกังวลกับ
ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองคนก่อนหน้านี้ จะ
ทาให้เกิดปัญหาตามมา
แต่ว่าวันนี้ล้อเล่นแค่นิดๆ หน่อยๆ จริงๆ คิดว่าไม่
น่าจะมีอะไร ใครจะคิดว่ากู้ชิงฮั่นจะมีปฏิกิริยาที่
รุนแรงเช่นนี้ มันทาให้หยางหนิงรู้สึกแปลกใจ
กู้ชิงฮั่นเห็นหยางหนิงขมวดคิ้ว คิดว่าท่าทีของนางทา
ให้หยางหนิงเสียใจ ลึกๆ แล้วนางรักและเป็นห่วงห
ยางหนิงมาก ก็เริ่มพูดจาน้าเสียงอ่อนลงว่า “ซาน
เหนียงหวังดีกับเจ้า เจ้าเป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉี
เป็นผู้สืบทอดของจิ่นอีโหว มีสายตาคนมากมายจับ
จ้องมาที่เจ้า หากเจ้าทาอะไรผิดพลาดไปแม้แต่น้อย
ไม่เพียงจะนาภัยมาสู่ตัวเจ้าเอง ทั้งตระกูลฉีก็จะ
เดือดร้อนไปด้วย หนิงเอ๋อ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หยางหนิงคิดในใจว่าข้าไม่ใช่จิ่นอีโหวซื่อจื่อตัวจริงเสีย
หน่อย ไม่แน่วันหนึ่งอาจจะหายตัวไปเลยก็ได้ หาก
บอกว่าปกป้องเจ้าคนเดียวยังว่าไปอย่าง แต่บอกว่า
ทั้งตระกูลฉี มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลยแม้แต่น้อย แต่
ในตอนนี้เขาก็ทาได้แค่พยักหน้า แล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจ
แล้ว”
กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มเงียบแปลกๆ จึงยิ้ม
แล้วพูดว่า “แต่ว่าวันนี้วิธีที่หนิงเอ๋อสอนซานเหนียง
นั้น มันดีมากจริงๆ ต่อไปเวลาซานเหนียงตรวจบัญชี
ก็ไม่ต้องลาบากแล้ว เจ้าช่วยซานเหนียงได้เยอะเลย
ทีเดียว”
“บัญชีของที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?” หยางหนิงถาม “มี
ช่องโหว่อะไรบ้างหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “รายรับรายจ่ายของจวน
เก่า ละเอียดชัดเจนดีมาก ไม่มีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง
เลย ในบัญชีเองก็มีการบันทึกการเก็บภาษีของปีนี้
ด้วย มันละเอียดยิ่งนัก ดูจากบัญชีแล้ว ก็เก็บในอัตรา
สองส่วนเท่านั้น” นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ส่วนเรื่อง
ที่ส่งภาษีไปเมืองหลวงตั้งแต่เดือนเก้าเอง ก็มีบนั ทึก
อยู่ในสมุดบัญชีนี้อย่างละเอียด”
หยางหนิงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามเสียงเบาๆ ว่า
“บัญชีพวกนี้จะเป็นของปลอมหรือไม่? พวกเขาทา
ขึ้นเพื่อป้องกันคนของจวนจิ่นอีโหวที่มาอย่าง
กะทันหัน ดังนั้นจึงทาบัญชีปลอมขึ้นมาเอาไว้
ล่วงหน้าหรือไม่?”
“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” กู้ชิงฮานพูดเบาๆ : “ข้าก็
กาลังคิดอยู่ว่าบัญชีนี้จะเป็นของปลอมหรือเปล่า
ดังนั้นก็พยายามหาเงื่อนงาอยู่ แต่ว่าก็ยังไม่เจออะไร”
หยางหนิงพูดเบาๆ ว่า “พวกเขาบอกว่าตอนที่ส่งเงิน
ภาษีไปที่เมืองหลวง ท่านเจ้าเมืองของเจียงหลิงได้ส่ง
ทหารคุ้มกันไป เดี๋ยวรอฉีเฟิงกลับมาตอนค่า พวกเรา
ค่อยส่งเขาไปสืบเรื่องนี้ ข้าสามารถใช้ฐานะของจิ่นอี
โหวซื่อจื่อ เรียกเหล่าหัวหน้าพื้นที่มา อธิบายให้
ชัดเจน หากจวนเก่านี้มีการโกงจริงๆ เมื่อพวกหัวหน้า
พื้นที่มาถึง มันก็ง่ายที่จะถูกเปิดโปง”
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 88 ขลุ่ยยาว
ฉีเฟิงทำตำมที่นัดหมำยเอำไว้ นำทหำรคุ้มกันอีกห้ำ
นำยมำถึงจวนเก่ำก่อนเวลำค่ำ จวนเก่ำมีห้องมำกมำย
อยู่กันหลำยคนก็ไม่มีปัญหำ
จริงๆ แล้วหยำงหนิงคิดอยำกให้ฉีเฟิงเดินทำงต่อไปยัง
จิงโจว ไปหำท่ำนเจ้ำเมืองเจียงหลิงเลย แล้วให้ไป
สอบถำมเรื่องคุ้มกันเงินภำษีไปยังเมืองหลวงในนำม
ของจิ่นอีซื่อจื่อ ว่ำทำงเมืองจิงโจวได้ส่งทหำรไปคุ้มกัน
ขบวนส่งเงินจริงหรือไม่ แต่ว่ำตอนนี้ฟ้ำก็มืดแล้ว จึง
ให้ฉีเฟิงค่อยไปตอนเช้ำอีกที
ถึงแม้ฉีเฟิงจะรีบกลับมำให้ทันเวลำ แต่ฉีเฉิงกลับไม่ได้
กลับมำตำมเวลำ
กู้ชิงฮั่นอยู่ในห้องบัญชีจนถึงค่ำ รู้สึกเพลียยิ่งนัก นำง
ตรวจสอบบัญชีช่วงสำมปีที่ผ่ำนมำอย่ำงละเอียด กลับ
ไม่พบสิ่งผิดปกติเลย
กู้ชิงฮั่นรู้ดีว่ำบัญชีใหญ่เช่นนี้ ยิ่งละเอียดยิ่งดี ไม่มีทำง
ทำได้หมดภำยในสองสำมเดือน แล้วไม่มีทำงที่จะไม่มี
อะไรผิดพลำดเลย หำกบอกว่ำบัญชีพวกนี้เป็นของ
ปลอม ถ้ำอย่ำงนั้นก็หมำยควำมว่ำมันจะต้องเริ่มมำ
ตั้งแต่เมื่อสำมปีก่อน บัญชีของจวนเก่ำก็มีกำรบันทึก
เป็นสองเล่ม คือมีของจริงหนึ่งและที่เป็นของปลอม
อีกหนึ่ง
นำงคิดมำตลอดว่ำเจียงหลิงก็เหมือนหลังบ้ำนของ
ตระกูลฉี เป็นรำกฐำนหลัก จวนเก่ำนั้นมีควำมสำคัญ
มำก ไม่มีทำงเกิดข้อผิดพลำดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้กลับ
พบว่ำที่นี่มันมีอะไรซับซ้อนมำกกว่ำที่นำงคิดไว้มำก
หำกบอกว่ำบัญชีพวกนี้เป็นของจริง ถ้ำอย่ำงนั้นเงิน
ภำษีก็ควรจะถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว แต่
ว่ำทำงจวนโหวไม่เห็นเงินเลยแม้แต่ตำลึงเดียว เงิน
ภำษีที่ส่งไปยังเมืองหลวง คงไม่ได้มีปีกบินหนีไปเอง
หรอก นำงคิดอยำกจะถำมอย่ำงละเอียด ว่ำเงินพวก
นั้นถูกส่งไปไหน แต่ว่ำฉีเฉิงกลับไม่มำสักที ส่วนเสี่ยว
ชุยคนที่ไปพร้อมขบวนส่งเงินภำษีก็ไปจิงโจวกับฉีเฉิง
หำกไม่พบพวกเขำ ก็ไม่มีทำงรู้ที่มำที่ไปแน่ๆ
ช่วงนี้เร่งเดินทำงกันมำหลำยวันหลำยคืน อีกทั้งเมื่อ
คืนก็ไม่ได้หลับดี วันนี้ก็ยุ่งมำทั้งวัน รู้สึกอ่อนเพลีย
มำกจริงๆ หยำงหนิงจึงแนะนำให้พวกเขำกลับไปที่
ห้องก่อน ที่จวนเก่ำนี้กม็ ีสำวใช้คอยดูแลช่วยอำบน้ำ
ส่วนฉีเฟิงก็มีกำรนำสัมภำระมำเองด้วย จึงมีเสื้อผ้ำ
เปลี่ยน
หยำงหนิงไม่ได้รีบร้อนจะไปพัก เขำรู้สึกสงสัยในเรื่อง
ที่เกิดขึ้นที่จวนเก่ำนี้มำก ก็เลยอยำกจะรู้ว่ำเมื่อฉีเฉิงก
ลับมำแล้ว เขำจะอธิบำยว่ำยังไง
รออยู่ค่อนคืน ก็ไม่เห็นฉีเฉิงกลับมำเสียที ในใจก็รู้สึก
ว่ำมันต้องมีอะไรไม่ชอบมำพำกลแน่ๆ
กลำงดึกในคืนนี้ เขำเดินเล่นไปเรื่อยๆ ในจวนเก่ำ
เดินไปเดินมำ พอเงยหน้ำขึ้นมำ ก็เดินมำถึงไม่ไกล
จำกทำงไปเรือนผีสิงนั้น เมื่อเงยหน้ำขึ้น ใต้แสงจันทร์
เรือนผีสิงก็เงียบเหมือนห้องเก็บศพ รู้สึกวังเวงยิ่งนัก
หยำงหนิงคิดในใจว่ำอย่ำงไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่ดีนัก
คิดจะหันเลี้ยวไปอีกทำงหนึ่ง ก็พลันหยุดเดิน แล้วหัน
หน้ำไปมอง
เหวยต้งบอกว่ำที่เรือนนั้นมีผี หยำงหนิงไม่มีทำงเชื่อ
แน่ แต่ว่ำเขำกลับแปลกใจว่ำ มีคนถึงสองคนที่เข้ำไป
ในเรือนนั้นแล้ว ก็ตำยไปอย่ำงไม่มีสำเหตุ หรือว่ำพวก
เขำจะตกใจตำยเพรำะผีจริงๆ หรือ?
จริงๆ เขำเป็นคนที่อยำกรู้อยำกเห็นมำกๆ หำก
เหวยต้งกับกู้ชิงฮั่นไม่เล่ำเรื่องผีที่ลึกลับขนำดนี้ให้เขำ
ฟัง เขำอำจจะไม่สนใจก็ได้ เพรำะมีคนถึงสองคนบอก
ว่ำเรือนนั้นมันประหลำด อย่ำเข้ำไปใกล้เด็ดขำด
เพรำะเหตุนี้จึงทำให้เขำรู้สึกสนใจเรือนผีนั้นยิ่งนัก
ปกติเขำก็เป็นคนกล้ำบ้ำบิ่นอยู่แล้ว ถึงแม้จะเห็นว่ำ
เรือนหลังนั้นมันวังเวงจนขนลุก แต่ว่ำกลับถูกสั่งห้ำม
ใครเข้ำไปตั้งแต่ท่ำนเหล่ำโหวยังอยู่ แสดงว่ำน่ำจะมี
ควำมลับซ่อนอยู่ไม่น้อย
เหวยต้งเล่ำว่ำคนที่ตำยไปสองคนนั้น เหมือนจะได้ยิน
เสียงขลุ่ยดังขึ้นก่อน ถึงแอบเข้ำไปในเรือนนั้น หำก
เสียงขลุ่ยดังขึ้นเพรำะผีเป็นคนเป่ำ แต่ตอนนี้ไม่ได้มี
เสียงขลุ่ย ไม่แน่ผีตัวนั้นอำจจะไม่อยู่ที่เรือนในตอนนี้ก็
ได้กระมัง?
ขณะที่เขำกำลังคิด ก็หันตัว แล้วเดินเข้ำไปที่เรือนนั้น
ค่ำคืนที่หนำวเย็น เถำวัลย์ที่ขึ้นเลื้อยอยู่เต็มกำแพง
รำวกับงูพันกันรำวๆ พันตัว หยำงหนิงเดินถึงหน้ำ
ประตู อำศัยแสงจันทร์มองเข้ำไป แล้วใช้หูพยำยำม
ฟัง ในเรือนเงียบสนิท ไม่มีเสียงอะไรเลย
จริงๆ กำแพงที่นี่ก็ไม่ได้สูงมำก หยำงหนิงจะปีนก็ปีน
ได้ง่ำยๆ แต่ว่ำเขำมีควำมลังเลอยู่ไม่น้อย หยำงหนิง
เดินมำถึงริมกำแพง มองไปรอบๆ เห็นว่ำไม่มีคน จึง
จับเถำวัลย์ แล้วปีนกำแพงขึ้นไป เขำนั่งอยู่บนสัน
กำแพงแล้วมองไปรอบๆ เห็นในเรือนไม่ใหญ่มำก ตรง
กลำงมีห้องอยู่ห้องหนึ่งโดดๆ ภำยในเรือนเต็มไปด้วย
เถำวัลย์
ภำยใต้แสงจันทร์ ห้องนั้นมันดูวังเวงยิ่งนัก เมือ่ ลมพัด
มำ หยำงหนิงก็รู้สึกหนำวถึงกระดูก
เขำรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ำยก็ตัดสินใจ ชักมีด
สั่นของเขำออกมำ แล้วกระโดดลงจำกกำแพงเข้ำไป
ในเรือน
เขำค่อยๆ เดินเข้ำไป เห็นห้องเต็มไปด้วยซำก
ปรักหักพังเต็มไปหมด ประตูห้องทั้งเก่ำทั้งโทรม
หลำยปีมำนี้ไม่มีกำรซ่อมแซมเลย บำนประตูพุพังไป
หมดแล้ว
มือขวำเขำจับมีดสั้นไว้แน่น มือซ้ำยค่อยๆ ผลักประตู
ออกไป ประตูมีเสียงดัง “กึกกึกกึก” หลังจำกผลัก
ประตูออกไป ภำยในนัน้ มีกลิ่นอับๆ ของควำมเก่ำ มัน
ฉุนเข้ำจมูกมำก และมีกลิ่นเหม็นยิ่งนัก หยำงหนิงยก
มือขึ้นพัด แล้วค่อยๆ เดินเข้ำไปในห้อง ในห้องหลัง
ใหญ่มีสำมห้องย่อย ซ้ำยขวำและตรงกลำงห้องโถง
อย่ำงละห้อง
ภำยในห้องโถง ตกแต่งอย่ำงเรียบง่ำย ตรงกลำงมีโต๊ะ
ตัวหนึ่ง มีเก้ำอี้สองตัว ตรงหัวมุมห้องมีชั้นวำง แต่ว่ำ
มันผุพังมำกแล้ว แต่ว่ำฐำนของมันยังคงดีอยู่ ก็ไม่รู้ว่ำ
โต๊ะเก้ำอี้พวกนี้ทำจำกอะไรถึงได้แข็งแรงเช่นนี้ ไม่มี
ร่องรอยผุพังเลย แค่มีฝุ่นบำงๆ เท่ำนั้น
หยำงหนิงมองไปรอบๆ แล้วค่อยๆ เดินไปที่ห้อง
ทำงด้ำนซ้ำย เขำผลักประตูเข้ำไป ประตูบำนนี้มัน
ไม่ได้ล็อคกุญแจเอำไว้ หยำงหนิงค่อยๆ ดันเข้ำไป
แสงจันทร์สำดเข้ำมำด้ำนใน ถึงแม้จะเป็นกลำงดึก
ภำยในห้องก็มืดสลัว แต่อำศัยแสงจันทร์ ก็สำมำรถ
มองเห็นได้อย่ำงชัดเจน กำแพงในห้องด้ำนที่ตรงกับ
ประตู มีโต๊ะเล็กๆ วำงอยู่ บนนั้นเหมือนมีของ
บำงอย่ำงวำงไว้อยู่ หยำงหนิงเดินเข้ำไปในห้อง มอง
ไปด้ำนใน เห็นที่มุมห้องมีเตียงไม้อยู่ตัวหนึ่ง ด้ำนบน
ไม่มีฟูกและผ้ำห่ม แต่ว่ำเตียงไม้อยู่ในสภำพที่ดีมำก
ไม่ผุพังเลยแม้แต่น้อย
หยำงหนิงรู้สึกแปลกใจมำก
ตำมที่เหวยต้งบอก หลำยสิบปีก่อน เรือนนี้ถูกปิดตำย
ไม่เคยมีผู้ใดเข้ำมำอีกเลย หำกเป็นจริงตำมที่เหวยต้
งบอกมำ หลำยสิบปีมำนี้ ของในห้องนี้ก็ไม่น่ำจะอยู่
ในสภำพที่ดีเช่นนี้ ต่อให้ไม้ของเครื่องเรือนในบ้ำนจะ
ดีเพียงใดก็ตำม แต่หลังจำกที่เข้ำมำในห้อง กลับไม่
เห็นหยักไย่สักนิด
เขำรู้ดีว่ำ อย่ำว่ำแต่สิบปีเลย ต่อให้ไม่กี่ปีห้องที่ไม่มี
คนอยู่เช่นในห้องนี้ ก็ต้องมีหยักไย่อยู่ทั่ว แต่ว่ำใน
เรือนนี้ไม่ว่ำจะเป็นห้องโถงหรือในห้องนี้ กลับไม่เห็น
หยำกไย่แม้แต่เส้นเดียว มันผิดปกติเกินไป
เขำย้อนคิดไปถึงเมื่อครู่ที่เขำเดินไปลูบโต๊ะ บนโต๊ะมี
ฝุ่นจริง แต่จำกประสบกำรณ์ของหยำงหนิง หำกไม่
เคยมีใครเข้ำมำทำควำมสะอำดในห้องที่ไม่มีคนอยู่ถึง
สิบกว่ำปี บนโต๊ะก็จะต้องมีฝุ่นหนำแน่นอน แต่เมื่อครู่
ที่เขำจับดูเป็นเพียงฝุ่นชั้นบำงๆ เท่ำนั้น หำกคำนวณดู
แล้ว ก็น่ำจะไม่ได้ทำควำมสะอำดมำแค่ไม่กี่เดือนมำนี้
เอง
หรือว่ำในห้องนี้มีผีจริงๆ หรือ? ผีภำยบ้ำนนี้สำมำรถ
ทำควำมสะอำดด้วยหรือ?
หรือว่ำเหวยต้งจะโกหก เรือนนี้มีคนมำทำควำม
สะอำดอยู่เป็นระยะๆ หรือไม่?
ห้องตกแต่งอย่ำงเรียบง่ำย หยำงหนิงเดินเข้ำไปด้ำน
ใน เดินเข้ำไปใกล้โต๊ะเล็กๆ พบว่ำมีโต๊ะเครื่องแป้ง
ของผู้หญิงอยู่ ก็นึกถึงที่กู้ชิงฮั่นพูด ว่ำก่อนหน้ำนี้
เหมือนจะมีผู้หญิงตำยอยู่ที่นี่คนหนึ่ง ตอนนี้เห็นโต๊ะ
เครื่องแป้ง ก็รู้ว่ำต้องเป็นผู้หญิงคนที่กู้ชิงฮั่นพูดถึง
อย่ำงแน่นอน
ในสมองของเขำตอนนี้ภำพของผีผู้หญิงผมยำวปิด
หน้ำก็ลอยขึ้นมำไม่หยุด ทำให้เขำหลังเย็นแปลกๆ
เมื่อมองไปรอบๆ ก็สูดหำยใจเข้ำลึกๆ มองดูอย่ำง
ละเอียด ก็พบว่ำบนโต๊ะมีกล่องเครื่องสำอำงกล่อง
หนึ่ง ฝำของมันปิดอยู่ มือขวำของเขำถือมีดสั้นในมือ
เขำยื่นมือออกไป แล้วเปิดกล่องนั้นออก
พบว่ำภำยในกล่องนั้นไม่ได้เป็นกล่องเปล่ำ ภำยในนั้น
มีเครื่องสำอำงอยู่ ยังมีต่ำงหู กำไล ไม่ว่ำจะเป็นต่ำงหู
หรือกำไล รูปแบบประณีตมำก แต่ว่ำทำมำจำก
ทองแดง ไม่ได้มีมูลค่ำอะไร หยำงหนิงคิดว่ำตระกูลฉี
เป็นตระกูลเศรษฐีในเจียงหลิง สำมำรถอยู่ในจวนที่
เป็นส่วนตัวได้เช่นนี้ ผู้หญิงคนนี้จะต้องไม่ใช่สำวใช้
ธรรมดำแน่นอน อยู่ในจวนนำงจะต้องมีตำแหน่งอะไร
แน่ๆ ตำมหลักแล้วต่อให้ไม่มีกำไลทอง อย่ำงน้อยก็
ต้องเป็นกำไลเงิน แต่ในกล่องนี้กลับมีแค่กำไล
ทองแดง ซึ่งมันดูไม่สอดคล้องกับฐำนะของบ้ำน
ตระกูลฉีสักเท่ำไหร่
แป้งแต่งหน้ำแห้งไปแล้ว นอกจำกนี้ก็ไม่มีสิ่งของอะไร
อีก
หยำงหนิงค่อยๆ ปิดฝำกล่องลง พบว่ำบนโต๊ะเครื่อง
แป้งมีลิ้นชักอยู่ ก็ค่อยๆ เปิดออก ด้ำนในพบของสอง
สิ่ง อย่ำงแรกคือกระจก อย่ำงที่สองเป็นห่อผ้ำแพรสี
ดำ มันเป็นทรงยำว ในเวลำเช่นนี้ หยำงหนิงไม่คิดจะ
ไปแตะกระจก หยิบกระจกมำดูในบรรยำกำศวังเวง
เช่นนี้ อำจจะเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นในกระจกนี้ก็
เป็นได้
เขำหยิบถุงผ้ำแพรที่ห่อของขึ้นมำ ห่อผ้ำแพรปัก
ละเอียดมำก น่ำจะเป็นของมีค่ำมำก เมื่อเปิดผ้ำแพร
ออก ด้ำนในก็มีของสิ่งหนึ่งอยู่ในผ้ำแพรผืนนั้น
ตอนนี้ใบหน้ำของหยำงหนิงตกตะลึงมำก
ขลุ่ย!
ของในห่อผ้ำแพรเป็นขลุ่ย
ครู่หนึ่ง หยำงหนิงก็นึกถึงที่เหวยต้งพูดว่ำในเรือนนี้จะ
มีเสียงขลุ่ยดังขึ้นทุกปี หรือว่ำเสียงขลุ่ยนั้นมำจำกขลุ่ย
เล่มนี้รึ?
ขลุ่ยเล่มนี้สวยงำมมำก ถึงแม้ดูไปแล้วจะมีอำยุ
พอสมควร แต่ยังคงสภำพดี ไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่น้อย
“เป็นคนแน่ๆ...!” หยำงหนิงพูดกับตัวเอง ในตอนนี้
เองเขำเหมือนจะเข้ำใจอะไรบำงอย่ำง ในควำมคิด
ของเขำ เรื่องผีในเรือนนี้น่ำจะไม่ใช่เพรำะเคยมีคน
ตำยที่นี่ ถึงได้สั่งห้ำมเข้ำมำ เมื่อเวลำนำนเข้ำพอไม่มี
ใครเข้ำออกบรรยำกำศมันก็จะวังเวง เมื่อมันลึกลับ ก็
จะเกิดกำรคำดเดำไปต่ำงๆ นำๆ
เขำเชื่อว่ำ ผู้ที่เป่ำขลุ่ยไม่น่ำจะใช่ผี แต่น่ำจะเป็นคนที่
เข้ำมำที่นี่ทุกปี ไม่เพียงมำเป่ำขลุ่ย แถมยังมำทำควำม
สะอำดที่นี่ด้วย
เรือนนี้ไม่มีคนอำศัยอยู่นำนหลำยปี กลับมีเสียงขลุ่ย
ดังอยู่เป็นระยะ คนอื่นก็เข้ำใจผิดคิดว่ำเป็นผี
ส่วนสองคนที่ปีนกำแพงเข้ำมำ คิดว่ำน่ำจะเป็นคนที่
เป่ำขลุ่ยคนนี้ที่เป็นคนฆ่ำแน่นอน เพรำะพวกเขำ
น่ำจะเข้ำมำเจอคนที่เป่ำขลุ่ยอยู่พอดี เมื่อทั้งสองพบ
หน้ำกัน จึงลงมืออย่ำงเหี้ยมโหด
หยำงหนิงขมวดคิ้ว หำกตัวเขำเดำไม่ผิด คนที่อยู่ใน
ห้องนี้จะต้องเป็นคนไม่ใช่ผีแน่นอน คนผู้หนึ่งมำที่
เรือนนี้ไม่เคยขำดเลยตลอดสิบปี มำทำควำมสะอำด
แล้วก็เป่ำขลุ่ยอยู่หลำยคืน แถมเมื่อมีคนบุกเข้ำมำยัง
ลงมือสังหำรอีก คนผู้นี้เป็นใครกัน?
เขำกับจิ่นอีโหวตระกูลฉี มีควำมเกี่ยวข้องอะไรกัน?
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 89 กระบี่ในภาพวาด
หยางหนิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วทาการเก็บขลุ่ยเข้าไปใน
ห่อผ้า เก็บเข้าไปในลิ้นชักเหมือนเดิม แล้วเดินไปยัง
อีกห้องที่อยู่ตรงข้ามกัน
เขาคิดว่าห้องนี้น่าจะมีของอยู่บ้าง แต่เมื่อเข้าไปใน
ห้องแล้วก็พบว่า ในห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีสิ่งของใดๆ
เลย มีเพียงเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งเท่านั้น ข้างๆ มีกองหญ้า
หนึ่งกอง
เขาเดินเข้ามาถึง จึงได้พบว่า ที่มุมกาแพง โต๊ะเล็กที่
วางพู่กันกับแท่นฝนหมึกอยู่นั้น น้าหมึกในแท่นฝน
หมึกนั้นแห้งไปแล้ว เขายื่นมือไปจับ เป็นแท่นฝนหมึก
ธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง แถมมันยังแห้งแข็งเป็นหินอีกด้วย
ในใจของเขาก็นึกแปลกใจ แอบคิดว่าตอนนั้นมีผู้หญิง
คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ หรือว่าแท่นฝนหมึกนี้เป็นของ
ผู้หญิงคนนั้นทิ้งไว้อย่างนั้นหรือ?
จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นกระดาษ
แผ่นหนึ่งที่เริ่มเหลืองแล้ว เขาหยิบขึ้นมาดู กระดาษ
นั้นขาดไปครึ่งหนึ่ง แต่ด้านบนเหมือนจะเป็นรูปภาพ
ภาพหนึ่ง กระดาษแผ่นนี้ไม่สมบูรณ์นัก ตอนนี้ก็มอง
ไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร ขณะที่กาลังสงสัย ก็เห็น
ด้านล่างกองหญ้าเหมือนมีกระดาษอีกครึ่งหนึ่งโผล่
ออกมา เขาจึงเดินไปแหวกกองหญ้าออกมา เห็นมี
เศษกระดาษมากมายเต็มพื้นไปหมด
หยางหนิงหยิบกระดาษที่ค่อนข้างสมบูรณ์ขึ้นมา แล้ว
เดินไปที่ริมหน้าต่าง อาศัยแสงจันทร์มอง พบว่าบน
กระดาษเป็นภาพของคน
วิชาการวาดภาพดูไม่ชานาญเท่าไหร่ แต่ก็สามารถดู
ออกว่าเป็นภาพของคน ในมือเหมือนจะถือดาบ ชี้ขึ้น
ด้านบน ขาทั้งสองข้างโก่งโค้ง ท่าทางแปลกยิ่งนัก
หยางหนิงรู้สึกตกใจ ในใจก็คิดว่าผู้หญิงที่อาศัยอยู่ที่นี่
มาก่อนเป็นวรยุทธ์ด้วยหรือ?
ภาพพวกนี้มันเป็นเคล็ดวิชากระบี่กระบวนหนึ่ง
เขาหันหลังไป แล้วเดินไปย้ายกองหญ้าออก จากนั้นก็
เก็บกระดาษที่อยู่บนพื้นนั้นขึ้นมาทั้งหมด มีประมาณ
สี่สิบห้าสิบแผ่น
โดยกระดาษพวกนี้มีกว่าสิบแผ่นที่ไม่สมบูรณ์ แต่กว่า
ครึ่งยังคงดีอยู่ แต่เนื่องจากมันเก่ามากแล้วมันจึงเป็น
เหลือง หยางหนิงหยิบกระดาษพวกนี้ออกจากห้องไป
แล้วนั่งอยู่บนพื้นหน้าประตู เขาไม่ได้กังวลว่าจะมีใคร
เข้ามาเห็น เพราะทั่วทั้งจวนคิดว่าเรือนแห่งนี้เป็น
เรือนผีสิง ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมี
ใครกล้าปีนเข้ามาหรือไม่
เขาหยิบกระดาษขึ้นมาดูทีละแผ่น คิดไว้ไม่มีผิดบน
กระดาษเหล่านี้ ทั้งหมดคือเคล็ดวิชากระบี่
คนที่อยู่บนกระดาษค่อนข้างผ่อนคลาย แต่ว่าท่าทาง
การออกอาวุธขาดูโก่งโค้ง กระบี่ในมือนั้นยาว เห็นแต่
เพียงเส้นยาวๆ แต่ว่ากระบี่นั้นกลับดูมีพลังเหมือนจริง
ท่าทางของคนในภาพมีหลายๆ ภาพที่ปกติ แต่ส่วน
ใหญ่นั้นแปลก มีบางท่าที่นอนอยู่ที่พื้น มีบางท่าที่
คลานอยู่ที่พื้น บ้างก็นั่งยอง หรือไม่ก็กระโดด การ
เปลี่ยนท่าของกระบี่นั้นแปลกยิ่งนัก
ก่อนที่หยางหนิงจะข้ามเวลามานอกจากการฝึก
วิชาการต่อสู้แล้ว เขาก็เคยฝึกการใช้อาวุธมือ ถึงแม้
จะไม่เคยใช้กระบี่ แต่กระบองก็เคยจับมาบ้าง อาวุธ
ทั้งสองอย่างเป็นแบบยาวเหมือนกัน ถึงแม้ท่าทางจะ
มีความต่างอยู่บ้าง แต่ก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน
แต่ว่ากระบวนท่าในภาพนั้น มันเกินกว่าที่ตัวเขาเคย
ได้รู้ได้เห็นมา
เขากลับรู้สึกว่า มีหลายท่าทางที่ไม่สามารถทาออกมา
ได้ มันเป็นการฝืนกฎธรรมชาติของร่างกาย เช่นมีอยู่
ท่าหนึ่งมือขวาจับกระบี่ แต่มือขวากลับยกขึ้นไปบน
ศีรษะ ส่วนกระบี่ทรงยาวก็อ้อมไปอยู่ที่หลัง เอียงไป
ทางด้านซ้าย ท่าทางการบิดตัวเช่นนี้มันประหลาดยิ่ง
นัก วิชากระบี่ปกติ ไม่มีทางทาเช่นนี้แน่นอน จากที่ห
ยางหนิงดู มันไม่สามารถทาให้ศัตรูถึงแก่ความตายได้
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีวิชากระบี่อยู่อย่าง
หนึ่งไม่ได้มีไว้เพื่อทาร้ายใคร แต่มีไว้เพื่อแสดงเท่านั้น
ในตระกูลใหญ่ๆหลายตระกูล จะมีการเลี้ยงพวก
นางราไว้ไม่น้อย ถึงแม้จะมีการร่ายราหลายอย่างที่มี
ไว้เพื่อแสดงความอ่อนโยนของผู้หญิง แต่ก็มีการร่าย
ราบางประเภทที่พิเศษหน่อย การร่ายรากระบี่ก็เป็น
อย่างหนึ่ง
การแสดงการร่ายราเช่นนี้มันทาให้ผู้หญิงดูสวยงามมี
กาลังและคมคาย ใช้กระบี่มาร่ายรา มีทั้งอ่อนทั้งแข็ง
มันทาให้รู้สึกงดงามยิ่งนัก
แต่ว่าระบากระบี่นั้นมันก็เป็นการร่ายราชนิดหนึ่ง
ท่าทางพิเศษสวยงาม แต่ใช้ประโยชน์จริงไม่ได้
หยางหนิงเห็นเคล็ดวิชากระบี่นี้มีท่าทางที่แปลก อีก
ทั้งก่อนหน้านี้ที่นี่มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ จึงคิด
ขึ้นมาได้ว่าภาพพวกนีอ้ าจจะเป็นท่าทางการร่ายรา
กระบี่ก็ได้ หรือว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นี่คนเดียวรู้สึกเบื่อ
จึงวาดภาพการร่ายราพวกนี้ออกมา
เขาคิดไปครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปหาไม้มาท่อนหนึ่ง
แล้วทาท่าเหมือนกับที่อยู่ในภาพ ยกมือขวาขึ้นมาไว้
บนหัว แล้วอ้อมไม้ในมือไปไว้ด้านหลัง เขารู้สึกแปลก
มากๆ ไม่ค่อยสบายตัว อย่าว่าแต่ทาท่าทางแบบ
ธรรมดาเลย ต่อให้ตั้งใจทามันออกมา ยังต้องใช้เวลา
มากเลยทีเดียว
เมื่อทาท่าทางออกมาได้แล้ว หยางหนิงรู้สึกว่าตัวเอง
เหมือนคนบ้า เขาส่ายหัวแล้วยิ้มเจื่อนๆ ในใจก็คิดว่า
ตัวเองเป็นผู้ชายทั้งแท่ง หากนี่เป็นท่าการรากระบี่จริง
คิดว่าก็น่าจะเป็นท่าทางของผู้หญิง ร่างกายของ
ผู้หญิงอ่อนกว่า อาจจะทาออกมาแล้วสวยก็ได้ ตัวเอง
เป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะทาอย่างไรมันก็ไม่สวย
เขาทิ้งไม้ลง แล้วกลับมานั่งที่เดิม แล้วดูภาพใน
กระดาษต่อ ทันใดนั้นเองก็ขมวดคิ้ว เหมือนคิดอะไร
ออก
เส้นวาดในภาพนั้น ลงแรงหนักยิ่งนัก แถมยังไม่
ละเอียด แต่เส้นชัดเจนและพลิ้วไหว
หยางหนิงขมวดคิ้ว
เขารู้ดีว่าการเขียนอักษรของชายหญิงมีความแตกต่าง
ลายเส้นของผู้หญิงนั้นจะอ่อนและจริงจัง ส่วนแรงที่
ลงจะไม่หนักมาก แต่ว่าภาพเคล็ดวิชานี้ มันกลับเต็ม
ไปด้วยการลงแรง ลายเส้นไม่เหมือนของคนรุ่นหลัง
หากไม่ใช่ว่าลงแรงมาก มันจะทาให้การเคลื่อนไหวไม่
คงที่ หากใช้แรงมากเกินไป มันก็ทาให้ลายเส้นไม่
สวยงาม
ภาพเหล่านี้ถึงแม้จะเรื่อยเปื่อยแต่ลายเส้นคงที่ หยาง
หนิงดูแล้วรู้สึกว่าลายเส้นนี้มันเหมือนลายเส้นของ
ผู้ชาย ในใจก็นึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่าในเรือนนี้
เคยมีผู้ชายอาศัยอยู่มาก่อนหรือ?
กู้ชิงฮั่นเคยบอกว่ามีผู้หญิงอาศัยอยู่ที่นี่ มีจุดหนึ่งที่
แน่นอน เจ้าของเรือนนี้เป็นผู้หญิงแน่นอน ต่อให้จะมี
คนมาคอยรับใช้ ก็ต้องเป็นสาวใช้ ไม่มีทางให้ผู้ชายมา
รับใช้อย่างแน่นอน ชายคนนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับ
ผู้หญิงเจ้าของเรือนนี้กันแน่?
เขาหน้านิ่งไป แล้วพลิกกระดาษดู ไม่นานนัก เขาก็
คิดอะไรออก เหมือนจะเห็นอะไรในภาพนั้น
ในสิบกว่าภาพนี้ มีเจ็ดถึงแปดภาพเป็นท่านอน ในห้า
ถึงหกภาพเป็นภาพนั่ง เขามองไปที่ภาพกระบี่ที่เอียง
ก่อน พบว่าไม่ได้มีแค่ภาพเดียว ในภาพๆ นั้นเหมือน
จะท่าทางเหมือนกัน คือมือขวายกขึ้นบนศีรษะ แต่
กระบี่ทรงยาวอ้อมไปด้านหลัง แล้วเอียงไปด้านซ้าย
มือซ้ายยกขึ้นมาแนบไว้ที่หน้าผาก
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แยกประเภทของภาพ
ออกมา นาภาพนอนเอามาไว้รวมกัน ท่าทางกระบี่
คล้ายกันเอามาไว้เหมือนกัน แล้วจัดหมวดใหม่
สามารถแบ่งได้หกประเภท
มันบอกกับเขาว่า เคล็ดกระบี่นี้มันแปลกมาก มันคง
ไม่ได้เป็นแค่การร่ายรากระบี่ธรรมดาทั่วไปแน่ๆ น่าจะ
มีเงื่อนงาอะไรบางอย่าง
ถึงแม้กระดาษพวกนั้นจะขาดไปบ้าง แต่หยางหนิง
ยังคงพยายามทาให้มันเหมือนเดิม แต่มันก็ไม่สามารถ
ทาได้ ทาได้แค่คาดเดาจากร่องรอยที่เหลืออยู่เท่านั้น
หลังจากที่แบ่งเป็นหกประเภทแล้ว หยางหนิงก็มอง
ภาพท่าทางที่นอนอยู่บนพื้นที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ แล้ว
ตรวจดูอย่างละเอียดอีกรอบ
ตอนนี้ที่เขาจัดหมวด ก็พอมองออกแล้วว่า มีแปด
ภาพที่แบ่งการออกท่าทางก่อนหลัง แต่ในภาพไม่มี
เลขบอก จึงไม่รู้ว่ามันเริ่มจากภาพใดก่อนเป็นภาพ
แรก
เมื่อคิดดูแล้ว ก็มานั่งจัดภาพทั้งแปดภาพ ภาพใบที่
แปดดูออกง่ายมากว่าน่าจะเป็นภาพแรก เพราะใน
ภาพมันเป็นท่านอน มือขวาหยิบกระบี่ขึ้นมา แล้วก็ไม่
มีท่าทางอะไรอีก
หยางหนิงเคยฝึกการต่อสู้ มีจุดหนึ่งที่เขาชัดเจนมาก
การฝึกกังฟูหรืออาวุธใดกระบวนท่าทางท่าแรกนั้นก็
คือท่าทางการยกหรือถืออาวุธ มีเพียงการยกมือหรือ
การถืออาวุธที่ไม่ผิด ก็จะสามารถปล่อยหรือฝึกไป
ในทางที่ถูกต้องได้ หากผิดตั้งแต่เริ่ม ถ้าอย่างนั้นต่อไป
ก็จะผิดไปตลอด
เมื่อแน่ใจท่าแรกแล้ว หยางหนิงก็จัดการกระบวนท่า
ต่อไป เขารู้สึกว่าเสียเวลามาก เพราะแต่ละท่ามัน
แปลกประหลาดมาก มันไม่ใช่เคล็ดวิชากระบี่ที่คน
ปกติคิดได้กัน มีเพียงหนึ่งกระบวนที่ขาซ้ายมีการ
ยกขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนกระบี่ทรงยาวนั้นรอดผ่านขา
ไป แล้วเอียงขึ้นด้านบน ท่าทางเช่นนี้มันแปลกมากๆ
เขาหวังว่าจะสามารถค้นหาอะไรที่เชื่อมโยงกับภาพได้
อีก เช่น จากกระบวนท่านี้และต่อไปก็เป็นกระบวน
ท่าอื่นๆ อีก แต่ทั้งแปดภาพนั้นมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน
นั่นก็คือมันเป็นท่านอนทั้งหมด หากจะหาความ
เชื่อมโยง จริงๆ ก็ไม่ง่ายเลย
หยางหนิงวิ่งไปเก็บไม้ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วนอนลง
ตรงหน้าประตู โดยเริ่มจากการหยิบไม้ขึ้นมา ในสมอง
พยายามนึกภาพอีกเจ็ดภาพตาม คิดมาคิดไป ก็ไม่
สามารถทาท่าทางออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติเลย
เขาหลับตา ไม่ขยับตัว ผ่านไปนานมาก ทันใดนั้นก็ยก
มือขึ้นมา แล้วยกไปด้านซ้าย ไม่รอให้ไม้ถูกตัว ท่าทาง
ทัง้ หมดเป็นไปตามในภาพ
เขาลืมตาขึ้นมา เงยหน้ามองท่าทางของตัวเอง เห็นไม้
ในมือเหมือนจะเหยียดตรงแนบไปกับขาขวา จึงรีบลุก
ขึ้นมา แล้วไปมองที่ภาพ เห็นท่าทางเหมือนกับใน
ภาพ แต่ว่าในภาพเป็นกระบี่ที่แนบตรงไปกับขาขวา
ถึงแม้จะมีต่างไปบ้าง แต่หยางหนิงเริ่มรู้สึกตื่นเต้นไม่
น้อย เขาแอบคิดว่าตัวเองคิดอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็คิด
การเชื่อมโยงระหว่างสองกระบวนท่าออกมาได้ ถึงแม้
จะไม่รู้ว่าถูกหรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ลอง การ
เปลี่ยนท่าเหมือนจะง่าย แต่ว่าหากไม่ถลาลงลึกเช่นนี้
คิดว่ามือกับกระบี่มันจะทาออกมาได้อย่างไร
จริงๆ แล้วหยางหนิงก็ไม่รู้หรอกว่ากระบวนท่าในภาพ
มันมีค่ามากน้อยเพียงใด หรือว่าคนที่ทามันขึ้นมาเพื่อ
ฆ่าเวลาแก้เบื่อเท่านั้น คนในภาพอาจจะไม่สามารถ
ทาท่าทางเช่นนี้ออกมาได้จริง แต่ว่าหยางหนิงก็คิด
ขึ้นมาได้ว่า ในเรือนนี้ลึกลับแปลกๆ อยู่แล้ว ภาพพวก
นี้ก็เก่าจนเหลืองแล้ว อายุก็หลายปี ในเมื่อยังเหลืออยู่
ที่นี่ ก็อาจจะมีวิชาเช่นนี้จริงๆ ก็ได้
ก่อนหน้านี้เขาได้พลังหกเทพประสานมาจากมู่เสิน
จวินโดยบังเอิญ แล้วก็ได้วิชาเท้าท่องคลื่นมาจากโครง
กระดูก ทั้งหมดได้มาเพราะความบังเอิญทั้งนั้น หก
เทพประสานยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ว่าท่าเท้าท่องคลื่น
นั้นมันแปลกประหลาดยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เหมือนจะ
ดวงดีเล็กน้อย วันนี้ภาพพวกนี้ หากเป็นเคล็ดวิชา
กระบี่จริงๆ หากตัวเขาทิ้งมันไป มันก็น่าเสียดายไม่
น้อย
---------------------------------
บันทึกลับองครักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 3 ตอนที่ 90 ลูกอมหนังวัว
หยางหนิงอยู่กับแผ่นภาพวาดนี้ทั้งคืน แล้วลองฝึกเอง
เป็นระยะๆ พริบตาเดียว ฟ้าก็สว่างแล้ว
เขารู้ว่าหากใครรู้ว่าเขาแอบเข้ามาในเรือนนี้เข้า ต่อให้
เขาจะเป็นจิ่นอีโหวซื่อจื่อ แต่มันก็ดูไม่เหมาะสม
เท่าไหร่ เพราะอย่างไรที่นี่ก็ถูกสั่งห้ามเข้าโดยท่าน
เหล่าโหว ตัวเขาไม่สามารถอ้างสิทธิในฐานะได้ แถม
ยังละเมิดกฎของตระกูลด้วย อาจจะทาให้คนอื่น
ครหาเอาได้
เขาจัดระเบียบภาพวาดเก็บเข้าในเสื้อของตัวเอง แอบ
คิดในใจว่ากระดาษพวกนี้ถูกทิ้งไว้อย่างนั้นตั้งหลายปี
คงไม่มีใครสนใจ หากตัวเขาหยิบไปก็คงไม่มีใครสนใจ
จากนั้นเขาก็ปีนกาแพงออกไป กลับไปที่ห้องนอนของ
ตัวเอง แล้วเอาผ้ามาห่อกระดาษพวกนี้เอาไว้ แล้วยัด
เข้าไปใต้เตียง หลังจากเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยินเสียง
เรียกมาจากด้านนอก มีบ่าวไพร่นาน้ามาให้ล้างหน้า
หยางหนิงล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนเดินมาเชิญไป
ทานอาหารเช้า เมื่อถึงห้องอาหาร ฉีเฟิงก็มารออยู่
ก่อนแล้ว แต่กลับไม่เห็นกู้ชิงฮั่น
เขารู้ว่าหลายวันนี้กู้ชิงฮั่นรู้สึกเหนื่อยมาก คิดว่าน่าจะ
ยังนอนพักอยู่ เขาเหลือบไปมองเหวยต้งที่ยืนอยู่ข้างๆ
แล้วถามว่ : “ฮูหยิมสามยังไม่ตื่นอีกรึ?”
“เรียนซื่อจื่อ ส่งคนไปเรียกแล้ว คิดว่าฮูหยินสามยังคง
พักอยู่ เพราะไม่มีเสียงตอบรับเลย ข้าน้อยเองก็ไม่
กล้ารบกวน ซื่อจื่อท่านวางใจได้ ทางห้องครัวได้
เตรียมอาหารไว้แล้ว เมื่อไหร่ที่ฮูหยิมสามตื่น เราจะ
จัดอาหารไปให้ทันทีขอรับ” เหวยต้งตอบอย่างเคารพ
ทางจวนเก่ามีกฎระเบียบของจวน อาหารวันละสาม
มื้อจะต้องขึ้นโต๊ะตรงเวลา ต้องเรียงตามลาดับด้วย
พวกของฉีเฟิงอย่างไรก็เป็นบ่าวไพร่ ไม่สามารถร่วม
โต๊ะกับหยางหนิงได้ แต่หยางหนิงไม่ชินกับการชีวิต
แบ่งชนชั้นเช่นนี้ จึงสั่งให้นาอาหารของพวกฉีเฟิงมา
จัดที่โต๊ะอาหารด้วย
ห้องอาหารของจวนเก่ามีโต๊ะอาหารสองโต๊ะ มีโต๊ะ
ด้านหน้ากับด้านหลัง แต่ว่าด้านหน้าจะเป็นโต๊ะที่
ประณีตราคาแพงหน่อย
หยางหยิงให้จัดอาหารของฉีเฟิงอยู่โต๊ะเดียวกับเขา
ส่วนคนอื่นๆ อยู่อีกโต๊ะ เมื่ออาหารมาถึง หยางหนิง
สั่งให้คนๆ อื่นออกไปจนหมด แล้วพูดกับฉีเฟิงว่า
“เจ้ารีบกินให้เสร็จ กินเสร็จแล้ว เจ้าพาคนสองคนไป
ที่จิงโจว”
ฉีเฟิงตกใจ แล้วถามว่า “เมืองจิงโจวหรือขอรับ?” เขา
คิดในใจว่าเมื่อคืนเขาเพิ่งจะมาจากที่นั่น ตอนนี้จะให้
เขากลับไปที่นั่นอีกหรือ?
“เจ้าไปหาท่านเจ้าเมืองเจียงหลิง” หยางหนิงพูดว่า
“เมื่อพบท่านเจ้าเมืองเจียงหลิง ถามเขาดูว่าเขาได้ส่ง
คนคุ้มกันเงินภาษีไปเมืองหลวงหรือไม่ หากเขาส่งคน
ไปจริง เจ้าก็พาคนที่คุ้มกันเงินภาษีไปเมืองหลวง
กลับมาสักสองคน ข้าจะสอบสวนพวกเขาเอง”
“หา?” ฉีเฟิงตกใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เงินภาษี...เงิน
ภาษีส่งไปแล้วหรือขอรับ?” เขาพาคนคุ้มกันกู้ชิงฮั่น
กลับมายังเจียงหลิง เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นเพราะ
เรื่องเงินภาษีล่าช้า
“เจ้าไม่ต้องถามมาก” หยางหนิงพูดว่า “เจ้ารู้จักเจ้า
เมืองเจียงหลิงหรือไม่?”
ฉีเฟิงรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองเจียงหลิง
เป็นขุนนางใสซื่อมือสะอาด เป็นคนที่ท่านแม่ทัพเสนอ
ท่านแม่ทัพจะสนับสนุนกับเสนอคนนั้นน้อยมาก แต่
ว่าเพื่อความรุ่งเรืองของเจียงหลิง จึงเสนอขุนนางที่มี
ความสามารถและซื่อตรงมารับตาแหน่งเจ้าเมือง”
จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ข้าน้อยเคยพบท่านเจ้าเมือง
คนนี้สองครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะจาข้าน้อยได้
หรือไม่แต่ว่าหากพูดถึงจิ่นอีโหว เขาก็หน้าจะไว้หน้า
อยู่บ้าง น่าจะให้ความร่วมมือดีอยู่”
“ถ้างอย่างนั้นก็ดี” หยางหนิงพูดว่า “มีอีกเรื่อง
พ่อบ้านใหญ่คนเดิมของบ้านเก่าเหมือนจะป่วยหนัก
ตอนนี้เขาก็อยู่ที่จิงโจวเหมือนกัน หากเรื่องนี้เป็นเรื่อง
จริง ท่านเจ้าเมืองเจียงหลิงก็น่าจะรู้เรื่องด้วย
เหมือนกัน เจ้าก็ให้ท่านเจ้าเมืองช่วยเจ้าตามหาที่อยู่
ของพ่อบ้านใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาทางานให้กับ
ตระกูลฉีมานานหลายปี เราจะไม่ถามไถ่เลยก็ไม่ได้
เจ้าไปเยี่ยมเขาแทนข้าที”
ฉีเฟิงพูดว่า “ซื่อจื่อโปรดวางใจ” แล้วพูดเสียงเบาๆ
ว่า “ซื่อจื่อท่านมีอะไรจะสั่งข้าน้อยอีกหรือไม่ขอรับ?”
หยางหนิงนิ่งไป แล้วพูดเบาๆ ว่า “เจ้ารู้เรื่องพ่อบ้าน
ใหญ่ดีเพียงใดรึ?”
“ข้าน้อยรู้แค่ว่าบ้านเกิดของพ่อบ้านใหญ่อยู่ที่เจียง
เซี่ย แต่ว่าเป็นคนสกุลเดียวกับตระกูลฉี หลายปีก่อน
มีการไปมาหาสู่กับท่านเหล่าโหว แต่ว่าไปมาหาสู่เรื่อง
ไหน ข้าน้อยมิทราบ” ฉีเฟิงพูดเบาๆ ว่า “แต่ว่าตอน
นั้นพ่อบ้านใหญ่ก็ได้มาขออยู่ด้วย ท่านเหล่าโหวก็รับ
เขาเอาไว้ แล้วก็ให้เขารับหน้าที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ของ
ที่นี่ ท่านพ่อบ้านใหญ่ทาหน้าที่ได้ดีมาก หลายปีมานี้
พ่อบ้านใหญ่ดูแลที่นี่จนมีกฎระเบียบชัดเจนมากขึ้น”
หยางหนิงถามจึงขึ้นว่า “แล้วเจ้ารู้เรื่องครอบครัวของ
เขาบ้างหรือไม่?” “ในเมื่อเป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวน
เก่านี้ เราไม่มีทางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับครอบครัวเขา
จริงหรือไม่?”
ฉีเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่ค่อยรู้อะไร
มากนัก ในจวนเองก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึงประเด็นนี้
ขอรับ” เขาพูดเสียงเบาๆว่า “ซื่อจื่อ ท่านคิดว่ามี
อะไรที่ผิดปกติใช่หรือไม่ขอรับ? ให้ข้าน้อยส่งคนไป
สืบที่เจียงเซี่ยดูดีหรือไม่ เจียงเซี่ยไม่ไกลกับเจียงหลิง
เท่าไหร่นัก ขี่ม้าเร็วไปกลับใช้เวลาแค่สามสี่วันเท่า
นั้นเองขอรับ”
หยางหนิงคิดๆ แล้วก็พูดว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่
ว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ส่งคนไปเจียงเซี่ยแค่
คนเดียวพอ สืบเรื่องครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่มา
อย่างละเอียด...!”
ฉีเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าน้อยจะรีบไปจัดการ
เดี๋ยวนี้ขอรับ” จากนั้นก็กาลังจะเดินออกไป แต่ห
ยางหนิงเรียกเอาเขา “ไม่กินให้อิ่มก่อนเล่า แล้วเจ้า
จะมีแรงที่ไหนไปทางาน กลับมากินก่อน”
ฉีเฟิงจับหัว แล้วหันไปพูดกับเหล่าองครักษ์ว่า “กิน
เร็วเข้า ยังมีงานต้องทาอีกมาก”
หยางหนิงกินข้าวไปไม่กี่คา เขาไม่ค่อยรู้สึกหิวเท่าไหร่
จากนั้นก็เดินออกไป บังเอิญเห็นเหวยต้งกับบ่าวไพร่
ยืนพูดอะไรกันอยู่ ก็ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปถามว่า
“มาทาอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนี้กันรึ?”
เหวยต้งยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านกินข้าวเสร็จแล้ว
หรือขอรับ? เรากาลังพูดถึงเจ้าคนบ้าที่อยู่ข้างนอกนั่น
ขอรับ”
“คนบ้ารึ?” หยางหนิงถามด้วยความแปลกใจ “คนบ้า
อะไรกัน?”
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ขอรับ จริงๆ แล้วท่านเฉิงบอกว่า
จะกลับมาเมื่อคืน ดังนั้นข้าน้อยจึงไปเฝ้าอยู่ที่หน้า
ประตูใหญ่ จนถึงค่า ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมา” เหวยต้งจึง
อธิบายต่อว่า “ข้าน้อยคิดว่าท่านเฉิงน่าจะมีธุระอื่นอีก
จึงเตรียมจะเข้านอน ก่อนนอน ก็เดินมาดูอีกรอบ
แล้วก็เห็นตัวมีขนนอนอยู่ตรงกาแพงทางทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้ของจวน ตอนนี้ข้าน้อยตกใจมาก
ตอนแรกคิดว่าเป็นหมาจรจัดขอรับ”
“เป็นขนๆ อย่างนั้นรึ?” หยางหนิงขมวดคิ้ว
เหวยต้งรีบพูดว่า “ใช่ขอรับ แต่ว่าพอข้าน้อยถือ
ตะเกียงเดินเข้าไปดู ถึงได้รู้ว่าเป็นคน คนผู้นั้นนอนอยู่
ริมกาแพง น่าจะเป็นพวกขอทาน แต่ว่ามีเสื้อคลุมขน
สัตว์สีดา...!”
“เขาเองรึ!” หยางหนิงตกใจ จากนั้นก็นึกถึงชาย
อัปลักษณ์ขึ้นมา อย่าบอกนะว่าชายอัปลักษณ์นั่นวิ่ง
ตามมาถึงที่นี่เลย? แต่ว่าเขากับกู้ชิงฮั่นทิ้งเขาเอาไว้
กลางทางเมื่อวานนี้ เขารู้ทางมาที่นี่ได้อย่างไรกัน?
อย่าบอกนะว่าจมูกเขาเหมือนหมาดมกลิ่นตามมา
“พาข้าไปดูทีสิ ตอนนี้เขาอยู่ไหน?” หยางหนิงเดินไป
ถามไป
เหวยต้งเดินนาทางไป แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ คนบ้านั่น
ตอนแรกข้าน้อยว่าเช้านี้เขาอาจจะไปแล้วก็ได้ แต่ว่า
เมื่อเช้าตอนที่ข้าน้อยเปิดประตูออกไปดู เขาก็ยังนอน
อยู่ตรงนั้น ข้าน้อยเอาขนมปังให้เขาไปสองชิ้น เขา
กลับขว้างมันทิ้ง ข้าน้อยจึงจาเป็นต้องให้คนใช้ไล่เขา
ไป แต่ว่าเขาก็วิ่งกลับมาอีก ตอนนี้ยังอยู่หน้าประตู
ขอรับ”
หยางหนิงพูดว่า “เขาไม่กินขนมปังหรอก เหตุใดเจ้า
ถึงไม่เอาอย่างอื่นให้เขาแทนเล่า? ข้าว่าอาหารเช้า
วันนี้มีของว่างเยอะแยะเลย เจ้าเอามาให้เขาก็ได้ เหตุ
ใดต้องให้คนไปไล่เขาด้วย?”
เหวยต้งพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ของพวกนั้นไม่ใช่ว่าใครก็
จะกินได้ แต่เพราะซื่อจื่อกับฮูหยินสามอยู่ที่นี่
ห้องครัวถึงได้เตรียมของพวกนั้นไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ที่นี่
ค่อนข้างอยู่ห่างไกลความเจริญ ไม่เหมือนเมืองหลวง
ไม่ค่อยมีอะไรดีๆ ก็มีเพียงของว่างเท่านั้นที่พอจะทา
ได้ ก็เลย...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว รีบไปเอาของพวกนั้นมา” หยางหนิง
พูดอย่างไม่พอใจ “ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง เจ้าไปบอก
คนในจวนด้วย ต่อไปไม่ว่าจะเป็นขอทานหรือว่าคน
ตกยากมาที่นี่ ใครก็ห้ามไล่ห้ามตี ไม่อย่างนั้นข้าจะ
ถลกหนังมัน ใครก็ตามที่ลาบาก เราต้องช่วยเขา เจ้าก็
อายุปูนนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่เข้าใจอะไรเลย?”
เหวยต้งคิดไม่ถึงเลยว่าหยางหนิงจะตาหนิเขาเพราะ
คนบ้าคนหนึ่งอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ จึงรู้สึกกลัวขึ้นมา
บ้าง เขาไม่รู้ว่าหยางหนิงเคยลาบากมาก่อน ถึงแม้จะ
ในเวลาสั้นๆ แต่ประสบการณ์ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น
กลับทาให้หยางหนิงรู้ถึงความลาบากของคนพวกนั้น
เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนเก่าแล้ว ก็พบชาย
อัปลักษณ์สวมเสื้อคลุมสีดาอยู่ที่กาแพง เมื่อได้ยิน
เสียงคนเดินมา ชายอัปลักษณ์ก็หันหน้ามามองสีหน้า
มีอาการหวาดกลัว เมื่อเห็นชัดว่าเป็นหยางหนิง สี
หน้าของชายอัปลักษณ์ก็ยิ้มออกมา แล้วรีบลุก แล้ววิ่ง
มาหาหยางหนิง ยื่นมือแล้วพูดว่า “หิว...กิน...หิว...!”
หยางหนิงเห็นเขามาไม้นี้ จริงๆ แล้วเขาเองก็เป็นคนที่
แข็งมาแข็งตอบอ่อนมาอ่อนตอบอยู่แล้ว เขาก็พูดว่า
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” จากนั้นก็หันไป รับถาด
อาหารมา ในถาดเต็มไปด้วยอาหารดีๆ มากมาย
จากนั้นเขายิ้มแล้วถามว่า “เจ้าอยากกินหรือไม่?”
อาหารพวกนี้เป็นของดีมีกลิ่นหอม ใครๆ ที่ได้กลิ่นก็
จะต้องอยากกิน ชายอัปลักษณ์ยื่นมือจะไปหยิบ
หยางหนิงกลับดึงมือหลบ ชายอัปลักษณ์จับได้แค่
อากาศ เขาเริ่มร้อนใจ หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าดู
มือเจ้าซิ มีแต่ฝุ่น กินแบบนี้ จะไม่สบายเอาได้ หาก
เจ้าอยากจะกินของพวกนี้ ก็ต้องเชื่อฟังข้า เจ้าตาม
พวกเขาไป ให้พวกเขาช่วยอาบน้าให้เจ้า จากนั้น
เปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดก่อน ของพวกนี้ก็จะเป็นของ
เจ้า อย่างนี้ดีหรือไม่?”
การที่ชายอัปลักษณ์ตามมาถึงที่นี่ หยางหนิงคิดว่า
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นอกจากความเร็วที่เหมือนเสือดาว
ของเขาแล้ว เขายังมีความสามารถที่เหนือกว่าคน
ทั่วไป ถึงได้ตามมาถึงที่นี่ได้ ชายอัปลักษณ์ตามมา
เพราะตัวเขา อย่างไรเสียก็ต้องจัดการดูแลให้ดี
ชายอัปลักษณ์รู้สึกร้อนใจ ในใจก็พูดซ้าคาเดิม แล้ว
เดินไปรอบๆ ตัวหยางหนิง คิดแค่อยากจะเอาของมา
กิน
หยางหนิงหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “เจ้าไม่เชื่อฟังข้า
อย่างนั้นหริอ? หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ชิ้นเดียวเจ้าก็จะ
ไม่ได้ ต่อไปนี้ ข้าก็จะไม่ให้อะไรเจ้ากินอีก”
ชายอัปลักษณ์เหมือนจะเข้าใจที่หยางหนิงพูด สีหน้า
มีความหวาดกลัว หยางหนิงยื่นถาดอาหารคืนให้
เหวยต้ง ชี้ไปที่เหวยต้งแล้วพูดกับชายอัปลักษณ์ว่า
“เจ้าตามเขาไปตอนนี้ เขาจะหาคนมาช่วยทาความ
สะอาดให้เจ้า อาบน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเมื่อไหร่ เขา
ก็จะเอาของให้เจ้ากิน”
ชายอัปลักษณ์หันไปมองเหวยต้ง แล้วก็พยักหน้า
อย่างต่อเนื่อง ก็ได้แต่พูดว่า “อืม อืม อืม”
เหวยต้งถึงแม้จะเป็นคนเฝ้าประตูบ้าน แต่ฐานะจริงๆ
ของเขาก็สูงกว่านั้นมาก เมื่อเห็นสภาพของชาย
อัปลักษณ์ก็รังเกียจอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเป็นคาสั่งของ
ซื่อจื่อ เขาเองก็ไม่กล้าขัด อีกทั้งเมื่อครู่นี้ยังถูกตาหนิ
มาด้วย จึงจาต้องยิ้ม แล้วพูดกับชายอัปลักษณ์ว่า
“เจ้าตามข้ามา ข้าจะพาไปอาบน้า”
หยางหนิงหันไปสั่งอีกว่า “เจ้านี่ท่าทางจะไม่ได้
อาบน้ามานาน อาบน้าให้เขานานๆ หน่อยก็ได้ แล้ว
หาเสื้อผ้าให้เขาเปลี่ยน ไม่ต้องดีมาก เอาแค่ให้สะอาด
ก็พอ” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ให้เขาอยู่ใน
จวนนี้ไปก่อนชั่วคราว เสื้อผ้าอาหารเจ้าก็หาให้เขาที
ก่อนข้ากลับเมืองหลวง ข้าค่อยคิดอีกที”
“ข้าน้อยรับทราบขอรับ” เหวยต้งรู้สึกสงสัย จึงถาม
อย่างระวังว่า “ซื่อจื่อ พวกท่านเคยเจอกันมาก่อน
หรือขอรับ? เหมือนเขาจะรู้จักท่านนะขอรับ?” เห็นห
ยางหนิงมองมาที่ตนเองด้วยสายตาเย็นชา จึงไม่กล้า
พูดอะไรมากอีก รีบพาชายอัปลักษณ์เข้าจวนไป
เมื่อเป็นคาสั่งของหยางหนิง ในจวนเก่าก็ไม่มีใครกล้า
ชักช้า ใช้กาลังแรงคนมากมาย เปลี่ยนน้าไปถึงหกเจ็ด
ถัง ถึงจะจับชายอัปลักษณ์อาบน้าจนสะอาดได้ แล้วก็
เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้กับเขา ชายอัปลักษณ์คิด
แค่อยากจะกินอาหาร จึงยอมให้คนจับอาบน้า แต่
เพราะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแล้ว แต่เสื้อคลุมดาตัว
นั้นกลับไม่ให้ใครเอาไป บ่าวไพร่ก็ต้องยอมเขา
ฉีเฟิงกับพวกกินข้าวเช้าเสร็จ ก็รีบออกเดินทาง ทิ้ง
องครักษ์เอาไว้สามคน ตัวเองพาอีกสองคนไป คนใน
จวนคนอื่นก็ไม่กล้าถามอะไรมาก
เช้าของอีกวัน ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้ชิงฮั่น หยาง
หนิงแอบคิดว่าเหตุใดวันนี้กู้ชิงฮั่นถึงได้นอนขี้เกียจได้
เช่นนี้ ไม่กินอะไรมาเป็นวันแล้ว ไม่หิวหรืออย่างไรกัน
จึงสั่งให้สาวใช้ไปเรียกถึงสองครั้ง ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
อะไรเลย
กู้ชิงฮั่นไม่มีเสียงตอบรับ ส่วนฉีเฉิงก็ยังไม่กลับมา
หยางหนิงจึงหยิบกระดาษภาพพวกนั้นออกมานั่งดูใน
ห้อง ดูไปดูมาก็เลยเวลามาจนเที่ยงวัน จากนั้นเขาก็
เก็บของแล้วออกจากห้องไป ได้ยินว่ายังไม่มีความ
เคลื่อนไหวของกู้ชิงฮั่นเลย หยางหนิงรู้สึกว่ามัน
ผิดปกติ จึงไปหาคนที่ดูแลกู้ชิงฮั่นอาบน้าเมื่อคืนมา
ให้นางพาตัวเองไปที่เรือนนอนของกู้ชิงฮั่น ภายใน
เรือนมีสาวใช้อีกคนเฝ้าอยู่ หยางหนิงเดินเข้าไปใน
เรือนตรงไปเคาะประตูห้อง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
จากผู้ใดเลย
หยางหนิงตะโกนเรียกไป ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เขารู้ว่า
กู้ชิงฮั่นนอนมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน น่าจะมีสติมาก
พอแล้ว ถึงแม้จะยังรู้สึกเพลียอยู่ ก็ไม่น่าจะหลับตาย
ได้ขนาดนี้ เขาหันไปถามสาวใช้ว่า “ฮูหยินสามนอน
มาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ไม่ได้ออกมาเลยรึ?”
“เรียนซื่อจื่อ บ่าวดูแลฮูหยินสามอาบน้าเปลี่ยน
เสื้อผ้าเสร็จ นางก็ขึ้นเตียงพักผ่อนเลย จริงๆ บ่าวจะ
อยู่ดูแลด้านใน แต่ว่าฮูหยินสามบอกว่าไม่ต้อง จึง
ออกมาเฝ้าอยู่ข้างนอกนี่เจ้าค่ะ” สาวใช้นางหนึ่งพูด
ว่า “เมื่อคืนนี้เราสองคนสลับกันมาเฝ้าเวร เผื่อฮูหยิน
สามต้องการเรียกใช้และไม่มีใครอยู่ วันนี้พวกเราเรียก
นางถึงสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับจากฮูหยิน
สามเลยเจ้าค่ะ”
หยางหนิงหน้านิ่งไป จากนั้นสีหน้าของเขาก็เริ่ม
เปลี่ยนไป เขาหยิบมีดสั้นออกมา สาวใช้สองคนรู้สึก
ตกใจ แล้วก็เปิดประตูห้องออก หลังจากเปิดประตู
ห้องเข้าไปแล้ว ก็ค่อยๆ เรียก “ฮูหยินสามท่านอยู่
ด้านในหรือไม่?”
สาวใช้คนหนึ่งรีบชี้ไปทางด้านซ้าย หยางหนิงไม่รอให้
นางได้พูดอะไร รีบเดินเข้าห้องไป แล้วใช้เท้าถีบประตู
อย่างแรง เมื่อเขาเข้าไปด้านใน สีหน้าของเขาก็
เปลี่ยนไป
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 91 หายตัว
เมื่อหยางหนิงเข้ามาในเรือนแล้ว ก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
เท่าไหร่นัก ขณะที่เขาผลักประตูออกไปนั้น ปรารถนา
ให้ตัวเองนั้นสันนิษฐานผิด เมื่อเข้ามาภายในห้อง
กวาดสายตาไป ก็พบว่ากู้ชิงฮั่นไม่ได้อยู่ในห้อง
ภายในห้องก็ไม่ได้มีขนาดที่กว้างใหญ่เท่าไหร่นัก บน
เตียงนอนผ้าห่มถูกวางไว้ด้านข้าง ซึ่งมันก็สันนิษฐาน
ได้ง่ายมากว่าไม่มีผู้ใดอยู่
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะไม่อยู่ แต่ว่าเสื้อผ้าของนางยังพาดอยู่
ข้างๆ หยางหนิงสีหน้าเคร่งเครียด รีบเดินเข้าไป ยื่น
มือเข้าไปจับ บนเตียงนั้นเย็นมาก ไม่มีความอุ่นเลยสัก
นิด นั่นก็หมายความว่า กู้ชิงฮั่นไม่ได้อยู่ในห้องนี้นาน
แล้ว
เมื่อหันหลังกลับมา ก็เห็นสาวใช้สองคนยืนรออยู่นอก
ห้อง เมื่อภายในห้องไม่มีร่องรอยของกู้ชิงฮั่น สีหน้า
ของทั้งสองคนก็ตกใจกลัว
“ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย เสื้อผ้าพวกนี้คือเสื้อผ้าที่ฮู
หยินสามเปลี่ยนเมื่อคืนหรือไม่?” หยางหนิงชี้ไปที่
เสื้อผ้าที่พาดเอาไว้
สาวใช้นางหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “เมื่อคืนพวกข้าน้อยรับใช้
ฮูหยินสามอาบน้้าเปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อผ้าพวกนี้เป็น
เสื้อผ้าที่ฮูหยินเปลี่ยนเมื่อคืนเจ้าค่ะ”
ถึงแม้เขาจะเตรียมใจกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว
แต่เขาก็หวังว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันผิด เขาหวังแค่ว่ากู้ชิง
ฮั่นอาจจะแค่ออกไปเดินเล่น แต่ทว่าเสื้อผ้ายังอยู่ที่นี่
ความเป็นไปได้ที่จะไปเดินเล่นนั้นมันก็แทบไม่เหลือ
แล้ว
กู้ชิงฮั่นไม่มีทางที่จะไม่ใส่เสื้อตัวนอกแล้วออกไปจาก
ห้องอย่างแน่นอน
“เมื่อคืนพวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่เรือนนี้หรือ ไม่มีใครได้ยิน
เสียงความเคลื่อนไหวอะไรเลยหรือ?” หยางหนิงจ้อง
สาวใช้สองคนนั้น แล้วพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “นอกจาก
พวกเจ้า เมื่อคืนมีใครมาที่นี่อีกหรือไม่?”
สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าลงไปกับพื้น พูดด้วยความ
หวาดกลัวว่า “เรียนซื่อจื่อ เมื่อคืนฮูหยินสามเข้านอน
เร็วมาก ไฟภายในห้องฮูหยินสามก็เป็นคนดับเอง เรา
ผลัดกันเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก ไม่มีคนอื่นเข้ามาเลยเจ้า
ค่ะ” แล้วพูดอีกว่า “ภายในห้องเงียบมาก เมื่อเช้า
ตอนที่พวกข้าน้อยมาเรียกให้ฮูหยินสามไปรับอาหาร
เช้า ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากฮูหยินสามเลยเจ้าค่ะ”
หยางหนิงคิดในใจว่าตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดู
ใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ตอนกลางคืนอากาศเย็น กู้ชิง
ฮั่นไม่มีทางนอนโดยไม่ห่มผ้า หากนางไปได้ไม่นาน
บนเตียงนั้นก็จะต้องยังมีความอุ่นอยู่ แต่ตอนนี้ผ้าห่ม
มันเย็นเฉียบ นั่นหมายความว่ากู้ชิงฮั่นอาจจะหายไป
นานแล้ว
เมื่อครู่เขาผลักประตูเข้ามา ประตูนั้นก็ลงกลอนไว้ กู้
ชิงฮั่นไม่มีทางออกอื่นนอกจากทางด้านประตูนี้อย่าง
แน่นอน
เขาเดินวนไปรอบๆ หน้าต่างปิดสนิท ลงกลอนจาก
ด้านในเช่นเดียวกัน นั่นแสดงว่าไม่ได้ออกไปทาง
หน้าต่าง เขาเดินไปที่ด้านหลังหน้าต่าง มันเป็น
หน้าต่างทรงสูง ปกติหากต้องการเปิดจะต้องยกไม้ที่
ใช้ล็อคขึ้น แต่ตัวไม้ลงกลอนตอนนี้มันตกอยู่ที่พื้น
หยางหนิงมองอย่างละเอียด ก็พบว่าตรงร่องหน้าต่าง
มีคราบของผงอะไรบางอย่างตกอยู่ มันเป็นเศษผลสี
เหลือง เขาใช้นิ้วปาดมันขึ้นมาดม มันมีกลิ่นหอม
อ่อนๆ กลิ่นของมันยังไม่จางหายไป แต่เมื่อดมแล้ว
หยางหนิงรู้สึกว่ามึนหัว
สายตาของเขาเย็นยะเยือก
กู้ชิงฮั่นจะต้องถูกวางยาแน่นอน ท้าให้ไม่ได้สติ
หลังจากนั้นก็ถูกอุ้มออกจากหน้าต่างไป
เขาปีนออกนอกหน้าต่าง นั่งยองๆ ลงตรวจดูที่พื้น
ด้านหลังมีคราบดิน ซึ่งมันคือรอยเท้า ถึงแม้จะบาง
มาก แต่เมื่อดูดีๆ ก็ยังคงมองออกอยู่
หยางหนิงเดินตามรอยเท้านั้นไปพักหนึ่ง รอยเท้ายิ่ง
จางลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หายไป ท้าให้ร่องรอยถูก
ตัดขาดไป
หยางหนิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับมาที่ห้องอีกครั้ง
เห็นสาวใช้สองคนยังอยู่ จึงออกค้าสั่งออกไปว่า “พวก
เจ้าไปตามคนในจวนไปรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่
เดี๋ยวนี้”
สาวใช้รีบไปเรียกคนในจวนมาทั้งหมด
หยางหนิงตรวจสอบในห้องอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบ
ร่องรอยอะไรเลย เขารู้ว่าในเวลาเช่นนี้เขาจะต้องมีสติ
ให้มาก
กู้ชิงฮั่นถูกคนจับตัวไป เป้าหมายคือสิ่งใดไม่อาจทราบ
ได้ ความเป็นไปได้มีอยู่มากมาย แต่มีจุดหนึ่งที่
แน่นอน มันจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของจวน
เก่านี่แน่นอน
ถึงแม้เขาจะมีความเข้าใจเรื่องของตระกูลฉีอยู่บ้าง
แล้ว แต่ว่าในเมื่อมันคือตระกูลใหญ่ บุญคุณ
ความแค้นของตระกูลฉี เขาเองก็ไม่รู้อะไรมาก
ตระกูลฉีมีเส้นสายความสัมพันธ์ด้านการทหาร นี่คือ
จุดเด่นของตระกูลฉี แต่จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นเป็นแม่ทัพ
ใหญ่ภาคสนาม ฆ่าคนมามากมาย ศัตรูอาฆาตก็มีนับ
ไม่ถ้วน ต่อให้เป็นในพื้นที่เจียงหลิงเอง ถึงแม้จะเป็น
ฐานเดิมของตระกูลฉี ก็อาจจะมีศัตรูแฝงอยู่ด้วยก็ได้
เขาหวังว่าคนที่จับตัวกู้ชิงฮั่นไปเป็นแค่พวกเรียกค่าไถ่
ไม่ใช่พวกหื่นกามหลงใหลในความงามของกู้ชิงฮั่น
ด้วยนิสัยของกู้ชิงฮั่น เมื่อนางถูกหยามเกียรติ ต่อให้
คนอื่นไม่ฆ่านาง นางก็อาจจะเลือกที่จะไม่มีชีวิตต่อไป
ในเมื่อแค่จับตัวกู้ชิงฮั่นไป นั่นหมายถึงว่าตอนนี้กู้ชิง
ฮั่นก็น่าจะยังปลอดภัยอยู่ เพราะหากอีกฝ่ายอยากจะ
เอาชีวิต ก็ไม่ต้องเสียเวลามาจับตัวกู้ชิงฮั่นไป เพราะ
ในเมื่อสามารถเข้ามาจับตัวนางไปจากห้องได้ จะฆ่า
นางมันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
เมื่อหยางหนิงเดินเข้ามายังห้องโถง คนในจวนเก่าราว
สิบคนก็มารออยู่แล้ว คนที่ติดตามหยางหนิงมายัง
เจียงหลิงทั้งสามคนอาวุธครบมือ ยืนอยู่ด้านนอก
เมื่อเห็นหยางหนิงเข้ามา ทุกคนก็คุกเข่าลง หยางหนิง
มองไป พวกเขาต่างเป็นบรรดาบ่าวไพร่สาวใช้ มีเพียง
จ้าวยวนของห้องบัญชีที่พิเศษหน่อย เขาพูดขึ้นว่า
“ฮูหยินสามหายตัวไป วันนี้พวกเจ้ามีใครเห็นนางบ้าง
หรือไม่?”
ทุกคนต่างตกใจ หยางหนิงยกมือขึ้นให้พวกเขาลุก
ขึ้นมา หลังจากที่ทุกคนลุกขึ้นมาแล้ว ก็ก้มหน้าก้มตา
ไม่พูดไม่จา หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าถาม
พวกเจ้าว่าวันนี้มีใครเห็นฮูหยินสามบ้างหรือไม่?”
เห็นซื่อจื่อก้าลังโมโห ทุกคนต่างส่ายหน้า เหวยต้งพูด
ขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ตั้งแต่เช้าก็ไม่เห็นฮูหยินสามมารับ
อาหารเช้าเลย ทางห้องครัวก็ก้าลังรออยู่ ประตูหน้า
กับประตูหลังก็มีคนเฝ้าตลอด ก็ไม่เห็นว่าฮูหยินสาม
ออกไปเลยขอรับ”
หยางหนิงเงียบไป สายตาจ้องไปที่จ้าวยวน เห็นจ้าว
ยวนยังคงนิ่งอยู่ ไม่มีอาการตื่นตระหนกแต่อย่างไร
เขาก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านจ้าว ท่านมาท้างานที่นี่นาน
แค่ไหนแล้ว?”
“เรียนซื่อจื่อ ข้าน้อยมาท้างานบัญชีที่นี่ได้สามปีแล้ว”
จ้าวยวนยกมือค้านับแล้วพูดว่า “ตอนนั้นเป็นช่วงฤดู
ใบไม้ร่วงพอดี คนดูแลบัญชีคนเก่าอายุมากแล้ว
พ่อบ้านฉีจึงรับข้ามาช่วยงาน ตอนแรกก็ให้มาช่วย
ดูแลในส่วนของรอบๆ หมู่บ้านเพียงเท่านั้น แต่ว่าคน
ดูแลบัญชีเก่าอายุมากแล้ว การท้างานก็เริ่มไม่มี
ประสิทธิภาพ พ่อบ้านฉีจึงให้เงินเขาจ้านวนหนึ่งไป
แล้วให้ข้ามาดูแลงานบัญชีที่นี่แทนเขาขอรับ”
หยางหนิงขมวดคิ้ว “อ่อ” แล้วถามอีกว่า “ฉีเฉิงจ้าง
เจ้ามาอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ” จ้าวยวนตอบอย่างนอบน้อม
หยางหนิงเดินไปยืนข้างๆ จ้าวยวน มองเขาตั้งแต่หัว
จรดเท้า ทุกคนเห็นแสงสะท้อนของมีดสั้นเล่มนั้นที่
มันจี้อยู่ที่คอของจ้าวยวน จ้าวยวนตกใจหน้าซีดขาว
แล้วพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ท่าน...!” คนอื่นก็คิดไม่ถึงเลย
ว่าซื่อจื่อจะลงมือเช่นนี้ ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่อยู่
เบื้องหน้า
“ข้าไม่ชอบอ้อมคอม” หยางหนิงพูดเรียบๆ ว่า “ท่าน
จ้าว บอกข้ามา ตอนนี้ฮูหยินสามอยู่ที่ไหน?”
“ฮูหยินสามหรือขอรับ?” จ้าวยวนตกใจ แล้วตอบ
กลับไปว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเป็นเพียงนักบัญชี กินอยู่ก็
แค่ที่ห้องบัญชีเท่านั้น บางทีสามถึงห้าวันก็ไม่ได้ออก
จากห้องเลย เมื่อคืนจนถึงเมื่อครู่ ข้าน้อยก็ไม่ได้
ออกไปไหน หากซื่อจื่อไม่ได้เรียก วันนี้ข้าน้อยก็
อาจจะไม่ออกมาเลย ข้าน้อยก็ไม่ใช่หมอดู จะรู้ได้
อย่างไรว่าฮูหยินสามอยู่ที่ไหนขอรับ?”
เหวยต้งพูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ปกติท่านจ้าวไม่ค่อย
ออกไปไหนจริงๆ ขอรับ”
“ท่านจ้าวจิตใจของท่านแน่วแน่ไม่น้อยเลยนะ” หยาง
หนิงไม่ได้สนใจ แล้วพูดอย่างเรียบๆ ว่า “คนทั่วไปถูก
มีดจ่อคอเช่นนี้ ไม่มีทางมีปฏิกิริยานิ่งเช่นนี้หรอก”
จ้าวยวนถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านก็ชม
เกินไปแล้ว หากข้าน้อยท้าอะไรให้ท่านไม่พอใจ
ซื่อจื่อท่านสามารถลงโทษข้าน้อยได้อย่างเต็มที่ แต่ว่า
เรื่องนี้...!” เขาก็มองลงไปด้านล่าง แล้วพูดว่า
“ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านซื่อจื่อหมายความ
ว่าอย่างไร หรือว่าท่านคิดว่าที่ฮูหยินสามหายตัวไป
เกี่ยวข้องกับห้องบัญชีเล็กๆ เช่นนี้ด้วยหรือขอรับ?”
จ้าวยวนพูดต่ออีกว่า “หรือว่าข้าน้อยท้างานอะไร
ผิดพลาดไปอย่างนั้นหรือขอรับ?”
“เจ้ารู้หรือไม่ คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ บัญชีก็ไม่มี
ทางสมบูรณ์แบบ” หยางหนิงพูดว่า “บัญชีที่เจ้าท้า
มันสมบูรณ์แบบมากเกินไป แม้แต่ฮูหยินสามยังไม่พบ
ข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ข้าก้าลังสงสัยว่าภาษีที่ดิน
ศักดินาสามพันไร่ กับที่นาอีกนับร้อยไร่ รับเข้าจ่าย
ออกยิบย่อยซับซ้อนนัก ถึงแม้ภายในห้องบัญชีจะมี
สองคน แต่ว่าคนที่ตรวจสอบบัญชีมีเพียงเจ้าคนเดียว
ข้าไม่อยากจะเชื่อว่า แค่เจ้าคนเดียวจะท้าให้บัญชีมัน
สมบูรณ์แบบได้ขนาดนั้น?”
มันไม่ใช่บัญชีสองเล่มของร้านค้าทั่วไป แต่มันเป็น
บัญชีรับเข้าจ่ายออกจ้านวนมาก เขาเป็นนักธุรกิจมา
ก่อน ไม่ว่าจะเป็นนักบัญชีมืออาชีพแค่ไหน ตรวจสอบ
บัญชียังมีความผิดพลาด ก็เหมือนบัญชีของตระกูลฉี
หากพบข้อผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่หากไม่พบ
อะไรเลย นั่นแหละที่ไม่ปกติ
เขารู้สึกว่าจวนเก่าแห่งนี้อันตรายนัก ฉีเฉิงเมื่อคืน
ไม่ได้กลับมา ท้าให้หยางหนิงเริ่มสงสัย วันนี้กู้ชิงฮั่นก็
มาหายตัวไปอีก เขาแอบรู้สึกว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับ
คนในจวนเก่านี้อย่างแน่นอน
ส่วนท่านจ้าวคือคนที่เขาสงสัยเป็นคนแรก
ได้ยินท่านจ้าวบอกว่าเขามาท้างานที่จวนเก่าไม่เกิน
สามปี แถมยังเป็นคนที่ฉีเฉิงจ้างมาอีก หยางหนิงรู้สึก
ว่าเขามีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เบื้องหลังจะต้องมี
ความลับอะไรแน่นอน
ถึงแม้จะแค่สงสัย ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเรื่องที่กู้ชิงฮั่น
หายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านจ้าว แต่เขาก็ตัดสินใจ
ข่มขู่ท่านจ้าวไป เผื่อจะได้เบาะแสอะไรจากปากของ
เขาบ้าง เพราะอีกฝ่ายก็เป็นบัณฑิต หากใช้มีดขู่ หาก
เขามีความลับ ไม่แน่อาจจะหลุดอะไรออกมาบ้าง
“ซื่อจื่อท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ” ด้านนอกประตูมี
เสียงหยาบๆ เสียงหนึ่งดังมา จากนั้นก็ได้ยินเสียง
องครักษ์ตะโกนว่า “เจ้าเป็นผู้ใด หยุดเดี๋ยวนี้”
หยางหนิงขมวดคิ้ว เห็นคนที่ยืนอยู่นอกประตูเป็นชาย
วัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดผ้าธรรมดา ถูก
องครักษ์ขวางเอาไว้นอกประตู
“เขาคือท่านเฉิง” เหวยต้งมองไป แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
เฉิง...พ่อบ้านเฉิงกลับมาแล้วขอรับ”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าฉีเฉิงจะกลับมาตอนนี้ เขา
พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ฉีเฉิง เจ้าเข้ามานี”่
เมื่อชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องโถง ก็ท้าความ
เคารพหยางหนิงพร้อมพูดว่า “ข้าน้อยฉีเฉิง ค้านับ
ท่านซื่อจื่อขอรับ”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 92 จดหมาย
ฉีเฉิงมีอายุไม่เกินสี่สิบปี ร่างกายกายา ดูไปแล้วก็
ธรรมดา หยางหนิงพูดเรียบๆ ว่า “พ่อบ้านฉีหูของ
ท่านช่างดีนัก คาพูดของข้า เจ้าอยู่ข้างนอกนั้นยังได้
ยินเลย”
ฉีเฉิงพูดด้วยความนอบน้อมว่า “ข้าน้อยดูแลเรื่อง
น้อยใหญ่ในจวนเก่า ข้าน้อยจะปิดหูปิดตามิได้ หากมี
อะไรผิดพลาดขึ้นมา ข้าน้อยรับผิดชอบไม่ไหว มันจะ
ผิดต่อจิ่นอีโหวขอรับ”
“ลุกขึ้นมาเถอะ” หยางหนิงเก็บมีดที่จี้คอจ้าวยวนอยู่
รอฉีเฉิงลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าข้าเข้าใจผิด
ผิดเรื่องอะไรรึ?”
ฉีเฉิงมองไปที่หยางหนิง แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านบอก
ว่าท่านจ้าวตรวจบัญชีไม่มีข้อผิดพลาด ดังนั้นจึงสงสัย
ว่าที่ฮูหยินสามหายตัวไปอาจเกี่ยวข้องกับท่านจ้าว ก็
ต้องผิดอยู่แล้วขอรับ”
“หูของเจ้ามันดีจริงๆ เลยนะ ดูมีสติไม่เบาเลย” หยาง
หนิงพูดต่ออีกว่า “แล้วมันไม่ใช่ปัญหาอย่างไรรึ?”
“มันไม่ใช่ปัญหาแน่นอนขอรับ” ฉีเฉิงพูดด้วยความ
จริงจังว่า “ตอนที่รับท่านจ้าวเข้ามาทางาน ก็เพราะ
เขาเป็นคนละเอียดรอบคอบ สามารถตรวจสอบบัญชี
ได้อย่างละเอียดชัดเจน บัญชีตระกูลฉีถึงจะมีมากดอง
เท่าภูเขา แต่ทว่าท่านจ้าวมีการเตรียมตัวมาแต่เนิ่นๆ
ตั้งแต่รายการรับเข้าของแต่ละหมู่บ้านในแต่ละปี การ
รับเข้าจ่ายออกของผลผลิตที่นา ก็ทาอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อนาบัญชีแต่ละส่วนมารวมกัน ขอ
เพียงระวังให้ดี ก็จะไม่มีข้อผิดพลาด ก็เหมือนกับการ
สร้างบ้าน เมื่อมีฐานที่มั่นคง การสร้างก็ไม่มีช่องโหว่
อะไรใช่หรือไม่ขอรับ”
หยางหนิงเห็นเขาวาทศิลป์ดียิ่งนัก ตรงกันข้ามกับ
รูปร่างหน้าตาของเขา ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าเป็น
เช่นนั้น ท่านจ้าวคนนี้ก็เป็นอัจฉริยะอย่างนั้นใช่
หรือไม่?”
“อย่างน้อยในเรื่องบัญชีของจวนเก่าก็ไม่ได้ยากเกิน
ความสามารถเขา” ฉีเฉิงพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง
“ในหลายปีมานี้ท่านจ้าวทางานช่วยเหลือข้าน้อยใน
การจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนเก่ามาโดยตลอด ต่อให้
ไม่มีคุณงามความดีอะไรมากนัก แต่ก็ตั้งใจทางาน
อย่างหนัก ซื่อจื่อทากับเขาเช่นนี้ มันทาให้คนอื่นท้อ
ใจได้นะขอรับ”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อบ้านฉี ที่ท่านบอกว่า
ตั้งใจทางานอย่างหนักนั้น มันหมายถึงตัวท่าน
กระมัง?”
ฉีเฉิงพูดอย่างนิ่งๆ ว่า “ข้าน้อยรู้ว่าซื่อจื่อมีบางอย่างที่
ยังสงสัยอยู่ แต่ว่าข้าน้อยคิดว่า สิ่งที่สาคัญในตอนนี้
คือการตามหาฮูหยินสาม”
“ท่านรู้รึว่าข้ามีข้อสงสัยอะไร” หยางหนิงจ้องไปที่ฉี
เฉิง “แล้วท่านคิดว่าข้าสงสัยสิ่งสิ่งใดอยู่เล่า?”
“ซื่อจื่อกับฮูหยินสามกลับมาที่นี่โดยไม่แจ้งมาก่อน
แถมยังมาพร้อมกับผู้ติดตามอีกหลายคน นั่นก็แสดง
ว่าตัดสินใจมาอย่างกะทันหันเช่นนี้” ฉีเฉิงพูดอีกว่า
“เหตุที่ฮูหยินสามกับซื่อจื่อต้องรีบเดินทางมาที่นี่ได้
นั่นก็แสดงว่าที่นี่จะต้องทาอะไรผิดพลาดไป ตอนนี้
ซื่อจื่อท่านสงสัยเรื่องของบัญชี แถมยังสงสัยว่าการ
หายตัวไปของฮูหยินสามเกี่ยวข้องกับท่านจ้าว หาก
ข้าน้อยเดาไม่ผิด ซื่อจื่อก็น่าจะสงสัยในตัวข้าน้อย
แน่นอน”
หยางหนิงรู้สึกว่าฉีเฉิงผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“ข้าน้อยไม่ได้กลับมาเมื่อคืน เป็นเพราะว่าเห็นท่าน
พ่อสติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก จึง
อยู่ดูแลท่านพ่ออีกคืน เพื่อแสดงความกตัญญู หากรู้
ว่าซื่อจื่อมา ข้าน้อยจะไม่ให้เสียเวลาเลยขอรับ”
น้าเสียงของฉีเฉิงยังคงนอบน้อม “ข้าน้อยไม่รู้ว่าฮูหยิ
นสามกับซื่อจื่อมาที่นี่เพื่อตรวจสอบบัญชี และไม่รู้ว่า
ซื่อจื่อสงสัยในตัวข้าน้อย ภายหลังข้าน้อยจะค่อยๆ
อธิบายข้อสงสัยของซื่อจื่อให้กระจ่าง แต่ว่าตอนนี้ฮู
หยินสามสาคัญที่สุด ไม่ทราบว่าซื่อจื่อเห็นว่าอย่างไร
ขอรับ?”
หยางหนิงย้อนถามกลับไปว่า “แล้วเจ้าคิดว่าจะหาฮู
หยินสามเจอได้อย่างไรเล่า?”
“ในระยะสิบลี้นี้ มีบ้านคนไม่มากนัก แต่ว่าทั้งหมด
เป็นสายของทางตระกูลฉีชาวบ้านรอบๆ มีสายของ
ข้าน้อยอยู่แทบทั้งหมด” ฉีเฉิงมองไปที่หยางหนิง
“หากซื่อจื่อยินยอม ข้าน้อยจะส่งคนออกตามหาใน
ระยะยี่สิบลี้ หากมีคนจับตัวฮูหยินสามไปจริง ขอ
เพียงมีคนพบเห็น ข้าน้อยเพียงถามไม่กี่ความก็จะได้
เรื่องทันทีขอรับ”
หยางหนิงคิดว่าวิธีของฉีเฉิง ก็ใช่วา่ ไม่มีเหตุผล เขารู
ว่าเรื่องนี้จะช้าไม่ได้ ยังไม่ต้องไปสนใจว่าบัญชีเป็น
ของจริงหรือของปลอม ตามหากู้ชิงฮั่นเป็นเรื่องที่
สาคัญที่สุด เขาจึงพยักหน้าพร้อมพูดว่า “ตอนนี้ท่าน
ส่งคนแยกกันไปตามหาตามหมู่บ้านต่างๆ หากมีผู้ใด
พบเห็นร่องรอยของฮูหยินสาม ก็ให้รางวัลกับพวกเขา
ไป”
ฉีเฉิงเองก็ทาอะไรรวดเร็วดี เขารีบสั่งให้บ่าวไพร่ผู้ชาย
ในจวน ขี่ม้าไปแจ้งข่าวตามหมู่บ้านใกล้ๆ จากนั้นก็ให้
สาวใช้ในบ้านไปตามหาในจวนและนอกจวนอย่าง
ละเอียดอีกรอบ
คนไม่พอ องครักษ์กับคนติดตามของจ้าวยวนก็ออกไป
ตามหาด้วย
ฉีเฉิงเห็นหยางหนิงนิ่งไป จึงพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ตาม
ความเห็นของข้าน้อย ฮูหยินสามเพิ่งกลับมาที่จวนเก่า
เมื่อคืน ยังไม่ทันจะครบวันก็หายตัวไป มีความเป็นไป
ได้ว่าระหว่างทางพวกท่านไปพบเจอใครเข้าหรือไม่
ขอรับ”
“หา?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ท่าน
หมายความว่ามีคนติดตามพวกข้ามาถึงที่จวนเก่า
อย่างนั้นหรือ? แล้วพวกเขาจะมาจับฮูหยินสามไป
ทาไมกัน?”
“การจับตัวฮูหยินสามไปอาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่
แท้จริงของพวกมันก็ได้ขอรับ” ฉีเฉิงคิดไปครู่แล้วพูด
ต่ออีกว่า “หรือว่าเป้าหมายของพวกมันคือท่านซื่อจื่อ
ขอรับ?” จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ
กับฮูหยินสามแต่งตัวธรรมดา แม้แต่คนที่จวนยังไม่รู้
ก็ไม่น่าจะมีคนรู้นะขอรับ”
หยางหนิงคิดว่าหากมีคนตามมาจริง ตัวเขาก็น่าจะ
รู้ตัวมาก่อน ยังต้องให้เจ้ามาบอกอีกหรือ แต่ก็คิดอีกที
ว่าไม่ควรตัดสินเช่นนั้น เพราะขนาดเจ้าคนอัปลักษณ์
ตามมา เขาเองก็ยังไม่รู้เลย
เห็นฉีเฉิงก็มีสีหน้าหนักใจ สายตาดูเหมือนจะกังวล
เรื่องของกู้ชิงฮั่นไม่น้อย แอบคิดในใจว่าหรือว่าตัวเขา
นั้นคิดผิด ฉีเฉิงอาจจะจงรักภักดีต่อตระกูลฉีจริงๆ ก็
ได้ หรือว่าเขาเข้าใจตัวของฉีเฉิงผิดไปจริงๆ?
“ท่านคิดว่าพวกมันพุ่งเป้ามาที่ข้ารึ?” หยางหนิงเอ่ย
ถาม
ฉีเฉิงพูดว่า “ฮูหยินสามเป็นหญิง อีกฝ่ายจับตัวฮูหยิ
นสามไป มันเพื่ออะไรกันเล่าขอรับ? ข้าน้อยคิดว่า คน
พวกนั้นอาจจะไม่พบซื่อจื่อในจวน จึงจับตัวฮูหยิน
สามไปแทน เป้าหมายจริงๆ ก็น่าจะเป็นตัวซื่อจื่อ
หากข้าน้อยไม่ได้เดาผิด อีกไม่นานนักพวกเขาจะต้อง
ติดต่อมาแน่ๆ ขอรับ”
“พวกเขาจะจับตัวข้าไปทาไมกัน?” หยางหนิงถามต่อ
อีกว่า “เพื่อเงินอย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฉิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “อันนี้ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบได้
ขอรับ” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ความ
เคลื่อนไหวของซื่อจื่อเปิดเผยออกมาแล้ว อีกทั้ง
องครักษ์ที่ติดตามมาก็มีน้อย ข้าน้อยเกรงว่าท่านจะ
ไม่ปลอดภัย ให้ข้าน้อยนากาลังมาที่นี่หรือไม่ขอรับ?”
“ท่านคิดว่าพวกมันจะทาร้ายข้าอย่างนั้นรึ?” หยาง
หนิงยิ้มแล้วพูดว่า “หรือว่าที่จวนเก่าแห่งนี้จะมีศัตรู
อย่างนั้นหรือ?”
ฉีเฉิงลังเลแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยมิได้กังวลว่า
ที่นี่จะมีศัตรูแต่อย่างใด แต่กังวลว่า...อาจจะมีศัตรู
ตามมาจากเมืองหลวงขอรับ”
หยางหนิงขมวดคิ้ว
คาพูดของฉีเฉิงเตือนสติเขาขึ้นมา ตอนนี้จวนจิ่นอีโหว
กาลังอยู่ในช่วงขาลง ในเมืองหลวงมีศัตรูอยู่ไม่น้อย
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ก่อนเขามาเจียงหลิง ก็เพิ่งจะมี
ปัญหากับตระกูลโต้ว หรือว่าจะเป็นจริงอย่างที่ฉีเฉิง
ว่ามา การที่ตัวเขาออกจากเมืองหลวงมา มันเป็นที่จับ
ตามองขนาดนั้นเชียวหรือ?
เมื่อตกเย็น ก็เห็นเหวยต้งวิ่งเข้ามา เห็นหยางหนิงก็รีบ
พูดว่า “ซื่อจื่อ นี่...มีจดหมายฉบับหนึ่งขอรับ” เขายื่น
จดหมายออกไป หยางหนิงรีบรับมา เห็นหน้าซอง
จดหมายไม่มีอักษรอะไรเขียนไว้
“ซื่อจื่อ จดหมายฉบับนี้...ข้าน้อยไปเจอมาที่ประตู
หลังขอรับ” เหวยต้งพูดอีกว่า “จดหมายนี้ถูกทิ้งไว้ที่
นอกประตูหลัง ไม่รู้ว่าผู้ใดมาวางเอาไว้ขอรับ”
หยางหนิงฉีกจดหมายออก กวาดตาอ่านไป แล้วถาม
ฉีเฉิงว่า “ภูเขาเสียซานอยู่ที่ใดรึ?”
“ภูเขาเสียซานหรือขอรับ?” ฉีเฉิงรีบตอบกลับไปว่า
“ไปตามทางด้านทิศตะวันตกไม่เกินยี่สิบลี้ก็จะเป็น
หุบเขาเสียซาน หุบเขาแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก ตรงตีนเขามี
แม่น้าแห่งหนึ่ง ที่ตรงนั้นมีที่นาของตระกูลพวกเราอยู่
ประมาณหลายร้อยไร่ เหตุใดมจู่ๆ ซื่อจื่อถึงได้ถามถึง
ภูเขาเสียซานเล่าขอรับ?”
“แม่น้าแห่งนั้นชื่อว่าแม่น้าหงซาเห๋อใช่หรือไม่?”
หยางหนิงยื่นจดหมายไปให้ฉีเฉิง
ฉีเฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ขอรับ” จากนั้นก็รับ
จดหมายมา เห็นมีตัวหนังสือสั่นๆสองบรรทัด
“คนของเจ้าอยู่ที่คลังข้างๆ แม่น้าหงซา จงมาเพียงคน
เดียว คนของเจ้าจะปลอดภัย”
ฉีเฉิงพูดเสียงเข้มๆ ว่า “พวกเราไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
หยางหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ในจดหมายนั่นพูดว่าไป
เพียงคนเดียว จดหมายฉบับนี้มันพุ่งเป้ามาที่ข้า หาก
พวกท่านตามไปด้วย เกรงว่าฮูหยินสามอาจจะไม่
ปลอดภัย” จากนั้นก็ถามว่า “คลังที่เขียนในจดหมาย
มันคืออะไรรึ?”
“ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หลังจากผ่านช่วงฝนตกหนักไป
เพื่อป้องกันฝนตก จึงสร้างบ้านหินที่ริมแม่น้าขึ้นมา
เพื่อเก็บผลผลิตเอาไว้” ฉีเฉิงพูดต่อไปว่า “ตอนนี้เลย
ช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว ตอนนี้ที่นั่นไม่มี
ของอะไรอยู่เลย ไม่อย่างนั้นจะมีคนเฝ้าอยู่ที่นั่น
ซื่อจื่อ ในจดหมายบอกว่าฮูหยินสามอยู่ที่นั่น จะเป็น
กับดักหรือไม่ขอรับ?”
“กับดักอย่างนั้นหรือ?”
“ในจดหมายบอกให้ไปคนเดียว ไม่ให้ท่านซื่อจื่อพา
ผู้ใดไปด้วย นี่...นี่มันอันตรายเกินไปนะขอรับ” ฉีเฉิง
ขมวดคิ้วแล้วพูดอีกว่า “ซื่อจื่อท่านเป็นคนสาคัญ จะ
ไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ? ไม่ว่าจะจริง
หรือไม่ ซื่อจื่อท่านก็ไม่ควรไปนะขอรับ”
“หากข้าไม่ไป ฮูหยินสามจะเป็นอย่างไร?” หยางหนิง
พูดต่ออีกว่า “ฮูหยินสามอยู่ในมือของพวกมันแน่ๆ
ข้าจะห่วงแต่ความปลอดภัยของตัวเองไม่ได้”
ฉีเฉิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ดูท่าแล้ว เป้าหมายของ
พวกเขาคือซื่อจื่อจริงๆ ไม่ใช่ฮูหยินสาม หากซื่อจื่อ
ต้องการจะไปคนเดียว ก็จะเป็นไปตามแผนของพวก
มัน” หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า “ซื่อจื่อ ข้าจะ
พาคนแอบตามไป เมื่อได้โอกาส จะช่วยฮูหยินสาม
ออกมา ท่าน...!”
“แล้วหากไม่มีโอกาสนั้นเล่า?” หยางหนิงพูดขัดขึ้นมา
ว่า “ข้าจะต้องมั่นใจว่าฮูหยินสามปลอดภัย หากไม่ทา
ตามที่อีกฝ่ายว่ามา ฮูหยินสามจะเป็นอันตราย”
จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองฉีเฉิง แล้วพูดว่า “เจ้าไป
เตรียมม้าให้ข้าที ข้าจะรีบเดินทางไปถึงที่นั่นก่อนฟ้า
มืด”
ฉีเฉิงยังอยากจะห้ามอีก หยางหนิงก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่
ต้องพูดมากความแล้ว เจ้ารีบไปเตรียมม้าเร็ว”
ฉีเฉิงรู้สึกจนปัญญา ทาได้เพียงออกไปเตรียมม้า
หยางหนิงก็ไม่ให้เสียเวลา เดินออกไปรอที่หน้าประตู
จากนั้นฉีเฉิงก็ขี่ม้ามา และยังรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยจึง
พูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ข้าจะรีบเดินทางไปยังจวน
นายอาเภอ ไปขอกาลังจากที่นั่นมา...!”
“หากไม่มีคาสั่งจากข้า พวกเจ้าห้ามไปไหนทั้งนั้น รอ
ข้าอยู่ในจวนเก่าเท่านั้น” หยางหนิงพูดต่ออีกว่า “ไม่
ว่าจะยากลาบากแค่ไหน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร หาก
มันรู้ว่ายากลาบากแล้วยอมถอย ข้าอาจจะให้โอกาส
มัน ไม่อย่างนั้น...!” เขาพูดด้วยท่าทีที่น่าเกรงขามว่า
“ไม่อย่างนั้นมันก็รนหาที่ตายเอง” จากนั้นเขาก็ไม่พูด
อะไรมากอีก กระตุกเชือกม้า แล้วก็ไปยังทิศตะวันตก
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 93 กับดัก
หยางหนิงมุ่งหน้าไปยังเขาเสียซาน พระอาทิตย์ใกล้
อัสดง เมื่อมองไปที่ไกลๆ ก็มองภูเขาหลายลูก ภูเขา
ในเจียงหลิงมีมากมายหลายร้อยลูก แต่ว่าไม่สูงมาก
ทอดยาวติดต่อกันสลับทับซ้อนกันไปมา
เมื่อควบม้ามาได้ระยะหนึ่ง ก็เห็นเขาเสียซานอยู่ห่าง
ออกไปไม่กี่ลี้ ด้านข้างมีแม่น้าอยู่สายหนึ่ง เขารู้ทันที
ว่าน่าจะเป็นแม่น้าหงซา แม่น้าหงซาทอดยาวออกไป
และคดเคี้ยวไปมา เสียงไหลดูเป็นธรรมชาติ น้้าใส
สะอาด ทางตะวันออกของแม่น้าหงซาเป็นที่นาขนาด
ใหญ่ เมื่อตะวันใกล้อัสดง ทั่วทั้งพื้นที่ก็เป็นสีเหลือง
ทอง
หยางหนิงรู้ว่าคลังสินค้าสร้างอยู่ริมแม่น้าหงซา จึงมุ่ง
หน้าไปยังแม่น้าหงซา ก่อนที่พระอาทิตย์จะอัสดง เขา
ก็เห็นบ้านหินอยู่หลายหลังตั้งอยู่ชัดเจน
เขารู้ทันทีว่าที่นั่นคือคลังสถานที่ที่คนผู้นั้นนัดหมาย
จึงไม่รอช้ารีบควบม้าตรงไปยังสถานที่แห่งนั้นทันที
เห็นบริเวณคลังไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว จึงเข้าไป
ใกล้คลัง เห็นคลังเรียงติดกันเป็นแถวยาว มีประมาณ
สามถึงสี่หลัง เมื่อนึกถึงความปลอดภัย คลังสร้างจาก
หินทั้งหมด ก้อนหินก็น่าจะเอามาจากบนเขา
ด้านหน้าของคลังตรงกับทางทิศตะวันออก ด้านหลัง
ทิศตะวันตกเป็นแม่น้าหงซา เมื่อข้ามแม่น้าไปไม่กี่ลี้ก็
จะถึงเขาเสียซาน คิดว่าตอนที่สร้างคลัง น่าจะขนย้าย
ก้อนหินจากภูเขาข้ามแม่น้านี้มา
น้าหินมาสร้างคลัง แน่นอนว่าคลังนี้ต้องแข็งแรงและ
ปลอดภัยยิ่ง
หยางหนิงควบม้ามาถึงด้านหน้าคลัง คลังทั้งสี่หลัง
เรียงกันเป็นแนวยาว เขายังไม่ลงจากม้า ยื่นมือไป
หยิบมีดสั้นออกมาจากหน้าอก มือหนึ่งถือเชือกบังคับ
ม้าเอาไว้ กวาดสายตาไปรอบๆ เห็นคลังสามหลัง
ประตูเปิดอ้าไว้อยู่ มีเพียงหลังเดียวที่ปิดสนิท เอาไม้
ขั้นเอาไว้ด้านนอก แต่ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้
คลังสามหลังที่ประตูเปิดไว้ด้านในมืดสนิท คลังแบบนี้
เอาไว้กันลมกันฝนตอนที่เก็บผลผลิต ดังนั้นจึงไม่มี
หน้าต่าง เมื่อปิดประตู ก็เหมือนปิดตายทั้งหมด เมื่อ
พระอาทิตย์ตกดิน ก็ยากที่จะมองเห็นข้างในคลังได้
“ข้ามาแล้ว!” หยางหนิงพูดเสียงเข้มๆ “ในเมื่อนัดข้า
มาถึงที่นแี่ ล้ว ก็ไม่จ้าเป็นต้องหลบซ่อนอีก เหตุใดเจ้า
ยังไม่ออกมาอีกเล่า?”
รอบๆ ไม่มีเสียงใครตอบกลับมาสักคน
หยางหนิงขมวดคิ้ว รออยู่พักหนึ่ง จึงพูดขึ้นอีกว่า “ข้า
มาแล้ว พวกเจ้ายังไม่กล้าออกมาอีกหรือ?” เมื่อสิ้น
เสียงเขา ก็เหมือนได้ยินเสียงๆ หนึ่งลอยออกมา “หนิ
งเอ๋อ ใช่เจ้าหรือไม่? หนิงเอ๋อ ข้าอยู่ที่นี่?” น้้าเสียงดู
เหมือนอ่อนแรงยิ่งนัก ยังดีที่หูของหยางหนิงดี ฟังก็รู้
ทันทีว่าเป็นเสียงของกูช้ ิงฮั่น ในใจก็ดีใจมาก แต่ก็ไม่
ลืมที่จะระวังตัว เขาลงจากม้า ในมือถือมีดเอาไว้
จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “ซานเหนียง ท่านอยู่ที่
ไหน?”
เสียงของกู้ชิงฮั่นดังขึ้นมาว่า “ข้า...ข้าก็ไม่รู้ว่าที่นี่
ที่ไหน หนิงเอ๋อ ข้า...ข้าไม่มีแรง เจ้าอยู่ที่ไหน?” เสียง
ของนางดังมาจากคลังห้องที่ปิดไว้
หยางหนิงรีบเดินเข้าไป เห็นประตูถูกกั้นจากด้านนอก
เขาใช้มีดสั้นตัดมันออก จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป ใน
ห้องมืดสนิท ไม่มีอะไรอยู่ข้างใน เมื่อเข้ามาในห้อง
มองไปซ้ายขวา ก็เห็นตรงมุมๆ หนึ่งมีเงาของคนผู้
หนึ่ง เขาอาศัยแสงที่ริบหรี่ ตั้งใจมองให้ชัดๆ ก็เห็น
เป็นกู้ชิงฮั่น ก็รีบเดินเข้าไปหา แล้วพูดว่า
“ซานเหนียง ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
กู้ชิงฮั่นสวมเสื้อบางๆ ชิน้ เดียว ผมปล่อยสยาย นั่งตัว
อ่อนแรงพิงก้าแพงอยู่ นางมองมาที่หยางหนิง แล้ว
ถามว่า “หนิงเอ๋อ ที่นี่ที่ไหน? ข้า...ข้ารู้สึกตัวมา ก็อยู่
ที่นี่แล้ว ที่นี่มันที่ไหนกัน?”
“ซานเหนียง ท่านถูกวางยาสลบ” หยางหนิงเก็บมีด
“ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ลุกขึ้นไหวไหม?”
กู้ชิงฮั่นใช้มอื จับไปที่ก้าแพง คิดจะลุกขึ้น พอขยับได้
เล็กน้อย ก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ร่ายกายข้าไม่มีแรง
เลย ข้าไม่รู้ว่าเป็นอะไร”
หยางหนิงพูดขึ้นว่า “ที่นี่อยู่นานไม่ได้ อย่าเพิ่งพูด
อะไรเลย เราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” เขายื่นมือ
ไปอุ้มกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้มัน
สุดวิสัย จึงปฏิเสธไม่ได้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “ปั้ง”
ประตูถูกปิด หยางหนิงตกใจ หันหน้ากลับไป ได้ยิน
เสียงเอะอะดังขึ้นมา เหมือนมีคนลงกลอนประตูคลัง
จากด้านนอก
คลังแห่งนี้ไม่มีหน้าต่าง เมื่อประตูถูกปิด ก็จะมืดสนิท
ลง
หยางหนิงรู้แล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางของพวกเขา มี
คนแอบซุ่มอยู่รอบๆนี้ อาศัยช่วงที่เขาเข้ามาในนี้ รีบ
มาปิดประตู ในตัวของเขามีมีดอยู่ ก็ไม่กลัวว่าจะ
ออกไปไม่ได้
“หนิงเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น?” เห็นประตูคลังถูกปิด
กู้ชิงฮั่นก็พูดอย่างตกใจว่า “ใครอยู่ด้านนอกนั่น? เหตุ
ใด.....เหตุใดถึงได้ปิดประตู?”
นางไม่รู้ว่าหยางหนิงมาคนเดียว คิดว่าด้านนอกนั้น
เป็นคนที่มากับหยางหนิง คลังประตูถูกปิด ท้าให้นาง
รู้สึกกังวล
หยางหนิงไม่ได้รีบร้อนอธิบาย เขาคล้าไปจนถึงประตู
แล้วพูดว่า “ในเมื่อข้ามาแล้ว พวกเจ้ามีเงื่อนไขอะไรก็
บอกมา หลอกข้ามาถึงที่นี่ ก็เพื่อจะบีบข้ามิใช่หรือ?
ในเมื่อมีปัญญาลงมือกับข้าแล้ว เหตุใดถึงไม่กล้า
ออกมาคุยกับข้าเล่า”
นอกคลังไม่มีเสียงตอบกลับอะไร เงียบสนิท
“ดูท่าน่าจะเป็นพวกสวะ” เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ
กลับมา หยางหนิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคิดว่าแค่
ประตูบานเดียว จะขวางข้าไม่ให้ออกไปได้รึ?”
ครั้งนี้กลับได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “ซื่อจื่ออย่าเพิ่ง
รีบร้อนออกมาสิ คืนนี้มีอะไรให้สนุกด้วยกันอีกเยอะ
ท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน พวกท่านไม่ต้องคิดจะ
ออกมาทางประตูใหญ่เลย ข้าขอเตือนไว้ก่อน ตอนนี้มี
ธนูอยู่สองดอกที่หน้าประตู เมื่อท่านออกมามันก็จะ
ยิงพวกท่านทันที”
จากนั้นก็ได้ยินเสียง “ตึก ตึก” จากประตูคลัง
เหมือนกับว่ามีอะไรถูกตอกยึดเอาไว้กับประตู จากนั้น
ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาอีกว่า “ซื่อจื่อท่านไม่ต้องสงสัย
หรอก”
ถึงแม้ร่างกายของกู้ชิงฮั่นจะอ่อนแรง แต่ก็ได้ยินที่ทั้ง
สองฝ่ายพูดคุยกันได้อย่างชัดเจน นางก็ตกใจแล้ว
ถามหยางหนิงว่า “หนิงเอ๋อ พวกเขา...พวกเขาเป็น
ใครรึ?” นางเริ่มเข้าใจแล้วว่า นางถูกจับตัวมา
หยางหนิงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกเพื่อข่มขู่ ถึงแม้จะไม่
แน่ใจว่าพวกเขาแม่นธนูหรือไม่ แต่ว่าอีกฝ่ายมีธนูใน
มือแน่นอน เขามีมีดสั้นในมือ จะพังประตูออกไปก็
ไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่ในตอนนี้ออกทางประตูหลัก
ไม่ได้แน่ๆ
เขาเดินคล้าไปหากู้ชิงฮั่น ภายในห้องมืดมาก ดวงตา
ยังไม่คุ้นชินกับความมืดเช่นนี้ มองไม่เห็นอะไรเลย
เขาคล้าไปโดยอะไรนุ่มๆ กู้ชิงฮั่นตัวสั่น หยางหนิงรีบ
หุบมือกลับมา ในความมืดนั้นเขามองไม่เห็นสีหน้า
ของกู้ชิงฮั่น เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “ซานเหนียง หนิ
งเอ๋ออยู่นี่แล้ว ท่านไม่ต้องกลัวนะ”
“หนิงเอ๋อ เจ้าก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร ใช่หรือไม่?” กู้
ชิงฮั่นรีบพูดขึ้นมาว่า “หรือว่าเจ้ามาที่นี่คนเดียวรึ?”
“ท่านถูกพวกมันจับตัวมาที่นี่เมื่อคืนนี้ พวกข้าหาท่าน
จนทั่วแต่ไม่เจอ จากนั้นก็มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาที่
จวนเก่า ให้ข้ามาที่นี่เพียงคนเดียว” หยางหนิงพูดต่อ
ว่า “พวกมันบอกว่าที่ริมแม่น้าหงซามีคลังอยู่ที่หนึ่ง
ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความร้อนใจว่า “เจ้าเด็กโง่ ไม่รู้หรือไง
ว่ามันเป็นกับดัก? พวกมันต้องการล่อให้เจ้ามาที่นี่
เหตุใด...เหตุใดถึงเอาตัวเองมาเสี่ยงเพื่อข้าเช่นนี้”
ตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว หยางหนิงอยู่ที่นี่ ก็เพื่อ
ช่วยนางออกไป นางรู้สึกร้อนใจแล้วก็ซาบซึ้งใจมาก
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วจะให้ข้าอยู่เฉยๆ มองดู
ท่านอยู่ในก้ามือพวกมันโดยไม่ท้าอะไรเลยอย่างนั้น
หรือ? ซานเหนียง ข้าเคยบอกท่านแล้วข้าจะปกป้อง
ท่านเอง ก็จะต้องไม่ให้ท่านต้องเป็นอะไรไป ครั้งนี้
ท่านถูกพวกมันจับตัวท่านมา เพราะข้าไม่ได้ดูแลท่าน
ให้ดี มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าก็ต้องช่วยท่าน
ออกไปให้ได้”
“เจ้า...!” กู้ชิงฮั่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “หนิงเอ๋อ เจ้า
เป็นผู้สืบทอดต้าแหน่งจิ่นอีโหว ความปลอดภัยของข้า
มันไม่ส้าคัญเลย แต่วา่ เจ้า...หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้า
จะมีหน้าไปพบท่านโหวทั้งสองได้อย่างไร แล้วจะมอง
หน้าบรรพชนตระกูลฉีได้อย่างไรกัน?”
หยางหนิงรู้ว่ากู้ชิงฮั่นร้อนใจมาก จึงพูดปลอบกลับไป
ว่า “เป็นหรือตายฟ้าลิขิต ข้าจะทิ้งท่านโดยไม่สนใจได้
อย่างไร” จากนั้นก็กดเสียงต่้าลงไปอีกแล้วพูดว่า
“ซานเหนียงท่านไม่ต้องร้อนใจไป ข้ามีวิธีออกไปจาก
ที่นี่”
“หา?” กู้ชิงฮั่นรู้ว่าข้างนอกมีคน จึงพูดเสียงเบาๆ ว่า
“ประตูด้านนอกมีธนู เจ้าห้ามเสี่ยงเด็ดขาด”
“พวกมันคิดว่ามีทางออกเพียงทางเดียว พวกเราก็ไม่
ต้องออกไปทางด้านนั้นสิ”
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความแปลกใจว่า “เมื่อครู่ข้าคล้า
ก้าแพงดูแล้ว มันน่าจะสร้างมาจากหินบนภูเขา คลังนี้
ไม่มีหน้าต่าง พวกเราออกไปไม่ได้หรอกนะ” จากนั้น
ก็โทษตัวเองว่า “เพราะซานเหนียงไม่ดีเอง พาเจ้า
กลับมาที่จวนเก่านี่ ไม่อย่างนั้น...ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่
ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
“เรื่องดีอาจกลายเป็นร้าย เรื่องร้ายอาจกลายเป็นดี
ครั้งนี้เราตกหลุมพราง ก็อาจไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้”
หยางหนิงพูดเบาๆ ว่า “ซานเหนียง คนที่จับท่านมา
รูจ้ ักพื้นที่จวนเก่าเป็นอย่างดี อีกทั้งยังจับท่านมาขัง
เอาไว้ในคลังริมแม่น้าหงซาของพวกเราอีก แสดงว่า
จะต้องรู้จักที่นี่เป็นอย่างดี นั่นหมายความว่า คนที่ลง
มือกับพวกเราในครั้งนี้ น่าจะเป็นคนที่คุ้นเคยกับพวก
เรา”
ก็ชิงฮั่นรีบพูดขึ้นมาว่า “เจ้าสงสัยใครรึ?”
หยางหนิงก้าลังจะตอบ ทันใดนั้นเองก็ได้กลิ่นหอม
ลอยมา มันเป็นกลิ่นของดอกไห่ถัง มันไม่ใช่กลิ่นกาย
ของกู้ชิงฮั่น เขารู้สึกแปลกใจ แล้วถามว่า “ซาน
เหนียง ท่านได้กลิ่นอะไรบ้างหรือไม่?”
กู้ชิงฮั่นพูดว่า “เจ้าเองก็ได้กลิ่นใช่หรือไม่? เหมือนจะ
เป็น...กลิ่นของดอกไห่ถัง ที่นี่มีดอกไห่ถังได้อย่างไร
กัน?”
“ไม่ใช่ ถึงกลิ่นจะเหมือนดอกไห่ถัง แต่มันยังมีกลิ่นอื่น
อีก...!” หยางหนิงมองเห็นไม่ชัดเจนในความมืด จึงไม่
รู้ว่ากลิ่นนั้นมากจากไหน แต่มันเตือนสติเขาว่ากลิ่นนี้
จู่ๆ ก็ลอยมา จะต้องมีอะไรแน่ๆ จึงใช้มีดตัดชายเสื้อ
ออกมา แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “กลิ่นนี้จู่ๆ ก็ลอยมา
ซานเหนียงท่านรีบปิดจมูกเร็ว อย่าดมมันเข้าไป”
กู้ชิงฮั่นพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หนิงเอ๋อ ข้าไม่มีแรง
เจ้า...เจ้าช่วยข้าฉีกเสื้อหน่อยได้หรือไม่...!”
หยาหนิงถามกลับไปว่า “จะให้ฉีกจากตัวท่านหรือตัว
ข้า? ในมือของข้ามีชิ้นหนึ่ง ท่านจะให้ข้า...?”
กู้ชิงฮั่นเกิดในตระกูลผู้ดี ตั้งแต่เล็กจนโตถือตัวมา
ตลอด เกรงว่าผ้าที่ฉีกบนตัวของเขา กู้ชิงฮั่นอาจจะไม่
ใช้ กู้ชิงฮั่นจึงด่ากลับว่า “ในเวลาเช่นนี้ จะมาถืออะไร
นักหนา แล้ว...แล้วเสื้อข้าก็บางเช่นนี้ มันก็ไม่มี
ตรงไหนให้ฉีก”
หยางหนิงยื่นผ้าไปให้ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ซานเหนียง
ท่านมองเห็นหรือไม่?” เมื่อพูดออกไป ก็รู้สึกว่าเปลือง
น้้าลายจริงๆ ตัวเองยังมองไม่เห็นเลย กู้ชิงฮั่นจะไป
มองเห็นได้อย่างไร ไม่รอกู้ชิงฮั่นพูดอะไร จึงพูดต่อไป
อีกว่า “ท่านยื่นมือมา”
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะอ่อนแรง แต่มือยังพอยกได้อยู่
เหมือนโดนมือของหยางหนิงแล้ว หยางหนิงก็รีบจับ
มือนางเอาไว้ แล้วยัดผ้าไปในมือของกู้ชิงฮั่น พร้อม
พูดว่า “เอาปิดจมูกเอาไว้”
เมื่อกู้ชิงฮั่นรับผ้าไป หยางหนิงก็ฉีกผ้าใหม่อีกผืนหนึ่ง
เอามาปิดจมูกเอาไว้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปคล้าก้าแพง
สามารถอาศัยช่วงที่พวกข้างนอกไม่ทันระวังตัว ใช้มีด
ตัดก้าแพงเป็นปากถ้้า
หากเป็นอาวุธทั่วไปคงท้าไม่ได้ แต่มีดสั้นชิ้นนี้เป็น
อาวุธพิเศษ อาจจะพอเป็นไปได้ แต่ถึงจะเป็นอย่าง
นั้น แต่ก็อาจจะต้องใช้เวลาในการขุดก้าแพงให้เป็น
ปากถ้้าอยู่พอสมควร
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 94 ควันไห่ถัง
ขณะที่หยางหนิงกาลังเตรียมที่จะขุดกาแพงให้เป็น
ปากถ้านั้น ก็ได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดขึ้นมาว่า “หนิงเอ๋อ มือ
ของข้าไม่มีแรงเลย มัน...มันมัดไม่ได้!” เสียงของนาง
อ่อนแรงยิ่งนัก
หยางหนิงเก็บมีดสั้น แล้วพูดเบาๆ ว่า “เดี๋ยวข้าช่วย
ท่านเอง” เขาอาศัยความรู้สึกขยับเข้าหากู้ชิงฮั่น
สายตาเริ่มชินกับความมืดแล้ว ถึงแม้จะมองไม่ชัด แต่
ก็สามารถมองเห็นภาพของกู้ชิงฮั่นคร่าวๆ ได้ เขาเห็น
กู้ชิงฮั่นลุกขึ้นนั่ง เขายื่นมือไปรับผ้าจากมือกู้ชิงฮั่นมา
แล้วอ้อมไปทางด้านหลังของกู้ชิงฮั่น ช่วยนางมัดผ้า
ปิดจมูก
ในเวลานี้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก ถึงแม้หยางหนิงจะ
ปิดจมูกไว้แล้ว แต่ก็รู้สึกว่ากลิ่นของดอกไห่ถังมันยัง
หอมอยู่เนืองๆ ไม่เพียงแค่นั้น กลิ่นหอมจากตัวของกู้
ชิงฮั่นเองก็ลอยเข้ามาในจมูกเช่นกัน เมื่อกลิ่นทั้งสอง
มารวมกันหยางหนิงรู้สึกว่ามันหอมอย่างบอกไม่ถูก
คิดอยากจะสูดมันเข้าไปตลอด
แต่ว่าเขารู้ดีว่า กลิ่นดอกไห่ถังจู่ๆ ก็ลอยมาเช่นนี้ มัน
ไม่ควรดมเข้าไป
เขาช่วยกู้ชิงฮั่นปิดผ้าจนเสร็จ ขณะที่กาลังจะกลับไป
ที่ริมกาแพง ก็เห็นกู้ชิงฮั่นพุ่งตัวเข้ามาจากด้านหลัง
ปฏิกิริยาแรกของหยางหนิงก็เหมือนจะกอดนางไว้
เมื่อสัมผัสถูกตัวของนางก็รู้สึกได้ว่ามันอ่อนนุ่ม
เหลือเกิน ผมของกู้ชิงฮั่นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เขารีบ
ย้อนถามกลับไปว่า “ซานเหนียง ท่านเป็นอะไรไป?”
กู้ชิงฮั่นถูกหยางหนิงกอดเอาไว้ ก็รู้สึกแปลกๆ ใบหน้า
ของนางเริ่มร้อนผ่าว คิดอยากจะลุกขึ้นนั่ง แต่ว่า
ร่างกายของนางก็ไม่มีเรี่ยวแรง คิดอยากจะเอนตัวลง
นอนตลอดเวลา นางพูดด้วยน้าเสียงไม่มีแรงว่า “หนิ
งเอ๋อ เจ้า...เจ้าปล่อยให้ข้าเอนกายเถอะ ข้ารู้สึก
เหนื่อย เจ้า...เจ้าปล่อยข้าก่อน!” เสียงของนางอ่อน
แรงนัก
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกว่าเลือดในกายของตัวเองกาลัง
สูบฉีดอย่างแรง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของ
เขา ทาให้เขารู้สึกหวั่นไหว แต่ในชั่วขณะนั้นเขาก็ตั้ง
สติได้ รีบปล่อยกู้ชิงฮั่นลง แล้วเว้นระยะจากนาง แล้ว
พูดเบาๆ ว่า “ซานเหนียง ท่านรอก่อนนะ พวกเรา...
พวกเราจะได้ออกไปแล้ว” เขาเห็นกู้ชิงฮั่นบิดตัวไปมา
อยู่ที่พื้น มือของเขาก็จับมีดสั้นไว้แน่น แล้วก็จับไปที่
กาแพงอีกครั้ง
หยางหนิงคลาไปที่กาแพง รู้สึกว่าร่างกายของตัวเอง
ร้อนราวกับไฟเผา จึงถอดเสื้อตัวนอกออก แต่ก็รู้สึก
ว่าเหมือนจะไม่มีประโยชน์อันใด เลือดลมภายในมัน
สูบฉีดมาก เขารู้สึกตกใจ แอบคิดว่าหรือว่าใน
ลมปราณที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขาจะกาเริบขึ้นมา?
ต้วนฉางไห่สั่งเอาไว้ว่าห้ามเขาเดินลมปราณเด็ดขาด
เขาจาได้ขึ้นใจ ตอนนี้ก็ไม่ได้มีโอกาสจะเดินลมปราณ
แต่ตอนนี้เลือดในตัวเขาไหลเวียนสูบฉีดแปลกๆ
“หนิงเอ๋อ เจ้า...เจ้าทาอะไรอยู่?” กู้ชิงฮั่นนอนอยู่ที่
พื้น บิดตัวไปมา เสียงอ่อนโยนที่เย้ายวน “ข้าเหมือน
จะ...เหมือนจะไม่สบาย ร่างกายมันร้อนราวกับไฟเผา
เลย...!”
หยางหนิงตกใจ เหมือนกับว่าเขานึกอะไรออก
ตอนแรกเขานึกว่าร่างกายของเขาร้อนเพราะ
ลมปราณที่จุดตันเถียน แต่กู้ชิงฮั่นไม่เคยเรียนวรยุทธ์
แต่ตอนนี้ร่างกายก็รู้สึกร้อนเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็
หมายความว่ามันไม่น่าจะใช่ปัญหาของลมปราณ และ
น่าจะเป็นเพราะกลิ่นดอกไห่ถังที่ลอยมา
ขณะที่อีกฝ่ายจับกู้ชิงฮั่นมา ก็ใช้ยาสลบ แสดงว่ากลิ่น
ของดอกไห่ถังก็น่าจะเป็นฝีมือของอีกฝ่ายแน่นอน
“หนิงเอ๋อ พื้นมันเย็นมากเลย เจ้า...เจ้ามาพยุงข้าที”
น้าเสียงของกู้ชิงฮั่นเย้ายวนยิ่งนัก พอหยางหนิงได้ยิน
ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้แค่รู้สึกว่าความ
ร้อนในร่างกายมันเพิ่มมากขึ้น เลือดลมสูบฉีดแทบจะ
ระเบิดออก ในใจก็แอบคิดว่าหรือว่ากลิ่นดอกไห่ถังนี่
จะเป็นยาปลุกอารมณ์?
กู้ชิงฮั่นพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “เจ้ารีบมานี่เร็วๆ สิ
เจ้า...เจ้าไม่เชื่อฟังข้าแล้วรึ?”
หยางหนิงรู้ดีว่าหากตัวเขาโดนยาปลุกจริง กู้ชิงฮั่นเอง
ก็ไม่น่ารอด ตัวเองเป็นผู้ชายและผู้ชายก็ความ
ต้องการสูง แรงของกู้ชิงฮั่นสู้แรงเขาไม่ได้แน่นอน
หากเข้าใกล้กู้ชิงฮั่นในตอนนี้ ไม่น่าจะเป็นเรื่องดี เขา
ไม่ได้เป็นห่วงว่าทั้งสองคนจะมีอะไรกันหรือไม่ เพราะ
อย่างไรเสียตัวเขาก็สวมรอยจิ่นอีโหว ไม่ได้มีอะไร
เกี่ยวข้องกับกู้ชิงฮั่นเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าหากเรื่อง
แบบนี้แพร่งพรายออกไป มันก็จะไม่เป็นผลดีกับตัวกู้
ชิงฮั่น
อีกทั้งอีกฝ่ายก็ปล่อยกลิ่นดอกไห่ถังมา เป้าหมายก็
เพื่อให้พวกเขามีอะไรกันในคลังหินนี่ ถึงแม้เขาจะไม่รู้
ว่าอีกฝ่ายทาเพื่ออะไร แต่ในใจรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะ
ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
“โอ้ย!” ทันใดนั้นเองกูช้ ิงฮั่นก็ร้องขึ้นมา เหมือนชน
ถูกอะไรเข้า หยางหนิงรีบถามขึ้นว่า “ซานเหนียง
ท่าน...ท่านเป็นอะไรไปรึ?”
“หนิงเอ๋อ ขาของข้า...!” กู้ชิงฮั่นพูดด้วยน้าเสียงอ่อน
แรงว่า “เจ้ารีบมาตรงนี้ ข้า...ข้าจะตายแล้ว...!” ฟัง
น้าเสียงของนางแล้ว มันช่างทรมานยิ่งนัก
หยางหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ตัวเองเย็นลง
แล้วคลาเข้าไปหากู้ชิงฮั่น แล้วถามว่า “ชนถูกอะไร
เข้าหรือไม่?”
เขาเข้าไปใกล้กู้ชิงฮั่น ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่ามือของเขา
ถูกจับเอาไว้ กู้ชิงฮั่นใช้มือเรียวๆ ของนางจับแขนของ
เขาเอาไว้ หยางหนิงตัวสั่นไปทั้งตัว กู้ชิงฮั่นพูดขึ้นว่า
“เจ้า...เจ้าพยุงข้าขึ้นมาก่อน ข้าไม่มีแรงเลย ลุกไม่ขึ้น
...!”
เมื่อเข้าใกล้ เขาก็รู้สึกได้ว่ากู้ชิงฮั่นหายใจแรงกว่าเมื่อ
ครู่นี้มาก
หยางหนิงร้อนไปทั้งตัว กาลังจะเอ่ยปากพูด ก็ได้ยินกู้
ชิงฮั่นพูดขึ้นมาก่อนว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าไม่เชื่อฟังข้าใช่
หรือไม่? เดี๋ยวนี้เจ้า...เจ้ากล้าเกินไปแล้วนะ...!” นาง
ยกมือขึ้นมา แล้วตีไปที่หน้าของหยางหนิง นางไร้
เรี่ยวแรง มือที่ตีไปนั้นก็ไม่มีแรง เหมือนกับลูบคลา
หน้าธรรมดา จากนั้นใช้มือโอบไปที่ไหล่ของหยางหนิง
แล้วพูดเหมือนคนขี้เกียจว่า “เจ้า...เจ้าพยุงข้าขึ้นไป
สิ”
มือของนางวางอยู่ตรงหน้าอกของเขา หยางหนิงรู้สึก
ว่ากู้ชิงฮั่นเอวบางร่างน้อย กลิ่นหอมลอยเข้าจมูก
เรื่อยๆ ในสมองร้อนไปหมด แล้วพูดขึ้นว่า “ข้า...ข้า
จะพยุงท่านขึ้นมานะ...!” เขารู้สึกว่าลมหายใจของกู้
ชิงฮั่นอยู่ตรงหน้าเขา เขาเห็นใบหน้าของกู้ชิงฮั่นอยู่
ห่างจากเขาเพียงสองนิ้วมือ ไม่รู้อะไรดลใจเหมือน
อยากจะเข้าหาตลอดเวลา
กู้ชิงฮั่นโอบคอของหยางหนิงเอาไว้ แล้วก็พุ่งตัวเข้ามา
น้าเสียงเหมือนอยู่ในความฝัน “เจ้ากอดข้าสิ ทาเช่นนี้
...ถึงจะสบาย...!”
เสียงอ่อนแรงของนางทะลุเข้าหูหยางหนิง หยางหนิง
เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ถึงแม้อยู่ในความมืดเห็นหน้า
ของกู้ชิงฮั่นไม่ชัดนัก แต่ในหัวกลับเห็นหน้าสวยๆ
ของกู้ชิงฮั่นลอยเข้ามา ได้ยินเสียงลมหายใจของกู้ชิง
ฮั่น ปกติก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้กลับบอกไม่ถูกว่า
รู้สึกอย่างไร ปากของนางกาลังเข้าใกล้เขามาทุกที ลม
หายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนรู้สึกว่าริมฝีปากอันเร้า
ร้อนกาลังสัมผัสกับปากของเขา ตอนนี้เขาลืมไปแล้ว
ว่าทั้งคู่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่
“หนิงเอ๋อ ช่วยข้า...ช่วยข้าถอดชุดของข้าออกที มัน
อึดอัด...!” กู้ชิงฮั่นพูดจาไม่รู้เรื่อง “ข้า...ข้าหายใจไม่
ออก...!”
เมื่อนางพูดมาเช่นนี้ ร่างกายของหยางหนิงก็สั่นไป
ทั้งตัว ถึงแม้ตัวเขาจะร้อนจนทรมาน แต่ในตอนนี้
กลับมีสติ จากนั้นเขาก็รีบผลักกู้ชิงฮั่นออก แล้วถอย
หลังไป พิงติดกาแพง
เขากาลังสับสน แต่ในความสับสนของเขาก็ยังมีสติอยู่
ถึงแม้เสียงของกู้ชิงฮั่นนั้นไม่ชัดเจน แต่มันกลับน่า
หลงใหลยิ่งนัก หยางหนิงรู้ว่า นางเป็นคนนิ่งและระวัง
ตัว ในสถานการณ์ปกติ ไม่มีทางมีปฏิกิริยาเช่นนี้
ตอนนี้เป็นเพราะฤทธิ์ยา ทาให้นางขาดสติ
“เจ้าผลักข้า...ผลักข้าทาไม?” กู้ชิงฮั่นยังคงเหมือนอยู่
ในฝันแล้วพูดว่า “เจ้ามาตรงนี้เดี๋ยวนี้นะ...!”
หยางหนิงยกมือขึ้นมาเช็ดหน้า ตอนนี้เขาเหงื่อออก
ท่วมตัว แอบคิดในใจว่าอีกฝ่ายกล้าใช้วิธีต่าช้าเช่นนี้
ยาปลุกชนิดนี้ฤทธิ์แรงยิ่งนัก แม้แต่กู้ชิงฮั่นยังขาดสติ
ไปในระยะเวลาอันสั้นได้ เขาพูดเสียงเข้มๆ ขึ้นมาว่า
“ซานเหนียง ท่านรีบนึกให้ออกเร็ว จวนโหวของพวก
เรามีคนกี่คน แต่ละคนได้เงินเดือนคนละเท่าไหร่?”
เขาหวังว่ากู้ชิงฮั่นจะนึกถึงเรื่องอื่น เพื่อเบี่ยงประเด็น
เรื่องอารมณ์นี้ไป
เขาเองก็พยายามไม่ไปฟังอะไรที่กู้ชิงฮั่นพูด ในหัวของ
เขาคิดแต่เรื่องที่อีกฝ่ายทา อีกฝ่ายคิดใช้ยาปลุกให้
ตัวเองกับกู้ชิงฮั่นมีอะไรกันในคลังหินนี่ พวกเขาทา
เช่นนี้เพื่ออะไรกัน?
“ฉีหนิง เจ้าเป็นจิ่นอีซื่อจื่อ อยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็
ย่อมได้ แต่ว่าผู้หญิงแบบนี้ เจ้าคิดจะได้ก็ได้” ทันใด
นั้นเองก็ได้ยินเสียงมาจากข้างนอก “พวกข้าสร้าง
โอกาสให้เจ้าแล้ว เจ้าต้องคว้ามันไว้ให้ดี ต่อไปอาจจะ
ไม่มีโอกาสอย่างนี้อีก”
หยางหนิงรู้สึกโกรธมาก ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู
แล้วตะคอกกลับไปว่า “เจ้าพวกต่าช้า พวกเจ้าทา
อย่างนี้ทาไมกัน?”
“ฮูหยินสามแห่งตระกูลฉีงดงามดุจนางฟ้า เจ้าเห็น
ร่างกายนั่นไหม ส่วนไหนควรมีเนื้อมีหนังก็มี ส่วนไหน
ควรผอมเว้าโค้งก็มี นางเป็นสาวงามหนึ่งในหมื่นคน
เลยนะ” เขาพูดเสียงเข้มๆ อีกว่า “ของดีๆ แบบนี้
หากท่านพลาดไป ชาตินี้ก็เสียชาติเกิดเลยนะ ซื่อจื่อ
ทาช้าไม่สู้รีบทา พวกท่านชายหญิงอยู่ในห้องกันสอง
ต่อสอง บวกกับฤทธิ์ของควันไห่ถัง อย่างไรเสียพวก
ท่านก็ทนไม่ไหวหรอก”
“ควันไห่ถังอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
คิดว่าอาศัยแค่กลิ่นหอมเช่นนี้ จะทาให้ข้าทาผิดพลาด
ได้หรือ?”
“พวกข้าอาจจะทาให้ท่านทาไม่ได้ แต่ฮูหยินสามจะ
ทนได้รึ?” เสียงนั้นพูดอีกว่า “อย่าว่าแต่เจ้าเป็นชาย
ชาตรีเลยแม้แต่ขันที เมื่อได้กลิ่นควันไห่ถัง ก็ทนไม่
ไหว ท่านวางใจได้ ที่นี่ไม่มีคนอื่น พวกท่านค่อยๆ ดื่ม
ด่ากันให้เต็มที่พวกข้าจะเฝ้าอยู่ด้านนอกให้ ตอนนี้
ท่านยังไม่ได้สัมผัสตัวของฮูหยินสามเลย รอเมื่อท่าน
ได้ลิ้มลองแล้ว จะรู้สึกขอบคุณพวกข้าก็ได้ ถึงตอนนั้น
ต่อให้พวกข้าปล่อยพวกเจ้าออกมา เจ้าก็อาจจะไม่
อยากออกมาแล้วก็ได้”
หยางหนิงถือมีดสั้นในมือ ตอนนี้อยากจะรีบพุ่ง
ออกไปนอกประตูยิ่งนัก
“นี่มันเพิ่งเริ่มต้น เวลาอีกยาวนาน ยานี้มีฤทธิ์
ร้ายแรง” น้าเสียงค่อยๆ พูดต่อไป “ตอนนี้ซื่อจื่อ
อาจจะทนไหว แต่อีกเดี๋ยว ต่อให้เทพเจ้าก็ยากที่จะ
ควบคุมตัวเองได้ เมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็จะเหมือนสัตว์
ป่า ขาดสติ แม้แต่ตัวท่านเองก็จะไม่รู้ว่าท่านทาอะไร
ลงไป หากไม่ได้มีอะไรกัน ฤทธิ์ยาก็จะไม่หายไป” เขา
หัวเราะเบาๆ “ข้าว่าพวกท่านรีบมีอะไรกันจะดีกว่า
นะ อย่างน้อยก็จะได้รู้สึกสบาย เพราะอีกเดี๋ยวก็จะไม่
รู้ว่าตัวเองทาอะไรลงไปแล้ว ก็จะไม่รู้ว่าฮูหยินสามนั้น
รสชาติดีเพียงใด”
เมื่อสิ้นเสียงของคนๆ นั้น ก็ได้ยินเสียงเหมือนสุนัข
ลอยมา หยางหนิงขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าคนพวกนี้พา
สุนัขมาด้วยหรือ
“ร้อนจังเลย...!” เสียงของกู้ชิงฮั่นลอยมาช่างเย้ายั่ว
และทรมานนักว่า “ข้าอยากกินน้า...!” หยางหนิงหัน
ไปดู เห็นกู้ชิงฮั่นกาลังลูบคลากาแพง ลุกขึ้นมานั่ง มือ
ทั้งสองพยายามฉีกเสื้อผ้าของตัวเองทิ้ง ในใจของเขาก็
ตกใจ รู้ว่ากู้ชิงฮั่นน่าจะถูกยาแรงมากแล้ว
ถึงแม้หยางหนิงจะยังมีสติอยู่ แต่ในตอนนี้ร่างกายของ
เขาก็เหมือนอยู่ในเตาอบ เลือดในตัวของเขามัน
ไหลเวียนรุนแรงมาก ในใจของเขาคิดว่าใน
สถานการณ์เช่นนี้หากเขาสัมผัสถูกกู้ชิงฮั่น เรื่องหลัง
จากนั้นกู้ชิงฮั่นจะต้องตายแน่นอน เขาเลยพยายาม
ข่มใจของตัวเองไว้
เขาไม่กล้าเข้าใกล้กู้ชิงฮั่นแม้แต่น้อย แล้ววิ่งกลับไปที่
กาแพง ใช้มีดสั้น ขูดกาแพงหินอีกครั้ง เขาระวังมาก
กังวลว่าคนที่อยู่ด้านนอกจะได้ยิน
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 95 ผู้พิพากษา
เสื้อผ้าของกู้ชิงฮั่นเริ่มเปียกไปหมด เหมือนกับคนที่
เพิ่งลงน้้ามา ทั่วทั้งตัวร้อนไปหมด ร่างกายร้อนราวกับ
ไฟลุก นางเป็นผู้ที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว ต่อให้ไม่มี
ควันไห่ถัง ร่างกายของนางก็อ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว
ตอนนี้โดนควันไห่ถังเข้าไป ร่างกายของนางก็แทบจะ
ทนไม่ไหว
ฤทธิ์ของควันไห่ถังรุนแรงนัก สามารถท้าให้คนที่
อดทนสูงเหมือนเหล็กกลายเป็นพวกเดนสวะได้ใน
พริบตาเดียว สามารถท้าให้กุลสตรีกลายเป็นหญิงงาม
เมืองได้ภายในเสี้ยววินาทีเดียว ท้าให้ขาดสติ ในสมอง
คิดแต่เรื่องเสพสังวาสเท่านั้น
ตอนแรกกู้ชิงฮั่นยังพอมีสติอยู่บ้าง แต่เมื่อหยางหนิง
เข้าใกล้นางเพื่อช่วยปิดจมูกให้ กลิ่นกายของ
หยางหนิงท้าให้ฤทธิ์ของยานั้นรุนแรงขึ้น
ทั้งสองคนไม่มีรู้เลยว่า เมื่อสูดเอาควันไห่ถังเข้าสู่
ร่างกาย เมื่อได้กลิ่นกายของเพศตรงข้าม ก็จะท้าให้
ฤทธิ์ยารุนแรงขึ้น หยางหนิงได้กลิ่นหอมจากตัวของกู้
ชิงฮั่น แทบทนไม่ไหว อีกทั้งกู้ชิงฮั่นเองก็ยังสูดกลิ่น
กายของเขาเข้าไปอีก สติของกู้ชิงฮั่นจึงหลุดไปอย่าง
รวดเร็ว
ก้าหนัดของคนเรา เป็นสิ่งที่แก้ยากมากที่สุด เมื่อครู่ห
ยางหนิงกอดนางเอาไว้ นางก็รู้สึกสบายใจมาก เมื่อห
ยางหนิงผลักนางออก ตัวนางก็ร้อนจนทนไม่ไหว ใน
สมองก็มึนงงไม่รู้สึกตัวอีก คิดแต่อยากจะอยู่ในอ้อม
กอดของผู้ชายอีก
หยางหนิงใช้มีดสั้นวิเศษของเขาขุดก้าแพง มันเป็น
อาวุธที่วิเศษมากจริงๆ มันสามารถทะลุก้าแพงเข้าไป
โดยง่าย
เขารู้สึกดีใจนัก พยายามไม่ฟังที่กู้ชิงฮั่นพร่้าเพ้อ
พยายามอดกลั้นร่างกายของตัวเองไว้ แล้วพยายาม
ขุดหินที่ก้าแพงให้เป็นรูเรื่อยๆ
ด้านนอกมีเสียงของสุนัขดังเป็นระยะๆ หยางหนิงก็
ไม่ได้ไปสนใจ ระหว่างนั้น เขาก็ขุดเจาะเอาก้อนหิน
จากก้าแพงลงมาได้เรื่อยๆ ตอนนี้มันเริ่มเป็นรูเว้า
ตามความเร็วของการขุด ไม่นานจะต้องเป็นรูขนาด
ใหญ่ที่สามารถรอดออกไปได้
ทันใดนั้นเองก็เหมือนที่ขามีอะไรแน่นๆ มาเกาะ มือ
ข้างหนึ่งก้าลังสัมผัสมาที่ขาของเขา หยางหนิงก็พลัน
ตกใจ รู้สึกเหมือนมีกลิ่นหอมๆ ก้าลังพุ่งเข้ามาหาตัว
เขา ร่างกายอันร้อนระอุก้าลังแนบชิดอยู่ที่ร่างกาย
ของเขา กลิ่นหอมบนตัวของกู้ชิงฮั่นมันลอยเข้ามาใน
จมูกของเขา มันเป็นกลิ่นเฉพาะที่มีเพียงม่ายสาวคนนี้
เท่านั้นที่จะมี มันดึงดูดวิญญาณของเขาไป ท้าให้
ร่างกายของหยางหนิงสั่นไปทั้งตัว แทบอยากจะพุ่ง
เข้าไปกอดนางเสียเดี๋ยวนี้เลย
เสียงของกู้ชิงฮั่นที่ยั่วยวนเอ่ยขึ้นว่า “กอดข้า...กอดข้า
ที...!” นางใช้มือของนางกอดคอของหยางหนิงเอาไว้
หายใจรุนแรงยิ่งนัก อีกมือหนึ่งของนางก็ลูบไล้ไปตาม
ร่างกายของเขา
หยางหนิงกลืนน้้าลาย เหงื่อไหลเป็นสายฝน เดิมทีเขา
ก็ทรมานอยู่แล้ว ตอนนี้กู้ชิงฮั่นร่างกายของนางช่าง
ยั่วยวนใจยิ่งนัก ร่างกายของคนทั้งสองแนบชิดกันจน
ยากจะแยก มันท้าให้เขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
ในตอนนี้ ในสมองของเขาเริ่มเลือนราง คิดอยากแต่
จะกดทับร่างกายนั้นเอาไว้ แต่ในสมองก็มีเสียงๆ หนึ่ง
ดังขึ้นมาว่า “หยางหนิง นางถูกยาพิษนะ เจ้าไม่อยาก
ช่วยนางออกไปให้เร็วที่สุดหรือ ยังจะมาคิดไม่ดีกับ
นางอีก จะฉวยโอกาสกับคนที่ตกยากเช่นนี้ มันจะต่าง
อะไรกับสัตว์ป่าเล่า?”
เขารู้ว่าตอนนี้กู้ชิงฮั่นน่าจะทรมานมากกว่าตัวเขา
แน่นอน หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เมื่อไหร่ที่ตัวเขาเอง
ขาดสติ เขาก็น่าจะทนไม่ไหว เพราะมีม่ายสาวพราว
เสน่ห์อยู่ตรงนี้ เขาตัดสินใจพยายามกดตัวกู้ชิงฮั่นลง
แล้วพูดว่า “ซานเหนียง ขอโทษด้วย!” จากนั้นเขาก็
ใช้สันมือสับไปที่หลังคอของกู้ชิงฮั่น กู้ชิงฮั่นทรุดตัวลง
อย่างรวดเร็ว ไม่ขยับตัว เพราะเขาท้าให้นางหมดสติ
ไป
เขาคุ้นเคยจุดต่างๆ ในร่างกายดี อีกทั้งยังเคยเรียน
การต่อสู้มา จะท้าให้ใครหมดสติ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เขาวางมีดสั้นลง แอบคิดว่ากู้ชิงฮั่นอยู่ข้างๆ เขา
ถึงแม้นางไม่เคลื่อนไหว แต่ว่าตัวเขาก็อาจจะทนไม่
ไหวก็ได้ คิดอยากจะอุ้มนางไปไว้อีกด้านหนึ่ง เพื่อเว้น
ระยะ เขาใช้มือทั้งสองข้างช้อนตัวกู้ชิงฮั่นขึ้นมา แล้ว
อุ้มไปไว้ข้างๆ ก่อนที่จะวางลง เขาก็รู้สึกหวั่นไหว
ขึ้นมา แต่ก็พยายามกัดฟันเอาไว้ หลังจากวางกู้ชิงฮั่น
ลง ก็ไปขุดก้าแพงต่อ
ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก “นั่นใคร?
ไปดูเร็ว ใช่ท่านผู้พิพากษาหรือไม่?”
หยางหนิงได้ยินอย่างชัดเจน รู้ว่าด้านนอกน่าจะเจอ
ใครเข้า เขาได้ยินพวกนั้นเรียกว่า “ผู้พิพากษา” ในใจ
ก็รู้สึกแปลกใจ แอบคิดในใจว่าหัวหน้าของพวกมันชื่อ
“ผู้พิพากษารึ” ? แล้วไอ้เจ้าผู้พิพากษานี่เป็นใครกัน
เล่า?
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงของคนข้างนอกอีกว่า “ไม่ใช่
ท่านผู้พิพากษา เป็น...เป็นคนบ้า พวกเราตามเขาไม่
ทันหรอก เขาวิ่งเร็วมาก”
“คนบ้าอย่างนั้นรึ?” เขาพูดเสียงเบาๆ ว่า “คนบ้าคน
เดียวก็ตามไม่ได้ ที่นี่ระยะทางก็ห่างไกลนัก ท่านผู้
พิพากษาก็ยังไม่มา คนอื่นจะมาที่นี่ได้อย่างไรกันกัน?
พวกเจ้าตามไป อาจเป็นคนที่ฉีหนิงพามา อย่าให้มัน
รอดชีวิตไปได้”
หยางหนิงคิดในใจว่า “พวกเขาบอกว่าคนบ้านั่นวิ่งเร็ว
มาก หรือว่าเจ้าอัปลักษณ์อย่างนั้นหรือ?” ได้ยินคน
ข้างนอกคุยกันว่าห้ามไว้ชีวิตมัน ในใจก็คิดว่า คนพวก
นี้เหี้ยมโหดนัก เจ้าอัปลักษณ์ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย
พวกเขายังคิดจะลงมือ แต่ก็คิดว่าหากเป็นเจ้า
อัปลักษณ์จริง เขาวิ่งเร็วปานนั้น คนพวกนี้อาจจะตาม
ไม่ทันก็ได้
เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น แล้วกลับไปที่ก้าแพง ขุด
ก้าแพงต่อไป ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงมากจากข้าง
นอกอีกว่า “เจ้านั่นมันหายไปแล้ว มืดแบบนี้มองไม่
เห็นเลย ไม่รู้ว่ามันไปไหนแล้ว”
ตอนนี้หยางหนิงรู้สึกมึนหัวมาก ในใจแอบคิดว่ายานี่
ฤทธิ์แรงเหลือเกิน ขึงรีบเร่งมือให้เร็วขึ้น ทันใดนั้นเอง
มือก็รู้สึกเบาหวิว ที่แท้ก็เป็นเพราะมีดสั้นสามารถ
ทะลุผ่านก้าแพงได้แล้ว เขาดีใจเป็นอันมาก ข้อมือ
ของเขาก็หมุนให้เป็นวงกลม ท้าให้ก้าแพงเป็นรู ได้ยิน
เสียงน้้าไหล ด้านหลังไม่เกินห้าหกก้าวนั่นก็คือแม่น้า
หงซา
เขารีบเร่งมือ เจาะก้อนหินข้างๆ ก้าแพงอีก เขาท้า
อย่างระมัดระวังมาก เพื่อไม่ให้มีเสียง อีกฝ่ายไม่มีทาง
คิดถึงแน่นอนว่าในมือของหยางหนิงจะมีอาวุธวิเศษ
ขนาดนี้ ด้านหลังคลังไม่มีคนเฝ้าอยู่ หลังจากใช้เวลา
อยู่พักหนึ่ง ก้าแพงก็กลายเป็นรูขนาดใหญ่ อากาศ
บริสุทธิ์ลอยเข้ามา หยางหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ว่า
ร่างกายที่เร้าร้อนนั้นท้าให้ร่างกายของเขาอ่อนแรงไป
มาก
เขาลับขอบรูให้เรียบ เพื่อไม่ให้กู้ชิงฮั่นถูกหินบาดเข้า
ในตอนนี้เอง ได้ยินเสียงข้างนอกดังขึ้นมาว่า “ท่านผู้
พิพากษามาแล้ว!”
หยางหนิงขมวดคิ้ว รีบเก็บมีดสั้น ไปอุ้มกู้ชิงฮั่นมา
กู้ชิงฮั่นยังคงสลบอยู่ เมื่อมาถึงปากรู ได้ยินเสียงดังมา
จากข้างนอก “สถานการณ์ด้านในเป็นอย่างไรบ้าง?
ควันไห่ถังปล่อยไปแล้วใช่หรือไม่?” เสียงนั้นเบามาก
หยางหนิงฟังแล้วก็เหมือนนึกอะไรได้ เขารู้สึกว่านี่มัน
เสียงของท่านจ้าวที่อยู่ห้องบัญชีที่จวนเก่านี่นา
“ปล่อยไปแล้วเกือบครึง่ ชั่วยาม” มีคนตอบขึ้นมาว่า
“ท่านผู้พิพากษา เราควรจะเข้าไปดูหรือไม่ขอรับ?”
หยางหนิงแอบคิดว่าเพราะเหตุใดจ้าวยวนถึงถูก
เรียกว่าผู้พิพากษาเล่า คนพวกนี้เป็นใครกัน?
“ไม่ต้องรีบร้อน” เสียงของจ้าวยวนยังคงนิ่ง หลังจาก
นั้นก็ได้ยินเขาตะโกนมาว่า “ซื่อจื่อ ไม่รู้ว่าที่นี่เป็น
สถานที่ดีขนาดไหน? พวกข้าตามหาฮูหยินสามจนทั่ว
แล้วแต่ไม่เจอเลย แม้แต่ท่านก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ที่จวนเก่าก็ร้อนใจกันมากเลยนะ ยังดีที่ที่จวนเก่ามี
หมาอยู่สองตัว ดมกลิ่นได้ ถึงได้พาพวกข้ามาจนถึง
ที่นี่”
หยางหนิงยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ แอบคิดในใจว่าค้าพูด
ของจ้าวยวนแปลกๆ เหมือนมีอะไรลับลมคมใน จึงไม่
ตอบอะไร
“ท่านผู้พิพากษา ที่นี่ไม่มีเสียงอะไรเลย จะเข้าไปดู
หรือไม่ขอรับ?” คนก่อนหน้านั้นพูดเสียงเบาๆ ว่า
“คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นข้างในใช่หรือไม่?”
หยางหนิงไม่มีทางให้พวกเขาเข้ามาข้างในแน่นอน ก็
เลยตั้งใจตะโกนออกไปว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน?
จับข้ามาขังไว้ท้าไมที่นี่?”
เมื่อได้ยินเสียงหยางหนิง จ้าวยวนก็หัวเราะขึ้นแล้วพูด
ว่า “ซื่อจื่อไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ซื่อจื่อท่านวางใจเถอะ
อีกเดี๋ยวฉีเฉิงก็จะพาคนมาที่นี่ ไม่นานก็จะมีคน
มากมายมาดูท่าน แต่ว่าซื่อจื่อกับฮูหยินสามไม่สนใจ
เกียรติของบ้านตระกูลฉี แอบหนีมาพลอดรักกันถึง
ที่นี่ เมื่อพวกเขามาถึง ก็จะเห็นพวกท่านก้าลังท้าผิด
ศีลธรรม ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง”
หยางหนิงตกใจ จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันที คนพวกนี้
เสียเวลาวางแผนหลอกล่อ ก็เพื่อให้ละครฉากนี้
เกิดขึ้น
“จ้าวยวน ที่แท้ทุกอย่างนี่เป็นแผนของเจ้าเองรึ”
หยางหนิงพูด
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าทางซื่อจื่อจะรู้แล้วว่าข้า
เป็นใคร ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าจิ่นอีซื่อจื่อเป็นคน
สติไม่สมประกอบ แต่ว่าในความเป็นจริงเหมือนจะไม่
เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ท่านจะไม่ได้ฉลาดอะไรมากมาย
แต่ก็ไม่ได้บ้า วันนี้ในห้องโถง ท่านหยิบมีดออกมา ข้า
ยังคิดอยู่เลยว่าท่านอาจจะรู้อะไรได้บ้าง หลังจากนั้น
ถึงได้รู้ว่าท่านรู้จักค้าว่าหยั่งเชิงเสียด้วย”
“เรื่องแปลกๆ ในจวนเก่า ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้ว”
หยางหนิงพูดขึ้นอีกว่า “ฉีเฉิงพ่อบ้านฉีคนนั้น ก็น่าจะ
ไม่ใช่ฉีเฉิงตัวจริง พวกเจ้าควบคุมจวนเก่าเอาไว้ ก็เพื่อ
วางแผนอะไรบางอย่าง ที่ข้าหยิบมีดออกมา ก็แค่จะดู
ปฏิกิริยาของเจ้าเท่านั้น เมื่อฉีเฉิงปรากฏตัว ข้าถึงได้รู้
ว่าพวกเจ้าร่วมมือกัน ทั่วทั้งจวนเก่าอยู่ในก้ามือของ
พวกเจ้าหมดแล้ว”
เขาพูดไปพรางถอดเสื้อนอกออก เขาพยุงกู้ชิงฮั่น
ขึ้นมา แล้วเอาเสื้อคลุมห่อตัวให้นาง ก่อนหน้านี้
กู้ชิงฮั่นร้อนรนจนทนไม่ไหว ฉีกเสื้อผ้าของตัวเองจน
ขาดหลุดลุ่ยออกมา ตอนนี้เสื้อของนางหลายจุดเห็น
เข้าไปถึงเนื้อหนังขาวๆของนาง หยางหนิงไม่มีทางพา
นางออกไปในสภาพเช่นนั้นแน่นอน
“ดูท่าทางท่านจะฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลยนะ”
จ้าวยวนพูดขึ้นอีกว่า “เจ้าไม่พูดอะไร หรือว่าเจ้า
สงสัยอยู่ก่อนแล้วว่าจดหมายฉบับนั้นพวกข้าเป็นคน
ท้า?”
หยางหนิงพูดขึ้นอีกว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่มั่นใจ แต่ก็
พอจะเดาได้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดเจ้ายังมาตามกับดักนี่อีก
เล่า?” จ้าวยวนพูดต่อไปว่า “เจ้าคงจะไม่ได้รู้ล่วงหน้า
หรอกใช่หรือไม่ว่าเราจะจัดฉากให้เจ้าได้ดื่มด่้ากับสาว
งามอย่างฮูหยินสามเช่นนี้?”
“ซานเหนียงอยู่ในก้ามือพวกเจ้า ข้าก็ต้องเห็นแก่
ความปลอดภัยของนางมาก่อน อีกทั้งไม่เข้าถ้้าเสือ
ไหนเลยจะได้ลูกเสือ ข้าก็อยากจะเห็นว่าพวกเจ้าจะมี
แผนอะไร” หยางหนิงห่อตัวให้กู้ชิงฮั่นจนเสร็จ
จากนั้นก็เก็บมีดกลับไป แล้วจับกูช้ ิงฮั่นไปไว้ที่ปากรูที่
ขุดเอาไว้ ส่วนตัวเขาเองก็ลองมุดดู ว่าจะออกไปได้
หรือไม่
“ไม่เข้าถ้้าเสือไหนเลยจะได้ลูกเสืออย่างนั้นหรือ
น่าสนใจดี” จ้าวยวนพูดขึ้นอีกว่า “แต่ว่าต่อให้ท่านรู้
ว่าพวกข้าจะท้าอะไร ท่านก็ท้าอะไรไม่ได้อยู่ดี พวก
เขาน่าจะบอกท่านไปแล้ว ควันไห่ถังมีฤทธิ์ร้ายแรง
หากพวกท่านยังเสพสังวาสกัน ก็จะต้องตายอยู่ในนี้”
“พวกเจ้าใช้วิธีต่้าช้าเช่นนี้ เพื่ออะไรกัน?” หยางหนิง
ยื่นหัวเข้ามาด้านใน แล้วตะโกนไปที่ประตูว่า “ต่อให้
ข้าต้องตายอยู่ในนี้ ก็ไม่มีทางให้พวกเจ้าได้สมหวัง
แน่นอน” เขาแอบคิดในใจว่าอีกเดี๋ยวเขาก็จะหลุดพ้น
เดี๋ยวค่อยไปจัดการกับพวกเจ้าอีกที มีแค้นต้องช้าระ
จะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว
จ้าวยวนหัวเราะร่าออกมาแล้วพูดว่า “ไม่ว่าเป็นหรือ
ตาย พวกท่านสองคนแอบมามีเสพสังวาสกันที่นี่ก็ไม่มี
ทางปิดได้ ต่อให้ตายจริง รอพวกเขามาก็จะเห็นพวก
ท่านสองคนไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย บนร่างกายไม่มี
บาดแผล อีกทั้งต่อให้เป็นหมอฝีมือสูงส่งแค่ไหนก็ไม่มี
ทางตรวจพบร่องรอยของควันไห่ถัง ถึงตอนนั้นทุกคน
ก็จะเข้าใจว่าพวกท่านเสพสังวาสกันจนตาย”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 96 คนจับงู
หยางหนิงมุดออกมาจากคลังหิน ตอนนี้ตัวเขาอยู่
ด้านนอกแล้ว แล้วหันตัวกลับเข้าไป ใช้มือจับไหล่ของ
กู้ชิงฮั่นเอาไว้ แล้วดึงตัวนางออกมา ถึงแม้เขาจะรู้ว่า
คนพวกนี้วางกับดักเอาไว้ คงไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาเสพ
สังวาสกันแค่นี้หรอก เบื้องหลังจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่
แน่ๆ แต่ในตอนนี้จะต้องหลุดจากตรงนี้ให้ได้เสียก่อน
เขากลัวว่าใช้แรงดึงกู้ชงิ ฮั่นแรงเกินไปจะทาให้นาง
บาดเจ็บ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังให้มาก ได้ยินเสียง
ของจ้าวยวนดังขึ้นมา “ซื่อจื่อ ท่านวางใจเถอะ ขอแค่
ท่านทาตามที่ข้าบอก ไม่เพียงเรื่องนี้จะไม่เผยแพร่
ออกไป ต่อไปท่านก็จะยังมีเกียรติเช่นเดิม” จากนั้น
เขาก็พูดต่อว่า “กู้ชิงฮั่นเป็นอาสะใภ้ของท่าน
จิ่นอีซื่อจื่อกับอาสะใภ้ของตัวเองมีความสัมพันธ์ หาก
เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้ว่าผลที่จะตามมาจะ
เป็นอย่างไรบ้าง?”
หยางหนิงไม่ได้สนใจเขาอีกแล้ว ยังคงดึงกู้ชิงฮั่น
ออกมาจากคลังหินอย่างระมัดระวัง ในคืนอันมืดมิด
เขามองไปที่ทิศตะวันตก ขอแค่ข้ามแม่น้าหงซาไป
ทางหุบเขานั้นก็น่าจะหลุดพ้นได้แล้ว สถานการณ์
ตอนนี้คงไปได้แค่ที่นั่นที่เดียว แต่ว่าเขาไม่รู้ความลึก
ของแม่น้าหงซา คิดไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็แบกกูช้ ิงฮั่น
เอาไว้ด้านหลัง ไม่ว่าจะลึกแค่ไหน ไปก่อนค่อยว่ากัน
ทันใดนั้นเองก็มีเงาของคนๆ หนึ่งวิ่งผ่านมา หยางหนิง
ตกใจ ยกมือขึ้นมาเตรียมจะซัดเข้าไป หมัดของเขา
ค้างอยู่กลางอากาศ แล้วก็เก็บมันกลับมา ชาย
อัปลักษณ์ เขาคือชายอัปลักษณ์
ชายอัปลักษณ์สวมเสื้อของจวนเก่า ถึงแม้จะเก่าแต่
มันก็พอดีตัว แต่เขายังคงคลุมเสื้อขนสัตว์สีดาของเขา
เช่นเดิม เขาโผล่มาอย่างกับผี ทาให้หยางหนิงตกใจไม่
น้อย
ชายอัปลักษณ์เห็นหยางหนิง เขาไม่ได้มีท่าทางที่
หวาดกลัว แถมยิ้มให้อีก แล้วยื่นมือออกไป เขายังไม่
ทันได้พูดอะไร หยางหนิงก็พูดเบาๆ ว่า “อย่าพูดอะไร
ตามข้าข้ามแม่น้าไป เดี๋ยวข้าให้ของกินกับเจ้า” ชายผู้
นั่นก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เขาแบกกู้ชิงฮั่น แล้วค่อยๆ
ข้ามแม่น้าตามไป ชายอัปลักษณ์ก็เชื่อฟังเขามาก เดิน
ตามหยางหนิงไปอย่างว่าง่าย
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง น้าในแม่น้าหนาวเย็นยะเยือก
ร่างกายของกู้ชิงฮั่นยังคงร้อนอยู่ หยางหนิงกลัวว่าน้า
ในแม่น้าเย็นเช่นนี้ ร่างกายของนางจะทนไม่ไหว แต่
ว่าในตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก นอกจากลงน้าแล้ว
ว่ายน้าเข้าฝั่งไป แม่น้าหงซาจะว่ากว้างก็ไม่กว้าง จะ
ว่าแคบก็ไม่แคบ ถือว่าเป็นแม่น้าสายใหญ่สายหนึ่ง
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหมาเห่า หยางหนิงรู้ว่าตัว
เขาไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายจะต้องสงสัยแน่นอน จึงรีบ
ว่ายข้ามฝั่งไปอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของเขาร้อนราวกับไฟเผา แต่ว่าเมื่อถูกน้าเย็น
ก็เหมือนอาการมันจะลดลงไม่น้อย ในใจก็แอบคิดว่า
หรือว่าการแช่น้าเย็นมันจะแก้อาการของควันไห่ถัง
ได้?
เขาใช้มือหนึ่งอ้อมไปพยุงกู้ชิงฮั่นจากด้านหลัง อีกมือ
หนึ่งก็ว่ายน้าไป ร่างกายของกู้ชิงฮั่นนิ่มเหลือเกิน
หน้าอกก็แน่น มันดันอยู่ที่หลังของเขา ตามจังหวะที่
เขาแหวกว่ายไป
ทันใดนั้นเองร่างกายของกู้ชิงฮั่นก็มีความเคลื่อนไหว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของกู้ชิงฮั่นดังขึ้นแบบไร้เรี่ยวแรง
“หนิงเอ๋อ...หนิงเอ๋อ...”
หยางหนิงว่ายไปพรางพูดไปพราง “ซานเหนียง ข้าอยู่
นี่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? เจ้าพวกนั้นอยู่ที่คลัง
หิน พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
กู้ชิงฮั่นตื่นมาอย่างสะลึมสะลือ ถึงแม้ในหัวจะยังมึนๆ
อยู่บ้าง แต่ว่าหลังจากได้แช่น้า สติก็คืนมาได้ไม่น้อย
จากนั้นก็มองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่บนหลังของ
หยางหนิงและเขากาลังจะว่ายข้ามฟากไป นางกาลัง
นึกย้อนกลับไป ก็ไม่รู้ว่าหยางหนิงออกมาจากคลังหิน
ด้วยวิธีไหนไม่รู้
ก่อนหน้านี้นางถูกควันไห่ถัง ร่างกายมีกาหนัดเป็น
อย่างมาก ถึงแม้จะขาดสติไป แต่ก็ยังพอจาได้ลางๆ
ว่าตัวเองปล่อยตัวปล่อยใจไปแค่ไหน นางทั้งอายทั้ง
โกรธ ตอนนี้นางอยู่บนหลังของหยางหนิง ร่างกาย
ของทั้งคู่แนบชิดกัน หน้าอกของนางชนหลัง
หยางหนิง ส่วนมือของหยางหนิงก็อยู่ที่บั้นท้ายของ
นาง ร่างกายของนางสั่นไปมา แต่ก็จนปัญญาจะทา
อะไร
เมื่อถึงฝั่ง หยางหนิงค่อยๆ วางกู้ชิงฮั่นลง แล้วเขาก็
เห็นชายอัปลักษณ์ตามมาติดๆ จากนั้นก็ยื่นมือมา
“ของกิน...หิว...!”
หยางหนิงคิดในใจว่าเจ้าหิวขนาดนี้ ต่อให้ข้าฆ่าหมูมา
ให้เจ้ากินวันละสองตัวก็คงไม่พอ เขาไม่ได้สนใจชายผู้
นั้นมากนัก ทันใดนั้นเองก็มีเงาของคนหลายคน
ปรากฏอยู่ที่อีกฟาก มีคนตะโกนว่า “เขาอยู่นั่น เขา
เจ้าเล่ห์นัก เขาหนีไปได้”
จากนั้นก็มีอีกคนตะโกนขึ้นมาว่า “อย่าให้เขาหนีไปได้
ทุกคนตามไป” จากนั้นก็เห็นเงาของคนราวๆ ห้าหก
คนกาลังว่ายน้าข้ามฟากกันมา
หยางหนิงเห็นตัวของกู้ชิงฮั่นสั่นเล็กน้อย จึงไม่ได้พูด
อะไรมาก จับมือกู้ชิงฮั่นแล้วก็วิ่งเข้าป่าไป แต่พอวิ่งไป
ได้พักหนึ่ง กู้ชิงฮั่นก็เกิดล้มแล้วร้องขึ้นมาว่า “โอ้ย”
หยางหนิงรู้ดีว่าคนพวกนั้นอีกเดี๋ยวคงตามมาทัน เขา
ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก อุ้มกู้ชิงฮั่นขึ้น กู้ชิงฮั่นก็รู้
สถานการณ์ดี จึงปล่อยให้เขาอุ้มไป
เมื่อวิ่งมาได้ช่วงหนึ่ง หยางหนิงเห็นชายอัปลักษณ์
เหมือนจะวิ่งไปไกล ทิ้งตัวเขาอยู่ด้านหลัง สมองก็
พลันคิดอะไรออก เขาตะโกนออกไปว่า “มีของกิน!”
วิธีนี้ได้ผลดีมาก ชายอัปลักษณ์รีบหันหลังแล้ววิ่ง
กลับมา หยางหนิงหยุดเดิน แล้วหันไปพูดกับกู้ชิงฮั่น
ว่า “ซานเหนียง คนพวกนี้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
พวกเขาต้องการจับพวกเราให้ได้ ท่านหนีไปกับเขา
ก่อน ข้าจะล่อพวกเขาออกไป เป้าหมายของพวกเขา
คือข้า”
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว พูดด้วย
ความโกรธว่า “เจ้าจะให้ข้าทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่รึ?”
“อย่าเพิ่งเถียงกันเลย ข้าคนเดียวไม่มีห่วงอะไร จะ
เอาตัวรอดได้ง่ายกว่า ไม่อย่างนั้นเราจะหนีไม่รอดทั้ง
คู่” หยางหนิงพูดต่อไปว่า “ชายอัปลักษณ์วิ่งได้เร็ว
ให้เขาพาท่านไป พวกนั้นไม่มีทางตามทัน
สถานการณ์ที่จวนเก่ายังไม่แน่ชัด ท่านอย่าเพิ่ง
กลับไปที่นั่นจะดีกว่า ท่านกลับไปที่บ้านตระกูลกู้ก่อน
หากข้าเอาตัวรอดได้แล้ว ข้าจะไปหาท่านที่บ้าน
ตระกูลกู้”
“หนิงเอ๋อ...!” กู้ชิงฮั่นดวงตาแดงก่า “ท่านไปกับเขา
ไม่ต้องห่วงข้า”
หยางหนิงไม่พูดอะไรมาก อุ้มกู้ชิงฮั่นไปวางไว้ที่หลัง
ของชายอัปลักษณ์ ชายอัปลักษณ์สีหน้ามึนงง
หยางหนิงพูดกับเขาว่า “เจ้าอัปลักษณ์ เจ้าฟังข้าให้ดี
นะ นางจะพาเจ้าไปหาของกิน เจ้าต้องฟังนาง นางให้
เจ้าไปทางไหนเจ้าก็ไปทางนั้น นางจะให้ของกินกับ
เจ้าเยอะแยะเลย แต่หากเจ้าปล่อยให้คนอื่นชิงตัวนาง
ไป เจ้าจะไม่มีอะไรกินอีกเลย”
ชายอัปลักษณ์ตะลึงไป จากนั้นก็พยักหน้า กู้ชิงฮั่น
น้าตานองหน้า กัดฟันแล้วพูดว่า “เจ้าจะทิ้ง
ซานเหนียงไปเช่นนี้หรือ?”
“ซานเหนียง ไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงแล้ว พวกท่าน
รีบไป ไม่ต้องห่วงข้า ข้ารอดไปได้เมื่อไหร่ จะรีบไปหา
ท่านทันที” หยางหนิงยกมือขึ้นมาแล้วชี้ไปทางใต้
แล้วพูดกับชายอัปลักษณ์ว่า “ยังไม่รีบวิ่งไปอีก?”
ชายอัปลักษณ์แบกกู้ชงิ ฮั่นแล้วก็วิ่งไป เขาไปรวดเร็ว
ราวกับสายลม พริบตาเดียว ก็หายไปกับความมืดแล้ว
ไม่เห็นแม้แต่เงา
หยางหนิงคิดอยากจะรีบวิ่งขึ้นเขาไป ก็คิดว่าหากพวก
นั้นไม่เห็นเขาอยู่ที่ฝั่ง ก็จะล่อพวกเขามาไม่ได้ เขา
หยิบมีดสั่นออกมา แอบคิดในใจว่า เมื่อขึ้นเขาแล้ว
ข้าจะจัดการพวกเจ้าทีละคนเลย
หยางหนิงก็ไม่ให้เสียเวลา หันหลังแล้วก็วิ่งขึ้นเขาไป
จากนั้นก็ได้ยินเสียงหมาเห่าดังมา เมื่อหันไปมอง ก็
เห็นคนราวๆ หกเจ็ดคนวิ่งตามมา มีบางคนจูงหมามา
ด้วย
วิ่งไปตลอดทาง ตรงขึ้นเขาไป มีต้นไม้เต็มไปหมด
ด้านหลังก็มีเสียงหมาเห่าไล่ตามมา คนพวกนั้นวิ่งบี้
ตามมาติดๆ
ยิ่งวิ่งเข้าไปในป่าลึก ถนนหนทางก็ยิ่งวิ่งยากขึ้น หยาง
หนิงเข้าใจหลักการเข้าป่าดี หุบเขานี้น่าจะมีระยะทาง
ประมาณยี่สิบสามสิบลี้ ก็ไม่ถือว่าเล็ก และก็ไม่รู้ด้วย
ว่ามีพรานป่าเข้ามาล่าสัตว์หรือไม่ เขารู้ว่าพวก
นายพรานที่มาล่าสัตว์ ชอบสร้างกับดักไว้บนเขา หาก
เขาไม่ทันระวังก็อาจจะโดนได้
เมื่อขึ้นเขาวิ่งเข้ามาในป่าแล้ว รอบๆ ก็มีแต่ความ
เงียบ ทางเดินลาบาก แรกๆ ยังพอได้ยินเสียงของ
สุนัขอยู่บ้าง แต่ไม่นานนักก็ไม่ได้ยินอะไรอีก แอบคิด
ในใจว่าอาจจะไม่ได้หลุดจากคนพวกนั้น แต่ว่าพวก
เขาตามมาถึงบนเขาแล้ว กลัวว่าเสียงหมาจะทาให้รู้
ตาแหน่งของพวกมัน เลยปิดปากหมาพวกนั้นเสีย
คนพวกนี้ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ไม่มีทางมาดีแน่นอน
กลางดึกเช่นนี้ หยางหนิงไม่รู้ด้วยซ้าว่าตัวเขาอยู่ส่วน
ไหนของภูเขา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว
บางอย่าง เขาคิดในใจว่าหรือว่าเจ้าพวกนั้นมันอยู่
ใกล้ๆ นี่ เขาจึงหลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ยื่นหัว
ออกมาดู เห็นเงาๆ หนึ่งอยู่ไม่ไกล เงาๆ นั้นรูปร่างสูง
ใหญ่ ด้านหลังหันมาทางเขา ในมือถือของชิ้นหนึ่ง
กาลังเดินไปทางกองหญ้า
หยางหนิงขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเขากาลังทาอะไรอยู่ แต่
เห็นว่าในมือของเขานั้นกาลังถือตะขอเหล็ก เขาเห็นมี
อะไรยาวๆ กาลังดิ้นอยู่ที่ตะขอเหล็กนั้น เมื่อมองดูดีๆ
มันคืองูตัวใหญ่ตัวหนึ่ง งูตัวนั้นถูกตะขอเหล็กเกี่ยว
เอาไว้ มันยังคงพยายามดิ้นอยู่ คนๆ นั้นยื่นมือออกไป
แล้วจับไปที่หัวของมัน
ตอนแรกคิดว่างูตัวนั้นคงไม่ยอมให้จับง่ายๆ ใครจะคิด
ว่าหลังจากที่คนๆนั้นจับไปที่หัวของมัน เจ้างูก็แน่นิ่ง
ไป ไม่ดิ้นต่ออีกเลย
คนๆ นั้นใช้ตะขอเหล็กจับงูวางบนพื้น แล้วหยิบ
กระสอบออกมา จากนั้นก็หยิบมีดโค้งออกมา นั่ง
ยองๆ ลงไป จากนั้นก็ตัดหัวงูออก แล้วก็สับงูตัวนั้น
ออกเป็นท่อนๆ แล้วจับโยนเข้าไปในกระสอบ
หยางหนิงคิดว่าหรือว่าคนๆนี้จะเป็นคนจับงูอย่างนั้น
หรือ?
ขณะที่กาลังคิดอยู่ ก็ได้เสียงเสียงเอะอะมาจากไม่ไกล
หยางหนิงไม่รู้ว่าเป็นคนพวกนั้นที่ตามมาหรือว่าเป็น
คนอื่น เขายังคงซ่อนอยู่หลังต้นไม้ คนจับงูจู่ๆ ก็เงย
หน้าขึ้นมา แล้วมองไปทางต้นเสียง จากนั้นก็หยิบ
ตะขอเหล็กขึ้นมา แล้วนั่งยองๆ ลงไปที่กองพุ่มหญ้า
เห็นคนที่เดินมาคนหนึ่งสวมชุดทางการ ในมือถือดาบ
เขางอตัวลง ช่างระวังตัวนัก หยางหนิงเห็นดังนั้น ก็รู้
ว่านี่คือคนที่ตามล่าตัวเขาอยู่ คนๆ นี้สวมชุดทางการ
แต่งตัวเหมือนคนที่เคยเจออยู่หมู่บ้านหลู่หวัง
ตอนนั้นผู้ดูแลหลัวพาชายฉกรรจ์ไปรีดไถอาหารที่
หมู่บ้านหลู่หวัง ก็แต่งตัวเช่นนี้
เห็นทั้งสี่คนมองไปรอบๆ เดินไปไม่กี่ก้าว แล้วก็ใช้
จมูกดมๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลง ก็พบงูตัวที่นักจับงูสับ
เหลือไว้อีกครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็เห็นถุงกระสอบที่อยู่
ข้างๆ เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เขี่ยถุงออก ทันใดนั้นก็ได้ยิน
เสียงร้อง เห็นคนจับงูวิ่งออกมาจากพุ่มหญ้า คนยังไม่
ทันมาถึง ตะขอเหล็กในมือกับพุ่งไปที่ชายฉกรรจ์แล้ว
หยางหนิงเห็นดังนั้นก็ตกใจ แอบคิดในใจว่าคนจับงูนี่
ช่างร้ายกาจยิ่ง ทั้งสองคนไม่เคยมีข้อบาดหมางกัน
แต่กลับลงมือถึงขั้นเอาชีวิต
ชายฉกรรจ์ไม่คิดว่าจะมีใครหลบอยู่หลังพุ่มหญ้า ส่วน
คนจับงูก็เหมือนลิง ไปมาว่องไว ชายฉกรรจ์ยังไม่ทัน
ได้ส่งเสียงอะไร ตะขอเหล็กก็แทงเข้าไปในคอของเขา
แล้ว ปลายแหลมแทงทะลวงคอของเขาไป หยางหนิง
เห็นสีหน้าคนจับงูเหี้ยมโหด ในใจก็รู้สึกหวั่นๆ
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 97 สลายร่าง
คนจับงูยกตะขอเหล็กขึ้นมา ชายฉกรรจ์คนนั้นยังไม่
ตาย เขายังคงนอนดิ้นอย่างทรมานอยู่ สีหน้าของคน
จับงู ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลาคอ เหมือนดีใจที่
ได้เห็นคนตาย
หยางหนิงรู้สึกขนลุก เขาคิดว่าชายผู้นี้เป็นเพียงคนจับ
งูธรรมดา แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว คนจับงูผู้นี้ไม่ใช่คน
ธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อครู่เขาพุ่งตัวออกมาจากพุ่ม
หญ้า ถึงแม้ร่างกายของเขากายา แต่การเคลื่อนไหว
ของเขาว่องไวนัก กระบวนท่าเดียวก็สามารถแทงตรง
เป้าไปที่คอของชายฉกรรจ์คนนั้นได้อย่างง่ายดาย เขา
จะต้องไม่ใช่คนจับงูธรรมดาแน่นอน
หยางหนิงดูจากการแต่งกายของเขาแล้ว พบว่าบน
ศีรษะของคนจับงูโพกผ้าเอาไว้ด้วย ทันใดนั้นเองเขาก็
นึกถึงสู่อ๋องซื่อจื่อที่เคยได้พบที่เมืองหลวงขึ้นมา คนผู้
นี้ดูๆ ไปก็เหมือนกับคนของสู่อ๋องซื่อจื่อที่โพกผ้าเลย
เขารู้ว่าที่ปาสู่มักจะพรางตัวเป็นเรื่องปกติที่เห็นได้
บ่อย แต่ที่นี่คือจิงหนาน ไม่ใช่ดินแดนของเมืองสู่ ไม่รู้
ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ชายฉกรรจ์ดิ้นอยู่พักหนึ่ง ร่างกายเริ่มไร้เรี่ยวแรง
แขนขาเริ่มอ่อนลง คนจับงูค่อยๆ สะบัดร่างของชาย
ฉกรรจ์ออกจากตะขอเหล็ก จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบ
อะไรบางอย่างออกมา ท่ามกลางความมืด หยางหนิง
เห็นไม่ชัดเจนนัก เห็นคนจับงูกาลังโรยผงอะไร
บางอย่างลงไปที่ศพ ในใจก็คิดสงสัย แอบคิดว่าชาย
ฉกรรจ์คนนั้นก็ตายไปแล้ว คนจับงูคิดจะทาอะไรกัน
แน่
คนจับงูเทผงลงไปที่ศพ จากนั้นก็เก็บของชิ้นนั้น
กลับไป จากนั้นก็ไปหยิบงูที่สับไว้ที่เหลือโยนเข้าถุง
กระสอบ
หยางหนิงได้กลิ่นเหม็นลอยมา กาลังแปลกใจ กลับ
เห็นที่ตัวศพมีควันลอยขึ้นมา ควันนั้นค่อยข้างบาง
หยางหนิงจึงเห็นมันได้อย่างชัดเจน
คนจับงูผู้นี้ช่างเชี่ยวชาญในการจับงูยิ่งนัก เขาคุ้นเคย
กับการเคลื่อนไหวของงูเป็นอย่างดี พริบตาเดียว
สามารถสับงูตัวใหญ่ออกได้ จากนั้นเขาก็ลุกขึน้ หยิบ
ตะขอเหล็ก ถือถุงกระสอบ ไม่แม้แต่จะมองศพ
จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปเลย
หยางหนิงดูจนแน่ใจว่าคนจับงูไปแล้วจริงๆ ถึงได้เดิน
เข้าไปดู เมื่อไปถึงข้างศพเขาก็แทบอ้วก เห็นศพของ
ชายฉกรรจ์เหลือแค่ครึ่งตัวเท่านั้น เนื้อเละ เห็นแต่
กระดูก ส่วนครึ่งตัวบนหนังกับกระดูกก็ไม่เหลือแล้ว
มีเพียงเลือดที่นองอยู่ที่พื้น ตอนนี้อีกไม่นานครึ่งตัว
ล่างของเขาก็จะเน่าเละจนสลายไป กลิ่นเหม็นเน่านั้น
มาจากศพนี้นั่นเอง
หยางหนิงใช้มือปิดจมูก อากาศเริ่มหนาวเย็น ถึงแม้
ชายฉกรรจ์จะไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่ว่าคนจับงู
ฆ่าเขาเช่นนี้ แถมยังสลายร่างเขาอีก เหี้ยมโหดยิ่งนัก
หากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ใครจะคิดว่าใน
ช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้หนังกับกระดูกจะสลายจนไม่
เหลือเลย
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงนกร้องมาจากบนฟ้า หยาง
หนิงเงยหน้าขึ้นไปมอง ท่ามกลางความมืด เห็น
เหยี่ยวตัวหนึ่งกาลังบินโฉบมา เสียงของมันเหมือน
สัตว์ป่ายิ่งนัก
หยางหนิงเพิ่งรู้ว่าในภูเขาแห่งนี้มีคนจับงูที่เหี้ยมโหด
มากขนาดนี้ เขาเริ่มระวังตัวมากขึ้น แอบคิดว่าเมื่อครู่
คนจับงูแอบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ หลังจากนั้นก็ไม่พูด
มากความ เข้าจู่โจมในทันที ดังนั้นตัวเองต้องระวังตัว
มากขึ้น จะให้คนจับงูมาลอบโจมตีไม่ได้
เขามองไปทางที่คนจับงูนั้นเดินจากไป ในใจก็สงสัย
ที่มาที่ไปของคนผู้นั้น แต่ตัวเองตอนนี้กาลังถูกไล่ล่า
ไม่จาเป็นต้องไปหาเรื่องมาใส่หัวเพิ่มอีก จึงเดินไปอีก
ทางหนึ่ง
จวนเก่าตระกูลฉีถูกคนควบคุมเอาไว้หลายปีมาแล้ว
ทางเมืองหลวงไม่รู้เรื่องนี้เลย ตอนนี้มารู้เรื่องนี้ก็ต้อง
ตกใจเป็นธรรมดา
แต่ที่ทาให้หยางหนิงสงสัยมาก นั่นก็คือหลังจากคน
พวกนี้หลอกใช้ฉีเฉิงควบคุมจวนเก่าเอาไว้ สามปีมานี้
ยังคงส่งเงินภาษีไปยังเมืองหลวงตามปกติ พวกเขาทา
เพื่ออะไรกัน จวนโหวไม่มีความสงสัยเลย แต่ว่าพวก
เขาทาไปทาไม พวกเขาอดทนมาถึงสามปี หากมี
แผนการชั่วร้ายจริง คิดว่าต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
หัวหน้าของพวกมันก็น่าจะเป็นจ้าวยวนที่ถูกเรียกว่า
“ท่านผู้พิพากษา” แต่หยางหนิงคิดว่าน่าจะมีคนที่อยู่
เบื้องหลังนี้อีก
จิ่นอีโหวเป็นตระกูลศักดินาที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้
ตาแหน่งสูงศักดิ์ เป็นขุนนางตาแหน่งสาคัญของราช
สานัก ไม่มีทางกล้าลงมือกับจิ่นอีโหวหรอก แต่พวก
ของจ้าวยวนกลับกล้าที่จะควบคุมจวนเก่าเอาไว้ในมือ
วางกับดักทาร้ายจิ่นอีซื่อจื่อ แน่นอนว่าเรื่องนี้คน
ธรรมดาก็คงไม่กล้าทา
กับดักที่คลังหิน ใช้ควันไห่ถังบีบให้กู้ชิงฮั่นทาเรื่องน่า
ละอายกับตัวเอง วิธีต่าช้าเช่นนี้ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น
จ้าวยวนคงรู้ดีว่า หากสามารถควบคุมตัวเขาได้ ก็จะ
คิดแผนการชั่วร้ายที่ใหญ่หลวงขึ้นมาแน่นอน
หากตัวเขาสามารถรอดไปได้ จะต้องกาจัดพวกนั้นไป
อย่างแน่นอน แต่หยางหนิงรู้ดีว่าพวกนี้วางรากฐาน
ที่นี่มาหลายปี จะต้องมีกาลังและอิทธิพลไม่น้อย หาก
อาศัยเพีงกาลังของตน คงไม่สามารถกาจัดคนพวกนี้
ได้ แถมยังอาจจะย้อนกลับมาทาร้ายตนได้ด้วย ดังนั้น
ก่อนจะลงมือ จะต้องวางแผนเอากาลังคนให้ดี ก่อน
อื่นจะต้องโยกเอาทหารจากทางเจ้าเมืองเจียงหลิงมา
ล้อมไว้ก่อน
ด้วยฐานะของจิ่นอีโหว การขอกาลังทหารจากเจ้า
เมืองเจียงหลิง ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร
กาลังคิดอยู่ว่าหลังจากที่รอดไปได้แล้วจะทาอย่างไร
ต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลมลอยมา ดาบคมๆ เล่ม
หนึ่งกาลังพุ่งมาที่ตัวเขา
ปฏิกิริยาของหยางหนิงนั้นไวมาก เขาไม่ได้หลบไป
ข้างๆ แต่ย่อตัวลง จากนั้นก็วิ่งพุ่งเข้าไปชนคนที่ลงมือ
ความเร็วเขาเร็วยิ่งนัก คนผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าหยางหนิง
จะมาไม้นี้ หยางหนิงชนเข้าไปอย่างแรง คนผู้นั้นร้อง
ขึ้นมาว่า “โอ้ย” แต่คนนั้นร่างกายกายา หยางหนิง
ร่างกายบอบบาง ขณะที่ชน ถึงแม้เขาจะถอยไปสอง
ก้าว แต่ก็ไม่ได้ล้มลง
หยางหนิงไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสครั้งที่สอง
อย่างแน่นอน ตอนนี้เอง หากมีเมตากับศัตรูมันคือ
การทาผิดกับตัวเอง เขายื่นมือออกไป ใช้มีดสั้นของ
ตัวเองแทงเข้าไปที่หัวใจของอีกฝ่าย
เขารู้จักจุดต่างๆ ในร่างกายดี ถึงแม้ในสถานการณ์คับ
ขันเช่นนี้ แต่เขาก็สามารถเล็งไปที่เป้าหมายของอีก
ฝ่ายได้อย่างชัดเจนและแม่นยา จากนั้นเขาก็ดึงเอามีด
ออก หลบไปข้างๆ คนผู้นั้นยืนโซซัดโซเซไปมา
จากนั้นก็ล้มลง หยางหนิงเห็นคนผู้นั้นสวมชุดที่คล้าย
กับพวกของจ้าวยวน
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าพร้อมพูดว่า
“ซื่อจื่อฝีมือท่านช่างร้ายกาจยิ่งนัก แต่ว่าท่านไม่มีทาง
หนีรอดไปได้แล้ว” มันเป็นเสียงของจ้าวยวน หยาง
หนิงเงยหน้าไปมอง เห็นร่างของเขาอยู่ห่างไม่กี่ก้าว
เงาของคนผู้นั้นกาลังยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือของอะไร
บางอย่าง เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้วมันเป็นธนูที่
กาลังเล็งมาที่ตัวเขา
“ซื่อจื่อเกิดในตระกูลนักรบ ก็น่าจะรู้ว่ามันคืออะไร”
จ้าวยวนยิ้ม “เมื่อยิงมันออกไป ชีวิตของซื่อจื่อก็จะทิ้ง
อยู่ตรงนี้”
หยางหนิงได้ยินเสียงดังขึ้น เมื่อหันไปมอง ก็เห็นมีคน
สองคนถือดาบซ้ายคนขวาคน กาลังยื่นจ้องมาที่
ตัวเอง
“เจ้าคือฉีหนิงรึ” คนผู้หนึ่งมองมาที่หยางหนิง แล้วก็
ตกใจ จากนั้นก็ยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วพูดว่า “ที่แท้เจ้า
ก็คือจิ่นอีซื่อจื่อ คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้เจอกันที่นี่
ก่อนหน้านี้เจ้าไปสามหาวที่หมู่บ้านหลู่หวัง แม้แต่
ผู้ดูแลหลัวเองยังถูกจับตัดเอ็นจนขาด ทาให้เขาลุกไป
ไหนมาไหนไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะมาอยู่ในกา
มือของพวกข้าใช่หรือไม่เล่า?”
หยางหนิงได้ยินดังนั้น ในใจก็คิดว่าผู้ดูแลหลัวพวกนี้
จะต้องเป็นพวกที่ติดตามเขาไปที่หมู่บ้านหลู่หวังแน่ๆ
จ้าวยวนร้องออกมาว่า “อ่อ” จากนั้นก็มองไปที่ห
ยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้คนที่ลงมือที่หมู่บ้านหลู่
หวังคือเจ้าเองรึ? ได้ยินชื่อเสียงไม่สู้มาเห็นหน้า ข้าคิด
ว่าจิ่นอีซื่อจื่อเป็นคนที่ไร้ความสามารถ ตอนนี้ดูๆ ไป
แล้ว ซื่อจื่อนี่ซ่อนความสามารถไว้เก่งกาจยิ่งนัก”
จากนั้นก็เดินเข้าไปสองก้าว “เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้
มาก...มีดในมือของเจ้าเล่มนั้น มันเป็นมีดที่ใช้ขูด
กาแพงคลังหินอย่างนั้นหรือ? สามารถใช้ทาลายหินใน
เวลาสั่นๆ ได้ เป็นมีดที่ไม่ธรรมดาเลยนะ”
“จ้าวยวน...อ่อ ไม่สิ ข้าต้องเรียกเจ้าว่าผู้พิพากษาถึง
จะถูก” หยางหนิงจ้องไปที่จ้าวยวน อีกทั้งระวังสอง
คนข้างหลังจะลอบทาร้ายอีกด้วย “พวกเจ้าวางแผนที่
ชั่วช้าพวกนี้ พวกเจ้าทาเพื่ออะไรกัน?”
จ้าวยวนพูดกับหยางหนิงว่า “ซื่อจื่อวางมีดลงก่อน
เถอะนะ”
“พวกเจ้าสามคนอยู่ตรงนี้ ธนูยังอยู่ในมือ ยังจะต้อง
กลัวข้าอีกรึ?” หยางหนิงยิ้มแสร้งทาเป็นยิ้มแล้วพูดว่า
“แม้แต่จวนเก่าจิ่นอีโหวยังกล้ายึด ข้าคิดเจ้าก็มีความ
กล้าไม่เบาเลยนะ”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีซื่อจื่ออย่างเจ้ามันเจ้า
เล่ห์นัก ข้าทาอะไรระวังตัวตลอด ไม่มีทางให้ตัวเอง
ต้องเดือดร้อนหรือเสี่ยงแน่นอน มีดยังอยู่ในมือของ
เจ้า ข้าไม่วางใจ” ธนูในมือค่อยๆ ยกขึ้น “ซื่อจื่อท่าน
เชื่อฟังพวกข้าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเกิดข้าร้อนใจ
ขึ้นมา ไม่ทันระวัง ยิงธนูออกไปจะทาอย่างไร”
หยางหนิงยิ้ม แล้วทิ้งมีดไปที่ปลายเท้า จ้าวยวนถอน
หายใจแล้วพูดว่า “ซื่อซื่อจริงๆ ท่านไม่น่าจะต้องมา
ลาบากเช่นนี้ หากท่านอยู่ในคลังหินแล้วมีอะไรกับกู้
ชิงฮั่นเสีย ก็อาจจะไม่ต้องมาตายเช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้
ข้าก็รับประกันอะไรไม่ได้”
“หา?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่มีความลับ
ของข้าแล้ว ก็ควบคุมข้าไม่ได้แล้วสินะ ดังนั้นก็เลยจะ
ฆ่าข้าทิ้งอย่างนั้นหรือ?”
จ้าวยวนตอบกลับไปว่า “ซื่อจื่อท่านก็ฉลาดอยู่ไม่น้อย
ครู่เดียวก็เดาเรื่องราวออกแล้ว”
“ข้าก็แค่แปลกใจ พวกเจ้ามียาปลุกกาหนัดนั่น แล้ว
เหตุใดจะต้องเสียเวลาหลอกข้าไปที่คลังหินที่แม่น้าหง
ซาด้วย” หยางหนิงถามต่อว่า “พวกเจ้าควบคุมจวน
เก่าเอาไว้แล้ว วางกับดักที่จวนเก่า ไม่ง่ายกว่าหรือ?”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเคยบอกแล้ว ข้าทาอะไร
จะต้องไม่พลาด หากให้เจ้าอยู่กับกู้ชิงฮั่นบนเตียง
เดียวกัน ก็ใช่ว่าจะทาไม่ได้ แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะ
ไม่มีข้ออ้างให้คนอื่นได้เห็นพวกเจ้าอยู่ด้วยกัน ไม่มีคน
นอก เรื่องนี้ก็จะไม่เป็นผล อีกทั้งคนที่เจ้าพามาก็ไม่ใช่
ธรรมดา หากมีคนเห็นช่องโหว่เข้า ก็จะแย่”
“ลาบากวางแผนกันจริงๆ เลย” หยางหนิงพูดต่อไป
ว่า “คนที่จวนเก่ารู้ว่าข้าออกมาตามหาฮูหยินสาม
เจ้าปิดปากพวกเขาได้อย่างไรกัน?”
“ซื่อจื่อช่างดูถูกพวกข้ายิ่งนัก หลายปีมานี้พวกเขาจับ
พิรุธไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพียงพวกข้าจงใจหวาดกลัว
ต่อฉีเฉิงหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว ขอพูดตามตรงเลยก็
แล้วกันนะ ฉีเฉิงพูดคาเดียว ได้เรื่องกว่าซื่อจื่ออย่าง
ท่านอีก” จ้าวยวนพูดอย่างนิ่งๆ ว่า “จริงๆ พวกเรา
ไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ซื่อจื่อ
น่าจะคิดหาทางเอาชีวิตรอดตอนนี้เสียก่อนนะ”
หยางหนิงหัวเราะร่าออกมาแล้วพูดว่า “ธนูอยู่ในมือ
เจ้า ตอนนี้ข้ามือเปล่า ข้าอยากจะมีชีวิตรอดไป ก็ต้อง
ทาตามเงื่อนไขของเจ้า”
“คนที่รู้สถานการณ์ตัวเองถือเป็นคนฉลาด” จ้าวยวน
หัวเราะ “ซื่อจื่อพูดมาแบบนี้แล้ว พวกเราก็พอจะคุย
กันได้” ทันใดนั้นเอง เขาก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง แล้วโยน
ของอย่างหนึ่งไปให้หยางหนิง หยางหนิงยื่นมือรับเอา
มา มันเป็นขวดเล็กขวดหนึ่ง จ้าวยวนพูดต่อว่า “ข้าง
ในมียาอยู่สองเม็ด เพียงซื่อจื่อกินมันเข้าไป ก็จะรอด”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 98
ไม่รู้ภัยใกล้ตัวจากนกขมิ้นที่อยู่ด้านหลัง
หยางหนิงรู้ดีว่ายาในขวดนี้น่าจะเป็นยาพิษ เขายิ้ม
แล้วถามว่า “ดูท่าข้าจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ แต่
ว่าข้ายังมีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเจ้าจะชี้แนะข้าได้
หรือไม่?”
“ซื่อจื่อคิดอยากจะถามอะไรเล่า?” จ้าวยวนรู้ว่าเรื่อง
ทั้งหมดอยู่ในกามือแล้ว จึงไม่รีบร้อนอะไร
หยางหนิงถามขึ้นว่า “การเก็บภาษีทดี่ ินศักดินาสี่ส่วน
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก ฮูหยินสามตรวจบัญชี ก็ไม่พบ
สิ่งผิดปกติอะไร”
จ้าวเยียนจึงพูดขึ้นว่า “ไม่ผิด การทาบัญชีปลอม
เสียเวลาลงแรงมากก็จริง” เขายิ้มแล้วพูดต่อไปอีกว่า
“บัญชีพวกนั้น ทาไว้เพื่อรับมือกับพวกเจ้าอย่างไรเล่า
ข้ารู้ว่ากู้ชิงฮั่นจะต้องตรวจบัญชีแน่ๆ จึงเตรียมการไว้
ก่อนแล้ว”
“เอาไว้รับมือกับพวกข้าอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงนิ่ง
ไป “หรือว่าพวกเจ้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเราจะมาที่นี่?”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อเหตุใดเจ้าไม่คิดบ้างล่ะ
ว่า หลายปีมานี้เงินภาษีไม่เคยขาดส่งไปที่เมืองหลวง
เลย แล้วเหตุใดถึงมาขาดในเวลาเช่นนี้ได้เล่า? พวก
เจ้ากลับมาที่เจียงหลิง มันก็คือหนึ่งในแผนการของ
พวกเรา การทาบัญชีปลอม มันเป็นเรื่องที่เตรียมไว้
ก่อนแล้ว”
หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามั่นใจ
ขนาดนั้นเลยหรือว่าพวกเราจะต้องกลับมา?”
จ้าวยวนพูดว่า “แน่นอน จวนจิ่นอีโหวไม่มีเงินใช้ เงิน
ภาษีก็ส่งมาไม่ถึงเสียที ส่งคนมาก็ไม่มีใครกลับไป
รายงานสักคน พวกเจ้าก็ต้องมาเอง”
หยางหนิงคิดในใจว่า ทางจวนส่งคนมาถามเรื่องเงิน
ภาษี หลายต่อหลายคนก็ไม่มีข่าวคราว คนที่ส่งมาก็
หายไปหมด จวนโหวรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงา
เขาขมวดคิ้วแล้วถามต่อว่า “หรือว่าคนที่ส่งมา
ทั้งหมดถูกพวกเจ้า...?”
“ซื่อจื่อท่านรู้อยู่แล้ว แล้วเหตุใดท่านยังต้องมาถามข้า
เล่า” จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขายังมาไม่ถึงจวน
เก่าด้วยซ้าก็ตายอยู่กลางทางเสียแล้ว ไม่มีทางกลับไป
รายงานอะไรพวกท่านได้อีก”
“เจ้าหมายความว่า พวกเจ้ามีคนอยู่ในจวน บอก
ความเคลื่อนไหวของพวกเขาให้รู้อย่างนั้นหรือ?”
หยางหนิงถามอีกว่า “พวกเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้า
หมดแล้วใช่หรือไม่?”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านกินยาลงไปก่อน
เถิด เรื่องอะไรหลายๆเรื่องก็จะชัดเจนขึ้น”
หยางหนิงจับขวดเอาไว้ แล้วถามว่า “ข้าอยากรู้ว่า
พวกเจ้าต้องการให้ข้าร่วมมืออะไรกับเจ้า? พวกเจ้า
ต้องการให้ข้าอยู่ในการควบคุมของพวกเจ้า ข้าก็ต้องรู้
ก่อนสิว่าต้องการให้ข้าทาอะไร?”
“จริงๆ ซื่อจื่อท่านก็ไม่ต้องทาอะไรทั้งนั้น” จ้าวยวน
พูดต่อไปว่า “จริงๆหากท่านมีเสพสังวาสกับกูช้ ิงฮั่น
ทาเรื่องที่ผิดศีลธรรม ท่านเองก็คงไม่มีหน้าจะรับ
ตาแหน่งจิ่นอีโหว...!”
หยางหนิงเหมือนนึกขึ้นมาได้ แล้วพูดกลับไปว่า
“ฉีอวี้รึ? พวกเจ้าเป็นคนของฉีอวี้อย่างนั้นรึ?” เขาคิด
ขึ้นมาได้ว่า ฉีอวี้ลูกอนุภรรยาจ้องตาแหน่งจิ่นอีโหวอยู่
สองแม่ลูกคิดวางแผนชิงตาแหน่งจิ่นอีโหวไป เหมือน
จ้าวยวนต้องการจะให้เขาปล่อยตาแหน่งจิ่นอีโหวไป
เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อตัวเองรับตาแหน่งจิ่นอีโหว คนที่ถูก
ทิ้งก็น่าจะเป็นฉีอวี้ คนพวกนี้เป็นคนของฉีอวี้รึ?
จ้าวยวนพูดขึ้นมาว่า “อ๋อ” จากนั้นก็พูดอีกว่า “เจ้า
บอกว่าฉีอวี้ ลูกอนุในจวนตระกูลฉีใช่หรือไม่? เจ้า
ประเมินเขาสูงไปหรือไม่ พวกข้าไม่ใช่คนของเขาเสีย
หน่อย แต่เขาเองก็เป็นหมากตัวหนึ่งของพวกข้า
เช่นกัน”
หยางหนิงตกใจ แอบคิดว่าคนพวกนี้มีความเกี่ยวข้อง
กับฉีอวี้จริงๆ ด้วย แต่ว่าจากน้าเสียงของจ้าวยวน เขา
ไม่ได้มีท่าทีใยดีกับฉีอวีเ้ ลย หยางหนิงเชื่อใน
ความสามารถของฉีอวี้ ไม่มีทางวางแผนอะไรพวกนี้
ได้อย่างแน่นอน จ้าวยวนบอกว่าฉีอวี้เป็นเพียงหมาก
ตัวหนึ่งของพวกเขา เรือ่ งนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก
คนพวกนี้บังอาจยึดจวนเก่าเอาไว้ในกามือ คิดจะก่อ
ความวุ่นวายจับตัวซื่อจื่อ เพื่อให้ฉีอวี้ได้ตาแหน่งไป
ส่วนฉีอวี้ก็ถูกหลอกใช้ ไม่อยากจะคิดเลย ว่า
เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไรกันแน่
หยางหนิงรู้ว่าเมื่อกินยานี้เข้าไป เป็นตายอยู่ในกามือ
ของพวกมันแล้ว เขาเกร็งขาขึ้นมา อยากจะใช้ท่าเท้า
ท่องคลื่นหนีเอาตัวรอด
พวกของหมู่บ้านหลู่เคยปะทะฝีมือกันมาแล้ว ชาย
ฉกรรจ์สองคนข้างหลังฝีมือธรรมดา รับมือได้ง่าย แต่
ว่าธนูในมือของจ้าวยวนนี่สิสาคัญที่สุด
เขาก็พอจะรู้จักอาวุธชนิดนี้อยู่ รู้ว่าหากยิงออกมามัน
จะเร็วยิ่งนัก ตอนนี้อยู่ห่างจากเขาไม่กี่ก้าวเท่านั้น ขอ
เพียงอีกฝ่ายยิงมันออกมา ตัวเขาก็หนีไม่พ้นแล้ว
แน่นอน แต่ว่าหากหลบได้ก็อาจจะเปลี่ยนจากฝ่าย
เสียเปรียบเป็นได้เปรียบก็ได้
ท่าเท้าท่องคลื่นที่แปลกประหลาด ที่นี่มีแต่ต้นไม้ จะ
หลบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ขณะที่เขากาลังคิดอยู่ ก็ได้ยินจ้าวยวนพูดขึ้นมาว่า
“ซื่อจื่อ ยังมีเวลาอีกมาก ท่านรีบกินยาลงไปเถอะ
เรื่องหลังจากนี้ท่านอยากจะรู้อะไร ท่านไม่ต้องถาม
ข้าก็จะบอกท่านเอง”
หยางหนิงเปิดขวดออก ได้กลิ่นเหม็นลอยมา แค่ได้
กลิ่น ก็รู้ว่าของข้างในไม่ใช่ของดีอะไร
จ้าวยวนกลับยกธนูขึ้นมา เล็งมาที่หยางหนิง เหมือน
กลัวว่าหยางหนิงจะเล่นลูกไม้อะไรอีก
ในเวลานี้เอง ก็เหมือนมีอะไรลอยอยู่กลางอากาศ
พริบตาเดียวก็มาอยู่ที่มือของจ้าวยวน จ้าวยวนรู้สึกว่า
มันหนาวเย็นเหลือเกิน มันเริ่มเคลื่อนไหว จ้าวยวน
ตกใจมาก รีบเก็บมือกลับไป เขาเห็นได้ชัดว่าที่มือของ
เขามีงูเขียวตัวหนึ่งกาลังเลื้อยอยู่ มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หน้าของจ้าวยวนเริ่มถอดสี ปล่อยมือออกไป แล้วใช้
มือสะบัดอย่างแรง คิดอยากจะทาให้งูตัวนั้นหล่นลง
ไปที่พื้นให้ได้ ใครจะคิดว่าเจ้างูนั่นกลับรัดแน่นขึ้นอีก
เหมือนกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของมือนั้นไปแล้ว ไม่ว่า
อย่างไรก็จะไม่ตกลงไปเด็ดขาด
หยางหนิงเห็นดังนั้น แอบคิดว่าสวรรค์ช่วยข้าแล้ว
ฉวยโอกาสรีบหยิบมีดสั้นที่อยู่ที่พื้นขึ้นมา เขารู้ว่าต้อง
รีบลงมือก่อน จากนั้นก็กลิ้งตัวไปหาจ้าวยวน
จ้าวยวนเองก็มีปฏิกิริยาไวไม่น้อย มือของเขาถูกงูพัน
อยู่ ไม่สามารถยิงธนูได้แล้ว เห็นหยางหนิงกลิ้งมาหา
เขา ก็รีบถอยหลัง พิงไปกับต้นไม้ แล้วกระแทกมือที่มี
งูอยู่กระแทกกับต้นไม้อย่างแรง วิธีนี้ได้ผล เมื่อเขา
กระแทกกับต้นไม้แล้ว งูก็หลุดออก
ชายฉกรรจ์สองคนได้สติกลับมา ร้องตะโกนอย่างฮึก
เหิม แล้วถือดาบพุ่งเข้าหาหยางหนิง
แต่แค่เดินออกไปสองก้าว ก็มีคนหนึ่งร้องขึ้นมาด้วย
ความตกใจว่า “งู...งู...!” แล้วก็ไม่กล้าเดินเข้ามาอีก
จากนั้นก็เห็นงูอีกราวสิบตัวหล่นลงมาจากฟ้า ราวกับ
สายฝน
หยางหนิงคิดอยากจะจับตัวจ้าวยวนเอาไว้ กลับรู้สึก
ว่างูกาลังหล่นลงมาใส่ตัวเขา ตอนนี้จึงไม่มีเวลาสนใจ
จ้าวยวน เขาใช้มีดสั้นปัดแกว่งไปในอากาศ
พริบตาเดียวงูก็ขาดเป็นสองท่อน
งูมาแปลกๆ เช่นนี้ หยางหนิงไม่เข้าใกล้จ้าวยวน แต่
หลบไปข้างๆ อย่างรวดเร็ว
จ้าวยวนเจองูตัวหนึ่งรัดเขาเอาเป็นเอาตาย ใครจะคิด
ว่าจะมีงูหล่นลงมาอีกสิบตัว ในตอนนี้มีงูอยู่บนตัวเขา
กว่าสามสี่ตัว บางตัวพันอยู่ที่มือ บางตัวอยู่ที่คอ
ชายฉกรรจ์สีหน้าตกใจ ไม่กล้าเดินเข้าไป ทันใด
นั้นเองก็เห็นคนผู้หนึ่งกระโดดโลดเต้น ทิ้งดาบในมือ
แล้วยื่นมือไปจับเสื้อของตัวเอง แล้วกระโดดไปมา
ร้องตะโกนออกมาว่า “แย่แล้ว มีงูอยู่ในตัวข้า รีบมา
ช่วยข้าจับที”
เพื่อนข้างๆ ของเขาจะไปกล้าช่วยเขาได้อย่างไร เขา
ถอยหลังออกไป จากนั้นร้องตะโกนและวิ่งหนีไป แต่
ไปไม่ถึงไหน ก็เห็นชายกายาร่างใหญ่ยืนขวางเอาไว้
จากนั้นก็เห็นคนผู้หนึ่งถือสามง่ามเดินมาหาตนเอง
คนผู้นั้นตกใจมาก แต่ก็ไม่ได้หยุดเดิน ยกดาบขึ้นมา
แล้วก็ฟันลงไป จากนั้นเขาก็พุ่งมาที่ชายฉกรรจ์อีกคน
หนึ่งอย่างรวดเร็ว ชายฉกรรจ์คนนั้นกาลังจะรับมือ
แต่เห็นสามง่ามหมุนสะบัด อ้อมไปที่ข้อมือของเขา
มันแทงเข้าไปที่มือของเขา เขาร้องออกมาด้วยความ
เจ็บปวด ดาบหลุดจากมือของเขาไปในทันที
อีกฝ่ายถือสามง่ามอย่างสบายๆ ใช้สามง่ามเกี่ยวตัว
ชายฉกรรจ์ไปพร้อมยกตัวเขาขึ้น จากนั้นก็ทิ้งตัวเขา
ลงมาอย่างแรง
หยางหนิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ กาลังจะหลบไป
แต่เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าว ก็เห็นมีเงาๆ หนึ่งโผล่ออกมา
เป็นชายกายาร่างยักษ์ผู้นั้น หยางหนิงมองไป ก็จาได้
ทันทีว่าคนๆ นั้นคือคนจับงูที่เขาเห็น เขารู้ว่าคนๆ นี้
เหี้ยมโหดนัก ลงมือไม่มีความเมตตา เห็นอีกฝ่ายที่ถือ
สามง่ามพุ่งเข้ามา เขาก็ไม่ได้คิดจะหลบ ในมือถือมีด
สั่นรับมือไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียง “แกรก แกรก
แกรก” สามง่ามของเขาก็ขาดเป็นท่อน
คนจับงูพลันตกใจ ทันใดนั้นเองเขาก็ร้องตะโกน
ออกมาเหมือนกับสัตว์ป่า ใช้สามง่ามที่เหลืออยู่ตวัด
เข้าใส่หยางหนิง
อีกฝ่ายมีแรงมาก แถมยังมีสามง่ามลงมาอีก หยาง
หนิงเห็นอีกฝ่ายสูงใหญ่กาลังมากกว่า ตัวเขารู้ว่าใช้
แรงรับมือคงไม่ไหวแน่ เลยถอยหลังไปสองก้าว เพื่อ
หลบสามง่ามนั้น ทันใดนั้นเองในมือเหมือนถูกรัดไว้
แน่น งูตัวหนึ่งกาลังเลื้อยพันที่มือของเขา หยางหนิง
ปฏิกิริยาฉับไวไม่น้อย งูตัวนั้นก็ไม่ช้า เหมือนถูกฝึก
มาแล้วเป็นอย่างดี มันเลื้อยเร็วยิ่งนัก หยางหนิงไม่
ลังเลใช้มีดสั้นของเขา ฟันไปที่คองู
เขาคิดว่าคนจับงูจะฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้ามา ใครจะคิด
ว่าคนจับงูกลับถอยหลังออกไป หยางหนิงยิ่งมองยิ่ง
แปลกใจ ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากด้านหลัง
เสียงนั้นทาให้เขาตกใจเป็นอันมากจึงหันหลังกลับไปดู
เห็นแมลงบินมาทั่วทุกสารทิศ เสียงที่ได้ยินนั้น มันคือ
ผึ้ง
เมื่อผึ้งนับสิบตัวพุ่งเข้ามา หยางหนิงคิดอยากจะฉีก
เสื้อมาบังหน้าเอาไว้ แต่ก็รู้สึกเจ็บที่คอไม่น้อย เขาถูก
ผึ้งต่อยเข้าให้แล้ว
ตอนนี้จ้าวยวนถูกงูพันอยู่เจ็ดแปดตัว จ้าวยวน
พยายามดิ้น กลับไม่เป็นผล ชายอีกคนดิ้นอยู่ที่พื้น
บนตัวก็มีงูอยู่ประมาณสามสี่ตัว
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่ง เป็นเสียงขลุ่ยมันฟัง
ลื่นหูยิ่งนัก ผึ้งที่บินอยู่ฝูงใหญ่ทันใดนั้นก็บินหายวับไป
กับตา หยางหนิงมองไปตามทางที่ผึ้งบินไป เห็นต้นไม้
ใหญ่มีกิ่งยื่นออกมา กิ่งไม้นั้นมีคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ เห็นได้
ชัดเจนว่ามีคนนั่งอยู่บนนั้น เขายื่นเท้าออกมา ในมือ
ถือบ้านไม้ไผ่เล็กๆ ผึ้งบินเข้าบ้านไม้ไผ่เล็กๆ นั้นไป
หยางหนิงมองไปดีๆ คนที่อยู่บนต้นไม้เป็นหญิงสาววัย
สิบหกสิบเจ็ดปี ถึงแม้จะเป็นกลางคืน แต่สองขาขาว
เรียวนั้นมันช่างดูสะดุดตานัก มือทั้งสองข้างก็โผล่ให้
เห็นชัดอยู่ ขาวเรียวราวกับหิมะ จากนั้นก็ได้ยินเสียง
ของหญิงคนนั้นพูดว่า “เจ้าพวกสวะ ทาให้ข้าไม่ได้ดู
อะไรดีๆ เลย พวกเจ้าสมควรตายจริงๆ!” คาพูดของ
นางหยาบคายยิ่งนัก
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 99 สาวน้อย
หยางหนิงไม่รู้ว่าสวะที่นางพูดถึงนั้นหมายถึงผู้ใด ใน
เวลานี้เขาก็ได้พบว่า ห่างออกไปไม่ไกลมีอีกคนหนึ่งที่
แต่งตัวเหมือนกับคนจับงูผู้นั้น ทั้งสองรูปร่างสูงใหญ่
ถือสามง่ามเหมือนกัน อาจเป็นฝาแฝดกัน
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งถูกแขวนบนต้นไม้ ในเวลานี้ก็
แน่นิ่งไปแล้ว ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก ไม่รู้ว่าตาย
แล้วหรือว่าสลบไป อีกคนที่อยู่บนพื้นก็ร้องโหยหวน
ด้วยความเจ็บปวดทรมาน คนจับงูก็เดินเข้าไป แล้ว
หยิบเชือกขึ้นมาเส้นหนึ่ง ไม่ได้กลัวงูที่อยู่บนตัวของ
ชายฉกรรจ์แม้แต่น้อย แล้วจับเขามัดเอาไว้
ธนูในมือของจ้าวยวนหล่นไปแล้ว ตอนนี้บนตัวของ
เขาเต็มไปด้วยงู เขาพิงอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ มือทั้งสองของ
เขาถูกพันจนแน่นไปหมด คอก็ถูกรัดจนทรุดตัวลงไป
นั่งกับพื้น
หยางหนิงมองคนที่อยู่บนต้นไม้ ถึงแม้นางจะมีแขนขา
ที่เรียวขาว เสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ก็ไม่เห็นหน้าของ
นางชัดเท่าไหร่นัก
ทันใดนั้นเองหญิงสาวคนนั้นก็กระโดดลงมาจากต้นไม้
หยางหนิงตกใจ คิดว่านางไม่ระวังจึงตกลงมาจาก
ต้นไม้ ต้นไม้ห่างจากพื้นราวห้าหกเมตร หากตกลงมา
แบบนั้น ไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก เขาตะโกนออกไปว่า
“ระวัง...!”
หญิงคนนั้นหล่นลงมา ยกมือไว้ข้างหนึ่ง ในมือข้างนั้น
จับแส้เอาไว้ แส้ก็ไม่ได้สั้น มันเหมือนเชือก หญิงดึง
เชือกที่อยู่กลางอากาศ ยิ้มแล้วหันมาพูดกับหยางหนิง
ว่า “เจ้าบอกให้ข้าระวังรึ?”
ตอนนี้หยางหนิงก็พอจะเดาได้แล้วว่า คนจับงูสองคน
นั้นน่าจะเป็นพวกเดียวกับหญิงคนนี้ คนจับงูทั้งสอง
คนนี้ต่างก็เป็นคนที่ช่างชั่วร้ายและเหี้ยมโหด หญิงคน
นี้ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน อาจจะไม่ใช่คนดีอะไร เมื่อครู่
เขาร้อนใจพูดออกไป ตอนนี้ได้ฟังหญิงคนนี้ถามเขา
เช่นนี้ เขาเองก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
หญิงคนนั้นลอยอยู่กลางอากาศ เหมือนกับนกที่บิน
อยู่บนท้องฟ้า หยางหนิงพลันตกใจขึ้นมา หญิงคนนั้น
ก็ค่อยๆ ลอยลงมาถึงพื้น จากนั้นนางก็กระตุกมือ แส้
ที่อยู่ในมือของนางนั้นก็เก็บเข้าไปอย่างรวดเร็ว หญิง
คนนั้นจับแส้ไว้ ตอนนี้ก็ยืนอยู่ตรงหน้าของหยางหนิง
ไม่เกินสามสี่ก้าว
หยางหนิงในเวลานี้ก็สามารถมองเห็นหญิงผู้นั้นได้
ชัดเจน หญิงสาวผู้นี้สวมกางเกงขาสั้นสีม่วง ช่วงบน
เป็นเสื้อแขนสั้นสีแดงเหลืองฟ้าสามสี บนหัวโพกผ้า
เอาไว้ หูทั้งสองข้างของนางห้อยต่างหู สายตาเป็น
ประกาย ฤดูใบไม้ร่วงอากาศหนาวเย็น ในป่าลึกเช่นนี้
อากาศยิ่งเย็นเข้าไปอีก แต่หญิงผู้นี้สวมชุดบางเช่นนี้
แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย เหมือนกับว่าอากาศที่เหน็บ
หนาวนี้ทาอะไรร่างกายนางมิได้
ที่ข้อมือของนางสวมกาไล ตอนนี้นางยืนอยู่ตรงหน้า
ทาให้เห็นแขนทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้างของนางที่
ขาวราวกับหิมะได้อย่างชัดเจน เห็นใบหน้าของนาง
ดวงตาของนางเป็นประกายราวกับดวงดาวที่ลอยเด่น
ระยิบระยับอยู่บนฟากฟ้า หน้าตาของนางดูแล้วก็
สวยงาม น่ารักน่าชังไม่น้อย นางจ้องมาที่หยางหนิง
ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ ข้าถามเจ้าอยู่นะ เจ้าไม่เข้าใจที่ข้า
พูดรึ?”
สิ่งที่นางพูดหยางหนิงฟังเข้าใจหมด แต่ไม่ว่าในใจของ
นางกาลังอะไรอยู่ จึงพูดไปเรียบๆ ว่า “เจ้าก็ถือเสีย
ว่าข้าไม่เข้าใจแล้วกัน” แอบคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้อยู่
กับงูพิษกับผึ้งพิษ ถึงจะหน้าตาน่ารัก แต่อาจจะไม่ใช่
คนดี
เขารู้สึกว่าบริเวณที่ถูกผึ้งต่อยนั้นรู้สึกเจ็บปวดนัก จึง
ยกมือขึ้นไปจับ ถึงได้รู้ว่ามันเริ่มปูดบวมขึ้น
“ข้าถามเจ้า เจ้าก็ตอบข้ามาดีๆ” รอยยิ้มของหญิง
สาวที่น่ารักนั้นก็จางหายไป “เจ้าถูกผึ้งนางพญาต่อย
เข้าแล้วล่ะ ไม่มีข้าเจ้าไม่รอดแน่”
หยางหนิงไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดจริงหรือไม่ แต่ว่าพิษผึ้ง
ร้ายแรงไม่ใช่เรื่องแปลก จากนั้นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดเจ้าต้องปล่อย
ผึ้งมาต่อยข้าด้วย?”
หญิงสาวตอบมาอย่างไม่ใยดีว่า “ข้าพอใจจะทาสิ่งใด
ข้าก็จะทาสิ่งนั้น เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย?” นางมองซ้าย
มองขวา เห็นธนูที่จ้าวยวนทาหล่นไว้บนพื้น ก็เกด
ความสนใจ แล้วใช้แส้ที่ที่อยู่บนเอวเล็กๆ ของนางนั้น
หยิบเอาธนูนั่นขึ้นมา จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าขอดู
หน่อย ว่าอันไหนมันจะร้ายกาจบ้าง”
หยางหนิงไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร เห็นหญิงผู้
นั้นหยิบธนูแล้วเดินไปหาจ้าวยวน จากนั้นก็ผิวปาก
น่าแปลก งูที่อยู่บนตัวของจ้าวยวนเหมือนจะฟังนางรู้
เรื่อง ไม่เลื้อยขยุกขยิกอีก แต่ก็ยังรัดตัวจ้าวยวนเอาไว้
แน่น
หญิงสาวหยิบธนูขึ้นมาแล้วเล็งไปที่จ้าวยวน มองไป
แล้วถามว่า “นี่ เจ้าว่าข้าควรยิงเจ้าตรงไหนดีรึ?”
สายตาของจ้าวยวนดูเดือดดาลนัก จากนั้นเขาก็พูดว่า
“พวกเจ้าเป็นใคร? เจ้า...เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“ข้าไม่รู้” หญิงสาวนั่งยองๆ ลง มือถือธนู ยิ้มแล้วพูด
ว่า “เจ้าเป็นใครรึ?”
จ้าวยวนถูกงูรัดแทบตาย หายใจไม่ออก เขาพูดขึ้น
อย่างทรมานว่า “เจ้า...เจ้าควรจะพาคนของเจ้า
ออกไปเสีย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องไม่ตายดีแน่?”
หยางหนิงยืนดูอยู่ข้างๆ ในใจแอบคิดว่าเจ้าบ้านี่ไม่
เห็นโลงศพไม่หลั่งน้าตาจริงๆ หรือว่าเห็นหญิงสาวผู้นี้
เป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารัก จึงคิดจะขู่ หญิงคนนี้ที่มาที่
ไปไม่ชัด เกรงว่าการข่มขู่เช่นนี้อาจจะไม่เป็นผล
หญิงคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามักจะเห็นคนที่ลาบาก
ร้องขอชีวิต ตัวเองกลับไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติเช่นนั้น
เลย เจ้าจะให้ข้าร้องขอชีวิตจากเจ้ารึ ข้าชอบเสีย
จริง” จากนั้นก็เล็งธนูไปที่คอของจ้าวยวนแล้วพูดว่า
“หากเจ้ายังไม่ยอมบอกว่าเจ้าเป็นใคร ข้าก็จะยิงไปที่
คอของเจ้า เจ้าเชื่อข้าหรือไม่?”
จ้าวยวนยิ้มอย่างร้ายกาจออกมา แล้วพูดว่า “ผู้
พิพากษาฆ่าไม่ตายหรอก หากเจ้าฆ่าข้า ที่ยมโลก เจ้า
ก็จะไม่มีวันได้ไปเกิดใหม่อีก”
หยางหนิงยืนดูอยู่ข้างๆ ในใจก็คิดว่าเจ้าบ้านี่พูดจา
ใหญ่โตเสียจริง ในโลกนี้มีใครฆ่าไม่ตายบ้าง? คิดว่า
จ้าวยวนพูดเช่นนี้มันแปลกๆ
“ยิ่งลึกลับ ข้ายิ่งอยากจะรู้” หญิงสาวยิ้ม แล้ววางธนู
ลง แล้วหยิบลูกศรอันเล็กๆ ออก จากนั้นก็หันไป
ตะโกนว่า “ต้ากุ่ย มานี่!”
เห็นคนจับงูที่จับชายฉกรรจ์แขวนบนต้นไม้นั้น เดินไป
ที่ข้างๆ หญิงสาว หญิงสาวดึงเสื้อผ้าของเขาออก
หยางหนิงถึงได้เห็นว่าที่เอวของต้ากุ่ยนั้นมีขวดเล็กๆ
อยู่ห้าหกขวด หญิงสาวก็ทาราวกับว่ากาลังยืนเลือก
ของ สุดท้ายก็ดึงขวดออกมาขวดหนึ่ง เมื่อเปิดขวด
ออก ก็เอาลูกศรจิ้มเข้าไปในขวด จากนั้นก็ค่อยๆ
เปลี่ยนหัวลูกศร แล้วยื่นขวดออกไปโดยไม่มอง ต้ากุ่ย
รับขวดกลับไป ปิดขวดแล้วแขวนกลับไปที่เดิม
จากนั้นก็ใส่เสื้อไว้เหมือนเดิม
สาวน้อยยกธนูขึ้นมาใหม่ แล้วยิ้มให้จ้าวยวน ราวกับ
ว่านายพรานกาลังล่าสัตว์ มองไปที่จ้าวยวนแล้วพูด
กับว่า “ข้าจะยิงหูซ้ายของเจ้าออกมา อยากจะรู้นักว่า
ของๆ เจ้ามันใช้ดีหรือไม่”
จ้าวยวนหน้าถอดสี เขายังไม่ทันจะได้พูดอะไร สาว
น้อยผู้นั้นก็ยิงธนูออกไป “โอ๊ย” จ้าวยวนร้องด้วย
ความเจ็บปวด ธนูยิงผ่านหน้าของเขาไป ใบหน้าของ
เขามีรอยแผลเล็กน้อย ทั้งสองคนยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก
ธนูที่ยิงออกไปนั้นแรงยิ่งนัก มันยิงทะลุหูซ้ายของเขา
ในทันที ไม่นานนักเลือดของเขาก็หยดลงมาเป็นสาย
มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หยางหนิงคิดในใจว่า เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าหญิงผู้นี้ไม่
น่าจะเป็นคนดี ตอนนี้เห็นนางยิงหูคนได้อย่างไม่ลังเล
สีหน้ายังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของความสุข หากไม่
เห็นด้วยตาตัวเอง คิดไม่ออกจริงๆ ว่าหญิงสาวสวย
เช่นนี้จะเหี้ยมโหดมากขนาดนี้
หูซ้ายของจ้าวยวนขาดออกเป็นชิ้น เลือดไหลนองไม่
หยุด เจ็บปวดทรมานยิ่งนัก เขาเอ่ยปากแช่งว่า “เจ้า
ไม่มีทางได้เกิดใหม่แน่นอน เจ้า...เจ้าไม่มีทางได้เกิด
ใหม่แน่!”
หญิงสาวมองไปที่ธนู แล้วพูดว่า “ของชิ้นนี้ใช้ไม่ดี
เลย” จากนั้นก็โยนทิ้งไป และหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่
ใหญ่เท่าหัวแม่โป้งออกมา ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าลอง
ของข้าดู” จากนั้นก็อมกระบอกไม้ไผ่นั้นเข้าไป เล็งไป
ที่หูของจ้าวยวน “โอ๊ย” มีบางอย่างออกมาจากปาก
กระบอกไม้ไผ่เล็กๆ นั่น แล้วทะลุผ่านหูของจ้าวยวน
ไป
หญิงสาวปรบมือแล้วพูดว่า “ของๆ ข้าดีที่สุด ข้าก็
บอกพวกเจ้าแล้วของของพวกเจ้ามันไม่ได้เรื่อง ดู
เหมือนจะร้ายกาจ แต่ใช้จริงไม่ได้เรื่อง”
หยางหนิงมองไปที่ด้านหลัง เห็นคนจับงูอีกคนยืนอยู่
ห่างจากเขาประมาณห้าหกก้าว จับตามองเขาอยู่
เหมือนกลัวว่าเขาจะหนีไป
หยางหนิงรู้ดีว่าหญิงผู้นี้รับมือได้ยากกว่าจ้าวยวน
จะต้องหาทางหนีไปให้ได้ แต่ว่าตอนนี้คนจับงูยืนคุม
อยู่อย่างนี้ อีกทั้งรอบๆ มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด อยาก
ใช้ท่าเท้าท่องคลื่นหนีไปก็ไม่ได้ ทาอย่างไรถึงจะหนีไป
จากคนพวกนี้ได้นะ
ที่คอของเขาถูกผึ้งพิษต่อยก่อนหน้านี้ที่รู้สึกเจ็บปวด
จะเป็นจะตายนั้น ในตอนนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงแล้ว
กลับคันขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพิษของผึ้งนางพญา
มันเป็นพิษอย่างไรกันแน่
เห็นจ้าวยวนดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้นอย่างทรมาน
จากนั้นก็ได้ยินจ้าวยวนพูดว่า “ข้าจะตายแล้ว...
หนอน...อ๊าก...เอายาถอนพิษให้ข้า เอายาถอนพิษให้
ข้า...!” เห็นเขานอนดิ้นอยู่ที่พื้น ดูทรมานและ
เจ็บปวดนัก
หยางหนิงคิดว่าหญิงสาวเอาหัวธนูจุ่มไปในขวด แอบ
คิดในใจว่านางน่าจะอาบยาพิษไว้บนลูกศรนั้น จ้าว
ยวนถูกธนูยิงก็น่าจะถูกพิษเข้าแล้ว
จ้าวยวนเจ็บปวดยิ่งนัก หญิงสาวปรบมือดีใจยิ้มแล้ว
พูดว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าร้องขอชีวิตไม่ใช่หรือ?
ตอนนี้เจ้ากาลังร้องขอชีวิตอยู่ เจ้าชอบหรือไม่?” หัน
ไปมองหยางหนิง แล้วถามว่า “นี่ เจ้าเห็นความร้าย
กาจของข้าหรือยัง?”
หยางหนิงจับมีดสั้นในมือ ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอายุ
ยังน้อย ลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้ ในใจของเจ้าช่างชั่วร้าย
นัก ใครสอนเจ้ากัน?”
หญิงสาวก่อนหน้ายังยิ้มหวานๆ พอหยางหนิงตาหนิ
เช่นนั้น ก็นิ่งไป แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าด่าข้า
รึ?”
“ใช่ ข้าด่าเจ้า” หยางหนิงพูดอีกว่า “หรือว่าที่ข้าด่า
มันไม่ใช่ความจริงเล่า?”
หญิงสาวชี้ไปที่จ้าวยวนที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยความ
เจ็บปวดที่พื้นแล้วพูดว่า “พวกเขาขู่จะข้าเจ้าเมื่อครู่
ข้าช่วยเจ้า เจ้าควรจะคุกเข่าขอบคุณข้าถึงจะถูก แต่นี่
เจ้ากลับมาด่าข้าได้อย่างไร?”
“ความแค้นของข้ากับเขา ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้อง
มายุ่ง” หยางหนิงยื่นมือออกไป “เจ้าเอายาถอนพิษ
ให้ข้า ข้าจะรีบไปจากที่นี่ ข้าจะถือว่าข้าไม่เห็นอะไร
ทั้งนั้น”
หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ มองไปที่หยางหนิง แล้ว
พูดว่า “เจ้าบ้าหรืออย่างไร? ข้าช่วยเจ้า เจ้าไม่
ขอบคุณข้า ชีวิตเจ้าอยู่ในกามือของข้า ยังกล้ามาออก
คาสั่งกับข้าอีก เจ้าเชื่อหรือไม่ข้าสามารถทาให้เจ้า
เป็นเหมือนเขาได้?”
---------------------------------
บันทึกลับองค์รักษ์เสื้อแพร
เล่มที่ 4 ตอนที่ 100 ผูกมัด
ในใจของหยางหนิงคิดว่าหญิงผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก
จึงระวังตัวมากขึ้น ในตอนนี้เอง กลับเห็นจ้าวยวนร้อง
โหยหวนพร้อมกับลุกพรวดขึ้นมา จากนั้นก็รีบวิ่งหนี
ออกไป แต่เขาก็วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็เห็นสามง่ามพุ่ง
เข้าไปหา มันแทงเข้าไปที่ขาข้างหนึ่งของเขา จ้าวยวน
ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ร่างของเขาก็ล้ม
กลิ้งไปกับพื้น
หยางหนิงเหลือบไปมอง สามง่ามแท่งนั้นเป็นของคน
จับงูที่อยู่ด้านหลังของเขาที่ขว้างออกไป ในใจเขาก็คิด
ว่าหากตกอยู่ในกามือของหญิงผู้นี้ ไม่ใช่เรื่องดี
แน่นอน มีโอกาสแบบนี้ ก็ไม่เลว เขาหันตัวไป แล้ว
ตะโกนว่า “หลีกไป!” เขาใช้มีดในมือพุ่งเข้าใส่คนจับงู
คนจับงูรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายกายา แต่แต่อย่างไร
เสียก็มีเลือดมีเนื้อ เขาคิดที่จะบังมีดสั้นเอาไว้ แต่มันก็
เป็นไปไม่ได้
คนจับงูเห็นหยางหนิงพุ่งเข้ามา เขาก็ร้องคาราม
เหมือนกับสัตว์ป่า ไม่คิดจะถอยแต่กลับบุกเข้าไปหาห
ยางหนิงเช่นกัน เขายกหมัดขึ้นมา เห็นหยางหนิง
กาลังพุ่งเข้ามา
ทันใดนั้นเองหญิงสาวก็พูดขึ้นมาว่า เสียวกุ่ยหลบไป!"
คนจับงูได้ยินดังนั้น ปฏิกิริยาของเขาเร็วยิ่งนัก เขารีบ
เก็บมือกลับไป หันไปด้านข้าง ถือโอกาสนี้ปล่อยให้ห
ยางหนิงพุ่งเข้าใส่
หยางหนิงคิดในใจว่าในภูเขาแห่งนี้ค่อนข้างซับซ้อน
รอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ ลองใช้ความซับซ้อนของที่นี่
หลบหนีดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
หากสู้กันตัวต่อตัว ถึงแม้จะมีแค่ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์
ถึงสองคน หยางหนิงก็ไม่กลัว แต่ว่าหญิงผู้นั้นมีอาวุธ
ที่มีพิษอยู่ด้วย ของพวกนี้อย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน
หนีได้เป็นดีที่สุด
แต่เมื่อวิ่งไปได้ประมาณสิบเก้า หยางหนิงก็รู้สึกว่า
สายตาของเขามืดลง วิงเวียนศีรษะตาลาย ร้องก็ร้อง
ไม่ออก วิ่งไปได้อีกสามสี่ก้าว ก็มึนหัว ยื่นมือไปจับ
ต้นไม้ใหญ่ ในใจคิดว่าเมื่อครู่ถูกผึ้งต่อย คิดว่าพิษของ
มันกาลังออกฤทธิ์ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เขารู้สึก
เหมือนโลกทั้งใบกาลังหมุน ร่างกายอ่อนแอลง แล้วก็
ล้มลงไปนอนกับพื้น
ถึงแม้เขาจะล้มลง แต่ยังรู้สึกตัวอยู่ เขารู้สึกว่าตัวชา
ไปหมด คิดอยากจะขยับตัว แต่ว่าร่างกายก็อ่อนแอ
นั้ก เรี่ยวแรงแทบไม่มี
เขารู้สึกโกรธแค้นนัก ได้ยินหญิงสาวคนนั้นหัวเราะร่า
ออกมา อยู่ข้างๆ หู นางอยู่ห่างจากเขาไม่เกินสาม
ก้าวแล้วนั่งยองๆ ลง ยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า “วิ่งอีกสิ?
ทาไมไม่วิ่งเล่า? ข้าเห็นเจ้าวิ่งเหมือนหมาป่าเลย ยัง
คิดอยู่เลยว่าเจ้าอาจจะหนีไปได้”
หยางหนิงรู้ว่าด่าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ จึงฝืนยิ้ม
แล้วพูดว่า “แม่นางน้อย ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อ
กัน เจ้าทาร้ายข้าโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้ ในใจเจ้าไม่รู้สึก
อะไรบ้างหรือ?”
หญิงสาวคนนั้นส่ายหัวยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้ทา
อะไรเจ้าเสียหน่อย หากเจ้ายืนอยู่เฉยๆ พิษผึ้งก็ไม่
ออกฤทธิ์หรอก คุยกับข้าดีๆ หากข้าอารมณ์ดี ไม่แน่
ข้าอาจจะเอายาถอนพิษให้เจ้าก็ได้ แต่ว่าเจ้าดันวิ่งหนี
เลือดลมไหลเวียนเร็วขึ้น จึงล้มลงไปเช่นนี้อย่างไรเล่า
จะโทษข้าได้อย่างไร?”
“ถ้าอย่างนั้นมั้นก็เป็นความผิดของข้าเอง” หยางหนิง
พูดต่อไปว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าเอายาถอนพิษ
ให้ข้า เจ้ากับข้ามาเป็นเพื่อนกัน อย่าทาร้ายกันอีก
เลย”
หญิงสาวยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเพื่อนเจ้ารึ? เจ้ามีสิทธิ
อะไรมาเป็นเพื่อนกับข้า?”
หยางหนิงคิดในว่าเจ้าปีศาจสาวผู้นี้เองก็ไม่มีความ
เกรงใจเอาเสียเลย คิดจะขู่เสียหน่อย แต่ว่าคิดว่าจ้าว
ยวนก็ลองแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อันใด ปีศาจสาวผู้นี้
ไม่ชอบไม้อ่อน จึงตั้งใจถอนหายใจแล้วพูดไปว่า “เจ้า
อย่าทาอะไรข้าเลย ข้ายังมีคนที่บ้านต้องดูแล เจ้าเอง
ก็มีพ่อแม่ใช่หรือไม่เล่า? เจ้าลองคิดถึงพ่อแม่ของเจ้าดู
แล้วนึกถึงพ่อแม่ข้า ที่บ้านหากไม่มีข้าดูแล มันจะเป็น
เช่นไร”
หญิงสาวหันหน้าไป สีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “ข้ามีพ่อ
แต่แม่ข้าไม่มี พ่อข้าไม่จาเป็นต้องให้ข้าดูแล”
หยางหนิงตะลึงไปแล้วพูดว่า “ทุกคนต้องมีแม่ด้วยกัน
ทั้งนั้น เจ้าจะไม่มีแม่ได้อย่างไร”
“นางตายไปนานแล้ว” หญิงสาวผู้นั้นพูดอย่างไม่ใยดี
ว่า “เจ้าถูกพิษผึ้ง แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ตายหรอก”
หยางหนิงตกใจ แต่ก็ต้องนิ่งเอาไว้แล้วถามว่า “ไม่
ตายรึ? หรือว่าพิษผึ้งทาให้คนตายได้อย่างนั้นรึ?”
หญิงสาวยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่ตายก็ไม่ใช่ยาพิษสิ ผึ้ง
นางพญาพวกนั้นเป็นสัตว์ที่อาจารย์สั่งให้ข้าเลี้ยง ข้า
ไม่เคยเห็นใครที่ถูกยาพิษนี้แล้วตายในทันทีเลย ยา
พิษที่ดีที่สุด คือยาพิษที่ค่อยๆ ทาให้คนตายอย่างไร
เล่า”
หยางหนิงเห็นนางพูดอย่างไม่ใยดี ในใจก็รู้สึกโกรธ
แค้นยิ่งนัก รู้ว่าคุยกับนางไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ทน
ไม่ได้จึงด่าออกไปว่า “เจ้าปีศาจน้อย ข้าไปฆ่าพ่อฆ่า
แม่เจ้าหรืออย่างไร? เจ้าถึงได้ทาร้ายข้าเช่นนี้ รอ...รอ
ข้าหายก่อน เจ้าจะต้องร้องขอ...!” เขาอยากจะพูดว่า
“ร้องขอชีวิต” แต่ว่าจ้าวยวนก็เพิ่งพูดกับนางไปอย่าง
นี้ หญิงผู้นี้กลับทาให้จ้าวยวนตกอยู่ในสถานการณ์ที่
ยากลาบาก จึงไม่พูดต่อ
“ความแค้นที่ฆ่าพ่ออย่างนั้นรึ?” หญิงคนนั้นไม่ได้
สนใจหยางหนิงที่เรียกนางว่า “ปีศาจน้อย” ใบหน้าที่
งดงามมีความไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็พูดว่า
“อย่างเจ้ารึจะฆ่าพ่อข้า? ความสามารถของเจ้าก็แค่
นั้น ไม่มีมีดเล่มนั้น แม้แต่ต้ากุ่ยกับเสียวกุ่ยเจ้าก็ยังสู้
ไม่ได้เลย หากว่าเจ้าเจอพ่อของข้า พ่อข้าแทบไม่ต้อง
ลงมือ เจ้าก็...!” นางจงใจแลบลิ้นออกมา แล้วมองบน
ความหมายของนางก็คือพ่อของนางไม่ต้องลงมือก็
สามารถทาให้หยางหนิงตายอย่างอนาถได้
ท่าทางของนางแบบนี้ ช่างดูน่ารักยิ่งนัก แต่ว่าหยางห
นิงรู้ดีว่านางมีใจโหดเหี้ยมนัก คิดแล้วก็รู้สึกรังเกียจ
แต่ว่าในใจก็รู้สึกอยากรู้ว่า พ่อของปีศาจน้อยผู้นี้เป็น
ใครกัน
เห็นหยางหนิงไม่พูดอะไร หญิงสาวก็พูดด้วยความไม่
พอใจว่า “ข้าพูดกับเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินรึ?”
“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้าแล้ว” หยางหนิงไม่ได้พูดดี
ด้วย เขาพูดไปพร้อมลองออกแรงลุกขึ้นดู ปีศาจน้อย
อยู่ห่างจากเขาเพียงสามก้าว แต่ชายสองคนระยะห่าง
อยู่ไกลพอสมควร หากสามารถควบคุมนางเอาไว้ได้ ก็
มีโอกาสได้ยาถอนพิษมาครอง
แต่ว่าในตอนนี้เขาสามารถพูดได้ตามปกติ แต่ร่างกาย
กลับไม่มีเรี่ยวแรง คิดอยากจะลอบโจมตีปีศาจน้อย ก็
ลาบากนัก
ปีศาจน้อยทาหน้าตาน่ารักน่าชัง ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้า
คิดอยากจะลุกขึ้นมาจับข้า แล้วบีบให้ข้ามอบยาถอน
พิษออกมาใช่หรือไม่? ไม่มียาถอนพิษ เจ้าก็ลุกไม่ขึ้น
อย่าฝันไปเลย” นางเขยิบมาใกล้ๆ ตัวของหยางหนิง
ก้มหน้าลงมา ห่างจากตัวหยางหนิงเพียงหนึ่งนิ้วมือ
ผิวของนางขาวเนียนผุดผ่อง ยิ้มอ่อนหวานราวน้าตาล
เชื่อม แต่ว่าหยางหนิงเห็นหน้าสวยๆ ของนางก็มีแต่
ความอัปลักษณ์ ได้เพียงแต่คิดจะจับตัวของนาง
เท่านั้น แต่ว่าในตอนนี้แม้แต่มือก็ยกไม่ขึ้น
“ข้าบอกว่าเจ้าทาไม่ได้ ก็คือไม่ได้” หญิงสาวยิ้มแล้ว
พูดไปว่า “หากตอนนี้เจ้าสามารถยื่นมือมาจับข้า ขอ
แค่เจ้ามีความสามารถ ข้าจะไม่หลบเลย เจ้าจะจับข้า
หรือไม่?”
ถึงแม้นางจะพกยาพิษติดตัว แต่ว่าตัวของนางก็มีกลิ่น
หอมบนตัวอ่อนๆ มันเป็นกลิ่นกายหอมของหญิงสาว
แรกแย้ม
หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะทาอะไร?
คิดจะฆ่าข้าหรือ? ข้าขยับไม่ได้ เจ้าจึงคิดจะฉวย
โอกาสสินะ ตอนนี้จะทาอะไรก็ทาเลย”
“เจ้าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ไม้นี้ของเจ้ามัน
เรียกว่ากระตุ้นให้ทาสินะ” หญิงสาวคนนั้นยิ้มแล้วพูด
ต่อว่า “ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก แต่ว่าเจ้าก็ไม่ใช่คนเลว
ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก หากเจ้าดวงแข็ง หากว่าพวกเราไป
เจอเขาที่หุบเขาแล้วเจ้ายังไม่ตาย เขาอาจจะให้ยา
ถอนพิษกับเจ้าก็ได้”
“หุบเขารึ?” หยางหนิงพูดด้วยความแปลกใจว่า “หุบ
เขาอะไรกัน?”
หญิงสาวหยิบมีดสั้นของหยางหนิงขึ้นมาดู แล้วจิ้มมัน
ลงไปตรงใบหน้าของหยางหนิง แล้วย้อนถามกลับไป
ว่า “เจ้าว่าถ้าข้ากรีดลงไปที่ใบหน้าของเจ้า มีดนี่มัน
จะคมหรือหน้าของเจ้ามันจะหนามากกว่ารึ?”
หยางหนิงนิ่งไป แอบคิดในใจว่าปีศาจน้อยนี่ชั่วร้าย
มาก แต่อย่ากรีดหน้าเขาจริงๆ ก็พอ เขาไม่ได้พูด
อะไรต่อ
หญิงสาวปัดมีดไปมาที่หน้าของหยางหนิง จากนั้นก็
ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าใจกล้าไม่เบา เจ้าไม่กลัวเลยแม้แต่
น้อย ก็ไม่สนุกแล้วสิ ข้าจะไม่กรีดหน้าเจ้า หลังจากที่
พิษของเจ้ากาเริบจนเจ้าตาย ข้าค่อยกรีดหนังหน้าเจ้า
ดีกว่า ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว เจ้าว่าข้า
ดีกับเจ้าหรือไม่?”
หยางหนิงได้ยินคาพูดอันชั่วร้ายของปีศาจน้อยผู้นี้
แล้ว ก็คิดในใจว่าปีศาจน้อยผู้นี้เป็นลูกสาวใครกัน มี
ลูกแบบนี้พ่อก็ต้องไม่ต่าง ผู้หญิงคนนี้เหี้ยมโหดนัก
พ่อของนางก็คงไม่ใช่คนดีอะไร
หญิงคนนั้นเก็บมีดสั้นกลับไป ยื่นมือไปตบหน้าหยางห
นิงเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวสิ ข้าก็จะพา
เจ้าไปหาคนที่ถอนพิษได้”
“ฆ่าได้หยามไม่ได้” หยางหนิงมองบน “เจ้าอายุน้อย
กว่าข้าสองสามปี น่าจะเรียกข้าว่าพี่ชายมากกว่า...
ช่างเถอะ ข้าไม่อยากมีน้องสาวอย่างเจ้า หากเป็น
เช่นนั้นข้ายอมฆ่าตัวตายเองดีกว่า”
หญิงสาวคนนั้นหัวเราะออกมา “เจ้าพูดจาน่าสนุกดี
นะ แต่ข้ายังไม่อยากให้เจ้าตายตอนนี้” นางลุกขึ้น
แล้วทาสัญลักษณ์มือขึ้นมา เรียกเสียวกุ่ยเข้ามา ใช้
เชือกมัดหยางหนิงเอาไว้ หยางหนิงรู้สึกว่าเชือกเส้นนี้
ไม่ใช้เชือกธรรมดา มันเหมือนทาจากเถาวัลย์
ต้ากุ่ยเองก็ไปดึงสามง่ามจากต้นไม้ลงมา แล้วจับชาย
ฉกรรจ์คนนั้นมัดเอาไว้
เสียวกุ่ยใช้มือหนึ่งหิ้วหยางหนิง แล้วเดินไปหิ้วจ้าว
ยวนสลบไปขึ้นมาด้วย
ตอนที่นอนอยู่กับพื้น หยางหนิงรู้สึกว่าร่างกายไร้
เรี่ยวแรง อาการมึนหัวเหมือนจะลดลง แต่เมื่อ
เสียวกุ่ยหิ้วตัวเขาขึ้นแล้วเดินไป อาการมึนหัวก็
กลับมาอีกครั้ง ในใจก็คิดว่าเจ้าปีศาจน้อยไม่ได้โกหก
เมื่อมีการเคลื่อนไหว พิษผึ้งก็จะกาเริบ ตอนนี้เขารู้สึก
มองไม่ชัด ทุกอย่างมืดไปหมด ในสมองว่างเปล่า ไม่รู้
อะไรอีกเลย
เมื่อเขาตื่นขึ้นมา รู้สึกว่ารอบๆ ตัวของเขามืดไปหมด
มือเท้าของเขาถูกมัดเอาไว้ ร่างกายของเขารู้สึกสั่น
เล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนเหมือนกัน
เขาขยับตัวอีกที ยังคงไม่มีเรี่ยวแรง แต่ก็ยัง
เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย เขาขยับซ้ายขยับขวา ขาทั้ง
สองข้างโค้งโก่ง คิดอยากจะยืดตัวตรง แต่ที่เท้าก็
เหมือนมีอะไรขวางอยู่ ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจว่า หาก
คิดไม่ผิด ตอนนี้เขาน่าจะถูกจับมาขังอยู่ในลังไม้ลัง
หนึ่ง เขาใช้หัวของเขาชนเข้าไป จากนั้นก็ได้ยินเสียง
“ตึก ตึก” ซึ่งชนเข้ากับแผ่นไม้นั่นเอง
เขาพยายามตั้งสติ จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ แล้ว
ค่อยๆ ฟังอย่างละเอียด ได้ยินเสียง “กึก กึก” มัน
เป็นเสียงฝีเท้าของม้า
เขากาลังคิดว่า ตัวเขาถูกจับขังอยู่ในลังไม้ ส่วนลังไม้
น่าจะอยู่บนรถม้า ส่วนรถม้ากาลังวิ่งไปข้างตรงไป
หน้า
เขาจาได้ว่าปีศาจน้อยบอกว่า กาลังจะไปหุบเขา
เหมือนจะไปหาคนถอนพิษ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็น
ใคร ส่วนปีศาจน้อยก็เป็นคนวางยาเอง บนตัวมียา
ถอนพิษ เหตุใดยังต้องไปหาคนถอนพิษให้อีกเล่า?
ปีศาจน้อยคนนี้ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ลึกลับซับซ้อนยาก
เกินจะเดาได้ หยางหนิงสงสัยยิ่งนัก
---------------------------------